ชิวมู่เฉิงเป็นคนหน้าตาสะสวยมาก แม้ว่าเธอจะเคร่งขรึมจริงจัง รักษาระยะห่างจากคนอื่น แต่ก็ยังมีหนุ่มๆ มารุมตอมอย่างไม่ขาดสาย
เธอถือโอกาสหยิบกระเป๋าถือขึ้นมา ผมของเธอเป็นผมหางม้าที่เรียบง่ายที่สุด แต่เผยให้เห็นหูตาจมูกปากที่สวยและสง่างามน่าเกรงขามของเธอ
สถานที่ที่ชิวมู่เฉิงเดินผ่านเป็นเหมือนแนวทิวทัศน์ ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง ก็อดมองย้อนกลับไปไม่ได้
เมืองซานเจียงเป็นเขตตัวเมืองที่ร่ำรวยที่สุดในมณฑลซานเจียง ที่นี่ยังเป็นดินแดนของเศรษฐีอีกด้วย ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นดาราหรือเศรษฐี หรือคนที่มองหาสามีภรรยาที่ร่ำรวย ก็มีอยู่ที่นี่หลายคน
และคนเหล่านี้ล้วนมีรูปร่างหน้าตาไร้ที่ติ หล่อก็หล่อมาก สวยก็สวยมาก
แน่นอนว่ามีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รวยจริงๆ
พวกเขามาที่นี่เพื่อจุดประสงค์บางอย่าง
ในเมืองนี้มีทั้งหนุ่มหล่อสาวสวยและคนรวยอยู่ไม่น้อย
บางคนมาที่เมืองซานเจียง ยังไม่ทันตั้งตัวก็กลายเป็นคุณนายเศรษฐี ในขณะที่บางคน ยังไม่ทันตั้งตัวก็ต้องต่อสู้ตลอดชีวิต
แต่มันก็เป็นเพียงสถิติที่อาจเป็นไปได้เท่านั้น คนมีเงินยังสนใจครอบครัวที่มีฐานะทางสังคมเท่าเทียมกันมากขึ้น
เสื้อผ้าที่ชิวมู่เฉิงสวมนั้นดูเรียบง่ายและหรูหรา ถึงอย่างไรเธอก็เป็นประธานคนหนึ่ง เป็นไปไม่ได้ที่จะสวมเสื้อผ้าราคาถูก
ชิวมู่เฉิงกับเนี่ยเฟิงมาที่ฝูหม่านโหลวด้วยกัน
ที่นี่เป็นร้านอาหารจีนที่มีชื่อเสียง
“ได้ยินมาว่าที่นี่ทำปลาทอดกรอบได้อร่อยมาก ฉันจองที่ไว้แล้ว”
ชิวมู่เฉิงไม่สนว่าคนอื่นจะมองเธออย่างไร ในสายตาของเธอมีเพียงน้องชายชื่อเนี่ยเฟิงเท่านั้น
“ตกลง ขอเพียงพี่ใหญ่จัดการ จะอย่างไรก็ได้” เนี่ยเฟิงพูดด้วยรอยยิ้มอยู่ข้างๆ อันที่จริงอายุของทั้งสองนั้นไม่ได้แตกต่างกันมากนัก
เพียงแต่ว่าชิวมู่เฉิงแต่งตัวดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่า เนี่ยเฟิงมักจะสวมเสื้อและกางเกงลำลองเพื่อสะดวกในการเคลื่อนไหว
หลังจากเนี่ยเฟิงเข้าไปแล้ว ก็มายังที่นั่งที่จองไว้
ที่นั่งของฝูหม่านโหลวนั้นจองยากมาก ไม่มีห้องส่วนตัวขนาดเล็ก มีแต่ห้องขนาดใหญ่เท่านั้น
ชิวมู่เฉิงกับเนี่ยเฟิงตั้งใจมากินข้าวเท่านั้น ดังนั้นเธอจึงไม่ได้อยากจะจองห้องใหญ่
ทั้งสองมาถึงห้องที่กั้นไว้ ไม่นานอาหารก็มาเสิร์ฟ
ก่อนที่ชิวมู่เฉิงจะมาถึง เธอได้สั่งอาหารเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เช่นนี้พวกเขาจะได้ไม่ต้องรอนาน
“ปลาทอดกรอบอาจจะต้องรออีกนิด อาหารอย่างอื่นก็ไม่เลว พวกเรามาชิมกันก่อนแล้วกัน” ชิวมู่เฉิงพูดพลางจับตะเกียบคีบอาหารให้เนี่ยเฟิง
เนี่ยเฟิงเห็นชิวมู่เฉิงกำลังคีบอาหารมาให้ตนเหมือนยังเป็นเด็ก ก็ออกปากห้ามทันที “พี่ใหญ่ ผมคีบอาหารเองได้ พี่กินเถอะ! ไม่เป็นไร!”
ชิวมู่เฉิงได้ยินดังนั้นก็ถึงกับอึ้งไป เธอมองดูอาหารที่เธอคีบให้ในจานของเนี่ยเฟิง เธอเคยชินกับมันแล้ว เปลี่ยนแปลงไม่ได้
“ฉันเผลอไปเอง ชอบลืมไปว่านายโตแล้ว”
เนี่ยเฟิงไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี พี่ใหญ่ชอบดึงปัญหามาไว้กับตัวเองทุกครั้ง
อันที่จริงเนี่ยเฟิงไม่ชอบชิวมู่เฉิงในเรื่องนี้เลย เขามักจะรู้สึกว่าชิวมู่เฉิง คาดหวังในตัวเขาสูงเกินไป
“ไม่ใช่ครับ ผมแค่เป็นห่วงว่าพี่ใหญ่จะเอาแต่ดูแลผมจนลืมกินข้าว เรามากินด้วยกันเถอะ!”
ชิวมู่เฉิงได้ยินดังนั้น สีหน้าก็ดีขึ้นเล็กน้อย
พวกเขากินไปได้ครึ่งทาง ปลาทอดกรอบก็ถูกนำออกมาและกำลังจะเสิร์ฟบนโต๊ะ แต่ในเวลานี้ได้มีคนกลุ่มหนึ่งเข้ามา หลังจากที่คนกลุ่มนี้เข้ามาแล้วก็พูดด้วยท่าทางดุร้าย “เคลียร์สถานที่!”
เนี่ยเฟิงขมวดคิ้ว ชิวมู่เฉิงก็วางตะเกียบลงเช่นกัน มองไปที่ประตูด้วยความสับสน
“คุณผู้ชาย ฝูหม่านโหลวยังมีแขกรับประทานอาหารอยู่ ถ้าไม่ได้จองไว้ล่วงหน้า จะไม่สามารถเคลียร์สถานที่ได้” พนักงานต้อนรับตอบไปเช่นนี้
ชายคนนั้นยิ้มเยาะ “ผมบอกว่าให้เคลียร์สถานที่ก็ต้องเคลียร์! ฟังภาษาคนไม่เข้าใจเหรอ? เรียกเจ้านายของคุณออกมา! บอกเขาว่าพี่ชุนต้องการเคลียร์สถานที่!”
สีหน้าพนักงานเสิร์ฟเปลี่ยนไป พวกเขาเป็นเพียงคนธรรมดา ย่อมไม่มีอำนาจตัดสินใจ เพียงแต่ว่ามันไม่มีเหตุผลจริงๆ ที่จะเคลียร์สถานที่ในเวลานี้
“ไป! ไล่คนอื่นๆ ออกไป!”
ในเวลานี้ ชายคนนั้นยกมือขึ้น กลุ่มลูกสมุนที่อยู่ข้างหลังพากันเฮโลขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
ฝูหม่านโหลวเป็นร้านอาหารที่มีชื่อเสียง ในเวลานี้จึงมีผู้คนมากมายมารับประทานอาหาร
เนี่ยเฟิงจิบชาหนึ่งคำ พลางมองดูปลาทอดกรอบที่อยู่ตรงหน้าโดยไม่คิดจะลุกขึ้น
เมื่อพนักงานเสิร์ฟเห็นคนเดินตรงเข้ามาหาพวกเขาด้วยสีหน้าที่ดุร้าย เขาก็กลัวลนลาน รีบพูดกับเนี่ยเฟิงและชิวมูเฉิ่งว่า “คุณสองคนจะหลบออกไปก่อนไหม?”
“หลบอะไร? อาหารขึ้นชื่อของพวกคุณเพิ่งมาเสิร์ฟ ก็ต้องอยู่ชิมรสชาติอยู่แล้ว”
เนี่ยเฟิงพูดพลางคีบปลาทอดกรอบเข้าปาก “อร่อยจริงๆ หอมอบอวลอยู่ในปากเลย!”
เนี่ยเฟิงพูดพลางมองไปทางชิวมู่เฉิง “พี่ใหญ่ พี่ลองชิมดูสิ รสชาติไม่เลวจริง!”
ชิวมู่เฉิงขมวดคิ้ว เธอได้ยินเสียงคร่ำครวญของคนอื่นๆ ที่ถูกไล่ออกจากร้านอาหาร คนเหล่านี้ที่มาหาเรื่องที่นี่ต้องไม่ใช่คนดีแน่นอน
“เสี่ยวเฟิง อาหารไว้คราวหน้าพวกเราค่อยมากินก็ได้ ที่นี่ดูเหมือนจะมีบางอย่างเกิดขึ้น”
สิ่งที่ชิวมู่เฉิงเป็นกังวลมากที่สุดคือความปลอดภัยของน้องชายตน ตอนนี้ที่นี่ไม่ค่อยปลอดภัย ดังนั้นเธอย่อมไม่สามารถปล่อยให้น้องชายอยู่ที่นี่ได้ แต่เนี่ยเฟิงกลับไม่ยอมออกไป
“พี่ใหญ่ไม่ต้องเป็นห่วง พวกเราจ่ายเงินแล้ว”
สิ่งที่เนี่ยเฟิงเกลียดที่สุดคือคนประเภทนี้ที่ใช้อำนาจรังแกผู้อื่น แม้แต่จะกินข้าวสักมื้อก็ยังไม่ให้คนอื่นได้สบายใจ
และในเวลานี้นักเลงคนหนึ่งเห็นว่ายังมีคนนั่งกินอยู่อย่างไม่ทุกข์ร้อน จึงรีบวิ่งเข้ามาหาทันทีด้วยท่าทางดุร้าย เขายื่นมือออกมาเพื่อ คว่ำของบนโต๊ะ
แต่เขารู้ตัวอย่างรวดเร็ว เพราะต่อให้เขาออกแรงแค่ไหนก็ไม่สามารถคว่ำโต๊ะได้ ว่ากันตามเหตุผลมันเป็นไปไม่ได้เลย เพราะเขามีแรงมาก
เขาตกตะลึงครู่หนึ่ง แล้วยกมือขึ้นต่อไปเหมือนไม่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์ เขาต้องการยกโต๊ะอาหารขึ้น แต่โต๊ะอาหารก็ยังคงไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย
นักเลงคนนั้นมองที่โต๊ะ พบว่ามีตะเกียบวางอยู่เพียงคู่เดียว ในเวลานี้ตะเกียบไม้ได้ฝังลงไปในโต๊ะ!
เมื่อครู่สิ่งที่ขัดขวางเขาก็คือตะเกียบคู่นี้
นักเลงเบิกตากว้างด้วยความตกใจ มันเป็นไปได้อย่างไร? พละกำลังของมนุษย์ไม่สามารถมีมากมายได้ถึงขนาดนั้น คนคนนี้ที่อยู่ตรงหน้าเป็นใครมาจากไหนกันแน่?!
เนี่ยเฟิงยิ้มเจ้าเล่ห์มองไปทางนักเลง แล้วพูดตักเตือนดีๆ “สวัสดีครับคุณ ผมคิดว่าตอนนี้คุณมารบกวนการรับประทานอาหารของเราสองคนแล้ว รบกวนคุณออกไปก่อนได้ไหม”
นักเลงยังคงอยู่ในความตกใจ แต่พวกเขามาที่นี่เพื่อเคลียร์สถานที่ แล้วจะกลับไปด้วยคำพูดแค่คำสองคำของเนี่ยเฟิงได้อย่างไร?
เขาพูดอย่างดุร้าย “พี่ชุนของเราเหมาที่นี่ไว้แล้ว รบกวนคุณช่วยไปสืบดูว่าพี่ชุนแห่งเมืองซานเจียงเป็นใคร! ถ้ารู้ว่าอะไรควรไม่ควรก็รีบไสหัวออกไปจากที่นี่ อย่ามาทำตัวเกะกะ!”
นักเลงพยายามพลิกโต๊ะอีกหลายครั้งเพื่อวางอำนาจใส่พวกเขาในขณะที่ไม่ทันตั้งตัว แต่โต๊ะนั้นเหมือนก้อนหินขนาดมหึมา ทำให้นักเลงสงสัยว่าต๊ะตัวนี้ถูกยึดติดอยู่กับพื้นหรือไม่ จึงไม่สามารถยกขึ้นมาได้
แต่เขาเองก็เคยมาที่ฝูหม่านโหลวหลายครั้งแล้ว รู้ว่าโต๊ะเหล่านี้เคลื่อนย้ายได้ เพราะต้องถอดมาทำความสะอาดทุกวัน
“พวกเรามาจากเมืองอื่น เลยไม่รู้จักพี่ชุนที่คุณกำลังพูดถึง อีกอย่างผมก็จ่ายเงินไปแล้ว ต้องรับประทานอาหารให้เสร็จ”