The Winner is king ผู้ชนะเลศคือราชา – บทที่ 470 หยวนเทียนกาง

บทที่ 470 หยวนเทียนกาง

“หลานเลอะเลือนไปแล้วหรือยังไง !”

เย่หยวนชิวจ้องมองเย่หลิงหลงด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“พูดจุดประสงค์ออกมาขนาดนี้แล้ว หลานควรจะจับตัวเธอเอาไว้ ตอนนี้หงหุ้ยของเราสามารถต่อสู้ได้ แต่เฉินตงต่อสู้ไม่ได้ !”

“คุณปู่ เป็นความผิดของหนูเอง ตอนนี้ควรจะทำอย่างไรดีคะ ?”

ใบหน้าอันงดงามของเย่หลิงหลงแดงก่ำ เธอก้มหน้าก้มตาด้วยความรู้สึกผิด

ความจริงเธอพบเทียนอ้ายถึงสองครั้ง เทียนอ้ายดูมีนิสัยขี้เล่น และมีความคิดที่แปลกประหลาด

ทำให้เธอประมาทเกินไป

อย่างไรเสีย มีสักกี่คนที่จริงจังกับการทำภารกิจ แล้วยังมีเวลามาสนใจหน้าอกของตัวเองอีก ?

จนกระทั่งที่เทียนอ้ายหลบหหนีเมื่อครู่ แล้วถามคำถามประโยคสุดท้ายออกมา เธอถึงได้รู้ว่าปัญหานี้มีความรุนแรงขนาดไหน

“แหวกหญ้าให้งูตื่น หากคิดจะจับผู้หญิงคนนั้น คงจะสายไปแล้ว”

สีหน้าของเย่หยวนชิวเคร่งเครียด เขาขมวดคิ้วใช้ความคิด : “หลานกลับไปที่ตงหย่วน ปู่จะให้หลงโถวส่งคนมา ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป สมาคมซานเหอต้องถูกยกระดับการรักษาความปลอดภัย”

“คุณปู่คะหรือว่าพวกเราจะเคลื่อนย้ายเฉินตงดี ?” เย่หลิงหลงเสนอความคิดเห็น

เย่หยวนชิวมีสีหน้าจริงจัง : “ยังมีที่ไหนที่ปลอดภัยกว่าองค์กรใหญ่ของหงหุ้ยอีกหรือ ?”

หลังจากที่เย่หยวนชิวโบกมือให้เย่หลิงหลงออกไป

เย่หยวนชิวก็พึมพำขึ้นมาเบาๆ ว่า : “สามารถปิดถนนได้อย่างโจ่งแจ้ง ลอบฆ่าเฉินตง และหลบซ่อนตัวจนแม้แต่หงหุ้ยเราก็ยังสืบหาไม่พบร่องรอย หากเคลื่อนย้ายเฉินตงตอนนี้ ก็เท่ากับรนหาที่ตาย”

พูดจบ เย่หยวนชิวก็ลุกขึ้นแล้วใช้ไม้เท้าเดินพยุงตัวไปหาหลงโถว

เรื่องนี้จะประมาทไม่ได้

ผู้หญิงคนเดียว แอบลักลอบเข้ามาในสมาคมซานเหอถึงสองครั้ง

เหตุผลก็เพื่อสืบหาว่า ในคืนที่เฉินตงหายตัวไปในคืนนั้น หงหุ้ยงมอะไรขึ้นมาจากทะเลกันแน่

เห็นได้ชัดว่า มีความเชื่อมโยงถึงเฉินตง

เป็นการยากที่เย่หยวนชิวจะไม่นำเรื่องนี้ และเรื่องของผู้อยู่เบื้องหลังในการลอบสังหารเฉินตงมาโยงเข้าด้วยกัน

ถ้าหากผู้หญิงคนนั้นมาเพื่อสำรวจเส้นทางจริง ถ้าเช่นนั้นต่อจากนี้ก็น่าจะเป็นการปฏิบัติการลอบสังหารอย่างเต็มรูปแบบ

ห้องโถงใหญ่ของสมาคม

กลิ่นหอมของธูปฟุ้งกระจาย

บนผนังกว้าง มีภาพเหมือนของบุคคลขนาดใหญ่สามภาพแขวนอยู่

และด้านหน้าภาพเหมือน มีโต๊ะไม้โบราณวางอยู่ ด้านหลังโต๊ะไม้โบราณ

มีชายวัยกลางคนผมขาว นั่งอยู่อย่างสง่าผ่าเผย ใบหน้าหล่อเหลา ดูสุขุมเยือกเย็น ทำให้ดูแล้วรู้สึกมั่นคงดุจขุนเขา

กรอบแว่นสีทองที่อยู่บนสันจมูก ทำให้ดูอ่อนโยนและสง่างามขึ้นไม่น้อย

เขาคือหลงโถวของหงหุ้ย——หยวนเทียนกาง

ก๊อกก๊อก

เสียงเคาะประตูดังขึ้น

ชายวัยกลางคมผมขาวเงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นเย่หยวนชิว ใบหน้าที่เรียบเฉยก็เผยรอยยิ้มที่อ่อนโยนออกมาทันที

เขาลุกขึ้นแล้วเดินตรงไปด้านหน้า ประคองเย่หยวนชิวให้นั่งลงบนเก้าอี้

“ผู้อาวุโสมีเรื่องอะไรหรือครับ ทำไมถึงไม่ให้คนมาตามผมไป ทำไมต้องมาด้วยตัวเองเช่นนี้ ?”

“คุณเป็นหลงโถวของพวกเรา ผมจะปฏิบัติต่อคุณตามอำเภอใจได้อย่างไร ?”

เย่หยวนชิวพูดติดตลก

หยวนเทียนกางยักไหล่ : “ท่านเป็นจู่เหลาของเรา ที่มีทุกวันนี้ได้ ก็เพราะการสนับสนุนของท่านในตอนนั้น ใครๆ ก็ล่วงเกินผมไม่ได้ ยกเว้นท่านคนเดียวเท่านั้น”

เย่หยวนชิวยิ้มร่าออกมา

จากนั้นก็ค่อยๆ หุบยิ้ม แล้วพูดออกมาอย่างเคร่งขรึมว่า : “เรื่องที่เฉินตงพักอยู่ที่สมาคมซานเหอ อาจจะถูกเปิดเผยออกไปแล้ว”

“อะไรนะ ?”

หยวนเทียนกางผงะไปครู่หนึ่ง : “พวกเราจัดการอย่างสะอาดหมดจนไร้ร่องรอย เรื่องที่งมคนขึ้นมาจากทะเล แม้แต่สมาชิกตระกูลที่อยู่ในเมืองนี้ต่างก็ถูกปิดบังไม่ให้ล่วงรู้ แล้วจะถูกค้นพบได้อย่างไร ?”

เย่หยวนชิวยิ้มออกมาอย่างโศกเศร้า : “หลิงหลงเป็นคนพบเข้า ผู้หญิงคนนั้นแอบปีนกำแพงเข้ามาสองครั้ง เพื่อพยายามบุกรุกเข้าไปในสมาคมซานเหอ อีกทั้ง……”

หยุดพูดไปครู่หนึ่ง แล้วเย่หยวนชิวก็พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง : “อีกทั้งเมื่อครู่ตอนที่หลิงหลงไล่ตามผู้หญิงคนนั้นไป ผู้หญิงคนนั้นเพื่อที่จะหลบหนี ก็ได้เอ่ยคำพูดออกมาหนึ่งประโยค เธอถามออกมาตรงๆ ว่า คืนนั้นหงหุ้ยเรางมอะไรขึ้นมาจากทะเลกันแน่ ?”

ทันทีที่พูดออกไป ห้องโถงใหญ่ก็เงียบสงัดทันที

ใบหน้าที่อ่อนโยนของหยวนเทียนกางเคร่งขรึมขึ้นทันที ภายใต้กรอบแว่นสีทอง แผ่ซ่านรังสีของความอำมหิตออกมาทันที

ตอนนี้ บรรยากาศภายในห้องโถงใหญ่ดูเหมือนลดต่ำลงไปจนถึงจุดเยือกแข็ง

ในฐานะที่เป็นหลงโถว ความสุภาพอ่อนโยนและสง่างาม ถือเป็นท่าทีที่เขาต้องการแสดงออกมาให้ผู้อื่นได้เห็น

หากคิดว่าเขาเป็นคนสุภาพอ่อนโยนจริงๆ แล้วล่ะก็ นั่นถือว่าคิดผิดแล้ว

“จู่เหลา คนที่ฆ่าเฉินตง ตอนนี้ยังหาตัวไม่เจอ”

หยวนเทียนกางพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม : “ตอนนี้พวกเขารู้แล้วว่าเฉินตงอยู่ที่สมาคมซานเหอ หลังจากนี้พวกเราคงต้องถูกโจมตีแล้ว”

“คุณกลัวหรือ ?” เย่หยวนชิวเลิกคิ้วถาม

หยวนเทียนกางเบ้ปาก : “หยวนเทียนกางสะกดคำว่ากลัวไม่เป็น”

เย่หยวนชิวยิ้มเล็กน้อย

จากนั้น หยวนเทียนกางก็ยักไหล่ : “เอาล่ะ จากนี้เป็นต้นไป ผมจะย้ายไปอยู่ที่ตงหย่วน”

“อย่างไรเสียคุณก็เป็นถึงหลงโถว จะย้ายไปดูแลเฉินตงหรือ ?” เย่หยวนชิวพูดด้วยความตกตะลึง

หยวนเทียนกางยิ้มร่าออกมา : “เอาล่ะ ที่ผู้อาวุโสมาถึงที่นี่ ไม่ใช่เพราะเรื่องนี้หรอกหรือ ผมในฐานะที่เป็นหลงโถว ไปดูแลจู่เหลารุ่นหยวนที่หนุ่มที่สุดของสมาคมเรา ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องหนักหนาอะไร”

“คุณนี่มันฉลาดจริงๆ” เย่หยวนชิวหัวเราะอย่างช่วยไม่ได้

หยวนเทียนกางดันแว่นที่อยู่บนสันจมูก แล้วยิ้มโดยไม่พูดอะไร

เงียบไปสักครู่

เขาก็ค่อยๆ พูดว่า : “เพียงแต่ตอนนี้เจ้าบ้านตระกูลเฉินหายตัวไปอย่างลึกลับ จู่เหลาคิดว่าหงหุ้ยของเรา ควรจะกวนน้ำให้ขุ่นหรือไม่ ? ดูเหมือนว่าน้ำนี้จะขุ่นเกินไปแล้ว”

รอยยิ้มบนใบหน้าของเย่หยวนชิวจางหายไปทันที

ทำสีหน้าเคร่งขรึม แล้วค่อยๆ คายคำพูดออกมาหนึ่งคำ

“กวน !”

หลังจากได้รับคำสั่งจากหยวนเทียนกาง

ทุกคนในสมาคมซานเหอก็มารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว ไม่เหมือนกับวันปกติ ซุ้มประตูใหญ่ถูกทิ้งร้าง

มีการยกระดับความปลอดภัยขึ้นสู่ระดับสูงสุดในเวลาเดียวกัน

หยวนเทียนกางก็ย้ายไปอยู่ที่ตงหย่วนด้วยตัวเอง โดยมีการจัดเตรียมห้องพักหนึ่งห้อง

นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินตงได้พบกับผู้ที่ชื่อว่าเป็นหลงโถวของหงหุ้ย

ทำให้เฉินตงรู้สึกตกตะลึงไปเล็กน้อย

หยวนเทียนกางอายุน้อยกว่าที่เขาคิดเอาไว้

เดิมทีเขาคิดว่าหลงโถวน่าจะมีอายุอย่างน้อยๆ ประมาณห้าสิบปี

แต่หยวนเทียนกาง ต่อให้ผมจะขาว แต่ท่าทางและใบหน้า ไม่มีความชราเลยแม้แต่น้อย ดูๆ ไปแล้วน่าจะอยู่ในวัยสามสิบต้นๆ และคงจะอายุเยอะกว่าเขาไม่มาก

“ประหลาดใจมากนักหรือ ?”

หยวนเทียนกางรับรู้ได้ถึงสายตาแปลกประหลาดของเฉินตงที่มองมา

“คุณดูหนุ่มมาก” เฉินตงพยักหน้า และไม่ได้คิดปิดบัง

“จะอายุน้อยสู้คุณได้อย่างไร”

หยวนเทียนกางหัวเราะออกมาแปลกๆ : “คุณเป็นจู่เหลารุ่นหยวนที่อายุน้อยที่สุดของเราเลยนะ”

ทั้งสองสบตากัน

แล้วยิ้มออกมาพร้อมกัน

จากนั้น หยวนเทียนกางก็ยักไหล่

“จริงสิ เรื่องที่ผมย้ายมาที่ตงหย่วนเพื่อปกป้องคุณ ตอนนี้ภายในหงหุ้ย มีเพียงเราไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ ผมเองก็ไม่ต้องการให้ล่วงรู้ออกไป”

เงียบไปสักพัก เขาก็หรี่ตา จากนั้นจึงหันมองเย่หลิงหลงที่ยืนก้มหน้าก้มตาอยู่ข้างเฉินตงอย่างมีนัย

จากนั้น จึงพูดด้วยรอยยิ้ม : “แต่ว่าคุณกับน้องหลิงหลงวางใจได้ ถึงแม้ผมจะอยู่ที่ตงหย่วน แต่ปกติก็จะไม่ออกหน้า จะอยู่จัดการเอกสารและธุระภายในห้อง และจะไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของพวกคุณสองคน หรือจะพูดง่ายๆ ก็คือ พวกคุณสามารถทำเหมือนผมไม่อยู่ที่นี่ อยากจะทำอะไรก็ทำ ขอแค่อย่าเสียงดังเกินไปก็พอ ผมก็สามารถรับได้”

จู่ๆ เฉินตงก็ยิ้มไม่ออก

นี่มัน……

ส่วนเย่หลิงหลงเองก็ตัวสั่น จู่ๆ ร่างกายก็อ่อนยวบราวกับถูกไฟเผา

ใบหน้าของเธอแดงก่ำ จ้องมองหยวนเทียนกางด้วยความอับอาย

กระทืบเท้าด้วยความโกรธ

“หลงโถว คุณควรจะพูดกับน้องสาวเช่นนี้หรือ ? รู้จักอายบ้างไหม ?”

ในหงหุ้ย ไม่เพียงเธอเท่านั้นที่มีฐานะที่ต่ำกว่า แต่กล้าใช้น้ำเสียงแบบนี้พูดคุยกับหยวนเทียนกาง

“ฉันช่วยล้างก้นเธอ เลี้ยงเธอมาตั้งแต่เล็กจนโต แต่เธอกลับถามพี่ว่ารู้จักอายบ้างไหม ?”

หยวนเทียนอ้ายแสร้งทำท่าทีจนใจ จากนั้นจึงลุกขึ้นแล้วเดินไปด้านนอก : “ความสัมพันธ์จืดจางแล้ว จืดจางแล้ว ฉันก็แค่อยากช่วยรักษาความสัมพันธ์ของพวกเธอเอาไว้ก็เท่านั้น”

มองดูหยวนเทียนกางเดินจากไป

เย่หลิงหลงแอบยืนตัวสั่น ใบหน้าที่งดงามของเธอแดงก่ำจนดูเหมือนแทบจะมีเลือดซึมออกมา

ก้มหน้าก้มตา ไม่กล้ามองเฉินตง

คำพูดของหยวนเทียนกางเมื่อครู่ เห็นได้ชัดว่ามีนัย ตั้งใจที่จะสื่อถึงอะไรบางอย่าง

นี่จะให้เธอทนไหวได้อย่างไร ?

ตอนนี้ไม่กล้าที่จะสบตากับเฉินตงแล้ว

บรรยากาศภายในห้องแปลกขึ้นทันที

แม้แต่เฉินตงเอง ก็ถูกความ “ไร้ยางอาย” ของหยวนเทียนกาง ทำให้ตกใจ

เขาลูบจมูก แล้วทำลายความเงียบ

“ดูไม่ออกเลยว่าตั้งแต่เล็กจนโต คุณจะมีรสนิยมเช่นนี้”

“หา ? !”

เย่หลิงหลงตกใจ เธอมองเฉินตงด้วยความตกตะลึง

เฉินตงหัวเราะ : “แต่เมื่อก่อนตอนที่แม่เลี้ยงฉัน ก็ป้อนข้าวป้อนน้ำให้ แต่ยังไม่ถึงขั้นเลี้ยงดูโดยการคอยล้างก้นให้”

เย่หลิงหลงตั้งสติได้ทันที

เธอจ้องมองเฉินตงด้วยความโกรธ ยกมือขึ้นแล้วหยิกแขนของเฉินตงอย่างแรง ทำให้เฉินตงเจ็บจนอ้าปากค้าง

“คนบ้า ทำไมคุณกับพี่ใหญ่พบหน้ากันครั้งแรก ก็ร่วมมือกันรังแกฉันเสียแล้ว ?”

บนกำแพงสูง

ว่างเปล่า

แต่สีหน้าของเย่หลิงหลงกลับเย็นชาราวกับน้ำค้างแข็ง เธอตะโกนออกมาเสียงดัง : “ใคร ? !”

หลังจากพูดจบ

ก็มีเสียงกรอบแกรบดังขึ้นด้านนอกกำแพง

ใบหน้าอันงดงามค่อยๆ โผล่ออกมาจากผนัง

แลบลิ้น แล้วพูดอย่างช่วยไม่ได้ : “ฉันเพิ่งจะปีนขึ้นมา ก็ถูกเธอพบเข้าให้แล้ว เธอเกิดมาเอขัดขวางฉันใช่ไหม ?”

พบเข้ากับใบหน้าที่ดูคุ้นเคย

ความเย็นชาบนใบหน้าของเย่หลิงหลงจางลงเล็กน้อย เธอค่อยๆ ยกหมัดขวาขึ้นมา แล้วแสยะยิ้ม

“อยากเจ็บตัวฟรีอีกใช่ไหม ?”

เทียนอ้ายที่ฟาดตัวอยู่บนกำแพงผงะไปเล็กน้อย

จากนั้นจึงก้มหน้ามองหน้าอกโดยไม่รู้ตัว

เฮ้อ~

ความคิดนี้ช่างกล้าหาญเกินไปแล้ว

“เธอปีนกำแพงของสมาคมซานเหอครั้งแล้วครั้งเล่า พอจะรู้ผลที่ตามมาไหม ?”

เย่หลิงหลงพูดอย่างเคร่งขรึม แสดงท่าทีตักเตือน

สมาคมซานเหอเป็นองค์กรใหญ่ของหงหุ้ย ควบคุมสาขาอีกสามพันหกร้อยแห่ง

ต่อให้เทียนอ้ายจะปีนกำแพงเข้ามาโดยไม่มีเจตนาร้าย แต่สมาคมซานเหอก็ไม่มีทางทนต่อการกระทำที่เป็นการดูถูกเช่นนี้

และทั้งสองครั้งก็ถูกเธอจับได้อีกด้วย

หากเป็นคนอื่น คงจะถูกจับกุมโดยคนในสมาคมซานเหอไปแล้ว

ผลลัพธ์ของการแอบบุกรุกสมาคมซานเหอนั้น เทียนอ้ายย่อมรู้ดี

แต่ตอนนี้เธอมีเงื่อนงำเกี่ยวกับหงหุ้ยเพียงเล็กน้อย

ตอนนี้เธอแค่ต้องการแน่ใจว่า คืนที่เฉินตงหายตัวไป หงหุ้ยงมอะไรขึ้นมาจากทะเลกันแน่ ?

ถ้าหากไม่บุกรุกเข้ามาในสมาคมซานเหอ เธอจะสืบหาเบาะแสจากที่ไหนกัน ?

แต่ว่า เมื่อเผชิญหน้ากับการตักเตือนของเย่หลิงหลง

เทียนอ้ายก็กลอกตา และแสร้งทำเป็นไม่รู้อีโหน่อีเหน่ : “ผลลัพธ์อะไร ?”

จู่ๆ เย่หลิงหลงก็หัวเราะออกมา

แววตาที่แหลมคมและเย้ยหยัน จ้องมองไปที่เทียนอ้ายซึ่งกำลังพาดตัวอยู่บนกำแพง

“เธอรู้สึกไหมว่าฉันโตกว่าเธอ ดังนั้นคิดว่าจะไม่ฉลาดกว่าอย่างนั้นหรือ ?”

เทียนอ้ายเงียบไป จู่ๆ ใบหน้าอันงดงาม ก็ปรากฏท่าทีโกรธเกรี้ยวขึ้นมาทันที

เธอโต้กลับด้วยความหงุดหงิด : “หน้าอกใหญ่แล้วยังไง ?”

“หน้าอกใหญ่ ถือว่าสุดยอด !”

เย่หลิงหลงเลิกคิ้วแล้วหัวเราะ เสียงหัวเราะเยาะ เพียงพอที่จะทำให้แสงจันทร์และแสงอาทิตย์มืดมน

แทบจะในเวลาเดียวกัน

จู่ๆ สีหน้าของเธอก็เย็นชาจนถึงขีดสุด และวิ่งตรงไปยังกำแพงด้วยความเร็ว

“เธอลงมาเดี๋ยวนี้ !”

ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน

ใบหน้าของเทียนอ้ายก็แสดงความตื่นตระหนกออกมา

“ลาก่อนนะ”

เมื่อเห็นเย่หลิงหลงกระโดดลอยตัวขึ้นมา เธอก็รีบเอี้ยวตัวและกระโดดลงจากกำแพงทันที

เดิมที เย่หลิงหลงคิดอยากจะดึงเทียนอ้ายลงมาจากกำแพง

เทียนอ้ายหนีไปได้ ทำให้พลาดท่า เธอใช้ฝ่ามือกดลงไปบนกำแพง แล้วออกแรงพลิกตัวข้ามกำแพงไปลงยังตรอกเล็กๆ ด้านนอก จากนั้นจึงวิ่งตามเทียนอ้ายไป

เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่ฉลาดแต่ไร้หน้าอก ในทางกลับกัน สามารถเป็นหงกุ้นของหงหุ้ยได้ตั้งแต่อายุยังน้อย ไม่เพียงแค่ด้านการต่อสู้เท่านั้น แม้แต่สมองก็ชาญฉลาดมากด้วย

เป็นครั้งแรกที่เทียนอ้ายบุกรุก อาจทำให้เกิดการปะทะกันขึ้นโดยบังเอิญ

แต่ความบังเอิญ เกิดขึ้นซ้ำสองได้ด้วยหรือ ?

ครั้งแรกคือความบังเอิญ ครั้งที่สองต้องเรียกว่าเตรียมการมา !

คนที่ตั้งใจลักลอบเข้ามาในสมาคมซานเหอ เย่หลิงหลงไม่อาจปล่อยเทียนอ้ายไปได้

และในขณะที่เย่หลิงหลงกำลังวิ่งตามเทียนอ้าย

ภายในห้อง เฉินตงที่นอนอยู่บนเตียง ก็มีประกายขึ้นในดวงตาของเขา

“หากไม่กลับไปตอนนี้ ไม่แน่ว่าอาจเป็นการปกป้องภรรยาและลูกอย่างดีที่สุดก็ได้”

ในขณะที่พึมพำ มือทั้งสองข้างของเฉินตงกลับจับลงไปบนขาทั้งสองข้างอย่างเงียบๆ

หลังจากรู้ว่าขาทั้งสองข้างต้องพิการ เขาก็อยากออกไปจากสมาคมซานเหอ และยากกลับไปอยู่ข้างกายของกู้ชิงหยิ่ง

แต่ตอนนี้เมื่อสงบสติอารมณ์ลงได้เล็กน้อย เขาก็รู้ดีว่า หากกลับไปตอนนี้ มีแต่จะทำให้ทุกคนในครอบครัวของกู้ชิงหยิ่งต้องตกอยู่ในอันตราย

ดังนั้นเมื่อครู่ถึงแม้จะได้ยินเสียงของเทียนอ้ายอย่างชัดเจน แต่เขากลับไม่ยอมส่งเสียงออกมา

เทียนอ้ายไปและย้อนกลับมาอีกครั้ง แสดงว่าต้องสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง แต่ตอนนี้เบาะแสนี้ เฉินตงหวังว่าเทียนอ้ายจะไม่มาพบเข้า

ขาพิการแล้ว คนที่ลอบฆ่าเขาในคืนนั้นก็ไม่เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมา

ไม่แน่ว่าตอนนี้การหลบซ่อนตัวอยู่ใต้ปีกของหงหุ้ย อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

ต่อให้ท้ายที่สุดเขาต้องตาย ก็ยังดีกว่าต้องทำร้ายกู้ชิงหยิ่งทั้งครอบครัว

แววตาของเขาแน่วแน่ แล้วเฉินตงก็กัดฟันพูดออกมาอย่างไม่เต็มใจ

“ฉันไม่เชื่อ ชาตินี้ฉันจะกลับมายืนไม่ได้อีกแล้ว……ต่อให้กลับไป ก็ต้องกลับไปอย่างเต็มภาคภูมิ”

อีกทางด้านหนึ่ง

เย่หลิงหลงและเทียนอ้ายวิ่งตามกันมาติดๆ อยู่ในตรอกเล็กๆ ด้วยความรวดเร็ว

โครงสร้างของบ้านเรือนในย่านไชน่าทาวน์ มีการเว้นช่องว่างระหว่างบ้านแต่ละหลัง ทำให้เกิดเป็นตรอกเล็กๆ

“คนสวย เธอหยุดตามสักทีได้ไหม ? ฉันหลงทางจริงๆ !”

เหงื่ออาบไปทั่วหน้าผากของเทียนอ้าย เธอตะโกนออกมาเสียงดัง

“ถ้าเธอไม่วิ่ง ฉันก็ไม่ตาม !”

เย่หลิงหลงมีท่าทีหยิ่งผยอง เธอเบ้ปาก แล้วแสยะยิ้ม : “ตอนนี้เธอควรจะขอบคุณฉัน ที่ไม่ได้เรียกคนมาล้อมเธอเอาไว้”

“พวกเราสองคนเป็นไปไม่ได้หรอก” จู่ๆ เทียนอ้ายก็พูดขึ้น

เย่หลิงหลง : “……”

คิดอะไรอยู่ ?

จู่ๆ เทียนอ้ายซึ่งอยู่ด้านหน้า ก็เตะกำแพงที่อยู่ด้านข้างด้วยเท้าขวา จากนั้นจึงกระโดดไปที่กำแพงด้านซ้ายแล้วใช้เท้าเตะอีกครั้ง

ติดต่อกันสามครั้ง และกระโดดขึ้นไปอยู่บนกำแพงสูงเกือบสามเมตร

“เธอหนีไม่รอดหรอก !”

เย่หลิงหลงสีหน้าจริงจัง ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน เธอระเบิดพลังออกมา

“ตุ้บ” ฝ่ามือกระทบลงบนแผ่นกระเบื้องที่อยู่บนกำแพงจนแตก จากนั้นจึงหยิบเศษกระเบื้องขึ้นมาหนึ่งแผ่น แล้วโยนเข้าใส่เทียนอ้ายดัง “ฟิ้ว”

ตุ้บ !

เทยีนอ้ายที่กำลังวิ่งหนี รู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่ด้านหลังหัวเข่าด้านซ้าย

เสียงกรีดร้องดังขึ้น เธอสูญเสียการทรงตัวทันที และหล่นลงมาจากกำแพง

“ตอนนี้ ยังจะหนีอยู่อีกไหม ?”

ยังไม่ทันทีเทียนอ้ายจะลุกขึ้น แสงสว่างตรงหน้าก็มืดลง

เย่หลิงหลงเดินเข้ามาหาเธอ แล้วก้มลงมองมาที่เธอ

หางตาของเธอ เหลือบไปเห็นแสงสะท้อนในมือของเย่หลิงหลง

เทียนอ้ายตกตะลึงทันที : “เธอ เธอคงไม่ได้คิดจะฆ่าฉัน เพียงเพราะฉันปีนกำแพงเข้าไปในบ้านของเธอหรอกนะ ?”

เย่หลิงหลงเขย่ากริชที่อยู่ในมือ

น้ำเสียงดุดัน : “เธอแอบเข้ามาในสมาคมซานเหอครั้งแล้วครั้งเล่า มีจุดประสงค์อะไรกันแน่ ?”

ตอนนี้ ใบหน้าของเย่หลิงหลงไม่เหลือความปรานีอยู่แม้แต่น้อย กลับเต็มไปด้วยความอำมหิต

คำพูดที่ดุดัน ราวกับว่าหากเทียนอ้านกล้าพูดจาติดขัดแม้เพียงเล็กน้อย กริชที่อยู่ในมือก็พร้อมที่จะฟันลงมาทันทีโดยไม่ลังเล

สีหน้าของเทียนอ้ายเปลี่ยนไป

ในขณะที่ขมวดคิ้ว จู่ๆ ก็ถามขึ้นว่า : “หงหุ้ยของพวกคุณ คืนนั้นงมอะไรขึ้นมาจากทะเลกันแน่ ?”

เปรี้ยง !

เย่หลิงหลงตกตะลึง ดวงตาของเธอเป็นประกายอย่างรวดเร็ว

เธอรู้ได้อย่างไร ?

การเคลื่อนไหวของหงหุ้ยในคืนนั้น ถึงแม้จะใช้คนหลายพันคน แต่ก็ถูกปิดเป็นความลับสุดยอด

แล้วผู้หญิงคนเดียว จะรู้ได้อย่างไร ?

ทันใดนั้น เย่หลิงหลงก็รู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมา

ในขณะที่เธอกำลังตกตะลึงอยู่นั้น

ดวงตาของเทียนอ้ายก็เป็นประกาย ก็กลิ้งตัวออกไปหลายตลบในทันที แล้วอาศัยจังหวะลุกขึ้น แล้วเตะขึ้นไปบนกำแพง และในที่สุดก็หายลับไป

เย่หลิงหลงได้สติขึ้นมาทันที

แต่เมื่อมองเห็นกำแพงที่ว่างเปล่า ก็แน่ใจว่าไม่อาจตามทันแล้ว

หลังของเธอเย็นวาบ

เดิมทีเป็นเพราะการพบกันกับเทียนอ้ายในครั้งก่อน ทำให้เธอรู้สึกสนุกสนานขึ้นในใจเล็กน้อย

แต่หลังจากที่เทียนอ้ายพูดคำพูดประโยคเมื่อครู่ออกมา ทำให้เธอรู้สึกใจเต้นทันที

“เธอมาที่สมาคมซานเหอก็เพื่อสืบหาเรื่องในคืนนั้น ไม่ได้มาดี จะต้องรับบอกคุณปู่โดยทันที”

พูดจบ ใบหน้าของเย่หลิงหลงก็เคร่งขรึมลง เธอรีบหันหลังกลับไปที่สมาคมซานเหออย่างรวดเร็ว

ส่วนอีกทางด้านหนึ่ง

หลังจากเทียนอ้ายหนีออกมาจากไชน่าทาวน์ ก็รีบกลับเข้าไปที่รถอย่างรวดเร็ว

เธอตบหน้าอกด้วยความหวาดกลัว : “อันตรายจริงๆ ยังดีที่ฉันมีไหวพริบ ไม่อย่างั้นวันนี้คงต้องถูกจับตัวเอาไว้แน่นอน”

เทียนอ้ายเลิกคิ้ว ในสมองปรากฏภาพของท่าทีแปลกประหลาดของเย่หลิงหลงเมื่อครู่

“ต้องมีเรื่องปิดบังไว้แน่นอน แต่น่าเสียดายที่พบกับผู้หญิงอกโตคนนี้ทุกครั้ง ดูๆ ไปแล้ว ควรจะเปลี่ยนช่องทางจะดีกว่า นี่ก็ดึกมากแล้ว กลับไปที่บ้านตระกูลกู้ก่อนก็แล้วกัน”

แสงแดดอบอุ่นและลมโชยอ่อน

อากาศบริสุทธิ์

นั่งอยู่บนรถเข็นเพื่ออาบแดด

เฉินตงรู้สึกสบายตัวขึ้นไม่น้อย

เพียงแต่ เมื่อก้มลงมองรถเข็นที่นั่งอยู่ เขาก็ขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าที่อ่อนแรงและซีดเผือดเต็มไปด้วยความซึมเศร้า

เย่หลิงหลงยืนอยู่ด้านหลังรถเข็น เธอบิดขี้เกียจ และรู้สึกขมขื่นเล็กน้อย

“เอาพูดว่ารถเข็นบ้าๆ หากฉันอุ้มคุณแบกคุณมันสบายน้อยกว่านั่งรถเข็นตรงไหนกัน ?”

เฉินตงส่ายหัว : “ฉันมีภรรยาแล้ว”

เย่หลิงหลงเงียบไปทันที

แววตาที่เดิมทีดูอ่อนล้า จู่ๆ กลับหมองหม่นลงทันที

มือทั้งสองข้างที่วางอยู่บนรถเข็นของเธอกำแน่นขึ้น เส้นเลือดที่อยู่บนหลังมืออันขาวนวลของเธอสองสามเส้นปูดโปนขึ้นมา

เงียบไปครู่หนึ่ง จู่ๆ เย่หลิงหลงก็หัวเราะแล้วพูดขึ้น

“ไม่เป็นไรสักหน่อย ฉันก็แค่ได้รับคำสั่งของคุณปู่ให้มาดูแลคุณเท่านั้น”

เฉินตงพูดด้วยท่าทีเฉยเมย : “คุณไปพักผ่อนได้นะ ผมอยากจะอยู่เงียบๆ คนเดียว”

“ฉันไม่เหนื่อย !” เย่หลิงหลงส่ายหัว แสร้งทำเป็นยิ้มอย่างสบายใจ

“ออกไป !”

จู่ๆ เฉินตงก็ระเบิดอารมณ์โกรธออกมา

รอยยิ้มบนใบหน้าของเย่หลิงหลงหายไปทันที จู่ๆ เธอก็รู้สึกน้อยใจอย่างยิ่ง

ดวงตาของเธอแดงก่ำ และรู้สึกคัดจมูกขึ้นมา

“ฉันรู้ว่าคุณอารมณ์ไม่ดี ฉันจะไม่รบกสนคุณแล้ว ถ้าจะกลับห้องก็โทรศัพท์หาฉัน”

เย่หลิงหลงวางโทรศัพท์หนึ่งเครื่องลงบนขาของเฉินตง แล้วหันหลังเดินจากไป

เพียงแต่ค่อยๆ ยกมือขวาขึ้นเช็ดที่หางตา และเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัว

เมื่อเห็นเย่หลิงหลงที่เดินจากไปอย่างรวดเร็ว

ดวงตาของเฉินตงก็ลึกซึ้ง และยิ้มออกมาอย่างหดหู่

“หัวใจของฉันมีเจ้าของแล้ว จะให้ยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงคนอื่นได้อย่างไร ?”

ท่าทีของเขาค่อยๆ เย็นชาลง

เฉินตงกัดฟันแน่น แววตาเต็มไปด้วยความไม่เต็มใจ

“ภรรยากับลูก ยังรอฉันอยู่ที่บ้าน ฉันไม่เชื่อว่าชาตินี้ ฉัน เฉินตง จะลุกขึ้นยืนไม่ได้อีกแล้ว”

เขาใช้มือทั้งสองจับที่เท้าแขนของรถเข็นทั้งสองข้าง ออกแรงทั้งหมดที่มี แล้วพยายามลุกขึ้นอย่างสั่นเทา

แต่เมื่อเท้าแตะถึงพื้น ก็อ่อนแอและไร้เรี่ยวแรงในทันที ราวกับไม่เคยมีขามาก่อน

เขารีบถอยตัวล้มไปด้านหลัง และกลับไปนั่งอยู่บนรถเข็น

มีเพียงแค่ดวงตาที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดแดงก่ำ และแสดงความโกรธออกมาอย่างชัดเจน

“จะต้อง……ลุกขึ้นยืนอีกครั้งให้ได้ !”

เฉินตงกัดฟัน และพยายามลองดูใหม่อีกครั้ง

ความไม่เต็มใจอย่างแรงกล้า ทำให้เขาไม่ยอมละทิ้งโอกาสไป

เขาต้องการยืนขึ้นได้ใหม่อีกครั้ง

อยากกลับไปอยู่ข้างกายของกู้ชิงหยิ่งอย่างเต็มภาคภูมิ

ถ้าหากพิการ ตระกูลเฉินที่ยิ่งใหญ่ จะต้องตัดขาดเขาอย่างแน่นอน ต่อให้พ่อก็ไม่อาจขัดขวางได้

ความพยายามทั้งหมด เขาไม่เต็มใจให้สูญเปล่าเพราะขาทั้งสองข้างนี้

เขาไม่กลัวว่าจะสิ้นเนื้อประดาตัว ต่อให้ต้องสิ้นเนื้อประดาตัว ก็ไม่เคยขาดความกล้าหาญที่จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

แต่เขากลัว ว่าจะไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะได้เริ่มใหม่อีกครั้ง

พยายามครั้งแล้วครั้งเล่า ล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า

ติดต่อกันถึงห้าครั้ง เฉินตงรู้สึกเหนื่อยจนเหงื่อไหลอาบไปทั่วหน้า และหายใจเหนื่อยหอบ

และมือทั้งสองข้างของเขา เป็นเพราะอาศัยแรงของมือทั้งสองข้างในการพยุงตัวขึ้น ตอนนี้จึงสั่นเทาเป็นอย่างมาก

“อ่อนแอเกินไปแล้ว เวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งสัปดาห์ ร่างกายของฉันถดถอยไปมากจริงๆ”

เฉินตงหายใจเหนื่อยหอบ เหงื่อไหลออกมาราวกับสายฝน หยดลงบนเสื้อจนเปียกปอน

“ลองอีกครั้ง จะต้องทำได้สิ ชีวิตของฉัน ขึ้นอยู่กับฉัน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสวรรค์”

เฉินตงสูดหายใจเข้า แล้วใช้มือทั้งสองข้าง ลองพยุงตนเองให้ลุกขึ้นมาอีกครั้ง

เท้าแตะถึงพื้น ก็ยังคงไร้เรี่ยวแรงเช่นเคย ขาทั้งสองข้างที่ไร้ความรู้สึก อ่อนนุ่มราวกับเส้นหมี่ ไม่มีทางตั้งตรงได้เลย

เพียงแค่ครั้งนี้ เฉินตงอ่อนล้าเกินไป ดังนั้นตอนที่ล้มลงไป จึงไม่สามารถถอยหลังกลับไปที่รถเข็นได้อีก

ตุ้บ !

เฉินตงล้มลงกับพื้น แม้แต่รถเข็นก็พลิกคว่ำด้วย และมือจับโลหะก็กระแทกลงบนหลังของเขาอย่างแรง

แรงกระแทกครั้งนี้ ทำให้เขาแทบจะหายใจไม่ออก

“สมควรตาย !”

เฉินตงน้ำตาไหลพราก ทุกกำปั้นลงบนพื้นดินอย่างแรง

พื้นบลูสโตนนั้นแข็งแรงมาก หมัดที่ทุบลงไป ทำให้ข้อนิ้วทั้งสี่ของเขาแตกและมีเลือดไหล

แต่เฉินตงกลับไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย

ความเจ็บปวดบนมือ จะเทียบกับความพิการได้อย่างไร ?”

เฉินตงกัดฟันแน่น มือทั้งสองข้างค้ำลงบนพื้น ออกแรงพยุงตัวเองขึ้น แล้วผลักรถเข็นที่ทับอยู่บนตัวออก

นี่เป็นเรื่องง่ายสำหรับคนปกติ

แต่เฉินตงที่ขาทั้งสองข้างไร้ความรู้สึก ตอนที่ทำ กลับรู้สึกเหมือนต้องยกสิ่งของที่หนักอึ้ง

ตุ้บ !

เฉินตงผลักรถเข็นออกไป พลิกตัว แล้วนอนลงบนพื้น

ดวงตาจ้องมองพระอาทิตย์ที่ส่องแสงสว่างอยู่บนท้องฟ้า โดยไม่กะพริบตา

เขาหัวเราะ

หัวเราะอย่างโศกเศร้า

หัวเราะอย่างเจ็บปวดใจ

เสียงหัวเราะดังก้องอยู่ในลาน

เพียงแต่เมื่อยิ่งหัวเราะดัง น้ำตาในดวงตาของเขาก็ยิ่งเอ่อล้นออกมามากเท่านั้น

เขาเอียงหัว แล้วมองไปยังกำแพงที่สูงตระหง่าน และพูดออกมาอย่างเจ็บปวด : “ตอนนี้ฉันพิการแล้ว แม้แต่จะเดินออกไปจากกำแพงนี้ก็ยังทำไม่ได้เลย นี่มันต่างอะไรกับสัตว์ร้ายที่ติดกับดักกัน ? ไม่ใช่สัตว์ร้ายที่ติดกับดักสิ สัตว์ร้ายที่ไหนจะพิการกัน ? ฉันเป็นสุนัขที่ตายแล้วต่างหาก ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า……”

เสียงหัวเราะด้วยความโศกเศร้าดังก้อง

อีกด้านหนึ่งของสมาคมซานเหอ

จู่ๆ เย่หลิงหลงที่เดินจากมาพร้อมน้ำตาก็หยุดฝีเท้าทันที

เธอเช็ดน้ำตาที่หางตา แล้วจู่ๆ ก็พึมพำขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง : “ถ้าหากฉันไปแล้ว เขาเกิดเรื่องขึ้นจะทำเช่นไร ?”

กระทืบเท้าด้วยความโกรธ

เย่หลิงหลงรู้สึกอับอายและตำหนิตัวเอง : “สวรรค์ เย่หลิงหลง เธอบ้าไปแล้วหรือยังไง ? ไหนบอกว่าจะดูแลเขา แล้วทำไมถึงหนีมาแบบนี้ ?”

เธอตบหน้าที่เต็มไปด้วยความอ่อนล้าและรอบคล้ำใต้ตาของตนเอง : “ไม่เหนื่อย เธอไม่เหนื่อยเลยสักนิด ใครใช่ให้เธอมัวแต่คิดมากตลอดทั้งคืน ไม่ยอมหลับยอมนอนกันล่ะ ?”

เย่หลิงหลงหันหลัง แล้วิ่งไปทางตงหย่วน

เมื่อเข้าใกล้ตงหย่วน ก็ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างโศกเศร้าดังอยู่ในลาน

เย่หลิงหลงหน้าถอดสีทันที แล้วรีบวิ่งตรงไปที่ตงหย่วนอย่างรวดเร็ว

เฉินตงนอนคร่ำครวญและหัวเราะอยู่บนพื้น น้ำตาไหลรินราวกับสายฝน ทำให้เย่หลิงหลงรู้สึกเจ็บปวดขึ้นทันที

ฉันไปแค่แป๊บเดียว เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?

เธอวิ่งเข้าไปหาเฉินตง สีหน้าซีดเผือด : “เฉินตง ทำไมคุณถึงหล่นลงมาอยู่ที่พื้น ? รีบลุกขึ้นเร็ว !”

“ลุกยังลุกไม่ขึ้นเลย ลงมานอนอยู่ที่พื้นจะเป็นไรไป ?”

เฉินตงพูดด้วยรอยยิ้ม ปล่อยให้เย่หลิงหลงออกแรงประคองเขาขึ้นมา

แต่เป็นเพราะขาทั้งสองข้างของเฉินตงมาอาจยืนได้ ทำให้น้ำหนักทั้งหมดของเขา ทิ้งลงไปบนตัวของเย่หลิงหลง

ขณะที่เย่หลิงหลงกำลังกอดเฉินตงโดยการหันหน้าเข้าหากัน และเตรียมจะ “ผลัก” เขากลับลงไปบนรถเข็น

เย่หลิงหลงก็สะดุด และสูญเสียการทรงตัว

“ว้าย !”

เสียงกรีดร้องดังขึ้น

เฉินตงล้มกลับไปอยู่บนรถเข็น

ส่วนเย่หลิงหลงเองก็ล้มลงใส่เฉินตง

ทันใดนั้น ดวงตาทั้งสี่ก็ประสานกัน

ตอนนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉินตงจางหายไป

ในสมองของเย่หลิงหลงเกิดเสียงอื้ออึงขึ้น และรู้สึกว่างเปล่า

ราวกับเวลาหยุดนิ่ง

หลังจากผ่านไปชั่วขณะหนึ่ง

เย่หลิงหลงเหมือนลูกแมวที่ตกใจ รีบลุกขึ้นมาอย่างเร่งรีบ ใบหน้าอันงดงามของเธอแดงก่ำด้วยความเขินอาย

เธอแสดงอาการตื่นตกใจ และมองซ้ายมองขวา

ริมฝีปากของเธอขยับแล้วพูดว่า : “อุ อุบัติเหตุ ! คุณอย่าคิดมาก ฉัน ฉันไม่ได้ตั้งใจ ฉัน ฉันไม่ได้คิดอะไรกับคุณ”

“เข็นผมกลับห้องเถอะ ผมอยากนอน” เฉินตงพูดออกมาอย่างเรียบเฉย

“หา ? อ้อ ได้ ได้สิ”

เย่หลิงหลงพยักหน้า

เข็นเฉินตงกลับไปห้องพัก

เพียงแต่เมื่อยืนอยู่ด้านหลังเฉินตง เธอก็แอบยิ้มหวานออกมาเล็กน้อย

นิ้วมือข้างซ้าย ลูบไปบนฝีปากอย่างเงียบๆ

หลังจากส่งเฉินตงเรียบร้อย

เย่หลิงหลงก็หันหลังเดินจากไป เธอรู้สึกเหนื่อยล้ามากจริงๆ

เพียงแต่ตอนเดินกลับเร็วขึ้นเล็กน้อย เธอยิ้มจางๆ ออกมา และเลียริมฝีปากเป็นครั้งคราว

หลังจากเดินไปถึงด้านในลาน เธอก็หยุดนิ่งและมองดูบริเวณที่เฉินตงล้มลงเมื่อครู่ แล้วพึมพำออกมาเบาๆ : “จริงๆ แล้ว……มีรสชาติแบบนี้นี่เอง ?”

หลังจากพูดจบ

เธอกำลังจะเดินจากไป แต่จู่ๆ รอยยิ้มอันแสนหวานบนใบหน้าก็จางหายไป

เหลือไว้เพียงแค่ความเย็นชาอย่างถึงที่สุด

ดวงตาของเย่หลิงหลงเป็นประกาย มองตรงไปที่มุมกำแพง

น้ำตาไหลออกมาโดยไร้เสียง

หยาดน้ำตาไหลรินลงมาราวกับสร้อยมุกที่ขาดออก ผ่านหางตาที่ซีดเผือดของกู้ชิงหยิ่ง

ท่านหลงกับกู้โก๋ฮั๋วสองสามีภรรยาเห็นแล้วก็รู้สึกปวดใจยิ่งนัก

“เสี่ยวหยิ่ง……”

หลี่หวั่นชิงซบลงไปบนอกของกู้ชิงหยิ่ง แล้วกอดลูกสาวเอาไว้แน่น

กู้โก๋ฮั๋วเองก็ยากที่จะปิดบัง เขายกมือขึ้นปาดน้ำตาไม่หยุด

สองสามีภรรยาเห็นความทรุดโทรมของกู้ชิงหยิ่งเพิ่มขึ้นทีละนิดๆ

ในฐานะที่เป็นพ่อแม่ ต้องทนทุกข์ทรมานและปวดใจอยู่ตลอดเวลา

แต่ความเจ็บปวดที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ก็คือไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้ !

ท่านหลงร้องไห้ออกมาด้วยความสงสารจับใจ

ตุ้บ !

เขาคุกเข่าลงบนพื้น และอ้อนวอน : “คุณนายน้อย ร่างกายสำคัญที่สุด กระผมมาแล้ว กระผมจะหาทางตามหาคุณชายให้เจอได้แน่นอน”

ตุ้บ !

พูดจบ เขาก็โขกหัวลงบนพื้นอย่างแรง

“ท่านหลง !”

กู้โก๋ฮั๋วตกใจและรีบเข้าไปห้าม

แต่ท่านหลงกลับไม่สนใจ

เขาเงยหน้าขึ้น พร้อมน้ำตาที่ไหลเต็มใบหน้า

“นายท่านหายตัวไป กระผมได้รับคำสั่งให้ดูแลคุณชายและคุณนายน้อยด้วยชีวิต มาบัดนี้คุณชายหายตัวไป ส่วนคุณนายน้อยก็มีสภาพเช่นนี้ ถือเป็นความผิดของกระผมเอง”

ตุ้บ !

โขกหัวลงบนพื้นอีกครั้ง

เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง หน้าผากก็เขียวช้ำ และมีเลือดซึม

กู้โก๋ฮั๋วร้องไห้ออกมาอย่างหนัก โดยไม่อาจฝืนได้อีกต่อไป

“คุณนายน้อยจะต้องดีขึ้น กระผมรับรู้ถึงความรู้สึกที่คุณนายน้อยมีต่อคุณชายดี แต่กระผมขอใช้หัวเป็นประกัน เรื่องระหว่างคุณชายกับผู้หญิงคนนั้น เป็นเรื่องเข้าใจผิด ถ้าหากคุณนายน้อยไม่รีบดูแลรักษาตัวเองให้ดี แล้วจะไปตามหาคุณชายได้อย่างไร ?”

ตุ้บ !

โขกหัวลงบนพื้นอีกครั้ง

เพียงแต่การโขกหัวครั้งนี้ กลับทำให้กู้โก๋ฮั๋วรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า

ส่วนกู้ชิงหยิ่งที่ร้องไห้อย่างไร้เสียง แววตาที่ดูมืดมน กลับเป็นประกายขึ้นมาอีกครั้ง

ท่านหลงค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ไม่สนใจเลือดที่อาบอยู่บนหน้าผาก ฝืนกลั้นน้ำตาและพูดออกมาอย่างเจ็บปวด

“คุณนายน้อยทรมานตนเองเช่นนี้ กระผมไม่อาจทนดูได้ ต่อให้คุณชายจะตายไป แต่ลูกในท้องของคุณนายน้อยก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงหนึ่งเดียวของคุณชาย……”

พูดจบ ท่านหลงก็ไม่สามารถอดกลั้นอารมณ์ได้อีกต่อไป

เขายกมือที่เหี่ยวย่นขึ้นมาปิดบังใบหน้าแล้วร้องไห้

เสียงร้องไห้ดังก้องอยู่ภายในห้องเป็นเวลานาน

จู่ๆ เสียงที่อ่อนแรงก็ดังขึ้นเบาๆ

“แม่คะ หนู……หิวแล้ว”

เปรี้ยง !

เสียงที่เบาเหมือนเสียงยุง แต่เมื่ออยู่ในห้อง กลับดังราวกับเสียงฟ้าผ่า กลบเสียงร้องของท่านหลง

กู้โก๋ฮั๋วและหลี่หวั่นชิงหันมองกู้ชิงหยิ่งด้วยความตื่นเต้นยินดีพร้อมกัน

แม้แต่ท่านหลงเอง ก็ปาดน้ำตาแล้วหันมองกู้ชิงหยิ่งด้วยความยินดีเช่นกัน

กู้ชิงหยิ่งในตอนนี้ ดวงตาเป็นประกายเล็กน้อย ถึงแม้จะอ่อนแออย่างมาก แต่ก็ต่างจากท่าทีหมองหม่นก่อนหน้านี้ราวฟ้ากับดิน

ใบหน้าซูบซีดของเธอ แสดงความมุ่งมั่นออกมาอย่างเห็นได้ชัด

เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาของพ่อแม่และท่านหลง

เธอก็ก้มหน้าก้มตาลงลูบท้องเบาๆ

“ลูกรัก……ก็หิวแล้วเช่นกัน……”

“เร็ว รีบไปทำเร็วเข้า ทำของอร่อยมา ทำของที่เสี่ยวหยิ่งชอบมาทั้งหมด !”

กู้โก๋ฮั๋วดีใจเป็นอย่างยิ่ง ทั้งร้องไห้ทั้งหัวเราะราวกับเด็ก

“ได้ได้ได้ เสี่ยวหยิ่งรอเดี๋ยวนะแม่จะรีบไปทำให้ลูกเดี๋ยวนี้

ใบหน้าของหลี่หวั่นชิงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม นี่คือรอยยิ้มที่สดใสที่สุดของเธอในระยะนี้

เธอเช็ดน้ำตาบนหน้า ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปด้านนอก แต่เป็นเพราะตื่นเต้นเกินไป ทำให้เดินโซเซเล็กน้อย

ท่านหลงเองก็ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ

ความทุกข์ในใจ ไม่มียารักษา

แต่ร่างกาย ขอเพียงแค่สามารถกินได้ ก็จะค่อยๆ ฟื้นคืนกลับเป็นปกติ

ความโศกเศร้าน่ากลัวยิ่งกว่าการอกหัก

กู้ชิงหยิ่งในตอนนี้ ในที่สุดก็กลับมามีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง

“ท่านหลง……”

กู้ชิงหลิงมองท่านหลงด้วยความอ่อนแรง : “เป็นเรื่องเข้าใจผิด……จริงๆ หรือ ?”

“เป็นเรื่องเข้าใจผิดจริงๆ ครับ !”

ท่านหลงพยักหน้าจริงจัง : “กระผมขอเอาหัวเป็นประกัน วันนั้น……”

กู้ชิงหยิ่งกลับยิ้มออกมาเล็กน้อย แล้วส่ายหัวเบาๆ

“ในเมื่อเป็นเรื่องเข้าใจผิด ฉันก็จะรอให้เขามาอธิบายด้วยตัวเอง มาคุกเข่าต่อหน้าฉันและลูก แล้วขอโทษ”

“ครับ !”

ท่านหลงดีใจเป็นอย่างยิ่ง แล้วพูดด้วยท่าทีเคร่งขรึม : “ถึงตอนนั้นหากคุณชายไม่ยอมคุกเข่าลงที่พื้นเพื่อขอโทษ กระผมจะเป็นคนแรกที่ปฏิเสธ ต่อให้ต้องใช้แรงกายทั้งหมดที่มี ผมก็จะต้องกดเขาลงไปที่พื้นเพื่อขอโทษคุณนายน้อยให้ได้ !”

กู้ชิงหยิ่งหัวเราะ และมีท่าทีผ่อนคลายลงเล็กน้อย

ตระกูลกู้ในเวลากลางดึก ตกอยู่ในบรรยากาศหมองเศร้ามากว่าครึ่งเดือน มาบัดนี้ ในที่สุดก็เกิดความสุขขึ้นแล้ว

ไม่ช้า หลี่หวั่นชิงก็ไปทำอาหารที่ห้องครัวด้วยตัวเอง และเตรียมอาหารมาเต็มโต๊ะ

สั่งให้คนรับใช้ทั้งหมดยกเข้าไปในห้องนอนของกู้ชิงหยิ่ง

เพียงแต่ สุดท้ายกู้ชิงหยิ่งก็เลือกกินเพียงข้าวต้มและผักดอง เธอเริ่มกินอย่างเงียบๆ

ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ทุกคนในตระกูลกู้และท่านหลง ก็รู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมาก

นี่เป็นครั้งแรกในรอบครึ่งเดือน ที่กู้ชิงหยิ่งกินอาหารด้วยตัวเอง ไม่ต้องไม่มีใครเตือน แต่กลับกินจนหมดเกลี้ยง

หลังจากกินข้าวเสร็จ หลี่หวั่นชิงก็อยู่ดูแลกู้ชิงหยิ่ง

ส่วนกู้โก๋ฮั๋วและท่านหลง เดินเข้าไปในห้องหนังสือ

“ขอบคุณมากท่านหลง ขอบคุณมากท่านหลง ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ ผมกับหวั่นชิงสองสามีภรรยา คงจะต้องแย่แน่ๆ”

ทันทีที่เข้าไปในห้อง กู้โก๋ฮั๋วก็ร้องไห้ออกมาด้วยความตื่นเต้น จับมือของท่านหลงแล้วพูดด้วยความตื้นตัน

“เรื่องนี้เป็นความผิดของผมเอง ไม่ควรได้รับคำขอบคุณ”

ท่านหลงโบกมืออย่างรู้สึกผิด จากนั้นจึงถามว่า : “ช่วงนี้สืบหาไปถึงไหนแล้ว ?”

“ไม่มีความคืบหน้าอะไรเลย”

ท่าทีของกู้โก๋ฮั๋วหมองหม่นลง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกจนใจ : “อีกฝ่ายมีอิทธิพลอย่างมาก ใช้มือข้างเดียวก็ปิดทั้งผืนฟ้าได้แล้ว ไม่แน่ว่าอาจมีเพียงตระกูลเฉินเท่านั้นที่พอจะสืบหาออกมาได้”

“ตระกูลเฉิน ?”

ท่านหลงส่ายหัว : “ขอให้เป็นทางเลือกสุดท้าย ผมไม่อยากให้เรื่องนี้รู้ไปถึงหูของตระกูลเฉิน ตอนนี้นายท่านหายตัวไป หากเรื่องที่คุณชายเกิดเรื่องขึ้นแพร่งพรายออกไป ในตระกูลเฉินน่าจะเป็นผลเสียมากกว่าผลดี”

กู้โก๋ฮั๋วพยักหน้า แล้วพูดอย่างหดหู่ : “แต่ถ้าอาศัยเพียงแค่คนของเรา สืบหามานานขนาดนี้แล้ว ก็ยังไม่เจอเบาะแสอะไรเลย”

“ผมมีวิธี”

คำพูดของท่านหลง ทำให้ดวงตาของกู้โก๋ฮั๋วเป็นประกาย

ยังไม่ทันที่กู้โก๋ฮั๋วจะถามต่อ ท่านหลงก็พูดขึ้นว่า : “เพียงแต่ ผมต้องการเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นภายในระยะเวลาอันสั้น หลังจากรู้ที่มาที่ไปแล้ว วิธีนี้จึงจะสามารถใช้การได้”

“ไม่มีปัญหา !”

กู้โก๋ฮั๋วพยักหน้า แล้วชี้ไปที่คอมพิวเตอร์ : “ในคอมพิวเตอร์เป็นข้อมูลที่ได้มาจากการสืบหาของหน่วยข่าวกรองของบริษัทชิงหยิ่งและพันธมิตรทางธุรกิจของผม ส่วนอีกคนเป็นหลานสาวของผมเอง เธอเป็นเจ้าหน้าที่ของสำนักงานตำรวจสากล เธอเองก็สามารถให้ความช่วยเหลือท่านหลงได้ ผมนี้ผมจะรีบตามเธอมา”

“ดี !” ท่านหงพยักหน้า

……

ตะวันส่องแสง

เฉินตงที่หมดสติไปจากการกระอักเลือด ฟื้นคืนสติขึ้นมา

สิ่งที่เห็นก็คือ เย่หลิงหลงที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความอ่อนล้า และขอบตาดำคล้ำ

ถึงแม้จะเหนื่อยล้าไม่น้อย แต่เย่หลิงหลงก็ยังฝืนตัวเองไม่ให้ปิดตาลง

“เธอ……ไม่ได้นอนมาตลอดทั้งคืนเลยหรือ ?”

เฉินตงถามอย่างอ่อนแรง

มือทั้งสองข้างของเย่หลิงหลงกุมอยู่ที่ค้าง แล้วจ้องมองเฉินตง : “ขอบตาดำของฉัน ยังตอบคำถามนี้ได้ไม่ชัดเจนอีกหรือ ?”

เฉินตงเบ้ปากแล้วหัวเราะ

หดหู่ สิ้นหวัง หม่นหมอง……

เย่หลิงหลงมองดูจนรู้สึกปวดใจ

เธอไม่เห็นอารมณ์โกรธบนใบหน้าของเฉินตงอีกต่อไป ราวกับว่าคนที่ตกลงไปอยู่ในขุมนรกอันมืดมิด มีเพียงความรู้สึกหมดอาลัยตายอยากและสิ้นหวังอย่างรุนแรง

เมื่อก่อน ตัวเขาเต็มไปด้วนรัศมีที่เปล่งประกาย !

เย่หลิงหลงบิดขี้เกียจ แล้วข่มความรู้สึกที่ซับซ้อนเอาไว้

หันหน้าไปมองด้านนอก แล้วพูดว่า : “พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว รุ่งสางอากาศดี ฉันจะพาคุณออกไปเดินเล่นนะ”

เฉินตงพูดออกมาอย่างเฉยเมย : “ต้องนั่งรถเข็นบ้านั่นใช่ไหม ?”

เย่หลิงหลงยักไหล่ กะพริบตา แล้วยิ้มออกมาด้วยท่าทีแปลกๆ : “ถ้าไม่นั่ง จะให้ฉันอุ้มหรือแบกคุณไปก็ได้นะ”

ตุ้บ !

ดวงตาทั้งสองข้างของเฉินตงปิดลง แล้วล้มตัวลงไปบนเตียงอย่างแรง

ภาพนี้ เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน

“เฉินตง !”

เย่หลิงหลงรีบวิ่งเข้าไป ด้วยสีหน้าซีดเผือด

แต่เย่หยวนชิวขวางเธอเอาไว้

หมอทั้งหาคนเดินเข้าไปวินิจฉัย จากนั้นก็มีหนึ่งคนพูดขึ้นว่า : “ไม่เป็นไรครับ”

เย่หลิงหลงและเย่หยวนชิวรู้สึกโล่งใจพร้อมกัน

เย่หยวนชิวหันกลับไปมองเย่หลิงหลง : “หลิงหลง ดูแลเฉินตงให้ดีๆ นะ”

มองดูคุณปู่พาหมอทั้งหาคนเดินจากไป

เย่หลิงหลงก็น้ำตาไหลรินออกมา

เธอค่อยๆ เดินเข้าไปหาเฉินตงที่นอนหมดสติอยู่ มองดูใบหน้าที่ซีดเผือดนั้น เลือดที่แดงฉานที่มุมปากปรากฏขึ้นในสายตาของเธอ

“ต้องดีขึ้น ทุกอย่างจะต้องดีขึ้น คุณไม่ได้สิ้นไร้ไม้ตอกสักหน่อย คุณยังมีฉันอยู่ทั้งคน”

เธอค่อยๆ ขยับริมฝากพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น

เย่หลิงหลงค่อยๆ เช็ดเลือดที่มุมปากของเฉินตงเบาๆ

จากนั้น ก็ค่อยๆ ซบลงไปบนหน้าอกของเฉินตง ร้องไห้พลางพึมพำออกมาว่า : “มีฉันอยู่ ฉันไม่มีทางให้คุณเป็นอันตรายเด็ดขาด”

อากาศในช่วงกลางคืนค่อนข้างเย็น

เครื่องบินส่วนตัวลงจอดในสนามบิน

ด้านนอกสนามบิน มีคนจากสำนักงานตระกูลเฉินมารอรับอยู่เรียบร้อยแล้ว

เมื่อเดินออกจากสนามบิน ท่านหลงก็ขึ้นรถทันที

“ไปที่บริษัทชิงหยิ่ง ตระกูลกู้”

“ท่านหลงครับ มาด้วยความเร่งรีบเช่นนี้ และยังไปตระกูลกู้อีก เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่าครับ ?”

คนในสำนักงานตระกูลเฉินที่มีหน้าที่มาต้อนรับเอ่ยถามขึ้น

แววตาของท่านหลงดุดัน และมองผ่านกระจกมองหลัง

“พูดมาก อยากจะถูกตัดลิ้นหรือยังไง”

“ขอ ขอโทษด้วยครับท่านหลง”

พนักงานต้อนรับตกใจมาก และรีบเอ่ยขอโทษอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงสตาร์ทรถ

ท่านหลงมองออกไปด้านนอกหน้าต่างอย่างใช้ความคิด

เรื่องของเฉินตง เขายังไม่แจ้งต่อตระกูลเฉิน

ดีที่ครั้งนี้เฉินตงเดินทางมาที่นี่เพียงลำพัง

หรือจะพูดง่ายๆ ก็คือ ตระกูลเฉินไม่รับรู้ถึงการเดินทางของเฉินตงในครั้งนี้

ตอนนี้เฉินเต้าหลิน “หายตัวไป” ตระกูลเฉินก็เหมือนมังกรที่ไร้หัว เกิดความขัดแย้งของแต่ละฝ่ายเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา

หากรายงานเรื่องที่เฉินตงเกิดเรื่องให้ตระกูลเฉินรับรู้ ในความคิดของท่านหลงรู้สึกว่าจะยิ่งส่งผลเสียมากกว่าผลดี

แม้แต่การเดินทางของเขาในครั้งนี้ ก็พยายามเก็บเป็นความลับมากที่สุด

ไม่กระโตกกระตาก ถือเป็นวิธีเดียวที่จะปกป้องเฉินตงได้

ดังนั้น ถึงแม้ตอนนี้จะมาถึงแล้ว ท่านหลงก็เลือกที่จะไม่ไปพักอยู่ที่สำนักงานของตระกูลเฉิน แต่เลือกที่จะไปบ้านตระกูลกู้แทน

ตอนที่ท่านหลงไปถึงตระกูลกู้ ก็เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว

สิ่งที่ทำให้ท่านหลงรู้สึกตกใจเล็กน้อยก็คือ ไฟในบ้านตระกูลกู้ยังคงสว่างไสว

“ท่านหลง ผมจะรออยู่ด้านนอกนะครับ”

เจ้าหน้าที่ต้อนรับของสำนักงานโค้งคำนับแล้วพูด

ท่านหลงแสดงสายตาที่น่ากลัวราวกับมีดที่แหลมคมออกมา ทำให้เขาไม่กล้าพูดอะไรมากอีก

“ไปเถอะ ฉันมีธุระส่วนตัวต้องจัดการนิดหน่อย”

ท่านหลงโบกมือ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

หลังจากที่เจ้าหน้าที่ต้อนรับขับออกไปแล้ว เขาจึงเดินเข้าไปแล้วกดออดหน้าประตูของบ้านตระกูลกู้

ไม่ช้า ก็มีคนรับใช้เดินออกมา

“ท่านหลงใช่ไหมครับ ?”

“ฉันต้องการพบคุณกู้”

ท่านหลงเดินเข้าไปในคฤหาสน์ โดยมีคนรับใช้เดินนำ

หลังจากเข้าไปในบ้าน กลับไม่พบแม้แต่เงาของกู้ชิงหยิ่ง และกู้โก๋ฮั๋วสองสามีภรรยา

เขาขมวดคิ้วแล้วถามว่า : “คุณนายน้อยกับคุณกู้สองสามีภรรยาล่ะ ?”

คนรับใช้พูดด้วยท่าทีโศกเศร้า : “จู่ๆ คุณนายน้อยก็หมดสติไป คุณกู้กำลังตามหมอมารักษาครับ”

เปรี้ยง !

ท่านหลงหน้าถอดสีทันที รีบลุกขึ้นแล้วเดินตรงขึ้นไปชั้นบน

ตอนที่เขาเดินเข้าไปในห้องด้วยความหวาดกลัว

ภาพที่เห็น ทำให้หัวใจของเขาหล่นฮวบลงทันที

กู้โก๋ฮั๋วส่งสัญญาณให้ท่านหลงเงียบเสียง

ส่วนหลี่หวั่นชิงที่อยู่ข้างๆ เขา ก็ปิดหน้าปิดตาร้องไห้อยู่

กู้ชิงหยิ่งนอนอยู่บนเตียง ไม่ขยับเขยื้อน สีหน้าเรียบเฉย แววตาเหม่อลอย

ส่วนข้างเตียง มีหมอสองคนกำลังทำการวินิจฉัยด้วยสีหน้าแปลกๆ

ท่านหลงเฝ้ามองด้วยความกังวล ดวงตาของเขากำลังจ้องมองใบหน้าที่ซีดเซียวจนไม่เป็นผู้เป็นคนของกู้ชิงหยิ่ง เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสาร และท้องที่ป่องขึ้นมาเล็กน้อย ทำให้ดวงตาของเขาแดงก่ำ

“ท่านหลง ออกมาคุยด้านนอกเถอะ”

กู้โก๋ฮั๋วพาท่านหลงเดินออกมาด้านนอกด้วยความอ่อนล้า

กู้โก๋ฮั๋วยืนอยู่ตรงทางเดินแล้วหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบ ซึ่งเป็นภาพที่เห็นได้น้อยมาก

“เกิดเองอะไรขึ้นกันแน่ครับ ?” ท่านหลงถามอย่างเคร่งเครียด

กู้โก๋ฮั๋วไม่ได้ตอบ แต่กลับสูบบุหรี่อย่างหนัก

บุหรี่หนึ่งมวล สูบหมดเพียงแค่สามครั้ง

หลังจากโยนก้นบุหรี่ลงไปบนพื้นอย่างไม่แยแส เขาจึงพูดขึ้นว่า : “ตงเอ๋อทรยศเสี่ยวหยิ่ง หลังจากกลับมา เสี่ยวหยิ่งก็เอาแต่ร้องไห้ กินไม่ได้นอนไม่หลับ ตอนที่ตงเอ๋อมาถึงที่นี่ เสี่ยวหยิ่งกับตงเอ๋อก็พบหน้ากันครั้งหนึ่ง แต่ไม่ได้มีโอกาสที่จะพูดคุยกัน จากนั้นตงเอ๋อก็มาเกิดเรื่องขึ้น”

“เดิมทีเสี่ยวหยิ่งก็กำลังตั้งท้องอยู่ เป็นเพราะเรื่องที่ถูกหักหลัง ทำให้เกิดความกดดันขึ้นในจิตใจอย่างหนัก จึงอ่อนล้าทั้งกายและใจ ประกอบกับที่ตงเอ๋อมาเกิดเรื่องขึ้น ทำให้ร่างกายที่อ่อนแอของเธอไม่อาจทนรับไหวได้อีก”

กู้โก๋ฮั๋วลูบหน้าแล้วพูดด้วยความรู้สึกผิด : “คืนนี้แม่ของเธอรู้สึกเป็นห่วงเธอ จึงคิดที่จะมาอยู่เป็นเพื่อนเธอ ใครจะไปคิดว่าเมื่อเข้ามาในห้อง จะพบว่าเธอนอนหมดสติอยู่ที่พื้นเสียแล้ว ตอนนี้เธอฟื้นขึ้นมาแล้ว แต่คุณก็เห็นสภาพเมื่อครู่นี้แล้วนี่……”

เมื่อพูดถึงตอนท้าย กู้โก๋ฮั๋วก็ถอนหายใจออกมา

น้ำตาเอ่อล้นอยู่ในดวงตา

“ฉันเป็นพ่อที่ไม่ได้เรื่อง ทำได้แค่มองดูลูกสาวมีสภาพเช่นนี้ แต่กลับช่วยอะไรไม่ได้เลย”

ท่านหลงตบไหล่กู้โก๋ฮั๋ว แล้วพูดปลอบใจ : “ไม่เป็นไรหรอกครับ ทุกอย่างต้องดีขึ้นแน่นอน ในเมื่อผมมาแล้ว ผมจะต้องหาทางหาคุณชายให้เจอให้ได้”

“พวกเราเข้าไปด้านในเถอะ”

กู้โก๋ฮั๋วเช็ดน้ำตาที่หางตา แล้วแสร้งทำเข้มแข็งเดินเข้าไปในห้อง

ท่านหลงเดินตามไปด้านหลัง

และตอนนี้ หมอทั้งสองคนก็ได้วินิจฉัยเสร็จเรียบร้อยแล้ว

มีคนหนึ่งพูดขึ้นว่า

“เด็กปลอดภัยดีครับ แต่สถานการณ์ของลูกสาวคุณตอนนี้ ถือว่าน่าเป็นห่วงมาก”

เมื่อได้ยินว่าเด็กไม่เป็นไร ท่านหลงและกู้โก๋ฮั๋วสองสามีภรรยา ก็ถอนหายใจออกมาพร้อมกัน

แต่คำพูดครึ่งหลังของหมอ ทำให้ทั้งสามคนต้องตกใจ

“หมอคะ ลูกสาวของฉันเป็นอะไรคะ ?” หลี่หวั่นชิงถามด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น

หลังจากที่กู้ชิงหยิ่งฟื้นขึ้นมา ก็เอาแต่นั่งนิ่งเหมือนกับหุ่นไล่กา

สิ่งนี้ทำให้หลี่หวั่นชิงและกู้โก๋ฮั๋ว รู้สึกเหมือนมีมีดกรีดที่หัวใจ

ทว่า

หมอกลับพูดว่า : “ลูกสาวของคุณไม่เป็นไรครับ”

กู้โก๋ฮั๋วขมวดคิ้ว : “เดี๋ยวบอกว่าอันตรายมาก เดี๋ยวบอกว่าไม่เป็นไร มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ?”

“คุณกู้ ร่างกายของลูกสาวคุณไม่ได้เจ็บป่วยอะไร และสภาพจิตใจป่วยจนยากเกินเยียวยาแล้ว”

หมอพูดอย่างจริงจังว่า : “ถ้าหากไม่สามารถแก้ไขปมในใจของเธอได้โดยเร็ว ด้วยสภาพของลูกสาวคุณในตอนนี้ ไม่ช้าตัวเธอเองก็จะต้องพังทลายลงอย่างสมบูรณ์ แม้กระทั่งเด็กในท้องก็……”

เงียบสักพัก หมอก็หันไปเก็บอุปกรณ์ พลางพูดว่า : “คุณกู้คงเคยได้ยินคำว่าความโศกเศร้าน่ากลัวยิ่งกว่าการอกหักใช่หรือไม่ ?”

“มีวิธีรักษาลูกสาวของผมไหม ? หรือว่ามียาที่พอจะช่วยรักษาได้ไหม ?”

กู้โก๋ฮั๋วร้อนใจจนดวงตาแดงก่ำ

“ขอโทษด้วยครับ เรื่องปัญหาภายในจิตใจ ไม่มียาที่จะรักษาได้” หมอส่ายหัว จากนั้นทั้งสองก็เดินจากไป

“เสี่ยวหยิ่ง……”

หลี่หวั่นชิงร้องไห้และนั่งลงข้างๆ เตียง ยกมือขึ้นโบกด้านหน้าดวงตาที่ดูว่างเปล่าของกู้ชิงหยิ่ง : “แม่อยู่นี่ หนูมองแม่สักครั้งได้ไหม?”

“ลูกรัก พูดอะไรหน่อยสิ พ่อกับแม่อยู่นี่ ลูกอย่าทำให้พวกเราตกใจแบบนี้สิ” กู้โก๋ฮั๋วนั่งคุกเข่าลงข้างๆ เตียง แล้วจับมือของกู้ชิงหยิ่งเอาไว้

แต่กู้ชิงหยิ่งไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ยังคงนั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อน

ท่านหลงเดินเข้าไปข้างๆ เตียงด้วยความโศกเศร้า

มองดูกู้ชิงหยิ่งที่ซูบผอมผิดหูผิดตา แม้แต่เขา ก็อดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตาออกมา

ท่านหลงตะโกนออกมาเบาๆ ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ : “คุณนายน้อย กระผมมาเยี่ยมคุณแล้ว……”

เสียงตะโกนนี้

ทำให้แววตาของกู้ชิงหยิ่งสั่นคลอนเล็กน้อย

จากนั้น ก็มีหยาดน้ำตาไหลรินออกมาจากหางตา

ริมฝีปากที่ซีดและแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ค่อยๆ ขยับ

“คนโง่ของฉัน……หายไปแล้ว……”

เย่หยวนชิวตัวสั่นเล็กน้อย

ใบหน้าเต็มใบด้วยความตกใจ

ในที่สุด เขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

“หมอพูดถูกแล้ว”

เย่หลิงหลงที่โผเข้าไปในอ้อมแขนของเย่หยวนชิวเงยหน้าขึ้น ดวงตาที่เอ่อล้นไปด้วยน้ำตาของเธอ จ้องมองไปที่เย่หยวนชิวอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“ปู่ รู้นานแล้วหรือคะ ?”

เย่หยวนชิวพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม

“ได้รับบาดเจ็บ ถูกพิษ กระโดดทะเล เขายังสามารถเอาชีวิตรอดมาได้ ก็นับว่าเป็นโชคดีนักหนาแล้ว ตอนที่หมอช่วยชีวิตเขา พิษได้แล่นเข้าสู่กระแสเลือดแล้ว ถึงขนาดที่หมอก็จนปัญญาที่จะรักษาแล้ว แต่เพราะเห็นแก่หน้าของหงหุ้ยและฐานะที่อาวุโสของเขา จึงได้พยายามรักษาจนถึงที่สุด”

ใบหน้าของเย่หยวนชิวเต็มไปด้วยความจนใจ เขาเบ้ปาก : “ผลสุดท้ายก็สามารถช่วยชีวิตของเฉินตงเอาไว้ได้ เพียงแต่ตอนนั้นหมอเคยบอกไว้ว่า หากพิษเข้าสู่กระแสเลือด ต่อให้รักษาชีวิตเอาไว้ได้ แต่ระบบภายในร่างกายก็ถูกทำลายไปบางส่วน หากต้องกลายเป็นคนพิการก็ถือเป็นเรื่องปกติ อีกทั้งยังถือว่าเป็นผลลัพธ์ที่มีโอกาสจะเป็นไปได้อย่างมากอีกด้วย”

เมื่อเห็นเย่หลิงหลงมีแววตาที่ตื่นตะลึง เย่หยวนชิวก็ยิ้มออกมาอย่างโศกเศร้า แล้วลูบหัวของเย่หลิงหลงเบาๆ

“ปู่รู้ถึงความรู้สึกที่หลานมีต่อเฉินตงดี ดังนั้นปู่จึงไม่ได้บอกหลานกับท่านหลง เพียงแต่คิดไม่ถึงเลยว่า เฉินตงจะรู้เร็วขนาดนี้……เขาสามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้ ถือว่าเหนือความคาดหมายของพวกเราทุกคนแล้ว ยังจะมัวเป็นห่วงเรื่องพิการหรือไม่พิการอีกหรือ”

เย่หลิงหลงตกตะลึงไปในทันที

ตอนนี้ น้ำตาของเธอค่อยๆ ไหลรินลงมา

เธอรู้สึกเหมือนมีก้อนหินทับอยู่เต็มอก จนเธอรู้สึกหายใจไม่ออก

ภาพที่เฉินตงทุกข์ทรมานด้วยความสิ้นหวังเมื่อครู่ ยังติดอยู่ในตาของเธอ

ราวกับมีดแหลมคมที่เสียดแทงเข้ามาในใจของเธอ

เธอถามขึ้นอย่างไม่เต็มใจนัก : “แล้วจะให้หนูบอกเขาว่าอย่างไร ? เขาไม่มีทางรับได้แน่นอน ไม่มีวิธีอะไรแล้วจริงๆ หรือคะคุณปู่ ?”

“ไม่มี”

เย่หยวนชิวส่ายหัว

ขณะที่พูด เขาก็ยกมือที่เหี่ยวย่นของเขาขึ้นมา แล้วค่อยๆ เช็ดน้ำตาให้กับเย่หลิงหลง

“หลิงหลงเอ๋ย หลานเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ ผู้ใหญ่ก็ควรวางตัวแบบผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ต้องกล้าเผชิญหน้ากับความจริงที่ตัวเองไม่อาจทำใจยอมรับได้”

เย่หลิงหลงขยับริมฝาก เธอยังคงรู้สึกไม่เต็มใจ

ผู้ชายคนนั้น ก่อนหน้านี้ทั้งสง่างามและสูงส่ง

ทำไมสวรรค์ถึงไม่ยุติธรรมเช่นนี้ ทำให้เขาต้องกลายเป็นคนพิการ ?

เพียงแต่ เธอยังไม่ทันจะอ้าปากพูด

เย่หยวนชิวก็ค่อยๆ ลุกขึ้น : “ไปเถอะ พาปู่หาเฉินตง และตามหมอมาด้วย ต้องให้เฉินตงยอมรับความจริงให้ได้”

……

ผ่านไปสิบนาที

เย่หยวนชิวพาเย่หลิงหลงและหมออีกห้าคนเข้าไปในห้องของเฉินตง

เฉินตงนอนอยู่บนเตียง จ้องมองเพดานด้วยแววตาที่ว่างเปล่า และไม่ขยับเขยื้อน

ดูราวกับวิญญาณออกจากร่าง เหลือทิ้งเอาไว้เพียงร่างกายเท่านั้น

“เฉินตง……”

เย่หลิงหลงเรียกเบาๆ : “ฉันพาคุณปู่กับหมอมาแล้ว”

เฉินตงไม่ตอบโต้ ยังคงนิ่งเงียบ หางตามีน้ำตาไหลรินลงมาอีกครั้ง

ภาพนี้ เมื่อเย่หลิงหลงได้เห็นก็อยากจะร้องไห้

เธอเอามือปิดปาก ทนดูต่อไปไม่ไหว จึงหันหลังและเดินออกจากห้องไป

เย่หยวนชิวส่ายหัวอย่างจนใจ แล้วเดินก้าวไปข้างหน้า และพูดว่า : “เฉินตง หมอทั้งห้าท่านนี้เป็นหมอที่เก่งที่สุด ผมพาพวกเขามารักษาขาให้คุณ”

ดวงตาของเฉินตงเป็นประกายขึ้นมา

เขามองหมอทั้งห้าคนด้วยความคาดหวัง และในที่สุด สายตาก็ไปหยุดอยู่ที่เย่หยวนชิว

“ยังรักษาได้……จริงๆ หรือ?”

คำพูดที่แผ่วเบา แต่กลับเต็มไปด้วยความหวัง

ราวกับคนที่กำลังจะจมน้ำตาย แล้วสามารถคว้าท่อนไม้ท่อนสุดท้ายเอาไว้ได้

เย่หยวนชิวรู้ผลลัพธ์นานแล้ว แต่ตอนนี้ก็ยังไม่กล้าที่จะยอมรับ

และพูดขึ้นว่า : “หากไม่ลองดูจะรู้ได้อย่างไร ?”

หมอทั้งห้าคนก้าวเข้าไปพร้อมกัน และเริ่มทำการวินิจฉัยเฉินตง

เป็นเพราะหมดสติมาเป็นเวลาเจ็ดวัน ห้องพักจึงถูกเย่หยวนชิวปรับปรุงจนกลายเป็น “ห้องฉุกเฉิน” เรียบร้อยแล้ว มีอุปกรณ์ทางการแพทย์หลายอย่างอยู่ภายในห้อง

ส่วนด้านนอกห้อง เย่หลิงหลงกำลังกัดแขนของตนเอง เพื่อข่มเสียงร้องเอาไว้ และปล่อยให้น้ำตาไหลรินลงมา

เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนั้นของเฉินตง ก็รู้สึกราวกับมีมีดร้อนๆ ทิ่มแทงเข้ามาในหัวใจของเธอ แล้วค่อยๆ เฉือนหัวใจของเธอออกทีละนิดๆ

ยังมีเรื่องอะไรอีก ที่จะสามารถทำให้คนคนหนึ่งรู้สึกสิ้นหวังได้มากกว่าการยอมรับความจริงที่สิ้นหวัง ?

เฉินตงเมื่อก่อนหน้านี้ เป็นมังกรที่ผงาดอยู่บนท้องฟ้าท่ามกลางผู้คน

ถึงแม้เย่หลิงหลงจะมีนิสัยหยิ่งยโสและชอบเอาชนะ แต่ในใจของเธอก็ยามรับว่าเฉินตงนั้นยอดเยี่ยม

ไม่ว่าจะเป็นภูมิหลังของตระกูลเฉิน หรือจะเป็นความเก่งกาจเฉพาะตัวของเฉินตงเอง

มิเช่นนั้น ก็คงไม่อาจทำให้เธอรู้สึกหวั่นไหวได้

ทำให้เธอซึ่งรู้ว่าเฉินตงนั้นแต่งงานแล้ว แต่ก็ยังคงรู้สึกหลงใหล และไม่อาจควบคุมความรู้สึกที่มีต่อเฉินตงได้

เพียงแต่ตอนนี้……มังกรตกเหวเสียแล้ว

ภายในห้องเงียบสงัด

เย่หยวนชิวยืนดูอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ และมองดูทุกอย่างที่เกิดขึ้น

หมอทั้งห้าคนตรวจวินิจฉัยให้เฉินตงอย่างตั้งใจ

ส่วนเฉินตง ตั้งแต่ต้นจนจบ แววตาของเขาก็ยังคงเป็นประกาย และมองหมอทั้งห้าคนด้วยความหวังอย่างแรงกล้า

เขาอยากจะคาดเดาความจริงจากสายจาของหมอทั้งห้าคน

แต่ท่าทีของหมอทั้งห้าคนกลับเรียบเฉยตั้งแต่ต้นจนจบ

การวินิจฉัยทั้งหมดจบสิ้นลง

เฉินตงรีบเอ่ยถามด้วยความหวัง : “คุณหมอครับ ผมยังมีโอกาสกลับเป็นเหมือนเดิมไหมครับ ?”

“คุณชายรอก่อน ยังมีอีกหลายอย่างต้องวินิจฉัย ต้องใช้เวลาเพื่อรอฟังผล”

มีหมอคนหนึ่งชี้ไปที่เครื่องมือแพทย์หลายชิ้นที่วางอยู่ตรงมุม

เฉินตงพยักหน้า แล้วหายใจเร็วขึ้นอย่างไม่รู้ตัว หลายใจเข้าออกอยู่หลายครั้งก็ยังไม่อาจสงบลงได้

“หวังว่า นี่จะเป็นความหวังสุดท้ายที่ฉันเหลืออยู่……”

เขาพึมพำ มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่น และร่างกายก็สั่นเทา

ภาพนี้ ทำให้เย่หยวนชิวอดไม่อาจเก็บซ่อนความผิดหวังในสายตาของเขาเอาไว้ได้

มังกรที่แท้จริงเช่นนี้……ต้องร่วงลงมาอยู่ในจุดนี้ สวรรค์ช่างตาบอดเสียจริงๆ !

ด้วยความสามารถของหงหุ้ย สามารถตรวจสอบทุกอย่างของเฉินตงออกมาได้อย่างง่ายดาย

เฉพาะด้านของความสามารถ ก็ทำให้เย่หยวนชิวรู้สึกประหลาดใจได้แล้ว

จ่อให้ไม่มีภูมิหลังอย่างตระกูลเฉิน ด้วยความสามารถของเฉินตง ขอแค่ต้องอาศัยความช่วยเหลือเพียงเล็กน้อย ก็สามารถกระโดดและพุ่งทะยานขึ้นไปได้อย่างง่ายดาย

ยิ่งไปกว่านั้น นิสัยของเฉินตง ต่อให้เขาจะเป็นถึงจู่เหลารุ่นหยวนของหงหุ้ย ก็ต้องรู้สึกตกตะลึงจนอ้าปากค้าง

เวลาค่อยๆ ผ่านไป

ผลการวินิจฉัยก็ค่อยๆ ออกมาทีละรายการ

มองดูหมอทั้งห้าคนที่กำลังยืนล้อมวงปรึกษากัน

แววตาของเฉินตงก็ยังคงเต็มไปด้วยความหวังอยู่ตลอดเวลา

ตอนนี้ เวลาทุกวินาทีผ่านไปช้ามาก

ในที่สุด

หมอทั้งห้าคนก็ส่งสายตาให้กัน แล้วเดินเข้าไปหาเฉินตง

มีแพทย์หนึ่งคนหันไปส่งสัญญาณให้เย่หยวนชิวเดินเข้ามา

จากนั้น เขาก็ค่อยๆ พูดขึ้น

“ผลการวินิจฉัยแต่ละอย่างออกมาไม่แตกต่างกัน แต่ก็เหมือนที่มีการวินิจฉัยเอาไว้ในขณะที่ช่วยชีวิต คุณชายท่านนี้สามารถมีชีวิตอยู่รอดต่อไปได้ นับว่าเป็นปาฏิหาริย์ ส่วนขาทั้งสองข้างที่ไร้ความรู้สึกในตอนนี้ และไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ คงเป็นเพราะผลสืบเนื่องมาจากการที่พิษแล่นเข้าสู่กระแสเลือด”

“ถ้าอย่างนั้นผม……สามารถกลับมาเป็นปกติได้ไหม ?” เฉินตงถามด้วยความหวัง

หมอเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วส่ายหัว

“พวกเราทั้งห้าคนปรึกษากันแล้ว ความพิการของคุณชายในตอนนี้ ไม่สามารถตรวจพบข้อบ่งชี้ใดๆ และไม่สามารถรักษาให้หายได้ ไม่แน่ว่า……อาจต้องอยู่ในสภาพเช่นนี้ไปตลอดชีวิต”

น้ำเสียงที่ราบเรียบ ได้กล่าวความจริงที่สิ้นหวังที่สุดออกมา

เย่หยวนชิวสังเกตท่าทีของเฉินตงเงียบๆ

และหลังจากที่เฉินตงได้ยินคำพูดของหมอ ร่างกายของเขาก็สั่นอย่างรุนแรง

ประกายของความหวังในดวงตา ดับสูญลงไปในทันที

เหลืออยู่เพียงแค่ความมืดมนอย่างถึงที่สุด

ภายในห้องเงียบสงัดลงทันที

ด้านนอกห้อง ในที่สุดเย่หลิงหลงก็ไม่อาจควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป เธอชะโงกหน้าเข้ามาดูเฉินตงอย่างเงียบๆ

วินาทีถัดมา เฉินตงยิ้มออกมาอย่างโศกเศร้า ทำให้หัวใจของเย่หลิงหลงเต้นระส่ำ

เฉินตงหัวเราะแล้วมองดูขาทั้งสองข้างของตนเอง แล้วถอนหายใจออกมาด้วยความสิ้นหวัง

“ไร้ประโยชน์แล้ว ไร้ประโยชน์แล้วจริงๆ ฉัน……จบเห่แล้ว ความพยายามทั้งหมด ต้องพ่ายแพ้ให้กับขาคู่นี้แล้ว……”

หลังจากพูดจบ จู่ๆ เฉินตงก็ใบหน้าซีดเผือด และกระอักเลือดออกมา

สีแดงฉาน

เปรี้ยง !

คำพูดของเฉินตงเหมือนฟ้าผ่าตอนกลางวันแสกๆ

เย่หลิงหลงอึ้งไปทันที ใบหน้าที่งดงามของเธอซีดเผือด

ดวงตาคู่สวยของเธอจ้องเขม็งไปที่ขาขอเฉินตงอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“ขาของฉัน ขาของฉัน……”

เฉินตงนอนอยู่บนเตียง แสดงท่าทีหวาดกลัวออกมาจนใบหน้าบูดเบี้ยว และคร่ำครวญออกมาอย่างสิ้นหวัง : “ทำไมถึงไม่มีความรู้สึก ? ทำไมขอของฉันถึงขยับไม่ได้ ?”

ในขณะที่กำลังหวาดกลัว เฉินตงก็พยายามดิ้นรนอย่างสุดชีวิต

ตอนนี้ไม่ได้ออกแรงอย่างเช่นเมื่อครู่ แต่เป็นท่าทางการบิดร่างกายไปมาด้วยความบ้าคลั่ง

แต่ไม่ว่าจะบิดไปมาอย่างไร ขาทั้งสองข้างก็ยังคงไม่ขยับแม้แต่น้อย !

ในดวงตาที่แดงก่ำเต็มไปด้วยความหวาดกลัว มีน้ำตาเอ่อล้นออกมา

เย่หลิงหลงตั้งสติขึ้นมาได้ทันใด

เธอรีบกดตัวเฉินตงที่กำลังพยายามดิ้นรนเอาไว้ : “เฉินตง คุณใจเย็นก่อน คุณอดทนหน่อย ไม่เป็นไรหรอก ต้องไม่ใช่อย่างที่คุณคิดแน่นอน ตอนนี้ร่างกายของคุณยังฟื้นฟูกลับมาไม่สมบูรณ์ คุณออกแรงเช่นนี้ ก็จะยิ่งเป็นการทำร้ายตัวคุณเองนะ !”

“แต่ขาของฉันไม่มีความรู้สึกแล้ว”

น้ำตาไหลรินออกมาจากหางตาของเฉินตง เขากำลังดิ้นรนด้วยความหวาดกลัว และไม่สนใจคำปลอบใจของเย่หลิงหลงเลยแม้แต่น้อย

ขาทั้งสองข้างไร้ความรู้สึก นั่นหมายความว่าจะต้องพิการ !

ไม่ได้หมายความถึงเขาจะต้องใช้ชีวิตอยู่บนรถเข็นตลอดไปเท่านั้น แต่ยังทำให้เขาต้องสูญเสียตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกของตระกูลเฉินไปอีกด้วย

หนึ่งปีหลังจากนี้ เป็นเวลาที่ตระกูลเฉินจะเลือกเจ้าบ้านคนต่อไป

แต่ตระกูลเฉินที่สูงส่ง ไม่มีทางที่จะเลือกคนพิการมาเป็นเจ้าบ้านคนต่อไปอย่างแน่นอน !

“ไม่เป็นไรนะ เชื่อฉันสิว่าจะต้องไม่เป็นไร คุณนอนมาเป็นเวลานานขนาดนี้ อีกทั้งยังได้รับบาดเจ็บสาหัส ย่อมจะต้องมีผลต่อร่างกายอย่างแน่นอน ตอนนี้ขาทั้งสองข้างไร้ความรู้สึก จะต้องเป็นเพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น ขอแค่ค่อยๆ ขยับ ขาทั้งสองข้างจะต้องฟื้นฟูเป็นปกติอย่างแน่นอน”

ใบหน้าอันงดงามของเย่หลิงหลงซีดเผือด ในขณะที่เธอพยายามกอดเฉินตงเอาไว้อย่างสุดแรง ก็มีน้ำตาเอ่อล้นออกมาจากดวงตาคู่งามของเธอ

“เธอโกหกฉัน !”

เฉินตงดูราวกับสัตว์ร้าย เขาหันไปตะคอกเย่หลิงหลง

เสียงคำรามนี้ทำให้เย่หลิงหลงอึ้งไป

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับดวงตาแดงก่ำของเฉินตง เย่หลิงหลงก็รู้สึกหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยเนมาก่อน

รู้สึกหนาวเหน็บไปทั้งตัวราวกับเป็นสัญชาตญาณ

“จบแล้ว ทุกอย่างจบสิ้นแล้ว !”

ขณะที่เฉินตงกำลังดิ้นรน เขาก็ร้องไห้ออกมาอย่างเจ็บปวด มือทั้งสองข้างจับเตียงเอาไว้ แล้วพยายามออกแรงเพื่อลุกขึ้นนั่ง

แต่หลังจากพยายามอยู่หลายครั้ง ก็หล่นลงไปบนเตียงอย่างแรงทุกครั้ง

เสียงกระแทก ทำให้เย่หลิงหลงตั้งสติขึ้นมาได้

เธอระงับความกลัวในจิตใจ และยกมือขึ้นปาดน้ำตา

“ไม่เป็นไรนะ มีฉันอยู่ มีฉันอยู่ไม่ต้องกลัว”

เธอโน้มตัวลงไป ประคองเฉินตง ช่วยให้เฉินตงลุกขึ้นมานั่ง

เฉินตงมองไปที่ขาทั้งสองข้างของเขาอย่างบ้าคลั่ง แล้วใช้มือทั้งสองข้างทุบลงไปอย่างแรง

ภาพนี้ ทำให้เย่หลิงหลงตกใจมาก

จากนั้น เฉินตงก็มองเย่หลิงหลงด้วยท่าทีสิ้นหวัง น้ำตาไหลอาบไปทั่วใบหน้า : “ไม่มีความรู้สึกแล้วจริงๆ……”

เมื่อเห็นเฉินตงที่น้ำตาไหลอาบไปทั่วใบหน้า

เย่หลิงหลงก็รู้สึกหวาดกลัวและสงสารในเวลาเดียวกัน ราวกับหัวใจจะแตกสลาย

เธอเคยเห็นเฉินตงอยู่ในท่าทีที่สง่างามสูงส่ง

แต่บัดนี้ ผู้ชายที่เคยทำให้เธอรู้สึกหวั่นไหว กลับร้องไห้ต่อหน้าเธอเหมือนกับเด็ก

ผู้ชายไม่หลั่งน้ำตาง่ายๆ นั่นเป็นเพราะยังไม่ถึงเวลาที่เจ็บปวดใจจริงๆ

ตอนนี้เฉินตงต้องรู้สึกสิ้นหวังและเจ็บปวดแค่ไหนกัน ?

วินาทีถัดมา

จู่ๆ เฉินตงก็พึมพำขึ้นมาราวกับคนเสียสติ : “กลับบ้าน ใช่ กลับบ้าน ภรรยาและลูกกำลังรอฉันอยู่ พวกเขากำลังรอฉันกลับไปขอโทษ ฉัน ฉันต้องกลับไป เสี่ยวหยิ่งกำลังให้คนออกตามหาฉัน เธอจะต้องเป็นห่วงฉันมากแน่ๆ……”

ทำราวกับมองไม่เห็นเย่หลิงหลงที่อยู่ข้างๆ

เฉินตงพยายามพยุงตัวเอง และคลานลงจากเตียง

ตุ้บ !

มือทั้งสองข้างของเขาว่างเปล่า แล้วเฉินตงก็ร่วงลงไปบนพื้น

ตอนนี้ เฉินตงดูน่าเวทนาราวกับสุนัขที่ตายแล้ว

เขาพยายามดิ้นรน ร้องไห้ และกัดฟัน ตอนนี้ในดวงตาที่เอ่อล้นไปด้วยหยาดน้ำตา เผยให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างบ้าคลั่ง

เฉินตงออกแรงทั้งหมดที่มี ใช้มือทั้งสองข้างดันพื้น แล้วค่อยๆ คลานออกไปด้านนอกประตู

“กลับบ้าน ฉันจะกลับบ้าน……ภรรยากับลูก กำลังรอฉันอยู่……”

เย่หลิงหลงนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างสิ้นหวัง เธอมองดูเฉินตงที่พยายามดิ้นรนเคลื่อนตัวไปด้านหน้าราวกับสุนัขที่ตายแล้ว

ริมฝีปากแดงระเรื่อของเธอขยับแต่ไร้เสียง น้ำตาสองสายไหลรินออกมาจากหางตาของเธอ

“เฉินตง ! นี่มันเวลาไหนกันแล้ว คุณยังคิดถึงภรรยากับลูกของคุณอีกหรือ ?”

เย่หลิงหลงร้องไห้สะอึกสะอื้น แล้วตะโกนออกมาอย่างสุดเสียง

“เพราะพวกเขาคือภรรยาและลูกของฉัน !”

เฉินตงไม่แม้แต่จะหันกลับไปมอง เขาอ่อนแรงจนเสียงเบาราวกับยุง แต่กลับแสดงความมุ่งมั่นออกมาอย่างถึงที่สุด เสียงนี้ดังก้องชัดเจนอยู่ภายในห้อง

“ฉันเป็นสามี และเป็นพ่อ……”

เย่หลิงหลงตัวสั่นเทา ตอนนี้ น้ำตาของเธอไหลรินลงมาราวกับน้ำที่ไหลทะลักจากแม่น้ำ ไม่สามารถควบคุมได้

เธอยกมือขวาขึ้นมาปิดปาก แล้วมองดูเฉินตงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสาร

คุณปู่พูดถูก พรหมลิขิตมาช้าหรือเร็วไปเพียงเล็กน้อย ก็ถือว่าไม่ถูกต้อง

มีเพียงแค่ความพอดีเท่านั้นที่ถูกต้อง…….

เย่หลิงหลงลุกยืนขึ้น แล้วเดินเข้าไปหาเฉินตงด้วยความสิ้นหวัง

“ฉันไม่อนุญาตให้คุณทำร้ายตัวเอง คุณจะกลับบ้าน ก็ต้องรอให้คุณหายดีเสียก่อน !”

“ฉันยังมีเวลาให้รักษาได้อีกหรือไง ?”

เฉินตงหยุดนิ่ง ในที่สุดก็เงยหน้าขึ้น แล้วหันมองเย่หลิงหลง : “ฉันไร้ประโยชน์แล้ว ฉันพิการแล้ว ! ขอร้องเธออย่าได้สงสารฉัน ให้ฉันคลานออกไปจากที่นี่ ต่อให้ต้องเหมือนสุนัขตัวหนึ่ง หามุมสักมุมที่ไร้ผู้คน และนอนตายอยู่ตรงนั้นก็คงจะดี !”

“ตาย ? !”

แววตาของเย่หลิงหลงสั่นไหว จู่ๆ ความสงสารและเจ็บปวด ก็กลับแปรเปลี่ยนเป็นความสงบนิ่งในทันที

เธอกัดฟันขาวของเธอแน่น แล้วหัวเราะเยาะออกมา : “คุณอยากตาย ? ไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก มีฉันอยู่ที่นี่ คุณตายไม่ได้แน่นอน !”

พูดจบ เธอก็โน้มตัวลงไป แล้วลากเฉินตงกลับไปที่เตียงด้วยท่าทีเย่อหยิ่ง

“ปล่อยฉัน เธอปล่อยฉันนะ”

เฉินตงพยายามดิ้นรนอย่างสุดชีวิต แต่ตอนนี้ขาทั้งสองข้างไร้ความรู้สึก ทำให้ไม่อาจขัดขืนเย่หลิงหลงได้

ยิ่งไปกว่านั้นร่างกายของเขาก็อ่อนแอเป็นอย่างมาก

ที่ทำให้การดิ้นรนของเขานั้นไร้ความหมาย

เย่หลิงหลงออกแรงประคองเฉินตงขึ้นมา แล้วโยนเขากลับลงไปบนเตียง

“คุณนอนให้ดีๆ เมื่อเจ็บป่วยก็ต้องรักษา ต่อให้ต้องพิการ แต่หงหุ้ยของเราจะต้องหาหมอที่เก่งที่สุดในโลกเพื่อมาช่วยรักษาคุณให้ได้ !”

เฉินตงนอนอยู่บนเตียง จ้องมองเพดานด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง

น้ำตาไหลรินออกมาพร้อมกับร่างกายที่สั่นเทา

“รออยู่ที่นี่ เดี๋ยวฉันจะไปตามคุณปู่มา”

เย่หลิงหลงมีท่าทีสงบนิ่ง และพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

ตอนที่เธอเดินไปถึงประตู จู่ๆ ก็หยุดฝีเท้าลง

“คุณอยากตายก็ได้ แต่คุณลองคิดดูนะว่า ภรรยาและลูกของคุณ ถ้าหากคุณตายไป ภรรยาของคุณก็ต้องเป็นม่าย ลูกของคุณก็ต้องเป็นเด็กกำพร้า”

พูดจบ เธอก็เดินออกไปอย่างรวดเร็ว

ส่วนเฉินตงที่นอนอยู่บนเตียง ดวงตาทั้งสองข้างที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ในที่สุดเมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ ก็เปล่งประกายขึ้นมา

มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่น

เย่หลิงหลงข่มอารมณ์เดินออกมาจากห้อง ทันทีที่ก้าวออกจากประตู เธอก็ร้องไห้ออกมาไม่หยุด

ใบหน้าที่งดงาม เปียกปอนไปด้วยหยาดน้ำตา

เธอกัดแขนขาวนวลของเธอเอาไว้แน่น ด้วยแรงอย่างมหาศาล ทำให้มีเลือดซึมออกมาระหว่างซี่ฟันของเธอ

ทำเช่นนี้ ก็เพื่อบังคับไม่ให้ตนเองส่งเสียงร้องออกมา

เธอรีบวิ่งไปยังที่พักของคุณปู่อย่างรวดเร็ว

แอ๊ด !

เย่หลิงหลงผลักประตูให้เปิดออก

ในห้อง เย่หยวนชิวกำลังนั่งอ่านหนังสือ เมื่อเห็นท่าทางของเย่หลิงหลง สีหน้าก็เปลี่ยนไปในทันที

ยังไม่ทันจะพูด

ในที่สุดเย่หลิงหลงก็เลิกกัดแขนของตัวเอง และไม่พยายามที่จะระงับเสียงร้องของเธออีกต่อไป และพุ่งตรงเข้าไปในอ้อมแขนของเย่หยวนชิว

“คุณปู่คะ เฉินตงพิการแล้ว……”

“เฮ้อ……อันตรายจริงๆ”

เทียนอ้ายกลับเข้าไปนั่งในลัมโบร์กีนี เธอหายใจเหนื่อยหอบและตบหน้าอกตัวเอง : “ยังดีที่ฉันมีไหวพริบ”

เพียงแต่ หลังจากเธอตบโดนตำแหน่งที่ถูกเย่หลิงหลงชกมาเมื่อครู่ ก็รู้สึกเจ็บจนหน้าถอดสีทันที จึงรีบสูดหายใจเข้า แล้วก่นด่าออกมาด้วยความโกรธหนึ่งประโยค : “ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่คนดีจริงๆ”

เพียงแต่เมื่อก้มหน้าลงมอง เทียนอ้านก็รู้สึกลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเธอก็ยกมือขึ้นหนึ่งข้างมาวางอีกด้านหนึ่ง

หรือว่า……

“เฮ้อ เทียนอ้าย เธอกำลังคิดอะไรอยู่เนี่ย ?”

เทียนอ้ายส่ายหัวอย่างแรง แล้วระงับความกล้าหาญที่อยู่ในใจ

สตาร์ทรถ ลัมโบร์กีนีแล่นออกจากไชน่าทาวน์อย่างรวดเร็วปานสายฟ้า

หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครตามมา เทียนอ้ายจึงลดระดับความเร็วให้ช้าลง

ขมวดคิ้วแล้วพูดออกมาอย่างครุ่นคิด : “คิดจะสืบหาความจริงว่าคืนนั้นหงหุ้ยงมอะไรขึ้นมาจากทะเลกันแน่ ช่างเป็นเรื่องยากจริงๆ แต่ถ้าหากไม่สืบหาจากเบาะแสนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะหาเฉินตงไม่พบก็ได้ ?”

ก่อนที่จะไป สิ่งที่เธอบอกกู้โก๋ฮั๋วและหลี่หวั่นชิง เป็นเพียงคำพูดปลอบใจเท่านั้น

ด้านหนึ่งก็ต้องการปลอบใจผู้ใหญ่ทั้งสอง ส่วนอีกด้านหนึ่งก็อยากปลอบใจกู้ชิงหยิ่ง

การที่จะลอบสังหารในระดับนี้ได้ เห็นได้ชัดว่าต้องมีอิทธิพลอย่างมาก

แม้แต่เทียนอ้ายเองก็ไม่กล้ารับประกันว่า ตอนนี้เฉินตงยังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้วกันแน่

ถ้าหากไม่รีบหาเฉินตงให้พบ ต่อให้ตอนนี้เฉินตงยังปลอดภัยดี แต่เมื่อเวลาผ่านไป โอกาสรอดก็จะน้อยลง

ยิ่งไปกว่านั้น ยังเกี่ยวพันถึงสุขภาพร่างกายของกู้ชิงหยิ่งอีก

เมื่อคิดถึงสิ่งเหล่านี้ เทียนอ้ายก็รู้สึกคิดไม่ตก และดึงผมของตัวเองด้วยความหงุดหงิด

“ประสบการณ์ที่สั่งสมมาหลายปี ทำไมถึงใช้กับเรื่องนี้ไม่ได้เลยนะ ?”

อีกทางด้านหนึ่ง

สนามบินแถบชานเมือง

หลังจากที่ท่านหลงถือกระเป๋าเดินทาง และมุ่งหน้าไปที่สนามบินด้วยความเร่งรีบ

เขาก็รีบเดินไปยังช่องทางวีไอพีอย่างรวดเร็ว และเดินเข้าสู่รันเวย์ของสนามบิน

เครื่องบินส่วนตัวจอดรออยู่ตั้งแต่เช้าตรู่

หลังจากท่านหลงขึ้นเครื่อง เครื่องบินก็ทะยานขึ้นฟ้าอย่างรวดเร็ว

เมื่อมองดูสนามบินแถบชานเมืองด้านล่าง ที่ค่อยๆ อยู่ห่างออกไป สีหน้าของท่านหลงก็เคร่งขรึม และเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าอย่างรุนแรง

“คุณชาย คุณจะต้องอดทนจะกว่ากระผมจะไปถึงนะครับ !”

ขณะที่พูดอยู่นั้น บรรยากาศภายในเครื่องบิน ราวกับลดต่ำลงจนถึงจุดเยือกแข็ง

แต่ไหนแต่ไรมา ในสายตาของคนอื่น ท่านหลงเป็นคนที่สงบนิ่งเหมือนน้ำ และอบอุ่นเหมือนสายลม

อารมณ์โกรธมักปรากฏออกมาอยู่บ่อยครั้ง

แต่การแสดงเจตนาฆ่าอย่างโจ่งแจ้งอย่างเช่นตอนนี้ ถือว่าเกิดขึ้นน้อยมาก

เรื่องเกี่ยวพันถึงเฉินตง ต่อให้ท่านหลงจะมีจิตใจที่สงบนิ่งแค่ไหน ก็ไม่อาจที่จะควบคุมสติได้

นี่เพิ่งจะกี่วันเอง ?

ก็เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ขึ้นกับคุณชายเสียแล้ว

ถ้าหากไม่ใช่เพราะกู้โก๋ฮั๋วติดต่อมา เขาเองก็ยังไม่รู้เรื่อง

ในสายโทรศัพท์ น้ำเสียงของกู้โก๋ฮั๋ว เห็นได้ชัดว่ายากที่จะรับมือกับการหายตัวไปของเฉินตง

มิเช่นนั้น คนที่มีอิทธิพลมากขนาดนั้น คงแสดงน้ำเสียงตื่นตระหนกและเป็นกังวลออกมา

“คนที่แม้แต่กู้โก๋ฮั๋วก็ยังไม่อาจรับมือได้ ฉันอยากจะเห็นจริงๆ เลยว่า แกยังจะมีพิษสงเมื่ออยู่ในกำมือของฉันได้อีกไหม ?”

คำพูดที่เย็นชา ยิ่งทำให้บรรยากาศภายในห้องโดยสารเย็นยะเยือกยิ่งขึ้น

ท่าทางของท่านหลงเปลี่ยนไปอย่างมาก เย็นชา เคร่งขรึม และดุดันยากจะหาที่เปรียบ

ถ้าหากเฉินตงอยู่ด้วยตอนนี้ คงจะต้องรู้สึกตกใจเช่นกัน

ตอนนี้ท่าทางของท่านหลง แม้แต่เฉินตงเอง ก็ยังไม่เคยเห็นมาก่อน !

ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง

หลังจากกู้ชิงหยิ่งฟื้นขึ้นมา ก็กลับนั่งนิ่งอยู่ที่ริมหน้าต่าง

พระจันทร์สว่างไสวจนมองไม่เห็นดวงดาว

ในดวงตาที่บวมแดงของกู้ชิงหยิ่ง มีหยาดน้ำตาเคลื่อนไหวอยู่

เธอค่อยๆ ก้มหน้าลง มือขวาค่อยๆ ลูบท้องที่โตขึ้นทุกวันๆ จากนั้นหยดน้ำตาก็ไหลรินลงมา

เธอจำไม่ได้แล้วว่าช่วงนี้เธอร้องไห้ไปแล้วกี่ครั้ง

ทุกวันจมดิ่งอยู่ในบรรยากาศที่เศร้าหมอง

การ “ทรยศ” ของเฉินตง เป็นเหมือนดาบที่กำลังตีร้อนๆ แทงทะลุเข้าไปในหัวใจของเธออย่างแรง

ท้องที่ค่อยๆ โตขึ้นทุกวันๆ เป็นเหมือนความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงที่เธอต้องแบกรับเอาไว้

ตอนนี้ เฉินตงมาแล้ว แต่เธอยังไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้พบหน้าสักครั้ง ก็เกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน

การถูกโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่า ดูราวกับคลื่นที่ถาโถมเข้ามาไม่หยุด

หากเป็นคนอื่น ก็คงไม่ทนรับได้อีกแล้ว

อันที่จริงแล้ว กู้ชิงหยิ่งมีความคิดที่จะฆ่าตัวตายหลายครั้ง

แต่เมื่อนึกถึงลูกที่อยู่ในท้อง เธอก็ข่มความคิดนั้นเอาไว้

ผู้หญิงนั้นอ่อนแอ แต่แม่นั้นแข็งแกร่ง

นี่คือสิ่งที่น่าจะใช้อธิบายสถานะของกู้ชิงหยิ่งในตอนนี้ได้

“ลูกรัก แม่จะต้องอดทนให้ได้ เพื่อลูก แม่จะต้องยืนหยัดต่อไปให้ได้”

กู้ชิงหยิ่งเงยหน้าขึ้น แล้วมองออกไปยังแสงไฟของบ้านเรื่องที่อยู่ด้านนอกทั้งน้ำตา ริมฝีปากแดงระเรื่อของเธอขยับ และในที่สุดก็ส่งเสียงที่เบาและแหบพร่าออกมา : “ที่รัก คุณอยู่ที่ไหนกันแน่ ?”

ภายในห้องหนังสือ

กู้โก๋ฮั๋วกำลังอ่านข้อมูลในจอคอมพิวเตอร์

ข้อมูลที่ปรากฏอยู่มากมายบนจอ เป็นข้อมูลจากการสืบสวนของหน่วยข่าวกรองของบริษัท ซึ่งส่งมาให้ตลอดเวลา

การจ้องมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ตาเขม็ง ทำให้ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยเล้นเลือดสีแดง แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ารู้สึกอ่อนล้า

แต่เขาไม่กล้าที่จะหยุดพัก เขาพยายามที่จะหาเบาะแสให้เจอให้ได้

ไม่ใช่เพื่อเฉินตง แต่เพื่อกู้ชิงหยิ่ง

ในฐานะที่เป็นพ่อ ตอนนี้ลูกสาวซีดเซียวจนดูไม่เป็นผู้เป็นคนแล้ว จะให้เขานั่งเฉยอยู่ได้อย่างไร ?”

ประตูเปิดออก

หลี่หวั่นชิงถือชามใส่ซุปโสมเดินเข้ามา

“คุณพักผ่อนสักหน่อยเถอะค่ะ เอาแต่นั่งดูอยู่แบบนี้ หากร่างกายของคุณรับไม่ไหวจะทำอย่างไร ?”

“คุณไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอก เพื่อลูกสาวของเราแล้ว ผมต้องทนไหวแน่นอน”

กู้โก๋ฮั๋วจ้องคอมพิวเตอร์ตาเขม็ง โบกมือแล้วพูดว่า : “ตอนนี้เฉินตงไม่รู้ที่อยู่แน่ชัด ถึงแม้เทียนอ้ายจะบอกว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แต่คุณกับผมต่างก็ฟังออกว่าเป็นเพียงแค่คำปลอบใจ หากไม่รีบหาเฉินตงให้พบแล้วล่ะก็ คุณคิดว่าเสี่ยวหยิ่งจะทนอยู่ต่อไปได้หรือไม่ ?”

“เฮ้อ……”

หลี่หวั่นชิงถอนหายใจ ไม่คิดขัดขวางอีกต่อไป เธอยกถ้วยซุปโสมไปที่ด้านหน้าของกู้โก๋ฮั๋ว : “คุณพยายามอย่างสุดชีวิตเพื่อลูกสาว ฉันพอจะเข้าใจได้ ถ้าหากฉันมีวิธี ฉันเองก็ยินดีที่จะสู้อย่างสุดชีวิตเพื่อลูกสาวเช่นกัน แต่คุณก็ต้องดูแลตัวเองให้ดีก่อน ดื่มซุปโสมให้หมด แล้วพักผ่อนสักห้านาทีได้ไหมคะ ?”

“ผมไม่ดื่มดีกว่า คุณยกซุปเสริมไปให้ลูกดื่มเถอะ”

กู้โก๋ฮั๋วบีบจมูกด้วยความอ่อนล้า : “ตอนนี้เธอกินไม่ได้นอนไม่หลับ มิหนำซ้ำยังตั้งท้องอีก จึงต้องการการบำรุงมากที่สุด ผมไม่เป็นไร ข่าวพวกนี้ต้องรีบอ่านโดยเร็ว หากหยุดเพียงครู่เดียว ผมเกรงว่าจะพลาดเบาะแสสำคัญ”

“คุณ……”

หลี่หวั่นชิงแสดงท่าทีโมโห แต่ในที่สุดก็กลืนคำพูดกลับลงไป

และแสดงท่าทีโศกเศร้าและจนใจออกมาแทน : “เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ขึ้น เจ้าบ้านตระกูลเฉินเองก็มาหายตัวไป แล้วจะให้พวกเราทำเช่นไร”

พูดจบ เธอก็ยกถ้วยซุปโสมเดินออกจากห้องหนังสือไป

กู้โก๋ฮั๋วจ้องเขม็งไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ การแสดงออกของเขากลับค่อยๆ เคร่งขรึมขึ้นเรื่อยๆ : “ละครฉากนี้ เกรงว่าจะขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ คลื่นลูกนี้ แม้แต่ตัวฉันเอง ก็ไม่รู้ว่าจะรับมือไหวหรือไม่”

กลางดึกที่เงียบสงัด

ภายในสมาคมซานเหอ

ภายในตงหย่วน มีแสงไฟส่งสลัวๆ

เฉินตงที่นอนอยู่บนเตียง หนังตากระตุกสองครั้ง และในที่สุดก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ อย่างยากลำบาก

“เสี่ยวหยิ่งกับลูกยังรอฉันไปขอโทษอยู่ ยังรอฉันไปรับกลับบ้าน”

หลังจากที่ดวงตาของเขาค่อยๆ ปรับจนรับกับแสงภายในห้องได้

แววตาของเฉินตงก็ดูมุ่งมั่นอย่างถึงที่สุด ราวกับจะทำลายล้างของทุกสิ่งที่วางอยู่ตรงหน้า

“เสี่ยวหยิ่งกำลังตามหาฉันอยู่ ฉันจะต้องดีขึ้นโดยเร็วให้ได้ เพื่อเธอแล้ว ต่อให้ต้องข้ามน้ำข้ามทะเลก็ยอม ไม่ต้องพูดถึงสภาพร่างกายในตอนนี้”

การหมดสติไปตลอดหนึ่งสัปดาห์เต็มๆ ทำให้เฉินตงรู้สึกแขนขาไร้ซึ่งเรี่ยวแรง

หลังจากการปรับตัวเพียงครู่หนึ่ง เขาก็ลองขยับแขนขาดู

แต่เขาก็ไม่ได้รีบร้อน ค่อยๆ ไปทีละก้าวๆ

สามารถกลับมามีชีวิตได้อีกครั้งก็นับว่าโชคดีมากแล้ว ตอนนี้จึงไม่จำเป็นต้องรีบร้อนให้มากนัก

นิ้วมือ นิ้ว แขน……

เฉินตงค่อยๆ ขยับดูทีละนิดๆ

ทุกครั้งที่ขยับ สำหรับเขาแล้ว ถือเป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างมาก

แม้แต่การยกนิ้วมือง่ายๆ ยังรู้สึกหนักอึ้งราวกับว่ายกของหลายร้อยกิโล

ไม่ช้า หน้าผากของเขาก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ

เย่หลิงหลงฟุบอยู่ข้างๆ เตียง ขณะที่นั่งเฝ้าเธอก็ผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว

ตอนนี้อยู่ในอาการสะลึมสะลือ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ข้างๆ

เธอเงยหน้าขึ้น แล้วขยี้ตาที่เลือนรางของเธอ

เมื่อเห็นเฉินตงลืมตาอยู่ ดวงตาคู่งามของเธอก็เป็นประกายขึ้นมาทันที และได้สติขึ้นมา

“ในที่สุดคุณก็ลืมตาแล้ว !”

เฉินตงไม่ได้สนใจ ยังคงลองขยับร่างกายต่อไป

ไม่ช้า เย่หลิงหลงสังเกตเห็นว่าเฉินตงกำลังพยายามขยับมือ จึงรู้สึกดีใจขึ้นมาทันที

เธอพูดปลอบใจอย่างระมัดระวัง : “ไม่ต้องรีบร้อน ค่อยเป็นค่อยไป จะต้องดีขึ้นแน่นอน คุณหมดสติไปหนึ่งสัปดาห์แล้ว คนธรรมดาหากนอนหลับบนเตียงหนึ่งสัปดาห์ก็คงชาไปทั้งตัว ค่อยๆ ขยับ ถูกแล้ว แบบนี้แหละ”

ทว่า

ในขณะที่เธอกำลังปลอบใจ

ท่าทางของเฉินตงก็ดูหวาดกลัวขึ้นมาทันที ดวงตาของเขาเบิกโพลงและแดงก่ำขึ้นมา

ราวกับ……เห็นผีก็ไม่ปาน

ภาพนี้ ทำให้เย่หลิงหลงตกใจอย่างมาก

เธอรีบถามขึ้นทันที : “เฉินตง คุณ คุณเป็นอะไรไป ? คุณอย่าทำให้ฉันตกใจสิ !”

“ขาของฉัน……”

เฉินตงออกแรงขยับปากของเขา แล้วส่งเสียงแหบพร่าด้วยความกลัวออกมา : “ทำไมถึงไม่มีความรู้สึก ?”

หลังจากพูดจบ

เทียนอ้ายก็สูดหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง แล้วถอยหลังไปสองสามก้าว

วินาทีต่อมา เธอวิ่งตรงไปข้างหน้าด้วยความเร็ว

เธอกระโดดลอยตัวขึ้นไปในอากาศ เหยียบกำแพงสองครั้ง และข้ามกำแพงได้อย่างง่ายดาย

ตุ๊บ !

เท้าทั้งสองข้างแตะถึงพื้น

เทียนอ้ายรู้สึกดีใจ ด้วยฝีมือของเธอ หากคิดที่จะปีนกำแพงเข้ามา ถือว่าเป็นเรื่องง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ

ในขณะที่กำลังภาคภูมิใจอยู่นั้น เธอเองก็ไม่กล้าประมาทเช่นกัน

สมาคมซานเหอเป็นองค์กรใหญ่ของหงหุ้ย หากถูกจับได้ว่าเธอแอบลักลอบเข้ามา จะต้องเกิดปัญหาใหญ่ขึ้นแน่นอน

เทียนอ้ายเดินเลียบไปตามกำแพงอย่างระมัดระวัง ใบหน้าอันงดงามของเธอดูเคร่งขรึม ดวงตาคอยสอดส่องโดยรอบอยู่ตลอดเวลา

นี่คือลานที่เงียบสงบมาก

“ลานที่เงียบสงบเช่นนี้ คงจะไม่มีใครเดินผ่านมาหรอกนะ ?”

เทียนอ้ายรู้สึกวางใจ

ทว่า

จ๊อกๆ……

จู่ๆ ก็มีเสียงน้ำไหลดังขึ้น

ราวกับเสียงฟ้าผ่า

ทำลายความสงบของลานไปหมดสิ้น

เส้นประสาทของเทียนอ้ายตึงเครียดขึ้นทันที

ยังไม่ทันที่เธอจะได้หันหลังกลับ ก็มีเสียงที่นุ่มนวลดังขึ้นจากทางด้านหลัง

“ขอโทษด้วยนะ ถ้าไม่มีอะไรเข้าใจผิด ฉันก็ถือว่าเป็นคนคนหนึ่ง”

รูม่านตาของเทียนอ้ายหดลงถึงขีดสุดด้วยความตกใจ

หัวใจเต้นระส่ำ

เธอหันหลังกลับไปทันที จากนั้นจึงพบเข้ากับใบหน้าที่งดงามจนเหนือคำบรรยายกำลังจ้องมองเธออยู่ ดวงตากลมโตเปล่งประกายราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า จ้องเขม็งมาที่เธอ

สวรรค์ สวยเกินไปไหม ?

เทียนอ้ายตกอยู่ในภวังค์ทันที

ถึงแม้ตัวเธอเองจะเป็นผู้หญิง แต่เมื่อเห็นใบหน้านี้ก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตะลึง

ยิ่งไปกว่านั้น ถึงแม้ตอนนี้ใบหน้านั้นจะจ้องเขม็งมาที่เธอ แต่กลับทำให้เธอตื่นตะลึง และรู้สึกราวกับว่าหัวใจกำลังจะละลาย

เดี๋ยวก่อน ที่ฉันถูกเจอตัวเข้าแล้วนี่ !

ทำไมยังมัวแต่สนใจใบหน้าของผู้หญิงคนนี้อยู่อีก ?

อันที่จริงแล้ว เย่หลิงหลงเองก็อึ้งไปเช่นเดียวกัน

เธอเป็นหงกุ้นของหงหุ้ย และเป็นหลานสาวคนเดียวของจู่เหล่ารุ่นหยวน เย่หยวนชิว

ตั้งแต่จำความได้ น้อยมากที่จะมีคนแอบเข้ามาในสมาคมซานเหอ

เพราะคนที่ติดต่อกับหงหุ้ยจริงๆ จะรู้ดีว่า สมาคมจงเหอคือสถานที่เช่นไร

แต่ครั้งนี้ เป็นครั้งแรกที่เธอเคยพบ !

ผู้หญิงที่ปีนกำแพงเข้ามาตรงหน้า ก็ถือว่าเป็นการบุกรุก !

เพียงแต่ “การพบกันโดยบังเอิญ” ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ก็ทำให้เย่หลิงหลงตั้งสติไม่ได้ไปพักใหญ่เช่นกัน

นิ้วหัวแม่มือด้านขวางอุดก๊อกน้ำเอาไว้ แต่บางครั้งก็ปล่อยมือออกและมีน้ำไหลออกมา จากนั้นก็ถูกนิ้วมืออุดขึ้นอีกครั้ง

เป็นอยู่เช่นนี้

ภาพทุกอย่างหยุดนิ่งลงเป็นเวลาห้าวินาที

จู่ๆ เทียนอ้ายก็พูดขึ้นว่า : “เอ๊ะ ! แปลกจริงๆ ดูเหมือนฉันจะมาผิดที่แล้ว ขอโทษด้วยนะคะ ฉันขอตัวก่อน”

ขณะที่พูด เธอก็เดินถอยหลังไปสองสามก้าว และเตรียมที่จะกระโดดข้ามกำแพงออกไป

หากถูกจับได้ว่าลักลอบเข้ามาในองค์กรใหญ่ของหงหุ้ย จะต้องเกิดปัญหาใหญ่ขึ้นแน่นอน

ยิ่งไปกว่านั้น อาจกระทบไปถึงตำแหน่งของเธอด้วย

“หยุดเดี๋ยวนี้ !”

เย่หลิงหลงตั้งสติได้ ใบหน้าอันงดงามของเธอปกคลุมไปด้วยน้ำค้างแข็งทันที

เธอทิ้งก๊อกน้ำ แล้วยืนขวางอยู่หน้ากำแพง แววตาเต็มไปด้วยความดุดัน

“เธอคิดว่าฉันโง่หรือยังไง ? ปีนกำแพงเข้ามาในสมาคมซานเหอ แล้วยังจะบอกว่ามาผิดอีกหรือ ?”

ท่าทางดุดัน น้ำเสียงเย็นชา : “หากเธอจะไป ก็ได้ ! หากเธอไม่ทิ้งอะไรเอาไว้สักอย่าง ก็ต้องเอาชนะฉันให้ได้ !”

แย่แล้ว !

เทียนอ้ายตะโกนเสียงดังขึ้นในใจ

แต่ก็ยังมีท่าทีสุขุม ดวงตาของเธอเหลือบไปมองประตูใหญ่ของลาน แล้วรู้สึกกลัวเล็กน้อย

“วางใจเถอะ ไม่มีคนเข้ามาแน่นอน ต่อให้มีคนเข้ามา ฉันก็จะห้ามไม่ให้พวกเขาลงมือ” เย่หลิงหลงเดาความคิดของเทียนอ้ายออก

เทียนอ้ายยักไหล่ : “ฉันไม่ชอบทำร้ายผู้หญิง เธอก็ถือซะว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้น……”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ เธอก็จงใจหยุดพูดไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงกำหมัด แล้วแสดงท่าทีน่าสงสารออกมา และกล่าวอ้อนวอน : “ฉันขอร้องเธอล่ะ ปล่อยฉันไปเถอะ ถือว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นก็แล้วกัน”

ล้อเล่นน่า !

แอบลักลอบเข้ามาในองค์กรใหญ่ของหงหุ้ย นั่นเท่ากับกระตุกหนวดเสือชัดๆ

ยังดีที่ตอนนี้มีแค่ผู้หญิงคนนี้เพียงคนเดียว

หากรู้ไปถึงหูของคนอื่นๆ ในสมาคมซานเหอ วันนี้เธอถูกฝังอยู่ที่นี่อย่างแน่นอน

ถึงแม้นิสัยของเทียนอ้ายจะชอบเอาชนะ แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นไม่รู้จักกลัวตาย

หากสามารถเอาตัวรอดไปได้จึงถือเป็นเรื่องดี ส่วนศักดิ์ศรีสำคัญตรงไหน ?

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการอ้อนวอนที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เย่หลิงหลงเองก็ตกตะลึงไปเช่นกัน

จากนั้น สีหน้าของเธอก็ยิ่งเย็นชามากขึ้น

“เธอกำลังดูถูกฉันอย่างนั้นหรือ ? อะไรที่เรียกว่าไม่รังแกผู้หญิง ?”

เย่หลิงหลงเอ่ยปากพูดขึ้นทันที แววตาของเธอเผยความดุร้ายออกมา

เธอเป็นหนึ่งในหงกุ้นของหงหุ้ย อาศัยความมุ่งมั่นในการฝึกฝนมาตั้งแต่เด็ก จุดประสงค์ก็เพื่อที่จะลบคำสบประมาทว่าเธอเป็นเพียงผู้หญิง และสายตาที่แปลกประหลาดที่มองเธอว่าเป็นหลานสาวของเย่หยวนชิว

ตอนนี้ คำพูดหนึ่งประโยคของเทียนอ้าย แทงใจดำของเธอเข้าอย่างจัง

วินาทีถัดมา

เย่หลิงหลงทำตัวเหมือนลูกศร พุ่งตรงเข้าหาเทียนอ้ายในทันที

เทียนอ้ายเคร่งขรึมลง รู้ดีว่าไม่อาจหลบเลี่ยงได้อีก

เธอกัดฟันแล้วพุ่งตรงเข้าไปหาเย่หลิงหลง

ตุ้บ !

ทั้งสองเผชิญหน้ากัน และปล่อยหมัดเข้าใส่อีกฝ่ายโดยไม่ลังเล

แทบจะในเวลาเดียวกัน ทั้งสองฝ่ายหน้าถอดสีพร้อมกันทันที

หมัดนี้เป็นการหยั่งเชิง

ทั้งสองต่างตกตะลึงในความสามารถของฝ่ายตรงข้าม

คนหนึ่งเป็นหงกุ้นของหงหุ้ยที่ได้รับการฝึกฝนมาตั้งแต่เด็ก ส่วนอีกคนก็เป็นสมาชิกขององค์กรระหว่างประเทศที่ได้รับการฝึกฝนมาตั้งแต่เด็ก

แน่นอนว่าต้องมีอีกฝ่ายที่เหนือกว่า

แต่หากจะพูดว่าเหนือกว่ามากน้อยแค่ไหนนั้น คงไม่อาจตัดสินออกมาได้

หนึ่งหมัดที่ต่อยออกไป ยังไม่มีใครเพลี่ยงพล้ำ

แต่นี่เป็นการจุดประกายจิตวิญญาณในการต่อสู้ของทั้งสองฝ่าย

จากนั้นทั้งสองก็ปล่อยหมัดและเท้าเข้าโจมตีอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วราวกับพายุ

หมัดและเท้าที่รวดเร็วเหมือนพายุ พุ่งเข้าโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่า

“ผู้หญิงอ่อนแอ” ในสายตาของคนรอบข้าง กลับใช่การโจมตีที่ดุดันอย่างถึงที่สุดในการต่อสู้

แต่เป็นเพราะเกี่ยวพันถึงชาติกำเนิด

ฝีมือของเย่หลิงหลง เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเหนือชั้นกว่าเมียนอ้าย หรือพูดได้ว่าดุดันกว่าเทียนอ้ายเล็กน้อย

และเป็นเพราะความแตกต่างเช่นนี้

หลังจากต่อสู้ไปสักพัก เทียนอ้ายก็เริ่มเสียเปรียบ

เธอฝึกฝนตั้งแต่เล็กจนโต แต่ไม่ว่าจะฝึกอย่างไร ก็ไม่อาจสู้เย่หลิงหลงที่เติบโตมาพร้อมกับการสั่งสมประสบการณ์การต่อสู้ตั้งแต่ยังเด็กไม่ได้

หงกุ้นประจำพื้นที่ เป็นตัวแทนที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการต่อสู้สูงสุดของพื้นที่นั้นแล้ว

ซึ่งเป็นตำแหน่งที่แลกมาด้วยการใช้หมัดต่อสู้ !

ไม่แน่ว่าในด้านอื่น เทียนอ้ายอาจจะเหนือกว่าเย่หลิงหลง

แต่การต่อสู้ด้วยหมัดและเท้า เทียนอ้ายย่อมด้อยกว่าเย่หลิงหลงแน่นอน

ตุ้บ !

ในขณะที่ต่อสู้กันอยู่นั้น เย่หลิงหลงแสดงท่าทีดุดันออกมา แล้วฉวยโอกาสชกเข้าไปที่หน้าอกของเทียนอ้าย

และในขณะที่เทียนอ้ายถอยร่นไปด้านหลัง ก็ฉวยโอกาสใช้กรงเล็บจับเข้าไปที่แขนขวาของเย่หลงหลิง จนเกิดเป็นรอยถลอกขึ้นสามเส้น

“ฮู่~”

หลังจากเทียนอ้ายยืนได้อย่างมั่นคง เธอก็รีบหายใจหายใจเข้าด้วยท่าทีเจ็บปวดทันที จากนั้นจึงจ้องเขม็งไปที่เย่หลิงหลงด้วยความโกรธ : “ดูเหมือนเธอจะไม่ใช่คนดีเท่าไหร่นะ ทำไมถึงชกลงมาในที่แบบนี้ได้ ?”

“มันเล็กเกินไป ก็เลยช่วยเพิ่มขนาดให้หน่อย”

เย่หลิงหลงขมวดคิ้วแน่น แล้วเหลือบไปมองรอบแผลบนแขน และไม่ได้สนใจ จากนั้นจึงพุ่งตัวเข้าใส่เทียนอ้ายด้วยความเร็วราวกับพายุอีกครั้ง

ท่าทีดุร้าย ราวกับเสือที่กระโจนลงมาจากภูเขา

เทียนอ้ายขมวดคิ้ว เส้นเลือดบริเวณหางตาของเธอกระตุกสองสามครั้ง

แต่ก็ไม่ได้หลบหลีก และพุ่งตรงเข้าต่อสู้เช่นกัน

เพียงแต่การเผชิญหน้ากับเย่หลิงหลงในแต่ละครั้ง เธอจะค่อยๆ เขยิบตัวเข้าไปใกล้กำแพงโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันจะสังเกตเห็น

“ฉันขอสู้ตายกับเธอ !”

จู่ๆ เทียนอ้ายก็ตะโกนออกมาเสียงดัง เท้าขวาของเธอเตะทะลุอากาศไปอย่างรวดเร็วราวกับแส้ และพุ่งตรงเข้าใส่ด้านข้างลำตัวของเย่หลิงหลง

ใช้แรงอันหนักหน่วงและรวดเร็วดุจสายฟ้า

ใบหน้าของเย่หลิงหลงเคร่งขรึมลง เธอยกแขนทั้งสองข้างขึ้นมาและพุ่งตรงเข้าไป

ตุ้บ !

เท้าที่เป็นเหมือนแส้โจมตีเข้ามาอีกครั้ง ที่น่าตกใจก็คือทำให้เย่หลงหลิงต้องโซเซถอยหลังไปหลายก้าว

ใบหน้าเย็นชาของเธอ ในที่สุดก็ปรากฏท่าทีของความเจ็บปวดขึ้นมา แขนทั้งสองข้างรู้สึกเจ็บปวด

ทว่า

“ลาก่อนนะ”

เทียนอ้ายโจมตีสำเร็จ แต่เธอไม่ได้อาศัยจังหวะที่ได้เปรียบเข้าโจมตีอีกครั้งเพื่อเอาชนะ แต่กลับหันหลัง แล้วกระโดดข้ามกำแพงไป

ภาพนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก

เย่หลิงหลงผงะไปทันที

นิ้วอันเรียวงามบนมือที่ขาวนวลเนียนขยับโดยไม่รู้ตัว

เมื่อครู่ เธอถึงขนาดเตรียมตัวที่จะรับการโจมตีจากเทียนอ้ายอีกครั้ง และงัดกลยุทธ์ทุกอย่างมาใช้ในการต่อสู้

“ผู้หญิงคนนี้ต่างหากที่ไม่ใช่คนดี”

เย่หลงหลิงก่นด่าไปหนึ่งประโยค จากนั้นจึงขยับแขนทั้งสองข้าง แล้วพูดออกมาเหมือนมีความคิดอะไรบางอย่าง : “แต่สาเหตุที่ผู้หญิงคนนี้แอบลักลอบเข้ามาในสมาคมซานเหอ เป็นเพราะอะไรกันแน่ ? ดูๆ แล้วไม่เหมือนคนที่มีจุดประสงค์ร้ายนะ”

ภายในห้อง

เฉินตงนอนอยู่บนเตียง

เสียงตะโกนและเสียงต่อสู้ที่เกิดขึ้นด้านนอกเมื่อครู่ เขาได้ยินชัดเจนทั้งหมด

หนึ่งในเสียงที่ได้ยิน เขาสามารถแยกแยะออกมาได้อย่างรวดเร็วว่า เป็นเสียงของเทียนอ้าย !

เพียงแต่สภาพของเขาในตอนนี้ ไม่อาจที่จะหยุดการต่อสู้ในครั้งนี้ได้

แต่ว่าการมาของเทียนอ้าย กลับทำให้เฉินตงรู้สึกดีใจ

“เสี่ยวหยิ่งเป็นคนให้เธอมาตามหาฉันหรือ ?”

ย่านไชน่าทาวน์

บรรยากาศคึกคัก ผู้คนพลุกพล่าน

ในอีกซีกโลกหนึ่ง ทุกเมืองล้วนมีไชน่าทาวน์หนึ่งแห่ง

เป็นที่สำหรับคนที่จากบ้านมาไกล จะได้รำลึกถึงบ้านเกิดและปลดปล่อยความรู้สึกออกมา

ลัมโบร์กีนีขับอยู่บนถนนส่งเสียงดังสนั่น ทำให้เป็นที่ดึงดูดสายตาของผู้ที่พบเห็น

เอี๊ยด !

ในที่สุด ลัมโบร์กีนีก็มาจอดอยู่ที่ด้านหน้า “สมาคมซานเหอ”

เป็นสมาคมที่ยิ่งใหญ่ ตั้งอยู่ในไชน่าทาวน์ เด่นตระหง่านอยู่ท่ามกลางฝูงชน และมีบรรยากาศที่เคร่งขรึม

เมื่อเปรียบเทียบกับถนนที่มีชีวิตชีวาและผู้คนพลุกพล่าน ดูเหมือนสมาคมจะดูเงียบเหงาและรกร้างกว่าไม่น้อย

ซุ้มประตูขนาดใหญ่ มีตัวอักษรคำว่า “สมาคมซานเหอ” เขียนเอาไว้ และมีภาพวาดเหล็กรูปมังกรกับนกฟีนิกซ์แขวนประดับตกแต่งอยู่

ชายคาประดับด้วยอิฐแขวนสีเขียว ตามแบบฉบับโบราณ

ภายใต้บรรยากาศที่มีฝนตกปรอยๆ แผ่นกระเบื้องดินสีน้ำเงินที่มีตะไคร่เกาะอยู่เล็กน้อย เผยให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงและความโบราณ

ตรงมุมมีถังน้ำวางอยู่ ในถังน้ำมีดอกบัวปลูกไว้ เมื่อมีฝนตกโปรยปรายลงมา ทำให้ภาพของดอกบัวช่างดูงดงามเป็นอย่างมาก

เทียนอ้ายลงจากรถ แล้วค่อยๆ เดินเข้าไปใน “สมาคมซานเหอ”

“สถานที่ส่วนบุคคล ห้ามคนนอกเข้า !”

มีเสียงหนึ่งดังขึ้นด้วยความโกรธ ทำให้เทียนอ้ายหยุดฝีเท้าลงทันที

ดวงตาคู่งามของเธอเป็นประกาย แล้วหันมองตามเสียงนั้นไป

คนหนุ่มสี่คนที่แต่งกายด้วยเสื้อคอจีน กำลังเดินตรงเข้ามาหาเธอด้วยท่าทีเคร่งขรึม

“ฉันเพียงแค่เข้ามาดูเท่านั้น” เทียนอ้ายยิ้มเล็กน้อย “ทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นคนบ้านเดียวกัน ทำไมจะต้องเข้มงวดขนาดนี้ด้วย ? ฉันเองก็ไม่ใช่ขโมยสักหน่อย”

“สถานที่ส่วนบุคคล ถ้าเธอยังไม่รีบออกไปอีกล่ะก็ อย่าหาว่าพวกเราเสียมารยาทก็แล้วกัน”

เด็กหนุ่มที่เป็นหัวหน้าพูดอย่างจริงจัง ไม่เหลือโอกาสให้เทียนอ้ายยืดเยื้อได้ต่อ

เทียนอ้ายยักไหล่ แล้วทำทีท่าไม่สนใจ จากนั้นจึงหันหลังเดินจากไป

หลังจากกลับเข้าไปในลัมโบร์กีนี เธอขยี้ผมของตัวเองด้วยความหงุดหงิด แล้วบ่นพึมพำ

“องค์กรใหญ่ของหงหุ้ยก็คือองค์กรใหญ่ของหงหุ้ย จะพูดว่าเป็นที่ส่วนบุคคลอะไรกัน ?”

หลังจากสตาร์ทรถ ลัมโบร์กีนีก็แล่นไปจนสุดถนน

ด้วยสถานะที่พิเศษของเทียนอ้าย หากต้องการให้องค์กรช่วยตรวจสอบจริงๆ ว่าองค์กรใหญ่ของหงหุ้ยอยู่ที่ไหน ก็เป็นเรื่องที่ง่ายดายเหมือนพลิกฝ่ามือ

แต่ตอนนี้แม้แต่ประตูก็ยังเข้าไปไม่ได้ หากต้องการสืบหาความจริง คงจะเป็นเรื่องที่ยากพอดู !

เมื่อเห็นลัมโบร์กีนีแล่นออกไปไกล ชายหนุ่มที่เป็นหัวหน้าก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า : “ให้สองคนคอยยืนเฝ้าอยู่ด้านนอก ช่วงนี้ในสมาคมของเรามีแขกคนสำคัญที่เราช่วยขึ้นมาจากทะเล จะประมาทไม่ได้เด็ดขาด หากไม่ใช่คนของหงหุ้ย ห้ามเข้าไปในสมาคมซานเหอ และสมาชิกรุ่นเยาว์ทั้งหมด ห้ามเข้าไปในตงหย่วน”

“เข้าใจแล้วครับ”

ชายหนุ่มกำชับอีกครั้ง แต่จงใจลดเสียงให้เบาลง

“อย่าหาว่าฉันไม่เตือนพวกนาย ฉันได้ข่าวมาเล็กน้อย แขกคนสำคัญที่ถูกช่วยขึ้นมานั้น แม้แต่ท่านเย่และหลงโถวยังต้องให้ความเคารพ ช่วงนี้ท่านเย่ให้หงกุ้นเย่หลิงหลงเป็นคนดูแลแขกพิเศษท่านนั้น หากทำอะไรที่เป็นการรบกวนไปถึงแขกคนสำคัญท่านนั้น พวกนายน่าจะรู้ผลที่จะตามมาดีใช่ไหม”

เมื่อได้ยินดังนั้น

อีกสามคนที่เหลือก็รู้สึกตกใจ และมีท่าทีที่เคร่งขรึมลง

ภายในตงหย่วน สมาคมซานเหอ

พรวด……

เย่หลิงหลงเทน้ำเรียบร้อยแล้ว ก็เดินกลับมาที่ห้อง

ผลักเปิดประตูห้องที่ปิดสนิทอยู่ แล้วหันมองเฉินตงที่นอนอยู่บนเตียง

ใบหน้าอันงดงามของเธอ ปรากฏสีหน้าของความเป็นห่วงเป็นใยขึ้นมา

“ตอนที่พวกเราจากกัน คุณยังไม่ได้มีสภาพเช่นนี้ นี่เพิ่งจะผ่านไปเพียงไม่กี่วัน ทำไมคุณถึงต้องทรมานตัวเองจนกลายเป็นแบบนี้ด้วย บินข้ามน้ำข้ามทะเลมาไกล เพื่อมาหาเธอ น่าอิจฉาภรรยาของคุณจริงๆ คุณปู่พูดถูกต้อง เรื่องของพรหมลิขิต ช้าหรือเร็วไปเพียงวินาทีเดียวก็ไม่ได้ ต้องโทษที่ฉันไม่อาจเข้ามาในเวลาที่เหมาะสมได้”

ขณะที่พูด เย่หลิงหลงมีท่าทีโทษตัวเองและรู้สึกผิด

“และต้องโทษฉัน ที่ทำให้คุณต้องเดินทางมาไกลและต้องพบกับอันตรายเช่นนี้”

ด้วยความสามารถของหงหุ้ย หากต้องการสืบหาจุดประสงค์ในการเดินทางของเฉินตงในครั้งนี้ ถือว่าไม่ใช่เรื่องยาก

ยิ่งไปกว่านั้น เย่หยวนชิวและเย่หลิงหลงเองก็รู้แก่ใจดีว่า เฉินตงกับกู้ชิงหยิ่งเข้าใจผิดกันด้วยเรื่องใด

แต่สิ่งที่เหนือความคาดหมายของสองปู่หลานก็คือ พวกเขาฟังคำขู่ของเขาคนนั้นและยอมเดินทางกลับมายังอีกซีกโลกหนึ่งแล้ว

แต่ไม่ช้า เฉินตงกลับตามมาติดๆ

มิหนำซ้ำยังกลายมามีสภาพอย่างเช่นตอนนี้อีก

เดิมที เธอตั้งใจที่จะติดต่อกู้ชิงหลินให้มารับเขา

แต่คุณปู่และหลงโถวห้ามเอาไว้

การลอบสังหารนี้ไม่ปกติ หากส่งตัวเฉินตงไปที่ตระกูลกู้อย่างง่ายดาย เกรงว่าจะเกิดการลอบสังหารอีกครั้งหนึ่งขึ้น ถึงขั้นอาจทำให้ตระกูลกู้ต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย

เย่หลิงหลงค่อยๆ เดินเข้าไปที่เตียง มองดูเครื่องมือการรักษาที่วางอยู่รอบๆ แล้วถอนหายใจออกมา

หลังจากนั่งลงข้างๆ เฉินตง เธอก็มองดูใบหน้าของเฉินตงแล้วเหม่อลอยไป

ภายในเขตวิลล่าเขาเทียนซาน ตอนนี้เป็นเวลาใกล้จะเที่ยงคืนแล้ว

“อะไรนะ ? !”

ท่านหลงที่กำลังง่วงนอน กระโดดโหยงขึ้นจากเตียงทันที ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตกใจ : “คุณชายของฉัน……ใครเป็นคนทำ ? เป็นฝีมือของใครกันแน่ ?”

นิ่งเงียบไปสักพัก

ใบหน้าของท่านหลงก็แสดงความโกรธแค้นออกมา

เขาผู้ซึ่งปกติแล้วนิ่งสงบดั่งขุนเขา และเยือกเย็นดั่งสายน้ำ บัดนี้กลับมีใบหน้าที่ดุร้ายราวกับสัตว์ป่าที่กำลังโกรธจัดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“ไม่ต้องติดต่อนายท่านของเรา เรื่องนี้ผมจะจัดการด้วยตัวเอง !”

ตู้ด !

วางสายโทรศัพท์

ใบหน้าของท่านหลงดุร้ายอย่างมาก ดวงตาของเขาส่องประกายความอำมหิตออกมา

ในขณะที่เขากำลังกัดกระพุ้งแก้มอย่างแรง มือขวาของเขาก็บีบโทรศัพท์จนเกิดเสียงดังกรอบแกรบขึ้น

“หานายท่าน ? ตอนนี้ฉันติดต่อกับนายท่านไม่ได้ ! ตอนนี้คุณชายมาเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก……เป็นความผิดของฉันจริงๆ !”

แววตาของท่านหลงสั่นคลอน และรู้สึกโทษตัวเอง

เป็นเวลาที่ประจวบเหมาะพอดี

ฟ่านลู่ที่เพิ่งกลับจากโรงพยาบาลเดินเข้ามา และเห็นท่าทีของท่านหลง

เธอรู้สึกสงสัยในทันที : “ท่านหลง เกิดเรื่องอะไรขึ้น ?”

ท่านหลงพูดด้วยท่าทีเคร่งขรึม : “ฟ่านลู่ ทุกอย่างทางนี้ฝากเธอด้วยนะ ฉันมีเรื่องด่วนอย่างมากที่ต้องออกไปจัดการ”

พูดจบ เขาก็ทิ้งฟ่านลู่ให้อยู่กับความสงสัย แล้วเดินขึ้นไปเก็บสัมภาระด้านบน

ผ่านไปสิบนาที

ท่านหลงก็ออกจากวิลล่าเขาเทียนซาน

ส่วนอีกทางด้านหนึ่ง

ในสมาคมซานเหอ

เย่หลิงหลงยังคงนั่งเหม่อลอยอยู่

ภาพที่เห็น เหมือนใบหน้าของเฉินตง เข้ามาประทับอยู่ในดวงตาของเธอ

บรรยากาศรอบข้างเงียบสงัด มีเพียงเสียงตี๊ดๆๆ ของอุปกรณ์ในการรักษาดังขึ้นเบาๆ เท่านั้น

พักใหญ่

“เมื่อไหร่คุณจะลืมตามามองฉันได้สักที ?”

ในขณะที่เย่หลิงหลงกำลังเหม่อเลย จู่ๆ ก็พูดออกมาหนึ่งประโยค

เมื่อพูดคำพูดนี้ออกไป แม้แต่ตัวเธอเองก็ตกตะลึง

เย่หลิงหลงตบหน้าตัวเองด้วยความรู้สึกทั้งอับอายและโกรธ จากนั้นจึงกล่าวโทษตัวเอง : “สวรรค์ เย่หลิงหลง เธอพูดบ้าอะไรออกมาเนี่ย ? เขาแต่งงานแล้วนะ หรือเธอเป็นคนไร้ยางอาย ?”

ขณะที่พูด เย่หลิงหลงก็รู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งตัว

เธอรีบลุกขึ้นแล้วเดินออกไปด้านนอก : “ตื่นได้แล้ว เย่หลิงหลง เธอควรรู้ตัวสักที ไปอาบน้ำเย็นๆ สักครั้ง ใช่แล้ว ไปอาน้ำเย็นๆ สักครั้งน่าจะทำให้ฉันรู้สึกตัวขึ้นได้”

ส่วนบนเตียงผู้ป่วย

ดวงตาของเฉินตงขยับเล็กน้อย

ขณะที่เย่หลิงหลงเหม่อลอยไปเมื่อครู่ อันที่จริงตัวเขาเองรู้สึกตัวขึ้นมาแล้ว

เพียงแต่ร่างกายอ่อนแออย่างมาก ทำให้เขาไม่อาจแสดงท่าทีให้คนอื่นสังเกตเห็นได้ว่าเขาฟื้นแล้ว

“เฮ้อ……”

ได้ยินคำพูดเมื่อครู่ของเย่หลิงหลง ทำให้เฉินตงถอนใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้

เย่หลิงหลงเดินออกจากห้องไป ก็ตรงไปยังก๊อกน้ำ จากนั้นก็สาดน้ำใส่หน้าของตนเองสองสามครั้ง แต่ความคิดที่สับสนวุ่นวายก็ยังไม่เลือนหายไป

“คงต้องอาบน้ำเย็นสักครั้งแล้วจริงๆ ใช่ไหม ?”

เย่หลิงหลงลังเล แล้วค่อยๆ ตบหน้าตัวเองเบาๆ

ในเวลาเดียวกันนี้

ด้านนอกสมาคมซานเหอ

หลังจากเทียนอ้ายออกจากไชน่าทาวน์ เธอก็ขับลัมโบร์กีนีไปจอดในลานจอดรถใกล้ๆ จากนั้นจึงเดินกลับเข้าไปในไชน่าทาวน์ด้วยตัวเอง แล้วอ้อมไปทางด้านข้างของสมาคมซานเหอ

เธอยืนมองกำแพงที่สูงตระหง่าน

เทียนอ้ายยิ้มออกมาอย่างภูมิใจ : “กำแพงเตี้ยแค่นี้ คิดจะขวางฉันหรือ ? เข้าทางประตูใหญ่ไม่ได้ แล้วคิดว่าฉันจะปีนกำแพงเข้าไปไม่ได้หรืออย่างไร ?”

“กลับไปคุยกันที่บ้านเถอะ”

เทียนอ้ายพูดด้วยท่าทีจริงจัง

กู้ชิงหยิ่งดูสับสนเล็กน้อย เธอพยักหน้า ลุกขึ้นกำลังจะเดินไปด้านหน้า

แต่เพราะกินไม่ได้นอนไม่หลับมาหลายวัน ทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย กำลังขาอ่อนแรงและเดินโซเซ

เทียนอ้ายตกใจมาก จึงรีบเดินเข้าไปประคอง

“ทำไมเธอต้องทรมานตัวเองแบบนี้ด้วย ?” เทียนอ้ายพูด

กู้ชิงหยิ่งยิ้มอย่างเศร้าหมองโดยไม่พูดอะไร

กลับไปถึงด้านในคฤหาสน์

กู้โก๋ฮั๋วและหลี่หวั่นชิงเองก็เดินลงมาด้านล่าง

หลี่หวั่นชิงรีบเดินเข้าไปประคองกู้ชิงหยิ่ง

ส่วนกู้โก๋ฮั๋วก็เชื้อเชิญให้เทียนอ้ายนั่งลง แล้วถามว่า : “เทียนอ้าย ทางฝั่งของเธอสืบได้ความอะไรบ้าง ?”

ไม่ว่าจะเป็นกำลังของหน่วยข่าวกรองบริษัทชิงหยิ่ง หรือจะเป็นพลังของหน่วยข่าวกรองของตระกูลเทียนและพันธมิตรทางธุรกิจคนอื่นๆ ของกู้โก๋ฮั๋ว

ขอบเขตและความลึกในการสืบหานั้น ยังห่างไกลจากหน่วยงานที่เทียนอ้ายสังกัดอยู่มากนัก

อีกทั้งหน่วยงานที่เทียนอ้ายสังกัดอยู่นั้นมีลักษณะเฉพาะ แม้กระทั่งอยู่ต่อหน้า กู้โก๋ฮั๋วยังไม่สามารถสอบถามอะไรจากปากของเทียนอ้ายได้เลย

เทียนอ้ายขมวดคิ้ว จัดระเบียบความคิดอยู่สักครู่ แล้วค่อยๆ พูดออกมา

“ฉันอาศัยข้อมูลของโรงแรมที่เฉินตงเข้าพัก แล้วแอบตรวจสอบกล้องวงจรปิดบนถนนบริเวณโดยรอบโรงแรม ผลลัพธ์ที่ได้ออกมา พอจะสรุปได้ว่าน่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับเขา”

“เดี๋ยวก่อน !”

กู้โก๋ฮั๋วรีบเรียกให้หยุด : “กล้องวงจรปิดบนถนนบริเวณโดยรอบโรงแรม พวกเราไปตรวจสอบมาแล้ว ไม่เห็นจะมีอะไรผิดปกตินี่”

“ลุงกู้คะ ที่พวกคุณสืบหามาต้องไม่มีความผิดปกติแน่นอน”

เทียนอ้ายแสดงท่าทีภาคภูมิใจออกมาโดยไม่รู้ตัว : “แต่ผลการตรวจสอบที่ได้จากหน่วยข่าวกรองของหนู แตกต่างจากผลลัพธ์ที่พวกคุณสืบหามาได้”

เทียนอ้ายเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้นอย่างจริงจังว่า : “คืนที่เฉินตงกดตัดสายโทรศัพท์ของกู้ชิงหยิ่ง กล้องวงจรปิดที่อยู่บนถนนด้านนอกลานจอดรถของโรงแรมถูกปิดหมด อีกทั้งคืนนั้นถนนก็ถูกสั่งปิดอีกด้วย”

เปรี้ยง !

คำพูดประโยคนี้ เหมือนกับฟ้าผ่าลงมากลางห้องนั่งเล่น

กู้โก๋ฮั๋วและหลี่หวั่นชิงตกตะลึงไป

มือทั้งสองข้างของกู้ชิงหยิ่งประสานกันแน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก

“แต่ข้อมูลที่ฉันได้จากหน่วยข่าวกรอง ในคืนนั้นที่โรงแรมและบนถนนไม่มีความผิดปกติใดๆ เลย” กู้โก๋ฮั๋วไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

เขารู้ดีว่าตัวเองมีอิทธิพลมากขนาดไหน และยิ่งรู้ดีถึงความสามารถของหน่วยข่าวกรองของเขา

แต่สิ่งที่เทียนอ้ายพูดขึ้นในตอนนี้ ไม่เหมือนกับผลลัพธ์ที่ได้มาจากหน่วยข่าวกรองเลยแม้แต่น้อย !

“ถ้าจะบอกว่ากล้องวงจรปิดที่พวกของลุงกู้เห็น เป็นของปลอมล่ะคะ ?”

เทียนอ้ายเลิกคิ้ว ดวงตาของเธอเป็นประกาย : “เชื่อว่าลุงกู้ก็คงรู้ดีถึงความสามารถของเทคโนโลยีทุกวันนี้ หากต้องการสร้างของปลอมขึ้นมา เชื่อว่าก็สามารถทำการตัดต่อวิดีโอได้ใช่ไหมล่ะคะ ? เตรียมอัดวิดีโอเอาไว้หนึ่งช่วง แล้วปรับเปลี่ยนเวลา ด้วยความสามารถของพวกแฮกเกอร์ นี่คงไม่ใช่เรื่องยากใช่ไหม ?”

ริมฝีปากของกู้โก๋ฮั๋วขยับ แต่พูดอะไรไม่ออก

การที่แฮกเกอร์จะเปลี่ยนแปลงเวลาในกล้องวงจรปิดรุ่นเก่านั้น เป็นเรื่องง่ายมากจริงๆ

อีกทั้งเพราะเป็นวิดีโอรุ่นเก่า หากต้องการสืบหา คงไม่สามารถเปิดดูวิดีโอทีละรายการได้ภายในระยะเวลาอันสั้น

ทว่า หลังจากที่กู้โก๋ฮั๋วเงียบไป

ความเหน็บหนาวได้แผ่ซ่านจากเท้าของเขา ไล่ขึ้นไปจนถึงศีรษะ

ตอนนี้ต่อให้เป็นกู้โก๋ฮั๋ว ก็ยังรู้สึกขนลุก

เมื่อเห็นท่าทีของกู้โก๋ฮั๋ว เทียนอ้ายก็พูดว่า : “ตอนนี้ลุงกู้รู้แล้วใช่ไหมคะว่าเรื่องนี้มีความซับซ้อนแค่ไหน ?”

กู้โก๋ฮั๋วพยักหน้าเงียบๆ

กู้ชิงหยิ่งและหลี่หวั่นชิงหันมองกู้โก๋ฮั๋วพร้อมกัน

กู้ชิงหยิ่งพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครืออย่างร้อนรน : ” พ่อคะ เรื่องนี้ซับซ้อนขนาดไหนคะ ? เฉินตงเป็นอะไรกันแน่ ?”

กู้โก๋ฮั๋วพยายามระงับความกลัวที่เกิดขึ้น แล้วหันไปพูดกับกู้ชิงหยิ่งว่า : “ถึงแม้การตัดต่อกล้องวงจรปิดจะเป็นเรื่องง่าย แต่ตัวพ่อเองก็ยังไม่สามารถทำได้ เข้าใจแล้วใช่ไหม ?”

กู้ชิงหยิ่งตัวสั่นเทา เธอรู้สึกหวาดกลัวและตื่นตระหนกอย่างสุดขีด

คำพูดของพ่อ หากจะพูดให้เข้าใจได้ง่ายก็คือ เขาไม่มีอำนาจพอที่จะตัดต่อกล้องวงจรปิดได้ ดังนั้น คนที่สามารถดัดแปลงกล้องวงจรปิดได้ จะต้องเป็นคนที่แข็งแกร่งมากกว่าพ่อแน่นอน !

บริษัทชิงหยิ่ง เป็นที่รู้จักในระดับสากลมาเป็นเวลานาน

ในตลาด ถือว่าเป็นผู้นำอันดับหนึ่ง

คนที่แข็งแกร่งกว่าพ่อ จะต้องน่ากลัวขนาดไหนกัน ?

ทำไมเฉินตงถึงไปมีเรื่องกับคนแบบนี้ได้

ดวงตาของกู้ชิงหยิ่งก็แดงก่ำและเอ่อล้นไปด้วยน้ำตาทันที

จู่ๆ เธอก็ลุกขึ้น ไม่สนใจว่าร่างกายกำลังอ่อนแอ ฝืนเดินออกไปด้านนอก

“ชิงหยิ่ง เธอจะไปไหน ?”

เทียนอ้ายสังเกตเห็นเป็นคนแรก จึงได้เข้าไปขวาง

“ฉันจะไปหาเขา”

กู้ชิงหยิ่งร้องไห้อย่างหนัก ขัดขืนไปพลางร้องไห้ไปพลาง : “หากยังอยู่ต้องพบคน หากตายแล้วต้องพบศพ !”

คำพูดนี้ ราวกับว่าเธอใช้พลังทั้งหมดที่มี พูดผ่านไรฟันออกมา

กุ๋โก๋ฮั๋วและหลี่หวั่นชิงรีบเดินตามไป แล้วช่วยเทียนอ้ายขวางกู้ชิงหยิ่งไว้

“เสี่ยวหยิ่ง ตอนนี้ลูกร่างกายอ่อนแอ ควรจะอยู่บ้านดูแลตัวเองให้ดี และดูแลลูกในท้องให้ดี !”

“พ่อจะต้องหาเขาให้เจอ เรื่องตามหาเฉินตง พ่อจะต้องคิดหาวิธีให้ได้ ตอนนี้ลูกวิ่งออกไปเช่นนี้ ไม่เพียงแต่จะหาเฉินตงไม่เจอ แต่จะพลอยทำให้ลูกได้รับอันตรายไปด้วย”

“ฮือฮือฮือ……”

กู้ชิงหยิ่งร้องไห้เสียงดัง ใบหน้าซูบผอมของเธอเต็มไปด้วยน้ำตา : “เขาบอกว่าจะมาขอโทษหนูแท้ๆ ทำไมตอนนี้จู่ๆ ถึงได้หายตัวไป หนูจะไปหาเขา หนูจะไปถามต่อหน้าเขา ว่าเขาหมายความว่าอย่างไรกันแน่ !”

“พ่อคะแม่คะ ไปหาเป็นเพื่อนหนูหน่อยได้ไหม ? เขาเป็นผู้ช่วยให้รอด เขาสามารถช่วยคนในเครื่องบินทั้งลำได้ แล้วทำไมถึงช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ? ไม่ ต่อให้เขาตายไปแล้ว หนูก็ต้องพบศพของเขาให้ได้ !”

เธอขอร้องอ้อนวอนอย่างน่าเวทนา

กู้โก๋ฮั๋วและหลี่หวั่นชิงรู้สึกร้อนใจ ราวกับมดที่อยู่บนหม้อร้อนๆ

ไม่รู้ว่าควรจะขัดขวางกู้ชิงหยิ่งเช่นไรดี

ต่อให้จะมี “การทรยศ” เกิดขึ้น

แต่ความรู้สึกที่ลูกสาวมีให้ต่อเฉินตงนั้น สองสามีภรรยาต่างรู้ดี

ถ้าหากไม่รัก จะเสียดายที่ต้องเลิกกันเช่นนี้หรือ ?

อีกทั้งตอนนี้เฉินตงยังมาเกิดข่าวร้ายเช่นนี้อีก

ความวัวยังไม่ทันหาย ความควายก็เข้ามาแทรก แล้วจะให้ลูกสาวทนรับไหวได้อย่างไร ?

ตุ้บ !

จู่ๆ ก็มีเสียงดังเกิดขึ้น

เทียนอ้ายยกมือขึ้น แล้วกระแทกลงไปที่ท้ายทอยของกู้ชิงหยิ่ง

กู้ชิงหยิ่งหมดสติไปทันที

ภาพนี้ ทำให้กู้โก๋ฮั๋วและหลี่หวั่นชิงตกใจจนหน้าถอดสี

เทียนอ้ายรีบพูดอธิบายว่า : “วางใจเถอะค่ะคุณลุงคุณป้า ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แต่ทำให้ชิงหยิ่งสงบลงก่อนเท่านั้น”

เมื่อได้ยิน

กู้โก๋ฮั๋วและหลี่หวั่นชิงก็มีท่าทีเบาใจลงมาก

กู้โก๋ฮั๋วรีบถามต่อ : “เทียนอ้าย เธอสืบรู้อะไรมาอีกบ้าง ?”

“ไม่มีแล้วค่ะ ตอนนี้รู้มาเพียงเท่านี้”

เทียนอ้ายส่ายหัวอย่างเคร่งขรึม แล้วหันมองกู้ชิงหยิ่งที่หมดสติไป แล้วหันกลับมาพูดกับกู้โก๋ฮั๋วและหลี่หวั่นชิงว่า : “คุณลุงคุณป้า พวกคุณต้องปลอบใจเสี่ยวหยิ่งสักหน่อยนะคะ ฝีมือของเฉินตงหนูเองก็เคยเห็นมากับตา แน่นอนแล้วว่าต้องเกิดเรื่องขึ้น แต่ตอนนี้ ตัวเขาน่าจะยังไม่เป็นอะไร”

“ได้”

เทียนอ้ายออกจากคฤหาสน์ไป

หลังจากกลับเข้าไปนั่งในลัมโบร์กีนี เธอก็ลูบดั้งจมูกของเธอ แล้วยิ้มออกมาอย่างเศร้าสร้อย

“คืนนั้น หงหุ้ยส่งคนหลายพันคนไปตามชายฝั่ง ต้องการที่จะตามหาอะไรกันแน่ ?

นี่เป็นข้อมูลอีกอย่างที่เธอได้มาจากหน่วยข่าวกรองของหน่วยงาน

แต่เป็นเพราะสถานะที่ไม่ธรรมดาของหงหุ้ย ทำให้เธอปิดบังข้อมูลเรื่องนี้ ตอนที่เล่าเรื่องทุกอย่างให้พวกของกู้ชิงหยิ่งทั้งสามฟัง

แต่ทว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นห่างจากช่วงเวลาที่เฉินตงหายตัวไปเพียงไม่นาน สิ่งนี้ทำให้เธอรู้สึกสนใจ

“หงหุ้ยปิดเรื่องนี้เอาไว้เป็นความลับ ส่งคนออกไปกว่าพันคน ที่น่าตกใจก็คือแม้กระทั่งหน่วยข่าวกรองของลุงกู้และพ่อก็ไม่อาจสืบรู้ได้ ช่างแข็งแกร่งจริงๆ”

เทียนอ้ายสตาร์ทรถ แววตาเป็นประกาย : “ถ้าเช่นนั้น ก็เริ่มลงมือสืบหาจากหงหุ้ยก่อนก็แล้วกัน !”

ไม่นะ !

ไม่ได้ !

หยุดเดี๋ยวนี้ !

เฉินตงตะโกนขึ้นในใจ ตอนนี้เขารู้สึกเสียสติจนถึงขีดสุด

แต่เขากลับไม่มีโอกาสที่จะหยุดเรื่องทุกอย่างได้เลย

มีเสียงกรอบแกรบดังขึ้น

สัมผัสที่เย็นฉ่ำ ทำให้เฉินตงรู้สึกพังทลาย

ร่างกายส่วนล่าง……ไม่จำเป็นต้องเช็ดจริงๆ นะ

เย่หลิงหลง เธอเป็นผู้หญิง ชายหญิงจะแตะเนื้อต้องตัวกันไม่ได้ เธอยังเป็นคนอยู่อีกไหม ?

เฉินตงรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า มือทั้งสองข้างของเย่หลิงหลงกำลังเลื่อนต่ำลงไปด้านล่าง ความรู้สึกที่ถูกปลายเล็บชื้นๆ สัมผัสเข้าที่ผิวหนัง เป็นความรู้สึกที่ชัดเจนมาก

ราวกับถูกไฟช็อต

ในที่สุด เฉินตงก็รู้สึกเย็นฉ่ำ

“เฮ้อ~”

เสียงถอนหายใจของเย่หลิงหลงดังขึ้นข้างๆ หูในเวลาเดียวกัน

จบแล้ว……

เฉินตงรู้สึกสิ้นหวังอย่างถึงที่สุด

ตอนนี้เขาเป็นเหมือนปลาที่อยู่บนเขียง ทำได้เพียงแค่รอให้เย่หลิงหลง “เชือด” ก็เท่านั้น

จากนั้น

“เย่หลิงหลง ไม่เป็นไรนะ หากใจบริสุทธิ์ทุกอย่างก็ไม่มีปัญหา เห็นมาเจ็ดวันเต็มๆ แล้ว ก็ไม่เห็นจะมีอะไรหนักหนาสักหน่อย เห็นทุกสิ่งเป็นความว่างเปล่าก็พอ”

จู่ๆ เสียงสูดหายใจเข้าของเย่หลิงหลงก็ดังขึ้นข้างๆ หู

จากนั้น จู่ๆ เฉินตงก็ได้ยินหญิงสาวคนนี้ท่องบทสวดในพระคัมภีร์อย่างจริงจัง

“พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ณ ยามปฏิบัติลึกซึ้งซึ่งปราชญาปารมิตา เห็นแจ้งว่าขันธ์ห้าล้วนว่างเปล่า จึงข้ามความขมขื่นยากแค้นทั้งหลาย……”

เมื่อได้ยินบทสวดที่ดังขึ้นข้างๆ หู เขาก็รู้สึกได้ถึงความเย็นฉ่ำของผ้าขนหนูตรงบริเวณต้นขาของเขา

เฉินตงรู้สึกราวกับร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา

แต่เขาก็รู้สึกได้ว่า ตอนนี้เย่หลิงหลงกำลังช่วยเขาเช็ดตัวอย่างระมัดระวังนั้น ก็พยายามข่มใจเอาไว้อย่างถึงที่สุดแล้ว

บางที่ที่ไม่ควรเช็ด ก็ไม่ได้เช็ด

สิ่งนี้ทำให้เฉินตงที่กำลังรู้สึกเหมือนทุกอย่างพังทลาย กลับใจชื้นขึ้นอีกครั้ง

แต่การเช็ดตัวที่เดิมทีแล้วทำให้คนรู้สึกสบาย เมื่อเกิดขึ้นกับเฉินตงที่ได้สติในตอนนี้แล้ว กลับเป็นความรู้สึกที่ทุกข์ทรมานอย่างหนึ่ง

ความรู้สึกผิด จนใจ สิ้นหวัง โทษตัวเองผสมปนเปเข้าด้วยกัน

ราวกับมีมีดคมๆ ค่อยๆ แล่เนื้อออกมา

เวลาดำเนินไปเกือบสิบนาที

ในที่สุด

“เรียบร้อยแล้ว ภารกิจเสร็จสมบูรณ์ !”

เสียงของเย่หลิงหลง เป็นเหมือนเสียงจากสวรรค์สำหรับเฉินตง

ตอนนี้ เฉินตงรู้ลึกโล่งใจขึ้นมาอีกครั้ง

ในที่สุด……ก็จบสิ้นเสียที

มีเสียงเย่หลิงหลงกำลังบิดน้ำออกจากผ้าขนหนู ดังก้องขึ้นในหู

ไม่ช้า ก็ได้ยินเสียงของฝีเท้าดังขึ้น

เย่หลิงหลงไปแล้ว

เฉินตงนอนอยู่บนเตียง บรรยากาศรอบข้างเงียบสงัด

ตอนนี้ทุกอย่างเงียบสงบลง ความคิดของเขาก็ค่อยๆ เคลื่อนไหวขึ้นอีกครั้ง

นักฆ่าในคืนนั้น ใครเป็นคนส่งมากันแน่ ?

สามารถปิดถนนทั้งสายได้ มิหนำซ้ำยังส่งนักฆ่ามาอีก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังจะต้องไม่ใช่คนธรรมดา

แต่ในอีกซีกโลกหนึ่งนี้ ฉันมีศัตรูที่ไหนด้วยหรือ ?

ความคิดของเขาผุดขึ้นมา แต่กลับเป็นความคิดที่สับสนยุ่งเหยิงราวกับก้อนสำลีที่เน่าเสีย

เฉินตงคิดไม่ออกจริงๆ ในอีกซีกโลกหนึ่งนี้ ชัดเจนอยู่แล้วว่าเขาไม่มีศัตรูที่ไหน

ความมุ่งมั่นของเขาทั้งหมดอยู่ที่กางแข่งขันเพื่อช่วงชิงตำแหน่งเจ้าบ้านตระกูลเฉิน

ศัตรูที่ปรากฏตัวขึ้น ล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งเจ้าบ้านทั้งสิ้น หรือไม่ก็เกี่ยวข้องกับคนสนิท

แต่ตอนนี้ ศัตรูเหล่านั้นล้วนถูกเขาเหยียบย่ำจนจมดินไปหมดแล้ว

อีกทั้งตั้งแต่ต้นจนจบ เฉินตงก็ไม่เคยยื่นมือเข้ามายุ่งเรื่องของซีกโลกนี้เลย

ไม่แม้แต่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยว แล้วจะมีศัตรูได้อย่างไร ?

คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก ทำให้ความอ่อนล้าถาโถมเข้ามาราวกับกระแสน้ำ

“ร่างกายอ่อนแอเกินไปแล้ว แค่ใช้ความคิด ก็ยังยากที่เกินจะรับไหว”

เฉินตงคร่ำครวญอยู่ในใจ เหมือนที่เย่หยวนชิวพูดเอาไว้ สามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้ ก็นับว่าโชคดีแล้ว

สามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้ ตอนนี้เฉินตงก็ไม่กล้าคาดหวังที่จะให้ตนเองสามารถลุกยืนขึ้นได้ทันที

ดังนั้นเขาจึงระงับความสงสัยในใจเอาไว้

ไม่ฝืนต่อความเหนื่อยล้าอีกต่อไป จากนั้นก็นอนหลับสนิท

……

คฤหาสน์ตระกูลกู้

ด้านข้างสระน้ำในสวนดอกไม้

สายน้ำไหลริน มีน้ำพุพลุ่งพล่าน

กู้ชิงหยิ่งนั่งลงริมสระน้ำด้วยท่าทีหดหู่ ท่าทางของเธอเศร้าสร้อย แววตาดูว่างเปล่า

ค่อยๆ หยิบอาหารปลาที่อยู่ในมือ โยนลงไปในสระน้ำ

ดวงตาของเธอแดงก่ำและบวมเล็กน้อย ใบหน้าของเธอไม่หลงเหลือเค้าเดิม มีเพียงแต่ความซีดเซียวและอ่อนล้า

เมื่อมองฝูงปลาที่รวมตัวกันอยู่ในสระน้ำ กู้ชิงหยิ่งก็โยนอาหารปลาที่อยู่ในมือลงไปในสระจนหมด

ด้วยความเคยชิน ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดโทรหาเฉินตง

แต่ผลลัพธ์ยังคงปิดเครื่องอยู่

เจ็ดวันเต็มๆ แล้ว !

แววตาของกู้ชิงหยิ่งสั่นคลอน ริมฝีปากแดงระเรื่อขยับเล็กน้อย และพึมพำออกมาด้วยความโศกเศร้า : “เฉินตง คุณหมายความว่าอย่างไรกันแน่ ? คุณอยู่ที่ไหนกันแน่ ? อุตส่าห์เดินทางมาตั้งไกล บอกว่าจะมาขอโทษ แต่จู่ๆ กลับหายตัวไปแบบนี้หรือ ?”

เธอยังไม่ได้ให้อภัยเฉินตง อันที่จริงแล้ว เรื่องทรยศหักหลังด้วยการนอกใจ ไม่มีผู้หญิงคนไหนเลือกที่จะให้อภัยทั้งนั้น

นอกเสียจากว่า ไม่ได้รักอีกฝ่าย หรือว่าเห็นความรักเป็นเรื่องที่ต้อยต่ำเกินไป

ทว่ากู้ชิงหยิ่งไม่ใช่ทั้งสองอย่าง

ตั้งแต่ที่รู้ความจริงจากปากของเทียนอ้าย เฉินตงเพื่อที่จะมาขอโทษเธอ แม้แต่เกียรติยศชื่อเสียงอันใหญ่หลวงก็ไม่สนใจแม้แต่น้อย

เธอรู้สึกหวั่นไหว อยากฟังคำอธิบายจากปากของเฉินตง

ไม่ว่าการอธิบายได้จะอธิบายได้กระจ่างชัดหรือไม่ เธอก็ต้องการการพูดคุยต่อหน้าในครั้งนี้

ทว่า จู่ๆ กลับกดตัดสายโทรศัพท์ของเธอ แล้วหายตัวไปเจ็ดวันเต็มๆ

สิ่งนี้ทำให้กู้ชิงหยิ่งรู้สึกเหมือนถูกควักหัวใจออกมาทันที

ความรู้สึกที่ซับซ้อนภายในใจ ทำให้ตลอดระยะเวลาเจ็ดวันมานี้ เธอกินไม่ได้นอนไม่หลับ จนกระทั่งร่างกายซูบผอมไปมาก

ชั้นสองของคฤหาสน์

กู้โก๋ฮั๋วและหลี่หวั่นชิง มองดูกูชิงหยิ่งที่นั่งอยู่ริมสระด้วยความเป็นห่วง

“คุณกู้ คุณหาเฉินตงเจอหรือยังคะ ?”

หลี่หวั่นชิงรู้สึกร้อนใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน น้ำเสียงของเธอไม่อ่อนโยนอย่างเช่นปกติอีกต่อไปแล้ว

เฉินตงมาสำนึกผิด พวกเขาจึงรู้สึกว่าควรจะพบหน้ากันสักครั้ง

นั่นเป็นเพราะ ไม่ว่าจะดีหรือเลว ก็ควรจะให้เฉินตงและกู้ชิงหยิ่งทั้งสองคน ได้พูดคุยกันให้กระจ่าง แล้วหาข้อสรุปออกมาให้ได้

ตอนนี้เฉินตงหายตัวไป ความรู้สึกรวมถึงความกดดันทั้งหมด จึงมาตกอยู่ที่ลูกสาวของตนเอง

ในฐานะที่เป็นพ่อแม่ ไม่มีใครยินดีที่จะเห็นลูกสาวสุดที่รักของตนเองต้องทนทุกข์ทรมานเช่นนี้

“หาแล้ว กำลังตามหาอยู่ หน่วยข่าวกรองทั้งหมดของบริษัทชิงหยิ่งถูกส่งออกไปหมดแล้ว ไม่เพียงเท่านี้ ผมยังให้พี่เทียนกับพันธมิตรทางธุรกิจกลุ่มนึง ช่วยกันตามหาอีกด้วย”

ใบหน้าของกู้โก๋ฮั๋วแสดงท่าทีจนใจ : “แต่ก็ยังหาไม่เจอ แล้วผมจะทำอะไรได้ ?”

หลี่หวั่นชิงเห็นสีหน้าจนใจของกู๋โก๋ฮั๋ว ก็รู้สึกโมโหขึ้นมาทันที

แต่สติก็ทำให้เธอรู้ชัดว่า หากโมโหในตอนนี้ ก็ไม่มีประโยชน์อะไร

“หรือให้เทียนอ้ายมาอยู่เป็นเพื่อนเสี่ยวหยิ่งดีไหม ? จะได้ถามข่าวๆ เรื่องการสืบหาจากทางด้านของเธอด้วย”

มีน้ำตาเอ่อล้นขึ้นในตาคู่สวยของหลี่หวั่นชิง เธอรู้สึกอยากจะร้องไห้ : “ตอนนี้ลูกสาวมีสภาพเช่นนี้ ฉันเห็นแล้ว ก็รุ้สึกเจ็บปวดเหมือนมีมีดมากรีดที่หัวใจ”

“ผมจะไปโทรศัพท์หาเทียนอ้าย”

กู้โก๋ฮั๋วถอนหายใจ จากนั้นจึงเดินออกจากริมหน้าต่างไป เดินไปพลางก็บ่นพึมพำไปพลาง : “เฉินตง นายอยู่ที่ไหนกันแน่ ?”

สองชั่วโมงผ่านไป

ประตูใหญ่ของคฤหาสน์เปิดออก มีรถลัมโบร์กีนีขับเข้ามา

หลังจากเทียนอ้ายลงจากรถ เห็นกู้ชิงหยิ่งที่ยังคงนั่งอยู่ตรงริมสระน้ำที่เดิม ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว แล้วแสดงสีหน้าเห็นอกเห็นใจออกมา

“เสี่ยวหยิ่ง”

เธอเดินเข้าไปหากู้ชิงหยิ่ง

“ได้ข่าวเฉินตงบ้างหรือยัง ?” กู้ชิงหยิ่งยกมือขึ้นเงียบๆ แล้วเช็ดน้ำตาตรงหางตา จากนั้นจึงฝืนยิ้มแล้วหันไปมองเทียนอ้าย

ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ไม่เพียงแต่พ่อเท่านั้นที่ออกตามหาอย่างสุดกำลัง

เทียนอ้ายเองก็ใช้อำนาจของตำรวจสากลเช่นกัน

เทียนอ้ายเห็นแล้วก็รู้สึกสงสารจับใจ

แต่ก็ยังคงส่ายหัว : “ไม่มีเบาะแสเลย แต่จากการสืบสวนของเรา คาดว่าเขาน่าจะเกิดเรื่องขึ้นแล้ว”

เปรี้ยง !

กู้ชิงหยิ่งรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า สั่นเทาไปทั้งตัว

ทันใดนั้น ก็แสดงท่าทีตื่นตระหนกออกมา

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเขา ?”

“ขยับแล้ว คุณปู่คะ เปลือกตาของเขาขยับแล้ว !”

มีเสียงของความยินดีดังขึ้นข้างๆ หู

“ฉันยังไม่ตาย ? ได้รับความช่วยเหลือแล้วหรือ ?”

เฉินตงค่อยๆ ฟื้นคืนสติมา

ความอ่อนแอที่รู้สึกได้อย่างชัดเจน ทำให้เขาไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ถึงขั้นไม่สามารถลืมตาขึ้นมาได้

ความเจ็บปวดอย่างรุนแรง ปรากฏขึ้นไปทั่วร่างกาย ราวกับมีเข็มแหลมเข้าเข้ามาทิ่มแทงนับไม่ถ้วน

แต่เขาได้ยินอย่างชัดเจนว่า เสียงของความยินดีนี้ เป็นเสียงของเย่หลิงหลง

จากนั้น ก็มีเสียงของเย่หยวนชิวดังขึ้นข้างๆ หู

“ขอบคุณสวรรค์ ในที่สุดคุณก็พ้นขีดอันตรายแล้ว คุณอย่าเพิ่งขยับ พิษกระจายเข้าสู่กระแสเลือด ที่รอดมาได้ก็ถือว่าคุณยังโชคดี ที่ช่วยชีวิตเอาไว้ได้ทัน”

เฉินตงรู้สึกโล่งใจทันที

ในที่สุดก็หนีพ้นมาได้เสียที

ตอนที่ต้องเผชิญหน้ากับดาบของชายชุดดำ เขาไม่ลังเลที่จะเลือกกระโดดลงทะเล

เพื่อถือโอกาสในช่วงที่กระโดดลงทะเล บอกกับเย่หยวนชิวว่าตนเองนั้นอยู่ที่ไหน

ในพจนานุกรมของเฉินตงไม่มีคำว่ารอความตาย

ต่อให้เหลือโอกาสเพียงแค่หนึ่งในล้าน เขาก็จะขอสู้สุดชีวิต

หากยืนอยู่ที่เดิม ก็เท่ากับรอให้ชายชุดดำเอาชีวิต

แต่ถ้าหากกระโดดลงไปในทะเล ก็ทำกับเหลือโอกาสที่จะให้เย่หยวนชิวได้ช่วยชีวิตตนเอาไว้ ต่อให้โอกาสริบหรี่ แต่ก็ดีกว่ายืนรอความตาย

โชคดีที่……เขาคิดถูก !

“หลิงหลง ดูแลคุณเฉินให้ดี” เสียงกำชับของเย่หยวนชิวดังขึ้นข้างๆ หู

“ฮะ ? !”

เย่หลิงหลงอุทานด้วยความประหลาดใจ และพูดออกมาอย่างไม่พอใจนัก : “คุณปู่ หนูเป็นผู้หญิง หญิงชายไม่ควรใกล้ชิดกัน คุณปู่ไม่เป็นห่วงหลานสาวสักนิดเลยหรือ ?”

“หากบริสุทธิ์ใจเรื่องทุกอย่างก็ไม่มีปัญหา เธอเอาแต่คิดเรื่องระหว่างหญิงชาย แล้วจะให้ปู่ทำเช่นไร ?”

เย่หยวนชิวหัวเราะแปลกๆ : “คุณเฉินคือจู่เหลารุ่นหยวนของหงหุ้ย มีโอกาสได้ดูแลเขา ถือเป็นโชคดีของเธอ หนุ่มสาวพวกนั้นต่างก็อยากมีโอกาสดูแลคุณเฉิน ปู่ให้เธอเป็นผู้ดูแล ก็เพื่อที่จะช่วยหาลู่ทางให้แก่เธอ”

เฉินตงหัวเราะขึ้นในใจ

เย่หยวนชิวช่างรู้จักผูกเรื่องจริงๆ

เสียงฝีเท้าค่อยๆ เดินห่างออกไป เย่หยวนชิวออกไปแล้ว

เสียงรอบข้างเงียบสงบลงอีกครั้ง

จากนั้น เฉินตงก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างเข้ามาใกล้

กลิ่นหอมเตะจมูก มีไอร้อนและเสียงกระซิบดังขึ้นที่ข้างหู

“คุณได้ยินที่ฉันพูดไหม ?”

เฉินตง : “……”

ได้ยินก็ได้ยิน แต่ไม่สามารถบอกคุณได้

“เฮ้อ……คนดีๆ คนหนึ่ง ทำไมถึงทำให้ตัวเองมีสภาพน่าเวทนาได้ขนาดนี้”

เย่หลิงหลงถอนหายใจ และกระซิบเบาๆ ที่ข้างหูของเฉินตง : “โชคดีที่คุณนั้นดวงแข็ง รู้จักขอความช่วยเหลือจากหงหุ้ยเรา ในแถบนี้ อำนาจของหงหุ้ยเราก็ถือว่ายิ่งใหญ่ไม่น้อย อาศัยเพียงแค่โทรศัพท์ของคุณสายเดียว ก็สามารถช่วยคุณขึ้นมาจากในทะเลได้ทันที ตอนนี้คุณรู้สึกโชคดีที่ได้เข้าร่วมหงหุ้ยบ้างแล้วหรือยัง ?”

คำพูดของเย่หลิงหลง ทำให้เฉินตงรู้สึกสับสนขึ้นในใจ

ในตอนแรกที่เข้าร่วมหงหุ้ย เป็นเพราะถูกบังคับ

แต่ตอนนี้ชีวิตของเขา ได้หงหุ้ยเป็นผู้ช่วยเหลือเอาไว้

“นี่คุณก็หมดสติไปเจ็ดวันแล้ว เพื่อที่จะช่วยดึงคุณกลับมาจากประตูนรก คุณปู่และหลงโถวต้องใช้อำนาจที่มีอยู่ทั้งหมดของหงหุ้ยเลยนะ”

เย่หลิงหลงกระซิบเบาๆ คำพูดแฝงไปด้วยความโกรธเล็กน้อย : “ฉันอยู่ข้างๆ เป็นเพื่อนคุณมาเจ็ดวันเจ็ดคืนแล้ว เมื่อไหร่คุณจะลืมตาขึ้นมาเสียที ?”

“เจ็ดวัน ?”

เฉินตงรู้สึกตกใจ เวลาเจ็ดวัน แล้วเสี่ยวหยิ่งทางนั้น……

เขาจำได้ ก่อนที่จะเกิดเรื่อง กู้ชิงหยิ่งโทรศัพท์เข้ามาหาเขาพอดี

เพียงแต่ตอนนั้นเกิดการลอบสังหารขึ้น เขาจึงไม่อาจเสียสมาธิได้ ดังนั้นจึงได้กดวางสายโทรศัพท์ไป

โอกาสที่จะกลับไปคืนดีกันระหว่างเขากับกู้ชิงหยิ่ง สิ้นสุดลงตั้งแต่กดวางสายโทรศัพท์สายนั้น

ตอนนี้ล่วงเลยมาเจ็ดวันแล้ว ทางฝั่งภรรยาจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นบ้างนะ ?

ขณะที่กำลังเป็นกังวลอยู่นั้น เสียงของเย่หลิงหลงก็ดังขึ้นข้างๆ หูอีกครั้ง

“หลับไปเจ็ดวันเจ็ดคืนแล้ว ฉันจะเช็ดตัวให้คุณสักหน่อยก็แล้วกัน”

เสียงของเย่หลิงหลงดังขึ้น จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าที่เดินห่างออกไป

เฉินตงนอนนิ่งอยู่บนเตียงขยับเขยื้อนไม่ได้ แต่กลับรู้สึกเหมือนมีเสียงระเบิดดังขึ้นในสมอง

เช็ดตัว ? !

ทำแบบนี้ได้อย่างไร ?

ชายหญิงไม่ควรใกล้ชิดกัน ยิ่งไปกว่านั้นฉันเองก็แต่งงานแล้ว !

ไม่ช้า เสียงฝีเท้าก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง และยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

เฉินตงรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นทันที ในใจของเขาตะโกนเสียงดังว่า “ไม่ได้นะ” เขาพยายามดิ้นรนเพื่อขยับตัว

ไม่สิ ต่อให้ตอนนี้เขาจะขยับได้เพียงแค่ปาก พูดได้เพียงแค่คำว่าไม่ ก็ต้องเรียกให้เย่หลิงหลงหยุดให้ได้

แต่ที่น่าเจ็บใจก็คือ อย่าว่าแต่พูดเลย เป็นเพราะตอนนี้ร่างกายอ่อนแรง แม้แต่ขยับเปลือกตาก็ไม่สามารถทำได้

“ฉันจะบอกให้นะ เหมือนที่คุณปู่พูดเอาไว้ ฉันไม่ได้คิดอะไรกับคุณทั้งสิ้น ถึงแม้ฉันจะเป็นผู้หญิงก็ตาม”

จู่ๆ เสียงของเย่หลิงหลงก็ดังขึ้น เหมือนกับว่ากำลังปลอบใจเฉินตง แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นการปลอบใจตัวเอง : “คุณนอนไม่ได้สติมาเจ็ดวันเจ็ดคืนแล้ว ฉันเป็นคนช่วยคุณเช็ดตัวทุกวัน หากตอนนี้คุณฟื้นขึ้นมา คุณก็ห้ามคิดเด็ดขาดว่าผู้หญิงอย่างฉันจะคิดอะไรเกินเลยกับคุณ”

หลังจากพูดจบ

เฉินตงก็ได้ยินเสียงน้ำและเสียงบิดผ้าขนหนู

จากนั้น เขาก็รู้สึกเย็นวาบที่หน้าอก เสื้อผ้าค่อยๆ ถูกถอดออก

สัมผัสอันนุ่มนวลแผ่ซ่านไปทั่วหน้าอกของเขาอย่างช้าๆ

ถึงแม้จะเป็นสัมผัสที่เบามาก แต่เขาก็รู้สึกได้ว่าเป็นมือของเย่หลิงหลง !

“ไม่ได้ หยุดเดี๋ยวนี้ ทำแบบนี้ไม่ได้นะ !”

เฉินตงตะโกนออกมาในใจ

แต่ก็ไม่สามารถหยุดเย่หลิงหลง ที่กำลังใช้ปลายนิ้วที่เปื้อนน้ำ ลูบไปบนหน้าอกของเฉินตงได้

จากนั้น ก็หยุดลงตรงกลางหน้าอกเล็กน้อย

เย่หลิงหลงอุทานออกมาเบาๆ : “กล้ามเนื้อมัดนี้ พอดูซ้ำไปซ้ำมา ช่างงดงามจริงๆ”

เฉินตง : “……”

ไหนบอกว่าไม่ได้คิดเกินเลยไม่ใช่หรือ ?

เย่หลิงหลง นี่เธอเป็นคนบ้าบอหรือเปล่า ?

จากนั้น เฉินตงก็รู้สึกได้ว่ามีผ้าขนหนูสัมผัสลงบนหน้าอก เย่หลิงหลงออกแรงอย่างเบามือ ค่อยๆ เช็ดไปบนกล้ามเนื้อทุกมัดบนหน้าอกของเฉินตง

เป็นความรู้สึกที่เปียกชื้นและเย็น ซึมซาบเข้าไปในรูขุมขน รู้สึกสบายตัวมากกว่าความรู้สึกเหนียวเหนอะหนะเมื่อครู่จริงๆ

แต่เฉินตงในตอนนี้ กลับรู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก

เขาไม่ได้สนใจว่าร่างกายจะรู้สึกสบายหรือไม่

แต่ว่า การเช็ดตัว ควรจะเป็นหน้าที่ที่ให้ผู้ชายทำให้ไม่ใช่หรือ ?

เขาอยากจะขัดขืน เขาอยากจะหยุดทุกอย่าง

แต่เขาในตอนนี้ กลับไม่มีความสามารถเช่นนี้เลย

ราวกับเนื้อปลาที่วางอยู่บนเขียง ที่รอให้เย่หลิงหลง “เชือด”

“ร่างกายของคุณได้รับการฝึกฝนมาอย่างไรกันแน่ ? งดงามและสมบูรณ์แบบ ไม่ขาดไม่เกิน กล้ามเนื้อแบบนี้ ฉันเคยเห็นแค่ในประติมากรรมโรมันเท่านั้น”

เย่หลิงหลงเช็ดตัวให้เฉินตงพลาง เอ่ยชื่นชมไปพลาง : “มัดกล้ามเนื้อเช่นนี้ เวลาที่ออกกำลังกาย จะต้องระเบิดพลังที่แข็งแกร่งออกมาได้อย่างแน่นอน”

เฉินตงรู้สึกเหมือนกำลังร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา

ตอนนี้ เขารู้สึกขุ่นเคืองใจเป็นอย่างมาก

ต่อให้เป็นความฝัน เขาก็ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า จะมีภาพเหตุการณ์เช่นนี้ร่วมกับเย่หลิงหลง

ไม่ช้า หน้าอกก็ถูกเช็ดจนเสร็จ

จากนั้น เสียงของเย่หลิงหลงก็ดังขึ้นมา : “คุณทนหนาวหน่อยนะ ฉันจะพลิกตัวให้คุณ”

การพลิกตัวทำให้เกิดความรู้สึกเจ็บปวดขึ้น เฉินตงรู้สึกตื่นตระหนกอย่างยิ่ง

นอนอยู่บนเตียง ไม่ช้าก็มีผ้าขนหนูเย็นเฉียบ เช็ดลงมาบนแผ่นหลัง

ในขณะที่กำลังตกใจ เฉินตงก็สัมผัสได้ว่า เย่หลิงหลงเช็ดตัวให้เขาอย่างอ่อนโยน และคอยระมัดระวังทุกกระเบียดนิ้ว

พอมองออกว่า เด็กสาวคนนี้ทุ่มเทเป็นอย่างมาก

สิ่งนี้ทำให้เฉินตงรู้สึกซาบซึ้งใจมาก

สามารถทำได้ขนาดนี้ บนโลกนี้นอกจากพ่อแม่และภรรยาแล้ว จะมีอีกสักกี่คน ?

แต่ หลังจากที่เย่หลิงหลงเอ่ยคำพูดประโยคหนึ่งออกมา ความซาบซึ้งใจของเฉินตง ก็มลายหายไปหมดสิ้นในทันที

ที่เหลืออยู่ ก็มีเพียงความตื่นตระหนกถึงขีดสุด

“เสร็จแล้ว ด้านบนเช็ดเรียบร้อยแล้ว คราวนี้ก็มาเช็ดด้านล่างกัน”

เปรี้ยง !

เฉินตงรู้สึกตื่นตระหนกถึงขีดสุดในทันที

เย่หลิงหลง……เธอไม่คิดว่าตัวเองเป็นคนนอกเลยหรือ ?

ด้านนอกลานจอดรถ เป็นถนนสายหนึ่ง

อีกทั้ง ยังมีรถสัญจรไปมาไม่น้อย

เฉินตงจำได้อย่างแม่นยำ

แต่ถนนที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ กลับว่างเปล่าและไม่มีรถแม้แต่คันเดียว

ไฟสองข้างทางส่องแสงสลัวๆ ท้องฟ้ามีฝนตกโปรยปรายลงมา จนพื้นถนนเปียกชื้น ทำให้ไฟถนนยิ่งดูสลัวมากขึ้นกว่าเก่า

“ปิดถนนเอาไว้ล่วงหน้า ?”

เฉินตงนึกขึ้นได้อย่างรวดเร็ว และรู้สึกหวาดกลัวขึ้นทันที

เขาหลุดขำออกมา : “เพื่อที่จะฆ่าฉัน เฉินตง พวกแกถึงขนาดมีอำนาจในการสั่งปิดถนน ดูๆ ไปแล้วชีวิตของฉัน คงจะสำคัญในสายตาของพวกแกมากเลยสินะ”

ตุ้บ !

มีเสียงดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง พร้อมกับเสียงฝีเท้าอันรวดเร็ว

เฉินตงที่กำลังหัวเราะอยู่ จู่ๆ แววตาของเขาก็ฉายแววของความกระหายเลือดออกมา

เขาหันหลังกลับในทันที เผชิญหน้ากับดาบเล่มยาวที่กำลังฟันลงมา โดยไม่คิดหลบหลีก

กำหมัดต่อยเข้าไปที่ชายชุดดำอย่างแรง

ตุ้บ !

แทบจะในเวลาเดียวกัน ดูเหมือนชายชุดดำจะคาดการณ์เอาไว้แล้ว เขาใช้มีดสั้นปกป้องหัวใจของเขาเอาไว้ทันที

หรือพูดง่ายๆ ก็คือ เขาเชือดลงไปที่ข้อมือของเฉินตง

ทว่า

ในขณะที่ดาบกำลังจะเชือดลงไปที่ข้อมือของเฉินตงนั้น

จู่ๆ หมัดขวาของเฉินตงก็เปลี่ยนตำแหน่งทันที แล้วพุ่งตรงเข้าไป

ตุ้บ !

กำปั้นที่มีพลังมหาศาล ต่อยเข้าที่คางของชายชุดดำอย่างแรง

ด้วยแรงที่หนักหน่วง ชายชุดดำเอนตัวไปด้านหลัง แล้วร่วงลงสู้พื้นอย่างแรงในทันที

“ไม่มีทางหนี จัดการกับแกก็คือทางหนี !”

เจตนาฆ่าที่รุนแรงแผ่ซ่านออกมาจากทั่วทั้งตัวของเฉินตง

ตอนนี้ เขามีพลังอันยิ่งใหญ่ดุจขุนเขา

แววตาดุร้ายราวกับสัตว์ประหลาดที่กระหายเลือด จ้องเขม็งไปที่เหยื่อ

ทว่า ตอนที่เขาก้าวเดินไปเพื่อโจมตีในช่วงที่กำลังได้เปรียบ

ขณะที่เขากำลังยกขาขวาขึ้น จู่ๆ ร่างกายก็โอนเอน แล้วล้มลงไปบนพื้นอย่างแรง

รู้สึกเวียนหัวอย่างแรงราวกับมีคลื่น

ทันใดนั้น เฉินตงก็รู้สึกเหมือนโลกกำลังหมุน และรู้สึกเวียนหัวเป็นอย่างมาก

ถึงขั้นมองเห็นชายชุดดำที่อยู่เป็นพื้นเป็นภาพซ้อนทับกัน

“พิษกำเริบเร็วขนาดนี้เลยหรือ ?”

เฉินตงออกแรงส่ายหัว เขารู้สึกอ่อนปวกเปียกไปทั้งตัวโดยไม่อาจฝืนได้ ทำให้เขาหมดแรงที่จะต่อสู้ได้ต่อ

เขากัดฟันแน่น จากนั้นจึงวิ่งตรงไปยังถนนที่ว่างเปล่า

ชายชุดดำรู้สึกตกใจก่อน จากนั้นจึงค่อยๆ ลุกขึ้นมาจากพื้น

กวัดแกว่งดาบสั้นและยาวที่อยู่ในมือจนเกิดเสียงดัง

จากนั้นจึงส่งเสียงเย็นชาราวกับยมทูตออกมา : “พิษกำเริบแล้ว รอเวลาถูกล่าเถอะ”

เขาวิ่งตามเฉินตงไปอย่างบ้าคลั่งด้วยความเร็ว

แต่เขาไม่ได้รีบร้อน ทำเพียงแค่ตามเฉินตงไปทางด้านหลัง เพื่อให้แน่ใจว่าเฉินตงจะไม่หนีไปจนคลาดสายตา

หากเป็นก่อนหน้านี้ เขาคงไม่ลังเลที่จะจัดการกับเฉินตงให้จบสิ้นไปเสีย

แต่เมื่อครู่ตรงทางออกลานจอดรถ จู่ๆ เฉินตงก็โจมตีกลับ นั่นทำให้ชายชุดดำเกิดความปั่นป่วนขึ้นในใจ

นี่ไม่ใช่เหยื่อธรรมดาๆ !

ความสามารถในการต่อสู้ที่น่ากลัว แม้แต่ชายชุดดำก็รู้สึกตกตะลึงไม่น้อย

ก่อนสถานการณ์ทุกอย่างจะสิ้นสุดลง เขาไม่กล้ารับประกันว่าจู่ๆ เฉินตงจะกลับมาพลิกสถานการณ์ได้หรือไม่

ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืน

เฉินตงหนีเอาชีวิตรอยอย่างอ่อนแรง

พิษกำเริบ ยิ่งทำให้ร่างกายอ่อนแรงลงอย่างหนัก ทำให้ความแข็งแรงทางร่างกายของเขาและสติสัมปชัญญะหายไปอย่างรวดเร็ว

แต่เขาไม่กล้าที่จะหยุดนิ่ง เพราะถ้าหากหยุด ก็ทำกับรอให้ดาบของชายชุดดำฟันลงมา

สภาพของเขาที่อยู่ตรงหน้าชายชุดดำในตอนนี้ ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะตอบโต้แม้เพียงเล็กน้อย

หนี !

หนีอย่างสุดชีวิต !

หยุดไม่ได้ !

ถ้าหยุดก็ต้องตาย !

เฉินตงรู้สึกอ่อนแรงไปทั้งตัว เขาเริ่มหายใจเร็วขึ้น

ทันใดนั้น เขารู้สึกว่าที่ปลายจมูกของเขาเปียกชื้นขึ้นเล็กน้อย

เมื่อยกมือขึ้นไปสัมผัส ก็พบว่ามีเลือดกำเดาสีแดงสดไหลออกมา

พิษนี้……ออกฤทธิ์เร็วจริงๆ !

เฉินตงรู้สึกหดหู่ในใจอย่างมาก ตอนนี้เขาถึงขนาดรู้สึกถึงความน่าหวาดกลัวของความสิ้นหวัง

พิษกำเริบอย่างรวดเร็ว สถานที่ลอบสังหารก็ถูกปิดถนนเอาไว้ล่วงหน้า แล้วจะให้หลบหนีได้อย่างไร ?

ถึงแม้ตอนนี้สติสัมปชัญญะของเฉินตงจะเลือนรางไปอย่างรวดเร็ว แต่เฉินตงก็ยังรู้อย่างแจ่มชัด

คนที่ต้องการฆ่าเขา ไม่ใช่เพียงแค่ชายชุดดำที่อยู่ด้านหลังคนนั้นแน่นอน

สามารถปิดถนนล่วงหน้าได้ ไม่ใช่เรื่องที่คนคนเดียวจะสามารถทำได้

ภายใต้ความรู้สึกสิ้นหวัง เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เดิมทีคิดจะโทรขอความช่วยเหลือ

แต่เมื่อเสียงเรียกสายดังขึ้นหนึ่งครั้ง จู่ๆ เขาก็รู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า และรีบกดวางสายในทันที

เพราะเขาตั้งสติได้กะทันหัน ว่าเบอร์ที่เขากดโทรออกไปคือเบอร์ของกู้ชิงหยิ่ง

ในสถานการณ์ระหว่างความเป็นความตายเช่นนี้ ขอความช่วยเหลือจากพวกของกู้ชิงหยิ่ง คงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน

ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่ยินดีที่จะนำพาเรื่องอันตรายเช่นนี้ ไปสู่กู้ชิงหยิ่งกับลูกในท้อง

แต่ในอีกซีกโลกหนึ่งนี้ นอกจากตระกูลกู้แล้ว จะมีใครอื่นอีก ?

สติสัมปชัญญะของเขาเลือนรางเข้าไปทุกทีๆ

ฝีเท้ายิ่งโซเซและอ่อนแรง

แววตาของเฉินตงเริ่มว่างเปล่าและหยุดนิ่ง เลือดที่ค่อยๆ ไหลออกมาจากจมูกในตอนต้น ตอนนี้กลับพุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว

เลือดอาบไปทั่วอกเสื้อของเขา ทำให้ท่าทางของเขาดูน่าเวทนาอย่างมาก

เฉินตงจับโทรศัพท์เอาไว้แน่น สติสัมปชัญญะที่เหลืออยู่ทำให้เขาเปลี่ยนทิศทาง แล้ววิ่งตรงไปยังละแวกบ้านเรือนที่อยู่ใกล้เคียง

ในสถานการณ์ที่ถนนถูกปิด การวิ่งไปตามท้องถนนทำให้ไม่มีสิ่งกีดขวางใดๆ

คนพวกนั้นสั่งปิดถนนได้ แต่ก็ไม่สามารถสั่งปิดอาคารบ้านเรือนโดยรอบได้แน่นอน

ฝีเท้าค่อยๆ ช้าลงๆ

เมื่อวิ่งเข้าไปในตรอกแคบๆ เฉินตงก็รู้สึกตัวของเขาสั่นคลอนและไร้ซึ่งเรี่ยวแรง

ฝีเท้าของชายชุดดำที่เดินตามเขามาทางด้านหลัง ก็ช้าลงตามเขาเช่นกัน

เฉินตงหลุดขำออกมา : “แกควรที่จะรีบวิ่งเข้ามาฟันฉันไม่ใช่หรือ ?”

“ฉันกลัวแก”

น้ำเสียงของชายชุดดำราบเรียบ แต่กลับไปปิดบังความรู้สึกภายในใจเลยแม้แต่น้อย

ภาพที่ปรากฏขึ้นตรงทางออกลานจอดรถ เป็นสัญญาณเตือนเขาอย่างดี

ในสายตาของเขา เฉินตงยังคงเหมือนสัตว์ร้ายที่พยายามต่อสู้ดิ้นรนอยู่

สัตว์ร้าย มีเพียงตอนที่ตายแล้วเท่านั้น ถึงจะไร้ซึ่งพิษสง

ก่อนที่จะตาย จะยังคงหลงเหลือลมหายใจเฮือกสุดท้าย หากประมาทเพียงเล็กน้อย สัตว์ร้ายก็ยังคงมีโอกาสที่จะโจมตีเขากลับอย่างร้ายกาจ

“เหอะ !”

เฉินตงแสยะยิ้ม แต่กลับรู้สึกยินดีในหัวใจ

ยังมีโอกาสอีกเล็กน้อย……

เขาในตอนนี้ เข้าใจถึงสภาพของตัวเองดี ถ้าหากชายชุดดำคนนี้ไม่ประมาท ทำเพียงแค่เดินตามมา แล้วฟันเขาเบาๆ ทุกอย่างก็จะจบสิ้นลงทันที

ด้านหน้า มีแสงไฟส่องสว่าง

เมื่อเดินผ่านตรอก ลมที่ปะทะเข้ามาก็ยิ่งแรงขึ้น

มีกลิ่นอายของความเค็ม

ทางนั้นคือทะเลหรือ ?

สติสัมปชัญญะของเฉินตงเลือนรางจนถึงขีดสุด เขาสามารถหมดสติลงไปนอนอยู่บนพื้นได้ตลอดเวลา

ด้วยระยะห่างที่ใกล้เข้ามา ทำให้ได้ยินเสียงของคลื่นในทะเลได้อย่างชัดเจน

“เหอะ ข้างหน้าคือทางตันแล้ว” ชายชุดดำหัวเราะเยาะ “เหยื่อของมังกรโคโมโดกำลังจะเข้าปากแล้ว”

เฉินตงตัวสั่นเทา มีรสหวานเกิดขึ้นในลำคอของเขา

พรวด !

เลือดสีแดงสดพุ่งออกมา จนฉาบไปทั่วผนังของตรอกแคบ

เขาใช้มือซ้ายค้ำกำแพงเอาไว้ แล้วค่อยๆ ก้าวเดิน ส่วนมือขวาก็กำโทรศัพท์เอาไว้แน่น

หยุดไม่ได้ !

ทันทีที่หยุด ก็เท่ากับโอกาสจบสิ้นลง

ทันใดนั้น เขาก็เกิดความคิดขึ้นมา

ดูเหมือนว่า……จะหาคนช่วยเจอแล้ว !

เขาจ้องมองโทรศัพท์ด้วยสายตาที่พร่ามัว ใช้มือขวาที่สั่นเทาของเขาเปิดหาสมุดโทรศัพท์

ในที่สุด ก็หาหมายเลขนั้นเจอแล้ว

กดต่อสายออกไป

เสียงเรียกเพียงครั้งเดียว ก็มีคนรับสาย

“ช่วยฉันด้วย ฉันอยู่ที่……”

“ขอความช่วยเหลือ ? คนบ้า !”

ชายชุดดำสังเกตเห็นพฤติกรรมของเฉินตงก็รู้สึกโมโหขึ้นมาทันที

ฟิ้ว !

มีดบินถูกซัดออกมา

ฉึบ !

มีดบินปักลงไปที่หลังของเฉินตง

แต่เฉินตงยังคงฝืนวิ่งต่อไปด้านหน้า

“อยู่ที่ไหน ?”

เสียงของชายชราดังอุทานขึ้นมาจากปลายสาย

ตอนนี้ ในที่สุดเฉินตงก็เดินทะลุออกมาจากตรอก แต่สภาพที่เห็นตรงหน้า ทำให้เขาสิ้นหวังอย่างถึงที่สุด

ด้านหน้าเป็นทะเลจริงๆ แต่ตรงหน้ากลับเป็นหน้าผาที่ไม่มีทางไป !

“ตาย !”

เสียงของชายชุดดำดังขึ้นมาจากทางด้านหลังเหมือนเสียงฟ้าผ่าทันที

เฉินตงหันหลังกลับอย่างกะทันหัน ดวงตาที่พร่ามัวของเขา มองเห็นชายชุดดำยืนอยู่ตรงหน้า

ทันใดนั้น เขารู้สึกเหมือนมีลมพัดเย็นในอากาศ

“เหอะ !”

ดวงตาที่ว่างเปล่าและเลือนรางของเฉินตง มีแสงส่องประกายเกิดขึ้น

ในขณะที่ดาบเล่มยาวกำลังฟันลงมา

จู่ๆ เขาก็หันหลังกลับอย่างกะทันหัน และกระโดดอย่างไม่ลังเล……

ภายในลานจอดรถของโรงแรม

เฉินตงขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าของเขาเย็นชาเหมือนน้ำค้างแข็ง

โทรศัพท์ที่ถืออยู่ในมือด้านขวา หน้าจอยังคงส่องแสงสว่างอยู่

เขาหรี่ตาลง แล้วมองไปยังมุมมืดที่อยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยสายตาเย็นชา

“แกรู้ไหมว่า ฉันรอโทรศัพท์สายนี้มานานเท่าไหร่แล้ว ?”

ตึก……ตึก……

เสียงฝีเท้าค่อยๆ ดังขึ้น ภายในลานจอดรถเงียบสงัด จึงได้ยินเสียงอย่างชัดเจน

หลังจากที่กู้ชิงหยิ่งนั่งรถของเทียนอ้ายออกไป เฉินตงก็เอาแต่ยืนเหม่อลอยอยู่ในลานจอดรถ

แม้แต่เขาเอง ก็ยังสงสัยว่าเมื่อครู่เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่

ผิดหวัง โศกเศร้า ไม่เต็มใจ ความรู้สึกต่างๆ ผสมปนเปกัน ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดอย่างมาก

รออยู่เพียงไม่นาน เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น

เมื่อเห็นว่าเป็นสายจากกู้ชิงหยิ่ง เฉินตงก็รู้สึกดีใจขึ้นมาทันที

ทว่าเขายังไม่ทันจะรับสาย ก็มีเจตนาฆ่าอันรุนแรงแผ่ซ่านออกมาจากในมุมมืด

ดังนั้น เขาจึงกดวางสาย

“ฉันได้รับคำสั่งให้มาฆ่าแก”

มีร่างร่างหนึ่งค่อยๆ ปรากฏออกมาจากในความมืด

เฉินตงหรี่ตาลง

ชายคนนั้นแต่งกายด้วยเสื้อผ้ารัดรูปคล้ายกับนินจา บนตัวมีดาบซามูไรแขวนอยู่สองเล่ม เล่มหนึ่งสั้น เล่มหนึ่งยาว

เผยให้เห็นเพียงแค่ดวงตาที่แผ่ซ่านความอำมหิตออกมาเท่านั้น

จ้องมองเขานิ่ง ราวกับงูพิษ

“ฆ่าใคร ?” เฉินตงถาม

“เมื่อได้รับเงินมาแล้ว ก็ต้องกำจัดศัตรูให้ แกถามเช่นนี้ ดูเหมือนกำลังดูถูกจรรยาบรรณของวิชาชีพของฉันนะ”

ชายชุดดำค่อยๆ เดินเข้ามาหาเฉินตง น้ำเสียงแหบพร่าที่เต็มไปด้วยความเย็นชาอย่างถึงที่สุด แล้วจู่ๆ เขาก็พูดขึ้นว่า : “เว้นเสียแต่ว่า จะเสนอเงินเพิ่ม”

เฉินตง : “……”

นี่ใครกำลังดูถูกใครกันแน่ ?

ฟิ้ว !

ในขณะที่เขากำลังงุนงงอยู่ ก็มีแสงสะท้อนแวววาวบนอากาศ

ดาบซามูไรเล่มยาว ส่องแสงเป็นประกายภายใต้แสงไฟ

ชายชุดดำพุ่งเข้าหาเฉินตงอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า

“ไม่เสนอเงินเพิ่มแล้วหรือ ?”

เฉินตงโค้งตัว แล้วแสยะยิ้มออกมา

ฟิ้ว !

ขณะที่ดาบซามูไรกำลังฟาดผ่านอากาศและเกิดเป็นเสียงขึ้นมา

จู่ๆ เขาก็เคลื่อนไหวและขยับร่างกายในแนวนอน จากนั้นจึงใช้เท้าเตะไปที่ท้องของชายชุดดำ

การเตะในครั้งนี้ ใช้พลังมหาศาล

ถึงขั้นทำให้เกิดเสียงดังสนั่นขึ้น

เฉินตงไม่สงสัยในพลังการเตะของตัวเองเลยแม้แต่น้อย

การฝึกฝนที่สั่งสมมาเป็นเวลานาน ทำให้พลังในการเตะของเขาในครั้งนี้ เทียบเท่ากับพลังที่สามารถเตะกระดานชนวนให้แตกออกเป็นเสี่ยงได้

ทว่า !

แสงสะท้อนแวววาวปรากฏขึ้นอีกครั้ง

ดูท่าจะไม่ดีแล้ว !

รูม่านตาของเฉินตงหดลงด้วยความตกใจในทันที

สิ่งที่เห็นคือ ชายชุดดำกำลังชักดาบเล่มเล็กออกมาอย่างรวดเร็ว และฟันเข้าไปที่ขาขวาของเขา

พรวด !

เลือดสาดกระเซ็นขึ้นไปบนอากาศ จากการถูกฟันของดาบเล่มสั้น

ตุ้บ !

ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน เฉินตงกำหมัดชกเข้าไปที่หน้าอกของชายชุดดำ

จากนั้นชายชุดดำก็ถอยหลังไป ส่วนตัวเขาเองก็เดินโซเซถอยไปด้านหลังเช่นกัน

เกิดอาการเจ็บปวดขึ้นอย่างรุนแรงที่ขาขวา

“เฉียดฉิว !”

เฉินตงรู้สึกตกตะลึงอย่างมาก การเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วของชายชุดดำ ทำให้เขารู้สึกกลัวจนเสียวสันหลัง

หากเมื่อครู่เขาไม่สามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว และยังคงออกแรงใช้ขาขวาเตะออกไป ไม่แน่ว่าดาบเล่มสั้นของชายชุดดำ อาจไม่เพียงแค่กรีดชั้นผิวหนังของเขาก็ได้

แต่อาจจะ……ตัดกระดูกของเขาไปแล้ว !

เฉินตงขมวดคิ้วแน่น และจ้องเขม็งไปที่ชายชุดดำที่อยู่ฝั่งตรงข้าม

นินจาระดับยอดฝีมือ ใช่ว่าเขาจะไม่เคยเห็นมาก่อน

ในภารกิจของสังหารขององค์กร hidden killers ชินโกะ โดโมโตะเองก็เป็นนินจา

แต่เขาเป็นถึงนักฆ่าอันดับที่แปดของอันดับยมราช

แล้วคนที่อยู่ตรงหน้าล่ะ ?

การต่อสู้กันเพียงสั้นๆ เมื่อครู่ ฝีมือการต่อสู้ของชายชุดดำ ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าชินโกะ โดโมโตะในตอนนั้นเลย !

“แข็งแกร่งจริงๆ!”

จู่ๆ ชายชุดดำก็หัวเราะออกมา

วินาทีถัดมา เขาพุ่งเข้ามาหาเฉินตงอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า

ดาบสั้นที่อยู่ในมือ ส่งเสียงหวีดหวิว และส่งประกายแวววาวออกมา

ถูกโบกไสว ดูราวกับกำแพงที่มีน้ำไหลลงมาไม่หยุด

เจตนาฆ่าอันยิ่งใหญ่ แผ่ซ่านออกมาจากตัวของชายชุดดำ

เจตนาฆ่าที่รุนแรง ทำให้เฉินตงรู้สึกตกใจ

เมื่อเห็นชายชุดดำพุ่งเข้ามา

เฉินตงรีบหันหลังแล้ววิ่งหนีโดยไม่พูดอะไร

เขาไม่ใช่พวกบ้าเลือด แล้วยิ่งไม่ใช่คนประมาท

หากควรหยุดก็ต้องหยุด ไม่ควรที่จะปะทะ

ฝีมือการต่อสู้ของอีกฝ่าย ไม่ได้ด้อยไปกว่าชินโกะ โดโมโตะในตอนนั้นเลย อีกทั้งยังมีอาวุธอยู่ในมืออีกด้วย

หากฝืนต่อสู้ ผลลัพธ์ก็คงหนีไม่พ้นต้องลงไปอยู่ในนรก

เขาจำได้ดีว่า ตอนที่ฆ่าชินโกะ โดโมโตะนั้น ต้องใช้แรงไปมหาศาลเท่าไหร่

หากต้องต่อสู้กับชายชุดดำจริงๆ อย่างน้อยในมือก็ควรมีดาบสักเล่ม !

มิเช่นนั้น ในสถานการณ์ที่ทั้งสองฝ่ายมีความสามารถที่ไม่แตกต่างกันมากนัก หากต้องใช้มือเปล่าต่อสู้กับอาวุธ ก็ไม่ต่างกับคนโง่ที่พูดเรื่องไร้สาระ !

แต่ทว่า ในขณะที่วิ่งหนีอยู่นั้น ในใจของเฉินตงกลับรู้สึกสงสัย

เพราะตั้งแต่ต้นจนจบ ภาษาและน้ำเสียงของชายชุดดำ เหมือนกับตัวเขาเองอย่างมาก

ไม่เหมือนกับชินโกะ โดโมโตะในตอนนั้น ถึงแม้จะพูดจาชัดเจน แต่สำเนียงที่พูดออกมาก็ยังพอแยกแยะออกได้ชัดเจน

ฟิ้วฟิ้วฟิ้ว……

เสียงลมพัดดังขึ้นมาจากทางด้านหลังของเขา

“มีดนินจา ? !”

เฉินตงรู้สึกตกใจ ในขณะที่เขาวิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เท้าของเขาก็ยังคงเปลี่ยนตำแหน่ง

มีดนินจาและมีดบิน ส่งเสียงลอยผ่านข้างตัวของเขาไปอย่างต่อเนื่อง

พุ่งเข้าใส่พื้นลานจอดรถและเสาจนเกิดประกายไฟขนาดใหญ่

“แกหนีไม่รอดหรอก !”

เสียงแหบพร่าของชายชุดดำดังขึ้นมาทางด้านหลัง ราวกับเสียงของยมราช

ฟิ้ว !

แทบจะในเวลาเดียวกัน เฉินตงก็รู้สึกถึงลมที่พัดผ่านหูของเขา

ฟึ่บ !

เกิดอาการปวดขึ้นที่แขนขวาอย่างรุนแรง ราวกับถูกงูพิษฉก

บ้าเอ๊ย !

เฉินตงรู้สึกใจหาย เขาหันไปมอง แขนขวาของเขามีรอยบาดแผลที่เกิดจากการถูกมีดนินจาบาด

ชั้นผิวหนังเปิดออก แล้วมีเลือดไหลรินออกมาไม่หยุด

แต่ความเจ็บปวดที่เหมือนถูกงูพิษฉกนั้น คงไม่ใช่เพราะการถูกบาดธรรมดาๆ แน่นอน

“พิษ ?”

เฉินตงตกใจจนรูม่านตาหดเล็กลง แต่ก็ยังไม่กล้าชะลอความเร็วลง

ทว่า

ชายชุดดำที่อยู่ด้านหลังส่งเสียงหัวเราะออกมา : “ถูกพิษแล้ว จะวิ่งได้อีกไกลแค่ไหนกัน ? แกรู้ไหมว่ามังกรโคโมโดล่าเหยื่ออย่างไร ?”

เวลามังกรโคโมโดล่าเหยื่อ เมื่อกัดเหยื่อแล้ว มันจะไม่ออกแรงต่อสู้จนเหยื่อตาย แต่มันจะอาศัย “ปล่อยพิษ” ที่อยู่ในปาก ลงไปบนบาดแผลของเหยื่อ เมื่อเหยื่อหนี มังกรโคโมโดก็จะตามไป รอให้พิษในตัวเหยื่อกำเริบ ก็ค่อยก้าวเข้าไปและเขมือบเหยื่อซะ

เห็นได้ชัดว่า ความหมายของชายชุดดำก็คือ ไม่ได้สนใจว่าเขาจะวิ่งหนีหรือไม่

ขอแค่บาดแผลถูกพิษ ก็ย่อมต้องมีเวลาที่พิษกำเริบ ถึงตอนนั้น จึงจะเป็นเวลาที่ชายชุดดำลงมืออย่างแท้จริง !

“บ้าเอ๊ย แกเป็นใครกันแน่ ?”

ในขณะที่วิ่งหนีอย่างบ้าคลั่ง เฉินตงก็รู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมา

เขาไม่กลัวที่จะประมือกับชายชุดดำ แต่ที่เขาวิ่งหนีก็เพื่อที่จะหาโอกาสพลิกสถานการณ์ หากเขาสามารถหาของที่พอจะใช้เป็นอาวุธได้สักอย่าง เขาก็มีความกล้าที่จะหันหลังกลับในทันที แล้วพุ่งตรงเข้าไปต่อสู้

ต่อทว่าตอนนี้ กลับถูกพิษเข้าแล้ว !

“หนทางลงนรก ฉันจะเผากระดาษไปบอกแกเอง”

เสียงหัวเราะของชายชุดดำเต็มไปด้วยการเย้ยหยัน : “เมื่อกี้บอกให้แกเสนอเงินเพิ่ม แกก็ไม่ยอม ตอนนี้มันสายไปเสียแล้ว !”

จู่ๆ เฉินตงก็หัวเราะออกมา

รอยยิ้มอำมหิต

“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องคอยดูแล้วล่ะว่า แกจะฆ่าฉันได้สำเร็จไหม !”

ด้านหน้า เป็นทางออกของลานจอดรถ ขอแค่วิ่งหนีออกไปได้ ต่อให้เป็นเวลากลางคืน แต่หากอยู่ในที่โล่งแจ้ง เขาก็ไม่เชื่อว่านักฆ่าจะยังกล้าลงมืออยู่

ขอแค่ประวิงเวลาไว้ได้ เขาก็จะมีโอกาสรอดชีวิต !

“แกคิดว่าถ้าแกวิ่งหนีออกไปได้ ฉันจะไม่สามารถฆ่าแกได้แล้วอย่างนั้นหรือ ?”

ทันทีที่มีความคิดผุดขึ้นในหัว เสียงหัวเราะของชายชุดดำก็ดังขึ้นมาทางด้านหลังทันที

หัวใจของเฉินตงเต้นระส่ำอยู่พักใหญ่

เขากัดฟัน แล้วรีบวิ่งตรงไปยังทางออกของลานจอดรถ

ทว่า เมื่อเห็นสภาพด้านนอกของลานจอดรถ ก็ทำให้เขาต้องตกตะลึงอย่างที่สุด……

“ภรรยาของผมล่ะ ?”

เฉินตงรีบเดินเข้าไปหาเทียนอ้าย

เขาคิดไม่ถึงว่ากู้ชิงหยิ่งจะรู้จักกับเทียนอ้าย แต่เขาจำได้ว่า เมื่อครู่ในสายโทรศัพท์ เทียนอ้ายพูดว่าจะพากู้ชิงหยิ่งมาด้วย

ตอนนี้เขาอยากจะพบเพียงแค่กู้ชิงหยิ่งเท่านั้น !

เมื่อเห็นเฉินตงเดินตรงเข้ามา

ใบหน้าของเทียนอ้ายก็แดงก่ำ และมีท่าทีตื่นตระหนก

ไม่เย่อหยิ่งและดุร้ายอย่างเช่นเมื่อครู่อีกต่อไป

หลงเหลืออยู่เพียงแค่ท่าทีตกใจเท่านั้น

สิ่งที่ปรากฏต่อสายตา ด้วยระยะห่างที่ใกล้เข้ามา ใบหน้าของเฉินตงเป็นเหมือนกับค้อน ที่ทุบลงบนตาของเทียนอ้ายอย่างแรง

“ว้าย !”

จู่ๆ เทียนอ้ายก็กรีดร้องขึ้นมา แล้วรีบหันหลังวิ่งหนีไป

เสียงกรีดร้องนี้

ทำให้เฉินตงยืนผงะอยู่ที่เดิม : “???”

กู้ชิงหยิ่งที่อยู่ในรถลัมโบร์กีนีก็ผงะไปเช่นเดียวกัน

สองสามีภรรยากู้โก๋ฮั๋ว และพ่อแม่ของเทียนอ้ายก็ผงะไปด้วย

นี่……มันเรื่องอะไรกัน ?

เทียนอ้ายรีบวิ่งกลับไปที่รถลัมโบร์กีนี ราวกับพบเจอเรื่องน่าตกใจอย่างมาก

ในขณะที่กู้ชิงหยิ่งกำลังมองดูด้วยสายตาตื่นตะลึง เธอก็สตาร์ทรถ เหยียบคันเร่ง และเลี้ยวหัวรถมุ่งหน้าออกจากลานจอดรถอย่างรวดเร็ว

การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน ทำให้กู้ชิงหยิ่งคาดไม่ถึง

เธอมองผ่านกระจกไปยังเฉินตงที่ยืนผงะอยู่ที่เดิม ตามสัญชาตญาณ

และในขณะเดียวกับที่เธอกำลังมองออกมา เฉินตงก็ตั้งสติได้พอดี และจ้องมองไปที่รถลัมโบร์กีนี

ตอนนี้เองที่ทั้งสองสบตากัน

ใบหน้าที่เฝ้าคะนึงหาปรากฏขึ้นในดวงตา

“เสี่ยวหยิ่ง !”

เฉินตงตะโกนเสียงดัง แล้ววิ่งตามรถไปอย่างบ้าคลั่ง

แต่เทียนอ้ายที่กำลังอยู่ในอาการตกใจ ก็ยิ่งขับรถออกไปด้วยความเร็ว และหายไปต่อหน้าต่อตาเฉินตง โดยเหลือทิ้งไว้เพียงแค่ควัน

เฉินตงหยุดนิ่งอยู่ที่เดิม แล้วเหม่อลอย : “คุณ ทำไมไม่ยอมพบหน้าผม ? ผมมาเพื่อที่จะขอโทษนะ !”

“นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ?”

พ่อของเทียนอ้ายตั้งสติขึ้นมาได้ ต่อให้เคาะหัวก็ไม่อาจคิดออกได้ จึงรีบเรียกให้คนขับรถสตาร์ทเครื่อง

เห็นชัดๆ ว่าเทียนอ้ายไปสั่งสอนเฉินตง แต่ทำไมเมื่อเจอกับเฉินตง หลับวิ่งหนีราวกับกระต่ายที่หวาดกลัวเช่นนั้น ?

สองสามีภรรยากู้โก๋ฮั๋วเองก็หันมองหน้ากัน ใบหน้าเต็มไปด้วยความงุนงง

รถลัมโบร์กีนีส่งเสียงคำรามและแล่นอยู่บนถนนด้วยความเร็ว

เทียนอ้ายยังไม่อาจสงบสติอารมณ์ได้ เธอมองรถไปพลาง และจ้องมองทางด้านหน้าตาเขม็ง แล้วบ่นพึมพำออกมาราวกับคนเสียสติ

“เป็นไปไม่ได้ จะเป็นไปได้อย่างไร ? เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร ?”

ส่วนกู้ชิงหยิ่งเอง เมื่อครู่ได้สบตากับเฉินตง

ตอนนี้ก็นั่งก้มหน้าก้มตาด้วยความโศกเศร้า มองทั้งสองข้างประสานกันแน่นจนเล็บบาดเข้าที่ผิวหนัง

ในขณะที่บรรยากาศเงียบสงัด น้ำตาของเธอก็ไหลรินออกมาจากหางตา

ระยะเวลาที่กลับไปถึงคฤหาสน์ ด้วยการขับรถอย่างรวดเร็วของเทียนอ้าย ทำให้ลดทอนเวลาไปได้เกือบครึ่ง

เอี๊ยด !

ลัมโบร์กีนีจอดลงที่สวนดอกไม้ของคฤหาสน์

ภายในรถ บรรยากาศเงียบสงัด

เทียนอ้ายกำลังนั่งเหม่อเลย ใบหน้าอันงดงามของเธอเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง

เมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อครู่

เธอก็รู้สึกเหมือนร่างกายกำลังถูกแผดเผา

สวรรค์ !

นี่ฉันเป็นบ้าไปแล้วหรือ ถึงได้คิดจะไปสั่งสอนเขา ?

จากนั้น สายตาของเธอก็หันไปจับจ้องที่กู้ชิงหยิ่งที่เอาแต่นิ่งเงียบตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วถามยืนยันอีกครั้งอย่างไม่อยากเชื่อว่า : “เสี่ยวหยิ่ง ผู้ชายคนนั้นคือสามีของเธอจริงๆ หรือ ? เขา……ชื่อเฉินตง ?”

“อืม” กู้ชิงหยิ่งเงยหน้า ยิ้มอย่างหดหู่ พร้อมใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตา

เทียนอ้ายตัวสั่น และไม่พูดอะไรไปพักใหญ่

นี่มันเป็นพรหมลิขิตแบบไหนกันแน่ ?”

ตอนนี้ ในที่สุดรถลัมโบร์กีนีก็ขับเข้ามาในคฤหาสน์

เพิ่งจะจอดรถ สองสามีภรรยากู้โก๋ฮั๋วและพ่อแม่ของเทียนอ้ายก็รีบลงจากรถทันที แล้ววิ่งตรงไปยังรถลัมโบร์กีนี

กู้โก๋ฮั๋วเปิดประตูรถแล้วเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ

“เทียนอ้าย เมื่อครู่เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ?”

เมื่อเห็นแววตาที่เป็นประกายของผู้ใหญ่ทั้งสี่คน เทียนอ้ายก็แทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนี

“เจ้าเด็กคนนี้ รีบพูดมาเร็วเข้า”

พ่อของเทียนอ้ายพูดเร่งรัด : “บอกว่าจะไปสั่งสอนเขา แล้วทำไมลูกถึงทำเหมือนกับเห็นผี แล้วรีบวิ่งหนีขนาดนั้น ?”

เมื่อได้ยิน

แม้แต่กู้ชิงหยิ่งเองก็หันไปมองเทียนอ้ายด้วยความสงสัย

ปฏิกิริยาหลังจากที่เทียนอ้ายเจอกับเฉินตงเมื่อครู่ มันช่างผิดปกติจริงๆ!

“หนู……”

เทียนอ้ายลูบหน้าของเธอ สีหน้ายังคงเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก : “หนู หนูไม่กล้าสั่งสอนเขา”

อะไรนะ ? !

ทุกคนผงะไปพร้อมกัน

แววตาของกู้โก๋ฮั๋วเป็นประกาย หรือเทียนอ้ายจะรู้ฐานะที่แท้จริงของเฉินตง ?

“ที่ลูกบอกว่าไม่กล้าสั่งสอนเขา หมายความว่าอย่างไร ?”

พ่อของเทียนอ้ายรีบถามต่อ เขารู้จักนิสัยของลูกสาวตัวเองดี เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ ต่อให้เป็นเง็กเซียนฮ่องเต้ เกรงว่าเทียนอ้ายก็ยังกล้าที่จะถลกหนังออกมา

ทว่า

เทียนอ้ายพูดว่า : “เขาคือผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตหนู”

เปรี้ยง !

ทุกคนผงะไปทันทีรวมถึงกู้ชิงหยิ่งด้วย

จากนั้น เทียนอ้ายก็พูดขึ้นอีกว่า : “เหตุการณ์ปล้นเครื่องบิน เฉินตงเป็นคนช่วยหนู หากไม่มีเขาคอยแอบให้ความช่วยเหลือ หนูคงจะตายอยู่บนเครื่องบินไปนานแล้ว”

คำพูดที่พูดออกมาราวกับเสียงฟ้าผ่า ฟาดลงมาจนทำให้สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปอย่างมากทันที

พวกของกู้โก๋ฮั๋วทั้งสี่คนตกใจจนอ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออก

“เสี่ยวหยิ่ง สามีของเธอคือผู้ช่วยให้รอดในเหตุการณ์ปล้นเครื่องบินตัวจริง !” ใบหน้าอันงดงามของเทียนอ้ายแดงก่ำ ตอนนี้เธออยากจะแทรกแผ่นดินหนีจริงๆ”

บนเครื่องบิน หากไม่มีเฉินตงคอยช่วยเหลือ เธอคงต้องตายอยู่ในมือของผู้ร้ายอย่างแน่นอน

แล้วเธอยังคิดที่จะสั่งสอนเฉินตงอีกหรือ ?

“สามีของฉัน……คือผู้ช่วยให้รอด ?” กู้ชิงหยิ่งตกตะลึงและเหม่อลอยไปพักใหญ่

ใครจะไม่อยากให้สามีของตนเองเป็นฮีโร่บ้าง ?

แต่ตอนนี้สถานการณ์ระหว่างเธอกับเฉินตง ทำให้กู้ชิงหยิ่งเกิดความรู้สึกที่ไม่รู้ว่าควรจะยินดีหรือร้องไห้

เทียนอ้ายหันมองกู้ชิงหยิ่งที่กำลังใจลอย จู่ๆ แววตาก็ปรากฏความอิจฉาขึ้นมา

เธอพึมพำเบาๆ ว่า : “เดิมที ที่เขาไม่ต้องการรับความดีความชอบในครั้งนี้ ก็เป็นเพราะต้องการรีบมาขอโทษเธอนี่เอง”

คำพูดนี้ เป็นเหมือนมือใหญ่ที่สัมผัสเข้ามาในหัวใจของกู้ชิงหยิ่ง

ตอนนี้ อารมณ์ของเธอซับซ้อนจนถึงขีดสุด และเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงอย่างรวดเร็ว

สองสามีภรรยากู้โก๋ฮั๋วและพ่อแม่ของเทียนอ้ายเอง ก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปจนประหลาด

ก่อนหน้านี้ พวกเขายังพูดคุยถึงสาเหตุว่าเพราะเหตุใด ผู้ช่วยให้รอดถึงไม่ยอมรับความดีความชอบในครั้งนี้ จริงๆ แล้ว……ก็เพื่อกู้ชิงหยิ่งนี่เอง ?

โดยเฉพาะพ่อของเทียนอ้าย เขาอดไม่ได้ที่จะโพล่งออกมาว่า : “แม้แต่ความดีความชอบใหญ่หลวงขนาดนั้นก็ยังไม่ยอมรับ แต่กลับตั้งใจที่จะมากล่าวขอโทษกับเสี่ยวหยิ่งให้ได้ เด็กคนนี้น่าจะไม่ได้ปฏิบัติกับเธอเหมือนกับที่พวกเราคิดหรอกนะ ?”

คำพูดนี้ ราวกับน้ำที่เทลงไปในหม้อร้อนๆ

ทำให้กู้ชิงหยิ่งและสองสามีภรรยากู้โก๋ฮั๋ว ระเบิดอารมณ์ออกมาทันที

กู้โก๋ฮั๋วมีท่าทีโกรธเคือง : “เจ้าสัตว์เดรัจฉานนั่นทรยศหักหลังลูกสาวฉันเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ทำเช่นนี้ ก็คงเป็นเพียงแค่การเสแสร้งเท่านั้น ? ต่อให้เขาเสียสละมากแค่ไหน ก็ไม่อาจชดเชยกับความผิดที่หักหลังลูกสาวของฉันได้ !”

“น้องกู้ นายใจเย็นหน่อยสิ !”

พ่อของเทียนอ้ายรีบพูดขึ้น : “ฉันเองก็ไม่ได้พูดว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น เพียงแต่ฉันรู้สึกว่าเด็กคนนี้ยอมละทิ้งความดีความชอบใหญ่หลวงเช่นนี้ เพื่อที่จะรีบมาพบเสี่ยวหยิ่ง คงต้องมาด้วยความตั้งใจแน่นอน ไม่น่าจะใช่คนเลวร้ายอะไรนัก”

“พี่เทียน นาย……”

กู้โก๋ฮั๋วคิดจะโต้เถียง

แต่จู่ๆ เทียนอ้ายกลับพูดขึ้นว่า : “ลุงกู้คะ ความดีความชอบครั้งนี้ หากตกอยู่ในมือหนูก็เพียงพอที่จะทำให้หนูได้เลื่อนขั้นถึงสามขึ้นอย่างสบายๆ แม้แต่เฉินตงเอง นี่ก็ถือเป็นโอกาสที่จะทำให้ตนเองได้มีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลก ถ้าหากเขาไม่ได้ใส่ใจเสี่ยวหยิ่งจริง จะปฏิเสธง่ายๆ เพียงเพราะต้องการมาให้ทันเวลาอย่างนั้นหรือคะ ?”

คำพูดนี้ ทำให้กู้โก๋ฮั๋วพูดไม่ออก

“เสี่ยวหยิ่ง หนูคิดว่าอย่างไรล่ะ ?” จู่ๆ หลี่หวั่นชิงก็พูดขึ้น

สายตาหันไปจับจ้องอยู่ที่กู้ชิงหยิ่งทันที

หากจะพูดกันตามตรง ความคิดเห็นของพวกเขาก็เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวเท่านั้น ท้ายที่สุดแล้วต้องดูการตัดสินใจของกู้ชิงหยิ่ง

“เสี่ยวหยิ่ง หรือจะลองโทรกลับดูสักครั้ง ลองพบหน้ากันดูสักหน่อย ?” เทียนอ้ายเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง

กู้ชิงหยิ่งเหม่อลอยไป

เธอเผชิญหน้ากับเทียนอ้ายด้วยความลังเล

ในที่สุด เธอก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา

เธอกดโทรศัพท์หาเฉินตงด้วยความคาดหวัง

เพียงแต่ เมื่อเสียงเรียกสายดังขึ้นหนึ่งครั้ง สายโทรศัพท์ก็ถูกตัด……

กู้ชิงหยิ่งตัวสั่น เมื่อได้ยินเสียงเงียบในโทรศัพท์ เธอก็รู้สึกเจ็บปวดใจขึ้นมาทันที

เขา……ต้องการอะไรกันแน่ ?

สีหน้าของกู้โก๋ฮั๋วเปลี่ยนไป

กำลังจะเอ่ยเตือน

กลับถูกพ่อของเทียนอ้ายห้ามเอาไว้ : “น้องกู้ คนประเภทนี้ต้องสั่งสอนสักหน่อย วางใจเถอะ เทียนอ้ายรู้จักความพอดี”

กู้โก๋ฮั๋วเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ไม่พูดออกมา เมื่อเห็นท่าทางที่กู้ชิงหยิ่งร้องไห้อย่างหนัก เขาก็รู้สึกเหมือนมีมีดมากรีดที่หัวใจ จึงได้ข่มอารมณ์เอาไว้

หลี่หวั่นชิงเคยพูดหลายครั้งแล้วว่า อย่างไรเสียเรื่องนี้ก็ต้องได้รับการแก้ไข

หากยื้อต่อไป พวกเขาไม่รู้ว่าเฉินตงจะรู้สึกอย่างไร แต่สำหรับลูกสาวสุดที่รักของพวกเขาแล้ว ต้องถือเป็นความเจ็บปวดครั้งยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน

ตอนนี้ ในเมื่อเฉินตงมาแล้ว เทียนอ้ายเองก็กำลังอยู่ในอารมณ์โกรธ ไม่แน่ว่านี่อาจจะเป็นทางออกที่ดีก็ได้ !

“หนูไม่อยากเจอเขา”

กู้ชิงหยิ่งส่ายหัวทั้งน้ำตา

เทียนอ้ายเลิกคิ้ว : “ครั้งนี้ไปเพื่อแก้แค้น ไม่ถือว่าเป็นการไปพบเขา !”

ขณะที่พูด เธอไม่ได้สนใจว่ากู้ชิงหยิ่งจะรับปากหรือไม่ แต่กลับลากกู้ชิงหยิ่งเดินออกไปด้านนอกทันที

“กล้ามาทำร้ายเพื่อนของฉันแบบนี้ วันนี้ฉันจะต่อยเขาให้ฟันร่วงหมดปากเลยคอยดู !”

ถึงแม้จะไม่ได้เจอกู้ชิงหยิ่งมาหลายปี แต่ความเป็นเพื่อนสนิทยังคงอยู่ ทั้งสองตระกูลเองก็สนิทสนมกัน ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องแบบนี้ หากเกิดกับผู้หญิงคนอื่น ก็คงทนไม่ได้เช่นกัน

ภรรยากำลังตั้งท้องอยู่ แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือถูกสามีนอกใจ ?

ผู้ชายเลวๆ เช่นนี้ อย่าว่าแต่เกิดเรื่องกับกู้ชิงหยิ่งเลย ต่อให้เกิดเรื่องขึ้นกับคนแปลกหน้าคนอื่นๆ เทียนอ้ายก็ไม่อาจทนนั่งดูอย่างเฉยเมยได้แน่นอน

ผ่านไปห้านาที รถลัมโบร์กีนีก็ขับออกไปจากคฤหาสน์อย่างรวดเร็ว

และหลังจากผ่านไปอีกสองนาที ก็มีรถโรลส์-รอยซ์ขับตามออกไปจากคฤหาสน์เช่นเดียวกัน

บนรถโรลส์-รอยซ์

กู้โก๋ฮั๋วสองสามีภรรยารู้สึกกังวลใจเป็นอย่างมาก แต่ใบหน้าของพ่อแม่เทียนอ้ายนั้น กลับเต็มไปด้วยความโกรธเคือง

“น้องกู้ นายเป็นห่วงมากเกินไปหรือเปล่า ? เทียนอ้ายก็แค่ไปสั่งสอนคนคนหนึ่ง พวกเราต้องตามไปมากมายขนาดนี้เลยหรือ ?” พ่อของเทียนอ้ายรู้สึกสงสัยเล็กน้อย

“ผมไม่ค่อยวางใจคนหนุ่มสาวนัก ผู้ใหญ่อย่างพวกเราควรจะไปแอบสังเกตการณ์ดูสักหน่อย”

กู้โก๋ฮั๋วยิ้มเยาะออกมา

เขารู้ฐานะของเฉินตงดี และยิ่งรู้ดีว่าทักษะในการต่อสู้ของเฉินตงนั้นน่ากลัวขนาดไหน

ที่ตามไปก็เพราะเป็นห่วงกู้ชิงหยิ่งและเทียนอ้าย

ท้ายที่สุดแล้วใครจะสั่งสอนใครก็ยังไม่แน่

แต่สิ่งนี้ เขาก็ไม่กล้าพอที่จะพูดออกไป อย่างไรเสียที่เทียนอ้ายทำไปทั้งหมด ก็เพื่อช่วยระบายความแค้นให้กับกู้ชิงหยิ่ง

“ถือว่าคืนนี้จะมีทางออกที่ดี และทำให้เสี่ยวหยิ่งมีความสุขขึ้นมาได้สักเล็กน้อย” หลี่หวั่นชิงถอนหายใจด้วยความสงสาร

แม่ของเทียนอ้ายเองก็ถอนหายใจตามไปด้วย : “เด็กคนนี้ เอาแต่เก็บกดความรู้สึกของตนเองเอาไว้เช่นนี้ มิหนำซ้ำยังตั้งท้องอยู่ด้วย หากไม่ระบายอารมณ์ออกมาบ้าง จะต้องเกิดปัญหาขึ้นแน่นอน”

อีกทางด้านหนึ่ง

ลัมโบร์กีนีซึ่งกำลังแล่นอยู่อย่างรวดเร็วบนถนน

กู้ชิงหยิ่งกำลังนั่งเหม่อลอย มือทั้งสองข้างกำโทรศัพท์เอาไว้แน่น

เทียนอ้ายซึ่งกำลังขับรถอยู่นั้น เต็มไปด้วยความโกรธ ใบหน้าอันงดงามของเธอเต็มไปด้วยความแค้น

“เสี่ยวหยิ่ง ตอนนี้ไอ้หมอนั่นอยู่ที่ไหน ?”

กู้ชิงหยิ่งส่ายหัว : “ฉันไม่รู้ หรือว่าพวกเราจะกลับกันก่อน ฉันไม่ยากพบหน้าเขาจริงๆ”

“ไม่ได้ไปพบหน้าเขาสักหน่อย แต่ไปสั่งสอนเขาต่างหาก !” เทียนอ้ายทุบกำปั้นด้วยความโกรธ “ไม่ต้องคิดอะไรมาก พอเจอเขาก็ต่อยเขาสักหมัดเพื่อระบายความแค้นให้เธอก่อน แล้วค่อยว่ากัน”

“แต่ว่า……” แววตาของกู้ชิงหยิ่งดูเป็นกังวล

ยังไม่ทันพูดจบ เสียงของโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา

เมื่อเห็นเลขหมายที่โทรเข้ามา ใบหน้าอันงดงามของกู้ชิงหยิ่งก็เปลี่ยนไปทันที

เกิดความลังเลใจขึ้นมา

เมื่อเห็นภาพนี้ เทียนอ้ายก็รู้สึกประหลาดใจ : “ใครโทรมา ?”

กู้ชิงหยิ่งที่เพิ่งจะหยุดร้องไปไม่นาน กลับร้องห่มร้องไห้ขึ้นอีกครั้ง

“เขาหรือ ?”

เทียนอ้ายเลิกคิ้ว จู่ๆ เธอก็แย่งโทรศัพท์มาจากกู้ชิงหยิ่งและกดรับสาย

เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า : “คุณอยู่ที่ไหน ?”

เฉินตงที่อยู่ในสายรู้สึกประหลายใจเล็กน้อย : “คุณคือใคร ?”

“ไม่ต้องสนใจว่าฉันเป็นใคร ตอนนี้ฉันกำลังพาเสี่ยวหยิ่งไปหาคุณ”

เฉินตงที่อยู่ในสาย นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง

จากนั้นจึงบอกที่อยู่ออกมาด้วยความยินดี เป็นโรงแรมแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านของกู้ชิงหยิ่งมากนัก

ตู๊ด !

หลังจากวางสายโทรศัพท์

เทียนอ้ายยื่นโทรศัพท์คืนให้กู้ชิงหยิ่ง จากนั้นจึงถือโอกาสตบไหล่กู้ชิงหยิ่ง : “พอได้แล้ว อีกเดี๋ยวฉันจะช่วยสั่งสอนเขาแทนเธอเอง”มองดูเทียนอ้ายที่กำลังโมโห และใบหน้าเต็มไปด้วยความมั่นใจ

ในใจของกู้ชิงหยิ่งก็รู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก เหมือนมีหลากหลายอารมณ์ผสมปนเปและพัวพันกันอยู่

ต้องไป……พบเขาจริงๆ หรือ?

อีกทางด้านหนึ่ง หลังจากเฉินตงวางสายโทรศัพท์แล้ว ก็ลุกขึ้นยืนด้วยความตื่นเต้นยินดีเป็นอย่างยิ่ง จนไม่หลงเหลือร่องรอยของความทุกข์ก่อนหน้านี้เลยแม้แต่น้อย

เสียงของหญิงแปลกหน้าในสายโทรศัพท์ ทำให้เขารู้สึกคลับคล้ายคลับคลาเหมือนเคยรู้จักกันมาก่อน

แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร

เขาไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจ ตอนนี้สิ่งที่เขาสนใจก็คือ ผู้หญิงคนนั้นกำลังพาเสี่ยวหยิ่งเดินทางมาหาเขา

นี่……ถือเป็นการช่วยเหลือครั้งใหญ่จริงๆ!

เฉินตงเดินเข้าไปในห้องน้ำ แล้วอาบน้ำและแต่งตัวใหม่อีกครั้ง

จากนั้นก็เป็นการรอคอยที่ยาวนาน

เมื่อโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง สายที่โทรเขามาปรากฏขึ้นเป็นชื่อ “ภรรยา” สองคำ ทำให้เฉินเติงยิ้มออกมาอย่างมีความสุข

เขารีบรับโทรศัพท์ ปลายสายยังคงเป็นเสียงที่ฟังดูหยาบคายเมื่อครู่

“ออกมาที่ลานจอดรถของโรงแรม ! ตอนนี้ เดี๋ยวนี้ !”

ตู้ด !

วางสายโทรศัพท์

เฉินตงผงะไปครู่หนึ่ง ทำไมเสียงนี้ ยิ่งฟังยิ่งคุ้น ?

เคยเจอ……ที่ไหนกันแน่ ?

เขาส่ายหัวแล้วรีบเดินออกจากห้องไป และเดินลงไปชั้นล่างของโรงแรม

ในลานจอดรถของโรงแรม กู้ชิงหยิ่งและเทียนอ้ายนั่งอยู่ในรถลัมโบร์กีนี

มือทั้งสองข้างของกู้ชิงหยิ่งประสานกันแน่น อยู่ในอารมณ์สับสนจนถึงขีดสุด

ทั้งเครียด ทั้งกังวล และมีอารมณ์ที่ยากจะใช้คำพูดอธิบายออกมาได้

เทียนอ้ายวางโทรศัพท์ แล้วหันมองกู้ชิงหยิ่ง : “ชิงหยิ่ง เดี๋ยวเธอก็นั่งดูอยู่ในรถนี่ล่ะ ฉันจะสั่งสอนเขาให้ฟันร่วงหมดปากเลย”

ขณะที่พูด เธอยังทำท่าสะบัดคอและมือ พร้อมทั้งส่งเสียงแสดงความพร้อมที่จะต่อสู้

ท่าทีเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวและดุดัน

กู้ชิงหยิ่งที่นั่งอยู่ด้านข้างนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา

ทำเพียงแค่เหลือบมองโรงแรมเป็นระยะๆ

ในที่สุด ร่างที่คุ้นเคยร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นสู่สายตา

“อ้ายอ้าย เขามาแล้ว”

จู่ๆ กู้ชิงหยิ่งก็พูดขึ้นมา

“คอยดูฉันนะ !”

เทียนอ้ายเปิดประตูรถด้วยความโกรธ แล้วปิดอย่างแรงจนดังปัง จากนั้นจึงเดินเข้าไปหาเฉินตงซึ่งยืนอยู่ในที่ไกลๆ อย่างรวดเร็ว

เป็นเพราะระยะห่าง บวกกับท่าทีที่เฉินตงกำลังมองซ้ายมองขวาเพื่อหากู้ชิงหยิ่งหลังจากที่เข้ามาในลานจอดรถ ทำให้เทียนอ้ายเห็นหน้าตาของเฉินตงได้ไม่ชัดเจน

ส่วนภายในรถโรลส์-รอยซ์ที่จอดอยู่ตรงมุมอีกด้านหนึ่ง

สองสามีภรรยากู้โก๋ฮั๋วและพ่อแม่ของเทียนอ้าย ก็กำลังจ้องมองเฉินตงที่เดินเข้าไปในลานจอดรถอย่างเคร่งขรึม

เมื่อเห็นเทียนอ้ายลงจากรถ แล้วเดินเข้าไปหาเฉินตงด้วยความโมโห

พ่อแม่ของเทียนอ้ายก็รู้สึกขำทันที

พ่อของเทียนอ้ายหันไปตบไหล่ของกู้โก๋ฮั๋ว : “น้องกู้ คอยดูให้ดีนะ หลายปีมานี้ลูกสาวสุดที่รักของเราไม่ได้ฝึกมาเสียแรงเปล่า เธอจะต้องช่วยสั่งสอนเจ้าสัตว์เดรัจฉานนี่ให้รู้สำนึกสักครั้งได้อย่างแน่นอน”

ในเวลาเดียวกันนี้

เทียนอ้ายที่กำลังเดินตรงเข้าไปหาเฉินตง ค่อยๆ ขมวดคิ้ว

ความโกรธบนใบหน้าค่อยๆ จางหายไป

เมื่อมองดูคนที่กำลังมองซ้ายมองขวาคนนั้นอยู่ และระยะห่างที่ใกล้เข้าไปเรื่อยๆ

“ทำไมยิ่งมองยิ่งคุ้น ?”

เทียนอ้ายที่กำลังนึกสงสัยขึ้นมา ยังคงเดินต่อไปไม่หยุด

อีกทั้งยังตะโกนใส่เฉินตงด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม : “เฮ้ คุณคือสามีของชิงหยิ่งใช่ไหม ?”

เมื่อได้ยินเสียงตะโกน

เฉินตงที่กำลังมองซ้ายมองขวา รีบหันหาเสียงทันที

เมื่อเห็นเทียนอ้าย เขาก็ผงะไป

ส่วนเทียนอ้ายเองก็หยุดเดินอย่างกะทันหัน และมองเฉินตงด้วยความประหลาดใจ

ใบหน้าหล่อเหลาและเย็นชาที่ดูคุ้นเคยนั้น จู่ๆก็เป็นเหมือนค้อนที่ทุกเข้ามาที่ตาของเธออย่างแรง

“คุณนั่นเอง ?”

“คุณนั่นเอง ?”

เฉินตงและเทียนอ้ายพูดออกมาด้วยความประหลาดใจแทบจะพร้อมกัน

“ภรรยาขอผมล่ะ ?” เฉินตงรีบเอ่ยถามขึ้น

“คุณคือสามีของชิงหยิ่งจริงๆ หรือ ?”

ใบหน้าอันงดงามของเทียนอ้ายแดงก่ำ อยู่ในท่าทีเขินอายอย่างมากและตื่นตระหนก

นี่ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ?

สามีของกู้ชิงหยิ่ง คือผู้ช่วยให้รอด ?

หลังจากได้ยินคำพูดของเทียนอ้าย

กู้โก๋ฮั๋วและพ่อแม่ของเทียนอ้ายก็ผงะไปทันที

“เป็นเพราะต้องรีบไปขอโทษภรรยา ถึงขนาดยอมยกความดีความชอบอันใหญ่หลวงนี้ ให้กับคนอื่นเลยหรือ ?”

พ่อของเทียนอ้ายรู้สึกงุนงง และพูดออกมาโดยไม่อยากจะเชื่อ : “เขาโง่หรือเปล่า ?”

“ผู้ชายอย่างคุณจะไปรู้อะไร ?”

แม่ของเทียนอ้ายยกมือข้างขวาขึ้นจับคาง และพูดออกมาด้วยความอิจฉา : “อิจฉาภรรยาของผู้ชายคนนั้นจริงๆ ที่สามีของเธอรักเธอมากขนาดนี้”

เทียนอ้ายเองก็พลอยพยักหน้าไปด้วย : “หนูรู้สึกว่าเขาจะต้องรักภรรยาของเขามากแน่ๆ ช่างอิจฉาภรรยาของเขาจริงๆ”

เมื่อนึกถึงบทสนทนาที่เกิดขึ้นกับเฉินตงที่ด้านนอกสนามบิน แววตาของเทียนอ้ายก็ปรากฏความรู้สึกอิจฉาขึ้นมา

ถ้าหากผู้หญิงคนนั้นได้ล่วงรู้ ว่าสามีของเธอยอมสละความดีความชอบอันใหญ่หลวงนี้ เพื่อที่จะไปขอโทษเธอ เธอคงจะต้องซาบซึ้งใจมากแน่นอน ?

ไม่แปลกที่คนในครอบครัวของเทียนอ้ายทั้งสามคนจะคิดเช่นนี้

เพราะในความเป็นจริงแล้ว พวกเขารู้ดีความดีความชอบจากการแก้ไขสถานการณ์ปล้นเครื่องบิน และช่วยชีวิตทุกคนบนเครื่องให้ปลอดภัยได้นั้น เป็นความดีความชอบที่ใหญ่หลวงขนาดไหน

โดยเฉพาะเทียนอ้าย ด้วยอาชีพของเธอ ทำให้เธอรู้ถึงความดีความชอบในครั้งนี้อย่างชัดเจน

หากจะพูดกันตามตรงก็คือ ด้วยอาชีพของเธอ เมื่อเธอได้สร้างความดีความชอบในครั้งนี้ หลังจากที่กลับไปยังสำนักงานใหญ่ จะต้องได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นถึงสามขั้นอย่างแน่นอน !

กู้โก๋ฮั๋วเหม่อลอยไปครู่หนึ่ง แล้วหัวเราะออกมาอย่างหดหู่ : “ในโลกนี้ ความรักที่ลึกซึ้งเช่นนี้ หาได้ยากยิ่งแล้ว”

บนโต๊ะอาหาร บรรยากาศแปลกไปเล็กน้อย

เห็นได้ชัดว่า หลังจากที่เทียนอ้ายได้เล่าความจริงของเหตุการณ์ทั้งหมดออกมา ความตื่นเต้นและภาคภูมิใจที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ได้จางหายไปไม่น้อย

ไม่ว่าจะเป็นกู้โก๋ฮั๋วหรือพ่อแม่ของเทียนอ้าย ต่างก็หันเหความสนใจไปหาคนคนนั้น……ชายผู้ซึ่งต้องการรีบไปขอโทษภรรยา

“แม่คะ พวกเราเข้าไปเถอะค่ะ”

อารมณ์ของกู้ชิงหยิ่งกลับมาเป็นปกติ และเดินกลับไปยังที่นั่งพร้อมหลี่หวั่นชิง

เทียนอ้ายเห็นสีหน้าของกู้ชิงหยิ่งไม่สู้ดีนัก อย่างน้อยๆ ก็ดูหน้าซีดลงไปอย่างมาก จึงรีบถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง : “เสี่ยวหยิ่ง เธอเป็นอะไรกันแน่ ? เธอเมื่อก่อนหน้านี้ ไม่ได้ดูกระอักกระอ่วนขนาดนี้นะ”

“ไม่เป็นไรจริงๆ”

กู้ชิงหยิ่งส่ายหัว ฝืนยิ้มออกมา : “อ้ายอ้าย เธอเลิกสนใจฉันได้แล้ว วันนี้เธอต่างหากที่เป็นฮีโร่”

“ฉันไม่ใช่ฮีโร่สักหน่อย เมื่อครู่ได้บอกความจริงกับพ่อของเธอและพ่อแม่ของฉันอย่างชัดเจนไปแล้ว”

เทียนอ้ายยักไหล่ เหมือนจู่ๆ จะนึกอะไรขึ้นมาได้ เธอถูมือแล้วหันไปมองกู้ชิงหยิ่ง : “จริงสิ ตอนที่เธอแต่งงานฉันติดภารกิจพอดี จึงไม่ได้มาร่วมงาน ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ขอให้เธออภัยให้ฉันด้วย ฉันเตรียมของขวัญมาให้เธอหนึ่งชิ้นด้วยนะ”

พูดจบ เธอก็ลุกขึ้นแล้ววิ่งขึ้นไปชั้นบน

ท่าทีของกู้ชิงหยิ่งเปลี่ยนไปเล็กน้อย

ส่วนกู้โก๋ฮั๋วและหลี่หวั่นชิง ต่างหันมองกู้ชิงหยิ่งด้วยความสงสาร

คำพูดประโยคนี้ของกู้ชิงอ้าย เห็นได้ชัดว่ากระทบไปถึงบาดแผลภายในใจของกู้ชิงหยิ่ง

แต่เทียนอ้ายเองก็ไม่ได้มีเจตนาที่จะพูดขึ้นมา สองสามีภรรยาจึงไม่อาจต่อว่าเทียนอ้ายได้

ไม่ช้า เทียนอ้ายก็วิ่งกล่องของขวัญวิ่งกลับมา

“นี่คือรองเท้าคริสทัลที่ฉันเตรียมเอาไว้ให้เธอโดยเฉพาะ ถูกทำขึ้นโดยช่างฝีมือชั้นยอดที่หามาได้ ทั้งโลกมีเพียงคู่เดียวเท่านั้น”

เทียนอ้ายยื่นกล่องของขวัญใส่มือกู้ชิงหยิ่ง : “ตอนนั้นฉันยังคิดเลยว่า ตอนที่เธอแต่งงาน หากได้ใส่รองเท้าคริสทัลคู่นี้ในวันงาน จะต้องเป็นเจ้าสาวที่สวยและมีความสุขที่สุดในโลกอย่างแน่นอน น่าเสียดายที่ตอนนั้นติดภารกิจด่วน จนยากที่ฉันจะจัดการเวลาได้ทัน”

“ไม่เป็นไรหรอกอ้ายอ้าย”

กู้ชิงหยิ่งแสดงอารมณ์ที่ซับซ้อนออกมา เธอเปิดกล่องออกดูด้วยดวงตาที่แดงก่ำเล็กน้อย รองเท้าคริสทัลแวววาวปรากฏขึ้นต่อสายตาของเธอ ช่างเป็นรองเท้าคริสทัลที่งดงามมากจริงๆ

เพียงแต่ การแต่งงานในครั้งนี้ไม่ได้สมบูรณ์แบบอย่างที่คิด

ถึงขั้นว่า……มีการนองเลือด

และหลังจากนั้น……

กู้ชิงหยิ่งก้มมองท้องที่ป่องออกมาเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว แล้วรู้สึกเจ็บปวดถึงที่สุดในทันที

ฉันทำเพื่อคุณมากมายขนาดนี้ ทำไมคุณถึงทำกับฉันเช่นนี้ ?

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตอนที่กู้ชิงหยิ่งได้ยินคำพูดของเทียนอ้ายเมื่อครู่ที่พูดว่า คนอื่นสามารถละทิ้งเกียรติยศอันยิ่งใหญ่นี้ โดยไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย เพื่อที่จะรีบไปขอโทษภรรยา

เพราะอะไร……ฉันถึงต้องพบเจอกับคนใจร้ายเช่นนี้ด้วย ?

เทียนอ้ายหันมองไปรอบๆ แล้วเลิกคิ้ว : “จริงสิ ฉันยังไม่เคยพบกับสามีของเสี่ยวหยิ่งเลย ครั้งนี้กลับมาพวกเรานัดเจอกันทั้งที เธอก็ไม่ยอมพามาแนะนำให้ฉันรู้จักสักหน่อย ไม่ไว้หน้ากันเลย”

กู้ชิงหยิ่งตัวสั่น ทันใดนั้นเธอก็ไม่อาจข่มความทุกข์ทรมานทั้งหมดไว้ได้อีกต่อไป

ดวงตาของเธอแดงก่ำ น้ำตาค่อยๆ หยดลงมาทีละหยดๆ ไหลผ่านหางตาและหยดลงมาบนรองเท้าคริสทัลที่อยู่ในอ้อมแขน

ภาพนี้ ทำให้เทียนอ้ายอึ้งไปในทันที

พ่อแม่ของเทียนอ้ายเองก็ตกตะลึงไม่น้อย

กู้โก๋ฮั๋วและหลี่หวั่นชิงหันมองหน้ากัน แววตาเต็มไปด้วยความสงสาร

กู้โก๋ฮั๋วแสดงท่าทีโกรธแค้นออกมา เขายกแก้วเหล้าที่มีเหล้าขาวอยู่เต็มแก้วขึ้นมา แล้วดื่มจนหมดในคราวเดียว

“น้องกู้ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ?” พ่อของเทียนอ้ายเอ่ยถามขึ้น

อีกด้านหนึ่ง เมื่อเทียนอ้ายตั้งสติกลับมาได้ ก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก

เธอรีบเข้าไปกอดกู้ชิงหยิ่ง : “เสี่ยวหยิ่ง เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ? เธออย่าทำให้ฉันตกใจสิ”

เมื่อได้ยินคำถาม กู้ชิงหยิ่งก็ยิ่งร้องไห้ออกมาหนักขึ้น

เธอโผเข้าไปในอ้อมกอดของเทียนอ้าย แล้วร้องไห้ออกมาอย่างหนัก

ข่มอารมณ์ หลายวันมานี้เธอพยายามข่มอารมณ์ของตนเองเอาไว้

เธอพยายามอย่างมากที่จะแสร้งทำท่าทีนิ่งเฉย เพื่อให้พ่อแม่สบายใจ

แต่เธอไม่อาจทำได้ ในช่วงกลางดึกที่เงียบสงัด เธอมักจะนึกถึงเฉินตง และคิดถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเฉินตง

แต่เมื่อนึกถึงเรื่องของเย่หลิงหลง กู้ชิงหยิ่งก็รู้สึกราวกับมีมีดมากรีดที่หัวใจ

ความทุกข์ทรมานจากอาการแพ้ท้อง ยิ่งทำให้เธอรู้สึกสูญสิ้นทุกอย่าง ภายใต้สภาวะซึมเศร้าและความกดดันเช่นนี้

ภายในห้องอาหาร มีเสียงร้องของกู้ชิงหยิ่งดังก้องอยู่

พ่อแม่ของเทียนอ้ายเอง เมื่อเห็นแล้วก็รู้สึกสงสาร

ทั้งสองตระกูลเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ตอนนี้เมื่อเห็นกู้ชิงหยิ่งตกอยู่ในสภาพที่ใจสลาย สองสามีภรรยาเองก็รู้สึกร้อนใจเช่นกัน

“น้องกู้ รีบบอกมาเร็วเข้า เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ?” พ่อของเทียนอ้ายเอ่ยถามขึ้นมาอีกครั้ง

กู้โก๋ฮั๋วกลับถอนหายใจออกมา มือทั้งสองข้างจับผมเอาไว้แน่น แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา

หลี่หวั่นชิงค่อยๆ ตบหลังของกู้ชิงหยิ่งเบาๆ : “เสี่ยวหยิ่ง แม่อยู่นี่ ไม่ร้องนะ ไม่ต้องร้องแล้ว ไม่ว่าใครจะไปจากลูก แต่พ่อกับแม่ก็ยังจะอยู่กับลูกตลอดไป”

เทียนอ้ายหันมอง จากนั้นจึงปรากฏความโกรธแค้นขึ้นในแววตาคู่งามทันที

“เสี่ยวหยิ่ง เธอถูกรังแกใช่ไหม ? บอกฉันมา ฉันจะช่วยเธอระบายความแค้นเอง !”

กู้ชิงหยิ่งผละตัวออกมาจากอ้อมแขนของเทียนอ้าย ใบหน้าของเธอฉาบไปด้วยน้ำตา ใช้ฟันกัดริมฝีปากแดงระเรื่อเอาไว้แน่น

เธอนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพูดพลางร้องไห้ว่า : “ฉันจงรักภักดีต่อเขา ทำไมเขาถึงต้องทรยศหักหลังฉันด้วย ?”

เปรี้ยง !

เสียงร้องไห้ ดังก้องอยู่ในหูของเทียนอ้ายและพ่อแม่ของเธอราวกับเสียงฟ้าผ่า

หักหลัง ?

นอกใจ ?

ทันใดนั้น ความโกรธแค้นของเทียนอ้ายปะทุขึ้นมา ใบหน้าอันงดงามของเธอเต็มไปด้วยความเคียดแค้น

“คนเลว ! กล้าทำแบบนี้กับเสี่ยวหยิ่งของฉันได้อย่างไร ? คิดว่าฉัน เทียนอ้าย ไร้น้ำยาหรืออย่างไร ?”

“เสี่ยวหยิ่ง แม่อยู่นี่ ลูกหยุดร้องได้แล้ว ลูกต้องนึกถึงสุขภาพและลูกในท้องของตัวเองให้มากๆ นะ” หลี่หวั่นชิงพูดเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างเมตตา

แม่ของเทียนอ้ายเองก็รีบยืนขึ้นมา แล้วเดินตรงเข้ามาหากู้ชิงหยิ่ง จากนั้นจึงตบหลังกู้ชิงหยิ่งและพูดปลอบใจว่า : “เสี่ยวหยิ่ง เลิกร้องได้แล้ว แม่ของเธอพูดถูก ต่อให้ท้องฟ้าพังทลายลงมา ก็ยังมีพ่อกับแม่ มีลุงกับป้าอยู่อีกนะ”

ในฐานะที่เป็นผู้หญิง จึงสามารถเข้าใจถึงความเจ็บปวดของกู้ชิงหยิ่งในตอนนี้ได้ดีที่สุด

“หนูทนได้ หนูสามารถทนได้”

กู้ชิงหยิ่งร้องไห้พลางเช็ดน้ำตา และพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นว่า : “แต่เขามาแล้ว เขามาหาหนูแล้ว ตอนที่เขาพูดว่าจะพาหนูกลับบ้าน หนูไม่อาจทนไหวจริงๆ เรื่องนี้เขาคิดจะอธิบายอย่างไรอีก ? เขามีสิทธิ์อะไรจะพาหนูกลับบ้านอีก ?”

ปัง !

ได้ยินดังนั้น เทียนอ้ายก็ตบฝ่ามือลงบนโต๊ะ

ขมวดคิ้วแน่น แล้วพูดผ่านไรฟันออกมาหนึ่งประโยค : “มาแล้วหรือ ? มาได้เวลาพอดี !”

พูดจบ เทียนอ้ายก็ลุกขึ้นแล้วดึงกู้ชิงหยิ่งให้ยืนขึ้น และพูดออกมาด้วยความโมโหว่า : “เสี่ยวหยิง พาฉันไปหาเขา ฉันจะช่วยแก้แค้นให้เธอเอง !”

ตอนนี้เอง

เฉินตงรู้สึกเหน็บหนาวไปทั้งตัว ทั้งๆ ที่ยืนอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์

ตัวอักษรเพียงไม่กี่ตัวที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอ ทำให้เขารู้สึกราวกับมีมีดมากรีดที่หัวใจ

“คุณรู้หรือว่าผมมาแล้ว ?”

เฉินตงพึมพำ : “แม้แต่พบหน้าผมสักครั้ง คุณก็ไม่ยินดีอย่างนั้นหรือ ?”

ขณะที่กำลังสับสน เฉินตงก็พยายามต่อสายโทรศัพท์หากู้ชิงหยิ่ง

แต่เมื่อเสียงเรียกสายดังขึ้นได้เพียงครั้งเดียว ก็ถูกกดตัดสาย

เขาไม่เต็มใจ ยังคงกดต่อสายอีกหลายครั้ง แต่ผลลัพธ์กลับเหมือนเดิมทุกครั้ง

“รับโทรศัพท์ผมหน่อยได้ไหม ?”

เฉินตงส่งข้อความไปหากู้ชิงหยิ่ง

จากนั้น ก็รีบส่งอีกหนึ่งข้อความเสริมไปทันที : “ผมมาที่นี่ ก็เพื่อจะมาอธิบายทุกอย่างกับคุณ และพาคุณกลับบ้าน”

ในขณะที่กำลังส่งวีแชท เฉินตงมีความรู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อย

ถึงขั้นว่ามือทั้งสองข้างที่กำลังพิมพ์ข้อความอยู่นั้นสั่นเทา

เขารู้สึกกลัวจริงๆ !

เกรงว่าความเข้าใจผิดในครั้งนี้ ทำให้ต้องสูญเสียกู้ชิงหยิ่งไป

ต่อให้เขาพยายามที่จะระงับสติอารมณ์ แต่ก็ไม่อาจสงบลงได้

หลังจากส่งวีแชทเสร็จ

เฉินตงก็นั่งยองๆ ลงข้างถนน จ้องมองโทรศัพท์ไม่วางตา กัดเล็บ และรอคอยอย่างเงียบๆ

แต่ทว่า รออยู่เป็นเวลานาน

ข้อความทั้งสองประโยค เป็นเหมือนก้อนหินที่จมลงสู่ทะเล ไร้เสียงตอบกลับมา

“ผมจะรอจนกว่าจะพบคุณให้ได้ !” แววตาของเฉินตงเหมือนมีประกายไฟลุกโชน แล้วพูดอย่างแน่วแน่ว่า : “ผมจะพาคุณกลับบ้านให้ได้”

……

ความมืดค่อยๆ คืบคลานเข้ามา

ภายในคฤหาสน์สุดหรู

เสียงหัวเราะพูดคุยดังอยู่ในห้องอาหาร

นี่เป็นงานเลี้ยงส่วนตัว หรือจะพูดตรงๆ ก็คือ เป็นงานเลี้ยงมื้อค่ำส่วนตัวระหว่างตระกูลกู้และตระกูลเทียน

ความสัมพันธ์ของสองตระกูล ถูกวางรากฐานไว้อย่างมั่นคง ตั้งแต่สมัยที่กู้โก๋ฮั๋วยังเป็นหนุ่ม หลายปีมานี้ ทั้งสองฝ่ายยังคงดำเนินธุรกิจร่วมกันมาอย่างต่อเนื่อง

“น้องกู้ ฉันยังจำสมัยที่เราบุกเบิกธุรกิจกันได้ ตอนที่หวั่นชิงกับภรรยาของฉันตั้งท้อง พวกเราทั้งสองยังแต่งงานด้วยสาเหตุท้องก่อนแต่งอยู่เลย”

ชายวัยกลางคนที่มีจอนผมสีขาว และมีใบหน้าที่ดูมีสง่าราศี กำลังถือแก้วไวน์ และพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม : “ผลที่ได้ช่างน่าพอใจ คลอดลูกสาวที่น่ารักออกมาคู่หนึ่ง”

“ไม่ใช่คืนนั้นหรือ ที่เราดื่มกันไปไม่น้อย นายต้องการจะให้เทียนอ้ายแต่งงานกับเสี่ยวหยิ่งของฉันให้ได้ ยังดีที่ตอนนั้นฉันยังพอมีสติอยู่บ้าง” กู้โก๋ฮั๋วหัวเราะร่าออกมา

ทุกคนพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน

มีเพียงกู้ชิงหยิ่งที่ยังมีท่าทีเหงาหงอย มือทั้งสองข้างกำมือถือเอาไว้แน่น วางไว้ใต้โต๊ะ

เดิมทีตั้งใจว่าจะพูดคุยเรื่องอดีตกับเพื่อนสนิทที่ไม่ได้เจอกันมาหลายปี

แต่หลังจากที่เฉินตงโทรศัพท์แหละส่งข้อความเข้ามา กู้ชิงหยิ่งก็ไม่มีกะจิตกะใจอีกเลย

“เสี่ยวหยิ่ง เธอมีเรื่องไม่สบายใจหรือเปล่า ?”

เทียนอ้ายที่นั่งอยู่ข้างๆ กู้ชิงหยิ่ง ถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง : “ฉันรู้สึกว่าคืนนี้เธอดูเหมือนมีเรื่องไม่สบายใจอย่างมาก”

“ไม่ ไม่มีอะไร” กู้ชิงหยิ่งฝืนยิ้ม

เทียนอ้ายกลับขมวดคิ้วแล้วพูดว่า : “พวกเราไม่ได้เจอกันมาหลายปี เธอกลับไม่อยากพูดคุยกับฉัน ยังจะพูดอีกว่าไม่มีอะไรหรือ ?”

“ไม่เป็นไรจริงๆ อ้ายอ้าย ฉันแค่รู้สึกไม่สบายตัวเท่านั้น” กู้ชิงหยิ่งไม่อาจฝืนทำตัวเบิกบานได้จริงๆ

ต่อให้เทียนอ้ายที่อยู่ตรงหน้า จะเป็นเพื่อนเล่นที่สนิทที่สุดในวัยเด็กของเธอก็ตาม

หลังจากพูดจบ สีหน้าของกู้ชิงหยิ่งก็เปลี่ยนไปทันที จากนั้นจึงรีบลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำ

กู้โก๋ฮั๋วพูดด้วยรอยยิ้ม : “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร พวกเราสนุกกันต่อ จริงสิ เทียนอ้าย เธอกลับมาครั้งนี้ ก็กลายเป็นฮีโร่ของพวกเราไปเสียแล้ว !”

คำพูดหนึ่งประโยค ทำให้หัวข้อสนทนาเปลี่ยนไป

พ่อแม่ของเทียนอ้าย ค่อยๆ เผยรอยยิ้มของความชื่นชมยินดีออกมา

การจี้เครื่องบิน ถือเป็นข่าวใหญ่จริงๆ

ถูกสื่อใหญ่ต่างๆ นำเสนอออกมาอย่างรวดเร็ว

การกระทำอย่างกล้าหาญในครั้งนี้ ทำให้เทียนอ้ายได้กลายเป็น “ผู้ช่วยให้รอด” ของทุกคนบนเครื่องบินลำนี้ ทำให้ใบหน้าของพ่อแม่เต็มเปี่ยมไปด้วยความภูมิใจ

“ไม่หรอกค่ะ ลุงกู้ เป็นเพราะโชคช่วยเท่านั้น”

เทียนอ้ายก้มหน้าก้มตา แล้วพูดออกมาอย่างเขินอาย

เมื่อนึกถึงภาพเหตุการณ์บนเครื่องบิน ในใจของเทียนอ้ายยังคงรู้สึกโชคดี

หากไม่มีผู้ชายที่ชื่อ “เฉินตง” คนนั้น อยู่ร่วมในเหตุการณ์ด้วย ต่อให้ตนจะก้าวออกมาอย่างกล้าหาญ ก็ยังคงยากที่จะแก้ไขสถานการณ์ได้

“ถ่อมตัว เด็กคนนี้ช่างถ่อมตัวจริงๆ ”

กู้โก๋ฮั๋วยิ้มออกมา : “ฉันเคยได้ยินพ่อกับแม่ของเธอพูดว่า หลายปีมานี้เธอพยายามต่อสู้ฝ่าฟันอย่างสุดความสามารถ จนตอนนี้ได้เป็นตำรวจสากลแล้ว ตำแหน่งและความสามารถนี้ สามารถช่วยเหลือทุกคนที่อยู่บนเครื่องบินได้ ก็ถือเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล ทำไมเธอถึงยังพูดว่าเป็นเพราะโชคช่วยอีกล่ะ ?”

“ในฐานะที่คุณเป็นพ่อ เมื่อลูกรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน คุณยังจะบังคับให้ลูกแสดงความภาคภูมิใจออกมาอีกหรือ ?” แม่ของเทียนอ้ายยิ้มและพูดตำหนิขึ้น

กู้โก๋ฮั๋วพูดต่อ : “พี่สะใภ้ ผมต้องขอตำหนิพี่หน่อยแล้ว พวกเราไม่ใช่พวกหัวโบราณเสียหน่อย เทียนอ้ายทำเรื่องใหญ่ขนาดนี้ได้สำเร็จ อย่าว่าแต่พวกพี่ทั้งสองที่เป็นพ่อแม่เลย แม้กระทั่งผมซึ่งเป็นแค่ลุง ยังรู้สึกได้หน้าไปด้วยเลย”

เมื่อฟังบทสนทนาระหว่างกู้โก๋ฮั๋วกับพ่อแม่

เทียนอ้ายก็รู้สึกเขินอายยิ่งขึ้น เห็นชัดๆ ว่าสิ่งที่เธอพูดนั้นคือความจริง แต่ผลลัพธ์กลับถูกเข้าใจผิดว่าเป็นการถ่อมตน

เมื่อได้ยินคำพูดเยินยอ เทียนอ้ายก็รู้สึกรับไม่ได้เล็กน้อย

นิสัยของเธอดื้อรั้นและหยิ่งทะนง มิเช่นนั้นก็คงไม่ละทิ้งชีวิตที่ฟุ้งเฟ้อของวัยรุ่น และเลือกที่จะใส่ชุดเครื่องแบบแทนเสื้อผ้าสวยๆ

และด้วยนิสัยส่วนตัวเช่นนี้ ทำให้เธอรู้สึกละอายใจเล็กน้อย กับความภาคภูมิใจที่ตนเองได้รับในครั้งนี้

ความภาคภูมิใจที่แท้จริง ควรเป็นของผู้ชายคนนั้น !

“เทียนอ้าย รีบเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ลุงฟังเร็วเข้า เรื่องเช่นนี้มักจะเกิดขึ้นในภาพยนตร์เท่านั้น ทำให้ลุงรู้สึกสนใจเป็นอย่างมาก”

เพื่อที่จะเลี่ยงประเด็นเรื่องที่กู้ชิงหยิ่งแพ้ท้อง จึงทำได้เพียงเอ่ยถามต่อ

ตอนนี้กู้ชิงหยิ่งกำลังตั้งท้อง เฉินตงยังทำเรื่องที่แม้แต่สัตว์เดรัจฉานยังเทียบไม่ได้เช่นนั้นอีก ในใจของเขารู้สึกอับอายที่จะต้องพูดเรื่องนี้ต่อหน้าคนอื่น

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับแววตาที่เป็นประกายของกู้โก๋ฮั๋วและพ่อแม่

เทียนอ้ายก็บีบกำปั้น แล้วพูดออกมาอย่างช่วยไม่ได้ : “ลุงกู้คะ พ่อคะแม่คะ มันเป็นเพราะโชคช่วยจริงๆ ค่ะ”

อะไรนะ ? !

กู้โก๋ฮั๋วและพ่อแม่ของเทียนอ้ายผงะไปพร้อมกัน

ทั้งสามตั้งสติกลับมาได้ คำพูดนี้ของเทียนอ้ายไม่ใช่การถ่อมตัวจริงๆ แต่เป็นการแสดงให้เห็นว่ามีเรื่องอื่นแอบซ่อนอยู่

จากนั้น เทียนอ้ายก็ค่อยๆ พูดขึ้นว่า : “หลังจากที่เครื่องบินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า หนูก็สังเกตเห็นผู้ร้ายทั้งสี่คนก่อน แต่ตอนนั้น ด้วยความสามารถและความเป็นมืออาชีพของหนู ทำให้หนูคิดที่จะแก้ไขปัญหาทั้งหมดเองคนเดียว จึงได้เข้าไปเตือนผู้โดยสารที่นั่งอยู่ทีละคนๆ”

“หลังจากเกิดเรื่องขึ้น หนูก็เป็นคนแรกที่ก้าวออกมาด้วยความกล้าหาญ เพื่อเผชิญหน้ากับผู้ร้ายทั้งสี่คน แต่ แต่หนู……”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ ใบหน้าอันงดงามของเทียนอ้ายก็แดงระเรื่อขึ้นเล็กน้อย ริมฝีปากขยับแล้วพูดว่า : “แต่หนูไม่รับมือกับผู้ร้ายทั้งสี่คนได้จริงๆ พวกเขาแต่ละคนรูปร่างกำยำ อีกทั้งยังมีทักษะการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยม ถึงขั้นว่ามีสองคนชักมีดที่มีการแอบซ่อนมาเป็นอย่างดีออกมา หลังจากที่หนูประมือกับพวกเขา ก็ตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายอย่างรวดเร็ว”

เมื่อนึกถึงเรื่องบนเครื่องบิน ที่เธอใช้ความเป็นมืออาชีพของเธอ ปฏิเสธความช่วยเหลือจากเฉินตง ตอนนี้เทียนอ้ายก็รู้สึกละอายใจขึ้นมาในทันที

เธอกัดฟันสีเงิน : “หากไม่ใช่ตอนนั้นมียอดฝีมืออยู่บนเครื่องบินด้วยอีกคน แล้วแอบคอยช่วยเหลือหนู ทำร้ายคนร้ายทั้งสี่จนได้รับบาดเจ็บ และตัดทอนความสามารถในการต่อสู้ของพวกเขา หนูก็คงจะได้ด้วยน้ำมือของคนร้ายทั้งสี่คนไปนานแล้ว”

เปรี้ยง !

กู้โก๋ฮั๋วและพ่อแม่ของเทียนอ้าย ยืนนิ่งเหมือนหุ่นไล่กา

คำพูดของเทียนอ้ายนั้น แตกต่างจากบทสัมภาษณ์ในข่าวอย่างสิ้นเชิง แต่คำพูดนี้เป็นคำพูดที่ออกมาจากปากของเจ้าตัวอย่างเทียนอ้ายเอง ทำให้พวกเขารู้สึกสับสน ราวกับว่าเป็นความฝันไม่ใช่ความจริง

“อ้ายอ้าย แต่หนูให้สัมภาษณ์ในโทรทัศน์ว่า หนูจัดการเรื่องนี้เพียงคนเดียวไม่ใช่หรือ ?”

แม่ของเทียนอ้ายถามต่อ อย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน : “อีกอย่าง เครื่องบินลำใหญ่ขนาดนั้น ลูกบอกมาซิว่า ยอดฝีมือคนนั้นแอบช่วยลูกได้อย่างไร ?”

“เขาใช้ไพ่บินค่ะ ไพ่โป๊กเกอร์ในมือของเขา เป็นเหมือนลูกดอก ที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วและแม่นยำ”

แววตาของเทียนอ้ายสั่นคลอน และรู้สึกตกตะลึงอยู่ลึกๆ ในใจ จากนั้นจึงยิ้มออกมาอย่างหดหู่ พร้อมทั้งยักไหล่และพูดว่า : “ที่หนูพูดในการให้สัมภาษณ์ไปเช่นนั้น เป็นเพราะหนูพอจะเดาได้ว่าชายผู้นั้นไม่ต้องการเปิดเผยตัวตน ดังนั้นจึงจงใจพูดออกไปเช่นนั้น หนูเป็นเพียงผู้ช่วยให้รอดเพียงผิวเผินเท่านั้น แต่เป็นชายผู้นั้นต่างหากที่ช่วยชีวิตของคนในเครื่องบินทั้งลำเอาไว้”

“ไพ่บิน ? !”

กู้โก๋ฮั๋วและพ่อแม่ของเทียนอ้ายต่างตกตะลึง

เพียงแค่ไพ่โป๊กเกอร์ใบเล็กๆ มีพลังมากพอที่จะทำร้ายคนได้จริงหรือ ?

เทียนอ้ายเงียบไปสักครู่ แล้วถอนหายใจออกมา : “หลังจากหนูให้สัมภาษณ์เสร็จ ยังพยายามตามชายคนนั้นไป เหมือนที่หนูเดาเอาไว้ไม่มีผิด เขาไม่อยากเปิดเผยตัวตนจริงๆ เพราะเขามีธุระด่วนต้องไปทำ”

“ให้ตายเถอะ เทียนอ้าย ผู้ชายคนนั้นที่หนูพูดถึงช่างทำตัวลึกลับเกินไหม ?” กู้โก๋ฮั๋วรู้สึกงุนงงเล็กน้อย

พ่อแม่ของเทียนอ้ายเองก็ถอนหายใจออกมาเช่นกัน : “เป็นเพราะรีบร้อน จนถึงขนาดยอมละเลยความดีความชอบใหญ่หลวงเช่นนี้ หรือธุระที่เขาต้องไปทำจะสำคัญยิ่งกว่าเรื่องนี้กัน ?”

ทุกคนได้แต่ถามตัวเอง ถ้าหากต้องเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้

ต่อให้เป็นพ่อแม่ของเทียนอ้าย ก็ไม่มีทางยอมปิดทองหลังพระเช่นนี้

จู่ๆ เทียนอ้ายก็มีท่าทีแปลกประหลาด ริมฝีปากแดงระเรื่อของเธอขยับและพูดว่า : “เขา เขาพูดว่า เขาต้องรีบไปขอโทษภรรยา”

เป็นเวลาที่ประจวบเหมาะพอดี

กู้ชิงหยิ่งซึ่งเพิ่งจะอาเจียนเสร็จ และมีหลี่หวั่นชิงคอยประคองอยู่ ได้เดินกลับมาที่ห้องอาหารด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก

เมื่อได้ยินคำพูดของเทียนอ้าย จู่ๆ กู้ชิงหยิ่งก็หยุดนิ่งอยู่ที่เดิม และเหม่อลอยไปทันที

ในขณะที่เฉินตงกำลังมุ่งหน้าไปยังบ้านของกู้ชิงหยิ่ง

ข่าวการจี้เครื่องบิน กำลังเข้ายึดครองพื้นที่สื่อหลักอย่างรวดเร็ว

หลังจากเครื่องบินลงจอด เทียนอ้าย ซึ่งอยู่ในฐานะ “ผู้ช่วยให้รอด” ของเหตุการณ์นี้ ก็กลายเป็นจุดสนใจในการรายงานข่าวทันที

ภายในห้องนั่งเล่นที่กว้างขวาง

กู้ชิงหยิ่งกำลังนั่งเหม่อลอย และกดรีโมทคอนโทรลเพื่อเปลี่ยนช่องโทรทัศน์

กู้โก๋ฮั๋วและหลี่หวั่นชิงเดินออกมาจากห้องครัว และถือผลไม้ที่หั่นเรียบร้อยแล้วเดินเข้ามาในห้องรับแขก

เมื่อเห็นท่าทีเหม่อลอย ไร้ชีวิตชีวาของกู้ชิงหยิ่ง สองสามีภรรยาก็รู้สึกสงสารจับใจ และในขณะเดียวกันก็ก่นด่าสาปแช่งเฉินตงเสียยกใหญ่

โดยเฉพาะกู้โก๋ฮั๋ว ที่แววตาเต็มไปด้วยความโกรธเคือง

กู้ชิงหยิ่งเปรียบเสมือนไข่มุกเม็ดงามในมือของเขา ตั้งแต่เล็กจนโตคอยประคบประหงมไว้ในฝ่ามือ ด้วยกลัวว่าจะหล่นแตก กลืนกินเอาไว้ในปาก ด้วยกลัวว่าจะหายไป

เพื่อเฉินตงแล้ว ตลอดระยะเวลาสามปีภายหลังจบการศึกษา ก็ได้ปฏิเสธคู่ดูตัวที่เหมือนเทพบุตรจากสวรรค์ ที่เขาหามาให้ทั้งหมด

และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงที่เฉินตงสิ้นเนื้อประดาตัว ก็กลับไปอยู่ข้างกายเฉินตงโดยไม่ลังเล

ฝ่าฟันอุปสรรคขวากหนามมาตลอดทาง แต่ตอนที่ลูกสาวของเขาท้อง เฉินตงกลับนอกใจ ?

กู๋โก๋ฮั๋วไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ลูกสาวสุดที่รักของเขา จะต้องมาเจอกับฝันร้ายเช่นนี้

ในสายตาของเขา ต่อให้เฉินตงจะเป็นผู้สืบทอดมรดกตระกูลเฉิน จะเป็นลูกชายแท้ๆ ของเจ้าบ้านตระกูลเฉิน แต่เรื่องนี้ เฉินตงก็ยังคงเป็นเหมือนสัตว์เดรัจฉานอยู่ดี !

หลายวันมานี้ กู้ชิงหยิ่งมีภาวะซึมเศร้าและร่างกายซูบผอม อีกทั้งยังต้องทนทุกข์ทรมานจากอาการแพ้ท้อง กู้โก๋ฮั๋วเมื่อเห็น ก็รู้สึกปวดใจยิ่งนัก

หากไม่ใช่เพราะหลี่หวั่นชิงคอยห้ามปรามเอาไว้หลายครั้ง เขาถึงขั้นมีความคิดที่จะบินไปหาเฉินตงเพื่อจัดการกับเขาสักครั้ง

“ลูกรัก แม่เพิ่งปอกผลไม้เสร็จ ทานสักหน่อยเถอะนะ”

กู้โก๋ฮั๋วแสร้งทำสีหน้ายิ้มแย้ม แล้วยื่นจานผลไม้ไปตรงหน้าของกู้ชิงหยิ่ง

“ไม่อยากกินค่ะ โธ่ พ่อคะ อย่ามารบกวนเวลาดูโทรทัศน์ของหนูได้ไหมคะ”

กู้ชิงหยิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางบ่นพึมพำ

กู้โก๋ฮั๋วย้ายไปอยู่อีกด้านหนึ่งด้วยความโมโห จากนั้นจึงนั่งลง มองดูโทรทัศน์ที่เปลี่ยนช่องไม่หยุด และรู้สึกจนใจ

หลี่หวั่นชิงโอบกู้ชิงหยิ่ง แล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า : “เสี่ยวหยิ่ง คืนนี้พ่อกับแม่ต้องไปร่วมงานเลี้ยงส่วนตัว ลูกไปกับพวกเราด้วยดีไหม ? ถือว่าออกไปผ่อนคลายอารมณ์”

กู้ชิงหยิ่งขมวดคิ้ว ส่ายหัวแล้วพูดว่า : “หนูไม่ไปค่ะ คนที่ร่วมทำธุรกิจกับพ่อแม่พวกนั้น หนูไม่อยากเจอ”

“ไม่ใช่คนที่ร่วมทำธุรกิจ แต่เป็นงานเลี้ยงภายในตระกูล”

หลี่หวั่นชิงยิ้มแล้วพูดอธิบาย : “ลูกยังจำเทียนอ้ายได้ไหม ? ตอนเด็กๆ เป็นเพื่อนสนิทกับเขาไม่ใช่หรือ ?”

“เทียนอ้าย ?”

แววตาที่มืดมนของกู้ชิงหยิ่ง เริ่มมีประกายขึ้นมาเล็กน้อย เธอบ่นพึมพำออกมา : “ไม่ได้ติดต่อกันหลายปีแล้ว ตอนนั้นเธอพูดทิ้งท้ายไว้ว่าจะไปตามหาความฝัน จากนั้นก็ไม่ติดต่อกับหนูอีกเลย”

“ฮ่าฮ่า เด็กคนนั้นก็มีนิสัยแบบนั้น ไม่ชอบแต่งกายสวยงามแต่ชอบอยู่ในเครื่องแบบ แต่ตอนนี้ดีแล้ว วันนี้เธอกลับมา ได้ยินคุณลุงกับคุณป้าพูดว่า ในที่สุดก็ดูเหมือนว่าตอนนี้เด็กคนนั้นจะทำตามความฝันสำเร็จแล้ว”

หลี่หวั่นชิงพูดด้วยรอยยิ้ม : “ดูเหมือนว่าจะได้เป็นตำรวจสากลแล้ว กลับมาครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสเหมาะที่ลูกทั้งสองจะได้พบหน้ากัน ตอนนั้นที่ลูกแต่งงาน เด็กคนนั้นก็ไม่มีเวลาว่างมาร่วมงาน”

เมื่อได้ยินคำว่า “แต่งงาน” สองคำ

จู่ๆ สีหน้าของกู้ชิงหยิ่งก็มืดมนลง ประกายที่ปรากฏขึ้นมาในแววตาก็สูญหายไปอีกครั้ง

ภาพนี้ ปรากฏขึ้นในสายตาของหลี่หวั่นชิงและกู้โก๋ฮั๋ว

ทั้งสองรู้สึกกังวลใจขึ้นมาทันที กู้โก๋ฮั๋วรีบผลักไหล่ของหลี่หวั่นชิง เพื่อส่งสัญญาณว่าเธอพูดผิดไปแล้ว

หลี่หวั่นชิงมองดูท่าทางของกู้ชิงหยิ่ง ก็รู้สึกทำตัวไม่ถูกทันที ไม่รู้ว่าควรแก้ไขสถานการณ์อย่างไร

ยังดีที่กู้โก๋ฮั๋วมีการตอบสนองที่เร็ว จึงได้รับรีโมทคอนโทรลที่อยู่ในมือของกู้ชิงหยิ่งมา

“โธ่ ลูกสาวสุดที่รัก ลูกเลิกเปลี่ยนช่องได้แล้ว พ่อดูจนตาลายไปหมดแล้ว”

ประจวบเหมาะที่ช่องโทรทัศน์ไปหยุดอยู่ที่สถานีข่าวท้องถิ่น

อีกทั้งการรายงานข่าว ก็นำเสนอเกี่ยวกับเหตุการณ์จี้เครื่องบินพอดี หลังจากเทียนอ้ายลงจากเครื่องบิน ก็ถูกสื่อมวลชนมากมายห้อมล้อมเข้าสัมภาษณ์

“เฮ้ย !” กู้โก๋ฮั๋วโพล่งคำอุทานออกมา

เขาขยี้ตาราวกับไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็น : “ที่รัก ลูกรัก รีบดูเร็วเข้า นี่ใช่เทียนอ้ายหรือไม่ ?”

กู้ชิงหยิ่งกับหลี่หวั่นชิงหันมองหน้าจอโทรทัศน์

สองแม่ลูกนิ่งอึ้งไปพร้อมกัน

ถึงแม้กู้ชิงหยิ่งจะไม่ได้พบหน้าเทียนอ้ายมาหลายปี แต่เธอยังคงรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาจากใบหน้าที่ปรากฏให้เห็นได้

“ใช่จริงด้วย !” หลี่หวั่นชิงพยักหน้า และพูดออกมาด้วยไปหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ : “เหตุการณ์จี้เครื่องบิน ? ให้ตายเถอะ เรื่องใหญ่ขนาดนี้ เทียนอ้ายสามารถจัดการได้ด้วยตัวคนเดียวอย่างนั้นหรือ ?”

“เด็กคนนี้ เพิ่งจะกลับมาก็กลายเป็นฮีโร่ไปเสียแล้ว !” กู้โก๋ฮั๋วอุทานออกมา

สองสามีภรรยารีบหันไปดูข่าวด้วยความสนใจทันที

ทั้งสองคนไม่มีใครสังเกตเห็นเลยว่า กู้ชิงหยิ่งเองก็กำลังจ้องหน้าจอโทรทัศน์อย่างตั้งใจเช่นเดียวกัน

เพียงแต่สิ่งที่เธอให้ความสนใจนั้น แตกต่างออกไปจากพวกกู้โก๋ฮั๋ว สายตาของกู้ชิงหยิ่งเอาแต่จับจ้องอยู่ตรงมุมของหน้าจอโทรทัศน์ ตรงนั้นเป็นบันไดที่ใช้ลงจากเครื่องบิน

ผู้โดยสารแต่ละคนค่อยๆ เดินลงมาจากบันได และในฝูงชนก็มีร่างร่างหนึ่งที่ดูคุ้นเคยปะปนอยู่ด้วย กู้ชิงหยิ่งรู้สึกราวกับมีค้อนหนักๆ ทุบเข้าที่ดวงตาของเธออย่างแรง

เขา……มาแล้วหรือ ?

กู้ชิงหยิ่งจ้องหน้าจอโทรทัศน์ตาเขม็ง ตอนนี้หัวใจของเธอเต้นแรงและเร็ว

ในขณะที่กำลังตั้งตารอคอยด้วยความประหลาดใจ แต่กลับมีความโกรธผุดขึ้นมาในเวลาเดียวกัน

เขา เขายังมีหน้ามาอีกหรือ ?

เมื่อมองดูร่างที่ปะปนมากับฝูงชน ค่อยๆ เดินลงจากบันได และท้ายที่สุดก็หายลับตาไป

จู่ๆ ความรู้สึกของกู้ชิงหยิ่งก็เกิดความซับซ้อนขึ้นทันที

มือทั้งของข้างของเธอกำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว

จู่ๆ เธอก็พูดขึ้นมาว่า : “พ่อคะ แม่คะ คืนนี้หนูจะไปด้วยนะคะ ไม่ได้เจอเทียนอ้ายมาหลายปีแล้ว”

“จริงหรือ ?”

กู้โก๋ฮั๋วหันมองกู้ชิงหยิ่งด้วยความประหลาดใจ

“ดี ดี วันนี้จะได้พูดคุยกับเทียนอ้าย เด็กคนนี้เพิ่งจะกลับมาก็กลายเป็นฮีโร่ไปเสียแล้ว ช่างเป็นเรื่องน่ายินดีจริงๆ”

หลี่หวั่นชิงเองก็ยิ้มพร้อมตบไหล่กู้ชิงหยิ่ง

กลับมาตั้งหลายวันแล้ว แต่กู้ชิงหยิ่งเอาแต่ขังตัวเองอยู่ในห้อง สิ่งนี้ทำให้กู้โก๋ฮั๋วสองสามีภรรยารู้สึกทุกข์ใจเป็นอย่างมาก

ตอนนี้กู้ชิงหยิ่งอยากจะออกไปเปิดหูเปิดตา ทำให้สองสามีภรรยารู้สึกสบายใจขึ้นมาก

หากคนเรามัวแต่กักขังตัวเอง สุดท้ายจะต้องเกิดปัญหาขึ้นอย่างแน่นอน

ออกไปเปิดหูเปิดตา ผ่อนคลายความเครียด เชื่อว่าอารมณ์ของลูกสาวน่าจะดีขึ้นไม่น้อย

“ไปกันเถอะค่ะ พวกเรารีบไปกันเดี๋ยวนี้ นี่ถือเป็นเรื่องน่ายินดีของเทียนอ้าย พวกเราจะต้องเตรียมของขวัญไปสักหน่อย”

กู้ชิงหยิ่งยิ้ม พลางลุกขึ้นและพูดออกมา

กู้โก๋ฮั๋วและหลี่หวั่นชิงรู้สึกสบายใจขึ้นมาไม่น้อย จากนั้นจึงตอบรับด้วยรอยยิ้ม

ทั้งสามคนเตรียมตัวเรียบร้อยอย่างรวดเร็ว และขับรถมุ่งหน้าไปยังบ้านของเทียนอ้าย

……

“นี่คือบ้านของเสี่ยวหยิ่งหรือ ?”

หลังจากเฉินตงออกจากสนามบิน ก็นั่งรถมาเป็นเวลาสองชั่วโมง จึงในที่สุดก็มาถึงบ้านของกู้ชิงหยิ่ง

หากจะพูดว่าเป็นบ้าน ไม่สู้พูดว่าเป็นคฤหาสน์ปราสาทจะดีกว่า

ตอนที่เรียนมหาวิทยาลัย เธอไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า บ้านของกู้ชิงหยิ่งนั้นร่ำรวยขนาดไหน

ถึงแม้ในตอนแรกที่เขาและหวางหนันหนันหย่าร้างกัน และใช้ชีวิตร่วมกับกู้ชิงหยิ่ง เขาก็ยังไม่เคยเดินทางมาที่บ้านของกู้ชิงหยิ่งด้วยตัวเองมาก่อน

ถึงแม้ตอนนี้เฉินตงจะประสบความสำเร็จอย่างมากแล้วก็ตาม แต่ครั้งแรกที่มาบ้านของกู้ชิงหยิ่ง เขาก็ยังรู้สึกตกใจไม่น้อย

เมื่อมองตรงไปยังคฤหาสน์ปราสาท ก็พบว่ามีขนาดที่ใหญ่กว่าวิลล่าเขาเทียนซานเป็นอย่างมาก

ภายในคฤหาสน์มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคอยลาดตระเวนอยู่ และมีระบบรักษาความปลอดภัยที่รัดกุมเป็นอย่างมาก

จู่ๆเสียงข้อความในโทรศัพท์ก็ดังขึ้น

เขาหยุดเดิน แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู

ทันใดนั้น ม่านตาของเขาก็หดลงทันที ใจของเขาเต้นระส่ำ

เป็นข้อความที่ส่งมาจากกู้ชิงหยิ่ง

มีเนื้อหาว่า : คุณไปซะเถอะ ฉันไม่อยากพบคุณ

เหตุการณ์สี่รุมหนึ่งแบบนี้ ทำการต่อสู้เปลี่ยนจากการเข่นฆ่าโต้ตอบเป็นการรุมอีกฝ่ายหนึ่ง

ฝีมือการต่อสู้ของหญิงสาวคนนี้เก่งกาจพอตัว เรื่องนี้เป็นสิ่งที่เฉินตงไม่อาจปฏิเสธได้

แต่ด้วยรูปร่างและจำนวนที่แตกต่าง ทำให้สตรีคนนี้เข้าสู่สถานการณ์ที่เป็นตายเท่ากัน

อุปกรณ์มีดพกหลายหัวที่เชื่อมเข้าด้วยกันแบบพิเศษ สะท้อนความรู้สึกหนาวสะท้านของป่าดงดิบ มันจ้วงแทงแหวกอากาศส่งเสียงอื้ออึง พุ่งตรงไปยังหญิงสาวผู้นั้น

หญิงสาวผู้นั้นเบี่ยงตัวหลบ แต่เธอเคลื่อนไหวช้าเกินไปหน่อยเดียว

ฉึก!

มีดจ้วงแทนเข้าที่แขนของเธอจนเห็นเลือดสาดกระเซ็น

สีหน้าของหญิงสาวเจ็บปวด เธอไม่มีโอกาสที่จะได้หยุดพัก

ส่วนโจรอีกสองคนที่เหลือก็รีบกระโจนเข้าใส่ทันที

เหตุการณ์นี้ทำให้ผู้โดยสารที่เห็นต่างหมดหวัง

การตะโกนประกาศตัวของหญิงสาวเมื่อครู่นี้ ทำให้พวกเขารู้สึกสงบใจ แต่เวลานี้ความสงบใจเหล่านั้นได้หายเข้าไปในกลีบเมฆ

บ้างร้องไห้ บ้างอ้อนวอนพระเจ้า และบางคนก็กรีดร้องตะโกน……

แอร์โฮสเตสสองคน ลังเลลุกลี้ลุกลนอย่างลังเล สติกระเจิดกระเจิง

มีเพียงเฉินตงเพียงผู้เดียวที่นั่งสงบอยู่บนเก้าอี้

เมื่อเห็นหญิงสาวคนนั้นตกอยู่ในอันตราย มือขวาของเขาพลันหยิบไพ่เอซโพธิ์ดำเมื่อครู่นี้ขึ้นมา

ทว่าเวลาเพียงไม่กี่สิบวินาที หญิงสาวผู้นั้นก็เข้าสู่ทางตัน

เธอโดนโจรทั้งสองทั้งต่อยทั้งเตะ แถมยังโดนมีดอีก

ตอนนี้หญิงสาวเป็นฝ่ายถูกรุมเพียงอย่างเดียว ทว่าใบหน้าซีดขาวของเธอ กลับยิ้มอย่างเย็นชาไม่เปลี่ยนแปลง

ตุบ!

โจรคนหนึ่งอาศัยตอนที่หญิงสาวหมดแรงถีบเข้าที่หน้าอกของหญิงสาวอย่างจัง

หญิงสาวกรีดร้องอย่างน่าเวทนา ตัวของเธอลอยกระเด็นมาหยุดอยู่ข้างตัวเฉินตง

ตุบ!

เฉินตงยกมือขึ้นพยุงหลังของหญิงสาวผู้นั้นเอาไว้เพื่อช่วยให้เธอไม่ต้องรับแรงกระแทก

เมื่อกระแทกลงบนพื้น หญิงสาวคนนั้นกระอักเลือดออกมา สีหน้าของเธอขาวซีด

“ขอบคุณ”

เธอมองเขาอย่างซาบซึ้ง

เฉินตงเลิกคิ้ว “ผมช่วยได้นะ”

“โปรดเชื่อมั่นในฝีมือของผู้เชี่ยวชาญ!”

หญิงสาวเอ่ยอย่างดื้อดึง เธอประคองตัวขึ้นแล้ววิ่งเข้าไปโจมตีอีกครั้ง

“อวดดีจัง”

เฉินตงยิ้มเฝื่อนๆ

หญิงสาวกล้าหาญ แต่เขากลับไม่คิดจะอดทนรอให้เกิดเหตุการณ์ต่อไป

และในตอนนั้นเอง

สายตาของเฉินตงแน่วแน่

เขาเห็นโจรทั้งสี่คนพุ่งโจมตีเข้าใส่หญิงสาวพร้อมๆ กัน มีดสองเล่มดักอยู่ทั้งหัวท้าย จ่อตรงดิ่งไปที่หญิงสาวผู้นั้น

“จบกัน!”

ใบหน้าของหญิงสาวที่ไร้เย็นชามาตลอด สุดท้ายก็เริ่มปรากฏความหมดหวังวุ่นวายใจขึ้นมา

สองมือยากที่จะต่อกรสี่มือ ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้มีถึงแปดมือ

หญิงสาวตะโกนร้อง เธอกำหมัดแน่นพร้อมพุ่งตัวไปยังโจรทั้งสองคน

ตุ้บ!

ตุ้บ!

โจรทั้งสองถูกเตะกระเด็น

แต่หลังจากนั้นติดๆ ก็มีกำปั้นหนักๆ ทุบเข้าที่หน้าอกของผู้หญิงคนนั้นอย่างแรง

หญิงสาวเจ็บจนตัวงอ มีดยาวพุ่งตรงมายังที่คอของเธอในตอนนั้น

ความน่าขนหัวลุกนี้ทำให้หญิงสาวสีหน้าถอดสี จนถึงขั้นต้องหลับตาลงอย่างยอมจำนน

ฟิ้ว!

ในช่วงเวลาเพียงเสี้ยววินาทีนั้นเอง เสียงวัตถุแหวกผ่านลมดังแว่วขึ้น

ฉึก!

“โอ๊ย!”

เสียงเสียดแทงราวกับทะลุเข้าไปยังกระดูก และเสียงร้องโอดโอยของโจรดังสะท้อนเข้าไปในหูของหญิงสาว

สีหน้าของหญิงสาวแปรเปลี่ยน เมื่อลืมตาขึ้นจึงเห็นว่ามีดหยุดอยู่กลางอากาศเหนือศีรษะของเธอ

ส่วนข้อมือด้านขวาที่กำมีดเอาไว้กลับมีไพ่เอซโพธิ์ดำปักลึกทะลุถึงกระดูกจนเลือดไหลนองออกมา

นี่มัน……

หญิงสาวงุนงง

นอกจากนี้เหตุการณ์นี้ยังทำให้ผู้โดยสารที่กกำลังหวาดกลัวสิ้นหวังตกตะลึง

ทว่าภาพเหตุการณ์ตรงหน้าเกิดขึ้นรวดเร็วมากเสียจนทำให้ทุกคนไม่ได้สังเกตว่า เป็นฝีมือของใคร

โจรอีกสามคนที่เหลือก็ชะงักงันเช่นกัน สายตาของพวกเขากลอกลิ้งมองไปรอบๆ หาตัวผู้ลงมือ

ความประหลาดใจของหญิงสาวได้หายไปและกลับมาสู่ภาวะสงบนิ่งเช่นเดิม

และในชั่วขณะที่โจรทั้งสามมองไปรอบห้องโดยสารชั้นหนึ่ง เธอก็กัดฟันแน่นแล้วกระโจนเข้าใส่พวกเขา

ในเวลาเดียวกันโจรทั้งสามก็ส่งเสียงร้องและพุ่งตัวเข้าใส่หญิงสาว

และในห้วงเวลาที่โจรยกมีดขึ้นอีกครั้ง

ฟิ้ว!

เกิดเสียงการแหวกว่ายของวัตถุในอากาศขึ้นอีก

ไพ่ป๊อกอีกหนึ่งใบ พุ่งเข้าปักที่ข้อมือของโจรที่กำลังง้างมีดอยู่อย่างแม่นยำจนเลือดสาดกระเซ็น

“ไสหัวไป!”

หญิงสาวรู้สึกได้ใจ เธอยกเท้าถีบใส่โจรผู้นั้นจนกระเด็นออกไป

เฉินตงนั่งเงียบๆ อยู่บนเก้าอี้ เขาใช้เวลาพักใหญ่ในการฝึกฝนอย่างหนัก เพื่อให้พลังกล้ามเนื้อและความแม่นยำของเขาเหนือกว่าคนทั่วไป

ไพ่แค่ใบเดียวหากอยู่ในมือของเขา สามารถกลายเป็นเครื่องมือในการปลิดชีพได้

เขาไม่เคยเห็นหัวโจรแค่สี่คนนี้เลยด้วยซ้ำ

สิ่งที่เดียวที่ทำให้เขารู้สึกลำบากใจคือ การจี้กลางอากาศนี้จะทำให้การเดินทางนี้วุ่นวายมากขึ้น

ฟิ้ว!

ฟิ้ว!

ฟิ้ว!

……

เฉินตงคอยจ้องมองการต่อสู้ระหว่างหญิงสาวและโจรกลุ่มนี้ ทุกครั้งที่หญิงสาวกำลังเพลี่ยงพล้ำ ก็จะเป็นเวลาที่เขาร่อนไพ่ออกไป

ความแม่นยำไม่มีผิดพลาด ความคมราวใบมีด

ภายในชั่วพริบตา ก็สามารถลดความร้ายแรงของเหตุการณ์ลงได้

ผู้โดยสารที่อยู่ในที่นั่งชั้นหนึ่งนี้ ต่างจดจ้องไปที่การต่อสู้ ในสายตาของพวกเขาความโหดร้ายรุนแรงในการต่อสู้ระหว่างหญิงสาวกับโจรเริ่มเปลี่ยนไปเป็นการต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อขึ้นมา

ในช่วงเวลาเป็นตายเท่ากัน ต่างไม่มีใครใส่ใจใคร

นี่เองที่ทำให้การลงมือของเฉินตงไม่มีคนสังเกต

มีเพียงหญิงสาวเพียงคนเดียว ที่รู้สึกประหลาดใจระหว่างที่ตนกำลังต่อสู้ แม้ว่าสีหน้าของเธอจะนิ่งเฉย แต่ในใจของเธอเกิดคลื่นลูกใหญ่ก่อตัวขึ้น

ทุกครั้งที่คนผู้นี้เขวี้ยงไพ่ออกมา เป็นเวลาที่ช่วยหยุดยั้งความอันตรายของหญิงสาวได้พอดี

ใช้เวลาเพียงหนึ่งนาทีเท่านั้น

หญิงสาวผู้นั้นก็พิชิตโจรทั้งสี่ลงได้สำเร็จ

โจรทั้งสี่คนที่นอนห้องร้องโหยหวนอยู่บนพื้นด้วยสายตาหวาดผวา

ร่างกายของพวกเขาทั้งสี่คนแม้ว่าจะคนละตำแหน่งกันแต่ก็มีไพ่ใบสองใบเสียบลึกเข้าไปถึงกระดูก

พวกเขามั่นใจว่า ถ้าไม่มีคนทำไพ่บิน หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าไม่มีทางเอาชนะเขาได้แน่

และในตอนนั้นเอง แอร์โฮสเตสกับผู้โดยสารกลุ่มหนึ่งก็เริ่มฮึกเหิมขึ้นมา จึงเข้าไปโจมตีโจรทั้งสี่คนและจับมัดมือมัดเท้าเอาไว้

หญิงสาวผู้นั้นกลายเป็นฮีโร่ในใจของทุกคนโดยอัตโนมัติ

เมื่อวิกฤตผ่านพ้น เสียงปรบมือและโห่ร้องอย่างดีใจจึงดังอื้ออึงขึ้น

ทว่าหญิงสาวที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนกลับคอยเหลือบมองมายังเฉินตงด้วยสายตาประหลาดใจและตื้นตัน

เมื่อช่วงวิกฤตผ่านพ้นไป เฉินตงก็กลับไปใส่ผ้าปิดตาอีกครั้งแล้วนอนพักผ่อนอยู่บนเก้าอี้

เมื่อเครื่องบินลงจอดที่สนามบิน ที่สนามบินมีคนยัดเยียดเบียดเสียดออกันอยู่

ทางด้านหนึ่งต้องจัดการให้ผู้โดยสารเดินทางออกไปได้ ส่วนอีกทางด้านหนึ่งต้องคอยดูแลความสงบเรียบร้อย นักข่าวจำนวนมากมายมหาศาลมายืนรอกันอยู่ด้วยเรื่องนี้

เหตุการณ์จี้เครื่องบินถือเป็นข่าวใหญ่ที่ร้ายแรงเสมอมา

ไม่ว่าจะเกิดขึ้นที่ใดต่างดึงดูดความสนใจของทุกคนได้

ส่วนหญิงสาวที่ได้ชื่อว่าเป็นฮีโร่ก็ได้กลายเป็นจุดโฟกัสกล้องของนักข่าวทุกตัว

เมื่อมีนักข่าวและผู้โดยสารห้อมล้อมแน่นขนัดเช่นนี้ก็ยากที่จะขยับตัวไปไหน

ส่วนเฉินตงไม่ได้สนใจเหตุการณ์นี้แม้แต่น้อย เขาหยิบสัมภาระและดำเนินการบันทึกข้อมูลต่างๆ ก่อนจะเดินตามกลุ่มคนออกจากสนามบินไป

แต่เพียงก้าวออกสู่สนามบินไปได้ครู่เดียว ก็มีคนเรียกเขา

“นี่ เรื่องเมื่อกี้ขอบคุณคุณมากเลย”

รอยยิ้มของเฉินตงหายไป เขาหันกลับไปมองหญิงสาวที่วิ่งตามเขามา “คุณให้สัมภาษณ์เสร็จเร็วขนาดนี้เลยหรอ”

“ขอบคุณคุณมากๆ ฉันชื่อเทียนอ้าย คุณชื่อว่าอะไรคะ” แววตาของหญิงสาวจ้องมองไปที่เฉินตงเป็นประกายแวววับ

ชายตรงหน้าดูลึกลับราวกับมีผ้าขาวบางผืนหนึ่งบังเอาไว้ ทำให้หญิงสาวรู้สึกแปลกใจจนรู้สึกอยากจะกระชากผ้าผืนนั้นออกดูให้รู้แล้วรู้รอด

“เฉินตง ตงจากคำว่าตงฟาง แปลว่าบูรพา”

เฉินตงยิ้มพลางโบกมือ “ผมยุ่งมาก ขอตัวก่อน”

เทียนอ้ายชะงักไป ก่อนจะรีบสาวเท้าตามเฉินตงไป เธอเดินถอยหลังไปข้างหน้าเพื่อจะได้จ้องหน้าและคุยกับเฉินตง “เห็นชัดๆ ว่าเมื่อกี้คุณมีฝีมือ ทำไมถึงต้องทำตัวลับๆ ล่อๆ ด้วย”

“ผมไม่อยากยุ่งยาก ที่ผมต้องลงมือเพราะมันทำให้ผมเสียเวลามากแล้ว” เฉินตงก้าวต่อไปไม่หยุด เขาเลิกคิ้วพลางยิ้มเสียดสี “คุณก็บอกเองนี่ว่าคุณเป็นผู้เชี่ยวชาญ ผมก็เลือกที่จะเชื่อคุณ”

หน้าของเทียนอ้ายปรากฏสีแดงระเรื่อ เมื่อนึกย้อนถึงเหตุการณ์บนเครื่องบินเธอก็รู้สึกเขินอาย

เทียนอ้ายหยักไหล่แล้วเอ่ยว่า “งั้นคุณก็ควรให้สัมภาษณ์คู่กับฉันสิ ถ้าไม่มีคุณ ฉันคงทำภารกิจนี้ไม่สำเร็จแน่ เครดิตครั้งนี้ควรเป็นของคุณ”

“ไม่ว่าง ผมรีบ” เฉินตงส่ายหน้า

เมื่อเทียนอ้ายผ่านการต่อสู้ดุเดือดเมื่อสักครู่นี้มาได้ เธอก็รู้สึกเหนื่อยล้าอ่อนแรง

เมื่อได้ยินคำพูดของเฉินตงจึงรู้สึกสงสัย เมื่อครู่นี้คือจี้เครื่องบินนะ เรื่องใหญ่ขนาดนี้ยังมีเรื่องอะไรสำคัญกว่านี้อีกหรือ

เธอกล่าวอย่างเหนื่อยหอบ “คุณมีธุระอะไรถึงได้รีบขนาดนี้ บางทีฉันอาจช่วยคุณได้นะ เพราะฉันคุ้นเคยกับเมืองนี้ดี”

เฉินตงหยุดเดิน “ผมรีบไปยอมรับความผิดกับภรรยาผม คุณช่วยได้หรอ”

เทียนอ้าย “……”

เช้าวันต่อมา

เฉินตงเก็บของสัมภาระเสร็จแต่เช้า แล้วมุ่งหน้าไปยังสนามบิน

“คุณชาย ไม่ให้กระผมไปเป็นเพื่อนจริงหรือครับ” ท่านหลงถามอีกครั้งระหว่างขับรถ

เฉินตงขยี้จมูก “ไม่ต้องหรอก คุนหลุนยังไม่ออกจากโรงพยาบาล ท่านหลงยังต้องคอยช่วยจัดการเรื่องที่บริษัท อีกอย่างคราวนี้ผมแค่ไปหาเสี่ยวหยิ่ง ไม่น่าจะเกิดเรื่องหรอก”

ท่านหลงพยักหน้า “ถ้าเกิดเรื่องวุ่นวายอะไรขึ้น คุณชายก็ติดต่อมาที่กระผมก็แล้วกันครับ กระผมจะติดต่อกับออฟฟิศตระกูลเฉินทางฝั่งนู้น”

เมื่อถึงสนามบินแล้ว ก็ดำเนินการขึ้นเครื่องบินไปได้อย่างปกติ

เมื่อขึ้นเครื่องบินแล้ว เฉินตงนั่งที่นั่งโดยสารชั้นหนึ่ง เขามองตั๋วเครื่องบินในมือแล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน

“ที่รัก ผมมาแล้ว”

อยู่ห่างกันคนละฟากฝั่งมหาสมุทร แม้ว่าจะนั่งเครื่องบินก็ยังต้องใช้เวลาสิบกว่าชั่วโมง

เฉินตงหยิบหนังสือออกมาอ่าน เวลายาวนานขนาดนี้ เขาคงจะไม่นอนหลับเพียงอย่างเดียว

หากอยากเป็นผู้ที่เก่งกว่าเดิม นอกจากพรสวรรค์แล้ว สิ่งที่จำเป็นต้องมีคือหมั่นสะสมความรู้ทีละเล็กทีละน้อย

คนที่นั่งชั้นธุรกิจส่วนมากก็จะเป็นเช่นนี้

คนยิ่งมีความสามารถมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งขยันมากขึ้นเท่านั้น

ทว่าหลังจากนั้นไม่นานนัก เฉินตงที่กำลังจดจ่ออยู่กับการอ่านก็ถูกขัดจังหวะ

“คุณผู้ชายคะ ฉันขอยืมดูหนังสือเล่มนี้หน่อยได้ไหมคะ”

เสียงอ่อนโยนราวสายน้ำ และไพเราะราวนกร้องดังเข้ามาในหูของเฉินตง

เฉินตงเงยหน้าขึ้น เขาจึงเห็นสตรีที่แต่งตัวสวยและรูปร่างดีสูงโปร่งคนหนึ่ง ผิวหน้าขาวเนียนที่ตกแต่งด้วยเครื่องสำอางเล็กน้อย ขาเรียวยาวของเธอดูแข็งแรงสมวัยสาวของเธอ ราวกับแสงสว่างที่วาบที่ส่องเข้าไปในดวงตาของผู้พบเห็น

“เล่มไหนครับ” เฉินตงเอ่ยถามเรียบๆ

สตรีคนนั้นชี้ “เรื่องจำนวน Monte Cristo ค่ะ”

เฉินตงยิ้มแล้วส่งหนังสือเล่มนั้นให้

“ขอบคุณค่ะ”

หญิงสาวผู้นั้นยิ้มอย่างอ่อนโยน แล้วกลับไปนั่งยังที่นั่งของตัวเอง

ก็แค่เหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น เฉินตงไม่ได้เก็บมาคิด และอ่านหนังสือของตัวเองต่อไป

เวลาผ่านไปช้าๆ

ที่นั่งชั้นหนึ่งอยู่ในความเงียบสงบตลอดเวลา

เฉินตงอ่านหนังสืออยู่นาน จนสายตาของเขาอ่อนล้า

เขาวางหนังสือลง แล้วขอไวน์แดงกับผ้าห่มจากแอร์โฮสเตส หลังจากที่ดื่มไวน์เข้าไปแล้ว เขาก็ใส่ผ้าปิดตาแล้วเอนเก้าอี้ลงนอน

ช่วงเวลาในความฝันผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ครั้งนี้เฉินตงนอนหลับสนิทมาก

การเดินทางไปโม่เป่ย แม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่แรงกดดันและความเหนื่อยล้าที่เขาได้รับยากที่จะบรรยาย

พอกลับถึงบ้าน เขาก็ยังไม่ทันได้พักผ่อน ก็ต้องออกเดินทางข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกอีกแล้ว

ตอนนี้เมื่ออยู่บนเครื่องบิน ถึงจะนับได้ว่าเป็นการหลับพักผ่อนอย่างแท้จริง

เมื่อตื่นขึ้นมา ท้องฟ้าด้านนอกหน้าต่างมืดสลัว

“นี่เราหลับไปนานแค่ไหนนะ”

เฉินตงยิ้มอย่างเหนื่อยล้า เมื่อก้มหน้าลงจึงเห็นหนังสือเรื่องจำนวน Monte Cristo ถูกนำมาวางไว้บนตักของตัวเองแล้ว

อ่านจบเร็วขนาดนั้นเลยหรือ

เฉินตงหยิบหนังสือจำนวน Monte Cristo ขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจ หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือเล่มโปรดของเขาตั้งแต่อยู่มหาวิทยาลัย เมื่อเขาต้องเดินทางไปทำงานก็มักจะพกมันไปด้วย

แต่เมื่อเขาพลิกเปิดแผ่นปกออก เฉินตงก็เห็นไพ่ป็อกเอซโพธิ์ดำใบหนึ่งสอดไว้ตรงหน้าแรก

“ที่คั่นหนังสือหรอ”

เฉินตงขยี้จมูกแล้วยิ้มเล็กน้อย

เขาหยิบไพ่ป็อกเอซโพธิ์ดำและเตรียมจะลุกขึ้นเอาไปคืนผู้หญิงคนนั้น แต่ในตอนนั้นกลับเหลือบไปเห็นด้านหลังไพ่มีอักษรตัวเล็กเขียนเอาไว้

“ระวัง! โปรดอยู่ในความสงบ!”

ระวังอะไร?

เฉินตงชะงักไปแล้วหันไปมองผู้หญิงคนนั้นโดยอัตโนมัติ

ผู้หญิงคนนั้นกำลังตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสืออีกเล่มหนึ่งอยู่ สีหน้าของเธอนิ่งสงบ แต่ภาพความนิ่งสงบราวรูปวาดนี้

เป็นภาพที่กำลังเตือนว่ามีเรื่องบางอย่างซ่อนเร้นอยู่

ต้องเกิดเรื่องผิดปกติขึ้นแน่!

แต่เฉินตงก็ไม่ได้โง่ถึงขั้นจะเอะอะโวยวาย เขากวาดตามองไปยังผู้โดยสารที่นั่งชั้นหนึ่งอย่างไม่แสดงอาการใดๆ

ลางสังหรณ์ของเขาบอกว่าเกิดเรื่องไม่ดีบางอย่างขึ้น

ผู้โดยสารทุกคนไม่ว่าจะเป็นสัญชาติใด เวลานี้ต่างมีท่าทางไม่เป็นธรรมชาติ

แม้ว่าจะพยายามเก็บอาการแค่ไหน แต่บรรยากาศแปลกประหลาดนี้ได้แผ่ปกคลุมไปทั่วห้องโดยสารชั้นหนึ่ง

และตอนนี้เฉินตงก็ได้สังเกตเห็นผู้โดยสารคนนั้นที่นั่งอยู่ด้านหน้าซ้ายมือของเขากำลังพลิกไพ่ป๊อกที่อยู่ในมือใบหนึ่ง

เมื่อก้มหน้าลงมองไพ่เอซโพธิ์ดำ เฉินตงก็ยิ่งขมวดคิ้วแน่น หัวใจของเขาเต้นระส่ำ

นี่คือผู้โดยสารที่ส่งไพ่ป๊อกไปทั่วห้องโดยสารชั้นหนึ่งระหว่างที่เขาหลับหรือ?

ถ้าต้องการจะส่งข่าวให้ทุกคนในที่นี้อย่างไร้สุ้มเสียง ผู้หญิงคนนั้นคงจะต้องยืมของหลายชิ้นเลยทีเดียว

หัวใจของเฉินตงกระตุกวูบก่อนจะหันไปมองผู้หญิงคนนั้นอีกครั้ง

การส่งข่าวเตือนแบบนี้ หรือว่า……กำลังเกิดการจี้เครื่องบิน?

นี่คือเหตุการณ์เพียงอย่างเดียวที่เฉินตงพอจะนึกออก

และในตอนที่เขากำลังมองมือของผู้หญิงคนนั้นอยู่ ผู้หญิงคนนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขาพอดี

เมื่อสบตากัน ผู้หญิงคนนั้นก็ยิ้มหวานให้เขา ทว่าสายตากลับล้ำลึกไม่เหลือนัยแห่งรอยยิ้ม

“อ๊าก!”

และในตอนนั้นเอง พลันเกิดเสียงร้องแหลมดังมาจากห้องโดยสารด้านหลัง

เสียงกรีดร้องนี้ราวฟ้าผ่าที่ทำลายบรรยากาศความเงียบงันในห้องโดยสารชั้นหนึ่ง

ผู้โดยสารที่นั่งชั้นหนึ่ง จากที่มีท่าทางไม่ค่อยเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว เมื่อได้ยินเสียงร้องนี้ก็รู้สึกราวกับสติสัมปชัญญะของตนขาดสะบั้นจึงเริ่มแสดงท่าทางตื่นตกใจออกมา

และในเวลาเดียวกันนั้นเอง ก็มีเสียงฝีเท้าย่ำถี่ๆ ดังขึ้นที่ห้องโดยสารด้านหลัง

ผู้โดยสารกลุ่มหนึ่งวิ่งรุมกันเข้ามายังห้องโดยสารชั้นหนึ่ง รวมทั้งแอร์โฮสเตสและสจ๊วตด้วย

“จี้เครื่องบิน โจรจี้เครื่องบิน!”

แอร์โฮสเตสคนหนึ่งวิ่งพุ่งเข้ามายังห้องโดยสารชั้นหนึ่ง แล้วร้องโดยสีหน้าแตกตื่น

เสียงตะโกนร้องนี้ทำให้ห้องโดยสารชั้นหนึ่งยิ่งวุ่นวายไปด้วยเสียงกรีดร้อง

แต่แอร์โฮสเตสยังไม่ทันจะก้าวไปถึงไหน มือหนาใหญ่สีดำขลับราวกับมือของยมราชก็ยื่นออกมาคว้าคอที่อ่อนนุ่มของแอร์โฮสเตสเอาไว้

พละกำลังที่ล้นเหลือของมือหนาหนักนั้นได้คว้าคอของแอร์โฮสเตสเอาไว้ราวกับต้องการจิกคอเธอให้ลอยขึ้นมาได้ มือหนาหนักนั้นได้จับหัวของแอร์โฮสเตสกระแทกเข้ากับผนังตัวห้องโดยสาร

ปั้ง!

เลือดสดสีแดงฉานไหลนอง

เมื่อคลายมือออก ร่างกายบอบบางของแอร์สาวก็ทรุดลงบนพื้น ใบหน้าของเธอกลายเป็นคนอีกคนที่ไม่เหมือนเดิม

“อ๊าก!”

ภาพนี้ทำให้ทุกคนต่างรู้สึกสยดสยอง

เมื่อเห็นชายร่างสูงใหญ่ราวหอคอยวิ่งพรวดเข้ามา ทุกคนต่างพากันขนหัวลุก

เฉินตงนั่งอยู่บนเก้าอี้ พลางสังเกตชายผู้นี้ ร่างกายของเขาบึกบึนสูงใหญ่ราว 190 เซนติเมตร ผิวคล้ำทั้งตัว กล้ามเนื้อแข็งแรงราวหินผา

ให้ความรู้สึกดุดัน ราวกับเรี่ยวแรงกำลังจะปะทุออกมาจากกล้ามเนื้อ!

ชายรูปร่างเช่นหอคอยวิ่งเข้ามายังที่นั่งชั้นหนึ่ง แล้วมุ่งหน้าไปยังห้องนักบิน

“ยุ่งยากแล้ว”

เฉินตงเอามือลูบหน้าอย่างสุดจะทน “แค่จะไปหาเมียเพื่อยอมรับผิด ทำไมถึงต้องเจอคดีแบบนี้ด้วย”

ปั้ง!

และในชั่วพริบตาเดียวกัน ปลายหางตาของเขาเหลือบเห็นเงาร่างผู้หญิงคนหนึ่งถลาตัวออกมา

ถีบตรงเข้าไปที่หน้าอกกำยำของชายผู้นั้น

และด้วยพละกำลังรุนแรงเช่นนั้น ชายร่างสูงราวหอคอยจึงสูญเสียการทรงตัวและหงายหน้าล้มตึ้งลงกับพื้น

หลังจากที่ชายคนนี้ล้มลงบนพื้น ร่างผอมบางของผู้หญิงคนนั้นก็โดนแรงกระแทกจนร่างของเธอลอยมาล้มอยู่ตรงหน้าเฉินตงพอดี

และก็ผู้หญิงคนเดิม!

เฉินตงรีบพยุงหลังของหญิงสาวคนนี้โดยอัตโนมัติ ช่วยให้เธอตั้งหลักได้

“ขอบคุณ”

หญิงสาวคนนั้นมองเฉินตงอย่างซาบซึ้ง จากนั้นจึงแผดเสียงตะโกน “ทุกคนอยู่ในความสงบ ฉันคือรปภ.มืออาชีพระหว่างประเทศ ฉันจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย!”

การแผดเสียงออกไปแบบนี้ ทำให้ผู้โดยสารในห้องโดยสารสงบลงได้บ้าง

จากนั้นหญิงสาวคนนี้ก็พุ่งตัวเข้าใส่ชายร่างกำยำผู้นี้ราวลูกธนู

ร่างผอมบางกับร่างบึกบึนแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด

แต่สิ่งที่น่าตื่นตะลึงคือหญิงสาวผู้นี้ใช้พละกำลังต่อสู้กวัดเกี่ยวกับชายร่างบึกบึนผู้นี้

เฉินตงเฝ้ามองดูการต่อสู้ที่เกิดขึ้นพลางขยี้จมูก

“นอกจากจะกล้าจี้เครื่องบินแล้ว ยังกล้ามาคนเดียวอีก?”

ระหว่างที่เขาพึมพำ สายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นกล่องไพ่ป๊อกกล่องหนึ่งที่หญิงสาวผู้นี้ทำตกเอาไว้ตอนกลิ้งลงบนพื้น

รอยยิ้มของเฉินตงหายไป พลางหยิบไพ่ขึ้นมา

ในตอนนั้นเอง ห้องโดยสารด้านหลัง ก็มีเสียงฝีเท้าที่หนาแน่นดังขึ้นอย่างน่าหวาดผวา เสียงฝีเท้าดังขึ้นมาอีกครั้ง

ชายร่างสูงใหญ่สามคน วิ่งพุ่งเข้ามาในห้องโดยสารชั้นหนึ่งราวสัตว์ป่า

และมีชายสองคนที่กำมีดที่ถูกทำขึ้นมาพิเศษแน่นอยู่ในมือ มีดที่ยื่นออกมานั้นส่องประกายวิบวับน่าหวาดผวา……

ผ่านไปไม่กี่นาที

ท่านหลงก็พาทุกคนกลับมา

“คุณชาย มันหนีไปแล้ว ทิ้งไว้แค่ปืนไรเฟิลกระบอกนี้” ท่านหลงยื่นกระบอกปืนไรเฟิลให้เฉินตง

เฉินตงไม่พอใจ “ถ้าคุนหลุนไม่บังเอิญตื่นขึ้นมาพอดี พวกเราคงจะกลายเป็นศพสามศพอยู่ที่ห้องผู้ป่วยแล้ว”

คุนหลุนนอนอยู่บนพื้น ยิ้มอย่างไร้อารมณ์

“คุณชายจะโทษบอดี้การ์ดพวกนี้ก็ไม่ได้นะครับ การที่มันจะลงมือคงจะวางแผนเส้นทางการหนีเอาไว้แล้ว ระยะห่างระหว่างตึกแค่นี้ จากเวลาที่ท่านหลงกับพวกตามไปก็น่าจะเพียงพอสำหรับการหลบหนีได้แล้ว”

ระหว่างที่เขาพูด เขาก็รับปืนไรเฟิลมาจากมือของเฉินตงแล้วพลิกดู

เฉินตงไม่ได้สนใจอะไร และเอาแต่สั่งการเรื่องที่ต้องจัดการต่อไปกับท่านหลง

เสียงปืนที่ดังขึ้นกลางดึก ส่งผลกระทบอย่างร้ายแรง

ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากผ่านเหตุการณ์ซุ่มยิงแล้ว ห้องนี้ก็ไม่ปลอดภัยอีกจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนห้องใหม่

ทว่าในขณะที่ทุกคนกำลังจัดการธุระกันอย่างวุ่นวายนั้น

ไม่มีใครสังเกตคุนหลุนที่กำลังพลิกปืนไรเฟิลอยู่ว่า แววตาของเขาที่เจือความแปลกประหลาดบางอย่างจ้องเขม็งไปที่ตำแหน่งปลายด้ามจับและหยุดมองอยู่สองวินาที

หลังจากที่เฉินตงจัดการธุระเสร็จแล้ว และหมอได้เข้ามาทำแผลให้คุนหลุนเรียบร้อยแล้ว

หลังจากเปลี่ยนห้องแล้ว เฉินตงกับท่านหลงก็ไม่รู้สึกง่วง

ส่วนคุนหลุนที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้ก็คล้ายว่ากำลังครุ่นคิดบางอย่าง

ผ่านไปพักใหญ่

คุนหลุนจึงเอ่ยว่า “คุณชาย ท่านหลง พรุ่งนี้พวกเรากลับกันเถอะ”

“พรุ่งนี้?”

เฉินตงมองคุนหลุนอย่างประหลาดใจ “แผลของพี่ หมอกำชับไว้แล้วว่าอย่างน้อยต้องอยู่ในโรงพยาบาลหนึ่งอาทิตย์ ถึงจะออกได้”

เวลาหนึ่งสัปดาห์เป็นเพียงเวลาที่พ้นขีดอันตรายแล้วเท่านั้น ถ้าต้องการจะหายขาดคงต้องใช้เวลาอีกมาก

“พรุ่งนี้แหละครับ ผมทนได้”

คุนหลุนกล่าวยืนยัน “ตอนนี้ก็ได้พบนายท่านแล้ว เมื่อคืนก็มีมือปืนโผล่มาอีก ที่นี่ไม่ใช่พื้นที่ของพวกเรา ผมกังวลว่าจะเกิดเรื่องใหญ่กว่านี้ขึ้นอีก”

เกิดประกายขึ้นในดวงตาของท่านหลงก่อนจะเอ่ยว่า “คุณชาย เอาตามที่คุนหลุนว่าเถอะครับ นั่งเครื่องบินเช่าเหมาลำกลับไปคงจะไม่มีอันตรายอะไร กลับไปยังพื้นที่ของเรา จะได้ส่งตัวคุนหลุนไปโรงพยาบาลลี่จิงด้วย ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นพวกเราคงรับมือได้ดีกว่าอยู่ที่นี่”

เฉินตงพิจารณาอยู่สองสามวินาทีก่อนจะพยักหน้าอย่างไร้ทางเลือก

อยู่ที่นี่ค่อนข้างจะมีอุปสรรคจริงๆ แต่ด้วยฝีมือของตระกูลเจิ้งนั้น แน่นอนว่าย่อมใช้อิทธิพลที่มีปิดเรื่องนี้เป็นความลับได้

แต่ประเด็นที่สำคัญคือ ตระกูลเจิ้งกับจุนหลิน กรุ๊ปเป็นไพ่ใบสุดท้ายที่พ่อทิ้งไว้ให้เขา ถ้าไม่จนหนทางจริงๆ เขาก็ไม่อยากลากตระกูลเจิ้งมาใกล้ชิดกับเขามากนัก

เช้าวันรุ่งขึ้น

ท่านหลงจัดการขั้นตอนต่างๆ เรียบร้อยตั้งแต่เช้าตรู่

เจิ้งจุนหลินพาบอดี้การ์ดมาคุ้มกันด้วย ขบวนรถยิ่งใหญ่จึงมุ่งหน้าไปยังสนามบินที่อยู่ใกล้เมืองนี้มากที่สุด

โชคดีที่ตลอดทางจนถึงตอนที่เครื่องบินออกไม่เกิดเหตุการณ์ผิดปกติขึ้น

เฉินตงถอนใจสายตาของเขาลึกล้ำ

ส่วนคุนหลุนนั้นท่าทางยกผู้เขาออกจากอก

เวลาหนึ่งทุ่มตรง

เครื่องบินลงจอดที่สนามบินชานเมือง

ฟ่านลู่กับกูหลังมารอที่สนามบินได้พักใหญ่แล้ว

หลังจากขึ้นรถแล้ว เฉินตงพาตัวคุนหลุนไปส่งที่โรงพยาบาลก่อน โดยมีฟ่านลู่คอยคุ้มกัน

หลังจากนั้นจึงกลับวิลล่าเขาเทียนซานพร้อมกับท่านหลงและกูหลัง

เมื่อกลับถึงบ้านแล้ว เฉินตงยังคงไม่รู้สึกง่วง

เขาขึ้นไปนั่งตากลมยามราตรีอยู่บนดาดฟ้าอย่างหนักใจพลางดื่มเบียร์ไปด้วย

ท่านหลงเดินตามขึ้นมาพร้อมถือบะหมี่มาด้วยหนึ่งชาม

“คุณชาย เดินทางมาไกล กินอะไรหน่อยเถอะครับ”

“ไม่อยากกิน” สายตาของเฉินตงวับไหว เขายิ้มพลางวางเบียร์ในมือลง “ท่านหลงรู้สึกไหมว่าตั้งแต่เมื่อวานที่พวกเราโดนซุ่มยิง ท่าทางของคุนหลุนก็แปลกไป”

“ดูวุ่นวายใจใช่ไหม” ท่านหลงกล่าว

“สังเกตเหมือนกันหรอ”

เฉินตงใช้มือทั้งสองข้างเท้าหัวเอาไว้แล้วเอนตัวลงบนเก้าอี้ “เขาปิดบังไว้ได้ดี แต่ผมสัมผัสได้ว่าท่าทางการพูดการจาของเขาดูไม่ค่อยสงบเท่าไหร่ ไม่เหมือนคุนหลุนคนเดิมที่เคยรู้จัก”

“บางทีเขาคงค้นพบอะไรบางอย่างเข้า” ท่านหลงยิ้ม “แต่ตอนนี้พวกเรากลับมาถึงที่นี่แล้ว หากเกิดอะไรขึ้นก็คงจะไม่เหมือนเมื่อคืนที่โต้ตอบอะไรไม่ได้เลย”

“ก็จริง ในเมื่อคุนหลุนไม่พูด แสดงว่าเขาคงมีเหตุผลของเขา อย่างที่พ่อเคยบอกเอาไว้ อะไรจะเกิดยังไงก็ต้องเกิด”

เฉินตงยิ้มด้วยสายตาที่ห่างไกลราวกับมีความคิดบางอย่าง

“คุณชาย วางแผนจะทำอะไรต่อครับ”

ท่านหลงบิดขี้เกียจก่อนจะพิงที่เก้าอี้ “บรรยากาศในบ้านมันเงียบเหงาอย่างไรก็ไม่รู้”

“ที่ถามหมายถึงเรื่องของเสี่ยวหยิ่งใช้ไหม”

เฉินตงรู้ทันและยิ้มออกมา “พรุ่งนี้ผมจะไปหาเธอ เรื่องนี้แม้ว่าจะเป็นความผิด แต่ยังไงก็เป็นความผิดของผม”

“คุณชายทำอะไรผิด?”

ท่านหลงประหลาดใจ “กระผมแค่อยากจะเตือนให้คุณชายรีบจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด แต่ไม่ได้ตัดสินว่าใครถูกใครผิด”

“เสี่ยวหยิ่งร้องไห้คือความผิดของผม” เฉินตงหยักไหล่ แล้วตำหนิตัวเอง “ผมรับปากจะทำให้เธอมีความสุข แต่กลับมอบน้ำตาให้เธอ นี่ถือว่ายังผิดต่อเธอไม่มากพออีกหรือ”

ท่านหลงมองเฉินตงอย่างลึกซึ้ง

ครู่ใหญ่

เขาจึงค่อยๆ กล่าวออกมาว่า “กระผมจะดูแลทางนี้เอง งานทุกอย่างจะไม่บกพร่อง หวังว่าคราวนี้คุณชายจะประสบความสำเร็จ พาคุณนายน้อยกลับมาได้”

เฉินตงยิ้ม เขารอให้ท่านหลงเดินออกไป

ตอนนี้ อีกฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกที่เสี่ยวหยิ่งอยู่คงจะเป็นตอนกลางวัน?

เฉินตงหยิบโทรศัพท์ออกมา แล้วลองโทรหาเบอร์ของกู้ชิงหยิ่ง

ทว่าพอเสียงรอสายดังก็ถูกตัดสายไปทันที

เฉินตงไม่แปลกใจ และลองโทรอีกประมาณสิบกว่าครั้ง ทุกครั้งก็ลงเอยเหมือนกัน

เขาเลยส่งข้อความไปหากู้ชิงหยิ่ง “ที่รัก ผมผิดไปแล้ว”

เขารอคอยอยู่เป็นเวลานาน แต่ข้อความก็เปรียบเหมือนหินที่ตกลงสู่ก้นทะเล

เฉินตงไม่รู้สึกท้อถอย เขาเอามือทั้งสองเท้าศีรษะเอาไว้ แล้วเหม่อมองไปยังท้องฟ้า พลางบ่นพึมพำว่า “เสี่ยวหยิ่ง พรุ่งนี้ผมจะไปหาคุณ”

อีกฝั่งหนึ่งของมหาสมุทร

ตอนนี้เป็นเวลาสายๆ

หลี่หวั่นชิงขมวดคิ้วมองกู้ชิงหยิ่งแล้วเหลือบมองโทรศัพท์ที่อยู่ข้างๆ กู้ชิงหยิ่ง

“เป็นสายกับข้อความของตงเอ๋อใช่ไหม”

กู้ชิงหยิ่งทำหน้าไม่ทุกข์ร้อน เธอเอ่ยด้วยสายตามืดมน “ไม่รับ ไม่ตอบ”

“แต่แม่คิดว่าพวกหนูควรคุยกันดีๆ”

หลี่หวั่นชิงเอ่ยเสียงราบเรียบและกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “เรื่องนี้ไม่ว่าใครถูกใครผิด ไม่ว่าสุดท้ายผลจะเป็นอย่างไร ลูกทั้งสองคนควรค่อยๆ คุยกัน ถ้าหากยังปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป คงไม่ดีกับใครทั้งนั้น”

“แม่……”

กู้ชิงหยิ่งเริ่มร้อนใจ เมื่อได้ยินคำพูดเมื่อครู่นี้ สีหน้าของเธอก็เริ่มร้อนรน

เธอลุกพรวดขึ้นแล้ววิ่งเข้าไปในห้องน้ำ พิงชักโครกเอาไว้ แล้วพยายามจะอาเจียน

หลี่หวั่นชิงรีบตามเข้าไป แล้วช่วยลูบหลังให้กู้ชิงหยิ่งอย่างเห็นใจ

หลังจากอาเจียนเรียบร้อย กู้ชิงหยิ่งก็หมดแรง เธอนั่งหน้าซีดอยู่บนพื้น ดวงตาของเธอแดงก่ำคลอไปด้วยน้ำตา

เธอก้มหน้าลงมองท้องที่เริ่มนูนออกมา แล้วร้องไห้โฮออกมา

“ลูกเข้มแข็งกว่านี้ไม่ได้หรอ ตอนนี้แม้แต่ลูกก็ทำให้แม่ต้องทรมานอีกหรอ”

“เสี่ยวหยิ่ง พูดเหลวไหลอะไร”

หลี่หวั่นชิงสีหน้าจริงจัง “การแพ้ท้องเป็นเรื่องธรรมดามาก ทำไม้ต้องโทษเด็กด้วย”

เมื่อกลับมาอยู่ที่นี่ กู้ชิงหยิ่งก็เริ่มแพ้ท้อง ความรู้สึกทรมานแบบนี้ ต้องเป็นคนที่เคยผ่านมาด้วยตัวเองเท่านั้นถึงจะเข้าใจ

และเป็นเพราะเห็นเหตุการณ์อยู่ตลอด หลี่หวั่นชิงจึงรู้สึกสงสารลูกสาวมาก

ด้านหนึ่งก็ต้องเสียใจจากเรื่องของเฉินตง ส่วนอีกด้านก็ต้องทรมานกับอาการแพ้ท้อง ความกดดันทั้งทางร่างกายและจิตใจเช่นนี้เองที่ทำให้หลี่หวั่นชิงอยากให้กู้ชิงหยิ่งคุยกับเฉินตงดีๆ

เธอคงไม่ปล่อยให้เรื่องราวทั้งหมด ทำให้ลูกสาวของเธอต้องลำบากอย่างนี้

“แม่คะ หนูทรมานจัง”

กู้ชิงหยิ่งพุ่งเข้าไปซบตรงอกของหลี่หวั่นชิงแล้วร้องไห้ “หากเป็นเฉินตงคนก่อน ป่านนี้เขาคงมาหาหนูตั้งนานแล้ว”

“ความลับอะไร”

เฉินตงใจเต้น

ต้องเป็นเรื่องที่มีคนรู้น้อยเท่านั้น ถึงจะเป็นข้อมูลที่เขาอยากได้ที่สุด

ท่านหลงหักข้อมือ แล้วเริ่มเล่าอย่างจริงจัง

“อันที่จริงแล้วคุณนายใหญ่ไม่ได้แต่งเข้ามาในตระกูลเฉินอย่างมีหน้ามีตาอะไร”

เฉินตงทำปากจู๋ “นี่หรอที่บอกว่าเป็นความลับที่ท่านหลงกับพ่อผมรู้กันอยู่สองคน พ่อรวมทั้งคนรุ่นเดียวกับพ่อมีอีกตั้งหลายคน ถ้าไม่ได้แต่งเข้ามาอย่างมีหน้ามีตาก็คงจะไม่ได้มีแต่พวกคุณสองคนที่รู้หรอก”

“แน่นอนว่าเรื่องการแต่งงานเป็นเรื่องที่ไม่สามารถปิดบังทุกคนได้ แต่สาเหตุของการแต่งงานเป็นเรื่องที่สามารถปกปิดได้”

ท่านหลงยิ้มแปลกประหลาด “นายท่านเคยบอกว่า คุณนายใหญ่เป็นลูกคุณหนูของผู้ดีตระกูลหนึ่ง แต่ตอนที่ไปร่วมงานเลี้ยงงานหนึ่งก็ได้ไปเริ่มทำความรู้จักกับสามีของเธอเข้า ซึ่งคนคนนั้นก็คือคนวงนอกตระกูลเฉินผู้นั้น”

เมื่อเล่าถึงตอนนี้ รอยยิ้มของท่านหลงก็ยิ่งแปลกประหลาดมากยิ่งขึ้น

เขาตั้งใจลดเสียงต่ำลงจนเหลือเพียงเฉินตงคนเดียวที่จะได้ยิน

“และก็เป็นเพราะงานเลี้ยงครั้งนั้น คนวงนอกตระกูลเฉินคนนั้นได้กินเหล้าเข้าไปจนข่มขืนคุณนายใหญ่ ตระกูลของคุณนายใหญ่กลัวเสียหน้าเลยบังคับให้คุณนายใหญ่แต่งงานเข้าตระกูลเฉิน”

เปรี้ยง!

เฉินตงตัวแข็งทื่อเป็นหุ่น

“ฮู้ว!”

เขาอดไม่ได้ที่จะสูดอากาศเย็นเข้าไปลึกๆ ใจเขาเริ่มเต้นแรงขึ้น “เรื่องนี้ถือเป็นความลับสุดยอดจริงๆ”

หากป่าวประกาศเรื่องนี้ออกไป ด้วยฐานะของตระกูลเฉินแล้ว จะต้องสร้างความตกตะลึงให้กับคนทั้งโลกอย่างแน่นอน

การรักษาหน้าตาของตระกูลร่ำรวยถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

การก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นในครั้งนั้นเป็นเหตุให้เกิดการแต่งงาน ถ้ามีคนนอกรู้เรื่องนี้เข้า นับว่าเพียงพอต่อการทำให้ตระกูลเฉินตกบัลลังก์ได้

เรื่องราวของพ่อฉินเย่เรื่องนั้นเพียงเรื่องเดียวก็ทำให้พอเดาเรื่องราวทุกอย่างได้

แต่ผิดที่พ่อของฉินเย่เอง ดังนั้นตอนนั้นเรื่องที่ฉินเย่ฆ่าพ่อจึงยังมีโอกาสให้รอดชีวิตไปได้อีกครั้ง

คนนอกต่างรู้ว่าฉินเย่ฆ่าพ่อของตนเอง แต่ไม่เคยมีใครรู้ว่าทำไมเขาถึงต้องฆ่าพ่อตัวเอง

เรื่องของคุณนายใหญ่ตระกูลเฉิน ก็นับว่าเป็นเรื่องราวที่มีเหตุผลคล้ายคลึงกัน

“และเพราะเรื่องนี้ที่ทำให้เกิดการแต่งงานขึ้น ดังนั้นหลังจากแต่งงานคุณนายใหญ่ก็ไม่ได้หลับนอนกับรุ่นพี่คนนั้นอีก แถมกระผมยังเคยได้ยินนายท่านเล่าว่าการทำผิดพลาดเพียงครั้งเดียวครั้งนั้น ยังทำให้คุณนายใหญ่ตั้งท้อง แต่คุณนายใหญ่ที่มีแต่ความอับอายและเกลียดชังจึงแอบเอาเด็กออก”

ท่านหลงค่อยๆ เล่า “และคุณนายใหญ่ก็ไม่มีทายาทสืบสกุลอีกต่อไปด้วยสาเหตุนี้”

“จะว่าไป เธอก็เด็ดเดี่ยวอยู่เหมือนกันนะ”

เฉินตงยิ้มอย่างมีความหมาย “คนยิ่งใหญ่โตเท่าไหร่ สุดท้ายก็กลายเป็นเพียงเครื่องเซ่นไหว้ของตระกูลร่ำรวยเท่านั้น”

“ใช่ครับ เรื่องนี้หลังจากที่คนรุ่นเดียวกับคุณนายใหญ่เสียชีวิตกันไปหมดแล้ว ก็ยิ่งกลายเป็นเรื่องลึกลับมากขึ้นทุกที ในบ้านตระกูลเฉิน คนที่รู้เรื่องนี้ก็มีเพียงนายท่านกับกระผมเท่านั้น”

ท่านหลงส่งเสียงออกมาอย่างเยาะเย้ย “กระผมยังโชคดีที่นายท่านเชื่อใจ คอยดูแลอาหารการกินและชีวิตประจำวันของนายท่าน เลยเคยได้ยินเรื่องนี้”

หยุดไปครู่หนึ่ง ท่านหลงจึงถามว่า “ทำไมคุณชายถึงถามเรื่องนี้หรือ”

“ไม่มีอะไร ก็แค่อยากรู้”

เฉินตงส่ายหน้าและตอบไปส่งๆ

เขาแค่อยากสืบให้รู้ว่าเพราะอะไรที่พ่อถึงเตือนให้เขาระวังคุณนายใหญ่ตระกูลเฉิน

แต่ความลับที่ท่านหลงเล่าให้ฟังนี้ ก็ไม่ทำให้ค้นเขาหาสาเหตุเจอ

เพราะเป็นได้แค่เพียงเรื่องซุบซิบนินทาเท่านั้น

คนที่ต้องตกเป็นเครื่องเซ่นไหว้เพื่อรักษาหน้าตาของตระกูลร่ำรวยอย่างคุณนายใหญ่ ถ้าไม่มีความโกรธแค้นต่างหากถึงจะเป็นเรื่องแปลก

หรือจะกล่าวอย่างไม่ให้เกียรติได้อีกอย่างหนึ่งว่า รุ่นพี่ตระกูลเฉินผู้นั้นหากเขามีหน้าตาในตระกูลเฉินสักหน่อย บางทีคุณนายใหญ่อาจจะลดความคับแค้นใจลงได้บ้าง

แต่การโดนข่มขืน ถูกบังคับแต่งงานและการเป็นคนวงนอกของตระกูลเฉิน เมื่อหลายๆ อย่างเหล่านี้รวมเข้าด้วยกันแล้วจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่คุณนายใหญ่จะไม่มีทายาท

……

การรอคอยที่ยาวนานได้สิ้นสุดลงเมื่อไฟในห้องฉุกเฉินดับลงตอนค่ำ

คุนหลุนถูกส่งตัวออกมาอยู่ห้องผู้ป่วยธรรมดา เฉินตงจึงคลายความกังวลลงได้มาก

หลังจากให้หมอและพยาบาลรักษาบาดแผลของตนเองแล้ว เฉินตงกับท่านหลงไม่ยอมไปไหนเพื่ออยู่เฝ้าคุนหลุนในห้องผู้ป่วยด้วยกัน

เจิ้งจุนหลินได้จัดบอดี้การ์ดมากว่าสามสิบคน เฝ้าบริเวณรอบๆ ห้องผู้ป่วยแน่นขนัด

นี่ทำให้เฉินตงเบาใจลงไม่น้อย

การเปิดเผยตัวในงานเลี้ยงตระกูลเจิ้งครั้งนี้ นำมาซึ่งความอันตรายถึงชีวิต

แม้ว่าปลายมีดจะหันไปที่พ่อ แต่เขาจะไม่ป้องกันตัวเองเลยก็ไม่ได้

เมื่อผ่านเหตุการณ์ที่เป็นตายเท่ากันมาแล้ว เฉินตงจึงเหนื่อยล้าอย่างมาก

การเฝ้าอยู่ในห้องคนป่วย ทำให้ความง่วงอย่างรุนแรงโจมตี

เขาหลับไปบนโซฟา

แก๊กๆ……

ในระหว่างที่สติสัมปชัญญะเลือนราง เฉินตงรู้สึกว่ามีสิ่งของเล็กๆ หล่นมากระทบใบหน้าของตนแล้วตกลงไปบนพื้น

เขาลืมตาขึ้นช้าๆ จึงเห็นว่าคุนหลุนที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยได้สติกลับมาแล้ว

บรรยากาศด้านนอกหน้าต่างมืดสนิท มีเพียงแสงจากโคมไฟในห้องผู้ป่วย

เวลานี้คงดึกมากแล้ว เพราะแม้แต่ท่านหลงเองก็ผล็อยหลับไปแล้ว

แต่ภายใต้แสงไฟสลัวนี้ สีหน้าของคุนหลุนดูจะซีดไปสักหน่อย และจ้องเขม็งมาที่เฉินตง คิ้วของเขาขมวดจนเกิดริ้วรอย

ความดีใจของเฉินตงกลับกลายเป็นคนพรั่นพรึงขึ้นมาในทันที

เขาเตรียมจะลุกขึ้น

แต่กลับเห็นสายตาจ้องเขม็งของคุนหลุน

เกิดเรื่องแล้ว!

หัวใจของเฉินตงกระตุกวูบในทันที เขาจึงรีบบังคับให้ตัวเองไม่ลุกขึ้นมาแล้วนอนกลับลงไปยังโซฟา สายตาจ้องมองไปที่คุนหลุน

และจริงอย่างที่คาด

สายตาของคุนหลุนเคลื่อนไหวส่งสัญญาณไปที่ด้านนอกหน้าต่าง

เฉินตงเบนสายตาไปทางด้านนอกหน้าต่าง ในความมืดมิดยามค่ำคืน เขาเห็นเพียงแสงไฟจากโรงพยาบาลเท่านั้น

อย่างอื่นนอกจากนี้ ดูปกติไร้เรื่องราว

แต่เมื่อเขาดึงสายตากลับมา เขาพลันเห็นด้านบนตึกของตึกตรงกันข้ามสะท้อนแสงริบหรี่ออกมา

เขาเพ่งมอง แสงริบหรี่นั้น แล้วพบว่ามันหายไปแล้ว

แต่นี่ก็เพียงพอแล้ว

จากความรู้ของเฉินตง สิ่งที่สามารถสะท้อนแสงริบหรี่อ่อนๆ แบบนั้นมีแค่…เลเซอร์ของปืนไรเฟิลเท่านั้น

ภายในเวลาชั่วพริบตา

เฉินตงลุกพรวดขึ้น และถลาตัวไปยังผ้าม่าน หลังจากกลิ้งตัวไปรอบหนึ่งแล้วก็ดึงผ้าม่านให้เปิดออก

ในเวลาเดียวกัน

คุนหลุนที่อยู่บนเตียงผู้ป่วยก็ลุกพรวดขึ้นนั่ง เขาพลิกตัวและผลักท่านหลงที่นอนหลับอยู่ข้างเตียงกลิ้งไปกับพื้น พร้อมกับออกแรงถีบเตียงผู้ป่วยให้ล้มลง

ปั้ง!

เสียงปืนดังขึ้นระเบิดความเงียบยามค่ำคืน

กระสุนทะลุผ่านกระจกเข้ามา เจาะทะลุเตียงไม้และกระแทกลงบนพื้นดัง “ปั้ง”

“คุนหลุน ท่านหลง!”

เฉินตงที่ซ่อนตัวอยู่ตรงขอบหน้าต่างสีหน้าแปรเปลี่ยน

“ไม่เป็นไร ยิงพลาด”

คุนหลุนกล่าวตอบ ตอนนั้นเฉินตงจึงถอนหายใจเฮือก

ต่อจากนั้นในทันที เฉินตงจึงเห็นท่านหลงปีนออกมาจากด้านหลังเตียงไม้ด้วยความตื่นตระหนก

“ผมจะให้บอดี้การ์ดตามไป”

ท่านหลงล้มลุกคลุกคลานวิ่งออกไปจากห้องผู้ป่วย

ในเวลาอันรวดเร็ว เฉินตงพลันได้ยินเสียงฝีเท้าหลายคนดังมาจากทางด้านนอก

ตอนนั้นประตูห้องที่แง้มอยู่ก็ถูกเปิดออก บอดี้การ์ดสิบกว่าคนวิ่งเข้ามา

เฉินตงตั้งสติ แล้วรีบก้มตัวเดินไปยังเตียงผู้ป่วย

เพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ หลังของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อชุ่ม

หากระหว่างที่เขาหลับสนิท คุนหลุนไม่ได้ปลุกเขาขึ้นมา กระสุนปืนเมื่อครู่นี้ตอนนี้ไม่รู้ว่าจะฝังอยู่ในร่างใคร

ทว่าเมื่อเห็นบาดแผลของคุนหลุนแล้ว สีหน้าของเฉินตงพลันเปลี่ยนไปอีกครั้ง

เนื่องจากการเคลื่อนไหวที่รุนแรงเมื่อครู่นี้ บาดแผลของคุนหลุนที่ถูกยิงกลับมีรอยเลือดซึมดวงใหญ่ออกมาแล้วลามไปทั่วทั้งครึ่งตัวล่างของเขา

“คุณชาย ผมไม่เป็นไร” คุนหลุนพยายามข่มกลั้นความเจ็บปวดแล้วฝืนยิ้มออกมา

“แม่งเอ๊ย!”

เฉินตงสบถออกมา ก่อนจะหันหน้าไปทางบอดี้การ์ดด้านในห้องสิบกว่าคนแล้วแผดเสียงลั่นออกไป “ออกไปตามจับมือปืนมาให้ได้ จับเป็นต้องเห็นตัว จับตายต้องได้เห็นศพ!”

สุดท้ายเฉินตงก็สามารถติดต่อท่านหลงได้สำเร็จ

เขารีบกลับไปยังสถานที่เกิดเหตุ

แต่เมื่อเขาลากสังขารร่างกายที่อ่อนล้าและเจ็บปวดกลับไปถึง ภาพที่เขาเห็นกลับทำให้หัวใจของเขากระตุก

เปลวเพลิงตรงเฮลิคอปเตอร์กำลังจะมอดลง ควันโขมงลอยสูงขึ้นฟ้าและยังมีสะเก็ดไฟที่ริบหรี่

ซากรถที่พลิกคว่ำยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิม

บรรยากาศตอนนี้เต็มไปด้วยกลิ่นน้ำมันและควันไฟ

ส่วนสถานที่ที่พวกเขานั่งพักกันอยู่นั้น คุนหลุนนอนอยู่บนพื้นทรายไม่ได้สติ

ส่วนพ่อนั้น……หายตัวไป!

เกิดเรื่องแล้ว!

เฉินตงสีหน้าเคร่งเครียด เขาล้มลุกคลุกคลานวิ่งเข้าไปหาคุนหลุน

เมื่อปลุกคุนหลุนให้ตื่นขึ้นมาแล้ว เขาก็รีบถาม “คุนหลุน เกิดอะไรขึ้น พ่อผมล่ะ”

คุนหลุนเอามือลูบคอที่ปวดบวมของเขา “นายท่านไปแล้วครับ”

“ไปไหน”

คุนหลุนส่ายหน้า “นายท่านหาโอกาสตอนที่ผมไม่ระวัง ทุบผมสลบไป และก็หนีไปแล้ว”

เฉินตงนั่งเหม่อลอยอยู่บนพื้นทราย

สติสัมปชัญญะรางเลือน หัวสมองของเขากลายเป็นสีขาว

พ่อกำลังกลัวใครอยู่กันแน่

ใครกันแน่ที่ทำให้พ่อที่ควบคุมเงินมหาศาลของแผ่นดินต้องหนีหัวซุกหัวซุนแบบนี้

สิ่งเดียวที่ทำให้เขาสงบลงได้ ก็คือพ่อยังปลอดภัยอยู่ และไม่ได้เกิดการบุกโจมตีอีกเป็นครั้งที่สองตอนที่เขาไม่อยู่ที่นี่

“คุณชาย การจากไปของนายท่านครั้งนี้น่าจะนานพอสมควร คงจะไม่ติดต่อคุณชายอีก”

คุนหลุนพูดอย่างไร้เรี่ยวแรง ริมฝีปากของเขากระตุก เนื่องจากพยายามบังคับตัวเองไม่ให้เล่าเหตุการณ์ที่เฉินเต้าหลินกระอักเลือดออกมา

เพราะเขากลัวว่าเฉินตงจะเครียด

สายตาของคุนหลุนมองออกไปยังทะเลทรายที่เวิ้งว้างด้วยความกังวล

สภาพร่างกายแบบนั้นของนายท่านจะออกจากทะเลทรายแห่งนี้ แล้วหลบหลีกการตามฆ่าได้หรือ

“ฉันเข้าใจ”

เฉินตงฝืนยิ้มอย่างขมขื่น

คราวนี้เป็นเพราะการมาถึงของเขา พ่อเลยต้องเปิดเผยร่องรอยของตัวเองทำให้เกิดการไล่ล่าสังหารเกิดขึ้น

เมื่อต้องการจะหายตัวไปอีกครั้ง เขาก็จำเป็นต้องใช้เวลาในการหายตัวให้มากขึ้นกว่าเดิม

ด้วยวิธีตัดขาดการติดต่อจากโลกภายนอก ถึงจะเป็นวิธีซ่อนตัวได้ดีที่สุด

แต่ความสงสัยที่ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของเฉินตงกลับยิ่งรุนแรงมากขึ้น

คำพูดของพ่อเป็นการเลี่ยงประเด็นสำคัญ

แต่สุดท้ายกลับเตือนให้เขาระวังคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินและคนในตระกูลเฉิน นั่นก็ถือเป็นการบอกใบ้อะไรบางอย่าง

หรือว่า……คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินกับคนในตระกูลเฉินร่วมมือกันจัดการพ่อ?

เมื่อเกิดความคิดเช่นนี้ เฉินตงก็พยายามสงบความคิดของตัวเองลง

เขาเริ่มสงสัยแบบนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว แต่หลังจากที่เกิดเรื่องราวขึ้นกับพ่อ ตระกูลเฉินทั้งบ้านก็ตกอยู่ในสภาพยุ่งเหยิง จึงเป็นเรื่องยากที่จะคิดเชื่อมโยงเรื่องราวของพ่อเข้ากับพวกเขา

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อคิดดีๆ แล้ว การที่เกิดเรื่องขึ้นกับพ่ออาจจะทำให้คนในตระกูลเฉินเปลี่ยนเจ้าบ้านคนใหม่

แต่การชิงตำแหน่งท่ามกลางความวุ่นวายเช่นนี้ กับการรับตำแหน่งภายใต้สถานการณ์ปกติ มีความหมายแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับตระกูลเฉินเป็นเรื่องที่ยากจะคาดเดา

ถ้าคนในตระกูลเฉินมีสมองสักหน่อย ก็คงไม่มีทางทำเรื่องที่โง่เขลาแบบนี้

“พ่อต้องการให้ผมระวังอะไรกันแน่” เฉินตงบ่นพึมพำกับตัวเองด้วยสายตาที่ห่างไกล

เขารออยู่เกือบหนึ่งชั่วโมง

บนผืนทะเลทรายเวิ้งว้างปรากฏฝุ่นตลบอบอวล

รถจี๊บคันหนึ่งวิ่งตะบึงมาทางนี้ด้วยความเร็วจี๋

เอี๊ยด!

รถหยุดลง

ท่านหลงกับเจิ้งจุนหลินวิ่งลงมาอย่างแตกตื่น

เมื่อเห็นสภาพของเฉินตงกับคุนหลุนและสถานที่เกิดเหตุ คนทั้งสองก็รู้สึกศีรษะด้านชา แผ่นหลังหนาวสะท้าน

“คุณชาย นายท่านล่ะครับ”

ท่านหลงโพล่งถามออกมา

เขารู้ว่าเฉินตงออกมาพบเฉินเต้าหลิน แต่เป็นเพราะตนไปเที่ยวเสียเวลากับเจิ้งจุนหลินทั้งคืน เขาเลยไม่ได้ตามเฉินตงมาด้วย แต่เหตุการณ์เบื้องหน้าทั้งหมด ทำให้ท่านหลงรู้สึกถึงความน่าสยดสยอง

“อย่าเพิ่งถาม รีบช่วยคุนหลุนก่อน”

เฉินตงจ้องเขม็งไปที่ท่านหลง

ท่านหลงเป็นคนหัวไว จึงรีบเรียกเจิ้งจุนหลินให้พาคุนหลุนขึ้นรถ

การรอคอยที่ยาวนาน ทำให้สติของคุนหลุนเริ่มเลือนราง เนื่องจากเป็นผลที่สืบเนื่องมาจากการเสียเลือดมากเกินไป

ถ้าไม่รีบช่วย ก็คงจะไร้หนทางช่วยได้อีก

ตลอดทางที่มุ่งหน้ากลับไปในเมือง ในรถไร้เสียงพูดคุย

ท่านหลงก็ไม่กล้าถามอะไรมาก

ส่วนเจิ้งจุนหลินนั้น เมื่อได้เห็นเหตุการณ์เช่นนั้นก็ตกใจกลัวจนพูดอะไรไม่ออก

เขาเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลเจิ้ง แม้ว่าจะเป็นคนเสเพล แต่เขาก็แค่เสเพลไปวันๆ

สำหรับเหตุการณ์อย่างสงครามนั้น ทำให้เขาเกิดความรู้สึกหวาดหวั่นและช็อกไม่น้อย

รถกลับไปถึงเมืองอย่างรวดเร็ว หลังจากนำตัวคุนหลุนเข้าไปในห้องฉุกเฉินแล้ว อารมณ์ของเฉินตงก็เริ่มสงบลงได้บ้าง

เขานั่งอยู่บริเวณทางเดินของโรงพยาบาล

เฉินตงสีหน้าเคร่งเครียด แววตาของเขาห่างไกลราวกับกำลังครุ่นคิดเรื่องบางอย่าง

แม้ว่าร่างกายของเขาจะมีบาดแผลเช่นกัน แต่ด้วยความเป็นห่วงคุนหลุนจึงทำให้เขาไม่ได้ให้หมอตรวจดูอาการของตัวเองในทันที

ท่านหลงนั่งอยู่เป็นเพื่อนอยู่ข้างๆ เขามองซ้ายมองขวา ด้วยอยากจะถามคำถามบางอย่างแต่ก็พยายามฝืนตัวเองเอาไว้

เจิ้งจุนหลินวิ่งมาแล้วกล่าวว่า “พี่ตง จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว หมอทุกแผนกในโรงพยาบาลนี้กำลังช่วยพี่คุนหลุนอยู่”

“ขอบใจ” เฉินตงตอบ

เจิ้งจุนหลินโบกมือแล้วกล่าวอย่างลังเล “พี่ตง ผมไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่ผมคิดว่าตระกูลเจิ้งของพวกเราน่าจะช่วยอะไรได้บ้าง”

หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงไม่กล้าเอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกมา

เพราะเขารู้ดีว่า คนเสเพลในตระกูลเจิ้งไม่เคยมีใครให้ความสำคัญ

แต่การปรากฏตัวของเฉินตง ทำให้พ่อเปลี่ยนความคิด แต่งตั้งเขาให้เป็นเจ้าบ้านคนต่อไป เขาจึงมั่นใจที่จะเอ่ยคำพูดประโยคนั้นออกไป

“นายช่วยอะไรไม่ได้หรอก”

เฉินตงยิ้มอย่างไร้อารมณ์ “นายช่วยหาบอดี้การ์ดมาเฝ้าคุนหลุนไว้ก็พอ สักสองวันถ้าอาการของคุนหลุนดีขึ้นบ้างแล้ว พวกเราจะไปจากที่นี่ เมื่อพวกเราไปแล้ว นายพยายามอย่าเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับพวกเราให้คนนอกฟังก็พอ”

“หา?!”

เจิ้งจุนหลินตะลึง

สีหน้าของเฉินตงจริงจัง “บอกให้นายทำอะไร นายทำตามก็พอแล้ว นี่ถือเป็นการปกป้องนายและตระกูลเจิ้งด้วย”

จุนหลิน กรุ๊ปของตระกูลเจิ้ง คือไพ่ใบสุดท้ายของเขา

หากต้องการจะซ่อนไพ่ใบสุดท้าย วิธีการที่ดีที่สุดคือให้คนตระกูลเจิ้งไม่สนใจการมีตัวตนอยู่ของเขา

ยังดีที่การมาครั้งนี้ เขาไม่ได้มีความสัมพันธ์กับตระกูลเจิ้งมากนัก

สิ่งที่ดึงดูดความสนใจคนมากที่สุดก็คือเรื่องที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงคืนนั้น

แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ ก็ยังดีที่เป็นเพราะพรหมลิขิตของเขากับเจิ้งจุนหลินที่ยังทำให้สามารถใช้เจิ้งจุนหลินเป็นข้ออ้างในการปกปิดสาเหตุที่แท้จริงได้ไม่ยากนัก

“เข้าใจแล้วพี่ตง ผมจะไปจัดการให้เลย”

เจิ้งจุนหลินเดินจากไปอย่างรวดเร็ว

“คุณชาย ไปรักษาแผลก่อนดีไหม” ท่านหลงกล่าวอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นทั่วตัวเฉินตงมีแต่บาดแผล

เฉินตงหัวเราะ “ตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าคุนหลุนจะเป็นตายยังไง แผลแค่นี้ของผมเล็กน้อยมาก”

ระหว่างพูด เฉินตงก็เงยหน้ามองท่านหลง

แล้วถามว่า “ท่านหลงคงรับใช้พ่อของผมมานานแล้ว ผมอยากถามว่าท่านหลงรู้เรื่องราวของคนตระกูลเฉินพวกนั้นมากน้อยแค่ไหน”

“ใคร” ท่านหลงถามกลับ

“คุณนายใหญ่ตระกูลเฉิน” เฉินตงตอบ

ท่านหลงหรี่ตาลงด้วยความประหลาดใจ

แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกไป เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวช้าๆ

“อันที่จริงแล้วฐานะของคุณนายใหญ่ถือเป็นเรื่องคลุมเครือในตระกูลเฉินมาตลอด คนในตระกูลต่างปิดเรื่องนี้เป็นความลับ”

ปิดเป็นความลับ?

ต้องการทำให้เป็นความลับ

เฉินตงเลิกคิ้วรอฟังต่อ

ท่านหลงมองซ้ายมองขวา ก่อนจะกระซิบกระซาบ

“อันที่จริง ถ้าพูดตามความจริงแล้ว ตอนที่คุณหญิงใหญ่ยังอยู่ ฝั่งพวกเขาไม่ค่อยได้รับความใส่ใจเท่าไหร่ กล่าวได้ว่าเป็นคนนอกตระกูลเฉินเลยด้วยซ้ำ”

“มีฐานะอย่างทุกวันนี้ได้ ก็เป็นเพราะกฎนับถือผู้อาวุโสของตระกูลเฉิน คุณนายใหญ่อยู่มานาน จนคนในรุ่นเดียวกันตายไปหมด ถึงมีฐานะอย่างเช่นทุกวันนี้ได้ และเพราะสาเหตุนี้เองที่ทำให้คนในตระกูลเฉินเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ”

รอยยิ้มของเฉินตงหายไป เรื่องราวน่าอายแบบนี้ คุณนายใหญ่ตระกูลเฉินคงรับไม่ได้ จึงทำให้คนในตระกูลเฉินไม่อยากพูดถึง

“แต่……”

ท่านหลงยิ้มออกมาด้วยรอยยิ้มแปลกประหลาด “คุณนายใหญ่เป็นแม่คนที่สามของนายท่าน ยังมีความลับอีกเรื่องหนึ่ง กระผมทราบเรื่องนี้มาจากปากของนายท่านเอง เข้าใจว่าความลับเรื่องนี้ คนตระกูลเฉินคนอื่นน่าจะยังไม่มีใครรู้”

ทรายสีทองลอยคลุ้ง

อุณหภูมิร้อนระอุ แม้แต่ลมยังกลายเป็นไอร้อน

เฉินตงสบตากับเฉินเต้าหลิน

คุนหลุนที่อยู่ด้านข้างก็มองไปที่เฉินเต้าหลินด้วยความสงสัย โดยไม่ใส่ใจความเจ็บปวดอีก

ทั้งๆ ที่เป็นการลอบฆาตกรรมธรรมดาเหตุการณ์หนึ่งแท้ๆ แต่กลับทำให้เจ้าบ้านเฉินที่ยิ่งใหญ่ต้องหายตัวไป

ยิ่งไปกว่านั้นคือการทำให้ตัวเองหายไป ซ่อนตัวอยู่อย่างไร้ร่องรอย

ความลับของเรื่องนี้ ไม่ว่าใครก็ต้องอยากรู้!

โดยเฉพาะคนที่เพิ่งรอดจากการตามไล่ฆ่าเมื่อเมื่อครู่

เฉินเต้าหลินกลับไม่มีท่าทางรีบร้อน เขาค่อยๆ หยิบบุหรี่ออกมาจากกระเป๋าแล้วจุดสูบหนึ่งมวน

ควันลอยฟุ้งลอดฟันออกมาอย่างเชื่องช้า

เฉินเต้าหลินหลับตาพลางอมยิ้ม “พวกแกคงคิดว่าการหายตัวไปของฉันเกิดจากเหตุการณ์ลอบฆาตกรรมธรรมดาเหตุการณ์หนึ่งใช่ไหม”

“ครับ” เฉินตงตอบ

หากเป็นเหตุการณ์ตอนนั้นที่ยิวหมิน อันดับยมราชที่ 18 ขององค์กร hidden killers ลอบฆ่า แล้วพ่อหายตัวไปคงจะไม่ทำให้เขาข้องใจมากขนาดนี้

แต่ตอนนั้นยิวหมินตายด้วยฝีมือของลุงเต้าจูนไปแล้ว แถมยังโดนตัดหัวเสียบประจานไว้บนป้ายตระกูลเฉินประกาศก้องให้ใต้หล้ารู้

แต่พ่อกลับหายตัวไปจากเหตุการณ์ลอบฆาตกรรมธรรมดาครั้งหนึ่ง แถมยังเป็นนักฆ่าธรรมดาๆ คนหนึ่งที่โดนฆ่าตายคาที่ไปแล้วด้วย

หรือจะกล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ การที่มือสังหารโดนฆ่าตายคาที่ไปแล้วนั้น ตอนนั้นพ่อน่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่หมดห่วงไร้กังวล แต่กลับหายตัวไปดื้อๆ

“เฮ้อ!”

เฉินเต้าหลินเม้มปาก “ตงเอ๋อ ตระกูลเฉินไม่ได้เป็นอย่างที่ลูกคิดไว้หรอก”

ระหว่างเอ่ย สายตาห่างไกลของเฉินเต้าหลินก็เหม่อมองไปยังซากเฮลิคอปเตอร์ที่ไฟลุกท่วม

“การหายตัวของพ่อ ไม่เกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าพ่อไม่หายตัวไป ไม่เพียงแค่พ่อกับลูกเท่านั้น แต่จะทำให้ตระกูลเฉินต้องตกอยู่ในอันตราย”

เปรี้ยง!

เฉินตงเกิดความรู้สึกลังเลบางอย่างที่เกิดขึ้นราวกับฟ้าผ่าลงมาในตอนกลางวัน

ตระกูลเฉิน……จะตกอยู่ในอันตราย?

นี่มันเรื่องตลกอะไรกัน

ตระกูลเฉินที่ยิ่งใหญ่ที่กำทรัพย์สินของประเทศเอาไว้ ต่อให้ร่ำรวยเป็นเศรษฐีมาจากไหน ในสายตาของตระกูลเฉินก็เป็นเพียงมดในดินที่ไม่มีค่าอะไรให้พูดถึง

บุคคลใหญ่โตคับฟ้าเช่นนี้ หากตกอยู่ในอันตรายก็น่าจะเป็นความเน่าเฟะภายในปรากฏออกมา มากกว่าจะเป็นฝีมือของคนนอก?

แม้แต่คุนหลุนเองก็ยังเป็นใบ้ไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ

เฉินเต้าหลินเหล่มองเฉินตงกับคุนหลุนแล้วส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มขมขื่น

“ฉันรู้ว่าคำพูดเช่นนี้ พอพูดออกไปแล้ว พวกแกคงไม่อยากจะเชื่อ แต่ความจริงก็เป็นเช่นนี้ ในฐานะที่ฉันเป็นเจ้าบ้านตระกูลเฉิน สิ่งที่ฉันรู้และเห็นย่อมแตกต่างจากพวกแก”

เขาโยนก้นบุหรี่ทิ้งไป แล้วชี้ไปที่ซากเฮลิคอปเตอร์ไฟท่วม

“ตัวอย่างเช่นเฮลิคอปเตอร์ทั้งสามลำนี้ ลูกคิดว่านี่เป็นเพียงการตามฆ่าธรรมดาๆ อย่างนั้นหรือ นี่เป็นการประกาศอย่างชัดเจนต่างหากว่าต้องการจะสังหารหมู่!”

เฉินตงเหม่อมองไปที่ทะเลเพลิง

เขาฟังออกว่า แม้ว่าพ่อจะกำลังเล่าเรื่องราวอยู่ แต่จริงๆ แล้วพยายามที่เปลี่ยนประเด็นสนใจ เพื่อหลบเลี่ยงประเด็นสำคัญต่างหาก

เห็นได้ชัดว่าพ่อไม่ได้ต้องการจะปิดบังเขา แต่เป็นเพราะสถานะของเขาในตอนนี้ยังไม่เหมาะที่จะรู้

“พ่อกำลังสงสัยใครอยู่กันแน่” เฉินตงถามคำถามที่ตนสงสัยมากที่สุดออกไป

ตั้งแต่เหตุการณ์ลอบฆ่าจนถึงการหายตัวไปของพ่อ การที่พยายามจะบอกว่าปกป้องใคร ไม่สู้พูดออกมาว่าสงสัยใคร

“ความลับ”

เฉินเต้าหลินยิ้มอย่างยากคาดเดา เขาหันไปมองเฉินตง “สิ่งที่ลูกต้องรู้คือ จุนหลิน กรุ๊ปเป็นไผ่ใบสุดท้ายที่พ่อทิ้งไว้ให้ลูก ไผ่ใบนี้ไม่เพียงช่วยลูกชิงตำแหน่งเจ้าบ้านมาได้เท่านั้น แต่ในอนาคตหากลูกต้องตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก นี่จะเป็นทุนที่ช่วยให้ลูกกลับสู่อำนาจได้อีกครั้ง”

“พ่อปิดเรื่องนี้มาได้ตั้งหลายปี ไม่ควรเปิดเผยเรื่องนี้ในเหตุการณ์ของลูกชายตระกูลฉินเลย แต่การที่พ่อหายตัวไป ทำให้ตระกูลเฉินไม่สามารถใช้อำนาจได้ชั่วคราว จึงทำได้เพียงปล่อยให้เรื่องมันปรากฏออกมา”

เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เฉินเต้าหลินก็มองเฉินตงอย่างลึกซึ้งและยิ้มอย่างประหลาดใจ “ลูกฉลาดมากที่สามารถตามสืบจากร่องรอยจนตามหาพ่อเจอ แต่ลูกต้องจำเอาไว้ ไผ่ใบสุดท้ายอย่างจุนหลิน กรุ๊ปของตระกูลเจิ้ง ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปห้ามเปิดเผยให้ใครรู้ ถ้าลูกหงายไพ่ใบสุดท้ายออกไปแล้ว งั้นการเดิมพันทั้งหมดก็ไม่สนุกอีกต่อไป”

เฉินตงพยักหน้า

เขาไม่ใช่คนโง่ จุนหลิน กรุ๊ปของตระกูลเจิ้งแอบปกปิดบุคคลใหญ่โตเช่นนี้เอาไว้มันหมายความว่าอย่างไร เขาเข้าใจดี

นี่เทียบเท่าได้กับระเบิดที่มีอาณุภาพร้ายแรง ที่สามารถทำลายโลกให้บิดเบี้ยวได้ในช่วงเวลาที่สำคัญ

ยิ่งซ่อนไว้ลึกเท่าไหร่ ก็ยิ่งจะมีประโยชน์กับเขามากเท่านั้น!

แต่เหตุการณ์วิกฤตของฉินเย่ครั้งนี้ คงทำอะไรไม่ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นพ่อคงไม่เผยไพ่ใบสุดท้ายออกมา

เฉินตงขยี้จมูกก่อนจะเอ่ยอย่างรู้สึกละอาย “ขอโทษครับ ผมมาที่นี่เลยทำให้พ่อต้องเจอเหตุการณ์อย่างเมื่อกี้นี้”

“เด็กโง่ อะไรที่จะต้องเกิด ช้าเร็วก็ต้องเกิด”

เฉินเต้าหลินตบไหล่เฉินตง “ลูกจำไว้ รักษาไพ่ใบสุดท้ายอย่างตระกูลเจิ้งนี้ไว้ให้ดี วันหนึ่งหากลูกจำเป็นต้องใช้ เจ้าบ้านเจิ้งจะต้องช่วยลูกอย่างสุดกำลัง ตอนแรกพ่อยังกังวลเรื่องเจ้าบ้านเจิ้งคนต่อไปอาจจะไม่มีความภักดีอย่างเดิม แต่พรหมลิขิตของลูกที่ตระกูลเจิ้งครั้งนี้ทำให้พ่อหายห่วงแล้ว”

เจิ้งจุนหลิน?

รอยยิ้มของเฉินตงหายไปพร้อมๆ กับคำพูดของเขา

นับว่าเป็นพรหมลิขิตอย่างแท้จริง

การช่วยเจิ้งจุนหลิน เดิมทีเป็นเพียงความเห็นใจเพื่อนร่วมชะตากรรมเดียวกันเท่านั้น

ตอนนี้เจิ้งจุนหลินกลายเป็นเพื่อนของเขา ในอนาคตตระกูลเจิ้งจะยังคงไม่ต่างอะไรจากปัจจุบัน นั่นคือภักดีต่อเขาอย่างหมดใจ

“พ่อวางแผนจะทำอะไรต่อไป” เฉินตงขมวดคิ้วแล้วชี้ไปยังทะเลเพลิง

การบุกโจมตีของเฮลิคอปเตอร์สามลำ การหายตัวไปของพ่อถูกเปิดเผย

เหตุการณ์หลังจากนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป ไม่ว่าใครก็คงคาดเดาไม่ถูก

“ลูกวางใจ คนที่คิดจะฆ่าพ่อ ไม่ได้ทำได้ง่ายขนาดนั้น”

เฉินเต้าหลินหยักไหล่แล้วเอ่ยอย่างไม่ยี่หระ “ขอแค่ซ่อนตระกูลเจิ้งกับจุนหลิน กรุ๊ปเอาไว้ได้ก็พอ พ่อคิดว่าจะยังคงหายตัวต่อไปอีก ฝีมือของพวกมันตามหาตัวพ่อไม่เจอแน่”

เมื่อกล่าวจบ

เฉินเต้าหลินหันไปมองคุนหลุนที่สีหน้าเริ่มซีด “ผ่านมานานแล้ว ลูกรีบไปหาคนมาช่วยเถอะ คุนหลุนคงทนได้อีกไม่นานนัก”

เฉินตงมองเฉินเต้าหลิน แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา

เดิมทีคิดว่าการหาตัวพ่อเจอ จะทำความข้องใจทั้งหมดหายไปและจัดการเรื่องราวต่อไปได้ไม่ยาก

แต่ตอนนี้ สิ่งที่เขารู้มีเพียงคำพูดที่เป็นปริศนาเท่านั้น

พ่อพยายามเล่าเรื่องโดยหลีกเลี่ยงประเด็นสำคัญ ยิ่งทำให้ความสงสัยของเขามากขึ้น

แต่เมื่อเห็นสภาพของคุนหลุนตอนนี้ เฉินตงจำเป็นต้องข่มความสงสัยของตัวเองเอาไว้

เพราะคุนหลุนน่าจะทนต่อไปได้อีกไม่นานแล้ว

แผลจากการถูกยิงและแรงกระแทก อาจไม่ถึงขั้นทำให้ตายคาที่ แต่การเสียเลือดมากเกินไปนั้นอันตรายถึงชีวิต

“รอผมอยู่ที่นี่ก่อน ผมจะพยายามตามหาที่ที่มีสัญญาณโทรศัพท์ แล้วติดต่อท่านหลงให้มาช่วย”

เฉินตงฝืนยกร่างกายที่อ่อนล้าและเจ็บระบมเดินห่างออกไป

การไล่ฆ่าเพิ่งจะจบสิ้นไป ยากที่จะรับประกันได้ว่าจะไม่เกิดขึ้นอีกครั้ง

ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาไม่มีทางกลับเข้าไปในเมืองเพื่อขอความช่วยเหลือได้

ทำได้เพียงหาที่ใดสักที่ที่มีสัญญาณมือถือ

สถานการณ์ของคุนหลุนตอนนี้ไม่สู้ดีนัก พ่อเองก็ไม่ต่างกันสักเท่าไหร่

หากไม่มีคนคอยคุ้มกัน ถ้ามีการโจมตีขึ้นมาอีกครั้ง คงจะเกิดการเข่นฆ่ากันขึ้นมาอีก

ทว่า

ขณะที่เฉินตงเดินไปได้ไม่ไกลนัก เสียงของเฉินเต้าหลินก็ตะโกนดังขึ้นด้านหลัง

“ตงเอ๋อ ระวังคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน และก็คนในตระกูลเฉินไว้ด้วย!”

เฉินตงชะงัก ปลายหางตาของเขาปรากฏเส้นเลือดเต้นตุบๆ อย่างข้องใจ

ที่ผ่านมาเขาก็ระวังคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินและคนในตระกูลเฉินมาตลอดอยู่แล้ว ทำไมพ่อจะต้องกำชับแบบนี้อีกครั้งด้วย?

“เข้าใจแล้วครับ” เฉินตงไม่ได้ถามอะไรต่อ

แล้วรีบก้าวอาดๆ จากไป

“นายท่าน คุณชายโตขึ้นเร็วมาก”

คุนหลุนยิ้มพลางกล่าวออกมา “เกินความคาดหมายของพวกเราทุกคน”

“จริงด้วย ความสามารถด้านการต่อสู้ของเขา ขนาดฉันยังมองไม่ออก” เฉินเต้าหลินยิ้มอย่างประหลาดใจ “แกเคยถามเขาเรื่องชีวิตในวัยเด็กบ้างไหม”

“เคยถามครับ คุณชายก็ไม่รู้เหมือนกัน”

คุนหลุนส่ายหัวแล้วยิ้มอย่างหม่นหมอง เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยออกมาอีกว่า “ผมไม่รู้ว่านายท่านกำลังสงสัยใคร แต่ผมรู้จักนิสัยของนายท่านดี ผมคิดว่าการที่นายท่านพยายามปิดบังคุณชายไปตลอดแบบนี้คงไม่ดีต่อคุณชายเท่าไหร่ ทำแบบนี้จะยิ่งทำให้นายท่านลำบากมากยิ่งขึ้นด้วย สถานการณ์จะยิ่งไม่ดีต่อนายท่านมากขึ้น”

“เห๊อะ!”

เฉินเต้าหลินตัวสั่นก่อนจะหัวเราะเยาะ “คนเป็นพ่ออย่างฉัน แต่ไม่เคยอยู่ข้างกายเขาเลยตลอดยี่สิบกว่าปี ไม่เคยมอบความสุขความอุ่นใจให้เขาในวัยเด็ก ตอนนี้หลานเอ๋อจากไปแล้ว ถ้าฉันยังลากตงเอ๋อเข้ามาอยู่ในความยากลำบากเช่นนี้อีก ฉันจะยังสมควรถูกเรียกว่าพ่ออยู่อีกหรอ”

ระหว่างที่พูด สีหน้ายิ้มแย้มของเฉินเต้าหลินก็เริ่มซีดขาว

เลือดสีแดงสดค่อยๆ ไหลทะลักออกมาจากปากของเขา

เลือดที่หยดลงบนพื้นได้ก่อให้เกิดหลุมเล็กๆ บนทะเลทรายที่มีเลือดเอ่อล้น……

ฟิ้ว!

คลื่นความร้อนพัดหวนกลับมา

ระเบิดพุ่งทะยานออกไปพร้อมลำแสงไฟ

ตู้ม!

เฮลิคอปเตอร์ที่อยู่กลางท้องฟ้ากลายเป็นทะเลเพลิง ตกลงสู่พื้นดิน ทำให้เกิดระเบิดรุนแรงขึ้นอีกครั้ง

“สำเร็จ!”

ดวงตาของเฉินตงเป็นประกายขึ้นด้วยความดีใจ

แต่หลังจากนั้นความเจ็บปวดอย่างรุนแรงได้แล่นพล่านขึ้นมาตามแขนทั้งสอง ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของเขากลายเป็นการกัดฟันแน่นอย่างเจ็บปวด

แรงกระแทกจาก RPG ทำให้แขนทั้งสองข้างของเฉินตงระบม รู้สึกราวกับกระดูกของเขาได้แตกออกเป็นเสี่ยง

เป็นความเจ็บที่จี๊ดไปถึงหัวใจ!

เมื่อเห็นเฉินตงยิงไปถูกเป้าหมายภายในครั้งเดียว เฉินเต้าหลินที่กำลังขับรถกับคุนหลุนที่นั่งอยู่เบาะหลังต่างพากันยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ

เฮลิคอปเตอร์สามลำ ถูกกำจัดไปแล้วสองลำ

ถือว่าความบีบหัวใจลดลงไปไม่น้อยสำหรับคนทั้งสาม

ทว่า

เฉินเต้าหลินหันไปมองกระจกหลังในทันที สีหน้าของเขาได้เปลี่ยนไป

“ระวัง!”

สิ้นเสียงตะโกน รถจี๊บก็ส่งเสียงคำรามราวสัตว์ดุร้าย

ความเร็วส่งให้รถพุ่งทะยานไปอย่างรุนแรง รถกระโดดไปข้างหน้าได้ไกลระยะหนึ่ง

และในเวลาเดียวกันนั้นเอง

ตู้ม!

ระเบิดอีกลูกล่วงลงมาไล่หลังรถจี๊บพอดี

พละกำลังที่น่าหวาดกลัว ระเบิดทรายสีทองพวยพุ่งไปทั่วท้องฟ้า ราวกับได้ถลกเปลือกโลกออกไปด้วย

สมองของเฉินตงที่อยู่ด้านในรถตอนนี้เกิดเสียงดัง หึ่งๆ ราวกับตอนนี้โลกเข้าสู่ภาวะแห่งความเงียบงัน

เขารับรู้ได้ถึงความน่าพรั่นพรึง ของแรงอันน่าหวาดหวั่นที่ปะทะเข้ากับรถจี๊บ จากนั้นจึงเห็นท้ายรถฉีกขาด รถจี๊บทั้งคันกำลังพุ่งทะยานขึ้นด้านบน

โครม……

รถจี๊บที่บินอยู่กลางอากาศล่วงลงกระแทกกับพื้นทรายก่อนจะกลิ้งไปอีกสิบตลบ ระเบิดทรายลอยสูงขึ้นมาสิบกว่าเมตร ย้อมท้องฟ้ากลายเป็นสีเหลืองทอง

แม้แต่เฮลิคอปเตอร์ที่เหลืออยู่อีกลำ ยังต้องบินวนบนท้องฟ้าเพื่อหลบทรายสีทองที่ลอยตลบอยู่ทั่วทั้งท้องฟ้า

ตุ้บ!

สุดท้ายรถจี๊บก็หยุดการเคลื่อนไหว

ฝุ่นหนาอบอวล ตัวรถเสียหายไปค่อนข้างมาก

ถังน้ำมันแตก ส่งผลให้น้ำมันไหลนองลงบนพื้น บรรยากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นน้ำมันเชื้อเพลิงที่เข้มข้น

เฮลิคอปเตอร์หยุดนิ่งอยู่กลางท้องฟ้าราวกับกำลังเฝ้าสังเกต เสียงคนสนทนากันดังลอยมาเบาๆ

ภายในรถ เฉินเต้าหลินถูกเข็มขัดนิรภัยคาดไว้อยู่กับเบาะ แรงกระแทกทำให้ศีรษะของเขาแตกเป็นรูและมีเลือดไหลปุดออกมา

แขนของคุนหลุนถูกเหล็กที่ฉีกออกมาจากตัวรถเสียบตัวเขาล็อคไว้อยู่ด้านบน

ทั่วร่างของเฉินตงเองก็กระแทกอยู่ในตัวรถตามแรงรถที่พลิกคว่ำ เขารู้สึกมึนหัว สายตาพร่ามัว จมูกของเขาก็มีเลือดไหลออกมา

แต่คนทั้งสามกลับพยายามอยู่ในความเงียบ

คุนหลุนยังคงพยายามฝืนตัวเองยกมือขึ้นบอกใบ้ให้เฉินตงเงียบ

เฉินตงเช็ดเลือดที่ไหลออกมาจากจมูก ด้วยสีหน้าเย็นชา แววตาของเขาแน่วแน่

ในสถานการณ์เช่นนี้ หากส่งเสียงอะไรออกไปแม้เพียงนิดเดียว คงจะต้องรับมือกับระเบิดที่มาจากเฮลิคอปเตอร์อีกลูก

สิ่งที่เฉินตงแน่ใจมากไปกว่านั้นคือ ตอนนี้เขาคือคนคนเดียวในรถที่พอมีแรงโต้ตอบกลับไปได้

ถ้าไม่ยิงเฮลิคอปเตอร์ให้ตกลงมา ความตายจะต้องมาเยี่ยมเยียนเขาในไม่ช้า

ในความเงียบสงัด เฉินตงพยายามออกแรงเคลื่อนกาย มือขวาของเขากำปืน RPG เอาไว้แน่น

เขามองผ่านหมอกควันและทรายที่ลอยคลุ้ง จนกระทั่งเจอตำแหน่งของเฮลิคอปเตอร์

โอกาสมีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น!

ถ้าสำเร็จ จะรอด

ถ้าไม่สำเร็จก็ตาย

เฉินตงไม่รู้ว่าคนที่อยู่ในเฮลิคอปเตอร์คือพวกของใครกันแน่ แต่เขารู้เพียงอย่างเดียวว่า อีกฝ่ายต้องการเอาชีวิตของพวกเขา

ในสถานการณ์เช่นนี้มีผลลัพธ์เพียงสองอย่างเท่านั้นคืออยู่หรือตาย

ครืน…….

เสียงใบพัดของเฮลิคอปเตอร์หมุนแหวกอากาศดังกระหึ่ม

เฉินตงมองเห็นอย่างชัดเจนว่า เฮลิคอปเตอร์ลำนั้นกำลังลงจอดอย่างช้าๆ

แสดงว่า…ต้องการจับเป็น?

เฉินตงเริ่มสงสัยขึ้นมา

และในตอนนั้นเอง มือใหญ่ๆ ที่อาบไปด้วยเลือดจับขาของเขาเอาไว้

เขาเงยหน้าขึ้นมอง พ่อค่อยๆ หันหน้ามามองเขาอย่างยากลำบาก

“คิดวิธีหนีไป!”

เฉินเต้าหลินเอ่ยคำพูดนี้ออกมาอย่างระมัดระวัง แววตาของเขาเต็มไปด้วยความมืดมนของคนที่เลือกความตาย “พ่อกับคุนหลุนจะขวางพวกมันไว้เอง”

หนี?

เฉินตงชะงักมองไปที่พ่อของตนที่เลือดท่วมกาย ใบหน้าตรากตรำของเขา ตอนนั้นเขารู้สึกราวกับหัวใจของเขาถูกเข็มนับไม่ถ้วนทิ่มแทง

ถ้าปล่อยให้พ่อกับคุนหลุนล่อพวกมันเอาไว้ แล้วเขาหนีไป?

ถ้าเขาทำแบบนั้นคงไม่ต่างอะไรกับ…สัตว์?

ในตอนนั้น สมองของเฉินตงปรากฏภาพของแม่ในช่วงเวลาก่อนตาย

ความรู้สึกเจ็บปวดจากการโดนเข็มทิ่มแทงเข้มข้นรุนแรงขึ้นมาอีกครั้ง

ร่างกายของเขารู้สึกราวกับถูกมีดกรีด

แค่หายใจยังทำได้ลำบาก

“หึ!”

เฉินตงหัวเราะออกมา “ในสายตาของพ่อ ลูกชายคนนี้ต้องการการปกป้องจากพ่อตลอดเลยงั้นหรือ”

เฉินเต้าหลินเงียบงัน

วินาทีถัดมา สายตาของเฉินตงเกิดประกายวับ ปากที่มีเลือดท่วมเริ่มแผดเสียงออกมาอีกครั้ง

“แม่จากไปแล้ว ผมไม่มีทางยอมเห็นพ่อต้องตายไปต่อหน้าต่อตาหรอก!”

หลังจากแผดเสียงแล้ว

เฉินตงถีบประตูรถอย่างแรงจนประตูเปิดออก เขาลุกขึ้นยืน

ปืน RPG เล็งไปยังเฮลิคอปเตอร์ที่กำลังลงจอดอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ไกลนัก

การแผดเสียงของเขา ดึงดูดสายตาของคนที่อยู่ในเฮลิคอปเตอร์

ปังๆๆ……

กระสุนปืนยิงมาทางนี้ราวกับห่าฝนที่จะหอบเอาทุกอย่างไป

ฟิ้ว!

และในช่วงเวลาเดียวกัน เฉินตงลั่นไกปืนออกไปขณะที่กำลังแผดเสียงตะโกน

ตอนนั้นห้วงเวลาได้ผ่านไปอย่างช้าๆ

ระเบิด RPG ติดไฟพุ่งทะยานขึ้นไปบนอากาศ ทำให้บรรยากาศเริ่มบิดเบี้ยว

ท่ามกลางห่ากระสุน ระเบิดได้พุ่งทะยานออกไปราวกับมังกร

ตู้ม!

เฮลิคอปเตอร์ถูกระเบิดโจมตีกลายเป็นเปลวเพลิงก้อนใหญ่ที่ค่อยๆ ร่วงลงสู่พื้นก่อให้เกิดระเบิดลูกใหญ่อีกครั้ง

ส่วนห่ากระสุนก็ถูกรถจี๊บขวางเอาไว้แล้วสะท้อนตกลงไปบนพื้นทราย

ตึ้ง!

ปืน RPG ในมือเฉินตงหล่นลงบนพื้น เขามองไปยังทะเลเพลิงที่ลุกโชนสูง

เขายิ้มราวกับยกภูเขาออกจากอก “สำเร็จแล้ว!”

ในพจนานุกรมของเฉินตงไม่มีคำว่ารอความตาย และไม่เคยปล่อยให้พ่อกับพี่น้องต้องสละชีวิตเพื่อแลกชีวิตของเขา

ต่อให้สามารถรอดจากความตายอย่างหวุดหวิดได้ แต่เขาขอเลือกความตายยังจะดีกว่า!

ในเวลาเดียวกันนั้น เฉินเต้าหลินกับคุนหลุนที่อยู่ด้านในรถก็ยิ้มออกมาอย่างโล่งใจเช่นกัน

สายตาที่คนทั้งสองใช้มองเฉินตง กลับแปรเปลี่ยนเป็นสายตาที่พิลึกพิลั่นขึ้น

คุนหลุนรู้สึกยำเกรง

ส่วนเฉินเต้าหลินรู้สึกชื่นชม

……

สิบนาทีต่อจากนั้น

เฉินตงได้ย้ายเฉินเต้าหลินกับคุนหลุนให้ออกมาจากรถที่ถังน้ำมันแตก

ทิ้งระยะห่างจากรถได้ประมาณสามสิบกว่าเมตร ด้วยระยะทางเท่านี้ก็เพียงพอที่จะรอดพ้น หากรถจี๊บเกิดระเบิดตัวเองขึ้นมา

เวลาใกล้เที่ยง

อุณหภูมิของทะเลทรายสูงขึ้น ราวกับหม้อนึ่งใบใหญ่หม้อหนึ่ง

คนทั้งสามคนมีเหงื่อไหลท่วมกาย

แต่หลังจากเพิ่งรอดพ้นความตายกลับมา ทำให้คนทั้งสามไม่มีอารมณ์สนใจเรื่องความร้อนเท่าไหร่นัก

เฉินตงสำรวจบาดแผลของเฉินเต้าหลินกับคุนหลุน บาดแผลของคุนหลุนค่อนข้างหนัก แต่ก็ไม่ถึงขั้นอันตรายถึงชีวิตในตอนนี้

ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เขาก็แทบจะไม่เหลือเรี่ยวแรง ในพื้นที่รกร้างห่างไกลเช่นนี้ที่ไม่มีแม้แต่สัญญาณโทรศัพท์ จึงไม่ต้องพูดถึงการหาคนมาช่วยเหลือ

เฉินตงจึงทำได้เพียงฉีกเสื้อของตัวเองออกมาแล้วทำเป็นผ้าเพื่อพันแผลของคุนหลุนเอาไว้

“ตงเอ๋อ ลูกโตขึ้นแล้วจริงๆ”

เฉินเต้าหลินมองไปยังเฉินตงที่กำลังทำแผลให้คุนหลุนและยิ้มออกมาอย่างชื่นชม

คุนหลุนที่อยู่ข้างๆ พลอยยิ้มตามไปด้วย เพียงแต่ความเจ็บจากบาดแผล ทำให้เขาต้องกัดฟันยิ้ม รอยยิ้มของเขาจึงเป็นรอยยิ้มที่แปลกประหลาด

เฉินตงมัดผ้าเสร็จเรียบร้อย จากนั้นนั่งลงบนพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง

จากนั้นจึงตอบกลับมาอย่างเหนื่อยหอบ “ผมไม่รู้ว่าผมโตหรือไม่โต แต่ผมขอเตือนพ่อไว้สักเรื่อง”

สายตาที่ใช้มองเฉินเตาหลินเย็นเฉียบ เฉินตงเอ่ยเสียงแข็ง “ต่อจากนี้ไป ผมกับพ่อต้องรวมใจกันเป็นหนึ่งและลงมือร่วมกัน ถ้าไม่อย่างนั้นผมจะจัดการคนเดียว ผมทำไม่ได้หากผมจะรอดชีวิตโดยต้องทิ้งพ่อกับพี่น้องเอาไว้ ต่อให้พ่อเป็นพ่อผม ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะสอนผมแบบนี้!”

เฉินเต้าหลินสบตาเฉินตง ตอนนั้นสายตาของเฉินตงทำให้เขาเกิดความรู้สึกเกรงขาม แม้แต่คุนหลุนเองก็มองเขาด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อน

แปะๆ……

ความเย็นชาบนสีหน้าของเฉินตงหายไปฉับพลัน จากนั้นจึงหันไปปัดเศษทรายที่ติดอยู่ที่มือออก

เขาเอ่ยถามช้าๆ “ตอนนี้พ่อบอกผมได้รึยังว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น”

ตู้ม!

สิ้นเสียงพูดก็มีระเบิดตกลงมาอีกไม่ไกลนัก

โชคดีที่เฉินเต้าหลินได้เตรียมตัวเอาไว้แล้ว ท้ายรถส่ายไปมา เสียงเร่งเครื่องยนต์ดังลั่น ตอนนี้รถจี๊บราวกับสัตว์เดือดกระหาย ขับฝ่าจุดระเบิดที่ฝุ่นกำลังฟุ้งไปทั่ว

สัมผัสได้ถึงการเคลื่อนที่ของรถยนต์ ส่วนด้านบนก็ได้ยินเสียงใบพัดเฮลิคอปเตอร์ดังสนั่น

ร่างของเฉินตงเกร็งและไร้ความรู้สึก แม้กระทั่งลำคอของเขายังตีบตัน

เขารู้สึกราวกับตัวเองเป็นทหารรับจ้างที่อยู่ในสนามรบอย่างไรอย่างนั้น

เปลวไฟแผ่รังสีความร้อน เลือดทั่วร่างเดือดปุด

วินาทีต่อมา จุดที่ระเบิดลงกลายเป็นทะเลเพลิงที่ไฟลุกโชน

คุนหลุนที่นั่งอยู่แถวหลังรีบเข้าไปดูกล่องเก็บของที่อยู่ด้านหลัง แล้วหยิบวัตถุรูปร่างยาวที่มีผ้าใบห่อหุ้มออกมา จากนั้นจึงเปิดผ้าคลุมออก

ฟึ่บ!

ผ้าใบถูกเปิดออก

จึงพบว่าเป็นปืน RPG ที่ซ่อนอยู่ในนั้น

ในฐานะที่เคยเป็นผู้นำทหารรับจ้าง เทพแห่งการฆ่าที่กระหายเลือด ความรู้เกี่ยวกับปืนของคุนหลุนนั้นถือเป็นที่สุด

เขาเติมกระสุนอย่างเชี่ยวชาญ จากนั้นจึงใช้มือทุบกระจกที่เต็มไปด้วยรอยร้าวจนแตก

เติมกระสุน เล็ง ยิง

ใช้เวลาทั้งหมดประมาณหนึ่งวินาที

ระเบิดRPG ลูกหนึ่งติดไฟและพุ่งทะยานขึ้นไปบนฟ้า

เสียงระเบิดยังไม่ดังขึ้นทันที

คุนหลุนก็เอ่ยออกมาว่า “เบี้ยว!”

เฉินตงมองคุนหลุนผ่านกระจกมองหลัง ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้สีหน้าของคุนหลุนเรียกได้ว่าเงียบสงบอย่างผิดปกติ

ตอนนี้คุนหลุนอยู่ในท่าทางของผู้ที่มองความตายเป็นเรื่องปกติ และทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว

เขาหันกลับไปมองที่พ่อของตนอีกครั้ง

ใบหน้าที่ผ่านเรื่องราวมามากมายยังคงนิ่งสงบ สายตาของเขาจ้องไปยังทิศทางด้านหน้า การเปลี่ยนแปลงเดียวที่เขาแสดงออกมามีเพียงการขมวดคิ้วเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ความนิ่งเฉยของคุนหลุน กับความนิ่งสงบของพ่อ

ราวกับค้อนหนักสองอันที่ทุบเข้าที่ดวงตาของเฉินตงอย่างแรง

ตอนนั้นความรู้สึกของเฉินตงเต็มไปด้วยความละอายใจ

หากเทียบกับพ่อและคุนหลุนแล้ว ท่าทางของเขาในตอนนี้ นับว่า…อ่อนแออย่างยิ่ง!

ในเวลาเดียวกัน

เฉินเต้าหลินที่กำลังขับรถอยู่กล่าวออกมาว่า “ตงเอ๋อ ลูกคิดว่าท่าทางของลูกในตอนนี้ เหมาะสมกับการรับผิดชอบตระกูลเฉินไหม”

คำพูดเพียงประโยคเดียว ราวกับกระบี่ที่ถูกตีขึ้นร้อนๆ แทงเข้าไปในหัวใจของเฉินตง

เฉินตงกัดฟัน เขาก้มหน้าพลางซึมซับความรู้สึกที่ชาไปทั่วร่างของตน

ในด้านการทำธุรกิจ เขาสามารถเอาชนะทุกสนามได้อย่างไม่ต้องออกแรงอะไรมากนัก

แต่ตอนที่ต้องต่อสู้อย่างดุเดือดเช่นนี้ เขาต้องพยายามควบคุมให้ตนเองอยู่ในความสงบ และพยายามหาจุดอ่อนของศัตรูให้ได้อย่างใจเย็น และแสดงความสามารถในการต่อสู้ที่เข้มแข็ง

แต่ตอนนี้…เขากำลังกลัว!

ตู้ม!

ระเบิดอีกลูกตกลงมา

แรงระเบิดที่น่าหวาดผวาโจมตีรถจนโงนเงนและส่งเสียงแก่กๆ ราวกับกำลังจะต้านทานไว้ไม่ไหว

แต่กระนั้นเฉินเต้าหลินก็ยังคงควบคุมรถได้ด้วยสีหน้าเงียบสงบ

ส่วนคุนหลุนนั้นก็ยังคงเติมกระสุนและเล็ง

ฟิ้ว!

ระเบิด RPG พุ่งขึ้นไปบนฟ้า

ตู้ม!

หลังจากเสียงระเบิดดังสนั่นหู

บนท้องฟ้าพลันเกิดไฟลุกโชนโหมกระหน่ำ

เฮลิคอปเตอร์ที่มีเปลวเพลิงลุกท่วมหล่นกระแทกลงบนพื้น ทำให้เกิดการระเบิดที่รุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม

“ยังเหลืออีกสอง คุนหลุนจะจัดการได้ไหมนะ”

เฉินตงยิ้มเย้ย นอกจากจะไม่ชื่นชมแล้ว กลับยังโดนเหยียดหยามอีกต่างหาก “หลายปีมานี้ แกโดนปรนเปรอจนฝีมือในการยิงปืนของแกขึ้นสนิมไปแล้วหรอ”

“หึ!”

คุนหลุนกลับเม้มปากแล้วยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ

จากนั้นเขาจึงเติมกระสุน แล้วเล็งไปที่เป้า

เมื่อเฉินตงต้องเจอเหตุการณ์เช่นนี้กับตัว เขารู้สึกหวาดกลัวและขวัญผวา

เขามองไปรอบตัว คิดจะทำอะไรบางอย่าง

แต่เขากลับค้นพบสิ่งที่น่าตกใจ คือเขาทำอะไรไม่ได้สักอย่าง

บางที…การที่เขาควบคุมความสงบของตัวเองให้ได้ ก็อาจถือว่าเป็นการช่วยเหลืออย่างหนึ่งแล้ว

“เรา…อ่อนแอจริงๆ หรือ”

เฉินตงคิดใน

เพียงปรากฏตัว สมองของเขาคล้ายมีหินหนักๆ บรรจุอยู่แน่นจนตีบตัน

ความละอายใจของเขารุนแรง ทำให้เฉินตงรู้สึกราวกับตัวเองกำลังจมน้ำ

“ถ้าพอทำอะไรได้บ้าง ก็ต้องทำ” เฉินตงกำหมัดแน่นและพยายามบอกตัวเอง

ปังๆๆๆ……

แม้จะบอกตัวเองเช่นนี้ แต่เสียงกระสุนที่ระดมยิงมาจากด้านบน ทำให้ความคิดทุกอย่างหายวับไป

เฉินตงแทบจะกรีดร้อง เขานั่งขดตัวอยู่บนเบาะข้างคนขับ

กระสุนยังคงสาดลงมาอย่างต่อเนื่อง

บรรยากาศในรถคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นดินปืน

“คุนหลุน!”

ในตอนนั้นเองเฉินเต้าหลินที่กำลังขับรถอยู่มีสีหน้าหนักอึ้ง

ใจของเฉินตงสะท้าน เขารีบหันกลับไปมอง

กระบะท้ายรถจี๊บที่ติดอยู่กับตัวรถ เต็มไปด้วยรูพรุนนี่เกิดจากกระสุนที่สาดลงมา

ส่วนคุนหลุน ตอนนี้กำลังเอนตัวพิงเบาะ สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด

ปืน RPG พิงอยู่กับกระจกรถด้านหน้า บริเวณไหล่ซ้ายของคุนหลุนเป็นรูจากการถูกกระสุนยิงจนเลือดไหลอาบราวกับน้ำพุที่พวยพุ่ง

“ผม ผมไม่เป็นไร”

คุนหลุนกัดฟันแน่น ดวงตาของเขาแดงก่ำด้วยความอาฆาต

ตอนนั้น เขารู้สึกราวกับตนเองเป็นสัตว์หิวกระหาย

คุนหลุนพยายามฝืนตัวเองให้ลุกขึ้นและลองยกปืน RPG ขึ้นมาอีก แต่การเคลื่อนไหวเช่นนี้ส่งผลถึงบาดแผลของเขา ทำให้คุนหลุนเจ็บจนต้องสูดหายใจเข้าลึก ตัวของเขาสั่นเทาและกลับลงไปพิงที่เบาะอีกครั้ง

เขาใช้มือขวากดลงที่แผลบนไหล่ซ้าย

เฉินตงศีรษะชาไร้ความรู้สึก บาดแผลของคุนหลุนเปรียบเสมือนเข็มนับร้อยนับพันทีทิ่มแทงเข้าที่ดวงตาของเขา

ในตอนที่เขากำลังเหม่อลอยอยู่นั้น

เฉินเต้าหลินก็ตวาดเสียงลั่นขึ้น

“ตงเอ๋อ ตอนนี้ลูกควรทำอะไรบ้าง”

ทำอะไรบ้าง?

เฉินตงหรี่ตาเล็ก ในใจของเขาเต็มไปด้วยคำถาม เขาเหม่อมองไปที่เฉินเต้าหลินอย่างล่องลอย

เฉินเต้าหลินกล่าวเสียงแข็ง “ถ้าลูกไม่ก้าวออกมา วันนี้พวกเราสามคนคงต้องตายอยู่ในที่รกร้างนี่แน่”

ใช่!

ก้าวออกมา!

เฉินตงได้สติกลับคืนมา

เขากัดฟันแน่นและข้ามไปยังแถวหลัง

ปังๆๆๆ……

กระสุนปืนยังคงระดมยิงลงมาจากเฮลิคอปเตอร์อย่างไม่ขาดสาย

ส่วนเฮลิคอปเตอร์อีกลำก็ทิ้งระเบิดลงมาอีกลูก

ตู้ม!

ระเบิดดังสนั่น กระสุนระดมยิง

กระแสความกลัวที่โจมตี ทำให้เฉินตงเสียสมดุลทันทีและล้มคว่ำอยู่แถวหลัง

เสียงปืนดังต่อเนื่อง ทำให้เขายิ่งหดตัวกลม

เมื่อเสียงปืนหยุดลง

เฉินตงคลายมือที่กุมศีรษะของตัวเองออก เขามองรถที่เต็มไปด้วยรูพรุนจากลูกกระสุนจนแทบจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ อย่างหวาดผวา

“คุณชาย!”

ในช่วงเวลาที่น่าพรั่นพรึงเช่นนี้ คุนหลุนยื่นปืน RPG ยัดเข้าไปที่หน้าอกของเฉินตง

ความคุกรุ่นจากรังเพลิง ทำเอาเฉินตงนิ่งงันไปราวกับตุ๊กตาไม้

“ต้องทำได้ จะต้องทำให้ได้ ถ้าทำไม่ได้จะต้องตาย พ่อ คุนหลุนและฉันจะตายกันหมด!”

ในใจของเขาคิดประโยคนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

เฉินตงพยายามรวบรวมพลังสูดหายใจเข้า เขานั่งอยู่ข้างหน้าต่างอีกบานหนึ่ง และทำทุกอย่างเลียนแบบคุนหลุน เขาเอามือทุบกระจกหน้าต่างจนแตกแล้วยื่นปืน RPG ออกไป แต่ตอนนั้นเฉินตงกลับลังเลที่จะยิง

เขามองผ่านลำกล้องปืนไปยังเฮลิคอปเตอร์ที่อยู่ด้านบน สีหน้าของเฉินตงซีดขาว หน้าผากของเขาปรากฏเหงื่อเย็นๆ ผุดออกมาแล้วไหลลงมาตามแก้ม

“ตงเอ๋อ ลูกกำลังรออะไรอยู่”

เฉินตงตวาดอย่างไม่สบอารมณ์ “ลูกฝึกฝนมายาวนานขนาดนี้ กะอีแค่เหตุการณ์เล็กๆ แค่นี้ กลับยังควบคุมตัวเองไม่ได้อย่างนั้นหรอ”

เหตุการณ์เล็กๆ

เฉินตงตะโกนอยู่ในใจ เหตุการณ์นี้มันเล็กตรงไหน

“ถ้าแค่ควบคุมตัวเองยังทำไม่ได้ แล้วลูกจะไปควบคุมอะไรได้”

เฉินเต้าหลินส่งเสียงลอดไรฟันออกมา “ผู้อ่อนแอจะถูกควบคุม ผู้เข้มแข็งจะควบคุมตนเองได้ ส่วนราชันย์คือคนที่ควบคุมทุกอย่าง”

“จะต้องทำได้ จะต้องทำให้ได้ ฉันไม่คนอ่อนแอ ฉัน…จะเป็นราชันย์!”

เฉินตงหรี่ตาลงเป็นเส้นตรง เขามองสอดส่ายไปทั่ว

เมื่อเฮลิคอปเตอร์ปรากฏเข้ามาในลำกล้องปืน

เขาที่ลังเลมาตลอด ในที่สุดก็ตัดสินใจลั่นไกปืน……

รุ่งเช้าวันต่อมา

เฉินตงที่ไม่ได้นอนทั้งคืน รีบพาคุนหลุนมุ่งหน้าไปยังโบราณสถานเฟิงโปนอกเมืองแต่เช้า

ที่นี่นับว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวหนึ่งของเมืองนี้

สำหรับคนในพื้นที่นี้ สถานที่อย่างโบราณสถานก็เป็นเพียงซากปรักหักพังเท่านั้น

พายุทรายได้ซัดสาดสถานที่แห่งนี้จนไม่เหลือร่องรอยของความเป็นโบราณสถานอีกต่อไป

รถเบนซ์จีคลาสได้ควบทะยานฝ่าลมทะเลทรายพุ่งไปข้างหน้า

ทะเลทรายแห้งแล้งรอบด้าน ยิ่งกินบริเวณมากขึ้นเรื่อยๆ ทิวทัศน์ที่เห็นมีเพียงสีน้ำตาลเวิ้งว้าง

ไม่มีร่องรอยของผู้คน

เฉินตงนั่งอยู่เบาะข้างๆ คนขับด้วยอารมณ์สับสน

เมื่อใกล้จะได้พบพ่อ เขาก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้น

เบอร์มือถือที่ส่งข้อความมาเมื่อคืนนี้ถูกยกเลิกไปแล้ว ยิ่งทำให้เขารู้สึกหวั่นใจ

สรุปแล้ว…พ่อกำลังกลัวอะไรอยู่กันแน่

ตอนนี้ก็อุตส่าห์ตามมาจนถึงที่นี่แล้ว ทำไมถึงต้องระแวดระวังถึงขั้นยกเลิกเบอร์หลังส่งข้อความด้วย

“คุณชาย โบราณสถานเฟิงโป อยู่ด้านหน้าแล้วครับ”

คุนหลุนกล่าวเตือน

เฉินตงดึงตนเองให้ออกมาจะอารมณ์ที่ว้าวุ่นแล้วมองไปข้างหน้า

ภาพเบื้องหน้าเป็นซากกำแพงหักพังหลายแห่งที่ตั้งอยู่บนทะเลทรายสีน้ำตาลที่ไกลสุดลูกหูลูกตา

และซากกำแพงหักพักพวกนั้นก็คือโบราณสถานที่คนที่นี่ใช้เรียกขานกัน

“ดูทรุดโทรมมากเลย”

เฉินตงขยี้จมูก “พ่อเลือกสถานที่นัดพบเป็นที่นี่ คงจะเป็นเพราะสามารถหลบซ่อนร่องรอยได้ดี”

จากการประมาณการของเขา ที่นี่น่าจะห่างจากตัวเมืองห้าสิบกว่ากิโลเมตร

ระยะทางที่ห่างไกล บวกกับทรายที่ห้อมล้อมอยู่รอบด้าน

คงเป็นเรื่องยากมากที่จะมีใครสังเกตเห็น

เขาก้มหน้าลงมองโทรศัพท์ที่ไร้สัญญาณมาได้มาสักพักใหญ่

จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้มือถือในการติดต่อ

“ถ้าท่านหลงกลับมาถึงโรงแรมจะกังวลเรื่องพวกเราไหมครับ” คุนหลุนสังเกตเห็นเฉินตงมองโทรศัพท์จึงเอ่ยถามออกมา

เฉินตงยิ้ม “ไม่หรอก ก่อนที่ผมจะออกมาได้ส่งข้อความไปบอกเขาแล้ว อีกอย่างพี่คิดว่าเขาจะกลับมาแต่เช้างั้นหรอ”

คุนหลุนแค่นยิ้ม ก่อนจะเร่งความเร็วรถเพิ่มขึ้น

หลังจากผ่านซากกำแพงหักพังมาได้สักพัก รถก็หยุดลงดังเอี๊ยด

เฉินตงลงจากรถแล้วเดินมุ่งหน้าไปยังด้านในโบราณสถาน

พายุทรายรอบตัวพัดแรง แม้ว่าจะคลุมผ้าพันคอมาแล้ว แต่หากไม่ระวังทรายก็อาจจะปลิวเข้าไปในปากได้อยู่ดี

ระหว่างทางสามารถเห็นซากกำแพงหักพังมาตลอดทาง บางอันก็ยังคงตั้งตระหง่านอยู่ ส่วนบางอันก็ฝังอยู่ใต้ดินเหลือเพียงร่องรอยให้เห็นเท่านั้น

รอบตัวเต็มไปด้วยความเวิ้งว้างว่างเปล่า

มีเพียงเสียงลมพัดอื้ออึงรอบกาย ไร้เสียงของสิ่งอื่นใด

เงียบสงัดราวป่าช้า

ทรายที่ถูกเหยียบย่ำส่งเสียงซ่าๆ ทุกย่างก้าวที่ย่ำลงไป เท้าอาจถูกทรายดูดกลืนลงไปได้ทุกเมื่อ

เดินมาได้ประมาณหนึ่งร้อยกว่าเมตร เฉินตงก็เห็นว่าระหว่างซากกำแพงปรักหักพังมีแท่นกลมอยู่แท่นหนึ่ง

แท่นทรงกลมนี้ถูกทรายดูดกลืนไปค่อนข้างลึก ด้านบนเต็มไปด้วยร่องรอยทางประวัติศาสตร์

“ไปรอกันอยู่ตรงนั้นเถอะ” เฉินตงชี้ไปยังแท่น

เมื่อนั่งลงไปบนแท่นทรงกลมแล้ว ก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นการรอคอยที่แสนยาวนานของคนทั้งสอง

โทรศัพท์ไร้สัญญาณ แค่จะติดต่อใครสักคนยังทำไม่ได้ นอกจากนั่งรอพ่อแล้วก็ไม่มีอย่างอื่นให้ทำ

เวลาเคลื่อนผ่านไปอย่างเชื่องช้า

เฉินตงกับคุนหลุนรอจนหมดเรื่องคุยกัน

และในที่สุดก็มีเสียงเครื่องยนต์ดังมาจากไกลๆ

แต่ก็พอที่จะเห็นทรายที่ฟุ้งกระจาย

“มาแล้ว!”

ดวงตาของคุนหลุนเป็นประกาย เขารีบลุกขึ้นยืน

ในใจของเฉินตงหดเกร็งอย่างแรง จากนั้นจึงลุกขึ้นยืนแล้วมองไปยังทรายแดนไกลที่ฟุ้งกระจายด้วยสายตาที่ลึกซึ้ง

เวลานั้นหัวใจของเขาเต้นระส่ำอย่างไร้การควบคุม

ชั่ววินาทีที่กำลังจะได้พบพ่อ อารมณ์ของเขามีทั้งความกลัว ตื้นตันและยินดีผสมปนเปอยู่ด้วยกัน

ทว่า

โครม!

หลังจากเสียงดังสนั่น

กำแพงหักพังที่อยู่ไม่ไกลนักระเบิดลั่น กำแพงดินบดอัดกลายเป็นปลิวว่อนไปทั่วทุกทิศทุกทาง

รถจี๊บคันหนึ่งขับพุ่งตรงเข้ามายังแท่นทรงกลมนี้ราวกับสัตว์ดุร้าย

“คุณชายระวัง!”

คุนหลุนรีบเอาตัวมาบังเฉินตงเอาไว้

และในเวลาเดียวกันนั้นเอง

รถจี๊บเบรกจนท้ายปัด จอดขวางอยู่ด้านหน้าแท่นทรงกลม

ใบหน้าของเฉินเต้าหลินที่มีฝุ่นเขรอะกรังยื่นออกมาทางฝั่งที่นั่งข้างคนขับ เขาเปิดประตูออก แล้วตะโกนเสียงดัง “มีคนเจอตัวแล้ว ขึ้นรถ!”

มีคนเจอตัว?

ใครเจอ?

ตอนนั้นในหัวของเฉินตงเต็มไปด้วยคำถาม

ความรู้สึกยินดีที่ได้พบหน้าพ่ออีกครั้งพังครืนลงไปหมด

ความอันตรายที่บีบรัด ราวกับฝ่ามือใหญ่ๆ ที่บีบคอเขาเอาไว้

เฉินตงกับคุนหลุนยังไม่ทันจะเคลื่อนกาย

ห่างออกไปกลางท้องฟ้ามีเสียงคำรามกระหึ่มของใบพัดเฮลิคอปเตอร์ดังมา

เฉินตงสั่นสะท้าน เขาหรี่ตาลง

เขาพยายามจะเงยหน้าขึ้นไปมอง จึงเห็นเฮลิคอปเตอร์สามลำกำลังมุ่งตรงมาทางนี้อย่างรวดเร็ว

การบินในระยะต่ำ ใบพัดที่หมุนอย่างรวดเร็วแหวกอากาศออกอย่างบ้าคลั่ง ทำเอาทรายด้านล่างลอยตลบไปทั่วบริเวณ ทำให้การมองเห็นยิ่งพร่ามัวมากขึ้น

“เร็วเข้า!”

เฉินเต้าหลินตวาดลั่นพลางเอาเท้าเหยียบคันเร่ง

เมื่อเฉินตงกับคุนหลุนได้สติกลับมาก็รีบกระโดดเข้าไปในรถ

ยังไม่ทันได้ปิดประตู เฉินเต้าหลินก็รีบหักพวงมาลัยมุ่งหน้าไปยังทะเลทรายที่เวิ้งว้างอย่างรวดเร็ว

เมื่อมองจากกระจกหลังรถ เฉินตงจึงเห็นเฮลิคอปเตอร์ทั้งสามลำอย่างชัดเจน กำลังมุ่งหน้าตามมาทางนี้ติดๆ ระยะห่างยิ่งลดน้อยลงเรื่อยๆ

“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

เฉินตงเริ่มผวา ความยินดีที่ได้พบหน้าพ่อ ตอนนี้เหลือแต่ความหวาดหวั่นระแวดระวัง

ระหว่างที่เอ่ยถามเขาก็หันหน้าไปมองเฉินเต้าหลิน

เมื่อไม่ได้เจอกันมาเป็นเวลานาน สีหน้าของเฉินเต้าหลินยังคงเคร่งขรึม แต่จากใบหน้าของเขาจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าลำบากตรากตรำ จนเกิดริ้วรอยมากขึ้นกว่าแต่ก่อน

ส่วนเสื้อผ้าที่สวมใส่ทั้งตัวนั้นสกปรกมอมแมม

เฉินตงไม่กล้าคิดเลยว่า เฉินเต้าหลินที่อยู่ด้านหน้าตนจะสามารถซ่อนตัวควบคุมตระกูลเจิ้งได้

ทรัพย์สมบัติของตระกูลเฉิน ไม่น่าทำให้พ่อมีสภาพน่าอนาถเช่นนี้ได้?

“เมื่อวานที่ลูกปรากฏตัวในงานเลี้ยงตระกูลเจิ้ง และตอนที่พ่อส่งข้อความไปหาลูกตอนดึก พ่อถูกสะกดรอย!”

สีหน้าของเฉินเต้าหลินจริงจัง คิ้วขมวดแน่น ระหว่างที่กำลังพูดนั้นเขาก็เหยียบคันเร่งจนมิด เสียงเครื่องยนต์ของรถจี๊บคำรามลั่นราวสัตว์ดุร้าย

โดยสะกดรอยในระยะเวลาสั้นๆ แค่นั้นเองเหรอ?

หัวใจของเฉินตงกระตุกวูบอย่างแรง ความหนาวยะเยือกแผ่ไปทั่วตั้งแต่หัวจรดเท้า

ไม่แปลกใจเลยที่ก่อนหน้านี้เวลาพ่อติดต่ออะไรแล้วมักจะปิดเบอร์ไปทันทีภายในเวลาอันรวดเร็ว

“นายท่าน คุณชาย พวกมันตามมาแล้ว!”

คุนหลุนที่นั่งอยู่เบาะหลังกล่าวเตือนเสียงเครียด

ปลายหางตาของเฉินตงกระตุก ตอนนั้นเขาเพิ่งจะเห็นผ่านกระจกหลังว่าเฮลิคอปเตอร์สามลำหายไปแล้ว แต่เสียงใบพัดของมันกลับดังสนั่นอยู่ด้านบนรถ

แม้นั่งอยู่ในรถ ปลายหางตาของเขายังเห็นเฮลิคอปเตอร์สองลำที่ลอยอยู่ซ้ายขวา ดังนั้นตรงกลางจะมีอีกลำหนึ่งที่บินอยู่บนศีรษะของเขา!

ฟิ้ว!

ตอนนั้นเอง

กลางท้องฟ้าเกิดเสียงหอนดังเสียดหู

ตู้ม!

ระเบิดลูกหนึ่งตกลงด้านข้างรถจี๊บและระเบิดตัวทันที ทำเอาทรายแตกกระจายไปทั่วท้องฟ้า

แม้ว่าจะไม่ระเบิดโดนรถจี๊บ แต่แรงระเบิดทำให้รถสั่นไหวจนเกือบจะกระเด็นลอยไปกลางอากาศ

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ ทำเอาเฉินตงอดไม่ได้ที่จะร้องเสียงหลง

โชคดีที่เฉินเต้าหลินจับพวงมาลัยเอาไว้แน่น จึงหักกลับไปอีกด้าน ทำให้รถจี๊บกลับอยู่ในสภาพที่สามารถทรงตัวได้

“พวกมันเป็นใครกันแน่”

เฉินตงที่กำลังเสียขวัญ ตอนนี้จ้องเขม็งไปยังเฉินเต้าหลิน

แค่ปรากฏตัวก็โดนวางระเบิด เรื่องนี้ต่อให้เฉินตงเป็นคนจิตใจเข้มแข็งแค่ไหนก็ยากที่จะรักษาความสุขุมเอาไว้ได้

นี่คือ…การไล่ล่าเพื่อเอาชีวิต!

ทว่า

เฉินเต้าหลินไม่ได้ตอบคำถาม แต่หันกลับไปพูดกับคุนหลุนว่า

“คุนหลุน! กล่องหลังรถมีอาวุธอยู่ เอามันออกมายิงไล่พวกมันไปเดี๋ยวนี้!”

กลางดึก

ตอนกลางคืนอุณหภูมิของเมืองโม่เป่ยลดลงอย่างรวดเร็ว

ลมหนาวพัดโชยหอบเอาความหนาวเหน็บทิ่มแทงเข้าไปถึงกระดูก

เฉินตงนั่งอยู่ตรงหน้าต่างเงียบๆ เฝ้ามองแสงไฟที่สว่างกระจายไปทั่วทั้งเมืองอย่างไม่รู้สึกง่วง

ตั้งแต่ในงานฉลองตระกูลเจิ้งจนถึงตอนนี้ จิตใจของเขาไม่เคยสงบลงได้เลย

ความสงบที่แสดงออกมาเบื้องหน้า เป็นเพียงความพยายามของเขาเท่านั้น

พ่อ……อยู่ที่นี่จริงๆ!

แถมยังเกี่ยวข้องกับตระกูลเจิ้งอย่างใกล้ชิด

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ผลงานที่โดดเด่นของจุนหลิน กรุ๊ปในตลาดหุ้นก็เป็นเรื่องที่สามารถอธิบายได้

แก๊ก

ประตูถูกเปิดออก

ท่านหลงกับคุนหลุนเดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าอ่อนล้า

“กลุ่มที่เท่าไหร่แล้ว”

เฉินตงถามโดยไม่หันหน้าไปมอง

“กลุ่มที่ 23 แล้วครับ”

ท่านหลงทุบที่เอวพลางนั่งลงบนโซฟ่าอย่างเหนื่อยล้า “หรือพวกเราจะเปลี่ยนโรงแรมดี อาจจะไม่ครบครันเท่านี้ก็ไม่เป็นไร จะได้ผ่านคืนที่ทรมานนี้ไปได้สักที”

“หรือจะให้ผมไปยืนเฝ้าด้านนอกดีครับ” คุนหลุนเสนอ

เฉินตงส่ายหน้า “ในงานเลี้ยงของตระกูลเจิ้ง ทุกคนต่างเห็นภาพที่เจ้าบ้านเจิ้งก้มหัวให้ผม คนชั้นสูงพวกนั้นไม่มีทางอยู่เฉยได้แน่ ต่อให้พี่ไปยืนอยู่ก็คงแก้ปัญหาอะไรไม่ได้”

หยุดครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง เฉินตงจึงกล่าวกับคุนหลุนว่า “พี่คุนหลุนลงไปบอกคนดูแลโรงแรมหน่อยดีกว่า ใครก็ตามที่ต้องการจะมาพบผมให้กันไว้อยู่ด้านนอกไม่อนุญาตให้เข้ามาด้านใน ประกาศให้คนที่ต้องการมาพบพวกเราทราบตามที่ผมบอก เพราะคนพวกนี้ไม่คุ้มค่าให้สมาคมด้วย”

“รีบไปเร็วเข้า ตอนนี้เอวฉันใกล้จะหักเต็มทีแล้ว” ท่านหลงรีบโบกมือ

เดิมทีตระกูลเจิ้งยิ่งใหญ่ในเมืองนี้ แต่เศรษฐีอันดับหนึ่งของเมืองกลับเริ่มขยายอำนาจออกไปนอกเมืองแล้ว

และในงานฉลอง บุคคลใหญ่โตของเมืองในโถงด้านในต่างก็เห็นแล้วว่าเจ้าบ้านเจิ้งยอมก้มหัวให้เฉินตง

แม้ว่าพวกเขาดูจะเรียบเฉย แต่หลังจากจบงาน บุคคลใหญ่โตเหล่านี้ไม่มีทางปล่อยผ่านโอกาสดีๆ แบบนี้ไปแนุ่

ตั้งแต่ออกจากงานเลี้ยงมาจนถึงตอนนี้ ผู้มาเยือนกว่ายี่สิบกลุ่ม ทำเอาท่านหลงต้องรับหน้าไปก่อนอย่างยากลำบาก

และอย่างที่เฉินตงกล่าวว่าบุคคลใหญ่โตของเมืองเล็กๆ แห่งนี้ไม่คุ้มค่าที่จะไปสมาคมด้วย

กบเมื่อนั่งอยู่ในบ่อย่อมคิดว่าตัวเองมองเห็นท้องฟ้า ส่วนท้องฟ้าก็คิดว่าบ่อที่ตนเองควบคุมอยู่ข้างใต้นั้นคือโลกทั้งใบ

ขณะที่คุนหลุนหันตัวตั้งท่าจะเดินออกไปด้านนอกอยู่นั้น

วอที่เหน็บอยู่ตรงเอวของท่านหลงก็ส่งเสียงดังออกมา

เนื่องจากคนที่มาขอพบนั้นเยอะราวฝูงผึ้ง ทำให้โรงแรมเองก็รู้สึกปวดหัวเช่นกัน และสิ่งที่สำคัญคือฐานะของคนที่มาพบทำให้ผู้จัดการโรงแรมลำบากใจ ดังนั้นจึงเอาวอให้ท่านหลงติดตัวไว้หนึ่งอัน

เมื่อมีคนมาขอพบก็จะรายงานผ่านวอ แล้วใช้ชื่อของเฉินตงในการปฏิเสธแขกที่ขอเข้าพบ

ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ค่อยให้ท่านหลงกับคุนหลุนออกหน้ารับแทน

หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า คนที่มาขอเข้าพบวันนี้ไม่ได้มีแค่ 23 กลุ่ม

“คุณเฉิน คุนชายหลินของตระกูลเจิ้งมาขอเข้าพบครับ” เสียงรายงานดังผ่านวอออกมา

เฉินตงยิ้ม “คุนหลุน ไปพาเขาเข้ามา”

ไม่กี่นาทีต่อจากนั้น เจิ้งจุนหลินก็พุ่งเข้ามาด้านในห้องด้วยท่าทางตื่นเต้น

จุดผกผันในวันนี้ ได้ล้มความคิดของเขาทั้งหมดในยี่สิบปีที่ผ่านมา

เขาเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลเจิ้ง และเป็นคนที่ทุกคนต่างรู้ดีว่าเป็นคนไร้ประโยชน์ คนตระกูลเจิ้งไม่เคยเห็นเขาอยู่ในสายตา เพราะทุกคนต่างคิดว่าเขาไม่มีทางได้เป็นเจ้าบ้านคนต่อไป

แต่ตอนนี้ พ่อของเขาได้แต่งตั้งเขาเรียบร้อยแล้ว!

และทั้งหมดเป็นเพราะเฉินตง!

“พี่ตง พี่คือตัวนำโชคของผม!”

เมื่อก้าวผ่านประตูเข้ามา เจิ้งจุนหลินก็รีบคุกเข่าลงกับพื้นดังตุ้บ แล้วส่งเสียงราวกับกำลังจะตะโกนออกมา

“เด็กคนนี้ เข้าห้องมาก็คุกเข่าซะแล้ว?”

ท่านหลงแปลกใจรีบกวักมือเรียกคุนหลุน “ไปประคองเขาขึ้นมาเร็ว”

แต่เจิ้งจุนหลินไม่สนใจ เขาโขกหัวลงบนพื้น

ตุ้บๆๆ!

โขกทีเดียวติดกันสามครั้ง ทำเอาหน้าผากของเขาที่โขกลงไปบนพื้นเขียวช้ำ

จากนั้นเจิ้งจุนหลินจึงสะอึกสะอื้นกล่าวว่า “ถ้าไม่ได้พี่ตง ชีวิตนี้ของจุนหลินคงไม่มีทางโงหัวขึ้นมาได้ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ชีวิตของเจิ้งจุนหลินจะเป็นของพี่ตง!”

น้ำเสียงดังฟังชัดทำให้คนได้ยินไม่มีข้อกังขา

แม้แต่ท่านหลงกับคุนหลุนเมื่อได้ยินเจิ้งจุนหลินกล่าวเช่นนี้ก็พากันตกตะลึงด้วยเช่นกัน

แค่เข้ามาก็คุกเข่าแล้วมอบชีวิตให้แล้ว ต้องใช้ความเด็ดเดี่ยวมากขนาดไหน?

“แค่เพราะเรื่องนี้เรื่องเดียวถึงกับมอบชีวิตให้ฉันแล้วหรอ”

เฉินตงลุกขึ้นยืนแล้วมองเจิ้งจุนหลินด้วยรอยยิ้ม

ดวงตาของเจิ้งจุนหลินบวมแดง จากนั้นจึงสะอึกสะอื้นกล่าวว่า “พี่ตงไม่เข้าใจ ยี่สิบกว่าปีมานี้ผมโดนรังแกมาตลอด โดนคนนินทาลับหลังสารพัด ที่ผมกลายเป็นคนเจ้าสำราญเที่ยวเสเพล ก็เป็นเพราะผมไม่ต้องการรับรู้เรื่องพวกนี้ แต่อันที่จริงแล้วในใจของผมอยู่กับตายไม่มีความแตกต่างกัน ผมทำได้แค่รังแกผู้หญิงไปวันๆ เท่านั้น”

“เพราะการปรากฏตัวของพี่ที่ทำให้ผมได้เกิดใหม่! ชีวิตของผมเริ่มมองเห็นความหวัง!”

เฉินตงหลุดขำออกมา

“นายนี่มันบ้าจริงๆ!”

เจิ้งจุนหลินยิ้มอย่างไร้เดียงสา จากนั้นจึงลุกขึ้นยืนแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อกดอารมณ์ที่แปรปรวนของตัวเอง เขาเอามือเช็ดน้ำตาแล้วยิ้มออกมา “ไปๆๆ วันนี้ผมขอเลี้ยงพี่ตงและทุกคนเอง ไปสนุกกันถึงเช้าไปเลย!”

เฉินตงขมวดคิ้ว และคิดถึงคำพูดบ้าๆ ของเจิ้งจุนหลิน เขาเข้าใจดีว่าคำว่าสนุกกันถึงเช้ามันหมายความว่ายังไง

“พวกนายไปกันเถอะ วันนี้ฉันเหนื่อยแล้ว” เฉินตงส่ายหน้า

แต่ตอนนั้นสายตาเหม่อลอยของท่านหลงที่นั่งอยู่บนโซฟากลับสว่างวาบขึ้น

“ผมไปเอง จู่ๆ ก็รู้สึกว่าเอวกับขาหายปวดแล้ว”

“ผมก็คงไม่ไป” คุนหลุนส่ายหน้า

เจิ้งจุนหลินลำบากใจ เขาอยากตอบแทนเฉินตงให้ดี

ไม่ทันได้พูดอะไรต่อ ท่านหลงก็ยกมือพาดบ่าเจิ้งจุนหลิน “รุ่นน้อง พาพี่ไปสนุกหน่อยเถอะ การแลกเปลี่ยนเทคนิคกันสำคัญมาก!”

“ไปเถอะ”

เฉินตงหันไปพูดกับเจิ้งจุนหลินอย่างเอือมๆ

เจิ้งจุนหลินเลยหยักหน้าแล้วพาท่านหลงออกไป

เมื่อประตูปิดลง

คุนหลุนจึงอดไม่ได้ที่จะบ่นออกมา “คุณชาย นับวันท่านหลงก็ยิ่งหน้าหนาขึ้นเรื่อยๆ”

“ขนาดพี่ทำงานกับเขามาตั้งนาน ยังไม่รู้เลยว่าลึกๆ แล้วเขาซ่อนอะไรเอาไว้บ้าง”

เฉินตงยิ้มอย่างลำบากใจ แล้วนึกถึงท่าทางของท่านหลงที่เจอตอนแรก ตอนนั้นท่าทางของเคร่งขรึมมาก

ใครจะรู้ว่าภายใต้ความเคร่งขรึมที่ปิดบังเอาไว้นั้น จะซ่อนจิตวิญญาณที่หมกมุ่นขนาดนี้เอาไว้

ปี๊บ

มือถือส่งเสียงเตือนข้อความเข้า

เฉินตงหยิบมือถือออกมาดูจึงเห็นว่าเป็นเบอร์ที่ไม่รู้จัก

เมื่อกดเข้าไปในข้อความ ดวงตาของเขาพลันเกิดแสงสว่างวาบ

ข้อความในมือถือนั้นเรียบง่าย

“พรุ่งนี้ไปเจอกันที่โบราณสถานเฟิงโปนอกเมือง พ่อ”

“พ่อ”

เฉินตงยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน จากนั้นค่อยๆ วางมือถือลง

เมื่อคุนหลุนได้ยินเช่นนี้ เขาก็พอเดาได้ว่าข้อความในมือถือคืออะไร

เขายิ้มออกมาราวยกภูเขาออกจากอกแล้วกล่าวเบาๆ “ในที่สุดก็จะได้เจอนายท่านแล้ว ไม่รู้เลยว่าตอนนี้นายท่านเป็นอย่างไรบ้าง”

เฉินตงพยักหน้า

หลังจากที่พ่อหายตัวไปหลังจากเหตุการณ์ลอบสังหารนั้น เขาก็ไม่เคยวางใจได้เลย

เรื่องราวทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างแปลกประหลาด ถ้าได้พบพ่อพรุ่งนี้จะได้ถามทุกอย่างให้หายข้องใจ

เขาลูบจมูกก่อนจะยิ้มออกมาอย่างแปลกประหลาด

“ผมเป็นลูกชายแท้ๆ แต่ความสามารถไม่ถึงครึ่งของพ่อด้วยซ้ำ”

“ทำไมพูดอย่างนั้น” คุนหลุนถาม

เฉินตงยิ้ม “พ่อคงเดาไว้แต่แรกแล้วว่าผมจะต้องมา จึงตั้งใจรอผมอยู่ที่งานฉลองตระกูลเจิ้ง”

เขาหยุดพักหนึ่ง ก่อนจะเลิกคิ้ว “ถ้าไม่อย่างนั้น จะบอกฐานะของผมกับเจ้าบ้านเจิ้งยังไง แถมยังโทรมาบอกฐานะของผมในช่วงเวลาที่สำคัญแบบนั้นอีก”

คุนหลุนทำหน้าสงสัย “นายท่านทำแบบนั้นเพื่ออะไรหรอครับ”

เฉินตงเม้มปากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง

เขาเอ่ยออกมาอย่างไม่แน่ใจนัก “พี่ว่าที่พ่อทำแบบนี้ เหมือนต้องการจะช่วยให้ผมคุมอำนาจได้ใช่ไหม”

อากาศยามราตรีเย็นสบายราวสายน้ำ

ในห้องโถงของตระกูลเจิ้ง มีแสงไฟสว่างไสว

ทุกคนก้มหน้า เงียบสงัดไร้สรรพเสียง

บรรยากาศในห้องมีเพียงความกดดันที่หนักอึ้ง

เจิ้งจุนเซี่ยนและพวกนั่งคุกเข่าอยู่กลางห้อง พวกเขาสีหน้าซีดขาวพร้อมกับมีสายตาที่ว่างเปล่า

เรื่องราวที่เกิดตั้งแต่หัวค่ำจนถึงตอนนี้ ทำให้พวกเขาไร้การตอบสนอง

โดยเฉพาะเจิ้งจุนเซี่ยน

การโดนปลดจากหน้าที่ทั้งหมด เท่ากับความทุ่มเททั้งหมดกว่ายี่สิบกว่าปีสูญเปล่า นี่มันทรมานยิ่งกว่าฆ่าเขาให้ตายเสียอีก

“เจ้าบ้าน ทำแบบนี้มันแรงเกินไปหน่อยหรือไม่”

ชายชราก้าวออกมาข้างหน้าแล้วกล่าวคำพูดที่ทำลายบรรยากาศเงียบสงัดในห้องโถง “ยังไงจุนเซี่ยนก็เป็นคนที่ท่านตั้งใจให้รับหน้าที่เจ้าบ้านคนต่อไป เรื่องราวที่เกิดเมื่อหัวค่ำกับการลงโทษที่จุนเซี่ยนได้รับ มันหนักเกินไปหรือไม่ นี่ไม่เท่ากับว่าตระกูลเจิ้งของเราต้องเอาคนเก่งขึ้นไปแขวนไว้บนหิ้งเฉยๆ หรือ”

ชายชราที่พยายามอ้อนวอนคือคุณปู่สามนั่นเอง

และบรรดาคนที่นั่งอยู่นั้นล้วนเป็นคนสำคัญของตระกูลเจิ้ง เป็นผู้ที่มีตำแหน่งในระดับสูง

ส่วนคุณปู่สามเป็นคนที่เป็นมีความอาวุโสสูงสุด

สายตาของจุนเซี่ยนปรากฏประกายวับไหวขึ้นมา ราวกับคนหมดหวังที่พยายามจะคว้าหมากตัวสุดท้ายที่จะช่วยชีวิตตนเอง

หลังจากคุณปู่สามกล่าวออกมา คนที่เหลือต่างกล่าวสมทบเห็นด้วย

“ท่านเจ้าบ้าน คุณปู่สามพูดถูกต้อง ความสามารถของจุนเซี่ยนทุกคนต่างเห็นประจักษ์ การลงโทษเช่นนี้เหมือนบีบเขาให้ตายชัดๆ”

“ท่านเจ้าบ้านได้โปรดเมตตา คนมีความสามารถอย่างจุนเซี่ยน หากให้เป็นแค่ลูกจ้างคนหนึ่ง จะถือเป็นความสูญเสียของตระกูลเจิ้ง”

“จุนเซี่ยนและพวก ทำคุณประโยชน์ให้กับตระกูลมากมาย หากเห็นแก่ความดีของเขา ก็ไม่ควรได้รับโทษหนักเช่นนี้”

……

เมื่อได้ยินทุกคนต่างเห็นด้วยเช่นนี้

ความหวังในดวงตาของเจิ้งจุนเซี่ยนก็ยิ่งเข้มข้นมากขึ้น เขาที่กำลังคุกเข่าอยู่ จึงประสานมือทั้งสองเข้าด้วยกัน

ยังมีโอกาส ต้องมีหนทาง!

คนทั้งหมดกำลังพยายามช่วยเรา เจ้าบ้านจะต้องอนุโลมความผิดให้เราได้แน่!

ส่วนแววตาของอีกสามคนที่เหลือก็เป็นประกายออกมา

กฎหมายไม่สามารถสู้กฎหมู่ได้ ต่อให้วันนี้ทำเรื่องผิดร้ายแรงมากแค่ไหน แต่ผลงานที่พวกเขาทำเอาไว้แถมยังมีคนอื่นๆ คอยช่วยเหลือแบบนี้ เจ้าบ้านคงจะต้องกลับมาพิจารณาใหม่อีกแน่

ใบหน้าอ่อนเยาว์ของเจิ้งจุนหลินที่ยืนอยู่ด้านหลังเจ้าบ้านเจิ้งเต็มไปด้วยความคับแค้น

เขาก้มหน้า กำหมัดแน่นจนเสียงกระดูกลั่น เส้นเลือดหลังมือปูดโปน

ในความทรงจำของเขา ภาพเหตุการณ์ตอนนี้เกิดขึ้นมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน!

เป็นเพราะความสามารถที่แตกต่างกัน

ตั้งแต่เล็กจนโต ไม่ว่าจะถูกหรือผิด คนพวกนี้เข้าข้างเจิ้งพวกจุนเซี่ยนมาตลอด ส่วนเขาที่เป็นหนุ่มเพลย์บอยในสายตาทุกคนนั้นคือคู่แข่งที่พยายามจะเอาชนะพวกเขาให้ได้มาตลอด

ในฐานะที่เขาเป็นลูกแท้ๆ ของเจ้าบ้าน ทุกครั้งที่ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ เจิ้งจุนหลินรู้อยู่แก่ใจดีว่า พ่อของเขาจะต้องฟังคนรอบตัวด้วย

เจิ้งจุนหลินมองด้านหลังของเจ้าบ้านเจิ้งอย่างคับข้องใจ

ในตอนนั้น ต่อให้บิดาของเขาเปลี่ยนคำสั่ง ยกเลิกการลงโทษของเจิ้งจุนเซี่ยนและพวกเขาก็ไม่แปลกใจอะไร

เพราะความอยุติธรรมเช่นนี้ อยู่คู่กับเขามาถึงยี่สิบปีแล้ว!

ทว่า

ปั้ง!

เจ้าบ้านเจิ้งเอามีดฟาดลงบนโต๊ะอย่างแรง

เสียงดังสนั่นราวฟ้าผ่า ทำเอาทุกคนตกใจจนหน้าถอดสี

เจิ้งจุนหลินตัวสั่นแล้วมองไปทางเจ้าบ้านเจิ้งอย่างเหลือเชื่อ

หลังจากนั้น

เจ้าบ้านเจิ้งกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “คุณปู่สาม ท่านกล่าวถูกต้อง ต่อให้อยู่ต่อหน้าทุกคนเช่นนี้ผมก็กล้ากล่าวตามตรงว่า ก่อนหน้านี้ผมวางเจิ้งจุนเซี่ยนให้เป็นผู้ที่จะมารับหน้าที่เจ้าบ้านจริง”

น้ำเสียงเย็นเฉียบราวคมมีด

ทำให้ทุกคนต่างเกิดความหวาดหวั่นจนเม้มปากแน่นรอคำพูดประโยคถัดไป

“แต่เวลาเปลี่ยน คนก็ย่อมเปลี่ยน! แต่อย่าลืมว่าตระกูลเจิ้งเกิดขึ้นได้เพราะผม กฎการแข่งขันกันขึ้นเป็นเจ้าบ้าน ผมก็เป็นคนกำหนดเอง”

เจ้าบ้านเจิ้งขมวดคิ้วแน่น ร่างกายของเขาแผ่รังสีของความน่าเกรงขาม “แต่ผมจะบอกให้พวกคุณได้รู้ไว้ว่าการวางโตโอหังของพวกเจิ้งจุนเซี่ยนทั้งสี่คนนี้ ก่อนหน้านี้ผมได้บอกพวกเขาเอาไว้แล้วว่างานเลี้ยงคืนนี้จะพบกับผู้ให้โชค ขอให้พวกเขาคว้าโอกาสนั้นไว้ให้ดี เรื่องนี้แม้แต่จุนหลินลูกชายผม ผมยังไม่บอกเลย

พวกเขาทั้งสี่คนไม่เพียงคว้าตัวผู้ให้โชคคนนั้นไว้ไม่ได้ แต่กลับทำตัววางโตไร้มารยาท ไม่แยกแยะผิดถูก แล้วอย่างนี้จะไม่ให้สั่งสอนพวกแกได้ยังไง”

พวกของเจิ้งจุนเซี่ยนสี่คน เมื่อได้ยินประโยคนี้พลันรู้สึกมวลท้องด้วยความรู้สึกสะเทือนใจ

โดยเฉพาะเจิ้งจุนเซี่ยนที่ถึงกับยกมือขึ้นมาทุบตัวเองอย่างแรง

สายตาของเจิ้งจุนหลินที่ล่องลอยมองไปรอบๆ หันไปจ้องเจ้าบ้านเจิ้งอย่างยินดี

ในที่สุด…พ่อก็เข้าข้างเราบ้างแล้ว!

คุณปู่สามที่เป็นผู้อาวุโสสูงสุดในที่นั่น มองเจิ้งจุนเซี่ยนอย่างเวทนาก่อนจะเอ่ยปากอีกครั้ง

“พวกจุนเซี่ยนอายุยังน้อย พวกเขาเป็นเพียงเด็กวัยรุ่นที่คิดจะช่วยปกป้องกฎระเบียบของตระกูลเราเท่านั้น อีกอย่างคุณเฉินที่ท่านนับถือว่าเป็นผู้ให้โชคนั้น เขาสำคัญกับพวกเราขนาดนั้นเชียวหรือ”

เท่านั้น?

สำคัญหรือ?

เจ้าบ้านเจิ้งอารมณ์พุ่งปี๊ดจนกัดฟันยิ้มออกมา “คุณปู่สาม ท่านคงแก่จนเลอะเลือนไปแล้ว ความเข้าใจของท่านที่มีเกี่ยวกับตระกูลเจิ้งมากเท่ากับเจ้าบ้านตระกูลเจิ้งอย่างผมรึ”

“ท่าน……” คุณปู่สามร่างสะท้าน เข้าเบิกตากว้างพลางกัดฟันกรอด

เจ้าบ้านเจิ้งโบกมือ “หากเป็นความผิดทั่วไป พวกเจิ้งจุนเซี่ยนสามารถใช้ความดีหักล้างได้ แต่เรื่องที่เกิดในงานเลี้ยงวันนี้ ความดีของพวกเจิ้งจุนเซี่ยนไม่สามารถใช้หักล้างได้!”

“ผมจะบอกความจริงให้ทุกคนฟัง ผมเองเป็นคนช่วยให้เจิ้งจุนเซี่ยนประสบความสำเร็จจนกวาดเงินในตลาดหุ้นมาได้หลายพันล้าน แต่นั่นเป็นเพราะคุณเฉินต่างหาก แค่เรื่องนี้เรื่องเดียว ทุกคนที่อยู่ที่นี่มีใครยังคิดว่าผมลงโทษแรงเกินไปอีกหรือไม่”

เปรี้ยง!

คำพูดดั่งสายฟ้า

ทุกคนในที่นั่นต่างชะงักงัน

ส่วนเจิ้งจุนเซี่ยนที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นเมื่อได้ยินดังนี้ก็ช็อกจนไม่สามารถสะกัดกั้นความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ได้อีกต่อไป

เขาร้องไห้โฮออกมาและคลานไปตรงหน้าเจ้าบ้านเจิ้งแล้วเกาะขาของเจ้าบ้านเจิ้งเอาไว้พร้อมร้องวิงวอน

“ท่านเจ้าบ้าน ผมสำนึกผิดแล้ว จุนเซี่ยนสำนึกผิดแล้วจริงๆ ได้โปรดให้อภัยจุนเซี่ยนด้วยเถิด ได้โปรดให้ผมได้มีโอกาสไปขอโทษคุณเฉินสักครั้ง”

เสียงร้องไห้โหยหวนน่าสังเวชใจ

เจิ้งจุนหลินเห็นเช่นนี้ความคิดเริ่มล่องลอย

ในฐานะที่เป็นลูกชายแท้ๆ ของเจ้าบ้าน เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าในชีวิตนี้จะมีโอกาสได้เห็นภาพแบบนี้ด้วยตาตนเอง!

แต่กระนั้น

เจ้าบ้านกลับถีบเจิ้งจุนเซี่ยนกระเด็น แล้วตวาดเสียงแข็งว่า

“แกมันอวดดีดิบเถื่อนแบบนั้นใส่คุณเฉิน ทำโทษแค่นี้ก็นับว่าน้อยเกินไปแล้ว ขืนยังกล้าโอหังอีกล่ะก็ อย่าหาว่าเจ้าบ้านอย่างฉันไม่ไว้หน้าก็แล้วกัน!”

เจิ้งจุนเซี่ยนทำอะไรต่อไม่ถูก

แบบนี้…ยังเรียกว่าไว้หน้ากันอยู่อีกเหรอ

“ออกไปให้หมด!”

เจ้าบ้านเจิ้งโบกมือไล่

คุณปู่สามและคนอื่นๆ ไม่กล้ารีรออีกต่อไป รีบให้เด็กทั้งสามคนที่คุกเข่าอยู่กับพื้น พยุงเจิ้งจุนเซี่ยนออกไป

เมื่อทุกคนออกไปแล้ว ในห้องโถงก็กลับมาสงบเงียบอีกครั้ง

เจิ้งจุนหลินเหม่อลอยอยู่ที่เดิม ราวกับคนไร้วิญญาณ

หลังจากเจ้าบ้านเจิ้งเอ่ยปากเรียกเขาว่า ลูกกิเลนแล้ว เขาถึงจะได้สติกลับมา

“พ่อ” ในดวงตาของเจิ้งจุนหลินเกิดประกายวับไหวมองไปที่เข้าบ้านเจิ้งอย่างตื้นตัน

“เด็กดี ไม่เสียแรงที่เป็นลูกกิเลนของพ่อ ตอนแรกพ่อก็คิดว่านิสัยอย่างลูกชีวิตนี้คงไม่มีทางทำเรื่องดีๆ ได้ แต่นึกไม่ถึงเลยว่า ลูกจะได้ใจจากคุณเฉินตง”

เจ้าบ้านเจิ้งยกมือของเจิ้งจุนหลินขึ้นมาอย่างทะนุถนอม “หลายปีมานี้ทำให้ลูกต้องลำบากใจ พ่อก็อยากเข้าข้างลูก แต่กฎถูกกำหนดขึ้นมาแล้ว พ่อเลยต้องพิจารณาทุกอย่างไปตามสถานการณ์โดยรวมที่เกิดขึ้น”

ในตอนนั้นอารมณ์ของเจิ้งจุนหลินปั่นป่วน

ราวกับมีหลายความรู้สึกผสมปนเปอยู่ด้วยกัน

แต่เมื่อนึกถึงเฉินตงเขาก็รีบร้อนเอ่ยขึ้นว่า “พ่อครับ เฉินตงสำคัญอย่างที่พ่อบอกจริงๆ หรือ”

ในดวงตาของเจ้าบ้านเจิ้งเริ่มร้อน เขาจึงกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “ลูกต้องจำไว้ให้ดี บนโลกนี้หากคบถูกคน เดินถูกทาง ย่อมสำคัญกว่าความสามารถ! ระหว่างคนที่ช่วยมังกรให้ยิ่งใหญ่ กับคนที่พยายามจะเป็นมังกรเสียเอง ถ้าเทียบกันแล้วคนแรกย่อมมีโอกาสบินได้สูงกว่า!”

เมื่อกล่าวถึงประโยคสุดท้าย เขาก็เอ่ยอย่างแน่วแน่ว่า “แค่ลูกได้รับความเชื่อใจจากคุณเฉิน พ่อก็พร้อมที่จะยกตำแหน่งเจ้าบ้านคนต่อไปให้อยู่ในมือของลูกอย่างสบายใจแล้ว”

ในหัวของเจิ้งจุนหลินเกิดเสียงดังราวฟ้าผ่า

แค่ได้พบกับเฉินตง ฉันเลยได้ตำแหน่งเจ้าบ้านอย่างง่ายดายแบบนี้เลยหรอ?

“พ่อ ผมจะไปหาเฉินตงเดี๋ยวนี้!” เจิ้งจุนหลานหันตัวขวับแล้ววิ่งออกไป

รอยยิ้มของเจ้าบ้านเจิ้งหายไป แต่เขาก็ไม่ได้ห้าม

เขามองเจิ้งจุนหลินที่ห่างออกไป ใบหน้าของเขาก็ปรากฏความอ่อนโยนที่พ่อใช้มองลูก จากนั้นจึงเอ่ยเบาๆ ว่า “คนโง่ก็มีโชคดีของตนเอง ถ้าลูกมีความสามารถ ทำไมพ่อต้องยกกิจการใหญ่โตนี้ให้คนอื่นด้วย? ในที่สุดตอนนี้ฉันก็รู้สึกว่าจัดการทุกอย่างได้สมเหตุสมผลเสียที!”

“ที่ตระกูลเจิ้งสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วในยุคของฉัน พวกคนแก่คร่ำครึในตระกูลคงคิดว่าฉันมีความสามารถสินะ แต่พวกเขาไม่เคยรู้เลยว่าทั้งหมดนี้เป็นเพราะในตอนนั้นฉันได้ช่วยมังกรเอาไว้ ส่วนฉัน…ก็เป็นผู้ถูกบงการก็เท่านั้น”

เมื่อคำพูดเช่นนี้หลุดออกไป บรรยากาศมีเพียงความเงียบงัน

รอยยิ้มบนใบหน้าของเจ้าบ้านเจิ้งแข็งทื่อ

เจิ้งจุนหลินสติล่องลอย

ส่วนเจิ้งจุนเซี่ยนตอนนี้รู้สึกหนาวสะท้านไปทั้งตัวราวกับตกลงไปในถ้ำน้ำแข็ง

เขารู้สึกหายใจติดขัดอย่างรุนแรง ทำให้เขารู้สึกหมดหวังเวิ้งว้างราวกับตกลงไปในน้ำ

“ท่าน เจ้าบ้าน…”

เจิ้งจุนเซี่ยนเอ่ยออกมาอย่างตะกุกตะกัก ทำลายความเงียบสงัดรอบด้าน

แต่ว่า…

เพี๊ยะ!

เจ้าบ้านเจิ้งยกมือตบหน้าเจิ้งจุนเซี่ยนเต็มแรงด้วยสีหน้าเย็นเยียบ

“คุกเข่าลง ขอโทษคุณเฉินเดี๋ยวนี้!”

น้ำเสียงของเขาราวเสียงฟ้าฟาด ที่ดังสะท้านไปทั่วทั้งงาน

เกิดเสียงอื้ออึงดังขึ้นภายในโถง

ภายในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เจ้าบ้านเจิ้งเปลี่ยนท่าทีไปราวกับเป็นคนละคนอย่างเหนือความคาดหมายของทุกคน

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่”

“ก่อนหน้านี้เจ้าบ้านเจิ้งยังชื่นชมเจิ้งจุนเซี่ยนอยู่เลย ตอนนี้ทำไมถึงไม่รักษาหน้าเขาต่อหน้าคนอื่นซะแล้ว”

“คนแซ่เฉินคนนั้นคือใคร ทำไมฉันรู้สึกว่าเจ้าบ้านเจิ้งดูกลัวๆ เขา”

……

เกิดเสียงกระแทกดังขึ้น

เจิ้งจุนเซี่ยนทรุดตัวคุกเข่าลงกับพื้น แก้มทั้งสองด้านบวมเปล่ง

แม้ว่าในใจเขาจะเต็มไปด้วยความสงสัย แต่เขาไม่ใช่คนโง่ เขาได้อันดับหนึ่งของตระกูลเจิ้งในรุ่นเดียวกัน ดังนั้นเขาเป็นคนฉลาดคนหนึ่ง

ท่าทางที่เปลี่ยนแปลงไปของเจ้าบ้านเจิ้ง เป็นเรื่องที่เขาไม่สมควรถามตอนนี้ การเชื่อฟังต่างหากถึงจะเป็นการควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดเอาไว้ได้

หากตอนนี้ขืนเขายังยึดติดกับการเป็นอันดับหนึ่งของรุ่น เซ้าซี้เจ้าบ้านอยู่ ผลที่เกิดหลังจากนี้เขาอาจจะต้องเสียใจทีหลัง

“คุณเฉินครับ จุนเซี่ยนมีตาหามีแววไม่ คุณเฉินได้โปรดเมตตา ให้อภัยจุนเซี่ยนด้วย!”

ปั้ง!

หลังจากเอ่ยเสียงวิงวอนอันแหบแห้ง เจิ้งจุนเซี่ยนตัดสินใจโคกหัวตัวเองลงบนพื้นอย่างแรง

เสียงศีรษะกระแทกพื้นนั้น ทำให้ทุกคนที่อยู่ในที่นี้อกสั่นขวัญแขวน

เฉินตงหรี่ตามองเจิ้งจุนเซี่ยนอย่างดูแคลน

ลำพังความเก็บกดยังรุนแรงเช่นนี้ จึงไม่แปลกใจเลยสักนิดที่เขาจะกดขี่ลูกชายแท้ๆ ของเจ้าบ้านจนไม่ให้มีโอกาสได้เงยหัวขึ้นมา

เฉินตงถอนหายใจออกมาช้าๆ ก่อนจะเม้มปากแล้วเอ่ยออกมาอย่างชิงชัง

“คุณไม่ได้เป็นคนบอกเองหรือว่า คนอย่างเจิ้งจุนเซี่ยนไม่มีทางตกต่ำถึงขั้นต้องร่วมโต๊ะอาหารกับสุนัขอย่างผม”

เพี๊ยะ!

ประโยคนี้ เปรียบเสมือนฝ่ามือใหญ่ๆ ที่ไร้รูปร่างตบเข้าที่หน้าของเจิ้งจุนเซี่ยนอย่างแรง

ตอนนี้ เจิ้งจุนเซี่ยนรู้สึกเจ็บแสบมากกว่าโดนเจ้าบ้านเจิ้งตบหน้าเมื่อกี้นี้เสียอีก

เขารู้สึกได้ถึงสายตาคบปราบราวมีดของเจ้าบ้านเจิ้ง และความประหลาดใจของคนรอบๆ รวมทั้งสายตาสะใจที่เห็นเขาเป็นเช่นนี้

เจิ้งจุนเซี่ยนรู้สึกร้อนรุ่ม ในใจของเขากำลังเดือดปุดๆ

เขายังคงพยายามกัดฟันแน่น บังคับความโกรธที่อยู่ในใจของตนเอง

ปั้ง!

เขาโขกหัวตัวเองลงบนพื้นอย่างแรงอีกครั้ง

“คุณเฉินได้โปรดให้อภัย คุณเฉินได้โปรดให้อภัย สำหรับคุณเฉินแล้ว จุนเซี่ยนต่างหากที่เป็นสุนัขตัวหนึ่ง”

ห๊ะ……

เกิดเสียงร้องอย่างประหลาดใจดังขึ้นภายในโถงด้านใน

ผู้ที่สามารถเข้ามานั่งในโถงด้านในได้แบบนี้ ล้วนเป็นคนที่มีหน้ามีตาของเมืองนี้ทุกคน

พวกเขาต่างรู้ถึงการตระเตรียมผู้รับตำแหน่งเจ้าบ้านเจิ้งคนต่อไปมานานแล้ว

แต่วันนี้ เจิ้งจุนเซี่ยนที่ทุกคนคิดว่าจะได้เป็นเจ้าบ้านเจิ้งคนต่อไป กลับกำลังคุกเข่าโขกศีรษะลงบนพื้นอย่างน่าเวทนาอย่างยิ่ง

ตอนนั้นเจิ้งจุนหลินเพิ่งจะได้สติกลับมา

เขาอ้าปากค้างมองไปที่เฉินตง ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงคำพูดที่เฉินตงพูดก่อนหน้านี้

“นาย นายค่าตัวหมื่นล้านจริงหรอ ถึงจะไปนั่งที่โต๊ะวีไอพีได้”

เฉินตงหันหน้าไปมองเจิ้งจุนหลิน สีหน้าเย็นชาของเขาหายไป จากนั้นจึงยิ้มอย่างอบอุ่นว่า “นายคิดว่าไง?”

คำพูดเบาๆ เพียงสี่คำ แต่เมื่อเข้าไปในหูของเจิ้งจุนหลินแล้วกลับคล้ายเสียงระฆังกังวาน

ร่างกายของเขาล่องลอยราวกับฝันไป

พระเจ้า บรรพบุรุษคุ้มครองเจิ้งจุนหลินแท้ๆ

การโดนตบหน้าที่บาร์เหล้า ทำให้เขาสามารถคบหากับคนเช่นนี้ได้เลยหรือ?

ในขณะที่กำลังตื่นตะลึงอยู่นั้น เจิ้งจุนหลินก็หลุดปากกล่าวออกมาว่า “เยสเข้ พี่ชายโคตรเจ๋งเลย!”

เฉินตงอมยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ให้ทุกคนรู้สึกอบอุ่นราวลมในฤดูใบไม้ผลิ

เจ้าบ้านเจิ้งสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงอารมณ์ของเฉินตงอย่างชัดเจน

ตอนนี้เจ้าบ้านเจิ้งกำลังแอบดีใจ สายตาของเขาเป็นประกาย แววตาของเขาที่มองเจิ้งจุนหลินเต็มไปด้วยความเมตตา ส่วนสายตาที่มองไปยังเจิ้งจุนเซี่ยนที่กำลังคุกเข่าโขกหัวอยู่นั้นเต็มไปด้วยความว่างเปล่า เขาแสยะยิ้มออกมาอย่างเย็นชาแล้วแอบส่ายหน้า

“นาย นายเป็นใครกันแน่” หลังจากหายประหลาดใจแล้ว เจิ้งจุนหลินก็เอ่ยปากขึ้น

หลังจากคำพูดนี้หลุดออกไปแล้ว ทุกสายตาก็หันมาจดจ้องอยู่ที่เฉินตง

แม้แต่เจิ้งจุนเซี่ยนที่กำลังคุกเข่าโขกหัวอยู่นั้น เวลานี้ก็หันมามองเฉินตงอย่างสงสัยเช่นกัน

เฉินตงยิ้มแต่ไม่ได้กล่าวตอบ

หลังจากเจ้าบ้านเจิ้งวางสายแล้ว ท่าทางของเขาก็กลับตาลปัตร ทำให้เฉินตงแน่ใจถึงเรื่องที่ตนเองคาดเดาไว้

แม้แต่ท่านหลงกับคุนหลุนที่อยู่ข้างๆ ก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาด้วย

เจ้าบ้านเจิ้งอมยิ้มก่อนจะเอ่ยอย่างราบเรียบว่า “เขาก็คือความโชคดีในงานนี้!”

เปรี้ยง!

แม้เสียงจะเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา

แต่กลับทำให้เจิ้งจุนเซี่ยนรู้สึกราวกับโดนฟ้าผ่า

ตอนนั้น เจิ้งจุนเซี่ยนสยดสยอง สีหน้าของเขาซีดเผือดไร้เลือดฝาด

“โชคดี? เขาก็คือผู้สูงศักดิ์ที่เจ้าบ้านพูดถึงเหรอ แย่แล้ว ทำไมเราถึงซวยได้ขนาดนี้”

นี่คือสิ่งที่เจิ้งจุนเซี่ยนคิดในใจ

เมื่อคิดได้ถึงตรงนี้ ดวงตาของเจิ้งจุนเซี่ยนปรากฏน้ำตาคลอด้วยความเสียใจที่ท่วมท้น

เขาโขกหัวลงบนพื้นถี่รัวราวกับไก่จิกอาหาร

“คุณเฉินได้โปรดอภัย ขอแค่ให้อภัยจุนเซี่ยน ให้จุนเซี่ยนเป็นคนรับใช้ก็ยอม!”

ท่าทีของเขาต่ำต้อยน่าอนาถใจ

ไม่หลงเหลือความโอหังเหมือนอย่างก่อนหน้า

เพราะเขารู้ว่า ความโชคดีตรงหน้าสำคัญกับเขาขนาดไหน!

สำคัญถึงขั้นตัดสินความเป็นตายของเขาได้!

กึก!

กึก!

กึก!

ในเวลาเดียวกัน พี่น้องตระกูลเจิ้งทั้งสามคุกเข่าลงบนพื้นด้วยสีหน้าหวาดหวั่น

จากนั้นจึงโขกหัวลงบนพื้นอย่างบ้าคลั่งเช่นเดียวกับเจิ้งจุนเซี่ยน

ทั้งโถงด้านในเงียบจนสามารถได้ยินเสียงเข็มตก

แขกในงานมองเหตุการณ์นี้อย่างงุนงง

ทุกคนต่างไม่มีใครคาดคิดว่าเหตุการณ์จะกลับตาลปัตรถึงขั้นนี้!

มีเพียงเจิ้งจุนหลินคนเดียวที่ตบไหล่เฉินตงด้วยความสับสน เขาเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ “สรุปแล้ว นายคือ…ความโชคดีอะไร”

ประโยคนี้ทำเอาเจ้าบ้านเจิ้งโงนเงน แล้วมองไปยังเจิ้งจุนหลินด้วยสายตาแปลกประหลาด

เด็กคนนี้ เป็นเด็กโง่ที่มีบุญจริงๆ!

ส่วนพวกเจิ้งจุนเซี่ยนทั้งสี่คน ตอนนี้แทบจะกระอักเลือดออกมา

พวกเขาสี่คนได้รับการสอนสั่งจากเจ้าบ้าน เปิดไฟนำทางให้ได้เจอผู้สูงศักดิ์และภาวนาให้พวกเราได้เจอโชคดี แต่นอกจากพวกเราจะหาไม่เจอแล้วยังง้างมือตั้งท่าจะต่อยหน้าผู้สูงศักดิ์อีกด้วย

ส่วนเจิ้งจุนหลินที่ไม่รู้จักธรรมเนียมเพียงครั้งเดียว กลับกระโดดเข้าไปอยู่ในอกของผู้สูงส่งได้

นี่มัน…หมาจรจัดชัดๆ!

เฉินตงอมยิ้ม แต่ไม่ได้สนใจว่าเจิ้งจุนเซี่ยนใช้หัวโขกจนหัวแตกเลือดไหลนอง

เขามองไปที่เจ้าบ้านเจิ้งอย่างสงบ

“เจ้าบ้านเจิ้ง ผมเชื่อว่าคุณสามารถแก้ปัญหานี้ได้ดีแน่ งานเลี้ยงคืนนี้สนุกมาก พรุ่งนี้ผมจะไปเยี่ยมท่านที่บ้านเพื่อไปพบเขาด้วย”

เมื่อเอ่ยจบ เฉินตงก็หันตัวเดินออกไป

ท่านหลงกับคุนหลุนรีบเดินตามไป

“น้อมส่งคุณเฉิน!”

เจ้าบ้านเจิ้งรีบค้อมตัวทำมือคารวะเอ่ยคำอำลาอย่างเคารพนอบน้อม

เจิ้งจุนหลินยังคงยืนอยู่ที่เดิมอย่างล่องลอย

ส่วนเจิ้งจุนเซี่ยนนั้นยังคงแน่นิ่งอยู่บนพื้นด้วยใบหน้าขาวซีด เลือดไหลนองเต็มไปใบหน้า

เขามองตามเฉินตงที่เดินออกไปอย่างสบายๆ ความคิดน่าสยดสยองอย่างหนึ่งไหลทะลักเข้ามาหอบตัวเขาออกไป

เป็นอย่างที่คิด

วินาทีต่อมา

เมื่อเจ้าบ้านเจิ้งเงยหน้าขึ้นมายืนเหยียดตรงแล้ว

เขาก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาไร้อารมณ์ที่ดังสะท้อนไปทั่วโถงด้านในราวเสียงฟ้าร้องกระหึ่ม

“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ยึดอำนาจและทรัพย์สินทั้งหมดของเจิ้งจุนเซี่ยนและพวก ห้ามยื่นมาเข้ามายุ่งกิจการใดๆ ของตระกูลเจิ้ง มีฐานะเป็นเพียงลูกจ้างคนหนึ่ง ถอดถอนรายชื่อผู้เข้าร่วมตำแหน่งเจ้าบ้านทุกคน!”

เปรี้ยง!

เจิ้งจุนเซี่ยนตัวสั่น สายตาของเขาแดงก่ำ น้ำตาคลอล้นทะลักออกมา

คำสั่งนี้ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามีไปหมดไป ไม่สิ พรากทุกอย่างจากเขาไปจนหมดสิ้น!

แต่ไม่มีใครสังเกตทันเห็นว่าเจ้าบ้านเจิ้งรับโทรศัพท์

เพราะความสนใจของทุกคนพุ่งตรงไปที่เฉินตงกับเจิ้งจุนเซี่ยน

เวลานี้ทุกคนต่างเห็นว่าใบหน้าของเจิ้งจุนเซี่ยนเต็มไปด้วยความเคียดแค้น

บรรยากาศในงานอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของเชื้อเพลิงที่กำลังจะปะทุ

เฉินตงหันไปสบตาเจิ้งจุนเซี่ยนแล้วค่อยๆ หรี่ตาลง

ส่วนท่านหลงกับคุนหลุนที่อยู่ข้างกายเขาก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน

คุณชายของตนถูกเครือญาติของคุณชายของที่อยู่เมืองห่างไกลความเจริญหยามเกียรติ

“เจิ้งจุนเซี่ยน แกคิดว่าตัวเองเป็นใคร ถ้าวันนี้แกยุ่งกับเพื่อนฉัน ฉันไม่ปล่อยแกไปแน่!”

เจิ้งจุนหลินเกรี้ยวกราดขึ้นแล้วยกมือขึ้นไปดึงมือของเจิ้งจุนเซี่ยนที่วางอยู่บนไหล่

เพี๊ยะ!

เจิ้งจุนเซี่ยนเอามือของตนปัดมือของเจิ้งจุนหลินออก

อย่างรุนแรง

เจิ้งจุนหลินขมวดคิ้วแน่น มือของเขาบวมแดงขึ้นมาในทันที

ส่วนลูกพี่ลูกน้องคนอื่นๆที่ล้อมเจิ้งจุนเซี่ยนอยู่ก็ก้าวออกไปข้างหน้า ไปยืนขนาบข้างเจิ้งจุนหลินแล้วผลักเจิ้งจุนหลินไปข้างหลังสองก้าวอย่างเสียมารยาทโดยไม่สนใจรอบข้าง

ในความคิดของพวกเขา ขอแค่มีกฎของตระกูลเจิ้งอยู่

คุณชายใหญ่อย่างเจิ้งจุนหลินก็ไม่มีค่าอะไรให้พวกเขาต้องกลัว

เพราะแม้แต่เจ้าบ้านเองก็ไม่สนใจลูกชายที่ไร้ประโยชน์คนนี้

เจิ้งจุนหลินพยายามโต้ตอบ แต่สู้แรงของคนสามคนไม่ได้

“พวกแกมีสิทธิ์อะไรมาห้ามฉัน”

เจิ้งจุนเซี่ยนหันมามองเจิ้งจุนหลินอย่างดูแคลนแล้วหัวเราะอย่างไร้ความรู้สึก “จุนหลิน อย่าคิดว่าเพื่อนของแกสำคัญนักเลย คนสามคนนี้คงจะรู้จักแกได้ไม่นานล่ะมั้ง พวกเพื่อนเสเพลแบบนี้แกยังอุตส่าห์เอาพวกเขามานั่งที่โต๊ะวีไอพี คุณชายใหญ่ตระกูลเจิ้งอย่างแกไม่รู้จักมารยาทธรรมเนียมบ้างเลยหรือไง!”

คงไม่มีใครคาดคิดว่าลูกพี่ลูกน้องจะกล้าต่อว่าลูกชายแท้ๆ ของเจ้าบ้านต่อหน้าคนจำนวนมากเช่นนี้

ภายในโถงด้านใน บรรยากาศที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะเฮฮา หยุดลงในทันที

ทุกสายตาต่างมาหยุดรวมกันอยู่ที่โต๊ะที่อยู่ใกล้ประตูบานนี้

มีทั้งประหลาดใจ เห็นเป็นเรื่องสนุกและเฝ้ามองอย่างเรียบเฉยไม่รู้สึกรู้สาอะไร…

“ธรรมเนียม?”

มีเสียงหนึ่งกล่าวล้อเลียนขึ้น

เจิ้งจุนเซี่ยนขมวดคิ้วแน่นจนปรากฏรอยย่น เขาหันหน้าขวับมาจ้องเฉินตงอย่างมาดร้าย

เฉินตงหรี่ตา นัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยความหนาวสะท้าน

สายตาที่ใช้มองเจิ้งจุนเซี่ยนราวกับมองตัวตลก

“คุณเอาความกล้าหาญมาจากไหนถึงนับว่าฉันกับจุนหลินเป็นพวกเสเพลย์ คุณไม่มีคุณสมบัติในการเป็นคนใช้คอยยกเท้าให้ฉันด้วยซ้ำ การที่ฉันมาร่วมงานตระกูลเจิ้งได้ถือว่าเป็นเกียรติของตระกูลเจิ้งมากแล้ว!”

เปรี้ยง!

คำพูดนี้ราวกับเสียงฟ้าผ่าดังสนั่น

เจิ้งจุนหลินขนหัวลุกแล้วมองไปที่เฉินตงอย่างหวาดๆ

“นายพูดแบบนี้เป็นบ้าไปแล้วหรือไง”

การที่เฉินตงพูดแบบนี้ในสถานการณ์ตอนนี้ ถือเป็นการเปิดโอกาสให้เจิ้งจุนเซี่ยนลงไม้ลงมือได้เลย!

และก็เป็นอย่างที่คาดไว้!

เจิ้งจุนเซี่ยนฟิวส์ขาด “มาจับหมาสามตัวนี้โยนออกไปเดี๋ยวนี้!”

ทันใดนั้น การ์ดของตระกูลเจิ้งก็รุมทึ้งเข้ามาราวฝูงผึ้ง

ในเมืองนี้ ตระกูลเจิ้งเป็นตระกูลมั่งคั่งที่ไม่มีอะไรต้องกลัว

สูงส่งอยู่เหนือคนอื่น มองข้ามหัวประชาชน

งานเลี้ยงฉลองวันเกิดที่สะเทือนไปทั้งเมือง

คนนอกที่มาร่วมงานกลับพูดจาสามหาวเช่นนี้ จะให้ตระกูลเจิ้งเอาหน้าไปไว้ที่ไหน

และแทบจะเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน

ท่านหลงกับคุนหลุนเขยิบตัวไปด้านข้างเพื่อปกป้องเฉินตงเอาไว้ซ้ายขวา เผชิญหน้ากับการ์ดที่มีท่าทางดุดันเหล่านั้น

“แกอยากรนหาที่ตายเอง!”

เจิ้งจุนเซี่ยนแผดเสียง แล้วง้างมือเล็งไปที่เฉินตง

“หยุดเดี๋ยวนี้เจิ้งจุนเซี่ยน!”

เจิ้งจุนหลินรู้สึกเดือดดาลที่ได้เห็นเหตุการณ์แบบนี้

หมัดนี้ของเจิ้งจุนเซี่ยนไม่เพียงต้องการจะทำร้ายร่างกายเท่านั้น แต่ยังเป็นการเหยียบหน้าของเจิ้งจุนหลินให้จมดิน

เพราะเขาได้ประกาศให้ทุกคนได้ยินไปทั่วแล้วว่าเฉินตงคือเพื่อนของเขา!

เมื่อสถานการณ์รุนแรง

เฉินตงยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ที่เดิม ใบหน้าของเขาเย็นชา สายตาของเขาปรากฏความอาฆาตแผ่ไปทั่ว

แต่มือทั้งสองข้างเขากลับกำหมัดเอาไว้แน่น

เขาไม่ใส่ใจเมื่อต้องเผชิญหน้ากับการลงมือของเจิ้งจุนเซี่ยน

และในตอนที่เฉินตงกำลังจะโต้ตอบกลับไป

“หยุดเดี๋ยวนี้!”

เสียงคำรามลั่นราวฟ้าพิโรธ

เจิ้งจุนเซี่ยนที่วางท่าหยิ่งผยองสั่นสะท้าน มือของเขาลอยค้างอยู่กลางอากาศ

เขาอาจจะไม่ใส่คำสั่งของเจิ้งจุนหลินได้ แต่เสียงตะโกนสั่งครั้งนี้ เขาจำเป็นต้องเชื่อฟัง

เพราะเสียงคำรามนี้เป็นเสียงของ…เจ้าบ้านเจิ้ง!

“เจ้าบ้าน!”

เจิ้งจุนเซี่ยนมองไปที่เจ้าบ้านเจิ้งอย่างหวาดหวั่น

ในตอนนั้น เฉินตงคลายมือออก แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวว่า “นายควรขอบคุณเจ้าบ้านของนายนะ ที่มาช่วยชีวิตเอาไว้ได้ทัน”

“แก……”

เจิ้งจุนเซี่ยนถลึงตาแต่ไม่กล้าไม่เชื่อฟังเจ้าบ้านเจิ้ง

ตอนนี้เจ้าบ้านเจิ้งวางมือถือลงแล้ว ความเมามายที่ปรากฏบนใบหน้าเริ่มเลือนหายไปหลังจากรับโทรศัพท์เพียงครู่เดียว สายตาของเขาเต็มไปด้วยความสับสน

ทุกสายกลับจดจ้องไปที่เจ้าบ้านเจิ้งด้วยความสงสัย

รวมทั้งเฉินตงและเจิ้งจุนหลิน

ภายใต้การจับตามองของแขกในงาน

เจ้าบ้านเจิ้งก็เดินอย่างราชสีห์เข้าหยุดตรงหน้าเจิ้งจุนเซี่ยน

เพี๊ยะ!

ฝ่ามือที่ทำเอาทุกคนต่างไร้คำพูดฟาดไปที่ใบหน้าของเจิ้งจุนเซี่ยนอย่างแรง

เสียงดังก้องราวสายฟ้าฟาด

เจิ้งจุนเซี่ยนโซเซจนหน้าแทบคว่ำลงบนโต๊ะ ตอนนี้เขาทำตัวไม่ถูก

ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างทำตัวไม่ถูกเช่นกัน

ทุกคนต่างไม่มีใครคาดคิดว่าเจ้าบ้านเจิ้งที่เดิมทียืนอยู่อีกฝั่ง จู่ๆ กลับลงมือตบหน้าเจิ้งจุนเซี่ยน

นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?

คนที่รู้สึกหวาดหวั่นมากกว่าเจิ้งจุนเซี่ยนก็คือ พี่น้องอีกสามคนที่เหลือ พวกเขาต่างเข้าใจว่าเจิ้งจุนเซี่ยนก็คือเจ้าบ้านคนต่อไป

ถ้าพูดตามสิ่งที่ถูกต้องแล้ว เวลาเช่นนี้เจ้าบ้านเจิ้งควรจะปกป้องศักดิ์ของเจิ้งจุนเซี่ยน วันหน้าหากเจิ้งจุนเซี่ยนรับตำแหน่งเจ้าบ้านแล้วจะได้รักษาอำนาจของตระกูลเจิ้งเอาไว้ได้

การโดนตบหน้าต่อหน้าฝูงชนเช่นนี้เป็นเรื่องที่ไม่มีทางเกิดขึ้น!

“เจ้าบ้านตบหน้าผมทำไมครับ”

เจิ้งจุนเซี่ยนไม่กล้าสบตาเจ้าบ้านเจิ้งโดยตรง

ทว่าตอนนี้ เจ้าบ้านเจิ้งกลับเมินเฉยใส่เขา

เขามองไปที่เจิ้งจุนหลินด้วยสายตาเป็นประกายที่ไม่หลงเหลือความโกรธอยู่อีก ดวงตาของเขาค่อยๆ ปรากฏไอน้ำบางๆ คลออยู่ในเบ้าตา

เขากล่าวออกมาด้วยริมฝีปากสั่นระริก “ลูกกิเลน……”

เปรี้ยง!

คนในเหตุการณ์ต่างมึนงง

เฉินตงเองก็ชะงักไปเช่นกัน

ลูกกิเลนเป็นคำที่ใช้ชื่นชมลูกชายที่มีความสามารถเหนือคนอื่น

แต่โดยส่วนใหญ่แล้วเอาไว้ใช้ยกย่องผู้อื่น ไม่ค่อยมีใครกล้าใช้คำนี้เรียกลูกของตัวเอง

ยิ่งไปกว่านั้น ในตระกูลเจิ้ง เจิ้งจุนหลินไม่เคยต่อกรกับพวกเจิ้งจุนเซี่ยนได้เลย

สายตาของเฉินตงมองไปที่มือถือของเจ้าบ้านเจิ้งโดยอัตโนมัติ สายตาของเขาวับไหว

“พ่อ เรียกผมว่าอะไรนะ”

เจิ้งจุนหลินสับสน กี่ปีมาแล้ว?

ที่เขาไม่ได้ยินคำชมที่ออกมาจากพ่อของตัวเอง

กล่าวคำว่า ลูกกิเลนต่อหน้าผู้คนในงานเช่นนี้ นี่ถือเป็นคำชมที่สุดยอดแล้ว!

“ดี ดี ดี!”

ดวงตาของเจ้าบ้านเจิ้งคลอไปด้วยน้ำตา เขามองไปยังเจิ้งจุนหลินแล้วพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรงก่อนจะยิ้มอย่างชื่นชม

จากนั้น ภายใต้การจับจ้องด้วยความแปลกใจของแขกในงาน

เขาก็หันหน้ากลับไปหาเฉินตงแล้วยิ้มอย่างอบอุ่น “เชิณคุณเฉินไปนั่งที่โต๊ะวีไอพีครับ ตระกูลเจิ้งของพวกเราดูแลไม่ดี โปรดให้อภัยพวกเราด้วย”

เปรี้ยง!

ภาพเช่นนี้ราวกับค้อนหนักๆ ที่ทุบลงไปบนดวงตาของทุกๆ คน

มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?

เจิ้งจุนหลินตกตะลึง

เจิ้งจุนเซี่ยนและพวกเองก็งงงวยเช่นกัน มีเพียงเสียงอู้อี้อยู่ในหัวของพวกเขา

ทว่าเฉินตงกลับยิ้มออกมาอย่างเข้าใจ

เขาเงยหน้ามองไปยังด้านในของคฤหาสน์

เมื่อท่านหลงกับคุณหลุนเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ในใจของสั่นสะท้าน

“เชิญคุณเฉินนั่งด้านนี้ครับ!”

เจ้าบ้านเจิ้งกล่าวด้วยเสียงอันดังอีกครั้ง คราวนี้เขาก้มหัวลงเล็กน้อยด้วย

หัวใจของเจิ้งจุนเซี่ยนเต้นแรง เขามองไปทางเจ้าบ้านเจิ้งที่เอ่ยอย่างนอบน้อมและค้อมเอวลง ภาพนี้คล้ายเป็นมือหยาบๆ ที่กำลังบีบคอของเขาอยู่ ทำให้เขาหายใจติดขัด

เฉินตงหันกลับมามองเจ้าบ้านเจิ้ง

เขาขยี้จมูกก่อนจะยิ้มอย่างแปลกประหลาด

“ขอโทษด้วยที่เฉินตงไม่สำนึกบุญคุณ เมื่อครู่นี้เจิ้งจุนเซี่ยนผู้นี้บอกเอาไว้ว่า ไม่อนุญาตให้หมาแมวอย่างเราไปนั่งร่วมโต๊ะด้วย”

เมื่อเห็นพวกเจิ้งจุนเซี่ยนสี่คนกระซิบกระซาบแล้วมองมาทางตนอย่างดูแคลน

เจิ้งจุนหลินอดไม่ได้ที่จะหลุดด่าออกมา “พวกชั้นต่ำ!”

เฉินตงอมยิ้มแล้วมองไปทางพวกของเจิ้งจุนเซี่ยนทั้งสี่คน แววตาของเขาเย็นเฉียบ

งานเลี้ยงของตระกูลเจิ้งจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติ

แขกเหรื่อจำนวนมากพยายามมาที่นี่เพื่อร่วมอวยพร

ที่นั่งภายในโถงด้านในเต็มทุกที่อย่างรวดเร็ว

เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืน

นอกคฤหาสน์ เสียงพลุดังสนั่นจนหูอื้ออึง

จากนั้นขั้นตอนสำคัญของพิธีก็เริ่มขึ้น มีเสียงประกาศเริ่มพิธี

เสียงปรบมือดังสนั่นขึ้น

บนเวที ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งสวมเสื้อคอจีนสีแดงเดินขึ้นมาบนเวทีช้าๆ

แขกในงานทั้งหมดยืนขึ้น ทุกสายตาจับจ้องไปที่ชายวัยกลางคนด้วยความเลื่อมใส

“นั่นพ่อของคุณหรอ”เฉินตงถามขึ้น

“อืม” เจิ้งจุนหลินพยักหน้าอย่างสงบ

และในเวลาเดียวกันนั้น

ชายวัยกลางคนบนเวทีขมวดคิ้วแน่นจ้องมองมาทางนี้

เมื่อสายตามาหยุดอยู่ที่ร่างของเจิ้งจุนหลิน สายตาก็แปรเปลี่ยนไปเป็นความโมโห

เห็นได้ชัดเจนว่าการที่คุณชายใหญ่ตระกูลเจิ้งไม่ยอมนั่งโต๊ะวีไอพีร่วมกับพ่อ แต่กลับไปนั่งอยู่ตรงโต๊ะตรงประตูของโถงด้านในที่ถือว่าเป็นตำแหน่งระดับต่ำนั้น ทำให้ชายวัยกลางคนผู้นั้นไม่พอใจอย่างยิ่ง

หรือพูดได้อีกอย่างหนึ่งว่า ลูกชายคนนี้กำลังตบหน้าพ่อของตัวเอง!

“หึ! ตอนนี้รู้แล้วหรอว่าฉันเป็นลูกเขาอีกคนด้วย”

เจิ้งจุนหลินยิ้มอย่างไร้ความรู้สึกแล้วนั่งลงบนเก้าอี้อย่างสบายอารมณ์ จึงยิ่งทำให้แปลกแยกออกจากคนที่อยู่บริเวณรอบๆ

ชายวัยกลางคนผู้นั้นยืนสง่างามอยู่บนเวที สีหน้าของเขายิ้มแย้มและกล่าวบทพูดด้วยคำพูดที่เข้าใจง่ายเพื่อนำไปสู่การเริ่มงานเลี้ยง

แขกทั้งหมดจึงนั่งลงและเริ่มรับประทานอาหาร

ด้านหน้าเวที โต๊ะวีไอพีทั้งสามโต๊ะกลายเป็นที่จดจ้องของคนทั้งงาน

แขกที่เดินมาขอชนแก้วกับโต๊ะวีไอพีทั้งสามมีมาอย่างไม่ขาดตอนราวกับสายน้ำไหล

คนที่นั่งโต๊ะวีไอพีทั้งสามล้วนเป็นคนที่ได้รับการนับหน้าถือตาในตระกูลเจิ้งและหนุ่มสาวที่มีความสามารถโดดเด่นในรุ่นต่างเข้ามาชนแก้วกับเจ้าบ้านเจิ้ง

ส่วนโต๊ะของเฉินตงกัยเจิ้งจุนหลินกลับไม่ค่อยได้รับความสนใจเท่าไรนัก

และเพราะเจิ้งจุนหลิน ทำให้แขกคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่ที่โต๊ะนี้เริ่มรู้สึกเกร็งและหวาดระแวง

ใครๆ ต่างก็รู้ว่าเจิ้งจุนหลินเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลเจิ้ง แถมยังโดนจับตามองจากเหตุการณ์เมื่อครู่นี้

เมื่อคุณชายใหญ่ตระกูลเจิ้งนั่งอยู่ตรงนี้ด้วย แค่พวกเขาคิดจะไปขอชนแก้วคารวะเจ้าบ้านเจิ้งยังเกิดความลังเลใจ

“ในโอกาสงานฉลองวันเกิดของเจ้าบ้าน กระผมจุนเซี่ยนขอมอบของเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ให้เป็นของขวัญแก่เจ้าบ้าน”

ในตอนนั้นเอง เจิ้งจุนเซี่ยนที่นั่งอยู่ข้างๆ เจ้าบ้านเจิ้งก็ลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

และประโยคนี้ยังสามารถดึงดูดความสนใจสายตาของทุกคนได้

ริมฝีปากของเฉินตงปรากฏรอยยิ้มแข็งกร้าว พลางคิดในใจว่า “ดึงดูดความสนใจเก่งเสียจริงนะ”

งานวันเกิดของเจ้าบ้าน รายการของขวัญวันเกิดทุกชิ้นต่างทุกจดเอาไว้ในบันทึกตั้งแต่ตอนที่เดินเข้ามาในคฤหาสน์แล้ว

เจิ้งจุนเซี่ยนนำของขวัญมามอบให้กลางโต๊ะอาหารเช่นนี้ เห็นได้ชัดเจนว่าเขาต้องการเป็นที่สนใจ

จากนั้นเฉินตงจึงเหลือบไปมองเจิ้งจุนหลินโดยอัตโนมัติ

เห็นได้อย่างชัดเจนว่า

เจิ้งจุนหลินในเวลานี้สีหน้าเขียวคล้ำ และกัดฟันเอาไว้แน่น

ส่วนบริเวณโต๊ะวีไอพีด้านหน้า เจ้าบ้านเจิ้งกำลังยิ้มอย่างพออกพอใจโดยไม่ได้ขัดอะไร แถมยังมองเจิ้งจุนเซี่ยนด้วยสายตาชื่นชมอีกด้วย

จากนั้นจึงตามด้วยเสียงอ่านรายการของขวัญ

“พระพุทธรูปหยกหยกโฮตันหนึ่งองค์”

“หินทิเบต 3 ตาหนึ่งเม็ด”

“เจ้าแม่กวนอิมทองคำบริสุทธิ์99% หนึ่งองค์”

……

ในโถงด้านในมีเสียงฮือฮาดังขึ้น

บรรยากาศเต็มไปด้วยความโออ่า

“พระเจ้า ของขวัญพวกนี้มูลค่ารวมเกินหนึ่งล้านใช่ไหมน่ะ คุณชายจุนเซี่ยนใจกว้างมากเลย”

“ใจกว้างอะไรเล่า นี่คือการแสดงน้ำใจต่อเจ้าบ้านเจิ้ง เขามีน้ำใจเต็มเปี่ยมจริงๆ”

“ไม่เสียดายเลยที่คุณชายจุนเซี่ยนเป็นอันดับหนึ่งของคนรุ่นหนุ่มสาวตระกูลเจิ้ง จัดการทุกอย่างไม่เหมือนอย่างคนธรรมดา พอลองเทียบกันดูทำให้คนบางคนกลายเป็นคนอกตัญญูและใจแคบไปเลย!”

……

เสียงซุบซิบนินทาของแขกในงานดังระงม

ทำให้เฉินตงขมวดคิ้วเล็กน้อย และรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเจิ้งจุนหลินที่นั่งอยู่ข้างๆ กำลังตัวสั่น

โทสะที่กำลังเดือดดาลราวเปลวเพลิงที่ลุกโชน

“ดีๆๆ จุนเซี่ยน ไม่เสียแรงที่ฉันสั่งสอน เจ้าคือความภาคภูมิใจของคนในตระกูลเซี่ยน”

เจ้าบ้านเจิ้งหน้าตาเบิกบาน กล่าวชมออกมาด้วยเสียงดังฟังชัด ความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดนี้ทำให้คนที่กำลังวางแผนบางอย่างค่อยๆ เดาความหมายได้

ส่วนเจิ้งจุนเซี่ยนกับพวก เมื่อได้ยินคำกล่าวชมเช่นนี้ก็ดีใจจนหน้าบาน

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคำพูดเช่นนี้เป็นการบอกทางอ้อมถึงคนที่จะรับตำแหน่งเจ้าบ้านคนต่อไป!

ทว่ากลับไม่มีใครสังเกตเห็นว่าระหว่างที่เจ้าบ้านเจิ้งกำลังกล่าวคำพูดเช่นนี้นั้น สายตาของเขาแอบเหลือบไปมองเจิ้งจุนหลินที่กำลังนั่งกัดฟันกรอดอยู่

เมื่อดื่มกินกันไปจนถึงช่วงท้ายของมื้ออาหารแล้ว

คนในงานก็เริ่มชนแก้วกับแขกคนอื่นๆ และพูดคุยกันอย่างครึกครื้น

เจ้าบ้านเจิ้งเป็นจุดสนใจตลอดงานเลี้ยงนี้ ทำให้เขาดื่มเข้าไปมากจนตอนนี้สายตาเริ่มพร่าจากอาการเมา

และด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์นี้เองที่ทำให้เจ้าบ้านเจิ้งลุกขึ้นยืน

“จุนเซี่ยน พวกเธอคือความภาคภูมิใจของตระกูลเจิ้ง ดังนั้นไปชนแก้วกับแขกเหรื่อคนอื่นๆ ในงานด้วยกันเถอะ”

แขกภายในโถงด้านใน ล้วนเป็นคนที่มีหน้ามีตาใหญ่โตในเมืองนี้

เดิมทีเจ้าบ้านเจิ้งก็เป็นคนที่มีมนุษยสัมพันธ์ดีอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่ชอบนั่งอยู่กับที่เฉยๆ เพื่อรอให้คนอื่นมาอวยพรและขอดื่มคารวะด้วย นี่คือกฎของเขา

เจ้าบ้านเจิ้งเดินไปขอชนแก้วกับทุกโต๊ะด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเบิกบาน

ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

เขาก็พาพวกเจิ้งจุนเซี่ยนเดินมายังโต๊ะที่อยู่ตรงประตูใหญ่ และหยุดยืนอยู่ด้านหน้าเฉินตง

ทว่ารอยยิ้มที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของเจ้าบ้านเจิ้งก็หายไปเป็นปลิดทิ้งด้วยเมื่อหันไปมองเจิ้งจุนหลิน

“ลูกเนรคุณ!”

จู่ๆ เจ้าบ้านเจิ้งก็กัดฟันและต่อว่าเจิ้งจุนหลิน “งานเลี้ยงวันเกิดของพ่อแกแท้ๆ แกไม่ใช้ฐานะคุณชายใหญ่ของตัวเองไปต้อนรับแขกในงานก็แย่แล้ว แต่นี่ยังไม่ยอมไปนั่งร่วมโต๊ะกับพ่อตัวเอง กลับมานั่งอยู่โต๊ะติดประตูแบบนี้อีก แกอยากทำให้ฉันปวดหัวใช่ไหม ได้ๆๆ ตอนนี้ในฐานะที่ฉันเป็นพ่อจะขอมาดื่มคารวะแกสักหน่อย!”

คำพูดประโยคนี้ทำให้บรรยากาศบนโต๊ะเย็นยะเยือก

แขกคนอื่นๆ เกิดความหวาดหวั่นรู้สึกราวนั่งไม่ติดเก้าอี้

ส่วนพวกของเจิ้งจุนเซี่ยนกลับยิ้มออกมาด้วยรอยยิ้มยินดีที่เห็นคนเดือดร้อน

เจิ้งจุนหลินตัวสั่นระริก จู่ๆ ความโกรธบนใบหน้าของเขาพลันหายไป

แต่กลับนั่งเอนกายสบายๆ อยู่บนเก้าอี้ “ผมพอใจที่จะนั่งเป็นเพื่อนกับเพื่อนผม”

“เพื่อน?”

เจ้าบ้านเจิ้งขมวดคิ้วแน่น แล้วมองไปที่เฉินตง ท่านหลงและคุนหลุน

ในตอนนั้นเอง

เจิ้งจุนเซี่ยนพลันเอ่ยออกมาอย่างนอบน้อมว่า “ท่านเจ้าบ้าน เป็นความผิดของผมเอง คนต่างถิ่นทั้งสามคนนี้เป็นเพื่อนกับจุนหลิน เมื่อครู่นี้คิดอยากจะนั่งกับจุนหลินที่โต๊ะวีไอพี จุนเซี่ยนรู้สึกว่าการกระทำเช่นนี้ออกจะไร้มารยาทเกินไป จึงเชิญคนต่างถิ่นทั้งสามคนนี้มานั่งตรงนี้ จุนหลินไม่พอใจขึ้นมาก็เลยออกมานั่งร่วมโต๊ะกับพวกเขาตรงนี้”

“ไร้สาระ!”

ปัง!

เจิ้งจุนหลินโกรธจัดจนใช้ฝ่ามือตบลงบนโต๊ะ “เพื่อนผมนั่งโต๊ะวีไอพีด้วยมันไร้มารยาทตรงไหน เป็นเพราะผมไม่พอใจหรือว่าพวกแกที่พยายามรังแกเพื่อนของฉันกันแน่”

เพี๊ยะ!

เจ้าบ้านเจิ้งตบหน้าเจิ้งจุนหลิน

“แกมันลูกเนรคุณ แกทำแบบนี้ในงานเพราะต้องการจะทำลายงานวันเกิดของฉันใช่ไหม”

“พ่อ……”

ตอนนั้นเจิ้งจุนหลินอึดอัดใจอย่างถึงที่สุด เขาเอามือกุมใบหน้าอย่างโกรธแค้น

“เฮ้อ……”

เฉินตงถอนหายใจออกมาแล้วค่อยๆ ลุกขึ้นยืน เขากดไหล่ของเจิ้งจุนหลินเอาไว้ “นายมันบ้าบิ่นเกินไป”

เหตุการณ์เมื่อครู่นี้ หากเจิ้งจุนหลินใจเย็นสักหน่อย ทำตัวนอบน้อมต่อหน้าเจ้าบ้านเจิ้งก็คงจะไม่เกิดเรื่องวุ่นวายถึงขั้นยากจะแก้ไขภายในชั่วเวลาพริบตาเดียวแบบนี้

ถึงอย่างไรก็เป็นพ่อลูกกัน เจ้าบ้านเจิ้งคงจะปกป้องเขาบ้าง

เพราะความบุ่มบ่ามใจร้อนของเจิ้งจุนหลินแท้ๆ ที่เอาความลำเอียงของเจ้าบ้านเจิ้งมาจุกอยู่ที่อก

“ฉัน…”

เจิ้งจุนหลินอ้าปากเตรียมจะตอบโต้

แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไรออกไป

เจิ้งจุนเซี่ยนพลันก้าวออกมาด้านหน้า แล้วปัดมือของเฉินตงที่วางอยู่บนไหล่เจิ้งจุนหลินออก

จากนั้นเขาจึงหันไปจ้องหน้างเฉินตงอย่างเอาเรื่อง

แล้วเอ่ยเสียงแข็งว่า “พวกแกสามคนเป็นสุนัขต่างถิ่น คบกับจุนหลินเพื่อเป็นเพื่อนกินเพื่อนเที่ยวกับเขาก็เท่านั้น คิดว่าพวกแกมีสิทธิ์ที่จะสอดปากเข้ามาพูดเรื่องนี้งั้นหรือ”

“เจ้าบ้านของพวกเราจะสั่งสอนลูกบ้าง มันเกี่ยวอะไรกับพวกแก ถ้าไม่ถือว่าพวกแกเป็นแขกของเจ้าบ้าน สุนัขต่างถิ่นอย่างพวกแกคงโดนลากตัวออกไปนานแล้ว ฉันขอเตือนให้พวกแกเจียมตัวหน่อย หัดสำนึกบุญคุณของคนอื่นเสียบ้าง!”

และตอนนั้นเอง

มือถือของเจ้าบ้านเจิ้งที่กำลังโกรธจัดส่งเสียงดังขึ้น

เขาหยิบมือถือออกมาด้วยอาการมึนเมา แต่เมื่อเห็นเบอร์มือถือท่าทางของเขาก็สำรวมขึ้นทันทีและรีบรับโทรศัพท์

เสียงของเขาดังราวฟ้าคำราม สะท้อนก้องไปทั่วทั้งโถงด้านใน

เรียกเสียงหัวเราะให้แขกที่มางาน

สีหน้าของท่านหลงกับคุนหลุนหมองคล้ำ

เฉินตงกลับยิ้มออกมาอย่างไร้อารมณ์ “ไปเถอะ ไปนั่งโต๊ะใกล้ๆ ประตู”

เจิ้งจุนหลินสีหน้าเขียวคล้ำ

เขารู้ว่าเฉินตงกำลังแนะนำบันไดขั้นสูงกว่าให้เขา แต่ท่าทางโอหังวางโตของพวกเจิ้งจุนเซี่ยน

ทำให้เขารู้สึกราวกับมีไฟลุกโชนสุมอยู่ในอก

เขากัดฟันอย่างโกรธแค้น เจิ้งจุนหลินผลักพวกของเจิ้งจุนเซี่ยนออก แล้วรีบเดินตามเฉินตงไปอย่างรวดเร็ว

“เจิ้งจุนหลิน งานเลี้ยงกำลังจะเริ่มแล้ว แกจะไปไหน”

ชายสูงวัยที่ถูกเรียกว่าคุณปู่สามกล่าวเสียงแข็ง

เจิ้งจุนเซี่ยนกลับยกมือขึ้นห้าม “คุณปู่สาม อย่าไปสนขยะไร้ประโยชน์เลย ท่านก็รู้นิสัยของเขาดี ปล่อยเขาไปเถอะ ตระกูลเจิ้งของพวกเราจะได้ไม่ต้องขายหน้า”

เมื่อเฉินตงและพวกนั่งลง ก็มีคนคนหนึ่งตามมานั่งข้างเฉินตงติดๆ

“พวกเขาไม่ได้ให้คุณมานั่งตรงนี้” เฉินตงมองเจิ้งจุนหลิน

เจิ้งจุนหลินยิ้ม “คนที่ชอบกดขี่คนอื่นแบบนั้น ฉันไม่อยากนั่งกับพวกมัน มานั่งโต๊ะเดียวกับนายยังสบายใจกว่า”

“ไม่เป็นไร อีกเดี๋ยวพวกเราค่อยกลับไปนั่งโต๊ะวีไอพีด้วยกัน” เฉินตงตบไหล่เจิ้งจุนหลิน

“นายพูดไร้สาระอะไรน่ะ”

เจิ้งจุนหลินกลอกตาอย่างไม่ใส่ใจ

เขารู้สึกได้ว่าเฉินตงคือคนรวยจริงๆ

แต่เศรษฐีที่มาจากที่อื่น ไม่ส่งผลอะไรในเมืองนี้ได้มากนัก

ยกเว้นเศรษฐีที่มีค่าตัวแสนล้าน

แต่เจิ้งจุนหลินไม่คิดว่าเฉินตงจะมีเงินแสนล้านจริงๆ เขาไม่เคยเห็นมหาเศรษฐีอายุน้อยขนาดนี้

เฉินตงกลับยิ้มออกมาอย่างคลุมเครือ

แต่ท่านหลงกับคุนหลุนกลับมองเฉินตงอย่างสงสัย

ท่านหลงดึงเฉินตงเข้าไปหาแล้วกระซิบถามว่า “คุณชาย ไม่ทำตามแผนเดิมแล้วเหรอครับ”

เดิมทีการมาร่วมงานวันเกิดนี้ก็เพื่อสืบข่าวของเฉินเต้าหลิน

เขารู้จักนิสัยของเฉินตงดี การนั่งโต๊ะวีไอพีแล้วต้องเจอเรื่องเช่นเมื่อครู่นี้ เขาสามารถอดทนและทำไปตามแผนเดิมได้แน่

แต่จากท่าทางการพูดของเฉินตงตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น

เฉินตงยิ้มพลางตบไหล่ของท่านหลงโดยไม่ได้กล่าวอะไร

ตอนแรกเขาก็คิดจะทำตามแผนเดิม

แต่เมื่อเห็นสิ่งที่เจิ้งจุนหลินต้องเผชิญ เขาก็รู้สึกราวกับพบเพื่อนร่วมชะตากรรม

คนทั้งสองเผชิญเหตุการณ์แบบเดียวกัน เพียงแต่เลือกวิธีการในการตอบโต้ไม่เหมือนกัน

ในเมืองเล็กๆ ที่ห่างไกลความเจริญนี้ การแสดงอำนาจสักนิดหน่อยก็คงจะไม่ส่งผลเสียอะไรมากนัก

ยิ่งกว่านั้น ในตระกูลเจิ้งนี้ เจิ้งจุนหลินสร้างความประทับใจให้เขาได้ไม่เลวทีเดียว

โต๊ะวีไอพีด้านหน้า

เจิ้งจุนเซี่ยนหันไปเหล่มองเจิ้งจุนหลิน

“พี่จุนเซี่ยน วันนี้ท่าทางของเจิ้งจุนหลินอย่างกับหมีกินผึ้ง กล้าขึ้นเสียงต่อหน้าพวกเรา”

“หมอนี่นอกจากใช้อารมณ์แล้ว ก็ไม่มีอะไรน่าสนใจ คิดจริงๆ หรือว่าใช้ฐานะของตัวเองที่เป็นลูกชายแท้ๆ ของเจ้าบ้านแล้วจะได้ทุกอย่างตามต้องการ น่าเสียดายที่ตระกูลเจิ้งของพวกเรามีกฎไม่เหมือนอย่างครอบครัวเศรษฐีอื่น”

“จริงสิพี่จุนเซี่ยน คราวนี้พี่ไปกวาดเงินในตลาดหุ้นมาได้เท่าไหร่ เงินก้อนนี้ถือเป็นชัยชนะอย่างท่วมท้น เจ้าบ้านจะต้องเอ่ยชื่นชมเรื่องนี้ให้ทุกคนในงานนี้ฟังแน่ ความสำเร็จครั้งนี้จะต้องทำให้พี่จุนเซี่ยนขึ้นแท่นนั่งตำแหน่งเจ้าบ้านอย่างมั่นคงแน่นอน!”

เมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย เจิ้งจุนเซี่ยนก็ยิ้มออกมาอย่างพอใจ

เขาเอ่ยเรียบๆ ว่า “ไม่เยอะเท่าไหร่ ก็แค่ไม่กี่หมื่นล้านเท่านั้น”

ไม่กี่หมื่นล้าน? ไม่เยอะ?

คนทั้งสามนิ่งงันไปพร้อมกัน

จากนั้นจึงต่างส่งเสียงเอ่ยขึ้นมาไล่ๆ กัน

“ไม่เสียดายเลยที่พี่จุนเซี่ยนเป็นอันดับหนึ่งของคนรุ่นเดียวกับพวกเราในตระกูลเจิ้ง เจ้าบ้านคนต่อไปจะต้องเป็นพี่จุนเซี่ยนแน่ๆ!”

เมื่อทั้งสามเอ่ยปากชมเช่นนี้ เจิ้งจุนเซี่ยนก็หน้าชื่นตาบาน

เขาชอบความรู้สึกเช่นนี้

ในฐานะที่เป็นเพียงเครือญาติ จึงไม่ได้รับความสนใจจากผู้อื่น ดังนั้นเขาจึงพยายามอย่างหนักตั้งแต่เด็กที่จะเป็นเจ้าบ้านตระกูลเจิ้งให้ได้ เพื่อจะได้รับการเคารพยกย่องจากคนอื่นๆ

การพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา ทำให้เขากลายเป็นอันดับหนึ่งในคนที่มีอายุใกล้เคียงกัน

แต่เขาก็ไม่เคยย่อหย่อนให้กับตัวเอง เพราะเขารู้ดีว่า ตราบใดก็ตามที่ตำแหน่งเจ้าบ้านยังไม่ถูกแต่งตั้ง ทุกอย่างก็มีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้

ทว่าการไปกวาดเงินหมื่นล้านในตลาดหุ้นครั้งนี้ ทำให้เขามีความมั่นใจขึ้นมาก

ชัยชนะที่โดดเด่นครั้งนี้ มากพอที่จะรับประกันตำแหน่งเจ้าบ้านให้เขาได้อย่างมั่นคง!

แต่เจิ้งจุนเซี่ยนก็ยังแสร้งทำท่าโบกไม้โบกมืออย่างถ่อมตัว

“บอกพวกนายตามตรงก็แล้วกัน อันที่จริงครั้งนี้ฟ้าประทานให้ฉันมาอย่างบังเอิญ เลยได้โชคดีแบบเช่นนี้”

“โชคดีอะไร?”

คนทั้งสามอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา เรื่องราวที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นครั้งนี้มีน้อยคนมากที่รู้เรื่อง

แต่ในฐานะที่คนทั้งสามเป็นคนที่มีความสามารถโดดเด่นของตระกูลจึงรู้เรื่องนี้ดี

ตั้งแต่เริ่ม เจ้าบ้านก็มอบหมายเจิ้งจุนเซี่ยนให้ไปเข้าตลาดหุ้นรายใหญ่

ส่วนเรื่องราวที่ลึกกว่านั้น พวกเขาก็ไม่รู้แน่ชัดอีก

เจิ้งจุนเซี่ยนยิ้มอย่างได้ใจ “อันที่จริงคราวนี้ที่ตระกูลเจิ้งของเราได้เงินมากว่าหมื่นล้านในตลาดหุ้นต้องขอบคุณผู้สูงศักดิ์คนหนึ่ง ดูเผินๆ อาจเหมือนว่าฉันเป็นคนจัดการทุกอย่างด้วยตัวเอง แต่อันที่จริงผู้สูงศักดิ์คนนั้นต่างหากเป็นผู้ควบคุมอยู่”

“ผู้สูงศักดิ์?”

คนทั้งสามตาเป็นประกายขึ้นมาพร้อมๆ กัน พวกเขารู้สึกสนใจมากยิ่งขึ้น

หนึ่งในนั้นพยายามเอ่ยกระตุ้น “พี่จุนเซี่ยน พี่อย่าเล่าขาดตอนสิ บอกพวกเรามาตามตรงเถอะ พวกเราสนิทกันขนาดนี้ จะปิดบังกันไปทำไม”

เจิ้งจุนเซี่ยนอมยิ้ม และตัดสินใจเล่าต่อ

“ผู้สูงศักดิ์คนนั้นไม่ให้ฉันเล่า แต่ฉันจะบอกให้พวกนายฟัง ศึกในตลาดหุ้นครั้งนี้ อันที่จริงแล้วเจ้าบ้านเจิ้งกับผู้สูงศักดิ์คนนั้นปรึกษากันแล้วว่าจะให้ฉันเป็นคนเข้าไปในตลาดหุ้น ซึ่งมีความนัยต้องการให้ฉันได้คะแนนจากชัยชนะครั้งนี้ จะได้เป็นการสร้างคุณสมบัติให้เหมาะสมกับตำแหน่งเจ้าบ้านของตระกูล”

ระหว่างเล่าถึงตอนนี้ เจิ้งจุนเซี่ยนอดไม่ได้ที่จะยืดตัวขึ้นอย่างภาคภูมิใจ

สายตาของเขากลับมองไปยังเจิ้งจุนหลินที่นั่งอยู่ที่ประตูใหญ่ราวกับตัวประหลาด

จะมีเรื่องอะไรน่าตื่นเต้นไปกว่าการที่คนภายในแอบกำหนดให้เขารับตำแหน่งเจ้าบ้านอีกหรือ

ถ้าหากมีก็คงจะเป็นเรื่องที่พ่อแท้ๆ ของเจิ้งจุนหลินไม่ช่วยลูกชายตัวเอง แต่กลับแอบมาช่วยเขาแทน

เมื่อได้ยินดังนั้น

คนทั้งสามพากันตกใจ

สายตาที่มองไปยังเจิ้งจุนเซี่ยน ยิ่งปรากฏความเลื่อมใสมากขึ้นไปอีก

เจิ้งจุนเซี่ยนชอบสายตาแบบนี้มาก เขาอมยิ้มพลางกวาดตามองไปรอบๆ

จากนั้นจึงลดเสียงต่ำลงกล่าวกับคนทั้งสาม

“อย่ามาหาว่าพี่ชายอย่างฉันไม่บอกเรื่องดีๆ กับพวกนายล่ะ ในงานฉลองวันเกิดคืนนี้ จะยังมีโชคดีอีกครั้ง พวกนายพยายามวางตัวให้ดีเข้า”

“ผู้สูงศักดิ์คนนั้นที่ช่วยฉันบอกว่า วันนี้ในงานเลี้ยงจะมีผู้สูงศักดิ์อีกคนหนึ่งมาปรากฏตัวที่นี่ด้วย ให้ฉันดูแลต้อนรับเขาให้ดี ฉันเลยตัดสินใจบอกพวกนายให้หูตาไวเข้าไว้ ถ้ามีโอกาสคบหากันได้ ในอนาคตจะเป็นประโยชน์กับพวกนาย”

“ผู้สูงศักดิ์? สูงศักดิ์ขนาดไหน” หนุ่มน้อยอีกคนถามขึ้น

“อย่างไรซะ ในสายตาของเจ้าบ้าน ผู้สูงศักดิ์คนนั้นเป็นผู้มีอำนาจมาก จนเจ้าบ้านให้ความเคารพเขามากราวฐานะต้อยต่ำกว่าเขา”

เจิ้งจุนเซี่ยนยิ้มอย่างมีเลศนัยพลางกะพริบตาปริบๆ “ส่วนผู้สูงศักดิ์ที่ช่วยฉันไว้เวลาพูดถึงผู้สูงศักดิ์คนนั้นท่าทีของเขาจะเปลี่ยนไปจากเดิม ใบหน้าของเขาจะเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ส่วนเจ้าบ้านเองก็จะสุขุมมากเวลาพูดกับผู้สูงศักดิ์คนที่กำลังจะปรากฏตัว ฐานะของผู้สูงศักดิ์ทั้งสองคงจะอยู่ในระดับเดียวกัน”

เปรี้ยง!

คำพูดประโยคนี้ ทำเอาสายตาของคนทั้งสามเกิดประกายไฟลุกโชน

ผู้สูงศักดิ์ที่ทำให้เจ้าบ้านเจิ้งก้มหัวให้ได้ ถ้าหากสามารถคบหากับคนผู้นั้นได้

แม้ว่าในอนาคตพวกเขาทั้งสามคนจะไม่สามารถขึ้นเป็นเจ้าบ้านเจิ้งได้ แต่อนาคตจะต้องไม่เจอทางตันอย่างแน่นอน!

ทันใดนั้น

คนทั้งสามต่างยกแก้วขึ้นแล้วชูแก้วไปยังเฉินตงอย่างเบิกบานใจ

“ขอบคุณพี่จุนเซี่ยนที่บอกข่าวนี้ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป พวกเราทั้งสามคนจะทำตามที่พี่จุนเซี่ยนบอกทุกอย่าง”

“พี่น้องบ้านเดียวกันแท้ๆ ทำไมต้องขอบคุณกันด้วย”

เจิ้งจุนเซี่ยนนั่งวางมาดอย่างสง่างามยกแก้วดื่มอย่างสบายใจ แต่สายตากลับมองไปที่เจิ้งจุนหลินที่นั่งอยู่ตรงประตูใหญ่ของโถงด้านใน

ใบหน้าดูถูกถากถางของเขายิ่งปรากฏขึ้นชัดเจน

จากนั้นจึงพึมพำว่า “คนบางคนเป็นถึงลูกชายแท้ๆ ของเจ้าบ้าน แต่กลับเป็นแค่ขยะไร้ค่า แม้แต่เจ้าบ้านที่เป็นพ่อแท้ๆ ของตัวเองยังไม่อยากช่วย ข่าวเรื่องนี้ก็คงจะยังไม่รู้ด้วยเหมือนกันล่ะมั้ง เมื่อกี้ถึงได้โวยวายไม่รู้จักกฎระเบียบจะเอาคนนอกมานั่งที่โต๊ะวีไอพี ถ้าผู้สูงศักดิ์เห็นเหตุการณ์นี้เข้า จะต้องรู้สึกไม่ชอบใจแน่ๆ นายว่ามันน่าโมโหไหมล่ะ”

เฉินตงมีสีหน้าเรียบเฉย เขามองไปยังประตูใหญ่ของโถงด้านใน

ตอนนี้มีวัยรุ่นท่าทางน่าเกรงขามคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามายังลานด้านในโดยมีคนล้อมหน้าล้อมหลัง

วัยรุ่นคนนี้น่าจะมีอายุมากกว่าเจิ้งจุนหลินสองถึงสามปี ใบหน้าของเขาให้ความรู้สึกถึงความดุดัน ดวงตาของเขาเป็นประกายระยับ

ด้านหลังของเขายังมีวัยรุ่นสองคนเดินตามมาติดๆ

เมื่อเดินเข้ามาด้านในก็ยกมือขึ้นทำท่าคารวะแขกเหรื่อที่ยืนต้อนรับอยู่ในงาน

บรรยากาศดูยิ่งใหญ่กว่าตอนที่เจิ้งจุนหลินมาถึงมากทีเดียว

แถมเฉินตงยังรู้สึกชัดเจนด้วยว่า ท่าทางของแขกในงานที่มีต่อคนทั้งสองนั้นต่างกันราวฟ้ากับดิน

สำหรับเจิ้งจุนหลินนั้น ทุกคนต้องฝืนใจทำเพราะฐานะของเขา

แต่สำหรับจุนเซี่ยนที่กำลังเดินเข้ามาอยู่นี้ ทุกคนแสดงออกด้วยความนับถือในตัวเขา!

“เจิ้งจุนเซี่ยนเป็นเด็กหนุ่มในตระกูลเจิ้งของเรา ความสามารถโดดเด่นกว่าคนอื่น ถ้าหากไม่มีอะไรผิดพลาด อนาคตพ่อของฉันคงยกตำแหน่งเจ้าบ้านของตระกูลให้เขา”

เจิ้งจุนหลินบีบถ้วยน้ำชาในมือแน่น แล้วกัดฟันกล่าวประโยคนี้ออกมา

น้ำเสียงของเขาแสดงความไม่พอใจและคับแค้นอย่างชัดเจน

“ส่วนอีกสามคนที่อยู่ข้างหลังเขา ก็เป็นเครือญาติที่มีความสามารถเหนือกว่าคนอื่นเช่นกัน”

เฉินตงเพียงยิ้มออกมา แต่ไม่ได้เก็บมาใส่ใจอะไร

หลังจากเจิ้งจุนเซี่ยนกับพวกเดินเข้ามาแล้ว

เสียงพูดคุยรอบๆ ตัวก็ได้เปลี่ยนจากเรื่องของเฉินตงกับเจิ้งจุนหลินไปเป็นเรื่องของเจิ้งจุนเซี่ยนแทน

“คุณชายจุนเซี่ยนเปรียบเหมือนมังกร ท่าทางของเขาโดดเด่น บุคลิกของเขาคือบุคลิกของคนที่เป็นผู้นำของตระกูล”

“น่าเสียดายเจ้าบ้านตระกูลเจิ้งทั้งฉลาดทั้งมีความสามารถ แต่กลับได้ลูกไร้ความสามารถ น่าเศร้าจริงๆ”

“อย่าเอาเจิ้งจุนหลินไปเปรียบกับเจิ้งจุนเซี่ยนเลย แค่เปรียบกับคนสองสามคนด้านหลังเขาก็เทียบไม่ติดแล้ว”

……

เสียงวิจารณ์ที่ดังขึ้นรอบๆ ทำให้เจิ้งจุนเซี่ยนยิ้มออกมา

ส่วนเจิ้งจุนหลินที่นั่งอยู่ข้างๆ เฉินตงก็กำลังยิ้มอยู่เช่นกัน

แต่รอยยิ้มนี้ เต็มไปด้วยความขมขื่น

เขาเลิกคิ้วมองเฉินตง “คุณชายใหญ่อย่างฉันดูต่ำต้อยมากเลยใช่ไหม”

“ออกจะเป็นอย่างนั้น”

เฉินตงไม่ปิดบัง

วิธีการในการเลือกเจ้าบ้านของตระกูลเฉินกับตระกูลเจิ้งแทบจะไม่ต่างกันเลย

เจิ้งจุนหลินเป็นลูกชายแท้ๆ ของเจ้าบ้านเจิ้ง ส่วนเขาก็ไม่ใช่ลูกชายแท้ๆ ของเจ้าบ้านเฉินเช่นกัน

แม้ว่าสิ่งที่ทั้งสองต้องเจอจะคล้ายกัน แต่นิสัยกลับไม่เหมือนกัน

เฉินตงตบไหล่เจิ้งจุนหลิน ก่อนจะกล่าวช้าๆ ว่า “เข้าใจคำว่าสติปัญญามนุษย์เอาชนะธรรมชาติได้ไหม ยอมแพ้ต่อโชคชะตาของตัวเองโดยไม่พยายามทำอะไรเลย แล้วจะไปโทษฟ้าดินได้ยังไง”

เจิ้งจุนหลินสั่นสะท้าน แววตาของเขาล่องลอย

เฉินตงยิ้มอย่างเย็นชา “ในเมื่อใช้วิธีคัดเลือกผู้แข็งแกร่งเป็นผู้สืบทอด แล้วทำไมคุณต้องยึดติดกับฐานะของตัวเอง แทนที่จะไปคิดวิธีเอาชนะเพื่อให้ได้เป็นผู้กุมอำนาจเสียเอง”

สายตาของเจิ้งจุนหลินเวิ้งว้างล่องลอย มือขวาของเขาปล่อยแก้วชาลง

“เป็นเพราะฐานะคุณชายใหญ่ของตัวเอง เลยคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างต้องตกเป็นของตน และคิดแค้นคนที่มีความสามารถโดดเด่นกว่าตน แต่คุณเคยถามตัวเองไหมว่าถ้าคุณได้เป็นเจ้าบ้านขึ้นมาจริงๆ คุณจะเป็นได้นานแค่ไหน”

“ทำไมนายต้องพูดเรื่องนี้กับฉันด้วย” เจิ้งจุนหลินถาม

เฉินตงอมยิ้ม “ผมเหมือนกับคุณ และก็มีบางอย่างไม่เหมือนกับคุณ ผมไม่เคยโทษฟ้าโทษดินว่าไม่ยุติธรรม ดังนั้นผมเลยขยี้พวกเขาแหลกคาพื้น แต่คุณกลับฝืนทนเสียงหัวเราะเยาะ และทำได้แค่ใช้รอยยิ้มตอบโต้”

แววตาเวิ้งว้างของเจิ้งจุนหลินหายไป มือทั้งสองของเขากำหมัดแน่นจนเส้นเอ็นหลังมือปูดโปนออกมา

และในตอนนั้น

น้ำเสียงแข็งกร้าวดังแทรกขึ้นมา

“เจิ้งจุนหลิน แกไม่รู้จักกฎระเบียบบ้างเลยหรือไง”

เจิ้งจุนเซี่ยน!

เจิ้งจุนหลินหรี่ตา อารมณ์กระสับกระส่ายในใจเริ่มสงบลง จากนั้นจึงค่อยๆ หันไปมองเจิ้งจุนเซี่ยนและพวก

“กฎอะไร”

เฉินตงก็หันไปมองเจิ้งจุนเซี่ยนเงียบๆ

ตอนนี้เจิ้งจุนเซี่ยนมีคนล้อมหน้าล้อมหลัง ท่าทางของเขาแข็งกร้าวกดขี่เจิ้งจุนหลิน

คำพูดและท่าทางของเขาแสดงไม่แสดงออกถึงความนับถือ

แม้กระทั่งสายตาของเขา ก็ยังเต็มไปด้วยความดูถูกอย่างรุนแรง

เจิ้งจุนเซี่ยนยกมือขึ้นชี้พวกเฉินตง “คนสามคนนี้ไงที่ผิดกฎ! แกเป็นถึงคุณชายใหญ่ของตระกูลเจิ้ง กลับไม่รู้จักยางอาย เอาหมาแมวที่ไหนมานั่งโต๊ะวีไอพี?”

สิ้นเสียง

คุนหลุนหน้าตาเย็นเยียบเตรียมจะลุกขึ้นจัดการ

เฉินตงกลับยื่นมือออกไปกดขาคุนหลุนเพื่อห้ามเขาเอาไว้

เจิ้งจุนหลินค่อยๆ ลุกขึ้นช้าๆ สีหน้าของเขาโกรธจัด สายตาคมปลาบ

เหตุการณ์เช่นนี้ทำเอาเจิ้งจุนเซี่ยนและพวกทั้งสี่คนตกตะลึงไป

ไอ้สวะตัวนี้เปลี่ยนนิสัยไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

ภายในโถงด้านใน

สายตาทุกคู่ต่างเพ่งมองมารวมกันอยู่ที่นี่ด้วยความสงสัย

ทุกคนต่างรับรู้ถึงความคุกรุ่นของเชื้อเพลิงได้อย่างชัดเจน

แต่ปฏิกิริยาของเจิ้งจุนหลินกลับทำให้ทุกคนที่รู้จักสถานการณ์ของตระกูลเจิ้งประหลาดใจ

เมื่อก่อนเวลาที่เจิ้งจุนหลินต้องเผชิญหน้าพวกเจิ้งจุนเซี่ยน ท่าทางของเขาจะอ่อนแอขี้ขลาด

“แกยังรู้ด้วยหรอว่าฉันเป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลเจิ้ง แล้วแกมีสิทธิ์อะไรมาสั่งสอนฉัน”

เจิ้งจุนหลินแผดเสียงโต้กลับไปทันที “ถ้าปล่อยให้หมาแมวมาสั่งสอนฉัน อย่างนั้นฉันจะเป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลเจิ้งได้อย่างไร”

ห๊า!

ในโถงด้านใน เกิดเสียงโวยวายดังขึ้นมา

เสียงวิจารณ์สนั่นดังอื้ออึงขึ้นมาทันที

“วันนี้เจิ้งจุนหลินเป็นบ้าอะไรขึ้นมา ทำไมถึงเปลี่ยนไปเป็นคนละคนแบบนี้”

“กฎของตระกูลเจิ้งเป็นแบบนี้อยู่แล้ว วันนี้เจิ้งจุนหลินกินยาผิดหรือยังไง เขาคิดจะทำลายงานวันเกิดพ่อตัวเองหรอ”

……

เจิ้งจุนเซี่ยนชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มเยาะออกมา

“คุณชายใหญ่ตระกูลเจิ้ง? พอให้ค่าแกก็เรียกตัวเองว่าคุณชายใหญ่ตระกูลเจิ้ง แกมันคนไร้ความสามารถ เอาแต่พึ่งบารมีของพ่อตัวเอง รอให้เปลี่ยนเจ้าบ้านก่อนเถอะ แกจะยังกล้าโอหังแบบนี้อยู่ไหม”

เมื่อสิ้นเสียง

สามคนที่อยู่ข้างหลังเจิ้งจุนเซี่ยนก็ส่งเสียงหัวเราะเยาะดังขึ้น

“เจิ้งจุนหลิน วันนี้เป็นวันเกิดของพ่อแก แม้พวกเราจะเป็นแค่ญาติ แต่แกทนเห็นพวกเราเก่งกว่าแกไม่ได้น่ะสิ ที่ทำแบบนี้ก็เพราะคิดจะก่อกวนงานวันเกิดพ่อตัวเองใช่ไหม”

“เจิ้งจุนหลิน ฉันแนะนำให้แกใจเย็นหน่อยนะ ขืนแกทำแบบนี้ ตอนที่พ่อแกออกมาก็ต้องเข้าข้างพวกเราอยู่ดี อย่าลืมว่าที่ผ่านมาก็เป็นแบบนี้มาตลอด!”

“รีบไล่พวกหมาแมวนี่ไปนั่งด้านหลังซะ หรือไม่งั้นแกจะตามไปนั่งข้างหลังด้วยก็ได้ พวกเราจะได้มีที่นั่งมากขึ้น อย่าทำให้พวกเราต้องเสียเวลา”

เจิ้งจุนหลินก้มหน้า มือทั้งสองที่กำหมัดแน่นกำลังสั่นระริก

ความอับอาย ความโกรธ ความไม่ยอม อารมณ์ทุกอย่างแทรกซึมไปทั่วร่าง

เขากัดฟันด้วยสายตาดุดัน จากนั้นจึงชี้ไปที่พวกเฉินตง “พวกเขาเป็นเพื่อนฉัน ฉันจะดูซิว่าวันนี้ใครจะกล้าไล่เขาไป!”

เพื่อน?

เฉินตงอ้าปากค้างก่อนจะหัวเราะออกมา

“ใครก็ได้มาจับตัวสามคนนี้ออกไป!”

เจิ้งจุนเซี่ยนโบกมือเรียกคนด้วยท่าทางวางโต

ตอนนั้นการ์ดของตระกูลเจิ้งเจ็ดแปดคนจึงเดินล้อมเข้ามา

“พวกแกกล้ารึ!”

เจิ้งจุนหลินตวาดเสียงแข็ง

แต่การ์ดตระกูลเจิ้งกลับไม่มีใครสนใจและเดินหน้าเข้ามา

เหตุการณ์นี้ทำให้เจิ้งจุนหลินกัดฟันแน่น และก็ยิ่งทำให้เจิ้งจุนเซี่ยนหัวเราะออกมาอย่างได้ใจ

ตอนที่เจิ้งจุนหลินที่กำลังเดือดดาลเตรียมจะด่ากราดออกมานั้น

ปลายหางตาก็หันไปเห็นคนสูงวัยคนหนึ่งเดินเข้ามา

“เพี๊ยะ!”

เสียงตบหน้าดังก้องกังวาน

ชายสูงวัยคนนั้นตำหนิออกมา “คนไร้ค่าอย่างแก วันๆ เอาแต่พึ่งใบบุญที่ตัวเองเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลเจิ้งก็แย่พออยู่แล้ว วันนี้งานวันเกิดของพ่อแกแท้ๆ แกยังคิดจะก่อเรื่องอีกหรือไง น้ำเสียงแบบนี้คือน้ำเสียงที่แกใช้พูดกับพวกของเจิ้งจุนเซี่ยนรึ”

“คุณปู่สาม!”

ตอนนั้นเจิ้งจุนหลินมึนงง แก้มของเขากำลังส่งความรู้สึกเจ็บแสบ

ทว่าในตอนนั้น

มีมือข้างหนึ่งวางลงบนไหล่ของเจิ้งจุนหลิน

“ช่างเถอะ พวกเราสามคนจะไปนั่งด้านหลังก็ได้ อีกเดี๋ยว พวกเขาก็คงเชิญพวกเรากลับมาเอง”

ทุกคนต่างชะงักไป

พวกเจิ้งจุนเซี่ยนระเบิดหัวเราะออกมา

หมอนี้คงเป็นพวกตัวตลกล่ะมั้ง

คิดว่าพึ่งพาคนอย่างคุณชายใหญ่อย่างเจิ้งจุนหลินแล้วจะได้เปลี่ยนจากนกเป็นหงส์หรือยังไง

แม้แต่แขกที่อยู่รอบๆ ก็พากันหัวเราะขบขันอย่างดูแคลน

เฉินตงไม่ใส่ใจเจิ้งจุนหลิน

และพาคุนหลุนกับท่านหลงเดินไปข้างหลัง

ในสายตาของเขา เจิ้งจุนหลินเป็นแบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับคนคลุ้มคลั่งเสียสติ ที่ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์อะไรได้เลย

และมีแต่จะยิ่งทำให้แขกในงานหัวเราะเยาะเท่านั้น

เขามาเพื่อสืบข่าวของพ่อ

เพื่อจะได้รู้ว่าพ่อที่หายตัวไปของเขามาอยู่ที่จุนหลิน กรุ๊ปหรือไม่

หากเผยฐานะของตัวเองออกมาเพื่อแก้ปัญหาเล็กๆ แค่นี้ อย่างไรตระกูลเจิ้งก็ต้องเชิญเขาไปนั่งที่โต๊ะวีไอพีอยู่ดี

เพราะจุนหลิน กรุ๊ปของตระกูลเจิ้ง เดินหน้าได้เพราะใช้ชื่อเสียงของเขาจนกินอิ่มแปล้ในตลาดหุ้น

ทว่า

เดินไปได้เพียงสองก้าว

เสียงหัวเราะเยาะของเจิ้งจุนเซี่ยนก็ดังขึ้นตามหลังมา

“ฮ่าๆ เชิญแกหรอ? คนอย่างเจิ้งจุนเซี่ยนคงไม่ตกต่ำถึงขั้นเชิญสุนัขมาร่วมโต๊ะอาหารด้วยหรอก”

แสนล้าน?!

พนักงานต้อนรับสาวชะงัก จากนั้นจึงหันกลับมาใช้สายตามองสำรวจเฉินตง

รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอแปรเปลี่ยนเป็นใบหน้านิ่งเฉย

“ขอโทษนะคะคุณผู้ชาย วันนี้คืองานวันฉลองวันเกิดของตระกูลเจิ้ง”

พนักงานต้อนรับสาวเอ่ยด้วยท่าทางสงบ “คุณชายกรุณาอย่าล้อเล่นนะคะ”

เฉินตงไร้คำพูด

ค่าตัวแสนล้าน คงจะเป็นเรื่องที่เขาแต่งขึ้นมาเองล่ะมั้ง

ท่านหลงกับคุนหลุนที่ตามหลังมาก็มีท่าทีกระอักกระอ่วน

“ค่าตัวแสนล้าน เยอะมากเลยหรือ”

เฉินตงหยักไหล่ ที่เขามาที่งานฉลองวันนี้ เป้าหมายก็เพื่อตามหาพ่อ

ยิ่งเข้าใกล้ประธานเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีโอกาสที่จะได้ยินข่าวที่มีประโยชน์มากขึ้น

“เยอะมาก…หรือ”

ริมฝีปากของพนักงานต้อนรับสาวเริ่มกระตุก สายตาที่มองเฉินตงเริ่มเปลี่ยนเป็นการดูถูก จากนั้นจึงกล่าวด้วยเสียงเย็นชา “คุณผู้ชายคะ คุณพูดแบบนี้คิดอยากจะก่อกวนหรือคะ”

เธอไม่ได้ตั้งใจจะเสียมารยาท

แต่ในเมืองที่ประชากรไม่ถึงหนึ่งล้านคนแห่งนี้ ไม่น่าจะมีคนที่ค่าตัวแสนล้านอยู่

ต่อให้เป็นคนต่างถิ่น ก็ควรรู้จักถ่อมตัว เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามบ้างไม่ใช่หรือ

ในสายตาของเธอ คำพูดของเฉินตงไม่ถือว่าเป็นการหลิ่วตาตามเอาเสียเลย

ยิ่งไปกว่านั้น เศรษฐีที่มีค่าตัวแสนล้านจะมาร่วมงานเลี้ยงของตระกูลเจิ้งที่เมืองเล็กๆ แห่งนี้หรือ

ตอนนี้คนต่างเมืองที่ไม่ทราบค่าตัวแน่ชัด แจ้งค่าตัวตามใจเพราะอยากจะไปนั่งโต๊ะด้านหน้า

นี่คงจะเป็นแค่คนที่คุยโวโอ้อวด ตั้งใจจะมาก่อกวนล่ะมั้ง

“ก่อกวน?”

เฉินตงเลิกคิ้ว จากจึงหัวเราะออกมา

ทำตัวอย่างกับหมาเห่าเครื่องบินอย่างไรอย่างนั้น!

ในตอนนั้นเอง

“คุณชายจุนหลินมาถึงแล้ว!”

เสียงตะโกนประกาศก้อง

ตอนนั้นภายในลานเกิดเสียงอื้ออึงดังขึ้น

คนส่วนมากต่างมองไปทางประตูใหญ่ของสนามด้านใน

พวกเฉินตงเองก็เช่นเดียวกัน

เจิ้งจุนหลินสวมชุดสูทรองเท้าหนังเดินเข้ามาช้าๆ ด้วยท่าทางสบายๆ และยิ้มแย้ม

ระหว่างที่ก้าวไปข้างหน้า ก็ยกมือขึ้นขึ้นคารวะทักทายคนที่อยู่บริเวณรอบๆ ท่าทางของคุณชายใหญ่ตระกูลเจิ้งมีท่วงท่าที่สง่างามอย่างยิ่ง

“รบกวนคุณชายเฉินอย่ามัวช้าอยู่นะคะ วันนี้แขกของตระกูลเจิ้งค่อนข้างเยอะเลย ฉันไม่สามารถอ้อยอิ่งอยู่กับคุณได้”

พนักงานต้อนรับสาวเอ่ยกระตุ้นอย่างเหลืออด

สำหรับที่นี่ ตระกูลเจิ้งย่อมต้องมีความมั่นใจเช่นนี้!

ดังนั้นเธอจึงกล้าแสดงอารมณ์เช่นนี้

“รอเดี๋ยว”

เฉินตงพยักหน้าอย่างสงบ แล้วหันไปกล่าวกับคุนหลุนว่า “ไปเชิญคุณชายเจิ้งมาที่นี่”

คุนหลุนมุ่งหน้าเข้าไปหาเจิ้งจุนหลินทันที

“เชิญคุณชายเจิ้ง?”

พนักงานต้อนรับสาวตกใจ จากนั้นจึงส่งเสียงหัวเราะเยาะออกมา

คนต่างเมืองสามคนนี้ ตอแยเก่งจริงๆ

สายตาของเธอมองไปที่คุนหลุนอย่างดูแคลน

ทุกคนในเมืองนี้ต่างรู้ดีว่าเจิ้งจุนหลินเป็นคนเย่อหยิ่งถือตัว ที่ตอนนี้เขายิ้มแย้มทักทายทุกคนแบบนี้ก็เป็นเพราะเขารู้ว่าคนที่นั่งอยู่เหล่านี้คือคนใหญ่โตของเมืองนี้

แต่คนทั่วไปคิดจะเข้าไปทักทายน่ะหรือ

หากไม่โดนต่อยหน้าบวม ก็ถือว่ามีบุญมากทีเดียว

ทว่า

ในตอนนั้น

พนักงานต้อนรับสาวตัวสั่นสะท้าน ดวงตาของเธอหรี่เล็กลง

“เป็นไปได้ไง” เธอกล่าวออกมาด้วยความแปลกใจ

คุนหลุนยืนอยู่ด้านหน้าเจิ้งจุนหลิน

เจิ้งจุนหลินชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะจึงยิ้มออกมาอย่างเป็นมิตร จากนั้น…จึงเดินตามคุนหลุนมาทางนี้

ช่วงเวลานั้น พนักงานต้อนรับหญิงรู้สึกชาไล่ขึ้นมาถึงที่หัว ดวงตาของเธอเริ่มพร่าเลือน

หรือว่าคนต่างเมืองสามคนนี้รู้จักคุณชายเจิ้งจริงๆ?

“มีอะไร?”

เจิ้งจุนหลินเสียงแข็ง ทำเอาพนักงานต้อนรับสาวหน้าซีด

พนักงานต้อนรับสาวรีบร้อนอธิบาย “คุณชายเจิ้งคะ คือ ฉัน…”

เจิ้งจุนหลินโบกมือ แล้วหันมามองเฉินตง “นายมาจริงๆ สินะ”

“มาหาความครื้นเครงหน่อย”

เฉินตงหยักไหล่ “แต่พนักงานต้อนรับของตระกูลนายออกจะเข้าใจยากไปหน่อย ผมแค่ถามว่าคนที่ค่าตัวแสนล้านต้องนั่งตรงไหน แต่เธอกลับบอกว่าผมมาก่อกวน”

เฉินตงหยักไหล่ ”

“แสนล้าน?”

หางตาของเจิ้งจุนหลินกระตุก จากนั้นจึงหัวเราะออกมาอย่างแปลกประหลาด “ขับแค่รถเบนซ์จีคลาส ก็บอกว่าค่าตัวแสนล้านแล้วหรอ ฉันล่ะชอบท่าทางการโม้ของนายจริงๆ”

เมื่อเอ่ยจบ เขาก็โบกมือให้พนักงานหญิงออกไป

จากนั้นจึงยิ้มแล้วกล่าวว่า “ไปกัน ในเมื่อนายมาแล้ว ก็ไปนั่งกับฉันแล้วกัน”

พนักงานต้อนรับหญิงที่แอบถอนหายใจ แล้วหมุนตัวห่างออกไป ตอนนั้นเมื่อได้ยินประโยคนี้ใบหน้าของเธอก็ขาวซีด

พระเจ้า!

นั่งโต๊ะเดียวกับคุณชายเจิ้ง หรือว่าเขาจะเป็นคนใหญ่โตที่มีค่าตัวแสนล้านจริง?

ความหวาดกลัวแผ่ขยายไปทั่วร่างของเธอ เธอก้มหน้างุดแล้วรีบจ้ำเท้าเดินหลบไป

“เมื่อคืนท่าทางของนายไม่ได้เป็นแบบนี้” เฉินตงยิ้มแล้วมองไปทางเจิ้งจุนหลินอย่างแปลกใจ

“นายไม่เข้าใจ”

เจิ้งจุนหลินส่ายหน้า “ฉันกับนายเจอกันโดยบังเอิญ หรือให้พูดตามตรงคือ นายต่อยหน้าฉัน พวกเราสองคนถือว่าเป็นศัตรูกัน ฉันเป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลเจิ้ง ฐานะค่อนข้างอ่อนไหว งานฉลองวันเกิดของพ่อฉันวันนี้ ตามธรรมเนียมแล้วจึงไม่ควรพานายมาด้วย”

“แล้วทำไมตอนนี้ถึงพาฉันมาด้วย”

เฉินตงขยี้จมูกแล้วมองเจิ้งจุนหลินอย่างขบขัน

เมื่อครู่นี้หากเขาพูดมากอีกแค่ประโยคเดียว เกรงว่าพนักงานต้อนรับสาวคงเรียกคนให้มาไล่เขาออกไปแล้ว

“ที่ฉันตั้งใจพานายมาด้วย กับเรื่องที่เราบังเอิญเจอกัน เป็นคนละเรื่อง อีกอย่างฉันรู้สึกว่านายมีลับลมคมใน ในเมื่อนายมาถึงแล้ว ฉันเลยอยากรู้ว่านายต้องการจะมาทำอะไรที่งานวันเกิดของพ่อฉันกันแน่”

เจิ้งจุนหลินกะพริบตา จากนั้นจึงลดเสียงต่ำลง “แต่ว่านายรู้เรื่องของฉันแล้ว พอมานั่งกับฉันแบบนี้คงจะเสียอารมณ์หน่อย ฉันให้เวลานายพิจารณา ฉันช่วยให้นายย้ายโต๊ะได้นะ”

เฉินตงกล่าวว่า “ผมไม่ชินกับการนั่งแถวหลัง”

“โอเค”

เจิ้งจุนหลินผายมือพาเฉินตงกับพวกเดินไปยังโต๊ะวีไอพีด้านหน้า แล้วนั่งลง

เหตุการณ์ตั้งแต่เริ่มจนจบ เป็นเพราะเจิ้งจุนหลิน ทำให้สายตาของคนจำนวนมากหันมาสนใจเฉินตงกับพวก

เมื่อเห็นเจิ้งจุนหลินพาพวกเฉินตงไปนั่งที่โต๊ะวีไอพี คนทั้งหมดต่างพากันงุนงง

คนสามคนนี้คือใคร

กล้าดียังไงมานั่งที่โต๊ะวีไอพีของตระกูลเจิ้ง

เสียงซุบซิบค่อยๆ ดังหึ่งขึ้น

“คุณพระ โต๊ะวีไอพีของตระกูลเจิ้งทั้งสามโต๊ะ จะต้องเป็นคนใหญ่โตและผู้ที่มีชื่อเสียงโดดเด่นในตระกูลเท่านั้น เจิ้งจุนหลินคิดจะทำอะไรน่ะ”

“ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะว่าเป็นลูกชายแท้ๆ ของเจ้าบ้านเจิ้ง เจิ้งจุนหลินไม่มีคุณสมบัติใดๆ ที่จะได้นั่งโต๊ะวีไอพี แถมยังกล้าพาคนอื่นไปนั่งด้วยอีก?”

“ได้ยินเขาว่ากันว่าเจิ้งจุนหลินเป็นเพลย์บอย ได้มาเจอกับตัววันนี้ถือว่าเปิดหูเปิดตาว่าเขาเป็นคนที่ไม่รู้จักกฎระเบียบจริงๆ”

……

เสียงวิจารณ์ดังอื้ออึงขึ้นรอบๆ ตัว

เฉินตงขมวดคิ้วเบาๆ “ไม่โกรธหรอ”

ในแววตาของเจิ้งจุนหลินปรากฏความโมโหแล่นผ่านแวบหนึ่ง จากนั้นจึงยักไหล่แล้วยิ้ม “ฉันจะโกรธอะไร ชินตั้งนานแล้ว พวกเขาก็แค่กล้าพูดเท่านั้นแหละ มีที่แย่กว่านั้นรออยู่ นายต้องเตรียมใจให้ดี ตอนนี้จะย้ายไปนั่งโต๊ะอื่นก็ยังทัน”

“ผมไม่ชินกับการนั่งแถวหลังจริงๆ” เฉินตงเอนกายพิงเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน

ท่านหลงกับคุนหลุนที่นั่งอยู่อีกด้านก็กำลังอมยิ้มอยู่ เห็นได้ชัดเจนว่าพวกเขาไม่เก็บคำพูดของเจิ้งจุนหลินมาใส่ใจ

งานฉลองวันเกิดตระกูลเจิ้ง ยิ่งใหญ่สมเกียรติ

แขกวีไอพีมากันแน่นขนัด แขกเหรื่อมากมายนับไม่ถ้วน

ตลอดระยะเวลาที่เฉินตงและคนอื่นๆ นั่งมาตลอดครึ่งชั่วโมงนี้ ยังคงมีแขกถูกเชิญเข้ามาด้านในลานด้านในอย่างไม่ขาดสาย

ขนาดโถงด้านในยังเป็นเช่นนี้ ดังนั้นจึงไม่ต้องคิดถึงลานด้านนอก

ในโถงด้านในตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้ล้วนมีเสียงวิจารณ์เจิ้งจุนหลินกับพวกของเฉินตงดังขึ้นมาให้ได้ยินไม่ขาดตอน

เมื่อคนเริ่มเข้ามาเยอะมากขึ้น เสียงวิจารณ์เหล่านั้นก็ยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ

สีหน้าของเฉินตง ท่านหลงและคุนหลุนไม่แปรเปลี่ยน สถานการณ์เช่นนี้ไม่สามารถทำให้พวกเขารู้สึกร้อนใจได้

ส่วนเจิ้งจุนหลินนั้นก็ไม่ยี่หระเช่นกัน เขาเอาแต่วางท่าอย่างเพลย์บอยแล้วเล่นถ้วยน้ำชาที่วางอยู่ตรงหน้า

ทันใดนั้น

โถงด้านในพลันเงียบลงกะทันหัน

แขกในโถงด้านในจำนวนมากต่างพากันลุกขึ้นยืน

“คุณชายจุนเซี่ยนมาถึงแล้ว!”

จากนั้นจึงมีเสียงตะโกนร้องดังขึ้น

จู่ๆ เจิ้งจุนหลินก็กำถ้วยน้ำชาเอาไว้แน่น แล้วมองไปที่เฉินตงด้วยสายตาที่แปลกประหลาดไป ก่อนจะฝืนยิ้มออกมา “ตอนนี้ถ้านายอยากจะย้ายไปด้านหลังก็คงไม่ทันแล้ว”

“นายรู้ได้ยังไง” เจิ้งจุนหลินที่ยังไม่ค่อยสร่างเมา มองเฉินตงอย่างประหลาดใจ

เฉินตงลูบจมูกแล้วอมยิ้ม “อันที่จริงผมก็ต่างกับคุณไม่มากนัก”

“จริงเหรอ”

ใบหน้าอ่อนเยาว์ของเจิ้งจุนหลินปรากฏความยินดี

ความรู้สึกในการเผชิญหน้ากับเฉินตงตอนนี้เปลี่ยนเป็นความรู้สึกเห็นอกเห็นใจกันขึ้นมา

เฉินตงหันไปมองเจิ้งจุนหลินแล้วยิ้มอ่อนๆ

“ใช่ แต่ผมเป็นฝั่งเครือญาติที่เอาชนะพวกสายเลือดตรงมาได้”

เจิ้งจุนหลินชะงัก ตอนนั้นรู้สึกราวกับร่างกายของตัวเองโหวงเหวง

คำพูดของเฉินตง ทำให้ความรู้สึกเป็นพวกเดียวกันหายไป แถมยังรู้สึกราวกับจะกระอักเลือดออกมา

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับงานเลี้ยงวันเกิดของพ่อนาย” เฉินตงถาม

เจิ้งจุนหลินถอนใจ “ทุกครั้งที่มีงานเลี้ยงรวมญาติ คุณชายใหญ่อย่างฉันมักจะกลายเป็นเป้าให้ทุกคนหัวเราะเยาะ นายว่าฉันจะแฮปปี้ได้ยังไง”

“พวกเครือญาติที่พยายามจนมีความสามารถโดดเด่น ไม่เคยเห็นคุณชายใหญ่อย่างฉันอยู่ในสายตาเลย ทุกครั้งฉันเลยโดนดูถูกตลอด”

เฉินตงรู้สึกเข้าอกเข้าใจทันที การเป็นที่รังเกียจของคนอื่นไม่ว่าใครเจอเรื่องนี้ต่างก็ยากจะรับได้

ยิ่งไปกว่านั้น เจิ้งจุนหลินยังเป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลเจิ้งที่คนภายนอกต่างจับตามอง

คนนอกยกย่องสรรเสริญ แต่เมื่อกลับถึงบ้านกลับกลายเป็นตัวตลกของครอบครัว

เมื่อสถานการณ์แตกต่างกันเช่นนี้ การที่เจิ้งจุนหลินมีสภาพแบบนี้จึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้

บรรยากาศในรถเงียบสงบลงอยู่สองสามวินาที

เฉินตงจึงค่อยๆ กล่าวออกมาว่า “พรุ่งนี้ผมขอไปร่วมงานเลี้ยงที่บ้านคุณด้วยได้ไหม”

“นาย?”

เจิ้งจุนหลินมองเฉินตงด้วยสายตาแปลกประหลาด “ฉันจำคนมีหน้ามีตาในเมืองนี้ได้หมด ฉันไม่คุ้นหน้านาย คงจะเป็นคนต่างเมืองล่ะสิ”

ก็ไม่ได้โง่จนเกินไป

เฉินตงยิ้มเย็น เขานึกว่าเจิ้งจุนหลินอายุน้อยแล้วจะพูดเออออไปตามน้ำ

“นายเป็นคนนอก แต่อยากจะมาร่วมงานวันเกิดของพ่อฉัน นายรู้ไหมว่าในเมืองนี้งานวันเกิดของพ่อฉันมันหมายถึงอะไร”

สายตาที่เจิ้งจุนหลินใช้มองเฉินตงเริ่มแปลกขึ้นเรื่อยๆ

ตอนนี้เขาสร่างเมาขึ้นพอสมควรแล้ว สติสัมปชัญญะของเขาจึงเริ่มฟื้นฟูกลับมา

เรื่องราวที่เกิดขึ้นในคืนนี้ พอลองกลับมาคิดดีๆ จะเห็นว่ามีแต่ความแปลกประหลาด

คนแปลกหน้าคนหนึ่งต่อยเขาจนสลบ เพื่อที่จะชวนเขาคุย

แถมตอนนี้ยังอยากจะร่วมงานวันเกิดของพ่อตนอีก

แน่นอนว่าความสามารถของเขาอาจจะไม่ค่อยมี แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะโง่

“เป็นสถานที่ที่ทุกคนอยากไป?”

เฉินตงเอ่ยประโยคนี้ออกมา

“ใช่ ทุกคนอยากไปทั้งนั้น!”

เจิ้งจุนหลินพยักหน้าอย่างหนักแน่น และแอบวางท่าอวดเบ่ง “ในเมืองนี้ จุนหลิน กรุ๊ปของพวกเราร่ำรวยที่สุด บรรดาไฮโซที่นี่ต่างต้องเข้ามามีส่วนร่วม งานฉลองวันเกิดทุกปีของพ่อเป็นข่าวใหญ่ไปทั้งเมือง”

ร่ำรวยที่สุด?

ไฮโซของที่นี่?

เฉินตงฟังแล้วก็ยิ้มอย่างแข็งกร้าว ไฮโซของเมืองเล็กๆ แห่งนี้นับว่าเป็นไฮโซตัวจริงด้วยหรือ

จุนหลิน กรุ๊ปสามารถเอาตัวเข้ามาแทรกตอนที่ตัวท็อปของตลาดหุ้นกำลังแข่งขันกันและหอบกำไรกลับไปได้ จะไม่ให้บรรดาไฮโซในเมืองเล็กๆ แห่งนี้ยกย่องสรรเสริญได้อย่างไร

นี่ไม่ใช่ความแตกต่างระหว่างชนชั้น

แต่เป็นระดับของเมืองที่แตกต่าง!

“ก็เพราะอย่างนี้ ผมถึงอยากไปร่วม”

เฉินตงยักไหล่ “ยังไงผมก็มาเที่ยวอยู่แล้ว พอได้ยินความยิ่งใหญ่ของจุนหลิน กรุ๊ปก็อดไม่ได้ที่อยากจะไปร่วมงานด้วย ดังนั้นผมขอเข้าร่วมงานในฐานะเพื่อนของคุณได้ไหม”

“เชอะ นายคิดว่าฉันโง่ล่ะมั้ง บ๊ายบาย”

เจิ้งจุนหลินหัวเราะเย้ยก่อนจะเปิดประตูและลงจากรถไป

คุนหลุนเตรียมจะเข้ามาขวางไว้โดยอัตโนมัติ แต่เฉินตงกลับเอ่ยอย่างสงบ “คุนหลุน ปล่อยเขาไป”

เมื่อเจิ้งจุนหลินเห็นว่าคุนหลุนปล่อยเขาไป เขาก็รู้สึกหายใจทั่วท้อง

จากนั้นจึงหันมาเหล่มองเฉินตง “ลืมคำพูดเมื่อครู่นี้ที่ฉันพูดกับแกไปซะ ไม่งั้นฉันไม่รับประกันสวัสดิภาพของแกแน่”

คำพูดนี้เอ่ยเพื่อตั้งใจข่มขู่อย่างชัดเจน

ทำให้คุนหลุนกำมือขวาเอาไว้แน่น พยายามควบคุมอารมณ์ไม่ให้พลั้งหมัดออกไป

เฉินตงกลับอมยิ้มพลางพยักหน้า

เมื่อเจิ้งจุนหลินห่างออกไปแล้ว คุนหลุนจึงกลับขึ้นรถ “คุณชาย มันอวดดีขนาดนี้ ทำไมยังยิ้มอยู่อีก”

“เด็กน้อยอายุแค่ยี่สิบ ที่หยิ่งผยองจนเคยตัว พอโดนตบหน้าแบบนี้ จะไม่ให้พูดจาโหดๆ เพื่อกู้หน้าตัวเองกลับไปบ้างหรือ”

เฉินตงไม่ถือสาอะไร เขาลูบจมูกพลางยิ้ม “ยิ่งกว่านั้น ผมได้ข้อมูลที่อยากได้มาแล้ว”

“ข้อมูลอะไรหรือครับ” แววตาของคุนหลุนเป็นประกาย

“พรุ่งนี้เป็นงานฉลองวันเกิดของเจ้าของจุนหลิน กรุ๊ป คนมีหน้ามีตาในเมืองนี้จะไปรวมตัวกันที่นั่น ถึงเวลานั้นฉันก็จะไปด้วย” เฉินตงกล่าว

“พวกเราจะไปกันได้ยังไงครับ” คุนหลุนไม่เข้าใจ

“ไปมอบของขวัญไง พวกเขาจะถึงขั้นไล่ผมออกมาเลยหรือ”

เฉินตงหยักไหล่ด้วยสายตาล้ำลึก “พี่ว่า ผมจะได้เจอพ่อที่งานเลี้ยงไหม”

คุนหลุนตะลึง และไม่ได้ตอบอะไรออกมา

เฉินตงกลับหัวเราะเบาๆ แล้วเอนตัวพิงเก้าอี้

เมื่อได้รู้ว่าตระกูลเจิ้งของจุนหลิน กรุ๊ปใช้วิธีการให้ผู้ชนะเป็นผู้สืบทอดเพื่อเลือกคนที่มาทำงานต่อนั้น การคาดเดาในหัวเขาก็ยิ่งมีน้ำหนักมากขึ้น

ตระกูลเศรษฐีทั่วๆ ไปยากที่จะมีความกล้าหาญเลือกใช้วิธีการนี้ ไม่แต่งตั้งสายเลือดตรงแต่เลือกเครือญาติแทน

“ขับรถกลับโรงแรมกันเถอะ”

เฉินตงตบไหล่คุนหลุน

“แล้วท่านหลงล่ะครับ” คุนหลุนถามขึ้น

เฉินตงส่ายหัว “คืนนี้เขาคงจะยุ่งน่ะ”

……

วันต่อมา

เมื่อตะวันลับขอบฟ้า

บรรยากาศของเมืองทั้งเมืองก็เข้าสู่ความครื้นเครง

บรรดาไฮโซในเมืองนี้ต่างแห่แหนกันไปยังสถานที่เดียว

ทำให้เกิดขบวนรถยาวเหยียดที่มองลงมาจากบนฟากฟ้าก็ยังเห็นอย่างชัดเจน

ในคฤหาสน์นอกเมือง

คฤหาสน์ใหญ่โตโอ่อ่ามีเนื้อที่กว้างขวางทำให้ดูยิ่งใหญ่ตระการตา

เวลานี้โคมไฟถูกเปิดระยิบระยับ เต็มไปด้วยความรื่นเริง

คฤหาสน์หลังใหญ่นี้ตั้งตระหง่านอยู่บนทะเลทรายกว้างใหญ่ ตัดกับทะเลทรายที่อยู่ห่างไกลอย่างชัดเจน

มีเส้นแบ่งแยกความอ้างว้างกับความคึกคักออกจากกันอย่างชัดเจน

ผู้คนเคลื่อนตัวกันมาที่ประตูใหญ่

พื้นที่ว่างด้านนอกมีรถหรูจอดเต็มพื้นที่ และยังมีขบวนรถที่มุ่งหน้าเข้ามาสู่ที่นี่อย่างไม่ขาดสาย

มีเสียงตามสายประกาศข่าวสารเป็นช่วงๆ

มีการต้อนรับแขกเข้าไปด้านในอย่างมีลำดับขั้นตอน โดยนำแขกทีละคนเข้าไปร่วมงานในคฤหาสน์

รถเบนซ์จีคลาสคันหนึ่งขับผ่านทะเลทรายเข้ามาจอดในลานจอดรถด้านนอกคฤหาสน์

หลังจากลงจากรถ

เฉินตงที่สวมใส่ชุดสูทกับรองเท้าหนังก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจกับภาพตรงหน้าเช่นกัน

“งานยิ่งใหญ่ขนาดนี้ในเมืองอย่างโม่เป่ย คงจะยากที่จะได้เจอพวกผู้ดีตัวจริงแล้วล่ะมั้ง”

“เป็นเช่นนั้นล่ะครับ ได้ยินมาว่าตระกูลเจิ้งไม่ปฏิเสธแขกที่มา แค่เป็นคนที่ประสบความสำเร็จอยู่บ้างมาร่วมอวยพรก็คงจะต้อนรับไว้หมด” ท่านหลงหาววอดด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า

เฉินตงมองอย่างเอือมระอา “อายุเยอะขนาดนี้แล้ว รู้จักบริหารเวลาซะบ้าง”

จากนั้นจึงหันไปพูดกับคุนหลุนว่า “เตรียมของขวัญไว้แล้วรึยัง”

คุนหลุนพยักหน้า จากนั้นจึงถือของขวัญพลางเดินตามเฉินตงกับท่านหลงมุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์

ไม่นานนัก พนักงานต้อนรับสาวก็เดินเข้ามา

“สวัสดีค่ะคุณผู้ชาย ยินดีต้อนรับสู่งานเลี้ยงฉลองของตระกูลเจิ้งค่ะ”

เฉินตงพยักหน้านิ่งๆ แล้วหันไปส่งสัญญาณให้คุนหลุนมอบของขวัญ

พนักงานต้อนรับสาวรับของแล้วส่งต่อให้พนักงานอีกคน

จากนั้นจึงเชิญทั้งสามคนเดินเข้าไปด้านใน

เฉินตงแอบดีใจเพราะคิดว่างานฉลองวันเกิดของตระกูลเจิ้งน่าจะเข้ายาก แต่คิดไม่ถึงว่าจะเข้าไปง่ายดายขนาดนี้

“คุณผู้ชายคะ ดูจากท่าทางของคุณแล้ว คุณไม่ใช่คนแถวนี้ใช่ไหมคะ ไม่ทราบว่าทำธุรกิจอะไร ประสบความสำเร็จเรื่องไหน ค่าตัวเท่าไหร่คะ”

คำถามเช่นนี้ของพนักงานต้อนรับสาวทำเอาเฉินตงยิ้มไม่ออก

“พวกคุณถามกันตรงๆ แบบนี้เลยหรือ”

พนักงานต้อนรับสาวอมยิ้ม “พูดตามตรงนะคะ คุณท่านของพวกเราคบค้ากับคนกว้างขวาง ไม่เคยปฏิเสธผู้มาเยือน แม้ว่าคุณผู้ชายจะดูไม่ใช่คนที่นี่ แต่เมื่อมาร่วมอวยพรด้วยแล้ว พวกเราก็ควรต้อนรับ”

เมื่อเห็นเฉินตงและพวกยังคงขมวดคิ้ว พนักงานต้อนรับสาวจึงกล่าวต่อ “การถามถึงธุรกิจ ความสำเร็จและค่าตัว จึงไม่ถือว่าเป็นเรื่องเสียมารยาท แต่เป็นกฎของตระกูลเจิ้ง เรื่องนี้คนแถวนี้ต่างรู้ดี และจะได้ง่ายต่อการจัดที่นั่งให้ด้วยค่ะ”

เดินมาไม่กี่ก้าวก็เข้ามาด้านในของคฤหาสน์แล้ว

พนักงานต้อนรับสาวชี้ไปยังลานที่มีโต๊ะอาหารวางเต็มพื้นที่ “ตรงนี้คือโต๊ะด้านนอก เอาไว้ต้อนรับแขกเหรื่อทั่วๆ ไป ส่วนด้านในต่างหากถึงจะเป็นโต๊ะสำหรับผู้มาร่วมฉลองงานที่เป็นพวกไฮโซของเมืองนี้”

“อีกอย่าง ตำแหน่งที่นั่ง ยังจัดตามค่าตัวของแขกที่มาร่วมงานด้วยค่ะ”

คำพูดเรียบง่ายที่ถือว่าเป็นคำถามที่เสียมารยาท เมื่อหลุดออกมาจากปากของพนักงานต้อนรับสาวแล้วกลับดูเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล

นี่คือจุนหลิน กรุ๊ป และยังถือเป็นสิ่งที่แสดงฐานะทรงเกียรติและเป็นความภาคภูมิใจของตระกูลเจิ้งในเมืองแห่งนี้

“ผมไม่ควรได้นั่งด้านนอก” เฉินตงตอบ

“ไม่มีปัญหา ไปดูด้านในก็ได้ค่ะ” พนักงานต้อนรับสาวเดินนำไปข้างหน้า

เมื่อเดินเข้าไปยังโถงด้านใน จำนวนโต๊ะลดลงอย่างชัดเจน แถมรูปแบบยังดูหรูหรากว่าด้านนอกมาก

“คุณผู้ชายดูนี่สิคะ ตรงนี้ใกล้ประตูโถงด้านในมากที่สุดและเป็นที่สำหรับคนที่มีค่าตัวหนึ่งล้านขึ้นไป ส่วนด้านในเข้าไปอีกก็ขึ้นอยู่กับว่ามีค่าตัวเท่าไหร่ และยิ่งลึกเข้าไปค่าตัวก็ยิ่งแพง คนที่จะได้อยู่ใกล้กับประธานต้องเป็นคนที่มีค่าตัวร้อยล้านขึ้นไปค่ะ”

เมื่อเอ่ยจบพนักงานต้อนรับสาวก็หันมามองเฉินตง

“ยุ่งยากหน่อยนะคะ”

เฉินตงถูมือก่อนจะเข้าไปใกล้ๆ พนักงานต้อนรับสาวแล้วเอ่ยถามเบาๆ ว่า “ขอโทษนะครับ คนที่ค่าตัวแสนล้านต้องนั่งโต๊ะไหนครับ”

“ไม่ต้องการจริงๆ หรอ”

เมื่อเห็นเฉินตงลุกขึ้นเตรียมจะเดินออกไป แววตาของหญิงสาวคนนั้นเต็มไปด้วยความเสียดาย

แค่ครั้งเดียวได้ตั้งหนึ่งล้าน สบายกว่าอยู่กับเจิ้งจุนหลินเป็นไหนๆ

จุดสำคัญที่เหมือนกันคือต้องใช้ปาก แต่เจิ้งจุนหลินให้เธอกินเหล้าจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ส่วนเฉินตงแค่ให้เธอพูดไม่กี้ประโยค

การแลกเปลี่ยนครั้งนี้ถือว่าคุ้ม!

เฉินตงกลับไม่ได้สนใจ เอาแต่เดินตรงเข้าไปหาเจิ้งจุนหลิน

คุนหลุนเดินตามหลังเข้าไปติดๆ

ทว่าเดินเข้าไปได้เพียงไม่กี่ก้าว เสียงของท่านหลงก็ดังขึ้นตามหลังทันที

“เอา ผมเอา!”

เสียงหัวเราะร่าของท่านหลงดังขึ้น

เฉินตงกับคุนหลุนหยุดเดินทันที

จากนั้นจึงมีเสียงผู้หญิงดังขึ้นตามหลัง “แต่พี่มีแล้วนี่นา”

“มีแต่เด็กน้อยเท่านั้นที่ต้องเลือกเพียงตัวเลือกเดียว” ท่านหลงหัวเราะเสียงดัง “เอาไปคนละล้าน!”

“คุณชาย จะห้ามท่านหลงไหมครับ” คุนหลุนถามขึ้นอย่างเอือมระอา

เขาเป็นเพื่อนร่วมงานกับท่านหลงและต่างเป็นคนสนิทกับเฉินเต้าหลินทั้งคู่ แต่ความรู้ที่มีต่อท่านหลงนั้น วันนี้ต่างหากที่นับว่ากำแพงได้พังทลายลงอย่างแท้จริง

“ช่างเถอะ เราสองคนก็พอแล้ว”

เฉินตงส่ายหน้า แล้วเดินเข้าไปหาเจิ้งจุนหลิน

ที่โซฟาเลานจ์ สาวน้อยที่มีแต่กลิ่นสุราคลุ้ง กำลังเต้นไปตามจังหวะเพลง

พวกเธอเต้นคลอเคลียอยู่รอบกายเจิ้งจุนหลิน แต่สีหน้าของเขากลับเย็นชาไม่รู้สึกรู้สา

เมื่อเฉินตงกับคุนหลุนเดินเข้าไปใกล้โซฟาเลานจ์ ผู้หญิงเหล่านั้นจึงหยุดลง

“ออกไปให้หมด”

คุนหลุนก้าวออกไปข้างหน้า ร่างกายสูงใหญ่ราวกับเสาเหล็กของเขาดูทรงพลัง เมื่อเปล่งเสียงตวาดออกมาทำให้ผู้หญิงเหล่านั้นตกใจกลัวแล้วเดินหลีกออกไป

เจิ้งจุนหลินเลิกคิ้วขึ้น “แกยุ่งกับของเล่นฉันหรอ”

ของเล่น?

เฉินตงประหลาดใจ มองผู้หญิงพวกนั้นเป็นเพียงของเล่น เลยมีท่าทางไม่รู้สึกรู้สาแบบนั้นน่ะหรือ

“สวัสดี ผมชื่อเฉินตง ยินดีที่ได้รู้จักคุณชายเจิ้ง”

เฉินตงอมยิ้มแล้วยื่นมือขวาออกไป

คุณชายใหญ่ของจุนหลิน กรุ๊ป นี่แหละคือตัวละครสำคัญ!

ทว่า

เพี๊ยะ!

เจิ้งจุนหลินยกมือขึ้นตบไปที่หลังมือของเฉินตง

“ไสหัวไป!”

เฉินตงยิ้ม เขาไม่โกรธ

จากนั้นจึงนั่งลงข้างๆ เจิ้งจุนหลิน

สีหน้าเย็นชาของเจิ้งจุนหลินปรากฏความไม่พอใจ เขาเหล่มองเฉินตงแล้วกล่าวเสียงแข็งว่า “ฉันให้แกนั่งได้แล้วหรอ”

“ถ้าผมจะนั่ง ไม่มีใครกล้าห้ามผมไม่ให้นั่ง” เฉินตงโต้กลับเสียงแข็ง

ท่าทางของเขาหยิ่งผยองและแข็งกร้าว

สายตาของเจิ้งจุนหลินเข้มข้นไปด้วยความเดือดดาล

มือทั้งสองกำหมัดแน่น

เขาเป็นคุณชายใหญ่ของจุนหลิน กรุ๊ป และเป็นผู้มีอิทธิพลในเขตเมืองเล็กๆ แห่งนี้

ไม่ว่าใครต่างก็ต้องก้มหัวให้เขาทั้งนั้น

เจิ้งจุนหลินที่หยิ่งผยองเสียจนเคยตัวเอ่ยเสียงทุ้มลึกว่า “วันนี้ฉันกำลังอารมณ์เสียอยู่พอดี นี่เป็นครั้งที่สองที่เจอคนกล้าหาเรื่องกับฉัน ไปให้พ้นภายในสามวินาที ไม่งั้นฉันจะทำให้แกต้องคลานออกไปจากบาร์นี้”

“สามวินาที?”

เฉินตงเลิกคิ้วแล้วยิ้ม “ผมขอแค่วินาทีเดียวก็ทำให้คุณคลานออกไปได้แล้ว”

อะไรนะ?!

เจิ้งจุนหลินเริ่มกระสับกระส่าย

และแทบจะเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน เขารู้สึกว่าแสงสีวิบไหวตรงหน้าตัวเองค่อยๆ มืดดับลง

มีเงาร่างใหญ่บึกบึนราวภูเขาสูงเข้ามายืนขวางอยู่ตรงหน้าเขา

มือใหญ่ราวกับใบลานฟาดลงมาทันที

ตุ้บ!

เจิ้งจุนหลินโดนฝ่ามือตบเข้าใส่หน้าอย่างแรง ใบหน้าด้านหนึ่งของเขาบวมแดงขึ้นในทันที เขาหลับตาแล้วหมดสติลงบนที่นั่ง

“แบกออกไป”

เฉินตงลุกขึ้นแล้วเดินนำออกจากบาร์ไปเงียบๆ

เขาไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมแบบนี้ มันหนวกหูเกินไป

ถ้าคุยที่นี่ เขาจะไม่ค่อยมีสมาธิมากนัก

คุนหลุนแบกเจิ้งจุนหลินเดินตามเฉินตงออกไป ราวกับไม่ได้แบกอะไร

ภายในบาร์เวลานี้ เสียงดนตรีดังสนั่นหู แสงไฟมืดสลัวสุดขีด

ดังนั้นเฉินตงและพวกจึงไม่ได้ดึงดูดความสนใจของใครมากนัก

เมื่อออกจากบาร์มาแล้ว เฉินตงก็บิดเนื้อบิดตัวแล้วถอนหายใจออกมาอย่างสบายใจ

“ขอสงบๆ แบบข้างนอกดีกว่า”

และในตอนนั้นเอง การ์ดของบาร์สองสามคนก็เดินออกมา

“พี่ชาย รู้จักคุณชายเจิ้งด้วยหรอครับ”

เจิ้งจุนหลินเป็นนายทุนของบาร์แห่งนี้ ตอนนี้เมื่อโดนคนลากออกมาแบบนี้ การ์ดจึงไม่สามารถปล่อยผ่านได้

“เขาเป็นน้องชายคนเล็กของผม ดื่มเยอะเกินไป ผมก็เลยพาเขาออกมาพักบนรถ”

เฉินตงพูดด้วยท่าทีสบายๆ คุนหลุนกลับมีท่าทีแข็งกร้าว ความน่าเกรงกลัวที่ไร้รูปร่างแผ่ออกไปถึงการ์ดเหล่านั้น

การ์ดเหล่านั้นเกิดอาการหวาดผวา แต่ก็ไม่กล้าที่จะผละทิ้งไป ได้แต่เดินตามเฉินตงกับคุนหลุนออกไปยังหน้ารถ

“คุนหลุน เอาเขาเข้ามาในรถ แล้วรออยู่ด้านนอก”

เฉินตงแทรกตัวเข้าไปในรถเงียบๆ ก่อน

เมื่อการ์ดเห็นคุนหลุนเอาเจิ้งจุนหลินเข้าไปในรถ แล้วออกมายืนรออยู่ด้านนอกรถ ความไม่สบายใจของเขาก็ค่อยๆ ลดลง

จากนั้นทยอยถอยหลังออกไปทีละคนเพื่อรักษาระยะห่าง ทำเช่นนี้สามารถคุ้มกันเจิ้งจุนหลินได้ และไม่เป็นการรบกวนเฉินตงด้วย

อีกอย่างคุณชายเจิ้งยังเป็นน้องชายคนเล็กของคนบนรถ ถ้าทำให้คนแบบนี้ไม่พอใจขึ้นมา การ์ดอย่างพวกเขาคงไม่สามารถรับมือไหว

เฉินตงเปิดขวดน้ำแร่แล้วสาดน้ำไปที่หน้าของเจิ้งจุนหลิน

เจิ้งจุนหลินได้สติคืนมา แล้วจ้องไปที่เฉินตงอย่างไม่ไว้วางใจและหวาดกลัว

“แก แกคิดจะทำอะไร ฉันเป็นคุณชายใหญ่ของจุนหลิน กรุ๊ป ถ้าแกกล้าแตะต้องฉัน รับรองว่าแกออกไปไม่พ้นเมืองนี้แน่!”

เฉินตงสงบเงียบดังเดิม ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์หรือว่าการควบคุมอารมณ์ เขาล้วนอยู่เหนือเจิ้งจุนหลินทั้งสิ้น

การข่มขู่ของเจิ้งจุนหลินที่กำลังหวาดกลัวในตอนนี้ เป็นเพียงเรื่องขำๆ สำหรับเขาเท่านั้น

“ผมเพิ่งมาถึงที่นี่ ยังไม่ได้คิดจะกลับอยู่แล้ว” เฉินตงยิ้ม “วางใจได้ ผมไม่ทำร้ายคุณหรอก แค่เห็นว่าคุณดูไม่ค่อยสบายใจ ผมเองก็กำลังไม่สบายใจ เลยพาคุณออกมาคุยกันหน่อย”

คุยกัน?!

เจิ้งจุนหลินงงงวย มีเรื่องอะไรให้คุยกันหรอ มาถึงก็เริ่มตบฉาดเข้าหน้าเขาจนสลบไปแบบนี้?

เขาไม่เชื่อคำพูดของเฉินตง แต่ตอนนี้ก็ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม

“แกอยากจะคุยอะไร?”

เฉินตงขยี้จมูก “คุณมีเรื่องอะไรไม่สบายใจช่วยเล่าให้ผมฟังหน่อย ผมจะได้สบายใจขึ้น”

“แก…..” หน้าของเจิ้งจุนหลินแดงก่ำ เขากัดฟันกรอด

“หรือจะให้ผมตบหน้าคุณอีกสักที ทำอย่างนี้ผมก็สบายใจขึ้นได้เหมือนกัน” เฉินตงง้างมือขวาขึ้น

เจิ้งจุนหลินขมวดคิ้วแน่น แล้วนึกถึงเรื่องที่ตัวเองโดนตบหน้าจนสลบไปเมื่อครู่นี้ ตัวของเขาพลันสั่นสะท้านขึ้นมา

ปลายหางตาของเขาเหลือบออกไปมองเงาร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่ด้านนอกรถ

จึงอดไม่ได้ที่จะแอบกลืนน้ำลาย

หากเป็นเมื่อก่อน เขาคงวางท่าจองหองในฐานะคุณชายใหญ่ของจุนหลิน กรุ๊ปไปแล้ว

แต่คืนนี้ จิตใจของเขากำลังรู้หนักอึ้งมาก

เมื่อโดนบังคับให้ระบายความในใจออกมา เจิ้งจุนหลินก็ค่อยๆ เอ่ยปากเล่าเรื่องราวออกมาราวกับโดนมนต์สะกด

“พรุ่งนี้เป็นงานฉลองวันเกิดอายุครบห้าสิบปีของพ่อฉัน”

“งานฉลองวันเกิดพ่อคุณ คุณเลยไม่สบายใจเนี่ยนะ”

เฉินตงมองเจิ้งจุนหลินอย่างข้องใจ ลูกเนรคุณชัดๆ

เจิ้งจุนหลินส่ายหน้า “นายไม่เข้าใจความทุกข์ใจของคนรวยหรอก”

เขาเอนตัวพิงเก้าอี้ แล้วเอามือลูบหน้าตัวเองเพื่อให้สร่างเมาขึ้นบ้าง เขามองแสงไฟนอกหน้าต่างแล้วบ่นอย่างหมองหม่น

“ทุกคนต่างมองเห็นภายนอกว่าคุณชายใหญ่ตระกูลเจิ้งของจุนหลิน กรุ๊ปดูสง่างาม แต่พวกเขาไม่เข้าใจหรอกว่าในครอบครัวของฉัน การเป็นคุณชายใหญ่ไม่ได้หมายความว่าจะได้สืบทอดจุนหลิน กรุ๊ป”

“ในตระกูลของพวกเรา ต่อให้เป็นแค่เครือญาติ แต่ถ้ามีความสามารถก็สามารถเอาชนะคุณชายใหญ่ตระกูลเจิ้งได้และกลายเป็นคนบริหารกรุ๊ปได้ หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ สถานะคุณชายใหญ่ของฉันอันที่จริงแล้วต่ำต้อยมาก”

“ผู้ที่แข็งแกร่งกว่าคือผู้สืบทอด?”

ในใจของเฉินตงสะท้าน วิธีการเช่นนี้คล้ายกับตระกูลเฉินมากทีเดียว

พ่อ!

สิ่งที่เขาคาดเดาอยู่ในใจเริ่มเข้มข้นขึ้นมา

เฉินตงพยายามที่จะควบคุมอารมณ์ตื่นเต้นของตัวเองแล้วเอ่ยเสียงเย็นชา “ดังนั้นคุณชายใหญ่ตระกูลเจิ้ง อันที่จริงแล้วไร้ความสามารถ และโดนเครือญาติในตระกูลเจิ้งและจุนหลิน กรุ๊ปกดดันอย่างหนัก”

เมื่อแสงอาทิตย์ลาลับ ความมืดเข้ามาแทนที่

สถานที่อย่างบาร์เหล้าเป็นที่รวมตัวกันของคนหลากหลายอาชีพ ที่มีคนดีเลวผสมปนเปกันไป

มีบรรดาไฮโซที่กินอยู่อย่างหรูหรา และมีคนรากหญ้าที่ต้องการหาความบันเทิงใจเมื่อชีวิตไม่เป็นไปดั่งหวัง

จึงเป็นเรื่องง่ายที่จะตามสืบข่าวของจุนหลิน กรุ๊ปได้ในสถานที่เช่นนี้

อาจจะง่ายถึงขั้นดื่มเหล้าเพียงแก้วเดียว

บาร์ทไวไลท์

ที่นี่เป็นบาร์เหล้าที่ใหญ่ที่สุดของเมืองนี้ ดนตรีเฮฟวีเมทัลกำลังส่งเสียงดังสนั่นหู

ดวงไฟหรูหราหลากสีส่องลำแสงกวาดไปบนฟลอร์เต้นรำตามจังหวะเสียงเพลง

กลุ่มคนเคลื่อนกายส่ายไหวและพากันดื่มเหล้าเมามายเต็มที่ภายใต้ความมืดมิด

อากาศคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นสุราที่เสียดแทงจมูก

กริ๊ง!

เสียงเคาะกระดิ่งกังวานดังก้องขึ้นอย่างกะทันหัน

ดีเจบนเวทีกำลังสนุกสนานได้อารมณ์ “คืนนี้คุณชายเจิ้งเลี้ยง!”

เย้!

ในตอนนั้นเสียงฝูงชนดังอื้ออึงขึ้นด้วยความดีใจพร้อมๆ กับเสียงดนตรีที่เปิดดังขึ้น

ที่โซฟาเลานจ์วีไอพีในความมืดสลัวนั้น

หนุ่มวัยรุ่นที่มีใบหน้าอ่อนวัยคนหนึ่งอายุราวๆ ยี่สิบปี กำลังนั่งอยู่บนโซฟาอย่างเหนื่อยหน่าย

เขาแต่งกายด้วยชุดสูทที่ดูโดดเด่นกว่าคนทั่วไป

ผิวหน้าขาวใสของเขาสะท้อนความร้ายกาจออกมา

ทว่ารอยยิ้มของเขากลับดูเปล่าเปลี่ยวและเบื่อหน่าย

รอบๆ ตัวเขามีสาวสวยเซ็กซี่แต่งตัวจัดจ้านรายล้อมราวกับฝูงหงส์ห้อมล้อมมังกร พวกเธอกำลังดื่มด่ำกันอย่างสนุกสนาน

“คุณชายเจิ้ง ชนแก้วกันหน่อยค่ะ”

สาวสวยคนหนึ่งโน้มตัวลงเน้นให้เห็นโค้งเว้าร่างกายเย้ายวน มีกลิ่นแอลกอฮอล์โชยออกมาจากริมฝีปากแดงระเรื่อ เธอยิ้มออกมาด้วยรอยยิ้มที่ชวนมอง

เพี๊ยะ!

ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าคุณชายเจิ้งกลับหยิบธนบัตรปึกหนึ่งออกมาฟาดลงไปที่หน้าอกของสาวสวยคนนั้น

สีหน้าของเขาเย็นชาถึงขั้นดูไร้อารมณ์พลางชี้นิ้วไปยังเหล้าที่วางอยู่บนโต๊ะ “ในเมื่อเธอชอบดื่มขนาดนี้ ก็ดื่มเข้าไปให้หมดนี่เลย”

จู่ๆ ก็พูดเช่นนี้

ทำให้คนที่นั่งอยู่ในโซนโซฟาเลานจ์นี้เงียบลงทันใด

หญิงสาวคนอื่นๆ ที่รายล้อมอยู่ต่างพากันเงียบกริบไม่ปริปาก

ส่วนสาวสวยที่ถูกเงินฟาด สีหน้าถอดสีและชะงักไปในตอนนั้น

“ดื่มสิ!”

คุณชายเจิ้งล้วงเอาเงินออกมาอีกปึกหนึ่งแล้วฟาดลงบนหน้าอกของหญิงสาวคนนั้นอีก “แก้วละหมื่น เธอยิ่งดื่มเยอะเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งให้เยอะเท่านั้น! เธอชอบดื่ม ฉันก็ชอบดูเธอดื่มเหมือนกัน!”

เขาพูดพลางล้วงเงินทีละปึกออกมาวางกองอยู่ตรงหน้าหญิงสาวคนนั้น

ด้วยท่าทางหยิ่งผยอง

เพียงชั่วพริบตาเดียว พื้นที่ด้านหน้าของหญิงสาวคนนั้นก็มีธนบัตรสีแดงกระจายอยู่เต็มไปทั่ว

“นี่ถึงแสนนึงแล้วใช่ไหมน่ะ” เมื่อหญิงสาวอีกคนหนึ่งได้สติก็เอ่ยขึ้นมาอย่างตื่นเต้น

ส่วนหญิงสาวที่ถูกใช้เงินฟาดตอนนั้นได้สติกลับมาแล้ว เธอมองเงินตรงหน้าแล้วกัดฟันตัวเองแน่น จากนั้นจึงตัดสินใจหันไปหยิบเหล้าที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมาดื่ม

คุณชายเจิ้งยิ้มหยัน แล้วควักเงินปึกหนาออกมาทุ่มลงบนโต๊ะ

“จะดื่มหมดนี่เลยจริงดิ!”

หญิงสาวที่รายล้อมหลายๆ คนเริ่มได้สติกลับมา พวกเธอพุ่งเข้าไปหาสุราที่อยู่บนโต๊ะราวกับสัตว์ที่หิวกระหาย

ส่วนคุณชายเจิ้งที่มีสีหน้าเย็นชามาตลอดนั้น เวลานี้แสยะยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย

คนจำนวนมากในบาร์เหล้าแห่งนี้เริ่มหันมามอง

เป็นภาพที่ยากจะไม่ใส่ใจ เพราะทุกคนต่างรู้ว่าชายหนุ่มที่ดูอันตรายผู้นั้นเป็นคนเลี้ยงคืนนี้

ทั้งยังมีคนจำนวนมากที่มองด้วยสายตาชื่นชม

คนรวย…จะทำอะไรก็ได้

ส่วนบริเวณโต๊ะที่อยู่หน้าเวทีอีกด้านหนึ่ง เฉินตงแอบมองเหตุการณ์นั้นอยู่อย่างเงียบๆ “น่าสมเพช”

“คุณชายไม่เข้าใจหรอกครับ นี่มันเรื่องปกติมาก”

ท่านหลงโยกร่างเบาๆ ไปตามเสียงเพลง ร่างกายที่ปกติผอมบางเหมือนตัวจะหัก ตอนนี้กลับมีเรี่ยวแรงขึ้นมาอย่างน่ามหัศจรรย์

สีหน้าของคุนหลุนที่อยู่ข้างๆ แปลกประหลาด เขาคิดจะปรามท่านหลงลง

แต่ท่านหลงไม่รู้ตัว เขากระโดดโลดเต้นอย่างสนุกสุดเหวี่ยง

เฉินตงขยี้จมูกอย่างเอือมระอา ในความคิดของเขา ภาพลักษณ์ของท่านหลงนับวันก็ยิ่งพังลงทุกวัน

“คุนหลุน ไปสืบข่าวมาหน่อย”

เฉินตงไม่สนใจท่านหลง แต่สั่งให้คุนหลุนไปสืบสถานการณ์มาแทน

“คุณชาย ผมมีเสี่ยวลู่อยู่แล้วนะครับ” คุนหลุนลังเล

เฉินตงเงียบไป แต่ยังไม่ทันจะได้เอ่ยอะไรออกไป ท่านหลงก็เดินพลางโยกตัวเข้าไปยังฟลอร์เต้นรำเสียแล้ว

เฉินตง “……”

คุนหลุน “……”

“รูปหล่อ อยากได้คนเป็นเพื่อนไหมล่ะ”

สาวสวยแต่งตัวจัดจ้านสองสามคนเดินโยกตัวเข้ามายังโซฟาเลานจ์

เฉินตงส่ายหน้า “ผมกลัวพวกคุณจะมาแย่งเหล้าผมกินมากกว่า”

หญิงสาวกลุ่มนั้นช็อกไป จากนั้นจึงก่นด่าพลางเดินห่างออกไป

“พระเจ้า เพิ่งเคยเห็นคนขี้งกขนาดนี้ คิดว่าคนมาที่บาร์เพื่อดื่มเหล้าอย่างเดียวหรอ”

“คุณพระ งกขนาดนี้ทำไมไม่ไปนั่งกินร้านข้างถนนล่ะ จะมาสถานที่หรูๆ อย่างที่บาร์นี้ทำไม”

“กาดำคิดอยากจะย้อมตัวเป็นหงส์สิท่า”

เฉินตงไม่ได้ใส่ใจ เขาจะปล่อยให้พวกผู้หญิงกลางคืนมาล้อมรอบกายเขาได้อย่างไร?

สิบนาทีต่อมา

เฉินตงกับคุนหลุนที่กำลังจิบสุรากันอยู่นั้นหยุดชะงัก และสีหน้าแปรเปลี่ยนไปด้วยความประหลาดใจ

เนื่องจากเห็นท่านหลงเดินกลับมาที่โซฟาเลานจ์ โดยโอบสาวเข้ามาทั้งซ้ายขวา

ใบหน้าสูงวัยของเขาปรากฏความภาคภูมิใจ สาวสวยทั้งสองในอ้อมอกต่างกำลังคลอเคลียอย่างเย้าอารมณ์

เฉินตงมองดูหญิงสาวทั้งสองคนจึงเห็นว่าอายุค่อนข้างแตกต่างจนถึงขั้นสามารถเรียกท่านหลงว่าปู่ยังได้

แต่คำว่าความรักนี้เองที่พาให้พวกเขามีโอกาสได้โคจรมาเจอกัน

และหนึ่งในสองคนนี้ คนหนึ่งเป็นสาวน้อยที่คุณชายเจิ้งใช้เงินฟาดหัวให้ดื่มสุราเข้าไปจนหมดก่อนหน้านี้

เมื่อนั่งลงแล้วจึงเห็นว่าสาวน้อยคนนี้เมามาก เธอตัวอ่อนตัวพับนั่งลงบนโซฟา สายตาของเธอล่องลอย แก้มทั้งสองข้างของเธอแดงก่ำ

“ดื่มเยอะเพื่อเงิน มันคุ้มแล้วเหรอ”

เฉินตงมองสาวน้อยคนนั้นด้วยความข้องใจ

เมื่อก่อนตอนที่เขายังเป็นรองประธานของบริษัทไท่ติ่ง บ่อยครั้งเขาต้องพาลูกค้าไปคุยงานกันตามบาร์และร้านคาราโอเกะต่างๆ แต่เขาก็ขีดเส้นให้ตัวเองเสมอจึงไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับสาวน้อยพวกนี้

“ฮ่าๆ คุณไม่เข้าใจหรอกว่าเงินมันดีขนาดไหน”

สาวน้อยคนนั้นยิ้มพลางโบกมือไปมา ดวงตาของเธอปรากฏน้ำตาคลอ “ฉันลำบากตั้งแต่เด็ก แม่ทิ้ง พ่อก็ป่วยติดเตียง แถมยังต้องส่งน้องชายเรียนมหาวิทยาลัยอีก ที่ฉันยอมออกมาทำอะไรแบบนี้ก็เพื่อเงิน ดังนั้นมีงานอะไรก็ต้องทำ…”

เธอพูดพลางร้องไห้กระซิก

ราวกับคำถามของเฉินตงไปกระตุ้นอารมณ์บางอย่างเข้า เธอจึงมองเฉินตงเป็นที่ระบายความในใจ

ท่านหลงกับคุนหลุนที่อยู่ข้างๆ เห็นอย่างนี้ก็ได้แต่พูดไม่ออก

“พล็อตเรื่องเก่าๆ แบบนี้ยังเอามาใช้อยู่อีกหรอ”

เมื่อเห็นหญิงสาวตรงหน้าเป็นเช่นนี้ เฉินตงจึงหัวเราะออกมาอย่างเอือมระอา

เขาขี้เกียจจะสนใจเรื่องที่หญิงสาวคนนี้แต่งขึ้นมา จึงหยิบบัตรใบหนึ่งออกมาวางไว้บนโต๊ะด้านหน้า

สาวน้อยที่กำลังร้องไห้ เริ่มเหล่ตามองบัตรธนาคารใบนั้นด้วยสายตาที่เป็นประกาย

เฉินตงกล่าวอย่างเรียบเฉย “ผมไม่ได้อยากให้คุณดื่มเหล้า แค่ต้องการจะถามคำถามบางอย่างเกี่ยวกับจุนหลิน กรุ๊ป ถ้าทำให้ผมพอใจได้ คุณแค่บอกตัวเลขมา ผมจะโอนให้ทันที”

สาวน้อยคนหนึ่งที่สามารถนั่งร่วมโต๊ะกับไฮโซหนุ่มผู้ใช้เงินฟุ่มเฟือยได้ คงจะเคยเห็นและรู้เรื่องราวอะไรมาบ้าง ดังนั้นจึงมีโอกาสสูงมากที่จะรู้เรื่องเกี่ยวกับจุนหลิน กรุ๊ปที่คนอื่นไม่รู้

“จริงเหรอคะ”

น้ำตาของสาวน้อยคนนั้นหยุดไหล

ส่วนสาวน้อยอีกคนที่ยังอยู่ในอ้อมอกของท่านหลงก็แสดงอาการประหลาดใจออกมา

“ผมไม่มีความจำเป็นต้องแต่งเรื่องหลอกคุณ” เฉินตงเหล่ตามอง

เธอเริ่มแสดงอาการเงอะงะออกมา จากนั้นจึงครุ่นคิดก่อนจะยกนิ้วหนึ่งนิ้วขึ้นมา “หนึ่งล้าน”

“ตกลง!”

เฉินตงโอนเงินไปทันที

เมื่อสาวน้อยคนนั้นเห็นข้อความการโอนเงินเข้ามาที่มือถือ เธอดีใจอย่างลิงโลด เธออ้าแขนออกพลางวิ่งตรงเข้าไปหาเฉินตง

“หยุด!”

เฉินตงยกมือขึ้นห้ามแล้วเอ่ยอย่างเย็นชา “ผมแค่ต้องการข้อมูลจากคุณ ไม่ได้ต้องการตัวคุณ”

“ตามใจ…”

แม้ว่าสาวน้อยคนนั้นจะผิดหวังไปบ้าง แต่เธอก็ดูออกว่าเฉินตงไม่ใช่ผู้ชายธรรมดา

จากนั้นเธอจึงยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ แล้วชี้ไปยังคุณชายเจิ้งที่ใช้เงินซื้อเธอให้ดื่มเหล้า

“นู่น เขานั่นไง คุณถามฉันไม่สู้ไปถามเขา เขาชื่อว่าเจิ้งจุนหลิน คุณชายใหญ่ของจุนหลิน กรุ๊ป”

เฉินตงยิ้มออกมาอย่างมีความนัยบางอย่าง เขามองไปที่เจิ้งจุนหลินด้วยสายตาเป็นประกาย

จริงอย่างที่เขาว่ากันว่า…ของบางอย่างตามหาให้ตายก็ไม่เจอ แต่สุดท้ายกลับจะมาบังเอิญเจอเอาง่ายๆ

ตลอดทั้งคืน

เฉินตงพยายามต่อสายถึงกู้ชิงหยิ่งนับครั้งไม่ถ้วน

แต่ปลายสายยังคงปิดเครื่องอยู่ตลอด

แม้จะเป็นคู่รักที่ผูกพันลึกซึ้งมากที่สุด แต่กู้ชิงหยิ่งกลับต้องเจ็บปวดราวโดนมีดเป็นพันเล่มทิ่มแทงเพราะความเข้าใจผิดเพียงครั้งเดียว

เฉินตงละอายใจราวกับเขาตกลงไปสู่เหวลึก มืดมิดไร้ความหวัง

เมื่อฟ้าเริ่มสาง

ในที่สุดเฉินตงที่ไม่ได้นอนมาตลอดคืนก็วางโทรศัพท์ลงอย่างหมดหวัง

ระบบของโทรศัพท์ยังคงทำงาน เสียงการติดต่อเล็ดลอดออกมาเตือนให้รู้ว่าปลายสายยังคงปิดเครื่องอยู่

เขาถูหน้าตัวเองอย่างแรง จากนั้นจึงลุกขึ้นเงียบๆ แล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ

ในห้องอาหาร

กลิ่นหอมลอยคลุ้ง

ท่านหลง คุนหลุนและฟ่านลู่กลับไม่รู้สึกอยากอาหาร

เรื่องราวของเฉินตงกับกู้ชิงหยิ่ง กระตุกหัวใจของพวกเขาให้รู้สึกหวาดหวั่น

“คุณเฉินลงมาแล้ว” ฟ่านลู่เอ่ยขึ้น

ท่านหลงกับคุนหลุนรีบลุกขึ้นเพื่อต้อนรับเฉินตง

“กินข้าวกันเถอะ”

เฉินตงไม่พูดอะไรต่อ

ท่านหลงกับคุนหลุนแลกสายตาซึ่งกันและกัน

นี่มันนิ่งสงบเกินไปรึเปล่า

พวกเขาไม่ได้เห็นอารมณ์เศร้าสลดที่พวกเขาคาดการณ์ว่าจะได้เห็น คำพูดปลอบใจที่ท่านหลงกับคุนหลุนเตรียมเอาไว้จึงไม่ได้นำออกมาใช้

แต่ความนิ่งเงียบของเฉินตงกลับทำให้หัวใจของคนทั้งสองกระจุกขึ้นมาอยู่ตรงคอหอย

หลังจากนั่งที่แล้ว

คุนหลุนจึงเอ่ยว่า “คุณชายครับ เย่หยวนชิวกับเย่หลิงหลงกลับไปแล้ว”

ตอนที่ได้เจอกันบนภูเขาซี่สุ่ย เขาได้ลั่นคำพูดเอาไว้แล้วว่า ถ้าเกิดเรื่องบาดหมางอะไรขึ้นมาระหว่างเฉินตงกับกู้ชิงหยิ่ง เขาจะต้องกลับไปจัดการเย่หยวนชิวกับเย่หลิงหลง

เมื่อคืนเขาจึงสืบหาที่พักของสองปู่หลานแล้วแอบออกไปกลางดึก

แต่เมื่อไปถึง กลับหาตัวคนไม่พบเสียแล้ว

“อืม” เฉินตงเอ่ยพลางกินข้าวต้ม

อืม?!

ท่านหลง คุนหลุน ฟ่านลู่ต่างพากันชะงักไป

ในสายตาของพวกเขา ปฏิกิริยานิ่งสงบของเฉินตงเป็นเรื่องที่ผิดปกติอย่างยิ่ง

ผิดปกติเสียจนทำให้คนทั้งสามรู้สึกกลัว

“คุณชาย…”

ท่านหลงค่อยๆ เอ่ยปาก แต่เฉินตงกลับยกมือขึ้นมาขัดไว้

เฉินตงเช็ดมุมปากแล้วเอ่ยอย่างสงบนิ่งว่า “ท่านหลง วันนี้ผมจะเดินทางไปที่จุนหลิน กรุ๊ปที่มั่วเป่ย ช่วยผมจัดการหน่อย”

อะไรนะ?!

ท่านหลงและคนทั้งสองพากันแปลกใจ

ฟ่านลู่เอ่ยถามอย่างกระอึกกระอักว่า “ไม่ไปตามเสี่ยวหยิ่งเหรอคะ”

“ต้องเอาเรื่องสำคัญมาก่อน”

เฉินตงส่ายหน้า “เสี่ยวหยิ่งกลับไปพร้อมคุณพ่อกับคุณแม่ คงจะไม่มีอันตรายอะไร แต่ความปลอดภัยของพ่อกลับยังไม่สามารถยืนยันได้”

ตลอดทั้งคืนที่เขาพยายามติดต่อกู้ชิงหยิ่ง

เขาก็พยายามคิดว่าควรทำอย่างไรต่อไป

กู้ชิงหยิ่งกลับไปกับพ่อตาแม่ยายถือว่าหายห่วงเรื่องความปลอดภัยไปได้ ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้กู้ชิงหยิ่งกับพ่อตาแม่ยายกำลังโกรธจัด ต่อให้ข้ามน้ำข้ามทะเลไปก็อาจหาตัวพวกเขาไม่พบ

ในทางกลับกัน การตามหาพ่อต่างหากที่เป็นเรื่องเร่งด่วนมากกว่า

พ่อจะอยู่ที่จุนหลิน กรุ๊ปในมั่วเป่ยหรือไม่นั้นยังเป็นแค่การคาดเดาของเฉินตง เขาจึงต้องรีบพิสูจน์การคาดเดานี้โดยเร็ว

สิ่งที่สำคัญคือเขาต้องแน่ใจให้ได้ว่าตอนนี้พ่อยังอยู่ในสถานการณ์ที่ปลอดภัย

ถึงแม้ว่าพ่อจะเคยบอกเขาเอาไว้ว่าตนปลอดภัย แต่การที่เจ้าบ้านตระกูลเฉินผู้ยิ่งใหญ่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นนี้จะต้องเป็นเพราะกำลังหวาดกลัวบางอย่างอยู่แน่นอน

และสิ่งที่พ่อหวาดกลัวนั้น อาจเป็นสิ่งที่สามารถทำให้พ่อยอมออกจากสถานที่ที่ปลอดภัยไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่ปลอดภัยได้

“กระผมจะรีบไปจัดการ” ท่านหลงพยักหน้า

เฉินตงเอ่ยอย่างนิ่งขรึมว่า “คุนหลุนกับท่านหลงเดินทางไปเป็นเพื่อนผม”

คุนหลุนพยักหน้าแล้วขึ้นไปเก็บของด้านบน

จากนั้นเฉินตงจึงมองกลับไปที่ฟ่านลู่ “พี่เสี่ยวลู่ ระหว่างที่พวกเราไม่อยู่นี้ รบกวนช่วยผมติดต่อเสี่ยวหยิ่งด้วย”

“ไม่ต้องห่วงค่ะคุณเฉิน” ฟ่านลู่พยักหน้า

สิบนาทีผ่านไป

รถโรลส์-รอยซ์ขับมุ่งหน้าไปยังสนามบินชานเมือง

ระหว่างทางเฉินตงไม่ได้หยุดพัก แถมยังประชุมวิดีโอคอลกับเสี่ยวหม่าและกูหลังเรื่องงานที่บริษัทไท่ติ่งที่ต้องจัดการต่อจากนี้

มีเรื่องมากมายที่ต้องจัดการ!

ความผูกพันของสามีภรรยานั้นแน่นแฟ้น บางครั้งอาจเป็นแค่การหยุดเวลาเอาไว้ชั่วคราวเท่านั้น

เฉินตงยังคงจำคำพูดที่แม่กล่าวก่อนจะจากไปได้ นี่คือ…คำสั่งเสียสุดท้ายของแม่

เมื่อถึงสนามบินชานเมือง คนทั้งสามรีบเดินไปตามช่องทางพิเศษของวีไอพีแล้วขึ้นเครื่องบินส่วนตัวออกไป

เฉินตงเหม่อดูกลุ่มก้อนเมฆผ่านหน้าต่าง แล้วกล่าวเสียงเบาว่า “ท่านหลง สถานที่ตั้งของจุนหลิน กรุ๊ปในมั่วเป่ย มีสำนักงานของตระกูลเฉินอยู่บ้างไหม”

“ไม่มีครับ”

ท่านหลงส่ายหน้า “มั่วเป่ยพื้นที่กว้างขวาง บวกกับเศรษฐกิจที่ไม่ดี สำนักงานของตระกูลเฉินจะตั้งอยู่ในเขตเมืองสำคัญๆ เท่านั้น ส่วนตำแหน่งที่จุนหลิน กรุ๊ปตั้งอยู่นั้นเป็นเพียงเมืองเล็กๆ เท่านั้น จึงไม่มีความจำเป็นต้องไปตั้งสำนักงานอยู่ที่นั่น”

“เล็กขนาดไหน”

จู่ๆ เฉินตงก็ยิ้มออกมาด้วยรอยยิ้มที่แปลกประหลาด

ท่านหลงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “รวมทั้งนอกตัวเมืองและในตัวเมืองแล้ว มีคนอาศัยอยู่ไม่เกินหนึ่งล้านคนครับ”

“เล็กจริงๆ”

รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉินตงยิ่งชัดเจนขึ้น

ที่ท่านหลงบอกว่าทั้งในตัวเมืองและนอกตัวเมืองนั้น แสดงว่าในจำนวนคนไม่ถึงหนึ่งล้านคนนี้ รวมคนที่อยู่ในเมืองและยังมีคนที่อยู่ในเขตปกครองด้านตัวนอกเมืองด้วย!

เมืองนี้เล็กของจริง!

“คุณชายมีประเด็นอะไรรึเปล่าครับ” ท่านหลงทำท่าแปลกใจ

เฉินตงขยี้จมูก “ดินแดนที่ไกลหูไกลตาการปกครอง แม้จะเล็กแต่มีทุกอย่างเพียบพร้อม จุนหลิน กรุ๊ปก่อตั้งอยู่ในเมืองเล็กมานานขนาดนี้ คงจะกลายเป็นสถานที่น่าจับตาของเมืองแห่งนี้แล้วล่ะมั้ง”

แววตาของท่านหลงเป็นประกายสว่างวาบ คล้ายเข้าใจทุกอย่างในตอนนั้น

ไม่มีสำนักงานของตระกูลเฉินอยู่ไม่ได้หมายความว่าไม่มีคนของตระกูลเฉินคอยสอดส่อง?

นี่ต่างหากที่เป็นกุญแจสำคัญ!

เมื่อคิดตามทันแล้ว อารมณ์ของท่านหลงจึงพลุ่งพล่านขึ้นมา เขายกมือตบฉาดเข้าที่หน้าผาก “ปัดโธ่ ทำไมกระผมถึงนึกไม่ถึงสถานที่สำคัญอย่างนี้ได้”

“อยู่ที่นี่จริงๆ หรือ”

ละเอียดรอบคอบ。

คุนหลุนเอ่ยถามขึ้นเบาๆ เขาไม่ได้มีความคิดถี่ถ้วนเช่นเดียวกับเฉินตงและท่านหลง

แต่การจะมีตำแหน่งราชาทหารได้นั้น จะใช้เพียงร่างกายกับศิลปะในการต่อสู้แค่นั้นไม่ได้ สติปัญญาก็เป็นสิ่งหนึ่งที่สำคัญมาก

“ไปดูเดี๋ยวก็รู้” ท่านหลงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

แม้ว่าจะยังไม่ได้คำตอบที่แน่นอน แต่แววตาที่เป็นประกายเพราะความตื่นเต้นและอกของเขาที่กระเพื่อมขึ้นลงนั้น คล้ายกำลังจะอธิบายคำตอบทั้งหมดได้

เมื่อเครื่องบินถึงสนามบินก็เป็นเวลาสี่โมงเย็นแล้ว

เนื่องจากเมืองที่ตั้งของจุนหลิน กรุ๊ปเล็กมาก แถมยังไม่มีสนามบิน จึงทำให้เฉินตงและพวกต้องลงจอดที่สนามบินในเมืองใหญ่เมืองหนึ่งที่อยู่ใกล้ที่นั่นมากที่สุด

พวกเขาใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมงในการเช่ารถเมอร์เซเดส-เบนซ์ จี คลาสคันหนึ่งและขับมุ่งหน้าไปยังเมืองที่ตั้งของจุนหลิน กรุ๊ป

ตลอดทางเห็นแต่ทรายสีเหลืองเวิ้งว้าง สองข้างทางมีเพียงทะเลทรายที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา

นานๆ ครั้งกว่าจะมีรถ off road สักคันสองคันแล่นผ่านมา แต่เนื่องจากความกว้างใหญ่ของถนน จึงยังคงให้ความรู้สึกไร้ชีวิตชีวา

ยังดีที่ดวงอาทิตย์ที่มั่วเป่ยตกช้า

ดังนั้นตอนที่เฉินตงและพวกเดินทางมาถึงเมืองเล็กๆ แห่งนี้ แม้ว่าจะเป็นเวลาสามทุ่มแล้ว แต่ดวงอาทิตย์ก็ยังคงลอยอยู่บนท้องฟ้า

“พวกเราหาที่พักกันก่อนเถอะ”

เฉินตงไม่ได้รีบร้อน ในเมื่อมาถึงที่แล้ว การจะไปจุนหลิน กรุ๊ปจึงไม่ใช่เรื่องยากอะไร

ตอนนี้จึงเป็นโอกาสดีที่จะรู้เรื่องราวจากปากคนแถวนี้ว่าจุนหลิน กรุ๊ปเป็นอย่างไร!

บริษัทหนึ่งที่ตั้งอยู่ในเมืองเล็กๆ ที่มีประชากรไม่เกินหนึ่งล้านคน แต่กลับยังได้กำไรในเวลาที่พวกกระเป๋าหนักทำสงครามกันในตลาดหุ้น

ฉะนั้นสำหรับที่นี่ จุนหลิน กรุ๊ปจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน!

เมื่อดวงตะวันค่อยๆ ลับขอบฟ้าลง

เฉินตงและพวกสามารถหาโรงแรมได้และเอาสัมภาระไปเก็บ จากนั้นจึงกลับขึ้นรถกันอีกครั้ง

คุนหลุนรับหน้าที่คนขับรถจึงถามขึ้นมาว่า “คุณชาย จะไปไหนหรือครับ”

เฉินตงลังเลเล็กน้อยก่อนจะตอบว่า “ที่เมืองเล็กๆ นี่น่าจะมีร้านเหล้าบ้างล่ะมั้ง”

“ร้านเหล้า?” ท่านหลงประหลาดใจ

จากนั้นใบหน้าดูมีอายุของเขาก็ปรากฏรอยยิ้มที่ออกมาอย่างรู้ทัน

ส่วนคุนหลุนเองก็หัวเราะจนรถส่าย

เฉินตงยิ้มแล้วมองไปด้านนอกรถ “จะมีที่ไหนที่จะสามารถสืบข่าวได้ดีไปกว่าที่ร้านเหล้าอีกเหรอ?”

ภายในวิลล่าเขาเทียนซาน

เฉินตงกำลังจ้องมองตู้เสื้อผ้าของกู้ชิงหยิ่ง

เขายิ้มอย่างสลดใจ “คิดจะไปก็ไป ถึงขั้นไม่ยอมมาเก็บของเลยหรอ”

หลังจากรับสายจากคุนหลุน สิ่งแรกที่เขาทำคือรีบมุ่งหน้าไปที่สนามบิน

ทางเดียวที่กู้ชิงหยิ่งจะสามารถขึ้นเครื่องหนีเขาไปได้ก่อนที่เขาจะไปถึง มีแค่ออกจากภูเขาซี่สุ่ยแล้วตรงไปที่สนามบินเลย โดยไม่กลับมาที่บ้าน

เรื่องราวทั้งหมดนี้สามารถยืนยันได้จากสัมภาระของสองสามีภรรยากู้โก๋ฮั๋ว

ก๊อกๆ

เสียงเคาะประตูดังขึ้น

“คุณชาย…”

เสียงของท่านหลงรอดเข้ามาจากด้านนอก

เฉินตงลูบหน้าแล้วกล่าวอย่างท้อใจ “ท่านหลง ผมขออยู่คนเดียวเงียบๆ ได้ไหม”

“ครับ”

จากนั้นท่านหลงจึงออกห่างไป

เฉินตงเหม่อมองรูปของกู้ชิงหยิ่งในชุดเจ้าสาวบนหัวเตียงอย่างล่องลอย ดวงตาแดงก่ำ

การเข้าใจผิดครั้งนี้ ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงตอนนี้ เขาไม่เคยคิดเลยว่าเรื่องราวจะลงเอยแบบนี้

การปรากฏตัวของเย่หลิงหลง ถือเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น

แต่เมื่อนึกถึงตอนแรกที่ตนมัวแต่ลังเล ทั้งๆ ที่อยู่ต่อหน้ากู้ชิงหยิ่งแต่ไม่ยอมหาโอกาสอธิบายให้เธอฟังแล้ว เฉินตงก็อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นตบตัวเอง

ถ้าหากตอนนั้น…เขาพยายามกว่านี้สักหน่อย บางทีอาจจะไม่เกิดเหตุการณ์อย่างเช่นตอนนี้

“เสี่ยวหยิ่ง…” เฉินตงตกอยู่ในภวังค์ การจากไปของกู้ชิงหยิ่งทำให้เขารู้สึกราวกับว่าหัวใจของเขามีบางส่วนขาดหาย เปล่าเปลี่ยวอย่างไม่เคยเป็น

วิลล่าเขตชานเมือง

บรรยากาศในห้องรับแขกเงียบสงบไร้คำพูด

ไอร้อนลอยฟุ้งออกมาจากถ้วยน้ำชาที่อยู่บนโต๊ะ

เย่หยวนชิวกับเย่หลิงหลงนั่งอยู่บนโซฟาด้วยความรู้สึกสับสนทั้งคู่

ใบหน้าสมส่วนรูปไข่ของเย่หลิงหลงหมองหม่น มือทั้งสองข้างเกาะกุมกัน

สีหน้าของเย่หยวนชิวนิ่งสงบ สายตาลึกซึ้งราวกับกำลังครุ่นคิดบางอย่าง

เหตุการณ์บังเอิญเจอบนภูเขาซี่สุ่ย ทำให้ปู่กับหลานสองคนนี้ไม่รู้ว่าต้องจัดการอย่างไรต่อไปดี

ในตอนแรก เย่หยวนชิวต้องการจะไปพบเฉินตงเพื่ออธิบายเรื่องราว แต่ปฏิกิริยาของเฉินตงได้บอกเป็นนัยถึงผลลัพธ์แล้ว และนี่เองที่ทำให้เย่หยวนชิวนั่งปวดหัวอยู่ตอนนี้

เขาอุตส่าห์วางแผนลากเฉินตงให้เข้ามาอยู่ในหงหุ้ย ถ้าหากเรื่องนี้ส่งผลรุนแรงกับเฉินตง เขาแน่ใจว่าเฉินตงจะต้องตัดสัมพันธ์กับหงหุ้ยอย่างแน่นอน

แม้ว่า…เฉินตงจะเป็นถึงจู่เหลาของคนรุ่นหยวนของหงหุ้ยที่มีฐานะสูงส่งน่าเกรงขามก็ตาม

“คุณปู่คะ พวกเราไปวิลล่าเขาเทียนซานกันเถอะ”

ดวงตาของเย่หลิงหลงเป็นประกายวับไหว เธอมองเย่หยวนชิวอย่างมีความหวัง “เรื่องนี้หนูเป็นต้นเหตุ ไม่ว่าจะยังไงหนูก็ควรไปขอโทษ”

“เอาเถอะ ในเมื่อติดต่อเฉินตงไม่ได้ พวกเราก็คงต้องใช้วิธีนี้แล้วล่ะ”

เย่หยวนชิวยิ้มอย่างขมขื่น เขาคว้าไม้เท้าและค่อยๆ ลุกขึ้นยืน

ตึ้งๆๆๆ…

เสียงเคาะประตูดังขึ้น

เย่หยวนชิวเลิกคิ้ว ช่วงศตวรรษที่ผ่านมานี้วิลล่าสไตล์ยุโรปแห่งนี้ได้แปรเปลี่ยนไปเป็นสถานที่เชิงสัญลักษณ์ทางกาลเวลาตั้งนานแล้ว คนที่จะรู้จักจึงมีน้อยมาก

“เฉินตงหรอ”

เย่หลิงหลงเลิกคิ้ว เมื่อเอ่ยออกไป เธอกลับรู้สึกว่าความคิดนี้ของตัวเองไร้ความเป็นไปได้อย่างยิ่ง

ตอนนี้เฉินตงคงกำลังร้อนใจอยู่ราวกับมดที่ไต่อยู่บนหม้อน้ำร้อนกระมัง?

จะหาที่นี่เจอได้อย่างไร?

“หลิงหลง เปิดประตู”

เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูรัวๆ อย่างเสียมารยาทเช่นนี้ เย่หยวนชิวจึงเอ่ยออกมาด้วยความหนักใจ

เย่หลิงหลงค่อยๆ ลุกขึ้น เธอสาวเท้ายาวๆ ไปยังประตู

เมื่อรับรู้ถึงแรงในการเคาะประตู คิ้วของเธอพลันขมวดแน่น จากนั้นจึงคว้าแจกันดอกไม้ที่อยู่ใกล้ๆ ประตูขึ้นมาโดยสัญชาตญาณ

ธุรกิจตระกูลหงหุ้ยยิ่งใหญ่ก็จริง แต่ยืนหยัดมาได้กว่าสองร้อยปี จึงเปรียบเหมือนไม้ใหญ่ต้านลม ที่มีศัตรูมากมายทั้งในที่ลับและที่แจ้ง

การเคาะประตูอย่างเกรี้ยวกราดเช่นนี้ หมายความได้อย่างชัดเจนว่าผู้มาเยือนนั้นมีจุดประสงค์ไม่ดีนัก

ประตูเปิดออก

เมื่อเย่หลิงหลงเห็นคนที่อยู่ด้านนอกประตู ตัวของเธอก็แข็งทื่อ

คนด้านนอกกลับไม่ใส่ใจเย่หลิงหลง

แล้วก้าวปรี่เข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว

เย่หยวนชิวเองก็ชะงักไปเช่นกัน

ผู้มาเยือนสีหน้าเคร่งขรึม เขาก้าวเดินเข้ามาราวกับราชสีห์ แล้วมาหยุดยืนตรงหน้าเย่หยวนชิว

“พอใจรึยัง”

เย่หยวนชิวยิ้มแล้วหยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ “นี่ไม่ใช่ความตั้งใจของพวกเรา ทั้งหมดคือเรื่องเข้าใจผิด”

“แต่การเข้าใจผิดครั้งนี้เป็นเรื่องใหญ่แล้ว!”

น้ำเสียงของผู้มาเยือนแหบพร่า ทำให้เห็นถึงความโหดร้ายที่ซ่อนอยู่ในตัว

“ผู้อาวุโส ฉันกับปู่ตั้งใจจะไปที่วิลล่าเขาเทียนซานเพื่อกล่าวขอโทษอยู่พอดี” เย่หลิงหลงรีบอธิบาย

“เห๊อะ!”

ผู้มาเยือนแค่นหัวเราะอย่างน่าหวาดหวั่น “หน้าใหญ่จริงๆ นะ เรื่องมาขั้นนี้แล้ว ยังจะไปขอโทษเขาอีกหรอ”

ฟึ่บ

สิ้นเสียงพูด บรรยากาศในห้องพลันเกิดไอเย็นแผ่ซ่าน

มีดดาบเล่มหนึ่งฟันฉับลงบนโต๊ะน้ำชาจนเกิดเสียง “ตึ้ง” เสียงมีดเคลื่อนตัวผ่านอากาศส่งเสียงอื้ออึง

“กล้าหรอ!”

เย่หลิงหลงหน้าซีด แล้วรีบก้าวออกมาขวาง

เย่หยวนชิวสีหน้าเคร่งเครียด “หลิงหลง หยุด!”

เมื่อห้ามเย่หลิงหลงแล้ว ใบหน้าหมองคล้ำของเย่หยวนชิวที่จ้องไปที่ผู้มาเยือนอย่างลึกซึ้ง “ท่านคิดจะฆ่าฉันเพราะเรื่องนี้น่ะหรือ ไม่กลัวหงหุ้ยทั้งสามพันหกร้อยตระกูลหรือไง”

“อย่ามาทำเป็นแกล้งโง่เลย แกก็รู้ว่าฉันไม่เคยกลัวหงหุ้ยทั้งสามพันหกร้อยตระกูลอะไรนี่เลย!”

เสียงหัวเราะเย็นเฉียบดังขึ้น

จากนั้นผู้มาเยือนจึงเคลื่อนตัวออกมาแล้วง้างมือขึ้นอย่างรวดเร็ว

เพี๊ยะ!

ฝ่ามือหนักหน่วงตบลงบนใบหน้าของเย่หยวนชิวเต็มแรง

เรี่ยวแรงหนักหน่วง ทำเอาร่างของเย่หยวนชิวโงนเงนเสียสมดุลและล้มลงบนโซฟา ใบหน้าครึ่งซีกของเขาบวมช้ำ

“แกทำร้ายปู่ฉัน ตายซะ!”

เย่หลิงหลงเดือดดาล ในฐานะที่เป็นหงกุ้นของหงหุ้ย เธอไม่กลัวคนที่อยู่ตรงหน้า

เธอฟังการห้ามปรามของปู่ แต่ตอนนี้ปู่ของเธอโดนตบ เธอไม่สามารถหยุดยั้งตัวเองได้อีก!

ในช่วงเวลาอันรวดเร็ว

เย่หลิงหลงพุ่งเข้าใส่ผู้มาเยือนแล้วเหวี่ยงหมัดออกไป

ฟึ่บ!

แสงเงินวับไหว

มีดดาบที่ปักอยู่บนโต๊ะน้ำชากลับถูกดึงออกมา ปลายมีดหันไปจ่อที่คอของเย่หลิงหลง

ช่วงเวลานั้น

บรรยากาศในห้องดุเดือดเลือดพล่าน

เร็วเกินไป!

เย่หลิงหลงงุนงง ตัวของเธอแข็งทื่ออยู่ที่เดิม

ในตอนนั้นเอง หน้าผากของเธอมีเหงื่อเย็นๆ ผุดออกมาไหลลงไปตามแก้ม

คอของเธอถูกกดไว้แน่น ตอนนั้นเธอกลัวจนแม้แต่กลืนน้ำลายยังต้องพยายามฝืนเอาไว้

เพราะเธอกลัวว่าหากคอของเธอกระดิกเพียงนิดเดียวจะสัมผัสเข้ากับคมมีด

“พอได้รึยัง ฉันเป็นถึงจู่เหลาของคนรุ่นหยวนของหงหุ้ยที่ยิ่งใหญ่ แต่ก็ยอมให้แกตบหน้าไปแล้ว อย่างไรเธอก็เป็นหลานสาวของฉัน แกจะคิดแค้นอะไรกับเด็กรุ่นหลังนัก?”

เย่หยวนชิวพยายามประคองร่างกายสั่นเทาของตัวเองขึ้นมา แม้ว่าใบหน้าด้านหนึ่งของเขาจะฟกช้ำ แต่เขายังคงรักษาสีหน้าแจ่มใสมีสติเช่นอย่างเดิมเอาไว้ได้

หงหุ้ยรุ่นหยวนมีฐานะโดดเด่น สูงส่งจนสามพันหกร้อยตระกูลต้องก้มหัวคารวะ

หากเรื่องการตบหน้าครั้งนี้แพร่สะพัดออกไป

จะไม่เพียงสั่นสะเทือนแค่สามพันหกร้อยตระกูลนี้เท่านั้น

แต่…จะสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งโลก!

“จู่เหลาของคนรุ่นหยวน แล้วยังไง?”

ผู้มาเยือหัวเราะเยาะ แล้วปล่อยมีดดาบที่จ่ออยู่ที่คอของเย่หลิงหลงลง

น้ำเสียงของเขาโอหัง เต็มไปด้วยความดูถูก

เย่หลิงหลงงุนงง

เธอมองไปที่ผู้มาเยือนด้วยสายตาหวาดผวา หัวใจของเธอเต้นระส่ำ

ไม่เคยมีใครหยามเกียรติปู่แบบนี้เลย!

แต่สีหน้าของเย่หยวนชิวยังคงเหมือนเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด

“แกได้สิทธิ์นั้น!”

ผู้มาเยือนเก็บมีดดาบลง แล้วนั่งลงเงียบๆ บนโซฟา

จากนั้นจึงยกถ้วยที่มีน้ำชาอยู่ดื่มรวดเดียวหมดโดยไม่แยแสเย่หยวนชิวกับเย่หลิงหลง

จากนั้นจึงลุกขึ้นแล้วเดินออกไป

เกิดเพียงเสียงเย็นเยียบหนึ่งคำที่ดังสนั่นราวฟ้าผ่าก้องสะท้อนเนิ่นนานอยู่ในวิลล่า

“ไสหัวไป!”

จนกระทั่งผู้มาเยือนจากไป

เย่หลิงหลงยังคงสติล่องลอย

เหตุการณ์เมื่อครู่ ทำลายภาพลักษณ์ยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมาที่เธอเคยรู้จักปู่ของเธอในฐานะผู้สูงศักดิ์ในหงหุ้ย

ครู่ใหญ่

“หลิงหลง เก็บของ กลับบ้านกัน” เย่หยวนชิวกล่าว

เย่หลิงหลงร่างกายสั่นสะท้าน เธอมองไปที่เย่หยวนชิวอย่างประหลาดใจ “คุณปู่คะ คนเมื่อกี้เป็นใครกันแน่”

เย่หยวนชิวยิ้มด้วยสีหน้าซับซ้อน “เขาน่ะหรือ? ตำนานในยุทธภพที่ยังมีลมหายใจเท่านั้นแหละ”

เมื่อสัมผัสได้ถึงความอาฆาตแค้นที่แผ่ออกมา

แม้แต่เย่หยวนชิวกับเย่หลิงหลงเองก็ยังรู้สึกหวาดหวั่นราวกับหลุดเข้าไปอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง

หลังจากคุนหลุนกับฟ่านลู่ห่างออกไปแล้ว

สองปู่หลานยังคงตกอยู่ในภวังค์ครู่ใหญ่

คำพูดประโยคสุดท้ายของฟ่านลู่ราวกับเสียงระฆังใบใหญ่ที่ดังก้องกังวานอยู่ในหูของคนทั้งสองซ้ำแล้วซ้ำเล่า

และในเวลาเดียวกันนี้เอง

เฉินตงที่บริษัทไท่ติ่งได้รับสายจากคุนหลุนพอดี

เมื่อคุนหลุนเล่าเรื่องราวทั้งหมดจบ

มือขวาของเฉินตงพลันอ่อนปวกเปียก

ตุ้บ…

มือถือหลุดลื่นหล่นจากมือลงสู่พื้น

ร่างกายของเขาชา ในหัวของเขาเต็มไปด้วยความว่างเปล่า

ทำไม…ถึงเป็นแบบนี้ได้?

หลายวินาทีผ่านไปกว่าสายตาของเฉินตงจะปรับโฟกัสกลับมา

แต่เพียงชั่วพริบตาเดียว ดวงตาของเขากลับกลายเป็นสีเลือด

ในตอนนั้นเฉินตงคล้ายแปรเปลี่ยนกลายเป็นสัตว์กระหายเลือด

“ทำไม ทำไมถึงต้องเป็นแบบนี้ สมควรตาย ไปตายซะ!”

เขากัดฟันแน่น มือทั้งสองข้างของเขากำหมัดแน่นส่งเสียงดังก็อบ

ความรู้สึกโมโหและเกลียดชังที่มีต่อกู้ชิงหยิ่งพลุ่งพล่านถึงขีดสุด

ความเข้าใจผิดครั้งนี้เป็นเพราะการบังเอิญเจอแค่ครั้งเดียว และจู่ๆ เหตุการณ์ก็เปลี่ยนไปเสียดื้อๆ

ในความเดือดดาลนั้น เฉินตงรีบควานหาโทรศัพท์อย่างลนลาน

ลมหายใจของเขาถี่รัว มือทั้งสองของเขาสั่นระริก

เมื่อหาเบอร์ของกู้ชิงหยิ่งเจอ ก็รีบต่อสาย

ทว่าปลายสายกลับแจ้งเสียงปิดเครื่องที่ทำให้เขารู้สึกหมดหวัง

เฉินตงไม่ยอมหยุด

ครั้งที่หนึ่ง ครั้งที่สอง ครั้งที่สาม…

เสียงตอบรับเหมือนกันเช่นเดิม ไม่ว่าจะโทรไปกี่ครั้ง

แม้กระทั่งเบอร์โทรของกู้โก๋ฮั๋วกับหลี่หวั่นชิงเขาก็ลองโทรไป

แต่สุดท้ายปลายสายก็ปิดเครื่องเช่นกัน

ความวิตกและผิดหวังถาโถมราวกับน้ำป่าที่ไหลซัดใส่เฉินตง

สิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมความหวาดหวั่นของเฉินตงคือเขารู้สึกหายใจติดขัดราวกับกำลังจะจมน้ำ

เขารู้ดีว่าถ้าเขาไม่รีบแก้ความเข้าใจผิดครั้งนี้ให้ได้โดยเร็ว

สุดท้ายเขา…จะสูญเสีย…

ต่อให้กู้ชิงหยิ่งไม่ให้โอกาสเขาในการอธิบายอีก เขาก็ไม่สามารถรอได้แล้ว!

“กูหลัง เตรียมออกรถไปสนามบิน!”

เฉินตงตะโกนเสียงดัง

ในโทรศัพท์เมื่อครู่นี้คุนหลุนรายงานว่า หลังจากที่เขากับฟ่านลู่ลงจากภูเขาซี่สุ่ยก็ตามหากู้ชิงหยิ่งกับพ่อแม่ไม่เจอ

และในคำพูดของหลี่หวั่นชิง ก็บอกเอาไว้ชัดเจนว่าปลายทางของพวกเขาคือที่ไหน

เฉินตงคิดว่าคนทั้งสามจะต้องกลับไปเก็บของที่วิลล่าก่อน

แต่หากตามกลับไปตอนนี้ คงจะตามไม่ทัน

เขาคิดอยากจะให้ท่านหลงรั้งคนทั้งสามเอาไว้ก่อน แต่ก็หักห้ามความคิดบุ่มบ่ามนี้เอาไว้

เพราะคนที่จะสามารถรั้งกู้ชิงหยิ่งเอาไว้ได้ในเวลานี้คือตัวเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น!

ระหว่างทาง

เสียงรถยนต์คำรามลั่น ราวกับกำลังเคลื่อนที่ไปด้วยความเร็วเต็มสูบ

กูหลังรู้สึกหนักอึ้ง เขารู้สึกหวั่นใจ

เขาแอบมองเฉินตงอยู่เป็นพักๆ

และรู้สึกถึงความน่าสยดสยองที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวเฉินตง

ส่วนเฉินตงกำลังจ้องไปด้านหน้าด้วยดวงตาแดงก่ำ สุดท้ายจึงเอ่ยปากเร่งกูหลัง “เร็วหน่อย ช่วยเหยียบเร็วกว่านี้หน่อย!”

เสียงกระตุ้นนี้ราวกับกำลังคำรามออกมา เฉินตงในเวลานี้ไม่สุขุมเหมือนอย่างเช่นทุกวันที่ผ่านมา

ขณะนั้นเสียงเรียกเข้ามือถือดังขึ้น

เฉินตงรับโทรศัพท์โดยไม่แม้แต่จะเหลียวมอง

“เฉินตง…”

เสียงเย่หยวนชิวดังขึ้นที่ปลายสาย

“โทรมาหาแม่แกหรอ! พวกแกยังมีหน้าโทรมาฉันอีกรึ ถ้าเมียทิ้งฉันไป ฉันจะจัดการหงหุ้ยของพวกแกให้ถึงที่สุด! จู่เหลาของคนรุ่นหยวนสวะอะไรนั่น ฉันจะเฉดหัวไปให้หมด!”

ตึ้ง!

เฉินตงที่กำลังโมโหจัดเขวี้ยงมือถือไปกระแทกคอนโซลรถแตกกระจาย

ชิ้นส่วนกระจัดกระจายไปในอากาศ

กูหลังตกใจจนตัวสั่น เท้าขวาของเขาเหยียบคันเร่งจมมิด

สนามบินชานเมือง

เสียงเครื่องบินขึ้น-ลงดังสนั่นทั่ว

โถงในสนามบินมีคลื่นฝูงชนกระจายอยู่ทุกบริเวณ

รถของกูหลังยังไม่ทันจอดสนิท แต่เฉินตงกลับเปิดประตูรถและกระโดดลงไปแล้ว

เขาวิ่งปรี่เข้าไปที่โถงใหญ่ในสนามบินอย่างคลุ้มคลั่ง

การกระทำนี้ทำเอาผู้คนบริเวณรอบๆ ตกใจจนหน้าถอดสี

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของสนามบินจึงเริ่มเคลื่อนตัวเข้ามาทางเขา

เฉินตงวิ่งไปยังเคานเตอร์ เขาจ้องถมึงไปยังพนักงานตรงนั้น “ฉันต้องการให้เครื่องบินทุกลำหยุดบินเดี๋ยวนี้!”

สีหน้าของเจ้าหน้าที่คนนั้นเปลี่ยนไปด้วยความหวาดกลัว เมื่อเห็นท่าทางคลุ้มคลั่งของเฉินตง

และในเวลาเดียวกันนั้น

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ได้เข้ามาล้อมรอบตัวของเฉินตงเอาไว้

“คุณผู้ชายคะ ที่นี่คือสนามบินสาธารณะ ถ้าคุณทำอะไรที่อาจจะเป็นอันตรายต่อคนอื่น ถือว่าเป็นความผิดนะคะ!”

“บ้าเอ๊ย! ฉันต้องการให้เครื่องบินทุกลำหยุดบิน ทุกลำต้องหยุดบินออกไปทั้งหมดเดี๋ยวนี้!”

เฉินตงไม่สนใจเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย แต่กลับหันไปตะคอกใส่พนักงานด้านหน้าเคานเตอร์

เสียงคำรามราวเสียงฟ้าฟาด

ทำเอาผู้คนบริเวณรอบๆ มุงกันเข้ามาดูและพากันชี้มือชี้ไม้

“สงสัยจะเป็นคนบ้าล่ะมั้ง ให้เครื่องบินทั้งหมดห้ามบินออก เขาคิดว่าเขาเป็นใครหรือ”

“ต้องเป็นคนบ้าแน่ๆ คนแบบนี้อยู่ห่างๆ หน่อยก็ดี ไม่งั้นเดี๋ยวจะโดนลูกหลงไปด้วย”

“เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็มารยาทดีเกินไปหน่อยไหม ทำไมไม่จับตัวเอาไว้ซะเลย เข้ามาก็คลุ้มคลั่งแล้ว คิดว่าสนามบินเป็นของเขาหรือยังไง”

……

“คุณผู้ชายใจเย็นก่อนนะคะ สนามบินไม่สามารถทำตามคำสั่งของคุณได้ค่ะ”

เมื่อพนักงานเคานเตอร์เห็นว่ามีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอยู่ด้วยแล้วก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมา แต่ความต้องการของเฉินตงก็ทำให้เธอไร้คำพูด แถมยังรู้สึกเหมือนคนที่มุงอยู่รอบๆว่าคนตรงหน้าเป็นบ้า

“ฉันมาตามหาเมีย สั่งเครื่องบินทุกลำให้หยุดบินออกไปเดี๋ยวนี้!”

ท่าทางของเฉินตงราวกับโดนผีสิง เขากำหมัดแน่นแล้วทุบลงไปบนเคานเตอร์ดัง “ตึ้ง”

“จับเขาไว้!”

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยรีบลงมือ

และในตอนนั้นเอง

“หยุด! ห้ามแตะต้องเขา!”

กูหลังตะโกนพลางวิ่งตะบึงเข้ามา

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจึงหยุด

เฉินตงไม่ได้ใส่ใจ เขายังกัดฟันและจ้องเขม็งไปที่พนักงานเคานเตอร์ จากนั้นจึงชี้ไปยังฝูงคนรอบๆ “ต้องทำอย่างที่พวกเขาบอกใช่ไหม สนามบินนี้ต้องเป็นของฉันก่อนถึงจะสั่งให้หยุดบินได้?”

พนักงานยิ้มด้วยรอยยิ้มดูถูก

จะให้หยุดบินได้ยังไง?

แล้วสนามบินจะเป็นของคุณได้ยังไง?

บ้าจริงๆ!

ปั้ง!

เฉินตงโยนบัตรดำชงโค ลงตรงหน้าพนักงานเคานเตอร์

“สนามบินนี้ ฉันขอซื้อ รีบสั่งให้เครื่องหยุดบินเดี๋ยวนี้!”

ตอนนั้นเจ้าหน้าที่ต่างตกอยู่ในความสับสน

ฝูงชนโดยรอบเงียบลงครู่หนึ่ง ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาพร้อมกัน

ไม่นานนักความครึกครื้นนี้ก็ดึงดูดความสนใจคนในสนามบินจำนวนมาก

เมื่อเจ้าหน้าที่ระดับสูงเห็นเฉินตงกับบัตรดำชงโค ต่างพากันตกใจจนหน้าถอดสี

บริเวณโถงในสนามบิน

เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและก่นด่าเฉินตงกันอย่างอื้ออึง

“โชคดีที่วันนี้ฉันได้บินเที่ยวบินนี้พอดี เลยได้เจอเรื่องราวสนุกๆ ”

“เด็กหนุ่มคนนี้คิดว่าตัวเองเป็นใครหรอถึงอยากจะซื้อสนามบิน แค่โยนบัตรออกมาใบเดียวก็คิดว่าจะซื้อได้แล้วเหรอ ตลกชะมัด!”

“บ้าบอจริงๆ ถ้าไม่บ้าจริงคงไม่ทำเรื่องโง่ๆ แบบนี้หรอก”

……

ท่ามกลางเสียงหัวเราะเย้ยหยันนั้น

ประกาศของสนามบินกลับดังแทรกขึ้น

“เนื่องจากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน เที่ยวบินทุกเที่ยวในสนามบินจึงต้องเลื่อนเวลาบินออกไปชั่วคราวสิบนาที”

เปรี้ยง!

เสียงประกาศครั้งนี้ราวกับเสียงสายฟ้าฟาด

เสียงหัวเราะเย้ยหยันที่ดังอื้ออึงภายในห้องโถงสนามบินพลันเงียบสงัดลงทันที

ฝูงชนต่างพากันอ้าปากค้างด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ

แม้แต่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกับพนักงานเคานเตอร์ที่อยู่รอบๆ ตัวเฉินตงก็ยังมีสีหน้าราวกับเห็นผี

“หาชื่อผู้โดยสารที่ชื่อว่ากู้ชิงหยิ่งให้ฉันเดี๋ยวนี้!”

เฉินตงเอ่ยกับพนักงานเคานเตอร์ด้วยเสียงแหบแห้ง “ฉันอยากรู้ว่าเธอเดินทางออกไปหรือยัง”

พนักงานได้สติกลับคืนมา ไม่กล้าอยู่เฉยอีกต่อไปจึงรีบลงมือค้นหา

ในห้องโถงใหญ่ของสนามบิน

เงียบสงัดถึงขั้นได้ยินเสียงเข็มตก

เสียงพนักงานรีบจิ้มคีย์บอร์ดดังสะท้อนก้องเข้าหูทุกคน

ไม่กี่วินาทีต่อจากนั้น

พนักงานคนหนึ่งกล่าวกับเฉินตงด้วยความหวาดกลัว

“คุณผู้ชายคะ เมื่อสิบนาทีก่อนหน้านี้ มีผู้โดยสารหญิงชื่อกู้ชิงหยิ่งโดยสารเครื่องบินออกไปแล้วค่ะ”

“ให้บินกลับมา สั่งให้บินกลับมา!” เฉินตงคล้ายกำลังจะตกลงสู่ห้วงแห่งความบ้าคลั่งและเสียสติ

พนักงานมีสีหน้าลำบากใจ

“ขอโทษด้วยค่ะ พวกเขาเดินทางด้วยเที่ยวบินส่วนตัว จึงไม่สามารถสั่งให้บินกลับมาได้ค่ะ”

คุนหลุนชะงักไป

ยังไม่ทันได้ขยับตัวทำอะไรต่อ

“ดีจริง! สมกับฤดูนี้จริงๆ!”

กู้โก๋ฮั๋วยังไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของกู้ชิงหยิ่ง จึงเอ่ยปากชมออกมา

และก็เพราะคำชมนี้เองที่ทำให้เย่หยวนชิวกับเย่หลิงหลงที่หยุดยืนอยู่ท่ามกลางพุ่มดอกไม้หันตัวกลับมา

นาทีนั้น

ราวกับเวลาหยุดเดิน

กู้ชิงหยิ่งกำลังจ้องมองเย่หยวนชิวกับใบหน้าสวยหมดจดของเย่หลิงหลง ในใจของเธอรู้สึกโต้แย้งกันอย่างรุนแรง จนทำให้เกิดความเจ็บปวดขมขื่น

เธอจับมือของกู้โก๋ฮั๋วกับหลี่หวั่นชิงเอาไว้โดยสัญชาตญาณ แล้วจิกเสื้อของคนทั้งสองเอาไว้แน่น

กู้โก๋ฮั๋วกับหลี่หวั่นชิงรับรู้ได้ถึงแรงที่กดลงบนแขนของตน สองสามีภรรยาพากันตกใจแล้วส่งสายตาสงสัยไปที่กู้ชิงหยิ่ง

ทว่าตอนนี้ เย่หยวนชิวยังคงมองไปที่กู้ชิงหยิ่งและคนอื่นๆ ด้วยสีหน้าปกติเหมือนเก่า

เขารู้สึกเหนื่อยใจขึ้นมา นี่มันจะ…บังเอิญเกินไปหน่อยไหม?

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทันทีต่อจากนั้นคือ เย่หลิงหลงขวางฟ่านลู่เอาไว้ “จริงอย่างที่เขาว่า ยิ่งไม่อยากเจอก็ยิ่งได้เจอ เมื่อวานแกไม่ได้ลงมือกับฉัน วันนี้เลยตามมาถึงที่นี่เลยหรอ”

“นี่คุณ…” ฟ่านลู่เริ่มฉุนเฉียว

คุนหลุนแอบดึงตัวฟ่านลู่เอาไว้ให้หยุด

เขารู้ดีว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่แน่!

เขารู้จักหงหุ้ยรุ่นหยวนดี

และยังรู้ด้วยว่า การมาบังเอิญเจอกันครั้งนี้ มันจะทำให้เกิดอะไรตามมา

แต่คุนหลุนยังคงก้าวขึ้นไปข้างหน้าแล้วประสานมือคารวะ “คุนหลุนทำความเคารพท่านเย่”

รอให้เย่หยวนชิวพยักหน้าตอบรับก่อน คุนหลุนถึงจะมองไปที่เย่หลิงหลงด้วยสายตาคับแค้น

“คุณหนูเย่ กรุณารักษาความสงบด้วย การบังเอิญเจอกันในครั้งนี้ คงไม่มีใครตั้งใจให้เกิดขึ้น”

เย่หลิงหลงเลิกคิ้วขึ้นทันที ในใจของเธอเต็มไปด้วยโทสะเดือดพล่าน

ในคำพูดของคุนหลุนมีความหมายแฝงอยู่ มีหรือที่เธอจะฟังไม่เข้าใจ?

ในหัวของเธอเริ่มปรากฏภาพเรื่องราวเมื่อวาน ความเดือดดาลในอกของเย่หลิงหลง กำลังจะทำให้เรื่องราวบานปลาย

“พวกคุณรู้จักกันหรือ”

กู้โก๋ฮั๋วกล่าวออกมาอย่างแปลกใจ

สิ้นเสียงพูด

กู้ชิงหยิ่งแอบดึงแขนของกู้โก๋ฮั๋วเบาๆ “พ่อคะ พวกเรากลับบ้านกันเถอะ หนูไม่อยากดูดอกไม้แล้ว”

“หยุดเดี๋ยวนี้!”

เย่หลิงหลงตวาดออกมา

ร่างของกู้ชิงหยิ่งเริ่มสั่นโงนเงน ดวงตาของเธอปรากฏความขุ่นเคือง

เธอพยายามอย่างยิ่งที่จะเก็บงำเอาไว้ ตอนนี้คงปิดบังไม่ได้อีกแล้ว?

“แม่หนู ไม่เห็นต้องทำกันแบบนี้เลย”

สีหน้าของกู้โก๋ฮั๋วเข้มขึ้น เขาไม่มีเหตุผลอะไรต้องกลัวสาวน้อยที่บังเอิญเจอคนนี้

ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้สาวน้อยคนนี้กำลังตวาดใส่ลูกสาวของตนอีกด้วย

“ไม่เห็นต้องทำกันแบบนี้หมายความว่ายังไง”

เย่หลิงหลงก้าวขึ้นไปข้างหน้าด้วยท่าทางก้าวร้าว “เมื่อวานฉันกับปู่อุตส่าห์ไปขอโทษขอโพยถึงที่บ้านตามธรรมเนียม ตอนที่พวกแกบังคับข่มขู่ไล่พวกเราออกจากบ้าน เคยคิดบ้างไหมว่าไม่เห็นต้องทำกันแบบนี้เลย?”

“หลิงหลง!”

สีหน้าของเย่หยวนชิวเปลี่ยนไป เขารีบแผดเสียงออกมาห้าม

ทว่าสีหน้าของกู้โก๋ฮั๋วกลับยิ่งเครียดขึ้น “ขอโทษขอโพย? แม่หนู ไม่ทราบว่าหนูคือใคร แต่ฉันเชื่อว่าลูกสาวของเราได้รับการอบรมมาดี คงไม่มีทางทำเรื่องเสียมารยาทกับใครได้แน่”

“อะไรนะ? หมายความว่ายังไง”

ตอนนั้นเย่หลิงหลงเดือดดาลขึ้นมาทันที เธอยกมือขึ้นชี้ฟ่านลู่ “ก็นางนี่ไงที่ขู่พวกเราว่าจะทำร้ายพวกเรา หล่อนก็อยู่ตรงนี้ด้วย ทำไมไม่รู้จักถามดูล่ะ”

ฟ่านลู่หรี่ตาเล็กอย่างที่สุด

เธอกำหมัดขึ้นทั้งสองข้างตามสัญชาตญาณ

เมื่อต้องเผชิญกับการข่มเหงของเย่หลิงหลงอย่างไม่ทันตั้งตัวเช่นนี้ เธอก็เริ่มจัดการตัวเองไม่ถูก

ส่วนคุนหลุนตอนนี้สีหน้าเริ่มเคร่งเครียดขึ้น

เขาหันไปมองเย่หยวนชิว “ท่านเย่ ท่านสอนหลานสาวอย่างนี้หรือ”

เย่หยวนชิวยิ้มอย่างหนักใจ และเตรียมจะเอ่ยตอบ

“สั่งสอน? แกกำลังจะบอกว่าฉันไม่ได้รับการสั่งสอนงั้นเหรอ”

เย่หลิงหลงยืดอกขึ้น เธอเอ่ยกับคุนหลุนอย่างไม่สบอารมณ์ “แกเกี่ยวข้องอะไรกับเฉินตงมิทราบ ขนาดเฉินตงเองยังไม่เคยบอกว่าฉันไม่ได้รับการสั่งสอนเลย!”

เปรี้ยง!

คำพูดเช่นนี้ราวกับเสียงฟ้าผ่าเข้าไปในหูของกู้โก๋ฮั๋วกับหลี่หวั่นชิง

สองสามีภรรยารู้ดีว่าเกิดปัญหาบางอย่างขึ้นระหว่างเฉินตงกับกู้ชิงหยิ่ง แต่เมื่อกู้ชิงหยิ่งไม่พูด คนทั้งสองจึงไม่อยากถาม

แต่คำพูดเมื่อกี้ของเย่หลิงหลง ทำให้สองสามีภรรยานึกโยงไปถึงสถานการณ์ที่น่ากลัวขึ้นทันที

“พอได้แล้ว!”

กู้ชิงหยิ่งหันขวับมาแล้วแผดเสียงพร้อมน้ำตาไหลพราก “เธอต้องการอะไรกันแน่ แค่บังเอิญเจอกันเท่านั้น คิดจะเอาเรื่องกันขนาดนี้เลยหรอ”

เมื่อเห็นกู้ชิงหยิ่งน้ำตานองหน้าเช่นนี้

เย่หลิงหลงที่กำลังหยิ่งผยองกลับมึนงง

ก็แค่โวยวายนิดหน่อย ทำไมต้องเป็นถึงขนาดนี้ด้วย?

“ทำไมเธอต้องมาโวยวายใส่ฉันด้วย”

เย่หลิงหลงไม่เข้าใจเท่าไหร่จึงเอ่ยว่า “เมื่อวานฉันกับปู่ต่างหากที่เป็นฝ่ายโดนรังแก!”

“โดนรังแก?”

กู้ชิงหยิ่งน้ำตาไหลพราก ริมฝีปากของเธอสั่นไหว “ใครกันแน่ที่โดนรังแก? คนที่รังแกคนอื่นตอนนี้กลับพยายามจะแก้ผิดเป็นถูกงั้นเหรอ”

“ฉัน…” เย่หลิงหลงมึนงง “ฉันไปรังแกเธอตั้งแต่เมื่อไหร่”

“พอแล้ว!”

กู้โก๋ฮั๋วเดือดดาล เขายกมือขึ้นแล้วชี้ไปที่เย่หลิงหลงพลางตวาดออกไป “เป็นเด็กเป็นเล็กไม่รู้จักร่ำเรียนให้ดี ลูกสาวของกู้โก๋ฮั๋วไม่เคยต้องเสียใจมากถึงขนาดนี้มาก่อน สาวน้อยอย่างเธอหน้าตาสะสวยก็จริง แต่จิตใจชั่วร้าย!”

เย่หลิงหลงหัวหมุน

คุนหลุนกับฟ่านลู่ยืนนิ่งอยู่เช่นนั้นมาพักใหญ่แล้ว

ใครจะไปคิดว่าเมื่อวานฟ้าไม่ผ่า แต่กลับจะมาผ่าลงตรงกลางสถานที่พักผ่อนแห่งนี้!

เมื่อได้ยินคำต่อว่าของกู้โก๋ฮั๋วเช่นนั้น เย่หยวนชิวพลันขมวดคิ้วแน่น

เขาก้าวออกมาเพื่อมายืนอยู่ข้างๆ เย่หลิงหลง แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “หลานสาวของฉัน ไม่เคยโดนใครดูหมิ่นแบบนี้มาก่อนเลย สิ่งที่เธอพูดคือความจริง คนเป็นผู้ใหญ่อย่างคุณ ทำไมถึงพูดจาเหลวไหล?”

“เรื่องจริง?”

กู้โก๋ฮั๋วโกรธจนยิ้มแยกเขี้ยว คล้ายกำลังกัดฟัน “จริงอย่างที่เขาว่ากันว่า ผู้ใหญ่เป็นตัวอย่างไม่ดี เด็กก็ย่อมเป็นแบบนั้น ดำเนินตามเส้นทางเดียวกันไม่ผิดเพี้ยน”

เมื่อเขาได้ยินคำว่าเรื่องจริงที่หลุดออกมาจากปากเย่หยวนชิว เขาจึงรู้สึกราวกับว่านี่คือการตอกย้ำว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นถูกต้อง!

เหลวไหล!

นี่มันเรื่องเหลวไหลชัดๆ !

ส่วนหลี่หวั่นชิงตอนนี้มีสีหน้าเขียวคล้ำ เธอโอบกู้ชิงหยิ่งเอาไว้อย่างไม่รู้ตัว

ในฐานะผู้หญิงด้วยกัน เรื่องราวเช่นนี้เป็นเรื่องที่ไม่อาจอดทนได้ที่สุด!

นี่เป็นฟางเส้นสุดท้ายของคนเป็นภรรยาทุกคน!

“พ่อคะ ไม่ต้องพูดแล้วค่ะ พวกเราไปกันเถอะ ไปกันได้แล้ว!”

กู้ชิงหยิ่งไม่อาจควบคุมตัวเองได้อีก เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเย่หลิงหลงที่เข้ามาโวยวายใส่ เธอรู้สึกพังทลายไม่เหลือชิ้นดี

สีหน้านิ่งสงบและรอยยิ้มต่างๆ ล้วนเป็นเพียงสิ่งบังหน้า เมื่อสิ่งบังหน้านี้ถูกกระชากออกก็เหลือเพียงความเจ็บปวด

“ไป พวกเรากลับบ้านกัน กลับบ้าน!”

หลี่หวั่นชิงแสดงอาการเกรี้ยวกราดออกมาแบบที่เห็นได้น้อยครั้งนัก เธอประคองกู้ชิงหยิ่งมุ่งหน้าเดินลงเขาไป

กู้โก๋ฮั๋วชี้หน้าคุนหลุนกับฟ่านลู่อย่างยัวะจัด “พวกเธอสองคนกลับไปบอกไอ้เฉินตงนั่นด้วยว่าลูกสาวของฉันอยู่กับเขาตั้งแต่ตอนที่เขาตัวเปล่าด้วยความรัก ลูกของฉันไม่ใช่คนที่เขาจะมาดูถูกกันได้ตามใจ! ตระกูลกู้ของเราดูแลเขาด้วยความหวังดี ลูกสาวของฉันรักเขาหมดทั้งหัวใจ แต่เขากลับทำเรื่องแบบนี้ พฤติกรรมแบบนี้มันไม่ต่างอะไรจากสัตว์เดรัจฉานเลย!”

เมื่อได้ยินคำต่อว่าของกู้โก๋ฮั๋ว

สีหน้าของฟ่านลู่ซีดเผือด สีหน้าของคุนหลุนก็หมองคล้ำเช่นกัน

จบกัน!

จบแล้วจริงๆ!

ส่วนเย่หลิงหลงกับเย่หยวนชิวนั้นนิ่งงันไปเมื่อโดนกู้โก๋ฮั๋วต่อว่ารุนแรงจนไม่รู้ว่าต้องทำอะไรต่อไป

เมื่อกู้ชิงหยิ่งกับพ่อแม่ลับสายตาไปแล้ว

ตอนนั้นเย่หลิงหลงถึงจะได้สติกลับมา “ปู่คะ ทำไมหนูไม่ค่อยเข้าใจเรื่องนี้เลยคะ”

“เธอไม่เข้าใจอะไร?”

ฟ่านลู่กล่าวด้วยเสียงเย็นเยียบ “เป็นเพราะการปรากฏตัวของเธอ ที่ทำให้คุณเฉินกับเสี่ยวหยิ่งต้องเข้าใจผิดกัน เสี่ยวหยิ่งเข้าใจว่าเธอเป็นเมียน้อย การวางท่าจองหอง โวยวายของเธอ ในสายตาของเสี่ยวหยิ่งคือพฤติกรรมของคนเป็นเมียน้อย ไหนลองว่ามาซิว่ายังมีอะไรไม่เข้าใจอีก”

“เธอรู้ไหมว่าคุณนายน้อยต้องเสียใจเพราะเรื่องนี้มากขนาดไหน? เมื่อวานถ้าการปรากฏตัวเข้ามาโวยวายของเธอไม่ทำให้คุณนายน้อยต้องร้องไห้จนตาบวมช้ำแบบนี้ เธอคิดว่าฉันจะอยากออกไปพูดกับเธองั้นหรอ?”

เย่หลิงหลงที่วางตัวหยิ่งผยองเริ่มโงนเงน ในหัวของเธอคล้ายได้ยินเสียงฟ้าผ่า

เย่หยวนชิวหน้าถอดสี

ไม่รอให้ปู่หลานสองคนได้เอ่ยปาก

ความอาฆาตแค้นเย็นยะเยือกได้แผ่ซ่านไปถึงร่างของปู่หลานสองคน

คุนหลุนหรี่ตาลงแล้วจ้องไปที่เย่หยวนชิวและเย่หลิงหลง

สุดท้ายก็ไปหยุดค้างอยู่ที่เย่หลิงหลง

“ถ้าเกิดเรื่องผิดพลาดอะไรขึ้นระหว่างคุณชายกับคุณนายน้อย ต่อให้เธอเป็นผู้สืบทอดของหงหุ้ยรุ่นหยวน คนอย่างคุนหลุนก็ไม่มีทางปล่อยเธอไว้แน่!”

กู้ชิงหยิ่งตัวสั่น

แม้ว่าจะพยายามทำตัวเข้มแข็ง แต่เวลานี้ดวงตาของเธอพร่าไปด้วยไอน้ำ

“ลูกคือคนที่แม่อุ้มท้องมาสิบเดือน เวลาลูกพยายามฝืนยิ้ม แม่ต้องมองออกอยู่แล้ว”

หลี่หวั่นชิงมีสีหน้าอ่อนโยน เธอใช้มือขวาของตนเอาผมดำขลับของกู้ชิงหยิ่งที่ปรกอยู่ตรงหน้าผากไปเหน็บไว้ด้านหลังหู “เรื่องทุกข์ใจของลูก แม่มองออก แต่ถ้าลูกไม่อยากพูด แม่ก็จะไม่บังคับ แต่ถ้าลูกอยากร้องแม่จะกอดลูกไว้เอง”

น้ำเสียงอ่อนโยนนุ่มนวลยิ่งทำให้กู้ชิงหยิ่งไม่อาจหยุดตัวเองไว้ได้

เธอพุ่งเข้าซบในอกของหลี่หวั่นชิง น้ำตาของเธอไหลพราก

หลี่หวั่นชิงกอดกู้ชิงหยิ่งไว้หลวมๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความห่วงใย เธอโอบหลังกู้ชิงหยิ่งเอาไว้ด้วยความสงสาร

บรรยากาศในห้องอบอวลไปด้วยเสียงสะอึกสะอื้นของกู้ชิงหยิ่ง

และในเวลานั้น

โทรศัพท์ของหลี่หวั่นชิงพลันส่งแสงสว่าง กู้โก๋ฮั๋วส่งข้อความเข้ามา

“สรุปแล้วลูกเราเป็นอะไร”

“คุณดูออกด้วยหรอ” หลี่หวั่นชิงปลอบไปพลางตอบข้อความ

“ไร้สาระน่า! ลูกสาวของเราคือไข่ในหินของพวกเรา ลูกเป็นอะไร คิดว่าคนเป็นพ่อจะมองไม่ออกหรือไง ไม่งั้นแล้วทำไมเมื่อกี้ผมต้องรับปากคุณไปส่งๆ ด้วยล่ะ”

หลี่หวั่นชิงยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะตอบข้อความ

“ลูกแต่งงานกับตงเอ๋อไปแล้ว อะไรที่ลูกไม่อยากพูด พวกเราก็อย่าถามมากนักเลย”

“ลูกของเราเศร้าขนาดนั้น ถ้าเศร้าจนส่งผลต่อร่างกายจะทำยังไง”

“ถ้าพวกเราเข้าไปยุ่งมากเกินไป มีแต่จะทำให้พวกเขาสองคนยิ่งวุ่นวายขึ้นเปล่าๆ”

หลี่หวั่นชิงตอบข้อความแล้ววางโทรศัพท์ลง โดยไม่สนใจกู้โก๋ฮั๋วอีก

เธอรู้ดีว่ากู้โก๋ฮั๋วคือคนที่หวงลูกสาวที่สุด แต่เธอเองก็รู้ดีว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะเข้าไปยุ่ง

การกระทบกระทั่งกันระหว่างสามีภรรยาเป็นเรื่องที่ยากจะหลีกเลี่ยง

ครอบครัวเดียวสามารถจัดการเรื่องราวต่างๆ ได้เอง เมื่อสองครอบครัวมารวมกันแล้วก็ไม่ใช่เรื่องราวระหว่างสามีภรรยาเพียงสองคนอีก

สุดท้ายแล้ว กู้ชิงหยิ่งก็ไม่ได้เล่าเรื่องให้หลี่หวั่นชิงฟัง

กู้ชิงหยิ่งร้องไห้จนเหนื่อยจนหลับคาอกของหลี่หวั่นชิง

กลายเป็นค่ำคืนที่ไร้เสียงเจรจา

เช้าวันต่อมา

เฉินตงเปิดประตูออกมา

การนอนไม่หลับตลอดทั้งคืน ทำให้เขารู้สึกเหนื่อย รอบดวงตาปรากฏรอยคล้ำ

เมื่อลงไปข้างล่าง กู้ชิงหยิ่งกำลังนั่งกินข้าวเช้าอยู่เป็นเพื่อนกู้โก๋ฮั๋วกับหลี่หวั่นชิงแล้ว

“ที่รัก วันนี้ฉันอยากพาพ่อแม่ออกไปเที่ยวหน่อยนะคะ” กู้ชิงหยิ่งกล่าวกับเฉินตงพร้อมรอยยิ้ม

เฉินตงชะงักไป หลายวันที่ผ่านมานี้เขาไม่ได้เห็นรอยยิ้มของกู้ชิงหยิ่งเลย

เวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วัน กลับทำให้เขารู้สึกราวกับผ่านไปเป็นแรมปี

“ได้สิ เดี๋ยวให้พี่คุนหลุนกับพี่เสี่ยวลู่ไปเป็นเพื่อนด้วย” เฉินตงพยักหน้า

“โอเคค่ะ”

หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ กู้ชิงหยิ่งได้นำคนอื่นๆ ออกจากวิลล่าไป

เฉินตงมองดูรถเคลื่อนตัวออกไปจากวิลล่าด้วยความรู้สึกสับสน

ท่านหลงเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ เฉินตง แล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “คุณชาย รีบหาเวลาอธิบายให้คุณนายน้อยเข้าใจนะครับ กระผมรู้สึกเป็นห่วงที่เห็นคุณนายน้อยเป็นแบบนี้”

“แล้วคิดว่าผมไม่เป็นห่วงหรอ” เฉินตงยิ้มอย่างขมขื่น

เมื่อล้างใบหน้าที่อ่อนล้าของเขาเสร็จแล้ว เฉินตงก็มุ่งหน้าไปยังบริษัทไท่ติ่ง

ภูเขาซี่สุ่ย

เป็นสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติที่อยู่ใกล้ๆ เมืองนี้

อากาศบนภูเขาสดชื่น ทิวทัศน์สวยงาม

แค่วันธรรมดาก็มีคนไม่น้อยแล้วที่เดินขึ้นเขามาชมวิวทิวทัศน์ที่นี่ หากเป็นวันเสาร์อาทิตย์คนก็จะยิ่งมากขึ้น

รถโรลส์-รอยซ์หยุดอยู่ริมถนน

เมื่อลงจากรถแล้ว กู้ชิงหยิ่งก็จับมือกู้โก๋ฮั๋วกับหลี่หวั่นชิง “พ่อกับแม่คงจะไม่ได้มาเที่ยวที่ภูเขาซี่สุ่ยนานแล้วใช่ไหมคะ”

กู้โก๋ฮั๋วถอนหายใจพลางมองร่างกายอ้วนท้วนของตัวเองโดยอัตโนมัติ แล้วเอ่ยอย่างลังเลว่า “เสี่ยวหยิ่ง ลูกแน่ใจแล้วใช่ไหมว่าจะพาพ่อขึ้นเขา?”

“ใช่ค่ะ” กู้ชิงหยิ่งยิ้มสดใส

หลี่หวั่นชิงหยิกแขนกู้โก๋ฮั๋ว “คุณเป็นพ่อแท้ๆ ลูกสาวอยากจะขึ้นเขา คุณจะยกพุงอ้วนๆ ของตัวเองมาเป็นข้ออ้างไม่ยอมขึ้นงั้นหรือ ที่ภูเขาซี่สุ่ยก็ไม่ได้สูงอะไรมาก ถือว่าลดความอ้วนก็แล้วกัน”

“ได้ๆๆ”

กู้โก๋ฮั๋วสูดอากาศเย็นๆ พลางกัดฟันรับปาก

คุนหลุนกับฟ่านลู่รั้งท้ายอยู่ เฝ้ามองคนทั้งสามเดินขึ้นภูเขาซี่สุ่ยไปอย่างมีความสุข

คุนหลุนส่ายหน้าอย่างหนักใจ “ไม่สบายใจเลยที่เห็นคุณนายน้อยเป็นแบบนี้”

“ไม่รู้เลยว่าร่างกายบอบบางของเธอจะทนรับเรื่องพวกนี้ไปได้ถึงเมื่อไหร่” ฟ่านลู่รู้สึกสงสารอย่างมาก

เรื่องเข้าใจผิดเรื่องหนึ่ง

ใครๆ ต่างก็รู้ว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด

แต่กู้ชิงหยิ่งเป็นคนที่อยู่ในเหตุการณ์จึงมองไม่ออก สิ่งที่แบกรับเอาไว้นั้นมากเกินกว่าจะจินตนาการได้

แต่การต้องแสร้งว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นต่อหน้าพ่อแม่ ทำให้คุนหลุนกับฟ่านลู่รู้สึกปวดใจมาก

และในตอนที่คนทั้งห้ากำลังมุ่งหน้าขึ้นไปบนภูเขาซี่สุ่ยนั้น

กลางเขา

“คุณปู่คะ พวกเฉินตงทำแบบนี้ ทำไมพวกเราต้องรอด้วยคะ จะกลับเลยก็ได้ ทำไมปู่ถึงเป็นคนดีรับทุกอย่างเอาไว้เองหมด แถมวันนี้ยังมีอารมณ์มาเดินเขา และเลื่อนกำหนดกลับหงหุ้ยออกไป”

เย่หลิงหลงเดินไป บ่นไป

ภูเขาซี่สุ่ยไม่ใช่ภูเขาสูงชันจึงเป็นสถานที่ที่เหมาะกับการออกกำลังกาย ดังนั้นการออกกำลังกายด้วยการมาขึ้นเขาที่นี่สบายมากสำหรับเธอ

แต่เมื่อนึกถึงเรื่องที่ไปพบเฉินตงเมื่อวาน เย่หลิงหลงกลับรู้สึกโมโหขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ

จู่เหลาของหงหุ้ยที่ยิ่งใหญ่และหงกุ้นของหงหุ้ย อุตส่าห์ไปถึงที่บ้านเพื่อขอโทษ นับว่าเป็นการให้เกียรติมากขนาดไหนแล้ว?

แต่นี่กลับโดนคนใช้ของเฉินตงไล่กลับแถมยังพูดจาข่มขู่อีก!

ความน่าโมโหเช่นนี้ ตั้งแต่เล็กยันโต เย่หลิงหลงเพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก!

“หลิงหลง เรื่องบางเรื่องหนูไม่เข้าใจ”

เย่หยวนชิวยิ้มอย่างไร้อารมณ์ เขามองเย่หลิงหลงที่กำลังโมโหจัดแล้วเอ่ยว่า “นิสัยแข็งกร้าวของหนู ถ้าแก้ได้ก็แก้ซะ ไม่งั้นวันหน้าจะเสียเปรียบ”

“ใครทำให้หนูต้องเสียเปรียบ หนูจะจัดการมัน!”

เย่หลิงหลงกำหมัดแน่น ท่าทางของเธอราวกับลูกเสือ

เย่หยวนชิวส่ายหน้าอย่างเอือมระอา ตั้งแต่เล็กยันโต เธอถูกตนและคนในหงหุ้ยตามใจจนเสียนิสัย

แต่การที่ไม่ได้พบเฉินตงเมื่อวาน ก็ทำให้เย่หยวนชิวรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง

เฉินตงเพิ่งจะเข้าหงหุ้ย สิ่งแรกที่ควรทำคือการเชื่อมความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้น

หากกลับไปง่ายๆ แบบนี้ การเชิญเฉินตงเข้าหงหุ้ยได้มันจะมีความหมายอะไร?

ด้วยเหตุนี้เย่หยวนชิวจึงถ่วงเวลาการเดินทาง และตั้งใจว่าจะอยู่ที่นี่อีกสักสองสามวัน เผื่อจะมีโอกาสดีๆ ได้พบเฉินตงแล้วค่อยกลับหงหุ้ย

เพื่อเป็นฆ่าเวลา เขาเลยให้เย่หลิงหลงหาสถานที่ท่องเที่ยวใกล้ๆ เพื่อมาพักผ่อนกันก่อน

“คุณปู่คะ ได้ยินมาว่าภูเขาซี่สุ่ยมีดอกเบญจมาศทั่วไปหมด ช่วงนี้เป็นฤดูที่ดอกเบญจมาศกำลังบานพอดี ต้องสวยมากแน่ๆ เลยค่ะ”

เย่หลิงหลงเอ่ยขึ้นมา

“ดอกเบญจมาศ?”

เย่หยวนชิวเม้มปาก “ฤดูนี้พอดีหรือ อย่างนั้นก็ดีเลย”

ปู่หลานสองคนรีบสาวเท้าขึ้นไปบนเขาอย่างรวดเร็ว

บนเขา

กู้ชิงหยิ่งอารมณ์ดีอย่างเห็นได้ชัด สีหน้าของเธอราวดอกไม้ที่กำลังยิ้มอยู่ตลอดเวลา

กู้โก๋ฮั๋วกับหลี่หวั่นชิงก็มีความสุขเช่นกัน แต่คนทั้งสองมักจะหันไปสบตากันอยู่บ่อยๆ และต่างรู้ถึงความทุกข์ใจของอีกฝ่ายดี

กู้ชิงหยิ่งแกล้งมีความสุข สองสามีภรรยาก็แกล้งทำเป็นมีความสุขเช่นกัน

ไม่ว่าใครต่างไม่ยอมเปิดเผยการโกหกด้วยเจตนาดีนี้

คุนหลุนกับฟ่านลู่ที่เดินตามมาด้านหลัง เห็นเหตุการณ์เช่นนี้ตลอดก็รู้สึกไร้คำพูด

“คุณพ่อคุณแม่คะ พวกเราใกล้จะถึงยอดเขาแล้ว ช่วงเวลานี้ดอกเบญจมาศกำลังบานบนยอดเขาพอดี ต้องสวยมากแน่ๆ”

กู้ชิงหยิ่งจูงกู้โก๋ฮั๋วและหลี่หวั่นชิงเร่งฝีเท้าเดินไปข้างหน้า

กู้โก๋ฮั๋วตกใจจึงเอ่ยว่า “เดี๋ยวก่อนลูกสาวสุดที่รักของพ่อ เดินช้าลงหน่อย ตอนนี้หนูมีเด็กตัวน้อยอยู่ในท้องนะ”

แต่นอกจากกู้ชิงหยิ่งจะไม่ลดความเร็วลงแล้ว กลับยิ่งเร่งฝีเท้าขึ้นอีก

ไม่นานนัก คนทั้งห้าคนก็ขึ้นไปถึงยอดเขา

ภาพที่เข้าสู่สายตานั้นคือ ทุ่งดอกไม้บานสะพรั่ง กลิ่นหอมอบอวล

แม้ว่าจะยังเป็นตอนเช้าอยู่ แต่ก็มีคนจำนวนมากแทรกตัวเข้าไปอยู่ท่ามกลางดอกไม้เพื่อถ่ายรูป

ภาพทุ่งดอกไม้ทำให้คนทั้งสามอุทานออกมาด้วยความตื่นตะลึง

และในตอนนั้นเอง

เสียงคนสูงวัยผู้หนึ่งเอ่ยดังขึ้น

“เดือนเก้าย่างเข้าสารทฤดู ถึงยามเบญจมาศเบ่งบาน เหล่าบุปผาอื่นเหี่ยวเฉา”

เสียงท่องกลอนทุ้มลึก น้ำเสียงน่าเกรงขาม

ในขณะที่เสียงนี้ดังขึ้น

รอยยิ้มบนใบหน้าของกู้ชิงหยิ่งพลันมลายหายไป

สีหน้าของฟ่านลู่เปลี่ยนไป เธอคว้าแขวนของคุนหลุนเอาไว้อย่างไม่รู้ตัว

แล้วเอ่ยเสียงทุ้มต่ำว่า “พี่คุนหลุน เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”

ท่านหลงที่รีบร้อนวิ่งเข้ามา เมื่อเห็นกู้ชิงหยิ่งร้องไห้อย่างควบคุมตนเองไม่ได้ก็รู้สึกสงสารจับใจ

ตามความคิดของเขา

ภูมิหลังเรื่องฐานะของเฉินตงกับกู้ชิงหยิ่งมีความแตกต่างกันจริงๆ

หากพูดถึงภูมิหลังเรื่องฐานะ ตระกูลเฉินกับตระกูลกู้ไม่อยู่บนเส้นทางเดียวกัน

แต่ท่านหลงแน่ใจ

ว่าการแต่งงานระหว่างเฉินตงกับกู้ชิงหยิ่ง ไม่ใช่กู้ชิงหยิ่งที่วาสนาดีได้แต่งงานเข้าตระกูลร่ำรวย แต่เป็นเฉินตงต่างหากที่ได้โชคใหญ่มหาศาล

แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงคนในบ้านตระกูลเฉิน แต่ในหัวของเขาก็ไม่เคยมีความคิดเช่นนั้นมาก่อน

ตลอดเส้นทางที่ผ่านมา กู้ชิงหยิ่งช่วยเหลือเฉินตงอย่างสุดแรงกายแรงใจมาโดยตลอด

แต่ตอนนี้กลับต้องมาเผชิญเรื่องราวเช่นนี้

“ท่านหลง มีเรื่องอะไรหรอคะ?”

กู้ชิงหยิ่งยกมือทั้งสองข้างขึ้นเช็ดน้ำตา พยายามเอ่ยถามโดยข่มกลั้นน้ำตาเอาไว้

ท่านหลงหลุดจากภวังค์ “คุณพ่อกับคุณแม่ของคุณนายน้อยมาถึงแล้วครับ”

“พ่อกับแม่?”

กู้ชิงหยิ่งประหลาดใจ จากนั้นจึงก้มหน้าร้องไห้อีกราวกับกำลังคิดบางอย่างในใจ

อารมณ์ของท่านหลงกับฟ่านลู่เปลี่ยนไปพร้อมๆ กัน

ตอนนี้เรื่องราวในบ้านจะเป็นอย่างไร ทั้งหมดขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของกู้ชิงหยิ่งแล้ว

วินาทีต่อมา

กู้ชิงหยิ่งเงยหน้าขึ้น ใบหน้าโรยราของเธอกลับปรากฏรอยยิ้มที่พยายามฝืนยิ้มออกมาอย่างเศร้าสร้อย

“รบกวนท่านหลงกับพี่เสี่ยวลู่ช่วยลงไปต้อนรับพ่อกับแม่ก่อนนะคะ ฉันขออาบน้ำก่อนแล้วค่อยตามลงไป”

ท่านหลงกับฟ่านลู่จึงออกจากห้องนอนไป

กู้ชิงหยิ่งเช็ดน้ำตาไปพลางบ่นพึมพำกับตัวเอง

“กู้ชิงหยิ่ง อย่ายอมแพ้นะ อย่าให้พ่อกับแม่รู้เด็ดขาด ตัวเองเป็นคนเลือกเขาเองนี่”

“ไม่มีอะไร จะต้องไม่มีอะไร กู้ชิงหยิ่งเป็นคนเข้มแข็งอยู่แล้วใช่ไหม? จะต้องเก็บเรื่องนี้เอาไว้เองให้ได้”

“พ่อกับแม่อุตส่าห์มาตั้งไกลเพื่อมาหาหลาน จะให้พวกเขาโมโหไม่ได้”

เธอสูดหายใจลึกก่อนจะออกแรงบิดขี้เกียจ แล้วพยายามฝืนยิ้มก่อนจะเดินเข้าไปในห้องอาบน้ำ

ห้องรับแขกด้านล่าง

เฉินตงกำลังต้อนรับกู้โก๋ฮั๋วกับหลี่หวั่นชิงอยู่

เมื่อเห็นท่านหลงกับฟ่านลู่ลงมา

กู้โก๋ฮั๋วจึงลุกขึ้นทักทาย “ท่านหลง เมื่อกี้เป็นอะไรหรือ ทำไมเห็นพวกเราแล้วต้องวิ่งหนีด้วย”

“พอดีมีเรื่องด่วนต้องรีบจัดการ ก็เลยวุ่นวายไปสักหน่อยน่ะครับ”

ท่านหลงอธิบายสั้นๆ แล้วยิ้มอย่างรู้สึกผิด “ต้องขออภัยด้วย”

กู้โก๋ฮั๋วโบกมืออย่างไม่สนใจ เขาเป็นคนที่มีนิสัยไม่สนใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อยู่แล้ว

หลี่หวั่นชิงเอ่ยขึ้นมาว่า “ตงเอ๋อ เสี่ยวหยิ่งล่ะลูก”

มือที่กำลังรินน้ำชาของเฉินตงสั่นเล็กน้อย

กู้โก๋ฮั๋วรีบแทรกขึ้นมาว่า “จริงสิ รีบไปตามเสี่ยวหยิ่งลงมา พวกเราสองคนอยากดูหลานตัวน้อย”

ฟ่านลู่รีบตอบว่า “คุณนายคะ พอดีคุณนายน้อยเพิ่งตื่น กำลังอาบน้ำอยู่ค่ะ”

“เด็กคนนี้ พอท้องก็ชักขี้เกียจซะแล้ว นี่คิดจะนอนตั้งแต่เช้ายันเย็นเลยหรือ” กู้โก๋ฮั๋วขมวดคิ้ว “ทำไมลูกถึงขี้เกียจแบบนี้ เดี๋ยวลงมาจะต้องต่อว่าสักหน่อยแล้ว”

หลี่หวั่นชิงขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วเหลือบมองกู้โก๋ฮั๋ว

เฉินตงอมยิ้มแล้วอธิบายว่า “คุณพ่อครับ เวลาท้องก็ต้องเหนื่อยเป็นธรรมดาอยู่แล้ว เสี่ยวหยิ่งอยากพักผ่อนก็ให้พักผ่อนไปเถอะครับ”

เมื่อได้ยินดังนั้น

กู้โก๋ฮั๋วก็หัวเราะออกมา

คิ้วของหลี่หวั่นชิงก็เริ่มคลายออก แล้วอมยิ้มบางๆ

คนเป็นพ่อเป็นแม่ แม้ว่าปากจะตำหนิลูกสาวของตน แต่ในใจจะคิดแบบนั้นได้อย่างไร?

ไม่ว่าใครต่างก็รู้ว่าการตั้งครรภ์มันลำบากขนาดไหนสำหรับผู้หญิง

การอธิบายของเฉินตง ทำให้สามีภรรยาสองคนนี้เห็นความรักและทะนุถนอมของเฉินตงที่มีต่อกู้ชิงหยิ่ง

ในตอนนั้น

กู้ชิงหยิ่งค่อยๆ เดินลงมาจากชั้นบน

ฟ่านลู่เห็นเป็นคนแรกจึงรีบเข้าไปพยุงลงมา

“เสี่ยวหยิ่ง!”

กู้โก๋ฮั๋วกับหลี่หวั่นชิงรีบร้อนเดินเข้าไปหา

ในใจของเฉินตงเกิดคลื่นลูกใหญ่ เขามองไปที่กู้ชิงหยิ่งอย่างละอายใจ ความคิดของเขายุ่งเหยิง

เห็นได้ชัดว่ากู้ชิงหยิ่งแต่งหน้า เพื่อปิดบังความเหนื่อยล้าและรอยบวมช้ำใต้ดวงตา

“ทำไมพ่อกับแม่จะมาถึงไม่บอกหนูล่วงหน้าก่อนคะ”

กู้ชิงหยิ่งพูดพร้อมรอยยิ้ม สายตาของเธออ่อนโยน ราวกับไม่เคยเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาก่อน

กู้โก๋ฮั๋วเอ่ยอย่างเซ็งๆ “เมื่อวานพวกเราโทรหาลูกแล้ว แต่โทรหาลูกไม่ติด ก็เลยบอกเฉินตงเอาไว้”

เมื่อวาน?

แววตาของกู้ชิงหยิ่งเกิดประกายเล็กน้อย เมื่อวานคงจะเป็นวันที่ยากจะลืมเลือนมากที่สุดในชีวิตของเธอแล้ว

เธอเหลือบดวงตาคู่งามของตนมองไปที่เฉินตง แล้วยิ้มอย่างสดใส “คงเป็นเพราะเมื่อวานหนูหลับอยู่ หมอนี่ก็ไม่ยอมปลุก จนสุดท้ายตัวเองคงลืมไปเองล่ะมั้งคะ”

เฉินตงชะงักไป

แววตาของเขาเริ่มลนลาน

เขาจ้องมองกู้ชิงหยิ่งที่กำลังยิ้มแย้มเบิกบาน

ตอนนั้นเขารู้สึกราวกับว่ามีมีดคมๆ หลายเล่มระดมแทงเข้าที่หัวใจของเขาจนหัวใจของเขาแตกเป็นเสี่ยงๆ

เมื่อความละอายใจปะทุออกมา เฉินตงก็เริ่มรู้สึกเวียนหัว

เขารู้ดีว่าตอนนี้กู้ชิงหยิ่งกำลังแบกรับความเจ็บปวดใหญ่หลวง การที่เธอเอ่ยออกไปเช่นนี้ไม่รู้ว่าต้องเจ็บปวดมากแค่ไหน

คุนหลุนถอนใจดัง

ส่วนฟ่านลู่นั้นมองกู้ชิงหยิ่งอย่างเห็นอกเห็นใจ

ท่านหลงฝืนยิ้มหม่นหมองพลางเหลือบมองเฉินตง ได้ภรรยาดีเช่นนี้ ถ้าคุณชายยังคิดนอกใจอีกจะเหมาะสมกับตำแหน่งเจ้าบ้านตระกูลเฉินได้อย่างไร

จากประสบการณ์ของเขา ความทุกข์ใจสารพัดบนโลกนี้ล้วนเคยประสบพบเจอมาหมดแล้ว ดังนั้นเขาจึงรู้ดีว่าการกระทำเช่นนี้ของกู้ชิงหยิ่งแสดงถึงความรักที่มีต่อเฉินตงลึกซึ้งมากเพียงใด

“ตงเอ๋อ ลืมจริงๆ หรือ” กู้โก๋ฮั๋วหันกลับไปมองเฉินตง

เฉินตงสะดุ้ง

แล้วหันไปมองกู้ชิงหยิ่งอย่างลึกซึ้งก่อนจะเกาศีรษะอย่างเขินอาย “ใช่แล้วครับพ่อ ผมลืมไปเลย”

“เจ้าเด็กนี่ งานก็ไม่น่าจะเยอะอะไรมาก”

กู้โก๋ฮั๋วยิ้มระคนระอา เขารู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเฉินตงช่วงนี้ดี ดังนั้นคงจะเป็นเพราะว่าแรงกดดันที่มากเกินไปบวกกับงานยุ่งจนทำให้เผลอลืมไปบ้าง

เป็นเพราะกู้ชิงหยิ่งพยายามสงบอารมณ์ของตัวเองไว้ บรรยากาศจึงเป็นไปอย่างรักใคร่อบอุ่น

ส่วนกู้โก๋ฮั๋วกับหลี่หวั่นชิงเองก็ไม่พบอะไรที่ผิดปกติ จึงพูดคุยกับทุกคนอย่างสบายใจ

เมื่อเริ่มดึกขึ้นเรื่อยๆ

‘มีพ่อกับแม่อยู่ด้วยแบบนี้ เสี่ยวหยิ่งคงจะไม่นอนแยกห้องกับเราหรอกมั้ง จะได้ใช้โอกาสนี้อธิบายกับเธอไปด้วยเลย’

นี่คือความคิดในใจของเฉินตง

ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาคิดไม่ถึงคือ

กู้ชิงหยิ่งทำท่าหาวแล้วโอบแขนของหลี่หวั่นชิงไว้พลางเอ่ยว่า “แม่คะ ไม่ได้เจอแม่นานแล้ว หนูคิดถึงแม่จัง คืนนี้หนูขอนอนกับแม่ได้ไหมคะ”

เฉินตงชะงักแล้วมองไปที่กู้ชิงหยิ่งอย่างสับสน แค่โอกาสในการอธิบายก็ให้ผมไม่ได้งั้นหรือ

ท่านหลง คุนหลุนกับฟ่านลู่ต่างพากันประหลาดใจไปตามๆ กัน

หลี่หวั่นชิงพิจารณามองกู้ชิงหยิ่งแล้วอมยิ้มก่อนจะหันไปตอบว่า “เรื่องนี้แม่ไม่สามารถตัดสินใจได้หรอก ต้องถามว่าพ่อของลูกกับเฉินตงจะยอมรึเปล่า”

“ไม่เป็นไรๆ ฉันสบายๆ อยู่แล้ว” กู้โก๋ฮั๋วพูดอย่างไม่คิดอะไร ทำเอาหลี่หวั่นชิงขมวดคิ้ว

เฉินตงฝืนยิ้ม “แม่ครับ ผมก็ไม่มีปัญหาอะไร เสี่ยวหยิ่งไม่ได้เจอพ่อกับแม่มานานแล้วจริงๆ”

“งั้นก็ดี คืนนี้แม่จะได้นอนเป็นเพื่อนเสี่ยวหยิ่ง” หลี่หวั่นชิงยิ้มอย่างอบอุ่น แล้วลูบหัวกู้ชิงหยิ่งอย่างอ่อนโยน

กลางดึกอันเงียบสงบ

เฉินตงนอนอยู่ห้องข้างห้องนอนใหญ่

ส่วนในห้องนอนใหญ่นั้น กู้ชิงหยิ่งนอนซบอยู่ในอกของหลี่หวั่นชิง หลี่หวั่นชิงลูบผมของกู้ชิงหยิ่งเบาๆ

สองแม่ลูกนอนในท่าทางแบบนี้อยู่นาน โดยไร้การสนทนา

หลี่หวั่นชิงเอ่ยปากเบาๆ เพื่อทำลายความเงียบว่า

“เสี่ยวหยิ่ง ยังไม่หลับอีกหรอลูก”

“ค่ะ” กู้ชิงหยิ่งตอบเบาๆ

“มีเรื่องอะไรกังวลก็พูดกับแม่ได้นะ ถ้าอยากร้องไห้แม่จะกอดลูกเอาไว้เอง” หลี่หวั่นชิงยิ้มด้วยความสงสารลูก

ร่างกายของกู้ชิงหยิ่งสั่นสะท้านเบาๆ

เธอเงยหน้าขึ้นมองหลี่หวั่นชิงด้วยความแปลกใจ

หลี่หวั่นชิงยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วกล่าวช้าๆ

“ลูกไม่ให้แม่นอนเป็นเพื่อนลูกมานานมากแล้ว คืนนี้อยากนอนกับแม่ก็เพราะมีเรื่องไม่สบายใจไม่ใช่หรอ”

ราวฟ้าทลายแผ่นดินถล่ม หรือวันนี้คือวันสิ้นโลก?

เฉินตงรู้สึกว่าร่างกายของเขาอ่อนปวกเปียก ในหัวของเขาเต็มไปด้วยเสียงอื้ออึง

นี่เป็นเรื่องบังเอิญ?

หรือมีคนตั้งใจ?

อารมณ์เดือดดาลของเขาล้นทะลักออกมา

แค่เรื่องที่เย่หยวนชิวกับเย่หลิงหลงบีบบังคับเขาให้เข้าเป็นสมาชิกหงหุ้ย เขายังโกรธไม่หาย

และเป็นเพราะเย่หลิงหลง ที่ทำให้เขากับกู้ชิงหยิ่งต้องหมางใจกัน

วันนี้สองปู่หลานคู่นี้ยังมาที่บ้านอีก

ต่อให้เฉินตงพยายามข่มกลั้นอารมณ์ของตัวเองมากแค่ไหน เวลานี้เขากลับไม่สามารถข่มกลั้นได้อีกต่อไป!

“คุณชาย ไปกันเถอะครับ พวกเขากำลังจะไปขึ้นรถแล้วนะครับ”คุนหลุนกล่าวเตือน

เฉินตงหายใจเข้าลึกด้วยพยายามจะข่มโทสะที่เดือดพล่านของตน “ไล่พวกเขาไป”

ตึ้ง!

เสียงโทรศัพท์ตัดสายไป

เฉินตงแสร้งทำเหมือนไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แล้วรีบก้าวอาดๆ ไปรับกู้โก๋ฮั๋วและภรรยาพร้อมกับคุนหลุน

“ลูกคนนี้ พ่อบอกแล้วไงว่าไม่ต้องมารับ”

เมื่อกู้โก๋ฮั๋วเห็นเฉินตงก็รู้สึกประหลาดใจ

“พ่อกับแม่มา ผมจะไม่มารับได้ยังไงล่ะครับ” เฉินตงยิ้มพลางรับสัมภาระมาแล้วส่งต่อให้คุนหลุน

กู้โก๋ฮั๋วหัวเราะชอบใจ “ดีๆๆ กลับบ้านกัน”

ตลอดทางเฉินตงพูดคุยหยอกล้อกับกู้โก๋ฮั๋วและภรรยาตลอดทาง บรรยากาศสนุกสนานกลมเกลียว

แต่ในใจลึกๆ ของเฉินตงรู้ดีว่า นี่เป็นสัญญาณก่อนจะเกิดพายุฝนโหมกระหน่ำเท่านั้น

และช่วงเวลาที่เฉินตงกำลังมุ่งหน้ากลับวิลล่าเขาเทียนซานอยู่นั้น

ที่สนามในวิลล่า ได้เกิดเรื่องโกลาหลขึ้นแล้ว

“มีสิทธิ์อะไรมาไล่พวกเรากลับ”

ในอกของเย่หลิงหลงเดือดพล่าน เธอชี้หน้าตะคอกใส่ท่านหลง “ที่พวกเราอุตส่าห์มาเยี่ยมเยือนก็เพื่อจะมาขอโทษเฉินตง มีที่ไหนใช้วิธีแบบนี้ต้อนรับแขก?”

สีหน้าของท่านหลงขุ่นหมอง ปลายหางตาของเขากำลังเต้นตุ้บๆ

วิธีต้อนรับแขก?

ก็เป็นเพราะเรื่องราวเข้าใจผิดระหว่างคุณกับคุณชายนี่ไง ที่ทำให้บ้านของเรากำลังระส่ำระสาย ยังจะมาพูดเรื่องการต้อนรับขับสู้อีกหรอ

แต่เห็นว่าเย่หลิงหลงยังเป็นผู้น้อยกว่า ท่านหลงจึงไม่ได้คิดจะเอาเรื่องกับเธอ

แต่กลับหันไปมองเย่หยวนชิวอย่างมีความนัย “ท่านเย่ ได้โปรดกลับไปเถิด คืนนี้ที่นี่จะมีกินเลี้ยงกันในบ้าน ไม่สะดวกเชิญคนนอก”

น้ำเสียงดังฟังชัดนี้ยากที่จะโต้แย้ง

สีหน้าของเย่หยวนชิวยังคงปกติดังเดิม

แต่เย่หลิงหลงนั้นไม่สามารถอดทนได้อีก

ถ้าเธอไม่ได้เจอกับตัวเอง เธอคงไม่เชื่อว่าจะได้พบเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้

ปู่เป็นจู่เหลาคนเดียวของหงหุ้ย ฐานะโดดเด่น

ไม่ว่าจะเป็นตระกูลร่ำรวยชั้นสูงตระกูลใด ล้วนยกให้เป็นแขกคนสำคัญ

ขนาดไปที่บ้านตระกูลเฉินหรือไปที่ตระกูลRothschild ก็ยังยกให้พวกตนเป็นแขกคนสำคัญ

แต่พอมาถึงที่นี่ ที่บ้านของเฉินตง กลับบอกสั้นๆ ว่าจะมีกินเลี้ยงและไล่พวกตนกลับไป?

ตึกชั้นสองในวิลล่า

ฟ่านลู่กำลังประคองกู้ชิงหยิ่งไปยืนอยู่ข้างหน้าต่าง จึงเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้านล่างพอดี

กู้ชิงหยิ่งเมื่อไม่ได้นอนมาทั้งคืน สีหน้าของเธอจึงเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและโศกเศร้า

ดวงตาของเธอแดงก่ำ ทั้งยังบวมช้ำ อันเนื่องมาจากร้องไห้ตลอดทั้งคืน

ตอนนี้เมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสนาม กู้ชิงหยิ่งกัดริมฝีปาก จมูกของเธอตีบตัน

ตอนนี้ความปวดใจทวีสูงขึ้นจนถึงขีดสุด

รถ BMW i8 ที่คุ้นตา ท่าทางสง่างามเหมือนอย่างที่เธอได้เห็นในคลิป

นี่คือการมาประกาศตัวที่บ้านล่ะสิ?

หล่อนเอาความกล้าบ้าบิ่นแบบนี้มาจากที่ไหน?

เมื่อเห็นเย่หลิงหลงวางท่าผยองอยู่ในสนาม กู้ชิงหยิ่งยิ่งรู้สึกวิงเวียน

ความเจ็บปวดปะทุออกมา

“คุณนายน้อยรักษาร่างกายด้วยนะคะ บางทีอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเราคิดก็ได้”

ฟ่านลู่สังเกตปฏิกิริยาของกู้ชิงหยิ่ง ในฐานะที่ตนเป็นผู้หญิงจึงเข้าใจเรื่องราวเช่นนี้ได้ดีที่สุด ไม่มีใครเข้าใจว่ากู้ชิงหยิ่งเจ็บปวดขนาดไหนมากไปกว่าเธออีกแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เมียน้อยได้บุกมาถึงหน้าบ้านแล้ว

แม้ว่าเมื่อคืนเธอจะได้ฟังความจริงมาจากปากเฉินตงบ้างแล้วก็ตาม

แต่สำหรับกู้ชิงหยิ่งในตอนนี้ นี่คือการที่เมียน้อยบุกบ้านมาหาเรื่องกันชัดๆ

“ไม่ใช่แบบนี้แล้วมันจะเป็นแบบไหนไปได้”

น้ำตาของกู้ชิงหยิ่งไหลออกมาเป็นสาย เธอสะอึกสะอื้นพลางเอ่ยว่า “พี่เสี่ยวลู่ จู่ๆ ฉันก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้มีตัวตนอะไรเลย ผู้หญิงคนนั้นจะต้องดีเพียบพร้อมมากแน่ๆ ใช่ไหม?”

แววตาของฟ่านลู่ชะงักงัน

เมื่อเห็นท่าทางหมดอาลัยตายอยากของกู้ชิงหยิ่ง อารมณ์ของเธอก็พุ่งปรี๊ด

“คุณนายน้อย นั่งอยู่ตรงนี้ก่อนนะ ตอนนี้กำลังท้องกำลังไส้”

ฟ่านลู่พยายามข่มกลั้นความโกรธ แล้วประคองกู้ชิงหยิ่งให้นั่งลงบนเก้าอี้

กู้ชิงหยิ่งมองไปที่ท้องของตัวเอง ตอนนั้นความเจ็บปวดของเธอยิ่งบาดลึกราวกับโดนมีดกรีด

ฟ่านลู่เดินตรงไปที่หน้าต่างแล้วผลักหน้าต่างเปิดออก จากนั้นจึงตะโกนลงไปด้านล่างว่า

“ท่านหลง มัวเสียเวลาคุยอะไรอยู่ ถ้าต้องลงมือเดี๋ยวฉันจะลงไปจัดการเดี๋ยวนี้เลย!”

การยื้อกันอยู่ด้านล่างผ่านมากว่าสิบนาทีแล้ว ในช่วงเวลาสั้นๆ เช่นนี้กลับทำให้กู้ชิงหยิ่งเจ็บปวดเกินกว่าจะจินตนาการได้

อีกอย่างก่อนที่คุนหลุนจะออกไป ได้แอบบอกฟ่านลู่เอาไว้ว่า เขากำลังจะออกไปรับพ่อแม่ของกู้ชิงหยิ่ง

ถ้าไม่รีบแก้ไขให้จบโดยเร็ว อีกประเดี๋ยวแผ่นดินต้องลุกเป็นไฟอย่างแน่นอน!

ถ้าใช้ไม้อ่อนไม่ได้ผล อย่างนั้นก็ต้องใช้ไม้แข็ง!

ในฐานะที่เป็นนักฆ่ายมราชลำดับที่ 20 ขององค์กร hidden killers ฟ่านลู่ไม่เคยกลัวการใช้ไม้แข็งกับใคร!

เมื่อโพล่งเช่นนี้ออกมา บรรยากาศภายในสนามพลันเงียบสงัดลง

ท่านหลง เย่หยวนชิวกับเย่หลิงหลงเงยหน้าขึ้นไปมองฟ่านลู่เป็นตาเดียว

เย่หยวนชิวหรี่ตาลง สีหน้าของเขาเยียบเย็น

ความแค้นใจของเย่หลิงหลงยังไม่ทันจะมอดลง อุตส่าห์มาขอโทษขอโพยถึงบ้านกลับโดนไล่ยังไม่พอ ตอนนี้ยังคิดจะใช้กำลังอีกหรือ

เธอเป็นคนนิสัยแข็งกร้าว แถมยังเป็นหงกุ้นของหงหุ้ยอีก ย่อมไม่ยอมให้ใครกดขี่ได้

เย่หลิงหลงจึงก้าวออกไปข้างหน้า แล้วจ้องเขม็งไปที่ฟ่านลู่

ในเวลาเพียงชั่วครู่ ไม่ว่าฝ่ายไหนต่างไม่ยอมลดละให้แก่กัน

แม้ไม่เอ่ยตอบโต้ออกไป แต่บรรยากาศรอบๆ ของวิลล่าเต็มไปด้วยความร้อนระอุ

ในตอนนั้น

ท่านหลงกัดฟันแน่นด้วยท่าทางคล้ายกำลังจะระเบิดพลางจ้องเขม็งไปที่เย่หยวนชิว

“เย่หยวนชิว ท่านคงไม่คิดว่ากระผมไม่กล้าลงมือกับจู่เหลาของหงหุ้ยกระมัง?”

สีหน้าของเย่หยวนชิวยังคงไม่เปลี่ยน แต่ด้านในลึกๆ ของเขากลับมีเกลียวคลื่นกำลังก่อตัว

จากนั้น

เย่หยวนชิวอมยิ้ม “อย่างนั้นผมกับหลานสาวขอตัวกลับก่อน”

พูดจบ เขาก็ประสานมือคารวะท่านหลง “หลิงหลง ไปกันเถอะ!”

เย่หลิงหลงประหลาดใจสุดขีด

ความเดือดดาลที่กำลังจะระเบิดออกมา จู่ๆ กลับติดชะงักอยู่ตรงทางออก

ใบหน้ารูปไข่สมส่วนเต็มไปด้วยความตระหนก พลางมองไปที่เย่หยวนชิวอย่างไม่อยากจะเชื่อ

ปู่เป็นคนนิสัยอ่อนแอแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?

มีคนมาหยามหน้ากันแบบนี้กลับไม่โกรธ แถมยังจะหนีอีก?

“ไม่ต้องถาม! กลับได้แล้ว!”

เย่หยวนชิวเอ่ยกับเย่หลิงหลงด้วยเสียงทุ้มลึก จากนั้นจึงหันไปพูดกับท่านหลงว่า “วันหลังพวกเราค่อยมาใหม่”

“ไปเถอะ!”

ท่านหลงเอ่ยเสียงเฉียบด้วยท่าทางเคร่งขรึม

เมื่อเห็นเย่หยวนชิวกับเย่หลิงหลงกลับไปแล้ว

ฟ่านลู่พลันถอนใจแล้วปิดหน้าต่าง จากนั้นจึงหันกลับไปบอกกู้ชิงหยิ่งว่า “คุณนายน้อย พวกเขากลับไปแล้วค่ะ”

แต่กู้ชิงหยิ่งน้ำตาไหลนองหน้ามาพักใหญ่แล้ว เธอร้องไห้อย่างไม่อาจควบคุมตัวเองได้

เมื่อเผชิญหน้ากับฟ่านลู่ เธอก็ไร้เรี่ยวแรงจะตอบโต้ได้แต่กัดฟันริมฝีปากแน่นจนริมฝีปากเริ่มแตกจนเห็นรอยเลือดแดงเข้ม

ภาพเช่นนี้ ทำให้ฟ่านลู่ปวดใจเกินจะทน

ด้านล่างตึก

ท่านหลงจ้องเขม็งไปทางประตูใหญ่อย่างดุดัน มือของเขาที่แอบกำหมัดแน่นจนเส้นเลือดปูดขึ้นมาทั้งสองข้างค่อยๆ คลายออก

หยุดนิ่งเช่นนั้นอยู่เนิ่นนาน

ท่านหลงบ่นอย่างอัดอั้นใจกับตัวเอง “กระผมไม่ดีเอง”

ขณะที่เขาตั้งท่าจะหันกลับเข้าไปในห้อง

กลับมีเสียงเครื่องยนต์รถดังขึ้นมาจากด้านหลัง

ท่านหลงหันกลับไปมอง ทันใดนั้นดวงตาของเขาหรี่เล็ก

รถสองคัน!

รถของเฉินตงกับรถโรลส์-รอยซ์ที่คุนหลุนขับออกไป!

“แย่แล้ว!”

ในใจของท่านหลงตะโกนร้องออกมาแล้วรีบหันหลังวิ่งกลับเข้าไปในวิลล่า

ขณะที่รถเพิ่งขับเข้ามาถึงวิลล่า กู้โก๋ฮั๋วที่นั่งอยู่ด้านในรถก็เห็นภาพนี้เข้าพอดีจึงเกิดความสงสัย

“เอ๊ะ? ตงเอ๋อ ท่านหลงเป็นอะไรไป ทำไมเห็นพวกเราถึงได้วิ่งกลับเข้าไปด้านในล่ะ”

หัวใจของเฉินตงหล่นวูบ

สถานการณ์ไม่ดีแน่!

ท่านหลงกับคุนหลุนเองก็มองเห็นรายชื่อที่โทรเข้ามา

สีหน้าของคนทั้งสองแปรเปลี่ยน

พ่อตาโทรมาหาตอนนี้ สงสัยจะรู้เรื่องเลยโทรมาต่อว่างั้นหรือ?

“ครับ คุณพ่อ”

เฉินตงรับโทรศัพท์ ฝืนยิ้มทำเสียงสดใส

“ตงเอ๋อ โทรศัพท์เสี่ยวหยิ่งเป็นอะไร ทำไมโทรไม่ติด”

น้ำเสียงของกู้โก๋ฮั๋วเจือความสงสัย “พ่อโทรไปหลายรอบแล้ว ปิดเครื่องตลอดเลย”

“มือถือคงจะแบตหมดเลยปิดเครื่องมั้งครับ พ่อมีเรื่องอะไรรึเปล่า เดี๋ยวผมบอกเธอให้ครับ”

หัวใจของเฉินตงสงบนิ่ง กู้ชิงหยิ่งไม่ได้บอกกู้โก๋ฮั๋วถึงเรื่องราวของพวกเขาสองคน

ดังนั้นความรู้สึกผิดที่มีต่อกู้ชิงหยิ่งก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น

เด็กโง่คนนี้ยังคงชอบเก็บเรื่องราวเอาไว้คนเดียวเสมอ!

“ฮ่าๆๆ… งั้นไม่เป็นไร อย่างแรกเลยขอแสดงความยินดีกับทั้งสองคนด้วยที่ประสบความสำเร็จในการแข่งขันอย่างยิ่งใหญ่” กู้โก๋ฮั๋วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

เฉินตง “ต้องขอบคุณคุณพ่อด้วยที่คอยช่วยเหลือ”

“พ่อก็แค่ออกแรงนิดหน่อยเอง เจ้าเด็กฉินเย่นั่นกำลังดีมาก แถมยังได้รับการช่วยเหลือจากหงหุ้ย พ่อว่าการช่วยเหลือเทียบไม่ได้กับการที่เขาแบ่งกำไรจากลูกเขยพ่อไปด้วยซ้ำ”

กู้โก๋ฮั๋วกล่าวต่ออย่างอารมณ์ดี จากนั้นน้ำเสียงของเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นตำหนิ “แต่ลูกกับเสี่ยวหยิ่งก็ปิดบังคนแก่อย่างพวกเราสองคนได้ดีจริงๆ ไม่ยอมรีบบอกข่าวใหญ่อย่างเรื่องท้องกับพวกเราสองคน พวกเธอรอก่อนเถอะ พรุ่งนี้พ่อกับแม่จะไปสั่งสอนพวกเธอให้รู้เรื่องเลย”

มาพรุ่งนี้?

เฉินตงตาค้าง

ตอนนี้เรื่องเข้าใจผิดของเขากับกู้ชิงหยิ่งยังไม่ได้เคลียร์กันเรียบร้อยเลย

ถ้าพรุ่งนี้กู้โก๋ฮั๋วกับแม่บินมาที่นี่อีก นั่นจะไม่…ยิ่งทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่หรอกหรือ

แต่ไม่ทันรอให้เฉินตงได้ตอบ กู้โก๋ฮั๋วที่อยู่ปลายสายก็เอ่ยต่อว่า “เอาเท่านี้ละกันนะ พรุ่งนี้เดี๋ยวพ่อกับแม่ไปหา ลูกกับเสี่ยวหยิ่ง พวกเราจะเข้าไปที่บ้านเอง ไม่ต้องมารับหรอก ตอนนี้กลับไปอยู่ที่วิลล่าเขาเทียนซานแล้วใช่ไหม เห็นเสี่ยวหยิ่งเคยบอกเอาไว้”

กึก!

ปลายสายวางหูไป

เฉินตงเริ่มรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่

เมื่อวางมือถือลง เขาก็ทรุดนั่งลงบนโซฟาและเอามือลูบหน้าอย่างร้อนใจ

บทสนทนาเมื่อครู่นี้ ท่านหลงกับคุนหลุนได้ยินเต็มสองรูหูเช่นกัน

“คุณชาย ถ้ากู้โก๋ฮั๋วกับภรรยาเดินทางมาจะไม่เป็นเรื่องใหญ่หรอกหรือครับ”

ท่านหลงเอ่ยเตือนเสียงเครียด

เดิมทีเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดกัน

ระหว่างเฉินตงกับภรรยาเท่านั้น

หากรีบหาเวลาคุยกัน สองสามีภรรยาจะต้องกลับมาคืนดีกันได้อย่างเดิมแน่

แต่หากกู้โก๋ฮั๋วกับภรรยารู้เรื่องนี้ เรื่องนี้คงกลายเป็นเรื่องใหญ่ระหว่างสองครอบครัวอย่างแน่นอน

เรื่องนี้จะต้องเป็นเรื่องใหญ่อย่างแน่นอน!

หากเรื่องนี้ถูกหยิบยกขึ้นมาพูด จะต้องกระทบความสัมพันธ์ระหว่างเฉินตงกับกู้ชิงหยิ่งอย่างแน่นอน

เพราะเรื่องเมียน้อย ไม่ว่าใครได้ยินก็คงไม่สามารถวางเฉยได้

“พวกเขาตัดสินใจไปแล้ว ผมเองก็ไม่รู้จะทำยังไง”

เฉินตงวุ่นวายใจ เขาเหลือบมองไปบนตึกอย่างไม่รู้ตัว “ไม่รู้ว่าตอนนี้เสี่ยวหยิ่งใจเย็นลงบ้างแล้วหรือยัง”

ท่านหลงเริ่มร้อนใจขึ้นมา “หรือว่าเราจะหาเหตุผลสักข้อ ถ่วงเวลากู้โก๋ฮั๋วกับภรรยาไปก่อนดีครับ”

“คงไม่ทันแล้วล่ะมั้ง” คุนหลุนกล่าว

บรรยากาศภายในห้องรับแขกเงียบลงในทันใด

ทั้งสามคนมองหน้ากันไปมาด้วยความมืดมน

ปัญหาในครอบครัวยากจะแก้ไข แม้ว่าท่านหลงจะผ่านศึกมากว่าร้อยศึก เดินทางไปทั่วทุกหนแห่ง และแม้ว่าคุนหลุนจะมีชื่อเสียงเลื่องลือในเรื่องการสู้รบ แต่เมื่อต้องเผชิญกับเรื่องยากเช่นนี้ก็อับจนหนทางเช่นกัน

“รอให้พรุ่งนี้พวกเขามาถึงก่อนแล้วค่อยว่ากัน พ่อตากับแม่ยายเป็นคนมีเหตุมีผล คงไม่โวยวายหรอก”

เฉินตงบิดขี้เกียจแล้วเอ่ยอย่างเหนื่อยใจ “ไปพักผ่อนกันเถอะ”

……

ที่วิลล่าเขตชานเมือง

เย่หลิงหลงกระฟัดกระเฟียดนั่งลงบนโซฟา หน้าอกของเธอกระเพื่อมขึ้นลงตามการสูดหายใจเข้าออกที่รุนแรง

เย่หยวนชิวนั่งอยู่ข้างๆ จึงเอ่ยแกมล้อเล่นขึ้น “เด็กโง่ ยังโกรธอยู่อีกหรือ หนูโกรธมาตั้งกี่ชั่วโมงแล้ว”

“ปู่คะ จะให้หนูไม่โกรธได้ไงคะ ไอ้เฉินตงนั่น น่าโมโหชะมัด!”

เย่หลิงหลงรีบเอ่ยตอบโต้ “เขาถึงขึ้นให้หนูนั่งคุกเข่าลงต่อหน้าคนตั้งเยอะ พระเจ้า คนอย่างเย่หลิงหลงชีวิตนี้ไม่เคยต้องลำบากใจมากมายเท่านี้เลย”

“เดี๋ยวๆๆ แค่นี้ก็เรียกว่าลำบากใจมากแล้วหรอ” เย่หยวนชิวไม่ใส่ใจนัก

เย่หลิงหลงไม่อยากเชื่อ “นี่เป็นปู่หนูจริงๆ ใช่ไหมคะ ป้ายรุ่นหยวนปู่ก็เป็นคนให้เฉินตง แถมปู่กับหลงโถวยังตัดสินใจให้เขาเข้ามาอยู่ในหงหุ้ยด้วยอีก หนูต้องขายหน้าเพราะเขาแบบนี้เป็นเพราะปู่แท้ๆ เลย!”

“นี่ถ้าเขาไม่มีป้ายรุ่นหยวน หนูไม่มีทางสนใจเขาแน่!”

เย่หลิงหลงโกรธจนกัดฟันกรอด

แม้เธอจะกำลังอยู่ในอารมณ์ยัวะจัด แต่หน้าตาของเธอก็ยังคงดูน่ามองอยู่ ความโกรธทำให้เธอดูแปลกตาน่าสนใจไปอีกแบบ

“ต้องโทษคุณปู่ ทั้งหมดนี่เป็นเพราะคุณปู่”

เย่หยวนชิวยิ้มอย่างแปลกประหลาด “ถ้าหนูไม่สนใจเขา แล้วทำไมถึงต้องไปก่อกวนเขาทุกวันด้วยล่ะ?”

“คุณปู่ หนู…” ทันใดนั้นสีหน้าของเย่หลิงหลงกลายเป็นสีแดง คำพูดติดขัด

เย่หยวนชิวยิ้ม “เอาล่ะ นางฟ้าตัวน้อยของบ้านเราเริ่มมีหัวใจกับเขาบ้างแล้ว ลูกเล่นเด็กน้อยแค่นี้ มันโชว์อยู่บนหน้าหนูหมดแล้ว มีหรือที่ปู่จะดูไม่ออก”

ในหงหุ้ย เป็นเพราะฐานะของเขา ทำให้เย่หลิงหลงกลายเป็นคนที่ได้รับความใส่ใจมากที่สุดและเป็นที่รักของทุกคน

บวกกับนิสัยแข็งแกร่ง จึงทำให้อีโก้ของเธอย่อมสูงมากเป็นธรรมดา

จึงไม่แปลกที่ในหงหุ้ยจะมีชายหนุ่มหน้าตาดีมีความสามารถมาแอบชอบเธอ

แต่เย่หยวนชิวรู้ดีว่า เย่หลิงหลงไม่เคยสนใจใครทั้งนั้น

หรือแม้กระทั่งบรรดาผู้ชายที่มีชื่อเสียงโดดเด่นในตระกูลร่ำรวยต่างๆ เย่หลิงหลงก็ไม่เคยหันไปเหลียวแลเช่นกัน

มีเพียงเฉินตงคนเดียวเท่านั้นที่ทำให้เย่หลิงหลงเปลี่ยนไปเป็นคนละคน

เมื่อเห็นสีหน้าของเย่หลิงหลงเหมือนธาตุไฟจะแตก

เย่หยวนชิวจึงลูบเคราขาวของตัวเองแล้วยิ้ม “หลิงหลง พรหมลิขิตก็เป็นเช่นนี้ ถ้าพรหมลิขิตมาถึงก็แปลว่ามาถึง ถ้ายังมาไม่ถึงก็คือไม่ถึง ช้าหรือเร็วไปเพียงวินาทีเดียวก็ไม่ได้ มีเพียงเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น”

“คุณปู่”

แววตาของเย่หลิงหลงวิบไหว แล้วมองไปที่เย่หยวนชิวอย่างไม่เต็มใจนัก

เย่หยวนชิวตบหัวเธอเบาๆ อย่างเอ็นดู “เอาล่ะ ในเมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เฉินตงก็เข้ามาอยู่ในหงหุ้ยแล้ว พรุ่งนี้พวกเราก็ควรกลับไปรายงานหลงโถวได้แล้ว”

“จะกลับกันเร็วขนาดนี้เลยหรือคะ” เย่หลิงหลงแปลกใจ ความโกรธมลายหายไป เธอรู้สึกผิดหวังอย่างไม่มีเหตุผล

เย่หยวนชิวอมยิ้มเบาๆ “ก่อนจะไป พวกเราไปหาเฉินตงที่บ้านสักครั้งก่อนเถอะ เตรียมของขวัญชิ้นใหญ่ไปด้วย และเตรียมสถานที่สำหรับจัดงานเลี้ยงรับรองไว้สำหรับล่ำลากับเฉินตง พวกเราจะได้ใช้โอกาสนี้ในการขอบคุณเขา และให้ของขวัญเป็นการขอโทษ”

“ได้ค่ะปู่” แววตาของเย่หลิงหลงเป็นประกาย เธอพยักหน้าพลางอมยิ้ม

เย่หยวนชิวพยักหน้าอย่างจนปัญญา “จริงๆ เลย”

……

วันต่อมา

เฉินตงนอนไม่หลับตลอดคืนเพราะอารมณ์ของเขาแปรปรวนอยู่ตลอด

แม้กระทั่งตอนอยู่ที่บริษัทไท่ติ่ง จิตใจของเขาเต็มไปด้วยความกังวลจนไม่มีสมาธิทำงาน

ข้อแรกคือเรื่องที่เข้าใจผิดกับภรรยา

ข้อสองคือเรื่องที่พ่อตาแม่ยายกำลังจะมาถึงเร็วๆ นี้

เขาไม่อยากจะคิดเลยว่า ถ้าเรื่องนี้รู้ไปถึงหูของพ่อตา แม่ยายขึ้นมา จะเกิดเรื่องที่น่าสยองขวัญขนาดไหน

แม้ว่าเขาจะเคยแต่งงานมาแล้วครั้งหนึ่ง และมีประสบการณ์ในการใช้ชีวิตคู่มาได้สามปีแล้ว แต่เขาก็ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าวันนี้จะเกิดเรื่องราวอะไรขึ้นบ้าง

เมื่อเห็นว่าถึงเวลาเลิกงานแล้ว

เฉินตงลองโทรหากู้ชิงหยิ่งก่อน แต่โทรศัพท์ยังถูกปิดไว้

เขาขมวดคิ้วแน่นอย่างจนปัญญา

เมื่อดูเวลาจนเห็นว่าใกล้จะถึงเวลาที่กู้โก๋ฮั๋วกับภรรยากำลังจะบินมาถึงที่สนามบินแล้ว

เขาก็ขับรถมุ่งหน้าตรงไปยังสนามบิน

แม้ว่ากู้โก๋ฮั๋วจะบอกว่าไม่ต้องไปรับ แต่ในฐานะที่เขาเป็นลูกเขย พ่อตาแม่ยายมาถึงทั้งที จะไม่ไปรับได้อย่างไร

เมื่อไปถึงสนามบิน

ก็เป็นเวลาสองทุ่มแล้ว

เฉินตงตามหาคุนหลุนจนเจอและทั้งสองก็รอด้วยกันอยู่ที่สนามบิน

“คุณชาย มาแล้วครับ” คุนหลุนเอ่ยขึ้น

เฉินตงรีบหันไปมอง จึงเห็นกู้โก๋ฮั๋วกับแม่ยายเดินออกมาจากสนามบิน

ขณะที่เขากำลังจะเดินเข้าไปรับ

ท่านหลงก็โทรเข้ามาหาเขาพอดี

“คุณชาย คืนนี้บ้านแตกแน่ๆ !”

คำพูดของท่านหลงทำเอาเฉินตงชะงักไปแล้วรีบถามขึ้นว่า “หมายความว่าไง”

“เย่หลิงหลงกับเย่หยวนชิวอยู่ที่บ้านแล้วตอนนี้ครับ” ท่านหลงเอ่ยอย่างหนักอึ้ง

ร่างของเฉินตงโงนเงน ตอนนั้นในหัวของเขาเกิดเสียงระเบิดสนั่นจึงโพล่งออกไปว่า “เวรแล้ว!”

“เสี่ยวหยิ่ง ฟังผมอธิบายก่อน”

เฉินตงเริ่มลนลาน

กู้ชิงหยิ่งกลับส่ายหน้า “ไม่ ฉันเองก็ไม่ควรโทษคุณ ควรจะโทษจมูกของตัวเองมากกว่า”

ระหว่างที่พูด ไอน้ำบางๆ ที่เอ่ออยู่ในดวงตาของกู้ชิงหยิ่งก็แปรสภาพเป็นหยดน้ำตา ที่ไหลรินออกมาจากปลายหางตาของเธอ

ในตอนนั้นกู้ชิงหยิ่งไม่สามารถทนไหวได้อีก

หลายวันที่ผ่านมานี้ เธออดทนมาตลอด

ตั้งแต่วันที่เธอเกิดความคลางแคลงใจในวันนั้น เธอก็พยายามบอกตัวเองมาตลอด…ว่ามันอาจจะเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดเท่านั้น

เพราะเธอรู้สถานการณ์ของเฉินตงในตอนนี้ดี เลยไม่อยากจะทำให้เฉินตงต้องเสียสมาธิ

แต่ทุกครั้งที่เฉินตงกลับมาถึงบ้าน ก็มักจะมีกลิ่นหอมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะนั้นโชยออกมาจากตัวเขา เปรียบเหมือนค้อนหนักๆ ที่ทุบลงไปในหัวใจเธออย่างแรงทุกครั้ง

จนกระทั่งวันนี้ที่เธอเห็นคลิปที่ถูกปล่อยในอินเทอร์เน็ต ความอดทนของเธอจึงสิ้นสุดลง

เมื่อเห็นท่าทางสะอึกสะอื้นของกู้ชิงหยิ่งเช่นนี้

เฉินตงรู้สึกลนลาน เขารีบเดินเข้าไปกอดกู้ชิงหยิ่งเอาไว้ “เสี่ยวหยิ่ง ตอนนี้กำลังตั้งท้องลูกของเราอยู่ อย่าเครียดเลยนะ ผมอธิบายได้ ผมจะอธิบายให้คุณฟังเอง”

“ทำไมฉันจะเครียดไม่ได้คะ”

กู้ชิงหยิ่งแผดเสียง แล้วดิ้นจนตัวเองหลุดออกจากอกของเฉินตง

ดวงตาแดงก่ำ น้ำตาไหลริน

ร่างกายผอมบางของเธอสั่นด้วยความเดือดดาลที่แล่นพล่านอย่างยากจะควบคุม เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “กลิ่นน้ำหอมบนตัวคุณ ไหนจะคลิปนั่น ยังผิดปกติไม่พออีกหรอ”

“เฉินตง ฉันเป็นภรรยาของคุณนะ!”

“การที่คุณแอบไปมีเมียน้อยตอนที่ฉันกำลังท้อง คุณไม่รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องน่าขยะแขยงบ้างหรือไง”

เธอพูดออกมาคล้ายกับกำลังแผดเสียงตะโกน

กู้ชิงหยิ่งเคร่งเครียดราวกับเธอกำลังจะแหลกสลาย

สามีของตัวเองมีเมียน้อยตอนตัวเองตั้งครรภ์ สำหรับกู้ชิงหยิ่งแล้ว นี่มันไม่ใช่แค่การโดนหักหลังเท่านั้น!

มีเมียน้อย?!

เฉินตงงงงวย

ในใจของเขาเต็มไปด้วยความว้าวุ่น ราวกับในอกของเขามีแต่ก้อนหินหนักๆ ที่ทำให้เขารู้สึกหน่วงอย่างมาก

เขามองเห็นกู้ชิงหยิ่งร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด

ในหูของเขายังคงมีเสียงตะโกนเมื่อครู่นี้ของกู้ชิงหยิ่งลอยวนเวียน

เพี๊ยะ!

เฉินตงตบหน้าของตัวเองเต็มแรง

เมื่อกู้ชิงหยิ่งเห็นภาพนี้ แววตาของเธอปรากฏแสงวับไหว

หลังจากนั้น

เฉินตงจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “ตั้งแต่วันที่ผมเริ่มใช้ชีวิตร่วมกับคุณ ผมเคยบอกไปแล้วว่า คุณได้เอาทั้งชีวิตของคุณมาเสี่ยงกับผม ผมไม่มีทางยอมให้คุณแพ้ ต่อให้เฉินตงคนนี้จะมีจิตใจชั่วร้ายแค่ไหน ก็ไม่มีวันทำร้ายเมียของตัวเองอย่างแน่นอน!”

“คุณยอมมาอยู่ข้างกายผมอย่างไม่ลังเลตั้งแต่วันที่ผมยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ถึงวันนี้ความพยายามของเราประสบความสำเร็จ แถมคุณก็กำลังตั้งท้องแล้ว ถ้าผมแอบไปมีเมียน้อยตอนนี้ คนอย่างเฉินตงจะยังนับว่าเป็นลูกผู้ชายอยู่ได้อีกหรือ?”

“เสี่ยวหยิ่ง เรื่องแค่นี้คุณจะไม่เชื่อมั่นในตัวผมเชียวหรือ”

“เชื่อมั่น?”

กู้ชิงหยิ่งยิ้มอย่างขมขื่น พลางแกว่งมือถือไปมา “ฉันเชื่อคุณ แต่ฉันก็เชื่อสายตา หูและจมูกของตัวเองด้วยเหมือนกัน!”

เวรแล้ว!

เฉินตงร้อนใจราวกับกำลังจะเสียสติ

คลิปปลอมอันนี้เป็นฝีมือของพวกเกรียนที่ไหนกันแน่?

เมื่อเห็นกู้ชิงหยิ่งน้ำตาอาบแก้ม เฉินตงก็เอามือขยี้หัวอย่างคนกำลังจะเสียสติ

สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของสตรีที่กำลังตั้งท้องคืออารมณ์ดีใจหรือเสียใจสุดขีด ดังนั้นการที่กู้ชิงหยิ่งเป็นอย่างนี้อาจเป็นอันตรายต่อร่างกายได้!

เขาเดินไปข้างหน้า แล้วคุกเข่าลงข้างหนึ่งต่อหน้ากู้ชิงหยิ่ง

“ผมไม่ได้นอกใจคุณจริงๆ แต่คุณต้องร้องไห้เพราะผมก็ถือว่าเป็นความผิดของผม อย่าร้องเลยนะ”

เขายกมือเตรียมจะยื่นมาเช็ดน้ำตาให้กู้ชิงหยิ่ง

แต่ตอนที่มือกำลังเข้าใกล้

เพี๊ยะ!

กู้ชิงหยิ่งเอามือปัดมือของเฉินตงออก

จากนั้นเกิดเสียงเยียบเย็นดังขึ้นตามมา

“คุณออกไปเถอะ เราสองคนจะแยกห้องนอนกันตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป”

เฉินตงชะงัก

“ออกไปสิ!” กู้ชิงหยิ่งแผดเสียงตะโกน

เมื่อเห็นอารมณ์ของกู้ชิงหยิ่งยิ่งพลุ่งพล่านขึ้นเช่นนี้

เฉินตงจึงไม่กล้ารั้งอยู่ต่อ ดูจากท่าทางของกู้ชิงหยิ่ง ยิ่งพยายามอธิบายมากเท่าไหร่ก็มีแต่จะยิ่งทำให้เธอต้องเสียใจ

“ผมจะให้พี่เสี่ยวลู่มาอยู่เป็นเพื่อนคุณ”

เฉินตงหันหลังออกไป เมื่อเขาเดินผ่านทุเรียนที่วางอยู่บนโต๊ะ ถึงจะเข้าใจว่าทำไมเมื่อครู่นี้ฟ่านลู่ถึงได้ให้เขาถือมันเข้ามาด้วย

แต่เรื่องราวเช่นนี้ ทุเรียนลูกเดียวจะช่วยอะไรได้

ในใจของเขามีแต่ความหมองหม่นไร้ทางออก

เฉินตงเดินลงจากตึก

ท่านหลงและคนอื่นๆ ต่างหันมามองเขาอย่างเป็นกังวล

การเคลื่อนไหวเมื่อครู่นี้ รวมถึงเสียงร้องโวยวายของกู้ชิงหยิ่ง คนทั้งสามต่างได้ยินกันอย่างชัดเจน

“คุณชาย”

ท่านหลงลุกขึ้นยืน

เฉินตงส่ายหน้าแล้วเอ่ยกับฟ่านลู่ว่า “พี่เสี่ยวลู่ รบกวนช่วยขึ้นไปปลอบเสี่ยวหยิ่งหน่อยครับ ตอนนี้เธอกำลังร้องไห้อย่างหนัก”

ฟ่านลู่พยักหน้า แล้วรีบร้อนวิ่งขึ้นไปบนตึก

ในห้องรับแขก ท่านหลงกับคุนหลุนหันมาสบตากัน

สามีภรรยาทะเลาะกันเช่นนี้ พวกเขาทั้งสองคนต่างจนปัญญา

เฉินตงนั่งลงบนโซฟาอย่างไร้เรี่ยวแรง เขาเอามือขยี้หัวอย่างอัดอั้น

เมื่อนึกภาพกู้ชิงหยิ่งร้องไห้อย่างใจสลายเช่นนั้น เขาเองก็รู้สึกปวดใจมาก

และเรื่องราวทั้งหมดนี้เป็นเพราะเขาเจอเย่หลิงหลงไปเพียงครั้งเดียว

ตึ้ง!

เฉินตงเอามือตบหน้าตัวเองอย่างละอายใจ

ท่านหลงกับคุนหลุนตกใจสะดุ้ง

ท่านหลงรีบเอ่ยเตือนว่า “คุณชาย เรื่องนี้ถ้าพยายามอธิบายให้คุณนายน้อยฟังดีๆ จะต้องเคลียร์กันได้แน่ๆ”

“ใช่แล้ว คุณนายน้อยเป็นคนมีความคิด ไม่ใช่คนป่าเถื่อนไร้เหตุผล”

คุนหลุนกล่าวสมทบแล้วกล่าวต่อไปว่า “แต่ผมเคยได้ยินมาว่า เวลาผู้หญิงตั้งท้อง อารมณ์จะแปรปรวนค่อนข้างมาก ดังนั้นตอนที่คุณชายอธิบายเรื่องนี้อาจจะต้องใช้ความพยายามมากหน่อย”

“ขอแค่สามารถกล่อมเสี่ยวหยิ่งได้ ต่อให้ต้องพยายามมากแค่ไหนผมก็เต็มใจ”

เฉินตงผายมือออกอย่างไร้เรี่ยวแรง “แต่สิ่งที่สำคัญคือตอนนี้ไม่ว่าจะทำยังไงเสี่ยวหยิ่งก็ไม่ยอมเปิดโอกาสให้ผมได้อธิบาย ไม่ว่าจะอธิบายอะไรออกไปมีแต่จะยิ่งทำให้เธอรู้สึกว่าผมหลอกเธอ”

“พวกเรารู้ดีว่าคุณชายไม่ทำเรื่องอะไรที่ผิดต่อคุณนายน้อยแน่ แต่ตอนนี้คุณนายน้อยคงยังสับสนแยกแยะไม่ออก บวกกับกำลังท้องอยู่ด้วยเลยไม่สามารถสงบอารมณ์ได้ง่ายๆ”

ท่านหลงแนะนำว่า “ถ้างั้น…เชิญเย่หลิงหลงมาอธิบายให้คุณนายน้อยฟังดีหรือไม่ครับ”

คนทั้งสามเห็นด้วย นี่ดูเป็นทางออกที่เร็วที่สุดสำหรับปัญหานี้

แต่เฉินตงกลับยิ้มออกมาอย่างขมขื่น สีหน้าของเขาไร้ทางออก

เขาไปมาหาสู่กับเย่หลิงหลงน้อยมาก แต่ก็ยังพอมองออกว่าเย่หลิงหลงเป็นผู้หญิงที่นิสัยแรงๆ

ผู้หญิงที่แข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะไม่สนใจความสวยโดดเด่นของตัวเอง และพยายามแย่งชิงจนได้ฐานะเป็นหงกุ้นของหงหุ้ยได้

หากเป็นเมื่อก่อน เขาจะต้องรับปากทำตามคำแนะนำของท่านหลงอย่างแน่นอน

แต่เมื่อครู่ตอนที่เขาเลิกงาน เพราะเขารำคาญการตามก่อกวนของเย่หลิงหลง เลยจัดการจนเย่หลิงหลงต้องขายหน้าต่อคนหมู่มาก

ตอนนี้จะให้ตามเย่หลิงหลงมาเพื่อช่วยอธิบายมันจะเป็นไปได้ได้อย่างไร

ด้วยนิสัยของเย่หลิงหลงแล้ว เฉินตงคิดว่าสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นคือการเติมน้ำมันลงบนกองไฟ ทำให้เรื่องราวยิ่งรุนแรงมากขึ้นมากกว่า

“คุณชาย?”

ท่านหลงเห็นเฉินตงเงียบไป ในใจของเขาก็เริ่มหนักอึ้ง

หรือว่าคุณชายจะทำเรื่องผิดต่อคุณนายน้อยจริงๆ?

คลิปที่อยู่ในอินเทอร์เน็ต พวกเขาได้ดูไปแล้วก่อนที่เฉินตงจะกลับมาถึง

แม้ว่าคลิปนั้นจะไม่ได้ถูกแชร์ต่อออกไปเยอะ แต่เป็นเพราะฐานะของเฉินตงกับหน้าตาที่สวยไร้ที่ติของเย่หลิงหลง ทำให้คลิปร้อนแรงอยู่พอสมควร

ดูจากความสวยของเย่หลิงหลงที่ท่านหลงเห็นจากในคลิป คงจะมีผู้ชายน้อยคนที่จะปฏิเสธ

แม้ว่าท่านหลงเป็นคนที่รู้จักนิสัยของเฉินตงดีมากก็ตาม แต่เมื่อเห็นท่าทางของเฉินตงเวลานี้ กลับรู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง

“ผมเปล่า!”

เฉินตงอ่านความคิดของท่านหลงออก เขากัดฟันอธิบาย “ตอนที่ผมเลิกงาน ผมเพิ่งจะจัดการทำให้เย่หลิงหลงทั้งโกรธทั้งอาย ตอนนี้ต่อให้เรียกเธอมา เธอก็คงไม่ช่วยหรอก”

“จัดการยังไงครับ” ท่านหลงถามอีก

เฉินตงลูบจมูก “ใช้ป้ายรุ่นหยวน ให้เธอคุกเข่าให้ผมแล้วเรียกผมว่าจู่เหลาต่อหน้าคนอื่น”

ตอนนั้นท่านหลงตะลึงงัน ก่อนจะถอนหายใจ

ส่วนคุนหลุนที่อยู่ด้านข้างก็มีสีหน้าอับจนปัญญา จนบ่นพึมพำว่า “ตอนนี้ก็เท่ากับว่าคุณชายได้จัดการตัวเองไปพร้อมกันด้วยเลย”

เฉินตงเหล่มองคุนหลุนอย่างไร้คำแก้ตัว

ใครจะรู้ว่าผลกรรมจะตามทันเร็วขนาดนี้

ตอนนั้น

เสียงมือถือดังขึ้น

เฉินตงจึงหยิบขึ้นมาดู หัวใจเต้นระส่ำ

เพราะรายชื่อที่แสดงบนมือถือนั้นทำให้ต้องตกใจ…พ่อตา

“ฮ่าๆ คิดไม่ถึงล่ะสิ”

เมื่อเห็นเย่หลิงหลงเดินใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มเข้ามา เฉินตงพลันตัวเกร็งขึ้นมา

ความยินดีของการพลิกจากฝั่งแพ้กลับมาชนะได้ ตอนนนี้หายไปหมดเป็นปลิดทิ้ง

และตอนนี้บริเวณรอบๆ ก็เริ่มมีคนรวมตัวกันเข้ามามุงดูเขากับเย่หลิงหลงด้วยความชื่นชม

เฉินตงเกลียดความรู้สึกของการโดนคนจ้องมองมากที่สุด

เขาไม่สนใจไยดีเย่หลิงหลง จากนั้นจึงเดินดุ่มๆ ตรงไปที่รถ

สีหน้ายิ้มแย้มของเย่หลิงหลงเริ่มกระตุก เธอรีบก้าวอาดๆ ตรงเข้าไปขวางด้านหน้าเฉินตงเอาไว้

“ทำไมคุณถึงเป็นคนไม่มีมารยาทขนาดนี้? ฉันอุตส่าห์มาทักทายคุณ หงหุ้ยช่วยเหลือคุณตั้งมากมายขนาดนั้นคุณตอบรับสักคำมันจะตายหรือไง?”

“ช่วย?”

เฉินตงเลิกคิ้ว “เอาฉันลากเข้าไปในหงหุ้ย นี่ก็ถือว่าแลกเปลี่ยนไปแล้ว อีกอย่างคราวนี้หงหุ้ยเองก็ได้กำไรไปไม่น้อยเลยนี่?”

เย่หลิงหลงโดนต่อว่าจนไร้คำพูด

ดวงตาคู่งามของเธอกะพริบปริบๆ ริมฝีปากของเธอสั่นเบาๆ “แต่คุณก็ไม่ควรทำตัวไร้มารยาทแบบนี้นะ ผู้หญิงหน้าตาดีเพียบพร้อมอย่างฉัน เดินยิ้มแย้มเข้ามาทักทายคุณก่อน แถมยังมีคนมองอยู่เยอะขนาดนี้ คุณจะไม่สนใจฉันเชียวหรือ?”

“คุณอยากให้ผมทักทายคุณจริงหรือ”

สายตาของเฉินตงเหลือบกลับมามองเย่หลิงหลง

“ใช่แล้ว มีปัญหาอะไรหรือคะ?” เย่หลิงหลงไม่เข้าใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น

วินาทีต่อมา

เฉินตงหยิบเอาป้ายรุ่นหยวนออกมา “อย่างนั้นคุณก็คุกเข่าลงแล้วเรียกผมว่าจู่เหลาซะ!”

เย่หลิงหลง “?”

ทันใดนั้นเธอเกิดความรู้สึกยัวะจัดขึ้น

นี่มันเรียกว่าทักทายกันซะที่ไหน?

นี่มันกลั่นแกล้งกันชัดๆ !

“ทำไมยังไม่คุกเข่าลงอีก คุณคิดจะฝ่าฝืนกฎของหงหุ้ยหรือยังไง?” เฉินตงเอ่ยเสียงทุ้มต่ำด้วยใบหน้าเย็นชา

“คุณขู่ฉันหรอ?” เย่หลิงหลงโกรธจนหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง

เฉินตงยิ้มอย่างไร้อารมณ์ “คุณเดาถูกแล้ว นี่คือการข่มขู่! สรุปจะคุกเข่าลงไหม?”

พออยู่ท่ามกลางสายตาของผู้คนเช่นนี้ เย่หลิงหลงเริ่มอิดออดขึ้นมา

เพราะถึงอย่างไรเธอก็เป็นหญิงสาว การคุกเข่าให้เฉินตงต่อหน้าคนอื่น เท่ากับว่าเป็นการหักหน้าเธอ!

แต่กฎของหงหุ้ยนั้นเข้มงวดมาก ให้ความสำคัญกับลำดับอาวุโสเป็นที่สุด

และยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เฉินตงยังคว้าป้ายรุ่นหยวนออกมาอีก เท่ากับว่าเขาเป็นรุ่นเดียวกับคุณปู่

หากไม่คุกเข่าลงก็เท่ากับทำผิดกฎของหงหุ้ย

เย่หลิงหลงรู้สึกราวกับในอกของเธอกำลังมีภูเขาไฟก่อตัวขึ้น เธอขบฟันแน่นจนฟันแทบแตก

ไปตายซะ!

สาวน้อยคนนี้ไม่รู้จักแยกแยะชั่วดีหรืออย่างไร ทำไมต้องพยายามมาดักพบเขาให้ได้?

“สรุปจะคุกเข่าลงไหม ?”

น้ำเสียงของเฉินตงเย็นเฉียบ

เมื่อสิ้นเสียง

มีเสียงตะโกนด่าดังออกมาจากกลุ่มฝูงชน “เป็นผู้ชายอกสามศอกแท้ๆ ทำไมถึงให้ผู้หญิงคุกเข่าลงต่อหน้าคนตั้งเยอะ รู้จักยางอายบ้างไหม”

บทสนทนาของเฉินตงกับเย่หลิงหลงเมื่อครู่นี้ทำให้เกิดความรู้สึกกดดันอย่างไม่ได้ตั้งใจ

ผู้คนที่ล้อมรอบต่างได้ยินชัดเจน เวลานี้จึงเริ่มมีคนตะโกนด่ายิ่งเป็นการปลุกเร้าให้ฝูงชนเริ่มมีอารมณ์ร่วมขึ้นมาด้วย

“ใช่แล้ว กลางวันแสกๆ แถมยังอยู่กลางเมืองแบบนี้แท้ๆ ผู้ชายอกสามศอกทำแบบนี้ถือว่าไร้หัวใจเกินไปหน่อย!”

“โคตรแย่เลย ผู้หญิงหน้าตาดีๆ แบบนี้ ทำไมไม่รู้จักทะนุถนอมเธอบ้าง?”

ทว่า

เกิดเสียงวัตถุกระแทกบนพื้นดังขึ้น!

เย่หลิงหลงคุกเข่าลงท่ามกลางสายตาประหลาดใจของฝูงชน

“เย่หลิงหลงคารวะจู่เหลา”

เปรี้ยง!

การคุกเข่านี้ ทำเอาฝูงชนที่อารมณ์กำลังปะทุ รู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่า

ทุกคนพากันนิ่งงัน

คุก…เข่าลงจริงหรือ?

คุณพระ!

ผู้หญิงสวยแบบนี้ ทำไมถึงสายตามืดบอด?

ถึงขั้นยอมให้ผู้ชายคนนี้สั่งสอนเหมือนตัวเองเป็นคนต่ำต้อยแบบนี้

เมื่อรับรู้ได้ถึงความแปลกใจของฝูงชน

เย่หลิงหลงที่กำลังคุกเข่าอยู่พลันรู้สึกอึดอัดใจขึ้นมา

แต่เธอจำเป็นต้องคุกเข่า เพราะนี่คือกฎของหงหุ้ย!

ในใจของเธอเต็มไปด้วยความอับอายทะลักทะล้น ในตอนนั้นเอง ดวงตาของเย่หลิงหลงเกิดไอน้ำบางๆ ขึ้นมา เธอกัดฟันแน่น “พอใจรึยังล่ะ”

“เป็นเด็กดี! จู่เหลาต้องไปแล้ว คราวหน้าอย่ามารบกวนชีวิตของจู่เหลาอีก”

เฉินตงยิ้มอย่างใจเย็น พลางเอามือลูบหัวเย่หลิงหลงอย่างสบายใจแล้วหันหลังกลับขึ้นรถไป

ไปดื้อๆ อย่างนี้เลยหรือ?

เขาไปง่ายๆ อย่างนี้เลยหรือ?

เย่หลิงหลงเหม่อลอยไม่ขยับเขยื้อน ความอับอายเริ่มทวีรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายผอมบางของเธอสั่นไหวอย่างควบคุมไม่ได้

ผู้ชายสารเลว เขาทำแบบนี้กับเธอได้อย่างไร?

ที่เขาลูบหัวเธอเมื่อกี้นี้ คิดว่ากำลังลูบหัวหมาอยู่หรือ?

วิลล่าเขาเทียนซาน

เมื่อเฉินตงเดินเข้าประตูบ้านมาแล้วกลับไม่พบกู้ชิงหยิ่ง

ท่านหลง คุนหลุนและฟ่านลู่นั่งอยู่ด้วยกันสามคน สีหน้าของคนทั้งสามแลดูไม่สู้ดีนัก

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

เฉินตงกำลังจะบอกข่าวดีกับทุกคน เรื่องที่ฉินเย่สามารถพลิกสถานการณ์ให้กลับมาชนะได้ แต่เมื่อเห็นสีหน้าของคนทั้งสามก็จำต้องหยุดความคิดนี้ของตัวเองลงไป

“คุณชาย กลับมาเสียทีนะครับ”

ท่านหลงถอนหายใจดังแล้วชี้ไปบนตึก “คุณนายน้อยอยู่บนตึกครับ”

“งั้นผมจะขึ้นไปหาเธอ”

เฉินตงยิ้ม เขารู้สึกได้ชัดเจนว่าสองวันนี้กู้ชิงหยิ่งมีเรื่องบางอย่างในใจ

และแน่นอนว่าเขาเข้าใจความหมายที่อยู่ในคำพูดของท่านหลง

“เดี๋ยวก่อนค่ะคุณเฉิน”

เขากำลังจะหันหลังผละจากไป ฟ่านลู่กลับรั้งเขาไว้ แล้วรีบหันหลังกลับวิ่งเข้าไปในห้องครัว

จากนั้นไม่นาน ในขณะที่เฉินตงกำลังส่งสายตาสงสัยอยู่นั้น ฟ่านลู่ก็วิ่งแบกทุเรียนออกมา และยัดใส่มือของเฉินตงโดยไม่พูดอะไร

เฉินตงชะงักไป “นี่มันอะไรกัน?”

“มีประโยชน์แน่ ไปเถอะค่ะ”

ฟ่านลู่ทำท่าถอนหายใจยาว

เฉินตงอุ้มทุเรียนขึ้นไปบนตึก

ในห้องนอน ผ้าม่านผืนหนาถูกปิดเอาไว้สนิทจึงบดบังแสงแดดจากด้านนอกเอาไว้

กู้ชิงหยิ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้นอน มือทั้งสองถือมือถือเอาไว้ สีหน้ามืดมน ดวงตาคู่สวยของเธอปรากฏไอน้ำหนาๆ ขึ้นมาบดบัง

ก๊อกๆๆ

เสียงเคาะประตูดังขึ้น

“ที่รัก ผมกลับมาแล้ว”

กู้ชิงหยิ่งรีบเอามือเช็ดน้ำตาและฝืนยิ้มออกมา “เข้าห้องนอนตัวเอง จะเคาะประตูทำไมคะ”

เฉินตงผลักประตูเข้ามา แล้วเอาทุเรียนที่ตนถืออยู่วางไว้บนโต๊ะ

หลังจากนั้นจึงเดินยิ้มเข้าไปหากู้ชิงหยิ่ง

ทว่าเมื่อเข้าใกล้มากยิ่งขึ้น

รอยยิ้มพยายามฝืนยิ้มออกมาของกู้ชิงหยิ่งก็หายวับไป

“กลิ่นหอมแบบนี้อีกแล้ว”

จมูกของกู้ชิงหยิ่งฟึดฟัด ใจของเธอแข็งสะท้าน อารมณ์ของเธอหม่นหมองลง

มือขวาของเธอกำมือถือแน่นขึ้นทันที

“ทำไมหรือ”

เมื่อเฉินตงเห็นสีหน้าของกู้ชิงหยิ่งเปลี่ยนไปจึงถามขึ้น

วินาทีถัดมา

กู้ชิงหยิ่งทนไม่ไหวอีกต่อไป

เธอยื่นมือขวาออกมาแล้วส่งมือถือที่อยู่ในมือให้เฉินตง

“ผู้หญิงคนนี้ใช่ไหม”

เสียงแข็งกระด้างเต็มไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ

เฉินตงหยุดชะงักอยู่กับที่ สายตาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น

มือถือกำลังฉายวิดีโออยู่

และวิดีโออันนั้น ก็เป็นภาพเหตุการณ์ที่เย่หลิงหลงอยู่กับเขาที่บริษัทไท่ติ่งตอนไปเอารถ

แต่เป็นเพราะมุมในการถ่ายทำ ทำให้เนื้อหาในวิดีโอดูค่อนข้างกำกวม

รวมทั้งชื่อวิดีโอที่น่าตื่นตาตื่นใจ “เจ้าของบริษัทไท่ติ่งใช้ชีวิตเมียงหลวงกับเมียน้อยอย่างสมานฉันท์”

ในตอนนั้นเอง

เฉินตงจ้องคลิปวิดีโอจนตาแทบถลนออกมา ความเครียดทำให้หัวใจของเขาเต้นระรัว

เขารีบอธิบายอย่างร้อนรน “เสี่ยวหยิ่ง ไม่ได้เป็นอย่างในคลิปนะ ผม…”

แต่กู้ชิงหยิ่งกลับไม่ให้โอกาสเขาในการอธิบาย

เธอดึงมือถือกลับไปแล้วจ้องคลิปวิดีโออย่างเจ็บปวด

เธอเอ่ยเบาๆ ว่า “สาวน้อยคนนี้สวยมาก ฉันยอมรับเลยว่าเธอสวยเสียจนทำให้ฉันอิจฉาเลย”

แย่แล้ว!

หัวใจของเฉินตงเต้นระส่ำ ใบหน้าของเขาซีดขาว

ต่อจากนั้น กู้ชิงหยิ่งสูดน้ำมูกเสียงดัง

ดวงตาของเธอปรากฏไอน้ำพร่า เธอเงยหน้าขึ้นจ้องเฉินตง “กลิ่นน้ำหอมบนตัวคุณ ใช่ของเธอด้วยไหม?”

“ผม…” เฉินตงคิดจะอธิบาย แต่เมื่อเผชิญหน้ากับกู้ชิงหยิ่งในตอนนี้ นอกจากความละอายและเจ็บปวดหัวใจแล้ว คำพูดทั้งหมดต่างตีบตันอยู่ในลำคอ

“เธอมีรสนิยมดี ครอบครัวของเธอคงจะร่ำรวยมากใช่ไหม”

กู้ชิงหยิ่งพยายามฝืนความแน่นในจมูกของตน แต่เสียงของเธอก็ยังคงอู้อี้ “แล้วทำไมเวลาคุณกลับมาถึงบ้านแล้วถึงไม่ยอมล้างกลิ่นของเธอออกไปก่อน”

เวลาบ่ายโมง

เวลาที่ตลาดเปิดทำการ

หลังจากฉินเย่ออกคำสั่ง บริษัทชิงหยิ่งก็เข้าสู่ตลาด

วิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ ได้แปรเปลี่ยนเป็นการเก็บเกี่ยวครั้งใหญ่ทันที

เฉินตงนั่งนิ่งอยู่ข้างหน้าต่าง แล้วมองดูทัศนียภาพด้านนอกอย่างเงียบๆ ด้วยความสบายใจ

จู่ๆท้องฟ้าสว่างไสวก็มีเมฆหมอกเข้ามาปกคลุมโดยไม่ทันรู้ตัว

เฉินตงลูบจมูก แล้วหัวเราะออกมาเบาๆ “ตลาดหุ้นตอนนี้คงถูกฉินเย่รบกวนจนทำให้มีสภาพเหมือนอากาศในตอนนี้ พายุกำลังมาแล้วสินะ?”

ตระกูลเฉิน

เฉินเทียนเซิงใบหน้าเขียวคล้ำ สีหน้าดุร้ายราวกับงูพิษ จ้องเขม็งไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์

เฉินเทียนหย่างกัดฟัน สีหน้าของเขาหมองหม่น เส้นเลือดบนหลังมือของเขาปูดโปนออกมา

ส่วนเฉินหยู่เฟยนั้น กลับทรุดตัวลงบนเก้าอี้ด้วยสีหน้าหดหู่ บนใบหน้าที่ซีดเผือดของเธอ ปรากฏรอยยิ้มที่ดูโศกเศร้าออกมา

สถานการณ์ของตลาดหุ้นบนหน้าจอคอมพิวเตอร์

ดูเหมือนกับมีดคม ที่ค่อยๆ เชือดเฉือนลงมาบนตัวของทั้งสามคนอย่างต่อเนื่อง

เหมือนกับที่เฉินเทียนเซิงพูดเอาไว้ไม่มีผิด ถอนตัวไม่ทันแล้ว!

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อบริษัทชิงหยิ่งเข้าตลาด ก็ยิ่งเหมือนกับฟางเส้นสุดท้ายได้ขาดลง เท่ากับเป็นการรุมฆ่าเงินทุนจงเคอและการลงทุนซื่อหวาจากทุกทิศทาง

ใครจะไปคาดคิดว่า แผนการที่พวกเขาคิดขึ้นเพื่อเล่นงานเฉินตงและฉินเย่ สุดท้ายกลับย้อนมาทำร้ายตัวเอง?

ความอับอาย โกรธแค้น ไม่เต็มใจ ตกตะลึง และความรู้สึกอีกมากมายถาโถมเข้ามาใส่ทั้งสามคน

ตอนนี้ อุณหภูมิในห้องดูเหมือนลดต่ำลงอย่างมาก

เงิน สำหรับพวกของเฉินเทียนเซิงทั้งสามคนแล้ว ไม่มีความสำคัญอะไร เป็นเพียงแค่ตัวเลขเท่านั้น

แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขารู้สึกพ่ายแพ้ก็คือ ต้องสูญเสียทั้งทุนทั้งกำไร อีกทั้งยังทำให้เฉินตงได้รับผลประโยชน์จากสิ่งนี้อีกด้วย

จากโจมตีเฉินตง กลับแปลเปลี่ยนเป็นการปล้นเงินของตัวเองไปให้เฉินตงเสียแล้ว!

ทั้งสามคนเคยพ่ายแพ้อยู่ในเงื้อมมือของเฉินตงมาก่อน

ด้วยความแค้นเหล่านี้ จึงทำให้ผู้สืบทอดมรดกทั้งสามร่วมมือกัน

แต่ตอนนี้ หลังจากร่วมมือกันแล้ว ก็ยังคงพ่ายแพ้อยู่เช่นเดิม!

“ฉันไม่เต็มใจ ฉันไม่เต็มใจ พวกเราล้วนแล้วแต่เป็นหัวกะทิของตระกูลเฉินทั้งนั้น ทำไมถึงพ่ายแพ้ให้กับลูกสวะนั่นได้?”

เฉินเทียนหย่างกัดฟัน ดวงตาแดงก่ำ ดูราวกับคนเสียสติ “หรือพวกเราจะเพิ่มทุนเข้าไปอีก? เพิ่มเข้าไปอีกสักสองสามพันล้าน จะต้องพลิกสถานการณ์ได้แน่นอน!”

เผียะ!

เฉินเทียนเซิงตบหน้าเฉินเทียนหย่างอย่างแรง

“แก แกมันโง่ถึงขั้นนี้เลยหรือ?”

ทำเสียงเยือกเย็น จนทำให้รู้สึกหวาดกลัวจนขนลุก

เฉินเทียนหย่างถูกตบจนนิ่งไปชั่วขณะ จากนั้นจึงระเบิดความโกรธออกมา “เฉินเทียนเซิง นายเป็นพี่ใหญ่ของฉัน แต่ก็ใช่ว่าจะตบฉันได้ตามอำเภอใจแบบนี้นะ? แผนการนายก็เป็นคนคิดออกมา แล้วตอนนี้เป็นยังไง ลากฉันกับเฉินหยู่เฟยมาขายหน้าด้วย และยังจะมองของขวัญให้เฉินตงอีก? ความแค้นในครั้งนี้ นายจะให้ฉันทนได้อย่างไร?”

ความโกรธแค้นคุกรุ่นอย่ารุนแรง

เฉินหยู่เฟยทรุดตัวอยู่บนเก้าอี้ด้วยท่าทีโศกเศร้า และไม่ได้ห้ามปราม

เฉินเทียนเซิงค่อยๆ ลุกขึ้น แล้วดันแว่นบนดั้งจมูกขึ้น และหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา “คนโง่เขลาอย่างนาย หากฉันคิดจะฆ่านายแล้วล่ะก็ ยังมีวิธีอีกนับหมื่น!”

“นายกล้าเหรอ!”

อารมณ์โกรธของเฉินเทียนหย่างพลุ่งพล่าน ตอนนี้ความโกรธพลุ่งพล่านเพราะความอับอาย บวกกับที่ถูกเฉินเทียนเซิงตบหน้า ทำให้เขาไม่สามารถควบคุมตัวเองได้

“มีอะไรที่ฉันไม่กล้า?”

เฉินเทียนเซิงยิ้มเยาะออกมา “ต่อให้เป็นพี่น้องท้องเดียวกัน หากกล้ายั่วโมโหฉัน ฉันก็ฆ่าได้ไม่เว้นเหมือนกัน”

คำพูดประโยคเดียว ทำให้หัวใจของเฉินเทียนหย่างเต้นอย่างรุนแรง

ขณะที่จ้องตากับเฉินเทียนเซิง ทำให้เขาเกิดความหวาดกลัวราวกับถูกงูพิษจับจ้องอยู่

ลูกกระเดือกขยับเล็กน้อย ในที่สุดเฉินเทียนหย่างก็ระงับสติอารมณ์ของตนเองเอาไว้ได้ และทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้อย่างหดหู่

เฉินเทียนเซิงหันกลับไปมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“แพ้แล้ว ก็คือแพ้แล้ว! เงินไม่กี่พันล้าน สำหรับพวกเราแล้วไม่เห็นจะมีความหมายอะไร ขอแค่ยังไม่ครบกำหนดหนึ่งปี พวกเราก็ยังมีโอกาสที่จะฆ่าเฉินตงได้อีกนับครั้งไม่ถ้วน!”

ตุ้บ!

หลังจากพูดจบ

จู่ๆ เฉินเทียนเซิงก็ใช้หมัดต่อยเข้าที่หน้าจอคอมพิวเตอร์จนแตก

……

เวลาห้าโมงเย็น

เฉินตงได้รับโทรศัพท์จากฉินเย่อย่างตรงเวลา

ทันทีที่รับโทรศัพท์ ก็ได้ยินเสียงที่มีความสุขของฉินเย่ดังออกมา

เฉินตงไม่ได้พูดขัด และไม่ได้เร่งรัด ทำเพียงแค่ฟังอย่างอดทน

เขารู้ดีว่า ความกดดันของฉินเย่ในช่วงนี้ ไม่น้อยไปกว่าเขา

ถูกมหาอำนาจทั้งห้าร่วมมือกันโจมตี หากเป็นคนธรรมดา คงจะถอดใจไปนานแล้ว

ตอนนี้สถานการณ์โดยรวมสงบลง ฉินเย่มีความสุขมากขนาดนี้ ก็เป็นผลพวงมาจากอารมณ์ที่เก็บกดเอาไว้

“พี่ตง ชนะแล้ว ครั้งนี้พวกเราชนะอย่างหมดจนจริงๆ!”

หลังจากกินเวลามากว่าครึ่งนาที ในที่สุดฉินเย่ก็กลั้นความรู้สึกยินดีเอาไว้ได้ และพูดออกมาเสียงดัง

เฉินตงเลิกคิ้ว “นายยังคิดที่จะมีลับลมคมในกับฉันอีกไหม?”

“สามพันล้าน! พวกเราทำเงินได้ทั้งหมดสามพันล้าน!”

ฉินเย่พูดออกมาด้วยความตื่นเต้น

มาขนาดนี้เลยหรือ?

เฉินตงรู้สึกยินดี

แน่นอนว่า นี่เป็นเพียงแค่ส่วนของบริษัทฉินเย่บริษัทเดียวเท่านั้น ยังมีหงหุ้ย จุนหลิน กรุ๊ป และบริษัทชิงหยิ่งอีก!

ทั้งสี่บริษัทร่วมมือกันโจมตีบริษัทเงินทุนสองบริษัท ถ้าหากนำกำไรทั้งหมดมารวมเข้าด้วยกันแล้วล่ะก็……

ขณะที่กำลังครุ่นคิด

ปลายสาย ฉินเย่ก็พูดขึ้นมาว่า “ครั้งนี้พวกเราพลิกจากผู้แพ้เป็นผู้ชนะ ถ้าหากรวมกำไรทั้งหมดแล้วล่ะก็ เงินทุนจงเคอและการลงทุนซื่อหวา รวมไปถึงRothschild ขาดทุนรวมกันเป็นเงินกว่าหมื่นล้าน!”

เปรี้ยง!

เฉินตงรู้สึกตกตะลึงทันที

หมื่นล้าน ภายในวันเดียว!

บริษัทการเงินของตระกูลฉิน ที่ฉินเย่ดูแลอยู่ในขณะนี้ ก็มีทรัพย์สินมูลค่าพันล้านไม่ใช่หรือ?

หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ เวลาเพียงวันเดียว เปรียบได้กับต้องสูญเสียธุรกิจหลักของตระกูลมั่งคั่งที่ร่ำรวยที่สุดไปหนึ่งธุรกิจ!

“ฮ่าฮ่าฮ่า……พี่ตง ดูเหมือนว่าครั้งนี้เงินทุนจงเคอและการลงทุนซื่อหวาคงจะกระอักเลือดแล้ว ต่อไปคงไม่กล้าที่จะมาโจมตีพวกเราอีกแล้ว!”

ฉินเย่มีความสุขมาก น้ำเสียงแสดงออกถึงความเย่อหยิ่ง “ตอนนั้นที่ผมทำเงินให้ตระกูลฉินหมื่นล้าน พวกเขาล้วนพูดว่าผมอาศัยโชค ลอบโจมตีอย่างลับๆ โดยไม่ออกนาม แต่ครั้งนี้ผมเผชิญหน้าอย่างเปิดเผย โจมตีพวกเขาอย่างตรงไปตรงมา ครั้งนี้คนพวกนั้นคงได้รู้แล้วว่า อะไรที่เรียกว่าความสามารถที่แท้จริง!”

“ที่ตอนเช้า นายไม่ให้บริษัทชิงหยิ่งเข้าตลาด ก็เพื่อโจมตีอย่างรวดเร็วในช่วงบ่าย และขจัดความกล้าของทั้งสองบริษัทให้หมดสิ้นไป?”

เฉินตงเข้าใจได้ในทันที วิธีการของฉินเย่ในตอนนี้ เหมือนกับวิธีที่เขาเคยใช้จัดการกับโจวเย่นชิวในตอนนั้นไม่มีผิด!

“ถูกต้อง!”

ฉินเย่หัวเราะร่าออกมา “แต่ว่าครั้งนี้สามารถพลิกจากผู้แพ้มาเป็นผู้ชนะได้ ก็ต้องขอบคุณเส้นสายของพี่ตง หากไม่มีการกลับลำของหงหุ้ยและจุนหลิน กรุ๊ป ต่อให้บริษัทชิงหยิ่งเข้าร่วมในตลาด ก็ไม่อาจจะต้านทานเอาไว้ได้!”

เฉินตงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกใจ

จู่ๆ เขาก็แสยะยิ้ม และหัวเราะด้วยท่าทีที่แปลกประหลาดออกมา “บริษัทเล็กๆ อย่างจุนหลิน กรุ๊ปนี้ ครั้งนี้ใช้วิธีลงทุนต่ำ แต่ได้กำไรสูง ร่วมอยู่ในกลุ่มเทพ ดูเหมือนจะได้กินจนพุงกางเช่นเดียวกัน”

“แสดงว่าบริษัทเล็กๆ นั่นจะต้องมีผู้เชี่ยวชาญอย่างแน่นอน” จู่ๆ น้ำเสียงของฉินเย่ก็เคร่งขรึมลง

ผู้เชี่ยวชาญ?

ต้องมีผู้เชี่ยวชาญแน่นอน!

เฉินตงยิ้มออกมาด้วยท่าทีประหลาด ตอนนี้เรื่องทุกอย่างจบลงแล้ว ควรจะเดินทางไปที่โม่เป่ยสักครั้ง

เขาพูดคุยสัพเพเหระกับฉินเย่สองสามคำ เมื่อนัดแนะกันว่าคืนนี้จะจัดงานฉลองเรียบร้อยแล้ว เฉินตงก็วางสายโทรศัพท์

จากนั้น เขาก็เรียกเสี่ยวหม่าและกูหลังเข้ามา แล้วจัดสรรเงินห้าสิบล้านหยวน ให้แจกจ่ายเป็นโบนัสให้กับพนักงานในบริษัททุกคน

เมื่อได้ยินข่าวนี้

เสียงตะโกนโห่ร้องด้วยความยินดีก็ดังกระหึ่มขึ้นทั่วทั้งบริษัท ทุกคนต่างดีใจจนกระโดดโลดเต้น

ห้าสิบล้านเป็นจำนวนเงินไม่น้อย จำนวนของพนักงานบริษัทอสังหาริมทรัพย์ไท่ติ่งนั้นมีไม่มาก หากแบ่งให้ทุกคนโดยเท่าเทียมกัน อย่างน้อยก็ต้องได้คนละหนึ่งล้าน

ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับทุกคนแล้ว นี่เป็นเหมือนโชคลาภที่ลอยลงมาจากฟ้าจริงๆ!

หลังจากเฉินตงกำชับให้เสี่ยวหม่าและกูหลังรับผิดชอบเรื่องการแจกจ่ายเรียบร้อยแล้ว ก็ออกจากบริษัทไป

เพียงแต่ เมื่อลงไปถึงด้านล่างของบริษัท

อารมณ์ดีของเฉินตงก็จางหายไปในทันที

ในห้องทำงานของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ไท่ติ่ง

เฉินตงยังคงนั่งนิ่งอยู่เช่นเดิม ราวกับรูปปั้น มองดูทัศนียภาพภายนอกอยู่ที่ริมหน้าต่าง

และยกแก้วชาขึ้นมาจิบเป็นครั้งคราว

แต่นั่งอยู่ในท่าทีผ่อนคลาย

ถึงเวลาออกล่าแล้ว!

เขากำลังรอ รอให้ทางด้านของฉินเย่ส่งข่าวมา

การแข่งขันด้านเงินทุน เมื่อขาดยักษ์ใหญ่อย่างRothschildไป เงินทุนจงเคอและการลงทุนซื่อหวาไม่ได้อยู่ในสายตาของเขาแม้แต่น้อย

ดาบคมกริบกำลังปักลงไปบนหัวของทั้งสองบริษัทอย่างเงียบๆ

นอกห้องทำงาน

เสี่ยวหม่าและกูหลังต่างก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

“พี่กูหลัง วันนี้พี่ตงเป็นอะไรไป?”

เสี่ยวหม่าถือเป็นผู้ช่วยมือดีของเฉินตงในบริษัท ตอนนี้เขาเองก็ยังรู้สึกงุนงง “มาบริษัทตั้งแต่เช้า เอาแต่นั่งอยู่ริมหน้าต่าง และไม่ลงมือทำงานอะไรเลยสักนิด”

“บริษัทของเราคงไม่ได้มีปัญหาใหญ่หรอกใช่ไหม? ผมจำได้ว่าตอนนั้นที่บริษัทมีโครงการปรับปรุงภูมิทัศน์ย่านสลัมทางภาคตะวันตกของเมือง ประธานเฉินก็เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน?” มีคนคาดเดาขึ้นมา

“จะเป็นไปได้อย่างไร ไม่ต้องพูดถึงผลประกอบการที่ยอดเยี่ยมของบริษัทของเราเลย หากไม่ใช่เพราะประธานเฉินถ่อมตัวแล้วล่ะก็ ตอนนี้บริษัทของเราคงขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของเมืองไปแล้ว” มีพนักงานบางคนพูดขัดขึ้นมา

สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่กูหลัง

ความคิดเช่นเดียวกับเสี่ยวหม่า ในสายตาของพวกเขา กูหลังใกล้ชิดกับเฉินตงมากที่สุด

เสี่ยงหม่าเพียงแค่รับผิดชอบงานในบริษัทอสังหาริมทรัพย์ไท่ติ่งเท่านั้น

ส่วนกูหลัง มีส่วนร่วมในเรื่องส่วนตัวของเฉินตงด้วย

“ฉันเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”

กูหลังลูบจมูกอย่างเก้อเขิน “เมื่อครู่เข้าไปรินน้ำชาให้คุณเฉิน ได้ยินเขาพูดแต่ว่าได้เวลาออกล่าแล้ว บอกว่าอาจจะแจกโบนัสให้กับพวกเรา”

โบนัส?!

ทุกคนต่างผงะไป รวมถึงเสี่ยวหม่าด้วย

ช่วงนี้……ไม่มีโครงการที่จะแจกโบนัสนี่?

สงสัยก็สงสัย แต่ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกดีใจขึ้นมา

ตอนที่พวกเขาอยู่ในช่วงเวลาที่วิกฤติที่สุดของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ไท่ติ่ง ที่ต่างตัดสินใจทำงานกับเฉินตงต่อไป ก็เป็นเพราะมีความเชื่อมั่นในตัวเฉินตง

ในขณะเดียวกัน ก็คาดหวังว่าจะได้เฉลิมฉลอง

โครงการปรับปรุงภูมิทัศน์ย่านสลัมแถบภาคตะวันตก ทำให้ทุกคนในบริษัทต่างก็อิ่มท้องไปตามๆ กัน

เฉินตงเองก็ไม่เคยตอบแทนพนักงานทุกคนอย่างขาดตกบกพร่อง!

ในใจของพนักงานทุกคนของไท่ติ่งรู้ดีว่า ที่ติดตามเฉินตงมาตั้งแต่แรก เป็นความคิดที่ถูกต้องแล้ว!

เวลาใกล้เที่ยง

ในที่สุดเสียงโทรศัพท์ของเฉินตงก็ดังขึ้น

เมื่อเห็นว่าฉินเย่เป็นคนโทรเข้ามา

เฉินตงก็ยิ้มเล็กน้อย แล้วกดรับสาย

“พี่ตง เก็บเกี่ยวกำไรเรียบร้อยแล้ว!”

ในสายโทรศัพท์ ฉินเย่พยายามข่มความยินดีเอาไว้ แต่ก็ยังเผยให้เห็นความรู้สึกออกมา

“เท่าไหร่?” เฉินตงถามด้วยความอยากรู้

เฉินเย่หัวเราะร่าออกมา “ตอนนี้ยังไม่บอกพี่ก่อน ตอนบ่ายยังมีครึ่งหลังอีก ตอนเช้าผมยังไม่ให้บริษัทชิงหยิ่งเข้าตลาด ตอนบ่ายหากผ่านไปได้ด้วยดี ครั้งนี้คงเป็นชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ของเรา และคงทำให้พวกเราอิ่มจนพุงกาง”

ตู้ด!

เฉินตงวางสายโทรศัพท์

เฉินตงยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “เจ้าหมอนี่ ยังมีลับลมคมในกับฉันอีก?”

แต่เมื่อฉินเย่บอกว่าไม่ได้ให้บริษัทชิงหยิ่งเข้าตลาด ก็ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจไม่น้อย

เพียงแค่อาศัยบริษัทของตัวเอง หงหุ้ย และจุนหลิน กรุ๊ป ก็สามารถทำกำไรได้สำเร็จ หากตอนบ่ายเมื่อเปิดตลาด แล้วให้บริษัทชิงหยิ่งเข้าร่วมในตลาดด้วยแล้วล่ะก็……นั่นคงจะแข็งแกร่งดุจภูเขาไท่ซานจริงๆ!

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เฉินตงก็ยิ้มร่าออกมา “อยากจะกินเฉินตง ก็คอยดูละกันว่าใครกระเพาะใหญ่กว่าใคร!”

อีกทางด้านหนึ่ง

ที่ตระกูลเฉิน

ภายในห้องเงียบสงัด

เฉินเทียนเซิง เฉินเทียนหย่าง และเฉินหยู่เฟยนั่งนิ่งด้วยใบหน้าซีดเผือด

เพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ สองชั่วโมงเมื่อครู่ ทำให้พวกเขารู้สึกงุนงงราวกับอยู่ในความฝัน

เก็บเกี่ยว!

ถูกเก็บเกี่ยวไปอย่างหมดเปลือก!

ถูกบดขยี้จนไม่เหลือชิ้นดี!

ความตื่นเต้นยินดีในตอนแรกที่เป็นเฉินตงถูกโจมตีอย่างหนัก ตอนนี้ความตื่นเต้นนั้นกลับแปรเปลี่ยนไป ความยินดีกลับแปลเปลี่ยนเป็นความตกตะลึง

“นี่ นั่นเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

เฉินเทียนหย่างเอ่ยปากทำลายบรรยากาศที่เงียบสงัด “ทำ ทำไมพวกเราถึงถูกเล่นงานกลับเสียแล้ว? ฉันกำลังฝันไปหรือเปล่า?”

ความรู้สึกที่เหมือนไม่เป็นความจริง ทำให้เฉินเทียนหย่างเหม่อลอยไป ไม่สามารถตั้งสติได้

เมื่อครู่เพียงแค่เปิดตลาด ทางฝั่งฉินเย่ก็ลงมือเก็บเกี่ยวอย่างรวดเร็วประหนึ่งสายฟ้า และบ้าคลั่ง

สถานการณ์ที่น่ากลัวที่เช่นนี้ แตกต่างจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานราวฟ้ากับดิน!

ใบหน้าอันงดงามที่ตกอยู่ในอาการตื่นตะลึงของเฉินหยู่เฟย ค่อยๆ เผยความหวาดกลัวออกมา ริมฝีบางขยับเล็กน้อย “พวกเรา ดีใจกันเร็วเกินไปใช่ไหม?”

มีเพียงแค่เฉินเทียนเซิงที่นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยท่าทีดุร้ายราวกับงูพิษ มีรังสีของความโกรธแค้นแผ่ซ่านออกมาจากทั่วทั้งตัว

ถึงแม้จะเป็นคนที่มีลักษณะนิสัยเช่นเขา แต่ในเวลานี้ สิ่งเดียวที่พอจะทำได้ก็คือ ให้สติสัมปชัญญะที่เหลืออยู่ ช่วยควบคุมอารมณ์โกรธของตนเองไม่ให้ปะทุออกมา

“พี่ พี่พูดอะไรหน่อยสิ!”

เฉินเทียนหย่างเห็นเฉินเทียนเซิงนิ่งเงียบไป ก็รู้สึกร้อนใจขึ้นมาทันที “การเก็บเกี่ยวเฉพาะช่วงเช้า พวกเราก็ขาดทุนไปมหาศาลแล้ว เมื่อวานไม่ได้เป็นแบบนี้เสียหน่อย!”

ปัง!

เฉินเทียนหย่างให้ฝ่ามือตบโต๊ะ และพูดขึ้นมาทันทีว่า “หรือพวกเราจะถูกเงินทุนจงเคอและการลงทุนซื่อหวาหักหลังเข้าแล้ว?”

เฉินหยู่เฟยผงะไป จากนั้นแววตาที่มองเฉินเทียนหย่างก็ดูแปลกไป

“เจ้าโง่!”

เฉินเทียนเซิงลูบหน้าอย่างแรง แล้วจ้องมองเฉินเทียนหย่างด้วยแววตาดุดัน “เงินทุนจงเคอและการลงทุนซื่อหวารู้ดีว่าเราเป็นคนตระกูลเฉิน พวกเขาไม่กล้าที่จะหักหลังพวกเราหรอก!”

สายตาค่อยๆ เลื่อนไปมองยังหน้าจอคอมพิวเตอร์ “พวกเรา……คงถูกเฉินตงและฉินเย่ ตลบหลังเข้าให้แล้ว”

คำพูดที่ทำให้รู้สึกตกตะลึง

สีหน้าของเฉินเทียนหย่างและเฉินหยู่ไปเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน

เมื่อคิดถึงภาพที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ความหวาดกลัวก็พลุ่งพล่านจากเท้าของพวกเขาทั้งสองขึ้นไปบนหัว

ริมฝีปากแดงระเรื่อของเฉินหยู่เฟยสั่นเทา “คำพูดเตือนสติของพี่เทียนเซิง ฉัน ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าที่พวกเขาขาดทุนไปพันล้านเมื่อวาน เหมือน เหมือนกับว่าจงใจล่อเหยื่อพวกเรา?”

“บ้าเอ๊ย ลูกสวะนั่น นอกจากความเจ้าเล่ห์เพทุบาย ก็ไม่เห็นจะมีอะไรดีเลย!”

เฉินเทียนหย่างก่นด่าด้วยความโมโห

เฉินเทียนเซิงและเฉินหยู่เฟยหันมองเฉินเทียนหย่างด้วยท่าทีแปลกๆ และรู้สึกประหลาดใจ

ความเจ้าเล่ห์ ไม่ใช่หนึ่งในคุณสมบัติที่เจ้าบ้านพึงมีอย่างนั้นหรือ?

แต่ทั้งสองคนก็ไม่พูดอะไร

เฉินหยู่เฟยหันมองเฉินเทียนเซิงอย่างจริงจัง “พี่เทียนเซิง พวกเราจะถอนตัวกันดีกว่าไหม?”

ถึงแม้ช่วงเช้าจะถูกเก็บเกี่ยวกำไรไปหนึ่งระลอก แต่ถ้าหยุดการสูญเสียได้ทันเวลา ก็ยังพอควบคุมการสูญเสียได้

ทว่า

เฉินเทียนเซิงกลับยิ้มออกมาอย่างขมขื่น และพูดด้วยความโศกเศร้า “ยังถอนตัวได้อีกหรือ? ทุกอย่างเริ่มขึ้นแล้ว ใครจะไปห้ามไม่ให้หิมะถล่มลงมาได้?”

คำพูดเดียว แต่กลับทำให้เฉินหยู่เฟยพูดอะไรไม่ออก

ส่วนเฉินเทียนหย่างซึ่งอยู่อีกทางด้านหนึ่งกลับโกรธจนหน้าเขียวและกัดฟันแน่น

ทั้งสามรู้ดีว่าสถานการณ์ทางการเงินเป็นเช่นไร เมื่อเงินทุนหลายพันล้านเข้าไปสู่ตลาด คิดว่าเวลาสั้นๆ เพียงแค่สองชั่วโมงในตอนบ่าย จะสามารถถอนทุนกลับมาได้ทันอย่างนั้นหรือ?

ภายในห้องเงียบสงัด

เหมือนบรรยากาศทุกอย่างหยุดนิ่ง

ประจวบเหมาะกับในตอนนี้

โทรศัพท์ของเฉินเทียนเซิงดังขึ้น

เฉินเทียนเซิงที่กำลังอยู่ในอารมณ์โกรธจัด ไม่แม้แต่จะมอง เขาวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะและกดเปิดลำโพง

“สวัสดีครับคุณผู้ชาย ห้องจัดเลี้ยงที่คุณจองไว้ ได้ถูกจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว พร้อมรอต้อนรับตลอดเวลาครับ”

นี่เป็นสายโทรศัพท์จากสถานที่จัดเลี้ยงที่เฉินเทียนเซิงได้จองไว้ล่วงหน้า

คำพูดง่ายๆ ประโยคเดียว กลับเหมือนมีดที่ถูกเผาจนร้อน ทิ่มแทงลงมาที่ใจของพวกเฉินเทียนเซิงทั้งสามคนอย่างรุนแรง

วินาทีถัดมา

เส้นเลือดบริเวณหางตาของเฉินเทียนเซิงปูดโปนขึ้นมา ใบหน้าดุร้าย และอารมณ์โกรธก็ปะทุออกมา

“ต้อนรับบ้าอะไร ไสหัวไปให้พ้น!”

ตุ้บ!

หลังจากส่งเสียงด้วยความโกรธออกมา เฉินเทียนเซิงก็โยนโทรศัพท์ลงไปบนพื้นอย่างแรงจนแตกละเอียด

หลังอาหารเย็น

เฉินตงยังคงไปเดินเล่นเป็นเพื่อนกู้ชิงหยิ่งเหมือนอย่างเคย

เพียงแต่ เฉินตงรู้สึกสงสัยว่า

กู้ชิงหยิ่งพูดคุยน้อยลง เอาแต่ก้มหน้าก้มตา เหมือนมีเรื่องทุกข์ใจ

“มีเรื่องอะไรในใจหรือ?” เฉินตงทำลายความเงียบลง

“เปล่านี่” กู้ชิงหยิ่งส่ายหัว ยังคงไม่มองหน้าเฉินตง

เฉินตงหยุดเดิน

“เวลาที่ผมโกหก ไม่สามารถปิดบังคุณได้ เวลาที่คุณโกหก ก็ไม่อาจปิดบังได้เช่นกัน”

กู้ชิงหยิ่งเดินไปด้านหน้าสองก้าว แล้วจึงหยุดลง

เธอพูดด้วยท่าทีที่สงบว่า “ขอโทษค่ะ พวกเรากลับเข้าบ้านกันเถอะ ฉันรู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย”

พูดจบ เธอก็หันหลัง แล้วเดินผ่านเฉินตง มุ่งหน้าไปที่บ้าน

เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?

เฉินตงยืนอึ้งอยู่ที่เดิม การแสดงออกของกู้ชิงหยิ่งเห็นได้ชัดเจนว่ามีเรื่องไม่สบายใจ

แต่ปฏิกิริยาเช่นนี้ เป็นครั้งแรกที่เคยเห็น!

“หรือฉันทำอะไรผิดไป จนทำให้เสี่ยวหยิ่งโกรธเข้า?”

เฉินตงลูบจมูก แล้วคิดทบทวนดูอย่างละเอียด แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ทำผิดอะไร?

“เรื่องรถหรือ?”

จู่ๆ เฉินตงก็นึกถึงเรื่องที่น่าจะเป็นไปได้ขึ้นมา

กลับไปถึงห้องนอน

กู้ชิงหยิ่งก็นอนอยู่บนเตียงเรียบร้อยแล้ว ท่าทางเหมือนกลับเมื่อคืนไม่มีผิด คงเตรียมที่จะนอนหันหลังให้กับเขาอีกครั้ง

เฉินตงรู้สึกจนใจเล็กน้อย เขาล้างเนื้อล้างตัวสักครู่ จากนั้นจึงนอนลงบนเตียง แล้วกอดกู้ชิงหยิ่งจากทางด้านหลัง

ด้วยการกระทำนี้ ทำให้เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ากู้ชิงหยิ่งมีท่าทีขัดขืนเล็กน้อย

แต่เขาก็ออกแรงที่มือทั้งสองข้างเล็กน้อย แล้วพยายามข่มแรงที่ขัดขืนนี้ไว้

“ที่รัก คุณเป็นแบบนี้เพราะรถที่ผมขับกลับมาเมื่อวานใช่ไหม?” เฉินตงถาม

กู้ชิงหยิ่งนิ่งเงียบไม่ตอบอะไร

น่าจะใช่!

เฉินตงเข้าใจในทันที จึงพูดอธิบายว่า “นั่งเป็นรถที่ผมยืมคนอื่นมา เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง แต่ผมรับรองว่า ไม่ใช่อย่างที่คุณคิดอย่างแน่นอน”

เวลาที่ผู้หญิงตั้งครรภ์ ห้ามอารมณ์เสียเด็ดขาด

เฉินตงไม่อยากให้เรื่องนี้ทำร้ายกู้ชิงหยิ่ง ดังนั้นจึงพูดทุกอย่างออกมาตามตรง

“อืม นอนเถอะ”

กู้ชิงหยิ่งพยักหน้า แล้วส่งเสียงตอบรับเบาๆ หนึ่งคำ

เฉินตงผงะไปทันที ปฏิกิริยาเช่นนี้ เกิดอะไรขึ้นกันแน่?

เขาปล่อยกู้ชิงหยิ่งโดยไม่รู้ตัว แต่กู้ชิงหยิ่งยังคงหันหลังให้เขา และไม่เคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย

หรือจะไม่ใช่เรื่องรถ?

ในใจของเฉินตงยิ่งเกิดความสงสัยขึ้นมากมาย

อีกทางด้านหนึ่ง

ตระกูลเฉิน

ภายในลานเล็ก เฉินเทียนเซิง เฉินเทียนหย่าง และเฉินหยู่เฟยนั่งรวมตัวกัน ยังไม่ได้เข้านอน

“พี่ พวกเราเดาถูกแล้ว วันนี้รับเก็บเกี่ยวกำไรมาจากเฉินตงได้หนึ่งพันล้านหยวน!”

เฉินเทียนหย่างยกแก้วไวน์ขึ้นมา แล้วยิ้มด้วยความพึงพอใจ “Rothschildเองก็โง่จริงๆ เห็นสถานการณ์แย่เข้าหน่อยก็รีบหนี ทำให้พลาดเนื้อชิ้นโตไป”

เฉินเทียนเซิงยิ้มเล็กน้อย แสดงออกว่าเห็นด้วยกับความคิดของเฉินเทียนหย่าง

แต่ว่า เขาก็พอเข้าใจRothschildได้

ภาพที่ปรากฏขึ้นในตอนกลางวัน หากเป็นตัวเขาเองก็คงนั่งไม่ติดเช่นเดียวกัน และคงจะระเบิดอารมณ์ออกมา

Rothschildถอนตัวไป ก็ยังถือเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลและเข้าใจได้

“ตอนนี้พวกเราลุงทุนเพิ่มอีกห้าพันล้าน พรุ่งนี้เมื่อเปิดตลาด เกรงว่าคงจะทำให้เฉินตงและฉินเย่ต้องรู้สึกสิ้นหวังอย่าแน่นอน?”

เฉินอยู่เฟยเขย่าแก้วไวน์ที่อยู่ในมือ แล้วหัวเราะด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อด้วยความเมา

ตอนนี้ เธอรู้สึกราวกับมีความโกรธถูกระบายออกมา

เพราะเฉินตง ทำให่เธอต้องสูญเสียรากฐานในวงการบันเทิงที่สั่งสมมาอย่างยากลำบาก ต้องสูญเสียคุณสมบัติที่จะช่วงชิงตำแหน่งเจ้าบ้าน ก็เพียงแค่สามารถกำจัดเฉินตงได้ ใจของเธอก็คงรู้สึกสงบขึ้นไม่น้อย”

“ฮ่าฮ่าฮ่า……หยู่เฟย สิ่งที่เธอพูดมันยังน้อยเกินไป เกรงว่าพรุ่งนี้เฉินตงกับฉินเย่อาจต้องกระโดดตึกฆ่าตัวตายก็ได้?”

ใบหน้าของเฉินเทียนหย่างเต็มไปด้วยความสะใจ เขากะพริบตาปริบๆ แล้วหัวเราะด้วยท่าทีแปลกๆ พลางพูดว่า “ลูกสวะเฉินตง ดูเหมือนว่าคงคิดไม่ถึงแน่นอน ว่าพวกเราสามคนร่วมมือกัน ทำให้เกิดการโจมตีเขาในครั้งนี้ เกรงว่าจนกระทั่งวันตาย เขาคงคิดว่าเป็นเงินทุนจงเคอและการลงทุนซื่อหวา ที่ร่วมมือกันจัดการกับเขาจนหมดเนื้อหมดตัว?”

เมื่อได้ยิน

รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉินเทียนเซิงและเฉินหยู่เฟยก็ชัดเจนมากยิ่งขึ้น แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม

นี่คือความมั่นใจที่ถ่ายทอดมาจากตระกูลเฉิน!

ทรัพย์สินหมื่นล้าน เป็นทรัพย์สินทั้งหมดที่บริษัทการเงินของเฉินตงและฉินเย่ถือครองอยู่

แต่สำหรับพวกเขาแล้ว พวกเขาเป็นผู้สืบทอดมรดกตระกูลเฉิน ยังคงพึ่งพาความมั่งคั่งของตระกูลเฉิน เงินหมื่นล้านในสายตาของพวกเขานั้น เป็นเพียงแค่เศษเงินเท่านั้น!

พวกเขาเพียงแค่ใช้เศษเงิน ก็สามารถทำให้เฉินตง “ตาย” ได้ จะมีอะไรที่น่ายินดีกว่านี้อีก?

“ลูกสวะนั่น ไม่มีวันมองสถานการณ์ออกเป็นอันขาด สิ่งที่เขาคิดว่าเป็นเรื่องใหญ่โต สำหรับพวกเราแล้วก็เป็นเพียงแค่เงินค่าขนมเล็กน้อยเท่านั้น”

เฉินเทียนเซิงแสดงความคิดของตัวเองที่เห็นได้ยากยิ่งออกมา ในคำพูดเต็มไปด้วยความหยิ่งยโส “นี่คือความแตกต่างระหว่างหัวกะทิอย่างพวกเรากับลูกสวะนั่น ลูกสวะนั่นไม่มีทางไล่ตามเราได้ทันตลอดชีวิต!”

เฉินเทียนหย่างและเฉินหยู่เฟยหัวเราะร่าออกมาพร้อมกัน

เสียงหัวเราะดังก้องไปทั่วลาน ยินดีเกินจะหาที่เปรียบได้

ทั้งสามเคยต้องสูญเสียภายใต้เงื้อมมือของเฉินตง ตอนนี้ได้ร่วมมือกัน ก็ถือว่าได้ระบายความแค้นออกมาในที่สุด

ถึงขั้นว่า ทั้งสามได้คาดการณ์ถึงสภาพตอนที่เฉินตงต้องเผชิญหน้ากับปัญหาใหญ่เรียบร้อยแล้ว สิ่งนี้ทำให้พวกเขายิ่งหัวเราะออกมาเสียงดังยิ่งขึ้น

……

ฟ้าเริ่มสาง

เฉินตงลุกขึ้นแต่เช้า แล้วมุ่งหน้าไปยังบริษัทไท่ติ่ง

วันนี้ เป็นวันที่ฉินเย่จะลงดาบเพื่อจบเกม

ไปถึงบริษัท

เฉินตงไม่ได้จัดการงานของบริษัท แต่กลับชงชา แล้วนั่งนิ่งอยู่ริมหน้าต่าง มองดูเมฆคล้อยไปมา

ความกดดันตลอดหลายวันมานี้ ในที่สุดวันนี้ก็จะได้ผ่อนคลายลงเสียที

ไม่เพียงเท่านี้ เป็นเพราะเรื่องนี้ ทำให้เขาค้นหาเบาะแสบางอย่างเกี่ยวกับพ่อได้

เฉินตงตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่า หลังจากเรื่องของฉินเย่จบลง จะเดินทางไปยังโม่เป่ยสักครั้งทันที

ถ้าเหมือนกับที่เขาคาดเดาเอาไว้ การไปครั้งนี้ก็คงจะค้นหาพ่อได้เจอ จากนั้นความสงสัยต่างๆ ในใจก็คงได้รับการคลี่คลาย

ทำไมพ่อถึงได้หายตัวไป?

และกลัวอะไรกันแน่ ถึงได้เอาแต่หลบซ่อนตัวอย่างยาก

เก้าโมงเช้า

เฉินตงยกแก้วชาขึ้น แล้วจิบลงไปหนึ่งคำ

ท่าทีที่นิ่งสงบ ค่อยๆ ดูดุดันขึ้นมา แววตาเผยเจตนาฆ่าออกมา “ตอนนี้ ถึงเวลาเริ่มต้นการล่าแล้ว!”

เขาไม่ได้เปิดคอมพิวเตอร์

เพราะเขารู้ดีว่า เมื่อฉินเย่ หงหุ้ย และบริษัทชิงหยิ่งร่วมมือกัน จะมีพลังที่แข็งแกร่งขนาดไหน

ยิ่งไปกว่านั้น ในนั้นยังแฝงไปด้วย “ตัวแปร” —— จุนหลิน กรุ๊ป

Rothschildถอนเงินทุนออกไปแล้ว

เหลือเพียงแค่เงินทุนของบริษัทเงินทุนจงเคอและการลงทุนซื่อหวา ซึ่งไม่สามารถรับมือกับสภานการณ์ที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้ เหมือนกับที่เขาเป็นกังวลใจเมื่อหลายวันก่อน อีกเดี๋ยวก็คงถึงตาที่เงินทุนจงเคอและการลงทุนซื่อหวาจะต้องเป็นกังวลบ้าง

ตอนนี้ไม่มีอะไรที่น่ากังวลไปกว่าการจบเกมในครั้งนี้ สุดท้ายแล้วจะทำกำไรได้เท่าไหร่กันแน่?

คนที่มีความคิดเช่นเดียวกับเฉินตง ยังมีพวกของเฉินเทียนเซิงอีกสามคนที่บ้านตระกูลเฉิน

ตั้งแต่เช้าตรู่

เฉินเทียนเซิง เฉินเทียนหย่าง และเฉินหยู่เฟย ตื่นแต่เช้าตรู่

หลังจากดื่มเหล้ามาตลอดคืน ก็นอนหลับไปสักครู่ แต่ทั้งสามกลับไม่รู้สึกอ่อนล้าเลยแม้แต่น้อย

สำหรับพวกเขาแล้ว สามารถมองเฉินตงสิ้นหวังจากในมุมมืดได้นั้น ถือเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นอย่างยิ่ง

เฉินเทียนเซิงซึ่งมีนิสัยใจร้อนก็เปิดคอมพิวเตอร์ขึ้นมาตั้งแต่เช้า

จนกระทั่งถึงเวลาเก้าโมง เป็นเวลาที่ตลาดหุ้นเปิดทำการ

เฉินเทียนเซิงและเฉินหยู่เฟยนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์

เฉินเทียนหย่างอดไม่ได้ที่จะถูมือ “พี่ หยู่เฟย ตื่นเต้นกันไหม? ดีใจหรือเปล่า? เดี๋ยวพวกเราก็จะได้เห็นเฉินตงถูกตัดแขนแล้ว”

“ฉันเตรียมสถานที่จัดฉลองเอาไว้เรียบร้อยแล้ว” เฉินเทียนเซิงยิ้มเล็กน้อย แววตาเป็นประกายออกมา

เฉินหยู่เฟยเองก็ยิ้มออกมาอย่างเบิกบาน “ขอเพียงแค่จัดการกับบริษัทการเงินของฉินเย่ได้ ฉันจะดูซิว่า ลูกสวะอย่างเฉินตง จะกระโดดขึ้นมาได้อีกไหม? ยิ่งเขาตายอย่าทรมาน ฉันก็ยิ่งมีความสุข!”

ใกล้ถึงเวลาปิดตลาด

เฉินตงปิดคอมพิวเตอร์

แล้วนั่งรอฟังข่าวจากฉินเย่อย่างเงียบๆ

แน่นอนว่า ฉินเย่โทรมาอย่างรวดเร็ว

“พี่ตง ดูเหมือนวันนี้จะขาดทุนไปพันล้าน”

“ดีมาก”

เฉินตงยิ้มแล้วพยักหน้า ตอนนี้ ใบหน้าของเขาไม่ปรากฏความเคร่งเครียดอีกต่อไป

ฉินเย่รีบพูดขึ้นอีกว่า “พรุ่งนี้ก็จบเกมได้แล้ว”

“อืม พรุ่งนี้เช้าจบเกมทุกอย่างให้หมด ไม่ต้องเล่นต่อแล้ว หากเล่นนานเกินไป เกรงว่ามือฉมังอย่างเงินทุนจงเคอและการลงทุนซื่อหวาจะไหวตัวทันเสียก่อน”

เฉินตงกำชับด้วยความระมัดระวัง

คราวนี้สามารถมองเห็นแสงสว่างได้ นับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

สามารถพลิกสถานการณ์ได้ในตอนสุดท้าย และทวงคืนสิ่งที่สูญเสียกลับคืนมาได้ ยิ่งไม่ใช่เรื่องง่าย

การรู้จักพอ เขาเข้าใจดี

หากไม่รู้จักพอ ก็เหมือนงูที่กลืนช้างเข้าไป สุดท้ายคนที่ต้องตายก็คือตัวเอง

วางสายโทรศัพท์

เฉินตงหาข้อความของกู้โก๋ฮั๋วเจอ จากนั้นจึงส่งข้อความกลับไปว่า “ขอบคุณครับพ่อ”

เฉินตงมองดูรูปกู้ชิงหยิ่งบนหน้าจอโทรศัพท์ ก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาในใจ

สามารถหาภรรยาแบบนี้ได้ ถือว่าสวรรค์เมตตาต่อฉันจริง!

หากอาศัยเพียงแค่การช่วยเหลือจากหงหุ้ยและจุนหลิน กรุ๊ป เฉินตงคงไม่อาจคิดวิธีเช่นนี้ออกมาได้

เพราะเขารู้ดีว่า เรื่องของจุนหลิน กรุ๊ป ตอนนี้เป็นเพียงแค่การคาดเดา ก่อนที่จะแน่ใจ ก็ยังถือเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน

ส่วนหงหุ้ย เย่หยวนชิวรับปากที่จะช่วยเหลือ แต่เฉินตงก็ไม่คาดหวังว่าหงหุ้ยจะยอมลงแรงทั้งหมดที่มี

แต่ข้อความที่กู้ชิงหยิ่งส่งมาในตอนบ่าย กลับทำให้เขามั่นใจมากขนาดนี้ และได้วางแผนการที่จะปล่อยสายเบ็ดให้ยาวเพื่อล่อปลาใหญ่ให้มาติดกับอย่างเช่นตอนนี้

เป็นเพราะ

กู้ชิงหยิ่งบอกเขาว่า ได้ช่วยเขาติดต่อพ่อตาเรียบร้อยแล้ว บริษัทชิงหยิ่งจะเข้าตลาดเพื่อช่วยฉินเย่ดันราคาในช่วงจังหวะที่สำคัญ

หากมีเสาหลักอย่างพ่อตาอยู่ ก็จะมีวิธีเล่นที่มากขึ้น

Rothschild ถอนทุนออกไปแล้ว ทุนของเงินทุนจงเคอและการลงทุนซื่อหวายังอยู่ ดังนั้นเงินที่ขาดทุนไปจึงจำเป็นต้องหาคืนจากทั้งสองบริษัทนี้ ถึงขั้นอาจหาคืนมาให้ได้มากกว่าเดิมสักหน่อย!

การตัดสินสถานการณ์

เมื่อสถาพการต่างกัน วิสัยทัศน์และความคิดก็ต่างกัน

เฉินตงไม่ได้มีนิสัยอ่อนแอและสามารถรังแกได้ง่ายๆ เมื่อเกิดข้อผิดพลาดขึ้นก็รู้จักที่จะป้องกันตัว แต่เมื่อไหร่ที่ได้เปรียบ ก็ถึงเวลาที่จะคิดบัญชีทั้งหมด!

ออกจากบริษัท และเดินไปถึงชั้นล่าง

เฉินตงเห็นเย่หลิงหลงหมุนไปหมุนมาอยู่ที่หน้ารถของเธอ

เขาไม่ได้สนใจ แล้วเดินตรงไปยังรถของตนเอง

“นี่! หงหุ้นเราช่วยเหลือคุณมากมายขนาดนั้น คุณเห็นฉัน ก็จะไปเดินไม่ทักทายสักคำเลยหรือ?”

เฉินตงเพิ่งจะเดินไปถึงด้านข้างรถ ก็มีเสียงของเย่หลิงหลงดังขึ้นข้างๆ “จะไม่ขอบคุณสำหรับเรื่องนี้หน่อยหรือ เชิญฉันกินข้างสักมื้อ อย่างน้อยคุณก็ควรเห็นแก่ที่ฉันให้คุณยืมใช้รถ กล่าวทักทายฉันสักคำแล้วค่อยไปไม่ได้หรือ?”

เขาหันกลับไปมองเย่หลิงหลง “หรือจะให้ผมหยิบป้ายออกมา แล้วบังคับให้คุณคุกเข่าเรียกผมว่าผู้อาวุโสล่ะ?”

“คุณ……”

ใบหน้าอันงดงามของเย่หลิงหลงแดงก่ำขึ้นมา

เมื่อเธอเผชิญหน้ากับเฉินตง เธอมักจะรู้สึกว่าตนเองนั้นพร้อมจะจุดติดไฟ และระเบิดได้ทุกเวลา

เพราะการหยุดนิ่งในช่วงสั้นๆ เมื่อครู่ของเธอ ด้วยความงดงามของเย่หลิงหลง ทำให้ดึงดูดสายตาของผู้คนจำนวนมากให้หยุดดู

ตอนนี้เมื่อเห็นสาวงามคนหนึ่งยืนคุยกับชายหนุ่ม

ผู้ที่พบเห็นต่างก็อดไม่ได้ที่จะมองเฉินตงด้วยความอิจฉา

เมื่อรับรู้ได้ถึงสายตาแหลมคมที่จับจ้องมา เฉินตงก็ขี้เกียจที่จะสนใจเย่หลิงหลง จึงขึ้นนั่งบนรถทันที

เมื่อรถสตาร์ท ก็มีรูปร่างอันงดงามมายืนขวางหน้ารถเอาไว้

เฉินตงมีท่าทีเย็นชาลงทันที

นี่มันเกินไปแล้ว

“เฉินตง คุณลงมาเดี๋ยวนี้!”

เย่หลิงหลงยืนนิ่งตรงกระโปรงหน้ารถ

ภาพนี้ ทำให้ผู้พบเห็นต่างตกใจ

“ให้ตายเถอะ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?”

“ให้ตายเถอะ ทำไมฉันรู้สึกว่าเรื่องนี้มันชักเกินไปแล้ว?”

“ชายชั่วสลัดรักหญิงสาว ตอนนี้หญิงสาวจึงมาทวงคืนความยุติธรรม?”

……

เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้น

คนที่มามุงดูเหตุการณ์ ต่างไม่สนใจข้อเท็จจริง จินตนาการเรื่องออกไปต่างๆ นานาจน “ลึกมาก”

เย่หลิงหลงไม่ได้สนใจสายตาและคำวิพากษ์วิจารณ์เลยแม้แต่น้อย

เธอบิดเอวเข้าไปนั่งยังที่นั่งด้านข้างคนขับ

ยกมือขึ้นดึงประตู แต่กลับพบว่าไม่สามารถเปิดประตูรถได้

เย่หลิงหลงขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย

เธอโตจนป่านนี้ ยังไม่มีใครกล้าปฏิเสธไม่ให้เธอขึ้นรถ!

เฉินตงบ้า!

ลดกระจกรถลง

เฉินตงพูดกับเย่หลิงหลงอย่างเย็นชาว่า “ออกไป!”

“อะไรนะ?”

ใบหน้าของเย่หลิงหลงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ คิดว่าตนเองหูฝาด “คุณว่าอะไรนะ?”

“เชิญคุณถอยออกไป!”

น้ำเสียงเย็นชาดังออกมาจากในรถ

แทบจะในเวลาเดียวกัน เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มขึ้น

เฉินตงเหยียบคันเร่ง แล้วขับออกไป ทิ้งให้เย่หลิงหลงยืนอึ้งอยู่ที่เดิม

ฮะ!

ผู้คนต่างตกตะลึง

เสียงอุทานดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“ให้ตายเถอะ ช่างไม่รู้จักอ่อนโยนกับผู้หญิงเอาเสียเลย เจ้าหนุ่มนั่นช่างแข็งกระด้างจริงๆ? ผู้หญิงที่สวยขนาดนี้ กลับทำหยาบคายใส่เธอ?”

“โฉมงามกับอสูรจริงๆ ทำไมสาวงามเช่นนี้ถึงไม่สนใจอสูรอย่างฉันบ้าง?”

“เชอะ พวกนายมันตาบอดกันทั้งนั้น ไม่ดูบางเลยว่าผู้ชายคนเมื่อครู่คือใคร นั้นคือเฉินตง เจ้าของบริษัทไท่ติ่งเชียวนะ!”

……

หลังจากเสียงพูดนี้ดังขึ้น สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไปทันที

เพราะเย่หลิงหลงนั้นงดงามมากจริงๆ ดังนั้นเมื่อครู่ตอนที่ยืนอยู่ที่รถบีเอ็มดับเบิลยู i8 ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่แอบยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูป

อีกทั้งภาพระหว่างเฉินตงและเย่หลิงหลงเมื่อครู่ ก็ถูกถ่ายเอาไว้ทั้งหมดแล้ว

เกิดคลื่นลูกใหญ่ขึ้นในจิตใจของทุกคน

ในเมืองนี้ เฉินตงมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักมานานแล้ว

เรื่องที่เฉินตงแต่งงาน เป็นที่โด่งดังไปทั้งเมือง

แต่ภาพที่เกิดขึ้นเมื่อครู่……

กว่าทุกคนจะตั้งสติได้ เย่หลิงหลงก็ขับรถออกไปด้วยความโมโหนานแล้ว

ผู้คนที่หวนคิดถึงเรื่องนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียดาย ความงดงามเช่นนี้ ได้เห็นน้อยลงสักหน่อยก็ทำให้รู้สึกเสียดาย

แต่ในขณะที่รู้สึกเสียดายนั้น คนจำนวนหนึ่งที่ถ่ายรูปไว้ ก็อดไม่ได้ที่จะเกิดความคิดพลุ่งพล่านขึ้นมาในหัว

ในยุคที่สื่อพัฒนาไปอย่างก้าวไกล การที่จะกลายเป็นคนดังในโลกอินเทอร์เน็ตนั้นถือเป็นเรื่องง่ายมาก บางครั้งเพียงอาศัยแค่เป็น “ข่าว” สักหนึ่งครั้งก็เพียงพอ

เมื่อกลับไปถึงเขตวิลล่าเขาเทียนซาน

กู้ชิงหยิ่งกำลังจัดเรียงเอกสารอยู่

เมื่อเฉินตงเห็นก็รู้สึกเป็นห่วง จึงเดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วพูดว่า “ที่รัก ตอนนี้คุณกำลังท้องอยู่ ต้องพักผ่อนให้มาก อย่าหักโหมเกินไปนัก”

ตอนนี้กู้ชิงหยิ่งเป็นคนดูแลบริษัทวัสดุก่อสร้างยิงลี่มาตลอด โครงการก่อสร้างของไท่ติ่งนั้น ล้วนแล้วแต่อาศัยการจัดหาวัสดุจากบริษัทวัสดุก่อสร้างหยิ่งลี่ทั้งสิ้น

“อีกสองวันพ่อกับแม่ก็จะมาแล้ว ฉันจะต้องจัดการเอกสารให้เรียบร้อยสักหน่อย ถึงตอนนั้นจะได้ให้พวกเขาช่วยฉันตรวจสอบดู?”

กู้ชิงหยิ่งยิ้มหวาน “เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ไม่ทำให้ฉันเหนื่อยได้หรอกค่ะ ฉันดูแลบริษัทวัสดุก็สร้างยิงลี่ นี่เป็นงานที่ง่ายมาก กลับเป็นคุณต่างหากที่คอยเตือนฉัน แต่ตัวคุณเองก็ต้องรู้จักรักษาสุขภาพให้มากกว่านี้สักหน่อยจึงจะดี”

เฉินตงอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา

ไม่ใช่ว่าเขาเหนื่อยแค่ไหน แต่เป็นเพราะคำพูดของกู้ชิงหยิ่งทำให้เขานึกขึ้นมาได้

ด้วยวุฒิการศึกษาของกู้ชิงหยิ่ง ดูแลบริษัทวัสดุก่อสร้างยิงลี่หนึ่งบริษัท ก็ถือว่าเป็นการใช้คนที่มีความสามารถเหนือกว่างาน

เอกสารที่อยู่ในมือของกู้ชิงหยิ่งเหล่านี้ หากคิดจะจัดการ สำหรับกู้ชิงหยิ่งแล้วถือเป็นเรื่องง่ายมาก

หลังจากบิดขี้เกียจ เฉินตงก็ก้มลงไปจูบหน้าผากของกู้ชิงหยิ่ง “ผมขอตัวขึ้นไปอาบน้ำก่อน เดี๋ยวจะมาช่วยคุณจัดการ”

“ไปเถอะค่ะ”

กู้ชิงหยิ่งยิ้ม

มองดูเฉินตงที่เดินขึ้นไปชั้นบน ดวงตาของเธอก็สั่นเครือ รอยยิ้มบนใบหน้าก็ค่อยๆ จางหายไป

หลังจากเฉินตงขึ้นไปชั้นบนแล้ว

เธอก็พึมพำออกมาด้วยความสงสัยอีกครั้ง “กลิ่นหอมจากธรรมชาตินั่นอีกแล้ว……”

“บ้าเอ๊ย! ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้?”

เฉินเทียนเซิงลุกยืนขึ้นด้วยความโกรธ สีหน้าหมองหม่นอย่างเห็นได้ชัด

จู่ๆ ก็ตะโกนออกมาด้วยความโกรธ ทำให้เฉินเทียนหย่างและเฉินหยู่เฟยรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก

ทั้งสองหันมองเฉินเทียนเซิงด้วยความหวาดกลัว ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

แต่ทั้งสองรู้จักเฉินเทียนเซิงดี อารมณ์เปลี่ยนแปลงไปมากขนาดนี้ แสดงว่าต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่นอน!

“ฉันไม่สนว่าพวกแกจะทำยังไง แต่ฉันต้องการให้มันตาย!”

ตู้ด!

หลังจากวางสายโทรศัพท์ สีหน้าของเฉินเทียนเซิงก็ดูหมองหม่นจนถึงขีดสุด

“พี่ เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

เฉินเทียนหย่างถามตะกุกตะกัก

“ดูตลาดหุ้น!”

เฉินเทียนเซิงเดินกลับเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว

สีหน้าของเฉินเทียนหย่างและเฉินหยู่เฟยเปลี่ยนไปทันที

หรือการโจมตีจะเกิดปัญหาขึ้น?

ทั้งสองรีบตามเฉินเทียนเซิงเข้าไปในบ้าน

เฉินเทียนเซิงรีบเปิดคอมพิวเตอร์ แล้วดูตลาดหุ้น

เผียะ!

เขาตบฝ่ามือลงบนโต๊ะ “บ้าเอ๊ย บ้าจริงๆ!”

เฉินเทียนหย่างและเฉินหยู่เฟยรีบชะเง้อเข้าไปดู ทั้งสองอึ้งไปทันที

“เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร? เมื่อวานตอนปิดตลาดยังเป็นปกติอยู่เลย!”

เฉินเทียนหย่างหงุดหงิดขึ้นมา เข้าจ้องเขม็งไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ด้วยความโมโห “เช้าตรู่วันนี้ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”

เฉินหยู่เฟยไม่พูดไม่จา หันมองเฉินเทียนเซิงด้วยสีหน้าซีดเผือด

เฉินเทียนเซิงกัดกระพุ้งแก้มของเขาอย่างแรงเพื่อระงับความโกรธ แล้วพูดผ่านไรฟันออกมาหนึ่งประโยค

“ตอนเปิดตลาดเช้าวันนี้ หงหุ้ยได้ช่วยฉินเย่ดันราคาขึ้น จากนั้นปลาเล็กอย่างจุนหลิน กรุ๊ปเองก็ช่วยฉินเย่ดันราคาขึ้นเช่นกัน!”

“เดิมทีห้ามหาอำนาจร่วมกันโจมตีฉินเย่ แต่ตอนนี้กลายเป็นสามต่อสาม บริษัทเงินทุนทั้งสามของเรา ไม่อาจต้านทานไว้ได้จึงถูกจัดการโดยหงหุ้ย ภายในระยะเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมง ต้องสูญเสียเงินไปถึง 10 %!”

เปรี้ยง!

เสียงดังราวกับเสียงฟ้าผ่า

เฉินเทียนหย่างและเฉินหยู่เฟยนิ่งอึ้งไปโดยสมบูรณ์

ความหวาดกลัวพลุ่งพล่านไปทั่วตัว

สูญเสียไป 10%?

นั่นมันเป็นเงินเท่าไหร่กัน?

การโจมตีทรัพย์สินที่มีมูลค่าหมื่นล้านของฉินเย่นั้น จำเป็นต้องใช้ต้นทุนที่สูงลิบลิ่วอย่างแน่นอน

อีกทั้ง 10% นี้ ก็คำนวณมาจากต้นทุนที่สูงลิบลิ่ว!

“ให้ตายเถอะ หงหุ้ยเป็นพวกโง่หรืออย่างไร? โอกาสที่จะได้กินเนื้อก้อนโตเช่นนี้ พวกเขากลับทำเช่นนี้เสียได้?”

เฉินเทียนหย่างโกรธทนแทบจะกระโดดขึ้นมาจากรถเข็น ใบหน้าเขียวคล้ำ และกัดฟันพูด “จู่ๆ พวกเขาช่วยฉินเย่ คิดที่จะต่อสู้กับพวกเราให้ตายกันไปข้างหนึ่งหรืออย่างไร?”

“เดิมทีหงหุ้ยเป็นคนนอกที่กระโดดเข้ามาร่วมวงกินเนื้อ แต่ทำไมจู่ๆ ตอนนี้ถึงไปเข้าข้างฉินเย่ หรือว่า……”

เฉินหยู่เฟยเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่าง ตอนนี้ใบหน้าของเธอซีดเผือดด้วยความตกใจทันที

เฉินเทียนเซิงและเฉินเทียนหย่างที่กำลังเกิด ต่างตกใจพร้อมกัน

สีหน้าของเฉินเทียนเซิงดุร้ายราวกับงูพิษ เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ลูกสวะนั่น มีเส้นสายมากมายจากไหนกัน? หรือเขาเป็นเทพเจ้าแปลงกายมาอย่างนั้นหรือ?”

ทั้งสามคนไม่โง่

จู่ๆ หงหุ้ยก็กลับลำ เพียงแค่คิดเล็กน้อย ก็พอจะรู้แล้วว่าเฉินตงได้มีข้อตกลงบางอย่างร่วมกันกับหงหุ้ยเรียบร้อยแล้ว

ทันใดนั้น ทั้งสามคนทั้งตกใจและทั้งโกรธ

เป็นที่รู้กันดีว่า หงหุ้นนั้นกว้างขวางไปทั่วโลก มีทั้งสิ้นสามพันหกร้อยแห่ง และมีจำนวนสมาชิกที่นับไม่ถ้วน

ซึ่งไม่แตกต่างจากตระกูลมั่งคั่งเลย

นี่ถือเป็นยักษ์ใหญ่เช่นเดียวกัน ถึงแม้จะเทียบตระกูลเฉินไม่ติด แต่ตระกูลเฉินก็ให้ความเกรงใจหงหุ้ยอยู่ไม่น้อย

ลูกสวะคนหนึ่ง ลูกสวะที่เพิ่งโผล่ออกมา ไปเอาพลังเช่นนี้มาจากไหน ถึงสามารถดึงดูดยักษ์ใหญ่อย่างหงหุ้ยได้?

ถ้าหากเฉินเต้าหลินไม่ได้หายตัวไป ทั้งสามอาจไม่รู้สึกตกใจถึงขั้นนี้

ด้วยฐานะและทักษะของเฉินเต้าหลิน การดึงหงหุ้ยมาเป็นพวกนั้นเป็นเรื่องที่ทำได้แน่นอน

แต่ตอนนี้ เฉินเต้าหลินหันตัวไปแล้วนี่!

ในความคิดของพวกเฉินเทียนเซิงทั้งสามแล้ว การที่เฉินตงจะขอความช่วยเหลือจากหงหุ้ยนั้น เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้!

นอกเสียจากเขาเป็นเทพเจ้าที่แปลงกายลงมาเท่านั้น!

“พี่ พี่รีบคิดหาวิธีเร็วเข้า ตอนนี้ควรจะทำเช่นไรดี?”

เฉินเทียนหย่างรู้สึกร้อนใจเหมือนถูกไฟรนก้น เข้าไม่อาจสงบสติอารมณ์ได้อีกต่อไป “สามพันล้านสำหรับพวกเราถือเป็นเรื่องเล็ก แต่ถ้าจัดการเฉินตงไม่ได้ แล้วยังต้องสูญเสียเงินอีกสามพันล้านไปอีกล่ะก็ ความแค้นในครั้งนี้ ฉันจะกล้ำกลืนเข้าไปได้อย่างไร ถ้าปล่อยให้เฉินตงได้ประโยชน์จากวิกฤติในครั้งนี้อีกล่ะก็ พวกเราคงต้องเสียหน้าอย่างถึงที่สุดจริงๆ!”

แววตาของเฉินเทียนเซิงและเฉินหยู่เฟยตกตะลึง

แน่นอน

นี่คือการต่อสู้ทางการเงิน จึงต้องสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย

ในช่วงที่ต่อสู้กันอยู่นี้ มีการเคลื่อนไหวของเงินอย่างรวดเร็ว

หากต้องสูญเสียทั้งทุนทั้งกำไร คงจะต้องเจ็บแค้นใจน่าดู

ถ้าหากถูกเฉินตงคว้าไปได้ทั้งทุนทั้งกำไร แผนการในครั้งนี้จะมีความหมายอะไรกัน?

ทำบุญอย่างนั้นหรือ?

หรือปล้นตัวเองเพื่อช่วยคนจน?

ในตอนนี้เอง

เสียงโทรศัพท์ของเฉินเทียนเซิงดังขึ้นอีกครั้ง

เมื่อเห็นหมายเลขโทรศัพท์ เฉินเทียนเซิงก็ผงะไปในทันที

เขารีบรับสายโทรศัพท์ทันที

หลังจากรับสายเพียงสองวินาที ก็วางสายโทรศัพท์อีกครั้ง

เฉินเทียนเซิงยิ้มออกมาอย่างหดหู่ “ทางฝั่งRothschildโทรมา”

“พวกเขาว่าอย่างไรบ้าง”

เฉินเทียนหย่างรีบถามขึ้นด้วยความร้อนใจ

ตุ้บ!

เฉินเทียนเซิงโยนโทรศัพท์ลงบนพื้นด้วยความโมโห จนแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

ความโมโหพลุ่งพล่านไปทั่วตัว เขาพูดผ่านไรฟันออกมาว่า “เกมจบแล้ว พวกเขาถอนตัวออกจากการแข่งขันแล้ว!”

ทันใดนั้น

ภายในห้องก็เงียบสงัด

เฉินเทียนหย่างและเฉินหยู่เฟยนิ่งอึ้งจนถึงขีดสุด

Rothschildถอนการลงทุนออกไปแล้ว นั่นไม่เท่ากลับว่าเป็นการต่อสู้ 2 ต่อ 3 หรอกหรือ?

ถ้าหากเป็นอีกสองบริษัท พวกเขายังพอหาหนทางแก้ไขสถานการณ์ได้

แต่เมื่อRothschildไม่เหมือนกัน ที่เข้ามาร่วมในการต่อสู้ครั้งนี้ก็เพราะพึ่งพาหนี้บุญคุณของเฉินเทียนเซิง

ตอนนี้พวกเขาถอยออกไปแล้ว หนี้บุญคุณก็ใช้หมดไปแล้ว และไม่เหลือวิธีการใดๆ อีกต่อไปแล้ว!

“ตอนนี้พวกเราต้องนั้งรอความตายอย่างนี้หรือ?” สีหน้าของเฉินเทียนหย่างสับสนเล็กน้อย จากนั้นจึงยิ้มและมองเฉินเทียงเซิงกับเฉินหยู่เฟยอย่างหมองเศร้า “รอให้เฉินตงกับฉินเย่พลิกสถานการณ์ได้ แล้วนำมาโอ้อวดพวกเราอย่างนั้นหรือ?”

“ถ้าอย่างนั้นบอกมาสิว่าต้องทำอย่างไร?”

เฉินเทียนเซิงมองเฉินเทียนอย่างด้วยความโมโห

หงหุ้ยกลับลำทำให้เขารู้สึกโมโห ตอนนี้Rothschildยังมาถอนตัวอีก ทำให้แผนการของเขาพังทลายไม่เป็นท่า

ความหวังที่จะกำจัดเฉินตง ตอนนี้กลับริบหรี่ลงทุกทีๆ!

“หรือว่า……จะเพิ่มทุน?” จู่ๆ เฉินหยู่เฟยก็เสนอความเห็นขึ้นมา

เฉินเทียนเซิงยิ้มอย่างหดหู่ “เธอคิดว่าเงินทุนจงเคอและการลงทุนซื่อหวาเป็นลูกชายที่เราเลี้ยงเอาไว้หรืออย่างไร? พูดว่าจะเพิ่มก็เพิ่มได้? พวกเขาไม่มีทางยอมสู้อย่างเอาเป็นเอาตายกับเฉินตงแน่นอน!”

ทันทีที่พูดจบ

เฉินเทียนหย่างก็เหลือบมองหน้าจอคอมพิวเตอร์โดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วจู่ๆ ก็ตะโกนขึ้นมา

“พี่ หยู่เฟย เกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว! ดูเหมือนพวกเรายังมีโอกาสชนะ!”

เฉินเทียนเซิงและเฉินหยู่เฟยชะโงกหน้าเข้าไปดู แล้วรู้สึกยินดีขึ้นมา

“น่าจะเป็นทั้งสองบริษัททำงานหนักขึ้นแล้ว” จู่ๆ เฉินหยู่เฟยก็มีปฏิกิริยาตอบโต้ขึ้นมา “หากหงหุ้ยช่วยเหลือเพียงแค่ผิวเผิน ไม่แน่ว่าทั้งสองบริษัทอาจยังมีโอกาสที่จะแข่งขันกับฉินเย่สักตั้ง”

“อย่างน้อยพวกเราก็เบาใจลงหน่อย แต่ในเมื่อสถานการณ์ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว พวกเราก็สามารถพิจารณาเรื่องเพิ่มทุนให้กับทั้งสองบริษัทได้”

เฉินเทียนเซิงแววตาเป็นประกาย แล้วพูดว่า “เพิ่มอีกสักสองพันล้านเป็นอย่างไร?”

“ห้าพันล้านดีกว่า! หากจะสู้ก็สู้ให้เต็มที่สักหน่อย! หยู่เฟยพูดถูก ดุไปแล้ว หงหุ้ยช่วยเหลือเพียงผิวเผินเท่านั้น มิเช่นนั้นคงไม่ถูกทั้งสองบริษัทแก้สถานการณ์กลับมาได้เร็วขนาดนี้” เฉินเทียนหย่างยิ้มอย่างชั่วร้าย

“ฉันเห็นด้วย” เฉินหยู่เฟยสนับสนุน

ส่วนอีกด้านหนึ่ง

บริษัทอสังหาริมทรัพย์ไท่ติ่ง

เฉินตงดูข้อความที่กู้ชิงหยิ่งส่งมา ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างพอใจ

เขาเหลือบไปมองสถานการณ์ของตลาดหุ้น

รอยยิ้มบนใบหน้าก็ยิ่งกว้างขึ้น

โทรศัพท์ดังขึ้น ฉินเย่โทรเข้ามา

เฉินตงกดรับสาย ฉินเย่พูดด้วยความยินดี

“พี่ตง ปล่อยล่อเหยื่อออกไปแล้ว”

เฉินตงยิ้ม แววตาเฉียบคม “ปล่อยสายเบ็ดให้ยาวหน่อยเพื่อขับปลาใหญ่ คิดจะกินเฉินตง ก็ทำให้พวกมันต้องยอมคายทั้งหมดออกมา รวมถึงมีชิ้นเนื้อติดออกมาด้วย!”

นัยน์ตาหมองหม่นของท่านหลง เป็นประกายขึ้นมาทันที

เขารีบไปยืนอยู่ด้านหลังของเฉินตง แล้วมองไปยังจุดที่เฉินตงกำลังชี้นิ้วอยู่

ส่วนเฉินตงเอง ก็เผยแววตาที่เฉียบคมขึ้นมา

ข้อมูลเพียงสั้นๆ ถ้าหากไม่ได้อ่านอย่างถี่ถ้วนทีละคำ ไม่มีทางสังเกตเห็นได้เลย

ยิ่งไปกว่านั้น ข้อความนี้เป็นข้อความที่ธรรมดามาก

เนื้อหาคือ จุนหลิน กรุ๊ปเคยร่วมมือกับบริษัทในเครือของตระกูลเฉิน เปิดเหมืองแร่ขนาดเล็กเป็นเวลาหนึ่งปี สุดท้ายความร่วมมือก็สิ้นสุดลงเพราะจำนวนแร่มีน้อยเกินไป

“เวลาหนึ่งปี นี่เป็นเพียงแค่รายงานความร่วมมือธรรมดาๆ” ท่านหลงขมวดคิ้วแน่น

หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ ข้อมูลนี้ไม่มีความสำคัญ

เฉินตงยิ้มออกมาอย่างมีนัยแล้วพูดว่า “อันที่จริงแล้วเป็นเพียงแค่รายงานความร่วมมือธรรมดาๆ ถึงขั้นไม่อาจกล่าวว่าเป็นความร่วมมือที่น่ายินดีสำหรับทั้งสองฝ่ายได้ แต่ตอนนี้จุนหลิน กรุ๊ปยื่นมือเข้ามา ท่านหลงไม่รู้สึกว่าข้อมูลนี้ดูแปลกประหลาดบ้างเลยหรือ?”

ใบหน้าของท่านหลงเคร่งขรึม ยังคงไม่เข้าใจ

“คุณชาย คุณคิดมากเกินไปหรือเปล่า?”

เฉินตงไม่ได้รีบร้อน เขาค่อยๆ อธิบายทีละขั้นว่า “บริษัทเล็กๆ แห่งหนึ่ง จะเอาเงินจำนวนมหาศาลจากที่ไหนมาเข้าร่วมโจมตีฉินเย่ในครั้งนี้? แล้วจะเอาความกล้ามาจากไหน ที่จะทำเรื่องที่แม้แต่ท่านหลงเองก็ยังไม่กล้าทำ?”

ขณะที่พูด เขาก็ชี้ไปที่เนื้อหาเรื่องนี้ที่อยู่ในข้อมูล

“ถ้าหากใช้การร่วมมือนี้เป็นแหล่งข้อมูล แล้วหยิบยกมาเป็นสถานการณ์สมมุติ แล้วค่อยใส่แรงจูงใจของจุนหลิน กรุ๊ปล่ะ?”

ท่านหลงตัวสั่น ด้วยประสบการณ์ของเขา การสมมุติสถานการณ์ของเฉินตงในครั้งนี้ ทำให้ปรากฏเส้นทางที่ชัดเจนขึ้นมาหนึ่งเส้นทาง อีกทั้งยังมีความเป็นไปได้อีกด้วย

“นายท่าน?!”

ท่านหลงโพล่งออกมา

เฉินตงยิ้มร่าออกมา และพูดด้วยแววตาที่ลึกซึ้ง “ไม่แน่ว่า รอให้เหตุการณ์ของฉินเย่สงบลงแล้ว พวกเราอาจจะไปโม่เป่ยกันสักครั้ง”

ถ้าหากหยิบยกเรื่องความร่วมมือขึ้นมาสมมุติเป็นเส้นทางหนึ่ง นี่ก็คงจะเป็นเส้นทางที่เชื่อมระหว่างจุนหลิน กรุ๊ป และตระกูลเฉิน

ตอนนี้พ่อหายตัวไป

ลำพังแค่จุนหลิน กรุ๊ป เฉินตงไม่เชื่อว่าพวกเขาจะกล้าทำเรื่องเช่นนี้ได้

แต่ถ้าหากมีพ่อเข้าไปร่วมในนั้นด้วย ด้วยความชำนาญของพ่อ เรื่องนี้คงไม่ใช่เรื่องแปลกอีกต่อไป

“ใช่ใช่ใช่ ต้องไป ต้องไปให้ได้”

แววตาของท่านหลงเป็นประกายเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ แววตาที่มองเฉินตงก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจยิ่งขึ้น “สถานการณ์สมมุติของคุณชายดูสมเหตุสมผลจริงๆ ถ้าหากใช้ความชำนาญของนายท่าน ทุกอย่างก็ดูจะเป็นไปได้ ต้อให้มีโอกาสเพียงแค่หนึ่งเปอร์เซ็นต์ พวกเราก็ควรที่จะไปโม่เป่ยสักครั้งจริงๆ”

“ขอแค่ค้นหาตัวนายท่านกลับมาได้ ได้รับการคุ้มครองจากนายท่าน การพัฒนาของคุณชายก็ไม่ต้องติดขัดอีกต่อไป สามารถกำจัดสถานการณ์ที่ลำบากอยู่ในปัจจุบัน ออกไปได้จนหมดสิ้น”

แววตาของเฉินตงลึกซึ้ง และแสยะยิ้มออกมา

ถ้าหากหาพ่อเจอ ก็อาจทำให้รู้ได้ว่า ที่เขาหายตัวไปนั้น เป็นเพราะกลัวอะไรกันแน่

ในเวลาเดียวกันนี้

ที่ตระกูลเฉิน

ภายในลานเล็กแห่งหนึ่ง

สายน้ำไหลริน

เฉินเทียนหย่าง เฉินเทียนเซิงและเฉินหยู่เฟยนั่งรวมตัวกันอยู่

“ครั้งนี้ลูกสวะเฉินตง จะต้องจบเห่แน่ๆ”

เฉินเทียนหย่างนั่งอยู่บนรถเข็น ใบหน้าเต็มไปด้วยความพอใจ “หรือพวกเราจะเติมเชื้อไฟลงไปอีกสักหน่อย ให้ลูกสวะนั่นแพ้อย่างราบคาบไปเลย?”

“สามพันล้านยังไม่พออีกหรือ?”

เฉินเทียนเซิงเลิกคิ้วพูดว่า “เทียนหย่าง นายมักประมาทอยู่เรื่อย นายรู้ไหมว่าการติดต่อกับเงินทุนจงเคอและการลงทุนซื่อหวา ต้องอาศัยบุญคุณของพวกเรามากมายขนาดไหน? ยังมีRothschildอีก ครั้งนี้ฉันใช้หนี้บุญคุณครั้งสุดท้ายไปจนหมดสิ้นแล้ว”

เงินนั้นมีมูลค่า แต่บุญคุณนั้นประเมินค่าไม่ได้

แต่ระหว่างตระกูลมั่งคั่งด้วยกัน บุญคุณก็ถือเป็นเรื่องที่ต้องตอบแทนซึ่งกันและกัน ทุกคนล้วนคิดบัญชีออกมาอย่างชัดเจน

“ใช้แล้วเทียนหย่าง พี่เทียนเซิงพูดถูก พวกเขาอยากเล่นงานบริษัทการเงินของเฉินตง จึงอัดฉีดเงินสามพันล้านเข้าไป ตอนที่เงินทุนจงเคอและการลงทุนซื่อหวาดำเนินการ ก็ได้ลงทุนทรัพย์สินของพวกเขาลงไปด้วย หากพวกเราคิดจะลงทุนเพิ่ม คาดว่าพวกเขาคงจะไม่ยอมรับอีกแล้ว”

ใบหน้าอันงดงามของเฉินหยู่เฟยเย็นชาราวกับน้ำแข็ง “พี่เทียนเซิงเองยังใช้หนี้บุญคุณที่มีต่อRothschild เพียงครั้งเดียวไปจนหมดสิ้นแล้ว หากลงทุนเพิ่มอีกล่ะก็ พวกเขาคงไม่สนใจพวกเราแล้ว”

“ไม่ได้ก็ไม่ได้สิ แต่สถานการณ์ในครั้งนี้ ต่อให้มีลูกอกตัญญูที่ฆ่าพ่อของตัวเองอย่างฉินเย่คอยควบคุมอยู่ ก็ไม่มีทางที่จะต้านเอาไว้ได้”

เฉินเทียนหย่างยิ้มออกมาอย่างภูมิใจ เพียงแต่แววตาของเขากลับดูมืดหม่น และแสดงออกถึงความเกลียดชัง จ้องมองไปที่เท้าทั้งสองข้างของเขา

ได้รับบาดเจ็บมาเป็นเวลาร้อยวัน จนกระทั่งตอนนี้เขายังต้องนั่งอยู่บนรถเข็น

อีกทั้ง นี่เป็นครั้งที่สามแล้ว!

“ครั้งนี้สวรรค์เข้าข้างเราแล้ว เดิมทีมีเพียงแค่สามมหาอำนาจที่โจมตีลูกสวะนั่น คิดไม่ถึงเลยว่าหงหุ้ยจะเข้าร่วมด้วย ดูเหมือนจะอยากได้เนื้อชิ้นใหญ่เช่นเดียวกัน แต่จุนหลิน กรุ๊ปที่อยู่โม่เป่ยเองก็น่าสนใจไม่น้อย ฝูงหมาป่ากำลังกินเนื้อ พวกเขาก็ยังกล้าที่จะเข้ามาแย่งซุป”

เฉินเทียนหย่างนั่งพิงรถเข็น “ดูเหมือนหลายวันนี้ลูกสวะเฉินตงนั่นคงจะปวดหัวน่าดู? ส่วนเจ้าอันธพาลฉินเย่เองก็ไม่อาจหาทางรับมือได้ วันนี้ฉันขี้เกียจจะเข้าไปดูในตลาดหุ้นเสียด้วยซ้ำ”

“ฉันเองก็ไม่ได้ดู”

“ฉันก็ด้วย”

เฉินเทียนเซิงและเฉินหยู่เฟยหันมองหน้ากันแล้วยิ้ม

สถานการณ์ที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว จึงมีเพียงแค่ช่วงสองวันก่อนเท่านั้น ที่ยังพอดึงดูดความสนใจของพวกเขาได้ แต่ตอนนี้ ตอนจบได้ถูกกำหนดไว้แล้ว ดูไปก็เสียเวลาเปล่า

“แต่ว่า สิ่งที่พวกเราทำ จะทำให้คุณย่าและเหล่าบรรดาผู้อาวุโสรู้สึกไม่พอใจหรือไม่?”

ผู้หญิงมีความคิดที่ละเอียดอ่อน เฉินหยู่เฟยกล่าวตักเตือนเบาๆ “อย่างไรเสียเขาก็เป็นผู้สืบทอดมรดกนะ?”

เป็นเพราะเรื่องในคราวก่อน ตอนนี้เธอเป็นคนที่แย่ที่สุดในบรรดาทั้งสามคน ต้องสูญเสียรากฐานในวงการบันเทิงไป จึงหมดหวังแล้วในการแย่งชิงตำแหน่งเจ้าบ้านในอีกหนึ่งปีหลังจากนี้”

ถ้าหากยังประมาทอีกครั้ง อาจทำให้ทุกสิ่งที่มีอยู่ในมือตอนนี้ หายวับไปกับตา

“เชอะ หยู่เฟยกลัวจนหัวหดเสียแล้วหรือ?”

เฉินเทียนหย่างยักไหล่ “ช่วงนี้คุณย่ากำลังวุ่นอยู่กับการออกตรมหาเจ้าบ้าน เรื่องที่พวกเราสามคนทำ ถูกปิดเป็นความลับขนาดนี้ พวกเขาไม่มีทางรู้เด็ดขาด ต่อให้รู้ ไม่แน่ว่าพวกคุณย่าอาจเห็นดีเห็นงามด้วยก็เป็นได้ อย่าลืมสิว่านั่นคือลูกสวะ ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าบ้านออกแรงปกป้องอย่างสุดชีวิต เขาจะมีค่าอะไรกัน”

เรื่องในครั้งนี้ พวกเขาทั้งสามลอบทำอย่างลับๆ ความลับในครั้งนี้ มีเพียงแค่พวกเขาสามคนและผู้นำของทั้งสามบริษัทเงินทุนเท่านั้นที่รู้

เฉินเทียนเซิงพยักหน้า และพูดเสริมว่า “หยู่เฟยอย่าคิดมากไปเลย นี่คือการต่อสู้ของผู้สืบทอดมรดกอย่างพวกเรา ไม่ได้ละเมิดกฎของตระกูลเสียหน่อย อีกอย่าง ลูกสวะนั่นยังแหกกฎของตระกูลได้ ทำไมพวกเราจะทำบ้างไม่ได้?”

“พี่ชายของฉันพูดถูก!”

เฉินเทียนหย่างยิ้มและพยักหน้า จากนั้นจึงเผยแววตาชั่วร้ายออกมา และกัดฟันพูดว่า “หยู่เฟยเอ๋ย ตอนนี้การขึ้นเป็นเจ้าบ้านของพวกเรานั้นหมดหวังแล้ว โอกาสของพี่ชายฉันยังเหลืออยู่มาก หากพวกเรากำจัดลูกสวะเฉินตงได้ แล้วร่วมมือกันช่วยพี่ชายฉันกำจัดผู้สืบทอดมรดกคนอื่นๆ แล้วทำให้พี่ชายของฉันได้ขึ้นเป็นเจ้าบ้าน ถึงตอนนั้นพวกเราจะไม่สุขสบายได้อย่างไร?”

เฉินหยู่เฟยแววตาเป็นประกาย

เธอพยักหน้าสนับสนุนเฉินเทียนหย่าง “ถูกต้อง ตระกูลเฉินนี้ ใครจะขึ้นเป็นเจ้าบ้านก็ได้ ยกเว้นลูกสวะเฉินตงที่จะขึ้นเป็นนั่งในตำแหน่งนี้ไม่ได้เด็ดขาด หากทำลายบริษัทเงินทุนของเขาได้ ก็เท่ากับตัดแขนข้างหนึ่งของเขา หนึ่งปีหลังจากนี้ ก็ปล่อยให้เขารอความตายไปเถอะ”

เมื่อได้ยิน

ทั้งสามคนก็หัวเราะออกมา

ใบหน้าของเฉินเทียนเซิงแดงก่ำ เต็มไปด้วยความสะใจ

เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์ ถือเป็นหัวหน้าของบรรดาหัวกะทิในตระกูลเฉิน แผนการในครั้งนี้เขาเป็นคนวางขึ้นเช่นกัน

อย่างที่เฉินหยู่เฟยพูด ใครจะขึ้นเป็นเจ้าบ้านตระกูลเฉินก็ได้ ต่อให้ท้ายที่สุดคนที่ขึ้นเป็นเจ้าบ้านจะไม่ใช่เขา แต่เขาก็ไม่มีวันปล่อยให้ลูกสวะได้ขึ้นไปนั่งในตำแหน่งเจ้าบ้านเด็ดขาด

ทว่า

จู่ๆ ก็มีสายโทรศัพท์โทรเข้ามาหาเฉินเทียนเซิง

เมื่อเฉินเทียนเซิงรับโทรศัพท์ สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที

ไม่หลงเหลือความภูมิใจเมื่อครู่อีก มีเหลือก็เพียงความหมองหม่นเท่านั้น

คืนนี้เฉินตงไม่รู้สึกง่วงเลยแม้แต่น้อย

ด้านหนึ่งก็เป็นห่วงเรื่องของหงหุ้ยและฉินเย่ ส่วนอีกด้านหนึ่ง……

เป็นเพราะภรรยาไม่ยอมเข้ามาในอ้อมแขนให้กอดนอนแล้ว

หลังจากแต่งงาน เฉินตงรู้สึกคุ้นชินกับการกอดกู้ชิงหยิ่งนอน

นี่เป็นครั้งแรกที่กู้ชิงหยิ่งหันหลังให้กับเขา

“หรือว่าเสี่ยวหยิ่งจะเข้าใจอะไรผิด?”

เฉินตงขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

เมื่อฟ้าสว่าง กู้ชิงหยิ่งก็ลุกออกจากเตียงนานแล้ว ซึ่งไม่เหมือนกับปกติ

เฉินตงไม่อาจขจัดความสงสัยในใจของเขาออกไปได้

หลังจากทานข้าวเช้าแล้ว เฉินตงก็ขับรถไปที่บริษัทอสังหาริมทรัพย์ไท่ติ่งตั้งแต่เช้า

วันนี้ ต้องรอดูว่าหงหุ้ยจะทำเช่นไร!

ไม่มีแรงกดดันจากยักษ์ใหญ่อย่างหงหุ้ย ก็เชื่อได้ว่าฉินเย่จะสามารถรับมือได้ง่ายมากขึ้น

แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่เฉินตงจะสามารถควบคุมได้ เฉินตงใช้เวลาสักพักในการระงับความวิตกกังวลในใจ แล้วจดจ่อกับการทำงาน

ไม่นาน ก็ถึงเวลาเก้าโมงครึ่ง

ขณะที่เฉินตงกำลังตรวจสอบเอกสารอยู่นั้น ฉินเย่ก็โทรศัพท์เข้ามา

“พี่ตง ข่าวดี!”

ทันทีที่รับโทรศัพท์ ก็ได้ยินเสียงตื่นเต้นดีใจของฉินเย่ดังออกมาจากปลายสาย

ดูเหมือนว่าเย่หยวนชิวจะรักษาสัญญา

เฉินตงยิ้มอย่างพึงพอใจ “ตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?”

“ฮ่าฮ่าฮ่า…..เป็นข่าวดีจริงๆ แม้แต่ตัวฉันเองก็คิดไม่ถึง”

เสียงของฉินเย่ตื่นเต้นอย่างไม่อาจควบคุมได้ การแสดงออกที่อยู่เหนือการควบคุมนี้ เป็นสิ่งที่เห็นได้ยากมากจากตัวเขา “เมื่อครู่ตอนเปิดตลาด จู่ๆ หงหุ้ยก็กลับลำทันที ไม่เพียงแต่จะไม่ร่วมมือเป็นห้ามหาอำนาจในการโจมตีเท่านั้น ถึงขึ้น……ช่วยดันราคาของเราด้วย!”

“ให้ความช่วยเหลือ?”

เฉินตงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เย่หยวนชิวรับปากเพียงว่าหากเขาเข้าร่วมหงหุ้ย จะยอมละเว้นฉินเย่สักครั้ง

ทว่าตอนนี้ไม่เพียงแต่ละเว้นเท่านั้น แต่ยังกลับลำมาช่วยเหลือฉินเย่ นี่มันเป็นเรื่องน่ายินดีที่เหนือความคาดหมายจริงๆ!

“พี่ตง ตอนนี้พวกเรามั่นคงแล้ว ได้รับการช่วยเหลือจากหงหุ้ย บวกกับแผนการของพวกเรา อย่างน้อยเหตุการณ์ในครั้งนี้ ฉันก็มีความมั่นใจสักสามสิบเปอร์เซ็นต์ว่า จะสามารถพลิกสถานการณ์กลับมาได้”

เมื่อได้ยินเสียงตะโกนด้วยความตื่นเต้นยินดีของฉินเย่ เฉินตงก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ

โอกาสสามสิบเปอร์เซ็นต์!

ถือว่ามากแล้วจริงๆ!

เมื่อเทียบกับสถานการณ์ก่อนหน้าที่ “ไม่มีทางรอด” ก็นับว่าดีกว่ามาก

หลายวันมานี้ เป็นเพราะเรื่องที่ฉินเย่ถูกเล่นงาน ทำให้เขารู้สึกกดดันไม่น้อย

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับลูกลูกใหญ่จากการร่วมมือกันของห้ามหาอำนาจ ต่อให้ฉินเย่ยังคงรับมืออยู่อย่างแข็งขัน แต่เฉินตงก็รู้ดีว่า เท้าข้างหนึ่งได้ก้าวลงไปในนรกเรียบร้อยแล้ว

อีกทั้งทรัพย์สินหมื่นล้านหยวนที่ฉินเย่ดูแลอยู่นี้ ก็เป็นส่วนที่สำคัญส่วนหนึ่งในกระดาษคำตอบที่เขาต้องส่งให้ตระกูลเฉินในอีกหนึ่งปีให้หลัง!

หากทุกอย่างกลับกลายเป็นศูนย์ นั้นหมายความว่าหนึ่งปีให้หลัง กระดาษคำตอบที่เขาส่ง จะต้องไม่สมบูรณ์อย่างแน่นอน

ทรัพย์สินมูลค่าหมื่นล้านหยวน อาจดูเหมือนง่าย แต่ถ้าหากถูกนำมาเป็น “ผลการประเมินในการทดสอบ” แล้วล่ะก็ มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย!

“เดี๋ยวก่อน!”

จู่ๆ ฉินเย่ก็ส่งเสียงอุทานขึ้นมาในโทรศัพท์ “มีบางอย่างผิดปกติ!”

เฉินตงขมวดคิ้ว และเกิดความวิตกกังวลในใจขึ้นมาอีกครั้ง

ปลายสายโทรศัพท์ มีเสียงเคาะแป้นคีย์บอร์ดดังติดต่อกันขึ้นมา

“มีบางอย่างผิดปกติ จะเป็นไปได้อย่างไร”

“นี่มันเป็นเรื่องน่ายินดี หรือเป็นเรื่องน่าตกใจกันแน่?”

“บริษัทเล็กๆ นี่ ทำไมถึงกลายร่างเป็นปีศาจได้?”

เมื่อได้ยินเสียงที่พูดด้วยความตกใจของฉินเย่ดังขึ้นต่อเนื่อง

เฉินตงก็รีบจับประเด็นสำคัญอย่างรวดเร็ว——บริษัทเล็ก

ในมหาอำนาจทั้งห้า บริษัทที่พอจะนับว่าเป็นบริษัทเล็กได้ ก็เห็นจะมีแต่จุนหลิน กรุ๊ปแล้ว!

“ฉินเย่ จุนหลิน กรุ๊ปทำอะไร?” เฉินตงรีบเอ่ยถาม ในขณะเดียวกันก็ต้องการให้ฉินเย่สงบสติอารมณ์ลง

เรื่องการลงทุนทางด้านการเงินเงิน สวรรค์และนรกอยู่ห่างกันเพียงแค่เสี้ยววินาที ยิ่งอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายเช่นนี้ ยิ่งไม่อาจสับสนได้

เสียงในสายโทรศัพท์เงียบไปครู่หนึ่ง

จู่ๆ ฉินเย่ก็พูดขึ้นด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อว่า “พี่ตง จุนหลิน กรุ๊ปเองก็ช่วยดันราคาของเราแล้ว เรื่องนี้พี่กล้าเชื่อหรือไม่?”

คำพูดประโยคเดียว ทำให้เส้นเลือดที่ปลายหางตาของเฉินตงปูดโปนขึ้นทันที

หงหุ้ยช่วยเหลือ เป็นเพราะเขาเข้าร่วมหงหุ้ย ยอมรับเงื่อนไขของเย่หยวนชิว

แต่จุนหลิน กรุ๊ปคืออะไรกันแน่?

“กลายเป็นปีศาจไปแล้วจริงๆ!”

เฉินตงพึมพำขึ้นมา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมอย่างยิ่ง “เขาช่วยนาย ก็ปล่อยให้เขาช่วยไป ตอนนี้นายควบคุมเรื่องนี้ก่อน ฉันจะต้องไปตรวจสอบจุนหลิน กรุ๊ปให้ละเอียดแล้ว”

บริษัทเล็กๆ ที่ไม่เป็นที่รู้จักในภาคตะวันตกเฉียงเหนือ จู่ๆ ก็เข้าร่วมโจมตีใน “ศึกของเทพเจ้า” ครั้งนี้ ถือเป็นเรื่องน่าแปลกใจอย่างมาก

ตอนนี้กลับลำ และเริ่มช่วยเหลือฉินเย่แล้ว?

หากจะเบนเข็มตามทิศทางลม ก็ไม่น่าจะทำเช่นนี้ได้!

ตั้งแต่ต้นจนจบ พฤติกรรมของจุนหลิน กรุ๊ป สำหรับเฉินตงแล้ว เกิดเป็นความสงสัยขึ้นมากมายในใจ และแสดงออกให้เห็นถึงความแปลกประหลาด

หลังจากวางสายโทรศัพท์

เฉินตงโทรหาท่านหลงอีกครั้ง

“ท่านหลง นายช่วยรวบรวมข้อมูลของจุนหลิน กรุ๊ปที่สืบมาได้ในครั้งที่แล้ว และส่งมาที่บริษัทให้ฉันทั้งหมด”

“คุณชาย เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือครับ?” ท่านหลงประหลาดใจเล็กน้อย

เฉินตงหรี่ตาลง “ดูเหมือนจุนหลิน กรุ๊ปนี่จะเป็นปีศาจ!”

วางสายโทรศัพท์

เฉินตงพิงลงบนเก้าอี้ แล้วลูบดั้งจมูกที่โด่งของเขา

เดิมทีเขารู้สึกโล่งใจแล้ว แต่ตอนนี้กลับกังวลใจขึ้นมาอีกครั้ง

พฤติกรรมของจุนหลิน กรุ๊ปทำให้คนรู้สึกงงจริงๆ พอจะฝืนใช้คำว่า “เบนเข็มตามทิศทางลม” มาอธิบายได้

แต่ที่สำคัญก็คือ ลมในตอนนี้ ต่อให้มีหงหุ้ยคอยช่วยเหลือ แต่สำหรับฉินเย่แล้ว ก็ยังอันตรายอยู่ดี

บริษัทเล็กๆ บริษัทหนึ่ง เอาความกล้าขนาดนี้มาจากไหนกัน?

หนึ่งชั่วโมงผ่านไป

ข้อมูลเกี่ยวกับจุนหลิน กรุ๊ป ถูกท่านหลงรวบรวมและส่งมายังโต๊ะทำงานของเฉินตง

“คุณชาย จุนหลิน กรุ๊ปนี้ไม่มีอะไรให้สืบหา ครั้งก่อนสืบจนกระจ่างหมดแล้ว” ท่านหลงเห็นสีหน้าของเฉินตงไม่น่าดูนัก ก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น

“เหอะ!”

เฉินตงหัวเราะออกมาด้วยท่าทีประหลาด เขาพลิกข้อมูลดูพลางพูดออกมา “จู่ๆ บริษัทแห่งนี้ก็เข้าร่วมการโจมตี ช่วยฉินเย่ดันราคาขึ้นก่อน จากนั้นจึงร่วมมือเข้าจัดการกับอีกสี่บริษัท นี่ก็ประหลาดมากพออยู่แล้ว แต่เมื่อครู่ นายลองเดาดูสิว่าเกิดอะไรขึ้น?”

“อะไรครับ?” ท่านหลงเอ่ยถาม เขาไม่รู้สถานการณ์ของฉินเย่

“หงหุ้ยกลับลำ เริ่มดันราคาให้ฉินเย่ ยังไม่ถึงสิบนาที จุนหลิน กรุ๊ปเองก็กลับลำ และดันราคาให้ฉินเย่เช่นกัน”

เฉินตงพลิกข้อมูลดู แล้วหันมองท่านหลงด้วยท่าทีเคร่งขรึม “ท่านหลง ด้วยประสบการณ์และทักษะที่คุณมี เวลาเช่นนี้ ถ้าคุณเป็นคนบริหารจุนหลิน กรุ๊ป คุณกล้าที่จะทำแบบนี้หรือไม่?”

ท่านหลงตกใจจนถึงขีดสุด และนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา

แต่ความเงียบก็ถือเป็นคำตอบแล้ว

เขาไม่กล้า!

การลงทุนคือการแสวงหาผลกำไร ในขณะที่พยายามหลบเลี่ยงความเสี่ยง ก็ต้องมุ่งมั่นที่จะเพิ่มผลกำไรในเวลาเดียวกัน นี่ถึงจะเป็นพฤติกรรมโดยปกติ

ถึงแม้สถานการณ์ของฉินเย่ในตอนนี้ จะมีหงหุ้ยคอยช่วยเหลือ แต่ก็ยังอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายอยู่ดี

แต่การ “กลับลำ” ของจุนหลิน กรุ๊ป กลับไม่ใช่การหลบเลี่ยงความเสี่ยงและพยายามทำกำไรไปพร้อมกัน แต่เป็นการ……ร้องขอชีวิต!

นี่ถือว่าแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับการลงทุนตามปกติ

เมื่อพระเจ้าต่อสู้กัน มนุษย์ก็ต้องได้รับความเดือดร้อน

จุนหลิน กรุ๊ปเป็นมนุษย์ธรรมดา ไม่เพียงแต่เข้าร่วมในการต่อสู้ของเทพเจ้าเท่านั้น แต่ตอนนี้ยังช่วยเหลือเทพที่อ่อนแอ ในการต่อสู้กับเทพที่แข็งแกร่งอีกด้วย!

“กระผมจะสืบหาร่วมกับคุณชาย”

ท่านหลงตั้งสติได้ แล้วถอนหายใจแรงออกมาหนึ่งครั้ง จากนั้นจึงเปิดอ่านข้อมูลร่วมกับเฉินตง

บรรยากาศในห้องทำงานเงียบสงัด

เกี่ยวกับจุนหลิน กรุ๊ป ท่านหลงได้สืบหาจนกระจ่างแล้ว ได้ข้อมูลมาสองกองใหญ่ๆ

สิ่งที่ทำให้เฉินตงคิ้วขมวดก็คือ ทุกๆ ข้อมูล แสดงให้เห็นว่าบริษัทนี้เป็นบริษัทธรรมดาๆ ไม่มีความผิดปกติ และไม่มีอะไรที่พิเศษ

ข้อมูลตรงหน้าน้อยลงเรื่อยๆ

ความสงสัยในใจของเฉินตงยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

สีหน้าของท่านหลงยิ่งเคร่งเครียดขึ้น

ในขณะที่เฉินตงหยิบข้อมูลฉบับสุดท้ายขึ้นมาอ่าน

จู่ๆ ดวงตาของเขาก็หยุดนิ่ง

สายตาของเขาจับจ้องไปที่ข้อมูลเรียบง่ายที่อยู่ระหว่างบรรทัดหนึ่ง

เผียะ!

เฉินตงทุบฝ่ามือลงบนโต๊ะ แล้วพูดผ่านไรฟันออกมา “ท่านหลง ดูเหมือนฉันจะหาเจอแล้ว”

บนโลกนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ

หงหุ้ยดำรงอยู่มากว่าสองร้อยปี ไม่มีทางที่จะโง่เขลาถึงขนาด จู่ๆ จะเชิญบรรพบุรุษจากที่อื่นเข้ามากราบไหว้ได้ง่ายๆ

แน่นอนว่าจะต้องมีข้อแลกเปลี่ยน

ไม่ว่าจะมาช้าหรือเร็ว เพียงแต่ต้องรอดูว่าเป็นข้อแลกเปลี่ยนเช่นไรเท่านั้น

เรื่องนี้ เฉินตงรู้ดีแก่ใจ

แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ เขาไม่เลือกก็คงไม่ได้

ฉินเย่เป็นพี่น้องของเขา และเป็นคนที่ควบคุมดูแลเงินหมื่นล้านหยวนของเขา

มหาอำนาจทั้งห้าแห่งร่วมมือกันเล่นงาน ถ้าปล่อยให้หงหุ้ยใช้ความสามารถทั้งหมดที่มี ฉินเย่ไม่มีทางที่จะรับมือได้แน่นอน

นี่เกี่ยวพันถึงฉินเย่ และเกี่ยวพันถึงการส่งกระดาษคำตอบของเขาให้ตระกูลเฉิน ในอีกหนึ่งปีให้หลังนี้ด้วย

เขาไม่กล้าเดิมพัน หากเดิมพันแพ้ ทุกอย่างก็ต้องจบสิ้นทั้งหมด

ดังนั้น จึงเลือกได้เพียงแค่ยอมเข้าร่วม เพื่อหาหนทางรอดให้กับฉินเย่

หากมมีการโจมตีจากหงหุ้ย โอกาสที่ฉินเย่จะพลิกสถานการณ์นั้น ก็จะยิ่งมากขึ้น

เมื่อกลับไปถึงเขตวิลล่าเขาเทียนซาน ก็เป็นเวลาสามทุ่มแล้ว

หลังจากเฉินตงจอดรถเสร็จเรียบร้อย และเดินเข้าไปในการ ก็พบเข้ากับกู้ชิงหยิ่ง

“เปลี่ยนรถตั้งแต่เมื่อไหร่?”

กู้ชิงหยิ่งขยับจมูก และเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

“ยืมคนอื่นมา เมื่อครู่เกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย” เฉินตงกำลังกังวลเรื่องหงหุ้ย จึงพูดอธิบายผ่านๆ ออกมาหนึ่งประโยค จากนั้นจึงเรียกท่านหลงขึ้นไปบนดาดฟ้า

กู้ชิงหยิ่งหยุดยืนอยู่ที่เดิม สีหน้าดูซับซ้อน แล้วพึมพำด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “กลิ่นของผู้หญิง……เป็นกลิ่นหอมธรรมชาติที่ละเอียดอ่อนมาก”

ในขณะที่พึมพำอยู่นั้น เธอก็ค่อยๆ เหลือบตาไปมองรถบีเอ็มดับเบิลยู i8 ที่อยู่ในโรงจอดรถด้วยแววตาที่ลึกซึ้ง

ความอ่อนไหวของผู้หญิง ทำให้เธอวิเคราะห์ออกมาได้ทันที

ด้วยภูมิหลังทางครอบครัวของเธอ ทำให้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่า กลิ่นหอมที่ติดอยู่บนตัวของเฉินตงนั้น หมายถึงอะไร

น้ำหอมธรรมดาๆ ไม่มีทางส่งกลิ่นหอมในลักษณะนี้ได้

ต่อให้เป็นน้ำหอมชั้นดี ก็ไม่มีทางเป็นไปได้

มีเพียงอย่างเดียวคือการผสมผสานกลิ่นของธรรมชาติที่พิถีพิถันเท่านั้น

บนดาดฟ้า

ตุ้บ!

เฉินตงโยนป้ายหงหุ้ยลงบนโต๊ะ

เมื่อท่านหลงเห็นป้าย ก็แสดงสีหน้าตกตะลึงในทันที

“คุณชาย นี่คือป้ายหงหุ้ย! คุณ คุณมีมันได้อย่างไร?”

“หงหุ้ยมอบป้ายให้คุณหรือ?” ท่านหลงตกใจเป็นอย่างมาก

เฉินตงบุ้ยปาก “นายลองดูอีกด้านหนึ่งสิ”

ท่านหลงสูดหายใจเข้าเพื่อระงับความตกใจ แล้วค่อยๆ หยิบป้ายขึ้นมา พลิกดูอีกด้านหนึ่ง

เปรี้ยง!

ปรากฏคำว่า “หยวน” ขึ้นอย่างชัดเจน ราวกับค้อนที่ทุบเข้ามาที่ดวงตาของเขาอย่างจังในทันที

ทันใดนั้น ท่านหลงก็เหม่อลอยและยืนนิ่งไป

“หยวน ป้ายหยวน……นี่หมายถึงรุ่นหยวนของหงหุ้ย”

ท่านหลงตกอยู่ในอาการตื่นตะลึง เขาพูดด้วยปากที่สั่นเทา “เป็นไปไม่ได้ หงหุ้ยไม่มีทางมอบป้ายรุ่นหยวนให้คุณชายเป็นอันขาด พวกเขามีการรับสมาชิกใหม่อย่างเป็นระบบ อีกทั้งไม่ใช่ด้วยความสมัครใจ ดังนั้นพวกเขาไม่มีทางมอบให้เด็ดขาด ยิ่งเป็นป้ายหยวนด้วยแล้ว ยิ่งไม่มีทางมอบให้”

“หงหุ้ยมีอักษรรุ่นแรกยี่สิบสี่ตัว และอักษรรุ่นหลังอีกยี่สิบสี่ตัว รวมแล้วมีทั้งหมดสี่สิบแปดตัว ด้วยกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดของพวกเขา อาจมีการข้ามรุ่นได้หนึ่งขั้นในการจัดอันดับรุ่น แต่นั่นก็ต้องเป็นผู้ที่ทำประโยชน์อย่างมากให้แก่หงหุ้ย”

“รุ่นหยวน ตอนนี้ในหงหุ้ยมีเพียงแค่คนเดียว และนั่นถือเป็นบุคคลที่เป็นผู้อาวุโสของหงหุ้ยจริงๆ แม้แต่หลงโถวของหงหุ้ย ยังต้องยอมก้มหัวให้”

คำพูดที่ร่ายยาวออกมาเป็นชุด แสดงให้เห็นชัดเจนว่าในใจของท่านหลงตอนนี้ เต็มไปด้วยความตื่นตกใจ

เฉินตงหัวเราะตัวเอง และยักไหล่ “ถ้าเช่นนั้นท่านหลงก็โชคดีมากทีเดียว เพราะตอนนี้ได้เห็นจู่เหลารุ่นหยวนคนที่สองของหงหุ้ยแล้ว”

เกิดเสียงดัง “เปรี้ยง” ขึ้นในหัวของท่านหลง

ตอนนี้ เขาถึงขั้นรู้สึกตกใจจนเจ็บแก้วหู

ดวงตาของเขาเบิกโพลงราวกับเห็นผี และมองเฉินตงด้วยท่าทีหวาดกลัว

“คุณ คุณชายไม่เพียงแต่เข้าร่วมในหงหุ้ย แต่ยังถูกพวกเขาจัดอันดับอยู่ในรุ่นหยวนด้วย?”

เฉินตงพยักหน้า “เหมือนความฝันใช่หรือไม่?”

จากคำบอกเล่าของเย่หยวนชิวและเย่หลิงหลง เขารู้ดีว่ารุ่นหยวนนั้นมีความสำคัญมากแค่ไหน

เป็นตำแหน่งที่สูงส่งเหนือใคร

มีเพียงคนเดียวก็คือ เย่หยวนชิวเท่านั้น เมื่อเทียบกับคุณรุ่นเดียวกัน สิ่งที่แตกต่างก็คือคุณสมบัติ

อีกทั้งตำแหน่งที่สูงส่งนั้น หมายถึงการอยู่เหนือหงหุ้ยทั้งสามพันหกร้อยแห่ง รวมไปถึงหลงโถวด้วย

ท่านหลงไม่คิดที่จะปิดบังความตื่นตระหนกเอาไว้ ไม่สิ ต้องพูดว่าไม่อาจปิดบังเอาไว้ได้

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? คนของหงหุ้ยเสียสติไปแล้วอย่างนั้นหรือ?”

“ป้ายรุ่นหยวน หงหุ้ยไม่มีทางมอบให้เด็ดขาด หลงโถวไม่มีทางยอมเด็ดขาด ชายชรารุ่นหยวนคนนั้นก็ไม่มีวันยอมเด็ดขาด หงหุ้ยอีกสามพันหกร้อยแห่งก็ไม่มีทางยอมเด็ดขาด”

สติสัมปชัญญะที่ท่านหลงมีอยู่ในตอนนี้ เพียงพอแค่ควบคุมสติของตนเองไม่ให้กรีดร้องออกมาเท่านั้น

“แต่พวกเขาก็มอบให้แล้ว เมื่อครู่นี่เอง”

ใบหน้าของเฉินตงเต็มไปด้วยความสงสัยและช่วยไม่ได้ “อีกทั้ง คนที่มองป้ายนี้ให้กับฉัน คือชายชรารุ่นหยวนที่ท่านหลงพูดถึง เย่หยวนชิว”

ท่านหลงอึ้งไป

อึ้งอย่างถึงที่สึกจริงๆ

เฉินตงคาดเดาปฏิกิริยาของท่านหลงเอาไว้แล้ว

อันที่จริงแล้ว เรื่องนี้ หากให้ใครสักคนในหงหุ้ยรู้เข้า ก็คงมีปฏิกิริยาไม่ต่างไปจากท่านหลงในตอนนี้นัก

เขาพูดต่อว่า “อีกทั้ง นายเชื่อไหมว่า ฉันไม่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนใดๆ ก็ให้ฉันเข้าร่วมได้แล้ว อีกทั้งยังยกย่องให้ฉันเป็นบรรพชนอีกด้วย”

“เป็นไปไม่ได้! เรื่องนี้ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ ผลตอบแทนเช่นนี้หาที่ไหนไม่ได้ในโลก ที่หงหุ้ยทำเช่นนี้ จะต้องมีแผนการอย่างแน่นอน”

ท่านหลงโยนป้ายกลับลงไปบนโต๊ะ “คุณชาย ข้อแลกเปลี่ยนนี้พวกเราไม่อาจรับไหว จะเข้าร่วมหงหุ้ยไม่ได้ และจะรับป้ายเอาไว้ไม่ได้เด็ดขาด”

“ฉันเองก็คิดเช่นนี้”

เฉินตงยิ้มอย่างหดหู่ “แต่พวกเขาหยิบยกฉินเย่ขึ้นมาข่มขู่ ถ้าหากไม่เข้าร่วม ไม่รับป้าย หงหุ้ยจะใช้ความสามารถทั้งหมดที่มีในการเล่นงานฉินเย่ ข้อต่อรองที่อยู่ตรงหน้านี้ ฉันเองก็ไม่อาจรับไหวเช่นกัน ดังนั้นจึงได้เก็บเรื่องข้อแลกเปลี่ยนเอไว้คิดทีหลัง”

ท่านหลงตัวสั่น โซเซไปด้านหลังหนึ่งก้าวด้วยความหวาดกลัว

คำพูดของเฉินตง ทำให้ตัวเขาเองรู้สึกว่างเปล่าและเกิดความลังเลขึ้นมา

ตัวเขาอ่อนปวกเปียก และทรุดตัวลงบนเก้าอี้

ภายใต้แสงไฟสลัวๆ

เฉินตงเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ดวงตาของท่านหลงนั้นแดงก่ำ

ความหวาดกลัว ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความโกรธเกรี้ยว

เขาไม่ได้รู้สึกแปลกใจ กลับรู้สึกว่าเป็นเรื่องธรรมดา

อย่าว่าแต่ท่านหลงเลย แม้แต่ตัวเขาเองในตอนนี้ ก็เต็มไปด้วยไฟโกรธที่สุมทรวงอยู่

ถูกกดดันจากทุกด้าน ถูกบีบบังเข้าให้เข้าร่วม ไม่ว่าจะเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่ฉินเย่ต้องสูญเสียในการถูกโจมตีในตอนนี้ หรือข้อแลกเปลี่ยนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ล้วนแล้วแต่ไม่อาจรับได้ไหวทั้งนั้น

ความรู้สึกอึดอัดเช่นนี้ สามารถแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธที่สามารถเผาท้องฟ้าให้วอดวายได้

พักใหญ่

จู่ๆ ท่านหลงก็ยิ้มออกมา

แต่รอยยิ้มนี้ เต็มไปด้วยความหดหู่ ดวงตาที่แดงก่ำ ฉาบไปด้วยความหมองหม่น

เฉินตงเกรงว่าท่านหลงจะรับไม่ไหว จึงลุกขึ้นกล่าวปลอบใจ

“ท่านหลง นายทำใจให้สบายหน่อย ทุกอย่างอาจจะไม่แย่อย่างที่เราคิดก็ได้นะ? อย่างน้อยตอนนี้สถานการณ์เลวร้ายของฉินเย่ก็สามารถแก้ไขได้ อีกทั้งตอนนี้ฉันก็สามารถอาศัยป้ายนี้ อาศัยฐานะจู่เหลาในการออกคำสั่งกับหงหุ้ยทั้งสามพันหกร้อยแห่งได้ เป็นคนที่อยู่ในตำแหน่งสูงส่งเหนือใครเลยนะ”

“กระผมรู้ดี กระผมเข้าใจ”

ดวงตาของท่านหลงฉาบไปด้วยน้ำตา ยิ้มด้วยความขมขื่นแล้วส่ายหน้า “โทษที่กระผมไม่ได้ช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ทำให้คุณชายต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ เป็นความผิดของกระผมเอง”

พูดจบ ท่านหลงก็เดินลงไปชั้นล่าง

เพียงแต่ร่างกายของเขา ไม่ยืดตรงอย่างเช่นแต่ก่อนอีกแล้ว กลับดูโก่งเล็กน้อย แสดงให้เห็นถึงความอ่อนล้าของวัยชรา

เฉินตงยิ้มออกมาอย่าช่วยไม่ได้

แล้วหันมองพระจันทร์และดวงดาวที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า

แววตาเต็มไปด้วยความไม่เต็มใจ

แล้วพึมพำกับตัวเองว่า “แสร้งคิดว่าเป็นเรื่องดีเถอะ อย่างน้อยก็ดีสำหรับฉินเย่ในตอนนี้ ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรกับฉินเย่บ้าง เมื่อมีการเปิดตลาดในวันพรุ่งนี้?”

บรรยากาศภายในห้องนั่งเล่นเต็มไปด้วยความกดดัน

เฉินตงและเย่หยวนชิวนั่งมองตากัน

สายตาที่ดุดันของเย่ยหวนชิว ทำให้เฉินตงรู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่ออก ราวกับมีมีดแหลมคมคอยทิ่มแทงอยู่ตลอดเวลา

นี่……ถึงจะเป็นรัศมีที่จู่เหลารุ่นหยวนของหงหุ้ยพึงมี!

สิ่งที่เรียกว่าความน่าเกรงขาม เมื่อปรากฏต่อหน้าเย่หยวนกลับดูไร้ค่า

รัศมีที่แผ่ออกมาจากตัวของเย่หยวนชิว ไม่ใช่ความโกรธและไม่ใช่การข่มขู่ ต่อให้กำลังยิ้มอยู่ ก็สามารถทำให้คนรู้สึกเกรงขาม และรู้สึกถูกกดดันขนสิ้นหวังได้

พักใหญ่

เฉินตงยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “คุณชนะแล้ว”

“ดี! รู้จักเอาตัวรอดเป็นยอดดี ผมจะรีบตระเตรียมพิธีการเดี๋ยวนี้”

ท่าทางน่าเกรงขามของเย่หยวนชิวหายไปในทันที แววตาของเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน และเผยรอยยิ้มออกมา

พิธีการถูกจัดขึ้นอย่างรวดเร็ว ภายใต้การดูแลของเย่หยวนชิวและเย่หลิงหลง

เฉินตงคุกเข่าด้านหน้ากล่องเครื่องหอม เย่หยวนชิวยืนอยู่ด้านข้าง หลังจากการบริกรรมคาถาเสร็จสิ้น

เฉินตงเผากระดาษเงินกระดาษทอง และดื่มเหล้า

จากนั้นจึงรับป้ายหงหุ้ยมาจากเย่หยวนชิว

ป้ายดูคล้ายกันกับของเย่หลิงหลง

เป็นป้ายที่ทำจากไม้จันทน์ แกะสลักคำว่า “หง” เอาไว้ ส่วนอีกด้านหนึ่ง แกะสลักคำว่า “หยวน” เอาไว้

“คุณเฉิน นี่คือป้ายเพื่อแสดงฐานะในหงหุ้ย ผู้ที่ครอบครองป้ายนี้ หงหุ้ยทั้งสามพันหกร้อยแห่งบนโลกนี้ จะต้องเชื่อฟัง แม้แต่หลงโถวก็ยังต้องให้ความเคารพ”

ตอนที่เย่หยวนชิวพูด เขาก็ยืดตัวขึ้นโดยไม่รู้ตัว ราวกับว่ากำลังแสดงความสูงส่งและเย่อหยิ่งออกมา

ส่วนเย่หลิงหลงที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง เมื่อเธอเห็นป้ายที่สลักคำว่า “หยวน” เอาไว้ สีหน้าก็ซีดเผือดทันที และแทบจะไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง

ในขณะที่กำลังอึ้งอยู่นั้น

ป้ายสลักคำว่าหยวน แสดงให้เห็นว่าอยู่ในรุ่น “หยวน” ซึ่งเป็นรุ่นเดียวกับคุณปู่!

รุ่นนี้ ในหงหุ้ยตอนนี้ มีเพียงคุณปู่คนเดียวเท่านั้นที่มี!

ตอนนี้……หงหุ้ยได้เชิญผู้อาวุโสเข้ามาอีกคน?

ในฐานะที่เป็นหนึ่งในหงกุ้นของหงหุ้ย เย่หลิงหลงย่อมรู้ดีว่า การแบ่งรุ่นในหงหุ้ยนั้น มีความสำคัญมากขนาดไหน!

เป็นเพราะรู้ดี จึงรู้สึกตกตะลึง!

เฉินตงพลิกแผ่นป้ายดูสักครู่ หลังจากแน่ใจว่าเย่หยวนชิวไม่มีธุระอย่างอื่นอีกแล้ว จึงเดินทางกลับ

เย่หยวนชิวไปส่งเฉินตงที่ประตูด้วยตัวเอง อีกทั้งยังมองกุญแจรถของเย่หลิงหลงให้เฉินตง จากนั้นจึงกำชับเฉินตงว่า พรุ่งนี้ให้จอดรถเอาไว้ด้านล่างบริษัท แล้วเย่หลิงหลงจะเป็นคนไปขับรถกลับมาเอง

เย่หยวนชิวมองดูรถบีเอ็มดับเบิลยู i8 สีน้ำเงินขับออกไปด้วยแววตาลึกซึ้ง แววตาแอบเปล่งประกายออกมา รอยยิ้มที่ปรากฏอยู่บนใบหน้ายิ่งชัดเจนมากขึ้น

ต่อให้รถแล่นจนลับตาไปแล้ว

เย่หยวนชิวยังคงยืนนิ่งอยู่ที่ประตู

“คุณปู่!”

เสียงของเย่หลิงหลง ทำให้เย่หยวนชิวหันหลังกลับ

“มีอะไร?” เย่หยวนชิวถามด้วยรอยยิ้ม

“เป็น……รุ่นหยวนจริงๆ หรือ?” เย่หลงหลิงถามโดยไม่อยากจะเชื่อนัก

ต่อให้จะเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ด้วยตาตัวเอง แต่เธอก็ยังคงรู้สึกตกตะลึงอยู่ดี

“ปู่รู้ดีว้เธอกำลังสงสัย แต่เขาควรอยู่ในฐานะรุ่นหยวน นี่เป็นสิ่งที่ปู่และหลงโถวได้ปรึกษากันเรียบร้อยแล้ว หงหุ้ยทั้งสามพันหกร้องแห่ง จะต้องปฏิบัติตาม”

เย่หยวนชิวไม่ได้อธิบาย แต่ใช้น้ำเสียงที่เคร่งขรึมเพื่อระงับความสงสัยภายในใจของเย่หลิงหลง

“แต่เขา แต่เขายังอายุน้อยเช่นนี้ ความสำเร็จก็ยังไม่ถึงขั้นติดอันดับต้นๆ ของโลก แต่เพียงแค่เข้ามาในหงหุ้ยก็ได้ขึ้นเป็นรุ่นหยวนแล้ว จะให้หงหุ้ยทั้งสามพันหกร้อยแห่งเห็นด้วยได้อย่างไร?”

เย่หลิงหลงยังคงพูดอย่างไม่เต็มใจ “ปกติแล้วคุณปู่เป็นคนเปิดเผย ทำอะไรตรงไปตรงมา หนูเป็นถึงหลานสาวของคุณปู่ การแบ่งรุ่นยังไม่เคยได้รับสิทธิพิเศษ ยังถูกแบ่งรุ่นตามกฎเกณฑ์ของหงหุ้ย”

“มอบให้หรือ?”

เย่หยวนชิวยิ้ม “นั่นคือสิ่งที่เขาควรได้รับ!”

คำที่ต่างกัน ก็ให้ความหมายที่ต่างกันราวฟ้ากับดิน!

พูดจบ เขาก็หันหลังกลับไปมองยังทางที่ส่งเฉินตงจากไป

แววตาเต็มไปด้วยความชื่นชมและพึงพอใจ

จากนั้นจึงพึมพำว่า “คนหนึ่งเช่นนี้ ตั้งแต่ที่ฉันผ่านร้อนผ่านหนาวมาเป็นร้อยปี เพิ่งจะเห็นเป็นคนแรกของโลก!”

เปรี้ยง!

เย่หลิงหลงตัวสั่น ราวกับถูกฟ้าผ่าลงตรงกลางใจอย่างแรง

เธอตกใจจนลืมตาอ้าปากค้าง และหันมองเย่หยวนชิวด้วยความตะลึง

คำพูดแสดงความเห็นเช่นนี้ ในความทรงจำของเธอ นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ออกมาจากปากของคุณปู่!

แม้แต่บรรดาหลงโถวในอดีตที่เธอรู้จัก ก็ยังไม่เคยได้รับการชื่นชมจากคุณปู่แม้เพียงประโยคเดียว!

“คุณปู่ เขาคู่ควรกับคำพูดนี้ของคุณปู่จริงๆ หรือคะ?”

ริมฝีปากแดงระเรื่อของเย่หลิงหลงสั่นเทา และพูดออกมาอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง “แต่เมื่อครู่เขาเสียมารยาทกับคุณปู่ขนาดนั้น ราวกับว่าเป็นเด็กหนุ่มที่ไม่รู้ประสา แล้วจะถือเป็นคนแรกในโลกได้อย่างไร?”

“หากรู้ประสาจะเรียกว่าคนหนุ่มได้อย่างไร?”

เย่หยวนชิวแสยะยิ้มออกมาหนึ่งครั้ง และมีแววตาที่เป็นประกาย “คนหนุ่มนิสัยบ้าคลั่ง และคนหนุ่มที่พยายามบ้าคลั่งยิ่งขึ้น ถ้าหากไม่มีพลังเช่นนี้แม้แต่น้อย จะเอาชนะและขึ้นเป็นราชาได้อย่างไร?”

เย่หลิงหลงเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เรื่องหนึ่ง เธอก็รีบถามขึ้นว่า “ก่อนหน้านี้คุณปู่ใช้ให้หนูทดสอบฝีมือการต่อสู้ของเขาชัดๆ แต่ทำไมสุดท้ายกลับกล่าวโทษหนู?”

“ปู่ใช้ให้หลานหยั่งเชิงดูเท่านั้น ไม่ได้ใช้ให้ต่อสู้กันแบบเอาเป็นเอาตาย”

เย่หยวนชิวหันไปมองด้วยแววตาตำหนิ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “หากจะพูดว่าคนหนุ่มสาวไม่รู้ประสา หลานต่างหากที่ไม่รู้ประสา เมื่อครู่ตอนเธอประมือกับเขาหลายรอบ เธอแยกระดับฝีมือไม่ออกเลยเชียวหรือ? ตอนนี้เธอถามเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นปู่ขอถามเธอกลับ ถ้าเธอต่อสู้กับเขาอย่างสุดชีวิตจริงๆ เธอจะมีโอกาสเอาชนะเขาแค่ไหนกัน?”

เย่หลิงหลงขมวดคิ้วแล้วครุ่นคิด

คำพูดของคุณปู่ ทำให้เธอเถียงไม่ออก

ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น เพียงแค่เรื่องทักษะในการต่อสู้ เวลาที่ผ่านมาอย่างสูญเปล่ากว่ายี่สิบปี หลังจากผ่านการฝึกฝนอย่างหนักในช่วงสั้นๆ กลับเอาชนะหงกุ้นของหงหุ้ยอย่างเธอได้

พรสวรรค์เช่นนี้ ถือว่าน่ากลัวมากจริงๆ!

“หลิงหลง เธอจำเอาไว้นะ คนประเภทนี้ เพียงแค่เขาขยับก็ทำให้ทุกคนต้องตกตะลึงได้ เธออาจรู้สึกว่าเขาเป็นแค่คนธรรมดา แต่เมื่อไหร่ที่เขาได้ลอยขึ้นไปอยู่ในจุดที่สูงขึ้น คำว่าพรสวรรค์ ที่ใช้อธิบายคนเหล่านี้นั้น ได้รับการสะสมมาตามกาลเวลา”

เย่หยวนชิวพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม จากนั้นจึงเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็ยิ้มออกมา

เขาหันหลังกลับไป แล้วยิ้มแปลกๆ ให้กับเย่หลิงหลง

“แต่ว่า ปู่เลี้ยงเธอมาจนโตขนาดนี้ ถึงแม้ปากของเธอจะก่นด่าเฉินตงด้วยความไม่พอใจ แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ปู่เห็นเธอยั่วยวนคนนะ”

“หา?!”

เย่หลิงหลงตกใจอย่างมาก ใบหน้าอันงดงามของเธอแดงก่ำขึ้นมาทันที

เธอก้มหน้าด้วยความเขินอาย แล้วพึมพำว่า “ก็คุณปู่สั่งให้หนูทดสอบเขานี่คะ!”

“ปู่ไม่ได้สั่งให้เธอยั่วยวนเขาเสียหน่อย”

“อ้าว ทำไมคุณปู่ถึงปัดความรับผิดชอบเช่นนี้ล่ะคะ?” เย่หลิงหลงพูดเสียงแหลมขึ้นมา

อีกทางด้านหนึ่ง

เฉินตงขับรถบีเอ็มดับเบิลยู i8 กลับมาที่เขาเทียนซาน

ภายในรถ ยังมีกลิ่นหอมอบอวลคละคลุ้งอยู่ เป็นกลิ่นหอมของเย่หลิงหลง

แต่เฉินตงกลับไม่สนใจเลยสักนิด

เขาไม่ใช่คนเจ้าชู้ และไม่ใช่คนน่าสมเพช ไม่มีทางที่จะหวั่นไหวเพียงเพราะกลิ่นหอมอย่างแน่นอน

ยิ่งไปกว่านั้น ความรู้สึกแรกที่เขามีให้กับเย่หลิงหลง เหลือเพียงแค่ความรู้สึกรังเกียจก็เท่านั้น

เขาพลิกป้ายหงหุ้ยที่อยู่ในมือไปมา

เฉินตงขมวดคิ้ว แววตาเต็มไปด้วยความสงสัยมากมาย

เขามองไปยังถนนที่มืดมิดตรงหน้า แล้วพึมพำออกมาเบาๆ

“เข้าร่วมหงหุ้ย ก็จะได้อยู่ในตำแหน่งที่สูงส่งเหนือใคร แต่หากไม่เขาร่วมหงหุ้ย ทางด้านของฉินเย่ก็ต้องพังไม่เป็นท่า บนโลกนี้มีเรื่องดีขนาดนี้เลยหรือ?”

“หงหุ้ย……เพียงแค่มีเวลาว่าง หรือขาดบรรพบุรุษให้บูชาจริงหรือ?”

เขาโยนป้ายลงบนเบาะที่นั่งข้างคนขับ แล้วเฉินตงก็หัวเราะตัวเอง “มีเรื่องดีขนาดนี้ที่ไหนกัน เพียงแต่จุดประสงค์ที่หงหุ้ยต้องการให้ฉันเข้าร่วมคืออะไรเท่านั้น?”

เสียงหัวเราะอย่าดูถูก ดังก้องไปทั่วห้องนั่งเล่น

ใบหน้าของเย่หยวนชิวยังคงเป็นปกติ

แต่ใบหน้าของเย่หลิงหลงกลับแดงก่ำและพูดอะไรไม่ออก

เธอ ไม่เคยเห็นใครที่กล้าเสียมารยาทกับคุณปู่เช่นนี้มาก่อนเลย!

แม้กระทั่งเจ้าบ้านของตระกูลมั่งคั่งที่ประวัติยาวนานมาเป็นร้อยปีในต่างประเทศเหล่านั้น เมื่อเผชิญหน้ากับคุณปู่ยังต้องให้ความเคารพ!

แต่วันนี้เมื่อกลับมายังบ้านเกิดเมืองนอน กลับถูกคนหนึ่งของเมืองเล็กๆ แห่งนี้เรียกขานว่าเป็น……ชายชราข้างถนน?

“หลิงหลง ถอยไป!”

เย่หยวนชิวเอ่ยปากขึ้นเพื่อทำลายบรรยากาศที่เงียบสงัดของห้องนั่งเล่น “คุณเฉินพูดมีเหตุผล”

เย่หลิงหลงหันมองคุณปู่ด้วยท่าทีเหลือเชื่อ

วันนี้คุณปู่……ใจดีเกินไปหรือเปล่า?

นี่ยังถือว่ามีเหตุผลอีกหรือ?

แต่เมื่อเห็นสายตาของเย่หยวนชิว เย่หลิงหลงก็ไม่กล้าโต้เถียงอีก จึงจำใจหันหลังเดินออกจากห้องนั่งเล่นไป

ภายในห้องนั่งเล่น เหลือเพียงแค่เฉินตงและเย่หยวนชิวสองคน

เฉินตงพูดว่า “คุณเย่พูดมาตรงๆ เถอะ หากยื้อเวลาต่อไปเช่นนี้ เกรงว่าผมคงจะหมดความอดทน ผมยังต้องกลับบ้านไปทานข้าวเย็นเป็นเพื่อนภรรยาอีกนะ”

“ได้ได้ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ผมก็จะไม่อ้อมค้อม”

เย่หยวนชิวพยักหน้า แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “อันที่จริงแล้วที่ผมมาครั้งนี้ ก็เพื่อที่จะเชิญคุณเฉินเข้าร่วมหงหุ้ย”

เข้าร่วมหงหุ้ย?

เฉินตงนั่งนิ่ง

นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?

ถ้าไม่ใช่เพราะฉินเย่ถูกเล่นงานในครั้งนี้ เขาคงไม่มีทางรู้จักหงหุ้ย

เขาซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับหงหุ้ยเลย แต่จู่ๆ ผู้อาวุโสรุ่นจู่เหลาของหงหุ้ยกลับมาเชื้อเชิญเขา ให้เข้าร่วมหงหุ้ยด้วยตัวเอง

นี่มัน……เรื่องล้อเล่นหรือเปล่า?

เย่หยนชิวเห็นเฉินตงนั่งนิ่งไป ก็หัวเราะร่าออกมา ราวกับคาดการณ์เอาไว้ล่วงหน้าแล้ว จากนั้นจึงพูดต่อว่า

“ผมรู้ดีว่าคุณเฉินคงรู้สึกสงสัยในใจ คงกำลังสงสัยว่าตนเองนั้นไม่เคยมีความเกี่ยวข้องกับหงหุ้ยมาก่อน ทำไมจู่ๆ หงหุ้ยเชื้อเชิญคุณเฉินให้ไปเข้าร่วม?”

เฉินตงตั้งสติกลับมาได้ จึงพยักหน้า

“สิ่งที่เป็นความลับ ผมก็ไม่สะดวกที่จะพูดมากนัก แต่นี่ถือเป็นเจตนารมณ์ของหลงโถวหงหุ้ย”

เย่หยวนชิวยิ้มอย่างอ่อนโยน ใบหน้าของเขาดูใจดีและมีเมตตา ทำให้รู้สึกเข้าถึงง่าย

แต่เฉินตงได้ฟังรากฐานของหงหุ้ยมาจากปากของท่านหลงเพียงไม่กี่คำเท่านั้น

ถ้าหากมองว่าชายชราที่อยู่ตรงหน้านั้น เป็นคนที่เข้าถึงง่ายแล้วล่ะก็ นั่นคงจะเป็นเรื่องที่โง่เขลาสิ้นดี

“ขอแค่คุณเฉินพยักหน้า หงหุ้ยจะไม่มีวันละเลยคุณเฉินเด็ดขาด ผมพอจะรู้ถึงฐานะและภูมิหลังของคุณเฉินมาบ้าง ในฐานะที่เป็นลูกชายของเจ้าบ้านตระกูลเฉิน หากเข้าร่วมในหงหุ้ย และต้องอยู่ในรุ่นที่ไม่สูงนัก อาจถือเป็นการดูหมิ่นคุณเฉิน”

เย่หยวนชิวพูดอย่างฉะฉาน เมื่อพูดถึงตอนนี้ เขาก็หยุดไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพูดออกมาอย่างเคร่งขรึม “ดังนั้นผมและหลงโถวได้ปรึกษากันแล้ว ถ้าหากคุณเฉินรับปากจะเข้าร่วมหงหุ้ย คุณเฉินจะถูกจัดอันดับอยู่ในรุ่น “หยวน” เช่นเดียวกันกับผม และอยู่เหนือหลงโถว”

เปรี้ยง

เฉินตงรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า แววตาเต็มไปด้วยความตกตะลึง

รุ่นหยวน!

จากที่เย่หลิงหลงพูดมาเมื่อครู่นี้ นี่ถือเป็นรุ่นที่ได้รับความเคารพอย่าสูงสุดในหงหุ้ย!

เป็นรุ่นที่อยู่เหนือหลงโถวของหงหุ้ย อยู่ในรุ่นเดียวกับเย่หยวนชิว นี่คือผู้มีอำนาจสูงส่งชัดๆ!

ต่อให้เป็นเฉินตง ตอนนี้ก็ยังรู้สึกเหมือนมีคลื่นลูกใหญ่ถาโถมอยู่ในใจ

เย่หยวนชิวเห็นภาพนี้อย่างชัดเจน และรู้สึกเกิดความมั่นใจขึ้นเต็มเปี่ยม

ข้อเสนอที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ อย่าว่าแต่คนรุ่นหลังคนหนึ่งของตระกูลเฉินเลย

แม้กระทั่งทั่วโลก ก็ไม่อาจมีใครต้านทานได้

ในฐานะที่เป็นคนรุ่นจู่เหลาของหงหุ้ย เขารู้ดีว่า รุ่นของตนเองนั้น น่ากลัวเพียงใด

หลงโถวของหงหุ้ยผลัดเปลี่ยนจากรุ่นสู่รุ่น แต่เขานั้นยังคงนั่งอยู่ในฐานะเดิมอย่างมั่นคง แต่คอยรับความเคารพจากหลงโถวรุ่นหลังอยู่ตลอดเวลา

รุ่น “หยวน” ในหงหุ้ยนั้น ต่อให้เป็นคำสั่งของหลงโถว หากไม่เต็มใจทำ ก็สามารถโต้เถียงได้ตามอำเภอใจ!

เย่หยวนชิวรีบพูดต่อว่า “หากคุณเฉินยอมเข้าร่วม ก็จะถือจู่เหลาที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของหงหุ้ย!”

ทว่า

“ข้อแลกเปลี่ยนล่ะ?” จู่ๆ เฉินตงก็เลิกคิ้วถาม

เย่หยวนชิวผงะไป แววตาเผยความตกตะลึงที่ไม่อาจปกปิดไว้ได้ออกมา

สงบสติอารมณ์ได้รวดเร็วขนาดนี้ ต้องเป็นคนที่มีจิตใจแบบไหนกัน?

ตอนนี้ เขาและเฉินตง ได้แลกเปลี่ยนความตกตะลึงและความสงบเมื่อครู่กันแล้ว

ใบหน้าของเฉินตง ไม่มีความตกตะลึงเมื่อครู่ปรากฏให้เห็นอีกแล้ว เหลืออยู่เพียงแค่ความสงบนิ่งที่ยากจะอธิบาย แววตาที่ลึกซึ้งคู่นั้นก็สงบลงเช่นกัน

“ข้อแลกเปลี่ยนอะไร?” เย่หยวนชิวตื่นตระหนกเล็กน้อย

“ยื่นสิทธิพิเศษให้ผมมากมายเช่นนี้ จะให้ผมขึ้นเป็นผู้ที่มีอำนาจสูงส่ง คงจะต้องมีข้อแลกเปลี่ยนสินะ?”

เฉินตงยักไหล่ แล้วนั่งพิงลงไปบนโซฟา “แม่ของผมสอนผมตั้งแต่ยังเด็ก ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่ได้มาฟรีๆ ลงทุนไปเท่าไหร่ ก็จะได้รับกลับมาเท่านั้น จู่เหลารุ่นหยวน ค่าตอบแทนที่หงหุ้ยของพวกคุณต้องการจะให้ผมจ่าย เกรงว่าคงจะสูงเสียดฟ้าสินะ?”

ให้ฐานะรุ่นหยวน เป็นการเชิญผู้อาวุโสท่านหนึ่งในหงหุ้ยอย่างไม่ต้องสงสัย

ค่าตอบแทนที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ หากไม่มีข้อแลกเปลี่ยน เฉินตงก็ไม่อาจเชื่อได้เลยว่าหงหุ้ยจะมีอายุยืนยาวมากว่าสองร้อยปี

แววตาที่เย่หยวนชิวมองเฉินตงเปลี่ยนไปโดยสมบูรณ์

มีทั้งความตกตะลึง มีทั้งความยินดี มีทั้งความชื่นชม……ไม่ใช่สีหน้าที่ใจดีมีเมตตาอย่างเช่นก่อนหน้านี้อีกแล้ว

ภาพนี้ ถ้าหากให้เย่หลิงหลงที่ออกไปแล้วมาเห็นเข้า คงจะทำให้เย่หลิงหลงต้องตกตะลึงจนอุทานออกมาแน่นอน

ในหงหุ้ย เย่ชิวไม่เคยปรากฏสีหน้าเช่นนี้มาเป็นเวลานานแล้ว!

ส่วนเฉินตงเอง เมื่อสังเกตเห็นสีหน้าของเย่หยวนชิวที่เปลี่ยนไป ก็รู้สึกมั่นใจขึ้น

เย่หยวนชิวก่อนหน้านี้ สวมหน้ากากเข้าหาเขาจนทำให้เขารู้สึกลังเล

ทว่าตอนนี้ เขาเริ่มเห็นเล็กน้อยแล้ว!

พักใหญ่

ในที่สุดเย่หยวนชิวก็กลับมาเป็นปกติ เขายิ้มเล็กน้อย “ไม่มีข้อแลกเปลี่ยน!”

“คุณคิดว่าผมโง่หรือ?” เฉินตงหลุดขำออกมา “หากหงหุ้ยของพวกคุณโง่เขลาจริง จะสามารถรุ่งเรืองมาได้ยาวนานกว่าสองร้อยปีได้อย่างไร”

พูดจบ

เฉินตงก็ลุกขึ้น แล้วเดินออกไปด้านนอก “ขออภัยด้วย นี่ก็ดึกมากแล้ว ผมต้องกลับบ้านไปทานข้าวเย็นเป็นเพื่อนภรรยาแล้ว”

“รอก่อน คุณเฉิน!”

เย่หยวนชิวตกตะลึง เขารีบลุกขึ้น แล้วเรียกเฉินตงไว้

“หากคุณเฉินจากไปเช่นนี้ คุณจะต้องเสียใจทีหลังอย่างแน่นอน!”

“เสียใจเรื่องอะไร?” เฉินตงพูดออกมาอย่างเย็นชา โดยไม่หันกลับไปมอง

เย่หยวนชิวยิ้มเล็กน้อย “เข้าร่วมหงหุ้ย ได้เป็นผู้มีอำนาจสูงส่งโดยไม่มีข้อแลกเปลี่ยน แต่ถ้าหากคุณไม่เข้าร่วม ก็คงจะต้องมีข้อแลกเปลี่ยนแล้ว”

“บริษัทการเงินหรือ?”

เฉินตงหันไปมองเย่หยวนชิวด้วยใบหน้าเย็นชา ตอนนี้แววตาของเขาเฉียบแหลมราวกับเหยี่ยว

สิ่งเดียวที่ทำให้เขาข้องเกี่ยวกับหงหุ้ยก็คือ บริษัททางการเงินของฉินเย่

สิ่งที่เรียกว่าค่าตอบแทน……คงไม่ยากเกินคาดเดา!

เย่หยวนชิวยิ้มออกมาโดยไม่พูดอะไร เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า “ผมใช้ชีวิตที่ผ่านมาโดยเปล่าประโยชน์ โชคดีที่ได้รับความเมตตาจากสวรรค์ ให้เขาได้ใช้ชีวิตมานานขนาดนี้ ขอบคุณคุณเฉิน ที่ทำให้ผมรู้สึกได้ถึงแสงสว่างก่อนที่ผมจะตายไป”

“แต่ก็อยากจะให้คุณเฉินเชื่อมั่นในความสามารถของหงหุ้ยเรา ถ้าหากเราต้องการโจมตีจริงๆ ทรัพย์สินมูลค่าหมื่นล้าน หงหุ้ยของเราสามารถกลืนเข้าไปได้อย่างง่ายดายในคราวเดียว”

นี่ถือเป็นทั้งคำชม และการข่มขู่

ใช้ทั้งไม่อ่อนและไม้แข็ง

แต่กลับทำให้เฉินตงเริ่มตกอยู่ในความลังเล

เขาไม่สงสัยเลยว่าหงหุ้ยจะสามารถกลืนกินทรัพย์สินนับหมื่นล้านของฉินเย่ได้หรือไม่

หากเป็นก่อนหน้านี้ มาหอำนาจทั้งห้าเข้าโจมตีฉินเย่โดยพร้อมเพรียงกัน เขายังเชื่อว่าฉินเย่จะสามารถพลิกสถานการณ์ได้

แต่ตอนนี้ เย่หยวนชิวพูดออกมาเช่นนี้แล้ว ถ้าหากหงหุ้ยโจมตีฉินเย่อย่างสุดความสามารถ ถึงตอนนี้ท้องฟ้าคงจะถล่มลงมาจริงๆ

นี่คือข้อแตกต่างระหว่างการถูกตัดสินประหารชีวิตกับการช่วยชีวิตตัวเอง!

และคำพูดของเยาหยวนชิวนั้น แสดงให้เห็นแล้วว่า กำลัง “ตัดสินโทษประหาร” ให้กับฉินเย่

หากรับปากเข้าร่วมหงหุ้ย ทุกอย่างก็จะสงบสุข ถึงขั้นที่ว่าฉินเย่จะสามารถคลี่คลายสถานการณ์ทุกอย่างได้ด้วยดี

แต่ถ้าหากไม่รับปาก ดาบของหงหุ้ย ก็จะฟันลงที่คอของฉินเย่ทันที

“คุณเฉิน ด้านหนึ่งคือฐานะที่มีอำนาจสูงส่ง ส่วนอีกด้านหนึ่งการยอมตัดแขนเพื่อมีชีวิตรอด ด้วยสติปัญญาที่คุณมี คงเลือกได้ไม่ยากหรอกใช่ไหม?”

เย่หยวนชิวหันหมองเฉินตง เหมือนจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม ในขณะที่พูด แววตาที่เป็นประกายของเขาก็ค่อยๆ ดุดันขึ้นมา

ทำให้เฉินตงรู้สึกกลัวจนเสียวสันหลัง

เสียงตะโกนที่ดังขึ้นอย่างกะทันหัน

ทำการการต่อสู้ที่ดุเดือดภายในลาน ชะงักลงทันที

เย่หลิงหลงหยุดเดิน กระทืบเท้าและบ่นออกมาอย่างไม่เต็มใจนัก “คุณปู่! เขาชกหนูจนกระอักเลิอดแล้ว จะไม่ให้หนูโต้กลับหน่อยหรือคะ?”

คุณปู่?

เฉินตงหันมองไปทางวิลล่า

ประตูวิลล่าเปิดออก มีชายชราสวมเสื้อคอจีนสีดำเดิน ในมือถือไม้เท้า ค่อยๆ เดินออกมา

ชายชราผอมแห้งเหมือนท่อนไม้ ถึงขั้นเดินหลังคู้ เขาเดินมาอย่างช้าๆ ด้วยไม้เท้าของเขา ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น ผมขาวโพลน แสดงให้เห็นถึงความชราภาพ

มีเพียงแค่ดวงตาทั้งสองข้างที่เป็นประกาย และเต็มไปด้วยพลัง

บนใบหน้าของชายชราปรากฏรอยยิ้มที่อ่อนโยน ดูราวกับชายชราที่เป็นญาติกัน

แต่ทว่า ในฐานะที่เป็นปู่ของเย่หลิงหลง หากเป็นเพียงแค่ชายชราที่เป็นญาติกันจริงๆ คงถือเป็นเรื่องแปลก

เฉินตงหันมองชายชรา และแสดงสีหน้าสงสัยออกมาโดยไม่รู้ตัว

“คุณเฉิน ผมมีนามว่าเย่หยวนชิว”

ชายชรายิ้มอย่างอ่อนโยน แล้วหันไปยกมือคำนับเฉินตง

เฉินตงนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา

เย่หลิงหลงที่ยืนอยู่ข้างๆ ซึ่งเดิมทีก็มีความแค้นอยู่ในใจอยู่แล้ว เมื่อเห็นภาพนี้ ก็รู้สึกเดือดดาลขึ้นทันที

สวรรค์! เจ้าหมอนี่ชักจะไร้ยางอายเกินไปแล้วกระมัง?

คุณปู่อุตส่าห์ทักทาย ยังทำเป็นมองไม่แยแสอีก?

เย่หลิงหลงอดไม่ได้ที่จะด่าทอออกมา “นี่! เฉินตง คุณมีเหตุผลหรือเปล่า? คุณปู่ของฉันทักทายคุณ คุณจะไม่ตอบอะไรสักหน่อยเลยหรือ? คุณรู้หรือไม่ว่า ในหงหุ้ย ไม่มีใครกล้าทำแบบนี้กับคุณปู่ของฉัน!”

“ฉันไม่ใช่คนของหงหุ้ยสักหน่อย” เฉินตงพูดอย่างเย็นชา

“คุณ……”

เย่หลิงหลงกระทืบเท้าด้วยความโกรธ “ถ้าอย่างนั้นคุณไม่รู้หรือว่าเด็กควรรู้จักเคารพผู้ใหญ่?”

“เหอะ!”

เฉินตงแสยะยิ้ม แล้วหัวเราะออกมาอย่างดูถูก

เย่หลิงหลงโกรธจนถึขีดสุด

เธอรู้สึกว่าตนเองเป็นถังบรรจุดินปืน ส่วนเฉินตงนั้นเป็นสายชนวน ที่สามารถจุดให้เธอระเบิดได้อย่างง่ายดาย

ผู้ชายคนนี้ ช่างน่าโมโหจริงๆ!

“หลิงหลง พอแล้ว!”

ใบหน้าของเย่หยวนชิวเคร่งขรึมลง เขาเหลือบมองเย่หลิงหลงหนึ่งครั้ง

จากนั้น ใบหน้าก็แสดงรอยยิ้มที่อ่อนโยนออกมาอีกครั้ง เขาหันไปแสดงท่าทีเชื้อเชิญเฉินตง “เตรียมชาเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เชิญคุณเฉินเข้ามานั่งพูดคุยกันสักครู่”

เฉินตงไม่ขยับ

เขาไม่รู้จริงๆ ว่าจะพูดคุยเรื่องใดกับทั้งสองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้ได้

เย่หลิงหลงเลิกคิ้ว แล้วพูดยั่วยุ “ทำไม? กลัวว่าพวกเราจะเตรียมนักฆ่าหลายร้อยคนซุ่มโจมตีข้างในหรืออย่างไร หากคุณเข้าไปแล้วก็จะฆ่าคุณทิ้งเสียอย่างนั้นหรือ?”

“กลัวว่าคุณจะกินคน”

เฉินตงตอบกลับมาอย่างเย็นชาหนึ่งประโยค แล้วเดินกร่างเข้าไปหาเย่หยวนชิว จากนั้นจึงเดินเข้าคฤหาสน์ไป

เย่หลิงหลงเชิดคิ้วแล้วกัดฟัน

เมื่อเห็นเย่หยวนชิวเดินตามเฉินตงไปด้านหลัง เธอก็รีบเดินเข้าไปดึงมือของเย่หยวนชิวเอาไว้

“คุณปู่ หมอนี่ชักจะเสียมารยาทเกินไปแล้ว ทำไมคุณปู่จะต้องทำดีกับเขาขนาดนี้ด้วย?”

“ไร้มารยาท? คำพูดยั่วยวนของเธอเมื่อครู่ ปู่ได้ยินทั้งหมดแล้ว

เย่หยวนชิวเหลือบมองเย่หลิงหลง “เธอเป็นผู้หญิงแท้ๆ ให้เธอไปเชิญคนมา เธอเห็นเขาหน้าตาหล่อเหลาสักหน่อย กลับพูดจายั่วยวน ถูกชกเข้าก็สมควรแล้ว!”

เย่หลิงหลงตะลึงงัน

เธอกัดฟันอย่างไม่เต็มใจนัก คุณปู่ หนูต่างหากที่เป็นผู้หญิง เป็นหลานสาวแท้ๆ ของคุณปู่ ทำไมคุณปู่ถึงได้พูดแทนเขาเช่นนี้?”

“พวกบ้ากามไม่แบ่งหญิงชายหรอกนะ”

เย่หยวนชิวมองไปที่เย่หลิงหลงด้วยแววตาลึกซึ้ง จากนั้นจึงหัวเราะด้วยท่าทีแปลกๆ แล้วเดินตามเฉินตงไป

เย่หลิงหลงโกรธจนหยุดยืนอยู่ที่เดิม และกัดฟัน

ใครบ้ากาม?

ฉันเพิ่งจะเคยยั่วยวนผู้ชายเป็นครั้งแรก ก็ถูกคุณปู่มองว่าเป็นพวกบ้ากามเสียแล้ว?

สวรรค์! ใครเป็นสายเลือดของเขากันแน่?

คฤหาสน์กว้างขวางมาก

ไม่ถือว่าหรูหรานัก แต่ให้ความรู้สึกโบราณในทุกๆ มุม

การจัดวาง ตกแต่ง ล้วนแล้วแต่อิงรูปแบบของสมัยร้อยปีก่อนทั้งสิ้น

แต่นี่กลับทำให้เฉินตงรู้สึกอึดอัด มีกล่องเครื่องหอมขนาดใหญ่ จัดวางอยู่ในห้องนั่งเล่นของคฤหาสน์

บนกล่องเครื่องหอมมีเครื่องเซ่นไหว้วางอยู่ มีกลิ่นหอมลอยออกมาจากในกระถางธูป และมีควันฟุ้งกระจายอยู่

ส่วนตรงกลาง มีการจัดวางแผ่นจารึกศักดิ์สิทธิ์ที่เขียนว่า “เทียนตี่กุงชิงซือ” เอาไว้

ส่วนบนผนังทางด้านหลัง มีภาพบุคคลสีขาวดำสามภาพแขวนเอาไว้

ความรู้สึกโบราณเช่นนี้ ช่างไม่เข้ากับบรรยากาศของคฤหาสน์เลยสักนิด

เย่หยวนชิวที่เดินตามหลังเข้ามา เห็นเฉินตงกำลังจับจ้องไปที่กล่องเครื่องหอมและรูปภาพ

ก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนและพูดว่า “คุณเฉิน ทั้งสามท่านนี้เป็นผู้บุกเบิกหวงหุ้ยของเรา และถือเป็นจู่เหลา”

“อืม”

เฉินตงพยักหน้า จากนั้นจึงหันหลังเดินเข้าไปในห้องรับแขก แล้วนั่งลงบนโซฟา

หลังจากเย่หยวนชิวพูดจบ ก็เตรียมที่จะเอ่ยแนะนำ

แต่เฉินตงกลับตอบกลับด้วยปฏิกิริยาที่เย็นชา ทำให้เขาหยุดชะงักในทันที จากนั้นจึงกลืนคำพูดที่กำลังจะพูดออกมากลับลงท้องไป

“คุณปู่ บอกแล้วว่าคุณปู่ไว้หน้าเขา เขาก็ไม่มีทางรับไว้หรอก” เย่หลิงหลงแสดงท่าทีขุ่นเคือง

“ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง”

เย่หยวนชิวเหลือบมองเย่หลิงหลง จนเธอรู้สึกตกใจจนหัวหดและแลบลิ้นยาว

หลังจากนั่งลงแล้ว เย่หยวนชิวก็หันไปพูดกับเย่หลิงหลงว่า “ไปยกน้ำชามาให้คุณเฉิน”

แม้ว่าเย่หลิงหลงจะไม่เต็มใจ แต่ก็ไม่กล้าโต้ตอบ และค่อยๆ รินชาให้เฉินตงอย่างเงียบๆ จากนั้นจึงไปยืนอีกด้านหนึ่ง

ทว่า

เย่หยวนชิวกลับมองเย่หลิงหลงด้วยสายตาที่ดุดัน “มารยาทล่ะ? เมื่อครู่เธอทำผิดก่อน ยังไม่รีบยกน้ำชาแสดงความขอโทษคุณเฉินอีก?”

“ยกน้ำชาขอโทษ?”

เย่หลิงหลงตกตะลึงไป จากนั้นจึงขยับริมฝีปากแดงระเรื่อพูดว่า “คุณปู่ นี่มัน……”

“ยกน้ำชาขอโทษ!”

เย่หยวนชิวตะโกนด้วยความโมโห เพื่อตัดบทของเย่หลิงหลง

เย่หลิงหลงเบ้ปาก และยกแก้วน้ำชาขึ้นด้วยท่าทีบึ้งตึง แล้วยื่นให้กับเฉินตง

เฉินตงยื่นมือออกไปรับ จากนั้นจึงวางลง

ไม่ไม่มีความอดทนที่จะรอต่อไป จึงได้พูดอย่างตรงไปตรงมา

“พูดมาเถอะ พวกคุณสองปู่หลานหาผม มีธุระอะไรกันแน่?”

“คุณเฉินช่างเข้าอกเข้าใจผู้อื่นจริงๆ!”

เย่หยวนชิวหัวเราะร่าออกมา หลังจากระงับอารมณ์แล้ว เขาก็ค่อยๆ พูดขึ้น “อันที่จริงแล้ว ที่ผมตั้งใจพาหลานสาวกลับประเทศมาครั้งนี้ ก็เพื่อมาหาคุณเฉินโดยเฉพาะ”

เย่หยวนชิวหยุดพูดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดเสริมขึ้นมาอีกหนึ่งประโยคว่า “แน่นอนว่า ในฐานะที่เป็นผู้อาวุโสในหงหุ้ย ในเมื่อมาเพื่อพบกับคุณเฉิน ก็ควรเป็นตัวผมเองที่มา ถึงจะไม่เป็นการดูถูกฐานะของคุณเฉิน”

คำพูดนี้ ถือเป็นการแสดงให้เห็นถึงฐานะที่แท้จริงของตนเอง และถือเป็นการยกย่องเฉินตง

แต่เฉินตงกลับไม่รู้สึกยินดียินร้าย

หากจะพูดถึงความรู้สึกดี สำหรับสองปู่หลานที่อยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้ เขาไม่อาจมีให้ได้จริงๆ

ถ้าหากมี ก็คงเป็นตอนที่เห็นความงดงามอันน่าทึ่งของหลินหลิ่งตงในตอนแรก

ส่วนที่เหลือมีเพียงแค่ความรังเกียจกับความรำคาญเท่านั้น

เฉินตงพิจารณาเย่หยวนชิวอยู่สักครู่ “อืม พอจะดูออก แก่มากแล้วจริงๆ”

เย่หยวนชิวชะงักไปในทันที

ส่วนเย่หลิงหลงที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็มีอารมณ์โกรธพลุ่งพล่านขึ้นมาทันที

“เฉินตง! คุณคิดว่าคุณพูดอยู่กับใคร? คุณรู้ฐานะของคุณปู่ของฉันไหม?”

เย่หลิงหลงตะโกนใส่เฉินตงโดยไม่คำนึงถึงภาพลักษณ์ของเธออีกต่อไป “ในยี่สิบสี่รุ่นแรกของหงหุ้ย คุณปู่ของฉันจัดอยู่ในรุ่นหยวน เมื่อนำมาจัดอยู่ในยี่สิบสี่รุ่นหลังของหงหุ้ยในตอนนี้ ปู่ของฉันถือเป็นบุคคลระดับจู่เหลา ถือเป็นหลงโถวของหงหุ้ยในตอนนี้ อย่างน้อยพบกับปู่ของฉันแล้ว ก็ควรจะที่จะเรียกปู่ของฉันด้วยความเคารพสักหน่อย”

“ในหงหุ้ย ปู่ของฉันถือเป็นผู้อาวุโส ใครเห็นก็ต้องให้ความเคารพ แล้วตอนนี้คุณกล้าเสียมารยาทกับเขาอย่างนั้นหรือ?”

คำด่าทอที่พูดออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เย่หยวนชิวไม่อาจขัดคอได้ทัน

เฉินตงมีท่าทีไม่แยแส เขาเงยหน้าขึ้นมองเย่หลิงหลงด้วยสีหน้าเรียบเฉย

เย่หลิงหลงกัดฟันแล้วพูดว่า “คุณปู่ของฉันลดตัวลงมาเพื่อยกย่องคุณ แต่ทำไมคุณกลับไม่คิดที่จะยกระดับตัวเอง? ไว้หน้าคุณเกินไปแล้วหรือ?”

จู่ๆ เฉินตงก็รู้สึกขำขึ้นมา

เขาแสยะยิ้มออกมาแล้วพูดขึ้นว่า “ปู่ของคุณเป็นผู้อาวุโสในหงหุ้ย แต่ผมไม่ใช่คนของหงหุ้ยเสียหน่อย ในสายตาของผมแล้ว เขามีอะไรแตกต่างจากชายชราทั่วไปกัน?”

ภายในลาน

สายลมในฤดูใบไม้ร่วงช่างเยือกเย็น

เสียงใบไม้ดังกรอบแกรบ

บรรยากาศคุกรุ่นไปด้วยแรงอาฆาตที่มองไม่เห็น

เฉินตงโค้งตัว แสดงท่าทีพร้อมต่อสู้ออกมา ราวกับคันธนูที่พร้อมจะยิงลูกศรที่แข็งแกร่งออกไป

ดวงตาทั้งสองข้างดุดัน จ้องเขม็งไปที่เย่หลิงหลงที่นั่งอยู่บนรถ

เมื่อเผชิญหน้ากับเฉินตง เย่หลิงหลงก็หุบยิ้ม ซึ่งเป็นสิ่งที่เห็นได้ยากยิ่ง แม้กระทั่งร่องรอยของความโกรธที่ระเบิดอารมณ์ออกมาเมื่อครู่ ก็จางหายไป

“คุณคิดว่าฉันเป็นเพียงแค่ผู้หญิงกร้านโลกที่เหลาะแหละคนหนึ่งอย่างนั้นหรือ?”

“ไม่ใช่หรืออย่างไร?”

เฉินตงตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา

เย่หลิงหลงขมวดคิ้วเล็กน้อย และค่อยๆ ลุกขึ้น แต่ยังคงเอนตัวอยู่บนหลังคารถ

ท่าทางแบบนี้ ช่างน่าประหลาดใจจริงๆ

“เช่นนั้นก็มาต่อสู้กันสักตั้ง!”

หลังจากเสียงตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดของเย่หลิงหลง

มือแทะเท้าของเธอก็กระแทกลงกับหลังคารถทันที ราวกับเสือชีตาร์ที่กำลังจะออกล่าเหยื่อ และกระโจนเข้าใส่เฉินตง

เฉินตงจ้องเขม็งในทันที

เขาปล่อยหมัดขวาออกไปอย่าเต็มแรงโดยไม่หลบเลี่ยง

แรงของหมัดทำให้เกิดลมปะทะที่รุนแรง

วินาทีถัดมา

เย่หลิงหลงทรุดลงไปกับพื้นทันที ด้วยแรงหมัดของเฉินตง

แย่แล้ว!

เฉินตงหน้าถอดสี ยังไม่ทันจะได้ดึงหมัดกลับ

ก็รู้สึกมีลมปะทะมาจากด้านล่าง หางตาเหลือบไปเห็นเย่หลิงหลงกำลังเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เธอหมุนรอบเอวเขาเป็นครึ่งวงกลมและกวาดไปด้านหลัง

ในเวลาเดียวกันนี้

แคว่ก!

มีเสียงขาดดังขึ้น

เฉินตงเคลื่อนตัวออกโดยสัญชาตญาณ แล้วก้มหน้าดู พบว่าตรงบริเวณเอวเสื้อขาดเป็นรอยกว้าง บนกล้ามท้องของเขา ปรากฏแผลสีแดงสามเส้น และมีเลือดไหลออกมา และมีผิวหนังถลอก

เล็บคมขนาดนี้เลยหรือ?!

เฉินตงตกใจเป็นอย่างมาก และเงยหน้าขึ้นมองเย่หลิงหลงที่อยู่ตรงข้าม

ในการลงมือโจมตี เย่หลิงหลงไม่ได้อาศัยจังหวะที่ได้เปรียบในการไล่ตาม

แต่กลับยืนอยู่ที่เดิม ราวกับกำลังอวดดี และมองตามสายตาของเฉินตงไป ใช้มือขวาโยนเศษผ้าบางๆ ที่ติดอยู่ในมือลงไปที่พื้น ในขณะเดียวกัน เธอก็แลบลิ้นสีแดงออกมา แล้วเลียไปที่เล็บคมกริบที่เปื้อนเลือดของเธอ

เธอค่อยๆ ยื่นนิ้วชี้เข้าไปในปากแล้วรูดเบาๆ

แล้วพูดอย่างยั่วยวนว่า “เลือดเนื้อของคุณเฉิน ช่างหอมหวานจริงๆ”

ภาพนี้ ช่างยั่วยวนใจอย่างยิ่ง

ราวกับนิ้วมือที่เรียวงามนั้น แฝงไปด้วยความหมายอื่น

แต่ท่าทางของเฉินตงกลับเย็นชาถึงขีดสุด เมื่อเผชิญหน้ากับการ “ยั่วยวน” ของเย่หลิงหลง เขาก็พูดออกมาอย่างเย็นชาหนึ่งประโยคว่า

“เธอไม่กลัวว่าฉันจะเป็นโรคเอดส์หรืออย่างไร?”

เย่หลิงหลง “……”

นิ้วชี้ขวาที่อมอยู่ในปากหยุดเคลื่อนไหวทันที ราวกับถูกไฟดูด และรีบถูกดึงออกมาอย่างรวดเร็ว

“ทำไมคุณถึงสกปรกอย่างนี้?” เย่หลิงหลงตะโกนด้วยความโกรธจัด

เฉินตงหัวเราะออกมาอย่างดูถูก “ผมเพียงแค่เตือนคุณ ผู้หญิงออกไปข้างนอกต้องรู้จักรักนวลสงวนตัว ห้ามอมอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า”

“คุณ……”

จู่ๆ ไปหน้าอันงดงามของเย่หลิงหลง ก็เย็นชาราวกับถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งทันที

เกิดความเกลียดชังขึ้นในดวงตาของเธอ ทันใดนั้น เท้าขวาของเธอก็เตะดินที่อยู่ตรงหน้าไปใส่เฉินตง ราวกับลูกศรที่พุ่งออกไป

เฉินตงมีท่าทีดุดันขึ้นทันที แววตาของเขาฉาบไปด้วยความอำมหิต

เมื่อครู่เขาประมาทไปหน่อย เป็นเพราะมั่นใจในทักษะการต่อสู้ของตนเองเกินไป จนทำให้ดูถูกเย่หลิงหลง “หงกุ้น” คนนี้ นั่นคือสาเหตุที่ทำให้ถูกโจมตีได้สำเร็จ

การประมือกันหนึ่งครั้ง ทำให้เขาได้รู้จักเย่หลิงหลงใหม่อีกครั้ง

ตอนนี้เขาต้องเก็บความประมาทเอาไว้ ละต้องระมัดระวังให้มากขึ้น

หงหุ้ยที่พัฒนามาอย่างก้าวกระโดดในระยะเวลาสองร้อยปี หงกุ้นทุกคนคงไม่ได้อาศัยหน้าตาในการไต่เต้าแน่นอน!

ฟิ้ว!

ลมพัดแรงมาจากกรงเล็บด้านขวาของเย่หลิงหลง และตะปบเข้าไปที่ใบหน้าของเฉินตง

อย่างไรก็ตามเฉินตงไม่ได้ถอยหลบ แต่กลับก้าวไปข้างหน้า และปล่อยหมัดทั้งสองข้างออกไปอย่างแรง

ใช้จุดแข็งของตนเอง เอาชนะจุดอ่อนของศัตรู หาโอกาส แล้วรีบจัดการกับศัตรูในคราวเดียว!

นี่ถึงจะเป็นแก่นแท้ของการต่อสู้อย่างแท้จริง

ร่างกายของเฉินตงผ่านการฝึกฝนอย่างหนักจากคุนหลุน และความมุมานะฝึกฝนของตนเอง ทำให้แข็งแกร่งกว่าคนธรรมดาทั่วไป และอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก

เย่หลิงหลงเป็นหงกุ้นก็จริง แต่อย่างไรเสียเธอก็คือผู้หญิง

ผู้ชายปะทะกับผู้หญิง หากไม่อาศัยความแข็งแกร่งของพละกำลังเข้าโจมตี ยังคิดที่จะเล่นสนุกอยู่อีกหรือ?

หมัดและเท้ารวดเร็วเหมือนกับลม ทิ้งร่องรอยของความเจ็บปวดที่รุนแรงเอาไว้

ความเร็วของเฉินตงราวกับสายฟ้า ใช้หมัดและเท้าพุ่งตรงเข้าโจมตีเย่หลิงหลงอย่างหนักหน่วง

เหมือนกับที่เฉินตงคาดเดาเอาไว้ ร่างกายของเย่หลิงหลงนั้นเคลื่อนไหวว่องไว แต่อย่างไรเสียก็เสียเปรียบเรื่องพละกำลัง

ด้วยการต่อสู้ที่ซับซ้อน เมื่อต้องเผชิญกับหมัดที่รุนแรงที่ปะทะเข้ามาบนตัว ทำให้ต้องรับมืออย่างอ่อนล้าโดยไม่มีทางเลือก

ตุ้บ!

หมัดต่อยลงไป ทำให้เย่หลิงหลงเดินโซเซถอยหลัง

จู่ๆ ใบหน้าที่งดงามราวกับหยาดน้ำค้าง ก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำขึ้นทันที

หลังจากกลั้นหายใจอยู่ครู่หนึ่ง เย่หลิงหลงก็พ่นลมหายใจออกมาทางปากอย่างแรง

หมัดนี้ เกือบทำให้เธอต้องจุกตาย!

“อ่อนแอขนาดนี้เลยหรือ?”

เฉินตงขยับไหล่ทั้งสองข้าง แล้วยิ้มเยาะ “คุณเก่งกาจนักไม่ใช่หรือ? นี่ผมแค่อุ่นเครื่องเองนะ”

อุ่นเครื่อง?

เย่หลิงหลงขมวดคิ้วแน่น เธอรับรู้ได้ถึงการดูถูกอย่างรุนแรง!

ในฐานะที่เป็นหนึ่งในหงกุ้นของหงหุ้ย นั่นหมายความว่าต้องอาศัยทักษะในการต่อสู้เพื่อช่วงชิงตำแหน่งมา

ตอนนี้กลับถูกคนอื่นเห็นเป็นเพียงแค่เครื่องมือในการ……อุ่นเครื่อง?

“ดีมาก ฉันเองก็กำลังอุ่นเครื่องเหมือนกัน” เย่หลิงหลงเลิกคิ้วด้วยท่าทีดื้อรั้น และยิ้มร่าออกมา

ยังไม่ทันจะพูดจบ

เธอก็พุ่งเข้าใส่เฉินตงอย่างรวดเร็ว

“อืม?!”

เฉินตงตกใจอย่างมาก

จู่ๆ ก็เปลี่ยนวิธีการอย่างนั้นหรือ?

ก่อนหน้านี้ วิธีการต่อสู้ของเย่หลิงหลงอ่อนโยนเกินไป อาศัยเทคนิคเสียเป็นส่วนใหญ่

แต่เย่หลิงหลงในตอนนี้ กลับแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก

ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน เย่หลิงหลงพุ่งเข้ามาอยู่ต่อหน้าเฉินตง

“มือผูกมังกร!”

ตุ้บ!

เฉินตงรู้สึกมีเสียงดังก้องขึ้นในหู ภาพที่เห็น คือ ฝ่ามือข้างขวาของเย่หลิงหลงกำลังพุ่งเข้าโจมตีอย่างทรงพลังและรวดเร็ว

ทันใดนั้นเอง การแสดงออกของเฉินตงเคร่งขรึมลง เขาไม่หลบหลีก ยังคงใช้หมัดขวาในการโจมตีอย่างรุนแรง

มีข้อได้เปรียบด้านพละกำลัง ทำให้เขามีความมั่นใจในการปล่อยหมัดที่ทรงพลัง

ตูม!

เกิดเสียงดังสนั่น

ในขณะที่เขาปล่อยหมัดออกไปนั้น ในแววตาของเฉินตงก็เกิดความประหลาดใจขึ้นมา

เขารับรู้ได้ถึงพลังอันแข็งแกร่งอย่างชัดเจน ซึ่งส่งผ่านมาทางแขนขวาของเขา ตรงขึ้นไปจนถึงสะบัก กระเทือนจนทำให้รู้สึกชาตรงบริเวณข้อต่อ

และในขณะที่กำลังประหลาดใจอยู่นั้น

ก็มีเสียงดังสนั่นขึ้นอีกครั้ง ฝ่ามือข้างซ้ายของเย่หลิงหลงซึ่งมาพร้อมกับลม พุ่งเข้าใส่เฉินตงอีกครั้ง

เฉินตงทำท่าทีดูถูก และตะโกนออกมา

และปล่อยหมัดซ้ายออกไปอีกครั้ง

ตุ้บ!

ความรู้สึกชาเกิดขึ้นอีกครั้ง

จู่ๆ เย่หลิงหลงก็ยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย “ผู้ชายตัวใหญ่โต แต่กลับไร้น้ำยาจริงๆ”

เฉินตงที่กำลังอยู่ในอาการตกตะลึง ก็รู้สึกโกรธขึ้นมาทันที

ทันใดนั้น เขาก้มลงและตะโกนเสียงดังออกมา และใช้ไหล่กระแทกเข้าใส่เย่หลิงหลงอย่างหนัก

ใบหน้าอันงดงามของเย่หลิงหลงเผยสีหน้าตื่นตระหนกออกมา

ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน

เธอรีบโบกมือทั้งสองข้างทันที “สี่ตำลึงปาดพันชั่ง!”

ตุ้บ!

ไหล่ของเฉินตง กระทบเข้ากับฝ่ามือของทั้งสองข้างของเย่หลิงหลงอย่างแรง

ทั้งสองโซเซถอยหลังไปพร้อมกัน

หลังจากตั้งหลักได้แล้ว เฉินตงก็ขมวดคิ้วแน่น แล้วสะบัดแขนสองครั้งโดยไม่รู้ตัว เพื่อขจัดอาการชา

ส่วนเย่หลิงหลงนั้นมีเลือดสีแดงไหลออกมาจากมุมปาก มือทั้งสองข้างร่วงลง และตัวสั่นอยู่ตลอดเวลา

แววตาที่มองเฉินตง ไม่นิ่งสงบเหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไป แต่กลับมีความหวาดกลัวเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย

“พละกำลังของคุณ แข็งแกร่งจริงๆ!”

ดวงตาของเย่หลิงหลงเต็มไปด้วยจิตวิญญาณของการต่อสู้ที่ดุเดือด “ไม่มีใครที่อยู่ต่อหน้ามือผูกมังกรของฉัน และบีบบังคับให้ฉันต้องใช้กระบวนท่าป้องกันตัวได้ คุณ……ทำให้ฉันรู้สึกสนใจจริงๆ”

ขณะที่พูด

เจนตาฆ่าของเย่หลิงหลง ก็ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น

ในขณะที่เธอกำลังก้าวออกไป

จู่ๆ ก็มีเสียงปรบมือดังก้องไปทั่วลาน

และในขณะเดียวกันนั้น ก็มีเสียงตะโกนห้ามปรามดังขึ้น

“หลิงหลงหยุดเดี๋ยวนี้ ทำไมถึงเสียมารยาทกับคุณเฉินเช่นนี้?”

“ขอโทษด้วย คนในครอบครัวรอผมกลับไปทานข้าวเย็นอยู่”

เฉินตงตอบปฏิเสธ

ประการแรก เพราะเข้าไม่มีความเกี่ยวข้องกับหงหุ้ย

ประการที่สองคือ ตอนนี้เงินทุนของหงหุ้ยกำลังเล่นงานฉินเย่ ตอนนี้คนของหงหุ้ยมา ทำให้เฉินตงรู้สึกไม่พอใจนัก

“คนในครอบครัว?”

ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าหัวเราะขึ้น “ถ้าหากคุณเฉินคิดถึงคนในครอบครัวแล้วล่ะก็ ฉันสามารถเชิญพวกเขามาทั้งหมดได้ เชื่อฉันเถอะค่ะว่า หงหุ้ยมีความสามารถที่จะทำเช่นนี้ได้”

เฉินตงแสดงท่าทีดุดันขึ้นทันที

“คุณกำลังข่มขู่ผมหรือ?”

หญิงสาวพูดออกมาด้วยท่าทีสงบ “ทำไมหงหุ้ยจะไม่กล้าข่มขู่คุณเฉิน?”

คำพูดตรงไปตรงมา แสดงออกถึงความมั่นใจและน่าเกรงขาม

นี่คือ……สิ่งที่หงหุ้ยมอบให้!

มือทั้งสองข้างของเฉินตงกำหมัดแน่น เขาจ้องมองหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าด้วยแววตาโกรธเกรี้ยว

ในที่สุด เขาก็คลายหมัดลง แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา “ไปไหน?”

แน่นอนว่า หงหุ้ยสามารถข่มขู่เขาได้จริงๆ!

ถึงแม้ข้างกายของกู้ชิงหยิ่งจะมีคุนหลุน ฟ่านลู่ และท่านหลงคอยคุ้มกันอยู่ แต่ถ้าหากหงหุ้ยต้องการ ก็ต้องทำสำเร็จได้แน่นอน

เหมือนกับตอนที่ทหารรับจ้างเดดพูลบุกเข้าโจมตีเขตวิลล่าเขาเทียนซานในตอนนั้น

เพื่อพลังที่มหาศาลปรากฏขึ้น ก็ทำให้เกิดการโจมตีที่ยากเกินต้านทานได้

หญิงสาวแสดงให้เห็นว่าหงหุ้ยมีการเตรียมการไว้เป็นอย่างดี เฉินตงจึงไม่กล้าเอาความปลอดภัยของกู้ชิงหยิ่งเข้ามาเสี่ยง

“ขึ้นรถ”

หญิงสาวพาเฉินตงเดินตรงไปที่รถบีเอ็มดับเบิลยู i8

หลังจากขึ้นรถ ในที่สุดหญิงสาวก็ถอดหมวกกันแดดออก

และในที่สุด เฉินตงเองก็ได้เห็นใบหน้าของหญิงสาว

เป็นใบหน้าที่ยากจะหาคำมาอธิบายได้

หากจะใช้คำพูดว่า งามไร้ที่ติ สี่คำนี้มาอธิบาย ก็ดูเหมือนว่ายังน้อยไป

ผิวขาวใสราวกับคริสทัลที่ละเอียด สะท้อนแสดงสีแดงแวววาวออกมาเล็กน้อย

การแสดงออกทางสีหน้าทุกอย่าง มีความงามที่เป็นธรรมชาติและตราตรึงใจ

ต่อให้เป็นเฉินตง ก็อดไม่ได้ที่จะเคลิบเคลิ้มไป

ความงามเช่นนี้……มีอยู่บนโลกใบนี้จริงๆ หรือ?

เกิดคำถามขึ้นในใจของเฉินตง ไม่ใช่เป็นการนอกใจ แต่เป็นการรู้สึกตกใจด้วยเจตนาที่บริสุทธิ์!

“ฉันสวยไหม?” หญิงสาวเลิกคิ้วถาม

เฉินตงพยักหน้าอย่างตรงไปตรงมา

“อยากได้ไหม?”

เฉินตงขมวดคิ้วเล็กน้อย เส้นเลือดบริเวณหางตาปูดโปนขึ้นมา

หญิงสาวเผยอริมฝีปาก หัวเราะแล้วกล่าวอธิบายว่า “ฉันหมายถึงว่า คุณอยากครอบครองฉันไหม?”

รอยยิ้มที่อ่อนโยน ทำให้รู้สึกรื่นรมย์ใจ

น้ำเสียงที่หนักแน่น ทำให้รู้ว่าสิ่งที่เธอพูดมานั้นคือเรื่องจริง

หากเป็นคนอื่น เกรงว่าคงจะพยักหน้าตอบรับอย่างไม่ลังเล

แต่ขณะที่หญิงสาวเอ่ยถามประโยคนี้กับเฉินตง ในหัวของเขากลับปรากฏภาพของกู้ชิงหยิ่งขึ้นมา

เขาลูบจมูก แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คำพูดของคุณ ควรใช้พูดกับผู้ชายที่แต่งงานมีภรรยาแล้วอย่างนั้นหรือ?”

“ทำไมจะพูดไม่ได้?” หญิงสาวหัวเราะร่าออกมา “แต่งได้ก็หย่าได้ หากไม่หย่า ฉันก็ไม่ถือสาถ้าหากต้องเป็นอนุ”

เฉินตงตกตะลึง

จากนั้นจึงพูดด้วยรอยยิ้ม “อันที่จริงผมรู้สึกว่าคุณนั้นสวยมาก สวยกว่าภรรยาของผมเสียอีก แต่คำพูดของคุณประโยคนี้ ทำให้ผมเริ่มที่จะรังเกียจคุณแล้ว”

“รังเกียจก็รังเกียจไปสิ ฉันเองก็ไม่ได้สนใจอะไร ถ้าหากคุณต้องการก็บอกฉัน ฉันเป็นคนใจง่าย แค่คุณต้องการก็สามารถครอบครองฉันได้แล้ว”

หญิงสาวยกมืออันเรียวงามขึ้น ปัดผมสองสามเส้นที่ปกลงมาบนใบหน้า ไปทัดไว้ที่หู จากนั้นจึงยื่นมืออันเรียวงามออกไปหาเฉินตง “คุณเฉิน ทำความรู้จักกันใหม่อีกสักครั้ง ฉันชื่อเย่หลิงหลง เป็นหงกุ้นของหงหุ้ย!”

“คำว่า “หงกุ้น” ทำให้เขาได้รู้จักเย่หลิงหลงใหม่อีกครั้ง

อันที่จริงแล้ว หญิงสาวคนนี้ไม่ได้เป็นแค่ไม้ประดับที่งดงามเท่านั้น!

เป็นครั้งแรกที่เฉินตงรู้จักหงหุ้ย แต่นี่ก็ไม่ได้ความว่า เขาจะไม่เข้าใจว่า “หงกุ้น” หมายถึงอะไร

นี่แสดงให้เห็นว่า เย่หลิงหลงที่อยู่ตรงหน้า อย่างน้อยก็เป็นคนที่มีความสามารถอย่างที่สุดในด้านใดด้านหนึ่งของหงหุ้ย!

เมื่อเห็นเฉินตงไม่ยื่นมือออกมา เย่หลิงหลงก็ดึงมือกลับไปโดยไม่ได้สนใจ จากนั้นจึงสตาร์ทรถ

รถบีเอ็มดับเบิลยู i8 สีน้ำเงินส่งเสียงคำรามราวกับสัตว์ร้าย และควบไปบนถนนด้วยความเร็ว

“ตอนนี้กำลังจะไปไหน?” เฉินตงถาม

“ไม่ต้องถาม ไปถึงคุณก็รู้เอง”

เย่หลิงหลงยิ้มเยาะ “สาวน้อยอยากจะหาสถานที่ที่เงียบสงบไร้ผู้คน พูดคุยทำความรู้จักเป็นการส่วนตัวตามลำพังประสาชายหญิงกับคุณเฉินสักหน่อย”

เฉินตง “……”

จู่ๆ เขาก็รู้สึกไม่ดี

เย่หลิงหลงทำให้เขารู้สึกว่าเธอนั้นปล่อยตัว ซึ่งไม่เข้ากับรูปลักษณ์ภายนอกที่แสดงออกมาของเธอเลย

คำว่า “ยั่วอารมณ์” ดูเหมือนจะจุดประกายขึ้นได้ทุกเมื่อ

แต่……จะเป็นไปได้ไหม?

ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าเฉินตงมีเพียงแค่กู้ชิงหยิ่งอยู่คนเดียวภายในใจ ต่อให้เป็นคนธรรมดาทั่วไปที่อยู่ตามท้องถนน ถ้าถูกหญิงสาวที่งดงามเช่นนี้ยั่วยวนเข้า ก็ต้องรู้สึกใจสั่นเป็นธรรมดาใช่หรือไม่?

เฉินตงจึงทำได้เพียงเบี่ยงสายตามองออกไปนอกหน้าต่างตามสัญชาตญาณ

เขาไม่อยากมีปฏิสัมพันธ์ใดๆ กับเย่หลิงหลงทั้งสิ้น

ส่วนเย่หลองหลงเองก็ไม่ได้สนใจ เธอยิ้มเล็กน้อย และเหยียบคันเร่งขับรถออกไปด้วยความเร็ว

หลังจากที่รถแล่นออกจากเมืองแล้ว ในที่สุดเย่หลิงหลงก็เอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง และทำลายความสงบภายในรถ

“คุณเฉิน คุณไม่คิดจะถามเรื่องที่หงหุ้ยเรา เล่นงานฉินเย่เลยหรือ?”

“ไม่ถาม” เฉินตงมองออกไปนอกหน้าต่าง

แววตาของเย่หลิงหลงเผยความประหลาดใจออกมา เธอเหลือบไปมองเฉินตงและริมฝีปากที่แดงระเรื่อของเธอก็แสยะยิ้มออกมา

หลังขับออกจากเมืองได้สิบนาที

ก็มีคฤหาสน์เก่าแก่หลังหนึ่ง ปรากฏขึ้นต่อสายตาของเฉินตง

จะพูดว่าเก่าแก่ก็คงไม่ใช่ ต้องพูดว่า……ให้ความรู้สึกโบราณ!

มีลานบ้านที่กว้างขวาง มีตึกสามชั้นขนาดเล็ก กำแพงเต็มไปด้วยเถาวัลย์ที่ขึ้นปกคลุมจนเขียวชอุ่ม

แต่ก็ยังไม่อาจอำพรางกล้องวงจรปิดที่อยู่ห่างออกไปเกือบสองสามร้อยเมตรได้

ขณะที่บีเอ็มดับเบิลยู i8 ขับไปถึงด้านหน้าประตูใหญ่ ประตูเหล็กก็ค่อยๆ เปิดออก

เย่หลิงหลงขับรถเข้าไปในลาน เธอเบรกรถดังเอี๊ยด และจอดรถเอาไว้กลางลาน

“ถึงแล้วค่ะคุณเฉิน” เย่หลิงหลงยิ้มอย่างอ่อนหวาน

เฉินตงลงจากรถด้วยท่าทีเย็นชา

ทว่า

ในขณะที่เท้าทั้งสองข้างของเขาแตะพื้น และเขายืนตัวตรง

ฟิ้ว!

จู่ๆ ก็มีลมแรงพัดมา

ความโกรธแผ่ซ่านออกจากร่างกายของเฉินตงทันที เข้าตกใจจนรูม่านตาหดแน่น

เขาหันศีรษะตามสัญชาตญาณ

แต่เมื่อเห็นเย่หลิงหลงที่ยืนอยู่อีกฟากหนึ่งของรถ กระโดดลอยตัวขึ้นไปบนอากาศ วางมือข้างหนึ่งลงบนรถ แล้วเตะขาออกไปด้านข้าง

“ไสหัวไป!”

ในช่วงจังหวะหน้าสิ่วหน้าขวาน เฉินตงตะโกนออกมาด้วยความโกรธ มือขวาของเขาโค้งงอ แล้วแทงศอกออกไป

ตุ้บ!

เกิดเสียงดังสนั่น

ตัวของเย่หลิงหลงสั่นคลอน ราวกับปลาที่กำลังว่ายน้ำอยู่ เธอหล่นลงไปบนหลังคารถ และกลิ้งตกลงไปหยุดอยู่ที่กระโปรงท้ายของรถบีเอ็มดับเบิลยู i8

ใบหน้าอันงดงามของเธอแสดงความประหลาดใจออกมา

ไม่สิ ต้องพูดว่าแสดงความยินดีออกมาต่างหาก

ราวกับได้เห็นสมบัติที่ล้ำค่า และจ้องมองไปที่เฉินตงตาเขม็ง

จากนั้น จึงแลบลิ้นแดงระเรื่อเลียที่ริมฝีปากของเธอ “การต่อสู้ของคุณเฉินร้ายกาจขนาดนี้เชียวหรือ? เหนือความคาดหมายของฉันจริงๆ”

เธอไม่ได้ตั้งใจจะชมเชย แต่รู้สึกประหลาดใจจริงๆ

ในฐานะที่เป็นหงกุ้น การลอบโจมตีเมื่อครู่ เธอรู้ดีว่าน่ากลัวเพียงใด

แต่เฉินตงกลับตั้งรับได้ในทันที ถึงขั้นที่ว่าในขณะที่รับมืออยู่นั้น สามารถอาศัยข้อได้เปรียบของความแข็งแกร่งที่เหนือกว่า โต้กลับได้ในแทบจะครั้งเดียว

“นี่คือการพูดคุยกันส่วนตัวที่คุณพูดถึงหรือ?”

ใบหน้าของเฉินตงเย็นชาเหมือนน้ำแข็ง แววตาของเขาดุดันถึงขีดสุด

เย่หลิงหลงเลิกคิ้วแล้วยิ้มออกมา “ถ้าไม่อย่างนั้นล่ะ? หากคุณเฉินต้องการพูดคุยส่วนตัวแบบอื่น ฉันก็ตอบสนองให้ได้เช่นกัน!”

“คุณไม่คู่ควร!”

เฉินตงพูดออกมาอย่างเย็นชาหนึ่งประโยค

เย่หลิงหลงแสดงความโกรธออกมาทันที “คุณกำลังดูถูกฉัน? ฉันเทียบกับภรรยาของคุณไม่ได้ตรงไหน?”

“เพราะเธอคือภรรยาของผม คุณจึงเทียบไม่ได้เลยสักอย่าง!”

เฉินตงค่อยๆ โค้งตัว ตอนนี้ ท่าทางของเขาราวกับภูเขาที่ยิ่งใหญ่

“ถ้าคุณต้องการพูดคุยเป็นการส่วนตัว ผมก็จะช่วยตอบสนองคุณ”

เฉินตงลืมตาขึ้น

ใบหน้ารูปไข่อันงดงามของกู้ชิงหยิ่งปรากฏขึ้นในดวงตา

แสงไฟสลัวๆ

แววตาของกู้ชิงหยิ่งเต็มไปด้วยความห่วงใยและความอบอุ่น

เมื่อเห็นเฉินตงมีท่าทีเหม่อลอยไปครู่หนึ่ง

“มัวแต่นั่งนิ่งอยู่ทำไม? คนโง่” ใบหน้าอันงดงามของกู้ชิงหยิ่งปรากฏสีแดงระเรื่อขึ้นมาและกล่าวตำหนิ

เฉินตงยิ้ม จากนั้นจึงลุกขึ้นและเอ่ยถามว่า “ผมอยู่ตรงนี้คนเดียวมานานเท่าไหร่หรือ?”

“อืม เกือบจะรุ่งสางแล้ว ท่านหลงไม่ให้รบกวนคุณ บอกว่าคุณมีเรื่องกังวลใจ แต่ฉันเห็นคุณไม่ลงไปข้างล่างเสียที จึงรู้สึกเป็นห่วง”

กู้ชิงหยิ่งคล้องแขนเฉินตง มองเข้าไปในแววตาของเฉินตง แล้วรู้สึกเป็นห่วง

เธอไม่อยากให้เฉินตงต้องรู้สึกเหนื่อยใจ แต่เธอก็รู้ดีว่าสิ่งเหล่านี้ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

ผู้ชายของเธอ ต้องการสวมมงกุฎของราชา ต้องการขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์ของราชา

และสิ่งเดียวที่เธอสามารถทำได้ก็คือ คอยสนับสนุนเขาอยู่เงียบๆ คอยดูแล และให้ความอบอุ่นกับเขา

เมื่อกลับถึงห้องนอน

เฉินตงอาบน้ำ นอนลงบนเตียง แต่ไม่หลับ

กู้ชิงหยิ่งยังคงซบอยู่ในอกของเขา และคอยเหลือบมอใบหน้าของเฉินตงอยู่เป็นระยะ

บรรยากาศภายในห้องเงียบสงัด

มีเพียงไฟหัวเตียงที่ส่องแสงสลัวๆ

มีกลิ่นหอมจางๆ ลอยอยู่ในอากาศ

“นอนไหม?” กู้ชิงหยิ่งถาม

“นอนไม่หลับ” เฉินตงส่ายหัว ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ทรมาน”

ทรมาน?!

กู้ชิงหยิ่งตัวสั่นเล็กน้อย ใบหน้าอันงดงามของเธอแดงก่ำขึ้นทันที

ดวงตาของเธอสั่นคลอน ริมฝีปากแดงระเรื่อของกู้ชิงหยิ่งเอ่ยขึ้นว่า “ได้ยินมาว่า เวลาที่ภรรยาตั้งต้อง สามีมักต้องทรมาน”

เฉินตงตกตะลึง ความคิดทั้งหมดว่างเปล่าในทันที

สวรรค์!

ภรรยาสาวจอมโง่เขลาของเขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่?

ตรงไปตรงมาขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?

ยังไม่มันรอให้เฉินตงเอ่ยปากอธิบาย

จู่ๆ กู้ชิงหยิ่งก็ทำตัวเหมือนลูกแมวตัวน้อย แนบตัวลงไปบนอกของเฉินตง แล้วเอ่ยปากขึ้นมา “ฉันช่วยคุณได้นะ”

คำพูดนี้ทำให้เฉินตงรีบกลืนคำพูดของตัวเองลงไปในทันที

และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

หลังจากที่กู้ชิงหยิ่งตั้งท้อง เขาก็ไม่ได้ทำเรื่องอย่างว่ามานานแล้ว……

ตอนนี้ภรรยาเสนอตัว จึงอดไม่ได้ที่เขาจะรู้สึก……หุนหันพลันแล่นเล็กน้อย

“ต้องการไหม?” กู้ชิงหยิ่งกระซิบถามที่ข้างหูของเฉินตง

ลมร้อนผ่าว ทำให้แววตาของเฉินตงเคลิ้มไป

สามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่น่าจะมีปัญหาใช่ไหม?

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เฉินตงก็อดไม่ได้ที่จะมีเปลวไฟลุกผ่าวขึ้นในดวงตา และหันมองกู้ชิงหยิ่งที่อยู่ตรงหน้า

แต่เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นท้องของกู้ชิงหยิ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ ไฟในดวงตาก็ดับมอดลงทันที

หากยังคิดเรื่องพวกนี้ตอนภรรยากำลังตั้งท้องแล้วล่ะก็ ถือเป็นผู้ชายประเภทไหนกัน?

เฉินตงแอบด่าตัวเอง จากนั้นจึงยื่นมือไปลูบดั้งจมูกของกู้ชิงหยิ่งด้วยความเอ็นดู “เด็กโง่ คุณคิดอะไรของคุณ?”

กู้ชิงหยิ่งผงะไป

เฉินตงอธิบาย “ที่ผมบอกว่าทรมาน เป็นเพราะหลายวันมานี้เกิดเรื่องขึ้น ทั้งเรื่องของแม่ผม เรื่องที่ฉินเย่ถูกเล่นงาน และยังมีเรื่องพ่ออีก นอกจากเรื่องของแม่ผมแล้ว เรื่องอื่นๆ ยังหาข้อสรุปที่ชัดเจนไม่ได้ ดังนั้นจึงรู้สึกทรมาน”

“ฮะ?!”

กู้ชิงหยิ่งหน้าถอดสี ทั้งตกใจทั้งอับอาย

ราวกับลูกแมวที่ตื่นตระหนก รีบมุดหัวเข้าไปในอ้อมแขนของเฉินตงในทันที อีกทั้งยังดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมหัวอีกด้วย

“หึ คนบ้า ต่อไปคุณพูดให้มันชัดเจนในประโยคเดียวได้ไหม ทำให้ ทำให้ฉัน……คุณนี่มันแย่จริงๆ”

เมื่อได้ยินกู้ชิงหยิ่งบ่นออกมาด้วยความเขินอาย เฉินตงก็หัวเราะออกมาอย่างร่าเริงในทันที

น้ำให้ความทุกข์ในใจเบาบางลงไปมาก

เขายื่นมือไปปิดโคมไฟ หดตัวกลับเข้าไปในผ้าห่ม แล้วกอดกู้ชิงหยิ่งนอนหลับไป

สามวันต่อมา

มีข่าวร้ายรายงานมาจากฉินเย่เรื่อยๆ

บริษัทมหาอำนาจทั้งห้าร่วมมือกันโจมตี ต่อให้อาศัยความสามารถของฉินเย่และฉินเสี่ยวเชียน ก็ยังยากที่จะรับมือได้ และรู้สึกไร้เรี่ยวแรงจนยากเกินต้านทาน

ถึงแม้บริษัทการเงินของฉินเย่จะมีมูลค่าทรัพย์สินนับหมื่นล้าน

แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับมหาอำนาจทั้งห้า ก็ยังคงถูกกดดันอยู่ดี

ตั้งแต่ต้นจนจบ เฉินตงไม่เข้าไปแทรกแซงการทำงานของฉินเย่แม้แต่น้อย

เพราะเขารู้ดีว่า เรื่องนี้ฉินเย่ถนัดกว่าเขามาก

ถึงขั้นว่า แม้กระทั่งฉินเสี่ยวเชียนเอง เขาก็ยังเทียบไม่ติด

รู้จักใช้คนให้ถูกกับงาน ถือเป็นหนทางของราชา

และนี่จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ในตอนต้น เขาอาศัยเส้นสายจากท่านหลงในการชักชวนฉินเย่มาร่วมงาน เพื่อการขยับขยายและพัฒนา!

หากเข้ายื่นมือเข้าไปก้าวก่ายตอนนี้ จะยิ่งกลับทำให้เรื่องวุ่นวายไปกว่าเดิม ถึงขั้นอาจกระทบต่อแผนการของฉินเย่และฉินเสี่ยวเชียนได้

อีกทางด้านหนึ่ง

ท่านหลงเองก็สืบเรื่องของจุนหลิน กรุ๊ปมาได้อย่างชัดเจนแล้ว

แต่ผลลัพธ์ที่ออกมา กลับทำให้เฉินตงรู้สึกจนใจ

ทุกหน่วยข่าวกรองระบุออกมาอย่างชัดเจนว่า จุนหลิน กรุ๊ป เป็นเพียงแค่ “มดตัวเล็กๆ” ตัวหนึ่งเท่านั้น

ไม่มีเงินหมุนเวียนก้อนโต ไม่มีผู้มีอิทธิพลคอยหนุนหลัง ไม่เป็นที่รู้จักในภาคตะวันตกเฉียงเหนือ เป็นเพียงแค่จัวหนึ่งในฝูง ไม่มีอะไรพิเศษ

บริษัทที่ธรรมดาเช่นนี้

แต่จู่ๆ กลับเข้าร่วมการซื้อขายในตลาดการเงินครั้งนี้ด้วย

เงินจำนวนหลายหมื่นล้านภายใต้การบริหารของฉินเย่ เมื่อต้องรับมือกับมหาอำนาจทั้งสี่อย่างพวกหงหุ้ย Rothschild ก็เหมือนราวกับปลาได้น้ำ

ถึงแม้เฉินตงกับท่านหลงจะรู้ดีว่า “มีเรื่องผิดพลาดเกิดขึ้น แสดงว่าต้องมีปีศาจอยู่แน่นอน” แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ ไม่อาจรู้ได้ว่า “ปีศาจ” อยู่ที่ไหนกันแน่

แต่สิ่งเดียวที่เฉินตงมั่นใจก็คือ

จุนหลิน กรุ๊ป น่าจะเป็นศัตรูมากกว่ามิตร

เพียงแต่ในตอนแรกที่จุนหลิน กรุ๊ป เข้ามาในตลาด ได้ช่วยดันราคาขึ้นหนึ่งครั้ง หลังจากนั้น จุนหลิน กรุ๊ปก็ร่วมมือกับอีกสี่บริษัท เข้าจัดการช้อนซื้อหุ้นห้องฉินเย่อย่างไร้ความปรานี

นี่จึงเป็นการความคิดแรกเริ่มของเฉินตง ที่คิดว่าจุนหลิน กรุ๊ปคือพ่อไปจนหมดสิ้น

สุดท้ายสิ่งที่เหลืออยู่ก็คือ ความจนใจและสิ้นหวัง

สามวันมานี้ ฉินเย่ไม่ติดต่อกับเฉินตงเลย เฉินตงเองก็ไม่ติดต่อกับฉินเย่

การต่อสู้ทางการเงิน หากจะพูดว่าเป็นเรื่องคอขาดบาดตายเห็นทีว่าก็คงจะไม่เกินจริง

เวลาเพียงเสี้ยววินาที ก็สามารถตัดสินผลแพ้ชนะได้

เฉินตงรู้ดีว่า สามวันมานี้ ฉินเย่แบกรับความกดดันเอาไว้จนยากที่จะจินตนาการได้

สิ่งเดียวที่เขาทำได้ก็คือ ทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เข้างานและเลิกงานตามปกติ และบริหารบริษัทอสังหาริมทรัพย์ไท่ติ่ง

เย็นวันนี้

หลังจากเลิกงาน เฉินตงเพิ่งจะเดินลงมาจากตึกใหญ่ของบริษัท

ก็มีหญิงสาวสวมใส่เสื้อโค้ตสีดำเดินเข้ามากล่าวทักทาย

“คุณเฉิน พบกันครั้งแรก ช่วยแนะนำด้วยค่ะ”

น้ำเสียงที่อ่อนโยนราวกับเสียงขับขานของนกการเวก ดังก้องเข้าไปในหู

ในขณะเดียวกันเธอก็ยื่นนิ้วมือที่เรียวยาวเหมือนลำเทียนออกมา

เฉินตงถูกนิ้วมือเรียวงามที่อยู่ตรงหน้าดึงดูดเข้าอย่างจัง ช่างสวยจริงๆ

ไม่อาจอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้

ทุกสัดส่วนราวกับได้รับการออกแบบมาอย่างดี

เพียงมือข้างเดียว ก็ทรงเสน่ห์ขนาดนี้

“คุณคือใคร?” เฉินตงขมวดคิ้วถาม

เสื้อโค้ตสีดำห่อหุ้มร่างกายที่สง่างามเอาไว้ ภายใต้หมวกกันแดดใบใหญ่สีดำ บวกกับการที่อีกฝ่ายก้มหน้าก้มตาอยู่ ทำให้ไม่สามารถเห็นใบหน้าได้อย่างชัดเจนนัก

ทันทีที่พูดจบ

หยิบสาวที่อยู่ตรงหน้าก็หยิบของสิ่งหนึ่งออกมาจากกระเป๋า แล้วยื่นให้เฉินตง

แววตาของเฉินตงเต็มไปด้วยความสงสัย

เป็นป้ายหนึ่งชิ้น ทำมาจากไม้จันทน์ ขนาดไม่ใหญ่นัก ใหญ่กว่าจี้หยกทั่วไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ด้านบนมีตัวอักษรสีแดงสลักอยู่หนึ่งคำ——หง!

“คุณคือคนของหงหุ้ย?” เฉินตงตกใจอย่างมาก

คำว่าหงที่เขาพอจะนึกเชื่อมโยงไปได้ ก็เห็นจะมีแต่หงหุ้ยที่ปรากฏขึ้นมาในสายตาของเขาเมื่อเร็วๆ นี้

“เชิญคุณเฉินตามดิฉันไปคุยเป็นการส่วนตัวหน่อย”

หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แสดงให้เห็นว่ายอมรับ

เป็นการส่วนตัว?

ส่วนตัวอะไร?

เฉินตงรู้สึกงุนงงในทันที ถ้าไม่ใช่เพราะฉินเย่โดนเล่นงานในครั้งนี้ ด้วยสถานะและที่ที่เขาดำรงอยู่ในตอนนี้ ไม่มีทางที่จะรู้จักชื่อของหงหุ้ยได้เลย

หากจะพูดว่าเป็นคนแปลกหน้า ก็ดูจะไม่เกินจริง

แล้วมีอะไรจะต้องคุยเป็นการส่วนตัว?

เปรี้ยง!

เมื่อได้ยินคำพูดของฉินเย่ เฉินตงก็รู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่า

สิ่งที่น่าตกใจที่ฉินเย่พูดขึ้นในสายโทรศัพท์ก็คือ

“บริษัททางภาคตะวันตกเฉียงเหนือบริษัทนั้น ไม่เพียงแต่ไร้ความสามารถที่จะโจมตีเราเท่านั้น แต่ยังไม่เป็นที่รู้จักในแถบภาคตะวันตกเฉียงเหนืออีกด้วย!”

คำพูดประโยคเดียวราวกับสายฟ้าฟาดลงมา

แม้ว่าผลที่ออกมา จะไม่ต่างกับสิ่งที่ท่านหลงพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้มากนัก

แต่เมื่อตอนนี้ได้ฟังสิ่งที่ฉินเย่พูด เฉินตงก็ยังคงรู้สึกตกใจไม่น้อยอยู่ดี

ไม่เป็นที่รู้จัก หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ ไม่อยู่ในกลุ่มบริษัทการลงทุนชั้นแนวหน้าในแถบตะวันออกเฉียงเหนือเสียด้วยซ้ำ!

บริษัทที่ไม่แม้แต่จะติดอันดับเช่นนี้ แต่จู่ๆ กลับเข้าร่วมสถานการณ์ อีกทั้งยังดันราคาหุ้นให้สูงขึ้น และสุดท้ายยังร่วมมือกับอีกสี่บริษัทเข้าช้อนซื้ออีก

เป็นที่รู้กันดีว่า ในตอนนั้นที่ตระกูลฉินสามารถขึ้นแท่นเป็นตระกูลที่ร่ำรวยอันดับหนึ่งแห่งซีสู่ได้ เป็นเพราะปรากฏการณ์ที่น่าตกตะลึงที่ฉินเย่สร้างขึ้น สามารถกวาดเงินมาจากตลาดลงทุนไปได้หลายหมื่นล้านหยวน และสร้างความมั่นคงขึ้นมา

ความสามารถทางด้านการเงินของฉินเย่นั้น หากจะพูดว่าเป็นอัจฉริยะที่ไม่อาจหาใครเทียบได้ก็ยังดูไม่เกินจริง

ส่วนเรื่องที่บริษัทลงทุนยักษ์ใหญ่ทั้งสี่บริษัทร่วมมือกันจนกลายเป็นมหาอำนาจ การที่ฉินเย่ไม่อาจต้านทานไว้ได้นั้น ก็ถือเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล

แต่บริษัทในภาคตะวันตกเฉียงเหนือบริษัทนั้น ซึ่งเป็นเพียงมดตัวเล็กๆ เท่านั้น แต่กลับเข้าร่วมเป็นหนึ่งในการต่อสู้ของเหล่าเทพเจ้า เพื่อร่วมแบ่งผลประโยชน์ได้อย่างนั้นหรือ?

นี่มันไร้สาระจริงๆ!

“เจ้าหนูฉินเย่ บริษัทนั้นมีชื่อว่าอะไร?” ท่านหลงเอ่ยถาม

ฉินเย่ตอบ “ชื่อว่าจุนหลิน กรุ๊ป”

“ไม่เคยได้ยินมาก่อน”

ท่านหลงยิ้มออกมาอย่างหดหู่ จากนั้นจึงลูบจมูกแล้วพูดว่า “เจ้าหนูฉิน นายถูกบริษัทแบบนั้นแบ่งเนื้อชิ้นใหญ่ไป รู้สึกเหมือนกับตัวเองเล่นกับนกอินทรีแล้วถูกจิกตาเข้าให้ใช่ไหมล่ะ”

“ผู้เฒ่าหลง เลิกกระแนะกระแหนผมได้แล้ว”

ฉินเย่โต้กลับด้วยความรู้สึกผิดหวัง

จากนั้น เขาก็พูดขึ้นอีกว่า “พี่ตง อีกสองบริษัทที่อยู่ในต่างประเทศ มีบริษัทหนึ่งที่ตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว คือ หงหุ้ย ส่วนอีกบริษัทหนึ่งน่าจะเกี่ยวข้องกับRothschild

เปรี้ยง!

เฉินตงรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า รูม่านตาหดแคบลงด้วยความตกใจ

เขาไม่รู้จัก “หงหุ้ย” แต่เขารู้จักRothschild!

ตระกูลมั่งคั่งเก่าแก่ และเป็นยักษ์ใหญ่ที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ!

เฉินตงสูดหายใจเข้าเต็มปอดหนึ่งครั้ง เพื่อระงับความรู้สึกตกใจ แล้วพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม “มีRothschildเข้าร่วม ครั้งนี้นายต้องแพ้อย่างราบคาบแน่นอน”

“ฉันวางสายก่อน ยังต้องคิดแผนการในขั้นต่อไปอีก” เสียงของฉินเย่เบาลงเล็กน้อย

หลังจากวางสายโทรศัพท์ เฉินตงก็ยิ้มออกมาอย่างหดหู่

เขารับรู้ได้ถึงความหดหู่และไร้เรี่ยวแรงของฉินเย่

แต่เรื่องนี้ แม้กระทั่งตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าควรจะปลอบใจเช่นไร

ฉินเย่เป็นอัจฉริยะก็จริง และมีความเย่อหยิ่งของอัจฉริยะอยู่

แต่เมื่อเผชิญหน้ากับRothschild แม้แต่อัจฉริยะเองก็ยังถูกบดบังรัศมีได้

ตระกูลมั่งคั่งเก่าแก่ลำดับต้นๆ ของโลก มีประวัติศาสตร์ของการดำรงอยู่อันยาวนาน ซึ่งยากที่ตระกูลมั่งคั่งธรรมดาๆ จะเทียบชั้นได้

ตระกูลฉินเคยเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในซีสู่ก็จริง

แต่ตำแหน่งตระกูลที่มั่งคั่งที่สุดแห่งซีสู่ ก็มีการผลัดเปลี่ยนกันจากรุ่นสู่รุ่น มีการเปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามไป

ไม่ว่าจะรากฐานด้านใดก็ตาม ไม่มีทางเทียบกับยักษ์ใหญ่อย่างRothschildได่เลย

เช่นเดียวกับตระกูลฉิน

สิ่งที่เรียกว่าอัจฉริยะนั้น ต้องดูว่ากำลังเปรียบเทียบอยู่กับใคร

หากเทียบกับคนธรรมดาอาจเป็นอัจฉริยะ แต่เมื่อจับไปวางไว้กับกลุ่มหัวกะทิในตระกูลเฉิน อาจเป็นเพียงแค่พวกหางแถวก็ได้

เฉินตงเงยหน้าขึ้นมองท่านหลง “ท่านหลง คุณรู้จักหงหุ้ยไหม? เป็นยักษ์ใหญ่ในภูมิภาคของเราหรือ?”

“ครับ”

ท่านหลงพยักหน้า แววตาของเขาเริ่มลึกซึงขึ้น

“หากจะย้อนถึงประวัติของหงหุ้ย สามารถสืบย้อนกลับไปได้กว่าสองร้อยปี เริ่มแรกรวมตัวกันเป็นแก๊ง การเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย ในที่สุดหงหุ้ยก็ออกจากภูมิภาคของเรา และก้าวเข้าสู่ระดับนานาชาติ ด้วยการขยายอำนาจอย่างทวีคูณทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งใหญ่ วิธีการที่เข้มข้นรุนแรงนี้ ทำให้เกิดการพัฒนาอย่างบ้าคลั่งมากว่าสองร้อยปี ด้วยรากฐานเช่นนี้ ทำให้ตระกูลมั่งคั่งจำนวนไม่น้อยในระดับสากลยังต้องรู้สึกอับอาย”

“เมื่อเทียบกับRothschildล่ะ?” เฉินตงถาม

ท่านหลงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วยิ้มออกมาด้วยท่าทีประหลาด

“ต้องดูว่าเปรียบเทียบกันด้านใด หากเป็นทักษะทางธุรกิจนั้นRothschildเหนือกว่า แต่ถ้าหากเทียบวิธีการที่สกปรกนั้น หงหุ้ยสามารถทำให้ตระกูลมั่งคั่งกว่า 90% รู้สึกหวาดกลัวได้ ซึ่งRothschildก็เป็นหนึ่งในนั้น”

เฉินตงเข้าใจในทันที

จากที่ท่านหลงกล่าวมา อันที่จริงแล้วหงหุ้ยไม่ถือว่าเป็นตระกูลมั่งคั่งเก่าแก่ แต่เป็นการรวมกลุ่มที่ซับซ้อนของผู้มีอิทธิพล

ก้าวผ่านการพัฒนามากว่าสองร้อยปี ทำให้รากเล็กๆ มารวมตัวกันจนกลายเป็นต้นไม้ที่สูงตระหง่านอย่างหงหุ้ย

ถึงแม้จะไม่ใช่ตระกูลมั่งคั่งเก่าแก่ แต่อิทธิพลและรากฐานที่มีอยู่ ก็ไม่ด้อยไปกว่าตระกูลมั่งคั่งตระกูลอื่นๆ อย่างแน่นอน

“น่าสนใจจริงๆ”

เฉินตงลูบจมูก แล้วยิ้มออกมาอย่างมีนัย “ฉันคิดไม่ถึงจริงๆ เลยว่า ฉัน เฉินตง จะสามารถดึงดูดRothschildและหงหุ้ยให้ลงมือได้ ช่างมีความสามารถอะไรเช่นนี้?”

“คุณชาย เรื่องนี้ดูเหมือนจะซับซ้อนมาก ผมแนะนำว่าช่วงนี้เจ้าหนูฉินควรจะกลับมาตั้งหลักดูลาดเลาก่อนจะดีกว่า” ท่านหลงพูดอย่างเคร่งขรึม

เขาไม่ได้สนใจบริษัทเงินทุนในประเทศทั้งสามแห่ง

แต่หงหุ้ยและRothschildนั้น จะไม่ระมัดระวังคงไม่ได้!

ยักษ์ใหญ่ทั้งสองเป็นเหมือนกับสัตว์ร้าย หากยังดื้อดึงต่อไปในเวลานี้ เกรงว่าพวกเขาจะก้าวเข้าสู่สถานการณ์อันตรายที่ไม่อาจแก้ไขได้อีก

ท่านหลงเข้าใจภูมิหลังของครอบครัวเฉินตงดี ถึงแม้จะมีของขวัญที่เฉินเต้าหลินมอบเอาไว้ให้ก่อนที่จะหายตัวไป แต่เมื่อเทียบกับหงหุ้ยและRothschildแล้ว ก็ยังถือว่าต่างกันลิบลับนัก

“ต่อให้ฉันอยากจะเก็บดาบ แต่ฉินเย่นั้นไม่มีทาง”

เฉินตงหัวเราะ แววตาของเขาดุดัน “ยิ่งไปกว่านั้น ทุกคนต่างถือมีดเดินมาถึงหน้าประตูบ้านแล้ว หากฉันเก็บดาบ ไม่เท่ากับรอให้ยักษ์ใหญ่เหล่านั้นพังประตูเข้ามาเข่นฆ่าถึงในบ้านตามอำเภอใจหรอกหรือ?”

ท่านหลง “……”

เฉินตงโบกมือ “ตอนนี้เราพักเรื่องนี้เอาไว้ก่อน ฉินเย่จะต้องจัดการได้แน่นอน”

เฉินตงไม่ได้มีนิสัยอ่อนแอและยอมให้รังแกได้ง่ายๆ ถ้าหากอ่อนแอและยอมให้รังแกได้ง่ายๆ จริง เขาคงไม่ประสบความสำเร็จมาจนถึงทุกวันนี้

บุคลิกจะเปลี่ยนแปลงไปเช่นไร แต่นิสัยโดยแท้ไม่มีวันเปลี่ยน

การเก็บดาบ ต้องคอยจังหวะที่เหมาะสม หากเก็บดาบในสถานการณ์เช่นนี้ ก็เท่ากับการตัดแขนตัดขาตนเองและนั่งรอความตาย

หากต้องเก็บดาบอย่างคนไร้ค่า ไม่เท่ากับยอมสู้จนหลังชนฝาสักครั้งจะดีกว่า

เมื่อเห็นสีหน้าของท่านหลงดูเคร่งขรึมลง เฉินตงก็พูดต่อว่า “ท่านหลง ช่วงนี้คงต้องรบกวนนายให้ช่วยตรวจสอบจุนหลิน กรุ๊ป ที่อยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือให้ฉันด้วย การปรากฏตัวของเขาไม่ปกติ ฉันรู้สึกว่ายังมีบางอย่างซ่อนอยู่”

นัยน์ตาหมองหม่นของท่านหลงเป็นประกายขึ้นทันที

เขาเข้าใกล้เฉินตงโดยไม่รู้ตัว แล้วกระซิบถาม “คุณชายกำลังสงสัย……นายท่าน?”

เฉินตงยิ้มออกมาโดยไม่พูดอะไร “ถ้าหากเป็นมิตร ก็เป็นไปได้อย่างสูงว่าจะเป็นพ่อ ถ้าหากเป็นศัตรู ก็ยากที่จะเดาได้”

เขามีความคิดเช่นนี้จริงๆ

การลงมือของจุนหลิน กรุ๊ปนั้นแปลกประหลาดจริงๆ

อีกทั้งดูๆ ไปแล้ว บริษัทนี้ก็ไม่น่ามีความสามารถมากพอที่จะลงมือได้

ประจวบเหมาะกับที่พ่อได้มีการเตือนให้ระวังตัว ก่อนที่จะเกิดเรื่องขึ้นกับบริษัทของฉินเย่

หากจะไม่ให้คิดว่าจุนหลิน กรุ๊ปและพ่อมีความเชื่อมโยงกัน อย่างว่าแต่เฉินตงเลย แม้กระทั่งคนอื่นก็ไม่อาจทำได

“ผมเข้าใจแล้วครับ” ท่านหลงพยักหน้าแล้วเดินออกไป

ตอนที่เดินไปถึงประตู มีเสียงของเฉินตงดังขึ้นด้านหลัง

“อีกอย่าง การเฝ้าติดตามภายในตระกูลเฉิน ก็อย่าให้คลาดสายตาเด็ดขาด”

ความระมัดระวังนำมาซึ่งความปลอดภัย ตอนนี้พ่อเองก็หายตัวไป ถือว่าต้องสูญเสียที่พึ่งหลักไป เฉินตงจึงจำเป็นต้องระมัดระวังให้มากขึ้น

ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืน เฉินตงเอนตัวลงบนเก้าอี้นอน แหงนมองดาวบนฟ้าด้วยแววตาที่ลึกซึ้ง

พักใหญ่

เฉินตงค่อยๆ พึมพำขึ้นว่า “พ่อ พ่อหายตัวไปได้อย่างไรกันแน่? และกำลังกลัวอะไรกันแน่?”

นี่คือสิ่งที่เฉินตงคิดไม่ตกในตอนนี้

เจ้าบ้านของตระกูลเฉินที่ยิ่งใหญ่ เพราะเหตุใดจึงถูกบีบบังคับให้ต้องหลบซ่อนตัวเช่นนี้?

ลมยามค่ำคืนพัดเย็น

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ เฉินตงค่อยๆ คล้อยหลับไป

ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกเหมือนมีคนเดินเข้ามาใกล้ๆ

จากนั้น ก็มีเสท้อคลุมตัวหนึ่งห่มลงมาบนร่างกายของเขา

มีเสียงอันอบอุ่นของกู้ชิงหยิ่งดังขึ้นข้างๆ หู “ดึกแล้ว กลับไปนอนที่ห้องกับฉันนะคะ?”

#### บทที่ 407 สาวงาม

เฉินตงลืมตาขึ้น

ใบหน้ารูปไข่อันงดงามของกู้ชิงหยิ่งปรากฏขึ้นในดวงตา

แสงไฟสลัวๆ

แววตาของกู้ชิงหยิ่งเต็มไปด้วยความห่วงใยและความอบอุ่น

เมื่อเห็นเฉินตงมีท่าทีเหม่อลอยไปครู่หนึ่ง

“มัวแต่นั่งนิ่งอยู่ทำไม? คนโง่” ใบหน้าอันงดงามของกู้ชิงหยิ่งปรากฏสีแดงระเรื่อขึ้นมาและกล่าวตำหนิ

เฉินตงยิ้ม จากนั้นจึงลุกขึ้นและเอ่ยถามว่า “ผมอยู่ตรงนี้คนเดียวมานานเท่าไหร่หรือ?”

“อืม เกือบจะรุ่งสางแล้ว ท่านหลงไม่ให้รบกวนคุณ บอกว่าคุณมีเรื่องกังวลใจ แต่ฉันเห็นคุณไม่ลงไปข้างล่างเสียที จึงรู้สึกเป็นห่วง”

กู้ชิงหยิ่งคล้องแขนเฉินตง มองเข้าไปในแววตาของเฉินตง แล้วรู้สึกเป็นห่วง

เธอไม่อยากให้เฉินตงต้องรู้สึกเหนื่อยใจ แต่เธอก็รู้ดีว่าสิ่งเหล่านี้ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

ผู้ชายของเธอ ต้องการสวมมงกุฎของราชา ต้องการขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์ของราชา

และสิ่งเดียวที่เธอสามารถทำได้ก็คือ คอยสนับสนุนเขาอยู่เงียบๆ คอยดูแล และให้ความอบอุ่นกับเขา

เมื่อกลับถึงห้องนอน

เฉินตงอาบน้ำ นอนลงบนเตียง แต่ไม่หลับ

กู้ชิงหยิ่งยังคงซบอยู่ในอกของเขา และคอยเหลือบมอใบหน้าของเฉินตงอยู่เป็นระยะ

บรรยากาศภายในห้องเงียบสงัด

มีเพียงไฟหัวเตียงที่ส่องแสงสลัวๆ

มีกลิ่นหอมจางๆ ลอยอยู่ในอากาศ

“นอนไหม?” กู้ชิงหยิ่งถาม

“นอนไม่หลับ” เฉินตงส่ายหัว ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ทรมาน”

ทรมาน?!

กู้ชิงหยิ่งตัวสั่นเล็กน้อย ใบหน้าอันงดงามของเธอแดงก่ำขึ้นทันที

ดวงตาของเธอสั่นคลอน ริมฝีปากแดงระเรื่อของกู้ชิงหยิ่งเอ่ยขึ้นว่า “ได้ยินมาว่า เวลาที่ภรรยาตั้งต้อง สามีมักต้องทรมาน”

เฉินตงตกตะลึง ความคิดทั้งหมดว่างเปล่าในทันที

สวรรค์!

ภรรยาสาวจอมโง่เขลาของเขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่?

ตรงไปตรงมาขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?

ยังไม่มันรอให้เฉินตงเอ่ยปากอธิบาย

จู่ๆ กู้ชิงหยิ่งก็ทำตัวเหมือนลูกแมวตัวน้อย แนบตัวลงไปบนอกของเฉินตง แล้วเอ่ยปากขึ้นมา “ฉันช่วยคุณได้นะ”

คำพูดนี้ทำให้เฉินตงรีบกลืนคำพูดของตัวเองลงไปในทันที

และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

หลังจากที่กู้ชิงหยิ่งตั้งท้อง เขาก็ไม่ได้ทำเรื่องอย่างว่ามานานแล้ว……

ตอนนี้ภรรยาเสนอตัว จึงอดไม่ได้ที่เขาจะรู้สึก……หุนหันพลันแล่นเล็กน้อย

“ต้องการไหม?” กู้ชิงหยิ่งกระซิบถามที่ข้างหูของเฉินตง

ลมร้อนผ่าว ทำให้แววตาของเฉินตงเคลิ้มไป

สามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่น่าจะมีปัญหาใช่ไหม?

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เฉินตงก็อดไม่ได้ที่จะมีเปลวไฟลุกผ่าวขึ้นในดวงตา และหันมองกู้ชิงหยิ่งที่อยู่ตรงหน้า

แต่เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นท้องของกู้ชิงหยิ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ ไฟในดวงตาก็ดับมอดลงทันที

หากยังคิดเรื่องพวกนี้ตอนภรรยากำลังตั้งท้องแล้วล่ะก็ ถือเป็นผู้ชายประเภทไหนกัน?

เฉินตงแอบด่าตัวเอง จากนั้นจึงยื่นมือไปลูบดั้งจมูกของกู้ชิงหยิ่งด้วยความเอ็นดู “เด็กโง่ คุณคิดอะไรของคุณ?”

กู้ชิงหยิ่งผงะไป

เฉินตงอธิบาย “ที่ผมบอกว่าทรมาน เป็นเพราะหลายวันมานี้เกิดเรื่องขึ้น ทั้งเรื่องของแม่ผม เรื่องที่ฉินเย่ถูกเล่นงาน และยังมีเรื่องพ่ออีก นอกจากเรื่องของแม่ผมแล้ว เรื่องอื่นๆ ยังหาข้อสรุปที่ชัดเจนไม่ได้ ดังนั้นจึงรู้สึกทรมาน”

“ฮะ?!”

กู้ชิงหยิ่งหน้าถอดสี ทั้งตกใจทั้งอับอาย

ราวกับลูกแมวที่ตื่นตระหนก รีบมุดหัวเข้าไปในอ้อมแขนของเฉินตงในทันที อีกทั้งยังดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมหัวอีกด้วย

“หึ คนบ้า ต่อไปคุณพูดให้มันชัดเจนในประโยคเดียวได้ไหม ทำให้ ทำให้ฉัน……คุณนี่มันแย่จริงๆ”

เมื่อได้ยินกู้ชิงหยิ่งบ่นออกมาด้วยความเขินอาย เฉินตงก็หัวเราะออกมาอย่างร่าเริงในทันที

น้ำให้ความทุกข์ในใจเบาบางลงไปมาก

เขายื่นมือไปปิดโคมไฟ หดตัวกลับเข้าไปในผ้าห่ม แล้วกอดกู้ชิงหยิ่งนอนหลับไป

สามวันต่อมา

มีข่าวร้ายรายงานมาจากฉินเย่เรื่อยๆ

บริษัทมหาอำนาจทั้งห้าร่วมมือกันโจมตี ต่อให้อาศัยความสามารถของฉินเย่และฉินเสี่ยวเชียน ก็ยังยากที่จะรับมือได้ และรู้สึกไร้เรี่ยวแรงจนยากเกินต้านทาน

ถึงแม้บริษัทการเงินของฉินเย่จะมีมูลค่าทรัพย์สินนับหมื่นล้าน

แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับมหาอำนาจทั้งห้า ก็ยังคงถูกกดดันอยู่ดี

ตั้งแต่ต้นจนจบ เฉินตงไม่เข้าไปแทรกแซงการทำงานของฉินเย่แม้แต่น้อย

เพราะเขารู้ดีว่า เรื่องนี้ฉินเย่ถนัดกว่าเขามาก

ถึงขั้นว่า แม้กระทั่งฉินเสี่ยวเชียนเอง เขาก็ยังเทียบไม่ติด

รู้จักใช้คนให้ถูกกับงาน ถือเป็นหนทางของราชา

และนี่จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ในตอนต้น เขาอาศัยเส้นสายจากท่านหลงในการชักชวนฉินเย่มาร่วมงาน เพื่อการขยับขยายและพัฒนา!

หากเข้ายื่นมือเข้าไปก้าวก่ายตอนนี้ จะยิ่งกลับทำให้เรื่องวุ่นวายไปกว่าเดิม ถึงขั้นอาจกระทบต่อแผนการของฉินเย่และฉินเสี่ยวเชียนได้

อีกทางด้านหนึ่ง

ท่านหลงเองก็สืบเรื่องของจุนหลิน กรุ๊ปมาได้อย่างชัดเจนแล้ว

แต่ผลลัพธ์ที่ออกมา กลับทำให้เฉินตงรู้สึกจนใจ

ทุกหน่วยข่าวกรองระบุออกมาอย่างชัดเจนว่า จุนหลิน กรุ๊ป เป็นเพียงแค่ “มดตัวเล็กๆ” ตัวหนึ่งเท่านั้น

ไม่มีเงินหมุนเวียนก้อนโต ไม่มีผู้มีอิทธิพลคอยหนุนหลัง ไม่เป็นที่รู้จักในภาคตะวันตกเฉียงเหนือ เป็นเพียงแค่จัวหนึ่งในฝูง ไม่มีอะไรพิเศษ

บริษัทที่ธรรมดาเช่นนี้

แต่จู่ๆ กลับเข้าร่วมการซื้อขายในตลาดการเงินครั้งนี้ด้วย

เงินจำนวนหลายหมื่นล้านภายใต้การบริหารของฉินเย่ เมื่อต้องรับมือกับมหาอำนาจทั้งสี่อย่างพวกหงหุ้ย Rothschild ก็เหมือนราวกับปลาได้น้ำ

ถึงแม้เฉินตงกับท่านหลงจะรู้ดีว่า “มีเรื่องผิดพลาดเกิดขึ้น แสดงว่าต้องมีปีศาจอยู่แน่นอน” แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ ไม่อาจรู้ได้ว่า “ปีศาจ” อยู่ที่ไหนกันแน่

แต่สิ่งเดียวที่เฉินตงมั่นใจก็คือ

จุนหลิน กรุ๊ป น่าจะเป็นศัตรูมากกว่ามิตร

เพียงแต่ในตอนแรกที่จุนหลิน กรุ๊ป เข้ามาในตลาด ได้ช่วยดันราคาขึ้นหนึ่งครั้ง หลังจากนั้น จุนหลิน กรุ๊ปก็ร่วมมือกับอีกสี่บริษัท เข้าจัดการช้อนซื้อหุ้นห้องฉินเย่อย่างไร้ความปรานี

นี่จึงเป็นการความคิดแรกเริ่มของเฉินตง ที่คิดว่าจุนหลิน กรุ๊ปคือพ่อไปจนหมดสิ้น

สุดท้ายสิ่งที่เหลืออยู่ก็คือ ความจนใจและสิ้นหวัง

สามวันมานี้ ฉินเย่ไม่ติดต่อกับเฉินตงเลย เฉินตงเองก็ไม่ติดต่อกับฉินเย่

การต่อสู้ทางการเงิน หากจะพูดว่าเป็นเรื่องคอขาดบาดตายเห็นทีว่าก็คงจะไม่เกินจริง

เวลาเพียงเสี้ยววินาที ก็สามารถตัดสินผลแพ้ชนะได้

เฉินตงรู้ดีว่า สามวันมานี้ ฉินเย่แบกรับความกดดันเอาไว้จนยากที่จะจินตนาการได้

สิ่งเดียวที่เขาทำได้ก็คือ ทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เข้างานและเลิกงานตามปกติ และบริหารบริษัทอสังหาริมทรัพย์ไท่ติ่ง

เย็นวันนี้

หลังจากเลิกงาน เฉินตงเพิ่งจะเดินลงมาจากตึกใหญ่ของบริษัท

ก็มีหญิงสาวสวมใส่เสื้อโค้ตสีดำเดินเข้ามากล่าวทักทาย

“คุณเฉิน พบกันครั้งแรก ช่วยแนะนำด้วยค่ะ”

น้ำเสียงที่อ่อนโยนราวกับเสียงขับขานของนกการเวก ดังก้องเข้าไปในหู

ในขณะเดียวกันเธอก็ยื่นนิ้วมือที่เรียวยาวเหมือนลำเทียนออกมา

เฉินตงถูกนิ้วมือเรียวงามที่อยู่ตรงหน้าดึงดูดเข้าอย่างจัง ช่างสวยจริงๆ

ไม่อาจอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้

ทุกสัดส่วนราวกับได้รับการออกแบบมาอย่างดี

เพียงมือข้างเดียว ก็ทรงเสน่ห์ขนาดนี้

“คุณคือใคร?” เฉินตงขมวดคิ้วถาม

เสื้อโค้ตสีดำห่อหุ้มร่างกายที่สง่างามเอาไว้ ภายใต้หมวกกันแดดใบใหญ่สีดำ บวกกับการที่อีกฝ่ายก้มหน้าก้มตาอยู่ ทำให้ไม่สามารถเห็นใบหน้าได้อย่างชัดเจนนัก

ทันทีที่พูดจบ

หยิบสาวที่อยู่ตรงหน้าก็หยิบของสิ่งหนึ่งออกมาจากกระเป๋า แล้วยื่นให้เฉินตง

แววตาของเฉินตงเต็มไปด้วยความสงสัย

เป็นป้ายหนึ่งชิ้น ทำมาจากไม้จันทน์ ขนาดไม่ใหญ่นัก ใหญ่กว่าจี้หยกทั่วไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ด้านบนมีตัวอักษรสีแดงสลักอยู่หนึ่งคำ——หง!

“คุณคือคนของหงหุ้ย?” เฉินตงตกใจอย่างมาก

คำว่าหงที่เขาพอจะนึกเชื่อมโยงไปได้ ก็เห็นจะมีแต่หงหุ้ยที่ปรากฏขึ้นมาในสายตาของเขาเมื่อเร็วๆ นี้

“เชิญคุณเฉินตามดิฉันไปคุยเป็นการส่วนตัวหน่อย”

หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แสดงให้เห็นว่ายอมรับ

เป็นการส่วนตัว?

ส่วนตัวอะไร?

เฉินตงรู้สึกงุนงงในทันที ถ้าไม่ใช่เพราะฉินเย่โดนเล่นงานในครั้งนี้ ด้วยสถานะและที่ที่เขาดำรงอยู่ในตอนนี้ ไม่มีทางที่จะรู้จักชื่อของหงหุ้ยได้เลย

หากจะพูดว่าเป็นคนแปลกหน้า ก็ดูจะไม่เกินจริง

แล้วมีอะไรจะต้องคุยเป็นการส่วนตัว?

นี่คือเรื่องที่พ่อต้องการเตือนให้ฉันระวังอย่างนั้นหรือ?

เฉินตงตระหนักขึ้นมาได้ทันที

การสูญเสียเงินกว่าพันล้านหยวน ถึงแม้จะไม่ได้ส่งผลเสียอย่างร้ายแรงนัก ต่อบริษัทการเงินของตระกูลฉินที่ฉินเย่รับผิดชอบดูแลอยู่ แต่ก็ถือว่าได้รับผลกระทบไม่น้อย

การสูญเสียเช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย!

ยิ่งไปกว่านั้น ภูมิหลังของเขาในตอนนี้เพิ่งจะยิ่งใหญ่แค่ไหนกัน?

“ใครเป็นคนทำ?” เฉินตงรีบถามขึ้นทันที

ถ้าหากรู้ว่าใครเป็นคนเล่นงานฉินเย่กันแน่ ไม่แน่อาจได้รู้ว่า ที่พ่อคอยหลบซ่อนตัวอยู่ตลอดนั้นเพราะกลัวอะไรกันแน่

“มีด้วยกันทั้งหมดห้าบริษัทเงินทุน”

ในสาย น้ำเสียงของฉินเย่เคร่งขรึมลงเล็กน้อย “เป็นบริษัทเงินทุนในประเทศสามแห่ง และยังมีบริษัทเงินทุนจากต่างประเทศอีกสองแห่ง”

ฉินเย่หยุดพูดไปครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าอารมณ์ของเฉินตงยังเป็นปกติ จึงพูดต่อด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ในนั้นไม่มีร่องรอยของตระกูลเฉินเลย”

ไม่ใช่ตระกูลเฉิน?

เฉินตงขมวดคิ้วแน่นจนบีบกัน อารมณ์เต็มไปด้วยความซับซ้อน

ตอนที่เขาเอ่ยถาม เขาก็คิดเอาไว้แล้วว่าตระกูลเฉินน่าจะมีส่วนรู้เห็นด้วย

แต่คำพูดของฉินเย่ ทำให้ความสงสัยที่อยู่ในหัวของเขาลึกซึ้งยิ่งขึ้น

เฉินตงสูดหายใจเข้าเต็มปอดหนึ่งครั้ง บีบจมูกของตัวเองสักครู่ แล้วถามขึ้นว่า “สืบหาที่มาที่ไปของบริษัทเงินทุนทั้งห้าแห่งอย่างชัดเจนแล้วหรือยัง?”

“บริษัทเงินทุนภายในประเทศสามแห่ง แบ่งออกเป็นเงินทุนจงเคอแห่งเมืองโมตู และการลงทุนซื่อหวา ส่วนบริษัทที่สาม……เป็นกลุ่มการลงทุนทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือ”

เมื่อพูดถึงที่สุดท้าย เสียงของฉินเย่ก็ชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นจึงรีบพูดเสริมต่อว่า “ส่วนบริษัทการลงทุนจากต่างประเทศอีกสองบริษัท ยังไม่ได้สืบหาข้อมูลอย่างชัดเจน แต่เมื่อตรวจสอบจากเบาะแสเบื้องต้นก็พอจะคาดเดาได้ว่า บริษัทเงินทุนทั้งสองบริษัทนั้น น่าจะมีความซับซ้อนและอันตรายเป็นอย่างมาก”

“ภาคตะวันตกเฉียงเหนือ?”

แววตาของเฉินตงเผยประกายของความฉลาดหลักแหลมออกมา

ในพื้นที่แถบชายฝั่งทะเลทั้งหมด เป็นพื้นที่ที่มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งยวด ทุกเมืองต่างก็มีทั้งเสือและมังกรหลบซ่อนตัวอยู่

ส่วนภาคตะวันตกเฉียงเหนือ ว่ากันตามตรงก็คือ ทะเลทรายกว้างๆ ผืนหนึ่ง นอกจากจะมีประชากรอยู่น้อยนิดแล้ว ถือว่าน้อยนักที่จะมีบริษัทเงินทุนที่แข็งแกร่งเข้าไปตั้งรกรากอยู่ที่นั่น

นี่คือสาเหตุที่ฉินเย่ชะงักไป อย่าว่าแต่ฉินเย่เลย แม้แต่เฉินตงเองก็ยังรู้สึกว่าไร้สาระ

ส่วนบริษัทเงินทุนในต่างประเทศสองแห่ง ตอนนี้เฉินตงยังไม่ให้ความสนใจนัก ก่อนที่จะได้รับการตรวจสอบอย่างละเอียด ก็ยากที่จะสรุปออกมาได้

เขาวางมือขวาที่บีบจมูกอยู่ลง แล้วพูดอย่างเคร่งขรึม “ฉันว่าควรจะตรวจสอบบริษัทลงทุนที่อยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือนั่นสักหน่อย บริษัทลงทุนยักษ์ใหญ่ที่ไปก่อตั้งอยู่ที่นั่น หากคิดที่จะตรวจสอบให้แน่ชัด ก็คงไม่ใช่เรื่องยากนัก”

“ฉันให้เสี่ยวเชียนจัดการแล้ว” ฉินเย่กล่าว

ฉินเย่เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยถามขึ้นมาอีกว่า “จริงสิ ทางพ่อนายมีข่าวคราวอะไรบ้างไหม?”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้

เฉินตงก็หัวเราะตัวเองขึ้นมาทันที “จะบอกให้นะว่า เมื่อเช้าพ่อเพิ่งจะส่งข้อความมาว่าให้ฉันระวัง ฉันคิดมาทั้งวันก็คิดไม่ออกว่าให้ระวังเรื่องอะไร จนกระทั่งนายโทรศัพท์มานี่ล่ะ”

ฉินเย่ที่อยู่ปลายสายเงียบไป

หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วินาที ฉินเย่ก็พูดขึ้นอย่างเคร่งขรึม “เรื่องใหญ่แล้ว! ฉันจะให้เสี่ยวเชียนรีบตรวจสอบบริษัทเงินทุนทั้งห้าแห่งอย่างชัดเจน และหลังจากนี้ไปอีกสองสามวัน ฉันจะพยายามควบคุมทุกสิ่งอย่างระมัดระวัง”

“นายรีบจัดการเถอะ เรื่องการเงินนายเก่งกว่าฉัน”

เฉินตงวางสายโทรศัพท์ ท่าทางของเขาเคร่งขรึมลงอย่างเห็นได้ชัด แววตาไม่อาจเก็บซ่อนความสงสัยเอาไว้ได้

ฉินเย่พูดถูก ครั้งนี้คงเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้วจริงๆ!

หากแผนการในครั้งนี้ มีตระกูลเฉินอยู่เบื้องหลัง ก็คงไม่ต้องกังวลใจมากนัก เพราะอย่างน้อยก็รู้ว่าตระกูลเฉินต้องการจัดการกับเขา

แต่ตอนนี้ เป็นบริษัทที่แข็งแกร่งห้าแห่ง และที่อยู่ในประเทศทั้งสามแห่งก็ไม่มีร่องรอยของตระกูลเฉินเลย

นี่แสดงให้เห็นว่า……อาจมีมหาอำนาจอื่น ที่กำลังจับตามองเขาอยู่!

ถึงแม้มหาอำนาจเหล่านี้ อาจไม่ยิ่งใหญ่เท่าตระกูลเฉิน แต่ก็ถือเป็นยักษ์ใหญ่ ที่สามารถกำจัดเขาได้จริงๆ!

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เฉินตงก็รู้สึกโมโหขึ้นมาทันที

จู่ๆ ก็ถูกคนอื่นจับตามองอย่างไร้เหตุผล อีกทั้งยังกวาดเงินไปกว่าพันล้านหยวน เรื่องแบบนี้ เป็นใครก็ต้องรู้สึกโมโหด้วยกันทั้งนั้น

หลังจากถูใบหน้าของเขา เฉินตงก็สตาร์ทรถ และมุ่งหน้ากลับบ้านในเขาเทียนซาน

เมื่อกลับถึงบ้าน กู้ชิงหยิ่งก็กำลังนั่งดูโทรทัศน์และถักเสื้ออยู่ในห้องนั่งเล่น

ส่วนท่านหลงกำลังจิบชา คุนหลุนและฟ่านลู่กำลังง่วนอยู่กับงานในครัว

ทุกอย่างดูเป็นปกติ

แต่ทว่า ท่านหลงยังคงมองออกว่าท่าทีของเฉินตงนั้นไม่ปกติ

“คุณชาย มีปัญหาหรือครับ?”

เฉินตงพยักหน้า เพื่อส่งสัญญาณให้ท่านหลงเดินขึ้นไปบนดาดฟ้า

หลังจากขึ้นไปถึงดาดฟ้า

เฉินตงก็นั่งลงบนเก้าอี้นอน แล้วพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “วันนี้พวกของฉินเย่ถูกบริษัทเงินทุนห้าแห่งเล่นงาน ขาดทุนไปกว่าพันล้านหยวน!”

“พันล้านหยวน?!”

ท่านหลงหน้าถอดสี และอุทานออกมาด้วยความตกใจ

เฉินตงเลิกคิ้วแล้วหันมองท่านหลง “ท่านหลง คุณมีประสบการณ์โชกโชน พอจะรู้ไหมว่าทางแถบภาคตะวันตกเฉียงเหนือ พอจะมีบริษัทเงินทุนยักษ์ใหญ่อะไรตั้งอยู่บ้าง?”

เขาไม่กังวลเกี่ยวกับบริษัทเงินทุนจงเคอและการลงทุนซื่อหวา ทั้งสองบริษัทนี้เป็นบริษัททางการเงินยักษ์ใหญ่ ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง หากคิดจะกวาดล้างโลกการเงิน ก็แทบจะไร้คู่ต่อสู้

การแข่งขันกับบริษัทการเงินของฉินเย่นั้น ก็ถือเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล

จะเหลือก็แต่บริษัทที่อยู่ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือบริษัทเดียวเท่านั้น!

การปรากฏตัวขึ้นอย่างแปลกประหลาด และสาเหตุในการเข้าร่วมโจมตีก็น่าประหลาดใจเช่นกัน

ทว่า

ที่น่าประหลาดใจยิ่งไปกว่านั้นก็คือ

ท่านหลงขมวดคิ้วเป็นเวลาเกือบจะหนึ่งนาทีแล้ว

จากนั้นจึงส่ายหัวแล้วพูดว่า “อาศัยจากความรู้ที่ผมมี ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือไม่มีบริษัทการลงทุนขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ที่นั่นไม่เหมาะสำหรับบริษัทลงทุนยักษ์ใหญ่จะไปตั้งรกรากอยู่ หากเป็น “บริษัทเงินทุนเล็กๆ” ทั่วๆ ไป ก็ไม่น่าจะศักยภาพพอที่จะเข้าร่วมการโจมตีได้”

“เช่นนี้ก็น่าสนใจแล้ว”

เฉินตงลูบจมูก แล้วยิ้มออกมาอย่างมีนัย

สถานที่ที่ไม่มีบริษัทเงินทุนขนาดใหญ่ตั้งอยู่ จู่ๆ กลับเกิดการลงทุนขนาดใหญ่ขึ้นมาได้ และยังเข้าร่วมการโจมตีอีก และท้ายที่สุดยังโจมตีได้สำเร็จอีกด้วย

บริษัทนี้ ช่างน่าสงสัยจริงๆ!

“คุณชาย เจ้าหนูฉินจะต้องจัดการได้เรียบร้อยแน่นอน เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับตระกูลเฉินหรือเปล่าครับ?”

ม่านหลงพูดปลอบใจ จากนั้นจึงได้พูดความคิดแรกที่อยู่ในหัวของเฉินตงตอนที่รู้ว่าถูกโจมตีออกมา

เฉินตงส่ายหัว แล้วยิ้มอย่างหดหู่ “ไม่มีร่องรอยของตระกูลเฉินเลยแม้แต่น้อย นอกจากบริษัทที่อยู่ในภาคตะวันออกเฉียบเหนือนั่นแล้ว ยังมีเงินทุนจงเคอและการลงทุนซื่อหวาอีก นอกจากนี้ยังมีบริษัทการลงทุนยักษ์ใหญ่ที่อยู่ในต่างประเทศอีกสองบริษัทอีก

ใบหน้าของท่านหลงเคร่งขรึมลงอย่างเห็นได้ชัด เขาใช้มือขวาบิดนิ้วหัวแม่มือเบาๆ แล้วพึมพำออกมา “บริษัทยักษ์ใหญ่ห้าบริษัทรุมโจมตีเราพร้อมกัน เห็นได้ชัดว่ามีการเตรียมการกันมา แต่ถ้าหากไม่มีร่องรอยของตระกูลเฉิน เช่นนั้นเป็นเพราะอำนาจใดกันแน่ ที่ทำให้บริษัทเงินทุนทั้งห้าบริษัทร่วมมือกันได้?”

ทันทีที่พูดจบ

เสียงโทรศัพท์ของเฉินตงก็ดังขึ้น

เฉินตงหยิบขึ้นมาดูแล้วพูดว่า “ฉินเย่โทรมา”

เขากดรับสายโทรศัพท์ และกดปุ่มเปิดลำโพง

“พี่ตง ผมลองทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้อยู่หลายครั้ง จึงพบเรื่องที่น่าประหลาดใจอย่างมากเรื่องหนึ่ง” น้ำเสียงของฉินเย่แสดงออกถึงความสับสนอย่างมาก

“อะไร?” เฉินตงถาม

ในสายโทรศัพท์ ฉินเย่ค่อยๆ พูด “ตอนที่บริษัทเงินทุนทั้งห้าโจมตีเรา ระหว่างนั้น บริษัทในภาคตะวันตกเฉียงเหนือบริษัทนั้น ได้มีการโต้กลับไปหนึ่งครั้ง นั้นก็คือ ในขณะที่ทั้งสี่บริษัทการลงทุนกำลังโจมตีเราอยู่นั้น บริษัททางภาคตะวันออกเฉียงเหนือนี้ได้เข้ามาในตลาด และช่วยพวกเราดันราคาหุ้นขึ้นหนึ่งระลอก จากนั้นจึงรีบทุบราคาลงทันที”

หลังจากที่ได้ยิน

สีหน้าของเฉินตงและท่านหลงก็เปลี่ยนไปทันที

ทั้งสองหันมองหน้ากัน แล้วเผยสีหน้าของความสับสนและงุนงงออกมา

“ดันราคาหุ้นขึ้นหนึ่งระลอก นี่มันคือพฤติกรรมอะไรกันแน่?” ท่านหลงโพล่งออกมา “เข้ามาอย่างกะทันหัน และดันราคาหุ้นขึ้น ดูเหมือนจะเป็นการช่วยเหลือพวกเรา แต่สุดท้ายกลับร่วมมือกับอีกสี่บริษัทรุมเข้าโจมตี บริษัทนี่เป็นศัตรูหรือเป็นมิตรกันแน่?”

เฉินตงเองก็รู้สึกสับสนไม่น้อย

ตามที่ท่านหลงกล่าวมา หากต้องการเข้าโจมตีจริง ก็ไม่มีเหตุผลที่จะเข้ามาช่วยดันราคาหุ้นขึ้นอย่างกะทันหัน แต่ท้ายที่สุดแล้ว ทั้งห้าบริษัทกลับรุมเล่นงานพวกฉินเย่อยู่ดี

พฤติกรรมเช่นนี้ ทำให้เรื่องทั้งหมดยากที่จะคาดเดาได้

ทว่า สิ่งที่ทำให้เฉินตงยิ่งคิดไม่ถึงก็คือ

ในสายโทรศัพท์ ฉินเย่ค่อยๆ พูดข้อเท็จจริงที่น่าเหลือเชื่อยิ่งกว่านั้นออกมา

คืนนี้

เฉินตงนอนหลับสนิทอยู่ในอ้อมแขนของกู้ชิงหยิ่ง

นี่เป็นผลพวงมาจากความอ่อนล้าจากการเศร้าโศก และการปลอบโยนอย่างเข้าอกเข้าใจของกู้ชิงหยิ่ง

เมื่อพระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า

เฉินตงลืมตาขึ้น ในดวงตาไม่หลงเหลือความโศกเศร้าของเมื่อคืนอยู่อีกเลย

กู้ชิงหยิ่งอดไม่ได้ที่จะแอบรู้สึกโล่งใจ เธอรู้ดีว่าเมื่อคืนนี้ เฉินตงพยายามข่มอารมณ์จนถึงที่สุด หากตอนนั้นเธอถามให้มากความ ก็มีแต่จะทำให้เฉินตงต้องเจ็บปวดยิ่งขึ้น

“จริงสิคะที่รัก ฉันบอกเรื่องที่ฉันตั้งท้องให้คุณพ่อคุณแม่รู้แล้วนะ พวกเขาบอกว่าเร็วๆ นี้จะมาเยี่ยมสักครั้ง” กู้ชิงหยิ่งพูด

“อย่างนั้นก็ดีสิ รู้เวลาแน่ชัดแล้วให้รีบบอกผม ผมจะไปรับคุณพ่อคุณแม่ที่สนามบินเอง”

เฉินตงจัดระเบียบเสื้อผ้าไปพลาง พูดด้วยรอยยิ้มไปพลาง

กู้ชิงหยิ่งตั้งท้องถือเป็นเรื่องสำคัญ จึงควรแจ้งให้พ่อและแม่ทราบเกี่ยวกับเรื่องน่ายินดีในครั้งนี้

“ไม่ต้องหรอกค่ะ ถึงตอนนั้นฉัน พี่เสี่ยวลู่ และพี่คุนหลุนจะไปรับพวกท่านเอง”

กู้ชิงหยิ่งช่วยเฉินตงจัดระเบียบเสื้อผ้า “คุณยุ่งขนาดนั้น เรื่องงานสำคัญที่สุด”

เฉินตงลูกดั้งจมูกของกู้ชิงหยิ่งด้วยความเอ็นดู “จะยุ่งแค่ไหนก็ละเลยคุณพ่อคุณแม่ไม่ได้ไม่ใช่หรือ?”

กู้ชิงหยิ่งรู้สึกอบอุ่นขึ้นในใจ จึงไม่คิดโต้เถียงอีก และยอมรับปากแต่โดยดี

ตอนที่เฉินตงและกู้ชิงหยิ่งเดินลงมาชั้นล่าง สีหน้าของเฉินตงทำให้ท่านหลง คุนหลุน และฟ่านลู่ต้องรู้สึกประหลาดใจ

โดยเฉพาะท่านหลงและคุนหลุน

เมื่อคืนพวกเขาเป็นคนที่อยู่ในเหตุการณ์ตอนที่เฉินตงโกรธจัด และแผ่รังสีของความอำมหิตออกมา แต่เฉินตงในตอนนี้ กลับทำให้พวกเขารู้สึกงุนงงราวกับเป็นเพียงแค่ความฝัน

หลังจากรับประทานอาหารเช้าแล้ว

เฉินตงก็มุ่งหน้าไปที่บริษัท

ภายในห้องอาหาร

ฟ่านลู่และคุนหลุนกำลังช่วยกันเก็บถ้วยชาม

กู้ชิงหยิ่งเอ่ยถามท่านหลงด้วยความสงสัย “ท่านหลง เมื่อคืนเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”

ท่านหลงเองก็ไม่คิดปิดบัง เขาเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟังทั้งหมด

หลังจากฟังจบ สีหน้าของกู้ชิงหยิ่งก็ดูซับซ้อนขึ้นอย่างมากทันที

เธอพึมพำออกมาด้วยแววตาที่ลึกซึ้ง “ไม่แปลกใจเลยที่เมื่อคืนเข้าต้องพยายามอย่างหนักเพื่อข่มอารมณ์ไว้เช่นนั้น”

“ใช่แล้ว แต่การที่คุณชายสามารถเดินออกจากความทุกข์ได้เร็วขนาดนั้น ต้องยกความดีความชอบให้กับคุณนายน้อยแล้ว” ท่านหลงยิ้มอย่างสบายใจ

กู้ชิงหยิ่งพูดขึ้นทันที “ท่านหลง รบกวนคุณช่วยเตรียมธูปเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และเครื่องเซ่นไหว้ให้ฉันหน่อย ฉันอยากไปไหว้คุณแม่”

ท่านหลงผงะไป และรีบพูดขึ้นว่า “คุณนายน้อยเพิ่งจะตั้งท้องได้ไม่นาน หากไปกราบไหว้หลุมศพตอนนี้ เกรงว่าจะมีผลต่อเด็กในท้อง”

“ทำไมท่านหลงถึงยังงมงายเช่นนี้นะ?”

กู้ชิงหยิ่งเลิกคิ้ว และหัวเราะออกมา

ผู้หญิงที่เพิ่งตั้งครรภ์ได้ไม่นานห้ามไปกราบไหว้หลุมศพ ห้ามไปวัด เป็นเพียงแค่คำบอกเล่าของคนโบราณเท่านั้น เธอไม่มีทางเชื่อหรอก

“ไม่ใช่ว่าผมงมงาย ตอนนี้คุณนายน้อยเพิ่งตั้งท้องได้ไม่นาน การดูแลเด็กในท้องให้อยู่อย่างสงบถือเป็นเรื่องดีที่สุด อย่าว่าแต่จะกระทบถึงเด็กในท้องเลย เพียงแค่ขึ้นเขา ก็ทำให้คุณนายน้อยต้องสูญเสียพละกำลังอย่างมากแล้ว” ท่านหลงอธิบาย

“เอาล่ะ ไม่เป็นไรหรอกน่า ฉันรู้อยู่แก่ใจดี”

กู้ชิงหยิ่งโบกมือ แล้วพูดออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ขึ้น แต่เฉินตงไม่ยอมบอกฉัน ในเมื่อตอนนี้ฉันรู้แล้ว ก็ควรจะไปกราบไหว้คุณแม่สักครั้ง ในฐานะที่เป็นภรรยาของเฉินตง ถ้าหากตอนนี้ยังไม่ยอมไปกราบไหว้สักครั้ง ก็เท่ากับอกตัญญู”

คำว่าอกตัญญู ทำให้ท่านหลงไม่กล้าเอ่ยคำโต้แย้งใดๆ ออกมาอีก

จากนั้น กู้ชิงหยิ่งก็ก้มหน้า แล้วค่อยๆ ลูบท้องเบาๆ “อีกอย่าง ในฐานะที่ฉันเป็นลูกสะใภ้และตั้งท้องแล้ว ก็ควรที่จะไปบอกกล่าวแม่สามีสักคำไม่ใช่หรือ?”

ท่านหลงลังเลอยู่พักใหญ่ จากนั้นจึงพยักหน้ารับคำ

ในขณะที่กู้ชิงหยิ่ง ท่านหลง และฟ่านลู่กำลังเดินทางไปยังหลุมฝังศพของหลี่หลาน

เฉินตงก็มาถึงบริษัทอสังหาริมทรัพย์ไท่ติ่งพอดี

แต่เมื่อเข้าไปนั่งภายในบริษัทได้เพียงครู่เดียว ก็ได้รับข้อความสั่นๆ ในโทรศัพท์

เฉินตงหยิบขึ้นมาดูผ่านๆ ทันใดนั้นสีหน้าก็เคร่งขรึมลงทันที

เนื้อหาในข้อความนั้นเรียบง่าย

มีเพียงแค่สี่คำเท่านั้น

“ลูกชาย ระวัง!”

พ่อ!

เฉินตงรู้สึกตกใจ

ไม่สนใจเนื้อหาของข้อความ แต่รีบกดโทรกลับไปยังเบอร์ที่ส่งข้อความมาทันที

แต่เหมือนครั้งก่อน เมื่อมีเสียงเรียกสายดังขึ้น ปลายสายก็กดตัดสาย

เฉินตงรู้สึกร้อนใจ เขารีบส่งเบอร์โทรศัพท์ไปให้ท่านหลง ให้เรารีบแกะรอยทันที

จากนั้นจึงตอบกลับข้อความไป พ่อ ตอนนี้พ่ออยู่ที่ไหน?

จากนั้นก็เข้าสู่ช่วงเวลาที่ต้องนั่งรออย่างใจจดใจจ่อ

ครั้งก่อนที่พ่อส่งข้อความมา ก็เป็นเหมือนกับครั้งนี้ทุกประการ

สิ่งเดียวที่ต่างออกไปก็คือ ครั้งก่อนเป็นการส่งข่าวว่ายังสบายดี แต่ครั้งนี้กลับเป็นการแจ้งเตือน

ถ้าเช่นนั้น……ให้ระวังเรื่องอะไรกันแน่?

เฉินตงขมวดคิ้วแน่น ความคิดของเขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว

ตอนนี้ที่ที่เขาและพ่ออยู่นั้น เขาอยู่ในที่สว่าง ส่วนพ่อหายตัวไปเนื่องจากการลอบสังหาร ทำให้เข้าไปอยู่ในที่มืด ดังนั้นจึงสามารถมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างและอันตรายที่จะเกิดขึ้นได้มากกว่าเฉินตง

เรื่องที่สามารถทำให้พ่อซึ่งหลบซ่อนตัวอยู่ของเขา ส่งข้อความมาอย่างกะทันหันเช่นนี้ จะต้องไม่ใช่เรื่องเล็กๆ อย่างแน่นอน

“ตระกูลเฉิน?”

เฉินตงพึมพำออกมา

“อันตราย” ที่เขาพอจะนึกขึ้นได้ในตอนนี้คงมีเพียงแค่ตระกูลเฉินเท่านั้น

ไม่มีพ่อคอยปกครองตระกูลเฉิน หากคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินและคนในตระกูลเฉินต้องการลงมือกับเขาแล้วล่ะก็ คงเป็นเรื่องง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก

แต่ในขณะที่เกิดความคิดนี้ขึ้น เฉินตงกลับรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

พ่อหายตัวไปนานขนาดนี้แล้ว ผู้บริหารระดับสูงของตระกูลเฉินทั้งหมด ต่างก็กำลังออกตามหาพ่อ ในตอนแรกเขาเคยรู้สึกเป็นกังวล แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า ความระมัดระวังก็ค่อยๆ ลดลง

“หรือจะหมายถึง……hidden killers?”

เฉินตงเลิกคิ้ว จากนั้นจึงรีบส่ายหัวปฏิเสธความคิดทันที

ความคิดนี้ดูไร้สาระยิ่งกว่าตระกูลเฉินเสียอีก

ลุงเฉินเต้าจูนประกาศเจตนารมณ์ของเขา ถึงขนาดยอมทำลายกฎเกณฑ์ขององค์การ hidden killers ตอนนี้จึงไม่มีทางพุ่งเป้ามาที่เขาได้อีก

นอกเหนือจากนี้……

เฉินตงกำลังวนเวียนอยู่กับความสงสัย

ตระกูลที่เป็นศัตรูกับเขาในตอนนี้ ใช้เพียงแค่นิ้วหัวแม่มือก็เพียงพอที่จะนับออกมาได้ ตระกูลหลี่ถูกถอนรากถอนโคนไปแล้ว ส่วนตระกูลฉินแห่งซีสู่ ก็อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของฉินเย่และฉินเสี่ยวเชียน และไม่กล้าที่จะลงมือทำอะไรอีก

นอกเหนือจากนี้ ยังมีตระกูลที่เป็นศัตรูตระกูลอื่นอีกหรือ?

เวลาผ่านไปเกือบสิบนาที เฉินตงก็ยังไม่ได้คำตอบ

จู่ๆ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา

เฉินตงตั้งสติกลับมาได้ เมื่อเห็นว่าเป็นสายจากท่านหลง เขาก็รู้สึกโล่งใจขึ้นไม่น้อยทันที

“คุณชาย หมายเลขถูกยกเลิกการใช้งานไปแล้วครับ”

ในสายโทรศัพท์ เสียงของท่านหลงฟังดูเคร่งขรึม

“ยกเลิกการใช้งานอีกแล้วหรือ?”

ดวงตาของเฉินตง ฉายแววของความโมโหออกมาเล็กน้อย

ความเร็วในการยกเลิกการใช้งานครั้งนี้ เร็วกว่าครั้งก่อนเสียอีก!

พ่อ……กำลังกลัวอะไรอยู่กันแน่?

เบอร์โทรศัพท์ถูกยกเลิกไปแล้ว เขาจึงไม่จำเป็นต้องเฝ้ารอข้อความตอบกลับจากพ่ออีกแล้ว

“เอาล่ะ เข้าใจแล้ว”

เฉินตงวางสายโทรศัพท์ เดิมทีอารมณ์ที่สงบสุขในตอนเช้า บัดนี้กลับแปรปรวนขึ้นมา

ข้อความเตือนสี่คำที่พ่อส่งมา ทำให้เขารู้สึกเป็นกังวลและไม่อาจทำใจให้สงบได้ตลอดทั้งวัน

และเขาเองก็นึกไม่ออกจริงๆ ว่าตนเองควรต้องระวังอะไรกันแน่!

อารมณ์ที่แทบจะบ้าคลั่งนี้ คอยกวนใจเฉินตงอยู่ตลอดทั้งวัน

ถึงเวลาเลิกงานตอนหกโมงเย็น เฉินตงก็ออกจากบริษัทไปด้วยความว้าวุ่นใจ

หลังจากขึ้นรถ และกำลังจะสตาร์ทรถเพื่อกลับบ้าน

ก็มีสายโทรศัพท์ดังขึ้น

เฉินตงผงะไปสักครู่ ฉินเย่โทรมาตอนนี้ทำไม?

เขาสูดหายใจเข้าลึก เพื่อปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ จากนั้นเฉินตงจึงกดรับโทรศัพท์

ตอนที่ฉินเย่ซึ่งอยู่ปลายสายพูดประโยคแรกออกมา

เฉินตงก็รู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่าทันที ในที่สุดก็ตั้งสติกลับมาได้ว่า สิ่งที่พ่อต้องการเตือนคืออะไรกันแน่!

ในสายโทรศัพท์

ฉินเย่พยายามข่มอารมณ์ในน้ำเสียงเอาไว้อย่างถึงที่สุด

“พี่ตง! เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว วันนี้บริษัทของเราถูกเล่นงานในตลาด ขาดทุนไปกว่าหนึ่งพันล้านหยวน!”

ฝนตกลงมาอย่างหนัก

ฟ้าร้องและลมพัดแรง

ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าในค่ำคืนนี้

ขณะที่พวกของเฉินตงทั้งสามคนกลับเข้าไปภายในรถ ท่านหลงก็หันกลับไปมอง เห็นหลินหลิ่งตงและอู๋จุนหาวลงมาจากเขาพอดี และกำลังเดินตรงไปที่รถ

“คุณชาย หลินหลิ่งตงไม่สนใจหวางหนันหนันแล้วครับ”

ท่านหลงพูดเบาๆ

“เขาไม่โง่” เฉินตงพูด

ท่านหลงพยักหน้า

คนที่จะขึ้นมาอยู่ในระดับเช่นเดียวกับหลินหลิ่งตงได้ ก็คงไม่ใช่คนดีอะไรนัก ทั้งความเจ้าเล่ห์และการวางแผนต่างก็ยอดเยี่ยม อีกทั้งยังประเมิยสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างรอบคอบและถูกต้อง

ไม่ต้องพูดถึงอิทธิพลของเฉินตง เพียงแค่ให้หลินหลิ่งตงต้องตัดสินใจเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ผลลัพธ์ก็คงต้องออกมาเช่นนี้อยู่ดี

ไม่มีใครที่จะทนเห็นคนรักของตัวเอง ไปช่วยเหลือญาติพี่น้องโดยไม่สนใจผิดชอบชั่วดีได้

เมื่อเลือกที่จะช่วยเหลือโดยไม่คำนึงถึงผิดชอบชั่วดี ก็เท่ากับเป็นการเลือกที่จะทำผิดโดยไม่คำนึงถึงคุณธรรม

ความจริงก็เป็นเช่นนี้

หลินหลิ่งตงเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเฉินตงด้วยตาตัวเอง จึงยากที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้รู้สึกเศร้าใจได้

หากตอนนี้เขาไม่ตัดสินใจเลือก ก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าเฉินตงในตอนนี้ จะไม่กลายเป็นภัยต่อเขาในอนาคต

รถโรลส์-รอยซ์ค่อยๆ มุ่งหน้าไปยังเขาเทียนซาน

ระหว่างทาง บรรยากาศเต็มไปด้วยความอึดอัด

ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในคืนนี้ เป็นเหมือนกับพายุฝนที่กำลังพัดกระหน่ำอยู่ภายนอก

ท่านหลงและคุนหลุนเข้าใจความรู้สึกของเฉินตงในตอนนี้เป็นอย่างดี แม้แต่พวกเขาเอง ก็ยังรู้สึกตื่นตระหนกในใจ

ผู้ตายนั้นยิ่งใหญ่ และต้องถูกฝังเอาไว้อย่างสงบสุข นี่คือการแสดงออกถึงความเคารพและระลึกถึงที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ที่ผู้ยังมีชีวิตอยู่สามารถทำให้แก่ผู้ตายได้

อีกทั้งเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ก็ต้องมีใจอาฆาตด้วยกันทั้งนั้น

“เสี่ยวหยิ่ง ดึกมากแล้ว ไปพักผ่อนเถอะ”

ฟ่านลู่หยิบเสื้อคลุมออกมา แล้วคลุมลงไปบนตัวของกู้ชิงหยิ่ง เมื่อมองดูฟ้าผ่าและฝนที่ตกกระหน่ำอยู่ด้านนอก จึงพูดขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง “ตอนนี้เธอกำลังตั้งท้องเจ้าตัวเล็กอยู่ อากาศหนาว หากอยู่นานจะเป็นหวัดได้ แล้วเจ้าตัวเล็กจะเป็นเช่นไร?”

ตั้งแต่ที่พวกของเฉินตงทั้งสามคนออกไป กู้ชิงหยิ่งก็เริ่มเป็นกังวล นั่งรออยู่ในห้องนั่งเล่นตลอดเวลา และไม่ยอมกลับไปที่ห้องนอน สายตาเอาแต่จับจ้องไปที่ประตูของวิลล่าอย่างไม่วางตา

เธอไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่

แต่แววตาของเฉินตงทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจและหวาดกลัวอย่างมาก

“พี่เสี่ยวลู่ เขาเกิดเรื่องอะไรไหม?” กู้ชิงหยิ่งหันกลับไปถามฟ่านลู่ จนแทบจะอ้อนวอน “พี่ออกไปตามหาเขาเป็นเพื่อนฉันหน่อยได้ไหม? ฉันโทรศัพท์หาเขาไม่ติดเลย ปิดเครื่องไปแล้ว”

ฟ่านลู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่สามารถปิดบังความกังวลใจที่ซ่อนอยู่ในแววตาได้อีกต่อไป

เจตนาฆ่าของเฉินตงที่ปรากฏขึ้นก่อนที่จะออกไป เธอรับรู้ได้อย่างถูกต้องแน่นอน

ถึงขั้นว่า เธอมั่นใจยิ่งกว่ากู้ชิงหยิ่ง ว่าเฉินตงจะต้องเกิดเรื่องขึ้นอย่างแน่นอน

เพราะกู้ชิงหยิ่งอาศัยความเข้าใจที่ตนเองมีต่อเฉินตง

ส่วนเธอ อาศัยสัญชาตญาณของนักฆ่า ทำให้รับรู้ได้ถึงเจตนาฆ่าที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวของเฉินตง

แต่เธอไม่กล้าพูดความจริง เพราะจะยิ่งทำให้กู้ชิงหยิ่งหวาดกลัวและวิตกกังวลมากขึ้น

ลังเลอยู่สักพัก ฟ่านลู่ก็พูดขึ้นว่า “เธออย่าร้อนใจไปเลย ฉันจะลองโทรหาพี่คุนหลุนดู”

หยิบโทรศัพท์ออกมา แล้วกดโทรหาคุนหลุน ภายใต้การเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อของกู้ชิงหยิ่ง

แต่กลับได้ยินเพียงเสียงตอบรับอัตโนมัติของระบบ ทำให้แววตาที่เต็มไปด้วยความหวังของกู้ชิงหยิ่งหม่นหมองลงทันที

ปิดเครื่อง!

กู้ชิงหยิ่งประสานมือทั้งสองข้างไว้แน่นทันที และเม้มริมฝีปากแดงระเรื่อของเธอ

“อย่าเพิ่งกังวลไป ยังมีโทรศัพท์ของท่านหลงอีกคน” ฟ่านลู่รู้สึกหวาดหวั่นเล็กน้อย

เธอไม่กลัวว่ากู้ชิงหยิ่งจะลากเธอออกไปตามหาคนข้างนอก แต่เธอเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของพวกเฉินตงทั้งสามคน

สามคนออกไปข้างนอก สองคนปิดโทรศัพท์ จะต้องเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นอย่างแน่นอน!

“ดี” กู้ชิงหยิ่งระงับความกลัวภายในจิตใจเอาไว้ แล้วพยักหน้า

ในขณะที่ฟ่านลู่กำลังเตรียมต่อสายหาท่านหลงอยู่นั้น

แอ๊ด!

ประตูใหญ่ของวิลล่าเปิดออก

พวกของเฉินตงทั้งสามคนที่เนื้อตัวเปียกปอนไปด้วยฝน เดินเข้ามา

กู้ชิงหยิ่งและฟ่านลู่รู้สึกดีใจในทันที

แต่เมื่อเห็นสภาพที่เปียกปอนไปด้วยฝนของทั้งสามคน ทั้งสองก็อึ้งไปพร้อมกันทันที

“พวกคุณไปไหนกันมา?”

กู้ชิงหยิ่งหน้าถอดสี เธอรีบวิ่งเข้าไปหาเฉินตงด้วยความร้อนใจ และพุ่งเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของเฉินตง โดยไม่สนใจว่าเนื้อตัวของเขากำลังเปียกปอนอยู่ “คุณไม่บอกฉัน ฉันยังพอจะเข้าใจได้ แต่ทำไมต้องปิดโทรศัพท์ด้วย คุณรู้ไหมว่าฉันเป็นห่วงคุณแค่ไหน?”

ใบหน้าที่เย็นชาราวกับน้ำแข็งของเฉินตง ในที่สุดก็ค่อยๆ กลับมามีความรู้สึกอีกครั้ง

สัมผัสได้ถึงมือทั้งสองข้างที่โอบเอวของเขาเอาไว้แน่น เฉินตงก็รีบกล่าวขอโทษ “ขอโทษด้วย ต่อไปจะไม่ทำอีกแล้ว ผม……”

ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ

กู้ชิงหยิ่งก็ผละตัวออกมาจากอ้อมกอดของเฉินตง แล้วรีบตะโกนเรียกให้ฟ่านลู่นำผ้าขนหนูมา เพื่อให้ทั้งสามคนเช็ดน้ำฝนที่เปียกอยู่บนตัว

“คุณไม่ต้องรีบอธิบายอะไรกับฉันทั้งนั้น คุณรีบกลับไปถอดเสื้อผ้าที่ห้องนอนเสียก่อน แล้วอาบน้ำร้อนสักหน่อย สวมใส่เสื้อผ้าเปียกชื้นเช่นนี้ จะทำให้เป็นหวัดเอาได้ง่ายๆ”

กู้ชิงหยิ่งพูดอย่างจริงจัง

เฉินตงผงะไป ตอนนี้ ในใจของเขารู้สึกอบอุ่นขึ้นมาทันที

เขาพยักหน้าแล้วขึ้นไปชั้นบน

กู้ชิงหยิ่งหันไปกำชับกับท่านหลงและคุณหลุนอีกครั้ง ให้ฟ่านลู่เป็นคนดูแลพวกเขา หลังจากนั้นเธอก็รีบตามเฉินตงขึ้นไปชั้นบน

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”

ฟ่านลู่ช่วยเช็ดน้ำฝนบนตัวของท่านหลงและคุนหลุนไปพลาง และเอ่ยถามไปพลางด้วยความเป็นห่วง “เมื่อครู่ตอนที่คุณเฉินตงไปข้างนอก มีเจตนาฆ่าที่รุนแรงแผ่ซ่านออกมาทั่วตัว ทำให้ฉันรู้สึกตกใจจริงๆ”

ท่านหลงถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นจึงหยิบผ้าขนหนูขึ้นมาเช็ดตัว แล้วเดินขึ้นชั้นบนไป “ฉันขอตัวขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน”

คุนหลุนยืนนิ่ง ปล่อยให้ฟ่านลู่เช็ดน้ำฝนที่อยู่บนตัว แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “หลุมศพของคุณนายถูกคนขุดทำลาย แล้วยังนำเอาเถ้ากระดูกของคุณนายขึ้นมาอีก”

เปรี้ยง!

ฟ่านลู่ยืนอึ้งไป ราวกับถูกฟ้าผ่า

หลังจากนั้นเพียงครู่เดียว

เธอก็พูดออกมาอย่างดุดันว่า “ใครกันที่สมควรตายเช่นนี้?”

“อดีตแม่ยายของคุณชาย”

แววตาของคุนหลุนเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและขุ่นเคืองใจ “ฆ่าตายไปแล้ว”

“สมควรฆ่า!” ฟ่านลู่กัดฟันพูด

ภายในห้องนอน

เสียงน้ำไหลอยู่ภายในห้องอาบน้ำ

เฉินตงยืนอยู่ใต้ฝักบัวโดยไม่ถอดเสื้อผ้าออก ปล่อยให้น้ำไหลผ่านชำระร่างกาย

เขาเงยหน้าขึ้น ปิดตา และสัมผัสถึงอุณหภูมิอุ่นๆ ของน้ำที่ไหลผ่านแก้มลงมา และเปียกไปทั่วร่างกาย

แม้กระทั่งตอนนี้ ก็ยังยากที่จะสงบจิตใจได้ ราวกับมีคลื่นลูกใหญ่ถาโถมเข้ามา

ความรู้สึกอัดแน่นอยู่ภายในอกอย่างรุนแรง

รู้สึกผิด จนแทบจะหายใจไม่ออก

แอ๊ด!

กู้ชิงหยิ่งผลักประตูห้องน้ำเข้ามา และมองดูเฉินตงที่ยืนอยู่ใต้ฝักบัวด้วยความประหลาดใจ

“ที่รักคะ คุณเป็นอะไรกันแน่?”

“ไม่เป็นไร คุณออกไปก่อนเถอะ อย่าทำให้ตัวต้องเปียก อีกเดี๋ยวผมก็ออกไปแล้ว”

เฉินตงหันหน้าไปมองกู้ชิงหยิ่งหนึ่งครั้ง ไม่ต้องการให้กู้ชิงหยิ่งเป็นกังวล และกลัวว่ากู้ชิงหยิ่งจะอารมณ์เสีย จึงจงใจฝืนยิ้มออกมา

กู้ชิงหยิ่งขมวดคิ้ว ไม่เพียงแต่ไม่ยอมถอยออกมา แต่เธอกลับเดินเข้าไปในห้องอาบน้ำ

เธอกอดเฉินตง โดยไม่สนใจว่าเขาเปียกไปทั้งตัว ซบหัวของเธอลงไปบนอกของเฉินตง “คุณลืมที่ฉันพูดแล้วหรือ? เวลาที่คุณโกหกฉัน ในแววตาของคุณเต็มไปด้วยพิรุธ!”

เฉินตงผงะไป

กำลังจะอ้าปากพูด

กู้ชิงหยิ่งก็พูดขึ้นมาเบาๆ ว่า “ฉันรู้ว่าเมื่อครู่ต้องเกิดเรื่องใหญ่กับคุณแน่นอน และฉันก็รู้ด้วยว่าตอนนี้คุณรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก คุณไม่ต้องบอกฉันก็ได้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ แต่คุณสามารถกอดภรรยาของคุณสักพักแล้วร้องไห้ออกมาได้ ฉันไม่อยากให้คุณต้องข่มความรู้สึกของตัวเองเอาไว้เพราะฉัน”

น้ำเสียงอันอบอุ่น เอาชนะความงดงามอื่นใดได้ทั้งหมด

โจมตีเข้าที่หัวใจของเฉินตง ราวกับถูกค้อนทุบเข้าอย่างจัง

กู้ชิงหยิ่งเงยหน้า ปล่อยให้สายน้ำไหลผ่านใบหน้า และยังคงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “วางใจเถอะ เปิดฝักบัวอยู่ ต่อให้คุณร้องไห้ออกมา พวกเขาก็ไม่มีทางได้ยิน ภรรยาของคุณจะช่วยเก็เป็นความลับให้เอง”

เฉินตงสบตากับกู้ชิงหยิ่งแล้วยิ้มออกมา

แต่ในขณะที่ยิ้ม ก็มีน้ำตาไหลรินออกมาจากหางตาในเวลาเดียวกัน

ตัวของเขาสั่นเทา ในที่สุด เอาก็ซบลงไปในอ้อมกอดของกู้ชิงหยิ่ง

เสียงน้ำไหลช่วยอำพรางเสียงร้องเอาไว้จนหมดสิ้น

มีเพียงกู้ชิงหยิ่ง ที่ค่อยๆ ลูบหลังเฉินตงเบาๆ และพูดปลอบใจเขา….

เสียงปืนดังขึ้น

ดูเหมือนเวลาจะเดินช้าลง

เสียง “เปรี้ยง” ดังขึ้นในหัวของหวางหนันหนัน ร่างกายที่ดูบอบบางไร้เรี่ยวแรง กลับฟื้นคืนพละกำลังขึ้นมา เธอลุกขึ้นและหันหลังกลับในทันที

เลือดสีแดงสดกระเซ็นใส่ใบหน้าของเธอ

หวางหนันหนันยืนนิ่งไปทันที

ภาพที่เห็นคือ ใบหน้าของจางซิ่วจือที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว โกศที่ถืออยู่หลุดออกจากมือ ส่วนร่างกายของเธอก็ล้มลงไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว

ตรงหว่างคิ้วมีจุดสีแดงฉานราวกับดอกบ๊วย

“คุนหลุน!”

ในขณะนั้นเอง เสียงตะโกนดังลั่นของท่านหลงก็ดังขึ้นมา

คุนหลุนที่กำลังคุกเข่าอยู่ที่พื้น พุ่งตัวออกไปราวกับลูกศร เขาพลิกตัวในอากาศ และรับโกศของหลี่หลานเข้ามาไว้ในอ้อมกอด และกระแทกตัวลงบนพื้นอย่างหนัก

แรงกระแทกเกือบทำให้คุนหลุนหมดสติไป เขายังคงทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หันกลับมาพูดว่า “คุณชาย ไม่เป็นไรครับ!”

เฉินตงพยักหน้า “ฝังแม่ของฉันใหม่อีกครั้ง”

ขณะที่พูด เขาโน้มตัวลงไปหยิบถุงใบใหญ่ที่พื้น แล้วค่อยๆ เดินไปยังหลุมฝังศพของหลี่หลาน

ขณะที่เดินผ่านร่างของจางซิ่วจือ เขาไม่แม้แต่จะหันไปมองสักนิด ทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ท่านหลงรีบเดินนำไปด้านหน้า

ส่วนหลินหลิ่งตงยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เขาจุดบุหรี่ขึ้นสองมวน แล้วยื่นให้อู๋จุนหาวหนึ่งมวน

“นายยังลงมือไม่เร็วพอ! หากเร็วกว่านี้สักหน่อย ไม่แน่ว่าฉันคงไม่ต้องเกลียดผู้หญิงคนนี้แล้ว”

คำพูดนี้ ดูเหมือนกำลังกล่าวโทษ แต่อีกด้านก็เป็นการแสดงออกถึงความรู้สึกที่แท้จริง ที่มีต่อหวางหนันหนันในตอนนี้

“ขอโทษด้วยครับเจ้านาย” อู๋จุนหาวก้มหน้าแล้วกล่าวขอโทษ

และในเวลานี้

หวางหนันหนันที่กำลังอยู่ในอาการตกใจ ก็ตั้งสติกลับมาได้อีกครั้ง

“แม่……”

เธอดูราวกับคนเสียสติ วิ่งล้มลุกคลุกคลานเข้าไปหาจางซิ่วจือ

จางซิ่วจือสิ้นลมหายใจไปนานแล้ว ดวงตาเบิกโพลง ริมฝีปากเผยอเล็กน้อย ดวงตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้น ทำให้นอนตายตาไม่หลับ

หวางหนันหนันรู้สึกปวดใจราวกับถูกมีดกรีด เธอกอดร่างของจางซิ่วจือเอาไว้ แล้วร้องไห้ออกมาราวกับจะขาดใจ

“ทำไมแม่ถึงได้โง่อย่างนี้ ทำไมแม่ถึงไม่ฟังที่หนูเตือน หนูอยากที่จะช่วยแม่ หนูเป็นลูกสาวของแม่ หนูจะไม่ช่วยแม่ได้อย่างไร?”

เสียงร้องไห้ด้วยความโศกเศร้าดังก้องกังวานไปทั่วผืนป่าและเขา

แต่ตอนนี้กลับไม่มีใครสนใจ

แม้แต่หลินหลิ่งตงเองก็ยืนสูบบุหรี่นิ่ง

เฉินตงจุดธูปและเผากระดาษเงินกระดาษทองที่หน้าหลุมศพของหลี่หลาน พยายามข่มน้ำตาเอาไว้ไม่ให้ไหลออกมา แล้วค่อยๆ รับโกศในมือของคุนหลุนมาอย่างทะนุถนอม

มองดูโกศที่ได้รับความเสียหาย ก็นึกถึงภาพที่จางซิ่วจือโปรยเถ้ากระดูก

เฉินตงรู้สึกปวดใจราวกับถูกมีดกรีด ถึงแม้จะพยายามข่มอารมณ์เอาไว้อย่างถึงที่สุด แต่ก็ยังไม่สามารถระงับน้ำตาที่ไหลออกมาจากหางตาได้

ริมฝีปากสั่นเทา ส่งเสียงแหบพร่าอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ออกมา “เป็นเพราะลูกอกตัญญู เป็นเพราะลูกอกตัญญู ที่ปล่อยให้สัตว์ร้ายมารบกวนการนอนหลับอย่างสงบของแม่”

เฉินตงค่อยๆ ฝังโกศของหลี่หลานกลับลงไปในหลุมอย่างระมัดระวัง เขานั่งคุกเข่าอยู่ด้านข้างแล้วใช้มือทั้งสองค่อยๆ โกยดินกลบลงไปในหลุม

น้ำตายังคงไหลรินออกมาจากดวงตาที่แดงก่ำ

ต่อให้มือทั้งสองข้างจะถูกเศษกรวดในหลุมศพบาดเข้าจนเลือดออก ก็ยังไม่ยอมหยุด

ความโกรธแค้นและเจตนาฆ่าที่รุนแรงก่อนหน้านี้ ตอนนี้ได้แปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกผิดอย่างมหันต์

ในฐานะที่เป็นลูก ไม่สามารถทำให้แม่จากไปอย่างสงบได้ ถือเป็นการอกตัญญู

ในฐานะที่เป็นลูก ไม่สามารถทำให้แม่นอนตายตาหลับได้ ยิ่งเป็นความผิดอันใหญ่หลวง และเป็นการอกตัญญูอย่างยิ่ง

“คุณชาย ผมช่วยครับ”

คุนหลุนแสดงสีหน้าสะเทือนใจออกมา เขาคุกเข่าลงที่หลุมศพ และกำลังจะโกยดินขึ้นมา

“หยุด!”

เฉินตงจ้องมองไปที่คุนหลุนด้วยแววตาที่ดุร้ายเหมือนสัตว์ป่า แล้วตะคอกเสียงดังว่า “นี่คือแม่ของฉัน ฉันจะทำเอง!”

คุนหลุนตกใจ และรีบถอยกลับไปอยู่ตรงหน้าหลุมศพ แล้วช่วยท่านหลงเผากระดาษเงินกระดาษทอง

หลุมศพเล็กๆ ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ด้วยมือทั้งสองข้างที่เปื้อนไปด้วยเลือดและโคลนของเฉินตง

เมื่อทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย

เฉินตงก็เดินไปหน้าหลุมศพทั้งน้ำตา ไม่สนใจการขัดขวางของท่านหลงและคุนหลุน ใช้มือทั้งสองข้างที่เปื้อนไปด้วยเลือด วางโกศกลับลงไปใหม่อีกครั้งด้วยตัวเอง

เหลือไว้เพียงรอยประทับของฝ่ามือที่เปื้อนเลือดอยู่บนหลุมศพ

เฉินตงคุกเข่าลงตรงหน้าหลุมศพ มองดูรูปภาพที่พร่ามัวตรงป้ายหลุมศพ แล้วร้องไห้ออกมาโดยไม่มีเสียง

ราวกับว่ามีก้อนหินมากมายทับอยู่เต็มอก จนรู้สึกหนักอึ้ง แทบจะหายใจไม่ออก

น้ำตาไหลรินออกมาไม่หยุดราวกับสายน้ำไหล

ผู้ชายมักร้องไห้ออกมาในช่วงเวลาที่เจ็บปวดจริงๆ เท่านั้น

ภาพนี้ แม้แต่หลินหลิ่งตงและอู๋จุนหาวที่อยู่ออกไปไม่ไกล ต่างก็รู้สึกผิดและเห็นอกเห็นใจ

ในฐานะที่เป็นมนุษย์ และในฐานะที่เป็นผู้ชาย ใครจะไปทนเห็นเรื่องที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้ได้?

อีกอย่าง เรื่องทั้งหมดนี้ เป็นเพราะ……ผู้หญิงเสียสติคนเดียว!

น่าแค้นใจ!

น่ารังเกียจ!

“แม่……แม่……”

หวานหนันหนันกอดศพของจางซิ่วจือด้วยความสิ้นหวัง น้ำตาไหลรินลงมาเป็นสายไม่หยุด

เสียงค่อยๆ แผ่วลง เธอค่อยๆ ยกมือทั้งสองข้างขึ้น แล้วลูบลงบนใบหน้าของจางซิ่วจือ เพื่อให้ดวงตาทั้งสองข้างปิดสนิท

ทันใดนั้น เธอทรุดลงไปกับพื้น พยายามเอื้อมมือออกไปคว้าถุงใบใหญ่ที่เต็มไปด้วยกระดาษเงินกระดาษทอง ที่วางอยู่ตรงหน้าเฉินตงมา

ตุบ!

เฉินตงยกมือขึ้น แล้วปัดมือเธอออกไปอย่างแรง

หวางหนันหนันร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด และกล่าวอ้อนวอนทั้งน้ำตาว่า “พวกคุณฆ่าแม่ของฉันแล้ว ฉันแค่จะเผากระดาษเงินกระดาษทองให้เธอสักสองสามยังทำไม่ได้เลยหรือ?”

“คู่ควรหรือ?”

เฉินตงตอบกลับอย่างไม่แยแส

ราวกับมีมือขนาดใหญ่ มากดหวางหนันหนันให้จมดิ่งลงไปสู่นรก

ในขณะที่เธอกำลังจ้องมองด้วยน้ำตา เฉินตงโยนถุงใบใหญ่ทั้งใบ เข้าไปในกองไฟที่กำลังเผาไหม้กระดาษเงินกระดาษทองอยู่อย่างไม่แยแส เปลวไฟยิ่งลุกโชนขึ้นทันที

เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น เฉินตงก็หันไปคำนับป้ายหลุมศพของหลี่หลานสามครั้ง

จากนั้นจึงลุกขึ้นทันที

และเดินจากไป

“เฉินตง……”

หวางหนันหนันตะโกนเรียกเฉินตงเพราะต้องการพูดอะไรบางอย่าง

แต่เฉินตงกลับเดินต่อไป และพูดออกมาอย่างเย็นชาว่า “เธอควรจะขอบใจที่ฉันใจกว้าง ไม่อย่างนั้นตัวเธอเองก็สมควรตายด้วยเช่นกัน!”

น้ำเสียงอำมหิต ทำให้หวางหนันหนันรู้สึกราวกับตกลงไปอยู่ในถ้ำน้ำแข็งทันที เธอรู้สึกหนาวเหน็บไปทั้งตัว และสิ่งที่ต้องการจะพูดออกมาก็หยุดชะงักลงทันที

เฉินตงพาท่านหลงและคุนหลุนที่กำลังอยู่ในอาการโศกเศร้าเดินจากไป

ต่อให้เดินผ่านหลินหลิ่งตงไป ก็ไม่แม้แต่จะเหลือบมองเลยสักนิด

ความเย็นชาอย่างถึงที่สุดนี้ ทำให้หลินหลิ่งตงและอู๋จุนหาวต่างรู้สึกตกตะลึง

เปรี้ยง!

สายฟ้าฟาดผ่านท้องฟ้ายามค่ำคืนลงมา

ลมที่พัดท่ามกลางหุบเขาในยามค่ำคืน ตอนนี้ยิ่งพัดแรงขึ้นเรื่อยๆ

ก้อนเมฆที่จับตัวอยู่หนาแน่น ในที่สุดตอนนี้ก็ตกลงมาเป็นสายฝน

ฝนค่อยๆ โปรยปรายลงมาจากเมฆดำหนาทึบที่ปกคลุมอยู่

ยิ่งหนักขึ้นเรื่อยๆ

ซู่ ซู่ ซู่……

สายฝนที่เทกระหน่ำลงมา ทำให้เกิดเป็นเมฆหมอกหนาลอยอยู่ระหว่างท้องฟ้ากับพื้นดิน

หลินหลิ่งตงโยนก้นบุหรี่ที่อยู่ในมือลงบนพื้น แล้วหันหลังกลับอย่างเฉยเมย “จุนหาว ไปกันเถอะ”

หวางหนันหนันตัวสั่นและรู้สึกตกใจทันที

“หลิ่งตง คุณต้องช่วยฉันนะ! ต้องช่วยฉันฝังศพแม่ด้วย!”

เป็นคำพูดที่แทบจะวิงวอน

ทว่า

“เธอคู่ควรหรือ?” หลินหลิ่งตงตอบกลับอย่างไม่ไยดี

เมื่อเข้าไปถึงหูของหวางหนันหนัน เป็นเหมือนกับเสียงฟ้าผ่า

ใบหน้าของเธอบูดเบี้ยว และเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

“หลิ่งตง คุณ คุณหมายความว่าอย่างไร?”

“จบกันเถอะ”

หลินหลิ่งตงเงยหน้าขึ้นเผชิญกับสายฝนที่โปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า เขายกมือขวาขึ้นมาปาดน้ำฝนที่เปียกปอนอยู่บนใบหน้า แล้วยิ้มออกมาอย่างหดหู่ “ผม หลินหลิ่งตง ไม่ใช่คนดีอะไรนัก แต่ก็ยังไม่ถึงขนาดไม่รู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดี คนอย่างผม ไม่คู่ควรกับคุณหรอก ขอบคุณที่ทำให้ผมได้รู้จักคุณใหม่อีกครั้ง”

คำพูดเสียดแทงเชือดเฉือน

ทำให้หวางหนันหนันอึ้งไป

มองดูคนทั้งสองเดินจากไป ตอนนี้ในสมองนั้นว่างเปล่า

เสียงฟ้าร้องและสายฝนรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

ฝนตกกระหน่ำลงมาจนเปียกปอนไปทั่วร่างของเธอ เธอนั่งนิ่งอยู่กับพื้นราวกับรูปปั้น

หมดแล้ว ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว!

หวางหนันหนันใช้มือทั้งสองข้างกอดศพของจางซิ่วจือเอาไว้ ตอนนี้เธอค่อยๆ ทรุดตัวลงไปอย่างเงียบๆ

“ฮือ!”

จู่ๆ เธอก็แหงนหน้าขึ้น เผชิญหน้ากับสายฝนที่ตกลงมา แล้วส่งเสียงร้องที่บีบหัวใจออกมา…..

น้ำเสียงที่ดังก้องและเชือดเฉือนราวกับมีด

มีเสียงตบมือดังขึ้น ใกล้เข้ามาทุกทีๆ ร่างทั้งสามค่อยๆ เดินออกมาจากในความมืด

เฉินตงซึ่งกำลังก้มศีรษะลง ก็หยุดนิ่ง และเผยรอยยิ้มอำมหิตขึ้นที่มุมปากทันที

จางซิ่วจือที่กำลังมีท่าทีหยิ่งผยอง กลับแปลเปลี่ยนเป็นตกใจในทันที

เธอหันไปมองร่างทั้งสามที่เดินออกมาจากความมืดด้วยความโมโห และตะโกนด่าทอ “ใคร? ออกมาเดี๋ยวนี้นะ!”

“แม่……”

หวางหนันหนันตะโกนออกมาด้วยความโศกเศร้า

จางซิ่วจือผงะไป จากนั้นจึงยิ้มร่าออกมา

“หวางหนันหนัน พวกเราตัดสัมพันธ์กันแล้ว แกยังเรียกฉันว่าแม่อีก หมายความว่าอย่างไรกัน?”

ขณะที่พูด

หลินหลิ่งตงพาอู๋จุนหาวและหวางหนันหนันเดินเข้าไปหาเฉินตง

ใบหน้าของหวางหนันหนันเปียกปอนไปด้วยคราบน้ำตา เอามือปิดปากพร้อมจ้องมองไปยังจางซิ่วจือ และส่ายหัวไม่หยุด

หลินหลิ่งตนกลับไม่ได้สนใจ และช่วยประคองเฉินตงขึ้นมา

“ขอโทษด้วยครับคุณเฉิน ผมจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยด้วยตัวเอง”

“ดีมาก”

เฉินตงพยักหน้าอย่างเฉยเมย สายตาหันไปมองถุงใบใหญ่ที่อู๋จุนหาวถืออยู่ ซึ่งเต็มไปด้วยกระดาษเงินกระดาษทอง

ตอนนี้เอง เขาจึงหันไปหัวเราะกับหลินหลิ่งตง แล้วพูดว่า “ฉันพอใจมาก”

ทันทีที่พูดจบ

หวางหนันหนันที่ใบหน้าเปียกปอนไปด้วยน้ำตา ก็วิ่งเข้าไปหาจางซิ่วจือทันที

“แม่ รีบวางลงเร็วเข้า!”

ถึงจะไม่เกี่ยวข้องกันแล้ว แต่ก็ไม่อาจตัดขาดความสัมพันธ์ทางสายเลือดได้อยู่ดี

เมื่อตัดขาดความสัมพันธ์กันแล้ว ตอนนี้หวางหนันหนันยิ่งร้อนใจกว่าใคร

เธอรู้ดีว่าหลินหลิ่งตงพาเธอมาด้วยจุดประสงค์อะไร แต่เธอหวังว่าสิ่งนั้นจะไม่เกิดขึ้น เธอหวังว่าเรื่องนี้จะยังคงพอมีหนทางแก้ไขได้!

ทว่า

“นังเด็กโง่ หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ ฉันไม่ใช่แม่ของแก!”

ใบหน้าของจางซิ่วจือดูดุร้าย เธอแผดเสียงออกมา “ฉันรู้แผนกระจอกๆ ที่แกร่วมมือกับเจ้าหลินนี่ คิดที่จะช่วยพวกมันขัดขวางฉัน ยังดีที่สามีใหม่ของแกคนนี้มีเครดิตดี ไม่อย่างนั้นฉันจะบอกแกให้นะว่า ไม่มีทาง!”

ทันทีที่พูดจบ

จู่ๆ จางซิ่วจือก็ปล่อยมือด้านขวา ขี้เถ้าที่อยู่ในมือของเธอ ปลิวกระจัดกระจายไปทั่วบนท้องฟ้ายามค่ำคืน

ฉากนี้ไร้ซึ่งเสียงใดๆ

แต่ดูราวกับมีฟ้าผ่าตอนกลางวันแสกๆ ลงไปยังร่างของทุกคน

“แม่……”

หวางหนันหนันร้องไห้ออกมาเสียงดังด้วยความเจ็บปวด เธอรู้สึกเวียนหัว พลันทุกเข่าลงไปบนพื้น แล้วเริ่มร้องไห้ออกมาดังลั่นด้วยเสียงที่แหบพร่า

“แม่!”

เฉินตงจ้องมองด้วยความโกรธ ราวกับว่าดวงตาจะถลนออกมา อารมณ์ที่กำลังสงบอยู่ แปรเปลี่ยนเป็นปั่นป่วนราวกับคลื่นลูกใหญ่ทันที

ภาพของเถ้ากระดูกที่ฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศตรงหน้า ดูเหมือนจะลอยช้าลงอย่างมาก ระยะที่ลอยห่างออกไปเพียงเล็กน้อย แต่กลับไม่สามารถนำกลับคืนมาได้อีก!

“คุณนาย!”

ท่านหลงและคุนหลุนตะโกนเสียงดัง และคุกเข่าลงไปบนพื้น

มีเพียงหลินหลิ่งตง ที่แสดงสีหน้าเย็นชาออกมาในทันที

“ในเมื่อทำผิด ก็ต้องได้รับโทษอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ คนโง่เขลาเบาปัญญา แม้แต่เทวดาก็ไม่อาจช่วยได้!”

คำพูดหนึ่งประโยคซึ่งเต็มไปด้วยความโกรธแค้น

ในสายตาของทุกคนแล้ว การกระทำของหวางหนันหนันเมื่อครู่ ก็เพื่อต้องการเตือนจางซิ่วจือ และพยายามช่วยชีวิตเธอเอาไว้

แต่ในสายตาของผู้หญิงโง่เขลาที่กำลังเสียสติคนนี้ กลับกลายเป็น…… “แรงกระตุ้น”?!

หลินหลิ่งตงเหลือบมองอู๋จุนหาว จากนั้นจึงจุดบุหรี่ขึ้นอย่างเงียบๆ

“จุนหาว ส่งเธอไปตายได้แล้ว”

คำพูดประโยคนี้ พูดด้วยน้ำเสียงที่เบา แต่ก็เพียงพอที่ทุกคนจะสามารถได้ยิน

“ฆ่าฉัน? พวกแกกล้า!”

ใบหน้าของจางซิ่วจือเต็มไปด้วยความบ้าคลั่งและดุร้าย เธอชูโกศที่อยู่ในมือขึ้นมาทันที “ถ้าวันนี้ฉันเป็นอะไรไปแม้เพียงสักนิดแล้วละก็ เถ้ากระดูกของนังแพศยาคนนี้ จะไม่หลงเหลืออีกเลย ฉันจะดูซิว่าพวกแก มีใครกล้าบ้าง!”

ทว่า

หลังจากเสียงพูดที่เย่อหยิ่งของจางซิ่วจือสิ้นสุดลง ก็มีเสียง “คลิก” ของไกปืนดังขึ้นทันที

อู๋จุนหาวค่อยๆ ยกมือขวาขึ้น และหันปลายกระบอกปืนสีดำ เล็งเป้าไปยังจางซิ่วจือ

หัวใจของจางซิ่วจือเต้นระส่ำ

หากเป็นการเข้ามาแย่ง เธอมั่นใจอย่างยิ่งว่าเธอจะสามารถโยนโกศให้แตกเสียหายได้

แต่ถ้าหากเป็นปืน……

ตอนนี้ เธอซึ่งกำลังอยู่ในอาการบ้าคลั่ง ในที่สุดก็ค่อยๆ เกิดความหวาดกลัวขึ้นมาภายในจิตใจ!

ตุ้บ!

อู๋จุนหาวโยนถุงใบใหญ่ที่อยู่ในมือลงไปตรงหน้าหวางหนันหนัน “พี่สะใภ้ ให้เวลาคุณสามนาที!”

เกิดเสียง “เปรี้ยง” ดังขึ้นในสมองของหวางหนันหนัน เธอก้มลงมองถุงใบใหญ่ที่อยู่บนพื้นทั้งน้ำตาทันที

เมื่อเปิดซิปออก ก็สามารถมองเห็นกระดาษเงินกระดาษทองที่บรรจุอยู่ด้านในได้อย่างชัดเจน รวมถึงถ้วยและอาหารที่ยังอุ่นๆ อยู่

อาหารถ้วยนั้นคือ……อาหารมื้อสุดท้าย ที่เธอเตรียมให้แก่จางซิ่วจือ

แต่เมื่อเห็นเหตุการณ์เกิดขึ้นตรงหน้า เธอก็เหม่อลอยไป

หลังจากนั้นเพียงไม่นาน

จู่ๆ แววตาที่ฉาบไปด้วยคราบน้ำตาของหวางหนันหนัน ก็แปรเปลี่ยนเป็นความมุ่งมั่นขึ้นทันที

จู่ๆ เธอก็หันกลับมาและคุกเข่าให้กับเฉินตง พร้อมทั้งร้องไห้ และโขกหัวกับพื้นอย่างรุนแรง

“เฉินตง ขอร้องคุณปล่อยแม่ของฉันสักครั้ง ขอร้องคุณช่วยปล่อยเธอด้วย เธอไม่ได้ตั้งใจ เธอเองก็ถูกบีบบังคับ เห็นแก่ความเป็นสามีภรรยาตลอดสามปีของเรา ฉันขอร้องคุณล่ะ……”

ไม่ได้ตั้งใจ?

ถูกบีบบังคับ?

ดวงตาที่แดงก่ำของเฉินตงปรากฏเจตนาฆ่าขึ้นมาทันที และหัวเราะออกมาด้วยความโกรธ

ทันใดนั้น เขาก็หันมองหวางหนันหนันด้วยแววตาที่ดูราวสัตว์ร้ายที่กำลังกระหายเลือด

แววตาอำมหิต ทำให้หวางหนันหนันตกใจจนสีหน้าซีดเผือดทันที

“ปล่อยแม่ของเธอ? แล้วใครปล่อยแม่ของฉัน? ความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาตลอดสามปี ที่ถูกตระกูลหวางของพวกคุณเอาเปรียบมาโดยตลอด คอยบงการชีวิตของผมและแม่ รวมทั้งไม่สนใจว่าผมและแม่ของผมจะเป็นหรือตายอย่างนั้นหรือ?”

คำถามที่ถูกถามออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้หวางหนันหนันพูดอะไรไม่ออก

ตอนนี้ เธอนึกถึงช่วงเวลาที่ใช้ชีวิตร่วมกับเฉินตงตลอดสามปีขึ้นมาได้ทันที

หากจะพูดเรื่องของความรัก ดูเหมือนตระกูลหวางขอพวกเธอ จะไม่มีให้กับเฉินตงจริงๆ!

“พูดมาสิ! ไหนเธอลองพูดมา!”

เฉินตงแทบจะบ้าคลั่ง เขากัดฟัน แววตาเต็มไปด้วยความดุร้าย

ส่วนหลินหลิ่งตงที่อยู่ข้างๆ เมื่อเห็นแววตาของหวางหนันหนันในตอนนี้ ก็แสดงความรังเกียจที่เห็นได้ยากยิ่งออกมา!

“ฉัน……” หวางหนันหนันร้องไห้อย่างหนัก น้ำตาไหลรินลงมาราวกับสายฝน “แต่เธอเป็นแม่ของฉันนะ หรือว่า……หรือว่า……ที่ฉันนอนข้างๆ คุณมาตลอดสามปี จะแลกกับการปล่อยชีวิตเธอไปไม่ได้เลยหรือ?”

เมื่อพูดประโยคนี้ออกมา เท่ากับว่าเธอได้ทำลายเกียรติของตนเองไปหมดสิ้นแล้ว

ความรังเกียจที่ปรากฏอยู่ในสายตาของหลินหลิ่งตงยิ่งรุนแรงขึ้น

อู๋จุนหาวเองก็ขมวดคิ้วแน่น

แววตาของเฉินตงสั่นคลอดเล็กน้อย จากนั้นจึงส่ายหัวแล้วพูดขึ้นว่า

“นอนด้วยกันมาสามปี? เหอะๆ……นี่เป็นสิ่งที่เธอควรหยิบยกมาเป็นข้อต่อรองอย่างนั้นหรือ? มันช่าง……น่ารังเกียจจริงๆ!”

หวางหนันหนันตัวสั่น เธอรู้สึกอ่อนแรงราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่างทันที

เธอคุกเข่าลงไปบนพื้น เมื่อนึกถึงจางซิ่วจือที่ยืนอยู่ด้านหลัง แววตาของเธอก็กลับแน่วแน่ขึ้นมาอีกครั้ง

เธอต้องการช่วย!

ที่ยืนอยู่ด้านหลังคือแม่ของเธอเอง ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตก็ต้องช่วยให้ได้!

ทว่า

ตุ้บ!

มีหินก้อนหนึ่ง กระแทกลงบนหลังของหวางหนันหนัน

กระแทกเสียจนหวางหนันหนันฟุบลงไปบนพื้น

จากนั้น

จางซิ่วจือก็กรีดร้องออกมาและก่นด่าสาปแช่ง “หวางหนันหนัน แกเลิกแสดงละครได้แล้ว แกมันก็แค่ผู้หญิงไร่ค่า ตัดสัมพันธ์กับฉันแล้ว ตอนนี้ยังจะมาเสแสร้งแกล้งมีเมตตาอีกทำไม? ฉันรู้สึกสะอิดสะเอียนจริงๆ!”

เปรี้ยง!

หวางหนันหนันรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า ในขณะที่ฟุบอยู่นั้น ก็รู้สึกไร้ซึ่งเรี่ยวแรงที่จะกลับขึ้นมานั่งได้ใหม่

ตอนนี้เอง

เฉินตงค่อยๆ เดินเข้ามาหาหวางหนันหนันทีละก้าวๆ

จากนั้นจึงหยุดยืนอยู่ด้านหน้าถุงใบใหญ่ ที่อยู่ตรงหน้าของหวางหนันหนัน

ภาพนี้ ทำให้จางซิ่วจือตกใจจนใบหน้าบิดเบี้ยว

“อย่าเข้ามานะ ถ้าเข้ามาอีกฉันจะทำให้แกไม่ได้เห็นเถ้ากระดูกของแม่อีกเลย เงินล่ะ? เงินหนึ่งร้อยล้านที่ฉันต้องการล่ะ? เอามาให้ฉัน! ไม่อย่างนั้น เถ้ากระดูกของแม่แก จะไม่มีเหลืออีกเลย!”

“สกปรกจริงๆ!”

เฉินตงข่มความเจ็บปวดและโศกเศร้าเอาไว้ ทันใดนั้น เขายกมือขวาของเขาขึ้น แล้วหยิบถ้วยข้าวที่อยู่ในถุงใบใหญ่ขึ้นมาโยนลงบนพื้นอย่างแรง

เพล้ง!

เสียงถ้วยข้าวแตกกระจัดกระจาย

หวางหนันหนันที่ฟุบอยู่บนพื้นตัวสั่นเทา

หลังจากถ้วยข้าวแตกกระจาย เฉินตงก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา ราวกับลมหนาวที่พัดขึ้นมาจากขุมนรก

“สัตว์ร้ายเช่นนี้ ไม่สมควรที่จะได้กินข้าวมื้อสุดท้าย!”

ปัง!

หลังจากพูดจบ เสียงปืนก็ดังขึ้น

บรรยากาศค่ำคืนอันหนักอึ้งน่าอึดอัด

เสียงฟ้าร้องเปรี้ยงปร้างไม่หยุดพัก ฝนห่าใหญ่กำลังจะกระหน่ำ ทำให้อากาศเริ่มอึดอัดจนทำให้รู้สึกคล้ายจะขาดอากาศหายใจ

ไฟหน้ารถโรลส์-รอยซ์ ส่องแสงสว่างเสียดแทงลูกตาได้ถูกขับลงมาถึงด้านล่างเขาแล้วอย่างรวดเร็ว

เอี๊ยด!

รถหยุดลง

เฉินตงเดินลงมาจากรถด้วยความเคียดแค้น

เขาแต่งกายด้วยสูท สวมรองเท้าหนังก้าวอาดๆ ไปข้างหน้า ราวกับจะลากเมฆดำบนท้องฟ้าให้ก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับเขาด้วย

ความเคียดแค้นแผ่ซ่าน ท่าทางน่าหวาดหวั่น

ท่านหลงกับคุนหลุนเดินตามมาด้านหลังติดๆ ด้วยท่าทางระแวดระวัง

จากความรู้สึกของเขาทั้งสองคนในตอนนี้ ต่างรับรู้ได้ถึงความอาฆาตที่รุนแรงแผ่ออกมาจากร่างของเฉินตง

และความอาฆาตเช่นนี้ แม้คนที่อยู่กับเฉินตงมานานก็เพิ่งจะเคยเห็นเพียงครั้งเดียวตอนที่หลี่หลานถูกฆาตกรรมในพิธีแต่งงาน

ครั้งนั้น หากไม่ได้หลี่หลานสั่งเสียเอาไว้ก่อนตาย รวมทั้งมีสายตาของเฉินเต้าหลินและคนอื่นๆ จับจ้องอยู่ รวมทั้งยังมีฉินเย่คอยเตือนสติอยู่ด้วยแล้ว

ตอนนั้นเฉินตง…คงจะคลุ้มคลั่งภายใต้ความนิ่งสงบไปแล้ว!

แต่เขาทั้งสองคนไม่ได้ห้าม

เพราะพวกเขารู้ดีว่าความแค้นครั้งนี้ ต่อให้ห้ามอย่างไรก็ไร้ความหมาย

คืนนี้หากไม่หลั่งเลือด เฉินตงไม่มีทางหยุดอย่างแน่นอน

ท่านหลงกับคุนหลุนสบตากันก่อนจะเร่งฝีเท้าขึ้น

ป่ากลางเขา หน้าหลุมศพของหลี่หลาน

จางซิ่วจือกอดโกศใส่กระดูกเอาไว้แน่น เธอนั่งยิ้มมุมปาก สายตาเลื่อนลอย ราวกับกำลังฝันหวานเห็นภาพตัวเองร่ำรวยอยู่เช่นเดิม

เธอรอได้ เพราะอย่างไรเฉินตงก็อยู่ระหว่างทางแล้ว

ขอแค่เงินร้อยล้านอยู่ในมือ ปัญหาทุกอย่างขอเธอในตอนนี้ก็จบสิ้นไปทั้งหมด

ถ้าไม่ทำเรื่องบ้าๆ เธอจะต้องตาย

แต่หากทำเรื่องบ้าๆ เธออาจจะรอด

คนที่อับจนไร้หนทางอย่างจางซิ่วจือ ย่อมต้องเลือกอย่างหลัง

แน่นอนว่าความเป็นไปได้ทั้งสองทาง เป็นสิ่งเธอคิดเอาเอง

จางซิ่วจือก้มหน้า มือขวาของเธอค่อยๆ ยื่นเข้าไปตรงมุมโกศที่ถูกจอบทุบแตกเป็นรูเมื่อครู่ แล้วหยิบเถ้ากระดูกออกมา

เมื่อเห็นเถ้ากระดูกสีขาวเทาในมือ จางซิ่วจือก็แสยะยิ้มออกมาด้วยความเกลียดชัง

“แกมันชั้นต่ำจริงๆ ขนาดตายแล้วกลายเป็นขี้เถ้า ยังดูต่ำตมแบบนี้อีก”

ระหว่างพูด นิ้วมือขวาของเธอก็ค่อยๆ คลายออก

ลมราตรีพัดเอื่อย

ผุยผงเถ้ากระดูกก็ค่อยๆ ปลิวกระจายหายวับไปตามสายลมอย่างไร้ร่องรอย

จางซิ่วจือไม่ได้ใส่ใจ เธอยังคงก้มหน้าอย่างเลื่อนลอย แล้วถ่มน้ำลายใส่เถ้ากระดูกด้านในผ่านช่องว่างด้านบนที่เป็นรู

“นางแพศยา ถ้าฉันไม่มีความสุข ครอบครัวของพวกแกก็อย่าได้หวังจะมีความสุขเลย รอให้ฉันได้เงินก่อน คืนนี้ฉันจะยังไม่โปรยกระดูกของแกทิ้ง แต่จะต้องมีสักวันที่ฉันจะกลับมาจัดการแก เพราะแผนการแก้เผ็ดที่ร้ายกาจของพวกแกสองแม่ลูกที่ทำกับพวกฉัน ฉันจะทำให้แกนอนตายตาไม่หลับ”

จางซิ่วจือขมวดคิ้วแล้วมองเวลาบนมือถือ

“เวรเอ๊ย ไหนบอกว่าอยู่ระหว่างทางแล้ว ทำไมยังไม่ถึงอีก?”

สิ้นเสียงเอ่ย

พลันมีเสียงที่เต็มไปด้วยความเลือดเย็นดังมาจากที่ห่างไกลออกไป

“ขอโทษด้วยที่ทำให้คุณต้องรอนาน”

มาแล้ว!

จางซิ่วจือดีใจจนสติแทบหลุด ดวงตาของเธอสอดส่ายไปตามที่มาของเสียง

ค่ำคืนมืดมิด

เมื่อมองออกไป ก็จะเห็นเพียงแค่เงาร่างคนที่เลือนลางเท่านั้น

ระหว่างที่จางซิ่วจือกำลังดีใจอยู่นั้น ก็รีบคว้าไฟฉายที่อยู่ข้างตัวขึ้นมาแล้วส่องไปทิศทางนั้น

เมื่อใบหน้าแข็งกร้าวเย็นยะเยือกของเฉินตงปรากฏขึ้นในสายตาของเธอ ฉับพลันใบหน้าของเธอก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มสดใส

“เงินมาแล้ว!”

นี่คือความคิดในใจของจางซิ่วจือ

และด้วยเหตุนี้เธอจึงไม่ได้ใส่ใจความอาฆาตแค้นที่แผ่ออกมาอย่างเข้มข้นจากร่างของเฉินตง

เธอพูดห้วนๆ ขึ้นมาว่า “เงินล่ะ?”

“เงินกำลังมา เงินตั้งร้อยล้าน ต้องใช้เวลาในการเตรียม”

เฉินตงหรี่ตา ความเคียดแค้นแผ่ซ่านออกมาจากเขา มือทั้งสองข้างของเขายังคงอยู่ในกระเป๋ากางเกง ด้วยท่าทางสงบนิ่งไร้ความผิดปกติ

แต่สายตาของเขาในตอนนี้ไม่ได้มองไปที่จางซิ่วจืออีกต่อไปแต่จ้องเขม็งไปที่โกศใส่กระดูกของแม่ตน

รอยแตกตรงมุม ราวกับค้อนหนักๆ ที่ทุบเข้าไปในหัวใจของเขาอย่างอำมหิต

“กำลังมา? แกคิดว่าฉันโง่ขนาดนั้นเลยรึ?”

จางซิ่วจือเลิกคิ้วขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความคลุ้มคลั่ง เธอชูโกศใส่กระดูกแล้วลุกขึ้นยืน “แกคิดว่าครอบครัวของฉันจะโดนหลอกหรือโดนรังแกง่ายๆ งั้นหรือ คนห่วยแตกอย่างแกเตรียมเงินร้อยล้านต้องใช้เวลา แต่ถ้าโอนเงินร้อยล้าน แกแค่เอ่ยปากเพียงประโยคเดียวเท่านั้น!”

เฉินตงเงียบงัน

เมื่อจางซิ่วจือเห็นเฉินตงไม่ตอบโต้ ความโกรธของเธอก็ยิ่งเพิ่มขึ้น

เธอจึงชูโกศใส่กระดูกขึ้นแล้วตวาดเสียงแหลม “ฉันต้องการให้โอนเงินหนึ่งร้อยล้านเข้าบัญชีของฉัน ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าฉันใจดำเลยนะ ฉันรับประกันว่าจากสภาพลมคืนนี้ ผงเถ้ากระดูกของแม่แกจะต้องหาไม่เจอสักเศษเสี้ยวเดียวอย่างแน่นอน!”

เฉินตงหรี่ตาลง คมปลาบราวใบมีดที่แทงทีเดียวทะลุ

และในขณะเดียวกัน

เสียงต่อว่าที่แฝงไปด้วยความโกรธของท่านหลงก็ดังแทรกขึ้น “เธอไม่เคยเห็นเงินมาก่อนหรือ? คงจนมานานถึงได้คิดว่าคนมีเงินคือพระเจ้า?”

จางซิ่วจือชะงัก

ดวงตาที่เบิกกว้างของเธอจ้องเขม็งไปที่ท่านหลงกับคุนหลุนที่ตามเฉินตงมา “แกหมายความว่าไง?”

“เงินก้อนใหญ่ตั้งร้อยล้าน ต่อให้โอนผ่านบัญชีก็ต้องบอกธนาคารล่วงหน้าเอาไว้ก่อน คิดว่าตัวเองเป็นเจ้าของธนาคารหรือไง?” ท่านหลงเอ่ยหนักแน่นมีเหตุผล ในแววตาของเขาลุกโชนไปด้วยความโกรธ พร้อมกับจ้องไปที่โกศใส่กระดูกในมือของจางซิ่วจือ

จางซิ่วจือก้มหน้านิ่งไปสองสามวินาที ใบหน้าของเธอกำลังครุ่นคิดบางอย่างอยู่

จากนั้นเธอจึงแผดเสียงออกมา “อย่างนั้นก็รีบไปโอนตอนนี้เลย!”

“ตอนนี้เตรียมเอาไว้แล้ว!” เฉินตงเอ่ยเสียงเย็นเฉียบ

ส่วนท่านหลงกับคุนหลุนที่อยู่ข้างหลังหันมาสบตากันแล้วแสยะยิ้มในใจ

ดูท่าคงจะยากจนมานาน แม้แต่กฎระเบียบของธนาคารยังไม่เข้าใจ

แต่นี่ก็เป็นการถ่วงเวลาที่ดี ระหว่างรอให้หวางหนันหนันมาถึง

หากหลินหลิ่งตงยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ด้วยแล้วล่ะก็ ก็รอดูความโหดร้ายได้เลย หากดูเวลาแล้ว ตอนนี้ก็คงใกล้มาถึงเต็มที

ทว่า

ตอนนั้นสีหน้าของเฉินตง ท่านหลงและคุนหลุนเปลี่ยนไปพร้อมกัน พวกเขาเบิกตากว้าง ความเดือดดาลทะลักทะล้นออกมา

เพราะจู่ๆ จางซิ่วจือก็ยื่นมือล้วงเข้าไปในโกศ แล้วคว้าเถ้ากระดูกออกมาชูอยู่กลางอากาศ

“กล้าดียังไง!”

เฉินตงแผดเสียงตวาดลั่นราวกับสายฟ้าฟาด

จางซิ่วจือตกใจจนหน้าถอดสี แต่กลับยิ้มอย่างสะใจ

“ฉันต้องการให้แกคุกเข่าลง!”

“คุกเข่า?”

เฉินตงหรี่ตาแคบลงเป็นเส้นตรงอีกครั้ง มือทั้งสองข้างของเขากำหมัดแน่น เส้นเลือดบนหลังมือปูดโปน

ท่านหลงกับคุนหลุนต่างกัดฟันเดือดดาลไม่ต่างกัน

หยามเกียรติ!

นี่มันตั้งใจหยามเกียรติกันชัดๆ !

“คุกเข่าลงสิ!”

จางซิ่วจือตวาดลั่น “คุกเข่าลงแล้วขอโทษฉัน บอกว่าแกเสียใจกับเรื่องที่แกทำไว้กับตระกูลหวาง ไม่อย่างนั้น ฉันจะโปรยกระดูกของแม่แกทิ้งเดี๋ยวนี้!”

ประโยคนี้ร้ายกาจและสร้างความกดดันอย่างมาก

“คุณชาย…”

ท่านหลงเดือดดาล เรื่องเสียเกียรติเช่นนี้ เขาไม่มีทางยอมให้เฉินตงทำแน่

แต่คำว่า “คุณชาย” เพิ่งหลุดออกจากปากไป

ดวงตาของเขาพลันหรี่เล็กลงอย่างถึงที่สุด

เฉินตงที่ยืนนิ่งไม่ไหวติง งอขาและคุกเข่าลงอย่างไม่ลังเล

ตึ้ง!

เสียงเข่ากระทบลงบนพื้น คล้ายเสียงฟ้าผ่าที่ดังขึ้นข้างหูของท่านหลงกับคุนหลุน

“ถ้าแม้แต่กระดูกของแม่ตัวเองยังปกป้องไว้ไม่ได้ ฉันก็ละอายใจที่จะเป็นคนต่อไป!”

เสียงแหบพร่าราวกับเฉินตงพยายามเค้นเสียงนี้ออกมาจากลำคอของตน

ท่านหลงกับคุนหลุนเวลานี้โกรธจนแทบคลั่ง พวกเขาหันหน้าไปมองจางซิ่วจือด้วยความคิดที่อยากจะฆ่าหล่อนให้ตายไปเดี๋ยวนี้!

“ฮ่าๆๆ…”

จางซิ่วจือเงยหน้าหัวเราะอย่างสะใจ “แกมันคนห่วยแตก ตอนที่จัดการครอบครัวของฉัน เคยคิดเอาไว้บ้างไหมว่าจะต้องเจอกับเรื่องในวันนี้? ทำอะไรไว้ ก็ต้องได้รับผลกรรมอย่างนั้น ทั้งหมดในวันนี้คือเวลาที่แกต้องชดใช้!”

“ก้มหัวขอโทษฉัน! โขกหัวลงแรงๆ!”

จางซิ่วจือได้ใจจนลืมทุกอย่างไปสิ้น ในตอนนี้เธอต้องการที่จะระบายความแค้นทั้งหมดที่มีต่อเฉินตงออกมา

“คุณชาย…”

ตอนนั้นท่านหลงกับคุนหลุนก้าวออกมาข้างหน้าพร้อมกัน เตรียมจะเข้ามาขวางเฉินตง

แต่เฉินตงกลับยกมือขึ้นมาห้ามเอาไว้ด้วยดวงตาแดงก่ำ แล้วเอ่ยอย่างสงบว่า “ได้ ฉันจะก้ม…”

ยังไม่ทันจบประโยค

“แปะๆๆๆ…”

เสียงปรบมือดังขึ้นมาจากความมืดมิดด้านหลัง

จากนั้น

เสียงเย็นเฉียบราวใบมีดคมๆ ก็ลอยออกมา

“ถูกต้อง ทำอะไรไว้ ก็ต้องได้รับกรรมอย่างนั้น”

เปรี้ยง ครืน…

ฝนในฤดูใบไม้ร่วงตกปรอยๆ

ท้องฟ้าในค่ำคืนเช่นนี้ ไม่รู้ว่าเมฆดำก่อตัวเป็นชั้นหนาๆ ตั้งแต่เมื่อใด

เสียงฟ้าร้อง ดังขึ้นกลางเมฆสีดำอย่างไม่ขาดตอน

ราวกับพร้อมจะแปรสภาพกลายเป็นฝนได้ทุกเมื่อ

ลมราตรีเย็นสบาย

พัดเอาต้นไม้ใบหญ้าในป่าส่งเสียง

โคมไฟหลายดวงสุกสว่างปรากฏขึ้นกลางป่า

เงาร่างนั้นเคลื่อนที่ไปอย่างสั่นไหว ผอมบางและบิดเบี้ยว

แก๊ก … แก๊ก…

ดวงตาของจางซิ่วจือแดงก่ำ เธอออกแรงกวัดแกว่งจอบในมือ ดินในหลุมที่ถูกขุดออกมาแล้วกองรวมกันอยู่ด้านข้างหลุม

เธอเหงื่อออกทั่วหน้า หายใจหอบแรง แต่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดพัก

และในตอนนั้นเอง ปลายหางตาของเธอเหลือบไปเห็นรูปภาพของหลี่หลานที่อยู่บนป้ายหลุมศพ

ร่างของจางซิ่วจือสั่นสะท้าน หัวใจของเธอเต้นระส่ำจากความหวาดกลัว

และยิ่งมีแสงจากโคมไฟ รวมทั้งสรรพเสียงที่ดังอยู่รอบๆ ก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกขนลุกซู่

ตึ้ง!

จางซิ่วจือถีบไปที่ป้ายบนหลุมศพเต็มแรงและกัดฟันด่ากราด “นางแพศยา แกมันสมควรตาย! ตอนมีชีวิตอยู่ ฉันรังแกแกได้ ต่อให้แกตายแล้ว ฉันก็จะขุดหลุมเอาแกขึ้นมา!”

ดวงตาแดงฉาน แววตากระสับกระส่าย

ยิ่งเห็นรูปภาพบนหลุมศพของหลี่หลาน จางซิ่วจือก็ยิ่งรู้สึกขนลุก

เธอกัดฟันกรอด แล้วยกจอบขึ้นใช้คมจอบฟันไปที่รูปภาพของหลี่หลานจนแตกละเอียด

ทันใดนั้น

โครม!

จางซิ่วจือใช้จอบทุบไปที่ป้ายบนหลุมศพเต็มแรง

หลังจากทุบต่อเนื่องไปหลายครั้ง ป้ายหลุมศพที่ไม่ค่อยแข็งแรงนักก็ส่งเสียงหักและร่วงลงบนพื้น

จากนั้น จางซิ่วจือก็กัดฟันขุดหลุมศพต่อไป

“ฉันจะขุดแกขึ้นมา แล้วเอาเถ้ากระดูกแกไปรีดเงินจากคนเส็งเคร็งอย่างเฉินตงนั่น เขาต้องยอมให้เงินแน่!”

จางซิ่วจือขุดหลุมไปพลางก่นด่าพึมพำราวกับคนเสียสติ “เฉินตง ไอคนเส็งเคร็ง คิดว่าจะรังแกครอบครัวของเราง่ายๆ งั้นรึ คิดแผนการขึ้นมาเพื่อหาเรื่องหย่ากับหวางหนันหนัน นางลูกสาวตัวดีนั่น จนพวกเราไร้บ้าน แกคิดว่าฉันโง่หรือไง?”

“เงินแค่ไม่กี่ล้านจะไปพอได้ยังไง? ไม่พอหรอก ไม่มากพอให้ฉันยอมแพ้ คราวนี้ฉันต้องได้อีกร้อยล้าน!”

“ไม่ให้หรอ ถ้าคนเส็งเคร็งนั่นไม่ยอมให้ ฉันจะเอากระดูกแกไปทิ้ง! ไม่สิ เขาต้องให้แน่ คนไม่เอาไหนอย่างเขากตัญญูกับแกมากที่สุด ต่อให้แกกลายเป็นเถ้าถ่านแบบนี้ไปแล้ว เขาก็ยังคงโง่กตัญญูแกต่อไป”

คำพูดจาชั่วร้ายนี้ เต็มไปด้วยความโกรธชัง

แต่อารมณ์ที่พลุ่งพล่าน ทำให้ท่าทางของเธอใกล้จะเป็นคนบ้า

จางซิ่วจือในเวลานี้ เดินทางมาถึงทางตันจนทำเรื่องคลุ้มคลั่งเสียสติเช่นนี้

เธอต้องการเงิน!

เงินจำนวนมาก!

เธอถึงจะสามารถใช้หนี้หมดและเอาเงินที่เหลือไปใช้ชีวิตอย่างสุรุ่ยสุร่ายต่อไป

รู้จักประหยัดจนร่ำรวยนั้นไม่ลำบาก แต่หากร่ำรวยแล้วแปรเปลี่ยนเป็นคนจนชีวิตย่อมลำบาก

เธอไม่เพียงกลัวการกระโดดตึกตายเท่านั้น แต่เธอไม่ต้องการกลับไปใช้ชีวิตเหมือนอย่างเมื่อก่อนด้วย!

“ฉันมาไกลเกินไปแล้ว!”

หลังจากก่นด่าจบก็มีเสียงดังขึ้น

เคร้ง!

ระหว่างที่จอบฟันลงไปบนดินอย่างแรงจนขุดเอาดินขึ้นมา ก็เกิดเสียงคล้ายเครื่องกระเบื้องแตก

เสียงแตกร้าวนี้ เมื่อเข้าไปอยู่ในหูของจางซิ่วจือกลับกลายเป็นเสียงที่มาจากสวรรค์

ดวงตาของเธอสว่างไสว และค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความสะใจ

ช่วงเวลานั้น เธอไม่รู้จักความกลัวอีกต่อไป!

“ต่อให้ขุดหลุมออกมาแล้ว นางแพศยาหลี่หลานก็ยังคงทำประโยชน์ให้ครอบครัวเราอยู่”

จางซิ่วจือปาดเหงื่อบนหน้าของตน เธอโยนจอบทิ้ง และใช้สองมือปัดดินที่เหลืออยู่บนหลุมออก

จากนั้นจึงยกโกศใส่กระดูกออกมา เพียงแต่ขอบด้านข้างโดนจอบฟันจนแตกไปแล้ว ทำให้เห็นกระดูกสีขาวเทาอยู่ด้านในอย่างชัดเจน

“เงินทั้งนั้น ของในนี้คือเงินร้อยล้าน!”

จางซิ่วจือตาแดงแสยะยิ้มขึ้นมา เธอกอดโกศใส่กระดูกเอาไว้แล้วนั่งอยู่บนหลุมศพของหลี่หลาน เธอเอ่ยออกมาอย่างมีความคาดหวังเต็มเปี่ยม “รอให้ได้เงินมาก่อนเถอะ พวกแกจะต้องเสียใจ ผู้ชายสารเลวอย่างหวางเต๋อ อยากหย่าก็หย่าเลย ฉันไปหาคนที่หนุ่มกว่าแกก็ได้!”

“หวางหนันหนัน นางลูกไม่รักดี ฉันคลอดแกออกมา เลี้ยงแกมายี่สิบกว่าปี อยู่ๆ ก็มาบอกมาตัดแม่ตัดลูกกัน รอให้ฉันมีเงินก่อน นางเด็กหัวอ่อนนั่นจะต้องกลับมาร้องเรียกฉันว่าแม่”

ระหว่างที่พูด เธอก็ยิ่งจับโกศใส่กระดูกไว้แน่นราวกับเป็นของล้ำค่า ที่หากจับไว้ไม่แน่นจะหายวับไปกับตา

“ทุกอย่างผ่านไปแล้ว ทุกอย่างจะจบลงแล้ว ฮ่าๆๆ… ถ้าฉันมีเงินเมื่อไหร่ ฉันจะสอนให้พวกแกรู้ว่าเล่นของสูงมันเป็นยังไง ต่อจากนี้ไป ฉันจะเลี้ยงเสี่ยวเห้าอย่างดี หาลูกสะใภ้สวยๆ เอาให้สวยกว่าหลินเสว่เอ๋อนั่นร้อยเท่าพันเท่า!”

ภาพเหตุการณ์นี้ไม่ว่าใครที่มองเห็น จะต้องตกใจหน้าซีด ขนลุกสะท้านไปทั้งตัวอย่างแน่นอน

จะมีใครที่ไหนอีกที่นั่งกอดเศษกระดูกอยู่บนหลุมศพได้อย่างมีความสุขเช่นนี้?

จางซิ่วจือมองไปยังป่ามืดมิดรอบตัว แล้วร้อนใจจนต้องหยิบมือถือออกมาเพื่อโทรหาเฉินตง

แต่เสียงรอสายเพิ่งจะดัง สายก็โดนตัดไปในทันที

จากนั้นก็มีข้อความใหม่ส่งมาอย่างรวดเร็ว

“อยู่ระหว่างทาง”

คำพูดง่ายๆ เช่นนี้กลับทำให้จางซิ่วจือยิ้มกว้าง

เงิน…อยู่ระหว่างทางแล้ว!

และในเวลาเดียวกันนี้

อีกด้านหนึ่ง

รถ BMW X7 กำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วจี๋

อู๋จุนหาวเงียบขรึม เพ่งสมาธิไปที่การขับรถ

แต่สายตาของเขาก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบไปมองหลินหลิ่งตงที่นั่งอยู่ที่เบาะข้างคนขับ

แปลกจริง…ทำไมพี่หลิ่งตงไม่ยอมไปนั่งเป็นเพื่อนพี่สะใภ้ด้านหลังล่ะ?

เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?

เขาไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เมื่อครู่นี้ตอนที่เขานั่งจีบสาวอยู่ที่ผับ หลินหลิ่งตงก็โทรมาบอกให้เขาไปขับรถให้

และพอมองไปที่กระจกหลัง อู๋จุนหาวก็เห็นหวางหนันหนันนั่งหมดอาลัยตายอยาก สีหน้าซีดเผือดไม่เห็นสีเลือด

หลินหลิ่งตงนั่งอยู่บนเบาะข้างคนขับด้วยสีหน้าเย็นยะเยือก จนอู๋จุนหาวรับรู้ได้ถึงความผิดปกติ

เขากล่าวเสียงเฉียบว่า “เร็วกว่านี้!”

อู๋จุนหาวชะงักไป “เจ้านาย ตอนนี้ขับ 120 แล้วนะครับ ความเร็วสูงสุดแล้ว”

“นั่นคือความเร็วจำกัด ไม่ใช่ความเร็วสูงสุดที่รถจะขับได้”

หลินหลิ่งตงเอ่ยเสียงเย็นชา หากไม่รีบไปให้ถึง เขาไม่รู้เลยว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นต่อไป

แต่เขาแน่ใจว่า เขารองรับความโกรธแค้นของเฉินตงไม่ไหวแน่!

ขุดหลุมศพของแม่เขาขึ้นมา แถมยังจะเอากระดูกขึ้นมาโปรยทิ้งอีก

เรื่องนี้สำหรับเฉินตงแล้วมันต่างอะไรกับการถูกฆ่ายกตระกูลหรือ?

เรื่องที่เขาไม่กล้าทำ แต่แม่ของหวางหนันหนันกล้าทำ!

หวางหนันหนันที่นั่งอยู่เบาะหลังจิตใจว้าวุ่น สายตาเลื่อนลอย ราวกับวิญญาณได้หลุดจากร่างของเธอไปแล้ว

ที่เท้าของเธอมีกระเป๋าหลุยส์ วิตตองใบใหญ่ใบหนึ่งวางอยู่ ในกระเป๋าเต็มไปด้วยธูปเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และมีข้าวสวยร้อนหนึ่งถ้วย

เธอทำใจไม่ได้ เธอไม่เต็มใจ แต่เมื่อหลินหลิ่งตงมีท่าทีเช่นนี้แล้ว เธอก็ได้แต่สิ้นหวัง

หลินหลิ่งตงเป็นที่พึ่งเดียวของเธอ

และตอนนี้ ที่พึ่งเดียวของเธออยู่ฝั่งดียวกับเฉินตงไปแล้ว

เรื่องที่แม่ทำ ฟ้าดินพิโรธ ผู้คนต้องสาปแช่ง

แม้ว่าเธอจะตัดขาดความสัมพันธ์กับจางซิ่วจือไปแล้ว แต่หากให้ตัดขาดความผูกพัน ในใจของเธอยังคงไม่สามารถทำใจได้

แต่ตอนนี้ เธอรู้แล้วว่า…

การเดินทางคราวนี้ คือการไปส่งแม่ของเธอ…

เปรี้ยงงง…

เสียงฟ้าฟาดกลางดึก ทำให้หวางหนันหนันรู้สึกผวา

ร่างกายบอบบางของเธอสั่นไหว ดวงตาแดงก่ำที่มีน้ำตาคลอมองไปยังหลินหลิ่งตงที่นั่งอยู่ด้านข้างคนขับด้วยความหวังสุดท้าย

“หลิ่งตง…ไม่มีทางอื่น…”

ยังไม่ทันจะพูดจบ

หลินหลิ่งตงกลับส่ายหน้าและหัวเราะเยาะออกมา แล้วหันไปมองอู๋จุนหาว

“จุนหาว ถ้ามีคนขุดหลุมศพของแม่นายและเอาเถ้ากระดูกของแม่นายออกมาด้วย นายจะทำยังไง?”

อู๋จุนหาวชะงักงัน ความสงสัยในใจของเขาเริ่มจับต้นชนปลายถูกขึ้นมาบ้าง

เขาไม่ได้คิดละเอียดมากนัก เขากัดฟันแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าอำมหิต “ฆ่าพวกมันทั้งบ้าน!”

หลินหลิ่งตงอมยิ้ม ในรอยยิ้มของเขาเต็มไปด้วยความเย็นชา

เขาหันหน้ามาช้าๆ แล้วมองไปที่หวางหนันหนันที่กำลังมีความหวัง “เห็นไหมว่าคุณเฉินใจกว้างมากแล้ว”

เนื้อหาในข้อความทุกตัวอักษรเปรียบดั่งค้อนพันด้ามที่ระดมทุบใส่ดวงตาของเฉินตง

โทสะเดือดดาล ก่อตัวพลุ่งพล่านขึ้น

ความอาฆาตที่หนาวยะเยือก ราวกับมีดคมๆ ที่ไร้รูปร่าง กระจายอยู่ทั่วห้องอาหาร

ทำให้จิตใจของทุกคนหนาวสะท้าน

แม้แต่กู้ชิงหยิ่งเองก็รู้สึกกลัวขึ้นมาเช่นกัน

เธอรับรู้ถึงความหนาวยะเยือกที่แผ่ออกมาจากร่างของเฉินตงได้อย่างชัดเจน

“ที่รัก…”

กู้ชิงหยิ่งเอ่ยอย่างหวาดๆ “เป็นอะไรไปคะ”

“ไม่มีอะไร”

เฉินตงฝืนยิ้มออกมา

ทว่าในสายตาของทุกคนกลับรู้สึกว่ารอยยิ้มนี้ช่างน่าสยดสยอง

“คุนหลุนกับท่านหลงออกไปกับผม”

เฉินตงลุกขึ้นแล้วเอามือเคาะที่สันจมูกของกู้ชิงหยิ่งเบาๆ จากนั้นจึงหันหลังออกไป

คุนหลุนกับท่านหลงมีสีหน้าข้องใจ แล้วรีบร้อนลุกตามออกไป

มื้ออาหารค่ำที่ดำเนินไปอย่างพร้อมหน้าอบอุ่น เพียงครู่เดียวกลับเหลือเพียงกู้ชิงหยิ่งกับฟ่านลู่เท่านั้น

“พี่เสี่ยวลู่ เกิดเรื่องไม่ดีแน่!”

ริมฝีปากแดงระเรื่อของกู้ชิงหยิ่งสั่นไหวด้วยความกังวลใจ

เมื่อฟ่านลู่เห็นกู้ชิงหยิ่งกังวลใจก็รีบยิ้มแล้วเอ่ยปลอบ “เสี่ยวหยิ่ง คุณเฉินบอกแล้วว่าไม่มีเรื่องอะไร อย่ากังวลเลย”

“ฉันพูดไม่ผิดแน่”

กู้ชิงหยิ่งส่ายหน้าอย่างหนักแน่น สายตามองไปทางประตูใหญ่อย่างห่างไกล “สายตาของเขาหลอกฉันไม่ได้ เวลาที่เขาโกหก ฉันจะเห็นแววตาที่แตกสลายของเขา”

ฟ่านลู่ไร้คำพูด เธอไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยปลอบอย่างไรดี

หรือว่า…การรักใครสักคน จะสามารถทำให้เรามองเข้าไปถึงซอกหลืบเล็กที่สุดในจิตใจของเราได้?

การตัดสินใจในเรื่องที่อ่อนไหวได้แม่นยำขนาดนี้ คนนอกไม่มีทางทำได้และยากที่จะเข้าใจ

กู้ชิงหยิ่งเคร่งเครียด เธอกุมมือทั้งสองข้างเข้าไว้ด้วยกัน “สายตาของเขาเมื่อครู่นี้ ดูเหมือนว่า เต็มไปด้วย เต็มไปด้วย…”

เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ กู้ชิงหยิ่งกลับพูดอะไรไม่ออก

ความอาฆาตแค้น!

ฟ่านลู่สัมผัสได้อย่างชัดเจน

เธอเป็นมือสังหารที่ 20 ของอันดับยมราช เป็นคนที่โลดแล่นอยู่ระหว่างเส้นแห่งความเป็นความตายมาแล้ว

เธอจึงรู้จักไอแห่งความอาฆาตแค้นเป็นอย่างดี

เมื่อครู่นี้เฉินตงแกล้งทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่รัศมีความอาฆาตแค้นทำเอาเธอรู้สึกเสียวสันหลัง

เกิดเรื่องใหญ่…อย่างแน่นอน!

รถโรลส์-รอยซ์ถูกขับออกจากเขตวิลล่าเขาเทียนซาน

บรรยากาศในรถเงียบสงบ

ไอแห่งความอาฆาตแค้นที่เย็นยะเยือกแผ่ปกคลุมทั่วรถ

ไม่ว่าจะเป็นคุนหลุนที่เป็นผู้ขับรถหรือว่าท่านหลงที่นั่งอยู่ด้านข้างคนขับ

ต่างรับรู้ได้ถึงบรรยากาศแห่งความหนาวเย็นน่าพรั่นพรึง

และนี่เองที่ทำให้ทั้งคู่รู้สึกเหมือนหลุดเข้ามาอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง ไม่สิ เป็นความหวาดผวาราวกับอยู่ในนรกมากกว่า

“คุณชาย เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ครับ”

ท่านหลงเอ่ยปากถาม น้อยครั้งมากที่เขาจะรู้สึกได้ถึงความอาฆาตแค้นที่น่ากลัวขนาดนี้ออกมาจากตัวของเฉินตง

เหตุการณ์ที่จำความได้รางๆ ที่พอจะสามารถนำมาเปรียบเทียบกับตอนนี้ได้ นั่นก็คือตอนที่หลี่หลานเสียชีวิต

บรรยากาศในรถเงียบราวป่าช้า

เฉินตงไม่ตอบ

เขานั่งคอตกราวกับสัตว์ดุร้ายที่กำลังคลั่งและกระหายเลือด นิ่งเงียบไม่พูดจา

“คุณชาย….”

ท่านหลงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถามออกมาอีกครั้ง

“หึ!”

เฉินตงหัวเราะเย้ยหยันออกมา

และนี่กลับทำให้ท่านหลงกับคุนหลุนเปลี่ยนสีหน้าไปพร้อมๆ กัน

ต่อจากนั้น

เฉินตงเอ่ยออกมาด้วยเสียงแหบพร่า “หล่อนจะขุดหลุมศพของแม่ผม เอากระดูกขึ้นมาทำโปรยเป็นเถ้าถ่าน”

เปรี้ยง!

สีหน้าของท่านหลงกับคุนหลุนขาวซีดไร้สีเลือดปรากฏ

คำพูดของเฉินตงราวกับฟ้าผ่าเปรี้ยงกลางแดดจ้า

ตอนที่คนทั้งสองรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมานั้น ก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าเหตุผลใดที่ทำให้ความอาฆาตแค้นของเฉินตงรุนแรงขนาดนี้!

หลังฝังร่างลงดินผู้วายชนม์จะไปสู่สุคติ คนเป็นควรให้เกียรติผู้วายชนม์เป็นสำคัญ

ขุดหลุมเอากระดูกออกมา ถือเป็นเรื่องที่ไม่ให้เกียรติและดูถูกผู้ล่วงลับ

สมัยโบราณจึงมีคำกล่าวที่ว่าผู้ที่ทำผิดร้ายแรง ต้องทำลายกระดูกให้เป็นเถ้าถ่าน

ตอนนี้มีคนต้องการจะขุดหลุมฝังศพและเอากระดูกของหลี่หลานขึ้นมา ต้องเป็นคนรนหาที่ที่แค้นเคืองเฉินตงมากขนาดไหน?

เรื่องนี้ไม่ว่าจะเกิดกับใครต่างต้องโกรธจนฟ้าดินถล่มทลายได้ทั้งนั้น

ยิ่งไปกว่านั้น เฉินตงกับหลี่หลานอยู่ด้วยกันมากว่ายี่สิบปี สายสัมพันธ์แม่ลูกคงไม่อาจหาคำพูดใดมาบรรยายได้

เวลานี้ความโกรธแค้นของเฉินตงจึงสามารถแผดเผาทุกอย่างได้!

“เงินหนึ่งร้อยล้าน ตลกชะมัด หล่อนคิดว่าแม่ของผมมีค่าแค่หนึ่งร้อยล้าน?”

เฉินตงคล้ายกำลังบ่นพึมพำกับตัวเอง และความหนาวยะเยือกที่แผ่ออกมาก็ยิ่งเข้มข้นมากยิ่งขึ้น

“ใช้เงินมาตีค่าแม่ของผมถือว่าดูถูกกันชัดๆ เงินแค่ร้อยล้าน ถ้ามาขอดีๆ ผมอาจจะให้ แต่นี่กลับเอาชีวิตหลังความตายของแม่มาข่มขู่ผม คงไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วล่ะมั้ง?”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของท่านหลงกับคุนหลุนพลันเคร่งเครียดขึ้น

ตายซะ!

หากเป็นพวกเขาทั้งสองคนก็คงคิดไม่ต่างจากเฉินตงในเวลานี้

“คุณชาย ฝีมือของใครหรือครับ” ท่านหลงถาม

ตอนนี้มีแต่เขาเท่านั้นที่อาศัยว่าตนอาวุโส จึงกล้าถามเฉินตงที่กำลังโกรธราวฟ้าพิโรธ

“จะมีใครอีกล่ะ?”

เฉินตงเงยหน้าขึ้น ในดวงตาของเขาแดงก่ำราวสีเลือด “จางซิ่วจือ!”

เขาถอนใจยาว อย่างสลดใจถึงที่สุด

เมื่อสามปีก่อน อะไรที่ทำให้เห็นธาตุแท้ความชั่วร้ายของครอบครัวที่สร้างแต่ความเดือดร้อนนี้หรือ?

ตอนที่แม่ยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาพูดจาดูถูกให้ร้ายแม่ แถมยังไม่ไยดีความเป็นตายของแม่

ตอนนี้แม่ตายไปแล้ว ก็ยังไม่ยอมปล่อยแม่ของเขาไปอีก?

เมื่อคิดถึงตรงนี้ก็ยิ่งแค้น ดวงตาสีแดงเลือดของเขามีน้ำตาเอ่อทะลักออกมาสองหยด

“แม่ ผมทำผิดต่อแม่ ผมติดหนี้แม่ไว้เยอะเหลือเกิน”

“สมควรตาย!”

ท่านหลงกัดฟันเอ่ย

สิ้นเสียงพูด

เฉินตงก็หยิบมือถือขึ้นมาแล้วกดเบอร์โทร

เมื่อปลายสายมีคนรับ

เขายิ้มก่อนจะเอ่ยว่า “แม่ของคุณจะขุดหลุมศพแม่ผม แถมจะเอากระดูกแม่ผมขึ้นมาโปรยเป็นเถ้าถ่าน เรื่องนี้จะให้ผมจัดการหรือว่าคุณกับหลินหลิ่งตงจะจัดการดี”

โทรศัพท์ถูกวางสาย

เฉินตงก้มหน้าลงอีกครั้ง ความอาฆาตของเขายิ่งเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ

อีกด้านหนึ่ง

ในหมู่ตึกหลิ่งตง

หลังจากที่วางสายไปแล้ว หวางหนันหนันล่องลอยไร้สติ

สีหน้าของเธอขาวซีด ความหวาดกลัวแผ่กระจายไปทั่วจิตใจอันแสนวุ่นวายของเธอ

“หนันหนัน เป็นอะไรไป?”

หลินหลิ่งตงขมวดคิ้วถาม

ร่างของหวางหนันหนันสั่นสะท้าน เมื่อมองไปที่หลินหลิ่งตงเธอก็รู้สึกราวกับวิญญาณกำลังจะหลุดออกจากร่าง

เธอร้องไห้โฮออกมา และเข้าไปซุกที่หน้าอกของหลินหลิ่งตง

“หลิ่งตง เกิดเรื่องแล้ว เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”

“เกิดเรื่องอะไร? คุณบอกผม!” หลินหลิ่งตงทำร้อนรน เมื่อเห็นหวางหนันหนันร้องไห้โหยหวน

หวางหนันหนันสะอึกสะอื้นพลางกล่าวว่า

“แม่ของฉันจะขุดหลุมศพของแม่เฉินตง และเอากระดูกแม่ของเขาขึ้นมาโปรยเป็นเถ้าถ่าน!”

เปรี้ยง!

หลินหลิ่งตงรู้สึกราวกับโดนฟ้าผ่า ในหัวของเขาเต็มไปด้วยเสียงอื้ออึง

เรื่องแบบนี้ หากเป็นเขาก็คงจะเดือดดาลขึ้นมาอย่างควบคุมสติไม่ได้เช่นกัน

“รังแกคนตายไปแล้ว กับโดนฆ่ายกครัว มันแตกต่างอะไรกัน?”

เขาคือราชาใต้ดินแห่งเมืองหลิ่งตง กว่าจะเดินมาถึงตำแหน่งในทุกวันนี้ ได้ใช้วิธีการเลือดเย็นอำมหิตมามากมาย

แต่แม้ว่าเขาจะเป็นเช่นนี้ เขาก็ไม่เคยใช้วิธีการที่สกปรกชั่วช้าแบบนี้!

แม้จะเคยพบพานคนสีเทาๆ มามากมาย แต่ก็ไม่เคยเจอใครใช้วิธีนี้

แต่ผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ในที่สว่าง กลับใช้วิธีการเช่นนี้

จิตใจของผู้หญิงคนนี้ อยากที่จะหาคำมาบรรยายได้!

“หลิ่งตง คุณ…” หวางหนันหนันตกใจความเดือดดาลของหลิ่งตง

“หึ!”

สายตาของหลินหลิ่งตงคมปลาบ จ้องเขม็งไปที่หวางหนันหนัน แล้วสบถออกมา “แม่เธอ สมควรตาย!”

หวางหนันหนันตัวสั่น ริมฝีปากของเธอก็สั่นตามไปด้วย

และหลินหลิ่งตงก็เอ่ยขึ้นต่อในทันที “ต่อให้ไม่ได้ทำแบบนี้กับเฉินตง แต่ไปทำแบบนี้กับคนอื่น ในสายตาของผม ก็ควรตายเช่นกัน!”

ความเคียดแค้นรุนแรง อยากจะต้านทาน

หวางหนันหนันกลัวจนลนลานทำอะไรไม่ถูก เธอร้องไห้อย่างน่าสงสารพลางถามว่า “ฉัน ฉันควรทำยังไงดี?”

“คุณเฉินบอกว่าอะไรบ้าง?” หลินหลิ่งตงถามกลับ

หวางหนันหนันร้องไห้สะอึกสะอื้นพลางกล่าวว่า “เขาถามฉันว่าจะลงมือเอง หรือว่าจะให้เขาเป็นคนลงมือ!”

“ดี!”

หลินหลิ่งตงยิ้มออกมาแล้วหรี่ตา “เตรียมธูปเทียนและกระดาษเงินกระดาษทองให้พร้อม จะได้ไปส่งแม่ของคุณด้วยกัน”

เขตชานเมือง

บนถนนรกร้างสายหนึ่ง

รถแท็กซี่คันหนึ่งขับมาด้วยความเร็วจี๋

เอี๊ยด!

รถหยุดลง

“ไสหัวลงไป!”

จางซิ่วจือกับหวางเต๋อถูกผลักลงรถอย่างไม่ไยดี

คนทั้งสองกลิ้งอยู่หลายตลบบนพื้น ก่อนจะหยุดกลิ้งลงบริเวณพงหญ้ารกร้างข้างถนน

พยายามอยู่พักใหญ่กว่าจะแกะเชือกที่มัดมือเอาไว้อย่างไม่แน่นนักออกได้

เมื่อจางซิ่วจือพลิกตัวขึ้นมาได้ก็เริ่มก่นด่าขึ้นอีก “ไม่ตายดีแน่ พวกแกทุกคนไม่ได้ตายดีแน่! ถ้าฉันโดนพวกทวงหนี้ฆ่าตาย พวกแกทุกคนจะกลายเป็นผู้ร่วมมือ!”

หวางเต๋อนั่งอยู่บนพงหญ้าอย่างหมดอาลัยตายอยาก ดวงตาของเขาสิ้นหวัง

ผู้ร่วมมือ?

น่าหัวเราะ!

ภัยพิบัติยังสามารถหลีกพ้น แต่บาปกรรมที่ตัวเองก่อขึ้นไม่มีทางหนีพ้น

เขากับจางซิ่วจือร่วมหัวจมท้ายกันมากว่าสิบปี ตอนนี้กลับรู้สึกว่าภรรยาของตนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ความคิดอ่านทุกอย่างพังทลายไปหมด

เงินหลายสิบล้านอยู่ในมือ หากใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดาทั่วไป อย่างไรก็สามารถอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ไปได้ตลอดชีวิต

แต่สำหรับจางซิ่วจือแล้ว จะอยู่ได้นานสักแค่ไหน?

ใช้เงินหลายสิบล้านอย่างสุรุ่ยสุร่ายจนหมดเกลี้ยง แถมยังติดหนี้อีกหลายแสน

บาปกรรมที่ตนเองก่อเช่นนี้ จะไปโทษคนอื่นได้อย่างไร?

ตุ้บ!

จางซิ่วจือที่กำลังเดือดดาลสุดขีดยกขาถีบหวางเต๋อเต็มแรง “คนเฮงซวย ทำไมแกไม่ตายๆ ไปซะ เป็นผู้ชายทั้งแท่ง ทำไมถึงสู้ผู้หญิงอย่างฉันไม่ได้ เมื่อกี้ทำไมไม่รู้จักลงมือสู้กับพวกมันบ้าง?”

หวางเต๋อหัวเราะ

ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยเส้นเลือด และน้ำตา

เขายืนขึ้นช้าๆ

เขามองจางซิ่วจืออย่างสลดใจและสิ้นหวัง หัวใจของเขาราวกับถูกฉีกสลายไปเป็นเสี่ยงๆ

“พอแล้ว! พอได้แล้ว!”

หวางเต๋อร้องไห้ พลางแผดเสียงสูง “เธอทำลายครอบครัวเราพังหมดแล้ว พังทลายด้วยมือของเธอคนเดียว ลูกสาวแต่งงานมีครอบครัวที่ดี แต่เป็นเพราะเธอที่ลำเอียงหวังแต่จะช่วยเสี่ยวเห้า และเอาแต่ใช้ให้หนันหนันขอเงินเฉินตงตลอด ไม่สนใจไยดีความเป็นตายของแม่เขา ตั้งแต่เล็กยันโตเธอสอนลูกสาวและบีบบังคับแบบนี้มาตลอด ตอนนี้ทุกอย่างมาเอาคืนเธอแล้ว!”

ระหว่างที่แผดเสียง ดวงตาของหวางเต๋อเต็มไปด้วยความเคียดแค้น

อารมณ์ของเขาเริ่มฉุนเฉียวมากขึ้นเรื่อยๆ

เป็นความดุร้ายที่ยากจะได้เห็น

เพี๊ยะ!

หวางเต๋อยกมือขึ้นตบหน้าจางซิ่วจือเต็มแรง

พละกำลังรุนแรง ทำเอาจางซิ่วจือซวนเซไปด้านหลังจนแทบจะล้มลงกับพื้น หน้าครึ่งซีกของเธอบวมช้ำ

“เธอมันเสียสติ ครอบครัวอยู่กันดีๆ เธอกลับทำลายทุกอย่างจนพัง! ตอนนี้เธอยังจะเอาหน้าที่ไหนมามีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีก? ทำไมเธอไม่ตายไปให้พ้นๆ สักที?”

จางซิ่วจือไม่เข้าใจอะไรเลย

ที่ผ่านมาหวางเต๋อเชื่อฟังคำสั่งเธอมาตลอด แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ เธอคิดไม่ถึงว่าจะเกิดขึ้นได้

ชะงักงันไปหลายวินาที

จางซิ่วจือกลับแผดเสียงแหลมขึ้นมาอีก “แกตบฉันหรอ แกว่าฉันหรอ แถมยังไล่ให้ฉันไปตายอีก? หวางเต๋อ แกยังเป็นผู้ชายอยู่อีกไหม ครอบครัวเป็นแบบนี้แต่แกกลับไล่เมียไปตาย แล้วทำไมแกไม่ไปตายเองล่ะ คนที่สมควรตายคือแก!”

ระหว่างที่ตะโกนด่า ท่าทางของจางซิ่วจือราวกับคนเสียสติ เธอพุ่งเข้าใส่หวางเต๋อแล้วโบกมือเปะปะข่วนหน้าของเขา

สีหน้าของเธอเดือดดาลขบฟันแน่น

“ฉันทนมาพอแล้ว!”

หวางเต๋อผลักจางซิ่วจือออก “เราหย่ากัน!”

ประโยคที่เย็นชา แสดงถึงความสิ้นหวังอย่างถึงขีดสุด

เมื่อพูดจบ หวางเต๋อก็หันหลังเดินจากไป โดยไม่หยุดฝีเท้า

จางซิ่วจือรู้สึกเลอะเลือน

เธอยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่กับที่ เหม่อมองหวางเต๋อที่เดินห่างออกไปอย่างไม่ไยดี

“หย่า” คำเดียวสั้นๆ ที่ดังวนเวียนอยู่ในหูของเธอราวเสียงปีศาจ

สีหน้าของเธอเริ่มเปลี่ยนเป็นความวุ่นวาย หวาดกลัว

หย่าเหรอ?

อยู่กันมาตั้งหลายปีแล้ว จะหย่ากันได้ยังไง?

แต่ด้วยนิสัยชอบข่มเหงของเธอ ก็ยังคงทำให้เธอยกนิ้วชี้หวางเต๋อพลางตะโกนด่า “หวางเต๋อ แกมันไม่ใช่ลูกผู้ชาย แกคิดจะหย่ากับฉันหรอ ฝันไปเถอะ ฉันรู้ว่าแกคิดอะไรอยู่ หย่ากับฉัน แกจะได้ไม่ต้องแบกภาระหนี้หลายแสนใช่ไหม แกอยากให้ฉันแบกทุกอย่างเอาไว้คนเดียว ไอ้เวร! ต่อให้ฉันตาย ฉันก็จะเอาแกฝังลงหลุมไปด้วยกัน!”

“เห๊อะ…”

พอหวางเต๋อได้ยินแบบนี้ก็หัวเราะเย้ยออกมาด้วยสีหน้าหมองหม่น

เมื่อความเศร้าสลดทำเอาหัวใจตายด้าน ความทรงจำครั้งสุดท้ายถูกแผดเผาไม่เหลือชิ้นดี เรื่องราวทั้งหมดจึงกลายเป็นเรื่องที่ไม่มีค่าให้จดจำ

“กลับมาเดี๋ยวนี้ แกไม่ได้ตายดีแน่ กลับมาเดี๋ยวนี้!”

จางซิ่วจือคุกเข่าลงบนพื้น น้ำตาเอ่อทะลักออกมา เธอกัดริมฝีปากแน่น “ฉันทำอะไรผิด? ถ้าฉันไม่ทำเพื่อครอบครัว แกคิดว่าฉันอยากทำหรือไง ต้องโทษคนเส็งเคร็งปลิ้นปล้อนอย่างเฉินตงสิ! ปากก็บอกว่าแม่ของมันตายแล้ว แล้วสุดท้ายล่ะ?”

ร้องไห้จนถึงที่สุด ดวงตาของจางซิ่วจือพลันเปล่งประกาย

เธอยิ้มขึ้นมาราวคนเสียสติโดนผีสิง

“ใช่แล้ว ยังมีแม่ของมัน! นางแพศยาหลี่หลาน ควรตายแต่ไม่ยอมตาย ในเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ถึงฉันจะไม่ได้เจอเฉินตง แต่ก็คงจะมีทางเจอนังแพศยาหลี่หลานนั่นได้นี่?”

“ที่ครอบครัวของฉันเป็นแบบนี้เป็นเพราะฝีมือของเฉินตง คนที่นางหลี่หลานสอนมาเองกับมือ รอให้ฉันได้เจอนางหลี่หลานก่อนเถอะ เงินก้อนนี้ก็คงจะเหมาะสมแล้ว!”

จางซิ่วจือคล้ายคว้าหมากตัวสุดท้ายที่จะสามารถช่วยชีวิตตนเอาไว้ได้

อารมณ์ที่เศร้าหมองของเธอกลับมาสดใสอีกครั้ง

เธอเช็ดน้ำตาออกอย่างรุนแรง แล้วมุ่งหน้าเข้าไปในตัวเมือง

เธอรู้ดีว่าเฉินตงกตัญญูต่อหลี่หลานที่สุด ถ้าบีบบังคับเฉินตงไม่ได้ ก็แค่ไปบีบบังคับหลี่หลาน แน่นอนว่าต้องหาเงินได้อย่างแน่นอน!

ยิ่งคิด จางซิ่วจือก็ยิ่งตื่นเต้น

ถึงขั้นทำให้เธอลืมเรื่องที่หวางเต๋อเอาตัวรอดทิ้งเธอไปคนเดียว

ทว่า

ความตื่นเต้นยินดีของเธอ ความหวังที่จะได้หลุดออกจากความสิ้นหวังนี้พลันมลายหายไปตอนดวงอาทิตย์ตกดิน

“ตายแล้ว? นางแพศยานั่น ตายไปได้ไง?”

จางซิ่วจือไม่กล้าเชื่อสิ่งที่ได้ยินจากโทรศัพท์ ผมเผ้าของเธอยุ่งเหยิง ดวงตาแดงก่ำ

เมื่อเธอกลับเข้าไปในเมือง เธอก็ขอให้เพื่อนเก่าๆ ของเธอช่วยสืบข่าวให้

แต่เนื้อหาของข้อความที่ตอบกลับมากลับทำให้เธอไม่อยากจะเชื่อ

นางแพศยาหลี่หลานนั่นตายแล้ว แล้วเธอจะเอาอะไรไปบีบบังคับเฉินตงได้?

“เป็นไปไม่ได้ จะต้องมีทางออกแน่”

จางซิ่วจือเดินอย่างหมดสภาพอยู่ข้างถนน ทำให้คนที่ผ่านไปมาต่างคิดว่าเธอเป็นคนบ้า จึงพากันถอยห่าง

ทว่าจางซิ่วจือยังไม่ทันคิดวิธีได้

เสียงมือถือของเธอก็ดังขึ้นมา

เมื่อเห็นเบอร์โทรในมือถือ จางซิ่วจือก็แทบจะเสียสติ

“ทวงหนี้! ทวงหนี้หาแม่แกสิ จะให้ฉันแขวนคอตายไปเดี๋ยวนี้เลยเหรอ?”

จางซิ่วจือขบฟันแน่น แต่จำใจต้องรับสาย

“จางซิ่วจือ ฉันไม่สนใจว่าแกจะทำยังไง ต่อให้ต้องขาย ก็ต้องเอาเงินมาคืนให้ได้ภายในสิบวัน ไม่งั้นฉันจะเอาลูกสาวกับลูกชายแกไปขาย แล้วก็จับแกกับผัวฆ่าทิ้งซะ!”

ปั้ง!

ไม่รอให้จางซิ่วจือตอบกลับ อีกฝ่ายก็วางสายไปแล้วด้วยความอำมหิต

และเพราะสายที่โทรเข้ามานี้เอง ทำให้สถานการณ์คล้ายดำเนินมาจนถึงฟางเส้นสุดท้ายแล้ว

ทันใดนั้นเองประสาทสัมผัสของจางซิ่วจือจึงบีบตัวเขม็งขึ้นมา

เธอไม่สนใจหวางหนันหนัน และไม่สนใจหวางเต๋ออีก

เธอสนใจแต่ความเป็นตายของตัวเอง เพราะเธอกลัวความตาย

แต่เธอสนใจหวางเห้า เพราะนั่นคือลูกของเธอ

“มีวิธี ต้องมีวิธีสิ”

ความหวาดกลัว ความบ้าระห่ำกระจุกตัวขึ้นมา มือทั้งสองข้างของจางซิ่วจือบีบมือถือแน่น เธอเดินวนไปวนมา ปากบ่นพึมพำกับตัวเอง

และตอนนั้นเอง

เธอหยุดฝีเท้าลง ความวุ่นวายในดวงตาของเธอหายไปกลายเป็นความสดใสขึ้นมาแทน

“บีบบังคับคนเป็นไม่ได้ แต่จะบีบบังคับคนตายไม่ได้เชียวเหรอ?”

เมื่อคนเราอยู่ในความจนตรอกไร้หนทาง แม้หนทางจะเสี่ยงแค่ไหนก็กลายเป็นเรื่องง่ายไปซะทั้งหมด

หรืออาจจะเป็นแค่ความคิดที่คิดขึ้นมาเพียงชั่ววูบ

เขตวิลล่าเขาเทียนซาน

เฉินตงกำลังกินข้าวกับครอบครัวอย่างมีความสุข

นี่เป็นอาหารมื้อแรกหลังจากกลับมาถึงบ้าน ก่อนหน้านี้มีแต่ความมืดมน ถึงเวลาที่จะฉลองแล้ว

แต่ว่า

มือถือของเฉินตงได้รับข้อความข้อความหนึ่ง

บรรยากาศแห่งความรื่นรมย์พลันหยุดชะงัก

ทุกคนต่างรับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในสีหน้าของเฉินตง และรับรู้ได้ถึงบรรยากาศที่หนาวสะท้านเข้าไปถึงกระดูก

เฉินตงหรี่ตา จ้องเขม็งไปที่มือถือไม่ไหวติง

เนื้อหาในข้อความนั้นง่ายมาก

“เฉินตง นี่จางซิ่วจือ ส่งเงินมาให้ฉันหนึ่งร้อยล้าน ไม่งั้นฉันจะขุดหลุมฝังศพของแม่แก! และเอากระดูกของแม่แกมาโปรยเป็นเถ้าถ่าน!”

ตลอดทาง ในรถเต็มไปด้วยเสียงก่นด่าของจางซิ่วจือ

แววตาของหวางเต๋อกลับไปมืดมนอีกครั้ง เขาจมอยู่ในภวังค์ คล้ายวิญญาณได้ออกจากร่างไปแล้ว

คนขับแท็กซี่เองก็รีบเหยียบคันเร่งเพื่อเร่งความเร็วขึ้น หูของเขาจะได้เงียบสงบลงเสียที

เอี๊ยด!

รถแท๊กซี่หยุดลงหน้าประตูใหญ่ของเขตวิลล่า

จางซิ่วจือลากหวางเต๋อลงมาจากรถแล้วหันไปบอกคนขับรถว่า “แกรอพวกเราอยู่ตรงนี้ก่อน อีกเดี๋ยวค่อยคิดเงินทีเดียว พวกเราต้องนั่งรถกลับด้วย”

“เจ๊จ่ายของเที่ยวนี้มาก่อนดีกว่า ส่วนขากลับค่อยว่ากันใหม่” คนขับรถแท๊กซี่ตอบ

“ถุย! ไอ้ประสาท เมื่อคืนฉันเพิ่งโดนหลอกมา เห็นว่าฉันเป็นคนโง่หรือไง ไอ้พวกคนขับรถใจดำถึงเอาแต่หลอกฉันอยู่เรื่อย?”

จางซิ่วจือถ่มน้ำลายใส่พื้น “ถ้าฉันให้เงินแก แกก็คงไสหัวไปทันที รออยู่ที่นี่แหละ ฉันอยู่ที่เขตวิลล่านี้ได้ จะมีปัญหาอะไรกับเงินเล็กน้อยแค่นี้”

คนขับรถแท็กซี่เอือมระอา จึงไม่โต้ตอบ

เพราะเขาคิดจะรับเงินแล้วหนีไปให้พ้นจริงๆ

ส่วนคำพูดของจางซิ่วจือนั้น เขาไม่ใส่ใจเลยสักนิด

คนที่อยู่ในเขตวิลล่านี้มีหรือที่จะนั่งรถแท๊กซี่?

ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องราวที่จางซิ่วจือบ่นด่ามาตอนอยู่บนรถ เขาก็ได้ยินทุกอย่างเต็มสองรูหู

ตอนนี้เขาจึงหวังอยากจะเคลียร์ค่ารถเที่ยวที่แล้วให้จบๆ

จางซิ่วจือลากหวางเต๋อเดินไปยังประตูใหญ่ของเขตวิลล่า

เธอเชิดหน้าก้าวอาดๆ เข้าไปอย่างรวดเร็ว

ราวกับไม่เห็นหัวการ์ดของวิลล่า

“คุณผู้หญิง หยุดก่อน!”

การ์ดรีบเดินออกมารับและขวางทางจางซิ่วจือกับหวางเต๋อเอาไว้

เพี๊ยะ!

ดวงตาของจางซิ่วจือแดงก่ำขึ้นแล้วยกมือขึ้นตบหน้าการ์ด “ไอ้หมาเฝ้าประตู คิดจะขวางเจ้าของบ้านของแกหรือไง? ไสหัวไป!”

ฝ่ามือนั้นทำให้การ์ดมึนงง เริ่มงานมาได้ไม่กี่วัน ได้พบเจอเจ้าของบ้านในวิลล่ามาก็ไม่น้อย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เจอคนแบบนี้

“ขอโทษด้วยครับคุณผู้หญิง ผมแค่ทำตามหน้าที่”

การ์ดพยายามฝืนกลั้นความรู้สึกและก้มหน้าขอโทษ

“เก็บไว้พูดกับแม่แกเถอะ!”

จางซิ่วจือยกมือเท้าเอว “วันนี้ฉันจะต้องเข้าไปข้างในให้ได้ เทวดาหน้าไหนก็ห้ามไม่ได้ทั้งนั้น!”

หยาบคาย ไร้มารยาท ไม่สนใครหน้าไหน

แต่ยังไม่ทันจะลงมือตบอีกครั้ง หวางเต๋อก็เข้ามาขวางเอาไว้

“เธอพูดดีๆ ไม่ได้เลยหรือไง ทำไมนับวันนิสัยยิ่งน่ารังเกียจแบบนี้?”

จางซิ่วจือเลิกคิ้วหันกลับไปถลึงตามองหวางเต๋อ “แกห้ามฉันอีกแล้วหรอ”

เสียงโหวกเหวกโวยวาย ทำให้เจ้าของบ้านในวิลล่าที่ผ่านเข้าออก และการ์ดคนอื่นๆ เริ่มได้ยิน

และหนึ่งในนั้นก็คือการ์ดที่เข้าเวรเมื่อคืน

“ดวงซวยจริงๆ ไปแล้วแล้วจะกลับมาทำไมอีก?”

การ์ดบ่นพึมพำและรีบสาวเท้าออกไปด้านหน้าแล้วโบกมืออย่างไม่สบอารมณ์ “พวกคุณมาอีกทำไม รีบไปซะ คิดว่าวิลล่าของพวกเรา ใครคิดอยากจะเข้าก็เข้ามาได้งั้นเหรอ?”

เมื่อคืนเขาพอรู้เรื่องคร่าวๆ มาจากลูกพี่บ้างแล้ว

ดังนั้นตอนนี้ การ์ดผู้นี้จึงไม่ไว้หน้าจางซิ่วจืออีก

มนุษย์ป้าที่ท่าทางเหมือนคนบ้า แค่เขาไม่ลงไม้ลงมือก็ถือว่ามีมารยาทมากแล้วสำหรับเขา

ทว่า

จางซิ่วจือกลับไม่แยแส แผดเสียงออกไปอีก “นี่หมาเฝ้าประตูอย่างแกเริ่มนิสัยเสียขึ้นแล้วหรอ เมื่อคืนก็เป็นแกใช่ไหม ฉันก็รู้สึกว่าเมื่อคืนมันมีอะไรแปลกๆ ที่แท้หมาเฝ้าประตูอย่างแกรู้จักหลอกเจ้านายด้วยเหรอ?”

“คุณ…” การ์ดโมโหจนหน้าแดงก่ำ

ไม่รอให้ทันได้ตอบโต้ จางซิ่วจือก็แสยะยิ้มออกมาอย่างน่าสยดสยอง “เอาล่ะ ถ้าแกไม่ยอมให้เจ้านายเข้าไป อย่างนั้นแกก็เข้าไปลากไอคนเส็งเคร็งเฉินตงออกมา! มันนอนกับลูกสาวฉันฟรีๆ มาสามปี วันนี้ฉันจะให้มันชดใช้!”

นอนฟรี?!

หวางเต๋อถลึงตาด้วยความเดือดดาล

คำพูดเช่นนี้ เป็นคำพูดที่คนเป็นแม่ใช้พูดถึงลูกสาวตัวเองหรือ?

“มัวแต่ยืนงงอะไร ยังไม่รีบเข้าไปอีก?”

จางซิ่วจือเห็นการ์ดไม่ยอมขยับเขยื้อน ตอนนั้นเธอก็ยิ่งรู้สึกว่าสิ่งที่ตนสังหรณ์ใจนั้นถูกต้อง

ด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราดของเธอ จึงยกมือตบหน้าการ์ดอีกครั้ง

เพี๊ยะ!

การ์ดรีบยกมือขึ้นมาคว้าข้อมือของจางซิ่วจือเอาไว้ ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดพลางเอ่ยเสียงแข็ง “นายหญิงของเขตวิลล่าเขาเทียนซานแซ่กู้ และไม่มีความข้องเกี่ยวใดกับลูกสาวคนบ้าอย่างคุณ!”

“แซ่กู้?”

ท่าทีของจางซิ่วจือแปรเปลี่ยน ตอนนั้นเธอรู้สึกว่าหัวใจของเธอโดนกระซวกเข้าอย่างรุนแรง

เมื่อย้อนนึกถึงอดีต หากไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง นายหญิงของเขตวิลล่าแห่งนี้จะต้องแซ่หวาง จางซิ่วจือรู้สึกเจ็บปวดหัวใจ

ยิ่งเจ็บใจ เธอก็ยิ่งโกรธจัด

โดยไม่ทันตั้งตัวมาก่อน

จู่ๆ จางซิ่วจือพลันนั่งลงไปบนพื้น ดิ้นไปดิ้นมา ร้องห่มร้องไห้สะอึกสะอื้น

“โธ่เอ๊ย ฟ้าดินไม่เป็นใจ คนเลวทรามนั่นสมควรตาย นอนกับลูกสาวฉันมาฟรีๆ ตั้งสามปี ถึงตอนนี้ก็ไม่รู้จักรับผิดชอบ”

“ถีบหัวส่งเมียหลวงเพื่อเมียน้อย ทำไมใจดำอำมหิตแบบนี้”

“ลูกสาวของฉันน่าสมเพชจริงๆ ต้องนอนกับเขาฟรีๆ ตั้งสามปี ตอนนี้ก็เป็นแค่นางฟ้าตกสวรรค์ แถมยังไม่ได้รับการชดเชยอะไรสักอย่าง”

……

เสียงโวยวายทำเอาคนในวิลล่าที่กำลังเข้าออกพากันกระอักกระอ่วน

“พระเจ้า! ในวิลล่าของพวกเรา มีคนไร้ศีลธรรมแบบนี้เข้ามาอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“เป็นไปไม่ได้หรอก! ดูท่าทางผู้หญิงคนนี้คลุ้มคลั่งพูดไม่รู้เรื่อง พยายามใส่ร้ายใครอยู่รึเปล่า?”

“คนเราร้อยพ่อพันแม่ ถ้าเป็นอย่างที่ผู้หญิงคนนั้นพูดจริงๆ คนคนนั้นก็เลวทรามจริงๆ”

เมื่อได้ยินเสียงวิจารณ์ของคนรอบๆ จางซิ่วจือก็นึกดีใจ และยิ่งร้องโวยวายดังขึ้น

เธอรู้ดีว่า ยิ่งสร้างเรื่องให้วุ่นวายมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีโอกาสได้เจอเฉินตงมากขึ้นเท่านั้น

นิสัยกดขี่ หยาบคายไร้เหตุผลเป็นสิ่งที่ทำจนเคยชิน แถมจางซิ่วจือยังเอาวิธีการนี้มาเป็นอาวุธเด็ดของตนเองอีกด้วย! คิ้วของการ์ดเริ่มขมวดแน่นอย่างไร้หนทาง

คำพูดที่ลูกพี่ให้พูดก็พูดออกไปแล้ว ทำไมเรื่องยังไม่จบอีก?

และในขณะที่มีการปะทะกันอยู่ด้านหน้าประตูใหญ่นั้น

ผู้จัดการนิติบุคคลก็รีบร้อนขับรถไปที่วิลล่าของเฉินตง

อันที่จริงแล้ว ตอนที่เฉินตงนำขบวนกลับเข้ามาในวิลล่า ผู้จัดการนิติบุคคลก็รู้เรื่องแล้ว

“คุณเฉิน แย่แล้วครับ”

สีหน้าของผู้จัดการนิติบุคคลหมองคล้ำ มีคนมาก่อเรื่องอยู่หน้าเขตวิลล่าเช่นนี้ นับว่าเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวสำหรับเขาจริงๆ

“มีอะไร?”

ตอนนั้นเฉินตงกำลังโอบกู้ชิงหยิ่งอยู่ จึงมองไปที่ผู้จัดการนิติบุคคลด้วยความข้องใจ

ผู้จัดการนิติบุคคลถือเป็นคนฉลาด จึงเหลือบมองไปที่กู้ชิงหยิ่ง เพื่อส่งสัญญาณให้เฉินตงปลีกตัวออกมาอีกด้าน

เมื่อออกมาห่างกู้ชิงหยิ่งแล้ว เขาถึงจะรายงานเฉินตง “ที่ประตูใหญ่มีคนสองคนกำลังก่อเรื่องวุ่นวาย บอกว่าคุณนอนกับลูกสาวของพวกเขาฟรีๆ มาสามปี และยังบอกว่าไม่เคยรับผิดชอบ ไม่เคยได้เงินชดใช้ ตอนนี้พวกเราเองก็ไม่รู้ว่าต้องจัดการเรื่องนี้ยังไง เลยจะมาขอถามความเห็นของคุณเฉินครับ”

จางซิ่วจือ หวางเต๋อ?!

สีหน้าของเฉินตงเย็นชาขึ้นมา ความเดือดดาลพลุ่งพล่านขึ้นมาแทนที่

ร้ายกาจไม่เคยเปลี่ยน!

หวางหนันหนันกลับมาแล้ว ครอบครัวเสื่อมทรามนี้ก็ตามกลับมาด้วย!

เมื่อโกรธจนถึงขีดสุด เขากลับหัวเราะออกมา “หน้าไม่อายจริงๆ คนที่กล้าพูดว่าฉันนอนกับลูกสาวพวกเขาฟรีๆ มาสามปี คงจะไม่สนใจศักดิ์ศรี และคงจะไม่เห็นว่าลูกสาวของตัวเองเป็นคนแล้ว”

แม้ว่าจะกำลังยิ้ม แต่ผู้จัดการนิติบุคคลก็ยังคงรู้สึกได้ถึงความหนาวสะท้านเข้ากระดูก

ต่อจากนั้น

เฉินตงหันไปจ้องผู้จัดการนิติบุคคลเขม็ง “วัชพืชพวกนี้ แค่เฉดหัวไล่ออกไปก็จบแล้วนี่? คุณมาถามผม จะให้ผมไปเป็นผู้จัดการนิติบุคคลแทนหรือยังไง”

ผู้จัดการนิติบุคคลพยักหน้าแล้วจากไป

หลังจากนั้นสิบนาที

บริเวณประตูใหญ่ของเขตวิลล่า

การ์ดสิบกว่าคนก็ปรากฏตัวออกมาแล้วจับจางซิ่วจือที่กำลังร้องโวยวายกับหวางเต๋อที่กำลังเหม่อลอยมามัดมือมัดเท้าเอาไว้ แล้วโยนเข้าไปในรถแท๊กซี่

เหตุการณ์นี้ ทำให้คนขับรถแท็กซี่หวาดกลัวจนทำอะไรต่อไม่ถูก

จนกระทั่ง

เสียงตึ้งดังขึ้น ธนบัตรสีแดงปึกหนึ่งถูกนำมาวางลงบนด้านหน้าคนขับ คนขับรถถึงจะได้สติกลับมาในตอนนั้น

“เอาพวกเขาไปส่ง ยิ่งไกลเท่าไหร่ยิ่งดี!”

“ได้ครับ!”

คนขับรถแท็กซี่ยินดีอย่างยิ่ง จึงไม่สนใจคำด่าของจางซิ่วจืออีก และขับรถอย่างสบายใจลงจากเขาไปด้วยความเร็ว

เช้าวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส

เฉินตงทำตัวว่างหนึ่งวัน โดยไม่ยอมไปบริษัท

เขาใช้ข้ออ้างที่ฟังดูดีว่าจะย้ายบ้าน

แต่อันที่จริงแล้วเขาต้องการอยู่เป็นเพื่อนกู้ชิงหยิ่ง

เวลาตั้งครรภ์ หากสามีมีเวลาอยู่เป็นเพื่อนได้จะช่วยลดอาการโรคซึมเศร้าของสตรีที่ตั้งท้องได้

เฉินตงไม่รู้ว่าคำพูดนี้เป็นจริงหรือไม่ แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับความต้องการที่จะอยู่เป็นเพื่อนภรรยาของเขา

ในความคิดของเขา หากสามารถเฝ้ามองท้องของกู้ชิงหยิ่งใหญ่ขึ้นทุกวันๆ ได้ และสัมผัสถึงร่องรอยของอีกชีวิตที่อยู่ในครรภ์ นั่นถือเป็นเรื่องที่สวยงามและมีความสุขมากสำหรับเขา

ตอนเช้าตรู่

ท่านหลงกับคุนหลุนได้จัดเตรียมรถเอาไว้เรียบร้อยแล้ว คนกลุ่มใหญ่กำลังมุ่งหน้าเดินทางกลับไปที่เขตวิลล่าเขาเทียนซาน

บางทีอาจจะเป็นเพราะไม่ได้กลับมาที่เขตวิลล่าเขาเทียนซานนานแล้ว ทุกคนจึงต่างพากันอารมณ์ดี

เป็นความรู้สึกเหมือนได้กลับบ้าน

แม้ว่าการอาศัยอยู่ที่คลับสี่ยิ่นจะสะดวกสบาย เพราะท่านเมิ่งดูแลทุกอย่างอย่างเรียบร้อยก็ตาม

แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้ทุกคนรู้สึกได้ถึงความเป็น “บ้าน”

อาจจะมีเพียงคนที่เคยมีบ้านเท่านั้น ถึงจะรู้ว่าบ้านมีคุณค่ามากขนาดไหน

ขบวนรถยาวเหยียดได้เคลื่อนตัวมาถึงเขตวิลล่าเขาเทียนซาน

เมื่อเห็นภาพบรรยากาศรอบๆ ที่กลับมามีสภาพเหมือนอย่างในตอนแรก เฉินตงพลันรู้สึกจิตใจล่องลอย

“คุนหลุน ยังจำเหตุการณ์คืนนั้นได้ไหม”

คุนหลุนพยักหน้า “หากไม่ได้คุณชาย พวกเราทั้งกลุ่มคงจบเห่กันไปหมดแล้วแน่ๆ”

จบเห่กันทั้งกลุ่ม ไม่ได้เป็นคำที่ตั้งใจเอ่ยออกมาเพื่อยกยอเฉินตง

แต่มาจากประสบการณ์การต่อสู้จริงที่เคยเป็นแม่ทัพทหารมาหลายปีในสนามรบนับครั้งไม่ถ้วน

เหตุการณ์ในวันนั้น กองกำลังการ์ดทั้งหมดถูกการโจมตีของทหารรับจ้างเดดพูลห้อมล้อมเอาไว้ทั้งหมด

หากไม่ใช่เพราะเฉินตงขับรถฝ่าโจมตีขบวนของเหล่าทหารรับจ้างเดดพูล คนที่อยู่ในเหตุการณ์คืนนั้นทั้งหมดคงจะไม่เหลือรอดเลยสักชีวิต!

“อย่าชมผมเยอะเลย คืนนั้นผมก็แค่อยากช่วยพวกคุณเท่านั้น” เฉินตงขำตัวเอง “ผมไม่ได้ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น”

“ถึงคุณชายไม่ได้ตั้งใจแต่ก็ประสบความสำเร็จมาก สามารถช่วยการ์ดคนอื่นๆ ที่เหลือเอาไว้ได้” คุนหลุนยิ้มตาม

เฉินตงขยี้จมูกก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุย “โจวเย่นชิวจัดการทุกอย่างได้ละเอียดรอบคอบมาก ของทุกอย่างที่โดนทำลายกลับคืนเหมือนอย่างในตอนแรก ดูเหมือนว่าไม่เคยเกิดการต่อสู้ขึ้นที่นี่เลย”

ระหว่างที่พูดคุยกัน

ขบวนรถก็ขับมาถึงประตูใหญ่ของเขตวิลล่าเขาเทียนซาน และการ์ดของเขตวิลล่าก็ออกมาขวางเอาไว้

การ์ดทั้งสองคนเดินเข้ามาสอบถามด้วยท่าทางสุภาพและเป็นมิตรอย่างยิ่ง

เพราะขบวนรถที่มีรถมากกว่าสิบคัน ให้ความรู้สึกน่าเกรงขามอย่างยิ่ง

“ท่านผู้นี้คือคุณชายเฉินตงของพวกเรา พวกเราคือเจ้าของเขตวิลล่าแห่งนี้”

ท่านหลงเอ่ยมาดนิ่ง

หลังจากผ่านเหตุการณ์ทหารรับจ้างมาแล้ว การที่เขตวิลล่ายกระดับการรักษาความปลอดภัยของการ์ดขึ้นก็ถือว่าเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล

หากถามการ์ดคนอื่นที่เพิ่งเข้ามาทำงานใหม่ อาจจะไม่เข้าใจคำพูดของท่านหลง

แต่โชคดีที่การ์ดสองคนนี้คือการ์ดคนเดียวกับการ์ดที่เข้าเวรเมื่อคืน

เมื่อได้ยินคำว่า “เฉินตง” สองคำนี้

อากัปกิริยาของทั้งสองก็เปลี่ยนไปทันที หัวใจของพวกเขาเต้นกระหน่ำ

สายตาของพวกเขาแอบเหลือบมองไปยังเฉินตงที่นั่งอยู่เบาะแถวหลัง

“เอ๊ะ?”

ท่านหลงเริ่มแสดงท่าทีไม่พอใจ จากนั้นเอ่ยเสียงแข็ง “คุณชายของตระกูลเราใช่คนที่พวกแกอยากจะมองก็มองได้งั้นรึ?”

การ์ดทั้งสองตกใจกลัว รีบหลบสายตาไปทางอื่นทันที

จากนั้นจึงปล่อยขบวนรถเข้าไปโดยไม่มีพิธีรีตองใดๆ ต่อจากนนั้นอีก

เพราะว่าพวกเขารู้ดี ตัวตนของบุคคลที่เป็นรายชื่อลับในเขตวิลล่าแห่งนี้ เบื้องหลังจะต้องมีเส้นสายที่ใหญ่โตอย่างแน่นอน

มดปลวกอย่างพวกเขาจึงไม่มีสิทธิ์เรียกร้องให้พวกเขาทำตามขั้นตอนที่ยุ่งยากอย่างแน่นอน

เมื่อขบวนรถเข้าไปด้านใน

เฉินตงขยี้จมูกแล้วยิ้ม “ท่านหลง พวกการ์ดเขาก็ลำบากนะ ท่านจะขู่พวกเขาทำไม สองคนนั้นหน้าตาไม่คุ้น คงจะเพิ่งเริ่มงานได้ไม่นาน”

“ก็เพราะว่าหน้าไม่คุ้น กระผมจึงต้องทำแบบนี้”

ท่านหลงยิ้มอย่างเมตตา แววตาของเขาวับไหว “เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่วิลล่าเขาเทียนซานร้ายแรงขนาดนั้น คุณชายรอดพ้นจากความตายมาได้ แต่ก็เปรียบเหมือนเป็นการเปิดสัญญาณเตือนภัย ดังนั้นจะไม่ป้องกันเลยไม่ได้”

เฉินตงยิ้มแล้วไม่เอ่ยอย่างอื่นต่ออีก

ความสำเร็จอย่างยาวนานที่เกิดมาจากความรอบคอบ จำเป็นต้องจัดการเช่นนี้

ประตูใหญ่เขตวิลล่า

การ์ดทั้งสองมองตามขบวนรถที่แล่นเข้าไปอยู่พักใหญ่กว่าจะหลุดจากภวังค์

“นี่คือคุณเฉินที่ลูกพี่บอกใช่ไหม? ยังวัยรุ่นอยู่เลย!”

“ใช่ๆ!”

การ์ดอีกคนสมทบพลันนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนแล้วถามขึ้นว่า “เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวาน ต้องเล่าให้คุณเฉินฟังด้วยไหม?”

“เกี่ยวอะไรกับพวกเราล่ะ พวกเขากลับไปแล้ว ต่อไปคงไม่มาที่นี่อีก เรื่องเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ ไม่ต้องใส่ใจมากจะดีกว่า”

วิลล่าได้ถูกฟื้นฟูกลับมาดังเดิมแล้ว

ทุกซอกทุกมุมถูกซ่อมแซมอย่างประณีต ไม่เพียงไร้จุดแตกต่าง แต่ยังดีกว่าเมื่อก่อนด้วยซ้ำ

“คุณชายครับ โจวเย่นชิวจัดการได้ดีมาก คราวนี้นอกจากจะปรับปรุงซ่อมแซมวิลล่าอย่างดีแล้ว ยังเพิ่มระบบรักษาความปลอดภัยมากขึ้นด้วย” ท่านหลงกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม

“เขาค่อยๆ กลายเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาแล้ว” เฉินตงพูดคำพูดแปลกประหลาดออกมา และนึกถึงเรื่องในตอนนั้นที่โจวเย่นชิวเอ่ยยกยอเฉินเทียนเซิง

คนทั้งหมดลงรถและเริ่มขนของ

แน่นอนว่า งานงานนี้เป็นงานของคุนหลุนกับฟ่านลู่

เฉินตงยืนอยู่ด้านข้าง เขาโอบเอวของกู้ชิงหยิ่งเอาไว้แล้วมองดูรอบตัวอย่างเงียบๆ

แต่สายตาของเขาดันเหลือบไปเห็นเสื้อตัวน้อยที่อยู่ตรงอกของกู้ชิงหยิ่งจึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “มันก็แค่ไหมกองหนึ่ง เสื้อผ้ายังไม่ทันจะถักเสร็จ คุณจะทะนุถนอมขนาดนี้ไปทำไม?”

“ไร้สาระ!”

กู้ชิงหยิ่งหันไปค้อนใส่เฉินตงอย่างไม่สบอารมณ์ “นี่คือเสื้อผ้าของลูกเรานะ แถมเป็นชุดตัวแรกที่ฉันถักได้ใหญ่ขนาดนี้ ต้องทะนุถนอมเป็นธรรมดา”

“ได้ๆๆ คุณทะนุถนอมเสื้อผ้า ผมทะนุถนอมคุณ” เฉินตงฉีกยิ้ม

ใบหน้าเรียวของกู้ชิงหยิ่งเริ่มแดงระเรื่อ เธอลดเสียงลง “คนเยอะแยะอยู่แถวนี้ ไม่รู้จักอาย”

“ผมจะพูดจาหวานๆ กับเมีย พวกเขาจะมีปัญหาอะไร?”

เฉินตงยืดอกอย่างภาคภูมิแล้วกล่าวต่ออย่างได้ใจว่า “คุนหลุนกับฟ่านลู่กำลังวุ่นวายเรื่องย้ายของ ท่านหลงก็คอยสั่งการอยู่ เขาอายุเยอะขนาดนี้แล้ว หูของเขาคงใช้งานได้ไม่ดีเท่าไหร่ คงจะไม่ได้ยินหรอก”

“อะแฮ่ม…”

สิ้นเสียงพูดไม่นาน ท่านหลงที่กำลังออกคำสั่งอยู่ก็กระแอมออกมาแล้วหันไปเอ่ยอย่างเศร้าๆ ว่า “ขอโทษด้วยครับ กระผมได้ยินทุกอย่างอย่างชัดเจน”

เฉินตง “…”

เพี๊ยะ!

กู้ชิงหยิ่งอายจนก้มหน้างุด เธอแอบสอดมือด้านขวาของเธอเข้าไปตรงเอวของเฉินตงแล้วหยิกอย่างแรง

และในเวลาเดียวกันนี้

บนถนนรอบเขา

รถแท๊กซี่คันหนึ่งกำลังขับมุ่งหน้าไปทางเขตวิลล่าเขาเทียนซานด้วยความเร็วจี๋

บนรถ

สายตาของหวางเต๋อมืดมน ท่าทางของเขากำลังคล้ายตกอยู่ในภวังค์

ข้างกายเขา

จางซิ่วจือกำลังบ่นด่าไม่หยุด

“ฉันว่าเมื่อคืนพวกเราสองคนต้องถูกหมาเฝ้าประตูสองตัวนั่นหลอกแน่ๆ วิลล่าเขาเทียนซานราคาแพงเป็นร้อยล้าน คนเส็งเคร็งอย่างเฉินตงจะย้ายออกไปดื้อๆ ได้ยังไง”

“เป็นเพราะเศษสวะทึมทื่อไร้ความรู้สึกอย่างแก ถ้าตอนนั้นแกไม่ห้ามฉัน ฉันคงบุกเข้าไปรื้อบ้านแล้ว”

“แกมันไม่ได้เรื่อง เศษสวะ ชีวิตจางซิ่วจือช่างโชคร้ายจริงๆ ถึงต้องมาเจอเรื่องราวเฮงซวยแบบนี้ วันนี้จะต้องเข้าไปดูให้เห็นกับตาให้ได้!”

เสียงพูดไม่ขาดสายทำเอาคนขับแท๊กซี่ขมวดคิ้ว

เขามองหวางเต๋อผ่านกระจกหลัง และพูดแซวเล่นว่า

“พี่ชายใจเย็นมากเลย จะต้องเป็นคนรักเมียมากแน่ๆ”

“แล้วมาเสือกอะไรด้วย?” จางซิ่วจือถลึงตาตวาดด่าออกไป

คนขับรถหัวเราะ แล้วไม่ต่อปากต่อคำอีก

“เขาก็แค่ล้อเล่นเฉยๆ เธอจะอะไรนักหนา?”

สายตาของหวางเต๋อเริ่มกลับมามีโฟกัสขึ้นบ้าง “เขาก็บอกว่าย้ายไปแล้ว ทำไมเธอจะต้องทำแบบนี้ด้วย และอีกอย่าง พวกเราไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขาแล้ว!”

เพี๊ยะ!

จางซิ่วจือตบหน้าหวางเต๋อเต็มแรง “มันเรื่องของฉัน แกมาเกี่ยวอะไรด้วย? แกพูดอย่างนี้ แสดงว่าแกมีวิธีทำให้พวกทวงหนี้ไม่มาทวงเงินคืนได้งั้นเหรอ ต้องหาเงินมาใช้หนี้อีกตั้งหลายแสน ถ้าฉันต้องกระโดดตึกตาย ฉันจะลากแกกระโดดลงไปด้วย!”

คืนฝนปรอย

จางซิ่วจือค่อมอยู่บนตัวหวางเต๋อ เธอตะโกนด่าพลางข่วนหน้าของเขาอย่างคลุ้มคลั่ง

หวางเต๋อยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาเพื่อป้องกันตน ใบหน้าของเขาปรากฏรอยข่วนเลือดซิบ และร้องโหยหวนออกมาอยู่ตลอดเวลา

ส่วนหวางเห้านั้นอยู่ท่ามกลางสายฝน เขากอดขาทั้งสองข้างของตนเอาไว้ ใบหน้าของเขาขาวซีดและร้องไห้โอดครวญ

ภาพเหตุการณ์นี้ทำเอาการ์ดทั้งสองคนที่กำลังบูดบึ้งเตรียมจะลงมือหยุดชะงัก ดวงตาเหม่อลอยอ้าปากค้าง

นี่มัน…คนบ้าหรือ?

ทั้งสองหันมาสบตากันแล้วเตรียมจะเดินผละออกไป

ที่ตรงนี้ห่างจากประตูใหญ่ของเขตวิลล่าพอสมควร ถ้าคนบ้าสองสามคนจะอาละวาดอยู่ตรงนี้ เสียงเอะอะก็คงจะเข้าไปไม่ถึงเจ้าของบ้านในเขตวิลล่า ขอแค่ไม่เข้าใกล้ประตูใหญ่เขตวิลล่า พวกเขาก็คงไม่ต้องยุ่ง

และในตอนที่ทั้งสองกำลังหันหลังกลับไปนั้น

“พวกแกหยุดเดี๋ยวนี้!”

จางซิ่วจือที่กำลังคลุ้มคลั่งลุกพรวดยืนขึ้นอยู่ด้านบนตัวหวางเต๋อ เธอออกคำสั่งการ์ดทั้งสองคนราวคนเสียสติ “หมาเฝ้าประตูสองตัวจะไปไหนเหรอ ให้พวกเราเข้าไปเดี๋ยวนี้ พวกเราคือพ่อตา แม่ยาย ของเฉินตง แถมเขาคนนั้นก็คือน้องสะใภ้ของเฉินตง!” ระหว่างพูดจางซิ่วจือก็ชี้นิ้วไปที่หวางเห้าที่กำลังนอนอยู่บนพื้น

การ์ดทั้งสองคนหยุดชะงักลงอีกครั้ง

หวางเต๋อไม่สนใจความเจ็บปวดที่ใบหน้า เขารีบร้อนลุกขึ้นเพื่อห้ามจางซิ่วจือ “เธอเลิกวุ่นวายได้แล้ว ขอร้องล่ะ อย่าวุ่นวายอีก…”

น้ำเสียงของเขาเศร้าสลดจนแทบเป็นการอ้อนวอน

แต่จางซิ่วจือหันขวับกลับมาอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางสายฝน ดวงตาแดงฉานราวกับกำลังจะกินเลือดกินเนื้อของเธอจ้องเขม็งกลับไปที่หวางเต๋อ “หุบปากเดี๋ยวนี้! พวกเราไม่มีทางให้ถอยอีกแล้ว!”

หวางเต๋อชะงักไปด้วยความตกใจ

ทันใดนั้นในใจของเขาก็เต็มไปด้วยความขมขื่น

ใช่แล้ว ไม่มีทางให้ถอยแล้ว!

เงินหลายล้านเสียพนันไปจนไม่เหลือ แถมจางซิ่วจือยังติดหนี้นอกระบบอยู่อีกหลายแสน

ครอบครัวที่สมบูรณ์ครอบครัวหนึ่ง มีชีวิตร่ำรวยเพียงไม่กี่วันก็กลับมามีสภาพอย่างเก่าแล้ว แถมยังแย่กว่าเก่าด้วยซ้ำ

หวางหนันหนันขอตัดสัมพันธ์ไปแล้ว หากไม่สามารถหาแหล่งเติมเงินล้านได้ คนทั้งสามคงจะต้องกระโดดตึกตายจริงๆ

เมื่อนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา หวางเต๋อก็รู้สึกราวกับตนเองกำลังฝันไป

จู่ๆ น้ำตาก็เอ่อล้นออกมาจากดวงตาของเขา

และในตอนนี้เอง

การ์ดคนหนึ่งก็เอ่ยปากขึ้นมาว่า “ขอโทษด้วยครับ เจ้าของบ้านที่นี่ไม่มีคนชื่อเฉินตง”

เปรี้ยง!

สิ้นเสียง สายฟ้าก็สว่างวาบขึ้นกลางท้องฟ้ายามค่ำคืน

จางซิ่วจือ หวางเต๋อและหวางเห้าก็รู้สึกราวกับโดนสายฟ้าฟาด

คนทั้งสามนิ่งงั้นไปพร้อมกัน

แม้กระทั่งหวางเห้าที่นอนอยู่กลางน้ำฝนก็ยังหยุดส่งเสียงออกมา

“ไม่มีคนชื่อเฉินตง จะเป็นไปได้ไง?”

จางซิ่วจือไม่อยากเชื่อ เธอเบิกตากว้างแล้วบ่นพึมพำออกไปว่า “พวกแกโกหก พวกแกต้องหลอกพวกเราแน่ๆ ไอ้เฉินตงนั่นอยู่ที่เขตวิลล่าเทียนซาน เมื่อก่อนพวกเรายังมาหามันอยู่เลย จะไม่มีได้ยังไง”

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการแผดเสียงลั่นของจางซิ่วจือ

การ์ดทั้งสองก็เริ่มแสดงอาการไม่สบอารมณ์ออกมา

แต่เมื่อเห็นกิริยาเมื่อครู่ของจางซิ่วจือ คนทั้งสองจึงคิดว่าจางซิ่วจือเป็นผู้หญิงเสียสติคนหนึ่ง

ดังนั้นจึงพยายามระงับอารมณ์เอาไว้

แล้วเอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า “ขอโทษด้วย ที่นี่ไม่มีผู้อาศัยชื่อเฉินตงจริงๆ ในคู่มือการทำงานของพวกเราบันทึกรายชื่อของผู้อาศัยที่นี่เอาไว้ทุกคน และไม่มีชื่อที่คุณพูดถึง บางที…อาจจะย้ายไปก่อนหน้านี้แล้วก็ได้”

“ย้ายไปแล้ว?!”

สีหน้าของจางซิ่วจือหมองหม่น เธอเซไปด้านหลัง

ในตอนนี้เธอรู้สึกราวแผ่นดินกำลังจะถล่ม

ตอนผลาญเงินจนหมด แถมยังติดหนี้อยู่อีกหลายแสน เธอยังไม่มีความรู้สึกเช่นนี้

หวางหนันหนันตัดขาดความสัมพันธ์ หรือแม้กระทั่งเรื่องที่หวางเห้าโดนตัดขา เธอก็ยังไม่รู้สึกเหมือนเช่นตอนนี้

แต่ตอนนี้ เธอรู้สึกเช่นนั้นแล้ว

เพราะหมากตัวสุดท้ายที่จะช่วยเหลือเธอได้ไม่มีอีกแล้ว!

เธอรู้จักนิสัยของเฉินตงเป็นอย่างดี นั่นก็คือคนหัวอ่อนที่สามารถหลอกเอาเงินได้ง่ายๆ

ไม่อย่างนั้นแล้วหลังจากที่เธอวางแผนทำร้ายเฉินตงแล้ว ทำไมเขาถึงไม่คิดจะแก้แค้น?

ขอแค่หาตัวเฉินตงให้พบ แล้วลงไปนอนดิ้นพล่านร้องไห้ร้องห่ม เธอแน่ใจว่าจะต้องรีดเอาเงินออกมาจากกระเป๋าของคนหัวอ่อนไร้ประโยชน์เช่นเฉินตง เพื่อเอามาใช้หนี้หลายแสนของตนได้ เผลอๆ อาจจะได้ถึงสิบล้านด้วยซ้ำ

ด้วยความมั่นใจนี้เอง จางซิ่วจือจึงไม่สนใจคำทักท้วงของหวางเต๋อและหวางเห้าและตรงมาที่วิลล่าเขาเทียนซานอย่างแน่วแน่

ในความคิดของเธอ เฉินตงเป็นคนรวย เงินแค่สิบล้านคงเป็นเงินเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้น แค่กระตุกคนหัวอ่อนคนนี้ให้ได้ จะต้องสามารถขุดทองออกมาจากเหมืองทองคำได้อย่างแน่นอน

แต่คำตอบของการ์ดที่เอ่ยออกมานั้นเปรียบเสมือนหมัดหนักๆ ที่ทำให้ความฝันของเธอต้องพังทลาย

ถ้าไม่ได้คนเส็งเคร็งอย่างเฉินตงคอยช่วยเหลือ เมื่อคนทวงหนี้มาถึง…

ในหัวของจางซิ่วจือปรากฏภาพที่น่าสยดสยอง จนทำให้เธอตัวสั่น

ใบหน้าของเธอถมึงทึงขึ้น เธอกัดฟันแน่นมองไปที่การ์ดทั้งสองคนเตรียมจะระเบิดอารมณ์อีกครั้ง

หวางเต๋อดึงสติกลับมาได้จึงรีบเข้าไปรั้งจางซิ่วจือเอาไว้จากทางด้านหลัง

“พอได้แล้ว! จำเรื่องน่าอับอายที่นี่ในตอนนั้นไม่ได้หรือไง เขาย้ายหนีออกไปแล้ว เธอยังจะทำอะไรอีก?”

ตัวของจางซิ่วจือสั่น เธอเห็นภาพที่ตัวเองถูกจับมัดออกมาจากวิลล่าเขาเทียนซานแล้วโยนทิ้งลงเขาไป เธอจึงอดมองการ์ดทั้งสองคนด้วยความหวาดกลัวไม่ได้

ตอนนี้ไม่เหมือนอย่างเมื่อก่อนแล้ว ตอนนั้นพวกการ์ดกล้าโยน ตอนนี้คงจะยิ่งกล้าทำเข้าไปใหญ่

ด้วยความพยายามทั้งห้ามทั้งเตือนของหวางเต๋อ ทำให้จางซิ่วจือยอมถอยออกมาอย่างไม่เต็มใจนัก ส่วนหวางเห้าก็หยุดร้องโอดครวญไปแล้ว

เงาของคนทั้งสามเริ่มไกลออกไป

การ์ดทั้งสองคนถอนหายใจออกมาพร้อมๆ กัน

“แม่งเอ๊ย คนบ้าสามคนนี้ก็เข้าใจเลือกสถานที่นะ จะไปก่อเรื่องที่อื่นก็ไม่ได้ จะต้องมาก่อเรื่องถึงที่นี่?”

“เฮ้อ คิดซะว่าดวงซวยละกัน ช่วงเวลาแบบนี้ใครไม่เคยผ่านกันบ้าง? แต่ยังโชคดีที่ตาแก่นั่นคอยห้ามยายบ้านั่นอยู่ ไม่อย่างนั้นแล้วฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะห้ามยังไงดี คู่มือการทำงานไม่ได้เขียนเรื่องนี้เอาไว้ซะด้วย”

และในขณะที่คนทั้งสองกำลังแอบนินทากันอยู่นั้น

การ์ดวัยกลางคนที่อายุค่อนข้างมากคนหนึ่งก็เดินฝ่าฝนเข้ามา

“เมื่อกี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ?”

“ลูกพี่ เมื่อกี้มีคนสามคนมาร้องห่มร้องไห้ บอกว่าเป็นพ่อตา แม่ยายและน้องสะใภ้ของเจ้าของบ้านในวิลล่าที่ชื่อเฉินตง พี่ว่าน่าหัวเราะไหมล่ะ ในวิลล่าของพวกเรามีคนชื่อเฉินตงที่ไหนเล่า”

การ์ดคนหนึ่งเล่าให้ฟังโดยสรุป

การ์ดอีกคนก็โบกมือขึ้น “ลูกพี่ ไม่มีเรื่องอะไรแล้วล่ะ คงจะเป็นคนบ้าสามคนนั่นแหละ”

ทว่า

การ์ดทั้งสองคนไม่ได้สังเกตเห็นว่า สีหน้าของการ์ดวัยกลางคนเริ่มเข้มขึ้น และเริ่มหรี่ตาลง

และทันทีต่อจากนั้น

การ์ดวัยกลางคนก็เอ่ยออกมาว่า “พวกนายสองคนเพิ่งเริ่มมาทำงานที่นี่ไม่นานเลยไม่ค่อยรู้เรื่องในเขตวิลล่าของพวกเราเท่าไหร่ ในเขตวิลล่าของเรามีเจ้าของบ้านที่ชื่อว่าเฉินตงอยู่จริงๆ บ้านของเขาคือหลังที่สง่างามที่สุดที่อยู่ตรงกลางเขา เพียงแต่ว่าสถานะของท่านเฉินตงนั้นสูงส่ง ดังนั้นจึงเป็นรายชื่อลับของวิลล่าที่ปกปิดเอาไว้”

เปรี้ยง!

การ์ดทั้งสองตะลึงงันไปพร้อมๆ กัน

ในความเป็นจริงแล้ว ตอนที่ทหารรับจ้างเดดพูลโจมตีเขตวิลล่าเขาเทียนซาน เหล่าการ์ดที่เขตวิลล่าต่างเดือดร้อนกันไม่น้อย

หลังจากที่โจวเย่นชิวได้จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ก็ได้คัดเลือกการ์ดเข้ามาใหม่ชุดใหญ่ ส่วนชื่อของเฉินตงนั้น โจวเย่นชิวตั้งใจให้ปิดบังไว้ไม่ให้การ์ดที่เข้ามาใหม่รู้จัก

ส่วนการ์ดทั้งสองคนนี้เป็นคนที่เข้ามาใหม่ แน่นอนว่าย่อมไม่รู้เรื่องที่เคยเกิดขึ้นเมื่อก่อน

“ลูกพี่ มี มีจริงรึ?”

ส่วนการ์ดอีกคนหน้าเริ่มซีดเผือด สายตาของเขามองไปตามทางเดินลงเขาอย่างหวั่นใจ “งั้นพวกเขาเป็นพ่อตา แม่ยายและน้องสะใภ้ของคุณเฉินตงจริงๆ หรือครับ”

เมื่อเอ่ยถึงตอนนี้ ใบหน้าของการ์ดทั้งสองเปลี่ยนเป็นซีดเผือด

หัวใจของเขาเต้นแรงจนแทบจะทะลุออกมาจากอก

หากเป็นเช่นนั้นจริง อย่างนั้นพวกเขาสองคนก็คงจะโดนไล่ออก

เงินเดือนของการ์ดที่เขตวิลล่าเขาเทียนซานถือว่าล่อตาล่อใจมากที่สุดในวงการอาชีพนี้ เงินเดือนเดือนหนึ่งได้หลายหมื่นบาท การ์ดจำนวนมากต่างแย่งชิงกันเข้ามาที่นี่

“หึ!”

การ์ดวัยกลางคนแค่นหัวเราะออกมาด้วยสีหน้าดูแคลน

เขาเป็นคนสูงอายุคนหนึ่งที่รอดชีวิตมาได้จากเหตุการณ์ทหารรับจ้างแบบเหลือเชื่อ ดังนั้นจึงรู้เรื่องราวของเฉินตงเป็นอย่างดี

ภายใต้สายตาของการ์ดทั้งสองที่มองมาที่ตนด้วยความหวาดหวั่นนั้น

การ์ดวัยกลางคนจึงค่อยๆ เอ่ยออกมาว่า “พวกแกจำเอาไว้ หากคนทั้งสามคนนั้นกลับมาที่นี่อีก ให้บอกพวกเขาแค่ว่า นายหญิงของเขตวิลล่าเขาเทียนซานแซ่กู้!”

เวลาหกโมงเย็น

เฉินตงเลิกงานตรงเวลา

แต่พอเขาออกมาจากประตูบริษัท เมฆครึ้มสีดำที่ก่อตัวมานานก็เปลี่ยนสภาพเป็นฝนกระหน่ำ

ฝนปรอยลงมาไม่ขาดตอน สาดกระเซ็นลงบนพื้น บรรยากาศพร่ามัว

“ฝนตกมาเร็วไปนิด”

เฉินตงขยี้จมูกก่อนจะสตาร์ทรถกลับไปยังคลับสี่ยิ่น

ฤดูใบไม้ร่วงฝนปรอย

ยิ่งทำให้ลานป่าไผ่เงียบสงบมากขึ้น

กู้ชิงหยิ่งนั่งถักเสื้อตัวน้อยอยู่เงียบๆ ท่านหลงนั่งพักผ่อนจิบชาอยู่บนเก้าอี้โยก

คุนหลุนกับฟ่านลู่ก็กำลังวุ่นทำงานอยู่ในห้องครัว

เป็นภาพที่ดูสงบสุขเป็นหนึ่งเดียว

ตอนที่เฉินตงมาหยุดยืนอยู่ที่ลานแล้วเห็นภาพนี้ เขาก็อดอมยิ้มออกมาอย่างสบายใจไม่ได้

ความเหน็ดเหนื่อยที่สะสมมาทั้งวัน หายไปเป็นปลิดทิ้งในตอนนี้

เขาเดินตรงเข้าไปหากู้ชิงหยิ่งเป็นคนแรก

“ที่รัก กลับมาแล้วหรอคะ”

เมื่อกู้ชิงหยิ่งเห็นเฉินตงก็ยิ้มออกมาอย่างสดใส เธอชูเสื้อตัวน้อยที่กำลังถักอยู่ในมือขึ้นมาเพื่อโอ้อวด “คุณดูที่ฉันถักสิ ไม่เลวเลยใช่ไหมล่ะ”

“ไม่เลวเลย ดีกว่าก้อนหมูยอตั้งเยอะ” เฉินตงเย้าแหย่

กู้ชิงหยิ่งกลอกตาแล้วบ่นว่า “ใครไม่มีครั้งแรกกันบ้างล่ะคะ ฉันถักได้เท่านี้ก็นับว่าดีมากแล้ว ถ้ายังล้อปมด้อยของฉันอีก ฉันจะแทงคุณ”

เฉินตงยิ้มกว้าง

จากนั้นจึงเดินไปหาท่านหลงแล้วถามว่า “ท่านหลง ทางตระกูลเฉินส่งข่าวพ่อมาบ้างไหม”

ท่านหลงยิ้มอย่างขมขื่น “ทางตระกูลเฉินไม่เคยสั่งหน่วยข่าวกรอง ให้ลดระดับการตามหาพ่อของคุณลงเลย แต่ก็ไม่เคยได้เบาะแสอะไร กระผมเองก็รู้สึกเช่นกันว่าเรื่องนี้มันผิดปกติ”

ยิ่งกว่าผิดปกติเสียอีก

เป็นเรื่องที่ไม่น่าเกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ

คิ้วของเฉินตงขมวดแน่น ด้วยความสามารถของหน่วยข่าวกรอง ตระกูลเฉินแล้ว เวลาผ่านมาเนิ่นนานขนาดนี้ อย่าว่าแต่หาตัวเจ้าบ้านเลย ต่อให้หาคนธรรมดาคนหนึ่งจากคนจำนวนมากก็ควรจะต้องได้เบาะแสอะไรมาบ้างแล้ว

แต่นี่เป็นถึงเจ้าบ้านตระกูลเฉิน!

ผู้นำของตระกูลเฉิน!

“คุณชายใจเย็นก่อน อย่างน้อยๆ พวกเราก็มีข้อมูลมากกว่าตระกูลเฉินอยู่หน่อย นั่นคือตอนนี้คุณท่านยังคงปลอดภัยอยู่ไม่ใช่หรือ”

ท่านหลงกะพริบตาแล้วยิ้มอย่างแปลกประหลาด

เฉินตงขยี้จมูก เขามองไปยังลานป่าไผ่แล้วเอ่ยว่า “ผมคิดว่าพวกเราควรจะย้ายกลับไปที่วิลล่าเขาเทียนซานกันได้แล้ว ขืนยังอยู่ที่นี่ต่อไปมีแต่จะยิ่งรู้สึกเกรงใจเปล่าๆ”

“กระผมเองก็คิดแบบนั้น” ท่านหลงพยักหน้า “ตอนนี้วิกฤตองค์กร hidden killers ก็ได้จบลงไปแล้ว โจวเย่นชิวก็ได้จัดการวิลล่าเขาเทียนซานเรียบร้อยแล้ว กลับไปก็ดีเหมือนกัน”

ช่วงเวลาอาหารค่ำ เฉินตงได้เอ่ยความคิดเตรียมจะย้ายกลับไปที่วิลล่าเขาเทียนซานออกมาเนื่องจากคลับสี่ยิ่นเป็นสถานที่ของท่านเมิ่ง ท่านเมิ่งตัดสินใจรับเขาเข้ามาอยู่อย่างเต็มใจในตอนที่เขากำลังลำบาก และดูแลเขาอย่างใส่ใจ ถึงตอนนี้วิกฤตได้ผ่านพ้นไปแล้วจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะอยู่ที่นี่ต่อ

เพราะอาจเป็นการสร้างความยุ่งยากให้กับท่านเมิ่ง

และเฉินตงพยายามที่จะไม่สร้างความยุ่งยากให้กับใคร

ราตรีปกคลุม

ฝนปรอยๆ อย่างคงโปรยปรายไม่หยุด

แสงไฟในเขตวิลล่าเขาเทียนซานสว่างไสว

แต่หลังจากผ่านเหตุการณ์ทหารรับจ้างในครั้งที่แล้วมา ภายในเขตวิลล่าก็รกร้างไปไม่น้อย

ผู้ที่จะสามารถอาศัยอยู่ในเขตวิลล่าเขาเทียนซานได้ ล้วนต้องเป็นคนชั้นสูงของเมืองนี้เท่านั้น

เมื่อเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงครั้งนั้น ไม่ว่าจะพยายามแก้ไขให้ดีขึ้นมากเท่าไร ก็ยังคงไม่สามารถรั้งให้พวกชนชั้นสูงเต็มใจยอมอยู่ในสถานที่ที่มีสิ่งแวดล้อมไม่ปลอดภัยเช่นนี้ได้

มีเงินและอำนาจอยู่ในมือ ตัวเลือกก็ย่อมมากตามไปด้วย

บวกกับฝนปรอยๆ ที่ตกลงมาในวันนี้ ยิ่งทำให้เขตวิลล่าเขาเทียนซานตกอยู่ในสภาวะเงียบสงบ

มีเพียงเสียงตกเปาะแปะลงมาไม่ขาดสายเท่านั้น

ณ ประตูใหญ่เขตวิลล่า

รถแท็กซี่คันหนึ่งขับมาช้าๆ

เอี๊ยด!

รถหยุดลงพร้อมน้ำสาดกระเซ็น

แก๊ก

ประตูรถเปิดออก

หวางเต๋อเดินลงจากรถมาเป็นคนแรก เขากางร่มพลางหันหลังเข้าไปทางด้านในรถ

เมื่อหวางเห้าปีนขึ้นมาบนหลังเขาแล้ว เขาก็กัดฟันด้วยใบหน้าแดงก่ำ พร้อมออกแรงลุกขึ้นยืน

“ไอ้ตัวไร้ประโยชน์ แบกเสี่ยวเห้าดีๆ ด้วยล่ะ ถ้าทำเขาตก ฉันไม่ปล่อยแกไปแน่”

จางซิ่วจือด่าพลางเดินลงมาจากรถ ผมเผ้ายุ่งเหยิง สภาพสะบักสะบอม

หวางเต๋อจนปัญญา จึงไม่ได้เอ่ยตอบโต้ไป

ส่วนหวางเห้าที่อยู่บนหลังของเขา ตอนนี้ไร้เรี่ยวแรงเอาแต่ส่งเสียงร้องไห้โอดโอย ขาทั้งสองข้างของเขาใส่เฝือกหนาๆ เอาไว้

หลินหลิ่งตงไม่ได้พูดเกินจริง เมื่อลั่นคำสั่งให้ตัดขาหวางเห้าแล้ว ก็คือตัดจริงๆ

“พี่คนขับรอเดี๋ยวนะ ถ้าพวกเราไม่ได้เข้าไปข้างใน ก็ต้องกลับมาขึ้นรถพี่ออกไปอีก”

จางซิ่วจือพยายามยิ้มแล้วหยิบเงินหนึ่งร้อยหยวนส่งให้คนขับรถ

จากนั้นจึงตรงไปประคองหวางเห้าและมุ่งหน้าเดินเข้าไปที่ประตูใหญ่ของวิลล่า

แต่เดินไปได้ไม่ไกลนัก ก็เกิดเสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มขึ้นจากทางด้านหลัง

เมื่อทั้งสองหันกลับไปมอง จึงพบว่ารถแท็กซี่ได้หักหัวเลี้ยวลงเขาไปแล้วอย่างรวดเร็ว

“ไอสัตว์นรก! ให้รอแป๊บเดียวก็ไม่ได้ จะรีบกลับไปชิงหมาเกิดหรือไง”

จางซิ่วจือกระทืบเท้าตึงตังและตวาดเสียงต่อว่า “พอหมดอำนาจเงินทอง แม้แต่คนขับรถหน้าโง่ยังกล้าขัดขืนแม่”

หวางเต๋อมองไปที่จางซิ่วจือด้วยสายตาที่มืดมนกว่าครั้งใด

“แกมัวแต่เหม่ออะไร เดินตามฉันมาสิ”

จางซิ่วจือมองค้อนหวางเต๋อ

หวางเต๋อไม่ได้โต้ตอบ และเดินตามไปราวกับเป็นเครื่องจักรกล

แต่เมื่อเห็นประตูบานใหญ่ที่สวยงามหรูหราของเขตวิลล่า

หวางเต๋อจึงเอ่ยขึ้นมาอย่างลังเล “แม่ พวกเราไม่ได้เกี่ยวข้องกับเฉินตงแล้วนะ”

จางซิ่วจือหยุด

แล้วหันกลับมาถลึงตาใส่ และยกขาถีบไปที่ขาของหวางเต๋ออย่างแรง

“ไอ้ตัวไร้ประโยชน์ อยู่มาจนป่านนี้ได้ยังไง?”

และด้วยการถีบนี้เอง ทำให้หวางเต๋อที่ออกแรงแบกอยู่เสียสมดุล จึงพาเอาหวางเห้าล้มลงไปบนพื้นด้วยกัน

การกระแทกอย่างรุนแรงทำให้หวางเห้าส่งเสียงร้องเหมือนหมูถูกเฉือด

หวางเต๋อเองก็ล้มลงไปอย่างรุนแรงเช่นกัน

ทว่าปฏิกิริยาของจางซิ่วจือกลับเหนือความคาดคิด

เมื่อได้ยินเสียงร้องโอดครวญของหวางเห้า จางซิ่วจือจึงแยกเขี้ยวราวกับหมาบ้าแล้วทั้งถีบทั้งต่อยระรัวลงไปที่หวางเต๋อ

“แกมันเป็นสวะ ทำลูกร่วงได้ยังไง ทำไมแกไม่หน้าคว่ำตายไปแทนนะ?”

ทั้งด่าทั้งตีราวกับจะไม่ยอมเลิกราง่ายๆ

โดยไม่คิดจะไปช่วยประคองหวางเห้าที่นอนกลางสายฝน ร้องโหยหวนเลยแม้แต่น้อย

การกระทำนี้เอะอะวุ่นวาย

การ์ดที่เข้ากะอยู่ตรงประตูใหญ่ของวิลล่าก็วิ่งมาอย่างรวดเร็ว

“ดึกดื่นป่านนี้ มาทำอะไรกันที่นี่? ไปให้พ้นเดี๋ยวนี้!”

การ์ดแผดเสียงไล่ สภาพน่าสังเวชของคนทั้งสามคนนี้ไม่มีทางเป็นคนที่อาศัยอยู่ในเขตวิลล่าอย่างแน่นอน

“แกพูดบ้าอะไร? แกก็แค่หมาตัวหนึ่ง ริอ่านจะเป็นคนเหรอ? ฉันอยู่ในเขตวิลล่านี่แหละ ฉันเป็นเจ้านายของพวกแกนะ!”

จางซิ่วจือที่กำลังเดือดดาล หันขวับไปถลึงตาด่ากราด

สีหน้าของการ์ดทั้งสองคนเครียดขึ้นทันที

นี่คือคนที่อาศัยอยู่ในเขตวิลล่าหรือ?

คิดว่าหลอกเด็กอยู่รึไง?

และขณะที่กำลังจะแผดเสียงต่อไป

หวางเต๋อก็ตะเกียกตะกายลุกขึ้นมานั่ง แล้วหันไปเอ่ยด้วยเสียงที่หมดอาลัยตายอยากกับจางซิ่วจือที่กำลังกระฟัดกระเฟียด

“เธอเลิกก่อเรื่องได้แล้ว ครอบครัวอยู่กันมาดีๆ เธอก็ทำพังไปแล้ว ไปเถอะ เฉินตงไม่มีทางออกมาพบพวกเราหรอก พวกเราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขาแล้ว เธออย่าทำเรื่องขายหน้าอีกเลยนะ ทำตัวเป็นคนดีๆ บ้าง!”

เปรี้ยง!

จางซิ่วจือที่กำลังเดือดดาลรู้สึกราวกับโดนฟ้าผ่า

เธอเบิกตากว้างอย่างอาฆาตมาดร้าย แล้วค่อยๆ หันกลับมาที่หวางเต๋อ

“ที่ฉันต้องหน้าด้านแบบนี้ก็เพราะต้องการหาที่ลงหลักปักฐานให้พวกแก ตอนนี้แกยังว่าฉันว่าน่าอาย? แถมยังด่าว่าฉันไม่ใช่คนอีกเหรอ?”

วินาทีต่อมา

จางซิ่วจือกระโจนเข้าใส่หวางเต๋อแล้วคร่อมบนตัวเขาไว้ พลางใช้มือทั้งสองข้างข่วนหน้าของหวางเต๋ออย่างบ้าคลั่ง

“แกมันคนไร้สมอง ตอนนี้ถ้าไม่มาหาไอ้ตัวเส็งเคร็งนี่ พวกเราจะไปหาใครได้อีก? มันเป็นผัวเก่าของนังหวางหนันหนัน ตอนนี้มันรวยแล้ว ตอนนั้นคงจงใจให้เศษเงินพวกเราเพื่อถีบหัวพวกเราออกจากบ้าน มันฝันหวานเกินไปแล้ว! ฉันเป็นหนี้อยู่ตั้งหลายแสน ถ้าไม่มาเอาจากมัน จะให้ไปเอาที่ไหนล่ะ? หรือว่าจะรอจนพวกทวงหนี้มาหน้าบ้าน แล้วพวกเราสามคนค่อยกระโดดตึกลงมาดีล่ะ?”

หวางหนันหนันหน้าซีดเผือด

เมื่อต้องประจันหน้ากับจางซิ่วจือที่กำลังเดือดดาล เธอก็ลุกขึ้นถอยหลังหนี

และในตอนนั้นเอง

มีฝ่ามือหนึ่งยื่นออกมาขวางจางซิ่วจือเอาไว้ แล้วออกแรงดันจางซิ่วจือกลับไปยืนยันตำแหน่งเดิม

“ปัดโถ่ ไสหัวไปเลยนะ ฉันจะตีลูกสาวตัวเอง แกยังมีหน้ามาขวางอีกเหรอ?”

จางซิ่วจือเดือดดาลชี้หน้าด่าอู๋จุนหาวอย่างหัวร้อน “อย่ามาขวางทางฉันนะ เรื่องในบ้านคนนอกอย่ายุ่ง ไสหัวไปเดี๋ยวนี้!”

“เจ้านายครับ”

อู๋จุนหาวยังไม่ได้วางมือลง แต่กลับมองไปที่หลินหลิ่งตงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม

“ตบปาก!”

หลินหลิ่งตงนั่นอยู่บนเก้าอี้อย่างสงบ แล้วเอ่ยสองคำนี้ออกมาอย่างไร้ความรู้สึก

ประโยคนี้ทำให้หวางหนันหนันตกใจ

จางซิ่วจือชะงักไปก่อนที่จะเบิกตาจ้องเขม็ง “แกเป็นใคร ฉันจะตีลูกสาวตัวเอง เกี่ยวอะไรกับแก…”

เพี๊ยะ!

ฝ่ามือของอู๋จุนหาวกระทบบนใบหน้าของจางซิ่วจือ

อย่างรุนแรง

จนในหูเกิดเสียงดังวิ้งๆ ขึ้น

เมื่อจางซิ่วจือโดนตบอย่างกะทันหัน ร่างกายก็เสียสมดุลจนเดินโซเซถอยหลังไปสองสามก้าวอย่างมึนงง

ฝ่ามือเมื่อครู่นั้น

ทำให้หวางหนันหนันตกใจจนยกมือขึ้นมาปิดปากตนเองไว้

ตอนนี้สีหน้าของหวางเต๋อเปลี่ยนไป

หลังจากที่หวางเห้าหายตกใจแล้ว เขาก็พุ่งเข้าใส่อย่างอู๋จุนหาวอย่างเดือดดาล

“มึงกล้าดียังไงมาตบแม่กู วันนี้กูกับมึงต้องตายกันไปข้างหนึ่ง!”

และในตอนที่หวางเห้าพุ่งตัวเข้าใส่อู๋จุนหาวนั้น

หลินหลิ่งตงก็เอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง “อย่าหยุด!”

ริมฝีปากของอู๋จุนหาวปรากฏรอยยิ้มเยือกเย็น ราวกับสัตว์ร้ายแล้วพุ่งเข้าใส่หวางเห้าอย่างไม่ลังเล

ในเวลาเดียวกันนี้เอง ลูกน้องของอู๋จุนหาวที่อยู่ตรงปากประตูก็เข้ามาล้อมหวางเห้าเอาไว้

ส่วนหวางเห้านั้นเดิมทีก็ไม่ได้มีความสามารถในการต่อสู้ ตอนนั้นจึงอาศัยเพียงความกล้าหาญของตัวเองแต่เพียงอย่างเดียว จึงไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่น่ากลัวของอู๋จุนหาวเลยแม้แต่น้อย

เมื่อเริ่มเผชิญหน้ากัน

เกิดเสียงเพี๊ยะดังขึ้น

หวางเห้าโดนอู๋จุนหาวตบคว่ำลงไปกองอยู่บนพื้น

และไม่รอให้หวางเห้าได้ทันลุกขึ้น ลูกน้องที่ตามเข้ามาก็พากันเข้าไปล้อมหวางเห้าเอาไว้แล้วรุมกระทืบ

เสียงร้องโอดครวญดังสะท้อนไปทั่วบริเวณห้อง

“หยุดนะ พวกแกหยุดเดี๋ยวนี้นะ!”

จางซิ่วจือตกใจจนหน้าถอดสีไม่เหลือร่องรอยของการหาเรื่องอย่างในตอนแรก เธอคลานเข้าไปหาคนกลุ่มนี้อย่างร้อนรนด้วยความอยากปกป้องลูกชายตนเอง จึงเอาตัวไปนอนขวางอยู่บนตัวหวางเห้า

ฝ่ามือและฝ่าเท้าที่พุ่งสู่หวางเห้า ตอนนี้ได้เปลี่ยนไปรุมกระทืบลงบนร่างของจางซิ่วจือแทน

สองแม่ลูกร้องโอดโอย ราวกับหมูถูกเชือด

หวางหนันหนันมองภาพที่น่าหวาดกลัวนี้ด้วยใบหน้าซีดเผือด

เธอไม่คิดเลยว่าหลินหลิ่งตงจะใช้วิธีที่เด็ดขาดขนาดนี้

ใบหน้าของหวางเห้ากับจางซิ่วจือฟกช้ำ หวางเห้าหนักกว่าตรงที่มีเลือดไหลกลบปาก

หวางหนันหนันไม่สามารถทนได้อีกต่อไป จึงก้าวเข้ายืนอยู่ข้างๆ หลินหลิ่งตง

เธอกำลังจะเอ่ยปาก

หลินหลิ่งตงกลับหันมามองหวางหนันหนัน “คุณเลือกผม!”

คำพูดที่เรียบง่ายนี้กลับคล้ายเป็นใบมีดคมปลาบ ที่ทำให้หวางหนันหนันไม่รู้ว่าควรเอ่ยปากพูดอะไรออกไป

สีหน้าของหวางเต๋อหม่นหมองและซีดเผือด

เมื่อเห็นหวางเห้ากับจางซิ่วจือโดนทำร้ายเช่นนี้กลับไม่สะทกสะท้าน ดวงตาของเขาไร้อารมณ์

“ไปตายซะ ทำร้ายกันปางตายแบบนี้ นี่มันบ้านป่าเมืองเถื่อนไร้กฎหมาย…”

จางซิ่วจือร้องไห้สะอึกสะอื้นแล้วร้องออกมาอย่างโหยหวน “หวางเต๋อ แกมันตายด้านไปแล้ว เมียกับลูกจะโดนกระทืบตายอยู่แล้ว ยังไม่คิดจะช่วยกันอีก?”

แววตาของหวางเต๋อเริ่มวิบไหว สุดท้ายจึงได้สติกลับคืนมา

เขาเดินเข้าไปหาหลินหลิ่งตงกับหวางหนันหนัน

เขาเหลือบไปมองหวางหนันหนันก่อน ก่อนที่จะหันไปมองหลินหลิ่งตง

“ขอโทษด้วยครับคุณหลิน พวกเราผิดไปแล้ว ได้โปรดไว้ชีวิตลูกเมียของผมด้วย”

“ไว้ชีวิต?”

หลินหลิ่งตงแค่นหัวเราะเย้ยหยัน “ตอนที่พวกคุณพูดให้ผมเสื่อมเสีย เคยคิดด้วยหรือว่าจะยังมีชีวิตรอดต่อไป?”

หลินหลิ่งตงเงียบไปพักหนึ่งก่อนที่จะยิ้มออกมา “ก็ได้ ถ้ายังไม่อยากตาย ก็คุกเข่าขอร้องสิ!”

ดวงตาของหวางหนันหนันกระตุก คำพูดจุกอยู่ข้างใน

หวางเต๋อยิ้มอย่างสลดใจ แล้วเหลียวกลับไปมองหวางเห้ากับจางซิ่วจือที่ถูกรุมทำร้ายและกำลังร้องโอดโอย

สุดท้าย ร่างกายของเขาก็เริ่มสั่นเทาก่อนที่จะคุกเข่าลงไปกับพื้น

“พ่อ!”

หวางหนันหนันก้าวอาดออกมาแล้วพยุงหวางเต๋อเอาไว้ เธอหันไปร้องไห้สะอึกสะอื้นแล้วเอ่ยกับหลินหลิ่งตงว่า “หลิ่งตง เขาเป็นพ่อของฉัน ได้โปรดอย่าทำให้เขาต้องลำบากใจเลย”

“คุณไม่ได้ตัดขาดกับเขาแล้วหรือ” แววตาของหลินหลิ่งตงปรากฏความน่าขนหัวลุกออกมา

หวางหนันหนันพูดไม่ออก เธอกัดริมฝีปากก่อนจะเอ่ยว่า “ฉันยังไม่ได้ตัดขาดกับพ่อค่ะ เขายังคงเห็นฉันเป็นลูกสาวอยู่”

“อ้อ?”

หลินหลิ่งตงอุทานออกมาอย่างแปลกใจ แล้วมองหวางเต๋ออย่างห่างเหิน

จากนั้นเขาจึงยกมือขวาขึ้นโบก “จุนหาว พอก่อน”

อู๋จุนหาวกับลูกน้องต่างหยุดการลงมือแล้วถอยหลังออกไป

ทิ้งให้หวางเห้ากลับจางซิ่วจือนอนใบหน้าฟกช้ำ เลือดกบปากอยู่บนพื้น

ผมเผ้าของจางซิ่วจือยุ่งเหยิง สายตาของเธอเลื่อนลอย

เห็นได้อย่างชัดเจนว่ายังไม่หายจากความหวาดกลัวที่ถูกรุมทำร้ายเมื่อครู่

“แม่ เสี่ยวเห้า”

หวางเต๋อดันตัวเองออกมาจากการประคองของหวางหนันหนัน แล้วเดินโซเซไปยังจางซิ่วจือกับหวางเห้า

เสียงร้องเรียกนี้เองที่ทำให้จางซิ่วจือคล้ายถูกไฟช้อตจนได้สติกลับคืนมา

ทันใดนั้นเอง

“อ้า! หวางเต๋อ ไอคนไร้ประโยชน์!”

จางซิ่วจือแผดเสียงออกมาแล้วกระชากคอเสื้อของหวางเต๋อเอาไว้ เธอร้องไห้ มือเท้าทุบตีไปที่หวางเต๋อ

“ไร้ประโยชน์ ลูกเมียโดนทำร้ายแบบนี้ยังยืนมองหน้าตาเฉย ไปตายซะ!”

“เวรกรรมแท้ๆ ทำไมฉันถึงซวยขนาดนี้ ทำไมเรื่องร้ายๆ ทั้งหมดต้องเกิดขึ้นกับฉันด้วย?”

“ลูกสาวก็มาหนีไป ลืมแม่แท้ๆ ของตัวเอง สามีก็ทำตัวไร้น้ำยาแบบนี้อีก”

เธอแผดเสียงสนั่นและทุบตีอย่างคลุ้มคลั่ง

สีหน้าของอู๋จุนหาวกับลูกน้องไม่มีความรู้สึกใดๆ

แต่หลินหลิ่งตงกลับหัวเราะอย่างเหยียดหยาม เขาใช้มือขวาทุบโต๊ะเพื่อขัดจังหวะเสียงร้องโหวกเหวกของจางซิ่วจือ

“จำเอาไว้ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หนันหนันไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกแกอีก ถ้ายังสร้างเรื่องรนหาที่อีก คนอย่างหลินหลิ่งตงจะฝังพวกแกเอง”

ความอำมหิตเช่นนี้ ทำให้อุณหภูมิในห้องลดฮวบไปจนถึงจุดเยือกแข็ง

สีหน้าของจางซิ่วจือเปลี่ยนไป ใบหน้าของเธอเริ่มปรากฏความตื่นตระหนก

“แม่…”

หวางเห้าเจ็บหนัก ตอนนี้จึงดึงจางซิ่วจือเอาไว้อย่างหวาดกลัว

ทันใดนั้นเอง

สายตาของจางซิ่วจือก็เบนไปที่หวางหนันหนัน แววตาของนางปรากฏความคลุ้มคลั่งขึ้นมา

“หวางหนันหนัน แกเต็มใจเป็นนกน้อยในกรงทองก็เรื่องของแก แกเป็นแค่ของที่เอาไว้แลกเงิน ฉันไม่สนใจแกหรอก!”

จางซิ่วจือเอ่ยอย่างจริงจัง เธอแผดเสียงแหลม “แต่ฉันเป็นแม่ของแก เป็นแม่ที่เลี้ยงดูแกมาจนโต ตอนนี้แกจะปล่อยให้พวกเราไปตายแบบนี้เหรอ?”

“พวกแกไม่เกี่ยวข้องอะไรกันแล้ว!”

หลินหลิ่งตงแผดเสียงตวาด

“เหลวไหล!”

จางซิ่วจือเริ่มเสียสติ มือขวาของเธอโบกไปมา “ตัดขาดบ้าอะไร เลือดเนื้อในตัวของหวางหนันหนันมีเลือดแม่อยู่ด้วย ถ้าคิดจะตัดขาดกันจริง ต้องมานอนตายอยู่ตรงหน้าฉันก่อน”

ร่างบอบบางของหวางหนันหนันสั่นไหว เธออดกลั้นเอาไว้ไม่ไหวอีกจึงร้องไห้ออกมา

แต่เธอก็กัดฟันเอาไว้ ไม่ยอมให้เสียงเล็ดลอดออกมา

ตึ้ง!

จู่ๆ ก็เกิดเสียงดังสนั่น

หลินหลิ่งตงเอามือตบโต๊ะพลางลุกขึ้นยืน เขาแผดเสียงตวาดที่น่าขนหัวลุกออกมา “ยายแก่ แกคิดว่าราชาใต้ดินเมืองหลิ่งตงทนเห็นการหลั่งเลือดไม่ได้หรือไง”

หวางเห้ากับหวางเต๋อพากันสะดุ้งตกใจและปิดปากเงียบสนิท

แต่จางซิ่วจือกลับชูคออย่างไม่กลัวตายแล้วเถียงออกไปอย่างเสียสติ “งั้นแกก็ฆ่าฉันเลยสิ ยังไงอีแก่คนนี้ก็เป็นหนี้เขาอยู่หลายแสนอยู่แล้ว แกฆ่าฉัน ปัญหาทุกอย่างก็ถือว่าจบลงเสียที”

สีหน้าของหลินหลิ่งตงหม่นหมองอย่างถึงที่สุด

“เจ้านาย…” อู๋จุนหาวมองไปที่หลินหลิ่งตนอย่างไร้ความรู้สึกใดเพื่อสอบถาม

หากราชาใต้ดินต้องการชีวิตของคนสักสองคน ก็ง่ายเพียงแค่เอ่ยปากเท่านั้น

แต่หลินหลิ่งตงไม่ทันตอบ

จางซิ่วจือที่นอนกองอยู่บนพื้นก็เริ่มแผดเสียงออกมาอีก

“ถ้าแกอยากให้ฉันตัดขาดกับแม่ตัวแลกเงินนี่ก็ได้ แต่ต้องเอามาสิบล้าน! แล้วตระกูลหวางของพวกเราจะไม่ข้องเกี่ยวกับนังเด็กนี่ไปอีกตลอดชีวิต!”

“สิบล้าน?” หลินหลิ่งตงหรี่ตา

“มากไปเหรอ? แกเป็นถึงราชาใต้ดินเมืองหลิ่งตง เงินแค่นี้คงไม่มากเกินไปหรอกมั้ง”

จางซิ่วจือแยกเขี้ยวยิ้มอย่างได้ใจ “ฉันจะได้เอาเงินสิบล้านนี้แบ่งไปใช้หนี้สักสองสามแสน ส่วนเงินที่เหลือจะได้เก็บเอาไว้ใช้ในงานแต่งของลูกชายฉัน ขาดไปแม้แต่สตางค์แดงเดียวก็อย่าหวังว่าเรื่องจะจบง่ายๆ”

“หึหึ…ผมนับถือคุณจริงๆ ที่กล้าขู่ผม!”

หลินหลิ่งตงขมวดคิ้วแน่น ดวงตาหรี่เล็กของเขาพุ่งตรงไปยังหวางเห้า จากนั้นจึงเอ่ยอย่างไร้ความรู้สึก “จุนหาว ตัดขาลูกชายของมันทั้งสองข้างแล้วเอาไปโยนทิ้งซะ ถ้าต่อไปยังกล้ามาต่อปากต่อคำหรือมาวุ่นวายกับหนันหนันอีก เจอหนึ่งครั้งเท่ากับตัดขาหนึ่งข้าง!”

ร่างกายบอบบางของหวางหนันหนันสั่นไหว หัวใจเต้นระส่ำ

เธอรับรู้ถึงความหนาวสะท้านกระดูกที่แผ่ออกมาจากร่างกายของหลินหลิ่งตงที่อยู่ตรงหน้า

นี่ทำให้เธอรู้สึกราวกับตกลงไปในธารน้ำแข็ง

“ฮู่…”

หลินหลิ่งตงพ่นลมหายใจออกมาอย่างกลัดกลุ้ม

ทว่าเขาปล่อยหวางหนันหนันที่กำลังตกใจและยิ้มออกมาอย่างน่าหวาดหวั่น จากนั้นจึงมองไปที่อู๋จุนหาว “จุนหาว ไปเชิญพวกเขาเข้ามา ฉันอยากพบพวกเขา”

“ครับ”

อู๋จุนหาวพยักหน้าแล้วหันตัวเดินห่างออกไป

สุดท้ายหวางหนันหนันก็ได้สติ เธอจึงร้องไห้แล้วเอ่ยว่า “หลิ่งตง คุณฟังฉันอธิบายก่อนนะคะ เรื่องนี้มัน…”

ยังไม่ทันพูดจบ หลินหลิ่งตงพลันเอ่ยแทรกเสียงแข็งออกมา “ผมเชื่อคุณ ดังนั้นผมจะช่วยคุณแก้ปัญหาเรื่องนี้เอง”

เปรี้ยง!

หวางหนันหนันรู้สึกราวกับโดนฟ้าผ่า เธอยืนนิ่งไม่ไหวติง

แก้ปัญหา?

แก้ปัญหายังไง?

เธอรู้ดีว่าหลินหลิ่งตงเป็นใคร ดังนั้นคำว่า “แก้ปัญหา” ของเขาทำให้เธอเกิดความรู้สึกพรั่นพรึงพุ่งปรี๊ดเข้ามาในหัวของเธอในทันที

ความหนาวสะท้านไล่ขึ้นมาจากฝ่าเท้าของเธอจนถึงหัวกะโหลก

“ตอนนี้ คุณต้องอธิบายเรื่องราวที่ผ่านมาให้ผมฟัง”

หลินหลิ่งตงกลับไปนั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้งด้วยท่าทางที่สูงส่งห่างไกล

เขาได้สั่งให้อู๋จุนหาวสืบอดีตของหวางหนันหนัน ทว่าตอนนี้ยังไม่ทันจะสืบอดีตของเธอได้เรียบร้อย พ่อแม่และน้องชายก็โผล่ออกมาพูดจาสาดโคลนให้ร้าย ทำให้คนทั้งเมืองต่างพากันเข้าใจผิดไปหมด

ความอดทนของหลินหลิ่งตงจึงหมดลง เขาจึงตัดสินใจถามหวางหนันหนันโดยตรง

หวางหนันหนันมีสีหน้าสับสน มือทั้งสองของเธอประสานเข้าด้วยกันแน่น

ลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนที่เธอจะค่อยๆ เอ่ยปากเล่าเรื่องราวออกมา

เวลาผ่านไปราวสายน้ำไหล

หลินหลิ่งตงคอยฟังอยู่เงียบๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ แต่หว่างคิ้วของเขาค่อยๆ ปรากฏรอยย่นลึกขึ้นเรื่อยๆ

ส่วนทางด้านหวางหนันหนัน ระหว่างที่เธอกำลังเล่าเรื่องราวอยู่นั้นก็แอบสังเกตปฏิกิริยาของหลินหลิ่งตงอยู่ตลอด

ชีวิตของเธอเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ ไม่ง่ายเลยกว่าจะกลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง เมื่อได้พบกับหลินหลิ่งตง เธอก็เกิดความรู้สึกนับถือในตัวเขาและหลังจากที่ทดสอบเขาเรียบร้อย เธอก็ยอมรับในตัวหลินหลิ่งตง

แต่การเคลื่อนไหวเช่นนี้ของพ่อแม่และน้องชาย กลับกำลังจะทำให้ความฝันแสนหวานของเธอกำลังจะพังทลายลง

นี่ไม่ใช่ฝันหวานที่เธอคิดหวังจะคบแต่กับคนรวยเหมือนอย่างเมื่อก่อน

เธอเพียงฝันจะมีใครสักคนที่จะแต่งงานมีลูกและอยู่ด้วยกันกับเธอไปจนแก่เฒ่า

แต่ยิ่งรอยย่นตรงหว่างคิ้วของหลินหลิ่งตงลึกมากขึ้นเท่าไร ฝันหวานของหวางหนันหนันก็ยิ่งบินห่างออกไปไกลมากเท่านั้น

เมื่อหวางหนันหนันเล่าเรื่องราวทั้งหมดจนจบ

หลินหลิ่งตงก็เงียบขรึมไป

เป็นเช่นนี้อยู่กว่าหนึ่งนาทีกว่าหลินหลิ่งตงจะเอ่ยออกมาว่า “ดังนั้นการที่คุณหย่ากับเฉินตง สาเหตุทั้งหมดเป็นเพราะพ่อแม่และน้องชายของคุณ?”

“ส่วนหนึ่งฉันก็ผิดด้วย” หวางหนันหนันไม่โยนความผิดให้คนอื่น

“คุณก็ผิดจริง”

หลินหลิ่งตงหัวเราะอย่างเย้ยหยัน “ไม่สนความผิดถูกเอาแต่ปกป้องมาตลอด คุณคิดว่าคุณกำลังช่วย แต่ในสายตาของพวกเขา คุณก็เป็นแค่คนที่ไม่มีความสลักสำคัญอะไร ไม่สิ สำคัญตรงที่เป็นแหล่งขุดทองยังไงล่ะ”

แม้จะเอ่ยเบาๆ แต่คำพูดกลับไม่ไว้หน้า

หัวใจของหวางหนันหนันกระตุกเกร็งอย่างรุนแรง สีหน้าของเธอเริ่มแปรเปลี่ยน

หลินหลิ่งตงค่อยๆ นั่งยืดตัวขึ้น “นับว่าคุณเฉินใจดีมากแล้ว ถ้าเป็นผมน่ะหรือ เหอะๆ…”

เสียงหัวเราะเย็นๆ ทำให้อุณหภูมิในห้องตกวูบลงสู่ความเหน็บหนาว

หวางหนันหนันตกใจจนหน้าถอดสี

หลินหลิ่งตงยกมือขึ้นมาถูใบหน้าของตน “ตอนที่แม่ของคุณวางแผนหลอกเอาเงินของคุณเฉินไปมากขนาดนั้น พอครอบครัวของคุณแยกตัวออกไปแล้ว พวกคุณตัดขาดกันได้ยังไง?”

หลินหลิ่งตงไม่ใช่คนโง่

แม้ว่าเมื่อครู่นี้หวางหนันหนันจะพยายามอธิบายอย่างละเอียด แต่เขาก็รู้สึกได้ว่าในคำพูดของหวางหนันหนันมีบางตอนที่ขาดหายไป

และแน่นอนว่า หวางหนันหนันไม่ได้เล่าเรื่องราวบางส่วนออกมาจริงๆ

เช่นเรื่องของเฉินเทียนเซิง!

“หลังจากที่ออกจากเมืองนั้นมาแล้ว ฉันก็ผิดหวังกับครอบครัวของฉันมาก”

สีหน้าของหวางหนันหนันหมดอาลัยตายอยาก “ฉันไม่เคยคิดเลยว่า หลังจากที่พวกเขาได้เงินมาจากเฉินตงและกลายเป็นเศรษฐีในชั่วข้ามคืนแล้ว พวกเขาจะเปลี่ยนไป แม่ของฉันเริ่มกลายเป็นผีพนัน ยิ่งเล่นก็ยิ่งถลำลึก น้องชายของฉันเที่ยวเสเพลไปตามสถานบันเทิงทั้งวัน ส่วนพ่อดีกว่าคนอื่นหน่อย แต่ก็ไม่รู้สึกรู้สาอะไรแม้ว่าครอบครัวจะเปลี่ยนไปมากขนาดไหนก็ตาม”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ น้ำตาของหวางหนันหนันก็เอ่อทะลักออกมาไม่หยุด

“ผมเข้าใจดีว่าครอบครัวนั่นเละเทะและไร้ทางเยียวยาแค่ไหน ผมเองก็คงไม่อยากให้พ่อแม่และน้องชายของตัวเองทวงบุญคุณบังคับให้ทำในสิ่งที่ผมไม่อยากทำ ให้เราไปคบคนรวยๆ เพื่อให้เป็นแหล่งสมบัติของพวกเขา และพอเราบาดเจ็บ พวกเขาก็หาแต่ความสุขใส่ตัว ครอบครัวแบบนั้นเคยรักกันที่ไหน”

หวางหนันหนันเงยหน้ามองตาของหลินหลิ่งตง เธอยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตา “ดังนั้น ฉันเลยตัดขาดทุกอย่างกับพวกเขา และออกจากเมืองที่พวกเขาอยู่ จากนั้นจึงมาที่เมืองหลิ่งตงแล้วรู้จักกับคุณ”

“หึหึ อย่างนั้นก็คงเป็นโชคดีของผม”

หลินหลิ่งตงแค่นหัวเราะ มือทั้งสองถูหน้าของตนอย่างแรง “จริงๆ เป็นโชคดีจริงๆ”

หวางหนันหนันก้มหน้าแล้วแอบเช็ดน้ำตา น้ำตาของเธอเปรอะไปทั่วหน้า

เธอฟังออกว่าหลินหลิ่งตงกำลังเยาะเย้ย และเพราะเสียงเยาะเย้ยนี้เองที่ทำให้เธอรู้สึกอับอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี

ทันใดนั้น

ฝ่ามือใหญ่ๆ สัมผัสบนไหล่ของหวางหนันหนัน

“ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมพวกเขาถึงต้องพูดสาดโคลนอีก”

“อะไรนะคะ?” ดวงตาที่หวางหนันหนันมองหลินหลิ่งตงมีม่านน้ำตาบดบัง

“ไม่มีเงินแล้วน่ะสิ”

ริมฝีปากของหลินหลิ่งตงหยักยิ้ม แล้วเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ตอนนี้ผมขอถามคำถามคุณข้อเดียว คุณจะเลือกผมหรือเลือกพวกเขา ถ้าเลือกผม ต่อไปไม่ว่าจะจัดการอย่างไรผมจะไม่ถามคุณ แต่ถ้าเลือกพวกเขา ต่อไปผมจะไม่ทำให้คุณต้องลำบากใจ และคุณก็ไปกับพวกเขาซะ”

หวางหนันหนันชะงักงัน เธอคิดไม่ถึงเลยว่าหลินหลิ่งตงจะตัดสินใจได้อย่างง่ายดายเช่นนี้

เลือกหนึ่งในสอง จะเลือกอย่างไรดี?

ตอนที่เธอตัดขาดกับพ่อแม่และน้องชาย ความเจ็บปวดที่เธอสัมผัสนั้นยากที่จะหาคำพูดใดมาอธิบายได้

ทว่าตอนนี้ คำถามที่หลินหลิ่งตงโพล่งออกมา แน่นอนว่าทำให้เธอต้องสัมผัสกับความเจ็บปวดแบบในครั้งนั้นอีกครั้ง

“เลือกมา!”

น้ำเสียงของหลินหลิ่งตงเย็นชาอย่างถึงที่สุดแล้วในตอนนี้

เขาเป็นราชาใต้ดินเมืองหลิ่งตง เป็นผู้นำอย่างแท้จริง

เมื่อการโต้เถียงในใจจบลงและตัดสินใจทุกอย่างได้แล้ว ก็จะรีบถอนตัวเองออกมาโดยเร็ว นี่คือนิสัยของคนเป็นผู้นำ

คนโง่ที่ตกอยู่ในวังวนของความเห็นอกเห็นใจ ไม่มีทางเป็นผู้นำได้

ผ่านไปครู่ใหญ่

หวางหนันหนันจึงกัดริมฝีปากแดงระเรื่อแล้วเอ่ยว่า “ฉันเลือกคุณ”

“ดี!”

หลินหลิ่งตงยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน เขาก้มตัวลงจูบบนริมฝีปากของหวางหนันหนันเบาๆ “งั้นต่อจากนี้ ไม่ว่าผมจะทำอะไร คุณจะว่าผมไม่ได้ เพราะพวกเขาไม่เกี่ยวอะไรกับคุณแล้ว”

หวางหนันหนันเงียบไม่ตอบ

แต่ดวงตาของเธอบวมแดงยิ่งกว่าเดิม มือทั้งสองของเธอประสานกันไว้แน่น

ต่อจากนี้ หลินหลิ่งตงจะทำอะไรกับพวกเขา?

ในหัวของเธอมีคำถามนี้ลอยวนเวียนไปมาจนไม่อาจสงบจิตใจลงได้

ผ่านไปสิบนาที

ตึ้งๆๆ

เสียงเคาะประตูดังขึ้น

“เข้ามา”

หลินหลิ่งตงเหลือบไปมองหวางหนันหนันคราหนึ่ง จากนั้นจึงนั่งลงด้วยสีหน้าเย็นชาด้านหลังโต๊ะทำงาน

หลังจากนั่งลงแล้ว ปฏิกิริยาของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นปลิดทิ้ง

เขาทำหน้าราวกับกำลังจะยกภูเขา หว่างคิ้วของเขาขมวดแน่นอย่างน่าหวาดกลัว

ประตูเปิดออก

สายตาของหวางหนันหนันมองไปยังประตู

อู๋จุนหาวเดินนำเข้ามา “เจ้านาย พวกเขามาแล้วครับ”

คนที่เดินตามอู๋จุนหาวเข้ามาก็คือ หวางเต๋อ จางซิ่วจือและหวางเห้า

ทว่า

เมื่อจางซิ่วจือก้าวเข้าประตูมา แล้วเห็นหวางหนันหนัน ก็ถลึงตาใส่อย่างมาดร้าย

ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความอาฆาต แล้วตั้งท่าจะพุ่งตรงเข้าใส่หวางหนันหนัน “นังเด็กบ้า ฉันหาแกอยู่ตั้งนาน ที่แท้ก็วิ่งแจ้นมาเป็นนกน้อยในกรงทองอยู่ที่นี่เองเหรอ?”

ระหว่างทางที่กลับคลับสี่ยิ่น

อารมณ์ของเฉินหดหู่มาตลอดทาง ใบหน้าเย็นชา

กูหลังที่อยู่ด้านข้างเหลือบมองเฉินตงเป็นครั้งคราว กลับอยู่ในความเงียบสงบ

ในฐานะผู้ชาย เขาเข้าใจความรู้สึกตอนนี้ของเฉินตงอย่างดี

“คืนนี้ก็ไปที่คลับสี่ยิ่นเถอะ”

เฉินตงพูดกับกูหลัง ทำลายความเงียบในรถ

“ครับผม” กูหลังตอบรับ

เฉินตงพูดขึ้นมาอีก “เรื่องนี้ ช่วยผมเก็บเป็นความลับ ผมไม่อยากให้เรื่องนี้กระทบความรู้สึกของเสี่ยวหยิ่ง”

ปัจจุบัน กู้ชิงหยิ่งถึงจะเป็นทุกอย่างของเขา

บวกกับตอนนี้กู้ชิงหยิ่งกำลังตั้งครรภ์ ดังนั้นตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้เขาถึงได้ปิดบังกู้ชิงหยิ่ง

อดีตที่ผ่านไปแล้วพูดมันง่าย แต่ไม่ว่าจะเกิดกับใคร หากย้อนคิดขึ้นมา มันก็เหมือนหนามทิ่มแทงอยู่ในใจ

ฟ้ายิ่งอยู่ยิ่งมืด

เมื่อเฉินตงจอดรถแล้ว ก็กลับเข้าไปในลานป่าไผ่

เดิมวางแผนที่จะนอนบนเก้าอี้ในห้องโถง แต่เมื่อนึกถึงคำพูดกู้ชิงหยิ่งในวันนั้น เขาก็เดินเข้าไปในห้องนอนอย่างระมัดระวัง

ในห้องนอน ไฟหัวเตียงยังสว่างอยู่

เป็นกู้ชิงหยิ่งที่เปิดไว้ให้เขา

และกู้ชิงหยิ่ง เหมือนกับแมวน้อย ขดตัวนอนอยู่บนมุมเตียง ตัวห่อไว้ด้วยผ้าห่ม

เฉินตงเดินไปถึงข้างเตียงอย่างระมัดระวัง ก็ไม่ได้ถอดเสื้อ นอนลงบนเตียงพร้อมกับเสื้อผ้าบนตัว คลองพื้นที่ของเตียงไปเพียงนิดเดียว

กำลังจะหลับตาพักผ่อน

จู่ๆ ข้างกายก็มีความเคลื่อนไหว

เฉินตงลืมตาขึ้นมา ก็เห็นกู้ชิงหยิ่งได้เข้ามาใกล้เขาแล้ว ได้ลืมตาขึ้นมาด้วย

“กลับมาแล้วเหรอ?”

กู้ชิงหยิ่งยิ้มอย่างอ่อนหวาน ดวงตาที่ง่วงนอนหาวไปหนึ่งที

“อืม” เฉินตงตอบรับไปหนึ่งคำ พลางกอดกู้ชิงหยิ่งเข้ามาในอ้อมแขน “ผมบอกแล้วไงว่าไม่ต้องรอผมน่ะ เบาขนาดนี้แล้ว ยังทำให้คุณตื่น”

“แต่ฉันเต็มใจอยากจะนอนหลับในอ้อมแขนของคุณอะ”

กู้ชิงหยิ่งเงยหน้ามองเฉินตง กะพริบตา “คุณมีเรื่องไม่สบายใจ? ดูสีหน้าคุณไม่ค่อยจะดีเลย”

“ไม่มีอะไร เรื่องงานน่ะ”

เฉินตงตอบไปหนึ่งคำ เรื่องคืนนี้ ถือว่าได้จบลงแล้ว

อย่างไรก็ตามเมื่อเผชิญหน้ากับกู้ชิงหยิ่ง เขายังคงรู้สึกผิดอยู่ดี

โดยเฉพาะที่กู้ชิงหยิ่งเปิดไฟไว้รอเขา และคำพูดที่พูดว่าอยากจะนอนหลับในอ้อมแขนของเขา

เฉินตงลูบสันจมูกของกู้ชิงหยิ่ง “ต่อไปผมจะพยายามกลับมาให้เร็ว เพื่อกอดคุณนอน”

“รักนะคุณสามี” กู้ชิงหยิ่งหลับตาลง เธอนั้นง่วงนอนจนไม่ไหวแล้ว

เฉินตงยิ้มอย่างอ่อนโยน หลับไปพร้อมกับกู้ชิงหยิ่ง

ทั้งตลอดทั้งสัปดาห์ คลื่นลมเงียบสงบ

ไท่ติ่งที่อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของเฉินตง ได้ที่ดินมาอย่างต่อเนื่อง และได้เริ่มโครงการแล้ว

และทางด้านตระกูลฉิน ฉินเย่ก็ได้ส่งข่าวมาอย่างต่อเนื่อง บริษัทการเงินของตระกูลฉิน เปรียบเสมือนยักษ์ใหญ่ในวงการการเงิน อาศัยสิ่งนี้ ฉินเย่และฉินเสี่ยวเชียนอยู่ในวงการการเงิน ทำอะไรที่ไหนล้วนราบรื่นไปหมด

เดิมทั้งสองก็ไม่ใช่คนอ่อนแออยู่แล้ว ตอนแรกฉินเย่ได้เอาเงินหลายหมื่นล้านตั้งบริษัทการเงินจนกลายเป็นธุรกิจหลักของตระกูล ฉินเสี่ยวเชียนอาศัยความสามารถของตัวเอง ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย

เหตุที่ทั้งสองคนอยู่ในตระกูลฉินมานานแต่ชื่อเสียงไม่โดดเด่น ก็เพราะพวกเขาถูกตระกูลฉินที่กินเลือดกินเนื้อกดขี่เอาไว้

วันนี้เมื่อออกมาจากตระกูลเฉิน พลิกกลับมาเป็นฝ่ายที่ควบคุมธรุกิจครึ่งหนึ่งของตระกูลเฉิน ทั้งสองเหมือนกับอยู่ในโลกอันกว้างใหญ่ที่สามารถแสดงความสามารถของตัวเองได้อย่างอิสรเสรี

บริษัทบันเทิงได้เริ่มโปรโมทความคืบหน้าของโปรเจ็กต์แล้ว และทำกำไรได้มากมาย

ข่าวดีที่มีมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ความเชื่อมั่นของเฉินตงเพิ่มขึ้นเท่าตัว

เมื่อไฟมันติดแล้ว หลังจากนี้หนึ่งปี ในวันที่ตัดสินว่าใครจะได้เป็นเจ้าบ้าน เขาเชื่อมั่นว่า ผลงานของตัวเอง จะทำให้ทุกคนต้องเหงื่อตกและอับอาย

สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ

ในหนึ่งสัปดาห์นี้ เฉินตงแน่ใจไปแล้วเรื่องหนึ่ง

นั่นก็คือเรื่องท่าทีที่คนตระกูลเฉินมีต่อเฉินตง!

การหายตัวไปของคุณพ่อ ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่กังวลเกี่ยวกับเรื่องคุณพ่อ ยังกังวลตระกูลเฉินที่ไม่มีคุณพ่อคอยควบคุม คนที่เห็นว่าเขาเป็นหนามตำตา จะหาเรื่องเขาทุกอย่าง

เผชิญหน้ากับตระกูลเฉิน มันยังยากเกินไปสำหรับเขาที่จะต่อต้านในตอนนี้

หากคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินให้คนตระกูลเฉินมาเล่นงานเขา สำหรับเขาแล้ว มันก็คือการถูกภูเขาไท่ซานทับอย่างไม่ต้องสงสัย

ในเวลาหนึ่งปี จะจะถูกกดขี่จนแทบจะไม่สามารถทำอะไรได้เลย

ยังดีที่ตระกูลเฉินไม่ได้ทำแบบนั้น!

ความสุขความทุกข์เป็นเรื่องไม่เที่ยง

ในขณะที่เฉินตงเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ดีใจ รวบรวมพลังทั้งหมดในการพัฒนาโครงการของเขานั้น

ที่เมืองหลิ่งตง กลับมีบางอย่างเกิดขึ้น

“แฟนของหลินหลิ่งตงเป็นผู้หญิงมือสอง ราชาใต้ดินผู้สง่างามในเมืองหลิ่งตง กลับรับของเหลือเดนของคนอื่น!”

ข่าวตามท้องถนน เหมือนกับข่าวสุดฮอตในผัง สร้างความฮือฮาไปทั่วเมืองหลิ่งตง

ทันทีที่มีข่าวออกมา ทำให้หลินหลิ่งตงถูกนินทาว่าร้ายอย่างดุเดือด

และอดีตของราชาใต้ดินของเมืองหลิ่งตง ก็ได้กลายเป็นคนที่ชาวบ้านเอามาพูดคุยในยามว่าง ในคำพูด ต่างก็เยาะเย้ยและแดกดัน

คฤหาสน์ในหมู่ตึกหลิ่งตง

สีหน้าของหลินหลิ่งตงมืดมนถึงขีดสุด

ช่วงระยะเวลานี้ เขาถูกข่าวลือทำให้หัวโต

ด้วยนิสัยของเขา เขาไม่ค่อยสนใจเรื่องชื่อเสียง

มิเช่นนั้นตอนแรกก็คงไม่ทนต่อแรงกดดันของข่าวลือ ยอมให้ที่ดินกับเฉินตงจากนั้นก็ยังพยายามในการเชิญเฉินตงอีก

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้เขาทนต่อไปไม่ได้แล้ว!

ไม่ว่าจะเป็นข่าวลือที่ด่าว่าดูถูกหวางหนันหนันเป็นของมือสอง หรือเหยียบหยามที่เขารับของเหลือเดน

หวานหนันหนันนั่งอยู่ด้านข้าง สีหน้าก็แย่ถึงขีดสุดเหมือนกัน

ข่าวลือที่จู่ๆ ก็โผล่มาในเมือง เสมือนมีดคม แทงไปที่แผลเป็นของเธออย่างไร้ความปรานี เปิดแผลอย่างไร้ความปรานี จากนั้นมีดคมก็แทงเข้าไปในบาดแผล

เพียงแต่ หวางหนันหนันในตอนนี้กลับเอาแต่ก้มหัวครุ่นคิด อารมณ์สับสน

ก๊อก ก๊อก!

เสียงเคาะประตูดังขึ้น

ไม่ทันที่หลินหลิ่งตงเอ่ยปาก อู๋จุนหาวก็ผลักประตูเข้ามาแล้ว

“เจ้านาย สืบได้เรื่องแล้วครับ”

อู๋จุนหาวกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ต่ำ สายตาเหมือนจะกวาดมองไปทางหวางหนันหนัน

หวางหนันหนันเงยหน้าขึ้น แววตามีความกระวนกระวายเล็กน้อย

หลินหลิ่งตงกัดฟัน สายตาดุร้าย “ใครเป็นคนทำ?”

น้ำเสียงเฉียบขาด เย็นดั่งน้ำแข็ง

ทำให้สีหน้าของหวางหนันหนันซีดขาวเล็กน้อย

อู๋จุนหนาวก็มีสีหน้าที่หนักใจ

เขาติดตามหลินหลิ่งตงมาหลายปี รู้ว่าครั้งนี้หลินหลิ่งตงโกรธแล้ว!

สายตาที่ซับซ้อนเหลือบมองไปที่หวางหนันหนัน อู๋จุนหาวพูด “เป็นพ่อแม่และน้องชายของอาซ้อครับ”

คำพูดนี้ออกมา

หลินหลิ่งตงอึ้งไปทันที

ดวงตาที่สวยงามของหวางหนันหนันก็เอ้อล้นไปด้วยน้ำตา ทำให้ตาแดงขึ้นมาทันที

“หนันหนัน เรื่องมันยังไงกัน? คุณไม่เคยเอ่ยถึงพ่อแม่น้องชายของคุณเลย”

หลินหลิ่งตงเห็นปฏิกิริยาของหวางหนันหนัน ทันใดนั้นในใจก็มั่นใจคำพูดของอู๋จุนหาวทันที

“ฉัน ฉัน……..”

หัวใจของหวางหนันหนันเหมือนถูกมีดเฉือน สับสนว้าวุ่น พูดไม่ออกทันที

หลินหลิ่งตงมีสีหน้าที่เฉียบขาด

เขาลุกขึ้นอย่างโกรธเคือง และจับไหล่ทั้งสองข้างของหวังหนันหนันเอาไว้ “ผมเคารพคุณ ไม่สืบประวัติของคุณของคุณ ทำไมอดีตของคุณถึงได้ทำให้ผมเสียงชื่อ?”

เขาคือราชาใต้ดินในเมืองหลิ่งตง เขามีความทะนงตนในแบบฉบับของตัวเอง

เพื่อบางเรื่องแล้ว เขาสามารถทนได้ สามารถวางความทะนงตนลงได้

แต่ทนจนไม่สามารถที่จะทนอีกไป ก็ไม่จำเป็นต้องทนแล้ว!

ถ้าเป็นคนอื่น เขาคงจะไม่ระเบิดอารมณ์ใส่หวางหนันหนันขนาดนี้

แต่ครั้งนี้คนที่มาทำให้เขาเสียชื่อ กลับเป็นพ่อแม่และน้องชายของหวางหนันหนัน!

นี่มันเป็นเรื่องที่น้ำเน่าแค่ไหน?

“หลิ่งตง คุณใจเย็นๆ ”

หวางหนันหนันลนลาน เขารีบลุกขึ้นและลูบหน้าอกให้หลินหลิ่งตง พลางร้องไห้อย่างน่าสงสาร “ฉันกับพวกเขาได้ตัดขาดความสัมพันธ์กันไปแล้ว ฉันได้ตัดขาดความสัมพันธ์กับพวกเขาไปนานแล้ว แต่ฉันคิดไม่ถึง……..คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะทำ……..”

“หน้าด้านไร้ยางอาย?”

หลินหลิ่งตงพูดตัวอักษรห้าตัวนี้ออกมาอย่างเย็นชา

โครม!

หลินหลิ่งตงกับอู๋จุนหาวเหมือนถูกฟ้าผ่า

ทั้งสองคนก็เผยสีหน้าที่หวาดกลัวออกมาทันที

งานเลี้ยงนี้ หวางหนันหนันได้มันมาด้วยการข่มขู่?

ในความงุนงง จู่ๆ อู๋จุนหาวก็คิดถึงรอยช้ำบนคอของหวางหนันหนัน แล้วก็เข้าใจทันที

ใช่แล้ว หากไม่ใช่อาซ้อข่มขู่เขา แล้วจะถูกทำร้ายได้อย่างไร?

“เป็นไปไม่ได้!”

หลินหลิ่งตงลุกขึ้นกะทันหัน ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว “คุณเฉินกำลังพูดเล่นอยู่ใช่มั้ย? ด้วยฐานะของคุณเฉิน หนันหนันจะขู่คุณได้อย่างไร?”

ในสายตาของเขา ก่อนที่เขาจะรู้จักหวางหนันหนัน เธอก็เป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง

แต่เฉินตงนั้นกับเจิ้งโก๋โส่วผู้ที่มีแต่คนเคารพนับถือ มีความสนิทสนมกัน

ทั้งสองคนนั้นคนหนึ่งหนึ่งคือฟ้า อีกคนหนึ่งคือเหว

จะข่มขู่ได้อย่างไร?

มดสามารถข่มขู่เสือแล้วเหรอ?

“คุณหลิน เรื่องสำคัญในชีวิตขนาดนี้ ไม่ตรวจสอบประวัติของคู่ชีวิตเลยเหรอ?”

เฉินตงเหลือบมองหลินหลิ่งตง เดือดพล่านไปด้วยไอเย็น แววตาคมดั่งมีด

ตรวจสอบ?

หลินหลิ่งตงอึ้งไปเลย

เขาจะไปตรวจสอบหวางหนันหนันได้อย่างไร?

ตอนที่เจอกับหวางหนันหนันครั้งแรก เขานั้นตกหลุมรักทันที

สำหรับหวางหนันหนัน เขานั้นได้ให้ความเคารพอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

เพราะว่าเขาชอบเธอแล้ว เขาหลินหลิ่งตงควรจะเคารพผู้หญิงที่ตัวเองชอบ

อดีตของหวางหนันหนัน เป็นเรื่องส่วนตัวของเธอ ไม่ไปสืบอดีตของเธอ เป็นส่วนหนึ่งของความเคารพเช่นกัน

“คุณเฉิน ในนี้มันต้องมีอะไรที่เข้าใจผิดอย่างแน่นอน หนันหนันไม่มีทางข่มขู่คุณได้หรอก อดีตของเธอผมก็ไม่เคยไปสืบเลย เพราะว่าผมรักเธอในปัจจุบัน ไม่ใช่รักอดีตของเธอ”

หลินหลิ่งตงรีบอธิบาย

ท่าทางของเฉินตงในตอนนี้ แม้แต่หลินหลิ่งตงยังอกสั่นขวัญแขวน

เขาเข้าใจดี หากไม่อธิบายเรื่อง “การข่มขู่นี้” ให้ชัดเจน

งานเลี้ยงแห่งมิตรภาพนี้ ก็จะยุติลงด้วยการฝันร้ายของเฉินตง

ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า สามารถที่จะทำได้!

อีกอย่าง เป็นการจัดการอย่างรวดเร็ว!

ต่อให้เขาหลินหลิ่งตงจะเป็นราชาใต้ดิน ก็เอาไม่อยู่

“เห่อ!”

เฉินตงหัวเราะเยาะ ใบหน้าเผยให้เห็นถึงความดุร้ายและเผด็จการ

ดวงตาที่หรี่ลงมา กลับพลุ่งพล่านไปด้วยไอเย็น

เขาค่อยๆ เปิดปาก น้ำเสียงราวกับเสียงฟ้าร้อง

ทำให้หลินหลิ่งตงกับอู๋จุนหาวนิ่งเป็นไก่ไม้ไปทันที

“หากผมพูดว่า เธอคืออดีตภรรยาของผม เคยเกือบเอาชีวิตผมไปแล้วล่ะ?”

หลินหลิ่งตงยืนแข็งทื่ออยู่กับที่ ใบหน้าซีดขาวไปเล็กน้อย

อดีตภรรยา?

อดีตภรรยาของเฉินตง?

หลินหลิ่งตงอึ้งไปหมดแล้ว มึนๆ งงๆ ในใจกลับถูกซักด้วยคลื่นยักษ์ขนาดใหญ่

ในขณะที่ตกใจ หลินหลิ่งตงได้เคลียร์ความคิดของเขาอย่างรวดเร็ว

หวางหนันหนันเป็นอดีตภรรยาของเฉินตง แล้วตอนนี้เขากับหวางหนันหนันอยู่ด้วยกัน ยังให้หวางหนันหนันไปเชิญเฉินตง หวางหนันหนันยังใช้ภรรยาของเฉินตงมาข่มขู่เฉินตง

นี่มันคืออะไร?

หนังหัวของหลินหลิ่งตงชาขึ้นมาทันที พึมพำอยากจะอธิบาย กลับไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี

แม้แต่ตัวเขาเอง ถามใจตัวเอง หากเขาเป็นเฉินตง ความโกรธมีเพียงแต่จะมากกว่าของเฉินตง!

อู๋จุนหาวที่อยู่อีกด้านหนึ่งตกใจจนอึ้งไปนานแล้ว

คำพูดของเฉินตง เหมือนกับไม้ตีหัว ได้ทุบตีหัวของเขาจนเกิดเสียงโวงๆ

มิน่าล่ะถึงได้โมโหฉุนเฉียวขนาดนี้ มิน่าล่ะถึงได้ไร้เหตุผลขนาดนี้

เรื่องนี้ไม่ว่าจะเป็นใคร ก็ไม่สามารถที่จะพูดเรื่องเหตุผลได้แล้ว

เฉินตงยิ้มเยาะ แล้วหยิบช้อนเงินบนโต๊ะขึ้นมาอย่างเบามือ “คุณกับผมเดิมก็ไม่มีความสัมพันธ์ทางสังคมกันอยู่แล้ว แล้วทำไมต้องฝืน? หากมีครั้งต่อไป เมืองหลิ่งตงจะไม่มีราชาใต้ดินอีกต่อไป”

ในขณะที่พูดประโยคสุดท้าย

นิ้วโป้งขวาของเฉินตงก็ออกแรงทันที

ช้อนเงินส่งเสียงเล็กน้อย และถูกหักจงงออย่างเงียบๆ

ภาพนี้ มองจนหลินหลิ่งตงกับอู๋จุนหาวหวาดผวา

ความข่มขู่ที่แฝงอยู่ในนี้ ทำให้ทั้งสองคนเกิดความหวาดกลัว

เทรง……..

เฉินตงโยนช้อนเงินในมือทิ้ง ลุกขึ้นเดินออกไปข้างนอก

“ช่วยผมบอกหวางหนันหนัน หากกล้ามารบกวนชีวิตของผม ผมจะส่งเธอไปยังดินแดนที่สงบสุข”

น้ำเสียงที่ทรงพลัง แรงอาฆาตที่เยือกเย็น

ทำให้เฉินตงกับอู๋จุนหาวสั่นสะท้าน

เมื่อทั้งสองคนรู้สึกตัว เฉินตงกับกูหลังก็หายไปแล้ว

“เจ้านาย……..” อู๋จุนหาวที่หวาดกลัวเปิดปากพูด

หลินหลิ่งตงยกมือขึ้นห้าม กล่าวด้วยสีหน้าที่ดำคล้ำ “ครั้งนี้เราชนปากกระบอกปืนเข้าให้แล้ว ตีฉันให้ตาย ฉันยังคิดไม่ถึงว่าเรื่องมันจะพลิกผันแบบนี้”

“ตอนนี้อาซ้อ……..”

อู๋จุนหาวหยั่งเชิงถาม

ด้วยการพลิกผันนี้ เขาไม่กล้าที่จะคาดเดาความคิดของหลินหลิ่งตงจริงๆ

อาซ้อนั้นเคยเป็นผู้หญิงของเฉินตง ตอนนี้ก็มาอยู่กับเจ้านาย การพัวพันแบบนี้ หากเป็นเมื่อก่อน อู๋จุนหาวรู้เลยว่าหลินหลิ่งตงจะจัดการมันอย่างสะอาดหมดจด

เพราะว่าตอนนั้นหลินหลิ่งตงเป็นคนที่มีความทะเยอทะยาน

แต่ตอนนี้ สามารถมองออก หวางหนันหนันได้เดินเข้าไปในหัวใจของหลินหลิ่งตงแล้ว

เป็นจริงเช่นนั้น!

หลินหลิ่งตงยิ้มอย่างขมขื่น “ฝั่งหนึ่งคืออนาคต ฝั่งหนึ่งคือผู้หญิง เมื่อก่อนฉันจะเลือดอนาคตอย่างไม่ลังเลเลย แต่ครั้งนี้ ฉันเลือกหนันหนัน”

อู๋จุนหาวพยักหน้า “งั้นให้ผมไปสืบประวัติของอาซ้อหน่อยมั้ย?”

หลินหลิ่งตงขมวดคิ้วครุ่นคิดไปหลายวินาที

สุดท้าย ก็พยักหน้าอนุญาต

ก่อนหน้านี้เขาเคารพหวางหนันหนัน แต่ตอนนี้ สิ่งที่ควรจะรู้ ต้องตรวจสอบให้ละเอียดแล้ว

สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ หลินหลิ่งตงลุกขึ้นเดินไปทางคฤหาสน์

หวางหนันหนันยังคงขังตัวเองอยู่ในห้อง

หลินหลิ่งตงเคาะประตู “หนันหนัน เปิดประตูได้มั้ย?”

ผ่านไปหลายวินาที

หวางหนันหนันจึงเปิดประตู

ในห้องค่อนข้างจะมืดสลัว มองไม่ค่อยจะชัดเจน

หลินหลิ่งตงก็ไม่เห็นตาที่บวมแดงของหวางหนันหนัน ได้เดินเข้ามาในห้องนอนโดยตรง

“คุณกับเฉินตงคุยกันเสร็จเร็วขนาดนี้เลยเหรอ?”

หวางหนันหนันฝืนยิ้ม เดินไปด้านหลังของหลินหลิ่งตง นวดไหล่ให้เขาเบาๆ “ทำไมฉันดูคุณไม่ดีใจเลยล่ะ?”

“ดีใจไม่ขึ้น”

หลินหลิ่งตงยิ้มขมขื่น เมื่อกี้คำพูดของเฉินตง เหมือนก้อนหินที่ยัดเต็มข้างในอกของเขา

นิ่งไปครู่หนึ่ง หลินหลิ่งตงก็ระงับความขมขื่นเอาไว้ กล่าวด้วยเสียงเบา “หนันหนัน รับปากผม อยู่กับผมแล้วต่อไปคุณห้ามทำเรื่องโง่ๆ อีก”

“เรื่องโง่ๆ ”

หวางหนันหนันไม่ค่อยจะเข้าใจ

“คุณเป็นอดีตภรรยาของเฉินตง น่าจะบอกผมตั้งแต่แรก” หลินหลิ่งตงยิ้มอย่างช่วยไม่ได้

ร่างกายของหวางหนันหนันสั่นสะท้าน ในหัวดังระเบิดด้วยเสียง “โครม”

เธอถามด้วยท่าทางที่ไม่เป็นธรรมชาติ “คุณ คุณรู้หมดแล้วเหรอ?”

“เฉินตงเป็นคนบอกผม!”

หลินหลิ่งตงถอนหายใจออกมา “ผมไม่ถือสาอดีตของคุณ แต่ผมถือสาที่คุณใช้ฐานะในอดีตของคุณ ใช้ภรรยาของเฉินตงในการขู่เขาเพื่อให้มาเจอผม”

“ฉัน……..” หวางหนันหนันท่าทางกระวนกระวาย

“ไม่ต้องอธิบาย หลินหลิ่งตงยกมือขึ้นห้าม ยิ้มพูด ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ผมก็ไม่อยากจะไปประจบอะไรเฉินตงแล้ว เราสองคนก็อยู่ที่เมืองหลิ่งตง ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขก็พอ”

พริบตาเดียว

หวางหนันหนันกำลังฟุ้งซ่านอยู่ ดวงตาอันสวยงามที่บวมแดงอยู่แล้วก็เอ่อล้นไปด้วยน้ำตา

เธอคิดว่าหลังจากที่หลินหลิ่งตงรู้เรื่องนี้แล้ว ก็จะตัดความสัมพันธ์กับเธอแล้วไล่เธอไปจากที่นี่

แต่ตอนนี้การตัดสินใจของหลินหลิ่งตง ราวกับหมัดหนัก ให้ชกเข้ามาที่หัวใจของเธออย่างแรง

เธอในอดีต เจออะไรมาเยอะมาก

เธอเกือบตายไปแล้ว แต่โชคดีที่เธอรอดมาได้

ก็เพราะมีประสบการณ์นี้ นั่นเป็นสิ่งที่เธอรู้และเข้าใจว่าการตัดสินใจของหลินหลิ่งตงในเวลานี้ ต้องใช้ความเด็ดขาดมากขนาดไหน

“หลิ่งตง……..”

หวางหนันหนันเสียงสั่น

“หืม?”

หลินหลิ่งตงเงยหน้าขึ้น

พริบตาเดียว หวางหนันหนันก้มหน้าโน้มตัวลงมา ริมฝีปากแดงได้ประทับไปที่ริมฝีปากของหลินหลิ่งตง…..

หกโมงเย็น

หลังจากเฉินตงเลิกงาน ก็ไม่ได้กลับบ้าน แต่ได้ส่งข้อความไปทางวีแชทแล้ว

จากนั้น ก็นั่งรถไปที่เมืองหลิ่งตง

เรื่องนี้ ท้ายที่สุดก็จะมีบทสรุปแล้ว

ไม่ว่าจะเป็นหวางหนันหนัน หรือหลินหลิ่งตง

หากยืดเยื้อต่อไป หวางหนันหนันที่สามารถขู่ครั้งแรก ก็สามารถขู่ครั้งที่สอง

บนรถ กู้หลังที่นั่งอยู่ตำแหน่งข้างคนขับ เหลือบมองเฉินตงเป็นครั้งคราว

เขาสามารถสัมผัสความโกรธของเฉินตงได้อย่างชัดเจน

แม้แต่ความเร็วของรถก็สะท้อนออกมาได้ชัดเจน

“คุณเฉิน ไม่ต้องเรียกพวกพี่คุนหลุนจริงๆ เหรอ?” กูหลังรู้สึกบรรยากาศไม่ค่อยจะปกติ

“ไม่ต้อง”

เฉินตงส่ายหัว

หากเรียกคุนหลุน การเคลื่อนไหวนี้จะทำให้กู้ชิงหยิ่งรู้ว่าทำไมเขาต้องกลับบ้านดึก

เขาไม่อยากให้กู้ชิงหยิ่งมาเป็นห่วงเรื่องนี้

สิ่งที่กูหลังอยากจะพูดก็ต้องหยุดลง

ในหมู่ตึกหลิ่งตง

คืนนี้เงียบเป็นพิเศษ

เพื่อจัดงานเลี้ยงให้เฉินตง หลินหลิ่งตงสั่งการโดยเฉพาะ คืนนี้ทั้งคืนหมู่ตึกหลิ่งตงไม่ต้อนรับแขก

ใช้หมู่ตึกหลิ่งตงทั้งหมด ต้อนรับเฉินตงคนเดียว มันเพียงพอที่แสดงให้เห็นถึงความให้เกียรติเขา

หวางหนันหนันไม่ได้มาร่วมงานเลี้ยงด้วย

แม้ว่าหลินหลิ่งตงจะขอร้องเธอหลายครั้ง เธอยังคงขังตัวเองอยู่ในห้องนอน ปิดประตูไม่ยอมออกมา

ด้วยเหตุนี้ หลินหลิ่งตงก็ไม่รู้จะทำอย่างไร

คนที่มารับแขกด้วย ก็มีเพียงอู๋จุนหาวคนเดียว

ทั้งสองคนได้รออยู่ในห้องจัดเลี้ยงนานแล้ว

“เจ้านาย เกือบจะถึงสองทุ่มแล้ว” อู๋จุนหาวมองดูเวลา แล้วพูด

หลินหลิ่งตงพยักหน้า ท่าทางค่อยๆ ตึงเครียดและเคร่งขรึมขึ้นมา

นี่คือสิ่งที่หนันหนันร้องขอมาอย่างยากลำบากใจ

จะทำให้หนันหนันผิดหวังไม่ได้!

อู๋จุนหาวก็พูดขึ้นมาทันที หากครั้งนี้เขาไม่มาอีก พวกเราก็ช่างมันเถอะ?

หลินหลิ่งตงตกใจ

มองอู๋จุนหาวด้วยสายตาที่ล่มลึก

เมื่อคิดถึงปฏิกิริยาตอนที่หวางหนันหนันกลับมาบ้านนั้น ในใจเขาอดไม่ได้ที่จะกระตุกอย่างแรงไปหนึ่งที

หลินหลิ่งตงพยักหน้า แล้วพูดอย่างเคร่งขรึม “หากครั้งนี้ไม่สำเร็จ ก็ช่างมันเถอะ ผู้หญิงของฉันยอมลำบากใจเพื่อฉัน หากฉันยังลุ่มหลงไม่ตื่น ไม่เท่ากับเป็นคนใจไม้ไส้ระกำหรอกหรือ?”

อู๋จุนหาวแอบถอนหายใจอย่างโล่งอก

เขาก็แค่กังวลว่าหลินหลิ่งตงจะดึงดันเชิญเฉินตงต่อ

ในฐานะที่เป็นราชาใต้ดินของเมืองหลิ่งตง ตั้งแต่เขาติดตามหลินหลิ่งตงมา ยังไม่เคยเห็นหลินหลิ่งตงก้มหัวแบบนี้มาก่อน

ช่วงระยะเวลานี้ ชื่อเสียงราชาใต้ดินที่อยู่ในเมืองหลิ่งตง ได้ค่อยๆ เปลี่ยนไปแล้ว

หากยังเป็นแบบนี้ต่อไป ฉายาราชาใต้ดินเมืองหลิ่งตงนี้ เกรงว่าคงต้องสาบสูญแล้ว

เวลานี้ ชายวัยกลางคนที่อยู่ด้านก็วิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว

“เจ้านาย คุณเฉินมาถึงแล้ว!”

คำพูดนี้ สำหรับหลินหลิ่งตงแล้ว ราวกับเป็นเสียงสวรรค์

มาแล้ว!

ในที่สุดก็มาแล้ว!

วันนี้ ฉันรอไปเครื่องเดือนเต็ม!

หลินหลิ่งตงตื่นเต้นอย่างมาก ขณะนั้นก็ก้าวเท้าเดินไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว

อู๋จุนหาวแอบชื่นชม “อาซ้อโคตรเก่งเลย” จากนั้นก็รีบตามไป

ที่ลานจอดรถ

เฉินตงจอดรถแล้ว เพิ่งจะลงรถ ก็มีคนเข้ามาต้อนรับ

“สวัสดีครับคุณเฉิน ได้โปรดตามผมมา”

เฉินตงกวาดมองหมู่ตึกที่เงียบกริบ พลางดิน พลางถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “ทำไมคืนนี้หมู่ตึกหลิ่งตงถึงไม่มีคน?”

“กล่าวอย่างไม่ปิดบังคุณ เจ้านายคุณหลินเพื่อต้อนรับคุณเฉิน ได้สั่งการโดยเฉพาะว่าคืนนี้หมู่ตึกหลิ่งตงไม่ต้อนรับแขก ต้อนรับคุณเฉินเพียงคนเดียว”

ข่มขู่มาอย่างหน้าด้านๆ แล้วต้อนรับอย่างสูงเกียรติขนาดนี้ หมายความว่าอย่างไร?

เฉินตงดูถูกในใจ ก้าวเดินไปอย่างรวดเร็ว

ในไม่ช้า

เขาก็เห็นหลินหลิ่งตงกับอู๋จุนหาวที่กำลังเดินเข้ามาต้อนรับ

“คุณเฉิน ยินดีต้อนรับ ขอบคุณที่ให้เกียรติมาเยือน มันเป็นเกียรติของหลิ่งตงแล้ว

หลินหลิ่งตงเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว ยื่นสองมือไปทางเฉินตง

ด้วยคำพูดและการกระทำ เหมือนกับได้ยกยอเฉินตงไปอยู่ในตำแหน่งที่สูงที่สุด

แต่แล้ว

“ไม่เป็นไร ไปกันเถอะ”

เฉินตงไม่ได้ยื่นมือออกไป ตอบกลับอย่างเย็นชา แล้วเดินผ่านหลินหลิ่งตงไปเลย

หลินหลิ่งตงยืนแข็งทื่ออยู่กับที่ สองมือที่ยื่นออกไปนิ่งอยู่กลางอากาศ

“แม่ง! เจ้านาย เฉินตงคนนี้ช่างไร้มารยาทจริงเลย!”

อู๋จุนหาวอดไม่ได้ที่จะด่าไปหนึ่งประโยค

เขาคือลูกน้องที่หลินหลิ่งตงเชื่อใจที่สุด ตอนนี้เห็นหลินหลิ่งตงที่ต้องก้มหัว แล้วยังไม่ได้รับการตอบสนอง อดไม่ได้ที่จะโกรธ

“หุบปาก แล้วตามมา!”

หลินหลิ่งตงกล่าวอย่างเย็นชา แต่ไม่ได้โกรธ เดินตามเฉินตงไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากเข้าไปในห้องจัดเลี้ยง

ไม่รอให้หลินหลิ่งตงเอ่ยปาก เฉินตงก็เดินอย่างวางมาดไปนั่งลงตรงเก้าอี้ประธาน

ภาพนี้ ทำให้หลินหลิ่งตงที่เห็นอึ้งไปทันที

อู๋จุนหาวนั้นยิ่งกว่าลูกตาเกือบจะถลนออกมา แววตาเต็มไปด้วยความดุร้าย แม่งเอ๊ย……..

แม้แต่กูหลัง ก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง

“นั่งสิ”

เฉินตงนั่งลงบนเก้าอี้ประธานอย่างสบายใจและไม่ไว้หน้า กวักมืออย่างเฉยเมย

หลินหลิ่งตงกับอู๋จุนหาวมองตากัน แล้วแยกกันนั่งลงไปในตำแหน่งข้างซ้ายและข้างขวาของเฉินตง

กูหลังก็หาที่นั่งอย่างตามใจชอบ

บรรยากาศในห้องจัดเลี้ยง ค่อนข้างจะอึดอัด

ปฏิกิริยาของเฉินตง ราวกับน้ำเย็นในกะละมัง มันได้ดับความกระตือรือร้นที่เหลืออยู่อันน้อยนิดของหลินหลิ่งตงไปแล้ว ทำให้เวลานี้เขาไม่รู้จะรับมือยังไง

“คุณหลินพยายามอย่างไม่ลดละในการเชิญผมมาพบ มันเพื่ออะไรกันแน่?”

เฉินตงได้ทำลายบรรยากาศที่เงียบสงัดในห้องจัดเลี้ยง

แววตาที่เยือกเย็น เหลือบมองไปทางเฉินตง

หลินหลิ่งตงที่ถูกมอง ทันใดนั้นในใจก็รู้สึกกลัวเล็กน้อย

ความรู้สึกเช่นนี้ ไม่เคยปรากฏมานานหลายปีแล้ว

ในทางกลับกัน หลายปีมานี้ มีแต่เขาที่ทำให้คนอื่นมีความรู้สึกแบบนี้

หลินหลิ่งตงที่ฝืนยิ้ม ก็ได้ทำท่าคารวะแล้วกล่าว “เป็นเพราะเรื่องก่อนหน้านี้ มันเป็นความผิดของผมแล้ว ดังนั้นผมจึงได้จัดงานเพื่อขอโทษคุณเฉินเป็นการส่วนตัว ผมทราบว่างานของคุณเฉินค่อนข้างจะยุ่ง ดังนั้นจึงได้เชิญไปครั้งแล้วครั้งเล่า ได้โปรดอภัยด้วย”

“อภัย?”

เฉินตงหัวเราะอย่างเย็นชา “ขอโทษนะ เรื่องนี้ ผมไม่สามารถที่อภัยให้ได้จริงๆ ”

ในคำพูด เต็มไปด้วยความเย็นชาที่ไม่สิ้นสุด

หลินหลิ่งตงกับอู๋จุนหาวอึ้งไปเลย

นี่มันคือการมาทานข้าวคุยกัน?

หรือว่ามาหากเรื่อง?

“คุณเฉิน ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้มั้ง?”

อู๋จุนหาวนั้นทนต่อไปไม่ไหวแล้ว เปิดปากพูด “ในเมืองหลิ่งตง เจ้านายของผมยังไม่เคยสุภาพกับใครแบบนี้มาก่อน นี่มันไม่ใช่ครั้งแล้วครั้งเล่า คำเชิญมากกว่าสิบครั้งในเวลาครึ่งเดือน แม้ว่าคุณจะปฏิเสธไปก็ไม่เป็นไร แต่ตอนนี้อาซ้อได้เชิญคุณมาแล้ว ทำไมคุณยังต้องทำให้ทุกคนลำบากใจแบบนี้อีก?”

“จุนหาวหุบปาก!”

หลินหลิ่งตงสีหน้าเคร่งขรึม มองอู๋จุนหาวด้วยสายตาที่ขุ่นเคือง

แต่ดูเหมือนอู๋จุนหาวจะเพิกเฉย จ้องมองเฉินตงด้วยสายตาที่โกรธเคือง “ผมรู้ว่าครอบครัวของคุณเฉินเป็นตระกูลที่มากไปด้วยอำนาจบารมี เป็นมังกรตัวจริงที่ลงมายังพื้นที่ห่างไกลแห่งนี้ แต่ก็ไม่ควรที่ดูถูกเหยียบย่ำเจ้านายของผมแบบนี้มั้ง?”

น้ำเสียงเย็นชาเคร่งขรึม เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง

จู่ๆ เฉินตงก็รู้สึกตลกเล็กน้อย

เมื่อเห็นรอยยิ้มของเฉินตง หน้าผากของหลินหลิ่งตงก็ชื้นเล็กน้อย

อู๋จุนหาวก็ตกตะลึงไปทันที

“สุภาพ? !” ความสุภาพของพวกคุณเป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นมันจริงๆ !”

“ดูถูกเหยียบย่ำ? มีคำพูดคำหนึ่งที่พูดว่าทำตัวเองจนเป็นแบบนี้ ไม่เคยได้ยินเลยเหรอ?”

เฉินตงยิ้มมองอู๋จุนหาว แววตาเต็มไปด้วยความดูถูก

ตามมาด้วย สายตาของเขาก็กวาดมองไปโดยรอบ “ใช่แล้ว หวางหนันหันเป็นอาซ้อของนายใช่มั้ย ทำไมเธอถึงไม่อยู่ในนี้ด้วย หรือว่า กลัวฉัน………จะฆ่าเธอ?”

คำพูดนี้ออก ในห้องจัดเลี้ยง โหมกระหน่ำไปด้วยความเย็น

หลินหลิ่งตงเปลี่ยนไปอย่างมาก

ต่อให้เขาโง่มากแค่ไหน ก็ฟังออกว่าเรื่องนี้มันไม่ชอบมาพากลแล้ว

แต่ว่าเฉินตงพูดถึงตัวหวางหนันหันโดยตรง จะให้เขาทนได้อย่างไร?

สีหน้าของหลินหลิ่งตงเย็นเยือก กล่าวด้วยเสียงต่ำ “หนันหนันเป็นผู้หญิงของผม คุณเฉินพูดจาเกินไปแล้วนะ!”

“เกินไป?”

เฉินตงหัวเราะเยาะ “แล้วใช้ภรรยาผมมาข่มขู่ผม แบบนี้นับว่าเกินไปมั้ย?”

การคุกเข่าที่กะทันหันนี้

ทำให้ทุกคนในร้านกาแฟอุทาน

สายตาแต่ละคู่ต่างจ้องมองมา

ในเวลาเดียวกัน เฉินตงกับกูหลังที่เดินไปถึงหน้าประตูก็หยุดฝีเท้าลง

“เฉินตง ฉันคุกเข่าให้คุณแล้ว ขอร้องล่ะ ไปเจอหลิ่งตงด้วยเถอะ!”

หวางหนันหนันตะโกนขอร้อง น้ำเสียงสั่นเล็กน้อย

“ตลกสิ้นดี!”

เฉินตงส่ายหัวอย่างดูถูก ด้วยท่าทางที่ไม่แยแส เดินหน้าต่อไป

โหดเหี้ยมขนาดนี้เลยเหรอ?

ดวงตาของหวางหนันหนันเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา คิดถึงทุกอย่างในอดีต ตอนนั้น ไม่ว่าเธอต้องการอะไรเฉินตงไม่เคยปฏิเสธเลย

ตามเวลาที่เปลี่ยนไป กลับกลายเป็นอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้

ความรู้สึกอย่างนี้ ทำให้เธอทุกข์ทรมานมาก

“ฉันรับปากหลินหลิ่งตงแล้ว”

หวางหนันหนันบ่นพึมพำ แววตาก็แน่วแน่ขึ้นมาทันที “หากคุณไม่รับปากฉัน ฉันก็จะไปพูดกับเสี่ยวหยิ่ง!”

ฉึกฉับ!

เท้าของเฉินตงที่หยุดอยู่ตรงพื้น ไม่ยกขึ้นอีกเลย

พริบตาเดียว ใบหน้าของเขาเยือกเย็น เต็มไปด้วยความโกรธ

กูหลังที่ยืนอยู่ด้านหลังเฉินตง ขนลุกซู่ขึ้นมาทันที อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน

วินาทีต่อมา

เฉินตงเหมือนสัตว์ป่าที่คลุ้งคลั่ง ภายใต้ความตกใจของผู้คนในร้านกาแฟ เขาหันหน้ามาอย่างดุเดือด วิ่งเข้ามาตรงหน้าของหวางหนันหนัน เสียงพรึบดังขึ้นมาหนึ่งที

มือที่ใหญ่ของเฉินตงก็ได้บีบอยู่บนลำคอของหวางหนันหนัน ยกกระชากขึ้นมาโดยตรง

เพราะแรงที่มหาศาล ทำให้หน้าของหวางหนันหนันแดงขึ้นมาในทันทีทันใด และหายใจไม่ออก

ด้วยการที่หายใจไม่ออกอย่างรุนแรง ทำให้สัญชาตญาณของหวางหนันหนันยกมือขึ้นมาตบมือขวาเฉินตง

คนในร้านกาแฟ ก็ได้สติกัน ตะโกนอย่างโมโห

“ไอ้สารเลว ปล่อยผู้หญิงคนนี้นะ!”

“กลางวันแสกๆ เป็นผู้ชายมาตบตีผู้หญิง หน้าไม่อายเหรอ?

“สุภาพบุรุษอกสามศอก รังแกผู้หญิงมันหมายความว่ายังไง?”

……

คำตำหนิแต่ละคำ

ทำให้เฉินตงอยากจะหัวเราะ

คนพวกนี้เห็นเพียงพวกนอก แต่เคยคิดหรือไม่ว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ ชั่วช้าแค่ไหน?

“คุณเฉิน………..”

กูหลังรีบเข้ามา มองหวางหนันหนันไปแวบหนึ่ง “หากไม่ปล่อยมือ เธออาจจะตายได้”

เฉินตงจึงปล่อยมือออก

โครมดังขึ้นหนึ่งที หวางหนันหนันร่วงลงบนพื้น

เมื่อคอไร้พันธนาการ ทันใดนั้นอากาศจำนวนมากก็เข้าสู่ปอด ทำให้หวางหนันหนันสูดอากาศเหมือนคนโลภ

หลังจากที่สูดลมหายใจไปหลายรอบแล้ว หวางหนันหนันก็ยิ้มอย่างมั่นใจ ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมามองสายตาที่จะกินคนของเฉินตง

ขณะนี้ รอยยิ้มและท่าทางของหวางหนันหนันดูบ้าคลั่งและดุร้าย มันเป็นสิ่งที่เห็นได้ยากมาก

“ทำไมคุณไม่ฆ่าฉันให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลยล่ะ?”

“คุณคิดว่าฉันไม่กล้า?” น้ำเสียงของเฉินตงค่อนข้างที่จะแหบแห้ง

หวางหนันหนันยิ้มๆ ค่อยๆ ลุกขึ้น “ฉันหวางหนันหนันขอพูดไว้ตรงนี้ ไม่พูดถึงความสัมพันธ์ของเรา หากคุณไม่ไปพบหลินหลิ่งตง ฉันก็จะไปหาเสี่ยวหยิ่ง!”

“คุณขู่ผม?” เฉินตงหัวเราะอย่างเย็นชา

เขาไม่เจอหลินหลิ่งตง ไม่ใช่เพียงแค่ความสัมพันธ์นี้ของหวางหนันหนันเท่านั้น

ก่อนหน้านี้ที่ไม่รู้ว่าหวางหนันหนันอยู่กับหลินหลิ่งตง เขาก็ไม่พบอยู่แล้ว เพียงแต่ตอนนี้ในปากของหวางหนันหนัน กลับไปคิดว่าเพราะเธอ เขาจึงไม่ยอมพบหลินหลิ่งตง

หวางหนันหนันไม่ตอบ

เพียงมองเฉินตงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความแน่วแน่

หลายวินาทีผ่านไป

เฉินตงกัดฟัน ถอยหลังไปหนึ่งก้าว “ได้ คุณขู่ผมสำเร็จแล้ว!”

“คืนนี้สองทุ่ม รอคุณที่หมู่ตึกหลิ่งตง”

หวางหนันหนันยิ้มๆ หยิบกระเป๋าแล้วเดินออกไป

เฉินตงยืนอยู่กับที่ ใบหน้าเย็นเยือก แววตาดุร้าย ในความเงียบ ก็ได้กำหมันอย่างแน่นๆ

ผู้คนในร้านกาแฟ ยังคงต่อว่าเฉินตงกันอยู่

กระซิบกระซาบกัน ทำให้เฉินตงหงุดหงิดมาก

ป้าง!

เฉินตงใช้หมัดชกไปบนโต๊ะกระจก กล่าวอย่างขุ่นเคือง “ว่างกันมากใช่มั้ย? แม่ง!”

พูดจบ เขาก็หันหลังเดินจากไป

คุนหลุนโยนเงินปึกหนึ่งลงบนโต๊ะ แล้วก็วิ่งตามไป

ตลอดทาง ฝีเท้าของเฉินตงนั้นเร็วมาก ร่างกายของเขาก็กระจายไปด้วยความเย็น

หวางหนันหนันทำสำเร็จแล้ว!

ข่มขู่ได้ดีมาก!

จับจุดอ่อนของเขาได้อย่างแม่นยำ เอาเขาอยู่ในพริบตา

เขาไม่อยากให้เรื่องนี้รบกวนถึงกู้ชิงหยิ่ง ดังนั้นจึงต้องจัดการความวุ่นวายนี้ได้โดยเร็ว แต่การข่มขู่ของหวางหนันหนัน กลับทำให้เขาต้องไปเจอหลินหลิ่งตงสักครั้ง

การข่มขู่เช่นนี้ หวางหนันหนันที่เป็นแบบนี้

ทำให้เขารังเกียจและขยะแขยงถึงขีดสุด!

อีกฝั่งหนึ่ง

หวางหนันหนันที่กลับถึงใต้ตึกไท่ติ่งนั้น

อู๋จุนหาวที่รอคอยอย่างร้อนใจก็รีบเดินเข้ามา

“อาซ้อ เป็นอย่างไรบ้าง?”

“เขาตกลงแล้ว”

หวางหนันหนันยิ้มในขณะที่พูด “ขึ้นรถกลับบ้านเถอะ”

“จริงเหรอ?! อาซ้อช่างเกินมากเลย!”

อู๋จุนหาวตื่นเต้นดีใจอย่างมาก รีบเปิดประตูรถให้กับหวางหนันหนัน

เครื่องเดือนแล้ว เฉินตงได้เชิญหลินหลิ่งตงไปแล้วครึ่งเดือนเต็ม!

แม้แต่เขา ก็ได้ช่วยส่งบัตรเชิญมาหนึ่งสัปดาห์แล้ว

ไม่มีข้อยกเว้นเลย ทุกครั้งก็จะถูกเฉินตงปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมา

แต่ครั้งนี้ กลับสำเร็จแล้ว!

ในขณะที่กำลังตื่นเต้นดีใจนั้น อู๋จุนหาวรู้สึกทั้งกลัวทั้งเคารพหวางหนันหนันเป็นครั้งแรก

แต่ว่าตอนที่หวางหนันหนันขึ้นรถนั้น

อู๋จุนหาวที่กำลังดีใจก็อึ้งไปทันที “อาซ้อ คอของคุณทำไมถึงช้ำล่ะ?”

ร่างอันบอบบางของหวางหนันหนันสั่นสะท้าน ทันใดนั้นก็รู้สึกตัว มันต้องเกิดจากแรงที่มหาศาลของเฉินตงแน่เลย

เธอส่ายหัว “ไม่มีอะไร กลับบ้านกันเถอะ”

“เฉินตงทำร้ายคุณเหรอ?”

อู๋จุนหาวไม่พอใจ สีหน้าท่าทางก็ดุดันขึ้นมาทันที “แม่งเอ๊ย ทำร้ายอาซ้อของผม คงคิดว่าคนในเมืองหลิ่งตงรังแกกันได้ง่ายใช่มั้ย? อาซ้อ ผมจะไปช่วยคุณแก้แค้นเดี๋ยวนี้เลย!”

หวางหนันหันสะดุ้งตกใจ รีบเรียกอู๋จุนหาวเอาไว้

“อู๋จุนหาว หลิ่งตงแม้แต่ในฝันยังอยากจะเจอเฉินตงเลย ฉันเพิ่งจะทำให้เขายอมตกลง หรือว่านายอยากให้เรื่องนี้มันจบสูญเปล่าไปแบบนี้?

“ผม……..” อู๋จุนหาวพูดไม่ออก กระทืบเท้าอย่างโมโห ขึ้นรถจากไป

กลับมาถึงที่หมู่ตึกหลิ่งตง

หวางหนันหนันก็กลับเข้าไปในห้องนอนโดยตรง

เพื่องานเลี้ยงแล้ว เธอเกือบจะทิ้งศักดิ์ศรีทั้งหมดของเธอ

ถึงขนาดไม่คำนึงในการข่มขู่ มันทำให้เธอรู้สึกอัดอั้นตันใจ

กลับมาถึงในห้องนอน หวางหนันหนันก็ล็อกกรด้านใน โน้มตัวลงไปบนเตียง ดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตา ร้องไห้อย่างเงียบๆ

เมื่อคิดถึงคืนนี้หลินหลิ่งตงก็จะได้เจอกับเฉินตงแล้ว เขาปลอบใจตัวเองไม่หยุด “ไม่เป็นไร เพื่อหลิ่งตง ฉันเสียสละบ้าง มันจะแค่ไหนเชียว?”

ในห้องหนังสือ

อู๋จุนหาวได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดของเมื่อกี้ให้กับหลินหลิ่งตงแล้ว

ในนั้น รวมถึงเรื่องที่หวางหนันหนันเหมือนจะถูกเฉินตงทำร้าย

หลังฟังจบ หลินหลิ่งตงก็ไม่ได้ดีใจเลยแม้แต่นิดเดียว

ตรงกันข้ามกลับรู้สึกผิดและทนไม่ได้ เขาได้โยนพู่กันที่อยู่ในมือลงไปบนภาพวาดที่เพิ่งจะวาดเสร็จเมื่อกี้

“ฉันหลินหลิ่งตง เคยปล่อยให้ผู้หญิงของตัวเองต้องทนทุกข์กับความลำบากใจเช่นนี้เมื่อไหร่กัน? หนันหนัน เป็นผมที่ผิดต่อคุณ”

ในขณะนี้ หลินหลิ่งไม่สามารถที่จะดีใจได้เลย

ถึงขนาดที่ก่อนหน้านี้มีความคิดที่อยากจะเป็นเพื่อนเฉินตงมาโดยตลอด แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อแล้ว

เมื่อคิดถึงหวางหนันหนันเพื่อจะช่วยเขาเชิญเฉินตง แล้วได้รับความลำบากใจ หลินหลิ่งตงมีความรู้สึกเหมือนถูกมีดเฉือนที่หัวใจ

เขาเดินผ่านอู๋จุนหาว เดินขึ้นไปข้างบนด้วยฝีเท้าที่เร็ว เคาะประตูห้องของหวางหนันหนัน

“หนันหนัน คุณออกมาเถอะ ผมมีอะไรจะบอกกับคุณ”

เวลานี้หลินหลิ่งตงรู้ว่า ในฐานะที่เป็นผู้ชาย สิ่งที่ควรทำมากที่สุดในเวลานี้ก็คือปลอบใจหวางหนันหนัน แม้แต่กอดก็ยังดี

ในห้อง

หวางหนันหนันพูดขึ้น “หลินหลิ่งตง ตอนนี้คุณจะเจอฉันทำไม? สิ่งที่คุณควรทำ ก็คือไปเตรียมงานเลี้ยงในคืนนี้ นี่มันคือเลือดเนื้อของฉันเลยนะ คุณเป็นผู้ชาย ยังไม่รู้จักแยกแยะอีกเหรอ?”

แม้จะพยายามจะกลั้นเอาไว้

แต่หลินหลิ่งตงยังคงได้ยินเสียงสะอื้นระหว่างคำพูดของหวางหนันหนัน

เขากำหมัดแน่น ในขณะนี้ ส่วนลึกในหัวใจ เหลือเพียงเงาๆ หนึ่ง ไม่มีอย่างอื่นอีกเลย

ในขณะที่หัวใจของเฉินตงกำลังว้าวุ่นนั้น

กู้ชิงหยิ่งที่ก้มหน้ามาโดยตลอด ก็เงยหน้ามองเฉินตงโดยตรง

ทันใดนั้นหัวใจของเฉินตงกระตุกอย่างแรง รีบพูดขึ้นมา “ไม่ ไม่นี่ บางทีอาจจะเหนื่อยเกินไปมั้ง”

กู้ชิงหยิ่งยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “มีเรื่องจริงๆ ด้วย ท่าทางที่คุณโกหก ดวงตาเต็มไปด้วยพิรุธ”

เฉินตง “…….”

ควรอธิบายอย่างไร?

พูด หรือไม่พูด?

สิ่งที่ตามมาคือ กู้ชิงหยิ่งยิ้มๆ “ก้มหน้าถักเสื้อต่อ ไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูด ฉันก็ไม่ใช่ว่าจะบีบคั้นให้คุณพูดเสียหน่อย”

เฉินตงมีสีหน้าที่สับสน ความรู้สึกผิดและความรู้สึกที่พันกันในหัวใจของเขานั้นจู่ๆ ก็รุนแรงถึงขีดสุด

ริมฝีปากขยับไปมา

เขามีความรู้สึกที่อยากจะพูดออกมาให้มันรู้แล้วรู้รอดไป

แต่เหลือบมองไปที่ท้องของกู้ชิงหยิ่งโดยสัญชาตญาณ เขาก็อดกลั้นมันเอาไว้

นี่ บางทีมันอาจจะเป็นการกระตุ้นนะ?

“ขอบคุณนะที่รัก” เฉินตงอดไม่ได้ที่จะพูดอย่างเศร้าๆ

ในขณะที่ขอบคุณ เฉินตงก็ตัดสินใจแล้ว ต้องจัดการเรื่องของหลินหลิ่งตงให้เร็วที่สุด

มีหวางหนันหนันอยู่ ยิ่งยืดเยื้อ รังแต่จะทำให้เรื่องมันซับซ้อนเข้าไปอีก

จัดการปัญหาอย่างรวดเร็วและเฉียบขาด ถึงจะเป็นหนทางของราชา

คฤหาสน์ในหมู่ตึกหลิ่งตง

หลินหลิ่งตงกำลังดื่มวิสกี้ ด้วยความรู้สึกที่เศร้า

เมื่อเห็นหวางหนันหนันกลับมา เขาก็มีสติขึ้นเล็กน้อยในทันที

“หนันหนัน เป็นอย่างไรบ้าง?”

สีหน้าของหวางหนันหนันเศร้าเล็กน้อย เงยหน้ามองเห็นสายตาที่คาดหวังของหลินหลิ่งตงแล้ว ยังคงพยายามฝืนยิ้มออกมา

“ฉันกำลังคิดหาวิธีอยู่ คุณอย่าใจร้อน”

แววตาของหลินหลิ่งตงมืดมนลงทันที

เขาดื่มวิสกี้ไปหนึ่งคำ ยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วกล่าว “คุณมีใจที่จะช่วยผมมันก็เพียงพอแล้ว อันที่จริงจะเชิญมาได้หรือไม่ได้ ก็ไม่สำคัญแล้ว เขาเฉินตงไม่อยากจะเจอผม ผมก็ฝืนมันไม่ได้ไม่ใช่เหรอ?”

“จริงๆ แล้วมันก็ถูก ผมมันก็แค่ราชาใต้ดินในเมืองหลิ่งตงเท่านั้น อยู่ตรงนี้สูงส่ง แต่เมื่อเทียบกับคนที่สูงส่งอย่างแท้จริงแล้ว ผมยังคงออกหน้าออกตาทางสังคมไม่ได้เลย ก็เป็นเพียงแค่หนูใต้ดินตัวหนึ่งเท่านั้น”

สีหน้าของหวางหนันหนันเปลี่ยนไปทันที

ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว กล่าวด้วยน้ำเสียงที่โกรธเคือง “หลินหลิ่งตง ฉันห้ามไม่ให้คุณว่าตัวเองแบบนี้”

“สิ่งที่ผมพูดมันคือความจริง” หลินหลิ่งตงเลิกคิ้วกล่าว

“แต่คุณเป็นผู้ชายของฉันหวางหนันหนัน ฉันไม่อนุญาตให้คุณดูถูกตัวเองแบบนี้”

หวางหนันหนันที่ไม่เคยโกรธมาก่อน ทำให้หลินหลิ่งตงตกใจ

วินาทีต่อมา

หลินหลิ่งตงลุกขึ้น ได้กอดหวางหนันหนันเข้ามาในอ้อมอก “ขอบคุณ”

ร่างกายของหวางหนันหนันสั่นสะท้าน แค่คำว่าขอบคุณ กลับสามารถทำให้หัวใจของเธอพองโตอย่างอธิบายไม่ได้

ดมหลินหลิ่งตงที่ร่างกายเต็มไปด้วยกลิ่นเหล้า

เธอกล่าวปลอดอย่างอ่อนโยน “ดื่มไปเยอะขนาดนี้ ไปอาบน้ำพักผ่อนเถอะ ฉันจะช่วยคุณเชิญเฉินตงมาให้ได้”

“อาบด้วยกัน?”

หลินหลิ่งตงอาศัยความเมาในการพูด

หวางหนันหนันแก้มแดง ก้มหน้าลง กลับขยับตัวเล็กน้อย

“ได้”

หลินหลิ่งตงพยักหน้า หันหลังขึ้นมา

เช้าวันรุ่งขึ้น

หวางหนันหันก็เรียกหาอู๋จุนหาวแต่เช้า ขับรถไปไท่ติ่ง

ที่ไท่ติ่ง

เฉินตงกำลังยุ่งกับการทำงาน กูหลังก็เดินเข้ามา

“คุณเฉิน มาส่งบัตรเชิญอีกแล้ว”

กูหลังกล่าวอย่างเบื่อหน่าย “อู๋จุนหาวเป็นคนส่งมา เขาบอกว่าต่อให้คุณไม่รับบัตรเชิญ ก็ขอให้คุณลงไปคุยกันต่อหน้าให้รู้เรื่อง”

เฉินตงวางเอกสารในมือลง เมื่อคืนเขาได้ตัดสินใจว่าจะจัดการเรื่องนี้ให้มันเด็ดขาดไปเลย

ลุกขึ้นรับบัตรเชิญในมือกูหลังมา โยนลงไปในถังขยะ

จากนั้น เฉินตงก็ลงไปที่ใต้ตึก

จากระยะไกล เฉินตงก็เห็น BMW x5 สีดำจอดอยู่ในลานจอดรถ และมีอู๋จุนหาวที่ยืนขมวดคิ้วสูบหรี่อยู่ข้างรถ

เฉินตงเดินเข้าไปโดยตรง

เมื่อเห็นเฉินตง อู๋จุนหาวก็รีบเหยียบก้นบุหรี่ให้ดับ ยิ้มเดินเข้าไปต้อนรับ “คุณเฉิน ผม……..”

มือขวาของเขาเพิ่งจะยื่นออกไปได้ครึ่งเดียว

ก็ถูกเฉินตงพูดอย่างเฉียบขาด “กลับไปรายงานเจ้านายของนายด้วย ฉันไม่อยากจะเจอเขา อีกอย่างช่วยบอกให้เจ้านายของนายเคารพตัวเองด้วย อยากเอาขยะพวกนั้นมาเข้าใกล้ตัวฉัน”

อู๋จุนหาวตัวแข็งทื่ออยู่กับที่

คำพูดของเฉินตง เฉียบขาดจนเขาตั้งตัวไม่ทัน

พวกขยะ?

กำลังว่าฉันเหรอ?

ในใจของอู๋จุนหาวไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว

เห็นเฉินตงกำลังจะไป

อู๋จุนหาวรีบตะโกนเรียก “คุณเฉิน ฟังผมอธิบายก่อน”

เฉินตงไม่หันหลังกลับมา และเดินต่อไป

ประจวบกับในขณะนี้ ประตู BMW X5 ถูกเปิดออก

รูปเงาที่สวยงามค่อยๆ ก้าวลงจากรถ

“เฉินตง ไม่เจอกันตั้งนาน!”

เฉินตงหยุดฝีเท้าลง ทันใดนั้นแววตาก็เต็มไปด้วยความหดหู่

กูหลังที่อยู่ด้านข้างเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเฉินตงอย่างชัดเจน ก็ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที

“ไม่เจอกันตั้งนาน? อาซ้อ คุณรู้จักคุณเฉินเหรอ?”

ใบหน้าของอู๋จุนหาวเต็มไปด้วยความตกตะลึง มองหวางหนันหนันอย่างเหลือเชื่อ

หวางหนันหนันยิ้มเล็กน้อย ถือว่าได้ตอบแล้ว

จากนั้นรีบเดินไปด้านหลังของเฉินตง “สามารถคุยกันหน่อยมั้ย แค่ครั้งเดียว!”

สามคำสุดท้าย ได้เน้นคำเป็นพิเศษ

เฉินตงยกมุมปากขึ้นยิ้มอย่างดูถูก หน้าไม่อายเลยจริงๆ !

อย่างไรก็ตามเมื่อคิดถึงท่าทางของกู้ชิงหยิ่งในเมื่อคืน เขาไม่เพียงแต่รู้สึกผิดยังสงสารด้วย

เก็บรอยยิ้มแล้ว ก็ปั้นหน้าที่เย็นชา เฉินตงหันหน้าไปมองหวางหนันหนัน “ได้สิ”

“จุนหาว นายรอฉันอยู่ตรงนี้ ฉันจะไปหาร้านกาแฟคุยกับเฉินตง”

หวางหนันหนันสั่งการ

“ได้ครับอาซ้อ” อู๋จุนหาวตอบด้วยความเคารพ เพียงแต่แววตากลับเต็มไปด้วยความสงสัย

หวางหนันหนันไม่ได้ให้อู๋จุนหาวตามไปด้วย

แต่เฉินตงกลับให้กูหลังติดตามไปด้วย

หวางหนันหนันหาร้านกาแฟที่ใกล้ที่สุด

หลังจากนั่งลงแล้ว เธอรับเมนูมาจากมือของบริกร ยื่นไปตรงหน้าของเฉินตง

“อเมริกันโน่”

“เหมือนกัน”

เฉินตงสั่งกาแฟ กูหลังก็สั่งตามไปอย่างนั้นแหละ

หวางหนันหนันก็ได้สั่งกาแฟให้ตัวเองหนึ่งแก้ว แล้วถาม “จะเติมน้ำตาลหรือนมมั้ย? อเมริกันโน่ขมมากนะ”

“ดื่มจนชินแล้ว”

เฉินตงตอบอย่างใจเย็น

ในสายตาของเขา หวางหนันหนันเปลี่ยนไปอย่างมาก

ไม่เหมือนคนเก่าที่เย่อหยิ่งเอาแต่ใจตัวเอง ถูกวันเวลาชะล้างจนกลายเป็นผู้ใหญ่ที่มีเสน่ห์

อย่างไรก็ตาม มันไม่อาจที่จะขัดขวางความรังเกียจที่เขามีต่อเธอ

“คุณเปลี่ยนไปมาก” หวางหนันหนันมองเฉินตงแล้วพูด “ฉันได้ตัดขาดความสัมพันธ์กับพ่อแม่และน้องชายไปแล้ว”

“อืม” เฉินตงตอบอย่างเรียบเฉย

หวางหนันหนันไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับการแสดงออกของเฉินตง

บางทีความสัมพันธ์ยิ่งธรรมดา ถึงจะสงบสติอารมณ์ได้มากกว่ามั้ง

เธอพูดต่อ “ตอนแรกเป็นฉันที่ผิดต่อคุณ เกือบจะเพราะพ่อแม่ของฉัน ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของคุณและเสี่ยวหยิ่ง”

“อืม”

เฉินตงยังคงตอบอย่างสงบเรียบเฉย

“คุณไม่มีอะไรจะพูดเหรอ?” หวางหนันหนันเลิกคิ้วถาม

“มี”

เฉินตงยกกาแฟอเมริกาโน่ขึ้นมาจากบนโต๊ะ “ดื่มหมดในคราเดียว กล่าวอย่างเฉียบขาด ตอนนี้คุณเป็นคนของหลินหลิ่งตง เป็นอาซ้อของลูกน้องของเขา เรื่องเหล่านี้ผมไม่สนใจ แต่คุณไม่ควรมารบกวนชีวิตของผมกับเสี่ยวหยิ่ง ฉันขอให้คุณพาหลินหลิ่งตงไปให้พ้นจากสายตาของผมและเสี่ยวหยิ่ง”

“ตอนนี้ภรรยาผมกำลังตั้งครรภ์ หากเป็นเพราะการปรากฏตัวของคุณ มีผลกระทบต่ออารมณ์ของเธอ ผมจะทำให้เมืองหลิ่งตงไม่มีราชาใต้ดินอีกต่อไป!” น้ำเสียงเยือกเย็น เต็มไปด้วยแรงอาฆาต

ใบหน้าที่สวยงามของหวางหนันหนันซีดเล็กน้อย สามารถสัมผัสไอเย็นที่แผ่กระจายออกมาจากร่างของเฉินตงได้อย่างชัดเจน

เมื่อเธอรู้สึกตัวอีกที เฉินตงและกูหลังได้เดินไปถึงหน้าประตูแล้ว

แววตาของหวางหนันหนันเปล่งแสง ทันใดนั้นก็ลุกขึ้นตะโกน

“เฉินตง การเจอหลิ่งตงแค่ครั้งเดียว สำหรับคุณมันยากขนาดนี้เลยเหรอ? ฉันคุกเข่าขอร้องคุณ จะได้มั้ย?”

เสียงพรึบดังขึ้นมาหนึ่งที

หวางหนันหนันได้คุกเข่าลงบนพื้นแล้ว

เฉินตงไม่รู้สึกว่าที่ตัวเองทำแบบนี้ มันจะผิดอะไร

ตอนนั้นที่หวางหนันหนันและคนในครอบครัวทำเรื่องเหล่านั้น พวกเขารู้สึกผิดมั้ย?

ตอนนี้เขามีชีวิตใหม่แล้ว เขาเกิดใหม่แล้ว จะไม่มีทางยอมให้ระหว่างเขากับกู้ชิงหยิ่ง เกิดเรื่องหรือมีตำหนิใดๆ อีก

คลับสี่ยิ่น ในลานป่าไผ่

ฟ่านลู่ได้ทำกับข้าวเสร็จแล้ว

กู้ชิงหยิ่งกำลังตั้งใจดูทีวีอยู่ในห้องนั่งเล่น

ท่านหลงกับคุนหลุนอยู่มองดูอยู่ด้านข้าง เบื่อเล็กน้อย

รายการในทีวี ทำให้ผู้ชายอย่างเขาทั้งสองคนหัวโต

“คุณนายน้อย คุณดูรายการสอนถักเสื้อทำไม?” ท่านหลงถาม

“เรียนรู้ไง”

กู้ชิงหยิ่งที่ตั้งใจดู ตอบกลับ “ฉันอยากจะถักเสื้อให้กับลูกน้อยไงล่ะ”

“ถักเสื้อ?”

ท่านหลงกับคุนหลุนตกใจพร้อมกัน

คุนหลุนพูดโดยไม่คิด “คุณนายน้อย คุณเป็นคุณนายน้อยของตระกูลเฉิน และเป็นคุณหนูของตระกูลกู้ เสื้อของลูกไม่ต้องให้คุณถักด้วยตัวเองหรอก”

อันที่จริงเขาอยากจะพูดว่าไม่ขาดแคลนเงินทอง อย่าว่าแต่ชุดทารกทั่วไปเลย ต่อให้ชุดหยกเลี่ยมทอง ก็สามารถหาซื้อมาได้ง่ายๆ

เพียงแต่คำพูดนี้ไม่ค่อยจะเหมาะสม เขาจึงได้เปลี่ยนเป็นคำพูดอื่น

กู้ชิงหยิ่งส่ายหัว “ฉันรู้ว่าสามารถซื้อได้ แต่ฉันรู้สึกว่าหากฉันสามารถถักเสื้อให้ลูกสักตัว มันจะความหมายมากเลย”

ขณะที่พูด เธอก็หันไปพูดกับคุนหลุน “พี่คุนหลุน รบกวนพี่ไปช่วยฉันซื้อเส้นไหมพรมหน่อยจะได้มั้ย เอาไหมแท้นะ เบาและหนุ่มกว่า น่าจะเหมาะกับผิวเด็กมากกว่า”

คุนหลุนอึ้งไปเลย

หลังจากที่เห็นสัญญาณจากสายตาของท่านหลงแล้ว จึงหันหลังเดินออกไป

เพิ่งจะเดินมาถึงที่ลาน คุนหลุนก็ได้เจอกับเฉินตงที่กลับมา

“คุนหลุน ทำไมรีบร้อนจัง จะไปไหน?” เฉินตงถามอย่างสงสัย

คุนหลุนยักไหล่ “คุณนายน้อยจะฝึกถักเสื้อ อยากจะถักเสื้อให้กับลูกที่อยู่ในท้องของเธอ”

“ถักเสื้อ?”

เฉินตงประหลาดใจไปครู่หนึ่ง ก็ยิ้มแล้วกล่าว “งั้นพี่รีบไปเลย ซื้อมาเยอะหน่อย ซื้ออย่างที่ดีที่สุด”

“คุณชาย คุณก็จะให้คนนายน้อยถักเสื้อเหรอ?”

คุนหลุนที่อยู่ต่อหน้าเฉินตง ไม่ได้กังวลอะไร ก็พูดอย่างตรงไปตรงมา “คุณนายน้อยเป็นลูกคุณหนู จะทำงานหนักแบบนี้ได้ยังไงล่ะ ตอนนี้ยังท้องอยู่ คุณก็ไม่รู้จักห้ามปรามเลย”

“สิ่งที่เสี่ยวหยิ่งอยากจะทำ ฉันก็ต้องสนับสนุนอยู่แล้ว”

เฉินตงยิ้มๆ แล้วพูด “พี่คุนหลุน พี่ยังไม่แต่งงาน พี่นั้นไม่เข้าใจความสุขที่มีคนยินดีเปลี่ยนแปลงเพื่อพี่หรอก”

คุนหลุนนิ่งไปครู่หนึ่ง

ส่ายหัวอย่างจนใจ หันหลังเดินจากไป

ตอนที่ใกล้จะถึงประตู เฉินตงก็ได้ตะโกนตามมา “ต้องซื้ออย่างดีที่สุดนะ!”

เฉินตงเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่น เห็นกู้ชิงหยิ่งกำลังดูคลิปวิดีโอสอนถักเสื้อทางทีวีด้วยสีหน้าที่จดจ่อ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอบอุ่นหัวใจ

ยัยเด็กโง่คนนี้ เปลี่ยนไปมากจริงๆ

ในความงุนงง เขาคิดถึงเรื่องของหวางหนันหนัน อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดต่อกู้ชิงหยิ่งมากเข้าไปอีก

“คุณชาย”

ท่านหลงลุกขึ้นกล่าว

เฉินตงพยักหน้า นั่งลงข้างกายกู้ชิงหยิ่ง “เรียนรู้ไปถึงไหนแล้ว?”

“พอประมาณแล้ว คืนนี้สามารถลองกับคุณก่อน” กู้ชิงหยิ่งพูด

“ได้สิ คืนนี้อยากทานอะไร ผมจะทำให้คุณทาน” เฉินตงถาม

กู้ชิงหยิ่งตอบไปอย่างส่งๆ “อยากกินกุ้งแดงเสฉวน”

“ได้สิ”

เฉินตงลุกขึ้นเดินไปในครัว

เมื่อกู้ชิงหยิ่งรู้สึกตัว มองเห็นเฉินตงเดินเข้าไปในห้องครัว ก็บ่นอย่างสงสัย “เจ้าทึ่มวันนี้เป็นอะไรอีกเนี่ย?”

ท่านหลงที่อยู่ด้านข้างใบหน้าเต็มไปด้วยความตะลึง รีบตะโกนเรียก “คุณชาย คนท้องกินกุ้งแดงไม่ได้”

เฉินตงที่เพิ่งจะก้าวเข้ามาในห้องครัว ก็อึ้งไปทันที

จากนั้นเขาก็หันหน้ามาเกาหัวอย่างซื่อๆ แล้วพูด “ฮ่าๆ ผมสะเพร่าไปแล้ว เสี่ยวหยิ่งเปลี่ยนเมนูหน่อย”

“อยากกินไข่ผัดมะเขือเทศ” กู้ชิงหยิ่งระงับความสงสัยไว้ในใจ แล้วตอบ

“ได้”

เฉินตงยิ้มพร้อมกับพยักหน้า ก็เข้าไปทำกับข้าวในครัว

ในห้องนั่งเล่น

กู้ชิงหยิ่งกับท่านหลงต่างมองหน้าซึ่งกันและกัน

“ท่านหลง คุณรู้สึกว่าวันนี้เฉินตงแปลกๆ มั้ย?”

กู้ชิงหยิ่งพูดอย่างสงสัย “เขาไม่ได้ทำอาหารให้ฉันทานนานแล้ว เมื่อกี้ก็ดูใจลอยๆ ด้วย”

ท่านหลงก็พยักหน้า รับปากจะทำกุ้งแดงเสฉวนให้คนท้องกิน มันช่างไม่สมเหตุผลเลย

“บางทีคุณชายอาจอยู่ภายใต้ความกดดันที่มากเกินไป ใจเลยว่อกแว่ก”

มันคือความเป็นไปได้ที่ท่านหลงคิด “และตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่านายท่านอยู่ไหน”

กู้ชิงหยิ่งพยักหน้า สองมือกุมแก้มไว้ กล่าวอย่างเศร้าๆ “น่าเสียดายที่ฉันช่วยอะไรเขาไม่ได้เลย”

เมื่อคุนหลุนซื้อเส้นไหมพรมเนื้อนุ่มกลับมาเป็นจำนวนมาก ทุกคนก็เริ่มทานอาหารค่ำ

กู้ชิงหยิ่งกินไข่ผัดมะเขือเทศไปจานใหญ่ แม้แต่น้ำขลุกขลิกก็ไม่ให้เหลือ ชื่นชมฝีมือการทำอาหารของเฉินตงอย่างซ้ำๆ

ในใจเฉินตงรู้สึกผิด ก็ไม่มีกะจิตกะใจกินข้าว เอาแต่จ้องมองกู้ชิงหยิ่ง

และภาพนี้ ถูกทุกคนที่ทานข้าวอยู่มองเห็นอย่างชัดเจน

ต่างแสดงความสงสัยออกมา

หลังจากทานอาหารค่ำเสร็จ เฉินตงกับกู้ชิงหยิ่งเดินย่อยไปครู่หนึ่ง กู้ชิงหยิ่งก็บ่นอยากจะกลับไปถักเสื้อที่ห้องแล้ว

เฉินตงทำได้เพียงตกลง

ในห้องนอน สว่างไสวไปด้วยแสงไฟ

เฉินตงนั่งอยู่ด้านข้าง มองกู้ชิงหยิ่งที่จัดเส้นไหมพรมกับเข็มถักโคเชต์อย่างใจจดใจจ่อ

เรื่องเย็บปักถักร้อย สำหรับคนทั่วไป มันช่างง่ายดายนัก

แต่กู้ชิงหยิ่งตั้งแต่เล็กจนโตก็ถูกเลี้ยงเหมือนไข่ในหิน มือไม่เคยเปื้อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงงานเย็บปักถักร้อยที่ต้องใช้ความละเอียดแบบนี้เลย

ยิ่งมองท่าทางของกู้ชิงหยิ่งที่กำลังใจจดใจจ่ออยู่ตอนนี้ เฉินตงก็ยิ่งรู้สึกว่าการปรากฏตัวของหวางหนันหนัน ช่างผิดต่อกู้ชิงหยิ่งนัก

เพียงแค่เอาไหมพรมสอดกับเข็ม กู้ชิงหยิ่งก็ใช้เวลาไปเกือบห้านาที

หลังจากที่เตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว

กู้ชิงหยิ่งก็กวักมือเรียกเฉินตง “ที่รักมานี่”

“อะไร?” เฉินตงก็รู้สึกตัว ถามอย่างสงสัย

“ถักเสื้อไง เพื่อลูกน้อย คุณทนหน่อยให้ฉันฝึกมือก่อน”

กู้ชิงหยิ่งจัดระเบียบชุดนอนแล้ว ก็ลุกขึ้นดึงเฉินตงมานั่งข้างเตียง

“คุณนั่งให้ดี ฉันจะเริ่มถักแล้วนะ”

เฉินตงขมวดคิ้ว รู้สึกว่าเหมือนมันมีบางอย่างที่ผิดปกติ

จนกระทั่ง สัมผัสถึงเสียงฉึกๆ ที่ดังขึ้นด้านหลัง

จากนั้น ก็มีความเจ็บปวดเกิดขึ้น

ในที่สุดเขาก็รู้แล้ว ว่ามันผิดปกติตรงไหน!

“ที่รัก คุณใช้ผมในการฝึกถักเสื้อ คือถักโดยตรงบนตัวเลยเหรอ?”

เฉินตงฉีกปากและสูดลมหายใจเข้า จากนั้นหันหน้ามาพูดกับกู้ชิงหยิ่ง

กู้ชิงหยิ่งมองเขาอย่างกะพริบตา ใบหน้าเต็มไปด้วยความงุนงง “ทำแบบนี้ไม่ถูกเหรอ?”

“มันต้องใช้สายวัดมาวัดขนาดของตัวผมก่อน จากนั้นก็ใช้ไหมพรมถักไม่ใช่เหรอ?”

เฉินตงหัวโตทันที การวัดตัวพร้อมกับถักเสื้อแบบนี้ ผมเพิ่งจะเคยเห็นครั้งแรกจริงๆ

กู้ชิงหยิ่งรู้ตัวแล้ว ก็รีบตบหน้าผากตัวเองไปสองสามที “ใช่ๆ ทำไมฉันถึงคิดไม่ถึงเลยนะ”

เฉินตง “………..”

ในไม่ช้า กู้ชิงหยิ่งก็จัดไหมพรมกับเข็มของเธอใหม่ จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิถักเสื้ออย่างใจจดใจจ่ออยู่บนเตียง

เฉินตงแอบโล่งอก นั่งมองดูอยู่อย่างเงียบๆ

ในที่สุดตอนนี้ภรรยาก็มีท่าทางของการถักเสื้อแล้ว

“ที่รัก ฉันรู้สึกว่าคืนนี้คุณดูแปลกๆ นะ” กู้ชิงหยิ่งจู่ๆ ก็ถามโดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้น

เฉินตงอึ้งไปครู่หนึ่ง แววตาตื่นตัวเล็กน้อย

“ไม่นี่ แปลกตรงไหนเหรอ?”

กู้ชิงหยิ่งยังคงไม่เงยหน้าขึ้น กำลังตั้งใจถักทีละเข็ม พลางพูดขึ้น “ก็รู้สึกว่าใจไม่อยู่กับร่องกับรอย เรื่องที่คนท้องกินกุ้งแดงไม่ได้ก็ไม่รู้ ยังมีอีก คุณไม่ได้ทำกับข้าวให้ฉันนานแล้ว วันนี้จู่ๆ ก็ทำกับข้าวให้ฉัน ฉันรู้สึกว่าคุณต้องมีเรื่องปิดบังฉันอยู่”

คำพูดประโยคสุดท้าย ราวกับเข็มได้ทิ่มแทงเข้าไปในหัวใจของเขา

ทันใดนั้นทำให้ใจของเฉินตงว้าวุ่นอย่างมาก แววตาเหม่อลอย

แบบนี้ก็มองออกเหรอ?

“คุณสามารถช่วยผมจริงๆ เหรอ?”

หลินหลิ่งตงมองหนันหนันอย่างประหลาดใจ

“บางที บางอีอาจจะได้นะ” หวางหนันหนันพยายามอยากจะปิดซ่อนอารมณ์ของตัวเอง

แต่ถูกหลินหลิ่งตงเห็นอย่างละเอียด และจับใจความได้อย่างชัดเจน

“หนันหนัน คุณมีเรื่องไม่สบายใจเหรอ?”

“ไม่มีนิ”

หวางหนันหนันพูดอย่างตรงไปตรงมา มองหลินหลิ่งตงด้วยสายตาที่แน่วแน่ “คุณแค่บอกฉัน คุณอยากจะเจอเฉินตงใช่มั้ย?”

จริงๆ แล้วตอนที่พูดคำพูดประโยคนี้ออกมา ในใจเธอมีความลนเล็กน้อย

แม้แต่หวางหนันหนันยังไม่เข้าใจตัวเองเลย ทำไมถึงได้พูดว่าสามารถช่วยหลินหลิ่งตง

ในหัวปรากฏขึ้นด้วยภาพของเฉินตง

“ตอนนี้ฉันเป็นผู้หญิงของหลินหลิ่งตง ในเมื่อตัดสิใจจะร่วมชีวิตกับเขา ในฐานะที่เป็นผู้หญิงของเขา ก็ควรที่จะช่วยเขา”

“อยาก!”

ดวงตาของหลินหลิ่งตงเต็มไปด้วยพลัง และเขาพยักหน้าโดยไม่ลังเล

“ได้” หวางหนันหนันตอบรับไปหนึ่งที

มองหวางหนันหนันที่จากไป หลินหลิ่งเผยความสงสัยออกมาทางสีหน้า

หนันหนัน……จะช่วยฉันได้จริงๆ เหรอ?

“เจ้านาย คุณเชื่อว่าอาซ้อจะสามารถช่วยให้คุณเจอกับเฉินตงได้เหรอ?” อู๋จุนหาวถามด้วยความประหลาดใจ

หลินหลิ่งตงรู้สึกตัว ยักไหล่อย่างทำอะไรไม่ได้ “นายกับฉันเชิญไปสิบกว่าครั้งแล้ว ก็ไม่สำเร็จ ตอนนี้ฉันได้แต่หวังว่าหนันหนันจะทำสำเร็จ”

สีหน้าของอู๋จุนหาวค่อนข้างจะสับสน รู้สึกเหมือนไม่ค่อยจะสมเหตุผล

คนที่ราชาใต้ดินของเมืองหลิ่งตงยังเชิญมาไม่ได้ อาซ้อจะใช้อะไรไปเชิญ?

ลังเลไปครู่หนึ่ง อู๋จุนหาวถามขึ้น “เจ้านาย ทำไมคุณถึงอยากจะเชิญเฉินตงขนาดนี้?”

หลินหลิ่งตงยิ้มอย่างมีความหมาย

เกาหัวแล้วกล่าว “จุนหาว คนที่จะทำการใหญ่ ต้องมองการณ์ไกล หากมองการณ์ตื้นเขินมันจะไม่ยั่งยืน เรื่องนี้ ฉันจะบอกนายในภายหลัง”

อู๋จุนหาวที่ครุ่นคิด กล่าวอย่างสับสน “แต่อาซ้อจะสามารถเชิญเขามาได้เหรอ?”

“ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ แค่เธอมีใจก็ดีแล้ว”

หลินหลิ่งตงยิ้มอย่างพึงพอใจ “ผู้หญิงของหลินหลิ่งตง ไม่ได้เป็นพวกแจกันดอกไม้ หนันหนันต้องการช่วยฉันแบ่งปันความกังวล มันได้พิสูจน์ว่าฉันชอบเธอในตอนแรกนั้นไม่ผิด”

หวางหนันหนันออกไปจากคฤหาสน์

อารมณ์สับสน สายตาเหม่อลอย

เธอในเวลานี้ หัวใจว้าวุ่น

หันหน้ามองคฤหาสน์ไปแวบหนึ่ง แล้วก็เชื่อมั่นความคิดของตัวเองอีกครั้ง

หวางหนันหนันกัดริมฝีปากแดง จึงได้จากไป

ไท่ติ่ง

เฉินตงไม่ได้สนใจว่าปฏิเสธหลินหลิ่งตงไปแล้วกี่ครั้ง

ครึ่งเดือนเรียนเชิญไปสิบกว่าครั้ง สำหรับเขา มันก็เป็นเพียงเรื่องที่แทรกเข้ามาเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น

หลินหลิ่งตงมีความอดทนในการเชิญ เขาก็มีความอดทนในการเอาบัตรเชิญที่กูหลังส่งมาโยนลงถังขยะ

เขายังมีเรื่องต้องทำมากมาย การซื้อที่ดินและการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ของไท่ติ่ง ทุกวันต้องทำงานอย่างหนัก

เมื่อใกล้เวลาเลิกงาน

กูหลังเดินเข้ามาอีกครั้ง

“คุณเฉิน มาอีกแล้วครับ”

น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเบื่อหน่าย

ระยะเวลาครึ่งเดือนมานี้ เฉินตงได้ชินกับน้ำเสียงแบบนี้ของกูหลังนานแล้ว

สิ่งที่สามารถทำให้กูหลังมีน้ำเสียงแบบนี้ นอกจากหลินหลิ่งตงแล้วยังจะมีใครอีก?

เฉินตงเอนกายพิงเก้าอี้ บีบจมูกที่บวมของเขา “วันนี้มาแปลก ส่งคำเชิญติดต่อกันถึงสองครั้ง?”

เมื่อคำนวณระยะเวลาในการเดินทาง บัตรเชิญใบนี้คาดว่าอู๋จุนหาวถึงเมืองหลิ่งตงไม่นาน แล้วก็ส่งมาอีกโดยที่ไม่ได้หยุดพักเลย

“ครั้งนี้ไม่ใช่บัตรเชิญ”

กูหลังลังเลไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าว “แต่เป็นคน”

“คน?!”

เฉินตงรู้สึกประหลาดใจไปครู่หนึ่ง ยิ้มและพูดว่า “หลินหลิ่งตงคิดว่าเขามาด้วยตัวเอง ก็จะสามารถเชิญผมไปได้เหรอ?”

“เป็นผู้หญิงครับ”

กูหลังมองไปที่เฉินตงด้วยสายตาที่สับสน

แม้ว่าเขาจะไม่ใช่บอดี้การ์ดที่ใกล้ชิดเฉินตงมากที่สุด แต่ก็พอรู้เรื่องบ้าง

อย่างเช่น…….หวางหนันหนัน!

“ผู้หญิง?” รอยยิ้มของเฉินตงหายไปเลย มีความโกรธเล็กน้อย

ส่งผู้หญิงมา หมายความว่าอย่างไร?

หลังจากที่นิ่งไปหลายวินาที

ในที่สุดกูหลังก็เอ่ยปาก “เป็นอดีตภรรยาของคุณ หวางหนันหนัน”

เธอ ท้ายที่สุดก็กลับมาแล้วมาใช่มั้ย?

ใบหน้าของเฉินตงมืดมนไปทันที กระจายไปด้วยความหดหู่

ไม่ถูก ไม่ได้กลับมาที่เมืองแห่งแล้ว

แต่ไปที่เมืองด้านข้าง อยู่กับหลินหลิ่งตง?

เฉินตงเข้าใจแล้ว ก็หัวเราะเยาะ “แม่ง มันช่างเป็นพรหมลิขิตหมาๆ !”

“พบมั้ยครับ?” กูหลังถามอย่างลองเชิง

เฉินตงส่ายหัว “ไล่เธอไป อีกอย่าง ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป บัตรเชิญทั้งหมดของหลินหลิ่งตง ไม่ต้องเอามาให้ผมแล้ว โยนทิ้งต่อหน้าพวกเขาได้เลย บอกพวกเขาไม่ต้องมาเชิญอีกแล้ว”

“เข้าใจแล้วครับ”

กูหลังพยักหน้าจากไป

เฉินตงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ อารมณ์ขุ่นเคือง ในใจหดหู่

เขาคิดว่า เมื่อคนของตระกูลหวางจากไปแล้ว เคราะห์กรรมนี้ก็ได้สิ้นสุดไปแล้ว

แต่การกลับมาของหวางหนันหนัน ยังไปอยู่กับหลินหลิ่งตง ถึงขนาดช่วยหลินหลิ่งตงในการมาเชิญเขา นี่มันเรื่องอะไรกัน?

มันทำให้เฉินตงมีความรู้สึกสะอิดสะเอียนเหมือนกับกินแมลงวันที่ตายไปแล้ว!

“เชิญฉัน? หวางหนันหัน คุณมองตัวเองสูงไปแล้ว”

เฉินตงยิ้มเยาะ มองดูเวลา ถึงเวลาเลิกงานแล้ว เพียงแต่เขายังไม่ได้ออกไป แต่กลับนั่งสงบจิตสงบใจไปครึ่งชั่วโมง ถึงลงไปใต้ตึกขึ้นรถออกไป

เขาไม่อยากเจอหลินหลิ่งตง ยิ่งไม่อยากเจอหวางหนันหนัน

เฉินตงไม่ใช่คนอ่อนแอไม่เด็ดขาด ตัดก็คือตัด ยิ่งไปกว่านั้นตอนนั้นพฤติกรรมของคนในตระกูลหวาง หวางหนันหนันที่เข้าข้างด้วยความโง่ ความแค้นเหล่านี้ ถูกลบไปหมดแล้ว

เมื่อเห็นหวางหนันหนัน มันเพียงแต่จะทำให้เขาคิดถึงความต่ำต้อยและสิ้นหวังเมื่อสามปีที่แล้ว

สิ่งที่สำคัญที่สุด เขาต้องคำนึงถึงความรู้สึกของภรรยา!

การเจอกันที่ริมแม่น้ำ มันเป็นเรื่องบังเอิญจริง ตอนนั้นกู้ชิงหยิ่งก็ได้แสดงความใจกว้างที่มากพอแล้ว

เขาในฐานะสามี ไม่สามารถเพียงเพราะความใจกว้างของภรรยา แล้วจัดการเรื่องนี้เหมือนกับเรื่องธรรมดาทั่วไป

เฉินตงรับปากู้ชิงหยิ่งว่าจะให้เขากลายเป็นผู้หญิงที่มีความสุขที่สุด และหวางหนันหนัน จะเป็นเพียงตำหนิในชีวิตเขา!

เพียงแต่สิ่งเฉินตงคิดไม่ถึงก็คือ

ตอนที่เขานั่งรถออกจากบริษัท ถนนที่อยู่ไม่ไกลจากบริษัท กลับมีสายตาคู่หนึ่งจ้องมองเฉินตงที่ขึ้นรถจากไปอย่างชัดเจน

ในแววตาลึกๆ เต็มไปด้วยความซับซ้อน

สายลมได้พัดเส้นผมด้านหน้าของหวางหนันหนันลอยขึ้น เผยให้เห็นสีหน้าที่เศร้าของเธอ

ครู่ใหญ่

หวางหนันหนันก็ยิ้มอย่างขมขื่น “แค่เจอกันคุณยังไม่อยากเจอเลยเหรอ? ขอโทษ เป็นฉันที่ทำร้ายคุณในตอนแรก!”

ขณะที่บ่นพึมพำ

หวางหนันหนันกลับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา

เบอร์ก็เปลี่ยนใหม่แล้ว โทรศัพท์ก็เปลี่ยนเครื่องใหม่แล้ว

ในสมุดโทรศัพท์ มีเพียงเบอร์โทรของเขาคนเดียว

ไม่มีแม้กระทั่งเบอร์โทรของพ่อแม่และน้องชาย

เบอร์นี้ เป็นเบอร์ที่เธอเก็บไว้มาโดยตลอด

มือที่เรียวยาวกดปุ่มโทรออก

ไม่นาน ก็มีคนรับสาย

“ไม่เจอกันตั้งนาน……….”

ในหัวของหวางหนันหนันคิดคำพูดไว้มากมาย สุดท้ายก็พูดเพียงตัวอักษรห้าตัวนี้

และแล้ว

ที่เฉินที่อยู่ปลายสาย ก็แค่แสดงความคิดความรู้สึกที่ชัดเจนของตัวเองออกมา

“ไปให้พ้น!”

ตู๊ด!

สายถูกวางไปแล้ว

ร่างที่บอกบางของหวางหนันหนันสั่นไปหนึ่งที วางโทรศัพท์ลงด้วยความรู้สึกที่ห่อเหี่ยว

ยังคงเด็ดขาดเหมือนเดิม

แต่เธอเข้าใจดี ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเธอทำตัวเอง

เขาในเมื่อก่อน สามารถใช้คำว่าไปให้พ้น กับผู้หญิงทุกคนที่เข้าใกล้เขา

เป็นเพราะเธอไม่เห็นคุณค่าเอง ไม่เข้าใจ ทำให้คำว่าไปให้พ้น มาตกอยู่บนตัวเธอ

“ฉันต้องช่วยหลิ่งตงให้ได้”

ทันใดนั้นแววตาของหวางหนันหนันก็เต็มไปด้วยความแน่วแน่ เขาเป็นคนใหม่แล้ว เขาไม่ใช่หวางหนันหนันที่เคยที่โดนตามใจจนมีนิสัยเย่อหยิ่งแล้ว

เธอรู้ว่า ผู้หญิงคนหนึ่งหากต้องการความเคารพ ไม่ใช่เป็นคนที่พึ่งพาอาศัยผู้ชาย แต่ควรจะเป็นคนที่ก้าวออกมาในเวลาที่ผู้ชายต้องการ

ดังนั้น

หวางหนันหนันจึงได้ส่งข้อความให้กับเฉินตง

“แฟนของฉันหลินหลิ่งตงอยากพบคุณมาก ไม่พูดถึงเรื่องในอดีต ให้เกียรติมาร่วมงานเลี้ยงคืนนี้ได้มั้ย? ถือว่าฉันติดหนี้บุญคุณคุณ ขอร้องคุณล่ะ ประโยคท้ายๆ ล้วนเป็นประโยคที่ขอร้อง

ติ๊งตอง!

ข้อความถูกตอบกลับในเวลาไม่กี่วินาที

หวางหนันหนันหยิบขึ้นมาดู ก็หมดหวังในทันที

“คุณติดหนี้ไม่ไหวหรอก มาจากไหน ก็กลับไปตรงนั้นเลย!”

อู๋จุนหาวตกใจจนไม่กล้าพูด

แต่เขาไม่เข้าใจ ทำไมหลินหลิ่งตงถึงมีความแน่วแน่ที่อยากจะเป็นเพื่อนกับเฉินตงขนาดนี้ มันเพราะอะไรกันแน่?

เขาได้ตรวจสอบประวัติของเฉินตงแล้ว

เป็นบุคคลที่สำคัญจริง!

แต่แล้วจะยังไง?

คนอื่นไม่ให้เกียรติ ราชาใต้ดินผู้สง่างาม ถึงกับต้องทิ้งหน้าลงบนพื้น ให้คนเหยียบย่ำครั้งแล้วครั้งเล่าเหรอ?

ผู้มีอำนาจบาตรใหญ่ในหลิ่งตง เป็นราชาใต้ดิน นี่มันยังไม่พอเหรอ?

อย่างไรก็ตาม เขาไม่กล้าถาม เพราะว่าเขาเข้าใจนิสัยของหลินหลิ่งตง

หากถามในเวลานี้ เป็นการเติมเชื้อเพลิงบนกองไฟ

สิ่งที่จะถูกเผา ก็คือตัวเขาเอง

หลินหลิ่งตงกลับไปที่คฤหาสน์

หวางหนันหนันกำลังนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นที่ชั้นหนึ่ง กำลังดูทีวี สวมชุดนอนลายลูกไม้สีดำ นั่งไขว่ห้างบนโซฟา ผมยาวสลวยที่เปียก และถือจานผลไม้อยู่ในมือ

ภาพนี้ ให้ความรู้สึกที่ไม่เหมือนกัน

ทำให้หลินหลิ่งตงที่กำลังหงุดหงิดเห็นเข้านั้น อดไม่ได้ที่จะมีความพึงพอใจ

“กลับมาแล้วเหรอ?”

หวางหนันหนันเห็นหลินหลิ่งตง ก็ยิ้มอย่างอ่อนหวาน ชูจานผลไม้ขึ้นมา “แม่บ้านปอกผลไม้ให้เยอะเลย มาทานหน่อยสิ”

หลินหลิ่งตงรู้สึกเพียงปากแห้ง ส่ายหัว นั่งไปยังข้างกายหวางหนันหนัน

กลิ่นหอมสดชื่น ทำให้ดวงตาของหลินหลิ่งตงลุกเป็นไฟ

เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถาม “หนันหนัน คืนนี้เรานอนห้องเดียวกันได้มั้ย?”

ใช่แล้ว คืนนั้นหลังจากที่หวางหนันหนันเข้ามาในคฤหาสน์ สุดท้ายทั้งสองคนก็แยกกันนอน

มันคือความต้องการของหวางหนันหนัน หลินหลิ่งตงเคารพการตัดสินใจของเขา

เพียงแต่ เวลานี้เขาเหมือนทนไม่ค่อยจะไหวแล้ว

“หลิ่งตง……..”

หวางหนันหนันลังเลเล็กน้อย วางจานผลไม้ลง เม้มริมฝีปากแน่น ค่อยๆ กล่าวขึ้น “เรา เรายังไม่ถึงเวลา”

“หนันหนัน………,

หลินหลิ่งตงยังอยากจะพูด

หวางหนันหนันลุกขึ้นมาแล้ว โน้มตัวจูบไปที่ริมฝีปากของหลินหลิ่งตง

สัมผัสแล้วก็ผลักออกมาทันที “หวางหนันหนันกล่าวอย่างจริงจัง หลิ่งตง เชื่อฉัน ช้าหรือเร็วฉันต้องเป็นของคุณ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ฉันยังเตรียมตัวไม่พร้อม พักผ่อนเร็วๆ ล่ะ ฉันไปนอนก่อนแล้ว”

เมื่อมองไปแผ่นหลังที่อรชรของหวางหนันหนัน หลินหลิ่งตงที่มึนงงเล็กน้อย

ยกมือขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวและสัมผัสริมฝีปากที่ยังมีความอุ่นเหลืออยู่ ความเครียดก่อนหน้านี้ เวลานี้ได้สงบลงมาแล้ว มุมปากอดไม่ได้ที่โค้งขึ้น แล้วยิ้ม

“ได้ ผมเคารพการตัดสินใจของคุณ คุณได้ถูกลิขิตมาเป็นผู้หญิงของผมหลินหลิ่งตงแล้ว”

……

ความมุ่งมั่นในการเชิญของหลินหลิ่งตง เกินความคาดหมายของเฉินตงโดยสิ้นเชิง

บัตรเชิญถูกส่งมาตรงหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า เฉินตงไม่แม้กระทั่งจะมองเลย โยนลงถังขยะโดยตรง

เดิมคิดว่าไม่น่าจะเกินสามครั้ง ต่อให้เกินสามครั้ง ก็คงทำต่อไปได้ไม่นาน

อย่างไรก็ตาม เรื่องบัตรเชิญ ทุกวันบัตรเชิญที่เหมือนกันจะถูกกูหลังนำมาวางบนโต๊ะทำงานของเฉินตงในเวลาเดียวกัน

การส่งนี้ ก็ปาไปครึ่งเดือน!

“มาอีกแล้ว?”

เห็นกูหลังเดินเข้ามา เฉินตงก็ถามตามสัญชาตญาณ

กูหลังพยักหน้าอย่างกระอักกระอ่วน “คุณเฉิน เขามีความพยายามขนาดนี้ ก็ตกลงไปสักครั้งมั้ย? คนที่ต้องรับหน้าทุกวันก็เบื่อเหมือนกัน”

“ไม่ไป” เฉินตงหยิบบัตรเชิญขึ้นมา โยนไปในถังขยะทันที

กูหลังทำอะไรไม่ได้ หันหลังเดินจากไป

ใต้ตึกไท่ติ่ง

อู๋จุนหาวที่ถูฝ่ามือไปมา รอคอยอย่างกระวนกระวาย

เขารับผิดชอบส่งบัตรเชิญมาหนึ่งอาทิตย์แล้ว

ด้วยความพยายามในการส่งบัตรเชิญ การเปลี่ยนแปลงเพียงอย่างเดียวที่เขาได้รับ ก็คือกูหลังที่จะสามารถบอกเขาได้โดยตรงว่าเฉินตงจะไปงานเลี้ยงหรือเปล่า

มันทำให้อู๋จุนหาวอายมาก

เพราะก่อนหน้านี้ เพราะเรื่องแย่งที่ดิน เขายังเคยทำร้ายกูหลัง

ตอนนี้ กลับต้องโค้งตัวเพื่อประจบกูหลัง ขอร้องให้กูหลังเปิดเผยความรู้สึกของเฉินตง

เพราะมันเกี่ยวกับหลินหลิ่งตง เขาไม่กล้าที่จะแสดงความไม่พอใจออกมาแม้แต่นิดเดียว

ทันใดนั้น อู๋จุนหาวตาสว่าง

รีบเดินเข้าไป พี่กูหลัง “ประธานเฉินว่าอย่างไร?”

กูหลังส่ายหัว “กลับไปเถอะ ไม่ไป”

“นี่……….” อู๋จุนหาวร้อนใจแล้ว รีบกล่าว พี่กูหลังพี่ไปช่วยผมพูดหน่อยได้มั้ย หลังจากที่เรื่องสำเร็จ น้องคนนี้ต้องขอบคุณพี่อย่างหนักเลย”

คำพูดประจบประแจง ก้มหน้าก้มตาดูไม่มีศักดิ์ศรีเอาเสียเลย

ทำให้กูหลังยังรู้สึกเลยว่าอู๋จุนหาวในตอนนี้ ราวกับว่าไม่ใช่คนเก่า

กูหลังแบมือยักไหล่อย่างช่วยอะไรไม่ได้ “ฉันเป็นเพียงทีมบอดี้การ์ดในบริษัทของคุณเฉินเท่านั้น สามารถได้คำตอบเรื่องไปหรือไม่ไปงานเลี้ยงจากคุณเฉินมันคือขีดจำกัดที่สูงสุดแล้ว ฉันจะเอาสิทธิ์อะไรไปช่วยนายพูด นายกลับไปเถอะ”

พูดจบ เขาก็ไม่ได้สนใจอู๋จุนหาวอีก หันหลังเดินกลับเข้าไปในบริษัท

อู๋จุนหาวยืนอึ้งอยู่ที่เดิม แววตาเต็มไปด้วยความแค้น

แม่งเอ๊ย……..หน้าใหญ่เกินไปแล้วมั้ง?

อยู่ในเมืองหลิ่งตง ยังไม่มีใครต้องให้เจ้านายฉันเรียนเชิญแบบนี้มาก่อนเลย!

แค้นส่วนแค้น สุดท้ายอู๋จุนหาวก็ทำได้เพียงถอนหายใจ ขึ้นรถจากไป

หมู่ตึกหลิ่งตง

ในห้องหนังสือขนาดใหญ่ หอมไปด้วยกลิ่นไม้จันทน์

หลินหลิ่งตงกำลังวาดรูป ใจจดจ่อกับสิ่งที่ทำอยู่

ด้านข้างยืนอยู่ด้วยหวางหนันหนันที่สวมชุดเดรสสีดำ เผยให้เห็นถึงความสง่างาม จิบนิ้วเหมือนดอกกล้วยไม้ ช่วยหลินหลิ่งตงฝนหมึกอย่างตั้งใจ ด้วยระดับของเธอ ย่อมไม่สามารถเข้าใจแนวความคิดทางศิลปะที่ลึกซึ้งในภาพวาดของหลินหลิ่งตง

อย่างไรก็ตามก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อเธอที่จะยืนอยู่ตรงหน้าหลินหลิ่งตง แสดงออกอย่างความชื่นชมยินดี

อู๋จุนหาวเดินเข้ามาด้วยใบหน้าที่บูดบึ้ง

หลินหลิ่งตงไม่ทันสังเกต ยังคงตั้งใจวาดภาพ

แต่เป็นหวางหนันหนันที่ทำท่าเงียบให้กับอู๋จุนหาว

อู๋จุนหาวพยักหน้าอย่างทำอะไรไม่ได้ รออย่างเงียบๆ

ครึ่งชั่วโมงผ่านไป

หลินหลิ่งตงถอนหายใจยาว เก็บพู่กัน รับตราประทับมาจากมือของหวางหนันหนัน ประทับชื่อของตัวเองลงบนภาพอย่างพึงพอใจ

“ภาพวาดนี้ เริ่มมีแนวความคิดทางศิลปะบ้างแล้ว”

“งั้นก็ใส่กรอบ” หวางหนันหันพูด

หลินหลิ่งตงยิ้มกำลังจะตอบ กลับเห็นอู๋จุนหาวที่ยืนรอนานแล้ว

“จุนหาว เป็นอย่างไรบ้าง?”

อู๋จุนหาวยิ้มเจื่อนๆ “เจ้านาย เขายังคงไม่ตอบรับ”

เพิ่งจะสิ้นเสียงพูด

รอยยิ้มบนใบหน้าของหลินหลิ่งตงก็หายไปหมดเลย หน้าเศร้าถึงขีดสุด

พู่กันในมือ ก็ร่วงหล่นลงบนรูปภาพที่เพิ่งจะวาดเสร็จ

“ไอ้หยา หลิ่งตงคุณทำอะไรน่ะ? ใช้ทั้งแรงกายแรงใจกว่าจะวาดภาพที่สวยงามแบบนี้ออกมาได้ มาพังเสียแบบนี้!”

หวางหนันหนันใบหน้าเต็มไปด้วยความปวดใจ รีบหยิบพู่กันออก เก็บภาพวาดขึ้นมา

หลินหลิ่งตงกลับไม่สนใจเลย นั่งลงบนเก้าอี้อย่างเศร้าใจ เกาหัวแล้วกล่าว “ทำไมเขาถึงไม่ตอบรับคำเชิญ หรือว่าฉันหลินหลิ่งตงไม่เข้าตาเขาขนาดนี้นั้นเหรอ?”

“เจ้านาย………”

อู๋จุนหาวอยากจะปลอบ กลับถูกสายตาของหวางหนันหนันสั่งระงับเอาไว้

จากนั้น หวางหนันหนันก็วางภาพวาดในมือลง

เดินไปด้านหลังของหลินหลิ่งตง ช่วยหลินหลิ่งตงนวดขมับ ถามอย่างอ่อนโยน

“ช่วงนี้คุณเป็นอะไร? ทำไมดูวิตกกังวลตลอดเวลา ไม่เหมือนกับหลินหลิ่งตงที่ฉันเคยรู้จักเลย มีเรื่องอะไรคะ สามารถเล่าให้ฉันฟังมั้ย? ฉันสามารถช่วยคุณได้นะ!”

“คุณช่วยไม่ได้หรอก” หลินหลิ่งตงโบกมือ เผชิญหน้ากับหวางหนันหนันเขาไม่อยากแสดงอารณ์ที่ไม่ดี

อู๋จุนหาวกลับพูดอย่างอดไม่ได้ “อาซ้อ ก็เฉินตงประธานของไท่ติ่งที่อยู่เมืองด้านข้างไง เจ้านายให้เกียรติเขา อยากจะเชิญเขามาพูดคุย ได้ส่งบัตรเชิญไปครั้งแล้วครั้งเล่า สิบกว่าครั้งแล้ว เฉินตงคนนั้นไม่เห็นคนอื่นในสายตาเลย ปฏิเสธเจ้านายครั้งแล้วครั้งเล่า เจ้านายกลุ้มเพราะเรื่องนี้แหละ”

“เฉินตง……..”

ร่างอันบอบบางหวางหนันหนันสั่นสะท้าน มือที่นวดขมับอยู่ก็หยุดลง

ขณะนี้ ในใจเต็มไปด้วยความเศร้า ท่าทางของเธอก็ไม่ธรรมชาติแล้ว

ภาพนี้ ถูกหลินหลิ่งตงเห็นเข้า

เขาโบกมืออย่างหดหู่ “เรื่องนี้คุณช่วยผมไม่ได้หรอก เอาล่ะ อย่าถามเลย เรื่องของผู้ชายให้ผู้ชายจัดการก็พอแล้ว คุณก็อย่ามากังวลเลย”

หวางหนันหนันแววตาสั่นไหว

มองหลินหลิ่งตงที่กำลังเครียด ทันใดนั้นก็กล่าวขึ้น

“บางที ฉันอาจจะช่วยคุณได้จริงๆ นะ!”

เฉินตงก็คิดไม่ถึง หวางหนันหนันที่ไปจากที่นี่แล้วได้กลับมาโดยที่พวกเขาไม่ทันตั้งตัว

มันก็ทำให้เขาขณะที่เดินทางกลับมาคลับสี่ยิ่นนั้น อึดอัดไม่มีความสุข แววตาเต็มไปด้วยความหดหู่

กู้ชิงหยิ่งเห็นท่าทางของเฉินตง รู้สึกสงสารเล็กน้อย

อดไม่ได้ที่จะกล่าวปลอบอย่างอ่อนโยน “มันก็ผ่านไปแล้ว ไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้เราก็อยู่ด้วยกัน ในท้องยังมีลูกของเราด้วย”

“ผ่านไม่ได้”

เฉินตงส่ายหัว “สิ่งที่ผมสามารถทำได้ ก็คือไม่ไปแก้แค้นพวกเขา แต่จะให้ผมปล่อยวาง ผมทำไม่ได้”

พฤติกรรมของหวางหนันหนันและคนในครอบครัว มันยังคงฝังแน่นอยู่ในใจ

เฉินตงไม่ใช่คนที่จ้องแต่จะแก้แค้น แต่ก็ไม่ใช่สุภาพบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ ที่ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตะโกนคำว่า “ฮาเลลูยา” จากนั้นก็ปล่อยวาง

ตอนที่แม่นอนไม่สบายอย่างหมดหวังอยู่บนเตียง คนของตระกูลหวางเย่อหยิ่งหยาบคาย

ชีวิตของแม่เขา สายตาคนในตระกูลหวาง ยังสู้งานแต่งงานของหวางเห้าไม่ได้เลย

แม้กระทั่ง ในตอนนั้นทุกอย่างก็ผ่านไปและเปลี่ยนไปตามกาลเวลา เขากับกู้ชิงหยิ่งกำลังจะตกลงปลงใจกัน ตระกูลหวางไม่เพียงแต่มาขอเงินก้อนใหญ่ สุดท้ายยังได้แอบวางแผนทำร้ายเขา

หากไม่ใช่เพราะความไว้เนื้อเชื่อใจของกู้ชิงหยิ่ง หากไม่ใช่หวางหนันหนันปรากฏตัวมาอธิบาย เขากับกู้ชิงหยิ่งคงได้เลิกกันไปแล้ว

ทุกตัวอักษรคือความแค้น จะให้ปล่อยวางได้อย่างไร?

“เอาล่ะ มาให้เมียกอดหน่อยนะ”

กู้ชิงหยิ่งกอดเฉินตงเอาไว้ พลางลูบหลัง พลางกล่าว “บางทีมันอาจจะเป็นเรื่องที่ไม่ได้ตั้งใจ เธอก็แค่กลับมาเที่ยว แล้วก็ไปจากที่นี่ล่ะ?”

“เป็นแบบนี้จะดีที่สุด” เฉินตงกล่าว

กู้ชิงหยิ่งมีสีหน้าที่สับสน ไม่พูดอีกเลย

ใช่ว่าเธออยากจะเจอหวางหนันหนันเสียเมื่อไหร่?

รอคอยมาสามปี สุดท้ายถึงได้ร่วมใช้ชีวิตกับเฉินตง อีกทั้งยังท้องแล้ว

ไม่ว่าจะเป็นใคร ก็ไม่มีทางที่อยากจะเห็นหวางหนันหนันในเวลานี้

แต่เมื่อคิดถึงความรู้สึกของเฉินตง สุดท้ายเธอก็ได้ระงับความไม่พอใจนี้เอาไว้

อย่างไรก็ตาม ปฏิกิริยาของเฉินตงในตอนนี้ ทำให้เธอเบาใจไปไม่น้อย

มันไม่เรียกว่าเห็นแก่ตัว มันเป็นสิ่งที่ผู้หญิงทุกคนจะปกป้องความสุขของตัวเอง

กลับมาถึงคลับสี่ยิ่น

เฉินตงกับกู้ชิงหยิ่งก็เข้าไปพักผ่อนในห้องนอน

ท่านหลงเห็นสีหน้าที่แย่ของทั้งสองคน ก็ได้ดึงตัวคุนหลุนไปถามที่ลาน

คุนหลุนอ้ำๆ อึ้งๆ สุดท้ายก็ได้เล่าตามความจริง

ได้ยินเช่นนี้ สีหน้าท่านหลงก็เปลี่ยนไปแล้ว

สุดท้าย เขากล่าวด้วยเสียงต่ำ “ไปสืบดู หากหวางหนันหนันจะตั้งรกรากที่นี่ ให้ไล่เธอไปเลย”

“แบบนี้มันจะเกินไปหรือเปล่า?” คุนหลุนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

“เกินไปเหรอ? เป็นไปตามผลกรรมที่ทำเอาไว้ จะมาพูดว่าเกินไปได้ยังไง?”

ท่านหลงยิ้มอย่างเย็นชา “คุณนายน้อยเพิ่งจะตั้งครรภ์ เวลานี้กลับมียัยหวางหนันหนันโผล่ออกมา อยู่ในใจของคุณชายกับคุณนายน้อย มันก็คือหนาม ฉันที่เป็นคนรับใช้ ต้องช่วยคุณชายกับคุณนายน้อยขจัดหนามนี้ออกไป”

“เข้าใจแล้ว ท่านหลง” คุนหลุนตอบ

หลายวันต่อมา

เฉินตงเหมือนจะกลับมาเป็นปกติแล้ว ทุกวันได้ทุ่มเทไปกับทำงาน

หลังเลิกงาน ก็กลับมาที่ลานป่าไผ่ทันที มาอยู่เป็นเพื่อนกู้ชิงหยิ่ง

เหมือนกับที่เขารับปากกู้ชิงหยิ่งเอาไว้เลย พยายามหาเวลามาอยู่กับเธอให้ได้มากที่สุด

นี่คือสิ่งที่สามี ต้องรับผิดชอบต่อภรรยา และรับผิดชอบต่อลูกด้วย

ผลจากการสืบของคุนหลุน ทำให้ท่านหลงวางใจ

หวางหนันหนันไม่ได้อยู่เมืองนี้นาน ได้ไปจากที่นี่แล้ว

พูดอีกแง่หนึ่ง การเจอกันที่ริมแม่น้ำในคืนนั้น อาจจะเจอกันโดยบังเอิญจริงๆ หนามเล่มนี้มาเร็ว และไปเร็ว

วันนี้บ่าย เฉินตงกำลังจัดเรียงแผนพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เสี่ยวหม่าส่งมา

ก๊อกๆ

เสียงเคาะประตูดังขึ้น

กูหลังเดินเข้ามา ได้วางบัตรเชิญไว้ตรงหน้าของเฉินตง

“คุณเฉิน หลินหลิ่งตงส่งบัตรเชิญมาอีกแล้ว”

“ทิ้งไปซะ”

เฉินตงไม่เงยหน้าขึ้นมาเลย

กูหลังตกใจ “เอ่อ แบบนี้ไม่ค่อยจะดีมั้ง?”

เฉินตงยิ้มๆ “การที่เจอหลินหลิ่งตง เป็นเพราะว่าที่ดินที่อยู่ในมือของโจวเย่นชิวเจอกับปัญหา ตอนนี้ที่ดินก็ได้มาแล้ว โครงการที่โจวเย่นชิวร่วมมือพัฒนากับไท่ติ่งของเราก็กำลังดำเนินการไปแล้ว การที่ไปสมาคมกับหลินหลิ่งตง ไม่มีความหมายอะไรเลย อีกอย่าง……..” นิ่งไปครู่หนึ่ง เฉินตงก็กล่าวอย่างมีความหมาย “หลินหลิ่งตงนั้นไม่ได้สะอาดเหมือนพวกโจวเย่นชิวและโจวจุนหลง”

เห็นแสงสว่างไม่ได้?

กูหลังก็เข้าใจในทันที

เขาในเมื่อก่อน ตอนที่ทำงานเป็นนักชกมวยใต้ดินของโจวเย่นชิวนั้น ก็ต้องหลบๆ ซ่อนๆ เปิดเผยตัวตนไม่ได้เลย

สำหรับความสำคัญในการเปิดเผยฐานะตัวเองได้หรือไม่นั้น เขารู้ดีกว่าใคร

อยู่ในเมืองนี้ ไม่ว่าจะเป็นโจวเย่นชิวหรือโจวจุนหลง

อันที่จริงก็ปนเปื้อนสีเทาไม่มากก็น้อย แต่คนเขาฉลาด ในขณะที่ปนเปื้อน พวกเขาซ่อนมันอยู่เบื้องหลัง แล้วแยกตัวเองออกมาอย่างสะอาดหมดจด

แต่หลินหลิ่งตงล่ะ?

ทั้งเมืองหลิ่งตง ทุกคนต่างก็รู้ว่าเขาคือราชาใต้ดิน!

คนแบบนี้เมื่อเกิดเรื่อง จะไม่กระทบกับคนคนเดียวหรือสองคน แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้น มันเหมือนกับถูกสึนามิถล่ม

เพียงแค่คำว่า “ราชาใต้ดิน” มันก็ผิดกฎหมายแล้ว

“เข้าใจแล้ว” กูหลังหยิบบัตรเชิญขึ้นมาโยนเข้าไปในถังขยะ

ฟ้าค่อยๆ มืดลง

เฉินตงกลับมาถึงคลับสี่ยิ่นนานแล้ว

แต่อีกด้านหนึ่ง

ในหมู่ตึกหลิ่งตง

ในห้องจัดเลี้ยงขนาดใหญ่ มีเพียงหลินหลิ่งตงนั่งโดดเดี่ยวอยู่คนเดียว

เขาเอาข้อศอกชันไว้บนโต๊ะ มือที่สอดประสานกันยันอยู่ตรงริมฝีปาก แววตาสั่นไหว มีความกังวลเล็กน้อย

“เจ้านาย”

อู๋จุนหาวเดินเข้ามา กล่าวอย่างจำใจ “เวลาไม่เช้าแล้ว เขาน่าจะไม่มาแล้ว”

“พรุ่งนี้ให้ส่งบัตรเชิญไปอีก” หลินหลิ่งตงกล่าว

“เจ้านาย นี่มันยังไงกันแน่?”

อู๋จุนหาวเป็นลูกน้องที่ภาคภูมิใจของหลินหลิ่งตง ในคำพูดโดยธรรมชาติแล้วก็มีความกลัวน้อยลง มีความสนิทสนมที่เพิ่มขึ้น “ไอ้เฉินตงคนนั้นมันวางอำนาจบาตรใหญ่ เพื่อแย่งที่ดินแล้ว คืนนั้น ได้ฉีกหน้าคุณต่อหน้าคนตั้งมากมาย คนแบบนี้ ทำไมคุณยังอยากจะรู้จักเขา?”

“พื้นเพของไอ้หมอนั่นใหญ่จริง แต่คุณเชิญมันไปครั้งแล้วครั้งเล่า แบบนี้เท่ากับลดฐานะของตัวเอง ช่วงนี้คนในเมืองหลิ่งตงต่างก็หัวเราะคุณ”

“หัวเราะฉันเรื่องอะไร?” หลินหลิ่งตงเลิกคิ้วถาม

รู้สึกถึงสายตาที่จ้องมองของหลินหลิ่งตง หลังของอู๋จุนหาวก็เย็นวาบ

ลังเลไปครู่หนึ่ง เขายังคงกัดฟันกล่าว “ต่างก็พูดว่าคืนนั้นที่คุณเผชิญหน้ากับเฉินตง ทำไมถึงขี้ขลาดขนาดนั้น พูดว่าคุณที่เป็นราชาใต้ดินมีแค่ความสามารถในการรังแกคนในเมืองหลิ่งตง ต่อหน้าเฉินตง คุณก็คือหมาใต้ดิน”

คำเย้ยหยันเหล่านี้ จะว่าไม่โหดไม่ได้แล้ว

หลังจากที่อู๋จุนหาวพูดคำพูดเหล่านี้จบแล้ว ก็เฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงในการแสดงออกของหลินหลิ่งตงด้วยความกังวลใจ

เมื่อเขาเห็นหางตาของหลินหลิ่งตงสั่นเล็กน้อย หลังจากหรี่ตาลง หนังหัวของอู๋จุนหาวก็เริ่มชาเล็กน้อย ขนบนร่างกายก็ลุกซู่ขึ้นมา

พี่หลิ่งตง จะระเบิดความโกรธแล้วเหรอ?

และแล้ว

“เห่อ!”

ทันใดนั้นหลินหลิ่งตงกลับหัวเราะขึ้นมาหนึ่งที ปล่อยมือออกแล้วยักไหล่ “ให้พวกเขาพูดไปเถอะ พวกเขาจะว่าอะไรฉันก็ได้ แต่เฉินตง ยังไงก็ต้องเชิญ”

อะไรนะ?!

อู๋จุนหาวตะลึงไปโดยสิ้นเชิง มองดูหลินหลิ่งตงที่อยู่ตรงหน้า เขารู้สึกเหมือนมองคนแปลกหน้า

“พี่ใหญ่ นี่มันไม่ใช่สไตล์ของพี่ พี่……….”

ป้าง!

หลินหลิ่งตงทุบโต๊ะไปหนึ่งที อู๋จุนหาวสะดุ้งจนหยุดพูด

บนใบหน้าที่หล่อเหลาของหลินหลิ่งตง ถูกปกคลุมไปด้วยความเย็น

เวลานี้ แววตาคมดั่งมีด

เขากล่าวอย่างเย็นชา “สิ่งที่ฉันจะทำ ยังต้องให้นายมาออกความเห็นด้วยเหรอ? ฉันหลินหลิ่งตงจะเชิญเฉินตง ก็คือจะเชิญ ครั้งแรกเชิญไม่สำเร็จก็เชิญครั้งที่สอง ครั้งที่สองเชิญไม่สำเร็จก็เชิญครั้งที่สาม เชิญต่อไปเรื่อยๆ สิบครั้ง ร้อยครั้ง ยังไงก็ต้องเชิญมาได้สักวัน!”

พูดจบ

เขาตบโต๊ะไปหนึ่งที แล้วพลิกจานอาหารที่อยู่ตรงหน้าคว่ำลงบนพื้น จึงหันหลังเดินจากไป

“อู๋จุนหาว นายก็เหมือนกับคนในหลิ่งตงที่มองการณ์ตื้นเขิน ล้วนเป็นพวกโง่ที่มีตาแต่ไร้แวว!

ลมริมแม่น้ำเย็นเล็กน้อย

บนผิวน้ำ ระยิบระยับไปด้วยแสงของดวงไฟ

ผู้หญิงคนนั้นที่สวมเสื้อกันลมยาวสีดำ ยืนเงียบๆ อยู่ตรงรั้วกั้น ใบหน้าด้านข้างที่ขาวและคม ภายใต้เส้นผมสีดำยาวสลวยที่ถูกลมพัด ทำให้ดูเศร้าเล็กน้อย

“คุณชาย คุณนายน้อย เป็นอะไรหรอ?”

คุนหลุนเห็นถึงความผิดปกติ เดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วแล้วถาม

“กลับบ้านเถอะ”

เฉินตงพูดขึ้นมาทันที อารมณ์ที่มีความสุขในตอนแรก เวลานี้กลับกลายเป็นความเคร่งขรึม ถึงขนาดสะอิดสะเอียนเล็กน้อย

กลับบ้าน?!

เพิ่งจะมาถึงเอง

คุนหลุนแปลกใจ รีบมองตามสายตาของเฉินตง

เมื่อเห็นแล้ว ก็เข้าใจทันที

ไม่ได้พูดอะไรอีก ได้ตามเฉินตงหันหลังเดินจากไป

แต่ มือที่เรียวยาวก็ได้จับแขนของเฉินตงเอาไว้อย่างเบาๆ

“หลายปีแล้ว ไม่ทักทายหน่อยเหรอ?” กู้ชิงหยิ่งกล่าว

“ผมจะเอาอารมณ์ที่ไหนไปทักทายหล่อน” เฉินตงไม่ได้ปกปิดความรังเกียจของเขาเลย

แต่งงานกันไปสามปี มีแต่ความเจ็บปวด

แม่นอนป่วยหนักอยู่บนเตียง ยังสามารถเอาเงินที่จะช่วยชีวิตคนไปให้กับครอบครัวของตัวหล่อน เพียงเพื่อซื้อบ้านให้กับน้องชายที่จะแต่งงาน

แม้กระทั่งหย่าร้างกันไปแล้ว หล่อนยังคงสร้างความวุ่นวายและแอบเล่นงานเขาครั้งแล้วครั้งเล่า

หากไม่รักแล้ว ก็ให้ปล่อย

แต่เมื่อเกิดกับหล่อน กลับกลายเป็นว่าหากไม่รักแล้ว ก็จะทำร้ายให้ถึงที่สุด

ถึงขนาดตอนแรกหากไม่ใช่กู้ชิงหยิ่งไว้เนื้อเชื่อใจเขาอย่างมาก เขากับกู้ชิงหยิ่งคงเลิกกันไปนานแล้ว คงเดินมาไม่ถึงวันนี้กันแล้ว

เห็นกู้ชิงหยิ่งลังเล

เฉินตงกัดฟันกล่าว “คุณคิดว่าที่หวางหนันหนันทำร้ายพวกเรา ยังไม่พอใช่มั้ย?”

กู้ชิงหยิ่งลังเลไปครู่หนึ่ง ก็ไม่เถียงอีก ไปจากที่นี่พร้อมกับเฉินตง

จนกระทั่งทั้งสามคนขึ้นรถ หลังจากนั่งรถออกไปแล้ว

เงาคนที่ยืนอยู่ตรงรั้วกั้นริมแม่น้ำ ในที่สุดก็ขยับตัวแล้ว

มือที่เรียวยาวกระตุกไปหนึ่งที ลูบผมที่หน้าผากไปทักที่ข้างหู ยิ้มอย่างเศร้าๆ “อดีตท้ายที่สุดก็ผ่านไปแล้ว ฉันก็ควรปล่อยมันแล้ว ได้เวลาต้อนรับชีวิตใหม่แล้ว”

หวางหนันหนันค่อยๆ หันหน้า เตรียมตัวเดินไปจากที่นี่

เธอยังคงสวยเหมือนเมื่อก่อน แต่เธอในวันนี้ นอกจากความสวยแล้ว กลับเพิ่มขึ้นด้วยความสง่างามแบบผู้ใหญ่

เหมือนกับว่าหลังจากที่เกิดคลื่นยักษ์ขนาดใหญ่ ก็กลับมาสู่พื้นผิวน้ำที่สงบนิ่ง

ไม่เหลือเค้าความหยิ่งผยองในอดีตอีก

อย่างไรก็ตาม เมื่อหวางหนันหนันเงยหน้าขึ้น เห็นรถโรลส์-รอยซ์ขับผ่านไปพอดี

เธออดไม่ได้ที่จะตกใจ

รถคันนั้น คุ้นจัง

มองไปโดยรอบริมแม่น้ำ อารมณ์ที่สลบนิ่งของหวางหนันหนันก็ถูกคลื่นกระทบเล็กน้อย แววตาเปล่งประกาย “เมื่อกี้ มาที่นี่เหรอ?”

เธอยิ้มอย่างขมขื่น แล้วก็รวบเสื้อกันลมที่อยู่บนตัว มุ่งหน้าเดินตรงไปอีกทาง

เมื่อเดินลงมาจากริมฝั่ง ข้างถนนก็มีรถแลนด์โรเวอร์คันหนึ่งจอดรออยู่

เมื่อขึ้นรถ โชเฟอร์ที่ขับรถได้หันมากล่าวอย่างสุภาพ “คุณหวาง พี่หลิ่งตงเพิ่งจะโทรมาเมื่อกี้ บอกว่ารายการมีการเปลี่ยนแปลง งานเลี้ยงคืนนี้ยกเลิกแล้ว”

“อืม ไปบ้านเขาเถอะ” หวางหนันหนันกล่าวอย่างใจเย็น

“อะไรนะ?” โชเฟอร์แปลกใจ

“ไปบ้านเขา” หวางหนันหนันพูด

สีหน้าของโชโฟอร์เปลี่ยนไปอย่างมาก มีความรู้สึกเหมือนกำลังฝัน

น้ำเสียงที่ตื่นเต้นของเขามีความสั่นเล็กน้อย “คุณ คุณหวาง คุณ คุณตกลงแล้ว?”

“อืม” หวางหนันหนันพยักหน้า

“พี่หลิ่งตงรู้ต้องดีใจมากๆ เลย ผมจะโทรแจ้งข่าวดีเขาตอนนี้เลย!”

โชโฟอร์พลางสตาร์ทรถ พลางโทรศัพท์ให้หลิ่งตง

หวางหนันหนันนั่งเอนหลังอย่างเกียจคร้านอยู่ตรงเบาะหลัง มองทิวทัศน์ยามค่ำคืนที่กรอถอยหลังอย่างรวดเร็วนอกหน้าต่าง แล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน “ไปจากเมืองนี้แล้ว ยังไงก็ต้องหาคนที่ห่วงใยเรา เขาเป็นคนที่ไม่เลวจริงๆ อย่างน้อยเขาก็รู้จักให้เกียรติฉัน”

หลังจากผ่านประสบการณ์ในตอนแรกทั้งหมด เธอในวันนี้ ได้ชะล้างสิ่งที่ไม่ดีออกไปหมดแล้ว

สิ่งที่เรียกว่ามหาเศรษฐีกับความฝันที่สวยงาม มันก็เป็นเพียงความคิดที่จอมปลอมไม่สมเหตุสมผล

จนถึงสุดท้าย ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่ได้รับความเคารพแต่อย่างไร เป็นเพียงของเล่น เล่นเสร็จแล้ว ก็ถูกทิ้งไป

หลังจากที่ไปจากเมืองแห่งนี้แล้ว เขาใช้แรงกายแรงใจอย่างมาก สุดท้ายถึงสามารถทำให้ตัวเอง “เกิดใหม่อีกครั้ง”

การได้พบกับหลินหลิ่งตง ทำให้เธอได้เห็นชีวิตที่แตกต่างออกไป

เงินทองแม้ไม่ได้อยู่ในระดับมั่งคั่งที่สุด ไม่ได้อยู่ระดับมหาเศรษฐี แต่ก็มั่งมีพอสมควร สิ่งสำคัญที่สุด คืออีกฝ่ายให้ความเคารพเธออย่างสูงสุด

เธอรู้จักตัวตนและภูมิหลังของหลินหลิ่งตงดี ดังนั้นจึงยิ่งรู้ว่าความเคารพนี้ มีค่ามากขนาดไหน

ด้วยการที่มีชีวิตแบบนั้น ผู้หญิงที่เขาถูกใจ ในคืนนั้นก็สามารถมานอนอยู่บนเตียงได้เลย

แต่หลินหลิ่งตง แสดงความอดทนต่อเธออย่างมาก ทำให้เธอรู้สึกว่าหลินหลิ่งตงไม่ได้เป็นเหมือนในข่าวลือ

คืนนี้ เขากลับมาที่นี่ ก็เพื่อบอกลากับอดีต แล้วต้อนรับอนาคตใหม่

คนเรา ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมองไปข้างหน้าไม่ใช่เหรอ?

หลินหลิ่งตงท้อใจมาก เป็นความท้อใจที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

นอนอยู่บนเตียงขนาดใหญ่ในคฤหาสน์ที่อยู่ในหมู่ตึกหลิ่งตง กลับนอนไม่หลับ

เขาอยากเป็นเพื่อนกับเฉินตง การมีอยู่แบบนั้น หากสามารถเป็นเพื่อนกัน ต้องมีประโยชน์อย่างมาก

เดิมทีคิดว่าเรื่องที่ดิน จะเป็นขั้นบันไดที่ยอดเยี่ยมในการเชื่อมความสัมพันธ์ ดังนั้นเขาจึงใช้เวลาไม่นาน รีบจัดงานเลี้ยงเชิญเฉินตง

เป็นเพราะเรื่องที่ยกที่ดีให้ ทำให้เขาที่อยู่ในเมืองหลิ่งตงถูกนินทาและหัวเราะเยาะ เขาไม่ได้สนใจเลย

การทำงานของคนที่ทะเยอทะยาน โดยปกติก็ไม่ได้สนใจเรื่องที่ต้องเสียไปเพียงเล็กๆ น้อย

คิดคำนวณไปทั้งหมด ถึงจะเป็นสิ่งที่เขาควรจะทำ คนที่เยาะเย้ยเขา เป็นเพียงคนธรรมดาที่มองการณ์ตื้นเขินในสายตาของเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม หลินหลิ่งตงนั้นคาดไม่ถึงเลย

การเชื้อเชิญของตัวเอง กลับเหมือนโยนหินลงในทะเล ไม่ได้รับการตอบสนองเลย

เมืองข้างๆ มีมังกรตัวจริงอาศัยอยู่

เขาถึงขึ้นเคยเผชิญหน้ากับมังกรตัวจริงตัวนี้แล้ว

ตอนนี้เขากลับไม่สามารถที่จะเข้าใกล้ขึ้นไปอีก เรื่องนี้ทำให้หลินหลิ่งตงที่ทำทุกอย่างราบรื่นมาโดยตลอดได้เรียนรู้ถึงอุปสรรค ใจไม่สามารถที่จะสงบลงได้เลย

โทรศัพท์ดังขึ้น

หลินหลิ่งตงรับโทรศัพท์อย่างหงุดหงิด

หลังจากปลายสายคุยไปไม่กี่วินาที

หลินหลิ่งตงก็กระโดดขึ้นมานั่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความดีใจ “จริงเหรอ?”

ก็ได้หยุดนิ่งไปอีกหนึ่งวินาที

หลินหลิ่งตงตื่นเต้นจนหายใจเร็ว ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มสดใสอย่างห้ามไม่อยู่

“เร็ว รีบเอาโทรศัพท์ให้หนันหนัน ฉันจะฟังเขาพูดด้วยตัวเอง!” หลินหลิ่งตงพูดอย่างตื่นเต้น

ไม่นาน ในโทรศัพท์ ก็ดังขึ้นด้วยเสียงของหวางหนันหนัน

“คุณไม่เต็มใจเหรอ?”

“เต็มใจ! ผมเต็มใจ! ผมรอวันนี้ รอมานานมากแล้ว!”

น้ำเสียงของหลินหลิ่งตงสั่นเล็กน้อย พูดอย่างตื่นเต้นดีใจ “กลับบ้านนะ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ที่ตรงนี้ก็คือบ้านของคุณ คุณก็คือคนที่ผมหลินหลิ่งตงรักมากที่สุด ผมจะให้คุณทุกอย่าง ขอเพียงคุณมีความสุข!”

“ขอบคุณค่ะ”

ปลายสาย น้ำเสียงของหวางหนันหนันเหมือนจะร้องไห้

หลินหลิ่งตงก็อึ้งไปทันที “หนันหนัน คุณเป็นอะไร? ทำไมจู่ๆ ถึงร้องไห้?”

“ไม่มีอะไร ขอบคุณนะหลิ่งตง”

หลังจากพูดด้วยน้ำเสียงที่จะร้องไห้ หวางหนันหนันก็ได้วางสายไป

หลินหลิ่งตงนิ่งไปครู่หนึ่ง

หรือว่าเป็นเพราะหนันหนันดีใจมากเกินไป?

ใช่ ต้องใช่แน่ๆ !

หลังจากที่หลินหลิ่งตงคิดออกแล้ว เขาก็รีบสั่งให้คนรับใช้ในคฤหาสน์ ทำความสะอาดห้อง และเปลี่ยนผ้าปูที่นอนทั้งหมดในห้องนอนของเขา

แต่เมื่อลังเลไปครู่หนึ่ง สุดท้ายหลินหลิ่งตงก็ได้ให้คนรับใช้เตรียมห้องนอนอีกห้อง

มันเป็นการเคารพหวางหนันหนัน เขาจะไม่ฝืนใจใคร โดยเฉพาะกับคนที่ตัวเองรัก นอกเสียจากอีกฝ่ายจะเต็มใจ

อย่างไรก็ตาม หลินหลิ่งตงนั้นกลับไม่รู้เลย คำว่าขอบคุณที่หวางหนันหนันพูดคำสุดท้าย แท้จริงแล้วมีความหมายที่ลึกซึ้งกว่า

นั่นเป็นเพราะว่าหลังจากผ่านทัศนคติที่แย่และชีวิตพังทลายไปโดยสิ้นเชิง มันเป็นความรู้สึกขอบคุณที่ได้เจอกับที่พึ่งใหม่และทำให้ตัวเองรอดมาได้……

“วัยเด็ก?”

เฉินตงหยุดฝึก ปาดเหงื่อที่อยู่บนหน้า รอยยิ้มเผยให้เห็นคนความขมขื่นที่เข้มข้น

วัยเด็กของเขานั้นมืดมนมาก

มีเพียงแม่เท่านั้น ที่ส่องแสงนำทางให้เขา

คุนหลุนเห็นเฉินตงยิ้มอย่างขมขื่น ก็รู้สึกตัวทันที

เขารีบกล่าว “ขอโทษครับคุณชาย เมื่อกี้ผมใจร้อนไปแล้ว ไม่ต้องตอบคำถามข้อนี้หรอก”

“ไม่เป็นไร”

เฉินตงชี้ไปเก้าอี้ที่อยู่ไม่ไกลนัก เพื่อบอกให้คุนหลุนนั่งลงพร้อมกัน

หลังจากนั่งลงแล้ว เฉินตงจึงค่อยๆพูดขึ้น “อันที่จริงวัยเด็กของผมก็ไม่มีอะไร นอกจากที่ถูกคนด่าว่าลูกสวะ ใช้ชีวิตโดยที่ไม่สามารถจะรู้ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในนาทีต่อไป กินมื้อนี้ไปแล้วก็ไม่รู้ว่ามื้อต่อไปยังจะมีกินหรือเปล่า”

“หากไม่ใช่แม่ผมที่พยายามเลี้ยงดูผมอย่างสุดชีวิต คาดว่าผมคงตายไปนานแล้ว”

คำพูดง่ายๆเพียงสองประโยค กลับสามารถบรรยายความลำบากทั้งหมดที่มี

คุนหลุนรู้สึกผิด เขาเพียงแค่อยากจะหาคำตอบบางอย่าง จากวัยเด็กของเฉินตง เพื่อมาอธิบายสัญชาตญาณการต่อสู้ของเฉินตงและความแข็งแกร่งทางร่างกายที่เติบโตอย่างไม่มีขีดจำกัด

เพียงเพราะคำพูดเดียว ก็ได้ไปสะกิดบาดแผลในวัยเด็กของเฉินตงเข้าให้

หลังจากพูดสองประโยคนี้จบแล้ว เฉินตงก็ตกอยู่ในความครุ่นคิด

เขาไม่อยากที่จะไปคิดถึงอดีตของเขาเลย

เขาพยายามอย่างสุดชีวิต ก็เพราะอยากจะให้แม่ที่เสียสละ ได้รับการตอบแทน และก็ทำให้ตัวเองหลุดพ้นจากความโชคร้ายที่ต้องเผชิญในวัยเด็กไปทั้งหมด

ความทรงจำในวัยเด็ก ทุกเฟรมคือความมืด ทุกเฟรมทำให้เขารู้สึกเจ็บปวด และแม้แต่ทุกเฟรมก็เต็มไปด้วยเลือด

แม่ทำงานหนักอย่างสุดชีวิต ไม่เพียงทำงานหนักจนป่วยออดๆแอดๆ ยังต้องเลี้ยงดูส่งเสียเขาไปโรงเรียน และตั้งแต่เล็กจนโตก็ถูกด่าคนว่าลูกสวะ เมื่อโกรธมากก็ก้าวไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ แต่สิ่งที่ได้มาคือถูกรุมทำร้าย สุดท้ายก็ต้องให้แม่ออกหน้ามาปกป้อง

พร้อมกับที่รู้เรื่องในตอนนั้น เขาจึงรู้ว่า

ทั้งหมดนี้ สาเหตุมาจากที่พ่อเขาไม่อยู่ แต่มากกว่านั้นคือการกินเลือดกินเนื้อของตระกูลหลี่ มองเขากับแม่ไม่ใช่คน

“ขอโทษครับคุณชาย”

คุนหลุนที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด กล่าวอธิบาย “ผมเพียงแค่ประหลาดใจกับสัญชาตญาณการต่อสู้ของคุณชายและขีดจำกัดการเติบโตทางกายภาพ ดังนั้นจึงอยากจะรู้ว่าวัยเด็กของคุณชายเคยผจญภัยอะไรมาบ้าง หรือว่าเคยฝึกตั้งแต่แรกแล้ว”

ในวัยเด็ก กระดูกและกล้ามเนื้อกำลังเติบโต

ฝึกฝนในช่วงนั้นจะง่ายที่สุด มันเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะเพิ่มขีดจำกัดของการเติบโต

“ผจญภัย?”

เฉินตงเลิกคิ้ว ยิ้มอย่างขมขื่น “สามวันถูกซ้อมหนึ่งครั้ง นับหรือเปล่า?”

คุนหลุนหยุดพูด

ไม่รอให้เขาพูดต่อ

เฉินตงก็ลุกขึ้นมาฝึกต่อ “เอาล่ะ หากผมได้ผจญภัยตั้งแต่เด็ก ก็คงไม่ต้องรอให้กองทัพที่กล้าหาญและรวดเร็วอย่างท่านหลง มาช่วยผมและแม่แล้ว”

คุนหลุนมองดูเฉินตงที่ฝึกอย่างหนัก ใจก็ล่องลอย

บางที…….การผจญภัยที่ยิ่งใหญ่ ก็คือการฝึกฝนอย่างหนักมั้ง?

หลังจากที่ฝึกเสร็จ เฉินตงอาบน้ำอาบท่าแล้ว ก็มุ่งหน้าไปยังไท่ติ่ง

ตระกูลเฉินมีฉินเย่กับฉินเสี่ยวเชียนรับผิดชอบ

บริษัทด้านความบันเทิงในเมืองหลวงมีตระกูลจางกับตระกูลฉู่รับผิดชอบ

เมืองนี้โจวจุนหลงสามารถจัดการได้ด้วยตัวเอง จุดโฟกัสของเฉินตงยังคงอยู่ที่ไท่ติ่ง

มันคือจุดที่เริ่มต้นของเขา แม้ว่าตอนนั้นเขาจะได้รับเงินหลายพันล้านที่คุณพ่อมอบให้กับเขาเอาไว้ใช้ แต่ยังคงมีความรักความผูกพันที่ลึกซึ้งกับไท่ติ่ง

หลังจากฟังเสี่ยวหม่ารายงานเสร็จ เฉินตงตัดสินใจว่าหลังจากนี้หนึ่งเดือน ไท่ติ่งต้องได้ที่ดินห้าแปลงมาในเวลาเดียวกัน

“พี่ตง ซื้อที่ดินห้าแปลงในเวลาเดียวกัน มันจะเสี่ยงเกินไปหรือเปล่า?” เสี่ยวหม่าพูดด้วยความประหลาดใจ ไท่ติ่งในอดีต เวลาซื้อที่ก็ซื้อทีละแปลง มากสุดก็ซื้อสองแปลงในเวลาเดียวกัน

ตอนแรกที่ไท่ติ่งได้โครงการย่านสลัมที่ภาคตะวันตกของเมือง ได้มาโดยไม่คาดฝัน

“เสี่ยงเหรอ?”

เฉินตงยิ้มอย่างเรียบเฉย “ตอนนี้เรามีความสามารถในการแบกรับความเสี่ยงแล้ว ทำไมยังต้องกลัวความเสี่ยง?”

มองดูท่าทางของเฉินตงที่สงบใจเย็น เสี่ยวหม่าก็ไม่ได้พูดอะไรอีก พยักหน้าแล้วออกไปจากห้องทำงาน

“ก็ยังคงต้องทำอย่างเป็นขั้นเป็นตอนและสม่ำเสมอ”

มองดูเอกสารที่กองเท่าภูเขา เฉินตงยิ้มเจื่อนๆ

ถ้าไม่ใช่เพราะว่าตอนนี้พ่อของเขาหายตัวไป อยู่ในตระกูลเฉินเขาที่โดดเดี่ยวตัวคนเดียวไม่มีคนช่วยเหลือ เขาจะไม่มีทางเอาแค่ที่ดินห้าแปลงเท่านั้น!

ยุ่งมาทั้งวัน

ใกล้เวลาเลิกงาน ในห้องทำงานบนโต๊ะของเฉินตงก็มีบัตรเชิญเกินมาหนึ่งใบ

“ใครเป็นคนส่งมา?” เฉินตงถาม

กูหลังตอบ “เป็นหลินหลิ่งตงครับ”

เฉินตงยิ้มๆ ก็ไม่ได้เปิดบัตรเชิญ แต่ได้โยนมันลงไปในถังขยะโดยตรง

“ฉันยังต้องกลับบ้านไปอยู่เป็นเพื่อนภรรยาน่ะ”

กลับไปถึงลานป่าไผ่ในคลับสี่ยิ่น

ฟ่านลู่ได้เตรียมอาหารค่ำไว้นานแล้ว

อาหารเลิศรส ครบเครื่องทั้งสีสันและกลิ่นหอม

หลังจากรับประทานอาหารแล้ว เฉินตงกับท่านหลงก็ได้เดินไปที่ลาน

“ท่านหลง ทางตระกูลเฉินมีเบาะแสของคุณพ่อบ้างมั้ย?”

เฉินตงถาม เรื่องที่คุณพ่อส่งข้อความมาแจ้งความปลอดภัย มันยังวนเวียนอยู่ในใจของเขาโดยตลอด

ในเมื่อตระกูลเฉินก็ตามหาอย่างสุดกำลังความสามารถ ด้วยพลังของหน่วยข่าวกรองของตระกูลเฉิน เวลานานขนาดนี้แล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็น่าจะมีเบาะแสบ้าง

ท่านหลงส่ายหัว “ไม่มีเลยแม้แต่นิดเดียว”

“เครือข่ายข่าวกรองตระกูลเฉินอ่อนแอแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?” เฉินตงขมวดคิ้ว กล่าวเสียงต่ำ

ท่านหลงยิ้มเจื่อนๆแล้วพูดว่า “นายท่านก็เป็นคนที่รู้กฎการดำเนินงานของเครือข่ายข่าวกรองดีที่สุด ถ้าเขาไม่ต้องการให้เครือข่ายตามหาเขาเจอ ก็สามารถทำให้หาไม่เจอจริงๆ”

พูดถึงสุดท้าย……..มีความเป็นไปได้ที่คุณพ่อจะซ่อนตัวเองมั้ย?

เขา…….กลัวอะไรกันแน่?

เฉินตงสับสนไปหมด การกระทำของคุณพ่อ ทำให้เขาจับต้นชนปลายไม่ถูกเลย

เฉินกัดฟันไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าว “ผมต้องการให้คุณแอบติดตามการเคลื่อนไหวของตระกูลเฉินตลอดเวลา ขอเพียงมีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ ให้รายงานผมทันที”

“กระผมเข้าใจแล้ว” ท่านหลงพยักหน้า แล้วกล่าว “ใช่แล้วคุณชาย โจวเย่นชิวให้คนมาแจ้งว่า ทางวิลล่าเขาเทียนซานได้จัดการเรียบร้อยแล้ว ตำแหน่งที่ได้รับความเสียหายได้ถูกซ่อมแซมหมดแล้ว เราจะย้ายกลับไปกันเมื่อไหร่?”

“รออีกหน่อยเถอะ” เฉินตงกล่าวอย่างครุ่นคิด “ผมมักจะรู้สึกกระวนกระวาย ไม่รู้เป็นเพราะอะไร รู้สึกว่าเหมือนจะมีอะไรเกิดขึ้น คลับสี่ยิ่นยังไงก็ปลอดภัยกว่าวิลล่าเขาเทียนซาน”

พูดจบ เฉินตงเดินกลับเข้าไปในบ้านด้วยสีหน้าที่หนักใจ หากู้ชิงหยิ่งจนเจอ

“ที่รัก ไปเดินเล่นเป็นเพื่อนผมหน่อยได้มั้ย?”

“ได้สิ” กู้ชิงหยิ่งตอบรับโดยตรง “พอดีเลยฉันก็ไม่ได้ออกไปเดินเล่นนานแล้ว ไปที่ริมแม่น้ำที่เราชอบไปตอนเรียนมหาวิทยาลัยกันนะ ไปเดินรับลมกัน”

“ได้!”

รถโรลส์-รอยซ์ถูกขับออกไปจากคลับสี่ยิ่น

คนที่ไปด้วยกันกับเฉินตงและกู้ชิงหยิ่ง มีเพียงคุนหลุนคนเดียว

ตอนนี้ภารกิจลอบสังหารขององค์กรHidden Killing ได้ถูกยกเลิกไปแล้ว ตระกูลหลี่ในเมืองหลวงก็หายตัวไปเช่นกัน

เฉินตงก็ไม่มีความเสี่ยงที่จะถูกลอบสังหารตลอดเวลาอีก ดังนั้นเมื่อออกไปเดินเล่น ก็ไม่ต้องมีขบวนการที่อลังการเหมือนเมื่อก่อน

ตอนเรียนมหาวิทยาลัย เฉินตงกับกู้ชิงหยิ่งและเพื่อนสนิทอีกหลายคน ก็มักจะไปเดินเล่นที่ริมแม่น้ำที่อยู่ด้านนอกมหาวิทยาลัยในเวลากลางคืน

ตรงริมแม่น้ำเล็กๆ กลับมีความทรงจำในวัยเยาว์ของเขาทั้งสอง

รถโรลส์-รอยซ์จอดบนถนนด้านใต้ฝั่งริมแม่น้ำ เฉินตงจูงมือกู้ชิงหยิ่ง และค่อยๆเดินขึ้นบันได ไปถึงฝั่งริมแม่น้ำ

ลมแม่น้ำที่พัดมา เย็นยะเยือกเล็กน้อย

ทำให้คนรู้สึกที่สดชื่น

ต้นฤดูใบไม้ร่วงจะเย็นเล็กน้อย แต่เมื่อเทียบกับฤดูร้อนแล้ว ท้ายที่สุดอุณหภูมิยังคงสูงกว่าเล็กน้อย

เวลานี้ใกล้สองทุ่มแล้ว บนฝั่งริมแม่น้ำยังคงมีคนเดินเล่นอยู่ไม่น้อย

เฉินตงพยุงกู้ชิงหยิ่งอย่างระมัดระวัง ทั้งสองคนเข้าเดินไปข้างหน้า

คุนหลุนที่อยู่ด้านหลังเขาทั้งสอง เดินตามอย่างเงียบๆ

ระยะห่างดังกล่าว ไม่เป็นการรบกวนเฉินตงกับกู้ชิงหยิ่ง ยังสามารถเข้าไปทันทีเมื่อเกิดอันตราย

เพียงแต่ เฉินตงกับกู้ชิงหยิ่งยังเดินไปไม่ไกล ก็ได้หยุดฝีเท้าลงในเวลาเดียวกัน

รั้วกั้นริมแม่น้ำที่ไม่ไกลจากพวกเขา มีคนยืนอยู่หนึ่งคน กำลังมองดูผิวแม่น้ำที่มีแสงระยิบระยับของดวงไฟอย่างเงียบๆ ลมแม่น้ำได้พัดเส้นผมสีดำยาวสลวยปลิวไปมา….

ในห้อง เงียบกริบ

“ยกเลิกหมายเลขโทรศัพท์ คุณพ่อกลัวว่าผมจะตรวจสอบที่อยู่ของแก?” เฉินตงขมวดคิ้วบ่นพึมพำ

ท่านหลงครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง กล่าวด้วยเสียงต่ำ “บางที อาจจะกลัวคนอื่นตรวจสอบ”

เฉินตงก็เข้าใจขึ้นมาทันที

มันก็ใช่ คุณพ่อสามารถส่งข้อความแจ้งความปลอดภัยให้กับผม แล้วจะกลัวผมจะตรวจสอบทำไม?

การยกเลิกหมายเลขโทรศัพท์ มากกว่านั้นน่าจะเป็นเพราะป้องกันไม่ให้คนอื่นติดตาม

“ว่าแต่ พ่อกำลังระวังใคร?”

ท่านหลงส่ายหัว ไม่พูดไม่จา

เขาติดตามเฉินเต้าหลินมาหลายปี สำหรับนิสัยของเฉินเต้าหลินเขารู้จักเป็นอย่างดี

แต่ว่าครั้งนี้ เขานั้นมองไม่ทะลุจริงๆ

ถึงขั้น แม้แต่เบาะแสเพียงนิดเดียวยังคลำไม่ได้เลย!

สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ท่านหลงยิ้มเจื่อนๆ “ครั้งนี้กระผมก็มองไม่ออกแล้ว ไม่มีเบาะแสอะไรเลย ทางตระกูลเฉินก็ไม่มีอะไรผิดปกติ”

คำพูดประโยคเดียว ก็ได้ระงับความสงสัยในใจของเฉินตงเอาไว้

ถ้ามันจะทำให้พ่อกลัวมากที่สุด ก็คือตระกูลเฉินอย่างไม่ต้องสงสัย

อย่างไรก็ตาม คราวนี้ตระกูลเฉินไม่ว่าสมาชิกระดับบนหรือล่าง ไม่ได้แสดงท่าทีผิดปกติใดๆเลย

หลังจากที่พ่อหายตัวไป สมาชิกระดับบนอย่างคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน และสมาชิกระดับล่างทุกคน ต่างพยายามตามหากันอย่างเต็มที่

ทุกอย่างดูเหมือน “ปกติ”

“ภายใต้ความปกติ ต้องมีสิ่งที่คาดไม่ถึงซ่อนอยู่ถึงจะถูก สิ่งผิดปกติย่อมมีผี” เฉินตงบ่นพึมพำ

ไม่มีเบาะแสเลยแม้แต่นิดเดียว สิ่งเดียวที่รู้ก็คือหมายเลขที่คุณพ่อใช้ส่งข้อความอยู่ในเมืองแห่งหนึ่งของซีโม่

แต่ว่าจุดนี้ เกือบจะไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว

แม้ว่าจะส่งคนไปตามหา มันก็เหมือนกับงมเข็มในมหาสมุทร

สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เห็นใบหน้าที่เหนื่อยล้าของท่านหลง เหมือนจะพยายามไม่ให้หาว

เฉินตงก็กล่าวอย่างสงสาร ท่านหลงคุณไปพักผ่อนก่อนเถอะ ไม่มีเบาะแส แต่อย่างน้อยก็รู้ว่าตอนนี้คุณพ่อนั้นปลอดภัย แบบนี้ผมก็วางใจไปบางส่วนแล้ว

หลังจากออกจากห้องท่านหลง

เฉินตงก็ไม่มีความคิดที่จะนอนต่อ หลังจากชงชาเสร็จ ก็เดินไปที่ลาน เดินไปเดินมา จิบชาเพิ่มความสดชื่น

ความสงสัย ความวิตกกังวล และความตึงเครียด เกี่ยวพันกันหมด

ทำให้เขาหงุดหงิดมาก

ในเมื่อคุณพ่อปลอดภัย งั้นสิ่งที่เขากังวลมากที่สุด ก็คือท่าทีของตระกูลเฉิน!

ระยะเวลาหนึ่งปี มันช่างสั้นนัก

หากอยู่ภายใต้การปกป้องของคุณพ่อ เขายังมีความมั่นใจหกเจ็บสิบเปอร์เซ็นต์ ในงานวันเกิดของคุณพ่อเขาจะยื่นกระดาษคำตอบที่ทำให้ผู้สืบทอดทุกคนอับอายเหงื่อตก

แต่แล้ว คุณพ่อก็มาหายตัวไป

ปราศจากการปกป้องของคุณพ่อ หากท่าทีของตระกูลเฉินในเวลานี้กลายเป็นคนคิดเล็กคิดน้อย งั้นขอบเขตที่เขาสามารถจะแสดง มันก็จะลดลงเหมือนกับหิมะถล่ม

ถึงขนาด ถูกกดขี่จนไม่มีพื้นที่ให้แสดง!

หากเป็นแบบนี้ ระยะเวลาหนึ่งปี สำหรับเขา ก็เป็นเพียงเวลาที่รอความตายเท่านั้น

“ตอนนี้ ทำได้เพียงดูว่าคนตระกูลเฉินคิดอย่างไร”

เฉินตงบ่นด้วยแววตาที่ว่างเปล่า รู้สึกท้อแท้ ทำให้เขาเกือบจะบ้า

“ตอนเช้าอากาศเย็น คุณต้องระวังสุขภาพด้วย”

ด้านหลัง น้ำเสียงที่อ่อนโยนก็ได้ดังขึ้น

จากนั้น เฉินตงก็รู้สึกว่าไหล่ของเขาถูกคลุมด้วยเสื้อ

เขาหันกลับมา กู้ชิงหยิ่งกำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขา ท่าทางอ่อนโยน มองเขาด้วยสีหน้าที่เป็นห่วง

“ทำไมคุณถึงตื่นเช้าจัง ไม่นอนให้นานกว่านี้หน่อย”

กู้ชิงหยิ่งส่ายหัว “ฉันตื่นนานแล้ว ยังรู้ว่าเมื่อคืนคุณนอนที่โซฟาทั้งคืน”

เฉินตงตกตะลึง เขาแน่ใจว่าเมื่อคืนนี้เขาได้ทำทุกอย่างอย่างเบามือมาก ทำไมภรรยาของเขาถึงยังรู้สึกได้อีก?

กู้ชิงหยิ่งเขย่งปลายเท้า มือที่เรียวยาวก็วาดไปที่สันจมูกของเฉินตงหนึ่งที

ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “เจ้าทึ่ม เมื่อคืนฉันรอคุณไปตั้งนาน สุดท้ายรอไม่ไหวแล้ว จึงได้ไปนอน ไฟหัวเตียงได้เปิดไว้ให้คุณทั้งคืนเลย”

“ต่อไปห้ามโง่แบบนี้อีกแล้วนะ ไม่ว่าจะกลับมาดึกแค่ไหน ฉันก็จะเปิดไฟให้คุณ คุณกลัวว่าจะรบกวนการนอนของฉัน กลับไม่รู้ว่า คุณนอนอยู่ข้างกาย ถึงจะทำให้ฉันหลับได้ดี”

เฉินตงแววตาล่องลอย

เวลานี้ หัวใจเต็มไปด้วยความอบอุ่น

ใครบ้างที่ไม่เคยคาดหวัง ดวงไฟที่สว่างไสว มีหนึ่งดวงที่เปิดไว้เพื่อตัวเอง?

แต่ในความเป็นจริง มีใครสามารถทำได้บ้าง?

กู้ชิงหยิ่งทำได้แล้ว

ด้วยชาติกำเนิดของเธอ สามารถทำถึงขั้นนี้ มันทำให้เฉินตงแปลกใจอย่างมาก

สามปีนั้นของเขา ไม่เคยสัมผัสความรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลย

ตื้นตันจนอยากจะร้องไห้ เฉินตงกอดกู้ชิงหยิ่งเข้ามาในอ้อมอก กล่าวอย่างอ่อนโยน “ขอบคุณ ได้คุณมาเป็นภรรยา เป็นโชควาสนาของผมแล้ว”

“เอาล่ะ ฉันได้ให้พี่เสี่ยวลู่ทำอาหารแต่เช้าแล้ว คุณไปที่ห้องอาหารก่อน ฉันจะให้พี่เสี่ยวลู่ยกอาหารเช้ามาให้” กู้ชิงหยิ่งพยายามออกจากอ้อมอกของเฉินตง ท่าทางอ่อนโยนน่ารัก แววตาที่สวยงามแฝงไปด้วยรอยยิ้ม

“ลานป่าไผ่มีห้องครัวไม่ใช่เหรอ?” เฉินตงถาม

กู้ชิงหยิ่งเหลือบมองอย่างเคืองๆ “เก้าอี้ในห้องโถงแข็งมาก คุณไม่ได้นอนมาทั้งคืนจะนอนหลับได้อย่างไร ถ้าพี่เสี่ยวลู่ทำอาหารในครัวแต่เช้า ก็จะยิ่งทำให้คุณนอนไม่หลับ”

เฉินตงอดไม่ได้ที่จะยิ้ม

คุณภรรยาช่างรอบคอบเหลือเกิน

เพียงแต่สิ่งที่ภรรยาของเขาคาดไม่ถึงก็คือ ไม่ใช่ว่าเขาจะนอนไม่หลับทั้งคืน แต่เขานั้นไม่ได้หลับตาลงเลยทั้งคืน

กลับมาถึงห้องอาหาร

ไม่นานนัก คุนหลุนกับฟ่านลู่ก็ได้ยกอาหารเข้ามา

เฉินตงก็ได้ทานข้าวกับทุกคนอย่างมีความสุข จากนั้นก็ไปที่ลานกับคุนหลุน เข้าสู่การฝึกฝนวิชาปีศาจ

เขาไม่เคยหย่อนยานในการฝึกฝนร่างกาย

มีเพียงการฝึกฝนที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ถึงจะสามารถมีอนาคตในแบบที่เขาต้องการ

เมื่อร่างกายของเฉินตงแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แผนการฝึกวิชาปีศาจของคุนหลุนก็ไต่ระดับขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง

ด้วยวิธีนี้เท่านั้น ถึงสามารถจะผลักดันร่างกายให้ถึงขีดจำกัด กระตุ้นศักยภาพออกมา

ในคลับสี่ยิ่น ธรรมชาติที่เขียวขจีนั้นอุดมสมบูรณ์มาก

ยามเช้า บนทางเดินที่เรียงรายไปด้วยต้นไม้ เต็มไปด้วยน้ำค้าง อากาศสดชื่นบริสุทธิ์

เฉินตงที่เปลือยกายท่อนบน เมื่อเขาฝึกฝน กล้ามเนื้อทุกส่วนจะขยาย เหมือนก้อนหินที่สร้างขึ้นในร่างกายของเขาอย่างสมบูรณ์แบบ

หยาดเหงื่อแต่ละเม็ด ที่ไหลลงสู่ผิว แวววาวราวกับคริสทัล

ทุกตารางนิ้วของผิว เผยให้เห็นถึงความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้น

คุนหลุนที่อยู่ข้าง ๆ มองเฉินตงฝึกฝน ดวงตาล่มลึก กลับต้องแอบประหลาดใจ

“คุณชาย ไม่เคยเผยขีดจำกัดออกมาเลยจริงๆ……….”

คุนหลุนมีความเข้าใจกับร่างกายและทักษะการต่อสู้อีกทั้งวิธีฝึกฝน ที่ถึงจุดสูงสุดนานแล้ว ไม่เช่นนั้นเขาก็คงไม่โดดเด่นในตระกูลเฉินที่มากอำนาจและบารมี กลายเป็น “ครู” ของรุ่นหัวกะทิทั้งหมด

เป็นเพราะสาเหตุนี้ ดังนั้นคุนหลุนจึงยิ่งตกใจกับการแสดงออกของเฉินตงมากขึ้นไปอีก

อยู่ในตระกูลเฉินเป็นเวลาหลายปี การฝึกวิชาปีศาจที่เขากำหนดนั้น เหมาะสำหรับคนรุ่นหัวกะทิทุกคน หนึ่งในผู้ที่เก่งที่สุด มันก็ทำให้เขาต้องแก้ไขความยากในการฝึกฝนวิชาปีศาจครั้งแล้วครั้งเล่า

แต่ ทั้งหมดก็ได้เปิดเผยค่าขีดจำกัดออกมาอย่างรวดเร็ว

ที่ว่าค่าขีดจำกัด ก็คือสามารถเพิ่มระดับไปถึงระดับหนึ่ง จากนั้นความคืบหน้าจะช้าลง จนถึงขนาดเข้าใกล้ศูนย์

และเฉินตง นับว่าเป็นคนรุ่นหัวกะทิในคนแรกของตระกูลเฉินเลยก็ว่าได้!

ไม่เพียงแต่ความแข็งแกร่งทางกายภาพและทักษะการต่อสู้ พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้กระทั่งหลังจากปรับเปลี่ยนความยากของการฝึกฝนวิชาปีศาจซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาก็ไม่ได้แสดงอาการอ่อนล้าและขีดจำกัดออกมาเลย

ซึ่งก็หมายความว่า ความแข็งแกร่งทางกายภาพและทักษะการต่อสู้ของเฉินตง ยังสามารถเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง

สิ่งที่สำคัญกว่าคือ……….

สัญชาตญาณการต่อสู้ของเฉินตง!

มันคือสัญชาตญาณการต่อสู้ที่ทำให้คุนหลุนตกตะลึง

มองเฉินตงที่ฝึกฝน คุนหลุนอดไม่ได้ที่จะถาม “คุณชาย ตอนคุณยังเด็ก เคยผ่านประสบการณ์อะไรมาหรือเปล่า?”

ราชาใต้ดินของเมืองหลิ่งตง ก้มหน้ายอมรับความขี้ขลาด

ข่าวนี้ กระจายไปทั่วเมืองดั่งพายุที่โหมกระหน่ำ

หลินหลิ่งตงรู้ว่าการที่เขากระทำเช่นนั้น ผลที่ตามมา จะทำให้เขากลายเป็นตัวตลกของคนในเมืองหลิ่งตง

แม้เขาจะรู้ แต่ก็ต้องทำเช่นนั้น!

แม้ว่าจะกลายเป็นตัวตลก แต่ท้ายที่สุดเขาก็ยังคงเป็นราชาใต้ดิน

แต่ถ้าเขาไม่อยากเป็นตัวตลก เขาก็ต้องกลายเป็นผีที่อยู่ใต้ดิน

มองจากสถานการณ์ เขาสามารถแยกแยะมันได้อย่างชัดเจน

ถึงขั้นว่า ในคืนนั้น ก็มีข่าว ถูกปล่อยออกมาจากหมู่ตึกหลิ่งตง

ทุกคน ห้ามแย่งที่ดิน!

มันคือการแจ้งเตือนของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมดในเมืองหลิ่งตง

เป็นการเอาใจเฉินตง

สำหรับเรื่องนี้ เฉินตงไม่ได้สนใจเลย

หากไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้าของเจิ้งโก๋โส่ว เขาไม่รู้ว่าท่าทีของหลินหลิ่งตงจะเป็นอย่างไร แต่ท่าทีของเขานั้นต้องแข็งมาก

ก็แค่ราชาใต้ดินในเมืองเล็กๆเมืองหนึ่ง ยังห่างไกลเศรษฐีอันดับหนึ่งของซีสู่ เศรษฐีอันดับหนึ่งของเมืองหลวงอย่างมาก แม้แต่จะมาถือรองเท้ายังไม่คู่ควรเลย!

หลังออกมาจากหมู่ตึกหลิ่งตง เฉินตงก็ไม่ได้อยู่นานนัก ได้กลับไปโดยตรง

ตลอดทาง โจวเย่นชิวที่มีความสุขกับผลที่ได้เกินคาด ชื่นชมเฉินตงอย่างไม่หยุด

ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึง คนที่เคยช่วยน้องชายตัวเองดูแลคนชรา กลับสามารถเติบโตมาถึงจุดนี้ในเวลาอันสั้น

เมื่อมาคิดถึงตอนที่เขายังโอนเอียงไม่แน่นอน ได้เคยช่วยเฉินเทียนเซิงวางแผนจัดการเฉินตง เขาก็รู้สึกเสียใจทันที

หากตอนนั้นเขายืนหยัด วันนี้ตัวเองอาจจะเทียบกูหลังไม่ได้เลย?

เพียงแต่ตอนที่รู้สึกเสียใจมันก็สายไปแล้ว

เมื่อกลับมาถึงคลับสี่ยิ่น

ก็ดึกมากแล้ว

กู้ชิงหยิ่งก็ได้เข้านอนแต่หัวค่ำแล้ว

เฉินตงกลัวว่าจะไปรบกวนการพักผ่อนของกู้ชิงหยิ่ง ก็เลยนอนบนโซฟาเสียเลย คิดที่จะนอนแบบนี้ไปตลอดทั้งคืน

การตั้งครรภ์นั้นเหนื่อยกว่าปกติอยู่แล้วและเป็นเรื่องที่ลำบาก สามารถให้ภรรยานอนหลับเพิ่มขึ้นหนึ่งวินาที ในสายตาเขามันก็คุ้มค่าแล้ว

แต่ด้วยข้อความเพียงหนึ่งข้อความ ก็ทำให้เฉินตงหายง่วงไปเลย

เฉินตงที่กำลังหลับอย่างสะลึมสะลือก็ถูกเสียงข้อความทำให้ตกใจตื่น เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู

พริบตาเดียว ม่านตาของเขาก็หดเกร็งถึงที่สุด สีหน้าเคร่งขรึม

เนื้อหาในข้อความสั้นมาก มีเพียงห้าตัวอักษร

“ตงเอ๋อ พ่อปลอดภัย”

คำสั้นๆห้าคำ กลับเหมือนค้อนหนักทุบมาที่ดวงตา

“พ่อ?”

หัวใจของเฉินตงก็มาถึงที่ลำคอทันที พริบตาเดียว ก็มีความตื่นเต้นกังวล

มือสองข้างของเขาถึงขนาดสั่นเล็กน้อย รีบโทรไปยังหมายเลขที่ส่งข้อความมา

แต่ ดังไปเพียงหนึ่งครั้ง

ฝ่ายตรงข้ามตัดสายทิ้งอย่างเด็ดขาด

“หรือว่าไม่สะดวกในการรับสาย?”

เฉินตงหนักใจ คิดในใจ แล้วก็รีบส่งข้อความออกไป “พ่อ ตอนนี้พ่ออยู่ไหน?”

จากนั้น ก็เป็นการรอคอยที่ยาวนาน

เฉินตงหายใจค่อนข้างเร็ว ในขณะนี้ ไม่ว่ายังไงก็ไม่สามารถที่จะสงบสติอารมณ์ได้

แม้กระทั่งสองมือที่จับโทรศัพท์ อดไม่ได้ที่จะสั่น

เวลา ผ่านไปนาทีแล้วนาทีเล่า

พริบตาเดียวก็ผ่านไปสิบนาที

โทรศัพท์ยังคงไม่ไร้ข้อความเข้า

“นี่มันเรื่องอะไรกัน? แค่แจ้งว่าปลอดภัย ก็ไม่สนใจแล้วเหรอ?”

เฉินตงกัดฟัน มีความกระวนกระวาย

คำพูดประโยคเดียว “ตงเอ๋อ พ่อปลอดภัย” สำหรับเขาแล้ว มันไม่พอเลย

เขาต้องการรู้มากกว่านั้น

เขาต้องการรู้ว่าพ่อบาดเจ็บหรือไม่ ตอนนี้อยู่ที่ไหน อยู่ในสถานการณ์อะไรอื่นๆอีกมากมาย!

เฉินตงนวดจมูกที่เจ็บไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่งข้อความอีกครั้ง

“พ่อ ตอนนี้พ่ออยู่ไหน? การลอบสังหารครั้งนี้ สถานการณ์มันยังไงกันแน่?

การลอบสังหารนี้ ความสงสัยมากมายวนเวียนอยู่ในใจของเฉินตง

พ่อที่ไม่ควรหายหายตัว กลับหายหายตัวไป

การลอบสังหารที่ไม่ควรจะธรรมดา กลับสิ้นสุดอย่างง่ายดาย

คนที่บงการอยู่เบื้องหลังคือใคร?

การลอบสังหารที่เรียบง่ายครั้งนี้ เบื้องหลังมันมีอะไรซ่อนอยู่?

เพียงแต่ รอไปครึ่งชั่วโมง ยังคงไม่มีข้อความตอบกลับมา

เฉินตงลองโทรอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ กลับมีเสียงแจ้งอัตโนมัติอีกฝ่ายได้ปิดเครื่องไปแล้ว

ขณะนี้ เฉินตงมีความรู้สึกอยากจะระเบิดอารมณ์ออกมา

เขาวิตกกังวล สายตาเอาแต่จ้องโทรศัพท์

ลังเลไปครู่หนึ่ง เขาไม่มีความคิดที่จะนอนต่อแล้ว ลุกขึ้นเดินไปยังห้องนอนของท่านหลง

เคาะประตูเบาๆไปสองที

ไม่นานนัก มีเสียงกรอบแกรบดังมาจากข้างใน

ท่านหลงเปิดประตูออก ถามด้วยใบหน้าที่สงสัย “คุณชาย เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

เฉินตงทำท่าให้เบาเสียง กลัวว่าจะทำให้ภรรยาตื่น

จากนั้นก็ดันท่านหลงเข้าไปในห้อง

“ขอโทษด้วยท่านหลง ดึกป่านนี้ยังมารบกวนคุณ” เฉินตงกล่าว

ท่านหลงยิ้มๆ “ไม่เป็นไร คนแก่นอนน้อย กระผมกำลังอ่านหนังสืออยู่”

เฉินตงเหลือบมองหนังสือที่อยู่หัวเตียง ก็พูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง

คนแก่คนนี้ลามก!

ท่านหลงหน้าแดง รีบเอาหนังสือไปไว้ที่ใต้หมอน

เฉินตงนั่งลงข้างเตียง เปิดข้อความที่คุณพ่อส่งมา ยื่นให้กับท่านหลง

“ข้อความที่ผมได้รับเมื่อกี้”

ท่านหลงอ่านข้อความในเนื้อหา ทันใดนั้นแววตาก็เปล่งประกาย ดีใจอย่างมาก “คือนายท่าน!”

เฉินตงพยักหน้า กล่าวด้วยสีหน้าที่หนักใจ “แต่ว่าผมได้ส่งข้อความไปหลายข้อความ เขาไม่ได้ตอบกลับเลย โทรไปสองรอบ ครั้งแรกถูกตัดสายทิ้งทันที ครั้งที่สองปิดเครื่อง”

“อาจะเป็นเพราะว่าสถานการณ์ของนายท่านไม่เอื้ออำนวยหรือเปล่า?” ท่านหลงครุ่นคิด แล้วกล่าว

สายตาของเฉินตงล่มลึก กล่าวอย่างสงสัย “หากสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวยจริงๆ คุณพ่อก็คงไม่ส่งข้อความมาบอกว่าปลอดภัย”

ในห้อง เข้าสู่ความเงียบ

เฉินตงกับท่านหลงต่างคาดการณ์ไม่ถูก ครุ่นคิดอย่างสุดความสามารถแล้ว

“ท่านหลง สามารถใช้หมายเลขนี้ตรวจสอบที่อยู่มั้ย?” เฉินตงถาม

ท่านหลงนิ่งไปสองวินาที “สามารถตรวจที่อยู่ของหมายเลข แต่มันเป็นข้อมูลอ้างอิงเพียงเล็กน้อย”

ตรวจแหล่งที่มาของหมายเลขนั้นง่าย

แต่เมื่อซิมถูกใส่เข้าไปในโทรศัพท์ ก็สามารถพกพาไปได้ทุกที่

จุดนี้ เฉินตงเข้าใจดี

อย่างไรก็ตามเขายังคงกล่าวยืนยัน “พยายามสืบให้ถึงที่สุด มีเบาะแสดีกว่าไม่มีเบาะแส ยิ่งชัดเจนยิ่งดี”

ท่านหลงพยักหน้า เห็นสีหน้าของเฉินตงดูแย่มาก ก็กล่าวปลอบ “คุณชายวางใจเถอะ ในเมื่อนายท่านยังสามารถส่งข้อความมาแจ้งความปลอดภัย อย่างน้อยตอนนี้สถานการณ์ยังปลอดภัยอยู่”

“ผมรู้แล้ว ผมกำลังคิดอยู่ว่าที่พ่อทำแบบนี้มีจุดประสงค์อะไร?”

เฉินตงขมวดคิ้วคิดหนัก “เขาเป็นเจ้าบ้านตระกูลเฉิน อยู่อย่างสูงส่ง มีทั้งอำนาจบารมี แค่การลอบสังหารธรรมดาก็ทำให้เขาหายตัวไป ตอนนี้ในเมื่อปลอดภัยแล้ว ก็ไม่สามารถปรากฏตัวและกลับมาที่บ้านตระกูลเฉินเหรอ? ท่านหลงคุณไม่รู้สึกว่ามันน่าแปลกเหรอ? คุณพ่อกำลังกลัวอะไรอยู่?”

ท่านหลงนิ่งไปทันที

คำถามเหล่านี้ของเฉินตง ทำให้เขาตอบไม่ได้

อันที่จริง การหายตัวของเฉินเต้าหลิน เผยให้เห็นถึงความไม่สมเหตุสมผลและแปลกประหลาด

เห็นท่านหลงนิ่งเงียบ เฉินตงก็ถอนหายใจไปหนึ่งที ลุกขึ้นเดินออกไป “ผมไม่รบกวนคุณอ่านหนังสือแล้ว ใช่แล้ว เรื่องนี้ให้จัดการอย่างลับๆ หาคนที่คุณไว้ใจได้ที่สุดในการตรวจสอบ”

“กระผมเข้าใจแล้ว”

เช้าวันรุ่งขึ้น

เฉินตงที่เป็นห่วงพ่อ นอนไม่หลับทั้งคืน

ตอนที่ฟ้าเพิ่งจะสว่าง

ท่านหลงก็เดินออกมาจากในห้อง ส่งสัญญาณให้เฉินตงตามเขาเข้าไปในห้องนอน

เฉินตงใจสั่น

รีบลุกขึ้นตามท่านหลงเข้าไปในห้อง

“มีข่าวแล้วเหรอ?”

เฉินตงอดไม่ได้ที่จะบีบมือทั้งสองข้าง ตื่นเต้นจนฝ่ามือเต็มไปด้วยเหงื่อ

“หมายเลขนี้ที่อยู่อยู่ในเมืองแห่งหนึ่งในซีโม่”

แววตาของท่านหลงดูแปลกไปเล็กน้อย

เฉินตงก็อึ้งไปเหมือนกัน ซีโม่ซีโม่เป็นดินแดนที่มีระยะทางหลายพันไมล์ ไม่มีผู้คน และอยู่ห่างจากที่ที่ซึ่งตระกูลเฉินอยู่ทั้งหมด ซึ่งมันไกลมาก

หมายเลขโทรศัพท์ของคุณพ่อ……ทำไมถึงเป็นของทางโน้น?

“แล้วสิ่งที่เป็นรูปธรรมกว่านี้ละ?” เฉินตงถาม

ท่านหลงกลับส่ายหัว “ไม่มีแล้ว”

“ไม่มีแล้ว?”

เฉินตงก็ร้อนใจขึ้นมาทันที “คุณใช้เวลาไปทั้งคืน ก็ตรวจได้แค่นี้เองเหรอ?,

ท่านหลงยิ้มอย่างเจื่อนๆ “คุณชาย ไม่มีแล้วจริงๆ หากไม่ใช่ว่าเมื่อคืนกระผมลงมือได้อย่างรวดเร็ว แม้แต่ข้อมูลแค่นี้ก็คงจะตรวจไม่ได้แล้ว เพราะหลังจากที่ตรวจเจอที่อยู่ของหมายเลขนี้ หมายเลขนี้ก็ถูกยกเลิกไปทันที ไม่เหลือโอกาสให้เราในการติดตามต่อเลย”

คำพูดของเจิ้งโก๋โส่ว เห็นได้ชัดว่าไม่เหมาะสมอย่างยิ่งในสถานการณ์ตอนนี้

ทำให้ทุกคนตกตะลึงกันอย่างมาก

“เจ้านาย ยังจะวาดรูปอะไรอีก………”

อู๋จุนหาวคร่ำครวญอย่างเจ็บปวด

“หุบปาก!”

หลินหลิ่งตงมองด้วยสายตาที่คมกริบ พูดตัดบทอย่างขุ่นเคือง

จากนั้น เขาก็มองกวาดไปทางเฉินตงแวบหนึ่ง หลังจากที่แน่ใจแล้วว่าเฉินตงไม่ได้มีท่าทีที่แปลกไป จึงได้มองไปทางเจิ้งโก๋โส่ว

“ท่านเจิ้ง เชิญครับ!”

นี่มัน………

ทุกคนต่างตกตะลึง ยืนนิ่งอยู่กับที่

หลินหลิ่งตงจะเชิดชูเจิ้งโก๋โส่วให้สูงถึงขั้นไหน?

คนก็ได้บุกมาฉีกหน้าถึงที่แล้ว ยังสามารถวางเฉยได้อีกเหรอ?

ในความทรงจำของพวกเขา ราชาใต้ดินของเมืองหลิ่งตง มันเต็มไปด้วยความดุร้าย แค่พูดไม่ถูกใจคำเดียวเลือดก็จะกระเด็นทันที!

ดูไม่ออกเลย ว่าไอ้หมอนี่จะเคารพคุณอาเจิ้งขนาดนี้?

เฉินตงเองก็แปลกใจไปครู่หนึ่ง สามารถเป็นถึงราชาใต้ดิน ต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน

ไม่ต้องพูดถึงเรื่องวิธีการ เพียงแค่หัวใจก็ต้องเป็นคนที่ทะนงตัวอย่างมาก

เสียหน้าขนาดนี้ ยังสามารถตอบรับคำขอของเจิ้งโก๋โส่ว นี่ไม่ใช่การเคารพนับถือโดยทั่วไปแล้ว

เห็นแก่หน้าของเจิ้งโก๋โส่ว เฉินตงก็ไม่ได้รีบร้อนแล้ว

“ดี”

เจิ้งโก๋โส่วตอบรับไปหนึ่งที ก็ได้ลงมือวาดภาพ

ภายใต้สายตาที่น่าสะพรึงกลัวของทุกคน หลินหลิ่งตงไม่ได้แสดงอาการโกรธเคืองใดๆ ตรงกันข้ามเขาก้มเข้าไปมองด้วยความจ่อจดและจริงจัง มองอย่างเพลิดเพลิน

ไม่นานนัก สีหน้าของหลินหลิ่งตงก็เปลี่ยนไปทันที

เปลี่ยนเป็นความประหลาดใจ ตกใจ ไม่อยากจะเชื่อ

ภาพนี้ ถูกทุกคนมองเห็นแล้ว ล้วนตกใจกันอย่างอธิบายไม่ถูก

เจิ้งโก๋โส่ว…………วาดอะไรเนี่ย?

เพราะระยะห่าง จึงทำให้มองเห็นไม่ชัด

เมื่อทุกคนเข้ามามองดูใกล้ๆ

เมื่อดูแล้ว สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที

บนกระดาษที่ขาวดั่งหิมะ ได้วาดรูปหมูออกมาหนึ่งตัว!

ปราศจากแนวคิดทางศิลปะ เหมือนกับวาดอย่างส่งๆ

วาดธรรมดาไม่กี่ที จนกลายเป็นรูปหมูรูปหนึ่ง!

“ท่านเจิ้ง นี่มัน?”

หลินหลิ่งตงระงับความกลัวเอาไว้ แล้วถามอย่างไม่เข้าใจ

เจิ้งโก๋โส่วโน้มตัวไปเป่าหมึกให้แห้ง จากนั้นก็หยิบภาพวาดขึ้นมา ยื่นให้กับมือของหลินหลิ่งตง

“รู้จักกับน้องหลิ่งตงมีความสุขมาก ขอมอบภาพวาดนี้ให้น้องหลิ่งตงเป็นของขวัญ หวังว่าน้องจะไม่โง่เหมือนหมู!”

โครม!

หลินหลิ่งตงเหมือนถูกฟ้าผ่า พริบตาเดียวสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นสีแดงคล้ำ

ภาพวาดและคำพูดของเจิ้งโก๋โส่ว เห็นได้ชัดว่าด่าเขา!

อีกทั้งยังต่อหน้าทุกคน ด่าอย่างเปิดเผย!

ชั่วขณะ ในห้องโถงก็เงียบจนสามารถได้ยินเสียงเข็มหล่น

ทุกคนต่างกลัวจนไม่กล้าส่งเสียง

กล้าด่าราชาใต้ดินแบบนี้ ความโกรธของราชาใต้ดินต่อจากนี้…….

“คุณ คุณกล้าด่าพี่ใหญ่ของผม? ผม………..”

อู๋จุนหาวที่สีหน้าดุร้าย ใบหน้าเปื้อนไปด้วยเลือดดูแล้วน่ากลัวมาก

“หุบปาก!”

หลินหลิ่งหันหน้าไปตะคอกใส่ ดวงตาลึกและทรงพลัง

ในเวลานี้ เจิ้งโก๋โส่วเดินมาตรงหน้าเขา ทำท่าคารวะให้เขา จากนั้น ก็เดินออกไปโดยตรง

“ท่านเจิ้ง………”

หลินหลิ่งตงมึนงงและไม่รู้จะทำอย่างไร

เจิ้งโก๋โส่วกลับยกมือขึ้นเพื่อห้าม กล่าวอย่างรีบเฉย “คุณพิจารณาให้ดี”

“ผม……….” หลินหลิ่งตงพูดไม่ออก

จากนั้น

ภายใต้สายตาที่เหลือเชื่อของทุกคน

เจิ้งโก๋โส่วก็เดินมาถึงด้านหน้าของเฉินตง รอยยิ้มที่อ่อนโยนปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่ไม่แยแสของเขา ยกมือคารวะ

“หลานชาย เสี่ยวหยิ่งสบายดีมั้ย?”

โครม!

ภาพนี้ ราวกับถูกค้อนหนักทุบ ทุบมาที่ดวงตาของหลินหลิ่งตงและพวกอย่างแรง

โดยเฉพาะหลินหลิ่งตง ถึงขนาดปากค้างเล็กน้อย ตกใจจนไม่รู้สึกตัว

เฉินตงยิ้มเล็กน้อยแล้วคารวะกลับ “สบายดีครับ เสี่ยวหยิ่งเพิ่งจะตั้งครรภ์”

“ตั้งครรภ์? เป็นข่าวที่น่ายินดีอย่างมาก ดีๆๆ กู้โก๋ฮั๋วสองสามีภรรยาทราบเรื่องหรือยัง?” เจิ้งโก๋โส่วที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความสุข

“ตอนนี้ยังไม่ทราบครับ” เฉินตงส่ายหัว ช่วงนี้เกิดเรื่องขึ้นตั้งมากมาย ทำให้เขารับมือไม่ทัน

“อืม ต้องบอกเขาสองคน เขาสองคนรู้แล้ว ต้องดีใจจนนอนไม่หลับอย่างแน่นอน”

เจิ้งโก๋โส่วกะพริบตา ยิ้มอย่างสบายอารมณ์ “นายให้พวกเขาบินมาที่นี่ พวกเราเพื่อนเก่า จะได้ใช้เรื่องน่ายินดีนี้ในการดื่มฉลองให้มันสะใจไปเลย!”

“ไม่ได้แล้ว หลานสาวของฉันตั้งครรภ์เรื่องที่น่ายินดีเช่นนี้ หลังจากกลับไปแล้ว ฉันต้องตั้งใจวาดภาพ มอบให้กับหลานสาวและเหลนชายที่อยู่ในท้อง”

มองดูเจิ้งโก๋โส่วที่เดินจากไป

เฉินตงอดไม่ได้ที่จะยิ้ม

ไม่เสียทีที่เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงนับหน้าถือตาของผู้คน การกระทำนี้ ไม่ว่าด้านจิตใจหรือด้านหน้าตาก็ได้ดูแลอย่างทั่วถึงแล้ว

มันคือการช่วยเขาอย่างไร้ร่องรอย และก็ช่วยหลินหลิ่งตงด้วย

ภาพที่สั่นๆ กลับทำให้หลินหลิ่งตงและพวก มึนงงเหมือนฝัน

สายตาแต่ละคู่ได้มาหยุดอยู่บนภาพวาดที่อยู่ในมือของหลินหลิ่งตง รวมทั้งตัวหลินหลิ่งตงด้วย

การขอร้องให้วาดภาพเช่นนี้ ผู้วาดภาพระดับชาติที่สง่างามกลับโบกพู่กันไปสองสามที วาดหมูอย่างส่งๆ

เฉินตงที่ไม่ได้ขอร้อง นักวาดภาพระดับชาติกลับจะตั้งใจวาดภาพ เพื่อจะมอบเป็นของขวัญ

ความต่างขนาดนี้ ต่างกันฟ้ากับเหว!

“ฮู้……….”

หลินหลิ่งตงนวดขมับตัวเองเบาๆ พ่นลมหายใจออกมา แล้วเผยรอยยิ้มอีกครั้ง

คนที่อยู่ในนี้ต่างก็ตื่นตัวกันแล้ว

เจิ้งโก๋โส่วไปแล้ว ตอนนี้……….เรื่องสนุกๆกำลังจะเกิดขึ้นแล้วใช่มั้ย?

อู๋จุนหาวที่คลานอยู่บนพื้น ก็ได้ยิ้มอย่างชั่วร้าย

เขาเหลือบซ้ายแลขาวมองเฉินตง โจวเย่นชิวและกูหลัง สายตากลับเหมือนคนมองคนที่ตายไปแล้ว

ตั้งแต่ที่เขาติดตามหลินหลิ่งตงมา เขายังไม่เคยเห็นคนปฏิบัติเช่นนี้กับหลินหลิ่งตงแล้ว ยังสามารถที่จะมีชีวิตอีก!

ท่าทางของโจวเย่นชิวกับกูหลังนั้นสงบมาก

“คงไม่สู้แล้วล่ะ”

โจวเย่นชิวยิ้มอย่างลึกซึ้ง กระซิบไปที่ข้างหูของกูหลัง

เพิ่งจะสิ้นเสียงพูด

จู่ๆหลินหลิ่งตงก็ถามขึ้นมา “ต้องการที่ดินผืนนั้นหรือ?”

“ถูกต้อง”

เฉินตงพยักหน้า ชี้ไปทางอู๋จุนหัวที่ยิ้มอย่างชั่วร้าย “คนของฉันต้องการเจรจากับพวกคุณ หมาของคุณ กัดคนของฉัน”

“เหลวไหล!”

อู๋จุนหาวด่าอย่างโกรธเคือง

เพิ่งจะพูดออกมา

หลินหลิ่งตงสีหน้าก็อ่อนโยนลงมาทันที “ขอโทษด้วยครับ สร้างความยุ่งยากให้คุณแล้ว ที่แปลงนั้นเป็นของพวกคุณแล้ว!”

ตรงไปตรงมา โดยไม่มีความลังเลเลย

เมื่อเข้าสู่หูของผู้คน กลับดังเหมือนสายฟ้าฟาด เกือบทำให้คนหูหนวก

มันเรื่องอะไรกัน?

มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?

นี่มันไม่ใช่กิริยาท่าทางของราชาใต้ดินเลยนะ!

คนที่อยู่ในเหตุการณ์ ล้วนเป็นคนที่มีหน้ามีตาในเมืองหลิ่งตง และก็เคยเห็นกิริยาท่าทางของราชาใต้ดินอย่างหลินหลิ่งตงอย่างลึกซึ้งมาแล้ว

แต่ตอนนี้การพูดการปฏิบัติของหลินหลิ่งตง เกินความเข้าใจของพวกเขาไปโดยสิ้นเชิง!

พริบตาเดียว แต่ละคนก็นิ่งงันเหมือนไก่ไม้ ปากอ้าตาค้าง

“เจ้านาย คุณกำลัง……….” อู๋จุนหาวคำรามอย่างตกตะลึง

เขาไม่เคยเห็นหลินหลิ่งตงก้มหัวขนาดนี้มาก่อน ใช่ ก็คือการยอมก้มหัว!

“หุบปาก! ไอ้ขยะ ไสหัวไป!”

หลินหลิ่งตงตะคอกด้วยความโกรธ จากนั้นเขาก็โบกมือให้ฝูงชนที่งุนงงพร้อมกับกล่าวอย่างเฉียบขาด “กลับไปกันได้แล้ว วันหลังผมค่อยเรียนเชิญทุกท่านมาร่วมงานอีก”

“ขอบคุณ”

เฉินตงยิ้มอย่างเรียบเฉย ก็หันหลังจากไป

จนกระทั่งทุกคนได้ออกไปจากห้องโถงแล้ว

หลินหลิ่งตงจึงได้หันหลัง มองลึกเข้าไปในทิศทางของประตู

จากนั้น ก็ดังขึ้นด้วยเสียงพรึบ ตัวอ่อนทรุดลงบนเก้าอี้

ในความเงียบ เม็ดเหงื่อหนาทึบไหลออกมาจากหน้าผากของเขา

สามารถเป็นราชาใต้ดินของเมืองหลิ่งตง ต้องเป็นคนที่สุขุมและมีแผนการในใจอย่างดีเยี่ยม คนทั่วไปนั้นไม่สามารถเทียบได้เลย

ภาพวาดของเจิ้งโก๋โส่ว และคำพูดของเขา คนอื่นดูแล้วเหมือนกำลังด่าเขา

แต่เขา ไม่ว่าจะฟังยังไงมันก็คือการเตือน?!

มันคือการช่วยเขา!

ผู้ที่มีผลงานโดดเด่นเป็นที่ยอมรับของนานาชาติ เตือนเขาเช่นนี้ ถือว่าได้ให้เกียรติเขาอย่างมากแล้ว

ท่านเจิ้งกับเฉินตงนั้นมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดขนาดนี้ แต่เขานั้นกลับต้องอาศัยความเมาถึงสามารถเข้าใกล้ได้ ระยะต่างนี้ ยังห่างชั้นกันมาก

ประเด็นสำคัญคือ ขณะที่เจิ้งโก๋โส่วสนทนากับเฉินตงนั้น ข้อมูลที่เปิดเผยในคำพูด ทุกถ้อยคำนั้นดังกระหึ่ม

สิ่งนี้ทำให้หลินหลิ่งตง คิดได้ในทันทีว่าเมืองที่อยู่ด้านข้างมีคนที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว มีชื่อเสียงดังไปทั่วเมือง

ตัวเขาคือนักเลงหัวไม้

เฉินตงคือ……มังกรตัวจริง!

อู๋จุนหาวกลัวแล้ว

แม้ว่าใบหน้าของเขาจะเต็มไปด้วยเลือด แต่ภายใต้เลือดสีแดง ก็ไม่สามารถซ่อนใบหน้าที่ซีดขาวที่ราวกับศพเอาไว้ได้

สายตาของผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า เต็มไปด้วยแรงอาฆาตที่ไม่สิ้นสุด มองไม่เห็นความหวาดหวั่นแม้แต่นิดเดียว

เสมือน กำลังเผชิญกับสัตว์ร้ายที่กระหายเลือด

ความรู้สึกแบบนี้ แม้แต่ตอนที่เขาเผชิญหน้ากับหลินหลิ่งตง ก็ไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน

หัวใจเต้นระทึก ราวกับว่ามันจะทะลุออกมาจากข้างใน

ในที่สุด อู๋จุนหาวก็เค้นเสียงที่มีทั้งหมด พูดออกมาเพียงคำเดียว

“ได้!”

……

หมู่ตึกหลิ่งตง

ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่สวยงามในเขตชานเมืองของเมืองหลิ่งตง ล้อมรอบด้วยภูเขาและแม่น้ำ

เป็นสโมสรระดับไฮคลาสของเมืองหลิ่งตง

คนที่สามารถเข้ามาได้ ไม่ใช่คนรวยก็ต้องเป็นคนที่สูงศักดิ์ คนธรรมดาทั่วไป ทำได้เพียงมองจากระยะไกล ไม่สามารถเข้าใกล้ได้เลย

คืนนี้ที่หมู่ตึกหลิ่งตงครึกครื้นเป็นพิเศษ

ภายในหมู่ตึก ดวงไฟระยิบระยับ

ขบวนรถที่ตรวจตราอย่างแน่นหนา แสดงให้เห็นถึงความปลอดภัยในระดับสูง

และในห้องโถง กำลังร้องเพลงเต้นรำกันอย่างสนุกสนาน

โต๊ะกลมขนาดใหญ่ นั่งเต็มไปด้วยผู้คน

“เจิ้งโก๋โส่วพูดอย่างถ่อมเนื้อถ่อมตัว ขออนุญาตดื่มให้กับหลิ่งตงอีกหนึ่งแก้ว!”

หลินหลิ่งตงที่หน้าแดงเพราะความเมา ยกแก้วเหล้าขึ้นด้วยความดีใจ ยื่นแก้วไปทางเจิ้งโก๋โส่วที่นั่งอยู่ในเก้าอี้ประธาน

เจิ้งโก๋โสว่เองก็เมาเล็กน้อยแล้ว สำหรับงานเลี้ยงที่กำลังเต็มไปด้วยความสุขสนุกสนาน ใครมาชนแก้วก็ไม่ปฏิเสธ

และทั้งสองคนก็ได้ดื่มเหล้าในแก้ว หมดในคราเดียว

คนที่อยู่ในงานเลี้ยง ต่างปกมืออย่างเฮฮาให้

คนที่อยู่ในงานเลี้ยง ล้วนเป็นคนที่มีหน้ามีตาในเมืองหลิ่งตง แต่ตอนนี้ได้กลายเป็นเพียงตัวประกอบในวงเหล้า

อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครที่ไม่พอใจหรือบ่นเลย

สามารถเข้ามาในหมู่ตึกหลิ่งตง ก็ถือได้ว่าได้หน้าได้ตาแล้ว

ยิ่งกว่านั้น วันนี้แขกคนสำคัญที่หลินหลิ่งตงเชิญมา ยังเป็นเจิ้งโก๋โส่วที่เป็นปรมาจารย์ด้านจิตรกรรมจีน!

เป็นคนที่มีผลงานโดดเด่นที่มีชื่อเสียงในระดับนานาชาติ

สามารถมาเยือนเมืองหลิ่งตง ก็นับเป็นบุญของเมืองหลิ่งตงแล้ว

และทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ต่างก็รู้ว่า มันก็คือเกียรติของหลินหลิ่งตง

ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่อยู่ในงานเลี้ยง อย่าว่าแต่เชิญเจิ้งโก๋โส่วมาเยือนเมืองหลิ่งตงเลย คาดว่าแค่พูดคุยเขาก็คงไม่อยากจะคุยด้วยเลย

“ฮ่าๆ………….น้องหลิ่งตงนั้นเป็นคนที่เปิดเผยจริงใจจริงๆเลย”

เจิ้งโก๋โส่วหัวเราะแล้วเอามือไปพาดบนไหล่ของหลินหลิ่งตง โดยที่ไม่วางมาดอะไรเลย

“ท่านเจิ้ง ขอพูดตามตรงเลย ผมน่ะก็เป็นที่คนหยาบกระด้างคนหนึ่ง แต่ในความหยาบก็มีความละเอียดอยู่ โดยปกติก็มักจะชอบเขียนพู่กันและวาดภาพ ตอนแรกที่ได้เห็นภาพวาดของท่าน ผมนั้นตะลึงเหมือนกับได้ขึ้นสวรรค์เลย จากนั้นก็หยุดชอบมันไม่ได้เลย”

คำชมของหลินหลิ่งตง ยิ่งทำให้เจิ้งโก๋โส่วอารมณ์ดีเข้าไปใหญ่

“พี่หลิ่งตง ไม่งั้นเราก็อาศัยภาพเหตุการณ์คืนนี้ ขอให้ท่านเจิ้งวาดภาพสักภาพ?” มีคนเสนอแนะ

“ดี!”

ไม่ทันที่หลินหลิ่งตงจะเอ่ยปาก เจิ้งโก๋โส่วก็ตอบรับแล้ว

หลินหลิ่งตงตาสว่าง ทันใดนั้นก็เผยให้เห็นถึงความตื่นเต้น

เขานั้นคือราชาใต้ดินของเมืองหลิ่งตง เป็นคนที่มากไปด้วยอำนาจเงินทอง แต่เวลาว่าง กลับหลงใหลภาพวาดจีน สำหรับเจิ้งโก๋โส่วที่มีผลงานโดดเด่นน่าเคารพนับถืออย่างหาใครเทียบไม่ได้

หากสามารถอาศัยความเมา ได้ภาพที่ล้ำค่า ต่อไปในคฤหาสน์ของตัวเอง ก็จะมีสมบัติล้ำค่าให้ชื่นชมเพิ่มอีกหนึ่งชิ้น!

เมื่อคิดถึงตรงนี้ หลินหลิ่งตงก็ปลาบปลื้มดีใจเป็นอย่างมาก ลุกขึ้นไปฝนหมึกให้กับเจิ้งโก๋โส่วด้วยมือเขาเอง

ภาพนี้ ทำให้คนที่มองอยู่แอบแปลกใจ

เมื่อไหร่กันนะ ที่ราชาใต้ดินถึงกับได้ยอมลดฐานะของตัวเองให้ต่ำขนาดนี้?

“พี่หลิ่งตง ให้ผมฝนให้มั้ย?” มีคนเสนอ

หลินหลิ่งตงเหลือบมองด้วยหางตา “คุณมีคุณสมบัติอะไรถึงจะมาช่วยท่านเจิ้งฝนหมึก? ถึงแม้ว่าจะเป็นผม มันก็เป็นความเต็มใจที่ผมจะได้รับใช้ท่านเจิ้ง”

คนผู้นั้นหน้าเปลี่ยนสีไปทันที รีบถอยเข้าไปในกลุ่มคน

ตอนที่เจิ้งโก๋โส่วถือพู่กันจุ่มหมึก และกำลังจะลงมือวาดนั้น

ทันใดนั้น

“ประธานหลิน ประธานอู๋พาคนมาแล้ว”

ด้านนอกห้องโถง เสียงหนึ่งได้ดังขึ้น

พู่กันในมือของเจิ้งโก๋โส่ว อดไม่ได้ที่หยุดไปครู่หนึ่ง

หลินหลิ่งตงก็โกรธกับสิ่งที่เกิดขึ้นทันที ก็กล่าวขอโทษเจิ้งโก๋โส่ว “ท่านเจิ้งต้องขออภัยแล้ว เป็นน้องชายของผม ไม่มีมารยาท ผมจะไปสั่งสอนเขาตอนนี้เลย”

“ช่างเถอะ น้องชายตัวเอง ไม่ต้องหรอก เชิญพวกเขาเข้ามาเถอะ” เจิ้งโก๋โส่วโบกมือห้ามอย่างใจกว้าง

หลินหลิ่งตงจึงได้โล่งอกไปทันที รีบให้คนเรียกคนที่อยู่ข้างนอกเข้ามา

เมื่อเฉินตงพาอู๋จุนหาว เดินเข้ามาในห้องโถงนั้น

ด้านในห้องโถง ก็เต็มไปด้วยเสียงอุทานทันที

สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไปอย่างมาก

“จุนหาว!”

หลินหลิ่งตงสีหน้าดุร้าย สร่างเมาไปไม่น้อย

“เจ้านาย………”

เดิมทีอู๋จุนหาวยังมีความตื่นตระหนกอย่างทำอะไรไม่ถูก เมื่อได้ยินคำพูดของหลินหลิ่งตง ทันใดนั้นก็รู้สึกตัวทันที กล่าวอย่างน่าสงสาร “เป็นเขา เขาต้องการพบคุณ!”

“แม่งเอ๊ย!”

หลินหลิ่งตงโกรธอย่างมาก ถึงขั้นไม่สนใจว่าเจิ้งโก๋โส่วยังอยู่ในห้องโถง ก็ตะโกนด่าอย่างหยาบคาย

ส่วนคนอื่นๆ ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความโกรธ มองเฉินตงและโจวเย่นชิวกับกูหลังที่อยู่ด้านหลังด้วยสายตาที่โกรธเคือง

คนพวกนี้ ได้ซ้อมอู่จุนหาวจนมีสภาพแบบนี้ คืออยากจะให้หลินหลิ่งตงสอนพวกเขาคำว่าตายเขียนยังไงเหรอ?

และแล้ว

ใครก็ไม่ทันสังเกต

ตอนนี้เจิ้งโก๋โส่วที่กำลังจะยืนถือพู่กันอยู่หน้าโต๊ะ กลับตกตะลึง สายตาที่มึนเมาก็สว่างขึ้นมาทันที

ไอ้หมอนี่มาได้อย่างไร?

เฉินตงก็สังเกตเห็นเจิ้งโก๋โสว่ที่อยู่ในกลุ่มคน ก็ตกใจโดยธรรมชาติ

อย่างไรก็ตาม มันก็แค่นี้เท่านั้น

เพราะความสัมพันธ์ของกู้ชิงหยิ่ง เจิ้งโก๋โส่วตามศักดิ์ก็คือคุณอาของเขา สำหรับว่าอีกฝ่ายจะคบคนแบบไหน มันไม่เกี่ยวกับเขา

การที่เขามา ก็เพราะว่าจัดการเรื่องของเขา!

พรึบ!

สะบัดมือขวา เฉินตงก็ได้โยนอู๋จุนหาวลงบนพื้น

มองดูหลินหลิ่งคตงที่โกรธเหมือนสิงโตกำลังคลั่ง อดไม่ได้ที่จะยกมุมปากขึ้น ยิ้มกล่าว “คิดไม่ถึง ราชาใต้ดินของเมืองหลิ่งตงที่มีชื่อเสียงโด่งดัง จะหนุ่มขนาดนี้”

หลินหลิ่งตงที่อยู่ตรงหน้า ดูแล้วอายุอานามก็น่าจะประมาณสามสิบปี

แบกฉายาราชาใต้ดินของเมืองหลิ่งตง ไม่เพียงแต่ไม่เห็นถึงความหยาบคายเลยแม้แต่นิดเดียว กลับดูสุภาพเรียบร้อยและมีมารยาทมาก

“เจ้านาย……..”

อู๋จุนหาวร้องห่มร้องไห้แล้วคลานไปทางหลินหลิ่งตง ใบหน้าเปื้อนไปด้วยเลือด ยิ่งทำให้เขาดูน่าสังเวชนัก

พรึบ!

เฉินตงยกขาขึ้นมา เหยียบไปบนหลังของอู๋จุนหาว

ภาพนี้ ก็ทำให้หลินหลิ่งตงระเบิดทันที

เขาคือราชาใต้ดินของเมืองหลิ่งตง อยู่ในเมืองหลิ่งตง มีใครที่ไม่ไว้หน้าเขาบ้าง?

มีใครบ้างที่ไม่รู้ อู๋จุนหาวเป็นลูกน้องของเขา?

ซ้อมอู๋จุนหาวจนมีสภาพเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นการฉีกหน้าคนที่เป็นราชาใต้ดินอย่างเขา!

“จะตีหมา ก็ต้องดูเจ้าของ!” หลินหลิ่งตงได้บีบคำพูดออกมาจากซอกฟัน

เฉินตงเงยหน้าเล็กน้อย แล้วหัวเราะอย่างน่ากลัว “หมาของคุณกัดพี่น้องของผม ผมจะตีหมา ยังต้องดูเจ้าของอีกเหรอ?”

โครม!

คำพูดที่สั่นสะเทือน

ทุกคนที่อยู่ในนี้ตกตะลึงกันทุกคน

พระเจ้า!

ไอ้หมอนี่บ้าไปแล้วเหรอ?

กล้าพูดแบบนี้กับหลินหลิ่งตง?

บางคนเข้าใจว่าตัวเองฟังผิดไป ได้ยกมือขึ้นมาแคะหูอย่างแรง

“ดี ดีมาก! คุณเป็นคนแรกที่กล้าพูดแบบนี้กับผมหลินหลิ่งตง!”

หลินหลิ่งตงหัวเราะด้วยความโกรธ เสียงหัวเราะที่ไม่เกรงกลัวใครเลย

คนที่อยู่ในนี้ ต่างอกสั่นขวัญแขวน

ใครๆก็รู้ นี่คือสัญญาลักษณ์การหัวเราะของหลินหลิ่งตง การหัวเราะนี้ จะมีการเสียเลือดเสียเนื้อเกิดขึ้น!

และแล้ว

เฉินตงกลับใช้เท้าเหยียบอยู่บนหลังของอู๋จุนหาว ภายใต้การกรีดร้องของอู่จุนหาว ก็ข้ามผ่านตัวเขาไปโดยตรง ท้าทายสายตาของหลินหลิ่ง “ผมเฉินตงแต่ไหนแต่ไรก็พูดจาแบบนี้!”

ขิงก็ราข่าก็แรง

สถานการณ์ตึงเครียดอย่างมาก

กระจายเต็มไปด้วยแรงแห่งการฆ่า

ในขณะที่หลินหลิ่งตงกำลังจะโต้กลับนั้น

จู่ๆก็มีมือใหญ่ก็ได้มากดอยู่บนไหล่ของหลินหลิ่งตง

หลินหลิ่งตงหันหน้าไปมองมือของเจิ้งโก๋โส่วอย่างตกตะลึง “ท่านเจิ้ง ขออภัยด้วย คนชั้นต่ำพวกนี้ได้มารบกวนอารมณ์สุนทรีย์ของคุณแล้ว ขอให้คุณโปรดขยับหน่อย ผม……..”

“ไม่ต้อง”

เจิ้งโก๋โส่วขัดจังหวะการพูดของหลินหลิ่งตง กล่าวด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม “คุณจะให้ฉันวาดรูปไม่ใช่เหรอ มาวาดตอนนี้เถอะ”

เมื่อคำพูดนี้ออกมา

หลินหลิ่งตงกับคนที่อยู่ในห้องโถงล้วนตกใจกันหมด

มันกำลังจะหลั่งเลือดกันแล้ว ยังจะวาดอีกเหรอ?

น้ำเสียงเย็นชาและน่าเกรงขาม

คนที่อยู่ในห้องวีไอพี แสดงความไม่พอใจออกมาทันที

สายตาทุกคู่จับจ้องมาที่คนคนเดียว

นั่นคือชายหนุ่มเพียงคนเดียวในห้องวีไอพี ที่ยังคงโอบกอดหญิงสาวเอาไว้อยู่

ชายหนุ่มมีใบหน้าที่เหี้ยมโหด แสดงให้เห็นถึงความดุร้ายและหยิ่งผยอง ในปากของเขาคาบซิการ์เอาไว้ และเอนกายอย่างสบายอยู่บนโซฟา และโอบกอดหญิงสาวเอาไว้

เขาแสยะยิ้มแล้วเหลือบมองผู้จัดการล็อบบี้ “มัวแต่ทำอะไรอยู่ ? ถึงปล่อยให้หมาแมวเข้ามาเดินเพ่นพ่านอยู่ที่นี่ได้ ?”

ผู้จัดการล็อบบี้มีสีหน้าตื่นตระหนกในทันที “ประธานอู๋ ผมไม่ได้ปล่อยเข้ามา แต่พวกเขาดึงดันที่จะเข้ามา เป็นโจวเย่นชิว คนที่ถูกคุณสั่งสอนไปเมื่อช่วงบ่ายคนนั้น !”

อู๋จุนหาวหัวเราะออกมา เขาทำเสียงกระแอมและถ่มน้ำลายลงบนพื้น และพูดอย่างดุดันว่า “วันๆ ฉันสั่งสอนคนไปตั้งมากมาย จะต้องคอยจดจำชื่อด้วยหรือยังไง ?”

ผู้จัดการล็อบบี้รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก เขารีบหลบไปอยู่อีกด้านหนึ่ง

เฉินตงค่อยๆ ยกมือขึ้น และชี้ไปที่อ๋จุนหาว “แก ออกมาเดี๋ยวนี้ !”

“ถุย !”

อู๋จุนหาวนั่งพิงอยู่บนโซฟาอย่างเย่อหยิ่ง ในปากคาบซิการ์ ด้วยท่าทีที่ไม่เห็นคนอื่นอยู่ในสายตา “แกเป็นใคร ? มาเห่าอะไรในที่ของฉัน ถ้าฉันออกไปจริงๆ วันนี้แกจบเห่แน่ !”

กูหลังซึ่งยืนอยู่ด้านหลังของเฉินตงโมโหขึ้นมาทันที

ขณะที่กำลังจะก้าวไปข้างหน้า กับถูกเฉินตงรั้งเอาไว้

“ไม่ใช่ว่าแกบอกให้คนของฉัน ไปบอกฉันว่าให้ยกเหล้ามาขอโทษหรอกหรือ ?”

เฉินตงหรี่ตาลง และมีแววตาที่โหดเหี้ยม “ตอนนี้ฉัน เฉินตง มาแล้ว”

“เฉินตง ? ไม่เคยได้ยินมาก่อน ในหลิ่งตงนี้ ยิ่งใหญ่กว่าหลินหลิ่งตงเจ้านายของฉันไหม ?”

ใบหน้าของอู๋จุนหาวเต็มไปด้วยความดูถูก เขาถูขมับ แล้วจู่ๆ ก็ส่งเสียงหัวเราะที่ดังกังวานออกมา “อ้ออ้ออ้อ ฉันนึกออกแล้ว พวกแกคือคนที่มาขอพบพี่ใหญ่ของฉันเมื่อตอนบ่าย เป็นสุนัขที่อยากจะแย่งชิงที่ดินไปจากมือของพี่ใหญ่ฉันใช่ไหม ?”

ปัง !

ลูกสมุนที่นั่งอยู่ข้างๆ อู๋จุนหาวตบโต๊ะแล้วลุกขึ้น จากนั้นจึงชี้นิ้วด่าเฉินตง “ไอ้พวกสวะ พวกแกไม่รู้หรือว่าพวกแกกำลังพูดอยู่กับใคร ? พวกขยะอย่างพวกแก ไม่รู้ว่าวันวันหนึ่งประธานอู๋ต้องจัดการไปกี่ราย ?”

“ให้ตายเถอะ ปีนี้น้ำคงจะตื้นเขิน เศษสวะจึงลอยอยู่เยอะ ถึงได้มีพี่ใหญ่อยู่ทุกหนทุกแห่ง”

“ประธานอู๋ คุณพูดอะไรหน่อยสิ แค่เพียงประโยคเดียว วันนี้พวกมันทั้งสามคนก็คงต้องถูกหามออกไปจากที่นี่ !”

“ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาจริงๆ ตอนบ่ายเพิ่งจะถูกต่อยไป กลางคืนยังจะกล้ามาอีก ประธานอู๋ ในเมื่อพวกเขายืนข้อเสนอที่ยากเกินรับได้เช่นนี้ คุณก็ช่วยใช้ความเมตตาสนองให้พวกเขาหน่อยเถอะ !”

ภายในห้อง มีเสียงพูดด้วยความโมโหดังขึ้นอย่าต่อเนื่อง พร้อมกับใบหน้าที่ขึงขัง

สีหน้าของโจวเย่นชิงและกูหลังเคร่งขรึมลงทันที

คนพวกนี้ ไม่รู้จักจบจักสิ้นจริงๆ !

กูหลังเดินเข้าไปยืนข้างๆ เฉินตงด้วยใบหน้าที่ดุดัน และกำลังจะเอ่ยปากพูด

ทันใดนั้น

“ฮ่าๆ !”

จู่ๆ เฉินตงก็หลุดขำออกมา

เพียงแต่ในเสียงหัวเราะฉาบไปด้วยความโหดเหี้ยม เขาหรี่ตาทั้งสองข้างลง และปรากฏเจตนาฆ่าที่รุนแรงขึ้น

ตอนนี้ แววตาของเฉินตงดูเหมือนนักฆ่ามือพระกาฬ !

ภาพนี้ ทำให้คนที่กำลังพูดจาด้วยความหยิ่งยโสอยู่ภายในห้อง หุบปากลงทันที

แม้กระทั่งอู๋จุนหาวเองก็รู้สึกตกใจกลัว

“ในเมื่อแกไม่ออกมา ฉันก็จะเข้าไปเอง”

เฉินตงค่อยๆ เดินเข้าไปอย่างสบายๆ พร้อมทั้งแสยะยิ้มมุมปากด้วยท่าทีเย็นชาและเคร่งขรึม “ในเมื่อแกไม่รู้จักฉัน เฉินตง ถ้าอย่างนั้นฉันก็ขอแนะนำตัวเองสักหน่อย”

“บ้าเอ๊ย ลงมือ !”

จู่ๆ อู๋จุนหาวก็มีท่าทีดุดันขึ้น เขาขว้างซิการ์ลงบนพื้นอย่างแรงทันที

ทันใดนั้น คนที่อยู่ในห้องวีไอพีสิบกว่าคน ก็รีบวิ่งเข้ามาล้อมเฉินตงไว้ทันที

“ตัวตลก!”

เฉินตงส่ายหัวอย่างดูถูก ทันใดนั้น เขาก็พุ่งเข้าโจมตีอย่างรวดเร็ว ราวกับเสือที่กระโจนลงจากภูเขา

ตุบตุบตุบ !

มีเสียงดังติดต่อกันสามครั้ง

ลูกสมุนสามคนร้องโหยหวนออกมา แล้วล้มลงไปบนพื้น

การเคลื่อนไหวของทุกคนชะงักลง และแสดงความหวาดกลัวออกมา

คนโหดเหี้ยม !

ทันใดนั้น คนในห้องวีไอพีต่างมีความคิดเช่นเดียวกันออกมา รวมไปถึงอู๋จุนหาวด้วย

จู่ ๆ เหมือนทุกอย่างหยุดนิ่ง

กลับกลายเป็นแววตาของโจวเย่นชิวที่ยังคงเคลื่อนไหวด้วยความตื่นเต้น

ส่วนกูหลัง กลับรีบวิ่งเข้าไปหาเฉินตงอย่างรวดเร็ว และยืนเคียงบ่าเคียงไหล่

“ถอยไป !”

เฉินตงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เฉยเมย

กูหลังยังคงดึงดัน “คุณเฉิน ผม……”

“แค่ฝูงหมาฝูงแมว ฉันคนเดียวก็พอแล้ว” น้ำเสียงของเฉินตงเย็นชาราวกับน้ำแข็ง ทำให้กูหลังไม่อาจโต้แย้งได้อีก

แต่ประโยคที่เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งนี้ กลับเหมือนเข็มแหลมคมจำนวนนับไม่ถ้วน ที่เข้ามาทิ่มแทงเส้นประสาทของพวกอู๋จุนหาวในทันที

“บ้าเอ๊ย มัวยืนนิ่งอยู่ทำไม ? เข้าไปเร็วสิ !”

อู๋จุนหาวออกคำสั่ง

ลูกสมุนที่กำลังอยู่ในอาการหวาดกลัว ต่างหันมองหน้ากันในทันที จากนั้นจึงพุ่งเข้าโจมตีเฉินตงอย่างรุนแรง

เฉินตงเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ทั้งหมัดและเท้าถูกปล่อยออกมาอย่างทรงพลัง

เคยเห็นมานักต่อนักแล้ว

พวกอันธพาลที่พบได้ตามท้องถนนพวกนี้ ไม่ได้อยู่ในสายตาของเฉินตงเลยแม้แต่น้อย

บางทีคนพวกนี้อาจดูน่ากลัวสำหรับคนธรรมดาทั่วไป

แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา แม้กระทั่งเป็นรองเท้าก็ยังเทียบไม่ติด

ตุ้บตุ้บตุ้บ……

เหมือนมเสียงกระสอบทรายดังก้องกังวานทั่วห้อง

และมีเสียงสิ่งของแตกกระจายอย่างต่อเนื่อง

หลังจากเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด ลูกสมุนก็ค่อยๆ ลงไปนอนอยู่บนพื้นทีละคนๆ

การโจมตีของเฉินตง ตรงไปตรงมาและรุนแรง ทุกครั้งที่ปล่อยหมัดหรือเตะออกไป จะต้องมีคนล้มลงไปนอนบนพื้น ไม่ปล่อยให้มีโอกาสได้ปล่อยหมัดครั้งที่สอง

เพียงแค่สิบวินาที

ทุกคนก็ลงไปนอนอยู่กับพื้น และกรีดร้องโหยหวน

เฉินตงยืนอยู่ที่เดิมด้วยท่าทีที่นิ่งสงบ ใบหน้าของเขาแสดงความดุดันออกมา

เขาดูเด็ดขาดราวกับเป็นนักฆ่ามือพระกาฬ

จากนั้นจึงค่อยๆ เหลือบไปมองอู๋จุนหาว

เมื่อสัมผัสได้ถึงแววตาของเฉินตงที่มองมา อู๋จุนหาวก็ตัวสั่น เขารู้สึกเหมือนน่ากลัวกำลังคืบคลานเข้ามาด้านหลังของเขา ทำให้เขานั่งไม่ติดอีกต่อไป

รวดเร็วเกินไปแล้ว !

เร็วจนเขาไม่อาจตั้งสติได้ทัน

คนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นลูกน้องฝีมือดีของเขา ปกติแล้วคนเดียวต่อสู้กับคนหลายคนก็ไม่ใช่ปัญหา แต่คืนนี้ ทำไมจึงไร้น้ำยาเช่นนี้ได้ ?

ตอนนี้อู๋จุนหาวเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เขาจ้องมองไปที่เฉินตง และรู้สึกเหมือนตนเองตกลงไปอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง

กูหลังแอบตกใจจนอ้าปากค้าง ส่วนโจวเย่นชิวกลับตื่นเต้นดีใจ

ปฏิกิริยาของทั้งสองคน แตกต่างกับอู๋จุนหาวที่อยู่ในห้องวีไอพีอย่างสิ้นเชิง

ภายในห้องวีไอพี เมไปด้วยบรรยากาศที่น่ากลัว

เฉินตงค่อยๆ เดินเข้าไปหาอู๋จุนหาวอย่างสบายๆ แล้วใช้สายตาจ้องมองลงมายังอู๋จุนหาวอย่างเหยียดหยาม “แกทำร้ายคนของฉัน ฉันทำร้ายแก คงไม่ถือว่าเกินไปหรอกใช่ไหม ?”

น้ำเสียงเย็นชา แต่แฝงไปด้วยความดูถูกเหยียดหยามอย่างรุนแรง

สีหน้าของอู๋จุนหาวซีดเผือด และโพล่งถามออกมา “แก แกเป็นใครกันแน่ ? ทั้งทั้งเมืองหลิ่งตง ไม่มีทางที่จะมีคนอย่างแกอยู่แน่นอน”

“แซ่เฉิน ส่วนชื่อคือคำว่าตง !”

เฉินตงตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ตอนนี้ พาฉันไปพบเจ้านายของแก หลินหลิ่งตง”

พบเจ้านาย ? !

อู๋จุนหาวตกใจเป็นอย่างมาก ในใจของเขานั้น หลินหลิ่งตง ก็เปรียบเสมือนพระราชาแห่งเมืองหลิ่งตง ทั้งสูงส่ง และเปรียบเสมือนมังกรที่ยิ่งใหญ่

หากไม่ได้รับคำสั่งจากหลินหลิ่งตง ใครก็ไม่อาจเข้าพบหลินหลิ่งตงได้ !

“แก แกคิดว่าแกเป็นใคร ? เจ้านายของฉัน หลินหลิ่งตง……”

อู๋จุนหาวตะคอกออกมาเสียงดัง

เพียงแต่ ยังไม่ทันจะพูดจบ

ตุ้บ !

เฉินตงคว้าศีรษะของอู๋จุนหาว แล้วฟาดลงไปบนโต๊ะกระจกที่วางอยู่ตรงหน้าทันที

เพล้ง……

หลังจากเสียงร้องโหยหวนของอู๋จุนหาวดังขึ้น ก็เกิดเสียงของกระจกที่แตกออก และกระจัดกระจายลงบนพื้น

เมื่อดึงศีรษะของอู๋จุนหาวขึ้นมาอีกครั้ง ใบหน้าของเขาก็เปียดโชกไปด้วยเลือดเรียบร้อยแล้ว

เฉินตงค่อยๆ โน้มตัวเข้าไปหาอู๋จุนหาว แววตาเต็มไปด้วยความดุร้าย น้ำเสียงฟังดูเยือกเย็นราวกับลมหนาวที่พัดออกมาจากในนรก

“แกคิดว่า เจ้านายของแกเป็นใครกัน ?

เมืองหลิ่งตง โรงแรมกั๋วจี้

ตอนที่เฉินตงพบกับโจวเย่นชิวและกูหลัง ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกใจ

ทั้งสองคนหน้าตามอมแมม ถึงขั้นที่บนใบหน้าของกูหลังมีรอยฟกช้ำอยู่หลายจุด และเต็มไปด้วยความอ่อนล้า

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ?”

สีหน้าของเฉินตงเคร่งขรึมลง

อีกฝ่ายจะดูถูกเขาก็ไม่ว่า แต่ตอนนี้กลับลงไม่ลงมือกับคนของเขา เรื่องนี้คงพูดจากันดีๆ ไม่ได้แล้ว

โลดแล่นอยู่ในแวดวงอสังหาริมทรัพย์มาหลายปี เฉินตงเข้าใจเรื่องจัดหาที่ดินดีกว่าใคร

ในตอนแรกที่เป็นรองประธานบริษัทอสังหาริมทรัพย์ไท่ติ่ง เขาอาศัยชื่อของหลี่ต้าเป่าในการช่วยไท่ติ่งจัดหาที่ดินด้านนอก

ตอนนี้โจวเย่นชิวจัดหาที่ดินเช่นนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นการนักผู้บริหารรายใหญ่ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์มานั่งรวมกัน สูบซิการ์และดื่มไวน์ จากนั้นจึงปรึกษากันว่าใครจะได้ผืนดินผืนนี้ไป

ส่วนการประมูลก็เป็นเพียงแค่ฉากบังหน้าเท่านั้น

โจวเย่นชิวไม่ได้เล่าเหตุการณ์ให้กระจ่างตั้งแต่ต้น ดังนั้นจึงหวังพึ่งพาไท่ติ่งเพื่อร่วมมือกันจัดหาที่ดินผืนนี้ให้ได้ อาการบาดเจ็บของกูหลังในตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าการเจรจาล้มเหลวไม่เป็นท่า

“คุณเฉิน ขออภัยด้วย ผมดูแลกูหลังไม่ดีเอง” โจวเย่นชิวลูบมือ แล้วพูดด้วยใบหน้ารู้สึกผิด

กูหลังเคยต่อสู้ในโรงยิมมวยใต้ดินของเขา หลังจากพบกับเฉินตง ก็ออกจากโรงยิมมวยใต้ดิน เมื่อมีความสัมพันธ์เช่นนี้ โจวเย่นชิวจึงรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเฉินตงและกูหลังดี ว่าไม่ได้เป็นเพียงแค่นายจ้างและลูกน้องเท่านั้น

เงียบไปสักพัก หลังจากสังเกตว่าเฉินตงไม่มีท่าทีที่เปลี่ยนแปลงไป

โจวเย่นชิวจึงพูดขึ้นต่อว่า “ครั้งนี้คนที่ต่อสู่แย่งชิงที่ดินกับเราบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลิ่งตง บริษัทอสังหาริมทรัพย์หลิ่งตง เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์เพียงบริษัทเดียวและใหญ่ที่สุดในเมืองหลิ่งตง เป็นบริษัทแบบผูกขาด เจ้าของบริษัทคือ หลินหลิ่งตง เป็นราชาที่อยู่ใต้ดินของเมืองหลิ่งตง และมีหูตากว้างขวาง”

“เป็นเพราะที่ดินผืนนั้น เป็นศูนย์กลางของเมืองหลิ่งตง จึงมีราคาที่สูงมาก บริษัทอสังหาริมทรัพย์หลิ่งตงจึงต้องการที่จะครอบครองที่ดินผืนนั้น เดิมทีผมตั้งใจที่จะต่อสู้อย่างสุดความสามารถสักครั้ง เผื่อนำผืนดินผืนนั้นมาให้ได้ แต่ท่าทีของพวกเขากลับแข็งกร้าวเป็นอย่างมาก”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ จู่ๆ โจวเย่นชิวก็หัวเราะออกมาอย่างเก้อเขิน “ขอบอกตามตรง การเจรจาสองครั้งที่ผ่านมา พวกเราไม่เคยพบกับหลินหลิ่งตง พบเพียงแค่ลูกน้องของเขาเท่านั้น ที่กูหลังได้รับบาดเจ็บ ก็เป็นฝีมือของลูกน้องเขา”

“คำพูดลูกน้องของเขาก็เป็นคนพูดอย่างนั้นหรือ ?” เฉินตงถาม

ไม่ต้องพูดถึงภูมิหลังของหลินหลิ่งตง เพียงแค่เรื่องที่ลูกน้องของเขาลงไม้ลงมือ ก็พอจะอธิบายได้ว่า เรื่องนี้ไม่อาจใช้วิธีสันติในการเจรจากันได้อีกต่อไป

“ครับ” โจวเย่นชิวพยักหน้า “เขาคนนั้นชื่ออู๋จุนหาว เป็นลูกน้องคนสนิทของหลินหลิ่งตง มีสมญานามว่าเทพนักรบแห่งหลิ่นตง จิตใจโหดเหี้ยม ฝีมือฉกาจ ปล่อยหมัดรุนแรง”

จู่ๆ เฉินตงก็หัวเราะออกมา

จากนั้นจึงบิดขี้เกียจ “ไปกันเถอะ พวกเราไปเจรจาด้วยตัวเองดู”

ในใจของโจวเย่นชิวรู้สึกยินดี เขารีบลุกยืนขึ้น “ตอนนี้อู๋จุนหาวอยู่ที่โรงแรมจุนหาว นั่นเป็นที่ของเขา”

“คุณเฉิน” กูหลังรู้สึกกังวลเล็กน้อย “หรือจะเรียกพี่คุนหลุนมาด้วยดี ?”

เฉินตงหยุดเดิน “นายสงสัยความสามารถในการต่อสู้ของฉันหรือยังไง ?”

กูหลังส่ายหัว “เรื่องแบบนี้ ให้พี่คุนหลุนจัดการน่าจะดีกว่า ไม่ต้องให้คุณเฉินลงมือด้วยตัวเอง”

“ทำร้ายพี่น้องของฉัน จะไม่ให้ฉันลงมือกลับด้วยตัวเองได้อย่างไร ?”

คำพูดเพียงประโยคเดียวของเฉินตง ทำให้กูหลังยอมปิดปาก

จากนั้น เฉินตงก็หันมองโจวเย่นชิว “ฉันไม่ต้องการที่อยู่ของอู๋จุนหาว ฉันต้องการที่อยู่ของหลินหลิ่งตง”

โจวเย่นชิวตะลึงไปชั่วครู่

จากนั้นจึงพูดอย่างจนใจว่า “อู๋จุนหาวจัดการธุระแทนหลินหลิ่งตงมาโดยตลอด ในเมืองหลิ่งตง คนที่รู้ว่าหลินหลิ่งตงอยู่ที่ไหน ก็เห็นจะมีแต่พวกของอู๋จุนหาวเพียงไม่กี่คนเท่านั้น”

“ถ้าอย่างนั้นก็ไปที่โรงแรมจุนหาว”

ครึ่งชั่วโมงผ่านไป

เฉินตงพากูหลังและโจวเย่นชิวมาถึงโรงแรมจุนหาว

ที่นี่เป็นโรงแรมระดับสี่ดาว

ในฐานะที่เป็นลูกน้องคนสนิทของหลินหลิ่งตง สามารถครอบครองโรงแรมขนาดใหญ่ขนาดนี้ได้ พิสูจน์ถึงฐานะของเขาที่อยู่ต่อหน้าหลินหลิ่งตง และเป็นการพิสูจน์ฐานะของหลินหลิ่งตงในเมืองหลิ่งตง

“ไปกันเถอะ”

เฉินตงเดินเข้าไปในโรงแรมด้วยท่าทีเฉยเมย

โจวเย่นชิวมีท่าทีกังวลเล็กน้อย มีเหงื่อค่อยๆ ไหลอาบอยู่บนหน้าผากของเขา

เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะเขา ถ้าหากเฉินตงคิดจะเอาผิดแล้วล่ะก็ เขาเองก็ไม่อาจรับไหว

ตอนนี้ จึงทำได้เพียงอยู่ในฐานะเบี้ยล่างเท่านั้น

เขาเดินนำไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว และหาผู้จัดการล็อบบี้ของโรงแรมจนเจอ “สวัสดีครับ พวกเราต้องการขอพบพี่จุนหาวสักครู่ครับ”

รอยยิ้มบนใบหน้าของผู้จัดการล็อบบี้หายไป

เขาเหลือบมองเฉินตงและกูหลัง

จากนั้นจึงวางมาดขึ้นมา “ผมจำได้แล้ว พวกคุณสองคนคือคนที่ถูกประธานอู๋จัดการเมื่อตอนบ่ายไหม ?”

คำพูดและการกระทำของเขา เต็มไปด้วยการดูถูกเหยียดหยาม

โจวเย่นชิวยิ้มออกมาอย่างเก้อเขิน “รบกวนคุณช่วยไปรายงานด้วย”

“กลับไปเถอะ ประธานอู๋มีธุระต้องสะสางมากมาย คิดว่าใครคิดก็เข้าพบก็เข้าพบได้ง่ายๆ หรือยังไง ?”

ผู้จัดการล็อบบี้ไม่คิดที่จะพูดให้เสียเวลา เขาโบกมือ “หรือจะพูดว่า พวกคุณยังถูกตีไม่พอ เลยอยากจะโดนอีกสักยก ?”

สีหน้าของโจวเย่นชิวหมองหม่นลง

ตอนนี้เขาต้องแสดงเป็นเพียงแค่เบี้ยล่างจริงๆ แต่ในความเป็นจริงแล้ว เขาเป็นถึงยอดฝีมือของห้างสรรพสินค้าเลยนะ

เมื่อมีคนตบหน้าเขาด้วยคำพูดเช่นนี้ ทำให้เขารู้สึกโมโหขึ้นมา

แต่เมื่อนึกถึงเฉินตงที่ยืนอยู่ด้านหลัง เขาก็กัดฟัน และกำลังจะอ้าปากพูด

ทันใดนั้น

ก็เหลือบไปเห็นคนคนหนึ่งกำลังเดินออกมา

“เจ้าสุนัขรับใช้ แกพูดบ้าอะไรกับเขา ?”

ตุ้บ !

จู่ๆ เฉินตงก็ต่อยลงไปที่ท้องของผู้จัดการล็อบบี้ในทันที

ทันใดนั้น ผู้จัดการล็อบบี้ก็กรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เขาจุกจนหน้าเขียว เอามือกุมท้อง และทรุดตัวลงไปนั่งอยู่กับพื้น

ในขณะเดียวกันก็กัดฟันพูดด้วยความโมโห “แกกล้าต่อย……”

ยังไม่ทันจะพูดจบ เขาก็รู้สึกคอตีบตัน จนต้องกลืนคำพูดที่จะพูดออกมากลับลงท้องไป

เฉินตงบีบคอของผู้จัดการล็อบบี้แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “ฉันไม่มีเวลามาเสียเวลากับสุนัขรับใช้ พาฉันไปพบกับอู๋จุนหาว”

ผู้จัดการล็อบบี้พยายามต่อสู้ดิ้นรน แต่มือขวาของเฉินตงนั้นแข็งแกร่งเหมือนเหล็ก ทำให้เขารู้สึกหายใจไม่ออกอย่างรวดเร็ว

การข่มขู่ที่เกี่ยวพันถึงความเป็นความตายรุนแรงขึ้น

เขาพยักหน้าด้วยความหวาดกลัว

พรึบ !

เฉินตงปล่อยมือลงแล้วหันมองโจวเย่นชิว “ประธานโจวพูดคุยกับสุนัขรับใช้ด้วยเหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ?”

อีกทางด้านหนึ่ง เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสังเกตเห็นภาพที่เกิดขึ้น จึงรีบตรงเข้ามาทางนี้ทันที

ผู้จัดการล็อบบี้รีบยกมือขึ้นห้าม

จากนั้นจึงหันมองเฉินตงด้วยความหวาดกลัว

เขารู้ดีว่า นี่คือปีศาจ ซึ่งโหดเหี้ยมกว่าอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้า !

คนเช่นนี้ จะต้องให้ประธานอู๋เป็นคนจัดการเท่านั้น !

จากนั้น

ผู้จัดการล็อบบี้ก็ลุกขึ้น แล้วเดินนำทางไปด้วยความเคารพ ไม่หยิ่งยโสอย่างเช่นเมื่อครู่อีก

ทุกอย่างเกิดขึ้นภายในเวลาเพียงไม่กี่วินาที

แต่กลับทำให้โจวเย่นชิวต้องรู้สึกหม่นหมอง เมื่อเขาเห็นแววตาของเฉินตง ก็รู้สึกเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาอีกครั้ง

“ฆ่าคนอย่างเลือดเย็น เฉินตงแต่ก่อน ไม่มีลักษณะนิสัยที่เด็ดขาดเช่นนี้ !”

นี่คือความคิดที่อยู่ในใจของโจวเย่นชิว

ส่วนกูหลัง กลับเดินตามหลังไปด้วยความเคยชิน

ชั้นบนสุดของโรงแรมจุนหาว ทั้งชั้น เต็มไปด้วยสถานที่สำหรับอาบน้ำและพักผ่อนหย่อนใจ

พวกของเฉินตงเดินตามผู้จัดการล็อบบี้ออกจากลิฟต์

ในที่สุด ก็เดินมาหยุดอยู่ด้านหน้าห้องหมายเลข “99999”

ก๊อกก๊อกก๊อก !

ผู้จัดการล็อบบี้หันมองเฉินตง จากนั้นท่าทีหวาดกลัวของเขาก็ลดลงเล็กน้อย และแสยะยิ้มมุมปากออกมา

ทว่า

ตอนนี้เอง

จู่ๆ เฉินตงก็เดินขึ้นไปด้านหน้า

ปัง !

เขาใช้เท้าเตะประตูจนเปิดออก

ลงมือเด็ดขาดและน่าเกรงขาม

เสียงหัวเราะพูดคุยอย่างสนุกสนานภายในห้องหยุดลงทันที เหลือเพียงเสียงดนตรีที่ยังคงดังก้องอยู่

ทุกคนหันมามองหน้าของเฉินตงด้วยความโมโห

หญิงสาวที่ใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้นภายในห้อง รีบเดินไปรวมกันอยู่ที่มุมห้องอย่างมีไหวพริบ

เฉินตงลูบจมูก แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ใครคืออู๋จุนหาว ? ออกมา !”

“ประธานโจว เรื่องจัดหาที่ดิน คุณเป็นมืออาชีพ คงไม่ต้องรบกวนผมหรอกมั้ง ?”

เฉินตงกล่าวอย่างงุนงง

โจวเย่นชิวโลดแล่นอยู่ในแวดวงห้างสรรพสินค้ามาหลายสิบปี ในเมืองนี้ มีเพียงธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์เท่านั้น แต่ก็ยังสามารถเทียบชั้นได้กับโจวจุนหลง ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์ ถึงขั้นสามารถเหยียบโจวจุนหลงจนไม่อาจลืมตาอ้าปากได้

ยอดฝีมือเช่นนี้ ไม่สามารถจัดหาที่ผืนเดียวได้ ?

โจวเย่นชิวลูบมืออย่างทำตัวไม่ถูก “ขอพูดตามตรง หากเป็นเมืองนี้ ผมคงคว้ามาไว้ในมือได้อย่างง่ายดาย แต่ที่ดินผืนนั้นอยู่ในเมืองหลิ่งตงที่อยู่ติดกัน หากผมซื้อมาก็คงเกิดปัญหาขึ้น”

เฉินตงไม่ได้สนใจ เขาโบกมือ “เรื่องนี้คุณไปคุยกับเสี่ยวหม่าและกูหลังที่ไท่ติ่งเถอะ พวกเขาจะร่วมมือกับคุณ”

“ขอบคุณครับคุณเฉิน !”

โจวเย่นชิวยินดีเป็นอย่างยิ่ง เขารีบพูดว่า “ขอบคุณคุณเฉินที่ช่วยเหลือ หากผมจัดหาที่ดินผืนนี้มาได้สำเร็จ ผมจะต้องตอบแทนอย่างเต็มที่แน่นอนครับ หากคุณเฉินไม่รังเกียจ จะร่วมพัฒนาด้วยกันผมก็ยินดี !”

“เอาล่ะ คุณไปเถอะ ผมจะต้องรีบไปอยู่เป็นเพื่อนภรรยาอีก”

เฉินตงโบกมือ จากนั้นจึงเดินนำท่านหลงและคุนหลุนไปยังลานป่าไผ่

“คุณชาย โจวเย่นชิวถึงขั้นเอ่ยปากให้ร่วมพัฒนาด้วยกัน ดูเหมือนว่าที่ดินผืนนี้น่าจะมีปัญหาจริงๆ” จู่ๆ ท่านหลงก็พูดขึ้นมา

“เสี่ยวหม่ากับกูหลังน่าจะจัดการได้”

เฉินตงพยักหน้า โจวเย่นชิวเป็นคนเช่นไรนั้น เขารู้ดี

ยอดฝีมือที่โลดแล่นอยู่ในวงการห้างสรรพสินค้ามาหลายสิบปี ไม่ว่ากลอุบายหรือวิธีการต่างก็อยู่ในระดับสูง

หาดที่ดินผืนนั้นสามารถจัดหาได้ง่ายๆ โจวเย่นชิวคงจะฮุบเอาไว้คนเดียวนานแล้ว

ตอนนี้ถึงขั้นเสนอให้พัฒนาร่วมกัน เห็นได้ชัดว่าเป็นการแบ่งเนื้อชิ้นอร่อยที่อยู่ในปากออกมาให้ครึ่งหนึ่ง หากเขายอมสูญเสียเงินจำนวนนี้ได้ แสดงว่าต้องเป็นเรื่องที่เหนือความสามารถของตนเอง

ท่านหลงพยักหน้า และไม่พูดอะไรต่อ

เมื่อกลับไปถึงลานป่าไผ่

กู้ชิงหยิ่งและฟ่านลู่กำลังนั่งดื่มชาอยู่ในลาน

“กลับมาเร็วขนาดนี้เลยหรือคะ ทำไมคุณต้องทำให้ตัวเองเหนื่อยขนาดนี้ด้วย”

กู้ชิงหยิ่งกล่าวทักทายพร้อมกับบ่นมาหนึ่งประโยค

เฉินตงยิ้มเล็กน้อย “ไม่ใช่เพราะผมต้องการรีบกลับมาอยู่เป็นเพื่อนคุณหรอกหรือ ?”

“มีพี่เสี่ยวลู่อยู่ ยังจะต้องให้คุณอยู่เป็นเพื่อนอีกหรือยังไง ?”

กู้ชิงหยิ่งชูหมัดขวาขึ้น “ตอนนี้คุณจะเป็นพ่อคนแล้ว เป้าหมายแรกที่คุณต้องทำก็คือ หาค่านมให้ลูก หากไม่มีค่านมลูก ฉันในฐานะที่เป็นแม่ คงต้องจัดการกับคุณแล้ว”

ประโยคนี้ ทำให้ทุกคนหัวเราะขึ้นมา

แต่เฉินตงรู้ดีว่า กู้ชิงหยิ่งกำลังเข้าใจเขา

เพราะระยะเวลาหนึ่งปีนั้นถือว่าสั้นมาก !

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เฉินตงก็รู้สึกซาบซึ้งขึ้นในใจ

จากนั้นจึงลูบดั้งจมูกของกู้ชิงหยิ่งด้วยความรัก แล้วยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน “วางใจเถอะ ตอนที่ลูกคลอด ผมจะต้องหาเงินลูกเอาไว้ได้เยอะๆ อย่างแน่นอน หาเงินเป็นเรื่องสำคัญ แต่อยู่เป็นเพื่อนคุณนั้นสำคัญยิ่งกว่า”

เฉินตงอยู่เป็นเพื่อนกู้ชิงหยิ่งตลอดทั้งเช้า

เมื่อผ่านพ้นเรื่องเมื่อคืนมา ลานป่าไผ่ในตอนนี้ ก็เงียบสงบเป็นอย่างมาก ทำให้เฉินตงรู้สึกสบายใจขึ้นไม่น้อย

มีภรรยาและลูกอยู่ร่วมกันอย่างอบอุ่น ล้วนเป็นชีวิตที่ผู้ชายทุกคนใฝ่หา

ถึงแม้เขาจะอยู่เหนือผู้คนทั้งปวงก็ตาม

หลังจากทานอาหารมื้อเที่ยงเสร็จ

ท่านหลงก็เชิญเฉินตงไปที่ลาน

“คุณชายครับ ตระกูลหลี่จบสิ้นลงแล้ว”

ท่านหลงพูดด้วยท่าทีเคร่งขรึม “เมื่อคืนสงวนท่าทีกันตลอดทั้งคืน เช้าวันนี้ตระกูลมั่งคั่งต่างๆ ในเมืองหลวง ต่างชิงลงมือพร้อมกัน ยักยอกทรัพย์สินส่วนใหญ่ของตระกูลหลี่ไปจนหมด ส่วนที่เหลือก็ดูเหมือนว่ากำลังจะหมด”

เฉินตงคาดการณ์เอาไว้นานแล้ว

“หากหลังจากที่คุณท่านใหญ่ตระกูลหลี่ตายไป หลี่เต๋อซานพอจะมีสมองสักหน่อย ก็คงพอประคองตระกูลหลี่ไปได้อีกนาน ถึงแม้ไม่อาจประคองเอาไว้ได้ ต้องสูญเสียตำแหน่งตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองหลวงไป แต่อูฐที่ผอมโซก็ยังคงตัวใหญ่กว่าม้า ตระกูลหลี่ยังคงเป็นตระกูลมั่งคั่งภายในเมืองหลวงได้”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ เฉินตงก็หัวเราะเยาะออกมา “แต่น่าเสียดายที่ตระกูลหลี่มีแต่คนโง่ ยิ่งหลี่เต๋อซานนั้น โง่เขลากว่าคนปัญญาอ่อนเสียอีก”

ท่านหลงพยักหน้า เฉินตงพูดตรงกับความเป็นจริงทุกอย่าง

จิ้งจกที่หางขาด ยังมีชีวิตรอดอยู่ได้

อีกทั้งยังเคยมีตำแหน่งเป็นถึงตระกูลหลี่ที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองหลวงอีกด้วย !

แต่หลี่เต๋อซานกลับเลือกใช้วิธีการที่โง่ที่สุดในบรรดาตัวเลือกที่มี

“นายหาฉันคงไม่ได้ต้องการมาพูดแค่เรื่องนี้หรอกใช่ไหม ?” จู่ๆ เฉินตงก็หันมองท่านหลง

ท่านหลงยิ้มออกมาอย่างเก้อเขิน “อันที่จริงแล้วฉู่เจียนเจียให้ผมช่วยมาถามความคิดเห็นของคุณแทนเธอ”

เงียบไปครู่หนึ่ง ท่านหลงก็พูดต่อว่า “หลี่เต๋อซานตายไปแล้ว ตระกูลหลี่เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ บุตรชายตนที่สามของตระกูลหลี่รู้ดีว่าคุณกับตระกูลหลี่นั้นเหมือนน้ำกับไฟ แต่เขาเป็นคนที่ฉลาด จึงได้พลิกสถานการณ์และขอโอกาส ต้องการจะให้ธุรกิจของตระกูลหลี่ส่วนหนึ่ง ไปตกอยู่ในมือของตระกูลฉู่”

“ลอกคราบใหม่ ?” เฉินตงเลิกคิ้ว อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจ “ฉันดูถูกตระกูลหลี่เกินไปแล้ว ดูเหมือนจะยังหลงเหลือคนมีสมองอยู่หนึ่งคน”

ตอนนี้ตระกูลหลี่กำลังถูกตระกูลมั่งคั่งรุมทึ้งอย่างบ้าคลั่ง หากยกส่วนหนึ่งให้กับตระกูลฉู่ แล้วยอมละทิ้งผลประโยชน์บางส่วน ก็ยังพอที่จะรักษาพื้นฐานส่วนหนึ่งเอาไว้ได้

ถึงแม้ตระกูลฉู่จะไม่ได้อยู่เหนือสุดของยอดพีระมิดในเมืองหลวง แต่ก็ถือเป็นตระกูลมั่งคั่งอันดับต้นๆ

และที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ ตระกูลมั่งคั่งในเมืองหลวงต่างรู้กันดีว่า ตระกูลฉู่นั้นอยู่ภายใต้การดูแลของเฉินตง อีกทั้งยังอยู่ภายใต้การดูแลของตระกูลเฉิน !

เมื่อมีธงขนาดใหญ่นี้ปักอยู่ ตระกูลมั่งคั่งต่างก็ต้องยอมรามือจากทรัพย์สินของตระกูลหลี่ที่กำลังผนวกรวมเข้ากับตระกูลฉู่

“น่าจะมีความหมายประมาณนี้ ฉู่เจียนเจียคงคิดไม่ตก ดังนั้นจึงให้กระผมช่วยมาถามความคิดเห็นจากคุณชายแทนเธอ” ท่านหลงพยักหน้า

“นายคิดเห็นว่ายังไงล่ะ ?” เฉินตงเลิกคิ้วถาม

“ระยะเวลาหนึ่งปีอยู่ใกล้แค่เอื้อม มีสิ่งใดเพิ่มขึ้นมาเพียงแค่นิดเดียวก็สามารถทำคะแนนเพิ่มได้” ท่านหลงตอบ

จู่ๆ เฉินตงก็หัวเราะออกมา

เสียงหัวเราะทำให้ท่านหลงผงะไป

จากนั้น เฉินตงก็พูดขึ้นว่า “การเลี้ยงลูกเสือลูกจระเข้ ท่านหลงก็คงพอเข้าใจดีนะ ? เรื่องชาวนากับงูเห่า ก็คงมีคนเคยเล่าเอาไว้มากมาย ? ฉันยังไม่ถึงขั้นอดอยากหรอกนะ”

บิดขี้เกียจ

แล้วเฉินตงก็พูดขึ้นว่า “ฉันกลับไปอยู่เป็นเพื่อนภรรยาก่อน”

ท่านหลงยืนอึ้งอยู่ที่เดิม หลังจากคิดทบทวนอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นโทรหาฉู่เจียนเจีย

“ให้ตระกูลหลี่เป็นไปตามที่ควรจะเป็นเถอะ ตระกูลจางและตระกูลฉู่ ห้ามยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวเด็ดขาด !”

……

เฉินตงไม่สนใจว่าจะเกิดความวุ่นวายขนาดไหนขึ้นภายในเมืองหลวง

หากต้องไปสนใจตระกูลหลี่ ไม่สู้เอาเวลามาสนใจภรรยาของตนเอง และสนใจเรื่องการหายตัวไปของพ่อจะดีกว่า

ผ่านไปอีกหนึ่งวันอย่างสงบสุข

ช่วงเวลาที่สุขสบายเช่นนี้ กลับถูกทำลายลงด้วยสายโทรศัพท์จากกูหลัง

“คุณเฉิน การเจรจาล้มเหลว !”

เฉินตงรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย “เรื่องแค่นี้ยังเจรจาล้มเหลวอีกหรือ ? เพียงก็ที่ดินที่อยู่เมืองข้างๆ แค่นี้ ไท่ติ่งกับโจวเย่นชิวร่วมมือกัน ยังไม่อาจเจรจาได้สำเร็จอีกหรือ ?”

“เจรจาไม่สำเร็จไม่พอ เมื่อครู่ยังมีการลงไม้ลงมือด้วยครับ”

เฉินตงสีหน้าเคร่งขรึมลง แค่เมืองที่อยู่ติดกัน เขาปฏิรูปเมืองนี้ครั้งใหญ่ขนาดนี้ เมืองที่อยู่ติดกันก็น่าจะเคยได้ยินข่าวคราวบ้าง

ไท่ติ่งและโจวเย่นชิวร่วมมือกันออกหน้าขนาดนี้ ต่อให้อีกฝ่ายเป็นนายท่านหม่าก็น่าจะไว้หน้ากันบ้าง

อย่างไรเสียก็เป็นเพียงงูยักษ์เจ้าถิ่นเท่านั้น ไม่เหมือนยี่เคอกรุ๊ปของตระกูลเฉินที่เป็นมังกรผู้ยิ่งใหญ่

“นายไม่ได้อ้างชื่อของไท่ติ่งเราหรอกหรือ ?” เฉินตงถาม

“พูดครับ !”

จู่ๆ กูหลังก็พยายามระงับเสียงที่เต็มไปด้วยความโมโหอย่างสุดความสามารถ “เพียงแต่อีกฝ่ายไม่เห็นไท่ติ่งของเราอยู่ในสายตา อีกทั้งยังขู่ว่าหากไท่ติ่งยื่นมือเข้ามายุ่งเรื่องนี้ จะให้คุณคุกเข่าและยกเหล้าไปขอโทษพวกเขาครับ”

เฉินตงรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องน่าขำในทันที

ที่ดินเพียงแค่ผืนเดียว กลับทำให้เป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้เชียวหรือ

อีกฝ่ายเป็นคนประเภทไหนกันแน่ ?

เฉินตงสูดหายใจเข้าหนึ่งครั้งแล้วพูดว่า “บอกพิกัดมาให้ฉัน ฉันจะไปเดี๋ยวนี้ จะดูซิว่าพวกเขาจะทำให้ฉันยอมยกเหล้าไปขอโทษได้ไหม”

คืนนี้ เมืองหลวงไม่อาจหลับใหล

ตระกูลมั่งคั่ง กำลังแอบเคลื่อนไหว

บ้างก็ตกใจ บ้างก็ตื่นเต้นยินดี บ้างก็รู้สึกสมเพช

ตระกูลหลี่ตกต่ำลงและล่มสลาย ก็มีคนแอบลับมีดอยู่อย่างลับๆ รอเอาไว้แล้ว

แต่อย่างไรเสีย อูฐที่ผอมโซก็ยังตัวใหญ่กว่าม้าอยู่ดี หากคิดที่จะกลืนกินอย่างรวดเร็วถือเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ จึงทำได้เพียงค่อยเป็นค่อยไป

อีกทั้งตอนนี้ จู่ๆ เจ้าบ้านตระกูลเฉินก็เสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน

จึงถือเป็นการสร้างโอกาสให้กับบรรดาตระกูลมั่งคั่งโดยไม่ต้องสงสัย

เป็นโอกาสจากสวรรค์ที่จะกลืนกินตระกูลหลี่ได้ในชั่วพริบตา !

ทั่วทั้งเมืองหลวง เหมือนมีพายุลูกใหญ่ที่รุนแรงและเกรี้ยวกราดเกิดขึ้น

เฉินตงไม่สนใจสิ่งเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย

หลังจากออกจากโรงแรมแล้ว เข้าก็กลับไปยังโรงแรมที่พัก

เขาเกลียดตระกูลหลี่ แต่ก็เพียงแค่เกลียดเท่านั้น

ในตอนแรก เขาสามารถระงับความโกรธของเขาเอาไว้ได้

แต่หลังจากที่คุณท่านใหญ่ตระกูลหลี่ตายไป และหลี่เต๋อซานเข้ามาดูแลตระกูลหลี่แทน พร้อมทั้งประกาศเงินรางวัลในองค์กร hidden killers บนดาร์กเว็บ ความแค้นนี้ก็ไม่อาจให้อภัยได้อีกต่อไป

ตระกูลหลี่จะต้องชดใช้ในความโง่เขลาของตัวเอง

ต่อให้หลี่เต๋อซานไม่มาหาเขา เขาก็ต้องหาโอกาสจัดการกับตระกูลหลี่อยู่ดี

เพียงแต่ความบ้าคลั่งของหลี่เต๋อซาน ทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเร็วยิ่งขึ้น

ในห้องพักภายในโรงแรม

คุนหลุนยังคงรู้สึกตกอยู่ในภวังค์เล็กน้อย ยังไม่อาจเรียกสติกลับมาจากฉากที่เฉินตงหลบกระสุนปืนได้

ท่านหลงเองก็จนใจกับเรื่องนี้ ได้แต่ส่ายหัวและถอนหายใจ

ส่วนในห้องพักอีกห้องหนึ่ง

เฉินตงกำลังนั่งนิ่งอยู่ข้างหน้าต่าง มองดูบรรยากาศยามค่ำคืนของเมืองหลวง ที่ยังคงมีฝนตกโปรยปราย

เขาพึมพำขึ้นมาเบาๆ ว่า “หลังจากฝนหลุดลงแล้ว ท้องฟ้าของเมืองหลวงคงจะสดใสขึ้นมากกว่านี้นะ ?”

“ฉันจะไปเปิดห้อง”

จู่ๆ ฉินเย่ก็ลุกขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

เฉินตงเหลือบมองฉินเย่ด้วยความประหลาดใจ “นายเพิ่งจะโดนทำร้ายมา ยังไหวอีกหรือ ?”

“คนหนุ่มแรงดี โดนท่อเหล็กแค่นี้จะเป็นไรไป ?” ฉินเย่ทำสีหน้าไม่แยแส

เฉินตงลูบจมูก “นายเงก็อายุไม่น้อยแล้ว ถ้ารู้สึกว่าเธอเหมาะสมจริงๆ ก็น่าจะลองพิจารณาดูได้แล้ว”

รอยยิ้มบนใบหน้าของฉินเย่จางหายไป

เขาจุดบุหรี่ขึ้นมาสูบหนึ่งมวน

“นายว่าฉันคู่ควรไหม ?”

พึมพำออกมาเบาๆ หนึ่งประโยค แล้วฉินเย่ก็หันมองเฉินตง “ฉันเป็นลูกทรพีที่ฆ่าพ่อของตัวเอง ชื่อเสียงที่เลวร้ายเช่นนี้ ถ้าหากฉันแต่งงานกับเธอจริงๆ ต่อไปคนอื่นจะมองเธอยังไง ?”

“แล้วนายจะตัวติดอยู่กับเธอทุกวันอย่างนี้นะหรือ ?” เฉินตงถาม

ฉินเย่ยักไหล่ และเกาหัวด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย “ฉันเลยบอกยังไงล่ะว่า ดูเหมือนครั้งนี้ฉันจะเล่นจนเลยเถิดเกินไปแล้ว !”

ขณะที่พูด ฉินเย่ก็พ่นควันบุหรี่ออกมา แล้วหันมองออกไปยังสายฝนที่ตกโปรยปรายอยู่นอกหน้าต่างอย่างเศร้าสร้อย พร้อมถอนหายใจและพูดออกมาว่า “ไม่พูดแล้ว เธอน่าจะมาถึงแล้ว !”

เมื่อมองดูฉินเย่ที่หันหลังเดินจากไป เฉินตงก็ยิ้มแหยออกมา

แต่นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของฉินเย่ เขาเองก็ไม่มีสิทธิ์เข้าไปก้าวก่าย ทำได้เพียงตักเตือนในฐานะเพื่อนเท่านั้น

ไม่มีอะไรต้องพูดอีกในค่ำคืนนี้

เช้าวันรุ่งขึ้น

ฉู่เจียนเจียรีบมาที่โรงแรมตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อมาอธิบายและชดใช้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้

เฉินตงเองก็ไม่ได้ใส่ใจ เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน แม้กระทั่งตัวเขาเองก็ไม่คาดคิดมาก่อน จึงไม่แปลกที่ฉู่เจียนเจียเองจะคาดไม่ถึงเช่นกัน

ใครจะไปคาดเดาได้

ตระกูลหลี่ที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองหลวงในอดีต จู่ๆ เจ้าบ้านคนใหม่จะทำเรื่องที่บ้าคลั่ง ยอมสู้จนหัวชนฝาในเวลาเช่นนี้ ?

ในทางกลับกันหากเป็นเพียงคนธรรมดา คงไม่ต้องใช้วิธีการที่สุดโต่งและบ้าคลั่งเช่นเดียวกับที่หลี่เต๋อซานใช้

เฉินตงเองก็ไม่คิดที่จะอยู่ต่อในเมืองหลวงนานนัก จึงได้เดินทางกลับพร้อมกับคุนหลุนและท่านหลงตั้งแต่เช้า

ส่วนฉินเย่ เขายังไม่คิดที่จะกลับไปพร้อมกัน

ในช่วงเวลาที่เร่าร้อนเช่นนี้ หากไปรบกวนเขา ก็ดูจะเป็นการเสียมารยาท

บนเครื่องบิน

ท่านหลงพูดติดตลกว่า “คุณชายรีบร้อนเดินทางกลับเช่นนี้ เพราะคิดถึงคุณนายน้อยใช่ไหมครับ ?”

“อืม เสี่ยวหยิ่งตั้งท้องอยู่ ฉันอยากจะอยู่เป็นเพื่อนเธอให้มาก ได้ยินมาว่าตั้งต้องนั้นลำบากมาก อีกทั้งยังเป็นโรคซึมเศร้าได้ง่ายอีกด้วย ฉันไม่สามารถช่วยเธอแบ่งเบาความลำบากนี้ได้ จึงทำได้เพียงแค่อยู่เป็นเพื่อนเธอใกล้ๆ”

เฉินตงพูดด้วยรอยยิ้ม

ท่านหลงพูดว่า “อันที่จริงแล้วคุณชายก็ไม่ต้องกังวลใจไป ไม่มีอะไรหรอกครับ”

“เป็นห่วงภรรยาเป็นเรื่องที่ถูกต้อง” เฉินตงลูบจมูก

ท่านหลงและคุนหลุนยิ้มออกมาพร้อมกัน

คุนหลุนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยถามว่า “คุณชาย ตอนที่คุณหลบลูกกระสุน คุณคิดอะไรอยู่หรือครับ ?”

“ฉันไม่อยากรอความตาย ต่อสู้ให้ถึงที่สุด ถึงจะนอนตายตาหลับ” เฉินตงตอบ

แค่สู้จนสุดชีวิต……จริงๆ หรือ ?

ในใจของคุนหลุนรู้สึกตกตะลึง คนสามารถดึงเอาศักยภาพออกมาในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานได้จริงๆ

แต่ศักยภาพนั้นก็แตกต่างออกไปตามแต่ละบุคคล

ความสามารถที่สามารถหลบลูกกระสุนได้เช่นนื้ ศักยภาพของคุณชายต้องน่ากลัวแค่ไหนกัน ?

เครื่องบินลงจอดที่สนามบินแถบชานเมือง

เฉินตงเดินทางไปที่บริษัทอสังหาริมทรัพย์ไท่ติ่งก่อน เพื่อจัดการธุระบางอย่าง

ตอนนี้บริษัทไท่ติ่งได้ดำเนินโครงการปรับปรุงย่านสลัมที่ภาคตะวันตกของเมืองแล้วเสร็จเรียบร้อยแล้ว ศักยภาพของบริษัทสามารถเทียบชั้นได้กลับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ของโจวเย่นชิวและโจวจุนหลงได้แล้ว ถึงขั้นว่า อาจเหนือกว่าอยู่เล็กน้อย

แต่ทว่า เฉินตงก็ยังไม่รู้สึกพอใจเพียงเท่านี้ ยังมีแผนการอยู่ในใจอีกมากมายเกี่ยวกับการพัฒนาบริษัทในอนาคต

ถึงแม้ตอนนี้ในมือจะมีธุรกิจของตระกูลฉินแห่งซีสู่อยู่ครึ่งหนึ่งแล้ว และยังมีบริษัททางด้านสื่อบันเทิงของตระกูลฉู่แห่งเมืองหลวงอีก ซึ่งถือว่ามีศักยภาพที่เหนือกว่าบริษัทอสังหาริมทรัพย์ไท่ติ่งอยู่มาก

เฉินตงเองไม่เคยมีความคิดที่จะทอดทิ้งบริษัทอสังหาริมทรัพย์ไท่ติ่ง

นี่เป็นธุรกิจรุ่นบุกเบิกและถือเป็นรากฐานของเขา

อีกทั้ง การส่งกระดาษคำตอบให้กับตระกูลเฉินอีกหนึ่งปีให้หลัง แม้กระทั่งสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ก็จะต้องนำมารวมเข้าไปด้วย

เมื่อมีบริษัทเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งบริษัท ก็เท่ากับมีโอกาสชนะที่เพิ่มขึ้นมาด้วย !

หลังจากมอบหมายงานต่างๆ ให้เสี่ยวหม่าและกูหลังรับผิดชอบเรียบร้อยแล้ว เฉินตงจึงเดินทางกลับคลับสี่ยิ่นพร้อมกับท่านหลงและคุนหลุน

ทว่า เมื่อกลับไปถึงที่คลับ

เฉินตงกลับพบเข้ากับท่านเมิ่งและโจวเย่นชิว

“คุณเฉิน !”

เมื่อโจวเช่นฉิวเห็นเฉินตง ก็แสดงความดีใจออกมา

เขารีบเดินเข้าไปข้างหน้า จากนั้นจึงโค้งคำนับ ดวงตาทั้งสองข้างที่อยู่ภายใต้กรอบแว่นทอง โค้งจนเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว

“กลับมาเร็วขนาดนี้เลยหรือ ?”

ท่านเมิ่งยิ้มแล้วหันไปพยักหน้าให้เฉินตง จากนั้นจึงเหลือบมองโจวเย่นชิว แล้วพูดกับเฉินตงว่า “โจวเย่นชิวมีธุระจะคุยกับคุณ ฉันขอตัวก่อน”

“ลาก่อนครับท่านเมิ่ง” เฉินตงพยักหน้า

หลังจากท่านเมิ่งออกไปแล้ว เฉินตงจึงหันมาให้ความสนใจกับโจวเย่นชิว

เมื่อเห็นร่างกายของโจวเย่นชิวที่โค้งงอเล็กน้อย เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสัย

เมื่อนานมาแล้ว เขาเป็นเพียงแค่รองประธานบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่โจวเย่นชิวมอบให้ภรรยาและน้องชายเอาไว้ใช้จ่ายยามเกษียณเท่านั้น

ในตอนนั้น ในสายตาของเขาแล้ว โจวเย่นชิวนั้นช่างสูงส่ง

ถึงแม้ตอนนั้น เฉินตงจะมีรายได้ต่อปีถึงหนึ่งล้าน แต่เขารู้ดีว่า ไม่ว่าจะด้านความสามารถหรือพื้นฐานครอบครัว ชาตินี้เขาไม่มีทางเทียบชั้นกับโจวเย่นชิวได้

แต่ทว่า ระยะเวลาเพิ่งจะผ่านมาเพียงเท่าไหร่ ?

คนที่เขาเคยแหงนมองด้วยความชื่นชม บัดนี้กลับต้องโน้มตัวอยู่ต่อหน้าเขา

การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ หากเป็นเมื่อก่อน เฉินตงคงไม่เคยคิดมาก่อน

แอบถอนหายใจอยู่ในใจ เฉินตงไม่แสดงท่าทีเย่อหยิ่งแม้แต่น้อย กลับยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ประธานโจว ไม่ต้องมากพิธี มีเรื่องอะไรก็พูดมาตรงๆ เถอะ”

โจวเย่นชิวลูบมือแล้วพูดว่า “อันที่จริงแล้ว ผมนำของขวัญเล็กน้อยมาเยี่ยมคุณ เมื่อรู้ว่ามีเพียงคุณนายน้อยอยู่ที่บ้าน ผมเองก็ไม่คิดที่จะอยู่นาน จึงตั้งใจวางของขวัญแล้วเตรียมตัวที่จะกลับ คิดไม่ถึงว่า……”

“ประธานโจว พวกเรารู้จักกันมาหลายปีแล้ว ไม่จำเป็นต้องพูดอ้อมค้อมอีก”

เฉินตงลูบจมูก จากนั้นจึงยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ถึงแม้ช่วงที่ผ่านมา พวกเราเคยมีเรื่องบาดหมางใจต่อกัน แต่ตอนนี้ก็ถือว่าเดินร่วมบนเส้นทางเดียวกัน มีเรื่องอะไรก็ขอให้พูดมาตามตรง หากผมพอจะช่วยเหลือได้ผมก็จะช่วย”

“ครับ ขอบคุณคุณเฉินมากครับที่พูดอย่างตรงไปตรงมา”

โจวเย่นชิวพยักหน้า เขาพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “อันที่จริงแล้ว ผมอยากให้คุณเฉินช่วยผมจัดหาที่ดินผืนหนึ่งมา”

จัดหาที่ดิน ? !

เฉินตงผงะไป

ใบหน้าของท่านหลงและคุนหลุน ก็เต็มไปด้วยความงุนงง

เปรี้ยง !

ราวกับเสียงฟ้าผ่าดังก้องอยู่ในหู

ทุกคนต่างหันมองไปที่เฉินตงด้วยความตื่นตระหนก

เสียสติไปแล้วหรือ ?

เขากำลังเดิมพันว่าหลี่เต๋อซานไม่กล้ายิง ?

“คุณเฉิน !”

“คุณชาย !”

“พี่ตง !”

แทบจะในเวลาเดียวกัน พวกฉู่เจียนเจีย ท่านหลง และฉินเย่ ต่างอุทานออกมาพร้อมกัน

แต่เฉินตงกลับไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย

แต่กลับเร่งฝีเท้าให้เร็วยิ่งขึ้น

ใบหน้าของเขาเคร่งขรึม หรี่ตาลงจนเป็นเส้น กำลังแผ่รังสีของความอำมหิตออกมา

ตอนนี้ ท่าทีของเฉินตงเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

ตัวของเขาเป็นเหมือนดาบคมกริบที่ออกมาจากฝัก ดูน่าเกรงขามจนสยบทุกสิ่งเอาไว้ได้

จ้องเขม็งไปที่ปลายกระบอกปืนของหลี่เต๋อซาน พุ่งความสนใจทั้งหมดลงไปที่ตรงนั้น

ฝีเท้ายิ่งเร่งความเร็วขึ้นเรื่อยๆ !

หลี่เต๋อซานตกใจเป็นอย่างมาก หัวใจของเขาเต้นเร็วอย่างไม่อาจควบคุมได้

เมื่อเห็นเฉินตงที่เดินตรงเข้ามาตรงหน้า เขาก็รู้สึกตื่นตระหนกขึ้นทันที

เจ้าสัตว์เดรัจฉานนี้ เสียสติถึงขั้นจะเข้าหัวเข้ามาจ่อที่ปืนเลยหรือ ?

บรรยากาศตึงเครียด

ทุกคนต่างตกใจกลัว ถึงขั้นมีผู้หญิงบางคนยกมือขึ้นมาปิดตา เพราะไม่กล้ามองดูภาพที่กำลังจะเกิดขึ้น

ในสายตาของพวกเขา เฉินตงเป็นเหมือนคนตายเรียบร้อยแล้ว

ภาพที่กระสุนปืนเจาะทะลุสมอง กระทบกระเทือนจิตใจยิ่งกว่าภาพการต่อสู้นองเลือดที่เกิดขึ้นเมื่อครู่มากนัก

“โง่จริงๆ ! ฉันมาหาแกก็เพื่อที่จะฆ่าแก แต่ตอนนี้แกกลับเดิมพันว่าฉันไม่กล้ายิงอย่างนั้นหรือ ?”

หลี่เต๋อซานระงับความตื่นตระหนกในใจเอาไว้ แล้วหัวเราะพลางพูดออกมาอย่างดุร้าย

“ถ้างั้นแกก็ยิงสิ !”

เฉินตงตะโกนดังสนั่น แววตาของเขาแผ่รังสีของความอำมหิตออกมา

ท่าทีน่าเกรงขามนี้ โอบล้อมทุกคนเอาไว้ ราวกับสายน้ำที่เชี่ยวกราก ทำให้ทุกคนรู้สึกสั่นสะท้าน

หลี่เต๋อซานไม่ทันได้ตั้งตัว เขาตกใจกับเสียงตะโกนที่ดังสนั่น จนสั่นไปทั้งตัว

“ตาย แกตายซะเถอะ !”

หลี่เต๋อซานตะโกนออกมาอย่างดุร้าย และรีบเหนี่ยวไกปืนด้วยมือขวาของเขา

ปัง !

เสียงปืนดังขึ้น จนก้องอยู่ในหู

เกิดเสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวดังขึ้นทันที

ทุกคนรวมไปถึงคุนหลุนเอง ก็ปิดตาลงโดยไม่รู้ตัว

ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน

ราวกับว่าท่าทางของเฉินตงจะยกระดับจนถึงขีดสุดในทันที ในช่วงจังหวะที่หลี่เต๋อซานยิงปืน เขาก็เอียงศีรษะหลบในทันใด

ลูกกระสุนที่ออกมาเฉียดหูของเขาไป ด้วยอุณหภูมิที่ร้อน ถึงขั้นเผาไหม้เส้นผมของเขาไปสองสามเส้น

ปัง !

ลูกกระสุนเจาะทะลุกำแพง

ทันใดนั้น

ตุบ !

เฉินตงฟาดท่อเหล็กในมือของเขาลงไปทันที

“อ้า !”

ปืนที่อยู่ในมือของหลี่เต๋อซานหล่นลงบนพื้น แขนของเขางอจนเสียรูป กระดูกสีขาวโพลนโผล่ทะลุผิวหนังออกมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและเจ็บปวด

เขามองเฉินตงด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ราวกับเห็นผี ความเจ็บปวดขนแขนด้านขวาของเขา เหมือนกับมีมีดจำนวนนับไม่ถ้วน ค่อยๆ กรีดลงไปอย่างแรงที่เส้นประสาทของเขาทุกเส้น

เขาทำได้อย่างไร ?

ตอนที่เสียงร้องโหยหวนของหลี่เต๋อซานดังก้องกังวาน

ทุกคนต่างรู้สึกตกใจ

คนที่ควรจะร้องโหยหวน ไม่ใช่เฉินตงหรอกหรือ ?

คุนหลุนลืมตาขึ้นเป็นคนแรก เมื่อเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า เขาก็ตกใจจนอ้าปากค้างทันที

คุณชาย……ทำได้อย่างไร ?

เขาเคยอยู่ในสนามรบ เป็นราชาของทหาร และเป็นนักฆ่าระดับพระกาฬ จึงเข้าใจอาวุธปืนเป็นอย่างดี

ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ต่อให้เป็นเขาเองก็ยังมีโอกาสชนะได้น้อยมาก

แต่เฉินตงกลับทำได้ !

ความสามารถในการต่อสู้ของคุณชาย ไร้ขีดจำกัดอย่างนั้นหรือ ?

คำถามที่น่ากลัวผุดขึ้นมาในสมอง ทำให้คุนหลุนรู้สึกว่า ภาพที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าดูราวกับความฝัน

ในเวลาเดียวกันนี้

เมื่อทุกสายตาค่อยๆ จับจ้องไปที่เฉินตงและหลี่เต๋อซานใหม่อีกครั้ง

ก็เกิดเสียงอุทานดังขึ้นพร้อมกันอย่างโกลาหล

ทุกคนต่างตกตะลึง

ภาพที่ปรากฏตรงหน้า ทำให้ทุกคนตั้งสติกลับมาได้ใหม่อีกครั้ง

ทำให้ทุกคนรู้สึกงุนงง ราวกับเห็นฟ้าผ่าตอนกลางวันแสกๆ

เมื่อครู่……เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?

ทำไมคนที่รนหาที่ตายกลับไม่ตาย แต่คนที่จะฆ่าคนอื่นกลับมีสภาพเช่นนี้ ?

ตุบ !

เฉินตงทุบท่อเหล็กลงไปที่ขาซ้ายของหลี่เต๋อซานอย่างแรงอีกครั้ง

เสียงกระดูกหักดังเป๊าะ

หลังจากเสียงกรีดร้อง หลี่เต๋อซานก็ล้มลงไปนอนอยู่ที่พื้น

ทว่าตอนนี้ หลี่เต๋อซานรู้สึกหวาดกลัวจนถึงขีดสุด นอกจากส่งเสียงกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดแล้ว ก็ไม่หลงเหลือความเย่อหยิ่งอย่างเช่นตอนเผชิญหน้ากับทุกคนก่อนหน้านี้อีกเลย

ในสายตาของเขา เฉินตงดูราวกับผี เป็นความสยดสยองที่ยากจะพรรณนา

“คนที่โง่คือแกต่างหาก !”

เฉินตงก้มมองลงไป ราวกับกำลังมองดูคนที่กำลังรอความตาย “ฉันไม่ได้เป็นคนฆ่าคุณท่านใหญ่ตระกูลหลี่ คนอย่างฉัน เฉินตงไม่เคยลอบกัดใคร คนที่ต้องการฆ่า ก็จะฆ่าต่อหน้า ! ที่ตระกูลหลี่ต้องล่มสลาย เป็นเพราะน้ำมือของแก !”

“ไม่ ไม่ใช่แบบนี้ มันต้องไม่ใช่แบบนี้ !”

หลี่เต๋อซานดวงตาแดงก่ำ ในความหวาดกลัวก็แฝงไปด้วยความบ้าคลั่ง เขาส่ายหัวแล้วพูดโต้กลับว่า “เพราะแก เพราะแกนั่นแหละ ที่ตระกูลหลี่มีสภาพอย่างเช่นทุกวันนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นฝีมือของแก !”

ฉึบ !

ทันใดนั้นเอง มีแสงสะท้อนแวววาวออกมาจากเอวของหลี่เต๋อซาน

หลี่เต๋อซานดึงกริชออกมา แล้วพุ่งเข้าไปหาเฉินตงด้วยแววตาที่ดุดันราวกับสุนัขบ้า

เสียงกรีดร้องด้วยความตกใจดังขึ้นอีกครั้ง

ตุบ !

เกิดเสียงดังขึ้นเบาๆ

หลี่เต๋อซานที่กำลังบ้าคลั่ง หยุดชะงักไปกะทันหันทันที

ใบหน้าที่เต็มใบด้วยความหวาดกลัวและบ้าคลั่งค่อยๆ จางหายไป แววตาก็ค่อยๆ ว่างเปล่า และสิ้นสติ

เลือดสีแดงสดไหลนองลงมาจากศีรษะของเขา จนอาบไปทั่วทั้งใบหน้าของเขา

หลี่เต๋อซานล้มลงไปนอนบนพื้นดังตุ้บ

แกร๊ง……

เฉินตงโยนท่อเหล็กลงบนพื้นอย่างไม่แยแส แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชาว่า “ตายไปก็ไม่น่าเสียดาย !”

หลังจากพูดจบ

เฉินตงก็ค่อยๆ เดินออกจากห้องจัดเลี้ยงไป

ภายในห้องจัดเลี้ยง ทุกคนต่างหันมองไปยังหลี่เต๋อซานที่นอนจมกองเลือดอยู่ ต่างก็รู้สึกกลัวจนเสียวสันหลังและขนลุก

ความกลัวแผ่ซ่านไปทั่ว

ไม่มีใครคาดคิดว่า ในที่สุด สถานการณ์ทุกอย่างจะถูกพลิกกลับโดยเฉินตง

ไม่มีใครสงสารหลี่เต๋อซาน มีเพียงแค่บางคนที่ตกใจว่าเมื่อครู่เกิดเรื่องอะไรขึ้นเท่านั้น

“เจียนเจีย หยู่หลัน ตรงนี้ฝากให้เป็นหน้าที่ของพวกเธอแล้ว”

ท่านหลงตั้งสติได้ ก็หันไปกำชับกับฉู่เจียนเจียและจางหยู่หลันด้วยท่าทีที่สงบ

จากนั้นจึงประคองฉินเย่เดินออกไปด้านนอก

ตอนที่เดินผ่านคุนหลุน ท่านหลงพบว่าคุนหลุนยังคงนั่งใจลอย จึงได้พูดขึ้นว่า “มัวแต่อึ้งอะไรอยู่ คุณชายไปตั้งนานแล้วนะ”

แววตาของคุนหลุนสั่นคลอนเล็กน้อย จากนั้นจึงตั้งสติกลับมาได้

เขาในตอนนี้ ยังคงรู้สึกปั่นป่วนในใจ

เขาพูดออกมาด้วยความรู้สึกที่ยังคงหวาดกลัว “ขีดจำกัดของคุณชาย อยู่ที่ไหนกันแน่ ?”

“ขีดจำกัดอะไร ?” ท่านหลงถาม

“ความสามารถในการต่อสู้” คุนหลุนตอบ “เมื่อครู่คงจะเป็นคุณชายที่หลบลูกกระสุนอย่างฉับพลัน และพลิกสถานการณ์กลับมาโจมตีได้ นี่ นี่……อัตราความสำเร็จนี่ มันควรจะเป็น0 !”

“นายทำได้ไหม ?” ท่านหลงถามกลับหนึ่งประโยค

คุนหลุนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตอบกลับอย่างเคร่งขรึมว่า “มีโอกาสเพียงแค่ 1 %”

“นั่นก็หมายความว่าทำได้”

ท่านหลงพยักหน้า แล้วพูดออกมาด้วยแววตาที่ลึกซึ้ง “ใครก็ตามที่อยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง ขอแค่ไม่ยอมก้มหัวยอมแพ้ ก็สามารถต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดได้เสมอ”

“คุณไม่ตกใจหรือ ?”

คุนหลุนเดินตามท่านหลงไปพลาง เอ่ยถามไปพลาง

ท่านหลงยิ้มแหยออกมา “จะไม่ตกใจได้อย่างไร ภาพนี้ไม่ว่าใครเห็นก็ต้องตกใจทั้งนั้น ต่อให้เป็นเต้าจูน เกรงว่าก็อาจตกใจจนอ้าปากค้างได้เช่นกัน”

หลังจากที่พวกของเฉินตงจากไป

การประชุมแลกเปลี่ยนด้านอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในครั้งนี้ก็เสร็จสิ้นลงอย่างรวดเร็ว

แต่หลังจากบรรดาคนที่อยู่ในอาการหวาดกลัวและตื่นตกใจกลับออกไปจากงานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ฉากที่ปรากฏอยู่ภายในห้องจัดเลี้ยง ดูราวกับพายุใหญ่ที่กวาดเมืองหลวงจนราบเป็นหน้ากลอง

เจ้าบ้านตระกูลหลี่สิ้นชื่อ

นี่เพียงพอที่จะทำให้เมืองหลวงต้องสั่นสะเทือน

เป็นที่รู้กันดีว่า ในช่วงที่ตระกูลหลี่ตกต่ำ มีตระกูลมั่งคั่งไม่น้อยที่กำลังแอบเฝ้าดูอยู่

การเสียชีวิตของเจ้าบ้านตระกูลหลี่ เท่ากับเป็นการประกาศว่าตระกูลหลี่ล่มสลายลงอย่างสมบูรณ์แล้ว

เมื่อข่าวแพร่สะพัดออกไปถึงหูของบรรดาตระกูลมั่งคั่งภายในเมืองหลวง

ทุกคนต่างตกตะลึง ถึงแม้จะเป็นเวลาใกล้เที่ยงคืนแล้ว

ทุกคนก็ไม่รู้สึกง่วงนอน เป็นที่แน่ชัดว่าคืนนี้ ทั้งเมืองหลวงจะไม่มีการหลับใหล

ทันใดนั้น

พวกของเฉินตงก็พุ่งเข้าไปหาหลี่เต๋อซานทันที

ท่าทางดุดันและปราศจากความลังเล

มีเสียงกรีดร้องดังก้องขึ้นในห้องจัดเลี้ยง

ทุกคนต่างผงะไป

นี่เสียสติไปแล้วหรือ ?

ศัตรูมากมายขนาดนี้ ยังกล้าพุ่งเข้าไปอีกหรือ ?

สี่คนต่อหนึ่งร้อยคน จะเอาชนะได้อย่างไรกัน ?

แม้แต่หลี่เต๋อซานเองก็รู้สึกตกใจ และรู้สึกตกตะลึง

วินาทีต่อมา

“ไม่รู้จักกลัวตาย”

หลี่เต๋อซานแสยะยิ้มมุมปากออกมาด้วยความดุร้าย ในปากคาบซิการ์เอาไว้ จากนั้นจึงเดินถอยหลังไปหนึ่งก้าวด้วยท่าทีที่สงบ

แทบจะในเวลาเดียวกัน

คนจำนวนหนึ่งร้อยคนที่ยืนอยู่ด้านหลังเขา ก็กรูกันเข้าไปที่พวกของเฉินตงราวกับสายน้ำ

และเกิดการต่อสู้กันขึ้น

ความโกลาหลเกิดขึ้นในงานทันที

พวกของเฉินตงถูกฝูงจนเข้าล้อมเอาไว้จนกระทั่งมองไม่เห็นในทันที

เสียงกรีดร้อง น้ำเสียงของความหวาดกลัว ดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย

อีกทั้งยังมีคนที่ไม่สนใจความโกลาหลที่เกิดขึ้น รีบหนีเอาตัวรอดออกไปด้านนอกห้องจัดเลี้ยงด้วยความหวาดกลัว

เฉินตงเตะคนที่อยู่ตรงหน้าลอยขึ้นไปทันที ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน ร่างกายของเขาเป็นเหมือนผี เขานำท่อเหล็กที่ซ่อนเอาไว้ในแขนเสื้อออกมา จากนั้นจึงตรงเข้าโจมตีฝูงชนราวกับยมราช

คุนหลุนอาศัยความได้เปรียบของร่างกาย ดันคนออกไปราวกับรถตักดิน และไม่มีใครสามารถขวางเอาไว้ได้

แม้กระทั่งท่านหลงและฉินเย่ที่พึ่งพาซึ่งกันและกัน ก็ยังต่อสู้ตามลำพังอยู่ในฝูง

คนเพียงแค่สี่คน แต่กลับสามารถสกัดกั้นคนจำนวนหนึ่งร้อยคนได้

อันธพาลที่หลี่เต๋อซานจัดหามานั้น ในสายตาของพวกเฉินตงทั้งสี่คนแล้ว ก็เป็นเพียงแค่พวกอันธพาลเท่านั้นจริงๆ

เมื่อเทียบกับนักฆ่าในอันดับยมราชแล้ว ถือว่าอยู่กันคนละชั้นจริงๆ

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะเปรียบเทียบกับบรรดานักฆ่าระดับพระกาฬที่เฉินตงเจอในคุกมืดเลย

เห็นคลื่นยักษ์มานักต่อนัก

คนจำนวนหนึ่งร้อยคนตรงหน้า สำหรับทั้งสี่คนแล้ว ก็เป็นเหมือนคลื่นเล็กๆ ที่กระทบเข้าหาฝั่งเท่านั้น ไม่มีความน่ากลัวเลยแม้แต่น้อย

ต่อให้เป็นฉินเย่ซึ่งอ่อนแอที่สุด ภาพที่ปรากฏขึ้นตรงหน้านี้ก็น่ากลัวเลยสักนิด

เลือดสาดกระเซ็น มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นต่อเนื่อง

มีคนล้มลงต่อหน้าของพวกเฉินตงทั้งสี่คนอย่างต่อเนื่อง

และยังมีคนวิ่งกรูกันเข้ามาเรื่อยๆ

หลี่เต๋อซานแสดงเจตนารมณ์อย่างชัดเจนว่า มาเพื่อจะหมายเอาชีวิตของเฉินตง ดังนั้นเฉินตงจึงลงมืออย่างไร้ความปรานี

เขายังไม่โง่ถึงขนาดที่จะยืนนิ่งอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้

การต่อสู้ที่เกี่ยวพันถึงความเป็นความตาย หากรู้สึกเห็นใจศัตรูแม้เพียงเล็กน้อย เท่ากับเป็นการทำเรื่องที่โหดร้ายที่สุดต่อตนเอง

ภายในห้องจัดเลี้ยง จู่ๆ ก็กลายเป็นเหมือนสนามรบที่น่าสลดใจในทันที

ทุกคนต่างหวาดกลัวจนถึงขีดสุด

ถึงจะพูดว่าร้ายแรงที่สุด แต่ก็ไม่มีใครเคยเห็นภาพการนองเลือดที่ “น่าทึ่ง” เช่นนี้

คนที่ยังพอควบคุมสติอารมณ์ได้อยู่ ก็เห็นจะมีแต่ฉู่เจียนเจียคนเดียวเท่านั้น

“เจียนเจีย ทำอย่างไรดี ? ตอนนี้จะทำอย่างไรกันดี ?” จางหยู่หลันร้องห่มร้องไห้ ขณะที่ถามฉู่เจียนเจีย แววตากลับเต็มไปด้วยความเป็นห่วงฉินเย่ที่ต่อสู้อยู่ท่ามกลางฝูงชนอยู่ตลอดเวลา

ใบหน้าอันงดงามของฉู่เจียนเจียซีดเผือด สถานการณ์ที่สูญเสียการควบคุมจนถึงขั้นนี้ ล้วนแล้วแต่อยู่เหนือความคาดหมายของเธอโดยสิ้นเชิง

ตระกูลหลี่ผู้ยิ่งใหญ่ ถึงแม้จะกำลังตกต่ำเช่นไร ก็ควรจะรักษาเกียรติของตนเองไว้บ้างไม่ใช่หรือ ?

แต่ตอนนี้ ตระกูลหลี่กลับยอมอับอาย และไม่คิดหน้าคิดหลังอีกต่อไป !

และสิ่งที่ทำให้เธอยิ่งคิดไม่ถึงก็คือ ความบ้าระห่ำของหลี่เต๋อซานนั้น ไม่เหลือช่องว่างให้คนอื่นตั้งหลักได้เลย

ในมือกำมือถือไว้แน่น ก้มหน้าลงไปดู พบว่าไม่มีสัญญาณโทรศัพท์หลงเหลืออยู่เลย

จิตใจของฉู่เจียนเจียจมดิ่งลงเล็กน้อย “หลี่เต๋อซานวางแผนเอาไว้นานแล้ว เขาใช้ตระกูลหลี่ที่กำลังจะพังทลายลงทั้งหมด เพื่อส่งคุณเฉินไปสู่ความตาย”

“หรือ หรือพวกเราจะวิ่งออกไป ?” จางหยู่หลันรู้ว่าตอนนี้สัญญาณภายในโรงแรมถูกตัด หากไม่วิ่งออกไปเพื่อขอความช่วยเหลือ เธอไม่อยากจะคิดถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้เลย

“ออกไปไม่ได้”

ฉู่เจียนเจียยิ้มออกมาอย่างหดหู่ จากนั้นจึงส่ายหัวแล้วพูดว่า “แม้แต่สัญญาณก็ถูกตัดหมดแล้ว เธอคิดว่าพวกเรายังจะออกไปได้อีกหรือ ?”

“แต่ว่า……”

ขณะที่จางหยู่หลันกำลังจะเอ่ยปากพูด จู่ๆ สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที “อ้า” เสียงกรีดร้องดังขึ้น

ในฝูงชน ฉินเย่ถูกอันธพาลใช้ท่อเหล็กตีเข้าที่ด้านหลัง ในขณะที่เขาวิ่งโซเซไปด้านหน้า ก็ถูกอันธพาลที่ยืนอยู่ด้านหน้า ตีเข้าให้อีกหนึ่งครั้ง

“ฉินเย่ !”

แทบจะในเวลาเดียวกัน เฉินตง คุนหลุน และท่านหลงที่กำลังอยู่ท่ามกลางการต่อสู้ที่วุ่นวาย ต่างก็หน้าถอดสี

“ท่านหลงช่วยฉินเย่เร็ว”

ท่าทางของเฉินตงดุดัน และแววตาเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าในทันที “คุนหลุนกับฉัน จัดการหัวหน้าของพวกมัน !”

การต่อสู้ที่วุ่นวายเช่นนี้ วิธีที่จะแก้ไขสถานการณ์ได้ดีที่สุดก็คือ ต้องจัดการกับหัวหน้า

ขอเพียงจับหลี่เต๋อซานได้ การต่อสู้ที่วุ่นวายนี้ก็จะค่อยๆ สิ้นสุดลง

ทันใดนั้น

คุนหลุนตะโกนออกมาด้วยความโมโห เขาใช้กำปั้นชกลงไปที่หน้าอกของอันธพาลที่อยู่ตรงหน้าของเขาอย่างรุนแรง จนยุบลงไป

เข้าไปร่วมต่อสู้กับเฉินตงอย่างรวดเร็ว ราวกับรอบข้างนั้นว่างเปล่าไร้ผู้คน

ส่วนอีกด้านหนึ่ง ท่านหลงรีบเข้าไปช่วยเหลือฉินเย่อย่างรวดเร็ว เขาโบกมือทั้งสองข้างที่ดูเหมือนจะอ่อนแอ แต่กลับทรงพลังราวกับสายฟ้า และจัดการกับอันธพาลสองคนที่อยู่ข้างๆ ฉินเย่ให้ล้มลงในทันที

“คุณชายฉิน คุณยังสู้คนแก่อย่างผมไม่ได้เลยนะ” ท่านหลงพูดเยาะเย้ย

ฉินเย่กระอักเลือดออกมาอย่างรุนแรง “ให้ตายเถอะ ฉันถูกหลอกด่า”

อีกทางด้านหนึ่ง

เฉินตงและคุนหลุนเปรียบเสมือนนักฆ่าระดับพระกาฬสองคน โดยมีเป้าหมายก็คือหลี่เต๋อซาน จึงพุ่งกระโจนเขาไปหาอย่างรวดเร็ว ราวกับเสือโคร่งที่หลุดออกจากกรง

คุนหลุนเคยเป็นราชาของทหารรับจ้างอยู่ในสนามรบ อีกทั้งยังเป็นนักฆ่าระดับพระกาฬที่ออกมาจากคุกมืด ด้วยชัยชนะที่ติดต่อกันถึงสิบครั้ง

สถานการณ์เช่นนี้ เมื่อเทียบกับสนามรบที่เต็มไปด้วยกระสุนปืนและการนองเลือดแล้ว แทบจะเทียบกันไม่ติดเลยแม้แต่น้อย

ด้วยความสามารถของเขาแล้ว สามารถจัดการได้อย่างหมดจด !

ส่วนเฉินตง ที่ไม่เคยผ่านการฝึกฝนทักษะการต่อสู้มาก่อน ต่อให้เป็นเวลาที่อ่อนแอที่สุด ก็ทำเพียงแค่ลดความรุนแรงลง แต่ไม่เคยคิดที่จะหยุด

ตอนนี้ทั้งสองคนรวมพลังกันต่อสู้ เผชิญหน้ากับเหล่าอันธพาลที่กรูกันเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย ราวกับการเข้าทำลายกองกำลังอย่างรวดเร็ว

เมื่อมองดูเฉินตงและคุนหลุนที่กำลังพุ่งตรงเข้ามา

เส้นเลือดบริเวณหางตาของหลี่เต๋อซานก็กระตุกหลายครั้ง

ทีนใดนั้นเอง มุมปากของเขายิ่งเผยรอยยิ้มออกมามากยิ่งขึ้น

“แข็งแกร่งจริงๆ ! ที่คุณท่านใหญ่อยากให้แกขึ้นเป็นเจ้าบ้านมาโดยตลอด ถือว่ามีเหตุผลจริงๆ แต่สิ่งที่ผิดมหันต์ก็คือ แก่ไม่ควรจะเข่นฆ่าบรรพบุรุษของตัวเอง คืนนี้ แกกับตระกูลหลี่จงลงนรกไปพร้อมกันเถอะ !”

ขณะที่กำลังพึมพำอยู่นั้น หลี่เต๋อซานก็ค่อยๆ ปล่อยมือขวาลงอย่างเงียบๆ

เขาเผชิญหน้ากับเฉินตงและคุนหลุน โดยไม่รู้สึกหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย

และในแววตากลับเต็มไปด้วยเส้นเลือดที่ปูดโปน เผยให้เห็นถึงความบ้าคลั่งและตื่นเต้น

“คุณชาย มีบางอย่างผิดปกติ !”

เมื่อกำลังจัดการกับวงล้อมชั้นสุดท้าย คุนหลุนก็สังเกตเห็นท่าทีที่ผิดปกติของหลี่เต๋อซาน

“คงเป็นความบ้าคลั่งครั้งสุดท้าย”

เฉินตงพูดออกมาอย่างเย็นชา ท่อเหล็กที่อยู่ในมือ ฟาดลงไปบนแขนของอันธพาลอย่างแรง

คุนหลุนมีท่าทีดุร้าย ราวกับสัตว์ร้ายที่อยู่ในร่างของมนุษย์ การลงมืออย่างฉับพลัน สามารถจัดการกับอันธพาลที่เหลืออยู่อีกสองสามคนได้จนหมดสิ้น

แทบจะในเวลาเดียวกัน

เฉินตงและคุนหลุนก็พุ่งตรงเข้าไปหาหลี่เต๋อซานอย่างรวดเร็วราวกับติดปีก

“ในที่สุดก็จบลงแล้วหรือ ?”

ฉู่เจียนเจียที่เฝ้าดูการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ตอนนี้ก็แอบถอนหายใจออกมา ด้วยความโล่งใจ

แต่ทันทีที่พูดจบ ใบหน้าอันงดงามของเธอก็ปรากฏความหวาดกลัวขึ้นมาทันที เธอรู้สึกตกใจจนถึงขีดสุด

ในเวลาเดียวกันนี้

ภายในห้องจัดเลี้ยง จู่ๆ บรรยากาศทุกอย่างก็เงียบสงบลงอย่างน่าประหลาด

ราวกับเวลาหยุดนิ่ง

สายตาหวาดกลัวค่อยๆ มองตรงไปยังจุดเดียวกัน

ส่วนเฉินตงและคุนหลุนเองก็หยุดยืนอยู่ที่เดิม แล้วมองไปที่หลี่เต๋อซานด้วยความหวาดกลัว

หลี่เต๋อซานยกมือข้างขวาขึ้นมา ปากกระบอกปืนสีดำสนิท จ่อมาทางเฉินตง

ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งชัยชนะ

“ปืน ! เขามีปืน !”

บรรดาคนที่กำลังตกใจกลัวอยู่ก่อนแล้ว มาบัดนี้ยิ่งกรีดร้องออกมาด้วยความหวาดกลัว

มีหญิงสาวบางคนตกใจจนใบหน้าซีดเผือด ร้องห่มร้องไห้ออกมา ยิ่งไปกว่านั้น บางคนตกใจถึงขั้นมุดเข้าไปอยู่ใต้โต๊ะด้วยความกลัว

สำหรับคนจำนวนมากที่อยู่ในงาน ปืนถือเป็นสิ่งที่ไกลตัว

ปืนกระบอกเดียว เพียงพอที่จะกำหนดชะตาชีวิตของทุกคนได้ !

“แกคำนวณได้ดีนี่ แต่แกคิดจริงๆ หรือว่าฉันจะพาแค่พวกขยะร้อยคนมาจัดการกับแก ?”

หลี่เต๋อซานยิ้มออกมาอย่างดุร้าย และพูดออกมาอย่างภาคภูมิใจ ถึงขั้นเชิดหน้า จนหันรูจมูกไปทางเฉินตง

บ้าคลั่งและคิดมาอย่างรอบคอบ

ทว่า

ในขณะที่ทุกคนกำลังจ้องมองอย่างไม่อยากเชื่อสายตา

จู่ๆ เฉินตงก็ผลักคุนหลุนที่ยืนอยู่ข้างๆ ออก

จากนั้น จึงเดินเข้าไปหาหลี่เต๋อซานทีละก้าวๆ

น้ำเสียงเย็นชา ราวกับสายลมที่พัดขึ้นมาจากขุมนรก

“มีอยู่อย่างหนึ่งคือถ้าหากแกยิงแล้ว แกฆ่าฉันไม่ตาย ฉันก็จะฆ่าแกให้ตาย !”

“หลี่เต๋อซานมาแล้ว !”

มีเสียงกระซิบดังขึ้น ท่ามกลางบรรยากาศที่กำลังคึกคักอยู่

บรรยากาศเงียบสงบลงทันที ทุกสายตาค่อยๆ หันไปจับจ้องตรงประตูห้องจัดเลี้ยง

“เขามาได้ยังไง ? วันนี้เป็นงานประชุมแลกเปลี่ยนภายในอุตสาหกรรมของพวกเรา ตระกูลหลี่ไม่มีธุรกิจด้านบันเทิงไม่ใช่หรือ ?”

“เป็นเรื่องยากจริงๆ ที่ตระกูลที่ร่ำรวยอันดับหนึ่งอย่างตระกูลหลี่ จะเข้ามามีส่วนร่วมในแวดวงธุรกิจของพวกเรา”

“เชอะ……นั่นมันก็แค่ดอกไม้ที่ใกล้จะโรยราแล้ว ตระกูลหลี่ในตอนนี้ เป็นตระกูลที่ร่ำรวยอันดับหนึ่งได้เสียเมื่อไหร่กัน ?”

……

คำพูดกระซิบกระซาบ เต็มไปด้วยความประหลาดใจ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือเสียงหัวเราะด้วยความดูถูก

ตระกูลหลี่ซึ่งเคยเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองหลวง เป็นชนชั้นสูงที่แท้จริงในเมืองหลวง และอยู่บนยอดสุดของพีระมิดอย่างภาคภูมิ

อย่าว่าแต่ผู้มีอำนาจในแวดวงบันเทิงที่อยู่ในงานเลย แม้แต่ตระกูลจางและตระกูลฉู่ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับตระกูลหลี่ ก็ทำได้เพียงแค่ยืนนิ่งเท่านั้น

แต่ทว่าตอนนี้สถานการณ์ในเมืองหลวงได้เปลี่ยนไปแล้ว ตระกูลหลี่กำลังตกต่ำลงเรื่อยๆ และไม่ใช่เรื่องที่เป็นความลับอีกต่อไปแล้ว

เมื่อสูญเสียอำนาจ ทุกคนก็จ้องที่จะเหยียบย่ำ

ถึงแม้ภายในงาน จะไม่มีใครกล้าท้าทายกับตระกูลหลี่อย่างตรงไปตรงมา แต่ความรู้สึกเยาะเย้ยภายในจิตใจนั้นก็ยังคงมีอยู่

เฉินตงที่กำลังยืนอยู่ในฝูงชน ดูราวกับดาวที่กำลังล้อมเดือนอยู่

“มาแล้วหรือ? ดูเหมือนเขาจะเปลี่ยนไปมากเลยทีเดียว”

เฉินตงหันมองหลี่เต๋อซานด้วยท่าทีที่สงบ แววตาลึกซึ้ง

ตอนแรกที่พบกับหลี่เต๋อซาน ต่อให้คุณท่านใหญ่ตระกูลหลี่จะอยู่ด้วยก๋ตาม แต่หลี่เต๋อซานก็มักมีท่าทีที่ทำให้คนต้องหวาดกลัว

ทว่าตอนนี้ กลับมีท่าทีที่คล้ายกับคนเสียสติ

“คุณชาย ระวังตัวด้วยครับ !”

ท่านหลงและคุนหลุนเข้าไปยืนขนาบเฉินตงพร้อมกัน ใบหน้าเต็มไปด้วยความระแวดระวัง

ส่วนฉู่เจียนเจียยืนอยู่ด้านข้างของเฉินตง ด้วยท่าทีที่แสดงออกให้เห็นว่ามีเฉินตงเป็นผู้นำ

ที่เธอตั้งใจเชิญเฉินตงมา ก็เพราะรู้ว่าจะต้องเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น จึงเชิญเฉินตงมาเพื่อช่วยควบคุมสถานการณ์

ถึงแม้ตระกูลหลี่จะล้มลุกคลุกคลานไปบ้าง แต่ถ้าหากยืนหยัดขึ้นมาได้จริงๆ ตระกูลจางและตระกูลฉู่เอง ก็คงจะรับมือได้ยากเช่นกัน

ส่วนฉินเย่ ก็ดึงจางหยู่หลันไปหลบที่ด้านหลังของตนเองตามสัญชาตญาณ

เดิมที จางหยู่หลันยังรู้สึกโมโหฉินเย่อยู่เล็กน้อย แต่กลับต้องรู้สึกซาบซึ้งกับการกระทำนี้ และหันมองฉินเย่ด้วยแววตาที่พร่ามัว

ถูกทุกสายตาจับจ้องอยู่

หลี่เต๋อซานซึ่งกำลังยืนอยู่ที่ประตูใหญ่ของห้องจัดเลี้ยง เมื่อรับรู้ได้ถึงแววตาดูถูกเหยียดหยามที่มองมา

ถ้าหากเป็นเมื่อก่อน เขาคงระเบิดอารมณ์โกรธออกมาแล้ว

สำหรับเขาแล้ว คนเหล่านี้เมื่ออยู่ตรงหน้าของตระกูลหลี่ ก็เป็นเพียงแค่มดที่ตัวใหญ่สักหน่อยก็เท่านั้น แล้วยังจะกล้าดูถูกเหยียดหยามตระกูลหลี่อีกหรือ ?

นี่ถือเป็นการดูหมิ่นตระกูลหลี่อย่างมาก !

แต่ตอนนี้ แววตาของเขากลับเรียบเฉยและดูสงบ

ฉึบ !

เขาหยิบซิการ์ออกมาจากกระเป๋า จากนั้นจึงจุดไฟ

พ่นควันโขมงออกมา จากนั้นหลี่เต๋อซานจึงยิ้ม พลางเอ่ยถามว่า “ทำไม ? ตระกูลหลี่มาถึงงาน ทำให้พวกคุณรู้สึกประหลาดใจจนพูดไม่ออกเลยหรือยังไง ?”

มีความเย่อยิ่งแฝงอยู่ในคำพูด

เมื่อทุกคนได้ยิน กลับรู้สึกเหมือนถูกเข็มทิ่มแทง

“เชอะ……วางมาดอะไรกัน ? มีใครไม่รู้บ้างว่าสถานการณ์ของตระกูลหลี่ในตอนนี้เป็นอย่างไร ?”

“ตระกูลหลี่ในสมัยก่อน พวกเราไม่อาจเทียบได้จริงๆ แต่ตระกูลหลี่ในตอนนี้……ต้องขอเตือนเจ้าบ้านตระกูลหลี่เสียหน่อยว่า ในเมื่ออยู่กันคนละแวดวง ทำไมต้องมาก้าวก่ายกันด้วย ?”

“ไม่รู้จริงๆ ว่าหลี่เต๋อซาน ตอนนี้ยังเอาความมั่นใจในการพูดคำพูดเช่นนี้มาจากไหน ? หลังจากที่ตระกูลหลี่ถูกยักษ์ใหญ่พวกนั้นกลืนกินเข้าไป เกรงว่าแม้กระทั่งพวกเราก็ยังไม่อาจสู้ได้ !”

……

คำพูดเย้ยหยันค่อยๆ ดังขึ้น

แปะแปะแปะ……

แทนที่จะโกรธ หลี่เต๋อซานกลับปรบมือ

สิ่งนี้ทำให้ทุกคนต่างประหลาดใจ เสียงดูถูกเย้ยหยัน ค่อยๆ สงบลง

“พูดได้ดี อยู่คนละแวดวงกัน คงไม่อาจก้าวก่ายได้จริงๆ”

หลี่เต๋อซานคาบซิการ์ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มของความยินดี “วันนี้ฉันเองก็ไม่ได้คิดที่จะเข้ามาก้าวก่ายแวดวงของพวกคุณ แต่ว่า……มาเพื่อแก้แค้น !”

เปรี้ยง !

คำพูดราวกับเสียงฟ้าผ่า

ทุกคนที่อยู่ในงานต่างแสดงท่าทีตกใจออกมาพร้อมกัน

“เฉินตง แค้นที่ฆ่าพ่อ ไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้ วันนี้ ฉันจะให้แกต้องตายอยู่ที่นี่ !”

จู่ๆ หลี่เต๋อซานก็มีท่าทีดุร้าย และตะโกนออกมาเสียงดัง

ทันใดนั้น

สายตาหวาดกลัวทั้งหมด ก็จับจ้องไปที่เฉินตง

คนที่อยู่ในงาน ที่พอจะรับรู้เรื่องของตระกูลหลี่ เห็นจะมีเพียงตระกูลจางและตระกูลฉู่

ส่วนคนอื่นๆ แล้ว คำพูดนี้ของหลี่เต๋อซาน ทำให้เหมือนมีฝนตก และฟ้าผ่าลงมาตอนกลางวันแสกๆ อย่างน่าตกใจ

หลังสิ้นเสียงตะโกน

ตรงทางเดินด้านนอกห้องจัดเลี้ยง มีเสียงฝีเท้าที่ต่อเนื่องกันดังขึ้น

อีกทั้งภายในห้องจัดเลี้ยง ฝูงชนก็ค่อยๆ กระจายตัวออกไปอยู่ด้านข้าง เหลือเอาไว้เพียงเฉินตงที่ยืนอยู่ตรงกลาง

ท่าทีของเฉินตงสงบนิ่ง ไม่แสดงออกถึงความประหลาดใจหรือโมโหเลยแม้แต่น้อย

อีกทั้งยังหันไปมองฉู่เจียนเจียอย่างเฉยเมย “คุณเชิญให้ผมมาควบคุมสถานการณ์ ต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้เลยหรือ ?”

ฉู่เจียนเจียตัวสั่นเทา ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่ดังมาจากด้านนอก เธอก็ยิ่งรู้สึกตื่นตระหนก

“ไม่ ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ คุณเฉิน ฉัน……”

ฉู่เจียนเจียรีบอธิบาย เธอคำนวณทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นจึงได้เลือกโรงแรมของตระกูลจาง เป็นที่จัดการประชุมแลกเปลี่ยน เป็นเพราะคำนึงถึงเรื่องที่หลี่เต๋อซานน่าจะเข้ามาก่อกวนภายในงาน

สิ่งที่เธอคาดการณ์ไว้ก็คือ เชิญเฉินตงมา เพื่อจัดการกับหลี่เต๋อซานเพียงคนเดียว

แต่คิดไม่ถึงว่าสถานการณ์จะบานปลายใหญ่โตเช่นนี้ !

“เกิดเรื่องแล้ว !”

ใบหน้าอันงดงามของจางหยู่หลันซีดเผือด “วันนี้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของโรงแรมทุกคนล้วนเข้าประจำการแล้ว !”

คำพูดประโยคนี้ ยิ่งทำให้ฉู่เจียนเจียรู้สึกเหมือนตกลงไปในเหว

“คุณเฉิน ขอโทษด้วยค่ะ !” ฉู่เจียนเจียรีบกล่าวขอโทษด้วยความตื่นตระหนก

เฉินตงพูดด้วยท่าทีเฉยเมย “คุณกับจางหยู่หลันถอยไปก่อน !”

น้ำเสียงฟังดูเย็นชาและไม่สะทกสะท้าน

เขาเองก็มาเพื่อที่จะจัดการกับหลี่เต๋อซานเพียงคนเดียว คิดไม่ถึงเลยว่าสถานการณ์ทั้งหมด จะสูญเสียการควบคุมจนถึงขั้นนี้

ฉู่เจียนเจียไม่มีเหตุผลที่จะ “ร่วมมือกับคนโง่” และไม่มีทางที่จะช่วยหลี่เต๋อซาน ล่อเขาให้มาติดกับอย่างแน่นอน

หากจะโทษก็ต้องโทษเจ้าโง่หลี่เต๋อซาน ที่เลือกใช้วิธีที่อันตรายกว่าเมื่อก่อน เป็นวิธีของสุนัขที่กำลังจนตรอก !

“หยู่หลันถอยไป !”

ใบหน้าของฉินเย่ดุดัน

“ฉันไม่ถอย !”

จางหยู่หลันส่ายหัวด้วยความตื่นตระหนก

“ผมเป็นผู้ชายของคุณ ! เชื่อฟังผม !”

ฉินเย่หันหน้ากลับไปทันที แล้วมองจางหยู่หลันด้วยความโมโห ทำให้จางหยู่หลันตกใจจนยืนนิ่งไป

ฉู้เจียนเจียรีบดึงจางหยู่หลันกลับเข้าไปในฝูงชน

ส่วนบนพื้นที่ที่ว่างเปล่า เหลือเพียงแค่เฉินตง ท่านหลง คุนหลุน และฉินเย่ สี่คนเท่านั้น

ทั้งหมดนี่ เกิดขึ้นภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น

ขณะที่ฉู่เจียนเจียและจางหยู่หลันเพิ่งจะถอยกลับเข้าไปในฝูงชน

ประตูใหญ่ของห้องจัดเลี้ยง มีเสียงฝีเท้าต่อเนื่องดังขึ้นมา และทันใดนั้น ก็ปรากฏฝูงชนจำนวนมากขึ้น

เพียงชั่วพริบตา ก็ยืนกันจนแน่นขนัดไปทั่วด้านหลังของหลี่เอซาน ถึงขั้นมีบางส่วน ล้นออกไปจนถึงทางเดินด้านนอก

เปรี้ยง !

เสียงร้องด้วยความตกใจดังระงมขึ้น

สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปทันที และแสดงออกถึงความหวาดกลัว

“เจ้าบ้านตระกูลหลี่ คุณกำลังทำอะไร ? นี่มันเมืองหลวงนะ !”

“เจ้าบ้านตระกูลหลี่ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกเรา ให้พวกเราไปก่อนได้ไหม ?”

“จะมากเกินไปแล้ว ตระกูลหลี่ต้องการที่จะหายสาบสูญไปจากเหมืองหลวงหรือยังไง ? หลี่เต๋อซาน คุณเสียสติไปแล้วหรือยังไง ?”

……

หลี่เต๋อซานมีท่าทีที่น่ากลัวเหมือนงูพิษ เขามองเฉินตงด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นและอาฆาต

“วันนี้ ฉันจะให้แกตายที่นี่ !”

คำพูดประโยคนี้ ทำให้ทุกคนต่างรู้สึกหนาวสั่น

เสียงโวยวายหยุดลงในทันที

“น่าจะมีอย่างน้อยร้อยคนใช่ไหม ?”

จู่ๆ เฉินตงก็ยิ้มออกมา แล้วส่งเสียงหัวเราะอย่างไร้เหตุผล

ทำให้ทุกคนในงานต่างอึ้งไป

หลี่เต๋อซานเองก็พลอยหัวเราะขึ้นมาด้วย “ดีดีดี ไม่เสียแรงที่เป็นพวกบ้าระห่ำ จะตายอยู่แล้วยังสามารถหัวเราะออกมาได้อีกหรือ ?”

เขารู้สึกอยู่อย่างสิ้นหวัง ตระกูลหลี่เองก็กำลังสั่นคลอน

ถ้าหากไม่สามารถฆ่าเฉินตงเพื่อแก้แค้นได้ เขาก็ไม่อาจนอนตายตาหลับได้

ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับตระกูลหลี่ สำหรับหลี่เต๋อซานแล้ว เฉินตงเป็นคนก่อขึ้นทั้งหมด

ความแค้นที่ฆ่าพ่อและทำให้ตระกูลต้องแตกแยก เลือดต้องชดใช้ด้วยเลือด !

ทว่า

เฉินตงกลับหันมองซ้ายมองขวาด้วยท่าทีที่สงบ

“พวกเรามีเพียงแค่สี่คนเอง”

เขาพูดพลาง ปลดเนกไทออกไปพลาง และค่อยๆ มีสีหน้าที่ดุดันขึ้น

ส่วนฉินเย่กลับหันหลัง ยกขวดไวน์ขึ้นมาหนึ่งขวด แล้วทุบลงบนขอบโต๊ะจนแตก ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็ปลดเนกไทของตัวเองไปพลาง และถามออกมาอย่างดุดันว่า “เอายังไงดี ?”

เฉินตงยิ้มเล็กน้อย

จากนั้นจึงหันไปมองหลี่เต๋อซาน และยิ้มอย่างมั่นใจ “จัดการเขา !”

ห้องจัดเลี้ยงที่โอ่อ่า

โคมไฟระย้าคริสทัลส่องแสงประกายแวววาว

บนจอภาพขนาดใหญ่ กำลังฉายภาพยนตร์อยู่

ชายหญิงที่แต่งกายในชุดสูทรองเท้าหนัง และสวมใส่เดรสยาว เดินขวักไขว่ไปมา และคอยยกแก้วแชมเปญที่อยู่ในมือขึ้นทักทายกันอยู่บ่อยๆ

ทุกคนล้วนดูมีระดับ และเฉิดฉายงดงามอย่างมาก

แม้กระทั่งกิริยามารยาทต่างๆ ล้วนแล้วแต่สง่างามและสูงส่ง

ฉู่เจียนเจียสวมใส่ชุดราตรีสีดำ ยกแก้วแชมเปญที่อยู่ในมือทักทายกับนักธุรกิจที่อยู่รอบข้าง และพูดคุยอย่างเป็นมิตร

งานเลี้ยงลักษณะนี้ อาศัยความสามารถของเธอ สามารถรับมือได้อย่างสบายๆ

ส่วนอีกมุมหนึ่งของห้องจัดเลี้ยง

ที่นี่ดูค่อนข้างจะเงียบสงบกว่า

ฉินเย่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ ในมือถือสเต๊กอยู่ และกำลังกินอย่างเอร็ดอร่อย

ส่วนจางหยู่หลันที่นั่งอยู่ข้างๆ สวมใส่เดรสสีขาว ด้านข้างประดับด้วยดอกเดซีสีชมพู ดูราวกับนางฟ้า

พูดได้ว่ารูปลักษณ์ภายนอกและรูปร่างของเธอนั้น ดีที่สุดจนยากจะหาใครเปรียบได้ ฉู่เจียนเจียเองก็ยังเทียบไม่ติด

เพียงแต่ จางหยู่หลันในตอนนี้ กลับขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วหันมองฉินเย่อย่างจนใจ

“คุณออกไปกับฉันได้ไหม ? ในงานมีคนตั้งมากมายนะ”

ฉินเย่ส่ายหัว “ไม่ไป คุณสวยขนาดนี้ ผมไม่อยากให้คนพวกนั้นพูดว่า ดอกฟ้ากับหมาวัดหรอกนะ”

“ฉินเย่ !”

จางหยู่หลันกระทืบเท้าด้วยความโกรธ ในหน้างดงามของเธอเต็มไปด้วยความโมโห “คุณคิดอะไรของคุณอยู่กันแน่ ? งอแงแบบนี้มีประโยชน์อะไร ?”

“มีประโยชน์สิ สนุกไง”

ฉินเย่เลิกคิ้ว แล้วยิ้มออกมาอย่างไม่ยินดียินร้าย “เฮ้อ คุณจะมาสนใจผมทำไม ควรจะทำอะไรก็ไปทำซะ”

“คุณ……”

ใบหน้าอันงดงามของจางหยู่หลันแดงก่ำ เธอกระทืบเท้าด้วยความโกรธ แล้วหันหลังเดินจากไป

มองดูจางหยู่หลันที่เดินกลับเข้าไปในฝูงชน และสามารถดึงดูดสายตาของผู้คนโดยรอบได้

ฉินเย่ก็โยนสเต๊กที่อยู่ในมือกลับลงไปในจาน แล้วเอนตัวลงบนเก้าอี้อย่างสบาย จากนั้นจึงส่ายหัวแล้วยิ้มออกมาอย่างหดหู่ “ผมคู่ควรกับคุณที่ไหนกัน”

“คุณเฉินมาถึงแล้ว !”

ตอนนี้เอง มีเสียงตะโกนดังขึ้นตรงประตูห้องจัดเลี้ยง

ห้องจัดเลี้ยงที่เดิมทีบรรยากาศกำลังคึกคัก จู่ๆ ก็สงบลงทันที

ทุกสายตาจับจ้องไปที่ประตู

ฉินเย่เองก็เก็บซ่อนความขมขื่นบนใบหน้า แล้วลุกขึ้นเดินตรงไปหา

หลังจากประตูใหญ่เปิดออก

เฉินตงก็ค่อยๆ เดินเข้ามาในห้องจัดเลี้ยง

ท่านหลงและคุนหลุนเดินตามมาทางด้านหลัง

เนื่องด้วยความสัมพันธ์ที่มีกับตระกูลจางและตระกูลฉู่ เฉินตงจึงไม่ถือเป็นคนแปลกหน้าสำหรับวงการบันเทิง ยิ่งไปกว่านั้น แขกที่ตระกูลจางและตระกูลฉู่เชิญมาในคืนนี้นั้น ล้วนแล้วแต่เป็นผู้มีอำนาจของบริษัทที่มีความใกล้ชิดสนิทสนมและอยู่ในแวดวงเดียวกันทั้งสิ้น

แต่เมื่อทุกคนเห็นเฉินตง ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกตะลึง

นี่……ไม่ดูหนุ่มเกินไปหน่อยหรือ ?

จากสิ่งที่ผู้มีอำนาจเหล่านี้เคยได้ยินมา บริษัทด้านสื่อบันเทิงของฉู่เจียนเจียในตอนนี้ เป็นการร่วมทุนกับเฉินตง

และสิ่งที่ฟังดูน่าตื่นเต้นยิ่งกว่าก็คือ เป็นเพราะเฉินตง ที่ทำให้ยักษ์ใหญ่แห่งวงการบันเทิงทั้งสองอย่างตระกูลจางและตระกูลฉู่ สามารถจับมือ และร่วมลงทุนกันในบริษัทของฉู่เจียนเจียได้ ซึ่งสิ่งนี้ถือว่าเกิดได้ยากยิ่ง

ในความคิดของพวกเขา คนที่สามารถจัดการให้ตระกูลจางและตระกูลฉู่สามารถตกลงร่วมมือกันได้นั้น จะต้องเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถและมีประสบการณ์อย่างสูง อย่างน้อยก็น่าจะเป็นผู้ใหญ่วัยกลางคน

แต่เฉินตงที่ยืนอยู่ตรงหน้าในตอนนี้ ทำให้ทุกคนรู้สึกตกตะลึง

คนหนุ่มขนาดนี้ ทำให้ตระกูลจางและตระกูลฉู่ร่วมมือกันได้ ?

เสียงซุบซิบค่อยๆ ดังขึ้นตามมาทันที

“ให้ตายสิ นี่ดูเด็กเกินไปไหม ห่างไกลกับที่ฉันคิดเอาไว้เยอะเลย”

“คุณจะไปรู้อะไร คนคนนี้มีภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่ อย่าว่าแต่ร่วมลงทุนกับตระกูลจางและตระกูลฉู่เลย จะบอกคุณให้อีกอย่างนะว่า คุณรู้หรือไม่ว่าทำไมตอนนี้ตระกูลหลี่ถึงตกต่ำเช่นนี้ ?”

“ไม่ ไม่จริงหรอกมั้ง ? คือ คือเขาหรือ ?”

……

ทันใดนั้น ก็มีบุคคลที่มีชื่อเสียงและรอบรู้คนหนึ่ง กระจายข่าวนี้ให้ทุกคนรู้ในทันที

ทำให้คนที่กำลังตกตะลึงเพราะความอ่อนวัยของเฉินตง ค่อยๆ นิ่งอึ้งไปทันทีราวกับถูกฟ้าผ่า

เฉินตงอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา เมื่อมองดูชนชั้นสูงเหล่านั้น

คนเหล่านี้ก็เป็นเพียงชนชั้นสูงในวงการบันเทิงของเมืองหลวงเท่านั้น ซึ่งไม่ต่างจากชนชั้นสูงที่แท้จริงของเมืองหลวงนัก

ถึงแม้ตระกูลจางและตระกูลฉู่จะถือเป็นหัวเรือใหญ่ของวงการบันเทิง แต่เมื่ออยู่ท่ามกลางตระกูลที่มั่งคั่ง ก็อาจเหนือกว่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

อย่างก็ตาม ชื่อเสียงของเขานั้น ทำให้ตระกูลมั่งคั่งของเมืองหลวงรู้สึกสั่นคลอนได้จริง

อีกทั้งระดับของคนที่อยู่ตรงหน้าเหล่านี้ แทบไม่มีโอกาสสัมผัสได้ถึงความสั่นสะเทือนที่เขาสร้างขึ้นในเมืองหลวงได้เลย

การที่ไม่รู้จักเขา ก็ถือว่ามีเหตุผล

“พี่ตง !”

ฉินเย่เดินเข้ามาหาเฉินตงพร้อมรอยยิ้ม

จางหยู่หลันซึ่งกำลังเดิมมาพร้อมกับฉู่เจียนเจียพอดี เมื่อเห็นภาพนี้ ก็กัดริมฝีปากแดงระเรื่อด้วยความโมโหทันที หมอนี่ เมื่อกี้ไม่ยอมออกมาไม่ใช่หรือ ?

ฉันยังเทียบกับผู้ชายไม่ติดเลยหรือ ?

“คุณเฉิน คุณมาได้ ยิ่งทำให้พวกเราเฉิดฉายมากขึ้นจริงๆ”

ฉู่เจียนเจียยิ้มเล็กน้อยและพูด เป็นคำพูดที่ไม่ได้ถ่อมตัว แต่กลับเป็นการเอ่ยชมเฉินตง

ส่วนจางหยู่หลัน กลับมองข้ามเฉินตงไป แล้วเดินตรงเข้าไปหาฉินเย่ จากนั้นจึงแอบใช้มืออันเรียวงามของเธอ หยิกเข้าไปที่เนื้อนุ่มๆ ตรงท้องของฉินเย่

เฉินตงเพิกเฉยจ่อภาพที่เกิดขึ้น

ยิ้มและหันไปพูดคุยกับฉู่เจียนเจีย “เกรงใจทำไม คุณให้ผมมาควบคุมสถานการณ์ ผมจะไม่มาได้อย่างไร ?”

“ตระกูลหลี่ยังมาไม่ถึง ฉันจะพาคุณฉินไปแนะนำให้รู้จักทุกคนที่นี่ก่อน” ฉู่เจียนเจียยิ้มและคล้องแขนเฉินตง

เฉินตงผงะไป จากนั้นจึงถอยหลังออกไปหนึ่งก้าว แล้วดึงแขนกลับมาจากฉู่เจียนเจีย

“ขอโทษด้วย ผมมีภรรยาแล้ว อย่าทำให้ภรรยาของผมต้องเข้าใจผิด”

ฉู่เจียนเจียยิ้มร่าออกมาในทันที “ขอโทษด้วยค่ะคุณเฉิน ฉันไม่ทันคิดให้รอบคอบ เชิญทางนี้ค่ะ”

เฉินตงยื่นมือไปรับไวน์แดงที่ฉู่เจียนเจียยื่นมาให้จากนั้นจึงเดินตามฉู่เจียนเจียเข้าไปในฝูงชนและทักทายกับทุกคน

เขาไม่ได้คิดที่จะปฏิเสธเรื่องนี้

ในเมื่อร่วมลงทุนกับฉู่เจียนเจียแล้ว การออกหน้าในงานเลี้ยงลักษณะนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องยากลำบากอะไร

เป็นเพราะข่าวที่ผู้รอบรู้ได้บอกกล่าวออกไปเมื่อสักครู่ ทำให้เฉินตงเอง ได้รับการชื่นชมยกย่องจากทุกคนไม่น้อย ถึงขนาดมีคนจำนวนไม่น้อย ที่อยากจะอาศัยโอกาสนี้ทำความรู้จัก

บรรยากาศครึกครื้นเป็นอย่างมาก

ในเวลาเดียวกันนี้

ด้านนอกโรงแรม

สายฝนยังคงตกกระหน่ำลงมาอย่างไม่ขาดสาย

ทันใดนั้น

รถบัสโตโยต้า โคสเตอร์คันหนึ่ง ก็วิ่งไปจอดยังหน้าประตูโรงแรม

พร้อมกับเสียงเบรกดังสนั่น

รถบัสจำนวนสิบคันเต็มๆ จอดอยู่ด้านหน้าโรงแรม

ภาพนี้ ทำให้พนักงานโรงแรมต่างตกใจจนหน้าถอดสี และรู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก

ยังไม่ทันจะตั้งสติ

รถบัสโคสเตอร์ทั้งสิบคันก็เปิดประตูออกพร้อมกัน และมีฝูงชนวิ่งกรูกันลงมาเหมือนสายน้ำ

ร้อยคนพอดิบพอดี !

ในรถยนต์คันหนึ่ง

หลี่เต๋อซานกำลังเดินโซเซลงมาจากรถ โดยมีชายวัยกลางคนคอยประคองอยู่

หลังจากวันนั้น ที่เขาโมโหจนสุดขีดและหมดสติไป ร่างกายของหลี่เต๋อซานก็อ่อนแอลงอย่างมาก

เขาใช้สายตาอันเย็นชา เหลือบมองโรงแรมขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า จากนั้นจึงหันไปสั่งชายวัยกลางคนว่า “ทำตามแผนที่วางไว้ ฉันจะเข้าไปในงานเลี้ยงก่อน”

หลังจากพูดจบ เขาซึ่งสวมใส่ชุดสูทและรองเท้าหนัง ก็ค่อยๆ เดินเข้าไปในโรงแรมอย่างช้าๆ

ส่วนคนอีกร้อยคนที่ลงมาจากรถ ก็อาศัยช่วงเวลานี้ ควบคุมพนักงานโรงแรมเอาไว้อย่างรวดเร็ว ถึงขนาดมีบางคนทำหน้าที่ติดตั้งอุปกรณ์ระดับมืออาชีพ เพื่อตัดสัญญาณโดยตรง

นี่ทำให้ผู้คนที่ร่วมอยู่ในงานเลี้ยง ไม่สังเกตเห็นถึงความผิดปกติใดๆ เลย

ยังคงดื่มด่ำกับบรรยากาศที่สนุกสนาน

พูดคุย หัวเราะ ชนแก้วกันอย่างมีความสุข

แอ๊ด……

ไม่มีใครสังเกตเห็นเลยว่า ประตูใหญ่ของห้องจัดเลี้ยงกำลังค่อยๆ ถูกผลักให้เปิดออก

หลี่เอซานค่อยๆ เดินเข้ามาภายในห้องจัดเลี้ยงเพียงลำพัง

ท่าทีของเขาดูมืดมนและไม่แยแส แววตาเต็มไปด้วยความดุดัน ความรู้สึกน่าหวาดกลัวแผ่ซ่านออกมาจากทั่วตัวของเขา

มีเพียงมุมปากเท่านั้น ที่เผยรอยยิ้มเล็กน้อยออกมา……

หลังจากเข้าพักในโรงแรมแล้ว

ฉินเย่ก็หาข้ออ้างออกไปข้างนอก

เฉินตงเองไม่ได้ใส่ใจ ทำเพียงแค่หันไปตอบรับด้วยรอยยิ้ม

ความคิดของฉินเย่ ถูกมองออกนานแล้ว

เพียงแต่ฉินเย่ยังคงปากแข็ง เขาจึงไม่จำเป็นต้องคาดคั้น

หลังจากวางกระเป๋าเดินทางลงเรียบร้อย

ท่านหลงกับคุนหลุนเองก็รีบตามมา

หลังจากรู้ว่าฉินเย่ออกไปแล้ว ท่านหลงก็ยิ้มออกมาอย่างติดตลก “ปากของฉินเย่บอกว่าไม่ต้องการ แต่ร่างกายของเขานั้นไม่อาจโกหกได้จริงๆ”

เฉินตงและคุนหลุนเหลือบมองท่านหลงพร้อมกัน

“ท่านหลง คุณขับรถอะไร ?” คุนหลุนถามด้วยความสงสัย

ท่านหลงตั้งสติได้ ใบหน้าก็แดงก่ำ จากนั้นจึงกระแอมออกมาสองครั้ง แล้วรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

“คุณชาย การประชุมแลกเปลี่ยนด้านอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในคืนนี้ คุณวางแผนไว้ว่าอย่างไร ?”

เฉินตงยิ้มออกมาโดยไม่พูดอะไร

จากนั้นจึงค่อยๆ พูดออกมาหนึ่งประโยค “ทั้งบทลงโทษและรางวัล ล้วนแล้วแต่เป็นของขวัญ คงต้องขึ้นอยู่กับตระกูลหลี่แล้วว่าจะเลือกอะไร”

“ตระกูลหลี่ต้องสูญเสียเงินไปกว่าพันล้านดอลลาร์ให้กับองค์กร hidden killers ในภารกิจลอบสังหาร เมื่อไม่มีเงินหมุนเวียนก้อนนี้ ตระกูลหลี่ที่กำลังอยู่ในช่วงตกต่ำ ก็ยิ่งเกิดความสั่นคลอนมากยิ่งขึ้น”

ท่านหลงส่ายหัวแล้วถอนหายใจ “ต่อให้พวกเขาไม่หาเรื่องคุณชาย ไม่ช้าก็ต้องถูกตระกูลมั่งคั่งของเมืองหลวงกลืนกินไปอยู่ดี การทำเช่นนี้ในตอนนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับสัตว์ที่กำลังติดกับดัก ต่อให้ต้องตาย ก็ขอให้ได้กัดคุณชายให้เลือดกระเซ็นก่อนสักครั้ง

“ตระกูลหลี่ นอกจากคุณท่านใหญ่แล้ว ที่เหลือก็เป็นพวกโง่ทั้งนั้น” เฉินตงไม่คิดที่จะปกปิดความดูหมิ่นที่อยู่ในใจของเขาเลยแม้แต่น้อย และเปล่งเสียงออกมาด้วยความเย็นชา

……

ในเวลาเดียวกันนี้

ภายในคฤหาสน์ปราสาทของตระกูลหลี่

ตอนนี้คฤหาสน์ปราสาทของตระกูลหลี่ไม่ได้เจริญรุ่งเรืองดังเดิมอีกต่อไปแล้ว

ดูเหมือนว่าการลักพาตัวหลี่หลานมา และถูกเฉินตงและเฉินเต้าหลินกดดันด้วยเครื่องบินรบในตอนนั้น จะเป็นจุดเปลี่ยนของตระกูลหลี่ที่แท้จริง

นับแต่นั้นเป็นต้นมา ตระกูลหลี่ก็เริ่มพังทลายลง

ส่วนการลอบสังหาร กลับกลายเป็นเหมือนทางรอดสุดท้าย ในการมีชีวิตรอดของอูฐที่ผอมโซอย่างตระกูลหลี่ ที่สูญสลายไป

ทำให้ทั่วทั้งคฤหาสน์ปราสาทของตระกูลหลี่ เต็มไปด้วยบรรยากาศที่มัวหม่น ไร้ชีวิตชีวา

ไม่มีแขกเหรื่อมาเยี่ยมเยียนอีกแล้ว

ตระกูลมั่งคั่งในเมืองหลวงต่างรู้ดีว่า เวลาของตระกูลหลี่เหลือไม่มากแล้ว

แขกเหรื่อในอดีต ตอนนี้ไม่แน่ว่าอาจกำลังแอบลับมีดรอเอาไว้แล้ว

ฟ้าร้องกระหน่ำ

ฝนตกโปรยปราย

ผสมผสานเข้ากับบรรยากาศมืดมิดที่ปกคลุมอยู่ทั่วท้องฟ้า

หลี่เต๋อซานนั่งนิ่งอยู่ริมหน้าต่าง และมองดูสายฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างหนักด้านนอกหน้าต่าง

“ฝน ตกหนักจริงๆ”

จู่ๆ หลี่เต๋อซานก็พึมพำขึ้นมา น้ำเสียงเต็มไปด้วยความอ้างว้างและเหนื่อยล้า “เมืองหลวงนั้นดีทุกอย่าง เสียอย่างเดียวที่ท้องฟ้าแปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ก้าวแรกอาจจะมีแดด แต่ก้าวที่ตามมาอาจจะมีพายุฝนก็เป็นได้”

ก๊อกก๊อกก๊อก !

เสียงเคาะประตูดังขึ้น

“เข้ามา”

ท่าทีเหนื่อยล้าของหลี่เต๋อซานจางหายไปทันที แปรเปลี่ยนเป็นท่าทีที่น่าเกรงขามขึ้นมา

ประตูเปิดออก

ชายวัยกลางคนเดินเข้ามา

มองไปยังหลี่เต๋อซานที่นั่งอยู่ริมหน้าต่าง “เจ้าบ้าน จะไปจริงๆ หรือครับ ?”

“หากไม่ได้แก้แค้น ใจของนายขะสงบได้หรือ ?” หลี่เต๋อซานถามออกมาอย่างเย็นชา “พ่อตายไปได้เพียงไม่นาน นายอยากให้เขาดูถูกเอาหรือยังไง ?”

“แต่ตระกูลหลี่ของพวกเรา……” ชายวัยกลางคนพูดด้วยท่าทีเศร้าสร้อย

หลี่เต๋อซานค่อยๆ ลุกขึ้น จากนั้นจึงยิ้มและด้วยท่าทีดุร้ายว่า “เป็นเพราะไม่มีอะไรจะเสีย จึงไม่จำเป็นต้องกลัวยังไงล่ะ คนที่ฉันให้นายไปเตรียม เรียบร้อยหรือยัง ?”

ชายวัยกลางคนหันไปเผชิญหน้ากับหลี่เต๋อซาน มีความหวาดกลัวฉายออกมาจากแววตา

หลายวันมานี้ เจ้าบ้านเปลี่ยนไปอย่างมากจริงๆ !

ตั้งแต่ที่โกรธอย่างสุดขีด และกระอักเลือดออกมาในวันนั้น หลังจากที่ฟื้นขึ้นมา ก็เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน

บ้าระห่ำและรุนแรง

มีเจตนาฆ่าที่รุนแรงปรากฏออกมาอยู่บ่อยๆ ทำให้ทุกคนรู้สึกหวาดหวั่น

“เตรียมเรียบร้อยแล้วครับ” ชายวัยกลางคนพยักหน้า “แต่พวกเราทำเช่นนี้ จะเป็นการทำเกินกว่าเหตุไปหน่อยหรือไม่ ?”

“เกินไป ? !” หลี่เต๋อซานยักไหล่ “ฉันกลัวว่าจะน้อยเกินไปนะสิ การประชุมแลกเปลี่ยนที่มีตระกูลจางและตระกูลฉู่เป็นหัวเรือใหญ่ ต่อให้เป็นงานเล็กๆ ก็ถือเป็นงานแลกเปลี่ยนระดับสูงในวงการบันเทิงแล้ว ในเมื่อตระกูลหลี่ของพวกเราต้องการจะไป ตระกูลจางและตระกูลฉู่ต้องเข้าใจถึงเจตนาที่แท้จริง และเชิญเขามาร่วมงานอย่างแน่นอน”

“ถึงตอนนั้น ก็จะเป็นเวลาที่เราจะได้แก้แค้นให้กับพ่อ !”

แววตาของชายวัยกลางคนดูซับซ้อน ดวงตาของเขากลอกไปมา จากนั้นจึงกัดฟันแล้วพูดว่า “แต่พี่ใหญ่ทำเช่นนี้ ไม่เพียงแต่จะทำให้ตระกูลหลี่ไม่ได้ตายดีแล้ว ยังเป็นการผลักตระกูลหลี่ลงนรกอีกด้วย ความแค้นเรื่องฆ่าพ่อระหว่างเฉินตงกับพวกเรานั้น ถึงแม้จะหยั่งรากลึกก็จริง แต่ถ้าหากลงมือในการประชุมแลกเปลี่ยนแล้วล่ะก็ ตระกูลหลี่ของพวกเราก็จะไม่มีโอกาสได้ลืมตาอ้าปากอีกต่อไปแล้ว”

การแก้แค้นส่วนตัว ต้องปรากฏขึ้นต่อหน้าสาธารณชน

ผลกระทบที่จะตามมานั้น ชายวัยกลางคนไม่กล้าที่จะจินตนาการเลย

ปัง !

หลี่เต๋อซานเตะเก้าอี้ที่วางอยู่ข้างๆ เขาจนล้ม แล้วตะโกนออกมาด้วยความโกรธแค้นว่า “ใครก็ห้ามขวางฉันทั้งนั้น ! คืนนี้ฉันจะทำให้เฉินตงต้องนอนตายอยู่ที่นั่นให้ได้ ให้เขาลงไปอยู่ในนรกเป็นเพื่อนพ่อ !”

เปรี้ยง !

มีเสียงฟ้าผ่าดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง สายฟ้าฟาดผ่านท้องฟ้าลงมา

ฟ้าที่ผ่าลงมา ยิ่งเป็นการเพิ่มความน่าเกรงขามของหลี่เต๋อซาน

ทำให้ชายวัยกลางคนรู้สึกตกใจจนตัวสั่น

ชายวัยกลางคนกัดฟัน แล้วขานรับ จากนั้นจึงหันหลังเดินจากไป

หลี่เต๋อซานหันกลับไปมองนอกหน้าต่างอีกครั้ง ดวงตาของเขาแดงก่ำ กัดฟันแล้วพูดว่า “ต่อให้ต้องตายก็ต้องลากเฉินตงไปด้วย ตอนที่พ่อยังมีชีวิตอยู่ เอาแต่ขอร้องอ้อนวอนเฉินตงขนาดนั้น แต่สุดท้ายแล้ว คนที่ฆ่าพ่อก็คือเจ้าสัตว์เดรัจฉานนั่น ทว่าตอนนี้ ก็ต้องให้คนไร้ค่าช่วยแก้แค้นให้พ่อไม่ใช่หรือยังไง ?”

ขณะที่พูด หลี่เต๋อซานก็หัวเราะขึ้นมา

เสียงหัวเราะเยือกเย็นและดังขึ้นเรื่อยๆ และก้องกังวานไปทั่วห้องนอน

เวลากลางคืนค่อยๆ คืบคลานเข้ามา

สายฝนไม่มีที่ท่าจะเบาลงเลยแม้แต่น้อย แต่กลับยิ่งตกกระหน่ำมากยิ่งขึ้น

เสียงฟ้าผ่าดังกระหึ่ม สายฝนตกกระหน่ำลงมา

ทำให้เมืองหลวงดูไร้ชีวิตชีวาไปไม่น้อย

ในเมืองที่สว่างไสว ผู้คนรีบวิ่งอย่างรวดเร็วเพื่อหลบฝน

แม้กระทั่งการจราจรบนท้องถนน ก็รวดเร็วขึ้นมาก

บนรถโรลส์-รอยซ์

เฉินตงมอออกไปด้านนอกหน้าต่างอย่างเงียบๆ และไม่มีปฏิกิริยาใดๆ

คุนหลุนนั่งอยู่ตรงที่นั่งด้านข้างคนขับ ส่วนท่านหลงนั่งอยู่ข้างๆ เฉินตง

“คุณชาย ไปตอนนี้น่าจะช้าไปสักหน่อยแล้ว” ท่านหลงพูด

“ฉู่เจียนเจียเชิญให้ฉันไปช่วยควบคุมสถานการณ์ แต่ไม่ได้บอกให้ฉันไปเร็วๆ นี่” เฉินตงตอบกลับมาหนึ่งประโยค แล้วเบะปากอย่างช่วยไม่ได้

เขารู้ดีว่าการตรงต่อเวลา การติดต่อกับผู้ร่วมธุรกิจ และการรักษาเวลาที่นัดกันไว้ ถือเป็นมารยาทขั้นพื้นฐาน

แต่เป็นเพราะเมื่อครู่ต้องรอฉินเย่มาพร้อมกัน เมื่อดูเวลาก็เห็นว่าไม่ทันการแล้ว สุดท้ายฉินเย่กลับโทรศัพท์มาบอกว่าเขาไปถึงจุดหมายพร้อมกัยจางหยู่หลันเรียบร้อยแล้ว

หากไม่ต้องเสียเวลาเพราะเจ้าสัตว์ร้ายนั่น จะมาสายได้อย่างไรกัน ?

“เจ้าฉินเย่นั่น จริงๆเลย เป็นผู้ชายที่ปากไม่ตรงกับใจเลยจริงๆ”

ท่านหลงเองก็รู้ดีว่าทำไมถึงมาสาย จึงอดไม่ได้ที่จะปริปากบ่นออกมา จากนั้นจึงยิ้ม “แต่ก็ดี เจ้าหมอนั่นจะได้ล่วงหน้าไปช่วยคุณชายควบคุมสถานการณ์เอาไว้ก่อน”

เฉินตงหัวเราะร่าออกมา

เขาขานรับออกมาอย่างสบายๆ จากนั้นจึงเปลี่ยนท่าทางให้ผ่อนคลายขึ้น และหลับตาพักผ่อน

ผ่านไปครึ่งชั่วโมง

“คุณชาย ถึงแล้วครับ !”

ท่านหลงปลุกเฉินตงเบาๆ

“ลงจากรถเถอะ”

เฉินตงลุกขึ้นลงจากรถ

เงยหน้าขึ้นมองโรงแรมที่อยู่ตรงหน้าหนึ่งครั้ง

ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่สายฝนตกกระหน่ำ แสงไฟของโรงแรมสูงตระหง่านสว่างไสว เต็มไปด้วยความทันสมัยและดึงดูดใจ

อีกทั้ง บริเวณประตูใหญ่ของโรงแรม ถูกปูพรมแดงเอาไว้เรียบร้อยแล้ว

โรงแรมระดับห้าดาวที่ตั้งอยู่ในเมืองหลวงที่เจริญรุ่งเรืองเช่นนี้ หากจะว่ากันตามเหตุผลแล้ว ก็ควรที่จะมีผู้เข้าพักไม่ขาดสาย แต่คืนนี้ปริมาณรถในลานจอดรถกลับดูบางตา

“คุณชาย นี่คือหนึ่งในธุรกิจของตระกูลจาง วันนี้จึงเหมาทั้งโรงแรมแล้ว” ท่านหลงกล่าวแนะนำ

เฉินตงเข้าใจในทันที

จากนั้นจึงเดินตรงไปยังโรงแรม

คุนหลุนกางร่ม แล้วเดินตามไปติดๆ เพื่อกันฝนให้กับเฉินตง

ท่านหลงกางร่มเดินตามอยู่ข้างๆ

ฝีเท้าก้าวลงไปบนพื้นที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำฝนอย่างช้าๆ

สีหน้าของเฉินตงค่อยๆ เคร่งขรึมขึ้น และพึมพำขึ้นมาอย่างติดตลกว่า “ตระกูลหลี่……คงไม่โง่ตั้งแต่ต้นจนจบหรอกนะ”

อากาศยามค่ำคืนเย็นยะเยือกเหมือนสายน้ำ

ในที่สุดท่านหลงและคุนหลุนก็กลับมาถึงคลับสี่ยิ่น

เฉินตงไม่คิดที่จะปลุกกู้ชิงหยิ่งซึ่งกำลังนอนหลับใหลอยู่ เขาค่อยๆ ส่งสัญญาณให้ท่านหลงและคุนหลุนเดินเข้าไปในลาน

ใบหน้าของท่านหลงและคุนหลุนเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและเคร่งขรึมอยู่ตลอดเวลา

“เล่ามาซิว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง”

หลังจากนั่งลงแล้ว เฉินตงก็พูดออกมาด้วยท่าทีสงบนิ่ง

ท่านหลงและคุนหลุนหันมองหน้ากัน จากนั้นท่านหลงก็ค่อยๆ อธิบายขึ้น

เพียงแต่ว่า เมื่อยิ่งฟัง คิ้วของเฉินตงก็ยิ่งขมวดมากยิ่งขึ้น

ไม่มีการต่อสู้กันอย่างดุเดือดและไม่มีการนองเลือด

หรือจะพูดให้ชัดเจนก็คือ ตอนที่ท่านหลงและคุนหลุนพาทีมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยไปถึงตระกูลเฉินนั้น การลอบสังหารได้สิ้นสุดลงแล้ว

ฆาตกรถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของตระกูลเฉินยิงเสียชีวิต ส่วนพ่อได้หายตัวไป

ทุกอย่างดูเป็นปกติ ราวกับเป็นการลอบสังหารที่ธรรมดามากๆ ครั้งหนึ่งเท่านั้น

แต่การลอบสังหารที่ธรรมดานี้ พ่อกลับหายตัวไปภายในบ้านตระกูลเฉิน

หลังจากฟังจบ เฉินตงก็ถอนหายใจออกมาด้วยความหนักใจ “พวกนายได้ตามหาพ่อรึยัง ?”

“ตามหาแล้วครับคุณชาย” แววตาของท่านหลงเต็มไปด้วยความงุนงง “แต่หาจนทั่วทั้งตระกูลเฉินแล้ว ก็ยังไม่พบร่องรอยของนายท่านเลยครับ”

คุนหลุนเองก็พูดเสริมขึ้นมา “ใช่แล้วครับ อีกทั้งตอนที่พวกเราไปถึง การลอบสังหารก็ได้จบลงแล้ว บรรดาผู้บริหารระดับสูงของตระกูลเฉิน รวมไปถึงคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน ได้จัดกำลังบรรดาคนรับใช้และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยออกตามหาทั่วบริเวณโดยรอบแล้ว แต่กลับไม่พบร่องรอยของนายท่านเลยแม้แต่น้อย และไม่มีเบาะแสใดๆเลย”

หยุดนิ่งไปสักพัก คุนหลุนก็พูดขึ้นว่า “อีกทั้ง ฆาตกรที่ลงมือลอบสังหารมีเพียงคนเดียว ไม่ได้มีผู้สมรู้ร่วมคิด”

“น่าสนใจจริงๆ” เฉินตงแสยะยิ้มออกมา พร้อมด้วยแววตาที่ดูน่าหวาดกลัว

ท่านหลงและคุนหลุนขมวดคิ้วแน่น

การลอบสังหารในครั้งนี้ ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ

การหายตัวไปของเฉินเต้าหลิน ช่างเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมาย

“คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินมีท่าทีผิดปกติอะไรหรือไม่ ?” จู่ๆ เฉินตงก็เลิกคิ้วและถามขึ้น

“ไม่มีครับ”

ท่านหลงส่ายหัว “ตอนนี้ตระกูลเฉินโกลาหลอย่างมาก คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินดูร้อนใจกว่าใครเพื่อน นายท่านหายตัวไป ตอนนี้ตระกูลเฉินก็เหมือนมังกรที่ขาดหัว เรื่องนี้คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินใช้อำนาจที่มีในการปิดเอาไว้เป็นความลับ ถ้าหากแพร่งพรายออกไป คงจะเป็นผลเสียต่อตระกูลเฉินอย่างมาก”

ตระกูลเฉินเป็นผู้กุมความมั่งคั่งของโลกเอาไว้ แต่อยู่เหนือสิ่งทุกสิ่งในโลก

ถึงแม้จะเป็นตระกูลมั่งคั่ง ในสายตาของตระกูลเฉินแล้ว ก็เป็นเพียงแค่มดตัวเล็กๆ เท่านั้น

จู่ๆ เจ้าบ้านก็หายตัวไป หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป จะต้องเกิดความโกลาหลครั้งยิ่งใหญ่ขึ้นอย่างแน่นอน และอาจถึงขั้นทำให้เกิดความกระทบกระเทือนที่เป็นเหมือนคลื่นลูกใหญ่ในระดับสากล

ความเสียหายขนาดนี้ ตระกูลเฉินไม่กล้าที่จะแบกรับเอาไว้ !

เฉินตงขมวดคิ้วแน่น ในสมองของเขาเต็มไปด้วยสิ่งวุ่นวายและคิดไม่ตก

พ่อหายตัวไป ถือว่าเป็นความโชคดีที่อยู่ในความโชคร้าย อย่างน้อยก็มั่นใจได้ชั่วขณะหนึ่งว่ายังคงปลอดภัยดี

แต่การหายตัวไป ก็ถือเป็นข่าวร้าย

สิ่งเดียวที่เขามั่นใจได้ก็คือ คนที่ลอบสังหารพ่อ กับคนที่สนับสนุนให้เกิดการลอบฆ่าเขานั้น เป็นคนคนเดียวกัน หรือจะพูดว่าเป็นกลุ่มพลังเดียวกันก็ได้

นอกจากเรื่องนี้แล้ว ก็ไม่มีเบาะแสอื่นๆ !

“คุณชาย ใจเย็นๆ ก่อนนะครับ”

ท่านหลงพูดเตือนสติเบาๆ “ตระกูลเฉินจะต้องตามหานายท่านอย่างสุดความสามารถแน่นอนครับ เจ้าบ้านหายตัวไป พวกเขาร้อนใจกว่าใครๆ ไม่เพียงแต่ขายหน้าเท่านั้น แต่ยังกระทบถึงผลประโยชน์มากมายมหาศาลอีกด้วย ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ คุณชายจัดการกับธุระที่อยู่ตรงหน้าให้ดีที่สุดจะดีกว่าครับ เวลาหนึ่งปีนั้นสั้นนิดเดียว”

“ลำบากพวกนายแล้ว ไปพักผ่อนกันเถอะ”

เฉินตงพยักหน้า และเผยรอยยิ้มออกมา

เขามองดูท่านหลงและคุนหลุนเดินกลับไปที่ห้องด้วยความรู้สึกจนใจ

เฉินตงเกาหัวด้วยความหงุดหงิด และพยายามระงับความคิดที่ว้าวุ่นเอาไว้

ตอนนี้ได้แต่หวังว่า เรื่องนี่จะไม่ใช่การสมรู้ร่วมคิดกันของคนในตระกูลเฉิน

ขณะที่เฉินตงกำลังจะลุกขึ้นนั้น ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น

เป็นสายจากฉู่เจียนเจีย !

ในช่วงที่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ลอบสังหารอันน่าหวาดกลัวอยู่พักใหญ่ ก็ได้รับความช่วยเหลือจากตระกูลจางและตระกูลฉู่ไม่น้อย แค่เพียงการสกัดกั้นไม่ให้ภารกิจการลอบสังหารของดาร์กเว็บ หลุดรอดออกไปบนโลกอินเทอร์เน็ต ก็จำต้องใช้พลังงานอย่างมหาศาล

ตอนนี้หมอกควันจากลงแล้ว เฉินตงเองก็รู้สึกขอบคุณตระกูลจางและตระกูลฉู่ทั้งสองตระกูลไม่น้อย

เมื่อรับสายโทรศัพท์แล้ว ฉู่เจียนเจียก็หัวเราะพลางพูดว่า “ยินดีด้วยค่ะคุณเฉินที่รอดพ้นจากอันตราย”

เฉินตงยิ้มเล็กน้อย อันที่จริงแล้วเขารู้สึกชอบอุปนิสัยและการทำงานของฉู่เจียนเจียเป็นอย่างมาก

อย่างน้อย ในตอนแรกที่ทั้งสองตระกูลพยายามเข้ามาผูกมิตรกับเขา เขาก็เลือกที่จะอยู่ข้างฉู่เจียนเจีย

“ต้องขอบคุณพวกคุณมาก ผมยังไม่มีโอกาสได้กล่าวขอบคุณพวกคุณเลยสักครั้ง” เฉินตงกล่าว

“เรื่องเล็กน้อยค่ะ อย่าได้เก็บเอาไปใส่ใจเลย”

ฉู่เจียนเจียพูดด้วยท่าทีสงบนิ่ง ด้วยนิสัยที่ดูเย็นชาราวกับภูเขาน้ำแข็งอย่างที่เคยเป็นมา “แต่ตอนนี้มีเรื่องเรื่องหนึ่งที่จำเป็นจะต้องให้คุณเฉินช่วยออกหน้าแล้ว”

“ได้สิ”

เฉินตงไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย ในเมื่อฉู่เจียนเจียมาขอร้องเขา ก็เป็นไปได้สูงที่จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับบริษัทที่ลงทุนร่วมกัน

มิเช่นนั้นปัญหาธรรมดาๆ ทั่วไป ด้วยความสามารถของตระกูลฉู่แห่งเมืองหลวงแล้ว คงสามารถจัดการได้อย่างง่ายดายแน่นอน ทำไมจะต้องมาขอความช่วยเหลือจากเขาอีก

“สามวันหลังจากนี้ เมืองหลวงจะจัดการประชุมแลกเปลี่ยนของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ขนาดเล็กขึ้น ตระกูลฉู่และตระกูลจางของพวกเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า คุณเฉินจะให้เกียรติไปร่วมงานได้”

ฉู่เจียนเจียเงียบไปสักครู่ แล้วพูดเสริมขึ้นมาอีกหนึ่งประโยคว่า “แน่นอนว่า ข้อแรกเป็นเพราะคุณเฉินกับพวกเราเป็นหุ้นส่วนกัน ส่วนข้อที่สอง……ตระกูลหลี่ต้องส่งคนมาแน่นอน !”

เฉินตงพูดขึ้นทันที “นี่คุณกำลังช่วยตระกูลหลี่ล่อศัตรูออกไป เพื่อเตือนพวกเขาว่าหากจะแก้แค้นก็แก้แค้นให้ถูกคนอย่างนั้นหรือ ?”

“ที่ไหนกันคะ ให้คุณเฉินไปเพื่อควบคุมสถานการณ์ต่างหาก” ฉู่เจียนเจียพูดพลางหัวเราะ

เฉินตงเองก็ไม่ได้ปฏิเสธ และตกปากรับคำทันที

เขากับตระกูลจางและตระกูลฉู่ทั้งสองตระกูล ก็เป็นเหมือนพันธมิตรที่ลงเรือลำเดียวกัน จึงไม่มีเหตุผลที่ต้องปฏิเสธ

อีกทั้งพื้นฐานการทำธุรกิจของตระกูลหลี่เอง ก็ไม่ได้อยู่ในแวดวงของวงการบันเทิง การที่ไปเข้าร่วมการประชุมแลกเปลี่ยนของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ อีกทั้งฉู่เจียนเจียก็ตั้งใจโทรศัพท์มาหาเขาเช่นนี้ นั่นแสดงให้เห็นชัดเจนว่า ตระกูลหลี่มาด้วยจุดประสงค์ร้าย

อย่างไรเสียตั้งแต่ต้นจนจบ ตระกูลหลี่ก็ยังคงปิดหูปิดตา ไม่สืบสาวราวเรื่องให้แน่ชัดว่าใครเป็นคนฆ่าคุณท่านใหญ่ตระกูลหลี่กันแน่ ประกอบกับที่ต้องสูญเสียเงินไปเป็นจำนวนมากให้กับองค์กร hidden killers ในภารกิจลอบฆ่า

ทั้งความแค้นครั้งเก่าและใหม่ คงเพียงพอที่จะทำให้ตระกูลหลี่ระเบิดอารมณ์ออกมา

“ตระกูลหลี่ พวกเขาก็เป็นแค่พวกไม่ได้เรื่อง การทำอะไรโดยไม่คิดหน้าคิดหลังเช่นนี้ ต้องการที่จะให้คุณท่านใหญ่ตระกูลหลี่ที่นอนอยู่ในโลง ต้องนอนตายตาไม่หลับหรือยังไง ?”

เฉินตงลูบจมูก และหัวเราะเยาะออกมา

สองวันต่อมา

ทุกอย่างยังอยู่ในความสงบ

ช่วงเวลาเลวร้ายในการลอบสังหารผ่านพ้นไปแล้ว

เฉินตงจัดการบริษัทต่างๆ ที่อยู่ในมือ ให้ดำเนินการต่อไปตามปกติ

สิ่งเดียวที่ทำให้เขารู้สึกเป็นกังวลก็คือเรื่องของพ่อ

ระยะเวลาสองวัน กับการค้นหาจนทั่วตระกูลเฉิน แต่ก็ยังคงไร้วี่แวว

ราวกับพ่อหายไปในอากาศ

เรื่องนี่เป็นเหมือนหนามแหลมที่ทิ่มแทงหัวใจของเฉินตงอยู่ ยากที่จะสงบจิตใจลงได้

เพียงชั่วพริบตา

ก็ถึงวันที่นัดหมายกับฉู่เจียนเจียเอาไว้

ช่วงเช้า

เฉินตงโดยสารเครื่องบินส่วนตัวไปยังเมืองหลวง

เมื่อเดินออกจากสนามบิน ฉู่เจียนเจียก็เตรียมรถมารอรับเรียบร้อยแล้ว

หลังจากขึ้นรถ ทุกคนก็มุ่งหน้าไปยังโรงแรมที่ฉู่เจียนเจียจัดเตรียมเอาไว้ให้

เฉินตงหันมองฉินเย่ที่นั่งอยู่ข้างๆ “อย่างไรเสีย นายก็กำลังดูแลบริษัทการเงินมูลค่าหลายหมื่นล้านอยู่ ตอนนี้ก็ควรจะนั่งบริหารงานอยู่ที่บริษัทไม่ใช่หรือ จะตามพวกเรามาทำไม ?”

“การประชุมแลกเปลี่ยนด้านอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ต้องมีดาราสาวสวยมาร่วมงานด้วยแน่นอน ถือเป็นบุญตาจริงๆ !” ฉินเย่กะพริบตาปริบๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม

เฉินตงลูบจมูก “อ้อ ฉันคิดว่านายตั้งใจจะมาหาจางหยู่หลันเสียอีก”

รอยยิ้มบนใบหน้าของฉินเย่จางหายไปทันที แล้วหัวเราะร่าออกมา “จะเป็นไปได้ยังไง เธอจะสวยเทียบกับดาราได้อย่างไร ?”

“คุณชายฉิน คุณลองดูท้องฟ้าของเมืองหลวงนั้นสิ เมฆหมอกอึมครึม เกรงว่าฟ้ากำลังจะผ่าแล้ว” ท่านหลงพูดเป็นนัย “คุณพูดโกหกเช่นนี้ ไม่กลัวจะถูกฟ้าผ่าเอาหรือยังไง ?”

ฉินเย่กำลังยืดคอจะเถียงกลับ

เปรี้ยง !

จู่ๆ ก็มีฟ้าผ่าลอดลงมาจากท้องฟ้าที่กำลังอึมครึมอยู่

ทำให้ฉินเย่ตกใจจนหัวหดและรีบหุบปาก

ส่วนเฉินตงเองก็หันหน้าออกไปมองท้องฟ้าเช่นกัน

เมฆหมอกปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าของเมืองหลวง

ถึงแม้จะเป็นเวลาเช้า แต่กลับมืดมิดเหมือนตอนกลางคืน

เขาลูบจมูก “สภาพอากาศในเมืองหลวงแปรปรวนอย่างรวดเร็ว มีเพียงตระกูลหลี่เท่านั้นที่ยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติง”

คืนนั้น

ลานป่าไผ่ที่ควรมีแต่เสียงร้องรำทำเพลงกลับตกอยู่ในบรรยากาศแห่งความร้อนรนสับสน

ราวกับอากาศรอบตัวหยุดการเคลื่อนไหว

เฉินตงไม่ได้นอนทั้งคืน

เขานั่งเหม่อลอยอยู่บนเก้าอี้ในห้องรับแขกอย่างไร้สติสัมปชัญญะ เล็บมือทั้งสองข้างของเขาถูกกัดจนกุดหมด

แต่กู้ชิงหยิ่ง ฉินเย่และคนอื่นๆ ยังคงคอยอยู่ข้างๆ เขา

ท่านหลงกับคุนหลุนที่พาการ์ดทั้งหมดรุดออกไปไม่ส่งข่าวคราวใดๆ กลับมา ราวหายตัวเข้าไปในกลีบเมฆ

เมื่อถึงตอนฟ้าเริ่มสาง

มือถือของเฉินตงก็ส่งเสียงดัง

เสียงเพลงดังก้อง

ทำเอาทุกคนกลับมาได้สติอีกครั้ง

เป็นสายที่มาจากท่านหลง

เฉินตงรับสายอย่างรีบร้อน

“ท่านหลง พ่อเป็นยังไงบ้าง” เฉินตงร้อนใจถาม

อีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์ ท่านหลงเงียบไปหลายวินาที

จากนั้นจึงเอ่ยช้าๆ ว่า “คุณชาย กระผมกับคุนหลุนกำลังกลับไปแล้วครับ”

นี่ใช่คำตอบรึ?

เฉินตงร้อนรนขึ้นทันที “ฉันถามว่า พ่อเป็นยังไงบ้าง?”

เสียงที่ดังขึ้นทำให้กู้ชิ่งหยิ่งและหลายๆ คนเริ่มอึดอัดใจ

เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีนัก!

ท่านหลงที่อยู่ปลายสายเงียบไปหลายวินาที

สุดท้ายเขาก็ถอนใจแล้วเอ่ยออกมาช้าๆ ว่า “คุณท่านหายตัวไป”

เปรี้ยง!

น้ำเสียงแหบพร่านั้นกลับรุนแรงราวสายฟ้าฟาด

เฉินตงเหม่อลอย ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ

กู้ชิงหยิ่งที่อยู่ข้างๆ เมื่อเห็นเหตุการณ์ไม่สู้ดีก็รีบร้อนวิ่งเข้ามาคว้าโทรศัพท์ไปจากมือของเฉินตง เธอเปิดลำโพงแล้วถามสถานการณ์จากท่านหลงอีกครั้ง

เสียงอ่อนระทวยของท่านหลงดังออกมาจากมือถือ

กู้ชิงหยิ่ง ฉินเย่และคนอื่นๆ ต่างหยุดนิ่งไม่ไหวติง

ทุกคนต่างเหม่อลอยไม่กล้าเอ่ยปาก

เสียงที่อยู่ห่างไกลของท่านหลงดังออกมาจากโทรศัพท์อีก

“คุณชายกับคุณนายน้อยโปรดวางใจ หากดูจากร่องรอยที่เกิดขึ้น คุณท่านน่าจะไม่เป็นอะไรแค่หายตัวไปเท่านั้น”

ประโยคนี้ทำให้กู้ชิงหยิ่งและทุกคนเกิดความข้องใจมากขึ้น

ตอนนั้นเองที่เฉินตงเกิดความรู้สึกอยากหัวเราะขึ้นมา

การลอบฆาตกรรมเกิดขึ้นในคฤหาสน์ตระกูลเฉินที่มีระบบนิรภัยแน่นหนา

แถมผลสุดท้ายพ่อของเขายังหายตัวไป

เขาไม่ได้อยากจะให้เกิดเรื่องอะไรกับพ่อของเขา แต่อย่างไรก็รู้สึกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ไม่สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง!

คฤหาสน์ตระกูลเฉินใหญ่โตโอ่อ่า หลังจากเกิดเหตุการณ์ลอบฆาตรกรรมของยิวหมินแล้วก็ยิ่งยกระดับความปลอดภัยของการ์ดให้สูงขึ้น ต่อให้ไม่มีกลุ่มการ์ดที่มาคอยปกป้องเขาอยู่ แต่การ์ดที่คัดเลือกมาก็ถือว่ามีฝีมือมากที่สุดในบรรดาที่พวกเศรษฐีเลือกใช้

ฆาตกรยังบุกเข้ามาจะฆ่าพ่อแถมยังได้มือถือของพ่อไป

ในสถานการณ์เช่นนี้ จุดจบที่ดีที่สุดคือพ่อของเขาต้องถูกช่วยออกมาได้อย่างปลอดภัยและคนร้ายถูกยิงตายคาที่

หรือไม่ก็จุดจบที่เลวร้ายที่สุด

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ถือเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้อย่างยิ่ง

เจ้าบ้านตระกูลเฉินที่ยิ่งใหญ่กลับโดนโจมตีที่คฤหาสน์ตระกูลเฉิน แถมยังหายตัวไปในบ้านตัวเองด้วย?

“นักฆ่าล่ะ?” เฉินตงเอ่ยถาม

“ถูกยิงตายคาที่ไปแล้วครับ” ท่านหลงกล่าว

รอยยิ้มของเฉินตงชัดขึ้นและยิ่งเย็นชาขึ้นด้วย “ตายอย่างนี้ก็หาหลักฐานไม่ได้ล่ะสิ?”

เงียบไปพักหนึ่ง ก่อนท่านหลงจะเอ่ยตอบว่า “แบบนี้ก็ถือว่าดีแล้วครับ คุณท่านแค่หายตัวไป ไม่ได้รับอันตรายอะไร ตอนนี้ทางตระกูลเฉินกำลังเริ่มตามหากันอยู่”

“ขอให้เป็นอย่างนั้น”

เฉินตงพยักหน้าแล้วตัดสายไป สายตาของเขายิ่งล้ำลึกเกินคาดเดา

“ฉันรู้สึกว่ามันยากจะอธิบายไปสักหน่อย”

ฉินเย่ลูบคางแล้วเอ่ยออกมาว่า “ในเมื่อคนร้ายถูกยิงตายไปแล้ว แล้วเจ้าบ้านตระกูลเฉินจะหายตัวไปกลางคฤหาสน์ได้ยังไง”

กู้ชิงหยิ่งกับฟ่านลู่และกูหลังต่างพากันพยักหน้าเห็นด้วย

คนร้ายถูกฆ่าตาย เหตุการณ์คลี่คลาย แถมยังมีการป้องกันที่แน่นหนา เฉินเต้าหลินไม่น่าจะถูกลักพาตัวไปได้

“สมมติว่าคนร้ายไม่ได้มีแค่คนเดียว แต่มีอีกคนที่แอบพาตัวเจ้าบ้านตระกูลเฉินไปล่ะ” กูหลังเอ่ยขึ้น

ฟ่านลู่ส่ายหน้า “จากฝีมือของการ์ดและกำลังคนที่กระจายอยู่ทั่วตระกูลเฉิน เมื่อเจ้าบ้านตระกูลเฉินปลอดภัยแล้ว ต่อให้คนร้ายมีพวกอีกหลายคนก็ไม่มีทางลักพาตัวเจ้าบ้านตระกูลเฉินไปได้แน่”

“ไม่ว่าจะยังไง ตอนนี้พ่อก็พ้นอันตรายแล้วไม่ใช่หรอ”

เมื่อกู้ชิงหยิ่งเห็นเฉินตงกำลังคิดมากจึงเอ่ยปากปลอบโยนว่า “ถ้าแค่หายตัวไป กำลังของตระกูลเฉินต้องสามารถหาตัวได้ภายในไม่กี่วันแน่ค่ะ”

เฉินตงเหลือบไปมองกู้ชิงหยิ่ง

เขาพยายามแค่นยิ้ม

ในที่สุดเขาก็เริ่มวางก้อนหินที่หนักอึ้งอยู่ในใจลงได้

ถูกต้อง แค่หายตัวไปย่อมดีกว่าโดนคนร้ายปลิดชีวิตสำเร็จเป็นไหนๆ

เฉินตงตบเข่าฉาดและลุกขึ้นยืน จากนั้นจึงบิดขี้เกียจ

“ทุกคนไม่ได้นอนมาทั้งคืนแล้ว ไปพักผ่อนกันเถอะ”

เมื่อเอ่ยจบ เขาก็ประคองกู้ชิงหยิ่งเข้าไปในห้องนอน

ทิ้งให้ฉินเย่ ฟ่านลู่ กูหลังและฉินเสี่ยวเชียนสบตากันอยู่อย่างนั้น

“ทำไมถึงรู้สึกว่าปฏิกิริยาของพี่ตงมันแปลกๆ?” ฉินเสี่ยวเชียนคล้ายกำลังมีความคิดบางอย่าง

ฉินเย่กลอกตาแล้วหัวเราะพรวดออกมา “เจ้าบ้านตระกูลเฉินเพียงแค่หายตัวไป คนยังปลอดภัยอยู่ ดังนั้นเขาคงไม่กังวลอะไรมากแล้ว ไปกันเถอะ อดนอนมาทั้งคืนควรไปพักผ่อนกันได้แล้ว”

ในห้องนอน

เฉินตงกับกู้ชิงหยิ่งนอนกอดกันอยู่บนเตียง

ผ้าม่านผืนหนาได้บดบังแสงอาทิตย์เอาไว้

แต่คนทั้งสองกลับไม่รู้สึกง่วงนอนแต่อย่างใด

เฉินตงนอนมองเพดาน สายตามองออกไปยังที่ห่างไกลราวกับกำลังคิดบางอย่าง

ส่วนกู้ชิงหยิ่งที่นอนซุกไซร้อยู่ในอ้อมอกของเฉินตงนั้นก็มีท่าทางราวกับครุ่นคิดบางอย่างอยู่เช่นกัน

สักพักใหญ่

กู้ชิงหยิ่งจึงเอ่ยออกมาว่า “ขอโทษนะคะที่รัก”

เฉินตงหลุดออกจากภวังค์ถึงได้เข้าใจว่ากู้ชิงหยิ่งกำลังพูดเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนที่ผ่านมา

เขาแค่นยิ้ม “มีอะไรต้องขอโทษล่ะ เมื่อคืนคุณทำแบบนั้นก็ถูกต้องแล้ว ตอนนั้นผมบุ่มบ่ามเกินไปจริงๆ”

เขาข่วนเบาๆ ที่ปลายจมูกของกู้ชิงหยิ่ง

“ถ้าตอนนั้นผมไปที่ตระกูลเฉิน นอกจากจะก่อเรื่องวุ่นและช่วยพ่อไม่ได้แล้ว แต่อาจจะยิ่งทำให้สถานการณ์ยุ่งยากมากยิ่งขึ้น คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินมองผมเหมือนเข็มที่คอยขวางหูขวางตาพวกเขาเสมอ”

กู้ชิงหยิ่งมองเฉินตงแล้วเหม่อลอย

“ทำไมถึงไม่ยอมให้ฉันขอโทษล่ะคะ จริงๆแล้วฉันไม่ควรตบหน้าคุณ”

ทำไมจู่ๆ หญิงสาวคนนี้ก็ซีเรียสขึ้นมา

เฉินตงไร้คำพูดไปชั่วครู่แล้วจ้องไปที่กู้ชิงหยิ่งอย่างจริงจัง “คุณไม่ต้องขอโทษผมหรอก ไม่ว่าคุณจะทำอย่างไรกับผมผมก็ยินดี ส่วนเรื่องจะเอ่ยคำขอโทษนั้น คุณรอผมมาตั้งสามปี ยืนกรานที่จะกลับมาอยู่ข้างๆ ผมในวันที่ผมยากลำบากที่สุด หากผมจะต้องขอโทษคุณด้วยเรื่องนี้ ต่อให้พูดเป็นแสนเป็นหมื่นคำก็พูดไม่หมด”

สายตาของกู้ชิงหยิ่งเป็นประกาย นัยน์ตาสีดำของเธอราวกับกำลังมีแสงวิบไหวอยู่

อีกไม่กี่วินาทีต่อจากนั้น เธอก็พูดช้าๆ ออกมาว่า “แต่คุณต้องรับปากกับฉันก่อนว่าต่อไปจะไม่ใจร้อนแบบนั้น อีกไม่นานคุณจะกลายเป็นพ่อคนแล้ว”

พ่อ?!

เฉินตงชะงักไป

คำพูดของกู้ชิงหยิ่ง ทำให้เขารู้สึกถึงความรับผิดชอบบางอย่างของตัวเองขึ้นมา ความรับผิดชอบในฐานะพ่อคน!

ในช่วงเวลาที่เลือนรางนี้ เขาเริ่มเข้าใจลึกๆ แล้วว่าทำไมตอนนั้นพ่อของเขาถึงเลือกที่จะหนีไป

“ตกลง ผมรับปาก” เฉินตงพยักหน้ารับคำ

ความพยายามปลอบโยนของเฉินตง ทำให้กู้ชิงหยิ่งหลับไหลไปอย่างรวดเร็ว

แต่เฉินตงกลับไม่รู้สึกง่วง เขานอนจ้องเพดานพลิกตัวไปมาอยู่เช่นนั้น

การหายตัวไปของพ่อเป็นเรื่องแปลกประหลาดอย่างยิ่ง

นี่เป็นเรื่องบังเอิญหรือเป็นแผนการของใครกันแน่?

เจ้าบ้านตระกูลเฉินผู้ยิ่งใหญ่ เมื่ออยู่ในสถานการณ์ปลอดภัยกลับหายตัวไปในอาณาจักรของตัวเองเสียเฉยๆ แถมยังเป็นสถานที่ที่มีการ์ดดูแลอยู่อย่างแน่นหนา

ให้ตายอย่างไรเขาก็ไม่เชื่อ!

บางที…อาจจะทำได้แค่รอให้ท่านหลงกับคุนหลุนกลับมาก่อนและถามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้แน่ชัดถึงจะตัดสินได้

ท่านหลงชะงัก

เมื่อสบตากับเฉินตงตอนนี้ เขารู้สึกราวกับเผชิญหน้าอยู่กับสัตว์กระหายเลือด

ใจเต้นระรัวราวกับจะทะลุออกมาจากอก

แม้ว่าเขาจะเป็นคนที่หนักแน่น แต่ก็ยังยากที่จะสงบนิ่งเอาไว้ได้

“คุณชายกลับไปที่ตระกูลเฉินไม่ได้อย่างเด็ดขาด”

คุนหลุนเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นนิ่งสงบ ยากที่ใครจะโต้แย้ง

“นายก็จะขวางฉันรึ?”

ดวงตาแดงฉานของเฉินตงจ้องตรงไปที่คุนหลุน เขาแยกเขี้ยวใส่อย่างน่าสยดสยอง

คุนหลุนขมวดคิ้วแน่น เขามีฝีมือในการต่อสู้ เคยหนีตายออกมาจากกองร่างไร้วิญญาณนองเลือดมานับครั้งไม่ถ้วน แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเฉินตงเวลานี้กลับทำให้หัวใจของเขายังคงเต้นแรง

เขากัดฟันแน่น คุนหลุนตัดสินใจแน่วแน่ “ตอนนี้คุณท่านเป็นตายอย่างไรยังคาดเดาไม่ได้ ตอนนี้ตระกูลเฉินมีคลื่นใต้น้ำ ถ้าคุณชายไปตอนนี้จะกลายเป็นเป้าโจมตีทันที ไม่ใช่การเคลื่อนไหวที่ฉลาดเลย”

“ให้ตายห่ายังไงฉันก็ต้องไปหาพ่อ!”

เฉินตงแผดเสียง ดวงตาแดงก่ำ เขากัดฟันเอ่ยว่า “ใครขวาง ถือว่าเป็นศัตรู!”

เมื่อเอ่ยจบ เขาก็ผลักทุกคนออกและมุ่งหน้าออกไปด้านนอก

แต่ในตอนนั้นเอง

เงาร่างสตรีได้ปรากฏตัวออกมาเบื้องหน้าเขาแล้วขวางทางเอาไว้

เฉินตงผู้กำลังคลุ้มคลั่ง ตัวแข็งทื่อ

เมื่อเห็นกู้ชิงหยิ่งที่อยู่ตรงหน้าตน เขาจึงเอ่ยเสียงสั่น “ปล่อยผมไป”

เพี๊ยะ!

สีหน้าของกู้ชิงหยิ่งไร้ความรู้สึก แล้วยกมือตบหน้าเฉินตงอย่างไร้ความปราณี

เสียงแข็งกระด้างดังก้องขึ้น “ได้สติแล้วรึยัง”

ใบหน้าของเฉินตงปรากฏรอยนิ้วมือขึ้น เขากัดฟันมองกู้ชิงหยิ่งที่อยู่เบื้องหน้าไม่พูดจา

เพี๊ยะ!

กู้ชิงหยิ่งลงมืออีกครั้งอย่างไม่ย่อถอย

“ฉันจะถามอีกที ตอนนี้ได้สติแล้วรึยัง”

ท่านหลงและคนอื่นๆ ต่างบึ้งใบ้ไปตามๆ กัน

ที่ผ่านมา ภาพลักษณ์ของกู้ชิงหยิ่งในสายตาของพวกเขาคือผู้หญิงที่อ่อนโยน เข้าอกเข้าใจผู้อื่น ไม่เคยมีใครเห็นเธอดุดันเช่นนี้มาก่อน

คุนหลุนกับฉินเย่ตั้งท่าจะเข้าไปขวาง

แต่ท่านหลงกลับส่งสัญญาณห้ามเอาไว้

สำหรับท่านหลงแล้ว เมื่อเห็นกู้ชิงหยิ่งกลับอดรู้สึกชื่นชมอย่างมากจนยิ้มออกมา

คุณชายได้ภรรยาเช่นนี้นับว่าโชคดีนัก!

คนเป็นภรรยา ไม่เพียงต้องคอยสนับสนุนสามียามลำบากเท่านั้น แต่ช่วงเวลาสำคัญต้องคอยตักเตือนสามีและยับยั้งความผลีผลามของสามีลงให้ได้

และตอนนี้ กู้ชิงหยิ่งเป็นเช่นนั้น

เพี๊ยะๆๆ!

ใบหน้าของกู้ชิงหยิ่งซีดขาว ดวงตาคู่งามของเธอเบิกกว้าง เธอใช้มือขวาของเธอกระหน่ำลงใบหน้าของเฉินตง

เธอตบหน้าเขารวดเดียวสามครั้ง

เธอกัดฟันเอาไว้แน่น แล้วเอ่ยเสียงลอดไรฟันออกมาว่า “ฉันไม่อนุญาตให้คุณไป! ถ้าคุณยังคลุ้มคลั่งขนาดนี้ ฉันจะตบจนกว่าคุณจะได้สติ”

“หึหึ!”

เฉินตงหัวเราะออกมา ใบหน้าของเขามีเพียงเจ็บปวดที่เขาไม่ใส่ใจ

แต่เมื่อเผชิญหน้ากับกู้ชิงหยิ่ง เขาไม่สามารถแสดงออกเช่นเดียวกับที่ทำกับท่านหลงและคนอื่นๆ ได้

ไม่ว่าเขาจะรู้สึกเดือดพล่านเพียงใด ในตอนนี้ เขาจำต้องคอตกและถอยหลังไป

“ท่านหลง คุนหลุน รีบไปซะ!”

น้ำเสียงของเขาหนักแน่น แต่เห็นชัดว่าไม่เต็มใจ

เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนี้ต่างพากันโล่งอก

“ขอบคุณคุณนายน้อยมากครับ!” ท่านหลงหันไปทำท่าประสานมือคารวะให้กู้ชิงหยิ่ง จากนั้นจึงพาคุนหลุนวิ่งออกไปทันที

ภายในห้อง

ฉินเย่ ฉินเสี่ยวเชียน กูหลังและฟ่านลู่ยังคงยืนอยู่อีกด้าน

ทุกคนต่างสบตากันอย่างเลิ่กลั่ก และพากันมองไปที่กู้ชิงหยิ่งราวกับยังคงไม่ชินกับภาพดุดันของกู้ชิงหยิ่งเมื่อครู่นี้

“แบบนี้ โอเคแล้วใช่ไหม”

เฉินตงมองกู้ชิงหยิ่งด้วยดวงตาแดงก่ำ เขายิ้มอย่างขมขื่นก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้

เขานั่งหลังงอ เอาศอกเท้าบนเข่าและประสานมือทั้งสองเข้าด้วยกันอยู่ด้านหน้าตนพลางกัดเล็บมือ แววตาเลื่อนลอย

กู้ชิงหยิ่งรู้สึกสงสารจับใจ ตอนนั้นเองสีหน้าแข็งกร้าวของเธอจึงปรากฏความลังเล

เธอเข้าใจเฉินตง

มีเพียงช่วงเวลาว้าวุ่นและทุกข์ใจถึงที่สุดเท่านั้นที่เขาจะกัดเล็บ

แต่เธอก็เอ่ยออกไปอย่างไม่ลังเลว่า “พี่เสี่ยวลู่กับกูหลังช่วยเฝ้าประตูไว้ได้ไหมคะ ห้ามเฉินตงออกไปอย่างเด็ดขาด”

น้ำเสียงเด็ดขาดเช่นนี้ ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่กล้าโต้แย้ง

ในช่วงเวลานี้ ท่าทางที่น่าเกรงขามของกู้ชิงหยิ่งทำให้ทุกคนไม่กล้าต่อคำ

ฟ่านลู่กับกูหลังรีบรุดไปยังประตู และหันมาปิดประตูห้องรับแขก

กู้ชิงหยิ่งเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเฉินตง ริมฝีปากแดงระเรื่อของเธอสั่นไหว

“ฉันไม่สนใจว่าคุณกำลังคิดอะไรอยู่ แต่คุณต้องฟังฉันเรื่องนี้ และก็ต้องฟังท่านหลงกับคุนหลุนด้วย!”

“คุณเป็นเสาหลักของบ้าน คุณจะบุ่มบ่ามไม่ได้และห้ามเป็นอะไรไปเด็ดขาด ถ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้น คุณจะต้องเป็นคนจัดการต่อ ดังนั้นจะผลีผลามไปเป็นเป้าที่ตระกูลเฉินแบบนี้ไม่ได้!”

น้ำเสียงของเธอเฉียบขาด

เฉินตงหยุดกัดเล็บแล้วเงยหน้ามองกู้ชิงหยิ่งอย่างอาลัยตายอยาก “แต่นั่นคือพ่อผมนะ”

“เขาก็เป็นพ่อฉันเหมือนกัน!”

กู้ชิงหยิ่งเสียงแข็ง ใบหน้าของเธอเคลือบความเห็นใจ “แต่ตอนนี้คุณมีฉัน และยังมีลูกในท้อง ถ้าคุณไม่ใจเย็นเอาแต่ใจร้อนแบบนี้ ฉันกับลูกและคนที่เหลือจะทำยังไง?”

เฉินตงเลื่อนลอย

จิตใจที่คลุ้มคลั่งของเขาเริ่มสงบลง

เหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงพยักหน้า “ขอบคุณนะ”

กู้ชิงหยิ่งผ่อนคลายลง เธอเดินเข้าไปหาเฉินตงแล้วโอบศีรษะของเขาเอาไว้

เมื่อศีรษะของเฉินตงอยู่บนท้องของเธอ เธอจึงเอ่ยอย่างนุ่มนวล “คุณเป็นเด็กดีหน่อยได้ไหม”

เฉินตงไม่ตอบ ดวงตาของเขายังคงเป็นสีแดง

ช่วงเวลาที่เขาเงียบไป มือทั้งสองของเขากำหมัดแน่นจนหลังมือปรากฏเส้นเลือดปูดออกมา

แต่เพื่อให้กู้ชิงหยิ่งสบายใจ เขาจำเป็นต้องพยักหน้าเพื่อตอบรับเธอ

ฉินเย่กับฉินเสี่ยวเชียนเหม่อมองภาพเหตุการณ์นี้อยู่เงียบๆ

ฉินเย่ยิ้มแล้วกระซิบว่า “เป็นอย่างที่เขาว่ากันว่า ของอย่างหนึ่งย่อมพิชิตอีกอย่างหนึ่งได้”

ไม่นานนัก เสียงใบพัดหมุนของเฮลิคอปเตอร์ก็ดังเข้ามาจากทางสนามด้านนอก

แรงสั่นที่รุนแรงทำให้เกิดลมพัดมากระทบประตูไม้ดังตึกๆ

ไม่นานนัก เสียงคำรามก็เบาลง

เฉินตงออกมาจากอ้อมอกของกู้ชิงหยิ่ง อารมณ์ของเขาตอนนั้นเริ่มสงบนิ่งลงแล้ว

เขาเอ่ยด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหวัง “จะต้องไปให้ทัน”

เขาบีบโทรศัพท์แน่นโดยไม่รู้ตัว แต่สุดท้ายก็คลายมือออก

มือถือของพ่อตกอยู่ในมือของคนผู้นั้นแล้ว ต่อให้โทรไปกี่สายก็ไม่มีทางติดต่อพ่อได้

ตอนนี้สิ่งที่เขาปรารถนาคือขอให้พ่อปลอดภัย

เขาเสียแม่ไปแล้ว เขาไม่สามารถเสียพ่อไปได้อีกแล้ว

หากเป็นอย่างนั้นชีวิตที่ไร้พ่อแม่ก็จะเหลือเพียงปลายทางเท่านั้น

แล้วเป้าหมายที่เขาพยายามทำอย่างหนักจะมีประโยชน์อะไร?

ในเวลาเดียวกัน ในใจของเฉินตงก็มีความละอายใจผุดออกมา นัยน์ตาของเขาร้อนระอุ จมูกของเขาชา

เพราะถ้าองค์กร Hidden Killers ไม่ตามฆ่าเขา พ่อคงไม่สั่งให้การ์ดที่มีฝีมือของตนมาคอยปกป้องเขาแบบนี้

ใครเลยจะรู้ว่ากลุ่มอำนาจนั้นจะมีเป้าหมายที่แท้จริงคือพ่อของเขา หากไม่เอาเขามาบังหน้า กลุ่มอำนาจพวกนั้นคงไม่มีโอกาสลอบสังหารพ่อได้เลยด้วยซ้ำ

หรือกล่าวได้อีกอย่างว่า เพื่อปกป้องเขา พอยอมถอดเสื้อเกราะทุกชิ้นของตัวเองออกแล้วยอมต่อสู้อย่างไร้อาวุธ รับมือกับความอันตรายที่ไม่รู้ว่าจะเข้ามาจากตรงไหน

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เฉินตงรับรู้ได้ถึงความห่วงใยที่ไร้เสียงของพ่อที่มีให้ตน

“จะต้องไปให้ทัน จะต้อง…”

เฉินตงกลับมามีท่าทางเช่นเดิม เขาสติล่องลอยและกัดเล็บอย่างวิตก

เมื่อนึกถึงเสียงที่อยู่ในโทรศัพท์ของพ่อ ความเชื่อมั่นของเขาก็ลดลงและรางเลือน

ดวงตาแดงก่ำของเขามองไปที่กู้ชิงหยิ่งแล้วเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือว่า “ที่รัก จะทันจริงๆ ใช่ไหม”

ตอนนั้นเอง

เฉินตงรู้สึกราวกับโดนไฟช็อต กระแสไฟแล่นพล่านไปทั่วร่าง ทำให้เขารู้สึกตาสว่างขึ้นมา

เขาเริ่มรู้สึกถึงความพรั่นพรึง

หลังจากที่ฉินเย่เตือนสติเขาโดยไม่ได้ตั้งใจแล้ว ความคิดของเขาจึงเปลี่ยนไปและจับประเด็นสำคัญได้ในทันที

“พี่ตง เป็นอะไรไป?”

เมื่อฉินเย่เห็นเฉินตงผิดปกติไป ก็เข้าใจว่าเฉินตงดื่มหนักเกินไปจึงรีบเข้าไปพยุงเฉินตงเอาไว้

เพิ่งสิ้นเสียง

เฉินตงพลันเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็วจ้องไปที่ฉินเย่

นาทีนั้น อากัปกิริยาของเฉินตงเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง แววตาของเขาคมปราบราวกระบี่นอกฝัก

แม้แต่ฉินเย่เองก็ยังตกใจจนกลืนน้ำลายเสียงดัง “เอื๊อก”

ขณะที่เขาเตรียมจะถาม

เฉินตงพลันเอ่ยแทรกขึ้นมา “ถ้าหากเรื่องที่ยิวหมินจะฆ่าพ่อฉัน ที่แท้เป็นการเล่นมืออยู่เบื้องหลังล่ะ”

หัวใจกระตุกวูบ

คำพูดของเฉินตง ทิ่มแทงเข้าไปในสมองของเขาอย่างรุนแรง

คนทั้งสองไม่ใช่คนโง่ ในทางกลับกันถือว่าเป็นคนฉลาดด้วยซ้ำ

ไม่อย่างนั้นแล้วคงไม่ประสบความสำเร็จอย่างเช่นทุกวันนี้

“ถ้ามีธุรกิจอยู่เบื้องหลัง”

คิ้วของฉินเย่ขมวดแน่นจนเกิดรอยย่น ความสยองขวัญแล่นพล่านราวกับฝูงมดที่คืบคลานเข้ามาในจิตใจ เขาเบิกตากว้าง “อย่างนั้นการฆ่าแกก็เป็นแค่การจัดฉากบังหน้า แต่เป้าหมายที่แท้จริง…”

“แย่แล้ว!”

เฉินตงกับฉินเย่ตะโกนออกมาพร้อมกัน

เวลานั้นทั้งคู่ต่างสร่างเมาและพากันวิ่งเข้าไปในห้องรับแขก

ท่านหลง คุนหลุนและคนอื่นๆ ที่อยู่ในห้องต่างตกใจไปพร้อมๆ กันเมื่อทั้งคู่ไปถึง

สายตาเคลือบแคลงสงสัยพุ่งตรงไปที่คนทั้งสอง

“ที่รัก เป็นอะไรไปหรือคะ”

กู้ชิ่งหยิ่งเป็นคนเดียวในสถานที่นี้ที่ไม่ได้ดื่มแอลกอฮอล์จึงเอ่ยถามขึ้น

สีหน้าของเฉินตงแข็งกร้าว สายตาของเขาคมปลาบจนไม่มีใครกล้าสบตา

เขามองไปที่ท่านหลงแล้วกัดฟันเอ่ยว่า “ท่านหลง รีบสั่งให้การ์ดทั้งหมดกลับไปที่ตระกูลเฉินเดี๋ยวนี้ และบอกพ่อด้วยว่าให้ระวังตัวให้ดี มีคนต้องการฆ่าเขา!”

“อะไรนะ?!”

สีหน้าของท่านหลงเปลี่ยนไป เขารู้สึกคล้ายโดนฟ้าผ่าก่อนจะได้สติคืนมา

คุนหลุน ฟ่านลู่และกูหลังต่างลุกขึ้นพร้อมๆ กัน

“ไม่มีเวลาอธิบายแล้ว!”

เฉินตงกัดฟันกรอด “ทำตามที่ผมบอก ทำยังไงก็ได้ให้การ์ดทั้งหมดกลับไปที่บ้านตระกูลเฉินในคืนนี้และเอาอาวุธทั้งหมดของพวกเขาไปด้วย!”

ระหว่างพูด เฉินตงก็รีบร้อนหยิบมือถือออกมา และกดเบอร์โทรของเฉินเต้าหลิน

ในห้องรับแขก

บรรยากาศเต็มไปด้วยความเครียดจนหนาวสันหลัง

ท่านหลงหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นมาจากโต๊ะแล้วเทรดหน้าตนเอง เขาเอามือลูบหน้าเพื่อให้ตนเองมีสติมากขึ้น

เมื่อเห็นเฉินตงกำลังโทรศัพท์อยู่ เขาก็รีบพาคุนหลุนออกไปที่ห้องโถง

พวกเขาต่างไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ เฉินตงถึงได้เดือดดาลขึ้นมาแบบนี้

แต่สิ่งที่แน่ใจได้คือ เฉินตงกับฉินเย่ไม่มีทางเข้าใจอะไรผิดไปแน่

จะต้องเกิดเรื่องใหญ่อย่างแน่นอน!

แถมเรื่องนี้ยังเกี่ยวกับเจ้าของตระกูลอีกด้วย!

“รับโทรศัพท์สิ รีบรับเร็วเข้า!”

เฉินตงร้อนใจจนเหงื่อบนหน้าผากผุดออกมา เขาเดินวนไปวนมาอยู่ตรงปากประตูห้องรับแขก

สีหน้าของกู้ชิงหยิ่งซีดเผือด เธอเตรียมจะลุกขึ้นไปปลอบเขา

แต่ฉินเย่กลับห้ามเธอเอาไว้ “ไม่ต้องหรอก พวกเราโดนเล่นงานซะแล้ว”

“เล่นงานอะไรหรอคะ?” กู้ชิงหยิ่งเอ่ยถาม

ฉินเย่ยักไหล่ “มีคนตั้งใจฆ่าคุณท่านใหญ่หลี่ ยุยงให้ตระกูลหลี่สั่งองค์กร Hidden Killers จัดการภารกิจลอบสังหารพี่ตงและจงใจปล่อยภารกิจลงในดาร์กเว็บ และนี่ก็ทำไปเพื่อบังหน้า ปิดหูปิดตาทำให้พวกเราประมาทเลินเล่อ”

“มันจะเป็นไปได้ยังไง?” กูชิงหยิ่งยกมือขึ้นมาปิดปาก

ฟ่านลู่เองก็ส่ายหน้าอย่างเด็ดเดี่ยว “เป็นไปไม่ได้ หนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ทุกคนต่างรู้ซึ้งถึงสถานการณ์ลอบสังหารที่เกิดขึ้นเป็นอย่างดี”

ฉินเย่ยิ้มเป็นนัย “แล้วถ้าหากทำเหมือนว่าการปรากฏตัวของยิวหมินที่คลับสี่ยิ่นไม่เคยเกิดขึ้นล่ะ”

ฟ่านลู่กับกูหลังชะงักงัน

จากนั้นฉินเย่ก็ชี้ไปที่เฉินตงทันทีแล้วเอ่ยว่า “เมื่อกี้พี่ตงเพิ่งบอกว่า หลังจากที่ยิวหมินออกไปแล้วก็บุกไปที่บ้านตระกูลเฉินเพื่อฆ่าเจ้าบ้านตระกูลเฉิน พี่เสี่ยวลู่เคยไปที่บ้านตระกูลเฉินกับพี่ตงก็คงจะรู้เรื่องนี้ดี”

ฟ่านลู่รู้สึกสยอง

ศีรษะของยิวหมินที่ถูกแขวนอยู่บนป้ายของคฤหาสน์ตระกูลเฉิน ตอนนั้นเธอเองที่เห็นเป็นคนแรก

ภาพเหตุการณ์ฉากนั้น เธอไม่มีทางลืม!

“สมมติว่ายิวหมินไม่ได้มาที่คลับสี่ยิ่น แต่มุ่งหน้าไปที่บ้านตระกูลเฉินโดยตรง ถึงตรงนี้…พี่เสี่ยวลู่พอจะเข้าใจรึยัง?” ฉินเย่อธิบายเพิ่มอีกประโยค

เปรี้ยง!

ฟ่านลู่ตัวสั่นแล้วหลุดปากออกมาด้วยความตระหนก “คนที่คอยบงการอยู่เบื้องหลัง ที่จริงแล้วต้องการฆ่าเจ้าบ้านตระกูลเฉิน การลอบฆ่าคุณชายเป็นเพียงแผนลวงที่จงใจคิดเพิ่มออกมาเท่านั้น?”

ฉินเย่พยักหน้า

ฟ่านลู่พึมพำต่อว่า “ไม่มีการ์ดคอยป้องกันอย่างแน่นหนา เจ้าบ้านตระกูลเฉินกำลังตกอยู่ในอันตรายมาก แต่ยิวหมินตายไปแล้ว อย่างนั้น…”

พูดยังไม่ทันจบ สีหน้าของฟ่านลู่ก็ปรากฏความพรั่นพรึงขึ้นมาทันที

“ต่อให้ยิวหมินตายไปแล้ว ต่อให้ภารกิจลอบสังหารคุณเฉินจบลงแล้ว แต่คนที่คอยบงการอยู่เบื้องหลังยังอยู่ เป้าหมายแท้จริงของเขาคือการสังหารเจ้าบ้านตระกูลเฉิน ดังนั้น…ยังมีคนตามฆ่าเจ้าบ้านตระกูลเฉินอยู่!”

กู้ชิงหยิ่งที่ฟังอยู่ด้านข้าง ตอนนี้ได้จมอยู่ในภวังค์ไปแล้ว

บรรยากาศอันน่าเขย่าขวัญในห้องรับแขก ทำให้เธอตัวเกร็ง ใบหน้าขาวซีด

และในตอนนั้นเอง

เบอร์ที่เฉินตงโทรไปก็มีคนรับสาย

“พ่อ พวกมันไม่ได้จะฆ่าผม พวกมันใช้การฆ่าผมเป็นแผนบังหน้าเพื่อจะฆ่าพ่อต่างหาก!”

เฉินตงเอ่ยออกไปราวกับตะคอก

ในขณะที่ตัวเขาอยู่ในสถานการณ์ปลอดภัย แต่ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ พ่อของเขาไม่เคยปลอดภัยเลย!

แถมยังอันตรายกว่าการสังหารที่เขาเผชิญอยู่เป็นร้อยเท่า พันเท่า!

ทว่า

เสียงที่ดังออกมาจากโทรศัพท์ ทำให้ร่างของเฉินตงชาไปทั่วร่าง ภาพพร่ามัว

“เฮ้! แกรู้ตัวเร็วเหมือนกันนะ!”

เสียงที่ลอดออกมาไม่ใช่เสียงของพ่อ แต่เป็นเสียงที่แหบพร่าราวกับโดนเม็ดทรายละเอียดเสียดสี

น้ำเสียงหยอกเย้า แฝงให้เห็นถึงความอำมหิต

และสิ่งที่ทำให้เฉินตงขนลุกยิ่งไปกว่านั้น เบอร์ที่เขาโทร…คือเบอร์มือถือของพ่อ!

“หยุดเดี๋ยวนี้! แกหยุดเดี๋ยวนี้!”

เฉินตงตัวสั่น ตาของเขาแดงก่ำราวกับสิงโตที่กำลังกราดเกรี้ยว เขากัดฟันเอ่ยด้วยแหบพร่า “ถ้าแกแตะต้องพ่อฉัน ฉันสาบานเลยว่าไม่ว่าแกจะขึ้นสวรรค์หรือไปปรโลก ฉันก็จะตามไปจับแกมาบดกระดูกให้ละเอียด!”

เสียงกราดเกรี้ยว

ทำให้ทุกคนที่อยู่ในห้องรับแขกจมอยู่ในความหวาดผวาอย่างที่สุด

และในขณะเดียวกัน

ท่านหลงกับคุนหลุนที่วิ่งออกไปในตอนแรกก็กลับมาถึงสนามพอดี

จึงได้ยินเสียงตวาดของเฉินตงอย่างชัดเจน

ใช่แล้ว…เรื่องใหญ่จริงๆ!

ปั้ง!

เมื่อสิ้นเสียงของเฉินตง ปลายสายไม่มีเสียงตอบกลับมาอีก แถมยังได้ตัดสายไปแล้ว

ในตอนนั้น

เฉินตงสติหลุดจนตัวสั่นอย่างไม่อาจควบคุม

แม้แต่คนที่อยู่ใน ณ ที่นั้น ยังได้ยินเสียงเฉินตงกัดฟันกรอดๆ

“พวกแกเอาชีวิตแม่ของฉันไปคนหนึ่งแล้ว ตอนนี้…ยังจะเอาชีวิตพ่อฉันไปด้วยรึ?”

เสียงแหบกร้าวก้องกังวานไปทั่วลานป่าไผ่ ทำให้ทุกคนรู้สึกสั่นสะท้านออกมาจากทรวง

“พี่ตง ใจเย็นก่อน!”

ฉินเย่เข้ามาขวางเฉินตงเอาไว้

“จะให้ใจเย็นได้ยังไง!”

เฉินตงผลักฉินเย่ออก “ถ้าพวกมันทำให้ครอบครัวของฉันพังทลาย ฉันจะเอากระดูกมันมาบดให้ละเอียด!”

“คุณชาย!”

“คุณเฉิน!”

ท่านหลง คุนหลุน กูหลัง ฟ่านลู่ หรือแม้กระทั่งฉินเสี่ยวเชียนต่างร้องขึ้นมาพร้อมกัน

ทุกคนออกันเข้ามาเพื่อขวางเฉินตงเอาไว้

“คุณชาย ตอนนี้จะไปที่ตระกูลเฉินไม่ได้นะครับ!” ท่านหลงร้อนใจ “กระผมกับคุนหลุนจะกลับไปเอง คุณชายห้ามกลับไปเด็ดขาดไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น!”

ทว่า

ดวงตาแดงก่ำราวสัตว์ดุร้ายของเฉินตงจ้องเขม็งไปที่ท่านหลง

เขาแค่นหัวเราะ “จะขวางฉันหรอ?”

จากชื่อเสียงในการครอบครองทรัพย์สมบัติของตระกูลเฉินนั้น

การมอบของขวัญหรูหราราคาแพง ถือเป็นเรื่องปกติอย่างยิ่ง

พันล้านหรือหมื่นล้านก็ไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่อะไร

แต่อย่างไรก็ต้องมีเหตุมีผลในการให้

เงินเล็กน้อยเพียงหนึ่งพันล้าน พ่อยังสามารถใช้เหตุผลในการชดเชยความผิดมาเป็นข้ออ้างในการให้เงินก้นกระเป๋าได้

เงินหมื่นล้าน หากใช้ข้ออ้างเดียวกันนี้เกรงว่าจะต้องตกเป็นขี้ปากของคนในตระกูลเฉินอย่างแน่นอน

แต่เมื่อกู้ชิงหยิ่งตั้งครรภ์ พ่อจึงสามารถใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างได้

แม้ว่าจะดูเว่อร์กว่าที่ควรจะเป็นไปบ้าง แต่หากเทียบกับข้ออ้างให้เป็นเงินก้นกระเป๋าแล้ว ข้ออ้างนี้ทำให้คนยากจะโต้แย้ง

หลังจากที่เคยไปบ้านตระกูลเฉินมาครั้งหนึ่งแล้ว เฉินตรงก็เข้าใจเรื่องศึกในตระกูลอย่างแจ่มแจ้ง

ระดับบนมีคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินเป็นผู้ปกครองโดยใช้ความอาวุโสทำให้คนอื่นเกรงใจ

ส่วนระดับล่าง ผู้มีอำนาจระดับเดียวกันจะแบ่งแยกเป็นสำนักของตนก่อกวนให้เกิดคลื่นใต้น้ำ

ตระกูลเฉินไม่เหมือนอย่างตระกูลร่ำรวยอื่น ที่เจ้าของตระกูลจะมีอำนาจเพียงคนเดียว

ท่านหลงยิ้มด้วยความยินดีแล้วพยักหน้า “ถูกต้อง เวลาหนึ่งปีผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน ตอนเด็กคุณชายใช้ชีวิตลำบาก จึงสู้พวกผู้สืบทอดที่ร่ำรวยไม่ได้ มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะสามารถให้เงินสนับสนุนคุณชายได้ คุณชายจะได้ประสบความสำเร็จได้ง่ายขึ้น”

เงียบไปครู่หนึ่ง ท่านหลงก็เอ่ยขึ้นอีกว่า “อันที่จริงเมื่อวานตอนที่กระผมแจ้งข่าวดีกับคุณท่าน คุณท่านก็แอบบอกใบ้มาแล้ว เพียงแค่เรื่องนี้อาจจะทำให้คุณนายน้อยไม่สบายใจได้”

เฉินตงชะงักงันและแอบรู้สึกละอายใจ

แน่นอน การใช้เรื่องตั้งครรภ์ของกู้ชิงหยิ่งเป็นข้ออ้างเพื่อจะสนับสนุนเขา สำหรับกู้ชิงหยิ่งแล้วถือว่าไม่เป็นธรรมกับเธอนัก

“ฉันไม่รู้สึกอะไรเลยค่ะ”

กู้ชิงหยิ่งส่ายศีรษะแล้วยิ้มชวนมอง “ตอนแรกฉันกลัวของขวัญมูลค่าหมื่นล้านนี้ด้วยซ้ำ ตอนนี้พอรู้สาเหตุที่แท้จริงฉันกลับรู้สึกสบายใจขึ้นด้วยซ้ำ”

กู้ชิงหยิ่งกล่าวพลางเอนกายซบไหล่เฉินตง ก่อนจะเอ่ยต่ออย่างนุ่มนวลว่า “ฉันเป็นภรรยาของคุณนะ แน่นอนว่าฉันต้องอยากเห็นคุณบินได้สูงขึ้น ถ้าคุณสามารถที่จะทำตามความใฝ่ฝันได้สำเร็จ แค่ฉันดีใจกับคุณยังน้อยเกินไปเลย ฉันจะรู้สึกไม่สบายใจได้ยังไงล่ะคะ”

“ขอบคุณนะ” เฉินตงยิ้มด้วยความปลาบปลื้ม

ได้ภรรยาเช่นนี้ ชีวิตคู่จะยังต้องการอะไรอีก?

“คนโง่” กู้ชิงหยิ่งใช้สายตาตำหนิแล้วก้มลงเอามือลูบท้องตัวเองแล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยน “แต่คุณต้องรับปากกับฉันก่อนว่าจะทุ่มเทให้มาก! นี่เป็นของขวัญที่ปู่ให้ลูกของเรา ขืนคุณยอมแพ้ ฉันไม่ปล่อยคุณแน่”

“วางใจได้เลย เพื่อคุณกับลูก ผมจะต้องคว้ามงกุฎของตระกูลเฉินมาใส่ให้ได้!”

แววตาของเฉินตงแน่วแน่

เมื่อเห็นภาพเช่นนี้

ท่านหลงเลยยิ้มแปลกๆ ก่อนจะออกจากห้องรับแขกไปอย่างรู้งาน

แถมยังปิดประตูห้องรับแขกให้ด้วย

เฉินตงกับกู้ชิงหยิ่งชะงักไปพร้อมๆ กัน จากนั้นจึงสบตากันแล้วหัวเราะออกมา

“ท่านหลงต้องเข้าใจอะไรผิดแน่ๆ”

“นับวันก็ยิ่งแปลกขึ้นเรื่อยๆ” กู้ชิงหยิ่งบ่นออกมา

เฉินตงเลยกล่าวว่า “เขาก็ไม่เคยปกติอยู่แล้ว”

เวลาก่อนเที่ยงวัน

ฉินเย่พาฉินเสี่ยวเชียนมาที่ลานป่าไผ่ด้วยเช่นกัน

เมื่อรู้ว่ากู้ชิงหยิ่งตั้งครรภ์ ฉินเย่ก็รีบบังคับให้เฉินตงรับปากว่าจะให้ตนเป็นพ่อเลี้ยงของเด็กคนนี้ด้วย เฉินตงจึงรับปากด้วยความยินดี

ข่าวดีทั้งสองเรื่องในตอนนี้

ข่าวแรกคือกู้ชิงหยิ่งตั้งครรภ์ ข่าวที่สองคือองค์กร Hidden Killers ล้มเลิกภารกิจลอบสังหารเฉินตง

ทุกคนจึงเตรียมจัดงานเลี้ยงฉลองครั้งใหญ่ตามคำชักชวนของท่านหลงกับฉินเย่

เฉินตงจึงเชิญกูหลังมาด้วย เพื่อเตรียมดูแลการ์ดทุกคนที่มาร่วมงาน

ช่วงที่ผ่านมานี้ทุกคนต่างเก็บกดกันมานาน เพราะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องหวาดระแวงการลอบฆ่าตลอดเวลา

ตอนนี้ท้องฟ้าสดใสแล้ว ความเก็บกดทั้งหมดก็สมควรถูกปลดปล่อยออกมา

ช่วงเวลาโพล้เพล้ ลานป่าไผ่แห่งนี้สว่างไสวไปด้วยแสงไฟ

เสียงหัวเราะสรวลเสเฮฮา

อาหารมากมาย ทุกคนชนแก้วกันอย่างครึกครื้น

ณ ห้องโถงด้านนอกลานป่าไผ่ ทุกที่นั่งถูกจับจอง บรรยากาศเต็มไปด้วยความครื้นเครงสนุกสนาน

เฉินตงดื่มเหล้าเข้าไปไม่น้อย กูชิงหยิ่งจึงนำน้ำผสมน้ำผึ้งมาให้เขาดื่ม จากนั้นเขาจึงเดินโอบไหล่ฉินเย่ออกไปที่สนาม

ลมเย็นพัดโชย ทำให้สร่างเมาไปได้มากทีเดียว

“ช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้อย่างกับความฝันเลย” เฉินตงยิ้ม แต่น้ำเสียงของเขาเจือความเศร้าใจ

“จริงด้วย หนึ่งเดือนที่ผ่านมาต้องคอยระแวงว่าจะโดนฆ่าตายอยู่ตลอด ไม่ว่าใครก็คงทนไม่ไหวทั้งนั้น” ในมือของฉินเย่ถือขวดเบียร์อยู่ขวดหนึ่ง จากนั้นจึงกระดกเบียร์ดื่มเข้าไปหนึ่งอึก “จริงสิ พวกการ์ดที่ตายไปแล้ว พี่ตั้งใจว่าจะจัดการยังไง?”

“ท่านหลงเตรียมแผนการช่วยเหลือเอาไว้แล้ว แต่ฉันก็ตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะเอาเงินจากบัตรตัวเองชดเชยให้พวกพี่น้องที่เสียชีวิตไปด้วย”

เฉินตงเอ่ยตามตรง ดวงตาที่เป็นประกายเพราะฤทธิ์สุราเริ่มปรากฏไอน้ำอุ่นๆ

ในหัวของเขาปรากฏภาพการต่อสู้ที่เกิดขึ้นในเขตวิลล่าเขาเทียนชานวันนั้น

การต่อสู้ครั้งนั้น พวกการ์ดต่างยอมสละชีวิตที่เหลือของตนเพื่อช่วยให้เขารอดออกมา!

“ดีเลย” ฉินเย่ยิ้มพลางพผงกศีรษะ “นี่แหละคือสไตล์ของคนเป็นพี่ใหญ่”

“ไสหัวไป!”

เฉินตงด่าออกมาคำหนึ่งแล้วทำท่าเงยหน้ามองท้องฟ้า แต่อันที่จริงแล้วทำไปเพื่อปิดบังน้ำตาของตน เขาแอบถอนใจแล้วเอ่ยว่า “ทุกคนมีพ่อมีแม่เลี้ยงมา ชีวิตจึงสำคัญกว่าอะไรทั้งนั้น แต่พวกเขายอมสละชีวิตเพื่อช่วยฉัน ดังนั้นสิ่งที่ฉันพอจะทำได้ก็คือเงินชดเชยเล็กๆ น้อยๆ ก้อนนี้”

ฉินเย่เหลือบมองเฉินตงด้วยแววตาซับซ้อน

ปากของเขากระอึกกระอัก แต่สุดท้ายก็กลืนคำพูดที่เตรียมจะพูดลงท้องไป

เงียบไปครู่หนึ่ง ฉินเย่ก็ขมวดคิ้วขึ้นมาด้วยความสงสัย “อันที่จริงแล้วฉันยังมีอีกคำถาม”

“อะไรล่ะ” เฉินตงเอ่ย

ฉินเย่เงยหน้ากระดกเบียร์หมดเกลี้ยง เมื่อวางขวดเบียร์ลงแล้ว เขาจึงหันมามองเฉินตงด้วยแววตาเป็นประกาย “คนที่ฆ่าคุณท่านใหญ่หลี่!”

“อันที่จริงฉันก็สงสัยเหมือนกัน”

เฉินตงไม่ได้แปลกใจเท่าไหร่ สายตาของเขาอยู่ห่างไกลออกไป “คนที่ฆ่าคุณท่านใหญ่หลี่เป็นคนปล่อยภารกิจลอบสังหารขององค์กร Hidden Killers หลุดออกไปในดาร์กเว็บ และ…”

หยุดไปพักหนึ่ง ก่อนเฉินตงจะลดเสียงลง “และก็เหตุผลที่ยิวหมินล้มเลิกตามฆ่าฉัน แต่หันปืนไปที่พ่อของฉันแทน”

“จะฆ่าเจ้าบ้านตระกูลเฉินเลยหรอ?” สีหน้าของฉินเย่เปลี่ยนไป “สมควรตาย มันกินอะไรเข้าไปถึงได้บ้าบิ่นแบบนี้?”

“มันตายไปแล้วล่ะ”

เฉินตงหันไปหาฉินเย่แล้วผายมือออกด้านข้าง เพราะเรื่องราวพวกนี้เขาไม่จำเป็นต้องปิดบังอีก

นิ่งไปพักใหญ่ เขากะพริบตาใช้เวลาครุ่นคิดเรื่องราว “แกไม่คิดหรือว่าเรื่องราวพวกนี้พอโยงเข้าด้วยกันแล้วอยู่บนเส้นทางเดียวกัน ตั้งแต่เริ่มจนจบมีคนคอยบงการอยู่ คอยปั่นหัวพวกตระกูลหลี่หน้าโง่ให้เล่นไปตามเกม และหันปลายมีดทั้งหมดมาที่ฉันคนเดียว?”

“ไม่ว่าจะคิดยังไง เรื่องนี้ก็เป็นฝีมือของคนคนเดียว หรือไม่ก็มาจากกลุ่มอำนาจเดียวกัน”

ฉินเย่ขมวดคิ้วราวกับกำลังใช้ความคิด เขาเงียบไปสองสามวินาทีก่อนจะเอ่ยถามขึ้นมาอีกว่า “จุดที่ยากจะเข้าใจคือเรื่องที่ยิวหมินจะฆ่าพ่อของพี่”

เฉินตงเงียบไม่ตอบ

อันที่จริงเขาไม่ได้เพิ่งจะมาคิดตอนนี้ ตั้งแต่ตอนที่ตระกูลหลี่ให้องค์กร Hidden Killers ปล่อยภารกิจลอบสังหาร เขาก็คิดมาตลอดว่าคนที่คอยบงการเรื่องนี้คือใครกันแน่

ตอนเขาไปที่ตระกูลเฉิน เขาก็พยายามหาคำตอบอยู่ตลอดว่ายิวหมินหันปืนมาโจมตีพ่อของเขาทำไม

แต่เรื่องราวหลายเรื่องที่เกิดขึ้นก็สามารถสรุปออกมาได้ว่าเป็นฝีมือของคนคนเดียวหรือกลุ่มอำนาจเดียวเท่านั้น

แต่เรื่องที่ยิวหมินเบนกระบอกปืนนั้น เป็นเรื่องที่ยังค้างคาอยู่อย่างไร้สาเหตุ

เมื่อสุราออกฤทธิ์ เฉินตงก็พยายามสะบัดหน้าเพื่อให้หายมึน ยิ่งคิดมากขึ้นเท่าไหร่ อาการมึนหัวก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น

“เอาล่ะ เลิกคิดก่อนเถอะ”

ฉินเย่เห็นเฉินตงเมาไม่น้อย จึงส่ายหน้า “ผมไปส่งพี่เอง พี่สะใภ้กำลังท้องกำลังไส้ พี่ก็อย่าดื่มหนักนักเลย งานเลี้ยงคืนนี้คงใกล้จะเลิกแล้วล่ะ ผมกับท่านหลงยังมีแผนต้องไปต่อกันอีก”

“แลกเปลี่ยนเทคนิคกันน่ะเหรอ?” เฉินตงลุกขึ้นเดินไปยังห้องรับแขก

ฉินเย่ยิ้มอย่างมีเลศนัย “พวกเราอยู่กันสองคนจะอายอะไร เอาเรื่องแลกเปลี่ยนเทคนิคมาบังหน้าไปงั้น แต่เบื้องหลังก็คือการทำธุรกิจนั่นแหละ”

เฉินตงยิ้มอย่างอารมณ์ดี

แต่ก้าวไปข้างหน้าได้เพียงสองก้าว เขาก็ยิ้มไม่ออกและชะงักงันอยู่กับที่

ใช่แล้ว

เบื้องหลังก็แค่การทำธุรกิจ?

การตายของคุณท่านใหญ่หลี่ ภารกิจลอบสังหารที่ถูกปล่อยไปในดาร์กเว็บ ยิวหมินโจมตีพ่อของเขา ทั้งหมดนี้ไม่ใช่แค่เรื่องบังหน้าหรอกหรือ?

เบื้องหลังของเรื่องทั้งหมดนี้มีคนหรือกลุ่มอำนาจหนึ่งซ่อนอยู่เบื้องหลัง

เรื่องที่ยิวหมินโจมตีพ่อของเขา หากมองเพียงเบื้องหน้าอย่างเดียวคงคิดไม่ออก แต่หากเรื่องนี้เดิมทีมีการเล่นมืออยู่เบื้องหลังล่ะ?

ครืดดด….

เสียงใบพัดเฮลิคอปเตอร์ที่บินอยู่กลางท้องฟ้าส่งเสียงดังสนั่น

แหวกให้เกิดลมพัดกระหน่ำราวพายุ

แต่สิ่งที่ทำให้เฉินตงประหลาดใจคือกลางท้องฟ้าไม่ได้มีเฮลิคอปเตอร์เพียงลำเดียว แต่มีถึงสามลำ!

ใต้เฮลิคอปเตอร์ทุกลำล้วนมีตู้คอนเทนเนอร์ทรงสี่เหลี่ยมห้อยต่องแต่งอยู่

ในตอนนี้เฮลิคอปเตอร์หยุดนิ่งอยู่กลางอากาศแล้วและค่อยๆ หย่อนเชือกหนาลงมาเพื่อวางตู้ลง

เป็นภาพเหตุการณ์ที่น่าตื่นตาตื่นใจอย่างยิ่ง

กลุ่มคนที่มุงอยู่บริเวณนั้นนับไม่ถ้วนต่างส่งเสียงร้องอื้ออึง

เพราะนอกจากเหล่าการ์ดประจำตัวของเฉินตงแล้ว การ์ดที่ประจำอยู่ในคลับสี่ยิ่นแทบจะไม่เคยเห็นภาพเหตุการณ์เช่นนี้เลย

เฉินตงเอ่ยอย่างกระอักกระอ่วนว่า “แน่ใจนะว่านี่เป็นการมอบของขวัญ ไม่ใช่กำลังย้ายบ้าน?”

“เรื่องเล็กน้อยเท่านั้นเอง คุณท่านเป็นคนใจกว้างเสมอ จะให้ขี้งกกับลูกชาย ลูกสะใภ้และหลานได้ยังไง”

ท่านหลงยิ้มจนหน้าแดงก่ำ เขาหรี่ตา “อันที่จริงแล้วกระผมยังรู้สึกว่าคุณท่านขี้เหนียวเกินไปหน่อยด้วยซ้ำ เวลาเขาไปเจรจาธุรกิจข้างนอกยังใจป้ำกว่านี้เสียอีก”

“ให้บ่อน้ำมันน่ะเหรอ?”

เฉินตงนึกถึงเรื่องบ้าระห่ำของพ่อที่ท่านหลงเคยเล่าให้ฟังขึ้นมา

“ใช่แล้ว” ท่านหลงพยักหน้า

ส่วนกู้ชิงหยิ่งที่อยู่ในอ้อมกอดของเฉินตงนั้นตกใจเสียจนยกมือเรียวยาวของเธอขึ้นมาปิดปากเอาไว้ไม่ให้ส่งเสียงร้องออกมา

เพราะที่ผ่านมาเธอยังไม่เคยเห็นการมอบของขวัญด้วยวิธีการเช่นนี้ในตระกูลของเธอเลย

ตึ้ง ตึ้ง ตึ้ง

ในที่สุดตู้คอนเทนเนอร์ทั้งสามตู้ก็ถูกวางลงบนพื้นอย่างมั่นคงภายใต้การควบคุมของผู้สั่งการ

ชายวัยกลางคนที่ทำหน้าที่สั่งการรีบรุดก้าวเข้ามา ในมือของเขาถือหนังสือมาด้วยเล่มหนึ่ง

“ขอแสดงความยินดีกับคุณชายและคุณนายน้อยด้วยครับ”

ชายวัยกลางคนตะโกนแสดงความยินดีด้วยรอยยิ้มกว้าง

จากนั้นจึงเปิดหนังสือที่อยู่ในมือออก

เฉินตงเบิกตาค้าง สิ่งที่อยู่ในมือของชายวัยกลางคนนั้นคือรายการของขวัญ

เขาหันไปมองท่านหลงอย่างประหลาดใจ “ถึงขั้นต้องประกาศด้วยเหรอ?”

“แน่นอนๆ” ท่านหลงพยักหน้า

จากนั้นชายวัยกลางคนจึงเปล่งเสียงอ่านด้วยเสียงดังฟังชัด

“โสมป่าพันปีสิบหัว”

“เตียงไม้หนานมู่เนื้อทองโบราณหนึ่งหลัง”

……

ชายวัยกลางคนอ่านรายชื่อของขวัญออกมาทีละรายการ

เฉินตงประหลาดใจจนอ้าปากค้าง สีหน้าของกู้ชิงหยิ่งก็แปลกใจไม่แพ้กัน

ของขวัญทุกชิ้น ไม่เพียงราคาสูงลิ่วเท่านั้น แต่ยังเป็นของล้ำค่าหายากอีกด้วย

ฝูงชนที่ห้อมล้อมอยู่บริเวณนั้นต่างพากันทอดถอนใจกันอย่างตื่นเต้น

อะไรที่เรียกว่าบ้าระห่ำน่ะหรือ?

ก็คงจะประมาณนี้ล่ะมั้ง!

รายการของขวัญยาวเหยียดราวกับหนังสือเล่มหนึ่ง

เมื่อชายวัยกลางคนอ่านจบไปหนึ่งเล่มก็พลิกหน้าต่อไป เตรียมจะอ่านต่อ

ไม่นานนักฝูงชนที่ห้อมล้อมอยู่ก็ค่อยๆ เงียบลง ราวกับน้ำมันรถที่หยุดนิ่งอยู่บนพื้น

และในตอนที่ชายวัยกลางคนอ่านถึงคำว่า “บ้านซื่อเหอเอวี้ยนที่เมืองหลวงหนึ่งหลัง” เฉินตงก็อดทนต่อไปไม่ไหว

เขารีบร้องสั่งให้หยุดอ่าน ลำพังแค่บ้านซื่อเหอเอวี้ยนกับของที่อ่านไปก่อนหน้า มูลค่าก็มากกว่าหนึ่งพันล้านแล้ว การให้ของขวัญครั้งนี้นับว่ามากเกินไปแล้ว

“คุณชาย เป็นอะไรไปหรือครับ”

ชายวัยกลางคนมองไปที่เฉินตงอย่างไม่เข้าใจนัก แล้วโบกรายการของขวัญที่อยู่ในมือ “เหลืออีกสามหน้าก็จบแล้วครับ”

ดวงตาของเฉินตงเบิกกว้างออกมา

กู้ชิงหยิ่งที่อยู่ในอ้อมอกของเขาเริ่มตัวอ่อนระทวย

“พอแล้วๆ อ่านเท่านี้ก็พอแล้ว และก็พูดเบาหน่อย”

เฉินตงเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ การแสดงความบ้าระห่ำต่อหน้าคนมากมายกลางที่สาธารณะเช่นนี้ไม่ใช่นิสัยที่เขาชอบนัก

เมืองหลวงเป็นสถานที่แบบไหนหรือ?

เมืองที่มีชนชั้นปกครองรวมถึงคนที่มีความสามารถมากมายแอบซ่อนอยู่ บ้านเนื้อที่เพียงน้อยนิดแต่ผู้คนต่างแก่งแย่งกันราวกับทองคำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงบ้านอย่างซื่อเหอเอวี้ยนที่ราคาสูงเสียดฟ้า

ของขวัญเช่นนี้พ่อยังกล้าส่งมา ไม่แน่ว่ารายการของขวัญต่อจากนี้อาจจะมีสิ่งของอะไรที่ฟังแล้วน่าตกใจอีกก็เป็นไปได้

“ใช่ๆๆ พวกเราซาบซึ้งน้ำใจของคุณพ่อมากแล้ว หลังจากนี้ไม่ต้องอ่านแล้วล่ะค่ะ”

กู้ชิงหยิ่งรีบร้อนเอ่ยสนับสนุนเฉินตง

ในฐานะของเธอ เธอเคยเห็นกู้โก๋ฮั๋วส่งของขวัญให้คนนอกอยู่บ่อยครั้งและก็เห็นคนนอกส่งของขวัญมาให้ตระกูลของเธออยู่หลายครั้งเช่นกัน แต่ก็ไม่มีใครเคยส่งของขวัญที่หรูหราเท่านี้เลย

“คุณชาย ไม่ได้นะครับ ก่อนจะออกเดินทาง คุณท่านได้กำชับมาแล้วว่าจะต้องอ่านแจกแจงให้ชัดเจน”

ชายวัยกลางคนเริ่มลังเลพลางชี้ไปที่รายการของขวัญ “รายการต่อจากนี้ยังมี…”

“พอแล้ว!”

เฉินตงรีบเอ่ยห้ามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ไม่ว่าจะเหลืออะไร ก็ไม่ต้องอ่านทั้งนั้น!”

“เอาอย่างนั้นก็ได้”

ชายวัยกลางคนทำท่าละล้าละลัง ก่อนค้อมตัวลงยื่นรายการของขวัญให้เฉินตง

เฉินตงไม่ยอมอ่านต่อ เพราะเขาเพียงมองผ่านแวบเดียวก็ตกใจจนหน้าซีดเผือด จากนั้นจึงมองไปที่ฝูงชนที่ยืนออกันอยู่อย่างเงียบกริบพลางโบกมือ “ขอโทษทุกท่านด้วย รบกวนเวลาพอแล้ว แยกย้ายกันเถอะ”

จากนั้น เขาก็ไม่มีกระจิตกระใจจะสนใจฝูงชนที่ยืนนิ่งไม่ไหวติงอีก

แล้วรีบหันมาสั่งการท่านหลงและชายวัยกลางคนต่อ

จากนั้นจึงพากู้ชิงหยิ่งเดินอย่างข้องใจกลับเข้าไปในห้องรับแขก

หลังจากที่นั่งลงแล้ว กู้ชิงหยิ่งยังคงใจลอยอยู่ “ที่รัก คุณพ่อใจดีเกินไปไหมคะ ตั้งแต่เล็กจนโต ฉันไม่เคยเห็นคนให้ของขวัญกันแบบนี้เลย รู้สึกอย่างกับฝันไปเลยค่ะ”

“อย่าว่าแต่เคยเห็นเลย แค่ได้ยินยังไม่เคยได้ยินเลย”

เฉินตงเกาหัวอย่างงุนงง ตอนนี้เขาเชื่อเรื่องที่ท่านหลงเล่าให้ฟังแล้วว่าพ่อของเขาเคยมอบบ่อน้ำมันให้เป็นของขวัญตอนออกไปเจรจาธุรกิจ

เฉินตงหยิบรายการของขวัญขึ้นมาแล้วพลิกอ่าน จากนั้นเอ่ยออกมาอย่างประหลาดใจ “ที่รัก ไหนลองทายดูสิว่ามูลค่ารายการของขวัญทั้งหมดนี้รวมกันเป็นเท่าไหร่?”

“สองพันล้าน?”

กู้ชิงหยิ่งครุ่นคิดก่อนจะตอบจำนวนที่ตนเองคิดว่าเป็นไปได้มากที่สุดออกมา

ทว่า

เฉินตงกลับส่ายศีรษะ “คุณประมาณค่าต่ำเกินไปแล้ว เดาให้มากกว่านี้หน่อย!”

ร่างบอบบางของกู้ชิงหยิ่งสั่นไหว พร้อมยกมือของตนขึ้นมาปิดปาก

เธอพยายามไม่กรี๊ดออกมาแล้วเอ่ยว่า “ฉัน ฉันไม่เดาแล้วดีกว่า คุณบอกฉันมาเลยเถอะ”

เฉินตงยกนิ้วขึ้นมากางทั้งสิบนิ้ว

“เอาเลขที่คุณบอกคูณห้าเข้าไป!”

ประโยคเรียบๆ หนึ่งประโยคแต่กลับทำให้กู้ชิงหยิ่งรู้สึกราวกับถูกฟ้าฟาด เธอตกใจจนหน้าซีดขาว

ช่วงเวลานั้น

กู้ชิงหยิ่งไม่เพียงไม่มีท่าทางยินดีเท่านั้น ใบหน้างดงามของเธอกลับซีดขาวด้วยความพรั่นพรึง

แค่ตั้งครรภ์ กลับได้ของขวัญมูลค่าหมื่นล้าน?!

ตระกูลเฉินบ้าระห่ำกันขนาดนี้เลยหรือ?

“พ่อคิดอะไรอยู่กันแน่?” เฉินตงเกาหัวด้วยสีหน้าข้องใจ “เพิ่งจะตั้งท้องแท้ๆ ก็ส่งของขวัญแบบนี้มาให้แล้ว ทำไมผมรู้สึกว่ามันแปลกๆ”

ถ้าหากเป็นของขวัญมูลค่าพัน สองพันล้าน เขายังรู้สึกว่าปกติ

เพราะก่อนหน้านี้พ่อเคยให้เงินก้นกระเป๋าเขามาสองครั้ง แต่ละครั้งมูลค่าประมาณหนึ่งพันล้าน

แต่หมื่นล้าน มันน่ากลัวเกินไปหน่อย!

ในตอนนั้นเอง

ท่านหลงที่จัดการเรื่องการส่งมอบของเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เดินเข้ามา

เมื่อเห็นเฉินตงกับกู้ชิงหยิ่งกำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดครุ่นคิดบางอย่างอยู่นั้น เขาก็ยิ้มออกมา

“คุณชาย คุณนายน้อย กำลังตกใจนิสัยการใช้เงินของนายท่านอยู่หรือครับ”

“อืม”

เฉินตงกับกู้ชิงหยิ่งพยักหน้าตอบรับพร้อมกัน

ท่านหลงหัวเราะเสียงดัง “คุณชายกับคุณนายน้อยอย่าคิดมากเลย เงินหมื่นล้านสำหรับตระกูลเฉินไม่ถือว่ามากมายอะไร”

“สำหรับตระกูลเฉินอาจจะไม่มากมายอะไร แต่สำหรับพวกเราแล้ว นี่มันตั้งหมื่นล้าน!”

กูชิงหยิ่งเอ่ยอย่างหนักแน่น แสดงให้เห็นว่าเธอกำลังรู้สึกกังวล

หากสะใภ้บ้านอื่นตั้งครรภ์ การที่พ่อตา แม่ยายมอบของขวัญให้ ควรจะเป็นเรื่องที่น่ายินดี

แต่ตอนนี้เธอไม่รู้สึกยินดีเลยสักนิด

ท่านหลงหันไปมองตู้ใบใหญ่สามตู้ที่วางอยู่กลางสนาม ในนั้นมีเพียงของบางส่วนที่อยู่ในรายการของขวัญเท่านั้น ของชิ้นใหญ่อย่างบ้านซื่อเหอเอวี้ยนยังต้องเซ็นสัญญาโอนกรรมสิทธิ์ก่อน

เมื่อหันกลับไปมองเฉินตงกับกู้ชิงหยิ่ง ท่านหลงก็ยิ้มออกมาอย่างแปลกประหลาด

กะพริบตาปริบๆ และนิ่งเงียบอยู่พักใหญ่ก่อนจะกล่าวออกไปว่า “คุณชายกับคุณนายน้อยคิดว่าของขวัญมูลค่าหมื่นล้านส่งมาเพื่อแสดงความยินดีเรื่องที่คุณนายน้อยตั้งครรภ์อย่างนั้นหรือ?”

“แล้วไม่ใช่เหรอ?”

เฉินตงกับกู้ชิงหยิ่งเอ่ยถามอย่างพร้อมเพรียง

วินาทีต่อมา

แววตาของเฉินตงเกิดประกายสว่างวาบ เขาเข้าใจแจ่มแจ้ง

“ไม่ถูก ความหมายของท่านหลงคือ พ่อใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างเพื่อช่วยผม?”

ท่านหลงยิ้มแต่ไม่เอ่ยตอบ เขาเพียงพยักหน้าเท่านั้น

หลังออกจากบ้านตระกูลเฉิน พ่อก็บอกกับเขาไว้แล้ว

แต่เฉินตงกลับคาดไม่ถึงว่า จะยกเลิกได้รวดเร็วเช่นนี้!

ภายในเวลาเพียงแค่คืนเดียว ทุกอย่างก็กลับคืนสู่ภาวะปกติ

ตลอดระยะเวลาเกือบหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ภารกิจลอบสังหารขององค์กร hidden killers เป็นเหมือนดาบแหลมคมที่แขวนอยู่ จนยากที่เขาจะสามารถสงบจิตใจลงได้ และทำให้รู้สึกหวาดกลัวอยู่ตลอดเวลา

มาวันนี้ เมฆหมอกได้จางหายไปหมดสิ้นแล้ว

เขาเงยหน้าแล้วสูดหายใจเข้าเต็มปอด นี่คือการสูดลมหายใจที่มีความสุขที่สุด ตลอดระยะเวลาเกือบหนึ่งเดือนที่ผ่านมาของเขา

จากนั้น เฉินตงก็ยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ “องค์กรhidden killers ยกเลิกภารกิจได้อย่างไร?”

แค่นี้หรือ?!

ท่านหลง คุนหลุน และฟ่านลู่ ต่างผงะไปพร้อมกัน

ท่าทีของคุณชาย ดูจะเรียบเฉยเกินไปไหม?

ระยะเวลาที่ผ่านไปเกือบหนึ่งเดือน ทุกคนต่างตกอยู่ในอันตรายจากการลอบสังหารในครั้งนี้ จนต้องจมดิ่งอยู่กับความเครียด

เดิมทีทั้งสามคนคาดการณ์ว่า ถ้าหากเฉินตงได้ยินข่าวนี้แล้ว จะต้องดีใจจนกระโดดโลดเต้นอย่างแน่นอน

แต่ทว่าตอนนี้……

“เป็นอะไรไป?”

เฉินตงหันมองทั้งสามคนด้วยความสงสัย

“คุณชาย คุณไม่ดีใจเลยหรือครับ?” ท่านหลงถาม

“ดีใจสิ” เฉินตงพยักหน้า

“แล้วทำไมคุณถึง……” ท่านหลงถามต่อ

เฉินตงยักไหล่ “ต่อให้ดีใจแค่ไหน ก็ไม่ดีใจเท่ากับเรื่องที่เสี่ยวหยิ่งบอกกับฉันเมื่อคืนว่า ฉันมีเจ้าตัวน้อยแล้ว”

ท่านหลง คุนหลุนและฟ่านลู่ต่างพูดไม่ออก

แต่ก็พอจะเข้าใจได้ เมื่อมีเรื่องหนึ่งที่ปีติยินดีมากกว่าอีกเรื่อง ความดีใจที่แสดงออกมา ก็ย่อมที่จะน้อยกว่าเป็นธรรมดา

แต่การตอบสนองที่เรียบเฉยของเฉินตง ไม่ได้หมายความว่าพวกของท่านหลงจะพลอยเรียบเฉยไปด้วยได้

ท่านหลงข่มความตื่นเต้นเอาไว้ แล้วพูดว่า “เมื่อคืนดาร์กเว็บเกิดความแตกตื่นครั้งใหญ่ขึ้น “ยมราช” ซึ่งเป็นนักฆ่าอันดับ 1 ในอันดับยมราชขององค์กร hidden killers ได้ปรากฏตัวขึ้นในองค์กร hidden killers อีกครั้ง ตอนที่เข้าลงชื่อเข้าใช้ในระบบ ก็ทำให้เกิดความโกลาหลขึ้นในดาร์กเว็บ

“ขณะที่ทุกคนกำลังแตกตื่นอยู่นั้น ยมราชใช้สิทธิพิเศษที่ตนเองมีอยู่ ประกาศเจตจำนงของยมราช โดยไม่ผ่านความเห็นชอบขององค์กร hidden killers”

ขณะที่พูด ท่านหลงก็หยิบโทรศัพท์ออกมา จากนั้นจึงกดเข้าไปในหน้าเว็บไซต์ของดาร์กเว็บ แล้วยื่นโทรศัพท์ให้กับเฉินตง

“คุณชายลองดูเองเถอะครับ สิ่งที่เกิดขึ้นมาตลอดทั้งคืน ทำให้ตอนนี้ บนดาร์กเว็บมีแต่เรื่องเกี่ยวกับยมราช รวมไปถึงภาพหน้าขอขององค์กร hidden killers ในเวลานั้นด้วย”

เฉินตงรับโทรศัพท์มา หลังจากที่เห็นภาพการปรากฏตัวขึ้นของ “ยมราช” ในองค์กร hidden killers เมื่อคืน จู่ๆ เขาก็โล่งใจทันที

ถึงแม้เขาจะเตรียมใจเอาไว้บางเล็กน้อย แต่ก็ต้องรู้สึกขนลุกกับภาพที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าอยู่ดี

นักฆ่าคนหนึ่ง เพียงแค่ลงชื่อเข้าใช้ในระบบขององค์กร hidden killers ก็สร้างความโกลาหลให้ทั้งเว็บไซต์ได้

ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากเข้าไปในองค์กร hidden killersแล้ว ยังสามารถแสดงเจตจำนงของตนเองออกมาบนเว็บไซต์หลักขององค์กรได้ได้ โดยไม่ต้องสนใจองค์กร hidden killersอีกด้วย

นี่……นี่ต้องน่ากลัวขนาดไหนกัน?

ภาพที่เห็นอยู่ในมือ เป็นหน้าเว็บไซต์ที่แดงเถือก และเคียวยมราชขนาดใหญ่

แต่สิ่งที่ยิ่งดึงดูดสายตามากกว่าเคียวยมราชก็คือ ตัวอักษรบรรทัดล่างที่เขียนเอาไว้

“ใครฝ่าฝืน ยมราชจะไปหา!”

นี่ต้องกล้าหาญขนาดไหนกัน ถึงจะสามารถกล่าวคำพูดที่เป็นการดูถูกองค์กร hidden killersทั้งองค์กรได้ขนาดนี้?

“คุณชาย การปรากฏตัวของยมราช ทำให้ยุติการลอบสังหารเอาไว้ได้ หลังจากมีการประกาศเจตจำนงข้อนี้ออกมาได้เพียงแค่ห้านาที องค์กร hidden killersก็ประกาศยกเลิกภารกิจลอบสังหารคุณทันที”

ท่านหลงพยายามข่มความหวาดกลัวภายในใจ และค่อยๆ พูด

คุนหลุนกับฟ่านลู่เอง ก็มีสีหน้าที่เคร่งขรึม

เพราะทั้งสองคนล้วนแล้วแต่เป็นนักฆ่ามือพระกาฬในอันดับยมราช ดังนั้นจึงรู้ดีว่า “ยมราช” ที่ถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 1 นั้น มีความแข็งแกร่งแค่ไหน

คนคนหนึ่งที่ครองตำแหน่ง “ยมราช” ในอันดับยมราชมากว่ายี่สิบปี ปรากฏตัวขึ้นมาใหม่ในองค์กรอีกครั้งเพื่อคุณชาย!

เฉินตงยื่นมือถือคืนให้คุนหลุน ดวงตาของเขาเหม่อลอย จู่ๆองค์กร hidden killersก็ประกาศยกเลิกภารกิจ ทำให้เขาไม่ทันได้ตั้งตัว จะบอกว่าเป็นเหมือนกับคลื่นลูกใหญ่ ก็คงไม่เกินจริงเกินไปนัก

ทว่าในขณะที่กำลังงุนงงอยู่นั้น เขาก็นึกถึงคำพูดของพ่อตอนที่อยู่ในตระกูลเฉินได้

ทั้งหมดนี่……เป็นฝีมือของลุงเต้าจูนจริงๆ หรือ?

หรือจะพูดอีกอย่างว่า ลุงเต้าจูน……ก็คือ “ยมราช” ที่อยู่ในองค์กร?

ในขณะที่เฉินตงกำลังครุ่นคิดเรื่องเหล่านี้ พวกของท่านหลงทั้งสามคน เมื่อมองเห็นแววตาของเขา ก็มีท่าทีเคร่งขรึมขึ้นมา

โดยเฉพาะคุนหลุนและฟ่านลู่ ตอนนี้เมื่อเผชิญหน้ากับเฉินตง ก็ยิ่งรู้สึกชื่นชมมากยิ่งขึ้น

ท่าทีของคุณชาย เป็นสิ่งที่คาดเดาได้ยากจริงๆ!

หากมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับ “ยมราช” ในองค์กร hidden killersจริง ทำไมก่อนหน้านี้ คุณชายถึงได้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากขนาดนั้น?

“ลงไปข้างล่างกันเถอะ ในเมื่อตอนนี้การลอบสังหารสิ้นสุดลงแล้ว งานหลายอย่างก็ควรที่จะเริ่มดำเนินการต่อได้แล้ว”

เฉินตงตั้งสติกลับมาได้ แล้วจึงหันไปโบกมือและออกคำสั่งกับพวกของท่านหลงทั้งสามคน ที่กำลังยืนตกตะลึงอยู่

เขาไม่ได้พูดเรื่องการคาดเดาว่าเฉินเต้าจูนคือ “ยมราช” ออกมา

สำหรับลุงเต้าจูนแล้ว การจะกลับไปที่ตระกูลเฉินสักครั้ง ก็ต้องเข้าไปอย่างหลบๆ ซ่อนๆ แม้กระทั่งช่วยพ่อจัดการกับยิวหมิน ก็ยังไม่สามารถทิ้งร่องรอยของตนเองเอาไว้ได้

การหลบๆ ซ่อนๆ นี้ แสดงให้เห็นว่าไม่ต้องการให้ใครล่วงรู้

ไม่ว่าจะเป็นลุงเต้าจูนที่ช่วยเขาจัดการกับองค์กร hidden killers และยกเลิกภารกิจหรือไม่ เขาก็ไม่จำเป็นต้องพูดในสิ่งที่เขาคาดเดาออกมาอยู่ดี

ลุงเต้าจูนออกจากคุกมืด ปกปิดร่องรอยของตนเองมาโดยตลอด แสดงว่าเขาต้องมีเหตุผลของเขา!

เมื่อพวกของท่านหลงทั้งสามคนจากไปแล้ว เฉินตงก็หันหลังเดินกลับเข้าไปในห้องนอน

เขามองดูกู้ชิงหยิ่งที่นอนหลับไปอีกครั้ง แต่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา

สาวน้อย คุณมันเป็นแมลงขี้เซาจริงๆ

แต่ว่า หลังจากที่ถูจมูก เฉินตงก็เดาว่าน่าจะเป็นกู้ชิงหยิ่งมากกว่า ดังนั้นจึงรู้สึกง่วงขึ้นมา

เขาค่อยๆ เดินไปข้างๆ เตียง คุกเข่าลง แล้วมองดูกู้ชิงหยิ่งที่กำลังหลับสนิท และรู้สึกอบอุ่นขึ้นในจิตใจขึ้นมา

“ตั้งท้องคงจะต้องลำบากมากแน่ๆ ขอบคุณนะที่รัก”

ขณะที่กำลังพึมพำ เขาค่อยๆ เขยิบเข้าไปใกล้ๆ ท้องของกู้ชิงหยิ่ง แล้วยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน “เจ้าตัวเล็ก หนูเป็นดวงดาวนำโชคของพ่อจริงๆ เป็นความสุขทวีคูณ……”

“ที่รัก เมื่อกี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือคะ?”

กู้ชิงหยิ่งตื่นขึ้น และมองไปที่เฉินตงอย่างสะลึมสะลือ

เฉินตงนอนลงบนเตียง จากนั้นจึงโอบกู้ชิงหยิ่งเข้าไว้ในอ้อมแขน แล้วจูบที่หน้าผากของกู้ชิงหยิ่งเบาๆ

“ที่รัก ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกเราจะนอนหลับสนิทกันได้เสียที เมื่อคืนองค์กร hidden killers ประกาศยกเลิกภารกิจลอบสังหารผมแล้ว”

“จริงหรือคะ?”

กู้ชิงหยิ่งตั้งสติขึ้นมาได้ แววตาของเธอเป็นประกาย เมื่อเห็นท่าทีของเฉินตงยังคงดูเป็นปกติ จึงเอ่ยถามขึ้นมาอย่างประหลาดใจ “ทำไมดูเหมือนว่าคุณจะไม่ดีใจเลย? นี่เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่สุดเลยนะ!”

“ผมดีใจนี่!”

เฉินตงยิ้มออกมาอย่างเบิกบาน “แต่จะเป็นข่าวดีแค่ไหน ก็เทียบไม่ได้กับที่คุณตั้งท้องเจ้าตัวเล็กของเราหรอก”

ใบหน้าอันงดงามของกู้ชิงหยิ่งแดงก่ำ ดวงตาเป็นประกายแวววาว

จู่ๆ บรรยากาศภายในห้องก็เงียบลง

แต่ในตอนนี้เอง

จู่ๆ เหนือท้องฟ้าด้านนอก ก็มีเสียงของเฮลิคอปเตอร์ดังขึ้นมา

ทั้งต้องรู้สึกตกใจพร้อมกัน

แทบจะในเวลาเดียวกัน ที่หน้าประตูก็มีเสียงของท่านหลงดังขึ้น “คุณชาย คุณนายน้อย รีบออกมาเร็วเข้า นายท่านให้คนส่งของขวัญมาให้ครับ!”

ส่งของขวัญ?!

เฉินตงและกู้ชิงหยิ่งหันมองหน้ากัน จากนั้นจึงรีบลุกขึ้นและออกจากห้องนอนไป

ท่านหลงใบหน้ายิ้มระรื่น และพูดอย่างมีความสุขว่า “เมื่อคืนนายท่านดีใจจนนอนไม่หลับ ถ้าไม่ใช่เพราะตอนนี้สถานการณ์ในตระกูลเฉินนั้นซับซ้อน เขาคงจะมาด้วยตัวเองแล้ว คุณนายน้อยตั้งครรภ์ นี่ถือเป็นข่าวดีอย่างมากทีเดียว ดังนั้นจึงได้ให้คนนำของขวัญมาส่งให้คุณนายน้อยตั้งแต่เช้าตรู่”

“เพิ่งต้องท้องก็ต้องส่งด้วยหรือ?” เฉินตงถามด้วยความประหลาดใจ

กู้ชิงหยิ่งเองก็รู้สึกสงสัย

ท่านหลงทำสีหน้าเคร่งขรึม จ้องเฉินตงตาเขม็ง “คุณชาย เพิ่งท้องทำไมจะส่งไม่ได้ครับ? นี่เป็นสายเลือดของนายท่าน เป็นสิ่งล้ำค่าเพียงหนึ่งเดียว นายท่านกำชับอย่างเด็ดขาดให้ระมัดระวัง อีกอย่าง นี่ก็เป็นของที่ส่งให้คุณนายน้อย คุณชายเป็นเพียงแค่สามี จะพูดให้มากความทำไม?”

เฉินตงหัวเราะอย่างเก้อเขิน แล้วลูบจมูก

ประคองกู้ชิงหยิ่งเดินออกไปด้านนอก แล้วพูดติดตลกว่า “ไปกันเถอะที่รัก ไปดูว่าคุณพ่อที่ใจกว้างเหมือนมหาสมุทรของผม จะส่งของขวัญชิ้นใหญ่แค่ไหนมาให้”

ทว่า

ขณะที่ท่านหลงเดินนำเฉินตงและกู้ชิงหยิ่งออกไปจากลานป่าไผ่นั้น

เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นบนอากาศ จู่ๆ เฉินตงก็หัวเราะไม่ออก

นี่……คือของขวัญจริงๆ หรือ?

“พรวด!”

ด้วยความโกรธจัด

หลี่เต๋อซานเงยหน้าขึ้นทันที เขากระอักเลือดออกมา และสีหน้าซีดเผือด

ปัง!

เมื่อได้ยินเสียงที่เกิดขึ้น ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ด้านนอก ก็ใช้เท้าเตะประตูเข้ามาทันที

เมื่อเห็นหลี่เต๋อซานที่กระอักเลือดออกมา ชายวัยกลางคนก็ตื่นตระหนกในทันที เข้ารีบเข้าไปประคองหลี่เต๋อซาน “พี่ใหญ่ นาย นายใจเย็นก่อน นี่นายโกรธจัดเกินไปแล้ว”

ใบหน้าซีดเผือดของหลี่เต๋อซานเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง

“องค์กร hidden killers ทำเช่นนี้ ฉัน ฉันจะไม่โกรธได้อย่างไร นี่ นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”

ชายวัยกลางคนรีบพูดว่า “เมื่อคืนมีข่าวใหญ่เกิดขึ้นในดาร์กเว็บ ทำให้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ขึ้น จนถึงตอนนี้เหตุการณ์ก็ยังไม่สงบลง”

สีหน้าของเขาค่อยๆ ตื่นตระหนก

“กล่าวกันว่า นักฆ่าสมญานาม “ยมราช” ซึ่งเป็นนักฆ่าที่อยู่ในอันดับที่ 1 ในอันดับยมราชขององค์กร hidden killers กลับมา และลงประกาศ “เจตจำนงของยมราช” โดยไม่ผ่านการยินยอมขององค์กร hidden killers ทำให้สั่นสะเทือนไปทั้งดาร์กเว็บ และยิ่งไปกว่านั้นเขาได้ประกาศยกเลิกภารกิจลอบสังหารเฉินตงในองค์กร hidden killersด้วย”

หลี่เต๋อซานตัวสั่นเทา ใบหน้าของเขาบูดเบี้ยว

เขาเองก็ไม่ค่อยมีความเข้าใจเกี่ยวกับดาร์กเว็บนัก

ในความเป็นจริงแล้ว เว้นแต่ว่าจะแอบซ่อนตัวอย่างลับๆ อยู่ในดาร์กเว็บมาเป็นเวลานานจริงๆ มิเช่นนั้นคนทั่วไป หากเข้าไปในดาร์กเว็บ ก็ยากที่จะเข้าใจถึงความตื้นลึกหนาบางของดาร์กเว็บได้จริงๆ

คำพูดครึ่งแรกของชายวัยกลางคน เขาไม่ได้สนใจนัก สิ่งที่เขาสนใจก็คือคำพูดในครึ่งหลัง

【องค์กร hidden killers เป็นคนประกาศยกเลิกภารกิจลอบสังหารเฉินตง! หรือต้องยกเลิกเพราะได้รับความกดดันจากยมราช!】

นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน……

“พรวด!”

เลือดสูบฉีดขึ้น มุมปากของหลี่เต๋อซานขยับอีกครั้ง และกระอักเลือดออกมา

ใบหน้าที่ซีดเผือดอยู่เดิม ตอนนี้ยิ่งดูหมองหม่นเพิ่มยิ่งขึ้น

เขากัดฟัน ราวกับเสือที่กำลังโกรธจัด “นักฆ่าคนเดียว เพียงแค่นักฆ่าคนเดียว แต่กลับบังคับให้องค์กร hidden killers ยอมยกเลิกภารกิจได้?

ทำเขาทำธุรกิจกันเช่นไร? ฉันยอมทุ่มเงินกว่าพันล้านดอลลาร์ให้พวกเขา พวกเขาไม่เพียงแต่ไม่ทักทายสักคำ ยังจะประกาศยกเลิกภารกิจของฉันอีก? นี่มันบ้าชัดๆ!”

“พี่ใหญ่ พี่ต้องใจเย็นลงหน่อยนะ!” ชายวัยกลางคนตกใจจนหน้าถอดสี

แต่หลี่เต๋อซานกลับไม่ได้ยิน ดวงตาของเขาแดงก่ำ และจ้องชายวัยกลางคนตาเขม็งด้วยความโกรธ

จากนั้น ดวงตาของเขาก็เป็นประกาย จู่ๆ ก็คิดอะไรบางอย่างออก จึงรีบถามขึ้นว่า “แล้วเงินพันล้านดอลลาร์ที่เราให้องค์กร hidden killers ล่ะ? ในเมื่อพวกเขายกเลิกภารกิจแล้ว ก็ควรจะคืนเงินพันล้านดอลลาร์ให้พวกเราทันทีไม่ใช่หรือ?”

พันล้านดอลลาร์ สำหรับธุรกิจของตระกูลหลี่ทั้งหมดแล้ว ไม่ได้ถือว่ามีค่าอะไรมากนัก

แต่พันล้านดอลลาร์ ถือเป็นเงินหมุนเวียนที่แท้จริง!

ในตอนแรกที่ประกาศภารกิจออกไป ก็มีการโอนเงินพันล้านดอลลาร์เข้าไปในองค์กร hidden killers จัดเก็บเรียบร้อยแล้ว

ถึงแม้ธุรกิจครอบครัวจะใหญ่โต แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นอสังหาริมทรัพย์ แต่ตอนนี้ ตระกูลหลี่กำลังเข้าสู่ภาวะตกต่ำเช่นนี้ เงินหมุนเวียนจำนวนพันล้านดอลลาร์ ก็ถือเป็นเงินก้อนใหญ่มากจริงๆ

ต่อให้ฆ่าเฉินตงไม่ได้ ก็ควรที่จะคืนเงินก้อนนี้กลับมาให้อย่างรวดเร็ว

ทว่า

ชายวัยกลางคนกลับมีสีหน้าสับสน เขากัดฟันแล้วพูดว่า “อันที่จริงแล้ว นี่คือเรื่องใหญ่ที่ฉันอยากจะบอกพี่ใหญ่”

หลี่เต๋อซานอึ้งไปทันที จู่ๆ ในสมองของเขาก็มีความคิดที่น่าสะพรึงกลัวผุดขึ้นมา

จากนั้น ชายวัยกลางคนก็พูดด้วยนำเสียงเคร่งขรึมว่า “องค์กร hidden killers ตอบกลับมาว่า เงินพันล้านดอลลาร์น่าจะไม่มีการคืนให้ เรื่องนี้ เป็นเจตจำนงของยมราชเอง โดยไม่ผ่านความเห็นชอบขององค์กร hidden killers นอกจากนี้ พวกเขายังข่มขู่อีกว่า หากตระกูลหลี่ของเราไม่ยินยอม ก็ให้ไปหาพวกเขา”

นี่เป็นการไม่ยินยอมคืนเงินอย่างแท้จริง!

สิ่งนี้ทำให้รู้สึกตะลึงงัน!

หลี่เต๋อซานสีหน้าหม่นหมอง ราวกับถูกฟ้าผ่าตอนกลางวันแสกๆ

ตอนนี้ เขารู้สึกเหมือนโลกหมุนเคว้งคว้าง เหมือนมีก้อนหินหนักอึ้งทับถมอยู่เต็มอก

ทั้งขุ่นเคือง โกรธแค้น ไม่เต็มใจ ความรู้สึกทุกอย่างพรั่งพรูออกมาเหมือนสายน้ำ

ตัวของเขาสั่นเทา ดวงตาแดงก่ำของเขา มีน้ำตาไหลรินออกมา

“บัดซบ บัดซบจริงๆ……ทำไมองค์กร hidden killers ถึงหน้าไม่อายเช่นนี้ สิ่งที่พวกเขาทำต่างอะไรกับการปล้นกัน?”

หลี่เต๋อซานตะโกนโห่ร้องด้วยความโกรธ ตัวของเขาสั่นเทาอีกครั้ง

เลือดพุ่งทะลักออกมาจากปาก เนื้อตัวอ่อนปวกเปียก ถึงขั้นไม่อาจนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างมั่นคงได้ จนไหลลงไปกองอยู่บนพื้น

“พี่ใหญ่!”

ชายวัยกลางคนตกใจจนสติแตก

“แก้แค้น ฉัน ฉันจะต้องแก้แค้นให้ได้! ตระกูลหลี่ ตระกูลหลี่กับเฉินตง……จะอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้!”

หลังจากที่หลี่เต๋อซานคร่ำครวญออกมาด้วยความโกรธแค้น ตาทั้งสองข้างของเขาก็ปิดลง และหมดสติไปในทันที

ชายวัยกลางคนทรุดลงไปนั่งบนพื้นด้วยความตกใจ แม้แต่เขาเองขอรู้สึกสิ้นหวังเหมือนตกลงไปในขุมนรกเช่นกัน

การมาของ “ยมราช” ไม่เพียงยกเลิกภารกิจลอบสังหารเฉินตงเท่านั้น

แต่ยังสั่งให้องค์กร hidden killers ยึดเงินพันล้านดอลลาร์ของตระกูลหลี่ไปอีกด้วย

ประโยคที่ว่า “ต้องเสียหายถึงสองเท่า” คงยังไม่เพียงพอที่จะอธิบายข่าวร้ายในครั้งนี้ได้

เพราะเขารู้ดีว่า เมื่อสูญเสียเงินไปพันล้านดอลลาร์ มิหนำซ้ำยังไม่สามารถทำภารกิจของตระกูลหลี่ได้สำเร็จอีก นี่ถือเป็นฝันร้ายชัดๆ!

แม้ในขณะที่กำลังรู้สึกสิ้นหวังและหวาดกลัว ชายวัยกลางคนยังแอบรู้สึกโศกเศร้าเสียใจเล็กน้อย

ถ้าหากตอนนั้น ตระกูลหลี่ไม่ประกาศภารกิจลอบสังหารในองค์กร hidden killers จะดีแค่ไหนกัน?

ต่อให้ต้องเข้าสู่ภาวะตกต่ำเพียงใด แต่อย่างไรเสีย อูฐที่ผอมแห้งก็ยังตัวใหญ่กว่าม้าอยู่ดี อย่างไรเสียก็ยังพอที่จะอยู่รอดได้อีกพักใหญ่

ทว่าตอนนี้ ภารกิจลอบสังหารนี้ กลับทำให้หญ้าต้นสุดท้ายของอูฐตัวนี้ต้องตายลง!

……

คลับสี่ยิ่น

เฉินตงและกู้ชิงหยิ่งมัวตื่นเต้นอยู่ตลอดคืน ทำให้นอนดึก

ทั้งสองนอนกอดกัน ด้วยบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความสุขและความรัก

แต่ทั้งหมดนี้ กลับพังทลายลงด้วยเสียงเคาะประตูอย่างรุนแรง

ปังปังปัง……

“คุณชาย คุณนายน้อย รีบตื่นเร็วเข้า!” เสียงตะโกนด้วยความรีบร้อนของท่านหลง ดังขึ้นมาจากด้านนอก

เฉินตงกับกู้ชิงหยิ่งถูกปลุกพร้อมกัน

“ทำไมท่านหลงคนนี้ นับวันจะยิ่งเสียมารยาทมากขึ้นนะ?”

เฉินตงขมวดคิ้วด้วยความโมโห

กู้ชิงหยิ่งลืมตาขึ้นอย่างสะลึมสะลือ แล้วถูที่ดวงตาราวกับลูกแมว จากนั้นจึงโน้มน้าวอย่างอ่อนโยนว่า “ที่รัก ทำไมคุณถึงต้องโมโหตอนตื่นนอนด้วยล่ะ?”

เฉินตงยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน จากนั้นจึงยกนิ้วขึ้นไปลูบดั้งจมูกของกู้ชิงหยิ่ง

“ผมกลัวว่าคุณจะตกใจ ทำให้กระทบกระเทือนถึงลูกในท้อง”

“คนบ้า รีบออกไปเร็วเข้า ท่านหลงรีบร้อนขนาดนี้ จะต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่นอน” กู้ชิงหยิ่งเหลือบมองอย่างตำหนิ

เฉินตงยิ้มแล้วลุกขึ้น จากนั้นจึงใส่เสื้อผ้าแล้วเดินออกจากห้องนอนไป

สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจก็คือ ไม่เพียงแค่คุนหลุนเท่านั้น แม้แต่คุนหลุนและฟ่านลู่ ก็ยืนอยู่ที่หน้าประตูด้วยสีหน้าที่ประหลาดเช่นกัน

เฉินตงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกใจ

เขาหันมองท่านหลง แล้วอดไม่ได้ที่จะพูดตำหนิออกมาว่า “ท่านหลง ตอนนี้เสี่ยวหยิ่งมีเจ้าตัวน้อยแล้ว นายเคาะประตูรุนแรงเช่นนี้ อาจทำให้เธอตกใจได้ หากทำให้เจ้าตัวเล็กที่อยู่ในท้องของเธอตกใจขึ้นมา นายจะชดเชยให้ฉันไหม?”

ใบหน้าของท่านหลงแดงก่ำด้วยความเขินอาย

“ขอโทษด้วยครับคุณชาย เป็นเพราะกระผมตื่นเต้นเกินไป จนลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท”

ท่านหลงรีบกล่าวขอโทษ และถามด้วยความเป็นห่วงว่า “เมื่อครู่ไม่ได้ทำให้คุณนายน้อยต่องตกใจใช่ไหมครับ?”

ลืมไปแล้วหรือ?

เฉินตงทำสีหน้าเบื่อหน่าย เมื่อคืนใครกันที่ตะโกนโห่ร้องดังก้องเมื่อรู้ข่าวนี้?

“ไม่เป็นไร พวกนายสามคนมีเรื่องอะไรกันแน่?”

เฉินตงส่ายหัว แล้วเอ่ยถาม

พวกของท่านหลงทั้งสามคนหันมองหน้ากัน จากนั้นท่าทางที่ดูแปลกประหลาด ก็แปลเปลี่ยนเป็นความปีติยินดี

“คุณชาย คุณลองเดาดูสิครับ?” ท่านหลงกะพริบตาปริบๆ และยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย

เฉินตงถูขมับ “ท่านหลง นายทำแบบนี้ ฉันจะจัดการนายด้วยเรื่องที่นายทำให้สุดที่รักทั้งสองของฉันต้องตกใจเมื่อครู่แล้วจริงๆ นะ”

สีหน้าของท่านหลงเปลี่ยนไปทันที จากนั้นจึงยิ้มออกมาอย่างเก้อเขินแล้วโบกมือ

จากนั้น เขาก็พูดขึ้นอย่างจริงจังว่า “องค์กร hidden killers บนดาร์กเว็บ เมื่อคืนได้ประกาศยกเลิกภารกิจลอบสังหารคุณชายเรียบร้อยแล้ว ภายในคืนเดียว ถือว่ามีเรื่องน่ายินดีเกิดขึ้นถึงสองเรื่อง!”

เปรี้ยง!

เฉินตงตัวสั่น มีเสียงดังอื้ออึงขึ้นในหัว

ยก ยกเลิกแล้ว……จริงๆ หรือ?

กฎระเบียบขององค์กร hidden killers

คนที่อยู่ในอันดับที่ 1 ของอันดับยมราช จะได้รับสมญานามว่า “ยมราช”

เดิมทีควรจะเป็นชื่อที่ได้มาจากการแข่งขัน แต่หลังจากที่ชายคนนั้นปรากฏตัวขึ้น กลับดูเหมือนว่าจะกลายเป็นชื่อเฉพาะของเขา

สิ่งนี้ กินเวลามายาวนานกว่ายี่สิบปี!

ต่อให้จะมีคลื่นลูกใหม่เกิดขึ้นมาแทนที่มากมาย แต่ก็ไม่มีใครกล้าแตะต้องตำแหน่ง “ยมราช” มาก่อน

เขา คือตำนานของ hidden killers

และเป็นตำนานของดาร์กเว็บทั้งหมด

การหายตัวไปอย่างกะทันหันเมื่อยี่สิบปีก่อน ทำให้ทุกคนต่างตกใจ

แต่การปรากฏตัวขึ้นหลังจากยี่สิบปีให้หลัง กลับทำให้ทุกคนรู้สึกหวาดกลัว

มีความโกลาหลเกิดขึ้นราวกับคลื่นลูกใหญ่

เพียงแค่การลงชื่อเขาใช้ของบัญชีหนึ่ง แต่เคียวเปื้อนเลือดนี้ ยิ่งทำให้ดาร์กเว็บต้องสั่นสะเทือน

มีข่าวค่อยๆ หลั่งไหลเข้ามาจากทั่วทุกมุมโลก ราวกับลมพายุ

และมีคนอีกจำนวนไม่น้อย ที่กำลังตรวจสอบเลขบัญชีที่ลงชื่อเข้าใช้อย่างบ้าคลั่ง

เมื่อตำนานกลับมา แสดงว่าต้องมีเหตุผล

แน่นอนว่า มีองค์กรจำนวนมาก ที่ต้องการได้ตำนานผู้นี้ เข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของตน

แต่แล้ว หลังจากข่าวขององค์กร hidden killers ปรากฏออกมา ก็ทำให้ดาร์กเว็บทั้งหมดเงียบลง

【ในนามของยมราช ขอประกาศยกเลิกภารกิจลอบสังหารเฉินตง ใครฝ่าฝืน ยมราชจะไปหา!】

บนหน้าเว็บไซต์สีแดงเถือกขององค์กร hidden killers ภายใต้เคียวยมทูต ปรากฏข้อความสั้นๆ เพียงหนึ่งข้อความ

นี่ถือเป็นสิทธิพิเศษที่องค์กร hidden killers มอบให้ “ยมราช”

สามารถมองข้ามความเห็นชอบของ hidden killers และเผยแพร่เจตจำนงบนหน้าเว็บไซต์ขององค์กรได้

หลังจากข่าวนี้ประกาศออกไป

หน้าเว็บสีแดงเถือก และเคียวยมราชก็หายไปอย่างรวดเร็ว

ทุกคนที่ให้ความสนใจอยู่ ต่างรู้สึกตกตะลึงอย่างบอกไม่ถูก

ภารกิจลอบสังหารเฉินตงที่องค์กร hidden killers ประกาศออกมา ได้ก่อให้เกิดความโกลาหลขึ้นในดาร์กเว็บมาระยะหนึ่งแล้ว

ไม่มีเหตุผลอื่นใดนอกจาก ข้อแรก เฉินตงมีฐานะเป็นผู้สืบทอดมรดกของตระกูลเฉิน ข้อสอง มีนักฆ่าในอันดับยมทูต หลั่งไหลเข้ามาให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก

เจตจำนงที่ “ยมราช” ประกาศออกมา ทำให้ความโกลาหลเพิ่มมากขึ้นถึงจุดสูงสุดอีกครั้ง

ยมราชที่หายสาบสูญไปกว่ายี่สิบปี กลับเข้ามาในองค์กร hidden killers บนดาร์กเว็บอีกครั้ง ก็เพื่อประกาศเจตจำนงที่ต้องการจะยกเลิกภารกิจลอบสังหารเฉินตงอย่างนั้นหรือ?

ทั้งสองคน มีความสัมพันธ์เช่นไรกันแน่?

หลังจากความตกตะลึงที่เกิดขึ้น ข่าวที่ “ยมราช” ประกาศออกมา ราวกับเข็มของเทพเจ้าแห่งท้องทะเล

สามารถจัดการกับความโกลาหลที่เกิดขึ้นราวกับคลื่นลูกใหญ่ ได้ด้วยมือเพียงข้างเดียว ทำให้ทุกคนต่างรู้สึกตกตะลึง ถึงขั้นทำให้ใครหลายคนที่กำลังจะเคลื่อนไหว ต้องล้มเลิกความคิดในทันที

ผู้ใดฝ่าฝืน ยมราชจะไปหา!

ความน่าหวาดกลัวที่รุนแรงเช่นนี้ ไม่มีใครอยากพบเจอทั้งนั้น

องค์กร hidden killers ในดาร์กเว็บทุกวันนี้ ไม่มีใครกล้าเผชิญหน้ากับ “ยมราช” มิเช่นนั้น สมญานาม “ยมราช” คงไม่ตกเป็นของคนคนเดียวมากว่ายี่สิบปี

ในขณะที่บางคนกำลังเตรียมตรวจสอบข้อมูลชื่อผู้ใช้ พวกเขาก็ต้องพบกับความผิดหวังทันที

เป็นเพราะ เลขบัญชีนี้ออกจากระบบแล้ว!

ไม่มีอะไรให้ตรวจสอบได้อีก!

สิ่งนี้ยิ่งเป็นการยืนยันได้อย่างชัดเจนว่า “ยมราช” มาเพื่อเฉินตง

หลังจากหายสาบสูญไปกว่ายี่สิบปี การกลับมาในองค์กร hidden killers บนดาร์กเว็บในครั้งนี้ ก็เพื่อปกป้องเฉินตง

หลังจากที่ “ยมราช” ออกจากระบบ หน้าเว็บไซต์ขององค์กร hidden killers บนดาร์กเว็บ ก็กลับมาเป็นปกติ

เงาที่สะท้อนอยู่ในหัวใจของทุกคนจากทั่วทุกมุมโลกไม่ได้หายไป แต่กลับแปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวที่ค่อยๆ ทวีความรุนแรงเพิ่มมากยิ่งขึ้น!

ห้านาทีให้หลัง หลังจากการปรากฏตัวขึ้นของ “ยมราช”

บนเว็บไซต์ขององค์กร hidden killers ก็ไม่มีภารกิจ【ลอบสังหารเฉินตง】อีกต่อไป!

ไม่เพียงแค่บรรดานักฆ่าต่างรู้สึกหวาดกลัวเท่านั้น แต่องค์กร hidden killers เอง ก็ประกาศยกเลิกภารกิจ ด้วยความหวาดกลัวที่มีต่อ “ยมราช”เช่นกัน

นี่เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในองค์กร hidden killers!

สิ่งนี้ แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ดาร์กเว็บนั้นไม่อาจสงบสุขนัก

เพียงแค่การลงชื่อเข้าใช้ในระยะเวลาเพียงสั้นๆ กลับทำให้ทุกคนสัมผัสได้ถึงความน่าสะพรึงกลัว ที่ตำนานกว่ายี่สิบปีได้นำพามา

ภายในห้องพักแสงไฟสลัวๆ

เฉินเต้าจูนค่อยๆ พ่นควันของซิการ์ออกมาจากปาก และมองดูหน้าจอคอมพิวเตอร์ด้วยแววตาที่ลึกซึ้ง

ราวกับกำลังหวนรำลึกถึงความหลัง จากนั้นจึงยิ้มออกมาอย่างขมขื่น

“ยี่สิบกว่าปีมาแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าคนพวกนี้ จะยังไม่พัฒนา หรืออันที่จริงแล้วในตอนนั้นฉันไม่ควรจะแย่งชิงสมญานามนี้มา? เพียงแค่แย่งมา ก็ทำให้องค์กร hidden killers ต้องหยุดชะงักมากว่ายี่สิบปี”

เมื่อมองซิการ์ที่เหลืออยู่อีกเพียงหนึ่งในสามในมือ เฉินเต้าจูนก็ขยี้มันลงในที่เขี่ยบุหรี่

จากนั้นจึงบิดขี้เกียจ แล้วพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม “ตงเอ๋อ นี่คงเป็นหนึ่งในไม่กี่เรื่องที่ลุงพอจะช่วยนายได้ หนทางต่อจากนี้ นายจะต้องเป็นคนเดินไปเองแล้ว ตระกูลเฉินไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่นายคิด แม้แต่พ่อนายเอง บางครั้งยังต้องตกที่นั่งลำบากด้วยเช่นกันนี่?”

หลังจากเช็ดหน้า ใบหน้าของเฉินเต้าจูนก็กลับมาสง่างามดังเดิมอีกครั้ง “ดูเหมือนควรจะกลับคุกมืดเสียที ไม่เช่นนั้นเจ้าพวกขี้คุกพวกนั้น คงจะเอะอะโวยวายขึ้นมาอีกครั้ง”

น้ำเสียงที่ผ่อนคลาย แต่ทุกๆ คำที่เปล่งออกมากลับแสดงออกถึงความมั่นใจอย่างแรงกล้า

……

เช้าวันรุ่งขึ้น

แสงแดดส่องสว่างไปทั่วพื้นดิน นำเอาความมีชีวิตชีวามาให้

ทุกอย่างเป็นปกติ

แสงสว่างและความมืดมิดไม่อาจอยู่ในเวลาเดียวกันได้ แต่ก็ใช่ว่าคลื่นลูกใหญ่ที่เกิดขึ้นในดาร์กเว็บ จะไม่สามารถแพร่กระจายออกมาสู่ที่สว่างได้

ตระกูลหลี่แห่งเมืองหลวง

หลี่เต๋อซานตื่นขึ้นมาตามปกติ ยังคงแต่งกายด้วยชุดนอน และยืนอยู่ตรงหน้าต่างที่สูงจากพื้นจรดเพดาน มองดูคฤหาสน์ปราสาทของตระกูลหลี่ทั้งหมด ด้วยแววตาที่เป็นประกาย

ที่นี่ เคยเป็นห้องนอนของพ่อ

นอกจากนี้ยังเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงฐานะและตำแหน่งเจ้าบ้านอีกด้วย

มีเพียงแค่เจ้าบ้านตระกูลเฉินเท่านั้น ที่มีสิทธิ์เข้ามาในห้องนอนห้องนี้ได้

ตั้งแต่ที่พ่อจากโลกนี้ไป เขาก็สืบทอดตำแหน่งเจ้าบ้านต่อ ทุกเช้า เขาจะมายืนอยู่ที่นี่ และมองดูคฤหาสน์ปราสาทของตระกูลหลี่ด้วยความภาคภูมิใจ

ราวกับพระราชาในสมัยโบราณ ที่ออกท่องเที่ยวไปทั่วทั้งแคว้น

“ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อถูกสัตว์ร้ายนั่นฆ่าตาย ตอนนี้ ตำแหน่งนี้จะเป็นของฉันได้อย่างไร?”

หลี่เต๋อซานแสยะยิ้มออกมาด้วยความโหดเหี้ยม “เฉินตงเอ๋ย เฉินตง แกสมควรตายจริงๆ พ่อของฉันปฏิบัติต่อแกเช่นนั้น แต่แกกลับมุ่งทำลายธุรกิจของตระกูลหลี่เรา ฉันจะต้องล้างแค้นให้พ่อให้ได้!”

“แน่นอน เงินเพียงพันล้าน สำหรับตระกูลหลี่แล้ว ไม่ถือว่ามากมายอะไรนัก”

ยิ่งพูด หลี่เต๋อซานก็ยิ่งมีความสุข

ในใจของเขา เรื่องที่เฉินตงฆ่าคุณท่านใหญ่ตระกูลหลี่นั้นคือความจริงอย่างที่สุด

ในฐานะที่เป็นลูก หลังจากสืบทอดตำแหน่งเจ้าบ้านแล้ว เรื่องที่ควรจะแก้แค้นให้พ่อนั้น เป็นสิ่งที่เขารู้ดี

หากยอมจ่ายเงินพันล้านดอลลาร์ แล้วสามารถทำให้เฉินตงไม่อาจนอนหลับสนิท และต้องอยู่อย่างหวาดระแวงได้ แค่คิด หลี่เต๋อซานก็รู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูกแล้ว

เมื่อเทียบกับความฝันอันแสนหวานของเขาในทุกๆ คืนนี้ ความสบายใจเช่นนี้กลับแข็งแกร่งยิ่งกว่า

“ตอนที่แก เฉินตงตาย ฉัน ในฐานะที่เป็นญาติผู้ใหญ่ จะต้องไปร่วมงานอย่างแน่นอน!”

ทันทีที่พูดจบ

ก๊อกก๊อกก๊อก!

มีสียงเคาะประตูด้วยความรีบร้อนดังขึ้น

ทันใดนั้น หลี่เต๋อซานก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที

เขาหันหลังกลับไปในทันที และตะโกนด่าทอ “สุนัขรับใช้ที่ไร้มารยาท ถูกไฟลนก้มมาหรือยังไง ถือได้รีบร้อนขนาดนี้?”

“เจ้า เจ้าบ้านครับ เกิดเรื่องใหญ่แล้วครับ!”

ด้านนอก มีเสียงที่ฟังดูตื่นตระหนกดังขึ้น

“สุสานของตระกูลแกถูกขุดแล้วหรือยังไง?” หลี่เต๋อซานโพล่งออกมาด้วยความโมโห

เสียงด้านนอกเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพูดขึ้นด้วยความโมโห “ฉันคือน้องสามของนาย!”

หลี่เต๋อซาน “……”

เขาสูดหายใจเข้าหนึ่งครั้ง เพื่อสงบสติอารมณ์

จากนั้นจึงเอ่ยถามขึ้นอย่างเคร่งขรึมว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

“องค์กร hidden killers ในดาร์กเว็บ ประกาศยกเลิกภารกิจลอบสังหารเฉินตงเมื่อคืนนี้!”

คำพูดที่ดังขึ้นมาจากด้านนอก ราวกับเสียงฟ้าผ่าตอนกลางวันแสกๆ

หลี่เต๋อซานยืนตัวสั่น ใบหน้าของเขาบูดเบี้ยวจนดูน่ากลัวในทันที

เขาสติแตกทันที จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนโลกทั้งโลกหมุนเคว้งคว้าง เขาเดินโซเซไปมาและทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ที่วางอยู่ข้างๆ

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น? ทำไมถึงเป็นเช่นนี้?”

ตอนนี้ อารมณ์เบิกบานเมื่อครู่ ได้พังทลายลงจนหมดสิ้น มีทั้งความรู้สึกเหลือเชื่อ และความรู้สึกตื่นตกใจ “องค์กร hidden killers อะไรกัน? ไร้สาระ ช่างไร้สาระจริงๆ กฎระเบียบของพวกเขา ระบุเอาไว้อย่างชัดเจนไม่ใช่หรือว่า นอกจากเป้าหมายจะถึงแก่ความตาย หรือไม่ก็พวกเขาเป็นคนยกเลิกภารกิจเองเท่านั้น มิเช่นนั้นก็ไม่มีใครสามารถยกเลิกได้?”

ในหัวของเฉินตง มีเสียง “เปรี้ยง” ดังก้องกังวานขึ้น

ทันใดนั้นเอง เขาก็เหม่อลอยไป

เฉินตงน้อย……

จู่ๆ อารมณ์ของเขาก็พลุ่งพล่านขึ้นมาทันที ดวงตาของเขาแดงก่ำ และรู้สึกคัดจมูกอย่างรุนแรง

ภาพนี้ ทำให้กู้ชิงหยิ่งรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก เธอจับใบหน้าของเฉินตงเอาไว้ “ที่รัก คุณเป็นอะไรไป?”

“พูดอีกครั้งซิ!”

เฉินตงพึมพำออกมา

“ที่รักคะ คุณเป็นอะไรไป?” กู้ชิงหยิ่งถามซ้ำไปซ้ำมาด้วยความสงสัย

“ไม่ใช่ ประโยคก่อนหน้านี้!” เฉินตงส่ายหัวอย่างรุนแรง

กู้ชิงหยิ่งพูดว่า “ที่รักพวกเรามีเฉินตงน้อยแล้ว”

“ฮ่าฮ่าฮ่า……”

เฉินตงหัวเราะออกมาเสียงดัง หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง จู่ๆ อารมณ์ของเขาก็พรั่งพรูออกมาราวกับสายน้ำเชี่ยวกราก “ผมมีลูกแล้ว ผม เฉินตง มีลูกแล้ว!”

เมื่อเห็นท่าทีดีใจของเฉินตง กู้ชิงหยิ่งเองก็ยิ้มหวานออกมาด้วยเช่นกัน

เฉินตงที่กำลังอยู่ในอาการตื่นเต้นดีใจ กระโดดลงจากเตียงแล้วหันกลับไปอุ้มกู้ชิงหยิ่งขึ้นมา จากนั้นจึงจูบหน้าผากของเธอฟอดใหญ่ แล้วอุ้มกู้ชิงหยิ่งหมุนตัวพลางหัวเราะเสียงดัง

กู้ชิงหยิ่งตกใจจนหน้าซีด “นี่ คุณรีบปล่อยฉันลงเร็วเข้า ฉัน ในท้องของฉันมีเจ้าตัวเล็กอยู่นะ”

“ใช่ใช่ใช่ มีเจ้าตัวเล็กแล้ว มีเจ้าตัวเล็กแล้ว”

เฉินตงหน้าถอดสี เขารีบวางกู้ชิงหยิ่งกลับไปบนเตียงด้วยความตื่นตระหนกทันที จากนั้นจึงยิ้มไปพลาง โทษตัวเองไปพลาง “ที่รัก เป็นความผิดของผมทั้งหมด ผมดีใจจนลืมตัวไปหน่อย เป็นความผิดของผม”

เผียะเผียะเผียะ!

เขาโทษตัวเองไปพลาง ตบหน้าตัวเองไปพลาง

แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา

ภาพที่เห็น ทำให้กู้ชิงหยิ่งอดไม่ได้ที่จะหลุดหัวเราะ “ฮ่าฮ่า” ออกมา

“ที่รัก ขอผมฟังเสียงลูกหน่อยได้ไหม?” เฉินตงถาม

“คนโง่ นี่เพิ่งจะนานแค่ไหนเอง จะไปได้ยินได้ยังไงกัน?” กู้ชิงหยิ่งเหลือบมองอย่างตำหนิ

“ขอผมสัมผัสสักหน่อยคงไม่เป็นไรหรอกใช่ไหม?”

เฉินตงอดไม่ได้ที่หันจะหน้าเข้าไปแนบที่ท้องของกู้ชิงหยิ่ง

กลิ่นหอบอบอวล และความอบอุ่นที่คุ้นเคย

ต่อให้ไม่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวของเจ้าตัวเล็กที่อยู่ในท้อง แต่การทำเช่นนี้ก็ทำให้เขารู้สึกมีความสุข

ภาพนี้ดูเหมือนทุกอย่างหยุดนิ่งเป็นเวลานาน

กู้ชิงหยิ่งค่อยๆ ลูบหัวเฉินตง แล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ครอบครัวของเรามีกันสามคนแล้ว คุณคือพ่อ”

แววตาของเฉินตงมุ่งมั่น ตอนนี้ ความลังเลสุดท้ายที่อยู่ในใจเกี่ยวกับ “กำหนดเวลาหนึ่งปี” ได้หายไปจนหมดสิ้น

ที่เหลือ คือการเดินหน้าต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ

“ผมจะทำให้คุณกับลูก กลายเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลก”

เป็นน้ำเสียงที่เบาและฟังดูอ่อนโยน แต่กลับเป็นเหมือนคำสาบาน

“พวกเราต้องมีความสุขด้วยกัน” กู้ชิงหยิ่งกล่าวอย่างนุ่มนวล

สองสามีภรรยาหันมองหน้ากันแล้วยิ้ม จากนั้นจึงสวมกอดกัน

ก๊อกก๊อกก๊อก!

จู่ๆ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ขัดจังหวะช่วงเวลาอันหวานชื่นของทั้งสอง

“คุณชาย เกิดเรื่องอะไรขึ้นครับ?”

ด้านนอก มีเสียงของท่านหลงดังขึ้น

ช่างไม่รู้เวลาเอาเสียเลย!

เฉินตงค่อยๆ ขมวดคิ้ว พยายามสะกดกลั้นความปีติยินดีภายในใจ แล้วพูดว่า “ไม่ ไม่เป็นไร เสี่ยวหยิ่งท้องแล้ว……ฮ่า ฮ่าฮ่า……ฮ่าฮ่าฮ่า……”

ต่อให้พยายามสะกลั้นเอาไว้แค่ไหน แต่ท้ายที่สุดแล้ว เฉินตงก็ยังอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเสียงดังออกมาอยู่ดี

“ท้องแล้ว? ท้องแล้วก็ไม่เห็นจะต้องส่งเสียงดังขนาดนี้เลยนี่?”

ด้านนอก มีเสียงโล่งใจของท่านหลงดังขึ้นมา

วินาทีต่อมา

“ฮะ!”

จู่ๆ ด้านนอก ก็มีเสียงของท่านหลงกรีดร้องเสียงแหลมขึ้นมา “คุณชายท้องแล้ว? เอ๊ะ ไม่ใช่สิ ไม่ใช่ คุณนายน้อยท้องแล้ว? ข่าวดี ข่าวดีจริงๆ! ผมจะรับไปรายงานนายท่านเดี๋ยวนี้!”

เฉินตงและกู้ชิงหยิ่งหลุดขำออกมาทันที

เฉินตงพูดติดตลกว่า “ตอนแรกท่านหลงยังนึกไม่ออก ตอนนี้นึกออกแล้ว ทำไมถึงได้ร้องเสียงดังกว่าผมอีก?”

“แน่นอนว่าเป็นเพราะดีไงนะสิคะ” กู้ชิงหยิ่งเลิกคิ้วแล้วยิ้ม

เฉินตงลูบจมูก แววตาลึกซึ้ง แล้วมองดูกู้ชิงหยิ่งอย่างอ่อนโยน “ขอบคุณนะ ที่พาเทวดาตัวน้อยๆ ลงมาสู่โลกใบนี้”

……

ในขณะที่บรรยากาศภายในลานป่าไผ่กำลังเต็มไปด้วย “ความปีติยินดี”

อีกทางด้านหนึ่ง ภายในห้องที่มีแสงไฟสลัวๆ ของโรงแรม

ฟรึ่บ!

เปลวไฟสีเหลืองลุกโชนขึ้น

จุดลงไปบนซิการ์ และมีควันลอยคลุ้งออกมา

จากนั้น ก้นของซิการ์ก็มีไฟลุกโชนขึ้น

หลังจากสูดเข้าไปเต็มปอด เพื่อให้ควันไหลผ่านปากเข้าไปจนถึงในอก เฉินเต้าจูนก็พ่นควันออกมาอย่างพึงพอใจ

เขาจ้องมองคอมพิวเตอร์ที่เปิดอยู่ตรงหน้า

ห้องทั้งห้อง มีเพียงจอคอมพิวเตอร์ที่ส่องแสงสว่างอยู่เท่านั้น

เพียงที่ภาพที่ปรากฏอยู่บนจอ ดูเลือนรางไปบ้าง

แต่ก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นหน้าของดาร์กเว็บ

“นานแล้ว ที่ไม่ได้เข้าสู่ระบบด้วยบัญชีนี้” เฉินเต้าจูนสูดควันของซิการ์เข้าไปอีกครั้ง จากนั้นจึงพ่นควันออกมาทางปาก แล้วมองดูหน้าของดาร์กเว็บอย่างใจลอย

ผ่านไปพักใหญ่

ซิการ์ถูกเฉินเต้าจูนสูบไปกว่าครึ่งมวนแล้ว ตอนนี้เอง เขาถึงได้คาบซิการ์เอาไว้ แล้วค่อยๆ ยกมือทั้งสองข้างขึ้นมา แล้ววางลงไปบนแป้นพิมพ์ จากนั้นจึงพิมพ์เลขบัญชีลงไป

หลังจากที่กดปุ่มตกลงแล้ว เฉินเต้าจูนก็เผยรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจออกมา ซึ่งน้อยครั้งนักที่จะได้เห็น “เฉินเต้าหลิน คิดไม่ถึงเลยว่า ในขณะที่มีชีวิตอยู่นี้ นายจะต้องติดค้างหนี้บุญคุณฉัน? ครั้งนี้ ถือว่าติดค้างฉันสองครั้ง ชีวิตของพวกนายสองพ่อลูก ฉันเป็นคนช่วยเอาไว้ทั้งสิ้น!”

หลังจากที่บัญชีเข้าสู่ระบบเรียบร้อย หน้าหลักก็เปลี่ยนไปสู่องค์กร hidden killers ทันที

และในขณะที่บัญชีนี้ ลงชื่อเข้าสู่ระบบนั้น ทั่วทุกมุมโลก ก็เกิดความสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ขึ้น

ตอนนี้ อีกซีกโลกหนึ่งเป็นเวลากลางวัน

ภายในอาคารสูงที่อยู่ใกล้กับตึกดาวห้าเหลี่ยม

ภายในสำนักงาน ที่เดิมทีเต็มไปด้วยความวุ่นวาย แต่จู่ๆ ทุกสิ่งกลับเงียบสงัดลงทันที

ทุกคนที่นั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ต่างจ้องเขม็งไปที่หน้าจอ แล้วค่อยๆ แสดงสีหน้าหวาดกลัวขึ้นมา

“ผู้ชายคนนั้น กลับมาแล้ว!”

ในทะเลทรายทางแถบตะวันตกเฉียงเหนือ ภายในปราสาทที่สร้างจากทรายสีเหลือง

เสียงอุทานด้วยความตกใจดังต่อเนื่องขึ้นมา ราวกับจะดังก้องขึ้นไปบนฟ้า

“กลับมาแล้ว!”

“ผู้ชายคนนั้นกลับมาแล้ว!”

“ไม่อยากจะเชื่อเลย เขา เขากลับมาแล้วจริงๆ!”

……

แผ่นดินใหญ่ยุโรปเหนือ ในปราสาทยุคกลาง

มีชายชราสวมชุดสูทที่ดูเนี้ยบคนหนึ่ง นัยน์ตาสีฟ้าของเขา ส่องประกายแวววาวออกมาทันใด

“พระเจ้า ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ผู้ชายคนนั้นจะกลับมาจริงๆ!”

บนเกาะแห่งหนึ่งในซีกโลกใต้ มีเสียงเฮลิคอปเตอร์และเครื่องบินรบ ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

และในเวลานี้ นอกจากเสียงเครื่องบินรบที่ดังก้องอยู่นั้น ทุกอย่างกลับเงียบสงบอย่างน่าประหลาด

“ผู้ชายคนนั้นกลับมาแล้ว!”

ภาพเช่นเดียวกันนี้ ปรากฏขึ้นทั่วทุกมุมโลก

ภาพเช่นเดียวกันปรากฏขึ้น และมีการตกใจเช่นเดียวกันเกิดขึ้น

ใครก็ตามที่สามารถเข้าถึงดาร์กเว็บได้ สามารถเข้าสู่ระบบขององค์กร hidden killers ได้ ตอนนี้ ต่างจ้องมองจอคอมพิวเตอร์ด้วยความหวาดกลัว

ผู้ชายคนนั้น เป็นตำนานขององค์กร hidden killers ไม่สิ เป็นตำนานของดาร์กเว็บต่างหาก!

หลังจากห่างหายไปจากดาร์กเว็บเป็นเวลานาน แต่ยังคงมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับเขากล่าวขานต่อกันมาไม่หยุด

ทุกคนต่างคิดไม่ถึงว่า ผู้ชายที่หายสาบสูญไปคนนั้น จะกลับมาในเวลานี้ด้วยความเงียบ แต่นี่ก็เพียงพอที่จะทำให้ทั้งเว็บต้องตกตะลึง

เพียงแค่การลงชื่อเข้าใช้หนึ่งครั้ง

กลับเป็นการจุดชนวนขึ้นในเว็บมืดทันที

อีกทั้งบนหน้าเว็บไซต์ขององค์กร hidden killers

หลังจากลงชื่อเข้าใช้แล้ว ก็ทำให้หน้าเว็บไซต์ทั้งหน้ากลายเป็นสีแดง ราวกับทะเลสีเลือดในทันที

เคียวยมราชขนาดใหญ่ ปรากฏขึ้นบนหน้าจอสีแดงเถือก

นี่ถือเป็นปฏิบัติการขั้นสูงสุดขององค์กร hidden killers

ความรุ่งโรจน์ของคนคนหนึ่ง ที่ถูกเก็บงำเอาไว้กว่ายี่สิบปี!

อันดับยมราชอันดับที่ 1 ผู้ที่ครอบครองสมญานาม “ยมราช” ตัวจริง ต่อให้ผ่านไปกว่ายี่สิบปีแล้ว ก็ยังไม่เคยเปลี่ยนแปลง!

เครื่องบินเจ็ตส่วนตัวส่งเสียงดังสนั่น เตรียมออกจากรันเวย์เพื่อทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า

มองดูคฤหาสน์ตระกูลเฉินที่อยู่เบื้องล่าง ซึ่งค่อยๆ ห่างออกไปทุกทีๆ

เฉินตงก็พึมพำกับตัวเองว่า “หนึ่งปีให้หลัง เมื่อฉันกลับมาเหยียบที่นี่ใหม่อีกครั้ง ฉันจะทำให้พวกนาย ยอมก้มหัวให้ได้”

ครั้งแรกที่เหยียบเข้าตระกูลเฉิน เขารู้ซึ้งแล้วว่า อะไรที่เรียกว่าความอัปยศ

คำก็ลูกสวะ สองคำก็ลูกสวะ เป็นเหมือนมีดที่กรีดแทงหัวใจเสียจริงๆ

แม้แต่ในสายตาของคนรับใช้ธรรมดาๆ ก็ยังเป็นเพียงแค่ลูกสวะคนหนึ่ง ที่ผู้คนสามารถทุบตีได้

เป็นเป้าโจมตีของทุกคน มีเพียงพ่อคนเดียวเท่านั้นที่คอยช่วยเหลือ

สิ่งนี้ยิ่งทำให้เขาเข้าใจถ่องแท้ว่า ลำดับชั้นของตระกูลเฉินนั้น มีความซับซ้อนมากเพียงใด

ภายในห้องอภิปราย ถึงแม้พ่อจะควบคุมทุกอย่างเอาไว้ได้ แต่เมื่อลองคิดดูอย่างละเอียดแล้ว พ่อก็แค่ใช้วิธีการที่ตรงไปตรงมา เพื่อให้เรื่องทุกอย่างง่ายขึ้นก็เท่านั้น

หากลองสังเกตดู อันที่จริงแล้ว ทั้งคำพูดและการกระทำของทุกคนในตอนนั้น สามารถที่จะค้นหาบางอย่างที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นออกมาได้

อย่างเช่น อันที่จริงแล้วในตอนนั้น ทุกคนก็ไม่ได้มีใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

มิเช่นนั้น เฉินเต้าชินก็คงไม่ยอมปล่อยให้ตนเองต้องอับอายขายหน้า และเฉินเต้าผิงกับคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินก็ไม่ต้องขาดคนสนับสนุนไป

“คุณชาย หนึ่งปี จะพอจริงๆ หรือครับ?”

ท่านหลงเอ่ยถามด้วยความลังเล แววตาเต็มไปด้วยความซับซ้อน

เฉินตงเมื่อครู่นั้น มีความมั่นใจอย่างยิ่งยวด ทำให้ทุกคนต่างรู้สึกเชื่อมั่น

แต่ตอนนี้เมื่อทุกอย่างสงบลง ท่านหลงกลับยังคงรู้สึกวิตกกังวลอยู่

เวลาหนึ่งปี สั้นเกินไปจริงๆ!

คุณชายจะต้องส่งกระดาษคำตอบ ภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งปีนี้ เพื่อเอาชนะผู้สืบทอดมรดกของตระกูลเฉินทุกคน

การผ่านการฝึกฝนมาอย่างโชกโชน รวมไปถึงประสบการณ์ที่สั่งสมมากว่าสิบปี คุณชายสามารถเอาชนะได้ภายในเวลาเพียงแค่หนึ่งปีจริงๆ หรือ?

เฉินตงหัวเราะออกมาโดยไม่พูดอะไร

“คนธรรมดาก็คือคนธรรมดา ยิ่งเมื่อไม่มีทางเลือกด้วยแล้ว นอกจากจะเดินหน้าสู้ต่อไปอย่างกล้าหาญ ก็ไม่เหลือหนทางที่จะล่าถอยได้อีก”

แววตาของท่านหลงสั่นคลอน ในใจของเขาเต็มไปด้วยความโกรธเคือง

หนึ่งปี ไม่มีทางพอจริงๆ!

ต่อให้พวกเขาจะอยู่ข้างกายเฉินตง และเห็นการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างของเฉินตง ด้วยตาของพวกเขาเอง แต่ก็ยังไม่รู้สึกว่าเฉินตงจะสามารถเป็นผู้ชนะได้

บรรยากาศเริ่มหดหู่อย่างหนัก

เฉินตงยิ้มออกมาอย่างเบิกบาน “ในใจของพวกนาย ฉันมันไม่ได้เรื่องขนาดนั้นเลยหรือ?”

“คุณชายเป็นคนที่มีพรสวรรค์มากที่สุดเท่าที่กระผมเคยพบเห็นมา” ท่านหลงเอ่ยปากขึ้นมาก่อน

คุนหลุนกับฟ่านลู่เองก็หันไปมองเฉินตงพร้อมกัน ถึงแม้จะไม่ได้พูดอะไร แต่แววตาก็แสดงออกว่าเห็นด้วยกับท่านหลง

เฉินตงยักไหล่ และพูดออกมาด้วยแววตาที่มุ่งมั่น “เพื่อภรรยาและเพื่อพ่อแล้ว ฉันจำเป็นจะต้องชนะให้ได้!”

……

เมื่อเครื่องบินลงจอดที่สนามบินแถบชานเมือง

ก็เป็นเวลาสี่โมงเย็นแล้ว

แต่ว่าเฉินตงไม่ได้กลับไปที่คลับสี่ยิ่นในทันที แต่กลับพาพวกของท่านหลงทั้งสามคน มุ่งหน้าไปยังสุสานของแม่

“คุณชาย ทำเช่นนี้อันตรายเกินไปแล้ว” ท่านหลงรู้สึกกลัวอยู่ในใจ

เมื่อนึกถึงภาพของเฉินเต้าจูนในวันนั้นที่ปรากฏขึ้นต่อหน้า มีนักฆ่าสิบกว่าคนที่มาคอยดักรออยู่นานแล้ว เรียกได้ว่าเป็นการซุ่มโจมตีจากทุกด้าน

หากไปอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้ไม่มีเฉินเต้าจูนอยู่ด้วยแล้ว

“คงจะไม่มีอะไร”

แววตาของเฉินตงลึกซึ้ง เขายิ้มออกมาเล็กน้อย

จากนั้นจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “แต่ว่า ตอนนี้ฉันอยากรู้แล้วสิว่า เสี่ยวหยิ่งจะบอกข่าวดีอะไรกับฉันกันแน่”

ตอนที่เพิ่งลงจากเครื่องบิน เขาได้คุยโทรศัพท์กับกู้ชิงหยิ่ง บอกว่าจะไปเคารพหลุมศพของแม่ก่อน

ขณะพูดคุยกัน กู้ชิงหยิ่งพูดจามีลับลมคมใน บอกว่ามีข่าวดีจะบอก โดยรอให้เขากลับถึงบ้านก่อนแล้วจะบอกเขา

อันที่จริงแล้ว น้อยครั้งนักที่กู้ชิงหยิ่งจะพูดจามีลับลมคมใน ต่อให้เป็นการแสร้งทำ ก็จะเจือปนท่าทีขี้เล่นเล็กน้อย

แต่ทว่าน้ำเสียงของเธอในสายโทรศัพท์เมื่อครู่ กลับเป็นเสียงที่จริงจัง ซึ่งหาได้น้อยครั้งมาก

เมื่อได้ยิน

ท่านหลงก็ส่ายหัวด้วยความงุนงง

ฤดูใบไม้ร่วง สายลมพัดพาเอาความหนาวเหน็บเล็กน้อยมา

บริเวณโดยรอบหลุมศพของแม่ ถึงแม้ครั้งก่อนจะเกิดการ “สังหาร” ที่น่าอนาถขึ้น แต่หลังจากที่มีการเก็บกวาดตามมาเรียบร้อยแล้ว บริเวณโดยรอบก็มีสภาพกลับมาดังเดิม

ป้ายหลุมศพตั้งตระหง่านอยู่ด้านหน้าหลุมศพอย่างโดดเดี่ยว

ด้านบนมีรูปของแม่แปะเอาไว้

เฉินตงคุกเข่าลงด้านหน้าหลุมศพด้วยท่าทีที่สงบและเคร่งขรึม

มีเพียงแค่ดวงตาเท่านั้นที่แดงก่ำขึ้นมา

เมื่อไปตระกูลเฉินแล้ว ถึงได้รู้ว่าตระกูลเฉินนั้นมีความซับซ้อนมากแค่ไหน

หากพูดตรงๆ ก็คือ ตอนนั้นที่พ่อสามารถปกป้องพวกเขาสองแม่ลูกเอาไว้ได้ ก็ถือว่าต้องใช้ความสามารถอย่างมหาศาลแล้ว

ภาพในห้องอภิปรายปรากฏขึ้นในหัว คนเหล่านั้นกล้าตะโกนโห่ร้องที่จะฆ่าเขาต่อหน้าพ่อ ในตอนนั้นที่พ่อเป็นเพียงแค่ผู้สืบทอดมรดก คิดว่าคงยิ่งรุนแรงมากกว่านี้

นี่จึงไม่แปลกเลยที่หลังจากพ่อได้ดำรงตำแหน่งเจ้าบ้านตระกูลเฉินแล้ว จึงไม่เคยคิดที่จะยกฐานะที่แม่ควรจะได้ให้กับแม่เลย

ไม่ใช่เพราะไม่อยากให้

แต่เป็นเพราะแรงกดดัน จนไม่อาจให้ได้!

เขาและแม่ต่อสู้ดิ้นรนร่วมกันมาเป็นเวลายี่สิบกว่าปี เขาพยายามอย่างสุดชีวิต ก็เพื่อคำพูดที่ท่านหลงพูดเอาไว้กับเขา ตอนที่พบหน้ากันครั้งแรก มอบเกียรติยศที่ควรจะเป็นของแม่ กลับคืนให้กับแม่ทั้งหมด

“แม่ครับ อีกหนึ่งปีให้หลัง ผมจะเอาเกียรติยศที่แม่ต้องสูญเสียไปกว่ายี่สิบปี กลับคืนมาให้แม่”

เฉินตงค่อยๆ ก้มหัวลง เหมือนกับกำลังกล่าวคำสาบาน “ผมจะให้แม่กลับไปอยู่ในศาลบรรพชนตระกูลเฉิน ให้คนในตระกูลเฉินทุกคน ต้องก้มหัวให้แม่ และยอมเรียกแม่ว่า——คุณนายเฉิน!”

พูดจบ เฉินตงก็ลุกขึ้นทันที แววตาของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น และหันหลังกลับอย่างรวดเร็ว

ที่เขามาที่หลุมศพของแม่ก่อน เป็นเพราะหนึ่งปีต่อจากนี้ เขาอาจจะไม่มีโอกาสได้มากราบไหว้แม่แล้ว

หนึ่งปีนั้นสั้นนัก สำหรับการต่อสู้แข่งขันเพื่อขึ้นเป็นเจ้าบ้านของเขา

แต่สำหรับการมากราบไหว้แม่นั้น เวลาหนึ่งปีถือว่ายาวนานมาก

หากหน้าหลุมศพไม่มีธูปเทียน ก็เท่ากับอกตัญญู!

……

เหมือนกับที่เฉินตงคาดเอาไว้ ตั้งแต่ลงจากเครื่องบินจนถึงหลุมศพของแม่ และจนกระทั่งกลับไปถึงคลับสี่ยิ่น ทุกอย่างอยู่ในความสงบ ไม่มีเรื่องร้ายใดๆ เกิดขึ้น

ราวกับว่าเหตุการณ์ฆาตกรรมอันน่ากลัวที่เกิดขึ้นก่อนหน้า กลับไปสู่ภาวะปกติอย่างเงียบๆ เรียบร้อยแล้ว

แต่อย่างไรเสียก็ยังต้องระวัง

เฉินตงไม่ได้ยกเลิกการรักษาความปลอดภัยบริเวณโดยรอบลานป่าไผ่

การระมัดระวัง เป็นเหตุผลที่จะทำให้มีอายุยืนยาว เขาเองก็รู้ดี

ซึ่งแม้สถานการณ์จะคลี่คลายไปในทิศทางที่ดี แต่ก็ยากที่จะรับประกันได้ว่าจะไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้น จนทำให้เกิดอันตรายร้ายแรง

บรรยากาศยามค่ำคืนไร้เสียงผู้คน

ภายในลานป่าไผ่สวยงามและเงียบสงบ

เฉินตงและกู้ชิงหยิ่งนอนอยู่บนเตียง ภายในห้องมีแสงไฟสลัวๆ โทรทัศน์ยังคงเปิดอยู่ ทำให้ห้องที่เงียบสงบ ไม่ดูอ้างว้างจนเกินไป

“ทำไมคุณถึงไม่พูดอะไร?” กู้ชิงหยิ่งขดตัวอยู่ในผ้าห่ม ใบหน้าอันงดงามถูกผ้าห่มปิดบังเอาไว้ครึ่งหนึ่ง เธอมองดูเฉินตงด้วยความสงสัยเล็กน้อย

“ผมอาบน้ำจนสะอาดตั้งนานแล้ว”

เฉินตงพูดขึ้นมาลอยๆ อย่างไม่มีเหตุผลหนึ่งประโยค

กู้ชิงหยิ่งผงะไป “อาบน้ำสะอาดแล้ว แล้วยังไงต่อ?”

เฉินตงดูเศร้าหมอง และแสร้งทำเป็นไม่พอใจ “มีคนพูดว่า การแยกจากกันบ้าง ทำให้ชีวิตแต่งงานใหม่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น แต่คุณกลับไม่คิดอะไรกับผมเลย นี่มันช่างหน้าผิดหวังจริงๆ”

“หึ คุณนี่มันร้ายกาจจริงๆ” กู้ชิงหยิ่งตัวสั่น ใบหน้าอันงดงามของเธอค่อยๆ แดงก่ำขึ้นมา

“ที่รัก ผมต้องการ”

เฉินคงหันไปมองกู้ชิงหยิ่ง

ตาทั้งสองคู่สบกัน เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกที่ลึกซึ้ง

ภายใต้แสงไฟสลัวๆ กลายเป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ขึ้นมาทันใด

ดูเหมือนบรรยากาศจะเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความรักที่รุนแรง

วินาทีถัดมา

เฉินตงกระเถิบตัวเข้าไปอยู่ตรงหน้ากู้ชิงหยิ่ง

ทว่า

จู่ๆ กู้ชิงหยิ่งกลับยกมืออันเรียวงามขึ้น นิ้วมืออันงดงามค่อยๆ สัมผัสลงบนริมฝีปากของเฉินตง แล้วกล่าวตำหนิว่า “คนบ้า ฉันยังไม่ยินยอมสักหน่อย”

“ห่างกันไปขนาดนี้ คุณยังไม่มีใจโหยหาอีก ในฐานะที่ผมเป็นสามีรู้สึกเหนื่อยใจจริงๆ” เฉินตงถอนหายใจออกมา

กู้ชิงหยิ่งผงะไป แล้ววางมือของเธอลง

จากนั้น ริมฝีปากแดงระเรื่อก็ค่อยๆ ขยับเล็กน้อย ราวกับแมลงปอที่แตะผิวน้ำ สัมผัสเข้าหากันแล้วแยกออก

กลิ่นหอมที่ลอยเตะจมูก ทำให้เฉินตงรู้สึกเคลิบเคลิ้ม

แต่ท่าทีของกู้ชิงหยิ่งกลับทำให้เขารู้สึกสงสัยและประหลาดใจเล็กน้อย “แล้วยังไงต่อ?”

“ลืมไปแล้วหรือว่าตอนคุยโทรศัพท์กัน ฉันพูดว่ามีข่าวดีจะบอกคุณ?” ใบหน้าอันงดงามของกู้ชิงหยิ่งแดงก่ำ ดวงตาอันงดงามของเธอเปล่งประกายแวววาว ดูเขินอายและมีเสน่ห์อย่างมาก

ริมฝีปากแดงระเรื่อค่อยๆ ขยับ คำพูดเพียงประโยคเดียวทำให้เฉินตงรู้สึกปีติยินดี จนกระโดดโลดเต้น

“ที่รักคะ พวกเรามีเฉินตงน้อยแล้ว”

ระหว่างทางกลับคฤหาสน์หลัก

พวกของท่านหลงทั้งสามคน สังเกตได้ถึงความผิดปกติของเฉินตงและเฉินเต้าหลิน หลังออกมาจากห้องอภิปราย

แต่ทั้งสามก็ไม่ได้เอ่ยปากถาม

ด้วยฐานะแล้ว ไม่ควรถาม

ใบหน้าของเฉินเต้าหลินเย็นชา แววตาดูลึกซึ้ง

เฉินตงที่กำลังเข็นรถเข็นอยู่นั้น ก็หรี่ตาลงด้วยท่าทีที่เคร่งขรึมเช่นกัน

ระยะเวลาหนึ่งปี เป็นเวลาที่สั้นจริงๆ

โครงการหลายอย่างของเขา เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นได้ไม่นาน รวมไปถึงภารกิจลอบฆ่าขององค์กรhidden killers ก็ทำให้เขาต้องเสียเวลาไปไม่น้อยเช่นกัน

เมื่อเทียบกับผู้สืบทอดมรดกคนอื่นๆ ของตระกูลเฉินแล้ว เขายังมีหนทางอีกยาวไกลที่จะต้องเดิน

ต่อให้มีพรสวรรค์แค่ไหน แต่ไม่อาจขจัดความพยายามของผู้อื่นที่สั่งสมมาเป็นเวลาหลายปี หลายสิบปี ภายในช่วงระยะเวลาอันสั้นได้

ยิ่งไปกว่านั้น ยิ่งเป็นผู้สืบทอดมรดกระดับหัวกะทิ ที่ถูกตระกูลเฉินฝึกฝนมาเป็นอย่างดี

คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินบีบบังคับให้พ่อกำหนดเวลา “หนึ่งปี” เห็นได้ชัดว่าเป็นการโจมตีเขา

แต่ต่อให้รู้ดี ก็ไม่อาจโต้แย้งได้

เพราะพ่อใช้ประโยชน์จากการบีบบังคับ เพื่อควบคุมสถานการณ์ทุกอย่างไปแล้ว

ถ้าหากตอนนี้ ยังไม่ยอมถอยแม้เพียงครึ่งก้าวอีก สถานการณ์อาจนำมาซึ่งความไม่พอใจของสมาชิกระดับสูงของตระกูลเฉินได้ ถึงขั้นอาจทำให้เกิดการต่อต้านขึ้นมา

เฉินตงรู้สึกหดหู่ภายในจิตใจ ระยะเวลาเพียงหนึ่งปี จะเพียงพอจริงหรือ?

เมื่อกลับถึงคฤหาสน์หลัก

ในที่สุดเฉินเต้าหลินก็เอ่ยปากพูด

“ตงเอ๋อ ลูกจะโทษพ่อไหม?”

เฉินตงส่ายหัว ถึงแม้เขาจะรู้สึกหดหู่ แต่ก็ยังส่ายหัวแล้วพูดว่า “เป็นการใช้ทั้งบุญคุณและการข่มขู่ในเวลาเดียวกัน นี่ถือเป็นวิธีที่ดีที่สุด คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินต้องการเล่นงานผม การกำหนดระยะเวลาหนึ่งปีก็เพื่อที่จะโจมตีผม ถ้าหากพ่อยังไม่ยอมอ่อนข้อให้ อาจทำให้สถานการณ์ที่ดี ต้องพังทลายลงไปกับตาก็ได้”

แววตาของเฉินเต้าหลินสั่นคลอน และเปล่งประกายออกมา

เขามองเฉินตงด้วยความประหลาดใจ อดไม่ได้ที่จะแสดงท่าทีชื่นชมออกมา

สามารถมองทุกอย่างออกได้ถึงขั้นนี้ สมแล้วที่เป็นลูกชายของเฉินเต้าหลิน

“ลูกไม่โทษพ่อก็ดีแล้ว” เฉินเต้าหลินถอนหายใจออกมาอย่างจนใจ “เห็นได้ชัดว่ายัยแก่นั่น จงใจที่จะใช้กลอุบายเล่นงานเราสองพ่อลูก โดยอ้างชื่อของบรรพบุรุษ รวมไปถึงผลประโยชน์ต่างๆ ที่เกี่ยวโยงกันภายในตระกูล กำหนดเวลาหนึ่งปีนี้ หากพ่อไม่รับปากก็คงไม่ได้”

เฉินตงยังคงนิ่งเงียบ ไม่พูดอะไร แต่ในใจนั้นรู้สึกหดหู่เป็นอย่างมาก

กลอุบายนั้นไม่น่ากลัว แต่ความกลัวนั่นแหละคือกลอุบาย

เมื่อเผชิญหน้ากับกลอุบาย อย่าคิดที่จะทำอย่างอื่นนอกจากพุ่งเข้าชน

“นายท่าน กำหนดเวลาหนึ่งปีคืออะไรหรือครับ?” ท่านหลงฟันจนรู้สึกสับสน จึงเอ่ยปากถาม

เฉินเต้าหลินยิ้มออกมาอย่าหดหู่ แต่ไม่ได้พูดตอบ

เฉินตงพูดว่า “ในห้องอภิปราย คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน คิดที่จะใช้เรื่องที่ฉันจะฆ่าเธอ มาเป็นเหตุผลในการจัดการกับฉัน แต่พ่อกลับควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้ แต่ก็ถูกคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน บีบบังคับให้รับปากเรื่องการแต่งตั้งเจ้าบ้านคนต่อไป ในงานเลี้ยงฉลองวันเกิดครบห้าสิบปี ซึ่งก็คือหนึ่งปีหลังจากนี้”

“หนึ่งปี?!”

ท่านหลงหน้าถอดสีทันที

คุนหลุนและฟ่านลู่เอง ก็รู้สึกตกใจพร้อมกัน

“ระยะเวลาหนึ่งปีจะไปพอได้อย่างไร?”

ท่านหลงประสานมือทั้งสองข้างไว้แน่น แล้วพูดด้วยความโมโห “ผู้สืบทอดมรดกเหล่านั้น มีใครบ้างที่ไม่เคยผ่านการฝึกฝนมาอย่างโชกโชน? บางคนถึงขั้นมีประสบการณ์เกือบสิบปี แล้วเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งปี นี่มันเป็นการไม่ยุติธรรมต่อคุณชายชัดๆ!”

ตั้งแต่ที่นายท่านสั่งให้เขาออกตามหาคุณชายกลับมา และให้คุณชายเข้ามารับตำแหน่งผู้สืบทอดมรดก เพิ่งจะกินเวลาไปแค่ไหนกัน?

ต่อให้มีเวลาเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งปี คิดไปคิดมาก็ยังไม่ถึงสองปี ระยะเวลาสั้นๆ เพียงแค่นี้ ไม่สามารถทำให้คุณชายเติบโตได้เลย

ด้วยระยะเวลาแล้ว คุณชายถือว่าเสียเปรียบอย่างมาก!

ความเป็นเลิศทุกด้าน ต้องอาศัยเวลาในการสั่งสม

ด้วยอายุของท่านหลงแล้ว เขาอยู่รับใช้ตระกูลเฉินมาเป็นเวลานาน เรื่องนี้เขาจึงมองออกอย่างชัดเจน

เฉินเต้าหลินสีหน้ามืดหม่น เขาจะไม่รู้ได้อย่างไร?

แต่เป็นเพราะไม่มีทางเลือก!

ในฐานะเจ้าบ้าน มีอำนาจในการควบคุมทุกอย่าง แต่ก็ถือเป็นตำแหน่งที่ตกเป็นเป้าโจมตีของทุกคนเช่นกัน

โดยปกติแล้ว เขาสามารถฉวยโอกาสจากผู้ที่คิดร้ายได้ แต่ถ้าหากบีบบังคับทุกคนให้ต้องจนมุม สุดท้ายแล้วผลลัพธ์จะกลายเป็นการต่อต้านอย่างหัวชนฝา

ต่อให้เขาเป็นเจ้าบ้านตระกูลเฉิน จะไม่กลัวก็คงไม่ได้!

“นายท่าน ไม่มีวิธีอื่นแล้วหรือครับ?”

คุนหลุนเองก็ร้อนใจ “มีเวลาแค่หนึ่งปี นี่มันเป็นเรื่องยากเกินไปสำหรับคุณชาย นี่เป็นการแสดงออกอย่างชัดเจนว่า ต้องการกีดกันคุณชายออกไป หลังจากหนึ่งปีให้หลังนี้”

ทว่า

ทันทีที่พูดจบ

ก็มีน้ำเสียงเย็นชาที่ฟังดูแน่วแน่มั่นคงดังขึ้น

“หนึ่งปีก็พอแล้ว!”

เปรี้ยง!

เสียงราวกับฟ้าผ่า ถึงแม้จะเป็นน้ำเสียงที่สงบนิ่ง แต่กลับทำให้ทุกคนรู้สึกตกใจ

พวกของเฉินเต้าหลินและท่านหลง ค่อยๆ หันไปมองเฉินตงด้วยความประหลาดใจ

เฉินตงในตอนนี้ ยืนตัวตรงตระหง่าน แววตาเต็มไปด้วยประกายแวววาว กลับไม่มีความไม่พอใจและสับสนหลงเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย สิ่งที่มีอยู่กลับเป็นแววตาที่เฉียบแหลมและความมุ่งมั่น ดูราวกับดาบคมที่ชักออกมาจากฝัก

หนึ่งปี……เพียงพอจริงๆ หรือ?

“ในเมื่อเขาใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งปี ก่อร่างสร้างตัวมาได้ถึงขั้นนี้ หากให้เวลาเขาเพิ่มอีกหนึ่งปี ก็คงจะเพียงพอแล้ว!”

แววตาของเฉินตงเฉียบคม ดูราวกับมีรัศมีเปล่งปลั่งออกมา ทั้งยิ่งใหญ่และทรงพลัง

ตอนนี้ ดูเหมือนทุกอย่างจะกลายเป็นเรื่องเล็กในสายตาเขา

ทุกคนต่างหันไปมอง

จะเรียกว่าเป็นความบ้าระห่ำก็ได้

เมื่อได้ยิน

“ดี! ไม่เสียแรงที่เป็นลูกชายของฉัน เฉินเต้าหลิน ความกล้าหาญขนาดนี้ก็เพียงพอแล้ว!” เฉินเต้าหลินพูดออกมาด้วยความประหลาดใจ

ท่านหลง คุนหลุนและฟ่านลู่เอง ต่างก็รู้สึกประหลาดใจไม่น้อยเช่นกัน

เมื่อรับรู้ได้ถึงการมองสถานการณ์อย่างประมาทของเฉินตง ทำให้ทั้งสามคนอดที่จะเป็นห่วงไม่ได้จริงๆ!

เฉินตงลูบจมูก แล้วยิ้มออกมาอย่างเฉยเมย “ฉันรู้ดีว่าพวกนายกังวลเรื่องอะไร แต่สิ่งที่ฉันกังวลตอนนี้ก็คือ หนึ่งปีหลังจากนี้ ตอนที่ฉันและผู้สืบทอดมรดกทั้งหมดส่งกระดาษคำตอบ พวกของคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน จะกล้ารับกระดาษคำตอบฉบับนี้ของฉันหรือไม่!”

ความมั่นใจอย่างยิ่งยวดนี้ แม้กระทั่งเฉินเต้าหลินเองก็ยังรู้สึกตกใจ

เขาอดไม่ได้ที่จะตบขาไปหนึ่งฉาด “มีพ่ออยู่ ขอแค่กระดาษคำตอบของตงเอ๋อนั้นยอดเยี่ยมมากพอ หากพวกเขาคิดจะไม่ยอมรับ ก็ไม่อาจทำได้!

“ได้ยินพ่อพูดเช่นนี้ ก็เพียงพอแล้ว!”

เฉินตงยิ้มออกมาอย่างเบิกบาน เขาดูนาฬิกาแล้วพูดว่า “พ่อครับ ผมควรจะไปได้แล้ว ไม่ว่าลุงเต้าจูนจะยกเลิกภารกิจลอบสังหารขององค์กร hidden killers ได้หรือไม่ แต่ตอนนี้เมื่อมีเวลาจำกัดเพียงหนึ่งปี ผมก็ควรที่จะต้องกลับไปได้แล้ว!”

“ระวังตัวด้วย!”

เฉินเต้าหลินเองก็ไม่คิดจะรั้งไว้

อันที่จริงแล้ว ตอนนี้เฉินตงเองก็ตกเป็นเป้าโจมตีของตระกูลเฉิน

หากรั้งเอาไว้ ชะตาชีวิตก็จะเปลี่ยน

เมื่อไหร่ที่เฉินตงสามารถส่งกระดาษคำตอบที่ยอดเยี่ยมออกมาได้ แล้วค่อยเหยียบเข้ามาในตระกูลเฉินอีกครั้ง เขาเชื่อว่า ทุกคนที่จ้องจะโจมตี จะต้องเปลี่ยนเป็นจ้องจะเข้ามาห้อมล้อมอย่างแน่นอน!

นี่คือความมั่นใจที่มากที่สุด ที่พ่อคนหนึ่งจะมีให้แก่ลูกชายได้

เมื่อจัดกระเป๋าเรียบร้อย เฉินตงก็พาพวกของคุนหลุนทั้งสามคนไปบอกลาพ่อ และเตรียมตัวกลับ

เพียงแต่ตอนที่เฉินตงก้าวออกมาจากคฤหาสน์ของเจ้าบ้าน จู่ๆ เฉินตงก็หยุดฝีเท้า

และเอ่ยถามออกมาอย่างเป็นนัย “พ่อครับ ฐานะของคุณหญิงใหญ่ในตระกูลเฉิน ยากที่จะสั่นคลอนจริงๆ หรือครับ?”

เฉินเต้าหลินใจลอยไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “สั่นคลอนคุณหญิงใหญ่นั้นง่าย แต่สั่นคลอนคนที่หนุนหลังเธอนั้นยาก!”

หนุนหลัง?!

เฉินตงลูบจมูก แววตาลึกซึ้ง “เป็นเช่นนี้นี่เอง!”

หากเพียงเพราะกฎระเบียบของครอบครัว ด้วยวิธีการของพ่อที่ใช้ในห้องอภิปรายก่อนหน้า หากต้องการที่จะจัดการกับคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินจริงๆ ก็ไม่ถือว่าง่ายเสียทีเดียว

ถึงแม้ทุกครั้งที่พ่ออยู่ต่อหน้าคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน จะแสดงความแข็งแกร่งออกมา แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ถูกคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินควบคุมเอาไว้ได้ทุกครั้ง

เจ้าบ้านตระกูลเฉินผู้สูงส่ง แต่กลับถูกคุณหญิงใหญ่แก่ชราคนหนึ่งควบคุมเอาไว้ ฟังดูแล้วเหมือนเป็นเรื่องไร้สาระเล็กน้อย

ไม่ทันถามอะไรมาก เฉินตงก็เดินจากไป

เมื่อเห็นเฉินตงเดินจากไปแล้ว แววตาของเฉินเต้าหลินก็ลึกซึ้ง ดวงตาของเขาเริ่มแดงก่ำ

“ตระกูลมั่งคั่ง ต่อให้เป็นตระกูลเฉินที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ก็ง่ายดายเหมือนอย่างที่ลูกคิด”

พักใหญ่ เฉินเต้าหลินก็ค่อยๆ ถอนหายใจออกมา เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า “หลานเอ๋อ โทษที่ผมเป็นพ่อที่ไม่ดี ผมสู้คุณไม่ได้….

ภายในห้องอภิปราย

เสียงเงียบสงัด

เฉินเต้าหลินอยู่ในท่าทีที่น่าเกรงขาม

เฉินตงมองดูอย่างกระตือรือร้น คำพูดของพ่อ สามารถพลิกสถานการณ์จากหน้ามือเป็นหลังมือ

ความผิดแต่ละข้อที่กล่าวออกมา ราวกับเป็นสิ่งคุ้นเคยที่รู้กันดี

ถ้าหากทุกคนในที่นี้ต้องการลงโทษเขาตามกฎระเบียบ พวกเขาเองก็ไม่อาจรอดพ้นได้เช่นกัน!

นี่เป็นการทำเรื่องทุกอย่างให้ง่ายขึ้น และเป็นการยกสิทธิ์ในการตัดสินใจให้กับทุกคน

คนที่ทำตามฉันนั้นรอด ส่วนคนที่ขัดขวางฉันนั้นต้องตาย!

ง่ายๆ และตรงไปตรงมา

แต่กลับเป็นเหมือนภูเขาไท่ซานลูกใหญ่ ที่ทับทุกคนเอาไว้จนไม่อาจขัดขืนได้

ใบหน้าของทุกๆ คนค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงคล้ำ เส้นเลือดบริเวณหางตากระตุก

ยิ่งไปกว่านั้นถึงขนาดเนื้อตัวสั่นเทา

ความหวาดกลัว ตื่นตระหนก และสิ้นหวังค่อยๆ เข้าครอบงำทุกคน

ทำให้ทุกคนรู้สึกเหมือนตกลงไปในถ้ำน้ำแข็ง

ถ้าหากจะนับความผิดของทุกคน ทีละคนๆ จริงๆ ก็คงไม่อาจมีใครหนีรอดไปได้

ทุกๆ ความผิด หากลงโทษตามกฎของตระกูล สมาชิกระดับสูงทั้งหมดของตระกูลเฉินคงจะต้องถูกจัดการอย่างสิ้นซากทั้งหมด

เพราะว่า การกระทำผิดในทุกๆ ข้อ ล้วนแล้วแต่เป็นความผิดขั้นร้ายแรงของกฎระเบียบตระกูลทั้งหมด

แสวงหาผลประโยชน์จากทั้งภายในและภายนอก มัวเมาโลกีย์ ยักยอกทรัพย์สินเข้ากระเป๋าตัวเอง

ข้อห้ามที่เคร่งครัดเหล่านี้ ถูกเขียนเอาไว้ในกฎระเบียบของตระกูลอย่างชัดเจน

“หือ?!”

จู่ๆ เฉินเต้าหลินก็ส่งเสียงออกมา

หลายคนในนั้นรู้สึกตกใจจนตัวสั่นเพราะเสียงนี้

“ฉัน ฉันขอคัดค้าน!”

เฉินเต้าชินเอ่ยปากขึ้นมาก่อนใคร “เรื่องนี้เป็นแค่เรื่องเล็กน้อย ทุกท่านไม่จำเป็นต้องติดใจเอาความ ใช่หรือไม่ล่ะ?”

“เฉินเต้าชิน!”

คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินและเฉินเต้าผิง หันมองเฉินเต้าชินด้วยความโมโหพร้อมกัน สองแม่ลูกรู้สึกโกรธจนแทบอยากจะกินเฉินเต้าชินเข้าไปเสียเดี๋ยวนี้

นี่มันคนไร้ประโยชน์ชัดๆ ช่างกลับกลอกสิ้นดี!

“ฉันเองก็คัดค้าน!”

“ฉันคัดค้าน!”

“คัดค้าน!”

…..

หลังจากที่เฉินเต้าชินเอ่ยปากพูด ดูราวกับประตูระบายน้ำถูกเปิดออก ค่อยๆ มีเสียงดังต่อเนื่องขึ้นมาไม่ขาดสาย

คนอื่นตายก็ไม่เป็นไร แต่ตนเองต้องรอด ทำลายคนอื่นเพื่อประโยชน์ของตนเอง นี่คือความคิดที่อยู่ในใจของทุกคน

แต่เมื่อคนอื่นตายแล้วตนเองต้องตายไปด้วย ทำร้ายคนอื่นพร้อมกับทำร้ายตัวเองในเวลาเดียวกัน สิ่งนี้ทำให้ทุกคนรู้สึกสั่นคลอน

ล้วนแล้วแต่เป็นเหนือคนที่ถูกฝึกฝนมาอย่างยอดเยี่ยมทั้งนั้น จึงยังไม่เสียสติและเลือดร้อนถึงขนาดที่จะต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายกับเฉินเต้าหลินในเรื่องนี้!

เมื่อได้ยินเสียงคัดค้านของทุกคน

เฉินเต้าหลินก็ยิ้มออกมาอย่างพอใจ เขาค่อยๆ เหลือบมองคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินและเฉินเต้าผิงด้วยแววตาที่เฉียบคม “ฉันขอขอบคุณความเห็นจากทุกคนมาก ตอนนี้ก็เหลือเพียงคุณน้าสามกับเต้าผิงแล้ว”

คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินกับเฉินเต้าผิงหันมองหน้ากัน

สับสน ไม่เต็มใจ ลังเล

ในที่สุด คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินก็ก้มหน้ากัดฟันแล้วพูดว่า “ขอคัดค้าน!”

“ขอคัดค้าน!” เฉินเต้าผิงพูดตามขึ้นมา

“ทุกคนมีความคิดเห็นเช่นนี้ ในฐานะเจ้าบ้าน ฉันรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง”

เฉินเต้าหลินยิ้มอย่างเบิกบาน เขาเหลือบมองทุกๆ คน “และขอให้ทุกท่านช่วยออกความคิดเห็นต่อ เพื่อเป็นการขอโทษต่อความใจกว้างที่เจ้าบ้านอย่างฉันมีให้ต่อพวกนาย”

คำพูดที่ออกไป ทำให้สีหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความอับอายอย่างยิ่ง

อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครกล้าพูดออกมาอีก

ความผิดแต่ละอย่าง ดูเหมือนว่าเฉินเต้าหลินจะระบุความผิดของพวกเขาได้อย่างชัดเจนทั้งหมด

เพียงแค่ขยับเล็กน้อย ก็สามารถจัดการกับทุกคนได้อย่างราบคาบ

“ตงเอ๋อ ได้พบกับญาติผู้ใหญ่ของลูกเรียบร้อยแล้ว ก็เข็นพ่อกลับเถอะ”

เฉินเต้าหลินไม่คิดที่จะอยู่ต่อ เขาลูบศีรษะ และพูดด้วยความรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย “ญาติผู้ใหญ่ของลูกพวกนี้ ตอนนั้นไม่มีใครสามารถเอาชนะได้สักคน คิดไม่ถึงเลยว่า ผ่านมายี่สิบกว่าปีแล้ว ก็ยังไม่มีใครสามารถเอาชนะได้อีก มีเพียงลุงเต้าจูนของลูกเท่านั้นที่พอจะเก่งกาจอยู่บ้าง”

คำพูดดูถูกเหยียดหยามและไม่ไว้หน้าเลยแม้แต่น้อย

เฉินตงยิ้มออกมาอย่างเปิดเผย

ในใจของเขารู้สึกตื่นเต้นและยินดีเป็นอย่างยิ่ง

การประชุมของสมาชิกตระกูลที่เป็นการตั้งใจรวมหัวกันกดดัน และพ่อกลับสามารถพลิกสถานการณ์และควบคุมทุกอย่างเอาไว้ได้

ควบคุมสถานการณ์ได้จนถึงขั้นไม่มีใครกล้าสร้างปัญหาอีก

นี่ต้องมีกลอุบายที่แยบยลแค่ไหน ต้องมีจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่แค่ไหนกัน?

“รอเดี๋ยว!”

จู่ๆ คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินก็ตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม

เฉินตงหยุดเดิน เฉินเต้าหลินหันกลับไปมองคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน แล้วยิ้มพลางพูดว่า “คุณน้าสาม คิดที่จะเปลี่ยนความเห็นหรือครับ?”

คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินแสดงสีหน้ารังเกียจออกมา แต่เธอก็ตอบกลับไปว่า “ไม่เสียแรงที่เต้าหลินเป็นเจ้าบ้านของตระกูลเฉินเรา มีวิธีการที่น่าทึ่งนัก แต่ในฐานะที่ฉันเป็นผู้อาวุโส ก็ควรที่จะกล่าวเตือนนายสักหน่อย ว่าควรที่จะแยกแยะผู้สืบทอดมรดกที่แข็งแกร่งและอ่อนแอออกจากกันได้แล้ว และควรที่จะระบุให้ชัดเจนแล้วว่า ใครจะสืบทอดหน้าที่เจ้าบ้านคนต่อไป!”

“อ้อ? ถ้าเช่นนั้นคุณน้าสามเห็นว่าเวลาไหนจึงจะสมควรที่สุด?” เฉินเต้าหลินย้อนถาม

ทุกคนต่างตกใจ

แต่คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินกลับยังอยู่ในท่าทีเรียบเฉย “ในสมัยของเจ้าบ้านคนก่อน ได้มีการกำหนดผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าบ้านคนต่อไปเมื่อมีอายุครบห้าสิบปี เจ้าบ้านในอดีต ต่างถูกแต่งตั้งขึ้นในช่วงเวลาเช่นนี้ ฉันจึงคิดว่า นายเองก็สามารถตัดสินใจเช่นนี้ได้เช่นเดียวกัน!”

“อายุครบห้าสิบปี? ตอนนี้ผมอายุสี่สิบเก้าปีแล้ว อีกหนึ่งปีก็จะครบห้าสิบปี ภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งปี คุณน้าสามจัดการเช่นนี้ ไม่เห็นว่าดูเป็นการเร่งรีบไปหน่อยหรือ?”

จู่ๆ ดวงตาของคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินก็แดงก่ำ น้ำตาค่อยๆ ไหลรินออกมา และพูดอ้อนวอนว่า “หรือนายไม่อยากให้ฉันได้อยู่เห็นหน้าเจ้าบ้านคนต่อไปหรืออย่างไร หากไม่ได้เห็นอนาคตและความหวังของตระกูลเฉิน จะนอนตายตาหลับได้อย่างไร? หากเป็นเช่นนี้ เมื่อฉันตายไป จะมีหน้าไปพบบรรพบุรุษได้อย่างไร?”

เสียงร้องห่มร้องไห้ที่ดังขึ้น

ทำให้ทุกคนกระหยิ่มใจ

หลายคนลุกขึ้นมาปลอบใจ

เฉินเต้าผิงรีบเข้าไปประคองคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน “แม่ครับ เรื่องนี้ควรจะให้เจ้าบ้านเป็นคนตัดสินใจ แม่อย่าใจร้อนจนถือฐานะของตัวเองไปเสียสิครับ”

“แม่จะไม่ใจร้อนได้อย่างไร? ในฐานะที่เป็นผู้อาวุโส ใครไม่อยากเห็นอนาคตที่รุ่งโรจน์ของตระกูลเฉินบ้าง? หากยังมัวรีรอ ไม่เลือกเจ้าบ้านคนต่อไปอีก หากวันไหนแม่ตายขึ้นมา ลูกจะให้แม่มีหน้าไปพบกับบรรพบุรุษได้อย่างไร? หรือแม้แต่เรื่องนี้ แม่ก็ไม่มีสิทธิ์เป็นห่วงอย่างนั้นหรือ?”

คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินร้องไห้อย่างหนัก น้ำตาไหลรินลงมาเป็นสาย

คนที่ลุกขึ้นมาปลอบโยน ค่อยๆ แสดงสีหน้าจนใจออกมา

“ร่วมมือกันดีนี่”

เฉินเต้าหลินพูดออกมาอย่างเย็นชา เขาเงยหน้าขึ้นมองเฉินตง แล้วกัดฟันพูดออกมาว่า “หนึ่งปีก็หนึ่งปี อีกหนึ่งปีให้หลัง ให้ผู้สืบทอดมรดกทุกคนส่งกระดาษคำตอบ ผู้ชนะจะได้ขึ้นเป็นพระราชา!”

เวลาหนึ่งปี?!

เฉินตงตกใจเป็นอย่างมาก

แต่ก็ยังคงเข็นเฉินเต้าหลินออกมา

หลังจากทั้งสองจากไปแล้ว

ภายในห้องอภิปราย สีหน้าของคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ

ทุกคนค่อยๆ ออกจากห้องอภิปรายไป

เมื่อเหลือคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินและเฉินเต้าผิงเพียงแค่สองคน

“แม่ครับ ทำไมจู่ๆ แม่ถึงโต้กลับรวดเร็วขนาดนั้น?” เฉินเต้าผิงถามด้วยความสงสัย

คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินแสยะยิ้มออกมา “ในเมื่อฆ่าเฉินตงไม่ได้ และยึดตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกคืนมาจากเขาไม่ได้ คิดหรือว่าฉันจะไม่สามารถอ้างถึงบรรพบุรุษ เพื่อกดดันเฉินเต้าหลิน ให้กำหนดขอบเขตเวลาหนึ่งปีนี้ขึ้นมาไม่ได้?”

เฉินเต้าผิงเข้าใจในทันที แล้วพูดออกมาด้วยความประหลาดใจ “แม่ครับ นี่เท่ากับเป็นการค่อยๆ เชือดนิ่มๆ ให้ลูกสวะเฉินตงนั่น ต้องสิ้นเนื้อประดาตัวหลังจากหนึ่งปีให้หลัง? ลูกสวะนั่นเพิ่งก่อร่างสร้างตัวได้เพียงหนึ่งปี คะแนนระดับนี้ ไม่มีทางเอาชนะผู้สืบทอดมรดกคนอื่นๆ ได้เลย!”

“ไม่เพียงเท่านี้ แม่ยังอยากใช้เรื่องนี้จัดการกับเฉินเต้าหลินด้วย”

คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจ “เขามั่นใจนักไม่ใช่หรือว่าลูกชายของเขานั้นแข็งแกร่ง และเป็นสมบัติล้ำค่าที่อยู่ในมือ? ระยะเวลาหนึ่งปี เพียงปีเดียวนี้ ฉันจะรอดูซิว่า ลูกสวะเฉินตงนี่ จะสามารถส่งกระดาษคำตอบแบบไหนออกมาได้”

“อีกหนึ่งปีให้หลัง ในงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของเฉินเต้าหลิน ผู้สืบทอดมรดกทุกคนต่างมาร่วมแสดงความยินดี และผู้สืบทอดมรดกจะได้รับการประเมินในเวลานั้น ถึงตอนนั้น ไม่เพียงแต่ลูกสวะเฉินตงนั่นจะต้องสิ้นเนื้อประดาตัว แม้แต่เฉินเต้าหลินเอง ก็ต้องอับอายจนแทรกแผ่นดินหนีเช่นกัน!”

“ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมจริงๆ! อย่างไรเสีย ฉันก็ยังเป็นขิงที่เผ็ดอยู่ดี!”

เฉินเต้าผิงตื่นเต้นดีใจ เขาอดไม่ได้ที่จะชูนิ้วโป้งขึ้นมา

“ระยะเวลาหนึ่งปี ต่อให้ลูกสวะเฉินตงนั่น จะเป็นเทพเจ้ามาจากไหน ก็ไม่มีทางเอาชนะความพยายามของผู้สืบทอดมรดกคนอื่นๆ ที่สั่งสมมาเป็นเวลาหลายปี หลายสิบปีได้แน่นอน!”

หลังจากเสียงเรียก “เจ้าบ้าน” ที่ดังขึ้นต่อเนื่อง

ภายในห้องอภิปรายก็เงียบสงัดลง

บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด และดูเหมือนทุกอย่างจะหยุดนิ่งลง

เฉินตงขมวดคิ้วติดกันเป็นปม เขายืนอยู่ด้านหลังเฉินเต้าหลิน ในหัวใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความโกรธ

เห็นอยู่ชัดๆ ว่าจงใจร่วมมือกันบีบบังคับ

โดยไม่เหลือทางออกให้พ่อเลยแม้แต่น้อย

เมื่อนึกถึงสิ่งพ่อกำชับเอาไว้ก่อนเข้าห้องอภิปรายเมื่อครู่ เฉินตงก็กัดฟันกรอด ด้วยความโมโหอย่างรุนแรง

ทันใดนั้น

เฉินเต้าหลินก็หัวเราะออกมา

ห้องอภิปรายที่เงียบสงัด มีเสียงหัวเราะดังก้องกังวาน

ทุกคนต่างหันไปมอง และมีท่าทีที่เปลี่ยนไปในทันที

“ดี ดีมาก! แต่ละคนล้วนแล้วแต่ไม่เห็นเจ้าบ้านคนนี้อยู่ในสายตา คิดที่จะร่วมมือกันบีบบังคับใช่ไหม?”

เฉินเต้าหลินพูดพลางหัวเราะ “ใช่แล้ว ตงเอ๋อของฉันใช้มีดกับคุณน้าสาม ถือว่าทำผิดกฎของตระกูลจริงๆ ไม่เพียงเท่านี้ เขายังทำร้ายเทียนเซิงและเทียนหย่างสองพี่น้องด้วย ซึ่งถือว่าผิดกฎของตระกูลเช่นกัน”

นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?

เจ้าบ้านเริ่มเห็นด้วยอย่างง่ายดายเช่นนี้เลยหรือ?

ทุกคนต่างจ้องตาเขม็ง

คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินและเฉินเต้าผิง แววตายิ่งเต็มไปด้วยความสงสัย

ทันทีที่พูดจบ

จู่ๆ เฉินเต้าชินก็หัวเราะเยาะขึ้นมา “ถือว่านายยังรู้จักหน้าที่ของเจ้าบ้านที่ดี ในเมื่อต่างก็รู้กันหมดแล้วว่าลูกชายของนายทำผิดกฎระเบียบ เช่นนั้น ยังจำเป็นจะต้องให้พวกเราบอกอีกหรือว่าควรจะทำเช่นไร?”

“เฉินเต้าชิน นายพูดมากเกินไปหรือเปล่า?”

เฉินเต้าหลินแสยะยิ้มแล้วหันมองเฉินเต้าชิน “หรือจะพูดว่า นายคิดว่าตอนนี้ฉันนั่งอยู่บนรถเข็น จะจัดการอะไรนายไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”

“นาย……” เฉินเต้าชินโกรธจนหน้าแดง เขากัดฟันแล้วข่มความโกรธเอาไว้

เขามองเฉินเต้าหลินด้วยความกลัวแล้วก้มหน้าก้มตา

วิธีการของเฉินเต้าหลิน ในการต่อสู้เพื่อแย่งชิงตำแหน่งเจ้าบ้านในตอนนั้น เขาเองก็รับรู้อย่างลึกซึ้ง

ไม่สิ!

แต่เป็นทุกคนที่อยู่ในตำแหน่งผู้สืบทอดมรดก และเข้าร่วมการแข่งขันเพื่อแย่งชิงตำแหน่งเจ้าบ้านในตอนนั้น ต่างก็รู้ดีว่าเฉินเต้าหลินดุร้ายแค่ไหน

เป็นคนที่มีความทะเยอทะยานอย่างสูง แต่ก็มีท่าทีที่สงบ

สิ่งนี้เป็นสิ่งที่นำมาอธิบายตัวตนของเฉินเต้าหลินได้ดีที่สุด

หลังจากนั้น เฉินเต้าหลินก็ค่อยๆ กวาดสายตามองดูทุกคน

จู่ๆ ก็พูดขึ้นมาว่า “ถ้าฉันไม่เห็นด้วย พวกนายคิดจะทำยังไง?”

เขาแสยะยิ้ม แล้วเหลือบมองทุกๆ คน

ทำราวกับว่าไม่เห็นทุกคนอยู่ในสายตา

คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินขมวดคิ้ว มือทั้งสองข้างจับพนักแขนเอาไว้แน่น

ทุกคนทั้งตกใจและโกรธ

การละเมิดกฎของตระกูลอย่างโจ่งแจ้ง การพยายามปกป้องอย่างโจ่งแจ้ง นี่เท่ากับว่าไม่เห็นทุกคนอยู่ในสายตาแล้วหรือ?

แค่ลูกสวะคนหนึ่ง มีสิทธิ์อะไรที่จะได้รับสิทธิพิเศษมากขนาดนี้?

ถือสิทธิ์ที่เป็นลูกชายของเฉินเต้าหลินอย่างนั้นหรือ?

แต่คำพูดก่นด่าเหล่านี้ ทุกทนได้แต่เก็บงำเอาไว้ในใจเท่านั้น ทำได้เพียงโมโหแต่ไม่กล้าพูดออกมา

“เจ้าบ้านทำเช่นนี้ มันจะมากเกินไปหน่อยหรือไม่?”

เฉินเต้าผิงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ถ้าหากเจ้าบ้านทำเช่นนี้ ต่อไปตระกูลเฉินจะบริหารปกครองกันได้อย่างไร? เพราะเฉินตงเป็นลูกของนาย จึงได้รับสิทธิพิเศษเช่นนี้นะหรือ? เช่นนั้นต่อไป ตระกูลเฉินไม่กลายเป็นที่เขตหวงห้ามเฉพาะของนายสองพ่อลูกหรอกหรือ หากเฉินตงอยากจะฆ่าใคร ก็สามารถทำได้ตามอำเภอใจอย่างนั้นสิ?”

“เกินไปอย่างนั้นหรือ? ได้ ถ้าอย่างนั้น เต้าผิง ไหนนายลองเสนอวิธีจัดการมาซิ?”

เฉินเต้าหลินนั่งอยู่บนรถเข็น เขามองเฉินเต้าผิงด้วยใบหน้าที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม แววตาเฉียบแหลมราวกับมีด

เฉินเต้าผิงเองก็จ้องตาเขม็งโดยไม่ยอมแพ้ แววตาเต็มไปด้วยความดุดันเช่นเดียวกัน

บรรยากาศน่ากลัวและกดดันที่มองไม่เห็น เกิดขึ้นทั่วทั้งห้องอภิปราย

ทุกคนต่างปิดปากเงียบ และมองดูด้วยความหวาดกลัว

ทุกคนต่างรู้ดีว่า นี่เป็นการเผชิญหน้ากันระหว่างเจ้าบ้านและเฉินเต้าผิง

“ฮ่าๆ!”

จู่ๆ เฉินเต้าผิงก็หลุดขำออกมา “ในเมื่อเจ้าบ้านถามแล้ว เช่นนั้นฉันก็จะขอพูดสักหน่อย เพื่อเห็นแก่หน้าเจ้าบ้าน ยกเลิกตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกของลูกคนนี้ซะ และไม่ถือว่าเป็นคนตระกูลเฉินอีกต่อไป เรื่องนี้ก็จะถือว่าจบสิ้นลง!”

เฉินตงรู้สึกตกใจอย่างถึงที่สุด

มือทั้งสองข้างจับรถเข็นแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว เส้นเลือดบนหลังมือปูดโปนขึ้นมา

ความโกรธแค้นที่อยู่ในใจ ดูเหมือนตอนนี้จะคุกรุ่นจนถึงขีดสุด จนแทบจะระเบิดออกมา

แต่ขาด้านขวากลับถูกมือใหญ่กดเอาไว้ เฉินตงจึงสามารถระงับความโกรธเอาไว้ได้

เขาหันไปมองพ่อ แล้วหันไปมองเฉินเต้าผิงด้วยความโกรธแค้น

คนที่สามารถต่อกรกับพ่อได้ถึงขั้นนี้ ภูมิหลังของคนผู้นี้ในตระกูลเฉิน เกรงว่าจะไม่ได้พึ่งพิงเพียงคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

“ใครเห็นด้วย? ใครคัดค้าน?”

เฉินเต้าหลินเอ่ยปากด้วยท่าทีที่สงบ

ภายในห้องอภิปรายเงียบสงัด

ทุกคนสีหน้าเรียบเฉย

แต่ความเงียบที่เกิดขึ้นในตอนนี้ เป็นเหมือนกับเสียงฟ้าผ่าที่ดังก้อง

“ดูเหมือนว่า ทุกคนจะเห็นด้วย?”

เฉินเต้าหลินลูบจมูก แล้วหัวเราะออกมาเบาๆ แต่แววตาของเขากลับค่อยๆ ดุดันขึ้น

ยังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยปากพูด

เฉินเต้าชินก็ตะโกนขึ้นมาว่า “นี่ถือเป็นบทลงโทษที่เบาที่สุดสำหรับลูกชายของนายแล้ว”

“ดี!”

เฉินเต้าหลินไม่แสดงความโกรธออกมา แต่กลับหัวเราะ

หลังจากนั้น เขาก็จ้องเขม็งไปที่เฉินเต้าชิน สายตาดูราวกับสามารถปล่อยกระแสไฟออกมาได้

“เฉินเต้าชิน นายมันไร้ซึ่งคุณธรรม คนในตระกูลเฉินต่างรู้ดี นายละโมบโลภมาก แอบยักยอกเงินหลายพันล้านจากบริษัทการเงินของตระกูลเฉินจนหมด นี่ถือว่าทำผิดกฎของตระกูลด้วยหรือไม่?”

คำพูดราวกับเสียงฟ้าผ่า

เกิดความโกลาหลขึ้นในทันที

เฉินเต้าชิงหน้าซีดราวกับไก่ต้ม

ริมฝีปากของเขาขยับ แล้วพูดออกมาด้วยความตกใจ “นาย นายรู้ได้อย่างไร?”

ตอนที่เอ่ยถามประโยคนี้ออกมา เฉินเต้าชินก็รู้สึกหวาดกลัวจนเสียวสันหลัง เรื่องนี้เขาปิดเป็นความลับสุดยอด ไม่มีทางที่จะมีใครล่วงรู้ได้!

เฉินเต้าหลินหัวเราะเยาะออกมา

จากนั้นจึงหันไปมองเฉินเต้าผิง “เฉินเต้าผิง นายควบคุมสำนักงานของตระกูลเฉินในต่างประเทศ คอยติดต่อกับสมาชิกตระกูลในต่างประเทศ คิดไม่ซื่อกับตระกูลเฉิน แอบใช้ประโยชน์จากฐานะของตนเอง โอนทรัพย์สินของตระกูลเฉินในต่างประเทศให้ผู้อื่น แล้วกอบโกยผลกำไร นี่ถือว่าผิดกฎของตระกูลหรือไม่?”

น้ำเสียงเรียบเฉย

แต่เมื่อได้ยินไปถึงหูของทุกคน กลับเป็นเหมือนเสียงฟ้าผ่าที่ดังสนั่น และสั่นสะเทือนไปทั่ว

เสียงของความโกลาหลดังขึ้นอีกครั้ง

ดวงตาเพียงข้างเดียวของเฉินเต้าผิงฉายแววของความโกรธแค้นออกมา เขากัดฟันและกำหมัดแน่น

แต่เฉินเต้าหลินกลับไม่สนใจ

ยังคงค่อยๆ กวาดสายตามองทุกๆ คน และค่อยๆ หยุดมองทีละคนๆ ราวกับกำลังพูดเรื่องที่ทุกคนต่างก็คุ้นเคยเป็นอย่างดี

“นาย อาศัยชื่อของตระกูลเฉิน ใช่เล่ห์กลในการฉ้อฉล มีภรรยาทั้งในบ้านและนอกบ้านอยู่นับไม่ถ้วน แม้แต่ลูกนอกกฎหมายก็มีอยู่จำนวนหลายสิบคน เรื่องนี้ ถือว่าผิดกฎของตระกูลหรือไม่?”

“นาย อาศัยชื่อของตระกูลเฉิน วางอำนาจบาตรใหญ่ข้างนอก เดือนที่แล้ว นายออกหน้าหญิงแพศยาคนหนึ่ง ทำลายตระกูลมั่งคั่งเล็กๆ ตระกูลหนึ่งในเมืองหลวง โศกนาฏกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นที่ผ่านมา เรื่องนี้ถือว่าผิดกฎของตระกูลด้วยหรือไม่?”

……

วาทศิลป์ที่ชัดเจน แต่กลับแฝงไปด้วยความสงบอย่างแปลกประหลาด

แต่ทุกๆ สายตา ทุกๆ คำพูด ล้วนแล้วแต่ทำให้คนในตระกูลเฉินต่างรู้สึกขนลุก และหวาดกลัว

เฉินตงมองด้วยความตกตะลึงจนอ้าปากค้าง รู้สึกถึงความสั่นสะเทือนเข้าไปในจิตใจอย่างรุนแรง

นี่คือไม้ตายสุดท้ายของพ่ออย่างนั้นหรือ?

เขาจดจำความผิดเหล่านี้เอาไว้ในใจอย่างชัดเจน และถือโอกาสนี้พูดออกมา เพื่อให้ทุกคนตกที่นั่งลำบาก?

ในที่สุด สายตาของเฉินเต้าหลินก็ไปหยุดอยู่ที่คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน

“นาย นายมองฉันทำไม?”

คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินรู้สึกตื่นตระหนกอยู่นานแล้ว หากถูกเฉินเต้าหลินเปิดเผยความผิดต่อหน้าทุกคนโดยไม่กล้าโต้แย้ง นั่นเท่ากับว่าเป็นเรื่องจริง

อีกทั้งตอนนี้ เฉินเต้าหลินกำลังจ้องมองเธอ เช่นนั้นความผิด……

“คุณน้าสาม คุณเป็นคนสกุลอื่น ทุกคนต่างให้ความเคารพต่อคุณ เพราะคุณอายุมาก และเป็นเพราะคุณมีคุณูปการต่อตระกูลเฉินในด้านคลอดลูกอบรมสั่งสอนลูก”

เฉินเต้าหลินพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่สิ่งที่พูดออกมากลับทำให้คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินหน้าถอดสี “แต่คุณกลับไม่เคารพตัวเอง มีฐานะที่สูงส่งอยู่ในตระกูลเฉิน แต่กลับอาศัยฐานะนี้กอบโกยผลประโยชน์ แสวงหากำไรให้กับครอบครัวของตนเอง ผมพยายามมองข้ามเรื่องนี้มาตลอด ตอนนี้คุณน้าสามช่วยสอนผมหน่อยซิว่า เรื่องนี้ถือว่าผิดกฎของตระกูลหรือไม่?”

“นาย……”

คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินโกรธจนหน้าเขียว เธอลุกขึ้นด้วยความโกรธ แต่กลับพูดอะไรไม่ออก จากนั้นจึงทิ้งตัวลงไปนั่งบนเก้าอี้อีกครั้ง

ตอนนี้ คุณหญิงใหญ่ไม่มีท่าที่หยิ่งยโสอย่างเช่นเมื่อครู่อีกแล้ว แต่กลับดูซึมเศร้าและอ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด

“เหอะ!”

เฉินเต้าหลินนั่งพิงลงไปบนเก้าอี้ด้วยท่าทีที่น่าเกรงขาม

“ตอนนี้ฉันขอถามอีกครั้ง ใครเห็นด้วย? ใครคัดค้าน?”

“เฉินเต้าหลิน ในฐานะที่นายเป็นเจ้าบ้าน นอกจากจะไม่ทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดีแล้ว ยังจะทำผิดกฎระเบียบเสียเองอีก เช่นนี้จะเป็นที่เคารพของคนอื่นได้อย่างไร?”

เฉินตงเพิ่งจะเข็นเฉินเต้าหลินไปถึงที่นั่งของเจ้าบ้าน เฉินเต้าชินก็พูดโจมตีขึ้นมาทันที

“เป็นที่เคารพขอคนอื่นหรือ?”

เฉินเต้าหลินหัวเราะเยาะออกมา “หากต้องการเป็นที่เคารพของคนอื่น นาย เฉินเต้าชินควรจะพิจารณาก่อนเลยว่าจะทำให้คนเคารพได้อย่างไร?”

“นายหมายความว่าอย่างไร?” เฉินเต้าชินโกรธจนพูดไม่ออก

การแสดงออกอันน่าเกรงขามของเฉินเต้าหลิน สามารถสยบทุกคนเอาได้

เขาพูดขึ้นอย่างไร้เยื่อใย “ตอนนั้นนายและฉันต่างก็เป็นผู้สืบทอดมรดก และที่นี่เองก็มีผู้สืบทอดมรดกอยู่หลายคน แล้วตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกเพียงหนึ่งเดียวของนาย มาได้อย่างไรกัน?”

“ฉันมาจากการสืบทอดตำแหน่ง ถ้าหากตอนนั้น ไม่ใช่เพราะพี่ใหญ่เต้าจูนไม่สนใจธุระของตระกูลเฉิน นายจะมีสิทธิ์ได้นั่งอยู่ในตำแหน่งที่สูงส่งขนาดนี้หรือ จะได้นั่งอยู่ข้างๆ คุณหญิงใหญ่หรือ?”

“อีกอย่าง นายยังพึ่งพาฉันในฐานะที่เป็นพี่น้องร่วมบิดา เมื่อฉันเป็นเจ้าบ้าน ด้วยความสัมพันธ์ทางสายเลือด ทำให้นายเป็นเหมือนคางคกขึ้นวอโดยปริยาย ไหนนายลองบอกมาซิว่า นายทำให้คนอื่นเคารพได้อย่างไร?”

คำพูดเชือดเฉือน เหมือนดาบที่แหลมคม

ทุกคนที่นั่งอยู่ ต่างก็ใบหน้าถอดสีทันที

แต่เฉินตงซึ่งยืนอยู่ด้านหลังเฉินเต้าหลิน กลับเห็นได้อย่างชัดเจนว่า หลังจากที่พ่อกล่าวคำพูดนี้ออกไป มีหลายคนที่แสดงรอยยิ้มและความขุ่นเคืองออกมา

เห็นได้ชัดว่า พ่อกำลังพูดแทงใจดำทุกคน

ปัง!

เฉินเต้าชินโกรธจนหน้าเขียว และเด้งตัวขึ้นมายืนอยู่ด้วยความโมโห

“เฉินเต้าหลิน นายกำลังพูดไร้สาระอะไร! นายใส่ร้ายฉันแบบนี้ มีจุดประสงค์อะไร?”

เฉินเต้าชินเถียงคอเป็นเอ็น “คางคกขึ้นวอหรือ ถึงนายจะเป็นเจ้าบ้านผู้สูงส่ง แต่ฉัน เฉินเต้าชิน ก็ใช่ว่าจะปล่อยให้นายมาดูถูกว่าเป็นคางคกได้ง่ายๆ!”

การประชุมของสมาชิกตระกูล

ยังไม่ทันจะได้เริ่มต้น ก็เกิดความตึงเครียดขึ้นเสียแล้ว

เฉินเต้าหลินเหลือบมองเฉินเต้าชิน และแสดงสีหน้าดูถูกออกมา “คนเราเมื่อไม่มีศักดิ์ศรีในตัวเอง ก็ไม่ต่างกับคางคก นายจะมาหงุดหงิดใส่ฉันทำไม?”

“นาย……”

เฉินเต้าชินกัดฟัน แต่กลับไม่รู้ว่าจะพูดโต้แย้งเช่นไร

เขากวาดตามองทุกคนโดยไม่รู้ตัว เมื่อเห็นว่าไม่มีใครคิดที่จะช่วยเหลือ จึงรู้สึกโกรธเคืองขึ้นเล็กน้อยทันที

อันที่จริงแล้ว สิ่งที่เฉินเต้าหลินพูดนั้นเป็นความจริง

แต่ที่สำคัญก็คือ ในการประชุมสมาชิกตระกูลในครั้งนี้ ทุกคนตกลงกันเป็นอย่างดีแล้วไม่ใช่หรือว่า ล้วนมีศัตรูคนเดียวกัน?

ตึงตึง!

เสียงเคาะโต๊ะดังขึ้น

คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินดึงเฉินเต้าชิน “เต้าชิน นั่งลงเถอะ”

เฉินเต้าหลินหัวเราะ “เห็นไหม คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินอุตส่าห์ใจดี หาทางลงให้นาย นายก็รีบลงเร็วเข้าสิ ไม่อย่างนั้น หากหาทางลงไม่ได้อีก ก็อย่ามาโทษว่าพี่ชายอย่างฉัน ไม่เห็นแก่ความเป็นพี่เป็นน้องก็แล้วกัน”

“เฉินเต้าหลิน……”

เฉินเต้าชินโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ดวงตาของเขาแดงก่ำ

“เฉินเต้าชิน นั่งลง!” คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินขึ้นเสียง

สีหน้าของเฉินเต้าชินเปลี่ยนไปทันที เขากัดฟันด้วยความโมโหอย่างสุดขีด แต่ท้ายที่สุดก็เลือกที่จะนั่งลง

“ตอนนี้ ยังมีใครคัดค้านที่ลูกชายฉันของฉันเข้ามาในห้องอภิปรายอีกไหม?”

ภายในห้องอภิปราย

บรรยากาศเงียบสงัด

บรรดาสมาชิกระดับสูงของตระกูลเฉินต่างอยู่ในความเงียบ

ทุกคนไม่ได้โง่ เมื่อเจ้าบ้านมีท่าทีที่เปลี่ยนไปจากเดิม และฉีกหน้าของเฉินเต้าชินอย่างไม่เหลือชื้นดีต่อหน้าทุกคน เห็นได้ชัดว่าต้องการเชือดไก่ให้ลิงดู เพื่อข่มขวัญทุกคน

หากเอ่ยปากพูดอะไรตอนนี้ ไม่เท่ากับพาตัวเองวิ่งเข้าหากระบอกปืนหรอกหรือ?

หากเรื่องน่าอับอายที่พยายามปิดบังเอาไว้ ถูกเจ้าบ้านเปิดเผยต่อหน้าทุกคนแล้วล่ะก็ คงต้องเผชิญหน้ากับความอัปยศอดสูอย่างเลี่ยงไม่ได้

แต่ละคนล้วนแล้วแต่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดีเยี่ยม อย่างไรเสียก็ไม่มีทางทำเรื่องที่เป็นการนำความเสื่อมเสียมาสู่ตนเองเด็ดขาด

ผ่านไปครู่หนึ่ง

เฉินเต้าหลินก็เคาะโต๊ะ “ในเมื่อไม่มีใครคัดค้าน เช่นนั้นก็เชิญคุณน้าสามเป็นประธานในการประชุมครั้งนี้เถอะ”

“เป็นประธาน?”

คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินเลิกคิ้ว “เจ้าบ้านล้อเล่นแล้ว โดยปกติแล้ว การประชุมสมาชิกตระกูล จะต้องให้เจ้าบ้านเป็นประธาน หากให้ฉันเป็นประธาน ก็เท่ากับว่าเข้าไปก้าวก่ายหน้าที่”

“ในเมื่อคุณเรียกประชุมสมาชิกตระกูลแทนผมแล้ว จะก้าวก่ายหน้าที่อีกสักครั้ง จะเป็นไรไป?”

เฉินเต้าหลินจ้องตาคุณหญิงใหญ่ตาเขม็ง ด้วยสายตาที่เฉียบคม “ในเมื่อคุณน้าสามเป็นคนเรียกประชุม ก็ควรจะให้น้าสามเป็นประธานถึงจะถูก”

“นาย……” คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินแสดงสีหน้าตกใจ ในใจรู้สึกตกตะลึง

เธอคิดไม่ถึงเลยว่า เฉินเต้าหลินจะใช้วิธีการเช่นนี้

ส่วนคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่ ต่างก็มีแววตาที่ลึกซึ้ง ราวกับกำลังใช้ความคิด

ในประวัติศาสตร์ของตระกูลเฉิน การประชุมสมาชิกตระกูล ถือเป็นหัวใจหลักในการควบคุมดูแลความเป็นอยู่ของตระกูลเฉิน และต้องให้เจ้าบ้านเป็นประธานในการเรียกประชุมด้วยตัวเอง

การที่คุณหญิงใหญ่ออกคำสั่งในนามของเจ้าบ้าน ถือเป็นการก้าวก่ายหน้าที่อย่างแท้จริง

ทว่าตอนนี้เฉินเต้าหลินกลับไม่ไว้หน้าคุณหญิงใหญ่เลยแม้แต่น้อย!

วันนี้เจ้าบ้าน……เด็ดขาดเกินไปจริงๆ!

นี่คือความคิดที่อยู่ในใจของทุกคน

ตอนนี้ บางคนก็อดไม่ได้ที่จะลังเลใจ ในสิ่งที่พูดคุยกันไว้กับคุณหญิงใหญ่

เฉินตงมองดูทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า ด้วยท่าทีที่สงบนิ่ง

พ่อเด็ดขาดก็จริง แต่ด้วยประสบการณ์ของเขา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า หากพ่อไม่ใช้ความเด็ดขาดเข้ามาจัดการ ก็ไม่รู้ว่าจะควบคุมสถานการณ์ได้อย่างไร

คนที่นั่งอยู่ล้วนแล้วแต่เป็นสมาชิกระดับสูงของตระกูล และมีอำนาจมหาศาล

หรือจะพูดอีกอย่างว่า ทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นพระราชาผู้ยิ่งใหญ่ หากปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปเช่นนี้ ก็คงยากที่จะควบคุมได้อีกต่อไป

อีกทั้งตอนนี้ พ่อเองก็กำลังกลายเป็นผู้นำอย่างลับๆ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ทุกสิ่งหยุดชะงัก

การแสดงออกของคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน ดูไม่เป็นธรรมชาติเอาเสียเลย คำพูดของเฉินเต้าหลิน เหมือนส่งเธอขึ้นไปอยู่บนเตาไฟ

ถึงแม้เธอจะเป็นคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน แต่ก็เป็นคนที่แต่งเข้ามาในตระกูลเฉิน

กฎระเบียบของตระกูลเฉิน ข้อที่เคร่งครัดที่สุดข้อหนึ่งก็คือ อำนาจในการปกครองตระกูลเฉิน ไม่อาจปล่อยให้ตกไปอยู่ในมือของคนที่ใช้นามสกุลอื่นได้

หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ ไม่ว่าการแข่งขันขึ้นเป็นเจ้าบ้านตระกูลเฉินของผู้สืบทอดมรดก จะเข้มข้นเพียงใด แต่ท้ายที่สุดแล้ว การแข่งขันต้องเป็นการแข่งของคนสกุลเฉินเท่านั้น

เธอซึ่งเป็นคุณหญิงใหญ่ ได้ขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งที่ทุกคนต่างให้ความเคารพนับถือ ก็เป็นเพราะความกตัญญูกตเวที

แต่ถ้าหากตอนนี้ เธอยังยื่นมือเข้าไปยุ่งเรื่องการประชุมของสมาชิกตระกูลอีก ถือว่าเป็นการก้าวล่วงอำนาจโดยไม่ต้องสงสัย ซึ่งนี่ถือเป็นการฝ่าฝืนกฎระเบียบสูงสุดของตระกูล

หากถูกตราหน้าเช่นนี้ ต่อไปหากเฉินเต้าหลินต้องการจัดการกับเธอ ก็ถือเป็นเรื่องง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ

“เจ้าบ้าน อันที่จริงแล้ว การเรียกประชุมสมาชิกตระกูลในครั้งนี้ ก็ลูกลูกชายของนาย เฉินตง”

จู่ๆ ก็มีคนคนหนึ่งยืนขึ้นมา แล้วเอ่ยปากพูดด้วยท่าทีที่สงบ

เฉินตงอดไม่ได้ที่จะหันไปมองชายวัยกลางคนคนนั้นด้วยความประหลาดใจ

เป็นเสียงของคนที่สวมใส่ชุดสูท และรองเท้าหนังแวววับ ท่าทางดูโดดเด่น แม้กระทั่งเส้นผมก็จัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ

สิ่งที่ดึงดูดสายตาที่สุดก็คือ ใช่ว่าจะเป็นท่าทีที่ดูสูงส่งและรูปลักษณ์อันงดงามที่ไม่ธรรมดา แต่เป็นเพราะร่องรอยบนตาข้างซ้ายของเขา

หากพูดให้ชัดเจนก็คือ ดวงตาด้านซ้ายของเขาดูขุ่นมัว รูม่านตาหดแคบ แสดงให้เห็นว่าเป็นคนตาบอด!

“เฉินเต้าผิง นายนี่ช่างรู้จักหาทางลงให้แม่ตัวเองจริงๆ เลยนะ” เฉินเต้าหลินยิ้มเยาะ

แม่ลูกกัน?!

เฉินตงตกตะลึงในทันที ไม่แปลกเลยที่ลุกขึ้นมาในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้

เฉินเต้าผิงลูบจมูก “เจ้าบ้านล้อเล่นแล้ว ในฐานะที่ฉันเป็นลูก ถ้าหากเห็นแม่ของตัวเองกำลังถูกต้อนให้จนมุม ถ้าไม่ลุกขึ้น ไม่เท่ากับว่าเป็นการอกตัญญูหรอกหรือ?”

ขณะที่พูด ดวงตาที่เหลืออยู่เพียงข้างเดียวของเขา ก็ฉายแววของความชั่วร้ายออกมา

“ลูกของนายเป็นพวกป่าเถื่อน ดุร้าย เมื่อครู่ตอนอยู่ในเรือนจิ้งซิน กล้าพูดจาสามหาว บอกว่าจะฆ่าคุณหญิงใหญ่ เรื่องนี้ ในฐานะที่นายเป็นเจ้าบ้าน ไม่คิดที่จะสอบสวนหน่อยหรือ?”

“เมื่อครู่ ถ้าหากไม่ใช่เพราะมาเทียนเซิงและเทียนฟ่างอยู่ในที่เกิดเหตุด้วยล่ะก็ เกรงว่าตอนนี้แม่ของฉันคงไปนอนจมกองเลือด สิ้นลมหายใจอยู่แล้วก็เป็นได้!”

“เฉินตงมาตระกูลเฉิน ฉันไม่ขัดขวาง เขาทำร้ายเทีนยเซิงและเทียนหย่างสองพี่น้อง ฉันก็ไม่ขัดขวาง แต่สิ่งมี่ไม่ควรเกิดขึ้นก็คือ เขาเขวี้ยงมีดใส่แม่ของฉัน คนที่มีจิตใจโหดเหี้ยมเช่นนี้ แตกต่างอะไรกับสัตว์เดรัจฉานกัน?”

คำพูดที่ออกมาเป็นชุด ฟังดูมีเหตุผลและน่าทึ่ง

เฉินตงหรี่ตาลงจนเป็นเส้นตรง เส้นเลือดที่หางตาของเขากระตุกอย่างรุนแรง

เฉินเต้าผิงคนนี้ ฉลาดกว่าเฉินเต้าชินหลายเท่านัก!

แทบจะในทันที

เฉินเต้าผิงหันกลับไป และกวาดสายตามองทุกคน “ทุกท่าน แต่ไหนแต่ไรมา ตระกูลเฉินให้ความสำคัญกับความกตัญญู เรื่องที่โหดร้ายและป่าเถื่อนเช่นนี้ ทุกท่านคิดจะช่วยกันปกปิดอย่างนั้นหรือ?”

หลังจากพูดจบ

ทุกคนก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น

“เจ้าบ้าน……”

“เจ้าบ้าน……”

“เจ้าบ้าน……”

……

เสียงตะโกนที่ดังต่อเนื่องมาเป็นชุด อาจไม่สามารถระบุถึงผลที่จะตามมาอย่างชัดเจนได้ แต่เพียงเสียงเรียกเจ้าบ้านที่ดังต่อกันขึ้นมาเป็นชุดนี้ ถือเป็นการแสดงจุดยืนของพวกเขาเรียบร้อยแล้ว

เฉินตงหัวใจเต้นแรงด้วยความตื่นตระหนก

นี่กำลังจะร่วมมือกันบีบบังคับใช่หรือไม่?

ตลอดทาง

เฉินตงสามารถรับรู้ได้ถึงความโกรธเกรี้ยวที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวของเฉินเต้าหลิน

เป็นความรู้สึกที่เหมือนรับรู้ได้ถึงความเย็นเฉียบที่แผ่ซ่านออกมา เมื่อนั่งอยู่ข้างๆ

เป็นความรู้สึกที่น่าขนลุก และหนาวเหน็บเข้าไปถึงในกระดูก

เฉินตงรู้ดีว่า ถึงขั้นอายุของพ่อแล้ว

นอกเสียจากตัวเขาเองจะเต็มใจ มิเช่นนั้นคนอื่นแทบจะไม่สามารถสังเกตอารมณ์ของเขาออกได้เลย

ทว่าตอนนี้ ความรู้สึกที่แสดงออกมาชัดเจนขนาดนี้ ทำให้รู้ได้ทันทีว่า พ่อเริ่มที่จะควบคุมอารมณ์ของตนเองไม่อยู่แล้ว

มีคนของตระกูลเฉินและคนรับใช้ทักทายเฉินเต้าหลินไปตลอดทาง

แต่เฉินเต้าหลินกลับไม่ได้สนใจ ใบหน้าของเขาเคร่งขรึม ราวกับสิงโตที่กำลังข่มอารมณ์โกรธเอาไว้

ไม่ช้า ห้องอภิปรายใหญ่อันงดงามก็ปรากฏขึ้นต่อสายตา

ห้องอภิปรายนี้อยู่ไม่ไกลจากคฤหาสน์ของเจ้าบ้านมากนัก

สถานที่ทั้งสองดูสมดุลกัน และถือเป็นจุดศูนย์กลางของคฤหาสน์ขนาดหนึ่งหมื่นเอเคอร์ของตระกูลเฉิน ดูราวกับดาวและเดือนที่อยู่คู่กัน

บริเวณด้านหน้าห้องอภิปรายใหญ่ที่สง่างามและดูเป็นทางการ มียามคอยยืนประจำการอยู่เป็นแถวๆ

สิ่งนี้ทำให้ห้องอภิปรายใหญ่ที่เป็นทางการนี้ ยิ่งดูน่าเกรงขามมากขึ้น

ส่วนสมาชิกตระกูลเฉินและคนรับใช้อื่นๆ ที่อยู่โดยรอบ กลับไม่มีใครกล้าสบตา ต่างก็ค่อยๆ ก้มหน้าลง แล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็ว

การประชุมของสมาชิกระดับสูงในตระกูลเฉิน โดยปกติแล้วหากสมาชิกตระกูลเฉินหรือคนรับใช้มองดูห้องอภิปราย เท่ากับเป็นการไม่ให้ความเคารพ

เฉินตงมองขึ้นไปยังห้องอภิปรายที่สง่างาม ดวงแววตาที่เปล่งประกายแวววาว ราวกับมีดวงไฟกำลังลุกโชนอยู่ในดวงตา

นี่คือ……สถานที่ที่กำหนดชะตาชีวิตของตระกูลเฉินอย่างนั้นหรือ?

เมื่อเดินเข้าไปไกล บรรยากาศอันน่าเกรงขามนั้น ก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น

“สวัสดีครับท่านเจ้าบ้าน!”

ยามจำนวนหนึ่งร้อยคนที่ยืนประจำการอยู่ที่ห้องอภิปราย ส่งเสียงตะโกนขึ้นโดยพร้อมเพรียงกัน

เป็นเสียงที่ดังก้อง ราวกับเสียงฟ้าผ่า

หนึ่งในยามที่เป็นชายวัยกลางคน รีบก้าวขึ้นมาข้างหน้า แล้วจึงโค้งคำนับพร้อมพูดว่า “รบกวนพวกของท่านหลง และคุนหลุนทั้งสี่คนรออยู่ด้านนอกก่อน ตอนนี้สมาชิกตระกูลเฉินกำลังประชุมอยู่ มีกฎระเบียบที่เคร่งครัดเป็นอย่างมาก มีเพียงท่านเจ้าบ้านเท่านั้นที่สามารถเข้าไปได้”

เขาไม่รู้จักเฉินตงและฟ่านลู่ รู้จักเพียงแค่ท่านหลงและคุนหลุน

แต่การประชุมของสมาชิกตระกูล แม้แต่ท่านหลงและคุนหลุนเองก็ไม่สามารถเข้าไปได้

เพียงแต่ทั้งสี่คนยืนอยู่ด้านหลังของเฉินเต้าหลินเท่านั้น ดังนั้นน้ำเสียงที่พูดออกมา จึงมีความเกรงใจบ้างเล็กน้อย

“ตงเอ๋อ เข้าไปเถอะ” เฉินเต้าหลินกัดฟันพูดออกมาด้วยความโกรธ

เฉินตงเข็นรถเข็นเข้าไปด้านใน

ส่วนพวกของท่านหลงนั้น ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม

เมื่อยามวัยกลางคนเห็นเข้าก็รู้สึกตกใจ

“ท่านเจ้าบ้าน นี่เป็นการประชุมของสมาชิกตระกูล ตอนนี้พวกของคุณหญิงใหญ่กำลังรวมตัวกันอยู่ในห้องอภิปราย ส่วนคนนอก……”

เผียะ!

ยังไม่ทันจะพูดจบ

เฉินเต้าหลินก็ใช้หลังมือตบลงไปบนหน้าของคนรับใช้อย่างแรง

แรงที่มหาศาล ทำให้ใบหน้าคนรับใช้บวมเป่งไปครึ่งซีก และมีเลือดไหลออกมาจากมุมปาก

“เป็นแค่คนรับใช้ กล้ามาขวางฉันเหรอ? ฉัน เฉินเต้าหลิน มีฐานะเป็นถึงเจ้าบ้าน จะพาคนเข้าไปในห้องอภิปรายสักคน นายกล้าสาระแนหรือยังไง?”

เฉินเต้าหลินหันมองคนรับใช้ด้วยแววตาที่เฉียบคมและโกรธเคืออย่างรุนแรง “เขาคือลูกชายฉัน เฉินตง เข้าไปได้หรือไม่ได้?”

ฮะ……

ทันทีที่ได้ยิน คนรับใช้จำนวนหนึ่งร้อยคนที่อยู่ด้านหน้าห้องอภิปราย ต่างก็ตกตะลึงพร้อมกันในทันที

คนรับใช้วัยกลางคนที่ถูกตบหน้าถอดสี รีบก้มหน้าก้มตาแล้วเดินถอยหลังไป

เฉินตงเข็นเฉินเต้าหลินเข้าไปในห้องอภิปราย

ห้องอภิปรายสามทางเข้า บรรยากาศเคร่งขรึม

ทั้งห้องอภิปรายเงียบสงัด

หลังจากเข้าไปในห้องอภิปราย เสียงซุบซิบนินทาก็ค่อยๆ ดังขึ้น

“ไร้เหตุผลสิ้นดี! ช่างไร้เหตุผลจริงๆ! เจ้าบ้านสามารถทำตามอำเภอใจเช่นนี้ได้ด้วยหรือ?”

“ตระกูลเฉินยึดถือเรื่องความกตัญญูเป็นสำคัญ ในฐานะที่เขาเป็นเจ้าบ้าน ก็ควรทำตัวเป็นแบบอย่าง แต่ทำไมกลับแหกกฎ และรังแกคุณหญิงใหญ่เช่นนี้?”

“สารเลว! ลูกสวะที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าคนหนึ่ง คิดที่จะทำร้ายและเข่นฆ่าคุณหญิงใหญ่หรือ? ยังมีเจ้าบ้านอีก เขาหูหนวกตาบอดไปแล้วหรือยังไง?”

……

สีหน้าของเฉินตงเคร่งขรึมลง และรู้สึกไม่พอใจ

ดูเหมือนสิ่งที่เรียกว่าการประชุมของสมาชิกตระกูล จะเป็นการประชุมใหญ่ที่คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินจัดขึ้น เพื่อมีจุดประสงค์จงใจที่จะประณามเสียมากกว่า?

“ตงเอ๋อ เดี๋ยวลูกไม่ต้องพูดอะไร พ่อจะเป็นคนพูดทั้งหมดเอง!”

เฉินเต้าหลินพูดออกมาทันทีด้วยน้ำเสียงที่ดุดันและเย็นชา “ยัยแก่นี่ต้องการรวบรวมคนเพื่อมากดดันฉัน วันนี้ฉันก็จะขอใช้โอกาสนี้ จัดการกับพวกเขาสักครั้ง มิเช่นนั้น หลายปีมานี้คงคิดว่านิสัยของฉันอ่อนแอลงกว่าสมัยก่อนมาก! พวกเขาคงเกือบลืมไปแล้วว่า ตอนนั้นฉันขึ้นมานั่งอยู่ในตำแหน่งเจ้าบ้านได้อย่างไร!”

หลังจากพูดจบ ดูเหมือนบรรยากาศทุกอย่างจะหยุดนิ่งลง

เฉินตงเงยหน้าขึ้นมองแสงแดดที่ส่องสว่างอยู่เหนือศีรษะอย่างไม่รู้ตัว

ดูเหมือนพระอาทิตย์ดวงนี้ ช่างหนาวเหน็บจริงๆ

ค่อยๆ เข้าใกล้ห้องอภิปรายเข้าไปทุกทีๆ

เสียงของความวุ่นวายก็ค่อยๆ ดังชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

แต่หลังจากสิ้นเสียงคำว่า “เจ้าบ้านมาแล้ว” บรรยากาศภายในห้องอภิปรายก็เงียบสงัดลงทันที

สายตาทุกคู่ค่อยๆ หันไปจับจ้องเฉินตงและเฉินเต้าหลิน

มีทั้งแววตาที่ตกตะลึง มีทั้งแววตาที่ดูซับซ้อน มีทั้งแววตาที่เป็นกังวล และมีทั้งแววตาที่ดูถูกเหยียดหยาม……

เมื่อรับรู้ได้ถึงสายตาทุกคู่ที่จับจ้องมา ในที่สุดเฉินตงก็เข้าใจแล้วว่า การจัดลำดับภายในตระกูลเฉินนั้นมีความซับซ้อนเพียงใด

พ่อมีหน้าที่ปกครองบ้านตระกูลเฉินมานานกว่ายี่สิบปี เขาต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจแค่ไหน ในการรวบรวมตระกูลที่มีความสลับซับซ้อนของลำดับชั้นเช่นนี้ ให้เป็นปึกแผ่นได้?

เขาไม่อาจจินตนาการได้เลย เพราะดูเหมือนว่า เมื่อเขาแอบรวบรวมสถานการณ์ทุกอย่างที่ตนเองต้องเผชิญในตอนนี้เข้าด้วยกัน ดูเหมือนยังเทียบไม่ได้กับที่สถานการณ์ที่พ่อต้องเผชิญอยู่ในตระกูลเฉินแม้สักนิด

ครั้งแรกในชีวิต

เฉินตงมองดูด้านหลังของพ่อแล้วรู้สึกเคารพ

“เป็นอะไรไป? เมื่อครู่กำลังคึกคักกันอยู่ไม่ใช่หรือ?”

เฉินเต้าหลินนั่งอยู่บนรถเข็น ใบหน้าของเขาแสดงออกถึงความน่าเกรงขามอย่างถึงที่สุด

ความน่าเกรงขามที่มีจากตำแหน่งที่สูงส่ง และการสะสมประสบการณ์มาเป็นเวลานาน เป็นสิ่งที่ไม่มีใครสามารถเทียบได้

เพียงคำพูดประโยคเดียว ทำให้ทุกคนต่างค่อยๆ หลบสายตาเฉินเต้าหลิน

แต่ทว่า

ในขณะที่สองพ่อลูกกำลังก้าวเข้าไปในห้องอภิปราย

จู่ๆ ก็มีเสียงตะคอกที่ดุดันดังขึ้น

“กล้าดียังไง! ที่นี่คือห้องอภิปรายของตระกูลเฉิน เป็นการประชุมของสมาชิกตระกูล คนนอกไสหัวออกไป!”

เฉินตงหันไปจ้องมองชายวัยกลางคนทันที

ชายวัยกลางคนนั่งอยู่ข้างๆ คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน อีกทั้งคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินก็กำลังนั่งอยู่ในตำแหน่งของเจ้าบ้าน แสดงให้เห็นว่าตำแหน่งของชายวัยกลางคนผู้นี้ไม่ธรรมดา

ตอนนี้ชายวัยกลางคนกำลังจับจ้องเขาด้วยความโมโห จ้องมองตาเขม็งด้วยความโกรธ จอมผมสีขาวทั้งสองข้างทำให้เขายิ่งดูเย็นชา แต่ปลายจมูกที่งุ้มของเขา กลับทำให้ชายวัยกลางคนดูร้ายกาจ

“เต้าหลิน ในฐานะที่นายเป็นเจ้าบ้าน ทำไมถึงได้ละเลยกฎระเบียบเช่นนี้ได้?”

คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินซึ่งนั่งพิงอยู่บนเก้าอี้ ค่อยๆ หรี่ตาทั้งสองข้างลง แล้วเหลือบสายตามามอง

“เหอะ!”

เฉินเต้าหลินแสยะยิ้ม แล้วหัวเราะเยาะออกมา จากนั้นจึงหันไปมองชายวัยกลางคนที่ไว้ผมจอนสีขาว “น้องสาม ฉันพาลูกชายของฉันมาพบญาติผู้ใหญ่ มีอะไรที่ไม่เหมาะสมหรือ?”

พูดจบ เฉินเต้าหลินก็กวักมือ

“ตงเอ๋อ ยังไม่รีบทำความทำความเคารพอาสามอีก”

“เฉินตงสวัสดีอาสามครับ!”

เฉินตงหันไปพยักหน้าให้ชายวัยกลางคนด้วยท่าทีเรียบเฉย ไม่แสดงท่าทีถ่อมตัว หรือท่าทีประจบประแจง และไม่รู้สึกยินดียินร้าย

ไม่แปลกใจเลยที่นั่งถัดจากคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินไป เพราะเป็น “พี่น้อง” รุ่นเดียวกับพ่อนี่เอง

“หึ!”

ชายวัยกลางคนส่งเสียงแสดงความไม่พอใจออกมา “อย่าใช้คำเรียกที่สนิทสนมขนาดนั้น ฉัน เฉินเต้าชิน ไม่เคยมีหลานชายที่เป็นพวกลูกสวะมาก่อน”

เฉินตงหรี่ตาลงทันที มีไฟโกรธค่อยๆ ปะทุขึ้นในใจของเขา

ส่วนเฉินเต้าหลินนั้นยิ่งโมโหมากขึ้น “เฉินเต้าชิน นายเห็นว่าฉันไว้หน้านายมากเกินไปใช่ไหม?”

ปัง!

ขณะที่พูด เฉินเต้าหลินก็ใช้กำปั้นทุบลงบนพนักแขน “วันนี้ ยังไงเสียลูกชายของฉันก็จะต้องได้เข้ามาข้างใน คำพูดนี้ ฉัน เฉินเต้าหลินเป็นคนพูด ต่อให้คุณหญิงใหญ่จะแขวนขอตาย ฉันก็ไม่มีทางกลับคำพูดเด็ดขาด!”

คำพูดที่ก้องกังวานราวกับเสียงฟ้าผ่า และไม่เปิดโอกาสให้ได้พูดโต้แย้ง

เต็มไปด้วยความเด็ดขาด หยิ่งผยองเฉียบคม

ดวงตาที่หรี่อยู่ทั้งสองข้างของคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน เบิกโพลงขึ้นทันที “เต้าหลิน นายจะพูดถึงเต้าชินก็พูดไป ทำไมต้องพาลมาลงที่ฉันด้วย?”

“คุณไม่รู้ดีแก่ใจหรือยังไง?”

เฉินเต้าหลินย้อนถาม จากนั้นจึงหันไปพูดกับเฉินตงว่า “ตงเอ๋อ เข็นพ่อเข้าไป พ่อ เฉินเต้าหลิน อย่างไรเสียก็ต้องนั่งในตำแหน่งเจ้าบ้าน ในการประชุมของสมาชิกตระกูลให้ได้!”

“หากฉันไม่นั่ง ที่นี่วันนี้ ก็จะไม่มีใครกล้านั่ง!”

เฉินตงอึ้งจนพูดไม่ออกเลย

แน่ใจนะว่าไม่ได้ล้อเล่นอยู่?

“ลูกคิดว่าพ่อกำลังล้อลูกเล่น?” เฉินเต้าหลินเหมือนจะเดาความคิดของเฉินตงออก

เฉินตงเงียบไม่พูดไม่จา

เฉินเต้าหลินยิ้มอย่างโล่งใจ “ความแตกต่างในนี้ แกค่อยๆเรียนรู้ไป”

เส้นทางราชา เส้นทางเผด็จการ เส้นทางของผู้มีมนุษยธรรม………..

เฉินตงมุ่ยปาก แววตาครุ่นคิด คำพูดของคุณพ่อ ดูเหมือนพูดเล่น แต่เมื่อมาคิดอย่างละเอียด กลับเหมือนมีบางอย่างที่แตกต่าง

ไม่นานนัก ก็มาถึงเรือนที่วิจิตรงดงามหลังหนึ่ง

เรือนด้านข้างที่อยู่โดยรอบเรือนหลังนี้ มีระยะห่างของมัน ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหรือสไตล์การสร้าง เผยให้เห็นถึงพลังความยิ่งใหญ่ ให้ความรู้สึกของความงดงามสง่างามอย่างยิ่งใหญ่

ราวกับว่าเป็นหงส์ในหมู่กา

“คุณชาย นี่เป็นเรือนเจ้าบ้านของนายท่าน” ท่านหลงกระซิบกล่าว

เฉินตงมองเรือนอันวิจิตรงดงามตรงหน้า ในใจสะท้านอย่างอธิบายไม่ถูก

ความรู้สึกเช่นนี้ มันซับซ้อนมาก อธิบายยากมาก

แต่เขา กลับกำหมัดแน่นโดยที่ไม่รู้ตัว แววตาแน่วแน่กว่าที่เคยเป็น

เข้าไปในเรือน

คนรับใช้กำลังยุ่งกันอยู่

เฉินเต้าหลินพาเฉินตงและพวก เข้ามาในห้องโถง

สไตล์การตกแต่งแบบโบราณ ทุกรายละเอียดก็ได้แสดงออกถึงความสูงศักดิ์ของตระกูลเฉิน

ด้านนอกยังมีแจกันโบราณที่ล้ำค่ากับภาพวาดของปรมาจารย์ชื่อดังหลายคน อยู่ในห้องโถง มันก็ได้กลายเป็นเครื่องประดับตกแต่งที่ไม่สำคัญ

หลังจากนั่งลงแล้ว

ท่านหลงก็ชงชาให้เฉินตงอย่างคล่องแคล่ว

หลังจากทำทุกอย่างเสร็จแล้ว ก็ได้พาคุนหลุนกับฟ่านลู่ออกไปจากห้องโถง แล้วปิดประตู

ในห้องโถง กลับสู่ความสงบ

เฉินเต้าหลินนั่งเงียบๆอยู่บนวีลแชร์ กำลังจิบชา

เฉินตงนั่งเข้าไปใกล้ มองสำรวจคนที่เป็นพ่อ

คุณพ่อในเวลานี้ ดูแล้วยังอ่อนแออยู่บ้าง แต่น่าจะไม่รุนแรงมากนัก

สิ่งนี้ทำให้เฉินตงแอบโล่งอก

เขาไม่มีแม่แล้ว หากไม่มีพ่ออีก

งั้นชีวิตก็ไม่มีความหมายแล้ว เหลือเพียงทางกลับบ้าน

“ครั้งนี้เกือบไปแล้ว”

เฉินเต้าหลินวางแก้วชาลง เป็นคนทำลายความเงียบสงบในห้องโถง

“เป็นฝีมือของใครกันแน่?”

เฉินตงขมวดคิ้วถาม

ยิวหมินเป็นนักฆ่าขององค์กรhidden killersในลำดับที่สิบของอันดับยมราช

พูดอย่างไม่ต้องเกรงใจ ใต้หล้านี้ไม่มีคนที่ยิวหมินไม่กล้าฆ่า

แต่ประเด็นคือ เรื่องนี้มันต้องมีแรงจูงใจใช่มั้ย?

มันไม่มีเหตุผลเลย หลังจากที่ยิวหมินทำภารกิจล้มเหลว ก็จะหันมาลอบสังหารผู้เป็นพ่อ

“เห่อๆ ลูกไม่ต้องถามเยอะขนาดนั้น รู้มากไป มันไม่ได้ดีกับลูกเลย”

เฉินเต้าหลินยกมือห้า เปลี่ยนประเด็น “ลูกไม่อยากรู้เหรอ ว่าทำไมพ่อถึงรอดมาได้?”

คำพูดประโยคเดียว โดนใจเฉินตงทันที

เขาอยากรู้จริงๆ

ความสามารถของยิวหมิน อยู่ในคลับสี่ยิ่นเขาเคยเห็นกับตามาแล้ว

ไม่ว่าจะเป็นคุนหลุนหรือฟ่านลู่ ล้วนเป็นนักฆ่ามือพระกาฬในอันดับยมราช

ทีมรักษาความปลอดภัยก็เป็นทีมชั้นนำที่คุ้มกันพ่อมานานหลายปี

แม้แต่ทีมรักษาความปลอดภัยเดิมของคลับสี่ยิ่น ก็ไม่สามารถที่จะเทียบได้

ภายใต้การคุ้มครองที่เข้มงวด ยิวมินยังคงดันทุรังจนเขาสามารถทำให้ทุกคนสลบ และเข้ามาในป่าไผ่โดยตรง

ตอนนั้นหากไม่ใช่ลุงเต้าจูนอยู่ด้วย เขาได้กลายเป็นวิญญาณในมือของยิวหมินแล้ว

คุณพ่อไม่มีทีมบอดี้การ์ดในการคุ้มครอง ไม่มีมือพระกาฬอย่างคุนหลุนคอยคุ้มกัน อาศัยเพียงสัญชาตญาณการคุ้มกันที่ “อ่อนแอ” ของตระกูลเฉิน กลับสามารถรอดพ้นจากเงื้อมมือของยิวหมิน

เฉินเต้าหลินยิ้มเล็กน้อย จงใจกดเสียงให้ต่ำลง “เป็นลุงเต้าจูนของลูก”

ม่านตาของเฉินตงหดเกร็ง ปากอ้าตาค้างทันที

“เขาไปจากที่ผม ก็มาหาพ่อโดยตรง?”

“เขาเคยไปหาลูก?”

เฉินเต้าหลินเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ จากนั้นก็หัวเราะเบาๆ “พ่อก็แก่จนเลอะเลือนไปแล้ว ส่งลูกไปที่คุกมืด จงใจให้ลูกกับเขาได้พบกัน เขากลับก้าวออกมาจากในคุกมืด ก็ย่อมจะต้องไปหาลูกก่อนอยู่แล้ว”

เฉินตงกล่าว “หลังจากที่เขาหาผมจนเจอ ผมก็ขอให้คุณลุงพักอยู่กับผมสามวัน วันที่สามเป็นวันที่ยิวหมินมาพอดีเลย คุณลุงช่วยผมไล่ยิวหมินไปแล้วจึงได้จากไป”

“เขาก็ไม่ได้เข้ามาที่คฤหาสน์ตระกูลเฉินโดยตรง พูดตามตรง ก่อนที่พ่อจะถูกลอบทำร้ายไม่นานเขาแอบเข้ามาในคฤหาสน์ตระกูลเฉิน เจอกับยิวหมินที่มาลอบสังหารพ่อพอดี เขาเลยลงมือช่วย”

สายตาของเฉินเต้าหลินมองไปลึกๆ นิ้วมือเคาะบนราวจับวีลแชร์เบาๆ “หัวที่แขวนอยู่บนซุ้มประตูคฤหาสน์ตระกูลเฉินลูกเห็นหรือยัง? นั่นก็ลุงเต้าจูนของแกเป็นคนแขวนมันขึ้นไป”

เฉินตงตกตะลึงไปชั่วขณะ แล้วก็รู้สึกตัวทันที

“แอบเข้ามาคฤหาสน์ตระกูลเฉิน? คำพูดนี้มันหมายความว่าอย่างไร?”

แต่ก่อนแม้ว่าเฉินเต้าจูนจะพ่ายแพ้จากการแย่งชิงตำแหน่งเจ้าบ้านกับคุณพ่อ แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรถึงได้ไปอยู่ในคุกมืด

ไม่ว่ายังไง สุดท้ายก็ยังเป็นคนของตระกูลเฉิน อีกอย่างยังเป็นผู้สืบทอดรุ่นก่อน ความสัมพันธ์กับคุณพ่อก็ลึกพอสมควร

ตามหลักแล้ว ก็น่าจะเข้ามาตระกูลเฉินอย่างสง่าผ่าเผย ไม่ถึงกับต้องหลบๆซ่อนๆ

“ความคิดของลุงเต้าจูนของลูก พ่อจะไปรู้ได้อย่างไร?”

เฉินเต้าหลินยิ้มแปลกๆ รอยยิ้มนี้ได้ตกมาในสายตาของเฉินตง กลับรู้สึกว่ามันต้องมีอย่างอื่น เห็นได้ชัดว่าคุณพ่อจงใจที่จะไม่พูด

เฉินตงนิ่งเงียบ

เฉินเต้าหลินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เด็กโง่ รู้ยิ่งน้อย มันยิ่งดีต่อตัวลูก สิ่งสำคัญที่สุดของลูกคือการแก้ไขสถานการณ์ปัจจุบัน เป้าหมายคือการเป็นเจ้าบ้าน นี่คือสิ่งที่ลูกสัญญากับแม่ไว้ ลูกควรต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรีของแม่ ส่วนเรื่องอื่นๆ เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม และพ่อจะบอกลูกทีละเรื่อง”

ได้ยินเรื่องแม่

ใบหน้าของเฉินตงก็หมองไปทันที ก็ได้ระงับความสงสัยในใจของเขา

จริงที่สุด ตอนนี้ควรจะจัดการเรื่องที่ถูกลอบสังหารเสียก่อน จากนั้นก็มาจัดการเรื่องตำแหน่งเจ้าบ้านของตระกูลเฉิน

สำหรับเรื่องอื่น เขาเอื้อมไม่ถึง และไม่มีความสามารถในการเอื้อม

เฉินเต้าหลินเงยหน้ามองไปยังประตูที่ถูกปิดแน่นของห้องโถง แววตาเป็นประกายระยิบระยับ

ราวกับว่าสามารถมองทะลุประตูออกไป มองไปยังที่ที่ไกลกว่า

เขายิ้มอย่างสบายใจและพูดว่า “อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้ในเมื่อลุงเต้าจูนของลูฏเดินออกมาจากในคุกมืด ถ้าเขาเต็มใจที่จะช่วยลูก คาดว่าภารกิจลอบสังหารขององค์กรองค์กรhidden killers น่าจะยุติลงในไม่ช้านี้”

เฉินตงตกใจมาก

“คุณลุงเต้าจูนสามารถหยุดยั้งภารกิจลอบสังหาร?”

“น่าจะได้นะ?” เฉินเต้าหลินยิ้มอย่างไม่แน่ใจ

เพิ่งจะสิ้นเสียงพูด

ด้านนอกประตู ทันใดนั้นก็ดังขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ขุ่นมัวของท่านหลง

“นายท่าน นายท่าน คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินเรียกประชุมครอบครัว ให้คนมาเชิญนายท่าน”

ประชุมครอบครัว?!

เฉินตงขมวดคิ้วแน่น เท้าหน้าเพิ่งจะก้าวออกจากเรือนจิ้นซิน เท้าหลังก็เรียนประชุมครอบครัวแล้ว

ความคิดของคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน เปลี่ยนได้เร็วเหลือเกิน!

พรึบ!

เฉินเต้าหลิน ตบที่เท้าแขนของวีลแชร์ และที่เท้าแขนถูกบีบจนเกิดเสียง

ใบหน้าที่นิ่งสงบ ทันใดนั้นความโกรธเกรี้ยวก็ปรากฏขึ้น

ในเวลานี้ แม้แต่เฉินตงยังสัมผัสถึงไฟโกรธบนตัวของผู้เป็นพ่อ อดไม่ได้ที่จะกระดกลิ้น

“ไอ้แก่หนังเหนียวอยากต่อกรกับฉัน ไอ้แก่หนังเหนียวที่กำลังจะเข้าโลงคนหนึ่ง มีสิทธิ์อะไรมาเรียกประชุมครอบครัว?”

เฉินเต้าหลินได้บีบคำพูดออกมาจากซอกฟัน ราวกับสิงโตที่กำลังโกรธ ใบหน้าดุดันให้ความรู้สึกกดดัน “ฉันที่เป็นเจ้าบ้านยังไม่ได้เอ่ยปาก เธอก็อยากจะแย่งอำนาจขนาดนี้ ต้องการอะไร?”

ด้านนอกประตู

น้ำเสียงของท่านหลงถึงขีดต่ำสุดแล้ว “นายท่าน คนที่มาเชิญบอกว่าจะหารือเรื่องผู้สืบทอดร่วมกัน!”

“หารือ?!”

เฉินเต้าหลินหัวเราะด้วยความโกรธ “ไอ้แก่หนังเหนียวเมื่อกี้โดนขี้เถ้าอุดปาก กล้ำกลืนไม่ลง เวลานี้จงใจเรียกทุกคน เพื่อต้องการบีบฉัน เพื่อระบายความโกรธ”

พูดจบ เขาก็กล่าวอย่างเย็นชา “ตงเอ๋อ เข็นพ่อไป พ่อจะไปดูว่า วันนี้ไอ้แก่หนังเหนียวจะมาไม้ไหน!”

ความเย็นที่ไม่สิ้นสุด ทำให้คนขนลุก

ใบหน้าของคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินถอดสี หน้าตาบูดบึ้ง

คำพูดของเฉินเต้าหลิน เห็นได้ชัดว่ากำลังว่าเธอ

เฉกเช่นเดียวกันกับตอนนั้นที่อยู่ในลานป่าไผ่คลับสี่ยิ่น ได้บอกให้เธอไปตาย

เฉินเทียนเซิงกับเฉินเทียนฟ่างตกใจกลัวจนไม่กล้าพูดอะไรนานแล้ว รู้สึกไม่ปลอดภัย ยืนแทบจะไม่อยู่

หวาดกลัวเหมือนคลื่นทะเล

เจ้าบ้านกล้าพูดเช่นนี้กับคุณหญิงใหญ่ แล้วพวกเขาสองคน อยู่ในสายตาของเจ้าบ้านจะเหลืออะไร?

ท่านหลงกับคุนหลุนตื่นเต้นดีใจมาก พวกเขาแอบกำหมัดอย่างลับๆ

เฉินตงยิ้มที่มุมปากของเขา และมองไปที่เฉินเต้าหลิน

ความรู้สึกที่มีพ่อคอยหนุนหลัง มันดีมากเลย

ความรู้สึกแบบนี้ เป็นสิ่งที่เขาใฝ่ฝันมาตลอดตั้งแต่ยังเป็นเด็ก

“ลูกผมเฉินตง ยอมไม่ได้ที่จะให้ใครมาดูถูกรังแกทั้งนั้น”

เฉินเต้าหลินกล่าวด้วยคำพูดที่เย็นชา เหลือบมองอย่างเผด็จการ “ไม่ว่าใครก็มีความโกรธทั้งนั้น ลูกฉันต่อต้าน มันผิดตรงไหน? คุณน้าสาม หากคุณถูกประณามเหยียบหยามขนาดนี้ ยังจะยื่นคอให้คนอื่นฆ่าเหรอ?”

คำพูดทรงพลัง แสดงความสามารถที่มีออกมาให้เห็น

คุณหญิงใหญ่กัดฟันแน่น มีความรู้สึกเหมือนอยากจะกระอักเลือด

น้อยนักที่เธอจะถูกคนพูดจาแดกดันถึงขั้นนี้

ในฐานะผู้อาวุโสของตระกูลเฉิน ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็อยู่อย่างสูงส่ง มีคนคอยล้อมหน้าล้อมหลัง

แม้แต่เฉินเต้าหลินในอดีต ก็ปฏิบัติกับเธอด้วยความเคารพ

ตอนนี้กลับเพราะเฉินตง มันจึงได้กลายเป็นแบบนี้

ริมฝีปากขยับไปมา คุณหญิงใหญ่ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร

ก็เท่ากับยอมรับอย่างนัยๆ

เฉินเต้าหลินยิ้มเล็กน้อย “ดูเหมือนคุณน้าสามก็ทนไม่ได้แล้ว ลูกชายผมไม่ได้ทำผิดเลย ทำถูกเสียด้วยซ้ำ!”

“เฉินเต้าหลิน!”

ในที่สุดคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินก็ทนไม่ได้แล้ว “แก ที่แกพูดแบบนี้ เพราะจะลบล้างความผิดของไอ้ลูกสวะคนนี้ให้หมดจด แกในฐานะเจ้าบ้าน ในใจยังมีกฎระเบียบของตระกูลเฉินอยู่อีกหรือเปล่า?”

ตู๊ม!

เสียงดังขึ้นมาทันที

เฉินเต้าหลินตบฝ่ามือลงไปที่ราวจับวีลแชร์อย่างอุกอาจ “กฎระเบียบคนเป็นคนตั้งขึ้นมา ผมเฉินเต้าหลินเป็นเจ้าบ้าน แต่ผมไม่ใช่เต่าหัวหด คุณน้าสามเหยียบย่ำลูกผมจมดินขนาดนี้ ผมยังจะต้องเป็นเสือร้ายที่กินลูกอีกเหรอ?”

“วันนี้ ผมว่าลูกชายผมทำถูกต้อง มันก็คือถูก! คุณน้าสามมีอะไรไม่พอใจ อย่าไปลงที่เด็ก มาลงที่ผมให้หมด นานแล้วที่ไม่ได้ไหว้บรรพชน!”

“ไหว้บรรพชน” คำพูดประโยชน์ออกมา ทำให้ในเรือนเงียบเหมือนป่าช้าทันที

คำขู่ที่รุนแรง สาดออกมาโดยตรง

ทำให้คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินเงียบไปจนได้

จากนั้น

เฉินเต้าหลินก็กวักมือ ตะโกนไปทางเฉินตง “ไอ้เด็กน้อย ยังอึ้งอยู่ทำไม? ไปกับพ่อ ครั้งต่อไปหากจะแก้แค้น อย่าลืมเรียกพ่อด้วย!”

“เข้าใจแล้วครับ คุณพ่อ”

เฉินตงยิ้มเยาะ ความเย็นชาบนใบหน้าของเขาหายไป เหลือเพียงรอยยิ้มอันอบอุ่น

ขณะที่ตอบรับ เขากับท่านหลงและคุนหลุนก็รีบเดินตามเฉินเต้าหลินไป

หลังจากที่พวกเขาจากไปแล้ว

ในเรือน ยังคงเงียบเหมือนป่าช้า

เฉินเต้าหลินมาเร็ว และก็จากไปอย่างรวดเร็ว

แต่ได้แสดงพลังอำนาจที่น่ากลัวออกมา เผด็จการไม่มีใครเหมือน

กลับกดดันจนทุกคนหายใจไม่ออก ไม่มีคำพูดในการโต้เถียง

ครู่ใหญ่ๆ

“พันธุ์เลว! พ่อก็พันธุ์เลว ลูกชายก็พันธุ์เลว!”

คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินกำหมัดแน่น ร่างกายสั่นอย่างรุนแรง คำพูดได้ถูกบีบออกมาจากซอกฟัน “ตระกูลเฉิน ช้าหรือเร็วต้องพังย่อยยับอยู่ในมือของพันธุ์เลวสองคนนี้”

“คุณย่าใจเย็นๆครับ!”

เฉินเทียนเซิงรีบพูดปลอบ

คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉนหันสายตาที่ดุร้ายมองไปทางเฉินเทียนฟ่าง “เทียนฟ่าง แกมันโง่ เมื่อกี้หากแกลั่นไกรเร็วหน่อย ฉันจะถูกไอ้พันธุ์เลวคนนี้กดขี่ถึงเพียงนี้หรือ?”

เฉินเทียนฟ่าง:“……”

เขาไม่ได้ตอบคำถามของคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน แต่ได้ก้มหน้าให้ต่ำลง

คำตำหนิของคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน ทำให้เขากลัว แต่เขาเข้าใจดี หากเมื่อกี้เขาลั่นไกรเร็วกว่านี้ ตอนนี้เขาคงได้กลายเป็นศพไปแล้ว

เจ้าบ้านที่เผชิญหน้ากับใหญ่ยังกล้าพูดคำว่าไหว้บรรพชนออกมาได้ ซึ่งเป็นการข่มขู่อย่างเปิดเผย

เขาก็แค่คนตระกูลเฉิน แม้แต่ตำแหน่งผู้สืบทอดก็ไม่มี เจ้าบ้านอยากฆ่าเขา ก็ง่ายเหมือนกับการบดขยี้มด

ไปจากเรือนจิ้นซิน

เฉินตงรับวีลแชร์มาต่อจากฟ่านลู่ ค่อยๆเข็นเฉินเต้าหลินไปข้างหน้า

ตลอดทาง ไม่มีใครพูดเลย

ท่านหลงกับคุนหลุนเดินตามอยู่ข้างหลังอย่างเงียบๆ

“ฟ่านลู่ เธอตามหาเจ้าบ้านเจอได้ยังไง?” คุนหลุนกระซิบถาม

คฤหาสน์ตระกูลเฉินที่กว้างใหญ่ไพศาล คนที่มาครั้งแรก ไม่หลงทางก็นับว่าดีแล้ว อย่าว่าแต่จะตามหาเจ้าบ้านที่กำลังนอนรักษาอาการบาดเจ็บอยู่เลย

ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ตระกูลเฉินเพิ่งจะถูกโจมตี แม้ว่าตระกูลเฉินยังคงต้อนรับแขก แต่ระดับความปลอดภัยได้เพิ่มไปในระดับที่สูงที่สุด คนที่เข้ามาในคฤหาสน์ตระกูลเฉิน ไม่สามารถที่จะเดินตามอำเภอใจได้เลย

“มีคนพาฉันไป” ฟ่านลู่กะพริบตา ยิ้มอย่างมีลับลมคมใน

“ใคร?” คุนหลุนตกตะลึง

ท่านหลงเหลือบตามามอง “คุนหลุน ฟ่านลู่ไม่สะดวกจะพูด นายก็อย่าถามให้มากความ ตระกูลเฉินผู้มากไปด้วยอำนาจบารมี คนส่วนใหญ่จะรังเกียจคุณชาย แต่ก็มีคนที่จิตใจดี อดไม่ได้ที่จะช่วยเหลืออย่างลับๆ”

คุนหลุนจึงเงียบ

และคำสนทนาสั้นๆนี้ ก็ได้เข้าไปในหูของเฉินตง

เขายิ้มอย่างเรียบเฉย

เคยได้ยินท่านหลงพูดนานแล้ว ความสัมพันธ์ในตระกูลเฉินมันซับซ้อน ดูผิวผืนเหมือนมีแต่เจ้าบ้านกับคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินต่อสู้กัน เกรงว่าในที่ลับยังมีหลายพรรคหลายพวก

มีคนที่ช่วยคุณหญิงใหญ่ งั้นก็ต้องมีคนที่ช่วยคุณพ่อ

แม้กระทั่ง ต่อให้เป็นพวกตัวคนเดียว ไม่สนับสนุนฝ่ายใด ได้เข้ามาแทรกแซงในสถานการณ์เมื่อกี้ มันก็สมเหตุสมผล

เพียงแต่ การมาของคุณพ่อ สุดท้ายก็ได้คลี่คลายปัญหาที่ใหญ่หลวงของเมื่อกี้

ทันใดนั้น

“ตงเอ๋อ หากพ่อมาช้ากว่านี้ ดาบเมื่อกี้ นายจะฟันมันลงไปมั้ย?”

เฉินตาหลินที่แววตาลึกๆ ราวกับครุ่นคิด เอ่ยปากถาม

เฉินตงลังเลไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าว “เมื่อก่อนไม่ฟัน ตอนนี้ทำฟัน”

เมื่อก่อน? ตอนนี้? เฉินเต้าหลินสงสัย

เฉินตงยิ้มๆ “เมื่อก่อนผมแค่อยากจะก้าวเข้ามาในตระกูลเฉินอย่างสง่าผ่าเผย ผมมองโลกในแง่ดีเกินไป หากเป็นผมในอดีต บางทีวันนี้แม้แต่ประตูของตระกูลเฉินผมก็คงไม่เข้ามา!”

“ตอนนี้…….มีคนบอกเหตุผลกับผม คนรวยล้วนเป็นปีศาจร้ายที่อยู่ใต้ผิวหนังมนุษย์ หากต้องการเอาชนะพวกมัน ก็ต้องชั่วร้ายกว่าพวกเขา หรือพูดว่าต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะ”

ความเย็น แทรกซึมเข้าสู่กระดูกโดยตรง

ได้ยินเช่นนี้

เฉินเต้าหลินกลับยกมุมปากขึ้น เผยรอยยิ้มที่โล่งใจออกมา

หลายวินาทีต่อมา เขาเลิกคิ้วถาม “ลุงเต้าจูนเป็นคนสอนลูกเหรอ?”

โครม!

ร่างกายของเฉินตงกระตุกไปหนึ่งที เอ่ยปากถาม “คุณพ่อรู้ได้อย่างไรครับ?”

เฉินเต้าหลินยกมือขึ้น ถูไปที่จมูกของเขา รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งอยู่ยิ่งลึกขึ้น

“มันคือหลักการปฏิบัติของลุงเต้าจูนของลูก คงจะบรรยายถึงตระกูลเศรษฐีได้เหมาะเจาะมาก แต่มันก็สุดโต่งเกินไป อย่างไรก็ตามการมองสุดโต่งแบบนี้ ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันของลูก มันเหมาะสมที่สุด จุดนี้ พ่อเทียบลุงเต้าจูนของลูกไม่ได้เลย”

เฉินตงลังเลไปหลายวินาที กลอกตาไปหนึ่งที

ก็ถามขึ้นอย่างอยากรู้อยากเห็น “แล้วคุณรู้สึกว่าผมควรจะทำอย่างไร?”

“ในใจต้องมีความชอบธรรม ต้องมีความทะเยอทะยานที่ไม่แสดงออกมา มีแสงสว่างในดวงตา เมื่อเดินในเส้นทางราชา(คือการปกครองด้วยความมีเมตตากรุณา) ก็ต้องมีความเผด็จการ และต้องไม่ทิ้งทางมนุษยธรรม(มีเมตตากรุณา)” เฉินเต้าหลินกล่าวอย่างจริงจัง

เฉินตงขมวดคิ้ว ครุ่นคิดแล้วก็ยังมีค่อยเข้าใจอยู่ดี

“คุณพ่อครับ อะไรคือเส้นทางราชา? อะไรคือเผด็จการ? อะไรคือทางของผู้มีมนุษยธรรม?”

เฉินเต้าหลินยิ้มเล็กน้อย

เขาพูดอย่างลึกซึ้ง “หากคู่ต่อไม่สู้ซื่อสัตย์ ก็เหยียบข้ามจากตัวเขา คือเส้นทางของราชา หากคู่ต่อสู้ซื่อสัตย์ ก็ต้องเหยียบข้ามไป คือเส้นทางความเผด็จการ ก่อนที่จะเหยียบข้าม ก็พูดก่อน มันเป็นหนทางของผู้มีมนุษยธรรม!”

ทุกคนที่อยู่ในนี้ สีหน้าเปลี่ยนไปหมดแล้ว

สีหน้าของเฉินเทียนฟ่างแน่วแน่ เส้นเอ็นตรงหางตานูนขึ้นมาอย่างชัดเจน แสดงให้เห็นถึงความดุร้าย

“แกกล้า!”

“ฉัน ทำไมจะไม่กล้า?” เฉินตงยิ้มเยาะ ด้วยท่าทางที่กดขี่ข่มเหง

พริบตาเดียว

ในเรือน เกิดการปะทะได้ทุกเมื่อ

สถานการณ์ตึงเครียดอย่างมาก

ท่านหลงกับคุนหลุนมีใจอยากจะห้ามปราม แต่ทั้งสองคนเข้าใจดี เรื่องได้ดำเนินมาถึงขั้นที่ไม่อาจจะย้อนกลับไปได้แล้ว

เป็นอย่างนั้น ตั้งแต่ที่เขาลงมือกับคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินแล้ว

และการปรากฏตัวของเฉินเทียนฟ่าง เป็นเหมือนดั่งที่เฉินตงพูด ก็แค่ต้องการเหยียบเฉินตงขึ้นไป ที่เฉินตงทำเช่นนี้ ก็เพื่อทุบความคิดของเฉินเทียนฟ่างให้แหลกละเอียดเท่านั้น

ทันใดนั้น เสียงหัวเราะได้ดังขึ้น

คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินก้มหน้าลง หัวเราะจนร่างกายสั่นไปทั้งตัว

ทำให้ทุกคนมองอย่างตกตะลึง

ทันใดนั้น คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินก็เงยหน้าขึ้น: “เทียนฟ่างตอนนั้นย่ามองแกผิดไป ไม่ได้ให้สิทธิ์ในการสืบทอดกับแก วันนี้หากแกฆ่าไอ้เดรัจฉานตัวนี้ ตำแหน่งผู้สืบทอดของเขา ก็มีแกเป็นคนแทนที่!”

“คุณหญิงใหญ่!”

เพื่อจะพูดออกมา ท่านหลงกับคุนหลุนก็พูดห้ามพร้อมกัน

นี่เหมือนกับการใช้ตำแหน่งผู้สืบทอดที่เป็นผลประโยชน์มหาศาล ล่อให้เฉินเทียนฟ่างฆ่าเฉินตง!

และผลประโยชน์ที่มหาศาลแบบนี้ เด็กรุ่นใหม่ของตระกูลเฉิน ยังไม่มีใครสามารถปฏิเสธมันได้

“ขอบคุณคุณย่า!”

เฉินเทียนฟ่างยิ้มด้วยความปีติ ใบหน้าดุร้ายและเย็นชา แต่นิ้วชี้ของมือขวาของเขาอยู่ที่ไกรปืนแล้ว

ถูกเฉินตงเปิดโปงความคิดของเขา ทำให้เขาหงุดหงิดเล็กน้อย

แต่ตอนนี้มีคำสัญญาของคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน ซึ่งตรงตามความต้องการของตัวเอง

เฉินเทียนฟ่างในอดีต ดื้อรั้นไม่เอาไหนจริงๆ แต่เขาก็ยังคงใฝ่ฝันที่อยากจะได้ตำแหน่งของผู้สืบทอด

มีแต่อำนาจเท่านั้น ที่จะสามารถบันดาลให้ทุกสิ่ง!

มันคือสิ่งที่ผู้ชายทุกคนใฝ่หา

และในฐานะคนของตระกูลเฉิน ขอเพียงได้เป็นเจ้าบ้าน ฝันก็จะเป็นจริง

อย่างไรก็ตาม เพราะนิสัยในอดีตของเขา ทำให้พลาดตำแหน่งผู้สืบทอด และถูกส่งตัวไปเป็นทหารที่แดนตะวันตก

วันนี้กลับมาพร้อมกับเครื่องแบบที่น่าภูมิใจ เจอกับเฉินตงที่คิดอยากจะฆ่าคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน ทำให้เฉินเทียนฟ่างเห็นโอกาสในการแก้ไขชะตาชีวิต

เขาเชื่อว่า ด้วยผลงานของเขา มันเพียงพอที่จะแย่งชิงตำแหน่งเจ้าบ้าน และตำแหน่งผู้สืบทอด ก็คือสิทธิ์ที่เขาควรจะได้!

“ท่านหลง คุนหลุน พวกคุณสองคน คนหนึ่งเป็นคนรับใช้เก่าแก่ของตระกูล คนหนึ่งคือบอดี้การ์ดข้างกาย อาหารที่กินก็เป็นของตระกูลเฉิน คงไม่ใช่เลี้ยงหมาจนอ้วน ตอนนี้ยังรวมหัวกับไอ้ลูกสวะคนนี้มาแว้งกัดเจ้าของ?”

สีหน้าและน้ำเสียงของคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินจริงจังมาก ท่าทางที่น่ากลัวบีบบังคับจนท่านหลงกับคุนหลุนหน้าเปลี่ยนสี ไม่กล้าพูดจา

วินาทีต่อมา

คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินปริปากพูดอีกครั้ง “ไอ้ลูกสวะเอ๊ย อยากจะฆ่าฉัน ก็สมควรตายแล้ว ต่อให้…….แกจะเป็นลูกชายของเฉินเต้าหลิน!”

“งั้นก็ มาเดิมพันกันสักตั้ง!”

เฉินตงยังคงไม่มีความกลัว มือขวากำด้ามดาบไว้แน่น จนเกิดเสียงดังเอี๊ยดๆ

เวลา ตอนนี้เหมือนได้หยุดนิ่งไปแล้ว

อากาศยิ่งทำให้คนหายใจไม่ออก

ราวกับมือที่ไร้รูปขนาดใหญ่ ได้บีบรัดลำคอของทุกคนเอาไว้

ความขัดแย้งถึงทางตัน

เฉินเทียนเซิงได้ดึงตัวคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินไปอยู่ด้านหลังโดยสัญชาตญาณ ตัวเองก็ก้าวมาข้างหน้าครึ่งตัว

แบบนี้ก็นับว่าคุ้มครองเหรอ

แม้ตอนแรกจะไม่ได้หน้า ครั้งนี้จะต้องได้

“เทียนฟ่าง! ลั่นไกรสิ!”

คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินสั่งอย่างเฉียบขาด ใบหน้าที่แก่เต็มไปด้วยความดุร้าย ราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังคลุ้งคลั่ง

“คุณชาย!”

เกือบจะในเวลาเดียวกัน ท่านหลงกับคุนหลุนก็พุ่งเข้าไปทางเฉินตง

“มาเลย ครั้งนี้ ฉันต้องอาศัยแกขึ้นตำแหน่งแล้วจริงๆ!”

เฉินเทียนฟ่างหน้าตาดุร้าย มือขวาค่อยๆกดลงไป เขาไม่ถือสาที่จะฆ่าคน เป็นทหารอยู่ที่แดนตะวันตกสามปี มือของเขาเปื้อนเต็มไปด้วยเลือดของศัตรู

เพิ่มเลือกของลูกสวะในตระกูลเฉินอีกคน ทำไมจะไม่ได้ล่ะ?

และแล้ว

“เจ้าบ้านมาแล้ว!”

ด้านนอกเรือน ทันใดนั้นก็มีเสียงตะโกนดังขึ้น

โครม!

เสมือนเสียงฟ้าผ่าฟ้าร้อง

ทำให้ทุกอย่างที่อยู่ในเรือนข้างใน หยุดชะงักไปในพริบตา

บู๊ม!

ไม่ได้รับอนุญาตจากคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน ประตูเรือนก็ถูกเตะออกอย่างแรง

สายตาทุกดวงได้มองตามเสียงไป

สายตาของเฉินตงแฝงไปด้วยความคาดหวังและความกังวล

คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินก็ตกตะลึง แววตาขุ่นมัว

เฉินเทียนเซิง เฉินเทียนฟ่างก็ได้แสดงอาการหวาดกลัวออกมาในเวลาเดียวกัน

“นายท่านมาแล้ว ในที่สุดนายท่านก็มาแล้ว!”

ท่านหลงตื่นเต้นดีใจ ใบหน้าแดงก่ำ มือขวาได้จับตัวคุนหลุนที่กำลังตื่นเต้นเหมือนกันอย่างแน่นๆ

มีเพียงแต่นายท่าน ที่สามารถช่วยคุณชายได้ในตอนนี้!

ตามมาด้วยประตูถูกเปิดออก

ใบหน้าที่ไม่แยแสของเฉินเต้าหลินปรากฏขึ้นก่อนในสายตาของทุกคน

เขานั่งอยู่บนวีลแชร์ แววตาดุจสายฟ้า จับจ้องไปที่คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินโดยตรง

และด้านหลังของเขา ฟ่านลู่เป็นคนเข็นวีลแชร์ ค่อยๆเข็นมาข้างหน้า

ซ้ายขาวยังมีสมาชิกหลายสิบคนของคนในตระกูลเฉินมาด้วย

บรรยากาศตึงเครียด กดดัน

แม่ว่าจะนั่งอยู่บนวีลแชร์ เผยให้เห็นถึงความอ่อนแอ แต่ว่าร่างกายของเฉินเต้าหลินก็ยังคงกระจายไปด้วยความน่าเกรงขาม ที่ทำให้คนกลัว

“เป็นฟ่านลู่ที่หาคุณพ่อจนเจอ?”

เฉินตงเห็นฟ่านลู่ ก็เข้าใจทันที เหลือบมองท่านหลงกับคุนหลุนโดยสัญชาตญาณ ดูท่าเมื่อกี้ฟ่านลู่ที่ให้รออยู่ข้างนอกคนเดียว เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว

“เต้าหลิน นี่มันเป็นเรือนของฉัน แกฝ่าเข้ามาโดยตรง มันหมายความว่ายังไง?”

คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินหาเรื่องก่อน

“ฝ่าเข้ามา?”

เฉินเต้าหลินยกมุมปากขึ้น “คุณน้าสามพูดเล่นแล้ว ในตระกูลเฉินผมถึงจะเป็นเจ้าบ้าน ทุกมุมในคฤหาสน์ มีตรงไหนที่ผมเข้าไม่ได้? คุณคงไม่คิดว่าที่ผมเคารพคุณ คุณก็เลยคิดว่าเรือนนี้เป็นที่หวงห้ามของตัวเองจริงๆ?”

“แก……….” คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก กัดฟันอย่างอดกลั้น

เฉินเต้าหลินยกมือขึ้นขัดจังหวะ “คุณน้าสามใจเย็น ผมแค่ได้ยินมาว่าที่เรือนของคุณน้าครึกครื้นอย่างมาก ดังนั้นจึงเกิดความคิดที่อยากจะมาดูความครึกครื้น”

“ยัยเด็กบ้า แกก็กล้าบุกเข้ามาก่อความวุ่นวายในตระกูลเฉินของฉัน!”

คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินกัดฟันจ้องไปทางฟ่านลู่ด้วยสายตาที่ขุ่นเคือง

สีหน้าของฟ่านลู่เปลี่ยนไปเล็กน้อย มีความหวาดกลัว

“กลัวอะไร? เธอเชิญฉันมาดูความครึกครื้น มันผิดตรงไหน?”

เฉินเต้าหลินเงยหน้ายิ้มปลอบฟ่านลู่ไปหนึ่งประโยค จากนั้นก็มองไปที่ผู้คน แล้วก็ยักไหล่อย่างไม่แยแส “ฉันแค่มาดูความครึกครื้น พวกแกต่อเลย”

ต่อเหรอ?!

ในเวลาเดียวกันคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน เฉินเทียนฟ่างกับเฉินเทียนเซิงตื่นตระหนกจนไม่รู้จะทำยังไง

ตอนนี้จะฆ่าลูกของเขาแล้ว คนเป็นพ่ออยู่ในที่เกิดเหตุ จะให้ต่อยังไง?

โดยเฉพาะเฉินเทียนฟ่าง

เมื่อกี้ตอนที่เฉินเต้าหลินเข้ามาในเรือน เขากำลังเอาปืนจ่อไปทางเฉินตง

ภาพนี้ นอกเสียจากว่าเฉินเต้าหลินจะตาบอด ไม่เช่นนั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะมองไม่เห็น

ชั่วขณะนั้น เฉินเทียนฟ่างใจลอย เกิดความหวาดกลัว

ปืนในมือ ก็ค่อยๆตกลงไป

“เทียนฟ่าง นายว่าวางปืนทำไม?”

เฉินเต้าหลินยิ้มเยาะ “นายจะใช้ปืนยิงลูกชายฉัน เอาต่อเลยสิ?”

เสียงพรึบดังขึ้นหนึ่งที!

เฉินเทียนฟ่างเหมือนถูกฟ้าผ่า ตกใจจนคุกเข่าอยู่บนพื้น รีบอธิบาย “เจ้าบ้าน โปรดฟังผมอธิบายก่อน!”

“อธิบายอะไร ผู้ชายที่ดีของตระกูลเฉิน กลับมาพร้อมกับผลงานและเครื่องแบบอันมีเกียรติ ยังต้องอธิบายอะไร? เฉินเต้าหลินเลิกคิ้วแล้วยิ้ม หันไปทางคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน คุณน้าสาม คุณน้าว่าผมพูดถูกมั้ย?”

“เฉินเต้าหลิน แกรังแกคนแก่ที่ไร้กำลัง!”

คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินมีหรือจะฟันไม่ออกว่าเฉินเต้าหลินกำลังพูดจากวนประสาท กัดฟันชี้ไปทางเฉินนตง “แกบาดเจ็บ ฉันช่วยแกดูแลตระกูลเฉิน ลูกสวะของแกเข้ามาก็ทำร้ายเทียนหย่างจนพิการ ทำร้ายเทียนเซิง ฉันเรียกเขามาที่นี่ ก็เพื่ออยากจะจัดการเรื่องนี้ ไอ้เดรัจฉานคนนี้แม้แต่ฉันก็ยังอยากจะฆ่าแล้ว แกยังจะปกป้องเขาเหรอ?”

“เหรอ?!”

เฉินเต้าหลินตอบอย่างไม่แยแส

สายตามองไปทางเฉินตง

เฉินตงวางดาบในมือลง มองสายตาที่จะกินคนของคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน อย่างไม่หดถอย

“ผมแค่มาเยี่ยมคุณพ่อ ตอนแรกที่มาถึงหน้าซุ้มประตูตระกูลเฉิน เฉินเทียนหย่างใช้ชื่ออย่างลูกสวะไล่ผมกลับไป เท่ากับหยามผม ผมไม่ควรลงมือเหรอ?”

“ตรงระเบียงทางเดินสีเขียว มีสมาชิกและคนรับใช้นับพันอยู่ตรงนั้น เฉินเทียนเซิงเรียกผมว่าลูกสวะ ข่มขู่ว่าจะฆ่าผม ผมไม่ควรลงมือเหรอ?”

“อยู่ในเรือนนี้ คุณพูดขาวให้เป็นดำ ใช้อำนาจในการข่มเหงผม จะหักแข้งหักขาผม แย่งสิทธิ์ในการเป็นผู้สืบทอดของฉัน ผมยังต้องกล้ำกลืนฝืนทนอีกเหรอ?”

ถามซ้อนกันสามคำถาม จี้ใจโดยตรง

ทำให้คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินและเฉินเทียนเซิงสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก

เฉินตงที่เต็มไปด้วยพลัง มองอย่างดูถูก

“พวกคุณเห็นผมเฉินตงเป็นลูกสวะ อ่อนแอรังแกง่าย ใครๆก็สามารถเหยียบย่ำได้ กลับไม่รู้ว่าพระก็โกรธมีความโกรธเหมือนกัน หากผมไม่ต่อต้าน ผมไม่ต้องถูกหามศพออกไปจากตระกูลเฉินหรอกเหรอ?”

“แก แกมันอวดดีเกินไปแล้วจริงๆ สมควรฆ่า สมควรฆ่าจริงๆ!”

คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินถูกถามจริงกระวนกระวาย เธอชี้ไปตำหนิเฉินตงอย่างคนคลั่ง

“สมควรฆ่า สมควรฆ่าจริงๆ!”

เฉินเต้าหลินจู่ๆก็พอย้ำขึ้นมาอีกครั้ง ทำให้คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินตกตะลึงทันที

จากนั้น ใบหน้าของเฉินเต้าหลินก็เยือกเย็น ดุเดือดไปด้วยแรงอาฆาต

“ดูถูกเหยียบหยามลูกชายฉันขนาดนี้ สมควรฆ่าจริงๆ!”

เทรง!

ประกายไฟกระจายไปทั่ว

ในชั่วพริบตาเดียว เฉินตงเอียงหัว ยกดาบขึ้นมา ขวางโดยสัญชาตญาณ

กระสุนทะลุตัวดาบ บินลอยมา เฉียดผิวหนังของเฉินตง และข้ามผ่านไป

ชั่วพริบตาเดียว

ความรู้สึกแสบร้อนที่ออกมาจากผิวหนัง เจ็บจนเฉินตงต้องขมวดคิ้วแน่น

เสียงปืนที่ดังขึ้นมากะทันหัน ทำให้ในเรือนเงียบไปทันที

ท่านหลงกับคุนหลุนมองไปทางเฉินตงอย่างตื่นตระหนก

เห็นเฉินตงแค่บาดเจ็บภายนอก ก็โล่งอกพร้อมกัน ทว่าท่าทางนั้นกลับดูดุร้าย

คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินกับเฉินเทียนเซิงก็ตกใจเช่นกัน

หลังจากหายตกใจแล้ว คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินก็ตื่นเต้นจนใบหน้าแดง หัวเราะขึ้นมา

“ดี ดี ทำได้ดี!”

พูดคำว่าดีติดต่อกันสามครั้ง เผยให้เห็นถึงความสุขหลังจากพ้นเคราะห์ในครั้งนี้ เธอหัวเราะเสียงดัง “ทายาทของตระกูลเฉินคนไหน ที่ปกป้องฉัน ถือเป็นคุณงามความดีที่ยิ่งใหญ่!”

เมื่อกี้หากไม่ใช่กระสุนปืนที่ถูกยิงมาจากในที่ลับ

คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินไม่สงสัยเลย ดาบในมือเฉินตงคงได้ฟันลงมาบนร่างกายเธอแล้ว

มีอะไรอีกบ้างที่คนหัวรุนแรงและดื้อรั้นเช่นนี้ไม่กล้าทำ?

สีหน้าของเฉินเทียนเซิงขุ่นมัวถึงขีดสุด

ได้ยินคำชื่นชมของคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน สีหน้าก็แสดงออกถึงความไม่พอใจ

เมื่อกี้เขาได้เตรียมใจที่จะรับดาบแทนคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินแล้ว

ด้วยฝีมือของเขา จะรับดาบนี้ของเฉินตง น่าจะไม่ใช่เรื่องยาก

แต่เมื่ออยู่ตรงหน้าคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน มันจะกลายเป็นคุณงามความดีที่ยิ่งใหญ่!

ในอนาคตเมื่อชิงตำแหน่งเจ้าบ้าน ความดีนี้ จะมีผลโดยตรงต่อการสนับสนุนของคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน

เพียงแต่……..ตอนนี้ถูกแย่งความดีความชอบไปแล้ว!

“คุณย่า ชมเกินไปแล้ว”

เสียงหัวเราะเสียงหนึ่ง ทันใดนั้นก็ได้ดังมาจากมุมหนึ่งของเรือน “ปกป้องคุณย่า มันเป็นหน้าที่ของทุกคนในตระกูลเฉิน”

ทุกคนมองตามเสียงไป

เฉินตงขมวดคิ้วแน่น เดือดไปด้วยแรงอาฆาต

กระสุนนัดเมื่อกี้ เห็นได้ชัดว่ายิงมาเพื่อปลิดชีวิตของเขา

หากหลบไม่ทัน

กระสุนนัดนั้น ก็จะระเบิดหัวเขาโดยตรง!

สายตาที่เย็นชาได้มองตามเสียงไป กลับเป็นที่บนกำแพงของเรือน กำลังคลานอยู่ด้วยชายหนุ่มที่อายุประมาณยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปี

ชายหนุ่มไว้ผมทรงสกินเฮด เส้นผมแต่ละเส้นตั้งเหมือนกับเข็ม ใบหน้าไม่ได้ขุ่นมัวเหมือนเฉินเทียนเซิง ไม่ได้ดุร้ายเหมือนเฉินเทียนหย่าง ในทางกลับกันกลับหนักแน่นและแน่วแน่มากกว่า

ใบหน้าที่คมดั่งมีด ผิวสีแทน ริมฝีปากที่แน่น

ให้ความรู้สึกเหมือนกับหมาป่าที่จำศีลอยู่ในทะเลทราย เฝ้ารอคอเหยื่อด้วยความแน่วแน่อย่างเงียบๆ

“เฉินเทียนฟ่าง!?”

เกือบในเวลาเดียวกัน คุนหลุนอุทาน และจู่ๆสีหน้าก็มีความกลัวเล็กน้อย “นาย นายกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”

เฉินเทียนฟ่าง?!

เฉินตงตะลึงอยู่ในใจ คนที่จะสามารถทำให้คุนหลุนมีสีหน้าแบบนี้ มีไม่กี่คนเอง

“หลานเทียนฟ่าง ทำได้ดีมาก ทำได้ดีมากจริงๆ แกเป็นคนช่วยย่า เมื่อกี้หากไม่ใช่แก ย่าคงถูกไอ้เดรัจฉานชั่วนี้ฆ่าตายไปแล้ว!”

คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินมองไปทางชายหนุ่มที่อยู่บนกำแพง ก็ตื่นเต้นดีใจทันที

แต่สีหน้าของเฉินเทียนเซิงนั้นขุ่นมัวและอึดอัดอย่างมาก แอบด่าอยู่ในใจ “ไอ้บ้าเอ๊ย!”

เฉินเทียนฟ่างที่ถือปืนอยู่ในมือ กระโดดลงมาจากกำแพง

กลับไม่ได้สนใจต่อความตื่นเต้นและคำชมของคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน ใบหน้าแฝงไปด้วยรอยยิ้ม พูดกับคุนหลุนด้วยความเคารพ “พี่คุนหลุน โชคดีที่มีจดหมายแนะนำตัวฝากฝังของพี่ ตอนนี้แดนตะวันตกก็สงบลงแล้วเทียนฟ่างก็เลยได้กลับมาบ้านเกิดพร้อมด้วยเครื่องแบบอันทรงคุณค่าและผลงาน ”

โครม!

คำพูดราวกับเสียงฟ้าร้อง

ทำให้คุนหลุน ท่านหลง คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินและเฉินเทียนเซิงตกใจในเวลาเดียวกัน

เฉินตงที่สีหน้าเคร่งขรึม จ้องมองเฉินเทียนฟ่างด้วยสายตาที่ลึกๆ

เขาไม่รู้จักคนผู้นี้ แต่ในคำพูด น่าจะมีความเกี่ยวข้องที่ลึกซึ้งกับคุนหลุน

อีกอย่าง เขายังเป็นผู้มีคุณงามความดีในสนามรบ!

คุนหลุนยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นฝืดมาก

เขาค่อยๆพูดขึ้น “คุณชายเทียนฟ่างล้อเล่นแล้ว มันเป็นสิ่งที่ผมควรจะทำ”

ใครมันจะไปคิดถึง คนที่ตัวเองแนะนำในตอนแรก วันนี้กลับมาในชุดทหารที่เต็มยศ กลับยิงปืนมายังทิศทางของคนที่ตัวเองต้องการปกป้องเป็นอันดับแรก?

และในเวลาเดียวกัน

ท่านหลงก็ค่อยๆเข้ามาใกล้เฉินตง กระซิบกล่าว “คุณชาย ผู้ชายคนนี้มีชื่อว่าเฉินเทียนฟ่าง เป็นคนของตระกูลเฉิน เมื่อก่อนเป็นคนดื้อรั้น โหดเหี้ยมรุนแรง ตอนที่ร่างรายชื่อผู้สืบทอดของตระกูลเฉิน เพราะนิสัยที่ไม่เอาไหนก็เลยไม่ได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งในผู้สืบทอด ตามคำสั่งของนายท่าน ในนามของคุนหลุนได้แนะนำให้เขาไปเป็นทหารที่แดนตะวันตก

ไม่ใช่ผู้สืบทอด?!

เฉินตงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

หลังจากที่จ้องมองเฉินเทียนฟ่างแล้ว เขาก็เข้าใจอะไรบ้างแล้ว

กลับมาจากการเป็นทหาร ก็ยิงปืนอย่างอุกอาจ เป้าหมาย……..ชัดเจนขนาดนี้เลยเหรอ?

รู้สึกถึงสายตาที่จ้องมองของเฉินตง เฉินเทียนฟ่างก็หุบรอยยิ้มที่มีให้กับคุนหลุน และเปลี่ยนเป็นสีหน้าที่เคร่งขรึม มองไปทางเฉินตง

“ที่ตรงนี้มันคือตระกูลเฉิน ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร และไม่สนว่าคุณจะมีตำแหน่งอะไร หากคุณไม่เคารพคุณย่า ก็ต้องถามปืนในมือของผมก่อน ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่!”

วาทศิลป์เป็นเลิศ น้ำเสียงมีพลังและจังหวะจะโคน

ในขณะที่พูด กลับค่อยๆชูปืนในมือขึ้นมา เล็งไปทางเฉินตงอีกครั้ง

“เทียนฟ่าง!”

คุนหลุนสีหน้าดุดัน และตะโกนใส่เขาอย่างโกรธเคือง

เฉินเทียนฟ่างกลับตอบด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “พี่คุนหลุน ผมเคารพพี่ แต่ในฐานะคนตระกูลเฉิน ในเมื่อผมกลับตัวกลับใจเป็นคนดี ปลดประจำการกลับมาจากการเป็นทหาร ก็ต้องมาทำความดีตอบแทนตระกูลเฉิน หากยอมให้คนผู้นี้ทำร้ายคุณย่า แล้วผมเฉินเทียนฟ่างที่กลับมาพร้อมกับเครื่องแบบจะมีประโยชน์อะไร?”

“ดี!”

คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินหน้าแดงเป็นประกาย ตะโกนอย่างตื่นเต้น ดวงตามเปล่งประกาย ชื่นชมอย่างเสียงดัง “ดีมากเทียนฟ่าง ไม่เสียทีที่เป็นผู้ชายที่ดีของตระกูลเฉิน ในอดีตแกดื้อรั้นไม่เอาไหน เจ้าบ้านให้แกไปเป็นทหารที่ แดนตะวันตก ในที่สุดแกก็ไม่ได้ทำให้ตระกูลผิดหวัง ตอนนั้นที่ไม่ได้ให้แกเป็นหนึ่งในผู้สืบทอด เป็นย่าที่มองแกผิดไปแล้ว!” เป็นเจ้าบ้านที่มองแกผิดไปแล้ว!”

“ตระกูลเฉินของฉัน กำลังต้องการผู้ชายที่ดีแบบนี้!”

กล่าวชื่นชมเต็มที่ คำพูดดีๆก็พูดออกมาจนหมด

กลับทำให้เฉินเทียนเซิงที่อยู่ด้านข้างสีหน้าขุ่นมัวถึงขีดสุด แววตาเปล่งไปด้วยแสง

คำพูดเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่ามีความหมายอื่น!

ผู้สืบทอด……..มันมีมากพอแล้วจริงๆ!

เลี้ยงกู่ให้มันต่อสู้กันเอง ก็ไม่ถึงขนาดนี้มั้ง?

ขณะนี้ เฉินเทียนเซิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉา แต่ในขณะเดียวกันตัวเขาก็แอบหงุดหงิด

เพียงแค่ปืนนัดเดียว ก็ทำให้คุณย่าพูดเช่นนั้นกับเฉินเทียนฟ่าง หากเมื่อกี้เขาเป็นคนรับดาบแทนคุณย่า ก็มีสิทธิ์ได้ตำแหน่งเจ้าบ้านเกินครึ่งแล้ว!

ด้วยความชื่นชมของคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน

แววตาลึกๆข้างในของเฉินเทียนฟ่างซ่อนความลำพองใจไว้ไม่อยู่ ใบหน้าที่เย็นชาปรากฏขึ้นด้วยรอยยิ้มที่ภาคภูมิใจ

และแล้ว

ยังไม่ทันที่เขาจะตอบกลับ

เฉินตงก็หัวเราะเยาะขึ้นมา

“มีเกียรติสง่าผ่าเผย หน้าไม่อายจริงๆ!”

เสียงหัวเราะ ก็ทำให้เฉินเทียนฟ่างตกใจทันที

เฉินตงพูดอย่างเคร่งขรึม “คำพูดจริงใจ พูดได้ไพเราะ แกมันเป็นคนดื้อรั้นและไร้ประโยชน์ ตอนนั้นไม่ถูกเลือกเป็นผู้สืบทอด กลับมาในวันนี้ ก็อยากจะอาศัยฉันขึ้นสู่ตำแหน่ง? เอาฉันมาเป็นเครื่องแสดงความกตัญญูและความภักดีที่มีต่อตระกูลเฉิน?”

ด้วยการกระทำนี้แล้วได้ความโปรดปรานจากไอ้แก่หนังเหี่ยว อาศัยจังหวะนี้ได้ตำแหน่งผู้สืบทอด?

“แก……..”

มือขวาที่กำปืนของเฉินเทียนฟ่างอดไม่ได้ที่สั่น อยากจะโต้กลับ แต่กลับพูดไม่ออก ในทางกลับกันเห็นได้ชัดว่าเขาดูหงุดหงิดเล็กน้อย

เพราะว่าเฉินตงพูดถูกทั้งหมด!

“คงคิดว่าฉันโง่จริงๆใช่มั้ย? ยังไม่มีใครจะสามารถอาศัยฉันขึ้นตำแหน่งได้หรอก!”

เฉินตงพูดอย่างเย็นชา พลังดุเดือด สายตาคมกริบ “ในเมื่อแกภักดีขนาดนี้ ดีละ แกมานี่ ให้ฉันฟันแกหนึ่งที ก็จบเรื่องวันนี้ ไม่เช่นนั้น แกกับฉันก็มาเดิมพันกัน ว่าดาบของฉันไวกว่า หรือลูกกระสุนของแกไวกว่า”

ฉูบ!

ดาบถูกตั้งขึ้น ตั้งไปในแนวขวาง

ภายใต้แสงอาทิตย์ คมดาบเกิดแสงที่แทงตา

ทำให้เฉินเทียนฟ่างที่หงุดหงิดอดไม่ได้ที่จะหรี่ตาลง ถอยหลังหลบโดยสัญชาตญาณ

“แก…….”

ใบหน้าของเฉินเทียนเซิงดุร้าย ความเกลียดชังกำลังโหมกระหน่ำ

“เทียนเซิง หุบปาก!”

คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินดุเสียงเข้ม เงยหน้าขึ้นและเหลือบมองไปใบหน้าเปื้อนเลือดของเฉินเทียนเซิง และกล่าวว่า “ยังไม่รีบพาคุณชายเข้าไปทำแผลอีก?”

เฉินเทียนเซิงโกรธและไม่พอใจ

ไม่กล้าโต้แย้ง ทำได้เพียงเดินตามหญิงชราเข้าไปในห้องโถงอย่างเชื่อฟัง

ในเรือน

สายลมอันสดชื่นพัดมาเบาๆ

คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินยืนอย่างสงบ และมองเฉินตงอย่างขุ่นมัว

“แก รู้มั้ย ว่าในตระกูลเฉิน ไม่มีใครกล้าที่จะพูดจาหยามฉันแบบนี้มาก่อน!”

ถามอย่างตรงไปตรงมา

ทั้งท่านหลงและคุนหลุนต่างตกใจเล็กน้อย หลังของพวกเขาเย็นวาบ

ตระกูลเฉินที่มากไปด้วยอำนาจบารมี อยู่ข้างนอกเจ้าบ้านสามารถเรียกลมได้ลมเรียกฝนได้ฝน

แต่ใครๆก็รู้ เมื่ออยู่ในตระกูลเฉิน เพราะกฎที่ต้องเคารพผู้ใหญ่ ต่อให้คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินไม่ใช่แม่ของเฉินเต้าหลิน เฉินเต้าหลินก็ต้องเคารพเธอ

เมื่อเทียบกันแบบนี้ อยู่ในตระกูลเฉิน คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินเปรียบเสมือนจักรพรรดิพระเจ้าหลวงของตระกูล

“เมื่อก่อนไม่เคยมี ตอนนี้…………มีแล้วไง!”

เฉินตงยิ้มอวดดี ดวงตาของเขาเป็นประกายด้วยสายตาที่ไม่มีใครเทียบได้

ในเมื่อจะแข็งข้อ ก็ต้องแข็งข้อให้ถึงที่สุด!

ต่างก็เป็นครั้งแรกที่เกิดมาเป็นคน คุณไม่เห็นผมเป็นคน ผมยังต้องไว้หน้าคุณเหรอ?

เฉินตงคิดเช่นนี้

ท่านหลงกับคุนหลุนเพราะเฉินตงแล้วทำให้พวกเขาตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูก

คุณชาย……..คิดจะชนกับคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินอย่างสุดๆไปเลยหรือ?

ในอากาศ เต็มไปด้วยความตึงเครียดที่สามารถปะทุได้ทุกเมื่อ

คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินหรี่ตาลง ยิงแสงอาฆาตออกมา

ท่านหลงพูดอย่างร้อนใจ “คุณหญิงใหญ่ เจ้าบ้านบาดเจ็บ ตอนนี้อยู่ที่ไหน?”

เจ้าบ้านบาดเจ็บ คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินเป็นผู้กุมอำนาจชั่วคราว เป็นคนที่อยู่เหนือคนนับหมื่น

เรื่องมันค่อนข้างด่วนต้องการพบเจ้าบ้านโดยด่วน มิเช่นนั้น เรื่องนี้ยิ่งอยู่ก็จะยิ่งถูกรุก

ท่านหลงที่หนักแน่น เวลานี้ก็เข้าใจดี ต่อให้คุณชายจะมีพลังที่น่าเกรงขาม แต่สุดท้ายข้างหลังก็มีเพียงเขากับคุนหลุน

แต่สิ่งที่ต้องเผชิญ ก็คือคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินกับตระกูลเฉินทั้งตระกูล!

คมดาบอย่างคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน มีเพียงนายท่านที่สามารถขวางได้!

“เจ้าบ้านบาดเจ็บสาหัส กำลังนอนพักรักษาตัว ไม่สามารถพบคนนอก ท่านหลงอย่างกังวลไปให้มากเลย” คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินยิ้มเล็กน้อย

หัวใจของท่านหลงหล่นลงไปถึงตาตุ่มทันที

เฉินตงก้าวเดินไปข้างหน้า “ผมจะพบพ่อของตัวเอง ก็พบไม่ได้?”

“พ่อ?”

คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินเลิกคิ้ว ใบหน้าเต็มไปด้วยความดูถูกดูแคลน “แกมันลูกสวะ ใครจะไปรู้ว่าจุดประสงค์ที่แกมาพบเจ้าบ้านคืออะไร? วันนี้แกถูกตระกูลหลี่ลอบสังหาร หากไม่ใช่เพราะแก เจ้าบ้านจะได้รับบาดเจ็บมั้ย? ฉันจำเรื่องนี้ได้ หากครั้งนี้แกฆ่าเจ้าบ้าน แล้วตระกูลเฉินที่มากไปด้วยอำนาจบารมี ใครจะเป็นคนมาควบคุมดูแล?”

เฉินตงขมวดคิ้วขึ้น และไฟโกรธแค้นที่เหมือนจะสะสมอยู่ที่หน้าอกของเขา ลุกลามขึ้นมาทันที

พูดจาแก้ตัว ไม่ถามเหตุผล ยังหันมาโจมตี

ยังจะเอาหน้าอยู่อีกมั้ย?

ทันทีหลังจากนั้น คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินกล่าวอย่างเคร่งขรึม: “ชีวิตต่ำต้อยของแก มันไม่มีค่าเหมือนกับชีวิตเจ้าบ้านตระกูลเฉิน!”

ดูหมิ่น เหยียบหยาม

โดยที่ไม่ปกปิดเลย

แม้แต่สีหน้าของท่านหลงกับคุนหลุนก็มืดมนอย่างมากในเวลานี้

ความรักระหว่างพ่อลูกที่ผูกพันทางสายเลือด กลับถูกคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินพูดจนไม่เหลือชิ้นดีอย่างนี้เลยเหรอ?

มันต้องมีความคิดที่สกปรกขนาดไหน?

“ผมถามแค่คำเดียว จะให้ผมพบคุณพ่อของผมมั้ย?”

เฉินตงไม่อยากจะเสียเวลาพูดมาก ถามอย่างเฉียบขาด

แววตากำลังกระหน่ำไปด้วยไปด้วยเย็น

“สามหาว!”

คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินตะโกนอย่างโกรธเคือง “เฉินตง ไอ้ลูกสวะ แกคิดว่าตระกูลเฉินเป็นที่ที่ให้แกมากร่างเหรอ? ทำร้ายเฉินเทียนเซิง ดูหมิ่นคนแก่อย่างฉัน และตอนนี้แกยังมาคุกคามฉัน ? แกกินดีหมีหรือดีเสือเข้าไปเหรอ ถึงไม่รู้คำว่าตายสะกดยังไง!”

พูดจบ คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินก็ตะโกน

“เด็กๆ!”

บู๊ม!

ด้านในห้องโถง คนรับใช้ในบ้านที่แข็งแรงสิบกว่าคนโผล่ออกมาทันที

ไม่เว้นแม้แต่คนเดียว ทุกคนมีอาวุธมีดอยู่ในมือ เต็มไปด้วยเจตนาฆ่าที่น่ากลัว

“คุนหลุน คุ้มกันคุณชาย!”

ท่านหลงมีสีหน้าดุร้าย แววตาแน่วแน่ในทันที

เขาก้าวขึ้นมานำทันที มาขวางอยู่ด้านหน้าของเฉินตง กล่าวกับคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินอย่างเฉียบขาด “คุณหญิงใหญ่ คุณชายเป็นลูกแท้ๆของเจ้าบ้าน เป็นหนึ่งในผู้สืบทอดดั้งเดิม คุณใช้ศาลเตี้ยแบบนี้ คงไม่ใช่คิดว่านายท่านรังแกได้ง่าย? คงไม่ใช่เพราะอยากจะให้ตระกูลเฉินเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนแซ่หรอกนะ?”

“แกพูดจาใส่ร้ายป้ายสีแบบนี้ ตลบตะแลง นี่คือจิตสำนึกของการเป็นทาสหมาเหรอ?”

สายตาของคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินราวกับดวงไฟ โบกมือขึ้น “คิดอยากจะเอาเจ้าบ้านมาขู่ฉัน ทาสหมาอย่างแกยังทำไม่ได้ ไอ้ลูกสวะคนนี้ ก็ทำไม่ได้!”

“ออกมาเร่ร่อน ผิดก็ต้องยอมรับผิด ถูกตีก็ต้องยืนให้ตรง ลูกสวะคนนี้ดื้อรั้นไร้สามัญสำนึก รู้ทั้งที่รู้ว่าตัวเองมีฐานะเป็นหนึ่งในผู้สืบทอด ก็ยังคงละเมิดกฎของตระกูล ฉันกำลังช่วยเจ้าบ้านจัดการลงโทษตามกฎของตระกูล!”

“วันนี้ไม่เพียงแต่จะตีเดรัจฉานตัวนี้ให้พิการ ยังจะแย่งสิทธิ์ผู้สืบทอดของเขามาอีกด้วย!”

โครม!

ท่านหลงกับคุนหลุนเหมือนถูกฟ้าผ่า

พูดไปมากมาย สุดท้ายก็ได้เผยความต้องการที่แท้จริงออกมา

คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินเหมือนกับจะหมดความอดทนแล้ว อยากจะแสดงความต้องการที่แท้จริงออกมาแล้ว!

“เห่อๆ……….”

ทันใดนั้น ก็ดังขึ้นด้วยเสียงหัวเราะ

ก้องกังวานอยู่ในเรือนสวนที่เดือดไปด้วยแรงอาฆาต

ทำให้ทุกคนตะลึงกันไปหมด

เฉินตงหัวเราะได้สดใสมาก เพียงแต่แววตาของกลับเย็นชาและแข็งกร้าว

ภายใต้สายตาที่ตกตะลึงของทุกคน เฉินตงหัวเราะจนหงายไปข้างหลัง

“ดี ดี ดี ดีที่จะดำเนินการตามกฎแทนพ่อของผม! ดีที่จะตีผมให้พิการ ดีที่จะแย่งสิทธิ์ในการเป็นผู้สืบทอดของผม!”

เฉินตงพลางหัวเราะ พลางกล่าว เมื่อยืดตัวตรงแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าก็หายไปด้วย กลายเป็นแรงอาฆาต “ก็ดี ไอ้แก่หนังเหนียวที่หน้าไม่อายอย่างคุณ งั้นผมเฉินตง วันนี้จะยอมสละชีวิตเพื่อต่อกรกับคุณจนถึงที่สุดเป็นไง?”

“คุณกับผมห่างกันไม่ถึงยี่สิบก้าว ผมสามารถฆ่าคุณง่ายเหมือนฆ่าไก่ จะเดิมพันกันสักตั้งมั้ย?”

“บังอาจ!”

ทันใดนั้นคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินก็กลัวขึ้นมาทันที และเธอก็ถอยหลังโดยสัญชาตญาณ

ข้างในห้อง เฉินเทียนเซิงและแม่นางชราก็วิ่งออกมาพร้อมเฝ้าอยู่ข้างๆ คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน

ในสายตาของพวกเขา คำพูดของเฉินตง ไม่มีใครกล้าคิดว่าเป็นคำพูดที่พูดข่มขู่เล่นๆ

“ช่วยฉัน ตีไอ้เดรัจฉานตัวนี้ให้ตาย!”

คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินโกรธถึงขีดสุด ทุบอบกระทืบเท้าแล้วตะโกนสั่ง

คนรับใช้หลายสิบคนที่ในมือถือคมดาบ ส่งเสียงคำรามเข้ามาปิดล้อมเพื่อฆ่าเฉินตงในทันที

“คุณชายระวัง พวกเขาเป็นคนรับใช้ที่มีความสามารถของตระกูลเฉิน บอดี้การ์ดส่วนตัวของคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน!”

คุนหลุนตะโกนเตือนไปหนึ่งประโยค ร่างที่สูงตระหง่านก็ไปบุกเข้าไปชนกับคนรับใช้

และท่านหลงก็ถอนหายใจยาว ไม่เหลือเค้าของคนแก่เลย ก้าวย่างไปด้วยท่าทางที่สง่างามเหมือนมังกรว่องไวอย่างเสือ บุกเข้าไปทันที

“ไอ้แก่หนังเหนียว คุณเป็นคนที่จะเดิมพันเองนะ”

เฉินตงที่เต็มไปด้วยแรงแห่งการฆ่า ท่าทางเหมือนผี บุกเข้าไปสู้กับคนรับใช้อย่างอุกอาจ

การต่อสู้อันดุเดือด ได้ปะทุขึ้นในทันที

คุนหลุนกับท่านหลงได้สกัดกั้นบอดี้การ์ดส่วนใหญ่เอาไว้แล้ว

และเฉินตงที่รวดเร็วดั่งสายฟ้า ในพริบตาเดียวก็ได้ล้มบอดี้การ์ดไปคนหนึ่ง หลังจากแย่งดาบแล้ว ด้วยท่าทางที่โค้งตัว ดุร้ายเหมือนหมาป่า ในมือลากดาบที่ปลายดาบอยู่บนพื้น จนเกิดประกายไฟ

มุ่งเดินไปทางคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินด้วยแรงอาฆาตที่น่ากลัว

“บอดี้การ์ด บอดี้การ์ด!”

คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินตกใจจนทำอะไรไม่ถูก “เดรัจฉานตัวนี้มันบ้าไปแล้ว เดรัจฉานตัวนี้จะก่ออาชญากรรม!”

ภายใต้การพยุงของเฉินเทียนเซิงกับหญิงชรา ทั้งสามคนถอยหลังอย่างรวดเร็ว

แต่เมื่อเผชิญกับเฉินตง ความเร็วนั้นช้ากว่าอย่างมาก

พริบตาเดียว

เฉินตงก็ได้มาถึงตรงหน้าของทั้งสามคน

เต็มไปด้วยแรงอาฆาต แววตาดุร้าย

ฉูบ!

เฉินตงแกว่งดาบ และลากมันขึ้นจากพื้น ทำให้เกิดประกายไฟ ฟันลงไปทางคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินโดยที่ไม่ลังเล

ลงมืออย่างเด็ดขาด ด้วยท่าทางที่เฉียบขาดในเวลานี้

คนที่อยู่ตรงนี้ต่างตะโกนโห่ร้องเสียงดัง

และแล้ว

ป้าง!

ในพริบตาเดียว

เสียงปืนหนึ่งนัด ดังสนั่นไปทั่วเรือน

“คุณชาย เรือนจิ้งซินเป็นเรือนของคุณหญิงใหญ่ โดยปกตินายท่านก็ต้องได้รับอนุญาตถึงจะเข้าไปได้”

ท่านหลงสีหน้าหนักใจ มีความกลัวเล็กน้อย

“อยากจะฉันให้ไปยังถิ่นของท่าน แล้วค่อยจัดการกับฉัน?”

เฉินตงถูจมูกตัวเอง ยิ้มเยาะแล้วกล่าว “หากฉันไม่ไป มันจะดูไม่ให้เกียรติท่านนะ”

“คุณชาย……….”

ท่านหลงสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก กำลังจะห้ามปราม เฉินตงกลับก้าวเท้าเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

“ท่านหลง ทำไงดี?”

คุนหลุนโน้มตัวไปกระซิบถาม

เรือนจิ้งซินนับเป็นเรือนของคุณหญิงใหญ่และเป็นที่ต้องห้ามในตระกูลเฉิน ต่อให้เจ้าบ้านจะเข้าไปยังต้องได้รับการอนุญาตก่อน

หากเฉินตงเข้าไปข้างในนี้จริงๆ ขอเพียงมีการเปลี่ยนแปลง เขาจะกลายเป็นลูกไก่ในกำมือทันที

ท่านหลงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นความตั้งใจแน่วแน่ก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา

“คุนหลุน กลัวตายมั้ย?”

“ไม่กลัว!”

คุนหลุนเข้าใจ ตอบอย่างเสียงดังฟังชัด

“ท่านหลง พี่คุนหลุน” ใบหน้าที่สวยงามของฟ่านลู่เปลี่ยนอย่างมาก

คุนหลุนยิ้มเล็กน้อย “เสี่ยวลู่ เดี๋ยวเธอรออยู่ข้างนอก ให้ฉันกับท่านหลงเข้าไปเป็นเพื่อนคุณชาย หากมีอะไรผิดปกติ เธอก็รีบไปจากที่นี่ทันที”

น้ำเสียงที่ทุ้มต่ำ สีหน้าที่เด็ดเดี่ยว

ทำให้ฟ่านลู่อดไม่ได้ที่จะกังวลขึ้นมา

แต่เมื่อเผชิญหน้ากับการจ้องมองของคุนหลุน เธอก็ได้เม้มปากสีแดงของเธอไว้ และพยักหน้าตอบรับ

จากนั้น ทั้งสามคนก็เดินตามเฉินตงไปอย่างรวดเร็ว

“ตายแน่”

เฉินเทียนเซิงยกมือขึ้นเช็ดคราบเลือดบนใบหน้า ยิ้มอย่างชั่วร้าย เหมือนกับงูพิษ

ทิ้งสมาชิกในตระกูลและคนรับใช้ที่อยู่ในอาการหวาดกลัวเอาไว้ เขาก็เดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

ไม่นานนัก เฉินตงก็เห็นหญิงชราคนหนึ่ง

ใบหน้าของหญิงชราเต็มไปด้วยกระ ผิวหนังเหี่ยวย่น ผมสีขาว

เมื่อเห็นเฉินตงและพวก กลับทำหน้าบึ้ง ไม่ได้พูดจา ได้เดินนำทางอยู่ตรงด้านหน้า

ท่านหลงกระซิบกล่าว “คุณชาย คนนี้เป็นคนรับใช้คนสนิทของคุณหญิงใหญ่”

หยุดไปครู่หนึ่ง เขาก็กล่าวเสริมขึ้นมาอีกประโยค “เป็นคนรับใช้ที่คุณหญิงใหญ่พามาจากบ้านของเธอ ในตอนที่แต่งงานมาที่บ้านตระกูลเฉิน”

คือคนใช้คนสนิทที่ซื่อสัตย์อย่างมาก!

เฉินตงเข้าใจทันที

ในสมัยโบราณเมื่อคุณหนูของตระกูลแต่งงาน นิยมที่จะพาสาวใช้ไปด้วย

คนรับใช้แบบนี้ เมื่อมาถึงในบ้านของสามี จะเป็นสาวใช้ที่ซื่อสัตย์ภักดีอย่างมาก เป็นคนข้างกายโดยสมบูรณ์

เมื่อเห็นเฉินตงมีสีหน้าที่หนักใจ ท่านหลงก็อาศัยตีเหล็กตอนร้อน “หากเข้าไปในเรือนจิ้งซินแล้ว คำพูดของเราก็จะไม่มีความหมาย คุณชายโปรดคิดให้ดี”

“หากผมไม่ไป เรื่องวันนี้สามารถเป็นเรื่องโมฆะมั้ย?”

เฉินตงเลิกคิ้วแล้วยิ้ม แววตาเปล่งแสง “ในตระกูลเฉินไม่ว่าบนหรือล่าง ตั้งแต่ตรงซุ้มประตูก็เห็นผมเป็นหนามตำตา ขอเพียงผมอ่อนแอนิดเดียว พวกเขาก็จะเอาคืนอย่างสาสม ในเมื่อมันก็เป็นเช่นนี้แล้ว ทำไมยังต้องฝืนใจตัวเองเพื่อยอม?”

เขาก็ต้องรู้อยู่แล้วว่าทำไมคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินถึงได้เรียกเขาไปที่เรือนจิ้นซิน?

ข้อหนึ่ง เพราะกลัวจะมีผลกระทบต่อตระกูลเฉินทั้งตระกูล สิ่งที่คนข้างบนรู้ กลายเป็นว่าข้างล่างก็จะรู้ไปด้วย

ข้อสอง หากทำให้คนทั้งตระกูลเกิดความฮือฮา มันก็จะทำให้คุณพ่อที่พักรักษาตัวอยู่ รู้ตัว

ข้อสาม เป็นข้อที่สำคัญที่สุด เขาเรียกผมไปที่เรือนจิ้งซิน ก็แค่ไปในสถานที่ของคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน แสดงฝีมือได้เต็มที่ ง่ายต่อการลงมือ

คนอื่นเคารพเขาคืบหนึ่ง เขาจะให้เคารพคืนหนึ่งศอก

การมาตระกูลเฉินครั้งแรก ไม่ว่าจะมาในเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัว เขาก็ไม่ได้มาเพราะจะหาเรื่อง

เพียงแต่ เมื่อมาถึงตรงซุ้มประตูของตระกูลเฉิน ก็ถูกตราหน้าว่าเป็นลูกสวะแล้วไม่ให้เข้ามา

คนดีมันจะถูกรังแก เฉินตงเข้าใจเหตุผลนี้ดี แม้แต่คำสั่งสอนที่เฉินเต้าจูนชี้แนะให้มันได้ซึมซับเข้ากระดูกดำไปแล้ว

การยอมถอยตลอด มันไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้

ในเมื่อแก้ไขปัญหาไม่ได้ ก็ต้องใช้กำลัง ต่อสู้จนได้ซึ่งหนทาง!

เขาเฉินตง ไม่ใช่คนที่อ่อนแอ และไม่ใช่คนไร้ประโยชน์!

เงียบมาโดยตลอดทาง

อาคารอันงดงามในสไตล์โบราณ แสดงให้เห็นถึงความเป็นมาและสถานะของตระกูลเฉิน

ศาลาพักผ่อนหย่อนใจ สวนดอกไม้นานาพันธุ์

ทั้งหมดอยู่ในพื้นที่ของคฤหาสน์

ทางเดินคดเคี้ยวโค้งไปโค้งมา เดินผ่านเรือนไปหลายหลัง ในที่สุดภายใต้การนำทางของหญิงชรา ก็ได้มาถึงเรือนที่เงียบสงบหลังหนึ่ง

ดูเหมือนบ้านเรือนผู้ดีในสมัยโบราณ

ภายใต้สถาปัตยกรรมโบราณทั้งหมด สิ่งที่ซ่อนอยู่คือความหรูหราและคุณค่าขั้นสูงสุด

ห้องพระที่อยู่ไม่ไกล ยังก้องกังวานด้วยเสียงสวดมนต์

เรือนที่โอ่อ่ากว้างขวาง ร่มเงาสีเขียวเขียวชอุ่ม สายลมอันสดชื่นพัดมาเบาๆ

มีลำธารเล็กๆ ที่มีน้ำไหลเอื่อยๆ

“ยืนรออยู่ตรงนี้!”

หญิงชราออกคำสั่ง ทิ้งคำพูดไว้อย่างเย็นชา แล้วเดินไปที่ห้องโถงด้านใน

เฉินเทียนเซิงมองเฉินตงด้วยสายตาเย็นชาที่เหมือนมองคนตาย เหลือบมองเฉินตงไปหนึ่งที จากนั้นเดินตามหญิงชราเข้าไปในห้องโถงด้านใน

เฉินตงก็ได้เดินไปที่ข้างลำธาร น้ำในลำธารใสสะอาด ข้างในยังมีปลาคราฟว่ายวนไปมา

เขาเก็บหินขึ้นมาหนึ่งก้อน โยนลงไปในน้ำอย่างใจเย็น ทำให้ปลาคราฟตื่นตระหนก

ท่านหลงกับคุนหลุนยืนอยู่ข้างหลัง สีหน้าเคร่งขรึม

ความใจเย็นของเฉินตง ทำให้เขาทั้งสองตะลึง

แต่ตะลึงก็ส่วนตะลึง ทั้งๆที่รู้ว่าต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น เขาสองคนไม่สามารถที่จะใจเย็นอย่างเฉินตง

“บังอาจ!”

เสียงตะโกนดังของหญิงชราดังขึ้นทันที “นี่คือบ้านของคุณหนู จะปล่อยให้แกทำสกปรกได้อย่างไร?

คุณหนู?

ทำสกปรก?

เฉินตงยิ้มเยาะ วางท่าของคนรับใช้คนสนิทได้อย่างดีเยี่ยมเลยนะ

เขาหันกลับไปทันที ก็เห็นคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินที่อยู่ภายใต้การพยุงของหญิงชรากับเฉินเทียนเซิง เดินออกมาจากห้องโถงด้านใน

“คุณหนู? บ้านไหนที่จะยังจะเรียกอายุเจ็ดแปดสิบว่าคุณหนู? คำสรรพนามนี้ ตอนนี้มันมีความหมายอื่นแล้ว”

เต็มไปด้วยความล้อเลียน

ทำให้สีหน้าของคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินขุ่นมัวจนถึงขีดสุด

เฉินเทียนเซิงก็ตกใจ

“แกมันไอ้เด็กหาเช้ากินค่ำ คุณหนูของบ้านฉัน จะให้แกมาเหิมเกริมดูหมิ่นง่ายๆเหรอ? อยากตายใช่มั้ย?” หญิงชราโกรธอย่างมาก

ท่านหลงกับคุนหลุนสีหน้าเปลี่ยนไปทันที

ท่านหลงรีบยกมือคารวะกล่าว “คุณหญิงใหญ่ ที่คุณชายมาในวันนี้ เพียงแค่ต้องการมาเยี่ยมนายท่าน ไม่มีความหมายอื่น”

“มาเยี่ยม?”

คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินยิ้มเยาะ สายตาคมกริบ พูดกดดันท่านหลงโดยตรง “มันที่เป็นเด็กยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม หยามฉันขนาดนี้ สมควรตายจริงๆ”

คำพูดเพียงประโยคเดียว ทันใดนั้นบรรยากาศในเรือนก็รุนแรงขึ้น

แววตาของเฉินเทียนเซิงเปล่งประกาย แอบลำพองใจ

หญิงชราเหมือนกับว่าเจอเสาหลักของบ้าน ก็ทำให้มีความมั่นใจในทันที

เธอแหกคอตะโกนใส่เฉินตง “คุกเข่าขอโทษคุณหนูเดี๋ยวนี้!”

และแล้ว

เฉินตงกลับแสดงพลังรุนแรง ราวกับดาบคมที่ดึงออกมาจากฝัก แววตาที่คมกริบมองข่มขู่ไปที่หญิงชราโดยตรง

“ขอโทษ? แกมันแค่คนใช้ในตระกูลเฉิน เข้ามาอยู่ในตระกูลเฉิน ก็ต้องเป็นคนใช้ตระกูลเฉิน ฉันเป็นลูกของเจ้าบ้านตระกูลเฉิน หนึ่งในผู้สืบทอด ยังต้องให้หมาที่ไม่รู้จักเจ้าของอย่างแกมาเห่าเหรอ!”

“ยโสโอหัง หมาที่อาศัยบารมีคนอื่นมาอวดเบ่ง จะให้ฉันคุกเข่า งั้นฉันก็จะให้แกไปตาย!”

แรงแห่งการฆ่าที่เยือกเย็น ราวกับมีดคม สะเทือนไปทั่วท้องฟ้า

ใบหน้าของหญิงชราซีดขาวไปทันที อ้าปากค้าง อ่ำๆอึ้งๆ

เธอที่เห็นว่าตัวเองเป็นคนใช้คนสนิทของคุณหญิงใหญ่ วางอำนาจในตระกูลเฉินจนเคยชินแล้ว

มีคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินคอยหนุนหลัง ต่อให้เป็นการเผชิญหน้ากับเฉินเต้าหลิน เธอก็กล้าที่จะยืดอกพูดจา

แต่ตอนนี้ กลับถูกบอกให้ไปตาย?!

“ถอยไป! ใครให้เจ้าเห่าไปเรื่อย?”

คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินสีหน้าบูดบึ้ง และดุหญิงชราอย่างโกรธเคือง

หญิงชราสีหน้าเปลี่ยนไปทันที เหลือบมองคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินอย่างตกใจ ทันใดนั้นก็เข้าใจว่าคุณหญิงตระกูลเฉินกำลังหาทางลงให้เธอ

ขณะนั้นจึงได้ถอยไปอยู่ด้านหลังของคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินในทันที

“คุณย่า ทำไมต้องเสียเวลากับไอ้ลูกสวะคนนี้ด้วย เขาก็เป็นเพียงลูกนอกคอกคนหนึ่งเท่านั้น” เฉินเทียนเซิงกล่าวในทันใด

เพิ่งจะสิ้นเสียงพูด

หางตาของเฉินตงก็ได้เหลือบไปทางเฉินเทียนเซิง “หน้าแกยังเจ็บไม่พอเหรอ?”

เหมือนเสียงฟ้าผ่า

ครอบงำคนได้ทันที

คนตระกูลเฉินที่สีหน้าเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง ก็ตกตะลึงในทันที

ในฐานะสมาชิกธรรมดาและคนใช้ในบ้าน เฉินตงสำหรับพวกเขาแล้ว ดูเหมือนจะเป็นความลับที่แตะต้องไม่ได้

ลูกชายของเจ้าบ้าน และเป็นหนึ่งในผู้สืบทอด?!

จะเป็นไปได้อย่างไร?

รายชื่อผู้สืบทอดตระกูลเฉินถูกเขียนไว้ในสมุดนานแล้ว แต่ไหนแต่ไรเจ้าบ้านเป็นคนที่สงบมีความปรารถนาน้อย และตัวเดียว

นี่มันลูกชายที่มาจากไหน? ผู้สืบทอดอะไรกัน?

อย่างไรก็ตาม คำพูดนี้ท่านหลงเป็นคนพูด ในฐานะที่เป็นคนสนิทของเจ้าบ้าน ไม่มีทางที่จะพูดโกหกในเรื่องแบบนี้

ในความเป็นจริง ตอนที่เฉินตงพาท่านหลงกับคุนหลุนเดินมาพร้อมกัน

ก็มีคนไม่น้อยที่สังเกตเห็นท่านหลงกับคุนหลุน ต่างหวาดกลัวและลังเล

เพียงแต่คำพูดและท่าทางของเฉินตง ช่างหยิ่งผยอง ได้ดึงดูดความสนใจของทุกคนไปอย่างรวดเร็ว ทำให้คนเหล่านี้ละเลยการมีตัวตนอยู่ของท่านหลงและคุนหลุนโดยไม่รู้ตัว

ตอนนี้ท่านหลงก้าวไปข้างหน้า ตำหนิทุกคนด้วยความโกรธ

พริบตาเดียว ก็ทำให้ทุกคนตื่นตระหนกตกใจ

สายตาที่มองเฉินตงอย่างโกรธแค้น ก็ได้เปลี่ยนไปอย่างเงียบๆ

ตกใจ ประหลาดใจ ไม่อยากจะเชื่อ ถึงขนาดมีบางคนแววตาลุกไปด้วยไฟ

หากเป็นลูกชายของเจ้าบ้าน หนึ่งในผู้สืบทอดของตระกูลเฉิน คำพูดเมื่อกี้ ก็ไม่ใช่คำพูดที่หยิ่งผยองอะไร

แต่ถือได้ว่า…….เป็นกันเองและสุภาพแล้ว

ระเบียงทางเดินสีเขียวที่วุ่นวายเสียงดัง กลับเข้าสู่ความเงียบสงัดอีกครั้งในทันที

สายตาแต่ละคู่ยังคงกวาดมองอยู่ที่ตัวของท่านหลงกับคุนหลุนอย่างต่อเนื่อง

ท่านหลงเป็นคนรับใช้คนสนิทของเจ้าบ้าน

คุนหลุนคือบอดี้การ์ดข้างกายของเจ้าบ้าน

เขาทั้งสองเป็นที่รู้จักกันดีของสมาชิกธรรมดาและคนรับใช้ในบ้านเป็นอย่างดี

และตอนนี้ ทั้งสองนั้นประกบซ้ายขวาของเฉินตง มันเพียงพอที่จะทำให้สมาชิกธรรมดากับคนรับใช้ เงียบสงบลง

“หืม?”

เฉินตงยิ้มอย่างขี้เล่น และพูดติดตลกกับท่านหลง “ท่านหลง ที่แท้ฐานะท่านที่อยู่ในตระกูลเฉินก็มีความสำคัญไม่เบาเลยนะ”

ท่านหลงยิ้มเจื่อนๆ กล่าวด้วยเสียงต่ำ “มันก็ใช้ได้กับพวกสมาชิกธรรมดาและคนรับใช้เท่านั้น คุณชายก็อย่าล้อกระผมเลย ไปเถอะ”

รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉินตงหายไป กลับสู่ใบหน้าที่เคร่งขรึม “วันนี้ฉันก็อยากจะดูเหมือนกัน ใครจะสามารถขวางฉันได้!”

ก้าวเดินไปทีละก้าว ไม่ช้าไม่เร็ว ค่อยๆเดินไปข้างหน้า

สมาชิกคนธรรมดาในตระกูลและคนรับใช้ ไม่กล้าที่จะตามไปเลย

พลังที่ยิ่งใหญ่ ถึงขนาดทำให้บางคนหายใจไม่ออก

มันไม่เหมือนพวกคนรับใช้ที่อยู่ตรงหน้าซุ้มประตู ที่ถูกเฉินเทียนหย่างแอบสั่งการ

ตอนนี้สมาชิกทั้งหมดของตระกูลเฉิน คนที่สามารถจะสั่งการอย่างลับๆมีเพียงแต่สมาชิกระดับสูง

เฉินเต้าหลิน หรือไม่ก็คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน!

“หยุดเดี๋ยวนี้!”

เสียงที่ดุดัน ดังขึ้นมา

เฉินตงหยุดฝีเท้าในทันที มองตามเสียงไป

และในเวลาเดียวกัน ทุกคนต่างทยอยมองไปปลายทางเดินระเบียงสีเขียว

ที่ตรงนั้น ร่างร่างหนึ่งหนึ่งค่อยๆเดินมาออกจากที่ตรงนั้น

ดวงตาที่อยู่ใต้แว่นขอบทองเปล่งแสงที่ขุ่นมัว

ใบหน้าเคร่งขรึมเย็นเยียบ ราวกับเกล็ดน้ำค้าง

เฉินเทียนเซิงค่อยๆเดินเข้ามา สายตาเหลือบมองไปที่สมาชิกและคนรับใช้ของตระกูลที่อยู่สองข้างทาง

“พวกแกมันไร้ประโยชน์จริงๆ ไม่รู้หรือว่าตระกูลเฉินไม่อนุญาตให้ลูกสวะเข้ามา?”

ลูกสวะ?!

หัวสมองของทุกคนดังขึ้นด้วยเสียงโครม สีหน้าเปลี่ยนไปทันที

เฉินตงหรี่ตาลง ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นถึงรอยยิ้มที่แปลกประหลาด

แต่ท่านหลงกับคุนหลุนและฟ่านลู่กลับขมวดคิ้วขึ้นมาทันที ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ

ตรงหน้าซุ้มประตูตระกูลเฉิน เฉินเทียนหย่างที่คำหนึ่งก็ลูกสวะสองคำก็ลูกสวะก็ช่างมันไปแล้ว

แต่เฉินเทียนเซิงที่อยู่ต่อหน้าคนในตระกูลเฉินตั้งมากมาย ยังคงพูดคำว่าลูกสวะ แบบนี้คือต้องการให้คนในตระกูลรู้กันให้ทั่วใช่มั้ย?

ไม่ว่ากับเฉินตง หรือเฉินเต้าหลิน มันถือเป็นการดูหมิ่นอย่างโจ่งแจ้ง!!

เฉินเทียนเซิงเต็มไปด้วยความโกรธ และขยับแว่นตาที่สันจมูกของเขาอย่างใจเย็น

“ลูกสวะ ก็ควรมีสามัญสำนึกของลูกสวะ เทียนหย่างขัดขวางไม่ให้แกเข้ามา ก็เพราะหวังดีกับแก ลูกสวะอย่างแกมันช่างไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ยังละเมิดกฎของตระกูลอย่างเปิดเผย หนทางที่แกเดินวันนี้ มันเป็นทางตันของแกแล้ว!”

คำพูดที่โน้มน้าวใจมีเหตุผล น้ำเสียงทรงพลังมีจังหวะจะโคน

ทำให้ทุกคนที่อยู่เหตุการณ์ได้ยินมีสีหน้าที่หวาดกลัว

และแล้ว

“ไปกันเถอะ”

เฉินตงยิ้มอย่างดูแคลน

ก้าวเท้าออกไปอีกครั้ง และเดินไปที่ปลายทางเดินสีเขียว เพียงแต่ดวงตาได้หรี่ลงมามากกว่าเดิมแล้ว

ไม่เห็นฉันอยู่ในสายตาเหรอ?!

ม่านตาของเฉินเทียนเซิงหดเกร็ง เส้นเอ็นตรงหางตากระตุกอย่างแรง

เมื่อเห็นเฉินตงเดินตรงไปข้างหน้า เขาก็ก้าวเดินไปข้างหน้า ยกมือกดลงไปที่หน้าอกของเฉินตง

“หากก้าวเดินไปข้างหน้าอีกก้าวเดียว ฉันจะทำให้แกเสียใจที่เกิดมาบนโลกใบนี้!”

เพิ่งจะสิ้นเสียงพูด

ตรงปลายทางเดินสีเขียว คนใช้ในบ้านที่ดุดันวหลายสิบคนก็รุมล้อมเข้ามาทันที

เดือดพล่านไปด้วยแรงแห่งการฆ่า!

ภาพนี้ได้ดึงดูดให้สมาชิกและคนรับใช้ในตระกูลที่อยู่ข้างทาง เกิดความโกลาหล

ท่านหลงส่งสัญญาณให้กับคุนหลุนและฟ่านลู่ในเวลาเดียวกัน ก้าวเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เข้าไปประกบ ล้อมเฉินเทียนเซิงไว้ตรงกลาง แล้วเผชิญกับคนรับใช้สิบกว่าคนในเวลาเดียวกัน

“ท่านหลง คุนหลุน ฉันขอเตือนให้พวกแกตัดสินใจให้ดีๆ!” เฉินเทียนเซิงกล่าวอย่างเย็นชา

พรึบ!

ทันใดนั้น เฉินตงยกมือขวาขึ้น ตบไปที่มือขวาของเฉินเทียนเซิงที่กดอยู่บนหน้าอก

ใบหน้าของเฉินเทียนเซิงบึ้งตึงว่าเดิม แววตามีความตกตะลึง

ไม่ทันที่เขาจะแสดงความโกรธ

เฉินตงก็ได้ขยับริมฝีปาก กล่าวอย่างเย็นชา “แก ก็อยากจะนอนคว่ำอยู่บนพื้น?

ความเย็นของแรงแห่งการฆ่า พุ่งใส่หน้าเขา

ราวกับลมหนาวที่พัดมาจากส่วนลึกของนรก เฉินเทียนเซิงยิ้มเยาะอย่างโกรธจัด

“ลูกสวะ แก……..”

โครม!

พูดไปได้เพียงครึ่งเดียว ลมกระโชกก็ดังขึ้น

ดวงตาที่หรี่ตาลงจนกลายเป็นเส้นตะเข็บของเฉินตงจู่ๆก็เปล่งแสงออกมา เขาขยับร่างกาย เร็วปานสายฟ้า ไปโผล่ตรงหน้าของเฉินเทียนเซิงโดยตรง

พลังที่หนักเหมือนภูเขา ทุบลงไปที่หน้าอกของเฉินเทียนเซิงอย่างอุกอาจ

เฉินเทียนเซิงส่งเสียงในลำคอ สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก มีความรู้สึกเหมือนถูกค้อนหนักทุบ ก็แน่นหนักอกขึ้นมาทันที

ไม่ทันที่เขาจะเซถอยหลัง สองมือของเฉินตงราวกับงู ก็ไปเกาะรัดอยู่บนคอของเฉินเทียนเซิงในทันที

จากนั้น

จับแน่น แล้วกดลงไป

บู๊ม!

เสียงที่หน้าชนกับพื้น ดังเหมือนเสียงฟ้าผ่า

ทุกคนตกใจจนตัวสั่นไปพร้อมๆกัน

“อ้า!”

บนพื้น ดังขึ้นด้วยเสียงกรีดร้องของเฉินเทียนเซิง

บนพื้นหินอ่อน กระจัดกระจายไปด้วยเลือดสีแดง

ตามมาด้วยเสียงกรีดร้อง และการต่อต้านของเฉินเทียนเซิง

ร่างกายกึ่งนั่งกึ่งยืนของเฉินตง มือขวาเหมือนคีม ล็อกคอของเขาอย่างแน่น ไม่สามารถที่จะดิ้นหลุดไปได้เลย

ในขณะ แรงฆ่าของเฉินตงกำลังโหมกระหน่ำ สายตาคมกริบ

ราวกับดาบคมที่ดึงออกมาจากฝัก เหมือนจะแทงทะลุท้องฟ้า

ทำให้ทุกคนมองอย่างหวาดกลัว

แม้แต่คนรับใช้สิบกว่าคนที่บุกมาด้วยความดุดัน ก็ยังอุทานอย่างโกลาหล พวกเขาหยุดฝีเท้ากะทันหัน

น้ำเสียงที่เย็นชา ดังสนั่นไปทั่วทางเดิน

“คำก็ลูกสวะ สองคำก็ลูกสวะ การอบรมสั่งสอนของหัวกะทิในตระกูลเฉิน สั่งสอนให้แกเป็นคนปากหมาแบบนี้เหรอ?”

“ต่อให้ฉันจะเป็นลูกสวะในสายตาพวกแก แต่ก็เป็นลูกแท้ๆของเจ้าบ้าน และเป็นหนึ่งในผู้สืบทอด ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งหรือสายเลือด คนหมาๆอย่างแกก็เทียบไม่ได้”

“แกจะเทียบกับฉัน? แกจะเอาอะไรมาเทียบ?”

พูดจบ เฉินตงก็ปล่อยเฉินเทียนเซิงออก แล้วลุกขึ้น เดินเไปทางคนรับใช้สิบกว่าคน

“พวกแกลงมือให้เต็มที่เลย หากตีฉันไม่ตาย ฉันจะตีพวกแกให้ตายทั้งหมด!”

พลังที่กดขี่ ดุจดาบที่ทลายท้องฟ้า

พลังที่ยิ่งใหญ่ บีบบังคับจนคนรับใช้หวาดกลัว ถอยหลังอย่างต่อเนื่อง ไม่กล้าก้าวขึ้นมา

เฉินเทียนเซิงกลัวอย่างบอกไม่ถูก

ลุกขึ้นมาอย่างเจ็บปวด ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือด

ภาพเมื่อกี้ ทำให้เขารู้สึกเหมือนฝัน

ไอ้หมอนี่ แข็งแกร่งแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?

เขาในตอนแรก ไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนี้นะ!

มองดูเฉินตงที่เดินไปยังเป้าหมายโดยตรง ด้วยท่าทางที่หยิ่งผยอง เฉินเทียนเซิงนั้นโกรธอย่างมาก

เขาคำราม “ลงมือสิ พวกไร้ประโยชน์ ตระกูลเฉินเลี้ยงพวกแกไว้ให้ดูแลบ้าน ตอนนี้พวกแกมาถอยทำไม?”

เท้าของคนรับใช้หลายสิบคนยังคงหยุดอยู่กับที่ ยังคงมีความลังเลอยู่

เฉินตงในขณะนี้ ที่อยู่ในสายตาของพวกเขา ราวกับนักฆ่า!

ในเวลานี้

จู่ๆดังขึ้นด้วยเสียงของหญิงชรา

“คำสั่งของคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน ให้เฉินตงไปที่เรือนจิ้งซิน สมาชิกในตระกูลและคนรับใช้ ให้แยกย้ายกันทันที”

คำสั่งนี้ ทำให้คนรับใช้หลายสิบคนที่ต้องเผชิญหน้ากับเฉินตงโล่งอกไปพร้อมๆกัน

เรือนจิ้งซิน?!

เฉินเทียนเซิงที่ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบเลือดได้อึ้งไปก่อน จากนั้นก็ยิ้มอย่างชั่วร้าย

เรือนจิ้งซินเป็นเรือนของคุณย่า รอให้แกไปถึงตรงนั้น ก็จะสามารถปิดประตูตีแมว!

เฉินเทียนเซิงสีหน้าชั่วร้าย

เมื่อมองดูร่างอ่อนแอที่อยู่ในห้องพระ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกลำพองใจ

ในตระกูลเฉิน คนที่ทำให้คุณย่าโกรธเป็นไฟ ต่อให้เทวดาก็คุ้มครองไม่อยู่!

แกบุกเข้ามาในตระกูลเฉิน ตอนที่ทำร้ายเฉินเทียนหย่าง ก็น่าจะรู้แล้ว วันนี้พ่อของแกนอนรักษาตัวอยู่ ตระกูลเฉินในตอนนี้ อยู่ในความดูแลของคุณย่า!

“เทียนเซิง!” คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินเรียกด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

เฉินเทียนเซิงรีบก้มตัว “ครับคุณย่า”

“เชิญแขกกลับไปให้หมด!”

น้ำเสียงที่เย็นชา คมเหมือนกับมีด

แววตาของเฉินเทียนเซิงก็เปล่งแสงเจ้าเล่ห์ รับปากเสียงดัง แล้วจากไปอย่างรวดเร็ว

ในห้องพระ

แววตาที่เย็นเยือกของคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน ฉายแววที่ทำให้คนรู้สึกกลัว

เธอก้มหน้ากวาดมองลูกปัดที่หล่นอยู่บนพื้น เงยหน้ามองไปที่พระพุทธรูปทองคำ บ่นพึมพำอย่างรู้สึกผิด

“พระพุทธองค์ ไม่ใช่ฉันโหดร้าย แต่เป็นเฉินตงที่โหดเหี้ยม หลังจากวันนี้ ฉันค่อยเข้าห้องพระ ชำระล้างสิ่งสกปรก”

พูดจบ เธอก็โบกมือ

สาวใช้สองคนก็รีบเดินมาข้างหน้า พยุงคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินลุกขึ้น หันหลังเดินออกไปข้างนอก

และในเวลาเดียวกัน

ตระกูลเฉินร้อนเหมือนไฟไปแล้ว!

ตระกูลเฉินที่มากไปด้วยอำนาจบารมี แต่ไหนแต่ไรก็มีแต่คนมาเคารพถึงที่บ้านจนเคยชินไปแล้ว ยังไม่เคยมีใครที่กล้าโอหังในคฤหาสน์ตระกูลเฉินแบบนี้มาก่อน!

ต่อให้คุณจะยิ่งใหญ่อยู่ข้างนอกยังไง มีอำนาจขนาดไหน เมื่อมาถึงตระกูลเฉิน ไม่ว่าคุณเป็นใครก็ต้องก้มหัวอันสูงส่งของคุณ เคารพอย่างถ่อมตน

นี่คือกฎของการมาเยือนตระกูลเฉิน!

เคยอยู่สูงจนชินแล้ว จู่ๆก็ถูกคนตบหน้า ดังนั้นไม่ว่าคนตระกูลเฉินที่จะสูงส่งขนาดไหน ก็เกือบจะบ้ากันไปแล้ว

จากซุ้มประตูสู่คฤหาสน์ตระกูลเฉิน มีทางเดินระเบียงสีเขียวยาวหลายร้อยเมตร

และในเวลานี้ ถูกคนรับใช้ของตระกูลเฉิน ล้อมรอบระเบียงทั้งสองข้างทางไปแล้ว

แน่นอน ผู้ที่เรียกกันว่าสมาชิกในตระกูลเฉิน ล้วนเป็นสมาชิกระดับต่ำ ด้อยกว่าคนรุ่นหัวกะทิที่เก่งกาจมาก และไม่มีคนที่มีอำนาจ

ทุกคนเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองโดยชอบธรรม และบางคนถึงกับมีแววตาที่อยากจะฆ่าคน

ยิ่งกว่านั้น คนใช้ในบ้านที่อยู่ข้างหลัง ซึ่งถืออาวุธ เตรียมพร้อมทุกสถานการณ์

ศักดิ์ศรีของตระกูลเฉิน ยอมให้ละเมิดไม่ได้

ความภาคภูมิใจของตระกูลเฉิน ยอมให้ดูหมิ่นไม่ได้

กลุ่มอารมณ์ที่เดือดพล่าน สถานการณ์ตึงเครียดอย่างมาก

ขอเพียงมีคำสั่ง ก็สามารถออกมาต่อสู้อย่างดุเดือด

เสียงคนเหมือนดั่งคลื่น สะเทือนจนหูเกือบหนวก

“เกินไปแล้ว นี่มันเกินไปแล้วจริงๆ! ตระกูลเฉิน เคยได้รับความอับอายขายหน้าเช่นนี้ที่ไหนกัน?”

“คุณชายเทียนหย่างเป็นผู้สืบทอดของพวกเราตระกูลเฉิน เป็นหัวกะทิในหัวกะทิ กล้าทำร้ายคุณชายเทียนหย่าง ก็เท่ากับตบหน้าตระกูลเฉินของเรา!”

“ไม่รู้จักตระกูลเฉินเสียแล้ว คิดว่าตระกูลเฉินของเราอ่อนแอรังแกกันได้ง่ายๆเหรอ?”

……

รอบทางเดินสีเขียว มีนักธุรกิจที่มาขอพบตระกูลเฉินอย่างไม่ขาดสาย

เวลานี้เห็นภาพนี้ แม้ว่าจะเคยเห็นเรื่องราวแบบนี้จนเคยชิน พวกเขายังคงตกตะลึงและหวาดกลัว

ใครกันแน่ที่กล้าท้าทายจนตระกูลเฉินจนเดือดเป็นฟืนเป็นไฟเช่นนี้?

ในขณะที่ตกใจ นักธุรกิจเหล่านี้ก็มีความอยากรู้อยากเห็น ต่างก็หยุดฝีเท้ามองดู

ก็ในเวลานี้

เสียงที่เย็นชาเสียงหนึ่ง ราวกับเสียงสวดจากสวรรค์ ดังมาจากปลายทางเดินสีเขียว

“วันนี้ตระกูลเฉินมีเรื่องต้องจัดการ ไม่ต้อนรับแขก ผู้ที่ไม่ใช่คนในตระกูลเฉิน ขอให้ออกไปทันที!”

โครม!

นักธุรกิจที่อยากรู้อยากเห็นต่างตกตะลึงในทันใด

“ทำไมถึงเป็นเช่นนี้? ผม ผมเพิ่งจะเข้ามาในคฤหาสน์เองนะ!”

“ขอร้องพวกท่านโปรดเมตตาด้วย ผมใช้เวลาสามปี จึงจะสามารถเข้ามาในตระกูลเฉิน ตอนนี้ยังไม่ได้พูดอะไรเลย ขอร้องพวกท่านอยากไล่ผมไปเลย!”

“ผมต้องการพบเจ้าบ้านตระกูลเฉิน หรือว่าให้ผมพบกับคนที่มีอำนาจในคฤหาสน์ก็ยังดี เพื่อวันนี้แล้ว ผม ผมรอมาแปดปีเต็มๆ!”

……

กลุ่มนักธุรกิจสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก แทบจะขอร้องอ้อนวอน

แต่ ตามมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่แยแส

สมาชิกทุกคนในตระกูลเฉิน ต่างก็ไล่คนด้วยสีหน้าที่ดุดัน

คำสั่งของตระกูล ก็คือ”ราชโองการ!”

ตระกูลเฉิน ยังไม่จำเป็นต้องให้เกียรติดใครทั้งนั้น

ไม่ว่าจะรอมาสามปีหรือแปดปี คำสั่งจะข้างบนลงมา ก็ต้องออกไปทันที!

กลุ่มนักธุรกิจต่างก็สิ้นหวัง หงุดหงิด เสียใจ หากเมื่อกี้ไม่อยากรู้อยากเห็นจนหยุดมองดู จัดการเรื่องของตัวเองก่อน บางทีเรื่องที่ตัวเองคาดหวังมาโดยตลอดก็คงจะมีผลสรุปไปแล้ว

ทำไมถึงถูกสกัดกลางคัน ถูกไล่ออกจากตระกูลเฉินด้วยนะ?

……

เฉินตงมีสีหน้าที่เคร่งขรึม เดือดไปด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน เดินเข้าไปในคฤหาสน์ตระกูลเฉินอย่างสบายๆ

ด้านหลัง ท่านหลง คุนหลุนกับฟ่านลู่ติดตามไปอย่างเงียบๆ

ได้ยินเพียงเสียงที่ดังและบาดหูจากระยะไกล สีหน้าของท่านหลงกับคุนหลุนก็มืดมนอย่างมาก ความกังวลที่อยู่ลึกๆในแววตาไม่สามารถซ่อนได้อีกแล้ว

ในไม่ช้า เสียงที่สะเทือนหูยิ่งอยู่ยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ

ในสายตา เต็มไปด้วยกลุ่มคน รวมตัวอยู่ระเบียงสีเขียวสองข้างทาง ให้ความรู้สึกเหมือนว่ากับมากดดัน

เมื่อเฉินตงพาท่านหลงกับคุนหลุนเดินเข้าไปในทางเดินสีเขียว

กลุ่มคนก็ส่งเสียงคำรามออกมาทันที

“เด็กๆ!”

ลุย!

สายตาทั้งหมด มองมาทางด้านเฉินตงอย่างดุเดือดในทันที

เพียงชั่วขณะที่พวกเขาเห็นเฉินตง สมาชิกตระกูลเฉินที่โกรธอย่างมหาศาล กลับเงียบไปพร้อมกัน

ในขณะนี้ พลังอันยิ่งใหญ่ที่กระจายออกมาจากร่างกายของเฉินตง ทำให้หัวใจของทุกคนสั่นสะท้าน และหลังเย็นวาบ

ราวกับว่ากำลังอยู่ใต้ภูเขา มองไปที่ยอดเขา มีความรู้สึกที่แปลกประหลาดเหมือนต่ำต้อยอย่างบอกไม่ถูก

เฉินตงหยุดฝีเท้าลง ใช้สายตาที่เย็นชากวาดมองกลุ่มคนสองข้างทาง

ทุกที่ที่เขาจ้องมอง สายตาแต่ละคู่ก็จะหลบตา ไม่กล้าที่จะสบตาด้วย

นี่ก็คือความยิ่งใหญ่ตระกูลเฉิน?

เฉินตงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะในใจ

ท่านหลงกับคุนหลุนและฟ่านลู่เมื่อเห็นกลุ่มคนสองข้างทางนั้น ก็หนักใจในเวลาเดียวกัน ระมัดระวังตัวขึ้นมา

อย่างไรก็ตาม ท่านหลงกับคุนหลุนก็ได้กวาดมองทุกคน แล้วแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ยังดี ล้วนเป็นสมาชิกที่ไม่มีอำนาจและพวกคนรับใช้ คนที่มีอำนาจของตระกูลเฉิน ไม่ได้ร่วมอยู่ด้วย

และแล้ว

“ทำไม? ฉันกลับมาตระกูลเฉินครั้งแรก ทุกคนถึงได้กระตือรือร้นเช่นนี้ ถึงกับต้องมาเรียงแถวต้อนรับเลยเหรอ?”

เสียงเยาะเย้ยขี้เล่น ดังขึ้นทันที

อยู่ในทางเดินสีเขียวที่เงียบเหมือนป่าช้า เหมือนดั่งเสียงฟ้าผ่า

โครม!

ทุกคนในตระกูลเฉินล้วนตะลึงกันไปแล้ว

เด็กคนนี้…..ทำไมถึงได้สามหาวถึงเพียงนี้

ต้องไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำขนาดไหน?

ท่านหลงกับคุนหลุนตกใจพร้อมกัน มองเฉินตงอย่างไม่กล้าจะเชื่อ

คุณชาย……..ต้องสามหาวขนาดนี้เลยเหรอ?

เยาะเย้ยคนตระกูลเฉินแบบนี้ กับการเยาะเย้ยคนทั้งตระกูลเฉิน มันต่างกันยังไง?

อย่างไรก็ตาม สายตาของทั้งสองคนหยุดอยู่บนร่างของเฉินตง แทบหายใจไม่ออก

เฉินตงในเวลานี้ แววตาที่ดูแคลน พลังที่ยิ่งใหญ่ ไม่ได้เห็นคนเหล่านี้อยู่ในสายตาเลย

กลับค่อยๆเดินไปข้างหน้า

ถึงขั้นใบหน้ายังได้แฝงไปด้วยรอยยิ้ม ยกมือคารวะ

“ฉัน ขอบคุณทุกคนที่มาเรียงแถวต้อนรับ”

ท่านหลงกับคุนหลุนตกใจ ใบหน้าเต็มไปด้วยความขมขื่น

พร้อมกับฟ่านลู่ รีบเดินตามไป

ความเงียบในกลุ่มคน สายตาที่ตกตะลึง

เฉินตงกลายเป็นจุดสนใจ ราวกับเข็มแหลมที่ไร้รูป แทงเข้าไปในหัวใจของทุกคนอย่างดุเดือด

คำพูดง่ายๆไม่กี่คำ ดูเหมือนเป็นการตบหน้าทุกคนที่อยู่ในนี้อย่างแรง

นี่คือการไม่เห็นหัว? เยาะเย้ย? ดูถูกดูแคลน?

“ซ้อมมันให้ตาย!”

ทันใดนั้น ในกลุ่มคน เสียงที่ราวกับว่าได้ใช้พลังไปทั้งหมด ก็ดังขึ้นมาในทันใด

ราวกับน้ำที่เทลงในกระทะน้ำมันเดือด ทำให้ทุกคนที่นิ่งเงียบ เดือดพล่านขึ้นมาทันที

“ตีมันให้ตาย หยามตระกูลเฉินของเรา เด็กคนนี้ควรตาย!”

“ตระกูลเฉินที่สง่างาม ทำไมถึงถูกคนมาหยาบถึงที่? สมควรตาย สมควรตายชัดๆ!”

……

อารมณ์ของกลุ่มคนที่ดุเดือด

ท่านหลงกับคุนหลุนที่กังวลต่างก็หนักใจในเวลาเดียวกัน

“คุนหลุน!”

ท่านหลงตะโกนอย่างจริงจัง

เกือบจะในเวลาเดียวกัน ทั้งสองคนก้าวเดินไปข้างหน้าพร้อมกัน ประกบที่ด้านซ้ายด้านขวาของเฉินตง

สีหน้าของท่านหลงแดงก่ำ เต็มไปด้วยพลังข่มขู่ กล่าวด้วยความโกรธ

“เขาเป็นลูกชายแท้ๆของเจ้าบ้าน หนึ่งในผู้สืบทอดของตระกูลเฉิน คุณชายเฉินตง ฉันก็อยากจะดูเหมือนกัน ว่าพวกแกใครจะกล้า?”

ตู๊ม!!

เสียงของใบหน้าที่กระแทกกับเสาหิน เหมือนดั่งเสียงฟ้าร้อง

ทุกคนที่อยู่ในนั้นตัวสั่นในเวลาเดียวกัน

โหดเหี้ยม เด็ดขาดไม่ลังเล

เฉินตงในเวลานี้ ทำให้ทุกคนหลังเย็นวาบ เหมือนกับอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง

แม้แต่นักธุรกิจรายใหญ่ที่มองดูอยู่ ที่เคยเห็นเรื่องแบบนี้จนชิน ก็ยังถูกเฉินตงทำให้ตกใจจนกลัว

นี่……….ก็โหดเกินไป บ้าเกินไปแล้วมั้ง?

หน้าบ้านตระกูลเฉิน ไม่เกรงใจผู้สืบทอดตระกูลเฉินขนาดนี้เลยหรือ?

“ของปลอมที่ไร้ประโยชน์”

มือขวาของเฉินตงได้ปล่อยคอของเฉินเทียนหย่างออก

เมื่อไร้การดึงกระชาก เฉินเทียนหย่างก็ทรุดตัวลงไปกับพื้น ราวกับกุ้งนิ่ม

บนใบหน้าที่ชั่วร้ายและหล่อเหลา เต็มไปด้วยเลือด สันจมูกยุบ เห็นได้ชัดว่ามันถูกชนจนหัก

ช่างน่าสงสารและสังเวชนัก

เฉินเทียนหย่างในเวลานี้ แววตาล่องลอย ตกใจจนอึ้งไปแล้ว

นี่มันใช่เฉินตงคนเดิมหรือเปล่า?

เฉินตงที่ไร้ประโยชน์คนนั้นในตอนแรก ยังต้องพึ่งพาความช่วยเหลือของคุนหลุนนะ!

ด้วยความเจ็บปวดอย่างรุนแรงบนใบหน้า เฉินเทียนหย่างก็รู้สึกตัวในที่สุด

“อ้า!”

หน้าซุ้มประตูตระกูลเฉิน เสียงกรีดร้องที่น่าสังเวช ทำเอาหูเกือบหนวก

มันคือเสียงร้องของเฉินเทียนหย่าง!

แฝงไปด้วยความไม่พอใจ ความโกรธ ความคับแค้นใจที่ไม่สิ้นสุด

“เฉินตง แกมันใจกล้ามากนัก!”

เฉินเทียนหย่างที่นอนอยู่บนพื้น โกรธถึงขีดสุด ร่างกายสั่นเทา “ฉันเป็นผู้สืบทอดของตระกูลเฉิน แก แกกล้ามาวางอำนาจบาตรใหญ่ในคฤหาสน์ตระกูลเฉิน ก็รอบทลงโทษของตระกูลได้เลย!”

ได้ยินเช่นนี้

สีหน้าของท่านหลงกับคุนหลุนเปลี่ยนไปมากทีเดียว

ตอนแรกที่เฉินเทียนหย่างวางแผนทำร้ายเฉินตง อยากได้กู้ชิงหยิ่ง ก็เพราะกลัวกฎของตระกูล สุดท้ายเฉินตงจึงให้คุนหลุนทุบขาของเฉินเทียนหย่างให้หัก

ถึงกระนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงกฎของตระกูล เฉินตงก็ได้ใช้สมองของเขาอย่างถึงที่สุด

แต่ตอนนี้ เฉินตงอยู่ในตระกูลเฉิน ทำร้ายเฉินเทียนหย่างจนมีสภาพแบบนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าได้ชนกฎของตระกูลที่เป็นปากกระบอกปืนไปโดยตรงแล้ว

“วางอำนาจบาตรใหญ่?”

เฉินตงยิ้มขึ้นมาทันที รอยยิ้มทำให้คนที่มองอยู่ใจสั่นระทึก “ฉันก็วางอำนาจบาตรใหญ่ไปแล้ว ยังจะกลัวกฎของตระกูล?”

ปัง!

ยังไม่ทันจะสิ้นเสียงพูด

เฉินตงก็ยกเท้าขึ้นมาอย่างอุกอาจ ราวกับค้อนหนัก กระทืบลงไปที่ขาขวาของเฉินเทียนหย่างอย่างเต็มกำลัง

แกระ!

เสียงกระดูกหักที่คมชัด ทำให้ทุกคนสูดลมหายใจเข้า

ภายใต้สายตาที่จ้องมองอยู่มากมาย ในขณะที่เฉินเทียนหย่างกรีดร้องเหมือนหมูถูกเชือด น่องขวาของเขาโค้งงอแปลกๆเป็นส่วนโค้งที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า กระดูกสีขาวทะลุออกมา ถูกย้อมไปด้วยเลือด สัมผัสกับอากาศ

ในเวลานี้ อากาศดูเหมือนจะหยุดนิ่ง

สายตาแต่ละคู่ราวกับกำลังมองวิญญาณชั่วร้ายที่น่าขยะแขยง มาหยุดอยู่บนตัวของเฉินตง

แต่เฉินตง กลับไม่รู้สึกอะไร

เขาที่ยืนอยู่เหลือบตามองเฉินเทียนหย่างที่นอนอยู่บนอย่างหมาที่ตายแล้ว

สายตาเย่อหยิ่ง ทะนงตนอย่างเผด็จการ

“จำประโยคนี้เอาไว้! การไม่ได้เจอกันเพียงไม่กี่วันจะต้องทำให้คนอื่นมองด้วยสายตาที่น่าทึ่ง แกมันคนไร้ประโยชน์ที่ไม่รู้จักฝ่ายหาความก้าวหน้า ไม่ได้หมายความว่าฉันเฉินตงก็จะเป็นแบบแก!

เฉินเทียนหย่างอึ้งไปโดยสิ้นเชิง

ในเวลานี้ เผชิญหน้ากับเฉินตง เขาน้อยมากที่จะรู้สึกกลัวกลับกลัวขึ้นมา

มันก็คือคนบ้าคนหนึ่ง!

ก็คือคนบ้าที่ไร้กฎหมายกระทำชั่วโดยไร้ยางอาย หยิ่งทะนงและดุร้าย!

เฉินตงกลับไม่สนใจเฉินเทียนหย่างอีก หันหน้าไปมองเหล่าคนรับใช้ที่ตกตะลึงไปนานแล้ว

“เจ้านายของพวกแกก็เป็นแบบนี้แล้ว พวกแกจะไม่แสดงอะไรหน่อยเลยเหรอ?”

“ห๊า!”

เหล่าคนใช้ในบ้านตื่นตระหนกทันที ในขณะเดียวกันก็ปรับทิศทาง วิ่งเข้าไปในคฤหาสน์ตระกูลเฉิน

“มาซ้อมคนเร็ว! คุณชายเทียนหย่างถูกคนซ้อม!”

น้ำเสียงที่แสบหู ดังกังวานไปทั่วซุ้มประตู และผ่านไปยังคฤหาสน์

เฉินตงยิ้มอย่างเย็นชา

ท่านหลงเดินนำขึ้นมาก่อน “คุณชาย เราไปกันเถอะ”

“ไป?”

เฉินตงมองท่านหลง

สีหน้าของท่านหลงนั้นแย่มาก สายตามัวหมอง

คุนหลุนปรับโทนเสียงของเขาและกล่าวว่า “คุณชายละเมิดกฎของตระกูลอย่างโจ่งแจ้ง คราวนี้ตระกูลเฉินนั้นเข้าไปไม่ได้แล้ว สามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้ก็ถือเป็นเรื่องดีแล้ว”

ฟ่านลู่ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ปฏิกิริยาของท่านหลงกับคุนหลุน ก็ทำให้เธอรู้ว่าเรื่องมันใหญ่โตแล้ว!

“ในเมื่อมาแล้ว ทำไมต้องกลับ?”

เฉินตงหัวเราะด้วยความโกรธ “เฉินเทียนหย่างหยามว่าฉันเป็นลูกสวะ ไม่ให้ฉันเข้าคฤหาสน์ตระกูลเฉิน รังแกฉันขนาดนี้ ฉันไม่ควรตอบโต้? เขาไม่ให้ฉันเข้าบ้านตระกูลเฉิน งั้นฉันก็จะเข้าประตูตระกูลเฉินให้ได้!”

พูดจบ เฉินตงก็หันกายอย่างจริงจังดูน่ากลัว เดินไปที่คฤหาสน์ตระกูลเฉินอย่างหยิ่งผยอง

ท่านหลงกับคุนหลุนมองสบตากัน แล้วตามติดไปพร้อมกัน

ฟ่านลู่เหลือบมองไปโดยรอบ กำลังจะตามไป แต่ทันใดนั้นเธอก็เห็นบางสิ่งจากหางตาของเธอ และใบหน้าที่สวยงามของเธอก็เปลี่ยนไปในทันที

“ที่ฉันมาครั้งนี้ ข้อแรกคือมาเยี่ยมคุณพ่อ เพื่อความกตัญญู ข้อสองเพื่อต้องการสืบหาความจริง เพื่อตัวเอง ต่อให้ตระกูลเฉินจะเป็นสวรรค์ ฉันก็จะหาทาง เข้าไปโดยตรง!”

เฉินตงที่มีพลังอันยิ่งใหญ่ ราวกับดึงภูเขาในพื้นที่ราบ ทำให้คนใจสั่นระทึก

ก้าวเดินไปทีละก้าว ไม่ช้าไม่เร็ว คล้ายกำลังเดินเล่น โดยไม่ตื่นตระหนก

ท่านหลงกับคุนหลุนตามมาอย่างใกล้ชิด เหงื่อหยดหนาๆหลั่งออกมาจากหน้าผากของพวกเขาโดยไม่รู้ตัว แผ่นหลังก็มีความเย็นโชยเข้ามาเป็นระยะ

การเปลี่ยนแปลงของเฉินตง ทำให้ทั้งสองคนตื่นตระหนกและทำอะไรไม่ถูก

ทั้งสองคนก็หวังที่อยากจะให้เฉินตงมีการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ เพราะพวกเขานั้นเข้าใจดี แบบนี้ถึงจะเป็นลักษณะที่แท้จริงของการแย่งชิงตำแหน่งเจ้าบ้าน ก็ควรมีพลังอำนาจของเจ้าบ้านของตระกูลเฉิน

ทว่า ความมีอำนาจแบบนี้ ดันไปยังถึงตระกูลเฉินไปเสีย!

“คุณเฉิน!”

ทันใดนั้น ด้านหลังก็ด้านขึ้นด้วยเสียงเรียกของฟ่านลู่

เฉินตงหยุดฝีเท้าลง หันหน้าไปถาม “มีเรื่องอะไร?”

ใบหน้าที่สวยงามของฟ่านลู่ซีดเผือด ชี้ไปที่ยอดซุ้มประตู

เฉินตงเงยหน้ามอง ทันใดนั้นม่านตาก็หดเกร็ง เอ็นตรงหางตาก็นูนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

บนซุ้มประตูที่สูงตระหง่าน

กลับแขวนไว้ด้วย……..หัวของมนุษย์หนึ่งหัว!

ภายใต้แสงแดดอันอบอุ่น ศีรษะมนุษย์ถูกแขวนไว้สูงสุดเหนือซุ้มประตู เป็นศีรษะมนุษย์ที่เปื้อนเลือด พันด้วยเทป และเผยให้เห็นเพียงดวงตาเท่านั้น

เพียงแต่ตอนนี้ ตาที่เปื้อนเลือด ได้ปิดแน่นไปแล้ว

“ยิวหมิน?!”

เฉินตงอดไม่ได้ที่จะอุทานเบาๆ

เมื่อกี้เฉินตงกวาดมองซุ้มประตูไปแวบหนึ่ง แต่ไม่ได้มองละเอียด อีกอย่างหัวมนุษย์หัวเล็กๆเมื่อเทียบกับซุ้มประตูที่ใหญ่สูงตระหง่าน มันไม่เด่นชัดเลย

แต่เวลานี้ เมื่อถูกฟ่านลู่เตือน หลังจากที่เห็น ก็อดไม่ได้ที่ทำให้ใจของเฉินตงรู้สึกขยะแขยง

“นี่ถือเป็นการเตือนมั้ย? สมกับที่เป็นตระกูลเฉินจริงๆ เรียกได้ว่าเผด็จการไม่มีใครเหนือ!”

เฉินตงถูจมูกของเขา แววตาเกิดความกระจ่าง ยิ้มเล็กน้อย หันหลังเดินเข้าไปในตระกูลเฉิน

ตระกูลเฉินที่มากไปด้วยอำนาจบารมี เจ้าบ้านถูกลอบสังหาร แล้วนำหัวของฆาตกรไปแขวนไว้ข้างบน ไม่เพียงแต่จะทำให้คนสะเทือนขวัญ แต่ยังได้แจ้งเตือนให้ผู้ที่เป็นนักฆ่าทราบถึงผลตอบแทนในการลอบสังหารตระกูลเฉินอีกด้วย!

ในตระกูลผู้ร่ำรวย ก็คงมีแต่ตระกูลเฉินที่กล้าทำเช่นนี้!

และในเวลาเดียวกัน

ตามมาด้วยเหล่าคนรับใช้ที่เอะอะโวยวายวิ่งเข้าไปในคฤหาสน์

ราวกับดาวหางได้ชนเข้ากับโลก ตระกูลเฉินลุกเป็นไฟแล้ว!

ทุกคนล้วนตกตะลึงกันไปแล้ว

คุณชายเทียนหย่างถูกซ้อมเหรอ?

ยังอยู่หน้าประตู?

พระเจ้า!

มันเป็นนักฆ่าคนไหนกัน กินดีหมีดีเสือเข้าไปหรือ ถึงได้กล้ามาโดนหาที่ตายแบบนี้?

ตระกูลเฉิน…….กลายเป็นคนอ่อนแอรังแกได้ง่ายตั้งแต่เมื่อไหร่?

ขณะนี้ พี่ๆน้องๆในคฤหาสน์ก็รีบพาคนใช้บุกไปที่หน้าซุ้มประตู

และในเรือนที่ไม่ไกลนัก

ในลานสวน

ไม้จันทน์หอม ในสไตล์โบราณ

ก้องกังวานไปด้วยเสียงสวดมนต์ เปี่ยมไปด้วยความปีติสุข

คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินคุกเข่าอยู่ในห้องพระ เผชิญหน้ากับพระพุทธรูปทองคำ ใบหน้าสงบมีเมตตา ปัดลูกปัดพร้อมกับสวดมนต์

พรึ่บ!

ประตูห้องพระถูกผลักออก

คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินในห้องพระก็ขมวดคิ้ว มือสั่นไปหนึ่งที อดไม่ได้ที่จะใช้แรงเพิ่มขึ้น

จากนั้น ลูกปัดหินอาเกตในมือก็ขาด ร่วงกระจายเต็มพื้น

“คุณย่า แย่แล้ว ไอ้ลูกสวะอย่างเฉินตงมันมาที่ตระกูลเฉินแล้ว แถมยังทำร้ายเฉินเทียนหย่างจนพิการ!”

ทันใดนั้น คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินก็ลืมตาด้วยความโกรธ เดือดพล่านไปด้วยแรงแห่งการฆ่า พร้อมกับไฟโกรธ

“ไอ้ลูกสวะ คงจะคิดว่าตระกูลคิดรังแกได้ง่าย? คงจะคิดว่าตัวเองมีเก้าชีวิต?”

ลูกสวะ?!

เฉินตงสีหน้าเย็นชา ในใจมีความหดหู่

กำมือแน่นทั้งสองข้างอย่างเงียบๆ จนเส้นเอ็นตรงหลังมือโผล่ขึ้นมาอย่างชัดเจน

ฟ่านลู่ที่อยู่ด้านข้าง สัมผัสถึงไอเย็นอย่างชัดเจน อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองเฉินตงอย่างตื่นกลัว

ท่านหลงกับคุนหลุน สีหน้าจมดิ่งลงไปถึงจุดต่ำสุด

นี่มันคือซุ้มประตูด้านหน้าของตระกูลเฉิน มีคนมามากมาย

กลับเรียกเฉินตงว่าลูกสวะโดยตรง เป็นการสร้างความอัปยศให้กับเฉินตง และได้เหยียบย่ำเขาอย่างรุนแรง

ถึงขนาดที่ไม่คะนึงถึงภาพพจน์ของตระกูลเฉิน!

“คุณชายเทียนหย่าง”

คนรับใช้หนุ่มสาวหลายคนก็โล่งใจไปทันที ต่างตะโกนอย่างประจบสอพลอ

และโดยรอบ ก็มีคนที่มาเคาะประตูขอเข้าพบอย่างไม่ขาดสาย

การปรากฏตัวของเฉินเทียนหย่าง ทำให้คนเหล่านี้มองไปอย่างดีใจและกลัว แววตาเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น

แต่ด้วยคำพูดเพียงประโยคเดียวของเฉินเทียนหย่าง กลับทำให้ทุกคนกลัวอย่างอธิบายไม่ถูก และเขาก็ขัดจังหวะคนที่มีความคิดที่เข้ามาประจบเพื่อหวังก้าวหน้า หยุดฝีเท้ามองดู

“เทียนหย่าง นายก็เป็นรุ่นหัวกะทิของตระกูลเฉิน เป็นหนึ่งในผู้สืบทอด พูดจาแบบนี้ ไร้มารยาทเกินไปหรือเปล่า?”

ท่านหลงสีหน้ามืดมน ได้บีบคำพูดประโยคนี้ออกมาจากซอกฟัน

เผชิญกับคนใช้ในบ้าน เขาสามารถวางอำนาจข่มขู่ได้

แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเฉินเทียนหย่างซึ่งมีตำแหน่งเป็นผู้สืบทอด สุดท้ายเขาก็ต้องอดกลั้นความโกรธเอาไว้

“มารยาท?”

เฉินเทียนหย่างยิ้มเยาะ สองมือผลักออกไป “ไม่ใช่มั้ง ท่านหลง มารยาทนั้นไม่ได้มีไว้ใช้กับลูกสวะนะ!”

เมื่อคำพูดนี้ถูกพูดออกมา

ทันใดนั้นแววตาของท่านหลงก็เดือดพล่านไปด้วยไฟโกรธ

คุนหลุนนั้นจะกระโดดไปข้างหน้า กลับถูกท่านหลุงแอบดึงตัวเอาไว้

สีหน้าของเฉินเทียนหย่างเคร่งขรึมขึ้นมาทันที กล่าวอย่างเฉียบขาด “ลูกสวะห้ามเข้า นี่เป็นกฎของตระกูลเฉิน อยู่ในถิ่นฐานของตระกูลเฉิน ก็ต้องทำตามกฎของตระกูลเฉิน คนที่ไม่ปฏิบัติตาม ก็เท่ากับท้าทายตระกูลเฉินของฉัน!”

แววตาของเขาเยือกเย็น ยิ้มเยาะเย้ยและพูดติดตลกกับท่านหลงและคุนหลุน “ท่านหลง คุนหลุน แกสองคนคิดจะกินบนเรือนขี้บนหลังคา และยังจะมาท้าทายตระกูลเฉิน?

ที่หน้าซุ้มประตูอันกว้างขวาง อากาศเย็นเฉียบในพริบตา

กลุ่มคนที่มองดูเหตุการณ์ต่างตกตะลึง ใจเย็นวาบ และกระซิบกันด้วยความหวาดกลัว

“โอ้พระเจ้า! ฉันมาตระกูลเฉินสิบกว่าครั้ง นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็น!”

“ลูกสวะ? !ผู้ชายคนที่อยู่ในรถคือลูกสวะของตระกูลเฉิน?”

“พระเจ้า แม้ว่าพวกเราจะมาเคาะประตูบ้านแต่ก็ไร้ประโยชน์ ถูกพวกคนใช้ปฏิเสธให้อยู่ด้านนอกประตู ก็ไม่ถึงกับต้องดูถูกหมิ่นและข่มขู่ถึงขั้นนี้หรอกมั้ง?”

……

ท่านหลงกับคุนหลุนเดือดไปด้วยไฟโกรธ

อย่างไรก็ตาม คำพูดประโยชน์สุดท้ายของเฉินเทียนหย่าง วางอำนาจในการข่มเหงรังแกคนอื่นชัดๆ

หากท่านหลงกับคุนหลุนกล้าเถียง ก็จะถูกตั้งข้อกล่าวหาว่าเป็นคนที่ท้าทายตระกูลเฉิน

พวกนักธุรกิจทั้งหลายยังไม่กล้าท้าทายตระกูลเฉินเลย

พวกเขา ทั้งที่เป็นคนของตระกูลเฉิน จุดจบของการท้าทาย……..

“ท้าทายตระกูลเฉิน?”

ทันใดนั้น เสียงที่เย้ยหยันก็ดังขึ้น ทำลายบรรยากาศที่เงียบสงัดโดยรอบ

สายตาทุกคู่จับจ้องไปอยู่ที่เจ้าของเสียง

บางคนตะลึง บางคนแปลกใจ บางคนไม่กล้าจะเชื่อ

เฉินตงลุกขึ้นมาแล้ว สีหน้าเคร่งขรึม ปรากฏให้เห็นถึงความเย่อหยิ่ง “ฉันท้าทายตระกูลเฉิน แล้วแกจะทำอะไรฉันได้?”

อวดดี สายตาดูถูกเหยียดหยาม

หยาบคาย เผด็จการ

คำพูดประโยคเดียว ทำให้ผู้ชมที่อยู่ในเหตุการณ์เหมือนถูกฟ้าผ่า หวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูก

พระเจ้า!

ไอ้หมอนี่มันบ้าไปแล้วเหรอ?

คำพูดนี้มันช่างไม่เห็นคนอื่นอยู่ในสายตาเลย?

ท่านหลงกับคุนหลุนก็ตื่นตระหนกไม่รู้จะทำอย่างไรดี

คำพูดประโยคนี้ของเฉินตง ถูกใจเฉินเทียนหย่างอย่างไม่ต้องสงสัย!

เป็นจริงเช่นนี้

เฉินเทียนหย่างยิ้มอย่างเย็นชา “ลูกสวะก็กล้าที่จะพูดจาเช่นนี้ด้วยเหรอ? ลากตัวมันออกไป!”

“หยุดนะ!”

ท่านหลงกับคุนหลุนตะโกนพร้อมกัน

คุนหลุนกระโดดลงมาจากรถโดยตรง ขวางอยู่หน้ารถ

และฟ่านลู่ ก็ลุกขึ้นอย่างรีบร้อน คุ้มกันเฉินตงอยู่ข้างๆ

กลิ่นของความรุนแรง พริบตาเดียวก็เข้มข้นขึ้นอย่างมาก

ผู้ชมที่อยู่ในเหตุการณ์หลังจากที่หายกลัวแล้ว แววตาก็ฉายแววสว่าง รู้สึกตื่นเต้นอย่างแปลกประหลาด

บางที่อาจจะเป็นเพราะถูกตระกูลเฉินที่หยิ่งผยองกดดันมานานเกินแล้ว

บางทีอาจจะคับข้องใจจากการมาเคาะประตูตระกูลเฉินนับครั้งไม่ถ้วนแต่ก็ไม่เกิดประโยชน์

ทำให้ผู้ชมที่อยู่ในเหตุการณ์ในเวลานี้เห็นคนท้าทายตระกูลเฉิน กลับมีความรู้สึกเบิกบานใจ

อย่างไรก็ตาม……..การเฝ้าดูเรื่องสนุกไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไร

“ไปจัดการมันเลย!”

เฉินเทียนหย่างตะโกนใส่คนรับใช้ทั้งหลายที่ยืนซื่อบื้ออยู่อย่างโมโห

เหล่าคนรับใช้กำลังลังเลอยู่ และเข้าไปล้อมรถที่จอดอยู่

“คุนหลุน หยุดเดี๋ยวนี้!”

เฉินตงสั่งอย่างเย็นชา

ภายใต้สายตาที่จ้องมองอยู่มากมาย เขาก้าวลงมาจากรถอย่างสงบใจเย็น

สีหน้าเย็นชาและเคร่งขรึม ให้ความรู้สึกเย้ยหยันในความเผด็จการ

ในเวลานี้ บุคลิกทั้งหมดของเฉินตงเปลี่ยนไปอย่างมาก เหมือนภูเขาที่ตั้งตระหง่าน และทะเลที่ยิ่งใหญ่

สายตา ก็คมเฉียบอย่างไม่มีใครเทียบได้

สองมือของเขาล้วนอยู่ในกระเป๋า เดินเข้าไปหาเหล่าคนรับใช้ด้วยท่าทางที่เหมือนกับเดินเล่น สายตาที่คมเฉียบราวกับสามารถฆ่าคนได้

“ฉันก็อยากจะดูเหมือนกัน ใครจะกล้าแตะต้องฉัน!”

น้ำเสียงที่หยิ่งผยอง ทำให้ทุกคนตื่นตกใจ

เหล่าคนรับใช้ ล้วนตะลึงกันไปหมด ไม่แม้กระทั่งที่จะกล้าสบตากับเฉินตง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องลงมือทำร้ายเลย

แม่แต่คุนหลุน ท่านหลงและฟ่านลู่ ก็คิดไม่ถึงว่าเฉินตงจะกลายเป็นแบบนี้ในทันใด

สายตาทุกคู่จับจ้องอยู่ที่เฉินตง

ในขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าบ้านตระกูลผู้ร่ำรวยที่มองดูอยู่ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าตัวเองนั้นตัวเล็กกว่ามากเมื่ออยู่ข้างหลังของเฉินตง

“ลงมือสิ? พวกแกล้วนเป็นคนรับใช้ของตระกูลเฉินของฉัน ตอนนี้ตายไปหมดแล้วเหรอ?”

เฉินเทียนหย่างใจเต้นระทึก เห็นเฉินตงเดินเข้ามา ก็ตะคอกใส่คนรับใช้

และแล้ว เหล่าคนรับใช้ราวกับว่าถูกตอกให้อยู่ตรงที่เดิม

“ขาของแก ยังหักไม่พอใช่มั้ย?”

เฉินตงก้าวเดินเข้าไปหาเฉินเทียนหย่างทีละก้าว ยิ้มอย่างเย้ยหยัน

เดิมเขาไม่อยากมีส่วนร่วมกับการพัวพันในเมื่อกี้

การมาตระกูลเฉินครั้งแรก ฟังท่านหลงกับคุนหลุนจัดการก็พอ

แต่ในเมื่อเฉินเทียนหย่างมีความคิดที่จะหาเรื่องเขาแต่แรกแล้ว ไม่แม้กระทั่งจะให้เข้าประตูตระกูลเฉิน กลับพูดคำว่าไอ้ลูกสวะไสหัวไป!

การเหยียบหยามแบบนี้ ทำไมต้องทน?

เฉินตงไม่ใช่คนนิสัยอ่อนแอยอมให้รังแกง่ายๆ

คนที่ดูถูกเหยียบหยามเขา เขาต้องให้มันชดใช้คืนสิบเท่า!

ร่างกายที่บึกบึนของเฉินเทียนหย่างสั่นสะท้าน ทันใดนั้นใบหน้าที่ชั่วร้ายก็ปรากฏขึ้นด้วยความดุร้าย

คำพูดประโยคนี้ของเฉินตง ราวกับว่าได้แทงใจดำเขา ทำให้เขามีความรู้สึกอยากจะอาละวาดในทันที

“ครั้งที่แล้วมีคุนหลุนช่วยแก ครั้งนี้อยู่หน้าประตูของตระกูลเฉิน คุนหลุนไม่กล้าลงมือแล้ว!”

เฉินเทียนหย่างหัวเราะอย่างชั่วร้าย ชั่วพริบตาเดียว ก็เหมือนเสือโคร่งที่ลงมาจากภูเขา บุกเข้าไปหาเฉินตงโดยตรง

ภาพที่กะทันหันนี้

ทำให้สถานที่เกิดเหตุอุทานขึ้นด้วยเสียงตกใจ

ท่านหลงกับคุนหลุนและฟ่านลู่สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก

และแล้ว

การเผชิญหน้ากับเฉินเทียนหย่างที่บุกเข้ามาอย่างอุกอาจ

เฉินตงกลับหยุดอยู่ที่เดิม ส่ายหัวแล้วยิ้มเจื่อนๆ “คุณลุงพูดถูก ผู้สืบทอดของเศรษฐีก็เป็นเพียงผีร้ายที่อยู่ภายใต้ผิวหนังที่สวยงามของมนุษย์ มีเพียงแต่คนที่ไม่กลัวตายและน่าขยะแขยงกว่าพวกแกถึงจะชนะมันได้”

ม่านตาของเฉินเทียนหย่างหดเกร็ง รอยยิ้มเจื่อนๆและความใจเย็นของเฉินตง ทำให้เขามีความรู้สึกกระวนกระวาย

แต่เขาที่บุกเข้ามาใกล้ ไม่มีความลังเลใดๆ ได้ปล่อยหมัดอันทรงพลังไปทางเฉินตงโดยตรง

โวง!

ถึงขนาด หมัดแฝงไปด้วยเสียงที่แสบหู

ในเวลานี้

เฉินตงขยับตัวแล้ว

ขยับร่างกาย เผชิญกับหมัดนั้นของเฉินเทียนหย่าง กลับไม่ได้หลบเลี่ยง เหมือนกับสัตว์ร้ายที่กระโจนเข้าหามัน และพุ่งเข้าไปโดยตรง

ในพริบตาเดียว หลบหมัดนั้นของเฉินเทียนหย่างได้อย่างง่ายดาย

อะไรเนี่ย?!

สีหน้าของเฉินเทียนหย่างเปลี่ยนไปอย่างมาก ในใจมีความกลัว

โดยที่ไม่รอให้เขาได้โจมตีต่อ

เขารู้สึกว่าคอของเขาถูกมือใหญ่จับไว้อย่างแน่นหนา

จากนั้น ก็เกิดแรงที่มหาศาล

ตู๊ม!!

เฉินตงที่จับคอของเฉินเทียนหย่าง กระแทกศีรษะของเขากับเสาหินของซุ้มประตูอย่างอุกอาจ

ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องของเฉินเทียนหย่าง เลือดได้กระเด็นไปที่เสาหิน เหมือนดอกพลัมที่เบ่งบาน สีแดงระยิบระยับ

ทางตอนเหนือของเมืองหลวง

เป็นแนวเทือกเขา

ตั้งแต่สมัยโบราณ ภูเขาแห่งนี้ ถือเป็นแนวป้องกันที่ยิ่งใหญ่ของประชาชน

เมื่อเวลาผ่านไป

แนวแม่น้ำตามธรรมชาติ ก็ค่อยๆ หมดประโยชน์

ทิวเขาเต็มไปด้วยความเงียบสงบและสันโดษ ผืนป่าเขียวขจีที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ ปกคลุมภูเขาทั้งลูกเอาไว้ราวกับเป็นเสื้อคลุมที่ลึกลับ

ในช่วงเช้าตรู่จะมีหมอกหนาแน่น

มีไม่กี่คนที่รู้ว่า ภายในภูเขาใหญ่โตลูกนี้ มีพื้นที่กว้างใหญ่ขนาดนี้แอบซ่อนอยู่

ดูราวกับสรวงสวรรค์ที่แยกออกมาจากโลกมนุษย์

อย่างไรก็ตาม ที่นี่เป็นที่ที่เหล่าบรรดาตระกูลมั่งคั่งต่างใฝ่หา

ทุกวัน จะมีเครื่องบินทะยานอยู่เหนือท้องฟ้าไม่ขาดสาย จะบินมาตามภูเขาและทำลายความเงียบสงบภายในภูเขา และลงจอดบนที่ราบนี้

อีกทั้งบนพื้นที่ราบ ยังมีคฤหาสน์ขนาดหนึ่งหมื่นเอเคอร์ตั้งอยู่ ซึ่งถือเป็นที่ใฝ่ฝันของเหล่าบรรดาตระกูลมั่งคั่งที่ยิ่งใหญ่

คฤหาสน์ที่ครอบคลุมพื้นที่หนึ่งหมื่นเอเคอร์ ตั้งอยู่บนสรวงสวรรค์ แต่ก็ยังคงเปล่งประกายความงดงามออกมา ราวกับดวงจันทร์และดวงดาวที่ส่องแสงในยามค่ำคืน เผยให้เห็นถึงเอกลักษณ์และความสง่างามของคฤหาสน์

ด้านหน้าประตูคฤหาสน์ มีการสร้างซุ้มประตูที่มีโล่ประกาศเกียรติคุณประดับเอาไว้

มีตัวอักษรที่วิจิตรและประณีตงดงามสองตัวประดับเอาไว้อยู่อย่างสง่างาม——จวนเฉิน !

และด้านนอกคฤหาสน์ มีลานบินสามลู่สำหรับเครื่องบิน และมีพื้นที่ว่างสำหรับขึ้นและลงเฮลิคอปเตอร์ ดูราวกับสนามบินขนาดเล็ก

เครื่องบินลงจอด เบรก และหยุด

“คุณชาย ถึงตระกูลเฉินแล้วครับ”

เฉินตงถูกท่านหลงปลุกให้ตื่นจากความฝัน

เฉินตงค่อยๆ ลืมตาขึ้น แต่ก็ไม่ได้ลุกขึ้นในทันที แต่กลับมองผ่านหน้าต่างออกไปด้านนอก

ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า ทำให้เขาตกตะลึงเป็นอย่างมาก

นี่ทำให้เฉินตงใจลอยไปครู่หนึ่ง

ฟ่านลู่เองก็ตกตะลึงจนอึ้งไปเช่นเดียวกัน

คฤหาสน์และปราสาท ใช่ว่าไม่เคยเห็น

คฤหาสน์ปราสาทของตระกูลหลี่ในเมืองหลวง ตอนนั้นก็ทำให้เฉินตงรู้สึกตื่นตะลึงไม่น้อย

แต่คฤหาสน์พื้นที่หนึ่งหมื่นเอเคอร์ที่อยู่ตรงหน้า ปราสาทเก่าแก่ของตระกูลหลี่ไม่อาจเทียบได้เลย เรียกได้ว่าเป็นเหมือนยักษ์ใหญ่กับยักษ์เล็กจริงๆ

ถ้าไม่ได้มาเห็นด้วยตาตัวเอง ใครจะสามารถจินตนาการได้ว่าตระกูลจะรุ่งเรืองและเฟื่องฟูถึงเพียงนี้ ?

หลังจากนิ่งอึ้งไปเกือบหนึ่งนาที

เฉินตงก็ตั้งสติกลับมาได้ เขาลูบจมูก จากนั้นจึงพูดออกมาอย่างเคร่งขรึมว่า : “ไปกันเถอะ”

ลงจากเครื่องบินแล้ว

มีรถคันหนึ่งมาจอดรอรับอยู่ด้านข้าง

ท่านหลงและคุนหลุนเดินนำไปก่อน

เด็กหนุ่มที่ขับรถมีความเคารพเป็นอย่างมาก

แต่เมื่อเฉินตงและฟ่านลู่เดินไปจนเกือบจะถึง เด็กหนุ่มกลับมองเฉินตงด้วยแววตาที่แปลกประหลาด และมีท่าทีที่ดูซับซ้อนขึ้นเล็กน้อย

ท่านหลงแสดงท่าทีเข้มงวดออกมา : “เป็นแค่คนรับใช้เล็กๆ เจอคุณชายยังไม่รู้จักทำความเคารพอีกเหรอ?”

เด็กหนุ่มผงะไป แล้วรีบโค้งคำนับ : “สวัสดีครับคุณชาย”

เฉินตงขานรับด้วยท่าทีที่สงบ จากนั้นจึงขึ้นรถพร้อมกับพวกท่านหลง

ถึงแม้ท่านหลงจะเป็นคนรับใช้ แต่เมื่อพบกับพวกเฉินเทียนเซิง ก็ไม่จำเป็นจะต้องแสดงความเคารพออกมามากนัก ดังนั้นการที่จะตำหนิคนรับใช้เล็กๆ สักคน จึงถือเป็นเรื่องปกติ

ตลอดทาง เฉินตงเห็นรถวิ่งไปมาระหว่างสนามบินและคฤหาสน์อยู่เป็นระยะๆ

แต่สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ รถที่มุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์ตระกูลเฉินนั้น ผู้โดยสารที่นั่งอยู่ภายในรถ ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดี แววตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความคาดหวัง

แต่รถที่แล่นออกมาจากคฤหาสน์ตระกูลเฉิน ใบหน้าของผู้คนกลับมีทั้งคนที่ตื่นเต้นยินดี และคนที่โศกเศร้า

“คุณชาย เมื่อก่อนพ่อตาของคุณก็ไม่ต่างกับคนเหล่านี้เลย”

ท่านหลงยิ้มแล้วชี้ไปที่รถโดยสาร แววตาเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง : “ที่นี่ถูกกำหนดขึ้นด้วยฐานะของตระกูลเฉิน และเป็นที่ที่สมาชิกทุกคนในตระกูลเฉินต่างภาคภูมิใจ แต่ทว่าความแตกต่างอยู่ตรงที่ คนบางคน แม้กระทั่งประตูใหญ่ของคฤหาสน์ก็ยังไม่มีโอกาสได้เหยียบเข้าไป ก็ถูกคนรับใช้ขับไล่ออกมาเสียแล้ว หรือไม่ ถ้าหากเข้าไปในคฤหาสน์ตระกูลเฉินแล้ว ก็ถูกคนรับใช้ที่ฐานะสูงสักหน่อยขับไล่ออกมา”

“ส่วนคนที่ประสบความสำเร็จ จะได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากสมาชิกรุ่นเยาว์ที่เป็นหัวกะทิของตระกูล และตกลงในสิ่งที่พวกเขาร้องขอ

“ตามที่นายพูดมา คนที่จะสามารถเข้าพบผู้ที่มีอำนาจของตระกูลเฉินได้นั้น มีอยู่น้อยมาก ยิ่งโอกาสที่จะได้พบพ่อของฉันด้วยแล้ว คือหนึ่งในล้าน?” เฉินตงถาม

“ประมาณนี้ครับ”

ท่านหลงยิ้มอย่างภาคภูมิใจ แล้วพูดต่อว่า : “ส่วนพ่อตาของคุณ เมื่อก่อนกระผมเป็นคนต้อนรับ นี่ถือเป็นการต้อนรับระดับสูงจากตระกูลเฉินแล้ว ถึงว่าสูงกว่าการต้อนรับของสมาชิกหัวกะทิรุ่นเยาว์”

ต่อให้พ่อตาจะถือเป็นผู้นำของกลุ่มบริษัทข้ามชาติ หรือแม้แต่โจวเย่นชิวซึ่งถือเป็นผู้นำชั้นแนวหน้าของห้างสรรพสินค้า เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาก็เป็นเพียงแค่มดตัวเล็กๆ ตัวหนึ่งเท่านั้น

การได้รับการต้อนรับจากท่านหลง ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ

เฉินตงไม่ได้รู้สึกแปลกใจ แต่กลับรู้สึกประหลาดใจกับลำดับชั้นที่เข้มงวดของตระกูลเฉิน

แม้แต่การต้อนรับแขกที่มาจากภายนอก ก็ยังมีการแบ่งระดับการต้อนรับอย่างเข้มงวด สิ่งนี้หากอยู่ในตระกูลมั่งคั่งตระกูลอื่น ต่อให้เป็นตระกูลที่ร่ำรวยอันดับหนึ่งอย่างตระกูลหลี่และตระกูลฉิน ก็ไม่เคยมีแบบนี้มาก่อน

เมื่อมองดูคนที่นั่งอยู่บนรถที่แล่นผ่านไปคันแล้วคันเล่า เฉินตงก็รู้สึกหดหู่ขึ้นเล็กน้อย

นี่คงเป็นการยืนยันคำพูดที่ว่า “ของบางอย่างเพียงแค่เกิดมาก็มี หรือไม่ก็อาจไม่มีไปตลอดชีวิต” ?

คนเหล่านี้พยายามอย่างสุดความสามารถ เพื่อที่จะให้ได้เหยียบเข้าไปในตระกูลเฉิน แต่ฉันกลับสามารถเข้าไปได้ โดยไม่ต้องผ่านความเห็นชอบจากใคร

เรื่องของชาติกำเนิด สามารถกดขี่คนได้จริงๆ !

ทว่า

เมื่อรถแล่นไปถึงใต้ซุ้มประตูทางเข้าของคฤหาสน์ตระกูลเฉิน กลับถูกกลุ่มเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของตระกูลเฉินกลุ่มหนึ่งเข้ามาขวางเอาไว้

“หลีกไป ใครกล้าขวางรถของฉัน?”

ท่านหลงพูดขึ้นเสียงดังด้วยความโมโห

คุนหลุนเองก็ลุกขึ้นด้วยความโกรธเคือง : “แค่สุนัขรับใช้ฝูงหนึ่ง ยังไม่รีบหลีกทางไปอีก ?”

คนหนึ่งเป็นคนสนิทของเจ้าบ้าน ส่วนอีกคนเป็นบอดี้การ์ดคนสนิทของเจ้าบ้าน และเป็นอาจารย์ของทายาทระดับหัวกะทิ

ด้วยฐานะแล้ว ถือว่าห่างไกลจากคนรับใช้มาก

ถึงแม้จะได้รับความยำเกรงจากทายาทระดับหัวกะทิ

แต่ทว่าตอนนี้ กลับถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเหล่านี้คนขวางเอาไว้ !

ใบหน้าของคนรับใช้วัยหนุ่มหลายคน แสดงความหวาดกลัวออกมา

หนึ่งในนั้นมีคนที่เป็นหัวหน้า เขารวบรวมความกล้าแล้วพูดออกมาว่า : “ท่านหลง พี่คุนหลุนสามารถเข้าไปได้ แต่คนนอกอีกสองคนที่มีฐานะไม่ชัดเจน ไม่สามารถเข้าไปข้างในได้”

ใบหน้าของเฉินตงเคร่งขรึมลงทันที และรู้สึกขำขึ้นมา

คนนอกที่มีฐานะไม่ชัดเจน ไม่สามารถเข้าไปได้ ?

คำพูดเช่นนี้ ดูเหมือนจะเกินจริงไปหน่อย ?

“หลีกไป! คนที่ฉันกับคุนหลุนพามา จะเป็นคนนอกที่มีฐานะไม่ชัดเจนได้อย่างไร ?

ท่านหลงสีหน้าบึ้งตึง แววตาเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว : “ต่อให้ต้องสอบถาม ก็ควรให้คนในตระกูลเฉินมาสอบถาม จะให้พวกแกเข้ามาขวางง่ายๆ แบบนี้ได้เหรอ? ใครเป็นคนใช้ให้พวกแกทำเช่นนี้ ?”

น่าเกรงขาม

เอ่ยถามอย่างตรงประเด็น

แม้กระทั่งการต้อนรับแขกก็มีกฎเกณฑ์ที่เคร่งครัด ถ้าหากไม่ได้รับคำสั่งมา แค่คนรับใช้ที่เฝ้าประตูไม่กี่คน ไม่มีทางกล้าทำเรื่องที่อุกอาจเช่นนี้แน่นอน ?

สีหน้าของคนรับใช้วัยหนุ่มเหล่านี้เปลี่ยนไปพร้อมกันในทันที เพราะรู้สึกหวาดกลัวคำตำหนิที่รุนแรงของท่านหลง

เด็กหนุ่มที่เป็นหัวหน้าแววตาสั่นเครือ เขาเงียบไปสักพัก แล้วจู่ๆ ก็เงยหน้าขึ้นมามองท่านหลง

“ท่านหลง ต้องขออภัยด้วย เนื่องจากเจ้าบ้านถูกลอบทำร้ายเมื่อไม่นานมานี้ การรักษาความปลอดภัยในตระกูลเฉิน จึงมีการยกระดับไปถึงระดับสูงสุด ดังนั้นผมจึงจำเป็นต้องตรวจสอบอย่างเคร่งครัด”

เผียะ !

ท่านหลงตบหน้าของคนรับใช้หนุ่ม

“เหลวไหล! เป็นแค่สุนัขรับใช้ คิดที่จะมาต่อล้อต่อเถียงกับฉันอย่างนั้นเหรอ?”

น้ำเสียงโกรธเกรี้ยว ทำให้คนรับใช้วัยหนุ่มเหงื่อกาฬไหลชุ่มเต็มหน้าผาก และมีท่าทีหวาดกลัว

สิ่งนี้ทำให้บรรดาแขกที่อยู่รอบๆ ต่างแสดงความตกใจออกมา

ยังไม่มีใครกล้าอวดดีต่อหน้าคฤหาสน์ตระกูลเฉินเช่นนี้ !

ราวกับทุกสิ่งหยุดชะงักลงไปชั่วขณะ

เฉินตงยังคงนั่งนิ่งไม่พูดไม่จาอยู่ภายในรถ แล้วปล่อยให้ท่านหลงกับคุนหลุนเป็นคนจัดการ ส่วนตนเองก็มีเพียงแค่รอยยิ้มที่เย็นชาปรากฏขึ้นเล็กน้อยบนใบหน้าเท่านั้น

หากมีท่านหลงและคุนหลุนคอยนำทาง คนรับใช้ที่เฝ้าประตูเพียงแค่ไม่กี่คน ไม่มีทางขัดขวางได้สำเร็จอย่างแน่นอน

สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า มีคนที่คอยแอบออกคำสั่งอยู่

“นี่เพิ่งจะมาถึงตระกูลเฉิน ก็ปล่อยสุนัขรับใช้วองสามตัวมากัดฉันแล้วเหรอ?”

เฉินตงแอบคิดอยู่ในใจ แล้วจู่ๆ เขาก็หรี่ตาลง

มองเห็นร่างร่างหนึ่ง กำลังเดินตรงมาจากซุ้มประตูของคฤหาสน์ตระกูลเฉิน

“เฉินเทียนหย่าง!”

จู่ๆ ใบหน้าเย็นชาของเฉินตง ก็รู้สึกราวกับถูกปกคลุมด้วยน้ำค้างแข็งทันที

และในตอนนี้เอง

ใบหน้าอันชั่วร้ายของเฉินเทียนหย่าง ก็แสยะยิ้มออกมา

“มาตะโกนโหวกเหวกโวยวายอยู่หน้าประตูตระกูลเฉิน ไม่รู้สึกว่าทำให้ตระกูลเฉินต้องขายหน้าหรือยังไง? ท่านหลง ในฐานะที่นายเป็นคนรับใช้ของตระกูลเฉิน นายไม่รู้กฎที่ว่า ลูกสวะ ไม่สามารถเข้ามาในตระกูลเฉินได้หรือยังไง ?

“องค์กร hidden killers นักฆ่าระดับพระกาฬในอันดับยมราช ยิวหมิน!”

แววตาของท่านหลงเต็มไปด้วยความสงสัย จากนั้นจึงพูดออกมาอย่างเคร่งขรึม

ยิวหมิน ?

เฉินตงตัวสั่น จู่ๆ เขาก็แสดงท่าทีตกใจราวกับเห็นผีออกมาทันที

เป็นไปได้อย่างไร ?

“เป็นไปไม่ได้ อาทิตย์ก่อนยิวหมินมาที่นี่ เขาคือผู้ชายที่มีผ้าพันรอบตัวคนนั้น!”

เสียงของเฉินตงสั่นเครือ ด้วยนิสัยของเขาแล้ว เขาควบคุมอาการตกใจที่เกิดขึ้นไม่ได้ : “ท่านหลง พวกนายเองก็เคยเจอ อีกทั้งตอนนั้น หลังจากที่พวกนายถูกยิวหมินทำให้สลบแล้ว ลุงเต้าจูนเป็นคนทำให้เขาตกใจจนหนีไป แล้วเขาจะกลับมาลอบฆ่าคุณพ่อได้อย่างไร ?”

ความสงสัยผุดขึ้นในสมองของเฉินตงอย่างรวดเร็ว

ตระกูลหลี่แห่งเมืองหลวง ประกาศภารกิจลอบฆ่าในองค์กร hidden killers ในดาร์กเว็บ ล้วนแล้วแต่พุ่งเป้าโจมตีมาที่เขา

หลังจากที่ยิวหมินฆ่าเขาไม่สำเร็จ จึงย้อนกลับไปลอบฆ่าคุณพ่อแทนอย่างนั้นเหรอ?

นี่มันไร้สาระชัดๆ !

ต่อให้องค์กร hidden killers จะไร้สมอง ก็ไม่มีทางประกาศ “ภารกิจชดเชย” ที่ไร้สาระนี้ขึ้นในภารกิจบนดาร์กเว็บแน่นอน ?

“คุณชาย เรื่องนี้ตอนที่กระผมทราบเรื่อง ก็รู้สึกตกใจไม่น้อย เพียงแต่ตอนนี้ตระกูลกำลังสืบหาความจริง จึงยังไม่รู้ถึงสาเหตุที่แน่ชัดนัก”

ท่านหลงหันมองเฉินตงด้วยความสับสนและหวาดกลัว

ตั้งแต่ที่องค์กร hidden killers มีการประกาศภารกิจลอบฆ่าเฉินตงออกมา การลอบฆ่าทุกครั้ง ล้วนแล้วแต่เป็นความลับ

บุคคลที่สามซึ่งไม่รู้ว่าเป็นใคร พยายามชี้นำภารกิจการลอบฆ่าให้ออกจากดาร์กเว็บ ทำให้คนธรรมดาที่เห็นแก่เงินทองกลางร่างเป็นปีศาจ

ตอนนี้ยิงหมินที่เดิมทียอมละทิ้งการลอบฆ่าไปแล้ว กลับวกกลับมาลอบฆ่าเจ้าบ้านตระกูลเฉินอีก

ต่อให้เป็นท่านหลงที่ผ่านสนามรบมานับร้อยครั้ง และเข้าใจโลกเป็นอย่างดี ตอนนี้ก็ยังรู้สึกงุนงง ราวกับมีหมอกมาปกคลุมอยู่ตรงหน้า

แววตาของเฉินตงสั่นไหว เส้นเลือดบริเวณหางตาของเขากระตุกไม่หยุด

คิดอะไรไม่ออก

จู่ๆ เขาก็เงยหน้าขึ้นแล้วถามว่า : “ใครฆ่ายิวหมิน ? พ่อให้ยอดฝีมือในทีมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่อยู่ข้างกาย มาคอยคุ้มกันฉันทั้งหมดแล้ว ทีมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่เหลือ ไม่มีทางที่จะโจมตียิวหมินได้ !”

ความน่ากลัวของยิวหมิน วันนั้นเขาได้เห็นด้วยตาตัวเอง

แม้แต่ทีมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่เก่งกาจที่สุด ที่อยู่ภายใต้การนำทีมของคนที่อยู่ในอันดับยมราชลำดับที่ 23 และ20 อย่างคุนหลุนและฟ่านลู่ ก็ยังหมดสติไปทั้งหมดอย่างไร้ร่องรอย

นักฆ่าระดับพระกาฬที่น่ากลัวขนาดนี้

ทีมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยธรรมดาๆ ไม่มีทางที่จะโจมตีเขาได้เลย !

ต่อให้พ่อจะคัดเลือกทีมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยระดับหัวกะทิขึ้นมาใหม่ หลังจากที่คัดเลือกทีมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยออกมาหมดแล้ว ก็ไม่มีทางเป็นไปได้ !

ยิ่งไปกว่านั้น ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้คือ พ่อได้รับบาดเจ็บ ส่วนยิวหมินนั้นถูกฆ่าตาย

เหตุการณ์ที่ดูเหมือนเป็นชัยชนะอย่างสมบูรณ์แบบนี้ เฉินตงกล้ารับประกันเลยว่า ไม่มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทีมไหนบนโลกใบนี้สามารถทำได้ !

“ไม่รู้ครับ”

ท่านหลงส่ายหัว ในแววตาไม่อาจปิดบังความหวาดกลัวเอาไว้ได้ เขาหายใจหอบ แล้วค่อยๆ พูดว่า : “เดิมทีนายท่านบอกเรื่องนี้กับกระผมเท่านั้น และกำชับให้ผมดูแลคุณชายให้ดี แต่กระผมรู้สึกว่าเรื่องนี้มันไม่ชอบมาพากล คุณชายจึงควรตามกระผมกลับไปที่บ้านตระกูลเฉินสักครั้ง เพื่อสืบหาความจริงของเรื่องนี้”

“กลับตระกูลเฉิน?”

เฉินตงขมวดคิ้ว

“ฉันไม่เห็นด้วย!”

จู่ๆ กู้ชิงหยิ่งก็พูดเสียงดังขึ้นมา

เฉินตงและท่านหลงหันมองกู้ชิงหยิ่งด้วยความประหลาดใจพร้อมกัน

ใบหน้าอันงดงามของกู้ชิงหยิ่งเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด : “คนโง่ คุณกลับตระกูลเฉินตอนนี้ อันตรายเกินไป ! ในสายตาของคนตระกูลเฉิน คุณถือเป็นเสี้ยนหนามที่คอยทิ่มแทงพวกเขา กลับไปตอนนี้ มีแต่จะทำให้ทุกคนหันมาเล่นงานคุณ ทำให้คุณถูกทำร้ายจากรอบด้าน”

เฉินตงไม่ได้โต้แย้ง ความกังวลของกู้ชิงหยิ่งเป็นเรื่องจริง

ไม่สิ อาจจะหนักกว่าที่กู้ชิงหยิ่งพูดเสียอีก

ตอนนี้พ่อได้รับบาดเจ็บแล้ว ไม่อาจดูแลตระกูลเฉินได้เป็นการชั่วคราว ดังนั้นอำนาจในการปกครองตระกูลเฉินก็จะตกไปอยู่ในมือของคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินในทันที หากไปตระกูลเฉินในตอนนี้ ก็เหมือนกับการยื่นเนื้อเข้าปากเสือโดยไม่ต้องสงสัย

“คุณชาย เรื่องนี้คุณต้องไปสืบหาความจริงด้วยตัวเอง” ท่านหลงค่อยๆ พูด

อันตรายในการกลับตระกูลเฉิน กู้ชิงหยิ่งยังมองออก แล้วทำไมท่านหลงจะมองไม่ออก ?

จู่ๆ บรรยากาศภายในลานก็เงียบสงัดลง

เฉินตงยืนอยู่ที่เดิม มือทั้งสองข้างค่อยๆ กำหมัดแน่น

ด้านหนึ่งเป็นการโต้แย้งของภรรยา ส่วนอีกด้านก็เป็นเรื่องของการลอบฆ่าที่ไม่ชอบมาพากล และการได้รับบาดเจ็บของผู้เป็นพ่อ

เขาควรจะเลือกเช่นไรดี ?

“ที่รัก คุณใจเย็นหน่อยนะคะ” กู้ชิงหยิ่งคล้องแขนของเฉินตงเอาไว้ “อีกทั้งตอนนี้ภารกิจการลอบฆ่าคุณในองค์กร hidden killers ก็ยังคงอยู่ หากคุณไปตอนนี้ ไม่เพียงแต่ต้องเผชิญหน้ากับตระกูลเฉินเท่านั้น แต่ยังต้องเผชิญกับอันตรายที่อาจจะถูกลอบฆ่าได้ทุกเมื่อ”

เฉินตงตัวสั่น ความลังเลในแววตาของเขาหายไปทันที จากนั้นก็ปรากฏแววตาของความมุ่งมั่นขึ้นมา

“เฮ้อ~”

เฉินตงถอนหายใจหนึ่งครั้ง แล้วยิ้มออกมาอย่างเบิกบาน : “ที่รัก ผมต้องไปสักครั้ง !”

อะไรนะ ? !

กู้ชิงหยิ่งผงะไป จากนั้นจึงตามมาด้วยใบหน้าของความโมโห

เธอพยายามตักเตือนด้วยความหวังดี ทำไมเฉินตงกลับมีความคิดที่แน่วแน่ที่จะไปตระกูลเฉินขึ้นมาได้ ?

“ลุงเต้าจูนเคยพูดไว้ว่า เรื่องบางเรื่อง จะต้องทำอย่างมุ่งมั่น!”

เฉินตงยิ้มอย่างนุ่มนวลพร้อมพูดอธิบาย แววตาของเขาเปล่งประกายไปด้วยความมุ่งมั่น : “การหลบซ่อนตัว ไม่สามารถแก้ไขปัญหาอะไรได้ ตอนนี้ตระกูลเฉินเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ พ่อได้รับบาดเจ็บ ผมจึงจำเป็นต้องไปดูแลและสืบหาความจริงด้วยตัวเอง มีเพียงแค่สืบหาความจริงของเรื่องทุกอย่างจนกระจ่างเท่านั้น ถึงจะสามารถทำให้ภารกิจลอบสังหารขององค์กร hidden killers เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นได้”

เขาในอดีต ไม่เข้าใจถึงหลักการของเหตุและผล คิดแค้นแต่เพียงเรื่องที่พ่อทอดทิ้งครอบครัวไปเท่านั้น จึงทำให้ในใจเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองและโกรธแค้น

แต่หลังจากที่เขาค่อยๆ รู้ความจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนั้น ความรู้สึกที่เขามีต่อเฉินเต้าหลินก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป

ความเจ็บปวดที่สุดในโลกมนุษย์ก็คือ การไม่ได้อยู่ร่วมกับครอบครัว

การจากไปของแม่ ถือเป็นฝันร้ายที่สุดสำหรับเฉินตง

ตอนนี้ เหลือเพียงแค่พ่อเท่านั้น ถ้าหากแม้แต่เรื่องนี้ เขายังไม่สนใจไยดี แล้วเขาจะมีหน้าไปพบใครได้อีก ?

เมื่อเห็นแววตาที่มุ่งมั่นของเฉินตง กู้ชิงหยิ่งก็ใจลอยไปพักใหญ่

ในที่สุด ก็ยิ้มออกมาอย่างหดหู่ : “นิสัยของคุณก็เป็นเสียอย่างนี้ เรื่องที่ตัดสินใจไปแล้วจะไม่ยอมเปลี่ยนใจเด็ดขาด ในเมื่อตัดสินใจแล้ว ก็ไปเถอะค่ะ”

“ขอบคุณนะ” เฉินตงพูดออกมาด้วยความซาบซึ้ง

“แต่คุณต้องกลับมาอย่างปลอดภัยนะ!” กู้ชิงหยิ่งพูดด้วยท่าทีเข้มงวด “คุณต้องจำเอาไว้ว่า ตอนนี้คุณไม่ได้มีเพียงแค่พ่อเท่านั้น แต่คุณยังมีภรรยาด้วย”

“ผมรู้แล้ว”

เฉินตงยิ้ม : “ไม่เพียงแค่มีภรรยาเท่านั้น ต่อไปผมจะมีลูกชายลูกสาวด้วย”

ใบหน้าอันงดงามของกู้ชิงหยิ่งแดงก่ำ แล้วเหลือบมองอย่างตำหนิ : “ฝันไปเถอะ”

“กระผมจะรีบไปจัดการเดี๋ยวนี้” เมื่อท่านหลงเห็นว่าทุกอย่างคลี่คลายแล้ว ก็หันหลังเดินจากไป

เวลาบ่ายสามโมง

สนามบินในแถบชานเมือง หลังจากที่การสั่งหยุดการบินของเครื่องบินทุกลำ ก็มีเครื่องบินลำหนึ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างปลอดภัย

เฉินตงนั่งอยู่บนเครื่องบิน เขามองดูก้อนเมฆที่อยู่นอกหน้าต่าง และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหม่าถึงแม้จะตัดสินใจแล้ว แต่เมื่อนึกถึงการไปตระกูลเฉินในครั้งนี้ ในใจของเขาก็ยากที่จะรู้สึกสงบได้

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาไปตระกูลเฉิน !

ไปยังตระกูลที่เขาพยายามต่อสู้อย่างสุดชีวิตเพื่อให้ได้ครอบครอง !

ตระกูลเฉิน ตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดบนยอดพีระมิด อยู่ในที่สูงส่ง และมองไม่เห็นคนอื่นอยู่ในสายตา

ในสายตาของตระกูลเฉิน ตระกูลมั่งคั่งตระกูลอื่นๆ ก็เป็นเพียงแค่มดเท่านั้น

แม้กระทั่งผู้ที่ยิ่งใหญ่อย่างกู้โก๋ฮั๋ว ต่อให้ทำงานหนักมาตลอดหลายปี ก็ยังต้องมานั่งคุกเข่าอยู่ต่อหน้าตระกูลเฉินอย่างไร้ประโยชน์

และครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรก ที่เขาจะได้สัมผัสกับความรู้สึก ที่ได้ก้าวเท้าเข้าไปทางประตูใหญ่ของบ้านตระกูลเฉินจริงๆ

“คุณชาย ตื่นเต้นไหมครับ?” ท่านหลงถาม

ครั้งนี้ เฉินตงพามาเพียงแค่ท่านหลง คุนหลุนและฟ่านลู่เท่านั้น

การจัดการเช่นนี้ก็เพียงพอแล้ว !

การเดินทางครั้งนี้ ใช้เพียงแค่คนมีความสามารถเพียงไม่กี่คนก็พอ ยิ่งคนมาก จะยิ่งทำให้เกิดคำพูดว่าร้ายขึ้นในตระกูลเฉินมากขึ้น และจะยิ่งเป็นการเปิดโอกาสให้กับคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน

อีกทั้ง หากคนในตระกูลเฉิน จงใจที่จะทำให้ลำบากใจจริงๆ พาคนมาเยอะจะมีประโยชน์อะไร ?

“ตื่นเต้นสิ”

เฉินตงตอบอย่างตรงไปตรงมา แล้วลูบจมูก

“คุณชายไม่ต้องกังวลไป มีกระผมกับท่านหลงอยู่ ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อยอย่างแน่นอน” คุนหลุนพูดเตือนเบาๆ

แต่เฉินตงกลับไม่สนใจ

เขายิ้มออกมาอย่างเรียบเฉย : “ฉันกำลังคิดว่า ตอนที่ก้าวเข้าประตูใหญ่ของตระกูลเฉิน ฉันควรจะก้าวขาซ้าย หรือควรจะก้าวขาขวาก่อนดี ?”

คำพูดนี้ ทำให้ท่านหลง คุนหลุน และฟ่านลู่ รู้สึกจนใจพร้อมกัน

ภาพที่ปรากฏขึ้นตรงหน้า ทำให้เฉินตงรู้สึกหวาดกลัวจนตัวแข็งทื่อ

สามารถจัดการทุกคนโดยไม่มีเสียง สมควรแล้วที่เป็นอันดับ 10 ของอันดับยมราชที่น่ากลัว !

หากไม่มีลุงอยู่ด้วยแล้วละก็

เฉินตงถึงขั้นคาดการณ์เอาไว้แล้วว่า ฉากนี้น่าจะเป็นจุดจบของเรื่องทุกอย่าง

เฉินตงรีบเรียกคนเข้ามาพาทุกคนไปส่งยังโรงพยาบาลลี่จิง

ยังดีที่ทุกคนแค่หมดสติไป ไม่ได้รับอันตรายถึงชีวิต

ห้องพักผู้ป่วยในโรงพยาบาล

เฉินตงนั่งอยู่ข้างๆ เตียง คอยเฝ้าดูกู้ชิงหยิ่งที่นอนหมดสติอยู่ และยังคงรู้สึกผิดในใจ

เขาคิดไม่ถึงเลยว่า การคุ้มกันที่แน่นหนาขนาดนี้ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับยิวหมิน กลับใช้การอะไรไม่ได้เลย !

เขาสูดหายใจเข้าเต็มปอด

เฉินตงหันมองกู้ชิงหยิ่งที่หมดสติอยู่ แล้วยกมือขึ้นลูบใบหน้าของกู้ชิงหยิ่งเบาๆ ด้วยความเป็นห่วง

“ขอโทษด้วยนะ ที่ผมปกป้องคุณได้ไม่ดี”

ในช่วงเย็น ทุกคนก็ค่อยๆ ทยอยฟื้นคืนสติ

ภายใต้การจัดการของโรงพยาบาลลี่จิง หลังจากการตรวจดูอาการครั้งใหญ่ เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีอาการบาดเจ็บต่อเนื่องใดๆ เฉินตงถึงรู้สึกโล่งใจ

กว่าจะจัดการธุระทุกอย่างเรียบร้อย ก็เป็นเวลาสองทุ่มแล้ว

หลังจากทานมื้อเย็นเสร็จ

เฉินตงก็นั่งปอกแอปเปิลอยู่ข้างๆ เตียงของกู้ชิงหยิ่ง

กู้ชิงหยิ่งหันมองเฉินตง แล้วพูดขึ้นด้วยความสงสาร : “ไม่ต้องแล้ว คุณเองก็บาดเจ็บไปทั้งตัว พักผ่อนสักหน่อยเถอะ”

“แค่ปอกแอปเปิลเท่านั้น ไม่เหนื่อยหรอก”

เฉินตงปอกและหั่นแอปเปิลออกเป็นชิ้นๆ อย่างประณีต จากนั้นจึงยื่นให้กู้ชิงหยิ่ง : “คุณจะไม่อนุญาตให้ผมเป็นห่วงภรรยาเลยเหรอ?”

กู้ชิงหยิ่งรู้สึกอบอุ่นในใจ

เธอรับแอปเปิลมาด้วยรอยยิ้ม แล้วค่อยๆ กัดเบาๆ

ในโทรทัศน์ เผยแพร่ข่าวภาคค่ำพอดี

เดิมทีเปิดเอาไว้เพื่อไม่ให้บรรยากาศภายในห้องพักเงียบเกินไป

แต่ข่าวนี้ กลับดึงดูดความสนใจของเฉินตง

ในข่าวภาคค่ำกำลังรายงานว่า มีทหารรับจ้างต่างชาติถูกจับกุมในประเทศ อีกทั้งสถานที่ยังอยู่ในเมืองนี้อีกด้วย !

ถึงขนาดมีการเผยแพร่คลิปวิดีโอระหว่างการจับกุมอย่างละเอียด ในการรายงานข่าวด้วย

และด้วยข้อมูลข่าวที่มีการรายงานออกมา เห็นได้ชัดเจนว่านี่คือทีมทหารรับจ้างเดดพูล !

เฉินตงนั่งดูข่าวนิ่ง

ทหารเดดพูลที่หนีรอดไปได้เหล่านั้น ถูกจับง่ายๆ แบบนี้เหรอ?

การต่อสู้ที่เขาเทียนซานในตอนนั้น เกือบทำให้เฉินตงและทีมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งหมดต้องพบจุดจบ

หลังจากที่หลบหนีแล้ว เขายังคอยระแวดระวังกับการกลับมาอีกครั้งของทหารรับจ้างเดดพูล ที่หนีรอดไปได้เหล่านั้น

แต่คิดไม่ถึงเลยว่า จะพบจุดจบเช่นนี้

“ที่รัก ทำไมฉันรู้สึกเหมือนว่าพวกเขาไม่ได้ถูกจับได้ในที่เกิดเหตุ?” จู่ๆ กู้ชิงหยิ่งก็พูดขึ้น

เฉินตงตั้งสติได้ เขาหันมองกู้ชิงหยิ่งด้วยความประหลาดใจ

กู้ชิงหยิ่งชี้ไปที่หน้าจอ : “เมื่อกี้ฉันแอบเห็นว่า ดูเหมือนพวกเขาจะถูกจับมัดมือมัดเท้าเอาไว้”

อะไรนะ ? !

เฉินตงรู้สึกตกตะลึงในทันที เขารีบมองหน้าจอ แต่ข่าวได้ข้ามไปยังอีกข่าวหนึ่งแล้ว

เขารีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาค้นหาเนื้อหาของข่าว

เรื่องเช่นนี้ จะต้องมีการนำเสนอในอินเทอร์เน็ตอย่างแน่นอน

หาเจอแล้ว !

เฉินตงแววตาเป็นประกาย เขากดเข้าไปดู

จากนั้นจึงยื่นโทรศัพท์ไปที่ด้านหน้ากู้ชิงหยิ่ง

ไม่ช้า กู้ชิงหยิ่งก็พูดเตือนขึ้นมาว่า : “อีกเดี๋ยวก็จะเห็นแล้ว เป็นตอนที่กล้องถ่ายเข้าไปในประตู”

ทันทีที่พูดจบ

กล้องถ่ายผ่านประตูเข้าไป

เฉินตงรีบกดหยุดในทันที

เมื่อมองดูอย่างละเอียด ก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที

เหมือนที่กู้ชิงหยิ่งพูดเอาไว้จริงๆ ดูเหมือนจะเป็นการเข้าจับกุม แต่จริงๆ แล้วทหารรับจ้างที่อยู่ภายในห้อง ถูกควบคุมตัวและจับมัดมือมัดเท้าเอาไว้ เพื่อรอการจับกุมตั้งนานแล้ว

“นี่เป็นฝีมือของใคร?”

เฉินตงวางโทรศัพท์ลง และเกิดความสงสัยขึ้นมา

เห็นอู่ชัดๆ ว่ามีคนแอบควบคุมตัวทหารรับจ้างเอาไว้ จากนั้นก็ติดต่อให้หน่วยงานรัฐบาลเข้าจับกุม

การที่จะควบคุมตัวกลุ่มนักฆ่าที่กระหายเลือดกลุ่มหนึ่งเอาไว้ ไม่ใช่เรื่องง่าย

หากควบคุมตัวได้โดยง่าย ในช่วงที่ผ่านมา เขาคงจะส่งพวกฉินเย่และจูเก่อชิงไปจัดการเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว

จู่ๆ เฉินตงก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

เขาหันมองไปที่กู้ชิงหยิงด้วยความประหลาดใจ : “คุณว่า จะใช่ฝีมือของคุณลุงไหม ?”

กู้ชิงหยิ่งตกตะลึง

ริมฝีปากแดงก่ำของเธอขยับ แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา

เพราะว่า เฉินเต้าจูนมีความสามารถเช่นนี้จริงๆ

จู่ๆ ความคิดของเฉินตงก็พรั่งพรูขึ้นมา ดวงตาของเขาเป็นประกาย

เขาไม่รู้เหตุผลที่แท้จริงที่เฉินเต้าจูนออกมาจากคุกมืด !

แต่ถ้าหากคนที่จัดการกับทหารรับจ้างเดดพูลคือเฉินเต้าจูนจริง เช่นนั้นการประกาศภารกิจลอบสังหารขององค์กร hidden killers ในครั้งนี้ อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นก็เป็นได้ !

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เฉินตงก็รู้สึกตื่นเต้นดีใจทันที

ต่อคนคนอุปนิสัยเช่นเขา ก็ยังอดไม่ได้ที่จะกุมมือของกู้ชิงหยิ่งเอาไว้แน่น

กู้ชิงหยิ่งหันมองเฉินตงด้วยความประหลาดใจ : “ที่รัก คุณเป็นอะไรไป ?”

“ไม่แน่ว่า อาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นเร็วๆ นี้!” เฉินตงพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

……

หนึ่งสัปดาห์ต่อมา

ทุกอย่างดูเหมือนจะกลับสู่ภาวะปกติ

คลับสี่ยิ่นดูสงบสุขอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

ไม่มีการปรากฏตัวของนักฆ่า

แม้กระทั่งในกล้องวงจรปิดก็ไม่อาจตรวจเจอความผิดปกติใดๆ

ถึงขั้นว่า จากการรายงานจากหน่วยข่าวกรองของพวกฉินเย่ ภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งสัปดาห์ พวกเขาสามารถตรวจพบเบาะแสการเดินทางออกนอกเมืองของผู้ต้องสงสัยได้

ความสงบอย่างน่าประหลาด ทำให้พวกของท่านหลงและคุนหลุนรู้สึกกังวลใจ

กลับเป็นเฉินตงรู้สึกยินดีปรีดา ที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ทุกอย่างกำลังดำเนินไปอย่างที่เขาคาดการณ์เอาไว้

คืนนี้

เฉินตงนั่งตากอากาศ พร้อมกับพูดคุยอย่างมีความสุขกับกู้ชิงหยิ่งภายในลานอย่างเป็นปกติ

เป็นการยากที่ทั้งสองคนจะได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง พวกเขาจึงเห็นคุณค่าของสิ่งนี้เป็นอย่างมาก

ความเงียบสงบ ทำให้ปรากฏความหวานชื่นออกมา

“ตัวเอง หลายวันมานี้ช่างสงบจริงๆ ดูเหมือนจะไม่ปกตินะ” กู้ชิงหยิ่งใช้มือทั้งสองข้างเท้าคางเอาไว้

เฉินตงยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน : “ไม่แน่ว่าการเปลี่ยนแปลงอาจกำลังมาถึงแล้ว”

“อันที่จริงแล้ว ฉันอยากให้วันเวลาเช่นนี้ อยู่ไปนานๆ อีกสักหน่อย” กู้ชิงหยิ่งพูด

เฉินตงแสร้งทำเป็นเสียใจ : “ดูสิ นี่คือสิ่งที่ภรรยาของผมพูดออกมาอย่างนั้นเหรอ?”

“ที่ไหนกันค่ะ ฉันแค่อยากจะอยู่กับคุณให้นานอีกหน่อยเท่านั้น” กู้ชิงหยิ่งพูด

เฉินตงยกมือขึ้นลูบดั้งจมูกของกู้ชิงหยิ่ง : “เอาล่ะ ผมรับปากคุณว่า ต่อให้ทุกอย่างจะกลับมาเป็นปกติแล้ว ผมก็จะหาเวลาอยู่เป็นเพื่อนคุณทุกวัน”

“จริงหรือคะ?” กู้ชิงหยิ่งแววตาเป็นประกาย : “ถ้าเช่นนั้นฉันอยากจะให้การใช้ชีวิตในตอนนี้ จบลงเร็วๆ เสียที”

เฉินตงหัวเราะร่าออกมา

ตอนนี้เอง

ประตูลานถูกผลักเข้ามาอย่างรุนแรง

เฉินตงขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ

เมื่อกำลังจะหันกลับไปตำหนิ กลับพบว่าท่านหลงสีหน้าซีดเผือด เขาเดินโซเซเข้ามา ด้วยความตื่นตกใจจนถึงขีดสุด !

“ท่านหลง เกิดอะไรขึ้น?” เฉินตงลุกขึ้นแล้วถาม

ศีรษะของท่านหลงเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขาพูดอย่างเหนื่อยหอบว่า : “คุณ คุณชาย นายท่าน นายท่านเขา ถูกทำร้าย !”

เปรี้ยง !

ราวกับเสียงฟ้าผ่าดังก้องขึ้นในหู

เฉินตงอึ้งไป ดวงตาค่อยๆ แดงก่ำ

เพื่อที่จะปกป้องฉัน พ่อจึงเกณฑ์คนทั้งหมดมาไว้รอบตัวฉัน แต่ตอนนี้……

เฉินตงรีบเดินเข้าไปหา แล้วจับไหล่ของท่านหลงเอาไว้ : “เกิดเรื่องอะไรขึ้น ? อาการบาดเจ็บของพ่อเป็นอย่างไรบ้าง ?”

ความสงบสุขและความยินดีที่เกิดขึ้นร่วมกับกู้ชิงหยิ่งเมื่อครู่ หายไปในพริบตา

เฉินตงในตอนนี้ ดูราวกับสัตว์ป่าที่ดุร้ายและกระหายเลือด

กู้ชิงหยิ่งที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็รู้สึกเป็นกังวล เมื่อเห็นที่เฉินตงจับท่านหลงเอาไว้ก็รู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย

กู้ชิงหยิ่งรีบแกะมือทั้งสองข้างของเฉินตงออก จากนั้นจึงพูดปลอบโยน : “ที่รัก ใจเย็นก่อนนะคะ คุณใจเย็นๆ แล้วฟังท่านหลงก่อน”

เมื่อผละตัวออกจากเฉินตงแล้ว

สีหน้าของท่านหลงก็ดูผ่อนคลายลง เขารีบพูดว่า : “โชคดีที่พบเข้าทันเวลา เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจัดการกับฆาตกรได้ ตอนนี้กำลังทำการรักษานายท่านอยู่ครับ”

เฉินตงถอนหายใจออกมา เขาหรี่ตาด้วยเจตนาฆ่าที่รุนแรง แล้วกัดฟันพูดออกมา

“ใครเป็นคนทำ?”

สายลมค่อยๆ พัดผ่านไป

พัดใบไม้ในลานจนส่งเสียงดังกรอบแกรบ สัมผัสถึงศิลปะที่งดงาม

บนโต๊ะกินในลานเล็ก มีธูปไม้จันทน์ที่ส่งกลิ่นโชยหอมวางอยู่ พร้อมด้วยน้ำชาหนึ่งกา

เฉินตงไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายเช่นนี้มานานแล้ว

เขาค่อยๆ จิบน้ำชา และมองไปยังเฉินเต้าจูนที่นั่งอยู่ตรงหน้า ทั้งหมดนี้เป็นความรู้สึกปลอดภัยที่เขาคนนั้นมอบให้กับเขา

“คุณลุง เรื่องนี้ของผมพอจะมีวิธีจัดการไหมครับ?” เฉินตงเอ่ยถาม

ตระกูลหลี่งัดไม้ตาย ประกาศภารกิจลอบฆ่ากับองค์กร hidden killers ในดาร์กเว็บ แม้กระทั่งคุณพ่อเองก็ยังจนปัญญากับเรื่องนี้

วิธีการแบบเดิมใช้ไม่ได้ผล จึงหวังเพียงว่าเฉินเต้าจูนจะพอมีวิธีที่แตกต่างจากวิธีการทั่วไป

หากมัวแต่หลบซ่อนต่อไป เอาแต่หดหัวอยู่ในคลับสี่ยิ่นเช่นนี้ ต้องให้คนคอยคุ้มกันเอาไว้อย่างแน่นหนา

เกรงว่า ถึงแม้จะมีอยู่ชีวิตอยู่ต่อได้อย่างปลอดภัย แต่ตำแหน่งเจ้าบ้านตระกูลเฉินล่ะ จะทำเช่นไร ?

โครงการของบริษัทต่างๆ ได้รับการขยายแล้ว แต่เนื่องด้วยเขาต้องคอยหลบซ่อนตัวอยู่ในคลับสี่ยิ่น ทำให้ทุกอย่างแทบจะหยุดชะงักลงทั้งหมด

เช่นนี้ จะส่งกระดาษคำตอบที่คะแนนเต็มให้ตระกูลเฉินได้อย่างไร ?

เขาเผชิญอุปสรรคมามากมายขนาดนี้ อย่างไรเสีย ก็ต้องคว้ามงกุฎพระราชาของตระกูลเฉินมาให้ได้ !

เฉินเต้าจูนวางแก้วน้ำชาลง และยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย : “จัดการปัญหาไม่ได้ แล้วจัดการกับคนที่สร้างปัญหาไม่ได้อย่างนั้นเหรอ?”

เฉินตงรู้สึกตกใจทันที ราวกับมีความคิดอะไรบางอย่าง

แต่กลับยิ้มออกมาอย่างจนใจ : “ภารกิจลอบฆ่าในองค์กร hidden killers เมื่อประกาศออกไปแล้ว ต่อให้ฆ่าล้างตระกูลหลี่ยกตระกูล ก็ไม่อาจยกเลิกภารกิจได้ เรื่องนี้คุณพ่อเองก็ได้พิจารณามานานแล้ว”

“ถ้าเช่นนั้น ก็ฆ่าคนขององค์กร hidden killers ก็พอแล้วนี่?”

เฉินเต้าจูนพูดออกมาลอยๆ แต่กลับทำให้เฉินตงรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่าตอนกลางวันแสกๆ

ฆ่าคนขององค์กร hidden killers ?

ล้อเล่นอะไรกัน !

เฉินตงอึ้งไป

“คิดว่าฉันกำลังล้อเล่นอยู่ใช่ไหม?”

เฉินเต้าจูนแสยะยิ้มออกมา แล้วหันมองเฉินตง

เฉินตงพยักหน้าอย่างไม่ลังเล องค์กร hidden killers เป็นการรวมตัวกันของนักฆ่าระดับพระกาฬจากทั่วทุกมุมโลก องค์กรนี้เป็นองค์กรที่ยิ่งใหญ่ และมีความสามารถที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก

หากจะพูดโดยไม่เกรงใจก็คือ หัวหน้าขององค์กร hidden killers ไม่ต่างอะไรกับพ่อ เป็นคนที่อยู่สูงส่งเหนือผู้ใด และมองข้ามชีวิตของผู้อื่น

แล้วจะฆ่าเขาได้อย่างไร ?

“ฮ่าฮ่า……ฉันกำลังล้อเล่นอยู่จริงๆ” เฉินเต้าจูนพิงลงบนเก้าอี้ แล้วหัวเราะออกมาอย่างเบิกบาน ซึ่งพบเห็นได้ยากยิ่ง

เฉินตง : “……”

“วันนี้เป็นวันที่สามแล้วสินะ?” จู่ๆ เฉินเต้าจูนก็เลิกคิ้วแล้วถามออกมา

เฉินตงผงะไป แล้วพยักหน้า

อาจเป็นเพราะเรื่องการลงมือฆ่านักฆ่ากว่าสิบคนของเฉินเต้าจูน ที่หน้าหลุมศพของแม่ ถูกแพร่งพรายออกไป

ทำให้ระยะเวลาเพียงสามวัน คลับสี่ยิ่นก็กลับมาสงบสุขอีกครั้ง

ทำให้เฉินตงรู้สึกมีความรู้สึก จนลืมแม้กระทั่งเวลา

“ดูเหมือนว่าฉันคงต้องไปแล้ว” เฉินเต้าจูนบิดขี้เกียจ แล้วเหลือบมองเฉินง: “เฉินตงน้อยเอ๋ย หากนายอยากขึ้นไปนั่งอยู่บนตำแหน่งเจ้าบ้านตระกูลเฉิน นายจะต้องดึงเอาความกล้าหาญและไม่กลัวตายเหมือนเช่นตอนที่อยู่ในคุกมืดออกมาใช้”

“ตระกูลมั่งคั่ง ล้วนแล้วแต่เป็นที่ที่คอยสูบเลือดสูบเนื้อคน คนที่นั่งอยู่ในตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ล้วนแล้วแต่เป็นปีศาจที่อยู่ในคราบของมนุษย์ทั้งนั้น หากนายสามารถชั่วร้ายได้มากกว่าพวกเขา นายถึงจะสามารถเอาชนะพวกเขาได้”

“การหลบซ่อนตัวด้วยความกลัวเช่นนี้ มีแต่จะทำให้ปีศาจเหล่านี้ได้ใจ และสุดท้ายก็จะต้อนนายจนมุม แล้วนายก็จะถูกพวกเขากลืนกินลงไปในที่สุด”

น้ำเสียงที่หนักแน่น เป็นการพูดเตือนจากใจจริง

“ขอบคุณครับคุณลุง”

เฉินตงพูดด้วยความซาบซึ้งใจ เรื่องที่เฉินเต้าจูนและพ่อเคยแย่งชิงตำแหน่งเจ้าบ้านในตอนนั้น ในเมื่อเขากล่าวเตือนเช่นนี้ เขาจะต้องมีเหตุผลของเขาอย่างแน่นอน

“นายเข้าใจก็ดีแล้ว”

รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉินเต้าจูนจางหายไป จู่ๆ ก็เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน มีเจตนาฆ่าที่รุนแรงแผ่ซ่านออกมาทันที

ทำให้เฉินตงรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาทันที เขามองสำรวจอย่างระแวดระวัง และรู้สึกว่าบรรยากาศอึมครึมขึ้นทันที

วินาทีถัดมา

เฉินเต้าจูนหยิบแก้วน้ำชาที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา แล้วพูดขึ้นมาด้วยเสียงที่เยือกเย็นราวกับน้ำแข็งว่า : “ในเมื่อมาถึงนี่แล้ว ก็ปรากฏตัวออกมาเถอะ ฉันจะขอต้อนรับด้วยน้ำชามัวแต่หลบๆ ซ่อนๆ อยู่อย่างนี้ คิดว่าคนตระกูลเฉินไม่ต้อนรับแขกหรืออย่างไร ?”

มีคนอื่น ? !

เฉินตงตกใจเป็นอย่างมาก เส้นเลือดบริเวณหางตาของเขาปูดโปนขึ้นมา

เขาไม่ทันสังเกตเห็นเลยตั้งแต่ต้นจนจบ

แม้แต่ฟ่านลู่และกูหลังซึ่งคอยควบคุมดูแลทีมรักษาความปลอดภัยและกล้องวงจรปิดทั้งหมดอยู่ ก็ไม่รู้สึกถึงความผิดปกติแม้สักนิด !

ทันทีที่พูดจบ

จู่ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น

เดินมาอย่างช้าๆ ไม่เร่งรีบ

เฉินตงหันมองตามเสียงด้วยความหวาดกลัวทันที ในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกตกใจจนถึงขีดสุด และรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว

ประตูของลานเล็กเปิดออก

ชายผู้ซึ่งพันผ้าเอาไว้รอบตัวค่อยๆ เดินเข้ามา

เผยให้เห็นเพียงแค่ดวงตาทั้งสองข้าง เป็นแววตาที่ดูดุร้ายราวกับงูพิษ และฉายแววของความอำมหิตออกมา

ความโหดเหี้ยมแผ่ซ่านออกมาจากตัว

นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ?

แล้วพวกฟ่านลู่ คุนหลุน กูหลังล่ะ ?

เฉินตงรู้สึกราวกับมีคลื่นลูกใหญ่ถาโถมอยู่ในใจ มีความคิดมากมายปรากฏขึ้น

เขาคิดที่จะหลบซ่อนตามสัญชาตญาณ แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่เฉินเต้าจูนกำชับเมื่อครู่

เขาก็กัดฟัน แสร้งนั่งด้วยท่าทีสงบอยู่บนม้าหิน แล้วสำรวจดูชายคนนั้นอย่างระมัดระวัง

ตอนที่อยู่ห่างกันในระยะสิบก้าว

จู่ๆ มือขวาของเฉินเต้าจูนก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เขาปัดถาดน้ำชาที่วางอยู่บนโต๊ะหินออกไป และลอยไปใส่ชายที่พันผ้าคนนั้น

ฉึบ !

ชายที่พันผ้าคนนั้นยกมือขึ้นจับถามน้ำชาเอาไว้ได้

“รินเอง” เฉินเต้าจูนพูดด้วยรอยยิ้ม

ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาอยู่ในท่าทีที่สบายๆ

ชายที่พันผ้าคนนั้น หยิบกาน้ำชาและถ้วยน้ำชาขึ้นมา จากนั้นจึงปล่อยให้ถาดน้ำชาที่อยู่ในมือหล่นลงบนพื้น หลังจากรินน้ำชาหนึ่งถ้วยแล้ว ก็ดื่มจนหมด

จากนั้น เขาก็หันมองเฉินเต้าจูน : “ชาดี !”

“แน่นอน” เฉินเต้าจูนยิ้มอย่างภูมิใจ “หลานของฉันต้อนรับแขกด้วยความเต็มใจมาโดยตลอด”

“หลาน……”

จู่ๆ ชายที่พันผ้าก็ยิ้มออกมา

จากนั้น ในขณะที่เฉินตงกำลังมองดูด้วยความตกใจจนอ้าปากค้าง เขาก็ค่อยๆ โน้มตัวลงคารวะ

“ผู้อาวุโส ยิวหมินมารบกสนแล้ว ลาก่อน”

พูดจบ เขาก็หันหลังเดินจากไป

เปรี้ยง !

มีเสียงดังกระหึ่มเกิดขึ้นในหัวของเฉินตง ทันใดนั้นสมองของเขาก็ว่างเปล่า

ราวกับคอมพิวเตอร์ที่หยุดทำงาน สูญเสียความสามารถในการประมวลผลไปชั่วขณะ

ไปง่ายๆ แบบนี้เหรอ?

เขามองดูยิวหมินเดินจากไป

เฉินตงรู้สึกเหมือนลำคอตีบตัน และในปากแห้งผาก

นักฆ่าระดับพระกาฬซึ่งอยู่ในอันดับที่ 10 ของอันดับยมราช การพบกันครั้งที่สอง ก็เพื่อที่จะมาขอดื่มน้ำชาที่อยู่ในมือของลุงเต้าจูนสักแก้วอย่างนั้นเหรอ?

กว่าที่เฉินตงจะตั้งสติได้ ยิวหมินก็หายไปแล้ว

ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เฉินตงก็ยังรู้สึกราวกับตกอยู่ในภวังค์ของความฝันอยู่ดี

“ไปแล้ว จริงๆเหรอ?”

เฉินเต้าจูนหัวเราะออกมา แล้วลุกขึ้นพลางพูดว่า : “ฉันเองก็ต้องไปแล้วเหมือนกัน”

ขณะที่พูด เขาก็เดินตรงไปด้านนอก

“ลุงเต้าจูน!”

เฉินตงตะโกนเรียก

เฉินเต้าจูนหยุดเดิน : “จำคำของลุงเอาไว้ ดึงเอาพลังเมื่อตอนที่เธออยู่ในคุกมืดออกมาใช้ ลูกผู้ชาย เมื่อเกิดมาบนโลกใบนี้แล้ว ต้องแบกรับความกล้าหาญของโลกใบนี้เอาไว้ และไม่ย่อท้อ”

เหมือนกับคุณลุง ?

เฉินตงตระหนักได้ในทันที

“จริงสิ เรียกคนให้พาพวกของหลานสะใภ้ไปส่งโรงพยาบาลด้วย ไม่เป็นอะไรมากหรอก”

เมื่อเดินไปถึงประตู จู่ๆ เฉินเต้าหลินก็พูดขึ้นมา : “นายนี่นะ ไม่ทันสังเกตเลยหรือว่าตอนที่พวกเราดื่มน้ำชากัน ทุกอย่างเงียบผิดปกติ ?”

เฉินตงตัวสั่นในทันที เขาได้สติกลับมาจากความคิดที่กำลังสับสนวุ่นวายอยู่ภายในหัวทันที

เขาลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่สนใจอาการบาดเจ็บบนร่างกาย และรีบวิ่งตรงไปยังห้องโถงทันที

สิ่งที่เขาเห็น เป็นเหมือนค้อนอันหนังอึ้ง ที่ทุบเข้ามาที่ลูกตาของเขาอย่างแรง

ภายในห้องโถง กู้ชิงหยิ่ง และท่านหลง กำลังนอนหมดสติอยู่บนโต๊ะ

ความตื่นตระหนกแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย

เฉินตงรีบวิ่งไปที่ด้านนอกของลานป่าไผ่

เฉินเต้าจูนจากไปแล้ว

แต่บนพื้น มีคุนหลุน ฟ่านลู่ กูหลัง และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอีกกลุ่มหนึ่ง นอนระเนระนาดอยู่……

เขาคือใคร ?

เฉินตงหันมองชายที่พันผ้าและวิ่งหนีไปด้วยแววตาที่ลึกซึ้ง

คนที่สามารถต้านการโจมตีของเฉินเต้าจูนได้ ซ้ำยังทำให้เฉินเต้าจูนยิ้มและยอมปล่อยเขาหนีไปได้ จะต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน

หรือว่า……

จู่ๆ ก็เกิดความคิดขึ้นมาในหัวของเฉินตง

เมื่อหันไปมองเฉินเต้าจูน เขาก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรมาก แต่กลับพูดขึ้นว่า : “คุณลุง กลับบ้านกันเถอะครับ”

“ดี!”

เฉินเต้าจูนพยักหน้า จากนั้นจึงหันมองหลุมศพของหลี่หลาน : “ไปคำนับแม่ของนายสามครั้ง ในเมื่อมากราวไหว้ก็ควรทำตามประเพณี”

ระหว่างทางกลับไปยังคลับสี่ยิ่นนั้น ขบวนรถยังคงยิ่งใหญ่

แต่ที่ต่างออกไปจากตอนมาก็คือ

เฉินตงกลับไม่สนใจเลยแม้แต่น้อยว่าจะเกิดความรู้สึกอะไรขึ้นอีกหรือไม่

ตอนนี้ในหัวของเขามีแต่ภาพของชายที่พันผ้าเมื่อครู่

คนที่สามารถหนีเอาชีวิตรอดต่อหน้าคุณลุงไปได้ ในบรรดานักฆ่า คงจะมีเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น ?

ยิวหมิน !

หลังจากคิดเรื่องนี้ออกแล้ว เฉินตงก็รู้สึกกลัวจนขนลุกขึ้นมาทันที

นักฆ่าอันดับที่ 10 ในอันดับยมราชคนนี้ มาเร็วขนาดนี้เลยหรือ !

หากไม่มีการปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันของเฉินเต้าจูน เกรงว่าต่อให้เขาหลบซ่อนตัวอยู่ในคลับสี่ยิ่น ก็คงต้องเผชิญหน้ากับยิงหมินอย่างรวดเร็ว !

ถึงตอนนั้น คงจะเป็นฝันร้ายอย่างแท้จริง

“คุณเฉิน คนเมื่อครู่น่าจะเป็นยิวหมิน”

จู่ๆ ฟ่านลู่ก็เอ่ยขึ้นมา ทำลายบรรยากาศที่เงียบสงัดภายในรถ

เฉินตงพยักหน้า จากนั้นจึงหันมองเฉินเต้าจูน : “คุณลุง หากคุณลุงต้องต่อสู้กับชายคนเมื่อครู่จริงๆ ใครแข็งแกร่งใครอ่อนแอ ?”

การปะทะเมื่อครู่เพียงเล็กน้อย

ตัดสินได้ยากว่าใครแข็งแกร่งกว่าใคร

“นายลองทายดูสิ?”

เฉินเต้าจูนหัวเราะร่าออกมา

เฉินตงเงียบไป

ลังเลอยู่สักพัก ก็ขยับริมฝีปาก

ในที่สุด คำก็เก็บคำพูดที่คิดอยู่ในใจเอาไว้

เมื่อกลับไปถึงคลับสี่ยิ่น

เฉินตงให้ฉินเย่และจูเก่อชิงกลับออกไป เรื่องที่เกิดขึ้นรอบๆ สุสานของแม่ ยังท้องให้พวกเขาตามเก็บกวาด

จากนั้น เขาก็พาเฉินเต้าจูนเดินไปที่ลานป่าไผ่

ภายในลานขนาดเล็กที่เงียบสงบและสง่างาม

กู้ชิงหยิ่งกำลังเดินกลับไปกลับมาอยู่ภายในลาน ใบหน้าเต็มไปด้วยความร้อนใจและเป็นกังวล

คุนหลุนนั่งอยู่ภายใต้ร่มเงาของต้นไม้ แววตามืดมน เขามองกู้ชิงหยิ่งที่กำลังเดินไปเดินมาด้วยความรู้สึกผิด

หากตนเองไม่ได้รับบาดเจ็บ ตอนนี้คงจะสามารถคุ้มกันคุณชายได้

เอี๊ยด……

จู่ๆ ประตูลานก็ถูกผลักออก

กู้ชิงหยิ่งและคุนหลุนหันมองไปพร้อมกัน

เมื่อเห็นเฉินตง กู้ชิงหยิ่งก็รีบวิ่งเข้าไปหาทันที : “ในที่สุดคุณก็กลับมาแล้ว ฉันตกใจแทบแย่ !”

เฉินตงยิ้มอย่างอ่อนโยน : “ผมจะแนะนำให้คุณรู้จัก นี่คือลุงเต้าจูน”

“สวัสดีค่ะคุณลุง” กู้ชิงหยิ่งผงะไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงยิ้มออกมาพร้อมกล่าวทักทาย

“คุณลุง นี่คือภรรยาของผม กู้ชิงหยิ่ง” เฉินตงหันไปพูดกับเฉินเต้าจูน

เฉินเต้าจูนเลิกคิ้วแล้วยิ้ม : “นี่คือเหตุผลที่ตอนนั้นนายสู้ตาย เพื่อที่จะออกจากคุกมืดให้ได้อย่างนั้นเหรอ?”

เฉินตงผงะไป แล้วยิ้มออกมาโดยไม่พูดอะไร

แสดงออกว่ายอมรับ

เฉินเต้าจูนเหลือบมองกู้ชิงหยิ่ง แต่กลับทำให้กู้ชิงหยิ่งรู้สึกตกใจจนเอียงตัวไปแอบอยู่ข้างๆ เฉินตง

ไม่ต้องพูดถึงเวลาที่เฉินเต้าจูนยกแขนยกขา แม้กระทั่งเพียงส่งสายตา ก็ทำให้คนทั่วไปรู้สึกหวาดกลัวได้

“ดี สาวน้อย ไม่เลวเลย! ต่อไปจะต้องมีลูกชายได้แน่นอน !”

เฉินเต้าจูนหัวเราะเสียงดังออกมา จากนั้นจึงหยิบทับทิมขนาดเท่าลูกวอลนัทลูกเล็กๆ ออกมาจากหน้าอก : “เสี่ยวหยิ่ง ลุงมีโอกาสเจอหน้าเธอเป็นครั้งแรก ไม่มีอะไรจะให้ ถือว่าอัญมณีชิ้นนี้ เป็นของขวัญในการพบหน้ากันครั้งแรกก็แล้วกัน”

เมื่อทุกคนเห็นทับทิมที่ขนาดเท่าลูกวอลนัทลูกเล็ก ๆ ต่างก็ตกตะลึง

เดิมทีทับทิมเป็นอัญมณีที่หายากอยู่แล้ว โดยเฉพาะทับทิมที่ขนาดใหญ่เช่นนี้ !

แม้แต่ตระกูลของกู้ชิงหยิ่งเอง ก็ไม่เคยพบเห็นมาก่อน

“คุณลุงคะ นี่ นี่มันมีค่ามากเกินไป หนูรับเอาไว้ไม่ได้หรอกค่ะ” กู้ชิงหยิ่งรีบปฏิเสธ

ทับทิมเม็ดนี้ ถือเป็นอัญมณีที่ประเมินค่าไม่ได้ !

เฉินตงเองก็รีบพูดขึ้นว่า : “คุณลุงครับ นี่มันมีค่ามากเกินไปจริงๆ”

“มีค่าอะไรกัน? คนตระกูลเฉินของฉัน แม้กระทั่งให้ของขวัญในการพบหน้า ก็ยังทำให้เสี่ยวหยิ่งต้องลำบากใจอย่างนั้นเหรอ?”

เฉินเต้าจูนนำทับทิมสีแดงใส่ไว้ในมือของกู้ชิงหยิ่ง : “ทับทิมเม็ดนี้ ตอนนั้นฉันแกะออกมาจากมงกุฎของฟาโรห์อียิปต์”

คำพูดที่น่าตกใจนี้

ทำให้พวกของเฉินตงต่างทำตัวไม่ถูก

แกะมาจากมงกุฎของฟาโรห์ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมตอนนี้ถึงหาไม่ได้ในท้องตลาด

เดี๋ยวก่อนนะ !

เฉินตงและกู้ชิงหยิ่งตกตะลึงไปพร้อมกัน

พวกเขาหันมองหน้ากัน ใบหน้าของกู้ชิงหยิ่งซีดเผือด แววตาเต็มไปด้วยความสับสน

แกะมาจากมงกุฎของฟาโรห์ นั่นหมายความว่านำออกมาจากพีระมิดอย่างนั้นเหรอ?

ทันใดนั้น กูชิงหยิ่งรู้ว่าตนเองควรจะตื่นเต้นหรือควรจะกลัวดี ?

เฉินเต้าจูนไม่ได้ใส่ใจ ก็เดินเข้าไปหาคุนหลุนซึ่งกำลังนั่งอยู่บนรถเข็น

ตอนที่คุนหลุนเห็นเฉินเต้าจูน เขาก็ได้สติขึ้นมาทันที

รอจนกระทั่งเฉินเต้าจูนเดินเข้ามาถึงตรงหน้า ในที่สุดเขาก็ตั้งสติกลับมาได

“ผู้อาวุโส”

เฉินเต้าจูนมองดูคุนหลุนด้วยท่าทีเรียบเฉย หลังจากนั้นไม่กี่วินาที จู่ๆ เขาก็ก่นด่าออกมาอย่างเย้ยหยัน : “สิบปีแล้ว ไม่มีอะไรพัฒนาเลยแม้แต่น้อย นายมันไร้ประโยชน์”

คุนหลุนหัวเราะออกมาอย่างร่าเริง และรู้สึกเขินเล็กน้อย แต่กลับไม่ได้โต้แย้ง

หากคนอื่นว่าเขาไร้ประโยชน์ เขาไม่มีทางยอมรับเด็ดขาด

นี่เป็นความภาคภูมิใจในตัวเองของเขา ในฐานะที่เป็นราชาแห่งทหารรับจ้างในสนามรบ

แต่เมื่อคำพูดนี้ออกมาจากปากของเฉินเต้าจูน เขาไม่มีมีสิทธิ์ที่จะโต้แย้ง

ครุ่นคิดอยู่สักครู่ คุนหลุนก็พูดขึ้นว่า : “ทำไมจู่ๆ ผู้อาวุโสถึงออกมาจากคุกมืดล่ะครับ ?”

เขาไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเฉินเต้าจูนถึงออกมาจากคุกมืดได้

เพราะคุนหลุนรู้ดีว่า ในคุกมืดไม่มีใครสามารถรั้งเฉินเต้าจูนเอาไว้ได้

“ยี่สิบกว่าปีมาแล้ว ออกมาดูโลกภายนอกสักหน่อย”

เฉินเต้าจูนยิ้มออกมาอย่างร่าเริง

“โลกภายนอก?” คุนหลุนขมวดคิ้วแล้วใช้ความคิด

เฉินเต้าจูนยิ้มออกมาอย่างร่าเริง : “โลกภายนอก……เปลี่ยนไปแล้ว”

ทั้งสองพูดคุยกัน และจบบทสนทนาลงด้วยคำพูดประโยคนี้

เฉินตงฟังบทสนทนาสั้นๆ นี้ ก็รู้สึกว่าคำพูดของเฉินเต้าจูนนั้นมีนัย

ยิ่งไปกว่านั้น การที่เฉินเต้าจูนรีบออกมาจากคุกมืดในเวลานี้ ถือเป็นเรื่องที่ไม่อาจเข้าใจได้จริงๆ

เฉินตงสูดหายใจเข้าเต็มปอดหนึ่งครั้ง จากนั้นจึงเดินเข้าไปหาเฉินเต้าจูน ในที่สุดก็พูดคำพูดที่เก็บซ่อนเอาไว้ในใจเมื่อครู่ออกมา

“คุณลุงครับ การออกมาครั้งนี้ จะพออยู่เป็นเพื่อนหลานที่นี่สักระยะได้ไหมครับ? “

ความสามารถของเฉินเต้าจูน แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนเมื่อครู่แล้ว

หากมีเขาอยู่ เฉินตงก็จะสามารถนอนหลับได้สนิทเสียที

ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ยิวหมินเดินทางมาถึงเมืองนี้แล้ว ถ้าหากเฉินเต้าจูนไปจากที่นี่ตอนนี้ สำหรับเฉินตงแล้ว ยิวหมินก็เป็นเหมือนดาบอันแหลมคมที่เขาไม่อาจหนีพ้นได้

“สามวัน!”

เฉินเต้าจูนชูนิ้วขึ้นมาสามนิ้ว : “จะอยู่แค่สามวัน หลังจากพ้นสามวันไปแล้ว ฉันก็จะไป ไม่ง่ายที่จะได้ออกมาสักครั้ง จะให้หมกตัวอยู่แต่ที่นี่ก็คงไม่ได้”

พูดจบ เขาก็ไม่สนใจเฉินตงอีก แต่หันกลับไปพูดกับท่านหลงว่า

“เจ้าแก่หลง ส่งข้อความไปให้ คนไร้ประโยชน์ เฉินเต้าหลินคนนั้นหน่อยว่า ให้เขารีบจัดการให้เรียบร้อย เป็นถึงเจ้าบ้านตระกูลเฉิน เรื่องแค่นี้ก็ยังจัดการไม่ได้ นี่ไม่เท่ากับว่ากินเปลืองข้าวสุกหรอกเหรอ?”

ทั้งหยิ่งทะนง และเด็ดขาด มาอาจหาใครเทียบได้

คำพูดแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ให้ความเคารพเฉินเต้าหลินเลยแม้แต่น้อย

หากคำพูดนี้แพร่งพรายออกไป คงจะทำให้เจ้าบ้านของตระกูลมั่งคั่งทุกตระกูล ต้องตกใจจนอ้าปากค้างอย่างแน่นอน

ท่านหลงหัวเราะออกมาอย่างเก้อเขิน : “กระผมทราบแล้วครับ”

……

หลังจากที่เฉินตงและเฉินเต้าจูนกลับถึงคลับสี่ยิ่น

ข่าวก็แพร่ออกไปถึงหูบรรดาตระกูลมั่งคั่ง ที่กำลังให้ความสนใจกับเรื่องนี้อยู่อย่างรวดเร็ว

หลังจากที่รู้ว่าคนที่เฉินตงยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อที่จะไปเจอคือเฉินเต้าจูน

มีทั้งคนที่รู้สึกหวาดกลัว มีทั้งคนที่รู้สึกตกตะลึง และมีคนที่ไม่รู้จักเฉินเต้าจูนรู้สึกงุนงง……

หนึ่งในคนที่รู้สึกงุนงงอยู่ก็คือหลี่เต๋อซาน

หลี่เต๋อซานนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยความสงสัย

“เฉินเต้าจูน……คือใครกัน?”

หากคุณท่านใหญ่ตระกูลหลี่ยังมีชีวิตอยู่ เมื่อได้ยินคำพูดนี้คงจะต้องตีเขาจนขาหักอย่างแน่นอน

แต่ตอนนี้ตระกูลหลี่อยู่ในการดูแลของหลี่เต๋อซาน

เหมือนกับที่เฉินเต้าจูนพูดเอาไว้จริงๆ บนโลกนี้ไม่มีตำนานของเขาเล่าขานมากว่ายี่สิบปีแล้ว

หลี่เต๋อซานไม่รู้จักเขา ก็ถือเป็นเรื่องปกติ

ภาพที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน

ทำให้เฉินตงรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก

พวกของท่านหลงที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก รู้สึกราวกับมีศัตรูตัวฉกาจ

ฟ่านลู่รีบพาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ตรงเข้าไปที่พุ่มไม้ทันที

ไม่ช้า เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสองสามนายก็ดึงร่างๆ ของคนคนหนึ่งออกมาจากพุ่มไม้

“ฮะ~”

ทุกคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุต่างอุทานออกมาด้วยความตกใจพร้อมกัน

และต่างก็หันมองเฉินเต้าจูนด้วยความตกตะลึง

ตลอดทางที่มา มีคนนับพันคอยคุ้มกันอยู่ กลับปลอดภัยไม่มีอันตรายใดๆ เกิดขึ้น

แต่กลับนึกไม่ถึงเลยว่า มีนักฆ่ามาดักรออยู่ที่หลุมฝังศพนานแล้ว

หากไม่ใช่เพราะเฉินเจ้าจูนชิงลงมือเสียก่อน จุดจบคงไม่ต้องพูดถึง !

ฟ่านลู่หันมองเฉินเต้าจูนด้วยแววตาที่ลึกซึ้ง มีความกลัวแอบซ่อนอยู่ภายในแววตาของเธอ

นี่เป็นการรับรู้ได้ถึงความน่ากลัวขนาดไหนกัน ?

“คุณลุง……”

เฉินตงตั้งสติได้ จึงหันมองเฉินเต้าจูนอย่างซาบซึ้ง

ยังไม่ทันจะพูดจบ เฉินเต้าจูนก็หัวเราะเยาะออกมา : “ในเมื่อเรียกฉันว่าลุง ถ้าเช่นนั้นก็จงเป็นเหมือนฉัน มานี่ ลุงจะสอนวิธีฆ่าคนให้นาย !”

อะไรนะ ? !

เฉินตงอึ้งไปทันที

หรือว่ายังมีนักฆ่าอยู่อีก ?

ยังไม่ทันที่เขาจะได้ตั้งตัว มือขวาก็ถูกเฉินเต้าจูนจับขึ้นมาเสียแล้ว เป็นแรงที่มหาศาลราวกับคีมเหล็ก

เฉินเต้าจูนค่อยๆ จูงเฉินตงเดินไปอีกด้านหนึ่ง

“คุณชาย!”

ท่านหลงหน้าถอดสี รีบตะโกนเรียกทันที

“หุบปาก!”

เฉินเต้าจูนหันกลับมาจ้องตาเขม็ง เต็มไปด้วยเจตนาฆ่าที่รุนแรง ทำให้ท่านหลงตกใจจนหน้าซีด และก้มหน้าก้มตา จนไม่กล้าสบตาอีก

เมื่อลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ท่านหลงก็รีบหันไปส่งสายตาให้กับฟ่านลู่และกูหลัง

ฟ่านลู่และกูหลังรีบตามเฉินตงและเฉินเต้าจูนไปในทันที

ส่วนฉินเย่และจูเก่งชิงที่อยู่ในฝูงชน ก็รีบตามไปด้วยเช่นกัน

คำพูดของเฉินเต้าจูนแสดงให้เห็นว่า บริเวณโดยรอบสุสานนี้ ยังมีนักฆ่าแอบซ่อนตัวอยู่ !

อีกทั้งตอนนี้ สิ่งที่เฉินเต้าจูนทำ ก็คือการพาเฉินตงเข้าไปใกล้นักฆ่า นี่ไม่เท่ากับเป็นการส่งเนื้อเข้าปากเสือหรอกเหรอ?

ไม่มีใครสงสัยความสามารถของเฉินเต้าจูน

แต่ก็ไม่มีใครกล้าปล่อยให้เฉินตงต้องเผชิญหน้ากับอันตรายเพียงลำพังเช่นกัน

“ห่างออกไปด้านหน้าสิบก้าว มีนักฆ่าอยู่ นายไปฆ่าเขาให้ลุงดูหน่อยซิ”

เฉินเต้าจูนหยุดเดิน แล้วปล่อยมือของเฉินตง จากนั้นจึงยิ้มให้เฉินตงด้วยรอยยิ้มที่อำมหิต

ทั้งคำพูดและการกระทำ ล้วนแล้วแต่แสดงออกถึงความน่าเกรงขาม

ทำให้เฉินตงรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก

“คุณลุง ผม……” เฉินตงลังเล

“ฆ่าคน ง่ายนิดเดียว!”

เฉินเต้าจูนถอนหายใจ จากนั้นจึงโน้มตัวลงไปหยิบก้อนหินขึ้นมาหนึ่งก้อน

ฟิ้ว !

ลอยทะลุอากาศไป

ก้อนหินลอยทะลุอากาศ ลงไปตกยังพุ่มไม้ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล

ตุ๊บ !

มีเสียงดังเกิดขึ้น

จากนั้นจึงตามมาด้วยเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด

จากนั้น ในระหว่างที่เฉินตงกำลังตกตะลึงอยู่นั้น ก็มีผู้ชายที่อำพรางใบหน้าอยู่ ล้มออกมาจากพุ่มไม้

อีกทั้งบนหน้าผากของคนคนนั้น ก็มีก้อนหินฝังอยู่ และเปียกชุ่มไปด้วยเลือดที่ไหลออกมาไม่หยุด

“เฮ้ย!”

แทบจะในเวลาเดียวกัน จู่ๆ ก็มีเสียงร้องด้วยความหวาดกลัวดังขึ้นมาจากยอดไม้ที่อยู่ห่างออกไป

ในขณะที่ทุกคนกำลังตกตะลึงและหันมองตามเสียงนั้นไป จู่ๆ ก็มีคนคนหนึ่งกระโดดลงมาจากยอดไม้ แล้วรีบวิ่งหนีลงเขาไปในทันที

“จะไปไหน ตายซะเถอะ!”

เฉินเต้าจูนเตะก้อนหินลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า

ทันใดนั้น มือขวาของเขาก็คว้าก้อนหินเอาไว้ แล้วเขวี้ยงออกไป

ฟิ้ว !

ลอยทะลุไปในอากาศ

ลมแรง จนทำให้เฉินตงรู้สึกราวกับผิวหนังถูกฉีกออก

ตุ๊บ !

นักฆ่าที่วิ่งหนีออกไปไกลส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดออกมา แล้วล้มลงไปบนพื้น

ภาพนี้ ทำให้เฉินตงรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก

เขาหันมองเฉินเต้าจูนที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยความตกตะลึง นี่สิถึงจะเรียกว่านักฆ่ามือพระกาฬที่แท้จริง !

ภาพที่ปรากฏขึ้นตรงหน้า ยิ่งทำให้เฉินตงยิ่งเข้าใจชัดเจนว่า ตอนที่เขาต่อสู้กับเฉินเต้าจูนในคุกมืด เฉินเต้าจูนออมมือให้เขามากเพียงใด

ใช้เพียงก้อนหินเป็นอาวุธ ก็สามารถมีอานุภาพในการฆ่าที่น่ากลัวพอๆ กับอาวุธปืน

หากพูดแบบไม่เกรงใจก็คือ ตอนที่อยู่บนเวทีประลองในคุกมืดตอนนั้น หากเฉินเต้าจูนคิดที่จะฆ่าเขาจริงๆ ละก็ เขาคงกลายเป็นศพไปตั้งนานแล้ว

บรรยากาศภายในภูเขาเงียบสงัด

อุณหภูมิลดลงจนถึงจุดเยือกแข็ง

เจตนาฆ่าที่รุนแรงของเฉินเต้าจูนแผ่ซ่านออกไปทั่ว

แม้แต่ฟ่านลู่เองยังรู้สึกหวาดกลัว และไม่กล้าสบตาเฉินเต้าจูน

เพราะว่า สายตาของเฉินเต้าจูนในตอนนี้ สามารถฆ่าได้แม้กระทั่งเทพเจ้าจริงๆ !

“ใครกล้าแตะต้องสายเลือดตระกูลเฉินของฉัน ต้องตายทั้งหมด!”

เฉินเต้าจูนตะโกนออกมาเสียงดัง

เขาก้มลงไปหยิบหินขึ้นมากำหนึ่ง แล้วถือเล่นในมือ จากนั้นจึงค่อยๆ โยนก้อนหินทิ้งทีละก้อนๆ

ก้อนหินธรรมดาๆ เมื่อหลุดออกไปจากมือของเฉินเต้าจูน กลับมีความเร็วที่น่าสะพรึงกลัวระเบิดขึ้นในทันที ราวกับกระสุนปืนที่ทะลุอากาศไป

มีเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดดังก้องบนภูเขา

มีศพที่อาบไปด้วยเลือด ค่อยๆ ปรากฏออกมาจากที่หลบซ่อนทีละศพๆ

และทั้งหมดเป็นการฆ่าภายในครั้งเดียว !

แม้แต่เฉินตง ก็ยังรู้สึกขนลุก และเกิดความกลัวสุดขีดขึ้นในก้นบึ้งของหัวใจ

นี่มัน……อยู่ในระดับความสามารถที่มนุษย์สามารถไปถึงได้อย่างนั้นเหรอ?

แต่ไหนแต่ไรมา เฉินตงไม่เคยปล่อยอารมณ์ของตนเองตามอำเภอใจเลย เพราะเขารู้ดีว่า การที่จะขึ้นเป็นเจ้าบ้านตระกูลเฉินได้นั้น ไม่เพียงแต่จะต้องผ่านการทดสอบด้านธุรกิจด้วยคะแนนเต็มเท่านั้น แต่จะต้องมีร่างกายที่แข็งแกร่งและมีทักษะการต่อสู้ด้วย

ตระกูลมั่งคั่งที่แท้จริง แต่ไหนแต่ไรมาล้วนต้องการผู้นำมีที่ความสามารถรอบด้าน !

มิเช่นนั้นตระกูลเฉินคงไม่เข้มงวดกับคนรุ่นหลัง และให้เข้าสู่กระบวนการการศึกษาที่ยอดเยี่ยม

แต่ยิ่งรู้จักควบคุมอารมณ์ เฉินตงก็ยิ่งเข้าใจขีดจำกัดของมนุษย์ได้มากขึ้น

แต่การแสดงออกของเฉินเต้าจูน อยู่เหนือกว่าสิ่งที่เขาเข้าใจ!

ในชั่วพริบตาเดียว ก้อนหินสิบกว่าก้อนที่อยู่ในมือ ก็ถูกเฉินเต้าจูนโยนออกไปจนหมด

และผลลัพธ์ก็คือ มีร่างของนักฆ่าสิบกว่าศพหล่นลงบนพื้น

บรรยากาศภายในภูเขากลับมาเงียบสงัดอีกครั้ง

มีสายตาของความหวาดกลัว มองมาที่เฉินเต้าจูนเป็นครั้งคราว

ไม่มีใครกล้าจ้องมองเฉินเต้าจูนนานนัก

เกรงว่าจะถูกนักฆ่ามือพระกาฬสังเกตเห็นเข้า

แม้กระทั่งนักฆ่าอันดับที่ 20 ในอันดับยมราชอย่างฟ่านลู่เอง ก็ยังไม่กล้า !

มีเพียงแค่เฉินตงคนเดียวเท่านั้น ที่จ้องมองเฉินเต้าจูนอยู่ตลอดเวลา

ไม่เพียงแต่มีเจตนาฆ่าที่รุนแรงแผ่ซ่านออกมาจากตัวของเฉินเต้าจูนเท่านั้น แต่ยังเหลือบมองทุกคนด้วยสายตาที่ต้องการให้ยอมจำนนต่อตนเอง

ยิ่งสังเกต เฉินตงก็ยิ่งรู้สึกสงสัย

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมในสมัยนั้น เขาถึงไม่อาจเอาชนะคุณพ่อได้ ?

“ยังมีอีกหนึ่งคน!”

จู่ๆ เฉินเต้าจูนก็พูดออกมา เขาขมวดคิ้ว แล้วหันมองไปทางด้านหนึ่งด้วยสายตาที่แหลมคมราวกับเหยี่ยว : “แก มีเวลาให้หนีตั้งนาน ทำไมไม่หนี ?”

เฉินตงมองตามเสียงไป ทางด้านนั้น เป็นเนินดิน ไม่สิ จ้องพูดว่าเป็นหลุมศพที่รกร้างไร้เจ้าของ

ฟรึ่บ……

ขณะที่กำลังหันมองไป ดินที่อยู่บนหลุมศพ ก็ค่อยๆ ทรุดตัวลง

มีมือข้างหนึ่งยื่นออกมาจากหลุมศพ !

ถึงแม้จะเป็นกลางวันแสกๆ แต่ภาพที่ปรากฏขึ้น กลับทำให้เฉินตงรู้สึกกลัวจนเสียวสันหลัง

ทุกคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุต่างรู้สึกตกใจจนแทบจะหยุดหายใจพร้อมกัน

เมื่อหลุมศพถูกเปิดออกมา มีร่างที่ถูกพันเอาไว้ผ้าพันแผล เผยให้เห็นเพียงดวงตาทั้งสองข้างที่ดูมืดหม่น ค่อยๆ เดินออกมาจากหลุมศพ แล้วจ้องมองเฉินเต้าจูน จากนั้นคนที่พันผ้าเอาไว้ก็รีบพยักหน้า แล้วส่งเสียงของผู้ชายที่ฟังดูหนักแน่นออกมา : “จะไปเดี๋ยวนี้”

พูดจบ เขาก็เดินจากไปต่อหน้าทุกคน

นี่ ทำเหมือนกับไม่มีใครเห็น ?

ใบหน้าของเฉินตงเต็มไปด้วยความตกตะลึง และรู้สึกเหลือเชื่อ

วิธีการลงมือของเฉินเต้าจูนเมื่อครู่ สามารถฆ่าคนไปได้อย่างต่อเนื่องสิบกว่าคน นักฆ่าธรรมดาๆ ต่างกลัวจนหัวหด

แล้วนักฆ่าที่ซ่อนตัวอยู่ในหลุมศพคนนี้ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเฉินเต้าจูน ทำไมถึงยังใจเย็นเช่นนี้อยู่ได้ ?

ฟิ้ว !

ในขณะที่เฉินตงกำลังตกตะลึงอยู่นั้น

เฉินเต้าจูนที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ขว้างก่อนหินออกไปก้อนหนึ่ง

สายลมพัดผ่านใบหน้าของเฉินตงไปอย่างน่าสะพรึงกลัว

ความเจ็บที่เกิดขึ้น ทำให้คิ้วของเฉินตงขมวดเข้าหากันทันที เขายกมือขึ้นไปลูบใบหน้าด้านซ้าย และพบว่าใบหน้าของเขาถูกก้อนหินที่ลอยผ่านอากาศไปด้วยความเร็ว บาดเข้าเป็นรอยเล็กๆ !

การออกแรงในครั้งนี้ มากกว่าครั้งก่อนๆ ที่ผ่านมา

ทว่า

ตุ๊บ !

ในขณะที่ก้อนหินพุ่งเข้าใส่ชายที่กำลังพันผ้าอยู่นั้น

ชายที่พันผ้าอยู่ไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง เขายื่นมือขวาออกมาทันที ผ้าที่พันอยู่บนมือค่อยๆ ลอยออกมา เขาบีบก้อนหินจนแตกละเอียด แล้วโยนลงบนพื้นกระจัดกระจาย

แววตาของเฉินเต้าจูนเป็นประกาย แล้วหัวเราะออกมาเสียงดังพลางพูดว่า : “ดี แกไปได้ !”

เฉินตงรู้สึกปวดหัว

เขาถูขมับของตนเอง

การเดินทางครั้งนี้ยิ่งใหญ่เกินจินตนาการของเขา

“ฉันแค่ไปหาคุณลุง”

เฉินตงถอนหายใจ เมื่อจูเก่อชิงขับรถมาบรรจบจากถนนสายอื่น เขารู้สึกโกรธเล็กน้อย

เขากัดฟัน : “ท่านหลง โทรไปหายัยจูเก่อชิงคนนั้น แล้วบอกให้เธอกลับเข้าไปในรถ !”

“คุณชาย ใจเย็นครับ เขาเป็นผู้ชาย”

ท่านหลงเตือนเขาอย่างหวังดี แล้วจึงโทรศัพท์หาจูเก่อชิง

หลังจากสั่งการเรียบร้อยแล้ว

ไม่ช้า เฉินตงก็เห็นจูเก่อชิงลอดผ่านซันรูฟกลับเข้าไปในรถ

“ท่านหลง ให้พวกเขาแยกย้ายกลับไปดีไหม?” เฉินตงเสนอ

ท่านหลงกล่าวด้วยท่าทางเคร่งขรึม: “มันเกี่ยวกับความปลอดภัยของคุณชาย กระผมไม่อาจปฏิเสธได้”

เฉินตง : “……”

รวยเกินไป บางครั้งก็ลำบากเหมือนกัน

ในที่สุดขบวนรถก็มาถึงชานเมือง

เมื่อเทียบกับเขตเมืองที่มีประชากรหนาแน่น ชานเมืองค่อนข้างจะดูรกร้างมาก

เมื่อผู้ชมส่วนใหญ่หายไป เฉินตงก็แอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก

เมื่อหันกลับไปมองคาราวานรถอันยิ่งใหญ่ เฉินตงก็ทำอะไรไม่ถูก และคาดว่ารถที่อยู่ปลายแถว……น่าจะยังไม่ออกจากเมือง?

แต่เขาก็รู้สึกกดดันน้อยลง และรู้สึกผ่อนคลาย

เมื่อคิดถึงเฉินเต้าจูนที่กำลังจะได้เจอ หัวใจเฉินตงก็เต้นเร็วขึ้นอีกครั้งอย่างอดไม่ได้ และเขาก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอีกครั้ง

เขาไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ เฉินเต้าจูนจึงออกจากคุกมืด

แต่เขารู้ดีถึงความแข็งแกร่งของเฉินเต้าจูน ที่สามารถควบคุกทั้งคุกได้อย่างน่าเกรงขาม

ถ้าเขาสามารถขอร้องให้เฉินเต้าจูนช่วยปกป้องเขาได้ในครั้งนี้ได้ เขาก็จะสามารถพักผ่อนได้อย่างสบายใจเสียที

นักฆ่าขององค์กร Hidden Killings นั้นน่ากลัวจริงๆ !

จะเปรียบกับคุกมืดได้อย่างไร?

คนที่ถูกคุมขังในคุกมืดนั้น เป็นบุคคลชั้นนำจากทั่วทุกมุมโลก ในจำนวนนั้น มีทั้งทหารและนักรบจำนวนมาก ไม่ต่างอะไรกับฝูงปีศาจ

ในคุกมืดที่ปีศาจถูกคุมขัง เฉินเต้าจูนสามารถควบคุมคุกมืดทั้งหมดได้ด้วยความสามารถของเขาเอง

ความแข็งแกร่งแบบนี้สูงส่งกว่าฆ่าในอันดับยมราชนัก ?

เฉินตงไม่ต้องใช้สมองยังคิดออก !

ไม่ต้องพูดยิวหมินซึ่งอยู่ในอันดับ 10 ของอันดับยมราช แม้กระทั่งอันดับ 1 ในตารางยมราช

จะสามารถเอาชนะเฉินเต้าจูนได้หรือไม่นั้น ก็ยังบอกไม่ได้ +

อันที่จริง ท่านหลงผู้รู้ความจริงทุกอย่าง ก็คิดเช่นเดียวกับเฉินตงเช่นกัน

มิฉะนั้นท่านหลงที่เฉลียวฉลาดจะไม่มีวันเห็นด้วยกับ “การรนหาที่ตาย” ของเฉินตงแน่นอน

บริเวณโดยรอบกลายเป็นที่รกร้างมากขึ้นเรื่อยๆ และเริ่มมีต้นไม้มากขึ้น

ปกคลุมไปด้วยความเขียวชอุ่ม

หลังจากไปถึงตีนเขาแล้ว เฉินตงก็สั่งให้ขบวนรถหยุด

แล้วพาทุกคนไปยังที่ซึ่งกระดูกของแม่ถูกฝังอยู่บนภูเขา

ค่อยๆ เดินไปข้างหน้า

ด้านหลังของเฉินตงมีท่านหลง ฟ่านลู่ และกูหลังคอยติดตามอย่างใกล้ชิด

ส่วนด้านหน้ามีฉินเย่ จูเก่อชิง และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจำนวนนับไม่ถ้วนได้ติดตามอย่างทรงพลัง

น่าตื่นตะลึงไม่น้อยไปกว่าขบวนรถที่ผู้คนได้พบเห็นเลย

ดูเหมือนกระแสน้ำที่ไหลขึ้นสู่ภูเขา

เมื่อเฉินตงไปถึงยังที่ฝังศพของแม่

จากระยะไกล เห็นมีคนนั่งไขว่ห้างอยู่หน้าหลุมศพของแม่

ธูปถูกไฟแผดเผา

กลิ่นหอมฟุ้งกระจายเป็นควัน

มีการวางเครื่องบูชาไว้หน้าหลุมศพ

คนที่นั่งไขว่ห้างอยู่ โยนกระดาษเงินกระดาษทองลงไปในกองไฟ และเมื่อลมพัด ท้องฟ้าก็เต็มไปด้วยขี้เถ้า

เขาคนนั้นคือเฉินเต้าจูน!

เมื่อมองไปเฉินเต้าจูนแล้ว เฉินตงก็รู้สึกใจลอยเล็กน้อย

ท่านหลงที่ยืนอยู่ข้างๆ กลับแสดงทีท่าหวาดกลัวออกมา ท่านหลงผู้ซึ่งสงบนิ่งมาโดยตลอด มาบัดนี้ที่กลับยืนตัวเกร็งและรออย่างสงบนิ่ง

เขาติดตามเฉินเต้าหลินมาโดยตลอด จึงรู้ดีว่า คนที่นั่งไขว่ห้างอยู่ด้านหน้าหลุมศพนั้น หมายถึงอะไร !

พวกกูหลังและฟ่านลู่เองก็จ้องมองไปยังเฉินเต้าจูน

ต่อให้จะมีคนอีกหลายพันคนรออยู่เบื้องหลัง แต่เฉินเต้าจูนก็ยังคงนังเผากระดาษเงินกระดาษทองอย่างสงบ

เพียงแค่บรรยากาศนี้ ก็ทำให้ฟ่านลู่รู้สึกหวาดกลัวได้แล้ว

“คุณลุง ผมมาแล้ว”

ในที่สุดเฉินตงก็เอ่ยปาก

“อืม”

น้ำเสียงที่เรียบเฉยดังขึ้น

เฉินเต้าจูนค่อยๆ หันหน้ามา แล้วเหลือบมองฝูงชนที่อยู่ด้านหลังเฉินตง

เขาแสยะยิ้มออกมา : “นี่ลุงยิ่งใหญ่ขนาดนี้เลยหรือ นายถึงได้พาคนมาต้อนรับมากมายขนาดนี้ ?”

เฉินตงยิ้มอย่างเก้อเขิน : “ช่วงนี้เกิดเรื่องวุ่นวายนิดหน่อย คนเหล่านี้มาเพื่อคุ้มกันผม”

“ไร้สาระ!”

เฉินเต้าจูนแสดงท่าทีเย็นชา แล้วหรี่ตาลง

ทันใดนั้น บรรยากาศทั้งภูเขาก็เงียบสงัดลงทันที

ดูเหมือนอุณหภูมิจะลดต่ำลงจนถึงจุดเยือกแข็ง

การแสดงออกนี้ เมื่อปรากฏขึ้นในดวงตาของกูหลัง ทำให้เขารู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่า เกิดความกลัวที่มองไม่เห็นขึ้นมาในใจ แผ่นหลังค่อยๆ เย็นยะเยือก

“คนของตระกูลเฉิน ทำไมถึงทำเรื่องไร้สาระขนาดนี้ได้?”

ท่าทีของเฉินเต้าจูนดูดุดัน ราวกับผู้อาวุโสที่กำลังพูดว่ากล่าวตักเตือนคนรุ่งหลัง

เขาโยนกระดาษเงินกระดาษทองที่ถืออยู่ในมือลงบนพื้นอย่างแรง : “นาย มานี่ซิ ! มาไหว้แม่ที่ตายไปแล้วของนาย จะอยากจะดูซิว่า ใครจะกล้าทำร้ายนาย !”

“เฮ้อ~”

เฉินตงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

เขาหันไปพูดกับท่านหลงว่า : ท่านหลง พาพวกเขาลงไปจากเขาเถอะ”

“คุณชาย นี่มัน……”

ท่านหลงหน้าถอดสีทันที เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงชีวิตของเฉินตง หากให้คนที่รออยู่ด้านหลังเหล่านั้นกลับไปทั้งหมด หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา ใครจะเป็นคนคุ้มกันเฉินตง ?

“ไม่มีอะไรหรอก!”

เฉินตงทำหน้าเคร่งขรึม

ท่านหลงถอนหายใจอย่างจนใจ เขาพาพวกฟ่านลู่และท่านหลงค่อยๆ ทยอยถอยห่างออกไป

แต่ก็ไม่ได้ลงจากเขาเสียทีเดียว อีกทั้งยังรักษาระยะห่างไม่ไกลนัก และคอยระแวดระวังบริเวณโดยรอบอยู่ตลอดเวลา

เฉินตงค่อยๆ เดินเข้าไปหาเฉินเต้าจูน

เฉินเต้าจูนยังคงดูเย็นชา เช่นเดียวกับตอนที่อยู่ในคุกมืด

สิ่งเดียวที่แตกต่างออกไปก็คือ ดูเหมือนเขาจะแอบซ่อนความดุดันที่รุนแรงเอาไว้ในตัวของเขา

แต่นี่เป็นเพียงแค่สิ่งที่แอบซ่อนเอาไว้เท่านั้น เมื่อทุกอย่างถูกเปิดเผยขึ้น ก็ทำให้ต้องรู้สึกตกตะลึง

ราวกับความรู้สึกกลัวที่เกิดขึ้นกับฟ่านลู่เมื่อครู่ ตอนที่เฉินเต้าจูนมีท่าทีเย็นชา

“คุกเข่าลง!”

เฉินเต้าจูนกล่าวอย่างเย็นชา : “ตระกูลเฉินต้องถูกบังคับให้ทำเรื่องไร้สาระเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ? แม้กระทั่งมากราบไหว้แม่ของตัวเอง ยังต้องพาคนมาคอยคุ้มกันนับพัน ? นายรู้สึกอายบ้างไหม ?”

“อายครับ!”

เฉินตงคุกเข่าลงด้านหน้าหลุมศพของแม่ เก็บกระดาษเงินกระดาษทองที่หล่นอยู่ขึ้นมา แล้วโยนเข้าไปในกองไฟทีละใบๆ

หลังจากที่องค์กร hidden killers ได้ประกาศภารกิจลอบสังหารออกมาแล้ว เขาก็ต้องคอยใช้ชีวิตอย่างระแวดระวัง และเหมือนตกอยู่ในอันตรายอยู่ตลอดเวลา ส่วนเรื่องที่จะมากราบไหว้แม่ของเขานั้น เขาก็ทำได้เพียงแค่ลังเล”

“เฉินตงคนที่อยู่ในคุกมืด ไปไหนเสียแล้ว?”

เฉินเต้าจูนหยิบเหล้าที่หลุมศพขึ้นมาดื่ม

“ยังอยู่ตลอดครับ แต่เมื่อคนเราอยู่ใต้ชายคา ก็จำเป็นที่จะต้องก้มหัว”

เฉินตงยิ้มออกมาอย่างหดหู่ : “ตระกูลหลี่แห่งเมืองหลวงเข้าใจผิดว่าผมเป็นคนฆ่าคุณท่านใหญ่ตระกูลหลี่ จึงได้ประกาศภารกิจลอบฆ่าผมกับองค์กรhidden killers ในดาร์กเว็บ อีกทั้งยังมีคนจงใจชักจูงการลอบฆ่า ทำให้มีนักฆ่าจำนวนมากแย่งกันหมายเอาชีวิตผม ผมไม่ยอมก็คงไม่ได้”

“ยอมเหรอ ? ตอนนายอยู่ในคุกมืดเคยยอมใครที่ไหนกัน !”

เฉินเต้าจูนยิ้มออกมาอย่างน่าเกรงขาม : “นายคนที่อยู่ในคุกมืดเสียดายชีวิต ต่อให้ต้องต่อสู้จนตัวตายก็ต้องออกมาจากคุกมืดให้ได้ นายในตอนนั้นไม่กลัวตาย นายกล้าที่จะต่อสู้อย่างสุดชีวิต นายเลือดร้อน แล้วตอนนี้ล่ะ ?”

“ผม……” เฉินตงพูดไม่ออก

บนตัวของเฉินเต้าจูนดูทรงพลังราวกับมีภูเขาลูกใหญ่อยู่

ทันใดนั้น

ความสง่างามและความเด็ดขาดเฉกเช่นภูเขาลูกใหญ่นั้น ก็ทำให้เฉินตงรู้สึกหายใจไม่ออก

“คนของตระกูลเฉินต้องเด็ดขาด ต้องไม่กลัวตาย! นายทำเช่นนี้ ถือว่าไร้สาระจริงๆ !”

เฉินเต้าจูนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด เต็มไปด้วยความดุดัน : “ก็แค่องค์กรนักฆ่าลับๆ ในดาร์กเว็บ ทำให้นายลืมตัวตนตอนที่อยู่ในคุกมืดไปเลยเหรอ? นายยังทำตัวไร้สาระไม่พออีกเหรอ? พวกแมลงวันที่บินไปบินมาพวกนั้น ฆ่าเสียให้ตายกพอแล้วไม่ใช่หรือ ! คนที่รังแกนาย ใส่ร้ายนาย และต้องการจะฆ่านาย ก็แค่ฆ่าเสียให้สิ้นซาก ตัดรากถอนโคนทิ้งอย่าให้เหลือ ทำไมนายจะต้องมามัวแต่หลบๆ ซ่อนๆ อยู่เช่นนี้ด้วย ?”

ฟึ่บ !

ยังไม่ทันจะพูดจบ

เฉินเต้าจูนก็โยนขวดเหล้าที่อยู่ในมือออกไป

ขวดแก้วลอยทะลุอากาศไป ราวกับกระสุนปืนใหญ่ พุ่งเข้าใส่พุ่มไม้ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล

“โอ๊ย!”

มีเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังตามมา มีเลือดกระเซ็นออกมาจากในพุ่มไม้

ภาพนี้ ทำให้ทุกคนต่างตกใจจนหน้าถอดสี

เฉินเต้าจูนแสยะยิ้มออกมา : “นายดูสิ ฆ่าคนง่ายแค่นี้เอง !”

กูหลังกับฟ่านลู่ทำหน้าตาสงสัย

แต่ท่านหลงที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งคนขับนั้นกลับตกตะลึงไปเรียบร้อยแล้ว

เต้าจูน

ลุง

ท่านหลงพยายามใช้สมองทั้งหมดที่มีคิดทบทวน แต่เขากลับนึกออกเพียงแค่ชายที่รูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่ง ที่ดูแล้วพอจะมีความเชื่อมโยงกับสองสิ่งนี้ได้

เขา……กลับมาแล้วจริงๆเหรอ?

ทันใดนั้น ท่านหลงก็สีหน้าซีดเผือด

เขาสูดหายใจเข้าเต็มปอดหนึ่งครั้ง แล้วพูดออกมาด้วยความโล่งใจ : “ไม่แน่ว่า ภารกิจปกป้องคุณชายในครั้งนี้ อาจจะสำเร็จแล้ว !”

กูหลังและฟ่านลู่หน้าถอดสีพร้อมกัน

การคุ้มกันของคุนหลุนและฟ่านลู่ รวมไปถึงทีมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของเฉินเต้าหลิน และทีมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของคลับสี่ยิ่น ยังไม่อาจวางใจได้

แต่คนเพียงคนเดียว กลับทำให้ท่านหลงพูดคำพูดเช่นนี้ออกมาได้ ?

ทันใดนั้น บรรยากาศภายในรถก็ดูแปลกไปทันที

ขบวนรถที่แล่นมาอย่างทรงพลัง มุ่งหน้าไปยังสุสานที่แม่ของเฉินตงถูกฝังอยู่

ซึ่งถือว่าสามารถดึงดูดความสนใจของผู้คนที่อยู่ระหว่างทางได้เป็นอย่างดี และมีคนจำนวนไม่น้อยที่ถ่ายรูปลงอินเทอร์เน็ต

เรื่องนี้ เฉินตงเองก็ขี้เกียจสนใจ

เพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ หากต้องทำอะไรที่เกินกว่าเหตุก็จำเป็นต้องทำ

หลังจากเฉินตงพาขบวนรถออกจากคลับสี่ยิ่น

ก็มีคลื่นลูกใหญ่ ที่สั่นสะเทือนไปถึงตระกูลใหญ่ๆ ทุกตระกูลทันที

เมืองหลวง ในบ้านตระกูลหลี่

หลี่เต๋อซานนั่งมองจอคอมพิวเตอร์ด้วยความโมโห

ในคอมพิวเตอร์ เป็นคลิปวิดีโอในขณะที่เฉินตงกำลังพาขบวนรถแล่นออกจากคลับสี่ยิ่น

“เขาเสียสติไปแล้วเหรอ? เขาไม่กลัวตายหรือยังไง ? เขาจะไปไหนกันแน่ ?”

คำถามเกิดขึ้นในสมองของหลี่เต๋อซานไม่หยุด ทำให้ตัวของเขาสั่นเทาอยู่ตลอดเวลา

เขาปรารถนาให้เฉินตงตาย หลังจากประกาศภารกิจลอบสังหารเฉินตงในดาร์กเว็บแล้ว ตระกูลหลี่ก็ตั้งตารอฟังข่าวดีเกี่ยวกับการเสียชีวิตของเฉินตง

สำหรับหลี่เต๋อซานแล้ว ในขณะที่เขาตั้งตารอให้เฉินตงตาย เขาก็เสพสุขอยู่กับการที่เฉินตงต้องคอยใช้ชีวิตอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ ในทุกๆ วันอีกด้วย

สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนได้ระบายความแค้น !

ตอนที่พ่อยังมีชีวิตอยู่ เพื่อที่จะให้เฉินตงเข้ามาดูแลตระกูลหลี่ ถึงขนาดดึงตระกูลหลี่ทั้งตระกูลลงไปก้มหัวให้กับเฉินตง

ไม่ว่าจะเป็นตระกูลหลี่ หรือตัวเขาเอง หลี่เต๋อซาน ไม่เคยต้องรู้สึกคับข้องใจเช่นนี้มาก่อน

ตอนนี้พ่อได้จากโลกนี้ไปแล้ว หลี่เต๋อซานเป็นคนดูแลตระกูลหลี่ จึงให้คำมั่นว่าจะต้องฆ่าเฉินตงให้ได้

เขาชอบความรู้สึกที่ถือไพ่เหนือกว่า และคอยเฝ้าดูเฉินตงเข้าใกล้ความตายทีละนิดๆ

ถึงต้องมีจุดจบเช่นนี้ ตระกูลเฉินทั้งตระกูล และหลี่เต๋อซานเอง ก็ไม่รู้สึกสงสารเลยแม้แต่น้อย

แต่ตอนนี้ เฉินตงซึ่งปกติแล้วเอาแต่หดหัวอยู่ในคลับสี่ยิ่นด้วยความหวาดกลัว จู่ๆ กลับออกไปข้างนอกพร้อมด้วยขบวนรถที่ขับออกมาอย่างเปิดเผยและสง่างามอย่างนั้นเหรอ?

สิ่งนี้ทำให้ความสุขที่หลี่เต๋อซานสั่งสมเอาไว้ หายไปต่อหน้าต่อตาทันที

“เขาไม่ควรเป็นเช่นนี้! เขาควรจะหลบซ่อนตัวในคลับสี่ยิ่นด้วยความหวาดกลัว ได้รับการคุ้มกันจากคนพวกนั้น จากนั้นก็เฝ้ารอนักฆ่าเหล่านั้นไปฆ่าเข้าอย่างขวัญหนีดีฝ่อ !”

หลี่เต๋อซานดวงตาแดงก่ำด้วยความแค้น เขากัดฟันกรอด

เพล้ง !

เขาทุบแจกันโบราณในยุคเฉียนหลงที่วางอยู่ข้างๆ เขาจนแตก แล้วพูดด้วยความโมโหว่า : “ก็ดี แกรนหาที่ตายเองนะ พวกนักฆ่าที่คอยซุ่มดูอยู่พวกนั้น จะต้องช่วยสงเคราะห์แกแน่นอน ! ขอเพียงแค่แกตาย ก็ถือว่าฉันแก้แค้นให้กับพ่อได้สำเร็จแล้ว !”

เมืองหลวง ในตระกูลจางและตระกูลฉู่

หลังจากที่เฉินตงพาคนออกจากคลับสี่ยิ่นแล้ว

เจ้าบ้านของทั้งสองตระกูลและคนที่เป็นเสาหลักภายในตระกูล ก็มารวมตัวกันทันที

“เจียนเจีย นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? คุณเฉิน ทำไมจู่ๆ ถึงออกมาจากคลับสี่ยิ่น ?”

ใบหน้าของคุณท่านใหญ่ตระกูลฉู่เต็มไปด้วยความตื่นตกใจ และเอ่ยถามฉู่เจียนเจียเสียงดัง

ส่วนคุณท่านใหญ่ตระกูลจางนั้น สีหน้าเคร่งเครียดอย่างที่สุด

ก่อนหน้านี้ทั้งสองตระกูลเป็นเหมือนไฟกับน้ำมัน แต่เป็นเพราะเฉินตง ถึงมีวันนี้ได้ ตอนนี้ทั้งสองตระกูลเป็นเหมือนตั๊กแตนที่ถูกผูกติดไว้กับเชือก

และอีกด้านหนึ่งของเชือกก็คือเฉินตง !

เมื่อถูกผูกติดอยู่กับเฉินตง หากเฉินตงได้ขึ้นเป็นเจ้าบ้านตระกูลเฉิน ตระกูลจางและตระกูลฉู่ก็จะพลอยได้รับอานิสงส์ไปด้วย

แต่ถ้าหากเฉินตงตาย ก็เท่ากับว่าแผนการที่ตระกูลจางและตระกูลฉู่วางเอาไว้ทั้งหมด ต้องพังลงอย่างไม่เป็นท่า

ภารกิจบอลสังหารขององค์กรhidden killers ทำให้ตระกูลจางและตระกูลฉู่รู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก

อีกทั้งตอนนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ต้องปกป้องเฉินตงเอาไว้ให้ได้ !

ขอแค่เฉินตงรอด ความหวังของทั้งสองตระกูลก็ยังคงอยู่ หากเฉินตงตาย ตระกูลจางและตระกูลฉู่ก็ต้องตกที่นั่งลำบาก

ตอนนี้เฉินตงออกจากคลับสี่ยิ่น เห็นได้ชัดว่าเป็นการรนหาที่ตาย

แล้วจะไม่ให้ทั้งสองตระกูลร้อนใจได้อย่างไร ?

ใบหน้าอันงดงามของฉู่เจียนเจียเรียบเฉย เธอก้มหน้าก้มตาแล้วพูดว่า : “หนูเองก็ไม่รู้ ไม่มีใครส่งข่าวให้หนูเลย !”

คุณท่านใหญ่ของตระกูลจางและตระกูลฉู่หันมองจางหยู่หลันพร้อมกัน

“หยู่หลัน ฉินเย่พูดอะไรบ้าง?” คุณท่านใหญ่ตระกูลจางถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

จางหยู่หลันพูดอย่างจนใจว่า : “คุณปู่ค่ะ ตอนที่เกิดเรื่องขึ้น หนูก็ติดต่อฉินเย่ทันที แต่เขาเองก็ไม่รู้เรื่องเหมือนกัน”

“นี่มัน……”

คุณท่านใหญ่ทั้งสองรู้สึกหายใจไม่ออกขึ้นมาพร้อมกัน และรู้สึกเหมือนมีเสียงดังอื้ออึงอยู่ภายในหัว

ตระกูลฉินแห่งซีสู่

ตอนนี้ทุกอย่างอยู่ในความสงบ

หลังจากที่คุณท่านใหญ่ตระกูลเฉินถือดาบไปตายต่อหน้าเฉินตง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในซีสู่อย่างตระกูลฉิน ก็พลอยสิ้นอำนาจไปด้วยเช่นกัน

ฉินเย่และฉินเสี่ยวเชียนเป็นคนควบคุมกิจการครึ่งหนึ่งของตระกูลฉิน โดยมีเฉินตงคอยให้การสนับสนุน และกลายเป็นผู้ที่มีสิทธิ์ขาดในตระกูลฉิน

ต่อให้ฉินเย่และฉินเสี่ยวเชียนไม่อยู่ในซีสู่ ก็ยังคงสามารถควบคุมตระกูลฉินเอาไว้ได้

ภายในห้องที่มีแสงไฟสลัวๆ

ฉินเห้อเหนียนวางขวดเหล้าลง จากนั้นจึงหันมองหน้าจอโทรศัพท์ แล้วแสยะยิ้มออกมาอย่างภูมิใจ

“แกคิดจะรนหาที่ตายอย่างนั้นเหรอ? ตายไปซะก็ดี หากแกตายแล้ว ก็ถึงเวลาที่ฉันจะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างเสียที ฉันจะฆ่าฉินเย่และฉินเสี่ยวเชียนทิ้งซะ หลังจากนั้น ตระกูลฉินก็จะกลับมาเป็นตระกูลฉินดังเดิม !”

ขณะที่พูด ฉินเห้อเหนียนก็น้ำตาไหลรินออกมา เขายกขวดเหล้าขึ้นดื่ม จากนั้นจึงโยนขวดเหล้าลงบนพื้น : “พ่อครับ พ่อพักผ่อนให้สบายได้แล้วนะครับ !”

ตระกูลจูเก่อ

เจ้าบ้านตระกูลจูเก่อตะโกนใส่โทรศัพท์ด้วยความโมโห

“จูเก่อชิง! ฉันไม่สนว่าทำไมจู่ๆ เฉินตงถึงได้เดินทางออกจากคลับสี่ยิ่น ! ฉันต้องการให้นายตามคุ้มกันเขาให้ถึงที่สุด ถ้าหากเกิดเรื่องร้ายขึ้นในการเดินทางของคุณเฉินครั้งนี้แล้วล่ะก็ นายเตรียมตัวตายกลับมาได้เลย !”

ภาพเหตุการณ์เดียวกัน เกิดขึ้นซ้ำๆ ในตระกูลมั่งคั่งที่เกี่ยวพันกันทุกตระกูล

พายุลูกใหญ่ที่เกิดขึ้น ทำให้ทุกคนตื่นตระหนก

ตอนนี้ทุกคนต่างไม่เข้าใจว่า ทำไมเฉินตงซึ่งกำลังตกอยู่ในอันตรายเช่นนี้ ถึงได้พาตัวเองออกจากคลับสี่ยิ่นโดยไม่เกรงกลัวความตาย ?

นี่มัน รนหาที่ตายชัดๆ !

ขบวนรถเคลื่อนไปด้านหน้าอย่างทรงพลัง

ผู้เห็นเหตุการณ์ต่างอุทานออกมาด้วยความตะลึง

แต่ ขบวนรถที่แต่เดิมมียี่สิบคัน ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่มีจำนวนรถเพิ่มขึ้นมาในขบวนมากขึ้น จนทำให้ขบวนรถยาวออกไปไกลจนสุดลูกหูลูกตา

และดูเหมือนความแข็งแกร่งนี้จะไม่ลดน้อยถอยลงเลย

ทรงพลัง

น่าทึ่ง

“พี่ตง พี่เสียสติไปแล้วหรือยังไง? รีบกลับไปเร็วเข้า ! กลับไปที่คลับสี่ยิ่นเดี๋ยวนี้ !”

เมื่อได้ยินเสียงของฉินเย่ที่ดูเหมือนกำลังสติแตกที่ดังออกมาจากโทรศัพท์ เฉินตงก็ตอบกลับอย่างเรียบเฉย : “ถ้านายไม่พาคนมาตอนนี้ ก็รีบไสหัวไปซะ”

ตู้ด !

โทรศัพท์ถูกตัดสาย

เฉินตงนั่งนิ่งด้วยความจนใจอยู่ครู่หนึ่ง นี่เป็นเพียงแค่การเดินทางเท่านั้น

เดิมทีคิดว่าขบวนรถของตัวเองนั้นก็ดูจะเกินกว่าเหตุไปหน่อยแล้ว ใครจะไปรู้ว่าฉินเย่และฉินเสี่ยวเชียน จะพาทีมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเข้ามาสมทบอีก ?

การต่อสู้ครั้งนี้ เกรงว่าหากไม่ใช่นักฆ่าที่อยู่ในอันดับยมราชขององค์การ hidden killers แล้วล่ะก็ เมื่อเห็นคงจะต้องตกใจจนรีบวิ่งหนีอย่างแน่นอน ?

ขณะที่กำลังรู้สึกจนใจอยู่นั้น จู่ๆ ท่านหลงซึ่งนั่งอยู่ตรงที่นั่งข้างคนขับก็พูดขึ้นว่า

“คุณชาย ดูเหมือนทานโน้นจะมีขบวนรถของตระกูลจูเก่อกำลังมุ่งหน้ามา!”

อะไรนะ ? !

เฉินตงรู้สึกประหลาดใจ : “นายรู้ได้อย่างไร ?”

ท่านหลงชี้นิ้วไปทางด้านหนึ่ง : “นายจูเก่อชิงคนนั้น นั่งมาบนหลังคารถครับ ดูรีบร้อนน่าดู !”

เฉินตงรีบหันมองทางที่ท่านหลงชี้นิ้วไป

ตรงที่ไกลๆ มีขบวนรถกำลังเคลื่อนมาจากถนนอีกสายหนึ่ง แล้วมาหยุดอยู่ตรงทางแยก

ส่วนเรื่องจำนวนรถว่ามีกี่คันนั้น เขาเองก็ไม่แน่ชัด

แต่จูเก่อชิงที่นั่งอยู่บนหลังคานั้น เขาสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน !

และเหมือนที่ท่านหลงกล่าวจริงๆ ว่า ตอนนี้ใบหน้าอันหล่อเหลาของจูเก่อชิง ดูคร่ำเครียดจนถึงขีดสุดจริงๆ

ดูราวกับเห็นความตายมารออยู่ตรงหน้า…..

ลานป่าไผ่

บรรยากาศเงียบสงัด

เฉินตงแทบจะนั่งไม่ติด

กูชิงหยิ่งช่วยประคองเขานั่งลงบนรถเข็น แล้วเข็นเข้าไปในห้องนั่งเล่น

กูชิงหยิ่งชงน้ำชาหลงจิ่งเกรดดีหนึ่งกา พร้อมทั้งจุดธูปไม้จันทน์ขึ้นมาหนึ่งก้าน

ส่วนคุนหลุนและท่านหลงนั่งรออยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ

รสสัมผัสอ่อนๆ ของชา

และบรรยากาศที่เงียบสงบ

“น่าจะกลับมาแล้วนะ?”

เฉินตงจิบชาและเอ่ยถามอย่างใจเย็น

“ไปครึ่งชั่วโมงแล้ว น่าจะกลับมาแล้วนะครับ” ท่านหลงพยักหน้า

เฉินตงยิ้มเล็กน้อย แล้ววางแก้วชาลง : “คิดไม่ถึงเลยว่า ระยะเพียงแค่สามวัน เคียวของยมราชจะมาแล้ว ครั้งนี้เป็นใครกัน ?”

เฉินตงแสยะยิ้มออกมา : “ไม่รู้ว่าหากเขาพบกับพี่เสี่ยวลู่เข้า เขาจะตกใจหรือไม่ ?”

อาการบาดเจ็บของฟ่านลู่นั้นไม่รุนแรง ถึงแม้พลังในการต่อสู้จะลดลง แต่ก็ยังเหลือพลังเพียงพอในการต่อสู้อีกหนึ่งครั้ง

กูหลังมีประสบการณ์ในการรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้น้อยเกินไป จึงยากที่จะวางใจได้

ทีมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ถึงแม้จะมีจำนวนคนอยู่มาก และมีการประสานงานที่ดี แต่อย่างไรเสียก็ขาดหัวหน้าไปหนึ่งคน จึงยากที่จะแสดงความสามารถออกมาได้อย่างเต็มประสิทธิภาพในช่วงวิกฤตได้

การลอบสังหารในช่วงกลางดึกของชินโกะ โดโมโตะเมื่อคราวก่อน ถือเป็นตัวอย่างได้อย่างดีที่สุด

ตอนนี้ ฟ่านลู่เป็นคนที่เหมาะสมที่สุดที่จะเป็นหัวหน้าของทีมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย

ไม่ว่าจะความสามารถ หรือด้วยเห็นแก่หน้าคุนหลุน คนของทีมรักษาความปลอดภัยคงไม่กล้าสบประมาทได้

หลังจากพูดจบ

มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาจากด้านนอกลาน

ฟ่านลู่และกูหลังเดินตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว

“คุณเฉิน จัดการเรียบร้อยแล้วค่ะ” ฟ่านลู่รายงานด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม: “ขณะที่โจมตีกลับ ฉันพบว่ายังมีอีกคนที่หลบซ่อนตัวอยู่ น่าจะเป็นคนที่อยู่ในอันดับยมราชคนนั้น แต่หลังจากที่โจมตีกลับได้สำเร็จแล้ว คนคนนั้นก็ล่าถอยออกไป”

“มีพี่เสี่ยวลู่อยู่ คนคนนั้นคงตกใจจนหัวหด”

เฉินตงยิ้มออกมาด้วยท่าทีเรียบเฉย และไม่รู้สึกแปลกใจเลยแม้แต่น้อย

ถึงแม้ฐานะ “ยายเมิ่ง” ของฟ่านลู่จะถูกปกปิดมานาน แต่ความสามารถในการต่อสู้ที่เธอมีอยู่ ก็ถูกเปิดเผยออกมาแล้ว

นักฆ่าระดับท้ายๆ ของระดับยมราชสองคนร่วมมือกันเพื่อรุมฆ่า แต่เมื่อได้เห็นนักฆ่าระดับพระกาฬอย่างฟ่านลู่ อีกคนกลับตกใจกลัวจนวิ่งหนีไป ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ

“คุณเฉินกล่าวเกินไปแล้ว”

ฟ่านลู่ยังคงมีท่าทีเรียบเฉย ใบหน้าของเธอดูน่าเกรงขาม เผยให้เห็นถึงรูปลักษณ์ที่เย็นชาและเคร่งขรึม

ยากที่จะเชื่อเหลือเกินว่า ฟ่านลู่ที่อยู่ตรงหน้า คือคนที่ปกติแล้วใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม คือพี่เสี่ยวลู่คนที่วันๆ ง่วงอยู่กับงานบ้าน

เฉินตงลูบจมูก : “ถ้าเช่นนั้น นักฆ่าระดับพระกาฬที่เรารู้ตัวแล้วตอนนี้ ก็เหลือเพียงแค่ยิวหมินที่อยู่ในระดับยมราชแล้วสิ”

ทันทีที่ได้เย็น

ใบหน้าของทุกคนก็ดูเคร่งขรึมลง

นักฆ่าในระดับยมราชทั้งสองคนเมื่อครู่ ไม่มีใครให้ความสำคัญเลยแม้แต่น้อย

ด้วยความสามารถของทีมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของตระกูลเฉิน คงมีเพียงนักฆ่าระดับพระกาฬที่อยู่ในอันดับต้นๆ ของอันดับยมราชเท่านั้น พี่พอจะมาดหมายเอาชีวิตเฉินตงได้จริงๆ

ยิวหมิน……ไม่มีใครกล้าประมาทจริงๆ !

นักฆ่าที่สามารถขึ้นไปอยู่ในอันดับที่สิบของอันดับยมราชได้ เพียงแค่ลงมือ จะต้องเป็นการโจมตีที่รวดเร็วและแม่นยำอย่างแน่นอน และต้องน่ากลัวกว่าชินโกะ โดโมโตะคนก่อนหน้านี้แน่นอน

และสิ่งที่ยิ่งทำให้รู้สึกสิ้นหวังยิ่งขึ้นก็คือ คุนหลุนและฟ่านลู่ซึ่งถือเป็นที่พึ่งเดียวที่พอจะรับมือกับยิวหมินได้ คนหนึ่งก็นั่งอยู่บนรถเข็น ส่วนอีกคนก็มีพลังในการต่อสู้ที่อ่อนแอ

ส่วนทีมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย

ไม่เพียงแค่เฉินตง แม้แต่ท่านหลง หรือแม้กระทั่งกู้ชิงหยิ่งเองก็รู้ดี

หากยอดฝีมือมาถึงจริงๆ เทคโนโลยีและอาวุธที่ขึ้นชื่อว่ายอดเยี่ยมที่สุดในยุคนี้ ก็จะกลายเป็นเพียงแค่ของเด็กเล่นเท่านั้น

เหมือนกับการปรากฏตัวขึ้นของชินโกะ โดโมโตะ

“ท่านหลง ทางฝั่งคุณพ่อมีการเคลื่อนไหวอะไรบ้างไหม?” เฉินตงหรี่ตาแล้วเอ่ยถาม

ท่านหลงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยปากพูดว่า : “คุณชาย เหมือนที่กระผมคาดไว้ตั้งแต่ต้น เรื่องการชี้นำในการลอบสังหารครั้งนี้ ไม่พบร่องรอยการลงมือของคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินเลยแม้แต่น้อย”

“ไม่ใช่เธอ แล้วยังจะมีใครอีก?” เฉินตงลูบจมูก แล้วก้มหน้าก้มตาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

ในตอนนี้เอง

มีเบอร์แปลกโทรเข้ามาในโทรศัพท์

เฉินตงรับโทรศัพท์

เสียงที่ดังขึ้นจากปลายสายเป็นเสียงที่แหบพร่า และทรงพลังอย่างยิ่ง : “ออกมาแล้ว !”

เฉินตงตัวสั่นและผงะไปในทันที

เสียงนี้……เฉินเต้าจูน ? !

เฉินตงรู้สึกปั่นป่วนภายในจิตใจขึ้นมาทันที

เขาถามอย่างไม่อยากเชื่อว่า : “คุณออกมาจากที่นั่นแล้ว? ที่นั่น……”

“ฉันอยากไปก็ไป อยากอยู่ก็อยู่ ในโลกนี้ มีใครกล้าขังฉัน เฉินเต้าจูนบ้าง?”

ประโยคนี้แสดงออกถึงความหยิ่งผยองอย่างชัดเจน

แต่เฉินตงรู้ดีว่า ผู้ชายที่สามารถควบคุมคุกทั้งหมดเอาไว้ในมือได้ ย่อมที่จะมีความมั่นใจที่จะพูดคำพูดเช่นนี้ออกมา !

เฉินตงสูดหายใจเข้าเต็มปอดหนึ่งครั้ง เริ่มมีความคิดต่างๆ เกิดขึ้นในสมองของเขา รวมไปถึงรู้สึกปีติยินดีอยู่ลึกๆ

เขารีบถามว่า : “อยู่ที่ไหน ?”

“หน้าหลุมศพของแม่นาย!”

ตู้ด !

โทรศัพท์ถูกตัดสาย

เฉินตงยิ้มออกมาอย่างสบายใจ : “ท่านหลง เตรียมรถให้ผมหน่อย ผมจะไปไหว้แม่”

เปรี้ยง !

ราวกับเสียงฟ้าผ่า

ทุกคนต่างตกตะลึงไปพร้อมกัน

เสียสติไปแล้วเหรอ?

มีอันตรายอยู่รอบด้านเช่นนี้ อีกทั้งยังมีนักฆ่าจำนวนนับไม่ถ้วนที่คอยจ้องจะลอบสังหารอยู่ แล้วยังคิดจะออกไปข้างนอกอีกเหรอ?

นี่ไม่เท่ากับว่าส่งตัวเองออกไปเป็นเป้านิ่งต่อหน้านักฆ่าทุกคนที่กำลังจ้องจะเล่นงานอยู่อย่างนั้นเหรอ?

“เฉินตง ออกไปไม่ได้นะ!” กู้ชิงหยิ่งพูดขึ้นทันที

ส่วนพวกของท่านหลงและคุนหลุนที่ยืนอยู่ข้างๆ ต่างก็แสดงท่าทีเห็นด้วย

โดยเฉพาะท่านหลง เอ่ยเตือนขึ้นด้วยความหวังดีว่า : “คุณชายคิดให้ดีๆ ก่อนเถอะครับ ! มีอันตรายอยู่รอบด้านเช่นนี้ มิหนำซ้ำยังมียอดฝีมืออย่างยิวหมินที่พร้อมจะปรากฏตัวขึ้นได้ทุกเมื่ออีก แม้กระทั่งพักอยู่ในคลับสี่ยิ่น ก็ยังไม่ถือว่าปลอดภัยมากพอ แล้วตอนนี้คุณชายจะไปไหว้นายหญิงอีก นี่มัน……”

คำพูดในตอนท้ายว่า “รนหาที่ตาย” ท่านหลงไม่ได้พูดออกมา

เพราะว่าเข้าเป็นบ่าว ส่วนเฉินตงนั้นเป็นนาย หากพูดเช่นนี้ออกไป เกรงว่าจะเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม

“รนหาที่ตายใช่ไหม?” เฉินตงแสยะยิ้มออกมา เขากวาดสายตามองทุกคน และสุดท้ายไปหยุดอยู่ที่กู้ชิงหยิ่ง จากนั้นจึงพูดออกมาพร้อมกับรอยยิ้มที่เบิกบานว่า : “ถ้าฉันบอกว่า การที่ฉันออกไปครั้งนี้ ไม่เพียงแต่จะเอาชีวิตรอดกลับมาได้ แต่จะสามารถคลี่คลายสถานการณ์ความเป็นความตายที่เป็นอยู่ ณ ขณะนี้ได้ด้วยล่ะ ?”

อะไรนะ ? !

ทุกคนรู้สึกตกตะลึงอีกครั้ง

ทั้งไม่ทันที่ทุกคนจะได้พูดอะไร

เฉินตงก็หัวเราะแล้วพูดขึ้นว่า : “ฉันหาคนที่จะรับมือกับยิวหมินเจอแล้ว !”

……

สิบนาทีผ่านไป

รถโรลส์-รอยซ์ที่ถูกดัดแปลงให้กันกระสุน ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากคลับสี่ยิ่น

ด้านหลังของรถโรลส์-รอยซ์ มีรถบีเอ็มดับเบิลยูอีกยี่สิบคันขับตามหลังมาติดๆ

ขบวนรถวิ่งไปอย่างแข็งแกร่งและทรงพลัง

เฉินตงมองผ่านกระจกมองหลัง เห็นขบวนรถที่ยาวสุดลูกหูลูกตาที่ตามมาทางด้านหลัง แล้วพูดออกมาอย่างช่วยไม่ได้ว่า : “ท่านหลง ยิ่งทำแบบนี้ ยิ่งไม่เป็นการบอกให้คนอื่นรู้หรือว่า ฉัน เฉินตงออกมาจากคลับสี่ยิ่นแล้ว ? ตกลงต้องการคุ้มกันฉันจริงๆ หรือต้องการดึงดูดให้นักฆ่ามาฆ่าฉันกันแน่ ?”

ท่านหลงซึ่งนั่งอยู่ตรงที่นั่งข้างคนขับหน้าแดงขึ้นมา พร้อมยิ้มอย่างหดหู่ และพูดว่า : “กระผมเองก็จนใจ ถึงแม้จะรู้ว่าทำเช่นนี้ไม่สมควรนัก แต่นี่ถือเป็นวิธีที่จะรักษาความปลอดภัยให้กับคุณชายได้อย่างดีที่สุดแล้ว”

เฉินตงพูดไม่ออกไปชั่วขณะ

เขาเหลือบมองฟ่านลู่ซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ ด้วยท่าทีเคร่งขรึม รวมไปถึงกูหลังที่ขับรถไปพลาง และคอยระแวดระวังไปพลางอยู่ตลอดเวลา

สถานการณ์เช่นนี้ ดูแล้วเหมือนมีอันตรายอยู่รอบด้านจริงๆ !

แต่ตอนนี้ระแวดระวังไว้ถือเป็นเรื่องดีที่สุด

“คุณชาย ครั้งนี้คุณใช้เรื่องไปไหว้คุณแม่เป็นข้ออ้าง จริงๆ แล้วคุณไปหาใครกันแน่?” จู่ๆ ท่านหลงก็เอ่ยถามขึ้นมา

กูหลังและฟ่านลู่เองก็แสดงท่าทีสงสัยออกมาพร้อมกัน

พวกเขารู้นิสัยของเฉินตงดี

สถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานอย่างเช่นตอนนี้ คนที่จะทำให้เฉินตงยอมเสี่ยงชีวิตออกไปพบได้ จะต้องไม่ธรรมดาแน่นอน !

“ท่านหลงน่าจะรู้จัก”

เฉินตงลูบจมูก จากนั้นจึงยิ้มแล้วหันมองไปนอกหน้าต่าง น้ำเสียงเผยให้เห็นถึงความสบายใจที่หาได้ยากยิ่งในช่วงที่ผ่านมา : “ลุงเต้าจูนของฉันกลับมาแล้ว”

คำพูดที่ฟังดูสบายๆ แต่กลับทำให้ท่านหลงซึ่งนั่งอยู่ในที่นั่งข้างคนขับ รู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า เขาตัวเกร็งด้วยความตกใจทันที

ภายในห้อง บรรยากาศเงียบสงัด

เฉินตงค่อยๆ เหลือบตาไปมองโทรศัพท์ที่ท่านหลงยื่นมาให้

บนหน้าดาร์กเว็บ ภารกิจลอบสังหารขององค์กร hidden killers

มีรูปเคียวมรณะเพิ่มขึ้นมาอีกสามเล่ม

ภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งสัปดาห์ มีนักฆ่าระดับพระกาฬจากอันดับยมราชอีกสามคน ที่ให้ความสนใจภารกิจลอบสังหารนี้ !

เมื่อเทียบกับความหวาดกลัวก่อนหน้านี้

เฉินตงในตอนนี้ ดูสงบนิ่งอย่างน่าประหลาดใจ

เขาจ้องมองท่านหลง : “สืบค้นรายละเอียดของนักฆ่าระดับพระกาฬที่อยู่ในอันดับยมราชเหล่านี้ได้หรือยัง ?”

ทุกคนต่างผงะไปชั่วครู่

ท่าทีที่สงบนิ่งของเฉินตง อยู่เหนือความคาดหมายของทุกคน

“สืบ สืบออกมาได้แล้วครับ” แววตาของท่านหลงซับซ้อน ในขณะที่กำลังตกตะลึงอยู่นั้น เขาก็รีบพูดขึ้นในเวลาเดียวกัน: “สองในสามอยู่ในอันดับที่ไม่สูงนักในอันดับยมราช มีเพียงคนเดียวที่……”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ ท่านหลงจงใจหยุดพูดไปครู่หนึ่ง

เขาสูดหายใจเข้าหนึ่งครั้ง แล้วจึงพูดต่อว่า : “คนคนนี้จัดอยู่ในอันดับที่ 10 ในอันดับยมราช ! สมญานามว่า ยิวหมิน !”

“ยิวหมิน? อันดับ 10 ? น่าสนใจดีนี่”

เฉินตงลูบคางแล้วยิ้มออกมาอย่างประหลาด

ภาพนี้ทำให้ท่านหลงและพวกของกู้ชิงหยิ่งตกใจจนอ้าปากค้าง

ปฏิกิริยาเช่นนี้คืออะไรกันแน่ ?

นักฆ่าระดับพระกาฬอันดับ 10 ในอันดับยมราช อยู่ในอันดับที่สูงกว่าชินโกะ โดโมโตะเมื่อสัปดาห์ก่อนถึงแปดอันดับ !

ทำไมถึงยังสงบนิ่งได้ถึงขนาดนี้ ?

“คุณชาย คุณไม่เป็นไรใช่ไหมครับ?” คุนหลุนถามหยั่งเชิง

เขาและฟ่านลู่ต่างก็เป็นนักฆ่าระดับพระกาฬในอันดับยมราช จึงเข้าใจในการจัดอันดับนักฆ่าอันดับยมราชเป็นอย่างดี

ยิ่งอยู่ในอันดับต้นๆ ความสามารถยิ่งน่ากลัว

ชินโกะ โดโมโตะ ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 18 ก็ทำให้เฉินตงและฟ่านลู่ไปยืนอยู่ตรงประตูนรกได้แล้ว

อันดับที่ 10……เท่ากับว่าความตายที่แท้จริงกำลังมาถึงแล้ว !

แต่ปฏิกิริยาของเฉินตง กลับทำให้ทุกคนคาดไม่ถึง !

“ไม่เป็นไร”

เฉินตงส่ายหัว แล้วอธิบายออกมาหนึ่งประโยคว่า : “ตอนนี้ฉันมีปัญหามากมายพออยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรอีกต่อไป”

ได้ยินดังนั้น

สีหน้าของทุกคนก็ค่อยๆ เศร้าหมองลง

ภารกิจลอบสังหารขององค์กรhidden killers ประกาศออกมานานขนาดนี้ นอกจากจะมีการยกเลิกภารกิจ มิเช่นนั้นก็ไม่มีวิธีที่จะยุติทุกอย่างลงได้

สิ่งนี้ทำให้ทุกคนรู้สึกจนใจ พร้อมทั้งอับอายและโกรธเคืองในเวลาเดียวกัน

ต่างก็รู้ดีว่า เบื้องหลังของเฉินตงคือตระกูลเฉินที่ยิ่งใหญ่และกว้างขวาง !

แต่ไหนแต่ไรมา ตระกูลเฉินไม่เคยอับจนหนทางเช่นนี้ !

กู้ชิงหยิ่งเดินก้าวเข้าไปหาเฉินตง แล้วตบหน้าอกเขาเบาๆ และพูดปลอบใจว่า : “ไม่เป็นไรนะคะ มีฉันอยู่ มีพวกเราทุกคนอยู่ ฉันขอให้คุณพ่อคุณแม่ช่วยอีกแรงหนึ่งแล้ว”

เรื่องที่แม้แต่ตระกูลเฉินก็ทำอะไรไม่ได้

กู้โก๋ฮั๋วสองสามีภรรยาจะทำอะไรได้ ?

เฉินตงรู้สึกหดหู่ในใจ แต่ก็รู้ดีว่ากู้ชิงหยิ่งกำลังพยายามปลอบใจเขา จึงยิ้มออกมาอย่างเบิกบาน : “ผมเข้าใจดี เพียงแต่ตอนนี้สถานการณ์อยู่เหนือการควบคุมของเรา ต่อให้กังวลไปก็ไม่มีประโยชน์”

ขณะที่พูด เขาก็กวาดสายตามองทุกคน

คุนหลุนยังนั่งอยู่บนรถเข็น

ฟ่านลู่เองก็ยังบาดเจ็บอยู่

ทั้งสองคนล้วนแล้วแต่เป็นนักฆ่าระดับพระกาฬในอันดับยมราชทั้งสิ้น คนหนึ่งอยู่ฝนอันดับที่ 23 ส่วนอีกคนอยู่ในอันดับที่ 20 หากทั้งสองอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ เขาก็คงนอนหลับได้อย่างไร้กังวล

แต่สภาพของทั้งสองในตอนนี้ มีความสามารถในการต่อสู้ลดลงอย่างมาก

ส่วนกูหลังและทีมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เฉินตงเองไม่กล้าคาดหวังไว้สูงนัก แค่ชินโกะ โดโมโตะ ก็ต้องต่อสู้กันอย่างสุดชีวิตแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงยิวหมิน ซึ่งอยู่ในอันดับสิบของอันดับยมราช !

แต่ในใจของเฉินตงรู้ดีว่า ตัวเขาคือเสาหลัก ถ้าหากเขายอมแพ้เสียก่อน ในขณะที่ทุกคนยังไม่ยอมแพ้ ครั้งนี้ทุกอย่างคงต้องจบลงจริงๆ !

เฉินตงมองดูทุกคนที่อยู่ในอารมณ์หม่นหมอง จึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

“จริงสิ เสี่ยวหยิ่ง พี่เสี่ยวลู่ ทำไมพวกคุณถึงยังไม่ออกเดินทางไป? ตอนนั้นคุนหลุนเห็นพวกคุณเดินเข้าไปด้านในทางเดินขึ้นเครื่องแล้วนี่”

ได้ยินดังนั้น

คุนหลุนเองก็แสดงสีหน้าสงสัยออกมา แล้วหันมองฟ่านลู่เหมือนมีคำถาม

ฟ่านลู่ถอนหายใจออกมา : “ก็เสี่ยวหยิ่งน่ะสิ เธอรู้สึกอยู่ตลอดว่าคุณมีเรื่องบางอย่างปิดบังเธอ จนถึงวินาทีสุดท้ายที่จะขึ้นเครื่อง เธอก็ตัดสินใจยกเลิกทุกอย่าง แล้วพาฉันกลับออกจากสนามบิน”

“เสี่ยวหยิ่งเกรงว่าคุณจะเป็นห่วง หลังจากออกจากสนามบินแล้วจึงไม่ได้ติดต่อคุณ และพาฉันไปเข้าพักที่โรงแรมไท่ซาน”

“เมื่อมีเวลาว่าง ฉันจึงล็อกอินเข้าไปในดาร์กเว็บ ผลปรากฏว่า ได้พบเข้ากับภารกิจลอบฆ่าคุณเฉินที่องค์กรhidden killersประกาศออกมา”

พูดถึงตรงนี้ ฟ่านลู่ก็เหลือบมองไปที่กู้ยิงหยิ่งอย่างมีนัย แล้วแสยะยิ้มออกมา

“เสี่ยวหยิ่ง ตอนนี้ฉันเชื่อในสัมผัสที่หกของเธอแล้ว สัมผัสที่หกที่เธอมีต่อสามีนั้นแม่นยำจริงๆ!”

“พี่ฟ่านลู่ อย่าล้อฉันเล่นสิคะ” กู้ชิงหยิ่งก้มหน้าก้มตาด้วยความเขินอาย ใบหน้าอันงดงามแดงก่ำ

สัมผัสที่หก ? !

เฉินตงรู้สึกตกตะลึง และเหลือบมองกู้ชิงหยิ่งด้วยแววตาที่ลึกซึ้ง ในใจรู้สึกถึงความอบอุ่นที่พลุ่งพล่านขึ้นมา

เขาคิดไม่ถึงเลยว่า การพยายามปลอบใจแสนซาบซึ้ง จะจบลงด้วยสิ่งที่ใกล้เคียงกับคำว่า “ไร้สาระ”

แต่ทว่า สิ่งที่เรียกว่าสัมผัสที่หกนี้ ดูเหมือนเป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น

ทุกสิ่งที่ภรรยาสงสัย คาดว่ามาจากการเฝ้าสังเกตรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อยู่ตลอดเวลา ดูเหมือนจะเป็นคนที่เข้าใจผมมากเกินไปแล้ว ?

ตอนนี้เอง

จู่ๆ ก็มีเสียงที่เคร่งขรึมดังขึ้นภายในห้อง

“เสี่ยวลู่ คุณไม่เคยบอกผมมาก่อนเลยว่า คุณคือยายเมิ่ง นักฆ่าอันดับที่ 20 ในอันดับยมราช คุณโกหกมาตลอดใช่ไหม?”

คำพูดเพียงประโยคเดียว ทำให้บรรยากาศภายในห้องหยุดนิ่งในทันที

พวกเฉินตงค่อยๆ หันมองคุนหลุน

ตอนนี้คุนหลุนซึ่งนั่งอยู่บนรถเข็น กำลังก้มหน้าก้มตาอยู่ จึงมองไม่เห็นสีหน้าชัดเจนนัก

แต่ทุกคนต่างฟังออกว่า ขณะที่คุนหลุนเอ่ยคำพูดประโยคนี้ออกมานั้น เขากำลังสะกดกลั้นอารมณ์โกรธอยู่

“พี่คุนหลุน……”

ฟ่านลู่หน้าถอดสีทันที ริมฝีปากของเธอขยับ คิดที่จะกล่าวอธิบาย

แต่ท่านหลงกลับพูดตัดบท : “เอาล่ะ เสี่ยวลู่ พาคุนหลุนออกไปข้างนอกเถอะ ไปอธิบายให้เข้าใจ”

ฟ่านลู่พยักหน้า จากนั้นจึงพาคุนหลุนออกไป

หลังจากทั้งสองออกไปแล้ว เฉินตงก็พูดขึ้นด้วยความสงสัย : “ท่านหลง ทำไมนายถึงไม่ให้พี่เสี่ยวลู่พูดที่นี่ ?”

“เกี่ยวอะไรกับพวกเราด้วยล่ะ?”

ท่านหลงยักไหล่ แล้วยิ้มออกมาอย่างประหลาด : “เสี่ยวลู่ปิดบังฐานะ เพราะเธอมีเหตุผลส่วนตัวของเธอ ทำไมจะต้องซักไซ้ให้มากความด้วย อย่างไรเสียเธอก็จงรักภักดีต่อคุณชายมาโดยตลอด ครั้งนี้ยังช่วยชีวิตคุณชายเอาไว้อีก”

“เธอไม่จำเป็นต้องอธิบายให้พวกเราฟัง คนเดียวที่เธอต้องอธิบายก็คือคุนหลุน ความสัมพันธ์ระหว่างเสี่ยวลู่กับคุนหลุน แตกต่างกับความสัมพันธ์กับพวกเราโดยสิ้นเชิง

เฉินตงยิ้มเล็กน้อย และเข้าใจทุกอย่างในทันที

จากนั้นจึงเหลือบมองเสี่ยวหยิ่งโดยไม่รู้ตัว

ไม่เหมือนกันจริงๆ

ในเวลาเดียวกันนี้

ตอนเหนือสุดซึ่งห่างออกไปไกล

พื้นที่ที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ และสายลมอันหนาวเหน็บ

หิมะขาวราวกับขนห่านลอยพลิ้วไปตามสายลมหนาวทั่วท้องฟ้า

ความเงียบเหงาและรกร้าง ถือเป็นคำจำกัดความของดินแดนแห่งนี้

ภายใต้สายลมหนาวและหิมะ คุกมืดสูงตระหง่านตั้งอยู่ท่ามกลางธารน้ำแข็ง ดูราวกับสัตว์ป่าดุร้ายที่กำลังหลับใหลอยู่อย่างเงียบๆ และกำลังอดทนต่อความรกร้างว่างเปล่าของพื้นที่แห่งนี้

แต่ทว่า

วันนี้ กำลังเกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ขึ้นในคุกมืด

มีเสียงตะโกนกู่ร้องดังก้องกังวานอยู่ภายในคุกมืด

ทั้งนักโทษที่อยู่ด้านล่างและผู้คุมที่อยู่ด้านบน ทุกคนต่างตื่นเต้นยินดี ราวกับมีงานรื่นเริง

ด้านหน้าประตูใหญ่ของคุกมืด

มีรถจี๊ปทหารจอดเรียงกันอยู่จำนวนสามสิบคัน

ฝูงชนจำนวนมาก แต่ไม่มีใครส่งเสียง บรรยากาศเงียบสงัดอย่างน่าประหลาด

ฉากนี้ ทำให้เกิดบรรยากาศที่กดดันอย่างรุนแรง

ผู้คุมของคุกมืดทั้งหมดต่างยืนนิ่ง

“ต้องออกไปจริงๆเหรอ?”

ชายชราผมขาวหันมามองเฉินเต้าจูนด้วยแววตาที่ลึกซึ้ง : “คุณไม่จำเป็นต้องออกไป”

“ยี่สิบปีแล้ว ต้องออกไปเดินเล่นสักหน่อยแล้ว”

เฉินเจ้าจูนหยิบรูปถ่ายสีเก่าซีดใบหนึ่งขึ้นมาจากหน้าอก บนรูปถ่ายพอจะมองออกอย่างเลือนรางว่าเป็นรูปของเด็กสองคนที่ใบหน้าเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มที่ไร้เดียงสา

“มิฉะนั้น บนโลกใบนี้จะไม่มีตำนานของเต้าจูนคนนี้อยู่อีกต่อไป!”

เฉินเต้าจูนเก็บรูปถ่ายกลับเข้าไปไว้ในอกด้วยท่าทีจริงจัง จากนั้นจึงหันไปพูดกับชายชราผมขาวอย่างร่าเริงว่า : “ไปก่อนนะ !”

หลังจากเฉินเต้าจูนขึ้นรถไปแล้ว รถจี๊ปทหารจำนวนสามสิบคันก็เคลื่อนขบวนออกไปอย่างพร้อมเพรียงกัน จากนั้นจึงค่อยๆ แล่นไปบนธารน้ำแข็งที่อยู่ไกลออกไปสุดลูกหูลูกตา

ฮึมฮึมฮึม……

บนท้องฟ้าเหนือคุกมืด มีเฮลิคอปเตอร์อีกสิบลำบินขึ้นไปในเวลาเดียวกัน

เสียงดังกระหึ่ม คอยบินคุ้มกันตามหลังขบวนรถทหารไป

“น้อมส่งเต้าจูน!”

“น้อมส่งเต้าจูน!”

……

ด้านหน้าคุกมืด ผู้คุมทุกคนต่างกำหมัดขวาขึ้นมาทาบไว้ที่หน้าอก และคุกเข่าลงข้างหนึ่ง พร้อมทั้งตะโกนออกมาด้วยเสียงอันดังก้อง

ในเวลาเดียวกันนี้

“น้อมส่งเต้าจูน!”

ภายในคุกมืด นักโทษทุกคนต่างคุกเข่าลงข้างหนึ่ง และโกนด้วยเสียงอันดังก้องเช่นเดียวกัน

น้ำเสียงสะเทือนไปทั่วทุกหย่อมหญ้า ราวกับว่าสามารถหยุดลมและหิมะที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ในพื้นที่แห่งนี้ได้

ติ๊ก………ติ๊ก………

เสียงดังก้องอยู่ข้างหู

ตอนที่แม่ป่วยหนัก อยู่ดูแลแม่ที่โรงพยาบาลเป็นปี สำหรับเสียงแบบนี้ เฉินตงคุ้นเคยนัก

นี่คือเสียงของเครื่องวัดหัวใจ

เขาค่อยๆลืมตาขึ้นมา

พบว่าตัวเองยังคงนอนอยู่ในห้องนอนที่อยู่ในลานป่าไผ่

เพียงแต่สิ่งที่สะดุดตา กลับต่างไปจากก่อนที่บาดเจ็บและโคม่าโดยสิ้นเชิง

มีเสาแขวนของเหลวตั้งอยู่ ขวดของเหลวแขวนอยู่บนนั้น

ยังมี…….กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อที่กลิ่นแรง

เฉินตงอดยิ้มไม่ได้ ดูเหมือนว่าตราบใดที่มันเกี่ยวข้องกับการรักษา ก็จะปราศจากกลิ่นของยาฆ่าเชื้อยังไม่ได้

ข้างเตียงวางเต็มไปด้วยอุปกรณ์แต่ละชนิด มีครบทุกอย่าง

ก้มหน้ามองร่างกายตัวเอง เฉินตงยิ้มอย่างทำอะไรไม่ได้

ร่างกายไม่ว่าบนร่างล้วนถูกพันด้วยผ้าก๊อซสีขาว ให้ความรู้สึกเป็นมัมมี่

ด้วยการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย ความเจ็บปวดแสนสาหัสได้แผ่ซ่านไปทั่วร่างกายของเขาในทันที เจ็บจนเฉินตงต้องกัดฟัน สูดลมหายใจเข้า

ในห้อง ไม่เห็นใครเลย

เฉินตงนอนอยู่อย่างทำอะไรไม่ได้ นึกถึงช่วงเวลาของการต่อสู้ในป่าไผ่ในคืนนั้นอย่างเงียบๆ

กู้ชิงหยิ่งบาดเจ็บ ทำให้เขาปล่อยวางความเป็นความตายไปโดยสิ้นเชิง

ตอนนั้นเขามีเพียงความคิดเดียว ต่อให้ต้องตาย ก็ต้องพาชินโกะ โดโมโตะไปด้วย

เรียกได้ว่าเข้าสู่สภาวะที่เกือบจะบ้า ไม่ได้สนใจ จนละเลยความได้เปรียบของจำนวนคนที่คนข้างกายอย่างท่านหลงและคุนหลุนพามา

คิดเพียงแต่ หนึ่งต่อหนึ่ง!

โชคดีที่ ตอนนั้นชินโกะ โดโมโตะเกิดความกลัว และสับสนมาก

ดังนั้นเขาจึงใช้การบาดเจ็บที่น้อยที่สุด ฆ่าชินโกะ โดโมโตะ

เมื่อนึกถึงอาการบาดเจ็บของกู้ชิงหยิ่งในคืนนั้น เฉินตงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกลัวและสงสาร

เขาได้คิดหาวิธีที่จะทำให้กู้ชิงหยิ่งห่างไกลจากวังวนนี้แล้ว ถึงกับเกลี้ยกล่อมหลอกให้กู้ชิงหยิ่งไปจากที่นี่ ให้เธอไปที่อีกฟากหนึ่งของมหาสมุทร

แต่เขาคิดไม่ถึง กู้ชิงหยิ่งไม่ได้ไป

อีกอย่าง ฟ่านลู่ที่ทำงานเป็นแม่บ้านในบ้านมาโดยตลอด ไม่นึกเลยว่าจะเป็นนักฆ่ามือพระกาฬขององค์กรhidden killersที่อยู่ในลำดับที่ยี่สิบของอันดับยมราช!

ตั้งแต่ต้นฟ่านลู่ที่ปรากฏตัวในฐานะยายเมิ่ง ก็ไม่เคยคิดจะฆ่าเขา แต่เพราะ………ต้องการปกป้องเขา!

การเปลี่ยนฐานะเช่นนี้ ทำให้เฉินตงรู้สึกเหมือนฝัน

ความงุนงงต่างๆ พัวพันอยู่ด้วย ราวกับสำลีที่เน่าเสีย

เอี๊ยด

ประตูเปิดแล้ว

กู้ชิงหยิ่งยกกะละมังใส่น้ำอุ่น เดินเข้ามา

เห็นเฉินตงลืมตาอยู่บนเตียง ร่างกายของกู้ชิงหยิ่งสั่นเทา เขาสู่ภาวะตกตะลึง

โครม

กะละมังใส่น้ำที่ถืออยู่ในมือ ร่วงหล่นลงบนพื้น เสียงดังขึ้นมา

เฉินตงที่กำลังครุ่นคิดอยู่ก็รู้สึกตัว เห็นกู้ชิงหยิ่ง ก็ยิ้มอย่างอ่อนโยน “ที่รัก”

กู้ชิงหยิ่งกลับมารู้สึกตัว มองกะละมังที่ตกอยู่บนพื้นแวบหนึ่ง ไม่รู้จะทำอย่างไรดี

เธอเดินออกไปข้างนอกอย่างใจลอย “ที่รักรอแป๊บหนึ่ง ฉันจะไปตักน้ำมาใหม่มาช่วยคุณเช็ดตัว”

เช็ดตัว?

เฉินตงตกใจ มิน่าล่ะร่างกายถึงไม่มีความรู้สึกเหนียวเหนอะหนะเลยแม้แต่นิดเดียว

ช่วงที่นอนสลบอยู่ กู้ชิงหยิ่งดูแลเขาอย่างดีมาโดยตลอดใช่มั้ย?

มองกู้ชิงหยิ่งที่หันหลังเดินออกไป เฉินตงรู้สึกผิดมาก

ด้วยฐานะของกู้ชิงหยิ่ง เธอไม่จำเป็นต้องดูแลคนอื่นเลย

เธอคือคุณหนูไฮโซ เป็นคนชนชั้นสูง ตั้งแต่เล็กจนโต มีแต่คนอื่นดูแลเธอ

สามารถเอาใจใส่ดูแลเขาอย่างดี ในขณะที่เขานอนสลบอยู่ สำหรับกู้ชิงหยิ่งแล้ว น่าจะเป็นเรื่องที่ยากลำบากและท้าทายพอสมควร

“กลับมา”

เฉินตงเรียกกู้ชิงหยิ่งเอาไว้

กู้ชิงหยิ่งหยุดฝีเท้าลงทันที

ใบหน้าสวยงาม เต็มไปด้วยความเศร้าและสงสาร ดวงตาที่สวยงามก็แดงก่ำทันที เอ่อล้นไปด้วยน้ำ

เธอหันกลับมาทันที และวิ่งมาที่เตียงของเฉินตง

ซบเข้าไปที่ร่างกายของเฉินตงโดยตรง ร่างกายสั่นเทา และมีเสียงสะอื้นเบาๆ

ด้วยการกระทำนี้ ไปกดทับโดยบาดแผลของเฉินตง เจ็บจนเฉินตงต้องขมวดคิ้ว กลับกัดฟันโดยไม่ได้ส่งเสียงออกมา

เขามองกู้ชิงหยิ่งที่กำลังสะอื้น อดไม่ได้ที่จะพูด “อยากร้องก็ร้องออกมาเถอะ”

เพี้ยะ!

กู้ชิงหยิ่งลุกขึ้นมาอย่างโกรธเคือง ใช้มือตบไปบนหน้าอกของเฉินตง

“อ้า!”

คราวนี้เฉินทนเจ็บไม่ไหวแล้ว ก็เลยร้องออกมา

“ขอ ขอโทษค่ะที่รัก”

กู้ชิงหยิ่งตกใจจนหน้าเปลี่ยนสี รีบยกมือไปลูบหน้าอกของเฉินตงเบาๆ

“ถึงคุณจะโกรธ ก็ไม่ถึงขั้นต้องฆ่าสามีตัวเองมั้ง?” เฉินตงแกล้งทำเป็นเจ็บ พูดติดตลก

“ก็ไม่ใช่เพราะคุณโกหกฉันเหรอ?”

ใบหน้าที่สวยงามของกู้ชิงหยิ่งบูดบึ้ง “ชีวิตนี้คุณเป็นแบบนี้มาตลอด มีอะไรคุณก็แบกทุกอย่างด้วยตัวเองมาตลอด เมื่อก่อนเป็น ตอนนี้ก็เป็น คุณยังคิดว่าฉันเป็นภรรยาของคุณมั้ย”

“คุณเป็นภรรยาของผมอยู่แล้ว!” เฉินตงพูดอย่างจริงจัง

“แล้วทำไมต้องแบกมันไว้คนเดียว? ฉันเป็นภรรยาของคุณ ฉันยินดีที่จะร่วมสู้ไปพร้อมกับคุณ!” กู้ชิงหยิ่งพูดอย่างจริงจัง

เฉินตงใจลอยไปครู่หนึ่ง แล้วยิ้มอย่างขมขื่น “ก็เพราะคุณคือภรรยาของผม ดังนั้นผมจึงต้องแบกมันไว้ทุกอย่าง ถึงได้ให้คุณไปให้ไกลจากความขุ่นเคืองและความแค้นเหล่านี้”

“ดังนั้นคุณจึงโกหกฉัน? หลอกให้ฉันกับพี่เสี่ยวลู่ไปหาพ่อกับแม่ของฉัน? จากนั้นตัวเองที่อยู่ทางนี้ก็เกือบจะถูกฟันจนเสียชีวิต?”

คำถามที่เป็นพรวน ทำให้ความโกรธบนใบหน้าของกู้ชิงหยิ่งยิ่งอยู่ยิ่งรุนแรง

เธอพูดคำว่าคนโกหกอย่างเคืองๆ ยกมือที่เรียวยาวขึ้นเพื่อจะหยิกเฉินตง เมื่อเห็นเฉินตงที่พันเต็มไปด้วยผ้าก๊อซ อึ้งจนมีความรู้สึกทำไม่ลง

สุดท้ายก็วางมือลงอย่างเศร้าสร้อย กล่าวอย่างขุ่นเคือง “คุณทำแบบนี้ ไม่กลัวฟ้าผ่าเหรอ?”

“ไม่กลัว!” เฉินตงพูดเหมือนไม่แยแส “ขอเพียงคุณสบายดี ถูกฟ้าผ่าใส่แล้วจะเป็นไร?”

กู้ชิงหยิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาก็ไปซบอยู่ที่หน้าอกของเฉินตง กล่าวอย่างอ่อนโยน

“คนโง่ รับปากฉัน ต่อไปจะไม่โกหกฉันอีก ฉันเป็นภรรยาคุณ ฉันสามารถสู้ไปพร้อมกับคุณ ฉันไม่อยากเห็นคุณลำบากขนาดนั้น และก็ไม่อยากให้คุณต้องไปเผชิญอันตรายคนเดียว!”

เฉินตงสีหน้าสับสน มองกู้ชิงหยิ่งที่ซบอยู่ตรงหน้าอก อยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่แล้วก็ไม่พูด

สุดท้าย เขายิ้มๆ “เอาล่ะ ผมรับปากคุณ รีบไปเอาน้ำมาเช็ดตัวให้ผมเถอะ เหนียวเหนอะหนะมากเลย” กู้ชิงหยิ่งลุกขึ้น เช็ดน้ำตาบนใบหน้า แล้วเดินออกไป

มองดูแผ่นหลังของกู้ชิงหยิ่ง เฉินตงยิ้มอย่างอ่อนโยน “ยัยโง่ หลอกง่ายจัง”

……

หลังจากที่เช็ดตัวแล้ว เฉินตงก็รู้สึกสบายตัวขึ้นไม่น้อย

ในเวลาเดียวกันเฉินตงก็ทราบจากปากของกู้ชิงหยิ่ง ตัวเขาเองนั้น ได้นอนสลบไปเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์เต็มๆ

มันทำให้เฉินตงตกใจไม่น้อย ในเวลาหนึ่งสัปดาห์ เกิดการเปลี่ยนแปลงไปมากมายเหลือเกิน!

เขารีบให้กู้ชิงหยิ่งไปตามท่านหลง ฟ่านลู่กับกูหลังมา

แต่เมื่อทั้งสามคนมาถึงนั้น สิ่งที่ทำให้เฉินตงแปลกใจก็คือ คุนหลุนก็อยู่ด้วย!

เพียงแต่ตอนนี้คุนหลุนยังนั่งอยู่บนวีลแชร์ ถูกฟ่านลู่เข็นเข้ามา

“คุณชาย!”

คุนหลุนมองเฉินตง ยิ้มเล็กน้อย “ในที่สุดคุณก็ตื่นแล้ว”

“เรานั้นเป็นพี่น้องคู่ทุกข์คู่ยากจริงๆเลย”

เฉินตงยิ้มเยาะตัวเอง ทำให้คุนหลุนก็ยิ้มอย่างทำอะไรไม่ได้

จากนั้น สายตาของเฉินตงก็มองไปทางฟ่านลู่ “พี่เสี่ยวลู่……….”

ยังไม่ทันได้ถามจบ

ฟ่านลู่ก็กล่าวอย่างขอโทษ “ขอโทษด้วยคุณเฉิน ที่ปิดบังพวกคุณไปนานขนาดนี้”

“ไม่เป็นไร ครั้งนี้หากไม่มีพี่ ผมคงตายอยู่ใต้ดาบของชินโกะ โดโมโตะแล้ว!” เฉินตงพูดออกมาจากใจจริง

แม้ว่าฟ่านลู่จะปิดบังสถานะของตัวเองมาโดยตลอด แต่ไม่ว่ายังไง การต่อสู้ที่ป่าไผ่ในคืนนั้น ฟ่านลู่ได้ช่วยเขาไว้เยอะมาก!

อีกทั้งยังบาดเจ็บด้วย!

เฉินตงเหลือบมองหน้าท้องของฟ่านลู่โดยสัญชาตญาณ

ฟ่านลู่รีบพูดขึ้น “ไม่เป็นอะไรมากแล้ว คืนนั้นโชคดีที่หลบได้เร็ว บาดเจ็บแค่ผิวหนังภายนอก ไม่ได้หนักหนาอะไร”

เวลานี้

ท่านหลงก้าวเดินเข้ามาหนึ่งก้าว หยิบโทรศัพท์ยื่นให้เฉินตง

คุณชาย เรื่องของพวกเสี่ยวลู่ ไว้ค่อยคุยกันเถอะ คุณดูดาร์กเว็บขององค์กรhidden killers สัปดาห์นี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงใหม่

น้ำเสียงหนักใจ เผยให้เห็นถึงความสิ้นหวัง

น้ำเสียงที่เฉียบขาด ดังสะท้อนไปทั่วป่าไผ่

พริบตาเดียว อุณหภูมิในป่าไผ่ก็ลดลงจนถึงจุดเยือกแข็ง

แรงแห่งการฆ่า

ภาพกะทันหันนี้ ทำให้ท่านหลงและคนอื่นต่างตื่นตระหนก

ปฏิกิริยาของเฉินตงและคำพูดที่เยือกเย็น ทำให้ทุกคนรู้สึกหลังเย็นวาบ ราวกับตกลงไปในถ้ำน้ำแข็ง

พวกเขา ไม่เคยเห็นเฉินตงที่เป็นเช่นนี้มาก่อน!

แม้แต่ชินโกะ โดโมโตะ ถูกเฉินตงจ้องมองด้วยสายตาโกรธแค้น ก็อดไม่ได้จะหวาดผวา

ขณะที่ใจลอย หัวสมองของชินโกะ โดโมโตะก็มีตัวอักษรโผล่ขึ้นมาหนึ่งตัว

มัจจุราช!

เฉินตงในเวลานี้ ความรู้สึกที่ให้กับเขา ก็เหมือนพระยามัจจุราชยังไงอย่างงั้น

ชินโกะ โดโมโตะคือนักฆ่า นักฆ่ามือพระกาฬอันดับที่สิบแปดในอันดับยมราช!

ความรู้สึกเช่นนี้ มักจะเป็นเขาที่นำความรู้สึกแบบนี้ไปให้คนอื่นเสมอ แต่ไม่ใช่คนอื่นนำมาให้เขา!

แม้ว่าเมื่อกี้เขาจะถูกยิงไปมั่ว แต่เขาก็สามารถคิดอย่างสงบใจเย็นเกี่ยวกับการโต้กลับก่อนตาย

แต่ตอนนี้ เขากลับมีความรู้สึกหวาดกลัวอย่างแปลกๆ

โดยสัญชาตญาณ ชินโกะ โดโมโตะอยากที่จะดึงดาบซามูไรที่เสียบอยู่บนสะบักหลังของเฉินตง

แต่สิ่งที่ทำให้เขาตกใจคือมือซ้ายของเฉินตง เป็นเหมือนคีมคีบเหล็ก กำดาบซามูไรไว้แน่น ไม่ว่าเขาจะใช้แรงมากแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถขยับมันได้

นี่………..มันต้องใจกล้าและไม่กลัวตายขนาดไหน?

เขาไม่กลัวว่านิ้วทั้งห้านิ้วจะขาดหรือไง?

ชินโกะ โดโมโตะในใจยิ่งหวาดกลัวขึ้นมาแล้ว

“เมียของฉัน แกก็กล้าทำร้าย?”

ใบหน้าของเฉินตงเย็นชา กัดฟันแน่น คำพูดถูกบีบออกมาจากซอกฟัน

ในขณะนี้ แม้แต่ชินโกะ โดโมโตะขนก็ลุกซู่ไปทั้งตัว

หัวใจของเขาเต้นแรงมาก ให้ความรู้สึกเหมือนหัวใจจะหลุดออกมา

ชินโกะ โดโมโตะไม่เคยคิดฝัน การต่อสู้ที่เกือบเอาชีวิตไม่รอดเมื่อกี้ ยังไม่สามารถที่จะให้เฉินตงมีพลังแห่งการฆ่ามากถึงขนาดนี้

เป็นเพราะตอนนี้ที่ลูกดอกคุไนปักเข้าให้กับผู้หญิงที่อยู่ด้านหลังของเฉินตง และดาบซามูไรที่แทงทะลุไปสะบักหลังของเฉินตง ปลายดาบไปแทงโดนผู้หญิง ก็เลยทำให้เฉินตงระเบิดแรงแห่งการฆ่าออกมาเหรอ?

“ไอ้โง่!”

ความหวาดกลัว ทำให้ชินโกะ โดโมโตะรู้สึกอัปยศ จนกลายเป็นความเกรี้ยวกราด

เขาคำรามเสียงดัง ยกเท้าขึ้นถีบเฉินตงไปหนึ่งที เพื่อต้องการใช้แรงถีบ ดึงดาบซามูไรออกมา!

“ตาย!”

เกือบจะในเวลาเดียวกัน เฉินตงก็มีอารมณ์ที่รุนแรงทันที

ดาบซามูไรที่อยู่ในมือ ได้ฟันไปทางชินโกะ โดโมโตะอย่างอุกอาจ

สีหน้าของชินโกะ โดโมโตะสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก ในความหวาดกลัว รีบปล่อยดาบซามูไรออก แล้วถอยหลังไปรวดเร็ว

แต่สิ่งที่เขาคิดไม่ถึงก็คือ

เฉินตงเหมือนกับศัตรูที่บุกรุกเข้ามาและยากที่จะกำจัด ดึงดาบซามูไรที่อยู่ในสะบักหลังออกอย่างอุกอาจ มือถือดาบคู่ แล้วบุกเข้าไปหาเขาโดยตรง

ฉึก!

ดาบถูกฟันลงไป

ทันใดนั้นชินโกะ โดโมโตะ ก็กรีดร้องด้วยความเจ็บปวด

หลังจากที่ไหล่ซ้ายถูกฟันไปหนึ่งที เขาก็เซถอยหลัง

แต่เฉินตง กลับไม่มีท่าทีที่จะหยุดเลย

ดาบคู่ถูกเหวี่ยงจนเกิดเงาที่น่ากลัว แฝงไปด้วยพลังแห่งแรงฆ่า บีบชินโกะ โดโมโตะโดยตรง

“ไอ้บ้า ไอ้บ้า………”

ชินโกะ โดโมโตะในใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เผชิญกับการบุกเข้ามาของเฉินตง แม้แต่ความกล้าในการต่อต้านยังไม่มีเลย หันหลังก็อยากจะวิ่งหนี

“ทำร้ายเมียฉัน แกต้องตาย!”

เฉินตงที่เหวี่ยงดาบยาว ฟันลงไปด้วยความโกรธ

ฉึก!

ดาบได้ลงฟันลงไปทีหลังของชินโกะ โดโมโตะ เลือดกระฉูดออกมา

ชินโกะ โดโมโตะร้องอย่างเจ็บปวด แล้วเดินโซเซไปข้างหน้าสองสามก้าว

ในความหวาดกลัว จู่ๆเขาก็หันกลับมา กลับเห็นเฉินตงเดินเข้ามาใกล้เขาราวกับเป็นพระยามัจจุราช

ดาบคู่เหมือนภูตผีปีศาจ ส่งเสียงและฟันลงไปอย่างบ้าคลั่ง

ชินโกะ โดโมโตะส่งเสียงคำราม แล้วดึงลูกดอกคุไนออกมาอย่างอุกอาจ ต้านทานอย่างสุดชีวิต

เทรง เทรง เทรง…….

เกิดเป็นประกายไฟ ราวกับดอกไม้ไฟที่เบ่งบาน

ยิ่งต่อต้าน ความกลัวก็ยิ่งแผ่ซ่านไปทั่วร่างของชินโกะ โดโมโตะราวกับวัชพืช

ทุกครั้งที่เขาโจมตี พลังที่ส่งผ่านจากลูกดอกคุไน กระเทือนจนทำให้หว่างนิ้วโป่งกับนิ้วชี้ของเข้าเจ็บอย่างมาก ถึงขนาดมีความรู้สึกชาเหมือนเป็นอัมพาต

ความรู้สึกเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ที่ต่อสู้กับเฉินตง ไม่เคยสัมผัสมาก่อนเลย

แต่ตอนนี้ ความรู้สึกนี้รุนแรงมาก!

ไอ้หมอนี่ มันบ้าไปแล้วเหรอ?

ทำไมจู่ๆถึงได้แสดงสัญชาตญาณการต่อสู้อันแข็งแกร่งและพลังมากมายขนาดนี้ออกมา?

ชินโกะ โดโมโตะที่กำลังตื่นตระหนก ความเร็วของลูกดอกคุไนที่อยู่ในมือก็อดไม่ได้ที่จะช้าไปด้วย

ฉึก!

ดาบสั้นได้เฉือนไปที่หน้าอกของชินโกะ โดโมโตะในแนวขวาง เจ็บจนชินโกะ โดโมโตะร้องอย่างเจ็บปวด แล้วถอยหลังอีกครั้ง

เฉือนซ้ำแล้วซ้ำเล่า เลือดพุ่งกระจาย

เกือบเหมือนการทารุณกรรมที่เฉือนเนื้อออกเป็นชิ้นๆ เป็นภาพที่นองเต็มไปด้วยเลือด

ไม่เพียงแต่ชินโกะ โดโมโตะที่ตกอยู่ในความหวาดกลัว

แม้แต่ท่านหลงและพวกกูหลัง ก็มองจนใจสั่น ความกลัวนั้นล้นหลาม

“ท่าน ท่านหลง…….คุณชาย ไม่น่าที่จะแข็งแกร่งขนาดนี้นะ?”

กูหลังเบิกตากว้าง น้ำเสียงสั่นอย่างรุนแรง

เขาเคยสู้กับเฉินตง แม้จะเป็นเวลานาน เฉินตงที่ติดตามการฝึกปีศาจจากคุนหลุนอย่างก้าวกระโดด แต่ไม่น่าที่จะก้าวหน้าถึงระดับที่น่ากลัวเช่นนี้

เมื่อกี้ตอนที่อยู่ทางป่าไผ่ กูหลังก็เห็นความสามารถของชินโกะ โดโมโตะมากับตาแล้ว

เดิมภาพที่ไม่ควรปรากฏ เวลานี้กลับแสดงให้เห็นตรงหน้า

ท่านหลงแววตาลุ่มลึก ค่อยๆมองไปทางกู้ชิงหยิ่งที่อยู่ไม่ไกล “ในใจมีรัก ดังนั้นเขาเลยกลายเป็นเทพแห่งการฆ่าทันที”

“กลายเป็นเทพแห่งการฆ่าทันที?”

ม่านตาของกูหลังหดเกร็ง มองดูเฉินตงที่กำลังกวัดแกว่งดาบสองเล่มและเฉือนชินโกะ โดโมโตะ

ใช่แล้ว!

หากไม่ใช่เทพแห่งการฆ่า ทำไมต้องใช้วิธีการฆ่าแบบทารุณกรรมที่เฉือนเนื้อแบบนี้?

ในสายตาของกูหลัง เวลานี้พลังการต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายเปลี่ยนไปอย่างมาก หากเฉินตงต้องการฆ่าชินโกะ โดโมโตะ ก็สามารถฆ่าได้ในดาบเดียว!

โดยสัญชาตญาณ เขาก็มองตามสายตาของท่านหลง มองไปทางกู้ชิงหยิ่งที่อยู่ไม่ไกล

ผู้หญิงคนเดียว ทำให้เฉินตงเปลี่ยนไปอย่างมหาศาล รักนี้……….ต้องลึกซึ้งขนาดไหน?

“อ้า อ้า อ้า………..”

ชินโกะ โดโมโตะกลัวอย่างสิ้นเชิง ร่างทั้งร่างโดนไปสิบกว่าแผล กลายเป็นคนที่เต็มไปด้วยเลือดนานแล้ว

ความเจ็บปวดที่แสนสาหัส ทำให้เขาบ้าคลั่ง

ความโหดร้ายของเฉินตง ยิ่งทำให้เขาหมุนเวียนอยู่ระหว่างความบ้าคลั่งและพังทลาย

สติที่เหลืออยู่ ทำให้เขากำลูกดอกคุไนที่อยู่ในมืออย่างแน่น บุกเข้าไปหาเฉินตงโดยไม่กลัวตาย

ต่อให้เขาต้องตาย ก็ต้องเอาคนไปเป็นที่รองศพหนึ่งคน!

ภาพนี้

คนที่มองดูอยู่สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก

ไม่รอให้ท่านหลงและกูหลังเตือน

เฉินตงก็โค้งตัวทันที ดาบด้ามหนึ่งอยู่ด้านหน้า อีกด้ามหนึ่งอยู่หลัง

วินาทีต่อมา

เฉินตงพุ่งตัวเข้าไปเหมือนลูกกระสุนปืนใหญ่

แสงเย็นวาบสองดวงแวบวาบไปทั่วท้องฟ้า

ชินโกะ โดโมโตะที่มีความคิดที่จะสู้ตายก็ยืนแนบนิ่งหยุดอยู่กับที่

ทั้งหมด ราวกับว่าได้คืนกลับมาในความสงบ

“ทำร้ายเมียฉัน ต่อให้เป็นพระยายมราชก็ต้องตาย!”

เฉินตงทิ้งคำพูดที่เย็นชานี้ไว้ สองมือได้ปล่อยดาบซามูไรออก

ตามมาด้วยเสียงดาบซามูไรสองเล่มหล่นลงบนพื้น

ร่างกายของชินโกะ โดโมโตะกระตุกไปครู่หนึ่ง

ดวงตาเต็มไปด้วยความสยดสยอง สูญเสียรูปลักษณ์ไปอย่างรวดเร็ว

ตามมาด้วยเฉินตงหันหลัง

ท้องของชินโกะ โดโมโตะมีเลือดกระฉูดออกมา และหัวของเขาก็ค่อยๆหลุดออกจากคอ

“ซือ~”

คนที่อยู่ในที่เกิดเหตุ สูดลมหายใจเย็นเข้าพร้อมกัน

สายตาที่หวาดกลัวของแต่ละคน ได้มองมาทางเฉินตง

เฉินตงเดินโซเซ ทุกย่างก้าวดูเหมือนจะใช้กำลังมหาศาล แต่เท้าของเขายังคงแนบกับพื้น ลากไปข้างหน้า ทิ้งคราบเลือดไว้สองรอย

มองไปทางกู้ชิงหยิ่ง ทุกย่างก้าวของเขา หนักยิ่งกว่าอะไร

ในที่สุด เขาก็เดินมาถึงข้างกายของกู้ชิงหยิ่ง

พรึบดังขึ้นหนึ่งที!

เฉินตงคุกเข่าลงบนพื้น

“เฉิน เฉินตง!”

อาการบาดเจ็บของกู้ชิงหยิ่งไม่ได้หนักหนา มองเห็นเฉินตงที่เต็มไปด้วยเลือด ก็ตกใจจนหน้าซีดเผือดทันที รีบกอดเฉินตงเอาไว้

“ยัยโง่ ทำไมถึงไม่ไป?”

เฉินตงยิ้มอย่างอ่อนล้า

กู้ชิงหยิ่งน้ำตานองหน้าไปนานแล้ว สีหน้าเต็มไปด้วยความโศกเศร้า “คนโกหก คุณมันคนโกหก ทำไมต้องโกหกฉันด้วย? ยังมีเมื่อกี้ คุณมันโง่ ทำไมต้องช่วยรับแทนฉันมากมายขนาดนั้น คุณรู้หรือเปล่าแบบนี้คุณอาจจะตายได้?”

เสียงร้องไห้ ก้องไปทั่วป่าไผ่

เฉินตงกลับค่อยๆหลับตาลง มุมปากแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน

“ผมเคยรับปากคุณเอาไว้ คุณไม่จากผมไป ผมจะใช้ทั้งชีวิตปกป้องดูแลคุณ…….”

เจ็บปวดอย่างแสนสาหัส ทำให้เฉินตงเจ็บจนสั่นไปทั้งตัว

เสียงคมดาบเฉือนทะลุเนื้อและเสียงคำรามของชินโกะ โดโมโตะก้องอยู่ในหูของเขา

เฉินตงกัดฟันแน่น เส้นเอ็นของแขนขวานูนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ใช้แรงทั้งหมดที่มีในการต้านทานการแรงกดของชินโกะ โดโมโตะ

แต่แรงเพียงแขนข้างเดียว ไม่สามารถที่จะต้านแรงของชินโกะ โดโมโตะได้เลย!

เลือดสดได้ไหลตามแขนลงมา ย้อมร่างครึ่งร่างของเฉินตงเป็นสีแดง

เลือดในปริมาณที่มาก ทำให้การมองเห็นของเฉินตงค่อยๆเลือนราง

“ปล่อยคุณเฉินออกเดี๋ยวนี้!”

ทันใดนั้น น้ำเสียงที่เยือกเย็นเกรี้ยวกราดก็ดังขึ้น

เฉินตงมีกำลังใจขึ้นมาทันที

ก็เห็นฟ่านลู่บุกมาถึงด้านหลังของชินโกะ โดโมโตะ

ฟาดคันธนูที่อยู่ในมืออย่างอุกอาจ ฟาดลงไปบนท้ายทอยของชินโกะ โดโมโตะ

ตามมาด้วย ฟ่านลู่พลิกคันธนูทันที ใช้สายคันธนูรัดคอของชินโกะ โดโมโตะเอาไว้ ใช้แรงทั้งหมดในการลากถอยไปข้างหลัง

พรึบ!

แรงกระชากที่มหาศาล ทำให้ดาบสั้นของชินโกะ โดโมโตะที่เฉือนอยู่บนเนื้อของเฉนตงถูกดึงออกมา ดาบเต็มไปด้วยเลือด

ชินโกะ โดโมโตะถูกฟ่านลู่กระชากถอยหลังอย่างบ้าคลั่ง การที่หายใจไม่ออกอย่างรุนแรงทำให้เขาเอื้อมมือออกไปโดยสัญชาตญาณเพื่อจะกระชากสายธนูที่คอให้ขาด แต่สายธนูนั้นคมมาก และยิ่งเขาใช้แรงมากเท่าไหร่ มันกลับจะยิ่งบาดมือของเขาให้เต็มไปด้วยเลือด

ในที่สุดก็จะตายแล้วใช่มั้ย?

เมื่อมองชินโกะ โดโมโตะที่ดิ้นรนต่อสู้กับความตาย เฉินตงก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความโหดเหี้ยมของชินโกะ โดโมโตะ ทำให้เขารู้สึกถึงความตายมาหลายครั้ง

คนที่ดุร้ายแบบนี้ เปรียบเสมือนเครื่องจักรสังหาร ที่ทำให้ผู้คนสั่นสะท้าน

“อ้า!”

ทันทีที่ความคิดผุดขึ้นมา ฝ่ายตรงข้ามอย่างชินโกะ โดโมโตะก็ตะโกนออกมา

ภายใต้สถานการณ์ที่ถูกรัดคอ ชินโกะ โดโมโตะเกือบจะเหมือนฆ่าตัวตาย หันหัวอย่างอุกอาจ ดาบซามูไรที่อยู่ในมือ ฟันลงในแนวขวาง

ใบหน้าที่เย็นชาเคร่งขรึมของฟ่านลู่ ก็แสดงออกอย่างสยดสยอง

เธอโยนคันธนูอันแข็งแกร่งด้วยมือทั้งสองเกือบพร้อมกัน แล้วถอยหลังอย่างรวดเร็ว

และแล้ว

ฉึก!

ดาบซามูไรฟันไปที่ท้องของฟ่านลู่ได้อย่างแม่นยำ

ฟ่านลู่หยุดอยู่กับที่

ร่างกายของเฉินตงสั่นสะท้าน หัวสมองระเบิดขึ้นด้วยเสียง “โครม”

วินาทีนี้ เหมือนเวลาได้หยุดเดินยังไงอย่างงั้น

เฉินตงมองฟ่านลู่อย่างไม่อยากจะเชื่อ ดวงตาเบิกกว้าง ลูกตาแทบจะถลนออกมา

ในสายตา หน้าท้องของฟ่านลู่ มองเห็นเลือดไหลออกมาจากชัดเจน

เหมือนกับหยดน้ำ หยดลงสู่พื้นอย่างรุนแรง

และฟ่านลู่ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความสยดสยอง ได้เอามือกุมหน้าท้องเอาไว้ แล้วค่อยๆล้มลงกับพื้น

“ยายเมิ่ง ไปตายซะ!”

ด้วยเสียงคำรามของชิงโกะ โดโมโตะ เวลาดูเหมือนจะกลับมาเป็นปกติในทันที

เขายกดาบซามูไรขึ้นมาอย่างอุกอาจ ฟันลงไปที่ฟ่านลู่อย่างไร้ความปรานี

“ชินโกะ โดโมโตะ มาลงที่ฉันสิ!”

ดวงตาของเฉินตงแดงก่ำ ไฟโกรธลามขึ้นหัว เลือดในตัวเดือดพลุ่งพล่าน

วินาทีนี้ เขาถึงขนาดที่ลืมตัวเจ็บปวดของร่างกายไปแล้ว ลุกขึ้นมาอย่างอุกอาจ

ฟ่านลู่เป็นผู้หญิงของคุนหลุน เป็นผู้หญิงของเพื่อนรักของเขา!

หากไม่มีฟ่านลู่มาช่วยเขา เขาคงตายอยู่ใต้ดาบซามูไรของชินโกะ โดโมโตะนานแล้ว

เขาไม่มีทางยอมทนดูฟ่านลู่ตายอยู่ใต้ดาบของชินโกะ โดโมโตะเป็นอันขาด!

“สายไปแล้ว!”

ชินโกะ โดโมโตะหัวเราะอย่างชั่วร้าย ดาบในมือกลับไม่ได้หยุดฟันเลย “คนที่ขวางฉัน ต้องตาย!”

ป้าง!

เสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด

ชินโกะ โดโมโตะที่บ้าคลั่งร่างกายสั่นสะท้านไปทั้งตัว ก็ได้ยืนหยุดอยู่กับที่ทันที

“พุช!”

ขยับร่างกาย กระอักเลือดออกมา

เขาค่อยๆก้มหน้า มองที่หน้าอกของตัวเองอย่างไม่อย่าจะเชื่อ

ตรงนั้น หลุมจากการถูกทำร้าย กำลังมีควันดำลอยออกมา และเลือดไหลออกมา

ภาพที่เกิดขึ้นกะทันหัน ทำให้เฉินตกใจมาก

ตามติดมาด้วย ในความมืดซึ่งอยู่ไม่ไกลดังขึ้นด้วยเสียงฝีเท้าที่จำนวนมาก

มาแล้ว!

เฉินตงรู้สึกดีใจเป็นอย่างมากในทันที

เมื่อหันไปมอง ท่านหลงกับกูหลังกำลังพาบอดี้การ์ดชุดใหญ่วิ่งมาอย่างเร่งรีบ

และท่ามกลางกลุ่มคน ยังมีร่างของหญิงสาวร่างหนึ่ง

วินาทีที่เห็นร่างของหญิงสาว เฉินตงตะลึงไปชั่วขณะ

ดวงตาคู่สวยของกู้ชิงหยิ่งแดงก่ำ เต็มไปด้วยน้ำตา

ทันทีที่เห็นเฉินตง เธอเกือบจะรู้สึกเหมือนฝัน

ร่างกายเปื้อนไปด้วยเลือด ไม่เหลือใบหน้าที่คุ้นเคย

เหมือนกับเข็มที่แหลมคม ได้ทิ่มแทงไปที่หัวใจของกู้ชิงหยิ่งอย่างแรง

กู้ชิงหยิ่งไม่สามารถที่จะกลั้นน้ำตาของเธอได้อีกต่อไป น้ำตาเอ่อล้นออกมา และวิ่งไปหาเฉินตงพร้อมกับเสียงร้องไห้

ขณะวิ่ง เขาก็ตะโกนอย่างเจ็บปวดแสนสาหัส “คนโกหก! เฉินตง คุณมันไอ้คนโกหก!”

เฉินตงยิ้มอย่างขมขื่น และไม่ได้ตอบโต้

และด้านข้าง

ท่านหลงกับกูหลังที่เห็นอาการบาดเจ็บของเฉินตง สีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างมาก

แล้วมองเห็นฟ่านลู่ที่นอนอยู่บนพื้น แรงแห่งการฆ่าก็ได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาสองคนในทันใด

“ฆ่ามัน!”

ท่านหลงออกคำสั่ง ในเวลาเดียวกันก็ได้ยกปืนที่อยู่ในมือขึ้นมา

เสียงปืนนัดเมื่อกี้ เขาเป็นคนยิง!

ขณะที่ท่านหลงยกปืนขึ้น บอดี้การ์ดที่อยู่ข้างหลังเขาก็ทยอยกันยกปืนขึ้น

ทั้งหมดนี้

ในที่สุดก็จบลงแล้ว!

เฉินตงเหมือนยกภูเขาออกจากอก ในที่สุดก็สามารถอดทนจนกระทั่งพวกท่านหลงมาถึง!

มีคนมากมายอยู่ตรงนี้ วันนี้ต่อให้ชินโกะ โดโมโตะมีปีก ก็บินหนีออกไปไม่ได้!

และแล้ว

บู๊ม บู๊ม บู๊ม………..

ไม่รอให้พวกเขาลั่นไกร

ทันใดนั้นชินโกะ โดโมโตะหยิบระเบิดควันออกจากหน้าอกของเขา ระเบิดจนเกิดควันฟุ้งกระจายไปทั่ว ร่างของเขาก็ถูกกลืนหายไปทันที

แย่แล้ว!

หัวใจของเฉินตงกระตุกอย่างแรง

“ลั่นไกรสิ!”

เขาสั่งการด้วยน้ำเสียงที่โกรธเคือง

เกือบจะในเวลาเดียวกัน ท่านหลงกับกูหลังก็ตะโกนให้ลั่นไกร

ป้างป้างป้าง……….

เสียงปืนที่ดังสนั่นไปทั่วป่าไผ่

และแล้ว

พร้อมกับเสียงปืนที่ดังสนั่น

เฉินตงกลับมองอย่างเห็นชัดเจน ว่าร่างสีดำร่างหนึ่ง ราวกับสัตว์ป่าที่ดุร้าย ได้พุ่งออกมาจากควัน และพุ่งตรงมาหาเขาโดยตรง

“ไปตายซะ!”

ร่างของชินโกะ โดโมโตะเปื้อนไปด้วยเลือด ขณะที่พุ่งตัวออกมาจากควัน ทันใดนั้นเขาก็คว้าถุงผ้าด้วยมือทั้งสองข้าง แล้วสะบัดไปทางเฉินตง

ฉูบ ฉูบ ฉูบ……..

ชั่วพริบตาเดียว ลูกดอกคุไนบินกระจายไปทั่ว เหมือนดอกแพร์ฝนโหมกระหน่ำมาทางเฉินตง

“เสี่ยวหยิ่ง!”

ม่านตาของเฉินตงหดเกร็งสุดขีด เห็นกู้ชิงหยิ่งที่ร้องไห้วิ่งมา

เขาไม่มีเวลามาคิดมาก ร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลก็ได้ระเบิดความเร็วที่เหมือนสายฟ้าออกมา

ก่อนที่ลูกดอกคุไนจะทะยานมาถึง ถลาเข้าไป กอดกู้ชิงหยิ่งไว้ในอ้อมแขนของเขา

ภายใต้การโจมตี เฉินตงอุ้มกู้ชิงหยิ่งด้วยมือเดียว หมุนอยู่ตรงที่เดิม

ลูกดอกคุไนลอยเต็มท้องฟ้า กระหน่ำจากที่สูงลงต่ำทันที

แม้ว่าเฉินตงจะพยายามหลบ แต่ร่างกายยังคงถูกโจมตีไปหลายครั้ง

ไม่รอให้เขารู้สึกถึงความเจ็บปวด กู้ชิงหยิ่งที่อยู่ในอ้อมแขนกลับสั่นไปทั้งร่าง เปล่งเสียงร้องที่เจ็บปวดออกมา

ในเวลานี้

สมองของเฉินตงว่างเปล่า

ดวงตาเบิกกว้างมองกู้ชิงหยิ่งที่อยู่ในอ้อมแขน บนไหล่ของเธอ มีลูกดอกคุไนอยู่หนึ่งดอก ถูกปักเข้าไปอย่างลึกๆ!

“เสี่ยวหยิ่ง!”

เฉินตงก็อึ้งไปชั่วขณะ แววตาราวกับถูกย้อมไปด้วยเลือดยังไงอย่างงั้น

“คนโกหก……..” กู้ชิงหยิ่งค่อยๆเงยหน้าขึ้น น้ำตาไหลอาบแก้ม มองเฉินตงอย่างเฉินตงอย่างเจ็บปวด

คำว่า “คนโกหก” กลับเหมือนกับสายฟ้าจากท้องฟ้าที่โปรดโปร่ง ฟาดลงมาบนร่างของเฉินตงอย่างแรง

“คุณชายระวัง!”

“คุณเฉินระวัง!”

ทันใดนั้น เสียงตะโกนของท่านหลงและคุนหลุนก็ดังขึ้นในหูของเขา

เฉินตงที่ตกอยู่ในภวังค์ ก็รู้สึกตัวขึ้นมาทันที

หมุนตัวโดยสัญชาตญาณ

ชินโกะ โดโมโตะได้ยืนอยู่ตรงหน้าแล้ว

ฉึก!

ดาบซามูไรสั้น แทงเข้าหัวไหล่ของเฉินตงอย่างอุกอาจ เลือดก็พุ่งกระฉูดออกมา

ร่างกายของเฉินตงสั่นสะท้าน ใบหน้าก็บิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดทันที

และชินโกะ โดโมโตะกลับดาบวงตาที่ดุร้าย ราวกับว่าสัตว์ร้ายที่ถูกปิดล้อมแล้วพยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอด สองมือกำดาบซามูไรไว้แน่นๆ แล้วใช้แรงในการผลัก

ฉึก!

เฉินตงรู้สึกว่าดาบซามูไรสั้นได้แทงทะลุออกมาจากตำแหน่งสะบักหลัง

ตามมาด้วย กู้ชิงหยิ่งที่อยู่ด้านหลังก็กรีดร้องขึ้นมาอีกครั้ง

เวลานี้ เขารู้สึกว่าหัวใจของเขากำลังจะแตกสลาย

พลังความเกรี้ยวกราด เหมือนคลื่นยักษ์ขนาดใหญ่ กำลังเดือดพลุ่งพล่าน

พรึบ!

ในขณะที่ชินโกะ โดโมโตะกำลังจะหมุนคมดาบนั้น เฉินตงที่ไม่สนใจอาการบาดเจ็บยกมือขวาขึ้น คว้าจับคมดาบเอาไว้

เลือดก็ได้ไหลลงมาจากคมดาบทันที

แต่เฉินตงกลับเหมือนไม่มีความรู้สึก

เฉกเช่นสัตว์ร้ายที่ดุร้าย ร่างกายเต็มไปด้วยแรงแห่งการฆ่า พลังเปลี่ยนไปอย่างมาก

เขาเงยหน้าขึ้นมาทันที จ้องมองชินโกะ โดโมโตะด้วยสายตาที่โกรธแค้น

“ทำร้ายเมียกู มึงสมควรตาย!”

ฉูบ!

คันธนูที่แข็งแรงและลูกธนูที่คม ลอยมาอย่างรวดเร็ว

ราวกับจะปลิดชีวิต ในขณะที่ฟ่านลูพูด ลูกธนูก็พุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็ว

แววตาของชินโกะ โดโมโตะเต็มไปด้วยความดุร้าย

หันกลับมาอย่างอุกอาจ ดาบซามูไรในมือกะพริบด้วยเสียงที่เย็น ฟันดาบไปพร้อมกันเสียงที่โกรธจัด

เทรง!

ประกายไฟกระจายไปทั่ว

ดาบนี้ ได้ฟันลูกธนูของฟ่านลู่หักเป็นสองท่อน

มองจนม่านตาของเฉินตงหดเกร็ง อกสั่นขวัญแขวน

อันดับยมราชที่ห่างกันแค่สองอันดับ ก็มีระยะห่างกันมากขนาดนี้เลยเหรอ?

การยิงธนูของฟ่านลู่อยู่ในระดับที่สูงสุดแล้ว เขาเคยสัมผัสด้วยตัวเองมาแล้ว

คืนนั้นที่ใช้ลูกธนูแนบจดหมายมา หากฟ่านลู่ต้องการฆ่าเขา เขาไม่มีทางที่จะตั้งรับดอกที่สองได้อย่างแน่นอน

แต่ตอนนี้ ลูกธนูของฟ่านลู่ กลับทำให้ชินโกะ โดโมโตะประจันหน้ากับมัน!

“ตาย!”

หลังจากฟันลูกธนูแล้ว ชินโกะ โดโมโตะก็เหมือนผีล่องหนทันที ระเบิดควันลูกหนึ่งก็ได้ระเบิดควันออกมา เขากลับถือดาบซามูไร พุ่งเข้าหาฟ่านลู่อย่างดุร้ายโดยตรง

“ฟ่านลู่ระวัง!”

สีหน้าของเฉินตงเปลี่ยนไปอย่างมาก อยากจะลุกขึ้นช่วยโดยสัญชาตญาณ ร่างกายที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดทำให้มีเสียงครางออกมา และเขาก็ล้มลงกับพื้นอีกครั้ง

ค่ำคืนในป่าไผ่

ใบไผ่กระจัดกระจายไปทั่วท้องฟ้า

ฟ่านลู่กลับเคร่งขรึม ไม่ตระหนกตกใจเลย

เผชิญหน้ากับชินโกะ โดโมโตะที่วิ่งมาอย่างดุร้าย ในขณะที่ถอยหลังด้วยความเร็ว กลับดึงคันธนูและยิงธนูออกไปอย่างรวดเร็ว

ฉูบ ฉูบ ฉูบ!

ยิงลูกธนูติดต่อกันสามอัน กระหน่ำไปกลางอากาศ

ชินโกะ โดโมโตะดูเหมือนจะสามารถคาดเดาได้ และเขาก็เหวี่ยงดาบซามูไรในมือ สกัดกั้นลูกธนูไว้ได้ทั้งหมด

ความต่างแบบนี้ ทำให้หัวใจหล่นวูบตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม

ขอเพียงชินโกะ โดโมโตะเข้ามาใกล้ คันธนูและลูกธนูที่อยู่ในมือฟ่านลู่ ก็ไม่มีประโยชน์อีกต่อไป

และทักษะการต่อสู้ระยะประชิดของชินโกะ โดโมโตะ ก็เหมือนกับภูตผีปีศาจ โหดเหี้ยมทุกกระบวนท่า

โหดเหี้ยมยิ่งกว่าทักษะการต่อสู้ของคุนหลุน คาดเดาได้ยาก

การต่อสู้ระยะประชิด สำหรับฟ่านลู่มันคือหายนะ!

ชินโกะ โดโมโตะว่องไวและรวดเร็วมาก ไปตามท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยใบไผ่ บุกเข้าหาฟ่านลู่ด้วยความเร็วสูง

ร่างกายทั้งหมดได้ปลดปล่อยแรงแห่งการฆ่าที่ไร้ขอบเขต

ก็เหมือนกับนินจานักฆ่าที่กระหายเลือดในหนังยังไงอย่างงั้นเลย

เสียงเยาะเย้ยมาจากใต้หน้ากากของเขา “ยายเมิ่ง เมื่อฉันเข้าไปใกล้ ก็ได้เวลาที่แกจะได้ไปเกิดใหม่แล้ว!”

พริบตาเดียว

ชินโกะ โดโมโตะได้เข้ามาใกล้ฟ่านลู่ด้วยท่าทางที่ข่มเหงรังแก ดาบซามูไรในมือเงาวาบ เสียงฟิ้ว ฟันไปตรงท้องของฟ่านลู่โดยตรง

สีหน้าฟ่านลู่เปลี่ยนไปอย่างมาก ด้วยความรีบร้อน ก็ได้ผลักคันธนูที่แข็งแกร่งออกไปขวาง

เทรง!

เสียงดังสนั่น

พลังดาบที่น่าสะพรึงกลัว ชั่วขณะก็ทำให้ฟ่านลู่ตกใจเซไปข้างหลัง

ชินโกะ โดโมโตะไม่ได้ให้โอกาสกับฟ่านลู่เลยแม้แต่นิดเดียว เหวี่ยงดาบออกไป เพื่อเข้ามาประชิดอีกครั้ง

ดาบซามูไรในมือของเขาเหมือนภูตผีปีศาจ แฝงได้ด้วยเสียงดาบที่เหมือนมีวิญญาณผีร้าย ฟันลงไปที่ฟ่านลู่

และความจริงก็เหมือนกับสิงที่เฉินตงคาดการไว้เลย

ทักษะการต่อสู้ระยะประชิดของฟ่านลู่ ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับชินโกะ โดโมโตะ

ในความเร่งรีบ เหวี่ยงธนูอันแข็งแกร่งติดต่อกันเพื่อต้านทาน กลับไม่มีแรงในการต้านทานเลย ถอยหลังอย่างต่อเนื่อง ถึงขนาดอาจจะเกิดการต้านไม่ไหวได้ตลอดเวลา

ต่อให้ฟ่านลู่ยังคงรักษาสภาพจิตใจอย่างเยือกเย็นที่สุด แต่ในแววตา ยังคงสั่นสะท้านด้วยหวาดกลัวและความกังวล

ความพ่ายแพ้ อยู่ที่ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น

เผชิญกับดาบชินโกะ โดโมโตะที่ฟันดาบเพื่อปลิดชีวิตทุกครั้ง เมื่อพ่ายแพ้ สิ่งที่รออยู่ก็คือความตาย!

บู๊ม!

ดาบซามูไรได้ฟันไปบนคันธนูที่แข็งแกร่ง

แรงดาบที่น่าสะพรึงกลัว คันธนูจึงสั่นอย่างรุนแรง จนแทบจะหลุดออกจากมือของฟ่านลู่

ในเวลาเดียวกัน ฟ่านลู่ร้องก็กรีดร้อง ร่างกายเซไปข้างหลัง

อยู่ในระหว่างนี้

โวง!

จบแล้ว

ดวงตาคู่สวยของฟ่านลู่ก็เบิกกว้าง หน้าซีดเผือดทันที

สายตาของเธอ เฉียดผ่านไปด้วยดาบซามูไรที่เงาวาบ เธอเห็นรอยยิ้มที่เย้ยหยันในสายตาของชินโกะ โดโมโตะอย่างชัดเจน

ฉูบ!

วิกฤตที่อันตรายมาก

เสียงลมแตกดังขึ้น

ดาบซามูไรที่กำลังจะตกถึงคอของฟ่านลู่ กลับหยุดนิ่งอยู่บนกลางอากาศทันที

ภาพกะทันหันนี้ ทำให้ฟ่านลู่กับชินโกะ โดโมโตะตกตะลึงพร้อมกัน

ทั้งสองคนเงยหน้าขึ้นพร้อมกัน กลับเห็นดาบซามูไรถูกเซอร์คัมเฟลกซาเส้นเล็กๆพันรอบด้านเอาไว้

“วางมือลง!”

เฉินตงดูเย็นชาและเคร่งขรึม ตะโกนเสียงดัง

ดึงมือขวาอย่างอุกอาจ

“ไอ้บ้า!”

เมื่อรู้สึกถึงแรงกระชากที่มหาศาลที่ส่งมาจากดาบซามูไร ดวงตาของชินโกะ โดโมโตะก็ดุร้าย และตะโกนอย่างโกรธจัด

อย่างไรก็ตาม ภายใต้การดึงนี้ เขาไม่ได้ปล่อยดาบซามูไร แต่จับดาบซามูไรไว้แน่น แล้วถอยออกไปอย่างรวดเร็ว

“พี่เสี่ยวลู่!”

สีหน้าของเฉินตงจมดิ่งลงไป เห็นชินโกะ โดโมโตะที่ถอยหลังเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว เขาตะโกนด้วยความร้อนใจ

ชินโกะ โดโมโตะที่กำลังจะฟันฟ่านลู แต่ดาบกลับมาตกอยู่บนตัวเขา

สีหน้าของฟ่านลู่เปลี่ยนไปอย่างมาก แววตาเต็มไปด้วยแรงแห่งการฆ่า

ชั่วขณะนั้นก็ตั้งธนู เล็งตรงไปที่ชินโกะ โดโมโตะ ลูกธนูพุงทะยานออกไป

ลูกธนูทะยานไป พร้อมกับเสียงที่แสบหู

เมื่อเห็นว่ากำลังจะยิงโดนชินโกะ โดโมโตะนั้น

ชินโกะ โดโมโตะดึงดาบซามูไรที่สั้นกว่าเล็กน้อยออกจากเอวของเขาในทันที รีบเหวี่ยงดาบไปข้างหน้าจนเกิดประกายไฟ

ราวกับสร้างม่านดาบ มันขวางลูกธนูไว้ในทันใด

“วางมือลง!”

เฉินตงมองหาจังหวะที่แม่นยำ แล้วกระชากมือขวาทันที

เซอร์คัมเฟลกซาที่พันรัดดาบซามูไรเอาไว้ในที่สุดก็ได้หลุดออกมาจากมือของชินโกะ โดโมโตะ

“ไอ้บ้า!”

เกือบจะในเวลาเดียวกัน ชินโกะ โดโมโตะหันกายมาอย่างอุกอาจ แววตาดุร้ายเหมือนสัตว์ร้ายที่กระหายเลือด บุกเข้ามาทางเฉินตงโดยตรง

แม่ง!

เป็นหมาบ้าหรือ?

เฉินตงก็ใจเย็นต่อไปไม่ได้แล้ว การแสดงออกของชินโกะ โดโมโตะไม่เพียงแต่มีความโหดเหี้ยมของนินจา มันมีความบ้าคลั่ง แต่ยังมีความดุร้ายที่เกือบจะบ้าและไม่กลัวความตาย

มันทำให้คนปวดหัวอย่างมาก

เมื่อเห็นชินโกะ โดโมโตะพุ่งเข้ามา ร่างกายของเฉินตงเจ็บปวดอย่างมาก พยายามดิ้นรนที่จะลุกขึ้น แต่ก็ล้มเหลวทั้งสองครั้งหลังจากที่พยายาม

เมื่อกี้ในเวลาพริบตาเดียวสามารถใช้เซอร์คัมเฟลกซาพันรัดดาบซามูไรของชินโกะ โดโมโตะ มันก็สุดกำลังของเขาแล้ว

แม้ว่าดาบซามูไรของชินโกะ โดโมโตะได้ตกอยู่ในมือของเขาแล้ว แต่เขายังคงไม่มีแรงเลยแม้แต่นิดเดียว

เฉินตงเข้าใจ ความต่างระหว่างเขากับชินโกะ โดโมโตะ ไม่ใช่แค่นิดหน่อย

ดาบซามูไรยาวเพียงเล่มเดียว ไม่สามารถมาทดแทนระยะความต่างนี้ได้

แม้กระทั่ง ต่อให้มือเขาถือดาบซามูไรเอาไว้ ก็คงต้านไม่ได้แม้แต่ดาบเดียว!

“คุณเฉิน!”

ฟ่านลู่ที่อยูไม่ไกลใบหน้าซีดขาว

ในความเร่งรีบ ยื่นมือไปที่ถุงที่คาดอยู่บนเอว กลับคว้าได้แต่เพียงอากาศ

มีเสียงคำรามในหัวของเธอทันที และน้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตาที่สวยงามของเธอ

บ้าจริง ทำไมลูกธนูต้องมาหมดในเวลานี้ด้วย?

“เมื่อกี้คุณเฉินทำเพื่อช่วยฉัน!”

นี่เป็นความคิดเพียงอย่างเดียวในหัวของฟ่านลู่ เมื่อเห็นชินโกะ โดโมโตะวิ่งไปทางที่เฉินตงอยู่ เธอกัดฟันอย่างแรง มือถือดึงคันธนูไว้ และบุกตรงไปที่เฉินตงและ ชินโกะ โดโมโตะโดยตรง

“ได้โปรด ไปตายซะ!”

เมื่อชินโกะ โดโมโตะพุ่งตัวมาถึงด้านหน้าของเฉินตงนั้น เฉินตงถึงขึ้นรู้สึกว่าเวลานั้นช้าลงไปอย่างมาก

เสียงคำรามของชินโกะ โดโมโตะด้วยแรงแห่งการฆ่าที่น่าเกรงขามก้องอยู่ในหูของเขา

ในสายตา ดาบซามูไรสั้นเหมือนกับจะเอาชีวิต ได้ฟันลงมาโดยตรง

สู้สุดกำลัง!

แววตาของเฉินตงกระหน่ำไปด้วยความเกลียดชัง เขาไม่เคยมีนิสัยที่รอความตาย ต่อให้รู้ว่ากำลังจะตาย เขาก็ยังคงต่อสู้อย่างสุดกำลัง!

เทรง!

ดาบซามูไรยาวพาดไว้ที่หัว และชนกับดาบซามูไรสั้นของชินโกะ โดโมโตะ ทำให้เกิดประกายไฟจำนวนมาก

ตามมาด้วยเสียงคำรามของชินโกะ โดโมโตะ ดาบซามูไรสั้นก็กดไปที่ดาบซามูไรยาวที่ตกลงมาอยู่บนตัวของเฉินตง

ฉึก!

เสียงคมดาบที่เฉือนเข้าไปในเนื้อดังขึ้นหนึ่งที

ร่างกายของเฉินตงสั่นสะท้านในทันใด ส่งเสียงเจ็บออกมาหนึ่งที และมีเลือดไหลออกมามากมายบนไหล่ซ้าย กระเด็นมาใบหน้าของเขา

ถ้าไม่ใช่เพราะหัวของเขาเบี่ยงตัวเร็ว ดาบนี้ ก็คงถูกฟันไปที่กลางหัวของเขาโดยตรง คงไม่ใช่ฟันลงมาที่ไหล่ซ้ายแล้ว!

“ตาย!”

ชินโกะ โดโมโตะเหมือนคนบ้าคลั่ง โดยถือดาบซามูไรไว้ในมือทั้งสองข้าง แล้วกดลงมาอย่างโหดเหี้ยม

เฉินตงอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเย็นเข้าไป ความเจ็บปวดที่ส่งมาจากไหล่ซ้าย มันเจ็บปวดทรมานยิ่งกว่าถูกเซอร์คัมเฟลกซากรีดรัดก่อนหน้านี้

ในความเร่งรีบ เขาถึงขั้นได้ยินเสียงที่ดังมาจากไหล่ซ้าย “ฉึก” มันเป็นเสียงของคมดาบค่อยๆเฉือนลงไปในผิวเนื้อ

ฉึก……..ฉึก……………

เสียงที่บางเบา แสบหูอย่างมาก

เฉินตงรู้ นี่คือเสียงของเซอร์คัมเฟลกซารัดแน่น และกรีดเข้าไปในผิวเนื้อ

ความสยดสยองแห่งความตายโอบล้อมเขา ร่างกายของเขากำลังทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวดที่ไม่สามารถบรรยายได้

ทำให้เฉินตงเกือบจะทนไม่ไหวแล้ว

ในเวลาไม่กี่วินาที เขาจะมีจุดจบเหมือนกับบอดี้การ์ดสามคนที่ถูกเซอร์คัมเฟลกซารัดคอจนเสียชีวิต

ในขณะที่ร้องอย่างเจ็บปวด

เฉินตงพยายามดิ้นรนอย่างคาใจ แต่ยิ่งเขาดิ้นรนมากเท่าไร เซอร์คัมเฟลกซาก็ฝังตัวเร็วขึ้นและลึกขึ้น

ทรมานแสนสาหัส

ราวกับจะบดผิวหนังทั่วร่างกายทุกตารางนิ้วให้เป็นเนื้อบด

เหงื่อไหลเหมือนฝนตก

เหงื่อเลือดไหลปนกัน

“หรือว่า………..จะตายแบบนี้จริงหรือ?”

ลูกตาของเฉินตงแทบจะกระเด็นออกมา แววตาเต็มไปด้วยเส้นเลือด คิดอย่างคาใจ

และแล้ว

เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน

ฉูบ!

ในความมืด ลูกธนูพุ่งผ่านอากาศมาอย่างรวดเร็ว เร็วปานสายฟ้า

ม่านตาของชินโกะ โดโมโตะหดเกร็ง ตะโกนด่า “ไอ้บ้า” แต่กลับห้ามไม่ทัน

ตูบ!

ลูกธนูยิงทะลุลำไม้ไผ่ได้อย่างแม่นยำซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเฉินตง

ทันใดนั้น ก็มีเสียงของเซอร์คัมเฟลกซาหดกลับเข้าไปอย่างรวดเร็วในอากาศ

และเฉินตง ก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าอาการเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่ใดที่หนึ่งในร่างกายได้บรรเทาลงไปอย่างมาก

ฉูบ ฉูบ ฉูบ………

ลูกธนูอันแล้วอันเล่า เหมือนผีที่ไร้ร่องรอยลอยมาจากในความมืด

ตูบ ตูบ ตูบ……….

ดังติดต่อกันสามที ลูกธนูสามอันทะลุผ่านลำต้นไม้ไผ่สามต้น

พร้อมกับเสียงสามเสียงที่หดตัวกลับเข้าที่ของเซอร์คัมเฟลกซา

เฉินตงรู้สึกเหมือนร่างกายถูกปลดปล่อยไปในทันที

เสียงพรึบดังขึ้น เฉินตงคุกเข่าอยู่บนพื้น เจ็บปวดไปทั้งร่างกาย ทำให้ร่างกายของเขาสั่นอย่างรุนแรง

ตำแหน่งที่ถูกเซอร์คัมเฟลกซารัดกรีด เลือดก็ไหลซิบๆ ไหลลงสู่พื้น

รอดแล้วเหรอ?

ยายเมิ่งเป็นคนช่วยฉัน?

เฉินตงมึนงงเล็กน้อย หากไม่ใช่ยายเมิ่งที่ยิงธนูสี่ดอกติดต่อกันในที่ลับ เมื่อกี้เขาคงถูกเซอร์คัมเฟลกซารัดตายในเวลาอันสั้น

“ยายเมิ่ง แกหมายความว่ายังไง? แก แกกำลังละเมิดกฎขององค์กรhidden killers!”

ชินโกะ โดโมโตะโกรธมาก ร่างกายที่ห่อหุ้มด้วยเสื้อผ้ารัดรูปของนินจาก็สั่นอย่างรุนแรง และคำรามเสียงที่แหบแห้งออกมา

ด้วยเจตนาฆ่าและความโกรธในสายตาของเขา เขาจ้องเขม็งไปยังลูกธนูที่ถูกยิงมาก่อนหน้านี้

และเฉินตง ก็ค่อยๆมองไปยังความมืดตรงนั้น

ซาซา………ซาซา…………..

บนพื้นดังขึ้นด้วยเสียงคนเดินเหยียบใบไผ่

ฝีเท้าไม่ได้เร็วเกินไปหรือช้าเกินไป เหมือนกับการเดินเล่น

“มีฉันอยู่ แกฆ่าเขาไม่ได้หรอก!”

จู่ๆน้ำเสียงที่เย็นชาก็ดังขึ้น น้ำเสียงที่ไม่มีความรู้สึกใดๆเลย

แต่เมื่อเข้าสู่หูของเฉินตง กลับดังกังวานเหมือนเสียงระฆัง

เสียงนี้ คุ้นมาก!

ร่างที่เลือนราง ค่อยๆเดินออกมาจากในความมืด

สวมชุดกีฬาสีดำทั้งตัว รูปร่างสูงเพรียว ใบหน้าเย็นชากลับแฝงไว้ด้วยความห้าวหาญ ผมถูกมัดอยู่ในทรงหางม้า

“ฟ่าน ฟ่านลู่!”

สมองของเฉินตงว่างเปล่า มองฟ่านลู่ที่เดินออกมาจากในความมืดอย่างสยดสยอง

เธอยังคงแต่งตัวตามปกติ เพียงแต่มีความห้าวหาญและเย็นชามากกว่าปกติ หว่างคิ้วของเธอแสดงแรงแห่งการฆ่าอย่างเย็นชา

และในมือของเธอ เธอถือคันธนูที่แข็งแรงไว้หนึ่งอัน ถุงลูกธนูถูกผูกไว้ข้างเอวเธอ

การเปลี่ยนการแต่งกายที่เรียบง่าย มันทำให้ความเย็นชาที่อยู่บนตัวถูกกระจายออก ทำให้คนกลัว

แต่เฉินตงมั่นใจว่าตัวเองนั้นไม่ได้ตาฝาด ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า ก็คือฟ่านลู่!

“คุณเฉิน”

ในเวลาเดียวกันฟ่านลูก็มองไปทางเฉินตง บนใบหน้าที่เย็นชา อ่อนโยนลงมาเล็กน้อย “ขออภัยด้วย ฉันกับเสี่ยวหยิ่งไม่ได้ไปจากที่นี่”

โครม!

เฉินตงเหมือนถูกฟ้าผ่า วินาทีนี้ มีความรู้สึกเหมือนลืมความเจ็บปวดของร่างกายไปทันที

ลังเล หมดหนทาง เกิดอุบัติเหตุ ตื่นตระหนก… อารมณ์ต่างๆปะทุออกมา ปะปนรวมกัน

ไม่ได้ไป?

แต่ตอนนั้นคุนหลุนเห็นเสี่ยวหยิ่งกับฟ่านลู่เดินเข้าไปในเกตแล้วนี่นา

ฟ่านลูกกลับอยู่ตรงนี้ แล้วเสี่ยวหยิ่งอยู่ไหน?

ความสงสัยเกิดขึ้นพร้อมกัน ในขณะที่ตกใจ เฉินตงกลับกดมันลงไป

เพราะเขารู้ว่า ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาสนใจเรื่องนี้

เขาค่อยๆมองไปที่ชินโกะ โดโมโตะที่อยู่ตรงข้าม ดวงตาสีแดงของเขาเต็มไปด้วยความดุร้าย และสองมือของเขาก็ได้กำใบไผ่ที่อยู่บนพื้นอย่างเต็มแรง

“ไอ้โง่ ยายเมิ่ง! ยายเมิ่งแกกลับรู้จักเขาด้วย!”

ชินโกะ โดโมโตะตกใจรู้สึกตกใจอย่างเห็นได้ชัดกับการสนทนาของเฉินตงกับฟ่านลู่ “แก ทำไมแกไม่ปรากฏตัวแต่เนิ่นๆ? ในเมื่อแกรู้จักเขา แกคงไม่ได้คอยปกป้องเขามาโดยตลอดนะ?”

เขาคาดการไว้ว่านักฆ่ามือพระกาฬสองคนล้อมกันเฉินตง แน่นอน สิ่งที่ดีที่สุดคือตอนที่ยายเมิ่งไม่รู้จะทำยังไงดี เขาจะใช้ความว่องไวที่เร็วดั่งสายฟ้าในการฆ่าเฉินตง และรับเงินรางวัลคนเดียว

แต่ตอนนี้ ยายเมิ่งไม่เพียงแต่ช่วยเฉินตงเอาไว้

แต่ท่าทางเหมือนจะร่วมมือกับเฉินตงเพื่อจัดการกับเขา!

“ไอ้โง่ แกคิดว่าแกเป็นคู่ต่อสู้ของฉันเหรอ? หรือจะพูดว่า แกรู้สึกว่าตอนนี้เขายังมีแรงสู้ สามารถร่วมมือกับแกเพื่อฆ่าฉัน?” ชินโกะ โดโมโตะพูดด้วยน้ำเสียงที่โกรธจัด

แกรก…….

เผชิญกับเสียงคำรามของชินโกะ โดโมโตะ

การตอบสนองของฟ่านลู่คือยกคันธนูขึ้น ตั้งลูกธนูไว้ ดึงธนูจนโค้งเหมือนพระจันทร์ครึ่งดวง

“การปกป้องที่ดีที่สุด ก็คือการปกป้องในที่ลับ หากฉันปรากฏตัวแต่แรก แล้วจะล่อคนชั่วร้ายอย่างแกออกมาได้ยังไง?”

ฉูบ!

ลูกธนูเหมือนสายฟ้า เล็งไปทางชินโกะ โดโมโตะโดยตรง

หายไปในพริบตา

ชินโกะ โดโมโตะสองขาของเขาก็กระโดดอย่างกะทันหัน พุ่งตัวออกไปด้วยความเร็วที่น่าสะพรึงกลัว ราวกับสัตว์ร้ายที่กระหายเลือด วิ่งบุกเข้าไปหาเฉินตงโดยตรง

“ต่อให้เป็นแก ก็ปกป้องเขาไม่ได้ บนอันดับยมราช แกอยู่ข้างล่างฉัน!”

โวง!

ในขณะที่คำราม ดาบซามูไรของ ชินโกะ โดโมโตะก็ถูกชูขึ้นมาทันที และด้วยท่าทางที่บ้าคลั่งและเผด็จการ หัวดาบชี้ไปทางเฉินตงแล้วฟันมันลงมา

“เห่อ!”

ทันใดนั้นมุมปากของเฉินตงก็โค้งงอขึ้น

ภาพนี้เมื่อมาตกอยู่ในสายตาของชินโกะ โดโมโตะ ใจเขาก็สั่นทันที

ในขณะที่ดาบซามูไรจะฟันลงมาที่หัวของเฉินตงนั้น

ชวบๆๆ!

เฉินตงยกมือขึ้นทันที ใบไผ่กำใหญ่ๆถูกปาไปบนหน้าของชินโกะ โดโมโตะ

ใบไผ่ทำให้การมองเห็นของชินโกะ โดโมโตะพร่ามัวไปชั่วขณะ

อาศัยจังหวะนี้ เฉินตงก็กลิ้งลงบนพื้น ร่างกายเคลื่อนไหวเหมือนงู เคลื่อนไหวไปตามร่างกายของชินโกะ โดโมโตะแล้วปีนขึ้นไป ล็อกแขนขาของชินโกะ โดโมโตะ

“ฟ่านลู่ ฆ่ามัน!”

เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน แม้แต่ฟ่านลู่ยังตกใจ

ไม่ว่าจะเป็นเธอ หรือจะเป็นชินโกะ โดโมโตะ

ต่างก็คาดไม่ถึง เฉินตงที่เกือบจะถูกรัดตาย กลับยังสามารถโจมตีตอบโต้กลับแบบนี้

มันเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างมาก

ฟ่านลู่ตั้งธนู ยิงมันออกไป!

ฉูบ!

“อ้า!”

ชินโกะ โดโมโตะเงยหน้าขึ้นแล้วคำราม

เผชิญกับลูกธนูที่ลอยมา กลับไม่หลบไม่หลีก หรี่ตาลง ตามเสียงที่คำราม สองแขนก็ระเบิดออกด้วยแรงที่มหาศาล

ภายใต้โซ่ตรวนที่เฉินตงล็อกเขาเอาไว้ เขายกสองมือขึ้น เหวี่ยงดาบไปหนึ่งที

เทรง!

เกิดประกายไฟบานสะพรั่ง

ลูกธนูที่ลอยมา ถูกขวางแล้วกระเด็นออกไป

แม่ง!

สีหน้าของเฉินตงเปลี่ยนไปอย่างมาก

เกือบจะในเวลาเดียวกัน

ชินโกะ โดโมโตะก็โขกศีรษะไปด้านหลัง ดังขึ้นด้วยเสียง ชนไปที่ใบหน้าของเฉินตง

ทันใดนั้นความเจ็บปวดก็ถาโถมใส่ เฉินตงร้องด้วยความเจ็บ จึงปล่อยชินโกะ โดโมโตะ

เพิ่งจะตกลงบนพื้น เขาเงยหน้าขึ้นก็เห็นดาบซามูไรจะฟันมาที่หัวเขาอีกครั้ง

ฉูบ!

เสียงลมแตก

ลูกธนูที่ยิงเข้าใส่ดาบซามูไร ด้วยกำลังมหาศาล ทำให้ดาบซามูไรเปลี่ยนทิศทางโดยตรง และในขณะเดียวกันก็ทำให้ชินโกะ โดโมโตะ เสียการทรงตัว โดยเดินโซเซไปสองก้าวในแนวขวาง

เฉินตงดีใจมากในทันที เลยอาศัยจังหวะนี้ ทั้งกลิ้งและรีบคลานไปหาที่หลบ

อาการบาดเจ็บบนตัวเขาตอนนี้ สามารถจู่โจมได้อย่างเมื่อกี้ ถือว่าสุดๆแล้ว

ในเวลานี้ ความเจ็บปวดที่แผ่ไปทั่วร่างกาย ทำให้เขาแม้แต่จะลุกขึ้นยังแทบจะทำไม่ได้เลย

แกรก……..

พร้อมกับเสียงที่ตั้งคันธนูและลูกธนู

ลูกธนูของฟ่านลู่เล็งตรงไปยังชินโกะ โดโมโตะ กล่าวอย่างเย็นชา “อันดับยมราชที่ห่างกันแค่สองอันดับ แกรู้สึกว่ามันสามารถกำหนดความเป็นความตายของแกกับฉันได้เหรอ?”

บดสวดไล่ล่าชีวิต ทำให้เฉินตงรู้สึกเย็นกระดูกจนขนลุก

ในขณะนี้ ลำคอของเฉินตงถูกรัดแน่นขึ้น และรู้สึกหายใจไม่ออก

เขาอ้าปากเล็กน้อย พยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆ

เมื่อเห็นเซอร์คัมเฟลกซาของชินโกะ โดโมโตะ ในที่สุดเขาก็รู้สึกตัวแล้ว

ภาพในคืนนี้ มันไม่ใช่การล่อเสือออกจากถ้ำเลย

แต่เป็นตั๊กแตนจับจักจั่นและมีนกขมิ้นอยู่ข้างหลัง! (เสียดสีผู้ที่เอาแต่จะคิดบัญชีกับผู้อื่น โดยลืมไปว่าผู้อื่นก็จ้องจะทำร้ายเขาเช่นกัน)

ชินโกะ โดโมโตะมาถึงนานแล้ว มาเร็วกว่ายายเมิ่งเสียอีก!

เพียงแต่ตอนที่ติดตั้งกับดักครั้งแรก หลังจากที่ถูกคุนหลุนเปิดโปง มันก็ซ่อนตัวอยู่ในที่มืดมาโดยตลอด เหมือนนายพรานที่ซุ่มล่าเสือชีตาห์ เพ่งเล็งเหยื่อของเขาไว้อย่างดี รอโอกาสนี้อย่างเงียบๆ

คุนหลุนเคยพูด ผู้ที่สามารถใช้และทำเซอร์คัมเฟลกซาได้ ล้วนเป็นนักฆ่ามือพระกาฬอย่างแท้จริง

แต่หลังจากกลไกของเซอร์คัมเฟลกซาครั้งที่แล้ว นักฆ่าที่มาในเวลาต่อมา เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ระดับสูงสุด และแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังละเลยต่อจุดนี้

การมาของยายเมิ่ง เห็นได้ชัดสำหรับชินโกะ โดโมโตะนั้น โอกาสได้มาถึงแล้ว!

ชินโกะ โดโมโตะไม่เพียงแต่คิดคำนวณเขาเท่านั้น แต่ยังคิดคำนวณยายเมิ่งที่ล่องหน และในความเงียบสงัดนั้น ให้ยายเมิ่งช่วยเขาปกปิด ทำให้เขาที่เป็นตั๊กแตนกลายเป็นนกขมิ้น ในขณะที่ยายเมิ่งกลายเป็นตั๊กแตนที่จับจักจั่น

การเก็บทุกอย่างไว้ในใจแบบนี้ ช่างน่ากลัวยิ่งนัก!

เฉินตงเปียกโชกไปด้วยเหงื่อโดยที่ไม่รู้ตัว

กลางฝ่ามือก็เต็มไปด้วยเหงื่อ เหนียวเหนอะอย่างมาก

เขาจ้องมองชินโกะ โดโมโตะที่ฝั่งอยู่ตรงข้าม

ความรู้สึกหวาดกลัวนี้ ทำให้เขารู้สึกเหมือนได้กลับไปที่คุกมืด และเผชิญหน้ากับเฉินเต้าจูนลุงของเขา

บอดี้การ์ดเจ็ดคนตายไปหมดแล้ว

สิ่งเดียวที่เขาจะพึ่งพาได้ ก็มีเพียงแต่เซอร์คัมเฟลกซาที่อยู่บนข้อมือของเขาแล้ว

โดยสัญชาตญาณ เฉินตงงอปลายนิ้วขวาเข้ามา และกดกล่องโลหะบนข้อมือของเขา ราวกับว่าแบบนี้แล้ว ถึงจะมีความรู้สึกปลอดภัย

ในเวลาเดียวกัน เฉินตงก็ได้ถอยหลังไปหนึ่งก้าว

“หนีไม่รอดหรอก”

ชินโกะ โดโมโตะหัวเราะอย่างเย็นชา “มีฉัน และยายเมิ่งอยู่ ตอนที่พวกเขามาถึง แก ก็กลายเป็นศพไปแล้ว”

อันดับยมราชลำดับที่ยี่สิบและสิบแปด สองนักฆ่ามือพระกาฬล้อมเขาเอาไว้ โอกาสที่จะหลบหนีเกือบเป็นศูนย์

อีกอย่าง เมื่อดูจากความเร็วของชินโกะ โดโมโตะที่สังหารบอดี้การ์ดทั้งเจ็ดคนในเมื่อกี้ ชินโกะ โดโมโตะเขาใช้เวลาไปน้อยมาก

ไม่ใช่ว่าบอดี้การ์ดทั้งเจ็ดนั้นอ่อนแอ แต่เมื่อเทียบกับคนที่แข็งแกร่งกว่าแล้ว พวกเขากลับกลายเป็นคนอ่อนแอไปโดยธรรมชาติ

ยิ่งไปกว่านั้น ชินโกะ โดโมโตะยังได้คิดวางแผนมาแล้วโดยที่ไม่มีใจเตือนเขาล่วงหน้า

ความโหดร้ายของนินจา แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนบนตัวของชินโกะ โดโมโตะ

ฮู้………..

สายลมยามค่ำคืนพัดมาเบาๆ

พัดจนป่าไผ่แกว่งไปมา และใบไผ่ก็ร่วงหล่นบินว่อนท้องฟ้า

ใบไผ่สองสามใบลอยลงมาตรงหน้าของเฉินตง และบดบังการมองเห็นของเขาไปชั่วครู่

แต่เมื่อการมองเห็นกลับคืนมา หนังหัวของเฉินตงก็ชาจนเกือบจะระเบิดแล้ว

ชินโกะ โดโมโตะ หายตัวไปแล้ว!

ชั่วขณะนั้น เฉินตงตัวเกร็งไปทั้งร่าง หรี่ตาลงจนเหมือนเส้นตะเข็บ ระมัดระวังตัวถึงขีดสุด

ฉูบ!

เสียงลมดังขึ้นมาทันที

“ข้างบน!”

หัวใจของเฉินตงกำลังกระตุกอย่างแรง ความตายที่รุนแรงกลายเป็นคำขู่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกายของเขา

ตามสัญชาตญาณ เขาก้าวขยับไปด้านข้างหนึ่งก้าว หมัดขาวถูกชูขึ้น และชกมันออกไปตรงๆ

ตู๊ม!

ดังขึ้นด้วยเสียงทุ้มหนึ่งที

หมัดขวาให้ความรู้สึกเหมือนกับการชกกระสอบทราย

เงาดำที่อยู่ตรงหน้าเขาบินออกไปในเวลาเดียวกัน และดิ่งลงกับพื้นอย่างมั่นคง

“สัญชาตญาณในการต่อสู้ แข็งแกร่งมาก!”

ดวงตาที่โผล่อยู่ด้านนอกของชินโกะ โดโมโตะเปล่งประกาย

ยังไม่ทันจะสิ้นเสียงพูด

ทันใดนั้นเขาก็หยิบลูกบอลออกมาจากชุดนินจาที่รัดแน่น

“ดำดิน!”

ขว้างไปบนพื้นอย่างเต็มกำลัง ทันใดนั้นควันก็ฟุ้งกระจายไปทั่ว

สีหน้าของเฉินตงเปลี่ยนไปอย่างมาก รีบถอยหลังไปด้านหลัง

ทักษะการต่อสู้ของนินจา ร้ายกาจและโหดเหี้ยมมาก

แม้ว่าจะเป็นการไล่ล่าเพื่อสังหารด้วยการโจมตีครั้งเดียวเหมือนกัน แต่เมื่อเทียบกับทักษะการต่อสู้ส่วนใหญ่ กลับห่างชั้นเชิงกันอย่างมาก

ตอนแรกที่คุนหลุนสอนทักษะการต่อสู้ให้เขา ก็ได้เน้นย้ำถึงจุดนี้

ในเวลานี้เขาตัวคนเดียว เพียงประมาทเล็กน้อย ก็อาจจะมีจุดจบเหมือนกับศพของบอดี้การ์ดเจ็ดคนที่อยู่บนพื้น

แชะแชะแชะ………..

ในขณะเดียวกันที่เฉินตงถอยหลัง พื้นดินที่ถูกปกคลุมด้วยควัน ใบไผ่ที่ร่วงอยู่บนพื้นดินหนาหลายชั้นก็เคลื่อนไหวทันที

มันขยับตามเท้าของเฉินตงมา

“บ้าจริง มีวิชาดำดินจริงๆด้วย?”

ม่านตาของเฉินตงหดเกร็ง จู่ๆดวงตาก็มีกะพริบด้วยแสง

โดยไม่คำนึงถึงใบไผ่ที่เคลื่อนใกล้เข้ามา ไม่ถอยแต่กลับเดินหน้า บุกเข้าไปข้างหน้า ใช้เท้าถีบไปบนใบไผ่อย่างเต็มกำลัง

ตู๊ม!

ใบไผ่ที่เคลื่อนตัวก็ระเบิดทันที กลับมีแต่ความว่างเปล่า

และที่ที่เฉินตงเคยอยู่ก่อนนั้น กลับมีแสงเย็นแวบวาบ

“รู้แล้วเหรอ?”

ชินโกะ โดโมโตะอุทาน หลังจากดิ่งลงพื้น เขาก็กลิ้งตัวออกไป เว้นระยะห่างกับเฉินตง

เฉินตงหยุดอยู่กับที่ แล้วยิ้มอย่างเย็นชา “แกไม่ใช่หนูดำดิน จะเจาะรูได้เร็วอย่างนั้นได้ยังไง มันเป็นเพียงกลอุบายในหลอกล่อเท่านั้น!”

ป่าไผ่แห่งนี้ตอนแรกที่จะเข้ามาอยู่ ก็ถูกกูหลังพาคนมาไถไปหนึ่งรอบ

เป็นไปไม่ได้ที่จะมีพวกอุโมงค์ใต้ดิน

นินจาก็คือคน ต่อให้ชินโกะ โดโมโตะจะเป็นนักฆ่ามือพระกาฬ แต่ก็ยังเป็นคน

เป็นไปไม่ได้ที่คนจะใช้ความเร็วที่รวดเร็วแบบนี้ ขุดอุโมงค์ในพื้นดินที่หนา

“ตาย!”

ความโกรธเปล่งออกมาจากดวงตาของชินโกะ โดโมโตะ

ทันใดนั้น เขาก็ก้มตัวลงอย่างกะทันหัน บนหลังของเขา ลูกดอกคุไนบินมาเป็นแถว ราวกับสายฝนกระหน่ำ พุ่งเข้าใส่เฉินตงอย่างไม่ยั้ง

ฉูบ!

เฉินตงที่มีท่าทีเย็นชา มือขาวของเขาได้สะบัดไปต้นไผ่ที่อยู่ไม่ไกล เซอร์คัมเฟลกซาบนข้อมือก็พุ่งออกมา

หลังจากรัดต้นไผ่ อาศัยเซอร์คัมเฟลกซาในกล่องเหล็กช่วยดึงกระชาก ทำให้ความเร็วของเฉินตงเพิ่มสูงขึ้น และเขาขยับไปด้านข้างโดยตรง

แต่ ยังไม่ทันที่เขาจะซ่อนตัวเสร็จ

เงาดำก็ได้ปรากฏขึ้นบนเส้นทางการเคลื่อนไหวด้านข้างของเขา ตามที่เขาคาดการไว้เลย

ดาบซามูไรที่เย็นเยือก ฟันเข้ามาอย่างอุกอาจ

สีหน้าของเฉินตงเปลี่ยนไปอย่างมาก เขาก็ก้มตัวลงทันที รอดพ้นจากการฟันของดาบซามูไรอย่างหวุดหวิด

บู๊ม!

แขนซ้ายเจ็บปวดขึ้นมาอย่างรุนแรง

เฉินตงส่งเสียงร้องอ้า และเขาก็ลอยออกไปโดยตรง

จากที่อาศัยเซอร์คัมเฟลกซาในการดึงกระชาก หลังจากที่ซ่อนตัวได้ เฉินตงก็เซ คุกเข่าลงพื้นด้วยขาข้างเดียว แขนซ้ายสั่นอย่างรุนแรง

เดิมบาดแผลที่ถูกยิงเกือบจะหายดีแล้ว เวลานี้แผลได้ปริออกมาอีกครั้ง ทำให้มีเลือดไหลออกมา

ชินโกะ โดโมโตะที่อยู่ตรงข้าม กลับยกเท้าขวาและงอเข่า รักษาท่าทางที่เด็ดเดี่ยวเหมือนไก่ทองเอาไว้ มองเฉินตงอย่างเย็นชา

“แกบาดเจ็บอยู่แล้ว แขนข้างหนึ่งไม่สามารถใช้งานได้ ไม่ว่าสัญชาตญาณการต่อสู้จะน่ากลัวแค่ไหน มันก็ไร้ประโยชน์”

“ก็ต้องสู้กันก่อนถึงจะรู้”

เฉินตงยกมือขวาของเขาขึ้น กดลงบนแผลกระสุนปืนที่แขนซ้ายอย่างแรง ยกมือขึ้นช้าๆ และเซอร์คัมเฟลกซาก็ถูกดึงกลับเข้าไปในกล่องโลหะที่อยู่บนข้อมือขวาของเขา

การปะทะฝีมือเมื่อกี้ เป็นเวลาที่สั้นมาก

และตอนนี้สิ่งที่เขาจะทำคือ ไม่ใช่เพื่อเอาชนะชินโกะ โดโมโตะ แต่เพื่อยืดเวลา

ยืดเวลาให้ถึงตอนที่กูหลังพาคนมา!

“แกตายแน่!”

ชินโกะ โดโมโตะจู่ๆก็หัวเราะอย่างชั่วร้าย

แย่แล้ว!

เฉินตงใจสั่น สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก

ไม่รอให้เขาขยับ

ทันใดนั้นรอบๆท้องฟ้าที่มืดมิดก็ดังขึ้นด้วยเสียงหอนที่หนาแน่น

ฉูบ ฉูบ ฉูบ……….

แสงที่เย็นวาบของเซอร์คัมเฟลกซาเข้ามาจากทุกทิศทาง

ทันใดนั้นมารัดอยู่บนร่างของเฉินตง เหมือนกับคมดาบที่บางมาก กรีดเสื้อผ้าของเฉินตงขาดโดยตรง กรีดเข้าไปในเนื้อ

“อ้า!”

เจ็บมาก เฉินตงเงยหน้าร้องด้วยความเจ็บปวด

วินาทีนี้ เขารู้สึกถึงความตายกำลังมาเยือน มันรุนแรงอย่างมาก…..

สายตาที่เปล่งแสงของเฉินตง ก็ได้มองไปที่ประตูด้านขวามือด้วยความตกใจ

ประตูของลานป่าไผ่ เป็นประตูไม้สองบานแบบโบราณ

แต่ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ประตูก็ถูกสลักตัวอักษรไว้หนึ่งบรรทัด

นี่คือเรือนที่พักอาศัยระดับสูงสุดของคลับสี่ยิ่น โดยปกติได้รับการดูแลอย่างพิถีพิถัน เป็นไปไม่ได้เลยที่จะสลักตัวอักษรที่ประตู

และ ในเนื้อหาคือ นักฆ่าอันดับยมราชลำดับที่สิบแปด ชินโกะ โดโมโตะ

เมื่อมองอย่างละเอียด เฉินตงรู้สึกคุ้นเคยกับอักษรบรรทัดนี้

ทันใดนั้น ในสมองของเขาก็ดังขึ้นด้วยเสียงโครม

ยายเมิ่ง!

เมื่อกี้ยายเมิ่งอยู่ข้างนอก สลักตัวอักษรบรรทัดนี้?

“คุณชาย รีบหนีไปกับพวกเรา!”

เห็นเฉินตงที่ตะลึงอยู่ บอดี้การ์ดข้างกายอดไม่ได้ที่จะกระชากเขาไปหนึ่งที

เมื่อเฉินตงรู้สึกตัว ก็วิ่งตามบอดี้การ์ดออกไปข้างนอก วิ่งไปอีกทางหนึ่งของป่าไผ่

แต่ในเวลานี้ สมองของเขาได้ถูกคลื่นยักษ์โหมกระหน่ำไปนานแล้ว อารมณ์กำลังเดือดพล่าน

ชินโกะ โดโมโตะอันดับยมราชลำดับที่สิบแปด มิน่าล่ะพวกกูหลังที่เยอะขนาดนั้นยังขวางเขาไม่อยู่!

นักฆ่ามือพระกาฬระดับนี้ ต่อให้สร้างความคุ้มกันอย่างแน่นหนา ก็ยังคงสามารถเข้ามาได้โดยตรง

ก็เหมือนกับในตอนนั้นคุนหลุนพวกเขาสามคนที่เป็นนักฆ่ามือพระกาฬ ที่ลอบสังหารRothschild

แต่สิ่งที่ทำให้เขาไม่เข้าใจก็คือ ทำไมยายเมิ่งถึงได้จงใจเขียนอักษรบรรทัดนั้นเตือนเขา มีจุดประสงค์อะไร?

ผู้หญิงหยิ่งผยองคนนี้ อยู่ในเวลานี้ยังคงความหยิ่งผยองที่เป็นของเธอโดยเฉพาะอยู่อีกเหรอ?

เพื่อที่จะเตือนฉัน ทำให้ฉันรอดพ้นจากการลอบสังหารของชินโกะ โดโมโตะ แล้วสู้กับเธอเพื่อดูว่าใครจะแน่กว่ากัน?

เฉินตงที่ใจลอย แต่ฝีเท้าของเขากลับเร็วมาก

คิดถึงลูกธนูที่ยายเมิ่งยิงมาเมื่อกี้ จู่ๆเฉินตงเหมือนจะเข้าใจบ้างแล้ว

ใช่แล้ว ธนูนัดเมื่อกี้หากยิงเพื่อจะเอาชีวิตคนจริง หลบยังไงก็หลบไม่พ้น

พอมาคิดดู ธนูนัดนั้นน่าจะมีความหมายมากกว่าการเตือน!

หลังจากที่คิดออก ทันใดนั้นเฉินตงก็รู้สึกตลกเล็กน้อย

ความปลอดภัยของชีวิตตัวเอง กูหลังพาบอดี้การ์ดฝีมือดีหลายสิบคนและยังมีบอดี้การ์ดทั้งหมดของคลับสี่ยิ่นยังคุ้มกันเขาไม่ได้

สุดท้ายกลับต้องมาอาศัยนักฆ่ามือพระกาฬคนหนึ่งที่ต้องการฆ่าเขา มาเตือนเขา?

ซาซาซา………

สายลมยามค่ำคืน พัดจนต้นไผ่ในป่าไผ่แกว่งไปมา ใบไผ่ร่วงลอยเต็มท้องฟ้า

บริเวณโดยรอบเย็นมาก

ฝีเท้าที่เหยียบบนใบไผ่ ยังทำให้เกิดเสียงกรอบแกรบ

เสียงปืนที่ด้านหลัง ค่อยๆเบาลง

“คุณชาย น่าจะจัดการเรียบร้อยแล้ว!”

เมื่อได้ยินเสียงปืนที่เบาลง บอดี้การ์ดข้างกายก็หัวเราะอย่างโล่งใจ

และแล้ว

ฉึก!

ในความมืด จู่ๆ ก็มีแสงเย็นวาบวาบขึ้นมา

เสียงหัวเราะของบอดี้การ์ดที่อยู่ข้างๆหยุดทันที ทันใดนั้นร่างของเขาก็หยุดอยู่กับที่

“ระวังตัว!”

บอดี้การ์ดเจ็ดคนที่เหลือก็เหมือนกับกำลังเผชิญกับศัตรูที่ทรงพลัง ทยอยกันหันกลับมา มาล้อมเฉินตงไว้ตรงกลาง

เฉินตงตกใจจนปากอ้าตาค้าง มองบอดี้การ์ดตรงหน้าอย่างไม่กล้าจะเชื่อ

รอยเลือดสด ไหลออกมาจากปากของเขาอย่างช้าๆ

ตามมาด้วย

เสียงพรึบหนึ่งที บอดี้การ์ดได้ล้มลงไปบนพื้น

ม่านตาของเฉินตงหดเกร็ง หนังหัวชา

เขาเห็น ลูกดอกคุไนของนินจา เสียบอยู่ที่หลังคอของบอดี้การ์ดพอดี ลึกจนสามารถมองเห็นกระดูก!

ภาพที่อยู่ตรงหน้า ทำให้เฉินตงเย็นไปทั้งตัว เหมือนตกลงไปในถ้ำน้ำแข็ง

ลมกลางคืนพัดมา ร่างกายของเฉินตงก็สั่นสะท้านทันที

เขาหรี่ตาลง และกวาดมองไปรอบๆ ด้วยความกลัว

แต่บริเวณโดยรอบ นอกจากเสียงใบไผ่ที่สั่นไหวในสายลม ไม่มีการเคลื่อนไหวอื่นใดเลย

แต่ในเวลานี้ เสียงปืนที่ดังมาจากลานป่าข้างหลัง ก็หยุดลงทันที

อากาศที่เงียบ เสมือนกับมือไร้รูปขนาดใหญ่ได้บีบคอของคนเอาไว้ ทำให้คนหายใจไม่ออก

ในความเงียบ แผ่นหลังของเฉินตงเปียกโชกไปด้วยเหงื่อที่เย็นยะเยือก

และบอดี้การ์ดทั้งเจ็ด แต่ละคนต่างก็ดูตื่นตระหนก และมีเหงื่อออกเต็มหัว

หากไม่ใช่เพราะความเป็นมืออาชีพ เกรงว่าพวกเขาจะรักษาความสงบไว้ได้ยาก

ซาซา……

ใบไผ่บนหัวก็ร่วงลงมาอย่างต่อเนื่อง

เฉินตงเงยหน้าขึ้นอย่างไม่รู้ตัว หรี่ตาลง มองผ่านท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยใบไผ่ เขาเห็นเงามืดที่เลือนราง บินผ่านหัวและท้องฟ้า

“อยู่ด้านบน!” เขาตะโกนอย่างเสียงดังไปหนึ่งที

เกือบในเวลาเดียวกัน เงาดำนั้นได้วาดพาราโบลากลางอากาศ และตกลงไปตรงหน้าทิศทางด้านหน้าที่พวกเขาวิ่งหนี

“ตามฉันมา!”

แรงแห่งการฆ่าได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของบอดี้การ์ดหนึ่งในนั้น ชักปืนออกมา พาบอดี้การ์ดสามคนบุกเข้าไปโดยตรง

บอดี้การ์ดอีกสามคนที่เหลือถอยกลับมาพร้อมกัน ล้อมเฉินตงไว้ตรงกลางอย่างแน่นหนา

“กลับมา!”

เฉินตงตะโกนอย่างเสียงดัง

สำหรับความเก่งกาจของนักฆ่าอันดับยมราช เขาได้เห็นความเก่งเพียงนิดเดียวของคุนหลุนและยายเมิ่ง ก็รู้ถึงความเก่งกาจของมัน

ยิ่งไปกว่านั้น เงาดำตรงหน้า คืออันดับยมราชลำดับที่สิบแปด

แม้ว่าทีมบอดี้การ์ดของพ่อทุกคนจะเก่งการต่อสู้ ทั้งหมดจะเป็นทหารที่เก่งกาจแข็งแกร่ง

แต่เมื่อเทียบกับนักฆ่ามือพระกาฬอย่างอันดับยมราช สุดท้ายก็เทียบไม่ได้

แต่

ป้าง ป้าง ป้าง………

บอดี้การ์ดสี่คนยิงปืนพร้อมกัน

กระสุนพุ่งข้ามท้องฟ้า และตกลงไปบนเงาดำตรงหน้าป่าไผ่ได้อย่างแม่นยำ

“ยิงโดนแล้ว!”

บอดี้การ์ดสี่คนรู้สึกดีใจตื่นเต้นทันที

“เป็นไปไม่ได้ มันไม่ง่ายขนาดนั้น รีบกลับมา!”

หนังหัวของเฉินตงชา ขุนบนร่างกายก็ลุกซู่ขึ้นมา ใช้แรงทั้งหมดในการตะโกน

แต่ในเวลานี้ บอดี้การ์ดที่อยู่ข้างหน้าสุดก็หยุดฝีเท้าทันที ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างมากและอุทานออกมา

“ไม่ใช่คน มันเป็นคนกระดาษ!”

เกือบในเวลาเดียวกัน

เฉินตงก็เห็นร่างสีดำ ดิ่งลงมาจากฟ้า

แสงเยือกเย็นนั้น ขยายออกเป็นวงกว้าง

แสงแทงเข้าที่ตาจนต้องหรี่ตาลง

และได้หายไปในพริบตา

ร่างที่ดิ่งลงมาจากฟากฟ้าโบกดาบยาวในมือของเขา ทำให้เกิดประกายแสงอันเยือกเย็นขึ้น

ดังติดต่อกันสี่ที เสียงที่คมดาบเฉือนผิวเนื้อ

ทั้งหมดนี้ ราวกับว่าขึ้นขึ้นภายในหนึ่งวินาที

ร่างสีดำที่เหมือนภูตผี มันได้แกว่งไกวดาบผ่านบอดี้การ์ดสี่คน คมดาบตั้งอยู่ท่ามกลางบอดี้การ์ดสี่คน

ฉึก!

เกือบจะในเวลาเดียวกัน เลือดสี่สายก็ได้พุ่งออกมาเหมือนน้ำพุ พุ่งออกมาจากคอของบอดี้การ์ดทั้งสี่คน

ตามมาด้วย ทั้งสี่คนก็ล้มลงไปบนพื้นพร้อมกัน

ภาพนี้ มันสะเทือนขวัญอย่างมาก

ใครมันจะไปคิดถึง ว่าภาพเหตุการณ์ในหนัง กลับเกิดขึ้นในชีวิตจริง?

ร่างกายเฉินตงเต็มไปด้วยความหนาวเย็น ดวงตาของเขาหรี่ลงจนเป็นรอยตะเข็บ ฉายความเย็นอย่างไม่รู้จบ

เขารู้สึกได้อย่างชัดเจน บอดี้การ์ดสามคนรอบตัวเขากำลังตัวสั่นพร้อมกัน

ความหวาดกลัว ที่กระโจนออกมานั้น ไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่าเหตุผล ความสงบ หรือความเป็นมืออาชีพจะสามารถปกปิดได้

เหมือนภูตผีปีศาจ เห็นเลือดก็สิ้นใจทันที

ความโหดร้ายแบบนี้ ใครจะไม่กลัว?

เวลานี้

เสียงแหบและงุ่มง่ามเสียงหนึ่ง เปล่งออกมาจากปากของร่างที่ถือดาบ

“ชินโกะ โดโมโตะ ได้โปรดไปตายซะ”

คำพูดประโยคง่ายๆ เผยให้ถึงความเย็นยะเยือกอย่างไม่สิ้นสุด

ในความเผด็จการและมั่นใจ ยิ่งทำให้คนหนังหัวจะระเบิด เหมือนตกลงไปในเหวลึก

เสมือนเสียงสวดไล่ล่าชีวิต

และศพของบอดี้การ์ดสี่คนที่อยู่บนพื้น เป็นสิ่งที่ยืนยันว่าคำพูดประโยคนี้ของเขามีน้ำหนักมากแค่ไหน

“คุณชาย รีบหนีเร็ว!”

ทันใดนั้น บอดี้การ์ดที่อยู่ด้านหน้าจู่ๆก็พูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

อารมณ์ความรู้สึกของเฉินตงเปลี่ยนไปอย่างมาก หัวใจกระตุกด้วยความแรงไปหนึ่งที

ความรู้สึกแบบนี้อีกแล้ว!

ช่างเป็นความรู้สึกที่น่ารำคาญมาก!

“ไป ไปพร้อมกัน ! หนีไปข้างหลัง ยังพอมีโอกาสอยู่!”

เฉินตงพูดอย่างคาใจ

“พวกเราเต็มใจไปตายเพื่อตระกูลเฉิน!”

บอดี้การ์ดทั้งสามคนพูดประโยคนี้พร้อมกัน จากนั้นบุกเข้าไปหาชินโกะ โดโมโตะซึ่งอยู่ไม่ไกลอย่างไม่กลัวความตาย

“กลับมาเดี๋ยวนี้!”

ตาของเฉินตงก็แดงขึ้นมาทันที เดิมอยากจะคว้าตัวบอดี้การ์ดที่อยู่ด้านหน้าสุดคนนั้นเอาไว้

แต่ว่าทั้งสามคนนั้นว่องไวมาก ไม่สามารถที่จะคว้าได้เลย!

ตอนที่พุ่งตัวออกไปนั้น ทั้งสามคนก็ชักปืนออกมาพร้อมกัน

“เห่อ!”

เกือบจะในเวลาเดียวกัน ปากของชินโกะ โดโมโตะก็ได้เปล่งเสียงหัวเราะที่ดูถูกออกมา

ฉูบ ฉูบ ฉูบ………

ในความมืดมิด แสงอันเย็นยะเยือก ที่เหมือนกับแสงเลเซอร์ ไขว้กันปรากฏตรงหน้าบอดี้การ์ดทั้งสามคน

เหมือนกับถูกเฉือนเนื้อยังไงอย่างงั้น บาดแผลเกิดขึ้นบนร่างของบอดี้การ์ดทั้งสามในทันที และเลือดก็กระเซ็นออกมาราวกับฝนตก

“เซอร์คัมเฟลกซา?!”

หัวสมองของเฉินตงดังระเบิดขึ้นด้วยเสียง “โครม” ลูกตาของเขาแทบจะถลนออกมา

กับดักที่ติดตั้งอยู่บนเขาเทียนซานวันนั้น ก็ฝีมือของชินโกะ โดโมโตะ?

เสียงลมพัด มันหายวับไปในพริบตา

บอดี้การ์ดทั้งสามคนหยุดอยู่กับที่พร้อมกัน โดยไม่ได้ยิงปืนแม้แต่นัดเดียว แต่ร่างของพวกเขาได้นองเต็มด้วยเลือดนานแล้ว กลายเป็นชายสามคนที่เปื้อนเลือด แล้วล้มลงกับพื้นพร้อมๆกัน

น้ำเสียงที่เย็นยะเยือก ดังสะท้อนอยู่ในป่าไผ่อีกครั้ง

“ชินโกะ โดโมโตะ ได้โปรดไปตายซะ”

“ไม่ใช่ยายเมิ่ง!”

กูหลังกล่าวด้วยเสียงต่ำ

สีหน้าของเฉินตงกับท่านหลงก็นิ่งไปทันที

อย่างไรก็ตามทั้งสองคนก็อยู่ไม่นาน แล้วลุกขึ้นออกไปจากห้องนอน

ห้องนอนของเฉินตง หันหน้าไปทางหินผาพอดี หากนักฆ่ายืนอยู่บนหินผา จะเป็นตำแหน่งลอบสังหารที่ดีที่สุดโดยที่ไม่ต้องสงสัย

หลังจากนั่งลงในห้องรับแขก

กูหลังก็หันหลังจากไป พาทีมบอดี้การ์ดมุ่งหน้าไปทางหินผาที่อยู่หลังเขา

เฉินตงกับท่านหลงกลับมองหน้ากัน

“ท่านหลง นักฆ่าทั่วไปจะสามารถคิดถึงหินผานี้มั้ย?” เฉินตงขมวดคิ้วถาม

“ในเวลาหนึ่งสัปดาห์ เกิดการลอบสังหารไปสิบแปดครั้ง ไม่ได้เกิดขึ้นที่หินผาเลย”

ท่านหลงส่ายหัว ความอวดดีที่ไม่สามารถอธิบายได้ฉายอยู่ที่แววตาของเขา “ถึงแม้นักฆ่าธรรมดาจะคิดได้ คาดว่าก็คงไม่มีความกล้าที่จะไถลลงจากภูเขาด้านหลังเพื่อไปยังหินผา”

เฉินตงนิ่งและไม่พูด

อันที่จริง หินผาหันหน้ามาทางห้องนอนของเขา ซึ่งแน่นอนว่าเป็นตำแหน่งที่ดีที่สุดในการลอบสังหาร แต่หินหน้าผายังคงอยู่ห่างจากพื้นดินด้านล่างอีกหลายสิบเมตร

มันเป็นพื้นที่ที่อันตรายมาก

หากไม่ใช่นักฆ่ามือพระกาฬ วางทางหนีทีไล่ไว้ในแต่ละรูปแบบ ไม่มีทางที่จะเลือกพื้นที่ตรงนี้

การลอบสังหาร การล่าถอยเป็นเป้าหมายแรก การฆ่าเป็นเพียงเป้าหมายที่สอง

เห็นได้ชัด ว่าตำแหน่งตรงหินผา ไม่ใช่ตำแหน่งในการล่าถอยที่ดีเลย

แต่ คนที่สามารถไปลอบสังหารที่หินผา ต้องไม่ใช่นักฆ่าธรรมดาอย่างแน่นอน

“หรือว่าช่วงนี้ก็มีนักฆ่าอันดับยมราชมาให้ความสนใจเรื่องนี้?” เฉินตงขมวดคิ้วครุ่นคิด

“น่าจะไม่ใช่” ท่านหลงส่ายหัว กระผมได้ให้ความสนใจกับภารกิจการลอบสังหารคุณชายที่ปล่อยออกมาจากดาร์กเว็บขององค์กรhidden killersทุกวัน นอกจากยายเมิ่ง ก็ไม่มีคนอื่นแล้ว นอกเสียจาก………”

พูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงท่านหลงก็ได้หยุดชะงักไปทันที

จนกระทั่งเฉินตงมองไปทางเขา เขาจึงพูดขึ้นมาอย่างช้าๆ “นอกเสียจากว่า ข้อมูลได้ถูกส่งผ่านจากตัวกลางไปให้กับนักฆ่าอันดับยมราช โพลรายชื่อที่อยู่ในหนึ่งร้อยอันดับแรกของนักฆ่าอันดับยมราช ในองค์กรhidden killersที่อยู่บนดาร์กเว็บมีวิธีพิเศษในการตรวจสอบและติดป้ายกำกับไอดีของพวกเขา ดังนั้นเมื่อมีนักฆ่าหนึ่งร้อยอันดับแรกให้ความสนใจมันจะแสดงออกมา เว้นแต่ว่าจะผ่านตัวกลาง”

ในขณะที่เขาทั้งสองกำลังคุยกันอยู่นั้น

ทิศทางที่ไม่ไกลจากหินผา ก็ดังขึ้นด้วยเสียงปืนและเสียงคำรามที่หนาแน่น

เฉินตงกับท่านหลงมองตามเสียงไปพร้อมกัน

กูหลังก็ได้พาทีมบอดี้การ์ดไปสู้กับนักฆ่าคนนั้นแล้ว

“ถ้าอย่างนั้น ผมมีความสงสัยเล็กน้อยว่านักฆ่าคนนี้จะใช้นักฆ่าอันดับยมราชในหนึ่งร้อยคนแรกหรือเปล่า” เฉินตงขยี้จมูกของเขา และยิ้มติดตลก

ภายในหนึ่งสัปดาห์ ภายใต้การรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด การลอบสังหารได้ฆ่านักฆ่าไปครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ค่อยๆเพิ่มความมั่นใจให้กับเฉินตง และเขาก็ไม่วิตกกังวลเหมือนในตอนแรกอีกต่อไป

ป้าง ป้าง ป้าง……….

ระยะไกล เสียงปืนดังอย่างต่อเนื่อง ดุเดือดอย่างมาก

ถึงขนาดได้ยินเสียงกรีดร้องที่เลือนราง

“มีคนบาดเจ็บหรือตายมั้ย?”

เฉินตงคิ้วย่นขึ้นมาแล้ว สีหน้าค่อยๆจมดิ่งลงไป “ในหนึ่งสัปดาห์ ลอบฆ่าไปสิบแปดครั้ง ในที่สุดก็มีคนบาดเจ็บแล้ว”

ตลอดหนึ่งสัปดาห์ มีการลอบสังหารไปสิบแปดครั้ง ประสิทธิภาพการป้องกันการต่อสู้ของทีมบอดี้การ์ดน่าทึ่งมาก ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บจากปฏิบัติการหน้าที่ในสิบแปดครั้งเลย

สิ่งนี้ถึงทำให้เฉินตงเข้าใจอย่างแท้จริงว่าทีมบอดี้การ์ดข้างกายพ่อของเขานั้นแข็งแกร่งเพียงใด

แต่การต่อสู้ที่เขาเทียนซาน เห็นได้ชัดว่าเป็นข้อยกเว้นขอข้อยกเว้น

“คุณชาย ยังไงก็หลบก่อนเถอะ กระผมรู้สึกว่าครั้งนี้มันจะไม่ง่ายขนาดนั้น”

ฟังเสียงปืนที่ดังสนั่นอยู่ด้านนอก ท่านหลงพูดอย่างระมัดระวัง

เฉินตงพยักหน้า

ในขณะที่ทั้งสองลุกขึ้นนั้น

ฉูบ!

เสียงลมแตกก็ดังขึ้นมาทันที

“ท่านหลงระวังด้วย!”

สีหน้าของเฉินตงเปลี่ยนไปอย่างมาก เขาสไลด์ไปข้างหน้าของท่านหลง จับตัวท่านหลงสไลด์ออกไปอีกหนึ่งก้าว

จากหางตาของเขา เขาเห็นลูกธนูลอยทะลุผ่านอากาศเข้าไปมาอย่างชัดเจน

ตูบ!

ลูกธนูได้มาปักอยู่บนกำแพงในห้อง ด้ามธนูกำลังสั่น

มาแล้ว!

ยายเมิ่ง!

ม่านตาของเฉินตงหดเกร็งถึงขีดสุด หนังหัวชาขึ้นมาทันที

“คุณชาย……..” ท่านหลงก็ตระหนกตกใจเช่นกัน

ชั่วขณะของเมื่อกี้ หากไม่ใช่เฉินตงยื่นมือมาช่วย ลูกธนูดอกนี้คงปักอยู่ที่ร่างกายของเขาแล้ว!

“เธอมาแล้ว!”

เฉินตงปล่อยท่านหลงออก พูดด้วยน้ำเสียงที่ต่ำ “ท่านหลง กลับไปที่ห้องของคุณ ปิดประตูแล้วอย่าออกมา เป้าหมายของเธอคือผม คงไม่ลงมือกับคุณโดยไม่มีเหตุผล”

ในคืนนั้นที่ใช้ลูกธนูติดจดหมายมาเตือน ทำให้เขาเข้าใจนิสัยของยายเมิ่งเล็กน้อย

ผู้หญิงคนนี้ อวดดีอย่างมาก!

ขอเพียงท่านหลงอยู่ในห้องโดยที่ไม่ออกมา ยายเมิ่งไม่มีทางทำร้ายท่านหลงอย่างแน่นอน

“คุณชาย กระผม………” สีหน้าของท่านหลงเคร่งขรึม กำลังจะโต้แย้ง

“ผมเป็นนายของคุณ กลับไปที่ห้องซะ!”

น้ำเสียงที่เฉียบขาดของเฉินตง ทำให้คำพูดในปากของท่านหลงถูกกลืนลงไปในท้อง

ชำเลืองมองท่านหลงที่กลับไปห้อง

เฉินตงสงบจิตสงบใจ หรี่ตามอง และจ้องไปที่ลานด้านนอกห้องโถงด้วยสายตาที่เย็นชา

ลูกธนูถูกยิงเข้ามาทางประตูหลัก คนผู้นั้นน่าจะอยู่ตรงทิศทางนั้น

นี่คือ……การล่อเสือออกจากถ้ำเหรอ?

อย่างไรก็ตาม ไฟในลานสลัว และมองเห็นลานภายนอกไม่ค่อยจะชัดเจน

แม้แต่ อุปกรณ์รักษาความปลอดภัยที่ติดตั้งโดยกูหลังและทีมบอดี้การ์ดในสนาม ก็ไม่มีการเตือนตั้งแต่ต้นจนจบ

ด้านนอก เสียงปืนยังคงดังอย่างสนั่น

แต่ในห้อง เงียบจนสามารถได้ยินเสียงเข็มตกลงบนพื้น

ในความล่องหน แรงกดดันอันน่าสยดสยองได้ห่อหุ้มร่างกายของเฉินตงเอาไว้

ทำให้ทางหางตาของเขามีเม็ดเหงื่อหลายออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ค่อยๆหยดลงมา

ทันใดนั้น

ในห้องโถงที่เงียบเหมือนป่าช้า ดังขึ้นด้วยเสียงของกระแสไฟ

เฉินตงที่เกือบจะตึงเครียดก็ตกใจในทันที

พริบตาเดียวเครื่องวิทยุสื่อสารที่วางอยู่โต๊ะก็ถูกเชื่อมต่อ

เกือบจะในเวลาเดียวกัน กระแสไฟฟ้าในเครื่องวิทยุสื่อสารก็หายไป และในขณะเดียวกันก็มีเสียงอุทานของกูหลังดังขึ้น

“คุณเฉิน รีบหลบไป ฝ่ายตรงข้ามแข็งแกร่งมาก!”

โครม!

ร่างกายที่แข็งแรงของเฉินตงสะดุ้งไปหนึ่งที แข็งแกร่งมาก?

แข็งแกร่งแค่ไหน?

ความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าที่มีต่อกูหลังและบอดี้การ์ด ตอนนี้ได้พังทลายลงพร้อมกับเสียงอุทานของกูหลังในตอนนี้

ฝ่ายตรงข้ามมาแค่คนเดียว กลับทำให้กูหลังอุทานอย่างตกใจขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์บนหินผา ได้เกินขอบเขตที่จะสามารถควบคุมแล้ว

ในลาน เสียงฝีเท้าดังขึ้นอย่างหนาแน่น

เฉินตงเห็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในชุดสูทและรองเท้าหนังคนหนึ่งวิ่งเข้ามา

“คุณชาย รีบหลบเร็ว!”

บอดี้การ์ดประมาณสิบคนบุกเข้าไปในห้อง คุ้มกันพาเฉินตงหนีโดยไม่อธิบายอะไรเลย

เฉินตงมองออกไปลานด้านนอกที่มืดสลัวด้วยหัวใจที่สั่น ทีมบอดี้การ์ดไม่รู้ แต่เขารู้ นักฆ่าที่มาตอนนี้ ไม่เพียงมีแต่คนที่อยู่ในหินผา ด้านนอกนี้ ยังมียายเมิ่งที่เป็นเหมือนเสือกำลังรอตะครุบเหยื่ออยู่!

หากพุ่งออกไปแบบนี้ ไม่เท่ากับพาตัวเองไปเป็นเป้าเหรอ ไปตั้งวางตรงหน้ายายเมิ่ง?

ในวิทยุสื่อสารของเจ้าหน้าที่บอดี้การ์ดที่อยู่ด้านข้างเขาดังขึ้นด้วยเสียงที่กำลังโกรธ

“หลบหนี รีบหลบหนี! นักฆ่าที่อยู่ในหินผาได้บุกมาถึงที่ลานป่าไผ่แล้ว!”

แม้ว่ากำลังพูดด้วยความโกรธ แต่ในน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเร่งรีบและหวาดกลัว ยังคงสามารถฟังออก

รอไม่ได้แล้ว!

เฉินตงกัดฟันอย่างแรง คิดถึงท่านหลง ก็รีบกล่าวขึ้น “แบ่งคนครึ่งหนึ่ง ไปคุ้มกันท่านหลง!”

“คุณชาย……..”

“ทำตามที่ฉันสั่ง หรือว่าลืมการต่อสู้ที่เขาเทียนซานแล้ว?”

สีหน้าของเฉินตงดุดันและจริงจัง เขาไม่มีทางที่จะทิ้งคนข้างกายของเขาแม้แต่คนเดียว และก็ไม่มีทางที่จะทำให้คนข้างกายต้องมาตกอยู่ในอันตรายเพราะตัวเขา

ตอนเขาเทียนซานคุนหลุนเป็นแบบนี้ ตอนนี้ท่านหลงก็เหมือนกัน

บอดี้การ์ดสิบกว่าคนรู้ทางเลือกของเฉินตงตอนที่ต่อสู้กันในเขาเทียนซานดี ไม่มีเวลามาพูดมาก ก็รีบแบ่งคนแปดคนบุกเข้าไปในห้องนอนของท่านหลง

ตามติดมาด้วย

บอดี้การ์ดแปดคนที่เหลือคุ้มกันพาเฉินตง บุกออกไปด้านนอก มุ่งหน้าไปทางลาน

สถานการณ์ตึงเครียด การฆ่ากันที่ดุเดือด

วิทยุสื่อสารของบอดี้การ์ดที่ข้างกาย ดังด้วยเสียงของเพื่อนร่วมทีมที่รายงานการเคลื่อนไหวของนักฆ่าอย่างไม่ขาดสาย

สีหน้าของทุกคนเคร่งเครียดอย่างมาก

และแล้ว

ในขณะที่เฉินตงกำลังตามบอดี้การ์ดมาถึงประตูลานป่าไผ่นั้น

เฉินตงที่คอยระมัดระวังยายเมิ่งทุกทิศทาง ทันใดนั้นแววตาก็เปล่งแสง

เขาดูตกใจ ทันใดนั้นก็มองไปมุมมุมหนึ่ง

กลางคืนที่เย็นเหมือนน้ำ

พระจันทร์ก็ถูกเมฆดำบดบังไปเกือบครึ่ง

เมื่อมองผ่านป่าไผ่ จะมองเห็นหินผาที่ยื่นออกมาเลือนราง

แต่ว่าบนนั้นมีอะไร เฉินตงมองเห็นไม่ชัดเจน

“เธอ ยังอยู่ตรงนั้นมั้ย?”

เฉินตงรู้สึกสับสน บ่นพึมพำคนเดียว

การยิงของยายเมิ่งเมื่อกี้ ทั้งๆที่สามารถฆ่าเขาได้ด้วยลูกธนูเพียงนัดเดียว แต่กลับจงใจส่งจดหมายเตือนเขา

มันแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจในความแข็งแกร่งในการลอบสังหารของเธอ

เนื้อหาในจดหมาย เมื่อเปลี่ยนวิธีพูด ก็คือต่อให้หลังเขาของหินผามีการป้องกัน ยายเมิ่งยังคงสามารถฆ่าเขาได้

มีความแตกต่างเพียงอย่างเดียว ก็คือความยากเพิ่มขึ้น!

ราวกับกำลังพูดว่า ป้องกันให้แน่นหนา ถึงจะคู่ควรกับฐานะนักฆ่ามือพระกาฬของเธอ

ลูกธนูที่ยิงมาเมื่อกี้ นับเป็นความปรานีแล้ว

เฉินตงกลับยิ้มไม่ออกมาเลยแม้แต่นิดเดียว ในทางกลับกันกลับมีความรู้สึกขุ่นเคืองมาก

เขาไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เลย ดังนั้นเขาจึงได้เปิดหน้าต่างออก

เพิ่งจะสิ้นเสียงพูด

ฉูบ!

ในความมืด ก็มีเสียงลมแตกบางเบาดังขึ้นมาอีก

ในความเลือนราง เฉินตงสามารถรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างกำลังมาอย่างรวดเร็ว

เพียงแต่ครั้งนี้ เขาไม่ได้หลบ

ตูบ!

เสียงที่บางเบา ลูกธนูถูกตอกไปที่ผนังด้านนอกถัดจากหน้าต่าง และด้ามลูกธนูก็สั่น

และด้านบนยังคงมีจดหมายอยู่

เฉินตงหยิบจดหมายลงมาอย่างสงบใจเย็น

หลังจากเปิดออก มีเพียงตัวอักษรง่ายๆสองตัว

“แน่จริง!”

เขายิ้มเล็กน้อย ในรอยยิ้มแฝงไว้ด้วยความขมขื่นและทำอะไรไม่ได้

ตอนที่เปิดหน้าต่าง เขาก็มั่นใจแล้วว่ายายเมิ่งจะไม่ฆ่าเขาในคืนนี้

ไม่อย่างนั้น จดหมายเตือนเมื่อกี้ ก็จะไร้ความหมาย

มันคือจิตวิทยาของผู้แข็งแกร่ง

ดูถูกเพื่อลดความยากในการโจมตีฆ่ามด

ในทำนองเดียวกัน เฉินตงก็มีจิตวิทยาแบบนี้เช่นกัน ดังนั้นเขาถึงมั่นใจความคิดของยายเมิ่ง

อย่างไรก็ตามครั้งต่อไป อาจจะไม่เป็นแบบนี้แล้ว

เฉินตงส่ายหัว ขยำจดหมายเป็นก้อน โยนออกไปนอกหน้าต่าง แล้วปิดหน้าต่างอีกครั้ง

เงียบมาตลอดทั้งคืน

เมื่อฟ้าสาง

เฉินตงก็ตื่นขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ เรียกหาท่านหลงกับกูหลังแต่เช้า เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน

หลังจากฟังแล้ว สีหน้าของท่านหลงกับกูหลังก็เปลี่ยนไปอย่างมาก

ต้องรู้ว่า ก่อนที่จะเข้ามาพักในคลับสี่ยิ่นนั้น

ระบบความปลอดภัยของคลับสี่ยิ่นได้เพิ่มมาถึงระดับที่สูงที่สุดแล้ว

และในขณะที่กูหลังพาทีมบอดี้การ์ดไปติดตั้งอุปกรณ์รักษาความปลอดภัย เขายังได้กวาดป่าไผ่ไปหนึ่งรอบราวกับไถนา

ถึงจะเป็นแบบนี้ ก็ยังมีช่องโว่?

“ขอโทษด้วยครับ คุณเฉิน บริเวณหลังเขา หินผาสูงชัน ภูเขาที่อันตราย ดังนั้นเมื่อวานตอนที่เข้ามาอยู่ ผมและทีมงานต่างคิดว่าคงไม่มีใครมาจากตรงนั้น แต่กลับคิดไม่ถึง ……..”

ใบหน้าของกูหลังเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและเสียใจ เนื่องจากการละเลยนี้ เมื่อคืนหากไม่ใช่ยายเมิ่งจงใจออมมือ บางทีตอนเช้าที่พวกเขาเปิดประตูเข้ามาสิ่งที่เห็นก็คือศพของเฉินตงแล้ว

“ไม่ต้องโทษตัวเอง อย่าว่าแต่พวกนายเลย ต่อให้เป็นฉันก่อนหน้านี้ก็คิดไม่ถึงว่าตรงนั้นคนก็สามารถไปได้”

เฉินตงโบกมือเพื่อขัดคำพูดของกูหลัง ความชันของภูเขาด้านหลัง มองออกไปแทบไม่มีที่ให้ยืนเลย มีเพียงหินผาที่ยื่นออกมาเท่านั้นที่สามารถยืนบนนั้นได้ แต่ถ้าหากอยากจะปีนจากยอดเขาด้านหลังเพื่อไปบนหินผา เป็นเรื่องที่มีความอันตรายต่อชีวิตอย่างมาก

ไม่โทษพวกนายที่ไม่ระวัง ต้องโทษที่นักฆ่าทุ่มสุดชีวิต!

“กูหลัง ก็รีบพาคนไปสร้างแนวป้องกัน ข้อผิดพลาดและช่องโหว่ที่เกิดจากความประมาทเลินเล่อ จะไม่มีครั้งที่สองเด็ดขาด”

ท่านหลงออกคำสั่งด้วยเสียงขรึม สายตากลับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ราวกับว่ากำลังคิดอะไรอยู่

หลังจากที่กูหลังจากไป

ท่านหลงจึงได้พูดขึ้น “คุณชายสามารถรอดพ้นจากการลอบทำร้ายเมื่อคืน ถือว่าสวรรค์เมตตาแล้ว”

“เธอรู้สึกว่าเมื่อคืนฆ่าผมมันง่ายเกินไป ดังนั้นไม่คุ้มค่าที่จะฆ่าผม เฉินตงยิ้มอย่างขมขื่น “แต่หลังจากที่วางแนวป้องกันภูเขาด้านหลังเสร็จ เธอก็จะฆ่าผมอย่างไม่มีความปรานีแล้ว”

ท่านหลงถอนหายใจอย่างหวาดกลัว “คิดไม่ถึงจริงๆ ยายเมิ่งจะมาได้เร็วขนาดนี้ หากยืดเยื้อต่อไป บางทีอาจจะมีคนที่ต้องการแข่งขันต่อสู้กับมัน”

ม่านตาของเฉินตงค่อยๆหดเกร็ง แล้วก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ

หลังจากคลายออก เขาก็ถามขึ้น “ทางฝั่งพ่อผม ตรวจสอบคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินไปถึงไหนแล้ว?”

ท่านหลงส่ายหัว “ยังไม่รู้เลย แต่ตามที่กระผมติดต่อกับสายสืบที่อยู่ในบ้านบางส่วน ผลจากการสันนิษฐานขั้นแรก เรื่องนี้น่าจะไม่เกี่ยวข้องกับคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน”

“ไม่เกี่ยวข้อง?” เฉินตงตกตะลึง

ท่านหลงพูด “ช่วงนี้คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินอยู่แต่ห้องพระ สวดมนต์ ทานเจนั่งสมาธิ ไม่ได้ติดต่อกับใครเลย คนสนิทข้างกายก็ไม่ได้ไปห้องพระพร้อมกับเธอ เหมือนได้ตัดขาดจากคนทางโลกไปเลย”

เฉินตงขยี้จมูก สายตาลึกๆ “หากไม่ใช่เธอ แล้วจะเป็นใครที่จะสามารถเป็นผู้นำการลอบสังหารนี้ได้?”

“ตระกูลหลี่? ตระกลูฉิน? หรือคุณชายยังมีศัตรูอื่นๆอีก?” ท่านหลงหยั่งเชิญถาม

เฉินตงส่ายหัว “พวกโง่อย่างตระกูลหลี่ทำเรื่องแบบนี้ไม่เป็น ตระกูลฉินยิ่งอยู่ยิ่งถดถอยอีกทั้งยังมีฉินเย่ฉินเสี่ยวเชียนเป็นผู้ควบคุมชะตาชีวิต ตระกูลฉินไม่กล้าทำเช่นนี้ สำหรับศัตรูคนอื่น……..”

เฉินตงมองท่านหลงอย่างตาละห้อย พูดอย่างไม่รู้จะทำยังไง “คุณก็รู้ ผมนั้นดีกับคนอื่นมาโดยตลอด จะเอาศัตรูมากมายมาจากไหน”

ท่านหลงนิ่งไปหลายวินาที ส่ายหัว “เรื่องนี้รอให้นายท่านตรวจสอบชัดเจนแล้วค่อยมาสรุปเถอะ”

……

ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา

เฉินตงอยู่แต่ในลานป่าไผ่ไม่ได้ออกไปไหนแม้แต่ก้าวเดียว

ภายใต้การเฝ้าระวังความปลอดภัยที่เข้มงวด นักฆ่าจะถูกพบเห็นอย่างต่อเนื่อง ด้วยการตอบสนองอย่างรวดเร็วของกูหลังและทีมบอดี้การ์ด ก็ได้กำจัดนักฆ่าที่ยังไม่ทันจะได้ลงมือไปคนแล้วคนเล่า

เวลาสั้นๆเพียงหนึ่งสัปดาห์ ก็เกิดเรื่องลอบสังหารไปถึงสิบแปดครั้ง

ความถี่แบบนี้ รุนแรงมากทีเดียว

อีกอย่าง ตามเวลาที่ผ่าน นักฆ่าที่ปรากฏตัวในแต่ละวันยิ่งอยู่ยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้น

มันเหมือนกับสิ่งที่ท่านหลงคาดการณ์ไว้แต่แรก เรื่องราวที่เกิดขึ้น การลอบสังหารก็ค่อยๆ กลายไปเป็นสู่การไล่ล่าแบบแข่งขัน

ตามเวลาที่ผ่านไป หากไม่จัดการกับคนที่สั่งการภารกิจครั้งนี้ การปรากฏตัวของนักฆ่ามีเพียงแต่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เฉินตงแปลกใจก็คือ

จูเก่อชิงนำพาเครือข่ายข่าวกรองของตระกูลจูเก่อ รวมกับกำลังแรงที่แข็งแกร่งของโจวเย่นชิวและโจวจุนหลง ค้นหาไปทั่วเมือง กลับพบนักฆ่าที่น่าสงสัยหลายคน

แต่ไม่มีร่องรอยของทหารรับจ้างเดดพูลที่หลบหนีไปได้เลย!

ราวกับว่าหลังจากการต่อสู้กันที่เขาเทียนซาน ทหารรับจ้างเดดพูลที่หนีไปได้เกิดความกลัว เลยยอมแพ้เฉินตงไปโดยตรง เหมือนได้หนีไปไกลแสนไกล

กลางดึก

เฉินตงมองดูเอกสารการลอบสังหารในคลับสี่ยิ่นที่รวบรวมมาในหลายวันนี้ ก็ขมวดคิ้วขึ้น สีหน้ามืดมนเหมือนน้ำ

“คุณชาย ดึกแล้ว พักผ่อนเถอะ” ท่านหลงยกน้ำขิงมาหนึ่งถ้วย “ดื่มน้ำขิงหน่อยให้ความกับอุ่นร่างกาย”

“ยังไม่มีข่าวคราวของทหารรับจ้างเดดพูลเลยเหรอ?”

เฉินตงวางเอกสารลง พูดด้วยเสียงขรึม “พวกเขาที่เป็นกลุ่มนักฆ่าที่โหดเหี้ยมอันตรายมากและไม่เอาชีวิตเลย เป็นไปไม่ได้ที่จะยอมแพ้แบบนี้ ตามหาพวกเขาไม่เจอ ใจของผมก็ไม่สามารถที่จะสงบลงมาได้ และความถี่ในการลอบสังหาร แค่เมื่อวานวันเดียว พวกกูหลังก็พบเห็นนักฆ่าสี่คน ฆ่าไปแล้วสามคน หนีรอดไปหนึ่งคน”

ท่านหลงพูดไม่ออก และไม่รู้จะทำยังไงดี

สถานการณ์แบบนี้ ถูกรุกหนักเกินไปแล้ว

แต่นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการจัดการกับการลอบสังหาร นอกจากนี้ ก็ไม่มีหนทางอื่นแล้ว

พอดีในเวลานี้

ประตูห้องถูกผลักออกอีกครั้ง

กูหลังที่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่รีบร้อน พูดอย่างระมัดระวัง

“คุณชาย เห็นคนที่หลังเขาแล้ว กล้องวงจรปิดจับภาพได้แล้ว ขอให้คุณชายกับท่านหลงออกไปจากห้องนี้!”

เฉินตงกับท่านหลงสบตากันแวบหนึ่ง

ยายเมิ่ง……..มาอีกแล้วเหรอ?

ยายเมิ่ง

ในตำนานโบราณ มีหน้าที่รับผิดชอบเฝ้าดูเเลสะพานหน้ายเหอของนรก

เห็นได้ชัดว่ามันเป็นไปไม่ได้ ที่คนนอกพื้นที่ จะสามารถใช้มันเป็นรหัส

เป็นเช่นนั้นจริงๆ

ท่านหลงพยักหน้า “เป็นคนในพื้นที่ และเป็นผู้หญิง แต่ลึกลับอย่างมาก นายท่านได้ใช้หน่อยข่าวกรองของตระกูลเฉินไปสืบ ในเวลาเดียวกันก็ได้เชื่อมโยงไปยังตระกูลจางตระกูลฉู่ทั้งสองตระกูลในเมืองหลวง แต่ข้อมูลของตระกูลฉินกับตระกูลจูเก่อในซีสู่ ล้วนตรวจสอบไม่ได้เลย”

เฉินตงไม่แปลกใจเลย

ในดาร์กเว็บเต็มไปด้วยเลือดและความมืด

มีนักฆ่าจำนวนนับไม่ถ้วนในองค์กรhidden killers และมีอันดับยมราชนับร้อยคน คนเหล่านี้คือมือสังหารที่เปื้อนเลือดในดาร์กเว็บ

แต่เมื่อกลับสู่ชีวิตปกติ สุดท้ายก็จะปรากฏตัวในฐานะคนธรรมดา

คาดว่าก็คงมีไม่กี่คนที่จะยอมบอกในที่สาธารณะ ว่าตัวเองนั้นเป็นนักฆ่าที่มือเปื้อนไปด้วยเลือดหรอกมั้ง?

“คุณว่า เธอจะมาหาผมมั้ย?”

เมื่อเฉินตงคิดย้อนกลับไปในใจยังคงมีความกลัวอยู่เลย อันดับยมราชเป็นรายชื่อหนึ่งร้อยอันดับแรกขององค์กรhidden killersคนที่สามารถฆ่านักฆ่าอันดับยมราชได้ต้องเป็นนักฆ่ามือพระกาฬจริงๆ

จากความสามารถของคุนหลุน ก็พอจะดูอะไรออกบ้าง

ยิ่งไปกว่านั้น อันดับของยายเมิ่งคนนี้ อยู่ในอันดับที่ยี่สิบ สูงกว่าคุนหลุนสองขั้น!

ตอนนี้คุนหลุนยังนอนอยู่ในโรงพยาบาล เฉินตงนั้นไม่มีความมั่นใจเลย

ไม่ ต่อให้คุนหลุนจะอยู่ข้างกายเขา เขาก็ไม่มีความมั่นใจเพียงพอ

“น่าจะมา” ท่านหลงที่มีสีหน้าที่หนักใจ ไม่ได้เลือกที่จะปลอบหรือให้กำลังใจเฉินตงในเรื่องนี้ ถึงขนาดได้นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วพูดต่อ “บางที เบื้องหลังยังมีอันดับยมราชอีกมากปรากฏตัวออกมาอีก ยิ่งยืดเวลานาน ก็จะยิ่งมากขึ้น นี่ถือเป็นการแข่งขันและท้าทายชนิดหนึ่ง”

“แข่งขันฆ่าคน?”

เฉินตงเข้าใจทันที มันก็เหมือนกับการสอบ ตราบใดที่เขายังมีชีวิตอยู่ เหล่านักฆ่าที่ล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า ในทางกลับกันมันจะไปกระตุ้นนักฆ่าที่มีใจอยากจะชนะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

และจะมีนักฆ่าหนึ่งร้อยอันดับแรกตามมาอีก ยิ่งอยู่ก็ยิ่งจะมากขึ้น

มีเพียงคนที่ทำข้อสอบได้จริงๆ ถึงจะสามารถโอ้อวดกับนักฆ่าคนอื่นๆที่ทำข้อสอบไม่ได้อย่างภาคภูมิใจ

หลังจากที่เข้าใจแล้ว เฉินตงยิ้มอย่างขมขื่น ถูคางไปครู่นึ่ง กล่าวด้วยสายตาที่ลึกๆ “ท่านหลง ผมรู้สึกเหมือนว่าตัวเองนั้นถูกผูกอยู่ในเงื่อนตาย มันค่อยๆรัดผมให้ตายอย่างช้าๆ”

“คุณชายทำใจให้สบาย มันต้องมีโอกาสพลิกสถานการณ์อย่างแน่นอน”

แม้ท่านหลงจะปลอบให้กำลังใจ แต่สีหน้าที่เศร้าและมืดมน กลับได้แสดงความรู้สึกของตัวเองออกมาอย่างชัดเจน

เฉินตงบิดขี้เกียจ “อืม ดึกแล้ว ท่านหลงไปพักผ่อนเถอะ ผมก็จะกลับไปนอนแล้ว”

กลับมาถึงที่ห้องนอน

เฉินตงไม่ได้นอนลงไปทันที แต่ได้หยิบโทรศัพท์ออกมา ค้นหาเบอร์ของกู้ชิงหยิ่ง

ลังเลไปครู่หนึ่ง แล้วเขาก็ได้เปิดไปที่หน้าวีแชทของกู้ชิงหยิ่ง แต่แล้ว…………ก็ยังคงลังเล

ตอนนี้ สิ่งเดียวที่เขาคิดว่าจะสามารถปลอบใจตัวเองได้ ก็มีเพียงแต่ภรรยาของตัวเองแล้ว

แต่เขาหลอกให้กู้ชิงหยิ่งจากไป ก็เพราะไม่อยากให้เธอเข้ามาเกี่ยวข้องกับวังวนนี้

หากเวลานี้ติดต่อกับเธอ ไม่เท่ากับเปิดเผยด้วยตัวเอง?

คิดไปสักพักใหญ่

เฉินตงส่ายหัว “ช่างเถอะ หากยัยโง่รู้เรื่องสถานการณ์ในตอนนี้ ต้องกลับอยู่เป็นเพื่อนฉันอย่างแน่นอน ตอนนี้ฉันติดต่อเธอ ก็เท่ากับร้ายเธอ”

ขณะที่กำลังจะวางโทรศัพท์ ข้อความในวีแชทก็ดังขึ้นมาทันที

เมื่อหยิบขึ้นมาดู เฉินตงตะลึงไปทันที

ข้อความ เป็นกู้ชิงหยิ่งที่ส่งมา

เนื้อหากะทัดรัด

“ที่รัก ฉันกับพี่เสี่ยวลู่ถึงแล้ว”

ในขณะที่เฉินตงกำลังเหม่อลอยอยู่ กู้ชิงหยิ่งก็ได้ส่งข้อความมาอีก

“เรื่องของคุณจัดการไปถึงไหนแล้ว? เป็นเรื่องเล็กจริงๆเหรอ? ห้ามโกหกฉันนะ! ไม่เช่นนั้นฉันจะทุบคุณ! (อิโมจิหน้าดุ)”

เฉินตงเห็นข้อความและรูปอิโมจิ เฉินตงถึงขนาดจินตนาการภาพที่กู้ชิงหยิ่งทำหน้าดุ

ความอบอุ่นเกิดขึ้นในใจอย่างเงียบๆ

ดูเหมือนว่าความกังวลในใจก็หายไปไม่น้อย

เขาตอบกลับอย่างรวดเร็ว “กำลังจัดการอยู่น่ะ วางใจเถอะ เรื่องเล็กจริงๆ ผมได้สาบานไปแล้วไม่ใช่เหรอ จะหลอกคุณได้ยังไง?”

ในไม่ช้า กู้ชิงหยิ่งก็ตอบข้อความกลับ

“อืม เชื่อคุณนะ คุณก็จัดการธุระดีๆล่ะ ฉันไม่รบกวนคุณแล้ว อย่าลืมคิดถึงฉันนะ ตอนนี้ฉันรู้สึกคิดถึงคุณแล้ว(อิโมจิรูปหัวใจ)ราตรีสวัสดิ์”

เฉินตงอดไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้นมา “ราตรีสวัสดิ์”

วางโทรศัพท์ลง เขาพิงอยู่บนเก้าอี้ สองมือหนุนอยู่ตรงท้ายทอย

การสนทนาเพียงไม่กี่ประโยค กลับทำให้เขาผ่อนคลายไปมาก

มีคำปลอบใจและกำลังใจของภรรยา ไม่ว่าเรื่องจะใหญ่แค่ไหนมันก็เป็นเรื่องเล็ก

หลังจากหาวไปหนึ่งที เฉินตงก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องน้ำเพื่ออาบน้ำ จากนั้นก็จะมานอนหลับพักผ่อน

แต่ในขณะที่เขาลุกขึ้นนั้น

ลมเย็นได้พัดเข้ามาในห้องนอน

ตอนนี้ก็เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ลมในเวลาสี่ทุ่มกว่า เต็มไปด้วยความหนาวเย็น

เฉินตงหันหลังเพื่อจะไปปิดหน้าต่าง แต่ในขณะที่เขาเดินเข้าไปตรงหน้าต่าง

ฉูบ!

ทันใดนั้นเสียงลมแตกที่แสบหูก็ดังขึ้น

เฉินตงมีสีหน้าที่หนักใจ หนังหัวชาในพริบตา ให้ความรู้สึกถึงความอันตรายที่รุนแรง

ด้วยสัญชาตญาณ เขาขยับร่างกาย ไปพิงอยู่กำแพงที่ใกล้กับหน้าต่าง

ในเวลาเดียวกัน ลูกธนูที่ส่องแสงเย็นยะเยือกราวกับสายฟ้า เฉียดผ่านไปต่อหน้าต่อตาเขา ไปกระทบกับผนังหน้าต่างโดยตรง!

แรงและหนัก ถึงขั้นเกิดเสียง “ตูบ!” ดังขึ้นมาหนึ่งที ขนของลูกธนูสั่นอย่างรุนแรง

เพียงนิดเดียว!

สีหน้าท่าทางของเฉินตงเปลี่ยนไปอย่างมาก

หัวใจเต้นเร็ว ราวกับว่าหัวใจเกือบจะหลุดออกมาด้านนอก

กำลังจะตะโกนเรียกบอดี้การ์ด ทันใดนั้น สายตาของเขาเหลือบเห็นลูกธนูที่สั่นอยู่บนกำแพงเสียบจดหมายไว้หนึ่งแผ่น

เห็นตัวหนังสือที่อยู่ข้างบนอย่างเลือนราง

สีหน้าของเฉินตงจริงจังมาก ทันใดนั้นก็หันไป ปิดหน้าต่างอย่างรวดเร็ว

จากนั้นก็กลิ้งลงไปบนพื้น ไปถึงด้านใต้ลูกธนู ยื่นมือขึ้นไป ทันใดนั้น “เซอร์คัมเฟลกซา” ก็พุ่งออกมาจากกล่องโลหะที่ผูกติดไว้กับข้อมือได้พันลูกธนูไว้อย่างแน่นๆ

ใช้แรงในการกระชาก ลูกธนูก็หล่นลงมาในมือตัวเอง

ดึงจดหมายที่อยู่บนลูกธนูลงมา เฉินตงเปิดออกมาดู ทันใดนั้นก็โกรธจนลูกตาแทบจะกระเด็นออกมา

ความหนาวเย็นที่น่ากลัว พริบตาเดียวจากฝ่าเท้าขึ้นมาที่หัวทันที ราวกับห้อยอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง

ตัวอักษรบนจดหมายมีความสวยงาม แต่กลับแฝงไปด้วยความเฉียบขาด

สิ่งที่รู้สึกแปลกมาก ความสวยงามกับความเฉียบขาดที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่กลับมารวมอยู่ด้วยกัน

แต่ในเนื้อหากลับเขียนว่า

“แท่นหินขนาดใหญ่หลังป่าไผ่ ไม่ได้ป้องกัน? ฆ่าแกง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ อนุญาตให้แกป้องกันตัวได้ ! คราวหน้าค่อยฆ่าแก!”

ผู้ลงนาม ยายเมิ่ง!

เมื่อเห็นชื่อคนลงนาม สมองของเฉินตงก็ระเบิดขึ้นด้วยเสียงโครมคราม

มาเร็วขนาดนี้เลย?

แล้วมองดูตัวอักษรที่อยู่บนจดหมายทีละตัว เขาถึงขนาดสามารถรับรู้ได้ถึงความเย้ยหยันและความดูถูก

ลูกธนูนัดเมื่อกี้

ยายเมิ่งสามารถฆ่าเขาด้วยการโจมตีอย่างลับๆได้เลย!

ในทางตรงกันข้าม ยายเมิ่งกลับไม่ฆ่าเขา แต่ใช้ลูกธนูกับจดหมายในการเตือนเขา!

นี่มันไม่ใช่ความหวังดีของยายเมิ่ง แต่มันคือการเหยียบหยามที่คิดว่าตัวเองสูงส่ง และมั่นใจความสามารถในการฆ่าของตัวเอง

เธอรู้สึกว่าการฆ่าฉัน เป็นเรื่องที่สบายมาก!

เฉินตงหัวใจเย็นวาบ ขนลุกซู่ขึ้นมาทั้งตัว

ในความงุนงง เขานึกถึงที่ตั้งของลานป่าไผ่

ตัวคลับสี่ยิ่นก็สร้างขึ้นมาโดยใกล้ภูเขาและลำธาร ลานป่าไผ่นี้เป็นลานป่าไผ่ที่พิเศษ เงียบสงบ

แต่ด้านหลัง กลับเป็นหินผาแห่งหนึ่ง และมีโขดหินยื่นออกไปทั้งสองข้าง แสดงถึงแนวการล้อมรอบ ได้ล้อมป่าไผ่และคลับสี่เย่นไว้ด้านใน

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ดวงตาของเฉินตงก็เปล่งแสง และเขามองไปทางหน้าต่างที่ถูกปิดแน่น ในทิศทางนั้น มีหินผายื่นออกไปอยู่พอดี

เวลานี้ ยายเมิ่งอาจจะยืนอยู่บนหินผา ใช้สายตาแบบที่มองคนตาย มองมาทางนี้?

สูดลมหายใจเข้าลึกๆ จู่ๆ เฉินตงก็มีความกล้าหาญอย่างแปลกประหลาดเกิดขึ้น

เขาลุกขึ้น เดินไปตรงหน้าต่าง เปิดหน้าต่างออกหน้าไม่ลังเล………..

การเปลี่ยนแปลงใหม่ ?

จิตใจของเฉินตงดำดิ่งลงสู่ก้นบึ้งในทันที

ท่าทีของท่าหลง แสดงออกอย่างชัดเจนว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องดีนัก

เฉินตงพยายามสงบสติอารมณ์เอาไว้ แล้วถามว่า : “การเปลี่ยนแปลงอะไร ?”

ท่านหลงอยู่ในท่าทีหวาดกลัว เขาหายใจหอบ พลางหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา แล้วยื่นให้เฉินตงด้วยมือขวาที่มีอาการสั่นเล็กน้อย

ภาพที่ปรากฏยังคงเหมือนครั้งที่แล้ว

เนื้อหาของเครือข่ายมืดที่ระบุเอาไว้อย่างชัดเจนเป็นข้อๆ

เฉินตงขมวดคิ้วแล้วมองหาประกาศเกี่ยวกับการลอบสังหารตนเองขององค์กรhidden killers

เมื่อเห็น คิ้วก็ขมวดแน่นขึ้นทันที

ในเนื้อหา ปรากฏรูปเคียวเพิ่มขึ้นมา ซึ่งเป็นแบบเดียวกับที่ยมราชถือเอาไว้

“เคียวนี่หมายความว่าอย่างไร ?” เฉินตงขมวดคิ้วถาม

แววตาของท่านหลงเผยความหวาดกลัวออกมา : “นี่เป็นเคียวของยมราช หมายถึงต้องการเอาชีวิต อีกทั้งหากมีเคียวของยมราชปรากฏขึ้นในการประกาศภารกิจขององค์กรhidden killers นั้นหมายความว่า มีนักฆ่าระดับแนวหน้าที่อยู่ในอันดับยมราชให้ความสนใจ หนึ่งเคียวแทนนักฆ่าระดับแนวหน้าที่อยู่ในอันดับยมราชหนึ่งคน”

เฉินตงรู้สึกตกใจสุดขีด

เขาเข้าใจได้ในทันทีว่าทำไมท่านหลงถึงมีท่าทีที่สงบในทุกๆ ครั้งที่ตื่นตกใจ

มีนักฆ่าระดับแนวหน้าให้ความสนใจ นั่นอาจหมายความได้ว่าอาจจะมีนักฆ่าระดับแนวหน้าบางคนที่เข้าร่วมแล้ว ?

พันล้านดอลลาร์ !

แม้กระทั่งทหารรับจ้างเดดพูลก็ยังดึงดูดมาได้ เสี่ยงอันตรายเพราะเข้าตาจนจริงๆ

แล้วนักฆ่าระดับแนวหน้าจะไม่สนใจได้อย่างไร ?

ทันใดนั้น เฉินตงก็รู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมา และรู้สึกชาไปทั้งตัว

เขาขมวดคิ้วแน่นจนเป็นรอยย่น แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า : “ท่านหลง อันดับยมราชนี่คืออะไร ?”

“เป็นรายชื่อนักฆ่าทั้งหมดจากทั่วทุกมุมโลก จากการตัดสินร่วมกันขององค์กรhidden killers จึงได้จัดทำตารางรายชื่อของบรรดานักฆ่าระดับแนวหน้าขึ้นมา ซึ่งมีทั้งหมดหนึ่งร้อยรายชื่อ”

น้ำเสียงของท่านหลงสั่นเครือเล็กน้อย : “คนที่จะได้รับเลือกเข้ามาอยู่ในอันดับยมราช จะต้องเป็นนักฆ่าระดับพระกาฬ และสามารถจัดการได้เช่นเดียวกับยมราชที่มาเอาชีวิตของคน”

เฉินตงไม่พูดไม่จา

จู่ๆ เขาก็คิดขึ้นได้ว่าคุนหลุนเองก็เคยเป็นนักฆ่า เคยรับภารกิจลอบสังหารมาก่อน

เขาจึงถามว่า : “คุนหลุนอยู่ในอันดับยมราชด้วยไหม ?”

“เคยอยู่ แต่หลังจากที่คุนหลุนติดตามนายท่านแล้ว ก็ปกปิดชื่อและนามสกุล ทำให้ไม่มีรายชื่อของเขาจัดเรียงอยู่ในตารางอันดับยมราชอีกต่อไป”

“เช่นนั้น ตอนที่คุนหลุนสังหาร Rothschild ผู้นั้น เขาถูกจัดอันดับอยู่ที่เท่าไหร่ในอันดับยมราชเหรอ?”

ท่านหลงครุ่นคิด นึกทบทวนความจำอยู่สักครู่ จากนั้นจึงค่อยๆ พูดขึ้นว่า : “อันดับที่ 23 ส่วนอีกสองคนอยู่ในอันดับที่ 58 และ 31”

“ฮะ !”

ท่าทางของเฉินตงเคร่งขรึมลงทันที เขารู้สึกตกใจจนแทบกลั้นหายใจ

นักฆ่ามือพระกาฬทั้งสามคนที่อยู่ในอันดับยมทูตซึ่งเป็นคนสังหาร Rothschild คุนหลุนถือว่าเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาทั้งสามคน

และในขณะที่ตกตะลึงอยู่นั้น เฉินตงก็รู้สึกได้ว่ามีเหงื่อกาฬไหลอยู่ที่บริเวณแผ่นหลัง

ความสามารถของคุนหลุนเขารู้ดี แต่ก็ยังถูกจัดอยู่เพียงอันดับที่ 23 ถ้าเช่นนั้น คนที่อยู่เหนือขึ้นไปในอันดับยมทูต จะแข็งแกร่งขนาดไหน ?

และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ตระกูลของ Rothschild ก็เป็นตระกูลมั่งคั่งระดับต้นๆ ที่มีประวัติมายาวนานเช่นกัน

จากคำบอกเล่าของคุนหลุนและท่านหลง เฉินตงก็พอจะเดาได้ว่า ตอนนั้นเพื่อที่จะปกป้องคนในตระกูลคนนั้น Rothschild ไม่ลังเลที่จะใช้ทั้งเงินและอำนาจ เมื่อเทียบกับระดับการรักษาความปลอดภัยของเขาในตอนนี้ คาดว่ายังห่างไกลกันลิบลับนัก

ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่พวกของคุนหลุนก็ยังคงฝ่าเข้าไป จนสามารถฆ่าเขาได้สำเร็จ

ถ้าหากครั้งนี้คนที่ให้ความสนใจกับภารกิจลอบสังหาร เป็นนักฆ่าระดับพระกาฬในอันดับยมราชล่ะ ?

นักฆ่าที่อยู่ในอันดับที่เหนือกว่าอันดับที่ 23 ของคุนหลุน หากลงมือจริงๆ แล้วละก็……

จู่ๆ เฉินตงก็รู้สึกหวาดกลัวราวกับถูกสัตว์ร้ายโบราณดักเอาไว้

หากสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกตามล่า

ถ้าเช่นนั้นตอนนี้ ความหวาดกลัวเช่นนี้ก็คงปะทุขึ้นอย่างไม่รู้จบแล้ว

สัตว์ร้ายในสมัยโบราณ ย่อมน่ากลัวกว่าฝูงไฮยีน่าหลายเท่า !

“สามารถค้นหาออกมาได้ไหมว่าอันดับยมทูตที่ให้ความสนใจกับภารกิจคือใคร ? หรืออยู่ในอันดับที่เท่าไหร่ ?” เฉินตงถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

รู้เขารู้เรา ถึงจะเอาชนะได้

ถ้าหากรู้เพียงแค่ว่ามีอันดับยมราชให้ความสนใจกับภารกิจ นั่นไม่เท่ากับว่าเป็นการนั่งรอยมราชถือเคียวออกมาจากที่มืดหรอกหรือ

“ข่าวนี้ นายท่านเพิ่งจะบอกผมเมื่อครู่ เขากำลังสืบหาอยู่”

ท่านหลงพูดว่า : “เรื่องนี้นายท่านสามารถสืบหาได้ไม่ยาก แต่ต้องใช้เวลาสักหน่อย คงจะได้ผลลัพธ์ออกมาในไม่ช้า”

เฉินตงเลิกคิ้ว : “ทำไมถึงไม่พูดกับฉันโดยตรง ?”

ท่านหลงพูดขึ้นอย่างหดหู่ : “นายท่านเกรงว่าจะยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้กับคุณชาย ดังนั้นจึงให้กระผมเป็นคนบอกต่อน่าจะดีกว่า”

ดีกว่า ?

จู่ๆ เฉินตงก็รู้สึกขำขึ้นมา

สำหรับเขาแล้ว ไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย

สูดหายใจเข้าเต็มปอดหนึ่งครั้ง

สีหน้าที่หวาดกลัวของเฉินตงหายไปทันที กลายเป็นความเงียบสงบ ราวกับบ่อน้ำที่ไม่มีคลื่น

“กินข้าวกันเถอะ”

ท่านหลงผงะไปทันที เขารู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก

ทำไมสภาพจิตใจของคุณชาย จึงแปลเปลี่ยนเป็นความสงบได้ถึงขนาดนี้ ?

ท่านหลงรู้สึกว่า เขาสามารถฝึกฝนการควบคุมตนเองได้ดีในระดับหนึ่งแล้ว แต่ทว่าหลังจากที่รู้ข่าวนี้ เขายังไม่อาจควบคุมสติเอาไว้ได้

และทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่ต้องใช้เวลาในการขัดเกลาออกมา

คุณชายซึ่งเป็นเป้าหมายในการลอบสังหารในครั้งนี้ เพิ่งจะอายุไม่เท่าไหร่ แต่กลับมีอารมณ์เช่นนี้ ?

เมื่อเห็นท่านหลงชะงักไป เฉินตงก็ยักไหล่ แล้วยิ้มออกมาอย่างเบิกบาน : “ท่านหลงเลิกยืนอึ้งได้แล้ว ให้กูหลังมาเสิร์ฟอาหาร ฉันหิวแล้ว”

เมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเฉินตง ท่านหลงก็ถามด้วยความประหลาดใจ : “คุณชาย คุณชายยังยิ้มออกอีกหรือครับ ?”

“ไม่ยิ้มแล้วจะให้ทำอะไร ?”

เฉินตงแสร้งทำเป็นผ่อนคลาย : “อย่างไรเสียฉันเองก็ไม่มีวิธีอื่นอยู่ดี”

ท่านหลง : “……”

เมื่อเห็นท่านหลงพยักหน้าแล้วเดินจากไป รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉินตงก็ค่อยๆ จางหาย

กลับเปลี่ยนเป็นความเดียวดายและอ้างว้างเข้ามาแทนที่

เขาไร้ซึ่งหนทาง

ตั้งแต่วินาทีที่ตระกูลหลี่เริ่มประกาศภารกิจในองค์กรhidden killers จากดาร์กเว็บ สถานการณ์ทุกอย่างก็อยู่เหนือการควบคุมของเขา

ลักษณะพิเศษในการรับภารกิจขององค์กรhidden killers ทำให้เขาตกเป็นเป้าสาธารณะ ทำเหมือนกับว่าจะใช้วิธีไหนก็ได้ตามใจเลย!

ไม่ว่าจะเป็นนักฆ่าธรรมดาๆ หรือเป็นนักฆ่าระดับพระกาฬในอันดับยมราช หรือแม้กระทั่งการมีอยู่ของทหารรับจ้างเดดพูล

ขอเพียงแค่ท้ายที่สุดแล้วใครสามารถฆ่าเฉินตงได้ เขาคนนั้นก็คือคนที่ทำภารกิจสำเร็จ

กฎเกณฑ์ที่เปิดกว้างเช่นนี้ ทำให้เฉินตงทำอะไรไม่ถูกจริงๆ

อาหารเย็นถูกเสิร์ฟขึ้นบนโต๊ะอย่างรวดเร็ว

กับข้าวสามอย่าง และน้ำแกงอีกหนึ่งอย่าง ทั้งสีสันและกลิ่นหอมชวนรับประทาน

อีกทั้งยังต้องผ่านการตรวจสอบซ้ำแล้วซ้ำเล่าจึงจะสามารถเสิร์ฟขึ้นบนโต๊ะได้

ทว่าเฉินตงกลับกินอย่างไร้รสชาติ แต่เพื่อดูแลรักษาสภาวะอารมณ์ของท่านหลงและกูหลัง เขาจึงฝืนใจกินข้าวไปถ้วยใหญ่

เฉินตงรู้ดีว่า เขาคือเสาหลัก

ตอนนี้ใครจะวุ่นวายก็ได้ แต่ตัวเขาห้ามวุ่นวาย

หากเขาวุ่นวาย ทั้งทีมก็จะพลอยโกลาหลตามไปด้วย !

หลังจากมื้ออาหาร กูหลังเก็บกวาดถ้วยชามจนเรียบร้อย

มีสายโทรศัพท์โทรเข้ามาในมือถือของท่านหลง

“นายท่านโทรมาครับ น่าจะมีความคืบหน้า” ท่านหลงหันไปพูดกับเฉินตง จากนั้นจึงรับสายโทรศัพท์

เฉินตงจ้องมองท่านหลงอยู่ตลอดเวลา

เพียงแต่ หลังจากนั้นไม่กี่วินาที สีหน้าของท่านหลงก็หมองหม่นลงอย่างเห็นได้ชัด ถึงขั้นเผยอาการหวาดกลัวออกมา

นั่นมัน……เป็นความหวาดกลัวราบกับเห็นผี !

สภาพจิตใจของเฉินตงจมดิ่งลง ตอนนี้ เกิดความรู้สึกหดหู่และเหนื่อยล้าขึ้นมา

“เฉินตง แกมันเป็นเทพเจ้าแห่งเคราะห์ร้ายจริงๆ”

เขาหัวเราะเยาะตัวเอง มือทั้งสองข้างประสานอยู่ที่ท้ายทอย เงยหน้าขึ้นมองเพดาน แล้วบ่นพึมพำว่า : “สองวันมานี้ มีข่าวร้ายเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่มีที่เลวร้ายที่สุด มีแต่เลวร้ายยิ่งขึ้น”

ท่านหลงวางสายโทรศัพท์

ใบหน้ายังคงเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

เขาหันมองเฉินตงอย่างหดหู่

ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น ริมฝีปากของเขาก็ขยับ และในที่สุดคำพูดที่ติดอยู่ในลำคอก็โพล่งออกมา

“คุณชาย สืบรู้แน่ชัดแล้วครับ เป็นอับดับยมราชลำดับที่ 20 มีนามแฝงว่า ยายเมิ่ง”

เปรี้ยง !

เฉินตงรู้สึกตกตะลึงอย่างมาก

คุนหลุนอยู่เพียงแค่อันดับที่ 23 ส่วนคนนี้อยู่ในอันดับที่ 20 !

“ฉัน เฉินตง มีดีอะไร ถึงได้ให้เกียรติฉันขนาดนี้ !”

เฉินตงยิ้มออกมาอย่างโดดเดี๋ยว เขาเลิกคิ้วแล้วเหลือบมองท่านหลง : “ยายเมิ่ง ? นี่คือคนที่อยู่ในประเทศของเราใช่ไหม ?”

คลับสี่ยิ่น

ด้วยการจัดการของท่านหลง คลับสี่ยิ่นถูกยกระดับความปลอดภัยถึงขั้นสูงสุด

มาตรการรักษาความปลอดภัยทั้งหมดถูกเปิดใช้งาน

รถลาดตระเวนขับวนเวียนอยู่โดยรอบคลับสี่ยิ่น เพื่อคอยคุ้มกัน

พนักงานบริการภายในคลับ ถูกลดจำนวนน้อยลงไปมาก เหลือแต่เพียงพนักงานบริการที่สามารถดูแลเรื่องความเป็นอยู่ให้เฉินตงได้เท่านั้น

ส่วนในลานป่าไผ่ ก็กลายเป็นที่ได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนาที่สุด

หลังจากกูหลังมาถึง ก็พาทีมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเข้าไปถางลานป่าไผ่ในทันที จากนั้นจึงติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันภัยจำนวนมาก

ภารกิจการรักษาความปลอดภัยด้านนอก มอบให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยภายในคลับสี่ยิ่น

แต่ภายในลานป่าไผ่ ได้ใช้คนของตนเองทั้งหมด ตามคำขอของท่านหลง

มีการป้องกันเป็นชั้นๆ

จิตใจที่รู้สึกวิตกกังวลของเฉินตงเริ่มสงบลง

หลังจากนอนลงบนเตียง ในที่สุดก็รู้สึกง่วงอย่างหนัก

ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่เห็นการปรากฏตัวของท่านเมิ่งเลย เขาเองก็ไม่ได้สนใจ เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก การที่ท่านเมิ่งกุมอำนาจเอาไว้แต่ไม่ปรากฏตัวถือเป็นการดีที่สุด

อีกทั้งเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนั้นขึ้นที่เขตวิลล่าเขาเทียนซานเมื่อคืน ทำให้ท่านเมิ่งต้องแสดงตัวเพื่อจัดการกับเรื่องนี้

ไม่ช้า เฉินตงก็หลับไป

การหลับครั้งนี้ ถือเป็นการหลับที่สนิทเป็นอย่างมาก

เมื่อเขาลืมตาขึ้น ท้องฟ้าด้านนอกก็มืดลงแล้ว

เฉินตงอาบน้ำอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเดินออกจากห้องนอนไป เขาเห็นท่านหลงกำลังนั่งนิ่งอยู่ในห้องโถง และกำลังจิบชาอยู่

เมื่อเห็นเฉินตง ท่านหลงก็รีบลุกขึ้น : “คุณชาย คุณยังบาดเจ็บอยู่ ควรจะนอนพักนิ่งๆอยู่ในห้องจะเป็นการดีที่สุด”

เฉินตงหันมองบาดแผลบนแขนข้างซ้าย แล้วยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ : “ไม่เป็นอะไรมากหรอก”

ท่านหลงเองก็ไม่คิดโต้เถียงให้มากความ เขาประคองเฉินตงนั่งลง แล้วค่อยๆ พูดขึ้น

“การรักษาความปลอดภัยบริเวณโดยรอบลานป่าไผ่ มีคนของเราเข้าประจำการเอาไว้หมดแล้ว แต่อย่างไรเสียท่านหลงก็เป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมืออาชีพ ดังนั้นกระผมจึงให้เขาเป็นหัวหน้าของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งหมด ดังนั้นเรื่องเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยทั้งหมด จะปล่อยให้ทีมรักษาความปลอดภัยบริหารจัดการกันเอง”

“ทางด้านเขาเทียนซานกระผมจัดการเอาไว้จนเกือบสมบูรณ์แล้ว ยังดีที่พื้นที่ของเขตวิลล่าเขาเทียนซานนั้นค่อนข้างคดเคี้ยว จึงสามารถจัดการได้ไม่ยากนัก”

“ส่วนทางด้านคุนหลุน กระผมได้จัดส่งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจำนวนสี่นายไปคุ้มกันเขาเรียบร้อยแล้ว”

เขากล่าวรายงานทีละเรื่องๆ

เฉินตงเองก็ไม่ได้โต้แย้งแม้แต่น้อย

การจัดการเช่นนี้ของท่านหลง ถือว่าเหมาะสมที่สุด

สามารถติดตามพ่ออยู่หลายปี และได้กลายเป็นคนรับใช้คนสนิทของพ่อ ความสามารถของท่านหลงนั้น ได้รับการพิสูจน์แล้ว

เฉินตงลูบจมูกแล้วมองท่านหลงด้วยแววตาที่ลึกซึ้ง

“พ่อกำลังตรวจสอบคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินแล้วหรือยัง ?”

“หลังจากรายงานท่านเจ้าบ้าน ท่านเจ้าบ้านก็รีบลงมือตรวจสอบทันทีครับ”

ท่านหลงพยักหน้า : “แต่ยังคงต้องรออีกสักพัก ทางด้านหนึ่งเจ้าบ้านก็กำลังหาวิธีการที่จะยกเลิกภารกิจการลอบสังหารขององค์กรhidden killers ส่วนอีกด้านหนึ่งก็ต้องตามสืบคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน นี่ถือว่าต้องแยกร่างในการทำงานแล้ว”

“อืม ฉันรู้ดี ในสถานการณ์เช่นนี้ มีเพียงพ่อคนเดียวเท่านั้นที่จะสามารถทำทั้งสองเรื่องนี้ได้”

ใบหน้าของเฉินตงเต็มไปด้วยความจนใจ ไม่ว่าจะเป็นภารกิจลอบสังหารขององค์กรhidden killersก็ดี หรือว่าการสืบเรื่องคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินก็ดี ทั้งสองเรื่องนี้ หากเปลี่ยนให้คนอื่นมาจัดการแทนก็ไม่มีทางทำได้สำเร็จ

มีเพียงพ่อซึ่งกุมอำนาจในฐานะของเจ้าบ้านตระกูลเฉินเอาไว้เท่านั้น ที่จะมีสิทธิ์ทำทั้งสองเรื่องนี้ได้

เงียบไปครู่หนึ่ง

จู่ๆ ท่านหลงก็พูดขึ้นมาว่า : “คุณชาย ฉินเย่บอกว่าอยากจะกลับมา รวมไปถึงตระกูลจูเก่อแห่งซีสู่เอง ก็อยากที่จะมาคุ้มกันคุณ เป็นความคิดของฉินเย่ เขาจึงให้ผมมาถามความเห็นของคุณก่อน”

“ไม่ต้องมา”

เฉินตงส่ายหัว : “บรรดานักฆ่าที่ต้องการลอบฆ่าฉันล้วนอยู่ในที่มืด หากไม่ถึงเวลาที่จะลงมือฆ่า ก็ไม่มีใครสามารถสังเกตเห็นได้ทั้งนั้น หากคนที่อยู่รอบข้างฉันมีมากเกินไป ก็จะยิ่งทำให้เกิดความวุ่นวายมากขึ้น”

จากนั้น เขาก็กลอกตา

และจู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นมา : “แต่ว่า ในเมื่อฉินเย่และตระกูลจูเก่อมีน้ำใจ ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้”

ช่วยเหลือ ? !

ท่านหลงตกใจอยู่ครู่หนึ่ง

อันที่จริงแล้ว ตอนที่เขาได้รับข่าวจากฉินเย่ ก็มีความคิดเช่นเดียวกับเฉินตง

เมื่อพิจารณาถึงความสัมพันธ์ระหว่างเฉินตงและฉินเย่ จึงได้เอ่ยถามออกมา

ส่วนเรื่องช่วยเหลือ ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ สามารถช่วยเหลืออะไรได้ ?

ตอนที่องค์กรhidden killersประกาศภารกิจลอบสังหาร แม้แต่นายท่านเองก็นังรู้สึกปวดหัว

ถึงแม้ตระกูลจูเก่อจะขยายอำนาจและขึ้นแท่นเศรษฐีอันดับหนึ่งของซีสู่แทน ในขณะที่ตระกูลฉินกำลังตกที่นั่งลำบาก

แต่ทว่าเศรษฐีอันดับหนึ่ง ก็ยังไม่น่าจะเกี่ยวพันถึงการให้ความช่วยเหลือได้ !

เฉินตงยิ้ม : “ให้ตระกูลจูเก่อส่งคนมา แล้วให้ความร่วมมือกับโจวเย่นชิวและโจวจุนหลงในการตรวจสอบเมืองทั้งเมือง แล้วรายงานมาให้ฉันรับรู้อย่างชัดเจนเกี่ยวกับคนที่เข้ามาในเมืองนี้ ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ที่ผ่านมานี้”

“นี่……”

ท่านหลงรู้สึกตะลึง จนกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว : “คุณชาย งานนี้ดูเหมือนจะไม่อาจสำเร็จได้”

“ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำ” เฉินตงผายมือออกแล้วพูดต่อว่า : “ส่วนอีกด้านหนึ่งให้ฉินเย่และตระกูลจางตระกูลฉู่แห่งเมืองหลวง ร่วมกันตรวจสอบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต หากมีภารกิจเกี่ยวกับการลอบสังหารฉันปรากฏขึ้น ให้รีบติดตามแหล่งที่มาทันที”

เกิดความหวาดกลัวขึ้นในแววตาของท่านหลง

เขามองเฉินตงอย่างไม่อยากเชื่อ ริมฝีปากของเขาขยับและพูดว่า : “คุณชาย ที่คุณคิดที่จะ……โต้กลับเหรอ?”

ตอนที่พูดออกมา แม้แต่ตัวท่านหลงเองก็ยังรู้สึกเหลือเชื่อ

ไม่เคยมีใครคิดวิธีเช่นนี้จัดการกับการประกาศภารกิจลอบสังหารขององค์กรhidden killersมาก่อน

ใครๆ ก็รู้ดีว่าองค์กรhidden killers จากดาร์กเว็บนั้นแข็งแกร่ง เมื่อได้รับภารกิจสอบสังหาร ก็จะคิดหาวิธีในการเอาชีวิตรอด คิดหาวิธีในการยกเลิกภารกิจ รวมไปถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจากผลกระทบด้านนอก

แต่ตอนนี้ การวางแผนทั้งสองอย่างของเฉินตง

ทำให้ท่านหลงรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายของความบ้าระห่ำ

นี่เห็นได้ชัดว่าเป็นการสวนกระแส สลับแขกเป็นเจ้าบ้าน!

เฉินตงยิ้มออกมาโดยไม่พูดอะไรสักคำ จากนั้นจึงโบกมือ : “ไปจัดการเถอะ ฉันไม่อยากให้โชคชะตาของตัวเองขึ้นอยู่กับการจัดการในมือของคนอื่น ตั้งแต่เล็กจนโต ฉันเคยชินกับการต่อสู้อย่าสุดชีวิตแล้ว !”

“แม้ผลลัพธ์ของสิ่งนี้จะเล็กน้อยมากก็ตาม แต่ก็ยังคงยืนยันคำเดิมว่า ยังดีกว่าไม่ทำอะไร เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงชีวิตของฉัน ฉันคงจะปล่อยให้พ่อต้องแบกรับทุกอย่างเอาไว้ และต่อสู้เพียงลำพังไม่ได้ จริงไหม ?”

“ได้ครับ กระผมจะรีบไปดำเนินการเดี๋ยวนี้” ท่านหลงลุกขึ้นแล้วเดินจากไป

ภายในห้องโถง แสงไฟสีเหลืองนวลส่องสว่าง และมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของไม้จันทน์

แววตาของเฉินตงลึกซึ้ง เหมือนกำลังมีความคิดอะไรบางอย่าง และบ่นพึมพำออกมา : “ถ้าหากภารกิจลอบสังหาร แพร่กระจายมาจากเครือข่ายมืดจริง ถ้าเช่นนั้น บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต จะต้องมีการทิ้งเบาะแสเอาไว้อย่างแน่นอน ฉันต้องรู้ให้ได้ว่าใครเป็นคนจงใจชี้นำกันแน่ ?”

เฉินตงเช็ดหน้า ทำให้เขารู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาไม่น้อย

หลังจากนอนหลับสนิทมาทั้งวัน ทำให้พลังกายของเขาฟื้นฟูกลับขึ้นมา และในขณะเดียวกันก็ทำให้เขาสงบลง และได้จัดการกับความคิดบางอย่าง

หากยังคงยืนหยัดอยู่ที่นี่ต่อไป ก็จะสามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้

แต่หลังจากนี้ล่ะ ?

การรอไม่ใช่นิสัยของเขา

แทนที่จะนั่งรอความตาย หวังว่าพ่อจะสามารถแก้ไขปัญหาทุกอย่างให้ได้ ไม่สู้ลงมือทำอะไรสักอย่าง

ตรวจสอบทุกคนที่เข้ามาเมืองนี้ เป็นเรื่องที่ไม่สามารถทำได้จริง แต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย อย่างน้อยก็น่าจะพบเบาะแสของนักฆ่าจำนวนหนึ่งบ้าง

เฉินตงไม่ได้คาดหวังว่าจะได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจมากนัก

สิ่งที่เขาสนใจจริงๆ ก็คือ สามารถสืบหาตัวคนที่ชี้นำให้เกิดภารกิจลอบฆ่าขึ้นในอินเทอร์เน็ตได้

ในความคิดเห็นของเขา การควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้ เป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าการหาทางยกเลิกภารกิจลอบสังหารขององค์กรhidden killers จากดาร์กเว็บเสียอีก

ขณะที่กำลังคิด เฉินตงก็หยิบกระเป๋าสตางค์ออกมา แล้วเปิดดู

ภายในกระเป๋าสตางค์ บรรจุรูปแต่งงานของเขากับกู้ชิงหยิ่งเอาไว้

เขาใช้นิ้วค่อยๆ ลูบลงไปที่รูปภาพเบาๆ จากนั้นเฉินตงจึงยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความแน่วแน่อย่างหาที่เปรียบไม่ได้ : “ยัยโง่ ผมจะต้องไม่เป็นอะไรแน่นอน !”

เสียงท้องร้องด้วยความหิวโหย

เฉินตงตบท้อง แล้วลุกขึ้นเดินออกไปด้านนอกลาน

เขาเรียกให้กูหลังเตรียมอาหารเย็น

แต่ในขณะที่กำลังรออาหารเย็นขึ้นเสิร์ฟบนโต๊ะอยู่นั้น ท่านหลงกลับวิ่งเข้ามาด้วยท่าทีหวาดกลัว

“คุณชาย เกิดเรื่องใหญ่แล้วครับ ! การประกาศภารกิจขององค์กรhidden killers จากดาร์กเว็บ มีการเปลี่ยนแปลงใหม่แล้ว !”

เปรี้ยง !

เฉินตงรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า เขาหันมองเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ร้องไห้ด้วยความโศกเศร้า จิตใจของเขาก็จมดิ่งลงสู่ก้นบึ้งในทันที

ทุกอย่างหมุนเคว้งคว้าง ราวกับว่าวิญญาณหลุดออกจากร่าง

ทันใดนั้น ดวงตาของเขาก็เอ่อล้นไปด้วยน้ำตา

ท่านหลงเองก็ตัวสั่น ริมฝีปากของเขาขยับมือทั้งสองข้างที่วางอยู่บนหัวเข่าก็เริ่มสั่นเบาๆ

“ในที่สุด ก็กลับขึ้นสวรรค์แล้วอย่างนั้นเหรอ?”

เฉินตงกล่าวออกมาอย่าโศกเศร้า หยดน้ำตาใสๆ ค่อยๆ ไหลรินออกมาจากหางตาทั้งสองข้าง

มีภาพเหตุการณ์ระหว่างเขาและคุนหลุนปรากฏขึ้นมาในหัวอย่างไม่ขาดสาย

ตั้งแต่เล็กจนโต เขายืนหยัดด้วยตัวคนเดียวมาโดยตลอด พยายามทุกอย่างด้วยตัวคนเดียว ไม่มีคนคอยช่วยเหลือ ไม่มีคนคอยประคับประคอง ข้างกายก็มีเพียงผู้เป็นแม่ที่คอยรักและห่วงใยเขา

ตอนที่เขาเดินก้าวออกจากความมืดเพื่อมาอยู่ในที่สว่าง ก็ได้พบกับคุนหลุน

ถึงแม้คุนหลุนจะมาเพื่อปกป้องเขาตามคำสั่งของพ่อ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับคุนหลุนนั้นกลับเป็นทั้งครูและเพื่อน

นั่นเป็นความรู้สึกที่เฉินตงยากเกินจะเข้าใจ

เป็นเพราะเขาเคยอยู่ในที่มืดมาก่อน ดังนั้นเขาจึงเห็นคุณค่าของความสัมพันธ์ที่เป็นทั้งอาจารย์และเป็นทั้งเพื่อนระหว่างเขาและคุนหลุนอย่างมาก

แต่ทว่าตอนนี้……

ตอนนี้เอง มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอีกรายหนึ่งปรากฏตัวขึ้นที่หน้าห้องพักผู้ป่วย

เป็นชายวัยกลางคนที่คุกเข่าอยู่แถวหน้าสุด และพูดกับเฉินตงคนนั้น

ตุ้บ !

เมื่อชายวัยกลางคนปรากฏตัวขึ้น แล้วเห็นสีหน้าอาการของเฉินตงและท่านหลง ก็รู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาทันที เขาเตะเข้าไปที่ก้นของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอีกคน

“เจ้าทึ่มนี่ มาที่นี่เพื่อแจ้งข่าวร้ายกับคุณชายและท่านหลงใช่ไหม ?”

หลังจากก่นด่าไปหนึ่งประโยค ชายวัยกลางคนก็ยกมือขึ้นคำนับแล้วพูดว่า : “คุณชาย ท่านหลง หัวหน้าพ้นขีดอันตรายแล้ว ไม่มีอาการอะไรร้ายแรงแล้วครับ”

อะไรนะ ? !

เฉินตงและท่านหลงผงะไปพร้อมกัน

ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ

จากนั้น ทั้งสองคนก็หันไปมองเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนที่วิ่งมาถึงก่อนโดยพร้อมเพรียงกัน

หลังจากถูกเตะไปหนึ่งครั้ง ใบหน้าของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็แสดงอาการเขินอายออกมา จากนั้นจึงเกาหัวแล้วพูดว่า : “ผม ผมก็แค่กลัวว่าคุณชายกับท่านหลงจะรอจนร้อนใจ”

“รนจนร้อนใจแม่มึงดิ!”

ชายวัยกลางคนหันไปจ้องเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตาเขม็ง จากนั้นจึงยิ้มแหยออกมา : “หมอนี่ยังเด็กเลยใจร้อน เมื่อครู่พอเห็นไฟดับลง ก็รีบวิ่งร้องห่มร้องไห้ออกมา ผมรอให้พี่คุนหลุนถูกเข็นออกมาก่อน จึงได้ถามอาการของพี่คุนหลุนจากหมอให้รู้แน่ชัด จากนั้นถึงได้ตามมา ทำให้คุณชายกับท่านหลงต้องตกใจแล้ว”

เฉินตง : “……”

เขายกมือขึ้นมาเช็ดใบหน้าและน้ำตาที่ไหลออกมาจากหางตาจนหมดสิ้น

ท้ายที่สุดแล้วคือ……การเศร้าใจอย่างผิดคน

ส่วนท่านหลงกลับสูดหายใจเข้าเต็มปอดหนึ่งครั้ง สีหน้าของเขาจริงจังขึ้นมาทันที และพูดอย่างเคร่งขรึมว่า : “เตะอีกสองครั้ง !”

ชายวัยกลางคนหันไปดึงหูของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย จากนั้นจึงเตะก้นไปพลาง ลากออกไปด้านนอกพลาง

เฉินตงกับคุนหลุนหันมองหน้ากัน และทั้งคู่ก็หัวเราะออกมาอย่างโล่งใจ

“ตกใจแทบตาย” เฉินตงถอนหายใจออกมา

“กระผมเองก็ตกใจไม่น้อย” ท่านหลงนึกขำตัวเอง

เฉินตงโบกมือ : “ท่านหลง นายไปดูคุนหลุนเถอะ ฉันไม่เป็นอะไรมาก”

“ครับ”

ท่านหลงลุกขึ้น แล้วขมวดคิ้ว : “จริงสิคุณชาย กูหลังล่ะครับ ?”

“ฉันให้เขาจัดการเรื่องทุกอย่างในไท่ติ่งให้เรียบร้อยเสียก่อนแล้วค่อยมา”

เฉินตงโบกมือ เมื่อคิดถึงการต่อสู้ที่เขาเทียนซานเมื่อคืนนี้ ในใจยังหลงเหลือความรู้สึกกลัวอยู่ จึงพูดว่า : “ยังดีที่เขาไม่มาเสียก่อน ไม่เช่นนั้น ในสถานการณ์ตอนนั้น ฉันเองก็คงไม่รู้ว่าจะช่วยใครดี”

“โชคดีจริงๆ”

ท่านหลงพูดเป็นนัย จากนั้นจึงหันหลังเดินออกไปเพื่อไปหาคุนหลุน

เฉินตงรู้ดีว่าฝีมือของกูหลังนั้นไม่เลว แต่เมื่อเทียบกับคุนหลุนและคนของทีมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยแล้ว ยังด้อยกว่าเล็กน้อย

อีกทั้ง การต่อสู้เมื่อคืน ก็ใช่ว่ามีฝีมือดีแล้วจะสามารถรับมือได้

เมื่ออยู่ต่อหน้ากระบอกปืน ทุกคนเท่าเทียมกัน

ยิ่งไปกว่านั้น ทหารรับจ้างเดดพูลยังติดอาวุธร้ายแรงอีกด้วย

เฉินตงลูบจมูกแล้วค่อยๆ นอนลงบนเตียง แต่ก็ยังคงนอนไม่หลับ

การต่อสู้ครั้งนี้ ทำให้เขารับรู้ได้ถึงความกลัวอยู่ลึกๆ

การลอบสังหาร กลายเป็นการโจมตีอย่างเต็มกำลังของทหารรับจ้าง

แล้วหลังจากนี้ ยังจะมีทหารรับจ้างทีมอื่นเข้ามาอีกหรือไม่ ?

สิ่งที่ทำให้เขากังวลมากที่สุดก็คือ ทหารรับจ้างเดดพูลไม่ได้เสียชีวิตไปทั้งหมด ยังมีอีกประมาณสิบกว่าคนที่หนีรอดไปได้

มีเงินเป็นแรงจูงใจอยู่ บวกกับการที่ต้องสูญเสียกำลังคนไป

การที่ทหารรับจ้างเดดพูลที่หนีไปได้จะย้อนกลับมาอีกครั้ง แทบจะเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นอีกอย่างแน่นอน

พวกมือสังหารกระหายเลือดพวกนี้ ไม่มีทางที่จะยอมแพ้ง่ายๆ เพียงเพราะการต่อสู้ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้แน่นอน

แล้วครั้งต่อไปที่พวกเขาจะปรากฏตัวขึ้น คือเมื่อไหร่กัน ? แล้วจะปรากฏตัวออกมาด้วยวิธีแบบไหน ?

แววตาของเฉินตงลึกซึ้ง และถอนหายใจออกมาอย่างหดหู่

“นับวันจะยิ่งซับซ้อนมากขึ้นแล้ว ลงไปด้านล่างก็เจอชาวนาเก่าในทุ่ง ขึ้นไปข้างบนก็เจอทีมทหารรับจ้าง ภารกิจสอบสังหารขององค์กรhidden killersในครั้งนี้ ไม่ธรรมดาจริงๆ ไม่แน่ว่าตอนนี้คนที่จะสามารถส่งเสียงหัวเราะออกมาได้ คงมีแต่พวกโง่อย่างตระกูลหลี่เท่านั้น ?

ข่าวสารขององค์กรhidden killers จากดาร์กเว็บเขารู้น้อยมาก

แต่หากเขาคิดจะสืบหาก็สามารถสืบหาออกมาได้ องค์การนักฆ่านองเลือดที่หลบซ่อนตัวอยู่ในเครือข่ายมืดเช่นนี้ ไม่มีทางที่จะทำอะไรอย่างเปิดเผยโจ่งแจ้งแน่นอน

แต่การมอบหมายภารกิจลอบสังหารในครั้งนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่ปกติ

ที่พอจะเป็นไปได้มากที่สุดก็คือ มีคนจงใจที่จะชี้นำ

เปลี่ยนการลอบสังหารธรรมดาๆ ให้กลายเป็น “งานรื่นเริง” ที่บ้าระห่ำ

ความคิดที่ซับซ้อน เป็นเหมือนกับเส้นด้ายที่กระจุกรวมกันอยู่อย่างยุ่งเหยิง จนไม่สามารถหาต้นสายปลายเหตุได้

เมื่อความเจ็บปวดค่อยๆ ทุเลาลง ความอ่อนล้าถาโถมเข้ามา บวกกับความสบายใจที่คุนหลุนพ้นขีดอันตราย ทำให้ความรู้สึกง่วงค่อยๆ คืบคลานเข้ามา

เฉินตงหลับตาลงโดยไม่รู้ตัว

แต่การหลับในครั้งนี้ กลับไม่ได้หลับอย่างสนิท ในฝันยังคงปรากฏฉากโศกนาฏกรรมที่เขาเทียนซานขึ้นมาไม่หยุด

อีกทั้ง เฉินตงถูกท่านหลงปลุกให้ตื่นขึ้นอย่างรวดเร็ว

“คุณชาย ตอนนี้ควรย้ายที่อยู่แล้ว โรงพยาบาลไม่ใช่ที่ที่ปลอดภัยนัก” ท่านหลงพูดอย่างเคร่งขรึม : “ส่วนคุนหลุน กระผมได้ไปเยี่ยมมาแล้ว เขายังคงมีสติครบถ้วน เพียงแต่ยังไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้สักพัก”

“การที่พวกเราไปจากโรงพยาบาล จะยิ่งเป็นการดีต่อการพักฟื้นของคุนหลุน”

“ไปกันเถอะ”

เฉินตงพยักหน้า

การลอบสังหารทั้งหมดพุ่งเป้ามาที่เขา

หากเขาอยู่ในโรงพยาบาล ไม่เพียงแค่เฉพาะกับคุนหลุนเท่านั้น แต่จะทำให้คนทั้งโรงพยาบาลต้องตกอยู่ในอันตรายไปด้วย

ออกจากโรงพยาบาล ถือเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด

ด้วยการจัดการของท่านหลง “รถหุ้มเกราะ”จำนวนสองสามคันที่ถูกดัดแปลงมาเป็นพิเศษให้กันกระสุน ได้ขับมาจอดยังประตูของตึกใหญ่โรงพยาบาล เป็นรถRolls-Royce Cullinan สองสามคัน

เฉินตงขึ้นรถโดยมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหลายสิบคนคอยคุ้มกัน

จากนั้น รถก็สตาร์ท

“ไปคลับสี่ยิ่นใช่ไหม ?”

เฉินตงนั่งอยู่ในรถโดยไม่กล้าแม้แต่จะพักผ่อน และเอ่ยถามขึ้น

“ใช่ครับ ตอนนี้ในเมืองนี้ คลับสี่ยิ่นน่าจะเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดแล้ว แต่เป็นที่เดียวที่ทำให้ทหารรับจ้างเดดพูลเกรงกลัวได้” ท่านหลงพยักหน้า

“อย่างนั้นก็ดี ต้องรบกวนลุงเมิ่งแล้ว” เฉินตงยิ้มแหย

ท่านหลงส่ายหัว : “เรื่องนี้กระผมได้พูดคุยกับเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขาไม่มีปัญหาอะไร อีกทั้งยังจะช่วยเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับไม่ให้พวกของคุณหญิงน้อยรู้อีกด้วย”

“เช่นนี้ยิ่งดี”

เฉินตงถอนหายใจ เขามองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเป็นนัย

เป็นเพราะกระจกได้รับการดัดแปลง ทำให้ทัศนียภาพด้านนอกนั้นดูไม่สมจริง

สักพักใหญ่

เฉินตงค่อยๆ เอ่ยปากถามขึ้นมาว่า : “ท่านหลง นายรู้สึกไหมว่าแรงจูงใจในการลอบสังหารในครั้งนี้ มีคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินคอยชักใยอยู่เบื้องหลัง ?”

ท่านหลงขมวดคิ้ว ริมฝีปากของเขาขยับอยู่หลายครั้ง และในที่สุดเขาก็พยักหน้า : “นี่ก็อาจเป็นไปได้จริงๆ”

“ให้พ่อลองสืบดูได้ไหม หากปล่อยให้มีแรงจูงใจเช่นนี้ต่อไป คนที่จะลอบสังหารฉัน คงไม่ได้มีเพียงแค่นักฆ่าขององค์กรhidden killers จากดาร์กเว็บอีกต่อไปแล้ว” เฉินตงพูดอย่างเคร่งขรึม

นักฆ่าทำให้คนรู้สึกหวาดกลัว

แต่ถ้าหากยังคงทยอยมาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ราวกับฝูงปลาที่ไหลมาตามสายน้ำ นั้นต่างหากถึงจะทำให้คนรู้สึกหวาดกลัว ราวกับลูกหนอนชอนไชเข้าไปในกระดูกจริงๆ และในขณะเดียวกันก็ทำให้รู้สึกขยะแขยงและจนใจอีกด้วย

นิ่งให้เหมือนขุนเขา รุกให้เหมือนเปลวไฟ !

การเคลื่อนไหวของเฉินตงรวดเร็วปานสายฟ้า

เพราะเขารู้ดีว่า ไม่ว่าจะเป็นสภาพร่างกายของเขาในตอนนี้ หรือปัจจัยภายนอกอื่นๆ เขามือโอกาสลงมือเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น

หากพลาดเพียงครั้งเดียว ก็เท่ากับทุกอย่างต้องจบลง !

แต่ในขณะที่เขาเข้าไปปรากฏตัวตรงหน้าร่างร่างนั้น

ใบหน้าที่คุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นในดวงตา

เฉินตงตกใจเป็นอย่างมาก

เขาคายปลายของเอ็นเกล็ดปลาออกจากปาก และมือขวาของเขาก็สะบัดลงด้านข้างในเวลาเดียวกัน

ฟิ้ว !

เสียงของเส้นเอ็นที่ม้วนเข้าไปเก็บอยู่ในกล่องโลหะดังขึ้น

“ท่านหลง ? !”

เฉินตงอุทานออกมาด้วยความตกใจ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ : “ฉันให้นายกลับไปแล้วไม่ใช่เหรอ?”

ภาพที่ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน

ทำให้ท่านหลงรู้สึกตกใจไม่น้อย

ท่านหลงสูดหายใจเข้าเต็มปอด เพื่อระงับความตกใจที่เกิดขึ้นเมื่อครู่

ใบหน้าแก่ชราเผยรอยยิ้มออกมา : “กระผมจะไม่เป็นห่วงคุณชายได้อย่างไร ?”

เฉินตงผงะไป

ตอนนี้ เขารู้สึกอยากจะร้องไห้

หัวใจของเขารู้สึกพองโตด้วยความอบอุ่น

เขามองผ่านท่านหลงไป กลับมองเห็นชายที่สวมใส่ชุดสูทและรองเท้าหนังจำนวนมาก

เป็นคนของทีมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย !

จากที่ประเมินด้วยตาเปล่า แทบจะทุกคนที่มีรอยบาดแผลอยู่บนร่างกาย บนหัวเต็มไปด้วยฝุ่นผง ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลน

ถึงแม้จะอยู่ในชุดสูทและรองเท้าหนัง ทว่าตอนนี้กลับอยู่ในสภาพน่าอับอาย

ความรู้สึกผิดถาโถมเข้ามา

เฉินตงพูดอย่างอ่อนแรง : “ขอโทษทุกคนด้วย ขอบคุณพวกคุณมากที่ช่วยคุ้มกันให้ผมกับคุนหลุนหนีออกมาได้”

การต่อสู้ที่เขาเทียนซาน

หากไม่ใช่เพราะได้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพยายามต่อสู้ป้องกันอย่างสุดชีวิต ต่อให้เขาจะเสี่ยงตายพาคุนหลุนออกมา ก็ไม่มีทางที่จะมีโอกาสรอดชีวิตได้

ที่เขาสามารถรับรถพาคุนหลุนออกมาได้ นั่นเป็นเพราะเขาเผชิญหน้ากับทหารรับจ้างเดดพูลเพียงแค่สามคนเท่านั้น จึงสามารถหนีรอดออกมาได้อย่างง่ายดาย ซึ่งนั้นต้องอาศัยการคุ้มกันอย่างสุดชีวิตของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย

ตุ้บ !

ทันทีที่พูดจบ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งหมดก็คุกเข่าลงไปที่พื้นโดยพร้อมเพรียงกัน

คนจำนวนมาก รวมตัวกันจนเต็มโถงทางเดิน เป็นภาพที่ดูยิ่งใหญ่มาก

“ขอบคุณคุณชาย !”

ทุกคนตะโกนออกมาโดยพร้อมเพรียงกัน

เฉินตงรู้สึกตกใจ และใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความงุนงง

ท่านหลงยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ : “คุณชายเป็นคนที่กล้าหาญและมีความรับผิดชอบ ไม่เสียแรงที่อยู่ในฐานะผู้สืบทอดมรดกของตระกูลเฉิน”

หมายความว่าอย่างไร ?

เฉินตงยิ่งรู้สึกสับสนเข้าไปใหญ่ และจ้องมองไปที่ท่านหลงโดยไม่พูดอะไร

ถึงขนาดลืมความเจ็บปวดบนร่างกายไปชั่วขณะ

ท่านหลงยิ้มออกมาโดยไม่พูดอะไร แต่กลับกวาดสายตาไปยังกลุ่มคนที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น แล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า : “ชีวิตของพวกนาย รอดมาได้ก็เพราะคุณชาย”

“ครับ !”

ทุกคนตะโกนขึ้นโดยพร้อมเพรียงกัน

เป็นเสียงที่ดังกระหึ่ม

จนก้องเข้าไปในหู

“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ?” เฉินตงที่กำลังอยู่ในอาการงุนงง ในที่สุดก็เอ่ยถามขึ้นมา

“เรียนคุณชาย เมื่อครู่คุณชายเสี่ยงชีวิตพาหัวหน้าฝ่าวงล้อมออกมา และใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อ ทำให้ทหารรับจ้างเดดพูลส่วนใหญ่ต้องสูญเสียสมาธิ จึงเปิดโอกาสให้พวกเราสามารถตอบโต้ได้”

ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่แถวหน้าสุด ยกมือขึ้นคำนับแล้วกล่าวรายงาน : “สถานการณ์เมื่อครู่ หากไม่ได้คุณชายที่ยอมเสี่ยงชีวิต ภายใต้การต่อสู้กับอาวุธร้ายแรงของทหารรับจ้างเดดพูล ผลสุดท้ายพวกเราคงหนีไม่พ้นการตายทั้งกองทัพ !”

เฉินตง : “……”

เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องจะเป็นเช่นนี้

หลังจากที่เขาตีฝ่าวงล้อมออกมา เขาเคยมีความคิดเช่นนี้จริงๆ

แต่นั่นเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดที่เขาพอจะคาดหวังได้ ซึ่งอันที่จริงแล้วถือเป็นการปลอบใจตัวเองเสียมากกว่า

เพราะว่า เขาคนเดียว เสี่ยงชีวิตช่วยคุนหลุนออกมา ก็ถือเป็นขีดสุดของความสามารถแล้ว

หากคิดที่จะช่วยคนอื่นอีกละก็ คงเป็นไปไม่ได้เลย !

เดิมทีทีมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมาเพื่อปกป้องเขา แต่สุดท้ายกลับมีเพียงเขาและคุนหลุนที่หนีออกมา เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยต้องบาดเจ็บล้มตาย นี่เท่ากับว่า “เป็นการฆ่าพวกเขาทางอ้อม” จึงรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก

การปลอบใจตัวเองในตอนนั้น อันที่จริงแล้วก็เพื่อที่จะทำให้ตัวเองสามารถสงบสติอารมณ์ลง และพาคุนหลุนออกมาได้

แต่ทว่าตอนนี้……เฉินตงกลับรู้สึกราวกับฝันไป

เขาสูดหายใจเข้าเต็มปอดหนึ่งครั้ง

เฉินตงยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ : “พี่น้องทุกคน กลับมาได้ก็ดีแล้ว ครั้งนี้ต้องขอโทษทุกคนจริงๆ”

“ติดตามตระกูลเฉิน ต่อสู้ด้วยชีวิต ถือเป็นหน้าที่ของพวกเราอยู่แล้ว คุณชายไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด”

ชายวัยกลางคนพูดขึ้นอย่างจริงจัง : “หากไม่ใช่เพราะคุณชายเสี่ยงชีวิต พวกเราคงต้องตายทั้งกองทัพ ตอนนี้พวกเราไม่เพียงแต่สามารถขับไล่ทหารรับจ้างเดดพูลออกไปได้ จำนวนคนตายก็ถือว่าลดลงจนถึงระดับต่ำสุด ทั้งหมดนี้เป็นเพราะคุณชายทั้งสิ้น”

เฉินตงยิ้มออกมาอย่างหดหู่โดยไม่พูดอะไรสักคำ

“คำสรรเสริญ” เช่นนี้ เขาไม่กล้ารับเอาไว้

เกียรติยศที่ต้องแลกมาด้วยชีวิตของคน สำหรับเขาแล้ว ถือเป็นเรื่องที่น่าละอาย

เฉินตงสูดหายใจเข้าเต็มปอดหนึ่งครั้ง แล้วหันมองท่านหลง : “ที่เขาเทียนซานเป็นอย่างไรบ้าง ?”

ในเมื่อท่านหลงพาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งหมดมาแล้ว ก็คงจะมีการวางแผนจัดการดูแลโรงพยาบาลเอาไว้ทั้งหมดแล้ว ตอนนี้ก็คงเหลือเพียงแค่เขาเทียนซานเท่านั้น

เมื่อเทียบกับการเคลื่อนไหวที่เขาเทียนซาน ความรู้สึกของทุกคนที่มาถึงโรงพยาบาล ก็คงจะรู้สึกว่าแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน

“รับมือยากมากครับ แต่กระผมได้ส่งคนไปจัดการเรียบร้อยแล้ว เชื่อว่าปัญหาคงไม่มาก”

ท่านหลงทำสีหน้าเคร่งขรึม ทันใดนั้นเขาก็มองผ่านเฉินตง และเหลือบไปเห็นร่างของนักฆ่าสาวที่นอนอยู่ในห้องพักผู้ป่วย จากนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที : “คุณชาย นี่มัน……”

“นักฆ่า จัดการเรียบร้อยแล้ว” เฉินตงพูดด้วยท่าทีเรียบเฉย : “จัดการให้เรียบร้อยด้วย แล้วก็เรียกหมอเขามาทำแผลให้ฉันใหม่ด้วย อีกอย่าง ตอนนี้คุนหลุนยังอยู่ในห้องฉุกเฉิน”

“กระผมเข้าใจแล้วครับ”

ท่านหลงรับคำเฉินตงด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม

มีท่านหลงอยู่ เฉินตงก็รู้สึกโล่งใจขึ้นไม่น้อย

ท่านหลงจัดการเรื่องทุกอย่างทั้งหมด ส่วนเฉินตง หลังจากทำแผลอีกครั้งเรียบร้อยแล้ว ก็เปลี่ยนห้องพักผู้ป่วยใหม่

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่เหลือ ก็ค่อยๆ กระจายกำลังไปคุ้มกันอยู่ตามจุดต่างๆ ของโรงพยาบาล

กว่าทุกอย่างจะเสร็จสิ้น ก็เป็นเวลาเกือบตีห้าแล้ว

เฉินตงเอนตัวลงบนเตียงผู้ป่วย เขาไม่ได้นอนหลับมาทั้งคืน

ไม่ว่าจะเป็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับคุนหลุน หรือแม้กระทั่งการบาดเจ็บที่ตนเองได้รับ และภารกิจลอบสังหารขององค์กรhidden killers ล้วนแล้วแต่ทำให้เขานอนไม่หลับ

เอี๊ยด !

ประตูห้องพักผู้ป่วยเปิดออก

ท่านหลงค่อยๆ เดินเข้ามาในห้อง หลังจากวิ่งวุ่นมาทั้งคืน สำหรับคนที่สูงวัยอย่างท่านหลงแล้ว ถือว่าเป็นงานที่หนักมากจริงๆ

ภายใต้แสงไฟ เฉินตงแอบสังเกตเห็นหยาดเหงื่อที่เปียกชุ่มอยู่บนหน้าผากของท่านหลงได้อย่างชัดเจน

หลังจากนั่งลง ท่านหลงก็ค่อยๆ พูดขึ้นว่า : “คุนหลุนยังอยู่ในห้องฉุกเฉิน อาการไม่ค่อยสู้ดีนัก”

“อืม”

เฉินตงใจเต้นระส่ำ แต่สีหน้าของเขายังคงเรียบเฉย : “แล้วสถานการณ์ของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นอย่างไรบ้าง ?”

“เสียชีวิตยี่สิบเอ็ดคน บาดเจ็บสาหัสแปดคน ส่วนที่เหลือได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยไม่เป็นอะไรมากครับ”

เฉินตงรู้ดีว่าทำไมท่านหลงถึงมีอารมณ์ร่วมเช่นนี้

ทีมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ทำงานร่วมกับพ่อมานาน แต่ละคนล้วนแล้วแต่เป็นระดับหัวกะทิทั้งสิ้น หรือจะพูดง่ายๆ ว่า หากเลือกออกมาแบบลวกๆ สักคนแล้วส่งไปอยู่กับเศรษฐีธรรมดาๆ ก็เพียงพอที่จะเป็นหัวหน้าควบคุมระบบรักษาความปลอดภัยทั้งหมดได้แล้ว

แต่เพียงแค่การต่อสู้ที่เขาเทียนซานเพียงครั้งเดียว กลับต้องล้มตายไปกว่ายี่สิบเอ็ดคน !

การสูญเสียที่เกิดขึ้น มันเป็นเรื่องเจ็บปวดเกินไป

เงินทองหาง่าย แต่พรสวรรค์นั้นหายาก !

คนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นทหารชั้นยอดที่ผ่านการสั่งสมประสบการณ์มาอย่างโชกโชนแล้วทั้งสิ้น !

แต่ทว่า เฉินตงเองก็รู้ดีว่า ด้วยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนั้น การที่ผลลัพธ์ออกมาเช่นนี้ ก็นับว่าโชคดีมากแล้ว

เขาปลอบใจท่านหลง : “นี่ถือเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดแล้ว ทหารที่ใช้อาวุธเบากลุ่มหนึ่ง สามารถโจมตีทีมทหารรับจ้างที่ใช้อาวุธร้ายแรงได้ นี่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่สุดยอดแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ตอนที่ฉันดึงดูดความสนใจของทีมทหารรับจ้างที่เก่งกาจ พวกเขาก็สามารถโจมตีเพื่อตอบโต้ได้ จนทำให้ทหารรับจ้างต้องยอมล่าถอยไป นี่ก็นับว่าวิเศษมากแล้ว”

“ครับ”

ท่านหลงพยักหน้าอย่างโศกเศร้า : “ผลลัพธ์ของทางฝั่งทหารรับจ้างก็รู้แน่ชัดแล้ว เสียชีวิตทั้งหมดสี่สิบสองคน ที่หนีไปได้น่าจะประมาณสิบคนครับ”

เฉินตงพยักหน้า ตัวเลขนี้ไม่ต่างกับที่ประเมินจำนวนทหารรับจ้างเดดพูลเอาไว้ในตอนแรกมากนัก

แต่ทว่า นี่กลับทำให้เขารู้สึกตกใจกับการรบที่น่ากลัวของทีมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอีกครั้ง การเปรียบเทียบเช่นนี้ หากเปลี่ยนเป็นทีมทหารรับจ้างทีมอื่น เกรงว่าคงไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ ?

ในตอนนี้เอง

ประตูห้องพักผู้ป่วยเปิดออกอีกครั้ง

มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยนายหนึ่งวิ่งเข้ามาทั้งน้ำตาและใบหน้าที่โศกเศร้า

“คุณชาย ท่านหลง ไฟฉุกเฉินบนประตูห้องฉุกเฉินที่หัวหน้าอยู่ ดับลงแล้วครับ”

นักฆ่าที่แท้จริง ทุกสิ่ง ล้วนแล้วแต่ใช้เป็นอาวุธได้ทั้งสิ้น

เข็มเพียงเล่มเดียว ก็เพียงพอจะฆ่าคนได้ !

นักฆ่าสาวเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วปานสายฟ้า จนเกิดเสียงลมพัดผ่าน

ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน

เฉินตงรู้สึกตกใจจนถึงขีดสุด

เขารีบพลิกตัว เพื่อให้หลุดพ้นจากมือของนักฆ่าสาวที่กดอยู่บนหน้าอกของเขาในทันที และกลิ้งตัวลงไปกับพื้น

ยังไม่ทันจะลุกขึ้น เขาก็รู้สึกเหมือนแสงที่อยู่ตรงหน้ามืดลงทันที

นักฆ่าสาวกรีดร้อง แล้วพุ่งตัวไปที่เตียงผู้ป่วย จากนั้นจึงกดเขาลงไป

“ออกไป !”

เฉินตงยกเท้าขึ้นทันที แล้วเตะขึ้นไปบนอากาศ กล้ามเนื้อขาที่น่ากลัว ระเบิดพลังอันมหาศาลออกมา และเตะนักฆ่าสาวจนลอยกระเด็นออกไป

เฉินตงอาศัยจังหวะนี้ รีบลุกขึ้น และดึงเข็มน้ำเกลือที่เสียบอยู่บนหลังมือข้างซ้ายออกมาด้วยความโมโห

เป็นเพราะเมื่อครู่มีการเคลื่อนไหวที่รุนแรงเกินไป ทำให้มีเลือดไหลออกมาจากบาดแผลบนแขนของเขา และจากรอยเข็มบนหลังมือ

ตอนนี้ เลือดสีแดงสดหยดลงบนพื้นตามแขนข้างซ้ายของเขาที่ห้อยอยู่

“แกไม่เรียกคนอื่นเหรอ?”

นักฆ่าสาวลูบหน้าอกแล้วยืนขึ้น และพูดด้วยน้ำเสียงที่ไร้เรี่ยวแรง แสดงให้เห็นว่าได้รับบาดเจ็บจากการเตะเมื่อครู่ไม่น้อย

เฉินตงยืนอยู่ที่เดิมด้วยใบหน้าที่เย็นชา และปล่อยให้เลือดจากมือข้างซ้ายหยดลงบนพื้น

เขาแสยะยิ้มออกมา : “คุณแสดงเก่งขนาดนี้ ผมตะโกนให้คอแหบจะมีประโยชน์อะไร ?”

เขาไม่ได้โง่

ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้ามาเพื่อที่จะฆ่าเขา

โศกนาฏกรรมที่ปรากฏขึ้นในเขตวิลล่าเขาเทียนซาน ยังคงติดตาเขาอยู่

อีกทั้งในโรงพยาบาล นอกจากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสองสามนายแล้ว จะให้เรียกหมอกับพยาบาลเข้ามาเพื่อรับมือกับนักฆ่าสาวหรืออย่างไร ?

แม้กระทั่งเจ้าหน้าที่สองสามคนเหล่านั้น ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนักฆ่าสาว

นักฆ่ามืออาชีพ ต่างมุ่งเป้าไปที่การฆ่าคนเพื่อทำภารกิจให้สำเร็จ ในสายตาของพวกเขาแล้ว ชีวิตคนก็ดูราวกับผักปลา

หากเรียกคนอื่นมาตอนนี้ ก็จะเป็นการทำร้ายคนอื่นเสียเปล่าๆ

“เหอะๆ !”

นักฆ่าสาวแสยะยิ้มออกมา แต่กลับเดินตรงไปยังรถเข็น

ท่าทางดูมีเสน่ห์แตกต่างไปจากเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง ตอนนี้กลับดูงดงามและยั่วยวนยิ่งขึ้น

ฉึบ !

นักฆ่าสาวใช้มือควานหาภายใต้รถเข็นอยู่สักครู่ และดึงมือออกมาทันที ปรากฏเป็นเสียงโลหะเสียดสีกันขึ้นมา

มีดปาแวววาวปรากฏขึ้นในมือของนักฆ่าสาวทันที

“แกไม่เรียกคนเข้ามา คิดหรือว่ามือเดียวจะเอาชนะฉันได้ ?”

เสียงหัวเราะเยาะที่เต็มไปด้วยการดูถูกดังขึ้น

ในความเห็นของเธอแล้ว มือข้างซ้ายของเฉินตงได้รับบาดเจ็บ ไม่สามารถใช้การได้ จึงเหลือมือเพียงแค่ข้างเดียว ไม่ต่างอะไรกับหมูในอวยชัดๆ

ทว่า

เฉินตงกลับไปแสดงท่าทีตกใจกลัวเลยแม้แต่น้อย แต่ในขณะที่นักฆ่าสาวกำลังหัวเราะเยาะอยู่นั้น เขากลับค่อยๆ ถอยหลังไปหนึ่งก้าว ยืดตัวขึ้นและตั้งท่าเตรียมต่อสู้

ภาพที่ปรากฏขึ้นนี้ ทำให้นักฆ่าสาวอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกใจ

ความรู้สึกเยาะเย้ยภายในใจของเธอก็ลดลงไปส่วนหนึ่ง

หรือว่า……เขาจะมีลูกไม้อะไร ?

ขณะที่กำลังนึกสงสัยอยู่นั้น

จู่ๆ เสียงหัวเราะเยาะที่เย็นชาก็ดังขึ้น

“เข้ามาฆ่าฉันสิ ?”

เร้าใจ !

เกรี้ยวกราด !

รนหาที่ตาย !

“ตายซะเถอะ !”

ปรากฏความเกรี้ยวกราดขึ้นในดวงตาคู่งามของนักฆ่าสาวในทันที เธอตะโกนออกมาด้วยความโกรธ และพุ่งเข้าหาเฉินตงราวกับลูกธนู

มีดปาที่อยู่ในมือกวัดแกว่งไปมาจนเกิดเป็นภาพติดตา

เฉินตงที่กำลังเผชิญหน้ากลับนักฆ่าสาวที่เข้ามาอย่างดุดัน กลับไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย ร่างกายยังคงอยู่ในท่าเตรียมพร้อมต่อสู้อยู่ตลอดเวลา แต่แววตากลับเผยความเย็นชาออกมา

ยิ่งไปกว่านั้น มุมปากก็ค่อยๆ แสยะยิ้มขึ้น

ภาพนี้ปรากฏขึ้นในสายตาของนักฆ่าสาว ดูราวกับมีค้อนขนาดใหญ่ทุบเข้าในดวงตา ทำให้เธอรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก

ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงดูใจเย็นเช่นนี้ ?

ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน นักฆ่าสาวได้พุ่งเข้าไปอยู่ตรงหน้าเฉินตงเรียบร้อยแล้ว

เมื่อเผชิญหน้ากับเฉินตงที่ยังคงยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน ซึ่งอยู่ห่างออกไปแค่เอื้อม นักฆ่าสาวก็ไม่ลังเลอีกต่อไป

เสียงฟัน “ฉึบ” ของมีดปาในมือดังขึ้น ส่งแสงประกายแวววาว และพุ่งตรงไปที่เฉินตง

ตอนนี้เอง

ในที่สุดเฉินตงก็เคลื่อนไหว

นิ่งให้เหมือนขุนเขา รุกให้เหมือนเปลวไฟ

เขาขยับร่างกาย และลอดผ่านคมมีดไปได้อย่างหวุดหวิด

“ตายซะเถอะ !”

ดวงตาคู่งามของนักฆ่าสาวเบิกโพลง และฉาบไปด้วยความดุร้าย

เธอยกมีดปาที่ถืออยู่ในมือขึ้น แล้วฟันลงไปที่เฉินตงทันที

คมมีดสะท้อนแสงเป็นประกายออกมา

นักฆ่าสาวแสยะยิ้มออกมา : “แกยังจะหนีพ้นอีกเหรอ?”

จากมุมนี้ และจากความเร็วเช่นนี้

ด้วยการวิเคราะห์จากประสบการณ์ในการต่อสู้ของเธอ เฉินตงสามารถหลบการฟันครั้งแรกได้ แต่ไม่มีทางหลบการฟันครั้งที่สองได้ทัน

ความตาย อยู่ตรงนี้แล้ว !

ยังไม่ทันจะพูดจบ ก็มีเสียงหัวเราะเยาะดังก้องขึ้นในหูของนักฆ่าสาวเช่นเดียวกัน

“แกยังจะหลบพ้นอีกเหรอ?”

เปรี้ยง !

นักฆ่าสาวตัวสั่น เธอรู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่า ดวงตาคู่งามเบิกโพลงด้วยความตกตะลึงทันที

ฟิ้ว !

แทบจะในเวลาเดียวกัน จู่ๆ ก็มีเสียงพุ่งทะลุผ่านอากาศเข้ามา

ดวงตาคู่สวยของนักฆ่าสาวมองเห็นเลือนรางว่า มีแสงประกายแวววาวเส้นเล็กๆ เคลื่อนผ่านด้านข้างของเธอไป

จากนั้น

“เกิดอะไรขึ้น ?”

นักฆ่าสาวตกใจจนหน้าถอดสี เธอรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า เธอไม่สามารถควบคุมมีดปาที่อยู่ในมือของตนเองได้ และด้วยแรงดึงอันมหาศาล มีดปาก็ตรงเข้าปาดที่คอของเธอทันที

ฉึบ !

คมมีดส่องประกายออกมา

ร่างกายของนักฆ่าสาวหยุดนิ่ง มีดปาที่อยู่ในมือของเธอ กระเด็นหลุดออกจากมือด้วยแรงมหาศาล แล้วปักเข้าไปที่ผนังห้อง

ส่วนลำคอเรียวขาวของเธอ กลับมีรอบบาดแผลสีแดงสดปรากฏขึ้นมา เลือดไหลทะลักออกมาราวกับน้ำพุ

จนกระทั่งเสียชีวิต บนใบหน้าของนักฆ่าสาวก็ยังเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและสับสน

ฟิ้ว !

เสียงเก็บเส้นเอ็นดังขึ้น

ตุ้บ !

เมื่อสูญเสียแรงที่ดึงเอาไว้ ร่างของนักฆ่าสาวก็ล้มลงไปจมอยู่ในกองเลือด

เฉินตงเดินโซเซถอยหลังไปหนึ่งก้าว เขายกมือขวาขึ้นมาปิดบาดแผลบนแขนข้างซ้ายเอาไว้ เขาขมวดคิ้วแน่น เหงื่อกาฬไหลออกมาราวกับสายฝน

ถึงแม้เขาจะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อไม่ให้แขนซ้ายได้รับการกระทบกระเทือน แต่การเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงเมื่อครู่ ยังคงส่งผลต่อความเจ็บปวดของบาดแผลอยู่ดี

เขาก้มลงมองกล่องโลหะที่อยู่บนข้อมือด้านขวา ดวงตาของเขาเป็นประกาย และยิ้มออกมาด้วยความโล่งใจ : “คุนหลุนเคยบอกว่าของสิ่งนี้สามารถฆ่าคนโดยไร้ร่องรอย มันคือความจริง”

สิ่งที่สวมอยู่บนข้อมือ อันที่จริงแล้วเป็นของที่คุนหลุนค้นเจอมาจากในพุ่มไม้บริเวณประตูใหญ่ของเขตวิลล่าเขาเทียนซาน เป็นเครื่องมือลอบสังหารที่ชื่อว่า——เอ็นเกล็ดปลา !

เขาเหลือบมองร่างของนักฆ่าสาวอย่างเย็นชา

เฉินตงไม่ได้สนใจ แต่กลับเดินโซเซไปนั่งอยู่บนเตียงผู้ป่วย

การต่อสู้ที่ดูเหมือนจะรวดเร็ว แต่กลับต้องใช้พลังแทบทั้งหมดที่เขามีอยู่

โดยเฉพาะความเจ็บปวดของบาดแผลที่ถูกยิง ทำให้เขารู้สึกยากที่จะทนไหว เขานั่งลงบนเตียงและหายใจหอบออกมาไม่หยุด

ในตอนนี้เอง

มีเสียงฝีเท้าที่ฟังดูรีบร้อนดังขึ้นต่อเนื่องที่บริเวณโถงทางเดินด้านนอก

เฉินตงสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นทันที

กลางดึกเช่นนี้ โรงพยาบาลต้องการความเงียบ

คนจำนวนมากส่งเสียงดังขนาดนี้หรือว่าจะเป็น……ทหารรับจ้างเดดพูล ?

ความคิดที่น่ากลัวผุดขึ้นมาในหัว ทำให้เฉินตงรู้สึกขนลุกไปทั้งตัวทันที

เฉินตงมองดูห้องพักที่ว่างเปล่า ก็รู้สึกสิ้นหวังทันที

ที่นี่คือชั้นเจ็ด !

ไม่มีทางหนี !

สูดหายใจเข้าเต็มปอดหนึ่งครั้ง

จู่ๆ ท่าทางของเฉินตงก็ดุดันขึ้น : “จะจับโจรก็ต้องจับหัวหน้าโจรให้ได้เสียก่อน !”

เขาฝืนลุกขึ้น แล้วเดินไปด้านหลังประตูห้องพักอย่างเงียบๆ

ในขณะเดียวกันก็ยกมือขวาขึ้นมา เขากัดปลายเส้นของเอ็นเกล็ดปลาที่อยู่ในกล่องโลหะเอาไว้ ด้วยท่าทีหดหู่และแววตาที่เย็นชา

ในพจนานุกรมของเขาไม่มีคำว่ารอความตายบัญญัติเอาไว้

เขายอมที่จะเจ็บตัวเพื่อดึงพระราชาลงมาจากหลังม้าให้ได้ ต่อให้เป็นทหารรับจ้างเดดพูลจริง ถ้าหากเขาสามารถจับหัวหน้าของทหารรับจ้างในขณะที่เดินเข้าประตูเอาได้ ไม่แน่ว่าจะไม่มีโอกาสรอดชีวิตหลงเหลืออยู่

ปัง !

ประตูห้องพักผู้ป่วยถูกคนเตะเข้ามาอย่างแรง

และในตอนนี้เอง !

เฉินตงกระโจนเข้าไปหาคนที่เดินเข้าประตูห้องพักมาด้วยท่าทีดุดัน ราวกับเสือโคร่งที่กระโจนลงจากภูเขา

ลมยามค่ำคืนหนาวเหน็บ

คุนหลุนนอนอยู่บนที่นั่งข้างคนขับด้วยลมหายใจที่รวยริน การสูญเสียเลือดมากเกินไปทำให้เขาอ่อนแออย่างมาก

บางครั้งสติของเขาก็ชัดเจน บางครั้งก็เลือนราง

เขาต้องการที่จะขัดขวางคุณชายไม่ให้พาเขาไปโรงพยาบาล ในที่สาธารณะมีผู้คนมากมาย หากคุณชายพาเขาไปโรงพยาบาล นั่นเท่ากับคุณชายเอาชีวิตของตัวเองไปเสี่ยงอันตรายด้วย

แต่เขากลับไม่ได้เอ่ยปากพูด เพราะเขารู้ดี

ถ้าหากคุณชายยอมฟังคำเตือนของเขา เพื่อครู่ก็คงไม่หันหลังกลับมาช่วยเขาเอาไว้ และไม่มีทางเสี่ยงชีวิตขับรถฝ่าวงล้อมออกมาเพื่อที่จะช่วยเขา

“ผม คุนหลุน……มีดีอะไรถึงได้รับบุญนี้ ?”

เมื่อเผชิญกับสายลมยามค่ำคืนที่โชยพัดมา ริมฝีปากที่ซีดเผือดของคุนหลุน ก็เผยรอยยิ้มจางๆ ออกมาตรงมุมปาก

โรงพยาบาลลี่จิง

ในฐานะที่เป็นโรงพยาบาลอันดับหนึ่งของเมือง ไม่ว่าจะกลางวันหรือกลางคืน ก็ยังคงเปิดไฟสว่างไสวอยู่ตลอดเวลา

และมีเสียงสัญญาณฉุกเฉินของรถพยาบาลที่ดังสนั่น วิ่งเข้าวิ่งออกอยู่ตลอดเวลา

เอี๊ยด !

รถพอร์เชอที่ได้รับความเสียหาย สะบัดท้ายรถเข้าจอดในลานจอดรถของโรงพยาบาล หลังจากลงจากรถแล้ว เฉินตงก็ทนฝืนต่ออาการบาดเจ็บบนแขนซ้ายของตนเอง แล้วรีบแบกคุนหลุนขึ้นบนหลัง วิ่งตรงเข้าไปยังห้องฉุกเฉินอย่างรวดเร็ว

มีคุณหมอมองเห็นมาจากที่ไกลๆ จึงได้รีบเรียกให้คนไปนำเปลออกมาอย่างรวดเร็ว

คุนหลุนถูกส่งเข้าไปในห้องฉุกเฉินอย่างรวดเร็ว

ส่วนเฉินตงเองก็ถูกส่งตัวเข้าไปในห้องฉุกเฉิน เพื่อจัดการกับบาดแผลที่ถูกยิงบนแขนข้างซ้าย

ถึงแม้จะเป็นเวลากลางดึก แต่อาการบาดเจ็บของทั้งสองคนสาหัสเช่นนี้ มิหนำซ้ำยังเป็นบาดแผลจากการถูกยิง จึงเพียงพอที่จะทำให้โรงพยาบาลลี่จิงทั้งโรงพยาบาล เกิดความตื่นตระหนกขึ้น

ตอนที่เฉินตงยังคงนอนอยู่บนเตียงกู้ชีพภายในห้องฉุกเฉิน ผู้อำนวยการหลิวก็รีบมาในทันที

“ตงเอ๋อ เกิดเรื่องอะไรขึ้น ?”

ผู้อำนวยการหลิวรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก เขามองไปที่บาดแผลบนแขนซ้ายของเฉินตง แววตาของเขาดูจริงจังขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด

“เจอเรื่องที่รับมือยากครับ ผมจะติดต่อคนให้ไปจัดการเรื่องนี้”

เฉินตงรู้ดีว่าคำพูดและแววตาของผู้อำนวยการหลิวสื่อถึงอะไร จึงได้ฝืนยิ้มออกมา

ท่าทีของผู้อำนวยการหลิวอ่อนโยนลงเล็กน้อย และได้สอบถามถึงอาการของเฉินตงกับหมอเจ้าของไข้

ถึงแม้บาดแผลจากกระสุนจะรุนแรง แต่เคราะห์ดีที่กระสุนเจาะทะลุแขนโดยตรง จึงช่วยลดทอนความยุ่งยากในการนำลูกกระสุนออกมา ทำให้อาการบาดเจ็บของเฉินตงไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่นัก

หลังจากแน่ใจว่าเฉินตงไม่มีปัญหาร้ายแรงใดๆ ผู้อำนวยการหลิวก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ : “เจ้าเด็กคนนี้ ถ้าเกิดอะไรขึ้นจริงๆ แล้วจะให้ฉันไปบอกพี่กู้กับเสี่ยวหยิ่งว่าอย่างไร”

“ลุงหลิว เพื่อนของผมเป็นอย่างไรบ้างครับ ?” เฉินตงเอ่ยถาม

เมื่อได้ยิน สีหน้าของผู้อำนวยการหลิวก็หมองหม่นลง

การเปลี่ยนแปลงนี้ ทำให้เฉินตงรู้สึกหนักใจเป็นอย่างมาก

ผู้อำนวยการหลิวส่ายหัว : “อาการแย่มาก ฉันได้ส่งผู้เชี่ยวชาญจากแผนกต่างๆ เข้าไปทั้งหมดแล้ว อีกเดี๋ยวฉันเองก็จะเข้าไป แต่ว่า……คงต้องแล้วแต่โชคชะตา”

คำว่าแล้วแต่โชคชะตา ทำให้สภาพจิตใจของเฉินตงจมดิ่งลงถึงขีดสุด

คุนหลุน……เพื่อที่จะช่วยฉันแท้ๆ

ภาพเมื่อครู่ปรากฏขึ้นซ้ำๆ อยู่ในสมองของเขา เฉินตงรู้สึกโทษตัวเองอย่างรุนแรง

ถ้าไม่ใช่เพื่อเขา จะเกิดเหตุการณ์ที่น่าเศร้าอย่างเศร้าอย่างเมื่อครู่ได้อย่างไร ?

คุนหลุนตั้งใจที่จะยอมสละชีวิตอยู่แล้ว !

เมื่อมองดูผู้อำนวยการหลิวเดินจากไป แววตาของเฉินตงก็สั่นคลอนขึ้นมา จู่ๆ เขาก็นึกถึงเรื่องอะไรบางอย่าง จึงได้เรียกผู้อำนวยการหลิวเอาไว้

“ลุงหลิว เรื่องนี้ห้ามบอกพวกเสี่ยวหยิ่งนะครับ เสี่ยวหยิ่งกลับไปอยู่กับพ่อแม่แล้ว ผมกลัวว่าพวกเขาจะเป็นห่วง”

ผู้อำนวยการหลิวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพยักหน้า : “วางใจเถอะ”

อาการบาดเจ็บบนแขนข้างซ้ายถูกจัดการจนแล้วเสร็จอย่างรวดเร็ว

เฉินตงถูกส่งตัวไปพักฟื้นยังห้องผู้ป่วย VIP

มีกลิ่นฉุนของน้ำยาฆ่าเชื้อ

ภายในห้อง มีเสียงดนตรีดังกังวานอยู่

เฉินตงนั่งมองท้องฟ้ายามค่ำคืนนอกหน้าต่างอย่างเงียบๆ

ภาพที่เกิดขึ้นในคืนนี้ ทำให้เขารู้สึกตกใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

การลอบสังหาร ที่ดึงดูดการโจมตีขั้นรุนแรงจากกลุ่มทหารรับจ้าง

ฉากที่ควรจะอยู่แต่ในภาพยนตร์ แต่กลับเกิดขึ้นกับตัวเขาทั้งหมด

และตอนนี้ คุนหลุนก็ยังถูกยื้อชีวิตอยู่ในห้องฉุกเฉิน

จะเป็นหรือได้ ต้องแล้วแต่โชคชะตา

สิ่งนี้ทำให้เฉินตงรู้สึกวิตกกังวลเป็นอย่างมาก ถึงแม้ตอนนี้ตนเองจะนอนอยู่บนเตียงเรียบร้อยแล้ว ความอ่อนล้าจากอาการบาดเจ็บก็ยังคงวนเวียนเข้ามาราวกับกระแสน้ำ แต่เขากลับไม่รู้สึกง่วงเลยแม้แต่น้อย

“พี่ชาย ต้องผ่านมันไปให้ได้นะ !”

เฉินตงถอนหายใจแรงออกมาหนึ่งครั้ง และเอามือขวาลูบเข้าที่กระเป๋ากางเกงโดยไม่รู้ตัว กลับพบบุหรี่ที่ถูกแกะเอาไว้แล้วหนึ่งซอง

ช่วงเวลาหลังจากที่แม่ของเขาจากไป เขาติดบุหรี่และเหล้าอย่างหนัก

การชี้ทางสว่างของฉินเย่ ทำให้เขาสามารถก้าวผ่านสภาวะที่หดหู่นี้ออกมาได้

แต่การลอบสังหารที่ตึงเครียดตลอดสองวันมานี้ รวมไปถึงสภาพแวดล้อมที่น่าหวาดกลัว ทำให้เขาหยิบบุหรี่อีกครึ่งซองที่เหลือ มาใส่เอาไว้ในกระเป๋าเสื้ออีกครั้ง

เพียงแค่ไม่เคยจุดไฟเลยสักม้วน ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ขึ้นขนาดนี้

ฉ่า !

เปลวไฟลุกโชนขึ้นจากไฟแช็ก และจุดบุหรี่ขึ้นมาหนึ่งม้วน

ควันอันเข้มข้นของบุหรี่ไหลลงสู่ปอด แต่ยังคงยากที่จะปิดบังความประหม่าและวิตกกังวลเอาไว้ได้

ที่กล่าวกันว่าบุหรี่ช่วยบรรเทาความกังวล บรรเทาความเหนื่อยล้า ล้วนไร้สาระทั้งสิ้น

มันก็เป็นเพียงแค่การปลอบประโลมจิตใจเท่านั้น

ทว่าเฉินตงในตอนนี้ นอกจากจะหาสิ่งที่พอช่วยปลอบประโลมจิตใจเล็กน้อยแล้ว ก็ไม่มีวิธีอื่นที่จะช่วยให้คุนหลุนดีขึ้นมาได้

เฉินตงคาบบุหรี่เอาไว้ แล้วจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยท่าทีเคร่งขรึม

ในตอนนี้เอง

ประตูห้องพักผู้ป่วยเปิดออก

มีพยาบาลเข็นรถเข็นเดินเข้ามาในห้อง บนรถเข็นมีขวดน้ำเกลือวางอยู่

“คุณเฉินคะ มาให้น้ำเกลือคุณค่ะ”

พยาบาลสาวที่สวมหน้ากากอนามัยอยู่ พูดออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

เฉินตงผงะไปเล็กน้อย จากนั้นจึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองขวดน้ำเกลือที่แขวนเอาไว้อยู่แล้ว

นี่ก็ให้น้ำเกลืออยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?

พยาบาลสาวจัดการกับขวดน้ำเกลือไปพลาง พูดคุยกับเฉินตงไปพลาง : “ที่ให้เมื่อครู่คือยาแก้อักเสบ ส่วนนี่คือน้ำเกลือที่ช่วยดูแลร่างกาย รวมไปถึงตัวยาที่ใช้ในการรักษาที่แพทย์สั่งให้ภายหลังด้วยค่ะ”

“ครับ”

เฉินตงพยักหน้าพลางคาบบุหรี่เอาไว้ในปาก จากนั้นจึงพ่นควันบุหรี่ออกมา

เขามองดูพยาบาลสาวที่แขวนขวดน้ำเกลืออย่างเชี่ยวชาญ เพราะต้องเขย่งเท้า ทำให้ส่วนเว้าส่วนโค้งภายใต้เสื้อสีขาวของเธอดูโดดเด่นและน่าเย้ายวนมากเป็นพิเศษ

จากมุมที่เฉินตงนั่งอยู่ ยิ่งทำให้ดูพิเศษมากขึ้น

เฉินตงอดไม่ได้ที่จะพูดติดตลกขึ้นว่า : “คุณพยาบาล คุณช่างรูปร่างดีจริงๆ !”

“คุณเฉินคะ กรุณาให้เกียรติด้วยค่ะ” พยาบาลสาวโกรธจนตัวสั่น

แต่เฉินตงกลับยักไหล่อย่างไม่แยแส เขาใช้มือขวาหยิบบุหรี่ที่คาบอยู่ในปากลง จากนั้นจึงพ่นควันบุหรี่ออกมาพลางพูดว่า : “ไม่สิไม่สิ คุณนี่แรดจริงๆ !”

พยาบาลสาวขมวดคิ้วแน่น เธอจัดการกับน้ำเกลืออย่างคล่องแคล่ว จากนั้นจึงหยิบเข็มฉีดยาออกมาและตรวจสอบดูสักพัก

จากนั้นจึงพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า : “คุณเฉิน คุณมีเงิน แต่มีเงินแล้วคิดจะทำอะไรก็ได้อย่างนั้นเหรอ? ขอให้คุณช่วยให้เกียรติพยาบาลอย่างพวกเราด้วย !”

น้ำเสียงแสดงออกถึงความไม่พอใจอย่างโจ่งแจ้ง

ในขณะเดียวกัน พยาบาลหยิบเข็มฉีดยาขึ้นมา และเตรียมที่จะฉีดเข้าไปในถุงน้ำเกลือ

เฉินตงก็ตีปากของเขาและหัวเราะเยาะออกมา : “มีเงินคิดจะทำอะไรก็ได้จริงๆ สาวงามที่รูปร่างดีเช่นนี้อย่างคุณ ก็คิดที่จะฆ่าคนเพื่อเงินด้วยไม่ใช่เหรอ?”

ทันใดนั้น

ภายในห้องพักผู้ป่วยก็เงียบสงัดลง

บรรยากาศหนาวเหน็บราวกับอุณหภูมิลดลงจนถึงจุดเยือกแข็ง

ส่วนพยาบาลสาวก็หยุดการเคลื่อนไหวลง

เพียะ!

เฉินตงใช้ก้นบุหรี่ที่ถืออยู่ในมือ จิ้มเข้าไปที่ใบหน้าของพยาบาลสาว

ตอนนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาจางหายไป กลายเป็นความเย็นชาและน่าสะพรึงกลัวเข้ามาแทนที่

“บุคลากรทางการแพทย์มีข้อห้ามอย่างเคร่งครัดไม่ให้ผู้ป่วยสูบบุหรี่ ผมคาบบุหรี่เอาไว้นานขนาดนี้ คุณเข้ามากลับไม่ถามไถ่ คุณมันเป็นพยาบาลที่ไม่ได้เรื่องจริงๆ !”

พยาบาลสาวโกรธจนตัวสั่นอีกครั้ง

ดวงตาทั้งสองข้างลุกโชนไปด้วยเจตนาฆ่าที่รุนแรงทันที

มีความโกรธปะทุออกมาภายใต้หน้ากากอนามัย

“ตายซะเถอะ !”

ฟิ้ว !

แทบจะในเวลาเดียวกัน พยาบาลสาวโถมตัวเข้าไปในทันที เธอใช้มือซ้ายจับหน้าอกของเฉินตงเอาไว้ ส่วนเข็มฉีดยาที่ส่องประกายแวววาวในมือขวาของเธอ ก็แทงลงไปที่ดวงตาของเฉินตงด้วยความรวดเร็วปานสายฟ้า

“คุณชาย !”

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ยืนอยู่ข้างๆ ตกใจจนหน้าถอดสีทันที

กระสุนปืนกระหน่ำมาราวกับสายฝน

ส่งเสียงดังทะลุอากาศมา

แต่ทว่าตอนนี้ ภาพทั้งหมดราวกับหยุดเคลื่อนไหว

คุนหลุนยังคงนั่งคุกเข่าอยู่ เขารู้สึกได้ถึงเลือดสดๆ ที่ไหลรินออกมา

เขารู้ถึงขั้นว่า วันนี้ตนเองจะต้องตายอยู่ที่นี่แน่นอน

แต่เขากลับไม่ได้สนใจ ชีวิตนี้ของเขา ได้รับการช่วยเหลือจากนายท่านเอาไว้ หากวันนี้จะต้องสละมันเพื่อคุณชายแล้ว จะเป็นอะไรไป ?

คุนหลุนยิ้มอย่างหดหู่ มือทั้งสองข้างที่กำลังถือปืนอยู่เริ่มสั่น แม้กระทั่งความเร็วในการเหนี่ยวไกลก็ค่อยๆ ช้าลง

นี่คือลักษณะอาการของการสูญเสียเลือดมากเกินไป

แต่ถึงแม้จะเหลือเพียงแค่ลมหายใจเฮือกสุดท้าย เขาก็จะต้องนำคนของเขา หยุดยั้งทหารเดดพูลเอาไว้ให้ได้

นายท่านเคยพูดเอาไว้ !

ใครจะตายก็ได้

แต่คุณชายห้ามตาย !

ตอนนี้เอง

จู่ๆ ก็มีเสียงตะโกนด้วยความโกรธดังขึ้นจากทางด้านหลัง

“คุ้มกันฉัน !”

นี่เป็นเสียงของเฉินตง

คุนหลุนตัวสั่น สติที่เลือนรางของเขากลับมาชัดเจนขึ้นในทันใด

เขาหันกลับไปมองทันที และเห็นเฉินตงกำลังถือปืนวิ่งฝ่าวงล้อมของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยออกมา และกำลังวิ่งเข้ามาหาเขาด้วยท่าทีเคร่งขรึม

“คุณชาย รีบไปสิครับ !”

มีเสียงระเบิดดังขึ้นในสมองของคุนหลุน เขารีบตะโกนเสียงดังออกมาทันที

แต่เฉินตงกลับไม่คิดจะหยุดแม้สักนิด

เขาวิ่งฝ่ากระสุนที่ร่วงลงมาเป็นสายฝนเข้าไป

และในขณะเดียวกัน

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็มีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรวดเร็ว ต่างค่อยๆ กระจายกำลังกันออกไป ส่วนหนึ่งยิงสกัดอยู่ที่เดิม อีกส่วนหนึ่งวิ่งตามเฉินตงเข้าไปหาคุนหลุน

“รีบไปเร็วเข้า ไม่ต้องช่วยผม คุณต้องเอาชีวิตรอดให้ได้……”

คุนหลุนตะโกนออกมาอย่างแน่วแน่ และใช้แรงทั้งหมดที่มี ใช้เข่าขยับร่างกายเพื่อหันไปเผชิญหน้ากับเฉินตง : “คุณชาย คุณรีบไปเร็วเข้า !”

“หากฉันไปแล้ว นายจะทำเช่นไร ?”

เฉินตงตะคอกออกมาด้วยความโมโห จนคุนหลุนดวงตาเบิกโพลง

ตอนนี้เอง

ฟิ้ว !

คุนหลุนได้ยินเสียงฝ่าทะลุอากาศมา

และในขณะเดียวกันก็สัมผัสได้ถึงการเผาไหม้อย่างรุนแรง

“คุณชายระวัง !” ดวงตาของเขาเบิกโพลง และตะโกนออกมาเสียงดัง

ปัง !

กระสุนปืนเจาะทะลุเข้าไปที่แขนซ้ายของเฉินตงในทันที และมีเลือดไหลซึมออกมา

ความเจ็บปวดค่อยๆ แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย ทำให้เฉินตงหยุดนิ่งในทันที

หลังจากทรงตัวได้ เฉินตงก็วิ่งต่อไปอย่างบ้าคลั่ง

ดวงตาที่แดงก่ำของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น

ใบหน้าที่เปื้อนเลือด เต็มเปี่ยมไปด้วยความดุร้าย

คนที่เขาต้องการจะช่วย !

ต่อให้ตาย ก็ต้องช่วย !

ในพจนานุกรมของเขา ไม่มีคำว่ายอมแพ้บัญญัติเอาไว้ แล้วนับประสาอะไรกับการละทิ้งพี่น้อง ?

ร่างกายของคุนหลุนสั่นเทา ดวงตาของเขาแดงก่ำ ตอนนี้เขารู้สึกคัดจมูกอย่างมาก มีน้ำตาเอ่อล้นอยู่ในดวงตาของเขา

“คุณชาย ขอร้องเถอะครับ รีบไปเถอะ !”

น้ำเสียงสั่นเครือของเขา ดังก้องกังวานไปทั่วท้องฟ้า

แต่เฉินตงกลับทำเหมือนไม่ได้ยิน

ตอนนี้เอง คุนหลุนรู้สึกว่าด้านหลังของตนเองมีเสียงลมแรงพัดมาอีกครั้ง

ด้วยการตอบสนองตามสัญชาตญาณอย่างสมบูรณ์แบบ

เขาใช้ปืนไรเฟิลค้ำลงที่พื้นในทันที จากนั้นจึงออกแรงขาทั้งสองข้างที่บาดเจ็บอยู่ แล้วพุ่งตัวของเขาเข้าไปหาเฉินตง

ปัง !

กระสุนปืนเจาะทะลุเข้าที่หลังของคุนหลุน

“คุนหลุน !”

เฉินตงตกใจจนหน้าตาของเขาบูดเบี้ยว

หากไม่ใช่เพราะคุนหลุน กระสุนนัดนี้คงจะเจาะเข้าที่ร่างของเขาเป็นแน่

เมื่อเห็นคุนหลุนล้มลงไปกับพื้น เฉินตงก็รีบวิ่งเข้าไปรับคุนหลุนเอาไว้ทางด้านหน้าทันที

“ไปสิครับ !”

ร่างกายของคุนหลุนโชกไปด้วยเลือด ราวกับว่ากลายเป็นมนุษย์สีเลือด และยังคงกล่าววิงวอนขอร้องด้วยน้ำตา

“พี่ชาย ฉันจะพานายไป !”

เฉินตงเช็ดเลือดบนใบหน้า แล้วจึงหันหลังและแบกคุนหลุนขึ้นบนหลัง

จากนั้นก็วิ่งตรงไปยังเฮลิคอปเตอร์ด้วยความมุ่งมั่น

“คุ้มกันนายน้อยกับหัวหน้าออกจากที่นี่ !”

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตะโกนขึ้นเสียงดัง

ประสิทธิภาพของอาวุธเบาและอาวุธร้ายแรงนั้น ย่อมไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันแน่นอน เรื่องนี้แม้แต่คนธรรมดาทั่วไปก็รู้ดี

สิ่งเดียวที่พอจะหยุดยั้งไว้ได้ก็คือ แลกด้วยชีวิต !

ประกายไฟเต็มไปหมด

เปลวไฟที่โหมกระหน่ำทำให้ทั่วทั้งเขตวิลล่าสว่างไสวราวกับเป็นช่วงเวลากลางวัน

เฉินตงแบกคุนหลุนเอาไว้บนหลัง แล้ววิ่งฝ่าดงกระสุนที่กระหน่ำเข้ามาราวกับสายฝนอย่างรวดเร็ว

“พานายออกไปได้แน่ นายแข็งใจเอาไว้หน่อยนะ จะต้องพานายออกไปได้แน่นอน”

ในสมองเหลืออยู่เพียงความคิดเดียวเท่านั้น

สายตาของเฉินตงจับจ้องไปที่เฮลิคอปเตอร์ซึ่งอยู่ห่างออกไปอยู่ตลอด

และตอนนี้เอง มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเข้าไปนั่งประจำอยู่ในเฮลิคอปเตอร์เรียบร้อยแล้ว จากนั้นจึงสตาร์ทเครื่องยนต์ให้ใบพัดหมุน และเคลื่อนตัวขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว

ฟิ้ว !

เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นเหนือศีรษะ

ควันลอยพลุกพล่านพร้อมด้วยเปลวเพลิง

ตูม !

มีเสียงของเฮลิคอปเตอร์ถูกระเบิดด้วย RPG ดังขึ้น

ในขณะที่เกิดเสียงดังขึ้น เฮลิคอปเตอร์ก็ค่อยๆ ลุกไหม้ และเกิดเป็นกลุ่มควันลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ชิ้นส่วนต่างๆ กระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง

“บ้าเอ๊ย !”

เฉินตงก่นด่าออกมาหนึ่งคำด้วยความโมโห

เมื่อเห็นเฮลิคอปเตอร์ที่อยู่ในที่ไกลๆ เขาก็ขมวดคิ้วแน่นทันที

การสตาร์ทเครื่องยนต์ของเฮลิคอปเตอร์ต้องใช้เวลา ซึ่งนี่กลายเป็นเป้าหมายในการโจมตีของทหารรับจ้างเดดพูลอย่างไม่ต้องสงสัย

ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน

เฉินตงกัดฟันแน่น เขาเปลี่ยนทิศทางในการวิ่งโดยยังแบกคุนหลุนเอาไว้บนหลัง จากนั้นจึงวิ่งตรงเข้าไปในวิลล่า

กระสุนพุ่งตรงเข้ามา

มีคนล้มตายอย่างต่อเนื่อง

ในที่สุด เฉินตงก็แบกคุนหลุนมาถึงโรงรถ

มีรถพอร์เชอ 911 ที่ยังคงมีร่องรอยการชนอยู่ตรงบริเวณหัวรถ กำลังจอดอยู่ด้านใน

เฉินตงวางคุนหลุนลงบนที่นั่งข้างคนขับ จากนั้นจึงเข้าไปประจำยังที่นั่งคนขับอย่างรวดเร็ว

บรื้น !

ขณะที่สตาร์ทเครื่องยนต์ เขาก็ใช้เท้าเหยียบคันเร่ง

รถพอร์เชอ 911 ส่งเสียงคำรามราวกับสัตว์ร้ายออกมา

จากนั้นรถก็พุ่งตรงออกจากโรงรถ ราวกับเสือโคร่งที่กระโจนออกจากกรงในทันที

ล้อรถเสียดสีกับพื้นถนน จนเกิดควันพวยพุ่งออกมา

ท้ายรถสะบัด และพ่นเปลวไฟสีน้ำเงินออกมาจากท่อไอเสีย จากนั้นจึงพุ่งตรงไปยังประตูใหญ่ของเขตวิลล่าเขาเทียนซานด้วยความเร็วสูง

ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืน และสนามรบ

รถพอร์เชอสีขาวดูราวกับสายฟ้าสีขาว ที่ระเบิดออกมาจนถึงขีดสุด

ส่วนด้านหน้า มีคนยืนเรียงกันอยู่ คนเหล่านั้นล้วนแล้วแต่เป็นทหารรับจ้างเดดพูลทั้งสิ้น!

ท่าทีของเฉินตงดุดันอย่างมาก แววตาแข็งกร้าวของเขาจ้องเม็ง

มือทั้งสองข้างจับพวงมาลัยเอาไว้แน่น ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่เกิดขึ้นบริเวณแขนด้านซ้าย ทำให้เฉินตงตัวสั่น แต่ขาขวาของเขาก็ยังคงเหยียบคันเร่งเอาไว้

หากไม่สู้ก็ต้องตาย

สู้สักตั้ง อาจมีชีวิตรอด !

ปัง ปัง ปัง……

ทหารรับจ้างเดดพูลที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ยิงถล่มมาที่รถไม่หยุด กระสุนเจาะทะลุกระจกทันที และทำให้กระจกหน้ารถเกิดรอยร้าวที่ดูเหมือนดอกไม้ขึ้น

ถึงแม้เฉินตงจะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อที่จะบังคับรถหลบหลีก แต่กระจกหน้ารถที่มีรอบแตกร้าว ทำให้เขายังคงมองทุกอย่างได้ไม่ชัดเจนนัก

“ขวางพวกมันเอาไว้ ! นั่นมันเงินมูลค่าพันล้านดอลลาร์เชียวนะ !”

มีทหารรับจ้างบางคนตะโกนขึ้น

มีทหารรับจ้างสองสามคนรีบวิ่งขึ้นไปบนถนนราวกับคนเสียสติในทันที และประจันหน้ากับรถพอร์เชอ

กระสุนปืนสาดมาราวกับสายฝน

“อ้า !”

เฉินตงปิดตาและตะโกนออกมาเสียงดัง พร้อมกับเหยียบคันเร่งสุดแรง

ปัง ปัง ปัง !

มีเสียงดังสนั่นขึ้นสามครั้ง เกิดแรงต้านขึ้นกับรถอยู่ครู่หนึ่ง

แต่ไม่ช้า แรงต้านนั้นก็หายไป

และในขณะเดียวกัน เฉินตงก็รู้สึกได้ถึงเศษแก้วที่เข้ามาปะทะกับใบหน้าของเขา แม้จะไม่ถึงขั้นทำให้บาดเจ็บ แต่เมื่อปะทะเข้ากับร่างกายก็รู้สึกเจ็บไม่น้อย

เขาลืมตาขึ้นทันที แต่กลับพบว่ากระจกหน้ารถหายไปแล้ว และทหารรับจ้างสองสามคนที่ยืนอยู่ข้างหน้า ก็หายไปแล้วเช่นกัน

“หนีออกมาได้แล้ว ! คุนหลุน พวกเราหนีออกมาได้แล้ว !”

เฉินตงดีใจราวกับคนเสียสติ แต่เมื่อหันไปมองคุนหลุนกลับพบว่าใบหน้าของเขาซีดเผือด และหายใจรวยริน

เขาผงะไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงค่อยๆ พูดว่า : “พี่ชาย ต้องไม่เป็นไรนะ ฉันอยู่นี้ !”

รถพอร์เชอ 911 ขับรถลงจากภูเขาไปตามถนนที่คดเคี้ยวด้วยความเร็วสูง

ส่วนเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่เขตวิลล่า เขาไม่สามารถดูแลได้อีก

จากสถานการณ์เมื่อครู่ หากต้องการขึ้นขับเฮลิคอปเตอร์เพื่อหนีออกไป คงเหลือเพียงวิธีเดียวเท่านั้นคือ ต้องยอมสู้จนตัวตาย ต่อให้เขาไม่กลับไปช่วยคุนหลุน ก็ไม่มีทางหนีรอดไปได้

ตอนนี้เขาได้ขับรถฝ่าวงล้อมของทหารรับจ้างออกมาแล้ว และด้านหลังก็มีคนคอยถ่วงเวลาให้เขา

ทหารรับจ้างจะต้องเสียสมาธิในการไล่ล่าตัวเขา ซึ่งมีมูลค่าพันล้านดอลลาร์อย่างแน่นอน

ส่วนเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่เหลือ ก็จะถือโอกาสนี้ โต้กลับทงยุทธวิธี

นี่ถือเป็นจุดจบที่ดีที่สุดที่เฉินตงพอจะคาดการณ์ออกมาได้

เสียงปืนที่ดังไล่หลังมาค่อยๆ หายไป

ลมยามค่ำคืนปะทะเข้ากับใบหน้า เหน็บหนาวเข้าไปถึงกระดูก

เฉินตงขับรถมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาลลี่จิงด้วยแววตาที่มุ่งมั่น

“คุณชาย ไม่ต้องช่วยผม” เสียงที่รวยรินดังขึ้น

“หุบปาก ฉันจะพานายไปส่งโรงพยาบาล”

เฉินตงตำหนิเสียงเข้ม แล้วพูดว่า : “ฉันไม่มีแม่แล้ว จะให้สูญเสียพี่ชายไปอีกคนได้อย่างไร ?”

“หัวหน้า พวกมันโจมตีเข้ามาแล้ว ประเมินจากสายตาน่าจะประมาณห้าสิบคน และมีการติดอาวุธร้ายแรง !”

มีเสียงรายงานของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยดังมาจากด้านล่าง

เฉินตงและคุนหลุนต่างตกใจพร้อมกัน

การยิงโดยไม่พลาดเป้าของคุนหลุนเมื่อครู่ ทำให้ทหารรับจ้างเดดพูลต้องสูญเสียกำลังคนไปไม่น้อย หากตอนนี้เหลืออยู่ห้าสิบคน ต่อให้เข้ามาจากทุกทิศทาง ด้วยจำนวนของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ยังถือว่าได้เปรียบอยู่ดี

แต่สิ่งที่ทำให้ทั้งสองคนรู้สึกตกใจจริงๆ ก็คือ “อาวุธร้ายแรง” !

นี่เป็นเพียงแค่การลอบสังหารเพื่อเงินรางวัล !

ไม่มีใครคาดคิดว่าเรื่องทั้งหมดจะกลายเป็นการจ้างวานทหารรับจ้างข้ามพรมแดนเช่นนี้

แม้กระทั่งคุนหลุนเอง การเตรียมการเบื้องต้นก็เพียงแค่เตรียมอุปกรณ์ในการป้องกันและตรวจจับขั้นสูง ส่วนอาวุธ ก็มีเพียงอาวุธธรรมดาเท่านั้น ส่วนอาวุธร้ายแรง ไม่ได้มีการเตรียมการไว้แม้แต่ชิ้นเดียว !

หากเป็นการลอบสังหารโดยทั่วไป ต่อให้เป็นมือสังหารชั้นยอด ด้วยจำนวนคนและอาวุธเบาที่มีการตระเตรียมไว้จำนวนหนึ่ง ก็คงเพียงพอสำหรับการรับมือ

แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับทหารที่ติดอาวุธร้ายแรง สิ่งที่จะสามารถรับมือได้ก็มีเพียงแค่อาวุธร้ายแรงเท่านั้น !

“ต้องถอยแล้ว !”

คุนหลุนตัดสินใจเด็ดขาด : “คุณชาย ที่ที่คุณว่าคือที่ไหน ?”

“คลับสี่ยิ่น !”

เฉินตงพูดออกมาสามคำ

คุนหลุนแววตาเป็นประกายขึ้นทันที : “ทำไมผมคิดไม่ออกตั้งแต่แรก หากจัดการคุ้มกันขึ้นที่นั่น จะมีเรื่องไอ้พวกสวะทหารรับจ้างเดดพูลพวกนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ?”

เบื้องหลังของคลับสี่ยิ่นคืออะไร คุนหลุนนั้นรู้ดี

ด้วยเหตุนี้ เขาจึงรู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้ยินสิ่งที่เฉินตงเสนอขึ้นมาในเวลานี้

หากสามารถเข้าไปในคลับสี่ยิ่นได้ ทหารรับจ้างเดดพูล ก็จะกลายเป็นแค่เหมือนฝูงสุนัขที่ไร้ยางอายก็เท่านั้น !

“ทั้งหมดเตรียมตัวถอนกำลังเดี๋ยวนี้ ไม่ว่าต้องแลกด้วยอะไร ก็ต้องส่งคุณชายไปให้ถึงคลับสี่ยิ่นให้ได้ !”

คุนหลุนออกคำสั่ง

“รับทราบ !”

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเกือบหนึ่งร้อยนายขานรับโดยพร้อมเพรียงกัน

หลังจากติดตามคุนหลุนมาหลายปี ทีมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยต่างก็มีความเข้าใจซึ่งกันและกันเป็นอย่างดี

หลังจากที่คุนหลุนออกคำสั่ง ทุกคนก็เริ่มเคลื่อนไหวในทันที

สิบกว่านายเดินนำไปด้านหน้าก่อน แล้วพุ่งตรงเข้าไปในลาน และพยายามยิงสกัดกั้นทหารรับจ้างเดดพูลที่ข้ามกำแพงเข้ามา

ส่วนคนที่เหลือ ต่างค่อยๆ คุ้มกันเฉินตง เพื่อวิ่งไปขึ้นเฮลิคอปเตอร์ที่จอดรออยู่ด้านนอก

เฮลิคอปเตอร์กว่าสิบลำที่จอดอยู่ ขอเพียงแค่เฉินตงสามารถขึ้นลำใดลำหนึ่งได้ และบินขึ้นได้สำเร็จเท่านั้น

การต่อสู้ในครั้งนี้ ก็จะถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว !

เสียงกระสุนปืนดังก้องไปทั่วท้องฟ้ายามค่ำคืนอย่างต่อเนื่อง

ทำให้บรรยากาศภายในเขตวิลล่าเขาเทียนซานทั้งหมด ดูราวกับอยู่ในสนามรบ

ห่างออกไป มีศพของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ที่มารักษาความสงบในที่เกิดเหตุนอนอยู่

อีกทั้งในส่วนอื่นๆ ของเขตวิลล่า ก็มีการเคลื่อนไหวอย่างโกลาหลของผู้คน รวมไปถึงเสียงกรีดร้องที่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

มีบางคนหวาดกลัวและขับรถหนีออกไป

ภาพที่ปรากฏขึ้นนี้ ทำให้เฉินตงอึ้งไป

เขาไม่เคยไปเหยียบในสนามรบมาก่อน

แต่คิดไม่ถึงว่า คืนนี้ตนเองจะต้องมาอยู่ท่ามกลางสนามรบ

มีการสาดกระสุนราวกับสายฝน

เลือดสาดกระเซ็นอย่างโหดร้าย

ขณะที่วิ่งตรงไปด้านหน้าพร้อมกับทีม

ก็จะมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยล้มลงไปอยู่ตลอด

กระสุนแต่ละนัด เป็นเหมือนกับเคียวมรณะ ที่มาเก็บเกี่ยวชีวิตผู้คนไป

ปัง !

ห่างออกไปไม่ไกลนัก หน้าอกของผู้รักษาความปลอดภัยนายหนึ่ง ถูกกระสุนเจาะทะลุเข้าที่หน้าอก เลือดสีแดงสาดกระเซ็นเข้ามาที่ใบหน้าของเฉินตง

กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งลอยเข้าจมูกในทันที

ร่างกายของเฉินตงสั่นเทา แววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

ภาพการนองเลือด ใช่ว่าเขาไม่เคยเห็นมาก่อน

ด้วยการฝึกฝนมาเป็นเวลานาน สภาพจิตใจของเขานั้นแข็งแกร่งกว่าคนปกติ

แต่ภาพที่ปรากฏขึ้นตอนนี้ กลับทำให้เขารู้สึกชาไปทั้งตัว

“คุณชาย อดทนอีกหน่อยนะครับ ใกล้จะถึงแล้ว !”

คุนหลุนสีหน้าเคร่งขรึม เขารับรู้ได้ว่าเฉินตงรู้สึกกระทบกระเทือนจิตใจไม่น้อย จากภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้

ในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีใครเกิดมาเพื่อที่จะเป็นเครื่องจักรสังหาร

แม้แต่ราชาทหาร ตอนที่ก้าวเข้าสู่สนามรบครั้งแรก ก็ยังต้องใช้เวลาเพื่อทำความคุ้นเคยกับการนองเลือดที่โหดร้ายในสนามรบ จากนั้นจึงค่อยๆ เติบโตขึ้นทีละก้าวๆ

การนองเลือดในสนามรบ ห่างไกลจากการต่อสู้ตามท้องถนนนัก

ในสนามรบ คุนหลุนเห็นทหารรับจ้างผ่านศึกหลายคน ที่ต้องประสบกับภาวะเครียดจากสงคราม หลังจากผ่านการต่อสู้อันน่าเศร้าสลด

“ฉัน ฉันไม่เป็นไร”

เฉินตงพยายามสูดหายใจเข้าลึกๆ

ระยะห่างของเฮลิคอปเตอร์ตรงหน้า ใกล้เข้ามาทุกทีๆ

ฟิ้ว !

ทันใดนั้น มีลูกไฟขนาดใหญ่พร้อมด้วยกลุ่มควันโขมงลอยมาในท้องฟ้า

“หมอบ !”

คุนหลุนตะโกนเสียงดัง พลางออกแรงกดเฉินตงลงกับพื้น

ตูม !

เฮลิคอปเตอร์ที่อยู่ตรงหน้าระเบิดเป็นจุณ แล้วปล่อยควันลอยโขมงขึ้นสู่ท้องฟ้า

“ให้ตายเถอะ รีบถอยเร็วเข้า !”

คุนหลุนก่นด่าออกมาแล้วลุกขึ้น จากนั้นจึงประคองเฉินตงขึ้นมา

และเป็นเพราะการกระทำนี้ ทำให้เขาลุกขึ้นเร็วกว่าคนอื่นๆ

ปัง !

มีเสียงดังสนั่นดังเข้าไปในหูของเฉินตง ทำให้แก้วหูของเขาสั่นสะเทือนจนรู้สึกเจ็บ

ร่างกายที่กำลังโค้งงอของเขาหยุดนิ่งกะทันหัน ดวงตาของเขาพร่ามัวไปด้วยเลือดในทันที

แต่เขากลับรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าคุนหลุนที่ยืนอยู่ข้างๆ เขา จู่ๆ ร่างกายก็สั่นสะท้าน และจากนั้นก็หยุดนิ่งกะทันหัน

เสียง “ปัง” ดังขึ้นในสมองของเฉินตง ดวงตาของเขาเบิกโพลงและค่อยๆ เงยหน้าขึ้น

ตอนนี้ดูเหมือนเวลาจะเดินช้าลง

ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นช้าลงอย่างมาก

สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าคือ คุนหลุนยังคงยืนอยู่ที่เดิม แต่บนหน้าอก กลับฉาบไปด้วยเลือดสีแดงสด ถึงขั้นมองเห็นหยดเลือดที่ค่อยๆ ไหลรินออกมา

มือใหญ่ของคุนหลุนที่จับอยู่บนไหล่ของเฉินตงตลอดเวลา ไม่เคยผละออกไปไหนมาก่อน

“คุณชาย……”

คุนหลุนมองดูเฉินตงด้วยแววตาที่เลื่อนลอย และยิ้มออกมาอย่างหดหู่ จากนั้นจึงตะโกนออกคำสั่งด้วยความโมโห : “พาคุณชายไป !”

ทันใดหน้า เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่อยู่โดยรอบก็เข้ามาหามเฉินตงและวิ่งไปยังเฮลิคอปเตอร์อีกลำที่อยู่ห่างออกไป

“ปล่อยฉัน ให้ตายเถอะ ปล่อยฉันลงให้หมด !”

ตอนนี้ เฉินตงดูราวกับคนเสียสติ เขาพยายามต่อสู้ขัดขืนด้วยดวงตาที่แดงก่ำ : “พาคุนหลุนไปด้วย เขาเป็นหัวหน้าของพวกนาย พาเขาไปด้วย !”

น้ำตาเอ่อล้นจนท่วมดวงตา และไหลรินออกมาอย่างต่อเนื่อง

ราวกับถูกมีดกรีดที่หัวใจ !

“คุณชาย ความปลอดภัยของคุณสำคัญที่สุด !”

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่อยู่ข้างๆ กล่าวเตือน

“เหลวไหล !”

เฉินตงก่นด่า เขากัดฟันและตะคอกออกมาว่า : “เขาเป็นพี่น้องของฉัน เขาสำคัญเท่ากับฉัน ปล่อยฉัน ฉันจะพาเขาไป จะพาเขาไป……”

แต่ไม่ว่าเขาจะดิ้นรนเช่นไร เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่อยู่โดยรอบก็ไม่คิดจะปล่อยเขาลง

และในที่ไกลๆ แววตาของคุนหลุนค่อยๆ กลับมาแน่วแน่ขึ้นอีกครั้ง

เขาตะโกนอย่างดุดัน : “คุณชาย อย่าลืมที่นายท่านสั่งคุณไว้นะครับ !”

ขณะที่เขาตะโกนออกมา จู่ๆ คุนหลุนก็หันหลัง และถือAWM-P ที่อยู่บนตัวเขาเอาไว้ในมือ

ปัง !

กระสุนถูกยิงออกไป เกิดเปลวเพลิงขึ้นในท้องฟ้ายามค่ำคืน

แต่ทว่าหลังจากนั้น

ฟิ้ว !

มีเสียงดังทะลุอากาศมา

ปัง !

กระสุนอีกหนึ่งนัดยิงเข้าที่ขาขวาของคุนหลุน เลือดสีแดงสดสาดกระเซ็น

คุนหลุนนั่งคุกเข่าลงไปกับพื้นหนึ่งข้าง แต่ปืนไรเฟิลที่อยู่ในมือของเขา ยังคงปล่อยกระสุนออกมาอย่างต่อเนื่อง

“หากยังมีฉัน คุนหลุนอยู่แล้วละก็ จะปล่อยให้พวกแกมาทำร้ายคุณชายของฉันง่ายๆ ได้อย่างไร !”

คุนหลุนตะคอกออกมาด้วยความโกรธเคือง และพร้อมที่จะสู้ตาย

ภาพนี้ปรากฏขึ้นในสายตาของเฉินตง แต่กลับรู้สึกราวกับว่าดวงตาของเขากำลังจะแหลกสลาย

เขาจ้องเขม็งไปยังคุนหลุนที่กำลังต่อสู้อย่างสุดชีวิต และร้องไห้ออกมาพลางส่ายหัวอย่างสุดกำลัง

“ไม่ เป็นแบบนี้ไม่ได้ นายต้องไป นายต้องไปกับฉัน……”

เขาต่อสู้ดิ้นรน จนขณะนี้อ่อนแรงลงอย่างเห็นได้ชัด

และในตอนนี้เอง

ฟิ้ว !

ปัง !

เสียงของกระสุนดังทะลุอากาศมา และเจาะเข้าที่ขาข้างซ้ายของคุนหลุน

และนี่ทำให้เกิดเสียงระเบิดขึ้นในสมองของเฉินตงในเวลาเดียวกัน

เฉินตงมองดูคุนหลุนที่ค่อยๆ คุกเข่าลงไป ก็ตะโกนออกมาด้วยความโกรธทันที

“ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้ ฉันจะพาเขาไป !”

“คำสั่งบ้าบออะไรกัน ไม่เคยสนใจไยดีมายี่สิบปี ตอนนี้จะให้ฉันฟังเขาอย่างนั้นเหรอ?”

“มีสิทธิ์อะไร ? มีสิทธิ์อะไร ? ฉันยอมเป็นลูกอกตัญญู แต่จะต้องพานายไปให้ได้ !”

ขณะที่เขากำลังดิ้นรนขัดขืนอย่างบ้าคลั่ง

จู่ๆ เฉินตงก็ออกแรงใช้แขนทั้งสองข้าง สลัดเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ขนาบอยู่ทั้งซ้ายและขวา จนล้มลงไปข้างหน้า

ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน เขาชิงลงมือก่อน มือทั้งสองข้างกวัดแกว่งราวกับงู จับเข้าที่มือขวาของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่กำลังถือปืนอยู่ และแย่งปืนมาในทันที !

จากนั้น ในขณะที่ทุกคนกำลังตื่นตกใจอยู่

เฉินตงก็ยกปืนขึ้นมาจ่อที่ขมับ แล้วพูดอย่างแน่วแน่ว่า

“พาคุนหลุนไปด้วย ไม่อย่างนั้นฉันจะตายพร้อมกับเขา !”

ถึงแม้คุนหลุนจะกำลังก่นด่า

แต่ทว่าน้ำเสียง การออกคำสั่ง ไปจนถึงสีหน้าอารมณ์ ล้วนแสดงออกถึงความหวาดกลัวที่มีต่อทหารรับจ้างเดดพูล

เฉินตงพยายามสูดหายใจเข้าเต็มปอด เพื่อให้ตนเองสามารถสงบสติอารมณ์เอาไว้ได้

แต่ในเมื่อทุกอย่างเป็นเช่นนี้ จะให้สงบอยู่ได้อย่างไร ?

ภารกิจลอบสังหาร ที่ดึงทหารรับจ้างเดดพูลมาเข้าร่วมอย่างไม่คาดฝัน เช่นนี้จะให้ป้องกันได้อย่างไร ?

เสียงปืนดังขึ้นจากที่ไกลๆ

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจำนวนสิบกว่าคนที่อยู่บริเวณโถงทางเดิน ต่างก็ค่อยๆ หันหลังกลับ ยกปืนขึ้นเพื่อป้องกันตัวออกไป และล่าถอยตามคำสั่ง

นี่ไม่ใช่การลอบสังหารและการป้องกันตามปกติอีกต่อไป

แต่เป็นการต่อสู้ด้วยอาวุธปืนอย่าเต็มรูปแบบ

คุนหลุนสีหน้าเคร่งขรึม แววตาของเขาสั่นไหว ราวกับกำลังมีความคิดอะไรบางอย่าง

เฉินตงนั่งลงตรงโถงทางเดิน เสียงปืนที่ดังขึ้นอย่าต่อเนื่องทำให้สติของเขาแตกกระเจิง

แต่เขารู้ดีว่า ในการต่อสู้เช่นนี้ เขาจำเป็นต้องเลือกที่จะเชื่อใจคุนหลุนและทีม

หากตอนนี้เขาเข้าไปมีส่วนร่วมมากเกินไป จะยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลง

“หัวหน้า พวกเขาถอนกำลังกลับมาหมดแล้วครับ !”

มีเสียงตะโกนดังขึ้นมาจากในห้องห้องหนึ่ง

เฉินตงเหลือบมองอย่างไม่รู้ตัว ห้องนั้นอยู่ตรงข้ามกับประตูใหญ่ของเขตวิลล่าเขาเทียนซานพอดี และเป็นทิศทางที่มีเสียงปืนดังขึ้น

เฉินตงลูบจมูก และยิ่งรู้สึกหนักใจมากยิ่งขึ้น

เหตุการณ์ใหญ่โตเช่นนี้ คาดว่าภายในวิล่าตอนนี้ คงจะวุ่นวายไม่น้อย ?

ปกติแล้ว ถึงแม้จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นกับตระกูลมั่งคั่ง ทว่าส่วนใหญ่ก็จะพยายามกระทำการอย่างรอบคอบ และพยายามปิดบังเรื่องทุกอย่างเอาไว้เป็นความลับอย่างดีที่สุด ไม่ให้ใครล่วงรู้ได้

แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน ด้านนอกคือทหารรับจ้างเดดพูล

เป็นทหารรับจ้างที่อันตรายและโหดร้าย และไม่สนใจว่าจะปิดบังได้หรือไม่ หรือจะถูกคนอื่นล่วงรู้เข้าหรือไม่

“เอาปืนของฉันมา !”

ความดุดันเผยขึ้นในแววตาของคุนหลุน

ตอนนี้ ร่างกายของเขาแผ่ซ่านเจตนาฆ่าที่รุนแรงออกมา จนแม้แต่เฉินตงก็รู้สึกหวาดกลัว

ตอนนี้เขี้ยวอันแหลมคมถูกเผยออกมาราวกับสัตว์ร้ายโบราณ

นี่ถึงจะเป็นท่าทางของนักฆ่ามือพระกาฬที่แท้จริงใช่หรือไม่ ?

เฉินตงยังคงรู้สึกหวาดกลัว เขามองดูแผ่นหลังของคุนหลุนและรู้สึกตกใจถึงขีดสุด

โดยปกติแล้ว คุนหลุนทำให้ผู้อื่นรู้สึกว่าเขาเป็นคนเงียบขรึมและหนักแน่น

ถึงแม้ในตอนนั้น เขาจะเคยเผยเจตนาฆ่าที่รุนแรงออกมาเพื่อปกป้องฟ่านลู่ แต่ทว่ายังแตกต่างกับท่าทีในตอนนี้โดยสิ้นเชิง

ตอนนี้คุนหลุนทำให้เฉินตงรู้สึกราวกับกำลังขึ้นเนิน แล้วจู่ๆ ก็ทะยานขึ้นไปสู่ยอดเขาในทันที

ไม่ช้า เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนหนึ่ง ได้หยิบปืนยาวที่ถูกห่อหุ้มเอาไว้อย่างดีด้วยผ้าใบกันน้ำสีเขียวออกมา

ตุ้บ !

หลังจากที่ผืนผ้าใบกันน้ำหล่นลง ก็เผยให้เห็นปืนไรเฟิลซุ่มยิงที่ดูน่าเกรงขามออกมา

AWM—P!

เฉินตงตกใจเป็นอย่างมาก ถึงแม้เขาจะไม่เชี่ยวชาญเรื่องอาวุธปืนมากนัก แต่เขาก็รู้จักสไนเปอร์กระบอกนี้

กระบอกปืนไรเฟิลซุ่มยิงทั้งกระบอกเป็นสีเขียว ดูราวกับงูพิษที่กำลังเล็งเป้าไปที่เป้าหมาย

“หัวหน้าครับ ปืนกระบอกไม่ได้นำออกมาใช้งานกี่ปีแล้ว ?”

แววตาของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่กำลังถือปืนอยู่ลุกวาว

“สามปีแล้ว”

คุนหลุนค่อยๆ ลูบปืนกระบอกยาว ราวกับกำลังลูบแก้วตาดวงใจของเขา

เขาหันหลัง แล้วถือปืนเดินตรงไปยังห้องที่อยู่ตรงข้ามกับประตูใหญ่ของเขตวิลล่า

เฉินตงนั่งอยู่บนพื้นตลอดเวลา

การเปลี่ยนแปลงของคุนหลุน ทำให้เขารู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก

จนกระทั่งมีเสียงกระซิบของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสองสามคนดังขึ้นข้างหูของเขา

“พวกนายว่า ครั้งนี้หัวหน้าจะฆ่าได้กี่คน ?”

“กี่คนนะเหรอ? หากน้อยกว่าสิบคน ก็คงไม่คุ้มกับที่หัวหน้าหยิบปืนกระบอกนี้ออกมาใช้แล้ว”

“เยี่ยมไปเลย หัวหน้าเผยความสามารถที่แท้จริงออกมาแล้ว คราวนี้พวกทหารรับจ้างเดดพูลมีหวังน้ำตาตกแน่ๆ”

……

เมื่อได้ยินเสียงกระซิบกระซาบ เฉินตงก็รู้สึกราวกับมีคลื่นลูกใหญ่ถาโถมอยู่ภายในหัวใจ

เขาเหลือบตาไปมองแล้วพบว่า บรรดาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่กำลังกระซิบกระซาบกันอยู่ ไม่มีทีท่าวิตกกังวลอย่างเช่นเมื่อครู่อีกต่อไปแล้ว แต่กลับดูผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด

ถึงขั้นว่าขณะที่พูดคุยกัน ยังมีคำพูดติดตลกออกมาด้วย

ปัง !

ทันใดนั้น มีเสียงดังกระหึ่มออกมาจากในห้อง

ปัง !

เสียงดังต่อเนื่องไม่หยุด ยังคงเป็นเสียงปืนที่ดังกระหึ่มขึ้นมา

เสียงปืนทำให้แก้วหูของเฉินตงสั่นสะเทือนและรู้สึกเจ็บปวดในทันที

จากนั้น เขาก็เป็นนิ้วมือสองนิ้วโผล่ออกมาจากภายในห้อง

เห็นได้ชัดว่าเป็นการส่งสัญญาณให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสองสามนายที่อยู่ข้างๆ เขา

“หนึ่งนัดหนึ่งคน สมแล้วที่เป็นหัวหน้า !”

บรรดาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยต่างรู้สึกดีใจและตื่นเต้น

เฉินตงเองก็พลอยโล่งใจไปด้วย

ก่อนหน้านี้ เขารู้แค่เพียงว่าทักษะการต่อสู้ของคุนหลุนนั้นยอดเยี่ยม

แต่เมื่อลองพิจารณาอย่างละเอียดแล้ว ราชาแห่งนักรบที่ฝ่าสมรภูมิรบมาได้ หากอาศัยเพียงแค่ทักษะการต่อสู้ก็สามารถฟันฝ่ามาได้ มันก็คงจะดูธรรมดาเกินไปหน่อย ?

ดูเหมือนว่าการยิงปืนต่างหาก ที่เป็นทักษะชั้นเยี่ยมที่แท้จริงของคุนหลุน !

หลังจากเสียงปืนไรเฟิลซุ่มยิงดังขึ้นสองนัดจากที่ไกลๆ เสียงดังของปืนก็หยุดลงอย่างกะทันหัน

แต่คุนหลุนไม่เปิดโอกาสให้ฝ่ายตรงข้ามเลยแม้แต่น้อย

ปัง !

ปัง !

ปัง !

……

เสียงปืนดังขึ้นต่อเนื่องไม่หยุด ระยะห่างของแต่ละนัดนั้นสั้นมาก

แต่เฉินตงกลับมองเห็นได้อย่างชัดเจน มือที่ยื่นออกมาจากห้องห้องนั้น ยกนิ้วที่งออยู่ขึ้นมาไม่หยุด หลังจากนิ้วทั้งห้าถูกยกขึ้นทั้งหมด แล้วค่อยๆ งอกลับไปทีละนิ้วๆ อีกครั้ง

หนึ่งนัดหนึ่งคน !

ไม่มีนัดไหนที่พลาดเป้า !

ตอนนี้เอง มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นต่อเนื่องที่ชั้นล่างของวิลล่า และภายในลานด้านนอก ก็มีเสียงปืนดังขึ้น

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ออกไปตามหานักฆ่าเมื่อครู่ ตอนนี้ได้ถอนกำลังกลับเข้ามาอยู่ภายในบ้านทั้งหมดแล้ว

สิ่งที่น่าตกใจก็คือ การคุ้มกันทีมทั้งทีมในการถอนกำลังกลับมา ด้วยฝีมือการยิงของคุนหลุน ที่สามารถฆ่าหนึ่งคนต่อการยิงหนึ่งนัดได้ !

ภาพที่ปรากฏขึ้นนี้ ทำให้เฉินตงเหงื่อกาฬไหลออกมาจนเต็มแผ่นหลัง และรู้สึกขนลุกด้วยความกลัว

ความสามารถเช่นนี้ จะมีอยู่สักกี่คนบนโลก ?

“คงจะล่าถอยไปแล้วสินะ ?” เฉินตงรู้สึกผ่อนคลายลง

ขณะที่ความคิดเพิ่งจะปรากฏขึ้น ก็มีเสียงของชาวต่างชาติดังขึ้นจากที่ไกลๆ

เฉินตงได้ยินอย่างชัดเจน

ใช่แน่นอน

“คุนหลุน ! ฉันคือผู้นำของแวมไพร์ดูดเลือดเดดพูล คิดไม่ถึงเลยว่า ไม่เจอกันหลายปี ฝีมือการยิงปืนของนายยังยอดเยี่ยมเช่นเดิม !”

คุนหลุนก่นด่าด้วยภาษาต่างชาติก่อน จากนั้นจึงตะคอกออกมาด้วยความโมโห

“แวมไพร์เหรอ? ไอ้พวกหมาป่าจรจัด คนที่อยู่ที่นี่ คือคนที่ฉันต้องปกป้อง ถ้าไม่อยากตาย ถอนกำลังกลับไปให้หมด !”

จากนั้น

ทันทีที่พูดจบ

“ถอย !”

จู่ๆ เสียงตะโกนด้วยความโกรธของคุนหลุน ก็ดังออกมาจากภายในห้อง

เฉินตงยังไม่ทันได้ตอบโต้ ก็มองเห็นคุนหลุนและบรรดาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่อยู่ภายในห้องต่างวิ่งออกมาด้วยความหวาดกลัว

ทันใดนั้น เฉินตงก็มองเห็นประกายไฟและกลุ่มควันลอยโขมงขึ้นมาจากที่ไกลๆ ตามมาด้วยเสียงระเบิดดังสนั่น

“คุณชาย หนีเร็ว !”

ช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน คุนหลุนวิ่งเข้าไปหาเฉินตง แล้วดึงเฉินตงขึ้นมา

ทั้งสองวิ่งลงไปชั้นล่างอย่างรวดเร็ว

แต่ออกวิ่งได้เพียงไม่กี่ก้าว

ตูม !

มีเสียงดังสนั่นเกิดขึ้นที่ด้านหลัง ข้าวของกระจัดกระจาย

การโจมตีที่น่ากลัว ทำให้กำแพงพังทลาย

เฉินตงรู้สึกเหมือนมีแรงผลักพุ่งเข้ามาที่ด้านหลังอย่างแรง จนตัวของเขาลอยพุ่งไปด้านหน้า

หลังจากล้มลงบนพื้น เขาก็หันกลับไปมองด้วยความตื่นตระหนก และรู้สึกขนลุกขึ้นมาทันที

ห้องที่พวกของคุนหลุนอยู่เมื่อครู่ ตอนนี้พังทลายเป็นผุยผง มีควันลอยโขมงและฝุ่นตลบอบอวล

“บัดซบ ใช้แม้กระทั่งระเบิด RPG ไอ้พวกสวะพวกนี้ มันบ้าไปแล้วหรือยังไง ?”

คุนหลุนถ่มน้ำลายที่เต็มไปด้วยฝุ่นผงออกมา

“พวกมันไม่กลัวอะไรทั้งนั้น”

ใบหน้าซีดเผือดของเฉินตงเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด แววตาลึกซึ้งของเขาเผยให้เห็นความกลัวอย่างถึงที่สุด ซึ่งไม่เคยปรากฏให้เห็นมาก่อน

“นี่มันเป็นกลุ่มคนบ้าชัดๆ คนบ้าที่ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น อาศัยเพียงแค่พวกนายคงจัดการกับพวกมันไม่ได้”

คำพูดประโยคนี้ ยากที่คุนหลุนจะโต้เถียงได้

ในโลกของทหารรับจ้าง เขาผู้ซึ่งเป็นราชาของทหารรับจ้างย่อมรู้ดีกว่าใคร

เงินสำคัญกว่าชีวิต

ภายใต้การยั่วยวนของเงินพันล้านดอลลาร์ พวกสวะเดดพูลที่อยู่ด้านนอก จะต้องยอมต่อสู้อย่างสุดชีวิตแน่นอน

“แต่พวกเราไม่มีที่ไปแล้ว” คุนหลุนพูดอย่างจริงจัง

เฉินตงเลิกคิ้วขึ้นมาทันที : “มีอยู่ที่หนึ่ง ที่พวกมันน่าจะกลัว !”

อาหารกลางวันจืดชืดและไร้รสชาติ

การลอบสังหารชายชรา เป็นการประกาศจุดเริ่มต้นในการลอบสังหารครั้งนี้ ในขณะเดียวกัน ถือเป็นการประกาศว่าภารกิจการลอบสังหารขององค์กรhidden killers จากดาร์กเว็บ มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น

เฉินตงถึงขั้นสามารถจินตนาการได้ถึงภาพของเมืองที่ถูกซอมบี้ล้อมเอาไว้

พันล้านดอลลาร์ !

ด้วยเงินจำนวนมหาศาลที่ล่อตาล่อใจอยู่นี้ เป็นการยากที่จะรับประกันได้ว่าจะมีสักกี่คนที่จะสามารถข่มใจของตนเองเอาไว้ได้ และไม่กลายเป็นปีศาจไปเสียก่อน

ในช่วงบ่าย

ในที่สุดทีมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจำนวนหนึ่งร้อยนายก็มาถึง

เสียงเฮลิคอปเตอร์กว่าสิบลำดังกระหึ่ม แล้วบินตรงเข้าไปในเขตวิลล่าเขาเทียนซานอย่างทรงพลัง

ช่างทรงอานุภาพและแข็งแกร่ง

ฉากนี้ ทำให้เกิดความโกลาหลขึ้นในเขตวิลล่าเป็นอย่างมาก

ยังดีที่คุนหลุนได้บอกกล่าวโจวเย่นชิวเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ว่าจะมีการจัดระบบรักษาความปลอดภัยในที่เกิดเหตุขึ้นในเขตวิลล่า

อุปกรณ์รักษาความปลอดภัยค่อยๆ ถูกลำเลียงลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ทีละชิ้นๆ

เมื่อเห็นอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยที่กองเป็นภูเขาเลากา กับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอีกกองร้อย เฉินตงก็รู้สึกราวกับว่า พวกเขาจะเข้ามาปรับปรุงวิลล่าให้เปลี่ยนไปจนไม่เหลือเค้าเดิม

แต่เป็นเช่นนี้ก็ดี ระบบที่ซับซ้อน จะทำให้รู้สึกปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

คุนหลุนให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย จัดระบบภายในห้องนอนของเฉินตงเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงพาคนไปจัดระบบตรงจุดอื่นๆ

สิ่งนี้เอื้อประโยชน์ต่อการพักผ่อนของเฉินตง

เมื่อเฉินตงเดินกลับเข้าไปในห้องนอนอีกครั้ง เขาก็มองสำรวจรอบๆ และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสัย

จากการประเมินด้วยสายตา สิ่งของทุกอย่างยังคงถูกจัดวางไว้ที่เดิม

ราวกับไม่มีการสัมผัสใดๆ เลยแม้แต่น้อย

มีเพียงสิ่งเดียวที่เปลี่ยนไปก็คือ บนพื้นข้างหน้าต่าง มีอุปกรณ์ในการทำงานเพิ่มขึ้นมาสองสามชิ้นเท่านั้น

“คุณชายครับ มีการดัดแปลงอยู่หลายจุด แต่ได้ถูกแอบซ่อนไว้อย่างดีแล้ว”

คุนหลุนเดินตามเข้ามา ราวกับเข้าใจความคิดของเฉินตง เขาเดินนำไปที่หน้าต่าง จากนั้นจึงใช้ข้อนิ้วเคาะกระจก แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “ยกตัวอย่างเช่นกระจกบานนี้ เป็นกระจกด้านเดียว คุณชายสามารถมองเห็นด้านนอกได้ แต่ด้านนอกกลับมองไม่เห็นด้านใน”

ขณะที่พูด คุนหลุนก็ชี้นิ้วไปยังอุปกรณ์สองสามชิ้นเหล่านั้น

“ยังมีของพวกนี้อีก ซึ่งจะทำหน้าที่คอยรบกวนระบบอินฟราเรด และรบกวนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เป็นต้น ถึงแม้นักฆ่าจะใช้การฆ่าด้วยสไนเปอร์จากระยะไกลด้วยเทคโนโลยีขึ้นสูงก็ไม่อาจทำได้ รวมไปถึงผนังทั้งสี่ด้าน มีการเสริมด้วยวัสดุโลหะผสมพิเศษเอาไว้ด้วย”

เฉินตงอดไม่ได้ที่จะแอบรู้สึกตกใจ

การรักษาความปลอดภัยระดับนี้ เกรงว่าจะเทียบได้กับเหล่าบรรดามหาอำนาจทรงพลังเหล่านั้นได้เลยทีเดียว ?

คุนหลุนแนะนำเพียงสั้นๆ ซึ่งน่าจะเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น

เฉินตงเชื่อว่า น่าจะยังมีมาตรการรักษาความปลอดภัยอีกหลายอย่างภายในห้องนอนแห่งนี้ มิเช่นนั้นการผนวกกำลังปรับปรุงห้องของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจำนวนร้อยนาย คงไม่ทำอยู่นานจนกระทั่งพระอาทิตย์ตกดินเช่นนี้จึงจะสำเร็จ

เขาค่อยๆ กวาดสายตามองดูห้องนอนที่ยังคงอยู่ในสภาพเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

เฉินตงกลับยิ้มไม่ออก ระบบการรักษาความปลอดภัยที่แข็งแกร่งและแน่นหนา แสดงให้เห็นว่าการลอบสังหารในครั้งนี้เป็นอันตรายอย่างยิ่ง

หลังจากรู้ว่าภายในห้องนอนห้องเล็กๆ นี้ มีการติดตั้งระบบเอาไว้มากมาย เขายิ่งรู้สึกหนักใจมากขึ้น

อีกทั้ง

คุนหลุนเองก็ถอนหายใจออกมา แล้วพูดอย่างเคร่งขรึมว่า : “หวังว่าจะป้องกันได้นะครับ”

เฉินตงรู้สึกใจสั่นเล็กน้อย และเหลือบไปมองคุนหลุนด้วยความประหลาดใจ

เดิมทีเขาคิดว่า มีเพียงตัวเขาซึ่งตกเป็นเป้าในการลอบสังหารเท่านั้น ที่มีความรู้สึกเช่นนี้

กลับคิดไม่ถึงเลยว่าคุนหลุนจะรู้สึกเช่นเดียวกัน !

“ระบบมากมายขนาดนี้ ยังจะป้องกันไม่ได้อีกเหรอ?” เฉินตงถาม

“ในปีนั้น Rothschild เพื่อที่จะปกป้องตัวเขาเอง Rothschild ได้สร้างป้อมปราการพิเศษขึ้นมาหนึ่งป้อม”

คุนหลุนผายมือออกมา แล้วยิ้มด้วยรอยยิ้มที่ซับซ้อน : “คุณชาย ประสิทธิภาพในการสังหารที่นักฆ่าจะปลดปล่อยออกมาจริงๆ นั้น ยากเกินกว่าที่คนทั่วไปจะจินตนาการได้”

น้ำเสียงที่ทุ้มและเคร่งขรึม ทำให้ห้องเต็มไปด้วยกลิ่นอายของอันตรายในทันที

เฉินตงยืนนิ่งอยู่กับที่ ตอนนี้ริมฝีปากของเขาขยับ แต่กลับพูดอะไรไม่ออก

เขารู้สึกราวกับว่าลำคอตีบตัน เหมือนมีมือขนาดใหญ่ที่มองไม่เห็นเข้ามาบีบที่ลำคอของเขาเอาไว้ อย่าว่าแต่พูดเลย แม้กระทั่งหายใจก็ยังรู้สึกหายใจลำบาก

คราวนี้เดินมาถึงทางตันแล้วจริงๆ หรือนี่ ?

คุนหลุนเป็นหนึ่งในสามนักฆ่าที่ประสบความสำเร็จในการลอบสังหาร Rothschild ในครั้งนั้น สิ่งที่เขาพูดออกมา จึงไม่เกินกว่าความเป็นจริงเลยแม้แต่น้อย

เปรียบได้กับ คนเราเมื่อถึงคราวก็ต้องตาย ไม่มีใครยึดรั้งได้แม้แต่เสี้ยวเดียว

“คุณชาย คุณพักผ่อนก่อนเถอะครับ อย่ากังวลจนเกินไปเลย ควรทำอะไรอยู่ในห้องก็ทำ ทำทุกอย่างให้เหมือนปกติ”

คุนหลุนตบไหล่เฉินตง แล้วพูดปลอบเบาๆ แต่เมื่อมาถึงประโยคสุดท้าย น้ำเสียงกลับฟังดูเคร่งขรึมขึ้น : “ส่วนที่เหลือ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผมกับบรรดาสหายเก่าที่อยู่ข้างนอกก็พอ”

“ลำบากพวกนายแล้ว”

เฉินตงพยักหน้า หลังจากประตูห้องปิดลงแล้ว เขาก็ค่อยๆ เดินไปที่หน้าต่าง

ตอนนี้พระอาทิตย์กำลังตกดิน ไฟทางเดินด้านนอกเริ่มสว่างขึ้นมา

มองไปแวบแรก ก็เห็นความเงียบเหงาของเขตวิลล่าเขาเทียนซานปรากฏขึ้น ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่จะเห็นได้ง่ายดายนัก

เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว นอกจากจะเชื่อใจพวกของคุนหลุนแล้ว ก็คงทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้อีกจริงๆ

“ความรู้สึกแบบนี้ เกิดขึ้นมาอีกแล้ว น่ารำคาญจริงๆ”

เฉินตงบ่นพึมพำกับตัวเองด้วยใบหน้าที่เศร้าหมอง

เขาพยายามอย่างสุดชีวิต เพื่อไม่ต้องการให้ตนเองกลายเป็นคนไร้ความสามารถที่อยู่ภายใต้กระแสสังคมนี้ แต่สุดท้าย เขากลับไม่สามารถหลีกหนีจากการหมุนเวียนของกระแสสังคมไปได้

การตายของแม่ ทำให้นิสัยของเขาเปลี่ยนไป

แต่ถึงแม้นิสัยที่เปลี่ยนไปของเขาจะมีความโหดเหี้ยมและเด็ดขาดมากขึ้น ทว่าตอนนี้กลับยังคงไร้ความสามารถอยู่เช่นเดิม ถึงขั้นต้องเกลี้ยกล่อมให้ภรรยายอมเดินทางไปต่างประเทศ เพื่อปกป้องตนเอง

เรื่องนี้ เมื่อลองคิดๆ ดูแล้วก็รู้สึกน่าขำ

ยิ่งคิด เฉินตงก็ยิ่งรู้สึกหดหู่มากขึ้น

เขาแง้มหน้าต่างออกไปด้วยความกว้างประมาณนิ้วหัวแม่มือ คิดที่จะสูดอากาศบริสุทธิ์ด้านนอกสักหน่อย

โขลบ !

ขณะที่เปิดหน้าต่าง โทรศัพท์ก็ร่วงออกจากกระเป๋ากางเกง ลงไปอยู่บนพื้น

เฉินตงก้มลงไปเก็บโทรศัพท์ ขณะที่กำลังลุกขึ้น

ปัง !

เสียงปืนดังขึ้น

แทบจะในเวลาเดียวกัน เฉินตงรู้สึกเหมือนมีลมร้อนพัดผ่านท้ายทอยของเขาไป

ปัง !

พุ่งตรงเข้าไปยังผนังที่อยู่ด้านหน้า ซึ่งแขวนรูปแต่งงานของเขาและกู้ชิงหยิ่งเอาไว้

และตอนนี้เอง กระสุนลูกหนึ่งได้ยิงทะลุรูปของเฉินตงที่อยู่ในรูปแต่งงาน และฝังเข้าไปในกำแพง

“เฮ้ย !”

เฉินตงตกใจจนหน้าซีด เขารีบโน้มตัวแล้วย่องไปที่มุมกำแพงในทันที

ภาพที่เห็นคือ กระสุนเจาะทะลุศีรษะของเขาที่อยู่ในภาพพอดิบพอดี

กระสุนลูกนี้ เกือบไปแล้ว !

“คุนหลุน !”

เฉินตงตะโกนเสียงดัง

แทบจะในเวลาเดียวกัน มีเสียงฝีเท้าหนักแน่นดังขึ้นอย่างต่อเนื่องที่โถงทางเดินด้านนอก

ปัง !

ประตูห้องเปิดออก

คุนหลุนนำกำลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสิบกว่านายบุกเข้ามา

ในขณะเดียวกัน เขาก็ตะคอกขึ้นมาด้วยความโมโห : “บัดซบ ! รีบไปเดี๋ยวนี้ ไปลากตัวไอ้สารเลวที่เป็นคนยิงมาให้ฉันให้ได้ แล้วฆ่ามันซะ !”

ขณะที่ตะคอกอยู่นั้น คุนหลุนก็ก้มลงไปลูบตรงด้านหน้าของเฉินตง มือขวาของเขาถือปืนเอาไว้ ส่วนมือซ้ายจับไหล่ของเฉินตง : “คุณชาย ตามผมมา”

เฉินตงใบหน้าซีดเผือด ถึงขั้นแววตาดูเลื่อนลอย

ด้วยแรงกระตุ้นจากสัญชาตญาณการเอาตัวรอด เขาจึงนั่งยองๆ ลงบนพื้น แล้วเดินตามคุนหลุนออกจากห้องนอนไป

ขณะที่ทั้งสองคนเดินไปถึงโถงทางเดิน ภายใต้การคุ้มกันของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจำนวนสิบกว่านาย

จู่ๆ ก็มีเสียงปืนดังขึ้นจากที่ไกลๆ

เสียงไม่ดังมาก คาดว่าน่าจะอยู่ห่างจากวิลล่าไปพอสมควร

แต่หลังจากที่เสียงปืนดังขึ้น

คุนหลุนก็หยุดฝีเท้าลงอย่างกะทันหัน

“บัดซบ ! ไม่ใช่คนเดียว ?”

ร่างกายของเฉินตงสั่นเทา

แทบจะเป็นเวลาเดียวกัน เครื่องรับส่งวิทยุบนไหล่ของคุนหลุนก็ดังขึ้น

“หัวหน้า ! ขอกำลังเสริม ฝ่ายตรงข้ามไม่ทราบจำนวนแน่ชัด กำลังหลบซ่อนตัวอยู่ในป่าทึบ พวกเราสูญเสียพี่น้องไปสามคนแล้ว !”

คุนหลุนโกรธจัด

บรรยากาศบริเวณโถงทางเดินหนาวเหน็บขึ้นทันที

เฉินตงเองก็รู้สึกชาไปทั้งตัว

หากไม่ใช่เพราะเขายังพอมีสติอยู่บ้าง ตอนนี้เขาคงทำถึงขั้นลุกขึ้นและวิ่งออกไปข้างนอกแล้ว

แต่วิ่งออกไปข้างนอกตอนนี้ ก็ต้องตาย !

ยังไม่ทันที่คุนหลุนจะตอบกลับ

จู่ๆ ปลายสายก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน

“หัวหน้า ! ผมเห็นแล้ว เป็นทหารรับจ้างเดดพูล !”

ทหารรับจ้างเดดพูล ?

เฉินตงขมวดคิ้วแน่น แทบจะในเวลาเดียวกัน เขารู้สึกได้ว่ามือใหญ่ของคุนหลุนที่วางอยู่บนไหล่กำลังสั่น

เขาเหลือบมองคุนหลุน กลับพบว่าคุนหลุนสีหน้าซีดเผือดอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

จากนั้น คุนหลุนก็พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า : “ถอนกำลังเดี๋ยวนี้ สร้างแนวป้องกัน ให้ตายเถอะ ทีมหมาป่าที่โด่งดังในทะเลทรายเช่นนี้ ทำไมถึงได้เข้าร่วมภารกิจขององค์กรลอบสังหารได้ ?”

“ไอ้เดรัจฉาน แกยังมีหน้าโทรมาอีกเหรอ?”

ทันทีที่รับสาย อีกฝั่งก็แผดเสียงโกรธเกรี้ยวขึ้นมาทันที

ขณะที่ฟังเสียงก่นด่าของหลี่เต๋อซาน

เฉินตงไม่สนใจ พวกตระกูลหลี่ต่างก็คิดว่าเขาฆ่าคุณท่านใหญ่หลี่ การที่จะมีปฏิกิริยาแบบนี้ ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติแล้ว

เมื่อเทียบกับคำสั่งฆ่าขององค์กรนักฆ่าอำพราง The Hidden Killer ในดาร์กเว็บแล้ว ความโกรธแค่นี้ไม่ใช่ก็อะไรใหญ่โต เป็นได้แค่เศษละอองฝนเท่านั้น

เฉินตงพูดอย่างใจเย็น: “การตายของเขาไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน”

“ฮะๆ ไม่เกี่ยวงั้นเรอะ? นี่แกตั้งใจมาเล่นตลกรึไง?

เสียงของหลี่เต๋อซานเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว: “เมื่อคืนนั้น ทุกคำพูดที่แกพูดตรงหน้าประตูวิลล่าเขาเทียนซาน ฉันได้ยินมันอย่างชัดถ้อยชัดคำ! แกจะมาบอกฉันว่าแกไม่เกี่ยวแค่ประโยคเดียว แกคิดจริง ๆ เหรอว่ามันจะทำให้พ่อของฉันที่ไปยังปรโลกแล้วนอนตายตาหลับได้ ? ถุย!! ไม่ใช่ว่าแกเย่อหยิ่งทะนงตัวมากหรอกเหรอ ? ไม่ใช่ว่าชอบวางอำนาจบาตรใหญ่นักรึไง? ทำไมตอนนี้ถึงได้พลิกลิ้นมาพูดอะไรแบบนี้ซะแล้วล่ะวะ?”

ในคำพูดนั้น จู่ ๆ ก็กลายเป็นวางตนสูงส่งและดูถูกเหยียดหยามอย่างไม่สบอารมณ์ขึ้นมาเฉยๆ

หลี่เต๋อซานพูดต่ออีกว่า: “อ๋อ ฉันรู้แล้ว เดรัจฉานอย่างแกคงรู้เรื่ององค์กรนักฆ่าอำพราง The Hidden Killer ในดาร์กเว็บแล้วล่ะสิท่า? รู้จักกลัวขึ้นมาแล้วรึไง ? เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างแก รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำแล้วงั้นสิ ? มันสายเกินไปแล้วโว้ย ! นับตั้งแต่ตอนที่แกลงมือฆ่าตาของแกด้วยมือของแกเองต่อให้ตระกูลหลี่ต้องล้มละลายบ้านแตกสาแหรกขาด หมดสิ้นความมั่งคั่ง ฉันก็จะให้แกต้องถูกฝังไปพร้อมกับพ่อของฉัน!”

ชุดคำถามเชิงโวหารที่ย้อนมา แสดงให้เห็นถึงความรู้สึกของหลี่เต๋อซานว่าตัวเองนั้นสูงส่งเหนือกว่า

สถานะมหาเศรษฐีผู้เย่อหยิ่งอวดดีประจำตระกูลหลี่แห่งเมืองหลวง ซึ่งใช้เผชิญหน้ากับเฉินตงในเวลานี้ ท้ายที่สุดก็หวนกลับมาเหมือนเดิมแล้ว

“ไอ้โง่บัดซบเอ๊ย!”

เฉินตงด่าออกไปประโยคหนึ่ง จึงกดวางสาย

เฉินตงขยี้ผมอย่างหงุดหงิด รู้สึกอารมณ์เสียที่จู่ ๆ ก็ดันคิดวิธีแก้เบื่อแบบนี้ออกมาซะได้

อันที่จริง เขาแค่อยากจะช่วยเตือนสติให้คนตระกูลหลี่ได้ตาสว่างขึ้นมาบ้าง

แต่สุดท้าย กลายเป็นว่าเขาดันมองข้ามเรื่องที่สำคัญมากเรื่องหนึ่งไป

นั่นคือ คนตระกูลหลี่ไม่ว่าจะเด็กหรือแก่ ต่างก็โง่บัดซบเหมือนกันหมดทั้งตระกูล!

ไม่อย่างนั้น ในตระกูลที่ให้ความสำคัญแต่กับลูกชาย ละเลยลูกสาวอย่างตระกูลหลี่ คุณท่านใหญ่หลี่ที่ใกล้จะลงโลงเต็มที จะกัดฟันพกพาหัวใจอันดำมืดมาอ้อนวอนขอร้องเขา ซึ่งเป็นหลานที่ใช้แซ่ของตระกูลอื่นคนหนึ่ง ให้ขึ้นไปเป็นเจ้าบ้านตระกูลหลี่แบบนี้ได้ยังไงล่ะ?

เดาได้ว่าคุณท่านใหญ่หลี่เองก็เข้าใจดีว่า ทุกคนในตระกูลหลี่ที่เหลือเป็นยังไง ดังนั้นจึงได้มาขอให้เขาช่วยเป็นกรณีฉุกเฉิน วางแผนที่จะใช้เขาเป็นสะพานข้าม เป็นเครื่องช่วยกอบกู้ตระกูลหลี่รุ่นต่อไปล่ะสิท่า?

หลังสูดหายใจเข้าลึก ๆ เฮือกหนึ่ง เฉินตงก็เล่นโทรศัพท์มือถืออย่างเบื่อหน่าย

งานในบริษัท คงทำได้เพียงควบคุมจากระยะไกลเท่านั้นแล้ว เมื่อเช้าตอนที่ไปส่งกู้ชิงหยิ่งกับฟ่านลู่ที่สนามบินพร้อมคุนหลุน เขาก็ได้เตรียมจัดการเรื่องงานของไท่ติ่งเอาไว้หมดแล้ว

บริษัทการเงินมีฉินเย่กับฉินเสี่ยวเชียน ช่วยควบคุมดูแลจากทางไกล

ส่วนบริษัทบันเทิงทางนั้น มีฉู่เจียนเจียกับตระกูลจางช่วยจัดการให้

ในทางตรงกันข้าม กลายเป็นว่าเขาเองนี่แหละ ที่เป็นคนเกียจคร้านว่างงานที่สุด

ก๊อกๆ!

มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

“คุณชายครับ ได้เวลาทานข้าวเที่ยงแล้ว”

“ไปเดี๋ยวนี้แหละ”

เฉินตงลุกขึ้น ลงไปกินข้าวเที่ยงกับคุนหลุนที่ชั้นล่าง

สิ่งที่สร้างความประหลาดใจให้กับเฉินตงคือ ในช่วงเวลาสั้น ๆ แค่นี้ ไม่รู้ว่าคุนหลุนไปได้เครื่องมือตรวจสอบมาจากไหน เอามาวางไว้ข้างห้องอาหารแล้วเรียบร้อย

“คุณชาย นี่คือเครื่องมือตรวจสอบความปลอดภัย นับจากนี้ไป อาหารสามมื้อของคุณในแต่ละวัน แม้กระทั่งน้ำดื่ม ล้วนจะต้องได้รับการตรวจสอบยืนยันด้วยเครื่องมือนี้เสียก่อน จึงจะสามารถกินได้”

คุนหลุนเตือนว่า: “นี่คือสิ่งที่ผมสั่งให้คนที่ดูแลงานทั่วไปในตระกูลเฉิน เอามาให้เมื่อกี้นี้เองครับ ในช่วงเวลาที่ต้องระวังเป็นพิเศษแบบนี้ ทุกอย่างต้องระแวดระวังอย่างถึงที่สุด”

นี่ไม่ใช่การดูแลความปลอดภัยให้แก่ฮ่องเต้ในสมัยก่อนหรอกเหรอ?

เฉินตงหัวเราะเยาะตัวเอง ไม่สิ ท่าทางจะเข้มงวดเสียยิ่งกว่าฮ่องเต้เลยด้วยซ้ำ เพราะแม้แต่ฮ่องเต้ยังใช้แค่เข็มเงินในการทดสอบอาหารเท่านั้น

หลังจากนั่งลงแล้ว เฉินตงกับคุนหลุนก็กินข้าวพร้อมกัน

บนโต๊ะอาหารอันใหญ่โต มีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้น อาหารก็เป็นเพียงอาหารง่าย ๆ แค่สามอย่างกับซุปอีกหนึ่ง วางอยู่ตรงหน้าพวกเขาที่มุมโต๊ะมุมหนึ่ง

เมื่อเทียบกับเมื่อก่อน บ้านในวันนี้ ดูเย็นเยียบเปลี่ยวเหงาและว่างเปล่ากว่าเดิมลงไปมาก

แต่เฉินตงรู้ดีว่า มีเพียงความเย็นเยียบว่างเปล่าแบบนี้เท่านั้น ที่จะสามารถหลีกเลี่ยงอันตรายได้มากที่สุด

จนกว่าเรื่องทุกอย่างจะจบสิ้นลง ทั้งหมดที่ทำได้มีเพียงต้องอดทนเท่านั้น

“คุณชาย คาดว่าทีมรักษาความปลอดภัยคงจะมาถึงที่นี่ในตอนค่ำวันนี้นะครับ เดี๋ยวผมจะจัดการให้พวกเขาวางกำลัง ทั้งภายในและภายนอกคฤหาสน์โดยรอบ”

คุนหลุนพูดอย่างใจเย็นว่า: “หลังจากจัดวางกำลังเสร็จแล้ว คฤหาสน์นี้ก็นับได้ว่าเป็นถังเหล็กแห่งหนึ่ง คุณชายไม่ต้องกังวล สามารถนอนหลับฝันดีได้แล้วนะครับ”

“แล้วถ้าจะออกไปข้างนอกล่ะ?” เฉินตงถาม

คุนหลุนเผยสีหน้าจนใจ: “คงต้องพึ่งพาความร่วมมือจากทีมการ์ดเท่านั้นแล้วล่ะครับ”

เขารู้แก่ใจดี ว่าในบ้านเขาสามารถนอนหลับฝันดีได้ แต่นั่นมันก็เป็นแค่เพียงแง่มุมเดียว

แต่ไม่ว่าใคร ก็ไม่มีทางจะขังตัวเองอยู่แต่ในบ้านตลอดไปได้

เมื่อไหร่ก็ตามที่ออกไปข้างนอก ความเสี่ยงที่ควบคุมไม่ได้ รวมถึงเหตุไม่คาดฝันที่ไม่สามารถคาดเดาได้ก็มีสิทธิ์จะเกิดขึ้นได้เสมอ

“ฉันจะพยายามลดการออกไปข้างนอกให้มากที่สุดก็แล้วกัน” เฉินตงเริ่มรู้สึกว่าลิ้นไม่รู้รสอาหารขึ้นมาซะแล้ว

หลังจากกินอาหารอย่างจืดชืดไปได้สองคำ เขาก็วางชามกับตะเกียบลง

“คุณชาย ผมทำไม่อร่อยอย่างนั้นเหรอครับ?” คุนหลุนรีบเอ่ยถาม

“ไม่ได้ใส่เกลือ”

คุนหลุน : “…..”

เขาทำอาหารไม่เป็นจริงๆ แต่ตอนนี้ในบ้านมีแค่เขากับเฉินตงสองคน จะยังไงก็ปล่อยให้คุณชายเป็นคนลงมือทำอาหารให้เขาไม่ได้หรอกมั้ง ?

“ไม่เป็นไรหรอก ยังไงซะแค่คิดเรื่องถูกลอบฆ่านี่แล้ว ฉันก็ไม่มีความอยากอาหารสักเท่าไหร่แล้วล่ะ”

เฉินตงเอนกายลงบนเก้าอี้ ยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาหนุนไว้ที่ด้านหลังศีรษะ: “คุนหลุน อันที่จริง ฉันมีเรื่องที่คิดตั้งแต่เมื่อกี้ระหว่างทางกลับมาจนถึงตอนนี้ คิดอยากจะถามนายมาตลอดเลย ตอนนี้พอดียังมีเวลาอยู่บ้าง ก็คุยกับนายสักหน่อยแล้วกัน”

“เชิญคุณชายพูดมาเถอะครับ”

คุนหลุนกินไปพลาง คุยไปพลาง

เฉินตงถูจมูกที่เริ่มบวมน้อย ๆ แล้วพูดว่า “ดาร์กเว็บไม่ใช่ที่ที่คนธรรมดาจะเข้าถึงได้ ทำไมคนแก่ที่เราไปเจอมาเมื่อกี้นี้ สภาพเขาดูยากจนข้นแค้นถึงขนาดนั้นแท้ ๆ ถึงสามารถเข้าไปในดาร์กเว็บ แล้วเห็นภารกิจลอบฆ่าฉันที่ประกาศโดยองค์กรนักฆ่าอำพราง The Hiidden Killer ได้ล่ะ?”

ประโยคที่ราบเรียบธรรมดาประโยคเดียว แต่กลับทำให้แววตาของคุนหลุนลุกวาบเป็นประกาย

อาหารที่เข้าปากไปแล้ว ถึงกับถูกพ่นกลับเข้าไปในชามเลยทีเดียว

คุนหลุนวางชามกับตะเกียบลง ขมวดคิ้วเป็นปม เผยให้เห็นถึงความสงสัยและครุ่นคิด

อย่างจริงจัง

น้อยคนนักที่จะรู้ความลับของดาร์กเว็บ

แม้กระทั่งคนอย่างเฉินตงที่มีสถานะทางสังคมในระดับนี้ ก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ

แล้วคนที่เป็นชาวไร่ชาวนาแก่ชราคนหนึ่ง รู้เรื่องนี้ได้ยังไง?

อีกทั้งยังเข้าไปได้แล้ว ยังไปเห็นภารกิจลอบฆ่าที่ประกาศโดยองค์กรนักฆ่าอำพราง The Hidden Killer ด้วย

ประเด็นที่สำคัญกว่านั้นคือ การเข้าสู่ดาร์กเว็บนั้น จำเป็นต้องใช้วิธีการพิเศษในการเข้าถึงเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ไม่ต้องพูดถึงฝีมือระดับแฮ็กเกอร์ก็ได้ แต่อย่างน้อยก็ต้องเป็นคนที่มีทักษะ รู้เรื่องทางเทคนิคการใช้คอมพิวเตอร์ในระดับหนึ่ง

แต่ชายชราคนนั้น เห็นได้ชัดว่าไม่ได้มีความรู้ในการสื่อสารซึ่งเกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์เลย

“ ดูจากท่าทางของนาย ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นแล้วล่ะ ”

เฉินตงมองคุนหลุนที่กำลังขมวดคิ้วพลางครุ่นคิดอย่างหนัก ค่อยพูดขึ้นอย่างเคร่งขรึมว่า: “ฉันสงสัยว่าภารกิจลอบฆ่าที่ว่านี้ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในดาร์กเว็บอีกต่อไปแล้วล่ะ”

ชายชราคนหนึ่ง ที่ไม่มีทางเข้าสู่แวดวงการสื่อสารในดาร์กเว็บ

แต่ทั้งที่เป็นอย่างนั้น กลับรู้ภารกิจลอบฆ่า ทั้งยังกลายเป็นนักฆ่าคนแรกที่มาลอบฆ่าเขาอีกด้วย

ความลับในเรื่องราวทั้งหลายที่เกิดขึ้นนี้ มีมากเกินไปแล้ว!

ถ้าไม่ใช่เพราะมีคนจงใจชี้นำ เฉินตงคงจะเชื่อมโยงสองเรื่องนี้เข้าด้วยกันได้ยากจริง ๆ แล้ว

“ มีคนนำภารกิจลอบฆ่าออกมาจากดาร์กเว็บ แล้วเผยแพร่ออกไปในโลกอินเทอร์เน็ตแล้ว” คุนหลุนสูดลมหายใจเย็น ๆ เข้าไปเฮือกใหญ่ “สรุปแล้ว เป็นใครกันแน่นะที่คอยชี้นำอยู่ ? ”

แค่องค์กรนักฆ่าอำพราง The Hidden Killer ในดาร์กเว็บอย่างเดียว ก็น่ากลัวมากพอแล้วแท้ ๆ

หากยังมีคนธรรมดาเข้ามาเกี่ยวข้องมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างนี้ พอถึงเวลานั้นเข้าจริง ๆ เพียงแค่จัดการกับคนธรรมดาพวกนี้ก็ทำให้ปวดหัวมากพอแล้ว ไม่ต้องพูดถึงนักฆ่าตัวจริงที่ซ่อนเร้นพรางกายอยู่ในความมืดนั่นอีก

“ไม่ใช่ตระกูลหลี่แน่ ด้วยวิธีการโง่เง่าในการจัดการเรื่องต่าง ๆ ของตระกูลหลี่ที่ผ่านมา มันเป็นไปไม่ได้ที่หลังจากประกาศภารกิจในดาร์กเว็บแล้ว จะตามด้วยการประโคมข่าวออกไปให้ใหญ่โตจนรู้กันทั่วบ้านทั่วเมืองแบบนี้”

เฉินตงถูจมูกพลางเลิกคิ้วยิ้มหยัน: “จะเป็นไปได้มั้ยว่า อาจเป็นคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน?”

บึ้ม!

คุนหลุนรู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่า สีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอย่างหนัก

ริมฝีปากของเขาพะเยิบพะงาบ คิดอยากจะพูดอะไรออกมาบ้าง แต่กลับพูดไม่ออก

เพราะว่า มันมีความเป็นไปได้มากจริงๆ!

หากจะพูดว่าใครที่เกลียดเฉินตง และอยากกำจัดตระกูลหลี่ซึ่งในเวลานี้มี “หนี้ชีวิต”กับคุณชายอยู่ คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินย่อมต้องมีชื่ออยู่ในอันดับหนึ่งอย่างแน่นอน!

“แต่ฉันเองก็ไม่แน่ใจนะ อย่างน้อยในแง่ของการชี้นำ คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินก็สมควรเป็นคนที่น่าสงสัยที่สุดแล้ว”

เฉินตงยิ้มอย่างฝืดฝืน หลังจากคิดจนได้ประเด็นสำคัญออกมาแล้ว ความวิตกกังวลและความตึงเครียดในใจกลับไม่ได้คลายลง แต่กลับทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นไปเสียอีก

เพราะที่เขาต้องเผชิญหน้าไม่ใช่ตระกูลหลี่ แต่เป็นตระกูลหลี่กับกองกำลังอื่นซึ่งไม่รู้แน่ชัด ต่อให้นั่นจะไม่ใช่คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน แต่อย่างไรก็ต้องมีบุคคลที่สามเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอย่างแน่นอน

และบุคคลที่สามที่ว่านี้ มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่า อาจจะเป็นฆาตกรที่ฆ่าคุณท่านใหญ่หลี่จริงๆ!

อากาศดูคล้ายจะหยุดนิ่งลง ณ ชั่วเวลานั้น

รอบด้านล้วนเงียบสนิท

พระอาทิตย์ส่องแสงเป็นประกาย

ลมพัดแผ่วโชยเอื่อย แต่กลับมีเพียงเสียงกรอบแกรบของใบไม้

ผั๊วะ!

จู่ๆ คุนหลุนก็ยกเท้าขวาขึ้น แล้วเตะหินโมเสกที่วางประดับเรียงรายอยู่บนพื้นจนหลุดออก

จากนั้น ภายใต้สายตางุนงงของเฉินตงที่จ้องมองอยู่

คุนหลุนก็ก้มตัวลงไปหยิบหินขึ้นมาก้อนหนึ่ง แล้วขว้างมันไปทางประตูคฤหาสน์อย่างแรง

ภายใต้แรงขว้างอันมหาศาล ก้อนหินนั้นถึงกับส่งเสียงหวีดหวิว เกิดเป็นเสียงลมขณะที่มันลอยผ่านอากาศไป

นั่นทำให้เฉินตงตกใจระคนงุนงงมาก

แต่แล้ว ในตอนที่หินก้อนกำลังจะลอยไปถึงประตูคฤหาสน์นั่นเอง

การเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติ ก็เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน

วี้ดดดดดดด!

ที่กลางอากาศ จู่ ๆ ก็เกิดเสียงหวีดแหลมดังเสียดแทรกขึ้นมาจนแสบแก้วหู

เสียงหวีดแหลมนั้นสับสนสะเปะสะปะ ทำให้ยากต่อการจับทิศทางที่เป็นต้นเสียงได้

แต่ในชั่วพริบตานั้น ก้อนหินที่ลอยคว้างอยู่กลางอากาศก็แตกออกเป็นสองเสี่ยง แล้วตกลงสู่พื้น

“นี่มันสถานการณ์บ้าบออะไรกันเนี่ย!?”

เฉินตงสีหน้าเปลี่ยนอย่างหนัก อดร้องอุทานออกมาไม่ได้

หลังจากพูดจบ หัวใจของเขาก็เต้นกระหน่ำรัวเร็วราวลั่นกลอง เรียกได้ว่าเหมือนหัวใจแทบจะกระเด็นออกจากอกได้อยู่แล้ว

แม้จะอาศัยสติที่แน่วแน่มั่นคงอยู่เสมอของเขา ในเวลานี้ก็ยังยากที่จะควบคุมอารมณ์ได้

หากไม่ใช่เพราะคุนหลุนเรียกให้เขาหยุดแล้วล่ะก็ เมื่อครู่เขาคงจะเดินเข้าไปทั้งอย่างนั้นแล้ว

และเมื่อพิจารณาจากตำแหน่งความสูงที่ก้อนหินแตก ก็พบว่ามันอยู่ตรงตำแหน่งมุมคอของเขาพอดิบพอดีอีกด้วย

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ถ้าเมื่อครู่นี้เขาเดินเข้าไป คอของเขาก็จะเป็นเหมือนหินก้อนนั้น คือถูกบั่นจนขาดสะบั้น หัวกับตัวปลิวออกจากกันไปคนละทิศคนละทาง!

เพราะถึงยังไง คอของเขาก็ไม่ได้แข็งไปกว่าก้อนหินแน่ ๆ!

ก่อนหน้านี้ ก็เพิ่งเจอการลอบฆ่าจากชายชราคนนั้น

ตอนนี้พอกลับถึงบ้าน แม้แต่ประตูหน้าบ้านก็กลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว

ทุกย่างก้าวคือการลอบฆ่าอย่างแท้จริง!

เฉินตงอกสั่นขวัญผวาไปหมดแล้ว

เขาพอจะเดาได้ว่ามันจะต้องอันตรายมาก แต่กลับคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าสถานการณ์จะเป็นแบบนี้

คุนหลุนถอนหายใจหนัก ๆ เฮือกหนึ่ง สีหน้าหนักอึ้งเคร่งเครียด แววตาลึกล้ำค่อย ๆ เดินไปที่ประตูอย่างระมัดระวัง

เฉินตงตามหลังเขาไปติด ๆ

เขาเห็นคุนหลุนหยุดอยู่ตรงหน้าประตู แล้วยกมือทั้งสองข้างขึ้นไปสัมผัสอะไรบางอย่างที่อยู่กลางอากาศอย่างแผ่วเบา

ภาพฉากนี้ เป็นอะไรที่ดูแล้วตลกพิลึก

แต่เวลานี้ เฉินตงกลับหัวเราะไม่ออกโดยสิ้นเชิง

“เจอแล้วครับ!”

จู่ ๆ คุนหลุนก็ขมวดคิ้วมุ่น

“อะไรรึ?”

เฉินตงขมวดคิ้วมองที่มือขวาของคุนหลุน คล้ายว่าเขากำลังบิดอะไรบางอย่างอยู่ แต่กลับมองเห็นไม่ชัด

คุนหลุนยิ้มน้อย ๆ พลางบิดนิ้วชี้กับนิ้วโป้งมือขวาเข้าหากัน

ภายใต้แสงอาทิตย์ที่สาดส่อง ปรากฏแสงเย็น ๆ สายหนึ่ง สะท้อนวูบขึ้นมากลางอากาศในชั่วพริบตา

หัวใจของเฉินตงถึงกับกระตุกอย่างรุนแรง เขามองเห็นแล้ว มันคือด้ายเส้นหนึ่งที่เล็กและบางอย่างยิ่ง!

“คุณชายครับ สิ่งนี่เรียกว่าเซอร์คัมเฟลกซาครับ ”

คุนหลุนอธิบายช้า ๆ ว่า “มันบางละเอียดเหมือนดั่งเส้นผม แต่ยืดหยุ่นได้มากกว่า คมดุจเกล็ดปลา สามารถสะบั้นทั้งทองและหินให้แตกหักได้ เป็นอาวุธลับที่มีกลไกแบบพิเศษที่นักฆ่านำมาใช้ เซอร์คัมเฟลกซาชนิดนี้พบเห็นได้ยาก ถึงขั้นพูดได้ว่ามันเป็นอาวุธล่องหนที่สามารถฆ่าคนได้ก็ไม่เกินจริงเลยทีเดียว”

“แล้วนาย……”

เฉินตงมองคุนหลุนด้วยความงุนงงสงสัย ระคนประหลาดใจ

ไม่รอให้เขาพูดจบ คุนหลุนก็ชี้ไปที่โคนต้นไม้เล็ก ๆ ในคฤหาสน์ต้นหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกล แล้วยกยิ้มประหลาด: ” ตอนที่องค์กรhidden killersในดาร์กเว็บประกาศภารกิจ ผมก็ไล่ทำเครื่องหมายเพื่อพิสูจน์ร่องรอยเอาไว้ทุกแห่งจนทั่วคฤหาสน์แล้ว กระทั่งนอกคฤหาสน์ผมก็ทำไว้ด้วยส่วนหนึ่งเหมือนกัน”

“ต้นไม้เล็ก ๆ ต้นนั้นถูกผมป้ายปูนขาวเอาไว้ชั้นหนึ่ง คุณชายลองสังเกตดูดี ๆ สิครับ มันมีช่องว่างของปูนขาวที่ปรากฏบนลำต้นแล้วใช่ไหมล่ะครับ?”

เฉินตงมองดูอย่างละเอียดลึกซึ้งอีกครั้ง รอยปูนขาวกระจายตัวอย่างสม่ำเสมออยู่บนลำต้น ในที่สุดเขาก็มองเห็นช่องว่างเล็ก ๆ ที่ว่านั้นได้จริง ๆ เป็นช่องว่างที่น่าจะมีขนาดหนาแค่พอ ๆ กับนิ้วก้อยของเขาเท่านั้น

ถ้าไม่สังเกตดูอย่างละเอียดถ้วนถี่เป็นพิเศษ ก็จะไม่สามารถตรวจพบได้เลย

“กลไกของอาวุธลับอยู่บนต้นไม้นั่น”

คุนหลุนเดินตรงไปที่ต้นไม้ต้นเล็กนั้นอย่างมั่นใจ จากนั้นก็พุ่งปราดขึ้นไปด้วยพลังที่น่าทึ่งราวสัตว์ป่า แล้วกระแทกฝ่ามือเข้ากับลำต้นโดยตรง ด้วยกระบวนท่าปล่อยแรงปราณที่บีบอัดจนแน่นออกไป

สิ่งที่ตามมากับเสียงกระแทกที่ทึบ ๆ แต่หนักแน่นนั้น คือใบจากต้นไม้เล็ก ๆ ต้นนั้นต่างพากันร่วงหล่นโปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง

เคร้ง ๆ ๆ …

กล่องโลหะใบหนึ่งที่มีขนาดใหญ่พอ ๆ กับกำปั้น ก็ร่วงตกลงมาบนพื้นเสียงดังสนั่น

คุนหลุนหยิบกล่องโลหะใบนั้นขึ้นมา แล้วยื่นไปตรงหน้าเฉินตง “ก็คือสิ่งนี้นี่แหละครับ”

พูดพลาง เขาก็ชี้ไปที่ต้นไม้อีกต้นที่อยู่ไม่ไกลกันนัก: “ตรงนั้นยังมีอีกใบ”

เฉินตงมองดูกล่องโลหะในมือ เจ้ากล่องกลใบนี้ถ้าเทียบกันจริง ๆ มันมีขนาดที่เล็กกว่ากำปั้นผู้ใหญ่เกือบครึ่งเห็นจะได้ มีลักษณะแบนคอดกิ่วเหมือนแผ่นดิสก์ขนาดเล็ก ถ้าต้องอธิบายออกมาเป็นคำพูด มันดูเหมือนกล่องเป่าฟองสบู่ยักษ์ตอนที่เขาเป็นเด็กไม่มีผิด

และในรูเล็ก ๆ ด้านข้างกล่อง มีเซอร์คัมเฟลกซาร้อยเชื่อมต่อกันยาวเป็นเส้นเดียว แต่เนื่องจากกล่องถูกคุนหลุนกระแทกจนร่วงลงมาจากต้นไม้ ทำให้ตอนนี้เจ้าเซอร์คัมเฟลกซานั่นไม่ได้ร้อยต่อกันจนตึงแน่นแล้ว แต่ร่วงตกลงพื้นไปแทน

ในเวลานั้นเอง คุนหลุนก็ไปเก็บกล่องโลหะอีกใบหนึ่งลงมาเรียบร้อย

หลังจากเดินไปหยุดตรงหน้าเฉินตงแล้ว เขาก็พูดขึ้นว่า “คุณชาย ขอกล่องโลหะนั่นให้ผมด้วยครับ”

หลังได้รับกล่องโลหะในมือของเฉินตงมาแล้ว คุนหลุนก็ถอยหลังไปสามก้าว แล้วหยิบเหล็กเดือยปลายแหลมที่ทหารใช้ออกมาจากช่วงเอว หลังวางกล่องโลหะทั้งสองใบลงบนพื้น เขาก็ใช้เหล็กเดือยปลายแหลมนั้น จ้วงเข้าไปตรงบริเวณรูเล็ก ๆ ที่อยู่ตรงส่วนหน้าของกล่องใบหนึ่ง

เปรี๊ยะ!

ปรากฏเสียงหวีดหวิวกลางอากาศ ดังตามหลังเสียงบางอย่างที่แตกหักขึ้นมาติด ๆ

เซอร์คัมเฟลกซาทั้งหมด ต่างม้วนตัวกลับเข้าไปในกล่องโลหะอีกใบหนึ่งทันที

คุนหลุนหยิบกล่องนั้นขึ้นมา แล้วยื่นให้เฉินตง: “คุณชาย เจ้ากล่องกลนี่เป็นอาวุธที่ทำได้ยากมาก ผมติดตามคุณท่านมานานหลายปีแล้ว ยังไม่เคยคิดจะทำอาวุธที่มีกลไกซับซ้อนแบบนี้เลย แต่ตอนนี้ อุตส่าห์มีคนเอามาส่งให้เองจนถึงหน้าประตูแล้ว คุณชายก็เก็บรักษาไว้ดี ๆ เถอะครับ มันเป็นของดีที่ใช้เป็นเครื่องป้องกันตัวได้เลยทีเดียว”

เฉินตงพยักหน้าตอบรับ

เขากวาดตามองไปรอบ ๆ ด้วยความหวาดหวั่น: “นักฆ่าเข้ามาวางกลไกเอาไว้ที่นี่ เจ้าตัวก็น่าจะอยู่แถวๆ นี้ด้วยใช่ไหม?”

“ไม่หรอกครับ”

คุนหลุนยิ้มอย่างติดจะจองหองน้อยๆ: “นักฆ่าที่รู้วิธีใช้เซอร์คัมเฟลกซา ย่อมเป็นนักฆ่าที่มีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์ นักฆ่าที่แท้จริง จะไม่เอาตัวเองไปอยู่ในตำแหน่งที่เสี่ยงต่ออันตรายเด็ดขาด ก่อนการลอบฆ่าทุกครั้ง จะต้องหาทางหนีที่ไล่เอาไว้อย่างแน่นอน ต่อให้การลอบฆ่าครั้งนั้นล้มเหลว ก็ยังสามารถปกป้องตัวเอง รวมทั้งหาทางหลบหนีไปได้ด้วย”

เฉินตงยกยิ้มอย่างขมขื่น

ด้วยจุดนี้เพียงประการเดียว นักฆ่าคนนี้ก็มีภาษีกว่าชายชราบนถนนคนนั้นเป็นพันเท่าแล้ว!

เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ พยายามทำให้จิตใจตัวเองสงบลง

“ไปกันเถอะ กลับบ้าน”

เฉินตงพูดออกมาประโยคหนึ่ง ก็หันหลังเดินเข้าบ้านไป

แต่เพื่อความปลอดภัยรอบด้าน คุนหลุนยังคงรีบเดินไปข้างหน้าของเฉินตง แล้วกวาดสายตาสแกนดูสิ่งผิดปกติไปตลอดทาง ระมัดระวังทุกย่างก้าวรอบตัวเขา

สีหน้าของเฉินตงที่เดินตามหลังคุนหลุนยังคงสงบนิ่ง แต่กล่องโลหะในมือเขาใบนั้น กลับถูกมือขวาของเขาบีบอย่างรุนแรงไปนานแล้ว ถึงขั้นที่หลังมือปรากฏเส้นเลือดสีเขียว ๆ นูนขึ้นมาให้เห็นอย่างเด่นชัด ทั้งยังสั่นน้อย ๆ

เขาไม่เคยคิดเลยว่า จะมีวันหนึ่งที่เขากลับมาถึงบ้านตัวเอง แล้วจะต้องรู้สึกหวาดกลัวจนหัวหดถึงขนาดนี้!

ความรู้สึกอัปยศจากการถูกกดดันคุกคามเช่นนี้ ทำให้เฉินตงทั้งโกรธ ทั้งไม่ยินยอมพร้อมใจอย่างถึงที่สุด

การถูกโจมตีอย่างรุนแรงร้ายกาจ ทุกย่างก้าวมีแต่คนหมายจะเข่นฆ่า!

ในระยะเวลาเพียงสั้น ๆ ถึงกับมีการลอบสังหารถึงสองครั้ง อีกทั้งการลอบฆ่าแต่ละครั้งก็ยิ่งอันตรายมากขึ้นเรื่อย ๆ อีกด้วย

ถ้าอย่างนั้น แล้วหลังจากนี้ล่ะ?

และถึงจะเป็นอย่างนั้น เขากลับทำได้แค่เป็นฝ่ายตั้งรับ กระทั่งโอกาสที่จะต่อต้านก็ยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ

หลังจากเข้าไปคฤหาสน์ คุนหลุนก็ใช้เวลาสองชั่วโมงเต็ม ๆ ในการตรวจสอบทุกอย่างในบ้าน

หลังจากยืนยันได้ว่าไม่มีอันตราย เฉินตงก็กลับไปที่ห้องนอนของตัวเองตามลำพัง

ส่วนคุนหลุน ก็เลือกที่จะย้ายไปห้องข้าง ๆ ห้องนอนของเฉินตง

ขณะที่นอนอยู่บนเตียง เฉินตงเอาแต่รู้สึกสังหรณ์ใจในความไม่ปลอดภัยอยู่ตลอดเวลา

เขาไม่กลัวอันตราย แม้กระทั่งในตอนแรกที่เขาต้องอยู่ในคุกมืดนั่น แม้จะรู้ว่ามันเป็นสถานการณ์ที่สิ้นหวัง เขาก็กล้าที่จะต่อสู้แบบทุ่มสุดตัว

แต่สิ่งที่เขากลัว คือความรู้สึกที่ต้องเผชิญกับอันตรายที่ไม่อาจล่วงรู้ได้ ในแบบที่เป็นอยู่ตอนนี้ต่างหาก

และทั้งหมดนี้ ล้วนมีสาเหตุมาจากตระกูลหลี่ทั้งสิ้น!

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เฉินตงก็ขมวดคิ้วมุ่น หยิบโทรศัพท์มือถือออกมา แล้วกดค้นหาบันทึกการโทรรอบหนึ่ง

ในที่สุด ก็พบการโทรที่ยังไม่ได้บันทึกในบันทึกการโทรจนได้

จากนั้น เขาก็กดโทรออก

แต่หลังจากที่เสียงสัญญาณเรียกสายเริ่มดัง อีกฝ่ายก็วางสายไป

เฉินตงไม่ยอมหยุด ยังคงโทรออกอย่างต่อเนื่อง

หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง…

เขาโทรแบบวนไปจนครบรอบ ก็ถูกวางสายใส่ทุกรอบ

แม้แต่เฉินตงเอง ก็ไม่รู้ว่าตัวเองโทรออกไปกี่ครั้งเหมือนกัน

ไหนๆ อยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว ถือซะว่าหาอะไรทำช่วงเบื่อ ๆ ไปซะก็แล้วกัน

เขากดหมายเลขเดิมซ้ำอีกครั้ง

หลังจากได้ยินเสียงเรียกสาย ในที่สุดคนปลายสายก็ยอมกดรับโทรศัพท์

เสียงตะโกนร้องที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน

เฉินตงตกใจจนผงะ

เขารีบมองตรงไปข้างหน้า เท้าพลันเหยียบเบรกตามสัญชาตญาณ

โครม!

ปรากฏเสียงดังสนั่น

ที่ด้านหน้ารถ เงาร่างร่างหนึ่งลอยกระเด็นออกไป

ชนโดนคนเข้าแล้ว!

หัวใจของเฉินตงหนักอึ้งจมดิ่งทันที

เมื่อครู่นี้ที่คุยโทรศัพท์กับพ่อ ทำให้เขาฟุ้งซ่านไปชั่วขณะ บวกกับการที่เขาหันไปมองคุนหลุน จึงไม่ได้สังเกตคนที่อยู่ริมถนนคนนี้เลย

สนามบินชานเมือง อยู่นอกเมืองในเขตชานเมืองตามชื่อ การที่ชาวบ้านบริเวณใกล้เคียงจะข้ามถนนจึงไม่ใช่เรื่องที่พบเห็นได้บ่อย

“ดูเหมือนจะเป็นคนแก่นะครับ ไม่น่าจะเป็นปัญหาใหญ่ คุณชายรออยู่ในรถเถอะครับ ผมจะลงไปดูเอง”

คุนหลุนปลดเข็มขัดนิรภัย แล้วลงจากรถทันที

สถานการณ์ของเฉินตงในเวลานี้ ด้วยคุณสมบัติระดับมืออาชีพของคุนหลุน จึงต้องระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากอุบัติเหตุแบบกะทันหัน

เฉินตงถอนหายใจหนัก ๆ เฮือกหนึ่ง มองเห็นได้ราง ๆ ว่ามีคราบเลือดไหลออกมาเป็นสายบนพื้นดิน

ชายชราสวมเสื้อผ้าแบบชาวบ้านธรรมดา นอนคว่ำหน้าแน่นิ่งอยู่บนพื้น

แม้ว่าเมื่อครู่เขาจะเหยียบเบรกแล้ว ทั้งความเร็วรถก็ไม่เร็วมาก แต่สุดท้ายเขาก็ยังชนอยู่ดี ไม่เพียงแค่ชนคนแก่เท่านั้น แต่ยังชนจนมีเลือดไหลออกมาอีกด้วย

ปัญหานี้… ไม่ใช่เรื่องใหญ่จริง ๆ น่ะเหรอ?

“ท่านครับ ท่าน!”

ที่ด้านนอก คุนหลุนนั่งลงข้างชายชรา แล้วตะโกนเรียกเสียงดัง

แต่ชายชราที่นอนอยู่บนพื้น ยังคงแน่นิ่งไม่ขยับเขยื้อน ไร้การตอบสนองโดยสิ้นเชิง

เฉินตงขมวดคิ้ว หรือเขาจะหมดสติไปแล้ว?

ในระยะสายตาที่เห็น คุนหลุนก็มองสำรวจตามร่างกายของชายชรา พลิกตัวเขาขึ้นมาดู แล้วรีบลุกขึ้นเดินไปข้างรถ

“คุณชายครับ คนเจ็บดูเหมือนจะหมดสติไปแล้ว ผมจะรีบโทรเรียกรถพยาบาลเดี๋ยวนี้เลยนะครับ”

เฉินตงแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก ในเมื่อแค่หมดสติไป นั่นก็หมายความว่าไม่ได้เกิดอันตรายอะไรที่เหนือความคาดหมายสินะ?

เฉินเต้าหลินที่ยังอยู่ในสายรีบถามขึ้นว่า “ตงเอ๋อ เกิดเรื่องอะไรขึ้นน่ะ?”

“ผมฟุ้งซ่านไปหน่อยตอนขับรถ เลยไปชนใส่คนแก่ ผมขอวางสายก่อนนะครับพ่อ”

หลังจากวางสาย เฉินตงปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วลงจากรถ เดินไปหาชายชราด้วยความรู้สึกผิด

เพราะความฟุ้งซ่านไม่ตั้งสติให้ดีของเขาแท้ ๆ ถึงได้ขับรถชนคนแก่แบบนี้

เขาเป็นคู่กรณีโดยตรง จะยังไงก็สมควรตรวจสอบสถานการณ์ของชายชราคนนี้เสียหน่อย

“คุณชาย!”

คุนหลุนซึ่งโทรสายด่วนฉุกเฉินเสร็จแล้ว ทันทีที่หันกลับมา รูม่านตาก็หดเล็กลงอย่างฉับพลัน เมื่อเห็นเฉินตงเดินเข้าไปใกล้ชายชรา ก็รีบร้องตะโกนเสียงดังลั่น

“มีอะไรเหรอ?” เฉินตงหันกลับไปถาม

เกือบจะในเวลาเดียวกัน

“คุณชายระวัง!”

สีหน้าของคุนหลุนเปลี่ยนไปอย่างหนัก รีบวิ่งทะยานเข้าไปหาเฉินตงทันที

แย่แล้ว!

จิตใจของเฉินตงเครียดขมึงสุดขีด ความเยือกเย็นสายหนึ่ง พลันพุ่งจากกลางกะโหลกศีรษะลงไปแผ่นหลังจนเกิดความรู้สึกเสียวสันหลังวาบ

เขาหันหน้าไปมองตามสัญชาตญาณ กลับพบว่าคนแก่ที่นอนอยู่บนพื้นในตอนแรกนั้น ได้ยืนขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งยังถือมีดปอกผลไม้เล่มหนึ่งไว้ในมือ แล้วพุ่งเข้าหาเขาด้วยรอยยิ้มอันโหดเหี้ยมดุดัน

ในสายตาของเขา ใบหน้าที่มีรอยเหี่ยวย่นของชายชรา เต็มไปด้วยรอยยิ้มอันโหดเหี้ยมเย็นชา ในดวงตาดำทะมึนดุร้ายกระหายเลือด

มีเจตนาฆ่าอันรุนแรงเข้มข้นแฝงอยู่ทั่วร่าง

ร่างกายที่ดูแก่ชราใกล้ผุพังเต็มที ในเวลานี้ กลับระเบิดความเร็วที่ดูขัดกันกับอายุของเขาอย่างน่าเหลือเชื่อ

รวดเร็วจนทำให้หนังหัวของเขาชาหนึบเลยทีเดียว

ฟิ้ว!

มีดปอกผลไม้ส่องประกายแสงเย็นวาบผ่าน เล็งเป้าหมายจะแทงตรง ๆ เข้าที่ตำแหน่งหัวใจของเฉินตงอย่างไม่ลังเล

ด้วยความสามารถตามสัญชาตญาณที่เขามี เฉินตงบิดร่างหลบในชั่วพริบตา

ฉั๊วะ!

ความเจ็บปวดรุนแรงสายหนึ่งแล่นปลาบขึ้นมา ทำให้คิ้วของเฉินตงขมวดมุ่นเป็นปม

แทบจะในเวลาเดียวกัน เขาก็งอมือข้างขวา แล้วฟาดศอกเข้าใส่หน้าอกของชายชราเต็มเหนี่ยว

พลั๊ก!

เพิ่งสิ้นเสียงร้องอุทานอันเจ็บปวด ร่างของชายชราก็ลอยกระเด็นออกไป แล้วไปล้มลงบนพื้นอย่างรุนแรง เลือดสด ๆ ไหลทะลักออกมาจนกบปาก

ศอกที่ซัดเข้าไปศอกนี้ ได้หักกระดูกซี่โครงข้างหนึ่งของเขาไปตรง ๆ!

“คุณชาย!”

คุนหลุนรีบวิ่งไปตรงหน้าของเฉินตงด้วยความตื่นตระหนก แต่เมื่อได้เห็นบาดแผลที่ไม่ร้ายแรงถึงชีวิตของเฉินตงแล้ว ก็แอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“ไม่เป็นไร โชคดีที่หลบได้เร็ว ไม่งั้นมีดเล่มนี้คงจะปักเข้าที่หัวใจฉันตรง ๆ ไปแล้ว”

เฉินตงเหลือบมองบาดแผลแค่ถาก ๆ บนไหล่อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง เลือดสด ๆ ยังไหลอาบลงมาตามแขนของเขาไม่หยุด

แต่เพียงไม่นาน ดวงตาที่ยามนี้รูม่านตาหดเกร็งจนถึงขีดสุด ก็ค่อย ๆ เลื่อนไปจับจ้องมองดูชายชราที่นอนอยู่บนพื้นไม่ไกล

นี่เป็นอะไรที่เขาคิดไม่ถึงจริง ๆ

คนแก่คนหนึ่งที่อายุจนปูนนี้แล้ว จะถึงขั้นก่อกำเนิดเจตนาร้ายอันแรงกล้าได้ถึงขนาดนี้จริง ๆ !

ชายชราไม่ได้แข็งแกร่งอะไรเลย ไม่เพียงแก่ชราและอ่อนแอเท่านั้น กระทั่งเมื่อครู่นี้ที่เขาลงมือปะทะกัน เฉินตงก็สามารถตัดสินได้ทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นแค่คนธรรมดา ถึงขั้นที่ว่าเขาไม่มีความรู้ในหมัดมวยขั้นพื้นฐานเลยด้วยซ้ำ

แต่กลายเป็นว่า อีกฝ่ายดันมีความกล้าหาญแบบไม่ดูสังขารได้ถึงขนาดนี้!

อาศัย “ความได้เปรียบ” ของความแก่ชราและอ่อนแอของตัวเอง มาเสแสร้งแสดงเป็นฝ่ายผู้ถูกกระทำที่อ่อนแอ ตั้งใจทำให้เกิดอุบัติเหตุ ดึงความสนใจให้เขาต้องเข้าไปใกล้ ๆ

ช่างเป็นความประมาทอย่างแท้จริง!

สีหน้าของเฉินตงหนักอึ้งจมดิ่ง ฟื้นคืนสติกลับมาเต็มที่ อดเกิดความรู้สึกหวาดกลัวอย่างแรงกล้าในใจไม่ได้

ถ้าไม่ใช่เพราะคุนหลุนคอยระแวดระวังอยู่เสมอ ถ้าไม่ใช่เพราะชายชราไม่มีความอดทนมากพอ จนรีบลุกขึ้นเพื่อลงมือทันทีที่เขาหันกลับไปมอง

ถ้าหากเขาคุกเข่าลงไปตรงหน้าชายชราจริง ๆ แล้วชายชราก็โจมตีเขาแบบกะทันหัน ด้วยระยะห่างที่สั้นเพียงแค่นั้น เขาย่อมไม่สามารถตอบโต้ได้ทันอย่างแน่นอน

มีดปอกผลไม้เล่มนั้น ก็จะปักจมลงไปกลางหัวใจของเขาอย่างแม่นยำอย่างไม่ต้องสงสัย!

มีดเล่มเดียว ก็มากพอจะฆ่าเขาให้ตายกลายเป็นศพเย็นชืดได้แล้ว!

“คุณเป็นแค่คนแก่ธรรมดา ๆ ทำไมถึงได้ขวัญกล้าบังอาจคิดแผนการได้มากมายขนาดนี้อยากฆ่าผมมากงั้นเหรอ ?” เฉินตงค่อย ๆ พูดออกมาทีละคำ

ชายชราที่อยู่บนพื้นหน้าอกยุบไปแถบหนึ่ง ซึ่งนั่นเป็นผลมาจากกระดูกซี่โครงหักไปเพราะโดนข้อศอกของเฉินตงศอกใส่

ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่สายตาที่มองเฉินตง กลับยังเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น

ราวกับว่าคนธรรมดาได้เห็นคลังสมบัติก็ไม่ปาน

เขาแสยะยิ้มยิงฟันพลางพูดว่า: “ฆ่าแกแล้ว ฉันก็จะมีเงิน ฉันใช้ชีวิตเป็นเศษสวะไร้ค่ามาทั้งชีวิตแล้ว ในที่สุดจนช่วงสุดท้ายของชีวิตจะหาเงินเป็นกอบเป็นกำได้ซะที ถึงยังไงคนที่แก่ใกล้จะลงโลงอย่างฉัน ถ้าฆ่าแกได้ก็ถือว่าไม่ขาดทุนแล้ว”

เป็นอย่างที่คิดจริงๆ!

เมื่อมีเงินเป็นตัวขับเคลื่อน ไม่ว่าใครก็สามารถกลายร่างเป็นปิศาจร้ายได้ทั้งนั้น

“คุณชาย จะให้จัดการยังไงดีครับ?” คุนหลุนสีหน้าหนักอึ้งทะมึน จ้องมองชายชราด้วยเจตนาฆ่าเต็มเปี่ยม

เห็นได้ชัดว่า ขอเพียงเฉินตงออกคำสั่งมาคำเดียว

เขาก็จะพุ่งเข้าไปอย่างไม่ลังเล แล้วหักคอของชายชราตรงหน้าด้วยมือข้างเดียวได้ทันที

“เรียกรถพยาบาลให้เขา” เฉินตงพูดทั้งที่หน้านิ่วคิ้วขมวด

อะไรนะครับ? !

คุนหลุนมองเฉินตงด้วยความตกใจ: “คุณชาย นี่มัน….”

“เรียกรถพยาบาล!” เฉินตงพูดอย่างเย็นชา แล้วหันหลังเดินขึ้นรถไป

ใบหน้าของคุนหลุนเต็มไปด้วยความตกตะลึงพรึงเพริศ ทั้งไม่เข้าใจอย่างยิ่ง

แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ลงมือกับชายชรา แค่หันหลังแล้วเดินขึ้นรถไปอีกคน

พอร์เชอ 911 แผดเสียงดังกระหึ่ม พุ่งทะยานจากไปอย่างรวดเร็ว

ระหว่างทาง ภายในรถกลับเงียบงันสุดขีด

เฉินตงขับรถด้วยความสงบนิ่ง สีหน้าของคุนหลุนเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

คุนหลุนคิดยังไงก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมเฉินตงถึงตัดสินใจทำแบบนี้

คนชั่วพอแก่ตัวลง คิดอยากจะฆ่าคุณชาย คุณชายก็แค่ปล่อยมันไปง่ายๆ แบบนี้น่ะเหรอ?

จู่ๆ เฉินตงก็พูดขึ้นว่า “นายกับฉันต่างก็เคยจนมาก่อน ไม่ใช่เหรอ ? ไอ้โลกที่มันหัวเราะเยาะคนจน แต่ไม่หัวเราะเยาะโสเภณีใบนี้น่ะ มันก็ต้องมีคนที่พร้อมจะก้าวไปข้างหน้าด้วยการละทิ้งความมีศีลธรรม ดีกว่าทนอยู่กับความยากจนไม่ใช่น้อย ๆ อยู่แล้วล่ะ คนจนที่ถูกกดขี่ข่มเหงมาตลอดทั้งชีวิต จู่ ๆ วันหนึ่งก็มีโอกาสที่จะรวยขึ้นมา ไม่ว่าใครก็ถูกครอบงำด้วยความปรารถนาและความบ้าคลั่งได้ทั้งนั้นแหละ จะเปลี่ยนร่างเป็นปีศาจได้ในพริบตา ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหรอก!”

คุนหลุนเหลือบมองเฉินตงด้วยแววตาลึกซึ้ง

นี่ก็คือเหตุผลอย่างนั้นรึ?

แต่เขาก็ไม่ถามอะไรต่ออีก แค่พยักหน้า ถือเป็นสัญญาณว่าเห็นด้วยแล้ว

เฉินตงไม่เลือกกลับไปที่บริษัท แต่ตรงกลับไปยังวิลล่าเขาเทียนซานกับคุนหลุนแทน

การลอบสังหารจากชายชราคนนี้ ทำให้เขารู้ถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้อย่างชัดแจ้ง

ยิ่งรู้ด้วยว่าการลอบสังหารครั้งนี้ เป็นการลอบโจมตีที่รุนแรงร้ายกาจขนาดไหน!

เมื่อคืนวาน องค์กรhidden killers แห่งดาร์กเว็บ เพิ่งจะประกาศภารกิจ พอมาเช้านี้ก็ได้พบกับนักฆ่าทันที เป็นอะไรที่รวดเร็วเกินไปจริง ๆ

บางที ในเมืองนี้อาจมีนักฆ่าจำนวนนับไม่ถ้วน มาหลบซ่อนพรางตัวเพื่อรอเวลาแล้วก็เป็นได้

รางวัลหนึ่งพันล้านดอลลาร์!

นั่นมากพอที่จะทำให้คนบ้าคลั่งได้จริง ๆ!

เขากลับไปที่คฤหาสน์ด้วยหัวใจอันหนักอึ้ง หลังจากจอดรถ

คุนหลุนเป็นคนนำร่องลงจากรถก่อน หลังจากยืนยันแล้วว่ารอบด้านไม่มีอะไรผิดปกติ จึงค่อยเรียกให้เฉินตงลงจากรถ

ทั้งสองเดินตรงไปทางคฤหาสน์ เฉินตงได้แต่ก้มหน้างุด รู้สึกกระสับกระส่ายไม่น้อย

แม้ว่าการลอบสังหารจากชายชราคนนั้น จะไม่ได้สร้างบาดแผลทางกายให้เขามากมายนัก แต่มันกลับเป็นเหมือนพายุฝนฟ้าคะนองอันบ้าคลั่ง เป็นดั่งสายฟ้าที่ผ่าเข้าใส่เฉินตงกลางแดดจัด ๆ เลยทีเดียว

ต่อจากนี้ไป ยังต้องพบเจอกับอะไรอีก…?

“คุณชาย หยุดก่อน!”

ทันใดนั้น คุนหลุนก็ยกมือขึ้นรั้งตัวเฉินตงไว้

เฉินตงสะดุ้งเฮือก หันไปมองคุนหลุนด้วยความสงสัย

แววตาของคุนหลุนกลับคมปลาบ รูม่านตาหดเกร็ง จ้องเขม็งไปทางประตูหน้าคฤหาสน์

ที่ตรงนั้น ไม่มีอะไรทั้งสิ้น

แต่จากปฏิกิริยาของคุนหลุน กลับทำให้เฉินตงเข้าใจได้ในทันทีว่า มันเป็นไปไม่ได้ที่ตรงนั้น จะไม่มีอะไรอยู่

ณ ห้องโถงรอขึ้นเครื่องของสนามบินชานเมือง

กู้ชิงหยิ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยดวงตาที่ง่วงงุน คิ้วขมวดมุ่นเป็นปม คล้ายมีเรื่องให้ครุ่นคิด

ฟ่านลู่ที่อยู่อีกด้านก็เอาแต่อ้าปากหาวหวอด ๆ ไม่หยุด ท่าทางดูหดหู่หงอยเหงาไม่มีชีวิตชีวา

นี่มันเป็นอะไรที่เช้าเกิน แถมยังกะทันหันเกินไปด้วย กำลังหลับฝันหวานอยู่ดี ๆ ก็ถูกปลุกให้ตื่น จากนั้นก็ถูกสั่งให้ไปต่างประเทศทันทีแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยอีก

เธอหันไปมองกู้ชิงหยิง แล้วถามว่า “เสี่ยวหยิ่ง ทำไมพี่ถึงรู้สึกว่า เธอมีเรื่องหนักใจให้คิดเลยล่ะ?”

กู้ชิงหยิ่งกลับมารู้สึกตัว พูดว่า “พี่เสี่ยวลู่ พี่รู้สึกมั้ยว่าเฉินตงเขาดูมีอะไรสักอย่างที่ผิดปกติไปน่ะ?”

“ก็ไม่นะ”

ฟ่านลู่ส่ายหน้า: “ถ้าจะบอกว่าใครที่ดูผิดปกติ พี่คิดว่าเป็นพี่คุนหลุนต่างหากที่ผิดปกติ เมื่อเช้าตอนที่เขาไปเรียกให้พี่ตื่น สีหน้าของเขาดูอย่างกับแทบจะระเบิดตัวเองได้อยู่แล้ว พี่ยังไม่ได้แกล้งหยอกแกล้งเย้าอะไรเขาเลยสักนิด”

“ฉันรู้สึกว่า เฉินตงมีเรื่องบางอย่างที่ปิดบังฉันอยู่”

แม้ว่ากู้ชิงหยิ่งจะคิดอย่างนั้น ตัวเธอก็เชื่อในคำสาบานของเฉินตงอยู่ดี

แต่เวลาสี่ปีในมหาวิทยาลัย ที่เธอได้คบหาดูใจกับเฉินตงมา บวกกับการรอคอยอีกสามปีกว่าที่เขาได้กลับมาอีกครั้ง เรียกว่าความใส่ใจที่เธอมีต่อเฉินตง มันมากเสียกว่าความใส่ใจที่เธอมีให้กับตัวเองเสียอีก

เพราะให้ความสำคัญและใส่ใจ จึงได้เข้าใจยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด

และเพราะเข้าใจ ดังนั้นจึงรู้สึกได้ว่าเฉินตงจะต้องเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นแน่แล้ว

“เสี่ยวหยิ่ง อย่าคิดมากอีกเลยนะ ไม่ใช่ว่าคุณเฉินก็สบายดีอยู่หรอกเหรอ” ฟ่านลู่พยายามปลอบใจ “เขารักเธอมากนะ ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจริงๆ เขาจะปิดบังเธอไปทำไมล่ะ? ”

คิ้วของกู้ชิงหยิ่งขมวดมุ่น พึมพำขึ้นว่า : “ฉันเองก็บอกไม่ถูก แต่ฉันเป็นภรรยาของเขา บางทีนี่อาจเป็นสัมผัสที่หกของผู้หญิงล่ะมั้ง”

ฟ่านลู่พูดอย่างจนใจว่า “เธอนี่นะ คงเพราะจู่ ๆ คุณเฉินก็บอกให้เธอกลับบ้าน เลยรู้สึกไม่สบายใจหรือเปล่า? ที่จริงแล้วที่คุณเฉินคิดก็ถูกอยู่นะ หลังจากที่พวกเธอแต่งงานกันมา ก็มีเรื่องราวมากมายหลายอย่างเกิดขึ้นไม่หยุดไม่หย่อน เธอเลยไม่มีโอกาสได้กลับไปเยี่ยมบ้านสักครั้งเลยไม่ใช่เหรอ ? บ่าวสาวหลังแต่งงาน ก็ถือเป็นมารยาทตามประเพณี ที่จะกลับไปเยี่ยมบ้านแม่หลังแต่งงานไม่ใช่รึไง?”

“แต่มันมีที่ไหนที่ให้เจ้าสาวกลับไปเยี่ยมบ้านแค่คนเดียวบ้างล่ะ?”

กู้ชิงหยิ่งถามไปประโยคหนึ่ง ทำให้ฟ่านลู่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะตอบคำถามนี้ยังไง

ในเวลานั้นเอง ก็มีเสียงแจ้งเตือนการขึ้นเครื่องดังขึ้นในโถงรอของสนามบิน

“ไปกันเถอะ ได้เวลาขึ้นเครื่องแล้ว”

ฟ่านลู่ไปหยิบกระเป๋าสัมภาระ แล้วพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “อย่าคิดมากเลยนะ”

คิ้วของกู้ชิงหยิ่งขมวดมุ่นจนย่นยู่ เธอไม่รู้ว่าทำไมความรู้สึกนั้น มันถึงได้แข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ แบบนี้

เธอหันกลับไปมองด้านนอกสนามบิน ได้ยินเสียงเตือนให้ขึ้นเครื่องดังขึ้นในโถงรออีกครั้ง สุดท้ายก็ถอนหายใจเฮือก หันหลังแล้วเดินตามฟ่านลู่ไป

ที่ด้านนอกสนามบิน

เฉินตงนั่งอยู่บนรถพอร์เชอ 911 เพียงลำพัง ในใจหนักอึ้งกลัดกลุ้ม

แกร๊ก!

ประตูรถเปิดออก คุนหลุนที่เหงื่อไหลท่วมแทรกตัวเข้าไปนั่งอย่างรวดเร็ว

“ไปกันแล้วใช่มั้ย? ” เฉินตงถาม

“ผมเห็นคุณนายกับเสี่ยวลู่ เดินเข้าไปในทางเดินขึ้นเครื่องด้วยตาตัวเองเลยครับ” คุนหลุนตอบกลับ

เฉินตงยิ้มอย่างผ่อนคลาย คล้ายได้ยกภูเขาหนัก ๆ ออกจากอก จากนั้นจึงสตาร์ทรถ

กู้ชิงหยิ่งออกเดินทางแล้ว ก้อนหินก้อนใหญ่ในใจเขาก็หลุดร่วงออกไปได้เสียที

คำสั่งลอบฆ่าในดาร์กเว็บ ทำให้นับจากวินาทีนี้ ชีวิตของเขาจะต้องตกอยู่ในสภาวะวิกฤตจากการถูกซุ่มโจมตีได้จากทุกด้าน

เขาไม่อาจยอมให้กู้ชิงหยิ่งอยู่ข้างกายเขา แล้วต้องมาเผชิญอันตรายร่วมกันกับเขาได้

ผู้หญิงสมควรมีไว้เพื่อรักใคร่ทะนุถนอม ไม่ใช่มีไว้เพื่อเผชิญกับอันตรายรอบด้าน

ในฐานะสามี เฉินตงรู้สึกว่าเขาควรแบกรับหน้าที่ความรับผิดชอบในฐานะสามีให้ดีที่สุด

ในเวลาแบบนี้ การหลอกให้กู้ชิงหยิ่งไปห่างจากเขา ถือเป็นการปกป้องภรรยาที่ดีที่สุดแล้ว

เขาขับรถรวดเร็วปานลมกรด ตะบึงราวสายฟ้าแลบ

อารมณ์ของเฉินตงหดหู่อัดอั้นอย่างมาก

ดาร์กเว็บ นักฆ่าอำพราง The hidden killer สิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนเมฆหมอกมืดครึ้ม ที่ปกคลุมอยู่บนหัวของเขาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง

ทำให้เขากระสับกระส่ายไม่สบายใจ แต่ก็ไม่มีหนทางจะทำอะไรได้ทั้งนั้น

ต่อจากนี้ไป สิ่งที่เขาต้องเผชิญ อาจโหดร้ายเสียยิ่งกว่าประสบการณ์ในคุกมืดนั่นเสียอีก

“คุณชายครับ เมื่อครู่นี้ท่านหลงเพิ่งจะโทรมาบอกว่า คุณท่านได้ระดมทีมรักษาความปลอดภัยทั้งหมดรอบตัวท่านแล้ว รวมทั้งหมดมีหนึ่งร้อยคนครับ”

คุนหลุนพูดด้วยท่าทีกระตือรือร้น: “ทีมรักษาความปลอดภัยทีมนี้ มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลรักษาความปลอดภัยของคุณท่าน นับตั้งแต่ที่คุณท่านได้ขึ้นเป็นเจ้าบ้านครับ ก่อนหน้านี้มีผมเป็นผู้นำทีม มาตอนนี้คุณท่านส่งพวกเขามาให้ ผมยังพอจะสั่งการทีมได้ง่ายหน่อย เชื่อว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแล้วครับ”

ส่งมาทั้งหมดเลยเหรอ?

ขอบตาของเฉินตงไหวสั่นน้อย ๆ จู่ ๆ ก็เกิดความรู้สึกที่เป็นอารมณ์ซึ่งซับซ้อนมาก ๆ ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

เขาจำได้ว่า คุนหลุนเคยเป็นบอดี้การ์ดของพ่อมาก่อน และยังเป็นหนึ่งในคนที่พ่อของเขาไว้วางใจมากที่สุดด้วย

คุนหลุนถูกส่งมาที่นี่ ก็เพื่อคอยดูแลคุ้มครองความปลอดภัยให้กับเขา

แต่การตัดสินใจครั้งนี้ ก็เป็นการเพิ่มอันตรายให้กับพ่อขึ้นไปอีกหลายเท่าเลยทีเดียว

มาตอนนี้ แม้แต่ทีมรักษาความปลอดภัยของตัวเอง ก็ยังถูกส่งมาให้คุนหลุนใช้เป็นแขนขา เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยให้กับเขาจนหมด….

ถ้าอย่างนั้น แล้วพ่อล่ะ?

ทีมรักษาความปลอดภัยที่สามารถปกป้องพ่อของเขามานานกว่าสองทศวรรษ เฉินตงย่อมไม่สงสัยเลยสักนิดว่า ทีมนี้ต้องเป็นทีมที่ยอดเยี่ยมที่สุดอย่างแน่นอน

แต่คุนหลุนมาแล้ว ทีมบอดี้การ์ดก็มาแล้ว อันตรายต่อชีวิตและความเสี่ยงที่พ่อจะต้องเจอ มันจะยิ่งทวีความน่าหวาดหวั่นขึ้นไปขนาดไหนกัน?

“ เพื่อจะปกป้องฉันแล้ว เขาไม่สนใจชีวิตของตัวเองเลยรึยังไงกัน ? ” เฉินตงหลุดปากพูดออกมา ด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อนสับสนอย่างยิ่ง

คุนหลุนผงะไปเฮือกหนึ่ง ยกยิ้มอย่างฝืดฝืน: “แต่ไหนแต่ไรมา คุณท่านก็มักจะวางความปลอดภัยของตัวเอง เอาไว้ข้างหลังคุณชายมาตลอดอยู่แล้วล่ะครับ”

“เขาเป็นเจ้าบ้านตระกูลเฉิน อยู่สูงเหนือผู้คนทั้งหลาย แต่ต้นไม้สูงย่อมปะทะสายลมแรง ยิ่งอยู่สูงเท่าไหร่ ก็ยิ่งตกเป็นเป้าโจมตีเท่านั้น อันตรายที่เขาต้องเผชิญอยู่ทุกวัน ก็คงไม่ด้อยไปกว่าฉันที่ถูกนักฆ่าในเงามืดไล่ตามฆ่าหรอกมั้ง?”

คุนหลุนยังคงนิ่งเงียบไม่เอ่ยคำ

ในฐานะบอดี้การ์ดส่วนตัวของเฉินเต้าหลิน เขาย่อมรู้ดีที่สุดว่า ตลอดเวลาเฉินเต้าหลินต้องเผชิญกับอันตรายมากมายขนาดไหน

การส่งเขา กับทีมรักษาความปลอดภัยมาให้ทางเฉินตงจนหมดแบบนี้ พูดในฐานะของคนที่มีตัวตนซึ่งดำรงอยู่ในระดับเฉินเต้าหลิน นั่นเท่ากับเป็นการถอดเขี้ยวเล็บมังกรอย่างแท้จริง!

ชั่วขณะนั้น

เฉินตงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา แล้วกดหมายเลขของเฉินเต้าหลินอย่างรวดเร็ว

เมื่อต่อสายติด เฉินตงก็พูดอย่างใจเย็นว่า “ พอจะเปลี่ยนเป็นทีมรักษาความปลอดภัยมืออาชีพให้ผมแทนได้ไหมครับ? ”

“ไม่ได้!” คำพูดของเฉินเต้าหลินแน่วแน่อย่างยิ่ง “ฉันรู้ว่าแกคิดอะไรอยู่ แต่เรื่องนี้ฉันพิจารณาอย่างจริงจังดีแล้วถึงได้ตัดสินใจทำแบบนี้ สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ คือการคุ้มครองความปลอดภัยของแก ส่วนความปลอดภัยของฉัน ก็ให้ฉันเป็นคนจัดการวางแผนเอง เรื่องนี้ยังไง ๆ แกก็ต้องฟังฉัน!”

“ด้วยเหตุใดล่ะ?”

เฉินตงรู้สึกคับข้องใจเกินจะทานทนขึ้นมาบ้างแล้ว พ่อคำนึงถึงความปลอดภัยของเขา แล้วไม่คิดว่าตัวเขา จะไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของพ่อบ้างเลยหรือ?

ในอดีตที่ผ่านมา เขาเคยมีความแค้นเคืองต่อเฉินเต้าหลินมาก่อน

แต่เมื่อได้รับรู้เกี่ยวกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งอดีตไปทีละขั้นทีละตอน ความคับข้องใจและความเคืองแค้นในใจเหล่านั้น ก็ค่อย ๆ มลายหายไป

พ่อกับลูกชาย

พ่อไม่เคยอยู่เคียงข้างดูการเจริญเติบโตของเขา แต่เขาเติบโตขึ้นแล้ว และกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งงามสง่า ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคอย่างทุกวันนี้

ในฐานะลูกผู้ชาย ถ้าไม่เทิดทูนพ่อแม่มาเป็นอันดับแรก ไม่กตัญญูกตเวทีมีความรับผิดชอบ นั่นจะนับว่าเป็นผู้ชายแบบไหนกันนะ?

“ก็กูเป็นพ่อแก! กูจะปกป้องแก แกที่เป็นลูกคนก็ต้องทำตามที่กูสั่ง!”

จู่ ๆ เฉินเต้าหลินก็ตวาดด่าเสียงดังสนั่นหวั่นไหว

เสียงตวาดอย่างกะทันหันนี้ ทำให้อารมณ์ที่ซับซ้อนอยู่แล้วของเฉินตง ยิ่งทวีความกระอักกระอ่วนมากขึ้นไปอีก

ขอบตาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อ เฉินตงพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ ขอบคุณนะครับพ่อ ”

“ส่วนทางด้านดาร์กเว็บนั่น ฉันกำลังพยายามหาทางอยู่ ถ้าภารกิจลอบฆ่าครั้งนี้ไม่ได้รับการแก้ไขตั้งแต่รากฐานล่ะก็ เรื่องนี้ก็คงจะไม่มีวันจบสิ้นลงแน่ ๆ”

เสียงของเฉินเต้าหลินลดต่ำลง แต่ยังแฝงความรู้สึกจนใจอยู่บ้างเล็กน้อย : “น่าเสียดายที่ต่อให้ฉันจะใช้พลังของตระกูลเฉิน ไปบดขยี้ทำลายตระกูลหลี่จนราบคาบอย่างสมบูรณ์ได้ ฉันก็ยังไม่มีวิธีที่จะทำให้ดาร์กเว็บมันยกเลิกภารกิจลอบฆ่าอยู่ดี เรื่องนี้มันยุ่งยากเกินไป ฉันต้องการเวลาอีกสักหน่อย”

“การส่งทีมรักษาความปลอดภัยทั้งหมดไปให้แก โดยให้คุนหลุนสามารถออกคำสั่งใช้สอยได้ ก็คือการพยายามซื้อเวลาในครั้งนี้แล้ว”

พูดมาถึงตอนท้าย จู่ ๆ เสียงของเฉินเต้าหลินก็เปลี่ยนเป็นรุนแรงขึ้นมาในทันใด

“เฉินตง ฉันรู้จักนิสัยของแกดี แต่ในเรื่องนี้ แกต้องฟังฉันและจำไว้ให้ขึ้นใจ! มันอันตรายมากจริงๆ แกอย่าได้ทำอะไรโดยใช้อารมณ์เป็นอันขาด คุนหลุน ท่านหลง ฉินเย่ หรือแม้แต่คนที่อยู่ข้าง ๆ แกที่ชื่อกูหลังคนนั้น ต่างก็ตายได้ทั้งนั้น แต่แกต้องทำทุกวิถีทางเพื่อมีชีวิตรอด!”

จิตใจของเฉินตงดิ่งวูบ รู้สึกไม่สบายใจเกี่ยวกับความหมายของคำพูดที่พ่อได้สื่อออกมา

พี่น้องผองเพื่อน ผู้อาวุโสที่มีบุญคุณ ทุกสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ล้วนเป็นสิ่งที่เขาไม่อาจยอมปล่อยวางทิ้งขว้างได้

ด้วยสัญชาตญาณ เฉินตงเหลือบสายตาไปมองคุนหลุน แต่กลับพบว่าสีหน้าของคุนหลุนดูสงบ แลดูเฉยเมยราบเรียบเหมือนเวลาปกติ

“คุณชาย สิ่งที่คุณท่านพูดมาถูกต้องแล้วล่ะครับ!”

คุนหลุนมองตรงไปข้างหน้า พลันส่งยิ้มให้เขา แต่ทันใดนั้นเอง ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างแล้วพูดด้วยความตกใจว่า: “คุณชายระวัง!”

ในห้องนั่งเล่น

บรรยากาศเงียบสงัดราวน้ำนิ่ง

อากาศรอบกายคล้ายหยุดไหลเวียน แข็งค้างชะงักงัน

ขนทั่วทั้งสรรพางค์กายของเฉินตง ถึงกับลุกชี้ชันจนตั้งตรง ไม่รับรู้ถึงอุณหภูมิโดยรอบเลยแม้แต่น้อย

เขาในเวลานี้ ฉากหน้าอาจดูแล้วสงบนิ่ง แต่ในความเป็นจริง หัวใจเขากลับเต้นระทึกจนแทบจะระเบิดออกมาอยู่แล้ว

เขาไม่กลัวที่จะถูกคนวางแผนการร้ายใส่ ทั้งไม่กลัวว่าจะถูกลอบฆ่าด้วย

ก่อนจะมาแต่งงานกับกู้ชิงหยิ่ง เขาก็เคยได้เจอมาก่อน ถึงขั้นที่ว่าภายใต้เจตนาที่พ่อของเขาเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้า งัดเอากลยุทธ์ “ปิดฟ้าข้ามทะเล” มาใช้ส่งตัวเขาไปที่คุกมืดเพื่อหาประสบการณ์มาแล้วด้วยซ้ำ

ในสถานที่แบบคุกมืดนั่น ไม่ใช่สถานที่ที่ต้องเผชิญหน้ากับความตายหรอกหรือ?

ประเด็นสำคัญคือ มันไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีแม้ช่องว่าง ถึงขั้นที่เกิดการลอบฆ่ากันได้โดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้าใด ๆ ทั้งสิ้น

สิ่งนี้ต่างหาก คือสิ่งที่ทำให้เขาตื่นตระหนกจริง ๆ

นั่นหมายความว่า เขาจะต้องคอยระวังตัวตลอด 24 ชั่วโมง ไม่เพียงแต่ต้องคอยระแวดระวังป้องกันตัวเองเท่านั้น แต่ยังต้องคอยระแวดระวังป้องกันคนรอบข้างอีกด้วย

ท่านหลง ฉินเย่ และคุนหลุนต่างก็มีสีหน้าหนักอึ้งเคร่งเครียด ทุกคนต่างก็จมอยู่ในความเงียบงันไปด้วยกันทั้งหมด

พวกเขารู้ดี ถึงความน่ากลัวของนักลอบฆ่าที่ซ่อนอยู่ในดาร์กเว็บดีกว่าใคร ๆ ทั้งนั้น

ยิ่งรู้ด้วยว่า ตระกูลหลี่สั่งการให้ลอบฆ่าในครั้งนี้ เป็นการใช้อำนาจบาตรใหญ่ที่พาลพาโลอย่างไม่มีเหตุผลขนาดไหน

พูดแบบจริงจังไม่อ้อมค้อม ตระกูลหลี่ถึงกับกล้าเปิดเผยชื่อจริงออกมา ความหมายย่อมเป็นไปตามที่ฉินเย่พูดมาจริง ๆ นั่นคือเห็นได้อย่างชัดเจนแล้วว่า พวกเขาพร้อมจะชนแหลกกับเฉินตงจนกว่าจะตายกันไปข้าง

แม้จะพูดได้ว่าในวันนี้ สถานการณ์ของตระกูลหลี่ในเมืองหลวง จะตกอยู่ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแล้วก็ตาม ทั้งมีหมาป่าที่เฝ้ารอรุมทึ้งอีกเป็นโขยง แต่ก่อนที่วิมานเทียมฟ้านั่นจะพังถล่มลงมา ในตอนที่พวกเขาตัดสินใจชนแหลกให้ตายกันไปข้างกับเฉินตง ตระกูลหลี่ก็ยังมีพลังอำนาจที่มากพอจะสร้าง “เทศกาลรื่นเริง” บนดาร์กเว็บขึ้นมาได้แบบไม่ยากเย็นเลย

และเทศกาลรื่นเริงที่ว่านี้ มีเป้าหมายก็คือการล่าชีวิตของเฉินตงนั่นเอง!

“เฮ้อ~”

เฉินตงถอนหายใจเฮือกใหญ่ เมื่อมองดูเงินรางวัลราคาค่าหัวของเขา ก็พูดด้วยน้ำเสียงที่คล้ายคนหัวเราะเจือสะอื้นว่า: “ตระกูลหลี่ดูจะประเมินฉันไว้สูงไม่น้อยเลยนะเนี่ย ตั้งราคาไว้ที่พันล้านดอลลาร์เชียวนะ”

“คุณชาย…” ท่านหลงถึงกับผงะไปชั่วขณะ ทำไมจนเวลาแบบนี้แล้วแท้ ๆ เขาก็ยังหัวเราะเยาะเย้ยตัวเองได้อยู่อีกล่ะนี่?

เฉินตงยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ วางโทรศัพท์ลง: “ไอ้ภารกิจลอบฆ่านี่ พอจะมีวิธียกเลิกมันบ้างมั้ย?”

พวกท่านหลงทั้งสามต่างส่ายหน้าพร้อมกัน

คุนหลุนพูดว่า: “หลังจากที่องค์กรhidden killersประกาศภารกิจ หากไม่เพราะภารกิจนั้นเสร็จสมบูรณ์แล้ว ก็ต้องเป็นเพราะลูกค้าเป็นฝ่ายยกเลิกงานโดยสมัครใจ ไม่อย่างนั้น ภารกิจนั้นจะไม่มีวันหายไปครับ”

“แล้วถ้าใช้ชื่อของตระกูลเฉินเข้ากดดันล่ะ?” เฉินตงลองถามอย่างไม่มั่นใจ

“ตอนนี้คุณท่านกำลังคิดหาหนทางเจรจากับพวกคนในดาร์กเว็บอยู่ครับ”

ท่านหลงยิ้มอย่างขมขื่น: “แต่ความหวังคงมีไม่มาก ดาร์กเว็บเป็นสถานที่ที่อยู่นอกกฎหมาย มันมืดมิดและโหดร้ายอย่างยิ่ง ผมยังจำได้ว่าเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว สมาชิกคนหนึ่งของตระกูล Rothschild ถูกประกาศชื่อไปยังองค์กรนักฆ่าอำพราง The hidden killer ที่ซ่อนตัวอยู่ในดาร์กเว็บให้ทำภารกิจลอบฆ่า ก็ถูกจัดอยู่ในระดับ S และมีการเสนอเงินรางวัลมูลค่าถึงแปดร้อยล้านดอลลาร์เลยทีเดียวครับ”

“ในเวลานั้น ตระกูล Rothschild พยายามคิดหาหนทางอย่างสุดความสามารถ ถึงขั้นยอมวางเงินรางวัลที่มากกว่ารางวัลค่าหัวตัวเอง เพื่อลบล้างภารกิจลอบฆ่า แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ประสบความสำเร็จ สมาชิกในตระกูลคนนั้น ก็ยังมีจุดจบคือลงไปนอนจมกองเลือดอยู่ดีครับ”

“เฮ้อ~”

เฉินตงแอบถอนหายใจ

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเกี่ยวกับดาร์กเว็บ กับองค์กรนักฆ่าอำพราง The Hidden Killer

แต่ตระกูล Rothschild นั้นเรียกได้ว่าเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงในระดับโลก มีประวัติศาสตร์ที่สืบทอดต่อกันมาเป็นเวลายาวนานมากเชียวนะ!

สัตว์ประหลาดระดับอสุรกายนั่น ก็ยังหนีไม่พ้นเรื่องแบบนี้เหมือนกันเหรอเนี่ย ?

“ในตอนนั้น นักฆ่าระดับมือพระกาฬสามคนลงมือพร้อม ๆ กัน ภายใต้การคุ้มกันของบอดี้การ์ดจำนวนหลายร้อยคน พวกเขาก็สามารถทำได้สำเร็จ!” คุนหลุนกล่าวเสริมอีกประโยคหนึ่ง

เฉินตงตกตะลึง: “ทำไมนายถึงรู้รายละเอียดได้อย่างชัดเจนขนาดนี้ล่ะ?”

คุนหลุนช้อนดวงตาขึ้น มองไปที่เฉินตงแน่วนิ่ง : “เพราะผมคือหนึ่งในสามนักฆ่านั่นไงครับ!”

เฉินตง: “…..”

“ตอนนั้นเพราะเรื่องนี้นี่เอง จึงเป็นเหตุให้คุนหลุนถูกนำตัวไปลานประหาร สุดท้ายเป็นคุณท่านที่บุกเดี่ยวเข้าไปช่วยชีวิตเขาเอาไว้ได้ครับ ” ท่านหลงอธิบาย

เฉินตงเข้าใจได้โดยพลัน เขารู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างคุนหลุนกับพ่อของเขามานานมากแล้ว

แต่เหตุผลที่คุนหลุนถูกตัดสินประหารชีวิตในตอนนั้น เป็นเรื่องที่เพิ่งมารู้เอาตอนนี้นี่เอง

เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ เฮือกใหญ่ พยายามทำให้จิตใจสงบผ่อนคลายลง

เฉินตงถามว่า: “ดังนั้น แปลว่าตอนนี้ไม่มีหนทางเลยสักนิดจริง ๆ น่ะเหรอ?”

พวกท่านหลงทั้งสามส่ายหน้าพร้อมกัน

“เว้นเสียแต่ว่า คุณจะเกลี้ยกล่อมให้ตระกูลหลี่ยอมเพิกถอนคำสั่งได้ครับ”

ฉินเย่ยกยิ้มประหลาด: “แต่เงื่อนไขนี้ยากเกินไป คิดว่าต่อให้คุณท่านใหญ่หลี่ที่นอนเป็นศพอยู่ใต้ดินแล้วจะตอบตกลง แต่คนตระกูลหลี่ที่ยังอยู่บนพื้นดินจะไม่ยอมตกลงน่ะสิ พวกเขาถึงขั้นคิดจะยอมตายไปพร้อมกับฉันแล้วชัด ๆ”

เฉินตงหัวเราะเยาะตัวเอง รู้สึกอับจนหมดหนทางแล้วจริง ๆ

ไม่อยากเข้าไปพัวพันอะไรกับตระกูลหลี่อีก

เขาหาทางยุติมันไม่ทางใดก็ทางหนึ่งมาโดยตลอด

แต่กลับคิดไม่ถึงว่า จะถูกหมาบ้าที่ทำทุกวิธีได้อย่างไร้ยางอายตัวนี้ กัดเข้าจนจมเขี้ยวเต็มคำ

อีกทั้งเหตุผลที่ถูกกัด แบบ….อยู่ดีๆก็งานเข้าซะงั้น

“เรื่องของคุณท่านใหญ่หลี่ จะต้องมีอะไรบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากลแน่ มันทำให้ฉันรู้สึกเลยว่า เหมือนเป็นการพุ่งเป้ามาที่ฉันโดยตรง”

เฉินตงขมวดคิ้ว นัยน์ตาลึกล้ำทอประกายวาววับน้อย ๆ : “ฉันไม่ได้หมายถึงการจ้างวานให้มาลอบฆ่าฉันของตระกูลหลี่หรอกนะ แต่เป็นการฆาตกรรมคุณท่านใหญ่หลี่ ที่ต้องการพุ่งเป้ามาที่ฉันต่างหาก”

“พวกเราหลายคนก็คิดอย่างนั้นครับ แต่ตอนนี้กุญแจสำคัญคือ เราไม่สามารถหาหลักฐานที่จะใช้โน้มน้าวให้ตระกูลหลี่ยอมเชื่อคุณ ทั้งยังไม่มีวิธีที่จะทำให้ตระกูลหลี่ยอมเพิกถอนคำสั่งได้ด้วย” เสียงของท่านหลงแผ่วต่ำและสั่นเครือ: “ผมรู้สึกว่าคุณชายควรต้องระวังให้มาก พวกเราต้องเตรียมการรับมือไว้เสียแต่เนิ่นๆ”

“ต้องเตรียมการไว้สักหน่อยแหละ”

เฉินตงยิ้มอย่างจนใจ: “เรื่องมันเป็นถึงขนาดนี้แล้ว ต่อให้ฉันไม่กลัวตาย ฉันก็สมควรต้องคิดเผื่อคนรอบข้างสักหน่อยแล้วล่ะ”

เขามองไปที่คุนหลุน: “คุนหลุน ให้พี่เสี่ยวลู่เก็บข้าวของให้เรียบร้อย ฉันจะให้เธอไปบ้านตระกูลกู้กับเสี่ยวหยิ่งคืนนี้เลย”

จากนั้นเฉินตงก็พูดว่า: “ยังมีฉินเย่ นายกับเสี่ยวเชียนกลับไปซ่อนตัวที่บ้านตระกูลฉินสักพักก่อน ท่านหลงก็กลับไปบ้านตระกูลเฉินคืนนี้เลย ฉันต้องการทีมรักษาความปลอดภัยระดับมืออาชีพ นอกจากนี้ ให้เรียกกูหลังมาที่นี่ด้วยเถอะ” .”

เฉินตงไม่ใช่คนที่มีนิสัยเหยาะแหยะโลเล หรือตัดสินใจอะไรไม่เด็ดขาด

เรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้ว มัวแต่ตีอกชกหัวโกรธเคืองไป ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้

ใจเย็น ๆ เตรียมการให้ดี รอรับมือพวกนักฆ่าที่จะดาหน้าเข้ามา นี่ต่างหากคือวิธีการที่ดีที่สุด

เขาไม่อาจยอมให้กู้ชิงหยิ่งมาอยู่ข้าง ๆ เขาในเวลานี้ แล้วต้องมาร่วมเผชิญอันตรายไปด้วยกันกับเขาได้จริง ๆ

เขาถึงขั้นไม่ยอมให้ใครก็ตามที่อยู่รอบตัว ต้องมาร่วมแบกรับอันตรายไปพร้อมกันกับเขาด้วย

“คุณชายครับ ผมจะไม่ไปไหนทั้งนั้น!”

“พี่ตง ให้เสี่ยวเชียนกลับไปตระกูลฉินคนเดียวก็พอแล้ว ให้ฉันอยู่ที่นี่เถอะ ฉันแฮกระบบเก่งอยู่นะ!”

ท่านหลงกับฉินเย่พูดขึ้นพร้อมกัน

ปึง!

เฉินตงตบฝ่ามือกับโต๊ะอย่างโกรธจัด: “ฟังที่ฉันพูดซะ!”

เผด็จการ เย่อหยิ่งจองหอง ไม่มีที่ว่างสำหรับการโต้แย้ง

ท่านหลงกับฉินเย่หันมองหน้ากัน เห็นความจนใจทั้งยังไม่เต็มใจของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน

“ท่านหลง ฉินเย่ ที่คุณชายพูดมาก็ถูกนะ สถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นหลังจากนี้ คงจะเหนือการควบคุมจริง ๆ นั่นแหละ ถ้าพวกคุณอยู่ข้าง ๆ คุณชาย คงจะไม่เป็นผลดีแน่”

คุนหลุนพูดช้าๆ: “พวกคุณอยู่ที่นี่ มีแต่จะทำให้เกิดตัวแปรเพิ่มขึ้นซะเปล่า ๆ ยิ่งเป็นภาระให้คุณชายต้องหันเหความสนใจมาคอยดูแลอีก”

เพียงประโยคเดียว ก็ทำให้ฉินเย่กับท่านหลงต้องก้มหน้าผงกหัวรับโดยสดุดี

“คุณชาย ผมจะไปเรียกเสี่ยวลู่เดี๋ยวนี้เลยนะครับ” คุนหลุนลุกขึ้นแล้วเดินออกไป

ส่วนเฉินตงก็ลุกขึ้นในเวลาเดียวกัน แล้วเดินขึ้นไปชั้นบน

ในห้องนอน ทุกอย่างยังคงเงียบสนิท

กู้ชิงหยิ่งขดตัวกลมเหมือนลูกแมวตัวน้อยอยู่บนเตียง ใบหน้างดงามเต็มไปด้วยความอิ่มเอมใจ

เฉินตงที่หนักใจมาตลอดทางระหว่างที่เดินขึ้นมา เพียงชั่วขณะที่เขาก้าวเท้าเข้าไปในห้องนอน แล้วได้เห็นกู้ชิงหยิ่ง สีหน้าเขาก็พลันผ่อนคลายลงไปทันที

ราวกับว่าแค่ได้เห็นหน้ากู้ชิงหยิ่ง ความกระสับกระส่ายไม่สบายใจทั้งหมด ก็มีอันมลายหายไปจนสิ้น

เขาเดินไปข้าง ๆ กู้ชิงหยิ่ง โน้มตัวลงแล้วจูบเบา ๆ ที่หน้าผากของกู้ชิงหยิ่ง

จูบอันแผ่วเบานี้ ทำให้กู้ชิงหยิ่งส่งเสียงครางฮือในลำคอ จากนั้นก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างเชื่องช้า

“อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณสามี มากอดกันจุ๊บกันหน่อยเร็ว”

กู้ชิงหยิ่งเหมือนเด็กตัวน้อยที่แสนไร้เดียงสา อ้าแขนกว้างเข้าใส่เฉินตงอย่างออดอ้อน

เฉินตงยิ้มอย่างอ่อนโยน กอดกู้ชิงหยิ่งพลางพูดเบา ๆ ว่า “เด็กโง่ พอดีช่วงนี้ฉันมีเรื่องยุ่ง ๆ ที่ต้องจัดการนิดหน่อย ตอนนี้เธอช่วยเก็บของแล้วไปอยู่กับคุณพ่อตาแม่ยายที่ต่างประเทศ สักพักดีมั้ย”

เพิ่งสิ้นเสียง

ร่างกายนุ่มนิ่มบอบบางของกู้ชิงหยิ่งก็พลันสั่นสะท้าน เธอปล่อยมือจากเฉินตง แล้วเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจว่า: “มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างนั้นเหรอ?”

“ไม่มีอะไรหรอก แค่เรื่องเล็ก ๆ แค่นั้นเอง”

เฉินตงไม่ได้อธิบายอะไร เขาไม่อยากให้กู้ชิงหยิ่งต้องเป็นกังวล: “เชื่อฉันนะเด็กดี ไปอยู่กับคุณพ่อตาแม่ยายสักพักก่อน หลังจากที่เราแต่งงานกันมา ไม่ใช่ว่าเธอยังไม่เคยกลับไปเยี่ยมหาพวกท่านเลยหรอกเหรอ? นี่มันก็นานมากแล้วนะ หรือเธอไม่คิดถึงพวกท่านบ้างเลยเหรอ?”

กู้ชิงหยิ่งรู้สึกงุนงง คล้ายตกอยู่ในภวังค์ไปครู่หนึ่ง

เธอ คิดถึงพ่อแม่ของเธอมากจริง ๆ นั่นแหละ

แต่กู้ชิงหยิ่งกลับเป็นฝ่ายจ้องมองเฉินตงอย่างจริงจัง: “คุณมองตาฉันสิคะ”

ดวงตาทั้งคู่มองประสาน

กู้ชิงหยิ่งพูดว่า: “มันเป็นแค่เรื่องเล็ก ๆ จริงเหรอ? คุณอย่าโกหกฉันนะ!”

เฉินตงจ้องไปที่ดวงตาใสกระจ่างของกู้ชิงหยิ่ง ยกยิ้มน้อย ๆ พลางชูสามนิ้วแล้วพูดว่า : “ฉันขอสาบานต่อสวรรค์เลยว่า มันเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยจริง ๆ ถ้าฉันโกหก นร. กู้ชิงหยิ่งแล้วล่ะก็ ขอให้ถูกฟ้าผ่าตาย!”

คำพูดนั้นช่างรวดเร็วเด็ดขาด รวดเร็วจนกู้ชิงหยิ่งที่สีหน้าเปลี่ยนไปเป็นซีดเผือดแล้ว รีบยกมือขึ้นมาปิดปากไม่ทัน

สุดท้าย กู้ชิงหยิ่งก็พยักหน้าตอบรับ: “เอาเถอะ ฉันจะไปเก็บของเลยแล้วกัน”

“อื้ม ฉันจะให้พี่เสี่ยวลู่ไปช่วยเธอนะ ให้พี่เสี่ยวลู่ไปพร้อมกับเธอเลย จะได้ดูแลเธอได้สะดวกหน่อย”

เฉินตงแสร้งทำเป็นเดินออกจากห้องไปอย่างสบาย ๆ พ้นห้องนอน รอยยิ้มบนใบหน้าก็หายวับไป เปลี่ยนเป็นยิ้มอย่างฝืดฝืน: “เพื่อเธอแล้ว ครั้งนี้ต่อให้ถูกฟ้าผ่าตาย ก็ต้องโกหกเธอแล้วล่ะ”

ปึง ๆ ๆ !

ยังไม่ทันรุ่งสาง เฉินตงกับกู้ชิงหยิ่งก็ถูกปลุกให้ตื่น ด้วยการเคาะประตูอย่างรุนแรงกะทันหัน

หลังจากเปิดประตู ท่านหลงกับคุนหลุนต่างก็ยืนอยู่ที่หน้าประตู

“คุณชาย เกิดเรื่องร้ายแรงใหญ่โตขึ้นซะแล้วครับ คุณท่านใหญ่หลี่ตายแล้ว!”

ท่านหลงดูตื่นตกใจ หน้านิ่วคิ้วขมวด พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด

ตายแล้ว? !

เฉินตงผงะไปชั่วขณะ แล้วแค่นยิ้มเย็นชา “ตายแล้วก็ตายไปสิ ผมกับเสี่ยวหยิ่งจะนอนต่ออีกหน่อย”

“เป็นการลอบฆ่าครับ!”

ประโยคนี้ของท่านหลง ทำเอาเฉินตงที่หันหลังเตรียมจะปิดประตูต้องหยุดชะงักลงทันที

“คุณชาย ลงไปกับพวกเราก่อนเถอะครับ เรื่องนี้มันซับซ้อนมากจริง ๆ” เสียงของท่านหลงนั้นแหบต่ำจนน่าใจหาย ถึงขั้นตัวสั่นเล็กน้อย

เฉินตงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ยิ้มเป็นสัญญาณให้กู้ชิงหยิ่งกลับไปนอนต่อ จากนั้นจึงหันหลังกลับแล้วเดินตามท่านหลงกับคุนหลุนลงไปชั้นล่าง

ไม่ว่าคุณท่านใหญ่หลี่จะตายยังไง เขาก็ไม่ได้สนใจมันเลยแม้แต่น้อย

แต่สิ่งที่ทำให้เฉินตงสนใจคือ ปฏิกิริยาของท่านหลงต่างหาก

คนที่สงบราวกับน้ำนิ่งอย่างท่านหลง ถึงกับพูดเสียงสั่นเมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้!

เมื่อเขามาถึงห้องนั่งเล่นชั้นล่าง ฉินเย่ที่อยู่ในชุดนอน นั่งอยู่บนโซฟาด้วยสีหน้าจริงจัง จ้องเขม็งไปที่หน้าจอโทรศัพท์

“ทำไมกระทั่งฉินเย่ก็ยังมาที่นี่ด้วยล่ะ?”

เฉินตงมองดูเวลา เพิ่งจะตีห้า ในช่วงเวลาที่เช้าขนาดนี้ มีเหตุผลที่เชื่อได้ว่าฉินเย่ควรจะเพิ่งกลับจากไปปาร์ตี้สุดเหวี่ยงที่ไนต์คลับเสร็จ แล้วกำลังเตรียมตัวกลับบ้านนอนสิถึงจะถูก

เขาเหลือบมองท่านหลงกับคุนหลุนด้วยความประหลาดใจ “ นี่สรุปว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ”

“คุณชาย คุณท่านใหญ่หลี่ถูกลอบฆ่า ยังไม่เป็นเรื่องใหญ่พออีกหรือ?”

คุนหลุนพูดด้วยท่าทีตื่นตระหนก: “ตอนนี้เมืองหลวงวุ่นวายปั่นป่วนไม่มีดีแล้วครับ เจ้าบ้านตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดคนปัจจุบันถูกลอบฆ่า เรื่องนี้ร้ายแรงพอ ๆ กับระเบิดนิวเคลียร์ลูกย่อม ๆ เลยครับ!”

เฉินตงถูจมูก ยกยิ้มเหยียดหยาม แล้วทรุดนั่งลงบนโซฟา

บิดขี้เกียจอย่างเกียจคร้าน หาวหวอดพลางพูดติดตลกว่า: “อยู่ห่างกันคนละโยชน์เลย มันเกี่ยวอะไรกับพวกเราล่ะ?”

“คุณท่านใหญ่หลี่ตายในโรงแรมไท่ซานครับ!” คุนหลุนตอบกลับ

เฉินตงยังคงไม่สนใจเหมือนเดิม

ในขณะที่กำลังจะพูดต่อ ฉินเย่ก็ยื่นโทรศัพท์มือถือที่จ้องอยู่มาตรงหน้าเขา

“พี่คุนหลุนพูดยังไม่ตรงประเด็นมากพอ นายดูนี่ดีกว่า”

เฉินตงรับโทรศัพท์มือถือไปดูอย่างสงสัย

เมื่อเห็นหน้าจอที่อยู่ในโหมดมินิไมซ์ แววตาของเขาก็ปรากฏอาการตกตะลึงพรึงเพริศ

มินิไมซ์นั้น ปรากฏผลการค้นหาจากหน้าเว็บไซด์สำหรับมือถือที่ไม่ธรรมดา เป็นสไตล์มินิมอล หลัก ๆ จะเป็นสีขาวดำ แต่หน้าปกเว็บกลับมีรูปดาบที่อาบเปื้อนไปด้วยเลือดสีแดงฉานอยู่เล่มหนึ่ง

สีแดงคล้ำดุจเลือดนกนั้น เป็นอะไรที่เด่นสะดุดตามากบนหน้าปกขาวดำ

เฉินตงเลื่อนลงมาดูข้อมูลต่อโดยไม่รู้ตัว ข้อมูลชุดหนึ่งก็พุ่งเข้าใส่ดวงตาของเขาทันที ราวกับสายฟ้าที่ฟาดใส่เข้ามาตรง ๆ

[ คำสั่งฆ่าระดับ S นักฆ่าอำพราง the hidden killer! เป้าหมาย: ผู้สืบทอดตระกูลเฉิน เจ้าของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ไท่ติ่ง เฉินตง! ]

แม่…งเอ๊ย! นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน….

เฉินตงถึงขั้นอยากสบถคำด่าพ่อล่อแม่ออกมาเลยทีเดียว

ทำไมจู่ ๆ ก็มีคำสั่งฆ่าฉันขึ้นมาเฉย ๆ ล่ะ?

ท่านหลงกับคุนหลุนทรุดตัวลงนั่งทีละคน ๆ

ท่านหลงพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักอึ้งว่า “ฉินเย่ คิดไม่ถึงว่าเธอจะสามารถเข้าดาร์กเว็บได้ด้วยนะ?”

ดาร์กเว็บ? !

จิตใจของเฉินตงพลันเครียดขมึงขึ้นมาทันที

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินศัพท์คำนี้

“จะดีจะชั่วผมก็เป็นคนตระกูลฉินนะ ผมสามารถช่วยให้ตระกูลฉินกลายเป็นคนรวยระดับท็อป ขึ้นแท่นเป็นมหาเศรษฐีมีเงินเป็นหมื่น ๆ ล้านได้เชียวนะ กะอีแค่ดาร์กเว็บนี่ ผมจะเข้าไปไม่ได้เชียวเหรอ?” ฉินเย่ตอบกลับด้วยการโอ้อวดตัวเองไปประโยคหนึ่ง

เขาหันไปมองไปที่เฉินตงอย่างรวดเร็ว แสร้งทำเป็นผ่อนคลายยิ้มแย้ม : “พี่ตง คราวนี้นายมีปัญหาใหญ่จริง ๆ แล้วล่ะนะ!”

“เดี๋ยวนะ!”

เฉินตงสั่งให้หยุดพูดด้วยความมึนงง แล้วถามด้วยใบหน้าสงสัยว่า: “ไอ้ดาร์กเว็บนี่มันคืออะไร? แล้วไอ้คำสั่งฆ่าระดับ S นักฆ่าอำพราง The hidden killer บ้าบออะไรนั่นอีก สรุปว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่?”

พวกท่านหลงทั้งสาม ต่างส่งสายตาชำเลืองมองกันไปมาไม่หยุด

สุดท้ายฉินเย่กับท่านหลง ก็พร้อมใจกันมองไปที่คุนหลุนเป็นตาเดียวกัน

ในบรรดาสามคน คุนหลุนเป็นคนที่รู้สถานการณ์ดีที่สุด

คุนหลุนสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดกับเฉินตงว่า: “คุณชาย คุณสามารถทำความเข้าใจกับคำว่า “ดาร์กเว็บ” ได้เหมือนกับการที่คนทั่วไปใช้อินเทอร์เน็ตในอีกด้านหนึ่ง แต่มันจะอยู่ในด้านมืด ซึ่งคนธรรมดาจะไม่สามารถเข้าไปเกี่ยวข้องได้เลย พูดได้ว่าดาร์กเว็บเป็นตัวตนในด้านชั่วร้ายดำมืดของมนุษย์ครับ”

เฉินตงพอจะเข้าใจได้คร่าว ๆ แล้ว จึงพยักหน้ารับรู้

คุนหลุนสีหน้าเคร่งเครียด พูดต่ออย่างรวดเร็วว่า: “แล้วองค์กรhidden killersนั้น ก็คือองค์กรนักฆ่าที่ฝังรากลึกอยู่ในดาร์กเว็บ มือมืดของมันสามารถแผ่ขยายกระจายเงาอันชั่วร้ายจากเมืองหนึ่งไปยังอีกเมืองหนึ่ง หรือแม้กระทั่งไปได้ถึงทั่วโลกเลยทีเดียว”

“องค์กรhidden killersที่ว่านั้น มีหน้าที่รับภารกิจลอบสังหาร ซึ่งมีการจ้างวานมาจากลูกค้าต่าง ๆ ในดาร์กเว็บ โดยจะคิดราคาภารกิจลอบสังหารตามค่าหัว สถานะของเป้าหมาย และความยากง่ายของการลอบสังหาร ทุกคนในดาร์กเว็บสามารถรับทำภารกิจได้ การตัดสินขั้นสุดท้ายขึ้นอยู่กับว่า ใครเป็นคนที่ทำภารกิจได้สำเร็จก่อน คนนั้นก็จะเป็นผู้ที่รับภารกิจชิ้นที่ว่านั้นไป!”

หลังฟังคำอธิบายของคุนหลุน เฉินตงก็จ้องมองไปที่หน้าจอโทรศัพท์ รูม่านตาค่อย ๆ หดเล็กลง

ความหนาวเย็นอันไร้ที่มาค่อย ๆ แผ่ซ่านไปทั่วแผ่นหลังอย่างเงียบงัน

“ไม่มีกฎเกณฑ์สำหรับการประกาศภารกิจอย่างชัดเจน ครอบคลุมขยายไปทั่วโลก นี่คือความน่ากลัวขององค์กรhidden killersที่แท้จริง!”

เสียงของคุนหลุนกดต่ำจนแทบไม่ได้ยิน หากเปลี่ยนเป็นเขาล่ะก็ เขาก็คงอดรู้สึกหวาดหวั่นในใจไม่ได้เหมือนกัน : “ภารกิจลอบฆ่าจะแบ่งออกเป็นระดับ S, A, B, C และ D จากสูงไปต่ำ และภารกิจระดับ S จะมีเกรดตั้งแต่ 1 ดาวถึง 5 ดาว คุณชายคือเกรด 1 ดาว ระดับ S !”

เฉินตงไม่ได้สนใจฟังคำพูดของคุนหลุนแล้ว

เขารู้สึกหนาวสะท้านไปทั้งร่าง เหงื่อออกจนชุ่มเต็มฝ่ามือโดยไม่รู้ตัว

สิ่งที่เขาสนใจคือคำพูดประโยคสุดท้ายของคุนหลุน

ไม่มีกฎเกณฑ์สำหรับการประกาศภารกิจอย่างชัดเจน ครอบคลุมขยายไปทั่วโลก!

ซึ่งหมายความว่า ขอแค่ใครก็ตามที่สามารถเข้าสู่ดาร์กเว็บได้ ก็สามารถเห็นภารกิจคำสั่งให้ลอบฆ่าที่ว่านี้ได้ รวมถึงรับเป็นผู้ทำภารกิจได้หมดทุกคนนั่นเอง

ในฐานะเป้าหมายของการลอบสังหาร สิ่งที่เขาจะต้องเผชิญต่อจากนี้ไป น่าจะเป็นกลุ่มนักฆ่ากลุ่มใหญ่ที่รุมล้อมเข้ามาเหมือนตั๊กแตนนักล่า ถึงขั้นที่ไม่แน่ว่า อาจมีนักฆ่าที่ไม่ใช่มืออาชีพปะปนอยู่ในนั้นด้วย!

เฉินตงเคาะนิ้วโป้งเบา ๆ จมดิ่งเข้าสู่การวิเคราะห์ภารกิจลอบฆ่าที่เกี่ยวข้องกับตัวเขาเอง

มีตัวหนังสือเพียงไม่กี่บรรทัดที่ใช้แนะนำภูมิหลัง ตัวตน และสถานะของเขา แต่บรรทัดที่ว่าเป็นผู้สืบทอดตระกูลเฉิน เน้นการใช้สีแดงเป็นเครื่องหมายบ่งชี้เป็นพิเศษ

ดูเหมือนว่า ที่ฉันสามารถถูกตัดสินว่าเป็น ระดับ S ได้ ก็เป็นเพราะเกี่ยวข้องกับสถานะผู้สืบทอดของตระกูลเฉินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้งั้นสินะ

รูม่านตาของเฉินตงหดตัวถึงขีดสุด หลุบตาลงต่ำตามนิ้วที่เคาะซ้ำ ๆ ทันใดนั้นรูม่านตาที่หดตัวก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง

คนที่ประกาศภารกิจลอบฆ่าต่อกลุ่มนักฆ่าในดาร์กเว็บครั้งนี้ จะต้องเป็นตระกูลหลี่แห่งเมืองหลวงแน่!

คำพูดง่าย ๆ ไม่กี่คำทำให้สมองของเฉินตงเหมือนมีระเบิดลูกใหญ่ ๆ ระเบิดซ้ำไปมาไม่หยุด

เขาเกรี้ยวกราดขึ้นมาทันที พลางพูดอย่างโกรธเคืองว่า : “ตระกูลหลี่!? นี่พวกนั้นคิดว่าฉันฆ่าคุณท่านใหญ่หลี่งั้นเรอะ?”

ก่อนหน้านี้ คุณท่านใหญ่หลี่เพิ่งถูกคนลอบฆ่า

จากนั้น เขาก็ถูกตระกูลหลี่จ้างวานนักฆ่าบนดาร์กเว็บให้มาทำภารกิจลอบฆ่าเขาทันที

การเชื่อมต่อลักษณะนี้ ใครก็ตามที่ไม่โง่ ต่างก็สามารถเข้าใจได้ทั้งนั้น

“ต้องใช่แน่!”

ท่านหลงพยักหน้า พูดด้วยแววตาลึกล้ำ: ” นี่ช่างเป็นเรื่องยุ่งยากที่ส่งผลร้ายแรงต่อคุณชายอย่างแท้จริงเลยครับ ”

“แต่ฉันไม่ได้เป็นคนฆ่าคุณท่านใหญ่หลี่นะ หลังจากที่ฉันไล่พวกเขาออกไป ฉันก็กลับบ้านเข้านอนพร้อมกับเสี่ยวหยิ่งแล้ว!” เฉินตงรู้สึกโมโหขึ้นมาอีก

ไม่ว่าใครก็ตาม ถ้าจู่ ๆ ก็ถูกจับไปวางไว้ในสถานที่ดำมืดอย่างดาร์กเว็บนั่น แล้วถูกแขวนชื่อลอยไว้ในภารกิจลอบสังหาร ก็ต้องรู้สึกหวาดกลัวกันทั้งนั้นแหละ

“เพราะงั้น นี่แหละคือสิ่งที่ทำให้เราทุกคนสงสัย พวกเราต่างก็รู้ว่าคุณไม่ได้ฆ่าคุณท่านใหญ่หลี่ แต่ตระกูลหลี่กลับดันทุรังเชื่อกันว่าคุณเป็นคนฆ่า ถึงขั้นที่ยอมทุ่มทุกอย่างที่มี เพื่อสั่งการนักฆ่าในดาร์กเว็บให้มาลอบฆ่าคุณให้จงได้”

ในดวงตาของท่านหลงปรากฏแววฉงนขึ้น พูดด้วยเสียงหนักอึ้งว่า “มันจะต้องมีแผนการร้ายอะไรบางอย่างซ่อนอยู่แน่ ๆ”

“ตอนนี้จะพูดอะไรก็ไม่สำคัญแล้ว!”

ฉินเย่ขัดจังหวะคำพูดของท่านหลงขึ้นมาดื้อๆ: “ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ตระกูลหลี่ได้มอบหมายภารกิจลอบฆ่าให้กลุ่มนักฆ่าอำพราง The hidden killer ในดาร์กเว็บแล้ว การตายของคุณท่านใหญ่หลี่ ทำให้เกิดความโกลาหลไม่ต่างจากพายุ จากนี้ไปจะมีนักฆ่าอีกนับไม่ถ้วนที่จะลอบโจมตีเข้ามา พี่ตง เตรียมล้างคอรอรับหายนะที่จะจู่โจมเข้ามาให้ดีก็แล้วกันนะ!”

นอกจากนี้ เมื่อองค์กรhidden killersประกาศภารกิจออกไปแล้ว โดยปกติคนที่รับมอบหมายภารกิจ จะถูกตั้งชื่อตามองค์กรhidden killersไปโดยอัตโนมัติ และจะไม่ประกาศออกสู่ช่องทางสาธารณะง่าย ๆ เว้นเสียแต่ว่า นั่นจะเป็นความสมัครใจของผู้จ้างวาน สรุปว่าตอนนี้ ตระกูลหลี่ระบุชื่อพี่ชัดเจนเลยว่า จะขอสู้แหลกแบบหลังชนฝากับพี่ตงจนกว่าจะตายกันไปข้าง!”

คำตอบที่เย็นชาไม่แยแส ทำให้คุณท่านใหญ่หลี่ที่คุกเข่าอยู่บนพื้นถึงกับตะลึงค้าง

เขาเงยหน้าขึ้นมองเฉินตงที่กำลังเดินห่างออกไปทุกที ๆ พลางร้องไห้: “ตงเอ๋อ ตาเป็นถึงขนาดนี้แล้ว หลานไม่คิดว่าเราเป็นสายเลือดเดียวกันบ้างเลยเหรอ ? ฉันเป็นพ่อของแม่เธอ เป็นตาของเธอนะ! ตระกูลหลี่ในเวลานี้ มีแค่เธอคนเดียวเท่านั้นแล้วที่จะช่วยได้!”

“หุบปาก!”

เฉินตงพลันบังเกิดจิตสังหาร หันหน้ากลับมาแบบกะทันหัน: “เป็นสายเลือดเดียวกันงั้นเหรอ! ตลอดยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา คุณเคยคิดถึงมันบ้างมั้ยล่ะ ? หรือลืมไปแล้วว่าแม่ต้องลำบาก ต้องทนทุกข์ทรมานขนาดไหน จากน้ำมือของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อแท้ ๆ น่ะหา?!”

“ถ้าฉันไม่คิดถึงไอ้คำว่าสายเลือดเดียวกันนี่ล่ะก็ ฉันคงอดใจไม่ไหว แล้วฆ่าคุณให้ตายกับมือตัวเองไปนานแล้ว!”

“รีบไสหัวกลับไปเมืองหลวงให้พ้น ๆ หน้าฉันเดี๋ยวนี้ ถ้าขืนยังมารบกวนฉันอีกล่ะก็ กะอีแค่ความสัมพันธ์ทางสายเลือดกระจิริดแค่นี้ ฉันก็จะไม่นับมันแล้ว!”

เฉินตงหันกลับไปอย่างแน่วแน่ แล้วก้าวเดินยาว ๆ จากไป

เมื่อตอนที่พ่อกลับไปตระกูลเฉิน เขาทิ้งทุนไว้มากมายให้กับแม่ ด้วยความสามารถของแม่ ไม่ต้องพูดถึงการทำให้บริษัทมีความเจริญรุ่งโรจน์มากขึ้น แค่การรักษาธุรกิจเอาไว้ก็ยังถือได้ว่ามากเพียงพอแล้วด้วยซ้ำ

แล้วตระกูลหลี่ล่ะ?

แค่บังคับแย่งชิงไปไม่ว่า ถึงขั้นที่ไม่ต้องการให้แม่ทำอะไรได้สำเร็จ จึงวางแผนการล้อมโจมตีแบบลับ ๆ ชนิดไม่เหลือที่ให้หายใจ

บีบบังคับพวกเขาสองคนแม่ลูก ให้ตกลงไปในห้วงเหวลึกอย่างโหดร้าย

ยี่สิบปีที่แล้ว ตระกูลหลี่ไม่เคยสนใจว่าแม่จะเป็นตายร้ายดียังไง ยี่สิบปีต่อมา เขาได้กลายเป็นตัวตนที่ตระกูลหลี่ไม่สามารถปีนป่ายไขว่คว้าถึงได้ไปแล้ว!

เหตุในอดีต ผลของวันนี้ นี่แหละคือผลกรรมที่สาสมที่สุด!

“ตงเอ๋อ ตงเอ๋อ….”

คุณท่านใหญ่หลี่ร้องไห้ฟูมฟาย คลานเข่ากระเสือกกระสนพยายามไล่ตามเฉินตงไป

“พ่อ พ่อใจเย็น ๆ ก่อน พ่อใจเย็น ๆ ก่อนนะครับ”

หลี่เต๋อซานรีบลุกขึ้น พยายามประคองคุณท่านใหญ่หลี่อย่างสุดความสามารถ จ้องมองเฉินตงที่กำลังเดินห่างออกไป: “เจ้าเดรัจฉานอกตัญญูนี่ มันถึงกับคิดจะฆ่าพ่อแล้วด้วยซ้ำ ทำไมพ่อถึงยังต้องไปก้มหัวขอร้องมันขนาดนี้ด้วย?”

“กลับบ้าน พวกเรากลับบ้านเถอะ!” หลี่เต๋อซานรู้สึกเจ็บปวดใจ ขณะที่เห็นพ่อร้องไห้อย่างสิ้นหวัง

แม้ว่าเขาจะโกรธมาก แต่เขาก็รู้ดีว่า พ่อของเขากำลังทำเช่นนี้เพื่อปูเส้นทางในอนาคต รวมไปถึงพยายามหาที่พักพิงสำหรับคนตระกูลหลี่ทั้งตระกูล!

แต่ในฐานะคนเป็นลูก เขาทนรับมันไม่ได้จริง ๆ

“พรุ่งนี้เรากลับเมืองหลวงกัน ต่อให้ตระกูลหลี่ต้องจบสิ้นลง ก็จะไม่ยอมให้พ่อต้องมาโดนดูถูกขนาดนี้แล้ว!”

หลี่เต๋อซานช่วยพยุงคุณท่านใหญ่หลี่ขึ้นรถ แล้วตามขึ้นรถไปทีหลัง

เบนท์ลีย์หันหัวหลังกลับ พุ่งทะยานลงจากภูเขาไป

“คุณชาย พวกนั้นไปแล้วครับ” คุนหลุนหันกลับไปมองแวบหนึ่ง

เฉินตงพยักหน้าอย่างเฉยเมย: “ทำฉันคลื่นไส้เป็นบ้า”

คุนหลุนนิ่งเงียบไม่พูดจา แค่เดินตามหลังไปอย่างใกล้ชิด

ตกดึกสงัด

กลับไปยังห้องเพรสซิเดนสูทของโรงแรมไท่ซาน

ตาของคุณท่านใหญ่หลี่เป็นสีแดงก่ำ นั่งอยู่บนโซฟาด้วยท่าทางเหม่อลอย

หลี่เต๋อซานนั่งอยู่ข้าง ๆ ด้วยสีหน้าง่วงงุนเต็มที่ แม้ว่าเปลือกตาของเขาแทบจะปิดเพราะความง่วงมากแค่ไหน เขาก็ยังไม่กล้าไปนอนก่อน

หลังกลับมาจากเขตวิลล่าเขาเทียนซาน

คุณท่านใหญ่หลี่ก็นั่งอยู่ตรงนี้ตลอดเวลา

เจ้าบ้านตระกูลหลี่ผู้สง่างาม ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นยักษ์ใหญ่ในเมืองหลวง

จวบจนอายุมากขนาดนี้แล้ว ถึงกับยอมทิ้งศักดิ์ศรีทั้งหมด แล้วคุกเข่าให้เด็กรุ่นหลัง

นี่ถือเป็นระเบิดลูกใหญ่ที่โจมตีความภาคภูมิใจของเขา!

หลี่เต๋อซานกังวลว่าพ่อของเขาจะทนรับไม่ไหว จนทำเรื่องโง่ ๆ ลงไป เขาจึงอยู่ข้าง ๆ พ่อตลอด

อาการง่วงนอน จู่โจมเข้ามาระลอกแล้วระลอกเล่า

เปลือกตาเริ่มหนักเหมือนมีเหล็กมากดทับ เอาแต่จะปิดเองอย่างควบคุมไม่ได้

หลี่เต๋อซานหยิกต้นขาตัวเองแรง ๆ ความเจ็บปวดนั้นทำให้เขารู้สึกมีสติขึ้นมาหลายส่วน

มองดูเวลาตอนนี้ ก็ปาเข้าไปตีสองแล้ว

เขาอดไม่ได้ที่จะพูดว่า: “พ่อ พักผ่อนเถอะครับ”

ท่านใหญ่หลี่ไม่ขยับ เพียงฝืนกะพริบเปลือกตาที่บวมช้ำเบา ๆ

หลี่เต๋อซานจนใจทำอะไรไม่ถูก ทั้งเต็มไปด้วยความหงุดหงิด ได้แต่ถูใบหน้าเพื่อทำให้ตัวเองมีสติ

เขาไม่กล้านอนจริงๆ

เวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ และความง่วงก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น

แม้แต่การหยิกต้นขากับถูใบหน้า ก็ไม่สามารถหยุดอาการง่วงนอนได้

ในที่สุด เปลือกตาของหลี่เต๋อซานก็ปิดลงโดยไม่รู้ตัว ความง่วงเข้าจู่โจมโหมกระหน่ำ

คร่อก!

เสียงเบา ๆ เสียงหนึ่งดังขึ้น

ในห้องที่เงียบสงัด เป็นเหมือนดั่งเสียงฟ้าร้องอันดุดันกัมปนาท

หลี่เต๋อซานตัวสั่น ลืมตาตื่นขึ้นมาในทันใด

ทันทีที่เขาลืมตาขึ้นมา เขาก็จ้องไปที่คุณท่านใหญ่หลี่ที่อยู่ตรงหน้าเขา

แต่เมื่อมองไปเห็น ในหัวก็เกิดเสียงระเบิดดัง “บึ้ม” ขึ้นมาอย่างน่ากลัว การเคลื่อนไหวพลันกลายเป็นดุร้ายเกรี้ยวกราดขึ้นมาทันที

“พ่อ!”

เสียงร้องไห้อันเศร้าโศกชวนเวทนา ดังขึ้นอย่างฉับพลัน

ในเวลานี้ คุณท่านใหญ่หลี่ได้ล้มลงบนเก้าอี้ไปแล้ว ดวงตาแดงก่ำคู่นั้นเบิกกว้าง

มีกริชเล่มหนึ่งปักคาอยู่ที่ตำแหน่งหัวใจของเขา เลือดสด ๆ ไหลพุ่งออกมาเหมือนกับน้ำพุตามร่องเลือดที่กริชปักลงไป

อาบย้อมไปทั่วพื้น รวมถึงทุกสิ่งรอบตัวคุณท่านใหญ่หลี่จนเป็นสีแดงฉาน

เป็นฉากนองเลือดที่น่าสะพรึงกลัวมากฉากหนึ่ง

แทบจะทำให้หลี่เต๋อซานเป็นลมไป

แต่สัมปชัญญะที่ยังเหลืออยู่ ทำให้เขารีบลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว

ด้วยสายตาที่ดุดันกราดเกรี้ยว เขารีบมองค้นหาไปรอบ ๆ

เขาแน่ใจว่าตัวเองตื่นทันทีที่ได้ยินเสียง ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ แค่นี้ ฆาตกรต้องยังอยู่ที่นี่แน่!

“หยุดนะ!”

ทันใดนั้น หลี่เต๋อซานก็ตะโกนอย่างโกรธจัด

ประตูห้องกลับถูกเปิดค้างไว้ครึ่งหนึ่ง เขาเห็นเงาร่างร่างหนึ่งพุ่งทะยานออกไป

หลี่เต๋อซานรีบไล่ตามออกไปด้วยความโกรธแค้น ความแค้นที่ฆ่าพ่อไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้ ในเวลานี้ ไม่ว่าอะไรเขาก็ไม่กลัวทั้งนั้น

แต่เมื่อเขาตามไปจนถึงประตูหน้า

ทันใดนั้น ตรงหน้าก็พลันมืดลงอย่างทันหัน

พลั่ก!

ฝ่าเท้าหนัก ๆ ข้างหนึ่ง เตะเข้าที่กลางหน้าอกของเขาอย่างดุดัน ทำให้เขาถึงกับกระเด็นกลิ้งกลับเข้าห้องไปตรง ๆ

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง น้ำเสียงเย็นชาเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น

“ไม่ยอมไสหัวกลับเมืองหลวง งั้นก็สมควรตาย ๆ ไปซะ!”

หลี่เต๋อซานล้มลงกับพื้นอย่างรุนแรง แต่เจ้าตัวไม่สนใจความเจ็บปวด รีบเงยหน้าขึ้นแล้วมองออกไปที่ด้านนอกประตู

แต่แม้กระทั่งเงาผีสางที่ไหน ก็หายไปจนหมดไม่มีเหลือแล้ว

แต่เสียงเมื่อครู่นี้ เป็นเสมือนเสียงฟ้าร้องกึกก้องกัมปนาท ฟาดเข้ากลางใจจนทำให้เขาอกสั่นขวัญหาย

“ไอ้สารเลวเอ้ย…ไอ้สารเลวน่าตายนั่น….”

หลี่เต๋อซานกัดฟันกรอด พยายามฝืนลุกขึ้นแล้ววิ่งตามไปที่ประตู

ทางเดินที่เปิดไฟสว่างจ้า กลับว่างเปล่าไม่เห็นแม้แต่เงาของใครแม้แต่คนเดียว

เป็นความหวาดกลัวที่จมดิ่งยาวนาน บาดลึกแทรกซึมในใจอย่างเงียบงัน

หลี่เต๋อซานตะลึงค้างอยู่ในภวังค์ คำพูดนั้นยังดังก้องวนเวียนซ้ำ ๆ อยู่ในสมองไม่หยุด

เขาหันกลับมาอย่างเชื่องช้า ก้าวเดินโซซัดโซเซไปตรงหน้าคุณท่านใหญ่หลี่ ผู้ที่หมดลมหายใจไปนานแล้ว

ตึง!

หลี่เต๋อซานคุกเข่าลงกับพื้น พาดสองมือลงบนหัวเข่าของร่างไร้วิญญาณของคุณท่านใหญ่หลี่ แล้วเริ่มร้องไห้โฮอย่างหมดท่า: “พ่อ … ”

เสียงร้องไห้นั้นดังสะท้านสะเทือน สะท้อนโศกนาฏกรรมอันน่าสลดหดหู่

ในห้องสวีทหรู อาบย้อมไปด้วยเลือดเจิ่งนอง

ศพของคุณท่านใหญ่หลี่เย็นลงอย่างรวดเร็ว ยกเว้นเพียงดวงตาแดงก่ำคู่นั้นที่ยังคงเบิกกว้าง มองค้างไปที่เพดาน ปากอ้าเปิดเล็กน้อยราวกับว่าเขาไม่เต็มใจรับความตายนี้

เพียงไม่นาน เสียงร้องไห้ก็ดึงดูดผู้คนภายในโรงแรมทั้งหมด

หลังเสียงหวีดร้องด้วยความแตกตื่นตกใจดังต่อเนื่องกัน ไม่นานในห้องก็เต็มไปด้วยผู้คน

ทุกสายตาต่างจ้องมองไปที่หลี่เต๋อซานด้วยความแตกตื่น

หลี่เต๋อซานตัวสั่นเทิ้ม ร้องไห้โฮไม่ต่างจากเด็กเล็ก ๆ เป็นภาพที่น่าอนาถชวนสังเวชใจอย่างยิ่ง

เขาคิดไม่ถึงเลยสักนิด ทั้งที่ป้องกันอย่างเต็มที่ แค่เพราะความง่วงเพียงชั่วขณะ สุดท้ายกลับยังปล่อยให้เรื่องร้ายแรงแบบนี้เกิดขึ้นจนได้

สิ่งที่ทำให้เขาคาดไม่ถึงยิ่งกว่านั้นก็คือ พ่อไม่ได้ฆ่าตัวตาย แต่เป็นการถูกคนอื่นลอบฆ่าจนตาย!

หลี่เต๋อซานเงยหน้าขึ้นช้า ๆ ร้องไห้ออกมาอย่างสิ้นหวัง เจ็บปวดใจเหลือจะเอ่ย

เขาร้องไห้ไปพลางพร่ำเพ้อไม่หยุดว่า: “พ่อ… พวกเราไม่น่ามาที่นี่เลย ไม่น่ามาที่นี่เลย. … ความแค้นนี้! ต่อให้ตระกูลหลี่ต้องจ่ายค่าตอบแทนมากเท่าไหร่ ผมก็จะแก้แค้นให้พ่อให้ได้! ”

เขาปาดน้ำตาบนใบหน้าอย่างรุนแรง

เพียงชั่วพริบตา หลี่เต๋อซานก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นดุร้ายเกรี้ยวกราด

“ไม่ยอมไสหัวกลับเมืองหลวง งั้นก็สมควรตาย ? จะมีสักกี่คนที่พูดอะไรแบบนี้ได้?”

“ชั่วร้ายเลวทราม! ถึงกับฆ่าญาติผู้ใหญ่! แกช่างขวัญกล้าบังอาจซะจริงนะ! ไม่กลัวบาปกลัวกรรมสักนิดเลยรึไง? แกไม่กลัวถูกฟ้าผ่าบ้างเลยรึไง!?”

หลี่เต๋อซานค่อยๆ ลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า ประโยคอันคุ้นหูเมื่อครู่ เป็นประโยคที่เขาเพิ่งได้ยินกับหูเมื่อไม่นานมานี้ ที่เฉินตงได้พูดตรงหน้าบ้านพักเขตวิลล่าเขาเทียนซานนั่นเอง

เดิมทีเขาคิดว่ามันคงเป็นแค่คำขู่ แต่คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าแค่ผ่านไปคืนเดียว มันจะกลายเป็นความจริงไปซะแล้ว

ที่เมื่อครู่เฉินตงกล้าพูดแบบนั้นออกมา ย่อมไม่มีอะไรให้ต้องสงสัยอีกต่อไป

ใช่แน่!

เดิมทีเขาไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรเลย เมืองนี้เป็นที่ถิ่นของเขา เป็นเหมือนสวนหลังบ้านด้วยซ้ำ เขายังต้องกังวลอะไรอีกล่ะ?

หลี่เต๋อซานกัดฟันกรอด ชั่วขณะนั้น ในใจก็บังเกิดจิตสังหารพุ่งทะยานขึ้นมา ใบหน้าปรากฏร่องรอยความบ้าคลั่งกระหายเลือด

“ต่อให้ต้องใช้ทุกอย่างของตระกูลหลี่ทุ่มลงไปจนหมดตัว ฉันก็จะฆ่าแกให้จงได้ จะถลกหนังป่นกระดูกแกให้แหลกเป็นผุยผง!”

หลี่เต๋อซานไม่เข้าใจ

แม้แต่คนในตระกูลหลี่ทั้งหมดก็ไม่เข้าใจ

การที่คุ้นเคยอยู่กับความเย่อหยิ่งจองหองมานาน ทำให้ทุกคนเอาแต่คิดว่า ตระกูลหลี่นั้นยิ่งใหญ่เทียมฟ้า ต่อให้สิ่งปลูกสร้างจะพังทลายลงมา แต่เศษซากที่เหลืออยู่ก็ยังสามารถใช้เป็นสิ่งเชิดหน้าชูตาราวอยู่เหนือกว่าใครต่อใครได้ไม่เปลี่ยน

แต่คุณท่านใหญ่หลี่รู้ดีว่า กระแสคลื่นพายุในเมืองหลวงมันรุนแรงเชี่ยวกรากแค่ไหน ใคร ๆ ต่างก็ชี้ดาบมาที่ตระกูลหลี่ ฉากหน้าอาจดูสงบนิ่ง แต่ในความเป็นจริง กลับเต็มไปด้วยฝูงหมาป่าที่ลับดาบรอการโจมตีอยู่นานแล้วต่างหาก

ในเมืองหลวงที่ซึ่งเต็มไปด้วยมังกรหมอบพยัคฆ์ซ่อนเช่นนี้ ก็มีบางคนที่เป็นสัตว์ประหลาด

เมื่อไหร่ก็ตามที่ตระกูลหลี่แสดงอาการอ่อนล้า พวกนั้นก็จะจู่โจมเข้ามาจากทุกด้าน เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลหลี่ก็ไม่ต่างอะไรกับไก่ที่ถูกเชือดถูกถอนขนจนเกลื่อนกลาด อูฐที่ผอมแห้งใกล้ตาย ไม่มีทางจะตัวใหญ่ไปกว่าม้าที่อ้วนพี

ตระกูลหลี่ทุกวันนี้ ไม่มีใครในตระกูลที่สามารถหยุด “ฝันร้าย” ฉากนี้ลงได้

มีเพียงเฉินตงเท่านั้น!

ความสามารถและนิสัยใจคอของเฉินตง เป็นอะไรได้รับการยืนยันมานานแล้ว

กุญแจที่สำคัญกว่านั้นก็คือ เฉินเต้าหลินที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังของเฉินตง

หากสามารถใช้เฉินตงเป็นทางผ่าน เข้าไปพึ่งพาภูเขาอันยิ่งใหญ่แบบตระกูลเฉินได้ วิกฤตที่ตระกูลหลี่เผชิญอยู่ในตอนนี้ ก็เท่ากับได้รับการแก้ไขได้ทันที

หากเทียบว่าในเมืองหลวงมีมังกรหมอบพยัคฆ์ซ่อน ตระกูลเฉินก็คือสัตว์ประหลาดขนาดมหึมาอย่างแท้จริง แค่เพียงลืมตาแล้วพ่นลมหายใจออกมา ก็สามารถกดดันบีบบังคับมังกรและพยัคฆ์ ด้วยกรงเล็บขนาดมหึมานั้นได้ในพริบตา

ฟ้ามืดไปทุกที

คุณท่านใหญ่หลี่เพิกเฉยต่อคำทัดทานของหลี่เต๋อซาน ฝืนออกจากโรงพยาบาลจนได้

หลังจากที่ทั้งสองเช็กอินที่โรงแรมไท่ซาน คุณท่านใหญ่หลี่ก็ทำตัวหน้าด้าน ติดต่อเฉินตงไปอีกครั้ง

แต่ความเด็ดขาดของเฉินตง ทำให้คุณท่านใหญ่หลี่เครียด จนเกือบจะกระอักเอาเลือดเก่าออกมาจนกบปากอีกครั้งเลยทีเดียว

อีกด้านหนึ่ง

วิลล่าเขาเทียนซาน แสงไฟสว่างไสว

เนื่องจากเพดานราคาบ้านในเมืองระดับนี้ แม้จะเป็นยามค่ำคืนอันมืดมิด วิลล่าเขาเทียนซานก็ยังส่องสว่างไปด้วยแสงไฟอันเป็นเอกลักษณ์ งดงามตระการตาเหนือกว่าที่อื่น

เฉินตงจูงมือกู้ชิงหยิ่ง เดินไปตามถนนอย่างเงียบ ๆ สายลมยามค่ำคืนพัดโชยแผ่วพลิ้ว

กู้ชิงหยิ่งแอบชำเลืองตามองเฉินตง ท่าทางครุ่นคิด

“เธออยากจะถามอะไรฉันรึเปล่า?”

ในที่สุด เฉินตงก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากพูดขึ้น

“หา?”

กู้ชิงหยิ่งไม่ได้มีท่าทางร้อนใจอะไร แต่ก็พูดขึ้นในที่สุดว่า “เรื่องของตระกูลหลี่”

“หืม?”

เฉินตงหยุดเดิน หันไปมองกู้ชิงหยิ่งอย่างนุ่มนวล

กู้ชิงหยิ่งพูดขึ้นช้า ๆ ว่า: “ฉันคิดว่าด้วยขนาดของตระกูลหลี่ ถ้าคุณยอมรับคุณท่านใหญ่หลี่ได้ นั่นจะเป็นผู้สนับสนุนที่แข็งแกร่ง สำหรับการเป็นผู้สืบทอดตระกูลเฉินให้กับคุณได้นะ”

ความเด็ดขาดของเฉินตงตอนที่รับสายจากคุณท่านใหญ่หลี่เมื่อครู่นี้ ถูกกู้ชิงหยิ่งทำให้เกิดอาการสะดุดขึ้นมาเสียแล้ว

เธอไม่ค่อยเห็นความมุ่งมั่นเช่นนี้ ในตัวของเฉินตงบ่อยนัก

มันเป็นความรู้สึกอย่างหนึ่ง ที่เกือบจะเรียกว่าใกล้เคียงเจตนาฆ่า ไม่ก็ความโหดเหี้ยมเย็นชาอย่างถึงที่สุด

เฉินตงรู้ว่ากู้ชิงหยิ่งกำลังคิดเพื่อตัวเขาอยู่ จึงไม่รู้สึกโกรธเลย

เขายิ้มเล็กน้อย บีบจมูกโด่งรั้งของกู้ชิงหยิ่งเบา ๆ : “เด็กโง่ ฉันรู้อยู่แล้วล่ะ แต่ฉันแค่ไม่อยากทำเฉย ๆ น่ะ”

กู้ชิงหยิ่งงงงันไปชั่วขณะ

เฉินตงจับมือกู้ชิงหยิ่งแล้วเดินต่อไป เดินไปพลางก็พูดไปพลางว่า: “ฉันไม่มีวันลืมสิ่งที่แม่ของฉันได้รับตอนที่เธอถูกลักพาตัวไปที่บ้านตระกูลหลี่ แล้วก็ไม่มีวันลืมความขุ่นเคืองใจของแม่ที่มีต่อตระกูลหลี่ได้ไปตลอดกาล เรื่องอะไรที่แม่ไม่อยากทำ ฉันจะทำได้ยังไงกันล่ะ?”

สีหน้าของกู้ชิงหยิ่งอึดอัดคล้ายหายใจไม่สะดวก ดวงตาสั่นไหวเล็กน้อย

เธอไม่รู้เลยว่า ในทุกคำพูดของเฉินตงนั้น ได้รวมเรื่องราวเลวร้าย หรือต้องก้าวผ่านประสบการณ์แย่ ๆ มามากมายแค่ไหน

แต่เธอก็ยังกระชับมือของเฉินตงไว้แน่นโดยไม่รู้ตัว เหมือนเป็นการปลอบโยนจิตใจ

“วางใจเถอะ ต่อให้ฉันไม่ยอมรับตระกูลหลี่ ฉันก็ยังมีความสามารถพอที่จะได้รับตำแหน่งเจ้าบ้านคนต่อไปแน่นอน”

เฉินตงยิ้มอย่างมั่นใจ ดวงตาเปล่งประกายสดใส: “บริษัทไท่ติ่งของฉัน บริษัทบันเทิงของฉู่เจียนเจีย ทั้งยังมีบริษัทของโจวจุนหลง รวมถึงหุ้น 50% ในบริษัทการเงินของตระกูลฉินที่ฉินเย่กับฉินเสี่ยวเชียนบริหารอยู่ ทั้งหมดนี้คือหมากตัวสำคัญของฉัน ในการใช้เป็นสิ่งต่อรองเพื่อตำแหน่งเจ้าบ้าน”

“แล้วก็มีตระกูลกู้ของเราด้วย!” กู้ชิงหยิ่งขึ้นเสียงสูงปรี้ดอย่างร้อนรน

เฉินตงผงะ เผยรอยยิ้มอ่อนโยน: “ใช่เลย แล้วก็ยังมีผลงานของตระกูลกู้ของเธอด้วย คุณนายหญิงของท่านเจ้าบ้าน”

ไม่เหมือนคำพูดที่ใช้บอกรักหวานซึ้ง แต่กลับทำให้หัวใจของกู้ชิงหยิ่งสั่นไหวได้อย่างรุนแรง

เธอไม่สนใจหรอกว่าจะเป็นหรือไม่เป็นเจ้าบ้าน เธอสนใจแค่คำว่า “คุณนาย”สองคำนั้นต่างหาก

นี่คือสิ่งที่เธอเฝ้ารอมานานถึงสามปี สิ่งที่ต้องการที่สุดของที่สุด

แค่ได้จับมืออีกฝ่ายไว้ แล้วแก่เฒ่าไปด้วยกัน

“กลับบ้านกันเถอะ” เฉินตงจูงมือกู้ชิงหยิ่งพาเธอเดินกลับบ้านช้า ๆ

เมื่อทั้งสองใกล้จะถึงประตูหน้าบ้านแล้ว กลับเห็นคุนหลุนที่รีบวิ่งออกมาหาอย่างเร่งรีบ

“คุณชาย แย่แล้วครับ”

“เกิดอะไรขึ้นเหรอ?” เฉินตงถาม

คุนหลุนตอบกลับว่า “ ส่วนกลางแจ้งมาว่า มีรถหรูมาจอดคาอยู่ที่หน้าประตูทางเข้าวิลล่าครับ เขาระบุชื่อมาเลยว่าต้องการจะพบคุณ ถ้าไม่ได้พบจะไม่ยอมย้ายรถออกไปครับ!

เฉินตงพูดติดตลกว่า “บริษัทดูแลส่วนกลางของโจวเย่นชิว กลายเป็นพวกไก่อ่อนขนาดนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันล่ะเนี่ย?”

เขายังจำได้ว่า ตอนที่หวางเห้าขับรถออดี้ A4 บุกเข้ามาในวิลล่า เพื่อที่จะหยุดหวางเห้า เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของวิลล่าถึงกับขับรถอีกคันพุ่งเข้าชนออดี้ A4 ของหวางเห้าตรง ๆ แรงชนนั้นมากพอจะทำให้รถพังยับ จนเกือบจะกลายเป็นเศษเหล็กไปเลยทีเดียว

แต่เฉินตงเข้าใจดีว่า คนระดับที่ทำให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเหล่านี้ ไม่กล้าลงมือทำอะไรรุนแรงได้ น่ากลัวว่าบารมีของอีกฝ่าย ต้องมากพอที่จะกดดันโจวเย่นชิวได้แบบอยู่หมัดแน่นอน

ลูบ ๆ จมูกเสร็จเฉินตงก็พูดกับกู้ชิงหยิ่งว่า: “เธอกลับบ้านไปก่อนเถอะ ตอนกลางคืนลมมันเย็น รักษาสุขภาพให้ดี ให้คุนหลุนไปกับฉันก็พอแล้ว”

“ได้” กู้ชิงหยิ่งไม่ถามอะไรมาก เดินตรงกลับบ้านไปทันที

เฉินตงกับคุนหลุนเดินไปที่ประตูทางเข้าวิลล่า

ในเวลานี้

รถเบนท์ลีย์สีดำคันหนึ่ง จอดขวางทางเข้าวิลล่าอยู่

รปภ.หลายสิบคนมองหน้ากัน ไม่กล้าลงมือทำอะไรบุ่มบ่าม

ครั้งแรกที่รถมาถึง พวกเขาก็เข้าไปสอบถาม

แต่คำตอบที่ได้รับกลับมาคือคำว่า – ตระกูลหลี่แห่งเมืองหลวง

เมื่อพวกเขามีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา ก็ส่งผลให้โจวเย่นชิวตื่นตระหนกจนต้องออกคำสั่งด้วยตัวเองเลยว่า ไม่ให้กระทำการอะไรโดยพลการ แล้วรีบแจ้งให้เฉินตงรับทราบโดยทันที

รปภ.ไม่รู้หรอกว่า “ตระกูลหลี่แห่งเมืองหลวง” คืออะไร แต่พวกเขาไม่ใช่คนโง่ คนที่ทำให้โจวเย่นชิวมีปฏิกิริยาเช่นนี้ได้ แปลว่าคนในรถจะต้องเป็นพวกคนใหญ่คนโตที่มีอิทธิพลอย่างแน่นอน

“ดูสิ คุณเฉินมาแล้ว!”

รปภ.ร้องออกมาอย่างโล่งอก

รปภ.ที่เหลือต่างก็หันไปตามเสียงเรียกนั้น สีหน้าของแต่ละคนดูผ่อนคลายลงไปได้บ้างเล็กน้อย

ในเวลาเดียวกัน.

เฉินตงและคุนหลุนมาปรากฏตัวที่ประตูวิลล่า

ประตูรถเบนท์ลีย์คันนั้น ก็เปิดออกมาติด ๆ เช่นกัน

สีหน้าของหลี่เต๋อซานดูมืดทะมึน ก้าวลงจากรถก่อนแล้วไปเปิดประตูรถอีกด้านหนึ่ง ช่วยประคองคุณท่านใหญ่หลี่ลงจากรถ

เขาไม่เข้าใจอย่างมาก ทั้งไม่พอใจมากด้วย ถึงขั้นที่เรียกได้ว่าในอกเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง

แต่เขาก็ไม่กล้าคัดค้านคำพูดของพ่อ

เพราะหากว่าคุณท่านใหญ่หลี่ยังมีชีวิตอยู่หนึ่งวัน เขาก็คือท้องฟ้าที่คุ้มหัวคนตระกูลหลี่หนึ่งวัน!

คุณท่านใหญ่หลี่อยู่ในสภาพที่ย่ำแย่มาก มือหนึ่งถือไม้เท้า มือหนึ่งต้องมีคนคอยพยุง

ถึงกระนั้น ร่างของเขาก็ยังสั่นงันงก ราวกับว่าพร้อมจะล้มลงไปกับพื้นได้ทุกเมื่อ

ผิวซีดเซียว เต็มไปด้วยความน่าหดหู่ใจ ราวกับไม้แห้งที่กำลังจะตาย พร้อมกับลมหายใจเฮือกสุดท้ายที่ไม่รู้จะมาถึงเมื่อไหร่

“ท่าทีของฉันมันชัดเจนแน่วแน่เพียงพอแล้ว คุณก็อายุตั้งขนาดนี้แล้วนะ ยังจะหน้าด้านไร้ยางอายจนถึงขั้นนี้เลยเชียวเหรอ?”

น้ำเสียงเย็นชาแฝงความขยะแขยง ดังออกมาจากปากของเฉินตง

เขาเดินไปหยุดที่หน้าประตู มองไปที่คุณท่านใหญ่กับหลี่เต๋อซานด้วยแววตาลุ่มลึกเย็นชา

หลี่เต๋อซานตัวเกร็ง เตรียมจะเปิดปากเพื่อโต้กลับ

ทันใดนั้น

คุณท่านใหญ่หลี่ก็ปล่อยมือหลี่เต๋อซาน เดินโซเซไปข้างหน้า ในขณะเดียวกันก็โยนไม้เท้าในมือทิ้งไปด้วย

ตึง

คุกเข่าลงบนพื้นตรง ๆ ทั้งอย่างนั้น

ภาพฉากนี้ ถึงกับทำให้ทุกคนตรงนั้นสีหน้าเปลี่ยนไปตาม ๆ กัน

คุณท่านใหญ่หลี่ร้องไห้น้ำตาไหลอาบหน้า ยกมือขึ้นแล้วค่อยๆ โขกคำนับลงกับพื้น

ในเวลาเดียวกัน ก็มีเสียงแหบแห้งเจือเสียงสะอื้นดังขึ้นในลำคอของเขา

“ตงเอ๋อ ตาผิดไปแล้ว…”

บึ้ม!

หลี่เต๋อซานราวกับร่างทั้งร่างถูกฟ้าผ่า ช็อกจนแทบสติหลุด

ชั่วเวลานั้น ร่างกายของเขาสั่นสะท้าน แต่ไม่ว่าความคับข้องใจของเขาจะมากไปกว่านี้อีกสักเท่าไหร่ ก็ยังต้องคุกเข่าตามคุณท่านใหญ่หลี่อยู่ดี เขาจึงคุกเข่าลงกับพื้นตามพ่อไปอีกคน

รปภ.หลายสิบคนได้แต่เบิกตากว้าง คนแก่อายุปูนนี้ถึงกับมาคุกเข่าให้คุณเฉินจริงๆ เหรอเนี่ย?

อย่างไรก็ตาม

ตั้งแต่ต้นจนจบ ท่าทีของเฉินตงยังคงเยือกเย็น ไม่แสดงคลื่นอารมณ์ใด ๆ ออกมาให้เห็นแม้แต่น้อย

“คนแก่ไม่น่าเคารพ พูดจาไม่อายปาก!”

เฉินตงพูดทิ้งท้ายประโยคหนึ่ง ก็หันหลังแล้วเดินจากไป

ครึ่งชั่วโมงต่อมา

เฉินตงกับฉินเย่พบกันที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่บริเวณชั้นล่างของบริษัทไท่ติ่ง

“ อยากฟังข่าวดีก่อน หรือข่าวร้ายก่อน? ” ฉินเย่จิบกาแฟพลางยกยิ้มประหลาด

“ข่าวร้ายก่อนละกัน”

เฉินตงตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

ฉินเย่เลิกคิ้ว: “โอ๊ะโอ! ฉันยังนึกว่านายจะอยากฟังข่าวดีก่อนซะอีก”

“ร้ายก่อนแล้วค่อยดีถือว่าเป็นเซอร์ไพรส์ ถ้าดีก่อนแล้วค่อยร้าย นั่นจะกลายเป็นเรื่องน่าผิดหวังซะมากกว่า” เฉินตงยิ้มน้อยๆ

“เอางั้นก็ได้ ”

ฉินเย่ถูมือ แล้วยกกาแฟขึ้นมาจิบอีก

เห็นได้ว่าเขาเร่งรีบเดินทางมาที่นี่อย่างมาก ที่หน้าผากยังมีเหงื่อเกาะพราวจนเต็ม น่าจะเป็นเพราะทันทีที่ลงจากเครื่องบินก็ตรงมาที่นี่เลย

หลังจากวางถ้วยกาแฟลง

ฉินเย่ยิ้มเล็กน้อย: “ข่าวร้ายก็คือ เฉินหยู่เฟยไม่ได้ออกจากวงการบันเทิงจริง ๆ หรอก หลังจากที่เธอกลับไปตระกูลเฉิน ด้วยการสนับสนุนจากตระกูล เธอเลยได้เปิดบริษัทบันเทิงในเมืองหลวงขึ้นมาบริษัทหนึ่ง เปลี่ยนไปอยู่เบื้องหลังอย่างแท้จริง ”

พูดพลาง ฉินเย่ก็กะพริบตาวิ้ง ๆ พลางพูดด้วยรอยยิ้มแปลก ๆ ว่า “นอกจากนี้ ฉันกับฉู่เจียนเจียก็วิเคราะห์กันว่า ที่เฉินหยู่เฟยทำแบบนี้ เป็นไปได้ว่าเธอทำเพื่อบริษัทบันเทิงที่นายร่วมหุ้นกันกับตระกูลจางและตระกูลฉู่นั้นแน่ๆ เลย”

“ในสงครามคอมเม้นท์บนโลกโซเชียลเมื่อครั้งก่อน เธอล้มเหลวแบบพังไม่เป็นท่าไปในตอนสุดท้าย แถมความช่วยเหลือสำคัญ คือผลงานที่เป็นการแนะนำแบบลับ ๆ ของตระกูลจางกับตระกูลฉู่ซะด้วย เธออาจจะอยากสะสางบัญชีแค้นนี้ก็ได้ล่ะนะ”

ยังไม่ยอมแพ้อีก?

เฉินตงขมวดคิ้ว รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

สงครามคอมเม้นท์บนโลกโซเชียลคราวนั้น ได้บีบคอจนความเป็นไปได้ที่จะอยู่รอดต่อไปในวงการบันเทิงของเฉินหยู่เฟย ต้องปิดฉากลงอย่างสมบูรณ์

ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากที่ลากเอาตระกูลเฉินเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เรื่องนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องระหว่างเขากับเฉินหยู่เฟยอีกต่อไป แต่กลายเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันไปถึงทั้งตระกูลแล้ว

การออกจากวงการบันเทิงอย่างถาวร จึงเป็นวิธีเดียวที่จะปกป้องไม่ให้คำวิจารณ์บนโซเชียลแพร่กระจายไปถึงตระกูลเฉินทั้งตระกูลได้

แต่ทั้ง ๆ ที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นแท้ ๆ เฉินหยู่เฟยก็ยังคงได้รับการสนับสนุนจากตระกูลเฉิน ให้เริ่มเปิดบริษัทบันเทิงขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ซึ่งนับเป็นเรื่องไม่คาดฝันสำหรับเฉินตงอย่างมาก

ผู้หญิงที่ร้ายกาจไม่ต่างจากอสรพิษคนนี้ ช่างเป็นอัญมณีอันแสนมีค่าในฝ่ามือของคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินซะจริงเชียว !

“เพราะงั้น ผู้หญิงถึงเป็นอะไรที่ยุ่งยากใช่มั้ยล่ะ?” เมื่อเห็นเฉินตงขมวดคิ้วมุ่น ฉินเย่ก็ยกยิ้มพลางพูดติดตลก

เฉินตงเลิกคิ้ว แสยะยิ้มแล้วพูดว่า: “นายหมายถึงจางหยู่หลันงั้นเหรอ?”

“แม่งเอ๊ย..…” รอยยิ้มของฉินเย่หายวับไปทันที ไม่ลืมยกนิ้วกลางให้เฉินตงไปหนึ่งดอก

เฉินตงยิ้มสัพยอกแล้วถามต่อว่า: “แล้วข่าวดีล่ะ?”

เฉินหยู่เฟยไม่ยอมแพ้ ทั้งยังคิดจะหวนคืนวงการอีกครั้ง แต่เขาไม่ได้สนใจกับมันมากนัก

สูญเสียที่ยืนในวงการบันเทิง ภายใต้ความคิดเห็นของผู้คนที่กำลังดุเดือด ณ ขณะนั้น ยังทำการเผยแพร่วิดีโอขอโทษต่อสาธารณชนออกไปด้วย

สิ่งนี้นับเป็นการฆ่าบรรดาแฟนคลับ ที่เธอเฝ้าสะสมมาทิ้งไปจนหมดในคราวเดียวอย่างแท้จริง

แม้ว่าเธอจะได้อยู่ในวงการบันเทิงต่อ แต่ถ้าคิดจะสร้างคลื่นลูกมหึมาแบบครั้งก่อนขึ้นมาอีก ก็คงจะเป็นไปไม่ได้แล้ว

สิ่งเดียวที่สามารถทำได้ คือการชี้ปลายดาบไปที่บริษัทบันเทิงของฉู่เจียนเจีย แต่ก็ยังถือว่าโชคดีที่เขาเตือนให้ตระกูลจาง ไปเข้าร่วมบริษัทบันเทิงกับตระกูลฉู่ไว้ล่วงหน้าแล้ว บริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการบันเทิงหลัก ๆ สองแห่ง ผนึกขุมกำลังทั้งอำนาจเก่าและอำนาจใหม่เข้าไว้ด้วยกัน เขาเองก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าเฉินหยู่เฟยจะพลิกแผ่นฟ้าผืนนี้ยังไง?

ถ้าหากว่าตระกูลจางยังคงอยู่โดดเดี่ยวลำพังล่ะก็ เมื่อเฉินหยู่เฟยไปเข้าร่วมกับตระกูลจาง เฉินตงก็คงมีนึกหวั่น ๆ อยู่บ้าง แต่ตอนนี้ต่างก็เป็นคนตระกูลเฉินแล้วทั้งนั้น ใครจะเป็นฝ่ายรังแกใคร มันก็ไม่แน่แล้วทีนี้

ฉินเย่ปัด ๆ มือ แล้วพูดอย่างมีนัย: “เป็นเรื่องแม่ของนายที่เกี่ยวข้องกับตระกูลหลี่!”

“ตระกูลหลี่?”

เฉินตงขมวดคิ้วจนพันกันเป็นปม

ก่อนหน้านี้เพิ่งได้เจอสองพ่อลูกตระกูลหลี่ไม่ทันไร ตอนนี้ฉินเย่ก็มาพูดถึงตระกูลหลี่ตามหลังมาติด ๆ อีก

เรื่องพวกนี้ มันมีความเชื่อมโยงเกี่ยวพันอะไรต่อกันรึเปล่านะ?

“ใช่ ตระกูลหลี่แห่งเมืองหลวง!”

ในดวงตาของฉินเย่ทอประกายวิบวับ พูดด้วยท่าทีตื่นเต้น: “ไม่ใช่ว่านายเกลียดตระกูลหลี่หรอกเหรอ ? ตอนนี้ผลกรรมของตระกูลหลี่กำลังมาถึงแล้วนะ ครั้งก่อนที่นายกับพ่อพยายามจะช่วยแม่ของนาย เลยไปทะเลาะเอะอะกับตระกูลหลี่ซะจนวุ่นวาย ทำเอาตำแหน่งมหาเศรษฐีของตระกูลหลี่ตกไปอยู่ในสถานภาพสั่นคลอน กระแสคลื่นโหมซัดสาดเมืองหลวงจนโกลาหลกันไปหมด”

“ในเมืองหลวงที่มีทั้งบรรดามังกรหมอบ พยัคฆ์ซ่อนอยู่ดาษดื่นนั่น พวกนั้นก็เริ่มกางเขี้ยวกางเล็บ ฉวยเอาโอกาสนี้วางแผนเตรียมยักยอกทั้งทรัพยากร ทั้งยึดครองกิจการทั้งหลายที่อยู่ภายใต้อุ้งมือของตระกูลหลี่กันครึกครื้นเลยเชียวล่ะ”

พูดไปพลาง ฉินเย่เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ประสานมือทั้งสองข้างไว้ที่ท้ายทอย แสดงท่าทีเหมือนปลงอนิจจัง

“ทุกวันนี้ ตระกูลหลี่ถูกรายล้อมไปด้วยฝูงหมาป่าหิวโซอย่างแท้จริง ทุกคนต่างก็กำลังลับมีด เตรียมรอกินเนื้ออันโอชะ จากตระกูลมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยอันดับหนึ่งในเมืองหลวงกันทั้งนั้น เวลานี้ ตระกูลหลี่ก็ต้องตื่นตระหนกจนขวัญหนีดีฝ่อกันอยู่แล้วล่ะ”

เสียงถอนหายใจดังเฮือกนั้น ไม่ได้ทำให้เฉินตงรู้สึกมีความสุขเลยสักนิด

ตรงกันข้าม สีหน้าของเขากลับยิ่งคล้ำทะมึนขึ้นเรื่อย ๆ ดวงตาก็มืดมนหม่นแสง

“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง ฉันก็คิดไว้อยู่แล้วเชียวว่าตระกูลหลี่ ไม่มีทางจะมีความเมตตากรุณาอะไรแบบนี้มาก่อนแน่ ๆ !”

เฉินตงพึมพำเบา ๆ ความสงสัยในใจได้รับการไขจนกระจ่างขึ้นมาทันที

“นายหมายความว่ายังไงน่ะ?” ฉินเย่ถามอย่างสงสัย

“ตอนนี้ตาเฒ่าหลี่ กับหลี่เต๋อซานอยู่ในเมืองนี้ ฉันเพิ่งได้เจอพวกเขาทั้งคู่เมื่อกี้นี้เอง ตาเฒ่าหลี่นั่นอยากเชิญแม่ของฉันไปตั้งบูชาที่หอบรรพชนตระกูลหลี่ จะได้ไปรับอานิสงส์จากกลิ่นธูปบูชาของตระกูลหลี่ที่มีมาหลายชั่วอายุคน ถือซะว่าเป็นการชดใช้ให้ฉันกับแม่ตลอดช่วงเวลายี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา”

เฉินตงแค่นยิ้มเย็นชาพลางยักไหล่ แล้วพูดว่า : “นายว่าพวกนั้นต้องหยิ่งยโสถึงขั้นไหนเหรอ?ถึงได้มีความคิดว่า แค่เชิญป้ายวิญญาณของแม่ฉันไปตั้งบูชาในหอบรรพชนตระกูลหลี่ ก็จะสามารถชดเชยเรื่องเลวร้ายทั้งหลาย ตลอดระยะเวลายี่สิบกว่าปีที่ผ่านมาได้หมดน่ะ?”

ม่านตาของฉินเย่หดตัวลงไปชั่วขณะ

อึดใจต่อมา ถึงเริ่มมีปฏิกิริยาตอบสนอง

“เชี่ย! การชดเชยเฮงซวยอะไรแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าต่อหน้าทำเป็นรักใคร่ใส่ใจ แต่จริง ๆ แล้วมีเจตนาไม่ดีแอบแฝง ทำเป็นเชิญคุณป้ากลับไปหอบรรพชน นี่ไม่เท่ากับว่าคิดจะมัดมือชกนายหรอกเรอะ ? นี่มันก็แค่การหาเครื่องช่วยชีวิตให้ตระกูลหลี่ชัด ๆ!”

“อาศัยยืมมือของฉัน อาศัยชื่อเสียงของตระกูลเฉิน มาเป็นเครื่องป้องกันตระกูลหลี่ที่กำลังจะจบสิ้น จะได้ไม่ถูกดึงทึ้งแยกชิ้นส่วนสินะ จุ๊ ๆ ๆ…”

สีหน้าเฉินตง เต็มไปด้วยความชิงชังรังเกียจและเย็นชา: ” ตระกูลหลี่ไม่เคยทำให้ฉันผิดหวังในแง่ของความไร้ยางอาย ทำได้ทุกอย่างแบบไม่สนวิธีการซะจริง ๆ เลยนะเนี่ย”

“แล้วนายคิดจะทำยังไงต่อไปล่ะ?” ฉินเย่ถามด้วยความสนใจใคร่รู้

“ถ้าให้แม่ของฉันเข้าไปในหอบรรพชนตระกูลหลี่ นั่นคือการดูถูกแม่ของฉันอย่างร้ายกาจที่สุด”

เฉินตงส่ายหน้าด้วยความรังเกียจ: “ในเมื่อตระกูลหลี่ไร้ยางอายถึงขั้นนี้ ฉันก็ได้แต่อวยพรให้พวกเขาเดินทางโดยสวัสดิภาพ ตามสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในตอนนี้ซะก็แล้วกัน”

ฉินเย่ตะลึงค้างไปชั่วขณะ จากนั้นจึงหลุดหัวเราะออกมาก๊ากใหญ่

เฉินตงลูบจมูก ไม่ว่าจะข่าวดีหรือข่าวร้าย ล้วนไม่ส่งผลให้เขาสะดุ้งสะเทือนอะไรมากนัก

ครั้งนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่า การได้มองทะลุความคิด ความปรารถนาของคุณท่านใหญ่หลี่ก็เท่านั้น

แต่การได้เห็นตระกูลหลี่ล่มสลายลงด้วยตาตัวเอง ก็นับว่าเป็นข่าวดีจริง ๆ นั่นแหละ

ความคับข้องใจของแม่ตลอดยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา ท้ายที่สุดก็ได้รับการตอบแทนสักที เขารู้สึกเหมือนบ่งหนามที่มันยอกในอกมานานออกไปได้ในที่สุด

เมื่อมองไปที่ฉินเย่ที่ยังคงหัวเราะไม่หยุด เฉินตงก็ถามขึ้นทันทีว่า ” นายกับจางหยู่หลันเป็นยังไงบ้างแล้วล่ะ? ”

ทันใดนั้น ฉินเย่ก็หัวเราะไม่ออกซะแล้ว

“ไม่พูดเรื่องนี้ เรายังเป็นพี่น้องที่ดีต่อกัน”

“ก็เพราะเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันไง ฉันเลยต้องถามสักหน่อย” เฉินตงย้อน

ฉินเย่เกาหัวอย่างหงุดหงิด: “ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องของนาย ให้ตายฉันก็ไม่คิดจะไปเมืองหลวงจริง ๆ นะ ยัยจางหยู่หลันนั่นไม่รู้ว่าเป็นเพราะร้อนใจเป็นหมูโดนน้ำมันรึยังไง ช่วงสองสามวันที่ฉันอยู่เมืองหลวง เธอเอาแต่ตามติดฉันอย่างกับตังเมเลย ตอนกลางคืน ยังไปค้างอยู่ที่ห้องพักฉันในโรงแรมไม่ยอมไปไหนอีก ถ้าไม่ใช่เพราะฉันฉลาดมีไหวพริบ วางยาสลบเจ้าหล่อนแล้วโยนไปไว้ห้องข้าง ๆ นะ ฉันคงถูกลอกคราบไม่มีเหลือแน่!”

“ ก็ทีแรก ใครให้นายจงใจหลอกล่อให้พวกเราช่วยนายตื๊อจีบคนอื่นเขาล่ะ? ” เฉินตงกลอกตา “จริง ๆ แล้วนายก็ถึงวัยที่น่าจะแต่งงานได้แล้ว เอาแต่อยู่คนเดียวเป็นโสดก็ไม่ใช่เรื่องดีนะ”

“เพ้อเจ้อ! เป็นเหมือนกับท่านหลงนั่นก็ดีจะตายไม่ใช่เหรอ ? คนอย่างฉันไม่คุ้มกับการแต่งงานหรอกน่า”

ฉินเย่ทำคอแข็ง สายตาหลุกหลิกไม่นิ่ง มีท่าทีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงค่อยพูดอย่างหนักแน่นว่า “ใช่! ก็คือไม่คุ้มนั่นแหละ!”

เฉินตงถูจมูก ยกยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ

ในเวลาเดียวกัน.

ภายในโรงพยาบาล

คุณท่านใหญ่หลี่ฟื้นขึ้นมาในที่สุด เขานอนสีหน้าซีดเซียวอยู่บนเตียงโรงพยาบาล

หลี่เต๋อซานยินดีอย่างมาก “พ่อ ในที่สุดพ่อก็ฟื้นซะที เมื่อกี้พ่อทำให้ผมตกใจแทบตาย”

“ที่นี่ที่ไหน?” ดวงตาของคุณท่านใหญ่หลี่ดูเลื่อนลอยเล็กน้อย สีหน้าก็ยังมึนงงสับสน

“ที่นี่คือโรงพยาบาลครับ”

หลี่เต๋อซานพูดอย่างรีบร้อน “ แต่พ่อวางใจเถอะ ผมจัดการทุกอย่างให้แล้ว เดี๋ยวผมจะพาพ่อกลับเมืองหลวง กลับไปแล้วพักผ่อนให้เยอะ ๆ เรื่องของเฉินตงพ่อไม่ต้องไปใส่ใจแล้วนะครับ”

“เจ้าลูกชั่ว!”

สีหน้าคุณท่านใหญ่หลี่ พลันปรากฏแววเป็นปรปักษ์ขึ้นมาทันควัน หลังจากด่าด้วยความโกรธจัด ก็พยายามจะลุกขึ้น: “ฉัน ฉันจะออกจากโรงพยาบาล! ครั้งนี้ ต่อให้ฉันต้องคุกเข่าให้เฉินตง ก็ต้องขอให้เขาปกป้องตระกูลหลี่ของฉันให้ได้!”

ปึง!

ประตูถูกกระแทกเสียงดังสนั่น

ภายในบ้านยังคงอยู่ในความเงียบงัน

คุณท่านใหญ่หลี่กับหลี่เต๋อซานยืนนิ่งค้างอยู่กับที่

หอบรรพชนตระกูลหลี่ ไม่คู่ควรแก่การบูชาหลี่หลานอย่างนั้นรึ?

คำพูดแบบนี้ ไม่โหดร้ายเกินไปหน่อยรึไง?

หากเทียบกันระหว่างตระกูลหลี่กับตระกูลเฉิน อาจไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้ก็จริง แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่คนรุ่นหลังจะมาดูหมิ่น หรือเหยียดหยามได้ตามอำเภอใจแบบนี้หรอกนะ!

นี่ถือเป็นการดูหมิ่นเหยียดหยามบรรพบุรุษตระกูลหลี่ไปด้วยเลยทีเดียว!

คำพูดอันทรงพลัง น้ำเสียงก้องกังวานที่ดังเหมือนโลหะฟาดกระทบกับเหล็กนั้น ติดค้างวนเวียนอยู่ในหูของเขาซ้ำ ๆ

โหดร้าย เผด็จการ เหยียดหยาม…..

เสมือนผู้ยิ่งใหญ่ที่ยืนสูงอยู่เหนือก้อนเมฆ แล้วปรายหางตามองตระกูลหลี่ ว่าเป็นแค่มดตัวจ้อยที่จะเหยียบย่ำเมื่อไหร่ก็ได้

“พ่อ! กับคนที่โหดร้ายบ้าคลั่งเกินทนประเภทนี้ ผมไม่รู้จริง ๆ นะว่าทำไมพ่อถึงยังต้องไปเลียแข้งเลียขา ประจบเอาใจอย่างไร้ประโยชน์แบบนี้ด้วย ?”

หลี่เต๋อซานโกรธจัดจนใบหน้าแดงก่ำ คำพูดนี้ เป็นเสมือนเข็มอันแหลมคมที่ทิ่มแทงเข้าใส่ความภูมิใจในตนเองของเขาอย่างโหดเหี้ยม : “ตระกูลหลี่อันทรงเกียรติของเรา ตระกูลที่ร่ำรวยติดอันดับต้น ๆ ของเมืองหลวง หอบรรพชนตระกูลหลี่เป็นสถานที่ที่คนตระกูลหลี่ทุกคนต่างเคารพบูชาเป็นอย่างยิ่ง ถวิลหาแม้ในยามฝันมานับร้อย ๆ ปี เขาอาศัยอะไรมาใช้ความเห็นส่วนตัวของคนเป็น มาผลักไสเจตจำนงของคนตายไปแล้วอย่างหลี่หลานกันล่ะ?”

เพิ่งสิ้นเสียงพูด

คุณท่านใหญ่หลี่ซึ่งเดิมทีนั่งตัวตรงอยู่ก็มีอาการตัวสั่นโอนเอนขึ้นมาอย่างกะทันหัน

จู่ ๆ ริ้วสีแดงดูแปลกตา ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่แก่ชราและซีดเผือดของเขา

ลำคอขยับเพียงครั้งเดียว

ในชั่วขณะที่รอบด้านเงียบงันไร้เสียง ที่มุมปากของคุณท่านใหญ่หลี่ก็มีเลือดสด ๆ ไหลทะลักออกมา

อารมณ์โกรธเกินขีดจำกัด ส่งผลให้จิตใจกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง!

“พ่อ!”

หลี่เต๋อซานตกใจจนหน้าซีดเผือด รีบวิ่งไปคุกเข่าตรงหน้าคุณท่านใหญ่หลี่: “พ่อ! อย่าทำให้ผมตกใจสิ พ่อ ! พ่ออย่าเป็นอะไรนะ!”

“ฉัน ฉันไม่เป็นไร….”

คุณท่านใหญ่หลี่ยกมือขวาที่สั่นน้อยๆ ขึ้น ยกยิ้มอย่างฝืดฝืน: “เต๋อซานเอ๊ย! แกไม่เข้าใจ ตอนนี้ในเมืองหลวงกระแสคลื่นลมโหมซัดสาด ตระกูลหลี่ของเราก็พลอยถูกคลื่นลมนี้พัดจนง่อนแง่นไปด้วย มีคนนับไม่ถ้วนแอบจ้องมองรอโอกาสจู่โจมตระกูลหลี่ของเราตาเป็นมัน อยากจะกำจัดพวกเราให้เร็วที่สุด เฉินตงก็ไม่นับว่าจะสืบทอดตำแหน่งเจ้าบ้านตระกูลหลี่”

“แต่ถ้าพวกเราสามารถเชิญหลานเอ๋อกลับไปสักการะที่หอบรรพชนตระกูลหลี่ได้ ด้วยความเกี่ยวพันกันในรูปแบบนี้ ตระกูลหลี่ของเราจะต้องประสบหายนะเข้าจริง ๆ แน่ ในอนาคตเฉินตงไม่มีทางเพิกเฉยกับเรื่องนี้ เพราะแม่ของเขายังอยู่ในหอบรรพชนตระกูลหลี่ยังไงล่ะ”

คำอธิบายที่ชัดเจนทุกคำทุกประโยค ทำให้หลี่เต๋อซานหน้าซีด จนต้องทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้น

“ดังนั้น นี่ก็คือเหตุผลที่พ่อหลบหูหลบตาผู้คน แล้วพาผมมาที่นี่เพื่อพบกับเฉินตงอย่างเงียบ ๆเองน่ะเหรอ?”

ก่อนที่จะมาที่นี่กับพ่อของเขา เขาเข้าใจจุดประสงค์ของพ่อว่า เป็นการเชิญหลี่หลานไปยังหอบรรพชนก็เท่านั้น

ถ้านี่มันเป็นเรื่องของความรู้สึกผิดในครอบครัว ก็เป็นอะไรที่สมเหตุสมผลดี

แต่เรื่องที่จะปกป้องตระกูลหลี่นั้น เขากลับไม่เคยคิดมาก่อน

“ไม่งั้นล่ะ? ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ ข้าจะร้อนรนเป็นหมูโดนน้ำมันจนทำผิดกฎของตระกูลหลี่ เชิญลูกสาวเข้าไปบูชาในหอบรรพชนแบบนี้หรอกรึ ?” รอยยิ้มที่มุมปากของคุณท่านใหญ่หลี่เต็มไปด้วยความจนใจอย่างยิ่ง

หอบรรพชนตระกูลหลี่ ถ้าไม่ใช่ผู้ชาย ก็ไม่มีสิทธิ์ผ่านเข้าไปได้!

นี่คือกฎข้อที่สามของหอบรรพชน!

หลี่เต๋อซานเหมือนตกอยู่ในภวังค์ แววตาสั่นไหวไร้ประกาย

ไม่กี่วินาทีต่อมา เขาก็มองไปที่คุณท่านใหญ่หลี่ด้วยความปวดใจ

เขากัดฟันกรอด แล้วพูดว่า: “พ่อ เราไม่ขอร้องคนดื้อรั้นอกตัญญูนี้เลย มีพ่ออยู่ มีพี่น้องของเราอยู่ ทั้งยังมีลูกหลานที่สืบสายเลือดของตระกูลหลี่อยู่ ตระกูลหลี่ย่อมไม่มีวันล่มสลาย ท่านไม่เห็นจำเป็นต้องรับความน้อยเนื้อต่ำใจ แล้ววางตัวทำท่าต่ำด้อยต่อหน้าคนอกตัญญู ขายหน้าตระกูลหลี่เราไปหมดสิ้นเลย”

เพี๊ยะ!

จู่ ๆ เสียงฝ่ามือที่ตบลงบนใบหน้าแรง ๆ ก็ดังสนั่นขึ้น

ถึงกับทำให้หลี่เต๋อซานมึนงง ตกตะลึงอึ้งค้างไปทั้งอย่างนั้น

คุณท่านใหญ่หลี่ยกมือขวาที่สั่นสะท้านอย่าหนักขึ้นช้า ๆ ราวกับพญาราชสีห์ที่ระเบิดพลังอันดุดันเป็นครั้งสุดท้าย

เขาจ้องหลี่เต๋อซานอย่างโกรธเคือง: “แกมันช่างเป็นคนที่ตาไร้แววสิ้นดี กระทั่งสถานการณ์ในเมืองหลวงตอนนี้ แกก็ยังมองไม่ทะลุอีกเรอะ?”

“พ่อ…” หลี่เต๋อซานยกมือขึ้นกุมแก้ม เริ่มฟื้นคืนสติ

คุณท่านใหญ่หลี่ไม่ให้โอกาสเขาโต้แย้งแม้แต่น้อย กัดฟันพลางพูดว่า: “ฉันกำลังเป็นไม้ใกล้ฝั่งเข้าไปทุกที คงอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว ตอนนี้ที่ตระกูลหลี่มีอิทธิพลโลดแล่นอยู่ในเมืองหลวงได้ ต่างก็พึ่งพาอาศัยการค้ำยันจากฉันทั้งนั้น ถ้าวันใดวันหนึ่งฉันล้มหายตายจากไปจริง ๆ ไม่ช้าก็เร็วตระกูลหลี่คงต้องล่มสลาย ด้วยน้ำมือของพวกไร้ประโยชน์อย่างพวกแกนี่แหละ!”

คำพูดที่แฝงโทสะนั้น ยังเป็นการวิจารณ์ความไม่เอาไหนของพวกพี่น้องหลี่เต๋อซานไปด้วยในตัว

“ความสามารถนิสัยใจคอของเฉินตง ล้วนเหมาะกับตำแหน่งเจ้าบ้านตระกูลหลี่ทั้งนั้น ต่อให้เขาจะเป็นคนตระกูลหลี่ไม่ได้ แต่ถ้าได้รับคำสัญญาจากเขาเพียงหนึ่งข้อ ด้วยความแข็งแกร่งในตอนนี้ที่เขามี แล้วก็ตระกูลเฉินที่อยู่เบื้องหลังเขา เพียงพอแล้วที่จะคงตำแหน่งตระกูลร่ำรวยอันดับหนึ่งของเมืองหลวงของตระกูลหลี่เรา”

“มีเขาอยู่ ยักษ์ใหญ่ในเมืองหลวงหน้าไหนจะกล้ายื่นมือมาแตะต้องตระกูลหลี่กัน ? เขาเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถปกป้องตระกูลหลี่ได้!”

น้ำเสียงที่พูดแผดสูง เรียกได้ว่า เขาแทบจะต้องตะเบ็งเสียงทั้งหมดที่มีออกมาเลยทีเดียว

แต่เพราะใช้อารมณ์มากเกินไป ทำให้ร่างกายของคุณท่านใหญ่หลี่สั่นโอนเอนอีกครั้ง

ใบหน้าของเขาคล้ำจนเปลี่ยนเป็นสีตับหมูแล้ว

“อั๊ก!”

เลือดสด ๆ คำใหญ่พลันพุ่งทะลักออกมาในทันที

เลือดสาดกระจายราวกลีบดอกเหมย โปรยปรายกระเด็นไปจนทั่วใบหน้าของหลี่เต๋อซาน

หลี่เต๋อซานตกใจราวถูกฟ้าผ่ากลางแดด เริ่มร้องไห้ฟูมฟาย: “พ่อ ท่านอย่าโกรธเลย! ท่านอย่าโกรธอีกเลยนะครับ! ผมเข้าใจแล้ว ผมเข้าใจทุกอย่างแล้วจริง ๆ ต่อจากนี้ไป ผมไม่กล้าขัดขืนคำสั่งของท่านอีกแล้ว!”

เลือดเปื้อนที่หน้าอกของเขา

คุณท่านใหญ่หลี่ยิ้มอย่างหมองเศร้า ค่อย ๆ พูดออกมาช้า ๆ ว่า: “พา พาฉัน…ไปโรงพยาบาลที”

ฮวบ!

พูดจบ เขาก็ทรุดล้มลงไปบนตัวหลี่เต๋อซานทันที

“พ่อ!”

หลี่เต๋อซานตื่นตระหนกจนสติเตลิด โทสะเดือดพล่าน กัดฟันพูดด้วยขอบตาแดงก่ำว่า “เฉินตง ไอ้มารหัวขน ถ้าวันนี้พ่อฉันเป็นอะไรไป ฉันจะขอแลกชีวิตกับแกเลยคอยดู!”

……………

เฉินตงที่ออกจาก โรงแรมคาร์ลตัน ไม่ได้รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่เขาออกมาแล้ว

ในใจของเขา วิธีการของตระกูลหลี่

ช่างไร้ยางอายสิ้นดี

มันทำให้รู้สึกว่าช่างไร้สาระ ทั้งยังน่าขำที่สุด!

ทำทุกอย่างแบบไม่เลือกวิธีการ สร้างเรื่องสลดจนมีคนประสบเคราะห์ร้าย แล้วยังมีหน้ามาเฉไฉอย่างไร้ยางอายอีก พอถึงเวลาน้ำลดตอผุด กลับคิดจะปัดสวะให้พ้นตัวไปง่าย ๆ แบบนี้?

กับคำว่าเชิญไปสักการะที่หอบรรพชนเพีนงคำเดียว ก็คิดจะลบล้างทุกสิ่งที่เกิดในช่วงยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมางั้นเหรอ?

กะอีแค่หอบรรพชนเล็กๆตระกูลหลี่ ก็คู่ควรกับการสักการะคุณแม่ด้วยเหรอ?

น่าขำเป็นบ้า!

ถ้าในใจแม่ให้ความสำคัญกับตระกูลหลี่จริง จะเกิดเรื่องพวกนั้นที่ตระกูลหลี่เหรอ?

ตระกูลหลี่ ได้ทำร้ายคุณแม่จนลึกล้ำจนเกินจะทานทนไปตั้งนานแล้ว!

ถ้าเขายอมรับปาก ว่าจะให้คุณแม่เข้าไปตั้งบูชาที่หอบรรพชนของตระกูลหลี่ มันก็เท่ากับว่าจะให้แม่นอนตายตาไม่หลับหรอกเหรอ?

ในฐานะลูกคนหนึ่ง นี่ต่างหากคือความไม่กตัญญูอย่างที่สุด!

ความรุ่งโรจน์ของตระกูลเฉินต่างหาก คือสิ่งที่คุณแม่ควรได้รับ

ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่มีชีวิตอยู่ หรือหลังตายจากไปก็ตาม คุณแม่ควรจะได้รับเกียรติจากตระกูลเฉิน ได้อยู่เหนือคนนับหมื่น!

แทนที่จะเป็นพวกต่ำช้า ทำตัวไม่ต่างจากหมากับแมลงวัน ( หมายถึง คนที่สามารถทําทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งชื่อเสียงลาภยศอย่างไร้ยางอาย ) อย่างตระกูลหลี่นั่น

ไฟโทสะสุมในหัวใจเขา จนมันเต็มไปด้วยความโกรธแค้นชิงชัง

ตลอดเส้นทางที่เฉินตงขับรถไป เขาหักเลี้ยวอย่างรวดเร็วรุนแรง ราวกับกำลังระบายไฟโทสะในใจออกไป

หลังจากมาถึงบริษัทไท่ติ่ง ความโกรธของเขาก็ยังไม่สงบ

แต่เขารู้ดีว่านี่เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา และเขาก็ไม่สมควรนำความคับข้องใจนี้มาปะปนกับงาน

เขาหายใจเข้าลึก ๆ สองสามครั้ง ฝืนระงับความโกรธไว้ในใจ

เฉินตงเพิ่งก้าวเท้าเข้ามาในบริษัท

หลังจากทักทายพนักงานในบริษัทแล้ว เขาก็กลับไปที่ออฟฟิศเพียงลำพัง

เสี่ยวหม่ากับกูหลังรีบไปรายงานเรื่องความคืบหน้าของงานทันที

ทุกวันนี้เกือบทั้งบริษัท ล้วนเป็นพวกเขาสองคนช่วยทำหน้าที่เป็นผู้ชี้นำ

พูดให้ถูกก็คือ เสี่ยวหม่าผู้ที่เป็นลูกมือซึ่งมีความสามารถมาก ๆ ของเฉินตงคอยทำหน้าที่เป็นผู้นำ ส่วนกูหลังก็คอยช่วยเหลือสนับสนุนอยู่ข้าง ๆ

ตอนนี้เฉินตงกลับมาแล้ว จึงสมควรจะส่งมอบงานต่อให้ดีที่สุด

การส่งถ่ายภาระงานทั้งหมด ใช้เวลานานและซับซ้อนไม่น้อย จนกระทั่งจัดการธุระเสร็จสิ้น เวลาก็ล่วงเลยไปถึงบ่ายสองโมงกว่า ๆ แล้ว

ทั้งสามคนยุ่งมาก จนกระทั่งลืมกินข้าวเลยทีเดียว

“ทั้งสองคนไปกินข้าวก่อนเถอะ ลำบากพวกนายแล้ว”

เฉินตงเรียกให้เสี่ยวหม่ากับกูหลังออกไปก่อน ในใจยังคงอึดอัดคับข้องใจไม่หาย เอนตัวพิงพนักเก้าอี้ พลางบีบคลึงจมูกที่บวมน้อย ๆ

คุณแม่เป็นต่อมโมโหของเขา

แต่ตระกูลหลี่ กลับคิดจะแตะต่อมโมโหของเขามาหลายต่อหลายครั้ง

แล้วแบบนี้ จะให้เขาจะระงับความโกรธเกรี้ยวในใจลงไปได้โดยเร็วได้ยังไงล่ะ?

ในขณะนั้นเอง ก็มีโทรศัพท์มาจากฉินเย่

เฉินตงรับโทรศัพท์: “ฮัลโหล กลับมาแล้วเหรอ?”

“กลับมาแล้ว ตอนนี้นายอยู่ไหน ? ฉันจะรีบไปหาเดี๋ยวนี้เลย ฉันมีทั้งข่าวดีแล้วก็มีทั้งข่าวร้ายมาบอกนายด้วยล่ะ” เสียงหัวเราะของฉินเย่ ฟังดูแปลกประหลาดไม่น่าไว้ใจอย่างยิ่ง

โรงแรมคาร์ลตัน

โรงแรมระดับสี่ดาวแห่งหนึ่ง

ถึงแม้บรรยากาศโดยรอบ การตกแต่ง และการบริการต่างๆ ล้วนไร้ที่ติ แต่เมื่อเทียบกับโรงแรมระดับห้าดาวอย่างโรงแรมไท่ซาน อย่างไรเสียก็ยังขาดไปหนึ่งดาวอยู่ดี

ต่างกันเพียงหนึ่งดาว ก็แตกต่างกันราวฟ้ากับดินแล้ว !

เฉินตงคิดไม่ถึงเลยว่า คนคนนั้นจะยอมเข้าพักโรงแรมเช่นนี้ได้

หลังจากจอดรถเสร็จ เฉินตงก็ค่อยๆ เดินเข้าโรงแรมด้วยท่าทีเคร่งขรึม

เขาไม่รู้ว่าทำไมคนคนนั้นถึงมาในเวลานี้ แต่ในเมื่อมาแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่มาพบหน้า

ยิ่งไปกว่านั้น ก็เป็นการทำเพื่อมารดาผู้ล่วงลับ

ติ๊งต่อง !

ประตูลิฟต์เปิดออก

เฉินตงเดินออกมาจากลิฟต์ แล้วเดินไปตามทางเดิน จนพบเข้ากับห้องชุดหมายเลข99999

ก๊อกๆ !

เสียงเคาะประตูดังขึ้น

เพียงครู่เดียว ประตูก็เปิดออก

คนที่เปิดประตูก็คือหลี่เต๋อซาน หลังจากที่พบกันที่เมืองหลวงเมื่อคราวก่อน ดูเหมือนว่าตอนนี้หลี่เต๋อซานจะซีดเซียวลงไปไม่น้อย ดูมีความเฉียบแหลมน้อยลงจากวันที่พบกับเฉินตงวันนั้นมาก

“มาแล้วหรือ ?”

หลี่เต๋อซานหลีกทางให้ด้วยท่าทีเรียบเฉย : “เชิญเข้ามาข้างใน”

เฉินตงเดินเข้าไปในห้อง มีกลิ่นไม้จันทน์ลอยเตะจมูก

มีเสียงสวดมนต์ดังก้องกังวานไปทั่วห้อง

ในห้องรับแขก มีคุณท่านใหญ่ตระกูลหลี่ซึ่งสวมใส่เสื้อคลุมสีเทานั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น ในมือถือลูกประคำ แล้วปิดตาพึมพำอยู่

“คุณเริ่มเชื่อในพระพุทธศาสนาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ?”

เฉินตงหลุดขำออกมา รู้สึกว่าภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าเป็นเรื่องน่าขำ

ตระกูลหลี่ที่เห็นผู้ชายสำคัญกว่าผู้หญิง กล้ากินเลือดกินเนื้อคน

แต่คุณท่านใหญ่ของตระกูลหลี่ผู้ซึ่งกุมอำนาจอยู่ กลับเชื่อในพระพุทธศาสนา ?

คุณว่ามันน่าขำไหมล่ะ ?

“เงียบก่อน รอให้เจ้าบ้านสวดมนต์เสร็จ แล้วจะมาพูดกับนายเอง”

หลี่เต๋อซานพูดด้วยนำเสียงเคร่งขรึม หลังจากที่เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในเมืองหลวง พ่อที่เคร่งครัดและจริงจังของเขา ก็ดูจะมีความเมตตาขึ้นมาก

และในขณะเดียวกัน ก็มีการสวดมนต์เพิ่มเข้ามาเป็นกิจวัตรประจำวัน

ตอนนี้ ในขณะที่คุณท่านใหญ่สวดมนต์ ห้ามไม่ให้ใครเข้ามารบกวน ได้กลายเป็นกฎเกณฑ์ของตระกูลหลี่ไปเสียแล้ว

“อ่อ ถ้าเช่นนั้นผมคงไม่อยู่เป็นเพื่อนแล้ว”

เฉินตงหันหลังและเตรียมจะเดินจากไป

“นาย……” หลี่เต๋อซานทำสีหน้าบึ้งตึงด้วยความโมโห

“เดี๋ยวก่อน !”

คุณท่านใหญ่ตระกูลหลี่ซึ่งกำลังปิดตาสวดมนต์อยู่ ได้ลืมตาขึ้นมา แล้วตะโกนเรียก : “อย่างไรเสียฉันก็เป็นปู่ของนาย หรือแม้กระทั่งความอดทนในการรอคอยเช่นนี้ นายก็ไม่มีเลยหรืออย่างไร ?”

“ความอดทนผมมีให้เฉพาะคนที่ผมรู้สึกว่าสมควรจะได้รับ ซึ่งคุณไม่ใช่หนึ่งในนั้น”

ท่าทีของเฉินตงเย็นชา เขาดิ้นรนเอาชีวิตรอดกับแม่มานานกว่ายี่สิบปี ความชั่วร้ายต่างๆ นานาที่ตระกูลหลี่ทำไว้กับแม่ รวมถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตระกูลหลี่วันนั้น

ชาตินี้เขาไม่มีวันลืมได้ลง !

เขาไม่ใช่คนลังเล เขาถือคติที่ว่า หากคุณให้สิ่งมีค่ากับฉันมา ฉันก็จะตอบแทนสิ่งมีค่าให้กับคุณ

ความอดทนที่มากที่สุดที่เขาจะมอบให้ตระกูลหลี่ได้ก็คือ ต่างคนต่างอยู่ ไม่ต้องข้องเกี่ยวกัน

แต่ถ้าหากคิดที่จะเข้ามาใกล้ชิดเพราะเหตุผลของความสัมพันธ์ทางสายเลือด เรื่องนี้ไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอน !

“เฮ้อ……”

คุณท่านใหญ่ตระกูลหลี่ถอนหายใจออกมา เขาค่อยๆ ลุกขึ้นและปิดเสียงบทสวดมนต์ จากนั้นจึงค่อยๆ เดินเข้ามาหาเฉินตง พลางนับลูกประคำไปด้วย : “ครั้งนี้ที่มา ก็มาเพื่อแม่ของนาย”

เฉินตงเหลือบไปมองคุณท่านใหญ่ตระกูลหลี่ คุณท่านใหญ่ตระกูลหลี่ในตอนนี้ ทำให้คนที่พบเห็นเกิดความรู้สึกหดหู่ ร่างกายของเขาดูซีดเซียวลงไปมาก ถึงขั้นที่ทำให้ใบหน้าของเขา ดูไม่น่าเกรงขามอย่างเช่นแต่ก่อนอีกต่อไป

จะว่าไปแล้ว การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นไม่เมืองหลวง ก็คงส่งผลกระทบต่อเขาไม่น้อย !

ในใจของเฉินตงคิดถึงคำพูดของแม่สองคำ ในที่สุดจึงสงบสติอารมณ์ลง และนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆ

ภาพนี้ทำให้หลี่ต๋อซานรู้สึกตกใจ และโมโหมากยิ่งขึ้น

คนที่ดื้อรั้นและอกตัญญูเช่นนี้ ทำไมพ่อถึงตัดเขาไม่ลงเสียที ?

ผู้อาวุโสอยู่ที่นี่ถึงสองคน แต่เขากลับนั่งลงก่อน ช่างไร้มารยาทสิ้นดี !

“เต๋อซาน ชงชามา”

คุณท่านใหญ่ตระกูลหลี่ไม่ได้ถือสา เขานั่งลงตรงเก้าอี้ข้างๆ เฉินตง

“พ่อครับ……” หลี่เต๋อซานรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย

แต่หลังจากที่คุณท่านใหญ่ตระกูลหลี่เหลือบไปมอง แล้วพูดว่า “อืม” เขาก็รีบก้มหน้าก้มตาชงชาทันที

“พูดมาสิ มีเรื่องอะไรเกี่ยวกับแม่ของผม”

เฉินตงพูดขึ้นอย่างสงบ เขาไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา

ถึงแม้แม่จะล่วงลับไปแล้ว แต่เรื่องที่เกี่ยวกับแม่ ในฐานะที่เขาเป็นลูก จะไม่สนใจก็คงไม่ได้

คุณท่านใหญ่ตระกูลหลี่ไม่ได้รีบร้อน ใบหน้าที่แก่ชราของเขาเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น แต่ก็ยังคงฉาบไปด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่นอยู่ตลอดเวลา

หลังจากที่หลี่เต๋อซานวางน้ำชาลงบนโต๊ะแล้ว เขาก็ค่อยๆ พูดขึ้นว่า : “แม่ของนายจากไปแล้ว แต่อย่างไรเสียแม่ของนายก็เป็นคนของตระกูลหลี่……”

“เธอไม่ใช่คนตระกูลหลี่ของคุณตั้งนานแล้ว”

เส้นเลือดบริเวณหางตาของเฉินตงปูดโปนขึ้นมา ในจิตใจของเขาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น : “แม่ของผมเป็นคนของตระกูลเฉิน”

“เหอะๆ !”

คุณท่านใหญ่ตระกูลหลี่หัวเราะออกมาอย่างไม่แยแส เขานับลูกประคำไปพลาง พูดไปพลาง : “แต่อย่างไรเสีย เลือดที่ไหลเวียนอยู่ในตัวของแม่นายก็คือเลือดของฉัน เธอยังคงใช้แซ่หลี่อยู่”

“แล้วยังไง ?”

รอยยิ้มบนใบหน้าของคุณท่านใหญ่ตระกูลหลี่จางหายไป กลายเป็นความเงียบเหงาและเศร้าหมองเข้ามาแทนที่

“อันที่จริงแล้ว ฉันน่าจะพูดเรื่องนี้ตั้งแต่ตอนที่แม่ของนายถูกฝัง แต่ตอนนั้นนายกับพ่อมีสภาพจิตใจและอารมณ์ที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก ฉันจึงได้แต่อดกลั้นเอาไว้”

คุณท่านใหญ่ตระกูลหลี่มองเฉินตงด้วยแววตาที่ลึกซึ้ง : “แม่ของนายเป็นคนของตระกูลหลี่ เกิดมาก็เป็นคนของตระกูลหลี่ ตายไปก็เป็นวิญญาณของตระกูลหลี่ สิ่งที่เคยทำกับเธอทั้งหมดในตอนนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นความผิดของฉันเอง แต่ตอนนี้เธอได้ตายจากไปแล้ว เพื่อชดเชยความผิดพลาดตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมาของฉัน ฉันอยากให้นำแม่ของนายมาไว้ในศาลบรรพชนของตระกูลหลี่ เพื่อรับการสักการะจากตระกูลหลี่ ซึ่งสืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน”

ที่มาไกลถึงที่นี่ ก็เพื่อที่จะมาพูดเรื่องนี้ ?

เฉินตงมองดูคุณท่านใหญ่ตระกูลหลี่ด้วยท่าทีที่สงบ และไม่พูดอะไร

เมื่อเห็นเช่นนี้ แววตาของคุณท่านใหญ่ตระกูลหลี่ก็ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

หลี่เต๋อซานอดไม่ได้ที่จะพูดออกมา : “เฉินตง ถ้านายไม่รู้ว่าการที่จะเข้ามาอยู่ในศาลบรรพชนตระกูลหลี่ได้นั้น เป็นเรื่องยากขนาดไหนแล้วล่ะก็ ฉัน ในฐานะที่เป็นลุง ก็อยากจะขอพูดให้นายได้ฟังสักหน่อย”

เฉินตงแสยะยิ้มออกมา แล้วหันไปมองหลี่เต๋อซานด้วยรอยยิ้ม

หลี่เต๋อซานแสดงความภูมิใจออกมาเล็กน้อย นี่เป็นสิ่งที่สั่งสมมาหลายปี ตลอดระยะเวลาที่อยู่ในฐานะตระกูลที่มั่งคั่ง

ต่อให้ตอนนี้ตระกูลหลี่จะประสบกับวิกฤติ แต่ก็ไม่อาจลบล้างความภาคภูมิใจนี้ออกไปได้ภายในระยะเวลาอันสั้น

“ศาลบรรพชนตระกูลหลี่ มีไว้เพื่ออุทิศให้กับบรรพบุรุษของตระกูลหลี่ที่เกิดมาถูกต้องตามจารีตเท่านั้น หากเป็นลูกนอกสมรส ต่อให้จะสร้างผลงานยิ่งใหญ่แค่ไหน ก็ไม่อาจเข้ามาอยู่ในศาลบรรพชนตระกูลหลี่ได้”

“หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ คนที่มีสิทธิ์เข้ามาอยู่ในศาลบรรพชน และได้รับการสักการะจากตระกูลหลี่นั้น สำหรับคนในตระกูลหลี่แล้ว ถือเป็นเกียรติอันสูงสุด และถือเป็นรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดหลังความตายอีกด้วย”

“อย่าว่าแต่แม่ของเธอเลย แม้แต่ฉัน หากท้ายที่สุดไม่สามารถขึ้นไปยืนอยู่ในตำแหน่งของเจ้าบ้านได้ หรือไม่อาจสร้างคุณประโยชน์อันยิ่งใหญ่ให้กับตระกูลหลี่ได้ ต่อจากนี้อีกร้อยปี ก็ไม่มีทางที่จะเข้าไปอยู่ในศาลบรรพชนตระกูลหลี่ได้”

พูดถึงตรงนี้ หลี่เต๋อซานก็เชิดหน้าด้วยความภาคภูมิใจ

คำพูดและท่าทางของเขา แสดงออกถึงความภาคภูมิใจอย่างชัดเจน

เขาหันมองเฉินตงด้วยแววตาที่เป็นประกาย : “ดังนั้น เธอคงรู้แล้วสินะว่า ที่เจ้าบ้านตัดสินใจทำเพื่อแม่ของเธอขนาดนี้ ถือเป็นการให้เกียรติแม่ของเธอแค่ไหน ?”

ตั้งแต่ต้นจนจบ ด้วยการพรรณนาของหลี่เต๋อซาน ทำให้คุณท่านใหญ่หลี่เผยรอยยิ้มที่มุมปากออกมา

แต่ทว่า

ทันทีที่พูดจบ

เฉินตงกลับหัวเราะออกมาทันที

เขาแสดงท่าทีเยาะเย้ยออกมาโดยไม่แยแส

ภาพที่ปรากฏขึ้นนี้ ทำให้คุณท่านใหญ่ตระกูลหลี่และหลี่เต๋อซานผงะไปพร้อมกัน

“ช่างเป็นเกียรติอันยิ่งใหญ่จริงๆ !”

เฉินตงยักไหล่ จากนั้นจึงลุกขึ้นแล้วโบกมือ : “เกียรติยศสูงสุดสำหรับคนตระกูลหลี่อย่างพวกคุณ ก็ควรจะเก็บเอาไว้ให้พวกคุณใช้กันเอง ผมจะกล้าให้แม่ผู้ล่วงลับของผม ซึ่งทำลายแสงสว่างของตระกูลหลี่ เข้าไปอยู่ในศาลบรรพชนตระกูลหลี่ของพวกคุณได้อย่างไร ?”

การดูถูกเหยียดหยามอย่างรุนแรง ทั้งคุณท่านใหญ่ตระกูลหลี่และหลี่เต๋อซานต่างฟังออกอย่างชัดเจน

แต่การดูถูกนี้ กลับทำให้ทั้งสองคนรู้สึกสับสนในเวลาเดียวกัน

ยอมทำถึงขนาดนี้แล้ว เฉินตงยังไม่พอใจอีกหรือ ?

คุณท่านใหญ่ตระกูลหลี่ตั้งสติกลับมาได้ก่อน เขาเรียกเฉินตงที่กำลังจะเดินจากไปเอาไว้ : “ตงเอ๋อ นี่คือการรำลึกถึงและการให้เกียรติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ปู่จะสามารถมอบให้กับแม่ของหลานได้แล้ว !”

“เก็บการให้เกียรติกับการรำลึกถึงของคุณเอาไว้เถอะ !”

เฉินตงลูบจมูก แล้วหลุดขำออกมา : “ศาลบรรพชนตระกูลหลี่ของคุณ ไม่คู่ควรกับแม่ผู้ล่วงลับของผม ตอนนี้แม่ของผมถูกฝังเอาไว้ชั่วคราวเท่านั้น สักวัน ผมจะพาเธอเข้าไปอยู่ในศาลบรรพชนตระกูลเฉินให้ได้ เพื่อรับการสักการะชั่วลูกชั่วหลาน ! นั่นถึงจะเป็นเกียรติที่แม่ของผมสมควรจะได้รับ !”

“เมื่อนำตระกูลหลี่ของคุณมาเทียบกับตระกูลเฉิน พวกคุณมีค่าแค่ไหนกัน ?”

คำพูดดูถูกเหยียดหยามตระกูลหลี่ที่ดังก้องกังวานและทรงพลัง ในขณะเดียวกัน ก็ทำให้คนรู้สึกตื่นตะลึงได้

เป็นเหมือนกับคำสาบาน !

ครึ่งชั่วโมงผ่านไป

รถพยาบาลเปิดสัญญาณเตือนภัย แล้วเคลื่อนตัวออกไป

มุมนี้ของห้างสรรพสินค้า เงียบสงัดลงทันที

สายตาที่ทุกคนจ้องมองเฉินตง เต็มไปด้วยความรู้สึกหวาดกลัวและประหลาดใจ

ใครจะไปคิดว่า เด็กหนุ่มที่นั่งกินบะหมี่เย็นอยู่บนเก้าอี้ริมทางเดิน จะเป็นเจ้าของบริษัทไท่ติ่ง ?

เสียงสัญญาณเตือนภัยของรถพยาบาลที่ดังขึ้น ทำให้ทุกคนรู้สึกกลัวจนเสียวสันหลัง

ถ้าไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง พวกเขาคงจะจินตนาการไม่ออกเลยว่า บนโลกนี้จะมีคนที่ถูกต่อยจนเละเป็นโจ๊กอยู่จริงๆ

แต่กลัวก็ส่วนกลัว เพราะทุกคนในที่เกิดเหตุ กลับไม่มีใครรู้สึกเห็นใจชายวัยกลางคนแม้แต่คนเดียว

เศรษฐีหน้าใหม่ ดูหมิ่นภรรยาของเจ้าของบริษัทไท่ติ่งต่อหน้าสาธารณชน ตอนกลางวันแสกๆ ?

เรื่องนี้ใครจะไปทนไหว ?

อย่าว่าแต่คนระดับเฉินตงเลย แม้แต่คนธรรมดา ก็ไม่มีใครที่จะข่มความโกรธเช่นนี้เอาไว้ได้แน่นอน

จะให้ภรรยาอับอายไม่ได้ !

ถ้าปล่อยให้ชายอื่นมาดูหมิ่นภรรยาของจนเองได้ เช่นนั้นจะถือว่าเป็นผู้ชายแบบไหนกัน ?

สิ่งที่ผู้ชายต้องปกป้องดูแล ไม่ได้มีเพียงแค่พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดเท่านั้น แต่ยังมีพี่น้องที่อยู่ข้างกาย และหญิงสาวที่อยู่ในอ้อมกอดด้วยไม่ใช่หรือ ?

“ไปกันเถอะ”

เฉินตงหันไปพูดกับกู้ชิงหยิ่งอย่างอ่อนโยน จากนั้นจึงค่อยๆ หยิบถุงทั้งใบเล็กใบใหญ่ที่วางอยู่ขึ้นมาอย่างมีความสุข

และท่าทีในการเคลื่อนไหว ก็ไม่หลงเหลือเจตนาฆ่าอันรุนแรงเมื่อครู่อยู่อีกเลย

ภาพที่เกิดขึ้น สร้างความประหลาดใจแก่ผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก

ยิ่งไปกว่านั้น มีผู้หญิงจำนวนไม่น้อยที่มองดูกู้ชิงหยิ่งด้วยความรู้สึกอิจฉา

มีผู้หญิงคนไหนไม่อยากมีแฟนแบบนี้บ้าง ?

กู้ชิงหยิ่งยิ้มออกมาอย่างเบิกบาน แล้วคล้องแขนเฉินตง : “กลับบ้านเถอะค่ะ”

“ยังเดินเล่นไม่เสร็จเลยนี่”

เฉินตงชี้ขึ้นไปที่ชั้นบน แล้วกล่าวขอโทษ : “ขอโทษด้วยนะ เรื่องเมื่อกี้อาจจะกระทบจิตใจของคุณ แต่ผมทนไม่ไหวแล้วจริงๆ”

“โธ่ ฉันชอบท่าทางของคุณเมื่อกี้จะตายไป เดินมาตั้งครึ่งวันแล้ว ฉันเองก็เหนื่อยแล้ว กลับบ้านไปพักผ่อนกันเถอะ”

กู้ชิงหยิ่งโอดครวญและกะพริบตาปริบๆ : “ที่รัก เมื่อกี้คุณหล่อมากเลยนะ ฉันจะให้รางวัลคุณ !”

เฉินตงผงะไป จากนั้นเขาก็รู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก

เมื่อกลับถึงบ้าน

ท่านหลง คุนหลุน และฟ่านลู่กำลังนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น

โทรทัศน์กำลังเสนอข่าวของวงการบันเทิง เป็นเรื่องเกี่ยวกับเฉินหยู่เฟย

ในขณะที่ท่านหลงและคุนหลุนกำลังง่วนอยู่กับการจัดระเบียบข้อมูล ฟ่านลู่เองก็คอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ

ข่าวบันเทิงที่นำเสนออยู่ในโทรทัศน์ เป็นสิ่งที่ไม่สลักสำคัญอีกต่อไป

ในสายตาของพวกเขา เฉินหยู่เฟยในตอนนี้ ก็เป็นเพียงแค่ตัวตลกเท่านั้น

ต้องการเอาเปรียบผู้อื่นแต่กลับขาดทุนเสียเอง เป็นสิ่งที่ใช้อธิบายสถานการณ์ของเฉินหยู่เฟยได้ดีที่สุด

“คุณชาย คุณผู้หญิง ทำไมกลับมาเร็วขนาดนี้ล่ะครับ ?”

ท่านหลงเงยหน้าขึ้นแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม

เมื่อเห็นเฉินตงและกู้ชิงหยิ่งแนบซบกันไปมา เธอพิงฉัน ฉันพิงเธอ

ท่านหลงก็พอเข้าใจได้ในทันที

เขากระแอมเบาๆ : “เอ่อ คุนหลุนกับฟ่านลู่ยุ่งกันมาตลอดทั้งเช้าแล้ว ไปพักผ่อนกันสักเดี๋ยวเถอะ ออกไปเดินเล่นเป็นเพื่อนฉันหน่อย”

เมื่อเห็นทั้งสามคนเดินออกไปแล้ว กู้ชิงหยิ่งก็รู้สึกเขินอายเล็กน้อย

เธอบ่นพึมพำออกมาเบาๆ : “แหม ทำไมท่านหลงถึงรู้ทันไปหมดเลยนะ ?”

“คนอายุมากขนาดนั้นแล้ว ถ้าเป็นขิงก็คงจะเผ็ดน่าดู”

เฉินตงยิ้มอย่างเบิกบาน : “ไปกันเถอะ ต้องรีบผลิตเฉินตงน้อยแล้ว”

“คนบ้า !”

กู้ชิงหยิ่งมองอย่างตำหนิ

ตอนเที่ยงที่ร้อนจ้า

ปล่อยอารมณ์ไปตามอำเภอใจ

หลังจากที่ได้พักผ่อนอย่างเต็มอิ่มมาทั้งคืน ความอัดอั้นตลอดหลายวันที่ผ่านมา ก็ถูกปลดปล่อยออกมาจนหมดสิ้น

พูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้สึกซึ่งกันและกัน แสดงออกถึงความโหยหาซึ่งกันและกัน

ครั้งแล้ว……ครั้งเล่า……อย่างไม่รู้สึกเบื่อหน่าย……

จนกระทั่งถึงพระอาทิตย์ตกดิน และพระจันทร์ลอยเคลื่อนเข้ามาแทนที่

เฉินตงกับกู้ชิงหยิ่งจึงเปลี่ยนเสื้อผ้า และเดินลงมาชั้นล่าง

ในห้องอาหาร ฟ่านลู่ได้จัดเตรียมอาหารอันโอชะเอาไว้เต็มโต๊ะเรียบร้อยแล้ว กลิ่นหอมลอยตลบอบอวลไปทั่ว

เฉินตงที่ทำภารกิจมาตลอดทั้งบ่าย เมื่อได้กลิ่นหอมของอาหาร ก็น้ำลายไหลทันที

“พี่ฟ่านลู่ วันนี้ทำของอร่อยอะไรหรือครับ ?”

เฉินตงจูงกู้ชิงหยิ่งเดินไปที่ห้องอาหาร

ท่านหลงกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ข้างๆ ส่วนคุนหลุนและฟ่านลู่ยังคงง่วนอยู่ในห้องครัว

แต่เมื่อเฉินตงได้เห็นอาหารอันโอชะที่จัดวางอยู่บนโต๊ะอาหาร ก็ผงะไปทันที

ตะพาบน้ำตุ๋นโสม

หอยนางรมสดตัวอวบอิ่ม

……

นี่ดูเหมือนจะบำรุงมากเกินไปหรือเปล่า ?

เฉินตงรู้สึกตกใจมาก

ส่วนกู้ชิงหยิ่งกลับมีสีหน้างงงวย

ท่านหลงค่อยๆ วางหนังสือพิมพ์ลง แล้วยิ้มออกมาเล็กน้อย : “คุณชายต้องบำรุงร่างกายสักหน่อยนะครับ”

เฉินตง : “……”

กู้ชิงหยิ่ง : “……”

พอดีกับที่คุนหลุนและฟ่านลู่เดินออกมาจากห้องครัวพอดี

หลังจากที่วางผัดกุยช่ายจานสุดท้ายลงบนโต๊ะ ฟ่านลู่ก็ไม่ลืมที่จะเอาเก๋ากี๋ออกมาโรยตกแต่งบนจานอย่างพิถีพิถันอีกด้วย

ให้ตายเถอะ……นี่มันบำรุงกันเกินไปแล้ว !

จะพูดว่ามากเกินไปก็ได้ !

“คุณชาย ทานข้าวได้แล้วครับ” คุนหลุนพูดด้วยรอยยิ้ม

“ทำไมเหรอ ?” กู้ชิงหยิ่งหันไปมองเฉินตงด้วยความสงสัย

เฉินตงลูบจมูก แล้วยิ้มออกมาอย่างเก้อเขิน แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราว แล้วจึงนั่งลงทานอาหารพร้อมกับกู้ชิงหยิ่ง

กู้ชิงหยิ่งไม่รู้ถึงความหมายของอาหารมื้อนี้

เขาจึงไม่กล้าที่จะพูดออกมาตรงๆ

เพียงแต่อาหารมื้อนี้ เฉินตงไม่เพียงรู้สึกเก้อเขินที่จะต้องรับประทานเท่านั้น ต่อให้มีอาหารรสเลิศวางเรียงรายอยู่เต็มโต๊ะ เขากลับรู้สึกตกตะลึงจนแทบจะกินไม่ลง

การบำรุงเช่นนี้ ดูจะโจ่งแจ้งเกินไปหน่อย

หลังจากทานอาหารมื้อนี้เสร็จ

เฉินตงรู้สึกอึดอัดใจมาก เขารีบจูงกู้ชิงหยิ่งออกจากวิลล่าไปเดินเล่นอยู่ด้านนอก

ท่านหลงมองดูคนทั้งสอง ที่เหมือนกับกำลังพยายามเดินหนี ก็ยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนและเอ็นดู

กลับเป็นคุนหลุนที่ไม่อาจทนได้ : “ท่านหลง คุณให้เสี่ยวลู่ทำของบำรุงให้คุณชายขนาดนี้ จะเป็นการบำรุงคุณชายมากเกินไปจนเกิดผลเสียหรือเปล่า ?”

“พูดเหลวไหล !”

ท่านหลงเหลือบมอง แล้วพูดอย่างเคร่งขรึม : “นี่เป็นความประสงค์ของนายท่าน ของอยากจะอุ้มหลานจนเต็มแก่แล้ว”

“เฮ้อ~”

คุนหลุนและฟ่านลู่หันมองหน้ากัน แล้วจึงถอนหายใจออกมาพร้อมกัน

อากาศยามค่ำคืนเย็นเยือกราวกับน้ำ

เฉินตงและกู้ชิงหยิ่งเดินจูงมือกัน แล้วค่อยๆ เดินไปบนทางเดินอย่างช้าๆ มีสายลมยามค่ำคืนโชยพัดมา และดื่มด่ำกับบรรยากาศที่สงบ

เฉินตงไม่ได้สัมผัสกับชีวิตที่ผ่อนคลายเช่นนี้มาเป็นเวลานานแล้ว

การปรากฏตัวของท่านหลง ทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนไป ทำให้เขาได้ครอบครองโอกาสที่จะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า

เพื่อโอกาสครั้งนี้ เขาแทบจะยุ่งอยู่กับงานตลอดทั้งวันทั้งคืน

แต่ในช่วงที่ผ่านมานี้ มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องมากมาย ทำให้เขารู้สึกเครียดอยู่ตลอดเวลา

ตอนนี้ได้ซึมซับกับบรรยากาศที่สงบเช่นนี้ โดยไม่ต้องรับรู้อะไร

เวลาครึ่งเดือนหลังจากนี้

จะเป็นวันเวลาที่ใช้ชีวิตอย่างผ่อนคลายและสบาย

ทุกวันที่เฉินตงคอยอยู่เป็นเพื่อนกู้ชิงหยิ่ง ก็จะจัดการกับงานของบริษัทที่อยู่ในมือไปด้วยในเวลาเดียวกัน

หลังจากที่เฉินหยู่เฟยลาออกจากวงการบันเทิง ความคิดเห็นของผู้คนที่มีต่อเฉินตง ก็จางหายไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน

บนโลกอินเทอร์เน็ตก็เช่นเดียวกัน ความคิดเห็นของผู้คนมาเร็วก็ไปเร็ว

ภายในระยะเวลาหนึ่งเดือนสั้นๆ สามารถทำให้คนลืมเรื่องราวได้มากมาย

หลังจากที่ความคิดเห็นของผู้คนเบาบางลง บริษัทขนาดใหญ่ต่างๆ ที่อยู่ในมือของเฉินตง ก็ค่อยๆ ฟื้นฟูกลับมาสู่ภาวะปกติ

บริษัทการเงินของฉินเย่และฉินเสี่ยวเชียน บริษัทด้านความบันเทิงของฉู่เจียนเจีย ต่างก็เริ่มดำเนินธุรกิจอย่างรวดเร็วเช่นกัน

มีเพียงสิ่งเดียวที่ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ก็คือ

เป็นเพราะเรื่องความคิดเห็นของประชาชนเรื่องนี้ ทำให้ตระกูลจางต้องใช้ความพยายามอย่างมาก และเป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างจางหยู่หลันและฉินเย่

เฉินตงจึงได้รับปากกับจางหยู่หลันและฉู่เจียนเจียว่า จะร่วมมือกันก่อตั้งบริษัทด้านบันเทิงขึ้น แต่ผู้นำยังคงต้องเป็นฉู่เจียนเจียอยู่

เขารู้ดีว่า ในตลาดการแข่งขันทางธุรกิจ ฉู่เจียนเจียและจางหยู่หลันไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันเลยด้วยซ้ำ

เช้าตรู่วันนี้ หลังจากที่เฉินตงส่งกู้ชิงหยิ่งไปทำงานที่บริษัทวัสดุก่อสร้างยิงลี่แล้ว เขาก็ขับรถปอร์เช่ 911 ของกู้ชิงหยิ่งมุ่งหน้าไปยังไท่ติ่ง

เขาไม่ได้เข้ามาที่ไท่ติ่งหลายวันแล้ว มีเพียงแค่เสี่ยวหม่าและกูหลังคอยอยู่ดูแล

ตอนนี้ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่แล้ว ถึงเวลาที่จะต้องออกเดินทางใหม่อีกครั้งเสียที

แต่ทว่า เมื่อเฉินตงมาถึงชั้นล่างของไท่ติ่ง

มีโทรศัพท์สายหนึ่งดังขึ้น ซึ่งทำให้เขาต้องเหยียบเบรก และจอดรถที่ถนนด้านหน้าตึกใหญ่ของบริษัททันที

จากนั้น เขาก็เลี้ยวหัวกลับอย่างรวดเร็ว และขับออกจากบริษัทไป….

เวลาตลอดทั้งเช้า

เฉินตงรู้สึกเหนื่อยจนแทบทรุดแล้ว

แต่กู้ชิงหยิ่งกลับยังคงมีจิตวิญญาณในการต่อสู้เต็มเปี่ยม ราวกับว่าพุ่งเข้าไปจัดการกับแต่ละร้านอย่างไม่คิดชีวิต

สิ่งนี่ทำให้เฉินตงรู้สึกกังวลใจเล็กน้อย ว่าตัวเขาเองจะเป็นเหมือนสุนัขตัวเมื่อครู่หรือไม่

หลังจากสูดหายใจเข้าเต็มปอด

เฉินตงก็พูดขึ้นว่า : “เสี่ยวหยิ่ง ควรจะพักทานข้าวเที่ยงกันได้แล้วนะ”

“โธ่ ฉันลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิทเลย”

กู้ชิงหยิ่งตบหัวตัวเอง แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม : “ขอโทษนะคะที่รัก ฉันลืมมื้อเที่ยงไปเสียสนิทเลย คุณอยากทานอะไรคะ ? ฉันเลี้ยงคุณเอง ถือเป็นการชดเชยให้”

“คุณอยากทานอะไร ?” เฉินตงถาม

“ฉันทานอะไรก็ได้” กู้ชิงหยิ่งตอบ

“หม้อไฟดีไหม ?” เฉินตงเสนอ

กู้ชิงหยิ่งส่ายหัว : “กินหม้อไฟตอนเที่ยงแบบนี้ ทั้งตัวก็เป็นกลิ่นหม้อไฟกันพอดี เดี๋ยวก็เดินเล่นสวยๆ ไม่ได้อีกนะสิ”

เฉินตงรู้สึกจนใจ เยี่ยมมาก ฉลาดจริงๆ

คิดอยู่ครู่หนึ่ง : “ถ้าอย่างนั้น อาหารจีนล่ะ ?”

“อาหารจีนมันเกินไป กินแล้วทำให้อ้วน” กู้ชิงหยิ่งส่ายหัว

“อาหารฝรั่งล่ะ ?”

“กินแต่สเต๊กทุกวัน จนไม่อยากจะกินแล้ว”

เฉินตงรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย : “แล้วคุณอยากทานอะไรล่ะ ?”

“ฉันทานอะไรก็ได้” ก็ชิงหยิ่งตอบอย่างจริงจัง

เฉินตง : “……”

ผู้หญิงหนอผู้หญิง……

หลังจากที่สอบถามด้วยความอดทน แต่ก็ยังไม่ได้คำตอบ

เฉินตงก็กัดฟัน แล้วเดินตรงไปยังร้านเล็กๆ ตรงทางเดิน แล้วซื้อบะหมี่เย็นสองถ้วยกับน้ำผลไม้มาสองแก้ว จากนั้นก็นั่งกินบนเก้าอี้ร่วมกับกู้ชิงหยิ่ง

ตอนที่ทั้งสองคนเรียนมหาวิทยาลัย ก็มักจะกินอาหารริมทางอยู่บ่อยๆ ดังนั้นจึงไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ผิดปกติ

แต่ทว่า

ขณะที่ทั้งสองคนกำลังรับประทานอย่างมีความสุขอยู่นั้น

ก็มีชายวัยกลางคนพุงโตเดินผ่านมาพอดี

จากนั้นจึงชำเลืองมองผ่านๆ และต้องตกตะลึงกับความงดงามของกู้ชิงหยิ่งในทันที จนต้องหยุดเดิน

หลังจากที่หันไปมองเฉินตงหนึ่งครั้ง ชายวัยกลางคนพุงโตคนนั้นก็แสดงท่าทีดูถูกเหยียดหยามออกมา

“สาวน้อยหน้าตาสะสวยขนาดนี้ มานั่งกินข้าวข้างทางอยู่กับผู้ชายกระจอกๆ แบบนี้ เหมือนกับเอาดอกไม้งามไปปักอยู่บนกองขี้วัวจริงๆ”

คำพูดนี้ ทำให้อารมณ์ที่กำลังสดใสของเฉินตงและกู้ชิงหยิ่งหายไปในทันที

เฉินตงลุกขึ้นด้วยใบหน้าที่บูดบึ้ง แล้วจ้องเขม็งไปที่ชายวัยกลางคนพุงโต

จ้องมองด้วยแววตาอันทรงพลังของเขา จนชายวัยกลางคนต้องถอยร่นไปด้วยความกลัว

เขาพูดขึ้นเสียงดัง : “ไอ้กระจอก แกคิดจะทำอะไร ? สิ่งที่ฉันพูดมันเป็นความจริง !”

กู้ชิงหยิ่งเหลือบไปมองชายวัยกลางคน

สวมใส่สร้อยทองเส้นใหญ่และนาฬิกาเรือนใหญ่ สวมใส่รองเท้าหนังและมีกระเป๋าถือใบเล็ก

สภาพของเศรษฐีหน้าใหม่ ปรากฏให้เห็นจากทั่วทั้งตัวของเขา

เธอไม่อยากให้เรื่องเล็กน้อยนี้มากระทบถึงอารมณ์ของเธอและเฉินตง

เธอดึงแขนของเฉินตงเอาไว้ : “ช่างเถอะ อย่าไปสนใจเลย วันนี้คุณจะต้องเดินเล่นเป็นเพื่อนฉันนะ”

ท่าทีของเฉินตงผ่อนคลายลงเล็กน้อย

ตอนนี้ชายวัยกลางคนเพิ่งจะสังเกตเห็นถุงทั้งใบเล็กใบใหญ่ที่วางอยู่ข้างๆ กู้ชิงหยิ่งและเฉินตง

เขาโพล่งออกมาทันที : “แหม เมื่อกี้ฉันไม่ทันได้สังเกตให้ดี ดูๆ ไปแล้วก็พอจะมีเงินเล็กน้อยเหมือนกันนี่ อย่างน้อยๆ คงจะได้เงินเดือนหมื่นกว่าหยวนใช่ไหมล่ะ ?”

ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณ”

เฉินตงตอบกลับอย่างเย็นชาหนึ่งประโยค จากนั้นจึงจูงมือของกู้ชิงหยิ่ง เตรียมที่จะเดินจากไป

กู้ชิงหยิ่งเป็นภรรยาของเธอ ไม่จำเป็นจะต้องให้คนอื่นมาคอยชี้แนะ

เมื่อครู่ สิ่งที่ชายวัยกลางคนพูดขึ้นประโยคแรก เห็นได้ชัดว่าจงใจที่จะหาเรื่อง

ถ้าไม่ใช่เพราะไม่ต้องการทำลายความรู้สึกของกู้ชิงหยิ่งแล้วล่ะก็ เขาคงต้องจัดการกับชายวัยกลางคนคนนี้อย่างแน่นอน

เมื่อพูดถึงเรื่องเงิน ในสายตาของเขาก็เป็นเพียงแค่ตัวเลขเท่านั้น

ในเมืองนี้ เกรงว่าคงเหลืออยู่เพียงไม่กี่คนแล้วที่ร่ำรวยกว่าเขา

วีรบุรุษของเมืองนี้อย่างโจวเย่นชิวและโจวจุนหลง ตอนนี้ยังต้องยืมจมูกเขาหายใจ

อย่างไรก็ตาม เมื่อภาพเช่นนี้ปรากฏขึ้นในสายตาของชายวัยกลางคน ทำให้รู้สึกทันทีว่าเฉินตงนั้นยอมแพ้ และคิดที่จะเดินหนีไป

เขาจึงรู้สึกสนุกขึ้นมาทันที !

เขากวาดสายตามองกู้ชิงหยิ่งตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างน่าเกลียด แววตาของเขาราวกับมีลูกไฟสองลูกกำลังลุกโชนอยู่ และแสดงความหื่นกระหายออกมาอย่างโจ่งครึ่ม

ความงดงามเช่นนี้ คู่ควรที่จะให้ไอ้กระจอกคนหนึ่งมาครอบครองอย่างนั้นหรือ ?

ชายวัยกลางคนก้าวเข้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว แล้วขวางเฉินตงกับกู้ชิงหยิ่งเอาไว้

เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย และพูดออกมาอย่างไร้ยางอายว่า : “สาวน้อย เธอใช้ชีวิตร่วมกับผู้ชายกระจอกๆ เช่นนี้ จะไปมีอนาคตอะไร ? เขาจะให้อะไรเธอได้ ? เดือนหนึ่งได้เงินเดือนแค่หมื่นกว่าหยวน ดูเหมือนว่าจะถึงขีดจำกัดของเขาแล้ว เขาก็คงให้เธอได้เพียงแค่ของเล็กน้อยพวกนี้”

ภาพที่ปรากฏขึ้น

ดึงดูดความสนใจของผู้คนที่เดินผ่านไปมา

ความงดงามของกู้ชิงหยิ่ง เป็นที่สะดุดตาอย่างยิ่ง

แต่คนอื่นๆ ทำเพียงแค่รู้สึกอิจฉาอยู่ห่างๆ ไม่มีใครคิดที่จะทำเกินเลย เช่นเดียวกับที่ชายวัยกลางคนทำอย่างแน่นอน

ยิ่งไปกว่านั้น บางคนถึงกับมองเฉินตงด้วยแววตาที่เห็นอกเห็นใจ

ดูเหมือนเด็กหนุ่มคนนี้จะตกที่นั่งลำบากแล้ว ?

เห็นได้ชัดว่าชายวัยกลางคนเป็นเศรษฐีหน้าใหม่ เป็นคนร่ำรวยและไม่ยอมใครง่ายๆ

หลายคนเริ่มหันไปกระซิบกระซาบกัน

แต่ทว่า

หลังจากที่ชายวัยกลางคนพูดออกมาแล้ว ใบหน้าของเฉินตงก็เคร่งขรึมลงทันที แววตาของเขาฉาบไปด้วยความเย็นชา

ส่วนกู้ชิงหยิ่งที่ยืนอยู่ข้างๆ กลับหลุดขำออกมา

เธอมองชายวัยกลางคนอย่างรู้สึกขำ : “คุณลุง ฉันรักเขา เขาให้ฉันได้เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว คุณพูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร ?”

เข้าใจแล้ว !

ชายวัยกลางคนฉุกคิดขึ้นมาได้

หญิงสาวรูปงามที่อยู่ตรงหน้าตั้งใจที่จะย้อนถามเขา เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้กับเขาใช่หรือไม่ ?

เขาพบเจอกับหญิงสาวลักษณะเช่นนี้มานับไม่ถ้วน เพียงแค่อวดความร่ำรวยออกมาให้เห็น ก็เพียงพอที่จะดึงดูดความสนใจได้แล้ว !

จะปล่อยให้โอกาสหลุดมือไปไม่ได้ หากหลุดมือไปแล้วก็จะไม่กลับมาอีก !

ชายวัยกลางคนยืดอก แล้วเหลือบไปมองเฉินตง จากนั้นจึงชูมือขวาขึ้นมา : “เห็นนี่ไหม ? นี่เรียกว่าผีใต้น้ำเขียว ราคาไม่แพง ก็แค่แสนหยวนเท่านั้นเอง”

ขณะที่พูด เขาก็หยิบกุญแจรถออกมาจากเอว : “นี่ BMW ซีรี่ส์ 5 ก็แค่ไม่กี่แสนหยวนเท่านั้น”

เขาถอยหลังไปอีกหนึ่งก้าว ใช้มือทั้งสองข้างของเขาชี้ไปบนตัว แล้วพูดโอ้อวดตัวเองอย่างภูมิใจว่า : “เห็นรึยัง ตั้งแต่หัวจรดเท้าล้วนแล้วแต่ใช้ของหลุยส์ วิตตองทั้งนั้น แค่เข็มขัดหลุยส์ วิตตองเส้นนี้เส้นเดียว เกรงว่าคงเท่ากับเงินเดือนของแฟนเธอทั้งเดือน ?”

“นอกจากนี้ ตอนที่มีการปฏิวัติย่านสลัมทางภาคตะวันตกของเมือง บ้านของฉันก็ได้มีการรื้อถอนและแบ่งสร้างออกมาใหม่เป็นหลายหลัง เมื่อรวมกับสิ่งเหล่านี้แล้ว ดูเหมือนว่าชาตินี้ แฟนของเธอคงไม่มีทางเทียบได้ แต่ถ้าหากเธอยอมอยู่กับฉันแล้วล่ะก็ ของของฉันก็จะกลายเป็นของของเธอด้วย !”

คำพูดเต็มไปด้วยการคุยโวโอ้อวด

มีหลายประโยคที่เป็นการดูถูกเหยียบย่ำเฉินตงให้จมดิน

การอวดร่ำอวดรวยอย่างโจ่งแจ้ง และการกดขี่คนอื่นอย่างหยาบคาย

ทำราวกับว่าเฉินตงซึ่งอยู่ในฐานะ “แฟน” ไม่ได้อยู่ในสายตา

ผู้คนโดยรอบต่างยืนมองด้วยความตกตะลึง

ในขณะที่รู้สึกเห็นอกเห็นใจเฉินตง ก็รู้สึกหมั่นไส้ชายวันกลางคนด้วยเช่นกัน

คนแบบนี้ ไปเอาความมั่นใจมาจากไหนกัน ?

มีเงินแล้วคิดจะทำอะไรก็ได้อย่างนั้นหรือ ?

“ฮ่าๆ !”

กู้ชิงหยิ่งหลุดขำออกมาทันที : “ถ้าเช่นนั้น ก็ถือว่าคุณลุงยอดเยี่ยมจริงๆ !”

“ก็ไม่เท่าไหร่หรอก แต่เหนือกว่าแฟนของเธอแน่นอน เธอจะลองพิจารณาดูสักหน่อยไหมล่ะ ?” ชายวัยกลางคนจ้องมองกู้ชิงหยิ่งด้วยสายตาหื่นกระหาย

“มีเงินแล้วคิดจะทำอะไรก็ได้อย่างนั้นหรือ ?”

เฉินตงถามกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“เหอะๆ ! มีเงินแล้วคิดจะทำก็ได้ ! นายมีเงินหรือ นายคิดจะทำอะไรก็ได้หรือ ? ไหนนายลองมีเงินให้ฉันดูหน่อยสิ ?” ชายวัยกลางคนจ้องมองเฉินตงอย่างดูถูก

กู้ชิงหยิ่งยิ่งหัวเราะอย่างสนุกสนานมากขึ้น

ยังไม่ทันจะรอให้เฉินตงเอ่ยปากพูด

เธอก็โน้มตัวเข้าไปหาเฉินตงและพูดเบาๆ ว่า : “ที่รักคะ ดูไม่ออกเลยว่า ฉันเองก็มีราคาไม่น้อยเช่นกัน คุณไม่รู้สึกโกรธเลยหรือ ?”

เฉินตงลูบจมูก แล้วพูดอย่างจนใจ

“ต้องโทษที่ผมชดเชยให้พวกเขามากเกินไป ตอนปฏิวัติย่านสลัมทางภาคตะวันตก !”

ว้าว !

ที่เกิดเหตุเกิดความโกลาหลขึ้น

ใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความตกตะลึง และอุทานออกมาอย่างไม่ขาดสาย

ส่วนชายวัยกลางคนยิ่งมีท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างมาก และรู้สึกมึนงง

จากนั้น

เฉินตงก็ก้าวเข้าไปข้างหน้า แล้วก้มลงมองชายวัยกลางคน : “ภรรยาของฉัน เฉินตง ไม่ใช่ใครจะมาดูหมิ่นได้ง่ายๆ ในเมื่อคุณบอกว่ามีเงินแล้วจะทำอะไรก็ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ดี ผมจะทำให้คุณได้เห็นว่า มีเงินแล้วจะทำอะไรก็ได้จริงๆ แล้วเป็นอย่างไร !”

แววตาเฉียบคมราวกับมีด

“เฉิน เฉินตง ? ! เจ้าของบริษัทไท่ติ่ง เฉินตง ? !”

ชายวัยกลางคนรู้สึกตกใจกลัวทันที เขาถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว : “คุณ คุณจะทำอะไร ?”

“มอบสิทธิพิเศษในการเข้าพักแบบวีไอพี ในห้องไอซียูเป็นเวลาหนึ่งเดือนที่โรงพยาบาลลี่จิงให้กับคุณไง !”

น้ำเสียงที่เคร่งขรึม มาพร้อมกับหมัดอันทรงพลัง

หมัดของเฉินตงพุ่งเข้าใส่ชายวัยกลางคนทันที

ไม่มีคำพูดจาใดๆ ตลอดทั้งคืน

คืนนี้ ไม่ว่าจะเป็นกู้ชิงหยิ่งหรือเฉินตง ต่างก็นอนหลับสนิทและหลับลึกเป็นพิเศษ

ในระยะเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วัน

ทั้งสองต้องแบกรับความกดดันที่คาดไม่ถึงเอาไว้

ตอนนี้ความเข้าใจผิดได้คลี่คลายลงแล้ว ทำให้ทั้งสองฝ่ายต่างก็รู้สึกผ่อนคลายลง

เช้าตรู่

ฟ่านลู่เตรียมอาหารมื้อเช้ามื้อใหญ่อย่างมีความสุข

เธอรู้ดีว่า สองสามวันมานี้ ไม่มีใครสักคนในบ้าน ที่ได้รับประทานอาหารอย่างเป็นสุขเลย

ตอนนี้เรื่องทุกอย่างคลี่คลายลงแล้ว ถึงเวลาที่เธอควรจะต้องดูแลเรื่องอาหารการกินให้กับทุกคนแล้ว

คุนหลุนกับท่านหลงลงมาชั้นล่างแทบจะพร้อมกัน

เมื่อเห็นอาหารเช้าที่วางอยู่เต็มโต๊ะ ท่านหลงก็หัวเราะออกมาเสียงดัง : “ลำบากเสี่ยวลู่แล้ว รู้ว่าช่วงนี้ทุกคนไม่ได้กินข้าวอย่างเป็นสุข วันนี้จึงได้เตรียมอาหารอันโอชะมากมายขนาดนี้”

“ท่านหลงกล่าวเกินไปแล้ว สองสามวันมานี้เห็นทุกคนต่างร้อนใจ ฉันเองก็พลอยร้อนใจไปด้วย แต่ฉันก็ทำได้เพียงแค่ทำอาหารเล็กๆ น้อยๆ เพื่อคอยสนับสนุนด้านปากท้องเท่านั้น” ฟ่านลู่พูดด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย

สองสามวันมานี้ทุกคนต่างวิ่งวุ่นด้วยเรื่องของเฉินตง

ส่วนเธอทำได้เพียงแค่มองดู สิ่งนี้ทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ

ชีวิตของเธอในตอนนี้ เฉินตงเป็นผู้มอบให้ เฉินตงเองก็ไม่เคยเห็นเธอเป็นเพียงแค่พี่เลี้ยงเลย มีใครสักกี่คนที่จะสามารถทำได้เช่นนี้ ? ความเมตตาเหล่านี้ ฟ่านลู่จดจำได้อย่างชัดเจนอยู่เสมอ

และด้วยเหตุนี้ ทำให้เธอยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ

“การสนับสนุนด้านปากท้อง ก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เช่นกันนี่”

คุนหลุนนั่งลงบนเก้าอี้อย่างสบายใจ แล้วหยิบปาท่องโก๋ใส่เข้าปาก

“ฮ่าฮ่า……นับวันคุนหลุนจะยิ่งรู้จักพูดมากขึ้นนะ” ท่านหลงยิ้มแล้วนั่งลง

แต่ฟ่านลู่กลับหันไปมองคุนหลุนอย่างตำหนิ : “คุณเฉินกับคุณหนูกู้ยังไม่ลงมาเลยนะ ทำไมคุณถึงรีบกินก่อน ?”

“ไม่เป็นไรหรอกเสี่ยวลู่ เกรงว่าหากยังไม่ถึงเที่ยง คุณชายกับคุณผู้หญิงคงจะยังไม่ลงมาง่ายๆ” ท่านหลงออกปากแทนคุนหลุน

ฟ่านลู่ผงะไป แล้วไปหน้าอันงดงามของเธอก็แดงก่ำ

ฟ่านลู่เหลือบไปมองคุนหลุนที่กำลังตกตะลึงและคาบปาท่องโก๋เอาไว้ในปาก จากนั้นจึงพูดออกมาอย่างไม่ค่อยพอใจว่า : “กินๆ ไปเถอะ อันที่จริงแล้วก็เตรียมเอาไว้ให้คุณนั่นแหละ”

คุนหลุนยิ้มและทานอาหารต่ออย่างเอร็ดอร่อย

ท่านหลงยิ้มแล้วมองดูภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้า จากนั้นจึงกินอาหารเช้าต่ออย่างเงียบๆ

“พี่เสี่ยวลู่ ทำของอร่อยไว้มากมายขนาดนี้เชียวหรือ ?”

น้ำเสียงที่แสดงออกถึงความประหลาดใจเสียงหนึ่งดังขึ้น

ทั้งสามหันไปมองพร้อมกัน เฉินตงและกู้ชิงหยิ่งกำลังเดินจูงมือกันลงมาชั้นล่าง

นี่มันเกิดอะไรขึ้น ?

ทั้งสามตกตะลึงไปพร้อมกัน

จากนั้น คุนหลุนและฟ่านลู่ก็หันไปมองท่านหลงโดยพร้อมเพรียงกัน

ไหนบอกว่าตอนเที่ยงถึงจะลงมาไม่ใช่หรือ ?

เมื่อรับรู้ถึงสายตาของทั้งสองคนที่มองมา ท่านหลงก็หน้าแดงด้วยความเขินอาย

ท่านหลงกระแอมออกมาหนึ่งครั้ง แล้วพูดว่า : “เสี่ยวลู่ ยังไม่รีบไปเตรียมถ้วยกับตะเกียบให้คุณชายกับคุณผู้หญิงอีก”

ขณะที่พูด เขาก็ลุกขึ้นแล้วหันไปหาเฉินตงกับกู้ชิงหยิ่ง

“คุณชาย คุณผู้หญิง ทำไมถึงลงมาเช้าขนาดนี้ล่ะครับ ?”

“ตื่นแล้วก็ลงมาสิ” เฉินตงพูดอย่างไม่พอใจ

ใบหน้าของท่านหลงยิ่งแดงก่ำมากขึ้น เขาแอบถอนหายใจ มาตกม้าตายเอาตอนแก่เสียแล้ว

บรรยากาศอาหารเช้าไม่อึมครึมเหมือนช่วงก่อนหน้านี้อีกแล้ว

ทุกคนต่างรู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมาก

หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ เฉินตงก็ยังไม่คิดที่จะเข้าบริษัททันที

แต่เขากลับพากู้ชิงหยิ่งไปเดินเล่น

งานของเขายุ่งมาก ยุ่งจนกระทั่งเท้าแทบจะไม่ได้แตะพื้นดิน เขาจึงไปไหมมาไหนกับกู้ชิงหยิ่งน้อยครั้งมาก

ถึงแม้ว่ากูชิงหยิ่งจะยุ่งอยู่กับกิจการบริษัทวัสดุก่อสร้างยิงลี่อยู่ด้วยเช่นกัน แต่ในฐานะสามีภรรยา ก็ควรที่จะมีเวลาอยู่ร่วมกันบ้าง

ถึงแม้เหตุการณ์ในครั้งนี้ เฉินหยู่เฟยเกือบจะทำให้เฉินตงเดินไปถึงทางตัน

แต่หลังจากที่เหตุการณ์ทุกอย่างคลี่คลายลงแล้ว บริษัททั้งหมดที่อยู่ในมือของเฉินตงก็ยังไม่อาจกลับมาดำเนินการเป็นปกติได้ในทันที นั่นทำให้เฉินตงมีเวลาที่จะอยู่เป็นเพื่อนกู้ชิงหยิ่งเพิ่มขึ้น

โอกาสเช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ จึงต้องเห็นคุณค่าให้มาก

ส่วนกระแสสังคมในโลกอินเทอร์เน็ต เฉินตงไม่ได้สนใจอีกต่อไปแล้ว

ทั้งเรื่องที่แต่งครึ่ง และเรื่องจริงที่เข้าโจมตีเป็นระลอก ก็เพียงพอที่จะเอาชนะเฉินหยู่เฟยได้แล้ว

คลิปวิดีโอกล่าวขอโทษของเฉินหยู่เฟย ก็ทำให้เกิดกระแสบนโลกอินเทอร์เน็ตเช่นกัน

แนวโน้มของความคิดเห็นที่เกิดขึ้นหลังจากนี้ อยู่ภายใต้การควบคุมของฉินเย่ กับตระกูลจางและตระกูลเฉิน ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถประมาณการได้

ในการต่อสู้ครั้งนี้ เฉินหยู่เฟยได้รับบาดเจ็บมากขนาดไหน เฉินตงเองก็ไม่คิดที่จะสนใจ

เขาเอาชนะได้แล้ว

ความเข้าใจผิดที่มีกับกู้ชิงหยิ่งก็คลี่คลายลงแล้ว

นี่ก็เพียงพอแล้ว จึงไม่จำเป็นจะต้องกังวลเรื่องที่จะเกิดขึ้นตามมาอีก

พวกเขาขับรถปอร์เช่ 911 ของกู้ชิงหยิ่งเข้าไปที่ศูนย์กลางการค้าที่ใหญ่ที่สุดในเมืองอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า

ที่นี่คือศูนย์การค้าครบวงจร CBD ซึ่งมีลักษณะเดียวกันกับยี่เคอกรุ๊ป

ซึ่งมีครบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นที่กินหรือที่เที่ยวเล่นสนุกสนาน

มีผู้คนในเมืองนี้หลั่งไหลเข้ามาเป็นจำนวนมากทุกวัน

หลังจากจอดรถในลานจอดรถเรียบร้อยแล้ว กู้ชิงหยิ่งก็ลากเฉินตงออกไปด้านนอกศูนย์การค้า

“เสี่ยวหยิ่ง ที่นี่มีลิฟต์ สามารถเข้าไปในห้างสรรพสินค้าโดยตรงได้” เฉินตงทำหน้างุนงง

“ไม่เอา จะเข้าทางประตูใหญ่ คุณบอกฉันเองว่าจะเดินเล่นเป็นเพื่อนฉัน ดังนั้นต้องเชื่อฟังฉัน วันนี้คุณต้องเดินกับฉันให้ครบทุกร้าน ห้ามขี้เกียจเด็ดขาด”

กู้ชิงหยิ่งยิ้มอย่างมีความสุข

นี่เป็นครั้งแรกที่เธอยิ้มอย่างมีความสุขในรอบหลายวัน

เมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอ เฉินตงก็ยิ้มอย่างอ่อนโยน และไม่ซักถามให้มากความอีก

ประตูใหญ่ของศูนย์การค้า มีผู้คนจำนวนมากเดินผ่านไปมา

กู้ชิงหยิ่งผายมือทั้งสองข้างออก แล้วสูดหายใจเข้าเต็มปอด

เธอยิ้มอย่างสบายใจ แล้วพึมพำว่า : “ไม่ได้เดินเล่นนานแล้ว คนโง่ วันนี้จะลงโทษคุณด้วยการซื้อของที่นี่ทั้งหมด……”

“ไม่ดีมั้ง ?”

เฉินตงอดไม่ได้ที่จะพูดออกมา

กู้ชิงหยิ่งหันเหลือบมองเฉินตงด้วยท่าทีประหลาดใจ : “คุณเป็นคนรับปากเองนะ ห้ามเสียใจทีหลังเด็ดขาด”

“ก็ได้”

เฉินตงยิ้มอย่างจนใจ แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา

ภาพที่เห็นทำให้กู้ชิงหยิ่งผงะไป : “คุณจะทำอะไร ?”

“คุณบอกให้ผมซื้อที่นี่ให้คุณไม่ใช่หรือ ?”

เฉินตงค้นหาเบอร์โทรศัพท์ของท่านหลงไปพลาง ตอบกลับไปพลาง : “ดูเหมือนว่าจะไม่เคยให้อะไรคุณเลย ห้างสรรพสินค้านี้ ถือเสียว่ามอบให้คุณเป็นของขวัญก็แล้วกัน ถึงแม้จะดูอวดร่ำอวดรวยไปหน่อย แต่ขอแค่คุณมีความสุข ถึงต้องอวดรวยก็ไม่เป็นไร”

กู้ชิงหยิ่งรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกในทันที

คนโง่นี่……

เมื่อเห็นเฉินตงยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู

เผียะ !

กู้ชิงหยิ่งตบหน้าผากของเฉินตงหนึ่งครั้งด้วยความหงุดหงิด : “คุณบ้าไปแล้วหรือยังไง ? ฉันแค่จะให้คุณซื้อกระเป๋า ซื้อเสื้อผ้าให้ฉัน ไม่ใช่ซื้อห้างสรรพสินค้าแห่งนี้”

“ร้านพวกนั้นนะหรือ ?” เฉินตงคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ผมจะให้ท่านหลงกับคุนหลุนมาช่วยตรวจนับแล้วเหมากลับไปให้หมด”

กู้ชิงหยิ่งกระทืบเท้าด้วยความโมโห : “มีเงินแล้วคิดจะทำอะไรก็ได้อย่างนั้นหรือ ? ตามฉันมา เจ้าคนโง่ !”

ขณะที่พูด เธอก็จูงมือของเฉินตง แล้วเดินเข้าไปในห้างสรรพสินค้าอย่างรวดเร็ว

เดิมทีเฉินตงคิดว่าการเดินเล่นเป็นเพื่อนกู้ชิงหยิ่งหนึ่งวัน ต่อให้ต้องเหนื่อยสักหน่อยก็มีความสุขมากอยู่ดี

เพราะอย่างไรเสีย ประสบการณ์ในการเดินเล่นเป็นเพื่อนผู้หญิง เขาเองก็ต้องประสบพบเจอมาตลอดสามปี ในขณะที่ใช้ชีวิตร่วมกับหวางหนันหนัน

แต่ทว่า หลังจากเดินเป็นเพื่อนไปได้เพียงแค่ครึ่งชั่วโมง เฉินตงก็รู้สึกหมดเรี่ยวหมดแรงเสียแล้ว

แต่เมื่อเห็นท่าทีที่ดูร่าเริงและมีความสุขของกู้ชิงหยิ่ง เฉินตงก็กัดฟันและพยายามเดินต่อไป

ยอมทุกอย่างเพื่อที่จะให้ภรรยามีความสุข

เดินเป็นเพื่อนกู้ชิงหยิ่งไปทีละชั้นๆ และทีละร้านๆ

ราวกับเป็นการทำความสะอาดที่ครบทุกซอกทุกมุมจริงๆ

เฉินตงเองก็กลายเป็นเหมือนพนักงานขนย้าย เดินตามหลังกู้ชิงหยิ่งมาโดยมีของทั้งถุงเล็กถุงใหญ่อยู่ในมือ และทำท่าทางเหมือนกลไกอัตโนมัติซ้ำไปซ้ำมา

ชอบ ?

รูดบัตร !

ร้านต่อไป !

สองชั่วโมงต่อมา

เฉินตงไม่อาจทนฝืนได้อีกแล้ว เขาให้กู้ชิงหยิ่งเดินเข้าไปในร้านค้าด้วยตัวเอง ส่วนเขาก็นั่งพักผ่อนอยู่ที่เก้าอี้ด้านนอกทางเดิน

เฉินตงวางผลงานของกู้ชิงหยิ่งลง จากนั้นจึงเช็ดเหงื่อที่ไหลอาบหน้าผาก แล้วหายใจอย่างเหนื่อยหอบ

ส่วนอีกทางด้านหนึ่ง มีผู้ชายกำลังอุ้มลูกสุนัขด้วยความเป็นห่วง เพราะมันกำลังน้ำลายฟูมปากอยู่

เฉินตงพูดอย่างเป็นกันเอง : “พี่ชาย สุนัขตัวนี้น้ำลายฟูมปากแล้ว ต้องรีบพาไปส่งโรงพยาบาลสัตว์”

“ไม่เป็นไร”

ชายที่นั่งอยู่ด้านข้างคนนั้น โบกมืออย่างไม่แยแสนัก ราวกับว่านี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นปกติ แล้วพูดว่า : “น้องชายอายุยังน้อย เลยยังไม่เข้าใจ สุนัขของฉันเดินเล่นเป็นเพื่อนภรรยาฉันจนเหนื่อย อีกเดี๋ยวมันก็คงจะหายดี”

เฉินตง : “……”

เขารู้สึกตกใจมาก

จากนั้นจึงหันมองสุนัขที่น้ำลายฟูมปากด้วยแววตาที่ลึกซึ้ง

ผู้หญิง……ร้ายกาจจริงๆ !

ภายในห้องนอน แสงไฟสลัวๆ

มีเพียงแค่โคมไฟตรงหัวเตียงเท่านั้น ที่ส่องแสงสลัวๆ อยู่

กู้ชิงหยิ่งยังคงนั่งพิงอยู่ที่หัวเตียง ใบหน้าที่อ่อนล้าและซีดเซียวของเธอ กลับไม่เผยให้เห็นความง่วงเลยแม้แต่น้อย ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยเส้นเลือดสีแดง

ท่าทีที่ดูหงอยเหงา โศกเศร้า จนทำให้รู้สึกสงสาร

อันที่จริงแล้ว ตลอดระยะเวลาสามวันมานี้ เธออยู่ในท่าทีเช่นนี้แทบจะทั้งคืน

เธอกำลังข่มอารมณ์ กำลังควบคุมอารมณ์ และกำลังอดกลั้น

เป็นเพราะเธอรู้ดีว่า เมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้น สำหรับเฉินตงแล้ว ถือเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัส

ในเวลาเช่นนี้ หากเธอไม่สามารถอดกลั้นเอาไว้ได้ คงจะทำให้เฉินตงต้องรู้สึกสิ้นหวังเพิ่มขึ้นก็เท่านั้น

หากแม้กระทั่งภรรยาของเขาเองก็ไม่ช่วยเหลือเขา แล้วจะมีใครช่วยเหลือเขาอีก ?

เธอเป็นภรรยาของเฉินตง ด้วยเหตุผลที่มีอยู่ ทำให้เธอรู้ดีว่า ตอนนี้เธอควรจะยืนอยู่ข้างหลังเฉินตงอย่างเงียบๆ และคอยสนับสนุน !

เธอรู้ดีว่าเฉินตงมีทุกวันนี้ได้อย่างไร

ระหว่างทางไม่เพียงแต่ต้องสูญเสียหยาดเหงื่อเท่านั้น แต่ถึงขั้นต้องสูญเสียเลือดเนื้อด้วย

เธอรักเฉินตง ดังนั้นจึงเต็มใจที่จะรอคอยอย่างยากลำบากเป็นเวลาสามปี

ดังนั้นเธอจึงไม่ต้องการที่จะแทงข้างหลังผู้ชายที่ตนเองรัก ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ และทำให้เฉินตงต้องสูญสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง

กู้ชิงหยิ่งทำไม่ลงจริงๆ !

เธอรู้นิสัยของเฉินตงดี แต่เรื่องที่เฉินหยู่เฟยเปิดเผยออกมานั้น มีอานุภาพแข็งแกร่งดุจภูเขา

เธอไม่อยากนึกสงสัย แต่เธอก็เป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่ง และเรื่องที่เกิดขึ้นก็เป็นเรื่องที่อ่อนไหวต่อความรู้สึกเช่นนี้

อารมณ์ที่ขัดแย้งกันไปมา เป็นเหมือนกับดาบแหลมคม ที่ค่อยๆ ทิ่มแทงทุกโสตประสาทของเธอ จนทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมาก

คำสัญญาที่เฉินตงเคยให้ไว้กับเธอ ยังคงดังก้องอยู่ในหู

สิ่งที่เขาพูดในตอนนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นความจริงหรือไม่ ?

ความคิดเช่นนี้ เอาแต่วนเวียนอยู่ในหัวของกู้ชิงหยิ่งไม่หยุด

แอ๊ด !

ประตูเปิดออก

กู้ชิงหยิ่งยังคงนิ่งเฉย

เพราะเธอรู้ดีว่า สองสามวันมานี้ คนที่จะเข้ามาในห้องของเธอ นอกจากฟ่านลู่แล้ว ก็มีเพียงแค่เฉินตงเท่านั้น

อีกทั้งตอนนี้ ฟ่านลู่ไม่มีทางที่จะมาที่ห้องของเธอแน่นอน

“เสี่ยวหยิ่ง……”

เมื่อเห็นกู้ชิงหยิ่งที่นั่งอยู่บนเตียง เฉินตงก็รู้สึกสงสารจับใจ

เขาเดินไปที่เตียงด้วยความรู้สึกผิด แล้วคุกเข่าลงบนพื้น จากนั้นจึงเผยรอยยิ้มอันแสนอบอุ่นออกมา : “ขอบคุณนะ !”

“ฉันไม่เป็นไร คุณไปจัดการธุระของคุณเถอะ” กู้ชิงหยิ่งหันมองเฉินตงแล้วฝืนยิ้มออกมา

แต่ทว่าดวงตาที่เต็มใบด้วยเส้นเลือดสีแดงก่ำ และใบหน้าที่อิดโรย กลับทำให้เฉินตงรู้สึกเจ็บปวดราวกับถูกมีดเชือดเฉือนที่หัวใจ

แต่ไหนแต่ไรมา กู้ชิงหยิ่งงดงามที่สุด !

เป็นเพราะเรื่องนี้ ทำให้เธอต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้

เผียะ !

เฉินตงตบหน้าตัวเองทันที

เป็นการออกแรงอย่างสุดกำลัง

กู้ชิงหยิ่งหน้าถอดสี : “คุณทำอะไร ?”

ในขณะที่กำลังอุทานด้วยความตกใจอยู่นั้น เธอก็รีบยกมือขึ้นมาลูบใบหน้าของเฉินตงเบาๆ

ถึงกระทั่ง รอยนิ้วมือสีแดงก็บวมเป่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

“ขอโทษนะที่หลายวันมานี้ ทำให้คุณต้องทนทุกข์ทรมานมากขนาดนี้” เฉินตงรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก

เขารับปากผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าคนนี้เอาไว้ว่าจะทำให้เธอมีความสุข !

“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไม่เป็นไรจริงๆ” กู้ชิงหยิ่งลูบใบหน้าของเฉินตงด้วยความสงสาร พลางส่ายหัวและพูดออกมา

ทันใดนั้น

เฉินตงก็ยื่นโทรศัพท์ไปให้กู้ชิงหยิ่ง

“พวกเราชนะแล้ว !”

ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น เขาก็ใช้นิ้วโป้งขวาของเขากดเข้าไปในคลิปวิดีโอกล่าวขอโทษของเฉินหยู่เฟย

กู้ชิงหยิ่งเหม่อลอยไปทันที

เธอไม่สนใจติดตามสื่อต่างๆ มาหลายชั่วโมงแล้ว

หลังจากเสียงกล่าวขอโทษของเฉินหยู่เฟยดังขึ้นจากคลิปวิดีโอ

ร่างกายอันบอบบางของกู้ชิงหยิ่งก็สั่นเทา มืออันเรียวงามของเธอที่ลูบอยู่บนใบหน้าของเฉินตงก็ค่อยๆ ร่วงหล่น

เธอรับโทรศัพท์ไป แล้วจ้องมองด้วยดวงตาที่แดงก่ำ

ดวงตาของเธอค่อยๆ เลือนราง มีน้ำตาหยดใสๆ ราวกับคริสทัลไหลรินลงมา

ส่วนร่างกายของเธอก็ยังคงสั่นเทาอยู่เล็กน้อย

หลังจากที่ได้ฟังคำอธิบายจากเฉินหยู่เฟย เกี่ยวกับเรื่องในคืนนั้นทั้งหมดจากคลิปวิดีโอ

ก็มีหยดน้ำตาไหลรินออกมาจากหางตาทั้งสองข้างของกู้ชิงหยิ่ง

ร่างกายของเธอยิ่งสั่นเทามากยิ่งขึ้น

แต่เธอยังคงฝืนดูคลิปวิดีโอจนจบ

ตั้งแต่ต้นจนจบ เฉินตงแอบมองดูอยู่ข้างๆ ตลอดเวลา

เขาไม่รีบร้อน

ก็เพียงแค่ได้รับการให้อภัยจากกู้ชิงหยิ่ง สามารถแก้ปมที่ขมวดอยู่ในใจของเธอได้ ต่อให้ต้องใช้เวลานานกว่านี้ เขาก็ยินดีที่จะรอ

ในที่สุด

คลิปวิดีโอก็จบลง

บรรยากาศภายในห้องกลับไปเงียบสงบเหมือนเดิม

กู้ชิงหยิ่งยังคงไม่ขยับเขยื้อน น้ำตาของเธอไหลรินออกมาอย่างไม่ขาดสาย

เฉินตงหยิบทิชชูขึ้นมา แล้วค่อยๆ ซับน้ำตาให้กับกู้ชิงหยิ่ง พลางพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า : “อันที่จริงแล้ว……”

“ฮือ~”

ยังไม่ทันที่จะได้พูดอะไร จู่ๆ กู้ชิงหยิ่งที่นั่งอยู่ตรงหน้าก็ร้องไห้ฟูมฟายเสียงดังออกมา

ภาพนี้ทำให้เฉินตงตกใจจนนิ่งไป

ยังไม่ทันจะรอให้มีปฏิกิริยาตอบโต้

จู่ๆ กู้ชิงหยิ่งก็โผเข้าไปในอ้อมกอดของเฉินตง แล้วร้องไห้เสียงดังออกมาทันที

“ฮือฮือฮือ……เจ้าคนบ้า เจ้าคนโง่ ฉันรู้อยู่แล้วว่า ฉันรู้อยู่แล้วว่าคุณไม่ใช่คนแบบนั้น ฮือฮือฮือ…… คุณรู้ไหม สองสามวันมานี้ ฉันทุกข์ทรมานใจแค่ไหน ? ฮือฮือฮือ…… คุณรู้ไหม สองสามวันมานี้ฉันแทบจะทรุดลงไปหลายครั้งแล้ว……”

ฟังเสียงร้องดังลั่นของกู้ชิงหยิ่ง

รับรู้ถึงอาการสั่นเทาของร่างกายที่อยู่ในอ้อมแขน

ทำให้ความคิดในหัวของเฉินตงหายไปในทันที

เขารู้สึกเหมือนหัวใจของเขาหลอมละลาย

เขาค่อยๆ กอดกู้ชิงหยิ่ง แล้วใช้มือขวาตบหลังของกู้ชิงหยิ่งเบาๆ

และพูดปลอบโยนด้วยน้ำเสียงอันอบอุ่นว่า : “เอาล่ะ เอาล่ะ ไม่เป็นไรแล้วนะ ทุกอย่างจบลงแล้ว”

เขารู้ดีว่า ภาพของกู้ชิงหยิ่งที่ร้องไห้ฟูมฟายราวกับเด็กที่ปรากฏขึ้นตรงหน้านี้ เป็นผลมาจากอารมณ์ที่ระเบิดออกมาจากการอดทนอดกลั้นเอาไว้จนถึงขีดสุด

มีเพียงแค่การปลดปล่อยอารมณ์ออกมาทั้งหมดเท่านั้น ถึงจะทำให้กู้ชิงหยิ่งรู้สึกผ่อนคลายขึ้นได้

“ฮือฮือฮือ……”

ขณะที่กู้ชิงหยิ่งร้องไห้อยู่นั้น เธอก็กำหมัดทุบที่หน้าอกของเฉินตงไปพลาง

เฉินตงยิ้มออกมาอย่างอบอุ่น เขาพูดปลอบประโลมกู้ชิงหยิ่งไปพลาง และตบหลังของกู้ชิงหยิ่งเบาๆ ไปพลาง โดยไม่ได้สนใจหน้าอกที่ถูกทุบตีอยู่เลย

เวลาค่อยๆ ผ่านไปอย่างช้าๆ

ภายในห้องนอน ก้องกังวานไปด้วยเสียงร้องไห้ของกู้ชิงหยิ่ง

ความเก็บกดและความคับข้องใจตลอดระยะเวลาสามวัน ความชัดเจนที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ทำให้กู้ชิงหยิ่งปลดปล่อยอารมณ์ออกมาหมดสิ้น

เสียงร้องค่อยๆ เบาลง

กู้ชิงหยิ่งค่อยๆ ผลักตัวเองออกจากอ้อมแขนของเฉินตง ดวงตาของเธอแดงก่ำและบวมเป่ง เธอหันมองเสื้อที่เปียกชื้นของเฉินตงด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตา

“ฉันทำคุณเปียกหมดแล้ว”

เฉินตงก้มหน้าลงไปมองเสื้อที่เปียกโชกอยู่ จากนั้นจึงยิ้มแล้วยักไหล่ : “ใช่แล้ว เปียกพอดูเลย”

ใบหน้าอันงดงามของกู้ชิงหยิ่งแดงก่ำ จู่ๆ ก็รู้สึกขึ้นมาทันทีว่าคำพูดนี้ฟังดูคลุมเคเครือเล็กน้อย

เธอรีบแย่งทิชชูที่อยู่ในมือของเฉินตงมา และเช็ดน้ำตาจนแห้งสนิท

“เวลาฉันร้องไห้คงจะน่าเกลียดมากใช่ไหม ? เหมือนกับเด็กขี้แย คุณจะรังเกียจฉันไหม ?”

“สำหรับผมแล้ว คุณเป็นเด็กตัวเล็กๆ ที่จะต้องคอยทะนุถนอมเอาไว้ในมืออยู่ตลอดเวลา”

เฉินตงยิ้มอย่างอ่อนโยน มีภรรยาแบบนี้ จะรู้สึกรังเกียจได้อย่างไร ?

กู้ชิงหยิ่งกลอกตา แล้วพูดตัดพ้อว่า : “ไม่ต้องมาพูดแบบนี้เลย ใครจะไปรู้ว่าคุณจะไม่พูดกับผู้อีกคนอื่นแบบนี้ด้วย”

เฉินตงรีบปฏิญาณตนในทันที : “ผมขอสาบานกับฟ้า ถ้าหากผม……”

ยังไม่ทันจะพูดออกมา

กู้ชิงหยิ่งก็ยกมืออันเรียวงามของเธอขึ้นมาปิดปากเฉินตงเอาไว้ทันที แล้วพูดอย่างจริงจังว่า : “ฉันไม่ต้องการให้คุณสาบาน ฉันแค่อยากรู้ว่า คุณจะไม่ทรยศต่อความรักที่ฉันมีให้ต่อคุณก็พอ”

เฉินตงยิ้มอย่างอ่อนโยน

“รีบนอนเถอะ”

กู้ชิงหยิ่งพูดขึ้นเบาๆ

เฉินตงถอนหายใจยาวหนึ่งครั้ง ในที่สุดทุกอย่างก็จบสิ้นลงเสียที

ไฟดวงเดียวที่เปิดอยู่ถูกปิดลง

ภายในห้องนอนมืดสนิท

อาจเป็นเพราะการปลดปล่อยอารมณ์และการร้องไห้อย่างรุนแรงเมื่อครู่

ทำให้กู้ชิงหยิ่งหลับไปในอ้อมแขนของเฉินตงอย่างรวดเร็ว

เมื่อรับรู้ได้ถึงลมหายใจที่คงที่และผ่อนคลายของกู้ชิงหยิ่งที่อยู่ในอ้อมแขน

เฉินตงก็เผยรอยยิ้มอันแสนหวานออกมาภายใต้ความมืด

เขาค่อยๆ ก้มหน้าลง แล้วบรรจงจูบลงไปที่หน้าผากของกู้ชิงหยิ่ง

“ที่รัก ขอบคุณนะ ชั่วชีวิตนี้จะมีเพียงแค่คุณเท่านั้น”

ดูเหมือนว่าการจูบจะรบกวนการนอนหลับลึกของกู้ชิงหยิ่งเข้า

กู้ชิงหยิ่งส่งเสียงครางออกมาแล้วพลิกตัว จากนั้นจึงมุดหัวเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของเฉินตงเหมือนกับลูกแมวตัวน้อยๆ

เฉินหยู่เฟยน้ำตาไหลริน เธอกัดริมฝีปากสีแดงระเรื่อของเธอ

ความไม่เต็มใจและความคับข้องใจที่รุนแรง ถาโถมเข้ามาราวกับคลื่นลูกใหญ่

เธอไม่ลังเลที่จะใช้ชื่อเสียงของเธอเป็นเครื่องเดิมพัน เพื่อต้องการที่จะโค่นเฉินตงลงให้ได้ในคราวเดียว

จุดประสงค์ก็คือต้องการแก้แค้นแทนคุณย่า และทวงคืนความยุติธรรมให้แก่ตระกูลเฉิน

แน่นอนว่า ความสำเร็จอันยอดเยี่ยมในครั้งนี้ จะเป็นเครื่องต่อรองอย่างดีในการต่อสู้แย่งชิงตำแหน่งเจ้าบ้านของเธอ

แต่เธอกลับคิดไม่ถึงเลยว่า คุณย่าซึ่งรักและเอ็นดูเธอมาโดยตลอด จะพูดคำพูดเช่นนี้ออกมาได้

อาชีพนักแสดงชื่อดังของเธอ พื้นฐานที่เธอรู้สึกภาคภูมิใจในวงการบันเทิง กลับไม่มีค่าในสายตาของคุณย่าเลยแม้แต่น้อย กลับถูกมองเป็นเพียงแค่อาชีพที่ต้อยต่ำเท่านั้น !

และยิ่งไปกว่านั้น เธอคิดไม่ถึงเลยว่า ภายใต้กระแสสังคมที่โจมตีเข้ามาเช่นนี้ เฉินตงยังจะสามารถพลิกสถานการณ์ และกลับมาถือไพ่เหนือกว่าได้

การค้นหาที่เป็นรอยมลทิน เป็นการตั้งใจสาดน้ำสกปรกใส่เธอ แต่เรื่องที่เกี่ยวพันถึงตระกูลเฉิน จะว่าไปมันก็เป็นเรื่องจริง

ทั้งเรื่องที่แต่งขึ้นและเรื่องจริง ประเดประดังเข้ามาที่เธอพร้อมกัน จนยากที่จะต้านทานได้

หน้าตาของตระกูลเฉินยิ่งใหญ่กว่าท้องฟ้า ในเมื่อคุณย่าเป็นคนออกมาห้ามปรามด้วยตนเอง นั่นหมายถึงว่าเธอพ่ายแพ้อย่างราบคาบแล้ว !

“คุณย่าคะ……หนูไม่เต็มใจเลยจริง”

น้ำเสียงสั่นเครือและมีเสียงสะอึกสะอื้น

น้ำเสียงของคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินในสาย ยิ่งฟังดูเย็นชาขึ้นกว่าเก่า

“เธอไม่เต็มใจ ถ้าอย่างนั้นก็ไปทำสิ แต่ถ้าหากยังคงดื้อดึงจนทำให้หน้าตาของตระกูลเฉินต้องเสียหายแล้วล่ะก็ อย่าหาว่าย่าใจร้ายก็แล้วกัน ถึงตอนนั้นอย่าว่าแต่อาชีพนักแสดงเลย แม้แต่ตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกตระกูลเฉินของเธอ ย่าเองก็คงจะต้องยึดคืนกลับมาเช่นกัน !”

“คุณย่า เรื่องนี้เฉินตงเป็นคนทำ เขาเป็นคนทำให้เรื่องเกี่ยวพันไปถึงตระกูลเฉิน แล้วทำไมจะต้องมาเอาผิดกับหนูแบบนี้ด้วย ?”

เฉินหยู่เฟยน้ำตาไหลริน เนื้อตัวสั่นเทา และเธอยังคงไม่ยอมแพ้ : “คุณย่าสนใจหน้าตาของตระกูลเฉินขนาดนี้ แล้วเจ้าบ้านล่ะ ? ในฐานะที่เขาเป็นเจ้าบ้าน เขาก็ควรยิ่งกังวลเรื่องหน้าตาไม่ใช่หรือ ?”

ปัง !

เฉินหยู่เฟย ตอนนี้แม้แต่คำพูดของย่าเธอก็ไม่เชื่อฟังแล้วใช่ไหม ? ถูกตามใจจนเคยตัว เธออย่าลืมสิว่า ความรักที่เธอได้ฉันเป็นคนมอบให้ !”

น้ำเสียงเย็นชาและไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้ตอบโต้แม้แต่น้อย

เฉินหยู่เฟยรู้สึกสิ้นหวังแล้วจริงๆ

เธอพูดอย่างสะอึกสะอื้น : “ได้ค่ะ……หนู หนูรับปากคุณย่า……”

หลังจากวางโทรศัพท์

เฉินหยู่เฟยก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงแล้วปล่อยโฮออกมา

นิสัยของเธอ ประสบการณ์ของเธอ ฐานะของเธอ ตั้งแต่เล็กจนโต ไม่เคยต้องแบกรับความคับข้องใจมากมายเช่นนี้มาก่อน

การทุ่มเทอย่างสุดตัว กลับคิดไม่ถึงเลยว่าจะต้องมาจบลงด้วยวิธีเช่นนี้

เพื่อหน้าตาของตระกูลเฉิน ไม่เพียงแค่เธอต้องยอมรามือเท่านั้น แต่นี่กลับทำให้เธอรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นเครื่องต่อรอง

แต่เมื่อเป็นคำพูดของคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน เธอเองก็ไม่กล้าที่จะไม่เชื่อฟัง เพราะถ้าหากไม่เชื่อฟัง สิ่งที่ต้องสูญเสียคงจะมากกว่านี้ !

เขตวิลล่าเขาเทียนซาน

เฉินตงนั่งเอนกายอยู่บนเก้าอี้ด้วยความอ่อนล้า แล้วใช้มือลูบดั้งจมูกของเขา

เขาไม่สนใจกระแสของสื่อใหญ่ๆ อีกต่อไป

เพราะมันกำลังดำเนินไปในทิศทางที่เขาคาดการณ์เอาไว้แล้ว

เขาไม่สนใจหน้าตาของตระกูลเฉินได้ พ่อก็ยอมที่จะไม่สนใจหน้าตาของตระกูลเฉินเพื่อเขาได้ แต่คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินยังทำไม่ได้ !

คนที่อาศัยอยู่ในตระกูลเฉินมาเกือบร้อยปี คุ้นชินกับการมีหน้ามีหน้าในสังคมของตระกูลมั่งคั่ง จึงเป็นการยากที่จะยอมให้เธอปล่อยวางได้

ในเมื่อปล่อยวางไม่ได้ เช่นนั้นการต่อสู้ครั้งใหญ่ท่ามกลางความคิดเห็นของประชาชนในครั้งนี้ จึงจำต้องยุติลง

หลังจากนี้ ก็ทำได้เพียงแค่รอให้เฉินหยู่เฟยยอมปลดอาวุธลงและยอมมอบตัว

“คุณชาย……ในที่สุดพวกเราก็ชนะแล้ว” ท่านหลงถอนหายใจยาว เขาเองก็คอยจับตามองกระแสของสื่อหลักใหญ่ๆ ทุกสื่ออยู่เช่นเดียวกัน

“ใช่แล้ว ในที่สุดก็ชนะแล้ว”

เฉินตงหลับตาลง และตอบกลับด้วยความโล่งใจ : “ครั้งนี้ ต้องขอบคุณพวกคุณจริงๆ”

ท่านหลงยิ้มอย่างสบายใจ : “ทั้งหมดเป็นเพราะตัวคุณชายเองต่างหาก วิธีการเช่นนี้ แม้แต่นายท่านและกระผมก็คิดไม่ออกมาก่อน”

“นี่มันเป็นวิธีการแบบไหนกันแน่ ถึงได้กล้าที่จะดึงจักรพรรดิลงมาจากหลังม้าเช่นนี้”

เฉินตงหัวเราะแหยๆ

ถึงแม้จะเอาชนะเฉินหยู่เฟยได้ แต่ชื่อเสียงของตัวเขาเองก็ถูกทำลายไปไม่น้อย

แน่นอนว่า นี่ไม่ใช่สิ่งที่เฉินตงให้ความสนใจมากนัก

สิ่งที่เขาใส่ใจจริงๆ ก็คือ ความคิดและความคับข้องใจที่อยู่ในใจของกู้ชิงหยิ่งต่างหาก

คนบนโลกมากมายนับไม่ถ้วน ก็เทียบไม่ได้กับคนคนเดียว

“รอให้เรื่องนี้ยุติลงแล้ว ฉันคงต้องอธิบายให้เสี่ยวหยิ่งฟังอย่างละเอียดสักครั้ง” เฉินตงถอนหายใจเบาๆ “เธอแบกรับความคับข้องใจเอาไว้มากมายขนาดนี้ก็เพื่อฉัน”

เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ

หลังจากนั้นฉินเย่ก็โทรศัพท์เข้ามา น้ำเสียงของเขาผ่อนคลายกว่าช่วงก่อนหน้านี้มาก

แต่ตระกูลจางและตระกูลฉู่ก็ยังไม่ยอมวางมือ

เตรียมที่จะผลัดดันเรื่องนี้ให้เข้าไปอยู่จุดที่ไม่อาจควบคุมได้ เพื่อให้เฉินหยู่เฟยไปอยู่ในจุดที่ไม่อาจลืมตาอ้าปากได้อีก

นี่เป็นสิ่งที่ฉินเย่ต้องการ

เฉินตงเองก็ไม่ได้คัดค้าน ในทางกลับกัน เขาเลือกที่จะสนับสนุน

ตอนที่เฉินหยู่เฟยจัดการกับเขา ก็ไม่เคยคิดที่จะเมตตา

เขาไม่ใช่พระโพธิสัตว์ หากคนอื่นจัดการกับเขา ไม่มีทางที่หลังจากที่เขาตอกกลับเรียบร้อยแล้ว จะหันไปยืนพูดด้วยความสุภาพว่า “ขอให้บรรลุธรรม” จากนั้นจึงเดินจากไปอย่างสงบ

การจัดการกับศัตรู ก็ควรใช้วิธีการที่เหมาะกับการจัดการศัตรู

เฉินหยู่เฟยไม่ได้ตรงไปตรงมาเหมือนกับเฉินเทียนเซิงและเฉินเทียนหย่าง

ตอนนี้หลังจากที่กระแสทุกอย่างกลับตาลปัตรแล้ว เขาต้องการที่จะเห็นเฉินหยู่เฟย ไม่อาจยืนหยัดขึ้นมาได้อีก ซึ่งนี่ถือเป็นเรื่องดี

เพียงแค่ทำลายชื่อเสียงของผู้สืบทอดมรดกคนหนึ่ง ไม่ได้เป็นการฆ่าผู้สืบทอดมรดกเสียหน่อย เรื่องนี้กฎเกณฑ์ของตระกูลเฉินจึงไม่อาจจัดการอะไรกับเขาได้

เมื่อตกกลางคืน

ความคิดเห็นบนโลกอินเทอร์เน็ตที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดก็ขึ้นไปถึงจุดสูงสุด

เรื่องเกี่ยวกับภูมิหลังของเฉินหยู่เฟย ถูกเปิดเผยออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดความโกลาหลขึ้นในหมู่ชาวเน็ตไม่น้อย

ยิ่งไปกว่านั้นคือ ทำให้แฟนคลับที่เคยคลั่งไคล้และจงรักภักดีต่อเฉินหยู่เฟยต้องตกตะลึง

คนที่เคยเป็นต้นแบบที่สร้างแรงบันดาลใจ ตอนนี้กลับพังทลายลง

แต่ทว่า

ความคิดเห็นของประชาชนก็ยังไม่หยุดอยู่เพียงเท่านี้

ภายใต้การชี้นำของตระกูลจางและตระกูลฉู่ซึ่งเป็นผู้ทรงอิทธิพลในวงการบันเทิง และการสร้างแอคเคาท์ปลอมขึ้นมาเพื่อปั่นกระแสในสื่อรายใหญ่ทุกสื่ออย่างไม่ขาดสาย จนเป็นที่มาของกระแสที่ต้องการให้ “เฉินหยู่เฟยลาออกจากวงการบันเทิง”

ตอนที่ข่าวนี้ปรากฏขึ้นบนสื่อรายใหญ่ต่างๆ

เฉินตงก็รู้สึกโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก

เฉินหยู่เฟย……ในที่สุดก็อยู่ในวงการบันเทิงต่อไปไม่ได้อีกแล้ว

“คุณชาย รีบดูเว่ยป๋อเร็วเข้า !”

หลังจากทานอาหารมื้อเย็นเสร็จ ท่านหลงก็วิ่งเข้ามาในห้องทำงานของเฉินตงด้วยความตื่นเต้น

เฉินตงเปิดเว่ยป๋อดู ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยทันที

การค้นหายอดนิยมเกี่ยวกับภูมิหลังของเฉินหยู่เฟย ไม่รู้ว่าตกลงไปอยู่ในอันดับสองตั้งแต่เมื่อไหร่

และหัวข้อที่ขึ้นมาแทนที่ก็คือ เฉินหยู่เฟยกล่าวขอโทษ !

เขากดเข้าไปดู

ในการค้นหายอดนิยมไม่เพียงแต่จะมีเนื้อหาและภาพประกอบเท่านั้น แต่ยังมีคลิปวิดีโอที่เฉินหยู่เฟยเป็นคนถ่ายด้วยตนเองอีกด้วย

อีกทั้งเนื้อหาในคลิปวิดีโอ ทำให้เฉินตงรู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมาก

ตลอดทั้งคลิปวิดีโอ เฉินหยู่เฟยกล่าวขอโทษด้วยน้ำตา ไม่เพียงแค่อธิบายว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้นเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิดเท่านั้น แต่ยังมีการประกาศทั้งน้ำตาด้วยว่าจะลาออกจากวงการบันเทิงไปตลอดกาล”

การลาออกจากวงการบันเทิง เป็นสิ่งที่เฉินตงคาดการณ์เอาไว้แล้ว และเป็นผลลัพธ์ที่เขาต้องการให้เกิดขึ้น

แต่การที่เฉินหยู่เฟยออกมาประกาศต่อสาธารณชนว่า เรื่องในคืนนั้นเป็นเรื่องเข้าใจผิด ถือเป็นการช่วยล้างมลทินให้เขาทั้งหมดโดยไม่ต้องสงสัย

ในที่สุด คนที่เป็น “ผู้เสียหาย” ของเรื่องนี้ ก็ออกมาพูดด้วยตัวเอง !

บนโลกอินเทอร์เน็ต แม้ว่าจะมีผู้ไม่หวังดี แต่ก็ไม่อาจจะหาประโยชน์จากเรื่องนี้ได้อีกแล้ว

“เฮ้อ……”

เฉินตงถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา แล้วเด้งตัวลุกขึ้น จากนั้นจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วเดินออกจากห้องหนังสือไป

“คุณชาย จะไปไหนหรือครับ ?”

ท่านหลงผงะไปชั่วขณะ เขาบอกข่าวเรื่องนี้กับเฉินตง เพื่อให้เฉินตงรู้สึกยินดี

แต่ท่าทางร้อนรนของเฉินตงในตอนนี้ มองไม่ออกเลยว่ารู้สึกยินดี

“ฉันจะไปอธิบายให้เสี่ยวหยิ่งฟัง หากมีคลิปวิดีโอนี้ จะต้องทำให้เธอสามารถคลายปมในใจได้แน่นอน”

เฉินตงดีใจเหมือนเด็กๆ เขาบิดขี้เกียจด้วยความอ่อนล้า : “ในที่สุดคืนนี้ก็นอนหลับสนิทได้เสียที ไม่ต้องนอนที่โซฟาอีกแล้ว

เป็นคำพูดที่เสียงดังฟังชัด

ทุกถ้อยคำ ทุกประโยค ฉาบไปด้วยความเย็นชาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

“ขอบคุณครับพ่อ”

เฉินตงแสดงความขอบคุณอย่างจริงใจ

หน้าตาและชื่อเสียง สำหรับตระกูลที่ร่ำรวยแล้วนั้น เป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่าชีวิตเสียอีก

ไม่ว่าจะเป็นตระกูลหลี่แห่งเมืองหลวง หรือแม้แต่ตระกูลฉินแห่งซีสู่ ล้วนแล้วแต่เป็นเช่นนี้ทั้งสิ้น

เพื่อหน้าตาและชื่อเสียงแล้ว ถึงขึ้นยอมเหยียบย่ำชีวิตของคน และเห็นชีวิตของคนไร้ค่าเหมือนผักเหมือนปลา

แต่พ่อ ในฐานะที่เป็นถึงเจ้าบ้านตระกูลเฉิน การที่เขาสามารถเอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกมาได้ นั่นหมายถึงเขายอมเอาตัวเอง ออกมาอยู่นอกเหนือขอบเขตของความเป็นเจ้าบ้านตระกูลมั่งคั่งเรียบรอบแล้ว

คำสัญญาของพ่อประโยคนี้ ทำให้เขามีหนทางที่จะจัดการกับเรื่องนี้ได้มากขึ้น

หลังจากวางสายโทรศัพท์แล้ว

เฉินตงก็ต่อสายโทรศัพท์หาฉินเย่ทันที

เขาแสยะยิ้ม “เจ้าสัตว์ร้าย ดำเนินการตามแผนบีได้เลย”

“ว้าว ! นายนี่มันสุดยอดจริงๆ สามารถจัดการเรื่องนี้ได้ด้วย ?” เสียงของฉินเย่ที่ดังอยู่ในสายเต็มไปด้วยความยินดีปรีดา

เฉินตงยิ้มออกมาอย่างเบิกบาน : “รีบไปจัดการเร็วเข้า วันนี้มาทำให้เรื่องไร้สาระนี่จบลงเสียที ถึงเวลาที่เฉินหยู่เฟยควรจะชดใช้แล้ว !”

เมื่อเห็นเฉินตงวางโทรศัพท์ลง

ในที่สุดท่านหลงก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากพูดขึ้นมา : “คุณชาย ต้องทำเช่นนี้จริงๆ หรือครับ ?”

ในฐานะที่เป็นคนรับใช้ของตระกูลเฉิน และเป็นคนสนิทของนายท่าน

ท่านหลงรู้ดีว่า เป็นเพราะนายท่านรู้สึกผิด กับการทอดทิ้งคุณชายให้เติบโตขึ้นตามยถากรรมมานานกว่ายี่สิบปี ประกอบการการตายของหลี่หลานที่เกิดขึ้นตามมา ทำให้ความรู้ผิดยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ จึงพยายามตามใจแทบทุกอย่างจนเกินไป

ถึงแม้เรื่องนี้นายท่านจะไม่ได้ใส่ใจ แต่ตัวเขาจำเป็นที่จะต้องพูดเพื่อเตือนสติ

“ท่านหลง……”

เฉินตงลูบจมูก แล้วพูดออกมาอย่างเฉยเมยว่า : “ตอนที่เฉินหยู่เฟยจัดการกับผม ก็ไม่เคยย้อนถามตัวเองว่าต้องทำเช่นนี้จริงๆ หรือไม่นี่”

ท่านหลงยิ้ม : “กระผมก็เพียงแต่อยากจะพูดเตือนเท่านั้น ในเมื่อคุณชายต้องการจะทำ ก็ทำเถอะครับ”

เฉินตงยิ้ม มือขวาของเขาวางลงบนเมาส์ แล้วกดรีเฟรชอีกครั้ง

ละครฉากใหญ่ในครั้งนี้ กำลังจะเปิดการแสดงแล้ว

คำพูดของผู้คน สามารถฆ่าคนได้จริงๆ

กระแสสังคมที่ถาโถมเข้ามา ไม่มีใครสามารถต้านทานได้

ดาบเล่มนี้ สามารถใช้ป้องกันตนเองจากการถูกทำร้ายได้ แต่ก็สามารถย้อนกลับมาทำร้ายตนเองได้เช่นกัน !

คงต้องคอยดูว่า หลังจากกระแสน้ำที่เชี่ยวกรากผ่านพ้นไป ใครจะเป็นคนสามารถคว้าดาบเล่มนี้เอาไว้ได้

เมืองหลวง

โรงแรมซ่างเต่า

สถานที่ที่มีทิวทัศน์ธรรมชาติอันงดงามราวกับบทกวี และเต็มไปด้วยห้องพักที่หรูหรา

ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยข้าวของที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น ทั้งหนังสือที่ถูกฉีกออกและเศษกระดาษ รวมไปถึงเศษแก้วที่แตกแล้ว

แม้แต่โทรทัศน์และห้องชมภาพยนตร์ที่โรงแรมจัดเตรียมเอาไว้ให้ ก็เต็มไปด้วยกลิ่นควันลอยคละคลุ้ง

หลังจากที่เธอระบายอารมณ์เรียบร้อยแล้ว เฉินหยู่เฟยก็นึกถึงที่พึ่งสุดท้ายขึ้นมาได้

เธอพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ แล้วกดต่อสายโทรศัพท์ด้วยดวงตาที่แดงก่ำ

ทันทีที่ต่อสายติด

ความอัดอั้นตันใจทั้งหมดที่มี ก็พรั่งพรูออกมาราวกับประตูระบายน้ำที่ถูกเปิดออกทันที

น้ำตาที่เธอพยายามฝืนกลั้นเอาไว้ ก็ไหลรินลงมาเช่นกัน

“คุณย่า……ครั้งนี้จะต้องช่วยหนูนะคะ ไอ้เฉินตงนั่น มันไม่ใช่คน มันรังแกหนู……ฮือฮือฮือ……”

“มันไม่เพียงแต่รังแกหนู ตอนนี้มันพยายามเล่นงานหนูกลับ ใส่ร้ายป้ายสี หาว่าหนูใช้วิธีสกปรกเพื่อไต่เต้าไปอยู่ในจุดที่สูงขึ้น ซ้ำยังหาว่าหนูเป็นเด็กนั่งดริงก์ มิหนำซ้ำยัง……”

ร้องห่มร้องไห้ออกมาด้วยความขมขื่น

แต่พูดไปได้เพียงครึ่งเดียว

เสียงถอนหายใจของคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินดังออกมาจากปลายสาย : “เฟยเอ๋อ เรื่องนี้ ย่าว่าเธอยอมรามือแค่นี้เถอะ”

เปรี้ยง !

เฉินหยู่เฟยรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า ใบหน้าอันงดงามที่เปื้อนคราบน้ำตาของเธอ เต็มไปด้วยความตื่นตะลึง

“คุณย่า คุณ คุณย่าพูดว่าอะไรนะคะ ?”

น้ำเสียงของคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินโศกเศร้ากว่าปกติ และฟังดูไร้ซึ่งเรี่ยวแรง : “ย่าก็อยากจะช่วยเธอ ย่าเองก็คอยช่วยเหลือเธอมาตลอด เธอเองก็รู้ดีว่า ตั้งแต่ที่เธอตัดสินใจที่จะแก้แค้นแทนย่า ย่าก็คอยช่วยเหลือเธอมาโดยตลอด แม้แต่ตอนที่เธอจัดการกับเฉินตง ย่าเองก็พยายามขัดขวางเจ้าบ้านเพื่อเธอ”

“แต่ตอนนี้ ยอมรามือเสียเถอะ เรื่องนี้ควรจะหยุดไว้แค่นี้”

เฉินหยู่เฟยแทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ใบหน้าอันงดงามของเธอแปดเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาและความตกใจ

ความคับข้องใจทั้งหมด ความรู้สึกไม่เต็มใจทั้งหมด ทำให้เธอแทบทรุดเมื่อได้ยินสิ่งที่ย่าพูดออกมาในตอนนี้

คุณย่ารักใคร่เอ็นดูฉันมากที่สุดมาโดยตลอดไม่ใช่หรือ ?

แล้วทำไมตอนนี้ถึงเป็นเช่นนี้ไปได้ ?

“เพราะอะไร ? เพราะอะไรคุณย่าถึงต้องให้หนูยอมรามือตอนนี้ ?”

เฉินหยู่เฟยถามกลับเสียงดัง : “คุณย่าเกลียดลูกสวะนั่นมากที่สุด ทุกคนในบ้านเองก็เกลียดลูกสวะกันหมด เป็นแค่ลูกสวะ มีสิทธิ์อะไรมาครอบครองตำแหน่งผู้สืบทอดมรดก มีสิทธิ์อะไรมาแย่งชิงตำแหน่งเจ้าบ้าน มีสิทธิ์อะไรที่อีกาอย่างมันจะเปลี่ยนตัวเองให้กลายไปเป็นหงส์ได้ ?”

“เฟยเอ๋อกำลังพยายามช่วยคุณย่าแก้แค้นอยู่ และกำลังพยายามทวงคืนความยุติธรรมให้กับทุกคนในบ้าน !”

“เฉินหยู่เฟย ! เธอเป็นคนดื้อรั้น ย่ารู้ดีว่า ตำแหน่งเจ้าบ้านตระกูลเฉิน อย่างไรเสียก็ต้องมาจากการต่อสู้แข่งขันของพวกหัวกะทิในรุ่นของพวกเธอแน่นอน ส่วนไอ้เฉินตงนั่น มันไม่มีค่าอะไรเลยด้วยซ้ำ”

ในสาย คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินดุเธออย่างรุนแรง จนเสียงของเฉินหยู่เฟยหยุดชะงักลง

จากนั้น คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินก็ถอนหายใจออกมาเสียงดัง : “แต่ในฐานะที่เธอเป็นลูกหลานของตระกูลเฉิน ก็ควรที่จะคิดถึงหน้าตาของตระกูลเฉินเป็นสำคัญ ตอนนี้เรื่องเกี่ยวพันมาถึงตระกูลเฉินที่อยู่เบื้องหลังเธอแล้ว ถ้าหากยังไม่ยอมรามือแล้วล่ะก็ เธอจะยอมปล่อยให้ตระกูลเฉินต้องกลายเป็นตัวตลกไปหรืออย่างไร ?”

อะไรนะ ? !

เฉินหยู่เฟยตกตะลึง มีคลื่นลูกใหญ่ถาโถมอยู่ในใจของเธอ

หรือว่า……

ในขณะที่กำลังตื่นตระหนกอยู่นั้น เฉินหยู่เฟยก็รีบสลับการเชื่อมต่อ แล้วกดเข้าไปในเว่ยป๋อทันที

เมื่อครู่เธอกำลังอยู่ในอารมณ์โกรธ และกำลังทำลายข้าวของเพื่อระบายอารมณ์อยู่ จนกระทั่งลืมสนใจเรื่องบนเว่ยป๋อไปเสียสนิท

เป็นเพราะเธอรู้ดีว่า ไม่ว่าจะเป็นในเว่ยป๋อ หรือในสื่อหลักอื่นๆ เรื่องทั้งหมดกำลังดำเนินไปสู่เส้นทางที่ทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นแล้ว

เธอคาดการณ์เอาไว้ล่วงหน้าแล้ว

แต่ทว่า คำพูดของคุณย่าในตอนนี้ แสดงให้เห็นถึงเป้าหมายอื่นที่ชัดเจนยิ่งขึ้น

ตอนที่รายการค้นหายอดนิยมปรากฏขึ้นต่อหน้า การค้นหายอดนิยมเกี่ยวกับเฉินหยู่เฟยหัวข้อนั้น ก็ได้ก้าวขึ้นไปสู่อันดับหนึ่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

สิ่งนี้ทำให้เฉินหยู่เฟยใจเต้นอย่างรุนแรง

ส่วนการค้นหายอดนิยมเกี่ยวกับเฉินตงและกู้ชิงหยิ่ง กลับตกไปอยู่ในอันดับที่สองและสาม

ภาพที่ปรากฏนี้ ทำให้การคาดการณ์ล่วงหน้าของเธอ เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบ

แต่ทว่าการค้นหาที่เพิ่งปรากฏขึ้นมาใหม่ กลับทำให้ใบหน้าของเฉินหยู่เฟยซีดเผือด

【ช็อก ! ดาราดังเฉินหยู่เฟยมีเบื้องหลังที่น่ากลัว !】

นิ้วมือที่สั่นเทากดเข้าไปดู

มีเนื้อหาที่ละเอียดยิบอธิบายเอาไว้อย่างชัดเจน

เมื่อกวาดสายตาดู เฉินหยู่เฟยก็ต้องรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน

เพราะเนื้อหาของบทความนี้ เกี่ยวพันถึงตระกูลเฉิน !

ใช้วิธีบรรยายอย่างต่อเนื่องเป็นฉากๆ มาบรรยายเส้นทางของเธอตั้งแต่ตอนที่เธอเริ่มเดบิวต์ จนกระทั่งกลายมาเป็นดาราดังที่มีชื่อเสียงภายในระยะเวลาหนึ่งปี

และในขณะเดียวกัน ก็มีการกล่าวอ้างอยู่หลายครั้งถึง……ตระกูลเฉิน !

ทุกๆ ประโยค เป็นเหมือนกับระเบิด ที่พร้อมจะโยนใส่เฉินหยู่เฟยให้เกิดการระเบิดอย่างรุนแรง

ในที่สุดเธอก็เข้าใจแล้วว่า เพราะอะไรคุณย่าถึงได้เย็นชาขึ้นอย่างกะทันหันเช่นนี้ มิหนำซ้ำยังบังคับให้เธอต้องยอมรามือ

เมื่อเรื่องเกี่ยวพันถึงตระกูลเฉิน หากไม่ยอมรามือแล้วล่ะก็ ตระกูลเฉินจะต้องถูกจับจ้องจากสาธารณชนอย่างแน่นอน

และเมื่อถึงเวลานั้น ความแค้นระหว่างเธอและเฉินตง คงจะลุกลามบานปลายไปถึงตระกูลเฉินอย่างแน่นอน

เพื่อหน้าตาของตระกูลเฉินแล้ว จะให้เรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด !

“คุณย่าค่ะ เรื่องนี้พวกเขาตั้งใจที่จะใส่ร้ายหนู ตั้งใจที่จะใส่ร้ายตระกูลเฉิน คุณย่ามองไม่ออกเลยหรือคะ ?”

เฉินหยู่เฟยพูดทั้งน้ำตา : “หนูไม่ยอม หนูทุ่มสุดตัวแล้ว ถ้าหากยอมรามือตอนนี้ หนูคงต้องพ่ายแพ้ให้กับเฉินตงอย่างราบคาบ แม้กระทั่งทุกสิ่งทุกอย่างที่หนูมีอยู่ตอนนี้ ก็ต้องสูญสิ้นไปหมด !”

ปัง !

มีเสียงตบโต๊ะดังขึ้นมาจากปลายสายทันที

“เฉินหยู่เฟย นี่เธอสูญสิ้นจิตสำนึกไปแล้วหรืออย่างไร ?”

คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินดุด้วยความโมโห : “อาชีพนักแสดงชื่อดังของเธอ ก็เป็นเพียงแค่การแสดงเท่านั้น ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน อาชีพนักแสดงเป็นอาชีพที่ต้อยต่ำ เธอคิดว่าจะเป็นหน้าเป็นตาให้ตระกูลเฉินได้จริงหรือ ?”

“ปกติแล้ว เธอซึ่งอยู่ในฐานะผู้สืบทอดมรดก คิดอยากจะเป็นนักแสดง ย่าเองก็ไม่ได้ตำหนิเธอ มิหนำซ้ำยังตอบสนองความต้องการของเธอด้วย แต่ในเมื่อเกี่ยวพันมาถึงตระกูลเฉิน เธอคิดว่าอาชีพนักแสดงของเธอ สำคัญกว่าหน้าตาของตระกูลเฉินอย่างนั้นหรือ ?”

เฉินหยู่เฟยโกรธจนแทบจะระเบิดแล้ว

การค้นหายอดนิยมที่ปรากฏขึ้นมาใหม่ตรงหน้า เห็นได้ชัดว่าเป็นการจงใจใส่ร้าย ต้องการที่จะสาดน้ำสกปรกมาใส่ตัวเธอ

เรื่องทั้งหมดที่เขียนอยู่ในเนื้อหา เธอไม่เคยทำมาก่อน และไม่จำเป็นที่จะต้องทำด้วย

ข่าวปรากฏขึ้นในช่วงเวลาเช่นนี้ นอกจากเฉินตงแล้ว เฉินหยู่เฟยคิดไม่ออกเลยจริงๆ ว่า จะมีใครที่สามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้อีก

เหตุผลที่มีอยู่ ทำให้เธอรู้ได้อย่างชัดเจน

ถ้าปล่อยให้หัวข้อนี้ถูกกล่าวถึงต่อไปเรื่อยๆ ถึงเวลานั้น เธอคงจะต้องพังพินาศไปพร้อมกับเฉินตงจริงๆ

ไม่สิ อาจถึงขั้นทำให้เธอต้องพ่ายแพ้อย่างยับเยิน แต่กลับเป็นการสร้างโอกาสรอดให้กับเฉินตงแทนก็ได้

ตอนนี้ชื่อเสียงของเฉินตงในโลกอินเทอร์เน็ตถูกทำลายจนไม่เหลือชิ้นดีแล้ว

แต่ถ้าหากเธอที่อยู่ในฐานะ “ผู้เสียหาย” ฉาวโฉ่กว่าเฉินตงล่ะ ?

เมื่อไหร่ก็ตามที่กระแสของความคิดเห็นเปลี่ยนทิศทาง เช่นนั้นเรื่องน่าอัปยศอดสูที่เธอถูกเฉินตงจัดฉากขึ้นมา ก็จะกลายเป็นเรื่องที่ได้รับความสนใจขึ้นมาทันที

การพูดต่อกันไปเรื่อยๆ ของคน เพียงพอที่จะฆ่าคนคนหนึ่งได้

ผลลัพธ์ในตอนท้าย ก็คงหนีไม่พ้นการที่เธอต้องตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก และชื่อเสียงก็ต้องถูกทำลายลงในเวลาเดียวกัน อาจถึงขั้นต้องสูญเสียพื้นที่ที่จะยืนอยู่ในวงการบันเทิงได้อีกต่อไป

เฉินหยู่เฟยเข้าสู่วงการบันเทิงด้วยสิทธิ์ของผู้สืบทอดมรดกตระกูลเฉิน โดยหวังว่าจะนำพื้นฐานตรงส่วนนี้ อาศัยความคลั่งไคล้ของแฟนคลับและความคิดเห็นของประชาชน มาใช้เป็นดาบแหลมคมที่จะชี้ไปยังตำแหน่งเจ้าบ้านตระกูลเฉิน

ประชาสัมพันธ์ !

ลบการค้นหายอดนิยม !

เฉินหยู่เฟยรีบต่อสายโทรศัพท์ทันที

ทันทีที่โทรติด เธอก็กรีดร้องเสียงดังขึ้นมาทันที : “พวกแกมัวแต่ทำอะไรกันอยู่ ? ทำไมถึงปล่อยให้การค้นหายอดนิยมเช่นนี้หลุดออกมาได้ ? ลบมันออกเดี๋ยวนี้ ฉันไม่สนว่าพวกแกจะใช้วิธีไหน ยังไงก็จะต้องลบมันออกให้ฉันเดี๋ยวนี้ !”

หลังจากวางสายโทรศัพท์ ใบหน้าอันงดงามของเฉินหยู่เฟยก็ดูเคร่งขรึม แววตาของเธอมืดหม่น

ตราบใดที่สามารถลบการค้นหายอดนิยมออกได้ ก่อนที่ความคิดเห็นของประชาชนจะลุกลามบานปลาย เช่นนั้นเธอก็ยังคงยืนอยู่ในฐานะของผู้ชนะอยู่

“เฉินตง แกคิดที่จะลากฉันให้พังพินาศไปพร้อมกับแกอย่างนั้นหรือ ? ฉันมีหลักฐานของจริงอยู่ในมือ แกคิดจริงๆ หรือว่าการสร้างเรื่องโคมลอยเช่นนี้ขึ้นมา เพียงพอที่จะลากฉันให้พังพินาศไปพร้อมกับแกได้ ?”

เฉินหยู่เฟยแสยะยิ้มออกมา เบื้องหลังของเธอมีทีมงานมืออาชีพระดับสูงที่ได้รับการว่าจ้างจากตระกูลเฉินให้มาอยู่ช่วยเหลือเธอ อีกทั้งยังมีความสามารถในการประชาสัมพันธ์ในภาวะวิกฤติอยู่ในระดับสูงอีกด้วย

ดังนั้นเธอจึงเชื่อว่าการค้นหายอดนิยมที่เพิ่งปรากฏขึ้น จะหายไปในไม่ช้า

ถึงเวลานั้น ก็แค่เพิ่มแรงกระตุ้นเข้าไปอีกนิดหน่อย ก็เพียงพอที่จะเหยียบเฉินตงให้จมดินได้ !

เวลาค่อยๆ ผ่านไปอย่างช้าๆ

อารมณ์ของเฉินหยู่เฟยค่อยๆ กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง

แต่หลังจากที่ได้รับโทรศัพท์สายหนึ่ง ร่างกายของเธอก็แทบจะระเบิดออกด้วยความโมโหในทันที

“ประธานเฉิน ลบไม่ได้ครับ !”

ในสายโทรศัพท์ ผู้ใต้บังคับบัญชาพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ พูดออกมาง่ายๆ เพียงแค่ไม่กี่คำ

แต่กลับเป็นเหมือนเสียงระฆังยักษ์ดังลั่น ที่สั่นสะเทือนจนเฉินหยู่เฟยรู้สึกหูอื้อ

ลบไม่ได้ ?

ล้อเล่นอะไรกัน ?

“แกคิดว่าเรื่องแบบนี้มันตลกนักรึไง ?” เฉินหยู่เฟยกัดฟันกรอด

ภายใต้การหนุนหลังของตระกูลเฉิน และความช่วยเหลือของทีมงานที่อยู่เบื้องหลังของเธอ ทำให้เธอก้าวขึ้นมาเป็นคนดังระดับแถวหน้าของวงการได้ภายในระยะเวลาเพียงแค่หนึ่งปี การค้นหายอดนิยมบนเว่ยป๋อ กลายเป็นเหมือนพื้นที่ส่วนตัวของเธอ

แต่ทว่าตอนนี้ เธอกลับล้มไม่เป็นท่าในพื้นที่ของเธอเอง ?

“ประ ประธานเฉิน ไม่สามารถลบได้จริงๆ ครับ !”

เสียงในสายโทรศัพท์ฟังดูหวาดกลัวยิ่งขึ้น

“บัดซบ ! ทำไมถึงลบไม่ได้ ? ฉันจ่ายเงินเลี้ยงดูพวกแกปีละเป็นสิบล้าน ตอนนี้พวกแกกลับทำตัวไร้ประโยชน์เช่นนี้นะหรือ ?” เฉินหยู่เฟยโกรธจนถึงขีดสุด ถ้าหากไม่รีบลบการค้นหายอดนิยมออกโดยเร็วที่สุด ฝันรายที่เธอคาดการณ์เอาไว้ จะต้องมาถึงอย่างรวดเร็วแน่นอน !

“การค้นหายอดนิยมหัวข้อนั้น ตระกูลจางและตระกูลฉู่ร่วมมือกันปล่อยออกมาครับ !” น้ำเสียงในสายแสดงออกถึงความสิ้นหวัง : “คุณก็รู้ถึงอิทธิพลของตระกูลจางและตระกูลฉู่ในวงการบันเทิงดี ตระกูลหนึ่งเป็นผู้ทรงอิทธิพล ส่วนอีกตระกูลก็เป็นผู้ทรงอิทธิพลหน้าใหม่ ตอนนี้พวกเขาร่วมมือกันแล้ว !”

เปรี้ยง !

เฉินหยู่เฟยรู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่า ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก

เสียงที่ดังออกมาจากปลายสาย ดูราวกับว่าแค่นี้ยังน้อยเกินไป

จึงได้พูดเสริมขึ้นมาอีกหนึ่งประโยคว่า

“ถ้าหากใช้อำนาจของตระกูลเฉินในการกดดันตระกูลจางและตระกูลฉู่ การลบการค้นหายอดนิยมย่อมเป็นเรื่องที่ทำได้แน่นอน แต่เมื่อครู่เจ้าบ้านตระกูลเฉินได้ออกคำสั่งด้วยตัวเองว่า เรื่องนี้ห้ามใช้ชื่อของตระกูลเฉินออกหน้าเด็ดขาด !”

ตุ้บ

โทรศัพท์ในมือของเฉินหยู่เฟยร่วงลงสู่พื้น

ปลายสายยังคงส่งเสียง “ฮัลโหล” มาอีกหลายครั้ง แต่เฉินหยู่เฟยก็ไม่ได้สนใจ

หลังจากนั่งนิ่งอยู่พักใหญ่ เฉินหยู่เฟยก็หน้านิ่วคิ้วขมวด สีหน้าเต็มไปด้วยความโมโหอย่างรุนแรง

ใบหน้าอันงดงามของเธอ ยากนักที่จะคิดว่าสามารถแสดงอารมณ์เช่นนี้ออกมาได้

“กรี๊ด ! ไสหัวไป พวกแกมันเป็นพวกไร้ประโยชน์ ไสหัวไปให้พ้น !”

เฉินหยู่เฟยตะโกนกรีดร้องออกมา มือทั้งสองข้างของเธอขยำไปที่ผมจะกระเซอะกระเซิง

จากนั้น เธอก็รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วรีบกดรีเฟรชเว่ยป๋ออีกครั้งด้วยอาการสั่นเทา

ในตารางการค้นหายอดนิยม หัวข้อที่เกี่ยวกับ “รอยมลทิน” ของตนเอง ภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงสิบนาทีกว่าๆ ได้พุ่งทะยานขึ้นไปอยู่ในอันดับที่เจ็ดเรียบร้อยแล้ว !

อีกทั้งเนื้อหาของหัวข้อในตอนนี้ เต็มไปด้วยการแสดงความคิดเห็น

บ้างก็รู้สึกตกใจ บ้างก็ไม่เชื่อ บ้างก็ก่นด่า……

ตอนนี้มีการโต้เถียงของประชาชนเกิดขึ้นในพื้นที่แสดงความคิดเห็น

จบเห่แล้ว !

ใบหน้าของเฉินหยู่เฟยซีดเผือด เธอทรุดตัวลงบนโซฟาอย่างหดหู่

ตระกูลจางและตระกูลฉู่ร่วมมือกัน เจ้าบ้านออกคำสั่งด้วยตัวเอง เห็นได้ชัดว่าเป็นการรุมฆ่าเธอจากทั้งสองทางโดยไม่ต้องสงสัย เป็นการผลักเธอให้ตกนรกในคราวเดียว

ตระกูลเฉินนั้นทรงอิทธิพล คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินเองก็เห็นเธอเป็นเหมือนไข่มุกล้ำค่าที่อยู่ในมือ

แต่นี่ก็ยังไม่พอที่จะกุมทั้งผืนฟ้ามาอยู่ในกำมือได้ !

เขตวิลล่าเขาเทียนซาน

เฉินตงกำลังจ้องมองการไต่อันดับขึ้นอย่างรวดเร็วของหัวข้อด้วยรอยยิ้ม

ถึงแม้ว่ากำลังยิ้มอยู่ แต่บรรยากาศภายในห้องหนังสือ กลับเหน็บหนาวราวกับจุดเยือกแข็ง

ท่านหลงยืนมองด้วยความตกตะลึงจากทางด้านข้าง แล้วพึมพำออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ : “คุณชาย การวางกลอุบายที่ทำลายทางหนีที่ไล่เอาไว้ล่วงหน้าเช่นนี้ คุณคิดออกมาได้อย่างไร ?”

“ตอนที่เสี่ยวหยิ่งออกรับหน้าแทนฉัน ออกรับถ้อยคำต่อว่าด่าทอแทนฉัน ฉันก็คิดได้ในทันที ว่าตัวฉันเองเป็นอะไร ?”

เฉินตงหัวเราะออกมาอย่างอ่อนโยน : “ยอมถอดชุดพรางตัวชุดสุดท้ายของออก แล้วตอกกลับโดยวิธีที่สกปรกยิ่งกว่า มันก็แค่การใส่ร้ายป้ายสีไม่ใช่หรือ ในเมื่อเฉินหยู่เฟยทำได้ ฉันเองก็ทำได้”

ท่านหลงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย และหันไปมองเฉินตงด้วยแววตาที่ลึกซึ้ง

แต่เฉินตงกลับเอาแต่จ้องเขม็งไปที่การค้นหายอดนิยมในเว่ยป๋อที่อยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ ด้วยสายที่ที่เฉียบแหลม

หัวข้อของเขาอยู่ที่การค้นหายอดนิยมอันดับหนึ่ง ด้วยการสนับสนุนของกู้ชิงหยิ่ง ทำให้สถานการณ์ผ่อนคลายลงชั่วคราว และดึงดูดพลังการโจมตีไปได้ไม่น้อย

แต่ทว่าตอนนี้ ด้วยการดำเนินการของตระกูลจางและตระกูลฉู่ ทำให้หัวข้อเกี่ยวกับ “รอยมลทินของเฉินหยู่เฟย” กำลังพุ่งทะยานและไต่อันดับขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

ตาต่อตาฟันต่อฟัน !

ใช้วิธีการของศัตรู กลับไปจัดการกับศัตรู นี่ถึงจะเป็นการตอบแทนที่สาสม

เพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ หัวข้อก็ได้เขยิบขึ้นมาอีกสองอันดับ จนตอนนี้ขึ้นไปอยู่ในลำดับที่ห้าของการค้นหายอดนิยมเรียบร้อยแล้ว

เฉินตงหยิบโทรศัพท์ออกมา จากนั้นจึงต่อสายหาเฉินเต้าหลิน

“พ่อครับ ขอบคุณพ่อมากครับ”

“นี่เป็นความพยายามของตัวลูกเอง พ่อแค่คอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ เท่านั้น”

เสียงของเฉินเต้าหลินในสายโทรศัพท์ยังคงเคร่งขรึม แต่แฝงไปด้วยความรู้สึกโล่งใจเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย : “ตงเอ๋อ ดูเหมือนลูกจะยอดเยี่ยมกว่าที่พ่อคิดเอาไว้เสียอีกนะ”

“เป็นเพราะพ่อมีลูกสะใภ้ที่ยอดเยี่ยมต่างหากครับ !”

เฉินตงยิ้ม หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากกู้ชิงหยิ่ง เขาอาจจะไม่สามารถยืนหยัดมาจนถึงตอนนี้ได้

“ใช่แล้ว เสี่ยวหยิ่งเป็นตัวอย่างที่ดี !”

เฉินเต้าหลินพูดอย่างมั่นใจ และยังพูดต่ออีกว่า : “แต่ตงเอ๋อ ลูกยังคงต้องมีคำอธิบายให้กับเสี่ยวหยิ่ง สำหรับเรื่องนี้ เธอต้องแบกรับความทุกข์ใจเอาไว้มากมายนัก”

“วางใจเถอะครับพ่อ”

จู่ๆ เฉินตงก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา : “พ่อครับ ผมอยากถามความคิดเห็นของพ่อสักหน่อย”

“เรื่องอะไร ?” เฉินเต้าหลินถาม

เฉินตงค่อยๆ หรี่ตาลง และแผ่ซ่านความเย็นชาที่ไม่รู้จบออกมา

“พ่อครับ พ่อสนใจชื่อเสียงของตระกูลเฉินไหมครับ ?”

ทันทีที่ได้ยิน ท่านหลงที่ยืนฟังอยู่ข้างๆ ก็ตัวสั่นทันที ความตกใจปรากฏขึ้นในแววตาของเขา

และเฉินเต้าหลินที่อยู่ในสายเองก็เงียบลงไปด้วยเช่นกัน

ทั้งสองล้วนแล้วแต่เป็นเหมือนมังกรและหงส์ที่อยู่ท่ามกลางฝูงชน และโลดแล่นอยู่ในวงการธุรกิจมานาน เป็นวัยที่มีความคิดรอบคอบและละเอียดอ่อน

คำพูดของเฉินตง ทำให้พวกเขาเกิดความคิดขึ้นหลายอย่าง !

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง

เฉินเต้าหลินก็ค่อยๆ พูดขึ้นว่า : “ตงเอ๋อ ลูกต้องจำเอาไว้นะว่า ลูกเป็นลูกชายของเฉินเต้าหลิน คนที่ดูถูกลูก หลอกลวงลูก ทำร้ายลูก จะต้องถูกเอาคืนเป็นสิบเท่า ! เพื่อเทียบกับลูกแล้ว ชื่อเสียงของตระกูลเฉินจะสำคัญแค่ไหนกัน ?”

ไม่ต้องการคำอธิบาย ก็เลือกที่จะเชื่อใจ

ถึงขั้นออกรับการถูกชี้นิ้วประณามและคำต่อว่าด่าทอต่างๆ แทนเขา

ทุกอย่างที่กู้ชิงหยิ่งทำ ทำให้เฉินตงรู้สึกอบอุ่น และขณะเดียวกันกับที่เขากำลังรู้สึกซาบซึ้งใจ ประกอบกับรู้สึกผิดอยู่นั้น ก็เป็นช่วงเวลาที่ปัดเป่าเมฆหมอกทั้งหมดก่อนหน้าให้สลายหายไป และแปรเปลี่ยนเป็นความตั้งใจแน่วแน่เข้ามาแทนที่

ความรู้สึกที่อ่อนโยนนับพันนับหมื่น ก็ไม่อาจเทียบกับการมีเธออยู่ได้

ตอนนี้เฉินตงเข้าใจอย่างลึกซึ้งเป็นอย่างยิ่ง

“คนโง่ ไปทำสิ่งที่คุณสมควรจะทำเถอะ”

กู้ชิงหยิ่งพูดเบาๆ แล้วยิ้มออกมาเล็กน้อย

หลังกลับออกมาจากห้องของกู้ชิงหยิ่ง

เฉินตงก็เอาแต่เลื่อนเว่ยป๋อดูไม่หยุด ความรู้สึกโกรธแค้นในใจของเขายิ่งเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ

เป็นไปอย่างที่เขาคาดคิดเอาไว้จริงๆ

การสนับสนุนของกู้ชิงหยิ่งกลายเป็นรายการค้นหายอดนิยมที่พุ่งขึ้นสู่อันดับต้นๆ ด้วยความเร็วที่น่ากลัว และสามารถดึงดูดพลังมหาศาลในโลกอินเทอร์เน็ตได้ในทันที

คำพูดต่อว่าด่าทอหลั่งไหลเข้ามาราวกับสายน้ำ

บางความคิดเห็นที่แสดงออกถึงความรู้สึกซาบซึ้ง ก็ถูกต่อว่าด่าทอจนต้องรีบลบความคิดเห็นไปทันที

ภายในเวลาเพียงเสี้ยววินาที มีความคิดเห็นปรากฏขึ้นมาใหม่กว่าสิบข้อความ !

ตอนนี้ทุกความคิดเห็นของประชาชนพุ่งเป้าไปที่เฉินตงอย่างชัดเจน ตลอดสามวันที่ผ่านมาเฉินตงไม่เคยตอบกลับ ยิ่งเป็นการยืนยันถึงเนื้อหาในข่าวที่เกิดขึ้นว่าเป็นความจริง

อีกทั้งการสนับสนุนของกู้ชิงหยิ่งในตอนนี้ ไม่เพียงแต่ไม่ได้รับความเข้าใจเท่านั้น แต่ยิ่งกลับเป็นการดึงดูดให้เกิดคลื่นระลอกใหม่ขึ้น

เนื่องด้วยการชี้นำของเหล่าแฟนคลับผู้คลั่งไคล้ที่สนับสนุนเฉินหยู่เฟย เหตุการณ์ในครั้งนี้จึงกลายเป็นเหมือน “งานรื่นเริง” มีน้อยคนนักที่คิดจะสืบหาต้นตอของเรื่องจริงๆ

ความรุนแรงบนโลกอินเทอร์เน็ตก็เป็นเช่นนี้เอง

ยิ่งไปกว่านั้น เนื้อหาข่าวที่นำเสนอออกมาทุกตัวอักษร ล้วนแล้วแต่มีพลังมหาศาลจนไม่อาจหาคำพูดมาหักล้างได้

สิ่งนี้ยิ่งทำให้ชาวเน็ตไม่คิดที่จะสืบหาต้นตอของเรื่องที่เกิดขึ้น

ในสายตาของพวกเขา การสนับสนุนของกู้ชิงหยิ่ง ถือเป็นการออกมาปกป้องคนใกล้ตัว โดยใช้วิธีการที่โจ่งแจ้งและไร้ยางอายในการปกป้องเฉินตง

“เสี่ยวหยิ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณต้องแบกรับเอาไว้ ผมจะคืนมันกลับไปให้เฉินหยู่เฟยทั้งหมด”

แววตาของเฉินตงเต็มไปด้วยความเกลียดชัง เขาออกจากเว่ยป๋อ แล้วต่อสายโทรศัพท์ไปหาฉินเย่ : “เกิดเรื่องแล้ว ถึงตาที่พวกนายต้องออกโรงแล้ว !”

หลังจากวางสายโทรศัพท์

เฉินตงนั่งลงที่โต๊ะทำงานด้วยท่าทีเคร่งขรึม

ภายในระยะเวลาสามวัน บริษัทใหญ่ที่อยู่ภายใต้การดูแลของเขาทั้งหมดต่างได้รับผลกระทบไม่น้อย

ประตูใหญ่ของไท่ติ่งถูกคนทุบทำลาย

ตัวเขาเองก็ไม่ได้เข้าไปนั่งในบริษัท งานต่างๆ ล้วนแล้วแต่ทำจากที่บ้าน โดยใช้วิธีสั่งการผ่านเสี่ยวหม่าและกูหลังจากทางไกล

ภายใต้บรรยากาศที่เงียบสงัด

มือทั้งสองข้างของเฉินตงกำหมัดเอาไว้แน่น จนเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมาและมีเสียงกระดูกดังกรอบแกรบ

ทันใดนั้นเอง เขาก็แสยะยิ้มมุมปาก เผยให้เห็นรอยยิ้มที่ชั่วร้ายจนทำให้ต้องรู้สึกใจสั่น

ในเวลาเดียวกันนี้

ที่โรงแรมซ่างเต่าในเมืองหลวง

ซึ่งถือเป็นโรงแรมห้าดาวที่หาได้ยาก ถึงแม้จะตั้งอยู่ในเขตเมืองหลวงโบราณ แต่ก็ถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง

แขกทุกคนที่ต้องการเข้าพัก จะต้องผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติอย่างเข้มงวด

ภายในห้องชุดเพรสซิเดนเชียล สวีท

เฉินหยู่เฟยซึ่งอยู่ในเสื้อคลุมนอน กำลังเอนกายอยู่บนโซฟาริมหน้าต่าง พร้อมทั้งแกว่งแก้วไวน์ที่ถืออยู่ในมือ เธอมองเห็นทิวทัศน์ทั้งหมดของเมืองหลวง ผ่านกระจกบานใหญ่ที่สูงจากพื้นจรดเพดาน

เธอล้ำค่า เธอสง่างาม และเธอไร้ซึ่งมลทิน

นี่คือสิ่งที่โลกภายนอกตัดสินเธอ

แต่ทว่าตอนนี้ ขณะที่เธอกำลังแสดงอารมณ์และท่าทางเหล่านี้ออกมา ในเวลาเดียวกัน เฉินหยู่เฟยเองกลับมีท่าทีที่ดูไม่เป็นมิตรกับคนแปลกหน้ามากนัก

ท่อนขาเรียวยาวและขาวนวลเนียนของเธอค่อยๆ งอขึ้นเล็กน้อย ชายของเสื้อคลุมนอนเลื่อนขึ้น เผยให้เห็นน่องที่นวลเนียนดุจหยกของเธอ

คืนนั้นเมื่อสามวันก่อน หลังออกจากโรงแรมไท่ซาน เธอก็มุ่งหน้ากลับมายังเมืองหลวงภายในเวลาชั่วข้ามคืน แล้วเข้าพักที่โรงแรมซ่างเต่า

ภายในระยะเวลาสามวัน เธอพักอยู่ในโรงแรมตลอดเวลาโดยไม่ออกไปไหนเลยแม้เพียงก้าวเดียว

เป็นเพราะเธอรู้ดีว่า โลกภายนอกตอนนี้เกิดความโกลาหลขึ้นแล้ว

จึงไม่เหมาะที่เธอจะปรากฏตัว หากเธอปรากฏตัวขึ้น จะยิ่งเป็นการดึงดูดความสนใจของทุกคน

แน่นอนว่า โดยส่วนมากจะต้องซักถามเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเฉินตงแน่นอน

ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ การตอบของเธอในแต่ละครั้ง อาจเป็นการสร้างโอกาสรอดให้กับพวกของเฉินตง

การหลบซ่อนตัวและไม่มีการตอบสนองใดๆ ถือเป็นวิธีการตอบที่ดีที่สุด

“เฉินตงเอ๋ย เฉินตง แม้กระทั่งชื่อเสียงของตัวเองฉันก็ไม่สนใจแล้ว แล้วแกจะเอาอะไรมาสู้กับฉันได้ ?”

เฉินหยู่เฟยรู้ข้อได้เปรียบของตนเองเป็นอย่างดี เธอสู่วงการบันเทิงก็ด้วยเห็นถึงข้อได้เปรียบข้อนี้ ใบหน้าที่งดงามของเธอ ค่อยๆ เผยรอยยิ้มที่เย็นชาออกมา : “ทุกคนต่างคิดว่าฉันแค่อยากเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงของวงการบันเทิง แต่กลับไม่รู้เลยว่า นี่คือพื้นฐานที่มั่นคงของฉัน และเป็นดาบอันแหลมคมที่ฉันถืออยู่ในมือ !”

“ชื่อเสียงเล็กๆ เมื่อเทียบกับเจ้าบ้านตระกูลเฉินแล้ว ช่างเทียบกันไม่ติดเลย ! สามวันมานี้ เกรงว่าแกคงจะอับอายมากล่ะสิ ? กระแสสังคมระลอกใหญ่ขนาดนี้ รวมไปถึงการถูกชี้นิ้วประณาม คงเพียงพอที่จะทำให้แกตกลงไปในนรกได้ !”

การที่เฉินหยู่เฟยไม่ออกจากโรงแรม ไม่ได้หมายความว่าเธอไม่สนใจติดตามความคิดเห็นต่างๆ

ในความเป็นจริงแล้ว ตลอดระยะเวลาสามวัน สิ่งเดียวที่พอจะเป็นความสุขสำหรับเธอก็คือ การท่องโลกอินเทอร์เน็ตเพื่อชื่นชมความคิดเห็นที่น่ากลัวของผู้คน ซึ่งเป็นผลมาจากน้ำมือของเธอ

สิ่งที่สะสมมาตลอดระยะเวลาสามวัน ทำให้กระแสสังคมในครั้งนี้ ก่อตัวจนถึงจุดที่ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งได้แล้ว !

เฉินหยู่เฟยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาด้วยความเคยชิน นิ้วที่เรียวยาวและนวลเนียนของเธอกดเปิดเว่ยป๋อ

แต่ทว่า หลังจากที่เห็นการค้นหายอดนิยมอันดับหนึ่งมีการเปลี่ยนแปลง ดวงตาคู่งามของเธอก็เผยถึงความตกใจออกมาทันที เกิดความเย็นชาปรากฏขึ้นในแววตาของเธอ

“บัดซบ ! นังกู้ชิงหยิ่งมันบ้าไปแล้วหรือยังไง ? เธอคิดอะไรของเธออยู่กันแน่ ? เฉินตงสวมเขาให้เธอ แต่เธอยังออกมาสนับสนุนเฉินตง ?”

เมื่อกดเข้าไปดูในการค้นหายอดนิยม เฉินหยู่เฟยยิ่งดู ในใจก็ยิ่งรู้สึกโมโห

ความหนาวเหน็บแผ่ซ่านออกมาจากทั่วทั้งตัวของเธอ หางตาของเธอกระตุกเล็กน้อย

พักใหญ่

จู่ๆ เฉินหยู่เฟยก็หัวเราะ “ก๊าก” ออกมา : “นังผู้หญิงหน้าโง่ แกออกรับแทนเฉินตงเช่นนี้ ก็ทำได้แค่ช่วยถ่วงเวลาตายให้กับเขาได้เท่านั้น คิดจริงๆ หรือว่าการสนับสนุนโง่ๆ เช่นนี้ จะสามารถช่วยเหลือเขาได้จริงๆ ?”

เธอดื่มไวน์ที่อยู่ในแก้วจนหมดในคราวเดียว

ท่าทางของเฉินหยู่เฟยดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย

เธอลองกดรีเฟรชเว่ยป๋อใหม่อีกครั้ง แล้วหันไปรินไวน์เพิ่มอีกหนึ่งแก้ว

ในสายตาของเธอ การสนับสนุนของกู้ชิงหยิ่งถือเป็นเรื่องที่โง่เขลาและไร้สาระ แต่กลับยิ่งทำให้ละครเรื่องนี้ดูน่าสนุกขึ้น และนั่นทำให้เธอสมควรที่จะดื่มอีกหนึ่งแก้ว

แต่ทว่า

ในระหว่างที่เฉินหยู่เฟยหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอีกครั้ง

ตัวของเธอก็สั่นอย่างกะทันหันราวกับถูกไฟฟ้าช็อต

แก้วไวน์ที่ถืออยู่หลุดจากมือ และส่งเสียงแตกกระจายอยู่บนพรมเปอร์เซียอันล้ำค่า

ไวน์สีแดงสดเจิ่งนองไปทั่วพื้น

แต่ทว่าใบหน้าของเฉินหยู่เฟยในตอนนี้เต็มไปด้วยความตกใจ แววตาของเธอเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

“ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ไปได้ ? นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันแน่ ? ใครเป็นคนทำเช่นนี้ ?”

คำถามมากมายผุดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ถึงขนาดทำให้คนที่มีฐานะและได้รับการอบรมสั่งสอนมาอย่างดีเช่นเธอ ก็ยังอดที่จะสบถออกมาไม่ได้

ขณะที่เธอกดรีเฟรชเว่ยป๋อใหม่อีกครั้ง หัวข้อที่สะดุดตาอย่างยิ่งก็ปรากฏขึ้นมาตรงการค้นหายอดนิยมในตอนนี้ !

【ช็อก!เฉินหยู่เฟยต้องการเลื่อนขั้น จึงใช้วิธีสกปรก !】

หัวข้อที่ฟังดูเรียบง่ายและหยาบคาย แต่กลับทรงพลังราวกับระเบิดนิวเคลียร์

ใบหน้าอันงดงามของเฉินหยู่เฟยแดงก่ำด้วยความโมโห ตัวของเธอสั่นเทา

เธอแน่ใจว่านี่ เป็นหัวข้อที่เพิ่งปรากฏขึ้น !

ทันใดนั้นเอง

ปลายนิ้วของเฉินหยู่เฟยสั่นเล็กน้อยด้วยความโมโห แต่เธอก็ไม่ได้ใส่ใจ และรีบกดรีเฟรชใหม่อีกครั้ง

ดวงตากลมโตคู่งามของเฉินหยู่เฟยในตอนนี้เต็มไปด้วยความดุร้าย ดูราวกับอยากจะกินคน

หัวข้อเมื่อครู่ จากการกดรีเฟรชในครั้งนี้ ได้พุ่งทะยานขึ้นมาถึงสิบอันดับ !

“บัดซบ ! นี่มันจงใจแกล้งฉัน นี่มันเป็นการใส่ร้ายป้ายสีกันชัดๆ !”

เฉินหยู่เฟยกัดฟันแล้วก่นด่า จากนั้นจึงกดเข้าไปดูในหัวข้อ

ทั้งข้อความและรูปภาพ ปรากฏขึ้นมาให้เห็นในทันที

เฉินหยู่เฟยรู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่าอย่างรุนแรงตอนกลางวันแสกๆ

ทุกๆ ตัวอักษรในเนื้อหาราวกับมีด ถูกเขียนเอาไว้อย่างแจ่มแจ้งชัดเจน จนถึงขั้นเรียกได้ว่าไร้ยางอาย

ส่วนรูปภาพนั้นถูกถ่ายไว้ในตอนกลางคืน แต่ละภาพล้วนแล้วแต่เป็นเงาเบลอๆ ไม่ชัดเจน มีเพียงภาพที่มองจากด้านข้างใบเดียวเท่านั้นที่ดูจะชัดเจนที่สุด

แต่เฉินหยู่เฟยรู้ดีว่า นี่คือการใส่ร้ายป้ายสี !

เธอมีตระกูลเฉินคอยหนุนหลังอยู่ เป็นไข่มุกเม็ดงามที่อยู่ในมือของคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน การเลื่อนขั้นในวงการบันเทิงภายในระยะเวลาหนึ่งปีของเธอ แทบจะไม่ต้องคอยเอาใจใครเลย !

“กรี๊ด !”

เฉินหยู่เฟยดูราวกับคนเสียสติ เธอกวาดขวดไวน์แดงและแก้วไวน์ที่อยู่บนโต๊ะเล็กๆ ข้างเธอหล่นลงไปบนพื้น

ดวงตาคู่งามของเธอดูโกรธเกรี้ยวราวกับสัตว์ร้าย เธอกัดฟันแล้วพูดว่า : “เฉินตง นี่แกคิดที่จะสาดน้ำสกปรกมาใส่ฉันเพื่อใส่ร้ายฉัน คิดที่จะดึงฉันให้พังพินาศไปพร้อมกับแกด้วยใช่ไหม ?

เฉินตงผงะไปครู่หนึ่ง

เขาหันกลับไปมองกู้ชิงหยิ่งที่อยู่ในสภาพเหนื่อยล้า แล้วรู้สึกปวดใจขึ้นมาทันที

ตลอดระยะเวลาสามวันที่ผ่านมา เขาไม่เคยได้หลับพักผ่อน แล้วกู้ชิงหยิ่งจะต่างกันได้อย่างไร ?

ลมพายุในครั้งนี้ คนที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดไม่ใช่ตัวเขา แต่เป็นกู้ชิงหยิ่ง

ฝั่งหนึ่งเธอต้องแบกรับกับอารมณ์ของตนเอง ส่วนอีกฝั่งหนึ่ง เธอก็ต้องอดทนต่อความกดดันจากโลกไซเบอร์

ความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาจากทั้งสองฝั่ง สิ่งที่กู้ชิงหยิ่งต้องแบกรับเอาไว้ทั้งหมดนั้น มากมายกว่าเขาหลายเท่านัก

“เสี่ยวหยิ่ง ไม่เป็นไรนะ ผมจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย และจะอธิบายให้คุณฟัง” เฉินตงรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก

“ฉันไม่ต้องการให้คุณอธิบาย ฉันเชื่อใจคุณ”

กู้ชิงหยิ่งหันหลังกลับไปด้วยใบหน้าที่หมองเศร้า แล้วเดินลงบันไดไป : “คุณเป็นสามีของฉัน ไม่ว่าจะช่วงเวลาใดก็ตาม ฉันก็ควรจะคอยสนับสนุนคุณอยู่ด้านหลัง”

เฉินตงหันไปมองแผ่นหลังอันบอบบาง แววตาของเขาสั่นเครือ และดวงตาของเขาค่อยๆ แดงก่ำ

คำพูดประโยคนี้ จะต้องอดทนต่อความเจ็บปวดมากแค่ไหน ถึงจะพูดออกมาได้ ?

เผียะ !

เฉินตงตบหน้าตัวเองอย่างแรง

ท่านหลงตกใจจนหน้าถอดสี และรีบเดินเข้าไปหาทันที : “คุณชาย คุณเป็นอะไรไปครับ ?”

“ฉันรับปากว่าจะทำให้เสี่ยวหยิ่งมีความสุข เธอใช้ทั้งชีวิตของเธอเพื่อเดิมพัน แล้วฉันล่ะ ?”

เฉินตงทิ้งตัวลงบนเก้าอี้อย่างโศกเศร้า แล้วยิ้มออกมาอย่างหดหู่ : “งานแต่งงานก็ไม่สมบูรณ์แบบ มิหนำซ้ำยังมีร่องรอยการตายของแม่ฉันปรากฏอยู่ด้วย นี่เพิ่งจะผ่านมานานเท่าไหร่กัน ? ฉันกลับดึงเธอมายืนอยู่ท่ามกลางการต่อสู้ที่รุนแรงเช่นนี้ด้วยกัน แต่สิ่งเดียวที่เธอตำหนิฉันกลับเป็นเรื่องที่ฉันขาดการติดต่อไปเมื่อคืนนั้น ทำให้เธอรู้สึกเป็นห่วง”

เฉิงตงเคยผ่านการมีชีวิตคู่มา

ดังนั้นเขาจึงยิ่งเห็นคุณค่าของความรู้สึกอันแสนล้ำค่าของกู้ชิงหยิ่ง

การใช้ชีวิตร่วมกับหวางหนันหนันตลอดสามปีเป็นเหมือนกับฝันร้าย

เธอเมื่อกู้ชิงหยิ่งกลับมาอยู่ข้างกายเขา เขากลับรู้สึกถึงความสุขที่ไม่เคยได้รับมาก่อน

ถ้าตอนนี้เปลี่ยนเป็นหวางหนันหนันแล้วล่ะก็ บ้านคงจะลุกเป็นไฟไปเรียบร้อยแล้ว ?

“ดังนั้นคุณชายก็ควรจะยิ่งฮึดสู้ !” ท่านหลงกัดฟันแล้วพูดว่า “คุณผู้หญิงอดทนเพื่อคุณชายขนาดนี้แล้ว ถ้าหากคุณชายยอมแพ้ล่ะก็ จะสู้หน้าคุณผู้หญิงได้อย่างไร ?”

“คงไม่กล้าสู้หน้าแน่นอน !”

แววตาที่มืดมนของเฉินตงค่อยๆ เป็นประกายราวกับมีไฟลุกโชนขึ้น มือทั้งสองข้างของเขากำหมัดไว้แน่น แล้วพูดออกมาอย่างแน่วแน่ว่า : “ฉันไม่มีทางยอมให้เธอแพ้เด็ดขาด หากมีเธออยู่ ถ้ายังไม่ตายก็ยังไม่ถือว่าฉันแพ้”

ตอนนี้ เฉินตงทำให้คนอื่นรู้สึกว่าเขาดูกระปรี้กระเปร่าและมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง

แม้กระทั่งท่านหลงเอง ก็อดไม่ได้ที่จะแอบรู้สึกแปลกใจ

“คงจะต้องลองคิดหาวิธีอื่นแล้ว”

แววตาของเฉินตงดูลึกซึ้ง เขาพึมพำออกมาอย่างเยือกเย็น : “กระแสสังคมถือเป็นอาวุธอันร้ายกาจของเธอ ฉันไม่สามารถเปลี่ยนทิศทางของกระแสน้ำได้ แต่กระแสสังคมก็เป็นอาวุธที่ทุกคนสามารถดึงมาใช้ประโยชน์ได้เช่นกัน หากใช้อย่างถูกวิธีก็จะจัดการกับศัตรูได้อย่างราบคาบ แต่ถ้าหากใช้ไม่ดี มันก็จะย้อนกลับมาทำลายตนเองเช่นกัน”

แววตาของท่านหลงสั่นไหว ราบกับมีความคิดอะไรบางอย่าง

รอจนเขาตั้งสติได้ เฉินตงก็เดินลงไปชั้นล่างเรียบร้อยแล้ว

“ท่านหลง ทำอะไรให้ฉันกินหน่อยได้ไหม ? ฉันมีเรื่องอยากจะปรึกษากับฉินเย่และฉู่เจียนเจียสักหน่อย”

“ได้ครับคุณชาย !” ท่านหลงขานรับอย่างยินดี

เวลาค่อยๆ ผ่านไปอย่างช้าๆ

ความมืดมิดจางหาย แสงสว่างค่อยๆ ปรากฏขึ้นแทนที่

เฉินตงที่เข้าร่วมการประชุมทางวิดีโอกับฉินเย่และฉู่เจียนเจียมาตลอดครึ่งคืนนั่งพิงอยู่บนเก้าอี้ แล้วหันมองไปยังพระอาทิตย์ที่กำลังโผล่พ้นขอบฟ้าอยู่ที่ไกลๆ เขากลับไม่ปรากฏความอ่อนล้าเลยแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำกลับมีรอยยิ้มที่ผ่อนคลายปรากฏขึ้นมาที่มุมปากของเขา

ตลอดระยะเวลาสามวันมานี้ เขาได้แต่หวังว่าฟ้าจะไม่สว่างขึ้นมา เพราะเขารู้ดีว่า หลังจากฟ้าสาง จะมีความคิดเห็นที่ดุเดือดของประชาชนโหมกระหน่ำเขามาระลอกใหญ่

การบดขยี้อย่างโหดเหี้ยมและรุนแรง ทำให้บริษัทที่อยู่ในมือของเฉินตง ได้รับผลกระทบอย่างหนักอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ภายในระยะเวลาเพียงแค่สามวันสั้นๆ

แต่ทว่าตอนนี้ เฉินตงกลับรอคอยให้ฟ้าสางเร็วๆ

เขาไม่สนใจว่ากู้ชิงหยิ่งจะใช้วิธีไหนในการช่วยเหลือเขา เมื่อเขาตัดสินใจอย่างเด็ดขาด เขาก็มีความคิดอยู่ในหัวคร่าวๆ เรียบร้อยแล้ว

หลังจากที่เขาประชุมผ่านวิดีโอกับฉินเย่และฉู่เจียนเจียอยู่พักใหญ่ ภายใต้การวางแผนของผู้เชี่ยวชาญในด้านอุตสาหกรรมบันเทิงอย่าฉู่เจียนเจีย แผนการทั้งหมดก็ได้ถูกจัดเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว

บวกกับมีฉินเย่ซึ่งมีทั้งความดีและความชั่วอยู่ในตัว รวมไปถึงวิธีการที่ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกลของเขา

เขาเชื่อว่า วันนี้ จะต้องเกิดคลื่นความเห็นของประชาชนขึ้นอย่างแน่นอน !

“เฉินหยู่เฟย เธอคิดที่จะทำลายชื่อเสียงของฉันให้ป่นปี้ ฉันไม่ว่า แต่ถ้าเธอคิดจะทำลายชีวิตคู่ของฉัน คิดที่จะทำร้ายเสี่ยวหยิ่ง ก็อย่าโทษที่ฉันเล่นกันถึงตายก็แล้วกัน”

เฉินตงพึมพำเบาๆ แววตาของเขาเต็มไปด้วยความเดือดดาล

“คุณชาย !”

จู่ ๆ เสียงที่ฟังดูร้อนรนของท่านหลงก็ดังขึ้นมาทางด้านหลัง

เฉินตงหันหลังกลับไปในทันที ท่านหลงที่ยืนอยู่ตรงหน้ามีใบหน้าที่แดงก่ำ ดวงตาลุกวาว แววตาของเขาสั่นคลอนและดูสับสน เอาแต่จับจ้องไปที่โทรศัพท์มือถือ

“คุณชาย คุณ คุณรีบดูในเว่ยป๋อเร็วเข้า !”

น้ำเสียงของท่านหลงสั่นเครืออย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เขาหันไปพูดกับเฉินตงอย่างมีนัย : “คุณผู้หญิงทุ่มเทช่วยเหลือคุณอย่างไม่สนใจอะไรแล้วจริงๆ !”

เฉินตงรีบรับโทรศัพท์มือถือมา เมื่อเห็นเนื้อหาที่ปรากฏอยู่ในเว่ยป๋อ เส้นเลือดบริเวณหางตาของเขาก็ปูดโปนขึ้นมาทันที

หัวข้อยอดนิยมอันดับหนึ่งในการค้นหาบนเว่ยป๋อก็คือ : ภรรยาสาวแสนสวยของเฉินตงบุกไปให้กำลังใจเขากลางดึก !

เมื่อกดเข้าไปในการค้นหายอดนิยม เว่ยป๋อของกู้ชิงหยิ่งก็ปรากฏขึ้นมาทันที

ช่วงเวลาที่มีการเผยแพร่เนื้อหา คือช่วงราวๆ ตีห้า

และตอนนี้ ก็เพิ่งจะเป็นเวลาเจ็ดโมงเช้า ในระยะเวลาสั้นๆ เพียงแค่สองชั่วโมง กลับขึ้นไปอยู่ในหัวข้อยอดนิยมอันดับหนึ่งในการค้นหาได้รวดเร็วจนน่าตกใจ

เนื้อหาในทุกตัวอักษรมีคารมคมคาย มีความไพเราะสละสลวย และเต็มไปด้วยความห่างหาอาทรที่ลึกซึ้ง

แต่กลับสรุปสาระสำคัญออกมาได้เพียงความหมายเดียว

นั่นก็คือ ในฐานะที่กู้ชิงหยิ่งเป็นภรรยา เธอยินดีที่จะเชื่อมั่นในตัวเฉินตง และพร้อมสนับสนุนเขาอย่างไม่มีเงื่อนไข ภายใต้กระแสสังคมในครั้งนี้ !

“นี่มัน……”

เฉินตงมองดูด้วยสมองที่ว่างเปล่า ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนมีมีดเป็นพันเล่มเข้ามาทิ่มแทงเขา

ความรู้สึกผิดถาโถมเข้ามาในสมองของเขาราวกับคลื่นยักษ์

“เธอทำเช่นนี้ เท่ากับเข้ามารับกระสุนแทนเขา และดึงดูดความคิดเห็นทั้งหมดของประชาชน ให้ไปลงที่ตัวเธอ !”

เฉินตงดวงตาแดงก่ำ มือข้างขวากำโทรศัพท์เอาไว้แน่นด้วยอาการสั่นเทา

ความคิดเห็นของประชาชนยังคงถาโถมเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย เป็นการเข้าครอบงำบนโลกอินเทอร์เน็ตอย่างบ้าคลั่ง จนก่อตัวขึ้นเป็นกระแสที่รุนแรงราวกับคลื่นลูกใหญ่

ในสถานการณ์เช่นนี้ ทุกคนที่ก้าวออกมาเพื่อพูดแทนเขา ล้วนแล้วแต่ต้องถูกดึงเข้าไปในคลื่นลูกนี้ด้วยทั้งสิ้น

ยิ่งไปกว่านั้น กู้ชิงหยิ่งเองก็เป็นภรรยาของเขาอีกด้วย

ถือเป็น “ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง” รายที่สามในเหตุการณ์ครั้งนี้ !

ตอนนี้ความคิดเห็นและการวิพากษ์วิจารณ์ทั้งหมดต่างพุ่งเป้ามาที่เฉินตง แต่ทว่าตอนนี้กู้ชิงหยิ่งกลับออกรับแทนเช่นนี้ ทำให้ความคิดเห็นและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ พุ่งเป้าไปที่ตัวเธอแทน

“เพื่อคุณแล้ว เธอยอมอดทนกับความทุกข์ทรมานใจทั้งหมด” ใบหน้าของท่านหลงเจ็บไปด้วยความเจ็บปวดและสงสาร

ในสถานการณ์เช่นนี้ เขารู้ดีว่า กู้ชิงหยิ่งกำลังแบกรักความกดดันและความทุกข์ใจที่หนักหนาสาหัสอยู่

และในตอนนี้ เพื่อที่จะช่วยบรรเทาความลำบากของเฉินตง เธอจึงเลือกที่จะใช้ฐานะภรรยาในการสนับสนุนเฉินตง

วิธีการเช่นนี้ จะช่วยลดทอนความลำบากในตอนนี้ของเฉินตงไปได้ไม่น้อยแน่นอน

ภายใต้สถานการณ์ที่เฉินตงถูกสังคมชี้นิ้วประณาม แต่กลับลุกขึ้นมายืนอยู่หน้าเฉินตง และออกรับการถูกชี้นิ้วประณามในครั้งนี้แทน !

สิ่งนี้……ต้องอาศัยความกล้าหาญขนาดไหนกัน ?

หรือจะพูดอีกอย่างว่า……จะต้องรักมากขนาดไหนกัน ?

เฉินตงถือโทรศัพท์เอาไว้แน่น เขาลุกขึ้นพร้อมด้วยดวงตาที่แดงก่ำ แล้วเดินลงไปชั้นล่าง

เขาเปิดประตูห้องนอน กู้ชิงหยิ่งยังคงเอนกายอยู่บนเตียง แต่ไม่ได้นอนหลับ ดวงตาของเธอเอาแต่จ้องเขม็งไปที่โทรศัพท์

“เสี่ยวหยิ่ง”

เฉินตงใช้แรงทั้งหมดที่มีตะโกนออกมา แต่ด้วยลำคอที่ตีบตันของเขา ทำให้เสียงที่เขาตะโกนออกมานั้นเบามาก

กู้ชิงหยิ่งเหลือบขึ้นไปมองเฉินตง ใบหน้าที่ซีดเซียวและอิดโรยของเธอเผยรอยยิ้มอันแสนอบอุ่นออกมา : “หวังว่าฉันจะช่วยคุณได้”

พรึ่บ !

เฉินตงดึงกู้ชิงหยิ่งเข้ามาไว้ในอ้อมกอดอย่างแรง ตอนนี้มีทั้งความรักที่อ่อนโยนและความรู้สึกผิดถาโถมเข้ามา

น้ำตาไหลรินออกมาจากดวงตาที่แดงก่ำของเฉินตง เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่า : “ที่รัก ขอบคุณนะ”

เกิดความเงียบขึ้นในห้องนั่งเล่น

บรรยากาศกดดันจนแทบหายใจไม่ออก

ทุกคนต่างรู้สึกอับจนหนทาง สิ้นหวังอย่างถึงที่สุด

เฉินตงรู้สึกหดหู่ใจมากกว่าที่เคย เหมือนคนที่กำลังจะจมน้ำตาย กระทั่งจะไขว่คว้าหาจับฟางช่วยชีวิตสักเส้นรอบกายก็ยังไม่มีแม้เพียงครึ่งเส้น

ดาบที่ทรงพลังยิ่งใหญ่ขนาดผลักภูเขาพลิกทะเลได้เล่มนี้ มันชี้ตรงมาที่ลำคอของเขาแล้ว

และทั้งที่เป็นอย่างนั้น กลับไม่มีที่ไหนให้เขาหลบหลีกต่อต้าน ทำได้เพียงแค่ต้องยื่นคอเปล่า ๆ ไปรับดาบที่จ่อมา

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น

เฉินตงที่สิ้นหวังหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ดวงตาของเขาพลันสว่างวาบขึ้นมาทันใด

เป็นคุณพ่อนั่นเอง!

บางที…..อาจจะยังพอมีทางรอด!

เฉินตงรีบกดรับสาย

ที่ปลายสาย เสียงทื่อ ๆ ด้าน ๆ ราวแม่เหล็กของเฉินเต้าหลินแผ่วต่ำจมดิ่งอย่างมาก: “พ่อรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว แต่เฒ่าหนังเหนียวตายยากนั่นคอยปกป้องเฉินหยู่เฟยอยู่ พ่อไม่สามารถใช้พลังของตระกูลเฉิน ไปบังคับความคิดเห็นของสาธารณชนบนโลกโซเชียลได้ ลูกคิดว่าจะทำยังไงล่ะ? พ่อจะพยายามช่วยลูกอย่างสุดความสามารถเอง”

คำถามสุดท้ายนั่น ทำให้เฉินตงต้องหัวเราะออกมาเลยทีเดียว

มีเพียงรอยยิ้มที่ขมขื่นปรากฏบนใบหน้าเขาซ้ำ ๆ ไปมาไม่รู้จบ

แม้แต่คุณพ่อก็ยังต้องถามเลยว่า ฉันพอจะมีหนทางอะไรบ้างไหม ? เห็นได้ชัดว่า สถานการณ์ตอนนี้ มันเกินจะควบคุมได้แล้วจริงๆ

หากเป็นเวลาปกติ ความคิดเห็นในโลกโซเชียลทำนองนี้ ไม่ใช่อะไรนอกจากพายุลูกเล็ก ๆ ที่หมุนวนอยู่ตรงหน้าพวกตระกูลระดับมหาเศรษฐีก็เท่านั้น

ในตอนที่ความคิดเห็นของสาธารณชนเพิ่งจะปรากฏบนโซเชียล ขอแค่ตระกูลเฉินใช้กำลังอำนาจที่มีในมือทำการเคลื่อนไหว ความคิดเห็นของสาธารณชนในโซเชียลทั้งหมด ก็อาจหายไปได้อย่างง่ายดาย เรียกว่าสามารถปิดได้อย่างมิดชิดไม่มีเหลือ

แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมแล้ว

ความคิดเห็นของประชาชนรุนแรงดุเดือดมาก นี่เพิ่งผ่านไปนานเท่าไหร่เอง ? ทั่วทั้งโลกโซเชียลต่างก็พากันรุมประณามเขาแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินที่คอยช่วยเหลือ ทั้งยังช่วยสนับสนุนเฉินหยู่เฟยอยู่เบื้องหลังให้อีก เมื่อถูกยับยั้งหน่วงเหนี่ยวแบบนี้ จึงเห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้พลังของตระกูลเฉิน ไปขจัดความคิดเห็นของสาธารณชนได้

ตอนนี้คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินกับเฉินหยู่เฟย คงกำลังหัวเราะร่าอย่างมีชัยอยู่หน้าโทรศัพท์มือถือของตัวเองแล้วล่ะมั้ง?

เฉินตงคิดในใจ

แต่แล้ว เสียงแผ่วต่ำของเฉินเต้าหลินก็กลับดังขึ้นที่ข้างหูของเขาอีกครั้ง: “ตงเอ๋อ ขอโทษด้วยนะลูก มันเป็นเพราะไร้ความสามารถของพ่อแท้ ๆ”

“พ่อครับ ไม่เป็นไรหรอก ขอผมลองคิดดูอีกสักหน่อย ฟ้าย่อมมีทางออกให้คนเราเสมอ ต้องมีวิธีแก้ไขสักวิธีแน่ครับ” เฉินตงพูดปลอบใจ

เพื่อเขาแล้วเฉินเต้าหลินกล้าจนถึงขั้นที่ว่า พร้อมจะส่งคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินไปตายได้ด้วยซ้ำ

หากมีวิธีจริง ๆ เฉินเต้าหลินคงจะลงมือทำไปตั้งนานแล้ว

กระแสคอมเม้นท์ที่ถาโถมเข้ามาอย่างล้นหลามนี้ เฉินเต้าหลินไม่มีทางหยุดยั้งมันได้ เฉินตงไม่ถือสาเรื่องนี้แม้แต่น้อย

“พวกเรามาพยายามด้วยกันเถอะ พ่อเองก็จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยลูกให้ได้”

เสียงของเฉินเต้าหลินสูงขึ้นเล็กน้อย: “มีพ่ออยู่ ใครมันก็ทำลายลูกไม่ได้!”

หลังจากวางสาย

ดวงตาของเฉินตงสั่นไหว บางครั้งก็สว่างเป็นประกาย บางครั้งก็สลัวมัวหม่นไร้แสง

แม้ว่าพวกท่านหลงจะไม่รู้เนื้อหาของบทสนทนาระหว่างเฉินตงกับเฉินเต้าหลิน แต่จากท่าทางการแสดงออกของเฉินตงแล้ว พวกเขาก็รู้ได้ทันทีว่าผลลัพธ์ที่ได้นั้นต้องไม่ค่อยดีแน่

“คุณชายครับ”

ท่านหลงเรียกเบา ๆ

“ไม่เป็นไรหรอก มันต้องมีวิธีแน่ ดูกันไปทีละก้าว ๆ เถอะ ยังไงซะคิดให้มาก ๆ หน่อย มันคงจะมีทางออกสักทางแหละ”

เฉินตงยืดเอวบิดขี้เกียจ แสร้งทำเป็นผ่อนคลาย ตบ ๆ ที่ท้องแล้วพูดว่า “ว่าก็ว่าเถอะ ที่บ้านมีอะไรกินบ้าง ? ฉันยังไม่ได้กินข้าวเช้าเลย ตอนนี้หิวจนปวดกระเพาะไปหมดแล้ว”

“เดี๋ยวฉันไปทำอาหารเช้าให้พี่ตงแล้วกันนะ” เฉินเสี่ยวเชียนลุกขึ้น แล้วเดินตรงไปที่ห้องครัว

“ขอบคุณนะเสี่ยวเชียน”

เฉินตงพูดด้วยรอยยิ้ม แล้วยักไหล่ให้พวกท่านหลง “ ทุกคนอย่าขมวดคิ้วนิ่วหน้ากันสิ เรื่องนี้ยังไม่ถึงขั้นที่ฉันจะต้องตายลงเดี๋ยวนี้ซะเมื่อไหร่ คุณหญิงใหญ่เฉินกับตระกูลฉินร่วมมือกันลอบฆ่าฉัน ถึงขั้นที่เคยผลักฉันไปอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังอย่างเข้าคุกเข้าตารางมาแล้วด้วยซ้ำ แต่ฉันก็ยังกลับมาได้แบบครบสามสิบสองเลยไม่ใช่รึไง?”

รอยยิ้มที่แกล้งทำเป็นผ่อนคลายสบายใจนั้น ทุกคนต่างก็มองออกทั้งหมด

แต่ตอนนี้ เฉินตงไม่มัวมาสนใจแล้วว่า การแสดงของเขาจะยอดเยี่ยมหรือไม่

เขาไม่ใช่คนที่มีนิสัยยอมแพ้อะไรง่าย ๆ ทั้งยิ่งไม่มีนิสัยนั่งรอความตายอยู่ในพจนานุกรมด้วย

คนเราเมื่อยังไม่ถึงที่ตาย จะอย่างไรก็ต้องหาทางรอดได้เสมอ

ก็เหมือนกับตอนที่อยู่ในคุกนั่นปะไร

ยิ่งไปกว่านั้น เขาคือคนที่อยู่ในใจกลางของวังวน ทุกคนรอบตัวเขาต่างก็เป็นห่วงเขา ทั้งยังช่วยคิดหาทางให้เขาอีก

ถ้าเขาที่เป็นคู่กรณีเกิดยอมแพ้ เตรียมตัวยืดคอรอการประหารชีวิตง่าย ๆ แล้วล่ะก็ หลังจากนี้ไปคนรอบตัวเขาจะเป็นยังไงล่ะ?

“พูดก็พูดเหอะ…สรุปแล้ว คุณกับผู้หญิงคนนั้น ได้ทำอะไรกันจริง ๆ รึเปล่า?”

จู่ ๆ ฉินเย่ก็เลิกคิ้วขึ้นสูง ถามด้วยดวงตาที่ลุกเป็นประกาย: “ ถ้าเกิดคุณทำจริง ๆ นะ คุณก็ไม่เสียเปรียบหรอก เฉินหยู่เฟยเป็นถึงซูเปอร์สตาร์เชียวนะ ด้วยรูปร่างหน้าตาระดับนั้นของเธอ ต่อให้ต้องตายภายใต้ต้นดอกโบตั๋น เป็นผีก็คุ้มค่าอยู่นา”

“ไสหัวไปให้พ้น!”

จู่ ๆ เฉินตงก็ยิ้มไม่ออกซะแล้ว ทำได้แค่จ้องฉินเย่ด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว

ฉินเย่แบมือออก พลางพูดว่า “ผมไม่ได้คิดเหมือนอย่างที่คุณคิดหรอกเรอะ? ทำให้ทุกคนผ่อนคลายสักหน่อย บรรยากาศมันจะได้มีชีวิตชีวาขึ้นไง”

“เฮ้อ……”

เฉินตงถอนหายใจเฮือก เหลือบมองขึ้นไปชั้นบนด้วยความรู้สึกผิด

ในระยะเวลาสั้น ๆ เพียงวันเดียว

คอมเม้นท์ของประชาชน ได้พัฒนาไปจนถึงจุดที่ทุกคนต้องหวาดกลัวสิ้นหวังกันแล้ว

เครือข่ายบนโซเชียลทั้งหมดถูกโจมตีรอบด้าน ผู้คนก่นด่าสาปแช่งจนมืดฟ้ามัวดิน

เหมือนกับกระแสน้ำอันเชี่ยวกราก ฟ้าถล่มภูเขาทลาย พื้นธรณีแยกแตกเป็นผงธุลี พัดทำลายต้นไม้แห้งและท่อนซุงจนพังพินาศสิ้น

กองทัพนักล่าแม่มด ต่างพากันขุดรายละเอียดของเฉินตงออกมาแบบทุกซอกทุกมุม นอกจากข้อมูลเรื่องผู้สืบทอดตระกูลเฉินแล้ว ข้อมูลที่เหลือทั้งหมด ต่างก็ถูกขุดออกมาโชว์หราบนโลกอินเทอร์เน็ต

ประวัติชีวิตอันสุดบรรเจิด ชีวิตแต่งงานอันชวนโศกาน่ารันทด ล้วนถูกเปลี่ยนเสริมเติมแต่งขึ้นมาอย่างกะทันหัน

ถึงขั้นขุดเรื่องชีวิตแต่งงานอันไร้สุขตลอดสามปีของเฉินตงกับหวางหนันหนันไม่พอ แม้แต่รายละเอียดบางอย่าง รวมไปถึงการแต่งงานของคนตระกูลหวางกับ หวางเห้าก็ยังถูกขุดออกมาประจานไปด้วย

นี่เองจึงทำให้เฉินตงกลายเป็น ” เดรัจฉานสวมเสื้อผ้า ” ตามขี้ปากของผู้คนที่พากันก่นด่าว่าร้ายเขาไปโดยปริยาย

ต่างคนต่างก็ร่วมกันคอมเม้นท์ ความโกรธแค้นของผู้คนก็ยิ่งโหมกระหน่ำจนมืดฟ้ามัวดิน

ไม่มีใครสนใจแล้วว่า ข้อมูลข่าวที่เห็นนั้นมันเป็นความจริงหรือเท็จ ภายใต้การนำของผู้คนที่แสดงความห่วงใยใส่ใจหญิงสาวอ่อนแอ คนส่วนใหญ่จึงเต็มไปด้วยความโกรธแค้นขุ่นเคือง ต่างก็กระหายอยากเรียกร้องความเป็นธรรมตาม ๆ กันไปจนหน้ามืด

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

คอมเม้นท์ในโลกโซเชียล ก็ยังคงพุ่งทะยานอย่างบ้าคลั่งไม่หยุด

ในเช้าวันที่สอง แฟนๆ ที่เทิดทูนบูชาเฉินหยู่เฟย ได้มารวมตัวกันปิดกั้นที่หน้าประตูทางเข้าของบริษัทไท่ติ่ง แล้วอาละวาดขว้างปาข้าวของอย่างบ้าคลั่ง

บรรดาบริษัทใหญ่ ๆ ที่อยู่ในมือของเฉินตง ต่างก็พลอยติดร่างแห ตกอยู่ในอันตรายไปด้วย

บริษัทอสังหาริมทรัพย์จุนหลงต้องหยุดกิจการไปอีกครั้ง ถึงกับทำให้โจวจุนหลงต้องทุบหน้าอกตัวเองระบายอาการจุกอกเลยทีเดียว

บริษัทเอนเตอร์เทนของฉู่เจียนเจีย ต้องหยุดการทำงานหมดทุกด้าน เพราะข่าวใหญ่ที่เกิดในวงการบันเทิง ย่อมทำให้คนที่อยู่ในวงในของธุรกิจบันเทิงอย่างฉู่เจียนเจีย ได้รับผลกระทบอย่างมหาศาลไปด้วย

บริษัทการเงินของฉินเย่กับฉินเสี่ยวเชียน แทบจะไม่สามารถดำเนินการใด ๆ ได้เลย ทำได้แค่ฝืนดำเนินการต่อไปอย่างทุลักทุเล แต่ข่าวที่ฉินเสี่ยวเชียนรายงานกลับไปให้เฉินตงนั้น กลับเป็นเรื่องที่ชวนทำให้ปวดหัวยิ่งกว่า เพราะเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของบริษัท ได้พบตัวบุคคลน่าสงสัย ซึ่งมีสถานะความเป็นมาไม่ชัดเจนจำนวนหนึ่ง มาเดินเข้าเดินออกภายในบริษัท

และสิ่งที่ยิ่งทำให้เฉินตงแทบเป็นบ้าไปจริง ๆ ก็คือ

ปฏิกิริยาของกู้ชิงหยิ่ง ทำให้เฉินตงทั้งรู้สึกซาบซึ้ง ทั้งรู้สึกละอายใจไปในเวลาเดียวกัน

เขามองตามเงาร่างอันโดดเดี่ยว ที่รีบเดินจ้ำอ้าวขึ้นชั้นบนไป

เฉินตงกำหมัดแน่น รู้สึกโกรธเกรี้ยวเกินทน

เฉินหยู่เฟย!

มีความเกลียดชังในแววตาของเขา

ในเวลานั้นเอง ทั้งท่านหลง คุนหลุน กูหลังและฟ่านลู่ต่างก็เดินเข้ามา

“พี่เสี่ยวลู่ รบกวนพี่ช่วยขึ้นไปอยู่เป็นเพื่อนเสี่ยวหยิ่งหน่อยนะ”

เฉินตงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ฝืนระงับความโกรธในใจอย่างสุดความสามารถ

กู้ชิงหยิ่งในเวลานี้ ต้องการใครสักคนไปอยู่เป็นเพื่อนจริง ๆ

แต่ในระหว่างนี้ ก่อนที่เขาจะได้อธิบายอะไรให้มันชัดเจน เห็นได้ว่ากู้ชิงหยิ่งจะไม่มีทางยอมให้เขาไปอยู่เป็นเพื่อนเธออย่างแน่นอน

หลังจากที่ฟ่านลู่ขึ้นไปชั้นบนแล้ว

จู่ ๆ กูหลังก็คุกเข่าลงกับพื้น: “คุณเฉิน ผมขอโทษนะครับ เรื่องเมื่อคืนเป็นความผิดของผมเอง”

“มันไม่เกี่ยวอะไรกับนาย เดิมทีมันเป็นเพราะฉันประมาทเอง”

เฉินตงโบกมือ หันไปมองท่านหลงอย่างเคร่งขรึม: “เรื่องที่ให้ปิดข่าวเป็นยังไงบ้างแล้ว?”

สีหน้าท่านหลงเต็มไปด้วยความเศร้าโศก ฝืนยิ้มอย่างจนใจ

“ทางเราไม่สามารถทำได้เลยครับ ความคิดเห็นของสาธารณชนบนอินเทอร์เน็ต กลายเป็นกระแสที่ลุกลามใหญ่โตไปแล้ว ทันทีที่เราใช้วิธีปิดข่าวเบี่ยงเบน เราก็ถูกก่นด่าสาปแช่งแบบมืดฟ้ามัวดินเลย นอกจากนี้ข้อมูลส่วนบุคคลของคุณ ยังถูกคนขุดออกไปเผยแพร่บนอินเทอร์เน็ตด้วยครับ”

เสียงนั้นหนักอึ้งจมดิ่ง เต็มไปด้วยความรู้สึกสิ้นไร้เรี่ยวแรง

ด้วยนิสัยของท่านหลงที่สงบราบเรียบพอ ๆ กับน้ำนิ่ง เรื่องที่จะสามารถทำให้เขาแสดงอาการอ่อนล้าอิดโรยได้ขนาดนี้ มันต้องเป็นสถานการณ์ที่ดำเนินไปจนถึงจุดที่สิ้นหวังแล้วจริง ๆ เท่านั้น

“เฉินหยู่เฟยคิดจะใช้วิธีดึงคนหมู่มาก มารุมชี้หน้าประณาม เพื่อจะได้ตบฉันลงขุมนรกได้ด้วยมือข้างเดียวอย่างนั้นสินะ?”

ดวงตาของเฉินตงจมดิ่งมืดหม่น ในใจรู้สึกเสียใจอย่างสุดแสน แทบอดใจไม่ไหวอยากตบหน้าตัวเองสักฉาด

ถ้าเมื่อวานนี้สติสัมปชัญญะของเขาแน่วแน่เพียงพอ จะไม่มีทางที่หายนะร้ายแรงขนาดนี้ มันจะเกิดขึ้นกับเขาได้แน่

แต่เพราะเฉินหยู่เฟยใช้คนรอบตัวของเขา มาเป็นตัวประกันเพื่อข่มขู่ เขาจึงไม่อาจไม่ทำตาม

“ตอนนี้ ความคิดเห็นของสาธารณชนกำลังเพิ่มขึ้นไม่หยุด ต่างก็ชี้ปลายดาบมาที่คุณชายกับบริษัทไท่ติ่งทั้งหมด แม้แต่เรื่องที่เกี่ยวกับคุณชาย ก็พลอยได้รับผลกระทบอย่างมากไปด้วย ทันทีที่ตลาดเปิดในเช้าวันนี้ ราคาหุ้นของบริษัทอสังหาริมทรัพย์จุนหลงก็ดิ่งลงจุดต่ำสุดตรง ๆ ภายในระยะเวลาแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้นครับ”

“ฉู่เจียนเจียจากเมืองหลวงก็ส่งข่าวมาว่า งานของเขาถูกระงับ เป็นเพราะถูกผลกระทบจากคอมเม้นท์จากสาธารณชนไปด้วยน่ะครับ”

“ยังมีทางฉินเย่อีก กิจการของบริษัทการเงินถูกระงับเป็นการชั่วคราวไปแล้ว ตอนนี้ฉินเย่กับฉินเสี่ยวเชียนกำลังเดินทางมาที่นี่ครับ พวกเขาน่าจะมาถึงในเร็ว ๆ นี้แล้ว”

น้ำสียงแผ่วต่ำอ่อนระโหยของท่านหลง เป็นเหมือนสายฟ้าที่ผ่าตอนกลางวันแสก ๆ เข้าใส่ไม่ยั้ง

มันทำให้เฉินตงรู้สึกว่า ทุกอย่างตรงหน้าเขาล้วนมืดสนิท ถึงขั้นรู้สึกสิ้นหวังเหมือนพลั้งตกลงไปสู่ขุมนรกที่ไร้ทางออก

นี่คือ…พลังแห่งความคิดเห็นของผู้คนบนโซเชียลอย่างนั้นรึ!

เฉินหยู่เฟยไม่ลังเลเลย ที่จะใช้ชื่อเสียงของเธอในการระดมแฟน ๆ ทั้งหมด มาเล็งปลายดาบเล่นงานเขา เรื่องนี้ช่างทำให้เขารู้สึกคับข้องใจ ทั้งไร้แรงจะต่อต้านอย่างถึงที่สุดจริง ๆ

แนวโน้มจากคอมเม้นท์ในโลกโซเชียล ได้ทะยานสูงจนใหญ่โตยากจะควบคุมไปแล้ว

ถึงขั้นทำให้เฉินตงรู้สึกหวาดกลัวในคำกล่าวที่ว่า อาคารสูงภูเขาใหญ่แค่ไหนก็ถล่มลงมาได้เพราะน้ำมือคนจริง ๆ เข้าแล้ว

“หรือไม่ เราไปขอให้คุณท่านใหญ่ช่วยออกหน้า เรียกเฉินหยู่เฟยมาคุยด้วยดีไหมครับ? ถ้าเธอเป็นฝ่ายออกมาชี้แจงเรื่องนี้เองได้ เรื่องนี้มันก็จะได้จบลงสักที ” จู่ๆ คุนหลุนก็เสนอขึ้นมา

เฉินตงกับท่านหลงหันมามองหน้ากัน แล้วยกยิ้มอย่างฝืดฝืนขึ้นมาในเวลาเดียวกัน

“เธอไม่สนเลยด้วยซ้ำว่าจะทำลายชื่อเสียงตัวเอง แต่ก็จะขอเล่นงานฉันให้ได้ เธอกอดความคิดที่ว่า ไม่ใช่ฉันตายก็เป็นเธอที่รอดเอาไว้เต็มหัว เธอไม่มีทางออกมาชี้แจงความจริงเรื่องนี้แน่” เฉินตงถูหน้าแรงๆ

ท่านหลงก็พูดอย่างจนใจว่า: “ถ้าตอนนี้เฉินหยู่เฟยก้าวออกมาชี้แจงความจริง นั่นก็เท่ากับว่าเธอขุดหลุมฝังตัวเองแล้วน่ะสิ มันเท่ากับทำให้แผนการที่เธอวางไว้พังทลาย ไม่เพียงแต่เธอจะจัดการกับคุณชายไม่ได้ แต่ยังจะทำให้ชีวิตที่โรยด้วยกลีบกุหลาบในวงการบันเทิงของเธอต้องพังทลายไปด้วย!”

ในห้องนั่งเล่น บังเกิดความเงียบงันจนน่าอึดอัด

ทุกคนต่างตกอยู่ในอาการซึมเศร้า อากาศรอบตัวช่างกดดัน จนแต่ละคนแทบจะหายใจไม่ออกกันอยู่แล้ว

“งั้นก็แปลว่า เรามาอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังแล้วอย่างนั้นเหรอ?” คุนหลุนพูดอย่างท้อแท้

เฉินตงพยักหน้า: “จะว่ายังงั้นก็ได้”

ติ๊งหน่อง ๆ……

เสียงกริ่งที่ประตูดัง.

กูหลังรีบกระวีกระวาดไปเปิดประตู

ฉินเย่กับฉินเสี่ยวเชียน เดินเข้ามาด้วยสีหน้าดำคล้ำเคร่งเครียด

เมื่อเห็นเฉินตง ฉินเย่ยักไหล่ แสร้งทำเป็นผ่อนคลาย แล้วพูดด้วยรอยยิ้มสบาย ๆ ว่า “พี่ตง พี่เล่นสนุกไปหน่อยล่ะสิ ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่คนดีจริง ๆ นะเนี่ย”

“อย่ามาทำหน้าระรื่น สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือ ต้องหาวิธีหยุดกระแสโซเชียลที่มันพุ่งสูงไม่หยุดนี่ให้ได้ซะก่อน” เฉินตงหน้านิ่วคิ้วขมวด

“หยุดไม่ได้แล้วล่ะ!”

ฉินเย่แบมือหรา แล้วทรุดตัวลงนั่งข้างเฉินตง หยิบแท็บเล็ตในกระเป๋าออกมา แล้วยื่นให้เฉินตง: “ดูสถานการณ์ตอนนี้บนอินเทอร์เน็ตสิ”

เฉินตงขมวดคิ้ว รับแท็บเล็ตมาดู

เขาพอจะคาดเดาสถานการณ์ที่มันเกิดขึ้น บนอินเทอร์เน็ตได้แบบคร่าว ๆ อยู่แล้ว ดังนั้นครั้งแรกที่เห็นข่าวนี้เด้งขึ้นมา เขาจึงไม่ได้คลิกเข้าไปอ่านดู

แต่ในเมื่อตอนนี้ฉินเย่ให้เขาดู เข้าก็ควรจะดูให้รู้กระจ่างสักที

พาดหัวข่าวที่ใช้อักษรใหญ่และเป็นตัวหนา ยังเหมือนกับพาดหัวข่าวก่อนหน้านี้ทุกประการ

แต่เมื่อเฉินตงคลิกเข้าไป มีภาพชุดหนึ่งที่ปรากฏสู่สายตาอย่างชัดเจน กระตุ้นปลุกเร้าราวกับมีเข็มแหลม ๆ เล่มแล้วเล่มเล่า กระหน่ำทิ่มแทงเข้าไปกระตุ้นทุกเส้นประสาทในสมองของเขาให้มันเจ็บจี้ด ๆ ไม่หยุด

รูปที่อยู่ในพาดหัวข่าว เป็นรูปที่เห็นเฉินตงยืนอยู่ในห้องพักของโรงแรมแห่งหนึ่ง ในขณะที่เฉินหยู่เฟยกำลังนั่งอยู่บนพื้น ในรูปนั้นเห็นชัดมาก ว่ามีรอยฝ่ามือแดงเถือกบนใบหน้าอันงดงามของเธอด้วย

“นี่มัน……”

ในสมองของเฉินตงมีเสียงอื้ออึงไม่หยุด มันดังเซ็งแซ่ จนเหมือนหัวสมองจะแตกออกจากกันให้ได้ : “นี่เป็นรูปถ่ายครั้งแรกที่ฉันได้เจอเธอนี่!”

เพิ่งสิ้นเสียง

คุนหลุนกับกูหลังก็รีบเข้ามาดูด้วยเช่นกัน

ทันทีที่พวกเขาเห็นรูปนั้น สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปอย่างหนัก

“ผมจำได้ นี่เป็นตอนที่คุณชายตบเฉินหยู่เฟย แล้วเตือนเธอเมื่อตอนนั้น” คุนหลุนตกตะลึง

สีหน้าของเฉินตงดำคล้ำมืดมนอย่างถึงที่สุด

เขารีบสไลด์รูปลงไปเพื่อดูต่ออย่างรวดเร็ว

ยิ่งเขาดูรูปมากเท่าไหร่ รูม่านตาก็ยิ่งหดเล็กลงเรื่อยๆ ความหดหู่บนใบหน้าก็หนักขึ้นทุกที ๆ จนสุดท้ายก็กลายเป็นสีหน้าที่พร้อมจะฆ่าคนได้!

แต่ละรูปที่ผ่านเข้ามา มีทั้งในห้องพักโรงแรมที่ครั้งแรกได้เจอเฉินหยู่เฟย ในรูปนั้น เขาดูช่างเย่อหยิ่งอวดดี สีหน้าดูเผด็จการบ้าอำนาจอย่างยิ่ง

แต่ฝ่ายเฉินหยู่เฟยกลับทรุดล้มอยู่บนพื้น เผยสีหน้าสิ้นหวังช่วยตัวเองไม่ได้ ดูน่าสงสารเหลือจะเอ่ย

เป็นท่าทางที่แสดงถึงคนที่ถูกใช้กำลังบังคับอย่างรุนแรง เป็นเพียงผู้หญิงอ่อนแอที่ทำอะไรไม่ถูก

ส่วนรูปถ่ายอีกจำนวนหนึ่ง เป็นรูปถ่ายที่มาเป็นเซตหลัง ๆ

น่าแปลกมาก ที่มันเป็นรูปที่ถูกถ่ายในห้องพักของโรงแรมไท่ซาน

แค่แสงในภาพดูมืดสลัวไปหน่อย อีกทั้งสภาพแวดล้อมในห้องก็วุ่นวายเละเทะมากอีกด้วย

เฉินตงกำลังนอนคร่อมทับอยู่บนตัวของเฉินหยู่เฟย ในขณะที่เฉินหยู่เฟยร้องไห้จนน้ำตานองหน้าราวดอกสาลี่ต้องสายฝน สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

นอกจากนี้ ยังมีรูปถ่ายของเสื้อผ้าที่ถูกฉีกขาด ซึ่งตกอยู่ในห้องนั้นจริง ๆ อีกด้วย!

ด้วยรูปถ่ายแต่ละรูป ๆ ประกอบกับคำอธิบายในข้อความ ก็ทำให้เรื่องนี้ถึงจุดที่คนและสวรรค์ต้องเคืองแค้นสาปแช่งได้แล้ว

เฉินตงรู้เลยว่า ภาพเซตหลัง ๆ เป็นช่วงเวลาระหว่างที่เขาอยู่ในสภาวะสลบไสลไม่ได้สติ แล้วถูกเฉินหยู่เฟยถ่ายไว้นั่นเอง

แต่ที่น่าสิ้นหวังที่สุดคือ แม้ว่าตอนนี้เขาจะกระโดดลงแม่น้ำฮวงโห ก็ไม่อาจล้างความผิดนี้ได้ไปโดยปริยายแล้ว!

เจอกันสองครั้ง รูปถ่ายคนละเหตุการณ์ แล้วเอามาตัดต่อเชื่อมกันให้เป็นเรื่องเดียว ก็สามารถทำให้เรื่องนี้ผลักเขาไปสู่หนทางตายได้อย่างสมบูรณ์แล้ว!

“นี่ฉันโดนโคลนสีเหลืองตกใส่เป้า ต่อให้ไม่ได้ฉี่รดกางเกง ใคร ๆ ก็ต้องเชื่อว่าฉี่รดกางเกงไปแล้วสินะ”

เฉินตงวางแท็บเล็ตลง เอนตัวพิงบนโซฟาอย่างกลัดกลุ้ม

ชั่วขณะนั้น เขารู้สึกราวกับว่าหน้าอกของเขา ถูกก้อนหินขนาดยักษ์ยัดใส่เข้าไปจนเต็ม กดทับเขาจนหนักหนาสาหัสจนแทบจะหายใจต่อไม่ไหว

มีแม้กระทั่งความรู้สึกโกรธจนแทบอยากจะหัวเราะออกมาดัง ๆ เลยทีเดียว

“ผู้หญิงคนนี้โหดเหี้ยมจริงๆ”

ฉินเย่ถอนหายใจหนักๆ: “รูปถ่ายพวกนี้ มันมากพอที่จะสร้างกระแสที่ใหญ่มาก ๆในวงการบันเทิงได้แล้วล่ะ เพื่อที่จะจัดการกับคุณ เธอยังถึงกับกล้าขายชื่อเสียงและพรหมจรรย์ของตัวเองเลยเชียวนะ เธองัด “หลักฐานจริง” พวกนี้มาใช้ตรง ๆ เพื่อไม่ให้คุณมีโอกาสโต้กลับได้เลยแม้แต่น้อย!”

พูดพลาง เขาก็ชี้ไปที่แท็บเล็ตอีกครั้ง: “ตอนนี้บรรดาช่องทางโซเชียลสื่อหลัก ๆ ในโลกออนไลน์ทุกช่องทาง ขอแค่คุณคลิกเข้าไป ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเนื้อหาข่าวตามที่คุณเพิ่งเห็นนั่นล่ะ คนทั่วโลกกำลังรุมด่ารุมประณามคุณอยู่!”

ประชาชนล้วนชี้หน้าด่าทอ?

ผู้คนต่างรังเกียจเดียดฉันท์?

ดวงตาของเฉินตง เริ่มเปลี่ยนเป็นว่างเปล่าเลื่อนลอยไปแล้ว

ความรู้สึกสิ้นไร้เรี่ยวแรงที่ซัดเข้าใส่ เหมือนคนตกน้ำที่ค่อย ๆ หมดแรง แล้วจมดิ่งลงไปในก้นบึ้งของสายน้ำทีละน้อยๆ

หดหู่ซึมเศร้า หายใจไม่ออก ตื่นตระหนก ความร้อนรนพลุ่งพล่าน พากันจู่โจมเข้ามาไม่หยุด

หรือว่า…ครั้งนี้จะไม่มีหนทางแก้ไขได้แล้วจริง ๆ รึนี่?

ช่างเป็นหัวข้อที่เรียบง่าย แต่รุนแรงในความหมายอย่างยิ่ง

แต่ทุกคำกลับเป็นเหมือนค้อนหนัก ๆ ที่กระหน่ำทุบเข้าใส่ดวงตาของเฉินตงอย่างรุนแรง

เขาถึงกับช็อกไปชั่วขณะ

บนใบหน้าของเฉินตง ถึงกับปรากฏอาการคล้ายคนสำลักอากาศ หายใจติดขัดลมไม่เข้าปอดเลยทีเดียว

นี่เล่นวางแผนโหดเหี้ยมขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย?

คิดจะทำให้ฉัน… ชื่อเสียงป่นปี้จนไม่มีที่ยืนในสังคมเลยสินะ?

นิ้วหัวแม่มือเลื่อนลบฟีดข่าวที่ปรากฏ เฉินตงไม่ได้คลิกเข้าไปอ่าน

เพราะเขายังอยู่ในอารมณ์ตื่นตระหนกและสับสนอยู่ หลังจากเริ่มมีสติ มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา จึงรู้ตัวได้ในที่สุดว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนเป็นแผนการที่เฉินหยู่เฟยวางไว้ทั้งสิ้น

และข่าวนี้ ก็ส่งผลกระทบต่อชีวิตเขาอย่างร้ายแรงมาก!

ผู้หญิงที่นิสัยใจคอวิปริตบิดเบี้ยวคนหนึ่ง เสแสร้งแกล้งทำเป็นหญิงสาวที่โตพอจะรู้ความ ไม่มีพิษไม่มีภัยกับใครแต่ลับหลัง กลับวางแผนการร้ายได้ลึกล้ำแยบยลอย่างยิ่ง

เฉินหยู่เฟยเป็นซูเปอร์สตาร์ เธอสามารถมีชื่อเสียงโด่งดังได้ภายในเวลาเพียงปีเดียว ก็ขึ้นแท่นไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดของวงการบันเทิง มีชื่อเสียงโด่งดังสุดขีด

ทุกการเคลื่อนไหวของเธอ ล้วนดึงดูดให้สื่อหลักตามรายงานชนิดเกาะติดทุกฝีก้าว

ถูกลักพาตัวไปข่มขืน นี่เป็นเพียงหัวข้อข่าวที่ง่ายดาย แต่มีความหมายที่ร้ายแรงมาก

แค่อาศัยการพาดหัวข่าวไม่กี่ตัวอักษร ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้คนเข้าใจเขาผิด จากนั้นไม่ว่าสุดท้ายเรื่องราวที่แท้จริงจะเป็นอย่างไร ทุกคนก็จะตรึงเขาไว้บนเสาแห่งความอัปยศ แล้วตราหน้าเขาว่าเป็นคนร้ายตรง ๆ อยู่ดี

ดวงตาเย็นชากวาดมองไปทั่วห้องที่วุ่นวายเละเทะ

เสื้อผ้าที่กระจายบนพื้น รวมถึงของใช้แล้วซึ่งถูกทิ้งไว้ในถังขยะ

ในเวลานี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในสายตาของเฉินตง ล้วนกลายเป็นเรื่องตลกร้ายทั้งหมด

เฉินหยู่เฟยจะถึงกับใช้ต้นทุนที่ตัวเองมี มาลงกับเรื่องอะไรแบบนี้จริง ๆ น่ะเหรอ?

เห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้!

ผู้หญิงที่ร้ายลึกช่างวางแผนไม่ต่างอะไรกับอสรพิษ การคำนวณทุกขั้นทุกตอน จะต้องเป็นผลร้ายต่อผู้อื่น แต่เป็นประโยชน์ต่อตัวเธอเท่านั้น เธอต้องผ่านการคิดคำนวณมาหลายชั้นแล้วแน่ ๆ เพื่อปกป้องตัวเองให้ปลอดภัยอย่างถึงที่สุด

ทั้งหมดในห้องนี้ อาจเป็นเพียงการทำให้ “ข้อเท็จจริง” ดูมีความเป็นจริงมากยิ่งขึ้น

หรือบางที ในฟีดข่าวที่เด้งขึ้นมาเมื่อครู่นี้ อาจมีภาพฉากทั้งหมดที่เขาได้เห็นตรงหน้านี้ไปแล้วก็เป็นได้?

เฉินตงบีบจมูกซ้ำ ๆ ชั่วขณะนั้นเขาพลันเกิดความรู้สึกหงุดหงิด และอับจนหนทางขึ้นมาดื้อ ๆ

การวางแผนคำนวณมาในรูปแบบนี้ มีระดับกว่าสองพี่น้องเฉินเทียนหย่าง กับเฉินเทียนเซิงไม่น้อยกว่าครึ่งขั้นจริง ๆ

เฉินตงสูดหายใจเข้าลึก ๆ ฝืนระงับความคิดอันฟุ้งซ่านยุ่งเหยิงในใจลงไป

แล้วต่อสายโทรออกไปหาท่านหลง

ขณะที่สายเพิ่งเชื่อมต่อ

ทางฝั่งนั้น ปรากฏเสียงท่านหลงถอนหายใจด้วยความโล่งอกดังสวนมาทันที: “ขอบคุณสวรรค์! คุณชายครับ คุณทำให้ผมตกใจแทบตายแล้วจริง ๆ ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนครับ ? ผมจะรีบส่งคนไปรับเดี๋ยวนี้ ”

“ผมก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ผมอยู่ที่ไหนเหมือนกัน เดี๋ยวผมจะกลับเอง ท่านหลง ตอนนี้คุณต้องช่วยผมทำเรื่องที่สำคัญมาก ๆ เรื่องนึง” เสียงของเฉินตงเคร่งเครียดจริงจังอย่างมาก

“เรื่องข่าวนั่นใช่ไหมครับ?” ท่านหลงถามแบบตรงประเด็น

ในช่วงรุ่งสาง ฟีดข่าวนี้ก็กระหน่ำโจมตีขึ้นมาบนโลกโซเชียล ประดุจดั่งคลื่นลมพายุอันบ้าคลั่ง

ตอนที่ได้เห็นข่าวนี้ ท่านหลงจึงรู้ว่าเฉินตงยังปลอดภัยดีไม่ได้มีอันตรายถึงชีวิต

แต่ในตอนนี้ สิ่งที่รับมือได้ยากจริง ๆ คือ ใครเป็นคนดันข่าวข่าวนี้ขึ้นมาต่างหาก

“อื้ม อย่างแรก รีบใช้กำลังทั้งหมดที่มีในมือปิดข่าวนี้ให้เร็วที่สุด อย่างที่สอง…”

สติสัมปชัญญะของเฉินตงเริ่มสับสน น้ำเสียงกดต่ำลง เจือไปด้วยความรู้สึกผิด: “ช่วยปลอบเสี่ยวหยิ่งแทนผมด้วย ผมจะรีบกลับไปเดี๋ยวนี้แหละ”

จากนั้นจึงวางสาย

เฉินตงเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด

ไม่ว่าสุดท้ายแล้ว เขากับเฉินหยู่เฟยจะทำเรื่องนั้นลงไปจริง ๆ หรือไม่ แต่เรื่องนี้ก็กลายเป็นหนี้ก้อนโต ที่เขาได้ติดค้างกู้ชิงหยิ่งไปเรียบร้อยแล้ว

เขาสัญญากับกู้ชิงหยิ่งไว้ว่า จะมอบความสุขทั้งหมดเท่าที่จะทำได้ให้กับเธอ

แต่ตอนนี้ เรื่องแบบนี้มาเกิดขึ้นกับผู้หญิงคนหนึ่ง ไม่ว่าใครก็คงไม่อาจทนรับมันได้ไหวแน่

ต่อให้คนทั้งโลกชี้หน้าประณามเขาเขาก็ยังพอจะทำเป็นไม่สนใจได้

แต่กู้ชิงหยิ่ง ถือเป็นข้อยกเว้นเพียงหนึ่งเดียว!

ขณะที่ออกจากโรงแรมมา เฉินตงก็รู้สึกประหลาดใจมาก

เพราะนี่คือโรงแรมไท่ซาน กล่าวอีกนัยหนึ่ง หลังจากที่เฉินหยู่เฟยพาเขาออกมาเมื่อคืน เธอก็มาที่โรงแรมไท่ชานเลยโดยตรง ไม่ได้ไปที่ไหนที่อื่นเลย

เขาไม่สงสัยเลยว่า หลังจากที่เขาหายตัวไป พวกท่านหลงจะตามหาเขาในถิ่นตัวเองกันบ้างหรือไม่?

เมื่อคิดในทางกลับกัน ด้วยระยะห่างที่ใช้เดินทางเพียงช่วงสั้น ๆ ในสถานที่ที่ดูเหมือนไม่ได้มีการปิดบังอำพรางอะไรแบบนี้นี่เอง จึงทำให้ตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา พวกท่านหลงไม่อาจตามตัวเขาจนพบได้ ถึงขั้นที่ต้องรอให้เขาเป็นฝ่ายติดต่อไปเอง

แผนการที่วางอย่างเป็นลำดับขั้นตอนขนาดนี้ ถึงกับทำให้เฉินตงรู้สึกหนังหัวชาหนึบขึ้นมาเลยทีเดียว

จริง ๆ แล้วนี่ถือเป็นเรื่องที่กระต่ายตื่นตูมไปเองทั้งนั้น ล้วนเป็นแผนการที่เฉินหยู่เฟยได้คิดคำนวณเอาไว้จนหมดแล้ว

ในระหว่างที่เฉินตงกำลังเดินทางกลับบ้าน

สื่อหลักในวงการบันเทิง ต่างก็เดือดพล่านบ้าคลั่งกันไปนานแล้ว เมื่อข่าวที่ว่าดาราดังถูกลักพาตัวไปข่มขืนแพร่ออกมา ก็เป็นประเด็นใหญ่ที่กวาดล้างสื่อทุกช่อง ให้ตามเกาะติดสถานการณ์กันอย่างล้นหลาม

นับเป็นข่าวที่สะท้านฟ้าสะท้านดินอย่างแท้จริง เป็นข่าวที่สั่นสะเทือนทั้งวงการ แทบจะเทียบได้กับภูเขาถล่มถมทับทะเลเลยทีเดียว เรียกว่าแพร่กระจายออกไปจนทั่วทั้งประเทศแล้ว

ทั่วทุกตรอกซอกถนน ไม่มีใครไม่พูดถึงเรื่องนี้

ยิ่งกับคนที่ถือเป็นผู้ร้าย คำด่าทอสาปแช่งก็ยิ่งรุนแรงเผ็ดร้อน

เวลาเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น หากเทียบกันระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง ผู้หญิงจะถือเป็นฝ่ายเสียเปรียบเสียหน้ากว่าอย่างแท้จริง

นี่ก็เป็นเหตุผลสำคัญประการหนึ่ง ที่ทำให้เฉินตงรู้สึกช็อกมาก กับการคิดแผนทั้งหมดนี้ของเฉินหยู่เฟย

ทุกวันนี้อินเทอร์เน็ตพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด ทั้งสื่อบันเทิงทั้งหลายก็โลดแล่นได้อย่างอิสระไร้ขอบเขต

เมื่อข่าวถูกเผยแพร่ออกไป คลื่นลูกใหญ่ก็ซัดกระหน่ำไปทั่วโลกอินเทอร์เน็ต

ผู้คนนับไม่ถ้วนใช้ช่องทางบันเทิงหลัก ๆ เหล่านี้ ในการสืบค้นข้อมูลอย่างกว้างขวาง ถึงกับมีคนเริ่มปฏิบัติการ “ล่าแม่มด” เพื่อตรวจสอบควานหาคนร้ายในเหตุการณ์นี้อย่างละเอียด

ระยะเวลาสั้น ๆ เพียงปีเดียว เฉินหยู่เฟยก็ได้โลดแล่นขยายอิทธิพลอยู่ในวงการบันเทิง ทั้งยังได้สะสมจำนวนแฟนคลับ ที่รักใคร่ในตัวเธอไว้ได้เป็นจำนวนมากอีกด้วย

ด้วยกระแสคลื่นลมหอบใหญ่ ที่ก่อตัวขึ้นจากบรรดาแฟนคลับเหล่านี้ มันสามารถกลายเป็นดาบอันทรงอานุภาพของเฉินหยู่เฟย ที่ใช้ตัดทำลายท้องฟ้าทั้งผืนได้เลยทีเดียว!

เกิดการคอมเม้นท์ของผู้คนจนชวนตกตะลึง สร้างกระแสข่าวให้พุ่งทะยานอย่างไม่หยุดยั้ง

เมื่อดาบทรงอานุภาพนี้ถูกฟันลงไป ก็ไม่มีใครต้านทานได้ทั้งสิ้น!

เมื่อเฉินตงกลับถึงบ้าน

ทุกคนต่างนั่งรวมกันอยู่ที่ห้องนั่งเล่น บรรยากาศมืดมนอึมครึมอย่างหนัก

“คุณชาย! ในที่สุดคุณก็กลับมาสักที!”

ท่านหลงรีบลุกขึ้นก่อน ขมวดคิ้วมุ่น พลางพูดอย่างเคร่งขรึมว่า: “ผมทำทุกอย่างตามที่คุณสั่งเรียบร้อยแล้วครับ”

“อื้ม”

เฉินตงตอบอย่างสงบนิ่งเสียงหนึ่งแล้วโบกมือ: “ท่านหลง พวกคุณออกไปก่อนเถอะ ผมอยากคุยกับเสี่ยวหยิ่งสักหน่อย”

ในเวลานั้นกู้ชิงหยิ่งเอาแต่ก้มหน้านิ่ง สองมือประสานไว้ด้วยกันจนแน่น

แต่เฉินตงยังเห็นสีหน้าที่หมองหม่น ทั้งยังโศกเศร้าบนใบหน้างดงามนั้นอีกด้วย

สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกเป็นทุกข์อย่างยิ่ง ราวกับมีเข็มแหลมคมจำนวนนับไม่ถ้วน ทิ่มแทงเข้าที่หัวใจของเขาอย่างไรอย่างนั้น

รอจนพวกท่านหลงออกไปกันหมด

เฉินตงเดินไปหยุดอยู่ข้าง ๆ กู้ชิงหยิ่ง

เขาคุกเข่าลงบนพื้น แล้ววางมือทั้งสองข้างลงบนมือที่กำแน่นของเธอ

แต่ทันทีที่สัมผัสโดน กู้ชิงหยิ่งพลันเกิดอาการเหมือนคนถูกไฟฟ้าช็อต สะบัดมือออกอย่างรวดเร็วแบบไม่ทันตั้งตัว

“ขอโทษนะ”

เฉินตงคุกเข่าลงบนพื้น พูดด้วยความรู้สึกผิด

ใต้เข่าลูกผู้ชายมีทองคำ ลูกผู้ชายที่แท้จริงจะคุกเข่าให้เพียงคนที่มีค่าในชีวิตของเขาเท่านั้น

ไม่ว่าจะเป็นฟ้าดิน บิดามารดาบุพการี รวมไปถึงอีกคนหนึ่งก็คือภรรยาที่จะมาเป็นแม่ของลูก

“ฉันเชื่อคุณค่ะ”

จู่ ๆ กู้ชิงหยิ่งก็เงยหน้าขึ้น ดวงตาคู่งามแดงก่ำ น้ำตาไหลอาบ น้ำเสียงของเธอสั่นพร่าขณะที่พูดว่า: “ฉันแค่เป็นห่วงคุณ ไม่มีข่าวอะไรเลยทั้งคืน พวกท่านหลงก็ปิดบังฉันกันหมด ถ้าไม่ใช่เพราะข่าวนี้มันกระหึ่มไปทั้งโซเชียลขนาดนี้ ฉันคงโดนปิดหูปิดตาไปตลอดแล้วสินะ”

“ฉัน…” เฉินตงคิดไม่ถึง แต่ในขณะเดียวกันนั้น ความรู้สึกผิดในใจเขาก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิมแล้ว

จู่ ๆ ภาพตรงหน้าก็มืดลงอย่างกะทันหัน

ปรากฏกลิ่นหอมอบอวลลอยมาเข้าจมูก

กู้ชิงหยิ่งกอดเฉินตงแน่น พูดทั้งเสียงสะอื้นว่า: “ฉันเชื่อคุณนะ คุณไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรให้ฉันฟังตอนนี้หรอก คุณไปทำในสิ่งที่คุณควรทำเถอะ รอให้เรื่องทุกอย่างจบลง ถ้าคุณยินดีจะพูดออกมา คุณค่อยบอกฉันก็ได้”

ทุกคำทุกประโยค ช่างบาดลึกเข้าไปในหัวใจจนเจ็บแปลบ

เหมือนมีมีดคม ๆ ที่เผาไฟจนร้อนฉ่า ทิ่มแทงเข้าไปในหัวใจของเฉินตงก็ไม่ปาน

ชั่วเวลานั้น อารมณ์ความคิดของเฉินตง ก็ปั่นป่วนราวคลื่นพายุลูกใหญ่

ความรู้สึกผิด การตำหนิตนเอง ความโกรธเกรี้ยว ความเกลียดชัง โรมรันพันพัวกันจนวุ่นวาย ก่อให้เกิดความทรมานในจิตใจ ชนิดที่ไม่อาจหาอะไรมาเปรียบเทียบได้

แต่เพราะอ้อมกอดนี้ของกู้ชิงหยิ่ง กลับทำให้เขาเกิดความรู้สึกอย่างหนึ่ง ที่เหมือนตัวเองได้ค้นพบที่พึ่งพิงของหัวใจขึ้นมาได้ในชั่วพริบตา

ได้ภรรยาเช่นนี้ สามียังจะขออะไรมากมายอีกหรือ?

กู้ชิงหยิ่งค่อย ๆ คลายอ้อมแขนจากเฉินตงช้า ๆ

เธอลุกขึ้นยืนพลางยิ้มเศร้าๆ : “ไปทำธุระของคุณเถอะ ฉันไม่เป็นไรหรอก”

“เสี่ยวหยิ่ง…” เฉินตงยังคิดอยากอธิบาย

กับเรื่องประเภทนี้ กู้ชิงหยิ่งจะไม่เป็นไรจริงๆ น่ะหรือ?

แน่นอนว่า มันย่อมเป็นไปไม่ได้!

เขาไม่อยากเห็นกู้ชิงหยิ่งต้องฝืนอดทนอดกลั้น แล้วเก็บทุกอย่างไว้กับตัวเอง ทั้งไม่อยากให้เธอเข้าใจผิด ในเวลาแบบนี้ เขาควรจะอธิบายทุกอย่างให้มันชัดเจนกระจ่างแจ้ง

แต่แล้วกู้ชิงหยิ่งก็หันหลังกลับ แล้วเดินตรงขึ้นชั้นบนไปทันที

ตั้งแต่ต้นจนจบ เฉินตงไม่ได้รับโอกาสให้อธิบายเรื่องอะไรเลยแม้แต่น้อยนิด

แชะ!

ไฟแช็กถูกจุดขึ้นซ้ำอีกครั้ง ปรากฏแสงไฟที่บุหรี่สว่างวาบ

การต้องรออยู่หน้าประตู ก็ทำได้เพียงสูบบุหรี่เพื่อคลายความเบื่อหน่ายเท่านั้น

กูหลังเหลือบมองที่เขี่ยบุหรี่ข้าง ๆ เขา ซึ่งเต็มไปด้วยก้นบุหรี่ บุหรี่หนึ่งซองถูกสูบไปจนหมดซองแล้ว และม้วนที่ถูกคาบอยู่ในปากของเขา ก็คือม้วนสุดท้ายแล้วเช่นกัน

สองชั่วโมงผ่านไป ถึงจะเป็นอาหารฝรั่งเศส ก็ควรจะกินเสร็จได้แล้วไหมนะ?

เขาหันไปมองเข้าไปในร้านอาหาร แสงไฟสวยงามส่องประกายสีเหลืองนวลจับตา ใน ร้านอาหารค่อนข้างสลัว ทั้งมองไม่เห็นบริเวณตรงกลาง

กูหลังหาวหวอด พลางเหยียดตัวบิดขี้เกียจ

ในเวลานั้นเอง จู่ ๆ เสียงเพลงในร้านอาหารก็หยุดลงแบบกะทันหัน

พนักงานต้อนรับที่นำทางเฉินตงตอนแรก เดินออกมาที่ประตู จับตัวล็อกโซ่และเตรียมล็อกประตู

กูหลังชะงักไปชั่วขณะ “พี่ชาย เจ้านายของฉันยังกินข้าวอยู่ข้างในอยู่เลยนะ ทำไมถึงจะล็อกประตูซะแล้วล่ะ?”

“เจ้านาย?”

พนักงานต้อนรับยิ้มแล้วพูดว่า “อ้อ! คุณเฉินกับคุณหนูท่านนั้น ออกไปตั้งแต่เมื่อหนึ่งชั่วโมงที่แล้วแล้วล่ะครับ”

บึ้ม!

กูหลังตกใจสุดขีด ราวกับมีเสียงอะไรบางอย่างในหัวระเบิดขึ้นมา: “เป็นไปไม่ได้ ฉันนั่งรออยู่ที่หน้าประตูนี้ตลอด ไม่ไปขยับไปไหนแม้แต่ก้าวเดียว ทำไมฉันไม่เห็นพวกเขาสองคนออกมาล่ะ?”

“ต้องขออภัยด้วยครับคุณผู้ชาย พวกเขาออกทางลิฟต์ขนส่งสินค้าภายในร้านของเราไปน่ะครับ”

พนักงานตอบด้วยรอยยิ้ม ก้มหน้าแล้วล็อกประตูร้าน

ลิฟต์ขนส่งสินค้า?

มีทางออกอื่นงั้นเหรอ? !

กูหลังหยุดนิ่งอยู่กับที่ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสับสนงุนงง ในสมองเกิดเสียงดังกึกก้องอื้ออึงมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ

จะเป็นไปได้ไหมว่า…..มันเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นซะแล้ว? !

รูม่านตาของเขาค่อย ๆ หดเล็กลงจนถึงขีดสุด ความหนาวเย็นอย่างรุนแรงพลันพุ่งทะยานจากฝ่าเท้า ขึ้นไปกลางกะโหลกศีรษะอย่างน่ากลัว

แต่สิ่งที่ทำให้เขาพิศวงงงงันคือ เฉินตงไม่ใช่ว่าคอยตื่นตัว ระแวดระวังเฉินหยู่เฟยอยู่เสมอหรอกเหรอ? ทำไมไม่มาบอกกล่าวเขาสักคำ ก็จากไปตามลำพังกับเฉินหยู่เฟยซะแล้ว?

แต่อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่คำถามที่เขาควรพิจารณาในเวลานี้

กูหลังรีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา แล้วกดหมายเลขของเฉินตงทันที

ไม่กี่วินาทีต่อมา สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างหนัก สายนั้นไม่สามารถติดต่อได้โดยสิ้นเชิง

หรือว่า… จะเกิดเรื่องขึ้นแล้วจริงๆ!

จากประสบการณ์และสติของกูหลัง เขาก็ได้ข้อสรุปอย่างรวดเร็ว

เขารีบโทรหาคุนหลุนอีกครั้ง

“พี่คุนหลุน ดูเหมือนว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น คุณเฉินถูกเฉินหยู่เฟยพาตัวไปแล้ว!”

กูหลังพูดว่าถูกพาตัวไปแทนคำว่าไปด้วยกัน เพราะเขารู้ดีว่าเฉินตงมีความระแวดระวังต่อเฉินหยู่เฟยมากขนาดไหน มันเป็นไปไม่ได้ที่จู่ ๆ เขาจะไปกับเธอ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการไปด้วยกันเงียบ ๆ โดยไม่บอกไม่กล่าวเขาอย่างนี้ด้วย

“ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้นะ?”

ที่ปลายสาย คุนหลุนสบถด่าออกมาว่า ” บ้าเอ๊ย ! แล้วแกมัวทำอะไรอยู่หา?”

“ผม….” กูหลังหน้าแดงเห่อด้วยความละอาย

ไม่รอให้เขาได้อธิบายอะไร คุนหลุนก็พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดว่า: “รีบรายงานเรื่องนี้ให้ท่านหลงรู้ด่วนเลย ต่อให้ต้องพลิกทั้งเมือง ก็ต้องตามหาคุณชายให้พบให้ได้”

วิลล่าเขาเทียนซาน

หลังจากวางสาย คุนหลุนก็รีบไปพบท่านหลงทันที

แล้วเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดให้ฟังอีกครั้ง

ท่านหลงขมวดคิ้วมุ่น พูดด้วยน้ำเสียงหนักอึ้งเคร่งเครียด : “รีบออกตามหาทันที! คุณชายไปกับเฉินหยู่เฟย จะต้องไม่ใช่เรื่องดีอะไรอย่างแน่นอน พวกเขาต่างก็เป็นทายาทที่มีสิทธิ์สืบทอดตำแหน่ง ต่างฝ่ายต่างก็อยู่ในสถานะที่ต้องแข่งขันห้ำหั่นกันทุกด้านทำไมครั้งนี้คุณชายถึงได้ประมาทขนาดนี้?”

ในเวลานี้ทั้งคู่ไม่ได้ไปสืบหาสาเหตุ ว่าทำไมเฉินตงถึงได้อยู่ตามลำพังกับเฉินหยู่เฟย

เพราะพวกเขาต่างรู้ดีว่า ทั้งสองเป็นทายาทของตระกูลเฉิน การแข่งขันระหว่างพวกเขาก็เหมือนน้ำกับไฟ

ตอนนี้ที่เฉินตงหายตัวไปภายใต้เปลือกตาของกูหลัง นั่นแสดงว่าต้องมีเรื่องอะไรบางอย่างเกิดขึ้นแน่นอน!

“อย่าบอกเรื่องนี้ให้คุณผู้หญิงรู้นะ” ท่านหลงลุกขึ้นยืน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “ตามฉันไปพบท่านเมิ่งด่วน”

ทุกคนต่างทำตามลำดับคำสั่งการของท่านหลงไปทีละข้อ

ในยามค่ำ ทั่วทั้งเมืองดูเหมือนจะพลุกพล่านอลหม่านขึ้นมาอย่างผิดหูผิดตา

แต่สิ่งที่ทำให้ท่านหลงกับคุนหลุนต้องผิดหวังก็คือ หลังจากรวบรวมข่าวที่ได้มาชิ้นแล้วชิ้นเล่า ก็ยังไม่มีร่องรอยว่าจะหาตัวเฉินตงพบ!

มันเหมือนกับว่าทั้งเฉินตงและเฉินหยู่เฟย ได้จมหายลงไปในท้องทะเลอันกว้างใหญ่ สูญสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย

แม้จะอยู่ภายใต้การดำเนินการของท่านเมิ่ง การค้นหาชนิดแทบจะพลิกทั้งเมืองหา ก็ยังไม่สามารถตรวจพบเบาะแสใดๆได้เลย!

หลังจากที่กูหลังสำรวจจนรอบร้านอาหาร เขาก็พบว่ากล้องวงจรปิดทั้งหมดในร้าน ถูกทำลายจนเสียหาย หรือไม่ก็ถูกบิดเปลี่ยนเส้นทางไปจนหมด

ผลลัพธ์เช่นนี้ ทำให้ท่านหลงกับคุนหลุนแทบจะคลั่งตายให้ได้แล้ว

นี่เห็นได้ชัดว่า เป็นแผนการที่ถูกคิดไตร่ตรองเอาไว้ล่วงหน้าอย่างดี

และเพราะมันเป็นแผนการที่คิดไตร่ตรองล่วงหน้ามาอย่างดีนี่แหละ ถึงทำให้ทั้งสองคนตื่นตระหนกมากขึ้นทุกขณะแบบนี้

ราวกับว่าเพียงพริบตา เบาะแสทั้งหมดก็ถูกตัดขาดไปทันที ต่อให้ท่านหลงจะแข็งแกร่งมากกว่านี้สักเท่าไหร่ เขาก็ไม่มีทางใช้มันได้อย่างเต็มประสิทธิ์ภาพอยู่ดี

รวมถึงความปลอดภัยของเฉินตง ก็ไม่สามารถตรวจสอบได้อีกด้วย

ชั่วระยะเวลาหนึ่งคืน

เมืองทั้งเมืองปั่นป่วน ภายใต้การยืนกรานของท่านหลง แม้ว่าจะไม่มีผลลัพธ์ใด ๆ ก็ตาม กำลังคนทั้งหมดก็ยังคงสืบเสาะค้นหากันอย่างไม่ลดละ

ถึงขั้นที่ว่า มีการย้ายคนจากสำนักงานซึ่งทำงานอยู่ที่เมืองข้างเคียงกลางดึก เพื่อมาช่วยกันทำการค้นหาในครั้งนี้เลยทีเดียว

บนขอบฟ้า เริ่มปรากฏริ้วแสงสีขาวราวท้องปลาขึ้นทีละน้อย ๆ

ในที่สุดก็รุ่งเช้าแล้ว

ท่านหลงนั่งอยู่หน้าระเบียงอย่างอ่อนล้าอิดโรย มีโทรศัพท์มือถือหลายสิบเครื่องอยู่ตรงหน้าเขา

คุนหลุนกับกูหลังก็อยู่อีกด้านหนึ่งเช่นกัน ใบหน้าของแต่ละคนไม่อาจซ่อนความเหนื่อยล้าได้

การที่ไม่ได้นอนมาทั้งคืน บวกกับการออกค้นหาเฉินตงกันอย่างหนัก ทำให้ทั้งสามคนหมดสิ้นเรี่ยวแรง ทั้งยังตื่นตระหนกจนถึงขีดสุดแล้วจริงๆ

จนถึงขณะนี้ ก็ยังไม่มีเบาะแสเงื่อนงำใด ๆ เลย

“ท่านหลง หรือว่าคุณชายจะถูก….”

คุนหลุนพึมพำอย่างสิ้นหวัง พูดได้เพียงครึ่งประโยค แต่ความหมายกลับชัดเจนในตัวของมัน

บุญคุณความแค้นของพวกตระกูลเศรษฐี ผู้มั่งคั่งร่ำรวยทั้งหลาย จุดจบของการแข่งขันแย่งชิงกันระหว่างผู้สืบทอด ไม่ว่าจะเป็นผลลัพธ์แบบไหน ก็สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น

ยกตัวอย่างง่าย ๆ ก็เช่นเฉินเทียนหย่าง กับเฉินเทียนเซิงนั่นประไร เดิมทีทั้งคู่ต่างก็ใช้วิธีการที่เรียกได้ว่าโหดร้ายชนิดไร้ขีดจำกัดมาโจมตีเฉินตงไม่ใช่หรอกรึ!

ท่านหลงฝืนยิ้มอย่างขมขื่น

“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง พวกเราสามคนก็เตรียมฝังศพคุณชายให้พร้อมเถอะนะ”

เพียงประโยคเดียว ระเบียงที่ปกคลุมไปด้วยแสงแดดยามเช้าที่สาดส่องมา ก็ไม่ให้ความรู้สึกที่อบอุ่นนุ่มนวลอีกต่อไป

……………

ห้องพักในโรงแรม

ม่านหนาที่หน้าต่าง บดบังแสงแดดยามเช้า จนไม่อาจเล็ตรอดเข้ามาได้แม้เพียงเศษเสี้ยว

กลิ่นหอมจาง ๆ ลอยกรุ่นกระจายไปทั่วห้อง

เตียงนอนเละเทะยับย่น ทั้งยังมีเสื้อผ้าผู้หญิงกระจัดกระจายอยู่บนพื้น

เฉินตงลืมตาขึ้น หัวของเขาปวดบวม เหมือนผ่านการเมาค้างมาตลอดทั้งคืนอย่างไรอย่างนั้น

สายตาของเขากวาดมองทุกสิ่งในห้องอย่างมึนงง ความทรงจำค่อย ๆ หลั่งไหลออกมาช้า ๆ

เขาสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง แตกตื่นตกใจสุดขีด

“เมื่อคืนนี้… เฉินหยู่เฟย…”

มองดูห้องว่าง ๆ ที่มีแค่เขาคนเดียว เตียงที่เละเทะยับยู่ยี่ ดูเหมือนจะบอกอะไรบางอย่าง

ทันใดนั้น เขาก็สังเกตเห็นกางเกงรัดรูปของผู้หญิงตกอยู่บนพื้น รูม่านตาพลันหดเล็กลงทันที

หรือจะเป็น…..

จู่ ๆ ความคิดที่น่ากลัวความคิดหนึ่ง ก็ผุดขึ้นมาในหัวของเขา

เฉินตงส่ายหัวอย่างไม่กล้าเชื่อตัวเอง: “ไม่หรอกน่า ต้องไม่ใช่แน่ ๆ…”

เขายืนขึ้นในสภาพโซซัดโซเซ รีบร้อนแต่งตัวด้วยความตื่นตระหนก

แต่หลังจากปลายหางตาเหลือบมองไปเห็นของที่ใช้แล้วในถังขยะ ในสมองเขาก็คล้ายมีระเบิดลูกใหญ่ระเบิดขึ้นอย่างกะทันหัน ราวกับว่าสมองเขามันว่างเปล่าไปชั่วขณะ ไม่เหลือขวัญเหลือวิญญาณอีกต่อไป ทรุดตัวนั่งลงบนเตียงอย่างอ่อนแรง

ความแน่วแน่เพียงอย่างเดียวที่เหลืออยู่ ถูกทำลายจนป่นปี้ด้วยสิ่งของที่แสนจะสะดุดตา ซึ่งเวลานี้มันเด่นหราอยู่ในถังขยะ

เมื่อคืนนี้..……

เฉินตงหวาดวิตกอย่างมาก เป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะปรากฏตัวในสภาพเช่นนี้

แต่ด้วยทุกสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เขาถึงกับสามารถสร้างภาพต่อในสมอง เรื่องที่เฉินหยู่เฟยทำกับเขาหลังเกิดความมึนงงสับสนเมื่อคืนนี้ได้

แต่นี่ เขาจะอธิบายให้กู้ชิงหยิ่งฟังได้ยังไงกันล่ะ?

กว่าที่เขากับกู้ชิงหยิ่งจะฟันฝ่าความยากลำบากกันมา จนสุดท้ายถึงได้มาพบเจอความสุขอย่างทุกวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ทำไมจู่ ๆ ถึงได้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาได้นะ?

ในขณะที่นึกโทษตัวเองอยู่นั้น เฉินตงก็เต็มไปด้วยความโกรธแค้นในเวลาเดียวกัน

“เฉินหยู่เฟย….”

เขากัดฟันเค้นเสียงคำรามลอดไรฟันออกมาประโยคหนึ่ง

เฉินตงควานหาโทรศัพท์มือถือของเขา ซึ่งมันถูกปิดเครื่องอยู่

ขาดการติดต่อไปทั้งคืน พวกท่านหลงคงจะตามหากันจนแทบบ้าแล้วแน่ๆ

สิ่งสำคัญที่สุดคือ ต้องรีบรายงานความปลอดภัยของตัวเองก่อน จากนั้นถึงค่อยหาเวลาคิดจัดการเรื่องราวต่อ ๆ ไป

แต่เมื่อเปิดโทรศัพท์ ก็มีข่าวด่วนข่าวหนึ่ง เด้งขึ้นมาต่อหน้าต่อตาของเฉินตง

ทันใดนั้นเฉินตงก็รู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่ากลางแดดจัด ๆ มันช็อตจนสมองของเขาด้านชา ไม่รับคำสั่งอะไรทั้งสิ้น

【สุดช็อก! ซูเปอร์สตาร์เฉินหยู่เฟย ถูกลักพาตัวไปข่มขืนกลางดึก! 】

ยามพลบค่ำ

เฉินตงพากูหลังมุ่งตรงไปยังสถานที่ที่ตกลงกันไว้กับเฉินหยู่เฟย

นี่เป็นห้องอาหารแบบส่วนตัวระดับไฮเอนด์ ซึ่งหรูหราดูมีระดับอย่างยิ่ง

ดนตรีไพเราะ แสงไฟงามระยับจับตา

การเล่นเฉดสีรอบ ๆ ห้อง ช่วยขับเน้นบรรยากาศให้โดดเด่นขึ้นมาอย่างถึงที่สุด

แต่ภายในร้านอาหาร ณ เวลานี้กลับเงียบสงบ เสียงดนตรีบรรเลงซ้ำวนไปมา ทว่ากลับไม่มีลูกค้าเลยแม้แต่คนเดียว

“คุณเฉิน โปรดตามผมมาทางนี้ครับ”

พนักงานต้อนรับคนหนึ่งเดินเข้ามาทักทายเขา

“นายรู้จักฉันด้วยเหรอ?” เฉินตงถามด้วยความรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย

พนักงานต้อนรับยกยิ้มเล็กน้อย: “คืนนี้ คุณหนูเฉินได้จองร้านอาหารแห่งนี้ไว้ทั้งร้านแล้วครับ คนเดียวที่สามารถเข้ามาในร้านได้ จะต้องเป็นคุณเฉินอย่างแน่นอน”

ขณะที่พูด เขาก็มองไปที่กูหลัง: “ขออภัยครับคุณผู้ชายท่านนี้ คุณหนูเฉินเชิญคุณเฉินเพียงคนเดียวเท่านั้น รบกวนคุณไปรออยู่ด้านนอกนะครับ”

กูหลังพยักหน้ารับรู้ หันหลังแล้วเดินไปที่เก้าอี้ซึ่งอยู่หน้าประตูเพื่อนั่งรอ

เดิมทีเขามีหน้าที่มาคุ้มครองเฉินตง ดังนั้นจึงไม่สำคัญ ว่าเขาจะเข้าไปในร้านอาหารได้หรือไม่

“เตรียมอาหารเย็นให้เพื่อนของฉันชุดหนึ่ง รหัสคือเลข 6 หกตัว”

เฉินตงยื่นบัตรธนาคารไปให้พนักงาน แล้วจึงเดินเข้าไปในร้านอาหาร

ร้านอาหารอยู่ตรงกลาง รายล้อมไปด้วยแสงไฟระยิบระยับ

เฉินหยู่เฟยที่อยู่ในชุดราตรียาวสีแดงสดนั่งอยู่ที่โต๊ะ ด้านหลังของเธอ เผยช่วงเอวทรงS-curveอันงดงามสมบูรณ์แบบ

คิ้วตางดงาม เผยความสง่ามีราศีอย่างถึงที่สุด

เปรียบเสมือนดั่งนกยูงผู้สูงศักดิ์อย่างไรอย่างนั้น

นิ้วเรียวงามขาวละเอียดดังหยกค่อย ๆ ลูบที่ขอบแก้วไวน์แดงอย่างเชื่องช้า

ภาพฉากนี้ ภายใต้การเสริมของแสงและดนตรีที่คลออยู่เบื้องหลัง ทุกอย่างดูงดงามลงตัวดุจดั่งภาพวาดของจิตรกรเอกชั้นหนึ่ง

ไม่เว้นแม้แต่เฉินตง ที่แค่ได้เห็นเพียงแวบแรก ก็ยังอดรู้สึกตกตะลึงไม่ได้

ต้องบอกตรง ๆ ว่า ต่อให้ไม่มีผู้สนับสนุนรายใหญ่อย่างตระกูลเฉิน แต่ถ้าเฉินหยู่เฟยอยากจะเข้าสู่วงการบันเทิงจริง ๆ ด้วยความงดงามของเธอ ก็เพียงพอที่จะเป็นอาวุธที่จะช่วยให้ความปรารถนาของเธอเป็นจริงได้ง่าย ๆ อยู่แล้ว

“พี่ตง”

เมื่อเฉินหยู่เฟยเห็นเฉินตง คิ้วของเธอก็ยกสูง เผยรอยยิ้มกว้างทันที

ในดวงตาที่มืดสลัวและลึกล้ำ พลันปรากฏแสงสว่างวาบขึ้นมาในพริบตา

ทุกการกระทำช่างดูเหมือนว่า เธอเป็นเพียงสาวน้อยที่แสนจะไร้เดียงสาคนหนึ่งเท่านั้น

แต่ในสายตาของเฉินตงแล้ว ในใจของเขากลับนึกเย้ยหยันไม่หยุด

เขาเดินไปที่โต๊ะอย่างเฉยเมย หลังจากนั่งลง เขาก็ถามออกไปตรง ๆ ว่า “ที่เธอนัดฉันออกมากินข้าว สรุปว่าต้องการอะไรกันแน่?”

“ทำไมล่ะ? มีคนมาที่บ้านของพี่ แล้วเชิญพี่กินข้าวด้วยกันสักมื้อ จำเป็นต้องมีจุดประสงค์อะไรด้วยเหรอ?”

เฉินหยู่เฟยยิ้มอย่างไม่พอใจนัก ชี้ไปที่แก้วไวน์ที่อยู่ข้างหน้าเฉินตง แล้วพูดว่า : “นี่เป็นไวน์แดงเกรดพรีเมียมที่บ่มมานานหลายปีจนได้ที่ ตอนนี้เป็นเวลาเหมาะสมที่สุดที่จะนำมาดื่ม หวังว่าพี่ตงคงจะไม่รังเกียจ ”

เฉินตงมองไปที่ไวน์แดงในแก้ว นิ่งสนิทไม่มีการแตะต้อง

“กลัวฉันจะวางยางั้นเหรอ?”

เฉินหยู่เฟยคล้ายจะมองความคิดของเฉินตงออก จึงยิ้มพลางหยิบแก้วไวน์ของเฉินตงขึ้นมา แล้วดื่มไวน์แดงในแก้วนั้นจนหมด

จากนั้น เธอก็ดื่มไวน์แดงในแก้วของตัวเองจนหมดไปอีกแก้วหนึ่ง

หลังจากเทไวน์ลงในแก้วเปล่าสองใบอีกครั้ง เธอก็กะพริบตาปริบๆ “ตอนนี้พี่จะเชื่อได้รึยัง?”

เฉินตงนิ่งเงียบไม่ตอบ แต่ดวงตาของเขา กลับจับจ้องไปที่ขวดไวน์แดง

“พี่นี่ช่างสงสัยซะจริงน้า!”

เฉินหยู่เฟยถอนหายใจด้วยท่าทีจนใจ หยิบขวดไวน์ขึ้นมา แล้วยกกระดกเข้าปากไปตรง ๆ แบบอึกใหญ่ ๆ

การดื่มไวน์แดงในลักษณะเช่นนี้ ถือเป็นการดื่มที่หยาบคายมากอย่างเห็นได้ชัด

แต่เฉินหยู่เฟยที่ทำเรื่องนี้ออกมา กลับกลายเป็นการแสดงเสน่ห์ที่แตกต่างออกไปในอีกรูปแบบหนึ่งแทน

เธอวางขวดไวน์ลง หยดไวน์แดงเป็นประกายค่อย ๆ ไหลหยดลงมาจากมุมปากของเธอ ด้วยฤทธิ์ของไวน์แดง เธออดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วมุ่น สร้างความรู้สึกว่าดูน่าสงสาร น่าเห็นใจให้แก่คนที่ได้พบเห็น

“ตอนนี้โอเคแล้วสินะ”

เฉินตงหยิบขวดไวน์ขึ้นมาอย่างใจเย็น เทไวน์แดงลงในแก้วของเขาไปแก้วหนึ่ง แกว่งแก้วสองสามครั้ง แล้วดื่มจนหมดในคราวเดียว

หลังจากได้ลิ้มรสชาติของไวน์แดงเข้าไปไม่กี่วินาที เขาก็พูดขึ้นช้า ๆ ว่า “เป็นไวน์แดงระดับยอดเยี่ยมจริง ๆ ”

“นั่นมันแน่อยู่แล้ว นี่เป็นระดับของสะสมเชียวนะ ฉันเอามันออกมาจากห้องเก็บไวน์ตระกูลเฉินเลยด้วย”

เฉินหยู่เฟยทำท่าทางเหมือนเด็กที่ทำความผิด ขยับเข้าไปจนใกล้เฉินตงด้วยอาการลับ ๆ ล่อ ๆ กระซิบพูดเสียงเบาว่า “ไวน์ขวดนี้ราคาหลายแสนเลยนะ ถ้าคุณย่ารู้เข้า ฉันคงโดนดุยกใหญ่เลยเชียวล่ะ”

เฉินตงแค่นเสียงเย็นชา: “ตอนนี้จะคุยธุระได้รึยัง?”

“ไม่มีธุระอะไรจริง ๆ”

เฉินหยู่เฟยมองเฉินตงอย่างไม่สบอารมณ์ รินไวน์แดงให้ตัวเองแก้วหนึ่ง จากนั้นจึงหั่นสเต๊กเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วเริ่มกิน

ผู้หญิงแบบนี้ จะแค่ชวนฉันออกมากินข้าวเฉย ๆ จริงน่ะเหรอ?

เฉินตงขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ เขาแค่เริ่มดื่มและกินสเต๊กบ้าง

ในภัตตาคาร

เสียงเพลงไพเราะก้องกังวาน

แต่บนโต๊ะอาหาร กลับเงียบกริบไร้เสียงเจรจาพาที

มีเพียงเสียงมีดและส้อมกระทบจานอาหารเบา ๆ และเสียงคนทั้งสองกระทบโดนแก้วเป็นครั้งคราว

ในไม่ช้า ใบหน้างดงามของเฉินหยู่เฟย ก็เริ่มแดงเรื่อทั้งสองข้างแก้ม มีท่าทางคล้ายจะเริ่มเมานิดหน่อยแล้ว

“พี่ตง ฉันคิดว่าพี่หล่อมาก ๆ เลยนะ” เฉินหยู่เฟยเหมือนอาศัยช่วงที่ตัวเองเมา เปิดบทสนทนาขึ้นมาเองดื้อๆ

มือขาวดั่งหยกท้าวที่คาง มองหน้าเฉินตงด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ดวงตายิบหยีหรี่ลงจนเป็นรูปจันทร์โค้งสองเสี้ยว

“ดังนั้นเธอจะบอกว่า เธอชอบฉันว่างั้น?” เฉินตงตอบรับอย่างเฉยเมย

เฉินหยู่เฟยหัวเราะคิกคัก รินไวน์ให้ตัวเองอีกแก้ว แล้วดื่มรวดเดียวจนหมด: “พี่พูดถูกจริง ๆ นั่นแหละ”

เคร้ง!

เฉินตงวางมีดและส้อมลง ขมวดคิ้วมองเฉินหยู่เฟยที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขา

ต่อให้เป็นประสบการณ์อ่านใจคน หรือการสังเกตนิสัยที่เขามี แต่ ณ เวลานี้ เขาก็ยังไม่อาจทำความเข้าใจในตัวเฉินหยู่เฟยได้

ผู้หญิงคนนี้ แผนการลึกล้ำจนสุดจะหยั่งถึงจริงๆ!

เรียกว่าฉลาดกว่าเฉินเทียนหย่าง ไม่สิ ! ฉลาดกว่าเฉินเทียนเซิงเลยด้วยซ้ำ !

เฉินหยู่เฟยกำลังละเลียดไวน์แดง แกว่งแก้วไวน์ในมือไปมา คล้ายว่าเธอกำลังพูดกับตัวเอง ในลักษณะของคนที่พอเมาแล้ว จะพึมพำกับตัวเองไปเรื่อยเปื่อย

“ที่จริงแล้วน่ะนะ แม้ว่าฉันจะมีสถานะเป็นผู้สืบทอดของตระกูลเฉิน แต่ฉันเป็นผู้หญิง ฉันรู้ดีว่าฉันไม่มีความหวังที่จะได้เป็นผู้นำตระกูล เหตุผลที่ฉันมีสถานะของผู้สืบทอดได้ อาจเป็นเพราะฉันเป็นที่รักใคร่ของคุณย่า ท่านเลยฝืนเอาสถานะนี้มาให้ฉันก็ได้ล่ะมั้ง ”

“ถึงขั้นที่ว่า ฉันเองยังรู้สึกเลยว่า คุณสมบัติของการเป็นผู้สืบทอดของฉัน ยังไม่ดีเท่าพี่เลยด้วยซ้ำ.… ฮะ ๆ ๆ ขอโทษที ฉันต้องขอพูดตรง ๆ เลยนะ พี่ที่ใครต่อใครในตระกูลเรียกกันว่าเป็นลูกสวะที่มีสิทธิ์สืบทอดตระกูล ฉันก็ยังสู้พี่ไม่ได้อยู่ดี ”

เฉินตงขมวดคิ้ว ในใจรู้สึกอัดอั้น

คำว่าลูกสวะสองคำนี้ เขาไม่สนใจมันนักหรอก

เพราะตั้งแต่เล็กจนโต เขาถูกด่า ถูกเหยียดหยามด้วยคำพูดแบบนี้มาตลอดอยู่แล้ว

แต่การได้ยินคำพูดนี้จากปากของเฉินหยู่เฟย มักทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจอยู่เสมอ

เฉินหยู่เฟยเหมือนจะไม่รู้ถึงความไม่พอใจของเฉินตง ยังคงพร่ำพูดกับตัวเองต่อไป

“ในชีวิตนี้ของฉันนะ ความปรารถนาสูงสุดของฉัน ก็คือการได้เป็นดาราดังในวงการบันเทิง แค่นั้นฉันก็พอใจมากแล้ว มีคนตั้งนับหมื่นนับพันมาชื่นชม มันดีจะตายไปไม่ใช่เหรอ”

“นอกจากนี้ ตอนที่ฉันอยู่บ้านแล้วได้ยินพวกเขาพูดถึงพี่ตง ฉันก็รู้สึกว่าพี่ตงไม่มีคุณสมบัติพอจะเป็นผู้สืบทอดได้หรอก แต่เมื่อฉันเจอพี่ตง ความคิดของฉันก็เปลี่ยนไปเลย”

ขณะที่พูด มือขวาของเฉินหยู่เฟยก็ดูคล้ายจะร่วงตกลงไปแบบไม่ตั้งใจ แต่มือนั้นกลับร่วงตกลงไปบนหลังมือของเฉินตงอย่างพอดิบพอดี

นิ้วหยกลูบไล้ที่หลังมือของเฉินตงเบา ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ฉันคิดว่า พวกทายาทที่มีสิทธิ์เป็นผู้สืบทอดในตระกูลพวกนั้น ก็ยังสู้พี่ตงไม่ได้เลยสักคน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสามารถหรือรูปลักษณ์ จะยังไงฉันกับพี่ตงต่างก็เป็นคนตระกูลเฉินทั้งคู่ แต่ความสัมพันธ์ทางสายเลือดของพวกเรา ก็ยังนับว่าห่างกันไกลโขอยู่ เพราะงั้นถ้าฉันจะชอบพี่ตง ก็ไม่น่าจะเป็นไรหรอกใช่มั้ยล่ะ?”

เพี๊ยะ!

เฉินตงใช้มือข้างหนึ่ง ปัดมือของเฉินหยู่เฟยออกไปทันที

เขายืนขึ้น จ้องเขม็งด้วยสายตาโกรธเคือง : “ฉันเคยเตือนเธอแล้วนะ ถ้าไม่อยากเป็นศัตรูกับฉัน ก็อยู่ให้ห่าง ๆ ฉันไว้”

พูดจบ เฉินตงก็หันหลัง เตรียมจะเดินจากไป

แต่ทันทีที่เขาเคลื่อนไหว ความรู้สึกเวียนหัวอย่างรุนแรง ก็พุ่งเข้าโจมตีเขาอย่างกะทันหัน

เขาตัวสั่นไหวโอนเอน รีบยื่นมือขวาไปจับเก้าอี้พยุงตัวไว้อย่างเร่งรีบ จ้องไปที่เฉินหยู่เฟยอย่างโกรธเกรี้ยว : “ไวน์นี่….. ”

เฉินหยู่เฟยแย้มยิ้มอย่างมีเสน่ห์ ชี้มือไปที่แก้วไวน์: “ฉันไม่ทำให้ไวน์แดงเสียหายสิ้นเปลืองไปเปล่า ๆ หรอกนะ แต่ว่าลิปสติกของฉันนี่ ก็ไม่แน่…… ”

ขณะที่พูด เธอก็ค่อย ๆ ลุกขึ้น เดินไปข้าง ๆ เฉินตง แล้วเป่าลมร้อนใส่หูของเขา: “พี่ตง ยกโทษให้ฉันด้วยนะ ฉันชอบพี่มากเลยล่ะ เพราะงั้นคืนนี้ ฉันจะกินพี่ให้เกลี้ยงเลย”

“ไร้ยางอาย!”

เฉินตงกัดฟัน ปากก็หลุดคำด่าออกมาคำหนึ่ง

เขาอยากไปจากที่นี่ แต่อาการเวียนหัวกลับเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้น ราวกับว่าประตูระบายน้ำที่ถูกเปิดออก ไร้หนทางหยุดยั้งต้านทาน

สิ่งที่ทำให้เขาตกใจยิ่งกว่า นั่นก็คือคลื่นความร้อนบางอย่างที่ก่อตัวขึ้นในท้องของเขา

ในเวลานี้ เขารู้สึกว่าโลกกำลังหมุน แสงไฟในร้านอาหารที่สะท้อนประกายแสงออกมา ยิ่งดูมีเสน่ห์ พราวระยับจับตามากขึ้นเรื่อยๆ

เฉินหยู่เฟยที่ยืนอยู่ตรงหน้า ยิ่งดูงดงามดึงดูดใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้คนที่ได้พบเห็นรู้สึก…..ตะลึงงันลุ่มหลง เกิดอารมณ์สับสนว้าวุ่นไม่หยุด

“อยู่ค้างด้วยกันเถอะนะ”

เฉินหยู่เฟยยิ้มหวาน ยื่นมือออกไปโอบเอวของเฉินตงไว้อย่างนุ่มนวล แล้วดึงเข้ามาเบา ๆ

เฉินตงแขนขาอ่อนแรง เสียการทรงตัวในทันที ทรุดเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของเฉินหยู่เฟย วิสัยทัศน์ตรงหน้าก็ค่อย ๆ เลือนรางลงไปทุกที ๆ …..

ยามดึกสงัด

รอบด้านเงียบสนิท

ในห้องนอน ทีวีติดผนังกำลังถ่ายทอดสดข่าวบันเทิง

ในข่าวนั้น เป็นภาพของนักข่าวบันเทิงที่กำลังสัมภาษณ์เฉินหยู่เฟย

เฉินตงขมวดคิ้วน้อยๆ จ้องดูทีวีเขม็ง แต่กลับไม่รู้สึกง่วงเลยแม้แต่น้อย

“ที่รัก ดึกขนาดนี้แล้วยังไม่นอนอีกเหรอ?” กู้ชิงหยิ่งคลอเคลียอยู่ในอ้อมแขนของเฉินตง

“ฉันจะดูอีกสักพักน่ะ” เสียงของเฉินตงหนักอึ้งเคร่งเครียด สีหน้าหมองหม่นกังวล

กู้ชิงหยิ่งชำเลืองมองดูทีวี แล้วพูดอย่างจนใจว่า : “ เรื่องมันจบลงไปแล้ว ท่านหลงก็หายดีจนออกจากโรงพยาบาลแล้วด้วย ทำไมคุณถึงยังกังวลเกี่ยวกับเรื่องของเฉินหยู่เฟยอีกล่ะ?”

เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์แล้ว ที่ท่านหลงได้รับบาดเจ็บ

โชคดีที่ท่านหลงไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรง ตอนนี้ได้กลับไปพักฟื้นที่บ้านแล้วเรียบร้อย

ภาพที่เฉินตงกับเฉินหยู่เฟย พบกันที่โรงพยาบาลลี่จิงในวันนั้น ได้ถูกแชร์ไปจนว่อน Social Network อย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดความปั่นป่วนอย่างมหาศาล

เพื่อขจัดความกังวลของกู้ชิงหยิ่ง เฉินตงจึงได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้เธอฟัง

เช่นเดียวกับความคิดของเฉินตง กู้ชิงหยิ่งเองก็รู้สึกว่าเฉินหยู่เฟยเป็นแค่ “เด็กอันธพาล” ที่คิดว่าท่านหลงเป็นคนข้างกายของเฉินตง การเฆี่ยนท่านหลงจึงถือเป็นการระบายโทสะ ได้แก้แค้นแทนคุณหญิงใหญ่เฉินแล้วนั่นเอง

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เป็นการตีวัวกระทบคราด เพื่อทำให้เฉินตงลำบากใจ

แต่นับตั้งแต่ช่วงสัปดาห์นี้มา เฉินตงก็ดูวิดีโอสัมภาษณ์ที่เกี่ยวข้องเฉินหยู่เฟยเกือบทุกคืน

นี่ทำให้กู้ชิงหยิ่งมีความรู้สึกเหมือนว่า ตัวเองถูกทอดทิ้ง

ใครบอกว่าคู่บ่าวสาวข้าวใหม่ปลามัน จะได้บรรเลงเพลงรักยามค่ำคืนทุกวันกันนะ?

“ฉันเอาแต่รู้สึกว่า เรื่องมันไม่น่าจะจบลงง่าย ๆ แบบนี้แน่”

เฉินตงยกนิ้วขึ้นชี้ไปที่ทีวี: “ดูสิ เมื่อไหร่ก็ตามที่เฉินหยู่เฟยเผชิญกับการสัมภาษณ์ เจ้าหล่อนจะสงบอยู่เสมอ พูดจาดีมีจังหวะจะโคน ทั้งคำพูดและการแสดงออก ก็ไม่เคยเผยความโกรธเคืองให้เห็น ทั้งยังไม่พบข้อบกพร่องเลยแม้แต่นิดเดียวด้วย”

หลังออกจากโรงแรมในวันนั้น เฉินตงก็เอาแต่ครุ่นคิดถึงเรื่องที่ได้พบกับเฉินหยู่เฟย

ตลอดเหตุการณ์วันนั้น เฉินหยู่เฟยเอาแต่แสดงความหลงตัวเอง และท่าทีอันหยิ่งผยองราวกับไม่เห็นใครในสายตา แต่เขากลับรู้สึกว่า มันดูไร้เหตุผลอย่างไม่น่าเป็นไปได้

แต่ต่อให้มันดูไร้เหตุผล ไม่น่าเป็นไปได้สักแค่ไหน เฉินตงก็ไม่อาจปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปได้อยู่ดี

หรือเฉินหยู่เฟยจะเป็นคนโง่ไร้สมองงั้นรึ?

ไม่! เธอไม่โง่อย่างแน่นอน!

ถ้าเธอเป็นพวกโง่ไร้สมองจริง ๆ ไม่มีทางที่เธอจะถูกโอบประคอง จนเหมือนเป็นอัญมณีอันแสนมีค่าในฝ่ามือของคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินแน่ ๆ

ยิ่งไปกว่านั้น เธอยังอยู่ในวงการบันเทิงที่แสนจะซับซ้อน มากเล่ห์แสนกลอีกด้วย

แม้จะได้รับการสนับสนุนจากตระกูลเฉิน แต่ถ้าเจ้าตัวไม่มีความสามารถจริง ๆ แถมยังมีนิสัยที่หลงตัวเองและหยิ่งผยอง ก็คงเป็นเรื่องยากที่จะอยู่ในวงการบันเทิงได้

แต่ทั้งที่เป็นอย่างนั้น เฉินหยู่เฟยก็ยังประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม

ไม่ว่าจะเป็นในวงการบันเทิง หรือความนิยมจากบรรดาผู้ชมทั้งหลาย

ดวงตาของกู้ชิงหยิ่งเป็นประกายหม่นแสง หันไปดูวิดีโอสัมภาษณ์พร้อมเฉินตง

พูดกันตามตรง มันก็เป็นเหมือนกับที่เฉินตงพูดมาจริง ๆ นั่นแหละ

ทั้งการพูดและกริยาท่าทาง แม้แต่กู้ชิงหยิ่งเอง ก็ยังเกรงว่าจะทำไม่ได้ขนาดนั้นด้วยซ้ำ

เรียกได้ว่า…ปกปิดมิดชิด ชนิดที่ไม่มีจุดด่างพร้อยรั่วไหลออกมาให้เห็น

การใช้คำว่า “หยิ่งผยองหลงตัวเอง” มาบรรยายคนแบบนี้ เห็นได้ชัดว่ามีอคติในใจ

“คุณคิดว่าวันนั้นที่เธอมาพบคุณ เธอจงใจแสดงท่าทางแบบนั้นให้คุณเห็นสินะ?”

กู้ชิงหยิ่งถามด้วยความสงสัย: “แต่ถ้าหล่อนทำไปโดยเจตนา นี่ก็ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์แล้วนะ น่าจะมีการเดินเกมอะไรต่อได้แล้วสิ”

“จุดนี้ฉันคิดยังไงก็คิดไม่ออกเหมือนกัน”

เฉินตงขยี้ผมอย่างหงุดหงิด มองกู้ชิงหยิ่งที่ดูเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลีย เริ่มหาวออกมาแล้ว

เฉินตงระงับความรู้สึกสงสัยในใจไว้ก่อน

เขาจูบหน้าผากกู้ชิงหยิ่งเบา ๆ พูดเสียงอ่อนโยนว่า : “เอาเถอะ ช่วงหลายวันมานี้ลำบากคุณแล้วจริง ๆ ต้องมานอนดึกเป็นเพื่อนทุกวัน ฉันไม่คิดแล้วดีกว่า ไปนอนกันเถอะ”

“นอนกัน?” ร่างกายของกู้ชิงหยิ่งสั่นระริก รู้สึกถึงความร้อนที่ใบหู ความเขินอายแผ่กระจายจากโคนหูไปที่แก้ม จนหน้าแดงเห่อร้อนไปหมด

เฉินตงยกยิ้มเจ้าเล่ห์: “ตามนั้นแหละ!”

…………………

เพียงพริบตา เวลาก็ผ่านไปอีกหนึ่งสัปดาห์

ทุกอย่างเงียบสงบไร้คลื่นลม

ชีวิตดูเหมือนว่าจะกลับมาเป็นปกติดีทุกประการ

เฉินหยู่เฟยไม่มาปรากฏตัวอีกเลย ราวกับว่าเรื่องการเฆี่ยนตีท่านหลงเมื่อวันนั้น ได้จบสิ้นลงไปแล้วอย่างสมบูรณ์

สิ่งนี้ทำให้เฉินตงลดความระแวดระวังลง จิตใจก็ผ่อนคลายลงไปอย่างช้าๆ จนเริ่มไปทุ่มเทกับการทำงานได้อีกครั้ง

ปัญหาของทางบริษัทไท่ติ่งนั้น ท่านหลงก็ช่วยจัดการไปได้พอสมควรแล้ว

ส่วนเรื่องที่เหลือ ภายในเวลาสองสัปดาห์ เฉินตงก็จัดการเคลียร์ได้หมดจดเรียบร้อย

โครงการปรับปรุงย่านสลัมทางตะวันตกของเมืองใกล้จะแล้วเสร็จ หลังจากที่ได้กำไรขั้นต้น ตลาดสำหรับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ตามมาในภายหลัง ก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน

แม้แต่โจวจุนหลงกับโจวเย่นชิว ผู้ที่ช่วยเหลือเฉินตงให้รอดพ้นจากช่วงเวลาที่ยากลำบาก ซึ่งอยู่ในย่านสลัมทางตะวันตกของเมือง ก็ยังได้รับประโยชน์อย่างมากมายจากคลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้

อีกด้านหนึ่ง ฉินเย่กับฉินเสี่ยวเชียง ก็ร่วมมือกันจัดตั้งบริษัททางการเงินขึ้นมา

นอกจากนี้ยังมีบริษัทการเงินเดิมของตระกูลฉิน ซึ่งทำให้ทันทีที่พวกฉินเย่ลงมือ ทั้งสองก็กลายเป็นยักษ์ใหญ่ ในแวดวงอุตสาหกรรมทางการเงินได้อย่างรวดเร็ว

สองพี่น้องกวาดโลกแห่งการเงินจนเรียบ ด้วยการเทรดอันยิ่งใหญ่ระดับเทพของทั้งคู่

ทุกสิ่งทุกอย่าง กำลังพัฒนาไปในทิศทางที่ดีอย่างเป็นระบบระเบียบ

เช้าตรู่วันนี้

เฉินตงจัดประชุมประจำการ สำหรับผู้บริหารระดับกลางของบริษัท ร่วมกันตัดสินใจเกี่ยวกับทิศทางการพัฒนา และการขยายกิจการของบริษัทไท่ติ่งในอนาคต

เขาเพิ่งกลับถึงห้องทำงาน ก็มีโทรศัพท์สายหนึ่งโทรเข้ามา

เมื่อมองไปที่หมายเลขที่ไม่คุ้นเคย เฉินตงก็ขมวดคิ้วมุ่น กดปุ่มตอบรับสัญญาณ

แต่เสียงหัวเราะสดใสราวเสียงนกขมิ้นที่ดังมาจากปลายสาย ทำให้คิ้วของเขายิ่งขมวดเป็นปมขึ้นมาในทันที

“พี่ตง ทำอะไรอยู่เหรอ?”

เฉินหยู่เฟย!

ในระหว่างสองสัปดาห์ที่ผ่านมา เฉินตงเกือบจะลืมเรื่องของเฉินหยู่เฟยไปแล้ว

แต่คิดไม่ถึงจริงๆ ว่า จู่ ๆ เธอจะมาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง

“ดูเหมือนเธอจะลืมคำเตือนของฉันไปแล้วสินะ” เสียงของเฉินตงเย็นชาอย่างยิ่ง

“พี่ตงอย่าเพิ่งโกรธกันสิ ฉันก็ไม่ได้มีอะไรสักหน่อย แค่ครั้งนี้มีกิจกรรมที่ต้องทำ แล้วต้องได้เข้าไปในถิ่นของพี่พอดีจะดีจะชั่วยังไง เราก็ต่างเป็นคนตระกูลเฉินด้วยกัน นัดกินข้าวด้วยกันสักมื้อ มันคงไม่ถือว่ามากเกินไปหรอกเนอะ?”

ที่ปลายสาย เสียงหัวเราะของเฉินหยู่เฟย ยังคงเหมือนเดิมกับในวันนั้นไม่มีผิด มักทำให้คนที่ได้ยินรู้สึกว่า ทุกเรื่องเป็นแค่เรื่องขำ ๆ จะยังไงก็ได้อยู่ตลอดเวลา

แต่ด้วยความสัมพันธ์ที่เหมือนน้ำกับไฟ ระหว่างเฉินตงกับคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน

ต่อให้เฉินหยู่เฟยจะโง่อีกสักแค่ไหน เธอก็คงไม่แสดงท่าทีแบบนี้จริง ๆ หรอกมั้ง?

“ไม่มีเวลา” เฉินตงปฏิเสธออกไปตรงๆ

ในขณะที่กำลังจะวางสาย

เสียงของเฉินหยู่เฟยเย็นเยียบลงทันที: “หึ! ถ้าพี่ไม่ตกลง ฉันก็รับรองไม่ได้หรอกนะว่าจะทำอะไรที่มันเกินเลยไปกว่านั้นรึเปล่า บาดแผลของตาเฒ่าหลงนั่นคงจะเกือบหายดีแล้วใช่มั้ยล่ะ?”

“เธอกล้างั้นเรอะ!”

ความเกลียดชังฉายวาบขึ้นมาในดวงตาของเฉินตง

“ฉันมีอะไรให้ไม่กล้าล่ะ?”

เฉินหยู่เฟยพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “ถึงยังไง ฉันก็เป็นถึงคุณหนูใหญ่ของตระกูลเฉิน ฉันจะเฆี่ยนตาเฒ่าหลงนั่นอีกสักกี่ครั้ง เขาก็ต้องเชื่อฟัง แล้วยอมให้ฉันเฆี่ยนต่อไปอยู่ดี”

เฉินตงนิ่งเงียบไม่พูดอะไรออกมา สีหน้าเย็นจัดราวปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง โทสะปะทุเดือด

แม่คุณหนูใหญ่คนนี้ คิดจะเล่นกับไฟให้ได้จริง ๆ ใช่มั้ย?

แทบจะทันทีหลังจากนั้น เสียงของเฉินหยู่เฟยก็ดังขึ้นอีกครั้งจากปลายสาย

“ตกลงนะ เป็นคืนนี้เลย ยังไงฉันก็ไม่กินพี่เข้าไปหรอกน่า แค่หยอกให้กลัวเล่น ๆ หรอก แม้ว่าฉันจะมีความสัมพันธ์ที่ดีมากกับคุณย่า แต่ฉันก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่ง พูดตรง ๆ ถ้าคิดจะสู้กันเพื่อให้ได้สืบทอดตำแหน่งทายาทของตระกูล ก็คงจะเป็นไปได้ยากเป้าหมายของฉันคือการได้เป็นดาราดังในวงการบันเทิงต่างหาก ฉันจะไม่มัวมาเล่นกลยุทธ์ตาต่อตาฟันต่อฟันกับพี่ เหมือนกับพวกปากกัดตีนถีบพวกนั้นหรอกนะ”

เฉินตงพูดอย่างเย็นชา: “เวลา สถานที่”

หลังจากวางสายไป

เฉินตงนั่งบนเก้าอี้อย่างจมดิ่งอยู่ในความคิดแต่โทรศัพท์ในมือกลับถูกบีบแน่นจนส่งเสียงลั่นดังเอี๊ยด

คำพูดของเฉินหยู่เฟย ดูคล้ายว่าตัวเธอจะละวางความหยิ่งยโสจากในตอนแรกลงไปได้จนหมด ไม่เหมือนพวกเฉินเทียนเซิงกับเฉินเทียนหย่างคู่นั้น ที่ใช้แต่อารมณ์จนเหมือนเป็นพายุฝนคลุ้มคลั่งมาตั้งแต่ครั้งแรกที่ลงมือ

แต่ท่าทางแบบนั้นของเธอ กลับทำให้เขารู้สึกหน่วง ๆ ในใจอย่างประหลาด

ผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งละวางท่าทางอันหยิ่งยโสของตัวเองลง แล้วแสดงความไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์และสัตว์ เขาย่อมไม่สามารถตอบโต้ด้วยความรุนแรงได้ หากไม่ทำตามที่เจ้าหล่อนพูด ไม่แน่ว่า ผู้หญิงคนนี้อาจแสดงด้านที่ชั่วร้ายของเธอออกมาอีกครั้ง

นี่ต่างหาก คือส่วนที่ยาก

เฉินตงถูขมับ แล้วเอนหลังพิงเก้าอี้: “คืนนี้ เรามาดูกันว่า เธอจะเล่นลูกไม้อะไรอีก?”

ในเวลาเดียวกัน.

อีกด้านหนึ่ง ในห้องเพรสซิเด้นท์เชลสวีทของโรงแรมไท่ซาน

หลังจากวางสาย เฉินหยู่เฟยก็ยกยิ้มน้อย ๆ: “ผู้ชายหนอผู้ชาย ช่างปั่นหัวง่ายซะจริงเชียว ถ้าฉันจัดการปัญหาเรื่องของแกเสร็จเมื่อไหร่ ฉันก็จะเข้าใกล้การเป็นเจ้าบ้านตระกูลเฉินมากขึ้นอีกขั้น วิธีการฆ่าคนมีตั้งมากมายเท่าไหร่ พวกผู้ชายต่ำต้อยต้องปากกัดตีนถีบอย่างแก มันช่างโง่เง่าซะจริง ๆ เลย”

คุนหลุนตกตะลึง

ริมฝีปากของเขาขยับไปมา คล้ายพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง

เฉินตงพูดซ้ำด้วยน้ำเสียงกดต่ำเคร่งเครียด: “ฉันบอกให้พาตัวเธอไปไงเล่า!”

“พี่ตงจะพาฉันไปไหนงั้นเหรอ?” เฉินหยู่เฟยลุกขึ้นยืน เผยรอยยิ้มเต็มใบหน้า ไม่มีท่าทีตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย

เฉินตงไม่พูดอะไร หันหลังเดินออกไปทันที

ที่ด้านหลัง เฉินหยู่เฟยรีบตามไปอย่างรวดเร็ว

กูหลังที่ถูกทิ้งไว้เป็นคนสุดท้าย เกิดอาการงุนงงเล็กน้อย: “พี่คุนหลุน ท่านเฉินโกรธจริง ๆ แล้วนะ แม่เฉินหยู่เฟยนั่นไม่ได้สังเกตเห็นสักนิดเลยเหรอ?”

“อ๋อ เธอสังเกตเห็นแล้วล่ะ”

คุนหลุนยกยิ้มเย็นชา: “แต่เธอถูกตามใจจนเคยตัวแล้ว เพราะที่แล้วมาได้รับความรักใคร่เอ็นดูจากคุณหญิงใหญ่ ตั้งแต่เล็กจนโต แม้แต่ท่านใหญ่ก็ยังแตะต้องเธอไม่ได้ด้วยซ้ำ ดังนั้น เธอก็คงจะมองว่า คุณชายเป็นเหมือนกับคนในตระกูลเฉินพวกนั้นนั่นแหละ”

“นี่……”

กูหลังขมวดคิ้วมุ่น เกิดอาการพูดไม่ออกไปชั่วขณะ

“ไปกันเถอะ.”

คุนหลุนถอนหายใจ แล้วเดินตามไปอย่างรวดเร็ว

เขารู้ดีว่า เมื่อนิสัยของใครสักคน ที่เคยตัวจนถูกบิดเบือนจากสามัญสำนึกปกติไปในระดับหนึ่ง จะเย่อหยิ่งจองหองไม่เห็นหัวใครในสายตา นิสัยของเฉินหยู่เฟยก็เป็นเช่นนั้น

แต่เฉินหยู่เฟยมองข้ามจุดหนึ่งไป นั่นคือเฉินตงไม่เคยอาศัยอยู่ในตระกูลเฉิน อีกทั้งเฉินตงก็เป็นคนที่ มักเก็บซ่อนจุดอ่อนของตัวเองต่อหน้าคนอื่นมาก ๆ อีกด้วย

คำพูดที่ว่า “ไม่มีใครกล้าแตะต้อง” ของเธอ ไม่สามารถใช้ได้กับเฉินตง

เมื่อออกจากร้านอาหาร

เฉินตงไม่ได้ขึ้นรถ แต่กลับเดินเลี้ยวที่หัวมุมถนน เข้าไปในห้องพักของโรงแรมแห่งหนึ่ง

หลังจากเปิดห้องชุดห้องหนึ่ง เขาก็พูดกับเฉินหยู่เฟยอย่างเย็นชาว่า: “เธออยากตามก็ต้องตาม ไม่อยากตามก็ต้องตาม”

“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ พี่ตง”

เฉินหยู่เฟยโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ มองไปที่เงาด้านหลังของเฉินตง รอยยิ้มเริ่มเปลี่ยนเป็นไม่สบอารมณ์น้อย ๆ กระซิบพูดเสียงเบาว่า: “ฉันเป็นหลานสาวที่คุณย่ารักที่สุด ก็แค่ตีคนใช้ในบ้านเองไม่ใช่เหรอ ฉันไม่เชื่อหรอกว่าพี่จะกล้าทำร้ายฉัน”

เธอยึดเอาความคิดนี้ไว้มั่น

เฉินหยู่เฟยเดินตามเฉินตงเข้าไปในห้องพัก

เธอเดินไปที่หน้าต่างด้วยท่าทางไม่ยินดียินร้าย แล้วเปิดม่านเพื่อให้แสงแดดส่องเข้ามา

จากนั้นจึงหันกลับมา แล้วเดินไปหาเฉินตงอย่างรังเกียจ: “พี่ตง ต่อให้อยากเปลี่ยนที่มาเฆี่ยนมาตีฉันจริง ๆ ก็น่าจะหาโรงแรมที่มันระดับสูงกว่านี้หน่อยไม่ได้รึไง?”

จู่ ๆ เฉินตงก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ฉันไม่ทำร้ายผู้หญิง”

เฉินหยู่เฟยเลิกคิ้วขึ้นสูงพลางยกยิ้ม: “แล้วพี่ตงพาฉันมาที่ห้องนี้ทำไมล่ะ?”

เพี๊ยะ!

พูดไม่ทันจบ เงาที่รวดเร็วเกินสายตาจะจับภาพได้ทันสายหนึ่ง ก็ผุดวาบขึ้นกลางอากาศ

แล้วฟาดลงบนใบหน้าของเฉินหยู่เฟยอย่างรุนแรง

เฉินหยู่เฟยที่ไม่ทันได้ตั้งตัวถึงกับโซเซ แล้วทรุดล้มลงไปกับพื้น

เธอตกตะลึงจนชะงักไปชั่วขณะ ความเจ็บปวดบนใบหน้า ทำให้เธอถึงกับนึกว่าตัวเองฝันร้ายเลยทีเดียว

เสียงเยือกเย็นดังก้องอยู่ในห้อง: “แต่กับพวกอสรพิษถือเป็นข้อยกเว้น!”

ชั่วขณะนั้น ก็มีเสียงฝีเท้าของคุนหลุนกับกูหลัง เดินตามเข้ามาในห้อง

เมื่อเห็นเฉินหยู่เฟยที่ทรุดนั่งอยู่บนพื้น บนใบหน้าขาวนวลปรากฏรอยนิ้วมือเป็นริ้วอย่างชัดเจน

คุนหลุนก็ถึงกับตกใจจนตาค้าง “คุณชาย…..”

แล้วก็พูดอะไรไม่ออกอีก

สิ่งที่ได้รับมาแทน กลับกลายเป็นดวงตาที่เย็นชาสุดขีดของเฉินตง

“ท่านหลงเป็นคนของฉัน ฉันที่มอบความเคารพให้เขาเอาเวลานี้ ยังนับว่าช้าเกินไปด้วยซ้ำ ฉันไม่อนุญาตให้ใครแตะต้องเขา ต่อให้เป็นเง็กเซียนฮ่องเต้ก็ไม่ได้!”

คำพูดที่ดังสนั่น ทำเอาแผ่นหลังของคุนหลุนถึงกับขนลุกเกรียว คำพูดที่กำลังมาถึงที่ปาก จึงมีอันต้องถูกกลืนกลับลงท้องไปอย่างรวดเร็ว

“แก… นี่แกกล้าตบฉันเหรอ? นี่แกถึงกับกล้าตบฉันจริง ๆ งั้นเหรอ?”

ในที่สุด เฉินหยู่เฟยที่มึนงงไปครู่หนึ่งก็ฟื้นคืนสติ ยกมือที่เรียวยาว ขาวละเอียดดังหยกขึ้นมาลูบแก้ม ความรู้สึกเจ็บปวดทะลุไปจนถึงหัวใจ ทำให้ดวงตาคู่สวยเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา

ตั้งแต่เล็กจนโต เพราะความที่คุณหญิงใหญ่เฉินรักใคร่เอ็นดู เธอจึงเป็นดั่งอัญมณีอันแสนมีค่า ที่อยู่ในฝ่ามือของคนทั้งตระกูล

ทั้งตระกูลเฉิน มีใครบ้างที่จะไม่โอบอุ้มเธอไว้ในอุ้งมือราวอัญมณี?

เธออยากเข้าสู่วงการบันเทิง อยากกลายเป็นดาราดังที่ได้รับความนิยมชมชอบ คุณหญิงใหญ่เฉินก็ออกคำสั่ง ให้ตระกูลเฉินใช้พลังอำนาจอันมหาศาล ช่วยให้เธอได้เป็นดาราชั้นแนวหน้าของวงการบันเทิงภายในระยะเวลาเพียงปีเดียวเท่านั้น

เป็นเพราะความรักของคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน ในตอนที่เธอได้รู้ถึงความโกรธของคุณย่า

เฉินหยู่เฟยถึงได้มาที่นี่ เพราะอยากจะถามคุณหญิงใหญ่เรื่องนี้เพื่อช่วยแก้แค้นแทนให้

แต่ทว่า!

ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่คนอย่างเธอ เฉินหยู่เฟย แค่เฆี่ยนตีคนใช้ในบ้าน กลับต้องได้รับการปฏิบัติแบบนี้กลับมา?

“ไม่เชื่องั้นเหรอ?”

คิ้วของเฉินตงยกสูงชี้ชัน ใบหน้าเย็นชา เต็มไปด้วยแววเกลียดชังรังเกียจ

เขานั่งยอง ๆ ลงตรงหน้าเฉินหยู่เฟยอย่างเย็นชา คว้าคอเสื้อของเธอด้วยมือข้างหนึ่ง แล้วลากตัวเธอไปด้านหน้าด้วยท่าทางพาลพาโลสุดขีด

ทันใดนั้น

เพี๊ยะ!

ฝ่ามือหนัก ๆ อีกหนึ่งถูกตบลงไปอย่างแรง

สิ้นเสียงตบหน้าที่ดังแจ่มชัด ก็ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องอันน่าเวทนาของเฉินหยู่เฟย

คุนหลุนกับกูหลังถึงกับอดเปลี่ยนสีหน้าไม่ได้

เฉินตงพูดขึ้นช้า ๆ ราวกับลมหนาวที่พัดมาจากส่วนลึกของนรกก็ไม่ปาน

“มีปัญหาอะไร ให้มาลงที่ฉัน! แต่ถ้าเธอยังกล้ามาแตะต้องคนรอบตัวฉันอีกล่ะก็ อย่าหาว่าฉันไม่เตือนล่ะ ต่อให้เป็นคุณหญิงใหญ่เฉิน คนอย่างฉันเฉินตงก็จะสั่งสอนให้รู้เองว่า พวกไม่มีปัญญา แต่อยากวัดรอยเท้าฉัน จุดจบมันจะเป็นยังไง!”

พลั๊ก!

เฉินตงปล่อยมือจากคอเสื้อเฉินหยู่เฟย ปล่อยให้เจ้าหล่อนร่วงลงไปกองกับพื้น ไม่มีความคิดที่จะรักหยกถนอมบุปผาเลยแม้แต่น้อย

ถ้าคนนอกได้มาเห็นฉากนี้ จะต้องตกตะลึงจนคางร่วง กรามหลุดกันอย่างแน่นอน

ซูเปอร์สตาร์สุดฮอตแห่งวงการบันเทิง ถึงกับถูกคนตบตีจนมีสภาพน่าอนาถถึงขนาดนี้เลย?

“เฉินตง แกคิดว่าตัวเองเป็นใคร? แกมันก็แค่ลูกสวะของตระกูลเฉิน นายท่านใหญ่อาจจะปกป้องแก แต่ตระกูลเฉินไม่มีวันปล่อยให้แกลอยนวลแน่!”

เฉินหยู่เฟยกัดฟัน แผดเสียงตะโกนอย่างโกรธเคือง: “แกทำให้คุณย่าโกรธ ฉันในฐานะที่เป็นหลานสาว จะล้างแค้นแทนคุณย่ามันก็ถูกต้องแล้วนี่!”

จู่ๆ เฉินตงก็รู้สึกว่า เรื่องนี้ช่างน่าขำสิ้นดีขึ้นมาซะเฉย ๆ

ล้างแค้น?

ใครกันแน่ที่ควรเป็นฝ่ายล้างแค้น?

ในสายตาของเขา เรื่องที่เฉินหยู่เฟยเฆี่ยนตีท่านหลงในครั้งนี้ ไม่ต่างอะไรกับพฤติกรรมของเด็กเลวจอมอาละวาดคนหนึ่งเลยสักนิด

เป็นเรื่องยากมากที่จะจินตนาการว่า คนที่มีวุฒิภาวะจนถึงวัยยี่สิบกว่า ๆ คนหนึ่ง จะใช้วิธีการสิ้นคิดอย่างนี้ มาเป็นการแก้แค้นใครสักคนได้จริง ๆ

เขาลูบๆจมูก ยกยิ้มเหยียดหยาม: “คำพูดก็อปกันมาเป๊ะเลยนะ ตอนแรกสองพี่น้องเฉินเทียนเซิงกับเฉินเทียนหย่างก็พูดแบบนี้นี่แหละ มาตอนนี้บาดแผลของพวกนั้นหายดีรึยังล่ะ?”

เฉินหยู่เฟยตกใจจนผงะ

ในดวงตาคู่สวย มีหยาดน้ำตารินไหล

เธอกัดฟันอย่างโกรธแค้น : “อย่าลำพองใจไปหน่อยเลย ฉันจะต้องให้แกชดใช้อย่างสาสมแน่!”

“ฉันชดใช้มามากพอแล้วล่ะ”

เฉินตงยิ้มอย่างฝืดฝืน จู่ ๆ ท่าทางก็เปลี่ยนเป็นอ้างว้างโดดเดี่ยวขึ้นมาอย่างน่าใจหาย: “นับจากวันนี้ไป ฝ่ายที่มันยั่วโทสะฉัน ถึงเวลาที่จะต้องชดใช้คืนให้ฉันบ้างได้แล้ว”

เขาไม่คิดจะเสียเวลากับเฉินหยู่เฟยอีกต่อไป แค่หันหลังกลับ แล้วเดินออกไปทันที

ขณะที่เขาเดินไปพลาง ก็พูดไปพลางว่า: “ครั้งนี้ถือว่าเป็นแค่คำเตือนนะ ถ้ายังมีครั้งหน้าอีก ก็อย่ามาโทษที่ฉันตัดบัวไม่ไว้ไยล่ะ!”

“แกกล้าเหรอ!”

เฉินหยู่เฟย ผงกหัวขึ้นมาอย่างเย่อหยิ่งดื้อรั้น: “ฉันคือผู้สืบทอดของตระกูลเฉิน ถ้าแกกล้าแหกกฎของตระกูล ก็เท่ากับว่าแกอยากลงนรกล่ะสินะ!”

เฉินตงรู้สึกประหลาดใจไปครู่หนึ่งทีเดียว

ต้องยอมรับว่าคุณหญิงใหญ่เฉิน โอ๋เฉินหยู่เฟยราวกับอัญมณีในฝ่ามือจริง ๆ นั่นแหละ

ตระกูลเฉินอันสูงส่ง แม้จะแตกต่างจากตระกูลใหญ่อื่น ๆ แต่ก็ยึดถือศาสตร์ในการเอาตัวรอดการต่อสู้แย่งชิงของบรรดาผู้ที่เหมาะสมที่สุด สุดท้ายผู้ชนะ จึงจะได้เป็นราชามาโดยตลอด

แต่ถ้าผู้หญิงคนหนึ่ง คิดอยากได้สิทธิ์ในการขึ้นเป็นผู้สืบทอดตระกูล นับว่าต้องเป็นเรื่องที่ยากมาก ต่อให้เฉินตงจะไม่สืบสาวลงไปให้ลึก ก็รู้ได้ว่ามันต้องยากเย็นราวกับพลิกแผ่นฟ้าเลยทีเดียว

แต่ทั้ง ๆ ที่เป็นอย่างนั้น เฉินหยู่เฟยกลับมีอภิสิทธิ์ที่ว่านี้!

“คุนหลุน นี่คือสิ่งที่นายคิดจะพูดเมื่อกี๊สินะ?”

ขณะที่เดินไปพลาง เฉินตงก็ถามไปพลาง

คุนหลุนมีท่าทางสับสน พยักหน้ารับอย่างจนใจ: “เธอเป็นหนึ่งในสองคน ที่มีคุณสมบัติมากพอที่จะได้เป็นผู้สืบทอดรุ่นต่อไปของตระกูลเฉิน ด้วยสถานะของเธอ การเฆี่ยนตีท่านหลงครั้งนี้ ในสายตาของเธอแล้ว ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไรเลย”

“ยังมีอีกคนงั้นเหรอ?” เฉินตงถึงกับตกใจไปชั่วขณะ

มองดูทั้งสามคนที่จากไป

ในห้อง เฉินหยู่เฟยกัดริมฝีปากสีแดงสดของเธอแน่น ดวงตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้นและน้ำตาคลอหน่วย

บนใบหน้าอันงดงาม ยังมีรอยนิ้วสีแดงทั้งห้านิ้วเด่นหราชัดเจน

แต่เมื่อพวกเฉินตงทั้งสาม เดินหายไปหลังทางเดินในโรงแรมแล้วนั่นเอง

มุมปากของเฉินหยู่เฟยก็พลันยกโค้งขึ้นโดยพลัน เผยให้เห็นรอยยิ้มที่พึงพอใจอย่างยิ่ง

เธอค่อย ๆ ลุกขึ้น หยิบโทรศัพท์ออกมา แล้วปิดประตู

ชั่วเวลานั้น ทั่วทั้งร่างของเธอ คล้ายมีบรรยากาศแห่งความเย็นเยียบจนหนาวเยือกแผ่ไปจนทั่ว

ซึ่งแตกต่างจากความรู้สึกโกรธแค้น ความชิงชังเมื่อครู่นี้อย่างสิ้นเชิง

เฉินหยู่เฟยเดินไปที่หน้าต่าง แล้วมองไปยังอาคารสูงที่อยู่ฝั่งตรงกันข้าม

มีคนรับสายแล้ว

“ถ่ายไว้ได้ทั้งหมดแล้วใช่มั้ย?” เฉินหยู่เฟย ถามคนที่อยู่ปลายสายด้วยน้ำเสียงเย็นชา

แล้วหยุดฟังไปราว ๆ สามสี่วินาที

รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอ ยิ่งแสดงความลำพองใจในชัยชนะมากขึ้นเรื่อย ๆ นิ้วเรียวยาวเคลื่อนผ่านแก้มที่มีรอยนิ้วประทับไปอย่างช้า ๆ

“ถ้าอย่างนั้น เราก็เริ่มแผนขั้นต่อไปกันได้แล้วล่ะ.…

เหตุเกิดกะทันหันอย่างยิ่ง

ทำให้ทั้งเฉินตงและกูหลัง ต่างก็ประหลาดใจขึ้นมาในเวลาเดียวกัน

ทั้งสองมองไปในทิศทางที่คุนหลุนมองอย่างพร้อมเพรียง

เงาร่างงดงามสะดุดตาร่างหนึ่ง ถูกประทับสู่สายตาของเฉินตง

เรือนร่างสูงโปร่ง สวมชุดกระโปรงสีขาวพิสุทธิ์ ภายใต้แสงอาทิตย์เจิดจ้า ร่างนั้นสวมหมวกกันแดด ใบหน้าขาวละเอียดราวคริสตัลใสกระจ่าง ถูกเผยให้เห็นจากใต้ปีกหมวก

แม้จะยืนอยู่ที่นั่นไกล ๆ ก็ยังดึงดูดให้ทุกคนต่างต้องเหลียวไปมองดู

หญิงสาวที่งดงามราวประติมากรรมชั้นเอกคนนี้ ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ให้ความรู้สึกคล้ายส่องแสงสว่างให้แก่ผู้คนในคืนอันมืดมิด เจิดจ้าจนทำให้ตาพร่า ทั้งยังมีเสน่ห์ดึงดูดความสนใจแก่ผู้คนที่ได้พบเห็น

“หน้าตาคุ้น ๆ อยู่นะ” เฉินตงขมวดคิ้วน้อย ๆ

กูหลังพึมพำว่า: “นี่ไม่ใช่ซูเปอร์สตาร์เฉินหยู่เฟยหรอกเหรอ?”

เฉินตงถึงกับตกตะลึงไปทันที

แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยสนใจเรื่องในวงการบันเทิงมากนัก แต่ก็ยังเคยได้ยินชื่อของเฉินหยู่เฟยมาบ้าง

เพราะในปีที่ผ่านมา ชื่อของหญิงสาวคนนี้ ดังกระหึ่มไปทั่วท้องถนนน้อยใหญ่ ทุกตรอกซอกซอยต่างก็รู้จักชื่อเธอ

เฉินหยู่เฟยได้เข้าร่วมรายการประกวดเฟ้นหาดาราหน้าใหม่ ส่งผลให้เธอดังระเบิดเป็นพลุแตกในชั่วข้ามคืน เธอกลายเป็นที่นิยมด้วยความเร็วระดับติดจรวด โด่งดังจนเป็นที่นิยมไปทั่วประเทศ ดึงดูดให้สื่อหลักรายงานไม่หยุด

และเนื่องจากเธอเกิดมาในครอบครัวที่ยากจน จึงกลายเป็นต้นแบบที่สร้างแรงบันดาลใจไปทั่ว อีกทั้งหลังจากที่เธอโด่งดังแล้วก็ไม่เคยลืมกำพืดตัวเอง ยังมุมานะทำงานอย่างหนักเพื่อการกุศล จนดึงดูดสื่อใหญ่ ๆ ที่เป็นสื่อทางการ ให้มาทำข่าวรายงานเรื่องของเธอได้อีกไม่น้อย

ในวงการบันเทิงยังมีบรรดาขาใหญ่ ผู้ทรงอิทธิพลทั้งหลายคอยโบกธงเชียร์เธอ ทั้งยังมียักษ์ใหญ่ด้านวรรณกรรมมาขอเขียนชีวประวัติของเธอให้อีกด้วย

ดังนั้น ภายในระยะเวลาสั้น ๆ เพียงปีเดียว เธอก็ได้รับรางวัลสดุดีมากมาย เปล่งประกายเจิดจรัสดั่งมีรัศมีเทพธิดาล้อมรอบ

เรียกได้ว่า เป็นดาราหญิงที่โด่งดังที่สุดในวงการบันเทิงในตอนนี้แล้ว

“คนตระกูลเฉิน”

คุนหลุนสีหน้าหนักอึ้ง ขณะพูดประโยคนี้ออกมา: “หลานสาวสุดที่รักของคุณหญิงใหญ่เฉิน”

รอยยิ้มค่อย ๆ เลือนหายไปจากใบหน้าของเฉินตง

แน่นอนว่า ดูเหมือนการทำงานหนัก สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนได้ก็จริง แต่โชคชะตาก็เหมือนได้จัดเตรียมทุกอย่างเอาไว้แล้ว

เขาเกิดในครอบครัวยากจนจริง ๆ ดังนั้นเขาจึงรู้ดีว่า การที่คนจนมีลูกแล้วเลี้ยงดูให้เติบใหญ่ได้สักคนหนึ่ง มันเป็นเรื่องที่ยากเย็นแสนเข็ญขนาดไหน

พูดตรง ๆ เลยคือ ถ้าไม่ใช่เพราะท่านหลงปรากฏตัวขึ้นมาช่วย “เปลี่ยนแปลงโชคชะตา”ของเขาไป ชีวิตนี้เขาคงต้องล้มลุกคลุกคลานไปทั้งชีวิตแล้ว เดาเอาว่าเขาคงเป็นได้แค่รองประธาน หรือไม่ก็เจ้าของบริษัทเล็ก ๆ สักแห่งเท่านั้น โดยพื้นฐานแล้วคงแทบจะเป็นไปไม่ได้ ที่จะเปลี่ยนไปเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ได้มากกว่านั้น

คำพูดประโยคนั้นของคุนหลุน เผยให้รู้เหตุผลที่แท้จริงว่าทำไม เฉินหยู่เฟยถึงได้โด่งดังเป็นพลุแตกขึ้นมาได้ภายในระยะเวลาเพียงหนึ่งปี

ด้วยเกียรติของหลานสาวสุดที่รักเพียงคนเดียว ของคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน ต่อให้เฉินหยู่เฟยจะมีชื่อเสียงโด่งดังจนไปถึงดวงจันทร์ เฉินตงก็จะไม่แปลกใจเลยสักนิด

ย้อนกลับไปที่โรงพยาบาลลี่จิง

รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉินตงค่อย ๆ จางหายไป แทนที่ด้วยความเย็นชาราวกับน้ำแข็ง

“คุณชาย เธอมาทางนี้แล้ว”

เสียงของคุนหลุนดังก้องอยู่ในหูของเขา

เมื่อเฉินตงหันหน้าไปดู เขาเห็นร่างงดงามแสนสง่านั้นค่อย ๆ เดินเยื้องย่างมาทางนี้ ด้วยย่างก้าวอันสูงส่งเป็นสง่าน่าพิสมัย

ผู้หญิงที่งดงามราวประติมากรรม ไม่ว่าจะเป็นคำพูดคำจา กิริยามารยาทและการวางตน ก็ล้วนเผยให้เห็นความงามสง่า ประดุจราชินีนกยูงผู้สูงศักดิ์อยู่เหนือคนทั่วไป ชนิดไม่มีวันเอามาเปรียบเทียบกันได้

กิริยามารยาทเช่นนี้ ไม่ใช่สิ่งที่คนที่ยากคนจน จะสามารถปรับเปลี่ยนตัวเองขึ้นมาได้ภายในระยะเวลาเพียงชั่วข้ามคืน

ทุกคนระหว่างทางอดไม่ได้ที่จะหยุดดู บางคนที่ได้เห็นก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดีกระตือรือร้น

คนที่เริ่มรู้สึกตัวว่าเป็นดาราดังอย่างเฉินหยู่เฟย ก็รีบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปไว้

เฉินหยู่เฟยดูจะคุ้นเคยกับบรรยากาศแบบนี้ จึงไม่มีท่าทีว่าจะสนใจเลยสักนิด

เมื่อเธอเดินไปถึงตรงหน้าเฉินตง ก็แย้มยิ้มน้อย ๆ แล้วยื่นมือที่ขาวละเอียดดั่งหยก ที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อสีขาวกระจ่างออกไป: “พี่ตง ฉันชื่อเฉินหยู่เฟยค่ะ”

ฉากนี้

ทันใดนั้น ฝูงชนที่อยู่รอบ ๆ ก็อุทานออกมาเสียงดังอื้ออึง

โอ้วมายก๊อด !

ซูเปอร์สตาร์เฉินหยู่เฟย มาปรากฏตัวที่นี่เพื่อผู้ชายคนนี้น่ะเหรอ?

แต่เมื่อทุกคนเห็นรูปร่างหน้าตาของเฉินตงแบบชัด ๆ ความกลัวในใจพวกเขาก็คลายลงไปได้เล็กน้อย

เพราะถึงอย่างไร รูปร่างหน้าตาของเฉินตง ก็ไม่ใช่ธรรมดาสามัญอย่างที่เห็นกันได้ดาษดื่น

แต่ในไม่ช้า ทุกคนก็ตื่นเต้นขึ้นมาอีกครั้ง

ข่าวใหม่!

แถมเป็นข่าวใหญ่ซะด้วย!

แสงแฟลชสว่างวาบขึ้นรัว ๆ ไม่ยั้ง

หลังจากนั้น สิ่งที่ทำให้ทุกคนต้องประหลาดใจก็คือ

เฉินตงไม่ได้ยื่นมือออกไปจับมือเฉินหยู่เฟย แต่กลับถามอย่างใจเย็นว่า “เรื่องท่านหลง เป็นฝีมือเธองั้นเหรอ?”

เสียงเบามากจนคนที่อยู่รอบ ๆ ได้ยินไม่ชัด

แต่เมื่อได้เห็นเฉินหยู่เฟยลดมือขวาของเธอลงด้วยท่าทางผิดหวัง ทุกคนต่างก็ตกใจสุดขีด

“โอ้ พระเจ้า! ผู้ชายคนนี้เป็นใคร ซูเปอร์สตาร์เฉินหยู่เฟยเป็นฝ่ายขอจับมือเขาแท้ ๆ แต่เขากลับปฏิเสธดื้อ ๆ แบบนี้เลยน่ะเหรอ?”

“จุ๊ ๆ ๆ … ช่างโหดเหี้ยมแท้ พี่ชายคนนี้จะต้องเป็นคนที่โหดเหี้ยมมากแน่ ๆ นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นเฉินหยู่เฟยถูกคนปฏิเสธเลยนะเนี่ย”

“ข่าวนี้เป็นข่าวใหญ่ของวันนี้เลยนะเนี่ย เฉินหยู่เฟยมาปรากฏตัวที่โรงพยาบาลลี่จิง เพียงเพื่อจะมาพบกับผู้ชายคนนี้ แต่ผู้ชายคนนี้กลับปั้นปึงเย็นชาใส่ เป็นไปได้มั้ยว่า.…”

………….

ปากคนก็เหมือนปากกา ในเวลานี้ แต่ละคนต่างก็เริ่มเติมเต็มโครงเรื่องกันเองอย่างสนุกปากแล้ว

เฉินหยู่เฟยมองไปรอบๆ คิ้วขมวดน้อย ๆ พูดขึ้นว่า “พี่ตง ที่นี่มีคนเยอะเกินไป เราเปลี่ยนที่คุยกันหน่อยดีกว่าไหม?”

“ได้”

เฉินตงพาคุนหลุนกับกูหลัง เดินตามเฉินหยู่เฟยไปติด ๆ

การถูกแสงแฟลชระยิบระยับรัวใส่ตลอดทาง ทำให้เฉินตงรู้สึกอึดอัดใจอย่างมาก

ความรู้สึกนี้ มันเหมือนกับลิงในสวนสัตว์ที่ถูกผู้คนรายล้อมมุงดูไม่มีผิด

หลังจากขึ้นไปนั่งในรถ Toyota Alphard ของเฉินหยู่เฟยแล้ว รถก็สตาร์ท

มองไปที่รถ Nanny van ที่ขับจากไป

ทางเข้าหน้าโรงพยาบาล ก็เต็มไปด้วยผู้คนแล้ว

บรรดาผู้ที่ถ่ายภาพและวิดีโอแบบชัด ๆ ได้ ต่างก็รีบโพสต์ลงบนอินเทอร์เน็ตอย่างไม่รอช้า

……….

เฉินหยู่เฟยหาร้านอาหารระดับไฮเอนด์ในบริเวณนั้น แล้วจองทั้งร้านไปเลยตรง ๆ

สภาพแวดล้อมที่นี่เงียบสงบหรูหรา สะท้อนถึงท่วงท่าอันสูงส่งสง่างามของเธอ

หลังจากนั่งประจำที่แล้ว

เฉินหยู่เฟยยิ้มแย้ม พลางเลื่อนเมนูไปให้เฉินตง: “พี่ตง อยากกินอะไรก็สั่งตามสบายเลย ฉันเลี้ยงเอง”

สายตาของเฉินตงไม่ได้มองดูที่เมนู แต่จ้องไปที่เฉินหยู่เฟยด้วยความเย็นชาเฉยเมย

“ฉันจะถามเธอแค่เรื่องเดียว บาดแผลบนตัวท่านหลงพวกนั้น เธอเป็นคนทำใช่มั้ย?”

รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉินหยู่เฟยชะงักค้าง เธอไม่รีบตอบ แต่เลื่อนเมนูไปทางคุนหลุนแทน: “พี่คุนหลุน ไม่ได้เจอกันนานเลยเนอะ ถ้ายังไงก็ให้พี่สั่งแทนแล้วกัน”

สีหน้าคุนหลุนเคร่งเครียดถมีงทึง นิ่งเงียบไม่พูดจา

สุดท้ายเฉินหยู่เฟยเหลือบมองกูหลังแวบหนึ่ง ค่อยดึงเมนูเก็บเข้ามาข้างหน้าตัวเองอย่างเงียบ ๆ

ริมฝีปากน่ารักราวผลเชอร์รี่น้อยๆ ทอดถอนหายใจออกมาเฮือใหญ่ เฉินหยูเฟยพูดขึ้นว่า: “ก็พี่ทำให้คุณย่าท่านอารมณ์เสีย ฉันจะโมโหแทนคุณย่าหน่อยไม่ได้เลยเชียวเหรอ?”

“แต่อายุของท่านหลงมากขนาดนั้นแล้ว! เขารับไม่ได้กับการโมโหแทนของเธอแบบนี้!”

ใบหน้าของเฉินตงเย็นยะเยือก สายตาแสดงความเป็นศัตรูอย่างโจ่งแจ้ง

เฉินตงไม่ใช่คนโง่ แม้ว่าเฉินหยู่เฟยจะแสดงท่าทางว่าเป็นสาวน้อยใสซื่อตั้งแต่ต้นจนจบ แต่เขาก็รู้เสียยิ่งกว่ารู้ ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนดีอะไรเลย

“เขาเป็นแค่คนใช้ของตระกูลเฉินนะ ทำไมฉันจะใช้เขาระบายความโกรธไม่ได้ล่ะ? นอกจากนี้ ฉันก็ไม่ได้ตีเขาจนตายซะหน่อย ” เฉินหยู่เฟยบ่นกระปอดกระแปด แสดงท่าทางว่าน้อยอกน้อยใจเสียเต็มประดา

เปรี๊ยะ!

แก้วน้ำในมือของเฉินตง แตกละเอียดจนเกิดเสียงดัง

เขาจ้องไปที่เฉินหยู่เฟยด้วยสายตาโกรธเคือง นี่เธอสามารถพูดเรื่องพรรค์นี้ออกมา โดยใช้น้ำเสียงแบบนี้ได้ยังไงกันนะ?

การควบคุมแรงที่ออกอย่างแม่นยำนั้น มันไม่เพียงพอที่จะฆ่าใครได้ก็จริง

แต่อายุของท่านหลงก็ปาเข้าไปขนาดนั้นแล้ว ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง สามารถลงมือทำเรื่องที่โหดร้ายเลือดเย็นกับคนแก่ได้ถึงขนาดนี้จริง ๆ

ถึงขั้นที่ว่า เธอไม่เคยคิดด้วยซ้ำ ว่านั่นคือชีวิตของคนคนหนึ่ง!

“เธอนี่สมแล้วล่ะนะ ที่ได้เป็นหลานสาวสุดที่รักของคุณหญิงใหญ่เฉิน”

เฉินตงพูดอย่างเย็นชา: “ใต้ผิวหนังที่สวยงาม เก็บซ่อนหัวใจที่โฉดชั่วของอสรพิษเอาไว้นี่เองสินะ ที่เธอทำกับท่านหลงแบบนี้ เธอคงจะรู้ผลที่จะตามมาแล้วใช่มั้ย?”

“จะมีผลอะไรตามมาได้ยังงั้นเหรอ?”

สีหน้าเฉินหยู่เฟย ไม่ได้รู้สึกแยแสอะไรเลยแม้แต่น้อย “เขาเป็นคนใช้ของตระกูลเฉิน ชีวิตของเขาก็เป็นของตระกูลเฉิน ฉันตีเขา ก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา ไม่เห็นจะมีอะไรเลยนี่”

พูดไปพลาง เฉินหยู่เฟยก็เอนตัวไปด้านหน้า ท้าวมือขวาไว้บนโต๊ะ แล้วมองดูเฉินตงด้วยท่าทางเล่นหูเล่นตา : “ถึงยังไง พี่เฉินตงก็คงไม่ทำร้ายฉันอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?”

จู่ ๆ เฉินตงก็ยิ้มออกมาอย่างกะทันหัน

“คุนหลุน พาตัวเธอไป!”

ณ โรงพยาบาลลี่จิง

ภายในห้องวีไอพี

รอบด้านเงียบกริบจนสามารถได้ยินเสียงเข็มหล่น

เครื่องมือตรวจสอบ ส่งเสียงดังต่อเนื่องกันอย่างเป็นระเบียบ

กู้ชิงหยิ่งยกมือขึ้นมาปิดปาก มองท่านหลงที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงผู้ป่วยด้วยสายตาที่ไม่อยากเชื่อ ขอบตาแดงก่ำอย่างห้ามไม่อยู่

ฟ่านลู่ที่ติดตามไปด้วย ก็ตกใจมากไม่แพ้กัน

ในเวลานั้น ท่านหลงนอนนิ่งอยู่บนเตียง ยังอยู่ในสภาพโคม่าไม่รู้สึกตัว

บนหลังของเขา มีรอยฟกช้ำที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน บางแห่งถึงกับเนื้อแตกจนเลือดไหลอาบ แลดูน่ากลัวอย่างยิ่ง

“ลุงหลิว นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่คะ?”

กู้ชิงหยิ่งสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ หันไปมอง ผอ. หลิว

ผอ. หลิวสงบสติอารมณ์แล้วพูดว่า “ท่านหลงไม่ได้มีปัญหาที่น่าเป็นห่วงอะไรมากแล้วล่ะ บาดแผลบนตัวของเขา ล้วนเกิดจากการถูกเฆี่ยนตี ผู้ชายคนที่อยู่ด้านนอกนั่นเป็นคนพาท่านหลงมาส่งที่โรงพยาบาล เขาบอกว่าเขาก็ไม่รู้ ว่าใครเป็นคนที่ทำร้ายท่านหลง”

“ถูกเฆี่ยน? !”

ใบหน้าของกู้ชิงหยิ่งถึงกับเผือดสี

ใครกันนะ ที่ลงมืออย่างโหดเหี้ยมกับคนแก่ได้ขนาดนี้?

“แต่คนที่ทำก็ร้ายกาจมากเหมือนกัน คล้ายว่าจะสามารถควบคุมแรงที่ใช้ฟาดได้ทุกตารางนิ้วอย่างแม่นยำมาก เรียกได้ว่า เป็นการลงมือที่ไม่ได้หมายเอาชีวิตของท่านหลง” ผอ.หลิวอดทอดถอนใจไม่ได้

“เสี่ยวลู่ พี่ดูแลท่านหลงก่อนนะ ฉันจะไปถามกูหลังหน่อย”

กู้ชิงหยิ่งหันหลังแล้วเดินออกจากผู้ป่วยไป

ท่านหลงถูกกูหลังนำตัวมาส่งโรงพยาบาลลี่จิง เหตุผลที่ ผอ.หลิวเป็นคนโทรมา ก็เพราะเมื่อครู่นี้เขายังพอมีเวลา ในช่วงระหว่างที่กูหลังกำลังวิ่งวุ่น เพื่อเข็นตัวท่านหลงไปยังห้องฉุกเฉิน

ตอนนี้เฉินตงไม่อยู่ สามัญสำนึกของเธอจึงบอกกู้ชิงหยิ่งไม่หยุดว่า เธอควรเป็นคนรับผิดชอบเรื่องเรื่องนี้

กูหลังนั่งยองๆ อย่างหดหู่อยู่ที่ประตูทางเข้า ยกสองมือขึ้นมากำทึ้งที่ผมจนแน่น รู้สึกผิดอย่างยิ่งและโทษตัวเองไม่หยุด

เมื่อเห็นกู้ชิงหยิ่ง กูหลังก็รีบลุกขึ้นแล้วพูดว่า “คุณหนูกู้ เป็นความผิดของผมเอง ผมไม่ได้ปกป้องท่านหลงให้ดี”

“ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาตามหาคนรับผิดชอบนะ”

กู้ชิงหยิ่งส่ายหน้า “สรุปว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับท่านหลงกันแน่?”

กูหลังส่ายหน้ารัว: “ตอนเที่ยง ท่านหลงบอกผมว่ามีคนมาหาเขา ยังบอกด้วยว่าไม่ให้ผมตามเขาไป จากนั้นก็ออกไปเองตามลำพัง”

“หลังจากรอได้ราว ๆ ครึ่งชั่วโมง จู่ ๆ ท่านหลงก็โทรมาหาผม บอกให้ผมไปรับเขาที่โรงแรม แล้วพาไปส่งโรงพยาบาลที จากนั้นเรื่องก็กลายมาเป็นอย่างนี้แล้วครับ”

“โรงแรม?”

คิ้วของกู้ชิงหยิ่งขมวดมุ่น หรือว่าท่านหลงจะ “เล่นSM” หนักข้อจนเกินไป?

ไม่แปลกที่เธอจะคิดอะไรแบบนั้น นับตั้งแต่ฉินเย่ย้ายมาอยู่ข้าง ๆ บ้าน เธอก็มักได้ยินเฉินตงพูดถึง “การกระทำลับๆล่อๆ” ของฉินเย่กับท่านหลงอยู่หลายครั้ง

ภายใต้ร่างแก่ชรานั้น เก็บงำซ่อนเร้นหัวใจที่ทั้งเกกมะเหรกเกเร มัวเมาลุ่มหลงความดิบเถื่อน และรักอิสระไม่ชอบอยู่ในกรอบ

แต่… นี่ไม่ใช่ว่าออกจะเล่นแรงไปหน่อยแล้วหรอกเหรอ?

กู้ชิงหยิ่งสูดหายใจเข้าลึก ๆ ระงับความคิดที่ทำให้เสียสมาธิ: “รีบไปตรวจสอบที่โรงแรมทันที”

กูหลังพูดอย่างจนใจว่า: “เมื่อครู่ตอนที่ผมไปถึงโรงแรม ผมก็รีบทำการตรวจสอบภายในโรงแรมทันที จนพบว่ามีผู้หญิงคนหนึ่ง ออกมาจากห้องของท่านหลงครับ”

กู้ชิงหยิ่ง: “……”

เธอเริ่มคิดมั่วแบบหลับหูหลับตาแล้วจริงๆ

เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง

เธอหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาตรวจดูเวลา ตอนนี้เฉินตงน่าจะเกือบมาถึงแล้ว

เรื่องแบบนี้ เธอในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง ให้เป็นคนจัดการก็คงดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก

กู้ชิงหยิ่งต่อสายโทรศัพท์ จากนั้นจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เฉินตงฟัง แล้วขอให้เฉินตงรีบมาที่โรงพยาบาลเลยโดยตรง

…………………………..

เมื่อเฉินตงพร้อมด้วยคุนหลุนและฉินเย่มาถึงโรงพยาบาล

กู้ชิงหยิ่งกับกูหลัง ก็รีบออกมาต้อนรับพวกเขา

“ท่านหลงอยู่ที่ไหนเหรอ?”

ท่าทางของเฉินตงเคร่งเครียด สีหน้าบูดบึ้งเล็กน้อย

เมื่อครั้งที่เขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง การปรากฏตัวของท่านหลง เป็นสิ่งที่ช่วยดึงเขากับแม่ออกมาจากความมืดมิดนั้น

หลังจากนั้นมา ท่านหลงก็ยังเป็นทั้งครู และเป็นทั้งเพื่อนที่ดีของเขามาตลอดอีกด้วย

เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น หัวใจของเฉินตงก็คล้ายถูกไฟกองหนึ่งสำทับทันที

“ยังอยู่ในอาการโคม่า แต่เรื่องมันค่อนข้างจะยุ่งยากอยู่สักหน่อย น่าจะเพราะการเล่นที่มันเลยเถิดเกินไป” กู้ชิงหยิ่งพูดในขณะที่คิ้วก็ขมวดมุ่น

“เล่นจนเลยเถิด?” เฉินตงตกตะลึง

หลังจากที่สายตาของกู้ชิงหยิ่งเหลือบไปมองที่ฉินเย่ เฉินตงก็ตระหนักรู้ได้ทันที

“ไปดูท่านหลงก่อนแล้วกัน”

ทั้งหมดพากันเดินเข้าไปในห้องผู้ป่วยพร้อมกัน

เมื่อได้เห็นท่านหลงนอนหมดสติอยู่บนเตียง รูม่านตาของเฉินตงก็ถึงกับหดกระชับไปเลยทีเดียว

ฉินเย่โพล่งอุทานออกมาว่า: “เชร้ด! รสนิยมของท่านหลง เปลี่ยนไปเป็นรุนแรงขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันล่ะเนี่ย?”

“อย่าพูดจาเหลวไหลน่า!”

เฉินตงเหยียดสายตามองฉินเย่แวบหนึ่ง

กู้ชิงหยิ่งก้มหน้าลง กระซิบว่า : “เป็นกูหลังที่ไปโรงแรมเพื่อพาท่านหลงมาส่งโรงพยาบาล กูหลังรีบตรวจสอบทันทีที่ไปถึง พบผู้หญิงคนหนึ่งเดินออกมาจากห้องของท่านหลง”

เฉินตง: “……”

หรือว่าจะเล่นสนุกจนเลยเถิดแล้วจริงๆ?

“จิ๊ ๆ ๆ… ท่านหลงนี่น๊า ไม่พบแค่สามวันพลันกลายเป็นอื่นซะแล้ว ทำให้ฉันได้ เปลี่ยนแปลงมุมมองด้านใหม่ซะจริง” ฉินเย่ร้องอุทานเสียงดังด้วยท่าทางไร้สำนึก: “อายุก็จนปูนนี้แล้ว ยังกล้าเล่นอะไรไม่แพ้ชายหนุ่มวัยคึกเชียวนะ ฉันที่อายุยังน้อย ยังไม่กล้าเล่นอะไรแบบนี้เลย เขาช่างกล้าเล่นซะจริงเนอะ”

คำพูดประโยคนี้ ทำเอาผู้หญิงหลายคนในห้อง หน้าแดงก่ำไปตาม ๆ กัน

ฉินเสี่ยวเชียนรีบสะกิด ๆ ฉินเย่เบา ๆ เป็นสัญญาณให้เขาหุบปาก

เฉินตงถูจมูก แล้วจู่ ๆ ก็ยกยิ้มเย็นชา: “นายเองก็รู้นี่ว่าตัวเองไม่กล้าเล่น แล้วท่านหลงจะกล้าเล่นใหญ่ขนาดนี้เลยเชียวเหรอ?”

พูดไปพลางจ้องมองไปที่คุนหลุน

คุนหลุนรับรู้ จึงก้าวไปข้างหน้าเพื่อตรวจสอบอาการบาดเจ็บของท่านหลง

จากนั้น คิ้วของเขาก็ค่อย ๆ ขมวดเข้าหากัน

ในเวลานั้นเอง กู้ชิงหยิ่งก็พูดขึ้นว่า “ลุงหลิวบอกว่า คนที่เฆี่ยนท่านหลงสามารถควบคุมแรงของตัวเองได้อย่างแม่นยำ เป็นการลงมือที่ไม่ได้หมายเอาชีวิตของท่านหลง”

เสียงเพิ่งออกจากปากไป

คุนหลุนหันกลับมา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า “ที่จริงแล้ว ท่านหลงอายุก็มากขนาดนี้แล้ว ถ้าต้องการเอาชีวิตเขาจริง ๆ แค่ลงแส้หนัก ๆไม่กี่ครั้งก็เหลือเฟือ บาดแผลพวกนี้ แสดงว่าคนทำสามารถควบคุมแรงได้อย่างแม่นยำมาก ผู้หญิงธรรมดา ๆไม่มีทางออกแรงเฆี่ยนได้อย่างแม่นยำขนาดนี้แน่”

“นั่นแปลว่ามีคนจงใจทำแบบนี้!”

เฉินตงถอนหายใจเฮือก ดวงตาเย็นชาขึ้นมาทันที: “ฉันจะควานหาให้ทั่วเมือง ตามหาคนที่ทำร้ายท่านหลงให้เจอให้ได้”

ด้วยเสียงอันเย็นชานั่น อุณหภูมิในห้องก็ดูเหมือนจะลดลงจนถึงจุดเยือกแข็ง

รอจนทุกคนฟื้นคืนสติดีแล้ว เฉินตงก็หันหลังแล้วเดินออกไป: “คุนหลุน กูหลัง ตามฉันมา เสี่ยวหยิ่งพาเสี่ยวเชียนกลับบ้านไปก่อน ให้ฉินเย่กับฟ่านลู่อยู่ที่โรงพยาบาลนี่แหละ”

สีหน้าของทุกคนพลันเปลี่ยนไป แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมา

ทุกคนรู้ดี ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเฉินตงกับท่านหลง

กระทั่งพวกเขา ก็ยังรู้สึกโกรธอยู่ในใจ

แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้ถึงกับเอาชีวิตของท่านหลงก็จริง แต่หลังของเขาก็เต็มไปด้วยรอยแส้ สำหรับคนแก่คนหนึ่ง การกระทำแบบนี้ ถือได้ว่าเป็นอาชญากรรมที่ร้ายแรงมาก หากประมาทไปเพียงเล็กน้อย ย่อมเป็นอันตรายถึงชีวิต

หลังจากออกจากโรงพยาบาล

คุนหลุนแนะนำ “คุณชาย คุณต้องการให้ท่านเมิ่งช่วยสืบสวนเรื่องนี้มั้ยครับ?”

“ไม่ต้องหรอก ฉันพอจะรู้แล้วว่า ใครมันเป็นคนทำเรื่องนี้”

เฉินตงส่ายหน้าด้วยท่าทางเย็นชา กัดฟันระงับความโกรธ: “ด้วยทักษะของท่านหลง หากเขาไม่เป็นฝ่ายยอมให้เอง คุนหลุน นายคิดว่านายจะเล่นงานเขาได้ในระยะเวลาอันสั้นขนาดนี้มั้ย?”

คุนหลุนตกใจจนผงะ ยืนนิ่งค้างอยู่กับที่

คำพูดของเฉินตง ทำให้คุนหลุนคล้ายคนโดนน้ำมนต์แล้วรู้สึกตัว ตาสว่างขึ้นมาโดยพลัน

อันที่จริงทักษะของท่านหลงนั้น ไม่อาจนำไปเทียบกับฝีไม้ลายมือของคนหนุ่มสาวทั่วไปได้จริง ๆ นั่นแหละ!

อีกทั้งเฉินตงเอง ก็เคยได้เห็นฝีมือของท่านหลงมากับตาแล้ว

แม้ปากจะเรียกกันว่าคนแก่ แต่ขอแค่เขาพลิกฝ่ามือทีเดียว ก็สามารถตบคนอายุน้อยจนร่วงได้ง่าย ๆ ถ้าไม่เพราะเจ้าตัวยอมให้ ชนิดที่ว่าไม่มีความคิดจะต่อต้าน แม้กระทั่งเป็นผู้ฝึกบู๊ ไม่สิ! แม้กระทั่งคุนหลุน ก็ไม่สามารถเอาชนะท่านหลงได้ง่าย ๆ อย่างแน่นอน!

“แปลว่าเป็นคนใกล้ตัวทำสินะ?”

คุนหลุนสูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง ตอนนี้มีเพียงความเป็นไปได้นี้เพียงอย่างเดียวเท่านั้นแล้ว

เฉินตงยกยิ้มเย็นชา: “ตระกูลฉินในช่วงสามวันนี้ ก็เหมือนสายน้ำที่กำลังไหลลงสู่ที่ต่ำนั่นล่ะ คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินนั่น ถูกพ่อบังคับให้ทำได้แค่ต้องเฝ้าดูไฟข้ามฝั่ง ไม่สามารถยื่นมือไปช่วยเหลืออะไรได้ การที่คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินจะไม่โกรธเลย นั่นย่อมเป็นการเสแสร้งแน่นอนตอนนี้ฝุ่นผงก็ร่วงหล่นหมดแล้ว ( เปรียบเทียบว่าเรื่องราวสิ้นสุดลงแล้ว ) ตาเฒ่าตายยากนั่น น่าจะเริ่มลิดรอนสิทธิ์อำนาจของหล่อนแล้วล่ะมั้ง?”

คุนหลุนกับกูหลังได้ยินดังนั้น รู้สึกราวกับว่าถูกฟ้าผ่าจนชาไปทั้งร่าง

และในขณะนี้

ทั้งสามเดินออกจากโรงพยาบาลไปแล้ว

จู่ๆ คุนหลุนก็เห็นเงาร่างร่างหนึ่ง อยู่ที่ริมสวนของโรงพยาบาล รูม่านตาของเขาพลันหดเล็กลงทันที

หมับ!

คุนหลุนยกมือขึ้น แล้วยื่นออกไปคว้าตัวเฉินตงกับกูหลังไว้จนแน่น

ตระกูลฉิน มีเพียงฉินเห้อเหนียนเท่านั้นที่มาถึงก่อน

ฉินเห้อเหนียนสวมชุดผ้าป่านไว้ทุกข์ ตาแดงก่ำบวมช้ำ ใบหน้าเต็มไปด้วยความโศกเศร้า

คนที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาคือทนายความคนหนึ่ง ที่ทำงานรับใช้ตระกูลฉินมาเป็นเวลานานหลายปี

เมื่อพวกเฉินตงมาถึง ก็ไม่ได้พูดอะไรมากมาย ทุกอย่างล้วนดำเนินไปตามขั้นตอนที่จัดเตรียมไว้ทั้งหมด

ด้วยการจัดการของเฉินตง สัญญาทั้งหมด ก็พร้อมรับการลงนามอย่างไม่มีอะไรให้ต้องกังวลอีก

ตระกูลฉินเป็นตระกูลใหญ่ที่ร่ำรวยเป็นอันดับต้น ๆ ของซีสู่มีธุรกิจและโรงงานอุตสาหกรรมมากมาย ที่อยู่ภายใต้ชื่อของตระกูลจนนับไม่ถ้วน

แม้ว่าสัญญาจะลงนามทีละฉบับ แต่ปริมาณของงานก็ไม่น้อยเลย

รอจนเซ็นสัญญาหุ้นส่วนร่วมลงทุนทั้งหมดเสร็จสิ้น ก็ปาเข้าไปจนสายตะวันโด่งแล้ว

ฉินเห้อเหนียนค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน แล้วโค้งคำนับให้เฉินตงด้วยท่าทางอกสั่นขวัญหาย จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

“คุณเฉิน นับจากนี้ไป คุณสามารถวางใจได้เลยว่า ตระกูลฉินจะไม่มีใจคิดเป็นอื่นกับคุณอีกอย่างแน่นอนครับ”

นี่เป็นคำกำชับหนักแน่นของคุณท่านใหญ่ฉิน ในระหว่างที่ท่านยังมีชีวิตอยู่

ไม่ว่าในใจจะรู้สึกไม่ยินยอมพร้อมใจสักแค่ไหน แต่ฉินเห้อเหนียนก็ไม่ใช่คนโง่!

ต้องไปพึ่งพาอาศัยคนอื่น ก็ยังดีกว่าต้องบ้านแตกสาแหรกขาด

ต่อให้ความรุ่งโรจน์ที่เคยมีต้องหดหาย แต่ถ้าฝืนยืดลมหายใจเฮือกสุดท้ายออกไปได้ ตระกูลฉินก็จะยังคงอยู่

“อื้ม”

เฉินตงตอบรับเรียบ ๆ ขึ้นเสียงหนึ่ง

“ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ผมขอกลับตระกูลฉินก่อนนะครับ ยังมีงานศพของคุณพ่อที่ต้องจัดการอีก”

ฉินเห้อเหนียนรีบเก็บสัญญา แล้วพาทนายความจากไปทันที

“จริงสิ!”

ทันใดนั้น เฉินตงก็ส่งเสียงขึ้นมาหยุดฉินเห้อเหนียนไว้อย่างกะทันหัน: “นับตั้งแต่วันนี้ไป บริษัทการเงินของตระกูลฉิน มอบให้ฉินเย่เป็นคนบริหารจัดการ นายไปย้ายคนตระกูลฉินของนาย ออกจากบริษัทไปให้หมดภายในหนึ่งวันซะ”

ฉินเห้อเหนียนสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ฝีเท้าชะงักไปชั่วขณะ

กระทั่งตัวฉินเย่เอง ก็ยังอดรู้สึกตกใจไม่ได้

“เข้าใจแล้วครับ คุณเฉิน” ฉินเห้อเหนียนกัดฟันกรอด ตอบรับด้วยแววตาที่อัดแน่นไปด้วยความโกรธแค้น

การที่ตระกูลฉิน สามารถนั่งในตำแหน่งบุคคลที่ร่ำรวยติดอันดับท็อปได้ เหตุผลที่จริงนั้น

ก็คือการพึ่งพาบริษัททางการเงิน หรือพูดแบบตรง ๆ ก็คืออาศัยการเทรดเดอร์ระดับเทพเซียนของฉินเย่ในเวลานั้น จนสามารถสร้างผลกำไรนับหมื่นล้านได้นั่นเอง

ธุรกิจในอุตสาหกรรมอื่น ๆ ถือเป็นกิ่งก้านสาขาย่อยของตระกูล ในขณะที่บริษัทการเงินต่างหาก ที่เป็นกระดูกสันหลังที่แท้จริงของตระกูลฉิน

ฉินเห้อเหนียนสูดหายใจเข้าลึก ๆ กลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล แล้วรีบเดินจากไปอย่างรวดเร็ว

ภายในห้อง บังเกิดความเงียบงันขึ้นมาทันที

ฉินเย่ถามเฉินตงด้วยความตื่นตะลึง : “พี่ตง บริษัทการเงินของตระกูลฉิน เป็นธุรกิจยักษ์ใหญ่ด้านการเงิน คุณจะให้ผมเป็นคนบริหารจริง ๆ น่ะเหรอ?”

“มีปัญหาอะไรล่ะ? เดิมทีบริษัทการเงินตระกูลฉิน ก็เพราะตอนนั้น นายเป็นคนไปดิ้นรนต่อสู้จนสามารถขึ้นไปยืนในตลาดหลักทรัพย์ได้สำเร็จตอนนี้ให้ไปอยู่ภายใต้การบริหารของนาย ก็นับได้ว่าเป็นการคืนสู่เจ้าของเดิมไม่ใช่รึไง?”

เฉินตงยิ้ม หันไปมองเฉินทง: “เฉินทง ช่วยเตรียมเครื่องบินให้ฉันด้วย เราจะกลับกันเลย”

“หา?!”

เฉินทงรู้สึกเหนือคาดไปมาก: “คุณชาย นี่คุณจะไปจากซีสู่เร็วขนาดนี้เลยเหรอครับ? จูเก่อชิงเพิ่งโทรมาเมื่อครู่ อยากจะเชิญคุณไปร่วมงานเลี้ยงของตระกูลจูเก่อในคืนนี้น่ะครับ”

“ไม่ไปแล้วดีกว่า อาหารในงานเลี้ยงตระกูลเขา จะไปอร่อยกว่าอาหารที่ภรรยาฉันทำให้กินได้ยังไงกันล่ะ?”

เฉินตงลุกขึ้น แล้วเดินจากไปทันที

เฉินทงตกตะลึงจนพูดไม่ออก คุณชายนี่…. เข้าใจอะไรผิดกับงานเลี้ยงของตระกูลหรือเปล่า?

งานเลี้ยงตระกูล ไม่ใช่แค่การมากินข้าวร่วมกันง่าย ๆ แล้วจบกันไปแค่นั้นหรอกนะ!

สัญชาตญาณหนึ่งที่อยู่ลึกๆ สั่งการให้เฉินทงมีความคิดจะเอ่ยปากเกลี้ยกล่อมเขาอีกสักครั้ง

ไม่ควรอย่างยิ่ง ที่จะโยนโอกาสสานสัมพันธ์กับตระกูลจูเก่อ ซึ่งตอนนี้อยู่ในตำแหน่งผู้ที่ร่ำรวยที่สุดทิ้งไป

ในฐานะหัวหน้าผู้ดูแลจัดการเรื่องราวต่าง ๆ ภายในตระกูลเฉินแห่งซีสู่ เฉินทงย่อมรู้ดีว่า การที่ตระกูลจูเก่อจัดงานเลี้ยง แล้วเชิญเฉินตงไปร่วมงานด้วยแบบนี้ มันมีความหมายว่าอะไร

อีกทั้งด้วยความเย่อหยิ่งของตระกูลจูเก่อ แม้แต่บรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่ หรือผู้มีอำนาจในซีสู่ ก็ยังยากจะได้รับคำเชิญให้เข้าร่วมงานเลี้ยงตระกูลนี้

นี่นับเป็น “การแสดงมารยาท” ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของตระกูลจูเก่อแล้ว!

แต่แล้ว ก็มีมือใหญ่ ๆ ข้างหนึ่ง มาวางลงบนไหล่ของเฉินทงอย่างกะทันหัน

คุนหลุนยิ้มพลางพูดว่า “ในสายตาของคุณชาย งานเลี้ยงอันหรูหราของตระกูลจูเก่อ ยังสู้บะหมี่น้ำจืดที่ภรรยาทำไม่ได้เลย ไปเตรียมเครื่องบินเถอะ”

เฉินทงแอบเสียดายอยู่บ้าง แต่ก็รีบไปจัดเตรียมแผนการเดินทางอย่างรวดเร็ว

หนึ่งชั่วโมงต่อมา พวกเฉินตงก็ไปที่สนามบิน แล้วขึ้นเครื่องบินพิเศษเพื่อเดินทางกลับ

ที่วิลล่าเขาเทียนซาน

ในห้องครัว ไฟเตาลุกโชนอยู่อย่างเต็มกำลัง

ท่านหลง ยังคงยุ่งวุ่นวายอยู่กับการจัดการเรื่องต่าง ๆ ในบริษัทไท่ติ่ง

เมื่อรู้ว่าเฉินตงกำลังเดินทางกลับบ้าน กู้ชิงหยิ่งจึงคิดจะทำอาหารเพื่อรอต้อนรับการกลับมาของเฉินตงสักโต๊ะหนึ่งเต็ม ๆ

“เสี่ยวหยิ่ง ให้ฉันทำเองดีกว่านะ”

ฟ่านลู่เห็นกู้ชิงหยิ่งที่ยุ่งจนมือเป็นระวิง จึงคิดอยากจะช่วย

ในสายตาของเธอ กู้ชิงหยิ่งผู้ซึ่งใช้ชีวิตเป็นคุณหนูที่อยู่ดีกินดีมาตั้งแต่ยังเด็ก หากต้องมาทำอาหารขึ้นโต๊ะใหญ่ ๆ สักโต๊ะนึงด้วยตัวเอง ดูจะเป็นเรื่องที่ลำบากอยู่ไม่น้อย

ยิ่งไปกว่านั้น อาหารเพื่อการต้อนรับ ก็เป็นงานของเธออยู่แล้ว

นับตั้งแต่หลี่หลานถึงแก่กรรมไป สิ่งเดียวที่เธอสามารถทำได้ที่บ้านหลังนี้ ก็คือบรรดางานบ้านและอาหารสามมื้อต่อวันเท่านั้นแล้ว

ถ้ากระทั่งงานเหล่านี้เธอก็ยังทำไม่ได้ ฟ่านลู่ก็รู้สึกว่า การที่ตัวเธอยังอยู่ในบ้านหลังนี้ ก็ไม่ได้มีความจำเป็นอะไรอีกต่อไปแล้ว

“ไม่เป็นไรหรอกพี่เสี่ยวลู่ ฉันทำได้ดีไม่มีปัญหาแน่นอน”

กู้ชิงหยิ่งเหงื่อไหลท่วมตัว แต่กลับไม่ได้สังเกตเห็น เธอผัดอาหารในหม้อไปพลาง ก็ยิ้มไปพลางพูดว่า “ช่วงนี้ตาทึ่มนั่นเหนื่อยเกินไปหน่อยแล้ว ฉันอยากจะทำอาหารอร่อย ๆ ให้เขา ฉันเป็นภรรยาเขา มันเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของฉัน ที่จะทำให้เขากินอิ่มท้อง”

“กินอิ่มท้อง?”

ฟ่านลู่ตกตะลึงไปชั่วขณะ

กู้ชิงหยิ่งที่กำลังสาละวนอยู่หน้าหม้อ พลันตัวสั่นสะท้าน สังเกตขึ้นมาได้ในทันทีว่า มีตรงไหนสักแห่งในคำพูดเหล่านั้น ที่มันไม่ถูกต้อง

ใบหน้าสวยแดงระเรื่อ ช้อนตามองฟ่านลู่อย่างเขินอาย: “อั๋ยหยา พี่เสี่ยวลู่ พี่คิดอะไรของพี่เนี่ย?”

ฟ่านลู่ปิดปากพลางแอบหัวเราะขำ: “จ้า! สมควรแล้วล่ะ สมควรแล้ว”

ยิ่งพูดแบบนั้นออกไป กู้ชิงหยิ่งก็ยิ่งเขินอายขึ้นเรื่อย ๆ จนใบหน้าแสนสวยของเธอแดงก่ำ จนเหมือนเลือดจะไหลออกมาได้อยู่แล้ว

แต่แล้วกู้ชิงหยิ่ง ก็พลันเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างรวดเร็ว: “จะว่าไป พี่กับคุนหลุนไปถึงขั้นไหนกันแล้วเหรอ?”

ฟ่านลู่ลังเลไปครู่หนึ่ง ยกมือขึ้นแตะที่คางพลางพูดว่า “ ยังบอกไม่ได้ เพราะยังไงพี่คุนหลุนก็ยังไม่ยอมให้ฉันทำอาหารให้เขากินน่ะนะ”

กู้ชิงหยิ่ง: “…..”

เธอทนไม่ไหวจริง ๆ ทั้งที่เธออุตส่าห์เปลี่ยนเรื่องแล้วแท้ ๆ ทำไมพี่เสี่ยวลู่ยังกลับมาเล่นเรื่องนี้ไม่เลิกสักทีล่ะเนี่ย?

แคร้ง ๆ ๆ…..

เสียงไม้พายเคาะรัว ๆ ที่ด้านข้างหม้อ กู้ชิงหยิ่งพูดขึ้นว่า: “พี่เสี่ยวลู่ มาช่วยฉันคนที่หม้อนี้หน่อย ฉันจะไปหั่นมันฝรั่งเพิ่มอีกหัว”

“ในที่สุดก็ยอมให้ฉันช่วยแล้วเหรอ?” ฟ่านลู่ยิ้มแซว ๆ แล้วเดินไปที่หม้อ จากนั้นก็เริ่มผัดอย่างคล่องแคล่ว

กู้ชิงหยิ่งหันไปยุ่งอยู่กับการหั่นมันฝรั่ง เมื่อนึกถึงบทสนทนากับฟ่านลู่เมื่อครู่ รอยยิ้มอันแสนหวานก็ปรากฏบนใบหน้าอันงดงาม แต่แดงก่ำของเธอทันที

สำหรับผู้หญิงคนหนึ่ง เรื่องที่ดีที่สุดของพวกเธอ ไม่ใช่การดูแลให้สามีของตัวเองได้กินจนอิ่มท้องหรอกรึ?

หลังจากเหม่อลอยฟุ้งซ่านไปเพียงชั่วขณะ ความเจ็บปวดที่แทงทะลุหัวใจ ก็แล่นปราดมาจากส่วนปลายนิ้ว

กู้ชิงหยิ่งตกใจจนส่งเสียงร้องขึ้นมาเสียงหนึ่ง ที่นิ้วชี้มือซ้ายอาบย้อมไปด้วยเลือดสีแดงฉาน

“เสี่ยวหยิ่ง!”

ฟ่านลู่ตกใจมาก รีบหยุดเรื่องที่ทำอยู่ แล้วเข้าไปช่วยทำแผลให้กู้ชิงหยิ่ง

หลังจากยุ่งกันอยู่นาน กู้ชิงหยิ่งกับฟ่านลู่ ก็เตรียมอาหารรสเลิศไว้จนเต็มโต๊ะ

ดูเวลาแล้ว กู้ชิงหยิ่งคำนวณคร่าว ๆ ว่า เครื่องบินของพวกเฉินตงน่าจะกำลังเตรียมลงจอดแล้ว

เธอรีบพูดกับฟานลู่ว่า “พี่เสี่ยวลู่ พี่อย่าบอกตาทึ่มเรื่องที่มีดบาดมือฉันนะ ไม่งั้นเขาจะต้องหัวเราะเยาะฉันอีกแน่เลย”

“คุณเฉินอาจจะรู้สึกเจ็บปวดใจที่มาสายเกินไปก็ได้นะ” ฟ่านลู่พยักหน้า

ในเวลานั้นเอง

โทรศัพท์มือถือของกู้ชิงหยิงก็ดังสนั่นขึ้นทันที

เป็นสายที่มาจาก ผอ. หลิว แห่งโรงพยาบาลลี่จิง

กู้ชิงหยิ่งถึงกับตกใจไปครู่หนึ่ง ค่อยกดรับสาย: “สวัสดีค่ะลุงหลิว เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าคะ?”

เสียงในสายของ ผอ. หลิว กดต่ำอย่างน่าใจหาย

“เสี่ยวหยิ่ง เฉินตงอยู่รึเปล่า? ฉันติดต่อเขาไม่ได้ พวกเธอรีบมาที่โรงพยาบาลให้เร็วเลยดีกว่านะ”

“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ?” การแสดงออกของกู้ชิงหยิ่งเกร็งจนผิดธรรมชาติ

“ท่านหลงถูกคนทำร้ายจนบาดเจ็บ ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล”

เปรี้ยง!

กู้ชิงหยิ่งรู้สึกว่าตัวเองตกลงไปอยู่ในภวังค์หนึ่ง ทั้งร่างชาหนึบราวกับถูกฟ้าผ่า

ท่านหลง….ไม่ใช่ว่าเขาจัดการงานอยู่ที่บริษัทไท่ติ่งหรอกเหรอ?

เขาจะได้รับบาดเจ็บได้ยังไงกัน?

อีกทั้ง ในบริษัทก็ยังมีกูหลังอยู่ทั้งคนไม่ใช่เหรอ?!

“ได้ค่ะ หนูจะรีบไปที่โรงพยาบาลเดี๋ยวนี้เลย” กู่ชิงหยิ่งตอบรับ แล้ววางสายทันที

เมื่อแสงแรกตกกระทบพื้นดินในยามเช้าตรู่

คนในคฤหาสน์ตระกูลฉินต่างสวมใส่ชุดไว้ทุกข์เรียบร้อยแล้ว

บรรยากาศเต็มไปด้วยความโศกเศร้าเสียใจ

ถึงแม้ดวงอาทิตย์จะขึ้นแล้ว แต่คนในตระกูลฉินกลับไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นเลยแม้แต่น้อย

ตระกูลฉินเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

ในตอนกลางคืนที่ฉินเห้อเหนียนแบกศพของคุณท่านใหญ่ตระกูลเฉินกลับมาบ้าน ราวกับเป็นการทิ้งระเบิดครั้งใหญ่ใส่ตระกูลฉิน

ทุกคนไม่อาจนอนหลับได้อีกต่อไป

มีเสียงร้องไห้เซ็งแซ่ตลอดทั้งคืน

สามวันก่อน คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินเพิ่งจะจัดงานเลี้ยงฉลองวันเกิดอย่างยิ่งใหญ่

ใครจะไปคิดว่า สามวันให้หลัง กลับลงไปนอนอยู่ในโลง กลายเป็นเพียงศพที่ร่างกายเย็นเฉียบ ?

ภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงแค่สามวัน ฟ้าดินกลับตาลปัตรได้ถึงเพียงนี้

ทุกคนในตระกูลฉิน ไม่มีใครคาดคิดว่า ตระกูลฉินที่ตั้งตระหง่านราวกับภูเขา และเป็นเหมือนพระอาทิตย์ที่ส่องสว่างอยู่กลงท้องฟ้า จู่ๆ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เช่นนี้ขึ้นได้

และในขณะที่ตระกูลฉินกำลังเซ็งแซ่ไปด้วยเสียงร้องไห้ด้วยความโศกเศร้าเสียใจ

เมืองซีสู่ทั้งเมืองก็กำลังปั่นป่วนอยู่ด้วยเช่นกัน

ตระกูลใหญ่ทุกตระกูล รวบรวมกำลังมาตลอดทั้งคืน ทันทีที่รุ่งสาง พวกเขาก็พุ่งเข้าโจมตีตระกูลฉินอย่างรวดเร็ว

ทุกคนต่างฉกฉวยโอกาสในครั้งนี้ในการทำลายตระกูลฉิน

ชื่อเสียงของตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด ทรัพยากรที่มีอย่างมากมายมหาศาล รวมไปถึงการผูกขาดในอุตสาหกรรมบางประเภท

นี่คือเป้าหมายที่ตระกูลใหญ่ทุกตระกูลต่างเคยรู้สึกอิจฉาตาร้อน

ก่อนหน้านี้ แม้ว่าตระกูลใหญ่ตระกูลอื่นๆ จะเคยมีความปรารถนาบางอย่างอยู่ในใจ แต่ทว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับดวงอาทิตย์อันยิ่งใหญ่อย่างตระกูลฉินแล้ว ทำให้ไม่กล้ากระทำการใดๆ โดยประมาท

แต่ทว่าตอนนี้ ภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงแค่สามวัน ตระกูลฉินต้องเผชิญหน้ากับอันตรายครั้งใหญ่ และทำให้ท้องฟ้าของซีสู่ต้องเปลี่ยนแปลงไป

ถึงขั้นที่คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินต้องยอมปลิดชีพตัวเองด้วยดาบเพื่อปกป้องตระกูลฉินเอาไว้

ในสถานการณ์เช่นนี้ หากไม่รีบลงมือตอนนี้จะให้ลงมือตอนไหน ?

แต่ทว่า

ขณะที่ตระกูลใหญ่ต่างกำลังเตรียมการกันอยู่นั้น กลับต้องรู้สึกประหลาดใจเมื่อได้รับรู้ว่า

ตระกูลจูเก่อได้โจมตีธุรกิจใหญ่ของตระกูลฉินทุกธุรกิจเรียบร้อยแล้ว

ในขณะที่ตระกูลใหญ่ตระกูลอื่นๆ กำลังเตรียมการอยู่นั้น ตระกูลจูเก่อกลับดำเนินการกอบโกยทุกอย่างไปอย่างรวดเร็ว

สิ่งนี้ทำให้ตระกูลใหญ่ตระกูลอื่นๆ ได้แต่ตีอกชกตัวและถอนหายใจ

พวกเขารู้ดีว่าทำไมตระกูลจูเก่อถึงสามารถจัดการกับตระกูลฉินได้อย่างรวดเร็วและเฉียบขาดถึงเพียงนี้

หากจะโทษก็คงต้องโทษตัวเองที่ช้าไปหนึ่งก้าว !

ทางด้านตระกูลจูเก่อ

ชายชราผมขาวนอนไม่หลับตลอดทั้งคืน แต่เขากลับไม่รู้สึกอ่อนเพลียเลยแม้แต่น้อย ใบหน้าของเขาแดงระเรื่อ ปากของเขาไม่อาจหุบยิ้มลงได้

“คุณปู่ การเตรียมการทั้งหมดเริ่มดำเนินการแล้ว ครั้งนี้ ตระกูลใหญ่ในซีสู่ทั้งหมดจะต้องตกใจจนอ้าปากค้างแน่นอน” จูเก่อชิงกล่าวรายงานด้วยรอยยิ้ม

ชายชราผมขาวยิ้มแล้วพูดว่า : “ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามโชคชะตา ตระกูลจูเก่อของเรามีประวัติศาสตร์อยู่ในซีสู่มายาวนาน อยู่อย่างสมถะ คนเหล่านั้นคิดว่าผู้กล้าจะต้องมาทีหลัง แต่พวกเขาไม่รู้ว่าอันที่จริงแล้ว ตระกูลจูเก่อของเรา มีความทะเยอทะยานมาช้านาน”

“สิ่งที่ปู่ต้องการก็คือปกติแล้วไม่ทำตัวให้โดดเด่น แต่เมื่อไหร่ที่แสดงตัวออกมาก็สามารถทำให้คนอื่นประหลาดใจได้ทันที !”

“คุณปู่พูดถูก ตระกูลจูเก่อมีประวัติที่สืบทอดกันมาช้านาน ขาดก็เพียงแค่โอกาสเท่านั้น และการปรากฏตัวของเฉินตงในครั้งนี้ ก็ถือเป็นโอกาสของตระกูลจูเก่อเรา ที่จะได้ขึ้นไปยืนอยู่ในตำแหน่งตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดของซีสู่ !”

จูเก่อชิงกล่าวสนับสนุนด้วยรอยยิ้ม : “ขอเพียงแค่มีความทะเยอทะยานและความปรารถนาอันแรงกล้า ! ตอนนี้คนเหล่านั้นคงทำได้เพียงแค่มองตาค้างเท่านั้น”

“ฮ่าๆๆ……ชิงเอ๋อ หลานรีบติดต่อเฉินตงเร็วเข้า วันนี้ปู่จะจัดงานเลี้ยงฉลองขึ้นที่บ้าน และจะเชิญเฉินตงมาเป็นแขกคนสำคัญของงาน !”

ชายชรายิ้มและโบกมือสั่ง

คุณเฉิน ? !

จูเก่อชิงรู้สึกตกใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินคุณปู่เรียกคนอื่นด้วยความเคารพเช่นนี้

ถึงแม้ฐานะของตระกูลจูเก่อในซีสู่ ไม่อาจยิ่งใหญ่เทียบกับตระกูลฉินได้

แต่ในฐานะที่เป็นตระกูลร่ำรวยและมีภูมิหลังที่ยาวนาน ทำให้มีความมั่นใจแทรกซึมอยู่ภายในกระดูก

ในฐานะที่คุณปู่เป็นเจ้าบ้าน น้อยนักที่เขาจะปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างสุภาพและให้เกียรติเช่นนี้

อีกไปกว่านั้น เป็นการปฏิบัติต่อเด็กหนุ่มวัยเพียงยี่สิบกว่าๆ ด้วยแล้ว

“คุณปู่ ผมจะไปเดี๋ยวนี้ครับ” จูเก่อชิงรับคำสั่งแล้วจากไป

คฤหาสน์สู่ซาน

พระอาทิตย์ยามเช้าส่องแสงสว่างสดใส ลมในฤดูใบไม้ผลิพัดมา

เช้าตรู่

เฉินตงนั่งอยู่ที่ระเบียงเงียบๆ แล้วทอดสายตาออกไปมองบรรยากาศโดยรอบของคฤหาสน์สู่ซาน

ที่ขอบฟ้าไกลๆ มีแสงของพระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า ดูราวกับสีของเลือด

เขาลูบจมูกแล้วยิ้มออกมา : “ดูเหมือนว่าวันนี้ซีสู่คงจะสงบได้ยาก”

ถึงแม้เขาจะ “มีเมตตา” ต่อตระกูลฉิน แต่ข่าวเรื่องที่ฉินเห้อเหนียนแบกศพกลับตระกูลฉินไปในตอนกลางคืน คงพอจะทำให้ซีสู่เกิดความปั่นป่วนได้ไม่น้อย

ต่อให้ตระกูลฉินไม่ได้ตกต่ำลง แต่ก็ไม่อาจต้านทานความโลภและความต้องการที่จะเข้ายึดครองของตระกูลใหญ่ตระกูลอื่นๆ ได้

แต่ทว่า เขาได้ตัดสินใจร่วมมือกับตระกูลจูเก่อแล้ว ดังนั้นความปั่นป่วนในซีสู่คงไม่เกิดขึ้นนานนัก

ก๊อกๆ !

เสียงเคาะประตูดังขึ้น

“เข้ามา” เฉินตงพูด

ฉินเย่ คุนหลุนและเสี่ยวเชียนเดินเข้ามาข้างในพร้อมกัน

“พี่ตง ท้องฟ้าของซีสู่เปลี่ยนไปแล้ว ตอนนี้บรรดาตระกูลใหญ่ต่างกำลังรีบดำเนินการ ตระกูลจูเก่อออกนำตระกูลอื่นๆ ไปก่อน” ฉินเย่พูดด้วยรอยยิ้ม

คุนหลุนสีหน้าเรียบเฉย

กลับเป็นเสี่ยวเชียน เมื่อได้ยินสิ่งที่ฉินเย่เล่า สีหน้าก็ดูซับซ้อนขึ้นมาทันที เธอหันไปมองฉินเย่ เหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่สุดท้ายก็ไม่พูด

“อืม รอให้ตระกูลฉินส่งสัญญาณการถือหุ้นมาให้เรียบร้อยแล้ว เมื่อลงนามเสร็จสิ้น เรื่องทุกอย่างก็จะสิ้นสุดลง พวกเราเองก็สามารถเดินทางกลับได้แล้ว”

เฉินตงพยักหน้า

“แต่ว่า ฉันไม่เข้าใจอะไรนิดหน่อย ทำไมครั้งนี้นายถึงยอมยื่นเนื้อชิ้นโตให้ตระกูลจูเก่อฟรีๆ แบบนี้ ?” ฉินเย่รู้สึกสงสัย

หลังจากการเจรจาเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก็ร่วมมือกันโดยไม่มีการตกลงพูดคุยเลยแม้แต่น้อย

แต่กลับมีส่วนทำให้ตระกูลจูเก่อได้ก้าวขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดได้

ที่สำคัญก็คือ เนื้อชิ้นใหญ่ขนาดนี้ เฉินตงกลับยกให้ฟรีๆ โดยไม่มีอะไรตอบแทนแม้แต่น้อย

“ตอนฉันอยู่ในคุกมืดได้เรียนรู้เรื่องราวมาอย่างหนึ่ง”

เฉินตงยิ้มออกมาอย่างสดใสแล้วหันไปมองคุนหลุน : “คุนหลุน นายเองก็ออกมาจากที่นั่น คงจะเข้าใจกฎเรื่องปลาใหญ่กินปลาเล็กดีใช่ไหม ?”

แววตาของคุนหลุนสั่นไหว และเขาก็ตระหนักขึ้นมาได้ในทันที

เขายิ้มแล้วพูดว่า : “กฎของปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้ที่แข็งแกร่งกว่าก็จะจัดการกับผู้ที่อ่อนแอกว่า แต่เมื่อไหร่ที่ยังไม่สามารถออกจากคุกแล้วกลายเป็นหมาป่าได้ แต่กลับทำตัวโดดเด่นเกินไป เมื่อนั้นก็จะกลายเป็นเป้าหมายที่ถูกรุมโจมตี”

เฉินตงหันมองฉินเย่ด้วยแววตาที่ลึกซึ้ง : “ตอนนี้เข้าใจหรือยัง ?”

ตอนที่อยู่ในคุกมืด ถ้าไม่ใช่เพราะระยะเวลาหนึ่งเดือนสั้นๆ เขาต้องต่อสู้เอาชีวิตรอดอย่างบ้าคลั่ง บวกกับการได้รับความช่วยเหลือจากป่าและเฉินเต้าจูน

ไม่แน่ว่าจุดจบของเขาในตอนนี้ อาจไม่ต่างกับที่คุนหลุนพูดเอาไว้มากนัก

นี่เป็นสิ่งที่เขามองออกตั้งแต่ครั้งแรกที่พ่ายแพ้ให้กับหมียักษ์

“นายให้ตระกูลจูเก่อขึ้นนั่งในตำแหน่งตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดเพื่อออกรับแทนนาย และลดผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการลงมือกับตระกูลฉิน ?” ฉินเย่เข้าใจในทันที

เฉินตงยิ้มออกมาโดยไม่พูดอะไร

ถ้าไม่ใช่เพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ทำไมจู่ๆ มีหรือที่เขาจะยอมยกเนื้อชิ้นใหญ่ขนาดนี้ให้กับตระกูลจูเก่อฟรีๆ ได้ ?

ถึงแม้ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ จะสามารถอาศัยอำนาจของตระกูลเฉินได้ และสามารถกดหัวของตระกูลฉินไม่ให้ลืมตาอ้าปากได้ รวมไปถึงบีบบังคับให้คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินยอมตาย แต่ก็ยังไม่อาจทำตัวให้โดดเด่นเกินไปได้

เฉินตงเข้าในเหตุผลง่ายๆ ที่ผ่านมาข้อนี้ดี

การดำรงอยู่ของตระกูลที่คล้ายคลึงกับตระกูลฉินในประเทศนี้ มีมากมายจนมือทั้งสองข้างของเขาคงนับไม่ถ้วน

อีกทั้งครั้งนี้ที่เขาสามารถอาศัยอำนาจของตระกูลเฉินได้ เป็นเพราะการตายของแม่กระทบกระเทือนถึงความรู้สึกของพ่อ ดังนั้นพ่อจึงจัดการกับคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น

หากเขาทำตัวให้โดดเด่นเกินไป เขาเองก็รู้ว่าต่อไปจะมีโอกาสพึ่งพาอำนาจของตระกูลเฉินได้อีกกี่ครั้ง

ก๊อกๆ !

ตอนนี้เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง

“คุณชาย คนของตระกูลฉินมาแล้วครับ” เสียงของ เฉินทงดังขึ้นด้านนอก

มาแล้ว !

เฉินตงค่อยๆ ลุกขึ้น แล้วเหลือบไปมองทุกคน : “ไม่กันเถอะ จัดการเรื่องนี้เสร็จแล้ว จะได้เดินทางกลับกัน”

ขณะที่ฉินเย่กำลังจะเดินตามไป กลับถูกฉินเสี่ยวเชียนดึงเอาไว้เงียบๆ

“พี่เย่ พวกเราทำเช่นนี้ เป็นการทรยศต่อตระกูลฉินหรือเปล่า เป็นการอกตัญญูหรือไม่ ?”

ฉินเย่ผงะไป เขาลูกหัวฉินเสี่ยวเชียนด้วยความเอ็นดู แล้วยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน : “เด็กโง่ มีพี่เย่อยู่ทั้งคน ต่อให้เป็นการทรยศหักหลัง ก็เป็นฝีมือของพี่เย่เอง ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอ”

น้ำเสียงที่ดูถูกเหยียดหยามและเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง

คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินรู้สึกหายใจไม่ออก

ส่วนฉินเห้อเหนียนก็ยิ่งรู้สึกโกรธจนหน้าแดง

เขากัดฟันแล้วพูดว่า : “เฉินตง แก แกจะเอายังไงอีก ? ตระกูลฉินของเรายอมก้มหัวถึงขั้นนี้แล้ว แกคงไม่คิดจะรังแกคนอื่นให้มันมากเกินไปหรอกนะ !”

“หากไม่รังแกให้ถึงที่สุด แล้วฉันจะรังแกไปทำไม ?”

เฉินตงเหลือบไปมองฉินเห้อเหนียนด้วยแววตาที่เฉียบคม : “พวกแกร่วมมือกันลอบฆ่าฉัน ตอนที่ฆ่าแม่ของฉันตาย เคยพูดว่ารังแกมากเกินไปหรือเปล่าล่ะ ?”

“แก……” ฉินเห้อเหนียนโกรธจนหน้าแดง พูดอะไรไม่ออก

บรรยากาศภายในห้องนั่งเล่นเงียบสงัด

เงียบจนสามารถได้ยินเสียงเข็มหล่นลงบนพื้นได้

คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินหันไปจ้องฉินเห้อเหนียนตาเขม็ง จากนั้นจึงค่อยๆ เอ่ยปากพูดว่า : “คุณเฉิน พูดออกมาเถอะครับ ไม่ต้องเกรงใจ !”

เฉินตงค่อยๆ พูดออกมาอย่างมีอำนาจ : “ฉันต้องการหุ้นของกิจการทั้งหมดของตระกูลฉินครึ่งหนึ่งรวมไปถึงอำนาจในการควบคุมด้วย !”

เปรี้ยง !

คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินและฉินเห้อเหนียนยืนนิ่งไปราวกับถูกฟ้าผ่า

ตระกูลฉินมีธุรกิจมากมายนับไม่ถ้วน

พวกเขาต้องอาศัยธุรกิจพวกนี้จึงจะสามารถก้าวขึ้นไปยืนอยู่ในตำแหน่งตระกูลที่มั่งคั่งที่สุดของเมืองซีสู่ได้

แต่ทว่าตอนนี้ เฉินตงกลับเอ่ยปากขอหุ้นครึ่งหนึ่งของธุรกิจทั้งหมด รวมไปถึงอำนาจในการควบคุมด้วย ? !

หุ้นครึ่งหนึ่งก็มีมูลค่ามากมายมหาศาลแล้ว

แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คืออำนาจในการควบคุม หรือจะพูดอีกนัยหนึ่งว่า หากยอมตกลง ธุรกิจของตระกูลฉินเหล่านี้ ก็จะถูกเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนนามสกุล ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปจะใช้แช่เฉิน ไม่ใช่แซ่ฉิน !

และตระกูลฉิน ก็จะตกเป็นเบี้ยล่างของตระกูลเฉิน

“คุณเฉิน นี่มันไม่มากเกินไปหน่อยหรือ ?”

แม้กระทั่งคุณท่านใหญ่ตระกูลฉินที่เตรียมตัวเตรียมใจจะฆ่าตัวตายเอาไว้แล้ว มาบัดนี้ก็ยังจ้องมองเฉินตงด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึมและแววตาที่โกรธเคือง

เขายินดีที่จะตายเพื่อปกป้องตระกูลฉินเอาไว้

แต่ทว่าข้อเรียกร้องของเฉินตงในตอนนี้ กลับไม่ต่างจากการฆ่าล้างตระกูลฉินเลยแม้แต่น้อย ?

“ถ้าสิงโตไม่เขมือบคำโต แล้วจะถือว่าเป็นเจ้าป่าได้อย่างไรกัน ?”

เฉินตงเหลือบมองคุณท่านใหญ่ตระกูลฉิน น้ำเสียงอันน่าเกรงขามของเขาทำให้รู้สึกได้ถึงความโหดเหี้ยม

แรงกดดันอันมหาศาลนี้ทำให้คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินและฉินเห้อเหนียนรู้สึกกลัวจนขนลุก

ส่วนฉินเย่ คุนหลุนและเฉินทงก็ยืนดูอยู่ข้างๆ โดยไม่พูดอะไร

หากต้องการให้พันธมิตรแตกคอกันเอง ในเมื่อปล่อยเสืออย่างคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินไปแล้ว ก็จำต้องกลืนหมาป่าอย่างตระกูลฉินลงไป

คุณชาย……เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ

คุนหลุนจ้องมองเฉินตงด้วยแววตาที่ลึกซึ้ง

หากเป็นเฉินตงในอดีต ไม่มีทางทำถึงขนาดนี้ได้

เมื่อครั้งที่ยึดครองอสังหาริมทรัพย์ของโจวจุนหลง ยังต้องดำเนินการซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่หลายครั้ง จนท้ายที่สุดท่านหลงต้องออกโรงจัดการทุกอย่างอย่างเด็ดขาดด้วยตัวเอง

แต่ตอนนี้ เฉินตงกลับกำลังเลียนแบบท่านหลง โดยไม่รู้สึกลังเลเลยแม้แต่น้อย ทั้งเด็ดขาดและโหดเหี้ยม

หากดูผิวเผิน เฉินตงก็ยังเป็นเฉินตงอยู่ แต่หลังจากที่ผ่านคุกมืดและเหตุการณ์ที่ต้องสูญเสียแม่มา คุนหลุนก็สามารถสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงของเฉินตงได้อย่างชัดเจน

การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ ทำให้คุนหลุนรู้สึกดีใจ

เขารู้ดีว่า นี่คือการเปลี่ยนแปลงที่จะนำพาเฉินตงไปสู่ตำแหน่งเจ้าบ้าน

“เฉินตง……” ฉินเห้อเหนียนกัดฟันกรอด

แต่ยังไม่ทันที่จะพูดออกมา กลับถูกคุณท่านใหญ่ตระกูลฉินตะคอกใส่ด้วยความโมโห ทำให้เขาต้องหยุดพูด

คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินหันไปมองเฉินตงด้วยความขมขื่น น้ำตาของเขาหลั่งรินออกมา : “หากยอมทำเช่นนี้แล้ว คุณจะยอมปล่อยตระกูลฉินไปไหม ?”

“ผมเพียงแค่บอกให้คุณรับรู้ ส่วนเรื่องที่จะปล่อยหรือไม่ปล่อยนั้น ขึ้นอยู่กับว่าต่อไปตระกูลฉินจะทำเช่นไร”

ท่าทีของเฉินตงเย็นชา แววตาของเขาเฉียบคม ตั้งแต่ต้นจนจบ นอกจากเจตนาฆ่าที่รุนแรงแล้ว เขาก็ไม่เผยความรู้สึกอื่นใดออกมาให้เห็นเลยแม้แต่น้อย

ในหัวของเขาปรากฏภาพและน้ำเสียของแม่เขาขึ้นมาไม่หยุด

หากไม่ใช่เพราะเขาต้องการสวมมงกุฎของราชาแล้วล่ะก็ เขาคงไม่มีวันยอมให้โอกาสเช่นนี้กับตระกูลฉินเป็นอันขาด

“เฮ้อ……”

คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินสูดหายใจเข้าเต็มปอดหนึ่งครั้ง แล้วก็พูดออกมาทันทีว่า : “เห้อเหนียน จงจำเอาไว้ให้ดี ตระกูลฉินได้ยกหุ้นของกิจการทั้งหมดครึ่งหนึ่งพร้อมทั้งอำนาจในการควบคุม ตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป แกจะกลายเป็นเจ้าบ้านตระกูลฉิน คอยตักเตือนคนในครอบครัว ทำแต่ความดี ต่างคนต่างดูแลตนเองให้ดี”

“พ่อครับ……”

หลังจากคำพูดนี้ดังออกมาฉินเห้อเหนียนก็ลงไปนั่งคุกเข่าร้องไห้อยู่บนพื้น

ตระกูลฉินผู้ยิ่งใหญ่และสูงส่งเหนือใครในซีสู่ ต่อให้เป็นความฝันเขาก็คิดไม่ถึงว่า ตระกูลฉินจะถูกบังคับให้ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ได้

คำพูดของพ่อ ทุกคำทุกประโยค ราวกับก้อนหินอันหนักอึ้ง ค่อยๆ ทับลงมาบนอกของเขา ทำให้เขารู้สึกหายใจไม่ออก

“คุณเฉิน ผมยอมรับปากแล้ว !”

คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินมองดูเฉินตงด้วยแววตาที่มืดหม่นแน่วแน่อย่างมาก : “ตอนนี้ ผมจากไปได้หรือยัง ?”

“ผมจะส่งคุณเอง !”

น้ำเสียงที่เย็นชาดังขึ้น

ภายใต้แสงสว่างของห้องรับแขก

คอของคุณท่านใหญ่ตระกูลฉินวางพาดอยู่บนดาบ ด้วยร่างกายที่สั่นสะท้าน ดาบส่องแสงสะท้อนเป็นประกายออกมา

ฉึบ !

เลือดสีแดงสดสาดกระเซ็นออกมา

ฉินเห้อเหนียนที่กำลังร้องไห้อยู่ตัวแข็งทื่อในทันที เขารู้สึกได้ว่าใบหน้าของเขาเปียกชื้นและเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง

เขาไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง เขายกมือขวาขึ้นไปลูบใบหน้าด้วยอาการสั่นเทา สิ่งที่เขาเห็นคือสีแดงสด

“หา !”

สมองของฉินเห้อเหนียนว่างเปล่าทันที เขารู้สึกเจ็บปวดจนกรีดร้องออกมา

ตุ้บ !

คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินลงไปนอนจมกองเลือดอยู่ โดยไร้ซึ่งความโกรธแค้นอีกต่อไป

อีกด้านหนึ่ง เฉินตงกำลังถือดาบเล่มยาวชี้ลงบนพื้น เลือดสีแดงสดค่อยๆ ไหลลงมาที่ปลายดาบ จนในที่สุดก็หยดลงสู่พื้นดิน

ในชั่วระยะเวลาสั้นๆ เฉินตงใช้ดาบของเขาจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้นภายในคราวเดียว

เพล้ง !

เขาโยนดาบที่ถืออยู่ในมือลง แล้วหันไปมองฉินเห้อเหนียนที่กำลังโศกเศร้าเสียใจด้วยแววตาที่เย็นชา : “พาออกไป พรุ่งนี้ ฉันต้องการจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย”

“ครับ ครับ ครับ !”

ฉินเห้อเหนียนสีหน้าซีดเผือด ใบหน้าของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาและคราบเลือด เขากัดฟันพูดคำว่าครับออกมาติดๆ กันสามครั้ง

จากนั้น เขาก็โซเซลุกขึ้นยืน แล้วแบกคุณท่านใหญ่ตระกูลฉินขึ้นบนหลัง พร้อมทั้งก้มเก็บดาบขึ้นมา แล้วค่อยๆ เดินออกจากห้องรับแขกไป

ลมเย็นยามค่ำคืนโชยพัดมา

แสงสว่างทำให้เงาของฉินเห้อเหนียนทอดยาวออกไปไกล

“เฉินทง เก็บกวาดที่นี่ให้เรียบร้อย อีกเรื่อง พรุ่งนี้จัดการคนไปดำเนินเรื่องโอนหุ้นกับตระกูลฉินให้เรียบร้อยด้วย”

“ครับ ได้ครับ คุณชาย”

เฉินทงที่กำลังเหม่อลอย เมื่อได้สติก็รีบก้มหน้าตอบรับในทันที

เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า เขาก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมอง เขามองดูเฉินตงที่เดินจากไปด้วยแววตาที่ลึกซึ้ง ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่หลังของเขาเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ

ภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ เจตนาฆ่าที่รุนแรงที่เฉินตงแสดงออกมาตั้งแต่ต้นจนจบ ทำให้หัวหน้าใหญ่ของสำนักงานตระกูลเฉินแห่งซีสู่ผู้นี้ ต้องรู้สึกกลัวจนขนลุก

ในงานเลี้ยงวันเกิดของตระกูลฉิน เขาติดตามเฉินตงไปด้วย การแสดงออกของเฉินตงในตอนนั้นก็ทำให้เขารู้สึกตกใจมากพอแล้ว แต่ตอนนี้เขาเพิ่งจะตระหนักได้ว่า เมื่อนำมาเทียบกับภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ เฉินตงตอนที่อยู่ในงานเลี้ยงของตระกูลฉิน ถือว่าสะกดกั้นอารมณ์เอาไว้อย่างมากแล้ว

เฉินทงจ้องมองกองเลือดที่พื้นอยู่เป็นเวลานาน จากนั้นจึงพึมพำกับตัวเองว่า : “นี่ คือคุณชายที่เติบโตอยู่ข้างนอกมากว่ายี่สิบปีจริงๆ หรือ ?”

เฉินทงคอยควบคุมดูแลภายในพื้นที่เมืองซีสู่ ผู้สืบทอดมรดกของตระกูลเฉินในรุ่นนี้ เขามีโอกาสได้พบเจอมาหลายต่อหลายคน แต่ไม่มีใครที่จะทำให้เขารู้สึกตกตะลึงและหวาดกลัวได้ถึงขนาดนี้เลยสักคน

ฝ่ายหนึ่งเป็นผู้สืบทอดมรดกที่ถูกอบรมเลี้ยงดูมาอย่างดีในตระกูลเฉิน ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งกลับเป็นผู้สืบทอดมรดกที่เติบโตมาในโลกภายนอกและถูกคนอื่นเรียกขานว่า “ลูกสวะ” ทั้งสองฝ่ายมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ด้วยประสบการณ์ของเฉินทง ทำให้เขาสามารถมองออกได้อย่างชัดเจน

เมื่อกลับไปถึงห้อง

เฉินตงกลับไม่ได้เข้านอน

แต่เขากลับสั่งให้คุนหลุนไปจัดหาเครื่องหอมและจัดห้องโถงไว้ทุกข์ขึ้นอย่างเรียบง่ายในห้องรับแขก จากนั้นจึงตั้งรูปถ่ายของหลี่หลาน

“แม่ครับ ผมอกตัญญู”

เฉินตงคุกเข่าลงบนพื้น จากนั้นจึงค่อยๆ เทเหล้าในแก้วลงบนพื้น แล้วโขกหัวคำนับสามครั้ง

ขณะที่เขายกหัวขึ้นมา ดวงตาของเขากลับฉาบไปด้วยคราบน้ำตา : “เพื่อแย่งชิงตำแหน่งเจ้าบ้านตระกูลเฉินแล้ว แม้แต่ความแค้นของแม่ ผมก็ไม่อาจสะสางให้สมบูรณ์ได้”

พูดจบ เขาก็เทเหล้าในแก้วลงบนพื้นอีกครั้ง พร้อมกับคำนับอีกสามครั้ง

หลังจากเทเหล้าสามแก้ว คุกเข่าสามครั้ง และคำนับอีกเก้าครั้ง เฉินตงก็ยังไม่ยอมลุกขึ้น แต่กลับนั่งมองรูปถ่ายของหลี่หลาน แล้วร้องไห้ออกมาอย่างเงียบๆ เขากัดริมฝีปากจนห้อเลือด และไม่ส่งเสียงร้องไห้ออกมาให้ได้ยินเลยแม้แต่น้อย

ตระกูลใหญ่ทั้งหมดในซีสู่ต่างจับจ้องไปที่ตระกูลฉิน

ตอนที่ฉินเห้อเหนียนแบกศพออกมาจากคฤหาสน์สู่ซาน

ตระกูลใหญ่ในซีสู่ ต่างรู้สึกตกตะลึงไปตามๆ กัน !

และในเวลาเดียวกันนี้ ก็มีพายุลูกใหญ่โหมกระหน่ำขึ้นอย่างรวดเร็วในยามค่ำคืน….

คฤหาสน์สู่ซาน

แสงไฟสว่างไสวงดงาม

ในฐานะที่เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะ จึงสามารถจัดแสดงนิทรรศการศิลปะชั้นนำของซีสู่ได้ทั้งหมด

ถึงแม้จะเป็นแสงสว่างในตอนกลางคืน ก็ยังคงงดงามชวนฝัน

ที่หน้าระเบียง

เฉินตง ฉินเย่ และคุนหลุน นั่งล้อมวงอยู่ที่โต๊ะกลมตัวเล็กๆ พวกเขานั่งรับสายลมยามค่ำคืนพร้อมกับมองดูทิวทัศน์และบรรยากาศในช่วงค่ำของคฤหาสน์

“สายลมวันนี้ช่างพัดเย็นจริงๆ”

จู่ๆ ฉินเย่ก็พูดติดตลกออกมา ทำลายบรรยากาศอันเงียบสงบตรงระเบียง

“คุณแน่ใจหรือว่าพวกเขาจะมา ?” คุนหลุนถาม

ฉินเย่หันไปมองเฉินตง แล้วยิ้มออกมาโดยไม่พูดอะไร

จะมาไหม ?

อันที่จริงแล้วเฉินตงเองก็ไม่แน่ใจ เขาเองก็กำลังรออยู่

แต่เห็นได้ชัดว่า เงื่อนไขที่เขาเสนอให้นั้น ถือว่า “ชัดเจน” อย่างยิ่งแล้ว

ข้อแรกคือให้คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินถือดาบมาขอโทษด้วยตัวเอง กับข้อที่สองชีวิตของตระกูลฉินทั้งตระกูล

คำถามที่ต้องเลือกคำตอบเช่นนี้ ชายชราที่เชื่องช้าอย่างเขา จะไม่รู้หรือว่าควรจะเลือกข้อไหน ?

ถ้าไม่ได้มีจุดประสงค์ให้พันธมิตรหันมาต่อสู้กันเอง เขาคงไม่เหลือทางเลือกให้กับตระกูลฉินเช่นนี้

แม่คือทุกอย่างของเขา เป็นเหมือนต่อมโมโหของเขา

ต่อมโมโหของมังกร ใครกล้าแตะต้องผู้นั้นต้องตาย !

เขายังอุตส่าห์เมตตาหลงเหลือทางรอดให้แก่ตระกูลฉิน !

ในสมองของเขาปรากฏภาพของแม่ซ้ำไปซ้ำมา

ท่าทางของเฉินตงค่อยๆ ดูน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ

ไฟแค้นปะทุขึ้นมาในแววตาของเขา

ฉินเย่และคุนหลุนที่ยืนอยู่ข้างๆ ต่างรับรู้ได้ถึงความอำมหิตที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวของเฉินตง

ทั้งสองหันมองหน้ากัน คุนหลุนเปลี่ยนหัวข้อสนทนา : “ฉินเย่ อย่างไรเสียเขาก็เป็นปู่ของคุณ คุณไม่รู้สึกเสียใจบ้างเลยหรือ ?”

“เชอะ……”

ฉินเย่ยิ้มออกมาอย่างดูถูก “ตอนที่แม่ของฉันและน้องชายของฉันต้องตายอย่างน่าอนาถ ตระกูลฉินของพวกเขาไม่รู้สึกเห็นอกเห็นใจเลยแม้แต่น้อย ถ้าหากตอนนั้นฉันไม่ฆ่าพ่อที่สมควรตายของฉัน เขาก็คงเสวยสุขอยู่ในตระกูลฉินต่อไป ตระกูลฉินที่กินเลือดกินเนื้อคนเช่นนี้ สมควรที่จะได้รับความเห็นใจจากฉันด้วยหรือ ?”

มีความโกรธแค้นแฝงอยู่ในคำพูดที่เอ่ยออกมา

การที่ต้องเห็นแม่ตายอย่างน่าอนาถต่อหน้าต่อตา วัยเด็กที่มืดมนเช่นนี้ คงไม่ต่างกับสิ่งที่เฉินตงเพิ่งจะประสบมามากนัก

ก๊อกๆ !

เสียงเคาะประตูดังขึ้น

จากนั้น เสียงของเฉินทงก็ดังเข้ามาจากด้านนอกห้อง

“คุณชายครับ เจ้าบ้านตระกูลฉินและลูกชายคนโตฉินเห้อเหนียนมาขอเข้าพบครับ”

เลือกได้แล้วหรือ ?

เฉินตงดูนาฬิกา เป็นเวลาห้าทุ่มครึ่งแล้ว

เขาลุกขึ้นแล้วเดินออกไปด้านนอก

คุนหลุนกับฉินเย่ลุกขึ้นแล้วเดินตามไป

สายลมยามค่ำคืนพัดเย็น

ถึงแม้ห้องรับแขกจะไม่ใหญ่มาก แต่แสงไฟก็สว่างไสว

เห็นได้ชัดว่าทุกอย่างภายในห้องโถง ล้วนได้รับการออกแบบและจัดวางอย่างพิถีพิถัน เป็นการผสมผสานที่สมบูรณ์แบบ

คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินถือดาบยาวเดินเข้ามาอย่างโดดเดี่ยว เขาทิ้งตัวลงบนเก้าอี้

เส้นผมของเขาขาวโพลน ใบหน้าของเขาบูดบึ้งดูราวกับคนที่กำลังใกล้จะตาย

หลังจากที่ความหวังทุกอย่างพังทลายลง แผ่นหลังที่เคยยืดตรงอย่างสง่างามของเขา ก็ไม่อาจยืดตรงได้อีกต่อไป

ฉินเห้อเหนียนยืนอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ

การเปลี่ยนแปลงในแววตา แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ตอนนี้ส่วนลึกในใจของเขาอาจสงบลงได้เลยแม้แต่น้อย

ไม่เต็มใจ โกรธ สิ้นหวัง ไร้ที่พึ่ง ความรู้สึกทุกอย่างประเดประดังเข้ามา แต่กลับทำได้เพียงต้องข่มความรู้สึกเอาไว้

“เห้อเหนียน”

จู่ๆ คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินก็ส่งเสียงแหบพร่าออกมา

“พ่อครับ ผมอยู่นี่” ฉินเห้อเหนียนรีบตอบรับ

คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินเลิกคิ้วแล้วพูดว่า : “อีกเดี๋ยวไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แกคอยดูอยู่เฉยๆ ก็พอ ห้ามเข้าไปยุ่งเด็ดขาด”

“พ่อครับ……” ฉินเห้อเหนียนรู้สึกร้อนใจมาก “หรือว่าพวกเราจะยอมสู้ให้ถึงที่สุดครับ ?”

“เหอะ !”

คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น เขาจำได้ดีว่าเสียงของผู้ชายที่ดังขึ้นในโทรศัพท์ของคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินนั้นคือเสียงของใคร

เฉินเต้าหลิน !

เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว

เฉินตงมาที่นี่โดยมีตระกูลเฉินคอยหนุนหลัง คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินถูกเฉินเต้าหลินเชิญให้เข้าไปสวดมนต์อยู่ในห้องพระ พ่อลูกร่วมมือกัน แล้วตระกูลฉินจะมีโอกาสอะไรได้อีก ?

ทันใดนั้น

เสียงที่เย็นชาก็ดังเข้ามาจากด้านนอกห้องรับแขก

“หากตระกูลฉินคิดจะต่อสู้ให้ถึงที่สุดจริง ฉันจะขอเป็นคนร่วมต่อสู้ไปจนสุดทางเอง”

น้ำเสียงเย็นชาและทรงพลัง

ทำให้คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินและฉินเห้อเหนียน หันไปมองด้วยความตกตะลึงพร้อมกัน

เฉินตงค่อยๆ เดินเข้ามาในห้องรับแขก

ก้าวเดินอย่างสบายใจ ไม่รีบร้อน แต่บนใบหน้าที่สงบกลับเผยให้เห็นถึงความอำมหิตและเย็นชา

ทุกท่วงท่าของเขาทำให้คนรู้สึกตกตะลึง

แม้กระทั่งคุนหลุนและฉินเย่ที่เดินตามมาทางด้านหลัง ก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกใจ

ทั้งสองหันมองหน้ากัน ต่างก็เห็นความหวาดกลัวในแววตาของกันและกัน

เฉินตง……เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ !

“คุณชายเฉิน”

คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินรีบลุกขึ้น เขายิ้มออกมาอย่างโดดเดี่ยว แล้วหันไปคารวะเฉินตง

เฉินตงนั่งลงตรงที่นั่งหลักโดยไม่ได้สนใจ เขาเลิกคิ้วแล้วหันไปมองคุณท่านใหญ่ตระกูลฉินและฉินเห้อเหนียน

ในที่สุด แววตาของเขาก็ไปหยุดอยู่ที่ดาบเล่มยาวที่คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินกอดเอาไว้อยู่

จากนั้นจึงพูดออกมาอย่างเย็นชาว่า : “ในเมื่อนำดาบมาแล้ว ก็ฆ่าตัวตายเองเถอะ”

คำพูดที่ตรงไปตรงมา ทำให้บรรยากาศภายในห้องรับแขกเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าที่รุนแรง

คำพูดที่ตรงไปตรงมา จนไม่เหลือที่ว่างให้อีกฝ่ายได้โต้ตอบเลย

คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินและฉินเห้อเหนียนรู้สึกตกตะลึงไปพร้อมๆ กัน

ถึงแม้จะคาดการมาแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าเฉินตงจะพูดออกมาอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้

ถึงแม้เขาจะยอมปล่อยวางทุกอย่างแล้ว แต่อย่างไรเสียเขาก็เป็นถึงเจ้าบ้านผู้สูงส่งของตระกูลฉินเชียวนะ !

“คุณชายเฉิน……”

ฉินเห้อเหนียนรู้สึกไม่เต็มใจ เขาพยายามเอ่ยปากวิงวอน

แต่เฉินตงกลับเหลือบไปมองด้วยสายตาอำมหิต ทำให้ฉินเห้อเหนียนรู้สึกกลัวจนขนหัวลุกในทันที คำพูดที่อยากจะพูดออกมาเหมือนติดอยู่ในลำคอ ไม่สามารถพูดออกมาได้

เผียะ !

เสียงตบหน้าดังก้องกังวาน

คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินตบหน้าฉินเห้อเหนียนจนเขาเดินโซเซถอยหลังไป พลางพูดออกมาด้วยความโกรธว่า : “เจ้าโง่ แกมีสิทธิ์พูดที่นี่หรือยังไง ?”

จากนั้น

เขาก็หันหลังกลับไปอย่างเดียวดาย ในขณะที่จ้องมองเฉินตง ใบหน้าอันหงอยเหงาและแก่ชราของเขาก็ปรากฏรอยยิ้มที่ดูถูกเยาะเย้ยออกมา

“คุณชายเฉินผู้มีเกียรติ เห้อเหนียนอายุยังน้อย ไม่รู้ประสีประสา ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ”

หลังจากได้ยิน แววตาของเฉินตงก็เย็นชาขึ้นทันที

“พรวด !”

ฉินเย่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา : “ไอ้แก่ แกใช้ฐานะมาจัดลำดับความอาวุโส กดขี่ทายาทนอกสมรสให้อยู่ต่ำลงไปขั้นหนึ่ง พ่อของฉันแก่กว่าไอ้หมอนี่สักหน่อย แต่ฉันกลับต้องเรียกมันว่าลุง นี่หรือที่แกบอกฉันว่าเขาเป็นเด็กไม่รู้ประสีประสา ?”

“ฉินเย่ !”

คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินโกรธจนหน้าแดง เขากัดฟันแล้วพูดว่า : “ถือว่าตระกูลฉินของเราเมตตากับแกมาก เรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้น ถ้าฉันไม่หลงเหลือความเมตตาให้แกแล้วล่ะก็ หากเรื่องเกิดขึ้นในตระกูลอื่น แกคงต้องตายสถานเดียว !”

“เลิกพูดถึงคุณธรรมจอมปลอมนั่นเสียที !”

ฉินเย่โต้กลับอย่างรุนแรง : “ถ้าฉันไม่มีเงินหมื่นล้าน ที่สามารถใช้ค้ำจุนฐานะของตระกูลฉินอยู่ในมือแล้วล่ะก็ ฉันจะมีชีวิตรอดอยู่อย่างนี้หรือ ?”

“แก……” ใบหน้าของคุณท่านใหญ่ตระกูลฉินแดงก่ำ พูดอะไรไม่ออกอีกต่อไป

ก๊อกๆ !

เฉินตงเคาะโต๊ะเบาๆ

“เจ้าบ้านตระกูลฉิน คุณมาเพื่อชดใช้หนี้ให้ผม หรือมาเพื่อพูดคุยกับผมกันแน่ ?”

คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินตัวสั่นเทา เขาโค้งคำนับแล้วพูดว่า : “มาชดใช้หนี้อย่างแน่นอน !”

“หากจะชดใช้หนี้ก็เร็วเข้า หากยังมีอะไรจะพูดคุยอีกล่ะก็ รอให้ลงไปเมื่อไหร่ จงไปตามหาแม่ของฉันที่ปรโลก แล้วตั้งใจคุกเข่าขอโทษเธอสักครั้ง !”

เฉินตงลุกขึ้น ตอนนี้ เจตนาฆ่าของเขารุนแรงราวกับคลื่นลูกใหญ่ ที่กำลังซัดสาดเข้าไปหาคุณท่านใหญ่ตระกูลฉิน

ดวงตาของเขาแดงก่ำ เขากัดฟันแล้วพูดว่า : “หน้าที่ของฉันก็คือ ส่งแกลงไปพบแม่ของฉัน !”

“รับทราบ !”

คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินมีท่าทีแน่วแน่ เขาโบกมือทั้งสองข้าง

ฉึบ !

เขาชักดาบเล่มยาวออกจากฝัก ส่องแสงสะท้อนวิบวับ

“พ่อครับ……”

ฉินเห้อเหนียนยกมือขึ้นมาปิดหน้าครึ่งหนึ่งแล้วร้องไห้ออกมา

“หุบปากเดี๋ยวนี้ !”

คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินตะโกนดุออกมาอย่างรุนแรง

เขารู้ดีว่า เหตุการณ์ในคืนนี้นากที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้แล้ว

พ่อลูกตระกูลเฉินร่วมมือกัน ตั้งใจจะให้เขาตาย หากเขาไม่ตาย คนที่ต้องตายคือตระกูลฉินทั้งตระกูล !

ขณะที่ดาบเชือดลงไปบนคอ คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินก็รู้สึกเสียใจขึ้นมา

หากรู้ว่าวันนี้คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินเลือกที่จะยอมแพ้ เขาคงไม่มีทางร่วมมือเพื่อจัดการกับเฉินตงตั้งแต่แรกแน่นอน

แต่ทุกอย่างมันสายไปเสียแล้ว !

“คุณชายเฉิน นี่ถือว่าเป็นสิ่งที่ผมชดใช้ให้แก่คุณ หนึ่งชีวิตชดใช้ให้กับหนึ่งชีวิต !”

แต่ทว่า

ขณะที่คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินกำลังจะฆ่าตัวตายนั้น

ก็มีมือใหญ่มือหนึ่งยื่นเข้าไปจับดาบเอาไว้

จากนั้น น้ำเสียงที่ฟังดูเย็นชาและเต็มไปด้วยความดูถูกก็ดังก้องขึ้นในหูของเขา

“หนึ่งชีวิตชดใช้หนึ่งชีวิต ? ชีวิตน่าอนาถของแกชีวิตนี้ จะเทียบกับชีวิตที่มีฆ่าดั่งทองคำของแม่ฉันได้อย่างไร ?”

เปรี้ยง !

คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินรู้สึกตกใจราวกับถูกฟ้าผ่า

หลังจากที่อีกฝ่ายวางสาย เสียงในโทรศัพท์ก็เงียบสนิท

แต่คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินไม่ได้วางโทรศัพท์ลง เขายืนนิ่งอยู่ที่เดิมราวกับรูปปั้น

“พ่อครับ……”

ฉินเห้อเหนียนรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ

ตุ๊บ……

คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินตัวสั่นเทา โทรศัพท์ที่ถืออยู่ในมือร่วงหล่นลงไปบนโต๊ะ

ทันใดนั้น ดวงตาที่แดงก่ำก็มีน้ำตาเอ่อล้นออกมาทันที

ใบหน้าของเขาซีดเผือด ริมฝีปากสั่นเทา และตัวของเขาก็ค่อยๆ ทรุดลงไปที่พื้น

เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นดังออกมาจากปากของคุณท่านใหญ่ตระกูลฉิน

ภาพนี้ทำให้ฉินเห้อเหนียนรู้สึกตกใจจนหน้าถอดสี

“พ่อครับ พ่อพูดอะไรหน่อสิครับ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ พ่ออย่าทำให้ผมตกใจแบบนี้สิครับ !”

ตั้งแต่ฉินเห้อเหนียนจำความได้ ภาพลักษณ์ของพ่อในสายตาของเขานั้นดูสง่างามและมั่นคงมาโดยตลอด ไม่เคยดูเหมือน “เด็ก” อย่างเช่นตอนนี้มาก่อน“

เจ้าบ้านตระกูลฉินผู้สูงส่ง ถ้าปล่อยให้คนนอกมาเห็นท่าทางที่เขาร้องห่มร้องไห้ดูราวกับเด็กเช่นนี้ คงจะทำให้ซึสู่ต้องสั่นสะเทือนอย่างแน่นอน

“ออกไป ออกไปเดี๋ยวนี้ ! ให้ฉันอยู่คนเดียวเงียบๆ !”

คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินหันมองฉินเห้อเหนียนด้วยแววตาที่โกรธเกรี้ยวและเต็มไปด้วยคราบน้ำตา จากนั้นจึงตะโกนออกมาเสียงดัง

ฉินเห้อเหนียนรู้สึกตกใจจนไม่กล้าเอ่ยถามอะไรต่อ เขารีบออกไปอย่างลุกลี้ลุกลนทันที

ตุ้บ !

คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ ภายใต้แสงไฟสลัว น้ำตาของเขาไหลรินออกมาเป็นสาย และตัวของเขาก็สั่นเทา

หลังจากปิดประตูแล้ว

ฉินเห้อเหนียนยังคงรู้สึกไม่สบายใจ เขาเดินออกไปด้านนอกด้วยความงุนงง

ทันทีที่เขาเดินออกมาถึงลานเล็ก บรรดาพี่น้องต่างก็กรูกันเข้ามาหาเขา

“พี่ใหญ่ ตกลงว่าพ่อตัดสินใจหรือยัง ?”

“เส้นตายมาถึงแล้ว คิดจะจัดการอย่างไรกับเฉินตง คงจะได้ข้อสรุปแล้วใช่ไหม ?”

“หลายวันมานี้ในตระกูลเกิดเรื่องวุ่นวาย ทุกคนในบ้านล้วนกังวลใจ หากให้ฉันเสนอ พวกเราก็จัดการเฉินตงเสียให้สิ้นซาก จะได้กลับไปใช้ชีวิตอย่างมีความสุข !”

……

เสียงของพี่น้องที่ยืนอยู่รอบข้างดังก้อนในหู

ฉินเห้อเหนียนที่รู้สึกกังวลใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งรู้สึกราวกับว่ามียุงนับไม่ถ้วนมาบินวนเวียนอยู่ข้างหู

“หุบปากให้หมดเดี๋ยวนี้ !”

เขาตะโกนออกมาด้วยความโมโห ทำให้ทุกคนเงียบลงในทันที

ฉินเห้อเหนียนสูดหายใจเข้าเต็มปอดหนึ่งครั้ง เขากำลังกัดฟันกรอด พร้อมทั้งมีสีหน้าที่ไม่น่าดูนัก

“ทุกคนให้รออยู่นอกลาน รอฟังการตัดสินใจของคุณพ่อ !”

เขาในตอนนี้ รู้สึกกังวลใจเป็นอย่างมาก ในหัวของเขาเอาแต่ปรากฏภาพของพ่อที่กำลังสิ้นหวังและร้องไห้ออกมาอยู่ตลอดเวลา

สิ่งนี้ทำให้เขายิ่งรู้สึกหวาดกลัวและประหม่า

แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขารู้สึกมั่นใจ

นั่นก็คือ……ตระกูลฉิน……ถูกคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินทอดทิ้งแล้ว !

คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินละทิ้งพันธมิตรในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ !

“หญิงชราผู้นี้ ช่างไร้ยางอายเสียจริงๆ !” ฉินเห้อเหนียนกัดฟันและกร่นด่าออกมา

แต่นี่กลับยิ่งทำให้บรรดาพี่น้องที่อยู่ข้างๆ รู้สึกหวาดกลัวมากยิ่งขึ้น

เวลาค่อยๆ ผ่านไป

บรรยากาศยามค่ำคืนเย็นสบายราวกับสายน้ำ

มีลมเย็นพัดโชยมา

ลมเย็นที่พัดมานี้ ยิ่งทำให้บรรดาพี่น้องตระกูลฉินที่อยู่ด้านนอกลาน ยิ่งรู้สึกหนาวเหน็บไปทั้งตัวมากยิ่งขึ้น รู้สึกว่าสายลมในคืนนี้ ช่างเหน็บหนาวจนเสียดแทงเข้าไปถึงกระดูกเสียจริงๆ

แอ๊ด……

ในที่สุด เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น

“พ่อออกมาแล้ว !”

แววตาของฉินเห้อเหนียนเป็นประกาย เขารีบเดินตรงเข้าไปในลานทันที

ส่วนพี่น้องคนอื่นๆ ก็รีบเดินตามไปติดๆ

ภายใต้แสงจันทร์

แสงสลัวๆ ทำให้เงาของคุณท่านใหญ่ตระกูลฉินที่กำลังเดินออกมาทอดยาวออกไป

เมื่อพวกของฉินเห้อเหนียนได้เห็นหน้าคุณท่านใหญ่ตระกูลฉิน ก็หยุดเดินอย่างกะทันหันในทันที และรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก

ตอนนี้ผมของคุณท่านใหญ่ตระกูลฉินขาวโพลน ราวกับว่าภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ชั่วโมง ทำให้เขาแก่ลงไปสิบกว่าปี เขาดูซีดเซียวและอ้างว้าง

อันที่จริงแล้ว ก่อนหน้านี้คุณท่านใหญ่ตระกูลฉิน มีเพียงแค่ผมหงอกแซมอยู่บ้าง

“เหอะ !”

คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินมองดูบรรดาลูกชาย แล้วหัวเราะออกมาอย่างอ้างว้างและขมขื่น

ในดวงตาบวมเป่งและแดงก่ำของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น

เขาพูดออกมาอย่างเคร่งขรึมว่า : “เห้อเหนียน ไปเอาดาบสามฟุตที่พ่อใช้ฝึกทุกวันตอนเช้ามา”

เปรี้ยง !

พวกของฉินเห้อเหนียนรู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่า ต่างก็หน้าถอดสีทันที

บนใบหน้าของฉินเห้อเหนียนปรากฏรอยยิ้มที่ดูอ้างว้างและขมขื่นเช่นเดียวกับของคุณท่านใหญ่ตระกูลฉินออกมา

ส่วนคนที่เหลือ ก็ค่อยๆ เอ่ยปากพูดขึ้นมา

“พ่อครับ นี่พ่อกำลังจะ……”

ไม่ใช่เรื่องแปลกที่พวกเขาจะรู้สึกตื่นตระหนก

เป็นเพราะ ในงานเลี้ยงวันนั้น เฉินตงพูดเอาไว้อย่างชัดเจนว่า ให้คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินถือดาบยาวสามฟุตไปขอโทษเขาที่หน้าประตู

ถ้าหากตัดสินใจจะลงมือกับเฉินตงจริง จะทำเพียงแค่ถือดาบสามฟุตไปง่ายๆ อย่างนี้หรือ ?

“ไปสิ !”

คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินตะคอกออกมา

“พี่ใหญ่ อย่าไปนะ ตระกูลฉินของเราไม่เคยยอมก้มหัวง่ายๆ เช่นนี้มาก่อน !”

“ถูกต้อง ! อย่างมากก็แค่ตายพร้อมกัน หากปล่อยให้พ่อถือดาบสามฟุตไปขอโทษถึงหน้าประตูเช่นนี้ แล้วตระกูลฉินของพวกเราจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ?”

“พ่อครับ ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ ตระกูลฉินของพวกเราเป็นถึงตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในซีสู่ ต่อให้เฉินตงจะเป็นลูกชายของเฉินเต้าหลิน แต่พวกเราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเกรงกลัวเขา ?”

ทุกคนค่อยๆ ตะโกนออกมาด้วยความโมโห

ตระกูลฉิน ไม่ต้องพูดถึงตอนหลังจากที่ได้รับตำแหน่งตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในซีสู่ แม้กระทั่งตอนที่เริ่มก่อตั้งตระกูลขึ้นมาใหม่ๆ ก็ไม่เคยต้องรู้สึกตกต่ำถึงเพียงนี้

ศักดิ์ศรีและหน้าตาของวงศ์ตระกูล ทำให้พวกเขาไม่อาจทำเช่นนี้ได้ !

ถ้าหากต้องถือดาบสามฟุตไปขอโทษถึงหน้าประตูจริง ก็ควรที่จะเป็นคนอื่นมาขอโทษพวกเขาที่ตระกูลถึงจะถูก

“หุบปากให้หมด ไอ้พวกไร้ประโยชน์ ทำตัวเหมือนขยะที่ดีแต่เห่าไปวันๆ !”

คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินกระทืบเท้าด้วยความโมโห ทำให้บรรยากาศภายในลานกลับมาสงบอีกครั้ง

ฉินเห้อเหนียนหันหลังเดินจากไป ไม่ช้าเขาก็กลับมาที่ลานอีกครั้ง อีกทั้งในมือของเขาก็มีดาบติดมาด้วยอีกหนึ่งเล่ม

นี่คือดาบที่คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินใช้ฝึกฝนร่างกายในทุกๆ เช้า

ไม่เหมือนกับดาบที่ใช้ฝึกฝนร่างกายทั่วๆ ไป ดาบเล่มนี้คมกว่าปกติ สามารถตัดเหล็กได้ราวกับตัดโคลน

“พ่อครับ ตัดสินใจดีแล้วหรือครับ ?”

ฉินเห้อเหนียนรู้สึกลังเล เขาเองก็มีความคิดที่ไม่ต่างจากบรรดาพี่น้องคนอื่นๆ ?

แต่เมื่อเขาได้ประสบกับความทุกข์ทรมานมาตลอดสามวันด้วยตัวของเขาเอง และยิ่งรับรู้ถึงท่าทีของคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน ทำให้เขาต้องทนกัดฟัน ข่มความเย่อหยิ่งที่เขามีเช่นเดียวกับที่น้องชายของเขาเอาไว้

“แกไปกับพ่อ”

คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินพูดขึ้นช้าๆ

เขาค่อยๆ กวาดแววตาขุ่นมัวของเขาไปที่ทุกคน

และถอนหายใจออกมาด้วยเสียงที่สั่นเทา : “พ่อไปครั้งนี้ ภูเขาช่างสูงชันและหนทางช่างห่างไกลนัก ขอให้ทุกคนดูแลตัวเองให้ดี”

เปรี้ยง !

คำพูดประโยคนี้ช่างฟังดูน่ากลัว

ทำให้บรรดาทายาทรุ่นที่สองของตระกูลฉิน รู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่า

แต่เมื่อเผชิญหน้ากับคุณท่านใหญ่ตระกูลฉิน ทุกคนต่างรู้สึกตัวสั่น ดวงตาแดงก่ำ และไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี

“เห้อเหนียน ในฐานะที่แกเป็นพี่ใหญ่ จงจำสิ่งที่พ่อเคยสั่งแกเอาไว้ก่อนหน้านี้”

“รู้แล้วครับพ่อ” ฉินเห้อเหนียนก้มหน้าก้มตาด้วยความหดหู่

ทุกคนคอยส่งพวกเขาจากไป

สองพ่อลูกอาศัยความมืดมิดยามค่ำคืน ขับรถออกไปจากตระกูลฉิน โดยไม่รบกวนคนอื่นๆ ที่อยู่ในบ้าน

ในเวลาเดียวกันนี้

ตระกูลใหญ่ทุกตระกูลในซีสู่ก็กำลังเคลื่อนไหว

“คุณท่านใหญ่ตระกูลฉิน พาลูกชายคนโตฉินเห้อเหนียนออกจากคฤหาสน์ตระกูลฉิน !”

“ให้ตายเถอะ ตระกูลฉินต้องล้มลงต่อหน้าเฉินตงจริงๆ หรือ ?”

“ถือดาบสามฟุตออกจากตระกูลดั่งเช่นที่พูดเอาไว้ในงานวันนั้นจริงๆ ? นี่คือตระกูลฉินแห่งซีสู่ที่ฉันรู้จักจริงๆ หรือนี่ ?”

……

ข่าวสารค่อยๆ ทยอยวางลงบนโต๊ะทำงานของเจ้าบ้านตระกูลใหญ่แต่ละตระกูล ราวกับฝนห่าใหญ่ที่โปรยปรายลงมาอย่างไม่ขาดสาย

ทุกคนต่างกำลังรู้สึกตื่นตกใจ

หลังจากที่ตระกูลจูเก่อรู้เรื่องที่คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินพาฉินเห้อเหนียนออกจากคฤหาสน์แล้ว ก็รู้สึกตื่นเต้นและดีใจเป็นอย่างมาก

“ชิงเอ๋อ ประกาศออกไป ให้ตระกูลจูเก่อเตรียมการ หลังจากฟ้าสาง ตระกูลจูเก่อจะขึ้นแท่นเป็นตระกูลที่มั่งคั่งที่สุดในเมืองซีสู่ !”

เมื่อได้เห็นชายชราที่ผมขาวและใบหน้าเต็มไปด้วยความปีติที่อยู่ตรงหน้า ตอนนี้จูเก่อชิงเองก็อดไม่ได้ที่จะแสดงความตื่นเต้นดีใจออกมา

เขารีบคารวะ : “รับทราบครับ คุณปู่”

“ฮ่าๆๆ……ตระกูลฉินที่ครอบงำซีสู่มาโดยตลอด ในที่สุดวันนี้ก็ต้องล้มเหลวลงจนได้” ชายชราผมขาวเงยหน้าแล้วหัวเราะออกมาเสียงดัง “ตระกูลจูเก่อของพวกเรา หากไม่ได้ขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งตระกูลที่มั่งคั่งที่สุดในซีสู่ คงถือเป็นการผิดต่อบรรพชนอย่างใหญ่หลวง คงต้องรู้สึกละอายที่ตั้งรกรากในเมืองซีสู่มานานขนาดนี้ ?”

คืนนี้

ซีสู่ เกิดการพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินขึ้นจริงๆ…..

เฉินตงมองดูจูเก่อชิงที่อยู่ตรงหน้าเขา

ในสมองของเขาก็เกิดความรู้สึกสงสัยขึ้นมา

นี่……ผู้ชายหรือว่าผู้หญิงกันแน่ ?

จูเก่อชิงที่อยู่ตรงหน้า รูปร่างผอมบาง ผิวขาวนวลเนียนราวกับหิมะ ทุกส่วนบนใบหน้างดงามได้รูป หน้าตาหล่อเหลา รวมไปถึงมีความอ่อนโยนปรากฏอยู่ในใบหน้าของเขาด้วย

สวมใส่ชุดสูทเข้ารูป และตัดผมหน้าม้า ทั้งหมดนี่แสดงให้เห็นถึงความชั่วร้ายที่แอบซ่อนอยู่

เป็นเพราะองศาในการยืน ทำให้เฉินตงไม่อาจมองเห็นว่าคอของจูเก่อชิงมีลูกกระเดือกหรือไม่

แต่ว่า การเอ่ยถามเพศของผู้อื่นตรงๆ ก็ดูจะเป็นการเสียมารยาทไม่น้อย

“คุณเฉิน ดูพอหรือยัง ?”

จู่ๆ น้ำเสียงที่ก้องกังวานก็ดังขึ้น

ผู้ชาย !

เฉินตงรู้แจ้งในทันที

แต่จู่ๆ เขาก็รู้สึกลังเลขึ้นมา ท่าทางที่ดูชั่วร้าย บวกกับน้ำเสียงที่ก้องกังวาน หรือว่าจูเก่อชิงผู้นี้จะเป็นนักฆ่าสาวกันแน่ ?

“อะแฮ่ม……”

เฉินตงยิ้มออกมาอย่างเก้อเขิน แล้วเอ่ยถามว่า : “ตระกูลจูเก่อมาหาผม ไม่ทราบมีเรื่องอะไรหรือเปล่า ?”

“ร่วมมือกัน”

จูเก่อชิงพูดอย่างตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม ดวงตาที่เป็นประกายสุกสว่างจับจ้องไปที่เฉินตง : “ตระกูลจูเก่อยินดีที่จะช่วยคุณจัดการกับตระกูลฉิน และเพื่อเป็นการตอบแทน หลังจากเรื่องทุกอย่างเสร็จสิ้นลง ตระกูลจูเก่อของเราต้องการที่จะขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งตระกูลที่มั่งคั่งที่สุดแห่งซีสู่”

เป็นคำพูดที่ตรงประเด็น ไม่อ้อมค้อม

เป็นคำพูดที่ตรงไปตรงมาจนทำให้เฉินตงรู้สึกประหลาดใจ

ไม่เคยเห็นคนที่ตรงไปตรงมาเช่นนี้มาก่อนเลย

แต่ว่า เฉินตงเองก็ยิ้มออกมาอย่างประหลาด : “อันที่จริงแล้ว ผมไม่ได้ตั้งใจที่จะจัดการตระกูลฉินให้สิ้นซาก แต่หากร่วมมือกัน พวกเราก็น่าจะเดินหน้าต่อไปได้”

จูเก่อชิงขมวดคิ้วด้วยความงุนงงเล็กน้อย : “คุณกับตระกูลฉินเป็นเหมือนน้ำกับน้ำมัน ถ้าหากไม่ได้คิดจะทำลายตระกูลฉินให้สิ้นซาก แล้วการร่วมมือของเราจะเดินหน้าต่อไปได้อย่างไร ?”

“ในเมื่อคุณมาแล้ว ก็ถือเสียว่าเราร่วมมือกันแล้ว”

เฉินตงยิ้มอย่างมีเลศนัย เขาโบกมือ : “คุณนำคำพูดนี้ไปบอกเจ้าบ้านตระกูลจูเก่อ ถ้าหากต้องการให้ตระกูลจูเก่อลงมือเมื่อไหร่ ผมจะรีบบอกทันทีโดยไม่อ้อมค้อม”

แววตาของจูเก่อชิงสั่นไหวเล็กน้อย เหมือนกำลังมีความคิดอะไรบางอย่าง

แต่ก็ยังคงพยักหน้าแล้วลุกขึ้น จากนั้นจึงหันไปคารวะเฉินตง

“เพื่อแสดงความจริงใจ และเพื่อเป็นการกระชับความสัมพันธ์กับตระกูลจูเก่อให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ขอเชิญคุณเฉินเปลี่ยนบรรยากาศ ไปพักผ่อนที่คฤหาสน์เทียนอวี้”

หลังจากที่ได้ยิน

ฉินเย่ซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ก็แววตาเป็นประกายขึ้นมาทันที เขาหันไปมองเฉินตงด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง

เฉินตงยิ้มออกมาอย่างเบิกบาน แล้วส่ายหัวเพื่อปฏิเสธ จากนั้นจึงหันไปส่งสัญญาณให้เฉินทงส่งแขก

หลังจากจูเก่อชิงกลับไปแล้ว

ฉินเย่ก็พูดออกมาด้วยความผิดหวังว่า : “ทำไมนายถึงไม่รับปากว่าจะไป ? คฤหาสน์เทียนอวี้นั่นน่าสนใจมากเลยนะ”

“ตาของนายแทบจะลุกเป็นไฟอยู่แล้ว ทำไมฉันจะไม่รู้ว่าข้างในนั้นมีอะไร ? แต่ฉันเป็นคนมีครอบครัว เสี่ยวหยิ่งกำลังรอฉันอยู่ที่บ้านนะ”

เฉินตงทำสีหน้าเบื่อหน่าย จากนั้นจึงลุกขึ้นแล้วหันไปมองคุนหลุน

แล้วพูดขึ้นอีกว่า : “แต่ถ้านายอยากจะไปจริงๆล่ะก็ ให้คุนหลุนไปเป็นเพื่อนนายสิ”

คุนหลุนเลิกคิ้ว เขาลุกขึ้นแล้วเดินไป : “ผมมีเสี่ยวลู่อยู่ทั้งคน คนโสดเท่านั้นที่จะทำเรื่องแบบนี้ได้”

ประโยคนี้ทำให้ฉินเย่หน้าแดงก่ำ แล้วนั่งลงที่เดิม

เฉินตงเองก็หัวเราะพรวดออกมา

เขาหันไปมองจูเก่อชิงที่เดินจากไป แววตาของเขาลึกซึ้งและปรากฏรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย

“หากจัดการกับตระกูลฉินจนราบคาบจริงๆ สุดท้ายก็ต้องมีคนขึ้นไปนั่งอยู่ในตำแหน่งตระกูลที่มั่งคั่งที่สุดของซีสู่แทน ด้วยภูมิหลังของตระกูลจูเก่อแล้ว ต่อให้ฉันไม่ช่วย พวกเขาก็ยังมีโอกาสแปดเก้าสิบเปอร์เซ็นต์อยู่ดี ดังนั้นการสร้างมิตรภาพและความร่วมมือที่ดีเอาไว้ ก็คงไม่ใช่เรื่องขาดทุน”

ยิ่งไปนั้น การที่ตระกูลจูเก่อมาเยือนในคืนนี้ คงเป็นเพราะทางฝั่งตระกูลฉินคงจะตกที่นั่งลำบากและกลัวจนตัวสั่นแล้วสินะ ?”

นี่คือสิ่งที่เฉินตงคิด

เป็นเพราะมีการคาดคะเนไว้เช่นนี้ ทำให้การเจรจากับจูเก่อชิงเมื่อครู่ เป็นไปอย่างรวดเร็ว

ไม่มีการพูดคุยกันอีกตลอดทั้งคืน

เช้าวันรุ่งขึ้น มีตระกูลใหญ่มากมายในเมืองซีสู่ที่ต่อแถวกันมาขอเข้าพบ

เฉินตงกำชับเฉินทงเอาไว้เรียบร้อยแล้วว่า ให้ปฏิเสธทุกคนที่มาขอเข้าพบ

แค่ได้รับความร่วมมือจากตระกูลจูเก่อ ก็คงเพียงพอแล้วสำหรับการแก้แค้นในครั้งนี้

หากเข้าเจรจากับตระกูลใหญ่หลายตระกูลจนเกินไป ก็จะทำให้เกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นได้ แล้วจะทำให้คนของตระกูลจูเก่อเกิดความระแวงสงสัยได้

เมื่อเส้นตายยิ่งใกล้เข้ามาทุกที

บรรยากาศของตระกูลฉินก็ยิ่งดูหม่นหมองราวกับมีเมฆดำมาปกคลุม มีแต่ความโศกเศร้าและความเย็นยะเยือกรายล้อมอยู่

ทุกคนในตระกูลต่างรู้สึกตื่นตระหนกและหวาดกลัวจนตัวสั่น

ตั้งแต่เช้าตรู่ มีเสียงตะโกนกร่นด่าออกมาจากห้องของเจ้าบ้านไม่ขาดสาย

แม้กระทั่งเด็กที่ไม่รู้ประสีประสาก็ยังเดาออกได้ว่าตระกูลฉินกำลังจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว !

เจ้าบ้านถือเป็นเสาหลักของตระกูลฉินทั้งตระกูล แต่ทว่าตอนนี้ เสาหลักกลับเริ่มสั่นคลอนแล้ว

เหล่าบรรดาผู้อาวุโสเองต่างก็รู้สึกเป็นทุกข์และตื่นตระหนกตลอดทั้งวัน

ภาพเหตุการณ์ในงานเลี้ยงฉลองวันเกิด ยังคงติดอยู่ในหัวของพวกเขาราวกับฝันร้าย

ทุกคนต่างรู้ดีว่า ดาบของเฉินตงเล่มนี้ จ่ออยู่ที่คอของเข้าบ้านเรียบร้อยแล้ว

และปฏิกิริยาของเจ้าบ้านในตอนนี้ ก็ทำให้ทุกคนต่างรู้สึกสิ้นหวัง

ภายในห้องที่มืดสนิท

ใบหน้าของคุณท่านใหญ่ตระกูลฉินเต็มไปด้วยความอ่อนล้า สามวันมานี้เขาแทบจะไม่ได้นอน

ไม่มีงานเลี้ยงฉลองวันเกิดครั้งไหนที่ทำให้เขาต้องอับอายเช่นนี้มาก่อน

เขาถึงขั้นลืมไปแล้วว่า ตนเองสั่งให้ฉินเห้อเหนียนติดต่อคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินไปทั้งหมดกี่ครั้ง

แต่ผลลัพธ์ของทุกครั้ง ยิ่งทำให้เขารู้สึกสิ้นหวังเข้าไปทุกทีๆ

หากไม่มีคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินคอยหนุนหลัง ถ้าตระกูลฉินคิดจะจัดการกับเฉินตง ก็คงต้องเตรียมรับมือกับความโกรธเกรี้ยวของเฉินเต้าหลินเอาไว้ได้เลย

พันธมิตรที่ดีต่อกัน แต่ในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินกลับขาดการติดต่อไปเสียนี่

สิ่งนี้ทำให้คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินที่กำลังขี่อยู่บนหลังเสือ ไม่อาจลงมาได้อีกต่อไป สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดเหมือนถูกจับย่างอยู่บนเตาไฟ

“พ่อครับ ติดต่อไปพันกว่าครั้งแล้ว หรือว่า……จะยอมแพ้ดี ?” ฉินเห้อเหนียนรู้สึกจนใจ ระยะเวลาสามวัน เขาแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจากพยายามติดต่อคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินอย่างสุดความสามารถ

“ยอมแพ้ ?”

คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินดวงตาแดงก่ำ ดูราวกับเสือที่กำลังโกรธจัด เขาหันไปมองฉินเห้อเหนียนด้วยความโมโห : “แกจะให้พ่อยอมทอดทิ้งตระกูลฉิน ? หรือต้องการจะให้ตระกูลฉินพบจุดจบอย่างน่าอนาถ ?”

ฉินเห้อเหนียนตกใจจนหัวหด เขากัดฟันและไม่กล้ากล่าวโต้แย้งใดๆ อีก

ถึงแม้ตัวเขาเองจะไม่มีความสามารถมากนัก แต่ในฐานะที่เป็นลูกคนโตของเจ้าบ้าน เรื่องบางเรื่อง เขาเองก็ได้รู้จากปากของพ่อเขา

ถึงแม้ตระกูลฉินจะเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในซีสู่ แต่เมื่อเทียบกับตระกูลเฉินแล้ว……

ด้วยเหตุนี้ ทำให้พ่อมีช่วงเวลาที่รู้สึกหวาดกลัวอย่างเช่นที่เป็นอยู่ตอนนี้

ตั้งแต่เล็กจนโต นี่เป็นครั้งแรกที่พ่อไม่อาจควบคุมตนเองได้ต่อหน้าเขา

“โทรต่อไป !”

คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินยังคงไม่ยอมแพ้

เขาสร้างตระกูลฉินมาอย่างยากลำบาก จนกลายมาเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในเมือง เขาไม่ยินดีที่จะให้คนตัวเล็กๆ อย่างเฉินตง มาทำให้ตระกูลฉินต้องพบจุดจบอย่างน่าอนาถได้

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ไม่ช้า พระอาทิตย์ก็ตกดิน

เมื่อเวลากลางคืนมาถึง

สายตาของตระกูลใหญ่ทุกคู่ในซีสู่ ต่างจับจ้องมาที่ตระกูลฉินแห่งซีสู่

ภายใต้ท้องฟ้ามืดมิดที่เต็มไปด้วยดวงดาว

แสงไฟส่องสว่างตระกูลฉิน แต่กลับดูไร้ชีวิตชีวา

คฤหาสน์อันยิ่งใหญ่ กลับเต็มไปด้วยบรรยากาศที่มืดมน

ทุกคนต่างรอคอยด้วยความหวาดกลัว

การตัดสินใจครั้งสุดท้ายของเจ้าบ้าน มีผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ต่อทุกคนในตระกูล !

“พ่อครับ ติด ติดต่อได้แล้วครับ !”

คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินที่รู้สึกสิ้นหวังจนเกือบจะยอมแพ้แล้ว เมื่อจู่ๆ ได้ยินสิ่งที่ฉินเห้อเหนียนพูดขึ้นมา ทำให้เขารู้สึกเหมือนได้ต่อลมหายใจเฮือกสุดท้ายอีกครั้ง

เขารู้สึกตื่นเต้นจนไม่อาจควบคุมตัวเองได้ ร่างกายที่แก่ชราของเขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้วยท่าทางที่แทบจะกระโดดขึ้นมา จากนั้นเขารีบเดินโซเซไปที่โต๊ะ แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา

“คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน ในที่สุดผมก็ติดต่อคุณได้แล้ว”

คำพูดประโยคเดียว เป็นการระบายความกดดันและความหวาดกลัวทั้งหมดที่คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินเผชิญมาตลอดสามวัน

เขาพูดอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่หยุดพัก : “เฉินตงมาที่ซีสู่ แล้วชี้ดาบมาที่ตระกูลฉินของผม เรื่องนี้ผมอยากจะให้คุณช่วยตัดสินใจ ถ้าหากมีคุณ……”

แต่ทว่า

ยังไม่ทันจะพูดจบ

สีหน้าของคุณท่านใหญ่ตระกูลฉินก็เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน ใบหน้าซีดเผือดจนมองไม่เห็นสีของเลือดอย่างกะทันหัน

นั่นเป็นเพราะว่า เสียงที่ดังขึ้นจากปลายสายเป็นเสียงของผู้ชายคนหนึ่ง

“แม่ของฉันกำลังสวดมนต์อยู่”

สองวันเต็มๆ

บรรยากาศภายในตระกูลฉินเหมือนถูกปกคลุมไปด้วยเมฆสีดำ

ตระกูลสูงส่งที่ร่ำรวยที่สุดในซีสู่ แต่ภายในคฤหาสน์ ทุกคนกลับตกอยู่ในความหวาดระแวงและหวาดกลัว

ราวกับมีทีท่าว่าพายุใหญ่กำลังจะมา

ทุกคนในคฤหาสน์ล้วนได้ยินอย่างชัดเจนว่า มีเสียงอาละวาดที่เกรี้ยวกราดและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ดังออกมาจากห้องของเจ้าบ้าน

ทุกคนรู้ดีว่า การเลี้ยงฉลองงานวันเกิดของเจ้าบ้านในครั้งนี้ ไม่ได้เป็นไปอย่างราบรื่น

ภายในห้องที่มืดสนิท

มีเส้นเลือดปูดโปนออกมาจากหางตาของคุณท่านใหญ่ตระกูลฉิน ดวงตาแดงก่ำ

“ติดต่อไม่ได้อีกหรือ ? ทำไมยังติดต่อไม่ได้อีก ?”

ฉินเห้อเหนียนคุกเข่าลงบนพื้นด้วยความตื่นตระหนก เขาตกใจจนสติแทบจะหลุดออกจากตัว

“พ่อครับ พ่อใจเย็นก่อนนะครับ เวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้จะต้องใจเย็นเข้าไว้นะครับ”

“ใจเย็น ? แกจะให้ฉันใจเย็นอยู่ได้อย่างไร ?”

คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินเขวี้ยงกาหม้อดินโบราณที่ถืออยู่ในมือลงบนพื้นอย่างแรง : “ในเมื่อบอกให้ฉันใจเย็น ถ้าเช่นนั้นแกบอกฉันมาสิว่าจะต้องทำอย่างไรกันดี ?”

ฉินเห้อเหนียนยืนตัวแข็งทื่อ พูดอะไรไม่ออก

เฉินตงมีตระกูลเฉินคอยหนุนหลังอยู่ เขามาด้วยแรงสนับสนุนอย่างเต็มที่ ถ้าหากไม่สามารถพึ่งพาคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินได้อีก เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรต้องทำใช่เช่นแล้ว

ลำพังแค่เฉินตงเพียงคนเดียว ไม่ได้อยู่ในสายตาของสมาชิกตระกูลฉินเลยเสียด้วยซ้ำ

แต่เมื่อมีตระกูลเฉินที่ยิ่งใหญ่คอยหนุนหลังอยู่ ทุกคนในตระกูลฉินต่างไม่กล้าที่จะดูถูก

ตระกูลหลี่แห่งเมืองหลวง เป็นตัวอย่างที่เคยมีให้เห็นมาแล้ว

เฉินเต้าหลินสามารถนำทัพเครื่องบินรบไปจัดการกับพวกเขาโดยไม่พูดไม่จาสักคำ

ถึงแม้ตระกูลหลี่จะเป็นตระกูลที่เก่าแก่ หัวโบราณ ไม่เหมือนกับตระกูลฉินที่กำลังรุ่งโรจน์ราวกับพระอาทิตย์ที่ส่องแสงสว่างอยู่กลงท้องฟ้า

มีความแตกต่างกันอย่างมหาศาล แต่เมื่อเผชิญหน้ากับตระกูลเฉินแล้ว ตระกูลหลี่และตระกูลฉินก็ดูเหมือนว่าจะไม่ต่างกันมากอีกต่อไป

“โทรต่อไป โทรต่อไปเรื่อยๆ !”

คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินกัดฟันแน่น ใบหน้าของเขาแดงก่ำด้วยความโกรธ

ฉินเห้อเหนียนรีบลุกขึ้นแล้วพยายามโทรหาคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินต่อทันที

“สมควรตาย ! สมควรตายจริงๆ ! คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน นี่คุณคิดจะทอดทิ้งพันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่างตระกูลฉินหรืออย่างไร ?”

คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ เอาหายใจฟึดฟัดราวกับวัวกระทิง ความคิดของเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว : “เป็นไปไม่ได้ คุณไม่มีทางโง่แบบนั้นแน่ คุณยังไม่โง่ถึงขนาดเป็นคนแก่ที่ไร้น้ำยา ไม่สามารถช่วยเหลือตระกูลฉินได้ คุณไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเฉินเต้าหลินเสียด้วยซ้ำ”

เป็นเพราะการคิดอย่างถี่ถ้วน เมื่อติดต่อคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินไม่ได้ตลอดสองวัน ทำให้คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินยิ่งกระวนกระวายมากยิ่งขึ้น

ทันใดนั้น คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินก็เงยหน้าขึ้น ดวงตาที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยสีแดงก่ำ ส่องประกายรังสีของความอำมหิตออกมา

เขากัดฟันพูดออกมาว่า : “พรุ่งนี้เป็นวันที่เฉินตงกำหนดให้เป็นวันสุดท้าย ถ้าหากยังติดต่อไม่ได้ ก็อย่าโทษหากตระกูลฉินของเราจะทำเรื่องที่เป็นอันตรายก็แล้วกัน”

“พ่อครับ ยังติดต่อไม่ได้ครับ”

น้ำเสียงของฉินเห้อเหนียนสั่นเครือ ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกสิ้นหวัง

ตอนนี้เขารู้ดีว่าพ่อของเขากำลังรู้สึกหมดหวังอย่างถึงที่สุด แต่อย่างไรเสียเขาก็ต้องพูดผลลัพธ์ออกมาให้พ่อของเขาได้รับรู้

แต่ทว่า

สิ่งที่ทำให้ฉินเห้อเหนียนรู้สึกแปลกใจก็คือ คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินกลับโบกมือแล้วถอนหายใจออกมา

แล้วหันกลับมาถามว่า : “ซวนเอ๋อเป็นอย่างไรบ้าง ?”

นี่มันเรื่องอะไรกัน ?

ฉินเห้อเหนียนรู้สึกตกใจและรีบตอบกลับไปว่า : “แขนเชื่อมต่อกันจนติดดีแล้ว ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วครับ แต่ว่าเรื่องนี้ทำให้ซวนเอ๋อรู้สึกโกรธแค้นเป็นอย่างมาก”

“เฮ้อ ทายาทรุ่นที่สามของตระกูลฉินเรา ไม่มีใครสามารถดูแลตระกูลฉินได้เลยจริงๆ หรือ ?”

คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินพูดออกมาอย่างไม่เต็มใจ : “น่าเสียดาย ครั้งนี้ฉินเย่พาเสี่ยวเชียนไปด้วย ไม่อย่างนั้นฉันเองก็อยากให้เสี่ยวเชียนกลับเข้ามาอยู่ในตระกูลฉินอีกครั้ง ด้วยความสามารถของเธอ สามารถดูแลตระกูลฉินได้แน่นอน ต่อไปหากทายาทรุ่นต่อไปของพวกซวงเอ๋อคิดที่จะยึดอำนาจคืนก็คงไม่ใช่เรื่องยาก”

“พ่อครับ……” สีหน้าของฉินเห้อเหนียนไม่สู้ดีนัก

เขารู้ดีว่า การเลือกผู้สืบทอดมรดกเพื่อที่จะเข้ามาดูแลตระกูลที่ร่ำรวยนั้น จะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ แต่การที่จะให้พวกทายาทนอกสมรสขึ้นมาดูแลตระกูลฉิน อย่าว่าแต่ทายาทรุ่นที่สามอย่างพวกซวนเอ๋อจะไม่ยินยอมเลย แม้กระทั่งทายาทรุ่นที่สองอย่างพวกเขาก็ไม่มีทางยินยอมเช่นกัน

“พ่อเข้าใจความคิดของพวกแกพี่น้องดี แต่การให้ทายาทนอกสมรสเข้ามาดูแลตระกูลฉินก็เป็นเพียงแค่แผนการขั้นหนึ่งเท่านั้น

คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินโบกมือเพื่อเป็นการตัดบทฉินเห้อเหนียน เขากลอกตาแล้วพูดออกมาอย่างลึกซึ้งว่า : “แกรีบติดต่อซวนเอ๋อและบรรดาทายาทรุ่นที่สามเดี๋ยวนี้ ให้พวกเขาเก็บข้าวของแล้วออกจากซีสู่ทันที ถ้าออกนอกประเทศได้ก็จะเป็นการดีที่สุด ไม่ต้องบอกพวกเราว่าพวกเขาไปไหน รอให้เรื่องนี้จบลงแล้วค่อยกลับมาที่ตระกูลฉินในซีสู่”

“พ่อครับ จำเป็นต้อง……ทำถึงขนาดนี้เลยหรือครับ ?”

ฉินเห้อเหนียนตระหนักได้ในทันทีว่า พ่อของเขากำลังเตรียมแผนการรับมือกับสิ่งที่เลวร้ายที่สุดเอาไว้แล้ว

“จำเป็นต้องทำขนาดนี้เลยหรือ ?”

คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินเลิกคิ้วแล้วหันไปมองฉินเห้อเหนียนด้วยความโมโห : “แกกล้าพูดแบบนี้ออกมาได้อย่างไร ? แกเชื่อไหมว่า คำสั่งเช่นนี้ ถ้าหากฉินเย่กับฉินเสี่ยวเชียนได้รับฟังแล้วล่ะก็ พวกเขาจะปฏิบัติตามในทันที และออกไปจากตระกูลฉินเงียบๆ และรวดเร็วที่สุด ?”

เห็นได้ชัดว่า นี่กำลังเป็นการตำหนิว่าฉินเห้อเหนียนเองก็ยังไม่อาจเทียบฉินเย่กับฉินเสี่ยวเชียนได้

สีหน้าของฉินเห้อเหนียนไม่น่าดูนัก พ่อนำเขาไปเปรียบเทียบกับเด็ก ซึ่งถือเป็นการดูถูกเขาอย่างมาก

สักพัก คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินจึงค่อยๆพูดออกมาว่า : “พวกเราไม่ได้กำลังเผชิญหน้ากับเฉินตง แต่พวกเรากำลังเผชิญหน้ากับเฉินเต้าหลินซึ่งอยู่เบื้องหลังเฉินตง เตรียมตัวเอสไว้ให้ดี ดีกว่ารอให้มีดมาจ่อคอแล้วทำอะไรไม่ถูก”

“เข้าใจแล้วครับ” ฉินเห้อเหนียนพยักหน้า แล้วหันหลังเดินจากไป

ในห้องที่มืดมิด เหลือเพียงคุณท่านใหญ่ตระกูลฉินเพียงแค่คนเดียว

บรรยากาศเย็นเยือกถึงขีดสุด และเงียบสงบจนน่าประหลาด

พักใหญ่

คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินค่อยๆ ถอนหายใจออกมา : “หวังว่าจะไม่เป็นเช่นนี้นะ……”

หลังจากพวกของฉินซวนออกจากตระกูลฉินไปแล้ว ตระกูลฉินก็พยายามปกปิดที่อยู่ของพวกเขาให้เป็นความลับมากที่สุด

แต่ในเมืองซีสู่ มีทั้งมังกรและเสือหมอบหลบซ่อนตัวอยู่ ในโลกของตระกูลที่มั่งคั่งร่ำรวยและยักษ์ใหญ่ผู้มีอำนาจ ไม่รู้ว่ามีสายตาสักกี่คู่ที่กำลังจับจ้องมาที่ตระกูลฉิน

ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องที่เกิดขึ้นในงานฉลองวันเกิดของตระกูลฉิน ก็ยิ่งดึงดูดความสนใจของบรรดาตระกูลใหญ่มากยิ่งขึ้น

ตอนนี้ ข่าวการหายตัวไปจากตระกูลเฉินของพวกฉินซวน กลายเป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงในตระกูลใหญ่ๆ ทุกตระกูลในซีสู่ทันที

ทุกคนเมื่อรับรู้ข่าวนี้ ต่างก็รู้สึกตกใจและถอนหายใจกันออกมา

ตระกูลฉิน……เตรียมรับมือกับเรื่องเลวร้ายที่สุดแล้วหรือนี่ ?

ท้องฟ้าของซีสู่……กำลังจะเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ หรือ ?

บ้างก็รู้สึกทอดถอนใจ บ้าก็รู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น บ้างก็กำลังตั้งตารอดูสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างใจจดใจจ่อ

ตระกูลฉินอยู่ในตำแหน่งของผู้ที่มั่งคั่งที่สุดในซีสู่ จู่ๆ ท้องฟ้าก็เปลี่ยนไป นี่แสดงให้เห็นว่าสถานการณ์ในซีสู่กำลังจะเปลี่ยนไปแล้ว ตำแหน่งเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองซีสู่ คงจะถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนมือเสียที !

หากคว้าโอกาสนี้ไว้ได้ จากที่ปกติแล้วต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจของตระกูลฉิน ครั้งนี้ก็จะสามารถลืมตาอ้าปาก และช่วงชิงตำแหน่งผู้ที่มั่งคั่งที่สุดในเมืองมาครองได้

ความจริงก็ควรต้องเป็นเช่นนี้

คืนนั้น

คฤหาสน์สู่ซานได้ต้อนรับแขกลึกลับคนหนึ่ง

“คุณชาย จูเก่อชิงจากตระกูลจูเก่อขอเข้าพบครับ” เฉินทงเข้ามารายงาน

“ตระกูลจูเก่อ ?”

เฉินตงหันไปมองเฉินทงและฉินเย่ด้วยความสงสัย

ฉินเย่ยักไหล่แล้วพูดว่า : “ตระกูลเก่าแก่ที่ตั้งรกรากอยู่ในซีสู่ ถือได้ว่าเป็นตระกูลชนชั้นสูงดั้งเดิมของเมืองนี้ มีภูมิหลังที่แข็งแกร่งอย่างมาก”

“ตระกูลชนชั้นสูงดั้งเดิม ?”

เฉินตงรู้สึกสนใจ เขาลูบจมูกและพูดติดตลกว่า : “คงไม่ใช่ทายาทของจูเก่อขงเบ้งหรอกนะ ?”

ตระกูลมั่งคั่งร่ำรวย และตระกูลชนชั้นสูงดั้งเดิม หากมีบรรพบุรุษเป็นผู้มั่งคั่งและมีอำนาจในอดีต คนรุ่นหลังก็เทียบได้กับเป็นพื้นหลังของประวัติศาสตร์แล้ว

หากได้รับการเรียกขานว่าเป็นตระกูลชั้นสูงดั้งเดิม ถ้าไม่ใช่เพราะมีทรัพย์สินเงินทองมากมายที่สุด ก็จะต้องดำรงตำแหน่งตระกูลชั้นสูงมาอย่างยาวนานที่สุด

แต่ทว่า

เฉินทงกลับยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ : “จากข่าวลือและการสืบหาข้อมูลของหน่วยข่าวกรองตระกูลเฉิน ดูเหมือนว่าจะใช่นะครับ”

เฉินตง : “o?o”

เฉินตงลังเลอยู่สักพักแล้วจึงพยักหน้า : “ไปพบเขาสักหน่อยก็ได้”

ส่วนทางด้านตระกูลฉิน

เกิดความโกลาหลขึ้นในห้องของคุณท่านใหญ่ตระกูลฉิน

มือทั้งสองข้างของคุณท่านใหญ่ตระกูลฉินจับตู้หนังสือเอาไว้แน่น เขาหายใจฟึดฟัดราวกับวัวกระทิง ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ

“ตระกูลจูเก่อ ตอนนี้ตระกูลจูเก่อไปหาเฉินตง หรือพวกเขาคิดว่าท้องฟ้าของซีสู่จะเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ จึงคิดที่จะกำจัดตระกูลฉินของเราโดยเร็ว ?”

ฉินเห้อเหนียนตกใจจนคุกเข่าลงไปที่พื้น ตัวของเขาสั่นเทา

ใบหน้าที่ซีดเซียวของเขาเต็มไปด้วยความเสียใจ หากรู้ว่าพ่อจะโมโหขนาดนี้ เขาก็คงไม่นำเรื่องนี้มาบอกพ่อของเขาตั้งแต่ต้น

เฉินตงเข้าใจฉินเย่ดี

คนที่ภายนอกดูขวางโลก แต่ในใจก็ยังรู้จักถึงความเหมาะสม

เขากับฉินเย่ไปที่ตระกูลฉินเพื่อแก้แค้น

ส่วนฉินเสี่ยวเชียนมาเพื่อที่จะอวยพรวันเกิดเท่านั้น

ถึงแม้กฎระเบียบที่ให้ส่งเฉพาะของขวัญแล้วต้องกลับไปทันที จะดูเป็นกฎที่เข้มงวดและเย็นชา จนทำให้ฉินเสี่ยวเชียนต้องรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ

แต่ฉินเย่ก็ไม่ได้หลวมตัวหลวมตัว ลากฉินเสี่ยวเชียนเข้ามาอยู่ร่วมในการแก้แค้นระหว่างพวกเขาและตระกูลฉินด้วยเรื่องนี้

ตอนนี้การที่พาฉินเสี่ยวเชียนไปด้วย ก็เท่ากับว่าดึงฉินเสี่ยวเชียนเข้ามาเป็นพวกเดียวกับพวกเขาเรียบร้อยแล้ว

หากกลับตระกูลฉิน การปฏิบัติต่อฉินเสี่ยวเชียนก็คงไม่เข้มงวดและเย็นชาเช่นนี้อีกแล้ว

หากไม่มีความลับปิดบังไว้ ฉินเย่คงไม่ทำเรื่องโง่เขลาเช่นนี้ออกมา

แต่เฉินตงก็ไม่คิดที่จะถามเซ้าซี้ อย่างน้อยหากยังอยู่ต่อหน้าฉินเสี่ยวเชียน ก็ยังไม่ควรที่จะถาม

รกโรลส์-รอยซ์ขับผ่านเมือง และมุ่งหน้าไปยังแถบชานเมือง ในที่สุดก็ขับเข้าไปในคฤหาสน์บนภูเขาที่มีร่มเงาของภูเขาและต้นไม้เขียวชอุ่ม และมีแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว

คุณชาย คฤหาสน์สู่ซานแห่งนี้ คือสำนักงานใหญ่ของตระกูลเฉินในเมืองซีสู่ครับ”

เฉินทงขับรถไปพลางกล่าวแนะนำไปพลาง : “ในซีสู่ ทุกเมืองจะมีสำนักงงานของตระกูลเฉินเราตั้งอยู่ ซึ่งจะคอยรับคำสั่งจากสำนักงานใหญ่เมืองซีสู่ทั้งหมด อีกทั้งสำนักงานใหญ่ทุกแห่ง ก็จะติดต่อกับตระกูลเฉินโดยตรงครับ”

“วันนี้ต้องลำบากนายแล้ว”

เฉินตงพูดอย่างสงบ แต่ดวงตาของเขากลับเหลือบมองออกไปยังทิวทัศน์ที่สวยงามภายนอกรถด้วยความสนใจ

คฤหาสน์สู่ซานแห่งนี้ มีความคล้ายคลึงกับคลับสี่ยิ่นอยู่บ้าง

แต่ศิลปะในการจัดสวนนั้นเหนือชั้นกว่า

สร้างขึ้นโดยมีภูเขาและแม่น้ำรายล้อมอยู่ จึงอาศัยข้อได้เปรียบของภูเขาและแม่น้ำ ทำให้ให้เกิดความงดงามที่สมบูรณ์แบบ รวมไปถึงยังมีการแกะสลักที่ประณีตบรรจงอีกด้วย

“พวกคุณดูแลภูมิทัศน์ในคฤหาสน์แห่งนี้ได้อย่างเป็นระเบียบและงดงามมาก” เฉินตงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากชม

เฉินทงยิ้มออกมา : “คุณชายชมเกินไปแล้วครับ สำนักงานของตระกูลเฉินในซีสู่ ทำงานด้านศิลปะเป็นหลัก ส่วนคฤหาสน์สู่ซานแห่งนี้ ถึงจะพูดว่าเป็นคฤหาสน์ แต่อันที่จริงแล้วเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงศิลปะแห่งหนึ่ง ในเมืองซีสู่ นิทรรศการศิลปะชั้นนำจำนวนมากถูกเลือกให้จัดแสดงในคฤหาสน์แห่งนี้”

จากนั้น เฉินทงก็พูดอีกว่า

“แต่ว่าคุณชายวางใจได้นะครับ ระบบรักษาความปลอดภัยภายในคฤหาสน์สู่ชานนั้นสมบูรณ์แบบมาก หากคุณชายเข้าพักในคฤหาสน์ ไม่ต้องกังวลใจเรื่องความปลอดภัยเลยครับ”

เฉินตงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา

เขาไม่รู้สึกกังวลเรื่องความปลอดภัยเลยสักนิด

เพราะว่า ที่เขามาซีสู่ในครั้งนี้ ก็เพื่อที่จะแก้แค้นให้แม่ของเขา เขาจึงไม่ได้รู้สึกเป็นห่วงตัวเองนัก

ห้องที่จัดเตรียมเอาไว้เป็นของที่ดีที่สุดในคฤหาสน์สู่ซาน

มีทั้งหมดสี่ห้อง สร้างขึ้นติดกับภูเขา แต่ละห้องแยกออกจากกันอย่างเป็นส่วนตัว

เฉินตงให้ฉินเย่พาฉินเสี่ยวเชียนเข้าที่พัก จากนั้นเขาและคุนหลุนจึงแยกย้ายกันกลับห้องของตัวเองเพื่อจัดเก็บสัมภาระ

ขณะที่กำลังจัดเก็บสัมภาระจนเกือบจะเสร็จเรียบร้อย

เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

“เข้ามาสิ ไม่ได้ล็อก”

เฉินตงยิ้มแล้วเดินไปนั่งตรงระเบียง ตรงจุดนี้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ได้กว้างไกล เขาแทบจะมองเห็นแม่น้ำที่อยู่ไกลออกไปด้านนอกคฤหาสน์ เป็นทิวทัศน์ที่งดงามมาก และเงียบสงบอย่างที่สุด”

ฉินเย่เปิดประตูแล้วเดินเข้ามาข้างใน

หลังจากเขาหยิบเบียร์เย็นๆ หนึ่งขวดออกมาจากตู้เย็นแล้ว เขาก็เดินไปนั่งลงที่ระเบียงเช่นกัน

เขาดื่มเบียร์เข้าไปครึ่งขวดในคราวเดียว ฉินเย่เรอออกมาอย่างสบายใจ : “อากาศแบบนี้ จิบเบียร์เย็นๆ สักขวด รู้สึกสบายใจจริงๆ”

“ช่วยดับไฟในใจได้ใช่ไหมล่ะ ?”

เฉินตงหันไปมองฉินเย่ด้วยรอยยิ้ม

“ฉันมาหานายก็เพื่อคุยเรื่องนี้ แต่นายต้องช่วยฉันปิดเป็นความลับไม่ให้เสี่ยวเชียนรู้ได้ เด็กคนนี้ ฉันเป็นห่วงเธอ”

ฉินเย่ยักไหล่แล้วพูดอย่าจริงจัง

เฉินตงนั่งพิงเก้าอี้ มือทั้งสองข้างประสานไว้ที่ท้ายทอย : “จริงๆ แล้ว ฉันค่อนข้างสงสัยว่า ทำไมในตระกูลฉินทั้งตระกูล นายถึงสนิทสนมกับเสี่ยวเชียนเพียงแค่คนเดียว”

ฉินเย่ยิ้มออกมาอย่างประหลาด แล้วแบมือออก

“ก็ไม่มีอะไรหรอก แค่เล่นกับเสี่ยวเชียนมาตั้งแต่เล็กจนโต พ่อของเธอตายตั้งแต่เธอยังเด็ก แม่ของเธอเลี้ยงดูเธออยู่ในตระกูลฉินด้วยฐานะที่ต่ำต้อย ตอนเล็กๆ เด็กคนนี้เอาแต่วิ่งตามหลังฉันด้วย ใบหน้าที่เปรอะไปด้วยน้ำตาน้ำมูก แล้วเรียกฉันว่าพี่เย่อยู่ตลอด”

“หลังจากโตขึ้น ตระกูลของฉันเกิดเรื่องพวกนั้นขึ้น ตอนนี้คนทั้งตระกูลฉินกำลังอยู่ในอารมณ์โกรธและกำลังคาดโทษฉัน มีเพียงเสี่ยวเชียนที่ก้าวออกมา วิ่งมาอยู่ข้างกายฉันและร้องขอความเห็นใจแทนฉัน เป็นเพราะเหตุการณ์ครั้งนี้ ทำให้เด็กคนนี้ต้องถูกทุบตีอย่างหนัก”

เฉินตงลูบจมูก : “แล้วยังไงต่อ ? ฉันหมายถึงเรื่องที่นายปิดบังเสี่ยวเชียน”

ฉินเย่ยิ้มออกมาอย่างหดหู่ จากนั้นจึงยกขวดเบียร์ขึ้นแล้วซดเบียร์ที่อยู่ด้านในจนหมด

“นายไม่รู้หรอกว่าตระกูลฉินนั้นเลือดเย็นแค่ไหน ฝูงแมลงวันสกปรกที่สามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อหน้าตาของตนเองโดยไม่สนใจวิธีการ ทั้งหน้าซื่อใจคดและเจ้าเล่ห์เพทุบาย”

ความโกรธแค้นกำลังแผ่ซ่านจนเขากัดฟันกรอด

จากนั้นฉินเย่ก็หันหลังกลับมา ดวงตาของเขาแดงก่ำ

“สามีของเสี่ยวเชียน ไม่ได้หย่ากับเสี่ยวเชียนเพราะได้รับแรงกดดัน เป็นเพราะตอนนั้นเสี่ยวเชียนเองก็มีธุรกิจเล็กๆ เป็นของตัวเอง ทั้งสองจึงใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุข น้อยครั้งที่จะไปเยือนตระกูลฉิน จะไปก็เฉพาะช่วงเทศกาลและงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของบรรดาผู้อาวุโสเท่านั้น ดังนั้นหากเป็นเพราะได้รับแรงกดดันจริง ในปีหนึ่งจะถูกกดดันสักกี่ครั้งกันเชียว ?”

เฉินตงขมวดคิ้วเหมือนกำลังใช้ความคิด

จู่ๆ ดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นมา และเข้าใจทุกอย่างในทันที

ความเป็นจริงก็คือ

ฉินเย่พูดออกมาด้วยความโมโห : “เป็นเพราะพวกคนชราในตระกูลฉินพวกนั้น ได้ยินคนนอกพูดกันว่าคนในตระกูลฉินแต่งงานกับคนที่มีฐานะต่ำต้อยกว่า ทำให้รู้สึกอับอายขายหน้า จึงแอบขู่ให้สามีของเสี่ยวเชียนหย่าขาดกับเสี่ยวเชียน !”

เผียะๆ !

ฉินเย่ตบหน้าตัวเอง : “นายว่าหน้าตานี้สำคัญหรือไม่ ? เพียงแค่ทนฟังเสียงซุบซิบนินทาไม่ได้ จนต้องมาทำลายชีวิตครอบครัวของคนอื่น อีกทั้ง หลังจากเกิดเรื่อง……ตระกูลฉินยังแอบลอบฆ่าสามีของเสี่ยวเชียนอีกด้วย นายว่าน่ากลัวไหมล่ะ ?”

เฉินตงรู้สึกหัวใจเต้นแรง

แม้แต่ตัวเขาเองยังรู้สึกกลัวจนเสียวสันหลัง

เพียงเพื่อหน้าตา ถึงขนาดทำลายชีวิตครอบครัวของคนอื่น และเข่นฆ่าผู้อื่นเลยเชียวหรือ ?

“ตอนนั้นฉันออกมาจากตระกูลฉินแล้ว แต่หลังจากหย่าร้างแล้ว เสี่ยวเชียนก็อยู่ในอารมณ์เศร้าหมองและหดหู่ ในฐานะที่เป็นพี่ชาย ฉันจึงไม่อาจทนดูได้อีกต่อไป จึงแอบสืบเรื่องนี้จนกระจ่าง ชาตินี้ฉันคงไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับเด็กคนนี้แน่นอน” ฉินเย่กัดฟัน

“ถึงจะหย่าแล้วแต่เธอก็ยังต้องดำเนินชีวิตต่อไป หากอยู่ด้วยกันไม่ได้ ก็ปล่อยให้เธอค่อยๆ ลืมเรื่องราวทุกอย่างไปเสียดีกว่า เช่นนี้เป็นการดีที่สุด”

เฉินตงเข้าใจเจตนาของฉินเย่ดี : “แต่ถ้าหากตายแล้ว ความทรงจำทั้งหมดก็คงไม่หลงเหลืออีก อาจถึงขั้นทำให้เสี่ยวเชียนเสียสติไปได้”

“ใช่ !”

แววตาของฉินเย่สั่นไหว : “เมื่อก่อนฉันจนปัญญา ตอนนี้ฉันมีหนทางแล้ว ฉันจะปล่อยให้เสี่ยวเชียนอยู่ในตระกูลที่กระหายเลือดอย่างตระกูลฉินไม่ได้อีกต่อไป เด็กคนนี้คิดว่าคนในตระกูลฉินล้วนแล้วแต่เป็นคนดี”

“แต่เธอไม่รู้ว่า ในตระกูลฉิน เพื่อหน้าตาแล้ว พวกเขาสามารถเห็นชีวิตคนเป็นผักปลาได้”

“เฮ้อ……”

เฉินตงถอนหายใจ แล้วยิ้มออกมาเล็กน้อย : “เอาล่ะ ต่อไปนี้ก็ให้เสี่ยวเชียนอยู่ช่วยนายที่บริษัทก็แล้วกัน และให้เธอเป็นน้องสาวฉันอีกคนหนึ่ง”

“ขอบคุณมาก” ฉินเย่ยกมือขึ้นคารวะ

ในเวลาเดียวกันนี้

ภายในคฤหาสน์ตระกูลฉิน

บรรยากาศภายในงานเลี้ยงเปลี่ยนไปเพราะการปรากฏตัวขึ้นของเฉินตง

ทำให้งานฉลองวันเกิดสิ้นสุดลงอย่างรวดเร็ว

บรรยากาศท้องฟ้ามืดครึ้ม ปกคลุมอยู่เหนือคฤหาสน์ตระกูลฉิน

บรรยากาศภายในคฤหาสน์ ราวกับคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นดินปืน

ภายในห้อง

คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินสีหน้าหมองหม่น มีความโกรธแผ่ซ่านอยู่ในดวงตาของเขา

ฉินเห้อเหนียนเดินเข้าไปหาเขาอีกครั้ง แล้วพูดด้วยความตื่นตระหนกว่า : “พ่อครับ ผมยังติดต่อไม่ได้”

ปัง !

คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินตบมือลงบนพนักแขนฉาดใหญ่ : “โทร โทรต่อไป ต่อให้ต้องโทรเป็นร้อยครั้งพันครั้ง ก็ต้องติดต่อคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินให้ฉันให้ได้ !”

“ครับ !”

ฉินเห้อเหนียนตกใจเป็นอย่างมาก เขารีบหันกลับไปกดโทรศัพท์อีกครั้ง

คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินกัดฟันกรอด ท่าทีของเขาราวกับสิงโตที่กำลังโกรธจัด ตัวของเขาสั่นเทา

ถึงแม้เขาจะไม่เกรงกลัวเฉินตง แต่เขาเกรงกลัวตระกูลเฉิน

อาศัยแค่ตระกูลฉินเพียงอย่างเดียวก็สามารถจัดการกับมดตัวเล็กๆ อย่างเฉินตงได้สบายๆ แต่นี่มีความโกรธเคืองของตระกูลเฉินเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

จึงมีเพียงแค่การดึงคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินเข้ามาร่วมในแผนการด้วยเท่านั้น ตระกูลฉินจึงจะสามารถจัดการกับเฉินตงได้อย่างไม่ต้องกังวลใจ

แต่ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ กลับติดต่อคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินไม่ได้เสียนี่ !

บทที่ 273 ท้องฟ้าของซีสู่กำลังจะเปลี่ยนไปแล้ว
บรรยากาศภายในห้องโถงด้านหน้าของตระกูลฉินเงียบสงัด

สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังกลุ่มคนที่เดินจากไปอย่างหวาดกลัว

ไม่มีใครกล้าขวาง !

ใครๆ ต่างก็รู้ดีว่า วันนี้ตระกูลฉินแพ้อย่างราบคาบแล้ว

เป็นการกดหัวของตระกูลฉินจนจบดินอย่างเรียบง่ายและหยาบคาย

ภาพที่ปรากฏขึ้นในวันนี้ หากถูกเผยแพร่ออกไป จะต้องเกิดการระส่ำระสายขึ้นในซีสู่อย่างแน่นอน

แม้กระทั่งแขกที่มาร่วมงานที่เห็นเหตุการณ์ด้วยตาตัวเอง ก็ยังรู้สึกตกใจราวกับว่านี่เป็นเพียงแค่ความฝัน ไม่ใช่ความจริง

ตระกูลฉินแห่งซีสู่ ถูกคนอื่นเหยียบย่ำจนถึงขั้นนี้ได้อย่างไร ?

สมาชิกของตระกูลฉินทุกคนต่างรู้สึกอับอาย พวกเขากัดฟันแน่น แววตาเต็มไปด้วยความมืดหม่น แต่ละคนดูราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังโกรธเกรี้ยว

บนพื้น ฉินซวนร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด เสียงดังสนั่น

ใบหน้าของคุณท่านใหญ่ตระกูลฉินดูมืดหม่น เขากัดฟันแน่น ดวงตาแดงก่ำ

มือทั้งสองข้างที่อยู่ภายใต้แขนเสื้อที่ยาวของเขากำหมัดแน่น จนเส้นเลือดปูดโปนออกมา

ร่างกายของเขาค่อยๆ สั่นเทา

แม้กระทั่งฉินเห้อเหนียนเอง ตอนนี้ก็แทบจะไม่กล้าหายใจ

ทุกคนต่างรู้ดีว่า ตอนนี้คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินกำลังอยู่ในอารมณ์โกรธจัด

ทันใดนั้น

คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินก็เดินโซเซถอยหลังไปหนึ่งก้าว ลำคอของเขาขยับ มีเสียงครางอู้อี้อยู่ในปากของเขา

หลังจากนั้น เลือดสีแดงสดก็ค่อยๆ ไหลออกมาจากปากของเขา

“พ่อครับ !”

“คุณปู่ !”

สมาชิกทุกคนในตระกูลฉินต่างตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงทำให้เกิดความโกลาหลขึ้นทันที

แขกที่มาร่วมงานเองต่างก็อุทานออกมาด้วยความตื่นตกใจ

“เห้อเหนียน ประคองพ่อกลับห้องโถงด้านหลัง ส่วนคนอื่นๆ ในตระกูลฉินที่เหลือ อยู่ต้อนรับแขกและทำให้งานเลี้ยงดำเนินต่อไปได้อย่างปกติ”

คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินสั่งด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

ฉินเห้อเหนียนรีบประคองคุณท่านใหญ่ตระกูลฉินกลับไปที่โถงด้านหลัง

ตลอดทาง บรรดาแขกที่มาร่วมงานต่างหลีกทางให้ด้วยความตื่นตระหนก

ภายใต้งานเลี้ยงฉลองวันเกิดที่ยิ่งใหญ่ของคุณท่านใหญ่ตระกูลฉิน และภายใต้ความโกรธแค้นที่คุกรุ่น ทำให้กระอักเลือดสีแดงสดออกมา

ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า ไม่มีตระกูลมั่งคั่งตระกูลไหนคาดคิดว่าจะเกิดขึ้นจริงๆ

ท้องฟ้าของเมืองซีสู่……กำลังจะเปลี่ยนไปแล้วอย่างนั้นหรือ ?

จิตใจที่แข็งแกร่งเริ่มที่จะหวั่นไหวไปชั่วขณะหนึ่ง

ฉินเห้อเหนียนประคองคุณท่านใหญ่ตระกูลฉินกลับโถงด้านหลังไป

ตอนนี้ใบหน้าของคุณท่านใหญ่ตระกูลฉินซีดเผือด ดูราวกับว่าเขาดูแก่ลงไปหลายสิบปีในทันที

แต่ความโกรธแค้นที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขายังคงเห็นได้อย่างชัดเจน

เห็นได้ชัดว่าเมื่อครู่เขาพยายามข่มอารมณ์จนถึงที่สุดแล้ว

หลังจากนั่งลงแล้ว คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินก็กำมือแน่น จนส่งเสียง “กรวบกราบ” ออกมา ถึงขั้นได้ยินเสียงฟันของเขาที่กำลังขบเคี้ยวกันอยู่

“พ่อครับ เรื่องนี้ผมว่าเราควรแจ้งให้คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินทราบนะครับ หากมีเธอคอยหนุนหลังน่าจะดีกว่า”

สีหน้าของฉินเห้อเหนียนเคร่งเครียด ถึงแม้ความสามารถของเขาจะมีไม่มากนัก แต่เขาก็ไม่ได้โง่เขลา : “เฉินตงกล่าวว่าที่เขามาก็เพื่อแก้แค้นให้กับแม่ จึงมาลงดาบกับตระกูลฉิน แต่เรื่องนี้เป็นการร่วมมือกันระหว่างตระกูลฉินกับคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน ดังนั้นคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินจึงควรมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบด้วย”

“เหอะๆ แกนี่มันฉลาดจริงๆ”

คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินแสยะยิ้มออกมา : “เมื่อรู้ดีว่าไม่อาจลงโทษคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินได้ จึงมาลงที่ตระกูลฉินของพวกเรา เขาคงคิดว่าตระกูลฉินของเราสามารถรังแกได้ง่ายๆ ?”

“วันนี้เขาก่อเรื่องวุ่นวาย ทำให้ตระกูลฉินของเราต้องอับอายขายหน้า ถ้าหากไม่ฆ่าเฉินตง ต่อไปตระกูลฉินของพวกเรา จะมีหน้าอยู่ต่อในซีสู่ได้อย่างไร หากแม้แต่ลูกหมาลูกแมวตัวเล็กๆ ก็กล้ามาดูถูกตระกูลฉินของเราได้” ฉินเห้อเหนียนกัดฟัน

“เฉินตงตัวเล็กๆ ก็เป็นแค่สัตว์ป่าธรรมดาๆ ตัวหนึ่ง คิดว่าตัวเองเป็นลูกชายของเฉินเต้าหลิน จึงอยู่เหนือกฎหมายอย่างนั้นหรือ ?”

ใบหน้าของคุณท่านใหญ่ตระกูลฉินเต็มไปด้วยความดูถูก แววตาของเขาแฝงไปด้วยความอำมหิต : “ถ้าเมื่อกี้ไม่ใช่เพราะว่าฉันควบคุมสถานการณ์เอาไว้ ตอนนี้เขาคงจะตายอยู่ในบ้าน มดตัวเล็กๆ ที่พยายามสั่นคลอนภูเขาทั้งสองลูกอย่างตระกูลฉินและคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน ช่างไม่รู้จักประมาณตนเสียจริงๆ !”

จากนั้นจึงสูดหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งครั้ง

ใบหน้าของคุณท่านใหญ่ตระกูลฉินค่อยๆ กลับมาเป็นสีแดงระเรื่ออีกครั้ง ลมหายใจของเขาก็เริ่มสงบลงอย่างมาก

เมื่อครู่ตอนที่ทุกคนอยู่ที่นั่น เขาพยายามกลั้นหายใจเอาไว้ ไม่ใช่เพราะกลัวเฉินตง ด้วยความสามารถของเฉินตงในตอนนี้ เมื่อเทียบกับตระกูลฉินแล้ว ถือว่าตระกูลฉินยังคงเป็นเหมือนกับภูเขาที่ไม่อาจสั่นคลอนได้

ทุกสิ่งที่คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินทำ ก็เพื่อไม่ให้มีผลกระทบที่รุนแรง

ถ้าหากตระกูลฉินลงมือฆ่าลูกชายของเฉินเต้าหลินต่อหน้าทุกคนจริง เพียงแค่เรื่องนี้เรื่องเดียว ก็เพียงพอที่จะให้เฉินเต้าหลินใช้เป็นเหตุผลในการจัดการกับตระกูลฉินอย่างถึงที่สุดได้แล้ว

ถ้าหากแอบใช้วิธีลอบทำร้าย ไม่ว่าจะเป็นตระกูลฉินหรือคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน ก็เพียงพอที่จะบดขยี้มดตัวเล็กๆ ตัวนี้ได้

หลังจากสูดหายใจเข้าเต็มปอด คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินก็แสยะยิ้มออกมา : “เห้อเหนียน แกพูดถูก เรื่องนี้ควรจะให้คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินเป็นคนออกหน้า ในตระกูลมีบุตรชายที่อกตัญญูเช่นนี้ ถ้าหากเธอ ในฐานะที่เป็นคุณหญิงใหญ่ยังคงเพิกเฉย เช่นนั้นการที่จะร่วมมือกับตระกูลฉินก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก”

“ผมจะติดต่อคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินเดี๋ยวนี้” ฉินเห้อเหนียนแสยะยิ้ม

“เฉินตง แกไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ กล้ามาทำลายหน้าตาของตระกูลฉินเราอย่างนั้นหรือ ? เช่นนั้นฉันจะให้แกได้เห็นว่า ภายใต้ท้องฟ้าที่กลับตาลปัตอยู่นี้ สำหรับแกแล้วมันน่ากลัวขนาดไหนกัน !”

คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินกัดฟันแน่น เจตนาฆ่าของเขารุนแรงอย่างมาก : “ถ้าฉันกับคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินต้องการฆ่าแก แม้แต่เฉินเต้าหลินพ่อของแก ก็ทำได้แค่ยืนมองตาปริบๆ เท่านั้น !”

หลังจากพูดจบ บรรยากาศภายในห้องก็เย็นเยือกราวกับอยู่ในถ้ำน้ำแข็งทันที

……

ออกจากตระกูลฉิน

พวกของเฉินตงก็เดินทางกลับเข้าไปในเมือง

“พี่ตง ฉันคิดไม่ถึงเลยว่านายจะเข้มแข็งขนาดนี้”

ฉินเย่พูดด้วยความตื่นเต้น : “ฉันคิดว่านายจะแค่ต่อปากต่อคำกับตระกูลฉินเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะจู่โจมโดยที่ฉันยังไม่ทันได้ตั้งตัวเช่นนี้”

เฉินตงลูบจมูก : “พวงหรีดก็ส่งไปแล้ว นายคิดว่าตระกูลฉินจะมาต่อล้อต่อเถียงกับนายอยู่อีกหรือ ?”

ฉินเย่กลอกตาแล้วยิ้มออกมาอย่างเบิกบาน : “คิดว่าในตอนนั้นไอ้แก่นั่นคงจะอยากกัดนายให้ตายไปเสีย”

“แต่ว่า……”

จู่ๆ เสียงที่ฟังดูหวาดกลัวก็ดังขึ้น

เป็นฉินเสี่ยวเชียน

หลังจากออกมาจากตระกูลฉิน ฉินเสี่ยวเชียนก็ตกอยู่ในสภาพที่งุนงงและสับสน

เธอคิดไม่ถึงเลยว่าจู่ๆ เรื่องทั้งหมดจะกลายเป็นเช่นนี้ไปได้

การต่อสู้ที่ชุลมุนวุ่นวายในตอนนั้น ทำให้เธอรู้สึกตกใจจนหน้าถอดสี สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

ถึงแม้ตอนนี้จะสงบลงแล้ว แต่เธอก็ยังคงรู้สึกประหม่า

เฉินตง ฉินเย่และคุนหลุน ค่อยๆ หันไปมองฉินเสี่ยวเชียน

ฉินเสี่ยวเชียนรู้สึกประหม่าเล็กน้อย เอกลืนน้ำลายลงไปหนึ่งอึก แล้วพูดออกมาว่า : “แต่เมื่อครู่คุณปู่ก็รินเหล้าให้พี่ตงแล้วไม่ใช่หรือ ?”

หลังจากได้ยิน

เฉินตงก็หัวเราะออกมาทันที

ฉินเย่และคุนหลุนเอง ก็อดไม่ได้ที่จะขำออกมา

เสียงหัวเราะของทั้งสามคน ทำให้ฉินเสี่ยวเชียนรู้สึกงุนงงยิ่งขึ้น

ฉินเย่เอ่ยปากพูดว่า : “เสี่ยวเชียน เธอยังอ่อนหัดนัก ความสามารถมีเพียงพอแล้ว แต่กลอุบายนั้นยังมีไม่มากพอ เธอคิดจริงๆ หรือว่าเมื่อครู่ไอ้แก่นั่นคิดที่จะต้อนรับเราอย่างมีมารยาทจริงๆ ?”

ฉินเสี่ยวเชียนพยักหน้าอย่างงุนงง

“ไอ้แก่นั่นจะใจดีขนาดนั้นเลยเชียวหรือ เขาก็แค่เห็นผู้มีเกียรติร่วมอยู่ในงานเป็นจำนวนมาก จึงไม่อยากจะทำให้เรื่องราวบานปลายจนต้องกระทบต่อส่วนรวม”

ฉินเย่กล่าวอธิบาย : “ถ้าไม่มีคนนอกจำนวนมากขนาดนั้นอยู่ร่วมในเหตุการณ์ด้วยแล้วล่ะก็ คิดว่าไอ้แก่นั่นคงจะใช้วิธีปิดประตูตีแมวไปแล้ว ที่ที่กินเลือดกินเนื้อคนอย่างตระกูลฉิน เธอคิดว่าทายาทนอกสมรสอย่างพวกเรา จะมีฐานะสูงส่งในตระกูลฉินได้แค่ไหนกัน ?”

ฉินเสี่ยวเชียนกะพริบตาอย่างครุ่นคิด

จากนั้น ฉินเย่ก็ถอนหายใจออกมา เขาลูบหัวของฉินเสี่ยวเชียนด้วยความสงสาร

“เด็กคนนี้ อายุ 18 ก็ก่อตั้งบริษัทเป็นของตัวเอง ต่อสู้ดิ้นรนขยายบริษัทจนใหญ่โต แต่อย่างไรเสียประสบการณ์ของเธอก็ยังถือว่าน้อยนัก ตระกูลฉินพูดดีด้วยแค่สองสามประโยค เธอก็คิดว่าพวกเขาเป็นคนดีแล้วอย่างนั้นหรือ ? แผนการชั่วร้ายของพวกเขา อย่าว่าแต่เธอเลย แม้กระทั่งตอนที่ฉันอายุเท่าเธอก็ยังเอาไม่ออก”

ฉินเสี่ยวเชียนเลิกคิ้ว แล้วหันมองฉินเย่ด้วยความประหลาดใจ : “พี่เย่ สิ่งที่พี่พูด มีความหมายอย่างอื่นหรือเปล่า ?”

แม้แต่เฉินตงและคุนหลุน ก็ยังมองไปที่ฉินเสี่ยวเชียนด้วยความสงสัย

ฉินเย่ผงะไป จากนั้นจึงหัวเราะเสียงดังออกมา : “เปล่านี่ มีอะไรที่ไหนกัน ?”

เมื่อเห็นฉินเสี่ยวเชียนยังคงจ้องมองตนเองอยู่ ฉินเย่ก็รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา : “ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เธอก็คอยติดตามพี่กับพี่ตงเถอะ อย่างไรเสียพี่ก็ลงหลักปักฐานกับพี่ตงแล้ว เปิดบริษัทการเงินขึ้นมาแห่งหนึ่ง ต่อไปเธอก็มาดูแลบริษัทกับพี่ !”

ฉินเสี่ยวเชียนไม่ได้รับปากในทันที แต่กลับยิ้มออกมาเล็กน้อย จากนั้นจึงก้มหน้าก้มตาครุ่นคิด

ภาพนี้ทำให้ฉินเย่ต้องยิ้มค้าง

เฉินตงลูบจมูก เขาเหลือบมองสองพี่น้องด้วยแววตาที่ลึกซึ้ง จากนั้นจึงยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย

ฉินเย่มีอะไรบางอย่างที่ปิดบังฉินเสี่ยวเชียนอยู่แน่นอน

บทที่ 272 กำหนดเวลาสามวัน
พรวด……

เสียงเหล้าที่ถูกเทลงบนพื้นดังชัดเจน

สีหน้าของแขกทุกคนในงานเปลี่ยนไปทันที ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัวอย่างอธิบายไม่ถูก

งานเลี้ยงฉลองวันเกิดของคุณท่านใหญ่ตระกูลฉิน แต่กลับอวยพรให้คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินไปสู่สุคติอย่างนั้นหรือ ?

ต้องมีความแค้นต่อกันมากขนาดไหนกัน ? ต้องมีความเกลียดชังต่อกันมากขนาดไหนกัน ?

ฉินเสี่ยวเชียนตัวสั่นเทา เธอหันไปมองเฉินตงด้วยความประหลาดใจ

ส่วนฉินเย่ที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งกลับตบไหล่เธอเบาๆ เพื่อส่งสัญญาณให้เธออยู่เฉยๆ

ภายในห้องโถงด้านหน้า

ดูเหมือนบรรยากาศภายในห้องจะเย็นยะเยือกจนถึงจุดเยือกแข็ง

ตอนนี้ทุกคนต่างรับรู้ได้ถึงความอำมหิตที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวของเฉินตง

เต็มไปด้วยความหยิ่งผยอง ยโสโอหัง และเผด็จการ

เป็นท่าทีที่แสดงออกอย่างชัดเจน

มือทั้งสองข้างของคุณท่านใหญ่ตระกูลฉินถือขวดเหล้าเอาไว้แน่น ใบหน้าเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง แววตาของเขากำลังปั่นป่วน ราวกับสัตว์ร้ายที่จ้องจะกินคน

“เฉินตง คุณไม่เห็นหรือว่าที่นี่คือที่ไหน !”

ฉินเห้อเหนียนตะคอกออกมาด้วยความโกรธ ใบหน้าของเขาบูดบึ้งอย่างที่สุด : “ต่อให้เป็นเจ้าบ้านตระกูลเฉิน ก็ไม่กล้าดูถูกเหยียดหยามตระกูลฉินของเราขนาดนี้ !”

ทันใดนั้นเอง

บรรดาทายาทตระกูลฉินที่ยืนอยู่ด้านหลังของเขา ก็ค่อยๆ เดินล้มวงเข้ามาหาพวกของเฉินตง ด้วยท่าทีราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังกระหายเลือด

เมื่อประโยคที่ว่า “ขอให้ไปสู่สุคติถูกพูดออกไป”

ทำให้ตระกูลฉินไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ?

ตระกูลฉินเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในซีสู่ ตระกูลใหญ่ต่างนับหน้าถือตา จะปล่อยให้ดุถูกกันเช่นนี้ไม่ได้ !

แทบจะในเวลาเดียวกัน

คุนหลุนค่อยๆ ลุกขึ้น เขาเหลือบไปมองบรรดาทายาทของตระกูลฉินด้วยสายตาอำมหิต

เพียงเท่านี้ก็พอจะทำให้บรรดาทายาทของตระกูลฉินต่างรู้สึกหวาดกลัว และถอยร่นไป

ส่วนเฉินทงเองก็ลุกขึ้นพร้อมกัน และหันมองรอบข้างอย่างระมัดระวัง

“เห้อเหนียน……”

คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินหน้าถอดสี เขากำลังจะดื่มเหล้าให้หมดในทันที

แต่ฉินเห้อเหนียนกลับก้าวเข้าไป แล้วยื่นมือไปคว้าแก้วเหล้าที่อยู่บนโต๊ะ และโยนลงบนพื้นอย่างแรง

เพล้ง !

เสียงแก้วเหล้าแตกกระจัดกระจายบนพื้น

ทันใดนั้น

มีเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านนอกห้องโถง เฉินซวนพาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่สวมใส่ชุดสูทเดินบุกเข้ามาจำนวนสิบกว่าคน

บรรยากาศเต็มไปด้วยความโกลาหลขึ้นมาทันที

“ตีให้พิการ แล้วจับโยนออกไป !”

ฉินซวนอยู่ในท่าทีดุร้าย เมื่อเขาเข้ามาในห้องโถง ก็ชี้นิ้วไปทางพวกของเฉินตงและตะโกนสั่งการด้วยความโกรธทันที

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสิบกว่าคน ค่อยๆ พุ่งตรงเข้าไปหาพวกของเฉินตง

“หา !”

ฉินเสี่ยวเชียนตกใจจนหน้าถอดสี

เหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวาย ทำให้เธอรู้สึกตกใจจนถึงขีดสุด

จู่ๆ ก็มีมือใหญ่ยื่นมาคว้าเธอเข้าไปในอ้อมกอด เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง : “พี่เย่”

“อยู่นิ่งๆ ตรงนี้ อย่าขยับ !”

ฉินเย่พาฉินเสี่ยวเชียนเข้าไปหลบที่มุม จากนั้นจึงหันหลังกลับมาแสยะยิ้มหนึ่งครั้ง แล้วพุ่งตรงเข้าไปหากลุ่มคน

ในขณะเดียวกัน

เฉินตง คุนหลุน และเฉินทงก็ตรงเข้าต่อสู้กับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสิบกว่าคนนั้น

คุนหลุนอาศัยร่างกายที่กำยำแข็งแกร่ง ผลักโต๊ะให้ลอยออกไปในอากาศ เมื่อเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยถอยร่นไป เข้าก็ดึงเก้าอี้สองตัวขึ้นมา แล้ววิ่งเข้าไปในวงล้อมเพื่อต่อสู้รอบทิศทางทันที

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยฝีมือดี เมื่ออยู่ต่อหน้าคุนหลุน กลับถูกโจมตีจนล้มลงไปพร้อมกันสามคนในคราวเดียว

“หยุด หยุดเดี๋ยวนี้ !”

คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินหน้าถอดสี เขาทุบอกและกระทืบเท้าด้วยความโมโห

แต่เวลานี้การต่อสู้เป็นไปอย่างโกลาหล บรรดาแขกที่มาร่วมงานต่างวิ่งหนีกันอุตลุด สถานการณ์ในตอนนี้ยากที่จะควบคุมได้

“พ่อครับ หากพวกเรายอมทนต่อการดูถูกเหยียดหยามเช่นนี้ ต่อไปพวกเราจะมีหน้าอยู่ในซีสู่ได้อย่างไร ?”

ใบหน้าของฉินเห้อเหนียนเต็มไปด้วยความโกรธแค้นและดุร้ายจนถึงขีดสุด

เขารู้ดีว่าแขกผู้มาเยือนนั้นไม่ได้มาดี แต่ตระกูลฉินเองก็ใช่ว่าจะปล่อยให้ใครมารังแกได้ง่ายๆ

เฉินตงสามารถจัดการกับตระกูลหลี่แห่งเมืองหลวงได้

แต่ตระกูลหลี่เป็นพวกหัวโบราณคร่ำครึ ไม่เหมือนตระกูลฉินของเขาที่เจริญรุ่งเรืองดุจดั่งพระอาทิตย์กลางท้องฟ้า

“คุณปู่ วางใจเถอะครับ พวกเขากล้ามาดูถูกคุณปู่เช่นนี้ วันนี้พวกเขาจะต้องถูกจับโยนออกไปทีละคนๆ !” ฉินซวนพูดอย่างภาคภูมิใจ

ทันทีที่พูดจบ

แววตาของเขาก็แสดงออกถึงความตกใจทันที

สิ่งที่ปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา

มีร่างร่างหนึ่งเดินออกมาจากฝูงชน แล้วตรงเข้ามาหาพวกเขาอย่างช้าๆ

ดูเหมือนอยู่นอกระยะประชิด

เป็นการเดินเข้ามาด้วยท่าทีที่สงบนิ่ง

แต่ทว่ากลับมีรังสีของความอำมหิตแผ่ซ่านออกมาจากตัวของเขาจนทำให้ฉินซวนรู้สึกใจเต้นระส่ำ

เฉินตงค่อยๆ เดินตรงมาข้างหน้า ไม่ว่าบรรดาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจะพยายามโจมตีมาจากทุกทิศทางเช่นไร ก็ถูกคุนหลุนและฉินเย่สกัดเอาไว้ด้านนอกทั้งหมด

เขาแสยะยิ้มแล้วค่อยๆ หรี่ตาลง

แต่ในสมอง กลับปรากฏภาพในวันที่แม่ของเขาต้องตายอย่างน่าอนาถขึ้นมา

ทำให้เจตนาฆ่าพลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างรุนแรง

เขาหรี่ตาลง มีเส้นเลือดสีแดงก่ำค่อยๆ ปรากฏขึ้นเต็มดวงตาของเขา

ในฐานะที่เป็นลูก การที่แม่ต้องมาตายอย่างน่าอนาถ หากเขาไม่ลงมือแก้แค้น เขาก็คงไม่ใช่คนอีกต่อไป !

“ขวางเขาเอาไว้ ขวางเขาเอาไว้เดี๋ยวนี้ !”

ฉินซวนเดินโซเซถอยหลังไปหนึ่งก้าว แล้วตะโกนออกมาด้วยความหวาดกลัว

ในขณะเดียวกัน สมาชิกคนอื่นๆ ในตระกูลฉินเองก็รู้สึกหวาดกลัวเช่นกัน

ตอนนี้ สำหรับพวกเขาแล้ว การเผชิญหน้ากับเฉินตง ทำให้พวกเขารู้สึกราวกับว่ากำลังเผชิญหน้ากับสัตว์ร้ายที่ปีนขึ้นมาจากขุมนรก

ทำให้ความรู้สึกหวาดกลัวแผ่ซ่านไปทั่ว

สีหน้าของคุณท่านใหญ่ตระกูลฉินหมองคล้ำลงทันที

เขารู้ดีว่าวันนี้คงจะต้องเกิดเรื่องร้ายขึ้น เขาจึงพยายามวางตัวให้นอบน้อมที่สุด เพื่อลดผลกระทบลงให้ได้มากที่สุด

แต่เฉินตงกลับไม่ให้โอกาสแก่เขา

มิหนำซ้ำยังจ่อมีดมาที่คอของเขาอย่างหยาบคาย

ฉีกหน้าตระกูลฉินต่อหน้าแขกทุกคน

ตุ้บตุ้บตุ้บ……

เสียงของการต่อสู้ดังก้อง พร้อมๆ กับเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดที่ดังเสียดแทงเข้ามาในหู

ไม่ว่าฉินซวนจะตะโกนเช่นไร เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ไม่อาจเข้าใกล้เฉินตงได้

เมื่อเห็นเฉินตงค่อยๆ เดินเข้ามา

แววตาของฉินซวนก็เผยให้เห็นถึงความเกลียดชังปรากฏขึ้นมา

เขาตะโกนออกมา แล้วหยิบขวดเหล้าทุบลงกับพื้น จากนั้นจึงถือเศษขวดเหล้าที่แตกเอาไว้แน่น แล้วพุ่งตรงเข้าไปหาเฉินตง

“แกตายซะเถอะ !”

ตุ้บ !

เฉินตงยื่นมือออกไปทุบแขนของฉินซวน

กรอบ !

กระดูกหักในทันที ข้อต่อกระดูกสีขาวโผล่ทะลุออกมาอยู่ภายนอกผิวหนัง

“อ้า !”

ฉินซวนส่งเสียงร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวดออกมา สีหน้าของเขาซีดเผือด หน้าตาบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด

“โอ๊ย !”

ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าทำให้แขกที่มาร่วมงานต่างรู้สึกตกใจโดยพร้อมเพรียงกัน

เมื่อได้เห็นแววตาของเฉินตง ก็รู้สึกหวาดกลัวจนถึงขีดสุด

อีกทั้ง

ตั้งแต่ต้นจนจบ แววตาของเฉินตงไม่เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย

แต่กลับยิ่งดูเย็นชาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

เขาใช้มือขวาของเขา จับลงบนใบหน้าของฉินซวน จากนั้นจึงกดฉินซวนลงไปนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้นต่อหน้าเขา

“แค่สุนัขรับใช้ กล้าอวดดีหรือ ?”

น้ำเสียงเย็นชาที่ฟังดูราวกับดังขึ้นมาจากนรก

ทำให้ทุกคนในตระกูลฉินรู้สึกกลัวจนเสียวสันหลัง

คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินและฉินเห้อเหนียนหน้าถอดสีทันที

ยังไม่ทันที่ทั้งสองคนจะอ้าปากพูด

เฉินตงก็เดินเข้าไปในระยะประชิด

“แก แกจะทำอะไร……”

น้ำเสียงของฉินเห้อเหนียนสั่นเครือ สีหน้าซีดเผือด

ทำไมตระกูลฉินที่สูงส่ง จึงถูกรังแกถึงขนาดนี้ได้ ?

สิ่งที่น่าอับอายและคาดไม่ถึงยิ่งกว่าก็คือ ในอาณาเขตของตระกูลฉิน พวกเขาเกณฑ์ทายาทตระกูลฉินมามากมาย แต่กลับต้องพ่ายให้กับคนเพียงไม่กี่คนเช่นนี้ !

เผียะ !

เฉินตงตบหน้าฉินเห้อเหนียนจนบวมเป่งและคอเอียงกระอักเลือดออกมา

“ก็จัดการกับตระกูลฉินนะสิ !”

คำพูดประโยคนี้ ทำให้ทุกคนตกใจจนหน้าถอดสี รู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่า

คุณท่านใหญ่ตระกูลเฉินรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก

เขาอยู่ในฐานะที่สูงส่งมานาน การที่เขาต้องมาเผชิญหน้ากับปีศาจอย่างเฉินตง ทำให้เขายังสามารถควบคุมสติได้อยู่บ้าง

เขากัดฟัน : “เฉินตง ! นายคิดว่าตระกูลเฉินเป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่ค้ำฟ้า สามารถกุมทุกอย่างเอาไว้ได้ในกำมือจริงๆ หรือ ? ความแค้นในวันนี้ ฉันไม่เพียงจะทำให้นายต้องสูญเสียตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกไปเท่นั้น แต่ฉันจะทำให้นายต้องพบจุดจบอย่างน่าอนาถอีกด้วย !”

เฉินตงหยุดชะงักทันที

เขาแสยะยิ้มออกมา

“ตระกูลฉินมีความหมายอะไรกัน ?”

“นาย……” ใบหน้าของคุณท่านใหญ่ตระกูลฉินแดงก่ำ

ดวงตาของเฉินตงเบิกโพลงขึ้น ตอนนี้ บรรยากาศราวกับกำลังมีคลื่นลูกใหญ่ถาโถมเข้ามา

“ความแค้นที่ถูกฆ่าแม่นั้นใหญ่หลวงนัก แม้แต่อำนาจตระกูลฉินของพวกแก ก็เทียบไม่ได้กับความโกรธแค้นอันยิ่งใหญ่ที่ฉันมีได้ !”

“วันนี้ ฉันมามอบของขวัญด้วยตัวเอง ก็เพื่อประกาศให้ตระกูลฉินของแกได้รู้ว่า ภายในสามวัน ฉันต้องการให้พวกแกไปคารวะแม่ของฉันที่หลุมศพ และคุณท่านใหญ่ตระกูลเฉินจะต้องถือดาบยาวสามฟุตมาที่ประตูบ้านของฉัน แล้วโค้งคำนับเพื่อเป็นการขอโทษ !”

ปัง !

หลังจากพูดจบ

เฉินตงก็ใช้หมัดทุบลงไปบนโต๊ะที่อยู่ข้างๆ

เสียงดังสนั่นราวกับเสียงฟ้าผ่า

โต๊ะไม่แตกออกเป็นรูจนเสียงดังสนั่น เศษไม้ลอยกระจัดกระจายไปทั่ว

ทุกคนต่างอยู่ในอาการตกใจ

ความหวาดกลัวค่อยๆ แผ่ซ่าน

ในเวลาเดียวกันนี้

การต่อสู้ของพวกคุนหลุนก็สิ้นสุดลงเช่นเดียวกัน

ฉินเย่จัดเนคไทที่หน้าอกให้เข้าที่ แล้วยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย : “เสี่ยวเชียน เรื่องทุกอย่างจบลงแล้ว ไปกับพี่ ที่สกปรกอย่างตระกูลฉิน อยู่ไปก็มีแต่จะทำให้เธอทุกข์ใจเสียเปล่าๆ !”

ในเวลานี้ คฤหาสน์ตระกูลฉินเต็มไปด้วยผู้คนที่แน่นขนัดและบรรยากาศของความสนุกสนานรื่นเริง

แต่ภายในห้องโถง บรรยากาศกลับเงียบสงัดและอึมครึม

เมื่อคุณท่านใหญ่ตระกูลฉินมองเห็นพวงหรีดที่อยู่ในกล่องของขวัญ เส้นเลือดที่หางตาของเขาก็กระตุกขึ้นมาทันที

ฉินซวนและสมาชิกรุ่นที่สามของตระกูลคนอื่นๆ ต่างรู้สึกขุ่นเคืองและไม่พอใจเป็นอย่างมาก

อีกทั้งยังมีสมาชิกวัยกลางคนของตระกูลฉินอีกหลายคนที่หน้าถอดสี แววตาแสดงออกถึงความโกรธเคือง

“คุณปู่ เฉินตงคนนี้มันคิดว่ามันเป็นใคร ? ก็แค่ผู้สืบทอดมรดกนอกคอกคนหนึ่งของตระกูลเฉิน ไอ้สวะฉินเย่มันคิดว่ามันรับใช้ถูกคนแล้วหรืออย่างไร ?”

ฉินซวนเอ่ยปากพูดขึ้นมาก่อน เขาเป็นคนอารมณ์ร้อน เขาโบกมือของเขาแล้วพูดว่า : “ขอแค่คุณปู่สั่งมาคำเดียว ผมจะสั่งให้คนไปหักขาของพวกมันทันที แล้วจับโยนออกไปจากตระกูลฉิน”

“ซวนเอ๋อ หุบปาก !”

ชายวัยกลางคนคนหนึ่งตะโกนขึ้นมาทันที

เขาคือพ่อของฉินซวน นามว่าฉินเห้อเหนียน เป็นพี่ชายคนโตที่สุดในบรรดาทายาทรุ่นที่สอง

“พ่อครับ ทำไมต้องหุบปากด้วย ? ไอ้สวะฉินเย่มันส่งพวกหรีดมา เห็นอยู่ชัดๆ ว่าต้องการจะแช่งคุณปู่ แล้วจะให้ตระกูลฉินทนได้อย่างไร ?” ฉินซวนตะโกนเถียงคอเป็นเอ็น

เผียะ !

ฉินเห้อเหนียนตบหน้าฉินซวน : “ผู้อาวุโสต่างก็อยู่ที่นี่ แกมีสิทธิ์อะไรมาตะโกนโหวกเหวกโวยวาย ?”

หลังจากโดนตบ ฉินซวนก็รู้สึกขุ่นเคืองเป็นอย่างมาก แต่ในที่สุดก็ต้องก้มหน้าจำยอมถอยไป

“เฮ้อ~”

คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินถอนหายใจออกมา แล้วเหลือบไปมองฉินซวนด้วยความเบื่อหน่าย

ทายาทโดยชอบธรรมในรุ่นที่สามของตระกูลฉิน ไม่มีใครได้เรื่องสักคน

ถึงแม้เขาจะยึดถือในการสืบทอดอำนาจของทายาทโดยชอบธรรม แต่คุณท่านใหญ่ก็พอจะตระหนักถึงความเป็นจริงได้

ทายาทโดยชอบธรรมในรุ่นที่สาม แต่ละคนล้วนแล้วแต่หยิ่งผยอง ทั้งนิสัยและความสามารถก็อยู่ในระดับปานกลาง ไม่มีอะไรโดดเด่น

หากมีสักคนที่พอจะเทียบกับฉินเย่ได้ ไม่สิ แค่พอเทียบกับฉินเสี่ยวเชียนได้ คุณท่านใหญ่ตระกูลเฉินก็คงใช้ชีวิตในบั้นปลายได้อย่างยืนยาวและมีความสุข

“พ่อครับ นี่พวกเขาบุกเข้ามา……”

ฉินเห้อเหนียนพูดกับคุณท่านใหญ่ตระกูลฉินด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม

“หุบปาก !”

คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินรู้สึกตื่นตระหนก เขาตะคอกออกมาเพื่อตัดบทฉินเห้อเหนียน

ภาพที่ปรากฏขึ้นทำให้ฉินซวนและคนอื่นๆ รู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก

ในความเป็นจริงแล้ว เรื่องที่ตระกูลฉินร่วมมือกับคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน มีเพียงสมาชิกในตระกูลฉินเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้

ทายาทรุ่นที่สาม ไม่มีใครรับรู้เรื่องนี้ !

หลังจากที่คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินตะคอกออกมา บรรยากาศภายในห้องโถงก็เงียบสงัดลงทันที

ทุกคนกลั้นหายใจและเหลือบมองคุณท่านใหญ่ตระกูลฉินด้วยความหวาดกลัวเป็นระยะๆ

สักพักใหญ่

จู่ๆ คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินก็พ่นลมออกมาจากปาก ฝืนยิ้มแล้วพูดออกมาว่า : “คนที่มาล้วนแล้วแต่เป็นแขก ยิ่งเป็นผู้สืบทอดมรดกของตระกูลเฉินด้วยแล้ว ก็ยิ่งต้องต้อนรับให้สมเกียรติ”

อะไรนะ ? !

ส่งพวงหรีดมาทำลายบรรยากาศเช่นนี้แล้ว ไม่เพียงแต่ไม่ไล่ออกไป ยังจะต้อนรับให้สมเกียรติอีกหรือ ?

ทุกคนรู้สึกตกใจจนอ้าปากค้าง

กว่าจะตั้งสติกลับมาได้

คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินก็เดินออกจากห้องโถงไปเรียบร้อยแล้ว

“พี่ใหญ่ นี่คุณพ่อคิดจะทำอะไร ?”

“ถึงแม้ตระกูลฉินแห่งซีสู่ของพวกเราจะเทียบไม่ได้กับตระกูลเฉิน แต่ในฐานะที่เราเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในซีสู่ ก็ใช่ว่าจะให้ตระกูลเฉินมาดูถูกเหยียดหยามกันได้ง่ายๆนะ !”

“ส่งพวงหรีดมาให้ในงานฉลองวันเกิด นี่เท่ากับแช่งคุณพ่อชัดๆ แล้วทำไมคุณพ่อยังอดทนอยู่ได้ ?”

……

ฉินเห้อเหนียนตะคอกออกมาด้วยสีหน้าหมองหม่น : “หุบปากให้หมดทุกคน ทำตามที่คุณท่านใหญ่สั่ง !”

ในขณะที่กำลังจะเดินออกไป

ฉินเห้อเหนียนก็หันมากำชับด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า : “ซวนเอ๋อ ไปเรียกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมาให้พ่อสักสิบคน แล้วคอยคุ้มกันเอาไว้ที่ด้านนอกห้องโถงหลัก หากเกิดความผิดปกติขึ้นภายในงานเลี้ยง ให้ทำตามคำสั่งของพ่อทันที”

แขกไม่ได้มาดี

ถึงแม้คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินตั้งใจจะต้อนรับตามมารยาท แต่เขาก็ต้องป้องกันเอาไว้ก่อน

ยิ่งไปกว่านั้น ฉินเห้อเหนียนก็รู้ที่มาที่ไปของเรื่องทั้งหมดเป็นอย่างดี จึงรู้สึกหวาดกลัวการมาเยือนของเฉินตงและฉินเย่

ตระกูลหลี่แห่งเมืองหลวง คือตัวอย่างที่เคยมีให้เห็นมาแล้ว !

ตอนที่คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินเดินนำเหล่าทายาทไปที่โถงด้านหน้า

ก็ได้รับการกล่าวทักทายจากทุกคนที่มาร่วมงาน

มีทั้งตระกูลที่มั่งคั่งร่ำรวย มีทั้งบรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่ รวมไปถึงยังมีเหล่าบรรดาผู้ทรงอิทธิพลรวมอยู่ในนั้นด้วย

ในซีสู่แล้ว ถือว่าตระกูลฉินอยู่บนยอดสูงสุดของพีระมิด !

ในขณะที่มองลงไปยังผู้คนที่อยู่ในระดับต่ำกว่า ผู้คนเหล่านั้นก็กำลังเงยหน้าขึ้นมามองเช่นกัน

ใบหน้าของคุณท่านใหญ่ตระกูลฉินเต็มไปด้วยรอยยิ้ม และหันไปกล่าวทักทายกับแขกทีละคนๆ

จากนั้น จึงเหลือบไปเห็นคนกลุ่มหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงมุมมุมหนึ่ง

ในโต๊ะจัดเลี้ยงที่จัดวางอยู่ตรงมุม มีพวกของเฉินตงและฉินเย่นั่งอยู่

เป็นเพราะเหล่าบรรดาตระกูลมั่งคั่งในซีสู่ต่างก็รู้จักฉินเย่ดี ประกอบกับเมื่อเห็นรูปร่างสูงใหญ่กำยำของคุนหลุน

ทำให้โต๊ะจัดเลี้ยงตัวนั้น มีเพียงพวกของเฉินตงนั่งอยู่

เฉินตงยังคงนั่งอยู่ในท่าทีที่เย็นชาเช่นเคย ฉินเย่เองก็อยู่ในท่าทีที่ไม่แยแสต่อสิ่งรอบข้าง คุนหลุนอยู่ในท่าทีที่สงบ ส่วนเฉินไคนั่งอยู่ด้วยใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มเล็กน้อย

มีเพียงฉินเสี่ยวเชียนเท่านั้น ที่เอาแต่นั่งก้มหน้าก้มตาอยู่ข้างๆ ฉินเย่ มีทั้งสองข้างพันกันไปมาด้วยความประหม่า มีเหงื่อออกจนเปียกชุ่มอยู่เต็มฝ่ามือ

สองปีมานี้ เธอไม่มีสิทธิ์มีส่วนร่วมในเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับตระกูลฉินเลย

แม้กระทั่งงานวันเกิดของผู้ใหญ่ภายในตระกูล เธอก็ทำได้เพียงแค่นำของขวัญมามอบให้แล้วเดินทางกลับในทันที

เธอมีบุคลิกที่อ่อนแอ ถึงแม้ตัวเธอเองจะรู้สึกไม่พอใจกับเรื่องนี้แต่ก็ไม่คิดที่จะต่อต้าน

แต่ทว่าวันนี้ ในงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของเจ้าบ้าน เธอกลับนั่งร่วมโต๊ะอยู่กับเฉินตงและฉินเย่เช่นนี้ เป็นการแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเธอตั้งใจละเมิดกฎของตระกูลฉิน

เธอไม่รู้ว่าจะมีบทลงโทษเช่นไรหลังจากนี้

แต่เหตุผลที่เธอยังอยู่ต่อเป็นเพราะ ข้อแรก มีฉินเย่คอยอยู่เคียงข้างเธอ ข้อที่สอง ตัวเธอเองก็รู้สึกไม่พอใจนัก ในฐานะที่เธอเป็นคนตระกูลฉิน เธอเองก็อยากจะอยู่ร่วมในงาน

ทันใดนั้น

จู่ๆ ก็เกิดเสียงของความโกลาหลดังขึ้นรอบๆ

จากนั้น ฉินเสี่ยวเชียนก็รู้สึกได้ว่ามีกลุ่มคนกำลังเดินมุ่งหน้าเข้ามาทางนี้

แววตาของเธอเริ่มสั่นไหว ความรู้สึกประหม่ายิ่งเพิ่มมากขึ้น เธอมุดหัวลงไปด้านล่าง ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามอง

“คุณชายเฉินอุตส่าห์เดินทางมาถึงที่นี่ กระผมไม่ได้ออกมาต้อนรับตัวตัวเอง ต้องขออภัยด้วยจริงๆ”

เสียงหัวเราะที่อบอุ่นดังขึ้นในทันที

ฉินเสี่ยวเชียนตัวสั่นเทา แววตาของเธอเต็มไปด้วยความตกตะลึง

นี่คือ……เสียงของเจ้าบ้านตระกูลฉินหรือ ? !

จากนั้นเสียงของเข้าบ้านตระกูลฉินก็ดังขึ้นอีกครั้ง : “เสี่ยวเชียน เย่เอ๋อ”

ฉินเสี่ยวเชียนใจสั่นระรัว เธอค่อยๆ เงยหน้าขึ้น

ใบหน้าที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นในดวงตาของเธอ แต่กลับไม่ใช่ใบหน้าที่เคร่งขรึมและสง่างามอย่างเช่นที่ผ่านมา แต่เป็นใบหน้าที่เต็มใบด้วยรอยยิ้มอันแสนอบอุ่น

“คุณ คุณปู่……”

ฉินเสี่ยวเชียนแทบไม่อยากเชื่อเลยว่า ตลอดสองปีที่ผ่านมา นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นรอยยิ้มของคุณท่านใหญ่ตระกูลเฉิน

ส่วนฉินเย่กลับยังคงนั่งพิงอยู่บนเก้าอี้ด้วยท่าทีเกียจคร้าน ในปากของเขาคาบไม้จิ้มฟันเอาไว้หนึ่งก้าน แล้วทำสีหน้าดูถูกเหยียดหยาม และไม่ได้ตอบกลับคำพูดของคุณท่านใหญ่ตระกูลฉิน

ในเวลาเดียวกันนี้

คนอื่นๆ ที่อยู่บริเวณโดยรอบต่างก็แสดงท่าทีตื่นตกใจออกมา

เสียงซุบซิบค่อยๆ ดังขึ้น

“ให้ตายเถอะ ! นี่ฉันเห็นอะไรกันนี่ ? กฎระเบียบของตระกูลฉินเปลี่ยนแปลงตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ?”

“ลูกเนรคุณที่ฆ่าพ่อของตัวเองยังมาร่วมงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของคุณท่านใหญ่ตระกูลฉินได้เช่นนี้ และคุณท่านใหญ่ตระกูลฉินเอง ก็ยังต้อนรับเขาอย่างสุภาพอีกด้วย ?”

“เหอะๆ พวกคุณเองก็ไม่รู้จักดูเอาเสียเลยว่า คนที่นั่งอยู่ข้างๆ ฉินเย่คือใคร ถ้าผมจำไม่ผิดแล้วล่ะก็ เขาน่าจะเป็นหนึ่งในผู้สืบทอดมรดกของตระกูลเฉิน ชื่อว่าเฉินตง !”

เปรี้ยง !

หนึ่งในมหาเศรษฐีที่เคยพบกับเฉินตงมาก่อนได้กล่าวออกมา

ราวกับเสียงฟ้าผ่า ทำให้ห้องโถงด้านหน้าเงียบสงัดในทันที

เป็นที่รู้กันดีว่า

ในงานจัดเลี้ยงของตระกูลฉินที่มีเป็นร้อยโต๊ะ แขกทั้งหมดที่นั่งอยู่ในห้องโถงด้านหน้า ล้วนแล้วแต่เป็นแขกคนสำคัญและใกล้ชิดสนิทสนมทั้งสิ้น

ในบรรดาคนเหล่านั้น มีคนที่รู้จักเฉินตงอยู่ไม่น้อย และยิ่งไปกว่านั้น พวกเขารู้ถึงความสำคัญของตำแหน่ง “ผู้สืบทอดมรดกตระกูลเฉิน” ดี !

“คุณท่านใหญ่ตระกูลฉิน ไม่ทราบว่าพอใจกับของขวัญที่ผมมอบให้หรือไม่ ?”

เฉินตงยิ้มเยาะออกมา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งและแสดงอำนาจ

คำพูดเพียงประโยคเดียว ทำให้ทุกคนขมวดคิ้วแน่น

ถึงแม้จะไม่รู้ว่าของขวัญชิ้นนั้นคืออะไร แต่คำพูดของเฉินตง ไม่ว่าใครก็ฟังออกว่า เรื่องนี้คงไม่ใช่เรื่องธรรมดาอย่างแน่นอน !

ใบหน้าของพวกฉินเห้อเหนียนเย็นชาราวกับน้ำแข็ง แววตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น

มีเพียงคุณท่านใหญ่ตระกูลเฉินที่เส้นเลือดบริเวณหางตาปูดโปนขึ้นมา แต่ก็ยังคงพยายามระงับอารมณ์โกรธ แล้วแสร้งทำเป็นยิ้มและยกมือขึ้นคารวะ

“พอใจสิครับ ของขวัญที่คุณชายมอบให้ ผมจะรู้สึกไม่พอใจได้อย่างไร ? ผมได้จัดเตรียมสุราชั้นดีเอาไว้ หวังว่าคุณชายเฉินจะไม่รังเกียจที่จะร่วมงานเลี้ยงของผมจนจบ”

คุณท่านใหญ่พูดขึ้นต่อหน้าทุกคน

ในขณะเดียวกันก็หยิบสุราเหมาไถขึ้นมา แล้วรินให้กับเฉินตงด้วยตัวเอง

คำพูดและการกระทำของเขา แสดงออกอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน

ทำให้ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงด้านหน้าที่เห็นเหตุการณ์ทุกคน ต่างก็ตกตะลึงจนอ้าปากค้าง

เจ้าบ้านตระกูลฉิน ชายชราผู้มั่งคั่งที่สุดในซีสู่ ต่อให้คนที่อยู่ตรงหน้าจะเป็นเจ้าบ้านตระกูลเฉิน เขาก็ไม่จำเป็นต้องอ่อนน้อมถ่อมตนถึงขนาดนี้

“สามแก้ว”

เฉินตงเลิกคิ้ว จากนั้นจึงหยิบอก้วของฉินเย่และฉินเสี่ยวเชียนมาวางด้านหน้าตนเองอย่างไม่แยแส : “รินเหล้า !”

คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินรู้สึกตกใจ เกิดความสงสัยขึ้นในแววตาของเขา

แต่เขาก็ยังคงยิ้มแย้ม และริมเหล้าจนเต็มทั้งสองแก้ว

ยังไม่ทันที่เขาจะวางขวดเหล้าลง

เฉินตงก็ค่อยๆ ลุกขึ้น จากนั้นจึงหยิบแก้วเหล้าขึ้นมา

“แก้วแรก ขอคารวะฟ้า !”

คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินยืนตัวสั่น มีเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมาบริเวณหางตาของเขา

ส่วนสมาชิกคนอื่นๆ ในตระกูลฉินก็ยิ่งรู้สึกโกรธแค้นมากยิ่งขึ้น สีหน้าขอทุกคนเต็มไปด้วยความดุร้าย

ส่วนแขกคนอื่นๆ ที่อยู่ในห้องโถงด้านหน้า ต่างก็รู้สึกตกใจจนตาเบิกโพลง นี่มัน……

ภายใต้สายตาทุกคู่ที่กำลังจับจ้องมา เฉินตงยังคงใช้นิ้วจุ่มลงไปในแก้วเหล้าแล้วพรมเหล้าขึ้นบนอากาศสองสามหยดอย่างไม่แยแส จากนั้นจึงดื่มเหล้าที่อยู่ในแก้วจนหมด

จากนั้นเขาจึงหยิบเหล้าแก้วที่สองขึ้นมาทันที

“แก้วที่สอง คารวะดิน !”

ใบหน้าของเขาทั้งเยือกเย็นและเย่อหยิ่ง เขาใช้นิ้วจุ่มลงไปในแก้วเหล้า แล้วพรมเหล้าลงบนพื้นสองสามหยด จากนั้นจึงดื่มแก้วในเหล้าจนหมด

บรรยากาศภายในห้องโถงด้านหน้าเงียบสงัด

แต่ในอากาศกลับมีกลิ่นของดินปืนลอยคละคลุ้งอย่างรุนแรง

ขณะที่เฉินตงหยิบแก้วเหล้าใบที่สามขึ้นมา

ในแววตาของเขาเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าที่รุนแรง ตอนนี้ทุกคนรับรู้ได้ถึงความอำมหิตที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวของเฉินตงทันที

เขาค่อยๆ แสยะยิ้ม แววตาเย็นชาของเขาจับจ้องไปที่คุณท่านใหญ่ตระกูลฉิน

“แก้วที่สามนี้ ขอคารวะให้วิญญาณของแม่ผมที่อยู่บนฟ้า และขอคารวะให้กับการไปสู่สุคติของคุณท่านใหญ่ตระกูลฉินด้วย !”

พรวด……

เหล้าชั้นดีที่อยู่ในแก้ว ถูกเทลงบนพื้น

บรรยากาศภายในห้องโถงด้านหน้าเต็มไปเจตนาฆ่าที่รุนแรง

สีหน้าของแขกทุกคนเปลี่ยนไปในทันที พวกเขารู้สึกกลัวจนเสียวสันหลัง

เฉินเต้าหลินเดินทางกลับอย่างเร่งรีบ

แม้กระทั่งเวลาที่จะพูดกับเฉินตงสักสองสามประโยคก็ไม่มี หลังจากกินเข้าเสร็จเขาก็ขึ้นเฮลิคอปเตอร์กลับไปทันที

เฉินตงรู้ดีว่า หากเขาต้องการโค่นล้มตระกูลฉิน คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินคงเป็นอุปสรรคชิ้นใหญ่อย่างแน่นอน

งูกับหนูต้องมาอาศัยอยู่ในรังเดียวกัน

เพียงแค่การสมรู้ร่วมคิดเพียงอย่างเดียว ก็เพียงพอที่จะทำให้ทั้งสองฝ่ายต้องถูกผูกเอาไว้ในเรือลำเดียวกันแล้ว

หากเขาลงมือกับตระกูลฉินจริง ตระกูลฉินจะต้องขอความช่วยเหลือจากคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินอย่างแน่นอน อีกทั้งคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินก็ต้องยอมยื่นมือเข้ามาช่วยอย่างแน่นอนเช่นกัน

เหตุผลง่ายๆ แค่นี้ เขาต้องดูออกอย่างแน่นอน ตระกูลฉินและคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน ไม่มีทางตัดขาดกันได้อย่างแน่นอน

การที่พ่อควบคุมคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินเอาไว้ ก็เพื่อเปิดทางให้เขาและฉินเย่แก้แค้นตระกูลฉิน !

หลังจากเฉินเต้าหลินกลับไปได้ไม่นาน

เฉินตงก็พาฉินเย่และคุนหลุน ออกจากเขตวิลล่าเขาเทียนซาน แล้วมุ่งหน้าไปยังสนามบินในเขตชานเมือง

ท่านหลงอยู่ต่อที่เมืองนี้เพื่อคอยดูแลรับผิดชอบงานภายในบริษัท

ระยะเวลาที่เขาถูกจองจำอยู่ในคุกมืดหนึ่งเดือน มีเรื่องต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย ลำพังเรื่องที่ไท่ติ่งตกอยู่ในความดูแลของโจวสวน และควบคุมโจวจุนหลงและโจวเย่นชิว ก็สร้างความวุ่นวายมากพอสมควรแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในงานแต่งงาน ทำให้เกิดอันตรายแอบแฝงขึ้นมากมาย

เรื่องเหล่านี้ต้องรีบจัดการให้เร็วที่สุด

ถึงขั้นที่เฉินตงเองไม่สนใจว่าท่านหลงจะใช้วิธีที่รุนแรงขนาดไหนในการจัดการ

เพื่อจบเรื่องวุ่นวายทุกอย่างลงทันที

เรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนี้ มีเพียงท่านหลงคนเดียวเท่านั้นที่จะสามารถจัดการได้

ต่อให้เฉินตงลงมือจัดการด้วยตนเอง ก็อาจจะยืดเยื้อ

เมื่อทั้งสามคนเดินทางไปถึงสนามบิน พวกเขาก็เดินผ่านช่องทางสีเขียวโดยไม่มีเครื่องกีดขวางใดๆ ท่านหลงตระเตรียมเครื่องบินส่วนตัวเอาไว้เรียบร้อยแล้ว พวกเขาขึ้นนั่งบนเครื่องได้ไม่นาน เครื่องบินก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า

“คุณชาย ท่านหลงได้ตระเตรียมคนในสำนักงานที่ซีสู่เอาไว้เพื่อดูแลต้อนรับเรียบร้อยแล้วครับ”

คุนหลุนพูดออกมาอย่างสงบ : “นี่เป็นความประสงค์ของคุณท่าน หากเขาติดต่อสำนักงานที่ซีสู่ด้วยตัวเอง ก็จะเป็นที่จับตามองของคนในตระกูล หากให้ท่านหลงจัดการก็จะเป็นความลับมากกว่า อีกทั้งการเดินทางครั้งนี้ จะต้องพึ่งพาสำนักงานของตระกูลเฉิน”

เฉินตงไม่ได้โต้แย้งอะไร เขาพยักหน้าตอบรับ

พวกเขาไม่ได้ไปพูดคุยหรือกินเลี้ยงสังสรรค์กับตระกูลฉิน แต่การไปในครั้งนี้ ต้องเกิดการนองเลือดขึ้น !

ในเมื่ออาศัยชื่อของตระกูลเฉินแล้ว หากแม้แต่สำนักงานของตระกูลเฉินในซีสู่ยังไม่รู้สึกตื่นตระหนกอีกล่ะก็ ชื่อนี้ก็คงใช้การไม่ได้เสียแล้ว

เฉินตงเหลือบมองฉินเย่โดยไม่รู้ตัว

ตอนนี้ฉินเย่ยังคงอยู่ในท่าทีที่ปกติ

เมื่อเขารู้สึกได้ถึงสายตาของเฉินตง ฉินเย่ก็ส่งเสียงกระแอม : “นายไม่ต้องคำนึงถึงความรู้สึกของฉันหรอก ฉันกับตระกูลฉินไม่เกี่ยวข้องอะไรกันแล้ว ตอนที่พวกเขาส่งคนมาฆ่าฉัน ก็ไม่เห็นคำนึงถึงความรู้สึกฉันเลย”

“ฉันรู้ดี”

เฉินตงยิ้มออกมา : “ฉันแค่อยากถามนายว่า จะจัดการกับตระกูลฉินอย่างไร”

“นายวางแผนเอาไว้หมดแล้ว พ่อนายก็กำลังช่วยนายอยู่ แล้วนายยังจะถามฉันอีกทำไม ?”

ฉินเย่ยักไหล่ แล้วพูดเป็นนัยว่า : “ยืมมือทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันเอง ถึงจะเป็นแผนการที่เหนือชั้น ใช้เลือดล้างตระกูลฉิน ก็เหมือนกับต่อสู้กับปลาที่ตายกับตาข่ายที่ขาด ไม่คุ้มค่า”

เฉินตงหัวเราะออกมา เขามองก้อนเมฆที่ลอยอยู่นอกหน้าต่างด้วยแววตาที่เยือกเย็น : “ใช่แล้ว มงกุฎราชาหนักเกินไป ถ้าหากไม่ยืมมือทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันเอง ฉันคงไม่สามารถสวมมงกุฎไว้ได้อย่างมั่นคง”

ทันทีที่ได้ยิน

ฉินเย่และคุนหลุนก็หันไปมองเฉินตงด้วยความประหลาดใจ

เฉินตงลูบจมูก : “ทำไม ?”

“พี่ชาย นายเปลี่ยนไปแล้ว” ฉินเย่ประสานมือทั้งสองข้างไว้ที่ท้ายทอย “พี่คุนหลุน พี่ว่ายังไง ?”

“พี่ชาย ไม่สิ คุณชายเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ”

แววตาของท่านหลงดูตื่นตระหนก เขารีบกลับคำในทันที : “คุณชายคนก่อน จะไม่แยกแยะข้อดีและข้อเสียออกอย่างชัดเจนอย่างนี้”

“ตอนนี้นายเริ่มเหมือนผู้สืบทอดมรดกจริงๆ แล้ว” ฉินเย่หัวเราะเสียดสี “ไม่สนใจวิธีการ ถึงจะกลายเป็นคนตระกูลเฉินแบบพวกนั้นได้”

เฉินตงยิ้มเล็กน้อย แต่รอยยิ้มก็เต็มไปด้วยความขมขื่น

เวลาสิบโมงครึ่ง เครื่องบินลงจอดยังสนามบินซีสู่

ขณะที่เพิ่งเดินออกมาจากสนามบิน ก็มีชายวัยกลางคนรีบเข้าไปต้อนรับ

“กระผมเป็นหัวหน้าสำนักงานของตระกูลเฉินในซีสู่ เฉินไคขอต้อนรับคุณชายเฉินตง”

“ไปกันเถอะ”

เฉินตงพยักหน้า จากนั้นจึงเดินตามเฉินไคไปยังรถโรลส์-รอยซ์ที่จอดอยู่ริมถนน

หลังจากขึ้นรถ เฉินไคก็พูดขึ้นว่า : “คุณชาย วันนี้เป็นวันเกิดที่ยิ่งใหญ่ของเจ้าบ้านตระกูลฉิน กำลังมีการจัดงานฉลองวันเกิดขึ้นที่ตระกูล”

“งานฉลองวันเกิด ?”

เฉินตงหางตากระตุก เขาเอามือลูบคาง แล้วแสยะยิ้มออกมา : “พวกเรามาถูกเวลาจริงๆ ในเมื่อจัดงานฉลองวันเกิด ก็ควรต้องมีของขวัญสักหน่อย เพราะตอนที่ฉันแต่งงาน ตระกูลฉินก็ส่งของขวัญไปให้ถึงที่เช่นกัน”

“ฉันลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท” ฉินเย่ก้มหน้าครุ่นคิด

ทันใดนั้น ทั้งสองก็หันมองหน้ากัน จากนั้นจึงยิ้มออกมาอย่างเยือกเย็น

ภายในรถ ดูเหมือนบรรยากาศจะหนาวเย็นลงอย่างเห็นได้ชัด

ตระกูลฉิน

ในฐานะที่เป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในซีสู่ เป็นตระกูลที่สูงส่งและไม่เห็นผู้อื่นอยู่ในสายตา

ในซีสู่ อยู่ในฐานะที่ไม่มีใครสามารถเทียบได้

งานฉลองวันเกิดของเจ้าบ้านตระกูลฉิน คงจะเป็นงานที่ดึงดูดตระกูลที่มั่งคั่งจากทั่วทุกสารทิศให้มาร่วมแสดงความยินดี

เพียงแค่โต๊ะจัดเลี้ยงงานวันเกิด ก็ถูกจัดวางไว้โดยรอบบริเวณของบ้านตระกูลฉินกว่าร้อยตัว

สิ่งที่เจ้าบ้านตระกูลฉินคำนึงถึงไม่ใช่การเฉลิมฉลองวันเกิดที่ยิ่งใหญ่ แต่เขาคำนึงถึงผลลัพธ์ที่ต้องไม่ฟุ่มเฟือย และไม่เอิกเกริก

เวลาใกล้เที่ยง

บริเวณโดยรอบตระกูลฉินเต็มไปด้วยรถหรูจอดกันอยู่แน่นขนัด

ผู้คนพลุกพล่านและส่งเสียงจอแจเต็มไปหมด

ทุกครั้งที่มีแจกเดินเข้ามาจะมีการยิงพลุทักทาย

เจ้าบ้านตระกูลฉินอยู่ในวัยชรา เขาสวมใส่เสื้อคอจีนสีแดงสด เขายืนอยู่กับเหล่าทายาทตระกูลฉินที่บริเวณประตูด้วยใบหน้าที่สดใส เพื่อต้อนรับบรรดาแขกที่มาในงานเลี้ยง

“คุณปู่ แขกมากันเกือบครบแล้ว ส่วนที่เหลือที่ยังมาไม่ถึง ส่วนใหญ่ก็เป็นแค่พวกหางแถว คงไม่ต้องให้คุณปู่คอยต้อนรับด้วยตัวเองแล้ว”

เด็กหนุ่มที่สวมใส่ชุดสูทคนหนึ่งยิ้มแล้วพูดขึ้น : “คุณปู่ยืนมาตลอดทั้งเช้าแล้ว รีบกลับไปนั่งเถอะครับ พักผ่อนสักเดี๋ยว ตรงนี้พวกเราอยู่ต้อนรับกันเองได้ครับ”

ทันทีที่ได้ยิน เหล่าบรรดาคนรุ่นใหม่ที่ยืนอยู่โดยรอบต่างก็พูดสนับสนุนขึ้นมา

พวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นทายาทสายตรงของตระกูลฉิน อยู่ในฐานะที่ไม่อาจมีใครเทียบได้ในตระกูลฉิน

ในตระกูลฉิน มีการแบ่งฐานะของทายาทที่ถูกต้องตามกฎหมายและอยู่นอกกฎหมายอย่างชัดเจน และแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน

“ฉินซวน ห้ามพูดจาเย่อหยิ่งอย่างนี้”

สีหน้าและน้ำเสียงของคุณท่านใหญ่ตระกูลเฉินเคร่งขรึมทันที

บรรดาวัยรุ่นหนุ่มสาวต่างรู้สึกตกใจ และก้มหน้าก้มตาขอโทษในทันที : “คุณปู่ ซวนเอ๋อผิดไปแล้วครับ”

“ช่างเถอะ คงแก่อย่างฉันเองก็ยืนไม่ไหวแล้วจริงๆ ตรงนี้ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกเธอก็แล้วกัน จำไว้นะ การต้อนรับแขก ห้ามใช้ท่าทางที่ดูถูกและเย่อหยิ่ง คนจะได้ไม่เอาไปนินทาได้ว่า ตระกูลเฉินของเรานั้นไร้มารยาท”

ใบหน้าของคุณท่านใหญ่ตระกูลเฉินดูอบอุ่นลง เขายิ้มออกมาอีกครั้ง แววตาของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย : “จริงสิ ถ้าเสี่ยวเซียนกลับมาเมื่อไหร่ อย่าลืมมาบอกฉันนะ ฉันอยากเจอเธอสักครั้ง”

“ครับ คุณปู่”

ฉินซวนยิ้มและพยักหน้า : “ถ้าพี่เสี่ยวเชียนกลับมาเมื่อไหร่ ผมจะรีบไปบอกปู่ทันทีเลยครับ”

หลังจากที่คุณท่านใหญ่ตระกูลฉิน หันหลังเดินกลับเข้าไปในคฤหาสน์แล้ว ใบหน้าของฉินซวนก็หมองหม่นลงทันที เขาถ่มน้ำลายลงบนพื้นด้วยความโมโห : “ไม่รู้ว่าคุณปู่จะมัวคิดถึงพี่เสี่ยวเชียนอยู่ทำไม ก็แค่มีความสามารถเล็กน้อยเท่านั้น เป็นเพียงแค่ผู้หญิงที่ไร้ค่าคนหนึ่ง หาผู้ชายที่ไร้ประโยชน์มา ให้แต่งงานเข้าบ้าน สุดท้ายก็หย่ากันแล้วหนีหายไป ?”

หลังจากได้ยินคำพูดนี้ ก็มีทายาทอีกหลายคนค่อยๆ กล่าวสนับสนุนขึ้น

ตอนนี้เอง

จู่ๆ มีชายวัยกลางคนวิ่งเข้ามาอย่างเร่งรีบ ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว แล้วหันไปพูดกับฉินซวนว่า : “คุณชายซวน ฉิน ฉินเย่ มาอวยพรวันเกิดให้คุณท่านครับ”

เปรี้ยง !

เสียงที่พยายามกระซิบให้เบาที่สุด แต่สำหรับพวกของฉินซวนแล้ว ก็ยังเหมือนเสียงฟ้าผ่าอยู่ดี

“ไอ้เดรัจฉานนั่นมาได้ยังไง ?” ฉินซวนกัดฟันกรอด “ไล่มันออกไป !”

“ไม่ต้องไล่แล้ว ฉันมาแล้ว !”

มือทั้งสองข้างของฉินเย่ล้วงกระเป๋าอยู่ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความไม่แยแส เขาหันไปยั่วยุฉินซวน: “อีกอย่าง น้องซวน นายคงไม่กล้าไล่ฉันไปหรอกนะ เพราะคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ฉันคือคุณชายของตระกูลเฉิน”

“แก……” ฉินซวนหน้าถอดสี เขารู้จักเฉินตงดี ตอนที่เฉินตงแต่งงาน เขาก็ไปร่วมงานแต่งงานกับคุณท่านใหญ่ตระกูลฉินด้วยและเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกอย่างในงานแต่งงาน

เพียงแต่ เขารู้เพียงผิวเผินแค่นี้เท่านั้น ส่วนเรื่องที่สึกกว่านั้น เขาเองก็ไม่รู้

แต่ทว่า เป็นอย่างที่ฉินเย่กว่ามาจริงๆ อย่างไรเสียตระกูลฉินก็ไม่กล้าไล่คนของตระกูลเฉิน !

เพียงชั่วพริบตา

เฉินตงและฉินเย่ คุนหลุน เฉินไค ก็เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าของฉินซวน

ฉินเย่รับกล่องของขวัญมาจากมือของเฉินตง จากนั้นจึงยื่นให้ฉินซวน

“เอา ของขวัญวันเกิดให้คุณท่าน ถือเป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ”

“ถ้าอย่างนั้นผมต้องขอบคุณมาก”

ฉินซวน แสยะยิ้ม แล้วยื่นมือออกไปรับกล่องมา แล้วเปิดออกต่อหน้าทุกคนอย่างเสียมารยาทในทันที

เมื่อเขาได้เห็นของขวัญวันเกิดที่อยู่ในกล่อง

ความเกลียดชังก็ประเดประดังเข้ามาจนตัวของฉินซวนแทบจะระเบิดในทันที

เพราะของที่อยู่ในกล่องเป็น……พวงหรีดที่สวยหรู !

ซึ่งเป็นของที่ใช้สำหรับไว้ทุกข์ให้กับคนตาย !

คืนที่งดงามที่สุด ?

เฉินตงอึ้งไป จากนั้นเมื่อเขาตั้งสติกลับมาได้ หัวใจเขาก็เต้นระส่ำทันที

“มัวแต่อึ้งอยู่ทำไม ?”

กู้ชิงหยิ่งเลิกคิ้ว เต็มไปด้วยเสน่ห์ที่เย้ายวน

ความงามอันน่าทึ่งเช่นนี้ เพียงแค่รอยยิ้ม ก็สามารถโปรยเสน่ห์ที่ยากเกินข้ามใจได้แล้ว

เพียงแต่แววตานี้ ทำให้เฉินตงรู้สึกประหลาดใจ

เขาคิดไม่ถึงเลยว่า แววตาของกู้ชิงหยิ่งจะ “มีเสน่ห์เกินต้านทาน” เช่นนี้

เฉินตงสูดหายใจเข้าเต็มปอด แล้วลุกขึ้น เดินตรงไปยังห้องน้ำ

หลังจากการอาบน้ำอย่างพิถีพิถันแล้ว เขาก็ห่อผ้าขนหนูเดินออกมาจากห้องน้ำ

บรรยากาศภายในห้องมืดลง กู้ชิงหยิ่งเป็นคนปิดไฟ

เหลือเพียงแค่โคมไฟตรงหัวเตียงดวงเดียวเท่านั้น ที่ยังคงส่องแสงสลัวๆ

ส่วนกู้ชิงหยิ่ง เข้าไปนอนซุกตัวอยู่ในผ้าห่มเรียบร้อยแล้ว ผ้าขนหนูผืนเมื่อครู่วางทิ้งอยู่บนพื้น เธอนอนวูบตัวอยู่ในผ้าห่ม และดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดถึงจมูก

แล้วหันมองเฉินตงด้วยท่าทีเขินอายไม่หยุด

เพียงแค่สายตาที่ส่งมา ก็แทนคำพูดได้เป็นหมื่นคำ

เฉินตงแทรกตัวเข้าไปในผ้าห่ม ตอนนี้กู้ชิงหยิ่งเหมือนลูกแมวน้อยๆ เธอซุกตัวเข้ามาในอ้อมกอดของเขา

“ฉันเคยบอกแล้วว่า จะเก็บครั้งนี้ไว้ในคืนที่งดงามที่สุด !” ริมฝีปากแดงระเรื่อ กระซิบเบาๆ ที่หูของเฉินตง “คืนนี้ขอให้สามีโปรดอ่อนโยนกับฉันด้วย”

เฉินตงยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน เขายกมือขึ้นมาปิดไฟ

ความรู้สึกทั้งหมด ถูกปลดปล่อยออกมาภายใต้ความมืด

การรอคอยมาสามปี ความรู้สึกที่ยาวนาน

ความรักทั้งหมดที่มี ถูกระบายออกมาทั้งหมดภายใต้ความมืด

……

ทั้งคืนไม่มีการพูดคุยอะไรกัน

เช้าวันรุ่งขึ้น ขณะที่แสงอาทิตย์ลอดผ่านช่องผ้าม่านเข้าไปในห้อง

เฉินตงกับกู้ชิงหยิ่งก็ค่อยๆ ตื่นจากความฝัน

หลับอยู่ในอ้อมกอดของกันและกัน ทั้งสองลืมตาขึ้น ก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องมองตนเองอยู่

เวลาหนึ่งคืน ทำให้ทั้งสองรู้สึกอ่อนเพลียเป็นอย่างมาก บนใบหน้าของกู้ชิงหยิ่งยังคงเป็นสีแดงระเรื่ออยู่

“ตื่นเช้าขนาดนี้เลยหรือ ?”

เฉินตงเลิกคิ้วแล้วยิ้ม

“ตื่นมาเพราะความเจ็บ” กู้ชิงหยิ่งขมวดคิ้ว

เฉินตงผงะไป เมื่อตั้งสติได้ เขาก็หัวเราะออกมา

กู้ชิงหยิ่งรีบยกมือขึ้นมาปิดปากเฉินตงที่มีท่าทีตกใจเหมือนลูกแมวเอาไว้ : “คนบ้า คุณยังจะหัวเราะอีกหรือ ?”

“ทำไมจะหัวเราะไม่ได้ ? คุณเป็นภรรยาของผมนะ” เฉินตงลูบดั้งจมูกของกู้ชิงหยิ่งเบาๆ

ทั้งสองมองห้ากันและกันโดยไม่พูดอะไร

พักใหญ่

กู้ชิงหยิ่งจึงค่อยๆ เอ่ยปากพูดขึ้น : “คุณตัดสินใจจะไปที่ตระกูลฉินจริงๆ หรือ ?”

“ใช่” เฉินตงตอบออกมาอย่างสงบ

“รอให้ผ่านไปสักพักก่อนได้ไหม ?” กู้ชิงหยิ่งถาม “ในบ้านเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้นเช่นนี้ ฉันอยากให้เรื่องทุกอย่างสงบสักพัก ไม่อยากให้คุณต้องเข้าไปเสี่ยงอันตรายอีก”

“ไม่เป็นไรหรอก พ่อผมอยู่ สำหรับตระกูลเฉินแล้ว ตระกูลฉินไม่อยู่ในสายตาเสียด้วยซ้ำ” เฉินตงยิ้มออกมาเล็กน้อย

“แต่ยังไงฉันก็รู้สึกว่าทำเช่นนี้มันอันตรายอยู่ดี ตระกูลฉินยิ่งใหญ่ขนาดนี้ หากตระกูลเฉินคิดจะจัดการพวกเขาก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก”กู้ชิงหยิ่งพูดว่า “อีกทั้ง คุณยังเรียกฉินเย่ไปด้วยอีก เขาเองก็เคยเป็นคนตระกูลฉิน คุณทำเช่นนี้ เคยคำนึงถึงความรู้สึกของเขาบ้างไหม ?”

เฉินตงยิ้มออกมาอย่างเบิกบาน : “ยัยโง่ เพราะผมคิดถึงความรู้สึกของฉินเย่อย่างไรล่ะ ผมถึงได้เรียกเขาไปด้วย”

คำพูดนี้ ทำให้กู้ชิงหยิ่งรู้สึกงุนงง

ให้ฉินเย่……มองดูตระกูลฉินถูกฆ่าล้างตระกูล แบบนี้เรียกว่าคิดถึงความรู้สึกของฉินเย่หรือ ?

“สิ่งที่ฉินเย่ต้องเผชิญในตระกูลฉิน น่าเวทนายิ่งกว่าที่พวกเราคิดเสียอีก”

จู่ๆ แววตาของเฉินตงก็ลึกซึ้งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เขาบ่นพึมพำกับตัวเองด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม : “เพื่อที่จะดึงผมออกมาจากขุมนรก เขาไม่เพียงแต่ยอมเปิดบาดแผลออก ถึงขั้นโรยเกลือลงบนแผลอีกด้วย”

“เขากำลังดูถูกว่าผมเทียบเขาไม่ติด เขาสามารถปีนออกมาจากขุมนรกได้ แต่ผมกลับติดอยู่ในขุมนรก”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ จู่ๆ ดวงตาของเฉินตงก็แดงก่ำ

อารมณ์ของเขาเปลี่ยนไปในทันที ทำให้กู้ชิงหยิ่งรู้สึกตื่นตระหนก

เฉินตงยังคงพูดต่อไป : “คุณยังจำภาพตอนที่ฉินเย่ฆ่าโจวสวนในงานแต่งงานได้ไหม ?”

“จำได้ค่ะ” ใบหน้าอันงดงามของกู้ชิงหยิ่งแสดงออกถึงความหวาดกลัว “ตอนนั้นฉินเย่ทำให้ทุกคนรู้สึกตกใจมาก ถ้าไม่ใช่เพราะคุณลงมือกับเขา ก็คงไม่มีใครสามารถขวางเขาได้”

“ดังนั้น……”

เฉินตงยิ้มออกมาอย่างขมขื่น : “เขาพยายามที่จะปีนออกมาจากขุมนรกอยู่ตลอด แต่ในความเป็นจริงแล้ว เขายังคงอยู่ในขุมนรก เพียงแต่ผู้ชายคนนี้ เข้าใช้ท่าทางขวางโลกของเขา มาปิดบังความโหดเหี้ยมที่แอบซ่อนอยู่ส่วนลึกภายในใจของเขาเท่านั้น

“แต่ทั้งหมดนี่ก็มีสาเหตุมาจากตระกูลฉิน !”

“ฉันเข้าใจแล้วค่ะ” กู้ชิงหยิ่งพยักหน้า เธอพูดพึมพำออกมาเบาๆ : “ฉันรู้ว่าคุณอยากแก้แค้น และอยากจะพาฉินเย่เดินออกมาด้วย แต่คุณต้องรับปากฉัน ทุกอย่างต้องอยู่ภายใต้ความปลอดภัย ถ้าหากไม่เป็นไปตามที่คิดไว้ ต้องรีบกลับมาทันที”

ขณะที่พูด เธอตบท้องแล้วยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ : “ฉันกับลูกยังรอคุณอยู่นะ”

“อะไรจะเร็วขนาดนั้น ?” เฉินตงมองกู้ชิงหยิ่งด้วยความประหลาดใจ

กู้ชิงหยิ่งเลิกคิ้วเล็กน้อย ใบหน้างดงามของเธอแดงก่ำ เธอพูดว่า : “ไม่สน ฉันจะแสร้งทำเป็นว่าฉันอุ้มท้องลูกของเราแล้ว”

เฉินตงและกู้ชิงหยิ่งอาบน้ำกันสักพัก ขณะที่กู้ชิงหยิ่งกำลังเลือกเสื้อผ้า ก็หยิบชุดสูทที่ดูเรียบหรูขึ้นมาใส่

จากนั้นก็ส่องกระจกมองดูตนเองด้วยท่าทีที่กระปรี้กระเปร่า ส่วนเฉินตงนั่งดูด้วยท่าทีเหม่อลอย

มีเพียงสิ่งเดียวที่ต่างออกไป ดูเหมือนว่าแก้มจะตอบลงกว่าเมื่อก่อนเล็กน้อย

“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ผมจะสวมมงกุฎของราชา……”

เขาแอบตัดสินใจอยู่ในใจ แววตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นอย่างถึงที่สุด

ถ้าอยากสวมมงกุฎของราชา ก็ต้องทนแบกรับน้ำหนักของมันให้ได้ !

เพื่อแม่ที่จากไปแล้วของเขา เขาต้องเอามงกุฎนี้มาสวมไว้บนหัวให้ได้

เขาจูงกู้ชิงหยิ่งเดินลงชั้นล่าง

ในห้องอาหาร

เฉินเต้าหลิน ท่านหลง ฟ่านลู่ คุนหลุนและฉินเย่กำลังนั่งรับประทานอาหารเช้ากัน

เมื่อเห็นเฉินตงและกู้ชิงหยิ่งที่เดินลงมาจากชั้นบน

ฉินเย่ทำท่าทีประหลาดใจ : “ให้ตายเถอะ ตื่นเช้าขนาดนี้เลยหรือ ? การต้องแยกจากกันทำให้มีแรงปรารถนามากกว่าการแต่งงานใหม่เสียอีก แล้วพวกนายทั้งเพิ่งจะแยกจากกันและเพิ่งจะแต่งงานกันหมาดๆ อย่างน้อยก็ต้องรอให้พระอาทิตย์ตกดินค่อยตื่นสิ ?”

คำพูดประโยคนี้ทำให้เฉินตงและกู้ชิงหยิ่งรู้สึกเขินอาย

ส่วนคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่บนโต๊ะ ก็สำลักจนโจ๊กพุ่งกลับลงไปในถ้วย

เฉินเต้าหลินเช็ดโจ๊กที่เลอะอยู่ข้างมาก แล้วหันไปจ้องฉินเย่ตาเขม็ง : “ในปากของเธอมีรถไฟวิ่งอยู่หรือยังไง ?”

ฉินเย่ยักไหล่ เขาเหลือบมองเฉินตงด้วยสายตาดูถูกเยาะเย้ย : “พี่เฉินนี้ไม่ไหวเลย”

จากนั้นเขาจึงหันกลับไปหาฟ่านลู่แล้วพูดว่า : “พี่เสี่ยวลู่ กับข้าวทุกอย่างตอนมื้อเที่ยงให้เติมเก๋ากี้ลงไปด้วยนะ”

ฟ่านลู่รู้สึกเขินจนหน้าแดง เธอหันไปพูดกับคุนหลุนด้วยท่าทีเขินอาย : “พี่คุนหลุน……”

คุนหลุนทำสีหน้าเคร่งขรึม เขาหันไปมองฉินเย่ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยเจตนาฆ่า : “ถ้านายยังล้อเล่นกับพี่ลู่ของนายอีกล่ะก็ ฉันจะทำให้นายได้รู้จักว่าอะไรที่เรียกว่าหมัดทรงพลัง”

“เอาล่ะๆ เห็นว่าผมโสดก็เลยคิดจะรังแกล่ะสิ” ฉินเย่ยักไหล่ จากนั้นจึงก้มหน้าก้มตากินโจ๊กต่อ

เฉินตงจูงกู้ชิงหยิ่งไปนั่งที่โต๊ะอาหาร

เขาหันไปหัวเราะฉินเย่ : “นายโสดตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ? จางหยู่หลันถูกนายกลืนเข้าไปทั้งตัวแล้วนี่”

“พรวด !”

โจ๊กที่อยู่ในปากของฉินเย่พุ่งออกมา จนทำให้เขาสำลักและไออยู่สองสามครั้ง จากนั้นจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา : “บอกมาซิว่า พวกเราจะไปที่ตระกูลฉินเมื่อไหร่ ?”

จู่ๆ บรรยากาศก็ตึงเครียด

แม้แต่เฉินเต้าหลินก็จ้องมองไปทางเฉินตงด้วย

เฉินตงกินโจ๊กอย่างสงบ จากนั้นจึงพูดออกมาเบาๆ ว่า : “ออกเดินทางเที่ยงนี้ !”

“เร็วขนาดนี้เลยหรือ ?”

แม้กระทั่งฉินเย่เองก็คาดไม่ถึง

เฉินตงเลิกคิ้ว น้ำเสียงของเขาเย็นชาราวกับน้ำแข็ง

“แก้แค้น ยังต้องดูฤกษ์งามยามดีอีกหรือ ? หากชักช้าจะไม่ทันการ !”

เฉินเต้าหลินพยักหน้า : “ถ้าอย่างนั้นพ่อจะกลับไปที่ตระกูลเฉินเดี๋ยวนี้ จิตใจของคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินโหดเหี้ยมเกินไป ถึงเวลาที่ควรส่งเธอเข้าไปสวดมนต์ในห้องพระสักระยะแล้ว”

ฟิ้ว !

ลมพัดแรง

เฉินเต้าหลินยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน และไม่คิดจะหลบหลีกแม้แต่น้อย

แต่หมัดของเฉินตงกลับไปหยุดอยู่ตรงหน้าของเขา

จากนั้นก็ค่อยๆ ลดมือลง

ใบหน้าของเฉินตงเย็นชาราวกับน้ำแข็ง แววตาที่ลึกซึ้งของเขาแสดงออกถึงความเกลียดชังอย่างถึงที่สุด

“ทำไมถึงไม่ต่อยพ่อ ?”

เฉินเต้าหลินยิ้มออกมาอย่างขมขื่น เอารู้สึกอ้างว้างอย่างที่สุด : “ผมสมควรจะต่อย”

ภาพนี้ถ้าให้คนอื่นมาเห็นเขา คงต้องตกใจจนอ้าปากค้าง

เจ้าบ้านตระกูลเฉินผู้สง่างามและมั่งคั่งที่สุดในโลก กลับมีท่าทีที่หดหู่เช่นนี้ ?

“ต่อยพ่อแล้ว แม่จะกลับมาได้ไหม ?”

เฉินตงหันหลังกลับ จากนั้นจึงมองทัศนียภาพยามค่ำคืนของเขาเทียนซานที่อยู่ไกลๆ จากนั้นจึงพึมพำกับตัวเองว่า : “ยังไงมันก็ผ่านไปแล้ว คนเราต้องมองไปด้านหน้า ไม่ใช่หรือ ?”

เฉินเต้าหลินยืนนิ่งไม่พูดอะไร ในใจของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด

เหตุการณ์ในครั้งนี้ เขาอาศัยแผนการของคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน เพื่อถือโอกาสฝึกฝนเฉินตง

แต่การที่โจวสวนสูญสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างจึงได้ระเบิดอารมณ์ออกมา เป็นสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุมของเขา

แต่กลายเป็นสาเหตุที่ทำให้หลี่หลานต้องถึงแก่ความตาย

สิ่งนี้กลายเป็นปมที่ติดอยู่ในใจของเขา

เมื่อก่อนเขาไม่อาจรับรองชะตากรรมของเฉินตงและหลี่หลานได้ ดังนั้นจึงยอมถูกตราหน้าว่าเป็นคนที่ละทิ้งครอบครัว แล้วกลับไปยังตระกูลเฉิน

แต่มาวันนี้ ต่อให้เขาเป็นถึงเจ้าบ้านตระกูลเฉินแล้ว เขาก็ยังไม่อาจรักษาชีวิตของคนที่เขารักเอาไว้ได้อยู่ดี

ความเจ็บปวดและความรู้สึกผิดนี้ ทำให้เฉินเต้าหลินไม่อาจปล่องวางได้

แต่เมื่อเทียบกับเฉินตงแล้ว เขายังสามารถเก็บซ่อนความรู้สึกได้ดีกว่า เขาเก็บซ่อนความรู้สึกผิดและความคับข้องใจเอาไว้ลึกๆ ในใจเขา

“ตอนนั้นพ่อเป็นคนส่งลุงเต้าจูนเข้าคุกมืด แล้วทำไมเขากลับช่วยผมให้ออกมาจากคุณมืดนั่นล่ะ ?” จู่ๆ เฉินตงก็ถามขึ้นมา

แววตาของเฉินเต้าหลินลึกซึ้งขึ้นทันที จากนั้นเอาจึงยิ้มออกมาอย่างเป็นนัย

“ตระกูลเฉินมีลำดับชั้นที่ซับซ้อน ผู้สืบทอดมรดกจะคอยควบคุมแต่ละฝ่าย และคอยต่อสู้กัน จึงยากที่จะหลีกเลี่ยงการมีความแค้นต่อกัน ศัตรูของศัตรูก็คือมิตร”

ศัตรูของศัตรู ?

เฉินตงกระพริบตาปริบๆ เขารู้จักตระกูลเฉินน้องมากจริงๆ

ตระกูลเฉินไม่ได้มีผู้สืบทอดมรดกที่เป็นทายาทโดยตรงเหมือนตระกูลมั่งคั่งตระกูลอื่นๆ เท่านั้น เพราะหากเป็นเช่นนี้ ก็คงไม่ใช่เรื่องยากที่จะเข้าใจตระกูลเฉิน

แต่ตระกูลเฉินใช้วิธีคนเก่งคือผู้ชนะ ส่วนคนแพ้ก็ต้องถูกคัดทิ้ง คนชนะจะได้ขึ้นเป็นราชา

ไม่แน่ว่า นี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ตระกูลเฉินอยู่ค้ำฟ้ามาจนถึงทุกวันนี้

เพราะมีเพียงผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นที่จะได้รับหน้าที่ดูแลตระกูล

เฉินตงสูดหายใจเข้าเต็มปอด จากนั้นจึงไม่ได้พยายามเอ่ยถามถึงความลับที่ซ่อนอยู่ภายในคุกมืดอีก

เขาหันหน้ากลับมามองเฉินเต้าหลิน : “พ่อครับ พ่อบอกผมหน่อยว่า จะสามารถฆ่าคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินได้ไหม ?”

น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเย็นชาและเจตนาฆ่าที่รุนแรง

เวลาตลอดหนึ่งสัปดาห์ ถึงจะพูดว่ามัวแต่ยุ่งอยู่กับงานศพของแม่

แต่คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินก็ยังอยู่ที่ตระกูลเฉิน ถ้าพอมีความคิดจริงๆ ก็คงจัดการกับเธอไปเรียบร้อยแล้ว

“ตอนนี้ยังไม่ได้”

เฉินเต้าหลินส่ายหัว มีความโกรธแค้นปรากฏขึ้นในแววตาของเขา เขาพยายามระงับเจตนาฆ่าเอาไว้ : “ตระกูลเฉินไม่ได้ง่ายเหมือนอย่างที่ลูกคิด เธอเป็นผู้อาวุโส ถึงแม้จะเรียกเธอเพียงแค่น้าสาม แต่ถ้าหากสามารถฆ่าเธอได้ง่ายดายจริงๆ แล้วพ่อจะต้องทนรอมาเป็นเวลายี่สิบกว่าปีหรือ ?

“ครับ !”

เฉินตงพยักหน้าแล้วขานรับอย่างเย็นชา : “ถ้าอย่างนั้นผมจะขอฆ่าล้างตระกูลฉิน เพื่อสังเวยให้แม่ผม !”

หางตาของเฉินเต้าหลินกระตุก แต่ก็ไม่แสดงท่าทีแปลกใจออกมามากนัก

เรื่องทั้งหมดนี่ อยู่ในการคาดการณ์ของเขา

เพียงแต่วิธีจัดการอย่างเด็ดขาดของเฉินตง ทำให้เขารู้สึกตกใจเล็กน้อย

“ได้ !”

เฉินเต้าหลินไม่พูดอะไรมาก น้ำเสียงของเขาก็เย็นชาเหมือนกับน้ำแข็ง : “บัญชีเลือดในครั้งนี้ ต้องมีคนสังเวยให้แม่ของเธอ”

“ขอบคุณครับ”

เฉินตงตอบกลับมาอย่างสงบหนึ่งคำ จากนั้นจึงหันหลังเดินกลับลงไปชั้นล่าง

ตัวของเฉินเต้าหลินสั่นเทาอยู่ครู่หนึ่ง

เขาหันมองเฉินตงที่เดินจากไป ใบหน้าของเขาถอดสี

คำพูดขอบคุณเพียงประโยคเดียว ทำให้เขารู้สึกเหมือนตนเองเป็นคนแปลกหน้า ในใจรู้สึกว่างเปล่า

ในห้องรับแขก

พวกขอกู้ชิงหยิ่งกำลังนั่งรออยู่อย่างเงียบๆ

ตอนที่เฉินตงเดินเข้าไปในห้องรับแขก เขากลับมองตรงไปที่ฉินเย่

“อยากกลับตระกูลฉินไหม ?”

ฉินเย่ผงะ แล้วถามว่า : “ฉันไม่ใช่คนตระกูลฉินแล้ว จะกลับไปทำไมอีก ?”

“แก้แค้น !”

คำพูดที่เฉินตงโพล่งออกมาด้วยท่าทีเรียบเฉย

ทำให้บรรยากาศภายในห้องรับแขกเต็มไปด้วยเจตนาฆ่า

พวกของท่านหลงและกู้โก๋ฮั๋วต่างรู้สึกตกใจ

กู้ชิงหยิ่งขยับริมฝีปากแดงระเรื่อของเธอเหมือนกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ไม่พูดออกมา

แม้กระทั่งฉินเย่เองก็คาดไม่ถึง

แววตาของเขาเป็นประกายขึ้นมา แต่ไม่ช้า ก็ดูหดหู่ลงอีกครั้ง : “ตอนนี้เรายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตระกูลฉิ””

อย่างไรเสียอูฐที่ผอมโซก็ยังตัวใหญ่กว่าม้าอยู่ดี ยิ่งไปกว่านั้นตระกูลฉินไม่ได้เป็นอูฐที่หิวโซ แต่เป็นอูฐที่แข็งแกร่งเต็มวัย !

ตระกูลที่มั่งคั่งเช่นนี้ ไม่มีทางที่ตระกูลหลี่แห่งเมืองหลวงจะเทียบได้

“เกี่ยวกันไหม ?”

เฉินตงลิกคิ้วแล้วยิ้ม ความบ้าดีเดือดปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา : “ในนามของตระกูลเฉิน จะต้องล้างตระกูลฉินด้วยเลือด ความแค้นของแม่ จะต้องมีคนชดใช้ !”

“ดี !”

ฉินเย่ยิ้มออกมาอย่างโหดเหี้ยมและตอบกลับอย่างเด็ดขาด

ไม่มีใครสังเกตเห็นว่า มือทั้งสองข้างของเขากำหมัดแน่นอยู่

ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง

กู้โก๋ฮั๋วสองสามีภรรยากลับไปได้สักพักใหญ่แล้ว

ภายในห้องนอน แสงไฟสลัวๆ

เฉินตงนั่งอยู่ที่หัวเตียง ฟังเสียงน้ำที่ดังลอดออกมาจากห้องน้ำ ท่าทีของเขาดูเคร่งขรึมเล็กน้อย

เขามองดูห้องที่ฟ่านลู่เพิ่งจะทำความสะอาดเสร็จเมื่อครู่ ทั้งห้องยังคมเต็มไปด้วยของขวัญในวันแต่งงานวันนั้น

เพียงแค่อาทิตย์เดียว ทุกอย่างกลับถูกเขาทำให้กลับกลายจากหน้ามือเป็นหลังมือ

และด้วยการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นกับงานแต่งงาน ทำให้การแต่งงานของเขาและกู้ชิงหยิ่ง เต็มไปด้วยความผิดหวัง

การจากไปของแม่ เป็นสิ่งที่เขายากเกินจะรับไหว

แต่สำหรับกู้ชิงหยิ่งแล้ว เฉินตงเองก็รู้สึกผิดในใจเป็นอย่างมาก

งานแต่งงานที่งดงาม กลายเป็นงานศพของแม่ และความสุขที่กู้ชิงหยิ่งควรจะได้รับในวันแต่งงาน กลับกลายเป็นความโศกเศร้าเสียใจเข้ามาแทนที่

แต่ตลอดทั้งสัปดาห์ที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้านี้ กู้ชิงหยิ่งกลับไม่เคยที่จะเอ่ยปากบ่นเลยสักคำ แต่กลับคอยอยู่เคียงข้างเขามาตลอด แต่พยายามชี้ทางสว่างให้แก่เขา

สำหรับกู้ชิงหยิ่งแล้ว นี่ถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ยุติธรรมกับเธอเอาเสียเลย

แอ๊ด !

ประตูห้องน้ำเปิดออก

ไอน้ำลอยออกมา

เฉินตงหันไปมองโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็เหม่อลอยไป

ภายใต้แสงสว่างของโคมไฟ กู้ชิงหยิ่งห่อตัวด้วยผ้าขนหนูแล้วค่อยๆ เดินออกมาจากห้องน้ำ ด้านล่างเผยให้เห็นขาอันเรียวงามของเธอ

ผมที่เปียกโชก และไหล่ที่ขาวนวลเนียนของเธอยังมีหยดน้ำเกาะอยู่

ใบหน้าที่งดงามของเธอ แดงระเรื่อเพราะอุณหภูมิของน้ำ

เมื่อสังเกตเห็นสายตาของเฉินตง กู้ชิงหยิ่งก็รู้สึกเขินจนก้มหน้าก้มตา จากนั้นจึงหันไปพูดอย่าเขินอายว่า : “มองอะไร ?”

“มานี่สิ”

เฉินตงพูดเบาๆ

กู้ชิงหยิ่งตัวสั่น เธอกัดริมฝีปากแดงระเรื่อของเธอ แล้วค่อยๆ เดินเข้าไปหาเฉินตง จากนั้นจึงนั่งลง

เฉินตงโอบไหล่ของกู้ชิงหยิ่งเบาๆ กลิ่นหอมลอยเตะจมูกของเขา เขาให้กู้ชิงหยิ่งค่อยๆ พิงตัวลงมาบนไหล่ของเขา

แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่นว่า : “ช่วงที่ผ่านมา ต้องลำบากคุณแล้ว”

“คนโง่ พูดอะไรกัน ? ฉันลำบากอะไร ?”

กู้ชิงหยิ่งเงยหน้าขึ้น เธอจ้องมองเฉินตงด้วยแววตาที่เป็นประกายราวกับดวงดาวที่อยู่บนท้องฟ้า แล้วพูดกับเฉินตงด้วยท่าทีจริงจังว่า : “การจากไปของคุณแม่ พวกเราทุกคนต่างโศกเศร้าเสียใจ แต่สภาพของคุณในช่วงที่ผ่านมา ทำให้พวกเรารู้สึกตกใจอย่างมาก รับปากฉันนะ ต่อไป ห้ามอยู่ในสภาพแบบนี้อีกแล้ว”

“คุณไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว คุณยังมีฉัน ฉันเป็นภรรยาของคุณ ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ฉันก็จะขอต่อสู้ไปพร้อมกับคุณ แต่ช่วงที่ผ่านมา แม้กระทั่งฉันคุณเองก็ไม่ยอมพูดด้วยสักคำ ถ้าหากต้องรู้สึกลำบาก นี่แหละคือความลำบากที่ฉันเจอ คุณทำให้ฉันรู้สึกว่าฉันไม่ใช่ภรรยาของคุณ”

เฉินตงผงะไป เขารู้สึกมีความอบอุ่นวนเวียนอยู่ในใจของเขา

“ผมรับปากคุณ ! ต่อไปจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก”

“ค่ะ”

กู้ชิงหยิ่งยิ้มเล็กน้อย เธอชี้ไปที่ห้องน้ำ : “ไปอาบน้ำเถอะค่ะ”

จากนั้น เธอก็เข้าไปกระซิบเบาๆ ที่ข้างหูของเฉินตง : “คืนนี้ เป็นคืนที่งดงามที่สุด !

น้ำตาค่อยๆ ไหลรินลงมาอย่าเงียบๆ

ใบหน้าซีดเซียวจนแทบดูไม่เป็นผู้เป็นคนของเฉินตง ค่อยๆ คล้อยต่ำลงบนพื้น

ฉินเย่ที่อยู่ในอาการอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกในทันที

ฉินเย่ไม่ได้เข้าไปรบกวน

เขาหันหลังแล้วเดินออกจากห้องมา

ห้องรับแขกด้านล่าง

พวกของเฉินเต้าหลินและกู้ชิงหยิ่งกำลังนั่งรออย่างใจจดใจจ่อ

เสียงที่ดังขึ้นเมื่อครู่ ทำให้ทุกคนรู้สึกกระวนกระวายใจ

ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

หลังจากที่ฉินเย่เดินลงมาจากชั้นบนแล้ว

พวกของกู้ชิงหยิ่งก็ลุกขึ้นในทันที

“ฉินเย่……เฉินตงเป็นอย่างไรบ้าง ?” กู้ชิงหยิ่งกังวลใจเป็นอย่างมาก

“หายดีแล้ว ตอนนี้ถึงเวลาที่คุณควรจะขึ้นไปอยู่เป็นเพื่อนเขาแล้ว”

ฉินเย่ยักไหล่ แล้วยิ้มพลางพูดว่า “แต่เธอควรจะเตรียมใจให้ดีๆ นะ ไม่แน่ว่าน้ำตาอาจจะทำให้เสื้อผ้าของเธอต้องเปียกปอนไปหมดก็ได้”

กู้ชิงหยิ่งรีบวิ่งขึ้นไปชั้นบนทันที

หลังจากที่ได้ยิน

พวกของเฉินเต้าหลินเองก็รู้สึกโล่งใจ

“ดีๆๆ ร้องออกมาก็ดีแล้ว ได้ระบายออกมาก็ดี”

กู้โก๋ฮั๋วและหลี่หวั่นชิงหันไปยิ้มให้กันอย่าโล่งใจ

ท่าทีของเฉินเต้าหลินผ่อนคลายลงเล็กน้อย แววตาของเขาเป็นประกายเล็กน้อย

พวกเขาเคยก้าวข้ามพายุที่โหมกระหน่ำรุนแรงมา จึงรู้ดีว่าตอนนี้เฉินตงร้องไห้ออกมาด้วยความรู้สึกเช่นไร

นี่ถือเป็นเรื่องดีที่สุดต่อตัวของเฉินตง

“คุณชายฉิน คุณชี้ทางสว่างให้คุณชายอย่างไรหรือ ?”

ท่านหลงเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใย

ฉินเย่ทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ จากนั้นจึงยิ้มแล้วพูดว่า : “ก็แค่เล่าอดีตของฉันให้เขาฟังหนึ่งรอบ เทียบความน่าอนาถกันแล้ว เขาคงไม่อนาถเท่าฉัน”

ถึงแม้จะยิ้ม แต่แววตาของเขาก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวด

ท่านหลงกอดฉินเย่ด้วยความสงสาร : “ลำบากคุณแล้ว ขอบคุณมาก”

“เขาเป็นพี่น้องของฉัน จะขอบคุณฉันทำไม ?” ฉินเย่เลิกคิ้วแล้วยิ้ม

ตอนนี้เอง

ด้านบนมีเสียงร้องไห้ดังก้องออกมา

เป็นเสียงร้องไห้ที่ฟังดูเจ็บปวดเหมือนใจจะขาด

เสียงร้องดังสะท้อนไปทั่ววิลล่า

แต่ทุกคนกลับไม่รู้สึกยาเลยแม้แต่น้อย

หลังจากที่ได้ระบายอารมณ์ออกมาจริงๆ เฉินตงคนเดิมถึงจะกลับมา

“ขอบคุณมากฉินเย่”

เมื่อเฉินเต้าหลินได้ยินเสียงร้องก็รู้สึกโล่งใจ เขาเดินเข้าไปหาฉินเย่แล้วพูดออกมาด้วยความซาบซึ้งใจ : “ขอบคุณเธอมากจริงๆ”

ในฐานะเจ้าบ้านตระกูลเฉิน เขารับรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตระกูลฉินตอนนั้น และรู้ถึงอดีตของฉินเย่

ถึงขนาดรู้เหตุการณ์อย่างชัดเจนและละเอียดยิ่งกว่าตระกูลมั่งคั่งอีกหลายๆ ตระกูล

ด้วยเหตุนี้ เขาจึงรู้ดีว่า เพื่อที่จะชี้ทางสว่างให้แก้เฉินตงแล้ว ฉินเย่ต้องทุ่มเทมากเท่าไร

จะต้องเปิดบาดแผลที่ปกปิดมาหลายปีออกให้ทุกคนได้เห็น ถึงชั้นยอมโรยเกลือลงบนบาดแผลที่เป็นเหมือนฝันร้าย

“เจ้าบ้านตระกูลเฉินกล่าวเกินไปแล้ว ไม่ต้องขอบคุณหรอกครับ” ฉินเย่ตอบกลับอย่างสงบ “ผมมีเฉินตงเป็นพี่น้องเพียงคนเดียว ผมไม่อยากเห็นเขาต้องตกต่ำลงเช่นนี้”

ทุกคนค่อยๆ นั่งลงในห้องนั่งเล่น และรออย่างเงียบๆ

หนึ่งชั่วโมงผ่านไป

ในที่สุดเสียงร้องไห้ที่ชั้นบนก็สงบลง

ผ่านไปอีกครึ่งชั่วโมง

มีเสียงฝีเท้าเดินลงมาจากบันได

ทุกคนค่อยๆ ลุกขึ้นและหันไปมอง

กู้ชิงหยิ่งค่อยๆ ประคองเฉินตงเดินลงมาจากบันได

ตอนนี้ดวงตาของเขาแดงก่ำและบวมเป่ง ใบหน้ายังคงเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา

แต่แววตาของเขาไม่มืดมนเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว แต่กลับมีประกายของความสดใส

ท่าทางของเขาเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน

กู้ชิงหยิ่งหันไปหาเฉินตง แล้วพยักหน้าเพื่อส่งสัญญาณ

หลังจากประคองเฉินตงมานั่งในห้องรับแขกแล้ว เธอพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า : “คุณพักผ่อนสักเดี๋ยวนะคะ ฉันกับพี่เสี่ยวลู่จะไปทำอาหารเย็นให้คุณ อย่างน้อยก็ต้องทานอะไรสักหน่อย”

“อืม”

เฉินตงพยักหน้า แล้วยิ้มออกมาเล็กน้อย

รอยยิ้มนี้ ทำให้ทุกคนรู้สึกโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก

ไม่ช้า กู้ชิงหยิ่งและฟ่านลู่ก็เตรียมอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อย จากนั้นจึงยกมาวางไว้ด้านหน้าเฉินตง

เป็นอาหารสองอย่างพร้อมน้ำซุปอย่างง่าย เฉินตงเขมือบเข้าไปทั้งหมดอย่างรวดเร็ว

หลังจากทานเสร็จแล้ว

จู่ๆ เฉินตงก็หันไปพูดกับเฉินเต้าหลินว่า : “พ่อครับ ผมมีเรื่องหนึ่งอยากจะถามพ่อ”

“เรื่องอะไร ?”

เฉินเต้าหลินถาม

“ขึ้นไปคุยกันที่ระเบียบเถอะครับ” เฉินตงลุกขึ้นแล้วเดินขึ้นไปชั้นบน

เฉินเต้าหลินเดินตามไปด้านหลัง

ส่วนพวกกู้ชิงหยิ่งไม่ได้เดินตามไป

นี่เป็นครั้งแรกที่สองพ่อลูกพูดคุยกัน

และเกิดขึ้นหลังจากที่เฉินตงสามารถปล่อยวางทุกอย่างได้แล้ว

ถ้าหากเฉินตงต้องการระบายความในใจกับพ่อของเขา คงไม่เป็นการดีถ้าหากทุกคนจะตามไป

บนระเบียง

เฉินตงเอนตัวลงบนระเบียงแล้วหันหน้าเข้าหาสายลมยามค่ำคืน ท่าทางของเขาเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

เฉินเต้าหลินเดินเข้าไปหาเขา แล้วถามว่า : “ตงเอ๋อ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า ?”

ตอนที่เขาถามประโยคนี้ออกมา คิ้วของเขาขมวดแน่นและรู้สึกประหม่าเล็กน้อย

เป็นเพราะเขารู้ดีว่า ในตอนแรกเหตุผลที่เขาทำให้เฉินตงยอมรับตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกตระกูลเฉินได้ มีเพียงเหตุผลเดียวก็คือ จะให้เฉินตงพาหลี่หลานกลับบ้าน และคืนฐานะคุณผู้หญิงของเจ้าบ้านตระกูลเฉินกลับคืนให้กับหลี่หลานอย่างสมฐานะ

แต่ทว่าตอนนี้……หลี่หลานจากไปแล้ว

เหตุผล จึงไร้ความหมายอีกต่อไป

“พ่อครับ รู้จักคุกมืดไหม ?”

จู่ๆ เฉินตงก็เอ่ยถามขึ้นมา

เฉินเต้าหลินผงะไป ไม่ได้ตอบอะไร

แต่เฉินตงก็ไม่ได้สนใจ สายลมเย็นยามค่ำคืนโชยพัดมา เข้าแสยะยิ้มเล็กน้อย แววตาดูลึกซึ้งอย่างเห็นได้ชัด

“ช่วงที่ผ่านมา ผมถูกส่งตัวเข้าไปอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งที่เรียกว่าคุกมืด อีกทั้งผมยังเจอกับเฉินเต้าจูนในนั้น เขาคือพี่ชายของพ่อ คือลุงของผม”

“แล้วยังไงต่อ” เฉินเต้าหลินถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

เฉินตงพูดต่อว่า : “อันที่จริงแล้ว ตอนที่ผมถูกขังอยู่ในคุกมืด ก็ไม่เคยคิดที่จะละทิ้งความคิดที่จะหลบหนี เพราะไม่ว่าจะเป็นเสี่ยงหยิ่งหรือแม่ ก็ไม่มีวันยอมให้ผมยอมแพ้ง่ายๆ เด็ดขาด”

“แต่ตอนที่ผมอยู่ด้านใน มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ผมรู้สึกไม่เข้าใจก็คือ ถ้าหากตระกูลฉินและคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินต้องการหาคนมาสวมรอยเป็นผมเพื่อครอบครองทุกอย่างของผมจริงๆ หากพวกเขาฆ่าผม ก็น่าจะเป็นการดีมากกว่า”

เฉินเต้าหลินรู้สึกตกใจ จากนั้นจู่ๆ เขาก็ยิ้มออกมา

“แต่ตอนนี้ผมเข้าใจแล้ว ความสงสัยทั้งหมดที่มีก่อนหน้านี้ ผมเข้าใจทั้งหมดแล้ว ประโยคที่โจวสวนถามออกมาตอนที่เขาล้มลง ทำให้ผมเข้าใจทุกอย่างทันที”

เฉินตงลูบใบหน้าของเขา รอยยิ้มของเขาแสดงออกถึงความหดหู่ : “เขาถามว่าทำไมผมยังไม่ตาย ? หรือจะพูดอีกอย่างว่า ตระกูลฉินและคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินตั้งใจที่จะให้ผมตาย !

พูดถึงตรงนี้ เฉินตงก็หันไปพยักหน้าให้กับเฉินเต้าหลินอย่างตื้นตัน

“ขอบคุณครับพ่อ ขอบคุณที่ปกป้องผม”

“ความฉลาดของพ่อ อยู่เหนือความคาดหมายของผมจริงๆ”

เฉินเต้าหลินยิ้มออกมาเล็กน้อย : “พ่อคิดว่าจะสามารถปิดบังเธอได้สักระยะ”

“ถ้าไม่เกิดเรื่องมากมายเช่นนี้ ก็อาจจะปิดบังผมได้”

เฉินตงยักไหล่ แล้วเบ้ปาก จากนั้นจึงยิ้มออกมาอย่างประหลาดแล้วพูดว่า : “อาศัยแผนการสมรู้ร่วมคิดระหว่างตระกูลฉินและคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน จากนั้นจึงใช้แผนซ้อนแผน แล้วส่งผมเข้าไปอยู่ในคุกมือเพื่อฝึกฝนผม แน่นอนว่า ขณะที่ผมอยู่ในคุกมืด ผมเติบโตขึ้นเร็วมาก เร็วจนกระทั่งตอนนี้แม้แต่ตัวผมเองก็ยังรู้สึกว่าเป็นความฝัน”

เฉินเต้าหลินกะพริบตาปริบๆ เขากำลังจะอ้าปากพูด

แต่เฉินตงกลับพูดออกมาด้วยท่าทีเย่อหยิ่ง : “ถ้าหากแม่ของผมยังไม่ตาย ต่อให้ผมรู้ ผมคงทำแค่เพียงขอบคุณพ่อเท่านั้น เพราะผมรู้ดีว่า หากผมต้องการเป็นเจ้าบ้านตระกูลเฉิน ผมยังมีข้อบกพร่องมากเกินไปสำหรับผู้ที่จะอยู่ในตำแหน่งผู้สืบทอดมรดก สถานที่อย่างคุกมืด สามารถทำให้ผมเติบโตได้อย่างรวดเร็ว”

“แต่พ่อ เป็นเพราะแผนการปิดฟ้าข้ามทะเลของพ่อ รู้ทั้งรู้ว่าตระกูลฉินและคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินสมรู้ร่วมคิดกัน รู้ทั้งรู้ว่าคนที่อยู่กับแม่และกู้ชิงหยิ่งมาตลอดหนึ่งเดือนคือโจวสวน คนที่เข้ามาสวมรอยเป็นผม แต่กลับไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือจัดการอะไรเลยแม้แต่น้อย”

“ถ้าหากพ่อจัดการกับแผนการครั้งนี้ตั้งแต่แรก แม่ของผมจะต้องตายไหม ? ถ้าไม่ใช่เพราะเสี่ยวหยิ่งนึกสงสัย ถ้าไม่ใช่เพราะฉินเย่ยืนหยัดอย่างไม่กลัวตาย ป่านนี้ แม้แต่เสี่ยวหยิ่งก็คงตกอยู่ในมือของโจวสวนเรียบร้อยแล้ว แม้กระทั่งฉินเย่ก็อาจจะต้องตาย”

“ตงเอ๋อ พ่อ……”

เฉินเต้าหลินหน้าถอดสี จู่ๆ เรื่องราวทุกอย่างจะเปลี่ยนไปจนอยู่เหนือการควบคุมของเขา

“เพียงเพื่อต้องการจะฝึกฝนผม แต่สิ่งที่พ่อต้องแลกไปนั้นช่างมากมายเหลือเกิน !”

เฉินตงตะคอกออกมาด้วยความโกรธ มือขวาของเขากำหมัดแน่น แล้วพุ่งตรงหมัดเข้าไปที่หน้าของเฉินเต้าหลินอย่างดุดัน

เสียงที่เบามาก

แต่กลับทำให้ฉินเย่ยิ้มออกมาเล็กน้อย

ขณะที่เขาหันไปมอง ก็เห็นเฉินตงกำลังมองมาที่เขาด้วยแววตาที่มืดมน

เขายักไหล่ แล้วประสานมือไว้ที่ท้ายทอย

“ก็คงจะใช่”

ขณะที่พูด แววตาของฉินเย่ดูลึกซึ้ง เขาเริ่มที่จะพึมพำกับตนเอง

“รู้ไหม ? เมื่อก่อนฉันเองก็เป็นเหมือนนาย มีแม่ที่รักฉันมากคนหนึ่ง เธอเต็มใจที่จะให้ฉันทุกอย่าง แม้กระทั่งดวงดาวที่อยู่บนท้องฟ้า”

“อันที่จริงแล้วครอบครัวของเรามีความสุขมาก พ่อแม่ของฉันรักฉัน ฉันเองก็กินดีอยู่ดีภายในตระกูลฉินที่มั่งคั่งร่ำรวย ถึงแม้ฐานะของพ่อในตระกูลฉินจะไม่ได้สูงนัก แต่เขาเองก็เป็นคนมีสมอง จึงสามารถลืมตาอ้าปากในตระกูลฉินได้”

“แต่มีอยู่วันหนึ่ง มีอยู่วันหนึ่ง จู่ๆ ฉันก็รู้สึกเหมือนฟ้าถล่มลงมา เหมือนโลกทั้งใบเปลี่ยนไป”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ เฉินตงสามารถมองเห็นแววตาที่ลึกซึ้งของฉินเย่ได้อย่างชัดเจน แววตานั้นค่อยๆ ปรากฏความเกลียดชังและโกรธแค้นออกมา

“ตอนนั้นแม่ของฉันเพิ่งจะตั้งท้องลูกคนที่สอง ฮ่าๆ……พูดอย่างไม่อายเลยนะ อันที่จริงแล้ว ตอนนั้นฉันรู้สึกว่าเป็นเรื่องไร้สาระมาก ตอนนั้นฉันเองก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว นี่มันเป็นช่วงอายุที่ห่างกันเกินไป”

“แต่ในเมื่อท้องแล้วก็ท้องไป ฉันในฐานะที่เป็นพี่จะเข้าไปขัดขวางการมีทายาทของพ่อกับแม่ได้อย่างไร ?”

บุหรี่เผาไหม้จนหมดม้วน

ฉินเย่ก้มลงไปจุดบุหรี่อีกมวนหนึ่งอย่างใจเย็น

เขาสูบบุหรี่ไปพลาง พูดไปพลาง

“หลังจากนั้น พ่อที่สมควรตายของฉัน ก็แอบนอกใจแม่ตอนที่แม่ตั้งท้องลูกคนที่สอง ! วันๆเขาเอาแต่หมกตัวอยู่กลับนังปีศาจที่อายุเพิ่งจะยี่สิบต้นๆ ไม่ยอมกลับบ้าน ถึงขั้นไม่สนใจธุระภายในบ้านอีก งานทุกอย่างในตระกูลฉินที่อยู่ในความรับผิดชอบของเขาก็ถูกปล่อยปละละเลยทั้งหมด”

“เรื่องนี้ทำให้คนทั้งตระกูลฉินรู้สึกตกใจ หน้าตาของคนรวยนี่ เจ้าบ้านตระกูลฉินจึงยื่นมือเข้ามาจัดการเรื่องนี้ เขาสั่งให้พ่อเลิกกับนังปีศาจนั่นทันที มิเช่นนั้นจะกีดกันพ่อออกจากธุรกิจทั้งหมดของตระกูลฉิน แต่พ่อของฉันทำอย่างไรก็ไม่ยอมรับปาก เขาได้แต่พูดว่าความรักระหว่างเขาและนังปีศาจเป็นความรักที่สมควรตาย”

น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้นขึ้นมาทันที

แต่เฉินตงเองก็ไม่ได้พูดขัด เขาเอาแต่นั่งฟังเงียบๆ

ตอนนี้เขากำลังปิดตัวเอง

นี่เป็นครั้งแรกในหนึ่งสัปดาห์ ที่เขามีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นจริงๆ

“อันที่จริงแล้วฉันรู้ดีว่าพ่อของฉันกำลังคิดอะไรอยู่ เขารู้ดีว่าตนเองเป็นคนของตระกูลฉินไม่ใช่หรือ ? ต่อให้เขาจะถูกกีดกันออกจากธุรกิจทุกอย่าง แต่ในฐานะที่เขาเป็นคนตระกูลฉิน เขาก็ยังสามารถเสพสุขบนกองเงินกองทองได้ต่อไป และยังสามารถมีความรักที่สมควรตายกับนังปีศาจนั่นได้ต่อไป”

“ตอนนั้น แม่ของฉันโกรธจนต้องเข้าออกโรงพยาบาลอยู่หลายครั้ง ฉันเองก็เคยไปหานังปีศาจนั่นหลายต่อหลายครั้ง แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นว่านังปีศาจนั่น อาศัยความรักที่พ่อของฉันมอบให้ ถึงขั้นขู่ว่าจะฆ่าแม่ของฉัน แล้วยกตัวเองขึ้นไปแทนที่”

ขณะที่พูด ฉินเย่ค่อยๆ ยกมือขวาขึ้นแล้วกำหมัด

ในแววตาของเขาเต็มไปด้วยความแค้น เขากัดฟันแล้วพูดว่า : “ฉันโกรธตัวเองจริงๆ ตอนนั้นฉันควรจะฆ่าเธอให้ตาย ไม่อย่างนั้นคงไม่ต้องมีเรื่องเกิดตามหลังขึ้นมาอีก”

“แล้วยังไงต่อ ?” เฉินตงถาม

ฉินเย่ใช้มือขวาที่คีบบุหรี่อยู่ ลูบที่ใบหน้า

ตอนที่มือทั้งสองข้างออกห่างจากใบหน้า บนใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความเย็นชาแล้ว

“ตอนดึกคืนหนึ่ง มีฝนตกลงมา ฉันจำได้แม่น พ่อฉันดื่มเหล้าอย่างหนัก ภายใต้ความกดดันจากแม่ของฉัน ตัวฉัน คนในตระกูลฉินและนังปีศาจ นังปีศาจร้องห่มร้องไห้อย่างหนักและต้องการที่จะฆ่าแม่ของฉันให้ตายเสียให้ได้”

“จากนั้น พ่อของฉันก็อาศัยจังหวะที่ฝนตกกลับมาที่บ้าน นั่นเป็นครั้งแรกที่เขากลับมาบ้าน หลังจากที่แม่ฉันตั้งท้องได้แปดเดือนแล้ว”

“หลังจากนั้น พ่อที่สมควรตายของฉันก็ฆ่าแม่ของฉัน จากนั้นจึงผ่าเด็กที่อยู่ในท้องของแม่ฉันออกมาอีก แล้วแทงลงไปที่ท้องของเด็กอีกหนึ่งครั้ง !”

แววตาของเฉินตงดูมืดหม่นและตกใจกลัวทันที

ตอนนี้คิ้วของเขาขมวดแน่น

บุหรี่ที่อยู่ในมือถูกหักออกเป็นสองท่อน

ตัวของฉินเย่สั่นเทา ดวงตาของเขาแดงก่ำ มีน้ำตาเอ่อล้นออกมา แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความอาฆาตพยาบาท

เขาร้องไห้พลางยกมือทั้งสองข้างขึ้นแสดงท่าทาง

“นายรู้ไหม ? ตอนนั้นหลังจากฉันกลับถึงบ้าน ฉันเห็นแม่ของฉันนอนอยู่บนโต๊ะชาในห้องรับแขก เลือดไหลเจิ่งนองเต็มพื้น ท้องของเธอถูกกรีดออก ดวงตาของเธอยังคงเบิกโพลงอยู่”

“ส่วนเด็กที่อยู่ในท้องเป็นเหมือนขยะชิ้นหนึ่ง ถูกโยนลงบนพื้น นอนจมกองเลือดอยู่ เด็กอายุแปดเดือนร่างกายเป็นรูปเป็นร่างเหมือนคนแล้ว แต่ตัวเล็กนิดเดียว ฉันมองดูอย่างละเอียด คิดว่าน่าจะเป็นน้องชาย บนท้องมีมีดเล่มหนึ่งปักอยู่”

พูดถึงตรงนี้ ร่างกายของฉินเย่ก็ยิ่งสั่นเทามากขึ้น

บางครั้งแววตาของเขาก็ดูหวาดกลัว บางครั้งก็ดูโกรธแค้น บางครั้งก็เต็มไปด้วยเจตนาฆ่าที่รุนแรง

สภาพของเขาในตอนนี้ดูน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง

“ถูกแทงสองครั้ง แม่ของฉันก็ตายเสียแล้ว น้องชายของฉันก็ตายไปด้วย ครอบครัวของฉันก็จบสิ้นไปด้วย นายว่าเขากับนังปีศาจนั่นสมควรตายไหมล่ะ ?”

“สมควรตาย !”

เฉินตงโพล่งคำนี้ออกมาอย่างเย็นชา

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับรู้อดีตที่แท้จริงของฉินเย่

ไม่แปลกใจเลย ที่ไม่ว่าจะเป็นฉินเย่หรือท่านหลงที่รับรู้เรื่องราวทั้งหมด ถึงได้ปิดบังเรื่องนี้มาโดยตลอด

เพราะเรื่องนี้มันเจ็บปวดเกินไป และแปดเปื้อนไปด้วยคราบเลือดและคราบน้ำตา

อาจเป็นเพราะถือคติที่ว่าไฟในอย่านำออกไฟนอกอย่านำเข้า หรืออาจเป็นเพราะพ่อของฉินเย่กระทำเรื่องที่ป่าเถื่อนเกินไป ดังนั้นจึงทำให้เจ้าบ้านตระกูลฉินยอมที่จะแลกโอกาสในการมีชีวิตรอดอีกหนึ่งครั้งกับกำไรหมื่นล้าน ?”

“ดังนั้น พวกเราล้วนมีแม่ที่รักเราเหมือนกัน แต่กลับต้องตายอย่างน่าอนาถเช่นเดียวกัน”

น้ำตาของฉินเย่ค่อยๆ ไหลออกจากหางตา แววตาของเขาค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ : “ตอนนั้น ฉันช่วยนายลงมืออย่างมีความสุข อย่างไรเสียฉันก็ได้ชื่อว่าเป็นสัตว์ร้ายที่ฆ่าพ่อของตัวเอง จะฆ่าเพิ่มอีกสักคน ก็คงไม่เป็นไร หากวันใดที่มีฟ้าผ่าลงมาใส่ฉันจนตาย ก็ถือเสียว่าจบสิ้นกัน”

“ขอบคุณ”

เฉินตงพูดออกมาอย่างหดหู่

ฉินเย่เหลือบมองเฉินตง จากนั้นจึงแสดงท่าทีเบื่อหน่าย แล้วพูดว่า : “นายดูสิ่ง เรื่องที่ฉันเคยเจอเจ็บปวดกว่านายเยอะใช่ไหมล่ะ ? ตอนนั้นฉันเองก็รู้สึกเหมือนฟ้าถล่มลงมาเช่นกัน รู้สึกเหมือนตัวเองตกลงไปอยู่ในขุมนรก แต่ฉันก็สามารถปีนออกมาได้”

“ฉันคอยติดตามนายเป็นเพราะนายและแม่ของนาย ถ้าตอนนี้นายไม่สามารถปีนออกมาจากขุมนรกได้ ฉันเองก็คงต้องไป”

เฉินตงหันมองฉินเย่ แววตาของเขามืดมนลงอีกครั้ง

เขาก้มหน้า แล้วดึงบุหรี่ออกมาจากกล่องอีกหนึ่งม้วน จากนั้นจึงจุดและสูบอย่างชำนาญ

เผียะ !

ฉินเย่ตบจนบุหรี่กระเด็นออกจากมุมปากของเฉินตง : “ฉันอุตส่าห์เปิดเผยบาดแผลของฉันให้นายฟังขนาดนี้ ก็เพื่อให้นายมีกำลังใจ หรือนายไม่มีความรู้สึกตอบสนองอะไรสักนิดเลยหรือ ?”

เฉินตงก้มหน้าอย่างสงบ แล้วหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดใหม่อีกครั้ง

“เฉินตง ฉันรู้ดีว่านายพยายามข่มความรู้สึกเจ็บปวดเอาไว้ แต่นายปิดตัวเองอย่างนี้ มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย นายยังมีอีกหลายอย่างต้องทำ และยังมีคนอีกหลายคนที่เป็นห่วงนายอยู่”

ฉินเย่รู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย ความสงบของเฉินตง ทำให้เขารู้สึกโกรธเคืองขึ้นมา : “นายร้องไห้ได้ ไม่มีใครหัวเราะนาย นายสามารถร้องไห้ออกมาอย่างขมขื่นได้ แต่หลังจากร้องแล้ว ต้องลุกยืนขึ้นมาใหม่ แล้วทำเรื่องที่นายสมควรทำ !”

จากนั้น

เฉินตงยังคงอยู่ในท่าทีสงบนิ่งอยู่ บุหรี่ที่เขาคาบไว้ที่มุมปากมีควันโขมงลอยออกมา

“เฉินตง !”

ฉินเย่โกรธจัด เขาต่อยหน้าเฉินตงอย่างแรงจนบุหรี่ลอยออกไปจากปาก

“แม่ฉันเคยบอกว่า ห้ามร้อง เพราะจะทำให้มงกุฎของพระราชาหล่นได้”

เฉินตงค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง ใบหน้าของเขาครึ่งซีกบวมเปล่ง แต่กลับยังคงก้มหน้าก้มตาหยิบบุหรี่ต่อ จากนั้นจึงจุดบุหรี่แล้วปิดตาลง

“นายร้องออกมา ถึงจะมีคุณสมบัติไปสวมมงกุฎของราชา !”

ฉินเย่เอ่ยปากตำหนิอย่างรุนแรง : “ถ้าต้องการจะสวมมงกุฎ ก็ต้องรับน้ำหนักของมันให้ได้ นี่คือประสบการณ์ที่นายต้องเจอเมื่อสวมมงกุฎ มีเพียงแค่การที่นายสามารถสวมมงกุฎได้จริงๆ เท่านั้น ถึงจะทำให้การตายของแม่นายไม่ต้องสูญเปล่า !”

เสียงพูดดังก้องสะท้อนไปทั่วห้อง

ขณะที่ฉินเย่โพล่งคำพูดประโยคนี้ออกมา

เฉินตงก็ปิดตาลง เปลือกตาของเขากระตุก

น้ำตาค่อยๆ ไหลรินออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างของเขาอย่างเงียบๆ…..

เงาที่ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน

ทำให้ทุกคนในงานต่างอยู่ในความเงียบ

แม้แต่บรรดาตระกูลใหญ่มั่งคั่งที่มาร่วมงาน ที่ปกติแล้วก็เคยภาพเหล่านี้จนชินยา ก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกตะลึงจนอ้าปากค้าง

นี่……คือใครกันแน่ ?

คนที่เครื่องบินรบบินเข้ามาส่งถึงในงานแต่งงานของตระกูลเฉิน ?

เมื่อระยะห่างค่อยๆ น้อยลงเรื่อยๆ ใบหน้าของคนที่อยู่ภายใต้ร่มชูชีพก็ค่อยๆ ปรากฏให้เห็นชัดเจนขึ้น

ฉินเย่เงยหน้าขึ้นมองคนที่ค่อยๆ โรยตัวลงมาจากท้องฟ้า แววตาที่แน่วแน่ของเขาเหมือนมีไฟลุกโชนขึ้นมาทันที

ส่วนบนเวที

เฉินตงที่กำลังโกรธจัดก็ได้แต่ยืนตะลึง

เส้นเลือดบริเวณหางตาของเขาปูดโปนขึ้นอย่างรวดเร็ว และรู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดีเกิดขึ้น

เกิดความคิดที่น่ากลัวปรากฏขึ้นในสมองของเขาทันที

จากนั้น หัวใจของเขาก็เต้นแรงขึ้น

เป็นไปไม่ได้ !

เพราะอะไร ? ทำไมถึงเกิดเรื่องพลิกผันเช่นนี้ขึ้นได้ ?

งานแต่งงานของตระกูลเฉินที่เต็มไปด้วยตระกูลที่มั่งคั่งร่ำรวย เป็นโอกาสสำคัญอันยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อน

แค่คนบ้าระห่ำอย่างฉินเย่เพียงคนเดียวเข้ามาทำลายบรรยากาศงานแต่ง ก็ถือเป็นเรื่องเหลือเชื่อมากพอแล้ว

ตอนนี้กลับมีคนที่ถูกส่งเข้ามาในงานโดยเครื่องบินรบ และโรยตัวลงมากลางอากาศเพิ่มเข้ามาอีกคน

เพียงแค่ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า ก็เพียงพอที่จะทำให้เกิดความคิดที่น่ากลัวขึ้นในสมองของเขา และยิ่งเพิ่มขึ้นๆ โดยไม่อาจหยุดยั้งได้

ทุกคนต่างกำลังเงยหน้าขึ้นไปมอง

ทุกคนรู้สึกตกใจจนกระสับกระส่าย

บรรยากาศในงานเงียบสงัด

ทันใดนั้น

“ฮ่าๆๆ……ฉันรู้อยู่แล้วว่านายยังไม่ตาย !”

ฉินเย่รู้สึกตื่นเต้นจนตัวสั่น มีน้ำตาเอ่อล้นขึ้นมาในตาของเขา และรินไหลออกมาทางหางตา เขาตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่ง : “พี่ชาย ฉันก็ได้เจอนายแล้ว ในที่สุดฉันก็ได้เจอนายแล้ว ! นายวางใจได้ ผู้หญิงของนาย ฉันช่วยดูแลให้เป็นอย่างดี รอให้นายกลับมาแต่งกับเธอ ฮ่าๆๆ……”

เสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ดังก้องอยู่ในหูของทุกคน

เปรี้ยง !

ทุกคนต่างรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก

แต่เมื่อเทียบกับความตกใจของคนส่วนใหญ่แล้ว คนที่อยู่ใกล้ชิดกับฉินเย่ กลับยิ่งรู้สึกตกใจยิ่งกว่า เหมือนถูกฟ้าผ่าตอนกลางวันแสกๆ

ชั่วขณะหนึ่ง

ท่านหลง กู้ชิงหยิ่ง ฉู่เจียนเจีย คุนหลุน กูหลัง ฟ่านลู่และคนอื่นๆ อีกหลายคน ต่างก็ตกใจจนหน้าถอดสี

เพราะพวกเขารู้ดีว่า

พี่น้องของฉินเย่นั้นมีน้อยมาก

มีน้อยเสียจนมีอยู่แค่เพียงคนเดียว

และคนคนก็นั้นคือ……เฉินตง !

ถ้าหากคนที่อยู่บนท้องฟ้าคือเฉินตง แล้วคนที่อยู่บนเวที……คือใครกัน ?

“นี่มันเรื่องอะไรกัน ? ทำไมถึงมีเฉินตงอีกคนหนึ่ง ?”

“สวรรค์ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ?”

“ใครก็ได้บอกฉันที ทำไมถึงได้มีเฉินตงสองคน ?”

……

เสียงตะโกนโห่ร้องด้วยความตกตะลึง ค่อยๆ ดังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

เสียงของผู้คนดังขึ้นต่อเนื่องราวกับคลื่น

แม้กระทั่งเหล่าบรรดาเศรษฐีผู้มั่งคั่ง ตอนนี้ก็ยังยากที่จะสงบสติอารมณ์ลงได้

ยิ่งมีคนเห็นใบหน้าของบุคคลที่อยู่ภายใต้ร่มชูชีพชัดเจนมากขึ้นเท่าไหร่ เสียงตะโกนโห่ร้องด้วยความตกใจก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น ราวกับจะสามารถทำให้คลับสี่ยิ่นระเบิดออกได้

บนเวที

“เฉินตง” รู้สึกโกรธจนแทบจะระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ ใบหน้าของเขาซีดเผือด

ตอนนี้ดูเหมือนจิตใจของเขาจะไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอีกต่อไป

เพราะอะไร ?

ทำไมแผนการที่วางเอาไว้อย่ารอบคอบ สุดท้ายกลับพลิกผันเช่นนี้ได้ ?

สมควรตาย !

สมควรตายจริงๆ !

ชีวิตของฉัน อนาคตของฉัน ฉันยอมเสียสละตระกูลโจวเพื่อแลกกับสิ่งนี้ ฉันไม่มีทางยอมให้แกทำลายทุกอย่างเด็ดขาด

ตอนนี้ดูเหมือนว่า “เฉินตง” จะเริ่มเสียสติ

แต่สติที่ยังพอหลงเหลืออยู่ ทำให้เขาสงบลงได้

ฟึ่บ !

ในที่สุดร่มชูชีพก็ตกลงสู่พื้นดิน

ในขณะที่ทุกคนกำลังตกตะลึงอยู่นั้น คนที่อยู่ภายใต้ร่มชูชีพก็ค่อยๆ เปิดร่มชูชีพขึ้น จากนั้นจึงลุกขึ้นและหันหน้าไปทางเวที

“เฉินตง !”

ตอนนี้ใบหน้าอันงดงามของกู้ชิงหยิ่ง เต็มไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ

และทุกคนที่อยู่บนเวทีเอง ต่างก็รู้สึกตกตะลึงไปตามๆ กัน

จู่ๆ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยเจตนาฆ่าของเฉินเต้าหลิน ก็เปลี่ยนไปเป็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกงุนงงในทันที : “มีสองคน ?”

ภาพที่เกิดขึ้นช่างน่าเหลือเชื่อ

และตอนนี้เอง

เฉินตงเหลือบไปมองฉินเย่ที่กำลังหัวเราะเสียงดังอยู่ จากนั้นจึงชูมือขวาขึ้นอย่างมีความสุข และกำหมัดวางลงบริเวณหัวใจของเขา

“ขอบคุณ !”

“ขอบคุณบ้าอะไรกัน ! ฮ่าๆๆ……ฉันรู้ดี ว่าฉันต้องคิดถูกแน่นอน นายต่างหากคือเฉินตง นายต่างหากคือเฉินตงตัวจริง” ฉินเย่โบกมือ รอยยิ้มของเขายิ่งดูสดใสขึ้น : “ถ้านายมาช้ากว่านี้ ฉันคิดว่าตัวเองคงต้องแพ้เดิมพันแล้วจริงๆ ถึงขั้นเตรียมตัวที่จะลงนรกไปพร้อมกับนายแล้วนะ”

เฉินตงรู้สึกตกตะลึง

เขามองดูกลุ่มคนที่ถืออาวุธยืนล้อมฉินเย่เอาไว้อยู่

ถ้ามาสายอีกหน่อยหนึ่ง อาจจะเป็นไปตามอย่างที่ฉินเย่พูดแล้วก็ได้

ทันใดนั้น เฉินตงก็รู้สึกซาบซึ้งใจขึ้นมาทันที

การได้มีพี่น้องที่กล้ายืนหยัดอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ โดยไม่ห่วงเรื่องความเป็นความตาย ถือว่าคุ้มค่าจริงๆ !

เฉินตงสูดหายใจเข้าเต็มปอดหนึ่งครั้ง แล้วหันหน้ากลับไปมองบนเวที

ใบหน้าที่คุ้นเคยค่อยๆ ปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา

ตอนนี้ดวงตาของเขาแดงก่ำ รู้สึกกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่

สายตาของเขาไปหยุดอยู่ที่กู้ชิงหยิ่งที่กำลังอยู่ในท่าทีตื่นตระหนก

เขายิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน : “ยัยโง่ ผมกลับมาแล้ว !”

กู้ชิงหยิ่งตัวสั่นเทา ความตื่นกลัวที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของเธอจางหายไปหมดสิ้น น้ำตาของเธอค่อยๆ ไหลรินออกมา

ชื่อเรียกเฉพาะแบบนี้ !

“เฉินตง” ไม่ได้เปลี่ยนชื่อเรียกเฉพาะเพียงเพราะก้าวผ่านความเป็นความตายมา

ชื่อเรียกเฉพาะนี้ ยังคงอยู่

เพียงแต่คนที่เรียก เปลี่ยนคนเท่านั้น !

เช่นนั้นคนที่ยืนอยู่ข้างๆ……

กู้ชิงหยิ่งค่อยๆ หันหน้าไปมอง “เฉินตง”

ในขณะเดียวกัน พวกของเฉินเต้าหลินเอง ก็ค่อยๆหันไปมองอย่างระมัดระวัง

“เฉินตง” กำลังยืนตัวสั่น เขากัดฟันแล้วพูดว่า : “ฉันต่างห่างคือเฉินตง แก แกเป็นตัวปลอมที่มาจากไหนกันแน่ ?”

“เหอะ !”

เฉินตงหัวเราะเยาะออกมา จากนั้นจึงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า : “โจวสวน แกต้องกล้าขนาดไหนกัน ถึงได้ปลอมตัวเป็นฉัน ?”

น้ำเสียงที่นิ่งสงบแต่เต็มไปด้วยความเย้ยหยันอย่างรุนแรง

ต่างกับ “เฉินตง” ที่อยู่บนเวทีราวฟ้ากับดิน

บรรยากาศเงียบสงัด

ทุกคนได้ยินคำพูดนี้อย่างชัดเจน

ทุกสายตาเป็นประกายและจ้องเขม็งไปที่ “เฉินตง” ที่ยืนอยู่บนเวที

“โอ้โห ความจำของนายนี่เยี่ยมจริงๆ ฉันบอกนายแค่ครั้งเดียว นายก็จำได้แล้ว !” ฉินเย่ตะโกนออกมาอย่างตื่นเต้น

ตอนนี้ พี่น้องได้กลับมาอยู่พร้อมหน้ากัน ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างมาก

และยิ่งเป็นการตอกย้ำให้เห็นว่า สิ่งที่เขาคาดเดาเอาไว้ตั้งแต่ต้นนั้นถูกต้อง !

เขาเอาชีวิตเข้าแลกก็ถือว่าคุ้มค่า !

“อ้า !”

ตอนนี้เอง

จู่ๆ โจวสวนที่ยืนอยู่บนเวทีก็ส่งเสียงคำรามออกมา

ในเสี้ยววินาที เขาดึงกริชที่ซ่อนอยู่ด้านหลังของเขาออกมาทันที แล้วพุ่งเข้าไปหาหลี่หลานซึ่งยืนอยู่ใกล้ตัวเขามากที่สุด

เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเร็วมาก จนทุกคนไม่ทันได้ตั้งตัว

จากนั้นหลี่หลานก็กรีดร้องออกมาด้วยความหวาดกลัว

โจวสวนดึงหลี่หลานเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนของเขา จากนั้นจึงใช้มือซ้ายรัดคอของหลี่หลานเอาไว้ ส่วนมือขวาก็ถือกริชจี้ไปที่หน้าอกของหลี่หลาน

“ปล่อยเธอ !”

เฉินเต้าหลินหน้าถอดสี เขาตะโกนออกมาด้วยความโกรธ

“คุณป้า !”

“แม่ !”

บนเวที กู้ชิงหยิ่งสีหน้าซีดเผือด เธอเกือบจะวิ่งเข้าไปในทันที แต่ถูกกู้โก๋ฮั๋วสองสามีภรรยารั้งเอาไว้

ส่วนด้านล่างเวที ท่าทีของเฉินตงเปลี่ยนไปอย่างมาก เขารีบกระโจนขึ้นบนเวทีในทันที

ในขณะเดียวกัน

พวกของคุนหลุน กูหลัง ท่านหลง รวมไปถึงบอดี้การ์ดอีกจำนวนหนึ่ง ต่างก็กระโจนขึ้นไปบนเวทีแทบจะพร้อมกัน

“ฮ่าๆๆๆ……หมดกัน ทุกอย่างหมดกัน ทำไมแกถึงไม่ตาย ? พวกเขาฆ่าแกตายไปแล้วไม่ใช่หรือ ?”

โจวสวนตัวสั่น ดวงตาของเขาแดงก่ำและเอล้นไปด้วยน้ำตา ตอนนี้ เขารู้สึกหมดสิ้นทุกอย่างแล้วจริงๆ เขาตะโกนออกมาด้วยความโกรธราวกับคนเสียสติ : “แกสมควรตาย แกทำลายทุกอย่างของฉัน ถ้าฉันไม่ได้ตายดี แกก็อย่าหวังเลยว่าแกจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ถ้าต้องตาย ฉันก็จะลากคนไปตายกับฉันด้วย !”

ฉึบ !

กริชที่อยู่ในมือของเขาแทงเข้าไปที่หัวใจของหลี่หลานอย่างแรง โดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย

เลือดสาดกระเซ็นออกมา !

“แม่……”

เฉินตงกระโดดขึ้นบนเวทีอย่างรวดเร็ว ด้วยความโกรธอย่างสุดขีด ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนท้องฟ้ากำลังถล่มลงมา…..

หลังจากคำพูดนี้ออกไป ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างตกตะลึง

“เปรี้ยง” ทุกคนรู้สึกตกใจราวกับถูกฟ้าผ่า บรรยากาศภายในคลับสี่ยิ่นเงียบสงัดไปในทันที

ทุกคนต่างหันมองไปตามที่มาของเสียงด้วยความตกใจ

ฉินเย่ยังคงนั่งนิ่งอยู่บนรถเข็น ดวงตาของเขาจับจ้องไปด้านบนเวทีอย่างเยือกเย็น

จางหยู่หลันและกูหลังที่ยืนอยู่ด้านข้างต่างก็รู้สึกตกใจจนทำอะไรไม่ถูก

ส่วนเฉินตงที่ยืนอยู่บนเวทีก็มีสีหน้ามืดหม่นอย่างเห็นได้ชัด

บรรยากาศงานมงคลสมรสที่กำลังรื่นเริงและสนุกสนาน จู่ๆ ก็ถูกทำลายลง และกลายเป็นความเงียบสงัดในทันที

“หยู่หลัน ยังไม่รีบมานี่อีก ?”

มีเสียงตะคอกด้วยความโมโหดังขึ้นมาท่ามกลางฝูงชน

จางหยู่หลันยืนตัวสั่น เธอหันไปมองคุณท่านใหญ่ตระกูลจางที่อยู่ท่ามกลางฝูงชน และกำลังจะอ้าปากพูด

ตอนนี้คุณท่านใหญ่ตระกูลจางรู้สึกร้อนใจจนกระทั่งดวงตาแดงก่ำ เขากระทืบเท้าอย่างแรงหนึ่งครั้ง : “รีบมาหาปู่เดี๋ยวนี้เลย !”

นี่เป็นงานมงคลสมรสที่ยิ่งใหญ่ของลูกชายเจ้าบ้านตระกูลเฉิน !

คำว่า “คัดค้าน” ที่ฉินเย่พูดออกมา เท่ากับเป็นการทำลายงานแต่งของตระกูลเฉินเลยเชียวนะ !

นี่เรียกว่ากำลังรนหาที่ตายชัดๆ !

ตอนนี้คุณท่านใหญ่ตระกูลจางต้องรีบแยกจางหยู่หลันให้ออกห่างจากฉินเย่โดยเร็วที่สุด

ตระกูลเล็กๆ อย่างตระกูลจาง ไม่อาจต้านทานต่อความโกรธเกรี้ยวของตระกูลเฉินได้

“ที่รัก คุณไปเถอะ” ฉินเย่หันไปยิ้มเล็กน้อยให้จางหยู่หลัน

จางหยู่หลันกำลังจะอ้าปากพูด แต่เมื่อเห็นแววตาที่เปลี่ยนไปเป็นความเย็นชาของฉินเย่ เธอก็กลืนคำพูดของตัวเองกลับเข้าไปในทันที จากนั้นจึงค่อยๆ เดินเข้าไปหาคุณท่านใหญ่ตระกูลจาง

“บ้าไปแล้ว เจ้าเด็กคนนี้มันบ้าไปแล้ว”

ทุกคนมีความคิดเช่นเดียวกันหมดเมื่อหันไปมองฉินเย่

“ฉินเย่ แกกำลังทำบ้าอะไร ?”

ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน เจ้าบ้านตระกูลฉินเดินก้าวออกมาจากฝูงชน เขาชี้นิ้วไปที่ฉินเย่แล้วตะโกนด่าทอว่า : “คนทรยศและอกตัญญูอย่างแก ยังคิดจะก่อเรื่องใหญ่เช่นนี้อีกหรือ ? แกอยากรนหาที่ตายหรืออย่างไร ?”

“ผมออกจากตระกูลฉินแล้ว ไม่มีความเกี่ยวอะไรกับคุณอีกต่อไป !” ฉินเย่ยิ้มอย่างดูถูก

ฮะ……

เกิดความโกลาหลขึ้น

นี่คือคนในตระกูลฉินที่ฆ่าพ่อตัวเองคนนั้นอย่างนั้นหรือ ?

ถึงแม้ภายในงานจะเต็มไปด้วยตระกูลใหญ่ที่ร่ำรวยและมีอำนาจ แต่คนที่รู้จักฉินเย่จริงๆ นั้นมีอยู่น้อยมาก

“ฉินเย่ !”

แทบจะในเวลาเดียวกัน

กู้ชิงหยิ่งที่ยืนอยู่บนเวทีและท่านหลงที่ยืนอยู่ด้านข้างเวทีต่างก็ตะโกนออกมาพร้อมกัน

ใบหน้าอันงดงามของกู้ชิงหยิ่งเต็มไปด้วยความโกรธ

เธอคิดไม่ถึงเลยว่า เรื่องที่คุยกันอย่างชัดเจนเมื่อคืนนี้ มาวันนี้ฉินเย่กลับแสดงความดื้อรั้นเช่นนี้ออกมา ถึงขั้นเรียกได้ว่าเป็นการกระทำที่บ้าดีเดือดอย่างมาก

นี่คืองานแต่งงานที่เธอตั้งตารอมาสามปี !

เธออยากทำให้ทุกอย่างออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด เพื่อที่จะเก็บเอาไว้เป็นความทรงจำที่แสนพิเศษไปตลอดกาล

ก่อนหน้านี้เธอเคยรู้สึกสงสัยในตัวเฉินตง แต่หลังจากเหตุการณ์ที่เฉินตงเข้ามารับมีดแทนเธอ ความสงสัยทุกอย่างก็หมดสิ้นไป

หากเฉินตงเป็นตัวปลอมจริง แล้วทำไมต้องยอมสละชีวิตเพื่อเธอด้วย ?

แต่ สิ่งที่ฉินเย่พูดออกมา กลับทำลายความงดงามที่เธอวาดฝันเอาไว้ทั้งหมด

ท่านหลงยืนตัวสั่น เขารู้สึกตกใจจนเนื้อตัวเย็นเฉียบ

ในขณะที่เขาหันมองฉินเย่ด้วยความโมโห แผ่นหลังของเขาก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ

นี่คือการกระทำที่เหมาะสม ?

นี่มันคือการกระทำที่เหมาะสมแบบไหนกัน ?

กล่าวคัดค้านขึ้นมาระหว่างที่พิธีแต่งงานกำลังดำเนินอยู่ ฉินเย่คิดที่จะทำลายทุกอย่างหรืออย่างไร ?

“ผมขอคัดค้าน !”

มือทั้งสองข้างของฉินเย่จับอยู่ที่รถเข็น เขาพยายามลุกยืนขึ้น โดยทนฝืนต่อความเจ็บปวดของบาดแผลบริเวณช่องท้องของเขา แววตาของเขาเต็มไปด้วยความแน่วแน่ : “ต่อให้ตาย ผมก็จะต้องคัดค้านให้ได้ !”

เงียบ

บรรยากาศภายในงานเงียบสงัด

ไม่มีใครคาดคิดว่า งานมงคลสมรสที่ยิ่งใหญ่ที่จัดขึ้นโดยตระกูลเฉินผู้กุมความมั่งคั่งของโลกเอาไว้ จู่ๆ จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นได้

หากเรื่องนี่แพร่งพรายออกไป ทั้งโลกคงจะต้องตกตะลึงอย่างแน่นอน !

ขณะที่ทุกคนกำลังอยู่ในอาการตกตะลึง แววตาอันน่าสะพรึงกลัวก็ค่อยๆ เคลื่อนไปจับจ้องที่เวที

คำว่า “คัดค้าน” ไม่เพียงแต่ทำลายฉากการแต่งงานทั้งหมด แต่ยังเป็นการตบหน้าตระกูลเฉินอย่างรุนแรงอีกด้วย

เป็นการตบหน้าเฉินเต้าหลินฉาดใหญ่ ต่อหน้าเหล่าบรรดาตระกูลใหญ่ผู้มั่งคั่ง !

“ฉินเย่ ฉันรู้จักแก”

ในที่สุด เฉินเต้าหลินที่กำลังอยู่ในอารมณ์โกรธ ก็ค่อยๆ เอ่ยปากพูดออกมาพร้อมกับแสยะยิ้ม : “แต่เธอรู้ผลลัพธ์ของการทำเช่นนี้ไหม ?”

ราวกับมีลมหนาวยะเยือกพัดขึ้นมาจากขุมนรก

ทำให้ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็รู้สึกกลัวจนเสียวสันหลัง

ทุกคนรับรู้ได้ถึงเจตนาฆ่าที่รุนแรง ที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวของเฉินเต้าหลิน

เฉินเต้าหลินค่อยๆ หันหน้าไปมองเฉินตง : “นี่……คือคนที่ลูกเรียกว่าพี่น้องอย่างนั้นหรือ ?”

ตอนนี้การแสดงออกของเฉินตงดูเย็นชาและดุดัน แววตาของเขาเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าที่รุนแรง

เขากำลังรอ !

รอให้งานแต่งสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี และรอที่จะเข้ามาแทนที่เฉินตงได้ในที่สุด

แต่การที่ฉินเย่ยื่นขาเข้ามาขัดเช่นนี้ ราวกับว่ากำลังนำน้ำที่เย็นเฉียบมาสาดใส่เขา

เพื่อที่จะได้เข้ามายืนแทนที่ เขาถึงขั้นยอมละทิ้งความแค้นที่ตระกูลโจวต้องถูกทำลายสูญสิ้น

แล้วจะปล่อยให้ฉินเย่มาทำลายลงง่ายๆ เช่นนี้หรือ ?

“พ่อครับ เขาไม่ใช่พี่น้องของผมอีกต่อไปแล้ว” เฉินตงกัดฟันกรอด แล้วค่อยๆ ส่งเสียงพูดผ่านไรฟันออกมา : “ฆ่าเขาเถอะ !”

หลังจากคำพูดนี้หลุดออกมาจากปาก

หลี่หลานก็รีบพูดขึ้นในทันที : “เต้าหลิน เฉินตง พวกคุณใจเย็นๆ หน่อย”

ขณะที่พูด เธอก็หันไปขอโทษครอบครัวของกู้ชิงหยิ่งซ้ำแล้วซ้ำอีก

หลี่หลานเป็นคนจิตใจดีมีเมตตา ยิ่งเธอได้รู้เรื่องราวบางอย่างของฉินเย่ เธอก็เข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างฉินเย่และเฉินตงดี

ฉินเย่ขัดขวางการแต่งงานของลูกชายเธอ แน่นอนว่าเธอจะต้องรู้สึกโกรธ แต่ยังไม่ถึงขั้นที่ต้องมีการเข่นฆ่ากัน

หลังจากกล่าวขอโทษแล้ว หลี่หลานรีบหันไปตำหนิฉินเย่

“ฉินเย่ เจ้าเด็กโง่ เธอบ้าไปแล้วหรืออย่างไร ? ยังไม่รีบขอโทษอีก เร็วเข้า หรือไม่อย่างนั้นเธอก็พูดออกมาซิว่าทำไมเธอต้องคัดค้านด้วย ?”

นี่ถือว่าเป็นการหาทางออกให้กับฉินเย่แล้ว

ขอแค่ยอมกล่าวขอโทษ หรือไม่ก็ให้เหตุผลในการกระทำมา เพื่อให้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ผ่านไปได้อย่างราบรื่น และสามารถดำเนินพิธีแต่งงานต่อไปได้ แล้วทุกอย่างก็จะเรียบร้อย

ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็รู้สึกโชคดีแทนฉินเย่

เด็กคนนี้โชคดีจริงๆ ก่อเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ กลับยังมีคนหาทางออกให้กับเขาอีก

จากนั้น

“ไม่มีเหตุผล แค่ต้องการคัดค้าน !”

แววตาของฉินเย่จ้องมองทุกสิ่งอย่างแน่วแน่

บรรดาตระกูลใหญ่มั่งคั่งต่างตกตะลึง

หยิ่งผยอง !

ยโสโอหัง !

ไม่รู้จักรักตัวกลัวตาย !

ไม่แปลกเลยที่เขาสามารถลงมือทำเรื่องเลวร้ายอย่างการฆ่าพ่อของตัวเองได้ !

“เหอะๆ……”

เฉินเต้าหลินหัวเราะออกมา แล้วเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า : “ถ้าอย่างนั้นอย่ามาโทษฉันก็แล้วกัน”

ทันใดนั้นเอง

มีกลุ่มคนวิ่งตรงเข้าไปหาฉินเย่อย่างรวดเร็ว ด้วยเจตนาฆ่าที่รุนแรง

“เฉินเต้าหลิน !”

หลี่หลานร้อนใจจนดวงตาแดงก่ำ เธอกระทืบเท้าอย่างแรง : “คุณอยากจะฆ่าคนในงานแต่งงานของลูกชายตัวเองจริงหรือ คุณอยากให้ความทรงจำของเด็กทั้งสองคน เมื่อนึกถึงวันนี้ต้องเห็นแต่คราบเลือดอยู่ในความทรงจำอย่างนั้นหรือ ?”

คำพูดประโยคนี้ ทำให้เฉินเต้าหลินฉุกคิดขึ้นมาได้

แม้กระทั่งกู้ชิงหยิ่งและกู้โก๋ฮั๋วสองสามีภรรยาเอง ก็มีปฏิกิริยาที่เปลี่ยนไปเช่นกัน

แน่นอนว่า วันมงคลเช่นนี้ หากต้องมีการเข่นฆ่าชีวิตคนคนหนึ่ง แล้วมันจะมีความหมายอะไรกัน ?

แต่ทว่า จู่ๆ เฉินตงกลับพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า : “พ่อครับ ไม่ต้องไปสนใจหรอก คนแบบนี้ สมควรตาย !”

“เฉินตง……” กู้ชิงหยิ่งหน้าถอดสี เธอคิดที่จะห้ามปราม

เธอไม่อยากให้ความทรงจำเกี่ยวกับงานแต่งงานของเธอ ต้องเต็มไปด้วยคราบเลือด

ถึงแม้การที่ถูกฉินเย่ทำลายบรรยากาศงานแต่ง ทำให้ความทรงจำของเธอต้องมีรอยตำหนิเกิดขึ้น แต่ความทรงจำที่มีรอยตำหนิก็ยังดีเสียกว่าความทรงจำที่ต้องแปดเปื้อนไปด้วยเลือด

จากนั้น

เฉินตงกลับยกมือขึ้นมาตัดบท : “นี่คืองานแต่งงานที่ผมเตรียมให้คุณ ผมไม่อนุญาตให้ใครมาทำให้แปดเปื้อนทั้งนั้น !”

ตอนนี้เอง

กลุ่มคนเข้าไปยืนล้อมฉินเย่เอาไว้

แต่ฉินเย่กลับเริ่มแสยะยิ้มออกมา ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีความกลัวปรากฏให้เห็นบนใบหน้าของเขาเลยแม้แต่น้อย

“เฉินเต้าหลิน……” หลี่หลานกัดริมฝีปากของเธออย่างแรง

“พี่เต้าหลิน……” กู้โก๋ฮั๋วเองก็อดไม่ได้ที่จะพูดออกมา

บรรยากาศเต็มไปด้วยความเหน็บหนาวและน่ากลัว

ในที่สุด

เฉินเต้าหลินเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า แล้วถอนหายใจออกมา จากนั้นจึงพูดว่า : “เขาไม่เพียงแต่ทำลายบรรยากาศงานของฉัน ยิ่งไปกว่านั้นเขาทำลายบรรยากาศของงานลูกชายฉัน ทำลายบรรยากาศของงานตระกูลเฉิน !”

“ถ้าฉันไม่ฆ่าเขา คนอื่นก็จะคิดว่าตระกูลเฉินของฉันสามารถรังแกได้ง่าย !”

ดำพูดประโยคนี้เป็นการชี้เป็นชี้ตาย !

ทันใดนั้นแววตาของเฉินเต้าหลินก็ปรากฏความดุร้ายขึ้นมา

ตอนนี้ เจ้าบ้านตระกูลเฉินได้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้วโดยไม่ต้องสงสัย

“ฆ่าเขา !”

กลุ่มคนกลุ่มนั้นพุ่งตรงเข้าไปหาฉินเย่ทันที

ฟึ่บ !

แสงแวววาวของดาบวาดอยู่บนอากาศ

ทุกคนต่างหน้าถอดสีทันที และรีบถอยห่างออกไปด้วยความตกใจ

“พี่ชาย ฉันจะไปอยู่เป็นเพื่อนนายแล้ว !”

ฉินเย่ปิดตาลง ไม่คิดที่จะตอบโต้

อันที่จริงแล้ว ด้วยสภาพร่างกายที่บาดเจ็บของเขาในตอนนี้ การที่เขาสามารถเดินทางมาถึงงานแต่งงานได้ ก็ถือว่าทนฝืนมากพอควรแล้ว !

ในขณะที่เขาปิดตา ฉินเย่ก็เงยหน้าขึ้นและตะโกนออกมาว่า : “จริงๆ แล้วเขาไม่ใช่เฉินตง !”

“ตายซะเถอะ !”

เฉินตงที่อยู่บนเวทีขู่คำรามออกมาราวกับสิงโตที่กำลังโกรธ

คนที่อยู่ในงาน ต่างก็ปิดตาลง เพราะกลัวจะต้องเห็นฉากนองเลือดที่กำลังจะเกิดขึ้น

กู้ชิงหยิ่งกรีดร้องออกมา แล้วพุ่งเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของกู้โก๋ฮั๋ว เพราะไม่กล้าที่จะมองดูอีกต่อไป

ส่วนฉู่เจียนเจีย ท่านหลง และคุนหลุนก็ค่อยๆ เบนสายตาไปมองทางอื่น

เมื่อเจ้าบ้านโกรธ ก็ไม่มีใครสามารถช่วยฉินเย่ได้อีกต่อไป !

ขณะที่คมดาบกำลังจะลงมาเชือดคอของฉินเย่

ฮึ่มๆๆ……

บทท้องฟ้าก็มีเสียงดังกระหึ่มราวกับฟ้าผ่าดังขึ้น

เสียงดังสนั่นหวั่นไหว

มีเงาขนาดใหญ่เข้าปกคลุมทั่วท้องฟ้า

ทำให้ทุกคนเงยหน้าขึ้นมองด้วยความตกตะลึง

เครื่องบินรบลำหนึ่ง ส่งเสียงดังกระหึ่ม กำลังบินอยู่เหนือท้องฟ้าด้วยความเร็วสูง

ในขณะเดียวกัน

มีร่างร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ ร่มชูชีพค่อยๆ กางออก และค่อยๆ ร่อนลงสู่พื้นดิน……

ในขณะที่พูดคำนี้นั้น

ฉินเย่กับเฉินตงก็มองหน้ากัน

ในขณะนี้เอง ทุกคนในบริเวณนี้ก็สังเกตเห็นรู้ถึงความผิดปกติบางอย่าง

ท่านหลงก็เป็นฝ่ายพูดขึ้น เพื่อทำลายบรรยากาศนี้

“จางหยู่หลัน กูหลัง ยังไม่รีบพาฉินเย่ไปพักอีก ?”

หลังจากที่ทั้งสามคนจากไป

ท่านหลงเอ่ยทักทายเฉินตงและคนอื่นๆ จากนั้นรีบตามหลังไปทันที

ในอีกมุมที่อยู่ไม่ไกล บรรยากาศแตกต่างจากภายนอก ซึ่งดูหนาวเย็นเล็กน้อย

“เมื่อกี้คุณทำอะไร ?”

จางหยู่หลันรู้สึกประหม่าเล็กน้อย สีหน้าของฉินเย่กับเฉินตงเมื่อครู่มันดูไม่ได้เลย

เธอไม่เข้าใจว่า คนสองคนที่เคยรักใคร่สนิทสนมกัน ทำไมถึงได้กลายมาเป็นแบบนี้ไปได้

กูหลังที่อยู่ข้างๆก็ขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย

และในขณะนี้เอง

ท่านหลงก็เดินมาอย่างรีบร้อน สีหน้าเรียบนิ่งถามฉินเย่ :“นี่เจ้าฉินเย่ แกมาแสดงความยินดี หรือมาทำลายงานแต่งกันแน่ ?”

“ก็ต้องมาแสดงความยินดีสิ ”

มุมปากที่ซีดเซียวของฉินเย่ยกขึ้น แล้วเผยยิ้มออกมา

“เจ้าเด็กคนนี้ คนอื่นไม่รู้ แต่ฉันจะไม่รู้เชียวเหรอ? ”ท่านหลงขมวดคิ้วแน่น “แกอย่าทำให้ฉันต้องลำบากใจ แม้ว่าคนแก่อย่างฉันจะดีกับแกยังไงแต่ก็เป็นเพียงคนรับใช้ของตระกูลเฉิน”

“ผมมาแสดงความยินดีจริงๆ ” ฉินเย่พูดอย่างจริงจัง

ดวงตาของท่านหลงดำดิ่ง และจ้องมองสบตากับฉินเย่อยู่สักพัก

ทันใดนั้นเขาก็พูดสื่อความหมาย:“คนแก่อย่างฉันรู้ว่าแกคิดอะไร แต่ฉันก็ยังงง เหตุการณ์เมื่อกี้ แกบังอาจมาก !”

ฉินเย่ตะลึง ดวงตาเป็นประกาย

แต่ก็พูดไปด้วยรอยยิ้มว่า :“ท่านหลง คุณคิดว่าที่ผมฆ่าพ่อตัวเอง ผมทำถูกไหม ?”

“ถูก!”ท่านหลงพยักหน้า

“เขาบอกว่าผมทำไม่ถูก!”ฉินเย่เลิกคิ้ว “คนอย่างผม ไม่ธรรมดา จะฆ่าพ่อตัวเองได้ยังไง ?”

“แก……”สีหน้าของท่านหลงเปลี่ยนไป

ไม่รอให้เขาได้พูดจบ ฉินเย่ก็โบกมือ :“วางใจเถอะ ผมแยกแยะได้ แค่ปกป้องบางอย่างที่อยู่ในใจ ไม่ทำให้สถานการณ์แย่ไปกว่านี้แน่นอน ”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้

ท่านหลงก็ถอนหายใจอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง มองไปที่ฉินเย่แวบหนึ่ง หันหลังแล้วจากไป

เขารู้นิสัยของฉินเย่ดี

คนที่สามารถฆ่าพ่อตัวเองได้ จะมีอะไรที่ทำไม่ได้อีก ?

ในเมื่อฉินเย่พูดแล้วว่าแยกแยะได้ งั้นก็คงไม่ทำอะไรที่มันเกินไปนัก

ข้างนอกยังมีแขกอีกมากมายที่เขาต้องไปทักทายเขาไม่มีเวลาที่จะมาต่อปากต่อคำกับฉินเย่ได้

จนกระทั่งท่านหลงเดินจากไป จางหยู่หลันและกูหลังก็กลับมาได้สติ

บทสนทนาของคนทั้งคู่ มีความหมายที่ไม่ชัดเจน

ดวงตาของกูหลังมีไอของความเกลียดชังปรากฏ:“ฉินเย่ นายจะหาเรื่องคุณเฉิน อย่าหาว่าฉันไม่เกรงนะ ”

“วางใจเถอะ”

ฉินเย่หรี่ตาลง แล้วยิ้ม

ใกล้เที่ยงแล้ว

ภายในคลับสี่ยิ่น เต็มไปด้วยแขกเหรื่อ

บรรยากาศครึกครื้น

คึกคักเป็นประวัติการณ์

และในจังหวะนี้

โครม……

เสียงใบพัดของเฮลิคอปเตอร์ดังมาจากท้องฟ้า

ทันใดนั้น ทุกคนต่างก็เงียบลง

ทุกสายตาต่างจ้องมองไปบนท้องฟ้า

จากนั้น ทุกดวงตาก็ลุกโชนขึ้น

“นายหญิง คุณชาย นายท่านมาถึงแล้วครับ !”

ท่านหลงมองไปยังเฮลิคอปเตอร์ที่ร่อนลงจอดอย่างช้าๆ แล้วยิ้มเล็กน้อย

เมื่อเฮลิคอปเตอร์ลงจอด

ภายใต้สายตาของทุกคนที่มองมาที่เฉินเต้าหลิน ค่อยๆเดินออกมาจากเฮลิคอปเตอร์ ใบหน้ายิ้มแย้มแล้วเดินตรงเข้ามายังที่เฉินตงยืนอยู่

“พ่อ……”

เฉินตงเอ่ยเรียกออกไปก่อน

เฉินเต้าหลินพยักหน้า ยิ้มแล้วพูดว่า :“ตงเอ๋อ พ่อพลาดงานแต่งงานครั้งแรกของลูก นี่งานแต่งงานครั้งที่สอง ในที่สุดก็ได้มาร่วมยินดีสักที”

“คุณนี่ งานมงคลนะคะพูดอะไรแบบนั้น ?”

หลี่หลานพูดตำหนิเฉินเต้าหลิน และมีท่าทีไม่พอใจเล็กน้อย

มันเป็นงานแต่งงานครั้งที่สองของเฉินตง ในใจเธอ มันคือความไม่ยุติธรรมกับกู้ชิงหยิ่ง พ่อแม่ใครไม่รักลูกบ้าง ?

เฉินเต้าหลินพูดต่อหน้ากู้โก๋ฮั๋วและภรรยาของเขา มันช่างไร้มารยาท !

“โอเคๆ ผมผิดเอง ”

เฉินเต้าหลินยิ้มอ่อนโยน แล้วตีไปที่หลังของหลี่หลานเบาๆ จากนั้นก็เอ่ยทักทายกับกู้โก๋ฮั๋วและภรรยาของเขา

ทั้งสองฝ่ายต่างพูดคุยแล้วหัวเราะ

บุคคลสำคัญที่อยู่รายล้อมยังไม่มีใครเข้าไปทักทาย

สามารถมาอยู่ในระดับแบบพวกเขาได้ วิสัยทัศน์ในการมองก็ต้องมีบ้าง

ต่อให้มิตรภาพที่มีจะแนบแน่นยังไง ในตอนนี้ก็ยังคงรู้สึกกดดันอยู่บ้าง

“คุณชาย ใกล้ถึงเวลาฤกษ์มงคลแล้ว เริ่มงานได้แล้วครับ ”

ท่านหลงขยับเข้ามาใกล้ เอ่ยเตือนเสียงเบา

เฉินตงยิ้มและพยักหน้ารับ :“พ่อครับแม่ครับ ใกล้ได้เวลาฤกษ์แล้วนะครับ ”

เสียงเพลงที่ไพเราะก็ดังขึ้น

สะท้อนก้องไปทั่วบนพื้นหญ้าที่ว่างเปล่าของคลับสี่ยิ่น

ทันใดนั้น บรรยากาศก็เงียบลง

บุคคลใหญ่โตทั้งหลายก็นั่งลงกับที่

มีฉู่เจียนเจียคอยช่วยจัดการ นำทีมฝีมือที่ดีที่สุด ทำให้พิธีงานแต่งงานทั้งหมดนี้เป็นไปอย่างอลังการ

แม้แต่พิธีกรเองก็ยังเป็นผู้ดำเนินงานมากฝีมือ

งานแต่งงานนี้ทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนเป็นไปตามในแบบที่กู้ชิงหยิ่งวาดฝันเอาไว้

หลังพิธีกรกล่าวเปิดงาน

ทุกอย่างดำเนินไปอย่างรวดเร็ว แล้วเข้าสู่พิธีการสำคัญ

เมื่อเฉินตงก้าวขึ้นไปบนเวที เสียงปรบมือก็ดังสนั่นไปทั่ว

แม้จะเป็นผู้ที่ร่ำรวยและสูงศักดิ์ หรือจะเป็นยักษ์ใหญ่ผู้มั่งคั่ง ตอนนี้ต่างก็ไม่ลังเลที่จะปรบมือยินดี

เพราะ ทุกคนต่างก็รู้ดีว่า

ตระกูลเฉิน ยืนอยู่ในตำแหน่งที่เหนือกว่าพวกเขา ในสายตาของตระกูลเฉิน พวกเขาอาจเป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้น

และคนที่อยู่บนเวทีนั้น คือลูกชายของเจ้าบ้านตระกูลเฉิน!

มองดูผู้คนที่ปรบมือ เฉินตงที่ยืนอยู่บนเวทีก็อดไม่ได้ที่จะยืนตัวตรง

รอยยิ้มบนใบหน้า ก็ยิ่งภาคภูมิใจมากขึ้นไปอีก

ความรุ่งเรืองมั่งคั่งนี้ ……อยู่ตระกูลไปตลอดชีวิตก็คงจะไม่มีวันได้เป็น !

หากไม่ใช่เพราะโอกาสนี้ฉันก็คงไม่สามารถที่จะมาเป็นตัวแทนแทนที่เขาได้ ?

หากผ่านวันนี้ไปได้ ฉัน……ก็จะกลายเป็นเฉินตงตัวจริง!

“เฉินตง”ในใจเหมือนมีคลื่นลูกใหญ่ และในความงุนงง ก็ได้เห็นภาพอำนาจและความมั่งคั่งอยู่ในมือ

แต่เมื่อสายตาของเขาจ้องมองไปที่ฝูงชน และฉินเย่ที่นั่งอยู่บนรถเข็น อดไม่ได้ที่จะทำใจให้นิ่งสงบ

และงานแต่งงานก็ดำเนินต่อไป

กู้ชิงหยิ่งที่สวมใส่ชุดแต่งงานกระโปรงยาวตัดเย็บขึ้นโดยเฉพาะ ภายใต้การประคองของฉู่เจียนเจีย ค่อยๆเดินไปยังเวที

ชุดแต่งงานที่ถูกตัดเย็บโดยทีมฝีมือระดับแนวหน้า ทำให้รูปร่างของกู้ชิงหยิ่งสวยสง่าสมบูรณ์แบบ

โครงหน้าที่สวยงาม ถูกบรรจงแต่งแต้มอย่างวิจิตร พูดได้ว่าเวลานี้ไม่มีผู้ใดเทียบได้

ทันทีที่ปรากฏตัว ก็ดึงดูดสายตาทุกคน และทุกคนต่างก็ตกตะลึง

พอได้ยินเสียงชมเปาะจากความตะลึง

ร่างกายของกู้ชิงหยิ่งสั่นเล็กน้อย ใบหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อ

เธอค่อยๆเดินก้าวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ก้มหน้าลงด้วยความเขินอาย

และเพราะแบบนี้ ในตอนที่เธอก้าวเท้าขึ้นไปบนเวที เธอก็เห็นว่า เวทีก็ส่องแสงสว่าง ดอกกุหลาบสีแดงสด ก็ปรากฏขึ้น

กู้ชิงหยิ่งตกใจ

เมื่อเธอก้าวขาไปข้างหน้า ทุกก้าวบนพื้นเวทีก็จะมีดอกกุหลาบสีแดงสดปรากฏขึ้น

ราวกับกำลังเดินอยู่บนดอกไม้

ในที่สุด กู้ชิงหยิ่งก็เดินมาถึงตรงกลางเวที

“ตื่นเต้นไหม?”

เสียงที่อ่อนโยนดังขึ้นในหู

หัวใจของกู้ชิงหยิ่งเต้นแรงขึ้น ภายในใจลึกๆ มีความรู้สึกมากมายหลากหลายเต็มไปหมด

ความตื่นเต้น ความสุขและอารมณ์อื่นๆรวมกัน ทำให้เธอพูดไม่ออก ได้แต่พยักหน้าเงียบๆ

ฉากนี้ เธอรอมันมานานกว่าสามปี !

ในตอนที่เฉินตงกับหวางหนันหนันเข้าประตูวิวาห์นั้น จิตใจของเธอแตกต่างจากในตอนนี้อย่างสิ้นเชิง

ความเพ้อฝันที่นับไม่ถ้วน หากคนที่เข้าประตูวิวาห์นั้นเป็นตัวเอง มันจะดีแค่ไหนกัน ?

ตอนนี้……ความฝันเป็นจริงแล้ว!

ในที่สุดเธอก็สมหวัง !

ในตอนนี้ กู้ชิงหยิ่งรู้สึกคัดจมูก และน้ำตาก็เริ่มไหลซึมออกมา

เฉินตงคว้ามือของกู้ชิงหยิ่ง หันหน้าไปยังแขกทุกคนที่มาในงาน

ภายใต้การดูแลงานของพิธีกร งานแต่งงานดำเนินไปตามขั้นตอนอย่างเป็นระเบียบ

เพียงไม่นาน ก็ถึงเวลาที่ต้องเชิญพ่อแม่ทั้งสองฝ่ายขึ้นบนเวที

เมื่อพ่อแม่ทั้งสองฝ่าย ก้าวขึ้นไปบนเวที ท่ามกลางเสียงปรบมือที่ดังสนั่น

พิธีกรก็เอ่ยพูดอย่างช้าๆว่า

“ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณแขกผู้มีเกียรติทุกท่านที่มาร่วมเป็นสักขีพยาน ในวันนี้ ทำให้งานแต่งงานที่มีค่าลุล่วงไปได้อย่างสมบูรณ์แบบ”

พอสิ้นเสียง

แขกก็ปรบมือขึ้นอีกครั้ง

ด้านนอกของคลับสี่ยิ่น เสียงประทัดเก้าสิบเก้าลูกก็ดังขึ้นพร้อมกัน

เสียงดังกระหึ่ม !

จากนั้น ก็เป็นพิธีที่เจ้าสาวและเจ้าบ่าวต้องยกน้ำชาให้กับพ่อแม่ของทั้งสองฝ่าย

มีเสียงที่เกรี้ยวกราด ดังกลบเสียงปรบมือและเสียงประทัดด้านนอก

“ฉันขอคัดค้านการแต่งงานนี้!”

เมื่อแสงตะวันแรกสาดส่องลงมายังพื้นโลก

หน้าคลับสี่ยิ่น ก็ยังคงคึกคักเหมือนเดิม

ประตูด้านหน้าคลับสี่ยิ่นที่สูงตระหง่าน

โคมระยิบระยับ สีสันสดใส

ประตูด้านข้างทั้งสอง มีประทัดเก้าสิบเก้านัดเรียงแถวอยู่ทั้งสองด้าน ซึ่งหมายถึงยืนยาวนานเท่านาน

สถานที่จัดงานแต่งงาน ถูกเลือกจัดขึ้นที่คลับสี่ยิ่น

สิ่งนี้ทำให้คลับสี่ยิ่นที่ลึกลับถูกเปิดเผยต่อหน้าสาธารณชน

งานแต่งงาน ทุกคนต่างเฝ้าดูอย่างตั้งใจ

ที่ด้านหน้าของคลับสี่ยิ่น ผู้คนมากมาย

รถยนต์คันหรูขับเข้าไปในคลับสี่ยิ่นอย่างต่อเนื่อง

สื่อต่างๆที่รู้ข่าว ต่างก็อยากที่จะเข้ามาทำข่าว แต่ถูกคลับสี่ยิ่นขวางเอาไว้ และทำได้เพียงวางตั้งขากล้องทั้งเล็กและใหญ่เรียงกันในที่โล่ง

“ดูนั่นสิ โจวเย่นชิว!คนที่นั่งอยู่หลังรถเขาคือโจวจุนหลง!”

“พวกเขาไม่เท่าไรหรอก ? เมื่อกี้ฉันเห็นท่านเมิ่งเข้าไปแล้วด้วย !”

“โอ้พระเจ้า งานแต่งครั้งนี้ เป็นงานที่รวมเอาอภิมหาเศรษฐีมาไว้ด้วยกัน ? หากได้เข้าไปถ่ายภาพในคลับสี่ยิ่น ข่าวนี้จะต้องโด่งดังเป็นแน่!”

นักข่าวทุกคนต่างมีท่าทีเงียบเหงาไม่คึกคัก

ความคิดแบบนี้ มีใครไม่คิดมั้ง ?

แต่ว่า การรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดของงานแต่งงานครั้งนี้ ทำให้ทุกคนต่างก็ทำอะไรไม่ได้

แม้แต่ แขกที่ได้รับเชิญ ยังต้องผ่านการตรวจอย่างเข้มงวดเช่นกัน

แต่ทุกคนต่างรู้ดี ผู้ที่ได้รับเชิญให้เข้าคลับสี่ยิ่น เพื่อร่วมงานแต่งงานในวันนี้ คือคนที่มีอำนาจบารมีที่ยิ่งใหญ่จริงๆ

แม้แต่กับ โจวเย่นชิวและโจวจุนหลงเจ้าสัวห้างสรรพสินค้าในเมือง และดารามากมายที่อยู่ในงานนี้ การรวมตัวกันของอภิมหาเศรษฐี ก็ยังถูกจัดอยู่ปลายแถว

ในส่วนของ“บุคคลชนชั้นสูง”ในเมืองนี้ คาดว่าคงไม่มีคุณสมบัติพอที่จะได้รับเชิญเลยด้วยซ้ำ!

“ตระกูลฉู่ในเมืองหลวง เดินทางมาถึงแล้ว!”

ที่หน้าประตูคลับสี่ยิ่น เสียงขานเรียกดังราวกับเสียงฟ้าร้อง

ว้าว!

นักข่าวต่างแตกตื่น ทุกคนมีสีหน้าที่ตกใจ

ด้วยข้อกำหนดของงานแต่งนี้ ครอบครัวที่ได้รับการขานเรียกชื่อ คือผู้ที่อยู่บนยอดของพีระมิดจริงๆ คือยักษ์ใหญ่ในสิ่งมีชีวิตทั้งหมด!

ที่ปรกติทั่วไปนั้น กลัวว่าแทบจะไม่มีคุณสมบัติได้รับการขานเรียกเรียนเชิญเลยด้วยซ้ำ!

เช่นเดียวกับรถหรูที่ขับเข้าไปในคลับสี่ยิ่นก่อนหน้าแทบไม่มีการขานเรียกที่พิเศษอะไรแบบนี้เลย

“โอ้พระเจ้า!ตระกูลฉู่ ในเมืองหลวง……”

นักข่าวคนหนึ่งโพล่งออกมาอย่างประหลาดใจ

แต่ยังไม่ทันได้พูดจบ

ที่ด้านหน้าของคลับสี่ยิ่น ก็มีการขานเรียกขึ้นอีกครั้ง

“ตระกูลจางในเมืองหลวง เดินทางมาถึงแล้ว !”

ว้าว!

นักข่าวก็แตกตื่นขึ้นมาอีกครั้ง

“ตระกูลจางในเมืองหลวง?ตระกูลฉู่ในเมืองหลวง?นี่เล่นตลกอะไรกัน ทั้งสองเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการบันเทิง ที่ไม่ลงรอยกัน!”

ในฐานะผู้ประกอบวิชาชีพด้านงานสื่อ ทุกเรื่องในวงการบันเทิงรู้แจ้งเห็นกระจ่างทุกเรื่อง

“ตระกูลหลี่ในเมืองหลวง เดินทางมาถึงแล้ว !”

โครม!

เสียงขานเรียก ราวกับเสียงฟ้าร้อง

นักข่าวทุกคนต่างตกตะลึงด้วยความตกใจ

เมืองหลวง……มหาเศรษฐีตระกูลหลี่ ?

เหลอหลากันอยู่ชั่วครู่ แต่แล้วนักข่าวทุกคนต่างก็ได้สติ

สารพัดเลนส์กล้องทั้งสั้นและยาว ก็ลั่นชัตเตอร์กันรัวๆ เก็บภาพกันอย่างบ้าคลั่ง

ข่าวใหญ่!

นี่เป็นข่าวใหญ่เลยล่ะ!

ต่อให้เข้าไปในคลับสี่ยิ่นไม่ได้ แค่เก็บภาพของเหล่าเศรษฐีผู้มีอำนาจที่มาร่วมงาน ก็น่าทึ่งมากพอแล้ว!

และในตอนนี้

เสียงขานเรียกที่หน้าประตูคลับสี่ยิ่นก็เริ่มทยอยมากขึ้นเรื่อยๆ

“ซีสู่ตระกูลฉิน เดินทางมาถึงแล้ว !”

“ปรมาจารย์ภาพวาดจีนเจิ้งเทียนหมิง เดินทางมาถึงแล้ว !”

“หนานหลงตระกูลหวาง เดินทางมาถึงแล้ว !”

……

เสียงขานเรียกครั้งแล้วครั้งเล่า ราวกับเสียงฟ้าร้อง

ให้นักข่าวทุกคนเลือดกายพลุ่งพล่าน

แขกทุกคนที่มา ไม่ใช่มหาเศรษฐี ก็เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในสายงานอื่น!

งานเลี้ยงตระกูลมหาเศรษฐีที่ยากจะอธิบาย!

และการมาถึงของบุคคลผู้ยิ่งใหญ่แต่ละคน บนถนนที่คดเคี้ยวทอดยาว มีรถยนต์หรูเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ ต่อแถวเป็นขบวนรถที่ยาวเหยียด และเป็นภาพที่ยิ่งใหญ่และงดงาม

ใครจะไปคิดว่า งานเลี้ยงงานแต่งงาน จะทำให้เกิดการจราจรที่คับคั่งได้ทั้งในช่วงเช้าและเย็น ?

ในที่สุด เจ้าของรถหรูบางคนก็ลงจากรถ แล้วเดินเข้ามาแทน

แต่เมื่อพวกเขามาถึงที่ประตู ก็หยุดลง แล้วให้ของขวัญ จากนั้นก็หันหลังแล้วเดินจากไป

พวกเขา เป็นบุคคลชนชั้นสูงในเมืองนี้

แต่บุคคลชนชั้นสูงนี้ เมื่อเทียบกับผู้ทรงอิทธิพลที่เข้ามาในคลับสี่ยิ่นแล้วก็ยังจะดูไม่ควรค่าแก่การกล่าวถึงเลยด้วยซ้ำ

พวกเขาไม่ได้โง่ งานมงคลแบบนี้ต่อให้จะไม่มีคุณสมบัติได้เข้าร่วม แต่แค่ส่งคำอวยพรเพื่อแสดงไมตรี มันก็เพียงพอแล้ว

และนักข่าวทุกคน เมื่อเห็นบุคคลชนชั้นสูงเหล่านี้ ให้ของขวัญแล้วจากไป ต่างก็พากันตกตะลึงจนอ้าปากค้าง

คนเหล่านี้…… เป็นบุคคลชนชั้นสูงในเมืองนี้จริงๆ หรือ ?

ในเวลาเดียวกัน

ภายในคลับสี่ยิ่น

งานรื่นเริง

สำหรับงานมงคลสมรสนี้ ไม่ว่าจะเป็นตระกูลเฉินหรือตระกูลกู้ ต่างก็ทุ่มเทแรงกายแรงใจ

ในส่วนของเรื่องค่าใช้จ่าย เฉินตงก็ทุ่มไม่อั้น เพื่อความดีงามและสมบูรณ์แบบ

คลับสี่ยิ่นทั้งหมดใหญ่พอๆกับศาลา และต้นไม้ดอกไม้ขนาดเล็ก ก็ถูกตกแต่งทั้งหมดด้วยเช่นกัน

ราวกับโลกทั้งโลกได้เปลี่ยนไป

เข้าสู่โลกแห่งความฝัน

เจ้าหน้าที่ที่ดูแลแขก

หลี่หลานกับท่านหลงและกู้โก๋ฮั๋วสองสามีภรรยาต่างก็ใบหน้ายิ้มแป้น สุขสมหวัง

และพบปะทักทายกับแขกเหรื่อที่มาในงาน

ในบรรดาแขกรับเชิญเหล่านี้ มีแขกของตระกูลกู้ แต่ส่วนมากก็เป็นแขกของตระกูลเฉิน !

งานมงคลของบุตรชายเจ้าบ้านตระกูลเฉินผู้มั่งคั่งของโลก นี่เป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง !

แม้ก่อนหน้าจะไม่เคยได้ยินข่าวของเฉินตงผู้มีอำนาจล้นฟ้ามาก่อน แต่ต่างก็เต็มใจที่จะมาเพื่ออวยพร

กู้โก๋ฮั๋วและหลี่หวั่นชิงสองสามีภรรยา มองดูภาพผู้คนในงานมากมาย

ทำให้ภายในใจของสองสามีภรรยานั้น เต็มไปด้วยความตื่นเต้น และมีความสุขเกินจะควบคุมตัวเองได้

สิ่งนี้ เป็นเหมือนกับความสูงตระหง่านที่อยู่เหนือเมฆแล้วมองลงมาสู่สิ่งมีชีวิตทั้งหมด !

แม้การเข้าสังคมของกู้โก๋ฮั๋วในแต่ละวัน ก็ไม่เคยคิดเลยว่า งานมงคลของลูกสาว จะสามารถรวมเอามหาเศรษฐีที่ร่ำรวยไว้ได้ !

หลี่หลานก็มีความสุขมากเช่นกัน กี่เพ้าสีแดงในงานเลี้ยง เสริมบุคลิกภาพของเธอได้อย่างสมบูรณ์แบบ

แต่ยังไงเสีย ในขณะที่มีความสุข หลี่หลานก็ยังคงกังวลเล็กน้อย

“ท่านหลง เจ้าฉินเย่ไม่เป็นอะไรมากใช่ไหม ? ”

หลังจากที่ท่านหลงทักทายแขกคนหนึ่งเสร็จ หันกลับมายิ้มแล้วตอบว่า :“เมื่อคืนถูกแทงไปแผลหนึ่ง เจ้าเด็กนั้นโชคดีนัก ช่วยชีวิตเอาไว้ได้แล้ว กระผมได้ให้กูหลังกับหยู่หลันคอยดูแลเขาที่โรงพยาบาลแล้วครับ ”

“ดีแล้ว ดีแล้ว”

หลี่หลานเหมือนยกภูเขาออกจากอก มองดูแขกผู้มีเกียรติที่มากันมากมายจนล้นงาน และพูดเสียงเบาว่า :“เต้าหลินจะมาถึงเมื่อไหร่ ? แขกเหล่านี้ล้วนเป็นคนใหญ่คนโต ฉันกับพ่อแม่เจ้าสาวรับหน้าไม่ไหวหรอกนะ ”

“นายท่านอยู่ระหว่างมาแล้วครับ ”

ท่านหลงพูดอย่างเคารพ ทันใดนั้นดวงตาก็เปล่งประกาย :“นายหญิง คุณชายมาแล้วครับ ”

หลี่หลานมองตามสายตาของท่านหลง

เฉินตงที่อยู่ในชุดสูทเดินมาอย่างช้าๆ

ด้วยรูปร่างที่สูงสง่า กับชุดสูทและรองเท้าหนัง บวกกับรูปลักษณ์ใบหน้าที่งดงาม เฉินตงที่ค่อยๆก้าวเข้ามา ดึงดูดสายตาอันน่าทึ่งของทุกคนให้หันมอง

รู้สึกได้ถึงการมองมาของผู้คนรอบข้าง

บนใบหน้าของเฉินตงอดไม่ได้ที่จะเผยความเย่อหยิ่ง รอยยิ้มที่มุมปากก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน

“คนใหญ่คนโตเหล่านี้……อดีตเคยเป็นคนตระกูล แม้จะพยายามทั้งชีวิต ก็คงไม่สามารถที่จะเชิญใครมาได้หรอกมั้ง ? แต่ตอนนี้กลับอยู่ในงาน เพื่อร่วมยินดี การได้รับเกียรตินี้ ไม่เสียเปล่าที่ตระกูลโจวถูกกำจัดทั้งครอบครัว”

เมื่อคิดในใจ เฉินตงก็เดินมาอยู่ตรงหน้าของหลี่หลานกับกู้โก๋ฮั๋วและคนอื่นๆ

“แม่ครับ คุณน้าคุณอาครับ ”

เฉินตงยิ้มแล้วเอ่ยเรียก :“ทางฝั่งเจียนเจียบอกว่า เสี่ยวหยิ่งเตรียมตัวใกล้จะเสร็จแล้วครับ”

งานฉลองมงคลสมรสนี้ เพราะมันยิ่งใหญ่เกินไป

ตระกูลเฉินและตระกูลกู้ ได้คาดการณ์เอาไว้แล้ว ดังนั้นเลยไม่ได้จัดเตรียมขบวนรถเพื่อรับตัวเจ้าสาวไว้

กู้ชิงหยิ่งในตอนนี้กำลังแต่งหน้าอยู่ในกระท่อมไม้ไผ่

“จ้าๆๆ”หลี่หลานกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เมื่อถึงเวลาฤกษ์ ก็เริ่มพิธีได้”

และในตอนนี้เอง

ท่านหลงก็รู้สึกประหลาดใจ

“ฉินเย่ คุณมาได้ยังไง ?”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้

ทุกคนต่างก็หันไปมอง

ท่ามกลางผู้คน ฉินเย่นั่งอยู่บนรถเข็น ชุดสูทปิดบังบาดแผลของร่างกาย มีเพียงใบหน้าที่ซีดเซียว เผยให้เห็นถึงความอ่อนแอ

และด้านหลังของเขา มีกูหลังคอยเข็นรถเข็นให้ และมีจางหยู่หลันคอยเดินตามอยู่ข้างๆอย่างจนใจ

ดวงตาของเฉินตงเย็นชา ท่าทีบูดบึ้ง :“จางหยู่หลัน ให้เธอดูแลฉินเย่อยู่ที่โรงพยาบาล ทำไมถึงพาเขามาที่นี่ได้ ?”

โดยไม่ทันให้จางหยู่หลันได้ตอบ

ฉินเย่ก็ยิ้มแล้วพูดว่า :“ผมเป็นคนขอให้พามาเอง งานแต่งงานของพี่ชายผมทั้งที หากผมไม่ตาย ยังไงก็ต้องมาร่วมยินดี ”

แม้เขาจะกำลังยิ้ม แต่ดวงตาของเขาไม่ได้ยิ้มตาม …

ภายใต้ความมืด

ฉินเย่อาศัยความมืด หนีออกจากเขตวิลล่าเขาเทียนซาน และเฝ้ารออยู่ที่ถนนปันซาน

มีไฟหน้ารถส่องมา จากที่ไกลๆ

เขาเดินไปที่กลางถนน

แกร๊ก!

เมอร์เซเดส-เบนซ์จี หยุดลงกะทันหัน

ประตูรถเปิดออก

กู้ชิงหยิ่งเดินลงมาอย่างสงสัย:“ฉินเย่ นายมีอะไรหรือเปล่า ?”

สีหน้าของฉินเย่หมองหม่น ดวงตาจ้องมองไปที่กู้ชิงหยิ่ง

ทำให้กู้ชิงหยิ่งประหม่าเล็กน้อย

และสองสามีภรรยากู้โก๋ฮั๋วที่อยู่บนรถ ก็ขมวดคิ้ว อย่างไม่พอใจเล็กน้อย

“ เสี่ยวหยิ่ง เธอมานี่ ฉันถามอะไรเธอหน่อย ”

ฉินเย่เหลือบมองไปที่รถเมอร์เซเดส-เบนซ์จีแวบหนึ่ง และกลับมามองที่กู้ชิงหยิ่งอีกครั้ง

กู้ชิงหยิ่งเดินไปหาฉินเย่

ฉินเย่ลดเสียงลง แล้วถามว่า :“เธอ แน่ใจจริงๆเหรอว่าเฉินตงคนนี้ เป็นเฉินตงตัวจริง ? ”

ร่างกายของกู้ชิงหยิ่งสั่นไหว ดวงตาเกิดความลังเลขึ้นวูบหนึ่ง

เธอพูดน้ำเสียงทุ้มต่ำไปว่า :“ฉินเย่ นายกับเฉินตงเป็นพี่น้องกัน ทำไมถึงยังถามคำถามแบบนี้อีก?”

“ตอบฉัน!”

ฉินเย่ขมวดคิ้ว สายตาเย็นชา

“นายคิดว่าเฉินตงตัวปลอม จะสละชีวิตเพื่อช่วยฉันงั้นเหรอ ?”

ใบหน้าที่สวยงามของกู้ชิงหยิ่งขุ่นเคือง :“พรุ่งนี้ก็เป็นวันมงคลของฉันกับเฉินตง สิ่งที่ฉันหวังคือคำอวยพรจากนาย ไม่ใช่ความสงสัยของนาย!”

พูดจบ เธอก็หันหลังแล้วกลับไปที่รถ

ฉินเย่ยิ้มเยาะออกมา แล้วเดินหลีกไปยังข้างถนน ไม่แม้แต่จะมองไปที่รถ แล้วหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ

รอจนกระทั่งรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ขับลงเขาไป

เขาพ่นควันออกมา แล้วทิ้งบุหรี่ลงบนพื้น ใช้เท้าเหยียบขยี้เพื่อดับไฟ

“พี่ชาย? เพราะพี่เป็นพี่ ผมเลยต้องปกป้องผู้หญิงโง่ๆของพี่!ผมได้ขึ้นชื่อว่าเป็นลูกทรพีฆ่าพ่อตัวเอง จะมีชื่อเสียงอื้อฉาวว่าฆ่าพี่ฆ่าน้องเพิ่มอีกชื่อจะเป็นไร เฉินตงนะเฉินตง พี่อยู่ที่ไหนกัน ? หรือ พี่ตายไปแล้ว ? หากเป็นอย่างนั้น เดินช้าๆในถนนยมโลกแล้วกัน เดี๋ยวผมจะตามไป !”

เสียงทอดถอนใจเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและเด็ดเดี่ยว

ฉินเย่เงยหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืน

ท้องฟ้าที่มืดมิด มองไม่เห็นดวงดาวและดวงจันทร์

เขาเชื่อในความรู้สึกของตัวเอง ด้วยความรู้สึกแบบนี้ เขาถึงได้ติดตามเฉินตงอย่างไม่ลังเลในตอนแรก

ช่วงนี้ เขายุ่งอยู่กับตระกูลเฉิน

ทุกอย่างที่เป็นเฉินตงคนตรงหน้านี้ เขาจับตามองมันอยู่ตลอด และความรู้สึกนั้นก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ

เขาถ่มน้ำลายลงบนพื้น

ฉินเย่กำลังจะมุ่งไปที่เขตวิลล่าเขาเทียนซาน

บนท้องถนน ก็มีเงาดำรูปร่างสูงใหญ่โผล่มา

ม่านตาของฉินเย่หดลง ไอสังหารที่รุนแรงก็ปะทุขึ้น

เขาหันหลังกลับทันที

ชายสามคนสวมหน้ากากก็มายืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว

มีสองคนก้าวเข้ามา แล้วจับตัวของฉินเย่กดลง

หวืด!

แสงเย็นวูบ

คนสุดท้ายดึงเอามืดสั้นออกมา

วืด!

แทงเข้าท้องของฉินเย่อย่างหนักหน่วง

เสียงหงุดหงิดฟึดฟัด ดวงตาของฉินเย่พร่ามัวไปชั่วขณะ ด้วยความตกใจ มือเขาจับแน่นไปที่ข้อมือที่ถือมีดสั้นนั้น

ชายชุดดำที่อยู่ตรงหน้า พูดอย่างเย็นชาว่า

“นาย จะยุ่งมากเกินไปแล้ว ตายซะเถอะ !”

หลังจากนั้น มือสั้นก็ถูกดึงออกจากร่างของฉินเย่

ชายสามคนที่ปิดบังใบหน้าก็หันหลังแล้วจากไป อย่างรวดเร็ว

ในชั่วพริบตา ถนนบนภูเขาก็เหลือเพียงฉินเย่คนเดียว

ฉินเย่ยืนอยู่ที่เดิม ความเจ็บปวดในช่องท้องแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย

เขารู้สึกได้ว่า เลือดในกายไหลออกมาจากบาดแผลอย่างหนักหน่วง

บนพื้น ก็มีกองเลือดไหลนองเต็มไปหมด

ตึกตัก!

ฉินเย่ตัวสั่น แล้วคุกเข่าลงตรงกองเลือดนั่น

สีหน้าซีดเซียว ความกลัวเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

ความตายใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

“เฉิน……เฉินตง……”

พึมพำอย่างไม่ท้อ มือขวาฉินเย่ที่เปื้อนเลือดหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋า แล้วกดไปยังเบอร์ผู้ติดต่อล่าสุด—จางหยู่หลัน

นั่นคือบันทึกการโทรในบ่ายวันนี้ที่เขาตำหนิจางหยู่หลันที่มาช่วยจัดห้องหอให้กับกู้ชิงหยิ่ง

เมื่อการต่อสายสำเร็จ

“ฮัลโหล ฉินเย่ คุณอยู่ไหน ? ”

ฉินเย่ยิ้มอย่างเศร้าหมอง :“เด็กน้อย ผมขอโทษนะ ”

ปัง!

ร่างกายฝืนทนไม่ไหวอีกต่อไป ล้มลงไปในกองเลือด

และในขณะเดียวกัน โทรศัพท์ก็หล่นลงไปในกองเลือดเช่นกัน

“ฉินเย่……คุณอยู่ไหน ? เกิดอะไรขึ้นกับคุณ ?”

ในสาย มีเสียงเป็นกังวลของจางหยู่หลันดังอยู่

ฉินเย่ที่นอนจมกองเลือดมองดูโทรศัพท์มือถือ ฝืนทนต่อไปไม่ไหว ราวกับมีเหล็กมาทับบนเปลือกตา แล้วค่อยๆหลับตาลง……

……

ภายในวิลล่า

จางหยู่หลันตะโกนร้องใส่โทรศัพท์ด้วยความตกใจ

เมื่อไม่ได้รับคำตอบ เธอก็ตื่นตระหนกตกใจขึ้นมาทันที

ดวงตาแดงก่ำ คลอไปด้วยน้ำตา

ภาพนี้ ถูกพบเห็นโดยหลี่หลานและคนอื่นๆที่กลับมาในวิลล่า

หลี่หลานเป็นกังวลขึ้นมาทันที:“เด็กน้อย เกิดอะไรขึ้น?”

“คุณน้า ฉินเย่เกิดเรื่องแล้ว ”

จางหยู่หลันร้องไห้โฮ

“เมื่อกี้เขาก็ยังอยู่นี่ ? แล้วตอนนี้เขาไปไหน ? ”สีหน้าของหลี่หลานเปลี่ยนไปทันที

ทุกคนในบ้านต่างก็ตื่นตกใจเช่นกัน

พรุ่งนี้ก็เป็นวันมงคลแล้ว

ทำไมฉินเย่มาเกิดเรื่องในตอนนี้ได้ ?

“เขามีธุระออกไปข้างนอก คุณน้า หนูควรทำยังไงดีคะ ? ”จางหยู่หลันจับมือหลี่หลานแน่น ทำอะไรไม่ถูก

“เพิ่งออกไป งั้นก็น่าจะไปได้ไม่ไกล ”

ท่านหลงพูดอย่างเคร่งขรึม:“คุนหลุน กูหลัง ออกไปหาฉินเย่กับหยู่หลันเดี๋ยวนี้”

ทั้งสามคนรีบออกไปจากวิลล่าอย่างทันทีทันใด

หลี่หลานก็ร้อนรนกระวนกระวาย เดินวนไปมา

“เป็นแบบนี้ไปได้ยังไง ? ทำไมเจ้าฉินเย่ถึงได้มาเกิดเรื่องได้ในตอนนี้ ? จะต้องไม่เป็นอะไร ต้องไม่เป็นอะไร”

“แม่ครับ คงไม่เป็นอะไรมากหรอก พรุ่งนี้เป็นวันมงคลของผมกับเสี่ยวหยิ่ง ไปพักผ่อนเถอะครับ มีคุนหลุนเขาอยู่ทั้งคน ”

เฉินตงที่นิ่งเงียบมาตลอด ก็เดินมาตรงหน้าของหลี่หลาน เอ่ยปลอบเสียงเบา

“เจ้าฉินเย่เกิดเรื่องขึ้น ลูกจะให้แม่นอนหลับได้ยังไง ?”หลี่หลานน้ำตาคลอเบ้า พูดอย่างเป็นกังวล

เฉินตงที่กำลังจะพูด

ท่านหลงก็พูดขัดขึ้นว่า :“คุณชาย พรุ่งนี้คุณเป็นตัวหลักในงาน ยังไงก็ขึ้นไปพักผ่อนก่อนเถอะครับ เรื่องของฉินเย่กระผมจะจัดการเองครับ คุณนายมีฟ่านลู่และเจียนเจียดูแล ไม่เป็นอะไรแน่นอนครับ ”

“ก็ได้ งั้นรบกวนท่านหลงแล้ว ”

เฉินตงพยักหน้ารับ และหันหลังกลับขึ้นไปยังชั้นบน

มองดูแผ่นหลังของเฉินตง ท่านหลงก็ค่อยๆหรี่ตาลง

ด้านข้าง มีฟ่านลู่ที่คอยปลอบหลี่หลาน แล้วพาหลี่หลานเดินไปนั่งลงยังห้องนั่งเล่น

มีเพียงฉู่เจียนเจีย ที่ยังยืนอยู่กับท่านหลง

“ท่านหลง เหมือนมีบางอย่างผิดปกติไปหรือเปล่า ?”ฉู่เจียนเจียเอ่ยถาม

“เย็นชาเกินไป”ท่านหลงพึมพำ “ความสัมพันธ์ระหว่างนายท่านกับฉินเย่ ไม่น่าจะเป็นแบบนี้ ”

ฉู่เจียนเจียพยักหน้า:“อันที่จริงแล้ว ในช่วงนี้งานในโครงการที่ฉันรับผิดชอบร่วมกับเฉินตง ลูกค้าก็ไม่พอใจเท่าไรนัก ฉันรู้สึกว่าเฉินตงเปลี่ยนไป”

หากไม่ใช่เพราะท่านหลงเป็นคนพูดขึ้นมาเสียก่อน

ฉู่เจียนเจียก็คงไม่พูดคำพูดเหล่านี้ออกมา

ภูมิหลังและสถานะทางครอบครัวระหว่างเธอกับเฉินตง มันต่างกันราวฟ้ากับเหว

ตระกูลฉู่กับเฉินตงร่วมงานกัน พูดกันตามตรงก็คือพวกเขาอาศัยเฉินตงพึ่งพาตระกูลเฉิน

คำพูดที่ไม่เคารพแบบนี้ เธอไม่กล้าพูดมันไปตรงๆแน่

ท่านหลงพยักหน้า แล้วหันไปมองหลี่หลานในห้องนั่งเล่น

พึมพำเบาๆว่า:“อันที่จริงแล้ว ทุกคนต่างก็รู้สึกเหมือนกัน แต่มันก็เป็นเพียงความรู้สึกเท่านั้น รูปลักษณ์ของนายท่านก็ยังเป็นเหมือนเดิม แล้วใครจะกล้าพูดว่านายท่านไม่ใช่นายท่านล่ะ ? ”

ดวงตาของฉู่เจียนเจียกะพริบ อึกอักไม่กล้าพูดอะไรออกมา

และในเวลาเดียวกันนี้

บนท้องฟ้า

เครื่องบินรบราวกับนกอินทรี เสียงดังสนั่นบินผ่านท้องฟ้าในยามค่ำคืนด้วยความเร็วสูง

เฉินตงเอนหลังพิงเก้าอี้ งีบหลับเอาแรง

การเปลี่ยนเครื่องครั้งแล้วครั้งเล่านี้ ได้ยืนยันการคาดการณ์เบื้องต้นของเขา ว่าคุกมืดนี้เลวร้ายมากจริงๆ

การนั่งเครื่องบินรบเป็นเวลานาน ทำให้ร่างกายที่อ่อนแออยู่แล้วของเขา เกินที่จะรับได้

ในใจคำนวณเวลา เฉินตงเอ่ยถามเสียงเบา :“อีกนานแค่ไหนจะถึง?”

“ตามคาดการณ์ พรุ่งนี้ก็น่าจะถึง”

นักบินตอบกลับ

“วันที่15 พอดี!”

รอยยิ้มที่ผ่อนคลายปรากฏบนใบหน้าของเฉินตง ก้อนหินในใจที่หนักอึ้งก็ได้วางลง พึมพำเสียงทุ้มว่า :“ฉัน กลับมาแล้ว!

ทักษะการต่อสู้ของเฉินตงหากจะพูดว่าได้รับการถ่ายทอดมาจากคุนหลุนก็ไม่ผิด

คุนหลุนช่วยตระกูลเฉินฝึกปรือวิชาการต่อสู้ และยังถือได้ว่าเป็นอาจารย์ของคนรุ่นหลังในตระกูลเฉิน

แต่ป๋ากลับรับทุกกระบวนท่าการต่อสู้ของคุนหลุนได้ และดูจะคุ้นเคยกว่าเฉินตงเอง อย่างเห็นได้ชัด และรู้ลึกซึ้งกว่าด้วย

สิ่งนี้ทำให้เฉินตงรู้สึกประหลาดใจนัก

ดวงตาของป๋าเป็นประกายชั่ววูบ ใบหน้าที่มีหนวดเคราของเขาลังเล

และในที่สุด เขาก็ยิ้มออกมา :“ก็นับว่าเป็นทั้งครูและเป็นทั้งเพื่อนล่ะมั้ง ”

ประโยคง่ายๆ

เฉินตงพยักหน้า แสดงความเคารพแล้วพูดว่า :“ขอบคุณที่ดูแลผมตลอดเวลาที่ผ่านมา”

“นายเป็นศิษย์ของคุนหลุน ยังไงฉันก็ต้องดูแล จะขอบคุณก็ต้องขอบคุณที่นายมีอาจารย์ที่ดี”

ป๋าโบกมือ แล้วชี้ไปที่เครื่องบินรบ :“รีบไปเถอะ”

และเฉินตงก็ขึ้นไปยังเครื่องบินรบ

เครื่องบินที่เตรียมรอไว้นานแล้วก็มีเสียงดังสนั่น ส่วนหางมีเปลวไฟพวยพุ่ง แล้วทะยานสู่ท้องฟ้า

มองดูทะเลหมอกนอกหน้าต่าง หิมะที่ขาวโพลน โปรยปรายปกคลุมไปทั่วพื้นดินเบื้องล่าง

และในหิมะที่ขาวโพลนนี้ คุกมืดอันมืดมิดก็ค่อยๆเงียบสงัดลง และเล็กลงไปเรื่อยๆในสายตาของเฉินตง

คุกมืดนี้ ทำให้เฉินตงรู้สึกราวกับกำลังฝันและมันไม่มีอยู่จริง

แต่ความเจ็บปวดของร่างกาย ก็คอยย้ำเตือนกับเขา ว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องจริง

ความสงสัยทั้งหมดที่เกิดขึ้น ก็เติมเต็มอยู่ในความทรงจำของเขา

ราวกับปุยฝ้าย ที่พันกันยุ่งเหยิงไปหมด

ความสัมพันธ์ระหว่าง เฉินเต้าจูนกับพ่อมันยังไงกัน ?

เห็นได้ชัดว่าพ่อของเขาเป็นคนพาตัวเฉินเต้าจูนมาที่คุกมืดนี้ แล้วจองจำมานานกว่ายี่สิบปี เฉินเต้าจูนเองปล่อยวางความแค้นนี้ได้ยังไง ?

อีกอย่างคุกมืดนี้ ทำให้เฉินตงรู้สึกพร่ามัวแยกแยะได้ไม่ชัดเจน เพราะถูกปกคลุมไปด้วยหมอกหนา

มันทำให้เขาสงสัย แต่ในเวลาเดียวกันเขาก็ไม่รู้ว่ากำลังสงสัยอะไร

ในที่สุด ก็เป็นการสมคบคิดของคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินและคนตระกูลฉิน

สิ่งนี้ ก็เป็นสิ่งที่เฉินตงคิดไม่ตก

ตามหลักแล้ว หากฆ่าเขาซะตระกูลโจวคนนั้นก็สามารถแทนที่เขาได้ทุกอย่าง

แต่คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินและคนตระกูลฉินกลับปล่อยเขาไปไว้ในคุกมืดดินแดนรกร้างที่ถูกลืม

มีเพียงป๋าและเฉินเต้าจูนในคุกมืด ที่ทำลายแผนชั่วของพวกเขาได้อย่างราบคาบ

“บางที พวกเขาเองก็คงคิดไม่ถึง ดินแดนรกร้างที่จองจำเราไปตลอดชีวิต แต่กลับใช้เวลาอันสั้นไม่ถึงเดือน ก็สามารถหลุดพ้นออกมาได้ ?”

มุมปากของเฉินตงเผยยิ้มอันเยือกเย็น ดวงตาแผ่ไอสังหาร :“อยากจะเห็นจริงๆ เวลาที่พวกคุณเห็นผมปรากฏอยู่ตรงหน้า กับท่าทีที่ประหลาดใจนั้น ”

ยกมือขึ้น แล้วลูบไปที่หน้า

เฉินตงกักเก็บทุกความสงสัยในใจ

มองดูทะเลหมอกนอกหน้าต่าง ดวงตาของเขาอ่อนลง แล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน :“เสี่ยวหยิ่ง รอผมนะ !”

……

ภายในเขตวิลล่าเขาเทียนซาน

แสงไฟภายในวิลล่า ประดับประดาโคมหลากสีสัน

ห้องหอได้จัดไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

วิลล่าทั้งหลังเต็มไปด้วยบรรยากาศอันชื่นมื่น

ที่ระเบียง ลมในยามค่ำคืนเย็นสบาย

กู้ชิงหยิ่งพิงไปที่ราวกั้น มองดูวิวในยามค่ำคืน แล้วรู้สึกประหม่าเล็กน้อย

ด้านหลัง มีมือใหญ่คู่หนึ่งค่อยๆโอบมาที่เอวของเธอ กลิ่นที่คุ้นเคยพัดเข้าจมูก

ใบหน้าสวยของกู้ชิงหยิ่งเห่อแดงขึ้น และร่างกายที่บอบบางของเธอก็ไหวสั่นเล็กน้อย ราวกับถูกไฟช็อต

“ตื่นเต้นเหรอ?”

เฉินตงวางศีรษะลงบนไหล่ของกู้ชิงหยิ่ง หายใจรดต้นคอ

“คุณไม่ตื่นเต้นเหรอ ? พรุ่งนี้ก็จะเข้าพิธีแต่งงานแล้ว ”

กู้ชิงหยิ่งรู้สึกถึงลมหายใจร้อนๆที่รดข้างใบหู ทำให้เธอหูแดง ดิ้นไปมา พยายามให้หลุดออกจากวงแขนของเฉินตง

เฉินตงดึงเบาๆ ทำให้ร่างกายของกู้ชิงหยิ่งกับเขาแนบชิดกันมากขึ้น

พูดอย่างอ่อนโยนไปว่า :“คืนนี้ไม่ไปไม่ได้เหรอ?”

กู้ชิงหยิ่งตกใจ หันกลับมา มองเฉินตง :“คุณลืมเรื่องที่เราตกลงกันแล้วเหรอ ?”

“แค่วันเดียว” เฉินตงมองดูกู้ชิงหยิ่งอย่างรักใคร่เสน่หา

กู้ชิงหยิ่งมองสบตาเขา สติเลือนรางเล็กน้อย

ภายใต้แสงไฟสลัว

ใบหน้าของเฉินตงค่อยๆขยับเข้าหากู้ชิงหยิ่ง

กู้ชิงหยิ่งรู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นเร็วขึ้น ราวกับจะทะลุออกมาข้างนอก และร่างกายเธอก็ร้อนรุ่มตาม

แต่ สติก็ทำให้เธอผลักเฉินตงออก

“เฉินตงคะ เราไปดูว่าห้องหอจัดไปถึงไหนกันแล้วดีกว่าคะ ?”

กู้ชิงหยิ่งยิ้มแล้วดึงมือของเฉินตง เดินลงไปยังชั้นล่าง

ภายในห้องนอนใหญ่ เวลานี้มีเสียงหัวเราะของหลี่หลานกับท่านหลงและคนอื่นๆ

กู้โก๋ฮั๋วและหลี่หวั่นชิงก็รีบตามมาก่อน

อีกทั้งมีคุนหลุน กูหลัง ฉินเย่และจางหยู่หลัน

แม้แต่ฉู่เจียนเจียที่อยู่ในเมืองหลวง ก็มาถึงในชั่วข้ามคืน

ทุกคนต่างช่วยกันจัดห้องหอให้สวยสดงดงาม

“ท่านหลง พรุ่งนี้เต้าหลินจะมาถึงกี่โมงคะ ? ”

หลี่หลานดีใจมาก ใบหน้าเปล่งปลั่ง ประกายสุขสมหวัง

เส้นทางความรักสามปีของเฉินตง คนเป็นแม่อย่างเธอก็เห็นมันมาตลอด และรู้สึกปวดใจนัก

แต่เธอในตอนนี้ เหมือนไม้ใกล้ฝั่ง และเป็นภาระของลูกชาย

แต่ทุกวันนี้ ทุกอย่างมันผ่านพ้นไปแล้ว ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสเสมอ

ไม่ว่าจะเป็นกู้ชิงหยิ่งหรือกู้โก๋ฮั๋วสองสามีภรรยา ก็ทำให้เธอมีความสุขมาก

สมัครสามัคคีเป็นครอบครัวเดียวกัน

ต่างฝ่ายต่างหลอกกันไปมาห้ำหั่นฟาดฟันกัน จะเป็นครอบครัวเดียวกันได้ยังไง ?

เมื่อได้ยินชื่อเฉินเต้าหลิน ดวงตาของกู้โก๋ฮั๋วก็เป็นประกาย จ้องมองไปที่ท่านหลงด้วยเช่นกัน

ความพยายามมานานหลายปี เขาไม่คิดว่าลูกสาวของเขาจะเป็นคนทำมันได้สำเร็จ

สายตาของลูกสาว ช่างไกลเกินกว่าคนเป็นพ่อจะคาดคิด !

ต่อให้กู้โก๋ฮั๋วจะฝัน ก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่า เขากับตระกูลเฉินที่ยิ่งใหญ่ จะเกี่ยวดองและเป็นญาติกันกับเฉินเต้าหลินได้

“นายหญิง นายท่านยุ่งๆ พรุ่งนี้เช้าก็มาถึงครับ ”ท่านหลงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“พ่อคนนี้ ลูกชายแต่งงานทั้งที กลับจะมาในวันแต่งซะงั้น ”หลี่หลานแสร้งทำเป็นบ่น

กู้โก๋ฮั๋วหัวเราะ:“คุณแม่ยาย ไม่เป็นไรหรอก คุณพ่อตาเขาธุรกิจรัดตัว เข้าใจได้”

ขณะนี้เอง

กู้ชิงหยิ่งจับมือเฉินตงเดินลงมา

เมื่อเห็นห้องหอที่ถูกจัดขึ้น กู้ชิงหยิ่งก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข

และรีบเอ่ยขอบคุณกับทุกคน

หลี่หลานจับมือของกู้ชิงหยิ่ง :“เด็กโง่ ครอบครัวเดียวกัน ยังจะต้องพูดขอบคุณอะไรกัน ?”

ใบหน้าของกู้ชิงหยิ่งขึ้นสีแดงระเรื่อ เธอก้มหน้าอย่างเอียงอาย

ภาพนี้ ทำให้ทุกคนต่างก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน

หลี่หลานมองไปที่เฉินตงอย่างจริงจัง:“ตงเอ๋อ ต่อไปต้องดีกับเสี่ยวหยิ่งให้มากๆ หากลูกกล้ารังแกเธอ อย่าหาว่าแม่ใจร้ายแล้วกัน”

“รู้แล้วครับ” เฉินตงยิ้ม แล้วตอบอย่างใจเย็น

ดวงตาของหลี่หลานส่องแสงระยิบระยับ

ตั้งแต่ที่เฉินตงกลับมาจากไห่ย่าท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไป

จุดนี้ ในฐานะคนเป็นแม่ หลี่หลานรับรู้ได้อย่างชัดเจน

ตั้งแต่เล็กจนโต ทุกย่างก้าวของเฉินตง ก็ไม่พ้นสายตาของเธอ

แต่การเปลี่ยนไปเล็กน้อยนี้ มันทำให้เธอเกิดความสงสัย แต่ก็ไม่ได้ทำให้คิดมากอะไร

“โอเคครับ นี่มันก็ดึกมากแล้ว เสี่ยวหยิ่งเรากลับกันเถอะ ”

หลี่หวั่นชิงเอ่ยเตือน

คืนก่อนวันแต่งงาน บ่าวสาวไม่ควรพบกัน แต่เพื่อให้ลูกสาวได้พอใจกับบ้านหลังใหม่ ก็เลยไม่ได้เข้มงวดอะไร

“รู้แล้วค่ะ แม่”

กู้ชิงหยิ่งพยักหน้ารับ แล้วเอ่ยลากับทุกๆคน

หลี่หลานพาคุนหลุน ท่านหลงกับฉู่เจียนเจียและคนอื่นๆไปเลี้ยงส่ง

มีเพียงฉินเย่ ที่รั้งท้าย ไม่ได้ขยับไปไหน

ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาไม่ได้แสดงออกถึงความพอใจ

ในดวงตา มีเพียงความเย็นชา

“ฉินเย่คุณทำอะไรอยู่คะ ? งานมงคลของเฉินตงกับกู้ชิงหยิ่ง อย่าทำหน้างอแบบนี้สิคะ ”จางหยู่หลันถามด้วยความสงสัย

“แล้วมันธุระอะไรของคุณ?”

ฉินเย่เหลือบมองไปที่จางหยู่หลัน ทำให้จางหยู่หลันยืนแข็งทื่อในทันที ดวงตาแดงก่ำขึ้นมาเล็กน้อย

จากนั้น

ฉินเย่ก็ปืนออกทางหน้าต่างของวิลล่า วิ่งฝ่าไปในความมืด แล้วออกไปจากเขตวิลล่าเขาเทียนซานไป

“กู้ชิงหยิ่ง เธอไม่สงสัยอะไรเลยเหรอ ? ”

เมื่อเฉินตงเดินตามป๋าเข้าไปในห้องควบคุม

เต้าจูนเอนหลังพิงเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน และสูบซิการ์อยู่

ชายชราผมหงอกนั่งอยู่ด้านข้าง

เมื่อเห็นเฉินตง ชายชราผมหงอกก็ลุกขึ้น แล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน

“เฉินตง นั่งสิ”

ป๋าที่ยืนอยู่ด้านข้างพูดขึ้น :“นี่คือพัศดีของคุกมืดนี้ ”

ผู้มีอำนาจสูงสุดของคุกมืดนี้ !

เฉินตงตะลึงงัน แต่เมื่อคิดได้ว่าตัวเองผ่านการต่อสู้มาสิบครั้งและชนะแล้วได้เจอกับพัศดี ก็สมเหตุสมผลอยู่

ยิ่งไปกว่านั้น พูดกันตามตรง ตัวเขาเองก็รู้สึกว่าการต่อสู้สิบครั้งแล้วชนะนี้ เป็นไปด้วยวิธีการที่ไม่เหมาะสมในการชนะ

หากไม่ใช่เพราะ“การกระทำ”ของเต้าจูน โอกาสที่เขาจะได้เจอกับเต้าจูนในสังเวียนสุดท้ายก็คงยาก

และตอนนี้พัศดีก็มาปรากฏตัว ไม่แคล้วคงเกี่ยวข้องกับสิบสังเวียนเป็นแน่

ในใจของเฉินตงอดไม่ได้ที่จะตั้งคำถาม เป็นเรื่องเกี่ยวกับการจะออกไปจากคุกมืดนี้หรือไม่

เต้าจูนพูดอย่างสงบ:“นั่งลงสิ นายมีคุณสมบัติที่จะออกไปจากคุกมืดนี้แล้ว ”

เฉินตงมองไปยังเต้าจูน ในใจที่หนักอึ้งก็ผ่อนคลายลง แล้วนั่งลง

ภายในห้องควบคุม

เงียบไม่มีเสียง

หลังจากผ่านการต่อสู้มา ร่างกายของเฉินตงอ่อนล้าหมดแรง และการนั่งบนเก้าอี้ในตอนนี้ ทุกวินาทีเป็นไปด้วยความทรมาน

ความเจ็บปวดทั้งร่างกาย ทำให้เขามีใบหน้าซีดเซียว และมีเหงื่อออกราวกับสายฝน

แต่เขาก็ไม่ได้แสดงออกถึงความเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย ดวงตาเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว

“นายเก่งมาก”

เต้าจูนยิ้มแล้วพยักหน้าให้กับชายชราผมหงอก

“อุปนิสัย ความสามารถ ความรับผิดชอบ ล้วนยอดเยี่ยม”ชายชราผมหงอกก็เห็นด้วยเช่นกัน

เฉินตงรู้สึกประหลาดใจ เรียกฉันมา เพื่อจะกล่าวชมเชยต่อหน้า ?

ความเจ็บปวดในร่างกาย และเวลาที่กระชั้นชิด ทำให้เฉินตงนั่งรอต่อไปไม่ไหว

เขาต้องรีบกลับบ้าน

เฉินตงสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วถามข้อสงสัยที่มีอยู่ในใจ :“ผู้อาวุโสเต้าจูน คุณรู้จักพ่อผม ?”

“ผู้อาวุโส?”

เต้าจูนเลิกคิ้ว ยิ้มอย่างเรียบง่าย แล้วพูดว่า:“เต้าจูน เป็นชื่อของฉัน จริงๆ แล้วฉัน……แซ่เฉิน”

เฉินเต้าจูน ?

เฉินเต้าหลิน ?

เฉินตงขมวดคิ้ว แล้วจิปาก ทันใดนั้นก็นึกออกขึ้นมา และใบหน้าก็ตกตะลึง

“เข้าใจแล้ว?”

เฉินเต้าจูนยิ้มอย่างอ่อนโยน:“นาย ควรเรียกฉันว่าลุง!”

โครม!

เมื่อหัวสมองคาดเดาเรื่องราวต่างๆเอาไว้ และได้รับการยืนยันจากปากของเฉินเต้าจูนเอง

เฉินตงรู้สึกราวกับนั่งอยู่บนขี้ผึ้ง

พี่ชายของพ่อ อยู่ในคุกมืดนี้ ?

อีกทั้งยังคุมคุกมืดนี้มายี่สิบกว่าปี ?

และอื่นๆอีกมากมาย!

ความตระหนกตกใจในแววตาของเฉินตงก็ทวีความรุนแรงมากขึ้นไปอีก

ยี่สิบกว่าปี เป็นตัวเลขที่ประมาณการ

และเขาก็พอจะคาดเดาเหตุการณ์บางอย่างได้บ้างแล้ว

ยี่สิบกว่าปีที่แล้ว น่าจะประมาณช่วงที่เขาเกิด เป็นช่วงที่พ่อกลับไปยังตระกูลเฉินเพื่อสืบทอดตำแหน่ง และยังเป็นช่วงที่เฉินเต้าจูนถูกจองจำในคุกมืดนี้

ตัวเลขที่ประมาณการนี้ รวมกับเหตุการณ์ต่างๆที่เกิด ก็ประจวบเหมาะกันทุกอย่าง และมีความเป็นไปได้ที่สุด

และด้วยความสามารถของเฉินเต้าจูน ก็คงจะเป็นหนึ่งในผู้สืบทอดของตระกูลเฉินในเวลานั้นด้วยเช่นกัน !

“ฟู่~”

และในตอนที่เฉินตงกำลังตกใจอยู่นั้น เฉินเต้าจูนก็สูบซิการ์ และพ่นควันไปที่ใบหน้าของเฉินตง

เฉินตงถึงกับสำลักควันแล้วไอออกมา

ผ่านควันไฟ เขามองเห็น ท่าทีของเฉินเต้าจูนก็เย็นชาและเคร่งขรึมขึ้นทันใด

เสียงที่เยือกเย็นก็ดังขึ้น

“ด้วยสมองของนาย ก็น่าจะเดาได้ ในตอนนั้นฉันถูกพ่อของนาย ส่งมาที่คุกมืดนี้ ? ”

เสียงราวกับลมหนาวที่พัดมาจากขุมนรก ทำให้ร่างกายเฉินตงเย็นเยือกลงทันที

ความรู้สึกกลัวแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย

พ่อส่งเฉินเต้าจูนมาที่คุกมืดนี้ และถูกจองจำมานานกว่ายี่สิบปี

ความแค้นที่ฝังลึกนี้……

เมื่อเสรีภาพของคนคนหนึ่งถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง ความเกลียดชังที่ก่อตัวขึ้น แม้จะมีความสัมพันธ์ทางสายเลือด ก็อาจเปราะบางจนยากที่จะทนได้

แต่แล้ว เฉินตงก็ขมวดคิ้วนิ่งแล้วมองไปที่เฉินเต้าจูนที่เย็นชาและเคร่งขรึม

“เพราะฉะนั้น ลุงถึงได้ปกป้องผมเพื่อให้ได้ออกไปจากคุกมืดนี้ ?”

“เชรด!”

เฉินเต้าจูนเอนหลังพิงไปที่เก้าอี้ แล้วสบถด่า

ยักไหล่ แล้วพูดอย่างเอือมๆไปว่า :“ไอเด็กคนนี้เหมือนพ่อมันไม่มีผิด ฉลาดไหวพริบดี ที่จริงแล้ว ฉันก็ไม่โทษเขา ชนะเป็นเจ้าแพ้เป็นโจร เขาชนะเพราะความสามารถของเขา ฉันอยู่ในคุกมืดนี้ก็มีความสุขสบายดี”

หลังจากที่พูดจบ เฉินเต้าจูนก็โบกมือ

“ที่ควรพูดก็พูดไปแล้ว นายเองก็ไปจากคุกมืดนี้ได้แล้ว ”

บทสนทนาเพียงสั้นๆ แต่ก็เผยให้เห็นความจริงที่น่าเหลือเชื่อ

ไม่เพียงแค่เฉินตงเท่านั้นที่ตกใจ

ป๋าที่อยู่ข้างๆก็ตกใจมากไม่แพ้กัน

จนกระทั่งเฉินตงลุกขึ้น ป๋าก็ยังคงมึนงงอยู่ไม่หาย

ใครจะไปคิดว่า คนใหม่ที่ถูกส่งตัวมาในคุกมืดนี้ กลับมีความสัมพันธ์ที่สนิทแนบแน่น กับคนที่คุมคุกมืดนี้มานานกว่ายี่สิบปีได้ ?

แค่ความสัมพันธ์นี้ ยังอธิบายการกระทำที่ผ่านมาของเต้าจูน ไม่ได้อีกเหรอ?

“เฉินตง……”

ชายชราผมหงอกก็ลุกขึ้นทันที

“ท่านพัศดี มีอะไรจะชี้แนะครับ ? ”

เฉินตงไม่ได้โง่ สถานการณ์ในตอนนี้ พัศดีไม่ได้จะไต่สวนเขาเรื่องเกมการต่อสู้ของสิบสังเวียน

ความกังวลที่มีก่อนหน้า ตอนนี้ได้มลายหายไปหมดแล้ว

“คุณเรียกผมท่านหลินก็ได้”

ชายชราผมหงอกยิ้มอย่างอ่อนโยน ไม่มีท่าทางที่น่าเกรงขามเหมือนเป็นผู้คุมในคุกมืดนี้:“เดินทางปลอดภัย อันตรายและความยากลำบากที่นายต้องเผชิญ มันยิ่งใหญ่และรุนแรงกว่าที่นายคิดเอาไว้มาก”

เฉินตงรู้สึกงงงวย

แต่เขาก็พยักหน้ารับ กุมมือขอบคุณ:“ขอบคุณครับท่านหลิน”

“ไปเถอะ ฉันได้ส่งเครื่องบินมารับนายแล้ว”

ท่านหลินโบกมือ และกำชับกับป๋าไปว่า :“ป๋า คุ้มกันเฉินตงออกไปด้วย”

“รับทราบครับ”

ป๋ารับคำสั่งด้วยความเคารพ แล้วมองไปที่ดวงตาของเฉินตงแต่ทุกอย่างกลับไม่เหมือนเดิมแล้ว

ในตอนแรก เขาเห็นเฉินตงเป็นคนที่มีผิวสีเดียวกัน เพราะฉะนั้นจึงได้รู้สึกสนิทสนมใกล้ชิดกัน

เมื่อรู้ว่าเฉินตงเป็นลูกศิษย์ของคุนหลุน ความสนิทสนมนี้ก็พัฒนาเป็นความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

แต่ตอนนี้ เฉินตงทำให้เขาเริ่มรู้สึกหวาดเกรงในใจและเริ่ม……ชื่นชม

ในตอนที่เฉินตงเดินไปถึงที่ประตู

ด้านหลังก็มีเสียงของเฉินเต้าจูนดังขึ้น :“ แล้วก็ หากมีอะไรเกิดขึ้น ก็บอกป๋าได้เลย เขาจะมาบอกฉันอีกที ลุงของแกทำอะไรไม่เป็น แต่หากจะฆ่าใครฝีมือก็ยังได้อยู่นอกจากนี้แล้ว ก็ฝากทักทายไปยังไอพ่อเฮงซวยของแกด้วย บอกว่า ……เย็บแม่ง!”

มุมปากของเฉินตงกระตุก และเขาก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ

แต่คำพูดของเฉินเต้าจูน กลับยิ่งทำให้เขาสงสัยมากขึ้นไปอีก

คุกมืดนี้ ไม่ใช่ว่าใครก็ออกไปไม่ได้ไม่ใช่เหรอ ?

วิธีเดียวที่จะออกไปจากที่นี่ได้ ยังลำบากยากเข็ญ

เฉินเต้าจูนที่คุมทั้งคุกมืดนี้มากว่ายี่สิบปียังไม่เคยที่จะออกไป คงต้องถูกอะไรสักอย่างกักขังเอาไว้เป็นแน่

ถ้าหากเขาตกอยู่ในอันตรายจริงๆ บอกเฉินเต้าจูน ที่อยู่ในคุกมืดที่ลึกถึงเพียงนี้ จะช่วยอะไรเขาได้ ?

กับความสงสัยที่อยู่ในใจ เฉินตงก็เดินตามป๋าออกจากห้องควบคุมไป

มองดูทั้งสองคนเดินจากไป

รอยยิ้มที่อ่อนโยนบนใบหน้าของเฉินเต้าจูน ก็ค่อยๆจางหายไป

ความเศร้าหมองเข้ามาแทนที่

เขาดับซิการ์อีกครึ่งนั้นทิ้ง แล้วพึมพำว่า:“ซิการ์นี้ ช่างไม่มีรสชาติอะไรเอาซะเลย ”

“อยากแก้แค้น ? แต่กลับช่วยลูกชายของศัตรูออกไปจากคุกมืด ไม่มีความสุข ?”ท่านหลินพูดแล้วหัวเราะออกมา

เฉินเต้าจูนชำเลืองมองไปยังท่านหลิน :“คุณพูดแบบนี้ ไม่มีสำนึกผิดชอบชั่วดีเลยหรือไง ?”

ท่าทีของท่านหลินแข็งทื่อ แล้วยิ้มแห้งออกมา

คุกมืดแทนที่จะเป็นที่คุมขัง ไม่สู้เรียกว่าเป็นเมืองยังจะดีเสียกว่า

เมืองคุกมืด !

ความใหญ่โตมโหฬารเช่นนี้ เฉินตงผู้ซึ่งเป็นอิสระในเวลานี้ ภายใต้การดูแลของป๋า รู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก

เมื่อเดิมตามป๋ามาถึงสนามบินของคุกมืด

เครื่องบินรบลำหนึ่งรอพร้อมไว้แล้ว

เสียงเครื่องยนต์ดังสนั่น ส่วนหางเคลื่อนไหวไปมา

“เฉินตง เดินทางปลอดภัย ”

ป๋าพูดอย่างจริงใจ:“ดีใจกับนายด้วย ที่ได้ออกไปจากคุกมืดนี้ ”

“ขอบคุณครับ”

เฉินตงกล่าวอย่างอ่อนแรง บาดแผลบนร่างกาย หลังจากที่ออกมาจากห้องควบคุม ป๋าได้พาเขาไปที่สถาบันการแพทย์รักษาอาการเบื้องต้นแล้ว ณ ตอนนี้น่าจะยังไม่มีปัญหาอะไร

เมื่อมองไปที่ป๋า ดวงตาของเฉินตงกลอกกลิ้งไปมา

เขาเอ่ยปากถาม:“ป๋า ขอละลาบละล้วงถามคุณสักคำถาม คุณกับคุนหลุน มีความสัมพันธ์ยังไงกัน ?

ปัง!

หมัดนี้พุ่งตรงไปยังใบหน้าของเต้าจูน

ด้วยพลังอันมาก ทำให้ใบหน้าของเต้าจูนเสียรูป

แต่สีหน้าของเขา ก็ไม่ได้แสดงความเจ็บปวดออกมาเลยแม้แต่น้อย

ตรงกันข้าม กลับเผยรอยยิ้มที่อ่อนโยนออกมา !

เฉินตงตกตะลึง

มองดูเต้าจูนด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อ ในตอนนี้เขาไม่รู้สึกถึงไอสังหารที่มีในตัวของเต้าจูน หรือแม้แต่ความเด็ดเดี่ยวก็ไม่มีเหลืออยู่

มีเพียง ความอ่อนโยน และเข้าถึงง่าย

“คุณ ทำไมถึงไม่หลบ ? ”

น้ำเสียงของเฉินตงสั่นเครือเล็กน้อย นี่เป็นหมัดสุดท้ายของเขา

ความอ่อนล้าของกำลังในหมัดสุดท้าย ด้วยสภาพร่างกายและความสามารถที่มีของเต้าจูน หากจะหลบ ก็เพียงแค่เบี่ยงหน้าเท่านั้น

“แล้วทำไมต้องหลบ?”

เต้าจูนยิ้ม แล้วพูดว่า :“พ่อของนาย สบายดีไหม?”

พ่อ?!

ในใจเฉินตงเหมือนมีคลื่นลูกใหญ่ เขาก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว :“สบาย สบายดี”

จู่ๆ ในหัวก็ยุ่งเหยิงไปหมด

เต้าจูน……รู้จักพ่อ ?

ในเวลานี้ ภายในคุกมืดก็เงียบกริบ

ภาพเมื่อครู่นี้ เกินความคาดหมายของทุกคน

บรรดานักโทษ รวมไปถึงผู้คุมในคุกมืดทุกคนต่างตกตะลึงอ้าปากค้างทำอะไรมาถูก

นี่คือเต้าจูนผู้อยู่เหนือคนทั้งปวง ?

ผู้กุมอำนาจที่น่ากลัวในเรือนจำนี้เลือกที่จะรับหมัดนี้ไว้ ?

“ฟู่~”

เต้าจูนพ่นลมหายใจ ยกมือขึ้นลูบไปยังใบหน้าที่เจ็บปวด พึมพำว่า :“ฝีมือนายไม่เลว ต่อยได้เจ็บจริงๆ สังเวียนนี้ นายชนะ!”

อะไรนะ?!

ร่างกายเฉินตงสั่นไหว จ้องมองไปยังเต้าจูนด้วยความตกใจจนทำอะไรไม่ถูก

ทันใดนั้น

เต้าจูนก็เงยหน้าขึ้น แล้วมองไปยังกล้องวงจรปิดเหนือศีรษะ

จากนั้น ภายใต้สายตาของทุกคน เขายกมือขวาขึ้น ชูนิ้วกลางอย่างเปิดเผยและไม่มีปิดบังอะไร

“เย็บแม่ง!”

พอด่าเสร็จ เขาก็หันหลังแล้วกระโดดลงเวที

“เด็กน้อย นายเก่งมาก !”

เต้าจูนเดินไป ยิ้มแล้วก่นด่าไปว่า :“คนอย่างเฉินเต้าหลินมีลูกชายแบบนายได้ ทำไมเขาถึงได้พบเจอแต่เรื่องอะไรที่มันดีๆกัน?”

นี่เขากำลังชมเรา ? หรือกำลังด่าพ่อเรากัน ?

เฉินตงรู้สึกสับสนและมึนงง

เพียงไม่นานเขาก็ได้สติและคิดขึ้นมาได้ว่า ……เขาชนะแล้ว!

ราวกับฝันไป สิบสังเวียนและสิบชัยชนะ!

ตึกตัก!

เฉินตงล้มลงไปบนเวที ความเจ็บปวดและความเหนื่อยล้าแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย แม้แรงที่จะลุกขึ้นนั่งก็ยังไม่มี

แต่ใบหน้าของเขา ก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มที่แวววาวสดใส

“ได้กลับบ้านแล้ว ในที่สุดก็ได้ไปแต่งงานกับคุณซะที !”

การต่อสู้เวทีสุดท้าย ทำให้คุกมืดเกิดความโกลาหล

หลังจากความตื่นตกใจผ่านไป สิบคุกที่เสียงดัง ก็กึกก้องไปด้วยเสียงคำรามที่ไม่พอใจ

ในการต่อสู้กันระหว่างเฉินตงกับเต้าจูน คนโง่ก็ยังมองออกว่าเต้าจูนจงใจอ่อนข้อให้

สิ่งนี้ทำให้นักโทษทุกคน ต่างก็รู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรม

ทำไมเฉินตงสามารถเอาชนะได้ทั้งสิบสังเวียน และออกไปจากคุกมืดนี้ได้ ?

แล้วทำไมเต้าจูนถึงต้องอ่อนข้อให้เฉินตงด้วย ?

การลุกฮือในคุกมืด

ทำให้ผู้คุมในห้องควบคุมจำนวนมากต่างก็มีท่าทีเคร่งขรึม สุขุมและหนักแน่นขึ้นมาทันที

นักโทษที่ถูกคุมขังในคุกมืดนี้ล้วนเป็นเทพสังหารทั้งนั้น

นับตั้งแต่ที่ก่อตั้งคุกมืดมา ก็อาศัยสิบคุกที่เสียงดังคอยถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกัน เพื่อรักษาความมั่นคงภายใน

แต่ตอนนี้ การต่อสู้กันระหว่างเต้าจูนกับเฉินตง ทำให้ความโกรธของนักโทษสิบคุกที่เสียงดังพันกันจนเป็นเกลียว

ความโกรธแค้นนี้ ผู้คุมของคุกมืด ต่างก็ไม่มีใครแบกรับมันได้ !

“ท่านพัศดี การต่อสู้ครั้งนี้ไม่นับ!ไม่เช่นนั้นคุกมืดได้เกิดจลาจลแน่ !”

“ท่านพัศดี ตัดสินใจเร็วๆเถอะ เฉินตงจะออกไปจากคุกมืดนี้ไม่ได้ หากเขาออกไปแล้ว การต่อสู้สิบสังเวียนที่ต้องได้รับเพียงชัยชนะหลังจากนี้ก็จะไม่มีศักดิ์ศรีอีกต่อไป !”

“เต้าจูนทำแบบนี้ ก็เพื่อต้องการทำลายคุกมืดให้ราบคาบ !”

……

ในชั่วพริบตา สถานการณ์ในห้องควบคุมก็ชุลมุนขึ้นมา

ต่างก็เอ่ยพูดห้ามปรามกับชายชราผมหงอก

“ฟู่……”

ชายชราผมหงอกถอนหายใจออกมาอย่างแรง กำลังจะยกมือขึ้นพูด

แกร็ก!

ประตูห้องถูกเปิดออก

เต้าจูนเดินเข้ามาช้าๆ เลิกคิ้วแล้วยิ้ม:“โอ้ คึกคักกันจัง ?”

หลังจากพูดจบ ทุกคนต่างก็เงียบลง

ชายชราผมหงอกยิ้มแล้วหันกลับมา:“นายมาได้จังหวะพอดี ผลการต่อสู้สังเวียนเมื่อกี้นี้ นายคิดว่าทำยังไงดี ?”

“ง่ายนิดเดียว!”

เต้าจูนเดินไปยังแท่นเวทีในห้องควบคุมอย่างใจเย็น

หยิบไมโครโฟนขึ้นมา ส่งสัญญาณให้เจ้าหน้าที่กระจายเสียงไปยังเรือนจำในคุกมืดทั้งหมด

หลังจากนั้น

เขายิ้มเยาะแล้วพูดว่า :“ฉันรู้ว่าทุกคนไม่พอใจ แต่ฉันพอใจที่จะปล่อยให้เฉินตงออกไป ใครที่ไม่พอใจก็สามารถมาลองดูว่าจะทำให้ฉันพอใจได้หรือไม่ ”

“ฉันไม่ได้จะเจาะจงใครในคุกมืด กฎของการออกไปจากคุกมืดก็มีอยู่ ทุกคนสามารถมาท้าประลองได้ หรือจะมาท้าประลองกับฉันเต้าจูนก็ได้ !”

น้ำเสียงที่หยาบกระด้าง พูดแบบไม่ได้ประโยชน์แก่ผู้ฟังแต่ก็เป็นคำพูดที่ไม่ได้ผิดอะไร

คำเดียว “ฉันพอใจ”ทำให้คนที่รู้สึกอัดอั้น พูดอะไรไม่ออก

จาก คุกมืดที่เสียงดังกึกก้อง ก็กลับมาเงียบสงบลงอีกครั้ง

นักโทษทุกคนต่างก็รู้สึกจะกระอักเลือดกันขึ้นมา ท้าประลองกับเต้าจูนคงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วละมั้ง ?

เต้าจูนพอใจที่จะปล่อยเฉินตงออกไป แต่เต้าจูนก็ไม่ใช่คนที่จะอารมณ์ดีอยู่ตลอดเวลานี่นา !

คนที่มีกำลังมากพอที่จะควบคุมทั้งเรือนจำไว้ได้ ตอนนี้ออกมาพูดเปิดเผยแบบนี้ !

ป้าบ!

เต้าจูนโยนไมโครโฟนทิ้ง

หันกลับไปมองผู้คนที่อยู่ในอาการตกใจ แล้วยิ้มเย้ย :“เรียบร้อย หากพวกนายยังปัญหา ก็สามารถมาลองทำให้ฉันพอใจได้ ?”

คำพูดเดียว ทำให้ทุกคนเสียวสันหลังไปตามๆกัน

ทุกคนต่างก็รู้ดีว่า คำว่า “พอใจ”ของเต้าจูนหมายถึงอะไร

ท้าประลองกับเต้าจูน เพื่อโอกาสที่จะได้ทำให้เต้าจูนพึงพอใจ ?

ตลกละ!

นั่นมันตายสถานเดียว!

แต่สิ่งที่ผู้คุมทั้งหลายต่างก็ประหลาดใจนั้นก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างเต้าจูนกับเฉินตงนี่มันยังไงกัน ?

ไม่มีสาเหตุและเหตุผลที่จะพอใจหรือไม่พอใจ

ทุกคนต่างก็เป็นผู้ใหญ่กันแล้ว และใช้ชีวิตเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกันมามาก

และต่างก็รู้ดี ความสามารถส่วนตัวนั้นสำคัญมาก แต่บางครั้งเมื่อเจอคนที่ถูกใจ ต่อให้ความสามารถไม่มากพอ ก็สามารถที่จะบินทะยานขึ้นไปสู่ท้องฟ้าได้

เห็นได้ชัดว่า เฉินตงเมื่อได้เจอกับเต้าจูน ถึงได้ออกไปจากคุกมืดนี้ได้

“โอเค ลงไปกันได้แล้ว ”

ชายชราผมหงอกก็พูดออกมา :“ช่วงนี้ทุกเรือนจำก็เสริมกำลังเวรยาม เพื่อป้องกันการเกิดจลาจลด้วย ส่วนเต้าจูนกับป๋าอยู่ก่อน ”

ผู้คุมทุกคนต่างพยักหน้า ทำความเคารพแล้วถอยกลับไป

เต้าจูนที่ควบคุมทั้งเรือนจำ ไม่เพียงแต่กับนักโทษเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้คุมในเรือนจำนี้ด้วย

เมื่อห้องควบคุม เหลือเพียงเต้าจูนกับชายชราผมหงอก และป๋าสามคนเท่านั้น

เต้าจูนก็นั่งไปบนเก้าอี้อย่างสงบนิ่ง เอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน หยิบซิการ์ออกจากกระเป๋าแล้วจุดสูบ

ป๋าขมวดคิ้ว แล้วมองไปยังเต้าจูนกับชายชราผมหงอกด้วยความสงสัย

ไม่กี่วินาทีต่อมา

เมื่อเต้าจูนพ่นควันแรกออกมา ชายชราผมหงอกก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย

“ฉันไม่คิดว่า นายจะปล่อยเฉินตงไปง่ายๆแบบนี้”

โครม!

ร่างกายของป๋าสั่นไหว ภายในใจหวาดวิตก

คำพูดเดียวของท่านพัศดี เผยถึงบางอย่าง สำหรับเขาแล้วมันราวกับฟ้าผ่าตอนกลางวัน

ตั้งแต่ต้นจนจบ……มันมีการวางแผนเอาไว้แล้วงั้นเหรอ ?

เต้าจูนเหลือบมองไปยังชายชราผมหงอกแวบหนึ่ง :“คุณ เคยขู่ผมเอาไว้แล้วไม่ใช่เหรอ?”

ชายชราผมหงอกยักไหล่ :“นายก็รู้ คำขู่ของฉันไม่เคยมีผลอะไรกับนาย”

เต้าจูนยิ้มเยาะออกมา

แล้วเงยหน้าขึ้นมองป๋า :“ตอนนี้นายคงจะกำลังสงสัยอยู่ใช่ไหม ? ”

“ใช่แล้วเต้าจูน”ป๋าตอบไปตรงๆ

“สงสัยว่าทำไมฉันถึงจงใจปล่อยเฉินตงไป ? และรู้อยู่ว่าเฉินตงไม่สามารถมีชีวิตรอดมาขึ้นสังเวียนสุดท้ายกับฉันได้ และฉันก็ยังช่วยเขาปูทางกำจัดเสี้ยนหนามที่มี?”

ป๋าพยักหน้าอย่างเงียบๆ

เต้าจูนยักไหล่:“คนอื่นสงสัยก็ไม่แปลก แต่ทำไมนายถึงสงสัยด้วย ? เหตุการณ์เดียวกัน สิบปีที่แล้วนายก็เคยเห็นแล้วไม่ใช่เหรอ ? ”

ความสงสัยที่มีของป๋าก็ยิ่งทวีมากขึ้น

แต่ชายชราผมหงอกกลับตบไปที่ไหล่ของป๋า

“ไปพาตัวเฉินตงมาเถอะ เขาเองก็คงสงสัยเหมือนกันกับคุณ”

ภายในคุกมืด ต่างก็ตกตะลึง

ผู้ซึ่งสามารถคุมทั้งเรือนจำไว้ได้ กลับเป็นฝ่ายต้องมาตั้งรับ ?

นี่มันเรื่องตลกอะไรกัน

ปังๆๆ……

บนเวที เสียงหมัดที่หนักหน่วงพัดดังเข้าหู

หมัดของเฉินตงเหวี่ยงไปมาจนเกิดภาพซ้อน และโจมตีอย่างบ้าคลั่ง

และตัวเขาเองก็ไม่คิดว่า เต้าจูนจะเลือกเป็นฝ่ายตั้งรับ

“มีความเร็วแค่นี้เองเหรอ?”

ทันใดนั้น เต้าจูนก็หัวเราะออกมา

แย่แล้ว!

เฉินตงหัวใจกระตุกอย่างแรง

ทันใดนั้น ก็เห็นหมัดขวาของเต้าจูนพุ่งออกมา

ปัง!

เกิดเสียงดังขึ้น เฉินตงเซถลาไป แขนซ้ายของเขาสั่นไหวอย่างรุนแรง ราวกับจะระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ

“มา!”

ไม่รอให้เขาได้ยืนขึ้น เสียงของเต้าจูนก็ดังขึ้นทันที

รวดเร็วราวกับฟ้าผ่า

จู่ๆก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าของเฉินตง

ลูกเตะกลางอากาศ เตะเข้าตรงหน้าอกของเฉินตง

“ปึ้ง!”

เลือดพุ่งสาดกระจายไปในอากาศพร้อมกับร่างของเฉินตงที่ลอยละลิ่วกระเด็นไปยังด้านหลัง

หลังจากที่ร่วงลงพื้น หน้าอกของเฉินตงก็บุ๋มลง จากซี่โครงเดิมที่หักอยู่แล้ว เมื่อถูกเต้าจูนเตะจนยุบลงไปอีก ก็ทำให้ซี่โครงเดิมที่หักอยู่แล้วหักเพิ่มไปอีกสองซี่

“นายไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉัน ยอมแพ้แล้วจะมีชีวิตรอด หากไม่ ก็ตายสถานเดียว”

เต้าจูนค่อยๆเดินเข้าไปหาเฉินตง มองจากด้านบนลงมา ราวกับมองมด

“ฉันยอมตาย!”

ดวงตาเฉินตงเปลี่ยนเป็นสีแดง กัดฟันแล้วคำรามออกมา มือขวาของเขากดไปยังรอบยุบนั้น กุมไปยังกระดูกซี่โครงที่หักสามซี่ แล้วออกแรงดึง

กึก!

กระดูกขยับเขยื้อน เสียงดังชัดเจน

“ซี๊ด~”

ทั่วทั้งคุกมืด ก็เกิดเสียงลมหายใจเย็น ๆออกมาพร้อมกัน

ไอเด็กคนนี้ ยังเป็นคนอยู่หรือเปล่า ?

กับตัวเอง ยังโหดเหี้ยมได้ถึงเพียงนี้ ?

แต่เต้าจูนเอง ก็ยังคงแปลกใจไม่น้อย รอยยิ้มบนใบหน้าก็ชัดเจนยิ่งขึ้น

“มาต่อ!”

เฉินตงฝืนตัวยืนขึ้น ดวงตาแดงก่ำจ้องมองไปที่เต้าจูน

โครม!

ในจังหวะเดียวกัน ร่างกายของเต้าจูนก็ไหวสั่น แล้วก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าของเฉินตงอีกครั้ง

ปัง!

หมัดเดียว ทำให้ร่างของเฉินตงกระเด็นลอยไป และเลือดก็พุ่งออกมาอีกครั้ง

เลือดสีแดงแปดเปื้อนไปทั่วหน้าอกของเฉินตง

เลือดที่กระเซ็นไปทั่วบนใบหน้า ทำให้เขามีท่าทีที่ดูน่ากลัวยิ่งขึ้น

“คุนหลุนทำได้ ฉันก็ต้องทำได้”

ในตอนที่เขาฝืนยันกายลุกขึ้นอีกครั้ง เต้าจูนก็มายืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว

ปัง!

อีกหมัดหนึ่งซัดเข้าที่ลำตัวเขา ทำให้เฉินตงล้มลงไปอีกครั้ง

ถูกซัดจนล้มลงไปครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ยังคงฝืนตัวลุกขึ้นอยู่ทุกครั้ง และยังคงกระอักเลือดไม่หยุด

สภาพร่างกายของเฉินตงอาบไปด้วยเลือด แต่ก็ยังคงลุกยืนขึ้นอยู่ทุกครั้งอย่างเข้มแข็ง

สังเวียนชีวิตนี้ได้กลายเป็นการบดอัดขยี้อยู่เพียงฝ่ายเดียว

เต้าจูนเป็นผู้ได้เปรียบ ในขณะที่เฉินตงเป็นเหมือน “กระสอบทราย”

ภาพนี้ ทำให้ทั้งคุกมืดตกอยู่ในความเงียบ

ทุกสายตาต่างจ้องมองมายังร่างที่เปื้อนไปด้วยเลือด ดวงตาค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัว

แม้ว่าทุกคนจะโหดเหี้ยมและมีคนอย่างราชาทหารและเทพสงคราม

แต่พวกเขาก็ถามตัวเอง ว่าไม่สามารถทำได้อย่างเฉินตง ที่ถูกอัดจนล้มอยู่ซ้ำๆ และยังลุกขึ้นอย่างไม่กลัวตาย

ภายในห้องควบคุม

ชายชราผมหงอกและคนอื่นๆต่างก็ตะลึงไปตามๆกัน

ไม่ใช่ตะลึงกับการที่เฉินตงไม่กลัวตาย และฝืนลุกขึ้นอยู่ทุกครั้ง

แต่ตะลึงกับการต่อสู้ของเต้าจูน

“เต้าจูน เขาต้องการจะทำอะไรกันแน่ ? เขาสามารถฆ่าเฉินตงได้อย่างง่ายดาย แล้วทำไมยังมาทำเล่นอะไรแบบนี้?”อลิสรู้สึกประหลาดใจ “ด้วยนิสัยของเขาแล้ว เขาไม่ได้ชอบเล่นอะไรแบบนี้ ”

ในฐานะที่เป็นสมบัติส่วนตัวของเต้าจูน อลิสรู้จักเต้าจูน ดีกว่าใครๆ

เป็นเพราะรู้จัก เลยทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจ

บนเวที

บรรยากาศเป็นไปอย่างน่าเวทนา

ปัง!

หมัดของเต้าจูน ทำให้เฉินตงล้มลงอีกครั้ง

“คนอ่อนแอ ยังไงก็คือคนอ่อนแอ!”

เต้าจูนยิ้มเยาะอย่างหยามเหยียด มองไปยังดวงตาของเฉินตง เต็มไปด้วยความดูถูก

“เสี่ยวหยิ่ง ผม ผมจะแต่งงาน กับคุณ !”

ดวงตาของเฉินตงล่องลอย มีรอยยิ้มที่อ่อนโยนปรากฏ

จากนั้น เขาก็ลุกขึ้น!

“เหอะ!”

เสียงเยาะเย้ย ที่ดังออกมาจากปากของเต้าจูน และตามมาด้วยภาพซ้อนของหมัด ก็พุ่งโจมตีเฉินตงอีกครั้ง

ชั่วพริบตา

ดวงตาที่ล่องลอยของเฉินตง ก็นิ่งขึ้นมาทันที

ไม่ได้การละ!

ใบหน้าที่ดูหมิ่นของเต้าจูนก็หายไปในทันที

และในจังหวะเดียวกันนั้น

ร่างของเฉินตงก็ไหวสั่น สองมือราวกับงู เกาะเกี่ยวพันหมัดขวาของเต้าจูนเอาไว้

ชั่วพริบตา

เขาโน้มตัว ไปข้างหน้า แล้วกระแทกไหล่ชน

โครม!

เกิดเสียงดังขึ้น

เต้าจูนโซเซถอยหลังไปเจ็ดแปดก้าวได้

ยังไม่ทันที่จะได้ยืนนิ่ง สีหน้าของเต้าจูนก็เปลี่ยนไป มีเลือดไหลออกมาจากมุมปากของเขา

โครม!

คุกมืดก็มีเสียงโห่ร้องตกใจดังขึ้นมา

นักโทษทุกคนต่างตกตะลึง

การตั้งรับหมัดของเต้าจูนครั้งแล้วครั้งเล่า ก็เพื่อรอที่จะจู่โจมในตอนนี้ ?

และเต้าจูนเอง ก็อาเจียนเป็นเลือดออกมาจริงๆ!

“คุนหลุนพูดถูก ความสงบนิ่ง มันช่วยให้ฉันเจอช่องโหว่”

เฉินตงมองเต้าจูนที่กำลังกระอักเลือด รอยยิ้มที่มุมปากของเขาก็ดุร้ายขึ้นมา

“ฉัน ประเมินนายต่ำไป”

เต้าจูนยกมือขึ้นเพื่อเช็ดเลือดที่มุมปาก ท่าทีก็เคร่งขรึมจริงจังมากขึ้น

วินาทีถัดมา

ทั้งสองก็เคลื่อนไหวพร้อมกัน

ปังๆๆ……

หมัดและเท้าปะทะเข้าใส่กัน ราวกับประทัด กึกก้องไปทั่วทั้งเรือนจำ

ภาพของหมัดและเท้าทับซ้อนกันไปมา เกิดเสียงดังขึ้นต่อเนื่อง

ทุกคนต่างกลั้นหายใจแล้วจดจ่อ ในขณะเดียวกันก็แอบรู้สึกทึ่งอยู่ลึกๆ

มันต่างจากภาพที่ถูกโจมตีอยู่ฝ่ายเดียวในเมื่อกี้

เฉินตงกับเต้าจูนในตอนนี้ กลับผลัดกันรุกและรับ !

ไม่ได้ทำเป็นเล่นๆกันอีกต่อไป แต่กลับโต้ตอบกันไปมาอย่าหนักหน่วง!

ในห้องควบคุม

เกิดความโกลาหล

ทุกคนต่างไม่สามารถกักเก็บความประหลาดใจนี้เอาไว้ได้ และมีท่าทีที่หวาดผวาไปตามๆกัน

“ใช้ได้ เร็วจัง! เฉินตงคนนี้……ทักษะการต่อสู้ของเขาช่างน่ากลัวจริงๆ !”

“นี่ต้องมียีนที่แข็งแกร่งแค่ไหนกัน ถึงสามารถสร้างพันธุกรรมที่แข็งแกร่งเช่นนี้ได้ ? เจอคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งก็จะแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม ? ”

“โอ้พระเจ้า!เขาช่างเป็นเด็กที่วิเศษ!เขาสามารถไล่ตามจังหวะของเต้าจูนได้อย่างรวดเร็ว!”

……

แต่ละคนต่างก็อุทานกันออกมาทีละคำ

ชายชราผมหงอกกับป๋าต่างก็กะพริบตาด้วยความประหลาดใจ

ความสามารถของเต้าจูน คนทั้งคุกมืดต่างก็รู้กันดี

สามารถที่จะคุมทั้งเรือนจำเอาไว้ได้ ทักษะการต่อสู้ย่อมไม่ธรรมดา

เฉินตงถูกจู่โจมจนกระอักเลือดครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ยังลุกขึ้นยืนได้อยู่ทุกครั้ง อีกทั้งยังสามารถไล่ตามจังหวะของเต้าจูนได้

จากที่ได้เปรียบก็เปลี่ยนเป็นฝีมือที่เท่าเทียมกัน

ทักษะการต่อสู้แบบนี้ พวกเขาเองก็ไม่เคยเห็นมันมาก่อน !

“คงทนได้ไม่นานหรอก ?”

ป๋าพึมพำออกมาเงียบๆ

ประโยคเบาๆ แต่กลับทำให้ทุกคนในห้องควบคุมต่างก็เงียบไปพร้อม ๆ กัน

แม้จะเป็นเพียงช่วงสั้นๆในการต่อสู้ที่สูสีกันนี้ ความแตกต่างอยู่ที่ไหน ต่อให้มีสัญชาตญาณที่น่ากลัวแต่ก็ไม่สามารถชดเชยช่องว่างนี้ได้ในทันที

เฉินตงพ่ายแพ้ ตลอดจนตายบนเวที ก็เป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้น

ความจริงแล้ว มันก็เป็นเช่นนั้น !

อาการบาดเจ็บซ้ำๆ ทำให้เฉินตงแทบจะสูญสิ้นกำลัง

เวลานี้เอง ก็หวังพึ่งเพียงการยืนหยัดและมุ่งมั่นที่มีในใจ

การต่อสู้ที่ดุเดือด ทำให้สติของเขาค่อยๆหายไปอย่างรวดเร็ว

มุมปากก็มีเลือดไหลออก และแม้แต่โพรงจมูกก็เริ่มมีเลือดไหลออกมาเช่นกัน

“กลับบ้าน รอผม……ผม ผมจะได้กลับบ้านแล้ว”

“เสี่ยวหยิ่ง ผมจะกลับไปแต่งงานกับคุณ ผมจะทำให้คุณมีความสุขไปตลอดชีวิต”

“แม่ครับ ผมยังต้องพาแม่กลับไปที่ตระกูลเฉิน ทวงคืนทุกอย่างที่ควรเป็นของแม่ให้กับแม่ ”

……

จากนั้น สติของเฉินตงก็ค่อยๆ เลือนหายไป

ส่งผลให้ความเร็วในการต่อยและเตะของเขาช้าลง และกำลังก็ลดน้อยลงไปด้วย

ความสิ้นหวังแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย เฉินตงราวกับรู้สึกกำลังค่อยๆ ตกลงไปยังเหวลึกที่มืดมิดอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

“อ๊าก!”

เฉินตงคำรามอย่างดุเดือด เลือดพลุ่งพล่าน เขาปล่อยหมัดเข้าใส่เต้าจูนที่อยู่ตรงหน้า

นี่เป็น……หมัดสุดท้าย!

จากนั้น

เสียงหัวเราะก็ดังอยู่ในหูของเฉินตง

“พ่อของนาย สบายดีไหม?”

ภายในห้องควบคุม เกิดความโกลาหลขึ้น

ทุกคนต่างก็จ้องมองดูภาพจากกล้องวงจรปิดนั่นด้วยความหวาดผวา

เฉินตง……มีความสามารถมากพอที่จะให้เต้าจูนถอดเสื้อคลุมออก ?

ภายใต้ความตื่นตระหนกตกใจ

ไม่มีใครสังเกตเห็น ท่าทีของชายชราผมหงอกกับป๋า จากที่หวาดผวา ก็เปลี่ยนเป็นซับซ้อนขึ้นมาทันที

เสียงร้องด้วยความกลัว ก็กึกก้องอยู่ในอีกเรือนจำทั้งเก้าด้วยเช่นกัน

นักโทษทุกคนต่างก็กำลังจดจ้องอยู่กับศึกใหญ่ในครั้งนี้ และต่างก็รู้ ว่าเสื้อคลุมของคนคนแรกนั้นหมายถึงอะไร

มีเพียงคุกNO.1เท่านั้น ที่ยังคงเงียบงัน

แต่ ใบหน้าของนักโทษทุกคนต่างก็เต็มไปด้วยอาการที่ตื่นตระหนกตกใจและประหลาดใจ

บนเวที

เฉินตงขมวดคิ้วแล้วมองไปยังชายหนุ่มที่ถอดเสื้อคลุมออกและเผยให้เห็นใบหน้าของเขา

มันเป็นใบหน้าที่ผอมบางเล็กน้อย แต่เต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวหนักแน่น

คำเดียวสง่างามและกล้าหาญก็เพียงพอกับคำอธิบายแล้ว

แต่ความเด็ดเดี่ยวหนักแน่นที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างของเขา ทำให้เฉินตงอกสั่นขวัญแขวน

มันเหมือนกับคมดาบที่ถูกซ่อนใต้ฝักดาบ ปลายดาบไม่ชัดเจน แต่ส่วนที่ซ่อนอยู่ก็เพียงพอที่จะทำให้ หวั่นเกรงไปทั่วทั้งฟ้า

“ผม เคยเห็นคุณที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า?”

เฉินตงเอ่ยถามออกไป ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัยและประหลาดใจ

เมื่อเผชิญหน้ากับชายคนนี้ เขามีความรู้สึกเหมือนเคยเห็นหน้าชายหนุ่มมาก่อน

แต่ทันทีที่พูดออกไป เฉินตงก็รู้สึกขำตัวเอง

คนที่ถูกคุมขังในคุกมืดมานานกว่ายี่สิบปีนี้ เขาจะไปรู้จักได้ยังไง ?

คำนวณแล้ว ชายตรงหน้าถูกจองจำอยู่ในคุกมืด เขาเองก็น่าจะเพิ่งเกิดด้วยซ้ำ !

“พร้อมรึยัง?”

เต้าจูนค่อยๆขยับไหล่ทั้งสองข้าง กล้ามเนื้อไหล่ของเขาก็นูนปูดขึ้น :“จำชื่อของฉันไว้ เต้าจูน!”

เฉินตงตะลึงเล็กน้อย ชื่อนี้…… แปลกจัง

ซวบ!

ในตอนที่เขากำลังตกตะลึงอยู่นั้นข้างใบหูก็มีลมพัดเข้ามาวูบหนึ่ง

เฉินตงรู้สึกราวกับดวงตามืดบอด ใบหน้าที่มุ่งมั่นของเต้าจูนอยู่ใกล้แค่เอื้อม

มันเร็วมาก!

ภาพๆนั้น ทำให้เฉินตงรู้สึกตกใจ

ไม่มีการตอบสนองอะไรกลับไปทั้งนั้น

ปัง!

จากนั้นก็มีเสียงดังขึ้น

เต้าจูนปล่อยหมัดไปที่ท้องของเฉินตง

ทันใดนั้น เฉินตงก็กรีดร้อง ใบหน้าบิดเบี้ยว ราวกับตับไตไส้พุงกลับหัวกลับหาง และร่างของเขาโค้งงอลง

หลังจากชกไปหนึ่งหมัด เต้าจูนใช้มือซ้ายกดไปที่ไหล่ของเฉินตงแล้วออกแรงกด

จากนั้น ก็ตามมาด้วยการกระทุ้งเข่าอัดเข้าอย่างรุนแรง !

ตายซะเถอะ!

ทำไมมันเร็วอย่างนี้ ?

เฉินตงตื่นตกใจ เมื่อเห็นเต้าจูนแทงเข่าเข้ามา สองแขนของเขาก็ยกขึ้นขวางบังเอาไว้

ด้วยลูกเสียบเข่าที่รุนแรง โดนกระแทกเข้าติดต่อกัน เขาก็ไม่มั่นใจว่าตัวเองจะยังคงลุกขึ้นยืนได้อีก

ถึงกระนั้น เฉินตงก็ยังรู้สึกว่าแขนของเขากำลังจะหัก

ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างกาย

ภายใต้ความแข็งแกร่งของเต้าจูน นอกจากตั้งรับอย่างเต็มที่ แม้แต่โอกาสที่จะหลบหนีก็ยังไม่มี

การต่อสู้ ได้เริ่มต้นขึ้น และถูกโจมตีทันที

สถานการณ์แบบนี้ เฉินตงเองก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อน

ช่องว่างระหว่างทั้งสองคน ช่างห่างไกลกันนัก ทำให้เฉินตงรู้สึกสิ้นหวังกับโอกาส

จากการถูกแทงเข้าใส่ เฉินตงสัมผัสได้ว่าซี่โครงที่หักตรงบริเวณหน้าอกของเขากำลังเปลี่ยนรูป ความเจ็บปวดที่มี ต่อให้เขาจะกินยาแก้ปวดล่วงหน้าไปสองเม็ด ก็ยังไม่สามารถบรรเทามันได้

“พรืด!”

จู่ๆเฉินตงก็กระอักเลือดออกมาเป็นจำนวนมาก ใบหน้าของเขาซีดเซียวอย่างหนัก

หรือว่า……มันจะจบลงไปแบบนี้ ?

ในตอนนี้ สติของเขาเริ่มที่จะเลือนราง

ในความคิดมีแต่ภาพของกู้ชิงหยิ่ง แม่และคนอื่นๆ ปรากฏขึ้นมา

ไม่!

ต้องมีชีวิตรอด!

พวกเขา……ยังรอให้ฉันกลับไป!

“อ๊าก!”

เฉินตงร้องคำรามราวกับสัตว์ป่า ประสานมือเข้าด้วยกัน และพยายามสกัดกั้นหัวเข่าที่พุ่งเข้ามา

เสียงปังดังขึ้น!

การโจมตีของเต้าจูนหยุดลงอย่างกะทันหัน

เฉินตงฉวยโอกาสนี้สาวหมัดเข้าที่ท้องของเต้าจูนอย่างจัง ทั้งสองต่างก็แยกออกจากกัน เฉินตงเซถอยไป

“หืม?!”

นัยน์ตาเต้าจูนมีประกายความตกใจ

มองไปยังเฉินตงที่ซวนเซถอยไปอย่างจนมุม ใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด เขายิ้มอย่างภูมิใจ:“ไม่เลว รับการแทงเข่าจากฉันไปได้ถึง23 ครั้ง ”

ใบหน้าของเฉินตงซีดเผือด หางตากระตุกอย่างรุนแรง

แทงเข่า 23 ครั้ง !

หากไม่ใช่เพราะเขาขยันหมั่นเพียร ฝึกฝนหลักสูตรปีศาจตามที่คุนหลุนได้สั่งสอนอยู่ทุกวันจนทำให้ร่างกายแข็งแกร่ง

เพียงกระบวนท่าเดียว ก็เพียงพอที่จะหักกระดูกแขนของเขาได้ !

เมื่อเป็นเช่นนั้น แขนของเขาก็แทบจะไร้เรี่ยวแรง ความเจ็บปวดรุนแรงราวกับกระดูกแขนแตกออก

อาการบาดเจ็บก่อนหน้า กับการถูกโจมตีเมื่อครู่ ทำให้ความเจ็บปวดทวีความรุนแรงมากขึ้น

ยาแก้ปวด ไม่ได้มีผลอะไรเลย

ความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย ทำให้เฉินตงหอบหายใจหนัก

มองดวงตาของเต้าจูน ก็เต็มไปด้วยความกลัว

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเต้าจูน เขาแทบไม่มีความกล้าที่จะต่อสู้

มันเป็นความกลัวที่ราวกับหลอดเลือดถูกบีบอัดจนคับแน่น อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ภายในคุกNO.1 เงียบสนิท

นักโทษทุกคนต่างอยู่ในความเงียบสงบ กับภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ทำให้เลือดลมสูบฉีด

แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไร เพราะทุกคนต่างก็รู้ดีว่า เวลาที่เต้าจูนขึ้นสังเวียน จะเกลียดเสียงดังโห่ร้องที่สุด

และอีกเก้าเรือนจำอื่นที่เหลือ ในตอนนี้มีเพียงเสียงลมหายใจที่เยือกเย็น

จากกล้องวงจรปิดที่ฉายภาพในคุกมืด แม้จะดูผ่านจอภาพ ก็ยังสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของเต้าจูน

ภายในห้องควบคุม

ทุกคนต่างมองหน้ากัน

“ทำไมเต้าจูนถึงได้ออมมือ ? ”

“จากการรุกที่ทรงพลัง กับความแข็งแกร่งของเต้าจูน เป็นไปไม่ได้ที่จะโดนเพียงหมัดเดียวของเจ้าเด็กนั้นแล้วจะกระเด็นออก และหลุดพ้นจากการโจมตีได้ ”

“แทงเข่าไป 23 ครั้ง!เข่าของเต้าจูนสามารถทุบแผ่นหินให้แตกได้ เด็กคนนี้สามารถต้านรับไปได้ถึง23ครั้ง ก็ถือว่าเก่งมากๆ !”

……

การวิพากษ์วิจารณ์เกิดขึ้นมากมาย และใบหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ

ชายชราผมหงอกสีหน้าเคร่งขรึม จ้องมองดูภาพในกล้องวงจรปิดนั้น

มีป๋ายืนอยู่ด้านข้าง กำหมัดแน่น เหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผาก และในใจก็แอบเชียร์เฉินตงไปด้วย

บนสังเวียนเวที

เฉินตงเหงื่อไหลปานสายฝน หอบหายใจหนักปานวัวกระทิง

ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวจ้องมองไปยังเต้าจูน

และเต้าจูนเอง ก็ไม่ได้รีบเร่งที่จะจู่โจมเช่นกัน มองไปยังดวงตาของเฉินตง ที่เต็มไปด้วยการดูหมิ่น

จู่ๆเต้าจูนก็ยิ้มออกมา :“สภาพอย่างนาย ยังคิดที่จะออกไปจากคุกมืด ? ยอมแพ้เถอะ ฉันไม่ฆ่านายก็ได้ ด้วยความสามารถที่นายมี ก็สมควรแล้วที่จะถูกแย่งผู้หญิงไป แล้วมีคนมาทำหน้าที่แทนนาย !”

ในช่วงหลายวันมานี้ ชื่อเสียงของเฉินตงก็กระฉ่อนไปทั่วทั้งคุกมืด

เหตุผลที่เขาต้องการจะออกจากไปจากคุกมืดนี้ ก็ถูกแพร่กระจายไปทั่วคุกมืดเช่นกัน

ร่างกายของเฉินตงสั่นสะท้าน มีเสียง“โครม”ดังขึ้นในหัว

เต้าจูนยิ้มเย้ย ราวกับคมมีดที่ถูกเผาไหม้เป็นสีแดง และเสียบเข้าไปในหัวใจของเขา

ความรู้สึกนี้ เจ็บปวดยิ่งกว่าบาดแผลที่มีบนร่างกายเสียอีก !

“ฉัน……จะออกไป!”

เฉินตงเปล่งเสียงออกมาตามไรฟัน

แล้วหายใจเข้าลึกๆ ดวงตาที่หวาดกลัวค่อยๆสงบลง และจิตใจภายในก็สงบนิ่งตาม ลุ่มลึกราวกับหลุมดำสองหลุม

รอยยิ้มบนใบหน้าของเต้าจูนนิ่งไป ดวงตาฉายแววของความประหลาดใจ

“ผู้หญิงของฉัน พ่อแม่ของฉัน พี่น้องของฉัน ล้วนเป็นของฉัน ไม่มีใครแทนที่ได้ !”

เฉินตงค่อยๆหยัดกายลุกขึ้น แล้วตั้งท่ารับเตรียมต่อสู้

“เหอะ!”

เต้าจูนยิ้มอย่างดูถูก แต่ก็ราวกับลูกศรจากคันธนู พุ่งตรงไปที่เฉินตง :“คนอ่อนแอ มีแต่จะถูกแทนที่เท่านั้น!”

“งั้นฉัน ก็จะแข็งแกร่ง !”

เฉินตงไม่หลบหลีก และก็ไม่คิดที่จะป้องกันเช่นกัน แต่กลับพุ่งเข้าใส่เต้าจูน

ปัง!

ไม่ได้ลีลาอะไร

ทั้งสองออกหมัดไปพร้อมกัน ประจันกันซึ่งๆหน้า

ในชั่วพริบตา เฉินตงก็ขมวดคิ้ว และหางตาก็กระตุกขึ้นมาอย่างรุนแรง

ราวกับต่อยเข้าใส่ไปที่แผ่นเหล็ก กระดูกนิ้วมือปวดร้าว

และในจังหวะเดียวกัน เขาก็คำรามออกมาด้วยความโมโห แล้วต่อยเข้าไปอีกครั้ง และโต้กลับเต้าจูนทันที

“เหอะ!”

เต้าจูนยิ้มเย้ย แต่ก็เหวี่ยงหมัดเพื่อตั้งรับเช่นกัน

ภาพนี้ ทำให้ทุกคนในคุกมืดต่างก็ตกตะลึง

เต้าจูน……กำลังทำอะไร ?

ชายชราผมหงอกเรียกทุกคนออกไป

เขามีท่าทีที่ขุ่นเคือง แล้วนั่งเงียบ ๆ

เส้นเลือดปูดโปนที่หลังมือขวา เต้นตุบๆ

พยายามระงับความโกรธ!

เขาเป็นผู้บริหารสูงสุดของคุกมืด และมีอำนาจสูงสุดในคุกมืดนี้

แต่ก็ทำอะไรคนคนแรกในคุกมืดนี้ไม่ได้

เพราะเขารู้ว่า หากไม่ใช่เพราะชายผู้นี้ยินยอม คุกมืดนี้ก็ขังเขาไว้ไม่ได้

และที่สำคัญกว่านั้นคือ คุกมืดนี้ต้องการให้ชายผู้นี้มาคอยปราบปราม เพื่อให้สิบคุกที่เสียงดังคลานอำนาจกัน แล้วรักษาสภาพความ“สมดุล”

แต่ สิ่งที่ชายผู้นี้ทำในตอนนี้ ได้ทำลายความ“สมดุล”ที่ควรมีหมดสิ้น

หายใจเข้าลึกๆ ชายชราผมหงอกหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา

เมื่อปลายสายที่โทรไปมีคนรับ เขาก็พูดเพียงสองคำง่ายๆ

“กล้าเหรอ!”

ปัง!

เมื่อวางสายไป ดวงตาของชายชราผมหงอกลุ่มลึก และครุ่นคิด

เรื่องของคนคนแรกในคุกมืด จัดการกับจ่าฝูงทั้งสี่ในเรือนจำ

ความเร็วราวกับลมพายุฝนฟ้าคะนอง กวาดล้างทุกสิ่งในคุกมืด

ทั้งคุกมืด ต่างก็ประหลาดใจ

นักโทษทุกคนต่างก็มึนงงสับสนกับการกระทำของคนคนแรก

ต้องรู้ว่า แม้จ่าฝูงในสิบคุกที่เสียงดังจะไม่ลงรอยกัน และมักกระทบกระทั่งกันอยู่บ้าง

แต่การกระทบกระทั่งนี้ก็อยู่ในขอบเขตที่ควบคุมได้

และเมื่อมีการต่อสู้กันระหว่างจ่าฝูง แต่มันก็จำกัดอยู่ในจ่าฝูงของสองเขตภายในเรือนจำเท่านั้น

แต่คราวนี้ จ่าฝูงในคุกNO.1 จัดการกับจ่าฝูงทั้งสี่ในเรือนจำ

นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของคุกมืด!

ไม่มีใครรู้ว่าคนคนแรกนั้นคิดอะไร

แต่มีคนคาดเดาว่า เรื่องนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับเฉินตงที่ต้องการออกไปจากคุกมืดนี้

จากกระแสความคิดเห็นของผู้คน ยิ่งทำให้ตัวตนของเฉินตงดูลึกลับยากเกินคาดเดามากขึ้นไปอีก

ราวกับชื่อ “เฉินตง” ได้ถูกสลักลึกลงไปในใจของนักโทษทุกคน

และในเวลาเดียวกันนั้น จ่าฝูงในเรือนจำที่เหลือ พอได้ยินข่าวก็เคลื่อนไหว และก่อตัวขึ้นกันอย่างลับๆ

ทำให้คุกมืดที่มืดมิดอยู่แล้ว ก็กลับอึมครึมมากขึ้นไปอีก

“เขา……ช่วยฉันจริงๆเหรอ?”

เฉินตงนอนอยู่บนเตียงหิน คิ้วผูกกันเป็นปม

นี่ก็ถือเป็นเวลากลางคืนแล้ว แต่ดวงอาทิตย์เที่ยงคืน ทำให้คนรู้สึกง่วงน้อยลง

เฉินตงเมินเฉยกับการที่เขาได้กลายเป็นหัวข้อบทสนทนาของนักโทษในคุกมืดนี้ไปแล้ว

ข้อสงสัยทั้งหมดของเขา อยู่ที่คนคนแรกคนนั้น

ช่วยเขา ?

ความน่าจะเป็นในเรื่องนี้เป็นไปได้น้อยมาก !

ดูเหมือนกำจัดเสี้ยนหนามให้เขา เพื่อที่เขาจะได้มีโอกาสในสังเวียนสุดท้าย

แต่ว่า……

เฉินตงคลายปมคิ้ว แล้วยิ้มอย่างขมขื่น:“หรือนี่จะเป็นวิธีที่คนหยิ่งผยองเขาทำกัน ? จัดการกับจ่าฝูงในเรือนจำทั้งสี่ เพื่อให้ฉันได้ขึ้นเวทีต่อสู้ให้เร็วที่สุด จากนั้น……ก็ฆ่าฉัน ?”

เฉินตงถูจมูกไปมา แล้วยิ้มอย่างขมขื่นมากขึ้นไปอีก :“เมื่อคิดแบบนี้ ทุกอย่างก็กระจ่างมากขึ้น ”

ในขณะที่พูด เขาก็ล้วงเอายาแก้ปวดสองเม็ดออกจากกระเป๋า

นี่เป็นต้นทุนเดียวที่เขามี

ความเจ็บปวดบนร่างกายยังคงอยู่ กระดูกซี่โครงที่หักก็ยังไม่ได้รับการรักษา กระดูกที่ร้าวตามตัวก็มีอาการเจ็บปวดที่รุนแรง ทำให้ยากที่จะนอนหลับไปได้

หากไม่ใช่เพราะฝีมือของคนคนแรก ลำพังยาแก้ปวดสองเม็ดที่หมียักษ์หามาให้เขา คงไม่สามารถอยู่รอดไปถึงสังเวียนถัดไปได้

โชคยังดี ที่ยาแก้ปวดสองเม็ดนี้ ทำให้เขามีโอกาสขึ้นเวทีกับคนคนแรกในสังเวียนสุดท้ายได้ !

ขอแค่เขาเอาชนะคนคนแรกในคุกมืดได้เขา……ก็จะออกไปจากที่นี่ได้!

เฉินตงสูดหายใจเข้าลึกๆ ยัดยาแก้ปวดสองเม็ดลงในกระเป๋าอย่างทะนุถนอม ด้วยสายตาที่ต่างออกไป

“เสี่ยวหยิ่ง……รอผมกลับไป สวมชุดแต่งงานให้คุณ !”

……

วันถัดไป

เฉินตงที่พลิกไปพลิกมาทั้งคืน ก็ค่อยๆลืมตาขึ้น

เมื่อเห็นเฉินตงหยิบยาแก้ปวดออกมา

หมียักษ์ก็เอ่ยเตือนไปว่า:“คุณเฉิน เม็ดเดียวก็พอแล้ว ”

เฉินตงยิ้มเฉย หยิบยาแก้ปวดทั้งสองเม็ดเข้าไปในปากแล้วกลืนลงไปทันที พูดว่า :“ในเมื่อต้องสู้จนสุดชีวิตแล้ว ยังจะกลัวยาแก้ปวดนี้ส่งผลกับชีวิตรึไง ?”

หมียักษ์ตะลึงงัน แล้วพูดอย่างเคารพว่า :“คุณเฉินระวังตัวด้วย ”

“เขามีจุดอ่อนไหม ?” เฉินตงถาม

ก่อนการต่อสู้ทุกสังเวียน หมียักษ์จะพูดจุดอ่อนของคู่ต่อสู้ให้เขาได้รู้ทุกครั้ง

แต่ครั้งนี้ หมียักษ์ไม่ได้พูดเหมือนทุกครั้ง

หมียักษ์ยิ้มอย่างขมขื่นแล้วส่ายหัว:“เป็นจ่าฝูงมายี่สิบกว่าปีแล้ว สามารถคุมเรือนจำนี้ได้ เขาไม่มีจุดอ่อน”

เฉินตงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ

ครั้งนี้ คงต้องแลกด้วยชีวิตแล้ว !

แต่เขาก็พอจะเข้าใจได้ หากมีจุดอ่อน กับสถานะนักโทษบวกกับความสามารถที่มีในคุกมืดนี้แล้ว คงไม่สามารถที่จะคุมเรือนจำนี้เอาไว้ได้

แต่ในสภาพที่ทำอะไรไม่ได้อย่างนี้ เฉินตงก็แค่รู้สึกสงสัยเล็กน้อย

หากเป็นอย่างที่พูด แล้วคุนหลุนในตอนนั้นสู้กันยังไงถึงได้ออกไปจากที่นี่ได้ ?

เขารู้ความสามารถที่คุนหลุนมี หากเทียบกับหมียักษ์และจ่าฝูงคนอื่น ก็แข็งแกร่งกว่าอยู่มาก

แต่หาก คุนหลุนยังอยู่ในคุกมืดนี้ ก็ไม่สามารถขึ้นมาคุมคุกนี้เอาไว้ได้

ยิ่งไปกว่านั้น มันคือเมื่อสิบปีก่อน สิบปีก่อนความสามารถของคุนหลุนยังไม่ทรงพลังเท่าตอนนี้แน่นอน

และชายคนนั้น เมื่อยี่สิบปีที่แล้ว ก็เป็นจ่าฝูงในเรือนจำนี้อยู่แล้ว

ช่องว่างในสิบปีนี้ คำเดียว“ความแข็งแกร่งที่ไม่มีใครเทียบ”ยังห่างไกลนัก

เมื่อเฉินตงเดินไปถึงที่คุกNO.1

ทั่วทั้งเรือนจำ เงียบกริบไม่มีเสียงใดๆ

อากาศเหมือนถูกแช่แข็งเอาไว้

บนเวทีสูง ชายในเสื้อคลุมยืนตระหง่านอยู่บนนั้น

และในแต่ละห้องขัง นักโทษทุกคนต่างก็จับจ้องมองมาที่เฉินตงด้วยดวงตาที่เป็นประกาย

สายตาของนักโทษบางคน เหมือนกับกำลังจ้องมองสภาพศพคนตาย

เวลานี้เป็นเวลาทำกิจกรรม และนักโทษทุกคนต่างก็อยู่ภายในห้องขังของตัวเอง ไม่ได้มีท่าทีที่ไม่พอใจอะไร

จากที่ได้เห็น ชายที่อยู่บนเวทีสูงนั่น สามารถที่จะบดขยี้เรือนจำนี้ได้จริงๆ และในคุกNO.1 ก็ยังมีสถานะสูงสุดไม่มีใครเหนือกว่าได้

เฉินตงสูดหายใจเข้าลึกๆและค่อยๆเดินขึ้นไปยังบนเวที

เขามองไปยังชายในชุดคลุมที่อยู่ตรงข้าม จากในมุมมองของเขา มองเห็นรูปลักษณ์ของชายคนนั้นได้ไม่ชัดเจนเท่าไร

แต่เฉินตงก็ยังคงยิ้มเล็กน้อย:“ขอบคุณ”

“ขอบคุณอะไร ?”น้ำเสียงเย็นชา

เฉินตงยิ้มแล้วพูดว่า :“ที่ช่วยผมกำจัดเสี้ยนหนามแล้วปูทางให้”

ชายในเสื้อคลุมยกมุมปาก เผยให้เห็นรอยยิ้มที่หยามเหยียด

“อันที่จริงแล้วก็แค่อยากจะฆ่านายเร็วๆ ยี่สิบกว่าปีนี้ ไม่เคยเห็นใครที่หยิ่งจองหองแบบนายมาก่อน”

เฉินตงที่คาดการณ์เอาไว้แล้ว ก็ไม่มีท่าทีแปลกใจอะไรเท่าไร

ผลก็ออกมาตามที่คิดไว้ สิ่งที่ชายในเสื้อคลุมทำมันก็อธิบายแล้วว่าทำไมเขาถึงได้จัดการกับจ่าฝูงทั้งสี่ของเรือนจำ

และในเวลาเดียวกันนี้

ภายในห้องควบคุม

ชายชราผมหงอกกับป๋าและคนอื่นๆยืนอย่างเงียบๆ ด้วยท่าทางที่เคร่งขรึมและเคร่งเครียด

ในที่ตรงนี้ พวกเขาสามารถมองเห็นการต่อสู้ทั้งหมดที่จะเกิดขึ้นได้

อีกทั้ง ภายใต้คำสั่งของชายชราผมหงอก สังเวียนการต่อสู้ครั้งนี้ก็ยังได้ฉายไปยังพื้นที่ในเรือนจำอื่นๆด้วย

สิบปีที่แล้ว ตอนที่คุนหลุนขึ้นต่อสู้สังเวียนสุดท้ายแล้วออกไปจากคุกมืดนี้ ก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน

ในคุกมืดนี้ สิ่งนี้เป็นธรรมเนียมปฏิบัติ และเป็นกฎระเบียบ

“น่าเสียดาย เนื้อสดน้อยแบบนี้ ฉันยังไม่ได้ลิ้มลองรสชาติ ก็ต้องมาตายในน้ำมือของเต้าจูนซะแล้ว”

ใบหน้าของอลิสทั้งเหงาและเศร้าโศก

ชายชราผมหงอกกับป๋าและคนอื่นๆต่างมองมาที่เธอ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

อลิสดีดดิ้นแล้วโพล่งออกมา:“ก็คงจะใช้เวลาให้สั้นและเร็วที่สุดเพื่อจบเกม เมื่อคืนเต้าจูนก็มีท่าทีที่ไม่พอใจอย่างมาก การต่อสู้ครั้งนี้ เฉินตงคงไม่มีความสามารถพอให้เต้าจูนได้ถอดแม้กระทั่งเสื้อคลุมออกหรอก ”

ได้ยินคำพูดนี้

ผู้ชมรอบๆก็แสดงท่าทีที่เห็นด้วยออกมา

เสื้อคลุมเป็นสัญลักษณ์เฉพาะตัวของคนคนแรก

สามารถทำให้คนคนแรกถอดเสื้อคลุมออกได้ นั้นก็หมายความว่าคนคนแรกเห็นอีกฝ่ายเป็นคู่ต่อสู้ และจะจริงจังกับการต่อสู้ขึ้นทันที

การต่อสู้ครั้งสุดท้าย ก็ยังคงเป็นการต่อสู้เมื่อสิบปีที่แล้ว !

แต่ครั้งนี้ ความสามารถของเฉินตงทุกคนก็เห็นกับตา ไม่ทำให้คนคนแรกถอดเสื้อคลุมของเขาออกได้

และในขณะนี้

“อืม?!”

ชายชราผมหงอกที่ยืนอยู่ข้างหน้าสุดก็ส่งเสียงประหลาดใจออกมา

ทันใดนั้น ก็พูดเสียงทุ้มออกมาว่า

“เต้าจูน ถอดแล้ว!”

ภายในห้องขัง

เงียบสงบ

แนชวิลล์และคนอื่นๆต่างก็นั่งกันเงียบๆ ต่อให้มีการพูดคุยกัน ก็เป็นเพียงเสียงกระซิบกระซาบเท่านั้น

เพราะกลัวจะเสียงดังจนไปกวนการพักผ่อนของเฉินตง

ในเวลาสั้นๆเพียงสิบวันนี้ ในใจของแนชวิลล์และคนอื่นๆเฉินตงกลายเป็นผู้ที่อยู่สูงเกินเอื้อม ทำให้พวกเขาต่างหวั่นเกรง

ที่ที่ผู้อ่อนแอเป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่ง ผู้แข็งแกร่งย่อมเป็นที่ได้รับความเคารพ

ยิ่งไปกว่านั้น ชายผู้แข็งแกร่งคนนี้ไม่คิดชีวิต เพื่อปกป้องสิ่งที่ตัวเองรัก

ถูกคุมขังในคุกมืดนี้นานวันเข้า ก็ทำให้คนเปลี่ยนไปได้

เฉกเช่นสุนัขเร่ร่อนบนท้องถนน เร่ร่อนนานวันเข้า ก็จะเคยชิน เคยชินกับการละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง สนใจแค่เพียงชีวิตเท่านั้น

แต่เฉินตง ไม่เหมือนคนอื่น

เพราะความไม่เหมือนนี้ ทำให้แนชวิลล์และคนอื่นๆ ต่างก็ทั้งยำเกรงและเกรงกลัว

การยอมแพ้มันเป็นเรื่องง่าย แต่การมุ่งมั่นตั้งใจนั้นเป็นเรื่องยาก

การต่อสู้ในวันพรุ่งนี้ มันเกี่ยวพันกับความเป็นความตายของเฉินตง

หากเวลานี้พวกเขารบกวนการพักผ่อนของเฉินตง ก็อาจจะส่งผลกระทบกับการขึ้นเวทีสังเวียนในวันพรุ่งนี้ของเฉินตงได้

แต่ ความเงียบในตอนนี้

เมื่อหมียักษ์โผล่มา ก็ทำมันพังลงทันที!

“ไม่ได้การละ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว ทั้งคุกมืดนี้สะเทือนหมดแล้ว !”

หมียักษ์พุ่งพรวดเข้ามาในห้องขัง ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกตกใจ

ในคุกมืดนี้ นักโทษธรรมดาจะถูกคุมขังอย่างเข้มงวด แต่เมื่อแข็งแกร่ง ก็จะมีสิทธิพิเศษ

เฉินตงตื่นขึ้นมาจากการหลับใหล

อันที่จริงแล้ว เพราะความเจ็บปวดจากบาดแผลตามร่างกาย เขาเองก็ไม่ได้หลับสนิทมันสักเท่าไร

เมื่อเห็นหมียักษ์มีอาการตื่นตระหนก ใจของเฉินตงก็วูบไหว

หมียักษ์เป็นอดีตจ่าฝูงของคุกNO.9 สถานะของเขาก็มีตำแหน่งที่สูง สภาวะอารมณ์ที่นิ่งยากที่จะตื่นตระหนกกับเรื่องใดๆได้

ยิ่งไปกว่านั้น ยังยั้งสติไม่อยู่แบบนี้

“เกิดอะไรขึ้น?”

เฉินตงหยัดตัวลุกขึ้นนั่ง

หมียักษ์ปาดเหงื่อบนหน้าผาก พูดด้วยความหวาดกลัวไปว่า :“คุกNO.1เกิดเรื่องแล้ว!”

“คนคนนั้น?”เฉินตงเข้าใจได้ในทันที

คุกNO.1เกิดเรื่อง จนทำให้หมียักษ์เหมือนถูกไฟรนก้นได้แบบนี้ โอกาสที่จะเป็นเขาคนนั้นคนคนแรกในคุกมืด !

เมื่อได้ยินคำนั้น

แนชวิลล์และคนอื่นๆก็สงสัยเช่นกัน

“ใช่!”

หมียักษ์พยักหน้าอย่างจริงจัง:“เมื่อกี้นี้ ตอนที่เฉินตงกับทูตสวรรค์ดำอยู่บนเวที คนคนนั้น ก็ไปที่เรือนจำอื่นๆอย่างเงียบๆ และจากนั้น……”

เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ท่าทีของหมียักษ์ก็ทั้งตกใจและตื่นเต้น ทำให้ยากที่จะเข้าใจได้

เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดว่า :“คนคนนั้นกำจัดกับจ่าฝูง ในทุกเรือนหมดแล้ว !”

โครม!

คำพูดนั้นราวกับฟ้าผ่า

แม้ว่าหมียักษ์จะพยายามเก็บเสียงมากที่สุดแล้ว แต่ก็ยังทำให้เฉินตงและคนอื่นๆ รู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่าตอนกลางวัน

“มันจะเป็นไปได้ยังไง?”

แนชวิลล์โพล่งออกมา แต่หน้าผากก็เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อที่ผุดออกมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ

จ่าฝูงของสิบคุกที่เสียงดังต่างก็เป็นน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งกับน้ำคลอง และยังมีมิตรภาพที่ดีต่อกัน อาทิเช่นหมียักษ์กับหมาป่าละโมบ และทูตสวรรค์ดำ

แม้ว่าจ่าฝูงในคุกNO.1จะอยู่เหนือการคาดการณ์ และถูกขนานนามว่าเป็นคนแรกในคุกมืด น้อยครั้งที่จะผูกมิตรไมตรีกับจ่าฝูงในเรือนจำอื่น

แต่ก็ไม่เคยมีความแค้นอะไรกัน และก็ไม่น่าที่จะฆ่าจ่าฝูงอื่นๆในเรือนจำได้ ในเพียงวันเดียว !

ต้องรู้ว่า ต้นไม้ที่สูงย่อมต้องลมคนที่มีชื่อเสียงก็ย่อมดึงดูดความสนใจ การกระทำนี้ คงต้องการที่จะสร้างศัตรูในคุกมืดอย่างไม่ต้องสงสัย!

จ่าฝูงคนอื่นๆที่เหลือก็จะอาศัยความสัมพันธ์นี้เพื่อประโยชน์ แล้วมารวมตัวกัน

ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ คุกมืดยอมรับการมีตัวตนของคนคนแรก ก็จะไม่ปล่อยให้คนคนแรกนั้นก่อความรุนแรงอย่างไม่มีศีลธรรม!

แนชวิลล์ถอนหายใจ แล้วพูดต่อไปว่า :“สิบคุกที่เสียงดังต่างก็ร่วมมือกันเพื่อตอบโต้ ช่วยกันหยุดยั้ง การกระทำของคนคนแรกนั้นย่อมจะนำไปสู่การปราบปรามจากเบื้องบนอย่างแน่นอน เขาคนเดียวบังคับจ่าฝูงทั้งหมดให้ยืนอยู่ในฝั่งเดียวกัน นี่เป็นข้อห้ามใหญ่ในคุกมืด!”

แต่แล้ว

เสียงที่เพิ่งจะเงียบไป

นอกห้องขัง ทันใดนั้นก็มีเสียงโห่ร้องดังขึ้นมา

“เรื่องใหญ่แล้ว!เรื่องใหญ่แล้ว!เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!คนคนแรกจัดการกับจ่าฝูงทั้งสี่ คุกมืดสั่นสะเทือนแล้ว!”

โครม!

ภายในคุกNO.9 เกิดความแตกตื่น

นักโทษทุกคนต่างก็ตกใจ เกิดการพูดคุยถกเถียงกันเสียงดังอึกทึก จนหนวกหูไปหมด

แนชวิลล์ที่อยู่ในห้องขังเผยอปากออกเล็กน้อย ด้วยอาการสั่น ราวกับรู้สึกหายใจไม่ออก

ที่แท้……ก็เป็นเรื่องจริง!

หมียักษ์ชำเลืองไปที่แนชวิลล์ :“ยังไงฉันก็เคยเป็นจ่าฝูงในคุกNO.9 ข่าวใหญ่แบบนี้ จะพูดเรื่อยเปื่อยได้งั้นเหรอ?

“ใช่ เรื่องนี้มันน่าจะเป็นข่าวดีสำหรับฉัน?”

เฉินตงขมวดคิ้วแน่น ก้มหน้าแล้วครุ่นคิด

แม้ว่าภายนอกจะนิ่งสงบ แต่ในใจลึกๆของเขา กลับเหมือนมีคลื่นลูกใหญ่ซัดสาด

“ใช่!”

หมียักษ์พยักหน้า และพูดด้วยท่าทีเคร่งขรึมไปว่า:“คนคนแรกนั้นลงมือ แล้วจัดการกับจ่าฝูงทั้งสี่ ทำให้เฉินตงไม่ต้องขึ้นสังเวียนต่อสู้ถึงสี่นัด เหลือเพียงการต่อสู้กับคนคนแรกสังเวียนเดียวเท่านั้น !”

คำพูดของเขาฟังดูเรียบง่าย แต่ทุกคนต่างก็เข้าใจความหมายนั้นดี

สังเวียนชีวิตที่จะได้ออกไปจากคุกมืดนี้ ต้องเอาชัยชนะให้ได้ในสิบยกสิบเวที !

ด้วยสภาพร่างกายในตอนนี้ของเฉินตง ไม่สามารถที่จะเอาชนะได้สิบเวทีติดต่อกัน

หรือแม้กระทั่ง เว้นการต่อสู้กับคนคนแรกไว้ สังเวียนสี่ยกที่กำลังจะเกิด ก็ทำให้เฉินตงจบชีวิตบนเวทีได้

แต่การลงมือของคนคนแรกนั้น ก็เพื่อปูทางที่มีหนามข้างให้กับเฉินตงอย่างไม่ต้องสงสัย

ขอแค่เฉินตงขึ้นสังเวียนเอาชนะคนคนแรกได้ก็สามารถออกไปจากคุกมืดได้

“คนคนแรกกำลังช่วยคุณเฉิน?”แนชวิลล์ตกใจอย่างอธิบายไม่ถูก

เฉินตงกับหมียักษ์มองหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างก็เห็นความสับสนในแววตาของกันและกัน

ข้อสงสัยเดียวกันนี้ ไม่ใช่มีเพียงแค่แนชวิลล์และหมียักษ์เท่านั้นที่สงสัย

แม้แต่เฉินตงเอง หากไม่เพราะไม่รู้จักกับคนคนแรก เขาก็คงคิดแบบนั้นเหมือนกัน

เพราะคนคนแรกต้องการจะช่วยเขา เป็นไปได้เหรอ ?

และในเวลาเดียวกันนั้น

สำนักงานที่กว้างขวางและโอ่อ่า

เวลานี้ก็เงียบกริบ

ชายในเสื้อคลุมนั่งเงียบอยู่บนโซฟาหนังสีดำ ใช้ผ้าพันบาดแผลตามร่างกายอย่างเงียบ ๆ

ทุกการเคลื่อนไหว เป็นไปอย่างเชื่องช้า และไม่มีทีท่าสะทกสะท้านอะไร

แผลที่มี เต็มไปทั่วร่างกายทั้งบนและล่าง บางที่ที่ยังไม่ทันได้ทำแผล ก็มีเลือดไหลออกมาไม่หยุด

เลือดสีแดงไหลหยดลงไปที่พื้น จนพื้นอาบไปด้วยเลือด

และภาพนี้ ก็ทำให้บรรยากาศภายในสำนักงานตึงเครียดขึ้นมาทันที

ในอีกด้านหนึ่ง ป๋าและคนอื่นๆอีกสิบชีวิตต่างก็จ้องมองดูภาพๆนี้ ใบหน้าของแต่ละคนเงียบสงบ และคิ้วขมวดกันแน่น

ยากที่จะจินตนาได้ว่า คนจำนวนมากมารวมตัวกันแบบนี้ แต่กลับไม่เสียงใดๆ

มีเพียงเสียงของชายในเสื้อคลุมที่นั่งพันแผลตัวเองอย่างเงียบๆ

คนคนเดียวที่จัดการกับจ่าฝูงทั้งสี่เรือนจำ และมีเพียงบาดแผล“เล็กน้อย”เท่านี้ คิดว่าก็คงจะมีเพียงแค่ชายตรงหน้าที่ทำได้ ?

“ทำไม?”

เสียงแหบแห้งที่มาจากชายชราผมหงอกในชุดสูทดังขึ้น

“อะไรทำไม?”

ชายในเสื้อคลุมที่กำลังตั้งใจพันแผล เอ่ยถามขึ้น

ชายชราผมหงอกที่ใบหน้าเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธ :“นี่แก ฝ่าฝืนกฎของคุกมืด !”

เขาลุกขึ้นยืนด้วยความโกรธ ก่นด่าแล้วชี้ไปที่ชายในเสื้อคลุม :“เฉินตงในคุกNO.9กำลังจะขึ้นสังเวียนกับจ่าฝูงในสิบคุกที่เสียงดัง แล้วออกไปจากคุกมืดนี้ เหมือนคนเมื่อสิบปีที่แล้ว แต่เขาจะทำมันไม่สำเร็จแน่ !”

“บางทีอาจจะเป็นพรุ่งนี้ หรือไม่ก็เป็นสังเวียนถัดไป เขาก็ต้องตายบนเวที แต่นายทำแบบนี้ ……”

ปัง!

ชายในเสื้อคลุมโยนผ้าพันแผลลงไปยังพื้นที่มีคราบเลือด ขัดจังหวะการพูดของชายชราผมหงอก

เขาลุกขึ้น

การกระทำที่เรียบง่าย ดึงดูดให้ป๋าและอีกเก้าคนที่เหลือกลายเป็นเหมือนศัตรูในทันที และพวกเขาก็ค่อยๆเข้าไปใกล้กับชายชราผมหงอก

“ขยะ เสียเวลา”

เสียงของชายในเสื้อคลุมเต็มไปด้วยการดูถูกเหยียดหยาม :“คุณไม่พอใจ พรุ่งนี้บนเวที ผมจะฆ่าเขาเอง !”

ทุกคนต่างตกตะลึง

คนเดียวที่จัดการกับจ่าฝูงทั้งสี่ เคลียร์ทางที่มีขวากหนามให้กับเฉินตง เพียงเพื่อไม่อยากจะเสียเวลา แล้วฆ่าเฉินตงให้ตายบนเวที ?

นี่มัน……

ชายในเสื้อคลุมที่จวนจะเดินไปถึงประตูก็หยุดลงอีกครั้ง

“อลิส เดี๋ยวมาที่ห้องฉันด้วย”

อลิสที่เซ็กซี่ดูเหมือนจะหายใจไม่ออก เอ่ยพูดด้วยความกังวลว่า :“เต้าจูน ตอนนี้สภาพของคุณ……”

“ฉันต้องการ!”

ตามแผนการของเฉินตงที่วางเอาไว้ การขึ้นสังเวียนต่อสู้กับทูตสวรรค์ดำ ควรจะอยู่ในนัดที่หก

การต่อสู้จริงของสังเวียนชีวิตในสองเวที และมีเวลาพักฟื้นตัวหนึ่งวัน มันก็เพียงพอกับการให้เขาได้ปรับสภาพร่างกายตัวเอง

แต่ว่า ผลที่เกิดขึ้นมันทำให้เขาทำอย่างนั้นไม่ได้

เขาไม่ใช่คนที่มีนิสัยโลเลจิตใจไม่เด็ดขาด

ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ หากพรุ่งนี้ยังต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตาย ผลลัพธ์ที่ออกมาน่าจะเป็นอันตรายอย่างยิ่ง

เลือกต่อสู้กับทูตสวรรค์ดำ ก็จะมีเวลาพักฟื้นหนึ่งวัน แบบนี้ถึงจะเป็นวิธีที่ฉลาดเลือกที่สุด

“ผมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้”

หมียักษ์ก็รีบออกไปอย่างรวดเร็ว

เฉินตงอยู่ภายใต้การประคับประคองของแนชวิลล์และคนอื่นๆ นอนลงบนเตียง

เช็ดคราบเลือดที่มุมปาก

ใบหน้าของเฉินตงซีดเซียวจนน่ากลัว

หน้าอกกระเพื่อมไหวรุนแรง ทุกครั้งที่หายใจ เขารู้สึกได้ถึงหน้าอกของเขา ราวกับมีเข็มนับพันเล่มทิ่มแทงมาอย่างนับไม่ถ้วน

และสิ่งนี้มันทำให้ทุกครั้งที่เขาหายใจเข้าออก ลำบากยิ่ง

เฉินตงดึงเสื้อขึ้น และมันก็พอจะทำให้เขารู้สึกสบายตัวขึ้นมาบ้าง

“คุณเฉิน หน้าอกของคุณ……”

ทันใดนั้นเสียงของแนชวิลล์ก็สั่นเทาและดังขึ้น

เฉินตงเห็นสีหน้าของทุกคนดูแย่ และสายตาก็จับจ้องมาที่หน้าอกของเขา

ทันใดนั้น ก็เห็นโครงกระดูกที่นูนออกมา กับผิวหนังที่บวมแดง ดูน่าเกลียดยิ่งนัก

“มันเป็นซี่โครงที่หัก”

เฉินตงยิ้มเศร้า

ซี่โครงหักในจังหวะที่เขารุกโจมตี โครงกระดูกขยับเคลื่อนที่ และนูนออกมา ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ

“แล้วทำยังไงดี? แพทย์ในคุกมืดเขาไม่สนใจที่จะดูแลรักษาเราหรอก”

แนชวิลล์มีท่าทีตกใจไม่น้อย

“ไม่เป็นไรหรอก”

เฉินตงยิ้มแล้วส่ายหัว

จากนั้น ภายใต้สายตาที่น่าสะพรึงกลัวของแนชวิลล์และคนอื่นๆ

เขาค่อยๆ ยกมือขึ้น แล้วกดลงไปยังบริเวณที่มีกระดูกนูนขึ้นมา

และจากนั้น

ท่าทีของเฉินตงก็รุนแรงขึ้น

สองมือกดกระแทกลงไปอย่างแรง

กรึก!

เสียงที่ดังชัดเจน

ร่างกายของเฉินตงกระตุก เขากัดฟันแน่น สูดลมหายใจเข้าออก เสียงความเจ็บปวดผ่านออกมาทางจมูก เหงื่อไหลเป็นทางราวฝน

เมื่อมือที่ปวดของเขาผละออกจากทรวงอกที่เจ็บแปลบ

จากซี่โครงหักที่นูนปูดออกมา ตอนนี้ก็หดกลับ

ทันทีทันใดนั้น……มันกลับไปยังที่เดิม!

“ซี๊ด~”

แนชวิลล์และคนอื่นๆต่างก็อ้าปากค้างตามๆกัน

ความเหี้ยมของเฉินตง ทำให้ทุกคนขนลุกซู่

ในสนามรบ โหดเหี้ยมกับศัตรูนั้นเป็นเรื่องธรรมดา แต่กับคนที่จัดการกับตัวเองแบบนี้ได้ ถึงจะเรียกว่าโหดจริง!

นี่มันต้องเด็ดเดี่ยวแค่ไหนกัน ?

อย่างน้อย ในสถานการณ์แบบนี้แนชวิลล์และคนอื่นๆ ก็ไม่มีความกล้าพอที่จะดันซี่โครงที่หักให้กลับเข้ารูปดังเดิมได้อย่างแน่นอน

……

ตลอดทั้งคืนไม่มีคำพูดใดๆ

เฉินตงที่ได้พักผ่อนมาตลอดทั้งคืน แม้ซี่โครงที่หัก จะยังเจ็บปวดอยู่

แต่สภาพร่างกายโดยรวม ก็ยังดูดีกว่าเมื่อวาน

“คุณเฉิน ยอมแพ้ไหม?”

หมียักษ์มองไปที่เฉินอย่างเป็นกังวล:“หากไม่ยอมแพ้ ผ่านวันนี้ไปได้ สังเวียนต่อๆไป ก็คงจะรอดยาก”

แม้เฉินตงที่มีโอกาสที่ดีในเวลานี้ แต่หมียักษ์ก็ไม่คิดว่าเขาจะสามารถคว้าชัยชนะติดต่อกันสิบครั้งได้

ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้กระดูกซี่โครงหัก และยังมีกระดูกร้าวอีกจำนวนมาก

สภาพร่างกายแบบนี้ ก็ไม่สมควรที่จะขึ้นสังเวียนเลยด้วยซ้ำ !

หรือแม้แต่ สถานที่ในคุกมืดนี้ แม้จะเป็นจ่าฝูงอย่างหมียักษ์ ต่อให้มีสภาพเดียวกันกับเฉินตงในตอนนี้ ก็เลือกที่จะหลีกเลี่ยงการต่อสู้ทั้งปวง

เฉินตงหัวเราะ

แต่ดวงตากลับมุ่งมั่น และเป็นประกาย :“ภรรยาของฉัน พ่อแม่ของฉัน และพี่น้องของฉัน ฉันยอมแพ้ไม่ได้ นายจะให้ฉันยอมแพ้สังเวียนนี้ไปได้ยังไง?”

หมียักษ์ตะลึงงัน แล้วก็ยิ้มอย่างจนใจ

เขาหยิบแคปซูลสองเม็ดออกจากกระเป๋า แล้วยื่นมันให้กับเฉินตง:“นี่คือยาแก้ปวดที่ผมพยายามหามาให้กับคุณเฉินได้ หวังว่ามันจะมีประโยชน์กับคุณบ้าง”

เฉินตงตะลึง แล้วรับแคปซูลนั้นมา:“ขอบคุณ”

สังเวียนการต่อสู้เวทีที่ห้า ภายใต้การจัดการของหมียักษ์ การต่อสู้กับทูตสวรรค์ดำในคุกNO.5

สิ่งที่เฉินตงคาดไม่ถึงคือ ทูตสวรรค์ดำในคุกNO.5 เป็นสาวฮอตผมทองนัยต์ตาสีฟ้า รูปร่างสมส่วน

บนเวที เสื้อหนังสีดำทำให้เรือนร่างของทูตสวรรค์ดำโดดเด่นและชัดเจน ผู้ชมที่เห็นต่างก็เลือดลมสูบฉีด

แต่ในใจของเฉินตง กลับเต็มไปด้วยความหวั่นเกรงที่มีต่อทูตสวรรค์ดำ

ผู้หญิงคนหนึ่ง อยู่ในคุกมืดที่เต็มไปด้วยจ่าฝูงที่โหดร้าย ยังสามารถกลายเป็นจ่าฝูงในเรือนจำนี้ได้

นี่มันต้องมีความแข็งแกร่งและความสามารถมากแค่ไหนกันเชียว?

เห็นได้ชัดว่า ความสามารถของทูตสวรรค์ดำในคุกNO.5 นั้นยากที่จะมีใครเทียบได้

ในเรือนจำที่เสียงดังอึกทึกครึกโครม ทูตสวรรค์ดำยกมือขึ้นแล้ววางลง จากนั้นทุกอย่างก็กลับมาเงียบลงทันที

ภาพที่เห็นนี้ ทำให้เฉินตงถึงกับจิ๊ปากประหลาดใจ

ภาพแบบนี้ ในเรือนจำอื่นคงไม่มีทางได้เห็นแน่นอน

หรือบางที คุกNO.1อาจจะมีให้เห็น !

“เฉินตง ได้ยินหมียักษ์บอกว่า นาย อยากจะออกไปจากคุกมืดนี้ ก็เพื่อผู้หญิงของนาย ?”

ริมฝีปากแดงของทูตสวรรค์ดำเอ่ยถาม ดวงตาลึกล้ำ :“ผู้หญิงของนาย กำลังรอนาย กลับบ้าน และแต่งงาน?”

น้ำเสียงของเธอแปลกๆ เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ค่อยชำนาญในภาษาของเฉินตง

“ใช่ เธอสวมชุดแต่งงาน และกำลังรอผมกลับไป”

เฉินตงไม่ได้ปิดบัง เอ่ยพูดแววตาดุดัน:“แต่มีคน อยากจะทำหน้าที่นี้แทนผม แย่งเอาภรรยาของผมไป ผมต้องออกไป แล้วฆ่าเขาซะ!”

ทูตสวรรค์ดำยิ้มอย่างมีเสน่ห์

แล้วผิวปาก

จากนั้นก็ยกนิ้วโป้งให้กับเฉินตง :“นายเป็นลูกผู้ชาย ฉันอิจฉาภรรยาของนายจริงๆ!”

พอพูดจบ

เธอก็หันหลังแล้วกระโดดลงเวที :“ฉันขอยอมแพ้!”

คำพูดง่ายๆ ราวเสียงฟ้าร้องดังก้องไปทั่วทั้งเรือนจำ

และที่น่าแปลกก็คือ ภายในเรือนจำ แม้ว่านักโทษทุกคนจะตกใจ แต่ก็เงียบไม่มีใครกล้าพูดอะไร

ใบหน้าของเฉินตงก็สะดุ้งตกใจ

นี่มัน……แสดงออกได้โดยไม่ต้องเสแสร้งเลยเหรอ ?

การต่อสู้ก่อนหน้ากับหมาป่าละโมบ หลังจากได้นัดแนะกันไว้ล่วงหน้า แต่ก็ยังต้องทำเนียนต่อสู้กันไปหลายยก

ตอนนี้กับทูตสวรรค์ดำไม่ต้องออกแรงต่อสู้เลย ?

“ทูตสวรรค์ดำ!นี่มันไม่เป็นไปตามกฎ!”

ผู้คุมในคุกมืดคนหนึ่งเอ่ยทักท้วง

“FUCK!”

ใบหน้าของทูตสวรรค์ดำเผยความเหี้ยมโหด ตะโกนกลับไปยังผู้คุมว่า :“งั้นนายก็ขึ้นแทนสิ !”

ท่าทีของผู้คุมแข็งทื่อ เหลือบมองไปยังกล้องวงจรปิดเหนือศีรษะที่มีอยู่ทั่วบริเวณ

เมื่อได้รับการยินยอมจากเบื้องบน เขาก็เงียบไป

“ขอบคุณ”

เฉินตงที่ได้สติกลับมาเอ่ยพูดกับทูตสวรรค์ดำอย่างซาบซึ้ง

“ฉันหวังว่านายจะมีชีวิตรอดกลับไปแต่งงานกับภรรยาของนาย และจัดการกับไอ้เลวนั้นให้เป็นชิ้นๆ”

ทูตสวรรค์ดำยกยิ้มเล็กน้อย แล้วขายาวๆก็ลากพาตัวเองกลับเข้าไปในห้องขัง

สังเวียนนี้ จบลงง่ายๆอย่างไร้เหตุผล

โดยไม่ต้องสงสัย เฉินตงชนะเวทีการต่อสู้นี้มาห้าเวทีแล้ว !

ผู้มาใหม่ที่อยู่ในคุกมืดไม่ถึงเดือน แต่สถานการณ์ต่างๆกลับเป็นไปอย่างรวดเร็ว ชนะมาห้าสังเวียน และมีแผนที่จะออกไปจากคุกมืดนี้

ในคุกมืดนี้ ไม่เคยมีปรากฏมาก่อน

การเตรียมตัวในสองสามวันมานี้ ชื่อของเฉินตง ราวกับพายุ กระฉ่อนไปทั่วทั้งคุกมืดอย่างรวดเร็ว

แม้ว่าการเอาชนะการต่อสู้ทั้งห้าเวทีนี้ จะเต็มไปด้วยความแปลกประหลาดและไม่สมเหตุสมผล

แต่สิ่งนี้ก็ไม่ได้ทำลายชื่อเสียงของเฉินตง ที่เลื่องลือไปทั่วทั้งคุกมืดนี้

นักโทษทุกคนต่างก็จดจำชื่อนี้ได้ และในใจก็เต็มไปด้วยความเกรงกลัว

ในโลกของผู้ที่แข็งแกร่งคือผู้อยู่รอดนั้น ความน่าเกรงขามของผู้แข็งแกร่งยังคงเป็นที่สุด

หลังจากที่เฉินตงกลับมาที่ห้องขัง เขาก็ยังคงพักฟื้นอยู่บนเตียงที่แข็งเป็นหิน

เขามองไปยังฝ้าเพดานที่มืดมนอย่าเอื่อยเฉื่อย ดวงตาหม่นหมอง

การต่อสู้กับทูตสวรรค์ดำผ่านไป แล้วอีกห้าเวทีที่เหลือ คงเป็นนัดชี้ชะตาแล้วจริงๆ !

แต่ว่าเขา ไม่มีความมั่นใจเอาซะเลย !

แม้กระทั่ง สังเวียนของวันพรุ่งนี้ ก็ไม่มีความมั่นใจที่จะเอาชนะมันได้เลย !

แต่เขา ก็ไม่คิดที่จะยอมแพ้

ภาพของกู้ชิงหยิ่ง แม่และคนที่เขารักต่างก็วนเวียนโผล่อยู่ในหัวสมองของเขา

เขาไม่มีเหตุผลให้ยอมแพ้

นอกจากความตาย ไม่มีอะไรจะมาหยุดเขาไม่ให้กลับไปยังบ้านเกิด และกลับไปเคียงข้างกู้ชิงหยิ่งได้

และในตอนที่เฉินตงยังคงวิตกกังวลกับเวทีสังเวียนชีวิตในวันพรุ่งนี้

เหตุการณ์สำคัญ ราวกับมีหินอุกกาบาตตกลงมา

ระเบิดลงในบริเวณของคุกมืด ทำให้ภายในคุกมืดรวมไปถึงชั้นควบคุม และนักโทษ ทุกคนต่างหวาดผวา และตกใจ

“นายคิดว่า ฉันจะโง่ถึงขนาดเงยหน้าขึ้นไปมองแสงจ้านั้น ?”

งูเหลือมถึงกับหัวเราะเยาะอย่างดูถูก

เฉินตงยิ้มออกมาเล็กน้อย ในใจรู้ได้ทันที

กระจกที่ป๋าให้ ก็เพื่อการณ์นี้หรอกเหรอ ?

“ฟู่~”

พ่นลมหายใจออกมาอย่างแรงๆ

เฉินตงฝืนทนกับความเจ็บปวดที่รุนแรงของซี่โครงที่น่าจะหัก ค่อยๆหยัดตัวขึ้นช้าๆ แล้วตั้งท่าเตรียมรับกับการต่อสู้

“เปล่าประโยชน์ นายเอาชนะหมียักษ์ได้ ฉันก็คิดว่านายจะมีความสามารถมากกว่านี้ ไม่คิดว่าฉันจะประเมินความสามารถของนายกับหมียักษ์สูงเกินไป”

งูเหลือมมีท่าทีที่น่าเบื่อ ถอนหายใจ แล้วค่อยๆแลบลิ้นออก จากนั้นก็ส่งเสียงคำราม

และในเวลาเดียวกันนั้น

เฉินตงก็ระเบิดพลังออกมา พุ่งราวกับคันธนูไปหางูเหลือมอย่างรวดเร็ว

ท่าทีงูเหลือมนิ่งไป เขาไม่คิดว่าเฉินตงจะเป็นฝ่ายเริ่มลงมือก่อน

“ตายซะเถอะ!”

งูเหลือมกรีดร้อง การกระทำคล้ายงู พุ่งเข้าหาเฉินตง

ฝ่ามือที่ทรงพลัง กับเงาภาพที่ทับซ้อนกันไปมา มุ่งโจมตีไปที่เฉินตง

ปังปัง!

เฉินตงที่เตรียมตั้งรับอยู่แล้ว แต่เมื่อถูกฝ่ามืออันทรงพลังของงูเหลือมก็ถึงกับซวนเซถอยหลังไป

และในการถอยล่าในครั้งนี้ ความคิดที่จะลงมือก่อนนั้นก็พลันหายไปในทันที

แต่ที่ทดแทนเข้ามา คือพลังฝ่ามือที่รุนแรงของงูเหลือมกระหน่ำเข้าใส่ราวกับเม็ดฝน

สถานการณ์นี้ ก็แปรเปลี่ยนไปเหมือนในช่วงเริ่มต้น

เฉินตงถูกงูเหลือมบดขยี้ และทำได้เพียงต้านทานไว้ด้วยกำลังที่มี

เป็นเช่นนี้แล้ว

ฝ่ามืออันทรงพลังของงูเหลือม ทำให้แขนของเฉินตงเจ็บปวดรุนแรงมากขึ้น จนซวนเซถอยหลัง

การจู่โจมที่บดอัดไปยังส่วนหัวและหน้าอย่างเต็มที่นี้

ทำให้เฉินตงเหนื่อยและยากที่จะรับมือได้ จนไม่ได้คิดหาวิธีอื่น

ทักษะการต่อสู้ต่างๆ เมื่อถูกจู่โจมอย่างหนักหน่วงแบบนี้ ยากนักที่สามารถโต้กลับไปได้ !

“ความสามารถแค่นี้ นายยังคิดที่จะออกไปจากคุกมืด ?”

ทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมของงูเหลือม ท่าทีที่ผ่อนคลายแสดงให้เห็นถึงพละกำลังที่ถูกใช้ไปเพียงบางส่วนเท่านั้น เขายิ้มเยาะให้เฉินตง ด้วยท่าทีที่ดูหมิ่น :“นายเทียบกับคุนหลุนคนนั้น ฝีมือยังสู้หมียักษ์ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ!”

เมื่อสองปีก่อนหมียักษ์ได้เป็นจ่าฝูงในคุกNO.9 และงูเหลือมเองก็เป็นจ่าฝูงอยู่ก่อนมานานแล้ว !

สิบปีที่แล้ว ที่คุนหลุนชนะในสิบนัดรวดนั้น ก็เป็นตอนที่เขาเพิ่งเป็นจ่าฝูงพอดี!

“อ๊าก!”

ทันทีที่เสียงหายไป เฉินตงที่มีใบหน้าซีดเซียว ก็ร้องคำรามขึ้นมาทันที

ใบหน้าที่ซีดเซียวแสดงสีหน้าที่บ้าคลั่งและดุร้าย

อะไรกัน?!

ใบหน้าของงูเหลือมตกตะลึงในทันใด

เพราะฝ่ามือที่เขาปล่อยออกไป เฉินตงไม่ได้ยกมือขึ้นป้องกัน

แต่กลับตั้งท่ารับที่แข็งแกร่งขึ้นมา !

ไอ้เด็กคนนี้……ท่าจะบ้าไปแล้ว ?

ภาพนี้ ทำให้งูเหลือมเต็มไปด้วยความสงสัย

แต่ก็ไม่มีผลกับการออกกระบวนท่าการต่อสู้ของเขา

ปัง!

แรงอันมหาศาล

ทำให้เกิดเสียงดังขึ้น

เฉินตงส่งเสียงร้อง และถูกฝ่ามือพิฆาตจนเซถอยไป เลือดในปากก็พุ่งกระเซ็นออกมา

และในตอนที่งูเหลือมคิดจะตอกย้ำความพ่ายแพ้นี้ให้กับคู่ต่อสู้ และปิดเกมนั้น

ทันใดนั้นแสงจ้า ก็ส่องไปที่ใบหน้าของเขา

ชั่วพริบตา

“อ๊าก!”

งูเหลือมหยุดลงอย่างกะทันหัน รู้สึกราวกับดวงตาถูกทิ่มแทงด้วยเข็มนับไม่ถ้วน ใบหน้าบิดเบี้ยวตะโกนร้องด้วยความเจ็บปวด

แม้ว่าแสงจ้าจะปรากฏขึ้นเพียงวูบเดียว ส่องแสงอยู่ตรงหน้าเขา แต่ก็ทำให้สูญเสียการมองเห็นในทันที

โครม!

ทันใดนั้น นักโทษในเรือนจำต่างก็โห่ร้องกันออกมา

ในตอนที่เฉินตงยิงแสงจ้าออกมาในตอนนั้น มันเร็วจนไม่มีใครได้สังเกตเห็น

ในสายตาของนักโทษทั้งหลาย งูเหลือมที่จู่ๆจะวิ่งเข้าใส่ก็หยุดลงกับที่ทันที แล้วกรีดร้องเสียงดังออกมา !

ภาพนี้ ทำให้ทุกคนต่างตกตะลึง

“ต้องตอนนี้!”

เฉินตงอดทนกับความเจ็บปวด มือขวาจับที่กระจกแน่น ราวกับเสือที่ล็อกเหยื่อเอาไว้ แล้วกระโจนเข้าใส่งูเหลือมทันที

ปัง!

หมัดที่หนักหน่วง ทำงูเหลือมเซจนถอยหลัง

“อ๊าก!ตายซะเถอะ นายมันสมควรตาย……”

ความเจ็บปวดของดวงตา บวกกับกลอุบายที่น่าอดสู ทำให้งูเหลือมราวกับคนบ้าขึ้นมาทันที

ในขณะที่ร้องคำรามงูเหลือมก็โบกสะบัดมือของเขาไปมา

แต่เมื่อเทียบกับงูเหลือมก่อนหน้านั้นแล้ว

กระบวนท่าของงูเหลือมในตอนนี้ ในสายตาของเฉินตง ไร้ระเบียบแบบแผน

อยากจะหลบหลีก ง่ายเพียงพลิกฝ่ามือ

ในจังหวะที่เขาหันหลังกลับ เฉินตงก็หยัดร่างกาย หมัดและเท้าราวกับฝนที่ตกกระหน่ำ พุ่งไปยังร่างของงูเหลือมอย่างบ้าคลั่ง

เพียงไม่กี่วินาที

งูเหลือมกระอักเลือดจนหงายหลัง

และเฉินตงก็ลอยตัวขึ้นเตะกลางอากาศ

เสียงปัง!ดังขึ้น งูเหลือมที่สูญเสียการมองเห็นไปชั่วขณะก็ราวกับถุงกระดาษที่ลอยล่อง กระเด็นออกไปยังนอกเวที แล้วร่างก็หล่นลงกับพื้นไปอย่างรุนแรง

“ยอมแพ้ซะ!ไม่งั้นแกตาย!”

เสียงอันเย็นเยือนออกมาจากปากของเฉินตง

งูเหลือมที่นอนอยู่กับพื้นขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ตาที่มองไม่เห็นไปชั่วขณะรู้ดีว่า หากเขาไม่ยอมแพ้ ความตายก็อาจจะมาเยือนเขาได้!

เก็บเอาความอัปยศและความโกรธไว้ในใจ

งูเหลือมเงยหน้าขึ้นแล้วส่งเสียงอย่างไม่เต็มใจ:“ฉัน ฉันยอมแพ้!”

มุมปากของเฉินตงมีรอยยิ้มปรากฏ

มือขวาออกแรงเพียงนิด เสียง“กึก”ดังขึ้น กระจกก็แตกออก จากนั้นเขาก็เก็บมันลงในกระเป๋าอย่างไร้ร่องรอย

หันหลัง แล้วเดินลงจากเวทีไป

ทั่วบริเวณนั้นเงียบกริบ นักโทษทุกคนต่างยังไม่ทันตั้งรับกับเหตุการณ์เมื่อครู่ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ !

การพลิกผันของเกม เป็นไปในชั่วพริบตา

มันเกินไปกว่าความคาดหมายของทุกคนโดยสิ้นเชิง

และที่สำคัญกว่านั้นคือ มีคนสามารถจู่โจมจุดอ่อนของงูเหลือมได้!

นักโทษทุกคนต่างสงสัย ว่าเฉินตงทำได้ยังไง!

ภายในห้องควบคุม

ป๋ามองดูกล้องวงจรปิดด้วยท่าทีที่สงบ

เมื่อเฉินตงได้รับชนะ ดวงตาของเขาก็ฉายแววความยินดี

“กระจกนั้น นายเป็นคนให้เขาเหรอ?”

ชายในชุดคลุมมาที่ห้องควบคุมแต่เช้า ในคุกมืดนี้ นอกจากเขาจะไม่สามารถออกจากคุกมืดนี้ไปได้แล้ว หากจะเข้าออกห้องควบคุมก็ไม่มีใครขัดขว้าง

ท่าทีของป๋าจริงจัง ก้มหน้าแล้วพูดด้วยเคารพไปว่า :“นายท่านพูดเหลวไหลแล้ว ผมจะกล้าฝ่าฝืนกฎของคุกมืดนี้ได้ยังไงละครับ?”

“เหอะ!”

ชายในเสื้อคลุมยิ้มเยาะ เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อในสิ่งที่ป๋าพูด

เขามองดูไปที่กล้องวงจรปิด ซึ่งหนึ่งในนั้นกำลังฉายภาพแผ่นหลังของเฉินตงอยู่

ชายในชุดคลุมยิ้มแล้วพูดว่า :“ไม่สนวิธีการ แต่ก็มีท่าทีของราชา ทักษะการต่อสู้ของเขาก็ไม่เลว ภายใต้ความกดดัน ยังสามารถต้านทานเอาไว้ได้ พลิกเกมให้กลับมาชนะ เห็นได้ชัดว่าเขามีสติและควบคุมอารมณ์ได้ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่เลวจริงๆ”

ป๋าที่อยู่ด้านข้างก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย

เมื่อมีสภาวะที่กดดันอยู่เบื้องหน้า และในช่วงของความเป็นความตาย

แต่เฉินตงก็ยังเลือกตัดสินใจได้อย่างเฉียบขาด เป็นเรื่องยากจริงๆ

ต้องรู้ก่อนว่า สถานการณ์ในตอนนั้น การตัดสินใจลงมือชี้ชะตากับงูเหลือม มันเหมือนการเอาชีวิตตัวเองมาเป็นเดิมพัน !

การโจมตีของจ่าฝูง ทุกกระบวนท่าล้วนเป็นอันตรายถึงชีวิตทั้งสิ้น !

“เหอะเหอะ!”

ชายในชุดคลุมฉีกยิ้มแปลกๆ แล้วหันหลังเดินออกไป:“ป๋า คราวหน้าจะเข้าข้างก็อย่างแสดงออกให้มันชัดเจนแบบนี้ มันไม่ดี”

“นายท่าน……” ท่าทีของป๋าชะงัก คำพูดต่างๆก็ถูกกลืนเข้าไปอีกครั้ง

ภายในคุกNO.9

เฉินตงที่กลับเข้ามา ก็ทรุดตัวลงกับพื้น

หมียักษ์กับแนชวิลล์และคนอื่นๆก็กรูกันเข้ามา

เฉินตงยกมือขึ้น และห้ามไม่ให้พวกเขาพูดอะไร

เขาเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าที่ซีดเซียวมีรอยยิ้มแห้งปรากฏ :“ซี่โครงถูกงูเหลือมหักไปซี่หนึ่ง กระดูกหัวไหล่ซ้ายน่าจะร้าว และมีอีกหลายที่ที่น่าจะร้าวด้วยเหมือนกัน”

โครม!

คำพูดนั้นทำให้หมียักษ์และคนอื่นๆตกใจจนหน้าถอดสี

นี่เป็นเพียงเวทีที่สี่ กระดูกซี่โครงก็หักแล้ว และอีกหลายจุดที่ร้าว

แล้วต่อไป จะสู้ศึกยังไง ?

“คุณเฉิน สังเวียนต่อไปสู้กับทูตสวรรค์ดำเถอะ ?”

หมียักษ์เสนอแนะ เขาได้พูดคุยกับทูตสวรรค์ดำแล้ว ขอแต่เฉินตงเลือกทูตสวรรค์ดำ เวทีต่อไปจะเป็นการต่อสู้ที่ไม่ต้องหวั่นวิตกกังวลอะไร และเฉินตงเองก็ยังสามารถพักฟื้นได้อีกวัน

“ไม่ ไม่ต้อง ฉัน……”

ดวงตาของเฉินตงฉายแววมุ่งมั่น เพียงพูดไปได้ครึ่งทาง ใบหน้าที่ซีดเผือดก็เปลี่ยนเป็นสีแดงทันที

“พรืด!”

เลือดแดงพุ่งออกมา แปดเปื้อนไปทั่วพื้น

ภายในห้องขัง เงียบสนิท

ในที่สุด เฉินตงก็ยิ้มแห้งออกมา :“หมียักษ์ เอาตามที่นายพูดแล้วกัน”

เฉินตงจ้องมองไปที่ป๋าด้วยความประหลาดใจ

มันเกี่ยวกับการที่เขาจะออกไปจากคุกมืดนี้ได้หรือไม่

นี่คงถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ในคุกมืดนี้

ป๋ายังกล้าช่วยเขาอีก ?

“อย่าแปลกใจเลย ใครใช้ให้ฉันเป็นหนี้บุญคุณคุนหลุนกันล่ะ?”

ป๋ามองออกว่าเฉินตงกำลังคิดอะไร ยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ

เฉินตงอ้ำอึ้ง เต็มไปด้วยความสงสัย

เขาสงสัยมาโดยตลอด ว่าระหว่างป๋ากับคุนหลุนมีความสัมพันธ์ยังไงกัน

คนคนหนึ่งที่ชำนาญกับกระบวนท่าการต่อสู้ของคุนหลุน และเพราะคุนหลุน ชายคนนี้ไม่ลังเลที่จะช่วยเขาโกง ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับคุนหลุนมันแน่นแฟ้นแค่ไหนกัน ?

“ขอบคุณครับ”

แต่แล้ว เฉินตงก็เก็บความรู้สึกนี้เอาไว้ แล้วหันหลังเดินไปยังคุกNO.7

ขณะที่เดินไปนั้น เขาก็มองดูสมบัติที่ป๋าให้เขา

เพียงแค่ได้เห็น เขาก็ขมวดคิ้วแน่นขึ้นทันที

กระจก?

มองดูกระจกในมือ เฉินตงก็งงงวยไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร

กระจกเงามันเป็นสิ่งต้องห้าม ที่ไม่ควรมีอยู่ในคุกมืดนี้

เพราะมันจะกลายเป็นอาวุธในการสังหารได้

“ป๋าให้สิ่งนี้กับฉัน เพื่อให้ฉันใช้มันฆ่างูเหลือม?”

เฉินคงยังคงสงสัย กระจกในมือมีขนาดเท่าถั่ววอลนัท สะดวกกับการเก็บซ่อนได้ง่าย

เมื่อเทียบกับอาวุธอื่นๆ กระจกนี้ซ่อนและพกพาได้ง่ายกว่ามาก

แต่ว่า กระจกบานเล็กแค่นี้ กับการต่อสู้กับจ่าฝูงอย่างงูเหลือม ใช้เป็นอาวุธสังหารได้จริงเหรอ ?

หรือบางที……มันมีวิธีใช้อย่างอื่น ?

เฉินตงเลิกคิ้ว ไม่เข้าใจ แต่ก็เก็บกระจกไว้ในกระเป๋า

ในตอนที่เฉินตงถูกนำตัวเข้าคุกNO.7นั้น

นักโทษในคุกNO.7 ต่างก็ส่งเสียงโห่ร้องดังลั่นแสบแก้วหูไปหมด

บรรยากาศ ดุเดือดร้อนระอุขึ้นมาทันที

และบนเวทีที่ลานกิจกรรม มีรังสีแสงทรงพลังจ้องมองมา

มีร่างหนึ่งร่างยืนตระหง่านอยู่บนนั้น

“ขึ้นไปเถอะ”

ผู้คุมเอ่ยพูดอย่างเรียบเฉยไปคำหนึ่ง

เฉินตงพยักหน้า แล้วเดินไปยังเวที

ภายในเรือนจำ เสียงโห่ร้องก้องกังวาน

บ้างก็มีเสียงคำราม บ้างก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์

แต่ภาษาที่ใช้ไม่เหมือนกับภาษาในคุกNO.9 นักโทษในคุกNO.7ใช้ภาษาที่แตกต่างกัน และเมื่อมาอยู่รวมกัน ทำให้เฉินตงไม่รู้ว่าพวกเขากำลังพูดอะไรกันอยู่

รู้เพียงว่า……เสียงดังและหนวกหู!

ดวงตาของเฉินตงจับจ้องมองไปยังงูเหลือมที่อยู่บนเวที

นั่นเป็นร่างที่กำยำ

ไม่ได้กำยำใหญ่โตเท่ากับของหมียักษ์

แต่ก็ผอมกว่าจ่าฝูงสองตัวที่เขาเคยสู้ด้วยมาก่อนหน้า

บวกกับรูปลักษณ์ที่ธรรมดา หากโยนลงไปในฝูงชน ก็ไม่ต่างอะไรกับคนอื่นๆ ยากที่จะหาตัวเจอด้วยซ้ำ

แต่ เฉินตงก็ไม่มีนิสัยที่ชอบตัดสินรูปลักษณ์คนจากภายนอก

เสือซุ่มในคุกมืดนี้ ที่สามารถเป็นจ่าฝูงในเรือนจำได้ ก็ต้องเป็นราชาแห่งฝูงสัตว์ทั้งปวง

ต่อให้เป็นคนธรรมดา หากถูกโยนสู่โลกภายนอก ไม่แน่ว่าก็อาจจะกลายเป็นมือสังหารได้

“เร็วหน่อยได้ไหม?”

เสียงที่แหบแห้ง ดังขึ้นมาจากบนเวที

เฉินตงยกยิ้มเล็กน้อย แล้วเร่งฝีเท้าเดินไป

เมื่อเข้าใกล้มากขึ้น เฉินตงก็สังเกตเห็นความผิดปรกติ

นั่นคือ……ตาของงูเหลือม !

ดวงตาของเขาแวววาวเป็นพิเศษ ไม่ใช่ความอิ่มเอิบแวววับของนัยน์ตา แต่เป็นความแวววาวที่มองดูก็รู้ว่ามันผิดปรกติ

เพราะมันแวววาวเกินไป ทำให้เลนส์ตาของงูเหลือมมีความขุ่นมัว และไม่รู้สึกถึงการถูกเพ่งมอง

เมื่อคิดไปถึงคำเตือนของหมียักษ์ การเผชิญหน้ากับงูเหลือมในตอนนี้

เฉินตงรู้สึกไม่มั่นใจเล็กน้อย

คนในคุกมืดต่างก็รู้ว่าดวงตาเป็นจุดอ่อนของงูเหลือม

แต่งูเหลือมกลับกลายเป็นจ่าฝูงในคุกNO.7 ชัดเจนว่าจุดอ่อนที่ตาของเขา ต่อให้มีคนจำนวนไม่น้อยที่รู้ ก็ทำอะไรเขาไม่ได้

ซึ่งมันแตกต่างจากแผลเก่าที่เท้าซ้ายของจ่าฝูงในคุกNO.8

“ซี๊ด~”

ในตอนที่เฉินตงกำลังสงสัยอยู่นั้น ข้างใบหูก็มีเสียงคล้ายกับเสียงงูดังขึ้น

ชั่วพริบตา เฉินตงขนลุกไปทั้งตัว ไอสังหารที่รุนแรงโอบล้อมไปรอบตัว

จังหวะที่ได้สตินั้น

เฉินตงก็ต้องสะดุ้งตกใจ เมื่อเห็นว่างูเหลือมได้พุ่งเข้ามาหาตัวเองแล้ว

เร็วราวกับสายฟ้าฟาด

และลิ้นของเขา ก็โผล่ออกมาจากปาก พร้อมส่งเสียงขู่ฟ่อ

ในขณะนี้เอง เฉินตงราวกับเห็นภาพถูกงูเหลือมจับล็อกเอาไว้เหมือนเหยื่อ

หวืด!

ชั่วพริบตา

งูเหลือมก็มาอยู่ตรงหน้าของเฉินตงแล้ว มือขวาที่เรียวยาวเร็วดั่งสายฟ้าแลบ ยื่นตรงไปข้างหน้า จ้วงไปที่ลูกกระเดือกของเฉินตง

ลมกระโชกแรง

ยังไม่ทันที่จะได้เตรียมการรับมือ พอออกตัว ก็คือท่าไม้ตาย !

ปัง!

รูม่านตาของเฉินตงกระชับ เขายกมือขวาขึ้น สกัดกั้นการจู่โจมของงูเหลือม

แต่

หวืด……

เสียงลมกระโชกแรงอย่างต่อเนื่อง

ดวงตาของงูเหลือมเป็นประกาย มือของเขาราวกับงูเหลือมสองตัว กวัดแกว่งไปมาอย่างรวดเร็ว และโจมตีไปที่เฉินตงอย่างต่อเนื่อง

สีหน้าของเฉินตงก็เปลี่ยนไป สองมือของเขาก็ตั้งขึ้นเพื่อป้องกันอย่างต่อเนื่องเช่นกัน

สังเวียนชีวิตเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น แต่เฉินตงกลับตกเป็นเบี้ยล่าง

ภายในเรือนจำนี้ นักโทษทุกคนต่างสนุกสนานกับการต่อสู้ที่ดุเดือดบนสังเวียน

แต่ละคนต่างก็ตื่นเต้นกันจนหน้าดำหน้าแดง เสียงโห่ร้องที่ออกมาก็แหบแห้ง

“สมควรตาย ทำไมเกมมันเร็วอย่างนี้?”

บนเวที เฉินตงอกสั่นขวัญแขวน หน้าผากมีเม็ดเหงื่อผุดไหลออกมา

งูเหลือมโจมตีอย่างว่องไว ทำให้เขารู้สึกตื่นกลัวราวกับจะรับมือไม่ไหว

แม้ว่าแขนของเขาจะปัดป้องอย่างรวดเร็วด้วยความรู้สึกเมื่อยล้าแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกแทบจะตามไม่ทันกับฝีมือของงูเหลือม

จากนั้น

“ความเร็วของนาย ได้แค่นั้นเหรอ?”

ทันใดนั้นเสียงหยอกล้อก็ดังขึ้น

รูม่านตาของเฉินตงกระชับแน่นขึ้น เห็นงูเหลือมที่ยิ้มเยาะอยู่ตรงหน้า อีกทั้งลิ้นสีแดงของเขาก็แลบออกมาราวกับงู

วินาทีต่อมา

ปัง!

มืออันทรงพลังของงูเหลือมก็เร่งเร็วขึ้น แล้วสับเข้าที่ไหล่ซ้ายของเฉินตง

เฉินตงร้องลั่นออกมา ไหล่ซ้ายเจ็บปวดราวกับถูกค้อนหนักทุบเข้าใส่ และรู้สึกเหมือนไหล่จะแตกเป็นชิ้นเล็กๆ

ในขณะเดียวกันนั้น

งูเหลือมก็กระโดดขึ้นกลางอากาศ และถีบเข้าที่หน้าอกของเฉินตง

พร้อมกับเสียงที่ดังขึ้นมา เฉินตงกระเด็นลอยล่องราวกับถุงกระดาษที่ปลิดปลิว แล้วตกลงไปยังขอบเวที

ในตอนนั้นเอง ใบหน้าของเฉินตงก็ซีดเผือด

หน้าอกแน่นราวกับถูกก้อนหินกดทับ และเขารู้สึกได้ว่าซี่โครงของเขาน่าจะหัก จากการถูกกระแทกครั้งนี้

“พรืด!”

เลือดกระอักออกมาเต็มปาก

เฉินตงค่อยๆลุกขึ้น แล้วจ้องมองไปที่งูเหลือมอย่างหวาดกลัว

นี่……เป็นความเร็วจริงๆของเขาเหรอ ?

เร็วจนฉันเองก็ไม่สามารถต้านทานเอาไว้ได้ ?

“ซี๊ด~”

งูเหลือมยิ้มเยาะ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง:“ไอ้หมียักษ์นั่นคงบอกจุดอ่อนของฉันให้นายรู้แล้วใช่ไหม?”

ในขณะที่พูด เขายกนิ้วขึ้นชี้ไปที่ดวงตา และพูดอย่างไม่สะทกสะท้านว่า :“ดวงตาของฉัน กลัวแสงจ้า หากถูกแสงจ้าส่องเข้าใส่ จะสูญเสียการมองเห็นในช่วงเวลาสั้นๆ”

แสงจ้า?!

เฉินตงนิ่งอึ้งไป

งูเหลือมที่อยู่ตรงหน้าใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความอวดดี หัวเราะเยาะเย้ยอยู่กับที่แล้วหมุนตัวไปรอบๆ

“แต่นายดูสิ ในคุกมืดที่มืดมนแบบนี้ แม้แต่ท้องฟ้าก็ยังมืดมิด หากไม่ใช่เพราะสังเวียนชีวิตนี้ ไฟที่อยู่ด้านบนและตรงเวทีก็คงไม่เปิดสว่างจ้าแบบนี้”

“เพราะฉะนั้น นายคิดว่าจุดอ่อนของฉันนี้ ยังเป็นจุดอ่อนอยู่ไหม?”

คำพูดเหล่านี้ ล้วนเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งและหยามเหยียด

เพราะงูเหลือมมั่นใจว่า ในคุกมืดนี้ หากต้องการจะทำร้ายดวงตาของเขา และทำให้มองไม่เห็นไปชั่วขณะนั้นโอกาสที่จะเป็นไปได้นั้นน้อยมาก เพราะฉะนั้นจุดอ่อนของเขาจึงไม่จำเป็นที่จะต้องปิดบัง

“พรืด!”

เฉินตงหัวเราะออกมาทันที

ดวงตาจ้องเขม็งไปที่งูเหลือม ยกมือชี้ขึ้นไปยังเหนือศีรษะ :“นายพูดเองไม่ใช่เหรอ ว่าดวงไฟที่ส่องแสงจ้าเล็กน้อยพวกนี้ทำให้นายสูญเสียการมองเห็นได้ชั่วขณะ”

ภายในห้องควบคุม

บรรยากาศเย็นเยือก

ทุกคนมีท่าทีเคร่งขรึม รวมถึงป๋าด้วย

เมื่อเผชิญหน้ากับผู้มาเยือน ทุกคนต่างก็เฝ้าระวัง

ตรงหน้าป๋า มีชายสวมชุดดำยืนอยู่

หมวกใบใหญ่ปิดบังใบหน้าของเขา มีเพียงคางที่มีหนวดเคราโผล่ออกมา

“หืม?”

เสียงหืมเบาๆ ออกจากปากของชายคนนั้น ที่ซึ่งกำลังตั้งคำถามอยู่

ป๋ารีบตอบไปว่า :“เกรงว่า จะเป็นเรื่องยาก”

ในตอนที่ตอบคำถามนี้ออกไป ป๋าก้มหน้า แสดงความเคารพ

คำพูดไร้น้ำหนัก

จากการต่อสู้เมื่อกี้ ป๋าก็มองเห็น ว่าเฉินตงรู้จุดอ่อนของจ่าฝูงคุกNO.8 ดังนั้นจึงเลือกที่จะโจมตีไปที่จุดอ่อนนั่น

แต่สิบคุกที่เสียงดัง ยกเว้นคนตรงหน้านี้

เก้าคนที่เหลือ เฉินตงก็เพิ่งจะเอาชนะไปได้เพียงสองคน อีกเจ็ดคน ลำพังรู้เพียงจุดอ่อนคงยังไม่พอ

การต่อสู้สองครั้งที่ผ่านมา อาจเพราะรู้จุดอ่อนของจ่าฝูง ทำให้เฉินตงใช้กำลังไปน้อยแต่ได้ผลงานดี

แต่หลังจากนั้น เมื่อทุกคนต่างรู้แจ้ง บนสังเวียนชีวิตจ่าฝูงที่เหลือก็จะพยายามปกป้องจุดอ่อนของตัวเอง

ยิ่งนานวันเข้า ความยากในการเอาชนะบนสังเวียนชีวิตของเฉินตงก็จะยิ่งยากขึ้นไปอีก

ในสถานการณ์ที่ร่างกายไร้กำลังในการต่อสู้ เหตุการณ์แบบนี้ มันอันตรายมาก

“แต่ฉันคิดว่าเขาสามารถมาอยู่ตรงหน้าฉันได้”

ชายในเสื้อคลุมยกยิ้มเล็กน้อย มุมปากที่ยกขึ้นเผยให้เห็นถึงความชั่วร้าย:“เขาแซ่เฉินใช่ไหม?”

ป๋ารู้สึกประหลาดใจ แต่ก็พยักหน้ารับ

ชายในชุดคลุมพ่นลมหายใจเย็นๆออกมา ยืนบิดขี้เกียจ แล้วพูดว่า :“สิบปีที่แล้วปล่อยให้ชายร่างใหญ่นั้นออกไป คราวนี้ก็มาอีกคน ไม่รู้ว่าควรปล่อยหรือไม่ควรปล่อยไปดี ?”

พูดจบ เขาหันหลังแล้วเดินจากไป

เสียงก้องไปทั่วทั้งห้องควบคุม

ทำให้ป๋าและคนอื่นๆต่างก็ประหลาดใจ

คำว่า“ปล่อยเขาไป”ราวกับฟ้าผ่าในตอนกลางวัน

นี่หมายความว่า……คนตรงหน้านี้ ตั้งใจที่จะปล่อยคุนหลุนไปในตอนนั้นเหรอ ?

ป๋ารู้สึกสับสน แววตาวูบวาบ

ในสมอง นึกไปถึงภาพของคุนหลุนกับการต่อสู้ของชายคนนี้เมื่อสิบปีที่แล้ว

การต่อสู้ที่น่าเวทนาในตอนนั้น เป็นเขาที่ยอมอ่อนข้อให้จริงๆ เหรอ?

สักพักใหญ่ๆ

ป๋าก็หัวเราะออกมา :“ถ้าเป็นแบบนั้น คุนหลุนในตอนนั้นก็นับว่าโชคดีมาก”

เขาหันหลังกลับ มองไปยังภาพในจอ

คุก NO.8 ในเวลานี้ไม่มีแม้ร่องรอยของเฉินตง

เฉินตงกลับไปยังห้องขังในคุก NO.9

จากการมองจากกล้องวงจรปิด ป๋าเห็นเฉินตงนั่งเคียงข้างกันกับหมียักษ์ กำลังกระซิบกระซาบกัน

ดวงตาป๋าฉายแววล้ำลึก:“สิบวันกับสิบชัยชนะ ความกล้าหาญของนาย ยิ่งใหญ่กว่าของคุนหลุนในตอนนั้น แต่ก็ขอให้นายสมหวัง และมิตรภาพของฉันกับคุนหลุนก็จะไม่ไร้ค่า”

……

“คุณเฉิน สังเวียนชีวิตในวันพรุ่งนี้ เป็นการต่อสู้ระหว่างคุณกับหมาป่าละโมบ ทางนั้น ผมได้วางแผนเตรียมการเอาไว้ให้แล้ว”

ใบหน้าของหมียักษ์เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม และรอยยิ้มนั้นก็แฝงไปด้วยความน่ากลัว

แต่ทว่า

เฉินตงยิ้มแล้วพยักหน้ารับ:“การต่อสู้ทั้งสองรอบ หากพรุ่งนี้สามารถควบคุมได้ ฉันก็จะมีเวลาพักฟื้นเพิ่มอีกวัน”

นี่เป็นสิ่งที่เขาคาดการณ์เอาไว้ล่วงหน้า

ในคุกมืดนี้ เมื่อสังเวียนชีวิตเริ่มต้นขึ้น

ผู้ท้าชิงจะมีสิทธิ์เลือกคู่ต่อสู้

สิบวันกับสิบสังเวียน มันคือสิ่งที่บีบคั้นที่สุดในชีวิต

เฉินตงทำได้เพียงใช้วิธีที่ “ฉาบฉวย”แบบนี้ เพื่อให้ตัวเองมีเวลาได้ฟื้นฟูสภาพร่างกายให้ได้มากที่สุด

กับสถานการณ์ที่ต้องดิ้นรนกับความเป็นความตายแบบนี้ ต่อให้มีเวลาพักฟื้นเพิ่มอีกหนึ่งวัน ก็สามารถฟื้นตัวให้กับสภาพร่างกายของเขา

“คุณเฉิน คุณวางแผนได้ดีแล้ว แต่คุณต้องคิดให้รอบคอบ หมาป่าละโมบกับทูตสวรรค์ดำสามารถช่วยให้คุณชนะได้สองเวที และช่วยให้คุณมีเวลาพักฟื้นสองวัน”

น้ำเสียงของหมียักษ์ทุ้มต่ำ ในเมื่อเลือกที่จะติดตามแล้ว เขาก็ทุ่มเทใจอย่างเต็มความสามารถช่วยเฉินตงคิด :“ถึงจะเป็นไปตามนี้ แต่สังเวียนชีวิตหลังจากนี้ คุณก็จะต้องเจอกับเรื่องยากขึ้นไปเรื่อยๆ !”

“สงคราม!”

แววตาของเฉินตงเต็มไปด้วยวิญญาณของการต่อสู้ คำที่พูดออกมา ก้องกังวานและมีพลัง

หมียักษ์ได้แต่ถอนหายใจอย่างจนใจ

แนชวิลล์และคนอื่นที่เหลือ มองไปที่เฉินตงด้วยความเกรงกลัว

ในคุกมืดนี้ ผู้แข็งแกร่งที่สุดคือผู้อยู่รอด ทุกคนต่างดิ้นรนที่จะมีชีวิตรอด

แต่กับเฉินตงที่ไม่กลัวตายแบบนี้ นักโทษที่คุ้นชินกับความเลือดร้อน ต่างก็มีความเกรงกลัวอยู่ลึกๆในใจ

เอาตัวรอดจนชิน พอมีคนที่ไม่กลัวตายมาปรากฏ ในสายตาของพวกเขา ร่างนั้นก็เหมือนมีแสงประกาย

……

สถานที่ในคุกมืดนี้ ดวงอาทิตย์เที่ยงคืนหรือคืนขั้วโลก

บวกกับกำแพงที่สูงล้อมรอบ ทำให้คนในคุกมืดนี้ไม่รู้วันคืนและเวลา

แต่สำหรับเฉินตงแล้ว ตั้งแต่ที่รู้คืนวันเวลาจากป๋า เขาก็จดจำแต่ละนาทีไว้อย่างชัดเจน

เพราะเขาไม่มีเวลาพอที่จะปล่อยให้มันผ่านไปอย่างไร้ค่าได้

สิบวันกับสิบสังเวียน มันเป็นแผนการที่เขาเห็นว่ามันเหมาะสมกับการสู้ศึกที่สุดแล้ว

หากล่าช้าไปมากกว่านี้ ทุกอย่างของเขา ก็จะถูกยึดและถูกแทนที่

แม่ ภรรยา พี่น้อง ทุกสิ่งทุกอย่าง มันทำให้เขาต้องจดจำเวลาของตัวเองเอาไว้ให้ได้อยู่ตลอด

เวทีการต่อสู้ที่สามนี้ เป็นไปตามที่เฉินตงกับหมียักษ์ได้คาดการณ์ไว้ จ่าฝูงของคุกNO.10หมาป่าละโมบดูราวกับต่อสู้อย่างดุเดือด แต่เขาก็ออมมือให้อยู่มาก

และมันก็ทำให้เฉินตงมีชัยชนะกับการต่อสู้ครั้งนี้ไปได้อย่างง่ายดาย

เหมือนกับการต่อสู้ของเมื่อวานนี้ และมันก็ทำให้นักโทษทั้งหมดของคุกNO.10ถึงกับงงไปตามๆกัน

บางคนถึงกับสงสัย การต่อสู้กับจ่าฝูง มันง่ายดายแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไรกัน ?

คนที่ขึ้นต่อสู้ในสังเวียนชีวิตนี้ เป็นจ่าฝูงของเรือนจำนี้จริงๆเหรอ ?

แต่ไม่ว่ายังไง นี่ไม่ใช่สิ่งที่เฉินตงให้ความสำคัญ

เป้าหมายของเขาคือ การเอาชนะ !

เป็นการเอาชนะสิบสังเวียนติดต่อกัน!

แล้วออกจากไปจากคุกมืดนี้!

ไม่ใช่การให้ความสนใจในวิธีการ และยิ่งไม่ใช่การให้ความสนใจกับคำถามต่างๆของนักโทษ

ชนะเป็นเจ้าแพ้เป็นโจร

บางครั้งเพื่อชัยชนะ การไม่เลือกวิธีการ มันจะผิดอะไร ?

ในการต่อสู้ที่ดุเดือดแบบนี้ ทุกวินาทีสำหรับเฉินตงแล้ว มันมีค่ามากนัก

ได้พักผ่อนอีกคืน สภาพร่างกายของเฉินตงก็ฟื้นตัวมากขึ้น

แม้ว่าบาดแผลบนร่างกายของเขาจะไม่หายเป็นปรกติ แต่เมื่อปรับสภาพร่างกายได้ ก็พอช่วยให้เขามีร่างกายที่พร้อมกับการต่อสู้“ฟู่……”

เฉินตงลืมตาขึ้น แล้วมองดูท้องฟ้าที่มืดสลัวของเรือนจำ :“เวทีที่สี่แล้ว วันนี้เล่นตุกติกไม่ได้อีกแล้ว”

เขาบิดขี้เกียจ ลุกขึ้นแล้วเดินออกไป

“คุณเฉิน……งูเหลือมในคุกNO.7 คุณต้องจำเอาไว้ จุดอ่อนของเขาอยู่ที่ตา”

หมียักษ์ก็ลืมตาขึ้น จ้องมองไปที่เฉินตงด้วยสายตาที่มุ่งมั่น:“จุดอ่อนของเขา มันไม่ใช่ความลับอะไร หากคุณสามารถจัดการกับจุดอ่อนนี้ของเขาได้ การเอาชนะก็จะใช้เพียงไม่กี่นาที”

เฉินตงยิ้มอย่างขมขื่น

เรื่องพวกนี้ เมื่อวานหมียักษ์ได้บอกเขาแล้ว

แต่ว่า จุดอ่อนที่คนทั้งคุกมืดนี้ก็รู้ งูเหลือมยังสามารถอยู่ในตำแหน่งจ่าฝูงของคุกNO.7ได้ นี่ยังอธิบายอะไรไม่ได้อีกเหรอ ?

หรือบางที……จุดอ่อน คงไม่ใช่จุดอ่อนอีกต่อไปแล้ว ?

สังเวียนชีวิตที่สี่นี้ กำหนดความเป็นความตาย !

“ฉันรู้แล้ว”

เฉินตงตอบกลับพอเป็นพิธีให้กับหมียักษ์

และเมื่อผู้คุมเปิดประตูห้องขัง เฉินตงก็เดินออกจากห้องขังไป เขาตกตะลึง

ป๋ายืนอยู่ไม่ไกลมากนัก ใบหน้าที่มีหนวดเคราเผยรอยยิ้มที่แปลกประหลาด

หลังจากนั้น

ป๋ายกมือขวาขึ้น ทักทายกับเฉินตง แล้วยิ้มอย่างมีเลศนัย

เฉินตงผงะ แล้วเดินเข้าไปหาป๋า

ป๋าเองก็ได้นำสิ่งของบางอย่างยัดใส่มือของเขาอย่างเงียบ ๆ

แล้วกระซิบว่า :“นี่เป็นสิ่งที่ฉันพอจะช่วยนายได้ ของล้ำค่านี้หวังว่าจะมีประโยชน์กับนาย”

ป้าบ!

โทรศัพท์ถูกวางสายไป!

ใบหน้าของเฉินตงมีรอยยิ้มที่พึงพอใจปรากฏ

เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ ในตอนนี้ ความอัดอั้นที่ถูกเก็บกดมาโดยตลอดก็ได้ถูกปลดปล่อยออกมา

“ขอแค่ผ่านวันที่ 15นี้ไป ฉันก็จะกลายเป็นเฉินตงโดยสมบูรณ์ ความพยายามทั้งหมดของตระกูลโจว ก็คุ้มค่าแล้ว !”

เสียงพึมพำแผ่วเบา สะท้อนก้องอยู่ภายในห้องของผู้ป่วย

และอีกด้านหนึ่ง

หลังจากที่กู้ชิงหยิ่งออกมาจากห้องพักผู้ป่วยของเฉินตง เธอก็ยังไม่ได้กลับไปในทันที

เธอแวะไปเยี่ยมดูอาการของฉินเย่ต่อ

“ครั้งที่แล้วนายคงทำจางหยู่หลันเสียใจเข้าให้แล้วจริงๆ”

มองไปยังห้องผู้ป่วยที่ว่างเปล่า กับโต๊ะที่รกรุงรัง กู้ชิงหยิ่งก็เอ่ยพูดออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย

“ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่? ไปก็ดีแล้ว!”

ฉินเย่นอนหนุนศีรษะบนมือทั้งสองข้าง ใบหน้าพูดออกมาอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร :“ใครใช้ให้เธอมาทำดีกับคนที่ฆ่าพ่อตัวเองอย่างฉันกันล่ะ? ไล่ไปแบบนี้ ก็สมควรแล้ว ”

ในตอนนี้กู้ชิงหยิ่งเองก็พูดอะไรไม่ออกเหมือนกัน

หลี่หลานกับคุนหลุนก็ได้แต่ส่ายหัว

มีเพียงท่านหลงเท่านั้นที่ก่นด่า :“ไอเจ้าเด็กคนนี้ ฉันรู้ว่าแกคิดอะไร”

“ออกไปเลย!”

ฉินเย่ตกใจ แล้วเถียงกลับท่านหลงไปคำหนึ่ง

ท่านหลงได้แต่หัวเราะ แต่ก็ไม่ได้โกรธอะไร

ได้แต่โบกมือ :“ดูแกกระฉับกระเฉงร่าเริงแบบนี้ ไม่ได้เป็นอะไรมาก งั้นพวกเรากลับก่อนแล้วกัน”

“ไปเลยกลับไปเลย”

ฉินเย่โบกมือ แต่แล้วก็เรียกกู้ชิงหยิ่งเอาไว้

รอให้หลี่หลาน ท่านหลงและคุนหลุนออกจากห้องไปแล้ว

ฉินเย่ก็เอ่ยถามไปว่า:“เธอกับเฉินตงถูกซุ่มโจมตีจริงๆเหรอ ?”

กู้ชิงหยิ่งขมวดคิ้ว แล้วตอบกลับไปว่า :“จะหลอกได้ยังไง? เฉินตงก็พักอยู่ในห้อง VIP ชั้นเดียวกับนาย”

“ช่างน่าแปลกจริงๆ”

นัยน์ตาของฉินเย่ฉายแววครุ่นคิด ชายหนุ่มจิ๊ปาก

“ฉินเย่ ฉันรู้ว่านายอยากจะพูดอะไร”

กู้ชิงหยิ่งท่าทีเคร่งขรึม และเอ่ยพูดอย่างจริงจัง :“นายรู้ไหม หากไม่ใช่เพราะเฉินตงเอาตัวเข้ามาบังไว้ ฉันคงตายไปแล้ว หากเขาเป็นตัวปลอมจริง แล้วจะเอาตัวมาบังมีดนั้นทำไม ?”

“แต่ว่า……”

ฉินเย่อยากจะเถียงต่อ

กู้ชิงหยิ่งยกมือขึ้นห้ามเอาไว้ แล้วพูดอย่างจริงจังไปว่า:“ฉินเย่ ฉันมั่นใจว่าเฉินตงเป็นตัวจริง ไม่ใช่ใครที่ไหนปลอมตัวมา เราจะไม่พูดถึงเรื่องนี้กันอีก อีกอย่างนายกับเฉินตงก็เป็นพี่น้องกัน ขอให้นายเชื่อในตัวเขาด้วย”

“อีกทั้งตอนอยู่ที่ไห่ย่าเขาก็เจอเรื่องร้ายๆมา มีท่าทีที่เปลี่ยนไปบ้างนั่นก็ถือว่าไม่แปลกอะไร”

เมื่อเห็นท่าทีที่มั่นใจของกู้ชิงหยิ่ง

ฉินเย่ก็ได้แต่ยิ้ม:“โอเคครับ ฉันเชื่อเขาอยู่แล้ว”

“งั้นนายก็พักผ่อนแล้วกัน ออกจากโรงพยาบาลเร็วๆ นายยังต้องมาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวให้พวกเรานะ”

สีหน้าของกู้ชิงหยิ่งผ่อนคลายลง แล้วหันหลังเดินออกจากห้องไป

รอจนกระทั่งประตูห้องปิดลง

ฉินเย่ก็หยิบบุหรี่ออกจากเตียงโดยไม่เดือดไม่ร้อน จุดมันอย่างชำนาญสูบไปทีหนึ่ง จึงก่นด่าพลางหัวเราะไปว่า

“เชื่อกับผีนะสิ !”

เขาไม่มีนิสัยที่จะมาโต้เถียงอะไรกับผู้หญิงแบบนี้

จึงได้เออออห่อหมกไปตามคำพูดของกู้ชิงหยิ่ง

แต่ อยากให้เขาเชื่อ ?

ฉินเย่ลูบคางไปมา พลางสูบบุหรี่ แล้วพึมพำเบาๆว่า :“ความรู้สึกของฉันไม่ผิดแน่ พี่ตงกับฉันเป็นคนประเภทเดียวกัน”

จากนั้น

เขาก็บิดขี้เกียจ แล้วพูดอย่างเอือมระอาว่า

“เฮ้อ……พี่ตง อย่าว่าผมอย่างโน้นอย่างนี้เลยนะ ภรรยาของพี่ ผมจะปกป้องดูแลเอง !”

ในขณะที่พูดคำนี้ ดวงตาของเขาก็เย็นชาขึ้นมา ไอสังหารรุนแรง :“เฉินตงที่ฉันรู้จัก ไม่ใช่แบบนี้แน่”

……

ภายในคุกมืด

คุก No8

เวลานี้ไม่มีเสียงใดๆ

นักโทษในเรือนจำต่างก็ตะลึงอ้าปากค้าง จ้องมองไปที่เวทีด้วยความหวาดกลัว

เวทีการต่อสู้ที่ควรจะดุเดือดนี้ แค่เพียงเวลาสั้นๆ ก็ทำให้อากาศในเรือนจำนี้จับตัวเป็นก้อน

ภาพบนเวทีนั้น ทำให้นักโทษทุกคนประหลาดใจ

นี่มัน……สังเวียนชีวิตของเหล่าจ่าฝูงเหรอ ?

บนเวที

เฉินตงยืนนิ่ง ท่าทีเฉยชา

เขาจ้องมองไปยังจ่าฝูงที่นอนอยู่บนพื้น ห่างออกไปไม่ไกลนัก ที่เท้าซ้ายบิดจนผิดรูป

การคาดเดาของหมียักษ์ ตรงเป๊ะและแม่นยำ

ภายใต้ความประมาทของคู่ต่อสู้ ทำให้เขาเอาชัยชนะได้เพียงเวลาสั้นๆ

“นาย นายรู้ได้ยังไง? นายไม่มีทางรู้เรื่องนี้แน่!”

ชายที่ร่างกายกำยำแข็งแรงบนใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด เหงื่อไหลเป็นทาง ความเจ็บปวดจากเท้าซ้ายที่บิดเบี้ยว ทำให้เขาสั่นไปทั้งหน้า

แต่นี่ ก็ยังไม่เท่ากับความรู้สึกช็อกที่เกิดขึ้นในใจของเขาในตอนนี้

เท้าซ้ายของเขา เป็นแผลเก่าที่เกิดขึ้นหลังการต่อสู้ตลอดทุกครั้งที่อยู่ในคุกมืดนี้

ในคุกมืดนี้ แผลบาดเจ็บที่เกิดขึ้น ก็สามารถคร่าเอาชีวิตคนได้

ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นใคร ก็จะพยายามปกปิดช่องโหว่ของตัวเอง

เช่นเดียวกับสัตว์ป่าที่อยู่ในป่า เมื่อเกิดความเหนื่อยล้า ก็จะมีพวกหมาแมวมาคอยรุมขย้ำกินทันทีมันเป็นหลักเกณฑ์เดียวกัน

ยิ่งไปกว่านั้น เขาเป็นถึงจ่าฝูง!

อาการเท้าซ้ายที่บาดเจ็บ เขาก็คอยปกปิดและระวังมันอยู่ตลอด

ในคุกมืดนี้ ไม่มีทางที่จะได้รับการรักษา สิ่งเดียวที่ทำได้ก็คือปกปิดมันเอาไว้ เพื่อรักษาตำแหน่งจ่าฝูงของตัวเอง เพื่อให้ตัวเองมีความเป็นอยู่ที่สุขสบายที่สุด

แต่เขาคิดไม่ถึงว่า คนที่เพิ่งจะเข้ามาใหม่ซึ่งอยู่ได้ไม่ถึงครึ่งเดือนนี้ ไม่เพียงจะกลายเป็นจ่าฝูง แต่ยังรู้ไปถึงอาการบาดเจ็บที่เท้าซ้ายของเขาอีกด้วย!

ในการต่อสู้ระยะสั้นๆนี้ เห็นได้ชัดว่าจ่าฝูงอยู่ในตำแหน่งที่เหนือกว่า

แต่ประเด็นสำคัญคือ การจู่โจมทุกครั้งของเฉินตง ก็มุ่งโจมตีไปยังเท้าซ้ายที่บาดเจ็บของจ่าฝูง ต่อให้ต้องต่อสู้กันจนกระอักเลือด เขาก็ยังคงทำอยู่อย่างนั้น

การโจมตีต่อเนื่องดั่งพายุ ทำให้เท้าซ้ายของจ่าฝูงต้านรับไม่ไหว หักและบิดไป

“ไม่ยอมแพ้ ฉันฆ่านาย!”

เสียงของเฉินตงหนาวเหน็บรุนแรง ราวกับลมหนาวที่พัดมาจากนรกที่ลึกที่สุด

ท่าทีของจ่าฝูงเหมือนจะหายใจไม่ออก สัมผัสได้ถึงไอสังหารรุนแรงที่ถูกปล่อยออกมาจากร่างของเฉินตง

เขากัดฟันแน่น แล้วก้มหน้าลงด้วยความอัปยศอดสู:“ฉัน ฉันยอมแพ้!”

การมีชีวิตอยู่ก็ยังดีกว่าตาย

สิ่งสิ่งนี้ เป็นสิ่งที่นักโทษทุกคนต่างก็เห็นตรงกัน

กับจ่าฝูงเองก็ไม่มีข้อยกเว้น

“ดี”

เฉินตงพยักหน้า และไม่ได้สนใจกับจ่าฝูงอีก แต่กลับหันกลับไปกวาดมองยังคนดู

น้ำเสียงที่เยือกเย็น ราวกับฟ้าร้อง

“พรุ่งนี้ เวทีที่สาม!”

เงียบ

คุกNO.8เงียบกริบ

นักโทษทุกคนต่างก็ตกตะลึง

การต่อสู้ที่ควรจะนองไปด้วยเลือด แต่กลับรู้ผลแพ้ชนะในเวลาอันสั้น

ที่สำคัญกว่านั้นคือ ตามธรรมเนียมปฏิบัติของคุกมืดนี้ การสับเปลี่ยนตำแหน่งจ่าฝูง จ่าฝูงคนเก่าจะต้องตายด้วยน้ำมือของจ่าฝูงคนใหม่

แต่นี่ เฉินตงกลับหันหลังกลับ

ไม่เอาชีวิต !

แล้วนี่จะเรียกว่าเป็นสังเวียนชีวิตได้ยังไงกัน?

มองไปยังเฉินตงที่เดินลงเวที

นักโทษทุกคนต่างโห่ลั่นราวเสียงฟ้าร้องกันอย่างบ้าคลั่ง

แต่เฉินตง กลับมีรอยยิ้มที่ดูหมิ่นปรากฏที่มุมปากของเขา

เขา ไม่สนใจสายตาของนักโทษในคุกมืดที่มองมา

แต่ การต่อสู้ครั้งนี้ก็เพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเขาอย่างมาก

มีข้อมูลของหมียักษ์เป็นพื้นฐาน สังเวียนการต่อสู้นี้ก็ง่ายขึ้นมาก

แม้ว่าคู่ต่อสู้จะได้รับบาดเจ็บมากกว่าตัวเอง

แต่การเลือกจัดการกับจุดอ่อนของเขา มันก็เป็นวิธีที่สามารถลดอาการบาดเจ็บที่อาจจะเกิดขึ้นกับตัวเองให้น้อยที่สุดได้

หน้ากล้องวงจรปิดของคุกNO.8

ป๋ามองดูสถานการณ์ภายในของคุกNO.8 ด้วยท่าทีแปลกๆ

มันเป็นอะไรที่เขาเองก็คาดไม่ถึง

ทันใดนั้น

เสียงหัวเราะก็ดังขึ้นภายในห้องควบคุม

“เด็กคนนี้ เกินไปแล้วจริงๆ !”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้

ท่าทีของป๋าก็เกร็งขึ้นมา แล้วรีบหันหลังกลับ

คนอื่นๆในห้องควบคุมก็ลุกขึ้นตามๆกัน โค้งคำนับด้วยความเคารพ

“คุณมาที่นี่ได้ยังไงครับ?” ป๋าเอ่ยถาม

ผู้มาเยือนยกยิ้ม ชี้ไปยังภาพในคุกNO.8:“นายว่า เด็กคนนี้จะมีโอกาสมายืนอยู่ตรงหน้าฉัน แล้วสู้กับฉันไหม ?

จ่าฝูงแห่งคุกNO.1 หรืออาจถือได้ว่าเป็นบุคคลพิเศษในคุกมืด

เสียงของหมียักษ์ยิ่งทุ้มต่ำลง แววตามืดครึ้มจนสุดขีด เขาหัวเราะเยาะตัวเอง “เฉินตง นักโทษในคุกมืดที่สามารถพลิกสถานะนำแขกมาเป็นเจ้าบ้าน ได้รับสวัสดิการเท่าผู้คุมคุก คุณนึกภาพออกไหม? ”

บูม!

เฉินตงรู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่า

ในวินาทีนี้ เฉินตงเกิดมรสุมในใจ

แม้ว่าเขาจะพยายามยับยั้ง แต่หมัดทั้งสองที่กำแน่นก็ยังคงเห็นเส้นเลือดที่ปูดออกมาได้อย่างชัดเจน

นักโทษที่ได้รับสวัสดิการอย่างผู้คุม แล้วยังเรียกว่านักโทษเหรอ?

จ่าฝูงแห่งคุกNO.1 เขาอาศัยความสามารถที่แข็งแกร่ง จึงครองตำแหน่งจ่าฝูงคุกNO.1มาแล้วยี่สิบกว่าปีอย่างมันคง และได้รับอำนาจไม่ด้อยไปกว่าผู้จัดการชั้นสูงในคุกมืด ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือเขาไม่สามารถเข้าออกคุกมืดได้อย่างอิสระ

รอยยิ้มของหมียักษ์ที่หัวเราะเยาะตัวบนใบหน้าของหมียักษ์ ยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เขาเป็นเพียงคนที่ที่สามารถทำได้ถึงเช่นนี้ และเป็นเพราะการดำรงอยู่ของเขา อีกเก้าคุกที่เหลือนั้นจึงอยู่ใต้ความควบคุมมาตลอด จึงทำให้คุกมืดนี้ดูสงบมาโดยตลอด

ขณะที่ฟังหมียักษ์พูด

เฉินตงรู้สึกแทบจะหายใจไม่ออก

ตำแหน่งจ่าฝูงยี่สิบกว่าปี และอำนาจที่เทียบเท่าผู้คุมชั้นสูงในคุกมืด

นี่มันสูงกว่าตำแหน่งอำนาจของป๋าเสียอีก!

และนอกจากนี้ ความสงบของคุกมืด ก็ยังต้องพึ่งพาเขาคนนั้นด้วย

คนเดียว คุมคุกไว้ทั้งแห่ง !

นี่มันต้องความสามารถระดับไหน?

ต้องรู้ว่า นักโทษทุกคนในคุกมืดนี้ มันไม่มีสักคนที่จัดการได้ง่ายเลย

อีกทั้งทหาร และเทพสงครามก็มีไม่น้อย

ในบรรดาเทพสงครามเหล่านี้ ใครบ้างที่ไม่ใช่ลูกเทวดา?

หากไม่ใช่เพราะมีเขาคนนั้นอยู่ บางทีสิบคุกที่เสียงดังคงจะวุ่นวายจนกลายเป็นโจ๊กหม้อหนึ่งไปแล้วมั้ง

วินาทีนี้ เฉินตงก็ยังสงสัยเลยว่าในตอนนั้นคุนหลุนเขาออกจากคุกมืดนี้ไปได้อย่างไร

การดำรงอยู่อันน่าสยองของคนเดียวที่คุมทั้งคุก จะสามารถเอาชนะเทพสงครามได้อย่างง่ายดายจริงหรือ?

ความรู้สึกที่หดหู่อย่างรุนแรง ลอยขึ้นมาอย่างอัตโนมัติ

แววตาของเฉินตงก็เริ่มดูไม่นิ่ง

สิบวัน………จะทำได้จริงหรือ?

“เฉินตง ดังนั้นการตัดสินใจของคุณมันไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาด”

หมียักษ์พูดอย่างจริงจัง“ แม้ว่าคุณจะสามารถเอาชนะจ่าฝูงทั้งเก้าคุกได้ แต่จ่าฝูง NO.1นั้น มันยากยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์อีก!”

ภายในห้องขังเงียบสงัด

แนชวิลล์และคนอื่นๆ ได้เงียบไปตั้งนานแล้ว

พวกเขาเป็นนักโทษเก่าของคุกมืด แน่นอนว่าต้องคุ้นเคยกับตำนานจ่าฝูงแห่งคุก NO.1 เป็นธรรมดา

แต่สภาพของเฉินตงในตอนนี้ ทําให้พวกเขาไม่กล้าพูดอะไรสักคำ

ผ่านไปครู่ใหญ่

“เหอะ!”

มุมปากเฉินตงยกขึ้นทันที เผยให้เห็นรอยยิ้มที่ดูเหยียดหยาม

เดิมทีผมก็อยู่ในความมืด ที่ต้องการเดินไปสู่แสงสว่าง และมันเป็นการสู้กับฟ้าสวรรค์อยู่แล้ว ก็แค่ขึ้นสวรรค์ มันไม่มีทางทำให้ผมท้อถอยอยู่แล้ว

ทั้งวาจาและรอยยิ้ม

ทำให้หมียักษ์ซบเซาลง และทําอะไรไม่ถูก

แต่เฉินตงกลับยืดเอวบิดขี้เกียจ แล้วนอนลงบนเตียงหินที่แข็งอีกครั้ง

มาพูดถึงจุดอ่อนของจ่าฝูงในคุก NO.8 กันเถอะ

ถ้าเฉินตงมีทางเลือก แน่นอนเขาก็ต้องเลือกที่จะถอยอยู่แล้ว

แต่ในตอนนี้ เขาไม่มีทางเลือก!

กู้ชิงหยิ่งกำลังรอเขาก้าวเข้าสู่ประตูวิวาห์ คุณแม่กำลังรอเขากลับบ้าน พี่น้องยังรอเขากลับไปรวมตัวกันอีกครั้ง

เขาไม่รู้ว่าเหตุใดคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินและตระกูลฉินถึงปล่อยให้เขารอก และโยนเขาเข้าคุกมืด

หรือบางทีอาจเป็นเพราะต้องการขับไล่เขาให้จากไปตลอดกาล

เพราะการฆ่าใครสักคนคน มันง่ายกว่าการทรมานใครสักคนตั้งเยอะ

ทั้งๆที่รู้ว่าจะมีคนมาแทนที่ทุกอย่างของเขา และใช้ชีวิตแทนเขา แต่กลับไม่สามารถทำอะไรได้ หากปล่อยให้คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินและตระกูลฉินประสบความสําเร็จจริงๆ เขาจะมีชีวิตอยู่ในเงามืดและทรมานไปตลอดชีวิตแน่นอน

ในเมื่อผมเดิมพันไว้ด้วยทั้งหมดของชีวิตแล้ว

ก็แค่ชีวิต ทำไมจะไม่กล้าเสี่ยง

หมียักษ์สูดลมหายใจเข้าลึกๆ และไม่พยายามเกลี้ยกล่อมอีกต่อไป เขาเริ่มเล่ามันอย่างช้าๆ

……………

โรงพยาบาลลี่จิง

ห้องผู้ป่วยVIP

กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื่อที่ฉุน

ใบหน้าของเฉินตงยังคงซีดเผือด แต่โชคดีที่รักษาได้ทันเวลา ไม่มีปัญหาร้ายแรง

กู้ชิงหยิ่งที่อยู่ข้างๆ ใบหน้าซีดเซียวและอ่อนล้า

หลี่หลาน ท่านหลง คุนหลุน และฟ่านลู่ ก็อยู่ด้านข้าง

ทุกคนมองดูเฉินตงด้วยความกังวลใจ

“ทำไมทุกคนถึงมองผมแบบนี้? คุณหมอก็บอกแล้วว่าผมไม่ได้เป็นอะไรมากไม่ใช่เหรอ? ”

เฉินตงยิ้มอย่างอ่อนแรง เผยให้เห็นร่องรอยของความลำบากใจและละอายใจเล็กน้อย

“จะไม่ให้กังวลได้อย่างไร? คุณรู้หรือไหมว่าคุณเสียเลือดไปมากแค่ไหน?”

กู้ชิงหยิ่งพูดด้วยน้ำเสียงที่ร้องไห้ว่า “หลายวันมันนี้ฉันเป็นห่วงจนแทบตาย”

ขณะที่พูดเขาก็เอื้อมเข้าไปในอ้อมกอดเฉินตง และร้องไห้สะอื้น

ความสงสัยทั้งหมดได้หายไปพร้อมกับตอนที่เฉินตงถูกมีดแทงเพราะช่วยเขา

ตอนนี้กู้ชิงหยิ่งเหลือเพียงความรู้ผิดที่มีต่อเฉินตง และได้แต่โทษตัวเอง

“ยัยเด็กไง่ ผมต้องปกป้องคุณอยู่แล้ว ”

เฉินตงลูบหัวกู้ชิงหยิ่งเบาๆ และยิ้มอย่างอ่อนโยน ผมโดนมีดแทงเลือดออกเล็กน้อยก็ไม่เป็นไรละ แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ถูกแทงผมต้องเจ็บปวดใจแค่ไหน ถ้าเป็นเช่นนั้นสู้ให้ผมตายไปเลยยังจะดีกว่า

“ไอ้เด็กโง่ พูดอะไรเหลวไหล?”

หลี่หลานพูดตำหนิด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม

ท่านหลงพูดขึ้นช้าๆ “คุณชาย ตอนนี้ได้ตรวจพบคนที่ทำร้ายคุณกับเสี่ยวหยิ่งแล้วนะครับ เป็นคนที่ตระกูลฉินส่งมาจริงๆ แต่นายท่านยังคงไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆในตอนนี้ อยากรอให้งานแต่งของคุณกับเสี่ยวหยิ่งจบลงก่อน แล้วค่อยคิดบัญชีกับตระกูลฉิน ”

“อืม ผมก็ไม่อยากให้เกิดอะไรขึ้นในงานวิวาห์ มันไม่เป็นมงคล” เฉินตงพยักหน้าอย่างจริงจัง ขมวดคิ้วแน่นและแฝงด้วยจิตสังหารที่พลุ่งพล่าน “รอให้งานแต่งของผมกับเสี่ยวหยิ่งจบลงก่อน ผมต้องเอาคืนตระกูลฉินให้สาสมแน่นอน”

ช่วงนี้คุณพักฟื้นให้ดีก่อน เรื่องอื่นคุณไม่ต้องห่วง แม่กับท่านหลงจะช่วยจัดการเอง

หลี่หลานพูดด้วยความห่วงใย สองสามมานี้เสี่ยวหยิ่งคอยดูแลลูกอย่างไม่ได้หลับไม่ได้นอนทุกวัน ต่อไปถ้าลูกกล้าทำให้เสี่ยวหยิ่งเสียใจแม้แต่นิดละก็ แม่จะไม่ปล่อยไว้แน่

“วางใจเถอะครับแม่”

เฉินตงหัวเราะและจากนั้นก็หันมามองกู้ชิงหยิ่งในอ้อมกอดแล้วพูดว่า “กลับไปพักผ่านพร้อมคุณแม่และคนอื่นๆเถอะ ทางนี้ผมไหวครับ”

จะได้ยังไง?

กู้ชิงหยิ่งและหลี่หลานพูดขึ้นพร้อมกัน

เฉินตงยักไหล่และยิ้มพูดอย่างผ่อนคลาย ไม่เป็นไรจริงๆ แค่โดนแทงที่หลัง มือเท้าก็ปกติดี ผมดูแลตัวเองได้ คืนนี้ให้คุนหลุนมาอยู่เป็นเพื่อนผมสักพักก็พอ เพราะเรื่องนี้ หลายวันมานี้ทุกคนต่างก็เหนื่อยกันมาก ทุกคนกลับบ้านไปพักผ่อนให้ดีเถอะ

หลี่หลานและกู้ชิงหยิ่งยังคงไม่ยอม

ท่านหลงพูดขึ้นช้าๆ “ฮูหยิน เสี่ยวหยิ่ง คุณชายพูดถูก ทุกคนกลับไปพักผ่อนเถอะ หลายวันมานี้เหนื่อยเกินไปแล้ว คืนนี้ให้คุนหลุนมาก็แล้วกัน อีกแค่สักพักเอง ไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ”

ท่านหลงพูดถูก กลับไปกันเถอะ

เฉินตงก็พูดอย่างเห็นด้วย แผนการของตระกูลฉินล้มเหลวแล้ว ภายในระยะเวลาสั้นๆนี้เขายังไม่กล้าทำอะไรหรอก เรื่องแบบนี้ มันเกิดขึ้นครั้งแรกและครั้งที่สองได้ แต่ไม่อาจเกิดซ้ำครั้งที่สามได้อีกแน่นอน พวกเขายังไม่โง่ถึงขั้นที่จะท้าความอดทนของคุณพ่อหรอก

เมื่อได้ยินเช่นนี้

ในที่สุดหลี่หลานและกู้ชิงหยิ่งก็พยักหน้า

สักพักหลังจากที่ทุกคนออกไป

รอยยิ้มที่อ่อนโยนบนใบหน้าของเฉินตงก็หายไปในทันที เหลือเพียงสีหน้าที่มืดครึ้มและแววตาที่เย็นชา

เขาค่อยๆหยิบมือถือออก แล้วกดโทรออก

ยิ้มอย่างเย็นชา

กล่าวว่า บาดแผลนี้ไม่ได้ถูกแทงไปฟรีๆ ความสงสัยที่กู้ชิงหยิ่งมีต่อผมมันได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยละ ตอนนี้ก็รอแค่งานแต่งในวันที่15เท่านั้น ผมตั้งตารออยู่นะ ท้ายสุดแล้วเฉินตงก็ไม่มีบุญวาสนาที่จะได้ครอบครองสาวสวยเช่นนี้ ทั้งหมดนี้ยังต้องเป็นผมที่มารับพรแทนเขา

หลังจากเงียบไปไม่กี่วินาที

จู่ๆ เขาก็ถามขึ้นว่า เพียงไม่กี่วันก็จะถึงวันที่15ละ คุณแน่ใจนะว่าจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง?

หมียักษ์!

เฉินตงท่าทีตกใจ เขาตื่นตัวและลุกขึ้นยืนทันที

ผู้คุมคุกปล่อยเขาเข้ามาเหรอ?

แต่เมื่อสังเกตดูดีๆ เขาก็เข้าใจทันที

รั้วเหล็กในห้องขังบิดเบี้ยวจนไม่เป็นทรง

เห็นได้ชัดว่ามันถูกบีบด้วยกำลังของหมียักษ์ แล้วบุกเข้ามาอย่างรุนแรง

“หมียักษ์ แกจะทำอะไร?”

แนชวิลล์อุทานด้วยความตกใจ และท่าทีที่หวาดกลัว

นักโทษอีกสี่คนที่เหลือ ก็หลบอยู่ในมุมของห้องขัง

ในฐานะอดีตจ่าฝูงของคุก นักโทษทุกคนในคุกก็ยังคงมีร่องรอยในใจที่มิอาจลบเลือนออกไปได้

พูม!

ทันใดนั้น หมียักษ์ก็คุกเข่าลงข้างหนึ่ง

และพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักทุ้ม “ขอบคุณ ขอบพระคุณที่ไม่ฆ่า”

เฉินตงท่าทีตกใจ

“แกไม่ได้มาเพื่อจะแก้แค้นเหรอ? ”

แนชวิลล์และคนอื่นๆก็ต่างงงงวย

หมียักษ์ส่ายหัว “หมียักษ์มาเพื่อขอบคุณ การประลองเป็นตายในวันนี้ แม้ว่านายจะฆ่าฉันให้ตาย ก็ไม่มีใครมาตำหนินายแน่นอน แต่นายไว้ชีวิตฉัน”

ในคุกมืดมนไม่มีกฎเกณฑ์ใดๆอยู่แล้ว กฎข้อเดียวก็คือปลาใหญ่กินปลาเล็ก

สิ่งที่เรียกว่าการประลองเป็นตาย ถึงจะมีกฎเกณฑ์ที่ว่า หากตกจากลานประลองก็คือพ่ายแพ้ แต่ทุกคนก็รู้ดีว่านี่เป็นเพียงคำพูดที่เหลวไหล

หากจะใช้ได้จริง ก็ใช้แค่กับพวกที่ท้าประลองเท่านั้น เพื่อตัดสิทธิ์การท้าประลองในครั้งต่อไป

แต่เรื่องของชีวิต มันไม่ได้อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์นี้

หมียักษ์รู้ดีว่าถ้าหากในตอนนั้นเฉินตงจะถือโอกาสฆ่าเขาตอนที่เจ็บป่วยอยู่ ทุกคนในคุกมืดนี้ก็จะไม่รู้สึกมีอะไรผิดแปลก

และยิ่งกว่านั้นคือ เรื่องแบบนี้เขาก็เคยทำมาแล้วไม่น้อย ในระยะเวลาสองปีที่เขาครองตำแหน่งจ่าฝูง

แต่เฉินตงกลับปล่อยชีวิตเขาไป!

หลังจากหยุดนิ่งไปพักหนึ่ง หมียักษ์สูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากดวงตาที่แดงก่ำของเขาก็กลายเป็นแน่วแน่

“นับจากนี้ไป ชีวิตของหมียักษ์ ก็ถือว่าเป็นของคุณแล้ว!”

สาบานจะติดตามจนวันตาย?

แนชวิลล์และทุกคนต่างตกตะลึงขึ้นมาในทันที

เฉินตงมองหมียักษ์อย่างเคร่งขรึม

เพราะเขาไม่ได้ต้องการฆ่าใคร จุดประสงค์เดียวในการท้าประลองเป็นตายของเขาก็คือชัยชนะสิบเกมและออกจากคุกมืด

ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องฆ่าหมียักษ์

อีกทั้ง คำสาบานว่าจะติดตามจนวันตายของหมียักษ์จะมีประโยชน์อะไร?

ในการต่อสู้ครั้งนี้ หากไม่ได้ออกจากคุกมืดก็คือตาย

ส่วนหมียักษ์ ยังไงแล้วก็ต้องถูกคุมขังอยู่ในคุกมืดนี้อยู่ดี

หากเขาตายไป แล้วหมียักษ์จะติดตามใคร?

หากแม้เขาจะโชคดีออกจากคุกมืดไปได้ แล้วหมียักษ์ที่ยังคงถูกคุมขังอยู่ในคุกมืดนี้ จะมีประโยชน์อะไร?

“ไม่ต้องละ”

เฉินตงส่ายหน้า ผมไม่ต้องการให้คุณติดตาม ที่ผมไม่ฆ่าคุณก็แค่มันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องฆ่าคุณ สิ่งที่ผมต้องการมีเพียงชัยชนะของการประลองเป็นตาย และออกจากคุกมืดนี้ พูดง่ายๆก็คือ คุณเป็นเพียงบันไดขั้นหนึ่งของผมก็เท่านั้นเอง

ดวงตาของหมียักษ์กะพริบวูบวาบ

และมองเฉินตงด้วยความซับซ้อน

การเป็นจ่าฝูงในคุก มาเป็นเดือนเป็นปี ก็ต้องมีความเย่อหยิ่งในใจอยู่แล้ว

และอีกทั้ง ก่อนที่จะเข้ามาในคุกมืดตำแหน่งของเขาก็ไม่ใช่ธรรมดา

แต่เพียงคำพูดเดียวของเฉินตง กลับทำให้ความเย่อหยิ่งของเขาสลายหายไปในชั่วพริบตา

เป็นเพียง …….บันไดขั้นเดียว?

“คุณกลับไปเถอะ พรุ่งนี้ผมมีการประลองเป็นตายยกที่สองอีก ไม่อยากเสียเวลา” เฉินตงโบกมืออย่างเด็ดขาดโดยไม่มีความลังเลเลย

หมียักษ์อึ้งทึ่งพูดอะไรไม่ออก

แนชวิลล์และนักโทษอีกหลายคนที่อยู่ข้างๆต่างก็ทำหน้าสงสัย และมองเฉินตงอย่างไม่กล้าเชื่อ

เฉินตง ลูกน้องที่มีกำลังอย่างหมียักษ์ ไม่ใช่จะหามาได้ง่ายๆนะ แนชวิลล์พูดเตือน

เฉินตงยิ้มอย่างขมขื่นและหลับตาลง “ในการประลองเป็นตายสิบยก ไม่ก็ตาย ไม่ก็ผมออกจากคุกมืด ไม่มีความจำเป็นหรอก”

แนชวิลล์รูม่านตาหดเกรง และถอนหายใจด้วยความเร่าร้อน

มีผู้ติดตามอย่างอดีตจ่าฝูงของคุก หากทั้งสองร่วมมือรวมกำลัง อย่าว่าแต่แค่คุกแห่งเดียว ต่อให้เป็นสิบคุกที่เสียงดัง ก็ยังสามารถเดินออกไปได้อย่างง่ายดาย

เวลานี้

หมียักษ์ลุกขึ้นยืน

เขามองเฉินตงด้วยสายตาที่ล้ำลึก

ทันใดนั้นเขาก็พูดขึ้นว่า “เฉินตง ฉันสามารถช่วยให้นายชนะการประลองเป็นตายได้”

พูดไม่ทันขาดคำ

เฉินตงก็ลืมตาขึ้นทันที ดวงตาที่แหลมคมราวกับมีด

“จะช่วยยังไง?”

ในการประลองเป็นตายสิบยก เฉินตงเองก็ไม่มีความมั่นใจว่าจะชนะได้จริงๆ

ถ้าหากหมียักษ์มีวิธี เขาก็ไม่รังเกียจที่จะรับหมียักษ์ไว้

หมียักษ์ยิ้มพูดด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย “อย่างน้อยฉันก็เป็นจ่าฝูงของคุกNO.9มาตั้งสองปี กับจ่าฝูงอีกเก้าคุกที่เหลือฉันก็ถือว่ารู้ไส้รู้พุงแล้ว สำหรับจุดอ่อนบางอย่างของพวกเขา ฉันก็พอรู้ดี”

ถึงแม้นี่จะไม่ได้ทําให้เฉินตงชนะโดยตรง แต่ก็สามารถช่วยให้เฉินตงมีโอกาสที่จะชนะได้มากขึ้น อีกทั้งจ่าฝูงตะกละแห่งคุกNO.10และจ่าฝูงเทวทูตดําแห่งคุกNO.5 ยังพอมีมิตรภาพกับฉัน…..

เมื่อพูดถึงตรงนี้ หมีดำก็หยุดและจ้องมองเฉินตงด้วยแววตาที่เปล่งประกาย

“นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป คุณเป็นผู้ติดตามของผม”

เฉินตงหัวเราะขึ้นมา ด้วยรอยยิ้มที่ผ่อนคลาย

การรู้ถึงจุดอ่อนของจ่าฝูงในแต่ละคุก มันสามารถเพิ่มโอกาสชัยชนะให้เขาได้จริงๆ

เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็คงไม่ต้องเป็นเหมือนการประลองเป็นตายกับหมียักษ์ในวันนี้ ที่จะต้องคอยสำรวจเสาะหาก่อนในตอนเริ่มต้น

ความหมายที่แฝงไว้ในคำพูดสุดท้ายของหมียักษ์ เฉินตงก็รับรู้และเข้าใจอย่างชัดเจน

เห็นได้ชัดว่า การประลองเป็นตายกับจ่าฝูงแห่งคุกNO.10และคุกNO.5นั้น ยังพอมีช่องว่างอยู่บ้าง หรือยังมีความเป็นไปได้ที่จะดำเนินด้วยวิธีลับๆ

หมียักษ์คุกเข่าลงกับพื้นอีกครั้ง ร่างกายที่ส่งตระหง่านราวกับภูเขา ทุกการเคลื่อนไหวนั้นก็ไม่เบาเลย

เพียงแค่คุกเข่าลงบนพื้นก็ส่งเสียงดังออกมาราวกับตีกลอง

“นับจากนี้ไป หมียักษ์ขอสาบานว่าจะติดตามเฉินตงไปจนวันตาย ชีวิตนี้ขอมอบให้เฉินตง”

ไม่ว่าจะเป็นสีหน้าหรือน้ำเสียงของเขา ก็เผยให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่ไม่อาจมีผู้ใดเทียบได้

ในคุกมืดนี้ ชีวิตมนุษย์ก็เป็นดั่งหญ้า และผู้ที่ถูกคุมขังเข้ามาในคุกมืด ก็แทบจะไม่มีโอกาสที่จะได้ออกไปอีกเลย

แต่แม้ว่าจะต้องอยู่อย่างหลบซ่อนเหมือนมดปลวกเพื่อความอยู่รอดในคุกมืดนี้ มันก็ยังดีกว่าการตายไปแบบง่ายดาย

และก่อนหน้านี้หมียักษ์ก็ยังไม่เคยพบเห็นผู้ใด ที่จะเมตตาชีวิตเหมือนเฉินตง

ชีวิตที่เหลือนี้ มันคุ้มค่าที่หมียักษ์จะมอบให้แก่เฉินตง

“ทีนี้มาพูดถึงจุดอ่อนของจ่าฝูงในแต่ละคุกได้ละ คู่ประลองเป็นตายของผมในวันพรุ่งนี้น่าจะเป็นจ่าฝูงคุกNO.8”

เฉินตงได้ถามถึงเรื่องที่เขากังวลที่สุดในตอนนี้

หมียักษ์เดินไปนั่งข้างๆเฉินตง

แล้วพูดอย่างใจเย็นว่า คุกทั้งเก้านั้นไม่ได้แบ่งแยกตามระดับความสามารถของจ่าฝูง ดังนั้นความสามารถของจ่าฝูงในแต่ละคุกนั้นก็ไม่อาจเรียบเรียงตามลำดับของคุกได้ แต่จ่าฝูงของแต่ละคุกก็เคยมีการต่อสู้กันมาก่อนแล้ว ความจริงแล้วพลังฝีมือของแต่ละคนก็ไม่ได้ต่างกันมาก

หมียักษ์ไม่ได้พูดถึงประเด็นสำคัญ แต่เฉินตงก็ไม่ได้หยุดเขา

เวลาที่เขาเข้ามาอยู่ในคุกมืดมนสั้นเกินไป เลยมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เขายังไม่เข้าใจ

และอีกอย่าง คุกมืดสิบคุกที่เสียงดังนั้น หมียักษ์พูดถึงเพียงสถานการณ์ของคุกNO.9

หลังจากนิ่งไปพักหนึ่ง สีหน้าของหมียักษ์ดูเคร่งเครียดขึ้นมา

เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “มีเพียงจ่าฝูงคุกNO.1 เท่านั้น ที่คุณจะต้องระวังให้มาก”

“คุกNO.1?” เฉินตงขมวดคิ้ว

หมียักษ์พยักหน้า ในสิบคุกที่เสียงดัง จ่าฝูงอีกเก้าคุกนั้นฝีมือไม่ต่างกันมาก มีเพียงฝีมือพลังของจ่าฝูงคุกNO.1 เท่านั้น ที่เอาชนะจ่าฝูงอีกเก้าคุกได้อย่างถล่มทลาย และครองตำแหน่งจ่าฝูงคุกNO.1ได้อย่างมั่นคง

“เขาไม่ได้อยู่ในคุกNO.1ตั้งแต่แรก แต่เพราะเขาต้องการเป็นอันดับหนึ่งในทุกเรื่อง ดังนั้นเขาจึงท้าประลองจ่าฝูงคุกNO.8 จนได้สิทธิ์ในการเปลี่ยนคุก จากนั้นก็ต่อด้วยชัยชนะในการประลองกับจ่าฝูงคุกNO.1และได้กลายเป็นจ่าฝูงคนใหม่”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ ดวงตาของหมียักษ์ก็เต็มไปด้วยความเกรงกลัว เขาถอนหายใจอย่างหนัก“ และในการประลองเปลี่ยนคุก เขาใช้เวลาเพียงสองชั่วโมงในการเอาชนะจ่าฝูงทั้งสองได้อย่างต่อเนื่อง”

หางตาเฉินตงเขม่นอย่างรัว

สีหน้าเคร่งขรึม ฟ

เปลี่ยนคุกภายในสองชั่วโมงและชนะจ่าฝูงทั้งสองได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งหมายความว่าเขาไม่ได้มีเวลาพักผ่อนเลย

เขาต่อสู้กับสองจ่าฝูงอย่างติดต่อกัน

เฉินตงเคยสัมผัสกับกำลังของหมียักษ์มาก่อน ดังนั้นเขาจึงรู้ซึ้งถึงความหมายในนั้น

“ล่มทลาย” ที่หมียักษ์พูดถึง มันไม่ใช่เรื่องล้อเล่นจริงๆ

แต่ดูเหมือนหมียักษ์คิดว่าแค่นี้มันยังไม่เพียงพอ

แล้วเขาก็พูดขึ้นอีกประโยคหนึ่ง

ทันใดนั้นรูม่านตาของเฉินตงก็หดเกรงถึงสุดขีด เขากำหมัดทั้งสองข้างอย่างแน่น จนเส้นเลือดบริเวณหลังมือปูดออกมาอย่างชัดเจน

เขาบ้าไปแล้วเหรอ?

ขณะที่เต็มไปด้วยความโกลาหล นักโทษทุกคนก็ต่างเกิดความคิดแปลกๆขึ้นมาในหัว

ถูกชกด้วยกำลังทั้งหมดของหมียักษ์ แม้จะเป็นกะโหลกที่แข็งแกร่งที่สุด ก็คงต้องแตกยับเยิน

ในสถานการณ์ที่ไม่อาจถอยหนีได้ เขาไม่คิดที่จะป้องกันตัว แต่กลับพุ่งเข้าไปหา

จะสู้กับหมียักษ์แบบนี้เลยเหรอ?

ขณะนี้ นักโทษหลายคนทนดูไม่ลง จนต้องหลับตา

พวกเขาคาดการณ์ไว้แล้วว่าหัวของเฉินตงจะต้องระเบิดเหมือนแตงโม

เมื่อป๋าที่อยู่ทางหน้าประตูคุก มองเห็นฉากนี้ กลับหัวเราะขึ้นมา

“การดิ้นรนเอาชีวิตรอด มันสืบทอดมาจากคุนหลุนจริงๆ ”

ความจริงแล้ว

ตอนที่เฉินตงพุ่งเข้าไปทางหมียักษ์ ดวงตาของหมียักษ์ก็ฉายแววตกใจ

แรงชกของเขา แม้จะเป็นป๋า หรือจ่าฝูงอีกเก้าคุกของคุกที่เสียงดัง ก็ไม่กล้าเผชิญอย่างทรหดเหมือนเฉินตงแน่นอน

ไอ้เด็กใหม่นี่ มันช่างโอหังเหลือเกิน!

“ ฮื้อ!ตายซะ!”

หมียักษ์ส่งเสียงคำราม และความเร็วในการโจมตีของแขนทั้งข้างยังคงไม่ลดลง

ในชั่วขณะ

ดวงตาทั้งสองของเฉินตงฉายแววเจิดจ้าในทันที

เมื่อหมัดหนักพุ่งเข้ามาใกล้ เขากระทืบเท้าลงกับพื้น และกระโดดขึ้น

หลังจากนั้น

เท้าทั้งสองข้างราวกับงู เขาพันรอบมือของหมียักษ์ได้อย่างรวดเร็ว ทั้งตัวของเขาบินขึ้นไปถึงระหว่างแขนสองข้างของป๋า และกดลงอย่างรุนแรง

บูม!

การกระทําอย่างฉับพลัน ทําให้ทุกคนอุทานออกมาด้วยความตกใจ

นักโทษทุกคนต่างก็งงงวยไปหมดแล้ว

เล่นแบบนี้ได้ด้วยหรือ?

“ตายซะ!”

แม้แต่หมียักษ์เองก็นึกไม่ถึง ว่าแขนสองข้างของเขาจะถูกเฉินตงพันรอบ ทำให้หมียักษ์เสียการทรงตัวในทันที

ร่างที่สูงใหญ่ของหมียักษ์ พุ่งไปข้างหน้าทันที และพุ่งลงจากลานประลองพร้อมกับเสียงตะโกนด่า

“แกแพ้แล้ว!”

เสียงที่เย็นยะเยือกดังก้องอยู่ในหูของหมียักษ์ ราวกับลมหนาวที่พัดเย็นไปถึงกระดูก

ในเวลาเดียวกัน เฉินตงก็บิดร่างและบินขึ้นไปบนหลังของหมียักษ์อย่างรวดเร็ว แล้วถือโอกาสกระโดดขึ้นไปบนอากาศ จากนั้นเสียงลมก็พัดกระหน่ำ

กระบวนเท้า

ปัง!เท้าเตะลงบนคอของหมียักษ์

หมียักษ์แข็งทื่อไปทั้งตัว ตาลอยขึ้น และไม่สามารถควบคุมการทรงตัวได้อีกต่อไป

เขากระแทกล้มลงที่ใต้ลานอย่างแรง

ร่างอันใหญ่โตที่ล้มลง ราวกับกำแพงถล่ม

และด้วยคอที่ถูกกระแทกอย่างหนัก เขาสลบไปในทันที

เงียบ

ทุกคนเงียบสงัด

กับสิ่งที่เกินขึ้นในเมื่อกี้นี้ มันไวจนทุกคนไม่ทันตั้งตัว ราวกับสมองหยุดทำงานไปครู่หนึ่ง ตกตะลึงจนตาค้าง

ไม่มีใครคาดคิด ว่าจู่ๆการสถานการณ์จะกลายเป็นแบบนี้ไปได้

กลับแพ้เป็นชนะ!

สี่คำง่ายๆ แต่เมื่อทำขึ้นมาจริงๆ ถึงจะรู้ว่ามันยากแค่ไหม

และยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่เฉินตงเผชิญคือจ่าฝูงแห่งคุก

ตาของนักโทษแต่ละคนที่มองค้างก็ค่อยๆกลับคืนสู่ปกติ

สายตาแต่ละคู่ที่ตกตะลึง จับจ้องไปที่เฉินตงบนลานสูง

เฉินตงในเวลานี้

สีหน้าเย็นชา ยืดตัวตรงและยืนอย่างสง่า

บนมุมปากยังยังคงมีร่องรอยของเลือด

และยิ่งทำให้หน้าตาของเขาดูเย็นชามากขึ้น ราวกับเกล็ดน้ำแข็ง

นัยน์ตาที่เย็นชาและสงบนั้น ถูกฝังลึกลงไปในหัวใจของนักโทษทุกคน

แค่ผู้ที่มาใหม่ในเวลาเพียงไม่กี่วัน กลับทำให้พวกเขาพลิกความคิดทั้งหมดที่เคยมีต่อคุกมืด

จ่าฝูงใช่ว่าจะไม่มีทางเอาชนะได้ แต่การชนะที่ง่ายดายเช่นนี้ เพิ่งเคยเห็นในคุกมืดเป็นครั้งแรก!

“เฉินตง ชนะ!”

เสียงที่ดังก้องไปทั่วเขตคุก

บูม!

ในคุกดุเดือดขึ้นมาทันที ราวกับเทน้ำลงในกระทะน้ำมัน

“เฉินตง เฉินตง เฉินตง …….. ”

เสียงตะโกนดังกึกก้องไปทั่วบริเวณคุก ราวกับฟ้าร้อง เสียงดังหูอื้อ

ในคุกมืดที่ปลาใหญ่กินปลาเล็กแห่งนี้ ซึ่งผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นถึงจะอยู่รอด

หากมีความสามารถ ถึงจะเป็นแค่เด็กที่เพิ่งมาใหญ่ ก็มีสิทธิ์ได้รับความเชื่อมั่นจากนักโทษทุกคนเช่นกัน

และหลังจากที่เฉินตงชนะหมียักษ์ เขาก็จะได้กลายเป็นจ่าฝูงในคุกแห่งนี้อย่างไม่ต้องคาดเดา

แม้ว่ากระบวนการแห่งชัยชนะจะไม่ใช่การเผชิญหน้าโดยตรง

แต่ทักษะการรับมือในสถานการณ์วิกฤตนั้น ก็ดีพอที่จะทําให้คนทุกคนยอมรับได้

“เอาตัวหมียักษ์ไปรักษา ”

ป๋าตะโกน ตรงหน้าประตูใหญ่คุก

“หัวหน้าครับ ระบบการแพทย์ของคุกมืด มีไว้สำหรับผู้คุมอย่างพวกเราเท่านั้น ไม่ใช่สำหรับนักโทษ!”

เจ้าหน้าที่คนหนึ่งพูดย้ำขึ้นมาด้วยความแปลกใจ

สำหรับคุกมืด ทุกคนคุ้นเคยกับการขนศพออกไปทุกวัน โดยไม่เคยคำนึงถึงชีวิตหรือความตายมาเป็นเวลานาน

ในคุกมืดที่ถูกทอดทิ้ง นักโทษที่ถูกคุมขังในนั้นก็ไม่ต่างจากสัตว์ป่า ที่ไม่มีสิทธิ์จะได้รับการรักษา

ถึงจะเป็นอดีตจ่าฝูงแห่งคุก ก็ไม่มีสิทธิ์เช่นกัน

ต่อให้ตายไป อย่างมากก็แค่ยกออกไปจากคุกมืด แล้วโยนทิ้งไป

“กฏมันก็เป็นแค่สิ่งไม่มีชีวิตที่มนุษย์ตั้งขึ้น ทำตามที่ฉันสั่ง!”

ป๋าตะคอกเสียงดังและสีหน้าเคร่งขรึม

เจ้าหน้าที่ตกใจในทันที และไม่กล้าเถียงต่ออีก จึงรีบยกหมียัษณ์ที่นอนหมดสติอยู่ใต้ลานไปรับการรักษา

เสียงโห่ไชโย ดังจนหูอื้อ

สะท้อนไปทั่วคุก

ทุกเสียงแสดงถึงความยำเกรงของนักโทษทุกคนที่มีต่อเฉินตง และจะไม่มีการเหยียดหยามดูหมิ่นเหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไป

เฉินตงมองดูหมียักษ์ที่ถูกยกออกไปอย่างเย็นชา และแววตาของเขาไม่เพียงแต่จะไม่ยุติการต่อสู้ลง แต่กลับยิ่งลุกเป็นไฟ

“นี่ แค่คนแรก!”

สิบวันสิบการประลอง เขาไม่มีทางเลือก!

ผูหญิงของเขา แม่ของเขา และพี่น้องของเขา

แม้จะต้องแลกด้วยชีวิต ก็ต้องปกป้องพวกเขา ห้ามใครมาเตะต้องได้

เขาต้องการออกจากคุกมืด

“นายเยี่ยมมาก !”

ทันใดนั้น เสียงหัวเราะสรรเสริญก็ดังขึ้น

เฉินตงเหลือบไปทางด้านข้างของลานสูง ป๋ากำลังยิ้มมองเขาอยู่

นายรู้ไหมว่าสามปีตั้งแต่ที่หมียักษ์เข้ามาอยู่ในคุกมืดนี้ และครองตำแหน่งจ่าฝูงในคุกมืดมาสองปี ผ่านการต่อสู้ประลองมาแล้วทั้งหมด172ครั้ง แม้จะเป็นพวกทหารหรือเทพสงครามก็ยังไม่สามารถทำได้ดีเท่านายเลย

ป๋าได้กล่าวชื่นชมเฉินตงอย่างออกหน้าออกตา “ฉันรู้สึกตกใจกับปฏิกิริยาของนายตอนสถานการณ์ที่ไม่มีทางหวนกลับ ใครจะคิดว่านายจะกล้าโต้กลับไปแบบนี้”

เฉินตงยิ้มมุมปาก “คุนหลุนเคยกล่าวไว้ว่า ยิ่งสถานการณ์ที่ใกล้ความตายมากเท่าไหร่ จิตใจก็ต้องยิ่งสงบนิ่งมากขึ้นเท่านั้น ถึงจะมีโอกาสรอดชีวิตไปได้ ”

“พูดถูก”

ป๋าพยักหน้ายิ้มพูด พร้อมแววตาที่เปล่งประกาย

และทันทีหลังจากนั้น เฉินตงกล่าวอย่างสงบ

ผมขอตัวไปพักก่อน และพรุ่งนี้จะเป็นการประลองเป็นตายยกที่สอง

ป๋าตกใจ และรอยยิ้มบนใบหน้าก็นิ่งไปในทันที

มองดูเฉินตงที่เดินลงไปจากลานสูง

เขาอดไม่ได้ที่จะถามว่า “นายไม่รู้หรือว่าทำเช่นนี้โอกาสสูงมากที่นายจะตาย?”

“รู้ครับ”

เฉินตงเดินไปและพลางตอบด้วยรอยยิ้มว่า “แต่เมื่อเทียบกับความตาย ยังมีสิ่งที่สําคัญกว่ารอฉันคอยปกป้องอยู่”

น้ำเสียงที่นิ่งและเสียงหัวเราะที่ดูเหมือนจะชิว

แต่มันเต็มไปด้วยความจริงจังและหนักแน่น จนป๋ารูม่านตาหดลงและไม่สามารถโต้แย้งอะไรอีก

และไม่นาน ข่าวที่เฉินตงจะประลองเป็นตายยกที่สองก็ถูกระจายไปทั่วคุก

นักโทษทุกคนก็ต่างตกตะลึง

นี่จะไม่ให้เวลาตัวเองได้พักฟื้นเลยเหรอ?

หรือเป็นเพราะ จงใจที่จะตาย?

และทั้งหมดนี้ เฉินตงก็ไม่อยากไปสนใจ

เดิมทีเขาเอาชนะหมียักษ์และกลายเป็นจ่าฝูงในคุก เขาสามารถมีห้องขังส่วนตัวสำหรับจ่าฝูง

แต่เขาได้ปฏิเสธ และกลับไปพักฟื้นในห้องขังห้องเดิม

แม้ว่าการประลองกับหมียักษ์จะเป็นการต่อสู้ที่รวดเร็ว แต่ในตอนแรกที่ถูกหมียักษ์โจมตี ก็ยังคงส่งผลกระทบต่อร่างกายของเขาอย่างไม่เบา

อาการบาดเจ็บไม่สามารถฟื้นตัวได้ในช่วงเวลาสั้นๆ

สิ่งเดียวที่เฉินตงทำได้ก็คือ ปรับสภาพตัวเองให้ชินกับร่างกายที่มีบาดแผลให้ได้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้

และในคืนนี้

เฉินตงกำลังหลับตาพักผ่อน

เจี๊ยบ…..

ทันใดนั้นประตูห้องขังก็เปิดออก

เสียงดังขึ้นกะทันหัน ทำให้เฉินตง แนชวิลล์ และนักโทษคนอื่นๆก็ต่างสะดุ้งตื่นขึ้นมา

ภายใต้แสงสลัวในยามค่ำ ร่างสูงตระหง่านราวกับภูเขากําลังยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องขัง

ราวกับสัตว์ป่า ดวงตาที่แดงก่ำกำลังจ้องเขม็งไปที่เฉินตง…….

นวนิยายจะได้รับการอัปเดตทุกวัน กลับมาอ่านต่อพรุ่งนี้นะคะทุกคน!

เลือดสีแดงสด

ราวกับดอกเหมย ที่สาดส่องลงบนลานประลอง

เฉินตงเกิดมรสุมในใจ

มันต่างกัน…..ขนาดนั้นเชียวหรือ?

การต่อสู้ระหว่างเขากับป๋า ถึงจะรู้ว่าป๋าตั้งใจต่อให้ แต่ถ้าอยู่ภายใต้การประลองเป็นตาย เขาก็ใช่ว่าจะไม่มีทางสู้

และกำลังของหมียักษ์ จากที่ได้ยินมาจากพวกแนชวิลล์ ก็พอๆกับป๋า

หากประลองเป็นตาย ก็อาจมีโอกาสที่จะชนะได้

แต่เฉินตงนึกไม่ถึงเลยว่าการต่อสู้กับป๋าในเมื่อกี้ ฝ่ายตรงข้ามเขาต่อให้ขนาดนี้ !

ภายในห้องขังต่างๆ ส่งเสียงอึกทึกครึกครื้นดังมา

อย่างกับว่ามองการประลองเป็นตายครั้งนี้เป็นงานรื่นเริงที่ไม่ได้เห็นในคุกนี้มานาน

หมียักษ์ยืนยิ่งอยู่ที่เดิม และไม่ได้ไล่ตามเพื่อชัยชนะ

ใบหน้าอันดุร้ายที่เต็มไปด้วยความดูถูก“ แค่หมัดเดียวก็ทนไม่ไหวแล้ว แกยังจะประลองเป็นตายกับฉันได้อย่างไร?”

ด้วยกำลังอันแข็งแกร่งของตัวเอง ทำให้หมียักษ์มีความมั่นใจอย่างหาที่เปรียบมิได้

เขาหันไปมองป๋าที่ยืนโกรธอยู่ตรงหน้าประตูคุก

ยักไหล่แล้วพูดอย่างใจเย็นว่า“ ป๋า ผมให้หน้าคุณแล้วนะ และหลังจากนี้ คุณก็ต้องเป็นฝ่ายให้หน้าผมบ้างแล้วนะ!”

ป๋าอึ้งทึ่งพูดอะไรไม่ออก

จากคำพูดของหมียักษ์ ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นการเตือนเขาไม่ให้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการประลองเป็นตายในครั้งนี้

แต่ว่า……..

ป๋ามองไปทางเฉินตงด้วยสีหน้าที่มืดครึ้มไม่นิ่ง แค่หมัดเดียวก็ถึงกับกระอักเลือด ยังจะสู้ต่อได้อย่างไร?

ฮูววว…….

เฉินตงถอนหายใจอย่างหนัก และคายเลือดออกจากปาก

เขาหันหลังกลับ แล้วมองไปที่หมียักษ์อย่างเย็นชา

ทันใดนั้น ก็ยิ้มอย่างชั่วร้าย

“หมัดของแก หนักได้แค่นี้แล้วเหรอ? ”

บูม!

หมียักษ์เขม่นหางตา

เขาจ้องเฉินตงอย่างโกรธเคือง “แกยั่วโมโหฉันเหรอ? ”

“แกมีค่าพอที่จะให้ฉันยั่วเหรอ? ”

รอยยิ้มของเฉินตงยิ่งดูชั่วร้ายกว่าเดิม เขาเช็ดเลือดที่มุมปาก “กำปั้น มันเบาเกินไปจริงๆ”

กล้ามเนื้อบนร่างหมียักษ์ที่ราวกับหิน เส้นเอ็นปูดเว้าราวกับไส้เดือนที่กระเพื่อมสั่นสะท้าน

ดวงตาที่ดุร้าย เขาโกรธมาก

หมัดเดียวก็ถึงกับกระอักเลือด

ยังกล้าพูดแบบนี้อีก รู้จักฉันน้อยไปละ!

“ฮื้อ!”

ทันใดนั้น หมียักษ์ก็แหงนหน้าคำรามขึ้นฟ้า

เสียงดังสนั่นราวกับฟ้าร้อง ทำให้นักโทษในห้องขังเงียบสงัดไปพร้อมๆกัน

ตูม ตูม ตูม………..

เสียงฝีเท้าที่วิ่งอย่างบ้าคลั่ง ราวกับตีกลอง

ร่างของหมียักษ์ ราวกับภูเขาลูกใหญ่ที่กำลังจะถล่ม และพุ่งเข้าใส่เฉินตง

เฉินตงหรี่ตาลง หลังจากที่เข้าใจถึงพลังของหมียักษ์อย่างลึกซึ้งแล้ว

เขาไม่กล้าที่จะเผชิญโดยตรง

ด้วยลักษณะรูปร่างที่ต่างกันมาก ทำให้หมียักษ์มีร่างเป็นอาวุธสังหารที่น่ากลัวที่สุดอยู่แล้ว

เขาเหยียบพื้นอย่างแรง และเคลื่อนตัวตรงไปด้านข้าง เพื่อหลบการโจมตีของหมียักษ์

ทันใด

เฉินตงกระโจนขึ้น มีดฝ่ามือฟันลงบนคอของหมียักษ์อย่างดุดัน

เสียงดังทุ้ม ปัง! หมียักษ์ชะงักฝีเท้า

แต่เพียงครู่เดียว และแล้วหมียักษ์ก็โกรธคำราม แขนที่ราวกับงูยักษ์ของเขาพลิกกลับแล้วพุ่งเข้าใส่เฉินตง

เฉินตงสีหน้านิ่งเฉย เท้าเตะพื้นแล้วกระโดดถอยหลัง

มือใหญ่ของหมียักษ์ล่องผ่านเอวของเขา

ทุกอย่างดูเหมือนจะผ่านการคาดการณ์มาอย่างแม่นยำ

ฉากนี้ ทำให้ทุกคนอุทานออกมาด้วยความตกใจ

นักโทษทุกคนงงงวยไปหมดแล้ว

แม้จะเป็นป๋าหรือเจ้าหน้าที่ที่อยู่ทางประตูใหญ่ของคุก ทุกคนต่างตกตะลึง

วินาทีแรกเพิ่งถูกชกจนกระอักเลือด วินาทีต่อมาก็สามารถหลบหลีกได้ขนาดนี้แล้วหรือ?

นี่มันต้องเป็นแผนต่อสู้ที่น่าสยองขนาดไหน?

ไม่มีใครรู้สึกว่ารูปร่างของหมียักษ์จะทำให้เขาเคลื่อนไหวได้ช้า

อันที่จริงเนื่องจากรูปร่างที่ใหญ่โตของหมียักษ์ เลยทำให้ดูเหมือนว่าจะเคลื่อนไหวช้าเมื่อมองด้วยตาเปล่า แต่ในความเป็นจริงกลับว่องไวจนน่ากลัว!

ในการโจมตีครั้งแรก เฉินตงมีเหตุประมาท

แต่ในครั้งนี้ มันเป็นการปะทะกันแบบตัวต่อตัวจริงๆ!

ต่อให้เป็นป๋า ภายใต้การถูกหมียักษ์พลิกมือโจมตีเข้าใส่เช่นนี้ ก็ไม่สามารถมั่นใจว่าจะทำได้อย่างไหวพริบเท่าเฉินตง

“ทำไมการเคลื่อนไหวของแกช้าขนาดนี้?”

หลังจากหลบหลีกการโจมตี เฉินตงก็รีบถอยออกไปอย่างรวดเร็ว ดึงระยะห่างออกไป และใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่เหยียดหยาม

เขาดูหมิ่นเหยียดหยามหมียักษ์อย่างออกหน้าออกตา

เยาะเย้ยอย่างออกหน้าออกตา

หมียักษ์อึ้งทึ่งพูดอะไรไม่ออก

จากนั้นใบหน้าที่ดุร้ายของเขาก็เต็มไปด้วยความโกรธอย่างรุนแรง

ดวงตาแดงก่ำขึ้นมาในทันที

และในตอนนี้ หางตาของเขาเขม่นอย่างรัว

ยิ่งในขณะที่โกรธ กล้ามเนื้อทั้งตัวของเขามีเสียง แคร่ก แคร่ก ดังออกมาก

ในฐานะจ่าฝูงแห่งคุก กำลังของเขาไม่ได้ถูกคนอื่นโม้ขึ้นมา ซึ่งมันได้มาจากการฆ่าที่นับไม่ถ้วน

ไม่ว่าจะเป็นกำลังกายหรือไหวพริบที่เร็ว ภายในคุกนี้ไม่มีใครสามารถเทียบได้

แม้แต่ป๋า หากเผชิญกับเขา ก็ยังต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก

แต่ดัน ไอ้เด็กใหม่คนนี้ หลังจากที่หลบหลีกการโจมตีจากเขาได้ ยังพูดจาเหิมเกริมเช่นนี้

แกมันรนหาที่ตาย

เสียงคำรามที่ราวกับสัตว์ใหญ่

เขาพุ่งเข้าไปที่เฉินตงอย่างโหดเหี้ยม ราวกับรถถังขนาดสองที่นั่ง และเสียงที่น่ากลัว

สองฝ่ามือที่ผลักกันต่อเนื่องจนทำให้เกิดภาพติดตา ราวกับดอกแพร์บานท่ามกลางพายุฝน

“ฝ่ามือซูโม่?”

เฉินตงตกใจ แต่ภายนอกยังคงดูสงบราวกับน้ำนิ่ง

ไม่สามารถปะทะกับหมียักษ์โดยตรงได้ เขารีบถอยกลับอย่างรวดเร็ว

ด้วยความร่างเล็ก เขาขยับไปมาและวิ่งรอบๆหมียักษ์อย่างรวดเร็ว ลื่นเหมือนปลาไหล

ฉากนี้ ทำให้นักโทษในห้องขังเปล่งเสียงโห่ร้องดังสนั่น

ได้แค่หลบหนี ก็ยังคงดูเหมือนไร้ความสามารถในสายตาของนักโทษอยู่ดี

“ช้าเกินไป ช้าเกินไปแล้ว!”

“กำปั้นหนักได้แค่นี้เหรอ? มีแรงแค่นี้เหรอ? ”

“ไอ้ตัวใหญ่ แกก็เหมือนสัตว์ป่า นอกจากจะดูน่ากลัวไปหน่อย นอกนั้นก็ไม่มีอะไรดีเลย!”

………….

ในขณะที่เฉินตงหลบเลี่ยงการโจมตีของหมียักษ์ เสียงหัวเราะเย้ยหยันดังก้องไปทั่วลานประลอง

และการตอบสนองที่ตามมาคือเสียงคำรามของหมียักษ์ และการโจมตีที่รุนแรงมากขึ้น

ส่วนในห้องขัง เสียงโห่ร้องของนักโทษได้เปลี่ยนเป็นเสียงต่อว่าไปแล้ว

ในสายตาพวกเขา การประลองเป็นตายเช่นนี้ มันช่างน่าเบื่อมาก ไม่มีกะจิตกะใจทนดูอีกต่อไป

พวกเขาคุ้นเคยกับกำปั้นที่ถึงเลือดถึงเนื้อทุกหมัด

แต่ป๋าที่อยู่ทางหน้าประตูคุก กลับดูนัยน์ตาลึกล้ำสุดๆ

ไม่ว่าการโจมตีของหมียักษ์บนลานประลองจะดุเดือดเพียงใด

สายตาของเขาอยู่ที่เฉินตงเพียงคนเดียวตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้

ภายใต้แสงไฟ เขายังสามารถมองเห็นเหงื่อหยดเล็กๆที่หน้าผากของเฉินตง และสายตาที่เคร่งขรึม

เห็นได้ชัดว่าเฉินตงต้องคอยรับมืออย่างระมัดระวังที่สุด ไม่ได้ง่ายเหมือนกับคำพูดเย้ยหยันที่เขาพูดออกมา

และนี่ก็คือความจริง

ในขณะที่หลบการโจมตีของหมียักษ์

หัวใจของเฉินตงเต้นรัวอย่างรุนแรง และเขาต้องพยายามสงบสติอารมณ์ที่กระวนกระวายใจของตัวเอง

ด้วยกำลังและความเร็วของหมียักษ์ เขารู้ว่าหากถูกโจมตีเพียงแค่ครั้งเดียว ร่างกายของเขาจะต้องสาหัสอย่างหนัก

และเขาต้องการที่จะชนะการประลองเป็นตายติดต่อกันในสิบวัน

หากยิ่งได้รับบาดเจ็บในระยะแรกมากเท่าไหร่ ในระยะหลังก็จะยิ่งเข้าใกล้ความตายมากเท่านั้น

“สงบ สงบ ……ใจต้องนิ่งเหมือนน้ำ ข้อบกพร่อง มันต้องมีข้อบกพร่องแน่ๆ”

เฉินตงคอยเตือนใจตัวเองอยู่ตลอดเวลา

ระหว่างความเป็นและความตาย ความสงบเท่านั้นที่จะช่วยให้เขาเป็นฝ่ายควบคุมสถานการณ์ได้มากขึ้น มุ่งมั่นเพื่อจะรอดชีวิตให้ได้

และการที่เขายั่วโมโหหมียักษ์ ก็เพื่อที่จะได้เป็นฝ่ายควบคุมสถานการณ์และรอดชีวิตให้ได้ !

เพียงพริบตา

เฉินตงก็ถูกหมียักษ์บีบบังคับไปจนถึงสุดมุม และไม่สามารถถอยหลังได้อีก

ซึ่งด้านหลังก็เป็นใต้ลานสูง

หากก้าวลงจากลานประลอง นั่นก็หมายถึงพ่ายแพ้การประลองเป็นตาย

ฮื้อ…

แววตาของหมียักษ์ส่องประกายอย่างกระหายเลือด แขนทั้งสองข้างพับขึ้น สองหมัดประสานกัน ตามด้วยเสียงคำราม สองมือราวกับค้อนใหญ่ พุ่งเข้าใส่เฉินตงอย่างดุดัน

ในการโจมตีครั้งนี้ เขาจะต้องทุบหัวของชายผู้อวดดีที่อยู่ตรงหน้าเขา ราวกับทุบแตงโมแน่ๆ

“ตอนนี้แหละ!”

ขณะเดียวกันดวงตาของเฉินตงก็เปล่งประกาย

การเผชิญกับการโจมตีที่ร้ายแรงของหมียักษ์

ทันใด การกระทำของเฉินตงก็ทำให้เกิดความโกลาหล

เขาไม่ได้ถอยหลัง และไม่ได้หลีกหลบ

แต่กลับเป็นดั่งนักฆ่ากล้าตาย ที่ไม่เกรงกลัวความตาย และกระโจนพุ่งเข้าใส่หมียักษ์……..

ภายในห้องขังดังก้องไปด้วยเสียงหัวเราะ

แนชวิลล์และนักโทษอีกสี่คน ต่างก็ตกตะลึง

เฉินตง……..จะบ้าเหรอ?

แนชวิลล์รู้สึกจะบ้าตาย

เขาคิดว่าสิ่งที่ตัวเองพูดมันคงชัดเจนพอ ที่จะทำให้เฉินตงท้อถอยได้

แต่นึกไม่ถึงเลยว่าผลที่ได้กลับมาจะเป็นเช่นนี้!

สถานะของห้องขังแต่ละห้องในคุกแห่งนี้ ที่จริงแล้วมันก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดภายในห้องขัง

ยิ่งอันดับของผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในคุกสูงเท่าใด ตำแหน่งสถานะและทรัพยากรที่พวกเขาสามารถแบ่งปันได้ก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น

ก่อนหน้าเฉินตง แนชวิลล์คือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดภายในห้องขังนี้ แต่ถ้าพูดถึงทั้งเรือนจำ ก็คงดูน่าละอายเล็กน้อย

และชัยชนะในการต่อสู้ของเฉินตงช่วงสามวันที่ผ่านมานี้ ทำให้อันดับในห้องขังของพวกเขาได้อัปสูงขึ้นไปอย่างรวดเร็ว

ถ้าหากเฉินตงตายไป อันดับห้องขังของพวกเขา ก็จะได้กลับสู่สถานะเดิม

ดังนั้น แนชวิลล์จึงพยายามที่จะห้ามอีกครั้ง “ต้องคิดให้ดีนะเฉินตง จ่าฝูงในสิบคุกที่เสียงดัง แต่ละคนนั้นเก่งไม่แพ้ป๋าเลยนะ”

เฉินตงขมวดคิ้วอย่างแน่น

พลังการต่อสู้ในสายตานั้น ยิ่งลุกเป็นไฟ

เขาไม่ใช่คู่แข่งของป๋า

คำพูดของแนชวิลล์ เห็นได้ชัดว่าถ้าหากเขาจะประลองเป็นตายกับสิบจ่าฝูงจริงๆ ผลสุดท้ายจะมีแต่ตายกับตายเท่านั้น

แต่ เขาไม่กลัวตาย !

จู่ๆ เฉินตงก็ยิ้มขึ้นมา

ในสายตาแนชวิลล์ รอยยิ้มนั้นมันคล้ายว่ากำลังบ้าคลั่ง

เขาพูดขึ้นช้าๆ ด้วยน้ำเสียงที่แน่วแน่และหนักแน่น “ต่อสู้เพื่อภรรยาของผม แม่ของผม และพี่น้องของผม!”

เมื่อพูดจบ

เฉินตงก็ลุกขึ้น แล้วเดินไปยังประตูห้องขัง

“ผม เฉินตง ต้องการประลองเป็นตาย!”

บูม!

เสียงที่สงบและหนักแน่น ราวกับเสียงฟ้าร้อง ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณคุก

หลังจากที่สงบไปสักพัก

เสียงก็ดังสนั่นหวั่นไหวไปทั้งเรือนจำ

ทั้งเสียงตะโกน ร้องเชียร์ และเสียงเป่าปาก

เพดานคุกที่อยู่เหนือหัวศีรษะราวกับจะถูกรื้อทิ้งออกไป

“โอ้พระเจ้า! ไอ้เด็กนี่มันบ้าไปแล้ว”

“เขาจะประลองเป็นตาย? ฉันหูฝาดไปใช่ไหมเนี่ย? ไม่กลัวตายจริงๆเลย”

เขาอยากจะท้าทายสิบจ่าฝูง? เขาเอาความมั่นใจมาจากไหน หรือว่าไม่อยากจะทนมีชีวิตอยู่แบบนี้อีกต่อไปแล้ว อยากจะตายๆไป?

“เจ้าหนู เยี่ยมมาก นายทำให้ความคิดที่ฉันเคยมองเด็กใหม่เปลี่ยนไปเลย !”

……….

หน้าประตูใหญ่คุก

หลังจากที่มีเจ้าหน้าที่หน่วยลาดตระเวนได้ยินเหตุการณ์ที่สะพรึงใจ จึงรีบรายงานให้กับป๋าที่กลับสำนักงานไปแล้ว

เมื่อทราบถึงเหตุการณ์

หนวดเคราที่ขึ้นเต็มบนใบหน้าของป๋าถึงกับสั่นเทาเล็กน้อย ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

“เขา.. เขาบ้าไปแล้วเหรอ? เขาคิดว่าตัวเองเป็นคุนหลุนเหรอ? บ้าเอ๊ย!”

“กว่าคุนหลุนจะออกจากคุกมืดแห่งนี้ไปได้ ยังต้องใช้เวลาหนึ่งปี ที่อยู่บนเส้นบางๆระหว่างความเป็นและความตาย และเกือบตายมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แค่ฉันเขายังเอาชนะไม่ได้เลย จะเอาอะไรไปประลองเป็นตายกับสิบจ่าฝูง?”

ปัง!

ป๋าโกรธมากจนปาแก้วแตกลงบนพื้นอย่างแรง

เขาแนะนำวิธีที่สามารถออกจากคุกมืดให้กับเฉินตง

เพราะต้องการให้เฉินตงมีความหวัง

ความหวังที่จะพัฒนาตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้น เพื่อที่จะออกจากคุกมืดในอนาคต

แต่นี่มันอะไร เพิ่งก้าวเท้าออกมาจากคุกมา ไม่ทันไรข่าวที่เฉินตงจะประลองเป็นตายก็ตามมาติดๆ

จะรีบตายไปไหน

“หยุดเลยนะ บอกให้เขาหยุดเดียวนี้ ”

ป๋าตะโกนดังๆว่า “สิบปีจะเกิดมังกรตัวหนึ่ง เขาถึงว่าเขาคือมังกรตัวนั้นรึ? ”

และแล้ว เจ้าหน้าที่หน่วยลาดตระเวนก็ทำหน้าอ้ำอึ้ง “หัวหน้า คุกมืดไม่เคยมีกฎห้ามการประลองเป็นตายนะครับ ทางคุกน่าจะเริ่มกันแล้วล่ะ”

คำพูดเดียว ปลุกสติเขาขึ้นมาในทันที

ป๋าลุกขึ้นอย่างโกรธ และก้าวเท้าเดินออกไป

ในคุกมืดนี้ ชีวิตไร้ค่ายิ่งกว่ากระดาษ

ศพถูกยกออกไปจากคุกทุกวัน ทั้งถูกเฆี่ยนตายบ้าง ถูกลอบทำร้ายบ้าง อีกทั้งยังมีคนที่หิวตายและป่วยจนตาย

และชีวิตที่เสียไปแล้วก็เสียไปเลย เป็นเรื่องปกติในคุกมืดอยู่แล้ว

ในสถานที่ที่ถูกทอดทิ้งแบบนี้ ไม่มีใครจะมองเห็นคุณค่าของชีวิต

และยิ่งไม่มีการดำเนินโทษ เพียงเพราะชีวิตใครแน่นอน

ขณะเดียวกัน

ภายในคุก

เสียงดังสั่นสะท้านอย่างดุเดือด เหมือนดั่งภูเขาคำรามทะเลบ้าคลั่ง

ขณะนี้ มีคนสองคนกำลังยืนอยู่บนลานสูงที่อยู่ในสนามกว้าง

“ยืนยาม” เวลาผ่านไป

แต่กับจ่าฝูง ที่มีสถานะเหนือสูงในคุก แม้จะเป็นผู้คุมโดยตรงของเขา ก็ยังคงมีความเกรงใจอยู่เล็กน้อยด้วยศักดิ์ศรีที่ถูกเชิดชูศรัทธาของจ่าฝูง เขาสามารถก่อจลาจลขึ้นในคุกได้ตลอด

การต่อสู้ท้าประลองเป็นตายกับจ่าฝูง ทางคุกย่อมต้องมีการดูแลเป็นกรณีพิเศษอยู่แล้ว

ทุกคนต่างโห่ร้องเชียร์กัน ตื่นเต้นจนหน้าแดง

ไม่มีใครคาดคิด ว่าเด็กใหม่คนหนึ่ง จะทำให้คุกมืดมีเหตุการณ์ที่สุดยอดสยิวใจได้ครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นนี้!

เพียงเวลาไม่กี่วัน คุกที่เงียบกริบจนไร้ชีวิตชีวา กลับเต็มไปด้วยพลังชีวิตที่เปี่ยมล้น

“หมียักษ์ ฆ่ามันซะ ต้องฆ่ามันให้ได้!”

หมียักษ์ เอามันให้ตายซะ อย่าไปมืออ่อนเหมือนป๋า

“เร็วเข้า รีบขึ้นสิ! ฉันอยากเห็นนายหักหัวไอ้เด็กนี่ลงมาเตะเล่นเหมือนลูกบอล!”

……

เมื่อเทียบกับเสียงที่กำลังตะโกนโห่ร้องในแต่ละห้องขัง

บนลานประลองในขณะนี้ กลับเต็มไปด้วยบรรยากาศการฆ่าที่เคร่งขรึม

จิตสังหารพลุ่งพล่าน ที่มองไม่เห็น

เฉินตงยืนอยู่บนขอบลานประลองอย่างภาคภูมิใจ ด้วยสีหน้าที่เย็นชาและแววตาอันดุดัน

ฝั่งตรงข้ามของเขา เป็นชายร่างสูงประมาณสองเมตร ที่ดูแข็งแกร่งเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อทั้งตัว

สมกับที่ชื่อ—-หมียักษ์

รอยแผลขรุขระบิดเบี้ยวสามแผลที่อยู่บนใบหน้าของเขา ทำให้ใบหน้าที่ดุร้ายอยู่แล้วยิ่งดูโหดไปอีก

“ไอ้เด็กใหม่ ในฐานะที่เห็นแก่ป๋า ฉันให้โอกาสแกตัดสินใจใหม่อีกครั้ง”

หมียักษ์ค่อยๆหมุนคอไปมา“อันที่จริงความสามารถของแกก็ไม่เลวหรอกนะ แต่ถ้าคิดจะท้าประลองตำแหน่งจ่าฝูงของฉันละก็ แกยังต้องกลับไปฝึกฝนอีกหลายปีเลยแหละ”

เขาไม่ใช่พวกที่เก่งแต่กำลังไร้สมอง

ในคุกมืดที่คนกินคนแบบนี้ หากไม่มีปัญญา ก็ไม่มีทางได้ครองตำแหน่งจ่าฝูงแน่นอน และจะถูกกลืนกินจนไม่เหลือซาก

ในฐานะจ่าฝูงของคุก ตำแหน่งของหมียักษ์อยู่เหนือสูง

แต่ด้วยเหตุที่ไม่มีคนใหม่เข้ามาเป็นเวลานาน พอจู่ๆมีเด็กใหม่เข้ามาคนหนึ่ง ก็ยังคงดึงดูดถึงความสนใจของเขา

การต่อสู้ระหว่างเฉินตงกับป๋า เขามองออกอย่างชัดเจน

ด้วยกำลังฝีมือของป๋าเท่าที่เขาเคยรู้มา มันเห็นได้ชัดว่ากำลังต่อให้เฉินตงชัดๆ

แค่เด็กใหม่คนหนึ่ง กลับได้รับความเมตตาจากป๋าขนาดนี้ เพราะอะไร?

“เข้ามาสิ ผมต้องการออกจากคุกมืด!”

ริมฝีปากของเฉินตงเปิดขึ้นเบาๆ และน้ำเสียงที่เย็นชา

“เหอะ!”

หมียักษ์ยิ้มเยาะ

ด้วยสองมือของเขาที่ยกขึ้น เสื้อคลุมบนตัวของเขาก็ลื่นไหลลงมา จึงเผยให้เห็นถึงกล้ามเนื้อสีบรอนซ์ที่แข็งแรงราวกับหิน

กล้ามเนื้อที่แทบจะระเบิดของเขาเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นที่สยดสยอง ทำให้ผู้คนรู้สึกมีแรงบีบคั้นและกดดันสุดๆ

เมื่อกล้ามเนื้อถูกเปิดเผย ทุกคนต่างก็ส่งเสียงตะโกนออกมา

แม้แต่เฉินตงก็ยังตกใจกับกล้ามเนื้อของหมียักษ์

“ให้โอกาสแกแล้ว แกไม่เอา งั้นก็ตายซะ!”

จิตสังหารของหมียักษ์พลุ่งพล่าน และร่างที่สูงใหญ่เกือบสองเมตรราวกับจะไม่มีสิ่งใดกีดขวางได้ พุ่งเข้าปะทะกับเฉินตง

ถึงเขาจะเห็นแก่ป๋า แต่ไม่ได้หมายความว่าจ่าฝูงแห่งคุกอย่างเขา จะเมตตากับเด็กใหม่คนนี้

กล้าท้าประลองกับจ่าฝูง มีแต่ตายอย่างเดียว!

กฎดังกล่าว แม้จะเป็นหมาป่าที่อยู่ในป่าตามธรรมชาติ ก็เช่นเดียวกัน!

“หมียักษ์ หยุดเดียวนี้!”

ขณะที่หมียักษ์กำลังจะเริ่ม ก็มีเสียงตะโกนของป๋าดังขึ้นจากหน้าประตูคุกอย่างโกรธเกรี้ยว

อย่างไรก็ตาม

หมียักษ์ยังคงไม่หยุด และมือที่ใหญ่ราวกับงูเหลือม กำหมัดอย่างแน่น แล้วพุ่งไปทางเฉินตงอย่างดุดัน

ปัง!

เฉินตงสีหน้าเปลี่ยนไป และสัมผัสได้ถึงแรงลมที่พัดผ่านข้างหู เขายกแขนขึ้นป้องกันทันที

แต่เมื่อมีเสียงดังขึ้น เฉินตงรู้สึกเหมือนถูกรถบรรทุกชน แขนทั้งสองข้างเจ็บปวดอย่างรุนแรง เท้าทั้งสองข้างถูกับพื้น และล้มสไลด์ออกไป

“พู่ม!”

หลังจากที่สไลด์ไปได้ไม่กี่เมตร พอทรงตัวได้ เลือดสดๆก็ไหลออกมาจากปากของเฉินตง

คุนหลุน?!

เฉินตงตกใจมากขึ้นไปอีก

ในตอนนี้ ทั้งเรือนจำดูราวกับเงียบไปหมด

เสียงตะโกน เสียงโห่ร้องทั้งหมด หายไปในทันที

เฉินตงตะลึงอ้าปากค้าง มองป๋าที่ลงจากเวทีไปแล้วอย่างตกใจ

จากทักษะการต่อสู้ของป๋า เขาเองก็พอจะเดาได้

แต่เมื่อได้รับการยืนยันจากป๋า เขารู้สึกตัวเองเหมือนอยู่ในความฝัน

สิบปีที่แล้ว คนที่เดินออกไปจากคุกมืด คือคุนหลุน?

แล้วป๋ากับคุนหลุน มีความสัมพันธ์ยังไงกัน ?

แล้วทำไมกระบวนท่าการต่อสู้ของป๋าถึงได้เป็นแบบเดียวกันกับคุนหลุน ?

แม้กระทั่ง ทักษะการต่อสู้ที่เขาเรียนรู้จากคุนหลุน ก็เชี่ยวชาญและแข็งแกร่งมากกว่า ?

ความสงสัยที่มากขึ้น ราวกับด้ายที่พันอยู่ในความคิดของเฉินตง

จนกระทั่ง เสียงของป๋าก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“ออ ลืมไป วันนี้วันที่หนึ่งแล้ว!”

โครม!

ราวกับฟ้าผ่าตอนกลางวัน เฉินตงตกใจตื่นขึ้นในทันทีจากความสงสัยที่มีมาก่อนหน้า

วันที่หนึ่ง?!

อีกสิบสี่วันก็จะเป็นวันที่สิบห้า ?

ในขณะนั้นเอง จู่ๆเขาก็รู้สึกหัวเสียจนหายใจไม่ออก

อีกสิบสี่วัน ก็จะเป็นวันที่เขากับกู้ชิงหยิ่งแต่งงานกัน!

และตอนนี้ เขายังอยู่ในคุกมืด คนที่อยู่กับกู้ชิงหยิ่งในเวลานี้เป็นคนตระกูลโจว!

ถ้าเขาไม่สามารถกลับไปได้ก่อนวันที่ 15 คนที่เข้าประตูวิวาห์กับกู้ชิงหยิ่ง ก็คือคนคนนั้น

และนับแต่นั้น คนคนนั้นก็จะเข้ามาแทนที่เขาอย่างถาวร !

หัวใจของเฉินตงบีบเขาหากันแน่นเป็นลูกบอล ลมหายใจก็รุนแรงมากขึ้นไปอีก

ไม่ ต้องกลับไป!

ต้องกลับไปให้ได้!

แต่เวลาสั้นๆเพียงแค่14วัน……

ยิ่งคิด เฉินตงก็ยิ่งสิ้นหวัง

ในขณะนี้เอง เขารู้สึกโลกกำลังหมุน เสียงรอบตัวกลายเป็นเสียงยุงกระพือปีก เสียงดังมากขึ้นอย่างรุนแรง

สมองมีแต่ภาพของกู้ชิงหยิ่งปรากฏ แม่ คุนหลุนและภาพของคนอื่นๆ

“ไม่ ฉันจะไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแน่ ฉันจะต้องเข้าประตูวิวาห์กับผู้หญิงของฉัน ฉันต้องดูแลแม่ในยามแก่เฒ่า ฉันเฉินตง จะไม่ยอมให้ใครมาเป็นตัวแทนเด็ดขาด !”

“อ๊าก!”

จู่ๆ เฉินตงก็เงยหน้าขึ้นแล้วคำรามออกมา

เสียงเหมือนสัตว์ป่าที่บ้าคลั่ง

ดังกึกก้องกลบเสียงทั้งหมดที่เกิดขึ้นในลานกิจกรรม

นักโทษทุกคนต่างมองไปที่เฉินตงด้วยความหวาดกลัว

ขณะนั้นเอง นักโทษทุกคนต่างสัมผัสได้ถึงไอสังหารอันแข็งแกร่งที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวเฉินตง

และพวกเขา ต่างก็รู้สึกหนาวเย็นไปทั่วสันหลัง

ป๋าค่อยๆหันกลับมา จ้องมองไปที่เฉินตงด้วยดวงตาที่ล้ำลึก

มุมปาก ค่อยๆยกยิ้มขึ้นอย่างมีเลศนัย

“บอกผม คุนหลุนออกไปจากที่นี่ ใช้เวลานานแค่ไหน?”

เสียงของเฉินตงแทบจะแหบแห้ง ประหนึ่งเสียงคำรามของสัตว์ป่า

“หนึ่งปี!”

ป๋าพูดออกไปอย่างเงียบๆ แต่เหมือนมือใหญ่ ที่ผลักเฉินตงลงไปในหุบเหวอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

คุนหลุนใช้เวลาหนึ่งปี

และเวลาของเขา มีเพียง 14 วัน!

ไม่ ไม่รวมวันเดินทาง ก็ยิ่งสั้นลงไปอีก

10วัน?

แต่เมื่อ คิดว่ากู้ชิงหยิ่งต้องเข้าพิธีวิวาห์กับคนอื่น

เฉินตงมีความมุ่งมั่นตั้งใจมากกว่าที่เคย ดวงตาราวกับใบมีด ทั้งเย่อหยิ่งและก้าวร้าว

“ดี! ฉันต้องทำให้ดีกว่าคุนหลุน ออกไป จากสถานที่บ้าบอนี่ !”

“เฮอะ!”

ป๋าหัวเราะเยาะเย้ย หันหลังแล้วเดินจากไป

ในขณะที่เดินไป ก็ยกมือโบกไปมา :“อยากจะออกไปจากคุกมืดนี้ มีเพียงวิธีเดียว เขาใช้เวลาตั้งเป็นปี และนายก็มีแต่จะต้องใช้เวลามากกว่านั้น!”

เฉินตงนิ่งอึ้ง

แล้วเขาก็ลิงโลดขึ้นมาทันที

คำพูดของป๋า แม้จะทำให้คนสิ้นหวัง

แต่เขากลับได้ยินประเด็นสำคัญจากคำพูดนี้

มีวิธีที่ออกไปจากคุกมืด !

สถานที่แห่งนี้ ไม่ใช่ที่ที่ไปแล้วไม่มีทางกลับ!

แม้จะพูดแบบนั้น แต่วิธีคงเป็นเรื่องยากมากแน่นอน

แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีความหวัง

“เวลาอิสระ” ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

นักโทษทุกคนกลับเข้าไปยังห้องขังของตัวเอง

เฉินตงท่าทีเย็นชา หลังจากที่เดินเข้าห้องขัง เขาก็นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงของตัวเอง

แท่นหินเย็นๆ กับผ้าปูที่นอนบางๆ

ในที่ที่ถูกลืมกับอากาศที่หนาวเหน็บ มีเพียงความอบอุ่นอันน้อยนิด

แนชวิลล์กับอีกสี่คนที่เหลือได้แต่หลบอยู่ใกล้กับประตูห้องขัง ไม่กล้าเข้าใกล้เฉินตง

การต่อสู้ระหว่างเฉินตงกับป๋า คนที่มีสายตาที่เฉียบแหลมก็มองออกถึงความสามารถนี้

แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การต่อสู้ของเฉินตงนั้นกล้าหาญจริงๆ

อย่างน้อยก็ไม่ได้เทียบกับคนในห้องขังนี้เท่านั้น

ภายใต้ผู้แข็งแกร่งที่สุดคือผู้อยู่รอด หากมีความแข็งแกร่งเพียงพอ คนก็กลายเป็นสัตว์ได้เช่นกัน ทำได้แค่ก้มหัวลงเท่านั้น

“แนชวิลล์”

เฉินตงที่หลับตาอยู่ก็ลืมตาขึ้นทันที

สายตาที่ดุดัน ทำให้ร่างกายของแนชวิลล์สั่นสะท้าน และหวาดกลัว

เขามองไปที่เฉินตงด้วยความกลัว:“คุณเฉิน มี มีธุระอะไรเหรอครับ ?”

คุณเฉิน ย่อมาจากคุณเฉิน ก็เป็นคำที่นับถือเช่นกัน

“มานี่สิ” เฉินตงพูด

ดวงตาของแนชวิลล์มีความหวาดกลัว แต่ก็เดินไปหาเฉินตงอย่างประจบสอพลอ

เพราะมือเท้าที่ หนักของเฉินตง อาการบาดเจ็บของเขาก็ยังไม่หายดี แต่ละก้าวจึงเป็นไปอย่างยากลำบาก ทีละก้าวๆ สะเทือนไปถึงมุมปากด้วยความเจ็บปวด

“คุณเฉิน”

แนชวิลล์ยืนอยู่ตรงหน้าของเฉินตงอย่างเคารพนบน้อม

เฉินตงเอ่ยถามว่า:“วิธีออกจากคุกมืดนี้ ต้องทำยังไง ?”

โครม!

แนชวิลล์เหมือนถูกฟ้าผ่า

นักโทษอีกสี่คนที่อยู่หน้าห้องขังก็หน้าถอดสีไปพร้อมๆกัน

“คุณเฉิน วิธีที่จะออกไปจากคุกมืด มีเพียงความตายเท่านั้น ไม่มีใครทำได้หรอกครับ!”

แนชวิลล์รีบเอ่ยเตือน:“ผมขอให้คุณเฉินเลิกล้มความคิดนี้เถอะครับ อยู่ในคุกมืดยังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้”

“ฉันกำลังถามนาย ถึงวิธีที่จะออกไปจากคุกมืดนี้ !”

น้ำเสียงที่เยือกเย็นของเฉินตง วิตกกังวลเป็นอย่างมาก

ในเมื่อมีหนทาง เขาก็ต้องลองดูมันสักตั้ง

คุนหลุนสามารถออกไปจากคุกมืดนี้ได้ เขาก็ต้องทำได้!

เพื่อกู้ชิงหยิ่ง และเพื่อแม่ของเขา ต่อให้มีโอกาสรอดชีวิตเพียงน้อยนิด เขาก็ต้องลองเสี่ยงดู!

สีหน้าของแนชวิลล์ ซีดเซียวลงทันที

ขณะที่ลังเลไม่แน่ใจ ถูกเฉินตงมองจ้องมา ในที่สุด เขาก็ถอนหายใจ

“คุณเฉิน คุกมืดนี้มีทั้งหมด 10 ห้องขัง”

แนชวิลล์สายตาล้ำลึก ค่อยๆพูดอย่างช้าๆว่า :“ทุกห้องขังมีหมาป่าจ่าฝูง พวกมันเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในห้องขังนั้นๆ และมีอำนาจสูงสุด เป็นผู้ที่ได้รับการสนับสนุน”

เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ แนชวิลล์ก็หยุดลง

“พูดต่อ” เฉินตงพูดอย่างเย็นชา

“หากต้องการจะออกไปจากคุกมืดนี้ ก็ต้องสู้กับหมาป่าจ่าฝูงในแต่ละห้องขังนั้นๆ ห้องขังสิบห้อง ก็เท่ากับสังเวียนสิบเวที หากชนะทุกสังเวียน ได้รับการสนับสนุนของหมาป่าจ่าฝูงทั้งสิบห้อง ก็สามารถออกจากคุกมืดนี้ไปได้!”

ภายในห้องขัง เงียบลงทันที

หลังจากที่แนชวิลล์พูดจบ เขาจ้องมองไปที่เฉินตง สังเกตการเปลี่ยนแปลงของเฉินตง

ใบหน้าที่เคร่งขรึมของเฉินตงก็ทวีความเคร่งเครียดมากขึ้นไปมา ก้มหน้าแล้วครุ่นคิดขึ้นมาทันที

สิบคนที่แข็งแกร่งที่สุดในห้องขัง สิบสังเวียนการต่อสู้กับความเป็นความตาย

และสิบสังเวียนก็ต้องชนะเท่านั้น !

ไม่แปลกใจเลยที่ป๋าจะพูดว่าเขามีแต่จะใช้เวลานานมากกว่าคุนหลุน

ในช่วงสามวันที่ผ่านมานี้ สิบเจ็ดสังเวียนที่เจอ เฉินตงก็พอจะสัมผัสได้ถึงพละกำลังฝีมือการต่อสู้ ของนักโทษที่อยู่ในเรือนจำนี้

หากต้องการที่จะเอาชนะหมาป่าจ่าฝูง ก็คงเหมือนกับการเต้นระบำบนมีดดาบ อันตรายยิ่งนัก

การต่อสู้แต่ละครั้ง เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่ได้รับบาดเจ็บ!

คุนหลุนใช้เวลาไปหนึ่งปี อย่างน้อยก็ยังพอมีเวลาได้พักฟื้นที่เพียงพอ

แล้วเขาละ มีเพียง 14 วัน ไม่ใช่สิ แค่ 10 วันเท่านั้น!

หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ การต่อสู้ทุกครั้งของเขา ดำเนินไปโดยไม่มีช่วงพัก และเมื่อถึงตอนท้าย อาการบาดเจ็บที่สะสม ก็มีแต่จะเพิ่มความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

สุดท้ายแล้ว แม้จะต่อสู้เพียงวันละหนึ่งสังเวียน ช่วงระยะเวลาสั้นๆนี้ ก็ไม่เพียงพอต่อการฟื้นฟูสภาพอาการบาดเจ็บ!

เห็นเฉินตงนิ่งไม่ไหวติง

แนชวิลล์พูดอย่างใจจริงและแฝงความหมาย :“คุณเฉิน นี่มันไม่ใช่วิธีที่จะออกจากคุกมืด แต่เป็นหนทางแห่งความตาย ทุกปีจะมีทหารราชาหรือเทพสงครามมาขอท้าประลองกับหมาป่าจ่าฝูงทั้งสิบห้องขัง แต่ที่สุดแล้ว ล้วนกลายเป็นศพ ดังนั้น……”

“ได้ ฉันจะลอง!”

จู่ๆเฉินตงก็พูดขึ้นมา

แนชวิลล์ตกใจกลัว คิดว่าตัวเองฟังผิดไป:“คุณเฉิน คุณ คุณพูดว่าไงนะ?”

เฉินตงลุกขึ้นยืน แล้วหัวเราะ:“ฉันพูดว่า สังเวียนชีวิตนี้ ฉันจะสู้!”

ทันใดนั้น

ท่าทีของเฉินตงก็เฉื่อยลง คำพูดเดียวของป๋า ทำให้เขาตกใจจนมึนเบลอไปหมด

เสียงอึกทึกครึกโครมของกิจกรรมภายในเรือนจำ

หายไปอย่างไร้ร่องรอยในชั่วพริบตา

ในเวลานี้ สายตาของเฉินตง มีเพียงใบหน้าที่ยิ้มอย่างผยองของป๋าเท่านั้น

เมื่อจ้องตาของกันและกัน เขารู้สึกตื่นกลัวกับการถูกป๋ามองอย่างทะลุปรุโปร่ง

“นาย ไม่มีสมาธิอีกแล้ว”

ทันใดนั้น ป๋าก็ยิ้มเยาะ ดวงตาเต็มไปด้วยรังสีแสง

ปัง~

ในลานกิจกรรม เสียงโห่ร้องของเหล่านักโทษ ดังกึกก้องอยู่ในหูของเฉินตง

ร่างกายของเฉินตงสั่นไหว ดวงตาดุดันราวกับจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

ไม่รอให้เขาได้แสดงกระบวนท่าต่อไป

ลำแขนของป๋าที่แข็งเกร็ง เหมือนงูยักษ์สองตัว ที่พันกันแน่น

“โซ่เวหา!”

ปัง!

ด้วยแรงระเบิด แขนของป๋าก็เหวี่ยงออก

สีหน้าของเฉินตงเปลี่ยนไป รู้สึกเหมือนขาถูกกระแทกอย่างแรง แรงจนขาของเขาก็ไม่อาจต้านการกระแทกนั้นได้

แทบจะในทันที

การพันธนาการของเฉินตง ถูกป๋าทำลายทิ้งไปอย่างสิ้นเชิง

จากนั้น แขนของป๋า ราวกับถูกงูยักษ์ครอบงำ พันเกี่ยวไปที่รอบเอวของเฉินตง

ไม่ได้การละ!

หัวใจของเฉินตงกระตุกอย่างรุนแรง

เขารู้สึกเอวถูกรวบรัดตึงแน่นหนา เหมือนกับถูกงูยักษ์รัดพันกายเอาไว้

โลกหมุนไปรอบๆ การมองเห็นพร่ามัว

โพล่ง!

เฉินตงถูกป๋าจับเอาไว้ด้วยสองมือ แล้วทุ่มลงกับพื้นอย่างแรง

โครม!

ในลานกิจกรรม นักโทษต่างร้องออกมาด้วยความกลัว

ชั่วพริบตาก็หายวับไป

การจู่โจมของป๋าไม่ได้หยุดเพียงเท่านี้ ร่างกายที่สูงใหญ่กำยำของเขา ก็พุ่งกระโจนไปยังร่างของเฉินตง

ด้วยกระบวนท่าที่แปลกประหลาด ล็อกไปยังคอและแขนขาทั้งสี่ของเฉินตง

เหมือนงูยักษ์ที่พันรัดรอบตัวเหยื่อของมัน

ทำให้เฉินตงหายใจไม่ออกในทันที สีหน้าแดงและคล้ำม่วง รู้สึกเหมือนปอดถูกบีบไล่อากาศออก

เฉินตงดิ้นรนที่จะต่อสู้ แต่ร่างของเขาถูกรวบตึงไว้แน่นหนาจากป๋า จนแทบไม่มีกำลัง

เขาอ้าปากกว้าง แล้วสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ แต่ก็ไม่อาจต้านปอดที่ถูกบีบไล่อากาศออกได้

ข้างหู มีเสียงหัวเราะของป๋าดังขึ้น

“ท่านี้เป็นทักษะการต่อสู้ของบราซิลเลียนยิวยิตสู เขาไม่ได้สอนนายเหรอ?”

ข้างเวที นักโทษต่างพากันตื่นเต้น

เชียร์และโห่ร้อง

ป๋าจากที่แพ้ก็กลายเป็นผู้ชนะ จุดประกายเลือดร้อนในตัวของทุกคนทันที

เสียงโห่ร้องดังแสบแก้วหู

เฉินตงที่ได้ยินเพียงเสียงหัวเราะของป๋า เหมือนฟ้าร้องก้องอยู่ในหู

ทักษะการต่อสู้ทั้งหมดของเขา ได้รับการฝึกสอนมาจากคุนหลุน

คำพูดแต่ละคำของป๋า เหมือนจะรู้กระบวนท่าต่างๆของเขา

หรือว่าป๋าจะรู้จักคุนหลุนงั้นเหรอ ?

ความรู้สึกที่หายใจไม่ออกก็ยิ่งทวีความรุนแรง

เฉินตงที่ใกล้หมดสติก็ได้ยินเสียง เอวของเขาที่ถูกขาของป๋ากดเอาไว้ ส่งเสียงร้อง “อ๊าก”ออกมา

“ทำลายกระบวนท่านี้ของฉัน!”

เสียงของป๋าก็เคร่งขรึมรุนแรงขึ้น

สีหน้าของเฉินตงคล้ำม่วงจนถึงขีดสุด

เขาพยายามดิ้นรนอย่างสุดกำลัง แต่ก็เหมือนถูกขึงตึงไว้ด้วยโซ่ ขยับตัวไม่ได้เลยสักนิด

แบบนี้ จะทำลายมันได้ยังไง ?

ราวกับนึกถึงคำสอนของคุนหลุนได้ ว่าต้องมีสติและมีสมาธิไว้อยู่ตลอดเวลาเสมอ

ในตอนนี้เหมือนภายในใจสับสนวุ่นวาย

“ฆ่ามัน ป๋าฆ่ามัน!”

“เด็ดหัวมัน!ป๋า เด็ดหัวมันเร็ว !”

“สมแล้วกับที่เป็นหัวหน้าหน่วยลาดตระเวน ความสามารถไม่แผ่วลงเลย สั่งสอนเจ้าเด็กคนนี้ให้ได้รู้เสียบ้าง!”

……

นักโทษต่างตื่นเต้น ยกกำปั้นขึ้นแล้วโห่ร้องตะโกนอย่างสะใจ

แต่แล้ว

ในตอนที่เฉินตงกำลังจะหมดลมหายใจนั้น

เขาก็รู้สึกถึงการพันธนาการบนร่างกายของเขาได้คลายลง

จังหวะนี้เอง!

ดวงตาของเฉินตงจ้องมองไปยังเป้าหมาย

ในความเป็นความตาย จังหวะชี้ชะตาชีวิต!

มือทั้งสองข้างของเขาบีบไปที่ข้อมือซ้ายของป๋า แล้วออกแรงดันมัน

ป๋าส่งเสียงร้องออกมาในทันที และขาที่เกี่ยวพันร่างกายของเฉินตงเอาไว้ก็คลายออกเช่นกัน

เฉินตงใช้จังหวะนี้หลุดพ้นออกมาได้ แล้วถอยกลับไปสองก้าว ทิ้งระยะให้ห่างออกจากป๋า

ทันทีทันใด

สถานที่ที่คึกคักก็เงียบกริบลงทันที

นักโทษทุกคนต่างตกตะลึง

นี่……มันเรื่องจริงเหรอ?

ป๋าถึงขั้นใช้โซ่เวหา ก็ยังตัดสินแพ้ชนะไม่ได้ ?

ต้องรู้ว่า นักโทษที่ถูกคุมขังในคุกมืดนี้ ไม่ใช่จะรับมือได้ง่ายๆ ราชาทหารเทพสงคราม มีนับไม่ถ้วนอยู่ทุกหนทุกแห่ง

แต่ในคุกนี้ ที่เทียบเท่าป๋าได้ มีอยู่น้อยมากแทบไม่ถึงสามคนเลยด้วยซ้ำ!

และต่อให้สามคนนั้น ถูก“โซ่เวหา”ของป๋าพันธนาการเอาไว้ ก็ไม่สามารถหลุดพ้นได้อย่างง่ายดายอย่างที่เฉินตงทำ!

“ฟู่……”

ทันทีที่หลุดพ้น เฉินตงก็หายใจเต็มปอด ถูกกดเอาไว้จนไม่สามารถหายใจได้เต็มที่ ในที่สุดก็ได้ออกซิเจนคืนมา

เฉินตงก็ผ่อนคลายมากไปด้วยเช่นกัน

แต่สายตาที่เขามองไปยังป๋า มีความอ่อนโยนและซาบซึ้ง

เขารู้ดี เมื่อกี้ป๋าออมมือให้เขา !

ไม่อย่างนั้น เขาไม่มีทางที่จะหลุดพ้นมันมาได้แน่

หรือว่าป๋าหมดแรง หรือป๋าแรงตก ตัวเฉินตงเองไม่เคยคิดว่าจะมีเรื่องพวกนี้เลย

ในช่วงเวลาสั้นๆนี้ อย่าว่าแต่ป๋าเลย ต่อให้เป็นเขาเอง ก็เป็นไปไม่ได้!

“ต่อจากนี้ ดูมันให้ชัดๆ!”

ป๋าโก้งโค้งตัว จัดเตรียมท่าทางการโจมตี

รูม่านตาของเฉินตงหดตัวลงทันที ในหัวก็มีเสียงดังขึ้น

กระบวนท่าการต่อสู้ของป๋า เหมือนกันกับของเขา!

“คุนหลุน……”

ตามสัญชาตญาณ เขาหลุดคำพูดออกมา

หวืด!

ลมแรงพัดมา ใบหน้าที่ฉีกขาดรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย

ป๋ามีความเร็วราวกับสายฟ้า ชั่วพริบตาก็โผล่มาอยู่ตรงหน้าของเฉินตง ไม่เปิดโอกาสให้เฉินตงได้ซักถาม

เฉินตงกู่ร้อง เหวี่ยงหมัดออกไป ฝ่ามือหนึ่งอัดไปยังด้านหลังของป๋า แล้วประชิดตัวเพื่อโจมตี จากนั้นก็เกิดการต่อสู้ขึ้นอีกครั้ง

ในลานประลองที่เงียบสงบ กับเสียงหมัดที่อัดเข้าไปตามร่างกาย ทำให้เกิดบรรยากาศที่คึกคักขึ้นมาอีกครั้ง

เลือดร้อนของเหล่านักโทษก็ถูกจุดติดขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาฉายชัดความกระหายเลือด

และในบริเวณประตูเรือนจำ

สมาชิกในทีมต่างมองหน้ากัน

“วันนี้หัวหน้าเป็นอะไร? ทำไมถึงไปเล่นกับนักโทษใหม่คนนั้นได้ ?”

“ไม่รู้เหมือนกัน แต่นายไม่เห็นเหรอ? ตั้งแต่นักโทษใหม่คนนี้ปรากฏตัว ป๋าก็มองเขาแตกต่างจากคนอื่น”

ปังๆๆ……

บนเวที หมัดลุ่นๆ

ไม่มีท่าที่พิสดารอะไร เป็นเพียงการโจมตีที่รวดเร็วและทรงพลังของหมัดและเท้า

เฉินตงมีเหงื่อผุดออกตามหน้าผาก ยิ่งสู้ก็ยิ่งน่ากลัว

จากการต่อสู้ครั้งนี้ ทั้งเขาและป๋าต่างก็ได้รับบาดเจ็บ

แต่การต่อสู้ที่ดูฝีมือจะไล่เลี่ยกันนี้ เฉินตงรู้ดีว่า การต่อสู้มาตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ มีป๋าคอยคุมเกมอยู่

และเขา ก็แค่อยู่ภายใต้การวางแผนของป๋าเท่านั้น ป้องกันแบบที่ถูกควบคุมเอาไว้!

ไม่ว่าเขาจะออกกระบวนท่าอะไร ป๋าก็สามารถตั้งรับได้อย่างสบาย หนำซ้ำยังตอบกลับในแบบเดียวกับที่เขาจู่โจมไป

“นาย มีความสามารถแค่นี้เหรอ?”

เสียงหัวเราะของป๋า เต็มไปด้วยการล้อเลียน

อันที่จริงแล้ว ตลอดเกมการต่อสู้ พูดกันตามตรงก็เป็นเพียงการหยอกล้อเท่านั้น

หางตาของเฉินตงกระตุก หมัดและเท้าเร่งความเร็วขึ้นไปอีก ตามแรงปะทุ ราวกับฝนตกฟ้ารั่วพุ่งใส่ป๋าอย่างรวดเร็ว

“นายเป็นอะไรกับเขา?”

กับความสงสัยที่อยู่ในใจ เขาก็ถามมันออกมาอย่างโกรธเคือง

หวืด!

ร่างของป๋าหยุดลงอย่างกะทันหัน หันหน้าเข้าหาหมัดของเฉินตง โดยไม่หลบหลีก

และหมัดของเฉินตง ก็ชะงักหยุดลงตรงหน้าของป๋า จนเกิดเป็นลมขึ้นมา

“นายชนะ!”

ป๋ายิ้มอย่างผ่อนคลาย ยักไหล่ หันหลังแล้วเดินลงเวทีไป

ลานกิจกรรมที่ครึกครื้น ก็กลับมาเงียบลงอีกครั้ง

เฉินตงเอง ก็งุนงงไปด้วยเช่นกัน

จากนั้น

เสียงของป๋าก็ดังขึ้น

“นายสงสัยไม่ใช่เหรอว่าคนที่ออกไปจากที่นี่เมื่อสิบปีที่แล้วเป็นใคร? คือเขา !”

พูดออกไปแล้ว

ลานกิจกรรมที่เงียบสงัด ก็เกิดเสียงโห่ร้องดังกึกก้องขึ้นมาทันที

“ทำได้ดี!ป๋า คุณต้องฆ่าไอเด็กอวดดีนี้ให้ได้นะ!”

“ฮ่าฮ่าฮ่า……ป๋าลงสนามเอง เฉินตงตายแน่ !”

“พระเจ้า ไม่คิดไม่ฝัน ป๋าที่อยู่สูงยอมลดตัวมาลงสนามได้”

……

กฎของคุกมืด เวลากิจกรรมของนักโทษ ผู้คุมไม่มีสิทธิ์ก้าวก่ายได้

แต่ว่า ผู้คุมขอลงสังเวียนสนามเอง แต่กลับไม่มีใครต่อต้าน

ตรงกันข้าม นักโทษกลับเต็มใจที่จะได้เห็นมันมากกว่า

ในเวลาปรกติ ผู้คุมจะต่างคนต่างอยู่ และนักโทษต่างก็ต้องอาศัยจมูกผู้อื่นหายใจ

คนที่ถูกกักขังในคุกมืดนี้ ต่างไม่ใช่คนดีอะไร ใครไม่อยากที่จะแก้แค้นในเมื่อมีโอกาส ?

แต่ที่คุกมืดนี้สามารถกักขังนักโทษเหล่านี้ได้ นั้นเป็นเพราะความแข็งแกร่งเข้มงวดเด็ดขาดมีความสามารถและทรงพลัง

สิ่งนี้ทำให้นักโทษต่างเก็บความแค้นเอาไว้ในใจ เวลาปรกติมักไม่มีโอกาส

และในตอนนี้ ป๋าลงสนามเอง ในสายตาของนักโทษ โอกาสมันมาถึงแล้ว!

แต่ยังไงเสีย พวกเขายิ่งอยากจะเห็นนักโทษใหม่ที่อวดดี ถูกป๋ากระทืบจนน่วมบนสังเวียน หรือไม่ ก็ถูกกระทืบจนตาย!

บนแท่นสูงนี้ เฉินตงก็ประหลาดใจเช่นกัน

ดวงตาจ้องมองไปยังป๋าที่ค่อยๆเดินเข้ามา เขายังคงมึนงงสับสน

เพราะผมได้ยินในสิ่งที่คุณพูด เลยท้าประลองกับทุกคนในเรือนจำ

ตอนนี้ คุณกลับจะลงมือจัดการผม ?

ในสายตา

การย่างก้าวของป๋าเป็นไปอย่างเชื่องช้า ในระหว่างที่เดินผ่านนักโทษเหล่านั้น เหมือนเดินเล่นในลานกว้างมั่นใจและดูสบาย ในสายตามีจิตวิญญาณของการต่อสู้ชัดเจน

ในขณะที่ป๋าก้าวย่างมานั้น นักโทษทุกคน ต่างก็พร้อมใจกันหลีกทางให้ เว้นที่ว่างเป็นทางเดินให้ไปยังเวทีประลอง

“รับคำท้าไหม?”

ป๋ายืนอยู่หน้าเวที มองเฉินตงด้วยรอยยิ้มแปลก ๆ

ดวงตาของเฉินตงส่องประกายวูบวาบ

ลังเลขึ้นมา

“เฮ้!เฉินตง นายไม่ใช่เก่งนักเหรอ ? ตอนนี้รู้จักกลัวแล้วละสิ ?”

“พระเจ้า นักโทษใหม่ที่อวดดีคนนี้ ใบ้กินซะแล้ว น่าขายหน้าชะมัด”

“ดูท่าป๋าคงต้องผิดหวังแล้ว อีกฝ่ายไม่กล้ารับคำท้าของเขา !”

……

เสียงหยอกเย้า และเยาะเย้ย ดังก้องอยู่ในหูของเฉินตง

เฉินตงก็หัวเราะออกมาทันที

จ้องมองไปที่ป๋าด้วยดวงตาที่เป็นประกาย

ค่อยๆพูดออกไปว่า :“หากคุณรับปากผมเรื่องหนึ่ง ผมรับคำท้า !”

“อะไร?”ป๋าถาม

“บอกผมที วันนี้วันที่เท่าไร!”

ดวงตาของป๋าส่องแสงระยิบระยับ รูม่านตาหดลง

ยังคิดที่จะออกไปอีก ?

“ได้ ฉันรับปากนาย !”

ป๋าใช้มือทั้งสองข้างตีไปยังบนเวที อาศัยแรงแล้วโดดขึ้นไปยังบนเวทีด้านบน

ทันใดนั้น ผู้ชมก็ตะโกนโห่ร้อง

เสียงอึกทึกดังกึกก้อง อื้ออึงหนวกหู

ที่ประตูเรือนจำ สมาชิกในทีมสีหน้าแปลกประหลาด แต่ก็ไม่ได้ห้ามอะไร

และบนเวทีนั่น

ป๋าผู้กระหายสงครามจ้องมองไปยังเฉินตง แล้วพูดหยอกล้อไปว่า:“นายคิดจริงๆเหรอว่า จะเป็นคนที่สองในสิบปีให้หลัง ที่ได้ออกไปจากคุกมืดนี้?”

“ใช่!”

เฉินตงพยักหน้าอย่างมั่นใจ น้ำเสียงมีพลัง และแฝงไปด้วยความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่

“แล้วถ้าหากออกไปไม่ได้ล่ะ? เพราะยังไงซะ เราต่างก็ไม่ใช่คนในตอนนั้น !” ป๋ายักไหล่ ยิ้มแล้วพูดติดตลก

“ผมออกไปได้แน่!”

เฉินตงพูดเบาๆ คำพูดทุกคำเด็ดเดี่ยวและมุ่งมั่น:“แม่ของผม ภรรยาของผม ยังรอผม ให้ผมกลับไปหาพวกเขา !”

คำพูดเดียว ทำให้ป๋าคิ้วขมวดแน่น

ท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไปทันที

“ฟู่……งั้นเรามาดูกัน ว่านายจะมีความสามารถพอที่จะออกไปจากที่นี่ไหม !”

ทันใดนั้นป๋าก็หัวเราะออกมา ในชั่วพริบตานั้น ท่าทีไร้ปรานี ไอสังหารก็แพร่กระจาย

เสียงโห่ร้องที่ดังกึกก้องในหู

ร่างกำยำราวหอคอยโครงเหล็กของป๋า ก็ระเบิดขึ้นทันที พุ่งออกไปราวลูกศรจากคันธนู กระโจนเข้าใส่เฉินตง

“รูปร่างของเขา เหมือนการสู้กับคุนหลุน”

เฉินตงตั้งสมาธิ และตั้งท่ารับพร้อมรบ

มันเป็นเพียงท่าง่ายๆ

ฉับพลันรูม่านตาของป๋าก็หดลง ดวงตาฉายแววแปลกประหลาด

หวืด!

ในชั่วพริบตานั้น ป๋าพุ่งตัวไปยังด้านหน้าของเฉินตง กระโดดขึ้นแล้วเหวี่ยงแข้ง เต็มกำลัง กับเสียงลมที่กระทบเข้าหู พุ่งเข้าใส่เฉินตง

เฉินตงวางเท้าลงบนพื้น ถอยหลังเพื่อให้มีแรงส่ง แล้วหมุนตัวเปลี่ยนทิศทาง เคลื่อนไหวเหมือนเสือที่บ้าคลั่ง และโจมตีไปทางด้านข้างของป๋า

การต่อสู้ของทั้งสอง จับกันเป็นก้อน

ปังๆๆๆ……

หมัดต่อยเข้าไปที่ลำตัว

เสียงอู้อี้ก็ดังขึ้น

การต่อสู้ของคนทั้งสอง ทำให้บรรยากาศภายในเรือนจำร้อนระอุมากขึ้น

นักโทษVS ผู้คุม

ในเรือนจำนี้ เป็นสังเวียนการต่อสู้ที่ยากจะได้เห็น!

เสียงโห่ร้องดังสนั่นไปทั่ว

อารมณ์ของผู้ต้องขังต่างก็ทวีความรุนแรง สีหน้าแดงก่ำ

บนเวที

เฉินตงกับป๋าต่างผลัดกันรุกและรับ

การจู่โจมที่เข้าทุกหมัด ทำให้เลือดในกายของนักโทษต่างก็สูบฉีด

รูปร่างของเฉินตงไม่ถึงกับผอมแห้งแรงน้อย แต่กลับจัดอยู่ในประเภทกำยำแข็งแรง

แต่เมื่อเทียบกับป๋าแล้ว ก็ดูจะผอมบางกว่ามาก

ร่างกายที่สูงใหญ่ ทำให้ทุกครั้งที่ป๋าจู่โจม หมัดและเท้าก็เต็มไปด้วยการบดอัดที่ทรงพลัง

ความแข็งแกร่งนี้สามารถเอาชนะนักสู้เป็นสิบได้!

เฉินตงไม่กล้าต่อสู้กับเขาซึ้งๆหน้าโดยตรง

ได้แต่ทำตามวิธีการต่อสู้ที่คุนหลุนเคยสอนเอาไว้ คอยหลบและหลีก หาโอกาสแล้วค่อยโจมตี

การเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว เฉินตงยังคงหายใจเข้าลึกๆ ควบคุมการหายใจของตัวเอง เพื่อให้ตัวเองสงบนิ่ง

คุนหลุนเคยพูดเอาไว้

มีเพียงความนิ่งสงบเท่านั้น ที่จะมองเห็นหนทางแห่งชัยชนะ

กังฟูเป็นทักษะวิชาการป้องกันตัว เอาชนะคู่ต่อสู้ได้เพียงกระบวนท่าเดียว ก็เพียงพอแล้ว!

แต่การตั้งรับของป๋า ทำให้เฉินตงแทบจะไม่มีหวัง

ในจังหวะนี้เอง เมื่อเผชิญหน้ากับป๋า เขาก็รู้สึกเหมือนไม่มีช่องทางให้ได้โจมตี

ทุกครั้งที่เห็นจุดบอด แต่ก็กลับลงมือไม่ทัน มือและเท้าของป๋าก็ป้องกันเอาไว้ได้

การป้องกันตัวที่ไม่มีช่องว่างให้โจมตีได้ และการจู่โจมที่น่ากลัว

มันทำให้เฉินตงเข้าใจดีว่า ความสามารถของป๋า มันเกินกว่าคนที่เขาจะเอาชนะได้ไม่เหมือนทหารราชา เทพสงคราม!

ไม่แปลกใจเลยที่เป็นหัวหน้าหน่วยลาดตระเวนของเรือนจำ!

ความสามารถแบบนี้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ก็เป็นเทพแห่งสงครามได้!

เมื่อการต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป แสงสว่างในดวงตาของป๋าก็ยิ่งสว่างมากขึ้นเรื่อยๆ

มือและเท้าจู่โจมและป้องกันสลับไปมา ร่างกายเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว

แต่สายตาของเขา จับจ้องอยู่ที่เท้าของเฉินตงอยู่ตลอดเวลา

ใบหน้าเรียบนิ่งที่มีหนวดเครา ก็ค่อยๆปรากฏรอยยิ้มออกมา

“ท่าต่อไป นายจะจู่โจมเอวด้านซ้ายของฉัน!”

ทันใดนั้น ป๋าก็โพล่งออกมา

เฉินตงที่เพิ่งสไลด์ออกไปก็รู้สึกตกใจ ร่างของเขาก็หยุดอยู่กับที่

เขาตกตะลึงตาค้างจ้องไปที่ป๋า เขา……รู้ได้ยังไง ?

รอยยิ้มบนใบหน้าของป๋าก็ชัดเจนขึ้น

ฉวยโอกาสในตอนที่เฉินตงกำลังนิ่งอึ้ง ดวงตาของเขาก็ฉายแววดุร้าย

พุ่งตรงไปข้างหน้า ฝ่ามืออันใหญ่ คว้าหมับไปที่เข็มขัดของเฉินตงทันที

“ในการต่อสู้ คนที่ว่อกแว่กมักจะพลาดท่าเสมอ ไม่มีใครบอกนายเหรอ?”

“อ๊าก!”

ใบหน้าของเฉินตงถอดสี เสียงร้องดังลั่น

ยังไม่ได้ปลีกตัวออก มืออีกข้างของป๋าก็กดลงไปบนหัวไหล่ของเขา

พร้อมกับเสียงร้องที่ดังขึ้น เฉินตงถูกป๋ายกขึ้นไปกลางอากาศ แล้วหมุนไปรอบตัว

“สุดยอดมาก!ป๋าเอาให้ตายเลย!”

“สมแล้วที่เป็นหัวหน้าป๋า เอามันให้ตายเลยป๋า รออะไรอยู่อีก?”

“ฮ่าฮ่าฮ่า……นักโทษใหม่ กำลังจะตายแล้ว !”

……

เสียงเชียร์โห่ร้อง ก้องกังวานไปทั่วบริเวณ

และในจังหวะเดียวกัน

เฉินตงก็แผ่ไอสังหาร

มือทั้งสองข้างของเขาก็จับไปที่แขนของป๋า จากนั้นก็หย่อนขาลง แล้วคล้องไปที่คอของป๋า

ด้วยกระบวนท่านี้ ก็มากพอที่จะเอาชีวิตได้!

แต่ ปฏิกิริยาของป๋า ทำให้เฉินตงเหมือนถูกฟ้าผ่า ลืมกระบวนท่าขั้นตอนต่อไป

“เขา สอนนายท่านี้ด้วยเหรอ?”

ป๋าเอ่ยถามพลางหัวเราะเสียงดัง

ควันตลบอบอวล

ชิ้นส่วนและกระจกที่แตก กระจายไปทั่วพื้น

สภาพพังยับเหยินไปทั่วบริเวณ

มีกระทั่ง น้ำมันรั่วซึมออกมา กลิ่นฉุนรุนแรง

“อ๊าก……เฉินตง!”

กู้ชิงหยิ่งใบหน้าซีดเซียว และกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ

จากการกระแทก เธอรู้สึกถึงแรงเฉื่อยที่รุนแรงทำให้ร่างกายเธอพุ่งไปข้างหน้า

แต่เฉินตงที่กำลังโอบเธออยู่ ทุบไปที่กระจกด้านหน้าของรถ เสียงดังปัง

ความเจ็บปวดทั้งหมด ถูกรับไว้โดยเฉินตง !

เฉินตงในเวลานี้ ได้คลายมือออกจากกู้ชิงหยิ่งแล้ว

ใบหน้าที่เต็มไปด้วยเลือด การพุ่งชนที่น่ากลัวนี้ ทำให้ปากและจมูกของเฉินตงมีเลือดไหล

ภาพที่เห็น ทำให้กู้ชิงหยิ่งตกใจและหวาดกลัว น้ำตาไหลออกมาทันที

“ไม่เป็นไร ผมไม่เป็นไร……”

เฉินตงยิ้มอย่างเศร้าสลด

และในตอนนี้

รถ BMW สองคันที่อยู่ข้างๆก็เปิดประตูออกพร้อมกัน

เฉินตงท่าทางเคร่งขรึม พูดเตือนไปว่า :“ชิงหยิ่ง หนีไป เขา เขาต้องเป็นคนตระกูลฉินแน่ ไม่ต้องห่วงผม”

ขณะที่พูดนั้น เฉินตงก็หันกลับไปถีบกระจกหน้ารถบูกัตติเวย์รอนออก แล้วมุดตัวออกไปก่อน จากนั้นก็ดึงตัวกู้ชิงหยิ่งออกมาจากรถ

กู้ชิงหยิ่งตกใจกลัวจนไม่รู้อะไรเป็นอะไร

ทันทีที่ออกมาจากรถได้ เธอก็เห็นคนในชุดสูทแปดคนปิดบังใบหน้า วิ่งตรงเข้ามา

“ชิงหยิ่ง หนีไป!”

เฉินตงที่ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลส่งเสียงดังออกมา แล้ววิ่งกระโจนไปยังแปดคนนั้น จากนั้นก็เกิดการต่อสู้กันขึ้น

“เฉินตง……”

กู้ชิงหยิ่งมือปิดปาก น้ำตาอาบแก้ม แล้วค่อยๆถอยออกไป

เธอต้องการจะเรียกให้คนมาช่วย แต่ก็พบว่า ที่นี่เป็นพื้นที่ที่ห่างไกล อย่าว่าแต่คนเลย แม้แต่รถที่ผ่านไปมาก็แทบจะไม่มี

ในระหว่างที่ตื่นตกใจกลัวนั้น เธออยากจะหยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อโทรหาใครสักคน

แต่ก็พบว่าโทรศัพท์คงหล่นอยู่บนรถ ในตอนที่รถชน

และในตอนนี้เฉินตงกับคนทั้งแปดก็กำลังต่อสู้กันที่หน้ารถ เป็นไปได้ยากที่เธอจะกลับไปหยิบโทรศัพท์ในรถออกมา

แต่ว่า……

สถานการณ์ตรงหน้า เห็นได้ชัดว่าเฉินตงกำลังเสียเปรียบคนทั้งแปดคนอยู่

“อ๊าก!”

ด้วยเสียงร้องคำรามของเฉินตง ถีบคนคนหนึ่งให้กระเด็นออกไปด้วยความโกรธ

จากนั้น เขาก็กระโจนใส่คนอีกสองคน แล้วหันมาพูดด้วยความโมโหไปว่า :“กู้ชิงหยิ่ง บอกให้หนีไป!”

กู้ชิงหยิ่งตกใจจนตัวสั่น

น้ำตาไหลอาบแก้ม ตื่นกลัวและไม่รู้จะทำยังไง

วิ่ง ?

ถ้าฉันหนีไปแล้วเฉินตงจะทำยังไง ?

แล้วถ้าฉันไม่หนีล่ะ……

แต่ ยังไม่ทันที่จะได้คิดอะไร

ก็มีคนสองคนมุ่งตรงมาที่เธออย่างอุกอาจ

กลางอากาศ มีแสงวิบวับเกิดขึ้น

หนึ่งในนั้นควักเอามีดสั้นออกมาจากเอว

“เฉินตง……”

กู้ชิงหยิ่งตกใจจนร้องลั่น แล้วรีบถอยหลัง แต่ก็พบว่าด้านหลังได้ชนเข้ากับกำแพง และไม่มีที่ให้ถอยแล้ว

“ตาย!”

ชายที่ถือมีดสั้นนั้นยกมีดขึ้น แสงประกายวูบวาบ แล้วแทงเข้ากู้ชิงหยิ่งอย่างเหี้ยมโหด

ในช่วงความเป็นความตายนี้

กู้ชิงหยิ่งก็กรีดร้อง อย่างสิ้นหวังสุดชีวิต

ในช่วงความกลัวนี้ เธอหลับตาลง เหมือนลูกแมวน้อยตัวหนึ่ง รอความตายที่จะมาถึง

แต่แล้ว

พรืด!

เสียงมีดที่แทงเข้าผิวหนัง

กู้ชิงหยิ่งตกตะลึง

บนร่างกาย ไม่มีความเจ็บปวด

“หึ!”

ในหู มีเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น เป็นเสียงครางของความเจ็บปวด

ร่างกายกู้ชิงหยิ่งสั่นไปทั้งตัว เหมือนถูกสายฟ้าฟาด

เธอลืมตาขึ้น สิ่งที่เห็นคือใบหน้าเศร้าสลดที่เปื้อนไปด้วยเลือด

“คุณ ทำไมไม่หนีไป?”

เฉินตงยิ้มด้วยความเศร้า

ในสมองของกู้ชิงหยิ่งเต็มไปด้วยความว่างเปล่า น้ำตาไหลอาบแก้ม ริมฝีปากแดงอ้ำๆอึ้งๆ ในตอนนี้กลับพูดอะไรไม่ออก

“ตายซะเถอะ!”

ชายที่ถือมีดอยู่ด้านหลัง ก็ร้องตะโกนออกมาอีกครั้ง

“กล้าแตะผู้หญิงของฉัน แกนั่นแหละที่สมควรตาย!”

ใบหน้าของเฉินตงดุร้ายอย่างน่ากลัว ราวกับสัตว์ร้ายกระหายเลือด แล้วเขาก็หันหลังกลับไป

ในจังหวะที่เขาหันหลังกลับไปนั้น เขาจับไปยังมีดสั้นด้านหลัง แล้วชักมันออกมา

จากนั้น

พรืด!

มีดสั้นนั้น แทงเข้าไปยังช่วงท้องของชายคนนั้น

“ตาย แกตายซะเถอะ……”

เฉินตงคลุ้มคลั่ง ถือมีดสั้นในมือ จ้องมองไปยังชายหนุ่มแล้วเดินเข้าหาไปหลายก้าว

ในที่สุด เขาก็คลายมือออก

มีดถูกแทงเข้าไปในช่องท้องของชายคนนั้น ดวงตาของชายคนนั้นเต็มไปด้วยความตกใจ แล้วล้มลงไปกับพื้น

การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน ทำให้เจ็ดคนที่เหลือถึงกับตื่นตระหนก

ไม่สนเฉินตงกับกู้ชิงหยิ่ง ทั้งเจ็ดคนก็รีบอุ้มร่างของชายที่ถูกแทงกลับไปที่รถ BMW จากนั้นก็ขับรถBMWที่พังทั้งสองคัน ออกไปอย่างรวดเร็ว

ชั่วพริบตา

บนถนนที่ห่างไกลนี้ ก็เหลือเพียงกู้ชิงหยิ่งกับเฉินตง และรถบูกัตติเวย์รอนที่พังยับเยิน

ตุบ!

เฉินตงร่างกายไหวสั่น แล้วทรุดตัวลงกับพื้น

แผลที่หลัง ก็มีเลือดไหลอาบ

การถูกจู่โจมเมื่อครู่ แล้วยังถูกแทงซ้ำอีกครั้ง

ทำให้เฉินตงรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ ใบหน้าซีดเซียวไร้เลือดฝาด

กู้ชิงหยิ่งยืนอยู่กับที่

มือปิดปากตัวเอง เพื่อไม่ให้ตัวเองกรีดร้องออกมา

ในสายตา ภาพของเฉินตงที่อาบไปด้วยเลือด บาดแผลที่หลัง ราวกับค้อนปอนด์ ทุบเข้าที่ดวงตาของเธออย่างรุนแรง

ความสงสัยก่อนหน้าที่เคยมี บัดนี้ได้มลายหายไปหมดแล้ว

หาก เขาไม่ใช่เฉินตง แล้วเขาจะเอาชีวิตปกป้องเธอไว้ทำไม ?

เธอเดินซวนเซ เข้าไปหาเฉินตงอย่างช้าๆ

“เฉินตง คุณ คุณจะช่วยฉันทำไม คุณ คนโง่ ……”

กู้ชิงหยิ่งก็ร้องไห้อย่างหนัก ดวงตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและรู้สึกผิด อีกทั้งยังกล่าวโทษตัวเอง

เหตุการณ์ความเป็นความตายนี้ การยืนหยัดต่อสู้อย่างห้าวหาญของเฉินตง ได้ทำลายความเคลือบแคลงสงสัยในใจของกู้ชิงหยิ่งไปหมดสิ้นแล้ว

“ผม ผมต้องปกป้องคุณ……”

เฉินตงยิ้มเศร้า หลับตาลง แล้วล้มลงในอ้อมแขนของกู้ชิงหยิ่ง

……

ห้องขังในคุกมืด

ความมืดทึบในคุกมืด ไม่มีวันได้เห็นเดือนเห็นตะวัน

ในเวลานี้ เป็นเวลา “อิสระ”ในเรือนจำ

สถานที่ที่ทำกิจกรรม ผู้คนพลุกพล่าน

เสียงตะโกนโห่ร้องดัง อื้ออึงหนวกหู กึกก้องไปทั่วบริเวณ

ใจกลางของสถานที่ทำกิจกรรมนี้ เป็นเวทีสูง

และรายล้อมไปด้วยนักโทษที่มามุงดูกับเสียงโห่ร้อง การต่อสู้บนเวทีสูงได้เข้าสู่จุดเดือด

ปัง!

เฉินตงฉวยจังหวะนี้ ชกไปหนึ่งหมัด จนคู่ต่อสู้ล้มลงไป

ทันใดนั้น

เสียงเชียร์ราวฟ้าร้องและเสียงปรบมือก็ดังก้องกังวาน ไปทั่วเรือนจำ

เฉินตงยืนนิ่งอยู่บนเวที สายตาที่เย็นเยือกกวาดมองไปทั่วบริเวณ

ครั้งนี้ เป็นการต่อสู้ครั้งที่สิบเจ็ดของเขาแล้ว!

ด้วยสถิติการต่อสู้สิบเจ็ดครั้งและชนะทั้งสิบเจ็ดครั้ง เขายืนเด่นอยู่บนสังเวียนนี้

ในคุกมืดนี้ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นคือผู้รอด

อยากมีชีวิตที่ยืนยาว และมีความเป็นอยู่ที่ ดี ก็ต้องแข็งแกร่งกว่าทุกคน และเหี้ยมโหดเหนือใครๆ!

เขาจำคำเตือนของป๋าไว้เสมอ เมื่อต้องเผชิญกับความท้าทายในคุกนี้ เขาจึงไม่เคยปฏิเสธกับผู้ที่ร้องขอ

“วันที่สามแล้ว……”

เฉินตงพึมพำเสียงเบา ดวงตาที่เย็นชาในที่สุดก็มีชีวิตชีวาขึ้น

เขาตะโกนดังขึ้นมาอีกครั้ง:“มีใครอีก?”

เสียงตะโกนก้องด้วยความโมโห ทำให้ทั่วบริเวณเงียบสงบ

แต่บริเวณประตูเรือนจำ

ป๋าที่ยืนนิ่งเหมือนหิน ก็ยืนเงียบอยู่เช่นกัน

ดวงตาของเขาจ้องเขม็งไปยังร่างที่ยื่นสูงตระหง่านบนสังเวียนนั้น

“สามวัน สิบเจ็ดสังเวียน และชนะทั้งสิบเจ็ดครั้ง!”

เสียงกระซิบเบาๆ ป๋ายกเท้าขึ้น แล้วก้าวไปข้างหน้า

“ป๋าคุณจะทำอะไร?”

สมาชิกหนึ่งในทีมเอ่ยถามขึ้นอย่างตกใจ :“ตอนนี้เป็นเวลาที่นักโทษกำลังสนุก เราเข้าไปไม่ได้”

ในขณะที่พูดคำนี้ สายตาของสมาชิกในทีมต่างก็จับจ้องมองไปยังลานกิจกรรมของเรือนจำ เต็มไปด้วยความกลัว

คุกมืดมีกฎของคุกมืด

ตามปกติ ผู้คุมของคุกมืดสามารถสั่งการนักโทษได้ตามต้องการ

แต่ในช่วงของกิจกรรม หากผู้คุมเข้าไปยุ่งวุ่นวายเวลาการทำกิจกรรมของนักโทษแล้วละก็ มันจะก่อให้เกิดความโกลาหลคลุ้มคลั่งของนักโทษได้อย่างแน่นอน!

คนที่ถูกคุมขังในคุกมืดแห่งนี้ ไม่มีใครสักคนที่ควบคุมได้ !

ราชาทหาร เทพสงคราม และอีกจำนวนไม่น้อย!

การจลาจลในเรือนจำนั้น ผลกระทบที่ได้รับ ไม่ใช่แค่ตำแหน่งหัวหน้าหน่วยเล็กๆอย่างเขาจะรับผิดชอบไหว

ป๋ายังคงไม่หยุดเดิน ดวงตาเต็มไปด้วยวิญญาณนักสู้:“แล้วหาก ฉันขึ้นเวทีสังเวียนต่อสู้นั่นล่ะ?”

โครม!

สมาชิกในทีมที่อยู่ด้านหลังต่างก็หน้าถอดสีไปตามๆกัน

จากนั้น ป๋าก็ร้องคำรามออกมา

“เฉินตง ฉันขอท้าประลองกับนาย!”

ภายในห้องผู้ป่วย

ทันใดนั้น บรรยากาศก็เย็นเยือกลง

ฉินเย่มองไปที่เฉินตงอย่างสงสัย

การฆ่าพ่อแม้จะเป็นเรื่องที่ผิด?

ประโยคนี้ เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่ามันจะหลุดออกมาจากปากของเฉินตง

ตั้งแต่ที่รู้จักกับเฉินตงมา การฆ่าพ่อของเขาสำหรับเฉินตงแล้ว เฉินตงเองไม่เคยที่จะพูดหรือแสดงความคิดเห็นใดๆมาก่อน และปฏิกิริยาท่าทางของเขา กลับแสดงให้เห็นว่าเขาเข้าใจในการกระทำนั้นๆ

แต่ตอนนี้ เขากลับแสดงความคิดเห็น ?

ดวงตาของกู้ชิงหยิ่งก็เป็นประกาย ด้วยรู้สึกแปลกใจด้วยเหมือนกัน

เธอรู้ว่าฉินเย่ฆ่าพ่อตัวเอง และก็รู้ว่ามันมีเงื่อนงำบางอย่างที่ซ่อนอยู่

แต่เธอเองก็รู้สึกแปลกจากการที่เธอสัมผัสกับเฉินตงเอง

หากเฉินตงคิดว่าที่ฉินเย่ฆ่าพ่อตัวเองนั้นผิด ด้วยนิสัยของเฉินตงแล้ว เขาคงไม่จ้างวานให้มาร่วมงานกัน

และคงไม่สละชีวิตตัวเองเพื่อช่วยฉินเย่ จากตระกูลฉิน!

เฉินตงพึมพำ แล้วก็หัวเราะออกมา

“อย่าสนใจเลย ฉันก็แค่พูดไปเรื่อย สิ่งที่ควรเคารพนับถือรายล้อมอยู่รอบตัวเรา ความกตัญญูถูกสั่งสอนกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ”

คำอธิบายเพียงคำเดียว

แต่ทำให้ฉินเย่ต้องก้มหน้าลง สีหน้าของเขาหม่นหมองชัดเจน

กู้ชิงหยิ่งรีบเปลี่ยนเรื่องคุยทันที

“ฉินเย่ แผลนายเป็นยังไงบ้างแล้ว ?”

“ออ ดีขึ้นมากแล้ว” ฉินเย่ตอบกลับไปอย่างสงบนิ่ง

โกรธเหรอ ?

กู้ชิงหยิ่งรู้สึกอึดอัดขึ้นมาเล็กน้อย ยิ้มและถามไปว่า:“ดีแล้ว หากนายออกจากโรงพยาบาล ก็ไปร่วมงานแต่งงานของฉันกับเฉินตงนะ”

ได้ยินดังนั้น

ฉินเย่เงยหน้าขึ้นแล้วเหลือบมองไปที่กู้ชิงหยิ่ง

ดวงตาเขาแปลกไปอย่างน่าประหลาด

แต่กลับยิ้มและพยักหน้ารับ :“ก็พอดีเลยนะสิ ในที่สุดก็ได้ดื่มเหล้ามงคลของเธอสองคนสักที”

ท่าทีของกู้ชิงหยิ่งก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย

จากนั้นก็ถามต่อไปว่า:“เมื่อกี้นายทำอะไรจางหยู่หลัน? เธอร้องไห้เสียใจมาก”

ฉินเย่ท่าทีนิ่งเงียบไป

ยิ้มอย่างขมขื่น:“ชิงหยิ่ง ฉันคิดว่าครั้งนี้คงจะเล่นแรงไป เดิมทีแค่อยากจะแกล้งเธอเท่านั้น แต่เล่นสนุกเกินไปหน่อย”

กู้ชิงหยิ่ง:“……”

เฉินตงที่อยู่ข้างๆเห็นฉินเย่กับกู้ชิงหยิ่งกำลังคุยกัน ท่าทีก็สลับซับซ้อนขึ้น

“ฉันไปห้องน้ำก่อนนะ”

ทันใดนั้นเฉินตงก็ลุกขึ้น และเดินไปที่ห้องน้ำ

เมื่อมาถึงที่ประตู

ด้านหลังก็มีเสียงของฉินเย่ดังขึ้น

“พี่ตง ถึงแม้ว่าฉันจะฆ่าพ่อตัวเอง แต่ฉันกับพี่ก็เหมือนกัน เหมือนตอนนั้นที่ฉันเลือกจะติดตามพี่”

เสียงของเขาทุ้มต่ำ เหมือนกำลังอธิบาย แต่ก็มีความหนักแน่นอยู่ลึกๆ

“ห๊า?”

และในจังหวะเดียวกัน เฉินตงก็ส่งเสียงร้องด้วยความประหลาดใจ

หลังจากนั้น เขาก็รีบตอบกลับทันทีว่า :“อืม”

หลังจากนั้น เขาก็เข้าห้องน้ำไป

คิ้วของฉินเย่ผูกกันจนเป็นปม

ดวงตาจับจ้องไปที่ประตูห้องน้ำที่ปิดสนิทอยู่

ท่าทีเย็นชา ราวกับถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง

กู้ชิงหยิ่งสังเกตเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปของฉินเย่

หัวใจของเธอกระตุกอย่างแรง หรือว่า…… ฉินเย่ก็รู้สึกเหมือนกัน ?

เวลา ผ่านไปอย่างช้าๆ

ฉินเย่ยังคงรักษาท่าทีไม่เปลี่ยนแปลง

แต่กู้ชิงหยิ่งเอง กลับไม่สงบแล้วยังกระสับกระส่ายมากขึ้นเรื่อยๆ

“ชิงหยิ่ง ช่วยหยิบทิชชูมาให้ผมหน่อยได้ไหม?”

ทันใดนั้นเสียงของเฉินตงก็ดังมาจากในห้องน้ำ

“ออ ได้ค่ะ!”

กู้ชิงหยิ่งลุกขึ้นแล้วหยิบทิชชู เดินไปที่ประตูหน้าห้องน้ำ แล้ววางมันลง จากนั้นก็หันหลังเดินกลับมาที่เตียงของฉินเย่

“ชิงหยิ่ง”

ฉินเย่เอ่ยเรียก ยิ้มเล็กน้อย:“ยื่นมือมา”

กู้ชิงหยิ่งตกใจ

ในตอนนี้ เสียงชักโครกในห้องน้ำก็ดังขึ้น

โดยไม่รอให้กู้ชิงหยิ่งได้สติ ฉินเย่ก็ยืนขึ้น ไม่สนใจบาดแผลบนร่างกาย อดทนกับความเจ็บปวด แล้วคว้าไปที่มือของกู้ชิงหยิ่ง

กู้ชิงหยิ่งมีท่าทีตกใจจนหน้าซีดเซียว

ในตอนที่เธอกำลังจะกรีดร้องขึ้นมานั้น

กลับรู้สึกมีอะไรบางอย่างอยู่ในฝ่ามือของเธอ

แก็รก!

ประตูห้องน้ำเปิดออก

เฉินตงเดินออกมา

และฉินเย่ก็นอนลงบนเตียงเหมือนเดิม

มีเพียงกู้ชิงหยิ่ง ที่มีท่าทีที่มึนงงสับสน ยืนอึ้งอยู่กับที่

“ฉินเย่ นายพักผ่อนเถอะ เรายังต้องเตรียมเรื่องงานแต่งงาน เราขอตัวก่อนแล้วกันนะ”

เฉินตงเอ่ยพูดด้วยรอยยิ้ม

“ครับ พวกคุณไปทำธุระเถอะ ไม่ต้องมาเยี่ยมผมหรอก ถึงวันแต่งงานพวกคุณเมื่อไร ผมจะต้องไปปรากฏตัวที่งานแต่งของพวกคุณแน่นอน”

ฉินเย่โบกมือให้ แล้วพูดไปด้วยรอยยิ้ม

“งั้นนายก็พักผ่อนแล้วกัน”

ในที่สุดกู้ชิงหยิ่งก็ได้สติ พูดกำชับไปคำหนึ่ง แล้วจากไปพร้อมกับเฉินตง

หลังจากที่ประตูห้องปิดไปแล้ว

ใบหน้าของฉินเย่ก็เหยเก เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ

ผ้าพันแผลตรงหน้าอก บัดนี้มีเลือดสีแดงไหลซึมออกมา

เป็นเพราะเมื่อกี้ที่เขารีบลุกขึ้นอย่างกะทันหัน เลยทำให้แผลฉีก

จับไปที่บาดแผลตรงหน้าอก เขาก็หัวเราะอย่างหดหู่:“หวังว่าที่ฉันเดามันจะถูก ไม่งั้นเลือดนี้คงไหลอย่างเปล่าประโยชน์”

ถึงแม้จะยังยิ้มอยู่ แต่ในตาของฉินเย่ กลับเต็มไปด้วยความเย็นชา

เวลานี้ ฤดูหนาวที่หนาวที่สุดก็ได้เข้ามาเยือนอย่างแท้จริง

ด้านนอกของโรงพยาบาล

กู้ชิงหยิ่งยังคงมึนงงสับสน ในฝ่ามือยังคงกำแน่นกับของที่ฉินเย่ยัดไว้ให้เธอ

เมื่อกี้ฉินเย่ไม่ได้เสียมารยาทและละลาบละล้วง แต่แค่ต้องการที่จะให้สิ่งนี้กับเธอ

“ชิงหยิ่ง คุณเป็นอะไรไป?”

เฉินตงขมวดคิ้วแน่น สีหน้าเคร่งขรึม

“ไม่ค่ะ ไม่ได้เป็นอะไร” กู้ชิงหยิ่งส่ายหัว “เราไปกันเถอะค่ะ”

เฉินตงพยักหน้า แล้วเปิดประตูรถให้กู้ชิงหยิ่ง รอให้กู้ชิงหยิ่งขึ้นรถไปแล้ว จึงได้ปิดประตู

จากนั้นเขาก็อ้อมไปประจำที่ตำแหน่งคนขับ

และจังหวะนี้ กู้ชิงหยิ่งก็คลายกำปั้นที่กำอยู่ มันเป็นกระดาษโน้ตแผ่นหนึ่ง

เธอรีบคลี่โน้ตนี้ออกทันที

ทันทีที่เห็นข้อความ

ปัง!

เกิดเสียงดังขึ้นในหัวสมองของกู้ชิงหยิ่ง และทันใดนั้นมันก็เต็มไปด้วยความว่างเปล่า

ข้อความนั้น ถูกเขียนขึ้นอย่างบิดเบี้ยว ราวกับมีฟ้าร้องในวันที่แดดจ้า

ข้อความที่เรียบง่าย:เขาไม่ใช่เฉินตง !เชื่อฉัน!

นี่ใช่ที่ฉินเย่เขียนเหรอ ?

ทันใดนั้น กู้ชิงหยิ่งก็เกิดความไม่แน่ใจ

ความสงสัยในใจเธอ เป็นไปอย่างที่ฉินเย่ได้เขียนยืนยันเอาไว้ หัวใจเธอก็พองโตจนขีดสุด

ความรู้สึกเดียวกันนั้น ที่แท้แล้วก็ไม่ใช่แค่ฉันคนเดียวที่รู้สึก !

ไม่เพียงแค่ เธอที่ไม่มั่นใจกับความสงสัยนี้

แต่ความรู้สึกของฉินเย่นั้นชัดเจนยิ่งกว่า มันเลยทำให้มั่นใจมากขึ้นไปอีก !

แกร็ก!

เสียงประตูดังแผ่วเบา

กู้ชิงหยิ่งสงบสติอารมณ์ วางมือขวาไปที่ขอบหน้าต่างรถ แล้วโยนโน้ตนั้นออกไปนอกรถ

และทั้งหมดนี้ ภายใต้ท่าทีที่สงบนิ่งของกู้ชิงหยิ่ง เฉินตงเองก็ไม่ทันได้สังเกตเห็น

“ชิงหยิ่ง หลังอาหารกลางวัน ผมค่อยไปส่งคุณไปที่บริษัทนะ”

เฉินตงเอ่ยพูดด้วยรอยยิ้ม ดวงตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน

กู้ชิงหยิ่งพยักหน้ารับ แล้วจ้องมองไปที่เฉินตงอย่างลึกซึ้ง

เห็นได้ชัดว่าเป็นเฉินตง แล้วทำไมถึงไม่ใช่เฉินตง ?

เสียงรถบูกัตติเวย์รอนดังขึ้น ขับเคลื่อนเร็วปานลมกรดอย่างสายฟ้าแลบ

ตลอดทาง ภายในรถเงียบสงบ

กู้ชิงหยิ่งก้มหน้าลง ความคิดเธอวุ่นวายสับสน

และเฉินตงเองก็จดจ่ออยู่กับการขับรถ ด้วยท่าทีที่เงียบสงบ

เพียงแต่ กู้ชิงหยิ่งเองก็ไม่ได้สังเกตเห็น มุมปากของเฉินตงมีรอยยิ้มที่เย็นชาปรากฏขึ้น

และในจังหวะนี้เอง

รถยนต์ BMW สองคัน ก็ขับไล่ตามรถบูกัตติเวย์รอน แล้วขับมาเทียบอยู่ข้างกัน

เพราะเป็นถนนในเมือง เฉินตงจึงไม่ได้ขับเร็วนัก

และในช่วงที่รถ BMW สองคันขับเคียงข้างกันมานั้น

ทันใดนั้นรถBMW ก็ขับเบียดเข้าหารถบูกัตติเวย์รอนที่อยู่ในเลนกลางพร้อมกัน

โครม!

การเบียดอย่างกะทันหัน ในขณะที่รถยังเคลื่อนตัวไปนั้น ทำให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรง

เสียงดังกึกก้อง ทำให้กู้ชิงหยิ่งตกใจจนหน้าซีดเซียว และหวีดร้องออกมา

ทันใดนั้น รถทั้งสามคันก็พุ่งไปยังแปลงดอกไม้ที่อยู่ริมถนนพร้อมกัน

“ชิงหยิ่ง ระวัง!”

อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นรุนแรงมาก เฉินตงกระโจนไปด้านหน้าของกู้ชิงหยิ่ง

คว้าไปที่ตัวกู้ชิงหยิ่งที่อยู่ในอาการตกใจกลัวเข้ามาไว้อ้อมแขน แล้วกอดเธอไว้แน่น

โครม!

รถสามคันชนกันแล้วก็หยุดลง

ชิ้นส่วนและกระจกที่แตก กระจายไปทั่วพื้น

ในที่เกิดเหตุ ก็มีควันตลบอบอวลพวยพุ่งออกมา

กู้ชิงหยิ่งรู้ว่าเฉินตงเป็นคนรวย

ผู้ชายคนนี้ไม่เคยตระหนี่ขี้เหนียวกับเธอและคนรอบข้าง

แต่คนที่พร่ำบอกอยู่ตลอดว่าจะซื้อรถ แต่ก็อาศัยรถคนอื่น และยังไม่ยอมซื้อมันสักที

จู่ๆก็มาซื้อรถบูกัตติเวย์รอน ?

รถคันนี้ ราคาเริ่มต้นก็ไม่ต่ำกว่า 25 ล้าน!

จากที่รู้จักกับเฉินตงมา แม้ว่าเขาจะมีเงิน โดยหลักทั่วไปแล้ว คงไม่ซื้อรถที่มีราคาแพงแบบนี้แน่

เงินสำหรับเฉินตงแล้ว มันมีค่ามาก

ที่เขาทุ่มให้กับคนรอบข้าง เป็นเพราะคนรอบข้างของเขานั้นสำคัญกว่าเงิน

แต่กลับตัวเองแล้ว เฉินตงก็ยังคงขี้เหนียวอยู่

ความสงสัยเพิ่มมากขึ้น ในสมองมีแต่ความไม่เข้าใจและงุนงงมากขึ้นไปอีก

เมื่อกู้ชิงหยิ่งเดินมาถึงชั้นล่างของบริษัท

เสียงแสบแก้วหูที่คำรามดังกึกก้องไปทั่วทั้งถนน

รถบูกัตติเวย์รอนราวกับสายฟ้าฟาด ถูกมองไปทั่วทั้งถนน และสุดท้ายก็จอดลงตรงหน้าของกู้ชิงหยิ่ง

“ชิงหยิ่ง รถผมเป็นยังไง?”

เฉินตงลงจากรถ เพื่อเปิดประตูให้กับกู้ชิงหยิ่งอย่างที่สุภาพบุรุษควรทำ

“ก็ดีค่ะ”

ดวงตาของกู้ชิงหยิ่งเป็นประกาย แล้วก็ขึ้นไปนั่งในรถ

เมื่อเสียงเครื่องยนต์ของรถบูกัตติเวย์รอนดังขึ้น กู้ชิงหยิ่งก็เอ่ยถามว่า:“คนขี้เหนียวแบบคุณ คิดยังไงถึงได้ซื้อรถที่ราคาแพงแบบนี้ได้คะ?”

“เงิน หามาได้ก็ต้องใช้มันไป”

เฉินตงที่กำลังขับรถอยู่ ก็พลันหัวเราะออกมาด้วยเช่นกัน

แววตาของกู้ชิงหยิ่งก็เปลี่ยนไป จ้องมองไปที่เฉินตง

ในตอนนี้ เธอเองกลับรู้สึกแปลกประหลาดในใจ

ต่อให้เฉินตงที่อยู่ตรงหน้า กับเฉินตงที่เธอรู้จักจะเหมือนกันมาก

แต่ความผิดปรกติเล็กน้อยนี้ กลับเรียกความสนใจที่แปลกประหลาดอยู่ไม่น้อย

“ทำไมครับ?”

เมื่อสังเกตเห็นสายตาของกู้ชิงหยิ่ง เฉินตงก็เอ่ยถามไปด้วยความสงสัย

“เปล่า ไม่มีอะไรค่ะ”

กู้ชิงหยิ่งส่ายหัว หัวเราะแล้วเปลี่ยนเรื่องคุย :“เออใช่ ไปเยี่ยมฉินเย่ คุณเตรียมของเยี่ยมไปด้วยหรือเปล่าคะ?”

หลังจากที่ห่างหายไปนาน การไปเยี่ยมฉินเย่อีกครั้ง ยังไงก็ต้องมีของเยี่ยมไปบ้าง มันคือมารยาทและน้ำใจ

“เตรียมแล้วครับ” เฉินตงตอบด้วยรอยยิ้ม

ณ โรงพยาบาลลี่จิง

ฉินเย่ยังคงนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย มีผ้าพันแผลที่ยังไม่ได้ถูกแกะออก

แต่สภาพในตอนนี้ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก อย่างน้อยก็ยังพอลุกลงจากเตียงแล้วยืดเส้นยืดสายเป็นเวลาสั้นๆได้

นอนอยู่บนเตียง กินแอปเปิลที่จางหยู่หลันปอกให้

ฉินเย่มองไปยังจางหยู่หลันที่อยู่ข้างเตียงอย่างเจ็บปวด ทำให้ไม่รับรู้รสชาติของอาหาร

ช่วงนี้จางหยู่หลันคอยมาอยู่ดูแลฉินเย่ที่โรงพยาบาล และในช่วงที่ดูแลนี้อยากจะพักผ่อนก็เป็นไปได้ยาก

ใบหน้าที่เคยสวยสดงดงาม ตอนนี้ก็อิดโรยและซีดเซียว ขอบตาก็คล้ำดำ

“หยู่หลัน พักสักหน่อยเถอะ” ฉินเย่เอ่ยพูดอย่างอ่อนโยน

“ฉันไม่เหนื่อยค่ะ” จางหยู่หลันส่ายหัว ยิ้มอย่างอ่อนโยน แต่ยากที่จะเก็บซ่อนความอิดโรยนั้นได้

เธอยื่นแอปเปิลที่ปอกเสร็จแล้วให้กับฉินเย่ :“เพิ่มวิตามินซีอีกหน่อยนะคะ มันดีต่อสุขภาพ”

ฉินเย่ไม่ได้รับมันไว้

แต่กลับส่ายหัว ยิ้มอย่างขมขื่น:“อันที่จริงแล้ว ผมไม่มีค่าพอที่คุณจะมาทำดีกับผมแบบนี้”

“เพราะอะไรคะ?”ท่าทีของจางหยู่หลันนิ่งไป

“ไม่มีเหตุผลอะไร ก็แค่ไม่มีค่าพอเท่านั้น”

ฉินเย่ส่ายหัวไปมา ท่าทางจริงจัง :“คุณกลับไปเถอะ ตอนนี้ผมไม่ต้องการให้คุณมาดูแลอีกแล้ว”

“แต่ว่า……”

จางหยู่หลันรู้สึกน้อยใจ ดวงตาเริ่มแดง

ท่าทีของฉินเย่เปลี่ยนไปในทันที มันทำให้เธอปรับตัวไม่ทัน

มองดูฉินเย่ที่มีท่าทีที่เย็นชา เธอรู้สึกหนักอึ้งไปทั้งทรวงอก

แต่แล้ว

“ในตอนที่ผมยังอารมณ์ดีอยู่ คุณไปเสียเถอะ ไม่งั้นอย่าโทษผมว่าผมไล่คุณละกัน”

ฉินเย่นอนพิงไปข้างหลังมีมือสองข้างหนุนศีรษะ และยิ้มอย่างเย็นชา:“คุณมาดูแลปรนนิบัติเดรัจฉานที่ฆ่าพ่อตัวเอง แบบนี้ทำไม ?”

“ฉินเย่……” จางหยู่หลันรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก

หลายวันมานี้ เพื่อดูแลฉินเย่แล้ว เธอเองก็แทบจะไม่ได้นอน ต้องคอยเช็ดร่างกาย คอยให้น้ำเกลือ และแม้กระทั่งช่วยพยุงฉินเย่ตอนเข้าห้องน้ำ เป็นเธอที่คอยช่วยเหลืออยู่ตลอด

ไม่ว่าจะเป็นเฉินเย่เองหรือฐานะทางครอบครัวของเธอเอง เป็นเรื่องง่ายที่จะจ้างใครสักคนมาคอยดูแล

แต่ที่จางหยู่หลันกังวลคือกลัวพยาบาลจะไม่สามารถดูแลฉินเย่ได้อย่างดี เพราะฉะนั้นเธอถึงต้องมาดูแลด้วยตัวเอง

ตั้งแต่เล็กจนโต นี่เป็นครั้งแรกที่เธอต้องมาเหนื่อยแบบนี้

หญิงสาวตระกูลจางที่ถูกโอ๋มาตั้งแต่เด็ก กลับต้องมารับหน้าที่ดูแลคนป่วย พูดออกไปคงไม่มีใครเชื่อ

แต่นี่ จางหยู่หลันก็กำลังทำมันอยู่ !

เพราะคนที่เธอดูแล คือฉินเย่

“ไปให้พ้น!”

สีหน้าเย็นชาของฉินเย่ หยุดคำพูดทุกคำของจางหยู่หลัน

จางหยู่หลันตกใจร่างกายสั่นไหว สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไป

ในที่สุด เธอก็วางแอปเปิลและมีดหั่นผลไม้ในมือลง ฝืนยิ้มที่อ่อนโยนออกมา :“คุณพักผ่อนแล้วกัน พรุ่งนี้ฉันค่อยมาเยี่ยมคุณใหม่”

มองไปยังจางหยู่หลันที่ค่อยๆเดินออกไป ฉินเย่ที่มีท่าทีเคร่งขรึม แต่ดวงตาของเขากลับสั่นไหว

เมื่อประตูห้องถูกปิดลง

ปัง!

ฉินเย่ก็ยกมือขึ้นตบหน้าตัวเอง

“เอาแล้วไง คราวนี้เล่นแรงไปจริงๆ !”

ทางเดินของโรงพยาบาล

หลังจากที่ออกจากห้องคนป่วย อารมณ์ของจางหยู่หลันก็ถูกปลดปล่อยออกมาราวกับเขื่อนแตก

ดวงตาที่แดงก่ำ คลอไปด้วยน้ำตา

เธอก้มหน้าลง ไม่กล้าให้ใครสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ และเดินออกไปอย่างรวดเร็ว

ท่าทีที่เปลี่ยนของฉินเย่ ทำให้เธอรู้สึกเสียใจอย่างที่สุด

ราวกับมีดคมๆ แทงเข้าไปที่หัวใจของเธอ

พอดีกับจังหวะนี้

“หยู่หลัน เกิดอะไรขึ้น?”

กู้ชิงหยิ่งกับเฉินตงเดินมาทางห้องผู้ป่วย ก็ชนเข้ากับจางหยู่หลันที่กำลังเดินออกมาพอดี

แม้ว่าตระกูลจางกับเฉินตงจะมีความบาดหมางกันอยู่

แต่ในเมื่อฉินเย่ได้เลือกจางหยู่หลันแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเฉินตงหรือกู้ชิงหยิ่ง ก็ไม่สนใจเรื่องที่ผ่านมา

จางหยู่หลันที่เสียใจจนร้องไห้ ตัวสั่นสะท้าน เงยหน้าขึ้นแล้วมองเห็นเฉินตงกับกู้ชิงหยิ่ง ก็มีท่าทีลนลาน

เธอหันหลังกลับ รีบปาดน้ำตาออก แล้วเอ่ยพูดไปว่า :“ไม่มีค่ะ ไม่มีอะไร ฉันไม่ได้เป็นอะไร”

กู้ชิงหยิ่งกับเฉินตงได้แต่จ้องมองหน้ากันไปมา

จากนั้น จางหยู่หลันที่มีท่าทีที่อิดโรย ดวงตาแดงก่ำ หันกลับมาแล้วส่งยิ้มให้

“พวกคุณมาเยี่ยมฉินเย่ใช่ไหมคะ? เขาอยู่ในห้อง ฉันกลับก่อนนะ ขอโทษด้วยค่ะ”

พอพูดจบ ก็เดินผ่านเขาสองคน แล้ววิ่งออกไป

“สงสัยเจ้าฉินเย่ คงรังแกหยู่หลันแน่ๆ”

กู้ชิงหยิ่งย่นจมูกลง รู้สึกไม่พอใจ

“เดี๋ยวลองถามดูก็รู้” เฉินตงยักไหล่

ทั้งสองเดินเข้าไปในห้องผู้ป่วย

ฉินเย่เหม่อลอยมองออกไปยังนอกหน้าต่าง โทรศัพท์ในมือกำลังเล่นเพลง 《รักนี้เป็นนิรันดร์》

“ฉินเย่ หยู่หลันถึงกับร้องไห้ นายยังมีอารมณ์มาฟังเพลงอีก ?”

กู้ชิงหยิ่งรู้สึกโกรธเล็กน้อย วางของเยี่ยมลง เอ่ยพูดเสียงต่ำไปว่า :“เขาคอยดูแลนายมานานขนาดนี้ นายยังจะไปรังแกเธออีก?”

“ขนาดพ่อฉันเองฉันยังฆ่ามาแล้วเลย กับแค่คนคนเดียวฉันจะไม่กล้ารังแกเลยเชียวเหรอ?”

ฉินเย่หันมาแล้วชำเลืองมองไปยังกู้ชิงหยิ่ง

เพียงคำพูดเดียว ทำให้กู้ชิงหยิ่งหน้าดำหน้าแดง เงียบเหมือนคนใบ้

แต่เฉินตงกลับวางของเยี่ยมลง แล้วนั่งลง

“ยังไงนายก็เป็นผู้ชาย ยอมผู้หญิงเขานิดหน่อยจะเป็นไรไป? ในเมื่อตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันแล้ว จะทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไร ?”

ตาของฉินเย่เป็นประกาย แล้วเหลือบมองไปที่เฉินตงอย่างประหลาดใจ :“พี่ตง พี่จริงจัง ?”

เฉินตงท่าทีนิ่งไป

จากนั้นก็พยักหน้ารับ :“ไม่อย่างนั้น ?”

ฉินเย่หลุดหัวเราะออกมา นอนหนุนหมอนแล้วพูดไปว่า :“ช่างมันเถอะ ฉันมันเดรัจฉานที่ฆ่าพ่อตัวเอง จะจริงจังได้ยังไง”

“การฆ่าพ่อแม้มันจะเป็นเรื่องที่ผิด แต่ไม่ใช่ทุกเรื่องจะต้องเอามาโยงเข้ากับเรื่องนี้” เฉินตงกล่าวปลอบ

หางตาของฉินเย่ก็กระตุก

เขามองจ้องไปที่เฉินตงอย่างพินิจพิเคราะห์ เอ่ยถามอย่างสงสัยไปว่า :“พี่ตง พี่ไม่น่าจะพูดอะไรแบบนี้ได้ ?”

คำถามง่ายๆ

แต่ทำให้ท่าทีของเฉินตงเปลี่ยนไป

ภายในห้องผู้ป่วย ก็เงียบกริบขึ้นในทันที

“FUCK!”

แนชวิลล์สบถคำด่าออกมาทันที

ในห้องขังนี้ เขาถึงจะเป็นลูกพี่

คำพูดแบบนี้ เป็นคำพูดที่เขาใช้พูดกับคนอื่น

มาวันนี้ ลูกแกะที่เข้ามาใหม่ กล้าที่จะท้าทายอำนาจของเขา!

ในชั่วพริบตา

แนชวิลล์เหมือนเสือบ้าคลั่งที่ออกมาจากกรง พุ่งตรงเข้าไปที่เฉินตงอย่างกราดเกรี้ยว

ปัง!

จู่โจมเข้าทันที พละกำลังที่รุนแรงกระโจนเข้าใส่

จังหวะนั้นทำเฉินตงกระเด็นออกไปทันที แล้วกระแทกเข้ากับผนังห้องขังอย่างแรง

โครม!

ในห้องขัง มีเสียงโห่ร้องอย่ารื่นเริง

“แนชวิลล์ นายเป็นผู้หญิงหรือไง? แค่นี้ยังเอาชีวิตมันไม่ได้ ?”

“โอ้พระเจ้า แนชวิลล์เจอลูกระเบิดเข้าให้แล้ว แนชวิลล์ระวังตัวด้วยนะ อย่าให้เสียชื่อหมาป่าโลหิตเชียว”

“เอาให้ตาย แนชวิลล์เอามันให้ตาย!”

เสียงโห่ร้อง เสียงเชียร์ เสียงหยอกล้อ ดังต่อเนื่องไม่ขาดสาย

ทั่วทั้งบริเวณห้องขัง เหมือนมีงานรื่นเริง เสียงผู้คนดังวุ่นวายไปหมด

การโจมตีเพียงครั้งเดียว ทำให้แนชวิลล์รู้สึกภูมิใจในการต่อสู้ครั้งนี้ ดีใจจนยกกำปั้นชูขึ้นทั้งสองข้าง เคลื่อนที่ไปมาหน้าห้องขัง แล้วคำรามเสียงราวกับสัตว์ป่า

เฉินตงท่าทางเคร่งขรึม ดวงตาเปล่งประกายไฟแห่งสงคราม

ยกมือขึ้น เช็ดเลือดที่มุมปาก

มุมปากเผยรอยยิ้มที่ชั่วร้าย และเริ่มรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

ผู้แข็งแกร่งที่สุดคือผู้รอด มนุษย์กินคน ?

เขาจำที่ป๋ากำชับกับเขาได้ ในเมื่อกฎการเอาตัวรอดมันเป็นแบบนี้ งั้นก็ต้องจัดการคนในห้องขังนี้ ให้เรียบร้อยเสียก่อน !

การฝึกแบบปีศาจที่คุนหลุนฝึกเขามา ทำให้เขามีร่างกายที่แข็งแรงและทักษะการต่อสู้ที่เหนือชั้นกว่าคนทั่วไปมากมายหลายเท่า

หากต้องปฏิบัติตามกฎการเอาชีวิตรอดแบบนี้ เฉินตงไม่กลัวอยู่แล้ว

หายใจเข้าลึกๆ

เฉินตงค่อยๆโค้งตัว ยกมือทั้งสองข้างขึ้น มือซ้ายกางฝ่ามือไว้ข้างหน้า และมือขวากำหมัดไว้ข้างหลัง

แต่เท้าขวาของเขาถอยหลัง แล้วยันไปกับกำแพง

แนชวิลล์ที่คำรามอย่างมีชัยก็หยุดลงทันที

หันกลับมา แล้วจ้องไปที่เฉินตง

คิ้วของเขา ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย

ในเวลาเดียวกันนี้

ที่บริเวณประตูของเรือนจำ.

ป๋าและหน่วยลาดตระเวนของเขายังไม่ได้ไปไหนไกล

มองไปยังบริเวณที่มีเสียงรื่นเริงของห้องขัง

คิ้วของป๋าขมวดแน่น รู้สึกเอือมไม่น้อย :“ฉันคิดว่านายจะเป็นคนที่อดทนได้ ไม่คิดว่านายจะหุนหันพลันแล่นและโมโหง่ายอย่างนี้ คนที่ลงมือก่อนมักจะได้เปรียบก็จริง แต่หากเราไม่รู้จักคู่ต่อสู้แล้วชิงลงมือก่อนนั้น มันจะทำให้เราตายเอาง่ายๆได้เหมือนกัน”

“ป๋า ปีนั้นแนชวิลล์เป็นถึงเทพแห่งสงคราม คนที่มาใหม่นั่นมีหวังตายแน่ๆ” สมาชิกในหน่วยพูดติดตลกออกมา

ในคุกมืดนี้ ไม่มีใครสนใจความเป็นความตายของนักโทษ

ชีวิตไร้ค่ายิ่งกว่าต้นหญ้า

เขาเป็นนักโทษในเรือนจำที่ถูกลืม วินาทีที่เขาก้าวเข้ามา ชีวิตของเขาก็ถูกลืมไปแล้วด้วยเช่นกัน

“เฮ้อ……”

ป๋าถอนหายใจออกมา พละกำลังของเทพแห่งสงคราม เข้ารู้จักมันเป็นอย่างดี

เขามองเห็นความตายที่น่าสลดของเฉินตง

ในขณะที่ถอนใจด้วยความเสียดายนั้น ป๋ามองไปยังห้องขังที่เฉินตงอยู่

จากมุมของเขา มองเห็นเฉินตงที่อยู่ในห้องขังได้อย่างพอดี

“เอ๊ะ!นี่มัน……”

รูม่านตาของป๋าหดลง รู้สึกประหลาดใจไม่น้อย

ภายในห้องขังนั้น

จู่ๆแนชวิลล์ก็คำรามออกมา ราวกับหมีที่กำลังคลุ้มคลั่ง เหี้ยมหาญพุ่งไปทางเฉินตง

กำปั้นที่ใหญ่อย่างกระสอบทราย ดั่งลมพายุที่น่าสยดสยอง พุ่งตรงไปที่เฉินตง

แวบขึ้นมาแล้วก็หายไป เฉินตงยันกำแพงด้วยเท้าขวา แล้วหลบหนีได้ทัน

โครม!

หมัดของแนชวิลล์ทิ้งรอยบุบไว้ที่กำแพง และเศษอิฐก็หลุดร่วงออกมา

แต่ความเร็วของเขาเร็วมาก และในขณะที่เฉินตงหลบไปนั้น หมัดขวาของเขาก็พุ่งออกไปด้วยเช่นกัน

คนหนึ่งกำลังหลบ อีกคนก็กำลังโจมตี

เฉินตงก็เร็วพอกัน โยกหลบไปอย่างคล่องแคล่ว ขาลอยอยู่เหนือพื้น เขาหลบการจู่โจมของแนชวิลล์ที่อันตรายไปได้ครั้งแล้วครั้งเล่า

และแนชวิลล์เองก็เหมือนหมีที่บ้าคลั่ง มือเท้าโบกสะพัดไปมา เหมือนการจู่โจมของสายฟ้า

การต่อสู้แบบนี้ ยั่วโทสะของนักโทษทุกคนในเรือนจำ

“สู้สิโว๊ย! ไอลูกแกะ เป็นลูกผู้ชายหรือเปล่า?”

“โอ้พระเจ้า ! มีการต่อสู้แบบนี้ได้ยังไงกัน ? ไอลูกแกะนั่นมันหลบเป็นอย่างเดียวหรือไง ? ”

“แนชวิลล์สู้ๆ! เอามันให้ตาย การสู้แบบนี้ ปล่อยให้มันยืดเยื้ออยู่ทำไม ?”

……

เสียงโห่ร้องของเหล่านักโทษ

ทำให้แนชวิลล์รู้สึกโกรธ

เขาในอดีต เป็นเทพแห่งสงคราม คร่ำหวอดในสนามรบ มีพละกำลังแข็งแกร่งยากจะต้านทาน มือเปื้อนเลือดมานับไม่ถ้วน

ในตอนนี้ ในห้องขังเล็กๆนี้ แต่กลับฆ่านักโทษใหม่คนนี้ไม่ได้?

“ให้ตายเถอะ!”

ฉับพลันแนชวิลล์ก็ร้องคำรามออกมา ร่างสูงใหญ่ของเขาก็กระโจมไปข้างหน้า กล้ามเนื้อแขนขวากำหมัดแน่น แล้วปล่อยหมัดออกไปเต็มแรง

ในขณะที่พุ่งเข้าหาเฉินตงนั้น ก็ส่งเสียงคำรามสะเทือนไปถึงแก้วหู

หมัดนี้ เพียงพอที่จะฆ่าเฉินตงให้ตายได้ !

ทันใดนั้น

ทั่วทั้งเรือนจำก็เงียบลง

ทุกคนต่างก็มีดวงตาที่ร้อนผ่าว เงยหน้าอย่างตั้งตารอ

แต่เฉินตง รูม่านตากลับหดตัวลง

เหมือนนกเหยี่ยว จับตามองกำปั้นที่กำลังพุ่งมา

ในขณะที่ใกล้เข้ามานั้น

ร่างกายของเขาเหมือนคันธนูที่แข็งแรง โค้งตัวลง แล้วหลบหมัดของแนชวิลล์ไปได้

หลังจากนั้น

ปัง!

หมัดหนึ่งชกเข้าไปที่ช่วงล่างของแนชวิลล์

อย่างหนักหน่วง

หมัดเดียว

“อ๊าก!”

กล้ามเนื้อของแนชวิลล์สั่นตึงจากการถูกกระแทก ขณะที่กรีดร้องอย่างทรมานนั้น มือก็กุมไปยังส่วนล่าง ใบหน้าซีดเผือดล้มลงไปนอนบนพื้น

เสียงเงียบกริบไปทั่วบริเวณ

ทั่วทั้งเรือนจำ เงียบสนิท

เสียงกรีดร้องของแนชวิลล์ น่าอนาถเหมือนเสียงหมูถูกเชือด ทำให้ทุกคนขนลุกไปตามๆกัน

นักโทษทุกคนต่างก็ตกตะลึง

ไม่มีใครคาดคิดว่า การต่อสู้จะรู้ผลแพ้ชนะในชั่วพริบตา

และผู้ชนะ กลับเป็นนักโทษใหม่ที่เพิ่งเข้ามา !

เฉินตงค่อยๆลุกขึ้น แล้วเหยียบไปที่หน้าอกของแนชวิลล์

ลมหายใจเยือกเย็น :“ยอมแพ้ หรือยอมตาย?”

“ยอม ยอมแพ้……”

แนชวิลล์มีใบหน้าที่ซีดเซียวมาก ร้องออกมาด้วยความกลัว แล้วรีบตอบรับไปทันที

เขารู้ว่า ในคุกมืดนี้ การจะฆ่าใครสักคนไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

อย่างน้อย คนที่เขาเคยฆ่ามาก่อนหน้านั้น เขาก็ไม่เคยได้รับโทษอะไร

เฉินตงหัวเราะ

เงยหน้าขึ้น แล้วจ้องมองไปยังนักโทษอีกสี่คนที่เหลือ

ใช้อำนาจบาตรใหญ่ ถามอย่างจองหองไปว่า :“ยอมแพ้ หรือยอมตาย?”

ตุ้มๆต่อมๆ!

นักโทษสี่คนพร้อมใจกันคุกเข่าลง

พวกเขาต่างก็เคารพนับถือแนชวิลล์

แนชวิลล์เองยังเลือกที่จะยอมแพ้ และพวกเขาเองก็คงไม่มีทางเลือกใด

ทันใดนั้น เฉินตงก็เดินไปที่ประตูห้องขัง

หลังยืดอกตรง ท่าทียโสโอหัง

สายตากวาดมองไปยังนักโทษที่อยู่ภายในห้องขัง

กล่าวอย่างจองหองอวดดีไปว่า :“ยินดีรับคำท้า ฉันไม่ถือ ที่จะเอาชีวิตทุกคน!”

เพียงคำพูดเดียว ก็ทำให้นักโทษที่นิ่งอึ้งอยู่ต่างก็ลุกลี้ลุกลนกันขึ้นมา

ทันใดนั้น เสียงคำรามอย่างโกรธเคืองก็ดังขึ้น ก้องกังวานไปทั่วทั้งเรือนจำ

ทั่วทั้งบริเวณเรือนจำ ก็กลายเป็นเหมือนที่ที่เหล่าสัตว์ป่ามาชุมนุมกัน

“ฟู่……” ป๋าถอนหายใจแรง “ถือว่ามีความสามารถดีพอตัว”

……

ในเวลาเดียวกันนั้น

สองวันที่กลับมานี้ กู้ชิงหยิ่งยังคงมึนงง ความคิดสับสนวุ่นวายไปหมด

คืนสุดท้ายที่ไห่ย่า ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวสมองของเธออยู่ตลอด

มันทำให้เธอว้าวุ่น ยากที่จะสงบลงได้

เฉินตง……เปลี่ยนไปจริงๆ ?

ในช่วงใกล้เที่ยงนั้น

กู้ชิงหยิ่งได้รับข้อความจากเฉินตง

“ชิงหยิ่ง ตอนเที่ยงว่างหรือเปล่า? เราไปเยี่ยมฉินเย่ด้วยกันไหม ?”

กู้ชิงหยิ่งลังเลอยู่ชั่วครู่ และจึงตอบกลับไปว่า

“ได้ค่ะ ตอนเที่ยงฉันไปรับคุณ”

“ไม่ต้อง ผมซื้อรถแล้ว เดี๋ยวผมไปรับคุณที่บริษัทวัสดุก่อสร้างยิงลี่เอง”

เมื่อดูข้อความที่ตอบกลับมา แววตาของกู้ชิงหยิ่งก็กะพริบวูบวาบ

เจ้าของที่ดินผู้ร่ำรวยขี้เหนียวคนนี้ ในที่สุดก็ยอมซื้อรถสักที ?

ตอนที่เธอกลับมา เพื่อที่จะหลบฝน ก็เป็นเธอที่ไปซื้อรถพอร์เชอ 911 และเฉินตงในตอนนั้น ก็รวยแล้ว

แม้หลายครั้งเฉินตงจะพูดว่าต้องการที่จะซื้อรถ

แต่ทุกครั้งก็อาศัยรถโรลส์-รอยซ์ของท่านหลง หรือไม่ก็รถของบริษัท ?

ถึงจะเอ่ยพูดอย่างจริงจัง แต่ทุกครั้งก็ยังสบายกว่าใคร

เมื่อคิดขึ้นมาได้กู้ชิงหยิ่งก็เอ่ยถามอย่างประหลาดใจไปว่า:“คุณซื้อรถอะไร?”

“บูกัตติเวย์รอน ราคาไม่เท่าไรหรอก”

ข้อความเดียว ทำให้รูม่านตาของกู้ชิงหยิ่งเบิกกว้าง คิ้วก็ขมวดเข้าหากันแน่น

ภายใต้การควบคุมตัวนักโทษของหน่วยลาดตระเวน

เฉินตงเดินกะโผลกกะเผลกไปยังคูเมืองในคุกมืด

เมื่อกี้ป๋าได้ให้เขาดื่มน้ำแห่งชีวิตจนร้อนไปทั่วทั้งร่าง แต่ตอนนี้มันได้อันตรธานหายไปหมดแล้ว

มือและเท้าของเขาแข็งทื่อ

แววตาของเขาไม่หวั่นไหว มองยังคุกมืดที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ดวงตามีไอสังหารของการต่อสู้พรั่งพรู

“ต้องมีชีวิตรอด……ในเมื่อสิบปีที่แล้วยังมีคนรอดออกไปจากที่นี่ได้ แล้วทำไม10 ปีให้หลัง จะเป็นฉันไม่ได้ล่ะ?”

“แม่ ชิงหยิ่ง คุนหลุน ท่านหลง รอผม รอผมกลับไป!”

“คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน คนตระกูลฉิน แผนนี้ของพวกคุณ จะต้องล้มเหลว ฉันจะกลับไปยืนอยู่ตรงหน้าพวกคุณอีกครั้งอย่างแน่นอน”

……

ในใจพร่ำเตือนตัวเองอยู่เสมอ

เมื่อเข้าใกล้กับคุกมืด คูเมืองที่สูงตระหง่านซ่อนเร้นอยู่ในเงามืด ค่อยๆกลืนกินเฉินตง

สิ่งนี้ทำให้เฉินตงรู้สึกว่าท้องฟ้าที่เคยสดใส เหมือนมีภาพลวงตาที่ถูกเมฆดำมาปกคลุม

ครืน……

ประตูโลหะผสมที่ทั้งหนาและหนัก ภายใต้กลไกเบรกของเครื่อง ก็ค่อยๆเปิดขึ้น

ความหนาเกือบเมตร!

ในสถานที่แบบนี้ กำแพงเมืองที่สูงลิ่ว และประตูเมืองที่หนาทึบแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่ได้มีไว้กันลม แต่เพื่อป้องกันการหลบหนีของนักโทษในคุกมืดนี้ต่างหาก

“ป๋า ไม่นึกว่าคุณจะมีลาภลอยแบบนี้? นี่เป็นนักโทษที่ใครส่งมากันล่ะ ? ”

มีเสียงหยอกล้อ และเสียงหัวเราะดังขึ้น

เฉินตงเห็น บุคคลหนึ่งที่มีความสูงราวๆ170 ซม. หญิงสาวผมทองที่สวมเสื้อคลุมหนังสัตว์ เดินออกมาจากคุกมืดอย่างช้าๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่มีเสน่ห์ และลักษณะท่าทางที่หลากหลาย

“ต้องขออภัยด้วย อลิส ผมเองก็ไม่รู้ว่าใครส่งเขามา แต่สถานที่ที่เปล่าเปลี่ยวแห่งนี้ นอกจากพวกเราแล้ว ก็มีเพียงนักโทษเท่านั้น”

ป๋าเดินเข้ามาหา แล้วอ้าแขนออก ใบหน้ามีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏ

สาวผมทองที่ถูกเรียกว่าอลิสเอวบางร่างน้อย เดินผ่านป๋า แล้วตรงมาที่เฉินตง

ดวงตาสีฟ้าเข้มที่ล้ำลึกนี้จ้องมองที่เฉินตงอย่างสงสัย

ราวกับเห็นสมบัติหายาก เรืองแสงแปลกประหลาดบนตัว

เฉินตงยืนอยู่ที่เดิม มองลงมาที่อลิส รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย

ครู่ใหญ่ๆ

จู่ๆ อลิสก็ยกนิ้วชี้อันเรียวยาว ชี้ไปที่หน้าอกของเฉินตง แล้วค่อยๆเลื่อนลงมา เอ่ยพูดอย่างลึกซึ้งไปว่า

“โอ้พระเจ้า นี่เป็นของขวัญที่ท่านประทานให้อลิสเหรอ? เนื้อผิวช่างนวลเนียนจริงๆ ไม่ได้เจอผู้ชายแบบนี้มานานมากแล้ว”

เฉินตงพูดไม่ออกไปชั่วขณะ

ก้าวถอยหลังออกไปอย่างไม่รู้ตัว

อลิสตกใจ แล้วหันไปพูดกับป๋าว่า:“ป๋า ส่งเขาไปที่พักของฉันก่อนได้ไหม ให้ฉันได้ใช้เวลาที่วิเศษกับเขาสักคืน แล้วค่อยส่งเขาไปที่คุก?

“แน่นอนว่าไม่ได้”

ป๋าส่ายหัว แล้วแสร้งหยอกล้อไปว่า :“ถ้าเป็นฉันก็ได้อยู่”

“ป๋าแก่เกินไป”

อลิสกลอกตามองบน แล้วโบกมืออย่างผิดหวัง :“งั้นก็ได้ พาตัวเขาไปที่คุกมืดเถอะ”

ภายใต้การคุ้มกันของหน่วยตระเวน เฉินตงเดินเข้าไปในคุกมืดอย่างช้าๆ

ขณะที่เดินผ่านอลิส อลิสเองก็ได้แต่ส่ายหัวและถอนหายใจ :“เฮ้อ……เนื้อผิวนวลเนียนแบบนี้ กลับจะถูกทำลายทิ้ง ช่างน่าเสียดายจริงๆ”

เฉินตงขมวดคิ้ว แววตารู้สึกโกรธเล็กน้อย

อลิสกลับพูดเตือนไปว่า:“ดูแลตัวเองให้ดี ฉันหวังว่าวันหนึ่งจะได้มีค่ำคืนที่วิเศษกับคุณ”

ความโกรธเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วินาที

ในที่สุดเฉินตงก็ควบคุมอารมณ์ตัวเองเอาไว้ แล้วก้าวเดินไปข้างหน้า

สถานที่ที่ถูกลืม กับคุกมืดที่ถูกทิ้งร้าง

คิดไม่ออกเลยว่ากฎระเบียบของที่นี่ จะเข้มงวดและรัดกุมแค่ไหน

คำเดียว“มนุษย์กินคน” คงเพียงพอที่จะอธิบายมันได้ละมั้ง ?

ผ่านทางเดินที่มืดมิดเข้าสู่ในตัวเมือง

ภายใต้การนำของป๋ากับหน่วยลาดตระเวน เข้าสู่ทางเดินในตรอกที่มืดมิด

เดินตรงไปตลอดทาง

ในตรอกนี้ มีเพียงเสียงฝีเท้าที่รวมกันอยู่อย่างแน่นหนา

แรงกดดันที่รุนแรง

ป๋าที่พูดคุยหยอกล้อกับเฉินตงบนรถถังคนนั้น เวลานี้ก็มีท่าทีจริงจังขึ้นมา และไม่ได้พูดอะไร

ดูเหมือนว่า ทุกคนที่เข้ามาในคุกมืดนี้ ต่างก็จริงจังและเคร่งขรึมขึ้นมา

ข้างหน้า มีแสงสว่าง

“เจ้าหนุ่มน้อย ใกล้ถึงแล้ว จำเอาไว้ ผู้แข็งแกร่งที่สุดคือผู้อยู่รอด อย่าเพราะอดทนและยอม จนทำให้ตัวเองต้องตายก่อนเวลาอันควร”

ในที่สุดป๋าก็เปิดปากพูด น้ำเสียงหนักแน่น

เฉินตงก็หัวเราะออกมาทันที

สายตามองจ้องไปที่ป๋า :“ผมจะต้องออกไปจากที่นี่ให้ได้”

ใบหน้าที่มีหนวดเคราของป๋าก็ตะลึงงัน แล้วยักไหล่ ยิ้มแล้วพูดว่า:“แม้จะรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ฉันก็เชื่อนาย”

เมื่อเดินเข้าไปถึงในที่ที่มีแสงสว่าง

เฉินตงก็หรี่ตาอย่างไม่รู้ตัว

ยังไม่รอให้ปรับสภาพกับการมองเห็น ก็มีเสียงเชียร์ดังก้องกังวานขึ้นภายในหูของเขา

“มาแล้ว! มีคนใหม่มาแล้ว ! โอ้พระเจ้า นี่มันกี่ปีแล้วนี่ ?”

“แนชวิลล์ คืนนี้เนื้อแกะสดๆนี้นายห้ามแย่งฉันเด็ดขาด เขาเป็นของฉันราชากล้าตาย !”

“ไปไกลๆเลย! ฉันแนชวิลล์ผู้ชนะสิบทิศ หัวฉันให้นายได้ แต่คนให้นายไม่ได้แน่นอน !”

……

การมองเห็นของเฉินตง ก็ค่อยๆฟื้นกลับมา

เขาขมวดคิ้วอย่างสงสัย

ที่มองเห็นคือห้องขังเป็นห้องๆ และห้องขังก็มีขนาดใหญ่มาก และมีเพียงคนอาศัยอยู่กันหร็อมแหร็ม

แต่นักโทษในห้องขังถ้ารวมๆกันแล้ว ก็มีจำนวนไม่น้อย

และในเวลานี้ เขายืนอยู่ตรงกลางของห้องขังทั้งหมด ที่ซึ่งคล้ายกับสนามทำกิจกรรมอะไรสักอย่าง เหนือศีรษะมีกระจกนิรภัยหนาทึบ ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า

แต่ สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกงุนงง คือเสียงโห่ร้องและเสียงคำรามเหล่านี้ แม้ว่าจะฟังดูน่าอึดอัด แต่เขาก็พอจะเข้าใจได้

“เตรียมไว้ให้นายโดยเฉพาะ หวังว่ามันจะเป็นคำอวยพรให้กับนายได้”

ป๋าเห็นท่าทีที่สงสัยของเฉินตง จึงยิ้มแล้วพูดไปว่า :“คนเมื่อสิบปีก่อน ก็ออกจากที่กักขังตรงนี้ ลืมบอกนายไป เขากับนายและฉัน เป็นคนประเภทเดียวกัน เพราะความแข็งแกร่งของเขา ทำให้ทุกคนในเรือนจำนี้เรียนรู้ภาษาเดียวกับพวกเรา”

เฉินตงยิ้มออกมาเล็กน้อย:“ขอบคุณครับ”

ใต้การให้สัญลักษณ์ของป๋า

เฉินตงถูกควบคุมโดยหน่วยลาดตระเวนพาไปยังหน้าห้องขังห้องหนึ่ง

“พระเจ้า ป๋า ทำไมคุณต้องส่งเจ้าลูกแกะตัวน้อยไปที่ห้องขังของแนชวิลล์ด้วย? เขาเป็นสัตว์ร้าย มีหลายร้อยชีวิตในมือ และเขาก็เป็นคนที่โหดเหี้ยมมาก!”

เสียงคำรามที่ไม่พอใจดังขึ้น

ภายในห้องขัง ชายร่างกำยำมีหนวดเคราสีทอง ผมถักเปีย ส่งเสียงคำรามใส่คนที่คำรามกลับไปในทันที

“ไสหัวไป! ไอ้เศษสวะ!”

“ทุกคนเงียบ!”

ป๋าส่งเสียงคำราม ทั้งห้องขังก็เงียบลง

ทันใดนั้น หน่วยลาดตระเวนก็เปิดประตูห้องขังออก

เฉินตงเดินเข้าไปในห้องขังอย่างช้าๆ

แต่แนชวิลล์ชายที่มีรูปร่างกำยำ จ้องมองมาที่เขาด้วยดวงตาที่เร่าร้อน ราวกับกำลังดูสมบัติล้ำค่า

นักโทษอีกสี่คนที่เหลือ ก็จ้องมองด้วยตาที่เป็นประกาย แต่ก็ยืนอยู่ข้างหลังของแนชวิลล์

แกร็ก!

ประตูห้องขังถูกล็อกอีกครั้ง

ในที่สุดแนชวิลล์ก็ระเบิดออกมา เขายิ้มแล้วพูดว่า:“ยอมแพ้ หรือยอมตาย!”

ไม่มีคำพูดที่ไร้สาระ เสียงหัวเราะที่เยือกเย็น ผู้แข็งแกร่งที่สุดคืออยู่รอดกฎระเบียบที่ชัดเจนและเด็ดขาด

และนักโทษในห้องขังอื่นๆ เวลานี้ต่างก็คำรามเสียงโห่ร้องขึ้นอีกครั้ง

ราวกับกำลังชมคอนเสิร์ตและเฉลิมฉลองครั้งยิ่งใหญ่

เฉินตงหันกลับมา ยืดอกหลังตรง

ขณะนี้เอง ท่าทีของเขาก็กระฉับกระเฉงดุเดือดขึ้นมาทันทีทันใด

ราวกับดาบที่ชักออกจากฝัก แสดงความสามารถที่มีอยู่ออกมาให้เห็น

ไอสังหารที่รุนแรง ยิ่งทำให้อุณหภูมิในห้องขังลดลงอย่างรวดเร็ว

ไม่มีท่าทีที่ซึมเซาและอ่อนแออย่างเมื่อกี้อีกต่อไป

สีหน้าของแนชวิลล์และอีกสี่คนที่เหลือก็เปลี่ยนไปทันที

ทันใดนั้น เฉินตงก็หัวเราะออกมาอย่างชั่วร้าย แล้วพูดอย่างเย็นชาไปว่า :“ยอมแพ้ หรือยอมตาย?

เฉินตงไม่ได้ขัดขืน

อันที่จริงแล้ว สถานะในตอนนี้ของเขา เขาเองก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะขัดขืนอะไร

แน่นอนว่า ก็ไม่คิดที่จะขัดขืนเช่นกัน

เมื่อสุนัขจรจัดอาศัยอยู่ตามท้องถนน ที่กำลังจะตายแต่ก็ไม่ตายนั้น มันเองก็ไม่ได้คาดหวังว่าคนที่เก็บมันไปจะเป็นคนหรือเป็นผี

คำขอเดียว……คือการมีชีวิตรอดอยู่ต่อไป !

เสียงกึกก้องของรถแรงม้ากำลังสูงที่กำลังเคลื่อนตัวดังอื้ออึงอยู่ในหู

นอกหน้าต่าง ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะที่ขาวโพลนไปทั่วบริเวณ

และภายในรถก็อบอุ่นเหมือนต้นฤดูใบไม้ผลิ

กองไฟในเตาผิงให้ความอบอุ่น

ค่อยๆ บรรเทาความหนาวเย็นบนร่างให้กับเฉินตงได้

เพลงที่ไพเราะ

หลากหลายเชื้อชาติ และหลายสิบคนที่ร่างแข็งแกร่งบึกบึน ยืนถือแก้วเหล้าในที่โล่งเตียน ยิ้มหัวเราะร้องรำทำเพลง

ในอากาศ มีกลิ่นฉุนๆของแอลกอฮอล์

ในสถานที่แบบนี้ เหล้าคลายความหนาวเย็นได้เป็นอย่างดี

แต่เฉินตง กลับตัวแข็งทื่ออยู่ที่มุมห้อง

เขาไม่ได้ขยับไปไหน และไม่ได้สำรวจมองโดยรอบ

เพราะเขาจำบทสนทนาเมื่อครู่ของคนเหล่านั้นได้

เขาเป็นนักโทษ!

นักโทษ……ก็ต้องอยู่อย่างนักโทษ

วิธีนี้ถึงจะทำให้ตัวเองมีชีวิตรอดอยู่ต่อไปได้

“ไงเจ้าหนุ่ม นายนี่ก็แปลก”

ชายวัยกลางคนที่มีหนวดเคราบุกประชิดตัวเขาเมื่อครู่เดินเข้ามาหาเฉินตง มองลงมาจากด้านบน ในตามีความสงสัย

“แปลก?”

เฉินตงเลิกคิ้ว

ชายที่มีหนวดเครายื่นแก้วเหล้ามาให้เฉินตง

เฉินตงไม่ได้ปฏิเสธ รับมาแล้วดื่มมันจนหมด ฤทธิ์เหล้าที่มีแอลกอฮอล์สูงกระตุ้น ทำให้เขาหน้าดำหน้าแดง และไอออกมาอย่างรุนแรง

ในขณะเดียวกัน ความหนาวเย็นในร่างกายก็ทุเลาเบาบางลงไปมาก

“เจ้าหนุ่มน้อย นี่มันน้ำแห่งชีวิตที่มีปริมาณแอลกอฮอล์สูงถึง96% เชียวนะ หมดแก้วทีเดียวแบบนี้ ไม่กลัวหลอดอาหารไหม้หรือไง?”

ชายวัยกลางคนที่มีหนวดเครานั่งลงข้างเฉินตง แล้วหัวเราะออกมาเล็กน้อย:“เห็นแก่ที่นายเป็นคนประเภทเดียวกับฉัน เรามาทำความรู้จักกันหน่อย ฉันชื่อป๋า เป็นหัวหน้าหน่วยลาดตระเวนย่อยนี้ และพวกเขาเป็นหมาป่าในทะเลน้ำแข็งนี้ของฉัน”

“ผมชื่อเฉินตง”

เฉินตงวางแก้วในมือลง แล้วจับมือกับป๋า ถามเสียงเบาไปว่า :“ทำไมคุณถึงบอกว่าผมแปลก?”

ป๋าหัวเราะอย่างพอใจ :“เมื่อก่อน เวลามีนักโทษมา ทุกคนล้วนต่างจะหวีดร้องตะโกนเสียงดัง คิดว่าตัวเองนั้นแน่ ไม่หยุดที่จะก่อความวุ่นวาย หากไม่ถูกพวกเราสั่งสอนจนเหมือนสุนัขตัวหนึ่ง เขาก็จะยังไม่เงียบ แต่นายเป็นคนแรกที่ไม่ก่อความวุ่นวายอะไร”

สุนัข ?

เฉินตงเลิกคิ้ว รอยยิ้มเต็มไปด้วยความขมขื่น

นี่……บางที่นี่อาจจะเป็นการทำความเข้าใจ

“สวัสดี!หัวหน้า คุณกำลังคุยอะไรกับนักโทษ?”

ชายหนุ่มผิวขาวที่ร่างกายกำยำกำลังหัวเราะและเต้นรำอยู่ หันมาทางป๋าแล้วตะโกนถาม

ป๋ายกนิ้วกลางชูไปให้กับอีกฝ่ายอย่างอารมณ์ดี และชายผิวขาวคนดังกล่าวก็เบะปาก และไม่ได้ถามอะไรอีก

ภาพที่เห็นทำให้เฉินตงเองก็พูดอะไรไม่ออก

“เฉินตง เห็นไหม? ตราบใดที่นายแข็งแกร่ง ก็สามารถทำให้คนที่พูดคนละภาษากับนาย มาพูดภาษาเดียวกันกับนายได้ ”

ป๋ามองเฉินตงอย่างประหลาด:“นิสัยของนาย ฉันชอบ แต่ฉันต้องเตือนนาย ที่นี่ ไม่มีกฎระเบียบ กฎข้อเดียวที่มี คือนายต้องแข็งแกร่งพอ!”

“ในรถถังนี้ ฉันเป็นหัวหน้า ฉันยังพอจะพูดคุยกับนายได้บ้าง หากถึงที่หมายแล้ว ก็จะไม่มีใครที่ช่วยนายได้ นายต้องพึ่งพาตัวเองเท่านั้น”

“ที่นี่มันที่ไหนกัน?” เฉินตงถาม

“คุกมืด!”

ป๋าเทน้ำแห่งชีวิตโดยไม่สนใจอีกแก้วหนึ่ง:“สถานที่ที่ถูกคนบนโลกละทิ้ง และสถานที่ที่มีไว้กักขังคนที่ก่อความวุ่นวายหรือผู้กระทำความผิดที่ร้ายแรง”

สองสิ่งนี้ ผมจัดอยู่ในจำพวกไหน ?

ในใจของเฉินตงรู้สึกขมขื่น หน้าอกบีบรัดแน่นอย่างรุนแรง

สิ่งที่เรียกว่าก่อความวุ่นวายและกระทำความผิดร้ายแรง คงจะตัดสินด้วยกำลังละมั้ง ?

“นายอยู่ในคุกมืด หากอยากมีชีวิตที่ยืนยาว และสุขสบาย ก็ต้องแข็งแกร่งและโหดเหี้ยมกว่าคนอื่นๆ ไม่อย่างนั้นก็ต้องรู้จักอดทน อดทนกับสิ่งที่ทุกคนก็ทนมันไม่ได้”

สายตาของป๋าแปลกไป:“คนที่ถูกคุมขังในคุกมืดนี้ เป็นคนที่ไม่ทางจะออกไปได้อีก นานวันไป ความสนใจในทุกอย่างก็จะค่อยๆเปลี่ยนไป ผู้ที่มาใหม่ เป็นที่สนใจมากสำหรับพวกเขา”

หางตาของเฉินตงกระตุกอย่างรุนแรง

คำบอกใบ้ของป๋า เขาเข้าใจมันเป็นอย่างดีแล้ว

ความอดทนแบบนี้ เขายังไม่สามารถที่จะทำมันได้ !

ป๋าตีไปที่ไหล่ของเฉินตงเบา ๆ ลุกขึ้นเพื่อจะไปเต้นรำกับเพื่อนร่วมทีมของเขา

ทันใดนั้นเฉินตงก็เอ่ยถามไปว่า :“ป๋า ถูกขังอยู่ที่นี่ จะไม่ได้ออกไปตลอดชีวิตเลยเหรอ ?”

“ใช่” ป๋าตอบกลับไปคำหนึ่ง

เฉินตงถามต่อเพราะยังไม่สิ้นสงสัย :“ไม่มีใครเคยหลบหนีไปได้เลยเหรอ ?”

ประโยคง่ายๆ

แต่กลับทำให้ ฝีเท้าของป๋าหยุดลง ร่างกายเขาสั่นไหว

หลังจากนั้นสักสองวินาที เสียงของเขาก็ทุ้มต่ำลง

“เมื่อสิบปีที่แล้ว มีชายคนหนึ่งที่หลบหนีออกไปได้ นั่นเป็นคือคนเดียวที่ฉันรู้ ตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งมา”

จากนั้น ป๋าก็หัวเราะออกมา

“แน่นอนว่า หากสามารถหนีออกจากคุกมืดนี้ไปได้ คุกมืดนี้ก็จะไม่ไล่ตามจับกลับมา ฉันขอแนะนำนาย อยู่ในคุกมืดนี้ดีๆ หากคิดจะหนี ก็เท่ากับรนหาที่ตาย !”

มองดูแผ่นหลังของป๋า

เฉินตงก็ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย

ดวงตาที่หมองหม่น ก็ค่อยๆ เผยไฟแห่งสงคราม

เขายอมโอนอ่อนไปตามเรื่อง ใช้ชีวิตเหมือนสุนัข

เพียงเพื่อจะมีชีวิตให้อยู่รอดต่อไป

หากมีโอกาสรอดออกจากคุกมืดนี้ ถึงจะเป็นโอกาสเพียงแค่หนึ่งในล้าน เขาก็จะต้องลองดู

ดิ้นรนเพื่อให้มีชีวิตรอด ในความตาย

และการมีชีวิตที่ดี แต่กลับอยากตาย และต้องต่อสู้ดิ้นรนไปชั่วชีวิต

โครม……

เสียงดังของรถถัง พัดกระพือเกล็ดน้ำแข็งไปทั่วบริเวณ

มันแตกต่างจากความหนาวของโลกภายนอก

ภายในรถถัง มีเสียงเพลงโอบล้อม

ข้อมูลที่ป๋าบอก สำหรับเฉินตงแล้ว มันเป็นประโยชน์มาก แต่ก็ยังน้อยอยู่ดี

ตัวอย่างเช่น ใครเป็นคนสร้างคุกมืดนี้ ?

ที่ตรงนี้ มันอยู่ตรงส่วนไหน ?

และอื่นๆอีกมากมาย……

ไม่ว่ายังไง จากที่เฉินตงเห็นนอกหน้าต่างที่สว่างไสวแต่กลับเป็นเวลากลางคืน ก็พอจะคาดเดาได้บ้าง

ดินแดนที่เยือกแข็งนี้ น่าจะอยู่ใกล้กับบริเวณขั้วโลก

เฉพาะในสถานที่นี้เท่านั้น ที่สามารถเห็นพระอาทิตย์เที่ยงคืนได้

โครม!

รถถังแล่นไปอีกครึ่งชั่วโมง ก็ค่อยๆชะลอความเร็ว เสียงดังกึกก้อง จากนั้นรถก็หยุดจอดลง

“เฉินตง ถึงแล้ว!”

ป๋าเดินนำไปข้างๆเฉินตง แล้วพยุงเฉินตงลุกขึ้น ยิ้มแล้วเอ่ยเตือนไปว่า :“เข้าไปแล้ว ต้องพึ่งตัวเอง สร้างบุญกุศลให้มาก และขอให้ปลอดภัย”

“ขอบคุณครับ”

เฉินตงเหลือบมองป๋าอย่างขอบคุณ

อย่างน้อย ป๋าก็ดีกับเขามาก และเวลาคุย ก็ทำให้เขาได้เตรียมความพร้อมไปกับคุกมืดนี้

เมื่อบานประตูเปิดออก

ความหนาวเหน็บก็เข้ามาเยือน

ลมเย็นทำให้เฉินตงสั่นสะท้าน และร่างกายของเขาหนาวสั่นจนขนลุกไปทั้งตัว

เมื่อลมหนาวหายไป เฉินตงก็ตกตะลึง

ชั่วขณะนั้น เขาเมินเฉยกับอากาศโดยรอบที่เย็นจัด

คูเมืองนี้ ตั้งตระหง่านอยู่บนทะเลสาบน้ำแข็ง

เมืองทั้งเมืองมืดดำ และกำแพงเมืองสูงหลายสิบเมตร ซึ่งงดงามยิ่งใหญ่ตระการตา ทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัวจนขนลุกและกดดันกับความทรงพลังนี้

ดูราวกับสัตว์ยักษ์ในโบราณสมัยดึกดำบรรพ์ ที่จำศีลบนแผ่นน้ำแข็งนี้

เป็นอย่างที่ป๋าพูด คูเมืองนี้ เป็นเหมือนร่องรอยการมีอยู่ของมนุษย์ที่ถูกทอดทิ้งไว้บนแผ่นน้ำแข็งนี้

“ที่นี่……ก็คือคุกมืดเหรอ?”

เฉินตงตกตะลึงอ้าปากค้าง แล้วก็ค่อยๆพูดออกมาอย่างช้าๆ

ป้าบ!

ด้านหลัง มีมือใหญ่ผลักไปที่ตัวเขา

เฉินตงเดินซวนเซไปข้างหน้าสองก้าว เกือบจะตกจากที่เหยียบลงไปยังบนแผ่นน้ำแข็ง

“หลง ทำแบบนั้นทำไม?”

ในเวลาเดียวกัน เฉินตงก็ได้ยินเสียงตำหนิของป๋า เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจกับการผลักของเขาเมื่อกี้

“ใจเย็นครับหัวหน้า ก็แค่นักโทษคนหนึ่ง”

เสียงหัวเราะเยาะก็ดังขึ้น :“นี่ฉันก็สุภาพกับเขามากแล้วนะ เมื่อเขาเข้าไปที่คุกมืด คนที่นั่นคงไม่มีใครเป็นมิตรกับเขาหรอก ไม่แน่ว่าเขาอาจจะกลายเป็นศพในไม่ช้านี้ก็ได้”

“ฟู่~”

“ฟู่~”

สายลมหนาวพัดมา หนาวเหน็บจนเข้าไปถึงในกระดูก

เฉินตงงอตัว เอามือกอดอก แล้วเดินไปข้างหน้า

ลมหายใจที่เข้าออก ก็มีไอควันเย็นสีขาวๆ

เสบียงอาหารถุงหนึ่ง และขวดน้ำขวดหนึ่ง ทำให้เขาที่หิวกระหาย ก็รู้สึกอิ่มท้องขึ้นมาได้บ้าง อีกทั้งยังพอมีแรงต่อสู้เพื่อจะเอาชีวิตรอดต่อไป

พื้นผิวน้ำแข็งที่อยู่ใต้เท้าเขามันลื่นมาก หากไม่ระวังก็อาจจะล้มลงกับพื้นได้

ภาพที่เห็น เป็นภาพขาวโพลนไปทั่วทั้งบริเวณกว้าง

แสงแดดที่สาดส่องลงมา ทำให้ชั้นน้ำแข็งสีขาวเหล่านั้นสว่างไสวแสบตายิ่งนัก

ไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นเลยแม้แต่น้อย มีเพียงความหนาวเย็นอันน่ากลัวที่เกาะกินเข้าไปถึงในกระดูก

ไห่ย่าตอนนี้กำลังเข้าสู่หน้าร้อน และเฉินตงก็สวมใส่เพียงกางเกงขาสั้นและเสื้อแขนสั้น ในที่ที่หนาวเย็นเยือกแบบนี้ การสวมใส่เสื้อผ้าของเขาก็เหมือนกับการไม่ได้ใส่อะไร

“ต้องรอด……ต้องมีชีวิตรอดให้ได้……”

ริมฝีปากม่วงช้ำ เอ่ยพูดเสียงพึมพำ ออกมาอย่างมุ่งมั่นและแน่วแน่

“ชิงหยิ่ง……แม่……คุนหลุน……”

เอ่ยพูดชื่อคนที่รักซ้ำไปซ้ำมา ที่ทำได้มีเพียงเท่านี้ เป็นวิธีเดียวที่จะทำให้เฉินตงมีความหวังและพยายามที่จะมีชีวิตรอดต่อไปให้ได้

สายลมอันหนาวเหน็บนี้เป็นเสมือนมีดคม

แผ่ซ่านไปในทั่วบริเวณพื้นที่ที่ขาวโพลนนี้

เฉินตงเดินกะเผลกซวนเซไปมา เพื่อที่จะก้าวไปข้างหน้า

เมื่อมองจากที่สูง เหมือนมดที่ถูกทอดทิ้ง ดิ้นรนเพื่อที่จะเอาชีวิตรอดอย่างไม่ยอมแพ้ บนหิมะน้ำแข็งสีขาวนี้ เป็นเพียงจุดดำเล็กๆ

เฉินตงไม่รู้ควรเดินไปทางไหนดี

สิ่งที่พอจะมั่นใจได้คือ คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินและคนตระกูลฉิน ไม่มีเจตนาที่จะเอาชีวิตเขา

แต่ทำกับเขาเหมือนเป็นขยะ ปล่อยเขาทิ้งที่ดินแดนน้ำแข็งที่เยือกเย็นนี้ เพื่อพบกับการลงโทษที่อาจจะน่ากลัวกว่าความตาย

หากจะปล่อยให้เขาตาย เขาก็คงจะกลายเป็นศพไปนานแล้ว

ไม่ว่ายังไง เพื่อให้มีชีวิตอยู่รอดต่อไป

เฉินตงไม่สนใจว่าคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินและคนตระกูลฉินจะจัดเตรียมอะไรไว้รอต้อนรับเขาอยู่

ที่เขากลัวคือ ยังไม่ทันได้ทำอะไร ก็ต้องมาแข็งตายที่นี่ไปเสียก่อน

หากมีชีวิตรอดต่อไป ยังไงก็ยังมีโอกาสหวนกลับมาตั้งตัวอีกครั้ง

หากตายไป ทุกอย่างก็จบสิ้น

เขาไม่สนว่าตัวเองจะตกต่ำเพียงใด ตั้งแต่เล็กจนโต เขากับแม่ต่างก็พึ่งพาอาศัยกันเพื่อความอยู่รอด เคยตกต่ำไหม ?

เคยตกต่ำ!

เหมือนสุนัขจนตรอก จากความมืดมน ก้าวสู่แสงสว่าง

และตอนนี้ ก็แค่กลับไปสู่ความมืดมนนั้นอีกครั้ง

ความอดทนและเข้มแข็งที่มี ทำให้ปล่อยวางทุกอย่างได้ และทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่รอดต่อไป

กู้ชิงหยิ่งยังรอเขากลับไปแต่งงานด้วย

สามปีที่รอคอย เขาจะไม่ทำผิดกับชีวิตรักที่ยาวนานนี้ของเขา

แม่เขายังรอเขากลับไปดูแลในยามที่แก่เฒ่า

การเลี้ยงดูมาตลอดยี่สิบกว่าปี มันถึงเวลาที่เขาควรจะตอบแทนแล้ว

……

โครม……

พื้นดินสั่นสะเทือน

มีเสียงดังกึกก้องสนั่นมาจากที่ไกลๆ

เฉินตงตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิม แล้วหรี่ตาจ้องมอง ไปยังแสงที่สาดกระทบเข้ากับน้ำแข็ง มันมาจากที่ไกลๆ

หิมะน้ำแข็งที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ มีมากมายจนล้น แล้วมุ่งมาทางนี้

จากท้องฟ้าที่ส่องแสงสว่างไสว ก็ขาวโพลน

เหมือน สัตว์ป่าที่หลุดออกจากกรง

“หิมะถล่ม?!”

เฉินตงหัวใจกระตุกอย่างรุนแรง ให้ตายเถอะ ที่นี่มีหิมะถล่มได้ยังไง ?

ทางเดินที่ไม่ถูกปกคลุมด้วยหิมะ มีเพียงแผ่นน้ำแข็งที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา แล้วเกิดหิมะถล่มได้ยังไง ?

เห็นคลื่นหิมะที่เคลื่อนที่ในแนวนอนจากที่ไกลๆไม่เห็นสุดเขต เฉินตงเหมือนถูกมือใหญ่ที่มองไม่เห็น จับกดลงไปในเหวลึกอย่างสิ้นหวัง

หนี ?

ต้องหนี !

แล้วจะหนีไปทางไหน ?

ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก เฉินตงก็หันหลังกลับล้มลุกคลุกคลาน วิ่งไปยังทางที่ที่เขามา

แม้ว่าจะเหมือนแมลงวันหัวขาด แต่เขาก็ไม่คิดจะหยุด

การนั่งรอความตาย ไม่เคยมีอยู่ในความคิดเขามาก่อน

โครม……

พื้นดินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

เกล็ดน้ำแข็งที่มากมาย ไหลมาเทมาไม่หยุด

“ตายไม่ได้ ต้องวิ่งออกไป หากถูกฝังในที่แบบนี้ ต้องตายแน่ๆ !”

เฉินตงสายตาดุดันราวกับจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยสีแดง

แต่พื้นตรงหน้า ก็กลับเต็มไปด้วยเงามืด

ราวกับหุบเหวดำที่อ้าปากรออยู่ พร้อมที่จะกลืนกินเขาเข้าไป

เขารู้ว่า นี่คือเกล็ดน้ำแข็งที่ปกคลุมไปบริเวณและกำลังซัดสาดอยู่เหนือศีรษะของเขา

จบแน่แล้ว!

เฉินตงยิ้มอย่างขมขื่น ในตอนนี้ทุกอย่างจบสิ้นแล้ว

ปัง!

ทันใดนั้น ท่ามกลางเสียงกึกก้อง ก็มีเสียงปืนดังขึ้น

เทียบกับเสียงครูดของเกล็ดน้ำแข็งแล้ว ยิ่งแสบแก้วหูไปอีก

“เสียงปืน? ข้างหลังมีคน ?”

รูม่านตาของเฉินตงเบิกกว้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ

“คนที่อยู่ตรงหน้านั้น หยุดเดี๋ยวนี้!”

เสียงตะโกนพูดผ่านลำโพงด้วยความโกรธ ดังขึ้น

มีคนจริงๆด้วย!

เฉินตงที่หวาดกลัวก็ผ่อนคลายลง และตื่นเต้นดีใจ

เขาหันกลับมาทันที เผชิญหน้ากับเกล็ดน้ำแข็งที่ถูกกวาดมาจากทั่วทุกสารทิศ

ท่ามกลางหิมะน้ำแข็งนี้มีคนอยู่ และในตอนนี้เขาไม่ได้สนใจแล้วว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนดีหรือคนร้าย บางที……นี่คงเป็นสิ่งที่คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินและคนตระกูลฉินได้เตรียมเอาไว้เพื่อจัดการเขา

ถึงจะเป็นปีศาจ หรือต้องให้เขาคลานอยู่แทบเท้าของปีศาจ

เขาก็ยอม

เพราะ……มันจะทำให้เขามีชีวิตรอด!

โครม……

เสียงกึกก้องที่ดังแสบแก้วหู

จากนั้น ท่ามกลางเกล็ดหิมะน้ำแข็งขาวโพลนนี้ก็มีเงาดำเงาใหญ่มหึมาปรากฏขึ้น

ในตอนที่เงาดำพุ่งออกมานั้น เฉินตงก็เพิ่งจะมองเห็น ว่ามันเป็นรถสโนว์โมบิลที่ดัดแปลงมาเป็นพิเศษอยู่สองสามคัน

หรือจะพูดอีกอย่างว่าเป็น ป้อมปราการหิมะจะเหมาะสมกว่า

แต่ละคันมีความสูงเท่าตึก2ชั้น และถูกหุ้มไปด้วยแผ่นเหล็กสีดำ เหมือนกับเกราะที่มีไว้สำหรับต่อสู้ ซึ่งมีแรงม้าสูงในการขับเคลื่อนให้รถวิ่งไปข้างหน้า แล้วกักเก็บเอาเกล็ดน้ำแข็งเกาะไปทั่วทั้งบริเวณ

ให้ความรู้สึกมีอำนาจและทรงพลัง และส่งผลกดดันต่อผู้ที่พบเห็น

และป้อมปราการหิมะนี้ ก็มีอยู่สามคัน !

ขับเรียงหน้ากระดาน แล้วมุ่งไปข้างหน้า ทำให้เกิด“หิมะถล่ม”อย่างที่เห็น

ตามมาด้วยเสียงที่ดังกึกก้อง

รถยานเกราะต่อสู้ทั้งสามคันค่อยๆชะลอความเร็ว แล้วหยุดลง พอดีกับล้อมรอบเฉินตงเอาไว้ให้อยู่ตรงกลาง

ลมหนาวและเกล็ดน้ำแข็ง โหมกระหน่ำเข้าหาเฉินตง พัดเฉินตงจนล้มลงไปที่พื้น ร่างกายสั่นไหวจนแข็งทื่อ

“แม่งเอ๊ย นานแค่ไหนแล้วเนี่ย? ที่ที่ควรตายแบบนี้ ไม่มีผู้มาเยือนมานานมากแล้ว ?”

“สถานที่ที่ถูกลืม ทะเลสาบน้ำแข็งที่ถูกลืมนี้ ในที่สุดก็มีนักโทษใหม่มา”

“ฮ่าฮ่าฮ่า…… ไม่นึกไม่ฝันมาก่อน การลาดตระเวนในคืนนี้ จะได้เจอของเล่นใหม่ คนพวกนั้นก็ช่างปะไรเอาของมาทิ้งไว้ให้ ก็ไม่คิดจะบอกกันสักคำ ทำฉันตื่นเต้นไปหมด”

……

ท่ามกลางสายลมที่เย็นยะเยือกทางฝั่งของรถยานเกราะ มีเสียงพูดอย่างตื่นเต้นดังขึ้น

เฉินตงนิ่งอยู่บนพื้น ร่างกายของเขาแข็งทื่อและไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ แต่สมองของเขายังคงรับรู้ได้อยู่

เขาวิเคราะห์จากน้ำเสียงที่ตื่นเต้นนั้น ไม่นานก็ประมวลผลออกมาได้

นักโทษ!

สถานที่ที่ถูกลืม!

คืนนี้!

ในใจเขาเหมือนมีคลื่นลูกใหญ่ ฉันถูกโยนทิ้งมาในที่ที่ไม่มีคนรู้จัก แล้วยังกลายมาเป็นนักโทษอีก ?

ดวงตาจ้องมองไปยังท้องฟ้า ไม่มีดวงอาทิตย์ที่กำลังส่องแสง และไม่มีเมฆบนท้องฟ้าเช่นกัน

นี่มัน……ตอนกลางคืนเหรอ?

ทันใดนั้น

เฉินตงเห็นเจ้าของเสียงที่มีท่าทีตื่นเต้นดีใจเหล่านั้น

ชายรูปร่างกำยำหลายคน แต่ละคนสูงไม่ต่ำกว่า 180 ซม. เดินออกมาจากเกล็ดน้ำแข็งที่หนาวเย็นนั้นอย่างช้าๆ

ทั้งร่างถูกห่อหุ้มไว้ด้วยเสื้อผ้าหนังสัตว์อย่างแน่นหนา เหมือนกับชุดชาวเอสกิโม มันยิ่งทำให้ร่างของคนเหล่านี้ดูกำยำมากขึ้นไปอีก

และทุกคน ก็มีอาวุธครบมือ

แต่ทุกคนต่างก็แตกต่างกัน บางคนผมทองตาสีฟ้า และบางคนก็ผิวดำตาสีดำ และก็มีคนที่เหมือนกับเฉินตง

ชายวัยกลางคนที่มีหนวดเคราบุกประชิดตัวเขาแล้วเขย่าไปที่มือ

ยิ้มติดตลก

“นี่นาย เห็นแก่ที่นายเป็นนักโทษใหม่ ตามเราไปแต่โดยดี หากขัดขืน ฉันจะยิงนายทิ้งซะ แล้วลากนายกลับไป”

เสียงด่าที่ดังขึ้นอย่างกะทันหัน

ทำให้บรรยากาศเงียบสงัด

เธอเกือบจะกรีดร้องออกมา จึงยกมืออันเรียวงามขึ้นมาป้องปากเอาไว้

นี่……คือเฉินตงจริงๆ หรือ ?

ตั้งแต่ที่เธอได้กลับไปอยู่ข้างกายของเฉินตง และได้รู้จักกับคุนหลุนแล้ว

ถึงแม้ในความเป็นจริงแล้วเฉินตงกับคุนหลุนจะมีศักดิ์เป็นนายจ้างกับคนรับใช้ แต่ทั้งสองคนกลับมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ราวกับเป็นพี่น้องมากกว่าเป็นนายจ้างกับคนรับใช้

อีกทั้ง เฉินตงเองก็เห็นคุนหลุนเป็นเหมือนพี่ชาย !

คำพูดและท่าทางของเขา ไม่เคยแสดงออกถึงความหยิ่งยโสในตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกต่อหน้าคนรับใช้เลย

ยิ่งไปกว่านั้น คุนหลุนเองก็ไม่ได้เป็นคนรับใช้ของตระกูลเฉิน

ภายในบ้าน แต่ไหนแต่ไรมาทุกคนต่างอยู่ร่วมกันอย่างเสมอภาค !

แม้แต่ท่านหลงเองที่เป็นคนรับใช้ของตระกูลเฉินอย่างแท้จริง เฉินตงก็ยังคงปฏิบัติต่อเขาด้วยความเคารพในฐานะที่อาวุโสกว่า

แต่ทว่าตอนนี้ เฉินตงกลับ……ตบหน้าคุนหลุน ? !

“คุณชาย คุณเมามากแล้ว”

เสียงของคุนหลุนดังขึ้นที่ด้านนอก

“ไม่ ฉันไม่เมา แก แกหลีกไป !”

น้ำเสียงของเฉินตงสั่นเครือและสับสน : “แก ไอ้คนรับใช้ เปิดประตูให้ฉัน คืนนี้ฉันจะนอนกับกู้ชิงหยิ่ง !”

กู้ชิงหยิ่งตกตะลึง เธอแทบไม่อยากเชื่อหูของตนเอง

“คุณชาย คุณผู้หญิงสอนให้คุณให้เกียรติคุณหนูกู้ คุณลืมไปแล้วหรืออย่างไรครับ ?”

จู่ๆ เสียงของคุนหลุนก็ดังขึ้นมา : “ถ้าหากคืนนี้คุณชายอาละวาดเพราะฤทธิ์สุรา กระผมจะโทรหาคุณผู้หญิงและท่านหลงเดี๋ยวนี้ !”

คำขู่ที่รุนแรง

ทำให้การเคลื่อนไหวด้านนอกสงบลง

“เหอะ !”

หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วินาที เฉินตงก็หัวเราะขึ้นมา : “ประคองฉันกลับห้อง !”

น้ำเสียงของเขา ฟังดูไม่มีมารยาทเลยแม้แต่น้อย เป็นน้ำเสียงที่นายจ้างใช้พูดกับคนรับใช้อย่างแท้จริง

ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันอีกต่อไป

เสียงฝีเท้าดังขึ้น ไม่ช้าโถงทางเดินด้านนอกก็เงียบสงบ

กู้ชิงหยิ่งยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม มือของเธอยังคงป้องปากอยู่

สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ทั้งหมด ทำให้เธอรู้สึกสับสนจริงๆ

เธอรู้สึกราวกับตกอยู่ในภวังค์

เฉินตง……เปลี่ยนไปแล้วจริงๆหรือ ?

สมองของเธอว่างเปล่า ความสงสัยที่จางหายไป กลับทวีความรุนแรงขึ้นมาในหัวของเธออีกครั้ง

พักใหญ่

ก๊อกๆ

เสียงเคาะประตูดังขึ้น

กู้ชิงหยิ่งตัวสั่น ยังไม่ยอมเปิดปากพูดอะไร

จากนั้น เสียงเคร่งขรึมของคุนหลุนก็เข้ามาจากด้านนอก

“เสี่ยวหยิ่ง รีบนอนเถอะ คุณชายหลับไปแล้ว เขาคงจะดื่มมากเกินไป คงจะไม่เป็นไรหรอก คุณก็อย่าได้ถือสาเลยนะ”

แม้จะเป็นแค่คำปลอบใจ แค่คำว่า “คง” สองคำที่เขาใช้กันต่อเนื่องก็ทำให้กู้ชิงหยิ่งเริ่มสงสัยแล้วเหมือนกัน

“ค่ะ พี่คุนหลุน”

กู้ชิงหยิ่งตอบกลับเบาๆ : “พี่คุนหลุนอย่าโกรธเลยนะ”

“คุณชายของตัวเอง ผมจะไปโกรธได้อย่างไร ? ชีวิตของผมล้วนแล้วแต่เป็นของเจ้าบ้าน”

คุนหลุนหัวเราะออกมา จากนั้นจึงเดินจากไป

บรรยากาศโดยรอบเงียบสงบ

แต่กู้ชิงหยิ่งกลับรู้สึกลังเล และรู้สึกสับสน

เธอค่อยๆย่องไปที่ประตู แล้วล็อกประตูห้อง

คิดไปคิดมาคงยังไม่พอ

เธอลากเก้าอี้มาพิงเอาไว้ที่ประตู จากนั้นจึงเดินกลับมาที่เตียง แต่เธอก็ไม่สามารถข่มตาหลับได้อีกต่อไป

ความคิดของเธอพลุ่งพล่านอย่างรวดเร็ว ภายใต้แสงไฟส่องสว่าง ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความสับสน

……

เฉินตงขดตัวอยู่ในกล่องไม้

เขามองแสงสว่างที่ลอดผ่านเข้ามาในกล่อง ใบหน้าของเขาก็หม่นหมองและเหม่อลอย

ถูกขังอยู่เช่นนี้ ทำให้ตัวเขาเองรู้สึกงุนงง จำไม่ได้แล้วว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่

มีช่องเล็กๆ อยู่รอบตัวเขาและเหนือศีรษะของเขาเต็มไปหมด มีลมเย็นลอดผ่านเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย

ทำให้เขารู้สึกหนาวจนตัวสั่นและร่างกายแข็งทื่อ

อ้อ เขาจำได้แล้ว ช่องเล็กๆ ที่อยู่เหนือศีรษะของเขา ถูกเจาะโดยคนที่อยู่ด้านนอกเมื่อไม่นานมานี้

เพื่อใช้สำหรับส่งน้ำให้เวลาที่เขารู้สึกว่ากำลังจะกระหายน้ำตายและหิวตาย และให้เขาได้มีอากาศหายใจ

นี่ทำให้ลมหนาวลอดผ่านเข้ามาในกล่องไม้มากยิ่งขึ้น ทำให้กล่องไม้เป็นราวกับห้องเย็น

แต่ทว่าเขาเองไม่ได้สนใจ

เขาต้องมีชีวิตรอดต่อไปให้ได้

ถึงจะหนาวก็คงไม่ทำให้ตายโดยทันที

แต่ถ้าไม่ได้ดื่มน้ำและไม่ได้กินอาหาร ไม่มีใครสามารถทนได้แน่นอน

“ต้องมีชีวิตรอดต่อไปให้ได้ ต่อให้ต้องเป็นหมาป่า ก็ต้องมีชีวิตรอดต่อไปให้ได้ !”

นี่คือความคิดเพียงอย่างเดียว ที่ยังคงปรากฏอยู่ในความคิดที่กำลังเลือนรางของเฉินตง

ถึงขั้นว่า เขาไม่ได้สนใจน้ำแข็งที่เกาะอยู่ระหว่างขาของเขาเลยแม้แต่น้อย

ศักดิ์ศรี

เป็นสิ่งที่ไร้ค่าหากไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้ !

มีเพียงการเอาตัวรอดที่ปราศจากความอายเท่านั้น ที่จะสามารถทำให้เขาพลิกสถานการณ์ได้

หากตายไป ถึงแม้ว่าเขาจะตายอย่างสมเกียรติ แต่เขาก็ยังไม่ยอมละทิ้งคนในครอบครัวของตัวเองอยู่ดี

“เสี่ยวหยิ่ง แม่……ผม ผมจะกลับไปให้ได้ จะต้องกลับไปให้ได้……”

เฉินตงค่อยๆ ขยับริมฝีปากสีม่วงของเขา แล้วพึมพำออกมาราวกับกำลังพูดพล่ามอยู่ในความฝัน

เด็ดเดี่ยวและแน่วแน่ !

หวูด……

เสียงหวูดของเรือดังขึ้น

เป็นเสียงที่อึกทึกราวกับเสียงฟ้าร้อง

เสียงที่ดังติดต่อกันหลายครั้ง ทำให้เฉินตงที่กำลังสะลึมสะลืออยู่ ตั้งสติขึ้นมาได้

เปลือกตาของเขากระตุกเล็กน้อย เขาขยับตัวเพื่อให้น้ำแข็งที่เกาะอยู่บนตัวของเขาร่วงลง

เขามองเห็นทะเลและท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ภายนอกผ่านทางช่องเล็กๆ

นี่……ใกล้จะถึงฝั่งแล้วหรือ ?

ในที่สุด ก็ถึงแล้วหรือ ?

ไม่ช้า ด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น

เป็นเสียงฝีเท้าที่หนักและรวดเร็ว

“เร็วเข้า เร็วเข้า ทุกคนกระฉับกระเฉงกันหน่อย พวกแกอย่ามัวแต่ทำตัวเฉื่อยชาเหมือนผู้หญิง”

เสียงที่คุ้นหูดังขึ้น

ตอนนี้ เสียงที่ดังขึ้นนี้ ตะโกนสั่งเฉินตงจากด้านนอกหลายครั้ง

จากนั้น

“แก แก ยังมีแกสองคนด้วย พวกแกสี่คน ยกล่องไปไว้ข้างล่าง เร็วหน่อย ต้องทำให้ทันเวลานะ เส้นทางลับเส้นทางนี้ ถ้าหากไปช้าแล้วละก็ คิดอยากจะออกไปอีกที คงจะยากแล้ว !”

เสียงสั่งการดังกระหึ่ม

จากนั้น เฉินตงก็รู้สึกว่า กล่องไม้ที่บรรจุตนเองอยู่ภายใน ถูกยกให้ลอยขึ้น

จากนั้นก็ขึ้นๆ ลงๆอยู่สักพัก

ดวงตาที่มืดมัวของเฉินตงเริ่มเป็นประกาย

เป็นเพราะเขามองลอดช่องเล็กๆ ของกล่องไม้ออกไป และมองเห็นพื้นดิน

เป็นพื้นดินที่……ถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง

ทันใดนั้น เขาก็กระแทกลงกับพื้นอย่างรวดเร็ว

ตุ๊บ !

กล่องไม้กระแทกลงกับพื้นอย่างแรง

จากนั้นก็เกิดเสียงแตกของกล่องไม้ดังขึ้น

แรงกระแทกทำให้เฉินตงรู้สึกเหมือนจะกระอักเลือดออกมา

ยังดีที่พื้นน้ำแข็งด้านล่างยังไม่แข็งมากนัก ทันทีที่กล่องไม้กระแทก น้ำแข็งก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ เพราะแรงกระแทก

ฟิ่ว……

ลมหนาวพัดเข้ามากัดกินเฉินตงในทันที

ร่างกายของเขาที่ขดตัวอยู่เป็นเวลานาน ภายใต้ความหนาวเย็น จู่ๆ เฉินตงก็ออกแรงอย่างรวดเร็ว

ทันทีที่แขนขาของเขาเหยียดตรง

เขาก็รู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก โดยไม่อาจจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ ทั่วทั้งแขนและขาของเขา

“โอ๊ย !”

เฉินตงส่งเสียงร้องออกมา สติสัมปชัญญะที่เลือนรางของเขา กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็วในทันที

หวูด……

เสียงหวูดของรถไฟดังก้อง

เฉินตงกัดฟัน เขาออกแรงหันหน้ากลับไป แล้วจึงพบเข้ากับเรือลำใหญ่ที่สูงตระหง่านราวกับภูเขา ค่อยๆ เคลื่อนที่ และลอยออกสู่ทะเลไป

ส่วนเขา เป็นเหมือนกับขยะ ที่ถูกนำมาทิ้งเอาไว้บนพื้นน้ำแข็ง

แต่เขาก็เหลือบไปเห็นถุงเสบียงอาหารและน้ำหนึ่งกา ทิ้งเอาไว้ในกล่องไม้ที่แตกออก

นี่……คือความเมตตาที่มอบให้สุนัขจนตรอกเป็นครั้งสุดท้ายอย่างนั้นหรือ ?

หรือจะพูดว่า……ฉันสามารถอาศัยถุงยังชีพถุงนี้และน้ำที่มี เพื่อเอาชีวิตรอดต่อไปได้

มีชีวิตอยู่เพื่อจะพบกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ ?

เฉินตงไม่ได้โง่

ในเมื่อตระกูลฉินกับคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินพาเขามาทิ้งเอาไว้ในสถานที่เช่นนี้ คงไม่ใช่เพราะต้องการให้เขาตายอย่างแน่นอน

หากต้องการให้เขาตายนั้นง่ายมาก

หลังจากที่เขาถูกตีจนสลบแล้ว มีวิธีที่จะสามารถฆ่าเขาได้เป็นร้อยๆ วิธี

หลังจากนี้ จะต้องมีอะไรบางอย่างรอเขาอยู่อย่างแน่นอน !

เขาพยายามออกแรงขยับร่างกาย เขาใช้แรงทั้งหมดที่มีหยิบอาหารและน้ำเข้าปาก

จากนั้น เฉินตงก็ทำตัวราวกับนักโทษที่กำลังกินอาหารมื้อสุดท้าย

เขากลืนน้ำและอาหารลงท้องไปอย่างรวดเร็ว

ตัวแทน

ไม่สิ เรียกว่าสวมรอยต่างหาก

ความโกรธของเฉินตงคุกรุ่นอยู่ภายในใจ เจตนาฆ่าของเขารุนแรงขึ้น

คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินไม่เพียงแต่ต้องการฆ่าเขาเท่านั้น แต่ยังคิดที่จะล้างเผ่าพันธุ์ตระกูลเฉินด้วย !

การใช้คนของตระกูลโจวคนนั้นมาแทนที่เขา เพื่อหลอกลวงพ่อของเขา หลังจากนั้นก็ได้รับความช่วยเหลือจากทั้งคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินและพ่อ การที่คนตระกูลโจวคนนั้นจะเอาชนะผู้สืบทอดมรดกคนอื่นๆ และกลายเป็นเจ้าบ้านตระกูลเฉิน ก็คงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปสินะ ?

เมื่อคนของตระกูลโจวคนนั้นได้ขึ้นเป็นเจ้าบ้านเมื่อไหร่

ตระกูลเฉินก็จะตกอยู่ในมือของคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินทันที

คนตระกูลโจวคนนั้น ก็เป็นเพียงแค่หุ่นเชิดในมือของคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินเท่านั้น

อีกทั้ง คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินคงจะให้ค่าตอบแทนกับตระกูลโจวมากพอดู จึงได้ปรากฏตัวตายตัวแทนคนนี้ขึ้นมาได้ !

เมื่อเขาขึ้นเป็นเจ้าบ้านได้เมื่อไหร่ ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่หุ่นเชิด แต่ก็คงจะมีอำนาจมากกว่าการเป็นตระกูลโจวเล็กๆ อย่างแน่นอน !

“ในสมัยโบราณมีอู่โจว หรือว่าตอนนี้คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินเองก็อยากจะเลียนแบบหวู่โจวด้วยเช่นกัน ?”

เฉินตงกัดฟันพูดออกมาหนึ่งประโยค : “ผมไม่มีวันยอมให้คุณสมปรารถนาแน่นอน ต่อให้คุณจะเนรเทศผมไปอยู่สุดหล้าฟ้าเขียว ขอเพียงแค่ผม เฉินตงยังมีชีวิตอยู่ ต่อให้ต้องคลานกลับไป ผมก็จะคลานกลับไปให้ได้ !”

คำพูดของเขาดังขึ้น พร้อมกับเจตนาฆ่าอันแรงกล้า

ตอนนี้เฉินตงรู้สึกอยากมีชีวิตรอดอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน

เพราะเขารู้ดีว่า ถ้าปล่อยให้แผนการของคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินสำเร็จแล้วละก็

ตระกูลเฉินจะกลายเป็นเช่นไร เขาอาจไม่สนใจ

แต่พ่อ แม่ กู้ชิงหยิ่ง ท่านหลง……และคนอื่นๆ ทั้งหมดที่เป็นเหมือนญาติมิตรของเขา จะต้องมีจุดจบที่น่าเวทนาอย่างแน่นอน

เพื่อคนเหล่านี้ เขาจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อให้ได้ !

ไม่มีเหตุผลที่จะยอมตาย !

หากเขาตาย ก็จะไม่หลงเหลือหลักฐานอะไรอีก !

สิ่งเดียวที่เฉินตงไม่เข้าใจก็คือ

ทำไมคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินถึงไม่ยอมฆ่าเขาให้สิ้นเรื่อง ?

หากเข้าตายไปก็จะไม่มีหลักฐาน เช่นนี้ไม่ยิ่งเป็นประโยชน์ต่อแผนการของเธอหรอกหรือ ?

เฉินตงสูดหายใจเข้าเต็มปอด แล้วยิ้มออกมาอย่างขมขื่น

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของประสบการณ์หรือการวางแผน เขาไม่มีวันเทียบคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินได้แน่นอน

คำพูดที่ว่า กะทิยิ่งแก่ยิ่งมันนั้น ไม่ใช่เป็นเพียงคำพูดลอยๆ เท่านั้น

สิ่งที่เขาคิดไม่ออก ไม่แน่ว่าคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินอาจจะวางแผนเอาไว้เป็นขั้นเป็นตอนเรียบร้อยแล้ว

อีกทั้งตอนนี้ ไม่ใช่เวลาที่เขาจะมัวมานั่งคิดเรื่องพวกนี้

สิ่งที่เขาควรคิดก็คือ จะทำอย่างไรให้มีชีวิตรอดต่อไป และจะทำอย่างไร……เพื่อกลับไป !

ลมหนาวที่พัดเข้ามาจากด้านนอกทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

จนหนาวเข้าไปถึงกระดูกและรูขุมขน

เฉินตงที่เดิมทีก็นอนขดตัวอยู่แล้ว ตอนนี้กลับขดตัวแน่นขึ้นไปอีก

มีเพียงวิธีนี้ ที่พอจะทำให้เขาสามารถรักษาอุณหภูมิในร่างกายเอาไว้ได้

เสียงของลมทะเลและเกลียวคลื่นดังขึ้นเรื่อยๆ

……

ไห่ย่า

แสงแดดร้อนระอุ

ถึงแม้จะร้อน แต่ในเมื่อเป็นแหล่งท่องเที่ยว ต่อให้ร้อนขนาดไหน ก็ยังมีผู้คนพลุกพล่านอยู่ดี

ทีมช่างภาพมืออาชีพระดับแนวหน้า ทำให้การถ่ายภาพแต่งงานครั้งนี้ ออกมาสมบูรณ์แบบและไร้ที่ติ

แต่ละวัน ก็จะถ่ายภาพโดยยึดตามแผนการและสถานที่ที่วางแผนเอาไว้

การแต่งงานกระชั้นชิดเข้ามาทุกที ดังนั้นการถ่ายภาพในสถานที่ที่มีผู้คนเดินผ่าน

วิธีง่ายๆ ที่เฉินตงเลือกที่จะใช้ก็คือ——กั้นบริเวณ !

การถ่ายภาพแต่งงานที่มีชีวิตชีวา

รวมไปถึงความใกล้ชิดในระยะเวลาหลายวันมานี้ ทำให้ความสงสัยในใจของกู้ชิงหยิ่งค่อยๆ หายไปจนหมดสิ้น

เฉินตง ก็ยังเป็นเฉินตงคนเดิม !

สิ่งเดียวที่แตกต่างก็คือ บนภาพแต่งงานทุกใบ จะต้องพยายามปกปิดผ้าพันแผลที่อยู่บนหัวของเฉินตงเอาไว้ให้ได้

นี่คือสิ่งที่ยังไม่สมบูรณ์แบบเพียงพอ

ไม่แน่ว่า ในอนาคตหากนึกย้อนความหลังกลับมา อาจจะรู้สึกขำเฉินตงก็ได้ ?

กู้ชิงหยิ่งคิดเช่นนี้

วันที่ห้า การถ่ายภาพแต่งงานสิ้นสุดลง

จริงๆ แล้วระยะเวลาที่ใช้สำหรับถ่ายภาพแต่งงานนั้น ใช้เพียงแค่สามวันเท่านั้น

แต่การถ่ายภาพสามวันอย่างมีชีวิตชีวา สำหรับทุกคนแล้ว ถือเป็นเรื่องที่เหน็ดเหนื่อยไม่น้อย

เพื่อที่จะขอบคุณทุกคน หลังจากการถ่ายภาพสิ้นสุดลง

เฉินตงก็ไม่ได้เดินทางกลับพร้อมกับกู้ชิงหยิ่ง

แต่กลับเหมาด้านนอกของโรงแรมเพื่อจัดปาร์ตี้ริมชายหาด เพื่อเลี้ยงขอบคุณทีมช่างภาพอย่างอบอุ่น

ยุ่งมาตลอดสามวัน ทุกคนต่างเหนื่อยล้า ในที่สุดวันนี้ก็สามารถร่วมรับประทานอาหารเย็นด้วยกันอย่างผ่อนคลายได้เสียที

กู้ชิงหยิ่งเองก็ไม่ได้คิดขัดขวางอะไร การเลี้ยงขอบคุณถือเป็นสิ่งที่สมควร

ในงานปาร์ตี้ตอนกลางคืน

เธอและเฉินตงเดินไปตามโต๊ะต่างๆ แล้วชนแก้วเพื่อแสดงความขอบคุณ

เฉินตงดื่มเหล้า ส่วนเธอดื่มเครื่องดื่ม

เฉินตงอารมณ์ดี ไวน์ค่อยๆ ลงไปในท้องทีละแก้ว ไม่ช้าดวงตาทั้งสองข้างของเขาก็แดงก่ำ และเริ่มมีอาการเมา

ส่วนทีมช่างภาพเองก็เป็นเช่นเดียวกัน

คนที่ยังมีสติอยู่ ก็มีเพียงกู้ชิงหยิ่ง และคนที่รับผิดชอบดูแลความปลอดภัยอย่างคุนหลุนและกูหลังเท่านั้น

หลังจบงานปาร์ตี้

กู้ชิงหยิ่งก็เรียกคุนหลุนและท่านหลงมาพาตัวเฉินตงที่กำลังอยู่ในอาการเมามายกลับห้องไป

ส่วนเธอเองก็กลับไปที่ห้องเพียงลำพัง

เธอหวนคิดถึงการถ่ายภาพหลายวันมานี้ มีทั้งความตื่นเต้น ความสุข และความทรงจำ

เมื่อคิดถึงงานแต่งงานที่จะจัดขึ้นในวันที่ 15 เดือนหน้า กู้ชิงหยิ่งก็รู้สึกตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ

ก๊อกๆ !

เสียงเคาะประตูดังขึ้น

กู้ชิงหยิ่งขมวดคิ้ว ตอนนี้เป็นเวลาห้าทุ่มกว่าแล้ว

เธออยู่ในห้องพักชั้นพิเศษ และเป็นชั้นที่แยกออกมาต่างหาก

มีความเป็นส่วนตัวอย่างมาก แขกทั่วไปไม่สามารถเข้ามาได้

เวลาเช่นนี้ ทางโรงแรมก็คงไม่ได้มีบริการทำความสะอาดห้องพัก

แล้วคนที่อยู่ด้านนอกคือใคร ?

“เสี่ยวหยิ่ง……ผมเอง เฉินตง……”

เสียงที่ฟังดูเมามายของเฉินตงดังขึ้นที่ด้านนอกประตู เป็นเสียงที่ติดอ่างเล็กน้อย

กู้ชิงหยิ่งรู้สึกโล่งใจ

เธอกำลังจะอ้าปากพูด พลางลุกขึ้นยืน

“เสี่ยวหยิ่ง เปิดประตูหน่อย คืนนี้……ผมอยากจะนอนกับคุณ……”

คำพูดที่ติดอ่างเพราะความเมา พูดออกมาอย่างตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อม

แต่กลับทำให้กู้ชิงหยิ่งที่กำลังลุกขึ้นตัวสั่นเทา แววตาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก

เธอกลืนสิ่งที่เธอกำลังจะพูดออกมากลับลงไป

“เขาเคยรับปากฉันไม่ใช่หรือว่า จะเก็บความทรงจำที่ดีที่สุดเอาไว้ในคืนแต่งงาน ?”

กู้ชิงหยิ่งขมวดคิ้ว แววตาของเธอลึกซึ้ง

ตอนที่เฉินตงแสดงเจตจำนงออกมาในครั้งแรก เธอเองก็พูดอย่างชัดเจนแล้ว

หลังจากนั้น เฉินตงเองก็มีโอกาส

คือครั้งที่หลี่หลานให้เธอกลับไปที่ห้องพร้อมกับเฉินตง

แต่ทว่าครั้งนั้น เฉินตงกลับเป็นห่วงที่เธอคอยอยู่ดูแลเขาที่โรงพยาบาลเป็นเวลานาน ไม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่

จึงทำเพียงแค่กอดเธอเอาไว้ ในเธอหลับในอ้อมกอดของเขาอยู่เป็นเวลานาน โดยไม่ได้คิดที่จะทำอะไรเกินเลยกับเธอเลยตั้งแต่ต้นจนจบ

แต่ทว่าตอนนี้……

ก๊อกๆๆ !

เสียงเคาะประตูรุนแรงขึ้นราวกับเสียงตีกลอง

แสดงให้เห็นถึงความหยาบคายเล็กน้อย

ทั้งให้กู้ชิงหยิ่งรู้สึกตกใจจนตัวสั่น และรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก

“เสี่ยวหยิ่ง รีบเปิดประตูเร็วเข้าสิ พวกเรากำลังจะแต่งงานกันแล้ว คุณยังถือสาเรื่องนี้อยู่อีกหรือ ?”

เสียงของเฉินตงทำให้กู้ชิงหยิ่งรู้สึกสับสน

ความสงสัยที่จางหายไปแล้ว ตอนนี้กลับปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง

และแผ่ซ่านไปทั่วอย่างรวดเร็ว

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการเคาะประตูอย่างหยาบคาย แต่เสียงตะโกนที่เมามายของเฉินตง

ทำให้กู้ชิงหยิ่งกัดริมฝีปากเอาไว้แน่น ไม่พูดอะไร

จากนั้นจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดส่งข้อความให้คุนหลุน

“พี่คุนหลุน เฉินตงเมามากแล้ว พี่ช่วยมารับเขากลับไปส่งที่ห้องหน่อยได้ไหม ?”

“ครับ”

เมื่อเห็นคุนหลุนตอบกลับมา กู้ชิงหยิ่งก็รู้สึกโล่งใจ

เมื่อเสียงของเฉินตงที่ดังอยู่ด้านนอกสงบลง ความสงสัยในหัวของเธอก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

ไม่ช้า

ด้านนอกก็มีเสียงของคุนหลุนดังขึ้น

“คุณชาย คุณเมามากแล้ว ผมจะประคองคุณกลับห้องนะครับ”

“แก แกมีสิทธิ์อะไรมายุ่งกับฉัน ? ฉันไม่ต้องการให้แกประคอง แกเป็นแค่คนใช้ในตระกูลของฉันเท่านั้น หลีกไป !”

“คุณชาย นี่ก็ดึกมากแล้ว อย่าโวยวายอีกเลยครับ เดี๋ยวคุณจะทำให้เสี่ยวหยิ่งต้องตกใจ”

เผียะ !

เสียงตบหน้าดังก้อง จนทำให้กู้ชิงหยิ่งหน้าถอดสี

จากนั้น ด้านนอกก็มีเสียงด่าทอของเฉินตงดังขึ้น

“เสี่ยวหยิ่ง ? คนใช้อย่างแกมีสิทธิ์เรียกแบบนี้หรือ ?

เต้นรำ ?

กู้ชิงหยิ่งรู้สึกประหลาดใจ

ทันใดนั้นเอง ดวงตาของเธอก็ปรากฏอาการของความประหลาดใจจนถึงขีดสุด

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

เฉินตงไม่ทันที่จะสังเกตเห็น

เขาเรียกทีมช่างภาพให้เข้ามาจัดเตรียมอุปกรณ์การถ่ายภาพเรียบร้อยแล้ว

กู้ชิงหยิ่งยืนตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิม

ตอนนี้ความรู้สึกนั้นยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น

“เตรียมตัวเรียบร้อยหรือยัง ?”

เสียงอันอ่อนโยนของเฉินตงดังขึ้นข้างๆ หู

กู้ชิงหยิ่งตั้งสติกลับมาได้ ริมฝีปากแดงระเรื่อของเธอสั่นเทา จากนั้นจึงพยักหน้า

เสียงเพลงดังขึ้น

แสงไฟส่องสลัวๆ

สาดส่องลงไปยังกู้ชิงหยิ่งและเฉินตง ทั้งสองคนดึงดูดสายตาของคนที่อยู่โดยรอบในทันที

จากนั้นทั้งสองก็เริ่มเต้นรำกันอย่างแผ่วเบา

ทีมช่างภาพเองก็เริ่มการถ่ายภาพ

ทั้งแสง มุมกล้อง และความละเอียดในการถ่ายภาพ ล้วนแล้วแต่สมบูรณ์แบบจริงๆ

“นี่เป็นการถ่ายภาพแต่งงานหรือ ?”

“สวยจริงๆ ทั้งวิวและการเต้นรำแบบนี้ ถ่ายออกมาจะต้องสวยมากแน่นอน ?”

“อิจฉาผู้หญิงคนนั้นจริงๆ ถ้าอีกหน่อยแฟนของฉันถ่ายภาพแต่งงานให้ฉันแบบนี้ก็คงจะดี”

……

คนที่ยืนดูอยู่รอบๆ ต่างก็อุทานออกมาด้วยความรู้สึกอิจฉา

ในนั้นมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่ถือแท่งไฟและลูกโป่งเรื่องแสงเดินเข้ามารวมตัวกัน และโบกไม้โบกมืออย่างเป็นธรรมชาติ

เพื่อเป็นการอวยพรให้แก่คู่รักแปลกหน้าคู่นี้

ช่างภาพเองก็สามารถถ่ายภาพเหตุการณ์นี้เอาไว้ได้อย่างสวยงาม

ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืนและมีฉากหลังเป็นทะเล

แสงสว่างถูกถ่ายออกมาเป็นแสงระยิบระยับเหมือนแสงดาว ราวกับทะเลดวงดาวที่เจิดจรัสอยู่บนท้องฟ้า

เป็นภาพที่งดงาม

และมีสีสันจริงๆ

ส่วนกู้ชิงหยิ่งและเฉินตงที่อยู่ท่ามกลางทะเลดวงดาว ก็ยังคงเต้นรำกับอย่างแผ่วเบาราวกับเทวดาและนางฟ้าที่เป็นคู่รักกัน

ไม่เพียงแค่หน้าตาและรูปร่างของกู้ชิงหยิ่งเท่านั้น แต่ยังมีความสูงและรูปลักษณ์ของเฉินตง ที่เพียงพอจะสามารถดึงดูดสายตาของผู้คนได้อย่างล้นหลาม

เพลงบรรเลงสิ้นสุดลง

เสียงเพลงค่อยๆ แผ่วเบาลง

ฝูงชนที่ยืนดูอยู่รอบๆ ยังรู้สึกเพลิดเพลินอยู่กับเสียงเพลงและไม่อยากให้จบลง

กู้ชิงหยิ่งและเฉินตงแยกตัวออกจากกัน

เฉินตงขมวดคิ้วแล้วก้มลงไปมองกู้ชิงหยิ่ง : “เสี่ยวหยิ่ง คุณรู้สึกไม่สบายตัวหรือเปล่า ? ทำไมผมรู้สึกว่าคุณจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ?”

“ค่ะ สงสัยจะเป็นไข้แดด รู้สึกเวียนหัวนิดหน่อย”

กู้ชิงหยิ่งพยักหน้า เสียงของเธอเบาจนอู้อี้เหมือนกับยุง

“ถ้าอย่างนั้นพวกเรากลับโรงแรมกันก่อนเถอะ คุณไปพักที่ห้องก่อน เดี๋ยวผมจะให้คนส่งอาหารไปที่ห้องของคุณ”

“ค่ะ”

หลังจากกลับไปถึงห้องพักแล้ว

เฉินตงก็พาคุนหลุน กูหลังและทีมช่างภาพไปทานมื้อเย็น

กู้ชิงหยิ่งนอนอยู่ในห้องที่มืดสนิท มีเพียงโคมไฟหัวเตียงเพียงดวงเดียวเท่านั้นที่ส่องแสงสลัวๆ อยู่

แสงไฟสาดส่องลงบนใบหน้าที่งดงามของกู้ชิงหยิ่ง แต่กลับเผยให้เห็นความสงสัยที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของกู้ชิงหยิ่ง

ตอนนี้คิ้วของกู้ชิงหยิ่งขมวดกันแน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความครุ่นคิด

แววตาของเธอเต็มไปด้วยความงุนงงและสงสัย รวมไปถึงความสับสน

มือของเธอพันกันไปมาและบิดกระโปรงไม่หยุด

อาหารที่บริกรนำมาส่งให้วางอยู่บนหัวเตียง

แต่เธอกลับไม่รู้สึกหิวเลยแม้แต่น้อย

ในความมืด

เธอพึมพำออกมาเบาๆ ว่า : “คุณบอกเองว่าเต้นรำไม่เป็น อีกทั้งยังรู้สึกเขินอายที่จะต้องเต้นรำต่อหน้าคนหมู่มากเช่นนั้น แต่ทำไมเมื่อครู่ถึงทำเช่นนั้น ?”

เธอไม่ได้รู้สึกไม่สบายตัว

แต่เป็นเพราะการเต้นรำบนชายหาดกับเฉินตงเมื่อครู่ ทำให้เธอเกินความสงสัยขึ้นมาในใจ

ดังนั้นเฉินตงจึงได้สังเกตเห็นความผิดปกติของเธอ เธอจึงพูดเออออไปว่าตนเองนั้นไม่สบาย

แต่เมื่อกลับมานั่งครุ่นคิดอยู่ภายในห้องพักใหญ่ ยิ่งทำให้กู้ชิงหยิ่งรู้สึกถึงความไม่พอชอบมาพากลเพิ่มขึ้น

แต่เฉินตงที่อยู่ตรงหน้าของเธอ ก็ยังคงเป็นใบหน้าของเฉินตง ความสูงก็เท่ากัน แม้กระทั่งลักษณะนิสัยก็เหมือนกัน

ถ้าหากคาดเดาเพียงเพราะความผิดปกติเล็กๆ น้อยๆ……

กู้ชิงหยิ่งออกแรงส่ายหัว : “ไม่แน่ว่าการหนีรอดจากความตายมาได้อย่างฉิวเฉียดเมื่อคืนนี้ อาจจะทำให้นิสัยบางอย่างของเขาเปลี่ยนไปก็ได้ เขาอาจจะอยากมอบความทรงจำในการถ่ายภาพแต่งงานที่พิเศษที่สุดให้แก่ฉันก็ได้ ดังนั้นจึงได้แสร้งทำเป็นใจกล้า เต้นรำกับฉันต่อหน้าผู้คนมากมายขนาดนั้น ?”

ขณะที่พูด เธอก็ตีหัวตัวเองด้วยความหงุดหงิด : “เฮ้อ กู้ชิงหยิ่ง ทำไมเธอถึงได้สงสัยสามีตัวเองแบบนี้นะ ? นี่คือสามีตัวจริงของเธอนะ !”

……

ภายใต้ความมืด

ยังคงเป็นความมืดที่มืดสนิท

เฉินตงลืมตาขึ้น แต่เขากลับรู้สึกราวกับตนเองนั้นไม่มีดวงตา

พื้นที่ที่คับแคบและอึดอัด ทำให้เขาไม่สามารถขยับได้แท้กระทั่งแขนขา

เขารู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งตัว

หัวของเขายังคงรู้สึกเจ็บอยู่ แต่เลือดหยุดไหลไปแล้ว

โชคยังดีที่บาดแผลจากการกระแทกเมื่อครู่ไม่ใหญ่มาก มิเช่นนั้นเขาคงสูญเสียเลือดไปมากจนถึงแก่ชีวิตแล้วก็ได้ ?

ฟิ่ว……

ลมหนาวจับขั้วหัวใจพัดผ่านกล่องไม้และพัดเข้ามาด้านใน

ทำให้เฉินตงรู้สึกหนาวจนตัวสั่นและขนลุก

“ทำไมถึงได้หนาวขนาดนี้ ?”

เฉินตงขมวดคิ้ว และรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมา

ด้านนอกเงียบสงัด

เงียบจนสามารถได้ยินเสียงพัดของลมทะเล และเสียงของเกลียวคลื่น

ขณะที่เรือกำลังแล่นไปในทะเล ยิ่งแล่นผ่านเกลียวคลื่น การเคลื่อนไหวขึ้นลงก็ยิ่งชัดเจนเพิ่มมากขึ้น

นี่……กำลังจะไปที่ไหนกันแน่ ?

ตระกูลฉินจับฉันไว้แต่ไม่ยอมฆ่าฉัน แล้วยังเนรเทศฉันไปอีก เพื่อที่จะให้คนเข้ามาแทนที่ฉันอย่างนั้นหรือ ?

หลังจากความกลัวปะทุขึ้นในตอนแรก เมื่อตั้งสติได้ ในที่สุดเฉินตงก็สามารถสงบสติอารมณ์ลงได้

คุนหลุนเคยบอกว่า

ยิ่งเป็นช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน ยิ่งต้องทำจิตใจให้สงบ

มีเพียงความสงบเท่านั้น ที่จะพาเราข้ามผ่านวิกฤตไปได้

เฉินตงนอนขดตัวอยู่ในกล่องไม้ แล้วคิดวิเคราะห์อย่างใจเย็น

ในความเป็นจริงแล้ว ตอนนี้นอกจากสมองของเขาที่พอจะขยับได้แล้ว ร่างกายส่วนอื่นๆ ของเขานั้นแทบจะไม่มีพื้นที่ให้ขยับได้เลย

ไม่ว่าจุดหมายปลายทางของเรือคือที่ไหน เขาก็จะต้องถูกทิ้งเอาไว้ที่นั่นอยู่ดี

จึงต้องอาศัยช่วงเวลาที่ไร้เรี่ยวแรงในตอนนี้ ใช้ความคิดให้ได้มากที่สุด นี่เป็นสิ่งเดียวที่เขาพอจะทำได้

“ตัวแทน คิดที่จะเข้ามารับช่วงต่อทุกอย่างของเขา เรื่องนี้คงจะมีเพียงแค่ตระกูลเฉินเท่านั้น เพราะตระกูลฉินคงไม่กล้าอย่างแน่นอน”

คิ้วของเฉินตงยิ่งขมวดแน่นขึ้น

ตระกูลฉินกล้าลงมือสังหารเขา นั่นเป็นเพราะเขาไม่มีตัวตนในตระกูลเฉิน ถึงแม้พ่อจะมอบตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกให้แก่เขา อย่างไรเสียเขาก็เป็นลูกนอกคอกอยู่ดี

ถึงแม้ก่อนหน้านี้พ่อจะจัดการกับตระกูลหลี่ แต่ตระกูลฉินกับตระกูลหลี่นั้น ใครเหนือกว่าใครก็ยากที่จะตัดสินได้ การที่ตระกูลฉินกล้าท้าทายกับความโกรธของพ่อ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

ความโกรธที่เกิดจากการสังหารลูกนอกคอก ตระกูลฉินพอจะรับได้

แต่การส่งตัวแทนเขาไปรับช่วงการเป็นเจ้าบ้านต่อในตระกูลเฉิน

นี่ถือเป็นแผนการของคนนอกที่ตั้งใจจะล้างเผ่าพันธุ์ตระกูลเฉินชัดๆ !

อย่าว่าแต่พ่อเลย แม้แต่คนในตระกูลเฉินคนอื่นๆ ก็ไม่มีทางยอมแน่นอน !

ทันใดนั้นเอง !

เฉินตงก็นึกถึงเรื่องเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้

“คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน ? !”

เขาอดไม่ได้ที่จะโพล่งออกมาด้วยความตกใจ

ข่าววงในที่พ่อส่งมาก่อนหน้านี้ก็คือ ช่วงระยะเวลาใกล้ๆ ที่ผ่านมา คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินเดินทางไปยังตระกูลฉิน ให้เขาระวังตัว

ถ้าหากตระกูลฉินและคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินร่วมมือกัน หากตระกูลฉินมีคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินคอยหนุนหลังอยู่

คนที่เป็นตัวแทนคงจะต้องมีความกล้าหาญอย่างแน่นอน !

แล้วจะเลือกใครเป็นตัวแทนล่ะ ?

ความคิดของเฉินตงแล่นอย่างรวดเร็ว

หลังจากที่เขาสงบสติอารมณ์ลงได้แล้ว ทำให้เขาเกิดสมาธิขึ้นอย่างมากในสภาพที่มืดมิดเช่นนี้

เพียงไม่กี่วินาที

ตัวของเฉินตงก็สั่นเทา

ราวกับมีพลุจุดขึ้นในสมองอันมืดมิดของเขา

“หรือว่า……คนที่ฉินเย่บอกคนนั้น ?”

เสียงของเฉินตงเคร่งเครียด เขารู้สึกตัวสั่น และปากของเขาเย็นยะเยือก : “แต่ตระกูลโจวถูกจัดการไปแล้ว แล้วคนของตระกูลโจวคนนั้น……”

เมื่อพูดได้เพียงครึ่งหนึ่งเขาก็หยุด

ความหนาวเย็นแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายของเขา

เขารู้สึกเหมือนตัวเองหล่นลงไปสู่ถ้ำน้ำแข็งทันที

แม้กระทั่งลมหนาวที่พัดเข้ามาจากด้านนอกในตอนนี้ ก็ยังไม่อาจเทียบเท่าได้กับความหนาวเหน็บที่อยู่ในใจของเขา

“ฉันคิดผิดเสียแล้ว แผนการของตระกูลฉินไม่ได้เริ่มตั้งแต่ปล่อยข่าวเรื่องนั้นออกมา”

“แต่เริ่มตั้งแต่การลอบฆ่าที่ผิดพลาดที่เกิดขึ้นในหมู่ตึกยู่ฉวน แผนการทุกอย่างก็ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว เป็นแผนการของคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน !”

“คนที่อยู่เบื้องหลังการลอบสังหารก็คือคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน ดังนั้นหลังจากที่เธอเดินทางไปซีสู่เพื่อร่วมมือกับตระกูลฉิน เธอก็ใช้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตระกูลฉินเพื่อบังหน้า และเริ่มดำเนินแผนการของเธออย่างชัดเจน”

ตอนนี้ ความสงสัยทุกอย่างที่เคยวนเวียนอยู่ในสมองก่อนหน้านี้ กระจ่างแจ้งขึ้นมาในทันที ราวกับบานประตูที่ถูกเปิดออก

ความหนาวเหน็บบนร่างกายยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น

“ถึงแม้ตระกูลโจวจะจบสิ้นลงแล้ว การที่พวกเขากลายเป็นแพะรับบาปถือเป็นเรื่องที่สมควร ! เมื่อเทียบกับผลประโยชน์ที่จะได้มา ก็คงคุ้มค่ากับการที่ตระกูลโจวยอมลงทุนเป็นแพะรับบาปสินะ ?”

“ใช้คนทั้งตระกูล เพื่อทำร้ายคนคนเดียว !

เปรี้ยง !

ราวกับมีฟ้าผ่าตอนกลางวันแสกๆ

ร่างกายของเฉินตงแข็งทื่อในทันที

ความโกรธและความเคียดแค้นก่อตัวขึ้นอย่างรุนแรง ราวกับเกลียวคลื่นขนาดมหึมา

เฉินตงจ้องตาเขม็งเหมือนลูกตาจะถลนออกมา ท่าทางของเขาในตอนนี้ราวกับสัตว์ร้าย เข้าพยายามต่อสู้ดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง

ต้องหนีออกไปให้ได้ !

จะต้องหนีออกไปให้ได้ !

เขาไม่รู้ว่าคนที่อยู่ด้านนอกคนนั้นพูดถึงคำว่ารับช่วงต่อหมายความว่าอย่างไร จะใช้วิธีการเช่นไรกันแน่ แต่ว่า “รับช่วงต่อชีวิตของเขา” เป็นสิ่งที่เขาไม่อาจที่จะจินตนาการได้เลย

ความกลัวเข้าปกคลุมภายในจิตใจของเขาอย่างรวดเร็ว

ตุ๊บๆๆ……

เฉินตงพยายามออกแรงทุบ และใช้เท้าเตะกล่องอย่างสุดกำลัง

รับช่วงต่อชีวิตของเขา ทำให้เขารับรู้ได้ทันทีว่าจะมีคนอีกคนหนึ่งเข้ามาใช้ชีวิตแทนที่เขาอย่างสมบูรณ์ ดำเนินชีวิตในเส้นทางของเขา รับช่วงต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเขา รวมไปถึงแม่และกู้ชิงหยิ่งด้วย !

สิ่งนี้ทำให้เขารู้ได้ทันทีว่า ตัวเขาเองจะต้องหายไปตลอดกาล !

เมื่อคิดถึงแม่ คิดถึงกู้ชิงหยิ่ง เฉินตงก็มีท่าทีเหมือนสัตว์ร้ายที่กำลังบ้าคลั่งและกระหายเลือด

การมีคนเข้ามาแทนที่เช่นนี้ เขาไม่มีวันยอมให้เกิดขึ้นแน่นอน !

จากนั้น

เป็นเพราะการต่อสู้ดิ้นรนของเขา ทำให้หัวของเขากระแทกจนเลือดไหลออกมา

กล่องถูกคนมัดเอาไว้กับที่เรียบร้อยแล้ว เป็นการมัดที่แน่นหนาจนกล่องไม่สามารถขยับเขยื้อนได้แม้แต่น้อย

“ไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ ฉันไม่มีวันปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ !”

เฉินตงบ่นพึมพำ ผ้าพันแผลที่พันอยู่บนศีรษะเปียกชุ่มไปด้วยเลือดอีกครั้ง ทำให้มีกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งออกมา

เขาพยายามทุบกล่องไม้อย่างสุดกำลัง : “ฉันจะกลับไป เสี่ยวหยิ่งยังรอถ่ายภาพแต่งงานกับฉันอยู่ แม่ยังรอฉันกลับบ้านอยู่ จะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ไม่ได้ ต่อให้ต้องตาย ฉันก็จะต้องหาทางกลับไปให้ได้”

ตุ๊บๆๆ……

มีเสียงดังสะท้อนไปมาอยู่ภายในกล่องไม้

ความกลัว ความไม่เต็มใจ ความโกรธแค้น ความขุ่นเคือง และอารมณ์ทุกรูปแบบประสมปนเปกันและปะทุอยู่ภายในกล่องไม้ที่ไม่ขยับเขยื้อน ความรู้สึกเหล่านี้ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นภายในจิตใจของเฉินตง

แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดตอนนี้ก็คือ บางแผลบนศีรษะของเขาเลือดไหลออกมาอีกครั้ง เนื่องจากแรงกระแทกอย่างรุนแรงเมื่อครู่

ทันใดนั้นก็เกิดอาการวิงเวียนศีรษะขึ้นอย่างรุนแรง

ในที่สุด เฉินตงก็ไม่อาจทนฝืนได้อีกต่อไป

และหมดสติไปอีกครั้ง……

……

เช้าวันรุ่งขึ้น

เมื่อฟ้าสว่าง

ประตูห้องของกู้ชิงหยิ่งมีเสียงเคาะดังขึ้น

เป็นเฉินตง

“เสี่ยวหยิ่ง เตรียมตัวเร็วเข้า วันนี้พวกเราจะถ่ายภาพแต่งงานกันแล้ว” เฉินตงยิ้มพลางพูดออกมา

“จะอยู่ถ่ายภาพแต่งงานที่นี่ต่ออีกหรือคะ ?”

กู้ชิงหยิ่งรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

เมื่อคืนเพิ่งจะเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนั้นขึ้น เฉินตงเพิ่งจะรอดพ้นจากความตายมาได้ ตระกูลฉินยังคงแอบจับตาดูอยู่ห่างๆ

เธอเตรียมตัวที่จะเดินทางกลับเรียบร้อยแล้ว แต่นึกไม่ถึงเลยว่าเฉินตงจะตัดสินใจเช่นนี้

“เรื่องเล็กน่า ตอนนี้แผนการของตระกูลฉินถูกเปิดเผยแล้ว ผมเองก็หนีกลับมาได้แล้ว มีคนของสำนักงานตระกูลเฉินคอยแอบคุมกันอยู่ ตระกูลฉินคงไม่กล้าลงมือผลีผลามอย่างแน่นอน”

เฉินตงเดาความคิดของกู้ชิงหยิ่งออก จึงพูดปลอบประโลมอย่างอ่อนโยน : “จุดประสงค์ที่เรามาไห่ย่าก็เพื่อถ่ายภาพแต่งงาน จะให้คนพวกนั้นมาทำลายแผนการที่เราวางเอาไว้ ไม่คิดว่าเป็นเรื่องน่าเสียดายหรอกหรือ ?”

กู้ชิงหยิ่งขมวดคิ้วแล้วถามว่า : “แล้วคุนหลุนกับกูหลังมีความเห็นว่อย่างไรคะ ?”

เธอเองก็ไม่ได้รู้สึกว่าสิ่งที่เฉินตงพูดมานั้นผิด

และไม่ใช่ปัญหาเรื่องความปลอดภัย เธอเองก็ไม่เต็มใจที่จะเดินทางกลับนัก

แต่เมื่อพูดถึงเรื่องความปลอดภัยของตัวบุคคลแล้ว สิ่งนี้ถามความเห็นจากคุนหลุนและกูหลังน่าจะเป็นการดีที่สุด

เรื่องพวกนี้ พวกเขาทั้งสองคนจึงจะถือว่าเป็นมืออาชีพ

“ยังไม่ได้ถามเลย” เฉินตงยักไหล่

สิบนาทีผ่านไป

เมื่อคุนหลุนและกูหลังตามมาที่ห้องพักของกู้ชิงหยิ่ง และได้รู้แผนการที่เฉินตงวางไว้แล้วนั้น

ปฏิกิริยาของทั้งสองคนก็ไม่ต่างกับกู้ชิงหยิ่ง

“คุณชาย ตอนนี้ไห่ย่าไม่ปลอดภัยนัก ต่อให้คนของสำนักงานตระกูลเฉินจะคอยแอบคุ้มกันอยู่ก็ตาม แต่ผมรู้สึกว่าพวกเราควรจะเดินทางกลับเดี๋ยวนี้ เพื่อความปลอดภัย”

คุนหลุนขมวดคิ้วและกล่าวเตือน

ตระกูลฉินเตรียมการมาเป็นอย่างดี เมื่อคืนเฉินตงสามารถหนีเอาตัวรอดจากความตายมาได้ สำหรับเขาก็ถือว่าเป็นเรื่องที่โชคดีที่สุดแล้ว

กันไว้ดีกว่าแก้ ต่อให้มีคนของสำนักงานตระกูลเฉินคอยคุ้มกันอยู่ ก็ไม่แน่ว่าจะปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์

ตระกูลฉินได้หมายหัวเฉินตงเอาไว้แล้ว

และได้ฉินตัดความสัมพันธ์กับตระกูลเฉินเรียบร้อยแล้ว

ตอนนี้ตระกูลเฉินไม่สามารถควบคุมตระกูลฉินได้ ถึงถือเป็นเรื่องยากที่จะหวังให้ตระกูลฉินยอมรามือ

“คุณเฉิน ผมว่าสิ่งที่พี่คุนหลุนพูดนั้นมีเหตุผล”

กูหลังขมวดคิ้วแล้วพูดว่า : “เมื่อคืนรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด ตอนนี้ถึงแม้จะรู้ว่าเป็นฝีมือของตระกูลฉิน สามารถให้สำนักงานตระกูลเฉินคอยแอบคุ้มกันให้ได้ แต่ตระกูลฉินมีการแอบวางแผนลอบฆ่ามาเป็นอย่างดีแล้ว จึงไม่มีทางที่จะยอมรามือง่ายๆ เช่นนี้แน่นอน”

“เฉินตง พวกเรากลับกันก่อนดีไหม ?”

กู้ชิงหยิ่งรับฟังความคิดเห็นของคุนหลุนและกูหลัง จากนั้นจึงกล่าวเตือนว่า : “อย่างมากก็แค่เปลี่ยนสถานที่ถ่ายภาพแต่งงาน ถึงแม้งานแต่งใกล้เข้ามาทุกที แต่ก็ใช่ว่าจะหาเวลาไม่ได้”

จู่ๆ เฉินตงก็รู้สึกขำ

ดวงตาของเขาเฉียบคมขึ้นทันที

“โดนงูฉกแค่ครั้งเดียวจะเป็นต้องกลัวหัวหดขนาดนี้เลยหรืออย่างไร ? หากเป็นเช่นนี้จริง ที่ผมเติบโตขึ้นมาในที่มืดมิด จะกล้าเดินออกมาหาแสงสว่างได้อย่างไร ?”

คำพูดนี้ทำให้พวกของกู้ชิงหยิ่งทั้งสามคนตกตะลึง

เฉินตงกล่าวอีกว่า : “งานแต่งของผมกับเสี่ยวหยิ่งใกล้เข้ามาทุกที ผมไม่อยากสนใจเรื่องของตระกูลฉินในตอนนี้ รอให้งานแต่งผ่านพ้นไปก่อน ผมจะต้องคิดบัญชีกับตระกูลฉินอย่างแน่นอน”

“หากตระกูลฉินลงมือพลาดเมื่อคืนนี้ แล้วยังจะกล้ากลับมาลงมือซ้ำอีกละก็ ผมก็จะเชิญพ่อและตระกูลหลี่แห่งเมืองหลวงไปร่วมมือกันจัดการตระกูลฉินแห่งซีสู่ในทันที !”

“แต่ว่า……”

คุนหลุนสีหน้าเคร่งเครียด ความดื้อรั้นของเฉินตงทำให้เขารู้สึกวิตกกังวล

แต่เฉินตงกลับโบกมือ : “ไม่ต้องพูดแล้ว ในเมื่อผมรับปากเสี่ยวหยิ่งแล้ว ผมก็จะต้องทำให้สำเร็จให้ได้ รีบติดต่อทีมช่างภาพให้เริ่มถ่ายภาพแต่งงานได้แล้ว”

พูดจบ เขาก็หันหลังเดินจากไป

พวกของกู้ชิงหยิ่งทั้งสามคนยืนตะลึงอยู่ที่เดิม

พวกเขาหันมองหน้ากัน

กูหลังรู้สึกลังเล : “นี่มันอันตรายเกินไป”

คุนหลุนยิ้มออกมาอย่างขมขื่น : “นิสัยของคุณชาย เมื่อตัดสินใจลงไปแล้ว ยากที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ นายกับฉันคอยคุ้มกันอยู่ข้างๆ ส่วนคนของสำนักงานตระกูลเฉินก็จะแอบคุ้มกันอยู่ห่างๆ ก็น่าจะผ่านไปได้ด้วยดี”

มีเพียงกู้ชิงหยิ่งที่ขมวดคิ้ว เหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่

เธอบ่นพึมพำออกมาว่า : “ฉันรู้สึกมาตลอดว่า หลังจากเกิดเรื่องเมื่อคืนขึ้น เฉินตงก็ดูแปลกไป”

“แปลกตรงไหน ?” คุนหลุนและกูหลังเอ่ยถามขึ้นพร้อมกัน

“บอกไม่ถูกเหมือนกัน”

กู้ชิงหยิ่งส่ายหัว และพูดอย่างสับสน : “เพราะบอกไม่ถูก ถึงได้รู้สึกว่ายิ่งแปลกเข้าไปใหญ่ เป็นความรู้สึกแบบนั้น ความรู้สึกของผู้หญิง”

คุนหลุนและกูหลังหันมองหน้ากัน แล้วยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้

ทั้งสองคนผ่านความเป็นความตายและการนองเลือดมาอย่างโชกโชน พวกเขาจึงสามารถอาศัยความรู้สึกในการตัดสินใจเรื่องต่างๆ ได้อย่างแม่นยำ

แต่นี่คือสิ่งที่ได้มาจากการฝึกฝนและการผ่านความเป็นความตายมาหลายต่อหลายครั้ง

สัมผัสที่หกของผู้หญิง ?

มีอยู่จริงหรือเปล่า ?

ครึ่งชั่วโมงผ่านไป

การถ่ายภาพแต่งงานเริ่มต้นขึ้น

เฉินตงอยากจะจัดงานแต่งงานที่เป็นที่จดจำไปชั่วชีวิตให้แก่กู้ชิงหยิ่ง ดังนั้นทุกเรื่องที่ทำจึงต้องออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด จะต้องไม่มีข้อผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว

หลังจากทีมช่างภาพเลือกจุดที่ดีที่สุดสำหรับการถ่ายภาพแต่งงานได้แล้ว

เฉินตงก็ทำการปิดล้อมพื้นที่บริเวณนั้นทั้งหมด

ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้มีคนเข้ามารบกวนการถ่ายภาพแต่งงาน

ทีมช่างภาพฝีมือระดับแนวหน้า ไม่ว่าจะเป็นการแต่งหน้า การจัดแสง มุมกล้องและด้านอื่นๆ ล้วนแล้วแต่แสดงออกให้เห็นถึงความเป็นมืออาชีพอย่างแท้จริง

การถ่ายภาพแต่งงานเป็นไปอย่างราบรื่นไม่มีสะดุด และไม่มีอุปสรรคใดๆ แม้แต่น้อย

สิ่งนี้ทำให้รู้สึกสดชื่นในขณะจะต้องอยู่ท่ามกลางแสงแดดบนชายหาด พวกเขาไม่ต้องรู้สึกรำคาญใจเพราะการทำงานที่ไม่ได้เรื่องของช่างภาพ

การถ่ายภาพดำเนินไปตลอดทั้งวัน

ทุกคนต่างรู้สึกหมดแรง

เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน

การถ่ายภาพตลอดทั้งวันก็สิ้นสุดลง

ทุกคนหอบร่างที่เหนื่อยล้าเดินกลับโรงแรมไป

ตอนนี้ลมทะเลพัดเย็น

หลังจากที่เดินออกมาจากแนวกั้นแล้ว คนที่อยู่บนชายหาดก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้น

มีแสงไปสลัวๆ และลมทะเลที่พัดเย็น

ขณะที่กู้ชิงหยิ่งกำลังเดินอยู่นั้น

จู่ๆ ด้านหลังก็มีเสียงที่อ่อนโยนของเฉินตงดังขึ้นมา

“เสี่ยวหยิ่ง วิวสวยขนาดนี้ พวกเรามาถ่ายภาพกลางคืนกันอีกสักชุดไหม ?”

“ภาพกลางคืน ?”

ใบหน้าอันงดงามของกู้ชิงหยิ่งเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า เธอถามขึ้นมาด้วยความสงสัยว่า : “แผนการถ่ายภาพตอนกลางคืนไม่ได้ถ่ายที่นี่สักหน่อย ทีมช่างภาพยังไม่ได้เตรียมตัวกันมานะคะ”

“ไม่เป็นไรหรอก วิวสวยๆ ขนาดนี้ คุณไม่คิดว่าเราน่าจะเต้นรำกันสักหน่อยหรือ ให้ทีมช่างภาพถ่ายเก็บเอาไว้สักสองสามภาพ เอาไว้ใส่ในภาพแต่งงาน น่าจะสวยไม่เบา ?”

ดวงตาของเฉินตงเป็นประกาย เขายิ้มให้กับแสงสลัวๆ ที่สาดส่องอยู่รอบๆ ชายหาด

แอ๊ด !

กู้ชิงหยิ่งเปิดประตูออก

เร็วจนคุนหลุนมองแทบไม่ทัน

ขณะที่ประตูเปิดออก

ไปหน้าที่คุ้นเคยก็ปรากฏออกมา

“เฉินตง !”

กู้ชิงหยิ่งไม่อาจควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป เธอร้องไห้ออกมาและพุ่งเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเฉินตง มือทั้งสองข้างของเธอโอบเอวของเฉินตงเอาไว้แน่น : “คุณทำให้ฉันตกใจแทบแย่ คุณทำให้ฉันตกใจแทบแย่จริงๆ”

เฉินตงยิ้มออกมาอย่างอ่อนแรง : “ขอโทษ เป็นความผิดของผมเอง”

กู้ชิงหยิ่งกัดริมฝีปากแดงระเรื่อของเธอ จากนั้นจึงร้องไห้ออกมาพลางส่ายหน้า

ตอนที่เห็นเฉินตง คุนหลุนและกูหลังเองก็รู้สึกโล่งใจพร้อมกัน ราวกับว่าได้ยกภูเขาออกจากอกแล้ว

ถึงแม้สภาพของเฉินตงในตอนนี้จะดูอิดโรยเป็นอย่างมาก

เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง เนื้อตัวแปดเปื้อนไปด้วยเลือดและโคลน แม้กระทั่งบริเวณแขนและศีรษะเองก็มีบาดแผลจนมีเลือดสีแดงสดไหลออกมา

แต่อย่างไรเสีย ก็ถือว่ายังสามารถเอาชีวิตรอดกลับมาได้

“คุณชาย รีบเข้ามาเร็วครับ”

คุนหลุนพูดด้วยท่าทีที่เคร่งขรึมและรีบเร่ง

กู้ชิงหยิ่งไม่ยอมปล่อยมือจากเฉินตง เธอทำราวกับว่าถ้าหากเธอปล่อยเฉินตงไป เขาจะสลายหายไปต่อหน้าต่อตาอย่างไรอย่างนั้น

มีเพียงแค่การได้เผชิญกับการแยกจากกันด้วยความเป็นความตายเท่านั้น ที่จะสามารถทำให้เธอเข้าใจได้อย่างชัดเจนว่า อันที่จริงแล้วตัวเธอเองนั้นรักเฉินตงมากมายเพียงใด

เฉินตงยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ เขาจึงจำเป็นต้องเดินโซเซเข้ามาในห้อง ในขณะที่มีกู้ชิงหยิ่งอยู่ในอ้อมกอด

คุนหลุนชะโงกหน้าออกไปมองโถงทางเดิน เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครตามมา

จากนั้นจึงปิดประตูและล็อกให้แน่นหนา

ส่วนกูหลังเองก็รีบเดินไปปิดหน้าต่างในห้องพักและดึงผ้าม่านลงมา

“คุณชาย คุณหนีกลับมาเองหรือ ?”

คุนหลุนถามด้วยความประหลาดใจและรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย

ตอนนี้ทางฝั่งของตระกูลเฉินยังไม่ส่งข่าวกลับมา แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะอำนาจของตระกูลเฉิน ที่ทำให้เฉินตงรอดพ้นจากความตายมาได้

มีเพียงแค่เฉินตงที่ช่วยเหลือตัวเองจนรอดออกมาได้เท่านั้น !

เฉินตงรับผ้าขนหนูมาจากกูหลัง หลังจากนั้นจากนั้นจึงเอามาปิดบาดแผลบนศีรษะเอาไว้ แล้วจึงพยักหน้าและพูดออกมาอย่างอ่อนแรงว่า : “ฉันเริ่มรู้สึกผิดสังเกตเมื่อรถวิ่งไปได้ครึ่งทาง รถของตำรวจมุ่งหน้าไปยังเขตชานเมือง คพวกนั้นล้วนแล้วแต่เป็นตำรวจปลอม เป็นคนที่ตระกูลฉินส่งมา”

“ฉันต่อสู้อย่างสุดกำลัง จัดการกับพวกตำรวจปลอมที่อยู่ภายในรถ จนกระทั่งรถตำรวจเกิดพลิกคว่ำ จากนั้นฉันจึงอาศัยโอกาสนี้ วิ่งเข้าไปในพื้นที่ทุรกันดารที่อยู่ข้างทาง ฉันพยายามหลบหลีกจนสามารถหนีเอาตัวรอดมาได้”

น้ำเสียงของเขาเรียบเฉย

คำพูดที่พูดออกมาก็ธรรมดาไม่ซับซ้อน

แต่เมื่อพวกของกู้ชิงหยิ่งได้ยินแล้ว มันทำให้ตกอกตกใจเป็นใหญ่เลย

จากคำพูดเพียงไม่กี่คำ ก็รับรู้ได้ถึงอันตรายที่เกิดขึ้นในตอนนั้นทันที

และตอนนี้บาดแผลบนร่างเฉินตง ก็ได้บ่งบอกความโหดร้ายในตอนนั้นได้อย่างเต็มที

“กลับมาก็ดีแล้ว ขอแค่คุณปลอดภัยกลับมาก็พอแล้ว”

กู้ชิงหยิ่งกอดเฉินตงเอาไว้ตลอดเวลา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นว่า : “ฉันสามารถสูญเสียทุกอย่างได้ แต่ฉันไม่สามารถสูญเสียคุณไปได้ คุณรับปากกับฉันแล้วว่าจะถ่ายภาพแต่งงานกับฉัน และจะแต่งงานกับฉัน !”

เฉินตงยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน : “เด็กโง่ของผม ผมก็กลับมาแล้วไม่ใช่หรือ ?”

ดวงตาของกู้ชิงหยิ่งสั่นไหวเล็กน้อย

ส่วนคุนหลุนที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พูดขึ้นมาว่า : “ผมจะพาคุณชายไปทำแผลที่โรงพยาบาลก่อน และผมจะรีบติดต่อกับคนของสำนักงานตระกูลเฉินทันที หากมีคนของตระกูลเฉินอยู่ ตระกูลฉินก็ไม่สามารถทำอะไรได้อีกต่อไป”

ขณะที่พูด คุนหลุนก็หันไปมองกูหลัง : “กูหลัง นายดูแลเสี่ยวหยิ่งให้ดี”

กูหลังพยักหน้ารับอย่างเคร่งขรึม

เฉินตงเองก็ไม่ปฏิเสธ เขาพูดปลอบใจสองสามประโยคให้กู้ชิงหยิ่งสงบลง จากนั้นจึงลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องไปพร้อมกับคุนหลุน

ตอนนี้เฉินตงหนีกลับมาได้แล้ว

ตระกูลฉินเองจึงไม่อาจลงมือได้อีกต่อไป

สถานการณ์ทุกอย่างกลับพลิกผัน

หากไห่ย่าถูกอำนาจของตระกูลเฉินควบคุมเอาไว้อยู่ ตระกูลฉินก็อย่างหวังเลยว่าจะมีโอกาสแตะต้องเฉินตงอีก

“เสี่ยวหยิ่ง ไม่เป็นไรหรอก”

กูหลังเห็นเสี่ยวหยิ่งมัวแต่จ้องมองไปที่ประตู จึงกล่าวปลอบใจออกมา

ถึงแม้คุนหลุนและเฉินตงจะออกไปแล้ว แต่ประตูก็ถูกปิดสนิทเหมือนเดิม กู้ชิงหยิ่งเองก็ไม่ยอมละสายตาออกจากประตู

กู้ชิงหยิ่งจ้องมองประตูแล้วร้องไห้ออกมา แววตาของเธอดูลึกซึ้ง

เมื่อได้ยินคำพูดของกูหลัง เธอก็ตั้งสติได้ จากนั้นจึงพยักหน้าแล้วพูดว่า : “กูหลัง เมื่อก่อนเฉินตงเอาแต่เรียกฉันว่ายัยโง่มาโดยตลอด แต่ไม่เคยเรียกว่าเด็กโง่ของผม”

กูหลังผงะไป

จากนั้นจึงหัวเราะออกมา : “แล้วมันต่างกันตรงไหน ? วันนี้คุณชายสามารถหนีพ้นจากความตายมาได้ อารมณ์ของเขากำลังตึงเครียด จึงอาจจะเรียกผิดไปบ้าง

“เป็นอย่างนั้นจริงหรือ ?”

กู้ชิงหยิ่งรู้สึกสงสัยอยู่สักพัก จากนั้นจึงหัวเราะเยาะตัวเอง อาจเป็นเพราะเมื่อครู่ฉันตกใจเกินไป ตอนนี้จึงอ่อนไหวกับอะไรได้ง่าย

……

“หึ”

ในความมืด เสียงที่ฟังดูอ่อนแรงอุทานขึ้นมา

เฉินตงค่อยๆ ลืมตาขึ้น และพบว่าตนเองอยู่ในที่ที่มืดสนิท

รอบข้างมองไม่เห็นอะไรเลยแม้แต่น้อย

เขารู้สึกถึงความเจ็บปวดที่รุนแรงทั้งบนหัวและบนร่างกายของเขา

ที่นี่คือที่ไหน ?

เฉินตงรู้สึกสงสัย เขาลองขยับมือและเท้า แต่กลับพบว่าบริเวณโดยรอบแน่นขนัด และมีพื้นที่ให้ขยับเขยื้อนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

อีกทั้งเขาเองก็กำลังนอนขดตัวอยู่

“กล่อง ?”

จู่ๆ เฉินตงก็นึกถึงสิ่งที่น่าจะเป็นไปได้ออกมา

ถึงแม้จะมีพื้นที่จำกัด แต่มือและเท้าของเขาก็ยังพอขยับเขยื้อนได้บ้างเล็กน้อย

เขาค่อยๆ ยกมือขึ้นไปลูบศีรษะ

ภาพความทรงจำสุดท้ายก่อนที่เขาจะหมดสติไปก็คือ ศีรษะของเขาได้รับบาดเจ็บอย่างมาก

ถ้าหากไม่ได้รับการรักษา คงจะต้องเสียเลือดจนตายอย่างแน่นอน ?

ขณะที่มือเพิ่งจะสัมผัสกับศีรษะ เฉินตงก็รู้สึกตกตะลึง

บนศีรษะของเขามีผ้าพันแผลหนาพันเอาไว้ !

มีคนรักษาฉัน ?

เฉินตงรู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก

ในความมืด เขาไม่สามารถมองเห็นอะไรได้อย่างชัดเจน แต่ความคิดของเขากลับแล่นไปอย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม ในสภาพแวดล้อมที่มืดมิดและคับแคบ เฉินตงกลับพบว่าตนเองนั้นไม่สามารถควบคุมความคิดของตนเองได้

อีกทั้งความคิกส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นยังเต็มไปด้วยความน่ากลัว ความตึงเครียด และความตื่นตระหนกที่ทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

เขาพยายามสูดหายใจเข้าเต็มปอด เพื่อที่จะสามารถควบคุมสติอารมณ์ของตนเองเอาไว้ได้

พวกเขาจะส่งฉันไปที่ไหนกันแน่ ?

ทำไมหลังจากที่ตระกูลฉินจับฉันได้แล้ว ถึงไม่ยอมฆ่าฉันให้ตายเสีย แต่กลับรักษาแผลให้แก่ฉัน ให้ฉันได้มีโอกาสมีชีวิตอยู่ต่อไป ?

ตระกูลฉินทำเช่นนี้ มีจุดประสงค์อะไรกันแน่ ?

ความสงสัยค่อยๆ ปรากฏขึ้นในหัวของเฉินตงเต็มไปหมด

แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ เฉินตงไม่สามารถคิดหาคำตอบออกมาได้จริงๆ

แม้กระทั่ง……ตัวเขาเองหมดสติไปนานขนาดไหน เขาเองยังไม่รู้เลย

เสียงด้านนอกเงียบสงัด

หากเงี่ยหูฟังก็ยังพอได้ยินเสียงลมพัดผ่านอยู่บ้าง

เฉินตงลองใช้จมูกสูดกลิ่นสองครั้ง และพบว่าลมที่พัดผ่านนั้นมีความชื้นและมีกลิ่นอายของความเค็ม

“นี่คือ……ลมทะเล ? ฉันอยู่บนทะเล ?”

จู่ๆ เขาก็ตั้งสติได้ ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาและกู้ชิงหยิ่งเดินเล่นบนหาดทราย ก็ได้กลิ่นลมในลักษณะนี้

“พวกแก พวกแกคิดจะส่งฉันไปที่ไหนกันแน่ ?”

เฉินตงลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว เขารู้สึกกังวลกับความกลัวที่ไม่อาจคาดเดาได้ว่าเป็นอะไร สิ่งนี้ทำให้เขาพยายามกระเสือกกระสนดิ้นรนโดยไม่สนอะไรอีกต่อไป

ตุ๊บๆๆ……

เสียงของกล่องไม้ดังขึ้นอย่างรุแรง เนื่องจากเขากำลังดิ้นรนอยู่ภายใน

ในระหว่างที่กำลังต่อสู้ดิ้นรนอย่างหนัก เฉินตงรู้สึกว่าตนเองน่าจะอยู่ในตำแหน่งที่สูง เพราะในขณะที่เขาดิ้นรนอยู่นั้น รัศมีการสั่นสะเทือนค่อนข้างรุนแรง

ไม่แน่ว่า……หากหล่นลงไปจากตรงนี้ อาจจะทำให้กล่องไม้แตกออกก็เป็นได้ ?

เมื่อคิดได้เช่นนั้น เฉินตงจึงพยายามต่อสู้ดิ้นรนอย่างสุดชีวิต

พื้นที่ภายในกล่องไม้ที่มีอยู่อย่างจำกัด ทำให้เขาไม่สามารถออกแรงทุบกล่องไม้ให้แตกได้

แต่หากอาศัยความสูง น่าจะเพียงพอ !

ส่วนจะสูงขนาดไหนนั้น และผลลัพธ์หลังจากที่ตนเองร่วงลงไปจะเป็นเช่นไรนั้น

สิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่สิ่งที่เฉินตงควรจะมานั่งครุ่นคิดอีกต่อไป

จากนั้น

ตุ๊บ !

จู่ๆ มีเสียงดังขึ้นด้านนอกกล่อง

การต่อสู้ดิ้นรนของเฉินตงหยุดนิ่งลง

เขารู้สึกว่ากล่องที่ถูกเขาเตะจนเอียงกลับมาตั้งตรงเหมือนเดิม

ในขณะเดียวกัน ด้านนอกก็มีเสียงตะโกนด่าเสียงดังดังขึ้น

“ร่างกายของแกแข็งแรงไม่เบานะ สลบไปแค่ห้าชั่วโมงก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว อย่าขยับมั่วซั่วเลย ด้านล่างเป็นทะเล หากตกลงไป แกจะต้องจมดิ่งลงไปอยู่ก้นทะเลแน่นอน”

เฉินตงผงะไป จากนั้นจึงรีบเอ่ยถามว่า : “พวกแกจะพาฉันไปไหนกันแน่ ?”

“จะพาแกไปในที่ที่แกไม่มีวันนึกถึงได้แน่นอน เป็นที่ที่แม้แต่ตระกูลเฉินของแกก็ไม่มีวันหาเจอ”

เสียงนั้นพูดไปพลางหัวเราะไปพลาง จากนั้นจึงออกคำสั่งว่า : “พวกแกยังไม่รีบมานี่อีก มัดกล่องนี่ให้อยู่นิ่งกับที่เดี๋ยวนี้ ถ้าหากหล่นลงไปกลางทางแล้วละก็ อย่าหาว่าฉันใจร้ายใจดำกับพวกแกก็แล้วกัน !”

ก๊อกๆ !

จากนั้น เฉินตงได้ยินเสียงเคาะกล่องไม้สองครั้ง

จู่ๆ เสียงนั้น ก็หัวเราะเยาะขึ้นมา

“แกเดินทางอย่างสบายใจได้เลย ของของแกทุกอย่างมีคนคอยรับช่วงต่อแล้ว เอ๊ะ……ได้ยินมาว่าคู่หมั้นของแกเป็นหญิงสาวที่หน้าตาสวยสดงดงามเสียด้วยนี่ ฮ่าๆๆ……”

ต้องลองดูสักตั้งในขณะที่ยังมีโอกาส

หากไม่ขึ้นฮึดสู้ ถ้าตกอยู่ในมือของตระกูลฉินแล้ว ก็คงไม่ต้องคาดเดาถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นอีกต่อไป

ในพจนานุกรมของเฉินตง ไม่เคยมีคำว่า “รอความตาย” บัญญัติเอาไว้

ต่อให้ต้องตาย เขาก็ขอต่อสู้จนตัวตาย

ทันทีที่เขาตัดสินใจเช่นนี้

เจตนาฆ่าในแววตาของเขาก็ทวีความรุนแรงจนถึงขีดสุด

ทันใดนั้น

ตัวเขาก็สั่นเทา

“ฮ่าๆ” เฉินตงหัวเราะออกมา

เสียงหัวเราะทำให้ตำรวจที่นั่งขนาบอยู่สองข้างตกตะลึง

ส่วนตำรวจวัยกลางคนที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งข้างคนขับก็รู้สึกตกใจจนต้องหันมามอง จากนั้นจึงโยนก้นบุหรี่ที่อยู่ในมือใส่เฉินตง

“แกหัวเราะอะไรของแก ?”

รอยยิ้มของเฉินตงยิ่งดูสดใสยิ่งขึ้น เขามองตรงไปยังตำรวจวัยกลางคนด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยเจตนาฆ่าที่รุนแรง

“ของปลอม ยังไงก็เป็นของจริงไปไม่ได้ !”

แววตาของตำรวจวัยกลางคนเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก เขาขมวดคิ้วทันที

ตำรวจที่เป็นคนขับรถเองก็เหยียบเบรกอย่างกะทันหัน จนรถสั่นไปมา

“ไอ้บ้าเอ๋ย แกขับให้มันดีๆ หน่อยไม่ได้หรือไง ?”

หัวของตำรวจวัยกลางคนเกือบกระแทก เขาจึงหันไปต่อยไหล่ของตำรวจคนที่ทำหน้าที่ขับรถด้วยความโกรธ

จากนั้น เขาก็หันกลับไปมองเฉินตงด้วยความโมโห : “แกพูดบ้าอะไรกัน ?”

แน่ใจแล้ว !

ตัวปลอมแน่นอน !

รอยยิ้มที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของเฉินตงยิ่งชัดเจนขึ้น เขาค่อยๆ หรี่ตาลง

เขาทำเช่นนี้เพราะเกรงว่าการสันนิษฐานของตนเองนั้นจะผิดพลาด จึงได้แสร้งทดสอบดู

ตำรวจอาจจะวางตัวไม่ดี หรืออาจจะไม่สนใจเกียรติยศศักดิ์ศรีได้

แต่ในเมื่อเป็นตำรวจเหมือนกัน ต่อให้เป็นหัวหน้ากับลูกน้อง นำเสียงและคำพูดที่ใช้ก็คงไม่หยาบคายถึงขนาดนี้ !

พวกนักเลงเท่านั้น ที่จะแสดงกิริยาเช่นนี้ออกมา

ตุ๊บ !

ทันใดนั้นเอง เฉินตงก็โค้งตัวลงเหมือนคันธนู แล้วดีดตัวกลับ ใช้หัวกระแทกเข้าที่ใบหน้าของตำรวจคนที่นั่งอยู่ทางด้านซ้าย

“โอ๊ย !”

เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด ดังก้องอยู่ในรถตำรวจ

เหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวายขึ้นทันที

ตำรวจที่ทำหน้าที่ขับรถตกใจจนมือไม้สั่น

รถที่กำลังแล่นด้วยความเร็วก็เริ่มวิ่งคดเคี้ยวเหมือนงูเลื้อย

แต่ทว่า นี่คือสิ่งที่เฉินตงต้องการให้เกิดขึ้น

ยิ่งชุลมุนยิ่งดี

“ไอ้บ้าเอ๋ย นี่แกกล้าขัดขืนหรือ ?”

สีหน้าของตำรวจวัยกลางคนเปลี่ยนไปทันที เขายื่นมือเข้าไปคว้ากระบองที่เหน็บอยู่บนตัวออกมา จากนั้นจึงฟาดไปที่เฉินตง

เฉินตงไม่อาจหลบไปไหนได้ เขาจึงรีบหันหลังให้ทันที “เผียะ” เสียงตีดังขึ้น หลังของเขาถูกตีเข้าอย่างแรงจนแทบรู้สึกหายใจไม่ออก

ในขณะนี้ ตำรวจมือขวาก็ตกตะลึงตื่นขึ้นมา พุ่งเข้าไปหาตัวเขาโซซัดโซเซ

เฉินตงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด จากนั้นจึงใช้หัวพุ่งชนเข้าใส่ตำรวจด้วยความโมโห

ตุ๊บ !

เพล้ง……

ตำรวจถูกพุ่งชนจนตัวเอียง หัวของเขากระแทกกับกระจกรถจนแตก

จากนั้น เขาก็ใช้เท้าเตะไปยังตำรวจคนที่ถูกเขาโจมตีในตอนแรก

ในช่วงคับขัน เขาพุ่งเข้าจู่โจมอย่างต่อเนื่อง

เขาหวดไม้กระบองใส่ตำรวจวัยกลางคนด้วยความโมโหสองสามครั้ง และตะโกนออกมาอย่างดุร้ายราวกับสัตว์ป่า จากนั้นเขาจึงกัดเข้าที่ใบหูของตำรวจที่ทำหน้าที่ขับรถ

“โอ๊ย !”

เสียงกรีดร้องดังตามมาทันที คนขับรถที่ได้รับบาดเจ็บรู้สึกตกใจกลัวเป็นอย่างมาก

มือของเขาตบลงบนพวงมาลัยสองครั้งด้วยสัญชาตญาณ

เอี๊ยด……

รถวิ่งคนเคี้ยวราวกับงูเลื้อย รถลอยขึ้นเหนือพื้นดินแล้วพุ่งไกลออกไปอีกสิบกว่าเมตร จากนั้นก็พลิกคว่ำและกลิ้งต่อไปอีกสิบกว่าเมตร แล้วจึงหยุดนิ่ง

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้รถตำรวจอีกสองสามคันที่ขับตามหลังมาไม่ทันได้ตั้งตัว

เสียงเบรกรถอย่างกะทันหันดังขึ้นต่อเนื่อง รถตำรวจจอดห่างออกไปสิบกว่าเมตร

ตุ๊บ !

เฉินตงใช้เท้าเตะประตูรถออกมา

เขาออกมาจากรถอย่างทุลักทุเล แล้วลุกยืนขึ้น บนตัวของเขาเต็มไปด้วยเศษกระจกที่แตกละเอียด บนหัวของเขามีเลือดสดที่ค่อยๆ ไหลอาบแก้มลงมา

ในช่วงชุลมุนเช่นนี้ เขาเองก็ไม่ค่อยแน่ใจว่า แผลนี้เกิดขึ้นจากการที่ถูกตำรวจวัยกลางคนตีด้วยกระบอง หรือเกิดจากการกระแทกขณะที่รถพลิกคว่ำกันแน่

เลือดสีแดงสดทำให้ตาพร่ามัว เฉินตงพยายามกะพริบตาถี่ๆ สองครั้ง จากนั้นจึงวิ่งหนีเข้าไปในเขตทุรกันดารข้างถนนโดยไม่ได้สนใจเส้นทาง

หากเขาหนีรอด ก็อาจจะยังรักษาชีวิตเอาไว้ได้

แต่ถ้าหากหนีไม่รอด เขาคงจะต้องตายอย่างแน่นอน !

แต่ทว่า การที่มือทั้งสองข้างของเขาถูกใส่กุญแจมืออยู่ ทำให้ความเร็วในการวิ่งของเขาลดลงไปมาก

ด้านหลังมีเสียงตะโกนด้วยความโมโหดังตามมา

หลังจากที่ตำรวจวัยกลางคนปีนออกมาจากในรถได้สำเร็จ เขาก็รีบตะโกนเรียกเหล่าตำรวจปลอมที่อยู่ในรถคันที่เหลือ ให้รีบวิ่งตามเฉินตงไปทันที

“โธ่เว้ย แกหนีไม่รอดหรอก แกหนีไม่รอดหรอก !”

เฉินตงไม่ได้สนใจ ใบหน้าของเขาเย็นชา แววตาของเขามั่นคง

วิ่ง !

รีบวิ่ง !

“จะต้องหนีรอดให้ได้ !” เสี่ยวหยิ่งยังรอให้ฉันกลับไปถ่ายภาพแต่งงานกับเธออยู่นะ และยังรอให่กลับไปจัดงานแต่งงานกับเธออยู่นะ”

“คุนหลุน ฉินเย่ กูหลัง ท่านหลง พวกเขาเองก็ยังรอที่จะมาร่วมงานแต่งงานของฉันอยู่”

“แม่เองก็ยังรอฉันอยู่ที่บ้าน และยังรอที่จะได้อุ้มหลานอยู่”

ภาพของทุกคนปรากฏขึ้นในหัวของเฉินตง ทำให้เขาเกิดความคิดที่มุ่งมั่นและแน่วแน่ที่จะหนีไปให้ได้

ในครอบครัวยังมีอีกหลายคนที่ยังรู้สึกเป็นห่วงอยู่

ครอบครัวของเขาในตอนนี้ เป็นภาพที่เขาใฝ่ฝันมาแสนนาน

จะถูกจับไม่ได้ และจะตายไม่ได้ด้วย

เพราะฉะนั้นจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้มีชีวิตรอดต่อไปให้ได้ !

เลือดบนศีรษะไหลอาบลงมา จนใบหน้าว๊กหนึ่งของเขาถูกย้อมเป็นสีแดงสด ทำให้เขามองอะไรได้ไม่ชัดเจนนัก ทำให้การก้าวเดินของเขายิ่งยากลำบากมากขึ้น

เฉินตงในตอนนี้ ดูเย็นชาและสงบนิ่งอย่างน่าประหลาดใจ

แต่ใบหน้าที่โชกไปด้วยเลือดของเขา ดูแล้วช่างรู้สึกน่ากลัวเสียจริงๆ

สัตว์ร้ายนั้นไม่น่ากลัว แต่สัตว์ร้ายที่ยังคงทำตัวให้นิ่งสงบได้แม้ในเวลาที่คับขันและต้องเผชิญกับความตายต่างหากที่น่ากลัว

ในเขตทุรกันดาร ท้องฟ้ามืดมิด เส้นทางเต็มไปด้วยความขรุขระ

ด้านหลังมีเสียงตะโกนด้วยความโกรธและเสียงก่นด่าดังไล่หลังมาราวกับกระแสคลื่น

เสียงฝีเท้าที่กระชั้นชิดเข้ามา ดังอื้ออึงอยู่ในหู

ตุ๊บ !

เฉินตงเดินโซเซแล้วล้มลงกับพื้น

ใบหน้าของเขาเปื้อนไปด้วยโคลน

“ลุกขึ้น รีลุกขึ้นเร็ว……”

เฉินตงพยายามออกแรงอย่างหนัก เขาใช้ศีรษะที่มีเลือดไหลอาบอยู่ดันลงไปที่พื้น เพื่อพยายามพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง

ดวงตาของเขาขุ่นมัวเพราะเลือด

บวกกับท้องฟ้าที่มืดมิด ทำให้เฉินตงมองไม่เห็นอะไรเลย

เขาวิ่งไปมาอย่างบ้าคลั่งราวกับสัตว์ที่กำลังจะตาย

ขาของเขาอ่อนแรง ทำให้เขาล้มติดต่อกันหลายครั้ง

แต่เขาเองก็พยายามพยุงตัวเองให้ลุกยืนขึ้นมาใหม่

ตอนที่เขาล้มลงไปเป็นครั้งที่สี่

เฉินตงกัดฟัน แล้วใช้หัวดันไปที่พื้นอีกครั้ง เขากัดฟันแล้วพยายามประคองตนเองให้ลุกยืนขึ้นมาใหม่

แต่ด้านหลังกลับมีเสียงที่เย็นชาดังขึ้นมา

ทันใดนั้น เฉินตงรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว

“ไอ้บ้าเอ๋ย ฉันจะดูซิว่าแกจะหนีไปไหนได้”

ตุ๊บ !

แทบจะในเวลาเดียวกัน เฉินตงรู้สึกเหมือนมีไม้กระบองฟาดลงมาที่ท้ายทอยของเขาอย่างแรงอีกครั้ง

ร่างกายของเขาฟุบลงไปที่พื้นทันที

สติสัมปชัญญะของเขาค่อยๆ ลดถอยลง

จนในที่สุด ก่อนที่ความทรงจำของเขาจะเลือนหายไป

เขายิ้มออกมาอย่างขมขื่น แล้วพึมพำออกมาว่า : “เสี่ยวหยิ่ง……ผม ดูเหมือนว่า……จะต้องผิดคำสัญญาแล้ว……”

……

ภายในโรงแรม

บรรยากาศราวกับทุกอย่างหยุดนิ่งอยู่กับที่

พวกของกู้ชิงหยิ่งทั้งสามคนนั่งรออย่างใจจดใจจ่อ และกระสับกระส่าย

พวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่าการนั่งรออย่างเงียบๆ

สิ่งนี้ทำให้ความกังวลและความกลัวของทั้งสามคนค่อยๆ ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น

กู้ชิงหยิ่งร้องออกมาจนสิ้นเสียงหลายต่อหลายครั้ง

คุนหลุนกับกูหลังเองก็นั่งกำหมัดแน่น ฝ่ามือเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ

คุนหลุนเอาแต่เหลือบมองโทรศัพท์อยู่ตลอดเวลา

แต่ทว่าจอมือถือกลับมืดสนิทอยู่ตลอดเวลา

เขารู้ดีว่า ช่วงเวลาที่มีค่าที่สุด คือช่วงเวลาที่เฉินตงเพิ่งจะถูกจับตัวไปได้เพียงไม่นาน

อาจจะภายในครึ่งชั่วโมงหรือหนึ่งชั่วโมง

แต่ไม่ควรที่จะนานเกินไป

แต่ทว่าตอนนี้……เวลาผ่านไปกว่าสองชั่วโมงแล้ว !

ตระกูลเฉินเองก็ยังไม่ส่งข่าวกลับมา

ก๊อกๆๆ !

จู่ๆ มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

คนทั้งสามที่อยู่ในห้องต่างก็สะดุ้งพร้อมกันทันที

ใบหน้าของกู้ชิงหยิ่งเต็มไปด้วยความตกตะลึง

แต่คุนหลุนกลับแสดงท่าทีสงสัยออกมา เขาส่งสัญญาณให้กู้ชิงหยิ่งยืนอยู่ที่เดิม และให้กูหลังคอยคุ้มกันอยู่ข้างๆ กู้ชิงหยิ่ง

ตระกูลฉินลงมือกับเฉินตงที่ไห่ย่า

ตอนนี้พวกเขาจึงต้องอยู่ในไห่ย่าด้วยความระมัดระวัง

จากนั้น เขาก็ค่อยๆ เดินตรงไปที่ประตู

“ใคร ?”

“ฉันเอง !”

เสียงที่ดังมาจากด้านนอกประตู เป็นเสียงที่ฟังดูคุ้นเคยแต่เต็มไปด้วยความอ่อนแรง

ทำให้คนทั้งสามที่อยู่ในห้องรู้สึกตื่นเต้นดีใจและดวงตาเป็นประกายขึ้นมาทันที

กู้ชิงหยิ่งร้องไห้ออกมาอย่างหนัก เธอไม่สนใจการส่งสัญญาณจากคุนหลุนเมื่อครู่ รีบลุกขึ้นและวิ่งออกไปนอกห้องทันที

เสียงตะโกนที่ดังขึ้นอย่างกะทันหัน

ทำให้เฉินตงรู้สึกหวาดกลัว

ส่วนคุนหลุนและกูหลังกลับมีท่าทีที่ดุดันยิ่งขึ้น

“วางมือลง !”

เฉินตงตะคอกออกมาอย่างเย็นชา

“คุณชาย……”

“คุณเฉิน……”

คุนหลุนและกูหลังร้อนใจมาก พวกเขาหันมองเฉินตงพร้อมกัน

จากนั้นจึงหันมองตำรวจที่วิ่งกรูกันเข้ามาจากที่ไกลๆ

เฉินตงอยู่ในท่าทีที่เคร่งขรึม เขากัดฟันพูดออกมาว่า : “อย่าขยับ !”

“เฉินตง……”

กู้ชิงหยิ่งตาแดงก่ำ เธอตกใจจนสีหน้าซีดเผือด

เฉินตงชูมือทั้งสองข้างขึ้น จากนั้นจึงหันหลังกลับ เขาก้มหน้าแล้วค่อยๆ จูบลงบนหน้าผากของกู้ชิงหยิ่ง

“ไม่เป็นไร รอผมกลับมานะ ผมจะต้องกลับมาถ่ายภาพแต่งงานสวยๆ กับคุณแน่นอน จากนั้นก็จะมอบงานแต่งงานที่ทำให้ทุกคนต้องอิจฉาที่สุดให้แก่คุณ”

ทั้งสองสบตากัน

เป็นความอ่อนโยนที่ปลอบประโลมหัวใจราวกับสายน้ำ

กู้ชิงหยิ่งพยักหน้าอย่างแน่วแน่ : “ต้องไม่เป็นไรแน่นอน”

ตำรวจกลุ่มหนึ่งวิ่งตรงเข้ามา แล้วกระจายกำลังกัน รีบเข้าไปกดคุนหลุนและกูหลังลงกับพื้น

ส่วนตำรวจอีกสองสามนาย ก็เข้าไปล้อมเฉินตงเอาไว้ มีตำรวจนายหนึ่งมองสำรวจเฉินตงอย่างละเอียด แล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า

“พาตัวไป !”

ตั้งแต่ต้นจนจบ ภายใต้คำสั่งของเฉินตง คุนหลุนและกูหลังจึงไม่ได้ขัดขืนเลยแม้แต่น้อย

ยังดีที่ตำรวจนำตัวเฉินตงไปเพียงแค่คนเดียว โดยไม่ได้ทำอันตรายกู้ชิงหยิ่ง คุนหลุนและกูหลัง

หลังจากที่มองดูรถตำรวจเหล่านั้นขับออกไป

“พี่คุนหลุน เฉินตงไม่เป็นอะไรใช่ไหม ?”

กู้ชิงหยิ่งพยายามระงับสติอารมณ์ของตนเองเอาไว้ แต่น้ำเสียงก็ยังคงสั่นเครือเล็กน้อย

คุนหลุนสีหน้าเคร่งเครียด : “ผมจะรีบติดต่อท่านหลงกับท่านเจ้าบ้านเดี๋ยวนี้”

เขาอาศัยอยู่ในตระกูลเฉินมานาน จึงรู้ถึงความร้ายแรงของเหตุการณ์นี้ดี

ตระกูลฉินเปิดเผยแผนการออกมาอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ ถ้าไม่รับจัดการให้เรียบร้อยโดยเร็ว

เหตุการณ์คงจะยิ่งบานปลายใหญ่โตอย่างแน่นอน

ซึ่งนี่ไม่เป็นการดีต่อเฉินตงเลยแม้แต่น้อย

ส่วนเรื่องหลักฐาน หลักฐานบ้าบออะไรกัน !

ความแค้นของตระกูลใหญ่ อย่าว่าแต่ไม่มีหลักฐานเลย เพราะตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่มีการพูดคุยถึงเรื่องหลักฐานอยู่แล้ว

สิ่งที่ตระกูลฉินต้องการก็คือ กวนน้ำให้ขุ่น

จากนั้นก็จับ “ปลาใหญ่” อย่างคุณชายเอาไว้ !

“กลับโรงแรมกันก่อน”

คุนหลุนใบหน้าเคร่งเครียด สีหน้าเย็นชาราวกับน้ำแข็ง

ร่างกายที่สูงใหญ่กำยำราวกับหอคอยโลหะของเขา แผ่รังสีของความอำมหิตออกมา ทำให้เกิดบรรยากาศที่อึมครึมและน่าอึดอัดเป็นอย่างมาก

แต่สำหรับกู้ชิงหยิ่งและกูหลังแล้วนั้น กลับรู้สึกเหมือนมีเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจอย่างดี

……

เสียงสัญญาณฉุกเฉินของรถตำรวจดังจนแสบแก้วหู

ขบวนรถตำรวจกำลังวิ่งอยู่บนถนนสาธารณะ

ตลอดทางวิ่งด้วยความเร็วราวกับสายฟ้า

แม้กระทั่งตรงสี่แยกก็ไม่มีการหยุดรถตามสัญญาณไฟจราจร ทำให้รถหลายคันที่สัญจรอยู่บนถนน ต้องหลีกทางให้ด้วยความกลัว

เฉินตงนั่งอยู่บนรถ มือทั้งสองข้างของเขาถูกใส่กุญแจมือเอาไว้

มีตำรวจนั่งขนาบอยู่สองข้างทั้งซ้ายและขวา

ส่วนที่นั่งข้างคนขับ ก็มีตำรวจนั่งอยู่ด้วยอีกรายหนึ่ง เมื่อนับรวมคนขับแล้ว

ก็มีคนจำนวนทั้งสิ้นห้าคนที่อยู่บนรถ

บรรยากาศเงียบสงัด

จนทำให้รู้สึกอึดอัด

เฉินตงมีท่าทีเย็นชา เขาขมวดคิ้วแน่น แล้วมองดูภาพถนนที่รถเคลื่อนผ่านด้านนอกหน้าต่าง

นี่คือสิ่งที่ตระกูลฉินต้องการ

ตอนนี้ต่อให้เขาพูดอะไรมากเท่าไหร่ก็ไร้ประโยชน์

แต่เขาแน่ใจว่า หากคืนนี้ไม่มีหลักฐาน อย่างมาก ตำรวจก็คงจับเขาขังเอาไว้สักคืน จากนั้นคงปล่อยตัวเขาออกมา

การแก้แค้นของตระกูลใหญ่ แต่ไหนแต่ไรมาก็มักจะเป็นการกระทำการอย่างลับๆ

มีเพียงแค่ยอมฉีกหน้ากาก แล้วตัดสินใจที่จะร่วมหัวจมท้ายกับอีกฝ่ายแล้วเท่านั้น จึงจะกล้าเปิดเผยเรื่องทุกอย่างออกมาสู่สายตาสาธารณชนอย่างโจ่งแจ้ง

สิ่งที่เขาพอจะคิดได้ ตระกูลฉินเองก็คงจะคิดได้เช่นกัน

แต่เขารู้ดีว่า ถ้าหากท่านหลงและพ่อไม่รีบจัดการเรื่องทุกอย่างให้จบสิ้นโดยเร็ว ไม่แน่ว่าตระกูลฉินก็อาจจะมีแผนการขั้นต่อไปวางเอาไว้แล้วก็ได้

“โถ่เว่ย ร้อนจะตายอยู่แล้ว”

ตำรวจที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งข้างคนขับสบถออกมา จากนั้นจึงโยนหมวกลงบนคอนโซลรถ แล้วจุดบุหรี่ขึ้นมาสูบ

แควก !

จากนั้นเขาก็ดึงอินทรธนูที่อยู่บนบ่าออก แล้วโยนทิ้งไปข้างๆ

เฉินตงรู้สึกตกใจทันที

เกิดความงุนงงขึ้นในแววตาของเขา

เขาจ้องมองไปที่หมวกตรงคอนโซลรถ และมองไปที่อินทรธนูที่ถูกโยนทิ้งลงบนเบรกมืออย่างไม่ตั้งใจ

ทำส่งๆ……แบบนี้ก็ได้หรือ ?

เกียรติยศของตำรวจ สามารถโยนทิ้งได้อย่างง่ายดายเช่นนี้เลยหรือ ?

เขาเหลือบมองตำรวจสองคนที่นั่งขนาบอยู่ทั้งซ้ายและขวาโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็ขมวดคิ้วแน่น

ถึงแม้ทั้งสองคนจะนั่งอยู่อย่างสง่างาม แต่ก็มีอารมณ์บางอย่างปรากฏขึ้นที่หว่างคิ้วของพวกเขา สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก

ไม่ใช่ว่าเฉินตงไม่เคยเห็นตำรวจมาก่อน แต่น้อยนักที่จะเห็นตำรวจที่มีท่าทีดังเช่นที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าในตอนนี้

คงจะใช้คำว่า “หละหลวม” มาใช้อธิบายได้ดีที่สุด

ต่อให้จับขอทานมาใส่ฉลองพระองค์ อย่างไรเสียก็ยังเป็นขอทานอยู่ดี นี่เป็นเรื่องของการวางตัว

ถึงแม้จะปิดบังตนเองจากคนทั่วไปได้ แต่เมื่ออยู่ในสายตาของเฉินตงแล้ว ก็ยากที่รอดพ้นสายตา

เป็นเพราะ เขาพบเจอคนมามาก

ผ่านประสบการณ์บนโลกธุรกิจมามาก ทำให้เขามีความสามารถในการมองคนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

ในที่สุดเฉินตงก็เอ่ยถามออกมา

“ตอนนี้พวกเราจะไปไหนกัน ?”

“หุบปาก !”

ตำรวจที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งข้างคนขับตะคอกออกมา

นี่แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นหัวหน้าของคนทั้งหมดที่นั่งอยู่ในรถ

เฉินตงขมวดคิ้ว

จากนั้นจึงมองออกไปนอกหน้าต่าง

รถที่แล่นอยู่บนถนนดูบางตาลงอย่างมากโดยไม่ทันรู้ตัว

ตึกสูงระฟ้า และแสงไฟส่องสว่างบนท้องถนน ค่อยๆ น้อยลงทุกทีๆ

นี่กำลังขับออกไปชานเมือง ?

เล่นตลกอะไรกัน !

เฉินตงหัวใจเต้นแรง ความคิดที่น่ากลัวปรากฏขึ้นในหัวของเขา

……

เวลาเดียวกันนี้

ภายในโรงแรม

“อะไรนะ ? ท่านหลง คุณแน่ใจหรือ ?”

คุนหลุนกระเด้งตัวขึ้นมาแล้วตะโกนอย่างตื่นตระหนก

ทำให้กู้ชิงหยิ่งและกูหลังรู้สึกตกใจพร้อมกัน

ตู้ด !

คุนหลุนกดวางสายโทรศัพท์

“พี่คุนหลุน เกิดอะไรขึ้น ?” กูหลังรีบเอ่ยถามอย่าร้อนใจ

คุนหลุนเป็นทหารรับจ้างฝีมือฉกาจ เป็นคนที่ผ่านความเป็นความตายมา ทำให้กูหลังรู้จักอุปนิสัยของคนประเภทนี้ดี

คนที่ปกติแล้วสามารถนิ่งสงบได้เหมือนน้ำ และสามารถดุร้ายได้เหมือนเสือ แต่ทว่าตอนนี้กลับมีท่าทีที่ตื่นตระหนกอย่างที่ไม่สามารถควบคุมตนเองได้ นี่ถือเป็นสิ่งที่เห็นได้ยากยิ่ง

มือขวาของคุนหลุนกำโทรศัพท์เอาไว้แน่น เขากัดกระพุ้งแก้มอย่างแรง และใบหน้าของเขาก็ค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน

เขาพูดคำพูดออกมาประโยคหนึ่งซึ่งทำให้สีหน้าของกู้ชิงหยิ่งและกูหลั่งเปลี่ยนไปในทันที

“เจ้าหน้าที่ของไห่ย่าไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ตำรวจเมื่อครู่นั้น เป็นของปลอม !”

ตำรวจปลอม ? !

กูหลังยืนอึ้งไป

กู้ชิงหยิ่งตั้งสติกลับมาได้ ใบหน้าของเธอซีดเผือด : “ถ้าอย่างนั้น เฉินตง……”

“ท่านหลงสั่งการให้สำนักงานของตระกูลเฉินในไห่ย่าออกตามหาเรียบร้อยแล้วครับ”

ขณะที่พูด ใบหน้าของคุนหลุนซีดเผือดลงเล็กน้อย เขาล้มตัวลงนั่งบนเก้าอี้ แล้วพูดออกมาอย่างไร้เรี่ยวแรง : “เสี่ยวหยิ่ง ตอนนี้สิ่งที่พวกเราพอจะทำได้คือรอ !”

“แต่ว่า……”

กู้ชิงหยิ่งรู้สึกกระวนกระวายใจเพราะเป็นห่วงเฉินตง

คุนหลุนยิ้มออกมาอย่างขมขื่น : “ในเมื่อน้ำถูกกวนให้ขุ่นแล้ว คงจะต้องอาศัยอำนาจของตระกูลเฉินเท่านั้น จึงจะสามารถคว้าคุณชายออกมาจากน้ำที่ขุ่นนี้ได้ กำลังของเราสามคนไม่เพียงพอที่จะต่อกรกับตระกูลฉินได้”

ตำรวจปลอม ทำให้คุนหลุนฉุกคิดขึ้นมาได้

ข่าวจริง ตำรวจปลอม

จริงและปลอม

สิ่งนี้อยู่เหนือความคาดหมาย

เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือตรรกะความคิดของพวกเขาตั้งแต่ต้นโดยสิ้นเชิง

แน่นอนว่าตำรวจปลอมต้องเป็นคนของตระกูลฉิน ตอนนี้คุณชายตกอยู่ในกำมือของตระกูลฉินแล้ว

หากเป็นกำลังของพวกตระกูลเฉิน ก็ไม่สามารถกู้คุณชายออกมาได้ก่อนที่ตระกูลฉินจะลงมือทำอะไรอีก

เช่นนั้น……

คุนหลุนไม่กล้านึกถึงผลลัพธ์ที่จะตามมา

กู้ชิงหยิ่งใบหน้าซีดเผือด ดวงตากลมโตของเธอแดงก่ำและเต็มไปด้วยคราบน้ำตา

ตอนนี้ เธอรู้สึกสิ้นหวัง

ในหัวปรากฏแต่ภาพเหตุการณ์ที่เฉินตงถูกจับตัวไปเมื่อครู่ซ้ำไปซ้ำมา

“คุณ คุณรับปากฉันแล้ว ว่าจะกลับมาอย่างปลอดภัย”

น้ำเสียงที่น่าเศร้าราวกับมีดอันแหลมคม บาดลึกลงบนหัวใจของคุนหลุนและกูหลัง

ทำให้ทั้งสองได้แค่กล่าวโทษตัวเอง

……

รถตำรวจยังคงส่งเสียงดัง

ถนนค่อยๆ แคบลง ตึกสูงระฟ้าและไฟส่องสว่างก็ค่อยๆ บางตาลง

ทำให้เฉินตงมั่นใจในทันทีว่า รถตำรวจเหล่านี้ กำลังมุ่งหน้าไปทางชานเมือง

ของปลอม !

สิ่งนี้เป็นเครื่องยืนยันความคิดที่น่ากลัวที่ปรากฏขึ้นในหัวของเขา

อีกทั้งที่มาของตำรวจปลอมเหล่านี้ แทบจะไม่ต้องเดาเลยว่า เป็นคนที่ตระกูลฉินส่งมาอย่างแน่นอน

ถ้าเช่นนั้น หลังจากที่รถหยุดลงแล้ว จุดจบของเขาจะเป็นเช่นไร ก็คงไม่ต้องเดาแล้ว

เฉินตงสูงหายใจเข้าเต็มปอดหนึ่งครั้ง

ท่าทีเย็นชาของเขาเปลี่ยนเป็นท่าทีที่แน่วแน่ในทันที

เจตนาฆ่าแผ่ซ่านออกมาจากอกของเขาและทวีความรุนแรงขึ้น ดวงตาของเขาแน่วแน่มั่นคง

เขาแอบขยับกุญแจมือที่อยู่บนมือทั้งสองข้างของเขาอย่างเงียบๆ

การกระทำเช่นนี้ เป็นเรื่องยากลำบากสำหรับเขา

แต่……เขาจำเป็นที่จะต้องทำ !

ลมเย็นโชยอ่อนยามค่ำคืน

บริเวณชายหาด มีเกลียวคลื่นหมุนวนเข้ามากระทบฝั่ง

หลังจากดื่มด่ำกับอาหารมื้อใหญ่แล้ว

เฉินตงและกู้ชิงหยิ่งก็จูงมือกันเดินเล่นบนชายหาด

คุนหลุนกับกูหลังแยกตัวออกไปสักพักแล้ว เพื่อที่จะไปรอต้อนรับทีมช่างภาพที่เพิ่งจะเดินทางมาถึง

ลมทะเลที่มีกลิ่นอายของความเค็มเล็กน้อยพัดมาทำให้ความร้อนเบาบางลง

“เฉินตง”

จู่ๆ กู้ชิงหยิ่งก็หยุดเดิน เธอเงยหน้าขึ้นมองเฉินตงด้วยแววตาที่เป็นประกายราวกับดวงดาวที่ระยิบระยับอยู่บนท้องฟ้า เป็นแววตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังอย่างแรงกล้า : “พวกเรามาเต้นรำที่นี่กันไหม ?”

เต้นรำ ?

เฉินตงรู้สึกเก้อเขินเล็กน้อย เขาส่ายหัว : “ผมเต้นรำไม่เป็น”

เขาเหลือบมองผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมารอบๆ จากนั้นจึงยักไหล่ : “อีกอย่าง คนเยอะขนาดนี้ น่าอายจะตายไป”

“ช่างเถอะ”

กู้ชิงหยิ่งมุ่ยปากด้วยความรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย

เธอปล่อยมือเฉินตง แล้วเอามือทั้งสองข้างไขว้หลัง จากนั้นจึงเดินต่อไปบนชายหาด

เฉินตงลังเลและตัดสินใจไม่พูดอะไรออกมา

เขาเต้นรำไม่เก่งจริงๆ

เวลาสี่ปีในรั้วมหาวิทยาลัยของเขาหมดไปกับการต่อสู้ดิ้นรน ทำงานและเรียนหนังสือ

เข้าเคยเข้าเป็นสมาชิกหลายชมรม แต่นั่นก็เพื่อพัฒนาศักยภาพของตัวเขาเอง

ส่วนการเต้นรำนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ได้ให้ประโยชน์อะไรแก่เขาในเวลานั้น

ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนั้นพวกเขาทั้งสองอยู่บนชายหาดที่มีผู้คนมากมายขนาดนี้

ทันใดนั้น เฉินตงเหลือบตาไปมอง และนึกแผนการขึ้นมาในใจ

มีทั้งสองข้างของกู้ชิงหยิ่งไขว้อยู่ด้านหลัง เธอเดินเตะพื้นทรายอย่างไร้จุดหมาย ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดหวัง

ฉากหลังที่งดงามขนาดนี้ ถูกตระเตรียมเอาไว้สำหรับถ่ายภาพแต่งงาน

เธออยากเต้นรำร่วมกับเฉินตงสักครั้ง ยิ่งไปกว่านั้น ครั้งนี้ถือเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่งที่เธอจะได้อยู่กับเฉินตงตามลำพัง

จึงน่าจะมีอะไรที่พิเศษ เพื่อเก็บเอาไว้เป็นความทรงจำถึงจะถูก ?

“คงโง่นี่ช่างไม่รู้จักความสนุกสนานในชีวิตเอาเสียเลย”

กู้ชิงหยิ่งบ่นพึมพำ

หลังจากพูดจบ

“เสี่ยวหยิ่ง !”

มีเสียงของเฉินตงดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง

กู้ชิงหยิ่งหันกลับไปมอง ใบหน้าของเธอถูกปกคลุมไปด้วยแสงสว่างจ้า ทำให้แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาทันที

ดอกไม้ไฟถูกจุดขึ้น เป็นประกายไฟสวยงาม

มือข้างหนึ่งของเฉินตงถือดอกไม้ไฟเอาไว้ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งถือลูกโป่งแฟนซีช่อใหญ่หลากหลายสีสัน และยืนนิ่งอยู่กับที่

และบนพื้นทรายที่เขายืนอยู่นั้น มีรูปศรปักหัวใจวาดอยู่บนพื้นทราย

ภาพนี้ ดูเป็นภาพที่เรียบง่าย

แต่เมื่อปรากฏขึ้นภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืน กลับกลายเป็นฉากที่มีสีสันงดงามตระการตา

และระยิบระยับจากลูกโป่งและดอกไม้ไฟที่งดงาม ทำให้รู้สึกถึงบรรยากาศชวนฝันและแสนวิเศษ

ทำให้ผู้คนที่อยู่โดยรอบต่างก็ค่อยๆ หันมามอง

เฉินตงค่อยๆ เดินเข้าไปกู้ชิงหยิ่ง แล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน : “อย่าโกรธเลยนะ ผมเต้นรำไม่เป็น แต่ผมก็มอบลูกโป่งให้คุณได้นะ”

ขณะที่พูดอยู่นั้น เข้าก็ยื่นลูกโป่งหลากสีช่อใหญ่ที่อยู่ในมือให้กับกู้ชิงหยิ่ง

กู้ชิงหยิ่งตกอยู่ในภวังค์ จากนั้นเธอก็ยิ้มหวานออกมา

“ถือว่าคุณฉลาด ไปกันเถอะ กลับโรงแรมกัน คนหันมามองใหญ่แล้ว”

กู้ชิงหยิ่งคล้องแขนของเฉินตงแล้วยืนก้มหน้าก้มตาด้วยความเขินอาย จากนั้นจึงพากันเดินกลับโรงแรมไป

เป็นเพราะสายตาที่ผู้คนจับจ้องมา ทำให้เธอรู้สึกได้ถึงความอิจฉาอย่างรุนแรง ถึงขั้นที่ว่า เธอแอบได้ยินหญิงสาวคนหนึ่งกำลังกล่าวตำหนิแฟนหนุ่มของตนเอง ว่าทำไมถึงไม่รู้จักเลียนแบบเฉินตงเสียบ้าง

สิ่งนี้ทำให้เธอรู้สึกทั้งดีใจและเก้อเขินในเวลาเดียวกัน

ขณะที่เฉินตงและกู้ชิงหยิ่งกลับถึงโรงแรม

ก็เห็นคนกลุ่มใหญ่ยืนอยู่ที่หน้าประตูโรงแรมที่อยู่ห่างออกไปไกลๆ

เสียงของผู้คนดังเซ็งแซ่

ยิ่งไปกว่านั้นมีเสียงสัญญาณเตือนภัยของรถตำรวจดังขึ้นอีกด้วย

และห่างออกไม่ไกล มีรถตำรวจที่เปิดไฟฉุกเฉินเอาไว้อีกหลายคัน

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น ?”

กู้ชิงหยิ่งรู้สึกประหลาดใจ

เฉินตงขมวดคิ้ว

ทั้งสองเดินตรงไปยังประตูโรงแรมด้วยความอยากรู้

ขณะที่กำลังเดินเข้าไปท่ามกลางฝูงชน

ทันใดนั้น ก็มีคนสองคนกระโจนออกมาจากพุ่มไม้ด้านข้าง

รวดเร็วราวกับสายฟ้า

กู้ชิงหยิ่งตกใจจนกรีดร้องออกมา แต่กลับถูกคนคนหนึ่งยกมือขึ้นมาปิดปากเอาไว้

เฉินตงตอบสนองอย่างรวดเร็วและรุนแรง เขาใช้หมัดต่อยเข้าใส่คนที่อยู่ตรงหน้า

ตุ๊บ !

มีมือขนาดใหญ่จับข้อมือของเฉินตงเอาไว้

“คุณชาย ผมเอง !”

ตอนนี้เอง เฉินตงเพิ่งจะมองเห็นอย่างชัดเจนว่าคนที่อยู่ตรงหน้าก็คือคุนหลุน

อีกทั้งคนที่จับกู้ชิงหยิ่งเอาไว้ข้างๆ ก็คือกูหลัง

ทั้งสองสีหน้าเยือกเย็นราวกับน้ำ

“มากับผม”

คุนหลุนไม่เปิดโอกาสให้เฉินตงได้เอ่ยถาม เขารีบพาเฉินตงและกู้ชิงหยิ่งเดินไปยังที่ลับตาคนที่อยู่ห่างออกไปในทันที

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ?”

เฉินตงรู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นท่าทีของคุนหลุนและกูหลัง เขาก็รู้ได้โดยทันทีว่าจะต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่นอน

รถตำรวจที่จอดอยู่หน้าโรงแรม ก็คงมาเพราะเหตุผลเดียวกัน

แต่ที่เขารู้สึกสงสัยก็คือ เขาและกู้ชิงหยิ่งเพียงแค่ต้องการเข้าไปสังเกตการณ์เท่านั้น ทำไมคุนหลุนและกูหลังต้องทำถึงขนาดนี้ด้วย ?

จากนั้น

คำพูดหนึ่งประโยคที่ออกมาจากปากของคุนหลุน ทำให้เฉินตงอึ้งไปในทันที

“พวกเขามาจับคุณชายครับ ?”

เปรี้ยง !

เฉินตงรู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่า เขารู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก

จับฉัน ?

ฉันทำความผิดอะไรเอาไว้อย่างนั้นหรือ ?

“จับเฉินตงทำไมกัน ? พวกเขาจะต้องมาจับผิดคนแน่ๆ !”

กู้ชิงหยิ่งใบหน้าแดงก่ำ เธอตอบกลับไปด้วยท่าทีตื่นตระหนก

ที่เธอและเฉินตงมาที่ไห่ย่าครั้งนี้ ก็เพื่อที่จะมาถ่ายภาพแต่งงาน

ทำไมเมื่อมาถึง ก็จะมีคนมาจับเฉินตงเช่นนี้ ?

อีกทั้งยังเป็นคนของทางการอีกด้วย

“ตอนนี้ห้องของคุณเฉินถูกปิดล้อมเอาไว้หมดแล้ว ตำรวจกำลังกระจายกำลังค้นหาตัวอยู่”

น้ำเสียงของกูหลังเคร่งขรึมและเย็นชา

คุนหลุนสูดหายใจเข้าเต็มปอด แล้วพูดออกมาอย่างจริงจังว่า : “คุณชาย ยังจำข่าวเกี่ยวกับตระกูลฉินแห่งซีสู่ข่าวนั้นได้ไหมครับ ?”

ดวงตาของเฉินตงเป็นประกาย

เขาเข้าใจทุกอย่างในทันที

นี่คือแผนการของตระกูลฉินอย่างนั้นหรือ ?

จงใจประโคมข่าวให้ทุกคนได้รับรู้ จากนั้นจึงให้ทางการออกหน้าจัดการกับตนเอง ?

เมื่อเห็นเฉินตงเข้าใจเรื่องทุกอย่างแล้ว

คุนหลุนจึงพูดต่อว่า : “ตอนนี้ทางการต้องการจับกุมคุณ เพราะมีการปล่อยข่าวออกมาว่า คุณชายคือผู้ต้องสงสัยที่ลอบสังหารฉินเจิ้ง !”

คำพูดประโยคนี้ ทำให้กู้ชิงหยิ่งหน้าถอดสีทันที

เธอยกมืออันเรียวงามของเธอขึ้นป้องปากเอาไว้ ดวงตากลมโตของเธอลุกวาวด้วยความตกใจ

เฉินตงหัวเราะออกมาด้วยท่าทีแปลกๆ และแสดงสีหน้าโกรธแค้นออกมา

อะไรที่เรียกว่าผู้ต้องสงสัย ?

ก็หมายความว่าเป็นคนทำอย่างไรล่ะ !

แผนการของตระกูลฉินในครั้งนี้ ทำให้เขากลายเป็นผู้ต้องหาหลบหนีคดีในไห่ย่าทันที

จะไม่ชมว่าจัดการได้อย่างยอดเยี่ยมก็คงไม่ได้ !

ไม่แน่ว่า ตั้งแต่ที่มีการปล่อยข่าวเรื่องนั้นออกมา ตระกูลฉินก็ได้หาโอกาสที่เขาจะเดินทางเอาไว้เรียบร้อยแล้ว

ถึงแม้จะไม่ได้เดินทางเพราะเรื่องการถ่ายภาพแต่งงาน แต่หากคอยจับตามองอยู่ตลอดเวลาเช่นนี้ อย่างไรเสียก็จะต้องหาโอกาสที่เขาออกเดินทางเจอจนได้

“เฉินตง นี่มัน นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ?”

กู้ชิงหยิ่งยืนเหม่อลอย หัวใจเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ

เธอรู้เรื่องที่เฉินตงช่วยฉินเย่เอาไว้

แต่รู้ด้วยว่าคนที่จับฉินเย่ไปวันนั้นก็คือฉินเจิ้งตระกูลฉินแห่งซีสู่

แต่ทว่าตอนนี้เรื่องไปถึงมือของทางการแล้ว แม้แต่กู้ชิงหยิ่งเอง ก็รู้สึกสับสนไม่น้อย

เฉินตงลูบจมูกแล้วยิ้มออกมา : “เสี่ยวหยิ่ง เป็นไรหรอก”

“คุณชาย ผมติดต่อท่านหลงเรียบร้อยแล้ว อาศัยบารมีของตระกูลเฉิน ไม่ช้าพวกเราคงเดินทางออกจากไห่ย่าได้” คุนหลุนกล่าว

เฉินตงทำสีหน้าจนใจ แต่ท้ายที่สุดก็พยักหน้าออกมา

ตอนนี้ไห่ย่าเป็นที่ที่อันตรายที่สุด จึงไม่ควรจะอยู่ที่นี่ต่อไปแม้สักวินาทีเดียว

เพียงแต่เมื่อเห็นกู้ชิงหยิ่งที่ยืนตกตะลึงอยู่ตรงหน้า เฉินตงก็รู้สึกโทษตัวเองและรู้สึกผิดไม่น้อย

เฉินตงกอดกู้ชิงหยิ่งเอาไว้ แล้วพูดว่า : “ขอโทษด้วยเสี่ยวหยิ่ง พวกเราออกไปจากที่นี่กันก่อน จะต้องไม่เป็นอะไรแน่นอน เชื่อผมนะ”

ตอนนี้กู้ชิงหยิ่งรู้สึกสับสนจนทำอะไรไม่ถูก

เมื่อได้ยินคำว่าไปจากที่นี่ ดวงตาของเธอก็แดงก่ำทันที

เพื่อการมาไห่ย่าครั้งนี้ เพื่อการถ่ายภาพแต่งงานครั้งนี้

เธอเตรียมการมาเป็นอย่างดี

ถึงขั้นว่า เธอได้จินตนาการภาพของตนเองที่ได้สวมใส่ชุดแต่งงานเอาไว้เป็นเวลานานแล้ว

แต่ทว่าตอนนี้……ยังมันทันจะสวมใส่ชุดแต่งงาน เธอก็จะต้องไปจากที่นี่เสียแล้ว ?

จากนั้น

ยังไม่ทันจะรอให้กู้ชิงหยิ่งตอบกลับมา

จู่ๆ ก็มีเสียงตะโกนดังขึ้นมาจากที่ไกลๆ

“เขาอยู่นี่ !”

ทันใดนั้น ก็มีเสียงตะโกนขู่ดังขึ้น : “ยกมือขึ้นแล้วคุกเข่าอยู่กับที่ ห้ามขยับ !”

ดูเหมือนว่าคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินจะร่วมมือกับตระกูลฉิน

สิ่งนี้ทำให้เฉินตงรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เหมือนกำลังแบกรับความรู้สึกร้อนใจเอาไว้

การที่คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินพยายามหาทางเลี่ยงตระกูลเฉินและพ่อ แล้วไปร่วมมือกับตระกูลฉิน ทำให้คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินยิ่งสามารถทำทุกอย่างได้สะดวกขึ้น

อีกทั้งตระกูลฉินเองก็เป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในซีสู่

และตอนนี้ฉินเย่เอง ก็เห็นได้ชัดว่ากลายเป็นศัตรูกับตระกูลฉินไปแล้ว

หากทั้งสองฝ่ายร่วมมือกันลงมือแล้วละก็ เกรงว่าคงจะเกิดผลกระทบเป็นวงกว้างอย่างแน่นอน

หลังจากที่วิตกกังวลกับเรื่องนี้มาหลายวัน เฉินตงก็ยอมที่จะปล่อยวาง

เรื่องที่ไม่สามารถเข้าไปเปลี่ยนแปลงอะไรได้ แล้วจะมัวเก็บเอามาคิดอยู่ทำไม ?

ไม่ช้าเขาก็ทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดให้กับการทำงานอีกครั้ง

แน่นอนว่าเรื่องส่วนใหญ่ที่เขากำลังเตรียมการก็คือเรื่องงานแต่งระหว่างเขากับกู้ชิงหยิ่ง

เวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน สำหรับการเตรียมงานแต่งงานให้ออกมาสมบูรณ์แบบที่สุดนั้น ถือว่าเป็นเวลาที่กระชั้นชิดพอดู

แต่ทว่า ไม่เมื่อกำหนดฤกษ์แต่งงานเอาไว้แล้ว ก็คงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีก

ยังดีที่มีท่านหลงและแม่คอยช่วยเหลือเรื่องการจัดหาโรงแรมและจัดการรายละเอียดยิบย่อยในงานแต่งงาน

ส่วนเฉินตงและกู้ชิงหยิ่งมีหน้าที่เพียงแค่เลือกชุดแต่งงานและถ่ายภาพแต่งงานเท่านั้น

ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก

เพื่อที่จะเก็บภาพความทรงจำในชุดแต่งงานที่สมบูรณ์แบบที่สุดให้แก่กู้ชิงหยิ่ง

เฉินตงจึงนึกถึงฉู่เจียนเจีย ซึ่งมีทีมช่างภาพระดับแนวหน้าของวงการบันเทิงอยู่ในมือ

หลังจากฉู่เจียนเจียทราบเรื่อง ก็รีบแนะนำทีมช่างภาพระดับแนวหน้าทีมหนึ่งให้แก่เฉินตงด้วยความยินดี

ส่วนสถานที่สำหรับถ่ายภาพแต่งงาน เนื่องด้วยเวลากระชั้นชิดเป็นอย่างมาก บวกกับขั้นตอนในการตกแต่งภาพหลังการถ่ายต้องใช้เวลาค่อนข้างนาน ดังนั้นในที่สุดพวกเขาจึงเลือกไห่ย่า

เวลากลางคืน อากาศเย็นเล็กน้อย

“คุณชายครับ พรุ่งนี้ไปถ่ายภาพแต่งงานที่ไห่ย่า กระผมแนะนำว่าควรจะพาคุนหลุนกับกูหลังไปด้วยนะครับ” ท่านหลงกล่าว

หลังจากการพักรักษาตัวช่วงหนึ่ง ถึงแม้ร่างกายของคุนหลุนและกูหลังจะไม่ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติทั้งหมด แต่อย่างน้อยก็เกือบหายเป็นปกติแล้ว

ส่วนอาการบาดเจ็บของเฉินตงนั้นหายดีแล้ว

ที่ท่านหลงแนะนำเช่นนี้

ก็เป็นเพราะกังวลเกี่ยวกับคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินและตระกูลฉิน

เฉินตงพยักหน้า และพูดอย่างเคร่งขรึมว่า : “พ่อยังไม่ส่งข่าวอะไรมาอีกหรือ ?”

“ครับ”

ท่านหลงขมวดคิ้วแล้วพยักหน้า : “ท่านเจ้าบ้านกล่าวว่า ช่วงนี้คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินเอาแต่กินเจและสวดมนต์อยู่ในห้องพระไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องภายในบ้าน”

เฉินตงรู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าตลก

มือถือสาก ปากถือศีล ?

จะไม่นึกถึงความรู้สึกของสิ่งศักดิ์สิทธิ์หน่อยหรือ ?

“แต่ก็หวังว่าจะไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นก่อนงานแต่งงานระหว่างฉันกับเสี่ยวหยิ่งนะ”

เฉินตงบิดขี้เกียจแล้วพูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม

ท่านหลงยิ้มพลางพูดว่า : “พรุ่งนี้ขอให้คุณชายเดินทางอย่างสบายใจเถอะครับ ส่วนเรื่องพิธีแต่งงานภายในบ้าน กระผมจะดูแลจัดการให้เป็นอย่างดี”

“อย่าลืมช่วยบอกเจ้าหมอนั่นแทนผมด้วยว่า ให้เขารีบหายให้ทันเวลา จะได้มาร่วมงานแต่งงานของผม และมาทำหน้าที่เป็นเพื่อนเจ้าบ่าวให้แก่ผม”

เฉินตงยิ้มไปพลางพูดไปพลาง

……

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น

เครื่องบินส่วนตัวบินขึ้นจากสนามบินชานเมือง มุ่งหน้าสู่ไห่ย่า

บนเครื่องบินมีเพียงเฉินตง กู้ชิงหยิ่ง คุนหลุนและกูหลัง รวมสี่คนเท่านั้น

ส่วนทีมช่างภาพจะบินตรงจากเมืองหลวงสู่ไห่ย่า

เฉินตงนั่งมองก้อนเมฆที่ล่องลอยอยู่นอกหน้าต่างพลางขมวดคิ้วแน่น

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ตั้งแต่วินาทีที่เครื่องบินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า เฉินตงก็รู้สึกกระสับกระส่าย

รู้สึกราวกับว่า การไปไห่ย่าในครั้งนี้ จะต้องมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นอย่างไรอย่างนั้น

“คุณมีเรื่องไม่สบายใจหรือคะ ?” กู้ชิงหยิ่งขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถาม

เฉินตงส่ายหัว

กู้ชิงหยิ่งพูดอย่างโกรธเคือง : “ไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูด”

ขณะที่พูด เธอก็ยื่นแก้วน้ำร้อนให้แก่เฉินตง : “ดื่มน้ำสักหน่อยนะคะ อย่าคิดมากเลย”

เฉินตงรับแก้วน้ำมา ริมฝีปากของเขาเพิ่งจะสัมผัสลงบนแก้ว

เปรี๊ยะ !

มีเสียงดังเบาๆ เกิดขึ้น แก้วที่อยู่ในมือของเขาแตกออกเป็นเสี่ยงๆ แล้วร่วงลงสู่พื้น

น้ำเปียกชุ่มไปทั่วตัวของเขา

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เฉินตงสะดุ้งและขมวดคิ้วแน่น

ถึงขั้นลืมที่จะเช็ดน้ำที่เปียกชุ่มอยู่บนตัว กลับกลายเป็นกู้ชิงหยิ่งที่นั่งอยู่ข้างๆ เป็นคนเช็ดให้แทน

“ไม่เป็นไรใช่ไหมคะ ?”

หลังจากที่กู้ชิงหยิ่งเช็ดน้ำที่เปียกชุ่มอยู่บนตัวของเฉินตงเรียบร้อยแล้ว เธอก็เงยหน้าขึ้นไปมองเฉินตง และเห็นสีหน้าของเขาที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก

“คุณว่า ที่แก้วใบนี้แตก จะเป็นลางบอกเหตุอะไรไหม ?”

แววตาของเฉินตงลึกซึ้ง น้ำเสียงเคร่งเครียด

“ก็เป็นลางบอกว่าน้ำที่รินเมื่อกี้ร้อนเกินไป ร้อนจนกระทั่งทำให้แก้วแตก ตอนที่คุณเพิ่งจะหยิบขึ้นมา บังเอิญว่าแก้วก็แตกพอดี”

กู้ชิงหยิ่งทำสีหน้าเบื่อหน่าย และพูดออกมาอย่างอดไม่ได้ : “คนโง่ ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าคุณมัวแต่นั่งเครียดอยู่ตลอดเวลา ? คุณกำลังกลัวอะไรกันแน่ ?

เฉินตงหัวเราะเยาะตัวเอง

อาจเป็นเพราะช่วงนี้ฉันรู้สึกกังวลเกินไปจริงๆ

“อารมณ์ดีหน่อยสิคะ ครั้งนี้เราไปถ่ายภาพแต่งงานกันนะ” กู้ชิงหยิ่งโอบเฉินตงเข้ามาไว้ในอ้อมแขน แล้วพูดปลอบโยนว่า “ถ้าคุณอารมณ์ไม่ดีแล้วละก็ ภาพที่ถ่ายออกมาจะต้องขี้เหร่แน่นอน”

เฉินตงหัวเราะออกมาทันที

เวลาสิบโมงเช้า

เครื่องบินลงจอดที่สนามบินนานาชาติไห่ย่า

มีท่านหลงคอยช่วยจัดการตารางเวลาต่างๆ ของตระกูลเฉิน ทำให้ทุกอย่างถูกตระเตรียมเอาไว้อย่างเรียบร้อยตั้งแต่เนิ่นๆ

หลังจากพวกของเฉินตงทั้งสี่คนเดินออกจากสนามบิน ก็ขึ้นนั่งบนรถของตระกูลเฉิน แล้วมุ่งหน้าเพื่อไปเข้าพักที่โรงแรมไห่หลงวานทันที

ภายในห้องพักชั้นพิเศษ จะมองเห็นวิวทิวทัศน์ของท้องทะเลสีฟ้าและชายหาดได้พอดี

เป็นบรรยากาศแบบเมืองร้อนและเป็นธรรมชาติ

ในฐานะที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อ ทำให้ไห่ย่าไม่เคยขาดแคลนนักท่องเที่ยว

ไม่ว่าจะช่วงไหนฤดูไหน บนชายหาดก็จะมีคนนอนอาบแดดอยู่เสมอ

เมื่อมองดูวิวทิวทัศน์อยู่สักพัก

เฉินตงรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก หลังจากวางกระเป๋าเดินทางลงเรียบร้อยแล้ว เขาก็ตั้งใจที่จะออกไปเดินเล่นริมชายหาดกับกู้ชิงหยิ่ง

อีกสักพักกว่าที่ทีมช่างภาพจะมาถึง หลังจากมาถึงแล้ว ก็ยังมีเรื่องอีกมากมายที่จะต้องวางแผนและจัดการ

ดังนั้นวันนี้คงจะยังไม่ได้เริ่มถ่าย

หลายปีมานี้ เขาไม่มีเวลาที่จะผ่อนคลายตนเองจริงๆ เลยสักครั้ง

ตอนนี้จึงควรจะใช้โอกาสนี้ พักผ่อนให้เต็มที่ นั่งดูวิวทิวทัศน์และสนุกกับชีวิตให้เต็มที่

ห้องพักของกู้ชิงหยิ่งอยู่ติดกับห้องพักของเฉินตง เป็นห้องพักชั้นพิเศษเช่นเดียวกัน

ก๊อกๆ !

เฉินตงเคาะประตู

รออยู่สักพักประตูก็ยังไม่เปิด

เฉินตงขมวดคิ้ว เมื่อครู่เขาเข้าห้องพร้อมๆ กับกู้ชิงหยิ่ง

ทำไมเธอถึงยังเก็บสัมภาระไม่เสร็จอีก ?

เขาเคาะประตูอีกครั้ง รออยู่สักพักประตูก็ยังไม่เปิดออกเช่นเคย

เฉินตงหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหากู้ชิงหยิ่ง

เสียงเรียกสายโทรศัพท์เพิ่งจะดังได้หนึ่งครั้งก็มีคนกดรับสาย

“ที่รัก ผมเคาะประตูนานแล้วนะ”

“หา ? ฉันไม่ได้อยู่ในห้องเสียหน่อย !”

กู้ชิงหยิ่งอุทานด้วยความตกใจ จากนั้นจึงพูดคำพูดแปลกๆ ออกมา : “เดี๋ยวก่อนนะ แล้วทำไมคุณถึงอยู่ที่หน้าห้องของฉันได้ ? คุณไม่ได้อยู่ที่นี่หรอกหรือ ?”

เปรี้ยง !

เฉินตงรู้สึกตกใจราวกับถูกฟ้าผ่า

“ตายแล้ว จำคนผิดแล้ว จำคนผิดแล้ว ที่รัก คุณรอเดี๋ยวนะ ฉันจะกลับไปเดี๋ยวนี้”

เสียงของกู้ชิงหยิ่งดังออกมาจากโทรศัพท์ จากนั้นจึงกดวางสายไป

เฉินตงยืนตะลึงอยู่ที่เดิม

แม้แต่สามีของตนเอง ก็จำผิดอย่างนั้นหรือ ?

ผ่านไปห้านาที

กู้ชิงหยิ่งทำปากจู๋ เอามือสองข้างประสานกัน ท่าทางเหมือนกับเด็กที่ทำความผิด แล้วเดินออกมาจากลิฟต์

เฉินตงมองกู้ชิงหยิ่งด้วยท่าทีเฉยเมย

กู้ชิงหยิ่งแลบลิ้นออกมา แล้วเขย่าแขนของเฉินตง : “อย่าโกรธเลยนะคะ ฉันจำคนผิดจริงๆ”

“สามีตัวเองคุณยังจำผิดได้อีกหรือ ?”

เฉินตงแสร้งทำเป็นโกรธ

“ฉันจำคนผิดจริงๆ”

กู้ชิงหยิ่งอธิบายว่า : “เมื่อครู่พอฉันจัดเก็บสัมภาระเสร็จก็ออกมาจากห้องพัก แล้วบังเอิญเห็นคนที่มีลักษณะท่าทางคล้ายกับคุณเดินเข้าลิฟต์ไปพอดี ฉันยังคิดเลยว่าคุณไม่ยอมรอฉัน ฉันก็เลยรีบเดินตามไป หลังจากที่ตามขึ้นลิฟต์ไปไม่ทัน เมื่อลงไปถึงชั้นล่าง ฉันก็เลยรีบตามหาคุณ”

“ฉันยังตะโกนเรียกคุณไปสองครั้ง เมื่อครู่ยังนึกสงสัยเลยว่าทำไมคุณถึงยิ่งเดินยิ่งเร็ว”

“แล้วยังไงต่อ ?” เฉินตงเลิกคิ้ว

“เขาไว้เครา ไม่หล่อเหมือนสามีของฉัน”

กู้ชิงหยิ่งเอาหัวมุดเข้าไปในอ้อมแขนของเฉินตง ราวกับลูกแมวตัวเล็กๆ ที่กำลังออดอ้อน : “เลิกโกรธได้แล้ว ฉันจะเลี้ยงอาหารมื้อใหญ่คุณเอง”

เฉินตงไม่อาจเสแสร้งได้อีกต่อไปแล้ว เขาหลุดขำออกมา

จากนั้นจึงลูบหัวของกู้ชิงหยิ่งด้วยความเอ็นดู : “คุณชนะแล้ว ไปกันเถอะ ไปกินอาหารมื้อใหญ่กัน”

กู้โก๋ฮั๋วและหลี่หวั่นชิงรีบออกไปอย่างรวดเร็ว

ทำให้กู้ชิงหยิ่งรู้สึกคาดไม่ถึงเป็นอย่างมาก

แต่ท่านเมิ่งกลับรู้ดีว่า ที่สองสามีภรรยาเร่งรีบนั้น ก็เพื่อที่จะกลับไปวางแผนการดำเนินงานของบริษัทชิงหยิ่งต่อไป

เข้าจากได้ฟังคำอธิบายแล้ว

ทำให้เฉินตงและกู้ชิงหยิ่งสามารถเข้าใจได้อย่างชัดเจน

สายลมยามค่ำคืนพัดพาความเย็นมาเล็กน้อย

แม่และท่านหลงกลับไปที่รถเรียบร้อยแล้ว

ส่วนเฉินตงเองกำลังจูงมือกู้ชิงหยิ่งอยู่ โดยไม่มีทีท่าว่ารีบร้อนที่จะกลับ

แต่กลับค่อยๆ เดินอยู่ในป่าไผ่อย่างช้าๆ โดยมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน

“เสี่ยวหยิ่ง ขอบคุณคุณมาก และต้องขอบคุณพ่อแม่ของคุณด้วย” จู่ๆ เฉินตงก็พูดขึ้นมา

“คนครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น จะขอบคุณทำไมคะ ?” กู้ชิงหยิ่งหันไม่มองค้อน “คุณนี่มันโง่จริงๆ เลย”

เฉินตงหัวเราะร่าออกมา จากนั้นจึงพูดด้วยพร้อมกับทำแววตาลึกซึ้ง

“ผมรู้ดีว่า คุณลุงกับคุณป้าไม่ต้องการให้พวกเราลำบากเกินไป”

การมอบความสุขให้เป็นสินสอด ไม่ได้เป็นเพียงแค่คำเปรียบเปรยเท่านั้น

ในเมื่อกู้ชิงหยิ่งแต่งงานกับเขาแล้ว การที่เขาทำให้กู้ชิงหยิ่งมีความสุข ก็ถือเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว

แต่ทว่าเรื่องสินสอด กลับกลายเป็นกู้โก๋ฮั๋วสองสามีภรรยา ต้องมาคอยเป็นห่วงและคิดแทนเขากับกู้ชิงหยิ่ง

ถึงแม้ตอนนี้เขาจะเป็นผู้สืบทอดมรดกตระกูลเฉิน ถือครองทรัพย์สินอยู่ในมือจำนวนไม่น้อย

แต่ด้วยฐานะทางครอบครัวของกู้ชิงหยิ่งแล้ว ควรจะให้เท่าไหร่จึงจะถือว่าเหมาะสม ?

สำหรับตระกูลเฉินแล้ว ผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะสามารถอยู่รอดได้ ส่วนผู้ที่อ่อนแอจะต้องถูกกำจัด และท้ายที่สุด ผู้ชนะถึงจะได้ขึ้นเป็นราชา

บรรดาผู้สืบทอดมรดกต่างก็ต้องการแสดงความโดดเด่นออกมา เพื่อที่จะได้เป็นสืบทอดตำแหน่งเจ้าบ้านคนต่อไปอย่างแท้จริง จึงจำเป็นจะต้องพิสูจน์คุณค่าของพวกเขาออกมาให้เห็นอย่างต่อเนื่อง

ส่วนตัวเขาเองนั้น ถือเป็นพวกนอกคอกที่ปะปนอยู่ในบรรดาผู้สืบทอดมรดก

ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อของเขายืนกราน เขาก็คงไม่ได้รับแม้กระทั่งสิทธิ์ในการเป็นผู้สืบทอดมรดก

ด้วยเหตุนี้ เขาจึงต้องการเดินเข้าไปในตระกูลเฉินอย่างเต็มภาคภูมิ และนำเกียรติยศศักดิ์ศรีกลับมาสู่แม่ของเขา

ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องทำตัวให้เหนือกว่าผู้สืบทอดมรดกคนอื่นๆ และไม่ใช่เหนือขึ้นไปเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น !

มีเพียงกระดาษคำตอบที่ได้คะแนนเต็มเท่านั้น จึงจะสามารถทำให้เขาเอาชนะผู้สืบทอดมรดกคนอื่นๆ ได้อย่างแท้จริง

สินสอดในตอนนี้ ย่อมทำให้แผนการหลายอย่างของเขาล่าช้าไปชั่วขณะโดยไม่ต้องสงสัย

กู้โก๋ฮั๋วสองสามีภรรยา สามารถมองปัญหาจุดนี้ออกได้อย่างชัดเจน

ดังนั้นจึงได้ทำเช่นนี้ !

เฉินตงถอนหายใจโดยมีกลิ่นเหล้าคละคลุ้งออกมา จากนั้นจึงลูบหัวของกู้ชิงหยิ่งเบาๆ

“คุณต่างหากล่ะที่เป็นยัยโง่ ไปกันเถอะ กลับบ้านกัน”

เฉินตงจูงกู้ชิงหยิ่งกลับไปที่รถ

ท่านหลงพากู้ชิงหยิ่งกลับไปส่งที่บ้านก่อน จากนั้นจึงกลับมาที่เขตวิลล่าเขาเทียนซาน

คืนนี้เฉินตงนอนหลับสนิทเป็นอย่างมาก

ในความฝัน เป็นฉากแต่งงานระหว่างเขากับกู้ชิงหยิ่ง

นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้เฉินตงตื่นขึ้นมา ก็เป็นเวลาเกือบจะเที่ยงวันแล้ว

เฉินตงที่ปกติแล้วคุ้นชินกับการตื่นเช้าและยุ่งวุ่นวายกับการทำงาน กำลังมองดูพระอาทิตย์ที่ส่องสว่างอยู่นอกหน้าต่าง แล้วเหม่อลอยไป

“ฉันไม่ได้นอนหลับสนิทแบบนี้มานานเท่าไหร่แล้ว ?”

เขาบิดขี้เกียจ จากนั้นจึงไปอาบน้ำ

ขณะที่เฉินตงเดินลงไปด้านล่าง แม่ ท่านหลง และฟ่านลู่กำลังนั่งดูโทรทัศน์อยู่ในห้องรับแขก

“แม่ครับ สายขนาดนี้แล้ว ทำไมถึงไม่ปลุกผมล่ะครับ ?”

“ลูกไม่ได้นอนหลับสนิทแบบนี้มานานแล้ว ทำไมแม่ถึงจะไม่ยอมปล่อยให้ลูกนอนหลับให้สบายสักหน่อยล่ะ ?”

หลี่หลานยิ้มอย่างอบอุ่น และพูดออกมาด้วยความเป็นห่วงเป็นใย

แต่ท่านหลงที่นั่งอยู่ตรงหน้าโทรทัศน์ กลับหันมาส่งสายตาให้เฉินตง เพื่อส่งสัญญาณว่าให้เขาเดินเข้ามา

เฉินตงขมวดคิ้วแล้วเดินเข้าไปดู

ในโทรทัศน์เป็นการรายงานข่าว และข่าวที่กำลังนำเสนออยู่ในขณะนี้ กลับทำให้เขายิ่งขมวดคิ้วแน่น

เป็นเพราะข่าวที่ออกอากาศอยู่ในขณะนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการสังหารฉินเจิ้ง ตระกูลฉินแห่งซีสู่

ตอนนี้เป็นช่วงท้ายของการรายงานข่าวแล้ว เพียงไม่กี่วินาที การรายงานข่าวเรื่องนี้ก็จบลง

หลี่หลานหันกลับมาถามเฉินตง : “หิวรึยัง ?”

ฟ่านลู่รีบลุกขึ้นทันที : “ฉันจะไปเตรียมอาหารเที่ยงเดี๋ยวนี้”

เฉินตงส่ายหัว : “ไม่หิว ท่าหลงออกไปเดินเล่นข้างนอกเป็นเพื่อนฉันสักหน่อยสิ”

ทั้งสองคนเดินออกไปด้านนอกวิลล่า

พวกเขาเดินเล่นอยู่ในสวนดอกไม้โดยไม่ได้พูดคุยอะไรกัน

ผ่านไปพักใหญ่

ท่านหลงก็พูดขึ้นว่า : “คุณชายอยากจะถามเกี่ยวกับข่าวนี้ใช่ไหมครับ ?”

เฉินตงพยักหน้า แล้วพูดด้วยความสงสัยว่า : “ผมไม่เข้าใจจริงๆ ว่า ทำไมตระกูลฉินถึงได้ออกมาเปิดเผยเรื่องนี้เอาป่านนี้ อีกทั้งยังเลือกวิธีการที่ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่อีกด้วย”

ก่อนหน้านี้ เฉินตงรู้สึกสงสัยมาโดยตลอด

ฉินเจิ้งเป็นทายาทโดยสายเลือดรุ่นที่สองของตระกูลฉิน

เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ทำไมเหตุการณ์ทุกอย่างถึงได้สงบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ?

ถึงขั้นที่ว่า ในคืนนั้นหลังจากที่ส่งฉินเย่ถึงโรงพยาบาลแล้ว เขาก็เตรียมพร้อมที่จะรับมือกับความโกรธแค้นของตระกูลฉิน

แต่ทว่า เรื่องที่ควรจะบานปลายใหญ่โต กลับถูกถ่วงเวลามาจนถึงบัดนี้

อีกทั้งตระกูลฉินก็ไม่ได้เป็นผู้ลงมือคิดบัญชีด้วยตนเอง แต่เลือกใช้วิธีการนำเสนอข่าวต่อสาธารณชน

ตระกูลฉินไม่รู้จริงๆ หรือว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ?

ตระกูลใหญ่ตระกูลอื่นๆ ภายนอก จะไม่สามารถสืบหาความจริงได้จริงหรือ ?

ทำเช่นนี้ มีจุดประสงค์อะไรกันแน่ ?

ท่านหลงขมวดคิ้วแล้วส่ายหัว : “เรื่องนี้กระผมเองก็รู้สึกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล โดยปกติแล้วการแก้แค้นของตระกูลใหญ่ มักจะใช้วิธีจัดการอย่างลับๆ หรือการลอบสังหาร ดังนั้นการที่ตระกูลฉินเลือกใช้วิธีการเช่นนี้ ตัวกระผมเองก็ไม่เข้าใจ”

เฉินตงยิ้มออกมาอย่างจนใจ

ในเมื่อทุกอย่างกลับตาลปัตรก็แสดงว่าจะต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากล

เห็นได้ชัดว่า การเล่นตลกของตระกูลฉินในครั้งนี้ ทำให้ผู้คนรู้สึกสับสน

หายใจเข้าลึกๆ ไปหนึ่งที

เฉินตงสูดหายใจเข้าเต็มปอดหนึ่งครั้งแล้วยักไหล่ : “ช่างเถอะ ไม่ต้องไปสนใจแล้ว อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด”

“ตอนนี้คิดว่าก็คงทำได้เพียงเท่านี้” ท่านหลงถอนหายใจแล้วพูดว่า : “กระผมจะรายงานให้คุณท่านทราบ และจะขอความคิดเห็นจากคุณท่าน”

เฉินตงเองก็ไม่ได้ขัดขวาง

ไม่ว่าเขาหรือท่านหลง ก็ไม่อาจหาวิธีการในการรับมือกับความแค้นและการต่อสู้ระหว่างตระกูลใหญ่ได้ดีเท่ากับพ่อของเขา

เขาและท่านหลงไม่เข้าใจการกระทำที่แปลกประหลาดของตระกูลฉิน แต่ไม่แน่ว่าพ่ออาจจะเข้าใจก็ได้

……

สองวันต่อมา เหตุการณ์ทุกอย่างเป็นปกติ

ข่าวการถูกสังหารของฉินเจิ้ง ราวกับก้อนหินก้อนเล็กๆ ที่โยนลงไปในทะเลสาบอันเงียบสงบ หลังจากเกิดคลื่นระลอกเล็กๆ แล้ว ผิวน้ำก็กลับไปนิ่งสงบเหมือนเดิม

สิ่งนี้ทำให้เฉินตงรู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก

เห็นได้ชัดว่า ความสงบเช่นนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ตระกูลฉินต้องการ

ตระกูลที่ร่ำรวยเป็นอันดับหนึ่ง ทายาทโดยสายเลือดรุ่นที่สองถูกสังหาร การเปิดเผยเรื่องใหญ่เช่นนี้ต่อสาธารณชน เท่ากับเป็นการตบหน้าตัวเองอย่างไม่ต้องสงสัย

ความสงบที่เห็นอยู่ตรงหน้า เป็นเหมือนฉากที่เกิดขึ้นก่อนที่พายุลูกใหญ่กำลังจะมา

เมื่อกลับถึงบ้านในช่วงเย็น

ท่านหลงก็รีบพาเฉินตงเดินขึ้นไปบนดาดฟ้า

“พอส่งข่าวมาแล้วหรือ ?”

ท่านหลงมีท่าทีเคร่งขรึม : “ตอนนี้คุณท่านเองก็ยังมองไม่ออกเหมือนกันครับ แต่ท่านได้กำชับมาว่าให้คุณชายระวังตัว เพราะ……”

ท่านหลงหยุดพูดไปสักพัก จากนั้นจึงพูดต่อด้วยความกังวลว่า : “เพราะคุณท่านสืบรู้มาว่า เมื่อไม่นานมานี้คุณหญิงใหญ่ได้เดินทางไปที่ตระกูลฉินมาหนึ่งครั้ง ซึ่งระยะเวลาห่างจากช่วงที่มีการปล่อยข่าวออกมาไม่นานนัก”

“คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน ?”

เฉินตงรู้สึกผงะไปเล็กน้อย : “หรือว่าจะร่วมมือกับตระกูลฉินแล้ว ?”

หากเป็นเช่นนี้จริง ต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่นอน !

ต่อให้คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินจะเย่อหยิ่งเพียงใด แต่อย่างไรเสียยังคงเป็นคนของตระกูลเฉิน

และในตระกูลเฉินเอง พ่อก็มีศักดิ์เป็นเจ้าบ้าน

ต่อให้พ่อจะถูกคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินขัดขวางมากเพียงใด แต่ท้ายที่สุด หากพ่อแสดงอำนาจขึ้นมาจริงๆ คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินเองก็ไม่อาจมีกำลังพอที่จะคิดขัดขวางได้เช่นกัน

ดังเช่นเรื่องที่เกิดขึ้นครั้งก่อน ที่พ่อต้องทำใจแข็งเพื่อข่มขู่คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน ท้ายที่สุดคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินเองก็ต้องก้มหัวยอมแพ้

สาเหตุหลักที่สุดก็คือ ทรัพย์สินของตระกูลเฉินที่อยู่ในมือของพ่อนั้นมีมากกว่าคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน ทำให้คำพูดของพ่อมีน้ำหนักมากกว่า

ดังนั้น หากคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินต้องการใช้อำนาจของตระกูลเฉินมาจัดการกับเขาแล้วละก็ คงไม่ใช่เรื่องง่าย

ถ้าหากคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินร่วมมือกับตระกูลฉิน

คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินสามารถมองข้ามตระกูลเฉิน แล้วยืมมือของตระกูลฉินเพื่อมาจัดการกับเขาได้อย่างสมบูรณ์ !

“คุณชายเข้าใจทุกอย่างแล้วหรือครับ ?”

เมื่อเห็นสีหน้าของเฉินตงไม่ค่อยสู้ดีนัก ท่านหลงจึงเอ่ยถาม

เฉินตงพยักหน้า : “ถ้าหากร่วมมือกันจริง พ่อคงจะต้องคอยระวังทุกฝีก้าวสินะ ?”

“แน่นอนครับ”

ท่านหลงพยักหน้า : “ดังนั้นคุณท่านจึงกำชับมาให้คุณชายระวังตัว เมื่อไหร่ก็ตามที่หางของสุนัขจิ้งจอกยังไม่โผล่ออกมา พวกเราจะต้องคอยระวังตัวไว้เป็นสำคัญ”

เฉินตงลูบใบหน้าของเขาอย่างช่วยไม่ได้

จากนั้นจึงพูดออกมาอย่างจนใจว่า : “เกรงว่าตอนที่หางของสุนัขจิ้งจอกโผล่ออกมา จะพบว่าไม่ใช่หางของสุนัขจิ้งจอกนะสิ แต่เป็นสัตว์ประหลาดที่กินคนแทน !”

คำพูดเดียว

กู้ชิงหยิ่งที่ก้มหน้านั่งเงียบๆ ก็หน้าแดงขึ้นมา

เธอรู้สึกเขินอายและมองกู้โก๋ฮั๋วอย่างไม่พอใจ “ คุณพ่อคะ คุณพ่อ นี่พ่อพูดอะไรเนี่ย”

กู้โก๋ฮั๋วชะงักไป ก่อนจะหัวเราะฮ่าๆ “ โอ๊ยยย.. ลูกสาวเริ่มสั่งสอนพ่อแล้ว เสี่ยวหยิ่งอย่าโกรธไปเลย พ่อกับแม่ก็ไม่ใช่คนมักใหญ่ใฝ่สูงอะไร แต่เป็นเพราะว่าลูกกับเฉินตงต่างก็รักกัน และได้ตกลงจะแต่งงานกัน ลูกทั้งสองอายุก็ไม่น้อยแล้ว อะไรที่ควรทำก็ต้องรีบๆแล้ว ”

กู้ชิงหยิ่งหน้าเขินแดง แต่ก็ไม่ได้โต้แย้ง

เธอรู้ว่าคุณพ่อของเธอกลัวจริงๆ ว่าเฉินตงจะหลุดมือไป แต่แน่นอนนั่นไม่ใช่เหตุผลหลัก

หลักๆ ก็อย่างที่คุณพ่อบอก ทั้งสองคนอายุไม่น้อยแล้ว

รอมานานสามปี ตั้งแต่จบมหาลัย

ในที่สุดก็รอจนถึงวันนี้ ควรจัดการให้ไวที่สุดจริงๆ

ถ้าคุณพ่อคุณแม่เป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูงจริงๆ หลังจากที่รับรู้ เขาคงไม่คิดที่จะกลับมา แต่จะโทรมาสั่งให้เลิกกับเฉินตงด้วยซ้ำ คงจะตีกระบองแยกคู่ยวนยางไปแล้ว

เมื่อเฉินตงพาคุณแม่และท่านหลงเดินเข้ามาในลานป่าไผ่

กู้ชิงหยิ่งรีบพาคุณพ่อคุณแม่และท่านเมิ่งเดินไปต้อนรับที่หน้าประตู

บรรยากาศระหว่างสองฝ่ายเป็นไปอย่างอบอุ่นและมีความสุข

เฉินตงและกู้ชิงอิ่งเดินตามหลังคุณพ่อคุณแม่ไปติดๆ และยิ้มอย่างมีความสุข

อย่างไรก็ตาม เฉินตงก็รู้สึกมีความขมขื่นในใจเล็กน้อย

ภาพที่อุ่นใจเช่นนี้ กับอดีตที่ผ่านมาเขาจะไม่เคยคาดหวังพบเห็นได้ไง?

แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามแค่ไหน สิ่งที่แลกกลับมาก็ได้แค่ความดูถูก

ในวันนี้ เมื่อเปลี่ยนคู่คอง บรรยากาศก็เปลี่ยนไป

บางที ตั้งแต่ตอนแรกที่เขาพบเจอกับหวางหนันหนัน ก็อาจจะถูกลิขิตไว้แล้ว มันเป็นเพียงชะตากรรมของทั้งสอง

จิตใจซับซ้อนมาก เฉินตงหายใจเข้าลึกๆ เพื่อให้ตัวเองปล่อยวางกับเรื่องในอดีต

หลังจากนั่งลง

ท่านเมิ่งสั่งให้เสิร์ฟอาหาร

บนโต๊ะอาหารนั้น เต็มไปด้วยความสนุกสนาม และบรรยากาศที่อบอุ่น

หลังจากที่ชนแก้วดื่มเหล้า และอาหารบนโต๊ะก็เสิร์ฟจนครบแล้ว

จึงเริ่มเข้าสู่หัวข้อ

“ ตงเอ๋อ ที่จริงแล้ว ครั้งนี้ผมกับคุณป้ากลับมาที่นี่ เรื่องแรกเลย ก็คืออยากขอบคุณนาย

กู้โก๋ฮั๋วแก้มแดงและเมา แต่กลับพูดด้วยสีหน้าจริงจัง เป็นเพราะนาย สิ่งที่ลุงปรารถนามาหลายปีนี้ถึงได้สมหวังสักที

“ คุณลุง คุณเกรงใจเกินไปแล้ว ”

เฉินตงตอบด้วยรอยยิ้ม เขาทราบว่ากู้โก๋ฮั๋วกำลังพูดถึงเรื่องที่เข้าบ้านตระกูลเฉิน

ทันทีหลังจากนั้น กู้โก๋ฮั๋วก็พูดต่อ

“ เรื่องที่สอง คุณลุงคุณป้าก็อยากก็จะถามนายกับเสี่ยวหยิ่ง จะแต่งงานกันตอนไหน ทั้งสองคนอายุก็ไม่น้อยแล้ว ในเมื่อแน่ใจแล้ว ก็ควรรีบแต่งกันให้เร็วที่สุด”

“พ่อแม่อายุปูนี้แล้ว ก็หวังจะได้อุ้มหลานไวๆ”

ประโยคนี้ ทําเอาทุกคนบนโต๊ะต่างก็หัวเราะออกมา

“พูดถูก คุณพ่อตาพูดถูก ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน”

หลี่หลานยิ้ม เหมือนพบเจอคนรู้ใจ “ ฉันว่านะ งานแต่งของตงเอ๋อกับเสี่ยวหยิ่ง ยิ่งเร็วยิ่งดี”

“ คุณพ่อ ”

“ คุณแม่ ”

กู้ชิงหยิ่งกับเฉินตงอดไม่ได้ที่จะเปิดปากพูด

กู้โก๋ฮั๋วหัวเราะฮ่าๆ แล้วพูดกับหลี่หลานว่า “คุณแม่สามี ผมว่าเด็กสองคนนี้คงยังเขินอายอยู่ เลยไม่กล้าที่จะแสดงออก ผมว่าเราสองคนตัดสินใจกันเลยดีไหม? ”

“ หรือว่า วันที่15เดือนหน้า? ”

หลี่หลานเสนอ

กู้โก๋หัวและหลี่หวั่นชิงมองหน้ากันและพยักหน้า

เฉินตงตกตะลึงเล็กน้อย “มันจะเร็วเกินไปไหมครับ?”

เขาคิดเลิศแต่งงานในใจไว้แล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าพอผู้ใหญ่มาคุยกันเพียงไม่กี่คำก็จะกำหนดให้แต่งเดือนหน้าเลย

นี่เหลือเวลาอีกแค่ไม่ถึงหนึ่งเดือน หลายสิ่งหลายอย่างยังไม่ทันได้เตรียมตัวเลย

“ ใช่แล้ว มีหลายสิ่งที่ต้องเตรียมสำหรับการแต่งงาน พรีเวดดิ้ง สถานที่จัดงาน และอื่นๆอีกมากมาย” กู้ชิงหยิ่งก็เห็นด้วย

“ โอ๊ยยย หนูสองคนอย่าได้กังวลเลย มีอะไรที่ควรทำก็รีบไปทำเลย ในเรื่องของการเตรียมโรงแรม การ์ดเชิญต่างๆ พวกเราจะจัดการให้เอง”

หลี่หลานพูดอย่างจริงจัง และชี้ไปทางท่านหลง “ ไม่ทันจริงๆก็ยังมีท่านหลงค่อยช่วยอีกแรง”

“คุณชาย ฮูหยินพูดถูก” ท่านหลงยิ้มและพยักหน้า

นี่แสดงว่าไม่มีโอกาสที่จะต่อรองแล้วสินะ!

เฉินตงรู้สึกหมดหนทาง เขาเหลือบไปมองกู้ชิงหยิ่งแวบหนึ่ง แล้วทำได้เพียงพยักหน้ายอมรับ

จากนั้นเขามองไปทางกู้โก๋ฮั๋วและหลี่หวั่นชิง “คุณลุงคุณป้า เรื่องพิธีสินสอด…… ”

ลูกให้มาแล้วไม่ใช่เหรอ? หลี่หวั่นชิงยิ้มอย่างอ่อนโยน “แสดงว่าของขวัญที่ลูกให้มาเมื่อครั้งก่อนนั้น จะนับเป็นสินสอดไม่ได้งั้นเหรอ? ”

เฉินตงทำหน้าเอ๋อ

แล้วพูดอย่างเรีงรีบ “ นั่นเป็นของขวัญสำหรับการพบผู้ใหญ่ครั้งแรก จะนับเป็นสินสอดได้ไงกันครับ”

“ เจ้าเด็กนี่ บอกว่านับเป็นสินสอดก็คือสินสอดไง”

กู้โก๋ฮั๋วกล่าวยังเคร่งขรึม “ อีกอย่าง ก็เพราะนาย สิ่งที่ลุงคาดหวังมานานหลายปีถึงได้สมหวัง นี่ก็ถือเป็นสินสอดที่ดีที่สุดแล้ว”

“ แต่….. ”

เฉินตงยังคิดจะเถียง พิธีสินสอดทองหมั้นนั้น ก็เป็นความตั้งใจของเขาที่มีต่อกู้ชิงหยิ่งเหมือนกัน

ในตอนที่เขาลำบากยากจนที่สุด กู้ชิงหยิ่งเป็นคนที่รอเขามานานสามปี และอยู่เคียงข้างอย่างไม่หวังสิ่งใด

ยิ่งกว่านั้นคือ ตัดสินใจอยู่กับเขาตั้งแต่ตอนที่ยังไม่ทราบภูมิหลังของเขา

กู้ชิงหยิ่งฝากทั้งชีวิตไว้กับเขา เขาจะไม่มีทางทำให้กู้ชิงหยิ่งผิดหวังแน่นอน

สำหรับงานแต่งของเขากับกู้ชิงหยิ่ง เขาจะไม่ยอมละเลยแม้แต่นิด

“ ตงเอ๋อ ป้ากับคุณลงรับรู้ถึงความใส่ใจที่ลูกมีต่อเสี่ยวหยิ่งแล้ว”

หลี่หวั่นชิงยิ้มพูดอย่างอ่อนโยน และมองไปทางกู้ชิงหยิ่ง “ เสี่ยวหยิ่งเป็นลูกสาวคนเดียวของคุณลุงกับป้า ก็ต้องห่วงเป็นธรรมดาแหละ หวังว่าลูกสาวจะเจอคู่คองที่ดี และมีความสุขตลอดชีวิต”

“ สินสอดทองหมั้นที่ว่า เป็นความตั้งใจของลูก แต่ความใส่ใจที่ลูกมีต่อเสี่ยวหยิ่งเราก็ได้รับรู้แล้ว ขอเพียงลูกดูแลเสี่ยวหยิ่งให้มีความสุขตลอดชีวิต แค่นี้คนเป็นพ่อแม่ก็อุ่นใจมากแล้ว ”

“แต่เช่นนี้ มันไม่ยุติธรรมต่อเสี่ยวหยิ่งเลยครับ คนอื่นเขาแต่งงานมีสินสอดทองหมั้นกันทั้งนั้น เสี่ยวหยิ่งก็ต้องมีครับ ” เฉินตงยืนกราน

หลี่หลานก็รู้สึกไม่ยุติธรรมต่อกู้ชิงหยิ่งสักเท่าไหร่ “ คุณพ่อตาแม่ยาย สินสอดทองหมั้นยังไงก็ต้องมีค่ะ กว่าตงเอ๋อกับเสี่ยวหยิ่งจะมาถึงวันนี้มันก็ไม่ง่ายเลย ในเมื่อแต่งงานกัน เช่นนั้นก็ต้องแต่งกันอย่างงดงามอลังการ หากไม่มีสินสอดทองหมั้น มันไม่ยุติธรรมต่อเสี่ยวหยิ่ง ”

ประโยคนี้ ทำให้กู้ชิงหยิ่งและพ่อแม่ของเขารู้สึกอุ่นใจยิ่งนัก

สำหรับงานแต่งงานของคนทั่วไป ส่วนใหญ่มักจะเถียงเรื่องสินสอดทองหมั้นกันหน้าแดงหน้าดำ

แม้ว่าทั้งสองตระกูลจะเป็นเศรษฐีที่มั่งคั่ง และไม่ได้ขาดแคลนเงิน แต่การที่เขาพูดมาถึงขนาดนี้ ก็เห็นได้ชัดว่าเขาให้ความสำคัญกับกู้ชิงหยิ่งเป็นอย่างมาก

สินสอดทองหมั้น เป็นเพียงน้ำใจ

“ เหอะๆ อย่างน้อยฉันก็เป็นลุงของเสี่ยวหยิ่ง เรื่องนี้ฉันก็ควรจะพูดอะไรสักหน่อย”

ท่านเมิ่งเห็นว่าบรรยากาศค่อนข้างตึงเครียด เลยลุกขึ้นถือสุรา แล้วหันไปพูดกับหลี่หลานและเฉินตง “เฉินตง แค่นายมีความคิดเช่นนี้ก็เพียงพอแล้ว ไอ้กู้และภรรยาก็พูดอย่างชัดเจนแล้ว ขอแค่นายไม่ทำให้เสี่ยวหยิ่งเสียใจ ก็นับเป็นสินสอดทองหมั้นที่ล้ำค่าที่สุดแล้ว”

อย่าคิดว่า มีความสุข คำกี่คำนี้ง่ายๆ ถ้าอยากมีความสุขตลอดไปจนถึงสิ้นชีวิต มันเป็นเรื่องยากนะ สินสอดทองหมั้นนั้นถือว่าไม่เบาล่ะ”

“ลุงคนนี้ขอพูดไว้ก่อนเลยละกัน หากวันไหนนายกล้าทำให้เสี่ยวหยิ่งเสียใจละก็ ฉันกับไอ้กู้จะไม่ปล่อยนายไว้แน่ ”

ด้วยถ้อยคำหยอกล้อเช่นนี้ ทำให้สถานการณ์ที่ตึงเครียดค่อยๆจางลง

เฉินตงลุกยืน และยกแก้วไวน์ขึ้น

“ขอบคุณคุณลุงคุณป้ามาก ผมจะทำให้ดีที่สุดเลย จะไม่ทำให้ทุกคนผิดหวังแน่นอนครับ”

กู้ชิงหยิ่งก็ลุกขึ้นยืน พร้อมถือแก้วไวน์แล้วยิ้มพูด “ขอบคุณคุณพ่อคุณแม่ค่ะ”

“ ดีมากลูก งั้นก็ตกลงตามนี้ แต่งกันวันที่15เดือนหน้าเลย”

กู้โก๋ฮั๋วยิ้มและลุกขึ้นยืน ทุกคนต่างเห็นด้วย พร้อมยกไวน์ดื่มจนหมดแก้ว

ตระกูลฉินที่นิ่งเฉยมาหลายวัน แม้แต่อากาศยังรู้สึกกดดันแทน

ทุกคนในกระกูลฉิน อัดอั้นราวกับก้างปลาติดคอ

แม้แต่เวลาเดิน ก็ก้มหน้าก้มตา เดินอย่างเร่งรีบ

ทุกคนต่างรู้ดี ว่าหลายวันมานี้ เจ้าบ้านอารมณ์แปรปรวนไม่เบา

ในวันนี้ เจ้าบ้านที่เก็บตัวอยู่แต่ในห้องมาเป็นเวลาหลายวัน ในที่สุดก็ออกมา

และยิ้มอย่างมีความสุข ไม่เห็นแม้แต่ร่องรอยของความโกรธเคือง

เมื่อเจ้าบ้านตระกูลฉินเดินออกจากห้อง เขาก็สั่งลูกสายตรงของตระกูลออกไปพร้อมกัน

หนึ่งชั่วโมงต่อมา ที่สนามบินซีสู่

รถหรูหลายสิบคันขับเข้าไปยังรันเวย์ของสนามบินโดยไม่มีสิ่งกีดขวาง จอดเรียงเป็นแถว ตรงขอบรันเวย์

เจ้าบ้านตระกูลฉินรีบลงจากรถ และพาคนของตระกูลฉินทุกคน เดินตรงไปยังเครื่องบินที่ลงจอดสนิทอยู่ตรงหัวมุมของรันเวย์

“ ยินดีต้อนรับคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน ! ”

เมื่อเจ้าบ้านตระกูลฉินยกมือคารวะ

“ยินดีต้อนรับคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน ! ”

กลุ่มคนตระกูลฉินทุกคนก็ได้ยกมือก้มลงคารวะในเวลาเดียวกัน อย่างเสียงดังฟังชัด

เมื่อประตูผู้โดยสารเปิด

คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินค่อยๆก้าวออกจากเครื่องบิน

นางกวาดตามองกลุ่มคนตระกูลฉิน และยิ้มอย่างสง่า “ ตามสบายเถอะ”

“ คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน ทุกอย่างจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ระหว่างทางคงเหนื่อยน่าดู โปรดพักผ่อนดีๆ ” เจ้าบ้านตระกูลฉินใบหน้ายิ้มแย้ม

ในเมืองซีสู่ ตระกูลฉินถือเป็นมหาเศรษฐีอันดับต้นๆ

ระดับมหาเศรษฐีที่สูงส่ง แต่เมื่อเผชิญหน้ากับตระกูลเฉิน เขาก็เป็นได้แค่ผู้คนต่ำต้อยที่ต้องก้มหน้าก้มตา ยิ้มแย้มเอาใจ

“ ช่วงนี้ตระกูลฉินดูวุ่นวายยิ่งนัก”

คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินยิ้มและพูดหยอกล้อ

เจ้าบ้านตระกูลฉินถึงกับยิ้มไม่ออก ถอนหายใจอย่างท้อแท้ “ไอ้ลูกไม่รักดี เวรกรรมจริงๆ”

“เมื่อเป็นเช่นนี้ ควรจัดการให้เร็วที่สุด เพื่อเป็นแบบอย่างเตือนคนในตระกูล ไม่ให้ทำตาม”

คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินดูท่าทีเฉยๆ แต่ดวงตากลับฉายแววเยือกเย็น “ความสามารถในการปกครองราชวงศ์ของเจ้าบ้านตระกูลฉิน ฉันก็เคยได้ยินมาบ้างแล้ว ลูกไม่รักดี ดื้อรั้นและไม่กตัญญูเช่นนี้ ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่ามีความเกี่ยวพันกับคนของตระกูลเฉินด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะไอ่ลูกสวะของตระกูลเฉินคอยก่อเรื่องในครั้งนี้ เจ้าบ้านตระกูลฉินก็คงไม่ถึงกับจะจัดการกับลูกทรยศคนนี้ไม่ได้”

เจ้าบ้านตระกูลฉินยิ้มอย่างหมดหนทาง “คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินได้โปรดตรวจสอบให้ชัดเจน เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นเพราะเฉินตงจริงๆ ที่คอยก่อเรื่อง ”

ตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่ได้แสดงความประหลาดใจใด ๆ

กำลังของตระกูลเฉิน ถ้ามีใจที่จะสืบหาความจริง ยังไงก็ต้องสืบหาเบาะแสได้อยู่แล้ว

อีกทั้งเจ้าบ้านตระกูลฉินยังรู้ถึงสถานการณ์ของเฉินตงที่อยู่ในตระกูลเฉินด้วย

“ไปกันเถอะ ครั้งนี้ฉันตั้งใจมาเพื่อเรื่องนี้โดยเฉพาะ ยังไงก็ต้องให้ความยุติธรรมกับตระกูลฉินแน่นอน ” ระหว่างคิ้วของคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน ดูเยือกเย็นกว่าเดิม

เจ้าบ้านตระกูลฉินดีใจยิ่งนัก ที่นิ่งเฉยมาหลายวันนี้ ก็เพราะเกรงกลัวอำนาจของตระกูลเฉิน จึงไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม

ในเมื่อวันนี้คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินได้ให้เกียรติเสด็จมาถึงที่นี่ และแสดงจุดยืน แน่นอนนี่เป็นการให้ความอุ่นใจแก่เจ้าบ้านตระกูลฉิน

นี่เป็นความแค้นที่ต้องชำระ

เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องถึงภาพลักษณ์ของตระกูลฉินมหาเศรษฐีแห่งเมืองซีสู่ หากไม่จัดการให้เร็วที่สุด ผลที่ตามมาจะไม่ต่างกับกระกูลหลี่ในเมืองหลวง !

ทั้งคู่หัวเราะพูดคุยและเดินไปยังขบวนรถ

และด้านหลัง เป็นกลุ่มคนตระกูลฉินและตระกูลเฉินที่เดินตามมาอย่างนอบน้อม

…………..

อีกฝั่งหนึ่ง

เมื่อกลับถึงบริษัท กู้ชิงหยิ่งก็ได้โทรเรียกเฉินตงออกไปในทันที

เมื่อเห็นกู้ชิงหยิ่ง เฉินตงรีบถาม “เกิดอะไรขึ้น? กลางวันแสกๆอยู่เลย เรื่องอะไรร้อนใจขนาดนี้”

กู้ชิงหยิ่งยิ้มหวาน “พ่อแม่ฉันจะกลับมาแล้ว ”

เฉินตงอึ้งไปสักพัก

ครั้งล่าสุดที่พ่อแม่ของกู้ชิงหยิ่งจากไป ก็เพื่อไปบ้านตระกูลเฉิน

ด้วยความสัมพันธ์ของเขา ครั้งนี้กู้โก๋ฮั๋วคงจะเคาะประตูตระกูลเฉินได้อย่างราบรื่นแล้ว

“มาเมื่อไหร่ ผมจะได้จัดเตรียมไว้ก่อน ” เฉินตงถาม

“ คืนนี้แหละ ”

กู้ชิงหยิ่งกล่าว “ คุณยุ่งขนาดนี้ ฉันจัดการเองดีกว่า พ่อแม่ฉันไม่มาอยู่นานหรอก พรุ่งนี้ก็กลับละ ที่มาครั้งนี้ ก็เพราะว่าอยาก……. ”

“ พูดถึงตรงนี้ ใบหน้างดงามของกู้ชิงหยิ่งแดงเล็กน้อย และรู้สึกเขินอาย

อะไรนะ? ” เฉินตงไม่เข้าใจ

“ คุณขอฉันแต่งงานแล้วนิ ” กู้ชิงหยิ่งพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน

กำหนดวันแต่งงาน?

เฉินตงเข้าใจในทันที

ในเมื่อขอแต่งงานแล้ว ก็ควรจะตกลงเรื่องของการแต่งงานกันละ

เฉินตงขยี้จมูก แล้วยิ้มพูด “ ผมเข้าใจแล้ว งั้นคืนนี้ก็จะขอคุยเรื่องสินสอดกับคุณลุงคุณป้าทีเดียวเลยนะครับ ”

พิธีงานแต่งตามหลักประเพณีนิยม สินสอดทองหมั้น ต้องทำตามอย่างเคร่งครัดทุกขั้นตอน

ในเมื่อจะกำหนดวันแต่งงานแล้ว ก็ควรทำตามหลักธรรมเนียมอย่างเคร่งครัด

ในเรื่องนี้ เฉินตงไม่เคยคิดที่จะละเลย

ถ้าเขาละเลย เขาคงต้องรู้สึกผิดต่อกู้ชิงหยิ่งไปตลอดชีวิต

“งั้นผมไปจัดการนะ สถานที่ยังคงเป็นคลับสี่ยิ่นของลุงเมิ่งเหมือนเดิมนะครับ ”

กู้ชิงอิ่งเขย่งปลายเท้าขึ้น แตะแก้มเฉินตงเบาๆ

จากนั้นเขาก็จากไปอย่างร่าเริง

เฉินตรงมองดูกู้ชิงหยิ่งเดินไป และสัมผัสถึงความอบอุ่นที่ยังหลงเหลืออยู่บนแก้ม

ในความมึนงง เขารู้สึกประหม่าเล็กน้อย

ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ตกลงคบกับกู้ชิงหยิ่ง หรือฉากที่ของแต่งงาน

เขาก็ไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้มาก่อน

แม้ว่าเขาจะแต่งงานครั้งที่สองแล้ว แต่พอนึกถึงกู้ชิงหยิ่ง เขาก็ยังรู้สึกประหม่าทำตัวไม่ถูก

หายใจเข้าลึกๆ

เฉินตงส่ายหน้า แล้วรู้สึกขำตัวเอง “จะตื่นเต้นอะไรขนาดนี้เนี่ย? ทั้งชีวิตของชิงหยิ่งก็มอบให้ฉันแล้ว นับภาษาอะไรกับเรื่องแค่นี้ ยังจะมาตื่นเต้น ”

………..

แวบเดียวก็ถึงเวลาหกโมงเย็น

พอเฉินตงเลิกงาน ท่านหลงกับหลี่หลานก็ได้ขับโรลส์-รอยซ์ไปรอรับอยู่ที่ข้างถนนแล้ว

หลังจากที่ขึ้นรถ ก็ได้ขับตรงไปยังคลับสี่ยิ่น

ระหว่างทาง บรรยากาศบนรถก็ดูอบอุ่นมีความสุข

สิ่งที่ทำให้เฉินตงถึงกับพูดไม่ออกก็คือ หลี่หลานเริ่มปรึกษากับท่านหลง ว่าลูกของเขากับกู้ชิงหยิ่งจะชื่ออะไรดี

เฉินตงทนฟังต่อไม่ได้จริงๆ “ คุณแม่ นี่เพิ่งจะตกลงเรื่องงานแต่งงานกันนะ แม่ก็เริ่มตั้งชื่อให้ลูกผมแล้ว แม่จะใจร้อนไปไหนครับเนี่ย?”

“ เด็กโง่เอ๊ย นี่เรียกว่าใจร้อนเหรอ? คิดไว้ตั้งแต่ตอนนี้ ถึงตอนนั้นจะได้ไม่ต้องวุ่นวายไงล่ะ” หลี่หลานมองอย่างไม่พอใจ

เฉินตงถึงกับพูดไม่ออก

ฟังจากที่แม่พูด อย่างกับว่าแค่หลับตาแล้วลืมตา ลูกก็จะกระโดดออกมาเลยงั้นเหรอ?

แต่เขาก็เข้าใจหัวอกของคนเป็นแม่

สามปีที่แต่งงานกับหวางหนันหนัน

เนื่องจากอาการป่วยของแม่ ตระกูลหวางไม่เคยแสดงสีหน้าดีๆให้เลย ทำให้คุณแม่ก็ต้องคอยทนรับอารมณ์และลำบากไปด้วย

ส่วนเรื่องอุ้มหลาน นั้นยิ่งเป็นความหวังที่เป็นไปไม่ได้เลย

และในตอนนั้น นับครั้งไม่ถ้วนที่ตระกูลหวางต้องการให้เฉินตงย้ายทะเบียนเข้าตระกูลหวางด้วยซ้ำ เพื่อที่ลูกเกิดมาจะได้แซ่หวาง นี่มันต้องการแต่งเขยเข้าบ้านชัดๆ

เรื่องนี้ยังไงคุณแม่ก็ไม่ยอมรับ และเฉินตงเองก็ไม่เต็มใจแน่นอน

ซึ่งด้วยเหตุนี้ ตลอดสามปีที่ผ่านมาหวางหนันหนันจึงไม่ยอมมีลูกกับเฉินตง

ที่สุดฟ้าก็สว่างสักที สถานการณ์ทางบ้านดีขึ้นเรื่อยๆ

ส่วนกู้ชิงหยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นความกตัญญูกตเวทีต่อมารดาหรือความดูแลเอาใจใส่ต่อเขา ก็ไม่มีข้อบกพร่องใดๆเลย

งานแต่งเช่นนี้ คุณแม่ไม่มีความสุขก็แปลกแล้ว

รถโรลส์-รอยซ์ขับเข้าไปในคลับสี่ยิ่น

หลังลงจากรถ ทั้งสามก็เดินตรงไปที่ลานป่าไผ่

ขณะนี้ ภายในลานป่าไผ่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนาน

“ ไอ้กู้เอ๊ย ครั้งนี้ก็นับว่ามาไม่เสียเที่ยวนะ”

ท่านเมิ่งพูดคุยและหัวเราะเบาๆ

กู้โก๋ฮั๋วหน้าแดงเปล่งประกาย ด้วยความภาคภูมิใจ รอบนี้มาไม่เสียเที่ยวจริงๆ ก็ถือว่าคุ้มค่าจริงๆ กับความพยายามตลอดหลายปีที่ผ่านมาของผม

ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างเฉินตง

การเดินทางไปบ้านตระกูลเฉินในครั้งนี้ เขาได้รับการต้อนรับที่ดีมาก

เจ้าบ้านตระกูลเฉินใด้ออกไปต้อนรับด้วยตัวเอง ได้ยินแค่ “พ่อตา” คำเดียวก็ทำเอากู้โก๋ฮั๋วหัวใจเบิกบาน

ส่วนเรื่องการร่วมงาน เฉินเต้าหลินก็ตอบตกลง โดยไม่มีความลังเลใดๆ

แม้แต่เงื่อนไขที่ออกให้ ก็ทำเอากู้โก๋หัวดีอกดีใจจนอกสั่นขวัญแขวน

“เขย ตงเอ๋อเป็นลูกเขยของตระกูลกู้จริงๆ”

กู้โก๋ฮั๋วแอบชื่นชมอยู่ในใจ ภายใต้ความปิติยินดี เขาพูดกับท่านเมิ่งด้วยความระมัดระวัง “ ท่านเมิ่ง ผมไม่กลัวคุณจะหัวเราะเยาะ ”

“ ผมกลับมาในครั้งนี้ ก็เพราะอยากให้ลูกทั้งสองแต่งงานกันให้ไวที่สุด ไม่อย่างนั้นผมคงจะกังวลใจตลอดเวลา ”

หลี่หวั่นชิงมองอย่างทำอะไรไม่ถูก แล้วส่ายหน้าหัวเราะเบาๆ

“ กลัวเขาจะหนีรึ? ” ท่านเมิ่งเลิกคิ้วขึ้นและกล่าว

กู้โก๋ฮั๋วพยักหน้าอย่างจริงจัง

“ เข้าใจ ”

เฉินตงพูดอย่างเย็นชา

เขาหันกลับไปมองฉินเย่

เวลานี้ ฉินเย่เต็มไปด้วยเลือดทั้งตัว แต่ละแผลที่เฉือนลึกเข้าไปจนมองเห็นกระดูก

นี่เห็นได้ชัด ว่าต้องการฆ่าฉินเย่ให้ตาย ด้วยวิธีเฉือนร่าง

เลือดล้างด้วยเลือด ชีวิตต้องแลกด้วยชีวิต!

“ฉินเย่ ปล่อยฉันเถิด ได้โปรดปล่อยฉันไป

ฉันเป็นอาสามของนายนะ”

ร้องครวญครางอ้อนวอนขอความเมตตา

อาสาม?

เฉินตงได้ยินเช่นนี้ ความโกรธก็เพิ่มมากขึ้น

“ อาสาม? ”

ฉินเย่หัวเราะเย็นชาอย่างอ่อนแรง “ผมบอกแล้ว ว่าจะทำลายตระกูลฉิน”

ฉินเจิ้งหน้าซีด ขณะที่เผชิญกับสายตาของฉินเย่ เขาไม่กล้าแม้กระทั่งจะอ้อนวอนขอความเมตตา

“พวกคุณ จะรอผมลงมือเองรึ?”

เฉินตงยักคิ้วและมองไปทางสมาชิกตระกูลฉินอีกสี่คน “หรือว่า อยากไปอยู่ด้วยกัน ”

ซึงสมาชิกทั้งสี่คนของตระกูลฉินก็บาดแผลเต็มตัว

ในขณะที่เฉินตงกำลังตะโกนใส่เขา ร่างกายเย็นยะเยือก จนลืมความเจ็บปวดไปเลย

ทั้งสี่คนมองหน้ากันด้วยความลังเล

ฆ่าฉินเจิ้ง นี่เป็นโทษประหารเลยนะ !

“ฆ่ามัน ปล่อยพวกแก หากไม่ฆ่า ก็ไปตายด้วยกันซะ”

ท่านหลงพูดด้วยน้ำเสียงที่เบา แต่ฟังดูเหมือนฟ้าร้องที่ดังกึกก้อง

ทันใดนั้น สมาชิกทั้งสี่คนของตระกูลฉินก็ลุกขึ้นยืน และพุ่งเข้าหาฉินเจิ้ง

ฉากนี้ ทำให้เฉินตงยิ้มเยาะในใจ

ฆ่ากันเอง นี่ตระกูลฉินเป็นถึงมหาเศรษฐีอันดับต้นๆของซีสู่ได้ไง

ไม่แปลกใจ ที่ฉินเย่จะฆ่าพ่อของตัวเอง

ความลับในนั้น มันต้องเป็นสิ่งที่เกินความอดทนของฉินเย่แล้วจริงๆ

เฉินตงหันหน้ามองไปทางแสงไฟที่อยู่ไม่ไกลนัก หลุมที่ขุดเสร็จเรียบร้อย

และข้างบ่อหลุม มีกล้องวิดีโอที่ตั้งอยู่

เขาพูดอย่างเย็นชา “บันทึกเรียบร้อย แล้วนำกลับตระกูลฉิน”

ทั้งสี่คนไม่มีการตอบสนอง ท่าทีดุร้ายราวกับสัตว์ป่า พวกเขาแบกฉินเจิ้งเดินลงไปยังหลุม

เวลานี้ ใบหน้าซีดเผือด หมดเรี่ยวแรงที่จะดิ้นรนอีกต่อไป มองไปในหลุมที่ใกล้เข้าไปถึง ด้วยความสิ้นหวัง

เขานึกไม่ถึง ว่าแผนการทุกอย่างที่ตัวเองวางไว้ ตอนนี้กลับกลายเป็นสถานที่ฝังศพของเขา

กลิ่นปัสสาวะที่เหม็นรอยมา

กางเกงของฉินเจิ้งที่เปียกชุ่ม และน้ำตาแห่งความกลัวไหลออกมาจากดวงตาของเขา

สิบนาทีต่อมา

รถโรลส์-รอยซ์คันหนึ่งที่กำลังขับตรงไปยังโรงพยาบาลลี่จิง

บนรถ

ฉินเย่ซึ่งนอนสลบอยู่และหัวพิงบนตักของเฉินตง

แม้จะสลบไปอย่างหมดสติ แต่ยังคงขมวดคิ้วแน่น และโกรธเคือง

“ นี่มันแค้นหนักขนาดไหนกัน? ”

เฉินตงบ่นด้วยน้ำเสียงที่ไร้จิตวิญญาณ “ ท่านหลง คุณรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องในตอนนั้นบ้างไหม? ”

ท่านหลงยิ้มอย่างมีเลศนัย “ คุณชาย นี่เป็นความลับส่วนตัวของฉินเย่และตระกูลฉินซีสู่ กระผมก็มิอาจพูดอะไรได้ ไม่แน่ในวันหน้าฉินเย่เขาอาจยินดีที่จะเล่าให้คุณชายฟังก็เป็นไปได้ ”

เฉินตงขมวดคิ้ว “ คุณไปสืบเรื่องส่วนตัวของคนอื่นมาสักละเอียดขนาดนี้แล้ว คุณยังจะมาบอกผมว่านี่คือความเป็นส่วนตัวของผู้อื่น? ไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูด อย่ามาตอแหล ”

ท่านหลง “ …… ”

ระหว่างที่เปลี่ยนท่านั่ง เฉินตงขยับไปโดนบาดแผลที่แผนหลัง ถึงกับขมวดคิ้วแน่นเลย

ภายในรถ มีแต่กลิ่นคาวของเลือดที่เข้มข้น

ทั้งตัวของฉินเย่เต็มไปด้วยบาดแผลและเลือด

แต่ก็ยังอดทนมาจนถึงตอนนี้

โดนมีดเฉือนไปสิบเก้าครั้ง ความเจ็บปวดนั้น แม้แต่เฉินตงก็ยังไม่กล้าจินตนาการ

เขาตกใจกับความอดทนของฉินเย่จริงๆ

ว่าแต่……..

“ ท่านหลง เรื่องราวในครั้งนี้ คุณพอรู้เรื่องบ้างไหม? ”

ชัดว่าเป็นเรื่องคืนนี้

ท่านหลงส่ายหน้าและกล่าวอย่างสงสัย “เหตุการณ์เกินขึ้นอย่างกะทันหัน ไม่มีเวลาตรวจสอบอย่างละเอียด แต่น่าจะไม่ใช่เรื่องที่ฉินเย่จะขอเอาตัวเองออกจากลำดับในวงศ์ตระกูล คงไม่มีตระกูลใดที่จะใจแคบเช่นนี้ เว้นแต่จะเป็นตระกูลที่ใช้อำนาจมืด ถึงจะทำเช่นนี้ แต่ความเป็นไปได้ก็น้อยนัก ”

เฉินตงยิ้มอย่างขมขื่น “ เช่นนั้นก็รอฉินเย่ตื่นถึงจะรู้เรื่อง แต่ว่า….. ”

เขากำมืออย่างแน่นและชกไปที่หน้าอกของฉินเย่อย่างเบามือ

“ นายต้องรอดนะเว้ย น้องชาย ”

……………

สามวันต่อมา

ในที่สุดฉินเย่ก็ได้ออกจากห้องICU และย้ายไปยังห้องVIPผู้ป่วยทั่วไป

และเฉินตงก็โล่งอกไปสักที

ใบแจ้งอาการฉุดเฉินหลายสิบฉบับที่ออกโดยโรงพยาบาลในช่วงสามวันที่ผ่านมา ถูกฉีกทิ้งเป็นชิ้นๆ

เมื่อหันเดินกลับไปยังห้องผู้ป่วย ฉินเย่ก็ได้สติขึ้นมาแล้ว

แต่ก็ยังอ่อนแรงอยู่ ใบหน้าซีดเผือดไม่มีสีเลือด

ฉินเย่ในเวลานี้ ถูกพันด้วยผ้าขาวทั้งตัว อย่างกับมัมมี่

“ ในที่สุดผมก็รอดมาได้ ”

เฉินตงกับฉินเย่สบตากันและยิ้มอย่างโล่งใจ

“ ขอบคุณ ขอบคุณ……. ”

เสียงของฉินเย่อ่อนแรงมาก จนยากที่จะได้ยินผ่านเครื่องช่วยหายใจ

เฉินตงส่ายหน้า และมานั่งข้างเตียง

มองไปที่ท่านหลง และถามว่า “ คุณสืบไปถึงไหนแล้ว ”

“ ยังเลย ตระกูลฉินปกปิดได้ดีมาก ”

ท่านหลงส่ายหน้า “ อีกอย่าง เรื่องของฉินเจิ้ง สามวันมานี้ ตระกูลฉินก็ยังนิ่งเฉย”

คืนนั้นหลังจากส่งฉินเย่เข้าห้องฉุกเฉิน เฉินตงก็ได้สั่งท่านหลงให้ใช้อำนาจของตระกูลเฉินไปตรวจสอบสาเหตุของการฆ่าฉินเย่

สามวันมานี้ ก็ยังไม่มีแม้แต่วี่แวว

อย่างไรก็ตาม เขานึกไม่ถึงว่าตระกูลฉินจะนิ่งเฉยกับเรื่องของฉินเจิ้งที่เกิดขึ้น

เฉินตงส่ายหน้า และก้มหน้ามองฉินเย่ “ ก็มีแต่ถามนายแล้วแหละ ทำไมเขาถึงต้องการที่จะฆ่านาย? ”

ฉินเย่นัยน์ตาดูเศร้าหมอง

หลังจากนิ่งไปไม่กี่วินาที

จู่ๆ เขาก็หัวเราะ

แม้ว่าเขาจะอ่อนแออย่างหนัก แต่เขายังคงเยาะเย้ยถากถาง ท่าทางไม่แคร์อะไรทั้งนั้น

“ไม่มีอะไร ”

เขายักไหล่ และสะเทือนไปถึงบาดแผล ทำให้เขาเจ็บปวดจนใบหน้าบิดเบี้ยว นิ่งไปสักพักก่อนที่จะพูดว่า ผมก็แค่ ขุดหลุมฝังศพของพ่อ และโรยขี้เถ้าทิ้ง

ตูมมม!

เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เฉยเมย แต่กลับเป็นเรื่องที่น่าตกใจ ราวกับฟ้าผ่าตอนกลางวัน

ทำให้เฉินตงและท่านหลงตกใจจนหน้าอึ้ง

ฆ่าพ่อไม่พอ?

ยังไปขุดหลุมฝังศพและโรยขี้เถ้าทิ้ง

โหดเหี้ยมจริง!

ไม่ต้องตกใจ ….แค่ก แค่ก แค่ก…..

ฉินเย่ยิ้มอย่างเฉยเมย และไออย่างรุนแรงเพราะอาการบาดเจ็บของเขา จึงกล่าวต่อว่า ฉันไม่ใช่คนของตระกูลฉินแล้ว ทำไม…..จะทำไม่ได้?

ประโยคนี้ ทำให้เฉินตงและท่านหลงพูดไม่ออก

แต่เฉินตง ยังคงสัมผัสถึงความซับซ้อนในแววตาของฉินเย่ได้อย่างชัดเจน

แววตาที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคำพูด แต่สามารถสัมผัสได้ถึงความเกลียดชัง

อาจเป็นเพราะเกลียดจนสุดขีดแล้วจริงๆ ถึงได้เป็นเช่นนี้

“ พักผ่อนให้ดีๆเถอะ”

เฉินตงหายใจเข้าลึกแล้วลุกขึ้นเดินออกจากไป

ท่านหลงก็เดินตามออกไปจากห้องผู้ป่วย

เฉินตงเอนตัวไปพิงข้างกำแพงทางเดิน ในหัวยังคงมีแต่แววตาของฉินเย่ที่เห็นเมื่อกี้ ปรากฏขึ้นมาอยู่เรื่อย เขารู้สึกหดหู่ใจเป็นอย่างมาก เหมือนอกจะระเบิด

เขานึกว่าอดีตของเขานั้นมันมืดมนมากแล้ว

แต่ไม่เคยคิดเลยว่า เมื่อเทียบกับอดีตของฉินเย่แล้ว เขาก็ถือว่าอยู่ในความสว่างแล้ว

“เด็กคนนี้ แบกภาระไว้เยอะเกิน ” ท่านหลงถอนหายใจ “ตระกูลฉินมันเป็นพวกเดรัจฉานสวมเสื้อผ้าจริงๆ ”

เฉินตงมองท่านหลงอย่างประหลาดใจ

แต่ยิ้มเล็กน้อย “ดูแลเขาให้ดี ผมออกไปก่อน ”

“วางใจเถอะคุณชาย ท่านหลงกล่าวอย่างนอบน้อม”

เฉินตงยกนิ้วโป้งขึ้นโดยไม่หันกลับมามอง “ท่านหลง ก่อนหน้านี้ลืมชมท่านแล้ว ท่านซ่อนได้ลึกจริงๆ วิชาไทเก๊กของท่าน คาดว่าเจอกับคู่แข่งอย่าคุนหลุนก็ไม่เกรงกลัวแล้วล่ะมั้ง? ”

ท่านหลงชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มออกมา “ที่ไหนกัน? นั่นมันได้มาจากระหว่างที่แลกเปลี่ยนทักษะกับฉินเย่ทั้งนั้น เอาไปสู้ใครไม่ได้หรอก ”

“ เชอะ ”

เฉินตงยิ้มอ่อนๆ

ขณะเดียวกัน

ตระกูลฉินแห่งเมืองซีสู่กลับมีบุคคลสำคัญท่านหนึ่งมาเยือน…..

สีหน้าของฉินเจิ้ง เปลี่ยนไปในทันที

มือที่ถือมีดนิ่งไป

หวือออ!

เสียงลมพัดผ่าน

หินก้อนหนึ่งพุ่งเข้ามา

ปัง!ปัง!

กระแทกลงบนมีดยาวที่ถืออยู่ในมือของฉินเจิ้ง อย่างแม่นยำ

มีดยาวถูกผลักกระเด็นออกไป และกระแทกไปโดนต้นไม้อย่างเสียงดังกราว

ทันใดนั้นทำให้ป่าเงียบสงัดลง

แม้แต่ฝูงกาที่บินอยู่บนท้องฟ้าในยามค่ำคืนก็เงียบสงบลง

ฉินเจิ้งเบิกตากว้างและมองดูมือขวาที่ว่างเปล่า เริ่มรู้สึกหนาวเย็นไปทั้งตัว

ฉินเย่มองเห็นแสงสว่าง และค่อยๆเงยหน้าขึ้น

เมื่อมองไปยังมุมมืด เห็นเงาร่างสองคนกำลังเดินเข้ามาอย่างช้าๆ

“ขอโทษ ที่มาสายไป”

เสียงที่เย็นชาของเฉินตงดังขึ้น

เขาค่อยๆเดินออกมาจากในมุมมืด

มือทั้งสองล้วงในกระเป๋า และสายตาที่เย็นชา

จากที่ได้ฝึกฝนกับคุนหลุนอย่างทรหดมายาวนาน ทำให้ร่างกายของเขาแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นพลังหรือความแม่นยำ ก็เห็นได้ชัดจากพลังที่ขว้างหินเมื่อตะกี้

ฉินเย่ยิ้มพูดเบาๆ “ กำลังพอดีเลย ”

“ เฉินตง นี่เป็นเรื่องของตระกูลฉิน”

และในที่สุด ฉินเจิ้งก็ตั้งสติได้อีกครั้ง เขากัดฟันคำรามออกมา

เพียงไม่นาน คนหลายคนของตระกูลฉินที่ขุดหลุมอยู่ไม่ไกลก็ตกใจ ต้องรีบเข้ามาดู

“ฉินเย่ไม่ได้เป็นคนของตระกูลฉินแล้ว เขาคือน้องชายผม เรื่องของเขาก็คือเรื่องของผม”

เฉินตงส่ายหน้าอย่างเฉยเมย และเต็มไปด้วยความอาฆาต

เขากำลังมองไปทางสมาชิกตระกูลฉินที่วิ่งเข้ามา

เฉินตงยิ้มและมองไปที่ท่านหลง “มีทั้งหมดห้าคน คุณช่วยผมจัดการคนหนึ่ง? ”

“กระผม ได้แค่ยิมนาสติกเท่านั้นเอง” ท่านหลงยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน

“ผมยังบาดเจ็บอยู่นะ เต็มที่ก็ได้แค่สี่คน คุณต้องทำได้แน่นอน”

พูดไม่ทันขาดคำ

เฉินตงก็พุ่งตรงไปที่ฉินเย่และฉินเจิ้งราวกับลูกธนูที่พุ่งออกจากคันธนู

“กระทืบให้ตายซะ!”

ฉินเจิ้งโกรธเคืองอย่างรุนแรง

เฉือนอีกแค่ครั้งเดียว ก็จะสำเร็จอยู่แล้ว

การปรากฏตัวของเฉินตงทำให้ทุกอย่างพังทลาย

ต่อให้เป็นทายาทของตระกูลเฉิน เขาก็ยากที่จะปล่อยไว้

ในถิ่นทุรกันดารแบบนี้ ถ้าทำได้อย่างสะอาดไร้ร่องรอย เหตุใดจะไม่กล้าฆ่ามัน?

ปัง!ปัง!ปัง!

เฉินตงพุ่งเข้าไปหาฉินเจิ้ง เท้าเตะเข้าไป จนฉินเจิ้งกระเด็นออกไป

“ใจเย็นๆ ”

เสียงหัวเราะหยอกล้อของฉินเย่ดังขึ้นด้านหลัง

“หุบปาก”

เฉินตงสีหน้าเยือกเย็นและเต็มไปด้วยความอาฆาต

ในพริบตาเดียว เขาก็พุ่งเข้าใส่ทั้งห้า รวมทั้งฉินเจิ้ง

“คุณชาย กระผมมาแล้ว!”

ท่านหลงในชุดราชวงศ์ถังและเดินอย่างสั่นเทาไปยังฉินเย่

“นี่ไง!”

ปัง!ปัง!ปัง!

เฉินตงตะโกนส่งเสียงดัง พร้อมกับสมาชิกตระกูลฉินคนหนึ่งที่ถูกเตะกระเด็นไปอยู่หน้าท่านหลง

ท่านหลงหยุดฝีเท้าลงทันที และหน้าตาแข็งอึ้ง

ต่อหน้ากับคนตระกูลฉินที่สายตาดุร้าย

“ไอ่ตาแก่”

ทันใดนั้น สมาชิกตระกูลฉินก็กำหมัดยกขึ้น

“เจ้าหนู ไม่รู้จักคำว่าเคารพผู้อาวุโสและรักเมตตาเด็กรึ? ”

ท่านหลงทำหน้าเคร่งขรึมและทรงพลัง

คนตระกูลฉินกำหมัดหยุดไปสักพัก ไม่คาดคิดว่าในสถานการณ์ต่อสู้เป็นตาย ผู้เฒ่าที่อยู่ตรงหน้าเขาจะมีคำพูดแปลกๆเช่นนี้

ในชั่วพริบตาเดียวนี้

แววตาของท่านหลงเต็มไปด้วยความโกรธ เขาเอนตัวแล้วเตะเท้าขวาออกไป

“18 ฝ่ามือพิชิตมังกร มังกรเจาะ!”

ปัง!

เมื่อเตะเท้าขวาไปที่เป้าหมาย สมาชิกตระกูลฉินก็บิดเบี้ยวไปทั้งหน้าและล้มคว่ำลงอย่างเจ็บปวด

ฉากนี้ ทำให้ฉินเย่มึนงงไปหมด

ยิ่งกว่านั้นคือเฉินตงที่คอยจับตาดูท่านหลงอยู่ ก็อึ้งไปสักพัก

นี่มัน…..มีแบบนี้ด้วยรึ?

จังหวะที่เขากำลังยืนอึ้ง ฉินเจิ้งถือโอกาสชกไปที่หน้าอกของเฉินตง

เฉินตงได้รับความเจ็บปวด จนขมวดคิ้วและถอยหลังออกไป

หมัดเดียวเจ็บทะลุไปถึงบาดแผลเดิมที่แผ่นหลังของเขา ทำให้บาดแผลฉีกขาด เลือดไหลเต็มแผ่นหลัง

สีหน้าของเฉินตงดูโหดเหี้ยมขึ้นมาในทันที

อาการบาดเจ็บทำให้เขาไม่สามารถต่อสู้ได้เป็นเวลานาน และเขาต้องต่อสู้อย่างรวดเร็ว

ทันใดนั้น เฉินตงก็กระโจนเข้าใส่คนตระกูลฉิน มือทั้งคู่ราวกับงูที่ไล่ไต่ขึ้นไปตามแขนของสมาชิกตระกูลฉินและบิดไปมา

คลิ๊กกก!

แขนหักและเสียงร้องที่สิ้นหวัง

ส่วนในด้านของท่านหลง เขาตัวสั่นไม่นิ่ง และจ้องมองไปยังสมาชิกตระกูลฉินที่ลุกขึ้นยืนด้วยความสยดสยอง

พูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ชายหนุ่ม ต้องหัดรู้จักเคารพผู้อาวุโสและรักเมตตาเด็ก จำให้ขึ้นใจล่ะ ตะกี้ฉันไม่ได้เจตนา หรือจะให้ฉันโชว์วิชายิมนาสติกให้นายดูอีกสักยก? ”

หลังจากพูดจบ ภายใต้ความงุนงงของฉินเย่และสมาชิกตระกูลฉิน

จู่ๆ ท่านหลงก็ลุกขึ้นยืนตรง เขาจะเริ่มแสดงวิชายิมนาสติกจริงๆด้วย

“ท่านหลง…ละอายครับ”

ฉินเย่ทนมองไม่ได้จริงๆ

แต่ในขณะเดียวกัน ท่านหลงโค้งตัวลงพร้อมสีหน้าที่ดุร้ายและน่ากลัว

“18 ฝ่ามือพิชิตมังกร มังกรเงยหัว”

ปัง!

หมัดเดียวที่พุ่งเข้าใส่คางของสมาชิกตระกูลฉิน

สมาชิกตระกูลฉินร้องโหยหวน และถอยหลังออกไป

หมัดนี้ทำให้ดวงตาของสมาชิกตระกูลฉินแดงก่ำ

มันเหมือนกับสัตว์ที่ดุร้าย

“ตาแก่ ตายซะ!”

การที่ถูกกลั่นแกล้งไปสองครั้ง ทำให้ตระกูลฉินรู้สึกอับอายอย่างมาก

เสียชีพได้ แต่ไม่ยอมเสียศักดิ์ศรี!

เขาจะไม่ยอมให้ท่านหลงมีโอกาสอีก เขากำหมัด และเลงไปที่หน้าอกท่านหลง

กำปั้นย่อมกลัวความแข็งแรง

หมัดที่ดูไม่พิเศษนัก แต่กลับสามารถบังคับให้บดขยี้ด้วยพลังที่แข็งแกร่งของชายหนุ่ม

“ฮูววว….. ”

ท่านหลงถอนหายใจออก และแววตาที่เคร่งขรึม

เมื่อเห็นว่าสมาชิกตระกูลฉินกำลังชกหมัดเข้าใส่พวกเขา

“ ระวัง!”

เสียงเตือนของฉินเย่ดังมาจากด้านหลัง

ท่านหลงพึมพำเสียงเบา “18 ฝ่ามือพิชิตมังกรดูท่าจะไม่ไหวแล้วล่ะ ดีที่ยังมีวิชาไทเก๊กอยู่”

ในวินาทีนั้น หมัดกำลังกวาดเข้ามาใกล้ละ

สมาชิกตระกูลฉินท่าทีดุร้าย แววตาเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม

เขาไม่สงสัยเลย ทำไมหมัดเดียวถึงสามารถทำลายผู้เฒ่าตรงหน้าเขาได้ขนาดนี้

“เป็นไปได้ยังไง? ”

สมาชิกตระกูลฉินอุทานออกมาด้วยความตกใจ

ภายใต้สายตาที่ตกตะลึงของเขา ร่างของท่านหลงขยับไปมาปุ๊บปั๊บ

เมื่อเขาตั้งสติได้ มือของท่านหลงก็วางบนหมัดของเขาแล้ว

“ซื่อเหลี่ยงปัวเชียนจิน!”

ท่านหลงถูมือทั้งสองข้าง แล้วหมุนตัว

ในเวลานี้ ร่างกายท่านหลงดูเหมือนจะมีพลังมหาศาล เขาหมุนโซเซไปกับสมาชิกตระกูลฉิน อย่างควบคุมไม่ได้

ปัง!

วินาที่ต่อมา สมาชิกตระกูลฉินหัวชนเข้ากับต้นไม้ที่อยู่ข้างๆ

เลือดไหลหัวแตก และสลบไป

ไม่ใช่แค่ฉินเย่ที่ตกตะลึง

แม้แต่เฉินตงซึ่งต่อสู้โดยหนึ่งต่อสามที่อยู่ห่างออกไป ก็ยังตกใจ

ตาเฒ่านี่…ไม่เบาเลยนะ!

ท่านหลงยืนนิ่งและเหลียวมองทางสมาชิกตระกูลฉินที่กำลังนอนสลบ อย่างเหยียดหยาม “บอกแล้วว่าให้เคารพผู้อาวุโสและรักเมตตาเด็ก ไม่ยอมฟัง เจ้าเด็กดื้อเอ๊ย”

ความเจ็บปวดของบาดแผลที่ฉีกขาดทำให้เฉินตงต้องตัดสินใจรีบต่อสู้อย่างเด็ดขาดและรวดเร็ว

กระบวนท่าที่โหดเหี้ยม

เมื่อฝั่งท่านหลงจบลง เขากำหมัดพร้อมเท้าที่เตะเข้าไปในเวลาเดียวกัน ทำให้สมาชิก

ตระกูลฉินทั้งสองพลิกคว่ำลง

“แกตายซะ”

ไม่รอให้เฉินตงทรงตัว

ในหนามเฉียง แสงส่องกะพริบวูบวาบ

ความตายคุกคาม โดยไม่ทันตั้งตัว

เฉินตงในร่างแนวนอน ดวงตาของเขาหดเล็กลง ภายใต้สายตาเขา มีดยาวที่ถืออยู่ในมือของฉินเจิ้งที่ถูกเขาดีดกระเด็นออกเมื่อตะกี้นี้ ฟันลงมาจากด้านบน อย่างเสียวไส้

แขวนอยู่บนเส้นด้าย

เฉินตงกระโดดขึ้นทันที ร่างของเขาพลิกไปมาเป็นวงกลม หลบมีดยาวที่หวาดเสียว และเขาลุกขึ้นอย่างว่องไว

มือทั้งสองข้างของเขาราวกับมังกร คว้ามีดยาวในมือของฉินเจิ้งไว้อย่างแน่น และพลิกตัวไปมาพร้อมกับเสียงตะโกน

พรึบ!

มีดยาวถูกแทงเข้าที่หน้าท้องของฉินเจิ้งพร้อมกับเสียงรอยแตกในกระดูก

“ อ๊าาา!”

ฉินเจิ้งร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด เขากุมมีดยาวและบาดแผลไว้อย่างแน่นและทรุดตัวลงกับพื้น เลือดไหลออกมาเต็ม

เฉินตงสะดุดถอยหลัง สีหน้าเคร่งเครียด ที่แฝงด้วยความเจ็บปวด

การต่อสู้ที่รุนแรง ทำให้บาดแผลของเขาเจ็บปวดมาก และแผ่นหลังเปียกชุ่มไปด้วยเลือด

เขายังไม่ทันได้นั่งพักสักพัก

เสียงอ่อนแรงของฉินเย่ก็ดังขึ้น

“ ช่วยผม ฝังมัน…… ”

ท้องฟ้ายามค่ำคืน

ฝูงกาบินวน และส่งเสียงครวญคราง

เหมือนระฆังแห่งความตาย

ในป่าใกล้สุสาน

ขณะที่แสงไฟส่องระยิบ

ฉินเย่ถูกมัดไว้บนต้นไม้ใหญ่

สวมชุดลำลอง ที่ขาดรุ่งริ่ง เลือดสดๆที่ไหลหยดเต็มร่างกาย อย่างกับศพเลือด

ต้นไม้บนลำตัวเหนือศีรษะของเขา ถูกตอกด้วยเชือกเหล็กสองคู่ที่แขวนลงมาในแนวตั้ง

ตะขอเหล็กที่แหลมคม เจาะทะลุผ่านกระดูกสะบักของเขา ปลายตะขอสีขาวที่เปื้อนเลือดเนื้อเล็กน้อยส่องประกายเย็นยะเยือกภายใต้แสงไฟ

ความเจ็บปวดที่รุนแรง ทำให้ร่างกายของฉินเย่สั่นไม่หยุด

ใบหน้าของเขาดูซีดเผือดไร้สีเลือด

เสียงร้องของความเจ็บปวดที่ ซึ่งมันถูกบีบออกมาจากฟันของเขา

แต่ดวงตาของเขายังคงสว่างไสวราวกับดวงดาว และในนั้นมันเต็มไปด้วยความเกลียดชัง

ฉึก..ฉึก..ฉึก…ฉึ……….

เสียงพลั่วขุดดินดังรอยมา จากไม่ไกล

ในความคลุมเครือ ยังสามารถมองเห็นเงาร่างที่บิดเบี้ยวของพลั่วที่กำลังแกว่งไปมาในป่า

พรึบ!

ชายวัยกลางคนตรงหน้าเขา ใช้ใบมีดกรีดกล้ามเนื้อบนไหล่ของฉินเย่จนฉีกขาด

เนื้อหนังพลิกออกในทันที เลือดสดๆไหลทะลักออกมา

ฉินเย่สั่นสะท้านไปทั้งตัว และส่งเสียงครวญครางออกจากลำคอเล็กน้อย

“ อึดมากสินะ ตอนตะขอเหล็กเจาะผ่านสะบักแกกรีดร้องเสียงดัง แต่กับบาดแผลสิบสามแผลบนร่าง แกแค่แค่นเสียงคร่ำครวญเท่านั้น ”

แม้ว่าชายวัยกลางคนจะกำลังยิ้ม แต่ยังคงสัมผัสถึงความเยือกเย็นในตัวเขา และเขาส่ายหัวแสร้งทำเป็นเสียใจ “ น่าเสียดายจริงๆ ความสามารถและจิตใจที่แข็งกล้าของแก ถ้าอาศัยอยู่ในตระกูลฉินอย่างสงบ แกย่อมมีคุณสมบัติที่จะแย่งชิงตำแหน่งเจ้าบ้านตระกูลในอนาคตข้างหน้า แม้ว่านายจะกินอยู่อย่างฆ่าเวลาไปวันๆ แกก็ยังสามารถอยู่รอดไปจนถึงวันที่แก่ตาย ”

“ แต่นายดันจะหนีออกมา นี่ถือเป็นความเสียหายของตระกูลฉินจริงๆ ”

ฉินเย่ค่อยๆเงยหน้าขึ้น ใบหน้าที่เปื้อนเลือดราวกับเป็นสัตว์ป่าที่กินคน

สายตาที่โกรธแค้น มองชายวัยกลางคนด้วยความอาฆาต

ฉินเย่ยิ้ม

ด้วยความเจ็บปวดจากแผลบนมุมปาก ทำให้รอยยิ้มของเขาดูดุร้ายและน่ากลัว

“ ถุย!”

น้ำลายที่ปนเปื้อนด้วยเลือด ถุยใส่หน้าชายหนุ่ม

ฉินเย่ยิ้มแล้วพูดว่า “อาสาม คุณไม่กลัวว่าผมจะฆ่าคุณด้วยเหรอ? ”

ใช่แล้ว ชายวัยกลางคนผู้นี้ คืออาสามของฉินเย่ ฉินเจิ้งตระกูลฉิน

ฉินเจิ้ง กะพริบตาด้วยความโกรธ

เขาเช็ดเลือดบนใบหน้าออกอย่างใจเย็น และมองหน้าฉินเย่ด้วยความชั่วร้าย “ ไม่ต้องกังวล หลุมทางนั้นที่ขุดไว้ให้แก ใกล้จะเสร็จแล้วล่ะ ”

ฉินเจิ้ง ถอยหลังออกไปสองก้าว บิดเอวยืดเส้นยืดสาย แล้วเอามีดที่ถืออยู่ในมือเสียบไว้บนต้นไม้ที่อยู่ข้างๆ

“ เย่เอ๋อเอ๊ย จะว่าไปแกก็ถือว่าเป็นหงส์มังกรในตระกูลฉิน แต่น่าเสียดาย ที่แกไม่มีโอกาสได้ฆ่าอาสามแล้ว อีกสักพักแกก็จะได้ลงไปนอนในหลุมนั้นแล้ว”

“ ตระกูลฉินก็ถือว่าเมตตาแกมากแล้ว ที่ไม่ทิ้งขว้างศพแกไว้ในป่าร้าง แถมยังฝังแกไว้ในสุสานที่ดีที่สุดของเมืองนี้ ก็นับว่าเป็นบุญของแกแล้ว แน่นอนนี่ก็เป็นความปรารถนาของอาสามเช่นกัน ตอนแกกลายเป็นผี ก็ไม่ต้องคิดถึงอานะ!”

ฉินเจิ้งค่อยๆนั่งลงบนหิน จุดบุหรี่ สูบเข้าอย่างชื่นใจ และพ่นควันออกทางลมหายใจ

เขาหัวเราะเยาะตัวเอง “อันที่จริงอาสามก็นับถือแกนะ แกแน่มาก ที่กล้าฆ่าพ่อตัวเอง ถึงแม้ว่าพ่อของแกจะเป็นพี่ชายคนรองของอา แต่อาก็คิดว่าแกทำได้ถูกแล้ว แต่นายยังฆ่าได้ง่ายเกินไป แกควรจะทำเหมือนกับที่อากำลังทำกับแกอยู่ ค่อยๆทรมานช้าๆ จนกว่าจะสิ้นลมหายใจ”

ขณะที่พูด ดวงตาของฉินเจิ้งฉายแววดุร้าย

ทันใดนั้นเขาหันกลับไปจ้องฉินเจิ้งด้วยความโกรธ “แกฆ่าก็ฆ่าแล้ว ออกจากตระกูลฉินก็แล้ว แต่เรื่องที่แกทำ มันกำลังบังคับให้ตระกูลฉินฆ่าแกชัดๆ เย่เอ๋อเอ๊ย แกนี่มันโง่จริงๆเลย”

น้ำเสียงที่แฝงด้วยความสงสาร

ฉินเย่กลับยิ้มอย่างเหยียดหยาม “แมวร้องไห้ หนูแกล้งเมตตา”

ความเจ็บปวด ทำให้เขาพูดออกมาอย่างสะอึกสะอื้น

“ห้ามพูดจาไร้มารยาทเช่นนี้ แกมันดื้อรั้นอกตัญญูจริงๆ!”

ฉินเจิ้งลุกขึ้นทันที และดึงมีดออกจากต้นไม้

พรึบ!

ร่างกายของฉินเย่สั่นสะท้าน ถูกเฉือนไปอีกแผลหนึ่งบนแขนด้านซ้าย เลือดสาดกระเด็นไปทั่ว

แต่เขายังคงแค่ส่งเสียงคร่ำครวญออกมาเล็กน้อย

อากาศที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด

ขี้ดินที่ติดเปื้อนใต้เท้าของฉินเย่ ก็เปียกปอนไปด้วยเลือด

ความเจ็บปวดทำให้เขาสั่นไปทั้งตัว ราวกับบ้าคลั่ง มีเพียงสิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนไป นั่นก็คือดวงตาอันสว่างคมชัดที่เต็มไปด้วยเกลียดชัง

“เจ้าบ้านออกคำสั่ง ให้เฉือนร่างแกยี่สิบครั้ง ก่อนที่จะเอาแกไปฝัง ยังเหลืออีกตั้งหกครั้งน่ะ!”

ฉินเจิ้งน้ำเสียงเย็นชา แววตาดุร้าย มือขวากำมีดที่เลือดไหลหยด และมีอาการตัวสั่นเล็กน้อย

ในฐานะคนตระกูลฉิน ที่เคยผ่านความลำบากมามากมาย

แต่ในขณะที่ต้องเผชิญหน้ากับฉินเย่ เขายังคงมีความหวาดกลัว

“ ฉันก็ถือว่าเมตตาแกพอสมควรแล้ว ที่ไม่ไปหาเรื่องหญิงสาวคนนั้น ทำไมแกยังต้องเกลียดชังฉันเช่นนี้ ”

ฉินเจิ้งขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

“นั่นมันเป็นเพราะคุณเกรงกลัวอำนาจ……ตระกูลจางต่างหาก!” ฉินเย่กล่าวอย่างดูถูก

“ หุบปาก!”

ครั้งที่สิบห้า เฉือนลงอย่างเหี้ยมหาญ

หากเป็นผู้อื่น คงต้องส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนออกมาอย่างกับฆ่าหมู แต่ฉินเย่กลับแข็งแกร่งจนทำให้คนอื่นรู้สึกหวาดกลัว

“ แกจะเกลียดฉันไม่ได้นะ นี่เป็นคำสั่งจากทางบ้าน ไอ้ลูกอกตัญญู สมควรตาย” ฉินเจิ้งรูม่านตาหดเกร็ง

ความกลัวที่ส่องระยิบระยับผ่านทางดวงตา

เพียงแค่จ้องตากัน

พลังของอาสามคนนี้ก็ดูเหมือนจะพ่ายแพ้ให้กับรุ่นหลานอย่างฉินเย่ไปแล้ว

ฉินเย่ทนความเจ็บปวดอย่างทุกข์ทรมาน และเป่าลมหายใจออกแรงๆ เขาหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา

“ ตราบใดที่ผมยังไม่ตาย ผมจะทำลายล้างตระกูลฉินด้วยมือของผมเอง ”

“ แกตายแน่ ”

พรึบ!ครั้งที่สิบห้า เฉือนลงอย่างเหี้ยมหาญ

หากเป็นผู้อื่น คงต้องส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนออกมาอย่างกับฆ่าหมู แต่ฉินเย่กลับแข็งแกร่งจนทำให้คนอื่นรู้สึกหวาดกลัว

“ แกจะเกลียดฉันไม่ได้นะ นี่เป็นคำสั่งจากทางบ้าน ไอ้ลูกอกตัญญู สมควรตาย” ฉินเจิ้งรูม่านตาหดเกร็ง

ความกลัวที่ส่องระยิบระยับผ่านทางดวงตา

เพียงแค่จ้องตากัน

พลังของอาสามคนนี้ก็ดูเหมือนจะพ่ายแพ้ให้กับรุ่นหลานอย่างฉินเย่ไปแล้ว

ฉินเย่ทนความเจ็บปวดอย่างทุกข์ทรมาน และเป่าลมหายใจออกแรงๆ เขาหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา

“ ตราบใดที่ผมยังไม่ตาย ผมจะทำลายล้างตระกูลฉินด้วยมือของผมเอง ”

“ แกตายแน่ ”

พรึบ!

พรึบ!

มีดเฉือนลง ครั้งที่สิบหก

เลือดสดๆไหลทะลักออกมา

ร่างของฉินเย่เต็มไปด้วยเลือดที่กำลังไหลหยด เขากัดฟันทนความเจ็บปวด และไม่หยุดที่จะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ

และเขายังคงจ้องมองฉินเจิ้ง ด้วยสายตาที่ดุร้าย

“ บัดซบเอ๊ย ตระกูลฉินผู้ซึ่งมีนามเป็นมหาเศรษฐีอันดับต้นๆของเมือง ที่แท้ก็เป็นได้แค่ พวกเดรัจฉานสวมเสื้อผ้า”

พรึบ!

มีดเฉือนลง ครั้งที่สิบเจ็ด

สมาชิกของตระกูลฉินหลายคนที่ขุดหลุมอยู่ไม่ไกล ก็กำลังหันมามอง

ทุกคนต่างหน้าซีด หวาดกลัว และเกรงจนตัวสั่น

จากนั้นพวกเขาก็หันกลับไปถือพลั่วขุดหลุมต่อ แต่มืออ่อนแรงไปทั้งสองข้างและสั่นเล็กน้อย

“ ในฐานะที่ผมเกิดมาในตระกูลฉิน ฉินเย่โปรดขอให้ตระกูลฉินฆ่าผมเถิด”

เสียงแห่งความตาย ดังก้องไปทั่วป่า

ชั่วค่ำคืน เสียงร้องของอีกาดังยิ่งกว่าเดิม

ฉินเจิ้งตัวสั่นมากขึ้น ขณะที่สบตาฉินเย่ ทำให้เขารู้สึกหนาวเย็นจากปลายฝ่าเท้าขึ้นมาจนถึงหัวศีรษะ

พรึบ!

มีดเฉือนลง ครั้งที่สิบแปด

ฉินเย่พลันหัวเราะออกมา เลือดไหลออกมาจากปากและจมูก

แต่แววตาของเขายังคงไม่เปลี่ยน

“ ฉินเย่จะเป็นคนที่ฆ่าพ่อและทำลายล้างตระกูลฉินเอง ผมขอสาบานต่อคุณแม่ในที่นี้!”

ตูมมม!

ฉินเจิ้งราวกับถูกฟ้าผ่า

ทันใดนั้น เขาหน้าเกรงอย่างสุดขีด และในเวลาเดียวกันเขารู้สึกหวาดกลัวในใจ

“ บ้าเอ๊ย แกมันบ้า เจ้าบ้านพูดไม่ผิดจริงๆ แกมันสมควรตาย”

พรึบ!

มีดเฉือนลง ครั้งที่สิบเก้า

ฉินเจิ้งหัวเราะอย่างสะใจ “ แก..แกไม่มีโอกาสนั้นแล้วล่ะ หลุมตรงนั้นขุดเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลังจากที่เฉือนลงครั้งสุดท้ายนี้ อาสามจะส่งแกขึ้นสวรรค์เอง คำสาบานของแกมันก็เป็นได้แค่เรื่องไร้สาระ”

ฉึกกก!

มีดถูกยกขึ้นอย่างแรง ละส่องแสงประกายเย็นยะเยือก

ฉินเย่ส่งยิ้มอย่างเหยียดหยาม “ฉันมีพี่น้องคนหนึ่ง”

“เฉินตง? เขามาไม่ทันแล้ว กว่าเขาจะหาแกเจอ แกก็หลับสบายไปละ อีกอย่างแกคิดว่าลูกสวะอย่างเขาจะมีโอกาสไปสู่ตำแหน่งเจ้าบ้านตระกูลของตระกูลเฉินได้เหรอ จะสามารถพาแกเป็นคนร่ำรวยได้เหรอ? ”

หวือออ!

มีดที่ยาวคมสะท้อนแสง กำลังจะฟันลงสู่ศีรษะ

ครั้งที่ยี่สิบ!

ทันใดนั้น

เสียงดังกึกก้องราวกับฟ้าร้อง

“เขาพูดถูก น้องชาย ผมมาแล้ว!”

ปัง !

มีเสียงดังสนั่นเกิดขึ้น จากนั้นสายโทรศัพท์ก็ถูกตัดไป

สีหน้าของเฉินตงหมองหม่นลงทันที ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกหดหู่

“พวกเขา” ที่ฉินเย่พูดถึง เห็นได้ชัดว่าเป็นคนที่เขารู้จัก แต่ทว่าเป็นใครกันแน่

“คุณชาย เกิดเรื่องอะไรขึ้นครับ?” ทานหลงเอ่ยถาม

“มีคนคิดจะฆ่าฉินเย่”

เฉินตงกัดฟันพูดแล้วลุกขึ้น : “แม่ครับ เสี่ยวหยิ่ง ฟ่านลู่ พวกคุณทานข้าวกันไปก่อน ท่านหลงกับผมจะไปดูสักหน่อย”

คำพูดนี้ทำให้ทุกคนที่นั่งอยู่บนโต๊ะอาหารหน้าถอดสีทันที

ท่านหลงรีบลุกขึ้น

กู้ชิงหยิ่งนั่งมองตาปริบๆ และกำลังที่จะอ้าปากพูด

แต่หลี่หลานกลับกดไหล่ของเธอเอาไว้เบาๆ เพื่อเป็นการห้ามปราม

“ระวังตัวด้วย !” หลี่หลานกำชับ

เฉินตงหันมองกู้ชิงหยิ่งหนึ่งครั้ง จากนั้นจึงหะนไปพยักหน้ากับผู้เป็นแม่

หลังจากที่เฉินตงและท่านหลงออกไปแล้ว

หลี่หลานจึงหันมองกู้ชิงหยิ่งที่สีหน้าเต็มไปด้วยความวิตกกังวลอย่างอ่อนโยน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลว่า : “ป้ารู้ดีว่าหนูเป็นห่วงตงเอ๋อ แต่หนูต้องรู้ว่า การเลือกเจ้าบ้านของตระกูลเฉินนั้น จะถูกคัดสรรมาจากผู้ที่สามารถเอาชีวิตรอดและกุมชัยชนะได้ ผู้ชนะคือราชา เจ้าบ้านไม่อาจเลี้ยงให้เติบโตอยู่ภายในเรือนกระจกได้ การนองเลือดและการฆ่าฟันเท่านั้น จึงจะสามารถสรรหาคนที่เหมาะสมที่จะเป็นเจ้าบ้านได้อย่างแท้จริง”

เป็นคำพูดที่ตรงไปตรงมา

แต่ความเป็นจริงก็เป็นเช่นนี้จริงๆ

เฉินตงต้องการขึ้นไปอยู่บนตำแหน่งเจ้าบ้านตระกูลเฉิน หนทางข้างนากจึงจำเป็นต้องพบเจอกับความลำบากยากเข็ญ เช่นเดียวกับที่เฉินเต้าหลินเคยเจอในตอนนั้น

……

บนรถโรลส์-รอยซ์

เฉินตงนั่งอยู่บนที่นั่งข้างคนขับ ใบหน้าเย็นชาราวกับน้ำแข็ง

เขาพยายามต่อสายโทรศัพท์หาฉินเย่ติดต่อกันถึงสามครั้ง ทำให้เขาแน่ใจว่าโทรศัพท์ของฉินเย่เสียแล้วแน่นอน

เมื่อไม่มีช่องทางการติดต่อ ก็ยากที่จะรู้ตำแหน่งที่อยู่ที่ชัดเจนของฉินเย่ได้

ถ้าต้องการหาฉินเย่ให้พบ คงต้องอาศัยวิธีการของเขาแล้ว

“ท่านหลง……” เฉินตงพูดออกมาอย่างเคร่งเครียด

แต่ยังไม่ทันจะพูดจบ

จู่ๆ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาตัดบทสนทนาของเฉินตง

เป็นเบอร์แปลกโทรเข้ามา

เฉินตงกดรับสายโทรศัพท์

“เฉิน คุณเฉิน……ฉินเย่ ฉินเย่ตกอยู่ในอันตราย !”

จางหยู่หลัน !

เฉินตงรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก

“คุณอยู่ที่ไหน ?” น้ำเสียงของเขาเย็นชาราวกับน้ำแข็งที่เย็นยะเยือก

ปลายสาย จางหยู่หลันกำลังร้องไห้อยู่ น้ำเสียงของเธอสะอึกสะอื้น และเต็มไปด้วยความหวาดกลัว แต่ก็พูดชื่อสถานที่ออกมาได้อย่างรวดเร็ว

สิบนาทีผ่านไป

ในที่สุดเฉินตงก็หาจางหยู่หลันในย่านใจกลางเมืองจนพบ

ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืน จางหยู่หลันนั่งขดตัวอยู่คนเดียวบนขอบถนน ตัวของเธอสั่นเทา

รอบๆ มีคนมุงดูอยู่เป็นจำนวนมาก และมีหลายคนที่คอยยืนดูแลอยู่ข้างๆ

เห็นได้ชัดว่าที่เมื่อครู่จางหยู่หลันโทรศัพท์เข้ามานั้น เป็นการขอความช่วยเหลือจากคนที่เดินผ่านไปผ่านมา

เมื่อเห็นเฉินตง จางหยู่หลันก็อดไม่ได้ที่จะปล่อยโฮออกมาทันที

“เลิกร้องได้แล้ว !”

เฉินตงมีท่าทีเย็นชา และดุเสียงเข้ม : “ฉินเย่อยู่ที่ไหน ?”

ท่าทีเย็นชา และน้ำเสียงที่ดุดัน

ทำให้คนที่ยืนอยู่โดยรอบต่างขมวดคิ้ว

ผู้หญิงที่สวยสดงดงามอย่างจางหยู่หลัน ร้องไห้ถึงขนาดนี้ คนที่ยืนอยู่รอบข้างต่างรู้สึกเป็นห่วงเป็นใย

แต่เขาเป็นผู้ชายแท้ๆ กลับมีทีท่าเช่นนี้ ?

“พี่ชาย พูดให้มันดีๆ หน่อยได้ไหม ไม่เห็นเหรอว่าคุณหนูท่านนี้กำลังร้องไห้อยู่ ?”

มีคนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากพูดขึ้นมา

“เข้ามาสิ ?”

เฉินตงหันหน้ากลับไปจองคนที่พูดด้วยท่าทีที่น่ากลัว ทำให้คนผู้นั้นรู้สึกกลัวจนหัวหด แล้วเดินถอยหลังกลับเข้าไปยืนในฝูงชน

“ตอนนี้ฉันสั่งให้เธอหยุด แล้วเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฉันฟัง ขึ้นรถไปกับฉัน !”

ราวกับว่ามีความหนาวเย็นแผ่ซ่านออกมาจากตัวของเฉินตง เขาหันหลังเดินกลับขึ้นรถโรลส์-รอยซ์ไป

คนที่ยืนอยู่รอบๆ ต่างก็รู้สึกหวาดกลัว ค่อยๆ ถอยร่นลงไป เพื่อเปิดทางให้แก่เขา

หลังจากขึ้นรถ

ในที่สุดจางหยู่หลันก็ร้องไห้แล้วเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นออกมา

“ฉินเย่ ถูกคนของตระกูลฉินจับตัวไปแล้ว”

เปรี้ยง !

เฉินตงรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า ท่านหลงที่กำลังขับรถอยู่ก็หน้าถอดสีด้วยเช่นกัน

ไม่แปลกใจเลยที่จางหยู่หลันเอาแต่ร้องไห้ฟูมฟายขนาดนี้

หากเป็นตระกูลฉิน ต่อให้ลงข่าวหน้าหนึ่ง ก็คงไม่มีใครสนใจ

“คนตระกูลฉิน ฆ่าฉินเย่ ?”

เฉินตงหันไปมองท่านหลงด้วยความงุนงง

ท่านหลงเองก็เหลือบมองเฉินตง ทั้งสองมองหน้ากันไปมา และรู้สึกงุนงงเป็นอย่างมาก

“เขาอยู่ไหน ?” เฉินตงถาม

“ไม่ ไม่รู้ พวกเขาบอกแค่ว่าจะฝังฉินเย่ !” จางหยู่หลันนั่งตรงเบาะหลังด้วยท่าทีที่สิ้นหวัง ดวงตาของเธอแดงก่ำ น้ำตาไหลรินลงมาราวกับสายฝน

ฝังแล้ว ? !

เฉินตงขมวดคิ้ว เกิดความคิดขึ้นในหัวของเขาอย่างรวดเร็ว

จู่ๆ เขาก็นึกถึงสถานที่แห่งหนึ่งออกมาได้

“ท่านหลง ไปที่สุสานจิ่วหลงซาน”

“คุณชายแน่ใจหรือครับว่าอยู่ที่นั่น ?”

“ที่ที่ฉันพอจะนึกออกว่าเหมาะที่จะฝังคนก็คงจะหนีไม่พ้นสุสานแล้ว ชั่วดียังไงฉินเย่ก็เป็นคนตระกูลฉิน ในเมื่อคนตระกูลฉินต้องการจะฝังฉินเย่เพื่อรักษาหน้าตา ก็คงไม่ใจร้ายใจดำถึงขั้นจะฝังที่ไหนก็ได้หรอกกระมัง ?”

ท่านหลงลังเลอยู่สักพัก ในที่สุดก็หันหัวรถกลับ แล้วขับมุ่งหน้าไปยังสุสานจิ่วหลงซาน

แต่เพื่อความปลอดภัย เขาจึงใช้โทรศัพท์โทรติดต่อกับผู้เกี่ยวข้อง เพื่อตรวจสอบกล้องวงจรปิดไปตลอดทางว่าพอจะมีเบาะแสหรือไม่

บรรยากาศภายในรถเงียบสงัด

เห็นได้ชัดว่าจางหยู่หลันตกอยู่ในอาการตกใจเป็นอย่างมาก ถึงแม้จะนั่งอยู่ที่เบาะหลัง แต่ก็ยังคงนั่งขดตัวอยู่

เธอร้องไห้สะอึกสะอื้น น้ำตายังคงไหลอาบสองข้างแก้ม

จู่ๆ เสียงของเฉินตงก็ดังขึ้นมาทำลายบรรยากาศที่เงียบสงัด : “ท่านหลง ตระกูลใหญ่มีกฎเกณฑ์เช่นนื้ หากพวกเขาถูกขับไล่ออกจากวงศ์ตระกูล ก็จะต้องรีบกำจัดให้สิ้นซากอย่างนั้นหรือ ?”

“น่าขำสิ้นดี !”

ท่านหลงหัวเราะเยาะออกมา : “ไม่มีตระกูลใหญ่ตระกูลไหนที่จะใจแคบถึงขั้นนี้หรอก ในเมื่อเป็นตระกูลใหญ่ ก็ใช่ว่าจะถูกใครคนใดคนหนึ่งในตระกูลสั่นคลอนฐานะเอาได้ง่ายๆ ในเมื่อถูกขับไล่ออกมาแล้ว นั่นก็ถือเป็นฝันร้ายของคนที่ถูกขับไล่ออกมา สำหรับตระกูลใหญ่แล้ว ไม่มีความสำคัญเลยสักนิด”

“สมาชิกในตระกูลทุกคน ต้องพึ่งใบบุญของวงศ์ตระกูล ถึงจะมีโอกาสเจริญก้าวหน้าได้ ส่วนคนที่ถูกขับไล่ออกจากตระกูลนั้น ก็เหมือนคนที่ตัดปีกของวงศ์ตระกูล”

ท่านหลงเงียบไปสักพัก แล้วจึงพูดต่อว่า : “ยิ่งไปกว่านั้น หากยังมีตระกูลใหญ่ที่มีความคิดที่ใจแคบเช่นนี้อยู่จริง คุณชายคิดว่าจะสามารถพัฒนาขึ้นไปเป็นตระกูลใหญ่ที่มั่งคั่งได้หรือไม่ ?”

เฉินตงลูบจมูกแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ

อันที่จริงแล้ว การที่จะสามารถขึ้นเป็นตระกูลใหญ่ที่มั่งคั่งและยืนอยู่ได้อย่างเต็มภาคภูมิในจุดที่อยู่สูงสุดได้นั้น จะต้องอาศัยวิธีการและความสามารถเป็นหลัก แต่การรู้จักเห็นอกเห็นใจก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เช่นกัน

เพียงเพราะถูกขับไล่ออกจากตระกูล จึงต้องถูกกำจัดให้สิ้นซาก เรื่องนี้ไม่ทำให้สมาชิกในวงศ์ตระกูลดูไร้คุณธรรมไปหน่อยหรือ ?

เพียงแค่ถูกขับไล่ออกจากวงศ์ตระกูล แต่ก็ยังมีโอกาสกลับไปกราบไหว้บรรพบุรุษได้นี่

ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลใหญ่นั้นเห็นแก่ชื่อเสียงและหน้าตาเป็นที่สุด เรื่องเช่นนี้หากแพร่งพรายออกไป มีแต่จะทำให้วงศ์ตระกูลต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง

ทางค่อยๆ แคบลง จนในที่สุดก็ไม่มีถนนให้ไปต่อ

“แล้วทำไมฉินเย่ถึงต้องถูกกำจัดด้วย ?”

เฉินตงพึมพำออกมาเบาๆ สิ่งที่คือสิ่งที่เขารู้สึกสงสัยอยู่ในใจที่สุด

ตอนนั้นหลังจากที่ฉินเย่ฆ่าพ่อของตัวเองแล้ว เขาก็ได้เงินนับหมื่นล้านเพื่อซื้อชีวิตของตนเองจากตระกูลฉิน จนทำให้ตระกูลฉินขึ้นแท่นเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในซีสู่

แต่หลังจากนั้น ตระกูลฉินก็เลี้ยงดูฉินเย่ราวกับว่าเขาเป็นคนไร้ค่า

หลังจากฉินเย่ใช้ชีวิตให้หมดไปวันๆ เพื่อรอคอยความตาย ในที่สุดเขาก็เต็มใจที่จะถูกขับไล่ออกจากวงศ์ตระกูล

หากพูดกันตามเหตุผลแล้ว เขาไม่ควรถูกฆ่าไม่ใช่หรือ ?

ตอนนี้เอง

มีคลิปวิดีโอถูกส่งมายังโทรศัพท์ของท่านหลง

ท่านหลงขับรถไปพลาง เปิดคลิปวิดีโอดูไปพลาง

จากนั้นจึงหัวเราะเยาะตัวเอง : “แก่แล้ว แก่แล้วจริงๆ สมองเลยสู้คุณชายไม่ได้ เป็นเหมือนกับที่คุณชายคิดเอาไว้ไม่มีผิด ฉินเย่ถูกคนจับตัวขึ้นไปบนสุสานจิ่วหลงซาน”

เฉินตงสีหน้าเคร่งเครียด

บรรยากาศภายในรถเต็มไปด้วยเจนตาฆ่าที่รุนแรง

ทำให้ท่านหลงและจางหยู่หลันรู้สึกหวาดกลัวจนเสียวสันหลัง

“คิดที่จะฝังพี่น้องของฉันในสุสานอย่างนั้นหรือ ? วันนี้ฉันจะรอดูซิว่า ใครจะฝังใครกันแน่ ?”

ในขณะเดียวกัน

ภายในสุสานจิ่วหลงซาน

มีหลุมศพอยู่เป็นจำนวนมาก

บรรยากาศยามค่ำคืนมืดมิด

ชวนให้รู้สึกขนลุก

“โอ๊ย !”

เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้น ทำลายบรรยากาศที่เงียบสงัดของสุสาน

มีฝูงกาฝูงใหญ่บินขึ้นจากในป่าบนภูเขาที่อยู่ไกลออกไป

มีเสียงร้องของกางที่แสบแก้วหูดังขึ้นต่อเนื่องไม่หยุด……

เฉินตงไม่ได้สนใจฉินเย่

เขาเดินเข้าประตูบ้านไป

หลายวันมานี้ เป็นเพราะทุกคนในบ้านช่วยเฉินตงปิดบังเรื่องนี้เอาไว้ ทำให้หลี่หลานไม่รับรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

เมื่อเห็นเฉินตง เธอก็รีบเดินเข้าไปหา แล้วพูดด้วยความเป็นห่วงว่า : “เด็กโง่ อยู่ที่บริษัทมาหลายวันเช่นนี้ ดูสิ ผอมลงไปตั้งเยอะ ถึงแม้งานจะหนัก แต่ก็ต้องรู้จักดูแลสุขภาพด้วยรู้ไหม”

“แม่ครับ ไม่เป็นไรหรอกครับ ไม่ต้องเป็นห่วง”

เฉินตงยิ้มเล็กน้อย ท่าทางของเขาสงบ ไม่แสดงออกให้เห็นถึงความผิดปกติใดๆ

“รีบไปพักผ่อนสักเดี๋ยวสิ ถ้าแม่กับฟ่านลู่ทำอาหารเย็นเสร็จแล้วจะขึ้นไปเรียกลูกเอง”

หลี่หลานคิดเพียงแค่ว่าหลายวันมานี้เฉินตงมัวแต่ทำงานหนักอยู่ที่บริษัท เป็นเพราะงานยุ่งเกินไปจึงไม่สามารถกลับบ้านได้

ตอนนี้ในเมื่อลูกชายกลับมาได้แล้ว เธอจึงไม่อยากให้เฉินตงต้องเหนื่อยแม้สักวินาทีเดียว

เฉินตงมองดูแม่ของเขาเดินเข้าห้องครัวไป แล้วจึงยิ้มออกมาเล็กน้อย จากนั้นจึงหันหลังเดินขึ้นบันไดไป

แต่ขณะที่เขากำลังจะก้าวเท้าเดินขึ้นบันไดไป ก็มีเสียงของแม่ตะโกนดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง

“เสี่ยวหยิ่ง หนูเองก็ไม่ต้องเหนื่อยนักเลย รีบขึ้นไปพักผ่อนกับเฉินตงเถอะ”

เฉินตงเดินโซเซจนแทบจะตกจากบันได

แม่พูดตรงเกินไปหรือเปล่า ?

“หา ? คุณป้า……”

กู้ชิงหยิ่งเองก็รู้สึกตกใจเช่นกัน

“ก็แค่อยู่เป็นเพื่อนเขา อย่าคิดอะไรมาก !” หลี่หลานยิ้มออกมาด้วยรอยยิ้มที่เอื้ออาทรของผู้เป็นแม่

แต่ใบหน้าของกู้ชิงหยิ่งกลับแดงก่ำไปเรียบร้อยแล้ว

เธอลังเลอยู่สักครู่ แต่ในที่สุดก็เดินเข้าไปหาเฉินตง

เฉินตงยิ้มออกมาอย่างเก้อเขิน : “รู้สึกจะตรงเกินไปหน่อยใช่ไหม ?”

กู้ชิงหยิ่งตัวสั่นเล็กน้อย ใบหน้าอันงดงามที่เป็นสีแดงระเรื่ออยู่แล้ว กลับยิ่งแดงก่ำเข้าไปใหญ่

เธอคร่ำครวญออกมา : “นี่ เลิกพูดได้แล้ว รีบขึ้นไปเร็วเข้า”

เฉินตง : “……”

มองดูเฉินตงและกู้ชิงหยิ่งเดินขึ้นบันไดไป

ท่านหลงก็ยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ : “บนโลกไปนี้ คนที่เป็นแม่ล้วนเหมือนกันหมด”

“ท่านหลง มัวแต่ยืนบ่นอะไรอยู่ได้ ยังไม่รีบมาช่วยกันอีก ?” หลี่หลานตะโกนออกมาอย่างเคร่งขรึม

ท่านหลงยิ้มแล้วเดินเข้าไปหา

หลี่หลานทำสีหน้าเบื่อหน่าย : “ท่านหลง ถึงจะรู้คุณก็ไม่ควรจะพูดออกมา ตงเอ๋อโตจนป่านนี้แล้ว ฉันในฐานะที่เป็นแม่ ก็อยากที่จะอุ้มหลานกับเขาบ้างไม่ได้หรืออย่างไร ?”

“แต่คุณผู้หญิง……” ท่านหลงรู้สึกว่าไม่เหมาะสม

“น้อยๆ หน่อย ตอนนั้นไม่เห็นเต้าหลินจะเป็นอย่างที่คุณพูดเลย”

คำพูดของหลี่หลานทำให้ท่านหลงพูดอะไรไม่ออก

แต่ทว่า เมื่อคิดทบทวนดูแล้ว เฉินตงกับกู้ชิงหยิ่งเองก็หมั้นหมายกันแล้ว อีกไม่ช้าก็จะแต่งงานกันแล้ว

ดูเหมือนว่า……จะไม่มีอะไรเกินเลยหรอกใช่ไหม ?

ภายในห้อง

เฉินตงค่อยๆ นอนลงบนเตียงโดยมีกู้ชิงหยิ่งคอยประคองเอาไว้

เป็นเพราะพันบาดแผลเอาไว้ ทำให้เฉินตงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหายใจไม่ออก

กู้ชิงหยิ่งมองดูด้วยความสงสาร แล้วบ่นว่า : “ใครใช้ให้คุณรีบออกจากโรงพยาบาลกัน หลังจากนี้เวลาคุณนอนและลุกขึ้นในทุกๆ วัน ฉันจะคอยดูซิว่าคุณจะทำเช่นไร ?”

“ไม่ใช่ว่ามีคุณหรอกหรือ ?”

เฉินตงยิ้มอย่างเบิกบาน

“แต่ฉันไม่ได้อยู่ทุกวันสักหน่อย” กู้ชิงหยิ่งกล่าว

หลังจากพูดจบ

จู่ๆ เฉินตงก็ยื่นมือออกมา แล้วดึงมืออันเรียวงามของกู้ชิงหยิ่งเบาๆ

กู้ชิงหยิ่งอุทานออกมา แล้วสูญเสียการทรงตัวในทันที และล้มลงไปบนเตียง

ทันใดนั้นเอง อุณหภูมิบนร่างกายของเฉินตง ก็แผ่ซ่านไปทั่วตัวของเธอ

เดิมทีกู้ชิงหยิ่งคิดจะลุกขึ้น

แต่เฉินตงกลับโอบไหล่ของเธอเอาไว้ แล้วใช้มือใหญ่ของเขากอดเธอเอาไว้ : “ผมอยากให้คุณอยู่ที่นี่ทุกวัน”

ดวงตาของกู้ชิงหยิ่งเป็นประกาย ใบหน้าอันงดงามของเธอแดงก่ำขึ้นมาทันที

คำพูดของเฉินตง ทำให้หัวใจของเธอเต้นเร็ว ราวกับกวางตัวน้อยๆ ที่กระโดดไปมา

“เฉินตง……” เสียงของกู้ชิงหยิ่งอ่อนปวกเปียกลงทันที

“เด็กโง่ ผมรู้ดี ผมไม่มีทางทำอะไรเกินเลยเด็ดขาด ขอแค่นอนอยู่อย่างนี้เท่านั้น”

เฉินตงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พลางใช้มือตบลงบนหลังของกู้ชิงหยิ่งเบาๆ

เรื่องที่เกิดขึ้นครั้งที่แล้ว ทำให้เขารู้ดีว่า กู้ชิงหยิ่งอยากจะเก็บคืนที่พิเศษที่สุดเอาไว้ในวันแต่งงาน ให้วันนั้นเป็นวันที่สมบูรณ์แบบที่สุด

ดังนั้น เขาจึงเคารพการตัดสินใจของกู้ชิงหยิ่ง ไม่คิดที่จะทำอะไรเกินเลยเด็ดขาด

เมื่อทั้งสองฝ่ายเคารพซึ่งกันและกัน ถึงจะถือเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการรักษาความสัมพันธ์ให้ยืนยาว

เมื่อถูกลูบหลังเบาๆ กูชิงหยิ่งก็นอนหลับไปอย่างรวดเร็ว

ราวกับลูกแมวตัวน้อยๆ ที่ซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของเฉินตง แล้วค่อยๆ หลับไป

ตอนที่ตื่นขึ้นมา ท้องฟ้าก็มืดสนิทแล้ว

กู้ชิงหยิ่งลืมตาขึ้นมองเฉินตง แต่กลับพบว่าเฉินตงกำลังมองดูเธออยู่

“คุณตื่นนานแล้วเหรอคะ ?” กู้ชิงหยิ่งสะดุ้ง และตั้งสติกลับมาได้

“อืม” เฉินตงตอบกลับอย่างอ่อนโยน

กู้ชิงหยิ่งเลิกคิ้ว : “แล้วทำไมคุณถึงไม่ปลุกฉัน ? ฉันนอนหนุนแขนของคุณอยู่ตลอดเช่นนี้ เดี๋ยวก็เจ็บแขนหรอก”

“พูดอะไรเหลวไหล ? ให้ภรรยาของตัวเองหนุนแขนนอนหลับพักผ่อน ทำให้ผมมีความสุขมากต่างหาก”

เฉินตงแสร้งทำเป็นกล่าวตำหนิ สักพัก เขาจึงพูดต่ออีกว่า : “อยู่ดูแลผมที่โรงพยาบาลตั้งหลายวัน ไม่ได้นอนหลับเต็มตื่นสักวัน ตอนนี้ผมออกจากโรงพยาบาลแล้ว แน่นอนว่าจะต้องปล่อยให้คุณได้นอนพักผ่อนเต็มที่สิ”

ช่วงที่อยู่โรงพยาบาล

ฟ่านลู่เองก็ต้องอยู่ดูแลแม่ที่บ้านและช่วยปกปิดความจริงไปด้วยในเวลาเดียวกัน

ดังนั้นคนที่อยู่ดูแลเขาที่โรงพยาบาล จึงมีเพียงแค่กู้ชิงหยิ่งและท่านหลงที่คอยสลับเวรกัน

ส่วนฉินเย่ที่วันๆ มัวแต่คิดเรื่องอย่างว่า ก็มาโรงพยาบาลน้อยมาก

กู้ชิงหยิ่งรู้สึกเห็นใจที่ท่านหลงอายุมากแล้ว ดังนั้นเวลาโดยส่วนใหญ่ จึงเป็นตัวเธอเองที่อยู่โรงพยาบาล

หญิงสาวที่เติบโตมาในตระกูลที่มั่งคั่งร่ำรวย ถูกชุบเลี้ยงมาราวกับไข่ในหินตั้งแต่เด็ก สามารถอดหลับอดนอนเพื่อดูแลเขาที่โรงพยาบาลได้หลายวันขนาดนั้น ทำให้เฉินตงรู้สึกซาบซึ้งใจมากจริงๆ

“คุณแค่อยากจะให้ฉันพักผ่อนแค่นั้นหรือ ?”

กู้ชิงหยิ่งมองด้วยแววตาลึกซึ้ง ริมฝีปากแดงระเรื่อของเธอปิดสนิท

แต่เมื่อพูดประโยคนี้ออกไป เธอก็รีบตบปากตัวเองทันที : “ไม่สิ ทำไมฉันจะต้องฟังคุณด้วย นี่มันแปลกๆ นะ ?”

ตอนที่พูดประโยคนี้ออกไป ใบหน้าขาวนวลเนียนของกู้ชิงหยิ่งเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำอย่างรวดเร็ว

เฉินตงยิ้มอย่างประหลาด แล้วถามกลับว่า : “แล้วคุณนอนอิ่มหรือยัง ?”

กู้ชิงหยิ่งรู้สึกเขินจนหน้าแดง เธอตอบอะไรไม่ถูกอยู่พักใหญ่

นอนอิ่มแล้ว นอนอิ่มแล้วจริงๆ

แต่แววตาของเฉินตง แสดงให้เห็นชัดเจนว่า คำว่านอนอิ่มแล้วนั้นมีความหมายอื่นแฝงอยู่

ในที่สุด กู้ชิงหยิ่งก็ทำท่าทางทะเล้นออกมา แล้วรีบเด้งตัวลุกขึ้นจากอ้อมแขนของเฉินตง : “ไปล่ะ ลงไปกินข้าวข้างล่างแล้ว”

เฉินตงหัวเราะร่าออกมา แล้วลุกขึ้นเพื่อลงไปด้านล่าง โดยมีกู้ชิงหยิ่งคอยประคองลงไป

เสียงโทรทัศน์ดังก้องอยู่ภายในห้องรับแขก

หลี่หลาน ท่านหลง และฟ่านลู่กำลังนั่งดูโทรทัศน์อยู่

“แม่ครับ อาหารทำเสร็จรึยังครับ ?” เฉินตงเอ่ยถาม

“ทำเสร็จแล้ว ทำเสร็จตั้งนานแล้ว แต่กลัวจะรบกวนเวลาพักผ่อนของลูกก็เลยไม่ได้ขึ้นไปเรียก” หลี่หลานพูดไปพลางยิ้มไปพลาง

ทั้งครอบครัวนั่งร่วมโต๊ะรับประทานอาหารเย็นด้วยกัน

จู่ๆ หลี่หลานก็ถามขึ้นมาว่า : จริงสิ คุณหลุนไปไหนเสียแล้ว ? ทำไมช่วงที่ตงเอ๋อไม่กลับบ้าน เขาเองก็ไม่ได้กลับมาด้วย ?”

เฉินตงผงะไปชั่วครู่

อาหารบาดเจ็บของคุนหลุนและกูหลังก็ไม่ต่างอะไรจากเขานัก

ดังนั้นตอนที่ออกจากโรงพยาบาล เขาจึงกำชับทั้งสองคนให้อยู่รักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลให้หายดีเสียก่อน แล้วค่อยออกจากโรงพยาบาล

“คุณผู้หญิง คุนหลุนมีธุระต้องกลับไปทำที่ตระกูลเฉินครับ” ท่านหลงรีบตอบแทนทันที

หลี่หลานพยักหน้า และไม่ได้ถามอะไรต่อ

เฉินตงหันมองท่านหลงด้วยความตื่นเต้น จากนั้นบรรยากาศจึงกลับมาคึกคักอีกครั้ง

ขณะที่กำลังรับประทานอาหาร

จู่ๆ โทรศัพท์มือถือของเฉินตงก็ดังขึ้น

เป็นเบอร์ของฉินเย่โทรเข้ามา

เฉินตงอึ้งไปสักครู่ เวลานี้ไอ้หมอนั่นควรจะยุ่งอยู่ไม่ใช่หรือ ?

เขารับสายโทรศัพท์ด้วยความสงสัย

ขณะที่เพิ่งรับสาย

ปลายสายก็มีเสียงของฉินเย่ดังตะโกนออกมา

“ช่วยด้วย เฉินตง ช่วยฉันด้วย……”

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น ?” เฉินตงหน้าถอดสี น้ำเสียงฟังดูตื่นตระหนกขึ้นมา

พวกของหลี่หลานเองก็เงียบเสียงลงทันที

มีเสียงหนึ่งดังขึ้นในโทรศัพท์

จากนั้นเสียงของฉินเย่ก็อ่อนแรงลง

“ช่วยด้วย พวกมัน พวกมันมาแล้ว พวกมันจะ จะฆ่าฉัน ! ฉันอยู่ที่……”

ท่าทีที่จริงจังของฉินเย่

ทำให้คุณท่านใหญ่ตระกูลจางและจางหยู่หลันรู้สึกประหลาดใจพร้อมกัน

จางหยู่หลันเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาอันงดงามของเธอเป็นประกาย เธอมองไปที่ฉินเย่ด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจ

ก่อนหน้านี้ฉันเคยรังเกียจที่เขาฆ่าพ่อของตัวเอง

แต่คิดไม่ถึงเลยว่า จู่ๆ ตอนนี้ เขาจะมาช่วยพูดเพื่อขอความเห็นใจให้แก่ฉัน !

“จริงใจ ? มีอะไรไม่สบายใจ ?”

เฉินตงหลุดขำออกมา จากนั้นจึงยกมือขึ้นแล้วชี้ไปที่ผ้าพันแผลที่อยู่บนหน้าอกของเขา แล้วพูดอย่างดุดันว่า : “ถ้าไม่ใช่เพราะฉันโชคดี ป่านนี้ฉันคงไม่ได้มานอนอยู่ที่นี่หรอก คงจะถูกฝังอยู่ใต้ดินแล้ว !”

น้ำเสียงจริงจัง

ทำให้คุณท่านใหญ่ตระกูลจางและจางหยู่หลันรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาพร้อมกัน

“คุณ……” ฉินเย่โกรธจนหน้าแดง และกำลังอ้าปากพูด

แต่เฉินตงกลับพูดตัดบทของเขา : “หรือคุณคิดว่าชีวิตอันมีค่าของผู้สืบทอดมรดกตระกูลเฉินอย่างผม มีค่าเพียงแค่พันล้านกัน ?”

คุณท่านใหญ่ตระกูลจางหน้าถอดสีและรู้สึกตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก

พันล้าน เทียบไม่ได้กับชีวิตของผู้สืบทอดมรดกตระกูลเฉินหนึ่งชีวิตจริงๆ

เรื่องนี้เขารู้ดีแก่ใจ

ตระกูลเฉินเป็นตระกูลที่มั่งคั่งที่สุด ใช่ว่าจะเอามาล้อเล่นกันได้ !

ผู้สืบทอดมรดกตระกูลเฉิน ต่อให้โอกาสที่จะเป็นเจ้าบ้านคนต่อไปจะมีอยู่น้อยมากก็ตาม แต่อย่างไรเสียฐานะผู้สืบทอดมรดกก็ยังคงเป็นของจริงอยู่

ถ้าหากชีวิตของผู้สืบทอดมรดกมีค่าเทียบเท่ากับเงินเพียงแค่พันล้านจริงๆ เช่นนั้นไม่เท่ากับว่าถ้าหากตระกูลเฉินคิดอยากจะซื้อชีวิตของผู้สืบทอดมรดกของตระกูลใหญ่ตระกูลอื่น ก็สามารถซื้อได้อย่างง่ายดายหรอกหรือ ?

ที่คุณท่านใหญ่ตระกูลจางเสนอออกไปว่าพันล้าน

นั่นเป็นเพราะเขาคำนวณมาแล้วว่า ภายในระยะเวลาอันสั้น ตระกูลจางสามารถนำเงินสดออกมาได้มากที่สุดเพียงเท่านี้ !

ส่วนเงินที่เหลือ ได้ลงทุนไปในโครงการต่างๆ หมดแล้ว ไม่สามารถนำออกมาใช้ได้ !

“คุณเฉิน ฉันสำนึกผิดแล้ว หยู่หลันรู้สึกสำนึกผิดแล้วจริงๆ”

จู่ๆ จางหยู่หลันก็ร้องไห้ออกมา ตัวของเธอสั่นเทา น้ำตาไหลรินออกมาราวกับสายฝน

เธอรู้ดีว่า ตอนนี้มีฉินเย่ออกหน้าเพื่อช่วยพูดขอความเห็นใจให้แก่ตระกูลจางของเธอ ถ้าหากเธอยังดื้อรั้นอยู่ มีแต่จะทำให้ตัวเองต้องตกที่นั่งลำบาก

ในเวลาคับขันเช่นนี้ เหลือเพียงวิธีเดียวคือขอร้องให้เฉินตงยกโทษให้

ให้เธอกับปู่ได้เดินทางกลับเมืองหลวงโดยเร็วที่สุด

เสียงร้องไห้ดังก้องอยู่ภายในห้องพักผู้ป่วย

แต่ใบหน้าของเฉินตงยังคงเย็นชา และไม่พูดไม่จา

“เฉินตง คุณยังเห็นผมเป็นพี่น้องอีกหรือเปล่า ?”

น้ำเสียงของฉินเย่ดุดันยิ่งขึ้น : “ถ้าในใจของคุณยังเห็นผมเป็นพี่น้องอยู่อีกล่ะก็ ก็ถือเสียว่าเรื่องนี้ให้แล้วกันไป พันล้านก็ถือว่าเพียงพอแล้ว จางหยู่หลันเองก็ยอมคุกเข่าให้คุณแล้ว หรือคุณจะต้องให้เธอชดใช้ด้วยชีวิตถึงจะพอใจ ?”

“ฉินเย่ ผมไม่คิดเลยว่าคุณจะยอมพูดแทนคนนอกเช่นนี้ !”

ใบหน้าเย็นชาของเฉินตงหันมองไปที่ฉินเย่ด้วยความประหลาดใจ

“ผมไม่ได้พูดแทนคนนอก เพียงแต่รู้สึกว่าเรื่องนี้น่าจะบลงได้แล้ว !”

ฉินเย่พูดพลาง ก็เดินตรงเข้าไปหาจางหยู่หลัน จากนั้นจึงยื่นมืออกไปพร้อมกับรอยยิ้มที่แสนอบอุ่น : “ลุกขึ้นเถอะ มีผมอยู่ วันนี้เขาไม่กล้าทำอะไรคุณหรอก”

“ฉินเย่……”

ดวงตาของจางหยู่หลันสั่นไหว เธอจ้องมองฉินเย่ด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยคาบน้ำตา

ตอนนี้ ในใจของเธอรู้สึกอบอุ่นเป็นอย่างมาก

เธอรู้สึกกล่าวโทษตัวเองที่ก่อนหน้านี้เคยปฏิเสธเขาด้วยความรังเกียจ เพียงเพราะได้ยินข่าวที่ร่ำลือกันมา

“ตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมได้เห็นคุณ ผมก็ตกหลุมรักคุณทันที”

ฉินเย่ยิ้มโปรยเสนห์ออกมา แววตาเต็มไปด้วยความแน่วแน่มั่นคง : “ผม ฉินเย่ เป็นสัตว์เดรัจฉานในสายตาของคนทั่วไป เป็นลูกที่ฆ่าพ่อของตัวเอง แต่ถ้าหากผมมีความรัก ไม่ว่าเทวดาหน้าไหนก็เข้ามาขวางผมไม่ได้ !”

เปรี้ยง !

จางหยู่หลันเนื้อตัวสั่นเทา รู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่า

ทันใดนั้นเอง เธอรู้สึกเหมือนตกอยู๋ในภวังค์ เธอยื่นมืออันเรียวงามของเธอออกไปให้ฉินเย่ แล้วค่อยๆ ลุกขึ้น

“หยู่หลัน หนู……” คุณท่านใหญ่ตระกูลจางรู้สึกร้อนใจขึ้นมาทันที

นี่เรากำลังมาขอรับผิดกับเฉินตงอยู่

ถึงแม้ฉินเย่จะเป็นคนของตระกูลฉิน แต่ฐานะก็ยังเทียบกับเฉินตงไม่ได้อยู่ดี

ตอนนี้จางหยู่หลันลุกขึ้น จะถือว่ารับโทษได้อย่างไร นี่ถือว่าเป็นการท้าทายชัดๆ !

พรึ่บ !

ฉินเย่ถือโอกาสโอบตัวของจางหยู่หลันที่กำลังร้องไห้อยู่เข้ามาไว้ในอ้อมกอด แล้วพูดอย่างดุดันว่า : “เธอเป็นผู้หญิงของผม ผมจะปกป้องเธอเอง !”

คำพูดนี้ ทำให้จางหยู่หลันหัวใจเต้นระส่ำ

และทำให้คุณท่านใหญ่ตระกูลจางพูดอะไรไม่ออก

เฉินตงหรี่ตาลง บรรยากาศหนาวเหน็บเริ่มทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น

“ฉินเย่ ในสายตาของนาย ไม่มีพี่น้องคนนี้อยู่เลยหรือ ?”

จู่ๆ บรรยากาศภายในห้องพักผู้ป่วยก็หนาวเย็นขึ้นทันที

“เฉินตง แน่นอนว่าผมเห็นคุณเป็นพี่น้อง แต่คุณต่างหากที่ไม่เห็นผมเป็นพี่น้อง !”

ฉินเย่ยังคงใช้ท่าทีและคำพูดที่เชือดเฉือน เขาตะโกนกลับไปว่า : “ตระกูลจางมาขอรับโทษด้วยความจริงใจ แต่คุณยังคงติดใจเอาความอยู่ แล้วเรื่องที่ผมปกป้องจางหยู่หลัน คุณคิดที่จะติดใจเอาความด้วยหรือเปล่า ?”

ยังไม่ทันรอให้เฉินตงพูดตอบกลับมา

จู่ๆ ฉินเย่ก็ยกมือขึ้น แล้วชี้นิ้วไปยังมีดปอกผงไม้ที่วางอยู่ที่หัวเตียง

เป็นมีดปอดผลไม้ที่กู้ชิงหยิ่งวางเอาไว้เมื่อครู่

“หรือถ้าคุณยังรู้สึกว่ามันยังไม่พอ คุณก็เอามีดเล่มนั้นมาแทงผมสิ หนึ่งแผลแลกกับหนึ่งแผล !”

“ฉินเย่ !”

จางหยู่หลันรู้สึกตกใจมาก ดวงตาคู่สวยของเธอเต็มไปด้วยคราบน้ำตาและฉาบไปด้วยแววตาของความหวาดกลัว

ทันใดนั้นเอง

บรรยากาศภายในห้องพักผู้ป่วยก็เงียบสงัด

ทุกคนต่างตกตึง

แต่เมื่อเทียบกับความตกตะลึงของคุณท่านใหญ่ตระกูลจางแล้ว ที่พวกของเฉินตงทั้งสามคนรู้สึกตกตะลึงก็เป็นเพราะว่า……

นี่มันแสดงสมจริงเกินไปไหม ?

ทุกสิ่งดูเหมือนจะหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง

ทันใดนั้นเอง กู้ชิงหยิ่งก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า : “เฉินตงคะ ฉันว่าพอแค่นี้เถอะ คุณกับฉินเย่เองก็เป็นพี่น้องที่ดีต่อกัน”

หลังจากได้ยิน

เฉินตงก็หันไปมองกู้ชิงหยิ่งด้วยดวงตาที่เป็นประกาย

สาวน้อย ช่างแสดงได้ถูกเวลาเสียจริง ?

เฉินตงสูดหายใจเข้าเต็มปอดแล้วก้มหน้าลง และพูดด้วยความจนใจ : “ไปเถอะ”

หลังจากได้ยินคำนี้

คุณท่านใหญ่ตระกูลจางรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับการให้อภัย เขาตัวสั่นไปทั้งตัว

“ขอบคุณคุณเฉิน ขอบคุณคุณเฉิน”

ดวงตาของจางหยู่หลันสั่นไหว มีน้ำตาไหลรินออกมาราวกับสายฝน

“ไปกันเถอะ”

ฉินเย่มีท่าทีที่อ่อนโยนลง เขากอดจางหยู่หลันเอาไว้ ส่วนอีกมือหนึ่งก็ประคองคุณท่านใหญ่ตระกูลจางเดินออกจากห้องไป : “เฉินตง เรื่องนี้ถือว่าผมติดค้างคุณแล้ว ขอบคุณมาก”

แววตาของเฉินตงลึกซึ้ง เขานั่งมองทั้งสามคนเดินจากไป

“เฮ้อ……”

เขาเอนตัวลงไปที่หัวเตียง แล้วถอนหายใจออกมาหนึ่งครั้ง จากนั้นจึงหันมองกู้ชิงหยิ่งด้วยความโล่งใจ : “ถ้าเมื่อกี้ไม่ใช่เพราะได้คุยช่วยพูดแทนผมหนึ่งประโยคล่ะก็ ผมไม่รู้จะต่อบทคำพูดของเจ้าหมอนั่นอย่างไรดีจริงๆ”

บรรยากาศภายในห้องผ่อนคลายลงทันที

“พวกคุณแสดงกันสมจริงเกินไปแล้ว”

กู้ชิงหยิ่งหันมองอย่างตำหนิ

ส่วนท่านหลงที่นั่งนิ่งไม่พูดไม่จาตั้งแต่ต้นจนจบก็หัวเราะเสียงดังออกมา : “ถ้าไม่แสดงให้สมจริงสักหน่อย ปู่หลานตระกูลจางจะยอมเชื่อได้อย่างไร ?”

เฉินตงพยักหน้า จากนั้นจึงยิ้มแล้วพูดว่า : “เรื่องนี้จะต้องจำเอาไว้ให้แม่น เจ้าหมอนั่นพูดเองนะว่าเขาติดค้างพวกเราอยู่”

ขณะที่พูด เขาก็บิดขี้เกียจ แล้วขยับมือทั้งสองข้าง

“ท่านหลง ช่วยผมทำเรื่องย้ายออกจากโรงพยาบาลหน่อย พักอยู่ที่นี่มาตั้งหลายวัน น่าจะเพียงพอแล้ว”

“คุณชาย……”

“คนโง่……”

ท่านหลงและกู้ชิงหยิ่งหน้าถอดสีพร้อมกัน

เฉินตงส่ายหัว : “พอแล้ว ที่เหลือค่อยพักฟื้นหลังจากออกจากโรงพยาบาล เอาแต่พักอยู่ในโรงพยาบาลตลอดเช่นนี้ เรื่องในบริษัทเองผมก็ไม่วางใจ อีกอย่าง ถ้าหากพักที่นี่ต่อไปอีกล่ะก็ เรื่องนี้คงจะปิดแม่ของผมไม่มิดอีกต่อไปอย่างแน่นอน”

เฉินตงพูดอย่างแน่วแน่ ทำให้กู้ชิงหยิ่งและท่านหลงไม่อาจพูดอะไรมากได้อีก

ท่านหลงช่วยเฉินตงทำเรื่องย้ายออกจากโรงพยาบาลแล้วเสร็จอย่างรวดเร็ว

ตอนที่ทั้งสามคนเดินทางกลับถึงเขตวิลล่าเขาเทียนซาน

ฉินเย่กำลังส่งข้อความให้เฉินตงพอดี

เมื่อเปิดอ่านดู

“คืนนี้ฉันไม่กลับไปกินข้าวแล้ว คุณท่านใหญ่ตระกูลจางกลับเมืองหลวงไปตามลำพัง ส่วนหยู่หลันจะอยู่ที่นี่ต่ออีกสักระยะ”

เฉินตงอึ้งไป

รวดเร็วขนาดนี้เลยหรือ ?

เขารู้สึกตกตะลึงจริงๆ ไอ้หมอนี้คือเสือผู้หญิงของแท้เลย !

เฉินตงอึ้งไปสักพัก จากนั้นจึงส่งข้อความตอบกลับไปว่า : “อย่าลืมป้องกันให้ดี”

ข้อความของฉินเย่ก็ตอบกลับมาภายในเสี้ยววินาทีเช่นกัน

“ไอ้บ้าเอ๊ย ! ขอบคุณมาก ! พรุ่งนี้รอฟังข่าวดีจากผม ยังไงคืนนี้เธอเสร็จผมแน่ !”

หนึ่งสัปดาห์ต่อมา

บริษัทสื่อบันเทิงของฉู่เจียนเจียก่อตั้งขึ้นอย่างราบรื่น โดยใช้ชื่อว่า บริษัท ชูตง เอ็นเตอร์เทนเม้นท์

หลังจากได้ยินชื่อนี้ เฉินตงก็หลุดขำออกมาทันที

เขาตีปากตัวเอง : “ชูตง……ฉู่ตง ?”

แต่เฉินตงก็ไม่ได้ใส่ใจ ในเมื่อตัดสินใจร่วมมือกันมาถึงขั้นนี้แล้ว ชื่อนี้ฉู่เจียนเจียคงจะแสดงออกถึงการให้เกียรติเขามากกว่า

และในสัปดาห์ที่ผ่านมา

หลังจากที่ตระกูลโจวแห่งซีสู่ได้รับโทษ

ไม่ช้า ตระกูลโจวก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับไอน้ำที่ระเหยไป

เมื่อข่าวนี้รู้ไปถึงหูของบรรดาตระกูลใหญ่ ต่างก็รู้สึกตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

จากนั้นบรรดาตระกูลใหญ่ก็ได้แต่ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น

ใครๆ ก็รู้ดีว่า ตระกูลโจวแห่งซีสู่เป็นแพะรับบาป

แต่ก็ไม่มีใครกล้าออกมาขัดขวาง ยิ่งไปกว่านั้นไม่มีใครกล้าแสดงความสงสารต่อตระกูลโจว

แต่การก่อตั้ง “บริษัท ชูตง เอ็นเตอร์เทนเม้นท์” กลับทำให้เกิดกระแสเป็นคลื่นลูกใหญ่ขึ้นในเมืองหลวง

หน่วยข่าวกรองของตระกูลใหญ่ สามารถสืบหาข้อมูลออกมาได้อย่างแม่นยำภายในระยะเวลาอันรวดเร็วว่า บริษัทนี้เป็นการร่วมมือกันระหว่างเฉินตงและตระกูลฉู่

สิ่งนี้ส่งสัญญาณให้ทุกคนเข้าใจอย่างชัดเจนว่า ตอนนี้เฉินตงจับมือกับตระกูลฉู่แล้ว

คาดว่าหลังจากนี้ น่าจะเป็นการพลิกโฉมครั้งใหญ่ของอุตสาหกรรมด้านสื่อบันเทิงอย่างแน่นอน

ตระกูลหลี่ถูกโจมตี ทำให้เมืองหลวงเกิดพายุลูกใหญ่ขึ้น

และการก่อตั้งของ “บริษัท ชูตง เอ็นเตอร์เทนเม้นท์” เห็นได้ชัดว่าเป็นการเติมเชื้อไฟให้กับเมืองหลวงในช่วงที่ไฟกำลังลุกโชนอยู่ ทำให้ไฟยิ่งร้อนระอุมากขึ้น

แต่ทว่า ในขณะที่ตระกูลใหญ่กำลังตกอยู่ในความตื่นตะลึง ก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่กำลังหัวเราะเยาะกับความใจร้อนของตระกูลฉู่ที่รีบวิ่งเข้าไปหา

เพียงแค่ต้องการพึ่งใบบุญของมังกร ก็เพียงพอที่จะทำให้ตระกูลฉู่ยอมกระโดดเข้าหาได้แล้ว

แล้วถ้าหากว่าคนที่เข้าไปพึ่งใบบุญไม่ใช่มังกร แต่เป็นเพียงแค่หนอนล่ะ ?

หัวกะทิของตระกูลเฉินมีมากมายนับไม่ถ้วน ตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกเองก็ใช่ว่าจะตบมือข้างเดียวได้

เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงตำแหน่งเจ้าบ้านตระกูลเฉินในอนาคต ผู้สืบทอดมรดกของตระกูลเฉินแต่ละคนเองก็ล้วนทำตัวลึกลับและสูงส่ง

ผู้สืบทอดมรดก “นอกคอก” ของตระกูลเฉินคนหนึ่ง ก็สามารถทำให้คนจำนวนมากรู้สึกถึงโอกาสได้

แต่เมื่อลองคิดดูอย่างละเอียดแล้ว ผู้สืบทอดมรดก “นอกคอก” ของตระกูลเฉิน จะมีความแข็งแกร่งขนาดไหน ที่จะไปต่อสู้กับบรรดาผู้สืบทอดมรดกคนอื่นๆ กัน ?

ความเป็นไปได้ที่เฉินตงจะได้ขึ้นเป็นเจ้าบ้านตระกูลเฉิน ในสายตาของตระกูลใหญ่เหล่านี้นั้น ถือว่ามีโอกาสน้อยมาก

และถ้าหากเฉินตงเกิดพ่ายแพ้แล้วล่ะก็ ตระกูลฉู่เองก็จะต้องรอฟังข่าวร้ายเช่นกัน

ในสายตาของบรรดาตระกูลใหญ่เหล่านี้ ตระกูลฉู่กำลังเอาชีวิตไปแขวนไว้กับอนาคต เข้าร่วมการเดิมพันครั้งใหญ่ไปพร้อมกับเฉินตง !

แต่ทว่า โอกาสชนะมีอยู่น้อยมาก !

หมู่ตึกยู่ฉวน

หลังจากการรอมาหนึ่งสัปดาห์

ทำให้คูรท่านใหญ่ตระกูลจางและจางหยู่หลันรู้สึกหมดความอดทนนานแล้ว

การก่อตั้งบริษัท ชูตง เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ ทำให้สถานการณ์ในเมืองหลวงเปลี่ยนไป สิ่งนี้ทำให้คุณท่านใหญ่ตระกูลจางไม่อาจข่มตาหลับลงได้ รู้สึกเหมือนตนเองนั่งอยู่บนเข็มที่คอยทิ่มแทงอยู่ตลอดเวลา

“คุณปู่ แล้วพวกเราจะต้องรอต่อไปอย่างนี้หรือคะ ?”

เที่ยงวันนี้ จางหยู่หลันมองดูจานอาหารอันโอชะมากมายที่วางเรียงรายอยู่ตรงหน้า แต่กลับไม่รู้สึกหิวเลยสักนิด

ถึงแม้ตอนนี้ เธอกับปู่จะอยู่อย่างอิสระภายในหมู่ตึกยู่ฉวน มีทั้งเสื้อผ้าที่หรูหราและอาหารอันโอชะมากมาย

แต่นี่ก็ไม่ต่างกับการถูกกักบริเวณเลยสักนิด !

เหนือจากสิ่งอื่นใด ตั้งแต่เล็กจนโต จางหยู่หลันไม่เคยต้องรับโทษในลักษณะเช่นนี้เลยสักครั้ง !

“รอไม่ได้อีกแล้ว ปู่จะรีบวางแผนกลับเมืองหลวงให้ได้โดยเร็วที่สุด ธุรกิจหลักของตระกูลเรา คงจะต้องล้างไพ่ใหม่ทั้งกระดานเสียแล้ว”

แววตาของคุณท่านใหญ่ตระกูลจางเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น : “ถ้าหากยังรอต่อไปเช่นนี้ สถานการณ์ในเมืองหลวงจะต้องเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือจริงๆ แน่นอน !”

เขาโลดแล่นอยู่ในวงการธุรกิจมาหลายสิบปี จึงรู้ถึงความสำคัญของเวลาดี

ถ้าหากไม่สามารถกลับไปถึงเมืองหลวงได้ภายในการเปลี่ยนแปลงระยะเริ่มต้น เพื่อทำการคำนวณและวางแผนใหม่

รอให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างเต็มรูปแบบ ต่อให้ตระกูลจางจะเป็นมหาอำนาจในอุตสาหกรรมด้านธุรกิจบันเทิง ก็ไม่มีทางที่จะมีกำลังมากพอในการเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีก

ในสถานการณ์เช่นนี้ ทางเดียวที่จะรอดคือต้องพุ่งชน

ขณะที่พูดเขาก็ลุกขึ้น จากนั้นจึงเดินไปที่ประตู : “เด็กๆ ฉันต้องการพบโจวเย่นชิว !”

สิบนาทีผ่านไป

โจวเย่นชิวก็เดินมาถึง

ในช่วงนี้ เข้าไปได้เข้าไปที่บริษัท แต่ประจำอยู่ที่หมู่ตึกยู่ฉวนเป็นการชั่วคราว

เพื่อช่วยเฉินตงจับตาดูสองปู่หลานตระกูลจางเอาไว้

“คุณท่านใหญ่ตระกูลจาง มีอะไรให้รับใช้หรือครับ ?” โจวเย่นชิวเอ่ยถาม

“ฉันต้องการพบคุณเฉิน !”

สีหน้าของคุณท่านใหญ่ตระกูลจางเคร่งขรึม แววตาแน่วแน่จริงจัง

“เอ่อ……” โจวเย่นชิวลังเลอยู่สักพัก

“ฉันอยากจะไปขอรับผิดกับคุณเฉิน !”

คำพูดประโยคนี้ ทำให้โจวเย่นชิวยอมพยักหน้าตอบรับ

หนึ่งชั่วโมงต่อมา

คุณท่านใหญ่ตระกูลจางและจางหยู่หลันเดินทางไปถึงโรงพยาบาลลี่จิง ภายใต้การนำทางของโจวเย่นชิว

ตอนนี้เพิ่งจะพ้นเวลาที่ยงมาได้เพียงไม่นาน

เฉินตงกำลังนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย เขากำลังกินแอปเปิลที่กู้ชิงหยิ่งปอกเปลือกให้อย่างสบายใจ

ส่วนฉินเย่และท่านหลงนั่งมองหน้ากันอยู่บนโซฟาที่อยู่ข้างๆ

ฉินเย่หยิบแอปเปิลขึ้นมาด้วยความโกรธ แล้วกัดเข้าไปเต็มแรงหนึ่งคำ

“ยังไม่ได้ล้าง” ท่านหลงกล่าว

ฉินเย่เคี้ยวไปพลาง เอ่ยปากตอบไปพลางว่า : “ต่อให้หมาตายไป ก็ไม่มีคู่รักคู่ไหนเขาสนใจหรอก !”

พรวด !

คำพูดประโยคนี้ ทำให้เฉินตงและกู้ชิงหยิ่งหลุดขำออกมา

เฉินตงยิ้มแล้วพูดว่า : “อย่าลืมเสียล่ะ สิ่งที่ฉันรับปากนายเอาไว้ อีกเดี๋ยวขึ้นอยู่กับนายแล้วว่าจะแสดงออกมาได้ดีแค่ไหน”

ฉินเย่สะดุ้ง จากนั้นจึงมองตาปริบๆ

เขาคายแอปเปิลที่อยู่ในปากลงถังขยะ จากนั้นจึงพูดด้วยความดีใจว่า : “มาแล้วเหรอ ?”

“ในที่สุดก็ทนไม่ไหวแล้ว” เฉินตงยิ้มกว้างออกมาอย่างมีเลศนัย และเหลือบไปมองท่านหลง

ท่านหลงยิ้มเล็กน้อยเป็นการตอบรับ

อันที่จริงแล้ว การที่ให้สองปู่หลานตระกูลจางพักอยู่ที่หมู่ตึกยู่ฉวนตลอดทั้งสัปดาห์ โดยไม่เข้าไปสนใจนั้น เป็นความคิดของท่านหลง

ถ้าหากเฉินตงกล่าวโทษตระกูลจางอย่างรุนแรง สำหรับตระกูลจางแล้ว ถือเป็นความเจ็บปวดเพียงชั่วคราวเท่านั้น

แต่ถ้าปล่อยให้เวลาผ่านไปสักระยะ ให้ตระกูลจางเกิดความกดดันขึ้นภายในจิตใจอย่างต่อเนื่อง ให้พวกเขาเข้ามาขอรับผิดด้วยตัวเอง สิ่งนี้จึงจะทำให้ตระกูลจางสามารถจดจำความเจ็บปวดในครั้งนี้เอาไว้ได้

นี่คือวิธีการที่ผู้บังคับบัญชาควรมี

ก๊อกๆ !

เสียงเคาะประตูดังขึ้น

“เข้ามา”

เฉินตงเลิกคิ้ว ส่งสัญญาณให้ฉินเย่

ฉินเย่ส่งสัญญาณมือว่า OK จากนั่งจึงนั่งพิงลงที่โซฟา แล้วแสดงทีท่าไม่สนใจ

“คุณเฉิน คุณท่านใหญ่ตระกูลจางมาเยี่ยมคุณที่โรงพยาบาลแล้ว”

หลังจากโจวเย่นชิวเข้ามาแล้ว ก็พูดด้วยความนอบน้อมอย่างมาก

ส่วนคุณท่านใหญ่ตระกูลจางและจางหยู่หลันก็เดินตามติดๆ มาทางด้านหลัง

ถึงแม้คุณท่านใหญ่ตระกูลจางจะอยู่ในท่าทีที่สงบ แต่แววตาของจางหยู่หลันกลับไม่อยู่กับร่องกับรอบ แสดงให้เห็นถึงความวิตกกังวลที่สองปู่หลานมี

“คุณเฉิน ผมมาเพื่อจะขอรับโทษกับคุณ”

คุณท่านใหญ่ตระกูลจางยิ้มออกมา จากนั้นจึงโค้งคำนับ

จู่ๆ เฉินตงก็หัวเราะออกมา

เขามองตรงไปยังคุณท่านใหญ่ตระกูลจางด้วยแววตาที่เหมือนมีเปลวไฟลุกโชนอยู่ภายใน : “คุณท่านใหญ่ตระกูลจางพูดเล่นไปได้ คุณมีความผิดอะไรกัน ? ทำไมจะต้องมาขอรับโทษด้วย ?”

หลังจากได้ยิน

แววตาของคุณท่านใหญ่ตระกูลจางก็เป็นประกายขึ้นมา เขาขมวดคิ้วแน่นทันที

ส่วนจางหยู่หลันนั้นก็โกรธจนหน้าแดงและยืนลังเลอยู่

ผู้หญิงที่หยิ่งยโสอย่างเธอ ไม่ชินกับการท่าต้องก้มหัวเพื่อขอโทษคนอื่น

แต่เมื่อเห็นปู่ต้องยอมก้มศีรษะเพราะความผิดพลาดที่เธอก่อเอาไว้ รวมไปถึงสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในเมืองหลวง

ในที่สุด เธอก็ยอมกัดฟันหันไปโค้งคำนับเฉินตง แล้วพูดว่า : “คุณเฉิน ขออภัยด้วย คืนนั้นเป็นความผิดของฉันเองที่ทำให้คุณต้องเกือบถูกทำร้าย ขอคุณอภัยให้ด้วย”

“อ่อ ?”

เฉินตงแสยะยิ้มออกมา : “แผลที่อยู่บนหลังของผม ยังปิดไม่สนิทเลยนะ”

คำพูดประโยคเดียว แต่กลับทำให้บรรยากาศภายในห้องพักผู้ป่วยหนาวเหน็บในทันที

คุณท่านใหญ่ตระกูลจางและจางหยู่หลันรู้สึกใจเต้นระส่ำพร้อมกัน

จู่ๆ คุณท่านใหญ่ตระกูลจางก็ตะคอกออกมาว่า : “หยู่หลัน คุกเข่าลง !”

จางหยู่หลันมองตาปริบๆ แต่ในที่สุดเธอก็ยอมคุกเข่าลงบนพื้น

“คำนับลงที่พื้นเพื่อยอมรับความผิดกับคุณเฉินซะ !”

คุณท่านใหญ่ตระกูลจางดุพลาง ก็หันกลับไปมองเฉินตงด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม : “คุณเฉิน หวังว่าคุณจะเห็นแก่ที่หยู่หลันยังเป็นเด็ก ไม่รู้ประสีประสา ยกโทษให้กับเธอ พวกเราตระกูลจาง ยินดีที่จะชดใช้ให้แก่คุณเป็นเงินพันล้าน”

เปรี้ยง !

คำพูดประโยคนี้ ทำให้จางหยู่หลันรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า

ผลักแค่ครั้งเดียว ต้องชดใช้ถึงพันล้านเชียวหรือ ?

เฉินตงไม่ได้ตอบรับในทันที

แต่เขากับนิ่งเงียบไป แล้วเหลือบไปมองฉินเย่

บรรยากาศภายในห้องพักผู้ป่วยเงียบลงไปชั่วขณะ ยิ่งทำให้คุณท่านใหญ่ตระกูลจางและจางหยู่หลันกระวนกระวายใจเพิ่มขึ้น

ทันใดนั้น

ฉินเย่ที่นั่งอย่างไม่สนใจอะไรก็ลุกพรวดขึ้นมา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า : “เฉินตง เห็นแก่ความเป็นพี่เป็นน้องที่ดีต่อกัน ตระกูลจางเองก็กล่าวขอโทษด้วยความจริงใจแล้ว ในฐานะที่คุณเองก็เป็นลูกผู้ชายคนหนึ่ง มีเรื่องอะไรที่คุณยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่อีกหรือ ?”

ท่าทีที่กล้าหาญและน้ำเสียงที่จริงจัง

ทำให้ท่านหลงและกู้ชิงหยิ่งรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาทันที

นี่เริ่มต้นการแสดงแล้วหรือ ?

“เรื่องอะไร ?”

เฉินตงหันมองฉินเย่ด้วยความสงสัย

ฉินเย่บิดขี้เกียจ แล้วพาดขาทั้งสองข้างลงบนเตียงผู้ป่วย จากนั้นจึงเอนตัวไปด้านหลังแล้วเงยหน้าขึ้นมองเพดาน

เขายิ้มอย่างติดตลกแล้วพูดว่า : “ถ้าเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตระกูลโจวเล็กๆ นั่นแล้วล่ะก็ เมื่อครู่หากไม่ได้นึกดูอย่างละเอียด ผมก็คงคิดไม่ออกจริงๆ”

เฉินตงไม่ได้เร่งเร้า เขาฟังอย่างอดทน

“ตระกูลโจวนั่น ถึงแม้จะเล็ก แต่ผมก็ได้พบปะกับตระกูลของพวกเขาหลายครั้ง เพราะที่ซีสู่ ตระกูลฉินเองก็มีธุรกิจเล็กๆ น้อยๆที่ร่วมมือกับตระกูลโจว”

“ผมจำได้ว่าการพบกันครั้งล่าสุด เป็นงานเลี้ยงกลางคืนก่อนที่ผมจะฆ่าพ่อของตัวเอง”

มุมปากของเฉินตงกระตุกเล็กน้อย

แต่ฉินเย่ก็พูดต่อเหมือนเป็นเรื่องปกติ : “ตอนนั้น ผมเห็นผู้น้อยยืนอยู่ด้านหลังของเจ้าบ้านตระกูลโจว ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีความสำคัญ แม้แต่เจ้าบ้านตระกูลโจวเอง ผมก็ไม่ได้ให้ความสำคัญ……”

ขณะที่พูดอยู่นั้น จู่ๆ ฉินเย่ก็ลุกขึ้นมานั่ง

ดวงตาทั้งสองข้างจ้องเขม็งไปที่เฉินตง

“แต่หลังจากที่รู้จักคุณแล้ว จู่ๆ ตอนนี้ผมก็นึกขึ้นมาได้ว่า เด็กหนุ่มคนนั้นหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับคุณเป็นอย่างมาก”

“คล้ายกับผมมาก ?”

เฉินตงผงะไป

ฉินเย่พยักหน้าอย่างจริงจัง รอยยิ้มยังคงติดตลกอยู่ : “ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ เกี่ยวพันไปถึงตระกูลโจวเล็กๆ นั่นแล้วล่ะก็ ผมคงจะลืมเรื่องนี้ไปแล้วจริงๆ ถ้าเด็กคนนั้นรู้ว่าที่ตระกูลของเขาต้องจบสิ้นลงเป็นเพราะเขาหน้าคล้ายคุณแล้วล่ะก็ ไม่รู้ว่าเด็กคนนั้นจะคิดเช่นไร ?”

เฉินตงพูดว่า : “มีรูปไหม ?”

เขารู้สึกสนอกสนใจจริงๆ

ถ้าเป็นฝาแฝดที่มีใบหน้าคล้ายคลึงกันก็คงไม่แปลก

แต่ฐานะ ภูมิหลัง หรือแม้กระทั่งประวัติความเป็นมาของครอบครัวก็แตกต่างกัน ถึงขั้นว่าต่างกันราวฟ้ากับดิน แล้วคนสองคนจะหน้าตาละม้ายคล้ายกันได้อย่างไร ?

ตอนที่เขาเดินทางไปเชิญฉินเย่ครั้งนั้น เป็นครั้งแรกที่เขาไปเหยียบซีสู่

“ผมจะลองหาดู”

ฉินเย่หยิบโทรศัพท์มือถือออกมา จากนั้นจึงเปิดคลังรูปถ่ายเพื่อค้นหา

แต่ทว่า เขาทำเหมือนตั้งใจที่จะหลบซ่อนจากสายตาของเฉินตง เขาหันหลังไป ไม่ให้เฉินตงมองเห็นภาพโทรศัพท์ แม้กระทั่งแสงสะท้อนก็ไม่ให้เห็น

“ต้องลึกลับขนาดนี้เลยหรือ ?”

เฉินตงเบ้ปาก

ฉินเย่หาพลาง พูดไปพลาง : “มีรูปที่ถ่ายตัวเองตอนแลกเปลี่ยนเทคนิคน่ะ”

“ไอ้บ้าเอ๊ย……” เฉินตงตะโกนด่าออกไปหนึ่งประโยค

สักพักใหญ่

จู่ๆ ฉินเย่ก็ตะโกนออกมา : “หาเจอแล้ว ! ยังดีที่ตอนเปลี่ยนโทรศัพท์มีการสำรองข้อมูลเอาไว้ ของต่างๆ ที่อยู่ข้างในจึงถูกโอนย้ายมายังโทรศัพท์เครื่องใหม่”

ขณะที่พูด เขาก็ยื่นโทรศัพท์ให้แก่เฉินตง

เมื่อเฉินตงได้เห็นรูป ก็ผงะไป

เป็นภาพที่ถ่ายขึ้นในงานเลี้ยงกลางคืนงานหนึ่ง

เป็นงานเลี้ยงที่ใหญ่โตหรูหรา มีผู้คนมากหน้าหลายตา

ตัวเอกของภาพถ่าย เป็นผู้หญิงที่ดูบริสุทธิ์และหน้าตาสวยสดงดงามคนหนึ่ง

ดูจากมุมกล้องเห็นได้ชัดว่าเป็นการแอบถ่าย

และในมุมมุมหนึ่งท่ามกลางฝูงชน เฉินตงสังเกตเห็นใบหน้าหนึ่ง

เป็นใบหน้าที่ละม้ายคล้ายคลึงกับตัวเขาเป็นอย่างมาก !

ถ้าไม่ใช่เพราะฉินเย่เกริ่นเอาไว้ก่อนหน้านี้ ตอนที่เขาเห็นใบหน้านี้ ถึงขั้นอาจทำให้รู้สึกสงสัยได้ว่าตนเองเคยไปร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ?

“เหมือนมากใช่ไหมล่ะ ?”

ฉินเย่ดูรูปถ่าย แล้วหันมองเฉินตง : “อย่างน้อยก็เหมือนเกือบ 90% คุณจะลองกลับไปถามพ่อของคุณดูไหมล่ะว่า เป็นฝาแฝดของคุณในตอนนั้นหรือเปล่า แล้วเก็บคุณเอาไว้แค่คนเดียว ส่วนอีกคนยกไปให้คนอื่น ?”

“เรื่องนี้ไม่ตลกนะ”

เฉินตงทำสีหน้าเบื่อหน่าย จากนั้นจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา : “คิดไม่ถึงเลยว่าทายาทของตระกูลที่ร่ำรวยอย่างคุณ จะไปแอบถ่ายรูปสาวสวย น่าเกลียดจริงๆ หญิงสาวคนนั้นออกจะบริสุทธิ์ขนาดนั้น ถ้าเธอรู้ว่าถูกแอบถ่ายเข้าล่ะก็ จะต้องรู้สึกรังเกียจคุณอย่างแน่นอน”

“เชอะ……”

ฉินเย่เบะปาก : “บริสุทธิ์หรือ ? ไฟแรงสูง ร้ายกาจยิ่งกว่าผมเสียอีก !”

เฉินตง : “……”

บทสนทนาจบลงเพียงเท่านี้

เฉินตงเองก็ไม่ได้สนใจคนที่มีหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับตนคนนี้อีก

แต่เขากับฉินเย่กลับมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องตลกและเรื่องแปลกเท่านั้น

คนจำนวนหลายพันล้านคน จะหาออกมาสักสองคนที่มีรูปร่างหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกัน ก็ใช่ว่าเป็นเรื่องที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน

อีกทั้ง ตอนนี้ตระกูลโจวได้กลายเป็นแพะรับบาปเรียบร้อยแล้ว และต้องรับโทษที่หนักหนาสาหัสไปเรียบร้อยแล้ว

วิธีการอันเด็ดขาดของตระกูลเฉิน บรรดามดตัวเล็กๆ ไม่มีทางรับมือได้ไหว

ทุกอย่างปล่อยให้สลายหายไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น สืบหาความจริงให้มากความก็เปล่าประโยชน์

“คุณไม่คิดที่จะสืบต่อแล้วหรือ ?” จู่ๆ ฉินเย่ก็ถามขึ้นมา น้ำเสียงของเขาฟังดูไม่เต็มใจนัก

“สืบไม่เจอ” เฉินตงส่ายหัว “ต้องรอดูครั้งต่อไปแล้ว”

ผู้บงการถึงขั้นสามารถผลักตระกูลโจวให้ออกมาเป็นแพะรับบาปได้ ความสามารถขนาดนี้ นอกเสียจากเขาอยากจะบอกคุณเองว่าเขาคือใคร มิเช่นนั้นไม่มีทางที่จะหาเขาเจอแน่นอน

“อืม”

ฉินเย่พยักหน้า จากนั้นจึงหันกลับมามอง : “แล้วคุณจะทำเช่นไรกับตระกูลจางและตระกูลฉู่ ?”

“คุณว่าอย่างไรล่ะ ?”

เฉินตงยิ้มแปลกๆ

ฉินเย่ถูมือไปมา แล้วพูดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวัง : “หรือคุณจะให้โอกาสผมได้เป็นฮีโร่ที่เข้าไปช่วยสาวงามสักครั้งล่ะ ? จางหยู่หลันตกอยู่ในกำมือผมได้ง่ายมาก”

“ไอ้บ้าเอ๊ย !”

เฉินตงตะโกนด่าไปหนึ่งครั้ง : “ผมสามารถทำให้คุณเป็นฮีโรที่เข้าไปช่วยสาวงามได้ แต่สิ่งที่ตระกูลจางต้องชดใช้ ไม่อาจจะปล่อยให้ผ่านไปได้”

คืนนั้น จางหยู่หลังพุ่งเข้ามาที่ด้านหลังของเขาและฉู่เจียนเจีย จากนั้นก็ผลักพวกเขาทั้งสองอย่างแรงเพื่อให้รับมีดแทน จึงไม่สามารถชดเชยได้ด้วยคำพูดของฉินเย่เพียงแค่สองสามประโยค

และการผลักในครั้งนั้น

ทำให้เฉินตงรู้ว่า ตระกูลจางกับตระกูลฉู่ ตระกูลไหนกันแน่ที่เขาควรผูกมิตรด้วย

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนั้น ฉู่เจียนเจียยินดีที่จะเอาตัวเข้ามาปกป้องเขา แล้วใช้หลังของเธอรับมีดแทน ซึ่งแตกต่างจากการกระทำของจางหยู่หลันราวฟ้ากับดิน

“ผมแค่ต้องการจางหยู่หลัน ส่วนเรื่องอื่นแล้วแต่คุณ” ฉินเย่โบกมือ

เฉินตงคิดอยู่ครู่หนึ่ง : “คุณช่วยผมติดต่อฉู่เจียนเจีย ให้เธอมาที่โณงพยาบาลหน่อย ผมมีเรื่องบางอย่างอยากจะถามเธอ”

“ไม่มีปัญหา ผมจะไปที่หมู่ตึกยู่ฉวนด้วยตัวเอง”

ฉินเย่เด้งตัวลุกขึ้นมา จากนั้นจึงสะบัดก้นออกไปอย่างรวดเร็ว

เฉินตงนิ่งไปชั่วครู่ เขาก้มลงไปมองผ้าพันแผลหนาเตอะที่พันอยู่รอบตัวของเขา

ดูเหมือนว่า……ฉันยังเป็นผู้บาดเจ็บอยู่นะ !

เจ้าฉินเย่ควรจะอยู่ที่นี่เพื่อดูแลฉันไม่ใช่หรือ ?

“เห็นผู้หญิงแล้วลืมหน้าที่”

เฉินตงก่นด่า

……

ท้องฟ้าใกล้จะมืดแล้ว

ในที่สุดฉู่เจียนเจียก็ผลักประตูห้องพักผู้ป่วยของเฉินตงเข้ามา

เฉินตงที่นั่งรออยู่เป็นเวลานาน ก็ได้แต่แอบก่นด่าฉินเย่อยู่ในใจเป็นร้อยรอบ

เจ้าเด็กคนนี้ คงจะไม่ได้โทรไปบอกล่วงหน้าเอาไว้ก่อน เมื่อไปถึงหมู่ตึกยู่ฉวนถึงจะไปบอกต่อหน้า

เขาสงสัยถึงขั้นว่า หรือไอ้หมอนี้จะแอบไปหาจางหยู่หลันก่อน ทันทีที่เขานึกขึ้นมาได้ เขาก็หันไปพูดกับฉู่เจียนเจีย

มิเช่นนั้นคงไม่มาช้าขนาดนี้

“คุณเฉิน คุณต้องการจะพบฉันหรือคะ ?”

ฉู่เขียนเจียยังคงมีท่าทางเย็นชา แต่แววตาที่มองเฉินตงกลับเปลี่ยนไปเล็กน้อย

“นั่งลงสิ”

เฉินตงชี้ไปที่เก้าอี้ที่วางอยู่ข้างเตียง

หลังจากที่ฉู่เจียนเจียนั่งลงแล้ว ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ

เฉินตงเองก็ลังเลอยู่สักพัก

เรื่องแบบนี้ ควรจะเริ่มพูดเช่นไรดี ?

ภายในห้องพักผู้ป่วยเงียบมาก

บรรยากาศดูน่าอึดอัดเล็กน้อย

ผ่านไปเกือบสิบนาที ฉู่เจียนเจียจึงเอ่ยปากพูดขึ้นเพื่อทำลายความเงียบ

“คุณเฉินมีอะไรจะถามหรือคะ ?”

เฉินตง “เอ่อ” ออกมาหนึ่งคำ และมีท่าทีที่กระสับกระส่ายเล็กน้อย

สายตาของเขาเหลือบไปมองเรียวของฉู่เจียนเจียที่สวมใส่ถุงน่องคู่บางอยู่

เป็นเครื่องแต่งกายแบบนักธุรกิจสีดำของ OL แบบเดียวกัน และเป็นถุงน่องแบบบางแบบเดียวกัน

เหมือนกับภาพสุดท้ายที่อยู่ในความทรงจำของเขาในคืนนั้นไม่มีผิด

“คุณเฉิน……”

เมื่อเห็นเฉินตงจ้องมองที่ต้นขาของตนเองแล้วใจลอย ฉู่เจียนเจียก็ขมวดคิ้วอย่างไม่ค่อยพอใจนัก

เฉินตงรีบละสายตาทันที จากนั้นจึงจ้องมองฉู่เจียนเจีย สูดหายใจเข้าหนึ่งครั้ง และเอ่ยถามออกไปว่า

“คือว่า คืนนั้น ผมถูกวางยา ไม่รู้ว่าทำอะไรเกินเลยกับคุณไปบ้างหรือไม่ ?”

ฉู่เจียนเจียผงะไป ใบหน้าอันงดงามของเธอเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที เธอก้มหน้าลง มือพันกันเป็นระวิง !

เฉินตงรู้สึกใจเต้น เหมือนอยากจะเอาหัวไปโขกกำแพง

เขารีบพูดขึ้นมาว่า : “คือว่า ผม ผมไม่ได้ตั้งใจที่จะถาม แต่ว่าผม ผมจำเรื่องในคืนนั้นได้เพียงแค่เลือนราง ดังนั้นจึงอยากถามให้แน่ใจ”

“ได้ ถ้าอย่างนั้นฉันจะบอกคุณให้ว่า คืนนั้นหลังจากที่ยาออกฤทธิ์แล้วคุณทำอะไรบ้าง”

จู่ๆ ฉู่เจียนเจียก็ลุกขึ้น ใบหน้าของเธอแดงก่ำ ดวงตาของเธอเป็นประกาย แล้วเธอก็ประชิดตัวเข้ามาหาเฉินตงทันที

ถาพที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันทำให้เฉินตงรู้สึกตกใจจนหน้าถอดสี ใจเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ

“ ไม่ ไม่ใช่ ผม ผมแค่ถามดูเท่านั้น คุณแค่พูดก็พอแล้ว ไม่ต้องสาธิตให้ดู !”

คำพูดเพียงประโยคเดียว แต่กลับทำให้บรรยากาศภายในห้องพักผู้ป่วยหนาวเหน็บราวกับอยู่ในถ้ำน้ำแข็งใต้ดิน

พวกของเฉินตงต่างตกตะลึง

ตระกูลตระกูลหนึ่ง ต้องผ่านความพยายามอย่างหนักของคนหลายชั่วอายุคนถึงจะสามารถประสบความสำเร็จขึ้นมาได้

ไม่เพียงแค่เรื่องของทรัพย์สินเท่านั้น แม้กระทั่งฐานะรวมไปถึงเรื่องอื่นๆ ต่างสร้างมาจากหยาดเหงื่อแรงงานของคนหลายชั่วอายุ

และการที่ทำให้คนตระกูลหนึ่งกลายเป็นแพะรับบาปได้นั้น ทำกับเป็นการทำลายความพยายามที่มีมาทั้งหมดของคนกี่ชั่วอายุกัน ผู้บงการคนนี้ จะต้องเป็นคนที่น่ากลัวขนาดไหน ?

อย่างน้อย กู้ชิงหยิ่งก็รู้สึกตกใจจนกระทั่งต้องยกมือขึ้นมาป้องปาก

“เฮ้อ……”

เฉินตงถอนหายใจ เขาหยิบข้อมูลขึ้นมาอ่านอีกครั้ง

“ตระกูลโจวแห่งซีสู่ ?”

ข้อมูลเขียนไว้ชัดเจนว่า ตระกูลโจวเป็นเพียงแค่ตระกูลเล็กๆ ภายในซีสู่เท่านั้น

หากเทียบกับตระกูลหลี่ ตระกูลฉู่ และตระกูลจางแล้วนั้น หรือแม้กระทั่งนำมาเปรียบเทียบกับโจวเย่นชิว ก็เป็นเพียงมดตัวเล็กๆ ตัวหนึ่งเท่านั้น

อาศัยอยู่ในพื้นที่เล็กๆ เป็นเหมือนผู้มีอิทธิพลประจำท้องถิ่นก็เท่านั้น

ทรัพย์สินโดยรวมของทั้งตระกูล ก็มีไม่เกินสามร้อยล้าน

แล้วมีคุณสมบัติอะไรที่จะมาเป็นผู้บงการ ?

อย่าว่าแต่เรื่องที่ไม่มีความแค้นต่อกันเลย ต่อให้มีความแค้นจริง ตระกูลโจวก็ไม่มีทางที่จะมีความกล้าขนาดนี้ !

ยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีทางรอดพ้นจากการร่วมมือกันสืบหาอย่างพลิกแผ่นดินมาได้ถึงสามวันขนาดนี้

“น่าขำสิ้นดี !”

เฉินตงปิดข้อมูลกลับไปเหมือนเดิม แล้วโยนลงถังขยะ

โจวเย่นชิวหันมองถังขยะหนึ่งครั้ง แล้วพูดออกมาอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก : “แต่การร่วมมือกันสืบหาขนาดนี้……”

“สืบออกมาเหมือนกันขนาดนี้ ถึงได้เรียกว่ามีลับลมคมในอย่างไรล่ะ”

ท่านหลงพูดตัดบทโจวเย่นชิว : “ถ้าหากมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง ก็ยังพอจะมีความเป็นไปได้ แต่นี่เหมือนกันทุกตัวอักษรขนาดนี้ แล้วมันไม่เหมือนกับการลอกข้อสอบหรืออย่างไร ?”

โจวเย่นชิวผงะไป เขายืนนิ่งพูดอะไรไม่ออก

“ผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังคนนี้ก็น่าขำ ภายในเวลาสามวัน กลับหาแพะรับบาปออกมาได้ เขาทำอย่างไรกันแน่ ตระกูลโจวถึงยินดีที่จะยอมตายแทนเช่นนี้ ?”

เฉินตงรู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก

ตระกูลตระกูลหนึ่งต้องใช้ความพยายามของคนหลายชั่วอายุ แต่สุดท้ายกลับยอมเป็นแพะรับบาป ถึงขั้นที่ตระกูลอาจต้องจบสิ้นลง

ความเสียสละเช่นนี้ จะยอมเต็มใจทำเพียงเพราะถูกบีบบังคับได้เช่นนั้นหรือ ?

แน่นอนว่าไม่มีทาง

“คุณชาย ตอนนี้จะทำอย่างไรต่อดีครับ ?”

เฉินตงยักไหล่ จากนั้นจึงยิ้มออกมาอย่างจนใจ : “พ่อว่าอย่างไร ก็จัดการอย่างนั้นเถอะ”

“เข้าใจแล้วครับ”

ท่านหลงหันหลังเดินกลับออกไป

โจวเย่นชิวลังเลอยู่สักครู่แล้วจึงเดินตามออกไป

ภายในห้องพักผู้ป่วย บรรยากาศเงียบสงัด

รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉินตงจางหายไป เหลืออยู่เพียงแค่ความเย็นชาและความหดหู่

คนที่สามารถควบคุมตระกูลตระกูลหนึ่งให้เป็นแพะรับบาปแทนตนได้นั้น ช่างน่าสนใจจริงๆ

จิ้งจอกที่สามารถซ่อนหางเอาไว้ได้หนึ่งครั้ง จะสามารถซ่อนเอาไว้ตลอดไปได้หรือไม่ ?

“เฉินตง……”

กู้ชิงหยิ่งเอ่ยปากพูด

เฉินตงโบกมือ : “เสี่ยวหยิ่ง เอาข้อมูลมาให้ผม ผมอยากจะอ่านดูอีกสักหน่อย”

หลังจากได้รับข้อมูลมาแล้ว เฉินตงก็ถ่ายรูปหน้าแรกเอาไว้ จากนั้นจึงส่งไปให้ฉินเย่

“คุณเป็นคนซีสู่ รู้จักตระกูลโจวนี่แค่ไหนกัน ?”

“ผมจะไปคุยกับคุณที่โรงพยาบาล” ฉินเย่ตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว

……

หมู่ตึกยู่ฉวน

ภายในเทียนเก๋อ

ฉู่เจียนเจีย คุณท่านใหญ่ตระกูลจางและจางหยู่หลันนั่งมองหน้ากัน

หาข้อมูลออกมาได้เหมือนกันในเวลาเดียวกัน

ด้วยประสบการณ์ของคุณท่านใหญ่ตระกูลจางแล้ว ทำไมถึงไม่สามารถสังเกตเห็นว่ามีลับลมคมในได้ ?

“หน่วยข่าวกรองผิด !” ฉู่เจียนเจียกล่าว

คุณท่านใหญ่ตระกูลจางพยักหน้า ตอนนี้เขาเองก็พูดโดยไม่ได้คำนึงถึงความสงสัยก่อนหน้านี้ : “ผลของหน่วยข่าวกรองหลักออกมาเหมือนกันขนาดนี้ ดูอย่างไรก็เหมือนกับผู้บงการตั้งใจที่จะเปิดคำเฉลยให้พวกเราดูอย่างไรอย่างนั้น”

“อีกทั้งตระกูลโจวแห่งซีสู่นั้น ก็ไม่มีแรงจูงใจในการลงมือ ยิ่งไปกว่านั้นคงไม่มีความกล้าขนาดนั้นด้วย” ฉู่เจียนเจียกล่าว

“แล้วถ้าเป็นพวกเขาจริงๆ ล่ะ ?” จู่ๆ จางหยู่หลันก็เอ่ยถามขึ้นมา

ฉู่เจียนเจียขมวดคิ้วแน่นแล้วหันมองจางหยู่หลันด้วยสายตาเย็นชา : “หน้าอกใหญ่แต่ไม่มีสมอง”

“แก……” จางหยู่หลันโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ

“หยู่หลัน หุบปาก !”

คุณท่านใหญ่ตระกูลจางห้ามปรามจางหยู่หลันไว้

จากนั้น เขาก็ยิ้มออกมาอย่างเบิกบาน : “แต่ว่า ในเมื่อได้คำตอบออกมาแล้ว เราทั้งสองตระกูลก็คงจะกลับเมืองหลวงได้เสียที”

หลายวันมานี้ คุณท่านใหญ่ตระกูลจางไม่อาจข่มตาให้นอนหลับลงได้

พลังสมองของเขาทั้งหมด ใช้ไปกับการสืบหาตัวผู้บงการ

เพราะเขารู้ดีว่า ถ้าหากสืบออกมาไม่ได้แล้วล่ะก็ ใครก็ไม่อาจรองรับความโกรธของตระกูลเฉินได้ไหว !

อย่างไรก็ตาม

หลังจากคำพูดนี้พูดออกไป

โจวเย่นชิวก็กำลังเดินเข้ามาในเทียนเก๋อ

เขาได้ยินสิ่งที่คุณท่านใหญ่ตระกูลจางพูดเข้าพอดี

โจวเย่นชิวพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า : “ขออภัยด้วย ทั้งสามท่านยังไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น”

“หมายความว่าอย่างไร ?” จางหยู่หลันรู้สึกร้อนใจขึ้นมาทันที

โจวเย่นชิวกล่าวด้วยท่าทีจริงจัง : “หลังจากคุณเฉินออกจากโรงพยาบาลแล้ว เขาต้องการที่จะพูดคุยกับพวกคุณทั้งสามคนอีกสักครั้ง”

หลังจากได้ยิน

คุณท่านใหญ่ตระกูลจางและจางหยู่หลันก็มีสีหน้าหมองหม่นลงพร้อมกันทันที

สืบสวนความผิด ?

ฉู่เจียนเจียขมวดคิ้วแล้วพูดว่า : “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับฉัน ฉันช่วยเขาด้วยความหวังดี แต่เขารับมีดเล่มนั้นด้วยตัวเอง ทำไมฉันถึงยังไปไม่ได้ ?”

เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น

ทั้งสองตระกูลเองต่างก็ถอดใจเรื่องการผูกมิตรกับเฉินตงเรียบร้อยแล้ว

สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ คือควรพาตัวเองกลับไปถึงเมืองหลวงโดยเร็วที่สุด

ส่วนเรื่องผูกมิตรนั้น คงต้องเลื่อนออกไปอีกยาว

“คุณหนูฉู่เข้าใจผิดแล้ว คุณเฉินมีเรื่องต้องการจะถามคุณ”

โจวเย่นชิวกล่าวอธิบายแล้วกวาดสายตามองคนทั้งสามหนึ่งครั้ง แล้วพูดว่า : “ดังนั้น ก่อนที่คุณเฉินจะออกจากโรงพยาบาล รบกวนทั้งสามท่านพักอยู่ที่หมู่ตึกยู่ฉวนอีกสักระยะ กระผมโจวเย่นชิวในฐานะเจ้าของตึก จะดูแลรับรองทั้งสามท่านเป็นอย่างดี ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง”

หลังจากพูดจบ

โจวเย่นชิวก็หันหลังเดินจากไปทันที

ยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีความเป็น “มิตร” หลงเหลืออยู่เลย

“คุณปู่คะ เราจะทำอย่างไรกันดี ?”

จางหยู่หลันหน้าถอดสี เธอคว้าแขนของคุณท่านใหญ่ตระกูลจางเอาไว้

คูรท่านใหญ่ตระกูลจางถอนหายใจ และพูดอย่างหดหู่ว่า : “การสืบสวนความผิด อย่างไรเสียก็ต้องเกิดขึ้น การชดใช้เล็กน้อย ตระกูลจางก็ยังคงพอรับไหว เรื่องนี้สามารถสืบหาความจริงออกมาได้ ก็ถือเป็นพรที่ฟ้าประทานมาให้แก่ตระกูลจางแล้ว”

“แต่……” จางหยู่หลันสีหน้าซีดเผือด เธอรู้สึกท้องไส้ปั่นป่วน ทำไมคืนนั้นมือของเธอถึงได้แส่หาเรื่องขนาดนั้นนะ ?

ฉู่เจียนเจียส่ายหัว แต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ จากนั้นจึงหันหลังเดินจากไป

“นังบ้า !” จางหยู่หลันตะโกนด่าทอด้วยความโกรธ

……

โรงพยาบาลลี่จิง

ภายในห้องพักผู้ป่วย มีเพียงแค่เฉินตงและฉินเย่อยู่กันตามลำพัง

กู้ชิงหยิ่งอยู่ดูแลเฉินตงที่โรงพยาบาลมาสามวันแล้ว

ก่อนหน้านี้เขาเคยอยู่ดูแลแม่ที่โรงพยาบาลมาก่อน เขาจึงรู้ดีว่าการอยู่ดูแลผู้ป่วยที่โรงพยาบาลนั้นเหนื่อยขนาดไหน

ถึงแม้กู้ชิงหยิ่งจะไม่สนใจ แต่เขาก็ยังรู้สึกเป็นห่วงอยู่ดี

เสียงของฉินเย่ดังขึ้นอยู่ภายในห้องพักผู้ป่วย

เฉินตงฟังไปพลาง อ่านข้อมูลของตระกูลโจวแห่งซีสู่ไปพลาง

ท่าทางของเขายิ่งดูเย็นชามากขึ้นเรื่อยๆ รอยยิ้มที่ปรากฏออกมาที่มุมปากของเขายิ่งชัดเจนขึ้น

เมื่อฉินเย่พูดจบ

แควก !

เฉินตงฉีกข้อมูลที่ถืออยู่ในมือออกเป็นชิ้นๆ

แล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า : “สุดยอดจริงๆ ผู้บงการคนนี้ดูเหมือนจะเป็นเทวดา ถึงได้สร้างข้อมูลของตระกูลโจวออกมาได้ไม่แตกต่างกับที่คุณพูดมา นี่มันเหมือนกับการท่องจำมาชัดๆ ใครเชื่อผลลัพธ์นี่ก็บ้าแล้ว !”

“ไม่มีใครเชื่อแน่นอน”

ฉินเย่ยักไหล่ จากนั้นจึงเบะปากแล้วพูดว่า : “ถ้าเป็นตระกูลฉินแห่งซีสู่ทำร้ายคุณ ผมยังพอรับได้ แต่ตระกูลโจวที่ไร้ความหมายคิดจะลอบสังหารคุณ ? คิดว่าตระกูลของพวกเขาจะทำได้อย่างไร”

“แต่ว่า นี่คือผลลัพธ์ที่คนผู้นั้นต้องการให้ปรากฏออกมา แล้วคุณคิดจะทำเช่นไร ?”

“ทน !” เฉินตงพูดออกมาเพียงคำเดียว แววตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น

“สิ่งนี้สามารถทนกันได้ด้วยหรือ ?” ฉินเย่พูดด้วยความงุนงง : “ผมขอเตือนคุณสักหน่อย ความอดทนทำให้ลมพายุสงบลงชั่วขณะหนึ่ง ถอยหนึ่งก้าวเพื่อลืมความแค้นแล้วจบทุกอย่างลง แต่ถ้าเป็นผม ผมจะฆ่ามันให้ตายแน่นอน !”

เฉินตงส่ายหัว : “ในเมื่อเขามีใจคิดจะฆ่าผม ครั้งแรกไม่สำเร็จ อย่างไรเสียต้องมีครั้งต่อไป”

เฉินตงถูจมูก แล้วจู่ๆ ก็ยิ้มออกมา : “แต่ว่า ผมก็ยังรู้สึกสงสัยอยู่ดีว่า ทำไมมดตัวเล็กๆ อย่างตระกูลโจว จะต้องโชคดีขนาดไหนถึงได้รับเลือกมาเป็นแพะรับบาปเช่นนี้ อีกทั้งพวกเขายังเต็มใจที่จะปิดฉากตระกูลของตัวเองอีกด้วย ?”

ฉินเย่เองก็ขมวดคิ้วแล้วครุ่นคิด ดวงตาของเขากลอกไปมา

ตระกูลที่มีทรัพย์สินสามร้อยล้าน ในสายตาของคนธรรมดาถือเป็นตระกูลที่มั่งคั่ง

แต่ในสายตาของตระกูลที่มั่งคั่งจริงๆ พวกเขาก็เป็นเพียงแค่มดตัวเล็กๆ เท่านั้น

ในบรรดามดตัวเล็กๆ มากมาย ทำไมถึงได้เลือกมดอย่างตระกูลโจวขึ้นมาเพื่อรับโทษทัณฑ์ที่หนักหนาขนาดนี้ด้วย ?

สักพักใหญ่

“คิดไม่ออก”

ฉินเย่ส่ายหัว แววตาของเขาเป็นประกายและแสยะยิ้มออกมา : “แต่เมื่อกี้ผมนึกถึงเรื่องที่น่าสนใจเกี่ยวกับตระกูลโจวออกมาเรื่องหนึ่งได้……”

ยังดีที่กู้ชิงหยิ่งไม่ทันสังเกตเห็นถึงความผิดปกติของเขา

เฉินตงรู้สึกผิดและโทษตัวเอง

แต่ความทรงจำของเขาเกี่ยวกับเรื่องเมื่อคืนนั้นก็ดูจะเลือนรางเป็นอย่างมาก

เขาไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเขากับฉู่เจียนเจียหรือไม่

คิดว่าควรจะหาเวลาถามฉู่เจียนเจียให้รู้เรื่อง แต่ว่าเรื่องทำนองนี้……ควรจะเอ่ยปากเช่นไรดี ?

เขาสูดหายใจเขาหนึ่งครั้ง และพยายามคิดความคิดที่วุ่นวายในสมองเอาไว้

แววตาของเฉินตงดูเย็นชาลงเล็กน้อย

ตระกูลจาง !

อาการแปลกๆ ของเขาที่เกิดขึ้นเมื่อคืน เห็นได้ชัดว่าถูกวางยา

ถ้าหากนักฆ่าเป็นคนวางยา จะใช้ยาที่ทำให้รู้สึกร้อนรุ่มไปทั้งตัวเช่นนั้นหรือ ?

เห็นได้ชัดว่าตระกูลจางเป็นคนทำ

“วิธีการของตระกูลจางต่ำช้าจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะเมื่อคืนยังเคราะห์ดี ผมคงจะต้องตายในที่เกิดเหตุไปแล้วแน่ๆ ?”

นี่คือความคิดของเฉินตง

ตอนที่ยาออกฤทธิ์ ทำให้เขาแขนขาอ่อนแรง ถ้าไม่ใช่เพราะคุนหลุนและกูหลังต่อสู้อย่างสุดชีวิตเพื่อปกป้องเขาเอาไว้ และให้ฉู่เจียนเจียแบกเขาออกมา ป่านนี้เขาคงจะตายไปแล้ว

ถ้าไม่ใช่เพราะถูกตระกูลจางวางยา ด้วยฝีมือการต่อสู้ของเขา จะพลาดท่าโดนมีดแทงเช่นนั้นหรือ ?

“คุณคิดอะไรอยู่ ?”

กู้ชิงหยิ่งสัมผัสได้ถึงความโกรธที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวของเฉินตง จึงรู้สึกกลัวเล็กน้อย

เฉินตงส่ายหัว จากนั้นจึงถามว่า : “ท่านหลงล่ะ ?”

“เขาออกไปสืบเรื่องเมื่อคืนแล้ว”

กู้ชิงหยิ่งโน้มตัวลงแล้วพูดเสริมว่า : “คุณรีบดูแลตัวเองให้หายดีเถอะ พวกเรายังไม่ได้บอกคุณป้า คุนหลุนกับกูหลังเองก็ไม่เป็นอะไรแล้ว ตอนนี้พักอยู่ห้องข้างๆ ส่วนเรื่องลอบสังหาร พวกของท่านหลงจะต้องสืบหาความจริงให้กระจ่างได้อย่างแน่นอน”

เมื่อรู้ว่าคุนหลุนและกูหลังไม่เป็นอะไร เฉินตงเองก็แอบรู้สึกโล่งใจไม่น้อย

ตอนนี้เอง ประตูห้องพักผู้ป่วยถูกเปิดออก

ท่านหลงเดินเข้ามา เมื่อเห็นว่าเฉินตงฟื้นแล้ว ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก

“ท่านหลง สืบได้อะไรบ้าง ?” เฉินตงถาม

ท่านหลงส่ายหัวอย่างจนใจ : “สืบยากมากครับ ไม่เพียงแต่ฝั่งของโจวเย่นชิวที่พยายามสืบหาอย่างสุดความสามารถเท่านั้น แม้แต่เจ้าบ้านเองก็ใช้หน่วยข่าวกรองของตระกูลเพื่อสืบหา แต่ก็ยังมืดแปดด้าน”

เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ แน่นอนว่าเขาคงไม่บีบบังคับให้โจวเย่นชิวต้องเป็นผู้รายงานเพียงผู้เดียวเท่านั้น

อันที่จริงแล้ว ตอนที่เฉินตงเกิดเรื่อง ทันทีที่ได้รับข่าว ท่านหลงก็รีบรายงานเฉินเต้าหลินทันที

หน่วยข่าวกรองของตระกูลเฉิน เริ่มปฏิบัติการอย่างเร่งด่วนตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว

“แม้แต่ตระกูลเฉินก็สืบไม่ได้อย่างนั้นหรือ ?”

เฉินตงรู้สึกตกใจจนอ้าปากค้าง

ตระกูลเฉินถือเป็นตระกูลที่มั่งคั่งร่ำรวยที่สุด มีฐานะที่สูงส่ง จึงมีหน่วยข่าวกรองที่มีประสิทธิภาพถึงขั้นที่คนธรรมดาทั่วไปยากที่จะจินตนาการได้

“นักฆ่าทั้งสิบกว่าคนล้วนแล้วแต่เป็นนักฆ่ากล้าตายทั้งสิ้น ตอนนั้นคุนหลุนและกูหลังได้ทำการสังหารไปกว่าครึ่ง ส่วนคนที่เหลือที่ถูกจับกุมตัว ต่างก็กัดยาพิษที่ซ่อนเอาไว้ในปากเพื่อฆ่าตัวตาย ทำให้เบาะแสที่เหลือหายไปจนหมดสิ้น”

ท่านหลงขมวดคิ้ว แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า : “ไม่เพียงเท่านี้ แม้กระทั่งที่มาที่ไปของนักฆ่าสิบกว่าคนนี้ก็ไม่มีใครรู้ ราวกับว่าไม่เคยมีคนสิบกว่าคนเหล่านี้อยู่บนโลกใบนี้มาก่อน แต่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมา”

“แม้แต่หน่วยข่าวใต้ดินก็ไม่มีเบาะแสอะไรเลยหรือ ?” เฉินตงขมวดคิ้วแน่น

ท่านหลงพยักหน้า : “ไม่มีเลยครับ”

บรรยากาศภายในห้องพักผู้ป่วยเงียบสงัด

หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วินาที

จู่ๆ เฉินตงก็หัวเราะออกมา

“คนที่สามารถจัดการทุกอย่างได้อย่างสะอาดหมดจดตั้งแต่ต้นจนจบเช่นนี้ได้ คิดว่าคงจะมีศักยภาพไม่น้อย”

เฉินตงเลิกคิ้วแล้วหันมองท่านหลง : “ท่านหลง คุณว่าตระกูลหลี่ หรือ……ตระกูลเฉินล่ะ ?”

เมื่อคำว่า “ตระกูลเฉิน” หลุดออกมาจากปาก ทำให้ท่านหลงแววตาเป็นประกายขึ้นมาทันที

“คุณชายหมายความว่า……ภัยมืดอยู่ใกล้ตัว ?”

ท่านหลงได้สติทันที ก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะเป็นหน่วยข่าวกรองของตระกูลเฉิน โจวเย่นชิว หรือแม้กระทั่งตระกูลจางและตระกูลฉู่ ต่างก็ไม่คิดถึงเรื่องนี้มาก่อน

เฉินตงพยักหน้า : “ถ้าจะพูดว่าสามารถปิดบังได้อย่างมิดชิด ก็มีคนจำนวนมากที่สามารถทำได้ แต่ถ้าหากไม่มีความแค้นต่อกัน พวกเขาก็คงไม่คิดโจมตีฉัน และที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ จะต้องมีความกล้าด้วย !”

ท่านหลงขมวดคิ้วแล้วใคร่ครวญ

ถ้าคนที่มีทั้งความแค้นและความกล้าขนาดนี้ ก็คงจะมีเพียงตระกูลหลี่และตระกูลเฉินเท่านั้นที่น่าสงสัยที่สุด !

“กระผมจะกลับไปรายงานเจ้าบ้านเดี๋ยวนี้ครับ”

ท่านหลงหันหลังเดินออกจากห้องพักผู้ป่วยไป

เฉินตงนั่งอยู่บนเตียงผู้ป่วยด้วยแววตาที่ลึกซึ้ง

กู้ชิงหยิ่งที่นั่งอยู่ข้างๆ กะพริบตาปริบๆ จากนั้นจึงขยับริมฝีปากแดงระเรื่อของเธอเอ่ยถามว่า : “เฉินตง เป็นไปได้จริงๆ หรือคะ ?”

แน่นอนว่า เธอหมายถึงตระกูลเฉินมีโอกาสเป็นผู้ลงมือลอบสังหาร

เฉินตงยิ้มกว้างออกมาอย่างมีเลศนัย : “ผลลัพธ์อาจจะออกมาไม่เหมือนที่เราคาดเดาเอาไว้”

กู้ชิงหยิ่งรู้สึกงุนงง แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรต่อ

เวลาผ่านไปสองวัน

ภายใต้การสืบหาอย่างสุดความสามารถของโจวเย่นชิว ดูเหมือนว่าทั้งเมืองจะถูกทำให้ตื่นตระหนกขึ้นมา

หลังจากนั้น โจวจุนหลงเองก็ได้รับคำสั่งจากท่านหลง ให้สั่งหน่วยข่าวกรองของเขาให้ปฏิบัติการ

ดูเหมือนว่าภายใต้เมืองที่ดูสงบ จะมีพายุใหญ่ที่กำลังแอบก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆ

ถึงขั้นว่าทำให้ตระกูลจางและตระกูลฉู่ต้องยอมร่วมมือกันเพื่อสืบหาความจริง

แม้กระทั่งเมืองหลวงเอง ก็ดูจะไม่สงบสุขนัก

ก่อนหน้านี้เมืองหลวงเพิ่งเจอมรสุมลูกใหญ่ของตระกูลหลี่

และการที่ตระกูลจางและตระกูลฉู่ร่วมมือกันเพื่อสืบหาความจริง ยิ่งทำให้มรสุมลูกนั้น ดูจะทวีความรุนแรงขึ้น

หลังจากที่ตระกูลใหญ่ต่างๆ รู้เรื่อง ต่างก็รู้สึกตกใจไปตามๆ กัน

การลอบสังหารผู้สืบทอดมรดกตระกูลเฉิน เท่ากับประกาศตัวเป็นศัตรูกับตระกูลเฉินโดยตรง !

ไม่ช้า ตระกูลใหญ่ต่างๆ ก็พุ่งเป้าไปที่ตระกูลหลี่ว่าเป็นผู้ต้องสงสัย

หากดูจากความแค้นแล้ว เห็นได้ชัดว่าตระกูลหลี่ขัดแย้งกับตระกูลเฉินมากที่สุด

เพราะเฉินตงเองก็เป็นคนดึงศักดิ์ศรีอันสูงส่งของตระกูลหลี่ลงมาเหยียบย่ำจนจมดิน

คฤหาสน์ปราสาทตระกูลหลี่

คุณท่านใหญ่หลี่นั่งอยู่อย่างหงอยเหงาที่ริมหน้าต่าง เขานั่งมองคนงานที่กำลังรีบซ่อมแซมสวนดอกไม้อยู่

ด้านหลัง หลี่เอซานยืนอยู่ด้วยท่าทีเคร่งขรึม : “พ่อครับ ตอนนี้คนข้างนอกต่างก็กำลังวิพากษ์วิจารณ์ว่าเราเป็นผู้บงการการลอบสังหารเฉินตงในครั้งนี้”

“สืบ ! ไปสืบหาความจริงมาให้ฉันให้ได้ !”

คุณท่านใหญ่หลี่พูดด้วยความโกรธ : “เรื่องสกปรกเช่นนี้ ตระกูลหลี่ของพวกเราไม่ยอมรับเด็ดขาด ฉันยังต้องการให้เฉินตงรับช่วงตระกูลหลี่ต่อ ยิ่งไปกว่านั้นฉันไม่กล้าไปท้าทายอำนาจของตระกูลเฉินหรอก”

เฉินตงและเฉินเต้าหลิน ทำลายเกียรติอันสูงส่งของตระกูลหลี่จนไม่เหลือชิ้นดีเพียงชั่วข้ามคืน

แต่ทว่าคุณท่านใหญ่หลี่ไม่โง่ขนาดนั้น

เขาไม่เคยมีความคิดที่จะลอบสังหารเฉินตงมาก่อน

เพราะนี่ไม่ต่างกับเฉินตงและเฉินเต้าหลิน ที่ใช้วิธียอมหักไม่ยอมงอ

“ตระกูลจางและตระกูลฉู่กำลังตามสืบทั่วเมืองหลวงจนแทบพลิกแผ่นดินแล้ว ก็ยังไม่ได้เบาะแสอะไรเลย” หลี่เต๋อซานพูดอย่างจนใจ

“ถึงแม้พวกเราจะไม่พบเบาะแสอะไรก็ตาม แต่ก็จำเป็นต้องสืบ ที่เป็นเรื่องของการแสดงออก !”

แววตาของคุณท่านใหญ่หลี่เป็นประกายเหมือนมีไฟลุกโชน ตอนนี้ในเมื่อตกเป็นผู้ต้องสงสัย ถ้าหากไม่แสดงความบริสุทธิ์ใจออกมา แล้วจะเป็นที่ยอมรับของคนภายนอกได้อย่างไร ?

“เข้าใจแล้วครับ” หลี่เต๋อซานค่อยๆ เดินออกไป

วันที่สาม

เฉินตงที่กำลังได้รับการปรนนิบัติดูแลอย่างดีจากกู้ชิงหยิ่งในระหว่างการพักฟื้นอย่างสบายใจ จู่ๆ ก็ถูกโจวเย่นชิวเข้ามาขัดจังหวะ

“ไม่รู้จักเคาะประตูหรืออย่างไร ?”

เฉินตงท่าทีเย็นชา แสดงออกถึงความไม่พอใจ

“ขอโทษด้วยครับคุณเฉิน”

โจวเย่นชิวหางตากระตุก เขารีบกล่าวขอโทษในทันที

“มีเรื่องอะไร ?” เฉินตงถาม

“สืบได้เรื่องแล้วครับ !”

คำพูดของโจวเย่นชิว ทำให้เฉินตงลุกนั่งขึ้นมา

จากนั้น โจวเย่นชิวก็รีบยื่นข้อมูลหนึ่งฉบับให้แก่เฉินตง

และในขณะเดียวกันก็พูดว่า : “นี่ไม่ใช่เพียงแค่สิ่งที่ผมสืบหามาได้เท่านั้น ยังรวมไปถึงสิ่งที่หน่วยข่าวกรองของโจวจุนหลง ตระกูลจางและตระกูลฉู่ รวมไปถึงตระกูลหลี่แห่งเมืองหลวงสืบหาออกมาได้ มีผลออกมารงกันทุกประการ”

ผลตรงกันทุกประการ ?

เฉินตงรู้สึกอึ้งเล็กน้อย

จากนั้นเขาจึงหยิบข้อมูลขึ้นมาอ่านดู

จังหวะนี้เอง

ท่านหลงก็เดินเข้ามาในห้องพักผู้ป่วยพอดี และเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องพักผู้ป่วย

ท่านหลงยิ้มอย่างจนใจ แล้วพูดว่า : “คุณชาย ไม่ต้องอ่านแล้วครับ นั่นคือแพะรับบาป”

แพะรับบาป ? !

เฉินตงผงะไป

โจวเย่นชิวหน้าถอดสีทันที เขาหันไปมองท่านหลงอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

ท่านหลงลูบคางของเขา แล้วพูดออกมาอย่างผิดหวัง : “สามารถทำให้ตระกูลตระกูลหนึ่งกลายเป็นแพะรับบาปได้ ผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังคนนี้จะต้องมีอำนาจมากมายมหาศาลขนาดไหนกัน ?”

ภายในเครื่องบินส่วนตัว บรรยากาศเงียบสงัด

เสียงดังอึกทึกของเครื่องบินรบเหมือนกับเสียงสวดมนต์ที่ดังอื้ออึงอยู่ในหู

“คุณปู่……”

ใบหน้าของจางหยู่หลันซีดเผือดจนไม่หลงเหลือสีแดงอยู่เลยแม้แต่น้อย เธอรีบจับแขนของปู่เอาไว้แน่น

คุณท่านใหญ่ตระกูลจางรู้สึกสับสน และแววตาของเขาก็ดูลนลาน

เขาเป็นถึงเจ้าบ้านตระกูลจาง ถึงแม้ว่าฐานะของตระกูลจางในเมืองหลวงจะไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่สูงที่สุด แต่ก็ไม่เคยได้รับการปฏิบัติเช่นนี้มาก่อน

เมื่อมองออกไปที่กระบอกปืนของเครื่องบินรบที่อยู่นอกหน้าต่าง

ดูราวกับปากของสัตว์ร้ายที่ลึกเข้าไป ทำให้ไม่ต้องรู้สึกสงสัยเลยว่า มันจะสามารถกลืนกินเครื่องบินเข้าไปทั้งลำได้หรือไม่

คุณท่านใหญ่ตระกูลจางสูดหายใจเข้าเต็มปอดหนึ่งครั้ง จากนั้นจึงกำหมัดทั้งสองข้าง แล้วก้มศีรษะพูดออกมาอย่างเคร่งเครียดว่า : “เลี้ยวหัวกลับแล้วลงจอด !”

เครื่องบินรบทั้งสองลำขนาบเครื่องบินส่วนตัวไปตลอดทางจนกระทั่งลงจอด จากนั้นจึงบินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า แล้วหายลับไปในกลีบเมฆ

ภายในเวลาเพียงไม่กี่นาที

แต่กลับทำให้หลังของคุณท่านใหญ่ตระกูลจางเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ

เขาหัวเราะเยาะตัวเอง : “คิดไม่ถึงเลยว่า ชาตินี้ฉันจะได้ลิ้มรสชาติของการที่มีเครื่องบินรบ คอยบินขนาบข้างมาเช่นนี้”

จางหยู่หลันพูดอย่างหวาดกลัว : “คุณปู่ พวกเรา พวกเราจะทำเช่นไรดีคะ ?”

“ในเมื่อเรื่องนี้พวกเราไม่ได้เป็นคนก่อ เมื่อความจริงทุกอย่างกระจ่างแล้ว พวกเราก็จะสามารถกลับไปได้”

คุณท่านใหญ่ตระกูลจางอยู่ในท่าทีสงบ : “หยู่หลันไม่ต้องเป็นห่วง มือของหลานที่ผลักเขาออกไป อย่างมากก็แค่ทำให้ความสัมพันธ์ของตระกูลจางของพวกเรากับเฉินตงจบสิ้นลงก็เท่านั้น เพียงแค่ชดเชยให้นิดหน่อยก็คงเพียงพอ แต่คนที่เขาต้องการจะเอาชีวิตจริงๆ ในครั้งนี้ก็คือคนที่ลอบสังหาร !”

หลังจากที่ได้ยิน

จางหยู่หลันก็รู้สึกใจชื้น

แต่เมื่อนึกถึงท่าทีที่ตัวเธอเองแสดงออกเมื่อคืนนี้ เธอก็รู้สึกผิดขึ้นมา : “ขอโทษด้วยค่ะคุณปู่ เป็นความผิดของหนูเอง”

หลังจากที่ตระกูลหลี่แห่งเมืองหลวงเกิดเรื่องขึ้น

ตระกูลจางเป็นตระกูลที่มั่งคั่งตระกูลแรกในเมืองหลวง ที่ตัดสินใจเดินทางมาหาเฉินตง

ทั้งๆ ที่มีไพ่ใบงามถืออยู่ในมือแล้วแท้ๆ แต่ทุกอย่างกลับพังไม่เป็นท่า

อีกทั้งเรื่องนี้ จางหยู่หลันก็มีส่วนอย่างมาก

คุณท่านใหญ่ตระกูลจางรู้สึกหดหู่ในใจ แต่ก็ยังส่ายหัวเพื่อแสดงออกว่าไม่เป็นไร

ประตูเครื่องบินเปิดออก

“ไปกันเถอะ”

คุณท่านใหญ่ตระกูลจางลุกขึ้น

ขณะที่ทั้งสองปู่หลานกำลังเดินลงมาจากเครื่องบิน

ท่านหลงก็ยืนรออยู่ด้านล่างด้วยตัวคนเดียวนานแล้ว

“ยินดีต้อนรับ ยินดีต้อนรับทั้งสองท่านกลับมาเมืองนี้อีกครั้ง”

ท่านหลงก้าวขึ้นไปข้างหน้า ยกมือขึ้นคารวะพลางพูดด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยัน

คุณท่านใหญ่ตระกูลจางยิ้มอย่างขมขื่นแล้วพูดว่า : “ท่านหลง หากคุณต้องการให้พวกเราอยู่ต่อ ทำเพียงแค่บอกกล่าวกันดีๆ ก็พอแล้ว ถึงขั้นต้องใช้เครื่องบินรบเลยหรือ ?”

รอยยิ้มบนใบหน้าของท่านหลงจางหายไปในทันที : “ถ้าไม่ใช่เพราะส่งเครื่องบินรบไปรับ ป่านนี้เครื่องบินคงจะบินไปถึงเมืองหลวงแล้วกระมัง ?”

คุณท่านใหญ่ตระกูลจางมีท่าทีอึดอัด

“ก่อนที่เรื่องทุกอย่างจะกระจ่าง กระผมหวังว่าคุณท่านใหญ่ตระกูลจาง จะพาหลานสาวที่น่ารักของท่าน กลับไปพักอยู่ที่หมู่ตึกยู่ฉวนตามเดิม”

เสียงของท่านหลงฟังดูจริงจัง : “มิเช่นนั้น เมื่อครู่ที่เครื่องบินรบแสดงความเคารพนั้น แต่ทหารที่อยู่ด้านหลัง กระผมเองก็ไม่กล้ารับประกัน”

น้ำเสียงที่ฟังดูเย็นชาทำให้รู้สึกเสียวสันหลัง

“แต่ถึงอย่างไร ฉันเองก็เป็นถึงเจ้าบ้านตระกูลจาง ต้องทำถึงขนาดนี้เลยหรือ ?” คุณท่านใหญ่ตระกูลจางทำสีหน้าเศร้าหมอง

แต่ท่านหลงกลับยิ้มอย่างเย้อหยัน : “ตระกูลจางแห่งเมืองหลวง ตระกูลที่เติบโตมาได้เพราะอาศัยพวกเต้นกินรำกิน ถือว่ามีหน้ามีตามากนักหรือ ?”

“แก……” คุณท่านใหญ่ตระกูลจางโกรธจนเลือดขึ้นหน้า

ในสมัยโบราณ อาชีพนักแสดงถือเป็นอาชีพชั้นต่ำ

คำพูดของท่านหลง เป็นการดูถูกตระกูลจางที่สง่างามของเขาว่าเป็นพวกชั้นต่ำ

“กลับหมู่ตึกยู่ฉวน !”

เสียงเคร่งขรึมของท่านหลงดังขึ้น

คุณท่านใหญ่ตระกูลจางโกรธจนใบหน้าเขียวคล้ำ แต่สุดท้ายก็ต้องยอมพยักหน้าอย่างไม่มีทางเลือก : “รบกวนท่านหลงแล้ว”

หลังจากมองดูสองปู่หลานตระกูลจางเดินทางออกจากสนามบินไปแล้ว

สีหน้าของท่านหลงก็ดูเคร่งเครียดขึ้น : “ทุกคนคิดว่าคุณชายเป็นผู้สืบทอดมรดกที่เติบโตอยู่ด้านนอก ทำให้ถูกมองว่าต่ำชั้นกว่าผู้สืบทอดมรดกที่เติบโตภายในบ้านพวกนั้นอย่างนั้นหรือ ? มีดที่แทงคุณชายในครั้งนี้ หากไม่มีใครออกมาชดใช้แล้วล่ะก็ เลือดก็จะต้องล้างด้วยเลือด !”

คำพูดเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าที่รุนแรง

ตามความเห็นของท่านหลงแล้ว การที่เฉินตงถูกลอบสังหารในครั้งนี้ ถึงแม้จะตกอยู่ในอันตรายไม่น้อย แต่ก็ถือว่าเป็นโอกาสที่จะได้พิสูจน์ตัวเองที่หาได้ยากยิ่ง !

อาศัยเหตุการณ์ในครั้งนี้ แสดงให้คนทั้งโลกเห็นว่า ตำแหน่งผู้สืบทอดตระกูลเฉินของเฉินตงในบ้านตระกูลเฉินนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าใคร

เรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นในตระกูลหลี่ ทำให้เฉินตงเป็นที่จับตามองของตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงไม่น้อย

มีทั้งคนที่รู้สึกหวาดกลัวและคนที่ต้องการจะผูกมิตร……ทำให้ตระกูลใหญ่ต่างมีลับลมคมใน

เป็นเพราะตระกูลใหญ่ที่มั่งคั่งรู้ดีว่า ผู้ที่จะได้รับตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกของตระกูลเฉินนั้นยิ่งใหญ่แค่ไหน เป็นเรื่องยากที่จะใกล้ชิดและมีปฏิสัมพันธ์ได้

อีกทั้งผู้สืบทอดมรดก “นอกคอก” ของตระกูลเฉินคนหนึ่ง อยู่ท่ามกลางตระกูลใหญ่ที่มีลับลมคมในเหล่านั้น จึงเห็นได้ชัดว่าสามารถ “ประสบความสำเร็จ” ได้ง่ายยิ่งกว่าผู้สืบทอดมรดกจริงของตระกูลเฉินเสียอีก

นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางมาของตระกูลจางและตระกูลฉู่ ซึ่งส่งผลให้เกิดการลอบฆ่าครั้งนี้ขึ้น

ไม่เพียงแต่ท่านหลงที่รู้สึกเช่นนี้เท่านั้น แม้แต่เฉินเต้าหลินเองก็ออกคำสั่งมาแล้วด้วยตนเองตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา

ให้ใช้โอกาสในครั้งนี้ ประกาศให้ตระกูลใหญ่เหล่านั้นได้รู้ว่า ต่อให้เป็นผู้สืบทอดมรดก “นอกคอก” ของตระกูลเฉิน ก็ไม่ใช่คนที่พวกปลายแถวอย่างพวกเขาจะเข้ามาแตะต้องได้ตามอำเภอใจ !

หากการลอบฆ่า ไม่สามารถสืบหาความจริงให้กระจ่างได้

เช่นนั้น เลือดก็ต้องล้างด้วยเลือด !

ให้คนเหล่านั้นได้รู้ว่า ในฐานะที่เฉินตงเป็นผู้สืบทอดมรดก เพียงแค่มีดเล่มเดียวที่ทำร้ายเขา ก็สามารถทำให้คนจำนวนนับไม่ถ้วนต้องชดใช้ด้วยชีวิต !

ให้คนเหล่านั้นหวั่นเกรง หวาดกลัว และไม่กล้ากระทำการโดยประมาทกับเฉินตงอีก !

หมู่ตึกยู่ฉวน

โจวเย่นชิวรีบร้อนจนกระทั่งศีรษะเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ และหายใจเหนื่อยหอบ

เขาดูรายงานที่ทยอยส่งเข้ามาทีละฉบับและโกรธจนกัดฟันแน่น

“ไอ้พวกขยะ ไอ้พวกไม่ได้เรื่อง !”

ปัง !

โจวเย่นชิวตะโกนด่าทอออกมา จากนั้นจึงโยนข้อมูลทั้งหมดลงถังขยะ

“เวลาหนึ่งคืน หนึ่งคืนเต็มๆ ยังหาเงื่อนงำอะไรไม่เจออีก แล้วจะให้ฉันเลือกขยะอย่างพวกแกเอาไว้ทำไมกัน ?”

ด้วยนิสัยและอารมณ์โดยปกติของโจวเย่นชิวแล้ว เป็นการยากที่จะเห็นเขาตะโกนด่าทอในลักษณะเช่นนี้

แสดงให้เห็นว่าครั้งนี้เขารู้สึกร้อนใจเหมือนถูกไฟลนก้นแล้วจริงๆ

เป็นเพราะโจวเย่นชิวรู้ดีว่า คำพูดที่ท่านหลงพูดว่า “ฆ่าให้หมด ไม่เว้นแม้แต่คนเดียว” หมายรวมถึงตัวเขาด้วย !

อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าผู้บงการในการลอบสังหารครั้งนี้ ได้มีการวางแผนมาเป็นอย่างดี นักฆ่าทั้งสิบกว่าคน เป็นนักฆ่ากล้าตายทั้งหมด เมื่อนักฆ่าสิบกว่าคนตายไป เบาะแสทั้งหมดก็แทบจะไม่หลงเหลืออยู่อีกเลย

ก๊อกๆ !

เสียงเคาะประตูดังขึ้น

“ใคร ?”

โจวเย่นชิวตะโกนด้วยความรำคาญ

“ประธานโจว ฉัน ฉู่เจียนเจียเองค่ะ”

โจวเย่นชิวมีท่าทีอ่อนโยนลงเล็กน้อย จากนั้นจึงพูดว่า : “คุณหนูฉู่ เชิญเข้ามาครับ”

ฉู่เจียนเจียผลักประตูเดินเข้ามา

“ได้เบาะแสบ้างหรือยังคะ ?”

โจวเย่นชิวชี้ไปยังกองข้อมูลที่กองอยู่บนพื้น : “เมื่อนักฆ่ากล้าตายสิบกว่าคนนั้นตายไปหมด เบาะแสก็ไม่หลงเหลืออีก สิ่งที่หน่วยข่าวกรองของผมสืบหามาได้ ก็เป็นข้อมูลเพียงผิวเผินเท่านั้น ไม่สามารถสาวไปถึงตัวผู้บงการได้”

ฉู่เจียนเจียขมวดคิ้วแน่น จากนั้นจึงถอนหายใจออกมา : “วางใจเถอะค่ะ ฉันติดต่อกลับไปที่ตระกูลแล้ว และสั่งให้หน่วยข่าวกรองของตระกูลฉู่ช่วยสืบหาอีกแรงแล้ว”

“เกรงว่าคงจะยากสักหน่อย”

โจวเย่นชิวถอนหายใจออกมาอย่างจนใจ : “อีกฝ่ายไม่ปล่อยให้เรามีโอกาสสืบหาความจริงให้กระจ่างได้ คุณเชื่อหรือไม่ว่า นักฆ่ากล้าตายสิบกว่าคนเหล่านั้น ไม่ว่าสุดท้ายการลอบสังหารจะทำได้สำเร็จหรือไม่ พวกเขาก็จะกัดยาพิษในปากแล้วกลืนลงท้องเพื่อฆ่าตัวตายอยู่ดี ?”

ฉู่เจียนเจียพยักหน้าแล้วยิ้มเบาๆ : “ประธานโจวพูดถูกต้อง แต่ใครล่ะที่สามารถรวบรวมนักฆ่ากล้าตายจำนวนสิบกว่าคนได้ อีกทั้งยังกล้าเสียสละชีวิตคนนับสิบ และกล้าที่จะลองดีกับผลที่ตามมาจากการท้าทายตระกูลเฉิน ? อย่างน้อยตระกูลฉู่ของเราก็คงไม่กล้า”

โจวเย่นชิวผงะไปชั่วครู่ รู้สึกเหมือนตื่นจากฝัน

“ขอบคุณคุณหนูฉู่มากที่เตือนสติ ตอนนี้ผมพอจะรู้ทิศทางแล้ว การสืบหาน่าจะง่ายขึ้นมาก”

ฉู่เจียนเจียพยักหน้า : “ตอนนี้พวกเราต่างก็ลงเรือลำเดียวกันแล้ว ตระกูลจางเองก็คงกำลังใช้หน่วยข่าวกรองด้วยเช่นกัน”

โจวเย่นชิวมีท่าทีตื่นเต้น……

เวลาบ่าย

ในที่สุดเฉินตงก็ฟื้นขึ้นมา

เมื่อเขาหันมองกู้ชิงหยิ่งที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็รู้สึกงุนงงเล็กน้อย : “คุณรู้เรื่องแล้ว ?”

“เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ฉันจะไม่รู้ได้อย่างไร ?”

ใบหน้าของกู้ชิงหยิ่งเต็มไปด้วยความเป็นห่วง เธอหยิกแขนของเฉินตงแรงๆ หนึ่งครั้งด้วยความโกรธ : “คนโง่ ทำไมถึงทำให้ตัวเองตกอยู่ในอันตรายขนาดนี้นะ ? ตอนนี้คุณไม่รู้หรืออย่างไรว่า ไม่ได้มีแม่ของคุณเพียงคนเดียวเท่านั้นนะที่เป็นห่วงคุณ ?”

คิดว่าผมโง่ขนาดนั้นเลยเหรอ !

เฉินตงรู้สึกจนใจ ใครจะไปรู้ล่ะว่า งานเลี้ยงจะกลายเป็นการลอบสังหารไปได้ ?

เพียงแต่ว่า เมื่อมองดูกู้ชิงหยิ่งที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง จู่ๆ เฉินตงก็นึกถึงภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนที่เขาจะหมดสติไป

เขาตกอยู่ในภวังค์ไปชั่วขณะหนึ่ง

เมื่อคืนกับฉู่เจียนเจีย……หรือว่า……

จู่ๆ เฉินตงก็รู้สึกผิดขึ้นมาทันที

ภายในห้องพักผู้ป่วย

หลังจากท่านหลงพูดออกมาแล้ว บรรยากาศภายในห้องก็เย็นยะเยือกขึ้นทันที

ไม่เพียงแต่โจวเย่นชิวและฉู่เจียนเจียที่รู้สึกหนาวจนเสียวสันหลังเท่านั้น

แม้กระทั่งกู้ชิงหยิ่งเองก็ตกใจไม่น้อยเช่นกัน

เป็นไปได้ว่า หากเรื่องนี้จัดการตามที่ท่านหลงกล่าวมาจริง ครั้งนี้คงจะส่งผลกระทบเป็นวงกว้างอย่างแน่นอน

คงจะเหมือนพายุที่เข้าถล่มเมืองทั้งเมืองให้ราบเป็นหน้ากลอง !

ถึงขั้นว่าอาจมีผลกระทบแผ่กระจายเป็นวงกว้างออกไปไกล

สีหน้าของท่านหลงเคร่งขรึม และเต็มไปด้วยเจตนาฆ่า : “ในเมื่อกล้าลอบสังหารคุณชายของผม เช่นนั้นทุกคนบนโลกนี้ก็จะได้รู้ว่า เวลาตระกูลเฉินโกรธน่ากลัวขนาดไหน !”

ริมฝีปากของโจวเย่นชิวขยับ แต่สุดท้ายเข้าก็เลือกที่จะเงียบ

เขาก้มหน้าก้มตารับคำสั่ง แล้วรีบหันหลังเดินกลับออกไป

เขาไม่อยากจะกลายเป็นหนึ่งใน “คนที่ถูกฆ่า”

ฉู่เจียนเจียหันมองกู้ชิงหยิ่ง จากนั้นจึงหันมองท่านหลง

แล้วค่อยๆ เอ่ยปากพูดว่า : “ในเมื่อพวกคุณอยู่ที่นี่แล้ว ถ้าเช่นนั้นเจียนเจียขอตัวก่อน”

กู้ชิงหยิ่งพยักหน้า

จากนั้นฉู่เจียนเจียจึงกลับออกไป

ขณะที่เธอเดินไปถึงประตู ด้านหลังก็มีเสียงที่เย็นชาของท่านหลงดังตามมา

“ก่อนที่ความจริงจะกระจ่าง รบกวนให้คุณหนูตระกูลฉู่อยู่ต่อในเมืองนี้อีกสักระยะ ค่าใช้จ่ายในการเข้าพักที่หมู่ตึกยู่ฉวนทั้งหมด กระผมจะเป็นผู้รับผิดชอบเอง”

ฉู่เจียนเจียตัวสั่น เธอกัดริมฝีปากสีแดงระเรื่อของเธอแล้วพยักหน้า : “ยินดีทำตามคำแนะนำของท่านหลงค่ะ”

เธอมาที่นี่ก็เพื่อหาโอกาสใกล้ชิดเฉินตง ผู้ซึ่งเป็นผู้สืบทอดมรดก “นอกคอก” คนนี้ ที่สุดท้ายอาจจะกลายเป็นปลาคาร์ฟที่กระโดดเข้าสู่ประตูมังกรก็ได้

ต่อให้มีโอกาสเพียงเล็กน้อย แต่ก็ถือว่ายังมีหวัง ดีกว่าไม่มีเลย

แต่ทว่าตอนนี้ คำพูดของท่านหลง ไม่ได้เป็นคำพูดที่พูดแทนเฉินตงเพียงคนเดียวเท่านั้น

แต่กำลังพูดแทนคนตระกูลเฉินทั้งตระกูล !

หลังจากที่ฉู่เจียนเจียกลับออกไปแล้ว

กู้ชิงหยิ่งก็พูดออกมาอย่างอ่อนโยน : “ท่านหลง ทำเช่นนี้ ดูจะโหดร้ายเกินไปหรือเปล่าคะ ?”

“โหดร้ายหรือครับ ?”

ท่านหลงยิ้มเล็กน้อย : “ฮูหยินน้อยถูกคุณพ่อคุณแม่ดูแลประคบประหงมมาอย่างดีจนเกินไป หากไม่ใจร้ายบ้าง ก็เท่ากับว่าเรากำลังบอกคนที่พยายามลอบสังหารนายน้อยเหล่านั้น ให้กระทำการซ้ำอีกในครั้งต่อไปอย่างนั้นหรือ ?”

ฮูหยินน้อย ? !

กู้ชิงหยิ่งแววตาเป็นประกาย เธอหันไปมองเฉินตงที่นอนไม่ได้สติอยู่ แล้วพยักหน้า : “ท่านหลงพูดถูก”

ผ่านไปสักครู่ กู้ชิงหยิ่งก็เอ่ยถามขึ้นอีกว่า : “คุณบอกว่ามีตระกูลจางแห่งเมืองหลวงอยู่ด้วยไม่ใช่หรือ ?”

ท่านหลงแสยะยิ้ม : “กระผมกำลังคิดที่จะไปเยี่ยมตระกูลจางสักหน่อย ขอให้ฮูหยินน้อยช่วยดูแลคุณชายด้วย”

กู้ชิงหยิ่งพยักหน้า แล้วหันมองท่านหลงเดินออกจากห้องพักผู้ป่วยไป

……

หมู่ตึกยู่ฉวน

คุณท่านใหญ่ตระกูลจางและจางหยู่หลันตกอยู่ในอาการหวาดผวาตลอดทั้งคืน

เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ เป็นเหตุการณ์นองเลือดที่น่ากลัวจริงๆ

ต่อให้เป็นคุณท่านใหญ่ตระกูลจางที่โลดแล่นอยู่ในวงการธุรกิจมานาน ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก ก็ไม่อาจจะเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างสงบได้

ความตาย มีเพียงแค่ผู้ที่ผ่านประสบการณ์มาเท่านั้น ถึงจะรู้ดีว่าน่ากลัวขนาดไหน

แต่น่ากลัวก็ส่วนน่ากลัว คุณท่านใหญ่ตระกูลจางเองก็สามารถวิเคราะห์สถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน

ไป !

ต้องไปเดี๋ยวนี้ !

การลอบสังหารที่มีความเกี่ยวพันถึงตระกูลเฉิน จะต้องเกิดการนองเลือดขึ้นอย่างแน่นอน

ถ้ายังอยู่ที่นี่ต่อไป คงจะต้องถูกคุมตัวเอาไว้จนกว่าความจริงจะกระจ่างอย่างแน่นอน

ดังนั้น เขาจึงเรียกให้จางหยู่หลันเก็บข้าวของตั้งแต่เช้าตรู่

“คุณปู่ ไม่ใช่ว่าพวกเราควรไปเยี่ยมเฉินตงที่โรงพยาบาลหรอกหรือ ?” จางหยู่หลันรู้สึกสงสัย

“เด็กโง่ ตอนนี้ที่นี่คือที่ที่อันตรายที่สุด ถ้าไม่รีบไปตอนนี้ ก็จะไปไม่ได้อีกแล้ว !”

คุณท่านใหญ่ตระกูลจางถอนหายใจออกมา : “ยิ่งไปกว่านั้น หนูอย่าลืมสิว่า เมื่อคืนหนูทำอะไรเอาไว้ !”

เมื่อนึกถึงภาพที่จางหยู่หลันผลักเฉินตงและฉู่เจียนเจียเข้าไปหามีดเมื่อคืน คุณท่านใหญ่ตระกูลจางก็รู้สึกหัวใจเต้นระส่ำทันที

หากยังมีเรื่องนี้อยู่ ต่อให้การลอบสังหารจะไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา หลังจากที่เฉินตงฟื้นขึ้นมาแล้ว ก็ไม่มีทางยอมปล่อยตระกูลจางไปแน่นอน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่จะดึงเฉินตงมาอยู่กับตนต่อไปอีก

จางหยู่หลันตัวสั่นเทา สีหน้าซีดเผือด เธอรีบอธิบายอย่างตื่นตระหนก : “หนู หนูไม่ได้ตั้งใจ ตอนนั้นหนูเองก็กลัวมาก ดังนั้นในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานถึงได้……”

“หนูอธิบายได้ แต่จะอธิบายให้เข้าใจได้หรือเปล่า ?”

คุณท่านใหญ่ตระกูลจางถอนหายใจอย่างจนใจ : “ตกอยู่ในความกลัวเหมือนกัน ตกอยู่ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานเหมือนกัน แต่สิ่งที่ฉู่เจียนเจียทำคืออะไร ?”

คำพูดประโยคนี้ทำให้จางหยู่หลันหน้าถอดสี

ราวกับถูกพูดแทงใจดำ

จางหยู่หลันกระทืบเท้าด้วยความโกรธ : “นังนั่นจะต้องเสแสร้งอย่างแน่นอน มันตั้งใจแสดงออกมา มันจะต้องกลัวมากกว่าหนูแน่ๆ”

เธอพูดพลางก็กัดฟันกรอดๆ ด้วยความโกรธ

เธอต่อสู้แข่งขันกับฉู่เจียนเจียมาตั้งแต่เล็กจนโต และเธอก็รู้สึกไม่พอใจฉู่เจียนเจียมาโดยตลอด

เสแสร้ง ? !

คุณท่านใหญ่ตระกูลจางรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับคำพูดของจางหยู่หลัน ในใจรู้สึกหดหู่ ถ้าหากเมื่อคืนหลานสาวของตนเสแสร้งเช่นนั้นบ้าง ก็คงจะดีไม่น้อย ?

แต่ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น จะใช้เพียงแค่คำว่า “เสแสร้ง” มาอธิบายได้เท่านั้นหรือ ?

สำหรับคนที่อายุขนาดเขาแล้ว ภาพที่ปรากฏขึ้นนั้น แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเป็นสัญชาตญาณ ไม่ใช่การเสแสร้ง !

ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้เป็นการเสแสร้งจริงๆ ก็ถือว่าเป็นการเสแสร้งที่ดูจะสมจริงสมจังเกินไปแล้ว !

“ไปกันเถอะ ถ้ายังไม่รีบไปอีกล่ะก็ คงจะไม่มีโอกาสไปอีกแล้ว” คุณท่านใหญ่ตระกูลจางพูดพลางถอนใจ

จางหยู่หลันไม่กล้าพูดอะไรอีก เธอรีบตามปู่ของเธอไป ภายใต้การอารักขาของบอดี้การ์ด จนกระทั่งออกจากหมู่ตึกยู่ฉวนไป

และในตอนนี้เอง โจวเย่นชิวก็กำลังรีบเดินทางกลับมา

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของหมู่ตึกยู่ฉวนยังไม่ได้รับถ่ายทอดคำสั่งใดๆ

เมื่ออยู่ภายใต้การอารักขาของบอดี้การ์ด สองปู่หลานจึงสามารถเดินทางออกจากหมู่ตึกยู่ฉวนได้ในที่สุด

“เฮ้อ……”

ภายในรถ คุณท่านใหญ่ตระกูลจางแอบถอนหายใจออกมา

จางหยู่หลันเอ่ยถามออกมาด้วยความตื่นตระหนก : “คุณปู่คะ เราน่าจะหนีพ้นแล้วใช่ไหม ?”

“รอให้เราบินขึ้นเหนือน่านฟ้าเสียก่อน ถึงจะถือว่าหนีได้สำเร็จ” ดวงตาของคุณท่านใหญ่ตระกูลจางเหมือนมีประกายไฟลุกโชนขึ้นมา : “หลังจากกลับถึงเมืองหลวงแล้ว เมื่อเราอยู่ในอาณาเขตของเรา หากตระกูลเฉินต้องการสอบสวนเอาความผิดจริงๆ พวกเราก็ยังพอมีที่ว่างให้หลบเลี่ยงอยู่บ้าง ไม่ต้องหนีหัวซุกหัวซุนอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้”

สนามบินแถบชานเมือง

หลังจากที่รถแล่นมาถึง

คุณท่านใหญ่ตระกูลจางและจางหยู่หลันก็มุ่งหน้าเข้าไปในสนามบินภายใต้การอารักขาของบอดี้การ์ด จากนั้นจึงขึ้นไปนั่งบนเครื่องบินส่วนตัวที่ทำการเตรียมเอาไว้ล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว

เครื่องบินบินขึ้นอย่างราบรื่นและไร้อุปสรรค

ในขณะเดียวกัน โจวเย่นชิวเองก็กลับมาถึงหมู่ตึกยู่ฉวน

หลังจากที่รู้ว่าสองปู่หลานตระกูลจางเดินทางออกไปแล้ว เขาก็หน้าถอดสีทันที และรีบรายงานเรื่องนั้นให้ท่านหลงทราบ

ท่านหลงที่ยังอยู่ระหว่างทาง เมื่อทราบเรื่องนี้เข้า เขาก็เปลี่ยนเส้นทางและรีบมุ่งหน้าตรงไปยังสนามบินแถบชานเมืองในทันที

เขาเร่งความเร็วไปพลาง ต่อสายโทรศัพท์ไปพลาง

“ท่านเมิ่ง คุณชายถูกสอบสังหาร ขอรบกวนให้คุณช่วยเรื่องหนึ่ง”

ท่านหลงหยุดพูดชั่วขณะ จากนั้นจึงกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

“ให้เครื่องบินส่วนตัวที่เพิ่งบินขึ้นเมื่อครู่ บินกลับมาที่เดิมและลงจอดในทันที มิเช่นนั้น กระผมคงต้องใช้กำลัง ยิงพวกเขาให้ร่วงลงมาเอง”

หลังจากวางสายโทรศัพท์แล้ว

แววตาของท่านหลงก็ดูดุดัน สีหน้าแข็งกร้าว : “ถ้าเรื่องนี้ยังไม่กระจ่าง ต่อให้เป็นเทวดาก็อย่าคิดที่จะหนีไปไหน !”

บนเครื่องบิน

คุณท่านใหญ่ตระกูลจางกำลังนั่งดูก้อนเมฆที่ล่องลอยอยู่ด้านนอกหน้าต่าง

“หยู่หลัน สบายใจได้แล้ว นอนไม่หลับมาทั้งคืน รีบพักผ่อนสักประเดี๋ยวเถอะ” คุณท่านใหญ่ตระกูลจางรู้สึกโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก

“คุณปู่คะ จะเกิดเรื่องไม่คาดคิดอะไรขึ้นหรือเปล่า ?” จางหยู่หลันยังรู้สึกกังวลใจเล็กน้อย

คุณท่านใหญ่ตระกูลจางยิ้มออกมาเล็กน้อย : “นี่คือเครื่องบินส่วนตัวของตระกูลจาง หลังจากบินขึ้นแล้ว ต่อให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นจริง เครื่องบินก็ต้องฟังคำสั่งของปู่อยู่ดี”

หลังจากพูดจบ

พนักงานต้องรับบนเครื่องบินคนหนึ่งก็รีบเดินตรงเข้ามาอย่างรีบร้อน

“คุณท่าน คุณหนู เมื่อครู่พวกเราได้รับคำสั่งจากศูนย์วิทยุการบินให้ทำการบินกลับไปที่เดิมและลงจอดในทันทีค่ะ”

คุณท่านใหญ่ตระกูลจางรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก จึงพูดว่า : “ไม่ต้องไปสนใจ บินไปยังเมืองหลวงต่อไป”

กลัวสิ่งไหนก็เจอสิ่งนั้นจริงๆ

ใบหน้าอันงดงามของจางหยู่หลันซีดเผือด เธอรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย

แต่คำพูดของปู่ ทำให้เธอรู้สึกใจชื้นขึ้นมา

อย่างไรก็ตาม

หลังจากเวลาผ่านไปห้านาที

มีเสียงดังอึกทึกครึกโครมดังก้องขึ้นบนท้องฟ้า

เสียงที่ทำให้คุณท่านใหญ่ตระกูลจางและจางหยู่หลันที่กำลังนอนหลับสะลึมสะลืออยู่ตื่นขึ้นในทันที

ทั้งสองมองออกไปนอกหน้าต่าง และรู้สึกตกตะลึงในทันที

เครื่องบินรบสองลำกำลังบินขนาบเครื่องบินส่วนตัวอยู่

อีกทั้งปีนยิงกระสุนบนเครื่องบินรบ ก็ถูกปล่อยออกมาเรียบร้อยแล้ว

และกำลังเล็งเป้ามาที่เครื่องบินส่วนตัวของพวกเขา

เอี๊ยด !

จู่ๆ รถพอร์เชอร์ 911 ก็ขับกวัดแกว่งไปมา และเบรกอย่างกะทันหันจนเกิดเสียงดัง

หลังจากขับกวัดแกว่งเป็นระยะทางหลายสิบเมตร เหตุการณ์ทุกอย่างก็กลับสู่ภาวะปกติ

ฉู่เจียนเจียนั่งหลังตรงอยู่บนที่นั่งคนขับ มือทั้งสองข้างจับพวงมาลัยแน่น

สีหน้าของเธอตื่นตระหนกและมีเหงื่อไหลท่วมตัว

เกือบไปแล้ว

เมื่อกี้เกือบไปแล้ว !

ถ้าไม่ใช่เพราะเธอตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว รถอาจจะพลิกคว่ำไปแล้ว

ฉู่เจียนเจียสูดหายใจลึก แล้วหันไปมองเฉินตงอย่างรู้สึกผิด : “ขอโทษด้วยคุณเฉิน คุณบังคับฉันเองนะ ฉันเพียงแค่อยากจะเจรจาธุรกิจอย่างจริงจังกับคุณเท่านั้น”

เฉินตงในเวลานี้ นอนเอนศีรษะลงไปบนเบาะเรียบร้อยแล้ว

บนใบหน้าของเขายังคงฉาบไปด้วยสีแดงระเรื่อของความมึนเมาอยู่ และหมดสติไปเรียบร้อยแล้ว

เมื่อครู่ตอนที่ยาในตัวของเฉินตงกำลังออกฤทธิ์ หลังจากที่ฉู่เจียนเจียตื่นตระหนก เธอก็รีบลงมืออย่างเด็ดขาดในทันที

เธอตีจนกระทั่งเฉินตงหมดสติไป

ซึ่งใช้เวลาเพียงแค่ช่วงหลายสิบเมตรที่รถขับกวัดแกว่งไปมาเท่านั้น

ในขณะที่กำลังตื่นตระหนก ฉู่เจียนเจียไม่อาจคิดหาวิธีอื่นเพื่อจะมาหยุดยั้งได้ทันจริงๆ

คงไม่สามารถปล่อยให้เฉินตงทำอะไรลงไปโดยขาดสติได้หรอกจริงไหม ?

เธอไม่ใช่จางหยู่หลันเสียหน่อย

“จางหยู่หลัน วิธีการของตระกูลจางของเธอมันสกปรกจริงๆ !”

ฉู่เจียนเจียกล่าวดูถูกตระกูลจางไปหนึ่งประโยค จากนั้นจึงเร่งความเร็วเครื่องของรถพอร์เชอ911ขึ้นอีกครั้ง

……

คืนนี้ เมืองทั้งเมืองกำลังถูกคลื่นใต้น้ำโหมกระหน่ำ

โจวเย่นชิวอยู่ในอารมณ์โกรธและหงุดหงิดเป็นอย่างมาก เขาใช้อำนาจและกำลังทั้งหมดที่เขามี เพื่อสอบสวนเรื่องที่เกิดขึ้นในหมู่ตึกยู่ฉวนให้ถึงที่สุด

เรื่องนี้ เกี่ยวพันถึงชีวิตของเฉินตง

อีกทั้งยังเห็นได้ชัดว่านักฆ่าทั้งสิบกว่าคนนั้น ต่างพุ่งเป้ามาที่เฉินตงเพียงคนเดียว

ถ้าหากไม่สามารถสืบให้กระจ่างได้

ตระกูลเฉินคงจะต้องโกรธเขาเป็นฟืนเป็นไฟอย่างแน่นอน

ถึงขั้นว่า คนที่อยู่ร่วมในเหตุการณ์ทุกคน ก็ไม่อาจหนีจากความรับผิดชอบครั้งนี้ไปได้

ต่อให้เป็นตระกูลจางและตระกูลฉู่ก็ตาม !

มีเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้โจวเย่นชิวยังรู้สึกโชคดีนั่นก็คือ คุนหลุนและกูหลังพยายามต่อสู้อย่างถึงที่สุดจนสามารถปกป้องเฉินตงให้หนีออกไปได้

ฉู่เจียนเจียเองก็สามารถพาตัวเฉินตงออกไปจากเหตุการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานได้อย่างปลอดภัย

ในที่สุด หน่วยข่าวกรองก็รายงานกลับมาว่า ฉู่เจียนเจียพาเฉินตงไปส่งยังโรงพยาบาลลี่จิงเรียบร้อยแล้ว และคนก็อยู่ในอาการปลอดภัย

หลังจากได้ยินข่าวนี้ โจวเย่นชิวก็รู้สึกโล่งใจไม่น้อย

แต่เขาก็ยังคงนอนไม่หลับตลอดทั้งคืน

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น

ภายในเทียนเก๋อถูกทำความสะอาดจนหมดจด

โจวเย่นชิวไม่กล้าหยุดพัก เขารีบมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาลลี่จิงตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่ทันที

เฉินตงนอนอยู่ปนเตียงผู้ป่วย ยังคงหมดสติอยู่

ฉู่เจียนเจียคอยนั่งเฝ้าอยู่ข้างๆ ส่วนอีกฝั่งหนึ่งคือผู้อำนวยการหลิวและทีมแพทย์ชั้นแนวหน้า

การพยายามช่วยเหลือเกือบครึ่งคืน ทำให้ผู้อำนวยการหลิวและทีมแพทย์ชั้นนำต่างก็อยู่ในสภาพที่อ่อนเพลียไม่น้อย

“คุณหนู เฉินตงเป็นหลานเขยของผม ผมใช้ทีมแพทย์ชั้นยอดที่มีทั้งหมดในโรงพยาบาลเพื่อให้การช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถ ตอนนี้พ้นขีดอันตรายแล้ว คุณวางใจเถอะ”

ผู้อำนวยการหลิวพูดกับฉู่เจียนเจีย

ด้านหนึ่งคือพูดเพื่อปลอบประโลม แต่อีกด้านหนึ่งก็พูดเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของแทนกู้ชิงหยิ่ง

อย่างไรเสีย สำหรับผู้อำนวยการหลิวแล้ว การที่ชายหญิงเข้ามาในโรงพยาบาลด้วยภาวะฉุกเฉินตามลำพัง ก็ถือเป็นเรื่องน่าแปลกอยู่ดี

อีกทั้งรูปร่างหน้าตาของฉู่เจียนเจีย ก็ไม่ด้อยไปกว่ากู้ชิงหยิ่งเลย

“ขอบคุณผู้อำนวยการกับทีมแพทย์ทุกท่านมากค่ะ”

ฉู่เจียนเจียลุกขึ้นโค้งคำนับด้วยท่าทีอ่อนแรง

“คุณดูแลเฉินตงมาทั้งคืนแล้ว ผมจะรีบติดต่อให้คู่หมั้นของเขามาที่โรงพยาบาลให้เร็วที่สุด”

ผู้อำนวยการหลิวพูดพลาง ก็พาคณะแพทย์เดินออกจากห้องพักผู้ป่วยไป

ฉู่เจียนเจียนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยความอ่อนเพลีย เธอนั่งมองเฉินตงและเหม่อลอยไป

ทันใดนั้นเอง เธอก็นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในรถขณะที่พาเฉินตงมาส่งที่โรงพยาบาลเมื่อคืน

จากนั้นใบหน้าของเธอก็เริ่มแดงโดยไม่รู้ตัว มือทั้งสองข้างกุมเข้าหากัน

แต่เมื่อมองดูผ้าพันแผลที่พันอยู่บนร่างกายของเฉินตง เธอก็กัดริมฝีปากแดงระเรื่อของเธอเอาไว้แน่น จากนั้นจึงกระซิบออกมาเบาๆ

“คุณถามฉันเพียงว่าทำไมตอนนั้นฉันถึงเข้าไปรับมีดแทนคุณ แล้วคุณล่ะ เพราะอะไรถึงเข้าไปรับมีดแทนฉันด้วย ?”

เมื่อนึกไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ฉู่เจียนเจียก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมา

ตอนนั้นเธอให้สัญชาตญาณทั้งหมดที่มีเพื่อปกป้องเฉินตงที่กำลังอ่อนแออยู่

แต่ตอนนั้นเฉินตงเองไร้ซึ่งเรี่ยวแรง แต่ทำไมยังรับมีดแทนเธออีก

ถ้านี่เป็นสัญชาตญาณจริงๆ ต้องเป็นสัญชาตญาณที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหนกัน ?

ผ่านไปสักพัก ประตูห้องพักผู้ป่วยถูกเปิดออก

คนที่วิ่งเข้ามาคนแรกก็คือกู้ชิงหยิ่ง

เมื่อเห็นเฉินตงที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง ดวงตาของกู้ชิงหยิ่งก็แดงก่ำในทันที เธอปาดน้ำตาแล้วโน้มตัวลงข้างเตียง จากนั้นจึงกระซิบเบาๆ ว่า : “เฉินตง……”

คนที่เดินตามเข้ามาติดๆ คือท่านหลงที่มีสีหน้าเคร่งเครียด

ทันทีที่เขาก้าวเข้ามาก็ทำให้ฉู่เจียนเจียรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก

เธอรีบถามกู้ชิงหยิ่งทันที : “ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่าคุณคือ ?”

“เธอคือคู่หมั้นของคุณชาย”

ท่านหลงหันไปมองฉู่เจียนเจีย : “คุณหนูตระกูลฉู่ ?”

“ฉันคือฉู่เจียนเจีย คุณคือ ?”

ฉู่เจียนเจียมองท่านหลงอย่างสงสัย

“กระผมแซ่หลง” ท่านหลงยิ้มเล็กน้อย “เป็นคนรับใช้ของเจ้าบ้าน

“สวัสดีค่ะท่านหลง” ฉู่เจียนเจียรีบกล่าวทักทาย

ตอนนี้เอง กู้ชิงหยิ่งที่กำลังโศกเศร้าเสียใจอยู่ก็ยืนขึ้นมา

เธอรีบหันไปพยักหน้าเพื่อแสดงความขอบคุณฉู่เจียนเจียทันที : “ขอบคุณมากที่ช่วยเฉินตงไว้”

ระหว่างทางที่มา เธอได้รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนทั้งหมดอย่างละเอียดจากปากของท่านหลงแล้ว

แน่นอนว่า สิ่งที่ท่านหลงรู้มาทั้งหมด ก็ได้ยินมาจากปากของคุนหลุนและกูหลัง

ใครจะไปคิดว่า งานเลี้ยงจะกลายเป็นการลอบสังหารไปได้ ?

กู้ชิงหยิ่งไม่กล้าแม้แต่จะคิดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนจะน่ากลัวและอันตรายขนาดไหน

เป็นเพราะเธอรู้ดีว่า ไม่เพียงแค่เฉินตงเท่านั้นที่ยังนอนไม่ได้สติอยู่ในโรงพยาบาล แม้กระทั่งคุนหลุนและกูหลังเอง ตอนนี้ก็พักอยู่ในห้องพักผู้ป่วยที่อยู่ข้างๆ ในโรงพยาบาลลี่จิงเช่นกัน

“เป็นสิ่งที่ฉันสมควรทำอยู่แล้วค่ะ ต้องขอโทษด้วยจริงๆ คิดไม่ถึงเลยว่างานเลี้ยงจะกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ เป็นความผิดของเจียนเจียเอง”

ฉู่เจียนเจียโค้งคำนับ ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด

“เรื่องนี้ยังไม่เกี่ยวอะไรกับคุณชั่วคราว”

ท่านหลงพูดออกมาอย่างสงบ แต่น้ำเสียงกลับเย็นชาและเข้มงวด : “กระผมจะต้องสืบหาความจริงออกมาให้ได้ จะไม่ยอมปล่อยคนที่กล้าทำร้ายคุณชายให้ลอยนวลไปได้เด็ดขาด”

ฉู่เจียนเจียรู้สึกตกใจและไม่กล้าพูดอะไรต่ออีก

ยังไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ชั่วคราว แต่ถ้าหากสืบพบเบาะแสอะไรแล้วล่ะก็ ตระกูลฉู่ก็หนีไม่พ้นเช่นกัน !

เธอเข้าใจความหมายของสิ่งที่ท่านหลงพูดดี แต่เหตุการณ์ดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว ให้เธอพูดอะไรไปมากกว่านี้ก็คงไม่มีความหมาย

ตอนนี้เอง

ประตูห้องพักผู้ป่วยถูกเปิดออกอีกครั้ง

โจวเย่นชิวรีบเดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ

เมื่อเห็นท่านหลงยืนอยู่ในห้อง เขาก็ตกใจจนหน้าซีดเผือดทันที : “ท่านหลง……”

“กระผมรู้เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้ว”

ท่านหลงเอ่ยถามเขาอย่างเย็นชาว่า : “ตอนนี้คุณมาทำอะไรที่โรงพยาบาล ?”

“ฉัน ฉันมาเยี่ยมคุณเฉิน” โจวเย่นชิวอยู่ในท่าทีตื่นตระหนก

ท่านหลงแสดงความไม่พอใจออกมา : “คุณไม่รู้สึกว่าการมาเยี่ยมครั้งนี้มันเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นหรอกหรือ ? เหตุการณ์เกิดขึ้นที่หมู่ตึกยู่ฉวนของคุณ เรื่องเร่งด่วนขนาดนี้ คุณควรจะเอาเวลาไปรีบสืบหาความจริงออกมาให้ได้โดยเร็วที่สุด เพื่อมาอธิบายให้คุณชายฟัง !”

น้ำเสียงที่เย็นชาราวกับน้ำแข็ง ทำให้รู้สึกเย็นวาบไปถึงกระดูกสันหลัง

โจวเย่นชิวรีบอธิบาย : “ท่านหลง หลังจากเกิดเรื่องขึ้น ผมก็รีบถ่ายทอดคำสั่งในทันที ผมให้หน่วยข่าวกรองภายใต้บังคับบัญชาของผมรีบสืบสวนอย่างเต็มกำลังตั้งแต่เมื่อคืนนี้ แต่น่าเสียดายที่ข้อมูลของผู้กระทำผิดเข้าถึงยากเกินไป”

“นักฆ่าสิบกว่าคน เกินครึ่งที่ถูกคุนหลุนและกูหลังฆ่าตาย แต่ที่เหลืออีกสองสามคน ขณะที่ถูกคุนหลุนและกูหลังจับกุมตัวเอาไว้ ก็ได้กัดยาพิษที่แอบซ่อนเอาไว้ที่ฟันเพื่อฆ่าตัวตาย ดังนั้นหากต้องการสืบหาความจริงให้กระจ่าง ก็คงต้องใช้เวลา”

“นักฆ่ากล้าตาย ? !”

ท่านหลงขมวดคิ้วแน่น จากนั้นแววตาจึงฉาบไปด้วยประกายของความดุดัน : “กระผมและคุณชาย รวมไปถึงเจ้าบ้าน ไม่มีเวลามานั่งรออย่างใจเย็น เวลาของคุณมีไม่มากแล้ว ถ้าหาตัวผู้บงการออกมาไม่ได้ เช่นนั้นทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ จะต้องถูกจัดการทั้งหมด !”

“ฆ่าให้หมด ไม่เว้นแม้แต่คนเดียว !”

เปรี้ยง !

โจวเย่นชิว กู้ชิงหยิ่ง และฉู่เจียนเจียต่างตกตะลึง

ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จะต้องถูกจัดการทั้งหมด

นั่นไม่ได้หมายรวมถึงตระกูลจางและตระกูลฉู่ด้วยหรอกหรือ ?

ต้องชดใช้ด้วยชีวิตอย่างนั้นหรือ ?

จากนั้นเฉินตงก็ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

คุนหลุนและกูหลังที่กำลังอยู่ในระหว่างการต่อสู้อันดุเดือด ต่างก็ตกใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้สึกโกรธแค้นจนถึงขีดสุด

“คุณชาย !”

กริชที่เดิมทีควรจะแทงเข้าไปที่หลังของฉู่เจียนเจีย แต่ในช่วงเวลาสำคัญ ด้วยการพลิกตัวกลับอย่างฉับพลันของเฉินตง ทำให้กริชแทงเข้าไปที่หลังของเฉินตงอย่างแม่นยำในทันที

ขณะที่เลือดสีแดงสดกำลังพุ่งทะลักออกมา เฉินตงพยายามใช้แรงทั้งหมดที่มี เพื่อที่จะอุ้มฉู่เจียนเจียหลบออกไป

แต่ทันใดนั้นก็ถือมือขนาดใหญ่บีบเข้าที่คออย่างรุนแรง

ในขณะเดียวกัน เฉินตงก็รับรู้ได้อย่างชัดเจนว่า กริชที่ปังอยู่ด้านหลังเล่มนั้นกำลังขยับอย่างรุนแรง

“ไปสิ !”

จู่ๆ ฉู่เจียนเจียซึ่งมีท่าทีเย็นชาก็ตะโกนออกมา

ผู้หญิงที่ดูบอบบางอย่างเธอ จู่ๆกลับกำหมัดแล้วต่อยเข้าไปที่หน้าของนักฆ่าอย่างแรง

นักฆ่าร้องครวญครางออกมา แล้วเดินโซเซถอยหลังไป

ตอนนี้เอง คุนหลุนและกูหลังก็วิ่งตามมาสมทบในที่สุด

“กูหลัง คุ้มกันคุณชายออกไป !”

คุนหลุนวิ่งตรงเข้าไปอย่างบ้าคลั่งราวกับสัตว์ร้าย แล้วกอดเอวของนักฆ่าจากนั้นจึงยกเขาจนตัวลอย

เขาจับนักฆ่าคนนั้นหมุน แล้วโยนไปที่กลุ่มนักฆ่าราวกับท่อนไม้

ตุ้บๆๆ…..

มีเสียงดังต่อเนื่องกันเกิดขึ้น

นักฆ่าสิบกว่าคนต่างตกตะลึงกับการต่อสู้อย่างบ้าคลั่งของคุนหลุน จนกระทั่งค่อยๆ ถอนร่นออกไป

อาศัยช่วงจังหวะนี้

กูหลังรีบแบกเฉินตงขึ้นไปบนหลัง และพาฉู่เจียนเจียวิ่งออกไปจากเทียนเก๋อ

“คุณหนูฉู่ พาคุณชายของผมไปที ผมจะคอยระวังหลังให้ !”

หลังจากวางเฉินตงลง กูหลังก็วิ่งกลับเข้าไปในเทียนเก๋อโดยไม่หันหลังกลับมามองอีก

“กูหลัง……”

เฉินตงใบหน้าซีดเผือด เขากระซิบออกมาเบาๆ อย่างอ่อนแรง

“ไป !”

ฉู่เจียนเจียกลับพูดออกมาอย่างเย็นชาเพียงแค่หนึ่งคำ พร้อมทั้งกับริมฝีปากสีแดงระเรื่อของเธอ

ร่างกายที่บอบบางของเธอ ค่อยๆ แบกเฉินตงขึ้นไปไว้บนหลังอย่างยากลำบาก จากนั้นจึงรีบวิ่งออกจากหมู่ตึกยู่ ฉวนในทันที

ตอนนี้เอง

จางหยู่หลันและคุณท่านใหญ่ตระกูลจางเองก็รีบวิ่งออกมาจากเทียนเก๋ออย่างปลอดภัย

เมื่อเห็นศพมากมายที่นอนเรียงรายอยู่บนพื้นด้านนอกเทียนเก๋อ สองปู่หลานก็รู้สึกตื่นกลัวขึ้นมาพร้อมกัน

พวกเขาหันกลับไปมองการต่อสู้อย่างดุเดือดที่กำลังเกิดขึ้นในเทียนเก๋อ

“หยู่หลัน เอาชีวิตรอดสำคัญที่สุด !”

คุณท่านใหญ่ตระกูลจางลากจางหยู่หลันวิ่งออกไปด้านนอกโดยไม่หันกลับมามองอีก

ภานในเทียนเก๋อ

คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือด

ทั้งเสียงโห่ร้องและเสียงครวญครางดังต่อเนื่องไม่หยุด

ตอนที่โจวเย่นชิวนำกำลังของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของหมู่ตึกยู่ฉวนมาถึงเทียนเก๋อ

บนพื้นก็มีศพนอนจมกองเลือดอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้โจวเย่นชิวรู้สึกขนลุกและตัวสั่นไปทั้งตัว

อีกทั้งตอนนี้ เหตุการณ์ในเทียนเก๋อดูเหมือนจะสงบลงจนเป็นปกติแล้ว

กลิ่นคาวเลือดลอยคละคลุ้งเตะจมูกจนทำให้รู้สึกอยากจะอาเจียน

โจวเย่นชิวยืนนิ่ง มองเข้าไปในเทียนเก๋อด้วยความตกตะลึง ภายใต้แสงสว่างของโคมไฟ ทำให้เขาสามารถเห็นรอยเลือดที่สาดกระเซ็นอยู่เต็มไปหมด พร้อมทั้งศพที่นอนเรียงรายอยู่จำนวนมาก

เขาตัวสั่นและรู้สึกอ่อนปวกเปียกไปทั้งตัว

ตอนนี้เขารู้สึกราวกับว่าท้องฟ้าถล่มลงมา

โจวเย่นชิวกับฟันและกำหมัดแน่น เขาค่อยๆ เดินนำเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเข้าไปในเทียนเก๋อ

ในตาของเขามองเห็นสภาพที่น่าเวทนา

ศพจำนวนสิบกว่าศพนอนจมกองเลือดอยู่

เลือดถึงขั้นไหลออกมาเป็นกอง จนมาติดอยู่ที่เท้า

“มา ช้าขนาดนี้เลยหรือ ?”

จู่ๆ น้ำเสียงที่ฟังดูเย็นชาก็ดังขึ้น

ทำให้โจวเย่นชิวและบรรดาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตกใจจนตัวสั่นพร้อมกัน

เมื่อหันไปมอง

มีคนสองคนกำลังนั่งพิงเสาอยู่บนพื้นดินท่ามกลางกองเลือด

ซึ่งก็คือคุนหลุนและกูหลัง

ตอนนี้ร่างกายของทั้งสองได้รับบาดเจ็บและฟกช้ำ คุนหลุนมีเลือดอาบอยู่ทั่วตัว เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ก็ขาดรุ่งริ่ง

ส่วนกูหลังมีบาดแผลอยู่ที่หน้าอกซึ่งยังคงมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด สีหน้าซีดเผือด แต่แววตากลับฉาบประด้วยประกายของความกระหายเลือด

ทั้งสองจ้องมองไปที่โจวเย่นชิวพร้อมกัน

แววตากระหายเลือด ทำให้โจวเย่นชิวรู้สึกหนาวจนขนลุก ราวกับอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง

“คุณ คุณเฉินล่ะ ?”

คุนหลุนและกูหลังหันมองหน้ากันแล้วไม่พูดอะไร

โจวเย่นชิวรู้สึกร้อนใจขึ้นมาทันที เขากระทืบเท้าอย่างแรง : “ไม่ ฉันไม่ได้เป็นคนทำ ! ฉันจะจัดฉากลอบฆ่าคุณเฉินแบบนี้ขึ้นมาได้อย่างไร !”

ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น โจวเย่นชิวก็รู้สึกวิตกกังวลจนน้ำเสียงของเขาสั่นเครือ

เรื่องเกิดขึ้นในหมู่ตึกยู่ฉวน นี่เป็นอาณาเขตของเขา

ถ้าไม่สามารถคลายข้อสงสัยได้ในทันที

เรื่องในคืนนี้ คงพอที่จะทำให้เขาต้องจบชีวิตลงอย่างแน่นอน !

คุนหลุนและกูหลังแสยะยิ้มออกมาแต่ก็ไม่พูดอะไร

โจวเย่นชิวคงไม่มีความกล้ามากขนาดนี้

แต่ตอนนี้ทั้งสองใช้พละกำลังที่มีไปจนหมดสิ้นแล้ว เฉินตงเองก็ถูกฉู่เจียนเจียพาตัวไปแล้ว พวกเขาจึงไม่อาจรับประกันได้ว่า หากพูดมากเกินไป จะทำให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นอีกหรือไม่

โจวเย่นชิวเกาหัวด้วยความวิตกกังวล

“ไปหา ไปหาให้เจอเดี๋ยวนี้ ! ต่อให้พวกแกต้องตาย ก็ต้องพาคุณเฉินกลับมาให้ฉันให้ได้ !”

โจวเย่นชิวหันไปมองคุนหลุนและกูหลังด้วยความโมโห : “รีบส่งพวกเขาไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้ ปิดข่าวทุกอย่างให้เงียบ เรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้ รีบสืบสวนให้ฉันทันที !”

เหตุการณ์เกิดขึ้นในสถานที่ของเขา เขาไม่เพียงแต่จะต้องรีบคลายข้อสงสัยในตัวเขาให้หมดไปในทันทีเท่านั้น แต่เขายังต้องสืบหาความจริงให้กระจ่างเพื่อรายงานต่อเฉินตงและตระกูลเฉินอีกด้วย

โจวเย่นชิวร้อนใจจนตาแดงก่ำ เขาโกรธจนแทบอยากเอาหัวชนฝา

เพิ่งจะมอบ Tears of the Blue Sea ให้แก่เฉินตงไปหนึ่งเม็ดแท้ๆ เพียงชั่วพริบตา กลับเกิดเรื่องแย่ๆ เช่นนี้ขึ้นอีก ?

ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืน

หมู่ตึกยู่ฉวนเต็มไปด้วยเหตุการณ์สยองขวัญ

ราวกับความเงียบสงบที่เกิดขึ้นก่อนที่พายุใหญ่กำลังจะมา เป็นสภาพที่กดดันจนทำให้ผู้คนรู้สึกหายใจไม่ออก

ภายใต้บรรยากาศที่เงียบสงัด ระบบรักษาความปลอดภัยทั้งหมดภายในหมู่ตึกยู่ฉวนทำงานอย่างสมบูรณ์แบบ ภายใต้คำสั่งของโจวเย่นชิว

……

บนทางหลวงในเขตชานเมือง

รถพอเชอร์911สีแดง มุ่งหน้าเข้าไปในเมืองด้วยความเร็วราวกับสายฟ้า

ภายในรถมีกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งเต็มไปหมด

เฉินตงนั่งพิงเบาะอย่างอ่อนแรง เขาเสียเลือดไปเป็นจำนวนมาก แต่กลับไม่ได้ทำให้ใบหน้าของเขาซีดเผือด ในทางกลับกัน ใบหน้าของเขากลับแดงขึ้นอย่างผิดปกติ

ดวงตาของเขาเหลือบมองฉู่เจียนเจียที่กำลังมีสมาธิจดจ่ออยู่กับการขับรถ

เบาะรถเปียกชุ่มไปด้วยเลือด แต่เฉินตงในตอนนี้ กลับดูเหมือนไม่รู้สึกตัวอย่างน่าประหลาด

ฉู่เจียนเจียที่สัมผัสได้ถึงแววตาที่ผิดปกติของเฉินตงที่มองมา ทำให้ท่าทีที่เย็นชาของเธอก็เริ่มเปลี่ยนไปเล็กน้อยเช่นกัน

เธอเอ่ยปากพูดออกมา : “อดทนอีกนิดนะ อดทนอีกนิดเดียวก็จะถึงโรงพยาบาลแล้ว”

ต่อให้เป็นคนที่ดูเย็นชาเช่นเธอ น้ำเสียงที่พูดในตอนนี้ก็ยังเกิดความสั่นเครือขึ้นเล็กน้อย

แต่เฉินตงกลับไม่ตอบอะไรกลับมา

ฉู่เจียนเจียจึงเหลือบไปดูกระจกมองหลังด้วยความกังวลใจ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครตามมา ก็ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งใจ

ใบหน้าอันงดงามของเธอ ปรากฏความกลัวขึ้นเล็กน้อย

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ช่างอันตรายเกินไปจริงๆ

ถึงขั้นอาจต้องตายอย่างอนาถในที่เกิดเหตุได้

ที่เธอยังคงประคองสติอารมณ์ให้สงบนิ่งอยู่ได้ เป็นเพราะบุคลิกส่วนตัวตั้งแต่เล็กจนโตของเธอ ประกอบกับการปลูกฝังเลี้ยงดูของครอบครัว

แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเธอจะไม่กลัว

“ทำ ทำไม ถึงช่วยผม ?”

จู่ๆ เฉินตงก็พูดออกมาเบาๆ

ร่างกายของฉู่เจียนเจียสั่นเทา แววตาของเธอสั่นไหว เธอส่ายหัวแล้วพูดว่า : “ไม่รู้เหมือนกัน แต่สภาพของคุณในตอนนั้นไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ฉันจึงเอาตัวเองเข้าไปขวางมีดเพื่อช่วยคุณตามสัญชาตญาณ”

“ผม ถูกวางยาแล้ว”

เฉินตงไม่ใช่คนโง่ ต่อให้เป็นเหล้าที่มีฤทธิ์รุนแรงกว่านี้ ก็ไม่สามารถทำให้เขาตกอยู่ในสภาพอย่างเช่นนี้เป็นอยู่ตอนนี้ได้

ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยดื่มจนเมา ความรู้สึกของการเมาเหล้า ต่อให้เมาจนขาดสติเขาก็รู้ดี

อาการวิงเวียนศีรษะ ขาดสติสัมปชัญญะ แขนขาอ่อนแรง

ถึงขั้นในท้องของเขาจะรู้สึกร้อนผ่าว ราวกับมีไฟลุกโชนอยู่ภายในร่างกาย จนลามขึ้นไปถึงใบหน้า

ถ้าไม่ใช่ถูกวางยาหรือถูกพิษ จะเป็นอะไรไปได้ ?

“วางยา ?”

ฉู่เจียนเจียพูดออกมาด้วยความตกตะลึง

หมับ !

ทันใดนั้น มือใหญ่ของเฉินตงก็วางลงไปบนต้นขาของฉู่เจียนเจีย

ฉู่เจียนเจียสวมเครื่องแต่งกายแบบนักธุรกิจของ OL ดังนั้นขาทั้งสองข้างของเธอ นอกจากจะมีกระโปรงคอยปิดบังเอาไว้อยู่ ก็มีเพียงแค่ถุงน่องบางๆ อีกเพียงหนึ่งชั้นเท่านั้น

ขณะที่มือใหญ่ของเฉินตงสัมผัสลงไป ทำให้หน้าของเธอถอดสีทันที เป็นความรู้สึกเหมือนถูกไฟฟ้าช็อต

ในขณะที่เธอกำลังตกอยู่ในอาการตกใจ ทันใดนั้น มือใหญ่ของเฉินตงก็ค่อยๆ……

หลังจากคุนหลุนพูด

บรรยากาศภายในเทียนเก๋อเหมือนทุกสิ่งหยุดนิ่งในทันที

“ที่นี่คือเทียนเก๋อ จะมีกลิ่นเลือดได้อย่างไร ?”

คุณท่านใหญ่ตระกูลจางหัวเราะเสียงดังขึ้นมา จากนั้นจึงเหลือบไปมองเฉินตงด้วยความรู้สึกยินดีในใจ

ตอนนี้อ้อยมาอยู่ตรงหน้าแล้ว แค่รอให้เข้าปากช้างเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

เฉินตงมีอาการมึนเมาหนักขึ้น จนรู้สึกเหมือนโลกกำลังหมุน

เขาส่ายหัว จากนั้นเขาจึงเอ่ยปากพูดด้วยสติสัมปชัญญะที่ยังคงหลงเหลืออยู่เพียงเล็กน้อย : “ลองไปดูซิ เชื่อคุนหลุน”

คุณหลุนเคยเป็นทหารรับจ้างฝีมือดีมาก่อน ตอนนี้ยังทำหน้าที่เป็น “หัวหน้าผู้ฝึกสอน” ของตระกูลเฉินอีก ดังนั้นเขาจึงมีประสาทสัมผัสในการรับรู้กลิ่นเลือดได้รวดเร็วกว่าใคร

กูหลังจึงเดินไปที่ประตูใหญ่อย่างระมัดระวัง

ส่วนคุนหลุนเองก็ขยับประชิดเข้ามาอีกหนึ่งก้าวเพื่อคอยคุ้มกันอยู่ข้างๆ เฉินตง

ภาพที่ปรากฏขึ้นนี้

ทำให้คุณท่านใหญ่ตระกูลจางและจางหยู่หลันขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความรำคาญใจ

ส่วนฉู่เจียนเจียที่นั่งอยู่ตรงข้ามกลับขมวดคิ้วแน่น แล้วพยายามสูดดมกลิ่น

ภายในเทียนเก๋อ นอกจากคุนหลุนและกูหลังแล้ว ก็มีเธอที่ดูจะมีสติสัมปชัญญะครบถ้วนที่สุด แต่เมื่อลองพยายามดมกลิ่นดูแล้ว กลับยังคงไม่ได้กลิ่นของเลือดอยู่ดี

ขณะที่กูหลังเดินไปถึงประตูใหญ่

ทันใดนั้น

มีเงาสีดำพุ่งตรงเข้ามาจากด้านนอก

กูหลังหน้าถอดสีทันที เขายังไม่ทันได้ระวังตัว จึงไม่สามารถหลบเลี่ยงได้ทัน

“วิ่ง !”

กูหลังตะโกนด้วยความโกรธ แล้วชูมือทั้งสองข้างวิ่งออกไปเพื่อสกัดกั้น

ตุ๊บ !

มีเสียงดังอู้อี้เกิดขึ้น กูหลังเดินโซเซถอยร่นลงมา ตอนนี้ถึงได้มองเห็นอย่างชัดเจนว่าสิ่งที่คว้าเอาไว้ได้ในมือคือคน

คนที่ตายแล้ว !

มีรอยเชือดตรงบริเวณคอ เลือดสีแดงสดไหลออกมาไม่หยุด และเขาไม่หายใจแล้ว

กลิ่นเลือดลอยคละคลุ้งไปทั้งเทียนเก๋อทันที

ตอนนี้เอง แม้กระทั่งคุณท่านใหญ่ตระกูลจางและจางหยู่หลันก็สร่างเมาในทันทีและตั้งสติได้

“กูหลังระวัง !”

คุนหลุนตะโกนด้วยความโกรธจัด

กูหลังตัวสั่นไปทั้งตัว ทันใดนั้นก็มีเงาสีดำปรากฏผ่านสายตาของเขาอีกครั้ง

ในขณะเดียวกัน ภายใต้แสงสว่างของไฟสลัวๆ จู่ๆ ก็มีแสงสะท้อนแวววาวปรากฏขึ้น

ทันใดนั้นเอง

กูหลังเหงื่อกาฬแตกพล่าน ประสบการณ์ในการต่อสู้ที่ผ่านความเป็นความตายมา ทำให้เขารับรู้ได้ถึงภัยคุกคามที่หมายจะเอาชีวิตที่กำลังย่างกรายเข้ามาได้ในทันที

เขาออกแรงทั้งหมดที่มี ใช้เท้าเตะศพที่อยู่ในมือจนลอยกระเด็นออกไป

ศพลอยไปกระแทกเข้ากับเงาดำนั้น

แต่ดูเหมือนเงาดำจะคาดการณ์เอาไว้แต่ต้นแล้ว จึงสามารถปลีกตัวหลบได้อย่างง่ายดาย

ฟิ้ว !

กริชอันเย็นเฉียบและแหลมคม เชือดเข้าที่หน้าอกของกูหลัง

เลือดสีแดงสดสาดกระเซ็น

กูหลังเดินโซเซถอยร่นไปด้านหลัง จากนั้นจึงจ้องมองบาดแผลตรงหน้าอกด้วยความหวาดกลัว

ถ้าไม่ใช่เพราะการตอบสนองที่รวดเร็ว อาศัยจังหวะที่โยนศพออกไปถอยร่นลงมา กริชเล่มนี้ก็คงพอที่จะเฉือนหน้าอกของเขาจนแยกออกได้

“ฆ่ามัน !”

หลังจากเสียงตะโกนที่เยือกเย็นเข้าไปถึงกระดูกสันหลัง

ทันใดนั้น นักฆ่าจำนวนสิบกว่าคน ก็กรูกันเข้ามาในเทียนเก๋อ

รวดเร็วปานสายฟ้า และเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าที่รุนแรง

นักฆ่าตรงเข้าไปล้อมเฉินตงที่ยังคงอยู่ในอาการมึนเมาเอาไว้

“ว้าย !”

ภาพที่ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันตรงหน้า ทำให้จางหยู่หลันกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจกลัวในทันที

ในระหว่างช่วงจังหวะชุลมุน จางหยู่หลันและคุณท่านใหญ่ตระกูลจางก็รีบวิ่งล้มลุกคลุกคลานไปหลบอยู่ด้านข้างทันที

แต่ทว่า นักฆ่าทั้งสิบกว่าคนนั้นทำราวกับมองไม่เห็นพวกเขาอย่างไรอย่างนั้น กลับเดินผ่านปู่หลานทั้งสองคนไป แล้วมุ่งตรงไปยังเฉินตง

เห็นได้ชัดว่า นักฆ่าทั้งสิบกว่าคนนี้ ต่างพุ่งเป้าไปที่เฉินตงเพียงคนเดียวเท่านั้น !

คุนหลุนหน้าถอดสี รูปร่างที่สูงใหญ่กำยำของเขาก้าวเดินไปข้างหน้า เขาใช้มือยกเก้าอี้ที่วางอยู่ข้างๆ ขึ้น แล้วฟาดลงไปยังนักฆ่าที่ยืนอยู่ตรงหน้า

“คุณชาย หนีเร็ว !”

เปรี้ยะ !

เสียงเก้าอี้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ

นักฆ่าสองคนเดินโซเซถอยหลังไป

แต่นักฆ่าที่เหลือ ยังคงพุ่งตรงเข้ามาราวกับหมาป่าและเสือที่ดุร้าย

คุนหลุนตะโกนด้วยความโกรธ แล้วพุ่งเข้าต่อสู้กับนักฆ่าจำนวนสิบกว่าคนนั้น

ส่วนกูหลังที่ได้รับบากเจ็บก็รีบกลับมาช่วยอย่างรวดเร็ว และเข้ามาต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับคุนหลุน

ทั้งสองไม่ใช่พวกอ่อนหัด ล้วนแล้วแต่ผ่านการต่อสู้ที่ใช้ชีวิตเป็นเดิมพันมาแล้วทั้งสิ้น

พวกเขาสามารถถ่วงเวลานักฆ่าสิบกว่าคนนี้เอาไว้ที่เดิมได้ชั่วขณะหนึ่ง

แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาร้อนใจก็คือ เฉินตงยังคงนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ ค่อยๆ ส่ายหัว สายตายังคงพร่ามัว

“โถ่เว่ย ขยับ ขยับไม่ไหวแล้ว……”

เฉินตงสบถออกมา สติสัมปชัญญะที่ยังพอหลงเหลืออยู่ทำให้เขารู้ดีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าอันตรายแค่ไหน

เขาเองก็อยากจะวิ่ง แต่ทำไม่ได้ !

ร่างกายของเขาอ่อนปวกเปียกไปหมด มือเท้าชา สติสัมปชัญญะเลือนราง จนไม่อาจควบคุมแขนขาของตัวเองให้ขยับได้

“พาคุณชายหนีไป !”

คุนหลุนเตะนักฆ่าคนหนึ่งกระเด็นลอยออกไป จากนั้นจึงวิ่งเข้าไปหากูหลัง

กูหลังมีท่าทีหดหู่ : “ถ้าฉันไป นายรับมือไม่ไหมหรอก !”

ถ้าหากพวกเขามามือเปล่า หรือหากพวกเขาเป็นเพียงแค่คนธรรมดาๆ สิบกว่าคนที่มีอาวุธอยู่ในมือ กูหลังจะไม่พูดอะไรเลยสักคำ

แต่เขารู้ดีว่า นักฆ่าสิบกว่าคนที่เป็นมืออาชีพและมีอาวุธครบมือน่ากลัวขนาดไหน

คุนหลุนคิดจะเผชิญหน้ากับนักฆ่าที่มีอาวุธครบมือด้วยมือเปล่าเพียงคนเดียว จุดจบคงน่าอนาถแน่นอน !

“ฉันตายไม่เป็นไร แต่ฉันต้องการให้คุณชายรอด !”

คุนหลุนแสดงท่าทีดุร้าย เขาคว้าคอเสื้อของกูหลัง และเตรียมที่จะโยนเขาออกจากวงล้อม

“ระวัง !”

กูหลังตะโกนเสียงดัง พร้อมกับเขามือทั้งสองข้างกอดแขนของคุนหลุนเอาไว้ จากนั้นจึงออกแรงเตะนักฆ่าที่อยู่ด้านหลังของคุนหลุน จนลอยกระเด็นออกไป

เขารู้สึกว่ามีความเย็นพัดผ่านหลังศีรษะของเขาไป ทำให้เขารู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก

กูหลังกลับลงมายืนอยู่บนพื้น จากนั้นจึงสั่งเสียงเข้มว่า : “พวกคุณสามคน พาคุณชายหนีไป !”

เห็นได้ชัดว่าตะโกนบอกจางหยู่หลัน คุณท่านใหญ่ตระกูลจาง และฉู่เจียนเจีย

จากนั้น

สถานการณ์ก็ชุลมุนวุ่นวาย

จางหยู่หลันและคุณท่านใหญ่ตระกูลจางขดตัวหลบอยู่ตรงมุมห้องนานแล้ว

แววตาของจางหยู่หลันเป็นประกาย เธออยากที่จะใกล้ชิดกับเฉินคงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่กลับถูกคุณท่านใหญ่ตระกูลจางดึงเอาไว้

ตอนนี้เอง

“แย่แล้ว !”

คุนหลุนและกูหลังอุทานออกมาพร้อมกัน

มีนักฆ่าคนหนึ่งแอบฝ่าแนวป้องกันของพวกเขาเข้ามาได้ ในมือของเขาถือกริชอยู่ แล้ววิ่งตรงเข้าไปหาเฉินตงที่นั่งไม่ได้สติอยู่อย่างรวดเร็ว

ในช่วงเวลาคับขัน

ฟิ้ว !

ตุ้บ !

แก้วน้ำชาใบหนึ่งลอยมา กระแทกเข้ากับศีรษะของนักฆ่า

แก้วน้ำชาแตก ส่วนฆาตกรเองก็ศีรษะเอียง และเดินโซเซถอยร่นไปเช่นกัน

“ไป !”

ฉู่เจียนเจียปรากฏตัวขึ้นข้างๆ เฉินตง เธอออกแรงอย่างสุดกำลังจากร่างกายอันผอมบางของเธอ เพื่อยกเฉินตงขึ้นมา

ใบหน้าที่เย็นชาและภูมิฐาน บัดนี้เต็มไปด้วยความเยือกเย็น และไม่ปรากฏความกลัวขึ้นเลยแม้แต่น้อย

“ขอบ ขอบคุณ……”

เฉินตงตะโกนออกมาอย่างแผ่วเบา ค่อยๆ มีสีแดงปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา และรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งตัว

“ถ้าคุณตาย ก็ไม่มีใครเจรจาธุรกิจกับฉันนะสิ”

ฉู่เจียนเจียแบกเฉินตงขึ้น พลางตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา

ทั้งสองเดินโซเซไปมา แต่ก็สามารถเดินออกจากเทียนเก๋อไปได้ในที่สุด โดยมีคุนหลุนและกูหลังคอยเปิดทางให้

นักฆ่าสิบกว่าคนโบกสะบัดกริชที่อยู่ในมือ พร้อมกับตะโกนโห่ร้องออกมาด้วยเจตนาฆ่าที่รุนแรง

เมื่อคุณท่านใหญ่ตระกูลจางเห็นว่าไม่มีใครสังเกตเห็นเขาและจางหยู่หลัน เขาจึงลากจางหยู่หลันแล้วค่อยๆ แอบย่องออกจากมุม และตรงออกไปด้านนอกเทียนเก๋อ

ตุ้บ !

ทันใดนั้น ก็มีเสียงดังเกิดขึ้น

มีนักฆ่าคนหนึ่งลอยมาตกลงตรงหน้าของสองปู่หลานอย่างแรง

ตาทั้งหกข้างประสานกัน

แววตาของนักฆ่าเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าที่รุนแรง กริชที่ถืออยู่ในมือพุ่งตรงเข้าใส่จางหยู่หลันทันที

จางหยู่หลันตกใจจนหน้าถอดสี เธอกรีดร้องแล้ววิ่งตรงเข้าไปหาเฉินตงและฉู่เจียนเจียทันที

ขณะที่กำลังตกอยู่ในอาการหวาดกลัว จางหยู่หลันก็วิ่งเข้าไปที่ด้านหลังของคนทั้งสอง จากนั้นจึงใช้มือทั้งสองข้างผลักอย่างแรง

นี่คิดจะใช้ฉันบังมีดอย่างนั้นหรือ ?

เฉินตงหัวใจเต้นแรง

เขาและฉู่เจียนเจียถูกจางหยู่หลันผลักจนสูญเสียการทรงตัว ทำให้ตัวของเขาพุ่งตรงไปด้านหน้า

และสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าก็คือ นักฆ่าที่ถือกริชคมกริบกำลังวิ่งตรงเข้ามา

ทันใดนั้น

มีเงาหนึ่งปรากฏขึ้นที่ด้านหน้าของเฉินตง

เป็นฉู่เจียนเจียที่เข้ามากอดเขาเอาไว้

เฉินตงตกใจ

เด็กสาวคนนี้ไม่ต้องการชีวิตแล้วหรืออย่างไร ?

เฉินตงในตอนนี้ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง สมองของเขาก็ลือนลางไปหมด ทุกอย่างดูเหมือนค่อยๆ เคลื่อนไหวช้าลง

เขาเห็นกริชกำลังจะแทงเข้าที่ตัวของฉู่เจียนเจียที่อยู่ตรงหน้า

เฉินตงกัดฟันกรอด เขากอดฉู่เจียนเจียเอาไว้แน่น แล้วออกแรงหันตัวกลับในทันที

ซวบ !

เลือดสีแดงสดสาดกระเซ็นออกมา

สองตระกูล ? !

เฉินตงรู้สึกตกตะลึงเพราะคาดไม่ถึงมาก่อน

เขาเหลือบมองโจวเย่นชิวหนึ่งครั้ง

โจวเย่นชิวฉลาดหลักแหลม เขาเป็นฝ่ายรีบเดินออกมาเสียก่อน จากนั้นจึงยิ้มแหยพลางพูดว่า : “คุณเฉิน ผมเองก็ไม่มีทางเลือก”

“ออกไปก่อนเถอะ”

เฉินตงพยักหน้า

คำพูดเพียงประโยคเดียว เมื่อดังไปถึงหูของคุณท่านใหญ่ตระกูลจาง จางหยู่หลัน และฉู่เจียนเจีย ทั้งสามก็ผงะไปพร้อมกันโดยทันที

นี่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเป็นการออกคำสั่งของหัวหน้ากับลูกน้อง !

แววตาที่ทั้งสามคนมองเฉินตงจึงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

หลังจากที่โจวเย่นชิวเดินออกไปแล้ว

คุณท่านใหญ่ตระกูลจางก็รีบเดินตรงเข้าไปหาเฉินตงก่อน : “คุณเฉิน เชิญนั่งครับ”

“ใช่แล้ว ใช่แล้ว เชิญนั่งค่ะ คุณเฉิน”

จางหยู่หลันเดินเข้าไปต้อนรับด้วยรอยยิ้ม และใช้สายตาหว่านเสน่ห์ ไม่หลงเหลือท่าทีของความดูถูกอีกต่อไป

เฉินตงพูดไม่ออกไปชั่วขณะ เขาเหลือบไปมองหญิงสาวที่อยู่ฝั่งตรงข้าม

ฉู่เจียนเจียผู้นี้ เย็นชาขนาดนี้เชียวหรือ ?

เมื่อต้องเผชิญกับการจู่โจมของคุณท่านใหญ่ตระกูลจางและจางหยู่หลันอย่างไม่ได้ตั้งตัว เฉินตงจึงหาข้ออ้างที่จะปฏิเสธไม่ได้อีก เขาจึงจำใจต้องนั่งลงตรงที่นั่งระหว่างทั้งสองคน

คุนหลุนและกูหลังยืนอยู่ทางด้านหลังของเฉินตง

คุณท่านใหญ่ตระกูลจางรีบรินน้ำชาให้แก่เฉินตง

ส่วนจางหยู่หลันก็เหลือบมองไปยังฉู่เจียนเจียด้วยสายตาเยาะเย้ย

ฉู่เจียนเจียเองก็มองกลับอย่างดูถูก ในที่สุดเธอก็ลุกยืนขึ้น จากนั้นจึงยิ้มแล้วพูดว่า : “คุณเฉิน ขอบคุณที่คุณยอมสละเวลาพักผ่อน ทั้งๆ ที่มีงานมากมาย เพื่อมาร่วมงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้ แต่เป็นเพราะเจียนเจียเองที่จัดการทุกอย่างได้ไม่ดีนัก เป็นความผิดของเจียนเจีย”

หลังจากได้ยิน

คุณท่านใหญ่ตระกูลจางและจางหยู่หลันก็สีหน้าหมองหม่นลงทันที

จางหยู่หลันพูดด้วยความโมโห : “ฉู่เจียนเจีย เธอหมายความว่าอย่างไร ?”

ปะทะกันเร็วขนาดนี้เลยหรือ ?

เฉินตงรู้สึกประหลาดใจ

ฉู่เจียนเจียเลิกคิ้วอย่างไม่แยแส แล้วจ้องมองไปที่จางหยู่หลัน : “จางหยู่หลัน ฉันไม่มีเวลามาทะเลาะกับเธอหรอกนะ ฉันมาหาคุณเฉินก็เพื่อเจรจาธุรกิจ ช่วยระงับอารมณ์หึงหวงของเธอเอาไว้หน่อย”

เป็นคำพูดที่ตรงไปตรงมาและไร้ความปรานี

เฉินตงมองดูด้วยความตกตะลึง

นี่คงจะเป็นหญิงงามที่เย็นชาราวกับภูเขาน้ำแข็งของจริง !

ใบหน้าอันงดงามของจางหยู่หลันถอดสีทันที และถูกแทนที่ด้วยความโกรธจนใบหน้าแดงก่ำ

เมื่อการโต้เถียงกำลังจะเกิดขึ้น คุณท่านใหญ่ตระกูลจางก็รีบเอ่ยปากพูดขึ้นมาก่อน

“คุณหนูตระกูลฉู่ ฉันยังอยู่ตรงนี้นะ จะปล่อยให้เธอมาตำหนิหลานสาวของฉันเช่นนี้ได้อย่างไร ?”

“ฉันมาเพื่อเจรจาธุรกิจ !” ฉู่เจียนเจียไม่ยอมอ่อนข้อให้แม้แต่น้อย

คุณท่านใหญ่ตระกูลจางขมวดคิ้ว และทำหน้าตาบูดบึ้ง : “ฉันไม่สนใจว่าเธอต้องการเจรจาธุรกิจอะไรกับคุณเฉิน แต่ในเมื่อคืนนี้ ทุกคนก็มารวมตัวกันอยู่ที่นี่แล้ว ก็ควรจะพูดคุยกันเรื่องสัพเพเหระเท่านั้น ส่วนเรื่องธุรกิจของเธอ เอาไว้ค่อยคุยวันหลัง”

คำพูดเพียงประโยคเดียว แต่กลับทำลายแผนการที่ฉู่เจียนเจียวางเอาไว้ทั้งหมด ทำให้เธอไม่อาจพูดอะไรต่อได้อีก

ฉู่เจียนเจียขมวดคิ้วแน่น แล้วหันมองจางหยู่หลันด้วยความโมโห

ถ้าต้องคุยเรื่องสัพเพเหระ เธอจะคุยได้เหนือกว่าจางหยู่หลันได้อย่างไร ?

ฉู่เจียนเจียใช้มือดันแว่นที่หล่นลงมาบนดั้งจมูก จากนั้นจึงหันไปมองเฉินตง แล้วนั่งลงอย่างจนใจ

เฉินตงแอบยิ้มอย่างหดหู่อยู่ในใจ

ใจจริงเขาอยากเจรจาธุรกิจกับฉู่เจียนเจีย ไม่ได้อยากจะพูดคุยเรื่องสัพเพเหระกับคนตระกูลจางเลยแม้แต่น้อย

เพราะเรื่องพูดคุยสัพเพเหระที่ดีที่สุด ล้วนแต่อยู่ที่กู้ชิงหยิ่งหมดแล้ว !

เมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้ เขาจึงไม่อาจพูดอะไรได้อีก

เมื่อครู่ที่คุณท่านใหญ่ตระกูลจางและฉู่เจียนเจียโต่เถียงกันนั้น เขาเอาก็ไม่เขาไปมีส่วนร่วม

ไม่ช้า งานเลี้ยงก็เริ่มมีบรรยากาศที่อบอุ่นและสนุกสนานขึ้น

คุณท่านใหญ่ตระกูลจางเป็นคนแก่ที่มีไหวพริบ เขาพูดคุยอย่างออกรสออกชาติ และเชิญชวนให้เฉินตงร่วมดื่มอย่างต่อเนื่อง

จางหยู่หลันเองก็คอยช่วยรินเหล้าอยู่ข้างๆ และคอยพูดเสริมอย่างยิ้มแย้ม

ส่วนฉู่เจียนเจีย ไม่ดื่มเหล้าเลยแม้แต่หยดเดียวตั้งแต่ต้นจนจบ ทำเพียงแค่ยกแก้วขึ้นมาเมื่อคุณท่านใหญ่ตระกูลจางและจางหยู่หลันตะโกนยินดีเท่านั้น จากนั้นก็วางแก้วลง

บรรยากาศไม่คึกคักเหมือนเมื่อครู่อีกต่อไป

ตอนนั้นเอง โจวเย่นชิวได้ถือเหล้าชั้นดีเดินเข้ามาภายในห้อง เพื่อต้องการร่วมสังสรรค์

แต่เฉินตงกลับส่งสัญญาณให้คุนหลุน เชิญเพื่อนสนิทคนนี้ออกจากเทียนเก๋อไป

ในเมื่อไม่ซื่อสัตย์หนึ่งครั้ง ก็ไม่อาจที่จะไว้ใจได้อีก

ที่เขาดัดหลังโจวเย่นชิว เพื่อต้องการให้โจวเย่นชิวคอยเป็นสุนัขรับใช้ ไม่ใช่เป็นเพื่อนร่วมสังสรรค์

หลังจากงานเลี้ยงดำเนินไปพักใหญ่

เฉินตงก็อยู่ในอาการเมาเล็กน้อย

ใบหน้าของคุณท่านใหญ่ตระกูลจางเองก็แสดงออกถึงความเมาเช่นกัน ส่วนจางหยู่หลันเองก็ดวงตาพร่ามัวด้วยความมึนเมา

แม้กระทั่งฉู่เจียนเจียเองก็ดื่มเข้าไปไม่น้อย เพราะถูกคุณท่านใหญ่ตระกูลจางและจางหยู่หลันเกลี้ยกล่อม จนใบหน้าของเธอเองก็แดงก่ำ

คุณท่านใหญ่ตระกูลจางอาศัยจังหวะที่เฉินตงรับประทานอาหาร เหลือบมองไปที่ฉู่เจียนเจีย

จากนั้นเขาจึงหันไปส่งสายตาให้กับจางหยู่หลัน แววตาที่พร่ามัวด้วยความมึนเมา กลับเปลี่ยนเป็นแววตาที่แน่งแน่ขึ้นมาทันที

จากนั้น คุณท่านใหญ่ตระกูลจางก็ยิ้มออกมาพลางพูดขอตัวเพื่อไปห้องน้ำ และลุกขึ้นแล้วเดินออกไปด้านนอก

ไม่มีใครสังเกตเห็นความผิดปกติ รวมไปถึงคนที่ระวังตัวอย่างคุนหลุนและกูหลังด้วย

หลังเดินออกจากเทียนเก๋อแล้ว คุณท่านใหญ่ตระกูลจางก็บิดขี้เกียจและปล่อยเรอกลิ่นของเหล้าออกมาอย่างแรง

เขาในตอนนี้ แววตาดูสดใส ท่าทีดูสงบเยือกเย็น ไม่มีลักษณะของคนเมาหลงเหลืออยู่แม้แต่น้อย

เขาหันกลับไปมองเทียนเก๋อ แววตาของคุณท่านใหญ่ตระกูลจางดูมั่นคงแน่วแน่ แล้วรีบเดินตรงออกไปด้านนอกทันที

“ตอนนี้ คงต้องใช้วิธีจัดการขั้นเด็ดขาดแล้ว ฉู่เจียนเจีย ต่อให้เธอสามารถเอาชนะจางหยู่หลันได้ แต่เธอก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉันอยู่ดี คืนนี้เธอจะต้องแพ้ !”

ไม่ช้า เขาก็ให้โจวเย่นชิวส่ง “โรมาเน กงติ” มาหนึ่งขวด

หลังจากที่โจวเย่นชิวเดินกลับไปแล้ว คุณท่านใหญ่ตระกูลจางก็หยิบซองยาขึ้นมาจากกระเป๋าเสื้อ

หลังจากเปิดซองยาแล้ว เขาก็นำยาใส่ลงไปในขวดไวน์เล็กน้อย

หลังจากเขย่าให้เข้ากันแล้ว เขาก็ก้มหน้าลงไปดมกลิ่นของไวน์แดงที่ลอยออกมา คุณท่านใหญ่ตระกูลจางรู้สึกเสียดายเล็กน้อย : “เฮ้อ……ไวน์ชั้นยอดขนาดนี้ กลับต้องมาเสียรสชาติเสียนี่ แต่หากมียานี้ อย่างไรเสียคืนนี้เฉินตงก็จะต้องตกเป็นของหยู่หลัน”

แววตาของคุณท่านใหญ่ตระกูลจางเป็นประกาย เขาเดินเข้าไปในเทียนเก๋อด้วยแววตามุ่งมั่น

ในขณะเดียวกัน

บริเวณด้านนอกของหมู่ตึกยู่ฉวน

ภายใต้บรรยากาศอันมืดมิดยามค่ำคืน

มีเงาตะคุ่มๆ ของคนประมาณสิบกว่าคน กำลังมุ่งตรงมายังหมู่ตึกยู่ฉวนอย่างรวดเร็ว

รวดเร็วราวกับสายฟ้า แต่กลับเงียบจนน่าแปลกใจ

ทันใดนั้น คนจำนวนสิบกว่าคนนี้ก็วิ่งตรงไปยังกำแพงของหมู่ตึกยู่ฉวนอย่างรวดเร็ว

ปัง !

มีหนึ่งคนเตะก้อนหินกระเด็นไปโดนกล้องวงจรปิดที่ติดอยู่บนกำแพงอย่างแม่นยำจนแตก

จากนั้น คนจำนวนสิบกว่าคนนี้ก็ร่วมมือกันปีนข้ามกำแพงไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อถึงพื้นก็รีบวิ่งตรงไปยังเทียนเก๋อ

โจวเย่นชิวนั่งอยู่ในห้องทำงานอย่างหดหู่ เขากำลังสูบซิการ์อยู่ ด้วยแววตาที่เหม่อลอยที่อยู่ภายใต้กรอบแว่นตาสีทองของเขา

เฉินตงให้คนมาเชิญเขาออกไปหลายครั้ง พอที่จะทำให้เห็นทัศนคติที่มีต่อเขาได้อย่างชัดเจนแล้ว

ดูเหมือนว่า Tears of the Blue Sea เม็ดนั้นของเขา คงยังไม่เพียงพอ !

ไม่ใช่เพราะเฉินตงจอง Tears of the Blue Sea เอาไว้ด้วยเงินสองร้อยล้าน ต่อให้มอบแก่เฉินตงโดยตรง โจวเย่นชิวก็รู้ดีว่ามันยังไม่มากพออยู่ดี

“ประธานโจว !”

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนหนึ่งของหมู่ตึกวิ่งเข้ามาด้วยความรีบร้อน : “เกิดเรื่องใหญ่แล้วครับ !”

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น ?” โจวเย่นชิวรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพูดว่า : “กล้องวงจรปิดที่ติดตั้งอยู่บนกำแพงหมู่ตึกถูกคนทุบทำลายจนเสียหายไปหนึ่งตัวครับ”

โจวเย่นชิวตัวสั่นทันที ใบหน้าของเขาถอดสีอย่างเห็นได้ชัด : “แล้วกล้องวงจรปิดที่ติดอยู่โดยรอบเห็นอะไรบ้างไหม ?”

“ไม่เห็นครับ !”

โจวเย่นชิวเด้งตัวลุกขึ้นยืนในทันที จากนั้นจึงรีบวิ่งออกไปข้างนอก : “เรียกทุกคนไปที่เทียนเก๋อเดี๋ยวนี้ คนอื่นตายในหมู่ตึกฉันไม่สน แต่คนที่อยู่ในเทียนเก๋อจะต้องปลอดภัย !”

น้ำเสียงเฉียบขาด เต็มไปด้วยความแน่วแน่

ส่วนด้านในเทียนเก๋อ

เฉินตงยังคงไม่รู้อีโหน่อีเหน่

เมื่อคุณท่านใหญ่ตระกูลจางถือโฮรมาเน กงติเดินเข้า ก็นำไปรินให้เฉินตงหนึ่งแก้ว

เฉินตงไม่อาจปฏิเสธได้ จึงจำใจต้องดื่มจนหมดแก้ว

หลังจากดื่มเข้าไปแล้ว เขาก็รู้สึกมึนเมายิ่งขึ้นในทันที

ดวงตาเริ่มพร่ามัว มองสิ่งของต่างๆ ก็เริ่มกลายเป็นภาพซ้อนทับกันไปหมด

คุณท่านใหญ่ตระกูลจางหันไปส่งสายตากับจางหยู่หลันอย่างแนบเนียน

ใบหน้าอันงดงามของจางหยู่หลันเต็มไปด้วยความแน่วแน่

“หยู่หลัน……”

คุณท่านใหญ่ตระกูลจางยิ้มแล้วเปิดปากพูด

แต่ยังไม่ทันจะพูดจบ

จู่ๆ คุนหลุนที่คอยยืนคุ้มกันอยู่ทางด้านหลังมาโดยตลอด ก็ส่งเสียงแสดงความประหลาดใจออกมา

สายตาของเขาจ้องเขม็งไปที่ด้านนอกของเทียนเก๋อ

“พี่คุนหลุน เกิดอะไรขึ้น ?”

กูหลังถามด้วยความตื่นตกใจ

นี่ทำให้คุณท่านใหญ่ตระกูลจางต้องกลืนคำพูดของตัวเองกลับลงไป

คุนหลุนขมวดคิ้ว แล้วใช้สายตาจับจ้องอย่างระมัดระวัง : “กลิ่นเลือด !”

หลังจากนิ่งไปสักพัก

เฉินตงก็ยิ้มออกมา

เมื่อเทียบกับนามบัตรของตระกูลจางแล้ว นามบัตรใบนี้ดูจะทันสมัยกว่า

บนนามบัตร มีเพียงแค่เบอร์โทรศัพท์กับข้อความหนึ่งบรรทัด

เนื้อหาของข้อความคือ : ต้องการเจรจาเรื่องธุรกิจ

ผู้ที่ลงนามคือ : ฉู่เจียนเจีย

เฉินตงวางนามบัตรลงแล้วคิดอะไรบางอย่าง

ในที่สุด เขาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายโทรศัพท์

ปลายสายกดรับโทรศัพท์

“สวัสดีครับ ใช่คุณเฉินตงไหมคะ ?”

น้ำเสียงที่ฟังดูเยือกเย็นดังขึ้นมาจากปลายสาย

เฉินตงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย : “ผมเองครับ ไม่ทราบว่าคุณหนูฉู่เจียนเจียต้องการเจรจาธุรกิจอะไรกับผมหรือครับ ?”

“สองทุ่มคืนนี้ ไปคุยกันที่เทียนเก๋อ หมู่ตึกยู่ฉวน”

ตู๊ด !

โทรศัพท์ถูกตัดสายไปทันที

เฉินตงรู้สึกตกใจเล็กน้อย

หลังจากดูนามบัตรเรียบร้อยแล้ว เขาก็รู้จุดประสงค์ในการมาของตระกูลฉู่ดี ว่าเหมือนกับจุดประสงค์ของตระกูลจางทุกประการ

แต่มีการดึงดูดความสนใจที่ต่างออกไปจากตระกูลจาง ตระกูลฉู่แสดงออกอย่างตรงไปตรงมาเกินไปหรือเปล่า ?

แต่เมื่อนำมาเปรียบเทียบกันแล้ว เฉินตงกลับยินดีที่จะพบกับฉู่เจียนเจียคนนี้มากกว่า

ไม่ใช่เป็นเพราะอีกฝ่ายเปิดเผยตรงไปตรงมาจนสามารถดึงดูดความสนใจของเขาได้

แต่เป็นเพราะสไตล์ของตระกูลจางและตระกูลฉู่นั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

การเชื้อเชิญของตระกูลจางทำให้เขาเกิดคาดเดา แต่การแสดงออกของจางหยู่หลัน ทำให้เขาล้มเลิกความคิด

แต่นามบัตรของฉู่เจียนเจียนั้น เขียนเอาไว้อย่างชัดเจนว่าต้องการร่วมทำธุรกิจ การแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ ทำให้เป็นการง่ายที่ทั้งสองฝ่ายจะทำความรู้จักกันมากขึ้น

“คืนนี้พี่ตงจะไปจริงๆ หรือครับ ?”

กูหลังถาม

เฉินตงพยักหน้า : “ทำธุรกิจนี่ ก็ต้องไปตามนัดสิ”

“หรือจะให้ผมไปเป็นเพื่อนดี ถึงอย่างไรครั้งนี้ก็อยู่ในสถานที่ของโจวเย่นชิว” กูหลังรู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย

เฉินตงลังเลอยู่สักครู่ จากนั้นจึงพยักหน้าตอบรับ

ไม่ใช่ว่าจะเป็นกังวลเรื่องโจวเย่นชิว เพียงแต่เมื่อคิดดูแล้ว รูปลักษณ์ของกูหลังคงไม่เหมือนกับฉินเย่ จนทำให้คนอื่นจำผิดได้หรอกใช่ไหม ?

หลังจากกูหลังออกไปได้เพียงไม่นาน ก็มีหมายเลขโทรศัพท์ที่ไม่คุ้นเคยโทรเข้ามา

เฉินตงรับสายโทรศัพท์

“คุณเฉิน ผมคือจางไท่เยว่จากตระกูลจางแห่งเมืองหลวง”

“สวัสดีครับคุณท่านใหญ่ตระกูลจาง” เฉินตงขมวดคิ้ว

จางไท่เยว่พูดต่อ : “เรื่องนั้นเมื่อสองวันก่อน ผมไม่คิดเลยว่าหลานสาวของผมจะทำเรื่องโง่ๆ เช่นนั้นลงไป ผมต้องขอโทษอย่างสุดซึ้งจริงๆ ดังนั้นคืนนี้เวลาสองทุ่ม ผมจึงตั้งใจเป็นพิเศษที่จะจัดงานเลี้ยงมื้อค่ำให้แก่คุณเฉินที่เทียนเก๋อ หมู่ตึกยู่ฉวน และผมจะพาหลานสาวของผมไปกล่าวขอโทษต่อหน้าคุณเฉิน”

หมู่ตึกยู่ฉวน ?

เทียนเก๋อ ?

เวลาสองทุ่มเช่นเดียวกัน ?

เฉินตงยิ้มออกมาอย่างประหลาด : “ต้องขอขอบคุณในความหวังดีของคุณจาง แต่ว่าเมื่อครู่ผมเพิ่งรับปากที่จะไปพบกับตระกูลฉู่แห่งเมืองหลวงคืนนี้ ที่เทียนเก๋อหมู่ตึกยู่ฉวนในเวลาสองทุ่มเช่นเดียวกัน”

“อะไรนะ ?”

คุณท่านใหญ่ตระกูลจางรู้สึกตกใจ จากนั้นจึงรีบพูดว่า : “ขออภัยด้วย คุณเฉินโปรดรอสักครู่”

จากนั้นสายโทรศัพท์ก็ตัดไป

เฉินตงแสยะยิ้มออกมา ดูเหมือนว่าตระกูลจางและตระกูลฉู่จะมีพรหมลิขิตต่อกันเป็นอย่างมาก เพราะว่ามีเป้าหมายที่เหมือนกัน แม้กระทั่งสถานที่นัดหมายก็ยังเป็นที่เดียวกัน

คิดๆ ดูแล้วก็มีเหตุผล

หมู่ตึกยู่หยวนถือเป็นสถานที่ชั้นยอดของเมืองนี้

แน่นอนว่ายังด้อยกว่าคลับสี่ยิ่น

แต่คลับสี่ยิ่นมีลักษณะพิเศษ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าไปได้

หมู่ตึกยู่หยวนของโจวเย่นชิว สามารถเข้าถึงได้ง่ายกว่า

การที่ตระกูลจางและตระกูลฉู่แห่งเมืองหลวงจะเลือกใช้เทียนเก๋อ จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจนัก

เฉินตงถูจมูกไปมาแล้วบ่นพึมพำ : “ไม่รู้ว่าคืนนี้จะเจอกับตระกูลไหนกันแน่ ?”

ขณะที่พูด เขาก็ต่อสายโทรศัพท์หาท่านหลง เพื่อถามสถานการณ์ของตระกูลฉู่

……

โรงแรมไท่ซาน

คุณท่านใหญ่ตระกูลจางกำลังอยู่ในอารมณ์โกรธ มือของเขากำโทรศัพท์เอาไว้แน่น

“คุณปู่ เป็นอะไรไปคะ ?” จางหยู่หลันเอ่ยถามด้วยความสงสัย

คุณท่านใหญ่ตระกูลจางพูดว่า : “นัยเด็กตระกูลฉู่นั่น คำนวณเอาไว้เป็นอย่างดี ต่อให้ยังเดินทางมาไม่ถึงแต่กลับเชิญคุณเฉินเอาไว้เรียบร้อยแล้ว อีกทั้งยังเลือกที่เทียนเก๋อ หมู่ตึกยู่ฉวนเหมือนพวกเรา และเลือกเวลาเดียวกับพวกเราอีกด้วย”

“เป้นแบบนี้ไปได้อย่างไร ?”

จางหยู่หลันยกมือขึ้นปิดปากของเธอด้วยความประหลาดใจ

คุณท่านใหญ่ตระกูลจางพูดอย่างโมโหว่า : “ไปหมู่ตึกยู่ฉวนกับปู่เดี๋ยวนี้ ให้โจวเย่นชิวรับปากให้ได้ว่าคืนนี้ เทียนเก๋อมีเพียงพวกเราเท่านั้นที่สามารถใช้ได้ หากไม่มีสถานที่สำหรับจัดเลี้ยงแล้ว ปู่จะดูซิว่านังเด็กตระกูลฉู่นั่นจะอวดเก่งได้อย่างไร !”

……

เลิกงานในช่วงเย็น

เฉินตงเลิกงานตรงเวลา

คุนหลุนขับรถมาจอดรออยู่ที่ข้างถนนนานแล้ว

หลังจากขึ้นรถกับกูหลังแล้ว ก็มุ่งตรงไปยังหมู่ตึกยู่ฉวนทันที

เฉินตงไม่ได้สนใจว่าคืนนี้ที่หมู่ตึกยู่ฉวนจะเป็นงานเลี้ยงของใครกันแน่

ถ้าหากเป็นฉู่เจียนเจีย ก็นั่งลงเพื่อพูดคุยสักครู่

แต่ถ้าหากเป็นจางหยู่หลัน ก็คงทำเพียงแค่กลับโดยไม่สนใจ

หลังจากฟังท่านหลงพูดในช่วงบ่าย เฉินตงก็ได้รู้จักตระกูลฉู่มากยิ่งขึ้น ตระกูลฉู่เองก็ทำธุรกิจด้านภาพยนตร์และสื่อบันเทิง แต่มักจะถูกตระกูลจางนำหน้าด้านธุรกิจหนึ่งก้าวมาโดยตลอด

แต่ตระกูลฉู่ยังมีธุรกิจด้านอื่น ที่เติบโตและยิ่งใหญ่กว่าธุรกิจด้านภาพยนตร์และสื่อบันเทิง ดังนั้นหากจะพูดกันตามตรงก็คือ จริงๆ แล้วตระกูลฉู่นั้นแข็งแกร่งกว่าตระกูลจางเล็กน้อย

แต่ทว่า เพียงแค่การแข่งขันกันในธุรกิจด้านภาพยนตร์และสื่อบันเทิง ก็เพียงพอที่จะทำให้ทั้งสองตระกูลกลายเป็นคู่แข่งกันได้แล้ว

จึงไม่แปลกที่ทั้งสองฝ่ายจะมาด้วยจุดประสงค์เดียวกัน

“คุณชาย ดูเหมือนว่าตอนนี้ ตระกูลจางและตระกูลฉู่มาเพื่อผูกมิตร ความวุ่นวายในตระกูลหลี่ครั้งนี้ น่าจะเป็นประโยชน์ต่อเราใช่ไหมครับ ?” คุนหลุนขับรถพลางพูดติดตลกไปพลาง

แต่เฉินตงกลับส่ายหัว : “ตระกูลจางและตระกูลฉู่ลงหลักปักฐานอยู่ในเมืองหลวง ถึงแม้จะเป็นตระกูลที่มั่งคั่ง แต่ก็ยังไม่ใช่ชนชั้นสูงที่มีความโดดเด่นจริงๆ ทั้งสองตระกูลไม่สามารถเป็นเครื่องหมายแทนเมืองหลวงทั้งเมืองได้”

คุนหลุนขมวดคิ้ว แต่กลับรู้สึกว่ามีเหตุผล

ขณะที่รถขับเข้าไปในหมู่ตึกยู่ฉวน

ก็เป็นเวลาสองทุ่มพอดี

หลังจากลงจากรถ เฉินตงพาคุนหลุนกูหลังเดินตรงไปยังเทียนเก๋อ

เวลาเดียวกันนี้

ภายในเทียนเก๋อ กลับมีบรรยากาศที่เยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง

อากาศเย็นยะเยือกทนทำให้รู้สึกหายใจไม่ออก

โจวเย่นชิวหันมองทั้งสามคนที่อยู่ตรงหน้าด้วยความประหม่า มือทั้งสองข้างถูกันไปมา มีเหงื่อไหลอาบอยู่ตรงหน้าผาก

หลังจากที่เขาสร้างหมู่ตึกยู่ฉวนขึ้นมา และสร้างกฎเกณฑ์ของเทียนเก๋อขึ้น เขาก็มีโอกาสต้อนรับแขกที่ร่ำรวยและมีอำนาจมากหน้าหลายตา

แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนนี้ เป็นสิ่งที่เขาเพิ่งพบเจอเป็นครั้งแรก

ทำให้เขาเองก็ทำตัวไม่ถูก

ทั้งสองตระกูลล้วนแล้วแต่เป็นตระกูลที่มั่งคั่งของเมืองหลวง และทั้งสองตระกูล ก็ล้วนแล้วแต่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะให้เขายอมเปิดเทียนเก๋อ และใช้การต้อนรับในระดับที่เยี่ยมที่สุดเหมือนกัน

แต่ที่สำคัญก็คือ ตระกูลฉู่เป็นผู้ลงชื่อจองไว้ก่อน แต่ตระกูลจางต้องการที่จะแย่ง

ถึงแม้เขาจะเป็นผู้นำของธุรกิจห้างสรรพสินค้าในเมืองนี้ แต่ก็คงยังไม่โง่ถึงขึ้นที่จะลูบคมทั้งสองตระกูลพร้อมกัน

จึงทำให้เกิดฉากที่น่าอับอายปรากฏอยู่ตรงหน้า

ตระกูลจางและตระกูลฉู่นั่งร่วมอยู่ในโต๊ะเดียวกัน

อีกทั้งล้วนแล้วแต่มีจุดประสงค์เดียวกันก็คือ ต้องการจัดงานเลี้ยงให้กับเฉินตง !

“ฉู่เจียนเจีย ฉันเชิญคุณเฉิน เธอก็เชิญคุณเฉิน ตั้งแต่เล็กจนโต ทำไมเรื่องทุกอย่าง เธอต้องคอยแต่จะทำตามฉันด้วย ?”

ใบหน้าอันงดงามของจางหยู่หลันบูดบึ้ง เธอเหลือบไปมองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม แล้วกล่าวตำหนิ

คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเธอ เป็นหญิงสาวที่สวมเครื่องแต่งกายแบบนักธุรกิจสีดำของ OL มีรูปร่างที่สูงโปร่งและสง่างาม มัดผมหางม้าและสวมแว่นตา แสดงให้เห็นถึงความสามารถที่โดดเด่นของเธอ

ส่วนประกอบทุกอย่างบนใบหน้าล้วนงดงามราวกับถูกจัดวางเอาไว้ ถือเป็นหญิงสาวที่หน้าตาสวยคนหนึ่งเลยทีเดียว

เมื่อเทียบกับจางหยู่หลันแล้ว อาจจะด้อยกว่าเล็กน้อย แต่การแต่งกายของเธอกลับดูสง่างามและภูมิฐานกว่า

“ฉันแค่อยากเจรจาเรื่องธุรกิจกับคุณเฉิน” น้ำเสียงของฉู่เจียนเจียเยือกเย็นเหมือนกับบุคลิกของเธอ

“เจรจาเรื่องธุรกิจ ? มาตั้งไกลเพื่อมาเจรจาเรื่องธุรกิจที่นี่เนี่ยนะ ?”

จางหยู่หลันหัวเราะเยาะออกมา แล้วลุกยืนขึ้น : “นังแรดอย่างเธอ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าอยากที่จะเข้าใกล้เฉินตง เธอคิดจะเอาอะไรมาสู้กับฉัน ? ไม่ว่าจะเรื่องรูปร่างหน้าตา เธอคิดว่าเฉินตงจะชอบเธออย่างนั้นหรือ ?”

“ชาตินี้เธอคงจะใหญ่แค่หน้าอกแต่ไม่มีสมองสินะ” ฉู่เจียนเจียขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วทำท่าทีดูถูกเหยียดหยาม

“แก……” จางหยู่หลันโกรธจนหน้าแดงทันที

สถานการณ์เริ่มร้อนระอุขึ้น

สีหน้าของคุณท่านใหญ่ตระกูลจางดูไม่สบอารมณ์ แต่ก็ไม่ได้ห้ามปราม

โจวเย่นชิวนั่งมองด้วยความตกตะลึงจนอ้าปากค้าง หัวใจของเขาเต้นแรง

ทั้งสองคนนี้……เป็นสิ่งล้ำค่าของตระกูลจางกับตระกูลฉู่ แต่กลับกำลังชิงรักหักสวาทเพื่อแย่งชิงเฉินตงกันอย่างนั้นหรือ ?

มันเป็นเรื่องที่สมควรไหม ?

ทำไมถึงแสดงออกมาโดยไม่คำนึงถึงฐานะและชื่อเสียงเลยแม้แต่น้อยเช่นนี้ ?

ทันใดนั้นเอง

โจวเย่นชิวก็เห็นคนทั้งสามปรากฏตัวขึ้น

เขาแอบถอนหายใจด้วยความรู้สึกโล่งใจในทันที จากนั้นจึงยิ้มออกมาอย่างเบิกบาน : “คุณเฉิน ในที่สุดคุณก็มาเสียที”

จางหยู่หลันและฉู่เจียนเจียที่กำลังเผชิญหน้ากันอยู่ ต่างก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกันในทันที แม้แต่คุณท่านใหญ่ตระกูลจางเองก็ยืนขึ้นโดยไม่ได้คำนึงถึงวัยวุฒิและฐานะของเขา

ในฐานะที่เป็นเจ้าประจำถิ่น โจวเย่นชิวรู้ข่าวการมาของตระกูลจางในทันที

จู่ๆตระกูลจางแห่งเมืองหลวงก็มาที่นี่ มันทำให้เขาสงสัย จึงรีบตรวจสอบอย่างรวดเร็ว

ตระกูลจางมาเพราะเฉินตง

ดังนั้นตอนตระกูลจางตัดสินใจมาพบกับเฉินตงในงานประมูล เขาจึงรู้ว่าโอกาสมาถึงแล้ว

ย้ายข้างครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้โจวเย่นชิวตีไพ่ดีในมือเฉินตงแตกกระจาย และโดนคำพูดของเฉินตงทำลายความทะเยอทะยาน ไม่กล้าย้ายข้างอีก

การมาของตระกูลจาง เป็นโอกาสแสดงความดีของเขาต่อเฉินตงพอดิบพอดี

ดังนั้นโจวเย่นชิวจึงใจกว้างเอา“Tears of the Blue Sea”ออกมา

ดูเหมือนการพูดประจบเอาใจจางหยู่หลัน ที่จริงแล้วเพื่อเฉินตง

เครื่องประดับชิ้นนี้เรียกได้ว่าเป็นงานศิลปะ โจวเย่นชิวมั่นใจว่าเฉินตงต้องประมูลให้กู้ชิงหยิ่งแน่

การแสดงความรักและการขอแต่งงานล้วนเป็นสิ่งสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วพื้นปฐพี

เป็นการพิสูจน์ว่าเฉินตงไม่งกกับกู้ชิงหยิ่งแม้แต่น้อย

“การวางแผนที่ดีพังไป ถึงตอนนี้ฉันทำได้เพียงค่อยๆชดเชยความสัมพันธ์กับเฉินตง”

โจวเย่นชิวกลัดกลุ้ม ส่ายหน้าอย่างจนปัญญา:“แต่ตระกูลจางน่าจะคบค้าสมาคมได้”

……

ทางกลับบ้าน ฉินเย่ขับรถโคนิกเซ็กก์ด้วยความเร็วสูง

เฉินตงมองฉินเย่อย่างจนปัญญา:“คุณเป็นคนเปิดเผยเอง เรื่องนี่อย่าพาลมาหาผม”

จางหยู่หลันสวยมากจริงๆ ฉินเย่คิดอะไรก็เป็นเรื่องปกติ

ยิ้งไปกว่านั้น เมื่อครู่ทั้งสองหยอกล้อกันไปมา ดูเข้าต่างคนต่างก็พร้อม

เพียงแต่เปลวไฟที่ฉินเย่อั้นเอาไว้ เฉินตงก็แอบสงสาร

“โทษผม?”

ฉินเย่เหลือบมองเฉินตง:“ถ้าผมไม่ตะโกนให้หยุด ไม่แน่Tears of the Blue Seaชิ้นนี้โดนแข่งราคากันสูงลิ่วไปแล้ว”

เฉินตงยักไหล่:“งั้นตอนนี้คุณก็อย่าใจร้อนนักสิ”

“สาวสวยระดับท็อปเลยนะครับพี่ชาย!ตอนแรกยังออดอ้อนอยู่ในอ้อมแขนผมเลย พอตอนหลังกลับไล่ผม เสียใจมากๆ”ฉินเย่พูด

เฉินตงเบ้ปาก ไม่สนใจเขาอีก

รถโคนิกเซ็กก์ขับเข้าเขตวิลล่าเขาเทียนซานด้วยความเร็ว พอลงจากรถ ฉินเย่ก็ดริฟต์รถขับออกไปนอกเขตวิลล่าเขาเทียนซาน

เฉินตงสงงไปครู่หนึ่ง ไม่ได้สนใจอะไร แล้วเดินเข้าคฤหาสน์ไป

“คุณชาย กลับมาแล้วเหรอ เป็นยังไงบ้าง?”

ท่านหลงถามขึ้นทันที

“ตระกูลจางแห่งเมืองหลวงอยากตีสนิทผม แต่แผนที่ใช้ผมรับไม่ได้”เฉินตงแกว่งกล่องเครืองประดับในมือไปมา:“แต่ก็ประมูลเครื่องประดับมาให้เสี่ยวหยิ่งชิ้นหนึ่ง”

“แผนอะไรเหรอ?”ท่านหลงถาม

เฉินตงไม่ปิดบัง เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง

ฟังจบ ท่านหลง คุนหลุนล้วนตกตะลึง

“ฉินเย่หัวร้อนออกไปแล้ว น่าจะไปหาจางหยู่หลัน”เฉินตงพูดเสริม

ท่านหลงหัวเราะร่า:“เจ้าเด็กนั่นถูกปฏิเสธ คงไม่รีบไปเป็นหมาอีกรอบหรอก แต่ไม่แน่ว่าจะใช้เทคนิคสื่อสารยังไง”

เฉินตงมองท่านหลงแปลกๆ

ภาพพจน์ยิ่งแย่เข้าไปเรื่อยๆ

รับรู้ได้ถึงสายตาของเฉินตงและคุนหลุน ท่านหลงก็ยิ้มออกมาอย่างทำตัวไม่ถูก ท่าที่เคร่งขรึม

“แต่ก็สมเหตุสมผลที่ฉินเย่ชอบจางหยู่หลัน ความสวยของจางหยู่เป็นที่รู้กันในวงการบันเทิง และวงการบันเทิงยักษ์ใหญ่มากมายล้วนอยากคบค้าสมาคมกับเธอ”

“งั้นก็ต้องมีอำนาจนะสิ ตำแหน่งผู้กุมอำนาจของตระกูลจางไม่ใช่เล่นๆ”เฉินตงตอบกลับ แล้วเดินขึ้นห้องไป

เฉินตงเอา“Tears of the Blue Sea”ออกมาดูอย่างละเอียดอีกรอบ

แม้ไฟในห้องจะไม่สว่างจ้าเหมือนในงานประมูล

แต่“Tears of the Blue Sea”ยังคงสะท้อนแสงสีน้ำเงินอันน่าทึ่ง เหมือนความฝัน

ไม่พูดไม่ได้เลยว่าของที่โจวเย่นชิวตั้งใจเอาออกมา เพื่อแสดงเจตนาดีนั้นมีราคามาก

เฉินตงใส่“Tears of the Blue Sea”ลงกล่องอีกครั้ง พลางอย่างไม่ใส่ใจ:“นี่เป็นการแสดงเจตนาดีแน่นอน แต่ไม่เพียงพอที่จะพาคุณย้อนกลับไปในอดีต”

ย้ายข้างครั้งแล้วครั้งเล่า ถ้าไม่ใช่เพราะเป็นสถานการณ์แก้ปัญหาที่ต้นตอ เฉินตงคงยังนึกถึงบุญคุณที่ช่วยเหลือในอดีต ปล่อยโจวเย่นชิวไปสักครั้ง

ที่ทำลายความทะเยอทะยานของโจวเย่นชิว ก็เพื่อเป็นการป้องกันในอนาคต

ทุกสิ่งทุกอย่างของเขาล้วนอยู่ที่เมืองนี้ โจวเย่นชิวยังเป็นงูเจ้าถิ่นของที่นี่ การไม่อนุญาตให้ผู้อื่นบุกรุกเขตอิทธิพลของตนทำให้คนอื่นๆหลับสนิท?

ถ้าอยากนอน ก็ต้องนอนใต้เท้าเขา!

เฉินตงหยิบโทรศัพท์ขึ้นแล้วส่งวีแชทหากู้ชิงหยิ่ง

“ได้ของขวัญมาแล้ว”

กู้ชิงหยิ่งแทบจะตอบกลับมาทันที

“จริงเหรอ รีบเอามาให้ฉันดีเร็ว!”

เฉินตงยิ้มอย่าง:“เด็กโง่ เอาไปให้ดูก็ไม่เซอร์ไพรส์สิ”

“เชอะ……จะเซอร์ไพรส์หรือไม่ก็ต้องดูอีกที(อ้อน)”

“งั้นรอนะ รีบพักผ่อนได้แล้ว”

เฉินตงตอบข้อความเสร็จก็มองกล่องเครื่องประดับ“Tears of the Blue Sea”แวบหนึ่ง แล้วยิ้มอย่างมั่นใจ

ตระกูลกู้ชิงหยิ่งยิ่งใหญ่ แค่เครื่องประดับเพชรธรรมดา ไม่สามารถทำให้เธอประหลาดใจได้จริงๆ แต่ราคาตั้ง200ล้านเลยนะ?

……

สองวันต่อมา ทุกอย่างก็ปกติดี

แต่ที่ทำให้เฉินตงแปลกใจคือ ตระกูลจางไม่มีลูกไม้อื่นอีก

เห็นได้ชัดว่าแปลกๆ

เดินทางไกลมาถึงที่นี่ จุดประสงค์เพื่อตีสนิทเขา

ครั้งแรกล้มเหลวไป ก็ล้มเลิกเลยงั้นเหรอ?

ล้อเป็นเล่น

ความจริงเหมือนที่เฉินตงคาดเดาไว้

ตระกูลจางไม่ได้ล้มเลิก แต่ยังอยู่ในเมืองนี้มาโดยตลอด

แต่เพียงเพราะความผิดพลาด สองวันมานี้จึงไม่เห็นจางหยู่หลัน

แผนการจึงถูกปล่อยเอาไว้ก่อน

แม้แต่คุณท่านตระกูลจาง ก็คิดอะไรไม่ออก

สถานการณ์ที่เร็วกว่าคนอื่นไปหนึ่งก้าว วันนี้กลับตกอยู่ในสถานการณ์ที่ทุกอย่างหยุดชะงักไป

การเร็วกว่าคนอื่นไปหนึ่งก้าว วันนี้กลับรั้งท้ายคนอื่น

แรกเริ่มความประทับใจแรกในใจของเฉินตงก็เลวร้ายไปแล้ว

อยากเปลี่ยนกลับไปคงยากแล้ว

เช้าตรู่ของวันนี้

ณ โรงแรมไท่ซาน

จางหยู่หลันยังนอนหลับอยู่ แต่ต้องตื่นเพราะเสียงโทรเข้า

ปู่โทรมา

“จางหยู่หลัน อย่างช้าที่สุดคืนนี้ต้องรีบไปเจอเฉินตงให้ได้ มีคนตามมาถึงเมืองหลวง”

ประโยคนี้ ทำให้จางหยู่หลันตื่นทันที

“ใครคะ?”

“ตระกูลฉู่!”

จางหยู่หลันขมวดคิ้วเป็นปม:“ผู้หญิงสำส่อนตระกูลฉู่คนนั้นนะเหรอ?”

“ใช่!หลานรู้จักลูกไม้ของเด็กนั่นดี ถ้าจัดการเฉินตงก่อนเธอไม่ได้ หลานลองคิดดู ตระกูลจางของเรายังเหลือเปอร์เซ็นความสำเร็จอีกกี่เปอร์เซ็น?”

คำพูดของปู่ ทำเอาจางหยู่หลันหน้าซีดเผือด

ผู้หญิงร่านที่เธอพูดถึงคือศัตรูคู่อาฆาตของเธอ

ตั้งแต่เล็กจนโต ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาหรือความสามารถ ล้วนใช่ทั้งนั้น

นอกจากรูปร่างหน้าตาที่พอกดขี่เธอคนนั้นได้ ส่วนด้านความสามารถเธอสู้ไม่ได้เลยจริงๆ

ดวงตาเปล่งความชี้ขาดออกมา

จางหยู่หลันพูดเสียงขรึม:“ปู่ไม่ต้องห่วง คืนนี้สำเร็จแน่นอน!เฉินตงต้องเป็นของหนู ไม่ยอมให้นังสำส่อนนั่นทำแผนชั่วสำเร็จแน่นอน!”

“ปู่รีบเชิญเฉินตงเถอะค่ะ”

ในขณะเดียวกัน

ในห้องทำงานบริษัทไท่ติง

เฉินตงมองบัตรเชิญที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ พลางครุ่นคิด

“ฉันก่อเรื่องตระกูลหลี่ไปรอบหนึ่ง ส่งผลกระทบขนาดนี้เลยเหรอ?”

กูหลังเป็นคนส่งบัตรเชิญมา และหลังจากส่งมอบให้เฉินตงแล้ว กูหลังก็ไม่ได้ออกไปทันที

“คุณชาย ตระกูลหลี่เป็นตระกูลที่รวยที่สุดในเมืองหลวง คุณชายไปก่อเรื่องไว้ ส่งผลกระทบไม่น้อยเลย”แม้กูหลังไม่ได้ติดตามเฉินตงไปเมืองหลวงด้วย แต่เขาก็รู้มาบ้าง

เฉินตงยิ้มอย่างจนปัญญา

หยิบบัตรเชิญขึ้นแล้วเปิดอ่าน

เขาถึงกันอึ้ง

จางหยู่หลันอึ้ง สับสนไปหมด มองเฉินตงตาโต

เธอรู้สึกเหมือนฟ้าดินกำลังหมุน

ผู้ชายตรงหน้าต่างหากคือเฉินตง งั้นเมื่อครู่เธออยู่ในอ้อมกอดใครเนี่ย?

เฉินตงเหลือบมองฉินเย่อย่างจนปัญญา

ผู้ประมูลด้านล่างก็ตะโกนออกมา

เมื่อคำว่า“ครั้งที่สาม”ดังขึ้น

ปัง!

เมื่อค้อนประมูลเคาะลง

ก็ไม่มีใครแข่งราคาอีก

ในลานประมูล เมื่อค้อนเคาะราคา200ล้านลง ผู้คนก็ส่งเสียงฮือฮาดังลั่น

ไม่ว่าจะเป็นแขกในห้องชั้นหนึ่งหรือชั้นสอง ล้วนจ้องมองมาที่ห้องตรงกลาง

ทุกคนล้วนสงสัย ว่าใครกันนะที่เสนอราคาสูงขนาดนี้!

Tears of the Blue Seaหายากมาก ไม่งั้นจางหยู่หลันคงไม่สนใจหรอก

จากมาตรฐานการประมูลของเมืองนี้ ไม่ว่าTears of the Blue Sea หรือราคามหาโหดถึง200ล้าน ก็ทำให้ทุกคนตกตะลึงได้

ในห้องส่วนตัว

“ไปกันเถอะ”

เฉินตงยืนขึ้น เดินผ่านจางหยู่หลัน แล้วเดินออกไปด้านนอก

ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มองจางหยู่หลันแม้แต่น้อย

เขาได้สิ่งที่เขาต้องการแล้ว ส่วนจุดประสงค์ของตระกูลจางก็เข้าใจแจ่มแจ้งแล้วด้วย

ถ้าเป็นการสร้างความสัมพันธ์แบบชอบธรรม เฉินตงก็ไม่รังเกียจที่จะขยับความสัมพันธ์กับตระกูลจาง แต่แค่เริ่มก็ใช้แผนผู้หญิงสวยๆแล้ว เขารับไม่ได้จริงๆ

จางหยู่หลันสั่นไปทั้งตัว ในที่สุดก็ได้สติ

จางหยู่หลันมองร่างเฉินตง พลางพูดขึ้น:“คุณเฉิน……”

แต่พอจะพูดเธอก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร

พอนึกถึงท่าทางที่เขาทำกับเฉินตงเมื่อครู่ แม้แต่จะขอโทษเธอก็รู้สึกอับอายอย่างบอกไม่ถูก

“ที่รัก……”

ฉินเย่อาลัยอาวรณ์ ในบรรดาผู้หญิงทุกคนที่เขาเคยเจ ความสวยของจางหยู่หลันติดอันดับ1ใน3แน่นอน

ยิ่งไปกว่านั้น จางหยู่หลันยังมีภูมิหลังของตระกูล ทำให้เธอเป็นที่หนึ่งในใจฉินเย่

“ออกไป!”

จางหยู่หลันเดือดจัด พูดกับฉินเย่ด้วยความโมโห

ฉินเย่ชะงัก แล้วยักไหล่ไปมา:“ที่จริงผมก็ไม่ได้ด้อยไปกว่า ร้ายดียังไงผมก็เป็นคนของตระกูลฉินแห่งซีสู่ แค่เคยฆ่าพ่อแล้วออกจากตระกูลเองก็เท่านั้นเอง”

บูม!

จางหยู่หลันเหมือนโดนฟ้าผ่า หน้าสวยๆซีดเผือด

ในฐานะที่เป็นลูกสาวจากภรรยาเอกตระกูลจาง เรื่องของตระกูลฉินแห่งซีสู่ในตอนนั้นเป็นเรื่องใหญ่โตมาก ทุกคนรู้กันหมด

เธอไม่รู้จักฉินเย่ แต่เคยได้ยินเรื่องนี้

พอนึกถึงตนที่อยู่ในอ้อมกอดคนที่ฆ่าพ่อตัวเองเมื่อครู่ จางหยู่หลันก็ใจเต้นรัว ทั้งขยะแขยงและกลัวสุดๆ

ขณะโกรธจางหยู่หลันก็คว้าแก้วแล้วปาไปที่ฉินเย่

“ไสหัวไป!”

“ไปก็ไป อ่ะ นี่เป็นช่องทางการติดต่อของผม”

ฉินเย่วางนามบัตรลงอย่างไม่แยแส แล้วเดินจากไป

ในห้องส่วนตัว จางหยู่หลันหน้าขาวซีด ใจเต้นอย่างรุนแรง

ภาพเมื่อครู่ ย้อนฉายกลับมาเหมือนในสมองเหมือนฝันร้าย

ความรู้สึกอับอาย โกรธแค้น โทษตัวเอง และตกใจกลัวต่างๆแล่นเต็มสมอง

ทำให้เธอทำอะไรไม่ถูก

หลังออกจากห้องส่วนตัว เฉินตงและฉินเย่ก็ไม่ได้ออกจากงานทันที แต่เดินตามทีมงานไปหลังเวทีประมูลเพื่อทำขั้นตอนต่างๆ

ดำเนินการเสร็จอย่างรวดเร็ว ทีมงานก็ห่อเครื่องประดับ“Tears of the Blue Sea”มอบให้เฉินตง

“คุณเฉิน คุ้มค่าและยินดีด้วยครับ นี่เป็นของล้ำค่าที่เจ้านายเราเก็บสะสมไว้นานหลายปี เมื่อรู้ว่าแขกคนสำคัญติมาเยือน เขาจึงตั้งใจเอาเครื่องประดับชุดนี้ออกมาประมูล”

“เจ้านายคุณคือใคร?”เฉินตงถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น

ในเมื่อเอาออกมาเพราะแขกคนสำคัญ งั้นเป็นไปได้สูงว่าเพื่อตระกูลของจางหยู่หลัน

ในเมืองหลวงที่ซ่อนผู้ยิ่งใหญ่ไว้ ตระกูลจางไม่ได้โดดเด่นที่สุด

แต่ในเมืองนี้ ผู้ยิ่งใหญ่ตัวจริงกำลังมา

“โจวเย่นชิว”พนักงานไม่ได้ปิดบัง สำหรับแขกแบบนี้เขาไม่จำเป็นต้องปิดบัง

เฉินตงชะงัก มองเครื่องประดับในมือพลางยิ้มเบาๆ:“ขอบคุณมาก”

พูดจบก็ออกไปพร้อมฉินเย่

และในตอนที่ทั้งสองคนออกไป พนักงานที่มีหน้าที่ส่งมอบTears of the Blue Seaให้เฉินตงค่อยๆขมวดคิ้ว

เขารีบเดินไปมุมที่ปลอดคน

แล้วกดโทรออก

“เจ้านาย เรื่องเกิดการเปลี่ยนแปลง Tears of the Blue Seaไม่ได้ตกเป็นของคุณผู้หญิงคนโตของตระกูลจาง”

“อืม คนที่ชื่อเฉินตงประมูลไปใช่ไหม?”

ในสาย โจวเย่นชิวพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ทำให้พนักงานขมวดคิ้วเป็นปม

แต่เขาก็ตอบกลับไป:“ใช้ครับ เขาชื่อเฉินตง”

“ดีมาก ได้ของแล้ว”

ปี๊บ!

ตัดสายไป

พนักงานเหม่อค้างด้วยความตกใจ

Tears of the Blue Sea เจ้านายเอาไว้เพื่อเอาใจคุณผู้หญิงคนโตของตระกูลจางไม่ใช่หรอกเหรอ?

แต่เจ้านายกลับตั้งใจเอาออกมาให้เฉินตง?

ก่อนหน้านี้ ที่ประมูลคาดเดาผิดไปงั้นเหรอ?

ในขณะเดียวกัน

จางหยู่หลันเดินออกจากงานประมูลอย่างขวัญหาย เดินไปยังรถบีเอ็มx7ด้วยสายตาที่ว่างเปล่า

พอนั่งลง เสียงแหบๆก็ดังขึ้น

“จางหยู่หลัน เป็นไงบ้าง?”

จางหยู่หลันตัวสั่น สายตาอันว่างเปล่าเพ่งมอง จากนั้นน้ำตาก็ไหลออกมา

ความรู้สึกไม่เป็นธรรมอย่างรุนแรงแผ่ซ่านไปทั่ว

เธอโผเข้าไปในอ้อมกอดของชายชรา พูดพลางร้องสะอื้น:“คุณปู่ ขอโทษนะคะ หนูจำคำผิด”

บูม!

ชายชราอึ้ง หน้าถอดสี

เขาพาจางหยู่หลันมาจากเมืองหลวง สิ่งที่เตรียมการไว้ทั้งหมด ก็เพื่อได้ตีสนิทกับเฉินตง หวังว่าจะได้คบค้าสมาคมกับตระกูลเฉิน

เพราะยังไงตระกูลเฉินก็เหนือกว่าตระกูลอื่นอยู่บนเมฆสูงได้เห็นหลายสิ่งหลายอย่าง

แม้แต่ตระกูลจางก็เป็นหนึ่งในนั้น

อยากจะคบค้าสมาคมกับคนตระกูลเฉินนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก

อย่าว่าแต่ผู้สืบทอดตระกูลเฉินเลย แม้แต่คนรุ่นเก่งๆก็ยังยากที่จะคบค้าสมาคมกัน

นี่พิสูจน์ให้เห็นว่าผู้สืบทอดเฉินตง“ป่าเถื่อน”เสเพลไม่เอาถ่านผู้นี้ สำคัญและหายากแค่ไหน

“ฉัน ฉันเคยกำชับแล้วไม่ใช่เหรอว่าอย่าจำคนผิด?”ชายชราพูดเสียงสั่นๆ

เขารู้ถึงความพิเศษของเฉินตงในฐานะผู้สืบทอดเป็นอย่างดี แต่เขาก็ยังเดิมพัน เพื่ออนาคตของตระกูลจาง จึงได้รีบตามมาเช่นนี้

แต่ตอนนี้ เตรียมการไว้ตั้งมากมาย แม้กระทั่งเตรียมมอบหลานสาวแท้ๆของตัวเองให้เฉินตงแล้วด้วยซ้ำไป คาดไม่ถึง……ว่าจะจำคนผิด!

“คุณปู่ ปู่ก็เห็นมาสองคนเมื่อครู่นั้นใครเหมือนเฉินตงมากกว่ากัน มองแวบเดียวก็รู้”

จางหยู่หลันร้องไห้อย่างไม่เป็นธรรม:“ยังไงเฉินตงก็เป็นผู้สืบทอดตระกูลเฉิน ใครจะไปคิดว่าเขาจะมีท่าทีระมัดระวังในงานแบบนี้?”

ชายชราอึ้ง หน้าแดงพลางกัดฟันกรอดๆ

เห็นจางหยู่หลันร้องไห้ ชายชราก็ถอนหายใจออกมาอย่างจนปัญญา:“เอาเถอะ ไม่โทษหลาน เมื่อครู่ปู่ก็จำผิดเหมือนกัน เรื่องนี้ต้องคุยกันยาว”

“ปู่คะ หนูทำเพื่อตระกูลจางได้จริงๆ ครั้งนี้ไม่โทษหนูจริงๆเหรอ”จางหยู่หลันร้องไห้อย่างไม่เป็นธรรม ตัวสั่นไปหมด

ชายชราเป็นห่วงขึ้นมาทันที ตบหลังปลอบใจพลางขมวดคิ้วถาม:“แล้วคนที่ไม่เอาถ่านนั่นเป็นใคร?ในเมื่อเดินไปไหนมาไหนกับเฉินตงได้ คงไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป?”

ได้ยินเช่นนั้น

จางหยู่หลันก็มีท่าทีตื่นกลัวขึ้นมาทันที:“เป็นคนตระกูลฉินแห่งซีสู่ที่ฆ่าพ่อตัวเอง”

บูม!

ชายชราเหมือนโดนฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ ตกตะลึง:“สัตว์ร้ายที่ฆ่าพ่อ มาอยู่กับเฉินตงได้ยังไงกัน?”

……

อีกด้านหนึ่ง

หลังโจวเย่นชิววางสาย ก็ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ

“ของล้ำค่าได้ส่งถึงมือคุณ คงรู้สึกถึงเจตนาดีของฉันได้ใช่ไหม?”

เงียบกริบ

ดังราวฟ้าผ่า

ทันใดนั้น ทุกคนก็มองไปยังห้องที่เสียงดังมา

“100ล้าน แขกห้องส่วนตัวชั้นบน เปิดราคามาที่100ล้าน!”

ผู้จัดประมูลตะโกนเสียงดังด้วยความตื่นเต้นดีใจ

ทุกคนในลานประมูลได้สติกลับมาทันที

เสียงฮือฮาดังกึกก้อง

“แม้เจ้า!ที่อยู่ชั้นบนนั้นเป็นใครกัน?เปิดราคาทีเดียว100ล้านเลย?”

“เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวเลย ดูท่าพี่ใหญ่ท่านนี้ต้องการมากจริงๆ!”

“โหดเกินไปแล้ว ไร้ความเป็นมนุษย์ คนที่อยู่ในห้องส่วนตัวผู้นั้นคงไม่ใช่โจวเย่นชิวหรอกนะ?”

……

ในห้องส่วนตัว

เฉินตงวางไม่ลงอย่างไม่ใส่ใจ แล้วเอนพิงเก้าอี้รออย่างเงียบๆ

นี่เป็นการร่วมงานประมูลครั้งแรกของเขา

แต่เมื่อครู่เขาดูไปหลายรอบ ก็เจอเทคนิคเล็กๆน้อยๆ

ข้อแรกของผู้เปิดราคาสูง แข่งราคากันไปจะทำให้ผู้คนไม่ยอมกัน แข่งราคากันอย่างต่อเนื่อง

ผลสรุปที่ตามมาคือราคาของของที่เอามาประมูลจะยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ

การปล่อยหมัดหนักออกไป เป็นวิธีที่ทำให้จบการประมูลเร็วที่สุด

และในขณะเดียวกันก็ทำให้ผู้ที่ตั้งใจแข่งราคา รักษาความสงบไว้ ไม่แก่งแย่งกัน

“100ล้าน?!”

ฉินเย่พูดโพล่งออกมา

จางหยู่หลันขมวดคิ้วเป็นปม ดูอารมณ์เสีย:“คุณเฉิน บอดี้การ์ดคุณกำลังช่วยคุณเสนอราคางั้นเหรอ?การข้ามหน้าแบบนี้มันเกินไปแล้วนะคะ!”

ระหว่างนายกับลูกน้อง หากไม่มีคำสั่งจากนาย ลูกน้องแสดงความคิดเห็นได้ที่ไหนกัน?

ในฐานะที่เป็นตระกูลจางโดยตรง และเป็นสาวสวยร่ำรวยที่ตรงไปตรงมา

จางหยู่หลันร่วมงานประมูลมานับไม่ถ้วน พาบอดี้การ์ดมาและให้บอดี้การ์ดช่วยเสนอราคาก็ไม่น้อย แต่บอดี้การ์ดเหล่านั้นล้วนเสนอราคาตามคำสั่งเจ้านาย

เธอถึงขนาดเคยให้บอดี้การ์ดช่วยแข่งราคา

แต่เมื่อครู่“คุณเฉิน”ยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ!

“ผมซื้อเอง”เฉินตงพูดอย่างสงบๆ“Tears of the Blue Seaชุดนี้ ผมจะประมูลให้คู่หมั้น”

เสียง“ตูม”ดังขึ้นในสมองจางหยู่หลัน สายตาเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ

ทันใดนั้นเธอก็หัวเราะออกมา:“อวดเก่งจริงๆ!100ล้านคิดจะเสนอก็เสนอ คุณเป็นแค่บอดี้การ์ดของคุณเฉิน มีเงินเยอะขนาดนั้นเลย?”

ขณะพูดจางหยู่หลันก็มองเฉินตงอย่างดูถูกเหยียดหยามสุดๆ

เป็นแค่บอดี้การ์ด เสนอราคาออกมาทีเดียว100ล้านงั้นเหรอ?

ไม่ดูตัวเองเอาซะเลย!

“100ล้าน เยอะงั้นเหรอ?”

เฉินตงเหลือบมองจางหยู่หลัน

จางหยู่หลันยิ้ม:“ไม่เยอะ ไม่เยอะเลยจริงๆ แต่อย่าหาว่าฉันไม่ได้เตือนคุณ นี่เป็นการประมูลอย่างเป็นทางการ ถ้าหลังตัดสินการประมูลแล้วไม่มีเงินจ่าย จะถูกลงโทษตามกฎหมาย”

เฉินตงยิ้มอย่างไม่ให้ค่า ไม่สนใจเธอต่อ

แต่ท่าทางแบบนี้ดูเหมือนจะไปกระตุ้นเส้นประสาทจางหยู่หลันซะแล้ว

เธอแทบจะระเบิดอยู่แล้ว

เป็นถึงคุณหนูตระกูลจางอันน่าเกรงขาม แต่โดนบอดี้การ์ด……เหยียดหยามเนี่ยนะ?

เธอหันไปมองฉินเย่:“คุณเฉิน บอดี้การ์ดคุณเป็นแบบนี้งั้นเหรอ?”

ฉินเย่ทำตัวไม่ถูก

มองเฉินตงแวบหนึ่ง ฉินเย่ก็พูอออกมาอย่างช่วยไม่ได้:“คนกันเอง อย่าถือสาเลยครับ”

“แต่เมื่อครู่คุณพูดชัดเจนแล้วว่าจะประมูลให้ฉัน”

จางหยู่หลันโอบคอฉินเย่อย่างออดอ้อน พลางพูดอย่างน่าสงสาร:“คุณเฉิน คุณรับปากฉันแล้วนะ จะเป็นผู้ชายผิดคำพูดเหรอคะ?”

ถ้าเป็นตอนแรก จางหยู่หลันไม่ทำท่าทางแบบนี้แน่นอน

แต่ตอนนี้เธอมั่นใจแล้วว่า“คุณเฉิน”ที่อยู่ตรงหน้าสนใจเธอ

ต่างคนต่างมีความรู้สึกดีๆให้กัน ออดอ้อนเป็นเด็กๆ

ฉินเย่ยักไหล่อย่างจนปัญญา:“คุณก็ได้ยินแล้ว สหายผมอยากประมูลให้คู่หมั้น ช่วยเหลือคนอื่นให้สมปรารถนาไม่ดีเหรอครับ?เขาเปิดราคา100ล้านเพราะต้องได้จริงๆ ให้เขาเถอะ กลับไปผมค่อยส่งให้คุณอีกชุดหนึ่งก็ได้”

“แต่เขามีเงินจ่ายเหรอคะ?”

จางหยู่หลันโกรธมาก ก่อนหน้านี้เธอได้ยินมาว่า“Tears of the Blue Sea”ไม่ได้โดดเด่นอะไร มันเป็นเพียงตัวกลางกระชับความสัมพันธ์ของเธอกับ“เฉินตง”ก็เท่านั้น

แต่พอเห็น“Tears of the Blue Sea”จริงๆ จากประสบการณ์ของเธอก็ใจเต้นขึ้นมา

ผู้หญิงคนไหนไม่ชอบหยกไข่มุกบ้างล่ะ?

ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นงานศิลปะชั้นยอดแบบนี้อีก!

อัญมณีชั้นยอดแบบนี้ ต่อให้เทียบกับงานประมูลชั้นยอด ก็ยังไม่ได้เห็น

“เห้อ……ถ้าคุณชอบก็ประมูลเองเลย”

ฉินเย่ผายมืออย่างรำคาญ จะไม่สนใจเรื่องนี้แล้ว

จากนิสัยเสเพลไม่เอาไหนของเขา ให้เสียเงินไปกับผู้หญิงสวยๆที่จำคนผิดเขาย่อมทำได้ด้วยความเต็มใจ

แต่จางหยู่หลันรั้นแต่วุ่นวายกับเขา เขาไม่อยากเล่นด้วยแล้ว

จางหยู่หลันตกตะลึง

มองฉินเย่อย่างกลัวและอยู่ไม่สุข

บนเวทีประมูล

ผู้จัดประมูลตะโกนพูดเสียงดัง

“100ล้าน ครั้งที่หนึ่ง!”

เสียงตะโกนนี้ สะเทือนใจจางหยู่หลัน

เธอโดนตามใจตั้งแต่เล็กจนโต และการอยู่ในวงการบันเทิงนี้ สิ่งที่เธอกินสวมใส่และใช้สอยล้วนเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

จางหยู่หลันกัดฟันด้วยความโมโห แล้วหยิบไมค์ขึ้นมาพูด:“150ล้าน!”

ปัง!

พอพูดออกไป ทุกคนในงานล้วนตกตะลึง

ส่งเสียงฮือฮา

ดังลั่นสนั่น

เพราะเสียงที่เสนอราคาออกมาจากห้องส่วนตัวห้องเดียวกัน

นี่……คนของตัวเองแข่งราคากันเองงั้นเหรอ?

ทำเอาผู้จัดประมูลงุนงงไปหมด:“สวัสดีครับแขกผู้มีเกียรติ คือ ถ้ามาจากห้องเดียวกันตามหลักแล้วจะเสนอราคาได้แค่ครั้งเดียว”

พูดจบ

เสียงของเฉินตงก็ดังออกมาจากห้องอีกครั้ง

“200ล้าน!”

ปัง!

ทุกคนตกตะลึงอีกครั้ง หน้าถอดสี

ขณะนี้ห้องส่วนตัวชั้นสองคนอื่นๆไม่เงียบอีกต่อไป แม้รู้อยู่แล้วว่ามองไม่เห็นคน แต่ก็ยังพากันลุกขึ้นหันมามอง

“บ้าแล้ว บ้าไปแล้วจริงๆ!”

“คนสองคนแข่งราคาภายในห้องเดียวกัน ครั้งแรก50ล้าน ต่อให้รวยแค่ไหนก็คงไม่ทำแบบนี้หรอก?”

“ราคาเปิด50ล้าน แข่งราคาครั้งที่สองอยู่ที่200ล้าน แม่เจ้า ข่าวนี้ไฟลุกเกินไปแล้ว!”

……

เสียงฮือฮาดังขึ้นในลานประมูลอย่างต่อเนื่อง

บรรยากาศร้อนแรงขึ้นมาทันที

แต่ในห้องส่วนตัวกลับเย็นยะเยือก

จางหยู่หลันขบฟันกัดริมฝีปากแดงแน่น จ้องเฉินตงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น

สารเลว!

สารเลวมาก!

บอดี้การ์ดคนนี้นี่ คิดว่าเป็นเกมหรือไง?

“อ้าปากก็แข่งราคาถึง200ล้าน บอดี้การ์ดอย่างคุณเอาความมั่นใจมาจากไหน?”จางหยู่หลันถามอย่างเยือกเย็น

“คุณไม่ต้องสนใจหรอก แต่ยังไงTears of the Blue Seaชุดนี้เป็นของคู่หมั้นของผม”

เฉินตงมองจางหยู่หลันตั้งแต่หัวจรดเท้า

“ฉัน……ได้ คุณจะแย่ง ฉันจะคอยดูว่าคุณเก่งมาจากไหน!”

จางหยู่หลันไม่ได้โง่ แม้คนตรงหน้าจะดูเหมือนบอดี้การ์ดของ“เฉินตง”แต่“เฉินตง”ก็พูดแต่ว่าเป็นสหาย เป็นคนกันเอง เห็นได้ชัดว่าทั้งสองมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน

แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เธอไม่ได้มีนิสัยอดทนเก็บความโกรธเอาไว้

พูดจบ

จางหยู่หลันหยิบไมค์ขึ้นมาอีกครั้ง

ท่ามกลางเสียงฮือฮาที่ดังกึกก้อง ริมฝีปากแดงเปิดออก กำลังจะเพิ่มราคา

ทันใดนั้น ฉินเย่ก็เอามือมาโอบเอวเธอ

“ที่รัก ผมขอเตือนคุณให้ใจเย็นๆหน่อย!”

จางหยู่หลันงง

ไม่รอให้เธอเข้าใจ

ฉินเย่ยิ้มอย่างอึดอัด แล้วพูดกับเฉินตง:“เฉินตง คุณจะไม่บอกเธอจริงๆเหรอ?เล่นแบบนี้ต่อไป สิ่งที่สูญเสียไปก็คือเงินของคุณเองนะ”

บูม!

จางหยู่หลันตัวสั่นราวกับถูกฟ้าผ่า

เธอเบิกตากว้าง มองเฉินตงที่นั่งไม่แยแสด้วยความตกตะลึง สับสนไปหมด

เวลาค่อยๆผ่านไป

ในลานประมูลคนก็ยิ่งเยอะขึ้นเรื่อยๆ

ชั้นสอง ไฟห้องส่วนตัวสว่างขึ้นทีละห้องๆ

แต่เนื่องจากการออกแบบพิเศษ ทำให้คนภายนอกมองเห็นได้ยากว่าใครนั่งอยู่ด้านใน

เฉินตงไม่สนใจฉินเย่กับจางหยู่หลันหยอกเย้ากันไปมา

เขาก้มหน้าเล่นโทรศัพท์ ส่งวีแชทให้กู้ชิงหยิ่ง:“ผมอยากให้ของขวัญคุณ”

“ของขวัญอะไรเหรอ?(ดีใจ)”กู้ชิงหยิ่งตอบทันที

เฉินตงตอบกลับไป:“ถึงตอนนั้นคุณก็จะรู้เอง”

ส่งข้อความเสร็จเขาก็กดโทรศัพท์เป็นโหมดเงียบ แล้วยัดใส่กระเป๋า

พิงบนเก้าอี้ พลางมองแสงไฟลานประมูลด้านล่างที่ค่อยๆสว่างขึ้น

การประมูลกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว

เครื่องประดับ“Tears of the Blue Sea”ชุดสุดท้ายเฉินตงต้องได้มัน

นี่เป็นของขวัญที่เขาจะให้กู้ชิงหยิ่ง

ส่วนราคาเขาไม่ได้คิด การประมูลในเมืองนี้คงไม่ได้ประมูลของล้ำค่าราคาแพงอะไร ยิ่งกว่านั้นตอนนี้เขามีเงิน

“คุณเฉิน ให้ห้องแอบร้อนนะคะ”

จู่ๆจางหยู่หลันก็พูดขึ้น:“คุณให้บอดี้การ์ดของคุณออกไปได้ไหมคะ?ฉันอยากจัดระเบียบชุดให้เย็นสบายขึ้นสักหน่อย”

ฉินเย่ตาเป็นประกาย แต่ก็แสดงความลำบากใจออกมาทันที

จางหยู่หลันจำคนผิด เขาไม่กล้าไล่เฉินตงออกไปหรอกนะ

เฉินตงยิ้มมุมปาก

ตระกูลจางแห่งเมืองหลวงไม่เสียแรงที่อยู่ในวงการบันเทิง คิดไม่ถึงว่าลูกสาวตระกูลร่ำรวยจะมีท่าทีเช่นนี้

“คือ จางหยู่หลัน คนกันเองไม่ต้องถือสาหรอกครับ”

ทันใดนั้นฉินเย่ก็พูดออกมา

จางหยู่หลันอึดอัด

นี่……ยังเป็นคนกันเอง ไม่ต้องถือสาอีกงั้นเหรอ?

เฉินตงไม่ทันได้ตั้งตัว หน้าแดงก่ำ และไอออกมาอย่างรุนแรง

เขาจ้องฉินเย่เขม็ง เจ้าบ้านี่มีน้ำใจกับคนกันเองขนาดนี้เลยหรือไง?

ฉินเย่รู้ว่าตนพูดผิดไป จึงชี้ไปยังเวทีประมูลด้านล่างด้วยหน้าแดงก่ำ:“คือ ดูการประมูลสิ กำลังจะเริ่มแล้ว”

จางหยู่หลันเหลือบมองเฉินตงอย่างโกรธๆ

ท่ามกลางก้างนี้ เธอก็ไม่ได้แสดงความมีเสน่ห์ของตนออกมาต่อ

ในเมืองหลวงตระกูลจางไม่ถึงกับมีอำนาจมาก แม้ทุกวันนี้ตระกูลจางจะมีวงการบันเทิงอยู่ในมือจนแทบจะเป็นผู้มีอำนาจในวางการไปแล้วก็ตาม

แต่เมื่อเทียบกับคนใหญ่คนโตต่างๆในเมืองหลวง ตระกูลนี้ยังห่างอยู่มาก

ถ้าได้ความชื่นชมจากตระกูลเฉิน แม้เฉินตงจะเป็นเพียงผู้สืบทอดตระกูล ยังไม่มีไม่มีผู้นำตระกูลคนใหม่ที่แท้จริง แต่เพียงแค่ชื่อเสียงนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ตระกูลจางร่วมงานกันได้

เพื่อตระกูล เธอไม่เสียดายเลย

ยิ่งไปกว่านั้น“เฉินตง”ที่อยู่ตรงหน้าก็ตรงสเปคเธอมาก

ทันใดนั้น

เวทีประมูลสว่างไสว

ขณะเดียวกันไฟที่ดวงเล็กในงานก็ดับลงเช่นกัน

แสงไฟทั้งหมดส่องไปบนเวทีประมู

ชายวัยกลางคนหุ่นดีสวมชุดสูทรองเท้าหนังคนหนึ่ง เดินขึ้นเวทีด้วยรอยยิ้มบางๆ

งานประมูล เริ่มอย่างเป็นทางการ!

เฉินตงร่วมงานประมูลเป็นครั้งแรก ชมการประมูลอย่างสนใจ

แต่ดูของประมูลไป2-3ชิ้นความสนใจก็ลดน้อยลง เพราะเป็นอย่างที่เขาคาดการณ์ไว้ ของที่นำมาประมูลสำหรับคนทั่วไปนั้นมีค่ามีราคามาก แต่สำหรับเขาไม่สำคัญเลยแม้แต่น้อย

ห้องส่วนตัวทั้งชั้นสอง ก็ไม่มีคนยกป้ายประมูล

คนที่แข่งราคากันล้วนเป็นคนที่อยู่ชั้นหนึ่ง

เขาเหลือบมองฉินเย่กับจางหยู่หลัน

ทั้งคู่แทบจะกอดกันแล้ว เล่นหูเล่นตากันไปมา

จากที่เขารู้จักเฉินตงฉินเย่ หากตนไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย ทั้งคู่คงร้อนแรงกันไปแล้ว

“คุณเฉิน……”

รู้สึกถึงสายตาของเฉินตง จางหยู่หลันจึงเอ่ยขึ้น

ฉินเย่อึดอัดเล็กน้อย:“คนกันเอง ไม่มีอะไร”

จางหยู่หลัน:“……”

เธอแทบจะระเบิดอยู่แล้ว

ฉันทำกับคุณขนาดนี้แล้ว ยังแสดงความมีน้ำใจกับสหายอีก?

เห็นฉันเป็นอะไรกันแน่?

แต่เมื่อนึกถึงจุดประสงค์ของการมาครั้งนี้ จางหยู่หลันทำได้เพียงอดกลั้นความโมโหไว้ ออดอ้อนออเซาะในอ้อมแขนฉินเย่

เฉินตงเห็นแล้วก็กลั้นขำอย่างมาก

ไม่อยากทำลายเรื่องดีๆของฉินเย่ จึงฝืนเพ่งความสนใจไปที่การประมูลอันน่าเบื่อนั่น

ในลานประมูล บรรยากาศยิ่งคึกคักขึ้นตามการแข่งราคากัน

เมื่อบรรยากาศมาถึงจุดไคลแม็กซ์ ในที่สุดการประมูลสามรอบสุดท้ายก็เริ่มขึ้น

และขณะเดียวกัน ในที่สุดคนห้องส่วนตัวชั้นสองก็เริ่มมีคนยกป้ายแข่งราคากัน

เฉินตงดูอย่างเงียบๆ

เขารอเครื่องประดับ“Tears of the Blue Sea”ชุดนั้น

“คุณเฉิน จะถึงTears of the Blue Seaแล้วค่ะ”จางหยู่หลันถามลองเชิง

ฉินเย่ยิ้มอย่างชั่วร้าย:“ชอบงั้นเหรอ?งั้นผมจะซื้อให้คุณ”

จากนิสัยและกำลังทรัพย์ของเขา เสียเงินให้ผู้หญิงเป็นหมื่นเป็นแสนล้วนเป็นเรื่องปกติที่ทำ

ยิ่งไปกว่านั้น ผู้หญิงที่อยู่ในอ้อมแขนเป็นถึงสาวสวยผู้ร่ำรวย เสียไปเป็นหมื่นเป็นแสนก็ไม่เสียเปรียบแม้แต่น้อย

“คุณเฉินให้ จางหยู่หลันชอบทั้งนั้นแหละค่ะ”

จางหยู่หลันตาเป็นประกาย ลูบไล้ตัวฉินเย่ทันที

เธอรอประโยคนี้อยู่

เพียงแค่“คุณเฉิน”ยืนกรานที่จะให้ ก็แสดงว่ายังมีความเป็นไปได้ที่จะได้พัฒนาความสัมพันธ์ต่อ

แต่จางหยู่หลันกลับไม่สังเกตเห็น เฉินตงที่ใช้สายตามองเตือนพลางส่ายหน้าให้ฉินเย่อยู่อีกด้านหนึ่ง

ฉินเย่ชะงักทันที

เฉินตงอยากได้งั้นเหรอ?

เขารู้ได้ทันทีว่าเฉินตงอยากได้Tears of the Blue Seaนี้ให้กู้ชิงหยิ่ง

ฉินเย่กลุ้มใจเล็กน้อย ก้มมองจางหยู่หลันสาวสวยนิ่มนวลที่อยู่ในอ้อมแขน เขาทำไม่ได้

“ทุกท่านครับ ลำดับต่อไปคือTears of the Blue Seaเครื่องประดับที่เป็นของประมูลครั้งนี้”

สาวสวยสองคนถือถาดรองเดินขึ้นเวที พร้อมเสียงของผู้จัดประมูล

ทุกคนให้ความสนใจถาดรองที่คลุมด้วยผ้าไหมนั่น

เมื่อผู้ประมูลเปิดผ้าคลุมออก

ทันใดนั้น

แสงสีน้ำเงินสว่างจ้าออกมาท่ามกลางแสงไฟ สวยงามตระการตา สีสันแวววาว

ว้าว!

เสียงฮือฮาดังไปทั่วทั้งลานประมูล

แม้แต่เฉินตงก็ยังตกตะลึง ถูกแสงของTears of the Blue Seaดึงดูด

ส่วนจางหยู่หลันก็ตกตะลึงเช่นกัน

ที่แห่งนี้ มีการประมูลอัญมณีล้ำค่าแบบนี้ด้วย?

“การประมูลนี้น่าสนใจนะครับ”ฉินเย่ก็อดไม่ได้ที่จะพูดชมออกมา

เมื่อแสงค่อยๆลดลง

ทุกคนก็เห็นTears of the Blue Seaอย่างชัดเจน

เป็นเครื่องประดับที่มีศิลปะการแกะสลักขั้นสุดยอด ไม่สิ ควรเรียกว่างานศิลปะ

เพชรสีน้ำเงินยังคงเปล่งแสงระยิบระยับ ความแวววาวสีน้ำเงินทำเอาผู้คน

เนื่องจากมันเปล่งประกายเกินไป แม้แต่เพชรน้ำดีบนสร้อยคอก็กลายเป็นของประดับที่ขับให้มันเด่น

สร้อยคอทั้งเส้นเปล่งประกาย วิจิตรงดงาม สวยไม่มีที่

เสียงดังฮือฮาขึ้นอีกครั้งในลานประมูล

และมีคนมองผู้หญิงข้างๆที่สายตาเต็มไปด้วยความปรารถนา จับกระเป๋าพกแล้วถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้

“ชุดนี้มีชื่อว่าTears of the Blue Sea เจ้าของงานประมูลนี้ได้เพชรชั้นยอดสีน้ำเงินนี้มาโดยบังเอิญ เชิญนักออกแบบชั้นนำระดับนานาชาติจากอิตาลีมาออกแบบและผลิตให้โดยเฉพาะ จะพูดว่ามันเป็นเครื่องประดับชุดหนึ่ง หรืองานศิลปะชิ้นหนึ่งก็ได้ แต่ผมว่า จะใช้ความใฝ่ฝันทั้งปวงของเหล่าสาวๆมาบรรยายถึงมันเลยก็ได้ ”

เมื่อแนะนำเสร็จ

ผู้จัดประมูลก็ประกาศเสียงดัง:“เปิดประมูลอยู่ที่ราคา50ล้าน แข่งราคาบิทละ10ล้าน เริ่งแข่งประมูลได้!”

ปัง!

“50ล้าน?ยังเป็นราคาเปิดประมูล?แม่เจ้าโว้ย ไม่มีปัญญาซื้อๆ!”

“โห เงินที่ฉันหามาทั้งชีวิตยังเทียบราคาTears of the Blue Seaชุดนี้ไม่ได้เลย?”

“งานศิลปะที่สวยงามขนาดนี้ ราคาคุ้มค่าจริงๆ ถ้ามีคนประมูลให้ฉัน ฉันตายก็คุ้มค่า”

……

เสียงฮือฮาดังก้องชั้นหนึ่งของลานประมูล

และขณะนั้นเอง

จู่ๆน้ำเสียงเรียบๆก็ดังมาจากห้องส่วนตัวชั้นสอง

“100ล้าน!”

ณ ห้องส่วนตัวชั้นสอง

แสงไฟละมุน

ขณะเฉินตงและฉินเย่เดินเข้าไปในห้อง มองบรรยากาศรอบๆแล้วสบตากัน

เมื่อพนักงานออกไป

เฉินตงขมวดคิ้วพูด:“ห้องประมูลส่วนตัวล้วนเป็นแบบนี้งั้นเหรอ?”

“ผมก็งงเหมือนกัน”ฉินเย่ทำหน้าแย่ๆ“จัดแต่งได้ร้อนแรงมาก”

เฉินตงยิ้มมุมปาก แล้วนั่งบนเก้าอี้เอนอย่างไม่มีความรู้สึก

ถ้าแค่แสงไฟละมุนก็แล้วไป

แต่ที่สำคัญคือกลิ่นหอมแรงๆที่ตลบอบอวลไปทั้งห้องนี่สิ บนผนังยังแขวนภาพศิลปะบนเรือนร่างกึ่งเปลือยด้วย

นี่……มีร่วมงานประมูลหรือมาชมนิทรรศการศิลปะกันแน่?

สองหนุ่มอยู่ในห้องส่วนตัวเช่นนี้ ทำให้รู้สึกแปลกๆ

แต่เฉินตงกลับพบว่าหน้าต่างยาวจากเพดานจรดพื้นของห้องส่วนตัวนี้ อยู่ตรงข้ามเวทีประมูลพอดี สามารถเห็นวิวด้านล่างทั้งหมด น่าจะเป็นห้องที่ตำแหน่งดีที่สุด

ตระกูลจางกำลังแสดงความจริงใจ ทว่า……

เฉินตงกวาดตามองรอบห้อง สุดท้ายก็มองไปยังฉินเย่

ความจริงใจนี้เกินไปหน่อยจริงๆ

เมื่อรู้สึกถึงสายตาของเฉินตง ฉินเย่ก็ทำหน้าขรึม:“อย่าคิดมาก!”

“ออกไป!”

เฉินตงด่าติดตลกไปทีหนึ่ง

ก็อกๆ!

เสียงเคาะประตู

ถัดไป เสียงอ่อนหวานดังมาจากด้านนอก

“ฉันคือจางหยู่หลันตระกูลจาง เข้าไปได้ไหมคะคุณเฉิน?”

เฉินตงพยักหน้า

ฉินเย่จึงพูดขึ้น:“เข้ามาสิ”

เมื่อจางหยู่หลันที่สวมชุดกระโปรงยาวสีขาว เดินเข้ามาให้ห้องอย่างสวยหยาดเยิ้ม

ใบหน้าอันสาวงามก็ปรากฏความประหลาดใจขึ้นทันที

เฉินตงและฉินเย่ก็ประหลาดใจเช่นเดียวกัน

เฉินตงรู้แค่ว่าคืนนี้ตระกูลจางแห่งเมืองหลวงเป็นคนเชิญมา แต่ไม่เคยคิดเลยว่าคนที่มาจะเป็นผู้หญิง

และยังเป็นผู้หญิงที่สวยหยาดเยิ้ม!

ภายใต้แสงไฟอ่อนละมุน ชุดกระโปรงยาวสีขาวเติมแต่งให้จางหยู่หลันสมบูรณ์แบบ ทุกส่วนเว้าส่วนโค้งก็พอดิบพอดี

ใบหน้าสะสวย เมื่อรวมกับสัดส่วนที่แทบสมบูรณ์แบบ สีชมพูอ่อนๆ ดวงตาที่เหมือนดั่งดวงดาว เมื่อเทียบกับดาราใหญ่ในทีวี เธอสวยกว่ามาก

ขณะที่เฉินตงตกตะลึง สิ่งแรกที่แวบเข้ามาในสมองคือกู้ชิงหยิ่ง

สวยเลิศล้ำทั้งคู่ แต่เมื่อเทียบกันกู้ชิงหยิ่งดูดีกว่า ส่วนจางหยู่หลันให้ความรู้สึกเหมือนเป็นคนเจ้าเล่ห์

สวยเหมือนกัน แต่คนหนึ่งอยู่บนสวรรค์ คนหนึ่งอยู่บนโลก

“สวยมาก!”

เสียงตกใจของฉินเย่ ทำลายความเงียบในห้องไป

จางหยู่หลันได้สติจากความประหลาดใจ แล้วกวาดตามองเฉินตงอย่างเอือมระอาแวบหนึ่ง

เป็นแค่บอดี้การ์ด คิดไม่ถึงว่าจะเข้ามาในห้องนี้กับคุณเฉินด้วย?

ฉันอุตส่าวางแผนไว้อย่างดี แต่เสียบรรยากาศเพราะบอดี้การ์ดคนนี้

สายตาเอือมระอาของจางหยู่หลันหายวับไป แต่เฉินตงก็สังเกตเห็นได้อย่างง่ายได้

เฉินตงงุนงง เชิญฉันมาเพื่อแสดงสีหน้าใส่ฉันงั้นเหรอ?

“คุณเฉิน ฉันคือจางหยู่หลัน ลูกสาวจากภรรยาเอกตระกูลจาง”

จางหยู่หลันสีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ให้ความรู้สึกเหมือนได้รับการอบรมสั่งสอนมาอย่างดี ขณะเดินเข้ามาสะโพกบิดไปมา ท่าทางสะกดใจมาก

จากนั้น ภายใต้สายตาตกตะลึงของเฉินตงและฉินเย่

จางหยู่หลันเอียงตัวเล็กน้อย เดินไปตรงหน้าฉินเย่ จากนั้นยื่นมือขวาออกไป:“เจอกันครั้งแรก คุณเฉินโปรดชี้แนะด้วย”

จำคนผิด?!

เฉินตงและฉินเย่สบตากัน งงกันทั้งคู่

จู่ๆเฉินตงก็รู้สึกตลกขึ้นมา

ภาพพจน์ของตนเมื่อเทียบกับฉินเย่ ไม่เหมือนลูกคนรวยขนาดนั้นเลย?

ตระกูลจางแห่งเมืองหลวงเชิญเขามา แต่ขนาดใครคือเฉินตงยังไม่รู้ ผิดพลาดตั้งแต่เริ่มเลย?

จางหยู่หลันขมวดคิ้วเล็กน้อย มองเฉินตงอย่างโกรธๆ:“มีอะไรน่าตลกงั้นเหรอ?”

เธอรู้สึกไม่ดีกับบอดี้การ์ดตรงหน้าคนนี้มากๆ

ห้องส่วนตัวห้องนี่เธอกับปู่เป็นคนเตรียมไว้ เดิมทีเธอกับเฉินตงควรอยู่กันสองคนตามลำพัง

เธอเชื่อว่าจากความสวยและความเจนโลกของเธอ สามารถเพิ่มความรู้สึกดีๆกับเฉินตงเป็นเท่าตัวได้ในชั่วข้ามคืน

แต่บอดี้การ์ดคนนี้กลับกลายเป็นขวากหนามของแผนการในครั้งนี้

เฉินตงหุบยิ้ม และไม่ได้โกรธ กลับกันเขากลับรู้สึกว่าสถานการณ์นี้น่าสนใจมาก

ถ้าอีกเดี๋ยวจางหยู่หลันรู้ความจริง จะมีท่าทียังไง?

จางหยู่หลันมองฉินเย่ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม:“คุณเฉินใจกว้างมากจริงๆ ที่ไม่ให้บอดี้การ์ดยืนรอหน้าประตู แต่ให้เข้ามาในห้องด้วยกัน นี่ต่างจากลูกคนรวยคนอื่นๆที่จางหยู่หลันเคยเจอมาเลย”

“ฮะฮ่า!”

ทันใดนั้นฉินเย่ก็หัวเราะออกมา หน้าแดงเล็กน้อย

ภาพนี้ทำให้จางหยู่หลันอึดอัด ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

พูดอะไรผิดงั้นเหรอ?

ฉินเย่โบกมือไปมาทันที:“ไม่เป็นไรๆ เหมือนพี่น้องนั่นแหละ จะถือสาได้ยังไง?”

เฉินตงไม่โต้แย้ง ฉินเย่ก็ครุ่นคิด ไม่ได้อยากบอกความจริงกับจางหยู่หลัน

ขณะพูดฉินเย่ก็เดินเข้าไป ก้มหน้ามองจางหยู่หลันด้วยสายตาอ่อนโยน

ริมฝีปากเปิดออกเบาๆ พูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ:“ที่ทำให้ผมคาดไม่ถึงคือคุณจางหยู่หลันจะสวยขนาดนี้ ทำให้ผมประหลาดใจมากจริงๆ”

รับรู้สายตาของฉินเย่ พลางฟังคำพูดที่เต็มไปด้วยความชื่นชม

จางหยู่หลันแอบดีใจ

ความประทับใจแรกมีแล้ว ต่อไปก็จัดการง่ายแล้วล่ะ

เธอมีหลายวีธีที่จะรับมือกับคนไม่เอาถ่าน

เพิ่มความรู้สึกดีนั้นง่ายนิดเดียว

“คุณเฉินพูดเป็นเล่นไป ความสวยของจางหยู่หลัน เหมาะสมกับคำชมของคุณเฉินที่ไหนกัน?”

มือเรียวยาวขาวของจางหยู่หลันจับมือขวาฉินเย่ไว้ หลังจากสัมผัสมือ เธอรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าฉินเย่มือสั่น ความมั่นใจของเธอก็เพิ่มขึ้นทันที

ที่สุดแล้วก็เป็นการจับมือแบบมารยาท ทั้งสองปล่อยมือกันโดยเร็ว

แต่ฉินเย่และจางหยู่หลันยังคงสบตากัน ทั้งคู่แฝงไปด้วยรอยยิ้มบางๆ

บอกว่าเป็นการเล่นหูเล่นตาก็ไม่เกินไป

เฉินตงเห็นกับตา หน้าแดงเล็กน้อย

สายตาเขาเหลือบไปเห็นแสงไฟละมุนที่ถูกจัดเตรียมไว้ด้านล่างห้องส่วนตัว

เฉินตงรู้ถึงจุดประสงค์ของตระกูลจางแล้ว

ตระกูลจางดีสนิทเก่ง แต่กลับไม่รู้จักสืบเรื่องของฉันมาให้ดีหรือยังไง?

ไม่รู้จักฉันก็แล้วไป แต่สืบไม่รู้ว่าฉันมีคู่หมั้นแล้วงั้นเหรอ?

“นั่งสิ”

ครู่ใหญ่ ฉินเย่จูงมือจางหยู่หลัน และเชิญให้จางหยู่หลันนั่งอย่างสุภาพบุรุษสุดๆ

ส่วนจางหยู่หลันก็แสดงออกมาอย่างสำรวมมีมารยาท แต่หน้าตายังคงสง่า

เมื่อทั้งคู่นั่งลงก็พูดคุยกันอย่างเฮฮา

เฉินตงกลับเหงา นั่งเปล่าเปลี่ยวอีกด้านอยู่คนเดียว

แต่เขาก็ไม่แคร์ เขาไม่ชอบสถานการณ์แบบนี้

จางหยู่หลันจำคนผิด พอดีเลย ให้ฉินเย่ที่มีลูกไม้แพรวพราวเป็นไม้กันหมาให้เขา

พวกเขาจะคุยกันยังไงก็ช่าง แค่ไม่ประทับใจเขาก็พอ

“จริงสิคุณเฉิน งานประมูลคืนนี้น่าสนใจดีนะคะ”

จู่ๆจางหยู่หลันก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอ่อนช้อย

เฉินตงเลิกคิ้ว หันไปมองโดยสัญชาตญาณ

จางหยู่หลันรู้สึกได้ถึงสายตาของเฉินตง ก็พลางขมวดคิ้ว จากนั้นหันไปพูดยิ้มๆกับฉินเย่:“ของประมูลชิ้นสุดท้ายในคืนนี้คือเครื่องประดับTears of the Blue Seaชุดหนึ่ง เป็นเพชรสีน้ำเงินทั้งเม็ด ออกแบบและผลิตโดยดีไซเนอร์ชั้นนำเลย ผู้หญิงทุกคนต้องชอบอย่างแน่นอน”

บอกเป็นนัยๆ!

ดูจากลำดับในวงค์ตระกูลของจางหยู่หลัน คงไม่ต้องให้คนประมูลTears of the Blue Seaให้เธอหรอก แต่นี่เป็นเหมือนการทดสอบได้

ถ้า“เฉินตง”ประมูลให้เธอ งั้นความสัมพันธ์ก็ก้าวขึ้นไปอีกขั้น

เฉินตงลูบจมูกไปมา สายตาล้ำลึก ครุ่นคิด

“Tears of the Blue Sea?ดูเหมือนว่าหลังจากคบกับเสี่ยวหยิ่ง ยังไม่เคยให้ของขวัญอะไรเธอเลย”

ไม่กี่วันให้หลัง

เฉินตงยุ่งอีกครั้ง ต้องเป็นผู้นำโครงการของไท่ติง

และต้องสร้างโครงสร้างบริษัทการเงินกับฉินเย่ด้วย หลังจากนั้นแค่เป็นน้าวนำฉินเย่ก็พอ

ส่วนเมืองหลวง เพราะข่าวก่อความวุ่นวายของตระกูลหลี่ เขาจึงไม่ใส่ใจ

ตระกูลหลี่เช่นนั้น แม้เสื่อมโทรมกำลังจะล่มจม ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขา

ทุกวันเวลาสองทุ่ม เลิกงานแล้วกลับบ้าน กู้ชิงหยิ่งมาอยู่เป็นเพื่อนหลี่หลานที่เขตวิลล่าเขาเทียนซานทุกวัน เพราะเรื่องที่หลี่หลานโดนลักพาตัวนั่น

และสอนฟ่านลู่ทำอาหารด้วยบางครั้ง

เรียบง่ายและมีความสุข ทำให้เฉินตงรู้สึกอบอุ่นหัวใจ

แต่ที่เฉินตงไม่สนใจเรื่องตระกูลหลี่ในเมืองหลวง แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาสามารถหลีกเลี่ยงเรื่องนี้ได้จริงๆ

พลบค่ำ

เฉินตง ท่านหลง คุนหลุน และฉินเย่ทั้งสี่คนนั่งดื่มเบียร์ตากลมกันบนดาดฟ้า

ดาดฟ้าชั้นบนสุดของคฤหาสน์ กลายเป็นที่สำหรับพักผ่อนในยามว่างของทั้งสี่คน

“คุณชาย ช่วงนี้เรื่องในเมืองหลวงมีไม่น้อยเลย”ท่านหลงพึมพำ

เฉินตงยิ้มอย่างคาดเดาไม่ได้

ฉินเย่ดูดเบียร์ไปหนึ่งอึก แล้วพูด:“แค่พริบตาเดียวตระกูลหลี่ก็ขึ้นตำแหน่งตระกูลที่รวยที่สุดในเมืองหลวงตั้งหลายปี มีกี่คนที่อยากได้ตำแหน่งนั้นมากมาย ครั้งนี้พี่ตงกับผู้นำตระกูลเฉินถลกหนังหน้าตระกูลหลี่ออกแล้ว คนพวกนั้นต้องอาศัยตอนที่ตระกูลหลี่ไม่สู้ดี เอาชีวิตพวกเขาแน่นอน”

เขาพูดพลางยักไหล่:“และซีสู่ตระกูลฉินก็มีคนอยากลากเขาลงจากตำแหน่งอย่างลับๆเช่นกัน”

ท่านหลงเบ้ปาก พลางมองท้องฟ้ายามค่ำคืน:“ฉันไม่สนใจเรื่องในเมืองหลวงหรอก แต่ตอนนี้เรื่องในเมืองหลวง ค่อยๆพัดมาถึงที่นี่อย่างช้าๆ”

เฉินตงขมวดคิ้วเป็นปม มองท่านหลงอย่างประหลาดใจ

เขาไม่สนใจว่าตระกูลหลี่จะเป็นตายร้ายดียังไง แม้เมืองหลวงจะวุ่นวายไปหมด แต่เขาก็ยังมั่นคง

แต่เรื่องสะพัดมาถึงทางนี้แล้ว สุดท้ายเขาและไท่ติงก็ต้องถูกพัดเข้าไปในกระแสน้ำวนอยู่ดี

จากอำนาจของเขาในตอนนี้ ยังไม่ใช่เวลาที่จะตีเสมอตัวเต็งของเมืองหลวง

ฉินเย่ก็มีท่าทีจริงจังขึ้นมา

ตนนั้นเป็นคนตระกูลฉิน มีความเกี่ยวข้องชัดเจนที่สุด

“การเคลื่อนไหวนั้นคืนนั้นเอิกเกริกเกินไป คนมีความสามารถที่ซ่อนอยู่ของเมืองหลวงตรวจสอบได้ง่ายมาก”

ฉินเย่ขมวดคิ้วพลางพูด:“พี่ตง เรื่องนี่พี่มีความคิดเห็นยังไง?”

“จับตาดูไว้”

เฉินตงหัวเราะกับตัวเอง:“เรื่องในเมืองหลวงแพร่สะพัดมา ไท่ติงที่อยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ทำอะไรไม่ได้นอกจากจับตาดู”

“ที่จริงคุณชายก็ไม่มีอะไรต้องกังวล ยังเบื้องหลังคุณชายยังมีท่านผู้นำตระกูล และตระกูลเฉิน”คุนหลุนพูดปลอบ

ฉินเย่ยักคิ้วพลางพูด:“ตระกูลหลี่รู้เบื้องหลังของพี่ตง แต่ก็ยังลักพาตัวคุณนะ?”

คุนหลุนไม่มีอะไรจะพูด

แต่ท่านหลงกลับยิ้มเบาๆ:“เอาเถอะ ดูสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป ดีหรือร้ายก็แล้วแต่มุมมอง”

……

เช้าวันรุ่งขึ้น

หลังเฉินตงและคุนหลุนฝึกซ้อมปีศาจ กินอาหารเช้า ก็เตรียมตัวไปบริษัท

แต่รปภ.ของเขตวิลล่าเขาเทียนซาน ก็เอาจดหมายทักทายมาส่งหน้าประตู

พอเปิดจดหมายออกเฉินตงก็เศร้าใจทันที

“เร็วขนาดนี้เลยเหรอ?”

“จากเมืองหลวง?”ท่านหลงขมวดคิ้วถาม

เฉินตงพยักหน้า ถอนหายใจอย่างทำอะไรไม่ได้:“จากตระกูลจางในเมืองหลวง เชิญผมร่วมงานประมูลในเมืองคืนนี้”

“งานประมูล?”

ท่านหลงตกใจ จากนั้นพูดอย่างยิ้มๆ:“ในเมื่อเชิญไปงานประมูล งั้นคงมาด้วยเจตนาดี”

เฉินตงลังเลครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้น:“ท่านหลง พูดเรื่องตระกูลจางนี่กันบนรถเถอะ”

เขาขลุกอยู่กับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มาเป็นเวลาสามปี รู้จักตระกูลที่เกี่ยวกับสังหาริมทรัพย์เป็นอย่างดี

แต่นักธุรกิจรายใหญ่คนอื่นๆนอกวงการ ต้องถามท่านหลงแล้วล่ะ

ขับโรลส์รอยซ์ไปยังบริษัทไท่ติง

บนรถ ท่านหลงก็เล่าออกมา:“คุณชาย ตระกูลจางนี้นับได้ว่าเป็นตระกูลที่ไม่ค่อยมีทรัพย์สินอะไร ไม่ค่อยมีอำนาจในเมืองหลวงนักกิจการหลักก็เป็นในวงการบันเทิง หลังจากทำงานหนักมาสามชั่วอายุคน เขาได้กลายเป็นผู้มีอำนาจในวงการบันเทิง และได้ร่วมมือกับบริษัทภาพยนตร์นานาชาติแล้ว”

ไม่ค่อยมีอำนาจ

ไม่ค่อยมีทรัพย์สินอะไร

เฉินตงจับจุดสำคัญจากที่ท่านหลงพูดได้อย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็โล่งอก

ตระกูลจางคงเป็นอย่างที่ท่านหลงพูดจริงๆ มาด้วยเจตนาดี ต้องการคบค้าสมาคมกัน

ไม่งั้นตระกูล“อ่อนแอ”แบบนี้ กล้าจัดการเขางั้นเหรอ?

เฉินตงบิดขี้เกียจแล้วพูด:“คืนนี้ผมจะให้ฉินเย่ไปกับผม”

ท่านหลงพยักหน้า และไม่สงสัยว่าทำไม่เฉินตงถึงพาฉินเย่ไปไม่ใช่เขา

ความจริงเฉินตงก็คำนึงถึงอายุของท่านหลง เมื่อก่อนไม่มีคนอื่นให้เรียกใช้ ต้องพึ่งแต่ท่านหลง วันนี้มีฉินเย่จากตระกูลร่ำรวยอยู่ สามารถแบ่งเบาภาระท่านหลงได้แล้ว

ทำงานยุ่งมาทั้งวัน

ณ เวลา6โมงเย็น

เฉินตงเลิกงานตรงเวลา เดินลงไปชั้นล่างและรออยู่ครู่หนึ่ง

ได้ยินเสียงของเครื่องยนต์ดังกระหึ่มจากมุมถนนจากไกลๆ ดังไปทั้งถนน

ทันใดนั้นเฉินตงก็เห็นรถเคอนิกเส็กก์สีดำขับเข้ามา

บรื้น!

รถเคอนิกเส็กก์จอด แล้วเปิดประตูออก ฉินเย่เดินออกมา:“พี่ตง ไปกัน!”

เฉินตงหัวเราะออกมา

เห็นรถเคอนิกเส็กก์แล้วใจเต้นแรงนิดหน่อย

รถคันนี้แพงมากเลย!

“พี่ตง อย่าอึ้งอยู่ แค่รถคันเดียวตกใจอะไรเนี่ย?”ฉินเย่ยิ้มอย่างถากถาง

เฉินตงยู่ปาก พลางเข้าไปนั่งในรถ

เมื่อรู้สึกได้ถึงความหรูหราในรถ เขาก็งุนงงเล็กน้อย

เขาเป็นผู้สืบทอดตระกูลเฉิน ฉินเย่เป็นลูกที่ถูกทอดทิ้งของตระกูลฉิน

พวกเขาสถานะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่กลับทำให้เฉินตงรู้สึกเหมือนตอนนี้เขาต่างหากที่เป็นลูกที่ถูกทอดทิ้ง

“ฉินเย่ นายมีเงินออมส่วนตัวเท่าไหร่กันแน่เนี่ย?”

เฉินตงถามอย่างอดไม่ได้:“ตอนแรกก็ขายคฤหาสน์หลังข้างๆบ้านฉันก่อน ตอนนี้ซื้อถือรถที่แพงขนาดนี้ นายต่างหากที่เหมือนผู้สืบทอดตระกูลเฉิน?”

“มีไม่เท่าไหร่ๆ”

ฉินเย่ยิ้มอย่างมีลับลมคมใน ขับรถพลางมองเฉินตงอย่างดูถูกแวบหนึ่ง:“พ่อพี่ให้เงินพี่เยอะขนาดนั้น แต่พี่กลับเก็บไว้ไม่เอาออกมาใช้ หรือจะไม่อนุญาตให้ผมเอาออกมาใช้ได้วย?”

เฉินตง:“……”

รถเคอนิกเส็กก์ขับด้วยความเร็ว

เมื่อมาถึงงานประมูลก็เป็นเวลา1ทุ่มแล้ว

ตกกลางคืน

เห็นสิ่งปลูกสร้างโบราณที่อยู่ตรงหน้า เฉินตงก็เคลิบเคลิ้มไปเล็กน้อย

เขาเคยไปสถานที่ระดับหรูหรามาไม่น้อย แต่เขาเคยมางานประมูลเป็นครั้งแรก

ทำตัวไม่ถูก

แต่ฉินเย่เดินเข้าไปในงานประมูลอย่างราบรื่น

เขาเดินพลางแขวะเฉินตง:“พี่ตง ของประมูลนี่ของพี่ใช้ไม่ได้ หรือของประมูลของซีสู่มีสไตล์กัน พี่ดูชื่อของประมูลนี่สิ ศาลเทียนเป่า เชยเสียจริงๆ”

เฉินตงยิ้มออกมา

ทั้งสองเดินมาถึงทางเข้า ยื่นบัตรเชิญ ขยับเนคไทเล็กน้อยแล้วเดินเข้าไปในงานประมูล

ทันใดนั้นแสงไฟก็สลัวลง

เมื่อเดินไปตามทางเดินยาวไปจนถึงด้านในลานประมูล ไฟทั้งงานส่องไปแค่บนเวทีที่เดียว

“ท่านทั้งสอง กรุณาตามผมมา”

คนในลานประมูลเดินนำเฉินตงและฉินเย่ไปยังห้องส่วนตัวชั้นสอง

ขณะที่ทั้งสองขึ้นไปด้านบน

จู่ก็มีเสียงอันอ่อนโยนดังขึ้นในความมืดระยะไกลๆ:“คุณปู่ เฉินตงผู้นั้นดูไม่จริงจังกับอะไรทั้งสิ้น เหมือนคนไม่เอาถ่าน!”

ทันใดนั้น เสียงหัวเราะแหบๆก็ดังขึ้น:“จางหยู่หลัน สายข่าวของตระกูลจางสามารถตรวจสอบเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้นได้ นับว่าสุดขีดความสามารถแล้ว แต่ยังสืบหน้าตาของเฉินตงไม่ได้ อีกเดี๋ยวเธอต้องปรับตัวไปตามสถานการณ์ ถ้าจำเฉินตงผิดคน ก็จะเสียกันไปหมด”

“ไม่ต้องห่วงค่ะ เป็นหมอนั่นแน่นอน ชายในชุดสูทรองเท้าหนังข้างๆเขา ท่าทางระมัดระวังมากเกินไป เป็นถึงผู้สืบทอดตระกูลเฉิน จะเสแสร้งกับงานเล็กๆแบบนี้ได้ยังไง?”น้ำเสียงที่อ่อนโยนเต็มไปด้วยความมั่นใจ

“ก็จริง”

เสียงแหบๆจู่ๆก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม:“จางหยู่หลัน เธอจะโทษปู่ไหม?คืนนี้ตระกูลจางล้วนต้องพึ่งเธอแล้ว ถ้าเธอได้รับความเชื่อถือจากเฉินตง อนาคตของตระกูลจางก็เหลือทางรอดอีกทาง”

“ไม่โทษคุณปู่ค่ะ ยิ่งไปกว่านั้นเฉินตงเป็นถึงผู้สืบทอดตระกูลเฉิน ต่อให้เขาอยู่ใต้กระโปรงทับทิมของหลาน หลานก็ไม่ได้เสียเปรียบนี่”

ในความมืด ร่างสูงในชุดกระโปรงยาวเดินไปที่ชั้นสองอย่างช้าๆ……

เฉินเต้าหลินไปแล้ว

มาอย่างกะทันหัน ไปก็ไปอย่างกะทันหันเช่นกัน

นี่ทำให้เฉินตงที่ได้สติกลับมาและสงบลง รู้สึกหดหู่แปลกๆ

หลี่หลานเดาสิ่งในใจเฉินตงออก เธอยิ้มให้อย่างอ่อนโยน:“พ่อของลูกรอพวกเรากลับบ้านอยู่ที่บ้าน”

คำพูดเรียบง่าย แต่มีความหมายอื่น

เฉินตงตาเป็นประกายระยิบระยับ

กำหมัดแน่น

20กว่าปีที่พึ่งพาซึ่งกันและกัน

เขาต้องเดินเข้าไปในตระกูลเฉินอย่างสง่าผ่าเผย ให้แม่มีเกียรติที่เดิมควรจะเป็นของเธอ

เงียบตลอดคืน

เช้าแล้ว ฝนก็หยุดตก

เฉินตงและคนอื่นๆออกจากเมืองหลวงอย่างเร่งรีบ

เรื่องตระกูลหลี่เมื่อคืน ทำให้เมืองหลวงวุ่นวายมากแน่นอน

ในสายตาเฉินตง เมืองหลวงที่ผ่านไปหนึ่งคืน กลายเป็นน้ำวนระลอกใหญ่แล้ว

การอยู่นานๆจะทำให้พวกเขาติดเข้าไปในนั้นด้วย

เขาไม่มีความรู้สึกดีๆต่อตระกูลหลี่แม้แต่น้อย

มีแต่ความรังเกียจ โกรธแค้น และเกลียดชัง

แม้ตระกูลหลี่ยอมให้เขาเป็นผู้นำตระกูล เขายอมดิ้นรนเพื่อโอกาสอันน้อยนิดในการเป็นผู้นำตระกูลเฉินซะยังจะดีกว่า

กระแสน้ำวนของตระกูลหลี่ เขาไม่อยากเข้าไปมีส่วนร่วม

ความจริงก็เป็นไปอย่างที่เฉินตงคิดไว้จริงๆ

เกิดขึ้นในคืนเดียว

ผู้มีอำนาจต่างๆได้ตรวจสอบถึงจุดเริ่มต้นสาเหตุของตระกูลหลี่เมื่อคืนนี้อย่างชัดเจนแล้ว

แม้การมาของเฉินเต้าหลินไม่ถึงขั้นพังฟ้าทลายดิน แต่เพียงพอที่จะทำให้สั่นกันไปทั้งเมืองได้

ผู้มีอำนาจทุกคนต่างตกตะลึงกับการปรากฏตัวของเฉินเต้าหลิน

ใครจะไปรู้ว่าลำดับชั้นของตระกูลเฉิน จะสูงกว่าตระกูลหลี่ที่อยู่ในระดับที่ร่ำรวยที่สุดล่ะ

ขณะที่ตกใจ ผู้มีอำนาจระดับใหญ่บางส่วน ตอบสนองอย่างรวดเร็ว

เมื่อตลาดหุ้นเปิด ราคาหุ้นของธุรกิจในเครือตระกูลหลี่ก็ดิ่งลงอย่างรุนแรง

ไม่เพียงเท่านั้น ความคิดซ่อนเร้นก็รวมตัวกันเกิดขึ้นในเมืองหลวง

ในคฤหาสน์ปราสาทตระกูลหลี่

ระเบิดเมื่อคืนทำให้คฤหาสน์ปราสาทพังไปหมด เสียหายอย่างหนัก

กำแพงก็พัง สวนดอกไม้อันกว้างใหญ่ก็พัง

เหลือแค่คฤหาสน์ที่เดียวที่ไม่พัง

ถ้าไม่ใช่เพราะคุณท่านใหญ่หลี่ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว เกรงว่าคฤหาสน์คงโดนระเบิดไปด้วยแล้ว

ตระกูลหลี่ที่เคยรุ่งโรจน์ ตอนนี้ภายใต้ดวงอาทิตย์ เผยให้เห็นถึงความเศร้าสลดที่เกือบตาย

ทุกคนในตระกูลหลี่ล้วนหวาดกลัวและเศร้าสลด

เรื่องเมื่อคืน ทำหึความหยิ่งยโสของคนตระกูลหลี่แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ

ณ ห้องอันหรูหราภายในคฤหาสน์ห้องหนึ่ง

คุณท่านใหญ่หลี่นั่งหน้าหน้าต่างอยู่เงียบๆ ในมือถือซิการ์ที่ไฟลุกโชน

มองจากมุมนี้เห็นสวนดอกไม้ที่พังไม่เป็นท่าพอดี

คุณท่านใหญ่หลี่ตาแดงก่ำ สีหน้าดูเหนื่อยหน่าย

เขาไม่ได้นอนทั้งคืน นั่งอยู่ตรงนี้อยู่ทั้งคืน

แม้ผ่านไปแล้วหนึ่งคืน เขาก็ยังเต็มไปด้วยความโกรธแค้น

“พ่อ”

เสียงหลี่เต๋อซานดังมาจากด้านหลัง:“หมอบอกว่าห้ามสูบบุหรี่”

คุณท่านใหญ่หลี่ยิ้ม:“ร่างกายอย่างฉันยอมรับไปนานแล้ว ที่สูบบุหรี่ไม่ได้ก็เพื่อสุขภาพร่างกาย แต่มันทำให้ฉันอยู่ได้พันปีงั้นเหรอ?”

หลี่เต๋อซานท่าทางเชื่องช้า

ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้น:“พ่อ ที่จริงๆพวกเรากี่คนพี่น้อง สามารถดูแลตระกูลหลี่ได้ แต่พ่อไม่ยอมวางมือ”

ตอนพูดเขาพลางกวาดตามองคุณท่านใหญ่หลี่

หวาดกลัวเป็นอย่างมาก

เพราะเขารู้ว่านี่หมายถึงให้พ่อเลือกผู้นำตระกูลใหม่

ไม่ต่างจากบีบบังคับให้กษัตริย์ออกจากตำแหน่งอย่างในสมัยโบราณ !

“ฮ่าๆ ใครกันในหมู่พี่น้องพวกแก?”

คุณท่านใหญ่หลี่ยิ้มอย่างอ้างว้าง:“ฉันก็อยากมอบอำนาจ ออกจากตำแหน่งผู้นำตระกูลนี่เหมือนกัน แต่พวกแกใครจะรับตำแหน่งผู้นำตระกูลได้?พวกแกต่างกล้าหาญแต่ไม่มีกลยุทธ์ เป็นพวกเชี่ยวชาญกับศึกภายในแต่ทำอะไรไม่เป็น”

ลักษณะนิสัยของเหล่าลูกชาย อยู่ในสายตาคุณท่านใหญ่หลี่มาตั้งแต่เล็กจนโต

ถ้าไม่ใช่เพราะรู้อยู่แก่ใจ เขาจะใช้ความพยายามอย่างมากวางแผนให้เฉินตงที่สกุลเฉินมาเป็นผู้นำตระกูลทำไม?

แม้เขาจะคิดว่าทำยังไงให้ลูกชายนำพาตระกูลหลี่ให้มั่นคงในอนาคต และช่วงชิงตำแหน่งผู้นำตระกูลของเฉินตง

แต่อย่างน้อยช่วงที่เฉินตงเป็นผู้นำตระกูล ตระกูลหลี่จะกลายเป็นตัวตลกและที่น่าอับอายในสายตาคนนอก

หลี่เต๋อซานหน้าแดง

แต่กัดฟันฝืนพูดต่อ:“พ่อ ผมคิดว่าผมสามารถดูแลตระกูลหลี่ได้แล้ว พ่ออาจยังไม่รู้ เพราะการกระทำของพ่อ วันนี้ราคาหุ้นบริษัทในเครือตระกูลหลี่ร่วงพร้อมกันอย่างหนัก บางบริษัทก็หยุดไปแล้ว”

“ผมไม่รู้ก็เดาออกว่าอนาคตตระกูลหลี่ในเมืองหลวงยังมีเรื่องลำบากหนักกว่านี้อีก”

คุณท่านใหญ่หลี่สีหน้าเคร่งขรึม ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้:“การมาของเฉินเต้าหลินเมื่อคืน มือใหญ่ๆของเขาได้ก่อกวนสถานการณ์ทั้งเมืองหลวง เมื่อคืนคนเหล่านั้นอาจเริ่มลับมีด เตรียมตัวจัดการตระกูลหลี่แล้ว”

ตระกูลหลี่อยู่ในฐานะที่ร่ำรวยที่สุดมาหลายปีแล้ว

เมื่อมีชื่อเสียงมากก็ยิ่งตกเป็นเป้าโจมตี มีศัตรูไม่น้อย

ในเมืองหลวง มีคนอยากแทนที่ตระกูลหลี่อันรุ่งโรจน์เป็นจำนวนมาก

แต่เกรงกลัวอำนาจที่รวยอันดับหนึ่งของตระกูลหลี่มาโดยตลอด ไม่กล้าลงมือ

นี่ทำให้เมืองหลวงสงบมาโดยตลอด

การมาของเฉินเต้าหลินเมื่อคืน ทิ้งระเบิดไว้10กว่าลูก

และถลกเส้นสนกลในของตระกูลหลี่ซะหมดจด คุณท่านใหญ่หลี่เข้าใจดีเมื่อโดนถลกหนัง ก็เผยให้เห็นเนื้อหนังด้านใน เป็นสิ่งที่คนเหล่านั้นหวังมากที่สุด

“งั้นทำยังไงดี?”หลี่เต๋อซานหน้าถอดสี

คุณท่านใหญ่หลี่ยิ้มอย่างขมขื่น:“หากตงเอ๋ออยู่ที่นี่ เขาไม่ถามฉันแบบนี้แน่ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาเป็นผู้นำตระกูลได้ แต่พวกแกเป็นไม่ได้”

……

เมื่อเครื่องบินลงจอดที่สนามบิน

เวลาก็ล่วงเลยไป11โมงแล้ว

ท่านหลงเตรียมรถไว้เรียบร้อยแล้ว พอพวกเขาออกจากสนามบินก็นั่งรถกลับเขตวิลล่าเขาเทียนซานทันที

เมื่อมาถึงบ้าน

ฟ่านลู่เตรียมอาหารไว้เต็มโต๊ะ

พอเห็นหลี่หลาน ฟ่านลู่ก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พุ่งเข้าไปกอดหลี่หลานด้วยความดีใจ

“คุณน้า ตกใจหมดเลย ทำหนูตกใจจริงๆ”

หลี่หลานโดนฟ่านลู่พุ่งเข้าใส่ไปโดนแผล ก็ส่งเสียงออกมาทันที

ทำเอาฟ่านลู่ตกใจมาก รีบขอโทษทันที

หลี่หลานกลับพูดอย่างยิ้มๆ:“ไม่เป็นไรๆ บาดแผลเล็กน้อยไม่ร้ายแรงอะไร”

“แม่ กินข้าวก่อนเถอะ”

เฉินตงให้ฟ่านลู่พยุงแม่ของตน จากนั้นเธอก็ทักทายฉินเย่ ท่านหลงแล้วนั่งลง

ยังมีคนอยู่ในห้องครัว

เฉินตงมองฟ่านลู่:“มีใครอีกงั้นเหรอ?”

ฟ่านลู่พูดยิ้มๆ:“เสี่ยวหยิ่งไง หลังจากคุณน้าหายตัวไปฉันก็ตกใจมาก หลังจากบอกข่าวให้คุณชาย ฉันก็บอกเสี่ยวหยิ่งด้วย เธอรีบมาด้วยความตกใจทันที”

พูดจบ

ประตูห้องครัวก็เปิดออก

กู้ชิงหยิ่งที่ถูกเขม่าเขม่าควันจนหน้าแดง บนตัวใส่ผ้ากันเปื้อนเดินออกมาพลางถือน้ำซุปมาหนึ่งถ้วย

หลังจากวางซุปลงเธอก็ถูมือไปมาแล้วนั่งลงข้างๆหลี่หลาน พูดเต็มไปด้วยความรู้สึกเสียใจ:“ขอโทษนะคะคุณน้า ตอนเฉินตงไม่อยู่ฉันไม่ได้ดูแลน้าให้ดี”

จู่ๆก็ขอโทษ

ไม่เพียงทำให้หลี่หลานอึ้ง แม้แต่เฉินตงก็คาดไม่ถึง

แต่เฉินตงกลับรู้สึกอบอุ่นในใจ

เรื่องนี้กู้ชิงหยิ่งผิดอะไร?

เธออยู่คนเดียว แม่ถูกจับตัวในบ้านกู้ชิงหยิ่งรู้ได้ยังไง?

“เด็กโง่ น้าผิดเอง โทษตัวเองทำไม”หลี่หลานพูดเสียงอ่อนโยน

“แต่ฉันเป็นคู่หมั้นเฉินตง คุณเป็นแม่สามีในอนาคตของฉัน หลังจากเฉินตงออกไป ฉันควรดูแลคุณ แต่ฉันไม่ได้ดูแลคุณให้ดี แถมยังทำให้คุณโดนลักพาตัวไปอีก นี่เป็นความผิดของฉัน”กู้ชิงหยิ่งพูดอย่างจริงจัง

ทำให้เฉินตงและคนอื่นๆหัวเราะออกมา

เฉินตงลูบสั่นจมูกโด่งของกู้ชิงหยิ่งอย่างโกรธๆ:“เด็กโง่ ตรรกะค่อนข้างราบรื่นเลยนะ”

กู้ชิงหยิ่งย่นจมูก พลางจ้องเฉินตง

ทันใดนั้นจู่ๆฉินเย่ก็ยืนขึ้น

ยืนมือขวาให้เฉินตง:“พี่ตง เห็นแก่พี่สะใภ้ ผมจะเป็นเพื่อนกับพี่”

เฉินตงถลึงตา:“คุนหลุน หมอนี่!”

แม้คฤหาสน์ตระกูลหลี่จนอยู่บนภูเขา

แต่เรื่องในค่ำคืนนี้ แพร่สะพัดไปทั่วทุกข่าวสารบนอินเทอร์เน็ตของเมืองหลวงอย่างรวดเร็วปานสายฟ้า

ตระกูลหลี่โดนบุก

ตระกูลหลี่ดดนระเบิด แม้กระทั่งมีเครื่องบินรบออกปฏิบัติการ

แต่ละข้อมูลถูกส่งไปยังโต๊ะของผู้มีอำนาจต่างๆอย่างต่อเนื่อง

ทุกคนล้วนตกตะลึง

พูดว่าอึ้งกันไปทั้งเมือง ก็ไม่เกินไป

ในเมืองหลวง ตระกูลหลี่เป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด สถานะไม่สั่นคลอน

ใครกัน?

กล้ากระตุกหนวดเสือแบบนี้?

เพียงเวลาสั้นๆ ก็มีคนยินดียินร้ายกับความโชคร้ายของคนอื่น มีคนเต็มไปด้วยความสงสัย และมีคนมีความสุข

ตระกูลหลี่กลายเป็นตัวตลกของทุกคน!

แต่ผู้มีอำนาจทั้งหมดกำลังติดตามสาเหตุอย่างไม่มีข้อยกเว้น

เมื่อข่าวกรองปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่อง คนเหล่านี้ก็ยิ่งตกใจมากขึ้นอย่างรวดเร็ว

เมืองหลวงในค่ำคืนนี้

ฝนตกในในยามค่ำคืน

พายุฟ้าคะนอง ฟ้าร้องฟ้าแลบ ฝนตกหนัก

ณ โรงแรมแห่งหนึ่งในเมืองหลวง

ในห้องมีเฉินตง คุนหลุน ท่านหลง และฉินเย่นั่งด้วยกัน

คุนหลุน ฉินเย่สูบบุหรี่

ท่านหลงอ่านหนังสือ

เฉินตงยืนเหม่อมองฝนตกหนักและฟ้าร้องนอกหน้าต่างอยู่เงียบๆ

เรื่องทั้งหมดในคืนนี้ สะเทือนใจเขามากจริงๆ

ความโหดของพ่อ ทำให้เขาจำได้ไม่รู้ลืม

ตอนเด็กๆเวลาทะเลาะกับคนอื่น ก็หวังว่าจะมีพ่อมาออกหน้าให้เขา

แต่เขาไม่มีพ่อ ส่วนคนที่ทะเลาะกับเขานั้นมี

นี่จึงปลูกฝังเขาตอนเด็กๆว่าไม่ว่าจะถูกหรือผิด ตราบใดที่มีเรื่องสุดท้ายตัวเองนั่นแหละที่เสียเปรียบ

ถ้าผิด เขาควรสู้

แต่ถ้าถูกก็โดนทำร้าย

แม่ยืนหยัดมีบ้านให้ก็เสียแรงไปไม่น้อย ทุกครั้งที่เขาได้รับความไม่เป็นธรรมมักไม่กล้าบอกแม่ เขาเหมือนสุนัขตัวหนึ่ง หลบทำแผลอยู่ในมุมมืดอย่างเงียบๆ ดีขึ้นแล้วจึงไปหาแม่เผยรอยยิ้มออกมา

แต่วันนี้ ตลอด20ปีมานี้

ในที่สุดก็รู้ถึงความรู้สึกของการมีพ่อแล้ว

รู้สึกยิ่งใหญ่และน่าตกใจมาก และทำให้เฉินตงยิ่งมีความรู้สึกซับซ้อนเข้าไปอีก

พ่อกำลังช่วยแม่ทำแผลอยู่ห้องข้างๆ

และเขามาห้องท่านหลงพกวเขาอย่างรู้ได้ด้วยตัวเอง

เพราะเขารู้ว่าหลังจากกลับมาเจอกันอีก20ปีให้หลัง แม่ต้องมีเรื่องมากมายที่จะบอกพ่อแน่ๆ

และเขาก็มี แต่หลังจากที่พ่อแม่ได้คุยกันถึงเรื่องเก่าๆกันแล้ว

“ท่านหลง คุณไม่ต้องเสแสร้งแล้ว”

เสียงของฉินเย่ทำลายความเงียบในห้อง

เฉินตงหันไปมอง ก็เห็นฉินเย่ยืนขึ้นแล้วดึงหนังสือท่านหลงออก

สิ่งที่ทำให้เฉินตงคิดไม่ถึงคือในหนังสือยังมีหนังสืออีกเล่มหนึ่งแทรกอยู่

แต่หน้าปกหนังสือ……

เขาเห็นแล้วหน้าแดงเล็กน้อย

ท่านหลงตั่วสั่น ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก

เขารีบเก็บหนังสือ แล้วจ้องฉินเย่ด้วยความโมโห:“เจ้าเด็กนี่ ฉันอ่านแต่หนังสือปราชญ์!”

“หึ……ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์เอาแต่ศึกษาเทคโนโลยี!”

ฉินเย่กลอกตามองบน

เฉินตงและคุนหลุนมองหน้ากัน

ถ้าไม่ใช่เพราะฉินเย่ พวกเขาคงคิดไม่ถึงจริงๆว่าท่านหลงมีด้านนี้ด้วย

ภาพท่านหลงเมื่อก่อนในใจของเขาสองคน วันนี้แตกสลายหมดแล้ว

จับตามอง

ฉินเย่เดินไปตรงหน้าเฉินตง แล้วยืนมือขวาออกไป:“เปิดราคามาสิ คืนนี้ผมเป็นคนของคุณแล้ว”

ตูม!

เฉินตงตกใจ หน้าแดงก่ำ มองฉินเย่ด้วยความกลัว:“คุณ คุณจะทำอะไร?ผม ผมไม่ใช่คนแบบนั้น!”

ภาพที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนั้น ทำให้ท่านหลงและคุนหลุนตกใจเช่นกัน

หรือฉินเย่จะพบอะไรในตัวคุณชายเข้า?

ทันใดนั้น ท่านหลงตาเป็นประกาย ตื่นเต้นขึ้นมาทันที:“คุณชาย ยังไม่รีบตอบตกลงอีก?”

นี่ยังตอบตกลงได้งั้นเหรอวะ?

เฉินตงตระหนกขึ้นมาทันที ขณะกำลังจะอธิบาย

ท่านหลงก็ถีบเข้าให้:“ฉินเย่ตอบรับคำเชิญของคุณแล้ว”

เฉินตงชะงัก จากนั้นก็ได้สติ

เขาจับมือฉินเย่ด้วยความตื่นเต้น:“ตกลง!”

ทั้งสองคนสบตากันพลางยิ้ม

ฉินเย่พูด:“แต่คุณต้องเปิดราคาที่ดีนะ อยากให้ผมถวายชีวิตให้ คุณก็ต้องเห็นค่าชีวิตผม และราคาที่ผมช่วยคุณนั้นสูงมากเลยทีเดียว”

“ราคา?”เฉินตงงุนงง

ฉินเย่กลับยิ้มเบาๆ ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาดูชั่วร้ายเล็กน้อย

เขาหันไปหยิบโทรศัพท์แล้วกดโทรออก

อีกฝ่ายรับสายแทบจะทันที

ฉินเย่พูดอย่างเย็นชา:“ตั้งแต่วันนี้ไป ผมไม่ใช่คนของตระกูลฉินแล้ว ลบผมออกจากวงศ์ตระกูลซะ”

ปี๊บ!

ตัดสายไป

ในห้องเงียบกริบ

เฉินตงงง

ท่านหลงและคุนหลุนก็งง

ราคาที่ต้องจ่ายนี้ สูงมากจริงๆ!

สำหรับคนในครอบครัวที่อำนาจมากๆ เป็นหายนะอย่างไม่ต้องสงสัยเลย

แต่ฉินเย่กลับปฏิเสธตามอำเภอใจเช่นนี้

นี่เป็นจุดที่พวกเขาสามคนตกใจจริงๆ

ฉินเย่หันไปมองเฉินตงพวกเขาสามคนที่อึ้งอยู่ พลางยกไหล่

“ไม่ต้องแปลกใจขนาดนั้น ยังไงในตระกูลฉินผมก็เลี้ยงกลายเป็นคนไร้ประโยชน์ ในเมื่อสามารถทุ่มเทเพื่อเป้าหมายได้ งั้นก็ออกจากตระกูลฉินมาดิ้นรนเองซะ ตอนนี้ผมไม่มีพ่อแม่แล้ว จึงไม่เป็นห่วงอะไรในตระกูลฉินนัก”

เฉินตงเกิดความสงสัยมากในใจ

มองฉินเย่ ปากขยับมุบมิบ อย่าจะถามออกไป

คนที่ฆ่าพ่อ ทำผิดอันใหญ่หลวง แต่ตระกูลฉินกลับไว้ชีวิตและเลี้ยงดู

พอพูดถึงฉินเย่ฆ่าพ่อ ไม่มีเรื่องภายใน งั้นคงเป็นเรื่องโกหก

คิดย้อนกลับไปอย่างละเอียด เขาก็เข้าใจชัดเจนว่าฉินเย่เปลี่ยนไปเพราะเรื่องที่เขาช่วยแม่ในครั้งนี้

หายใจเข้าลึกๆ สุดท้ายเฉินตงก็เก็บความสงสัยในใจไว้ ไม่ได้ถามออกไป

นี่เป็นความลับของฉินเย่

และเป็นเรื่องภายในที่ซีสู่ตระกูลฉินซ่อนมาตลอด

เขาเคารพฉินเย่ ถ้าฉินเย่ไม่พูด เขาก็จะไม่ถามอะไรมากความ

เหมือนฟ่านลู่ในตอนนั้น

และพอมามองฉินเย่

จู่ๆเฉินตงก็รู้สึกว่าคนที่ฆ่าพ่อตรงหน้า ไม่ได้ดูเลือดเย็นและโหดร้ายขนาดนั้น

ก็อกๆ!

เสียงเคาะประตูดังขึ้น

เฉินตงท่าทีสงสัย

ในที่สุดก็มาถึงคราวตัวเองแล้วเหรอ?

คุนหลุนลุกขึ้นไปเปิดประตู

คนที่ยืนอยู่หน้าประตูคือเฉินเต้าหลินและหลี่หลาน

ทั้งสองกอดกัน ตาแดงๆ

เห็นได้ชัดว่าร้องไห้กันมา

“คุณท่าน”

“ผู้นำตระกูลเฉิน”

คุนหลุน ท่านหลงและฉินเย่ค่อยๆแสดงความเคารพ

เฉินเต้าหลินพยักหน้า มองเฉินตงด้วยสายตาอบอุ่น

เฉินตงเงอะงะ ตอนนี้กำลังสบตากับพ่อ ทำให้เขารู้สึกงุนงงเล็กน้อย สมองโล่งไปหมด

ความคิดถึงและการรอคอยทั้งหมดรู้สึกเหมือนจะได้รับแล้วจริงๆ แต่มันไม่ได้รับมืออย่างสบายๆอย่างที่ตนคาดเดาเอาไว้

“ทำได้ดีมาก!”

เฉินเต้าหลินพยักหน้า พูดชมเชย:“ลูกเก่งกว่าที่คิดเอาไว้มาก พ่อละอายที่20กว่าปีมานี้ทำให้พวกคุณสองแม่ลูกต้องผิดหวัง”

เฉินตงยิ้มๆ ไม่พูดอะไร

“ลูกชายเราสามารถปกป้องแม่ได้แล้ว”

เฉินเต้าหลินหันไปมองหลี่หลาน พลางยิ้มอย่างอ่อนโยน

จากนั้นเขาก็หันไปมองเฉินตงอีกครั้ง:“ระวังตัวหน่อยนะ ความสามารถของลูกยังไม่เพียงพอที่ให้ลูกพาแม่กลับตระกูลเฉินได้ ผู้สืบทอดตระกูลเฉินไม่ได้มีแค่สองคน พ่อจะนำพาลูกให้เหนือกว่าพวกเขาทีละก้าวๆ”

“ผมสามารถเหนือกว่าพวกเขาด้วยตัวเองได้”เฉินตงพูด

เฉินเต้าหลินยิ้มอย่างตกใจ พลางพยักหน้า:“โอเคๆๆ นี่สิคือความกล้าหาญที่ลูกชายของพ่อควรมี!”

“พ่อต้องรีบกลับตระกูลเฉิน เรื่องในคืนนี้คงบานปลายแน่ ตระกูลเฉินก็ต้องยับยั้งเอาไว้”

เฉินเต้าหลินสีหน้าเรียบเฉย แต่สายตากลับมองไปยังฉินเย่:“เจ้าหนุ่มตระกูลฉิน เรื่องของคุณผมรู้ คุณเป็นลูกกตัญญู!ไม่เลวนี่!ช่วยลูกชายผมดีๆ สิ่งที่คุณต้องการ อนาคตลูกชายผมจะให้คุณทีละอย่างๆ!”

เฉินตงขมวดคิ้ว

ฉินเย่กลับหันไปยิ้ม:“ผู้นำตระกูลเฉินพูดหยอกล้ออะไรกัน ผมเป็นสัตว์ร้ายที่ฆ่าพ่อด้วยมือของตัวเองเลยนะ”

เฉินเต้าหลินยิ้มอย่างเดาไม่ออกว่าถูกหรือผิด

แล้วเดินจากไป

ในห้องโถง

ขณะเฉินตงและเฉินเต้าหลินพูดขึ้น

อุณหภูมิเหมือนถึงจุดแข็งตัว

รังสีการฆ่าดุดัน

ตระกูลหลี่ทุกคนสีหน้าเปลี่ยน

คุณท่านใหญ่หลี่ตัวสั่นเทา เสียใจภายหลังมากๆ

เมื่อครู่ทำไมไม่หักห้ามใจไว รุนแรงแบบนี้ทำไมเนี่ย?

รู้สึกได้ถึงสายตาของเฉินตงและเฉินเต้าหลิน

คุณท่านใหญ่หลี่กระวนกระวาย จากประสบการณ์และนิสัยของเขา อดไม่ได้ที่จะประหม่า

ควันจากการะระเบิดด้านนอกยังอยู่อยู่เลย

นั่นเป็นสิ่งที่คุณท่านใหญ่หลี่หวาดกลัวอย่างแท้จริง

“ฉัน……”

คุณท่านใหญ่หลี่กำลังจะอธิบาย

“คุณทำร้ายแม่ผม2ตำแหน่ง ผมต้องการให้คนตระกูลหลี่บาดเจ็บ2ต่ำแหน่งเช่นกัน!”

เฉินตงพูดอย่างเยือกเย็น พลางจ้องคุณท่านใหญ่หลี่ด้วยสายตาโหดร้าย:“ไม่งั้นผมจะลงมือกับคุณด้วยตัวผมเอง!”

“เฉินตง ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่แกจะมาเอะอะโว้ยวาย!”

หลี่เต๋อซานตะโกนพูดอย่างโมโห:“อวดดี แกเป็นคนตระกูลหลี่ของฉันเสียเปล่าๆ!”

“อวดดี?”

เฉินตงหัวเราะ:“พูดถูกนี่ ถ้าไม่ทำกับตระกูลหลี่ของคุณ ผมคงไม่อวดดี!คนตระกูลหลี่เลวทรามอย่างพวกคุณ มีสิทธิ์อะไรมาให้ผมเป็นคนของพวกคุณ ?”

“แก……”หลี่เต๋อซานเดือดมาก กัดกันกรอดๆ

ส่วนเฉินเต้าหลินมองเฉินตง สายตาเต็มไปด้วยความชื่นชม แต่หลังจากหันไปมองหลี่หลาน เขาพลันขมวดคิ้วเป็นปม

“เต๋อซาน ไปรับบทลงโทษซะ!”

จู่ๆคุณท่านใหญ่หลี่ก็ตำหนิ

หลี่เต๋อซานตัวสั่น มองคุณท่านใหญ่หลี่ด้วยสีหน้าตกใจ:“พ่อ พ่อให้ผมไปยืนให้เขาทำร้ายงั้นเหรอ?”

“หรือแกจะให้ฉันไป?”คุณท่านใหญ่หลี่ตะโกนด้วยหน้าเคร่งขรึม

หลี่เต๋อซานหน้าเสีย กัดฟันแน่น พลางเดินก้มหน้าไปหาเฉินตง

เฉินตงพยุงหลี่หลานแล้วเดินไปข้างๆเฉินเต้าหลินโดยไม่มองเขาแม้แต่น้อย แล้วพูดเสียงเยือกเย็น:“คุนหลุน!”

“ทราบ!”

คุนหลุนเดินไปยังหลี่เต๋อซานอย่างเร็ว

รูปร่างที่สูงตระหง่าน ความรู้สึกกดขี่ที่ก่อตัวขึ้น ทำเอาหลี่เต๋อซานหน้าซีดเผือด

หลี่เต๋อซานมองคุนหลุนที่เดินมาอย่างเร็วด้วยความกลัว เขาจะหนีออกไป

แต่โดนคุณท่านใหญ่หลี่ใช้ไม้เท้ายันเอาไว้จากด้านหลัง

“ยืนดีๆ!”

หลี่เต๋อซานยืดตัวตรงด้วยความเด็ดเดี่ยว

คุณท่านใหญ่หลี่เป็นพ่อของเขา และเป็นผู้นำตระกูลหลี่

พ่อพูดขนาดนี้แล้ว

งั้นเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น

หากไม่เชื่อฟัง ต่อไปเขาจะไม่มีบทบาทอะไรในตระกูลหลี่!

ทันใดนั้น

พอคุนหลุนเขามาถึงตัว เขาก็เตะฟาดลงไปที่ขาข้างขวาของหลี่เต๋อซานอย่างรวดเร็ว

ปัง!

กึก!

เสียงดัง แต่เสียงเบาๆนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ทุกคนได้ยินเสียงของกระดูกแตกได้

“โอ๊ย!”

หลี่เต๋อซานลอยกระเด็นออกไป แล้วตกลงบนพื้นพลางร้องด้วยความเจ็บปวดน่าเวทนา

ใบหน้าไม่เป็นรูปเป็นร่าง เหงื่อเต็มศีรษะ

เสียงร้องน่าเวทนาทำให้คนตระกูลหลี่ทุกคนหวาดกลัว

แต่ไม่มีใครขวาง!

คุนหลุนเดินรุดเข้าไปอีกครั้งด้วยท่าทีดุดัน และเตะฟาดขาขวาลงไปที่แขนซ้ายของหลี่เต๋อซาน

ปัง!

กึก!

ภายใต้พลังอันยิ่งใหญ่ หลี่เต๋อซานที่นอนอยู่บนพื้นหันกลับมาทันที แขนซ้ายของเขาบิดเบี่ยวผิดรูป

เสียงร้องอย่างเวทนาดังกึกก้องไปทั้งห้องโถง

อย่างกับฆ่าหมู

“เรื่องนี้จบแล้ว!”

เฉินตงพูดอย่างเย็นชา

ก้มหน้ามองแม่ที่อยู่อ้อมกอด สีหน้าอ่อนโยนขึ้นมาทันที:“แม่ครับ ผมจะพาแม่กลับบ้าน”

“กลับบ้าน……พวกเรากลับบ้านกัน……”

หลี่หลานไม่ลังเลแม้แต่น้อย ดวงตาแดงก่ำเต็มไปด้วยน้ำตา และมองเงาตรงหน้าด้วยอย่างมัวๆแพราะน้ำตา

20กว่าปีมานี้

เธอนึกถึงร่างนี้อยู่ทุกวี่ทุกวัน

แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอกันในสถานการณ์แบบนี้

ความรู้สึกหลากหลายเต็มไปหมด

ทว่าในตอนนี้ บรรยายความคิดถึงออกมาไม่ได้

เฉินตงพาหลี่หลานเดินออกไป คุนหลุน ท่านหลงและฉินเย่ก็ทยอยตามกันไป

เฉินเต้าหลินยืนกลางห้องโถง

เผชิญหน้ากับคนตระกูลหลี่เพียงคนเดียว

เขาพูดอย่างเยือกเย็น:“จำเอาไว้ ตอนนี้ผมเป็นคนตัดสินใจของตระกูลเฉิน คนของผมคุณสามารถขอร้องได้ แต่แตะต้องไม่ได้ !”

โหดไม่เป็นสองรองใคร

มองทุกคนอย่างรังเกียจ

ท่ามกลางการจับจ้องของทุกคน

เฉินเต้าหลินก็เดินออกไปด้านนอก

เมื่อมาถึงประตูเขาก็หยุด

“ระเบิดตระกูลหลี่อีก10ลูก ถือเป็นบทลงโทษ หากเกิดเรื่องอย่างวันนี้อีกตระกูลหลี่ไม่เหลือซากแน่ ผมจะบอกให้!”

ได้ยินเช่นนั้น

ทุกคนในตระกูลหลี่ก็เกิดเสียงดัง“ตูม”ดังๆในสมอง เหมือนจมลงไปในโพรงน้ำแข็ง

นี่จะกดขี่ตระกูลหลี่ให้ถึงตายเลยรึไง?

ระเบิก10ลูก จะระเบิดตระกูลหลี่ให้อยู่ในสภาพไหน?

แต่คุณท่านใหญ่หลี่ไม่พูดอะไร ตระกูลหลี่คนที่เหลือจึงไม่กล้าเอ่ยปาก

เหมือนรับบทลงโทษอันร้ายแรงนี้อย่างเงียบๆ!

พอเฉินตงและคนอื่นขึ้นเฮลิคอปเตอร์แล้วจากไป

เครื่องบินรบที่บินอยู่เหนือปราสาทก็ส่งเสียงดังขึ้นทันที

ระเบิด10ลูก เต็มไปด้วยเปลวเพลิงอันสว่างจ้า

ตกลงมาในคฤหาสน์ตระกูลหลี่อย่างกับฝนดาวตก

ท่ามกลางเสียงระเบิดกึกก้อง

กลุ่มเพลงรูปเห็น10ก้อนลอยขึ้นไปบนฟ้า เป็นฉากฉากยิ่งใหญ่อลังการ

ภายในห้องโถงตระกูลหลี่

ทุกคนหน้าซีดเผือด ขบฟันแน่น

ด้านนอกระเบิดอย่างต่อเนื่อง

แต่ภายในห้องโถงกลับเงียบสงัด

นี่เป็นความอัปยศอดสูของตระกูลหลี่!

อัปยศอดสูน่าละอายอย่างมาก!

พวกเขาสามารถคาดการณ์ได้ว่าคืนนี้ตระกูลหลี่ ถูกจ้องมองบนเสาแห่งความอัปยศ กลายเป็นตัวตลกของทั้งเมืองหลวง

คุณท่านใหญ่หลี่สั่นไปทั้งตัว มือแห้งเหี่ยวทั้งสองข้างกำหมัดแน่น สายตาเคร่งขรึมราวกับจะกินคน

เขาให้ความสำคัญกับเกียรติของตระกูลหลี่มากที่สุด

แต่จากการระเบิดของลูกระเบิดพวกนี้ ตระกูลหลี่ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว

เดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟ!

เขาโมโหแต่ไม่กล้าพูด

เสียงร้องน่าเวทนาของหลี่เต๋อซานดังอยู่ข้างๆหู มองหลี่เต๋อซานอย่างเป็นห่วง:“ใครก็ได้ พาเต๋อซานไปโรงพยาบาล!”

มีคนเข้าไปพยุงหลี่เต๋อซานทันที

และขณะนั้นเองลูกชายคนอื่นๆของคุณท่านใหญ่หลี่ ในที่สุดก็ได้สติกลับมา กรูกันเข้าไปหาคุณท่านใหญ่หลี่

“พ่อ จะให้ตระกูลหลี่ของเรารับความอับอายแบบนี้จริงๆเหรอ?”

“บุกตระกูลหลี่ ชนตระกูลหลี่ ระเบิดคฤหาสน์ตระกูลหลี่ เรื่องเหล่านี้ตระกูลหลี่เราจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนในเมืองหลวง?”

“เฉินตงอักตัญญูและอวดดี พ่อให้เป็นผู้นำตระกูลยังต้องคิดแล้วคิดอีก!”

เสียงนี้ทำเอาคุณท่านใหญ่หลี่รำคาญมากๆ

เขารู้สึกเหมือนมีเสียงยุงจำนวนนับไม่ถ้วนดังอยู่ข้างๆหู

“พอแล้ว!”

คุณท่านใหญ่หลี่ตำหนิอย่างโมโห:“ถ้าไม่ให้เฉินตงเป็นผู้นำตระกูล อย่างพวกแกมีความสามารถพองั้นเหรอ?ที่ฉันทำทั้งหมดก็เพื่ออนาคตของตระกูลหลี่!”

ตระกูลหลี่ทุกคนเงียบกริบ แต่ในใจเต็มไปด้วยความสงสัย

หรือตระกูลหลี่รุ่นนี้ ยังไม่ดีเท่าหลี่หลานลูกนอกสมรสนั่น?

ผู้นำตระกูลทำเพื่ออนาคตตระกูลหลี่ แต่แค่วูบเดียวก็ทำให้ตระกูลหลี่เป็นเป้าบนเสาแห่งความอัปยศงั้นเหรอ?

เฮลิคอปเตอร์อันเสียงดัง กำลังบินไปยังเมืองหลวง

บนเฮลิคอปเตอร์

เฉินตงสามพ่อแม่ลูกนั่งด้วยกัน

บรรยากาศแปลกมาก

เป็นการพบกันอีกครั้งของครอบครัว แต่กลับไม่มีใครพูดอะไร

ท่านหลง คุนหลุนและฉินเย่พากันมองท้องฟ้ายามค่ำคืนด้านนอก

ฉินเย่พึมพำ:“พวกเราสามคนรู้สึกเหมือนเป็นก้างขนาดใหญ่สามดวงเลย”

คำพูดนี้ ทำให้คนบนเฮลิคอปเตอร์หัวเราะออกมา

บรรยากาศจึงผ่อนคลายขึ้นมาหน่อย

“ตงเอ๋อ ส่งแม่มาให้พ่อ”

เฉินเต้าหลินรับหลี่หลานจากอ้อมกอดเฉินตง มองเฉินตงตาขวางอย่างยัวยุ:“เธอเป็นภรรยาฉัน”

เฉินตงที่ไม่ทันตั้งตัวตกตะลึงทันที

ดั่งลมหนาวที่พัดมาจากส่วนที่ลึกที่สุด

ทำเอาคนตระกูลหลี่กลัวไม่กล้าพูดอะไร

คุณท่านใหญ่หลี่สีหน้าไม่คงที่พลางจ้องเฉินเต้าหลิน สายตาเคร่งขรึมสุดๆ

บรรยากาศห่อเหี่ยวเกิดขึ้น

แม้แต่ผู้นำตระกูลหลี่ พอเผชิญหน้ากับตระกูลเฉินก็รู้สึกอยากทำแต่กำลังไม่พอ

“เหอะ!”

จู่ๆเฉินเต้าหลินยิ้มเยาะออกมา หันไปมองเฮลิคอปเตอร์แล้วพลางโบกมือ

ทันใดนั้น

ก็มีเสียงดังขึ้นท่ามกลางค่ำคืนที่มีเสียงฟ้าร้อง

แสงเพลิงสว่างจ้าไปทั้งท้องฟ้า

ตูม!

กำแพงปราสาทเก่าแก่ตระกูลหลี่พลังทลายลงมาตามแสงเพลิง

ฝุ่นควันตลบอบอวล

กลุ่มควันรูปเห็ดก่อตัวขึ้น

แสงเพลิงและแรงสั่นสะเทือน ทำให้คนตระกูลหลี่ที่อยู่ในห้องโถงตกใจหน้าถอดสี

ระเบิดจริงๆ!

คนตระกูลหลี่ทุกคนที่มองเฉินเต้าหลินด้วยท่าทีที่กลัวอย่างเป็นมาก

หมอนี่บ้าไปแล้วเหรอ?

นี่มันคฤหาสน์ตระกูลหลี่นะ!

“เฉินเต้าหลิน คุณอยากเปิดศึกงั้นเหรอ?ระเบิดคฤหาสน์ตระกูลหลี่ คุณเห็นตระกูลหลี่ของเราเป็นอะไร?”หลี่เต๋อซานตะโกนออกมาอย่างเดือดดาล

คุณท่านใหญ่หลี่มองหลี่เต๋อซานด้วยสายตาโมโหมาก จะห้ามก็สายไปแล้ว

“ศึก?”

เฉินเต้าหลินยิ้มๆพลางยกมือขึ้นและเอาลงอีกครั้ง

ทันใดนั้น

ท้องฟ้ายามค่ำคืนมีเสียงดังอีกครั้ง และไฟก็ลุกโชนไปทั่วท้องฟ้า

ตูม!

เสียงดังสนั่นหวั่นไหว

กำแพงเก่าแก่พลังทลายลงมาตามแรงระเบิด

ตกลงมาอย่างรุนแรง!

อย่าว่าแต่คนตระกูลหลี่เลย

ขนาดเฉินตงเห็นแล้วยังใจเต้นรัว ตกตะลึง

พ่อของฉัน……โหดมากจริงๆ!

ในห้องโถงมีแต่ความเงียบ

มีเพียงท้องฟ้ายามค่ำคืนเท่านั้นที่ ฟ้าดังคำราม เครื่องบินรบวนเวียนไปมา

ทุกคนของตระกูลหลี่ล้วนตกตะลึง

ไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีคนกล้าทำเรื่องแบบนี้ในบ้านตระกูลหลี่

หยิ่งยโสจนเคยชินไปแล้ว วันนี้โดนเฉินตงดึงให้ตกต่ำลงมา แถมโดนเฉินเต้าหลินเหยียบย่ำจนจมดิน ทุกคนจึงไม่รู้ว่าจะรับมือยังไง

“แก แก ……”

หลี่เต๋อซานโกรธมาก เขาเป็นลูกคนโตของตระกูลหลี่ เป็นสายเลือดโดยตรง

ตั้งตระกูลหลี่รุ่งโรจน์มา ไม่เคยเจอเรื่องน่าอับอายแบบนี้มาก่อน

ถ้าข่าวออกไปตระกูลหลี่จะมีหน้าในเมืองหลวงได้ยังไง?

อย่างไรก็ตาม

“หุบปาก!”

คุณท่านใหญ่หลี่พูดอย่างโมโห ทำเอาหลี่เต๋อซานตกใจจนตัวสั่น

ในตระกูลหลี่คุณท่านใหญ่หลี่มีบารมีสูงสุด

เขาเป็นสวรรค์ของทุกคนในตระกูลหลี่

คุณท่านใหญ่หลี่เดินเข้าไป พลางมองเฉินเต้าหลินอย่างเคร่งขรึม:“ฉันแค่อยากให้ตงเอ๋อสืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลหลี่ แกที่เป็นพ่อตอบแทนฉันที่เป็นตาแบบนี้นะเหรอ?”

ได้ยินเช่นนั้นเฉินตงก็มีสีหน้าเอือมระอา

คำแก้ตัวของตระกูลหลี่ทำเอาเขาขยะแขยงสุดๆ

เขากัดฟันกรอดๆ กำลังจะโต้แย้ง

เฉินเต้าหลินที่อยู่ด้านหน้าตนก็พูดขึ้นอย่างใจเย็น:“ตาประสาอะไร?กล้ารังแกภรรยาผม บีบบังคับลูกชายผม นี่เรียกว่าตางั้นเหรอ?”

ขณะพูดเขาก็โบกมือขวาอีกครั้ง

ตูม!

ลูกระเบิดตกลงมาอีกครั้ง

ครั้งนี้มันตกลงมาในคฤหาสน์ปราสาท ก่อเป็นระเบิดรูปเห็ด

พื้นดินสั่นสะเทือน ฝุ่นควันตลบอบอวล

แรงระเบิดอันน่ากลัวทำให้ตระกูลหลี่ทุกคนอกสั่นขวัญหาย

“เฉินเต้าหลิน!แกทำเกินไปแล้ว!”

หลี่เต๋อซานตะโกนพลางเดินเข้าไปอย่างเดือดดาล

“หุบปาก!”

คุณท่านใหญ่หลี่หันไปตะโกนพลางตัวสั่น:“เจ้าโง่ไร้ประโยชน์ ถอยออกไป!”

ถ้าเป็นคนอื่น วันนี้มีเรื่องกับตระกูลหลี่ คงสู้จนตายกันไปข้างหนึ่ง

ตระกูลหลี่จะเสียหน้าไม่ได้!

แต่คุณท่านใหญ่หลี่ยังมีสติ เขารู้ดีว่าถึงแม้ตระกูลหลี่จะเป็นตระกูลที่รวยอันดับหนึ่งของเมืองหลวง แต่ก็เทียบกับตระกูลเฉินไม่ได้

หากยังให้ความขัดแย้งทวีความรุนแรงแบบนี้ต่อไป

เฉินเต้าหลินบอกจะระเบิดตระกูลหลี่ นั่นเขาก็กล้าระเบิดจริงๆ!

“ตระกูลหลี่ขยะ ลูกหลานไร้ประโยชน์ คนแก่ไม้ใกล้ฝั่งอย่างคุณยากลำบากจริงๆ”

คุณท่านใหญ่หลี่มองเฉินเต้าหลินที่สีหน้าเต็มไปด้วยการดูถูก

“เต้าหลิน ยังไงฉันก็เป็นพ่อของหลานเอ๋อ ปีนั้นที่หลานเอ๋อคบกับแกฉันก็สนับสนุนเต็มที่ ตอนนั้นพวกเรายังไม่รู้ว่าแกเป็นผู้สืบทอดตระกูลเฉิน ตอนนั้นเท่ากับหลานเอ๋อแต่งงานกับคนที่ต่ำต้อยกว่า”

คุณท่านใหญ่หลี่หน้าแดง พูดโน้มน้าวขึ้นทันที

เขารู้ดีว่าสถานการณ์วันนี้ไม่สามารถย้อนกลับได้ เฉินเต้าหลินที่อยู่ตรงหน้าสามารถบดขยี้ตระกูลหลี่ได้

แต่ให้เขาปล่อยหลี่หลาน ให้เธอกับเฉินตงสองแม่ลูกต้องแยกจากกันเขาทำไม่ได้

เฉินตงเป็นความหวังของอนาคตตระกูลหลี่!

หากวันนี้ปล่อยให้ไป วันหน้าเกรงว่าคงไม่มีโอกาสดีๆแบบนี้อีก

กลัวว่าถ้าเขาเห็นเฉินตงหรือหลี่หลานจะทำไม่ลง

“ผมต้องการภรรยาของผม!”

เฉินเต้าหลินตะโกนอย่างโมโห พูดขัดคุณท่านใหญ่หลี่:“ตระกูลหลี่ชายเป็นใหญ่หญิงเป็นรอง ในตระกูลหลี่หลานเอ๋อไม่มีแม้แต่จุดยืนและแหล่งทรัพยากร การแต่งงานกับผู้ชายที่ต่ำต้อยกว่าและความสนับสนุนที่คุณพูด ก็เท่ากับไม่แยแสแม้แต่น้อย คุณมีหน้ามาพูดกับผมได้ยังไง?”

เสียงตะโกนดังกึกก้อง

ขณะนั้นแสงไฟก็สว่างจ้าท้องฟ้าอันมืดมิดอีกครั้ง

ตูม!

แผ่นดินสั่นสะเทือน เปลวเพลิงลอยขึ้นสูง

คนตระกูลหลี่ตกตะลึง เสียวสันหลังวาบ

ตอนนี้แม้แต่คนโง่ก็ดูออก

เฉินเต้าหลินผู้โหดร้ายไม่ได้อยากพูดคุย แต่อยากให้ตระกูลหลี่เลือก

ระหว่างหลี่หลานก็ระเบิดตระกูลหลี่!

“ฉัน……”

คุณท่านใหญ่หลี่ลุกลน ร้อนใจอย่างกับมดบนหม้อร้อนๆ

เฉินเต้าหลินชี้ไปด้านนอกพลางพูดอย่างโมโห:“ระเบิดกำแพงคฤหาสน์ตระกูลหลี่ก่อน แล้วค่อยระเบิดสวนดอกไม้ตระกูลหลี่ ถ้าคุณยังกล้าเล่นลิ้น ระเบิดลูกต่อไปจะตกลงมาที่คฤหาสน์นี้!”

เผด็จการไม่เป็นสองรองใคร

กดดันซะคนตระกูลหลี่หายใจไม่ทั่วท้อง

เฉินตงจะร้องไห้ มองไปยังร่างที่สูงตระหง่านตรงหน้า เหมือนภูเขาใหญ่ขวางหน้าเขาก็ไม่ปาน

“ฉันแต่อยากให้เขาเป็นผู้นำตระกูลหลี่!เขาเป็นทายาทของตระกูลเฉิน แต่เขาก็ต้องสู้ สู้เพื่อโอกาสอันน้อยนิดนั่น แกไม่มีอาจส่งเขาไปถึงตำแหน่งผู้นำตระกูลได้ แต่ในตระกูลหลี่ฉันทำได้!”

คุณท่านใหญ่หลี่ร้อนใจ พูดเสียงเหมือนเศร้าโศก

“นั่นตัวเลือกของตงเอ๋อเอง เขาเป็นผู้นำตระกูลหลี่ได้ ผมเคารพการตัดสินใจของเขา แต่คุณจะใช้วิธีที่น่ารังเกียจไม่ได้!”

เฉินเต้าหลินสายตาดุดัน:“ผมมอบเส้นตายให้คุณแล้ว ตอนนี้ปล่อยภรรยาผมซะ!”

ดั่งลมหนาวที่พัดมาจากส่วนที่ลึกที่สุด ทำให้อุณหภูมิในห้องโถงลดถึงจุดเยือกแข็ง

คุณท่านใหญ่หลี่เซไปด้านหลัง ตอนนี้เขาแก่ถึงขั้นไม้ใกล้ฝั่งแล้ว ร่างกายอ่อนแอ สีหน้าเป็นสีเขียว

เผชิญหน้ากับเฉินเต้าหลินผู้โหดเหี้ยมและเผด็จการ

ความเย่อหยิ่งทั้งหมดของเขา หายไปอย่างหมดจด

สุดดท้ายเขากัดฟันพูดกรอดๆ:“ใครก็ได้พาหลานเอ๋อออกมา ปล่อยให้เธอไป!”

ทุกคนในตระกูลหลี่ถอนหายใจโล่งพร้อมกัน

มองเฉินเต้าหลินด้วยสายตาหวาดกลัว

หาดกัวหน้าตระกูลยังยืนกรานไม่ปล่อยตัว เทพแห่งความดุร้ายผู้นี้ถล่มตระกูลหลี่ราบแน่นอน!

ไม่นานนัก

หลี่หลานเดินกะเผลกมาถึงห้องโถงภายใต้การช่วยพยุงของคนตระกูลหลี่

“ตงเอ๋อ!”

เมื่อเห็นเฉินตงหลี่หลานก็ดิ้นไปมา สลัดคนตระกูลหลี่ออก วิ่งไปหาเฉินตง

แต่จู่ๆเธอก็ปวดเท้าปวดแขน ล้มลงไปกับพื้น

“แม่!”

เฉินตงหน้าเสีย โถมตัวไปหาแล้วกอดหลี่หลาน พอเห็นแผลที่เท้าของหลี่หลาน

เขาก้หันไปตะโกนใส่คุณท่านใหญ่หลี่เสียงดังทันที:“คุณทำร้ายแม่ผมงั้นเหรอ?”

ในเวลาเดียวกัน

เฉินเต้าหลินที่เห็นแผลของหลี่หลานกูพูดขึ้นเสียงเย็นชา:“คุณทำร้ายภรรยาผมงั้นเหรอ?”

น้ำเสียงทรงพลังและสงบนิ่งเป็นอย่างมาก

แต่กลับได้ยินอย่างชัดเจน ราวกับเสียงฟ้าผ่าลงตรงหูของทุกคน

ทำให้คนตระกูลหลี่ทุกคน อยู่ในท่าทีที่สงบเสงี่ยมเป็นอย่างยิ่ง

แววตาของคุณหลี่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ มือทั้งสองข้างกำแน่น

เฉินตงมองไปที่ชายผู้นั้นที่ค่อยๆ เดินมา

หากพูดอย่างตรงไปตรงมา นี่คือครั้งแรกที่เขาได้เจอกับพ่อแท้ๆ ของเขาด้วยตัวเอง

ใบหน้าอันหล่อเหลา และท่าทีที่สง่างามภูมิฐาน ทำให้ยากที่จะเชื่อว่านี่เป็นภาพลักษณ์ของชายวัยกลางคน

เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย แสยะยิ้มที่มุมปากอย่างดูถูก ดวงตาทั้งสองข้างที่แหลมคมดูเหมือนกำลังเฝ้ามองทุกสิ่งอยู่

เฉินตงเคยเห็นชนชั้นสูงมาหลายคน

มีหลายคนที่มีท่าทางที่สง่างามและน่าเกรงขาม

แค่คนที่จะสง่างามได้เหมือนกับพ่อของเขา เห็นทีว่าจะมีเพียงแค่คนที่อยู่ในตำแหน่งเจ้าบ้านตระกูลเฉินเพียงคนเดียวเท่านั้น ต้องใช้เวลาฝึกฝนและสั่งสมประสบการณ์มาเป็นเวลาหลายปี

สิ่งที่ทำให้เฉินตงรู้สึกประทับใจมากยิ่งขึ้นก็คือ คำพูดประโยคนั้นของพ่อเขา !

“นายท่าน”

ท่านหลงและคุนหลุนก้มหัวเพื่อคารวะโดยพร้อมเพรียงกัน

เฉินเต้าหลินทำเพียงแค่พยักหน้า จากนั้นจึงเดินเข้าไปหาเฉินตง

สองพ่อสูงความสูงต่างกันไม่มากนัก หน้าตาก็ละม้ายคล้ายคลึงกัน และนิสัยกลับแตกต่างกันเป็นอย่างมาก

“ตงเอ๋อ”

เฉินเต้าหลินรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย : “คิดไม่ถึงเลยว่าการเจอหน้ากับลูกครั้งแรก จะต้องมาเจอกันในสถานการณ์เช่นนี้ อีกทั้งยังเป็นสถานที่แย่ๆ แบบนี้ด้วย”

คำว่า “สถานที่แย่ๆ” แสดงถึงการดูถูกเหยียดหยามอย่างที่สุด

ทำให้ทุกคนในตระกูลเฉินสีหน้าบึ้งตึง แต่ไม่กล้าพูดแสดงความโกรธออกมา

ในขณะที่เฉินตงเผชิญหน้ากับพ่อของเขา

จู่ๆ เขาก็รู้สึกอึ้งไปทันที

สมองของเขาว่างเปล่า

ความรู้สึกเช่นนี้แปลกประหลาดอย่างมาก

เขาเคยกล่าวโทษพ่อของเขา แต่หลังจากที่รู้เรื่องบางอย่าง ท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไป

เขาเคยลองจินตนาการการพบหน้ากันระหว่างตัวเขาและพ่อนับครั้งไม่ถ้วน ว่าควรจะมีท่าทีเช่นไร ควรจะพูดอะไร

แต่หลังจากสิ่งที่เขาเคยจินตนาการมานับครั้งไม่ถ้วนกลับกลายเป็นความจริงขึ้นมา ริมฝีปากของเขากลับขยับแต่พูดอะไรไม่ออก

เฉินเต้าหลินยิ้มอย่างอบอุ่น แล้วค่อยๆ ตบไหล่ของเฉินตงเบาๆ

ตาของเขาเหลือบมองไปยังคนตระกูลหลี่ที่ยืนล้อมอยู่โดยรอบ แล้วเลิกคิ้วพูดว่า : “พวกมากรุมพวกน้อย ? คุณท่านใหญ่หลี่ หรือคุณคิดว่า ผม เฉินเต้าหลิน สามารถรังแกได้ง่ายๆ หรืออย่างไร ?”

“เต้าหลิน เธอฟังฉันอธิบายก่อน……”

คุณท่านใหญ่หลี่แสร้งทำเป็นสงบ

“อธิบายบ้าอะไรกัน ! เจ้าบ้านตระกูลเฉิน คุณดูผมกับคุนหลุนเสียก่อน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหลายสิบคนพวกนี้ เมื่อครู่ถูกพวกเราสองคนสกัดเอาไว้ ถ้าไม่ใช่เพราะผมจัดการไปได้หลายคน ทำให้คนพวกนี้ตกใจได้ ตอนนี้ถูกชายสุดที่รักของคุณ เกรงว่าคงจะถูกตีตายไปแล้ว”

ฉินเย่พูดตัดบทคำพูดของท่านใหญ่หลี่ขึ้นมาทันที เขาชูมีดสั้นที่เปื้อนเลือดไปทางคนของตระกูลหลี่ : “คุณดูนี้ คนตระกูลหลี่พวกนี้ เมื่อครู่ก็เกือบจะล้อมวงเข้าไปจัดการเฉินตงกับท่านหลงแล้ว โอ้พระเจ้า ตีลูกชายของคุณก็ถือว่ามากพอแล้ว แต่นี่ คนที่อายุมากแล้วอย่างท่านหลง พวกเขายังไม่ยอมละเว้นเลย”

คำพูดที่ร่ายยาวเป็นชุด ทำให้คุณท่านใหญ่หลี่รู้สึกเหมือนจะกระอักเลือดออกมา

เขาอยากที่จะพุ่งเข้าไปฆ่าฉินเย่ให้ตายซะเดี๋ยวนี้

“ไอ้หนูตระกูลฉิน นี่ไม่ใช่ที่ที่จะให้แกมาเห่า ไม่ใช่ที่ที่จะให้แกมาแสดงความป่าเถื่อน !” หลี่เต๋อซานตะคอกด้วยความโกรธ

ต่อให้เขาจะโง่แค่ไหน ก็เขาก็ฟังออกว่าฉินเย่กำลังเติมเชื้อไฟอยู่

แต่ทว่า ฉินเย่กลับหันไปถ่มน้ำลายลงบนพื้น แล้วพูดออกมาด้วยไปหน้าที่เต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง : “แม่แต่พ่อแท้ๆ ฉันก็ฆ่ามาแล้ว แล้วแกจะมาบอกว่านี่ไม่ใช่ที่ที่จะให้ฉันแสดงความป่าเถื่อนอย่างนั้นหรือ ?”

“แก……” ใบหน้าของหลี่เต๋อซานแดงก่ำ เขาโกรธจนพูดไม่ออก

“พอได้แล้ว !”

เฉินเต้าหลินตะโกนออกมาด้วยความโมโห แล้วพูดอย่างเย็นชา : “ตอนนั้นฉันกลับบ้านตระกูลเฉินเพื่อสืบทอดตำแหน่งเจ้าบ้าน แต่ถูกตระกูลเฉินควบคุมเอาไว้ คุณจึงรังแกหลานเอ๋อและตงเอ๋อซึ่งเป็นลูกกำพร้าและหญิงม่ายสองแม่ลูก คิดว่าผม เฉินเต้าหลินไม่รู้หรืออย่างไร ? คนของผม เฉินเต้าหลิน ไม่ใช่คนที่สุนัขแก่ๆ อย่างคุณจะมารังแกได้ง่ายๆ !”

เปรี้ยง !

หลังจากคำพูดนี้ดังออกไป ทุกคนก็รู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่า

เผด็จการ นี่เป็นการแสดงออกถึงความเผด็จการชัดๆ !

แต่คนในตระกูลหลี่ต่างนิ่งเงียบกันไปหมดแล้ว

เพราะพวกเขารู้ดีว่า เฉินเต้าหลินมีสิทธิ์ที่จะเผด็จการ !

“เต้าหลิน ฉันเป็นพ่อตาของเธอนะ……” คุณท่านใหญ่หลี่คร่ำครวญด้วยความหวาดกลัว

เขาในตอนนี้ ทั้งโมโหทั้งตกใจ

การปรากฏตัวของเฉินเต้าหลิน เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายของเขา !

ตั้งแต่ที่เขาวางแผนเรื่องการลักพาตัวหลี่หลาน จนไปถึงการข่มขู่เฉินตง ไม่ได้มีการวางแผนถึงเรื่องของเฉินเต้าหลินอยู่ในนั้นเลย

เป็นเพราะเขารู้ดีว่า ถึงแม้ตอนนี้เฉินเต้าหลินจะมีสิทธิ์ช่วยให้เฉินตงได้รับตำแหน่งผู้สืบทอดมรดก แต่หากคิดจะลงมือช่วยด้วยตนเอง ก็คงเป็นไปไม่ได้

ในตระกูลเฉิน ไม่ได้มีแค่เฉินเต้าหลินคนเดียวที่สามารถตัดสินใจเรื่องทุกอย่างได้ ไม่ต้องพูดถึงคนกลุ่มอื่น เพียงแค่คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินคนเดียว ก็เพียงพอที่จะควบคุมเฉินเต้าหลินเอาไว้ได้แล้ว !

เช่นเดียวกับในตอนนั้นที่เขาพาคนของตระกูลหลี่ไปขโมยมรดกที่เฉินเต้าหลินทิ้งเอาไว้ให้มา เฉินเต้าหลินที่ถูกควบคุมอยู่ จึงทำได้เพียงแค่นั่งดูมรดกของหลี่หลานถูกขโมยไปโดยไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้ และต้องกัดฟันทนต่อความอัปยศอดสู

แต่ทว่าตอนนี้ ทำไมจู่ๆ ถึงมาที่บ้านตระกูลหลี่ได้ ?

ถ้าไม่ใช่เพราะยังรู้ดีว่าคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินยังมีชีวิตอยู่ การที่ได้พบกับเฉินเต้าหลินในวันนี้ คุณท่านใหญ่หลี่คงถึงขั้นที่คิดว่าคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินคงจะตายไปแล้วแน่ๆ

“พ่อตา ?”

เฉินเต้าหลินหัวเราะเยาะ : “ตั้งแต่ที่คุณไม่สนใจตัดขาดความสัมพันธ์ฉันท์พ่อลูกกับหลานเอ๋อ คุณก็ไม่ใช่พ่อตาของผมอีกต่อไป ผมกับหลานเอ๋อ ตงเอ๋อ และตระกูลหลี่ของคุณ ไม่มีความเกี่ยวข้องกันอีก !”

“ฉัน……”

คุณท่านใหญ่หลี่อึ้งไปเล็กน้อย

ท่าทีที่เผด็จการของเฉินเต้าหลินกับท่าทีของเฉินตงเมื่อครู่เหมือนกันเป็นอย่างมาก

สองพ่อลูกราวกับถูกถอดออกมาจากแม่พิมพ์เดียวดัน

การจัดการกับเฉินตงเพียงคนเดียว เขาสามารถใช้กลอุบายได้

แต่การจัดการกับเฉินเต้าหลิน ต่อให้เขาใช่กลอุบายนับสิบ เฉินเต้าหลินก็สามารถรับมือได้ทั้งหมด และทำลายมันลงได้ในคราวเดียว !

นี่คือสิ่งที่ใช้ฐานะเป็นตัวกำหนด ไม่เกี่ยวกับเรื่องของอุบาย !

“ตงเอ๋อ ลูกบอกพ่อมาซิว่า พวกเขารังแกลูกใช่ไหม ?” เฉินเต้าหลินเพิกเฉยต่อคุณท่านใหญ่หลี่ หรือจะพูดให้ถูกก็คือ เพิกเฉยต่อคนในตระกูลหลี่ทั้งหมด

เฉินตงงุนงงเล็กน้อย แววตาของเขาไม่อยู่กับร่องกับรอย

เขารู้สึกมีมือใหญ่ๆ วางอยู่บนไหล่ของเขา

จู่ๆ เขาก็รู้สึกประทับใจ และรู้สึกเหมือนอยากจะร้องไห้

ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า เป็นสิ่งที่เขารอคอยมากว่ายี่สิบปี !

ตั้งแต่เล็กจนโต ทุกครั้งที่เขาถูกรังแกและได้รับความไม่เป็นธรรม เขาคาดหวังว่าจะให้มีมือใหญ่ๆ เช่นนี้ปรากฏขึ้น และถามคำถามเช่นนี้ออกมา !

ดังนั้น เฉินตงจึงรีบพยักหน้าอย่างรวดเร็ว

“ดี !” เฉินเต้าหลินแสดงท่าทีเด็ดขาดออกมา “พ่อจะช่วยลูกรังแกพวกมันกลับเอง !”

เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ ดวงตาของเฉินตงก็แดงก่ำขึ้นมาทันที

แต่คุณท่านใหญ่หลี่กลับมีสีหน้าที่ซีดเผือดลง

ภายในห้องโถงใหญ่เงียบสงัด

ทุกคนต่างอยู่ในอาการตื่นตระหนก

แต่หลี่เต๋อซานกลับแสดงออกถึงความโกรธที่รุนแรงขึ้น เขาชี้นิ้วและตะโกนไปที่เฉินเต้าหลินด้วยความโมโห : “เฉินเต้าหลิน จริงอยู่ที่คุณเป็นเจ้าบ้านตระกูลเฉิน จริงอยู่ที่ตระกูลเฉินแข็งแกร่งกว่าตระกูลหลี่ แต่คุณก็ควรจะดูเสียก่อนว่า ที่นี่เป็นที่ของตระกูลหลี่คุณอย่า……รังแกคนอื่นให้มากเกินไป !”

ถึงแม้จะเป็นการตะคอก

แต่ประโยคด้านหลังที่ว่า “รังแกคนอื่นมากเกินไป” กลับทำให้ทุกคนรู้สึกแปลกๆ เล็กน้อย

เฉินเต้าหลินแสยะยิ้มออกมา และไม่แยแสหลี่เต๋อซาน

แต่กลับหันไปมองเฉินตงด้วยแววตาอันเฉียบคม

“ตงเอ๋อ พ่อจะสอนลูกนะว่า รังแกคนต้องรังแกให้ถึงที่สุด ! หากกลัวว่าจะเป็นการรังแกมากเกินไป ไม่สู้อย่ารังแกเสียดีกว่า !”

เป็นคำพูดที่เสียงดังฟังชัดและเผด็จการที่สุด

เฉินตงรู้สึกประทับใจเป็นอย่างมาก เขารู้สึกเหมือนหัวใจเต้นเร็วจนแทบจะหลุดออกมาจากหน้าอก

ทันทีที่พูดจบ

ฟิ้ว……

ฟิ้ว……

ฟิ้ว……

มีเสียงดังสนั่นก้องกังวานอยู่บนท้องฟ้าอันมืดมิด

เสียงอึกทึก

จนถึงขั้นกลบเสียงของฟ้าผ่าที่ดังอยู่บนท้องฟ้า

ทันใดนั้น

ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงใหญ่ต่างแตกตื่นและหวาดกลัว จากนั้นจึงมีคนวิ่งออกไปจากห้องโถงใหญ่และแหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้า

เฉินตงได้ยินเสียงก็รู้สึกสะดุ้งเล็กน้อยเช่นกัน ตัวของเขาเริ่มสั่นเล็กน้อย

เป็นเพราะว่า เสียงนี้ เขารู้สึกคุ้นหูเป็นอย่างดี !

ตอนที่ขอกู้ชิงหยิ่งแต่งงาน พ่อก็ส่งของขวัญชิ้นนี้มาให้ !

“เครื่องบินรบ สวรรค์ ท่านเจ้าบ้าน มีเครื่องบินรบบินอยู่เหนือคฤหาสน์ปราสาทของเรา !”

ด้านนอก คนของตระกูลหลี่กรีดร้องด้วยความตกใจ

ส่วนด้านในห้องโถงใหญ่ คุณท่านใหญ่หลี่และคนตระกูลหลี่คนอื่นๆ ต่างก็ตกใจจนหน้าซีดเผือด แขนขาอ่อนแรง

เฉินเต้าหลินหันกลับไปมองพวกของคุณท่านใหญ่หลี่

“คืนภรรยาของฉันมาให้ฉัน มิเช่นนั้นอย่ามาโทษฉัน ถ้าฉันจะถล่มตระกูลหลี่จนราบเป็นหน้ากลอง !”

การข่มขู่เป็นไปอย่างเปิดเผย

ในเมื่อเฉินตงกล้าที่จะมาที่นี่ นั่งก็หมายความว่าเขาเตรียมตัวเตรียมใจมาเรียบร้อยแล้ว

“ไอสัตว์เดรัจฉาน แกปล่อยพ่อของฉันเดี๋ยวนี้ !”

หลี่เต๋อซานตะโกนขึ้นมาด้วยความโกรธ : “เขาเป็นปู่ของแกนะ !”

“อย่างไรสัตว์เดรัจฉานก็เป็นสัตว์เดรัจฉานอยู่วันยังค่ำ ไม่สนใจที่ต่ำที่สูง ไม่เห็นผู้ใหญ่อยู่ในสายตา !”

“หรือสุสานที่ฝังบรรพบุรุษของตระกูลหลี่ของเราจะมีปัญหา ทำไมถึงได้มีทายาทที่ดื้อรั้นเช่นนี้ได้ !”

“หลี่หลานเอ๋ย หลี่หลาน แกมันสมควรตายจริงๆ เกิดตัวอะไรออกมาเนี่ย แม้กระทั่งผู้หลักผู้ใหญ่ยังกล้าข่มขู่ อกตัญญูจริงๆ !”

……

ฝูงชนตะโกนโห่ร้องด้วยความขุ่นเคือง

จู่ๆ เฉินตงก็รู้สึกขำ

ไม่สนใจที่ต่ำที่สูง ?

ไม่เห็นผู้ใหญ่อยู่ในสายตา ?

คนพวกนี้ เมื่อก่อนเคยเห็นเขากับแม่เป็นคนตระกูลหลี่ด้วยหรือ ?

ตอนนี้คุณท่านใหญ่หลี่ตกอยู่ในกำมือของเขา ถึงได้เริ่มพูดเรื่องความกตัญญูกันหรืออย่างไร ?

นี่มันช่างไร้ยางอายเสียจริงๆ !

คุณท่านใหญ่หลี่ยิ้มมุมปาก : “ตงเอ๋อ กลับมาเถอะ ที่นี่ก็คือบ้านของแก ต่อไปแกก็จะได้เป็นเจ้าบ้านตระกูลหลี่ !”

“ผมจะรับแม่ของผมกลับบ้าน !”

มือขวาของเฉินตงค่อยๆ เพิ่มแรงให้หนักขึ้น

คุณท่านใหญ่หลี่ใบหน้าแดงก่ำ ดวงตาเริ่มถลนออกมา เห็นได้ชัดว่าขาดอากาศหายใจ

แต่เขากลับยังคงยิ้มอยู่

ภาพนี้ทำให้ทุกคนที่เห็นต่างรู้สึกตื่นตระหนก

บ้าไปแล้ว !

เฉินตงบ้าไปแล้วจริงๆ !

ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า ไม่มีใครสงสัยเลยว่าเฉินตงจะกล้าฆ่าคุณท่านใหญ่หลี่หรือไม่

“แกไม่มีทางเลือก !”

จู่ๆ คุณท่านใหญ่หลี่ก็พยายามฝืนพูดออกมาหนึ่งประโยค : “ถ้าไม่ยอมเป็นเจ้าบ้าน แกก็รับแม่ของแกกลับไปไม่ได้ อีกทั้ง แม่ของแกจะต้องตายด้วย !”

คำขู่ที่รุนแรงเช่นเดียวกัน

แต่กลับทำให้หัวใจของเฉินตงสั่นอย่างรุนแรง

มือที่บีบคอของคุณท่านใหญ่หลี่อยู่ค่อยๆ คลายลงเล็กน้อย

เมื่อรู้สึกว่าคอของเขาถูกปล่อยลงเล็กน้อย ใบหน้าของคุณท่านใหญ่ก็ปรากฏรอยยิ้มที่ชัดเจนขึ้น

เมื่อเห็นท่าทีของเฉินตง เขาก็รู้สึกภูมิใจ

อย่างไรเสียก็เป็นแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่ง คิดจะมางัดข้อกับคนแก่อย่างฉันได้อย่างไร ?

เขาลักพาตัวหลี่หลานกลับตระกูลหลี่ ก็เพื่อบีบบังคับให้เฉินตงยอมจำนน

หากเขากุมชะตาชีวิตของหลี่หลานเอาไว้ได้ เขาก็ไม่รู้สึกกังวลใจเลยแม้แต่น้อยว่าเฉินตงจะปฏิเสธตำแหน่งผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าบ้าน

เมื่อเทียบกับอนาคตของตระกูลหลี่แล้ว ชีวิตของหลี่หลาน แทบจะไม่มีค่าใดๆ ในสายตาของคุณท่านใหญ่หลี่เลย

“เธอเป็นลูกสาวของคุณ ในสายเธอของคุณ เธอไม่มีค่าอะไรเลยหรือ ?”

เฉินตงรู้สึกโกรธจนถึงขีดสุด

แต่ทว่า

คุณท่านใหญ่หลี่กลับยิ้มออกมา : “เธอเป็นลูกสาวของตระกูลหลี่ หากยอมเสียสละเพื่ออนาคตของตระกูลหลี่ได้ นั่นก็ถือเป็นเกียรติของเธอ !”

ตุ๊บ !

เฉินตงโกรธจัด เขาตบคุณท่านใหญ่หลี่ด้วยหลังมือจนล้มลงไปนอนกับพื้น

เขาไม่คิดเลยว่า คนคนหนึ่งจะไร้ยางอายได้ถึงขั้นนี้ !

อีกทั้งยังเป็นถึงเจ้าบ้านตระกูลหลี่ที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองหลวงอีกด้วย !

แม่ต้องเกิดมาในครอบครัวแบบนี้ ช่างโชคร้ายจริงๆ !

“พ่อ……”

หลี่เต๋อซานและบรรดาน้องชายรีบวิ่งเข้าไปทันที แล้วล้อมคุณท่านใหญ่หลี่เอาไว้

ส่วนคนตระกูลหลี่ที่เหลือ ก็ก้าวขึ้นไปข้างหน้าด้วยความเดือดดาล

“ฆ่ามัน ฆ่าพวกมันให้หมด !”

หลี่เต๋อซานเห็นใบหน้าซีกหนึ่งของคุณท่านใหญ่หลี่บวมเปล่งและมีเลือดไหลออกมาที่มุมปาก ก็เกิดเจตนาฆ่าที่รุนแรงขึ้นมาทันที

ทันใดนั้น

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหลายสิบคนก็วิ่งกรูเข้ามา

“พี่ใหญ่จะลงมือแล้ว !”

จู่ๆ ฉินเย่ก็ตะโกนขึ้นมา เขาล้วงมือเข้าไปหยิบมีดสั้นออกมาจากกระเป๋า จากนั้นจึงวิ่งตรงเข้าไปหาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยด้วยความรวดเร็วราวกับสายฟ้า

ในเวลาเดียวกัน

คุนหลุนเองก็ตะโกนออกมาเสียงดัง รูปร่างที่สูงตระหง่านราวกับหอคอยเหล็กของเขา พุ่งเข้าหาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยราวกับคลื่นสึนามิ

การต่อสู้เปิดฉากขึ้น !

มีดสั้นที่อยู่ในมือของฉินเย่ ค่อยๆ เฉือนเข้าไปที่คอของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เลือดสีแดงสดพุ่งออกมา ส่วนเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ล้มลงไปนอนจมกองเลือดอยู่

ภายในห้องโถงใหญ่ ค่อยๆ มีกลิ่นเลือดคละคลุ้งขึ้นมา

ภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้า เฉินตงยืนมองอยู่อย่างไม่ละสายตา

ต่อให้เป็นเขาก็ยังอดที่จะตกใจไม่ได้กับการฆ่าอย่างโหดเหี้ยมและเด็ดขาดของฉินเย่

คนที่ฆ่าพ่อของตัวเองได้ ไม่มีทางที่จะปรานีต่อชีวิตของคนอื่นเลยจริงๆ !

ฉินเย่ที่โหดเหี้ยมและคุนหลุนที่ดุร้าย สามารถจัดการกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจำนวนหลายสิบคนได้ภายในชั่วพริบตาจริงๆ

“คนตระกูลหลี่ทุกคน ฆ่าไอ้สัตว์เดรัจฉานนี่ให้ได้ !”

หลี่เต๋อซานตะโกนเสียงดัง

ทันใดนั้น

ผู้ชายทุกคนในตระกูลหลี่ก็มีท่าทีที่ดุร้ายราวกับเสือและหมาป่า พุ่งตรงเข้าไปหาเฉินตงและท่านหลงด้วยความเกรี้ยวกราดในทันที

เฉินตงขยับไหล่ทั้งสองข้างเล็กน้อย จากนั้นจึงแสยะยิ้มมุมปากออกมา : “แสดงให้ฉันเห็นหน่อยซิว่า ชนชั้นสูงของตระกูลหลี่ จริงๆ แล้วจะอ่อนแอขนาดไหน ถึงได้ยอมบากหน้ามาเชิญคนที่พวกแกเรียกว่าเป็นสัตว์เดรัจฉานอย่างฉัน ให้กลับมาเป็นเจ้าบ้าน !”

ยังไม่ทันที่เฉินตงจะได้ขยับ

ก็มีบางอย่างปรากฏขึ้นตรงหน้าทันที

ท่านหลงเข้ามายืนกันเฉินตงเอาไว้

ตอนนี้เอง ท่านหลงท่าทีดุดันและน่าเกรงขามออกมา

“ตระกูลหลี่ของพวกแก คิดที่จะใช้พวกที่มากว่ารุมพวกที่น้อยกว่าอย่างนั้นหรือ ?”

“ท่านหลง นายเป็นคนของตระกูลเฉิน อย่ามายุ่งเรื่องของตระกูลหลี่ มิเช่นนั้นอย่าหาว่าตระกูลหลี่ของฉันไม่ไว้หน้าตระกูลเฉินก็แล้วกัน !” หลี่เต๋อซานจ้องตาเขม็งและตะโกนออกมาอย่างดุดัน

ส่วนคุณท่านใหญ่หลี่เองก็ไม่คิดขัดขวาง

เพื่ออนาคตของตระกูลหลี่แล้ว เขายอมที่จะใช้ทุกวิถีทาง ยอมที่จะวางทิฐิของเขาลง

แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะปล่อยให้ศักดิ์ศรีและหน้าตาของตระกูลหลี่ต้องถูกเหยียบย่ำได้เช่นนี้

ทุกสิ่งที่เฉินตงทำ ควรจะได้รับโทษอย่างสาสม

ให้เขาได้รู้ว่า ตระกูลหลี่ที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นคือยักษ์ใหญ่ ไม่ใช่มดตัวเล็กๆ ที่จะมาดูถูกได้ตามอำเภอใจ !”

ท่านหลงกลับยิ้มอย่างดูถูก : “เรื่องของตระกูลหลี่ ? ฉันเองก็ไม่อยากจะยุ่ง แต่คุณชายเฉินตงเป็นคุณชายของตระกูลเฉินเรา ใครกล้าแตะต้องเขา ก็อย่าโทษว่าตระกูลเฉินของเราไม่ไว้หน้าก็แล้วกัน !”

หลังจากพูดจบ เขาก็ยืดอกอย่างหยิ่งผยอง

หลี่เต๋อซานและคนของตระกูลหลี่ผงะไปทันทีและหยุดนิ่ง

“ท่านหลง เขาเป็นเจ้าบ้านตระกูลหลี่ของฉัน !” คุณท่านใหญ่หลี่โต้กลับ

“คุณชายของเราไม่สนใจตำแหน่งเจ้าบ้านเล็กๆ ของตระกูลหลี่หรอก !” ใบหน้าของท่านหลงเต็มไปด้วยความหยิ่งผยอง “หากเทียบกับตระกูลเฉินแล้ว ตระกูลหลี่ของคุณคือตัวอะไร ?”

“แก……” คุณท่านใหญ่หลี่โกรธจนหน้าแดง พูดไม่ออก

ตระกูลหลี่ร่ำรวยที่สุดในเมืองหลวง

แต่เมื่อเทียบกับตระกูลเฉินแล้ว ถือว่าห่างกันราวฟ้ากับดินจริงๆ

หลี่เต๋อซานจ้องตาเขม็ง : “ฉันไม่สนว่าแกเป็นใคร แต่ใครก็ตามที่กล้าทำผิดต่อตระกูลหลี่ มันผู้นั้นต้องชดใช้ ! วันนี้ ฉันจะใช้พวกมากรุมพวกน้อยเอง !”

ท่านหลงผงะไป

เขาไม่กังวลคนอย่างคุณท่านใหญ่หลี่ แต่เขากังวลคนที่เลือดร้อนอย่างหลี่เต๋อซาน

พวกเขาไม่สามารถใช้ความแข็งแกร่งของตระกูลเฉินมาเป็นเครื่องมือข่มขู่ได้ เพราะตอนนี้พวกเขาอยู่ในตระกูลหลี่ สถานการณ์ตอนนี้ราวกับว่าพวกเขาเมาอยู่ในถ้ำเสือ !

ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่จะช่วยคุณผู้หญิงออกไปได้หรือไม่ ตอนนี้พวกเขาจะสามารถออกไปจากตระกูลหลี่อย่างปลอดภัยได้หรือไม่ยังไม่รู้เลย

เมื่อเห็นคนของตระกูลหลี่เดินล้อมวงเข้ามา

ท่านหลงก็รู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก

เผียะ !

มือขวาของเฉินตงตบลงบนไหล่ของท่านหลง : “ท่านหลง ฉันเอง”

“คุณชาย……” ท่านหลงอยากจะโต้แย้งแต่พูดไม่ออก

ยังไม่ทันที่จะได้พูด

จู่ๆ บนท้องฟ้าด้านนอกห้องโถงใหญ่ ก็มีเสียงของใบพัดดังสนั่นขึ้น

ฟิ้วฟิ้วฟิ้ว……

เสียงดังก้องกังวานค่อยๆ ลดต่ำลงมาจากท้องฟ้า

ทันใดนั้นเอง ทุกคนก็ต้องผงะไป

เฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งค่อยๆ ลงจอดอย่างช้าๆ ตรงบริเวณพื้นที่โล่งด้านหน้าคฤหาสน์ปราสาท

“นายท่าน ? !”

เมื่อท่านหลงเห็นเฮลิคอปเตอร์ ก็ตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจทันที

“ในที่สุดก็มาแล้ว” ท่าทีของเฉินตงค่อยๆ ผ่อนคลายลงเล็กน้อย

เมื่อได้ยินสิ่งที่ท่านหลงอุทานออกมา คุณท่านใหญ่หลี่และคนของตระกูลหลี่ก็หัวใจเต้นแรงทันที

สายตาของทุกคนต่างจับจ้องไปที่เฮลิคอปเตอร์

ภายใต้ท้องฟ้ามืดมิดยามค่ำคืน เสียงใบพัดของเฮลิคอปเตอร์ดังสนั่นหวั่นไหว และทำให้เกิดลมกระโชกแรง

จากนั้น ประตูเครื่องก็เปิดออก

มีร่างร่างหนึ่ง ค่อยๆ เดินลงมาจากเฮลิคอปเตอร์

เดินไปพลางยิ้มไปพลาง

ทันใดนั้น คุณท่านใหญ่หลี่และคนของตระกูลเฉินต่างก็อยู่ในท่าทีเคร่งขรึม

จากนั้นก็มีเสียงอันทรงพลังดังออกมาจากปากของชายคนนั้น

“ตระกูลหลี่ คืนภรรยาของฉันมาให้ฉัน !”

“คุณชาย คนมากมายขนาดนี้……”

แววตาของคุนหลุนเป็นประกาย

เขาไม่กลัวที่จะต้องฆ่าคน ทหารรับจ้างเวลาอยู่ในสนามรบ ถ้าไม่ถูกเขาฆ่า ก็คือฆ่าเขา ไม่มีทางเลือก

แต่ทว่าตอนนี้ คนที่อยู่ตรงหน้าเหล่านี้ ทำให้เขารู้สึกลังเล

“ตอนที่พวกเขายิงปืน ยังไม่เป็นห่วงเลยว่าพวกเราจะตายหรือไม่”

คำพูดของเฉินตง ทำให้ความลังเลของคุนหลุนสูญสิ้นไป

รถฮัมเมอร์ที่ได้รับความเสียหายส่งเสียงดังกระหึ่มออกมา ความเร็วไม่ได้ลดลงแต่กลับเร่งเครื่องให้แรงขึ้น จากนั้นจึงมุ่งหน้าตรงไปยังห้องโถงใหญ่ของคฤหาสน์ปราสาท

ภาพที่เห็นนี้ ทำให้คนที่อยู่ในห้องโรงใหญ่ของคฤหาสน์ปราสาท ต่างรู้สึกตกใจจนแทบสิ้นสติ

“สวรรค์ ไอ้หมอนี่มันบ้าไปแล้วหรืออย่างไร ? เขาอยากจะชนพวกเราทั้งหมดให้ตายไปเลยหรืออย่างไร ?”

“ท่านเจ้าบ้าน รีบหยุดเรื่องนี้เร็วเข้า ให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยฆ่าเขาเดี๋ยวนี้ ! คนบ้าเลือดแบบนี้จะปล่อยไว้ไม่ได้ !”

“สมควรตาย มันสมควรตายจริงๆ ! ตระกูลหลี่อันสูงส่งของฉัน เคยถูกคนดูถูกย่ำยีขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ?”

……

คนในตระกูลหลี่ต่างรู้สึกตื่นเต้นไปพร้อมๆ กับหวาดกลัว

ในฐานะที่เป็นเศรษฐีอันดับหนึ่งของเมืองหลวง ต่อให้เป็นแค่ญาติคนหนึ่งในตระกูล แต่ก็ยังคงมีความเย่อหยิ่งในแบบฉบับของเศรษฐีอันดับหนึ่งพึงมี

ความเย่อหยิ่งเช่นนี้ ทำให้ปกติแล้วพวกเขามักจะเคยชินกับการทำตัวอยู่เหนือคนอื่น

แต่เฉินตง กลับทำลายความเย่อหยิ่งของพวกเขาจนหมดสิ้น และดึงพวกเขาจากท้องฟ้าลงมาเหยียบย่ำในบ่อโคลน

ตระกูลที่ยิ่งใหญ่ หน้าตาและศักดิ์ศรีนั้นสำคัญกว่าชีวิตเสียอีก !

“ป้องกัน !”

ด้านนอกห้องโถงใหญ่ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหลายสิบคนยืนคุ้มกันห้องโถงใหญ่เอาไว้

ภายใต้แสงสว่าง มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในนั้นสามคน ยกมือทั้งสองข้างขึ้น

ปากกระบอกปืนสีดำสามกระบอก เล็งผ่านกลุ่มคนตรงไปยังรถฮัมเมอร์ที่กำลังขับพุ่งเข้ามา และเตรียมพร้อมที่จะยิง !

ด้านหน้าห้องโถงใหญ่ของคฤหาสน์ปราสาท บนทางที่เงียบสงัด มีเพียงเสียงของรถฮัมเมอร์ดังคำรามมาจากระยะไกล

อีกทั้งรถฮัมเมอร์ ไม่มีทีท่าว่าจะลดความเร็วลงแม้แต่น้อย

แต่กลับคำรามเสียงดังขึ้น และเพิ่มความเร็วมากยิ่งขึ้น

บรรดาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหลายสิบคนต่างขมวดคิ้วแน่น และมีสีหน้าที่เคร่งเครียด บางคนก็มีเหงื่อไหลอาบไปทั่วหน้าผาก

ที่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาทำหน้าที่ป้องกันตระกูลหลี่อย่างเต็มรูปแบบจริงๆ !

มีทั้งความตกใจ สงสัย และความตื่นตระหนกวนเวียนอยู่ภายในใจ

ส่วนคุณท่านใหญ่หลี่ยืนนิ่งราวกับเข็มหมุดที่ปักอยู่ตรงกลางฝูงชน

มองดูรถฮัมเมอร์ที่แล่นเข้ามาด้วยความรวดเร็ว คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันแน่น ดวงตาของเขาดุร้ายราวกับดวงตาของอสรพิษ มีเส้นเลือดปูดโปนออกมาบริเวณหางตาของเขา

คนตระกูลหลี่ที่อยู่โดยรอบต่างก็สงบลง แต่ความตื่นเต้นหวาดกลัวก็ยังคงมีอยู่

ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ด้านข้างคุณท่านใหญ่ตระกูลหลี่ พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดว่า : “พ่อครับ ตนบ้าเลือดแบบนี้ ฆ่ามันให้ตายเถอะครับ !”

เขาคือลูกชายคนโตของคุณท่านใหญ่หลี่ นามว่าหลี่เต๋อซาน ในตระกูลหลี่เขามีศักดิ์เป็นรองเพียงแค่คุณท่านใหญ่หลี่เท่านั้น

“หึ !”

คุณท่านใหญ่หลี่แสดงความไม่พอใจออกมา จากนั้นจึงก้าวขึ้นไปข้างหน้า พร้อมด้วยแววตาที่แน่วแน่

หลี่เต๋อซานรู้สึกดีใจทันที เจตนาฆ่าพลุ่งพล่านขึ้นในดวงตาของเขา

เขาเป็นลูกชายคนโตของตระกูลหลี่ ฐานะเป็นรองเพียงแค่ผู้เป็นพ่อซึ่งมีศักดิ์เป็นเจ้าบ้านเท่านั้น

ถ้าหากไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ เกิดขึ้น เขาก็คือผู้ที่จะได้สืบทอดตำแหน่งเจ้าบ้านคนต่อไป !

ในตระกูลหลี่ มีเพียงการได้ขึ้นเป็นเจ้าบ้านเท่านั้น ถึงจะสามารถเสพสุขอยู่กับทรัพย์สินเงินทองทั้งหมดของตระกูลหลี่ได้ และนั่นก็ถือเป็นความรุ่งโรจน์ขั้นสูงสุด

แต่ทว่า จู่ๆ พ่อก็เปลี่ยนเจตนากะทันหัน ต้องการที่จะให้ลูกชายของน้องสาวที่สมควรตายคนนั้นมารับหน้าที่ผู้สืบทอดมรดกของตระกูลหลี่แทน

หลังจากที่เขาได้รับข่าวนี้ ก็รู้สึกโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ

เขารอมาเป็นเวลาหลายสิบปี รอให้พ่อจากโลกนี้ไป เขาก็จะได้ก้าวขึ้นมาเป็นเจ้าบ้าน

แล้วจะให้หลานนอกคอกที่ไม่ได้ใช้แซ่หลี่ของเขาเสียด้วยซ้ำ ขึ้นมาเป็นเจ้าบ้านได้อย่างไร ?

หลี่เต๋อซานเคยคิดที่จะเกลี้ยกล่อมพ่อของเขา แต่ท่าทีของพ่อแน่วแน่กว่าที่เขาคาดเอาไว้

ขณะที่เขาอยู่ในสภาพที่สิ้นหวัง กลับคิดไม่ถึงเลยว่า จู่ๆ เฉินตงจะกล้าบุกรุงเข้าบ้านตระกูลหลี่เช่นนี้

“แกรนหาที่ตายเอง อย่ามาโทษฉันก็แล้วกัน !”

เขามองไปยังคนที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับหลี่หลานที่นั่งอยู่ในรถฮัมเมอร์ เจตนาฆ่าของหลี่เต๋อซานก็พลุ่งพล่านขึ้นมาทันที

ทันใดนั้น

“ออกไปให้หมด !”

คุณท่านใหญ่หลี่ตะโกนขึ้นด้วยความโกรธ

เปรี้ยง !

ตัวของหลี่เต๋อซานสั่น ใบหน้าของเขาเดือดดาลจนถึงขีดสุด

คำพูดประโยคนี้ สำหรับทุกคนแล้วมีอานุภาพรุนแรงไม่น้อยไปกว่าฟ้าผ่าครั้งใหญ่ !

เจ้าบ้านเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร ?

เด็กนอกคอกคนนี้บุกรุกเข้ามาในคฤหาสน์ปราสาทขนาดนี้แล้ว ยังไม่คิดจะทำอะไรอีก หรือจะให้คนป่าเถื่อนนี้ขับพุ่งเข้ามาในคฤหาสน์ปราสาทหรืออย่างไรกัน ?

เรื่องนี้ถ้าแพร่งพรายออกไป ตระกูลหลี่จะต้องกลายเป็นตัวตลกของคนทั้งเมืองอย่างแน่นอน !

“พ่อ……” หลี่เต๋อซานเป็นลูกชายคนโต จึงคิดที่จะกล่าวเตือนเขาทันที

“ทุกคนออกไปให้พ้น !”

คุณท่านใหญ่หลี่ตะโกนออกมาราวกับเสียงขู่คำรามของราชสีห์

และในตอนนี้เอง รถฮัมเมอร์ได้มุ่งตรงมาถึงด้านหน้าเรียบร้อยแล้ว

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหลายสิบนายไม่ลังเลอีกต่อไป ต่างรีบวิ่งกระจัดกระจายออกไปทั้งสองด้าน

ขณะที่รถฮัมเมอร์ขับพุ่งขึ้นบันไดไป คนของตระกูลหลี่ก็ไม่อาจยืนนิ่งได้อีกต่อไป ต่างก็ค่อยๆ ถอยหลังไปด้วยความหวาดกลัว

แต่ขณะที่ทุกคนต่างตื่นตกใจกลับพบว่า

มีเพียงคุณท่านใหญ่หลี่คนเดียวเท่านั้นที่ยังคนยืนหยัดอยู่ตรงข้างห้องโถงใหญ่โดยไม่ขยับเขยื้อนไปไหน !

“พ่อ……”

หลี่เต๋อซานตกใจสุดขีด

“ท่านเจ้าบ้าน”

“พ่อ”

“คุณปู่”

ทันใดนั้นเอง ทุกคนต่างตะโกนโห่ร้องด้วยความตื่นตกใจ

แต่กลับไปมีใครก้าวขึ้นไปแม้แต่คนเดียว

รถฮัมเมอร์ขับพุ่งเข้ามาในห้องโถงใหญ่ แสงไฟสาดส่องเข้าไปในห้องโถงใหญ่จนขาวโพลน และกลืนกินคุณท่านใหญ่หลี่จนหายไป

ทุกคนต่างหรี่ตาลงพร้อมกัน

บรื้น !

เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่ม

จากนั้นรถฮัมเมอร์ก็หยุดลง

ขณะที่ทุกคนกำลังคิดว่าคุณท่านใหญ่หลี่คงหนีไม่พ้น

ไฟหน้ารถก็ดับลง เผยให้เห็นคุณท่านใหญ่หลี่

เขายังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม จุดที่เขายืนอยู่ห่างจากรถฮัมเมอร์ไม่ถึงสิบเซนติเมตร !

ภายในห้องโถงใหญ่ ทุกอย่างเงียบสงัด

คุณท่านใหญ่หลี่ยังยืนอยู่ที่เดิม ดวงตาของเขาจ้องมองไปที่รถฮัมเมอร์อย่างมืดมน

ส่วนเฉินตงเองก็จ้องมองคุณท่านใหญ่หลี่อยู่เช่นเดียวกัน

ทั้งสองสบตากัน ถึงแม้จะไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ แต่ก็ทำให้ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงใหญ่รู้สึกได้ถึงความหดหู่อย่างรุนแรง

ในที่สุด

คุณท่านใหญ่หลี่ก็แสยะยิ้มออกมา : “แกไม่กล้าฆ่าฉันหรืออย่างไร ?”

“คุณมีค่าขนาดไหนที่จะให้ผมฆ่า ?”

เฉินตงยิ้มเยาะ

เขาเปิดประตูแล้วลงจากรถ

คุนหลุน ท่านหลง และฉินเย่ ค่อยๆ ทยอยตามลงมาจากรถทางด้านหลัง

คุณท่านใหญ่หลี่เหลือบไปมองทั้งสามคน : “ท่านหลง คนหนุ่มเลือดร้อนเป็นเรื่องธรรมดา แต่คนอายุอย่างนายยังจะเลือดร้อนตามด้วยหรือ ?”

“คุณไม่มีสิทธิ์จะกล่าวโทษผม !” ท่านหลงยิ้มอย่างดูถูก

ความมืดมนในดวงตาของคุณท่านใหญ่หลี่เพิ่มขึ้น จากนั้นเขาจึงมองไปที่ฉินเย่แล้วแสยะยิ้มออกมา

“ฉินเย่ คนที่ฆ่าพ่อของตัวเองก็มาประสมโรงกับเขาด้วยหรือ ?”

ฉินเย่เอามือล้วงกระเป๋าด้วยท่าทางขวางโลก แล้วทำสีหน้าเบื่อหน่าย : “แล้วมันเรื่องอะไรของคุณ !”

คุณท่านใหญ่หลี่ทำสีหน้าเคร่งขรึม

ในตอนนั้นเอง

พวกของหลี่เต๋อซานที่กำลังตกตะลึงอยู่ก็ตั้งสติกลับมาได้

“จัดการมัน !” หลี่เต๋อซานตะโกนเสียงดัง

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหลายสิบคนที่อยู่ด้านนอก วิ่งกรูกันเข้ามาในห้องโถงใหญ่

แต่คุณท่านใหญ่หลี่กลับตะคอกเสียงดังว่า : “ใครก็ห้ามเข้ามาทั้งนั้น !”

หลังจากสิ้นเสียง ทุกคนก็หยุดอย่างกะทันหัน

คุณท่านใหญ่หลี่พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า : “ถ้าใครกล้าทำร้ายหลานชายของฉันแล้วล่ะก็ ฉันจะให้มันตายโดยไร้ที่ฝังศพ !”

หลี่เต๋อซานโกรธจนรู้สึกราวกับว่าปีศาจที่อยู่ในตัวแทบจะกระโดดออกมา

คนตระกูลหลี่ที่เหลือต่างก็รู้สึกตื่นตกใจ งุนงง สงสัย และโกรธแค้นเช่นกัน

เฉินตงหัวเราะ

เขาเดินเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าคุณท่านใหญ่หลี่ : “คุณนี่มันหน้าด้านจริงๆ !”

“แกยังเด็ก ปู่ไม่โทษแกหรอก !” คุณท่านใหญ่หลี่ยิ้มอย่างใจดี ราวกับว่าเมื่อครู่ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น

“ผมมารับแม่ของผมกลับบ้าน !”

เฉินตงมองคุณท่านใหญ่หลี่อย่างไม่แยแส

“ตอนนี้แม่ของแกอยู่ที่บ้านของตัวเอง” คุณท่านใหญ่หลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความแน่วแน่

หลังจากพูดจบ

ขวับ !

เฉินตงใช้มือของเขาบีบคอของคุณท่านใหญ่หลี่ทันที

“ผมไม่ได้มาเพื่อเจรจากับคุณ ผมมาเพื่อเตือนคุณ ! ว่าผมสามารถทำให้คุณกลายเป็นบรรพบุรุษผู้ล่วงลับของตระกูลหลี่ได้ !”

The Winner is king ผู้ชนะเลศคือราชา

The Winner is king ผู้ชนะเลศคือราชา

เฉินตงกับหวางหนันหนันแต่งงานกัน3ปี ถูกภรรยาที่ยกน้องชายเป็นหัวแก้วหัวแหวนบีบคั้น แล้วยังถูกดูถูกเหยียดหยาม วันหนึ่งได้กลับตระกูลมหาเศรษฐี เขาสาบานว่าต้องกอบกู้ศักดิ์ศรีกลับคืนมา ต้องทำให้คนที่ดูถูกเขาเสียใจกับสิ่งที่ทำ ให้คนที่เหยียดหยามเขาต้องชดใช้อย่างสาสม

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท