บทที่ 534 ยอดค่ายกลกระบี่ทอง
“ข้าได้คาดหวังว่าจะได้รับความประหลาดใจในวันนี้ แต่ข้ามิคาดคิด
ว่าจะได้รับความประหลาดใจถึงเพียงนี้ เจ้าทำได้เหนือกว่าเดิมจริง ๆ
ในคราวนี้ ซูหยาง” ไป่ ลี่ฮัวกล่าวกับเขา สายตาของเธอยังคงอ้อยอิ่ง
อยู่กับหินวิญญาณที่อยู่เต็มพื้นที่
“เพียงแต่ว่าหินวิญาณกี่ก้อนกัน” เธอพลันถามเขาด้วยความอยากรู้
“สามร้อยล้านก้อน” เขาตอบอย่างเรียบเฉย
“อะไร…” ไป่ลี่ฮัวมองดูเขาด้วยดวงตาที่โตราวกับจานรองถ้วยชา
“จ-เจ้าต้องพูดเล่นแน่ใช่ไหม… สามร้อยล้านก้อนหินวิญญาณรึ เจ้า
ไปเอาหินวิญญาณมากมายมาจากไหนในโลกนี้กัน การแข่งขัน
ระดับภูมิภาคให้เจ้าเพียงแค่สิบล้านก้อนหินวิญญาณ…”
“งานอดิเรกของข้า” เขาตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“…”
งานอดิเรกประเภทไหนกันที่เป็นไปได้ที่สามารถนำเอาหินวิญญาณ
นับร้อยล้านก้อนออกมางั้นรึ ถ้าเป็นไปได้ เธอก็ต้องการที่จะเข้าไปมี
ส่วนร่วมด้วยเช่นกัน
“เจ้าสนใจรึ” ซูหยางสังเกตเห็นความอยากรู้ในดวงตาของเธอจึงถาม
ขึ้น
“ม-ไม่เสียทีเดียว… ว่าไปแล้วมันฟังดูน่าสงสัยเป็นอย่างมาก” เธอ
รีบตอบ “ใครจะรู้ว่าข้าต้องทำอะไร บางทีนั่นอาจจะต้องยอมสังเวย
ร่างกายของตัวเอง”
“พี่ชาย ท่านมิควรจะยุ่งเกี่ยวกับสิ่งที่อันตราย…” ซูหยินก็แสดงความ
เป็นห่วงของเธอที่มีต่อเขาออกมาเช่นกัน
ซูหยางหัวเราะหลังจากที่ได้ยินคำพูดของพวกเธอ จึงกล่าวว่า “อย่า
กังวล มันมิได้น่าสงสัยหรือมีอันตรายใด”
“ว่าแต่ท่านมาที่นี่ทำไมกัน ข้าสงสัยว่าท่านเดินทางมาที่นี่เฉพาะเจาะจง
เพียงเพื่อจะพบกับข้า”
“จริงแล้วคนที่ต้องการที่จะพบกับเจ้าก็คือซูหยิน และข้าเองก็แค่สนใจ
ในความก้าวหน้าของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย” ไป่ลี่ฮัวกล่าว
ซูหยินพลันกล่าวขึ้น “พี่ชายที่รัก ท่านรู้ไหมว่าพรุ่งนี้เป็นวันอะไร”
“วันพรุ่งนี้รึ…” ซูหยางเลิกคิ้ว
เมื่อเขาเห็นความคาดหวังในดวงตาของซูหยิน เขาก็เผยรอยยิ้มเล็กน้อย
แล้วกล่าวว่า “ข้านึกดูก่อน… สุดท้ายเจ้าก็เป็นผู้ใหญ่แล้วใช่ไหม”
“ใช่แล้ว ข้าจักบรรลุนิติภาวะในวันพรุ่งนี้ และข้าต้องการที่จะฉลอง
กับท่าน” เธอกล่าวด้วยสีหน้าสดใส
“เป็นวันเกิดของเจ้า แต่ข้าก็ยังมิได้เตรียมของขวัญอะไรเลย ดูเหมือน
ว่าข้าล้มเหลวในการเป็นพี่ชายเสียแล้ว” เขากล่าวด้วยรอยยิ้มขออภัย
“อย่าพูดอะไรแบบนั้น พี่ชาย ท่านเป็นพี่ชายที่ดีที่สุดคนหนึ่งที่ใคร ๆ
ก็ถามหา และข้าก็มิต้องการของขวัญใด ๆ สำหรับวันเกิดของข้า ใน
เมื่อการใช้เวลากับท่านนั้นเป็นสิ่งที่เพียงพอสำหรับข้าแล้ว”
ซูหยางเผยรอยยิ้มหวานอมขมกลืนหลังจากที่ได้ยินคำพูดไร้เดียงสา
ของเธอ
ตามความเป็นจริงพี่ชายที่ซูหยินรักจริง ๆ แล้วก็คือซูหยางจากก่อน
หน้าที่เขาจะฟื้นคืนความทรงจำในฐานะของเซียน นับตั้งแต่เขาได้
คืนความทรงจำมานอกจากการซื้อสมบัติให้เธอหนึ่งชิ้นที่เมืองหิมะ
โปรย เขาก็ไม่เคยที่จะได้ทำอะไรที่สามารถถือว่าเป็น “พี่ชาย” ได้
อย่างแท้จริง
เขาสามารถที่จะเปิดเผยความจริงให้กับเธอ แต่เขาก็ไม่ต้องการที่จะ
ทำลายความรู้สึกจากการที่รู้ว่าพี่ชายที่เธอรักนั้นไม่ได้อยู่ในโลกนี้
แล้วอีกต่อไป
“ถึงแม้ว่าเจ้าจะกล่าวว่าเจ้ามิต้องการของขวัญ แต่ในเมื่อนี่เป็นวันเกิด
ของเจ้า และเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิตของเจ้าเรื่องหนึ่งนั้น ข้าควร
จะให้อะไรแก่เจ้าสักอย่าง มีอะไรบ้างที่เจ้าต้องการเป็นพิเศษหรือไม่”
ซูหยางกล่าวกับเธอ
“ให้ข้าใช้เวลาคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้น” เธอกล่าวหลังจากนั้น
เขาพยักหน้าและกล่าวต่อว่า “อย่างไรก็ตาม ข้ากำลังจะสร้างค่ายกล
พวกท่านต้องการที่จะดูการสร้างมันขึ้นมาหรือไม่ มันมิได้เป็นอะไร
ที่พวกท่านจักเห็นได้บ่อยนักอีกต่อไป”
“มันก็เป็นเพียงแค่ค่ายกลใช่ไหม แม้ว่าจริงแล้วพวกมันอาจจะมิได้
เห็นเป็นเรื่องปกติ แต่ก็มิใช่ว่ามิมีนักสร้างค่ายกลคนอื่นเหลืออยู่
นอกจากนี้…” ไป่ ลี่ฮัวพูด
ซูหยางเพียงแค่ยิ้มและกล่าวว่า “ท่านจักเข้าใจครั้นเมื่อท่านได้เห็น
มัน”
หลังจากนั้นซูหยางก็เรียกศิษย์ทุกคนมารวมตัวกันที่กลางนิกาย
ครั้นเมื่อพวกเขาทั้งหมดมารวมตัวกันแล้ว เขาก็กล่าวว่า “อันดับแรก
ข้าควรจะขอบคุณพวกเจ้าทั้งหมดสำหรับความพยายามในช่วงเวลา
สองสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ มิเช่นนั้นการตระเตรียมก็จะใช้เวลาไป
มากกว่านี้ ตอนนี้ข้าจักให้พวกเจ้าได้เป็นพยานถึงผลของการลงแรง
ของพวกเจ้า”
จากนั้นเขาก็นำเอาม้วนคัมภีร์ที่มีลวดลายที่ซับซ้อนถึงที่สุดเขียนอยู่
บนนั้นออกมาและวางพวกมันลงบนพื้น ตรงกึ่งกลางของทั้งสำนัก
หลังจากนั้นเขาก็นั่งอยู่ตรงหน้าพวกมันในท่าขัดสมาธิดอกบัวและ
หลับตาลง
ความเงียบปกคลุมที่แห่งนั้น และผู้คนที่นั่นต่างก็พากันมองด้วย
ความคาดหวังอย่างสูง
สองสามนาทีให้หลัง รัศมีพลังอันมากมายมหาศาลก็ระเบิดออกมา
จากร่างของซูหยาง และม้วนคัมภีร์ทั้งสามเล่มต่างก็เปล่งประกาย
แสงสีทองตอบสนองกับรัศมีพลังนั้น
สองสามอึดใจถัดไปหลังจากนั้น ซูหยางก็ลืมตาขึ้น และเขาก็ตะโกน
ออกด้วยเสียงที่สะท้อนสะท้านไปทั่วทั้งนิกาย “ยอดค่ายกลกระบี่
ทอง”
บูม
ม้วนคัมภีร์สีทองทั้งสามม้วนพลันพุ่งขึ้นไปสู่ท้องฟ้า ก่อนที่จะตกลง
มายังนิกาย เกิดเป็นเสาสีทองขนาดมหึมาสามเสารายล้อมนิกาย
กุสุมาลย์พ้นพิสัยเอาไว้
เหล่าศิษย์ต่างพากันมองด้วยความหวาดหวั่น ดวงตาและปากของเขา
ล้วนเปิดกว้าง
สองสามอึดใจให้หลัง ซูหยางก็ตบลงไปบนพื้นด้วยมือข้างหนึ่ง จน
ทำให้ทั่วทั้งนิกายสั่นสะเทือนและหินวิญญาณที่กระจัดกระจายไป
ทั่วทั้งนิกายนั้นก็พากันกระดอนขึ้น
เมื่อหินวิญญาณกลับคืนสู่ผืนดิน พวกมันทั้งหมดต่างพากันเปล่งแสง
สว่าง และปราณไร้ลักษณ์ทั้งหมดที่เก็บไว้ภายในหินวิญญาณสาม
ร้อยล้านก้อนที่กระจัดกระจายไปทั่วทั้งนิกายนั้นก็พากันพุ่งเข้าสู่เสา
สีทองทั้งสาม จนทำให้พวกมันยิ่งเปล่งแสงจ้ายิ่งกว่าเดิม
ครั้นเมื่อเสาสีทองทั้งสามเสร็จสิ้นการดูดซับปราณไร้ลักษณ์จากหิน
วิญญาณทั้งหมดแล้ว หินวิญญาณต่างก็พากันกลายเป็นฝุ่นก่อนที่จะ
ถูกพัดไปด้วยกระแสลมรุนแรงที่ปรากฏขึ้นโดยไม่มีวี่แวว
“ชิวเยว่ กระตุ้นค่ายกลชั้นเยี่ยม” ซูหยางพลันตะโกนขึ้น
ทันทีที่เสียงของซูหยางขาดหายไป พลังวิญญาณอันมหาศาลอีกสาย
หนึ่งก็ปรากฏขึ้นภายในนิกาย
“พลังวิญญาณนี้มาจากไหนกัน” ผู้คนที่นั่นต่างพากันมีสีหน้าหวาด
กลัวอย่างลึกล้ำหลังจากที่รับรู้ถึงพลังวิญญาณที่กดดันของชิวเยว่
เมื่อมันเป็นสิ่งที่ไม่เหมือนกับอะไรเลยที่พวกเขาได้รับรู้มาก่อน
ในเวลานั้นเสาแสงสีทองทั้งสามต่างก็มีปฏิกิริยากับพลังวิญญาณ
ของชิวเยว่ด้วยการระเบิดออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ นับไม่ถ้วน ซึ่งแต่ละชิ้น
มีความยาวประมาณสามสิบนิ้วและกว้างสามนิ้ว และถ้าหากมองดู
อย่างใกล้ชิด ชิ้นส่วนเหล่านี้ทั้งหมดล้วนมีหน้าตาเป็นรูปกระบี่
ครั้นเมื่อเสาแสงสีทองทั้งสามหายไปแล้ว กระบี่สีทองนับหมื่นแสน
ที่ล่องล่อยอยู่บนท้องฟ้าก็เริ่มเคลื่อนไหว
สองสามนาทีให้หลัง กระบี่สีทองก็รายล้อมทั่วทั้งนิกายกุสุมาลย์พ้น
พิสัยในลักษณะที่เหมือนกับเป็นกำแพงโล่สีทองขนาดยักษ์ที่ปกป้อง
ทุกตารางนิ้วของนิกาย
ครั้นเมื่อค่ายกลชั้นเยี่ยมสำเร็จลงแล้ว กระบี่สีทองในท้องฟ้าก็พลัน
เปลี่ยนสภาพเป็นมองไม่เห็นราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหมดนั้นเป็น
เพียงแค่ภาพมายา
บทที่ 533 บรรลุนิติภาวะ
สองสามวันก่อนที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจะเสร็จสิ้นการโปรยหิน
วิญญาณสามร้อยล้านก้อนรอบนิกาย คนสองคนที่อยู่ห่างไปสองพัน
กิโลเมตรในสำนักหงส์สวรรค์ ซูหยินก็เข้าไปหาอาจารย์ของเธอ ไป่
ลี่ฮัว และกล่าวกับอีกฝ่ายว่า “อาจารย์ ข้าจักอายุ 16 ในอีกสองสาม
วันข้างหน้า และข้าต้องการที่จะฉลองวันเกิดของข้าและการบรรลุ
นิติภาวะกับพี่ชายที่รักของข้า”
“โอ ดูราวกับว่าเวลาผ่านไปเพียงแค่ปีเดียวนับตั้งแต่เจ้าเข้าร่วมกับ
สำนักหงส์สวรรค์เมื่อตอนอายุได้สิบปี เมื่อมาคิดดูมันก็ผ่านไปนาน
ถึงหกปีแล้ว ข้ายังจำได้ว่าเจ้าครองอำนาจเหนือศิษย์นอกยังไงหลังจาก
ที่เจ้าเข้าร่วม ยังไงก็ตามข้าก็ต้องขอแสดงความยินดีในวันเกิดของ
เจ้าและการเป็นผู้ใหญ่อย่างเป็นทางการ” ไป่ ลี่ฮัวกล่าวกับเธอ
“ขอบคุณท่านอาจารย์” ซูหยิงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าต้องการที่จะไปเยี่ยมนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยกับซูหยางใช่ไหม
แม้ว่ามันจะมินานนับตั้งแต่การคัดเลือกศิษย์ของพวกเขาจบลง แต่ข้า
ก็ต้องการเห็นความก้าวหน้าของพวกเขาเช่นกัน ดังนั้นข้าก็จะติดตาม
เจ้าไปด้วย” ไป่ลี่ฮัวกล่าว
ซูหยินและไป่ลี่ฮัวออกจากสำนักหงส์สวรรค์และเริ่มมุ่งหน้าเดินทาง
ไปยังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยในวันนั้น
ในเวลาหลังจากนั้น ที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย หลังจากที่เหล่าศิษย์ได้
โปรยหินวิญญาณทั้งหมดสามร้อยล้านก้อนแล้ว โหลวหลานจีก็ไป
แจ้งให้กับซูหยางได้รู้
“พวกเราได้ติดตั้งหินวิญญาณทั้งสามร้อยล้านก้อนตามที่เจ้าขอ
เรียบร้อยแล้ว เจ้าสามารถสร้างค่ายกลเมื่อไหร่ก็ได้ตามที่ต้องการ
อย่างไรก็ตามข้าหวังว่าเจ้าควรจะรีบหน่อยในเมื่อทั้งนิกายเต็มไป
ด้วยหินวิญญาณจำนวนมากจนกระทั่งพวกเรามิสามารถกระทั่งเดิน
ไปรอบ ๆ โดยมิสะดุดพวกมัน” โหลวหลานจีกล่าวกับเขา
“ข้าเข้าใจ ข้าชื่นชมเหล่าศิษย์และการทำงานอย่างหนักของเจ้า ข้าจัก
เริ่มสร้างค่ายกลวันนี้หลังจากช่วงบ่าย”
“ช่วยบอกให้ข้ารู้ด้วยตอนที่เจ้าตัดสินใจสร้างค่ายกล ในเมื่อข้าต้องการ
ที่จะเห็นด้วยตนเองว่าค่ายกลนั้นสร้างกันอย่างไร ในเมื่อเป็นการยาก
มากที่จะได้พบกับนักสร้างค่ายกล อย่าว่าแต่จะได้เห็นพวกเขาสร้าง
ค่ายกล”
“มิต้องกังวล ข้าจักให้เจ้ารู้แน่นอน ตามความเป็นจริง ข้าจักให้ศิษย์
ทุกคนได้รู้ด้วย”
หลังจากที่โหลวหลานจีออกไปจากห้อง ซูหยางก็ไปหาชิวเยว่
“การเตรียมการทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ครั้นข้าสร้างค่ายกลชั้นเยี่ยม
แล้ว ข้าจำเป็นให้เจ้าทำการสัมผัสครั้งสุดท้ายเพื่อกระตุ้นค่ายกลให้
มันสมบูรณ์”
“ถึงแม้ว่าข้าจักอยู่ในเขตจอมเทพ นั่นก็จะทำให้ข้าหมดแรงในการ
กระตุ้นค่ายกลชั้นเยี่ยม” เธอกล่าวกับเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่
ดวงตาของเธอเป็นประกายความคาดหวัง
ซูหยางยิ้มหลังจากที่สังเกตเห็นคำใบ้ในดวงตาของเธอ เขาพูดว่า
“แน่นอน ข้ามิขอร้องเจ้าให้ทำเรื่องนี้ฟรี เจ้าต้องการอะไรเป็นสิ่ง
ตอบแทนรึ”
“ท่านคงมิพยายามที่จะหลอกข้าด้วยการใช้หนี้บุญคุณที่ท่านยังคงมี
ต่อข้ากับเรื่องนี้ ใช่ไหม” ชิวเยว่ถามเขาด้วยสายตาสงสัย
“ฮ่าฮ่าฮ่า…” ซูหยางหัวเราะ แล้วเขาก็กล่าวว่า “ข้ามิทำอะไรแบบนั้น
กับเจ้า”
ชิวเยว่พยักหน้าและหลังจากที่ยืนคิดอยู่ชั่วขณะ เธอก็กล่าวด้วย
ใบหน้าแดงเล็กน้อยว่า “ท่านเก่งการใช้มือใช่ไหม ข้าต้องการให้
ท่านนวดให้ข้านาน ๆ หลังจากที่ช่วยท่าน”
“นวดรึ” ซูหยางมีสีหน้าประหลาดใจหลังจากที่ได้ยินคำขอของเธอ
ในเมื่อเขาไม่ได้คาดคิดเรื่องนี้จริง ๆ “งั้นก็ดี ข้าจักให้การนวดแก่เจ้า
เป็นอย่างดีเพื่อที่มันจักทิ้งความประทับใจที่ดีไว้ตลอดไป”
“เอ๋… ท่านต้องมิทำเกินไปท่านก็รู้… เพียงแค่การนวดธรรมดาก็เพียง
พอ…” เป็นตาของชิวเยว่ที่ต้องประหลาดใจ ในเมื่อเธอไม่คาดคิดว่า
เขาจะถือคำร้องของเธออย่างจริงจังเช่นนั้น ซึ่งตามความเป็นจริงเธอ
ก็กลัวที่จะสูญเสียการควบคุมอารมณ์และความปรารถนาของตัวเอง
เพราะการนวดนี้
“นั่นมิจำเป็นต้องเจียมเนื้อเจียมตัว แน่นอนว่าข้าจักทำให้มั่นใจว่า
ความเครียดทั้งหมดจากการกระตุ้นค่ายกลชั้นเยี่ยมจักหายไปหลังจาก
การนวดแล้ว”
“แต่…”
ก่อนที่ชิวเยว่จะทันได้อ้าปากพูดต่อไป เสียงของโหลวหลานจีก็ดัง
ขึ้นจากด้านนอก
“ซูหยาง ท่านเจ้าสำนัก ไป่ลี่ฮัว กับน้องสาวของเจ้า ซูหยิน มาหาเจ้า
ที่นี่”
“ข้าจักไปเดี๋ยวนี้” ซูหยางพูด
จากนั้นเขาก็กล่าวกับชิวเยว่ก่อนที่จะปล่อยเธอไว้ตามลำพังว่า “เอา
ล่ะ เจ้าสามารถตั้งตารอคอยได้เลย”
“ข้าขุดหลุมฝังตัวเองหรือเปล่ากับคำขอเช่นนั้น…” เธอพึมพำด้วย
เสียงสับสนหลังจากที่ซูหยางไปแล้ว
ในเวลานั้นผู้อาวุโสจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ต้อนรับไป่ ลี่ฮัวและ
ซูหยินเข้ามาในนิกาย
แต่ทว่าเมื่อทั้งสองสาวงามเริ่มเข้ามาในนิกายและเห็นหินวิญญาณที่
กระจัดกระจายไปทั่วทุกแห่งหนบนพื้นราวกับเป็นขยะ พวกเธอต่าง
ก็พากันแตกตื่นมึนงง
“ก-เกิดบ้าอะไรขึ้นบนโลกใบนี้ที่นี่กัน ทำไมจึงมีหินวิญญาณมากมาย
เช่นนี้บนพื้น พวกท่านถือโอกาสทำการบวงสรวงหรือทำอะไรกัน”
ไป่ ลี่ฮัวถามผู้อาวุโสนิกาย ซึ่งก็ได้ตอบด้วยรอยยิ้มแปลกพิกลบน
ใบหน้าเธอว่า “นี่เป็นความคิดของซูหยาง… เขาวางแผนที่จะสร้าง
ค่ายกลให้กับนิกาย และนี่ก็คือการเตรียมการสำหรับเรื่องนั้น”
“ค่ายกลรึ นิกายหงส์สวรรค์ก็มีค่ายกลปกป้องสำนักอยู่เช่นกัน แต่
พวกเรามิต้องทำอะไรเช่นนี้…” ไป่ ลี่ฮัวกล่าว
เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้น ผู้อาวุโสนิกายก็ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรและ
ได้แต่เพียงส่ายหน้าของเธอ
เมื่อไป่ลี่ฮัวและซูหยินเข้าไปลึกภายในนิกายและเห็นหินวิญญาณ
มากกว่าเดิม ความตกใจของพวกเธอก็มากยิ่งขึ้น
“สวรรค์ หินวิญญาณมากมายเท่าไหร่กันที่พวกเขาต้องใช้จ่ายในการ
สร้างฉากยิ่งใหญ่เช่นนี้” ไป่ ลี่ฮัวคิดสงสัยในใจ เธอยังคงไม่รู้ถึง
จำนวนของหินวิญญาณที่ต้องใช้
ถึงแม้ว่าไป่ลี่ฮัวจะเป็นเจ้าสำนักนิกายระดับสูงชื่อดัง แต่เธอก็อด
ไม่ได้ที่จะคันไม้คันมือหลังจากที่เห็นหินวิญญาณมากมายเช่นนี้
กระจัดกระจายไปอย่างอิสระตรงหน้าเธอ ราวกับว่าพวกมันต่างพา
กันอ้อนวอนขอเธอให้เก็บมันขึ้นมา
เวลาหลังจากนั้น ซูหยางก็มาปรากฏตัวที่ตรงหน้าพวกเธอ
“พี่ชาย” ใบหน้าซูหยินพลันกระจ่างหลังจากที่เห็นเขา
เธอต้องการที่จะวิ่งไปที่ข้างกายและโอบกอดเขา แต่อนิจจา มีหิน
วิญญาณมากมายจนเกินไประหว่างทางเกินกว่าที่เธอจะวิ่งไปยัง
ทิศทางใด
ดังนั้นเธอก็ได้แต่ค่อย ๆ ตรงเข้าไปหาเขา
ครั้นเมื่อซูหยางอยู่ใกล้มือเอื้อมแล้ว ซูหยินก็โถมกายเข้าหาเขาเข้าไป
กอดด้วยความเสน่หาทันที
บทที่ 532 โปรยหินวิญญาณ
หลังจากครุ่นคิดไปอีกชั่วขณะ โหลวหลานจีก็นวดขมับและถอน
หายใจอย่างแรง “ถ้าเจ้าเชื่อจริง ๆ ว่าเราต้องการที่จะใช้หินวิญญาณ
มากมายขนาดนั้น เช่นนั้นข้าก็มิโต้แย้ง ตั้งแต่แรกหินวิญญาณทั้งหมด
นี้ก็ล้วนเป็นของเจ้า ดังนั้นเจ้าก็ควรสามารถใช้มันได้ตามที่เจ้าต้องการ”
ซูหยางพยักหน้าและยื่นส่งแผนที่ของทั้งนิกายที่แสดงถึงพื้นที่ทั้งหมด
ที่ต้องการวางหินวิญญาณ
หลังจากนั้น โหลวหลานจีก็เรียกผู้อาวุโสนิกายและศิษย์ทั้งหมด แม้
กระทั่งศิษย์รุ่นเยาว์ภายในสำนัก
“เกิดอะไรขึ้น ท่านผู้นำนิกาย” ผู้อาวุโสซุนถามเธอหลังจากที่ทุกคน
มารวมตัวกันแล้ว
เธอพยักหน้าและกล่าวว่า “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าเกือบทั้งหมดยุ่งอยู่กับการ
ฝึกฝนตนเอง แต่ว่าข้าต้องการให้พวกเจ้าทั้งหมดช่วยอะไรบางอย่าง
ในเมื่อมันไม่ได้เป็นอะไรที่คนสองสามคนจะสามารถทำได้ และนี่
เป็นคำขอร้องส่วนตัวจากผู้นำนิกายซู”
“อะไรที่ท่านผู้นำนิกายต้องการ แน่นอนว่าพวกเรายินดีที่จะช่วยเขา
อย่างดีที่สุดที่ความสามารถของเราจะทำได้” เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์กล่าว
“ซูหยางต้องการความช่วยเหลือจากพวกเรางั้นรึ นี่มิได้เป็นอะไรที่
สามารถเห็นได้บ่อยนัก…” ผู้อาวุโสซุนพึมพำ ในเมื่อเขาคุ้นเคยกับ
การที่ซูหยางทำทุกสิ่งด้วยตัวเขาเอง
จากนั้นเขาก็พูดว่า “อะไรที่ผู้นำนิกายต้องการให้พวกเราทำ”
“ข้าดีใจที่ท่านถาม” รอยยิ้มพิกลปรากฏขึ้นบนใบหน้าของโหลว
หลานจี ก่อนที่เธอจะยื่นส่งถุงมิติหลายร้อยถุงให้กับพวกเขา
“…”
เหล่าศิษย์จ้องมองกองถุงมิติด้วยสีหน้างุนงง จะให้พวกเขาไปซื้อ
ของหรืออย่างไร
“ถุงมิติทั้งหมดนี้มีไว้ทำอะไร ท่านต้องการให้พวกเราไปซื้ออะไรรึ
ท่านผู้นำนิกาย” ซุนจิงจิงถาม
“มิได้เป็นเช่นนั้น” เธอตอบกลับอย่างรวดเร็ว
“ทั้งหมดนี้มีทั้งหมด สามร้อยล้านก้อนหินวิญญาณ ในถุงมิติเหล่านี้”
“อะไรนะ หินวิญญาณสามร้อยล้านก้อนรึ”
เมื่อโหลวหลานจีเปิดเผยให้พวกเขารู้ถึงความร่ำรวยที่เก็บซ่อนไว้ ผู้
อาวุโสนิกายและเหล่าศิษย์ทั้งหมดต่างพากันกระโดดถอยหลังด้วย
ท่าทางตกใจ
“ท-ท่านล้อพวกเราเล่นรึ ท่านผู้นำนิกาย ที่ไหนในโลกนี้กันที่พวก
เราอยู่ดี ๆ ก็พลันร่ำรวยมหาศาลเช่นนั้น ต่อให้พวกเราขายนิกายนี้
ทั้งหมด มันก็ยังมิมีความร่ำรวยได้ครึ่งหนึ่งของเท่านี้ อย่าว่าแต่สาม
ร้อยล้านก้อนหินวิญญาณ” ผู้อาวุโสซุนกล่าวกับเธอด้วยสีหน้าสับสน
เห็นชัดว่าไม่อยากเชื่อ
“ท่านสามารถตรวจสอบถุงมิติพวกนี้ได้ด้วยตนเอง ท่านผู้อาวุโสซุน
ข้ามิมีเหตุผลที่จะโกหกท่าน ตามจริงหินวิญญาณเหล่านี้มิได้ขึ้นกับ
ข้า เป็นซูหยางที่นำมันมา”
“ซูหยาง…”
ผู้อาวุโสซุนยังคงงงงันแม้ว่ามันจะสมเหตุผลมากหากว่าเป็นซูหยาง
ที่อยู่เบื้องหลังความร่ำรวยนี้ มันก็ยังไม่ได้อธิบายอยู่ดีว่าเขาได้มันมา
อย่างไร
“เปรียบเทียบกับความร่ำรวยของเขา กระทั่งตระกูลซุน หนึ่งในตระกูล
ที่ร่ำรวยที่สุดในทวีปตะวันออกก็ยังมิมีค่าให้กล่าวถึง” ผู้อาวุโสซุน
ร่ำร้องในใจ
โหลวหลานจียิ้ม หลังจากที่เห็นปฏิกิริยาของเหล่าศิษย์
“พวกเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไรถ้าพวกเขารู้ว่าหินวิญญาณสามร้อย
ล้านก้อนนี้เป็นเพียงแค่ครึ่งหนึ่งของที่พวกเรามีในตอนนี้ ข้าสงสัย
เหลือเกิน” เธอถามตนเอง
สองสามอึดใจให้หลัง ยามเมื่อความตกใจของพวกเขาเจือจางลงไป
แล้ว ฟางซีหลานก็ถามว่า “พวกเราจะต้องไปทำอะไรกับหินวิญญาณ
มากมายปานนี้ ท่านผู้นำนิกาย”
“อย่าตกใจตายเมื่อทุกคนได้ยินเรื่องนี้ แต่ด้วยหินวิญญาณสามร้อย
ล้านก้อนนี้ พวกเรามีหน้าที่นำพวกมันไปโปรยรอบ ๆ นิกาย” โหลว
หลานจีพูด
“ป-โปรยพวกมันรอบนิกายรึ…. ข้าตามมิทัน…” ฟางซีหลานเลิกคิ้ว
ด้วยใบหน้าสับสน
ไม่เพียงแค่ฟางซีหลาน ในเมื่อทุกคนที่นั่นต่างพากันงงงันว่าทำไม
พวกเขาจะต้องทำอะไรแบบนั้น
“ซูหยางกำลังจะสร้างค่ายกลรอบนิกาย และต้องการหินวิญญาณ
จำนวนมาก แต่ข้าก็มิมีประสบการณ์ด้านค่ายกล ดังนั้นนี่จึงเกิน
ขอบเขตความรู้ของข้า” โหลวหลานจีกล่าว
“แม้ว่าจะเพื่อความปลอดภัยของนิกาย แต่การใช้หินวิญญาณสาม
ร้อยล้านก้อนเพื่อค่ายกล… ข้ามิสามารถพูดได้ว่าข้าเห็นด้วยกับการ
ถลุงหินวิญญาณมากมายปานนี้…” ผู้อาวุโสซุนถอนใจ รู้สึกเหมือนกับ
ว่าตนเองแก่ไปหลายปีภายในไม่กี่อึดใจ
“ข้าพอจะพยายามหว่านล้อมเขาให้เปลี่ยนใจได้หรือไม่” เขาถาม
“ข้าได้พยายามแล้ว แต่ดูเหมือนว่าเขาได้ตัดสินใจไปแล้วที่จะสร้าง
ค่ายกลนี้”
“เก็บลมปากของท่านไว้ ท่านปู่ หากว่าซูหยางได้ตัดสินใจไปในเรื่อง
ใดแล้ว เขาก็จักมิยอมเลิกล้ม และถ้าเขาเชื่อว่าค่ายกลนี้มีค่าถึงสาม
ร้อยล้านก้อนหินวิญญาณ เช่นนั้นข้าก็จักเชื่อตามเขาด้วยเช่นกัน”
“ฮ้าาาาาา…” ผู้อาวุโสซุนถอนใจอีกครั้ง แต่เขาไม่สามารถที่จะปฏิเสธ
คำพูดของซุนจิงจิงได้ ในเมื่อเขาเองก็ไม่เคยเห็นอีกฝ่ายเปลี่ยนใจเลย
หลังจากที่ตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ
หลังจากนั้นผู้อาวุโสซุนก็พูดขึ้นว่า “ข้าเข้าใจสถานการณ์แล้ว แต่ว่า
พวกเราจะโปรยพวกมันไปรอบ ๆ นิกายอย่างไร”
เมื่อได้ยินคำถามของเขา โหลวหลานจีก็หยิบถุงมิติขึ้นมาและหยิบ
หินวิญญาณขึ้นมาหนึ่งกำก่อนที่จะโปรยมันลงไปบนพื้นราวกับว่า
มันเป็นอาหารนก
“…”
เหล่าศิษย์ที่นั่นต่างพากันมองพร้อมกับทำตาโต ราวกับว่านี่เป็นสิ่งที่
ไร้สาระที่สุดที่พวกเขาเคยเห็นมา คำว่า “สูญเปล่า” ยังไม่สามารถที่
จะอธิบายสถานการณ์นี้ได้อย่างเต็มที่
“เพียงแค่โยนมันไปรอบ ๆ นิกายราวกับว่าพวกเจ้าป้อนอาหารนกใน
สวน แต่เน้นในบริเวณเหล่านี้มากเป็นพิเศษ” โหลวหลานจีแสดงให้
พวกเขาเห็นแผนที่แสดงตำแหน่งที่มีเครื่องหมายเอาไว้
“มันต้องทำให้เสร็จภายในสองสัปดาห์ก่อนที่ซูหยางจะเสร็จสิ้นการ
เตรียมการสำหรับค่ายกลนี้”
เวลาหลังจากนั้น ศิษย์แต่ละคนก็หยิบถุงมิติและเริ่มโปรยหินวิญญาณ
ไปทั่วทุกแห่งหน
แม้ว่าเหล่าศิษย์จะรู้สึกลังเลที่จะโปรยหินวิญญาณไปรอบนิกายราว
กับว่ามันเป็นขยะ พวกเขาก็ไม่สามารถที่จะไม่เชื่อฟังคำขอร้องของ
ผู้นำนิกายได้ ส่วนสำหรับผู้ที่มีพื้นฐานยากจนมาก่อนที่จะเข้านิกาย
พวกเขาต่างก็พากันร้องไห้กันอย่างหนักขณะที่หินวิญญาณหลุดไป
จากมือและทิ้งอยู่เกลื่อนพื้น
อย่างไรก็ตามก็มีศิษย์อีกสองสามคนที่มีความสุขอย่างแท้จริง ในเมื่อ
นี่ทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนกับว่าพวกเขานั้นกำลังโอ้อวดความมั่งคั่ง
ของตนเอง
หินวิญญาณถูกทิ้งเกลื่อนกลาดไปทั่วทั้งนิกายอย่างรวดเร็ว จนเหมือน
กับว่าเป็นขุมทรัพย์ และมันเกือบเป็นไปไม่ได้ที่จะก้าวเข้าไปนิกาย
โดยไม่เหยียบไปบนหินวิญญาณบ้าง
สองสัปดาห์ให้หลัง หินวิญญาณสามร้อยล้านก้อนก็ถูกทิ้งกระจัด
กระจายไปทั่วทั้งนิกาย จนทำให้ที่แห่งนั้นปลดปล่อยพลังปราณไร้
ลักษณ์ออกมาจำนวนมาก
บทที่ 531 ค่ายกลชั้นเยี่ยม
หลังจากที่ให้วิชาฝีมือใหม่กับจางซิวยิงแล้ว ซูหยางก็อยู่ที่นั่นอีกสอง
สามชั่วโมงเพื่อสอนวิชานั้นให้กับเธอก่อนที่จะกลับไปยังศาลาหยิน
หยาง
ครั้นเมื่อไปถึงแล้วซูหยางก็เคาะประตูห้องที่อยู่ถัดจากห้องเขา
สองสามอึดใจให้หลัง ชิวเยว่ก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับเลิกคิ้ว
“ข้ากำลังจะสร้างค่ายกลชั้นเยี่ยมล้อมรอบนิกาย แล้วก็ข้าต้องการ
ความช่วยเหลือจากเจ้า” เขากล่าวกับเธอ
“….”
ชิวเยว่มองดูเขาพร้อมกับทำตาโต จากนั้นเธอก็พูดว่า “ท่านต้องการ
ที่จะสร้างค่ายกลชั้นเยี่ยมสำหรับที่แห่งนี้รึ ท่านมิทำเกินไปหน่อยรึ
ค่ายกลธรรมดาก็เพียงพอในการปกป้องที่แห่งนี้ไปหลายพันปี มัน
เป็นการสูญเสียทรัพยากรโดยมิจำเป็น”
ค่ายกลชั้นเยี่ยมนั้นเป็นค่ายกลระดับสูงที่รวมค่ายกลสามอย่างเข้า
ด้วยกันเป็นค่ายกลชั้นเยี่ยมหนึ่งหลัง ซึ่งปกติแล้วจะประกอบด้วย
ค่ายกลโจมตี ค่ายกลป้องกัน และค่ายกลควบคุม
“ข้ารู้ แต่ใครจะรู้ว่าจักเกิดอะไรขึ้นเมื่อข้ามิได้อยู่ในที่แห่งนี้แล้ว ข้า
ต้องการที่จะจากที่แห่งนี้ไปโดยปราศจากความกังวล” เขากล่าว
“ท่านเป็นห่วงที่แห่งนี้จริง ๆ ใช่ไหม แม้กระทั่งแท้จริงแล้วท่านมิได้
เป็นส่วนหนึ่งของที่นี่เลย”
“ข้าคงมิได้ห่วงที่แห่งนี้มากนักถ้าศิษย์คนอื่นมิได้จากนิกายไป และ
ข้ามิได้รับตำแหน่งผู้นำนิกาย แม้ว่าข้าจักมิได้อยู่ที่นี่ไปตลอดกาล
ตราบเท่าที่ยังเป็นผู้นำนิกาย ข้าต้องรับผิดชอบในการปกป้องที่แห่ง
นี้ ยิ่งไปกว่านั้นที่แห่งนี้มีความหมายยิ่งกว่าเป็นเพียงอีก “สำนัก”
สำหรับข้าในตอนนี้ ในเมื่อข้าเองได้ลงทุนลงแรงด้วยตนเองไป
มากมายในนี้ มันมิได้เกินเลยไปหากว่าจะเรียกที่นี่ว่าเป็นสำนักของ
ข้าในตอนนี้”
“ต่อให้ท่านพูดเช่นนั้นก็ตาม…” ชิวเยว่ถอนหายใจและกล่าวต่อว่า
“ขอบเขตความรู้เกี่ยวกับค่ายกลของข้านั้นอยู่เพียงแค่ในระดับพื้นฐาน
เท่านั้น และถึงแม้ว่าท่านต้องการข้าให้ทำ ข้าก็มิมีความสามารถที่จะ
สร้างค่ายกลชั้นเยี่ยมได้ ดังนั้นท่านจะให้ข้าช่วยเหลือได้อย่างไร”
“ข้าเพียงต้องการพลังการฝึกปรือของเจ้าเป็นพลังให้กับค่ายกลชั้น
เยี่ยม ส่วนสำหรับตัวค่ายกลเองนั้น ข้าจักจัดการมันด้วยตัวข้าเอง”
ชิวเยว่พยักหน้า
“แต่ว่า เซียวหรงกับชินเหลียงหยู่ไปไหน ข้ามิเห็นพวกเธอมาชั่วขณะ
แล้ว” ซูหยางพลันถามเธอ
“ใครจะรู้ นับตั้งแต่เจ้าแมวนั่นต้องการที่จะเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น น้อง
หญิงเหลียงหยูก็เข้าไปช่วยเหลือมัน พวกเขาอาจจะยังคงเดินทางไป
ที่ไหนอยู่ในตอนนี้”
“น้องหญิงเหลียงหยูรึ…” ซูหยางเลิกคิ้วกับวิธีที่เธอเรียกขานชิวเหลียง
หยูราวกับว่าพวกเธอเป็นเพื่อนสนิทกัน “เมื่อไหร่กันที่พวกเจ้าทั้ง
สองคนสนิทสนมกัน”
“นั่น…”
ชิวเยว่พลันนึกถึงตอนที่เธอทำการดูดดื่มอาวุธประจำกายของเขา
หลังจากที่ได้ยินคำพูดนี้ของเขา จนทำให้หน้าเธอแดงขึ้น
“ม-มันสำคัญด้วยรึว่ามันเกิดขึ้นเมื่อไหร่” เธอรีบตอบ
ซูหยางยิ้มหลังจากที่เห็นปฏิกิริยาของเธอ เขากล่าวว่า “ถ้าเจ้ามิต้องการ
ที่จะแบ่งปันข้าก็มิบีบบังคับ อย่างไรก็ตามข้ากำลังจักไปเริ่มสร้าง
ค่ายกลชั้นเยี่ยมในตอนนี้”
หลังจากปล่อยชิวเยว่ไว้ตามลำพังแล้ว ซูหยางก็ไปแวะหาโหลว
หลานจีซึ่งกำลังศึกษาวิชามาตั้งแต่ได้รับมันจากซูหยาง
“เจ้าต้องการที่จะเริ่มสร้างค่ายในตอนนี้รึ” โหลวหลานจีประหลาดใจ
ที่ได้ยิน และเธอก็ถามเขา “เจ้าคิดว่ามันจะต้องใช้เวลานานเท่าไหร่
และเจ้าต้องการความช่วยเหลืออะไรหรือไม่”
“มันควรจะเสร็จทันเวลาก่อนที่ข้าจะไปตรวจสาขาฝึกวิชาคู่ในอีก
สองสัปดาห์ข้างหน้า” เขาตอบ
“รวดเร็วเช่นนั้น” โหลวหลานจีอุทานออกมาด้วยเสียงตระหนก
“มิใช่ว่าปกติแล้วค่ายกลจักต้องใช้เวลาเป็นปี หรือหลายสิบปีในการ
สร้างรึ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามันใหญ่พอที่จะครอบคลุมไปทั่วทั้ง
นิกาย ว่าแต่เจ้าจักทำอย่างไรให้เสร็จภายในเวลาสองสัปดาห์”
ซูหยางส่ายหน้าและกล่าวว่า “อย่าใช้มาตรฐานของเจ้ากับข้า และ
อย่าเปรียบเทียบข้ากับนักสร้างค่ายกลในโลกนี้ มันเหมือนกับการ
เปรียบคนที่เพิ่งเริ่มฝึกฝีมือมามินานกับจอมยุทธที่มีประสบการณ์มา
หลายพันปี”
“จ-เจ้าพูดถูก… ข้ามิรู้ว่าทำไมข้าถึงยังคิดใช้เหตุผลของโลกนี้กับตัว
เจ้า…” โหลวหลานจีเกือบยกมือปิดหน้าของตนเอง
ถ้าเธอรู้ว่าสิ่งที่ซูหยางมีอยู่ในใจนั้นไม่ใช่เป็นเพียงแค่ค่ายกลธรรมดา
ทั่วไป แต่เป็นค่ายกลชั้นเยี่ยม สิ่งที่มีความซับซ้อนกว่านับร้อยเท่า
ปฏิกิริยาของเธอก็คงจะแตกตื่นไปมากกว่านี้ ตามจริงแล้วค่ายกลชั้น
เยี่ยมนั้นยังมิได้มีปรากฏขึ้นในโลกแห่งนี้ เพราะว่าไม่มีนักสร้างค่าย
กลคนไหนที่มีความรู้มากถึงขนาดนั้น
“ช-เช่นนั้น เจ้าต้องการความช่วยเหลืออะไรหรือไม่” เธอพลันถาม
เขา
“ใช่ ข้าหวังว่าเจ้าและเหล่าศิษย์ช่วยหว่านหินวิญญาณไปรอบ ๆ
สำนักในขณะที่ข้าสร้างค่ายกล” เขาพยักหน้า
“โอ นั่นค่อนข้างง่ายดาย หินวิญญาณกี่ก้อนกันที่พวกเราพูดถึง”
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ ซูหยางก็ตอบด้วยการยกนิ้วขึ้นไปสามนิ้ว
“สามล้านก้อนรึ” เธอเอียงคอ
“สามร้อยล้านก้อนหินวิญญาณ” เขากล่าวด้วยเสียงเรียบเฉย
“สามร้อยล้านก้อนหินวิญญาณรึ” โหลวหลานจีร้องลั่น ดวงตาและ
ปากต่างเปิดกว้างจากความตกใจ
ในขณะที่นิกายมีหินวิญญาณอยู่กว่าห้าร้อยล้านก้อนหินวิญญาณ ซึ่ง
มีมากเพียงพอ เธอก็ไม่คิดว่ากว่าครึ่งของมันจะหายไปรวดเร็วเช่นนี้
สามร้อยล้านก้อนหินวิญญาณสามารถช่วยเหลือนิกายได้นานกว่า
100 ปีได้อย่างง่ายดาย แต่เมื่อคิดว่าซูหยางยินดีที่จะใช้ทรัพยากร
มากมายเช่นนี้ไปกับเพียงแค่ค่ายกลหนึ่งหลัง
“จ-เจ้ามั่นใจว่านิกายจำเป็นต้องใช้ค่ายกลที่แพงเช่นนั้นในการปกป้อง
ตนเองรึ ซูหยาง.. นิกายล้านอสรพิษก็ได้หายไปแล้ว และข้าก็มิคิดว่า
จะมีใครอื่นที่กล้าที่จะโจมตีพวกเรา…” โหลวหลานจีถามเขาด้วย
เสียงสั่นสะท้าน เมื่อเธอได้คิดอีกรอบหลังจากที่รู้ถึงจำนวนทรัพยากร
มหาศาลที่ต้องการใช้สำหรับค่ายกลนั้น
“กันไว้ดีกว่าแก้ แม้ว่านิกายจะปลอดภัยในตอนนี้ ใครจะพูดได้ว่ามัน
จักปลอดภัยไปในอีกร้อยปี หรืออีกสิบปีข้างหน้าต่อจากนี้ และมันก็
ใช้เพียงแค่สามร้อยล้านก้อนหินวิญญาณ พวกเรายังคงมีเหลืออีก
มากมายหลังจากนั้น” ซูหยางพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ต่อให้พวกเรายังคงมีหินวิญญาณเหลืออยู่อีกมากหลังจากนั้น แต่
การใช้หินวิญญาณกว่าสามร้อยล้านก้อนในครั้งเดียวนั้นยังมิเคยได้
ยินมาก่อน…” โหลวหลานจีถอนใจ รู้สึกถึงอาการปวดหัวที่เกิดขึ้น
กับตัวเธออย่างรวดเร็ว
บทที่ 530 ขัดเกลาวิชา
“อาา…. อาาา… อาาาาา”
เสียงที่เต็มไปด้วยความสุขของโหลวหลานจีดังขึ้นในห้องขณะที่ซู
หยางทำการแสดงวิชาฝึกคู่ที่เขาได้ให้กับศิษย์ใหม่ไป
“นี่คือมังกรรำ” การเคลื่อนไหวของซูหยางพลันเปลี่ยนไป และสะโพก
ของเขาก็เคลื่อนไหวในท่าทางที่ชวนให้หลงใหล ราวกับว่าเขากำลัง
เต้นรำ
“โออออ” ร่างของโหลวหลานจีสั่นสะท้านไปด้วยความพึงพอใจ
ขณะที่เธอรู้สึกว่ากระบี่ของเขาทิ่มเข้าไปในถ้ำของเธออย่างเป็น
จังหวะ จนทำให้ปราณหยินของเธอทะลักล้นออกมา
“และนี่ก็คือ มือเทพ…”
มือของซูหยางพลันจับไปบนปทุมถันของเธอและเริ่มนวดเฟ้นพวก
มันราวกับว่าพวกมันเป็นแป้งขนมปัง
“นี่คือ”
ปลายถันของโหลวหลานจีพลันพุ่งชี้และแข็งเป็นไตในเวลานั้นจน
เหมือนกับภูเขาที่ตั้งตระหง่าน
เธอไม่อยากเชื่อว่าจะมีวิชาที่ลึกล้ำปานนี้อยู่ในโลกนี้ ในเมื่อทุกการ
เคลื่อนไหวจากซูหยางสามารถทำให้ร่างกายของเธอรู้สึกเป็นสุข
เหมือนขึ้นสวรรค์
หลังจากเวลาผ่านไป ซูหยางก็ปลดปล่อยปราณหยางของเขาเข้าไป
ในโหลวหลานจี เติมท้องของเธอเต็มอีกครั้ง
“เป็นอย่างไร ความรู้สึกของวิชาเหล่านี้ในระดับสูงสุดเป็นอย่างไร”
ซูหยางถามเธอหลังจากนั้น
“มันมหัศจรรย์มาก… และถ้าเหล่าศิษย์สามารถใช้วิชาเหล่านี้ได้สัก
ครึ่งหนึ่งของศักยภาพทั้งหมด นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย…. ไม่ ทั้งโลก
แห่งการฝึกวิชาคู่จะต้องเข้าสู่ยุคใหม่” โหลวหลานจีชื่นชม
“วิชาเหล่านี้เป็นเพียงแค่พื้นฐาน ยังไม่สะกิดแม้ผิวของโลกแห่งการ
ฝึกวิชาคู่” เขาพลันกล่าวขึ้น
“โอ เช่นนั้นทำไมเจ้ามิแสดงให้ข้าเห็นถึงวิชาที่เหนือกว่าวิชาพื้นฐาน
เหล่านี้ล่ะ” โหลวหลานจีกล่าวกับเขาด้วยดวงตาที่เป็นประกายความ
คาดหวัง
เฉพาะวิชาพื้นฐานเหล่านี้ก็สามารถครอบงำร่างกายของเธอด้วย
ความสุขไปเรียบร้อยแล้ว เธอไม่สามารถที่จะจินตนาการได้ว่าจะมี
อะไรที่เหนือไปกว่าความสุขเช่นนั้นได้
“ครั้นเมื่อร่างของเจ้าสามารถทนรับได้มากกว่านี้ เป็นธรรมดาที่ข้า
จักแสดงให้เจ้าเห็นมากกว่านี้ แต่อย่างไรก็ตามในตอนนี้ ร่างของเจ้า
มิสามารถที่จะทนรับได้”
“เจ้าทำให้มันฟังดูเหมือนกับว่าเป็นอะไรที่อันตราย ความสุขจะเป็น
อันตรายได้อย่างไร” โหลวหลานจีเลิกคิ้ว
“นั่นมิจำเป็นต้องใจร้อน และแม้ตามความเป็นจริงแล้วความสุขมิ
สามารถทำร้ายร่างกายของคนเราได้ แต่อย่างไรก็ตามถ้ามันมาก
เกินไปก็เหมือนกับสิ่งอื่น ๆ ในโลกนี้ มันสามารถมีผลกระทบกับ
พวกเราได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจิตใจ เจ้ารู้ไหมว่าทำไมคนบางคนถึง
กลายเป็นบ้าหลังจากฝึกฝนวิชาที่เหนือเกินกว่าที่ความสามารถของ
พวกเขาจะรับไหว นี่ก็เป็นอะไรแบบนั้น ครั้นเมื่อเจ้าได้รับ
ประสบการณ์จากมัน จิตใจของเจ้าก็จักโหยหามันราวกับว่าเจ้าเสพ
ติดมัน”
“นั่นเหมือนว่าเจ้ากำลังจะบอกข้าว่าข้าจักกลายเป็นบ้าถ้าข้าได้
ประสบกับวิชาเหล่านั้นงั้นรึ เหมือนกับพวกบ้าตัณหา”
“ถูกแล้ว” ซูหยางพยักหน้าอย่างเยือกเย็น และเขาก็กล่าวต่ออีกว่า
“เจ้ายังคงประเมินการฝึกวิชาคู่ต่ำเกินไป ถ้าใช้มันมิถูกต้อง การฝึก
วิชาคู่ก็สามารถกลายเป็นสิ่งที่น่าหวาดหวั่นยิ่งกว่าวิชาการต่อสู้ใด ๆ
ที่มีอยู่”
“ในชีวิตก่อนของข้า มีผู้ฝึกวิชาคู่ชั่วร้ายคนหนึ่งซึ่งทำคนทั้งเมืองให้
กลายเป็นทาสด้วยวิชาการฝึกคู่ของเขา เปลี่ยนผู้คนทุกคนให้กลาย
เป็นคนบ้ากามที่มิต่างไปจากสัตว์ระหว่างฤดูผสมพันธุ์ มิว่าจะเป็น
คนอื่นหรือกระทั่งสัตว์ พวกนั้นจะร่วมรักกับทุกสิ่งที่อยู่ในสายตา
เพื่อตอบสนองตัณหาที่พลุ่งพล่าน”
โหลวหลานจีปิดปากของเธอด้วยความตกใจ เธอถามว่า “เกิดอะไร
ขึ้นกับคนเหล่านั้น”
“หากว่าใครสักคนเข้าสู่สภาพนั้น พวกเขาก็ไม่ต่างไปจากสัตว์ชั่วช้า
แม้ว่าจะมีวิธีที่สามารถช่วยพวกเขาได้ ความปรารถนาในความสุข
ของพวกเขาก็มิอาจยับยั้งได้ ดังนั้นผู้ฝึกยุทธจึงต้องสังหารทุกคนที่
ได้รับผลจากสิ่งนี้”
“นั่น…”
โหลวหลานจีพูดไม่ออก เนื่องจากไม่เคยเกิดอะไรที่คอขาดบาดตาย
เช่นนั้นขึ้นในทวีปตะวันออก
“นั่นเป็นเหตุผลที่ทำไมเจ้าจึงมิได้เพียงแค่สอนศิษย์ให้รู้จักสร้าง
ความพึงพอใจให้คนอื่นแต่วิธีการควบคุมตนเองด้วยเช่นกัน”
“ไม่ว่าอย่างไร นี่ก็คือวิชาทั้งหมดที่ข้าได้ใช้ในวันนี้ แม้ว่าเจ้ามิ
สามารถใช้วิชาของผู้ชายได้ แต่เจ้าก็ยังคงศึกษามันเอาไว้”
หลังจากที่ให้วิชากับโหลวหลานจีแล้ว ซูหยางก็กลับไปยังห้องของ
ตนเอง ซึ่งเขาก็ได้ทำการสร้างวิชาฝีมือให้กับจางซิวยิงต่อไป
ไม่เหมือนกับการคัดลอกวิชาจากภายในหัวของเขา ซึ่งเพียงใช้เวลา
ไม่กี่นาที การสร้างวิชาจากศูนย์นั้นปกติแล้วจะต้องใช้ความพยายาม
นับปี ยิ่งไปกว่านั้น ยิ่งวิชามีความซับซ้อนมากเพียงใด มันก็จะใช้
เวลานานยิ่งขึ้น และก็ยังมีแม้กระทั่งวิชาที่ต้องใช้เวลานับล้านปีใน
การสร้างมันขึ้นมา
แต่โชคดีสำหรับซูหยาง เขาได้พื้นฐานของวิชามาแล้ว และทั้งหมดที่
เขาต้องการทำจริง ๆ ก็คือปรับแต่งมัน หวังว่าจะเพิ่มระดับของมัน
ขึ้นไปอีกสองสามระดับ และสำหรับวิชาฝีมือของนิกายดอกบัวเพลิง
นั้น เพราะว่ามันเป็นเพียงแค่วิชาระดับมนุษย์ จึงไม่ได้ต้องการความ
พยายามมากนักที่จะปรับปรุงมันสำหรับเซียนดังเช่นซูหยาง
สองสัปดาห์ต่อมา สุดท้ายซูหยางก็เสร็จการสร้างวิชาฝีมือ
หลังจากที่มองผ่านอีกสองสามรอบเพื่อให้มั่นใจว่ามันสมบูรณ์ดีแล้ว
ซูหยางก็ไปหาจางซิวยิงซึ่งฝึกฝีมืออยู่อย่างเงียบ ๆ ในห้องของเธอ
“ซูหยาง” จางซิวยิงทักทายเขาด้วยสีหน้าสดใส
“ข้าได้สร้างวิชาของเจ้าเสร็จแล้ว” เขากล่าวขณะที่เดินเข้าไปในบ้าน
ของเธอ
จากนั้นเขาก็นำเอาม้วนคัมภีร์ออกมาจากเสื้อ และยื่นส่งมันให้กับ
เธอ
“วิชาฝีมือยังมิมีชื่อในตอนนี้ แต่ถ้าเจ้าต้องการที่จะให้มันมีชื่อ เจ้าก็
สามารถตั้งชื่อให้กับมันได้ตามที่เจ้าต้องการ ส่วนระดับของวิชานี้
นั้น ตอนนี้มันอยู่ที่ระดับเซียน และมันจะมีประสิทธิภาพมากกว่า
วิชาเดิมของเจ้าประมาณหนึ่งร้อยเท่า ข้าต้องการให้มันอย่างน้อย
เป็นระดับราชันก่อนที่จะให้กับเจ้า แต่นั่นต้องให้เจ้ารออย่างน้อย
สองสามเดือน ดังนั้นข้าจึงให้เจ้าไว้ก่อนในตอนนี้เพื่อที่เจ้าจะได้เริ่ม
ฝึก ข้าจักปรับปรุงวิชานี้ต่อไป และครั้นเมื่อข้าปรับปรุงมันจนถึง
ระดับราชันแล้วข้าก็จักมอบมันให้กับเจ้า”
“ท่าน… ท่านขัดเกลาวิชาฝีมือจากระดับมนุษย์ไปเป็นระดับเซียนใน
เวลาที่น้อยกว่าหนึ่งเดือน มีอะไรอีกบ้างในโลกนี้ที่ท่านทำไม่ได้”
จางซิวยิงรับวิชาไว้ด้วยสายตางงงัน
“แต่อย่างไรก็ตามท่านมิจำเป็นต้องทำมากมายปานนั้นให้กับข้า ซู
หยาง ข้าพึงพอใจมากพอแล้วกับวิชาที่อยู่ในระดับเซียน” เธอกล่าว
กับเขาหลังจากนั้น
“นั่นเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อข้าต้องการสิ่งที่ดีที่สุดให้กับผู้หญิงของข้า
เสมอ” ซูหยางส่ายหน้าพร้อมกับรอยยิ้ม
“ซูหยาง…”
จางซิวยิงพูดไม่ออก ในเมื่อเธอซาบซึ้งไปกับความรักความเมตตาที่
เขามีต่อเธอ
บทที่ 529 วิชาฝึ กคู่
หลังจากที่อธิบายให้ศิษย์ฟังถึงความแตกต่างระหว่างผู้ฝึกวิชาคู่และ
ผู้ฝึกวิชาปกติและข้อได้เปรียบเสียเปรียบแล้ว ซูหยางก็ยื่นส่งวิชา
ฝีมือระดับเซียนให้กับศิษย์ชายที่จะช่วยพวกเขาเปลี่ยนปราณหยิน
ของหญิงให้กลายเป็นปราณไร้ลักษณ์อย่างมีประสิทธิภาพ
ส่วนสำหรับศิษย์หญิงนั้นเขาก็มอบวิชาฝีมือระดับเซียนที่จะช่วย
พวกเธอเปลี่ยนปราณหยางให้กลายเป็นปราณไร้ลักษณ์เช่นเดียวกัน
ครั้นเมื่อศิษย์ทุกคนได้รับวิชาฝีมือแล้วซูหยางก็พูดต่อว่า “ตอนนี้เมื่อ
พวกเจ้าทุกคนได้วิชาฝีมือแล้ว ก็จะเป็นช่วงเวลามาสนุกกัน สำหรับ
ผู้ฝึกวิชาธรรมดา เป็นความจริงที่ว่าพวกเขาจะมีวิชาการต่อสู้ที่ใช้
สำหรับในการต่อสู้ แต่ทว่าสำหรับพวกเราผู้ฝึกวิชาคู่ “การต่อสู้”
ของพวกเราปกติแล้วจะอยู่บนเตียงซึ่งถือว่าเป็นสนามรบหลักของ
พวกเรา ดังนั้นพวกเราจึงจำเป็นต้องมีวิชาการต่อสู้ที่สร้างขึ้นมา
โดยเฉพาะสำหรับ “สนามรบ” เฉพาะเช่นนั้น”
จากนั้นเขาก็หันไปมองศิษย์ชายและกล่าวว่า “ข้าจักเริ่มกับศิษย์ชาย
ก่อนเป็นอันดับแรก”
จากนั้นเขาก็นำเอาม้วนคัมภีร์ออกมาจากเสื้อและกล่าวต่อว่า “ข้ามี
วิชาสามวิชาที่สร้างขึ้นมาเป็นพิเศษสำหรับผู้ที่มีความเป็นชายในใจ
ที่นี่ วิชาแรกเป็นวิชาสองวิชาในหนึ่งเดียว และศิษย์รุ่นเยาว์ที่ได้มา
อยู่ที่นี่มาก่อนพวกเจ้าทุกคนก็ได้เรียนวิชานี้ไปเรียบร้อยแล้ว มันมี
ชื่อว่า “ดรรชนีสมปรารถนา” และ “วิมานคนธรรพ์” ”
“ดรรชนีสมปรารถนาจะสอนพวกเจ้าถึงวิธีที่จะระบุจุดไวต่อความ
รู้สึกบนร่างของคู่ฝึกของเจ้า ทำให้พวกเขารู้สึกมีความสุขอย่างมาก
เพียงแค่สัมผัสมัน ส่วนสำหรับ “วิมานคนธรรพ์” นั้น มันจักเพิ่มทั้ง
ความรู้สึกเป็นสุขของทั้งเจ้าและคู่ของเจ้าในระหว่างการฝึก กระทั่ง
ยังเพิ่มปริมาณของปราณที่พวกเจ้าทั้งคู่สร้างขึ้นมาอีกด้วย”
“วิชาที่สองเรียกว่า “มังกรรำ” ซึ่งจักสอนเจ้าถึงวิธีขยับเขยื้อนร่างกาย
ของเจ้าโดยเฉพาะสะโพกในระหว่างการฝึก ถ้าหากเชี่ยวชาญมัน
แล้ว คู่ฝึกของเจ้าก็จักหลงลืมอยู่แต่ในการฝึกปรือจนกระทั่งร่างท่อน
ล่างของเธอเจ็บปวดไปหมด วิชาสุดท้ายเรียกว่า “หัตถ์เทพ” และก็
เหมือนกับที่ชื่อบอกไว้ มันเป็นวิชาการใช้มือหลายแบบที่จักช่วยเจ้า
สร้างความพึงพอใจให้คู่ของเจ้าด้วยมือเปล่าของเจ้า”
“ครั้นเมื่อเจ้าเชี่ยวชาญวิชาพื้นฐานทั้งสามนี้แล้ว ข้าก็จักให้วิชากับ
เจ้ามากกว่านี้ อย่างเช่นวิชาสำหรับการใช้ลิ้นของเจ้าและกระทั่งการ
ใช้เท้าถ้าเจ้าต้องการ”
“ข-ขอบคุณท่านผู้นำนิกาย พวกเราจักมิทำให้ท่านผิดหวัง”
เหล่าศิษย์ชายต่างพากันคำนับเขาหลังจากที่ได้รับวิชาเทพทั้งสาม
วิชานี้
หลังจากนั้นไม่นาน ซูหยางก็หันไปมองดูศิษย์หญิงซึ่งจ้องมองเขา
ด้วยดวงตาเป็นประกาย จากนั้นเขาก็นำเอาวิชาออกมาเพิ่ม แต่คราว
นี้พวกมันมีไว้สำหรับผู้หญิง
“วิชา “ดรรชนีสมปรารถนา” และ “วิมานคนธรรพ์” มิได้เฉพาะเจาะจง
จำกัดเฉพาะชาย ดังนั้นหญิงก็สามารถฝึกได้เช่นกัน” เขากล่าวกับ
พวกเธอ
“วิชาที่สอง “หงส์ร่อน” เป็นวิชาสำหรับหญิงที่เทียบได้กับวิชา
“มังกรรำ” ของชาย และมันจักสอนเจ้าถึงวิธีการขยับร่างกายและ
สะโพกของเจ้าในวิธีที่จักทำให้คู่ฝึกของเจ้าสั่นสะท้านไปด้วย
ความสุขและยอมศิโรราบต่อหน้าเจ้า”
“วิชาที่สามก็ยังคงเป็น “หัตถ์เทพ” และมันก็เป็นวิชาที่สามารถใช้ได้
ทั้งหญิงและชาย”
“และก็เหมือนกับศิษย์ชาย ครั้นเมื่อเจ้าเชี่ยวชาญวิชาพื้นฐานนี้แล้ว
เจ้าสามารถร้องขอวิชาใหม่มากกว่านี้ได้ แม้ว่าข้ามิได้มีวิชาสำหรับ
หญิงมากมายเมื่อเปรียบกับชายแล้ว ข้าก็มีอย่างน้อยหนึ่งวิชาสำหรับ
ทุกส่วนของร่างกาย ดังนั้นถ้าเจ้าต้องการวิชาสำหรับพื้นที่เฉพาะ
ส่วน อย่าลังเลที่จะขอพวกมัน”
“ขอบคุณท่านผู้นำนิกาย” เหล่าศิษย์หญิงพากันคำนับเขาหลังจากที่
ได้รับวิชาแล้ว
“ตอนนี้เมื่อทุกคนที่นี่ได้รับวิชาของตนเองแล้ว ข้าต้องการให้พวก
เจ้าใช้เวลาอีกหนึ่งสัปดาห์ในการฝึกฝนพวกมัน” ซูหยางกล่าวกับ
พวกเขา
“แม้ว่าจริงแล้วเจ้ามิจำเป็นต้องมีคู่ฝึกสำหรับฝึกวิชาพวกนี้จริง ๆ แต่
ก็ขอแนะนำให้มีสักคน ในเมื่อนี่จะเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด
ในการฝึกฝนพวกมัน ถ้าเจ้ายังมิได้มีคู่ฝึกแล้ว พวกเจ้าก็สามารถจับคู่
กับใครสักคนชั่วคราวได้”
“ข้าจักให้เวลาพวกเจ้าตลอดทั้งเดือนนี้ฝึกฝนวิชาเหล่านี้ ครั้นเมื่อ
เวลาหนึ่งเดือนหมดลง ข้าก็จักดูความก้าวหน้าของพวกเจ้าด้วย
ตนเอง และถ้าหากว่าพวกเจ้าเป็นศิษย์หญิงที่มิได้มีคู่ฝึกและยินดีที่
จะร่วมฝึกกับข้า เจ้าก็สามารถที่จะแสดงให้ข้าเห็นความก้าวหน้าด้วย
วิชาเหล่านี้ด้วยตนเองบน “สนามรบ””
เมื่อบรรดาศิษย์หญิงได้ยินประโยคสุดท้ายของเขา ดวงตาของพวก
เธอก็เป็นประกายไปด้วยความตื่นเต้น และรอยยิ้มน่าประทับใจก็
ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพวกเธอ
“ข้าสามารถฝึกกับท่านผู้นำนิกายได้ในอีกหนึ่งเดือน” พวกเธอต่าง
พากันตื่นเต้นกับความคิดนั้นและเกือบจะไม่สามารถเก็บความ
ตื่นเต้นนั้นไว้กับตัวได้
“นั่นคือสิ่งที่ข้ามีให้สำหรับพวกเจ้าในวันนี้ จนกว่าจะถึงเดือนหน้า”
หลังจากที่ปล่อยศิษย์สาขาฝึกคู่ไปแล้ว ซูหยางก็กลับไปยังศาลาหยิน
หยางที่ซึ่งโหลวหลานจีรอคอยเขาอยู่ภายในห้องนอนของเธอเพื่อ
เติมเต็มร่องรักของเธอด้วยปราณหยางอีกครั้ง
“ถ้าให้ข้าเดา ไม่มีศิษย์ชายคนไหนที่สามารถจะชักจูงศิษย์หญิงให้
กลายเป็นคู่ของพวกเขาได้” โหลวหลานจีกล่าวกับเขาทันทีที่เขาเข้า
ไปในห้องในขณะที่เธอซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มบนเตียง
“ในฐานะผู้นำนิกาย เจ้ามิเชื่อในศิษย์ของตนเองบ้างรึ” ซูหยางกล่าว
ด้วยรอยยิ้ม “พวกเขาสองคนสามารถหาคู่ฝึกให้ตนเองได้”
“จริงรึ มีมากกว่าที่ข้าคาดคิดไว้ถึงสองคน… ข้ารู้สึกประหลาดใจ
จริง ๆ” โหลวหลานจีกล่าวด้วยดวงตาเบิกกว้าง ในเมื่อตามจริงแล้ว
เธอไม่ได้คาดคิดถึงผลลัพธ์นี้
“อย่างไรก็ตามข้าได้ให้เวลาพวกเขาหนึ่งเดือนในการฝึกวิชาก่อนที่
ข้าจะทดสอบความสามารถของพวกเขา ส่วนสำหรับเหล่าศิษย์หญิง
ข้าก็จักร่วมฝึกกับพวกเธอในเวลานั้นเช่นกัน” เขากล่าว
“เฮ้อ… เจ้ามิเป็นคนโชคดีเกินไปหรือเปล่า เจ้าต้องยิ้มกว้างจนถึงหู
ในใจแน่ที่ได้มีหญิงสาวมากมายปานนี้รอคอยฝึกร่วมกับเจ้า ข้าพนัน
ว่าพวกเธอส่วนใหญ่ยังคงเป็นสาวบริสุทธ์ิ” โหลวหลานจีหัวเราะเบา ๆ
“นั่นมิมีอะไรแปลกใหม่” เขาตอบด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น
“แน่นอนก็เจ้าคุ้นเคยกับการที่มีหญิงสาวรอคอยเจ้าอยู่ ตอนนี้ทำไม
เจ้ามิให้ข้าได้รับรู้ด้วยตนเองว่าวิชาเหล่านั้นที่เจ้าสอนศิษย์ไปนั้น
เป็นอย่างไร” โหลวหลานจีกล่าวกับเขาขณะที่เธอพลิกผ้าห่มที่ซ่อน
ร่างเปลือยเปล่าของเธอเอาไว้อย่างมิดชิดมาตลอดออก
เมื่อเห็นผิวที่เนียนนุ่มและขาเรียวยาวของเธอ ซูหยางก็เข้าไปหาเธอ
อย่างเยือกเย็น
“เจ้าพูดอะไรกัน ในฐานะผู้นำนิกาย เจ้าเองก็ต้องเรียนวิชาเหล่านี้
เช่นกัน และข้าก็กำลังจะสอนวิชาเหล่านี้ให้กับเจ้าด้วยเช่นกัน” เขา
กล่าวขณะที่ถอดเสื้อผ้าออก
“โอ” โหลวหลานจีอุทานด้วยความประหลาดใจ
บทที่ 528 สาขาวิชาคู่
“ท่านผู้นำนิกาย” หนึ่งในหมู่ศิษย์พลันยกมือขึ้นและกล่าวว่า “พวก
เราสามารถเลือกวิชาการต่อสู้ได้มากกว่าสามจากหอคัมภีร์พ้นพิสัย
หรือไม่”
“แน่นอนว่าได้ แต่ข้าขอเตือนว่า อย่ากัดคำใหญ่เกินกว่าจะเคี้ยว*
วิชาทั้งหมดในนั้นไม่ใช่วิชาทั่วไปที่เจ้ารู้จัก ในเมื่อวิชาระดับต่ำสุดก็
ยังลึกล้ำกว่าปกติ”
หลังจากนั้นชั่วขณะ ศิษย์อีกคนก็ยกมือขึ้นและกล่าวว่า “ท่านผู้นำ
นิกาย เมื่อไหร่ที่พวกเราสามารถที่จะเลือกอาจารย์จากภายในนิกาย”
ซูหยางตอบว่า “บอกพวกเจ้าตามจริง ผู้อาวุโสนิกายผู้มีประสบการณ์
ส่วนใหญ่ได้จากนิกายไปนานแล้ว ดังนั้นจึงมีเหลือไม่กี่คนและผู้ที่
เพิ่งจะได้รับแต่งตั้งซึ่งยังมิมีประสบการณ์ในการสอนผู้อื่นมากนัก
ดังนั้นถ้าเจ้าต้องการคำแนะนำ เจ้าสามารถไปหาข้าได้เมื่อข้าว่าง
และครั้นเมื่อผู้อาวุโสนิกายเตรียมตัวที่จะรับศิษย์ของตนเอง เจ้าจึง
สามารถหาอาจารย์อย่างเป็นทางการได้”
“อย่างไรก็ตามเมื่อเวลานั้นมาถึง ข้ามั่นใจว่าพวกเจ้าเกือบทั้งหมดที่นี่
คงจักแข็งแกร่งพอที่จะฝึกฝนด้วยตนเองได้โดยมิต้องมีอาจารย์ไป
เรียบร้อยแล้ว”
ซูหยางทำการตอบคำถามของเหล่าศิษย์ และหลังจากนั้นอีกหนึ่ง
ชั่วโมง หลังจากที่ปล่อยศิษย์ทุกคนไปแล้ว ซูหยางก็กลับคืนสู่ที่พัก
ของตนเองเพื่อสร้างวิชาใหม่ให้กับจางซิวยิงจนกว่าจะถึงอีกหนึ่ง
สัปดาห์ข้างหน้า เมื่อเหล่าศิษย์ที่ต้องการฝึกคู่จะพร้อมเริ่มการฝึก
ร่วมกับเขา
ระหว่างเวลานั้นซูหยางก็ได้ช่วยเหลือเหล่าศิษย์ใหม่ผู้ต้องการความ
ช่วยเหลือและเขาเองก็ได้ย้ายเข้าสู่ศาลาหยินหยาง ที่ซึ่งปราณไร้ลักษณ์
มีความเข้มข้นกว่า แน่นอนว่าความแตกต่างนั้นไม่ได้ส่งผลต่อเขาอีก
ต่อไป ผู้ซึ่งตอนนี้อยู่ในระดับห้าเขตอัมพรวิญญาณไปเรียบร้อยแล้ว
เพื่อที่เขาจะสามารถเพิ่มพลังการฝึกปรือได้ เขาจำเป็นจะต้องดูดกลืน
ทรัพยากรล้ำค่า หรือใช้เวลาหลายปีเพื่อที่จะได้ก้าวขึ้นไปอีกหนึ่ง
ระดับ
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปราวกับกระพริบตา และสุดท้ายก็ถึงเวลาสำหรับ
สาขาวิชาคู่จะมาปรากฏตัวต่อหน้าซูหยางอีกครั้ง
ที่พื้นที่ชุมนุม ซูหยางจ้องมองไปยังศิษย์ 110 คนด้วยสีหน้าเยือกเย็น
“มีเพียงพวกเจ้าสองคนเท่านั้นรึที่สามารถหาคู่ได้” ซูหยางกล่าว
หลังจากเหลือบมอง
“ท-ท่านรู้ได้อย่างไร ท่านผู้นำนิกาย” เหล่าศิษย์ต่างพากันงงงัน ใน
เมื่อพวกเขาต่างมั่นใจว่าเขาไม่ได้แม้จะเฉียดใกล้พวกเขาตลอดทั้ง
สัปดาห์
“ถ้าเจ้ากอดใครสักคนที่มีน้ำหอมเข้มข้น ก็เป็นเรื่องปกติที่น้ำหอม
นั้นจักติดตัวเจ้า แม้ว่าจะมิมีศิษย์คนไหนในนี้ที่ใช้น้ำหอม แต่มันก็
เหมือนกันในด้านของกลิ่นอาย”
จากนั้นเขาก็หันไปมองดูศิษย์ชายเจ็ดคนที่ยังไม่สามารถหาคู่ได้และ
กล่าวกับพวกเขาว่า “อย่าท้อแท้กับเหตุการณ์นี้ แม้ว่าเจ้าอาจจะอยู่ใน
นิกายที่ฝึกฝนวิชาคู่ และเต็มไปด้วยเหล่าผู้หญิง มันมิได้ทำให้ง่าย
สำหรับเจ้าในทันใดในการหาคู่สักคน ในขณะที่มันมิได้เป็นความ
ผิดพลาดของเจ้าทั้งหมดแต่อย่างใดที่มิได้มีเสน่ห์มากพอ สิ่งที่ง่าย
ที่สุดที่จำเป็นสำหรับเจ้าก็คือกลายเป็นคนที่มีเสน่ห์ แน่นอนว่ามีคน
มากมายนอกเหนือจากนั้นที่ยังมิสามารถทำตัวให้มีเสน่ห์มากขึ้นได้
แม้กระทั่งพวกเขาจะได้พยายามแล้วก็ตาม แต่โชคยังดีพวกเจ้าทุก
คนมิได้ถึงกับไร้ความหวังด้วยการมีใบหน้าอัปลักษณ์”
“เมื่อตอนที่ข้ายังเป็นเพียงศิษย์นอก เหล่าหญิงยังมิกระทั่งมองมายัง
ตัวข้า มีเพียงแต่ตอนที่ข้าพิสูจน์ความสามารถของข้าเท่านั้นที่สุดท้าย
พวกเธอก็เริ่มให้ความสนใจต่อข้า” ซูหยางรำลึกถึงความทรงจำก่อน
หน้านั้นในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
“ตอนนี้ในเมื่อพวกเจ้าอาจจะยังมิมีคู่ฝึก สำหรับชั่วระยะเวลานี้ เจ้า
สามารถฝึกวิชาของเจ้าได้ตลอดเวลาเพื่อเตรียมตัวสำหรับเมื่อเจ้าได้
มีคู่ฝึกที่แท้จริงเพื่อที่ว่าเจ้าจักมิได้ดูเหมือนลาโง่ที่ไร้ความสามารถ
เมื่อถึงยามที่เจ้าต้องสร้างความพึงพอใจให้กับคู่ของเจ้า”
“มิว่าอย่างไรก็ตามก็จักเป็นเรื่องน่าอายอย่างมากที่ขาดความสามารถ
ในการสร้างความพึงพอใจให้กับคู่ของเจ้ามากกว่าการมิมีคู่ฝึกแม้สัก
คน ถึงแม้ว่าเจ้ายังมิได้มีประสบการณ์อะไร ตราบเท่าที่เจ้าฝึกฝนวิชา
ที่ข้าจักให้กับเจ้า เจ้าจักสามารถสร้างความพึงพอใจให้กับคู่ของเจ้า
ได้ถึงแม้ว่าเจ้าจักขาดประสบการณ์อันใดก็ตาม”
“พวกเราจักมิลืมคำพูดของท่านผู้นำนิกายในวันนี้” เหล่าศิษย์ชายต่าง
พากันกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังบนใบหน้า
เมื่อพวกเขาไม่สามารถที่จะหาคู่ฝึกได้แม้ว่าจะมีหลายตัวเลือกหลังจาก
ผ่านพ้นไปทั้งสัปดาห์ พวกเขาต่างพากันอับอายจนไม่อยากจะแสดง
ตัวที่พื้นที่ชุมนุม แต่หลังจากที่ฟังคำพูดของซูหยาง พวกเขาก็ไม่ได้
รู้สึกอับอายอีกต่อไปแต่กลับรู้สึกมีแรงผลักดันในการหาคู่ฝึกอีก
ต่อไป
จากนั้นซูหยางก็ทำการพูดต่อไปอีกว่า “แน่นอนพวกเจ้ายังสามารถที่
จะเดินทางออกไปนอกสำนักและหาคู่ฝึกด้านนอกได้ตลอดเวลา
เพียงเพราะว่าเจ้าเป็นศิษย์ของนิกายนี้มิได้หมายความว่าคู่ของเจ้าจัก
ต้องเป็นเพื่อนศิษย์เท่านั้น ตามความเป็นจริงมีศิษย์จำนวนมากในอดีต
ที่ต่างพากันหาคู่ฝึกภายนอกนิกาย ในขณะที่อาจจะมิได้มีประสิทธิภาพ
มากเท่ากับการฝึกฝนกับเพื่อนศิษย์และผู้ฝึกวิชา จำนวนคนที่ยินดีที่
จะเป็นคู่ฝึกภายนอกนั้นจักเติมเต็มให้เป็นการทดแทน”
“อย่างไรก็ตาม พวกเจ้ายังคงใหม่เกินไปที่จะออกไปจากนิกาย ดังนั้น
ฝึกฝนวิชาของเจ้าสักสองสามเดือนก่อนที่พวกเจ้าจักค่อยคิดเกี่ยวกับ
การออกไปยังด้านนอก”
“ขอรับท่านผู้นำนิกาย”
หลังจากนั้น ซูหยางก็เริ่มยื่นวิชาฝีมือให้กับเหล่าศิษย์ แต่ก่อนที่เขา
จะยื่นส่งพวกมันออกไป เขาก็อธิบายให้พวกเขาฟังถึงความแตกต่าง
ระหว่างการฝึกวิชาธรรมดากับการฝึกวิชาคู่
“วิชาฝีมือสำหรับพวกเราผู้ฝึกวิชาคู่นั้นค่อนข้างแตกต่างจากพวกอื่น
มิเหมือนกับผู้ฝึกวิชาโดยปกติ วิชาหลักใหญ่ของพวกเรามิได้ต้องการ
พรสวรรค์อะไรมากนัก มีเพียงแต่พวกเจ้าต้องมีคุณสมบัติตรงตาม
ข้อกำหนดทางเพศเท่านั้น อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าพวกเราผู้ฝึกวิชาคู่
นั้นฝึกวิชาค่อนข้างจะแตกต่างไปเล็กน้อย แต่พวกเราก็ยังต้องการดูด
ซับปราณไร้ลักษณ์เช่นเดียวกับผู้ฝึกวิชาอื่น ๆ”
“พวกเราสามารถดูดซับปราณไร้ลักษณ์โดยตรงเช่นเดียวกับผู้ฝึกวิชา
ทั่วไป แต่ในฐานะผู้ฝึกวิชาคู่ หลักใหญ่ของพวกเราก็คือดูดซับปราณ
ของคู่ฝึกของพวกเราก่อนที่จะเปลี่ยนมันให้กลายเป็นปราณไร้ลักษณ์
มันเหมือนกับว่าพวกเรามีขั้นตอนพิเศษเมื่อเปรียบเทียบกับผู้ฝึกวิชา
ทั่วไป แต่นั่นมิได้เป็นข้อสำคัญ”
“เมื่อผู้คนดูดซับปราณไร้ลักษณ์โดยตรง พวกเขาต้องกำจัดความไม่
บริสุทธ์ิที่พวกเขาได้ดูดซับมาพร้อมกับปราณไร้ลักษณ์หลังจากนั้น
แต่สำหรับพวกเราผู้ฝึกวิชาคู่ซึ่งดูดซับปราณโดยตรงจากคนอื่น
นอกจากว่าร่างของอีกฝ่ายนั้นเต็มไปด้วยความไม่บริสุทธ์ิ พวกเรา
ย่อมมิได้ดูดซับความไม่บริสุทธ์ิมามากนักหากจะมีอยู่บ้าง นั่นเป็น
เหตุที่ว่าทำไมผู้ฝึกวิชาคู่โดยปกติแล้วจึงสามารถฝึกฝนได้รวดเร็ว
กว่าการฝึกวิชาตามปกติ ในเมื่อพวกเรามิจำเป็นต้องใช้เวลาในการ
ชำระล้างความไม่บริสุทธ์ิภายในร่างกายเรามากนัก”
“ช่างเป็นรอยจารึกที่สวยมาก…” จางซิวยิงลูบคำผนึกตระกูลที่อยู่ต่ำลงไปจากบริเวณท้องของเธอด้วยสีหน้าหลงไหล ราวกับว่าแม่ที่ลูบคลำท้องของตนเองตอนท้อง
“ยินดีต้อนรับเข้าสู่ตระกูล” ซูหยางกล่าวกับเธอด้วยรอยยิ้ม
เวลาผ่านไปหลังจากที่พวกเขาได้ชำระล้างร่างกายแล้ว ซูหยางก็ยื่นส่งแหวนมิติให้กับเธอและกล่าวว่า “มีหินวิญญาณอยู่ในนั้นสิบล้านก้อน และมีวิชาการต่อสู้ระดับเซียนอยู่ในนั้นสองสามเล่ม”
“เดิมทีข้าต้องการที่จะให้วิชาฝีมือระดับเซียนกับเจ้า แต่เพราะว่าตอนนี้เจ้าฝึกวิชาฝีมือจากนิกายดอกบัวเพลิงมีรากฐานฝังลึกแล้ว นอกจากว่าเจ้าจะทำลายพลังการฝึกปรือตอนนี้และเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้น มิเช่นนั้นเจ้าก็มิอาจที่จะฝึกวิชาฝีมือใหม่ได้”
“อย่างไรก็ตามขอเวลาข้าสักพัก แล้วข้าจักสร้างวิชาใหม่เอี่ยมที่ใช้วิชาฝีมือที่เจ้าฝึกปรืออยู่ในปัจจุบันเป็นฐานให้ วิธีนี้เจ้าก็จักสามารถฝึกวิชาที่เหนือกว่าได้โดยมิต้องจำเป็นที่จะเริ่มการฝึกฝนใหม่”
“ท-ท่านสามารถสร้างวิชาฝีมือใหม่ได้รึ…” จางซิวยิงมองดูเขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง จากทุกสิ่งที่เธอได้ยินมาในวันนี้ นี่บางทีอาจจะเป็นสิ่งที่น่าตกใจที่สุด เนื่องจากว่าพรสวรรค์ที่จำเป็นในการสร้างวิชาฝีมือนั้นต้องมีมากมายมหาศาลอย่างแท้จริง
“แน่นอน ถึงแม้ว่าข้ายากจะทำเช่นนี้เพราะว่ามันค่อนข้างเหนื่อย”
หลังจากนั้นชั่วขณะจางซิวยิงก็พูดขึ้นว่า “แต่ท่านจะได้รับวิชาฝีมือของนิกายดอกบัวเพลิงได้อย่างไร มีเพียงแต่ศิษย์ที่ยอมให้ได้เห็นมัน และท่านก็เป็นถึงผู้นำนิกายของสำนักอื่น”
“เจ้าคงจะประเมินความสามารถของเซียนต่ำไป ข้ามิจำเป็นต้องอ่านวิชาที่แท้จริงเพื่อทำความเข้าใจมัน พวกเราได้ร่วมฝึกฝีมือมาหลายครั้งแล้วตอนนี้ และข้าสามารถเดาถึงวิชาฝีมือจากปราณหยินในร่างเจ้าอย่างเดียวได้” เขากล่าวด้วยหน้าตามั่นใจ
“อะไรกัน… ของแบบนั้นก็เป็นไปได้ด้วยรึ” จางซิวยิงจ้องมองดูเขาด้วยใบหน้างงงัน
เขาพยักหน้าและพูดต่อหลังจากนั้นชั่วขณะ “มิว่าอย่างไรข้าจักให้ผู้อาวุโสนิกายรับรู้ถึงการคงอยู่ของเจ้า เจ้าสามารถเลือกที่พักที่ว่างหลังไหนก็ได้ที่เจ้าชอบ”
“เช่นนั้นมีบ้านหลังไหนที่ใกล้กับที่พักของท่านหรือไม่ ข้าอยากจะอยู่ใกล้กับท่าน” เธอถาม
ข้าจักย้ายเข้าไปยังศาลาหยินหยางในเร็วๆนี้ ในเมื่อปราณไร้ลักษณ์ที่นั่นมีความเข้มข้นมากกว่า และมีเพียงผู้อาวุโสนิกายที่ยอมให้พักอาศัยอยู่ในพื้นที่บริเวณนั้น อย่างไรก็ตามในเมื่อเจ้าเป็นศิษย์ดั้งเดิมและคนในตระกูลข้า ข้าสามารถจัดเป็นข้อยกเว้นให้กับเจ้าได้”
“ขอบคุณซูหยาง” เธอกล่าวด้วยรอยยิ้มสดใส
“ข้าจักมาหาเจ้ายามเมื่อข้าเสร็จสิ้นกับวิชาฝีมือใหม่ของเจ้า ถ้าเจ้าต้องการอะไรก่อนหน้านั้น เจ้าเพียงแค่ติดต่อข้าโดยใช้หยกสื่อสาร”
“อย่างไรก็ตามข้ามีศิษย์หลายร้อยคนรอข้ามอบวิชาฝีมือให้กับพวกเขาอยู่ในตอนนี้”
“ข้าจักพบกับท่านทีหลัง ซูหยาง” จางซิวยิงกล่าวกับเขาก่อนที่พวกเขาจะแยกย้ายกันไปคนละทาง
เวลาผ่านไปหลังจากนั้นเมื่อซูหยางไปถึงพื้นที่ชุมนุม เขาก็เรียกศิษย์ใหม่ทุกคนจากสาขาการฝึกฝีมือแบบปกติมา
เมื่อเหล่าศิษย์ได้รับการเรียกตัวจากซูหยาง พวกเขาทุกคนต่างก็พากันพุ่งตรงมายังพื้นที่ชุมนุมด้วยความตื่นเต้น ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความคาดหวัง
ครั้นเมื่อพวกเขาทั้งหมดมารวมตัวกันแล้ว ซูหยางก็กล่าวกับพวกเขาว่า “ข้าจักมอบวิชาฝีมือให้กับพวกเจ้าทั้งหมดซึ่งเหมาะสมที่สุดกับพรสวรรค์ของเจ้าให้ในวันนี้ แต่ก่อนที่พวกเราจะเริ่ม ขอให้ข้ากล่าวไว้ก่อนว่าครั้นเมื่อวิชาฝีมือนี้ตกอยู่ในมือเจ้าแล้ว จักเป็นความรับผิดชอบของเจ้าในการที่จะปกป้องมัน”
“มิว่าเจ้าสูญเสียมันไปหรือว่ายกให้ผู้อื่น ถ้าวิชาฝีมือนี้ตกอยู่ในที่มันมิควรจะอยู่ ข้าจักทำลายพลังการฝึกปรือของเจ้าในทันที และขับไล่เจ้าออกไปจากนิกาย คงจะเข้าใจกันชัดเจนแล้วใช่ไหม”
เหล่าศิษย์พากันพยักหน้าในทันทีด้วยสีหน้าหวาดหวั่นบนใบหน้า หากว่าพวกเขาต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่พวกเขาจะต้องยอมเสียคัมภีร์วิชาฝีมือหรือไม่ก็ต้องตาย พวกเขาคงต้องยอมตายดีกว่า เพราะว่าพวกเขาพบว่าการล่วงเกินซูหยางนั้นน่ากลัวกว่าความตาย
“ดี เช่นนั้นเข้าแถว ศิษย์นอกจักได้รับวิชาฝีมือก่อนเป็นอันดับแรก ในเมื่อพวกเจ้ามีมากที่สุด”
เหล่าศิษย์นอกต่างพากันเข้าแถวตรงหน้าซูหยาง
จากนั้นเขาก็ทำการแจกวิชาฝีมือเหมือนแจกขนมให้กับเหล่าศิษย์พร้อมกับให้คำอธิบายคร่าวๆถึงวิชานั้น
หลายชั่วโมงให้หลัง เมื่อบรรดาศิษย์นอกทั้งหมดได้รับวิชาฝีมือของตนเองแล้ว ซึ่งพวกเขาทุกคนล้วนได้รับวิชาฝีมือระดับสวรรค์ ซูหยางก็เรียกศิษย์ในออกมา
หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง สุดท้ายก็เป็นตาของศิษย์หลักที่จะรับวิชาฝีมือของพวกเขา
“ว-วิชาฝีมือระดับเซียน”
เหล่าศิษย์หลักต่างพากันจ้องสมบัติล้ำค่าในมือของตนด้วยดวงตาเบิกกว้างและกรามอ้าค้าง จนถึงบัดนี้ศิษย์ก่อนหน้านั้นล้วนได้รับเพียงแค่วิชาฝีมือระดับสวรรค์
และในก่อนหน้านี้ซูหยางได้เกริ่นว่าเขาจะให้วิชาระดับเซียน เหล่าศิษย์ต่างไม่กล้าที่จะเชื่อจนกระทั่งพวกเขาได้เห็นด้วยตนเอง
“ท่านผู้นำนิกายซูช่างเป็นคนใจกว้างที่สุดในโลกอย่างแท้จริง… ข้ามิเคยคิดว่าข้าจักได้ฝึกวิชาระดับเซียนในขณะที่เป็นเพียงแค่ศิษย์”
ครั้นเมื่อศิษย์ทุกคนได้วิชาฝีมือเป็นของตนเองแล้ว ซูหยางก็กล่าวกับพวกเขาว่า “แม้ว่าพวกเจ้าทุกคนตอนนี้มีวิชาฝีมือแล้ว พวกเจ้าก็มิสามารถที่จะเอาชนะหรือล่าสัตว์วิญญาณได้โดยปราศจากวิชาการต่อสู้ ดังนั้นครั้นเมื่อพวกเจ้าได้ทำความคุ้นเคยกับวิชาฝีมือของตนเองแล้ว ข้าต้องการให้พวกเจ้าทั้งหมดไปเลือกวิชาการต่อสู้จากหอคัมภีร์พ้นพิสัย วิชาจู่โจมสำหรับเอาชนะคู่ต่อสู้ วิชาป้องกันสำหรับป้องกันการโจมตี และสุดท้าย วิชาเคลื่อนไหวที่จักช่วยเจ้าหลบหลีกการโจมตีที่ร้ายแรงถึงชีวิต”
“หอคัมภีร์พ้นพิสัยมีสามชั้น ชั้นแรกบรรจุวิชาการต่อสู้ระดับปฐพีลงไป ชั้นสองบรรจุวิชาการต่อสู้ระดับสวรรค์ และสุดท้ายแต่ไม่ใช่ที่สุดก็คือชั้นสามซึ่งบรรจุวิชาระดับเซียน”
“ในเมื่อพวกเจ้าทั้งหมดล้วนเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ ข้าจักกำหนดให้นี่เป็นข้อยกเว้น ยอมให้พวกเจ้าทุกคนได้เข้าเยี่ยมทั้งสามชั้นมิว่าเจ้าจะเป็นศิษย์ระดับใดก็ตาม อย่างไรก็ตามเจ้าจักมีเวลาเพียงแค่หนึ่งปีในการเรียนวิชาเหล่านี้ ในเมื่อสิ่งต่างๆจักเปลี่ยนไปเมื่อมีศิษย์มาถึงมากขึ้นในปีหน้า”
“ตอนนี้ พวกเจ้ามีคำถามอะไรต่อข้าหรือไม่ก่อนที่ข้าจักปล่อยพวกเจ้าแยกย้ายกันไป” ซูหยางกล่าวกับพวกเขา
วันถัดมา ซูหยางก็ออกจากห้องยาด้วยสีหน้าผ่อนคลาย ในขณะที่หวังชูเหรินต้องคลานด้วยมือเพื่อที่จะขยับเคลื่อนไหว
“ข้ามิควรหยุดพักหนึ่งสัปดาห์…” หวังชูเหรินร่ำร้องในใจ รู้สึกเมื่อยไปทั่วทั้งตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงล่าง
“อย่างไรก็ตามการขายโอสถสู่ปฐพีเป็นอย่างไรบ้าง” ซูหยางถามเธอหลังจากนั้นชั่วขณะ
“สุดท้ายการขายก็เริ่มช้าลง แต่พวกเราก็ได้เกือบพันล้านก้อนหินวิญญาณเฉพาะเดือนที่แล้ว” หวังชูเหรินกล่าว
และเธอก็กล่าวต่ออีกว่า “เจ้าคาดว่าตระกูลซีจะเข้ามาแทรกแซงกับธุรกิจของพวกเราหรือไม่ก็พยายามที่จะเข้ามามีส่วนแบ่งผลกำไร แต่พวกเขามิได้มีการติดต่อกับพวกเรามากนักในเรื่องที่พวกเรายึดคลองตลาด ข้าเดาว่าพวกเขาคงกลัวที่จะล่วงเกินเจ้า นักปรุงยาลึกลับ”
“ข้าพอจะพูดได้ว่าพวกเขานั้นระวังตัวมากกว่ากลัว ถ้าเจ้าอยู่ในตำแหน่งเดียวกับพวกเขา เจ้าจะทำอย่างไรถ้านักปรุงยาที่มิรู้ที่มาปรากฏตัวขึ้นมาจากความว่างเปล่าพร้อมด้วยตำรับยาที่สามารถเปลี่ยนยุทธภพได้อย่างง่ายดาย”
“…” หวังชูเหรินพูดไม่ออก ในเมื่อเธอเองก็ไม่รู้ว่าตนเองจะทำอะไรในสถานการณ์เช่นนั้น
“นั่นคือมุมมองของข้า ซึ่งเจ้ามิสามารถทำอะไรได้นอกจากรอ ถ้าเจ้าพยายามสร้างสถานการณ์ นั่นจักย้อนเข้าตัวเจ้าได้อย่างง่ายดาย”
“มิว่าอย่างไรเจ้าสามารถทำการยึดครองตลาดโอสถสู่ปฐพีได้ต่อไป นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมีหินวิญญาณมากพอสำหรับอย่างน้อยหลายสิบปีแม้ว่าตัวข้าจากไปแล้ว”
“เจ้ามั่นใจรึ ถึงแม้ว่าเจ้ามิต้องการ พวกเราก็ยังคงสามารถที่จะส่งหินวิญญาณให้เจ้าสองสามล้านก้อนหินวิญญาณให้เจ้าได้ทุกเดือน” หวังชูเหรินกล่าว
“ข้าได้เอาใจพวกเขามามากพอแล้ว” เขาตอบพร้อมรอยยิ้ม
หลังจากนั้นซูหยางก็ไปจากบ้านของหวังชูเหรินและกลับไปรับตัวจางซิวยิงก่อนที่จะกลับไปยังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
“ท่านมั่นใจว่าข้าได้รับความยินยอมให้เป็นศิษย์ที่นี่ ซูหยาง” จางซิวยิงพลันถามเขาขณะที่พวกเขาเข้าไปในนิกาย
“แน่นอน ทำไมเจ้าจึงถามในตอนนี้” เขาเลิกคิ้ว
“เอ้อ.. ข้าได้ยินเรื่องการทดสอบศิษย์และความยากลำบากของมัน และข้าเองก็มิได้มีพรสวรรค์หรือฐานะอะไร ดังนั้นข้าจึงมิมีคุณสมบัติที่จะอยู่ที่นี่ เหตุผลเดียวที่ข้ามาที่นี่ก็เป็นเพราะว่าข้ามีความสัมพันธ์กับท่าน และเมื่อข้าคิดถึงเรื่องคนหลายพันหลายหมื่นที่ได้ล้มเหลวในการเข้าสู่นิกาย ข้าก็มีความรู้สึกผิด…” จางซิวยิงเผยความรู้สึกผิดของตนเองออกมา
แต่ทว่าซูหยางเพียงแค่ยิ้มและกล่าวว่า “การมีความสัมพันธ์ก็เหมือนกับมีฐานะ และในโลกนี้ การมีความสัมพันธ์นั้นมีความสำคัญมากเท่ากับมีพรสวรรค์หรือไม่ก็มากยิ่งกว่านั้น เจ้ามิควรจะรู้สึกผิดที่มีความสัมพันธ์ กลับกัน เจ้าควรรู้สึกภูมิใจ ในเมื่อเจ้าได้รับความเชื่อใจจากข้า ซึ่งนั่นมิใช่เป็นสิ่งที่จะได้รับมาอย่างง่ายๆ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา จางซิวยิงก็รู้สึกดีขึ้นบ้างเล็กน้อย
หลังจากเวลาผ่านไป ซูหยางก็ยื่นส่งตราสีทองให้กับเธอและกล่าวว่า “นับตั้งแต่วันนี้เจ้าจักเป็นศิษย์ดั้งเดิมของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย เป็นตำแหน่งพิเศษภายในนิกายที่มีเพียงข้าเท่านั้นสามารถมอบให้ได้ ในฐานะศิษย์ดั้งเดิม เจ้าจักได้รับผลประโยชน์เช่นเดียวกับศิษย์หลักถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นศิษย์นอกหรือศิษย์ในก็ตาม มันเหนือกว่าตำแหน่งอื่นและตอนนี้มีเพียงศิษย์ผู้ได้อยู่ร่วมกับเราในขณะที่ทุกคนจากไปที่นี่ที่มีตรานี้ เมื่อรวมเจ้าเข้าไปแล้วก็ยังมีน้อยกว่าหนึ่งร้อยคนที่มีตรานี้”
“ท-ท่านมั่นใจรึ ข้าพึงพอใจแล้วที่ได้เป็นเพียงแค่ศิษย์ธรรมดาถึงแม้ว่าข้าจะเป็นศิษย์นอกก็ตาม ข้าได้รับมามากพอแล้วจากท่าน ซูหยาง ท่านมิควรจะเอาใจข้าจนเกินไป”
จางซิวยิงรู้สึกว่าเขานั้นใจกว้างพอแล้วที่ยอมให้เธอเป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย อีกทั้งเธอไม่ต้องการที่จะรู้สึกเหมือนกับว่าตนเองได้ถือโอกาสเอาเปรียบจากความใจดีของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาเป็นคนที่เธอรัก ในเมื่อเธอมั่นใจอย่างแท้จริงว่าเธอไม่ได้ทำอะไรที่สมควรได้มากเช่นนั้น
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเธอ ซูหยางก็สัมผัสแก้มนุ่มของเธอด้วยมือของเขาและกล่าวว่า “ข้า ซูหยางย่อมดูแลคนของข้าเสมอ ถึงแม้ว่าการพบปะของเรานั้นจะเป็นอะไรที่แข็งขืน แต่ข้านั้นก็ได้ยอมรับเจ้าเป็นคนของข้าอย่างเต็มตัว และเพื่อการนั้นก็ต้องถือเป็นงานของข้าที่จะทำให้ชีวิตของเจ้ามิให้มีอะไรไปนอกจากความสุข”
“ซูหยาง…”
จางซิวยิงพูดไม่ออกอย่างสมบูรณ์ และดวงตาของเธอก็เอ่อคลอไปด้วยน้ำตาแห่งความสุข
“มากับข้า”
ซูหยางพลันโอบเอวแน่งน้อยของเธอและดึงเธอเข้าไปในบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ภายในนิกายที่ยังมิได้มีการจับจอง
“มีอะไรรึ ซูหยาง” เธอถามเขาด้วยใบหน้าสงสัย
“แม้ว่านี่อาจจะฟังดูกระทันหัน ข้าจักบอกว่าข้าจะจากที่แห่งนี้ไปในอีกสองปีข้างหน้า” เขากล่าวกับเธอหลังจากที่ปิดประตู
“เอ๋ ท่านจักไปไหนรึ”
“บ้าน แต่ทว่าที่แห่งนั้นมิได้อยู่ในโลกแห่งนี้”
“ท-ท่านหมายความว่าอย่างไร..”
“จริงแล้วข้า…”
จากนั้นซูหยางก็ทำการเปิดเผยเบื้องหลังที่แท้จริงของเขาให้กับจางซิวยิง อธิบายให้เธอฟังถึงว่าเขาเคยเป็นเซียนในชาติก่อนและจากนั้นเขาก็มาจากโลกที่แตกต่างจากโลกนี้อย่างสมบูรณ์
“เซียนรึ…”
จางซิวยิงฟังเขาด้วยสีหน้างงงัน ในเมื่อเธอพบว่ามันยากที่จะเชื่อว่าเขาเคยเป็นเซียน อย่างไรก็ตามไม่มีเหตุผลสำหรับซูหยางที่จะโกหกเธอ ดังนั้นสุดท้ายเธอก็จึงเชื่อเขา
“และนั่นก็เป็นเรื่องราวของข้า เป็นอย่างไร เจ้ายังคงต้องการที่จะไปกับข้าไหม” เขาถามเธอหลังจากที่ได้ทำการอธิบายเสร็จแล้ว
“ใช่… เธอพยักหน้าอย่างรวดเร็ว และเธอก็พูดต่อว่า “ถึงแม้ว่าท่านจะเป็นอสูรกลับชาติมาเกิด ข้าก็จักยังคงอยู่ข้างกายท่าน…”
“เช่นนั้นเรามาร่วมฝึกกันในตอนนี้และทำให้มันเป็นทางการ” เขากล่าวกับเธอก่อนที่จะลากเธอไปยังห้องนอนห้องหนึ่ง ซึ่งเขาก็ได้ถอดเสื้อผ้าของเธอออกและเริ่มสร้างความพึงพอใจให้กับตัวเธอ
สองสามนาทีให้หลัง เสียงที่เปี่ยมไปด้วยความสุขของจางซิวยิงก็ดังออกไปทั่วบ้านโดยไม่มีการยับยั้ง
“อาจารย์ ท่านเชื่อใจข้าถึงกับมอบสมบัติล้ำค่าเช่นนี้เลยรึ” แม้ว่าเธอจะไม่เข้าใจค่าที่แท้จริงของของขวัญสองอย่างนี้ เยี่ยนเยี่ยนก็รู้ว่าพวกมันมีค่ามากอาจถึงขั้นประเมินค่าไม่ได้
“แน่นอน ทำไมข้าจักมิเชื่อใจเจ้าล่ะ”
“ท่านมิกลัวว่าข้าจักวิ่งหนีไปกับพวกมันรึ มิว่าอย่างไรพวกเราก็เพียงแค่เพิ่งจะพบกัน”
“เช่นนั้นเจ้าจักวิ่งหนีไปกับสิ่งของพวกนี้หรือไม่” ซูหยางถามเธอด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
“ไม่…” เธอส่ายหน้า
“เช่นนั้นก็มิมีอะไรที่ต้องกังวล” เขากล่าว ยังคงมีรอยยิ้มบนใบหน้า
แม้ว่าสิบล้านก้อนหินวิญญาณอาจจะดูเหมือนเป็นเงินจำนวนมหาศาล แต่จริงแล้วมันเป็นเหมือนแค่เงินติดกระเป๋าในสายตาของซูหยาง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีหินวิญญาณอีกนับหลายร้อยล้านก้อนอยู่ในนิกาย
ส่วนสำหรับวิชาระดับเทพนั้น ถึงแม้ว่ามันจะมีค่ามากจริงๆและมีเพียงแค่หนึ่งเดียวในโลกนี้ แต่วิชาฝึกปราณนี้ก็พิเศษใช้ได้เฉพาะเพียงคนที่เป็นที่รักของปราณไร้ลักษณ์อย่างเช่นเยี่ยนเยี่ยน ดังนั้นถึงแม้ว่าเธอจะให้ใครไปก็ไม่สำคัญ ในเมื่อไม่มีใครอีกที่จะสามารถใช้มันได้
“อย่างไรก็ตามเจ้าสามารถเลือกที่พักที่เจ้าต้องการอาศัยได้ตราบเท่าที่มันยังมิถูกจับจอง ข้าจักตรวจสอบความก้าวหน้าของเจ้าเป็นระยะ และถ้าเจ้าต้องการความช่วยเหลืออะไร ก็เพียงแค่ส่งข้อความมาหาข้าผ่านหยกสื่อสาร”
เยี่ยนเยี่ยนพยักหน้า และเธอก็ตัดสินใจที่จะอยู่ในบ้านข้างๆบ้านซูหยาง
ครั้นเมื่อทุกสิ่งผ่านพ้นไปแล้ว ซูหยางก็อยู่ภายในบ้านและเริ่มเขียนวิชาฝึกปราณมากขึ้น ในเมื่อเขามีศิษย์มากกว่าแปดร้อยคนที่รอวิชาการฝึกปราณก่อนที่พวกเขาจะสามารถเริ่มฝึกวิชา
เวลาที่เหลือในวันนั้นจนถึงเช้าของอีกวัน ซูหยางก็ไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่าคัดลอกวิชาฝีมือที่เขามีเก็บไว้ในห้วงความจำ
วันถัดมา ซูหยาลก็จากไปสู่นิกายดอกบัวเพลิง
“ซูหยาง” จางซิวยิงดีใจแกมประหลาดใจเมื่อเห็นซูหยางยืนอยู่ตรงหน้าบ้านของเธอตั้งแต่เช้ามืด
“ท่านสบายดีไหม ข้าได้ยินถึงสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการทดสอบศิษย์” เธอกล่าวกับเขาด้วยใบหน้าเป็นกังวล”
“โอ เรื่องนั้นรึ มิมีอะไรที่มีค่าให้กล่าวถึง” เขาตอบด้วยรอยยิ้ม
“ข้าโล่งใจที่ได้ยินเช่นนั้น อย่างไรก็ตามอะไรที่นำท่านมาที่นี่ในวันนี้”
เขาพยักหน้าและกล่าวว่า “เจ้ายังจำได้ไหมในเรื่องที่พวกเราพูดถึงครั้งที่แล้ว”
“ท่านคงมิได้หมายถึง…”
“ตอนนี้เมื่อการทดสอบศิษย์ได้จบลงไปแล้วและพวกเราก็มีศิษย์ใหม่จำนวนมาก ข้าคิดว่านี่ควรเป็นโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับเจ้าในการมายังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย”
“ต-แต่ข้ายังมิได้พูดกับอาจารย์ของข้าเกี่ยวกับเรื่องนี้…”
“เช่นนั้นพวกเราก็ไปพูดกับเธอกันในตอนนี้ ข้าเองก็อยู่ในระหว่างทางที่จะไปพบกับเธออยู่เช่นกัน”
จางซิวยิงพยักหน้าและติดตามซูหยางไปยังที่พักของหวังชูเหริน
เวลาผ่านไป พวกเขาก็ไปถึงที่พักของหวังชูเหริน
“ข้าหวังจริงๆว่าอาจารย์จะมิบ้าคลั่งใส่ข้า…” จางซิวยิงร่ำร้องในใจขณะที่ซูหยางเคาะประตู
สองสามนาทีให้หลัง หวังชูเหรินก็เปิดประตู
“เจ้ามาทำอะไรกับซูหยางรึ ซิวยิง” หวังชูเหรินเลิกคิ้วหลังจากที่เห็นศิษย์ของเธอที่นี่
“เราไปพูดกันข้างใน” ซูหยางกล่าว
แม้ว่าเธอจะยังคงสงสัย หวังชูเหรินก็พยักหน้าและต้อนรับพวกเขาเข้าไปข้างใน
ครั้นเมื่อพวกเขานั่งลงแล้ว ซูหยางก็มองไปยังจางซิวยิงและกล่าวว่า “เอาสิ บอกเธอได้เลย”
“เจ้ามีอะไรรึ” หวังชูเหรินมองไปยังจางซิวยิงพร้อมขมวดคิ้ว คิดว่าศิษย์ของเธอได้ทำอะไรที่เธอไม่ควรจะทำ
เมื่อเห็นใบหน้าของหวังชูเหริ ความกระวนกระวายของจางซิวยิงก็เพิ่มขึ้นจนถึงจุดสูงสุด
แต่ทว่าซูหยางพลันจับมือเธอไว้และกล่าวด้วยรอยยิ้มนุ่มนวลว่า “ถ้าเจ้ามิบอกเธอ เธอก็จักมิรู้”
จางซิวยิงสูดลมหายใจลึกก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลแต่ชัดเจนว่า “อาจารย์ ศิษย์นอกใจคนนี้ต้องการที่จะจากนิกายดอกบัวเพลิงเพื่อไปเป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย”
“…”
หวังชูเหรินไม่ได้ตอบในทันที ความจริงแล้วเธอแทบจะไม่ได้มีปฏิกิริยาใดกับคำพูดของจางซิวยิงด้วยซ้ำ
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ จางซิวยิงก็พูดต่อว่า “ข้าต้องขอบคุณต่อท่านอาจารย์ที่รับคนที่มิได้มีพรสวรรค์ใดอย่างเช่นตัวข้าเป็นศิษย์ไปตลอดชีวิต แต่ก่อนหน้านี้ศิษย์คนนี้ได้ตระหนักว่าเธอมิได้มีความผูกพันกับที่แห่งนี้ และซูหยางก็ได้เสนอที่ให้ข้ายังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย”
จางซิวยิงถึงกับคุกเข่าคำนับหวังชูเหริน
“แม้ว่าข้ามิได้บอกอาจารย์เรื่องนี้ ซูหยางก็ได้ช่วยข้าไว้หลายครั้งนับตั้งแต่ข้าได้พบกับเขาที่โรงประมูล และก็มิถือว่าจะเป็นการพูดเกินจริงหากข้าจะพูดว่าข้าเป็นหนี้ชีวิตเขา”
“…”
หลังจากนั้น หวังชูเหรินก็พูดด้วยเสียงเยือกเย็นชัดเจนว่า “สบายใจได้ ซิวยิง ข้ามิได้กล่าวโทษเจ้าในความต้องการที่จะย้ายสำนัก ความจริงแล้วข้าเองก็ได้สังเกตเห็นมานานแล้วว่าเจ้ามิสามารถเข้าไดักับศิษย์คนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ข้ารับเจ้าไว้เป็นศิษย์ของข้า”
“นี่หมายความว่า…” จางซิวยิงมองดูอีกฝ่ายด้วยดวงตาโต
หวังชูเหรินพยักหน้าด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น “เจ้าสามารถเข้าร่วมกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้ และถ้าเจ้ายังต้องการคำแนะนำหรือความช่วยเหลือ เจ้ายังสามารถมาพบข้าได้ แม้ว่าข้าจะสงสัยว่าเจ้าจักต้องการข้าอีกหรือไม่เมื่อมีคนอย่างซูหยางอยู่ข้างกายเจ้า”
“ขอบพระคุณอาจารย์” จางซิวยิงร้องไห้เสียงดัง ในเมื่อเธอไม่ได้คาดคิดว่ามันจะดำเนินไปได้ง่ายดายเช่นนี้
บางทีเหตุผลเพียงอย่างเดียวที่ทำไมหวังชูเหรินเห็นด้วยกับเธอในการย้ายไปสู่สำนักอื่นก็เพราะว่ามีซูหยางอยู่ด้วย แต่นั่นไม่สำคัญแม้แต่น้อย ในเมื่อเธอได้รับอนุญาตเรียบร้อยแล้ว
“กลับไปเก็บของของเจ้า พวกเราจักจากไปในวันพรุ่งนี้หลังจากที่ข้าเสร็จสิ้นธุระของข้าที่นี่” ซูหยางกล่าวกับจางซิงยิง ซึ่งเธอก็รีบไปจากที่นั่นในทันที
“เจ้าชอบเธอจริงๆ มิใช่รึ แรกสุดเจ้าก็ปกป้องเธอจากหวังหมิง จากนั้นเจ้าก็อ้างว่าเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังเธอ และตอนนี้เจ้าก็ถึงกับทำเช่นนี้” หวังชูเหรินกล่าวกับเขาหลังจากนั้น
“เธอเป็นเด็กสาวที่ซื่อสัตย์ และข้าก็ชอบเด็กสาวที่ซื่อสัตย์” เขาตอบพร้อมกับรอยยิ้ม
“แล้วข้าล่ะ ข้าก็มิเคยโกหกเจ้า นี่มิได้ทำให้ข้าเป็นผู้หญิงที่ซื่อสัตย์หรอกรึ” หวังชูเหรินหัวเราะเบาๆ
“มีคนที่ซื่อสัตย์อยู่หลายจำพวก และพวกเจ้าทั้งสองคนก็เป็นคนที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง”
“เช่นนั้น เจ้าชอบข้าเช่นกันหรือไม่” เธอถามเขาด้วยสายตายั่วเย้า
“ถ้าข้ามิชอบเจ้า ข้าก็คงจักมิเสียเวลาข้าที่นี่ ใช่ไหม” เขาตอบอย่างใจเย็น
“น่าประทับใจ…”
หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาทั้งคู่ก็เข้าสู่ห้องปรุงยา และซูหยางก็ดำเนินการฝึกหวังชูเหรินไปตลอดทั้งวัน
“ถึงแม้ว่าพวกเจ้าทุกคนจะเลือกตัวเลือกที่สอง ข้าก็ยังจะให้พวกเจ้ารู้ถึงตัวเลือกที่สาม ซึ่งจักยอมให้พวกเจ้าเปลี่ยนไปเลือกอีกแผนกเพื่อฝึกวิชาแบบปกติ” ซูหยางกล่าวหลังจากนั้นชั่วขณะ
“อย่างไรก็ตามก่อนที่ข้าจะยอมให้พวกเจ้าหญิงสาวตัดสินใจ ข้าก็จักให้โอกาศผู้ชายหนึ่งสัปดาห์เต็มในการหาคู่ฝึกของตนเองก่อนเป็นอันดับแรก”
“…”
ศิษย์ชายหันไปมองสาวสวยนับร้อยที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาและกลืนน้ำลายอย่างเป็นกังวล นั่นปกติแล้วมีตัวเลือกมากเกินไป และถึงแม้ว่าพวกเขาเลือกใครสักคนนั่นก็ไม่ได้หมายความว่าศิษย์หญิงจะยินดียอมเป็นคู่ของพวกเขา
ยิ่งไปกว่านั้นเพราะว่าศิษย์หญิงรู้ว่าถ่าพวกเธอเลือกคู่ฝึก โอกาสที่พวกเธอจะฝึกกับซูหยางซึ่งเป็นเหตุผลหลักที่พวกเธอมาเป็นผู้ฝึกวิชาคู่ย่อมลดลงไปอย่างมีนัยสำคัญ
ใช่แล้วนี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมจึงมีศิษย์หญิงมากมายกว่าศิษย์ชาย ในเมื่อในเมื่อเกือบทั้งหมดหรืออาจจะทั้งหมดของหญิงที่มายังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็เพราะว่าซูหยางหวังที่จะฝึกร่วมกับเขา
แน่นอนว่าซูหยางย่อมรู้ถึงปัญหานี้ แต่ทว่าใช่ว่าเขาจะสามารถบีบให้ศิษย์หญิงเหล่านี้ให้เลือกคู่ได้ และถึงแม้ว่าจะขาดศิษย์ชาย แต่ถ้าศิษย์หญิงปฏิเสธที่จะฝึกกับศิษย์ชาย แน่นอนว่าเขาก็ย่อมไม่สามารถทำอะไรได้
“ส่วนสำหรับศิษย์หญิง ข้าต้องการให้เจ้าอย่างน้อยให้โอกาสผู้ชายเหล่านี้ ชีวิตมิได้เสมอภาคเสมอไป ในเมื่อย่อมจักมีเวลาที่เจ้ามิมีทางเลือก แน่นอนว่าข้าย่อมมิบอกพวกเจ้าให้เลือกคู่ฝึกซึ่งเจ้ามิได้ชอบ แต่ถ้าเจ้าเกิดความสนใจในตัวพวกเขา อย่ากังวลที่จะเป็นคู่ฝึกกับพวกเขา ในเมื่อการฝึกวิชาคู่นั้นมีความหมายยิ่งกว่าเพียงแค่สร้างความพึงพอใจและเพศสัมพันธ์”
“นับตั้งแต่วันนี้ และต่อไปอีกเจ็ดวัน ข้าต้องการให้ศิษย์ชายไปเคาะประตูของศิษย์หญิงทุกคนและพูดคุยกับพวกเธอ ในฐานะผู้ชายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะผู้ฝึกวิชาคู่ที่ใหม่ต่อภาพฉากนี้ ถ้าเจ้ามิถือโอกาสเริ่มต้น เจ้าก็แทบจักมิมีโอกาสได้พบเจอคู่ฝึก และเจ้าก็มิอาจจะโทษใครได้นอกจากตัวเจ้าเองที่ใจเสาะ”
หลังจากนั้น ซูหยางก็เลิกประชุมศิษย์ และเหล่าศิษย์ชายก็เริ่มพูดคุยกับเหล่าศิษย์หญิงในทันที
“ซูหยาง… เจ้าคิดจริงๆ รึว่าศิษย์หญิงเหล่านี้จักยินดีที่จะยอมรับคู่ฝึกคนอื่นที่มิใช่เจ้า ข้าสามารถพูดได้อย่างมั่นใจว่าทั้งหมดทุกคนของศิษย์หญิงเหล่านี้มาที่นิกายนี้ก็เพราะเจ้า” โหลวหลานจีกล่าวกับเขาหลังจากนั้น ในเมื่อเธอก็รู้ถึงปัญหานี้เช่นกัน
“และด้วยความจริงใจอย่างถึงที่สุด ถ้าข้าอยู่ในกลุ่มศิษย์หญิงเหล่านี้เช่นกัน ข้าก็จักปฏิเสธเหล่าศิษย์ชายก็เพราะว่าจะได้เป็นคู่ของเจ้าเช่นกัน ถึงแม้ว่าจะเป็นการชั่วคราวก็ตาม เจ้าจักทำอะไรถ้าหากว่าศิษย์หญิงทุกคนล้วนอยู่ในกรณีนี้ ย่อมมิมีความหมายสำหรับการที่จะมีศิษย์เพื่อฝึกวิชาคู่ถ้าหากว่ามีเพียงแต่ศิษย์หญิงที่ต้องการที่จะร่วมฝึกกับเจ้า”
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ ซูหยางก็พูดขึ้นว่า “ถึงแม้ว่าจะเกิดกรณีนี้ขึ้น จริงแล้วก็มิมีอะไรที่ข้าจักสามารถทำได้ในเวลานี้ วิธีเดียวที่เป็นไปได้ในการจัดการกับปัญหานี้ก็คือข้าจากนิกายนี้ไปซึ่งก็จักเกิดขึ้นในอีกสองปีข้างหน้านับจากนี้”
“อย่างไรก็ตาม ข้าได้คาดว่าสิ่งนี้จักเกิดขึ้นก่อนการคัดเลือกศิษย์เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมข้าจึงจำกัดจำนวนของศิษย์ที่พวกเราจะรับในปีนี้”
“เอ๋ เจ้ามีแผนอะไรรึ” โหลวหลานจีเอียงคอ
จากนั้นซูหยางก็ตอบด้วยเสียงเยือกเย็น “ในอีกหนึ่งสัปดาห์ มิว่าศิษย์ชายจะหาคู่ได้หรือไม่ ข้าก็จักร่วมฝึกกับศิษย์หญิงที่ยังมิมีคู่ จากนั้นข้าก็จักฝึกพวกเธอทุกคนให้กลายเป็นศิษย์หลักหรือไม่ก็ผู้อาวุโสนิกายก่อนที่จะถึงการทดสอบศิษย์ในปีหน้า ซึ่งข้าก็จักลดมาตรฐานลงและเพิ่มปริมาณศิษย์ที่เรารับได้ขึ้น ครั้นเมื่อได้ทำเช่นนั้นแล้ว พวกเราก็จักมีศิษย์หญิงและศิษย์ชายจำนวนมากมาย และถึงแม้ว่าอัตราส่วนจะยังมิสมดุลเต็มที่ แต่อย่างน้อยก็จักมิได้เป็นปัญหามากดังเช่นปัจจุบันนี้”
“และจากนั้นภายในสองปี เมื่อถึงเวลาที่ข้าต้องจากไป ศิษย์เหล่านี้ก็จักต้องหาคู่ใหม่จากนิกายหรือไม่ก็จากโลกภายนอก”
เมื่อได้ยินแผนของเขา โหลวหลานจีก็ถอนใจ “นั่นค่อนข้างโหดร้าย เจ้ารู้ไหม ครั้นเมื่อพวกเธอได้รับรู้รสชาติของของความสามารถขอเจ้า มาตรฐานของพวกเธอในความพึงพอใจก็จักกลายเป็นห่วงที่จำกัดตัวเลือกของพวกเธออย่างรุนแรง ทำให้มันเป็นได้ยากถึงที่สุดสำหรับพวกเธอที่จะหาคู่ซึ่งจักสามารถสร้างความพึงพอใจให้กับพวกเธอได้”
“ข้ารู้… แต่พวกเธอก็จักเติบโตพ้นจากตรงนั้นได้ในที่สุด อีกอย่างอย่าดูถูกอนาคตของการฝึกวิชาคู่ในโลกนี้ในอนาคต แน่นอนว่าข้าจักเพิ่มมาตรฐานของโลกนี้ในการสร้างความพึงพอใจก่อนที่ข้าจะจากไป และมันก็จักเติบโตต่อไปแม้ว่าข้าจักจากไปแล้วเพราะว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจักยังคงอยู่ที่นี่”
“หวังว่าคงจะเป็นไปเช่นนั้น…”
“อย่างไรก็ตามข้าจักจากนิกายไปในวันพรุ่งนี้ ในเมื่อข้ามีธุระอะไรบางอย่างที่นิกายดอกบัวเพลิง” ซูหยางกล่าว
“ได้” โหลวหลานจีพยักหน้
หลังจากเวลาผ่านไป ครั้นเมื่อทุกคนข้างกายซูหยางและเยี่ยนเยี่ยนได้จากไปแล้ว เยี่ยนเยี่ยนก็ถามเขาว่า “อาจารย์ ข้าควรทำอะไรต่อไปในตอนนี้”
เขามองดูเธอและกล่าวว่า “ในเมื่อเจ้ายังมิสามารถฝึกวิชาคู่ได้จนกว่าเจ้าจะมีอายุถึง เราก็ต้องเสริมสร้างความแข็งแกร่งพื้นฐานของเจ้าก่อนจนกว่าเจ้าจะสามารถฝึกได้ และเพื่อการเสริมสร้างความแข็งแกร่งพื้นฐานของเจ้า เจ้าก็ควรจะฝึกฝนตามปกติไปก่อนในตอนนี้”
“ตามข้ามา”
เยี่ยนเยี่ยนพยักหน้าและติดตามกลับไปยังที่พักของเขา
ครั้นเมื่อพวกเขาเข้าไปข้างในแล้ว ซูหยางก็เริ่มเขียนม้วนกระดาษแผ่นหนึ่ง
“นี่ของเจ้า” เขายื่นส่งม้วนกระดาษให้กับเธอหลังจากที่มันสมบูรณ์แล้ว และเขาก็พูดต่อว่า “นี่เป็นวิชาฝึกปราณระดับเทพ ที่ครั้งหนึ่งเคยใช้ด้วยเพื่อนที่สนิทมากๆของข้าซึ่งมีพรสวรรค์ดุจเดียวกับเจ้า มันเป็นวิชาระดับที่สูงกว่าวิชาระดับเซียน”
จากนั้นเขาก็ยื่นส่งแหวนมิติให้เธอ “มีหินวิญญาณสิบล้านก้อนอยู่ภายในนั้น ใช้มันในการฝึกวิชาของเจ้า มันควรจะอยู่ได้จนกระทั่งเจ้าอายุถึงสิบหกปี”
“…”
เยี่ยนเยี่ยนจ้องมองแหวนมิติและวิชาฝึกปราณในมือของเธอแต่ละข้างด้วยใบหน้างงงัน ดูเหมือนไม่อยากจะเชื่อ
บทที่ 523 ความไม่สมดุล
“ว-วิชาระดับสวรรค์…”
เหล่าศิษย์ต่างพากันมองดูเขาด้วยใบหน้าที่ไม่อยากเชื่อ
“ท่านผู้นำนิกาย… พวกเราจะได้รับวิชาฝึกปราณระดับสวรรค์อย่าง
นั้นรึ…”
เขาพยักหน้าและกล่าวว่า “ใช่ แต่พวกเจ้ามิได้จำกัดอยู่เพียงแค่วิชา
ระดับสวรรค์ ถ้าพวกเจ้าสามารถพิสูจน์ให้ข้าเห็นว่าพวกเจ้าฝึกฝน
วิชาอย่างจริงจัง ข้าเองก็ยินดีที่จะแบ่งปันวิชาปราณระดับเซียนให้แก่
พวกเจ้า”
“วิชาระดับเซียน”
เหล่าศิษย์ต่างพากันอ้าปากค้างด้วยความตกใจ
วิชาระดับสวรรค์ก็นับว่าเลอค่ามากแล้วในโลกนี้ ถึงขั้นที่ว่าผู้ฝึกวิชา
ส่วนใหญ่ในโลกนี้อยู่มาตลอดชีวิตโดยไม่เคยเห็นแม้แต่น้อย ดังนั้น
ผู้คนสามารถจินตนาการได้ว่าวิชาระดับเซียนนั้นมีค่ามากมายเพียงใด
อย่างไรก็ตามในสายตาของซูหยางซึ่งได้มีสายสัมพันธ์กับสำนักที่
ทรงอำนาจและตระกูลลึกลับในชีวิตก่อนของเขา เขาได้เห็นวิชา
ระดับสวรรค์และวิชาระดับเซียนมานับไม่ถ้วน
ในฐานะเซียน ความทรงจำของเขานั้นโดยปกติแล้วถือว่าสมบูรณ์
แบบ ยอมให้เขาจดจำวิชาทั้งหมดที่เขาเคยเห็นมาก่อน ดังนั้นถ้าเขา
ต้องการวิชาให้กับศิษย์เหล่านี้ เขาสามารถดึงพวกมันออกมาจาก
ความทรงจำของเขาเขียนออกมาให้กับพวกเขา
“ข้าจักเริ่มให้วิชาฝึกปราณแก่พวกเจ้าในวันมะรืนนี้ เนื่องจากว่าข้า
จักติดธุระในวันพรุ่งนี้” ซูหยางกล่าว
“นั่นคือทุกอย่างที่ข้ามีในวันนี้ ตอนนี้เมื่อพวกเจ้ามีระดับแล้ว ผู้
อาวุโสนิกายจักดำเนินการต่อมอบเสื้อผ้าและที่พักให้แก่พวกเจ้า”
“ตามข้ามา ข้าจักแจกจ่ายเสื้อผ้าของพวกเจ้าตามระดับของพวกเจ้า”
ผู้อาวุโสซุนกล่าวก่อนที่จะนำศิษย์ไป
ยามเมื่อศิษย์ทั้ง 887 คนไปจากพื้นที่นั้นกับผู้อาวุโสซุนแล้ว ซูหยางก็
หันไปมองศิษย์ที่เหลือ ศิษย์ประมาณหนึ่งร้อยคนที่ยินดีที่จะเป็นผู้
ฝึกวิชาคู่
“แรกสุดและก่อนอื่นทั้งหมด ให้ข้าจัดระดับของพวกเจ้าก่อน”
หลังจากนั้นเหล่าศิษย์ก็ได้รับระดับของตนเอง
จากศิษย์ทั้งสิ้น 110 คนที่นั่น 80 คนของพวกเขาเป็นศิษย์นอก ในขณะ
ที่ 27 คนได้เป็นศิษย์ใน และมีเพียง 3 คนในหมู่พวกเขาที่ได้เป็นศิษย์
หลัก
ในบรรดาศิษย์หลักสามคนนั้น เยี่ยนเยี่ยน อัจฉริยะที่เป็นที่รักของ
สวรรค์เป็นหนึ่งในนั้น
“เจ้ามั่นใจรึที่จะเป็นผู้ฝึกวิชาคู่ เจ้ายังเด็กเกินไป ดังนั้นเจ้าจึงมิสามารถ
ที่จะเริ่มฝึกได้จนกว่าเจ้าจะถือว่าเป็นผู้ใหญ่เมื่ออายุได้ 16 ปี และเมื่อ
พิจารณาตามพรสวรรค์ของเจ้า… จะเป็นการดีที่สุดถ้าเจ้าฝึกแบบ
ปกติ” ซูหยางกล่าวกับเธอ
อย่างไรก็ตามแม้ว่าเขาจะได้แนะนำเธอแล้ว ท่าทางของเยี่ยนเยี่ยนก็
ยังไม่เปลี่ยนแปลง เธอกล่าวว่า “ข้าต้องการเป็นผู้ฝึกวิชาคู่”
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ โหลวหลานจีก็ถามเธอว่า “เรามาเริ่มต้น
จากเจ้ารู้ไหมว่าอะไรคือการเป็นผู้ฝึกวิชาคู่”
และพวกเขาก็ต้องประหลาดใจกับคำตอบที่เยี่ยนเยี่ยนให้กับโหลว
หลานจี เมื่อเธอส่ายหน้า
“เจ้าต้องการที่จะเป็นผู้ฝึกวิชาคู่โดยที่เจ้ามิรู้กระทั่งความหมายที่ซ่อน
อยู่เบื้องหลังนั้นงั้นรึ” โหลวหลานจีถอนใจ “ข้าเสียใจ อย่างไรก็ตาม
ข้าคิดว่าเจ้าควรจะเข้าร่วมกับศิษย์เหล่านั้นแทน”
อย่างไรก็ตามเยี่ยนเยี่ยนยังคงเยือกเย็นและกล่าวว่า “ในกรณีนั้น ถ้า
ข้าเข้าใจความหมายของการฝึกวิชาคู่ ท่านก็จักมิวุ่นวายกับการที่ข้า
จะเป็นผู้ฝึกวิชาคู่ใช่ไหม”
“นี่..”
โหลวหลานจีพูดไม่ออก ในเมื่อนี่เป็นครั้งแรกของเธอที่จะต้อง
รับมือกับเด็กอายุ 12 ปี ที่ยุ่งยากเหมือนดังเช่นเยี่ยนเยี่ยน
“ข้าจักปล่อยเธอให้เจ้าจัดการ ซูหยาง…” โหลวหลานจีรีบยอมแพ้
กับการหว่านล้อมเยี่ยนเยี่ยนและโยนความรับผิดชอบทั้งหมดไป
ให้กับเขา
ซูหยางพยักหน้าจากนั้นเขาก็กล่าวกับเยี่ยนเยี่ยนว่า “การฝึกวิชาคู่
ต้องการคนสองคนโอบกอดกันด้วยความเสน่หา กล่าวง่าย ๆ ก็คือ
พวกเขามีเพศสัมพันธ์กัน”
“เพศสัมพันธ์รึ… มันคืออะไร” เยี่ยนเยี่ยนเอียงคอด้วยสีหน้าไร้เดียงสา
“เราคงต้องเริ่มต้นจากที่ตรงนั้นใช่ไหม” รอยยิ้มขมฝาดปรากฏขึ้น
บนใบหน้าเขา
“จะเป็นสิ่งที่รวดเร็วกว่ามากในการแสดงให้เจ้าเห็น”
หลังจากที่กล่าวถ้อยคำเช่นนั้นแล้ว ซูหยางก็จิ้มนิ้วของเขาที่มีแสง
อ่อน ๆ ตรงปลายไปยังหน้าผากของเธอ
สองสามวินาทีให้หลัง ภาพสมจริงก็เริ่มปรากฏขึ้นในใจของเยี่ยน
เยี่ยน
ภายในใจของเธอ มีคนสองคนอยู่ตรงหน้าเธอ หนึ่งชายและหนึ่ง
หญิง และพวกเขาก็ทำการร่วมฝึกวิชาคู่กับอีกฝ่าย
“นี่คือความหมายของการฝึกวิชาคู่…” เสียงของซูหยางดังขึ้นในใจ
ของเยี่ยนเยี่ยนขณะที่เธอกำลังชมคนทั้งคู่ร่วมฝึกวิชา
หลังจากนั้นครั้นเมื่อการสาธิตในใจของเธอจบลง ซูหยางก็ถามเธอ
ว่า “เจ้ายังคงต้องการที่จะเป็นผู้ฝึกวิชาคู่อยู่อีกหรือไม่”
เยี่ยนเยี่ยนตอบโดยไม่ลังเลแม้แต่วินาทีเดียวว่า “ต้องการ”
“อย่างงั้นรึ… เช่นนั้นข้าก็มิมีอะไรที่จะพูดอีก แต่ทว่าเจ้ายังคงต้องรอ
จนกระทั่งเจ้าเป็นผู้ใหญ่ก่อนที่เจ้าจะสามารฝึกวิชาคู่ได้ สำหรับ
ตอนนี้นั้น ถึงแม้ว่าเจ้าจะถือว่าเป็นศิษย์หลัก เจ้าก็ยังเป็นศิษย์รุ่นเยาว์
จนกว่าเจ้าจะกลายเป็นผู้ใหญ่”
“เช่นเดียวกันเพราะว่าเจ้ามีพรสวรรค์เฉพาะตัว บางทีข้าอาจจะเป็น
คนเดียวในโลกนี้ที่สามารถสอนเจ้าได้อย่างเหมาะสม ดังนั้นเจ้าจัก
เป็นศิษย์โดยตรงของข้า”
“เจ้าค่ะอาจารย์” เยี่ยนเยี่ยนพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
“ทำไมเธอจึงไม่แยแสคนอื่นนอกจากเขา…” โหลวหลานจีครุ่นคิด
ในใจ
หลังจากนั้นซูหยางก็พูดกับศิษย์คนอื่นต่อว่า “ตอนนี้เมื่อพวกเจ้าทุก
คนได้มีระดับแล้ว พวกเราก็จะมาพูดกันถึงเรื่องความไม่สมดุล
ระหว่างศิษย์”
“มีศิษย์ชายทั้งหมดเก้าคนและศิษย์หญิงทั้งหมด 101 คนที่นี่ และข้า
ก็มิได้เยาะเย้ยถากถางพวกเจ้าเหล่าชายเมื่อข้าพูดเช่นนี้ แต่ข้าสงสัย
ว่าพวกเจ้าจักสามารถสร้างความพึงพอใจให้กับคู่ฝึกได้มากกว่าหนึ่ง
ในเวลานั้นหรือไม่ นั่นหมายความว่าจักมีศิษย์หญิงอีก 92 คนที่จะมิ
มีคู่ฝึก”
“ตอนนี้ จะมีทางเลือกสามทางให้เลือกสำหรับเหล่าศิษย์หญิง”
“หนึ่ง เจ้าสามารถรอจนกว่าจะมีศิษย์มาเพิ่มมากกว่านี้ในปีหน้าเพื่อ
หาคู่ฝึก หรือเจ้าสามารถเดินทางออกไปข้างนอกและหาคู่ฝึกของตัว
เจ้าเอง มิว่าอย่างไรก็ตามก็มิมีชายมากพอในที่แห่งนี้ในเวลานี้”
“ส่วนสำหรับตัวเลือกที่สอง เจ้าสามารถร่วมฝึกกับข้าจนกว่าเจ้าจะ
สามารถหาคู่ฝึกใหม่ได้”
ทันทีที่เหล่าศิษย์หญิงได้ยินตัวเลือกที่สอง ก่อนที่ซูหยางจะทันได้
พูดต่อ พวกเธอทั้งหมดต่างก็ตอบด้วยเสียงอันดังว่า “พวกเราจัก
เลือกตัวเลือกที่สอง ท่านผู้นำนิกาย”
“ยังมีตัวเลือกที่สาม พวกเจ้ารู้รึเปล่า” เขากล่าวด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
“พวกเรามิต้องการที่จะได้ยินตัวเลือกที่สาม ท่านผู้นำนิกาย พวกเรา
จักเลือกตัวเลือกที่สองโดยมิมีเงื่อนไข” เหล่าศิษย์กล่าว ดวงตาของ
พวกเธอเปี่ยมไปด้วยความยินดี
ไม่ว่าจะครั้งไหนที่ข้าได้เห็น ค่ายกลนี้ก็ช่างลึกล้ำและซับซ้อน เพียงแต่มิรู้ว่าซูหยางเรียนวิธีการสร้างค่ายกลเช่นนี้มาจากไหน” ผู้อาวุโสจ้าวกล่าวด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น ขณะที่วิจารณ์ค่ายกลป้องกันที่ปกป้องห้องสมบัติ
“ช่าย… ข้าก็สงสัยว่ามาจากไหนเช่นกัน…” รอยยิ้มแปลกๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าของโหลวหลานจี ในเมื่อเธอไม่สามารถบอกอีกฝ่ายได้ว่าซูหยางเรียนรู้มาจากในอดีตชาติของเขาเมื่อตอนที่เขาเป็นเซียน
ไม่กี่อึดใจจากนั้น โหลวหลานจีก็นำเอาป้ายหยกออกมาและวางมันลงไปในค่ายกลเพื่อเปิดมันออก
ป้ายหยกนี้ก็เปรียบเหมือนกุญแจสำหรับประตูไขค่ายกล และในทั้งโลกนี้ มีเพียงสองคนที่ถือมันไว้ ผู้นำนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย และนอกจากจะมีใครสักคนที่มีความสามารถในการทำลายค่ายกลซึ่งต้องมีพลังการฝึกปรืออย่างน้อยในเขตราชันวิญญาณและมีความรู้ด้านค่ายกลอย่างลึกซึ่ง มิเช่นนั้นก็อย่าหมายคิดเข้าไปในคลังนี้
ครั้นเมื่อพวกเขาเข้าไปในคลังแล้ว พวกเขาก็งงงันกับฉากที่อยู่ภายในนั้น
กลางห้องกองไว้ด้วยภูเขาแหวนมิติกองเล็กๆ และก็มีอย่างน้อยหนึ่งร้อยวงกองอยู่รวมกัน
“ทำไมจึงมีแหวนมิติมากมายปานนี้” ผู้อาวุโสจ้าวพึมพัม
“ข้าก็สงสัยมากเช่นกันว่ามีอะไรอยู่ภายในแหวนมิติพวกนี้…”
โหลวหลานจีตรงไปหยิบแหวนมิติขึ้นมาหนึ่งวงและแอบมองเข้าไปข้างในด้วยพลังวิญญาณของเธอ
“อา?!”
แต่ทว่าไม่กี่อึดใจจากนั้นหลังจากที่เห็นภายในแหวนมิติแล้ว โหลวหลานจีก็ร่ำร้องออกมาด้วยเสียงอันดัง เสียงของเธอเปี่ยมไปด้วยความตระหนก ก่อนที่จะปล่อยแหวนมิติร่วงลงพื้น
“เกิดอะไรขึ้นท่านผู้นำนิกาย” ผู้อาวุโสเจ้าตะลึงงันกับการที่เธอพลันกรีดร้อง
“น-ใน… ดูด้านในแหวนมิติ…”
ผู้อาวุโสจ้าวกลืนน้ำลายอย่างยากเย็นและหยิบแหวนมิติที่โหลวหลานจีปล่อยทิ้งไว้บนพื้นขึ้นมาแอบดูด้านใน
เมื่อเขาเห็นภูเขาของหินวิญญาณด้านใน เขาก็ถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกใจเช่นกัน “บ้าอะไรกัน อย่างน้อยต้องมีหลายล้านก้อนหินวิญญาณในนี้”
จากนั้นเขาก็หันไปดูภูเขาของแหวนมิติต่อหน้า
“ป-เป็นไปมิได้… อย่าบอกข้าว่าแหวนมิติทั้งหมดนี้บรรจุด้วยหินวิญญาณ…”
ผู้อาวุโสจ้าวและโหลวหลานจีพลันสอดส่องมองไปทั่วทั้งแหวนมิติทั้งหมด
สองสามนาทีให้หลังทั้งคู่ต่างก็พากันสบตากันเองด้วยดวงตาที่ลืมโพลง
“ฮ่าฮ่าฮ่า…” ผู้อาวุโสจ้าวหัวเราะด้วยท่าทางแปลกๆ ราวกับว่าเขากลายเป็นบ้า “แหวนมิติทุกวงที่ข้าตรวจสอบล้วนบรรจุด้วยหินวิญญาณ… และแต่ละวงมีอย่างน้อยหลายล้านภายในนั้น”
“เช่นเดียวกันกับทางข้า…” โหลวหลานจีพยักหน้าด้วยใบหน้าตื่นตะลึง “และมีแหวนมิติทั้งหมด 121 วงที่นี่… หมายความว่าต้องมีอย่างน้อยหลายร้อยล้านก้อนหินวิญญาณภายในกองของแหวนมิติเหล่านี้”
“สวรรค์ เพียงแต่ว่าซูหยางได้ความร่ำรวยนี้มาจากไหนกัน นอกจากว่าเขาปล้นทั้งทวีป เขาก็มิควรจะมีหินวิญญาณมากมายปานนี้” ผู้อาวุโสจ้าวอุทานออกมาดังลั่น ดวงตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัว
“มิน่าประหลาดใจที่ว่าทำไมเขาจึงยินดีที่จะให้ศิษย์นอก 100 ก้อนหินวิญญาณทุกเดือน… ถ้าพวกเรามีหินวิญญาณมากมายปานนี้ พวกเราก็สามารถพยายามที่จะให้พวกเขา 1,000 ก้อนได้ทุกเดิือน”
“หินวิญญาณ 100 ก้อนสำหรับศิษย์นอกและก็ทุกเดือนด้วย” ผู้อาวุโสจ้าวมองดูเธอด้วยดวงตาเบิกกว้าง ราวกับว่านี่เป็นครั้งแรกของเขาที่ได้ยินเช่นนั้น
“มิว่าอย่างไร อย่าบอกใครเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเรามิต้องการให้ทั้งโลกรู้เกี่ยวกับความร่ำรวยของพวกเรา มิเช่นนั้นก็อาจจักชักนำปัญหาที่มิจำเป็นมาที่นี่”
“ข้ามิกล่าวถ้อยคำแม้แต่คำเดียวถึงแม้ว่าข้าจักต้องตายก็ตาม” ผู้อาวุโสจ้าวสาบานด้วยมือที่ชูขึ้นสูง
หลังจากที่จ้องมองไปยังความร่ำรวยมหาศาลตรงหน้าพวกเขาอีกสองสามอมอึดใจ พวกเขาก็ออกจากคลัง
ครั้นเมื่อโหลวหลานจีกลับไปถึงข้างกายซูหยางแล้ว เธอก็ถามเขาด้วยเสียงที่เหมือนกับยุงว่า “เจ้าไปทำบ้าอะไรจึงได้หินวิญญาณมามากมายเช่นนี้ อย่าบอกข้าว่าเจ้าไปปล้นทั้งทวีปมาอย่างลับๆ”
ซูหยางหัวเราะกับจินตนาการของเธอและตอบด้วยเสียงเยือกเย็นว่า “งานเสริมของข้า”
“งาน…เสริมรึ…” โหลวหลานจีจ้องมองเขาด้วยใบหน้างงงัน
“มิว่าอย่างไรตอนนี้เมื่อเจ้าได้เห็นความร่ำรวยของพวกเราแล้ว เจ้าก็มิจำเป็นที่จะต้องกังวลเกี่ยวกับการที่พวกเราใช้จ่ายมากเกินไปในเวลาอันใกล้นี้”
จากนั้นเขาก็หันไปหาเหล่าศิษย์และกล่าวต่อว่า “เป็นอันตัดสินใจว่าศิษย์นอกจะได้รับหินวิญญาณ 100 ก้อนหินวิญญาณต่อเดือน ส่วนสำหรับศิษย์ใน พวกเจ้าจักได้รับ 1,000 ก้อนหินวิญญาณต่อเดือน”
“1, 000 ก้อนหินวิญญาณ?!?!”
เหล่าศิษย์ต่างพากันอุทานดังลั่นพร้อมกับคางที่อ้าลงไปจนแตะพื้น
พวกเขามีอย่างน้อยกว่าแปดสิบคนศิษย์ใน ในชั่วเวลานี้ นั่นหมายความว่านิกายจะต้องใช้มากกว่า 80,000 ก้อนหินวิญญาณต่อเดือนกับพวกเขาและถึง 200,000 ก้อน ถ้าพวกเขารวมศิษย์นอกเข้าไปด้วย อย่างไรก็ตามถ้าหากพิจารณาจากความร่ำรวยที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยในปัจจุบันมีอยู่ งบประมาณจำนวนนี้ก็เหมือนกับหยดน้ำในมหาสมุทร
“ส่วนสำหรับศิษย์หลักแล้วในเมื่อพวกเจ้ามีจำนวนไม่กี่คนแม้กระทั่งในอนาคต ข้าจักให้เบี้ยเลี้ยงต่อเจ้าโดยไม่จำกัด อีกนัยหนึ่งก็คือตราบเท่าที่พวกเจ้าต้องการหินวิญญาณ ไม่ว่าจะเป็นจำนวนเท่าไร ตราบเท่าที่มีเหตุผลสมควร นิกายก็จักจัดหาให้เจ้า” ซูหยางกล่าว
“มิจำกัด… จำนวนก้อนหินวิญญาณ….”
เหล่าศิษย์ที่นั่นต่างพากันมองดูซูหยางราวกับว่าเขาเป็นเทพ กระทั่งสำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมีตระกูลซีเป็นผู้สนับสนุนการเงินของพวกเขาโดยตรงก็ยังไม่กล้าที่จะใช้จ่ายฟุ่มเฟือยกับศิษย์ของตนเองเท่านั้น
“ข้ารู้ว่าพวกเจ้ากำลังคิดอะไรกันอยู่” ซูหยางพลันกล่าวขึ้น “มันอาจจะดูเหมือนมีทรัพยากรมากมายในตอนแรก มากเสียจนกระทั่งเจ้าสามารถเก็บพวกมันส่วนใหญ่ไว้ใช้ในอนาคตได้ หรือกระทั่งนำไปจับจ่ายยามว่าง แต่ทว่าครั้นเมื่อพวกเจ้าเริ่มฝึกวิชา เจ้าจักตระหนักว่านี่มิได้เป็นเช่นนั้น ข้าจักให้วิชาการฝึกฝีมือที่พิเศษเฉพาะกับพวกเจ้าทุกคนที่จักเป็นประโยชน์ต่อพรสวรรค์ของพวกเจ้ามากที่สุด และพวกมันก็จะมีระดับอย่างน้อยที่เขตอัมพรวิญญาณ ซึ่งจักต้องการหินวิญญาณจำนวนมากในการฝึก และเมื่อยามที่พวกเจ้าก้าวไปถึงหนึ่ง 100… หรือกระทั่ง 1,000 ก้อนหินวิญญาณก็จักหายไปก่อนที่เจ้าจะทันรู้ตัว”
“สำหรับผู้ที่ต้องการที่จะเป็นผู้ฝึกวิชาคู่ เนื่องมาจากความไม่สมดุลระหว่างจำนวนของทั้งสองเพศ สิ่งต่างๆจึงมีความซับซ้อนค่อนข้างมาก ดังนั้นข้าจักจัดการพวกเจ้าในภายหลัง” ซูหยางกล่าวก่อนที่จะหันไปมองดูศิษย์แปดร้อยคนที่ปรารถนาที่จะฝึกวิชาตามปกติ
“พวกเจ้าทุกคนยืนเข้าแถวตอนเรียงเดี่ยวและมาหาข้าทีละคน ข้าจักให้ระดับแก่พวกเจ้าในตอนนี้ ซึ่งก็จักตัดสินจากพรสวรรค์และพลังการฝึกปรือของเจ้าในปัจจุบัน”
บรรดาศิษย์ทั้ง 800 คนรีบยืนเข้าแถวตอนเรียงหนึ่งตรงหน้าเขา
ครั้นเมื่อศิษยแต่ละคนเข้าไปหาเขา ซูหยางก็ยื่นส่งตราที่บ่งบอกถึงระดับความเป็นศิษย์ของพวกเขา
ตรามีทั้งหมดห้าสี ขาว เขียว แดง ดำ และทอง
ศิษย์นอกจะได้รับตราสีขาว ในขณะที่ศิษย์ในก็จะได้รับตราสีเขียว ส่วนสำหรับตราสีแดงและสีดำนั้นก็จะถูกยกให้กับศิษย์หลักและผู้อาวุโสนิกาย และสุดท้ายสำหรับตราสีทองมีเพียงศิษย์ดั้งเดิมเท่านั้นที่จะยอมให้ถือครอง
ครึ่งชั่วโมงให้หลัง ครั้นเมื่อศิษย์ทุกคนได้รับระดับความเป็นศิษย์ของตนเองแล้ว ซูหยางก็กล่าวกับพวกเขาว่า “ตอนนี้เมื่อพวกเจ้าได้รับระดับแล้ว ข้าก็จักพูดเกี่ยวกับเบี้ยเลี้ยงของพวกเจ้า”
ศิษย์ทุกคนภายในสำนักปกติแล้วจะได้รับเบี้ยเลี้ยงในรูปของหินวิญญาณ และนี่เป็นวิธีปฏิบัติตามปกติของแทบทุกสำนักในโลกยกเว้นสำนักยากจนที่ไม่สามารถที่จะมอบหินวิญญาณให้กับศิษย์ของตนเองได้ หรือสำนักที่มีกฏเข้มงวดที่ปฏิเสธในการให้ท้ายศิษย์ บีบให้พวกเขาต้องหาทรัพยากรของตนเอง
“ศิษย์นอกจักได้รับหินวิญญาณ 100 ก้อนทุกเดือน…”
“อะไรนะ หินวิญญาณ 100 ก้อนรึ” ไม่เพียงแต่เหล่าศิษย์แต่กระทั่งโหลวหลานจีก็ยังจ้องมองเขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง
หินวิญญาณหนึ่งร้อยก้อนสามารถเลี้ยงดูผู้ฝึกยุทธทั่วไปได้เป็นเวลาหลายเดือนหรือไม่ก็หลายปีถ้าพวกเขาใช้มันอย่างประหยัด และการให้ถึง 100 ก้อนหินวิญญาณแก่ศิษย์นอกนั้น ปกติแล้วถือว่าใจกว้างมากเกินไป หรือเรียกว่าบ้าคลั่งก็ได้ แม้แต่สำนักที่ร่ำรวยที่สุดในโลกนี้ก็ไม่กล้าที่จะคิดยื่นส่งหินวิญญาณมากมายเช่นนั้นให้กับศิษย์นอก
หลังจากที่ให้ระดับแต่ศิษย์ใหม่แล้ว ก็จะมีศิษย์นอกมากกว่า 700 คนตอนนี้ในนิกาย ซึ่งหมายความว่ามีความต้องการที่จะจ่ายให้กับพวกเขามากกว่า 70,000 ก้อนหินวิญญาณในทุกเดือนเฉพาะศิษย์นอกอย่างเดียว ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังจะมีศิษย์นอกมากกว่านี้ในอนาคต จะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเขามีศิษย์นอกมากถึง 10,000 คน ซึ่งปกติแล้วไม่มีทางที่พวกเขาสามารถใช้เงินหนึ่งล้านก้อนหินวิญญาณต่อเดือนเพียงเพื่อศิษย์นอก และงบประมาณนี้ยังไม่ได้รวมไปถึงศิษย์ใน อย่าว่าแต่ศิษย์หลัก และสิ่งอื่นๆอีก
“ซ-ซูหยาง… 100 ก้อนหินวิญญาณรึ… ข้ามิต้องการที่จะสงสัยการตัดสินใจของเจ้า แต่เจ้ามิคิดว่าเจ้าค่อนข้างจะใจกว้างเกินไป “เล็กน้อย” หรือไม่ ในอดีตกระทั่งศิษย์ในก็ยังได้รับน้อยกว่า 10 ก้อนหินวิญญาณต่อเดือน…” โหลวหลานจีกล่าวกับเขาพร้อมกับหลังที่ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ “และถึงแม้ว่าพวกเราสามารถที่จะให้พวกเขา 100 ก้อนหินวิญญาณต่อเดือน พวกเขาก็มิมีเวลามากมายที่จะฝึกฝนโดยใช้หินวิญญาณมากมายปานนั้น”
ซูหยางเข้าใจว่าทำไมโหลวหลานจีจึงลังเลที่จะให้หินวิญญาณแก่เหล่าศิษย์เหล่านี้เป็นจำนวนมาก ในเมื่อหินวิญญาณ 100 ก้อนนั้นจริงๆแล้วถือว่าเป็นเงินและทรัพยากรจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากว่าพวกเขาต้องใช้กับเพียงแค่ศิษย์นอก ซึ่งปกติแล้วจะเห็นเป็นศิษย์ที่ต่ำต้อยซึ่งมีเจตนาในการเพิ่มจำนวนประชากรให้แก่นิกายเท่านั้น อย่างไรก็ตามถ้าพวกเขาดูศิษย์นอกเหล่านี้ราวกับว่าพวกเขามีพรสวรรค์เช่นเดียวกับศิษย์หลักจากสำนักอื่น พวกเขาอาจจะไม่ลังเลที่จะจ่ายเงินจำนวนมากอีกต่อไป
“เจ้าควรหยุดมองพวกศิษย์เหล่านี้เพียงแค่ “ศิษย์นอก” ซูหยางกล่าวกับเธอด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“เป็นความจริงที่มันอาจจะดูเหมือนบุ่มบ่ามที่ให้ทรัพยากรจำนวนมากตั้งแต่ต้น แต่ถ้าเจ้าถือว่าพวกเขาจะเป็นอะไรในอนาคต ก็จะเห็นว่ามันคุ้มค่าในการลงทุน แม้ว่านั่นจะแพงไปอยู่บ้าง”
“ศิษย์เหล่านี้ที่นี่มิใช่ “ศิษย์นอก” ธรรมดาของเจ้า พวกเขาล้วนเป็นอัจฉริยะที่ถูกคัดเลือกมาจากคนนับแสนนับล้าน แม้ว่าพวกเขาอาจจะดูเหมือนมิมีความสำคัญในตอนนี้ พวกเขาล้วนมีศักยภาพที่จะเหนือล้ำยิ่งกว่ากระทั่งศิษย์หลักจากสำนักอื่น”
“ถึงแม้ว่าข้าจักเข้าใจเจตนาของเจ้า… แต่ว่าทรัพยากรของพวกเรามิได้มีไม่จำกัด…” โหลวหลานจีถอนหายใจ
พวกเขาอาจจะร่ำรวยในตอนนี้ แต่พวกเขาได้ใช้หินวิญญาณหลายล้านก้อนไปเรียบร้อยแล้วในการขยายและปรับปรุงนิกายให้เป็นสถานที่ที่ดีกว่าเดิม เปรียบเทียบกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก่อนหน้านี้ นิกายในปัจจุบันนี้อย่างน้อยมีขนาดใหญ่กว่าสองเท่า และกระทั่งอุปกรณ์อำนวยความสะดวกและที่พักอาศัยของพวกเขาก็ได้รับการปรับปรุง อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าจะมีการขยายตัวพวกเขาก็ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่พวกเขาจำเป็นที่จะต้องซ่อมแซมหรือซื้อเข้านิกายในอนาคต
ถ้าพวกเขายังคงใช้เงินอย่างไม่ระมัดระวัง ทรัพยากรของพวกเขาก็จะหมดไปก่อนที่พวกเขาจะทันได้รู้ตัว
“เจ้ากำลังกังวลเกี่ยวกับทุนของเรารึ หรือว่าเจ้ายังมิได้ไปดูในคลังเมื่อเร็วๆนี้” ซูหยางถามเธอด้วยเสียงเรียบเฉย
“ข้าตรวจสอบครั้งสุดท้ายเมื่อสองสามสัปดาห์ก่อนเมื่อตอนที่ข้าได้จ่ายเงินขยายและปรับปรุงสำนัก แต่ข้ายังมิได้ไปที่นั่นนับตั้งแต่ตอนนั้น…” โหลหวลานจีส่ายหน้า
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ควรที่จะไปดูเสียในตอนนี้” เขากล่าวด้วยรอยยิ้มลึกลับ “ข้าจักรอเจ้ากลับมาก่อนที่พวกเราจะพูดต่อ”
โหลวหลานจีพยักหน้าก่อนที่จะรีบไปที่คลัง
สองสามนาทีให้หลัง เธอก็ไปถึงคลังมุกพิสุทธิ์ ซึ่งยังคงปกป้องด้วยผู้อาวุโสจ้าว
“ท่านผู้นำนิกาย อะไรชักนำท่านมาที่นี่ในวันนี้” ผู้อาวุโสจ้าวทักทายเธอ
“ซูหยางบอกให้ข้ามาตรวจสอบคลัง ท่านรู้ไหมว่าทำไม” เธอถามเขา
“คลังรึ ข้ามิมั่นใจ เขาแสดงตัวที่นี่ครั้งหนึ่งก่อนการทดสอบศิษย์เพื่อที่จะเอาอะไรบางอย่างไว้ข้างใน แต่เขาบอกข้าว่าอย่าเพิ่งดูว่าเป็นอะไรในช่วงเวลานี้ ดังนั้นข้าจึงมิรู้ว่าเขาใส่อะไรไว้ข้างใน” เขาตอบ
“เปิดดู ข้าต้องการดูว่ามีอะไรอยู่ข้างใน”
สองสามอึดใจให้หลัง พวกเขาก็ยืนอยู่ตรงหน้าห้องสมบัติที่มีค่ายกลทรงพลังปกป้องมันอยู่
เมื่อเห็นชิวเยว่ยืนอยู่ตรงนั้นเหมือนกับรูปปั้น ซูหยางก็เผยรอยยิ้มนุ่มนวลบนใบหน้าและกล่าวว่า “ขอบคุณสำหรับการพยายามในการช่วยข้าฟื้นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เพราะว่าปราณหยินของเจ้า พลังวิญญาณของข้าจึงฟื้นฟูอย่างเต็มที่”
“ข้า… ข้า… ข้ามิรู้ว่าท่านพูดถึงเรื่องอะไร…” ชิวเยว่พลันแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องเนื่องมาจากความอาย
อีกใจหนึ่ง เธอต้องการที่จะบอกเขาเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้เพื่อที่ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาจะสามารถดำเนินไปได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น แต่อีกใจหนึ่งเธอก็ไม่ต้องการที่จะทนความอายบอกเขาถึงสิ่งที่เธอทำกับเขาในขณะที่เขากำลังหลับ ในเมื่อการทำเช่นนั้นอาจจะทำให้เธอดูเหมือนเป็นนางไม้ที่สิ้นหวัง
ซูหยางหัวเราะเบาๆกับปฏิกิริยาน่ารักของเธอและรู้สึกอยากจะแกล้งเธอ “ถ้ามิใช่เจ้าแล้วเช่นนั้นนั่นต้องเป็นเซี่ยวหรงที่เติมห้องด้วยปราณหยินของเธอแน่ ข้าต้องให้รางวัลเธอสำหรับความพยายามของเธอในภายหลัง”
“อะแฮ่ม” ชิวเยว่พลันกระแอมก่อนที่จะพูดขึ้นอย่างเร่งรีบ “จ-จริงแล้ว… ปราณหยินนั่นเป็นของข้า ข้าเพียงแค่มิต้องการให้ท่านรู้สึกว่าเป็นหนี้ข้าอะไร ดังนั้นข้าจึงโกหก”
รอยยิ้มบนใบหน้าของซูหยางกว้างขึ้น และเขาก็พูดว่า “ถึงแม้ว่าเจ้าจะพูดเช่นนั้น ข้าก็เป็นคนที่มิสามารถที่จะเพิกเฉยต่อสิ่งนั้นได้ ดังนั้นข้าจักยังคงชดใช้ให้ และในเมื่อเจ้าเป็นลูกสาวสุดที่รักของข้า ข้าจักรับฟังคำขอของเจ้าอย่างหนึ่งเป็นรางวัล”
“จ-จริงรึ ท่านจักทำทุกอย่างที่ข้าต้องการ” ดวงตาของชิวเยว่เป็นประกายพึงพอใจและตื่นเต้น
“ตราบเท่าที่มันอยู่ในขอบเขตความสามารถของข้า” เขาตอบด้วยพร้อมกับพยักหน้าอย่างเยือกเย็น
“ตกลง แต่ข้าจักยังมิรับรางวัลนี้ในทันที ให้เวลาข้าคิดก่อนว่าข้าต้องการอะไร” เธอกล่าว
เวลาหลังจากนั้น ซูหยางก็ออกจากบ้านไปพบกับศิษย์ใหม่
“ผู้อาวุโสซุน ท่านพอที่จะช่วยรวบรวมศิษย์ทั้งหมดให้กับข้าได้หรือไม่” ซูหยางกล่าวกับอีกฝ่ายที่เป็นคนแรกที่เข้ามาอยู่ในสายตาของเขา
“ซูหยางรึ สุดท้ายเจ้าก็ฟื้นขึ้น” ผู้อาวุโสซุนมีใบหน้าแสดงความโล่งอกหลังจากที่เห็นใบหน้าเขา
“มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างที่ข้าพักรึ” ซูหยางเลิกคิ้ว
“ไม่ มิมีอะไรจริงจังเกิดขึ้น แต่อย่างไรก็ตามศิษย์ใหม่ทั้งหมดได้มาถึงเมื่อไม่กี่วันก่อน แต่พวกเรามิสามารถทำอะไรได้โดยปราศจากเจ้า ดังนั้นข้าจึงโล่งอกที่สุดท้ายได้เห็นเจ้าตื่นขึ้น นี่หมายความว่าสุดท้ายพวกเราก็สามารถทำให้สิ่งต่างๆภายในนิกายขับเคลื่อนต่อไปได้แล้ว”
“ขอบคุณ ข้าจักทำงานในทันที”
“เจ้าต้องการให้เหล่าศิษย์ไปรวมตัวกันที่ไหนรึ” ผู้อาวุโสซุนถาม
“พื้นที่ชุมนุมภายในเขตศิษย์นอกน่าจะดี”
ผู้อาวุโสซุนพยักหน้า “เช่นนั้นข้าจักแจ้งให้ศิษย์ทุกคนไปรวมตัวกันที่นั่นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
จากนั้นเขาก็นำเอาหยกสื่อสารออกมาเปิดใช้งานด้วยพลังวิญญาณของเขาก่อนที่จะพูดเข้าไปว่า “ผู้นำนิกายซูได้ตื่นขึ้นมาแล้ว ศิษย์ใหม่ทุกคนจักต้องหยุดทุกอย่างที่ตนเองทำและไปรวมตัวกันที่พื้นที่ชุมนในเขตศิษย์นอกเดี๋ยวนี้ พวกเจ้ามีเวลาสามนาที ถ้าเจ้าไปสาย เจ้าสามารถลืมเรื่องเป็นศิษย์ไปได้เลย”
คำพูดของผู้อาวุโสซุนดังออกมาจากหยกสื่อสารทุกชิ้นในนิกายอย่างรวดเร็ว จนทำให้ศิษย์ทุกคนทั้งศิษย์ใหม่ศิษย์เก่าพากันพุ่งพรวดออกจากบ้านของตนเอง อย่างไรก็ตามไม่ใช่ว่าทุกคนได้เตรียมตัวที่จะออกจากบ้านและแสดงตัวตน ดังนั้นบางคนจึงยังอยู่ในชุดนอนเมื่อตอนออกจากบ้าน ในขณะที่บางคนยังคงอาบน้ำเมื่อตอนที่ผู้อาวุโสซุนเรียกตัวพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงออกจากบ้านด้วยเพียงผ้าเช็ดตัวผืนเดียวบนร่างที่ยังเปียกของพวกเขา
เวลาหลังจากนั้นเมื่อศิษย์ทุกคนมารวมตัวกันเรียบร้อยแล้ว ซูหยางก็ปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขาในขณะที่สวมชุดผู้นำนิกาย ชุดสีดำ
สายตาน่ายำเกรงของเขากวาดไปท่ามกลางฝูงชนจนทำให้เหล่าศิษย์ต่างพากันสะท้านด้วยความหวาดกลัว
โหลวหลานจีปรากฏตัวข้างเขาหลังจากนั้นชั่วขณะและกล่าวว่า “นอกจากอธิบายกฏของนิกายให้กับพวกเขาแล้ว พวกเราก็ยังมิได้ทำอะไรทั้งสิ้น ตำแหน่ง เบี้ยเลี้ยง และวิชาต่างๆก็ยังมิได้ตัดสิน กระทั่งที่พักของพวกเขาก็ล้วนแต่เป็นการชั่วคราว”
เมื่อได้ยินคำพูดของเธอซูหยางก็พยักหน้า “ขอบคุณ ข้าจักรับมือต่อนับจากนี้”
จากนั้นเขาก็พูดกับเหล่าศิษย์ว่า “ดังที่ข้าได้กล่าวนำไว้ก่อนการทดสอบแล้ว นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้มีสองสาขาในตอนนี้ ถ้าพวกเจ้าต้องการที่จะทำตามคนส่วนใหญ่และฝึกฝนฝีมือตามปกติ ให้ก้าวออกไปทางด้านขวาของข้า และถ้าเจ้าต้องการที่จะเดินตามวิถีของความสุขสมและความรักและกลายเป็นผู้ฝึกวิชาคู่ ให้ก้าวออกไปทางด้านซ้ายของข้า แม้ว่าพวกเจ้าได้มีเวลาได้ตัดสินใจมานานจนถึงปานนี้ ข้าก็จักยังคงให้เวลาพวกเจ้าเพิ่มอีกห้านาทีในการตัดสินใจว่าเส้นทางไหนที่เจ้าต้องการจะเลือกเดิน”
ห้านาทีให้หลัง เมื่อเหล่าศิษย์ได้เลือกเส้นทางของตนเองแล้ว ซูหยางก็ได้มองดูไปยังเหล่าศิษย์ในแต่ละข้าง
มีศิษย์อยู่ประมาณแปดร้อยคนยืนอยู่ด้านขวาของเขา ในขณะที่คนที่เหลือยืนอยู่อีกด้าน ยิ่งไปกว่านั้นศิษย์ประมาณร้อยคนที่ต้องการที่จะกลายเป็นผู้ฝึกวิชาคู่นั้น พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนเป็นหญิง ซึ่งกลับกันอย่างสิ้นเชิงกับอัตราส่วนชายหญิงจากในอดีต
“ในบรรดาศิษย์ร้อยคน มีเพียงชายเก้าคนเท่านั้น นี่ค่อนข้างจะมีปัญหาอยู่บ้าง…” โหลวหลานจีพึมพัมพร้อมกับขมวดคิ้ว
อัตราส่วนศิษย์หญิงและศิษย์ชายไม่สมดุลและเธอก็สงสัยว่าชายเก้าคนนี้จะสามารถรองรับคู่ฝึกมากมายปานนั้นในครั้งเดียวหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาล้วนเป็นผู้มาใหม่
อย่างไรก็ตามถ้าเธอปล่อยทิ้งไว้อย่างนี้ ศิษย์หญิงส่วนใหญ่ก็จักไม่สามารถที่จะมีคู่ฝึกได้จนกว่าจะถึงปีหน้าเมื่อพวกเขารับศิษย์เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่พวกเขาต้องหลีกเลี่ยง
โหลวหลานจีหันไปดูซูหยางและกล่าวว่า “เฮ้… เจ้าคิดว่าเจ้าสามารถที่จะรองรับศิษย์เหล่านี้จนกว่าพวกเราจะมีศิษย์ชายมากกว่านี้หรือไม่”
ซูหยางเลิกคิ้ว “เจ้ากำลังแนะนำว่าข้าควรจักเป็นคู่ฝึกให้กับพวกเธอจนถึงตอนนั้นรึ ข้าคิดว่ามีแต่ศิษย์ที่ยอมให้ร่วมฝึกกับเพื่อนศิษย์เท่านั้น”
อย่างไรก็ตามโหลวหลานจีส่ายหน้าและกล่าวว่า “เอ้อ… กฏนั้นโดยปกติแล้วมีไว้เฉพาะผู้อาวุโสนิกาย มิใช่ผู้นำนิกาย เพราะว่าผู้นำนิกายคนก่อนเพียงแค่ร่วมฝึกกันเองกับผู้อาวุโสนิกายเท่านั้น ดังนั้นจึงเกิดความเข้าใจผิดว่าผู้นำนิกายมิยอมให้ร่วมฝึกกับศิษย์ ในช่วงก่อนหน้านั้นผู้นำนิกายร่วมฝึกกับเหล่าศิษย์โดยมิมีข้อจำกัดใด”
“ยิ่งไปกว่านั้น นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยในปัจจุบันนั้นมิได้เป็นสำนักเดิมที่มันเคยเป็นอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้พวกเรามีศิษย์ใหม่และกฏใหม่ ถ้าเจ้าต้องการที่จะฝึกกับศิษย์ข้าก็มิได้มีปัญหากับเรื่องนั้น”
ซูหยางพยักหน้าและกล่าวว่า “พวกเรามาดูว่าจะเป็นอย่างไรต่อไปก่อน”
หลังจากที่ออกไปจากห้องของซูหยาง ชิวเยว่ก็นั่งคุกเข่าพร้อมกับใบหน้าแดงฉาน
“ข้าทำได้… ในที่สุดข้าก็ทำได้”
ชิวเยว่ยังคงรูสึกว่าหัวใจของเธอเต้นเร็วอย่างบ้าคลั่ง รู้สึกเหมือนกับว่ามันสามารถที่จะระเบิดออกจากอกของเธอได้ทุกเวลาในตอนนี้
เธอไม่อยากจะเชื่อว่าเธอสามารถที่จะทำบางอย่างที่สัปดนกับซูหยางได้จริงๆ อีกทั้งในขณะที่เขากำลังหลับด้วยอีกต่างหาก
“แต่…บางทีข้าอาจจะมิสามารถทำได้อีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเขาไม่ได้หลับ…” เธอถอนหายใจในเวลาต่อมา
แม้ว่าเธอจะมีความกล้าที่จะทำเช่นนี้ในครั้งนี้ เธอก็ไม่มั่นใจว่าเธอจะสามารถทำได้อีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเขาตื่นอยู่ ในเมื่อโดยปกติแล้วนั่นเป็นเรื่องที่กล้าและน่าอายเกินไปสำหรับสาวพรหมจรรย์เช่นเธอในตอนนี้ ไม่ว่าอย่างไรนั่นต้องทำให้เธอรวบรวมความกล้าทั้งหมดในการทำอะไรแบบนี้ในขณะที่เขายังคงหลับ และเธอก็ไม่สามารถที่จะจินตนาการได้ถึงตอนที่ซูหยางกำลังดูเธอดูดดื่มเพศชายของเขาโดยไม่ทำให้เธอปวดหัว
อย่างไรก็ตามไม่ว่าอย่างไรเหตุการณ์นี้ก็เป็นความก้าวหน้าที่ยิ่งสำหรับชิวเยว่ ซึ่งต้องเตรียมตัวสำหรับอนาคตเมื่อคำสาปบนร่างของเธอได้ถูกปัดเป่าไปแล้ว
“ท่านสบายดีไหม ผู้อาวุโสชิวเยว่” ชินเหลียงหยูถามเธอด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลหลังจากที่เห็นเธอนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยสีหน้างงงัน
“ข-ข้าสบายดี” เธอตอบหลังจากที่กระแอมแล้วลุกขึ้นยืน
“ดีใจที่ได้ยินเช่นนั้น แล้วซูหยางล่ะ ท่านคิดว่าเขาจะฟื้นตัวเร็วขึ้นจากปราณหยินของท่านหรือไม่”
“ใครจะรู้…” ชิวเยว่ยักไหล่ “พวกเราก็ได้แต่รอผลลัพธ์ในตอนนี้”
“อย่างไรก็ตามมิจำเป็นที่เจ้าจะพูดอย่างเป็นทางการเช่นนั้น พวกเรามิได้เป็นคนแปลกหน้ากันอีกต่อไป และเจ้าเองก็เป็นคนที่ได้มีประสบการณ์มากกว่าข้าในเรื่องเขา ถ้าพวกเราต้องจัดตำแหน่ง เจ้าก็อยู่เหนือข้าแล้ว ในเมื่อเจ้าได้ให้ร่างกายของเจ้าแก่เขาในขณะที่ข้ายังไม่ได้”
“เอ๋… ผู้อาวุโส… พี่สาวชิวเยว่ยังมิได้ร่วมฝึกกับเขาอีกรึ” ชินเหลียงหยูจ้องมองเธอด้วยดวงตาโตเต็มไปด้วยความประหลาดใจในเมื่อเธอมั่นใจว่าพวกเขาได้ร่วมฝึกคู่ด้วยกันนานมาแล้ว “ถ้าเจ้ามิถือสาหากข้าจะถาม เจ้ารออะไรอยู่”
“มันซับซ้อน ถ้าข้าสามารถฝึกร่วมกับเขา ข้าคงจะทำเช่นนั้นนานมาแล้ว อย่างไรก็ตามเพราะว่าคำสาปที่จำกัดตัวเลือกคู่ของข้า ทำให้ข้ายังมิสามารถที่จะร่วมฝึกกับเขาได้”
“ข้ามิเคยคิดว่าจะมีอะไรเช่นนั้นที่สามารถเกิดขึ้นได้… อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าจะด้วยสาเหตุนั้น เจ้าก็ได้อยู่กับซูหยางมานานกว่าข้า ดังนั้นข้ามิสามารถที่จะเป็นผู้อาวุโสได้” ชิวเหลียงหยูกล่าว
“อีกอย่างหนึ่งเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าแมวนั่น เจ้าได้สอนเธอวิธีที่จะเป็น “ผู้ใหญ่” ใช่ไหม” ชิวเยว่ถามอีกฝ่าย
“เซี่ยวหรง… เธอเป็นคนที่เรียนรู้ได้เร็วมาก เธอเกือบจะกลายเป็นคนละคนเมื่อเปรียบเทียบกับเมื่อสองสามวันก่อน”
“เจ้าได้สอนอะไรเธอรึ…” ชิวเยว่มองดูเธอทำตาโต
ชินเหลียงหยูหน้าแดงและกล่าวว่า “จริงแล้วมิได้มีอะไรพิเศษ ข้าเคยสอนเด็กมาก่อนตอนที่อยู่ในทวีปใต้”
“ยิ่งเจ้าสอนเธอช้าเท่าไหร่ยิ่งดี ในเมื่อเจ้าแมวบ้ากามนั่นเป็นคนสุดท้ายในโลกนี้ที่ข้าต้องการให้อยู่เหนือหัวข้า” ชิวเยว่กำหมัดของเธอแน่น ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความเด็ดขาด
ชินเหลียงหยูหัวเราะเบาๆหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเธอ เธอไม่คาดคิดว่าจะมีด้านการแข่งขันกันแบบเด็กๆจากชิวเยว่ด้วย บางคนที่เธอยังคงนับถืออีกฝ่ายเป็นเทพธิดา
–
–
–
วันถัดมา ซูหยางก็ลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆอีกครั้ง
“สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้รู้สึกเหมือนกับว่าเป็นความฝัน แต่…” เขาบิดขี้เกียจเป็นเวลาชั่วขณะก่อนที่จะสังเกตเห็นคราบเปียกบนเตียงที่อยู่ใกล้กับบริเวณเป้ากางเกงของเขา
แม้ว่ายากจะสังเกตเห็น แต่ก็ยังมีร่องรอยเสื้อผ้าของเขาาถูกแก้ออก อย่างไรก็ตามสิ่งที่เป็นหลักฐานว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ไม่ใช่เพียงแค่ความฝันก็คือปราณหยินที่ยังคงเต็มห้อง
ในทั่วทั้งโลกนี้ คนที่สามารถปล่อยปราณหยินได้เข้มข้นมากเท่านี้มีเพียงชิวเยว่และเซี่ยวหรง และจากที่รู้จักตัวตนของเซี่ยวหรง ก็จะเหลืออยู่เพียงคนเดียวที่ควรจะเป็นเจ้าของปราณหยินนี้
มันชัดเจนที่ว่าชิวเยว่เป็นคนที่อยู่เบื้องหลังปราณหยินนี้ และเขาก็มั่นใจว่าตัวชิวเยว่เองก็ได้รู้อยู่แล้วว่าเขาจะรู้ว่าเป็นใครหลังจากที่ฟื้นขึ้น
อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่แท้จริงก็คือเขาควรให้เธอรู้ว่าจริงแล้วเขาตื่นอยู่ตลอดเวลาในขณะที่เธอกำลังดูดดื่มแท่งหรรษาของเขาดีหรือไม่
“มิว่าจะบาดเจ็บหรือไม่ นอกจากว่าพวกเขาจะถูกวางยาอย่างแรง มิว่าใครก็จักต้องตื่นขึ้นถ้าลูกกระแป๋งถูกเล่นอย่างหนัก…” ซูหยางหัวเราะเบาๆหลังจากที่นึกถึงตอนที่เธอจัดการกับอัญมณีของเขาอย่างไม่มีประสบการณ์อย่างไร ราวกับว่าเด็กเล่นกับของเล่นที่เธอชอบแต่ไม่รู้ว่าควรจะเล่นอย่างไร
“มิว่าอย่างไร ข้าควรจะดูดซับปราณหยินของเธอเพื่อที่ว่ามันจะได้มิเสียเปล่า”
จากนั้นซูหยางก็นั่งอยู่ในท่าดอกบัวและเริ่มฝึกพลังปราณ ดูดซับปราณหยินทั้งหมดในห้องอย่างรวดเร็ว
สองสามชั่วโมงให้หลัง หลังจากที่เปลี่ยนปราณหยินทั้งหมดให้กลายเป็นปราณไร้ลักษณ์แล้ว ซูหยางก็สามารถรู้สึกได้ว่าจุดตันเถียนของเขานั้นเต็มไปด้วยพลังวิญญาณอีกครั้ง
“เป็นดังคาดของคนจากวิหารจันทราศักดิ์สิทธิ์ ปราณหยินของเธอนั้นเข้มข้นและมีคุณภาพมากเป็นพิเศษ”
ไม่เหมือนกับปราณหยินที่สามารถดูดซับได้โดยตรงจากร่างของผู้หญิงระหว่างการร่วมฝึกฝน ปราณหยินที่เกิดจากช่วยตนเองนั้นอ่อนกว่ามาก อ่อนจนไม่สามารถที่จะเปรียบเทียบกันได้
คุณภาพของปราณหยินของชิวเยว่นั้นมีคุณสมบัติพิเศษเฉพาะซึ่งมีเพียงเฉพาะผู้คนที่มีสายเลือดจากวิหารจันทราศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น ในเมื่อพวกเขามีความสัมพันธ์กับพระจันทร์โดยตรง ซึ่งพระจันทร์เองนั้นเป็นแหล่งกำเนิดของปราณหยินในจักรวาลนี้ และนี่ก็จึงเห็นเหตุผลหลักที่ทำไมเทพจันทราจึงสาปสายเลือดของตนเอง ในเมื่อเขาไม่ต้องการที่จะแบ่งปันและทำให้สายเลือดที่ทรงพลังนี้แปดเปื้อน
หลังจากที่ดูดซับปราณหยินทั้งหมดของชิวเยว่หมดแล้ว ซูหยางก็ลุกจากเตียงและออกจากห้องไป
ทันทีที่เขาเดินออกไปจากห้อง ร่างของชิวเยว่ก็เข้าสู่สายตาของเขา
“ท่านพ่อ..”
เมื่อชิวเยว่เห็นใบหน้าของซูหยาง เหตุการณ์จากเมื่อวานก็พลันฉายซ้ำภายในใจของเธอ และเธอก็เหมือนได้ลิ้มลองปราณหยางของเขาในปากของเธออีกครั้ง จนทำให้คำพูดและข้อแก้ตัวทั้งหมดที่เธอได้ใช้เวลาหลายชั่วโมงเตรียมตัวในการพูดกับเขาเมื่อตอนที่เขาตื่นขึ้นมาหายไปราวกับหมอกควัน
หลังจากที่ใช้เวลาชั่วขณะในการทำใจแล้ว ชิวเยว่ก็นอนลงข้างกายซูหยางบนเตียงและคลายเสื้อผ้าของตนเอง
“ข้ามิเคยทำเช่นนี้จริงๆมาก่อน… การช่วยตัวเองนั้นเป็นอย่างไรรึ” ชิวเยว่ครุ่นคิดในใจ
จากนั้นเธอก็หันไปยังพื้นที่ตรงจุดบรรจบของขาทั้งสองข้างของเธอ จุดที่ชัดเจนที่สุดในใจของเธอเมื่อพูดถึงการสร้างความพึงพอใจ
หลังจากที่กลืนน้ำลายแล้ว ชิวเยว่ก็เริ่มเอื้อมมือไปยังรอยแยกที่สะอาดระหว่างขาของเธอ ค่อยๆลูบไล้มันด้วยนิ้วเรียวยาวของเธอ
“อืมมม… นี่….”
ความรู้สึกเสียวซ่านพลันพุ่งผ่านร่างของเธอ จนทำให้ร่างกายของเธอสั่นสะท้านเล็กน้อย
แต่อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกเป็นสุขนี้ไม่ได้อยู่นานและหายไปหลังจากเพียงแค่ไม่กี่วินาที
เหตุผลนั้นง่ายดาย เป็นเพราะว่าเธอไม่ได้มีความรู้สึกต้องการและไม่ได้มีอารมณ์ช่วยตัวเอง
“นี่คงใช้ไม่ได้ผล…”
เมื่อรู้ว่าสาเหตุเป็นเพราะว่าเธอไม่มีอารมณ์ ชิวเยว่จึงเลิกล้มความพยายามที่จะช่วยเหลือตัวเองหลังจากที่ผ่านไปอีกชั่วขณะ และเริ่มหาวิธีที่จะเพิ่มความปรารถนาของตนเอง
จากนั้นเธอก็หันความสนใจของเธอไปยังซูหยางที่หลับอยู่ข้างกายเธอ จากนั้นเธอก็นึกถึงตัวเอง “คำสาปในเลือดของข้าห้ามมิให้มีเพศสัมพันธ์กับคนอื่นที่มิได้มีสายเลือดของตระกูลเทพจันทรา แต่อย่างไรก็ตามตราบเท่าที่มิได้มีเพศสัมพันธ์ นั่นก็คงไม่มีปัญหาใช่ไหม”
หลังจากที่ใช้เวลาอีกชั่วขณะในการทำใจ มือที่สั่นสะท้านของชิวเยว่ก็ยื่นไปที่เสื้อผ้าของซูหยาง
ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น เสื้อผ้าของซูหยางก็คลายออกจนหมดสิ้น เผยให้ชิวเยว่เห็นทุกอย่าง
“ข้ามิอยากเชื่อว่าข้าทำเช่นนี้กับคนที่มิได้มีสติสัมปชัญญะ…” ชิวเยว่ถอนหายใจ
อย่างไรก็ตามภาพของร่างกายที่น่าลิ้มลองของซูหยางได้ขจัดความคิดที่ไม่เกี่ยวข้องในใจเธอออกไปอย่างรวดเร็ว
“…”
ชิวเยว่จ้องมองไปยังมังกรหลับและอัญมณีทรงค่าที่อยู่ระหว่างขาของซูหยางด้วยน้ำลายเต็มปาก
จากนั้นมือของเธอก็ตรงไปยังอัญมณีสองลูกที่ห้อยอยู่ด้านใต้ของมังกรหลับ
“มันช่างนุ่มและอุ่น…” ชิวเยว่คิดในใจขณะที่นิ้วของเธอเล่นไปรอบๆอัญมณีประจำตระกูลของซูหยาง
สองสามอึดใจให้หลัง ราวกับว่าบางสิ่งได้ตื่นขึ้นภายในซูหยาง มังกรหลับของเขาพลันเริ่มตื่นขึ้น จนกระทั่งมันแข็งตัวตั้งขึ้นเต็มที่
“?!?!”
มือของชิวเยว่กระตุกกลับเมื่อเธอเห็นฉากนี้ ในเมื่อเธอกลัวว่าซูหยางอาจจะตื่นขึ้นมาเพราะเธอ
ผู้แปล: สรุปว่าเธอต้องการให้ตื่นหรือไม่ตื่น ฮา
อย่างไรก็ตามแม้กระทั่งจะผ่านไปอีกหลายชั่วขณะ ดวงตาซูหยางก็ยังคงปิด และร่างของเขาก็ยังคงนิ่งเหมือนเช่นเคย
“เขาไม่ตื่น…” ชิวเยว่ถอนหายใจลึกอย่างโล่งอกหลังจากที่ตระหนักว่าเขายังคงหลับอยู่ แต่ใจของเธอยังคงเต้นเหมือนกลองรบอยู่
“ทำไมของสิ่งนี้จึงสามารถแข็งตัวได้ทั้งที่เขายังหลับอยู่ อย่างนี้ก็เป็นไปได้ด้วยรึ ร่างกายของเขามีการทำงานอย่างไรกัน
แม้ว่าเธอจะสงสัยและทึ่งกับปฏิกิริยาของร่างกายของซูหยาง เธอก็ไม่ได้มีเวลาที่จะคิดเรื่องนั้น ในเมื่อแท่งแกร่งเกร็งที่ตั้งอยู่นี้ได้เข้ามาครองใจเธออย่างรวดเร็ว
ช่องหลืบระหว่างขาสวยของเธอหยดเปียกไปด้วยปราณหยิน แต่เธอมุ่งมั่นกับอวัยวะเพศของซูหยางเกินกว่าที่จะสังเกตพบ
สองสามวินาทีให้หลัง มือของเธอก็เริ่มเอื้อมเข้าไปหามันอีกครั้ง
“มันช่างใหญ่… และแข็ง… นี่คงเป็นความเป็นชายของท่านพ่อ…”
ชิวเยว่พึมพัมในขณะที่มือทั้งสองข้างของเธอสัมผัสกับทุกตารางนิ้วของแท่งแกร่งของเขา
หลังจากที่เล่นกับแท่งของเขาไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง ความรู้สึกต้องการที่จะฝังแท่งอวบนี้เข้าไปในช่องพรหมจรรย์ของเธอก็เพิ่มสูงขึ้นจนเกือบทนทานไม่ได้ แต่ชิวเยว่ก็ยังสามารถที่จะยับยั้งความต้องการนั้นด้วยการฝังเพศชายของซูหยางเข้าไปในช่องอื่น ปากของเธอ
“อืม…”
“งึมมมม…”
เสียงจ๊วบจ๊าบครอบคลุมห้องขณะที่ชิวเยว่ทำการดูดดื่มกินแท่งซูหยางเป็นเวลานานหลายนาที ราวกับว่าเธอไม่เคยพอเพียงในเรื่องนี้
ในขณะที่ชิวเยว่ดูดแท่งอวบของซูหยาง มืออีกข้างของเธอก็เริ่มเอื้อมไปหาถ้ำเปียกโชกที่อยู่ระหว่างขาของเธอ ลูบไล้ไข่มุกสีชมพูเล็กๆที่อยู่ภายในและยิ่งกระตุ้นความกำหนัดของเธอมากยิ่งขึ้น
“อืมม…”
“งืมมมม…”
แม้ว่าจะรู้สึกแปลกๆในตอนแรก แต่ยิ่งนานที่เธอดูดสัญลักษณ์เพศชายของซูหยาง ประสบการณ์ของเธอก็เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น และหลังจากที่ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง เธอก็รู้สึกเป็นธรรมชาติเหมือนกับการหายใจ
ริมฝีปากของเธอโลมไล้อยู่ด้านนอกอย่างแผ่วเบา ในขณะที่ลิ้นอ่อนนุ่มของเธอตวัดไปโดยรอบทุกสิ่งที่อยู่ภายใน
หนึ่งชั่วโมงให้หลังชิวเยว่ก็สามารถรู้สึกได้ว่าแท่งที่อยู่ในปากของเธอเปลี่ยนเป็นร้อนขึ้น
อย่างไรก็ตามเธอหลงไหลเกินกว่าจะหยุด ดังนั้นเธอจึงทำต่อไป จนกระทั่งทันใดนั้นของเหนียวสีขาวจำนวนมากก็พุ่งออกมาจากแท่งนั้นเข้าไปในปากเธอ
“หืม”
แม้ว่าเธอจะประหลาดใจกับการที่มันเข้าไปสู่ปากของเธออย่างรวดเร็ว ชิวเยว่ก็สามารถเก็บปราณหยางทั้งหมดไว้ในปากของเธอโดยไม่ปล่อยให้มันหยดออกมาแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตามเมื่อเธอตระหนักว่าปราณหยางนั้นไม่ได้หยุดยั้งจากการหลั่งแม้ว่ากระทั่งปากของเธอเต็มแล้วก็ตาม เธอก็ตัดสินใจที่จะกลืนพวกมันทั้งหมดเข้าไปเพื่อให้มีช่องว่าง
เมื่อเวลาผ่านไปหลายอึดใจและได้กลืนเข้าไปหลายคำหลังจากนั้น เมื่อสุดท้ายปราณหยางได้หยุดหลั่งออกมาแล้ว ชิวเยว่ก็ถอนปากของเธอออกจากน้องชายของซูหยางและเริ่มหอบหายใจหนัก
“ข้ากลืนปราณหยางเข้าไปมากมายเท่าไหร่กัน…” ขิวเยว่ลูบท้องของเธอด้วยความรู้สึกอิ่มราวกับว่าเธอได้ดื่มน้ำแกงชามใหญ่
“แต่ไม่ว่าอย่างไร…มันก็รสชาติดี… ข้ามิรู้ว่าพวกมันจะมีรสชาติหอมหวานอยู่ด้วย” ชิวเยว่เริ่มเข้าใจว่าทำไมเซี่ยวหรงจึงต้องการที่จะลิ้มลองปราณหยางของเขา
แน่นอนว่าเธอไม่รู้ว่าความจริงแล้วปราณหยางโดยทั่วไปจะไม่มีรสชาติในนั้น และซูหยางเป็นเพียงกรณีพิเศษเนื่องมาจากวิชาที่เขาฝึกและสมุนไพรวิญญาณที่เขาได้กลืนกินเข้าไปได้เพิ่มคุณภาพของปราณหยางของเขาจนถึงขนาดที่ว่ามันมีรสชาติดี
จากนั้นชิวเยว่จึงมองไปรอบๆห้อง และเธอก็ประหลาดใจที่มันเต็มไปด้วยปราณหยินที่เข้มข้นอย่างมาก จนถึงขั้นที่ว่ามันกลายเป็นหมอกอยู่เล็กน้อยภายในห้อง
ไม่เพียงแต่เป็นเพราะว่าเธอเป็นสาวบริสุทธิ์ แต่ยังคงเป็นเพราะพลังการฝึกปรือที่สูงและสายเลือดเฉพาะของเธออีกด้วย ปราณหยินของเธอจึงเข้มข้นกว่าผู้หญิงทั้งหมดที่นั่น
“ปราณหยินมากขนาดนี้คงพอที่จะฟื้นฟูพลังวิญญาณของเขาแล้ว…” ชิวเยว่คิดในใจขณะที่เธอกระชับเสื้อผ้าบนร่างซูหยางอีกครั้งก่อนที่จะออกจากห้องไปพร้อมกับใบหน้าที่ยังคงแดงอยู่
หลังจากที่ชิวเยว่ออกจากห้องไปได้ชั่วเวลาหนึ่ง ดวงตาของซูหยางก็ลืมขึ้นมาอย่างช้าๆและรอยยิ้มอ่อนโยนก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
“นั่นช่างเป็นเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดจริงๆ…” เขาคิดในใจก่อนที่จะหลับตาลงไปอีกครั้ง
สี่วันผ่านไปนับตั้งแต่ซูหยางได้สลบไสลหลังจากเอาชนะอสรพิษโลหิตปีศาจและฟูกวาง แต่เขายังไม่ได้มีสัญญาณว่าจะตื่นขึ้น
“เขาควรจะตื่นขึ้นได้แล้วในตอนนี้…” ชิวเยว่ยืนอยู่ด้านข้างของเขาด้วยสีหน้าเป็นกังวล
มีความเป็นไปได้ที่ซูหยางจะได้รับบาดเจ็บภายในหลังจากที่ใช้ปราณไร้ลักษณ์ของตัวเขาเองเกินตัว แต่เพราะว่าเขามีวิชาการฝึกปราณที่พิเศษเฉพาะ มันจึงได้ปกป้องกระทั่งคนอย่างชิวเยว่ในการมองเข้าไปภายในร่างของเขา ราวกับว่าถูกป้องกันโดยพลังที่มองไม่เห็นบางอย่าง
แน่นอนว่าชิวเยว่สามารถบีบบังคับมองทะลุผ่านพลังนี้เข้าไปด้วยพลังการฝึกปรือของเธอได้อย่างง่ายดาย แต่นั่นอาจจะยิ่งทำให้อาการบาดเจ็บของเขาเลวร้ายยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอไม่สามารถเสี่ยงได้
“ข้ามิมีประสบการณ์ในสถานการณ์เช่นนี้…” ชิวเยว่เริ่มครุ่นคิดว่าตัวเธอเองนั้นควรทำอย่างไร
ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ เมื่อตอนที่ซูหยางใช้เพียงปราณเทพเพียงเล็กน้อยเพื่อสู้กับจอมยุทธเขตอัมพรวิญญาณสองคนที่ทวีปใต้ ครั้งนี้เขาได้ใช้ปราณเทพมากกว่าในการเอาชนะอสรพิษโลหิตปีศาจ ยิ่งไปกว่านั้นเขาได้ใช้วิชาที่ทรงอำนาจที่อาจจะเป็นภาระต่อร่างกายของตัวเขาเองถึงแม้ว่าเขาไม่ได้เสริมพลังมันด้วยปราณเทพก็ตาม
“ถึงแม้ว่าข้าจะหาคู่ฝึกให้กับเขาเพื่อใช้ฟื้นคืนปราณไร้ลักษณ์ให้กับเขาเหมือนแต่ก่อน แต่เขาก็จะไม่สามารถดูดซับปราณหยินของพวกเธอได้ถ้าเขายังคงหมดสติ…”
ในระหว่างการขบคิดของเธอก็มีใครบางคนเข้ามาในห้องแล้วถามว่า “เขายังคงหลับอยู่หรือ”
ชิวเยว่หันตัวไปและก็เห็นชินเหลียงหยูยืนอยู่ตรงประตูด้วยสีหน้าเป็นกังวล ดังนั้นชิวเยว่จึงพยักหน้า
“นี่เป็นสถานการณ์ที่เหมือนกันกับเมื่อตอนที่อยู่ทวีปใต้ ใช่ไหม ข้าควรเริ่มมองหาคู่ฝึกให้กับเขาหรือไม่ ข้ามั่นใจว่าเหล่าศิษย์ย่อมยินดีช่วยเขาฟื้นฟูเป็นแน่”
“แม้ว่าสถานการณ์อาจจะดูคล้ายคลึงกัน แต่เขาหมดแรงมากกว่าในครั้งนี้ ใครจะรู้ว่าเมื่อไหร่ที่เขาจะตื่นขึ้นมาจริงๆ มันอาจจะเป็นเวลาหลายวัน… หรือหลายสัปดาห์นับจากตอนนี้ และนอกจากว่าเขาจะตื่นขึ้นมาดูดซับปราณหยิน ก็มิมีความหมายที่จะหาคู่ฝึกให้กับเขา”
ชินเหลียงหยูเปลี่ยนไปเป็นเงียบด้วยสีหน้าครุ่นคิด
สองสามอึดใจให้หลัง เธอก็กล่าวว่า “จริงไหมที่เขาจำเป็นจะต้องตื่นขึ้นมาเสียก่อนที่จะดูดซับปราณหยิน ถ้าข้าจำมิผิด โดยพื้นฐานแล้วปราณหยินก็เหมือนกับปราณไร้ลักษณ์ และมีความแตกต่างเพียงเล็กน้อย พวกเรา ในฐานะผู้ฝึกยุทธปกติแล้วก็จะดูดซับปราณไรัลักษณ์แม้กระทั่งในเวลาที่เรามิได้เริ่มฝึกฝน”
“เจ้าคงมิหมายความว่า…” ชิวเยว่หันไปมองเธอด้วยสีหน้างงงัน
ชินเหลียงหยูกล่าวต่อว่า “พวกเราสามารถเติมปราณหยินเข้าสู่ห้องนี้ได้ แม้ว่ามันอาจจะมิได้มีประสิทธิภาพมากนัก แต่มันก็ควรจะเพิ่มความเร็วในการฟื้นฟูของเขาอย่างแน่นอน”
“แม้ว่านั่นจะเป็นความคิดที่ดี แต่เจ้าได้คิดไหมว่าปราณหยินของใครที่พวกเราควรจะใช้บรรจุเข้าไปในห้องนี้ ถ้าเป็นของคนที่อยู่ต่ำกว่าเขตอัมพรวิญญาณ ข้าก็ยังคิดสงสัยว่ามันจะสามารถช่วยได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นในเมื่อเขาไม่ได้ดูดซับมันอย่างตั้งใจ ดังนั้นมันก็จะยิ่งมีประสิทธิภาพด้อยลงไปอย่างมาก และจะมีผู้ฝึกวิชาหญิงกี่คนในเขตอัมพรวิญญาณที่มีตัวตนอยู่ในโลกนี้ที่ยินดีจะทำอะไรที่น่าอายเช่นนี้”
“…”
ได้ยินคำถามเช่นนั้น ชินเหลียงหยูก็จ้องมองชิวเยว่อย่างเงียบๆ ราวกับว่าเธอควรจะแนะนำอะไรบางอย่างหรือไม่
สองสามอึดใจให้หลัง เมื่อชิวเยว่ตระหนักว่าทำไมชินเหลียงหยูจึงจ้องมองเธออย่างตั้งใจเช่นนั้น เธอก็พูดขึ้นด้วยใบหน้างงงันว่า “เจ้าต้องการให้ข้าทำรึ เจ้าเอาจริงรึ”
ชินเหลียงหยูพยักหน้า “ผู้อาวุโสชิวเยว่ มิเพียงแต่ท่านมีคุณสมบัติครบถ้วนทุกประการ แต่ท่านยังเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในสถานการณ์นี้ด้วยเช่นกัน ในเมื่อท่านเป็นผู้ฝึกยุทธหญิงที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกนี้อย่างไม่ต้องสงสัย ถ้าเป็นปราณหยินของท่าน ซูหยางย่อมฟื้นคืนได้รวดเร็วกว่านี้อย่างแน่นอน”
ใบหน้าของชิวเยว่พลันแดงก่ำหลังจากที่ได้จินตนาการว่าตนเองได้เล่นกับของตัวเองในขณะที่อยู่ในห้องเดียวกับซูหยาง
“น-นั่นเป็นเรื่องไร้สาระ ใช่ว่าข้าจะสามารถทำอะไรที่น่าอายเช่นนั้น ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเจ้าพูดถึงผู้หญิงที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกนี้ ก็ยังมีคนอื่นอีกที่แข็งแกร่งยิ่งไปกว่าข้า” ชิวเยว่อุทานออกมา
“อะไรกัน ยังมีคนที่แข็งแกร่งกว่ากระทั่งผู้อาวุโสชิวเยว่อีกรึในโลกนี้ แล้วนั่นเป็นใครกัน” ชินเหลียงหยูถามด้วยดวงตาเบิกโพลง เสียงของเธอเต็มไปด้วยความสับสน
“จะเป็นใครได้อีกนอกจากเซียวหรง ถ้าเป็นปราณหยินของเธอ ซูหยางอาจจะถึงกับฟื้นพลังวิญญาณของเขาได้ในพริบตา”
“เซี่ยวหรง เธอทรงอำนาจเช่นนั้นจริงๆหรือ”
เพราะว่าพวกเขาไม่เคยได้แนะนำเซียวหรงให้กับชินเหลียงหยูอย่างแท้จริง เธอจึงไม่เคยรู้ถึงความสามารถที่แท้จริงของเซียวหรง
“ข้ามิสามารถยอมรับได้ เมื่อมาคิดว่าเด็กหญิงไร้เดียงสานั่นจะแข็งแกร่งกว่าผู้อาวุโสชิวเยว่อย่างแท้จริง และข้าก็ได้ดูแลเธอเหมือนกับเป็นน้องสาว” ชิวเหลียงหยูร่ำร้องในใจ
สองสามอึดใจให้หลังชินเหลียงหยูก็กล่าวขึ้นว่า “แต่… ถึงแม้ว่าเซี่ยวหรงจะแข็งแกร่กว่าท่าน… เมื่อดูว่าตัวตนของเธอเป็นเช่นไรแล้ว… ข้ามิคิดว่าเธอจักสามารถที่จะเติมห้องนี้ด้วยปราณหยินได้”
ชิวเยว่แทบจะกุมขมับหลังจากที่นึกถึงสภาพไร้เดียงสาของชิวเยว่ เป็นเรื่องแน่นอนและเป็นงานที่ไปไม่ได้สำหรับคนแบบเธอ ในเมื่อนั่นไม่ต่างไปจากการขอเด็กซึ่งยังไม่แม้จะจับใจความทำความเข้าใจถึงคำว่า “ช่วยตัวเอง” ได้
เมื่อเห็นสีหน้าของชิวเยว่ ชินเหลียงหยูก็กล่าวต่อว่า “ถ้าผู้อาวุโสชิวเยว่ยังคงลังเลที่จะเติมห้องนี้ด้วยปราณหยินของเธอ ข้าก็สามารถที่จะทำด้วยตนเองได้ แม้ว่าข้าจะอยู่แค่ในเขตปฐพีวิญญาณ ข้าก็ควรจะดีกว่าผู้ฝึกยุทธทุกคนในระดับเดียวกับข้า…”
เมื่อชินเหลียงหยูเริ่มคลายเสื้อผ้าของตนเอง ชิวเยว่พลันกล่าวขึ้นว่า “เดี๋ยวก่อน”
“ผู้อาวุโสชิวเยว่…” ชินเหลียงหยูมองดูเธอด้วยใบหน้างุนงง
“ไม่เป็นไร ข้าสามารถทำเรื่องนี้ได้”
เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้น ชินเหลียงหยูไม่ได้กล่าวอะไรอีกเพียงพยักหน้าก่อนที่จะสวมเสื้อผ้าให้กระชับอีกครั้ง
“ข้าจักปล่อยซูหยางไว้ในมือท่าน ผู้อาวุโสชิวเยว่” ชินเหลียงหยูได้ออกไปจากห้องปล่อยให้ชิวเยว่อยู่ตามลำพัง
ครั้นเมื่อชินเหลียงหยูปิดประตูแล้ว ชิวเยว่ก็มองดูใบหน้าที่ยังคงหลับของซูหยางและพึมพัมด้วยเสียงเบาแต่มั่นคงว่า “พี่สาวใหญ่หลิงชีพูดถูก ถ้าข้าต้องการที่จะอยู่ข้างกายเขาและมิถูกบดบังด้วยคู่ของเขาคนอื่นในอนาคต ข้าต้องมีการตัดสินใจที่แข็งแกร่งและกล้ากว่านี้ ถ้าข้ามิสามารถกระทั่งทำสิ่งที่ง่ายๆในการช่วยชายที่ข้ารัก ถึงแม้ว่าจะน่าอายอยู่บ้าง ข้าก็จักมิมีสิทธิ์ที่จะอยู่ข้างกายเขา อย่าว่าแต่จะเป็นคู่ของเขา”
“ซ-ซูหยาง”
โหลวหลานจีและศิษย์คนอื่นๆต่างรู้สึกว่าหัวใจตนเองหยุดเต้นไปชั่วขณะเมื่อเขาพลันล้มลง
“ใจเย็น” ชิวเยว่กล่าวลังจากที่เห็นปฏิกิริยาตื่นตกใจของพวกเขา “เขาเพียงแค่หลับไปหลังจากใช้ปราณไร้ลักษณ์มากเกินไปเท่านั้น ไม่มีอาการบาดเจ็บบนร่างของเขา เท่าที่ข้าสามารถบอกได้ เขาควรตื่นขึ้นมาภายในสามวัน”
“จริงรึ ค่อยโล่งอก” โหลวหลานจีและคนอื่นๆต่างพากันถอนหายใจยาวอย่างโล่งอกหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเธอ
“ข้าจะพาเขากลับไปที่พักของเขา” ชิวเยว่กล่าวขณะที่เธออุ้มชิวหยางไว้ในอ้อมแขนราวกับเป็นเจ้าหญิงที่กำลังหลับอยู่
“ข-ขอบคุณ… อืม…”
“ชิวเยว่ นั่นเป็นชื่อข้า”
“ขอบคุณผู้อาวุโสชิวเยว่” โหลวหลานจีคำนับเธอ
“และข้าก็ไม่ใช่อาจารย์ของซูหยาง” เธอพลันกล่าว
“ช-เช่นนั้นท่านเป็น…”
ชิวเยว่กระแอมพร้อมกับหน้าแดงและพยักหน้า “ข้าเป็นเพื่อนร่วมวิถี… หรืออะไรทำนองนั้น”
“แม้ว่าพวกเขาได้คาดหวังคำตอบนี้อยู่แล้ว โหลวหลานจีและเหล่าศิษย์ก็ยังอ้าปากค้างด้วยความตกใจ
“การที่มีผู้หญิงสวยอย่างนี้เป็นเพื่อนร่วมวิถี… ซูหยางช่างเป็นชายที่โชคดี…” พวกเขาต่างพากันคิดในใจ
เพื่อนร่วมวิถีโดยพื้นฐานแล้วก็คือคู่สมรส แต่สำหรับผู้ฝึกยุทธก็คือผู้ที่ค้นหาวิถีร่วมกันไม่คำนึงถึงพลังการฝึกปรือของพวกเขา
ครั้นเมื่อชิวเยว่ไปจากที่แห่งนั้นพร้อมกับซูหยางแล้ว ศิษย์คนอื่นๆต่างก็พากันกลับนิกาย
ในเวลานั้น โหลวหลานจีและผู้อาวุโสนิกายต่างก็พากันเตรียมต้อนรับศิษย์ใหม่ 997 คน
ไม่กี่ชั่วโมงให้หลัง ศิษย์ใหม่ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็เริ่มแสดงตัวทีละคนที่ประตูหน้า จากนั้นศิษย์ใหม่ก็ได้รับการแนะนำให้ไปรวมตัวกันยังพื้นที่กว้างแห่งหนึ่งและรอคอยจนกว่าศิษย์ใหม่ทุกคนได้มาถึง
ในเวลาเดียวกัน ข่าวของฟูกวาง ผู้นำนิกายล้านอสรพิษ สังเวยชีวิตของศิษย์ของตนเองก็แพร่สะพัดไปทั่วทวีปตะวันออกเหมือนไฟไหม้ป่า สร้างความตระหนกไปทั่วทุกหัวระแหงอย่างลึกล้ำ
“อะไรนะ ผู้นำนิกายล้านอสรพิษสังเวยชีวิตศิษย์ของตนเองกว่า 36,000 คนเพื่อที่จะอัญเชิญสัตว์ปีศาจมาโจมตีนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยรึ”
“พวกนั้นยังวางแผนที่จะโจมตีตระกูลซีอีกด้วยงั้นรึ นั่นเป็นการกบฏอันดับสูงสุด”
“ข้าได้ยินว่าสัตว์อัญเชินได้มีพลังการฝึกปรือที่แข็งแกร่งกว่ากระทั่งปรมาจารย์ของตระกูลซี แต่ซูหยางฆ่าสัตว์ปีศาจนั่นภายในการโจมตีครั้งเดียว นี่มิหมายความว่าซูหยางยิ่งน่ากลัวยิ่งกว่าปรมาจารย์ของตระกูลซีอีกรึ”
“ข้าเองก็ได้ยินว่าเขาได้ทำลายแนวเทือกเขาไปด้วยในระหว่างการต่อสู้ ชายคนนี้มีพลังอำนาจพิสดารแค่ไหนกัน”
“จะเกิดอะไรขึ้นกับนิกายล้านอสรพิษในตอนนี้เมื่อผู้นำนิกายเป็นอาชญากรและศิษย์เกือบทั้งหมดได้ตายไปแล้ว”
“นิกายล้านอสรพิษได้จบสิ้นแล้ว ตามความเป็นจริง ตระกูลซีได้ประกาศอย่างเป็นทางการถึงการล่มสลายของพวกเขาแล้ว”
“แล้ววิชาฝีมือและสมบัติทั้งหมดในนิกายล้านอสรพิษล่ะ มันจะตกอยู่กับใครในตอนนี้เมื่อพวกเขามิคงอยู่แล้ว”
“แน่นอนว่าต้องเป็นตระกูลซี”
ปกติแล้วเมื่อสำนักหนึ่งถูกบีบให้ล้มสำนักหรือถูกทำลาย วิชาของพวกเขาและสมบัติต่างๆก็จะถูกหยิบฉวยไปตามกฏที่ว่าใครมาก่อนได้ก่อน อย่างไรก็ตามในเมื่อนิกายล้านอสรพิษเคยเป็นสำนักระดับสูง และพวกเขาก็ได้มีสมบัติล้ำค่ามากมายที่สามารถสร้างความวุ่นวายให้กับสมดุลของพลังอำนาจปัจจุบันของโลกได้ ตระกูลซีจึงต้องยึดทรัพย์สินของพวกเขา
ตามความเป็นจริงคนนับพันและโจรร้ายได้เริ่มมุ่งหน้าไปยังนิกายล้านอสรพิษเรียบร้อยแล้วโดยหวังว่าจะสามารถปล้นสะดมทรัพย์สินบางอย่างนับตั้งแต่พวกเขาได้รับข่าว
แต่พวกเขาโชคร้าย ตระกูลซีได้ไปถึงนานแล้วก่อนทุกคน ห้ามแม้กระทั่งมดสักตัวเข้าไปภายในนิกายล้านอสรพิษและขโมยทรัพย์สินของพวกเขา
ขณะที่ซีซิงฟางได้ออกจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย เธอก็ได้ส่งข่าวกลับไปยังพ่อของเธอ เจ้าซี ถึงสถานการณ์ ทำให้ตระกูลซีได้เคลื่อนไหวก่อนที่ข่าวจะทันได้แพร่กระจายออกไป
เมื่อตระกูลซีไปถึงนิกายล้านอสรพิษ พวกเขาต่างก็พากันตกใจกับฉากที่เห็นภายในนิกาย ที่ซึ่งร่างไร้ชีวิตกว่า 36,000 ร่างนอนเกลื่อนกลาดอยู่ท่ามกลางนิกาย ส่วนสำหรับศิษย์ 4,000 คนที่ยังมีโชคดีพอที่จะรักษาชีวิตไว้ได้ พวกเขาถูกพบหลับอยู่อย่างสงบใกล้กับศพ ไม่รู้เรื่องราวอะไรอย่างสิ้นเชิง
อย่างไรก็ตามสุดท้ายเมื่อพวกเขาได้ตื่นขึ้นมาและรับรู้ความจริงว่าเพื่อนศิษย์ส่วนใหญ่ได้สิ้นชีพและฟูกวางผู้นำนิกายของพวกเขาเป็นสาเหตุของเรื่องนี้ ศิษย์ทั้ง 4,000 คนต่างเต็มไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อก่อนที่จะท่วมท้นไปด้วยความหวาดกลัวและสิ้นหวัง
“คำพูดมิอาจที่จะอธิบายถึงโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นที่นี่ได้ แต่อย่างไรก็ตามพวกเจ้าล้วนเป็นผู้ฝึกยุทธ ผู้ฝึกฝนที่แข็งแกร่งที่มีพื้นฐานเพื่อเอาชนะความอ่อนแอและความหวาดกลัวของตนเอง ดังนั้นอย่าปล่อยให้เหตุการณ์นี้เป็นจุดจบของเส้นทางการฝึกยุทธของพวกเจ้า”
คนจากตระกูลซีพยายามที่จะให้ศิษย์ของนิกายล้านอสรพิษสงบสติอารมณ์ด้ยการปลอบโยนพวกเขา แต่อนิจจา เหตุการณ์นี้โดยปกติแล้วเป็นเรื่องน่าหวาดกลัวเกินไปสำหรับพวกเขา
แม้ว่าพวกเขาบางคนอาจจะฟื้นตัวจากประสบการณ์ที่น่าเจ็บปวดนี้ แต่ศิษย์ส่วนใหญ่ก็จะไม่สามารถที่จะฝึกฝนวิชาได้อีกต่อไป
หลังจากที่เข้าครอบครองและยึดทรัพย์สินวิชาต่างๆทั้งหมดของนิกายล้านอสรพิษแล้ว ตระกูลซีก็ทำการฝังศิษย์ที่ถูกสังเวย 36,000 คนด้านนอกรอบๆนิกายล้านอสรพิษ รายล้อมทั้งนิกายด้วยหลุมฝังศพและเปลี่ยนนิกายให้เป็นสุสาน
ในเวลานั้น ฟูกวางก็ได้ถูกตัดสินโทษในคดีหลายอย่างตั้งแต่ฆาตรกรมหมู่ไปจนถึงการกบฏและได้รับโทษจำคุกตลอดชีวิต
ยิ่งไปกว่านั้นเขาจะต้องได้รับการเฆี่ยนร้อยแส้ท่ามกลางชุมชนสำหรับทุกชีวิตที่เขาพรากไป ซึ่งรวมทั้งสิ้นมากกว่า 3,600,000 แส้
คนธรรมดาย่อมต้องตายหลังจากที่ถูกเฆี่ยนไปสิบกว่าแส้ อย่าว่าแต่ 3,600,000 แส้ แต่อย่างไรก็ตามฟูกวางจะได้รับการป้อนยาฟื้นฟูร่างกายและให้เวลาในการพักเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บเมื่อไหร่ก็ตามที่เขาใกล้ตาย เพื่อที่ว่าเขาจะได้ไม่ตายไปจริงๆ
แม้ว่านั่นอาจจะกินเวลาหลายปี หรืออาจจะหลายสิบปีในการให้ฟูกวางได้รับการเฆี่ยนทั้งหมด 3,600,000 แส้ แต่ตระกูลซีก็ได้ตัดสินใจที่จะลงโทษเขาและนำความยุติธรรมมาสู่เหล่าศิษย์ที่เขาฆ่า
ไม่นานหลังจากนั้นหลังจากที่ถูกโหลวหลานจีตบ ฟูกวางก็ค่อยดิ้นรนลุกขึ้นยืนบนพื้น ก่อนที่จะถ่มฟันออกมาสิบกว่าซี่
แม้ว่าโหลวหลานจีได้ยั้งมือของเธอไว้ระหว่างการตบ แต่เพราะว่าฟูกวางนั้นอ่อนแอเหมือนกับคนธรรมดาและเขาไม่ได้ฝึกฝนร่างกาย การตบนั้นจึงทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าวัวกระทิงพุ่งชนเข้าที่ใบหน้าของเขา
ในตอนนี้เมื่อฟันของเขาเหลืออยู่ไม่ถึงครึ่ง ฟูกวางก็มองไปที่โหลวหลานจีและตะโกนออกมา “นังสารเลว ถ้ามิใช่เพราะซูหยาง นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยคงต้องหายไปหลายเดือนก่อนแล้ว”
โหลวหลานจี คิ้วกระตุกเมื่อได้ยินคำพูดของเขา แต่เธอไม่ได้แสดงท่าทางโกรธอะไรและเพียงแค่ทำตัวเรียบเฉย
“ข้ามิเห็นแย้งกับเจ้าในเรื่องนั้นในเมื่อนี่คือความจริง เป็นความจริง หากปราศจากซูหยาง นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยย่อมมิอาจจะอยู่ได้ถึงวันนี้ และมิว่าข้าหรือนิกายก็มิอาจจะชดใช้ให้เขาได้เต็มที่”
โหลวหลานจีกล่าวขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจของเธอ จนทำให้ฟูกวางสั่นสะท้านด้วยความโกรธ
โดยธรรมดาแล้วเขาย่อมไม่คิดว่าสักวันหนึ่งเขาจะตกต่ำเช่นนี้เพียงเพราะว่าคนรุ่นหลังจากที่เล็กๆอย่างเช่นนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
“องค์หญิง โปรดนำเขาไป ข้ามิต้องการให้การคงอยู่ของเขาทำให้อากาศใกล้กับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยแปดเปื้อนไปมากกว่านี้” โหลวหลานจีคำนับซีซิงฟางหลังจากนั้น
ซีซิงฟางพยักหน้าให้กับเธอจากนั้นก็หันไปมองดูผู้อาวุโสจง
เมื่อเห็นสัญญาณจากสายตาเธอ ผู้อาวุโสจงก็พยักหน้าก่อนที่จะคว้าคอฟูกวางอีกครั้ง
ขณะที่ผู้อาวุโสจงเริ่มลากฟูกวางไป ซีซิงฟางก็หันไปดูซูหยางและคำนับเขา “ในฐานะที่เป็นคนจากตระกูลซี ข้าต้องขออภัยเป็นอย่างสูงสำหรับเหตุการณ์นี้ ตระกูลซีมีหน้าที่รับผิดชอบในการดูแลสำนักระดับสูงเช่นนิกายล้านอสรพิษให้อยู่ในสายตา แต่เรื่องมาจากพวกเราขาดการประสานงาน พวกเขาจึงยิ่งโอหังและเหยียดหยามผู้อื่น ข้าสัญญาว่าพวกเราจักเพิ่มการประสานงานและทำให้มั่นใจว่าสิ่งนี้จะมิเกิดขึ้นอีกในอนาคต”
“ป-โปรดเงยหน้าขึ้น องค์หญิง เหตุการณ์นี้ล้วนเป็นความผิดของนิกายล้านอสรพิษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งฟูกวาง ผู้นำนิกาย ท่านมิควรจะก้มหัวให้เพราะพวกขี้โกงเช่นนั้น” โหลวหลานจีพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ข้ารู้ แต่นั่นมิทำให้ข้ารู้สึกดีขึ้นถ้าข้ามิได้ขอโทษด้วยตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อข้ากลายเป็นไร้ประโยชน์ตลอดมานี้ นั่นทำให้ข้ารู้สึกเหมือนกับว่าข้ามิมีค่ากับการใช้แซ่นี้”
ซีซิงฟางกล่าวต่อว่า “อีกครั้ง ข้าขออภัยสำหรับเหตุการณ์นี้ ข้าจักทำให้มั่นใจว่าได้ให้รางวัลกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยในการจัดการกับฟูกวางและป้องกันเขาไว้มิให้เกิดหายนะมากเกินไปกว่านี้ แม้ว่านั่นจะเป็นโชคร้ายสำหรับศิษย์กว่า 36,000 คนที่ได้สูญเสียชีวิตของพวกเขาไปเพราะว่าความบ้าคลั่งของคนเพียงคนเดียว แต่ท่านก็ได้ช่วยชีวิตคนนับล้านอย่างมีศักยภาพซึ่งนั่นรวมไปถึงตระกูลซีด้วย โดยการสังหารอสรพิษโลหิตปีศาจ”
“จะเกิดอะไรขึ้นกับศิษย์ของนิกายล้านอสรพิษที่เหลือ” โหลวหลานจีถามเธอ
“นิกายล้านอสรพิษจักมิคงอยู่อีกต่อไปหลังจากวันนี้ ดังนั้นพวกเขาจักต้องหาที่อยู่ใหม่” ซีซิงฟางตอบ
ไม่มีใครในที่นั้นประหลาดที่ได้ยินว่านิกายล้านอสรพิษจะไม่คงอยู่อีกต่อไปหลังจากวันนี้ ในเมื่อศิษย์ส่วนใหญ่ของพวกเขาพลันสิ้นชีวิต และนิกายของพวกเขาก็ไม่มีผู้นำอีกต่อไป
แตกต่างจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยที่สามารถอยู่รอดได้โดยมีศิษย์เหลือน้อยกว่าหนึ่งร้อยคน ศิษย์ของนิกายล้านอสรพิษไม่อยากที่จะทิ้งนิกายแต่ก็ต้องถูกสังเวยโดยไม่เต็มใจแทน คงเป็นปาฏิหาริย์ถ้าหากว่ามีใครสักคนในบรรดาศิษย์กว่า 10,000 คนยินดีที่จะอยู่ในนิกายหลังจากเหตุการณ์นั้น
อย่างไรก็ตามเหตุผลที่ใหญ่ที่สุดที่ทำไมนิกายล้านอสรพิษไม่อาจอยู่รอดต่อไปได้ก็เพราะว่าธรรมดาแล้วพวกเขาไม่มีคนอย่างซูหยางที่จะชี้นำและสนับสนุนพวกเขา
สองสามนาทีให้หลัง ซีซิงฟางและผู้อาวุโสจงก็ออกจากพื้นที่แห่งนั้น
“พวกเราจักส่งบัตรเชิญให้ท่านไปยังตระกูลซีด้วยตนเองเพื่อรับรางวัลในภายหลัง” ซีซิงฟางกล่าวกับพวกเขาก่อนจาก
“ข้าก็ควรกลับไปยังสำนักของข้าให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เช่นกัน หากว่าข่าวของเหตุการณ์นี้แพร่สะพัด นั่นย่อมสั่นสะเทือนไปทั้งทวีปตะวันออก และใครจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในตอนนั้น” ไป่ลี่ฮัวกล่าว
และเธอก็พูดต่อว่า “อย่างไรก็ตาม ขอแสดงความยินดีที่ได้รับศิษยที่มีพรสวรรค์ตั้งมากมาย ข้ามิสามารถรอดูพวกเขาเติบโตและเห็นพลังอำนาจของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยที่จักบังเกิดขึ้นในไม่กี่ปีจากนี้”
“เจ้ามิจำเป็นต้องรอนานเช่นนั้น เจ้าจักเห็นผลในปีหน้า” ซูหยางกล่าวกับเธอด้วยรอยยิ้ม ถ้าเจ้ามั่นใจในเวลานั้น เจ้าสามารถส่งศิษย์ของเจ้าบางคนมาที่เรา พวกเขาจักได้รับการฝึกฝนเช่นเดียวกัน เช่นกัน”
“ฮึ่ม นอกจากว่านั่นสามารถทำให้ข้าพูดไม่ออก และเจ้าเป็นคนจัดการเรื่องนั้นเอง ข้าจึงจักค่อยพิจารณา”
ไม่นานนักหลังจากที่ไป่ลี่ฮัวจากไป หวังชูเหรินก็กล่าวกับซูหยางว่า “พวกเราจะหยุดในสัปดาห์หน้าหรือไม่ ข้าเข้าใจดีว่าท่านต้องการหยุดพักหลังจากสิ่งที่ได้เกิดขึ้นในวันนี้”
“พักรึ” ซูหยางเผยรอยยิ้มกว้างและกล่าวว่า “เจ้าได้พักผ่อนเพียงพอแล้วสัปดาห์นี้ ข้ามั่นใจว่าจะทำให้มีชีวิตชีวามากขึ้นเมื่อข้าไปเยี่ยมครั้งหน้า”
ร่างของหวังชูเหรินสั่นสะท้านด้วยความรู้สึกยินดีผิดปกติหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเขา
“ข้าจักเฝ้าคอยเวลานั้น” เธอกล่าวกับเขาด้วยรอยยิ้มชวนหลงไหลก่อนที่จะจากไปจากพื้นที่นั้น
ครั้นเมื่อทุกคนนอกจากศิษย์จากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้จากไปแล้ว ซูหยางก็กล่าวกับโหลวหลานจีว่า “ข้าจักเก็บตัวฝึกฝนเป็นเวลาสามวันเพื่อฟื้นฟูปราณไร้ลักษณ์ของข้า ศิษย์ใหม่ควรจะกลับมาในเร็วๆนี้ และจนกว่าข้ากลับมา ให้สอนพวกเขาเกี่ยวกับกฏของสำนักและสิ่งอื่นๆ ข้าจักจัดการกับพวกเขาหลังจากนั้น”
โหลวหลานจีพยักหน้า
จากนั้นซูหยางก็หันไปมองดูชิวเยว่และกล่าวในขณะที่ดวงตาของเขาเริ่มปิดลงว่า ข้าจักรบกวนเจ้าช่วยพาข้ากลับไปที่บ้าน”
หลังจากที่พูดคำพูดเหล่านี้แล้ว ซูหยางก็ปล่อยให้สติหลุดลอย ทำให้หัวของเขาซบลงไปยังอกนุ่มของชิวเยว่
“?!?!”
ใบหน้าของชิวเยว่พลันแดงฉาน แต่เธอไม่กล้าที่จะผลักเขาออกไป และเธอยิ่งกอดร่างเขาแน่นขึ้นในเวลาถัดไป
“โอ และเจ้ามิต้องผ่อนปรนการลงโทษ ในเมื่อเขามิอาจจะฆ่าตัวตายได้ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไรกับเขาก็ตาม” ซูหยางพลันกล่าวกับเธอด้วยเสียงเย็นชา
“ด-เดี๋ยวก่อน… เขามิสามารถฆ่าตัวตายรึ นั่นหมายความว่าอะไร” ไป่ลี่ฮัวถามเขาด้วยความสนใจที่พุ่งขึ้น
“ข้าได้วางคำสาปบนตัวเขา เขามิสามารถที่จะฆ่าตัวตายแม้กระทั่งเขาอยากตายแค่ไหนก็ตาม” เขาตอบอย่างเยือกเย็น
“น-นั่นมันทำงานอย่างไร” ผู้อาวุโสจงถาม ในเมื่อเขาเองก็รู้สึกทึ่งกับคำสาปอันลึกล้ำเช่นนั้น
“ข้าสาปวิญญาณของเขา ถ้าหากว่าเขาคิดฆ่าตัวตายแม้เล็กน้อยก็ตาม คำสาปก็จะทำอันตรายต่อวิญญาณของเขา ทำให้เขาได้ประสบกับความเจ็บปวดทรมานที่เลวร้ายยิ่งกว่าความตายจนกว่าเขาจะล้มเลิกความคิดนั้น อย่างไรก็ตามความเจ็บปวดนี้จักมิฆ่าเขา มิว่าเขาจะได้รับความเจ็บปวดทรมานสักเพียงใดก็ตาม ยิ่งไปกว่านั้นมันก็จักยับยั้งการเคลื่อนไหวของเขาจนกว่าความเจ็บปวดนั้นจะหยุดยั้งลง ดังนั้นเขาจึงมิสามารถบีบบังคับตัวเองผ่านเจ็บปวดได้”
หลังจากที่รู้ว่าคำสาปนี้ทำงานอย่างไร คนที่อยู่ที่ตรงนั้นต่างก็แสดงสีหน้าหวาดหวั่นบนใบหน้าของตนเอง
“ช่างเป็นคำสาปที่โหดร้ายน่าหวาดกลัว เมื่อมิอาจตายได้แม้ว่าจะต้องการก็ตาม” โหลวหลานจีปิดปากของเธอด้วยความตระหนก
“มันอาจจะดูเหมือนโหดร้ายผิดมนุษย์ แต่สำหรับคนที่มีบาปมหันต์อย่างเช่นฟูกวาง เขาสมควรได้รับมันอย่างสาสมแล้ว” ซีซิงฟางกล่าวด้วยเสียงเยือกเย็น ในเมื่อเธอไม่มีความเห็นอกเห็นใจเหลือสำหรับคนที่สามารถสังเวยศิษย์ของตนเองและฆ่าพวกเขาราวกับมดปลวก
“ให้ข้าพาฟูกวางกลับไปยังตระกูลซีเพื่อท่าน องค์หญิง” ผู้อาวุโสจงพลันกล่าวขึ้น
ซีซิงฟางพยักหน้า และผู้อาวุโสจงก็ไล่ตามฟูกวางที่พยายามจะวิ่งหนีด้วยสองขาที่เหลืออยู่
อย่างไรก็ตามโดยที่ไม่มีพลังการฝึกปรือเหลืออยู่ ฟูกวางเพียงสามารถที่จะวิ่งไปได้ไม่กี่ร้อยเมตรก่อนที่จะถูกจับโดยผู้อาวุโสจง
“นรกขุมไหนที่เจ้าคิดว่าเจ้าจะไปรึ ฟูกวาง” ผู้อาวุโสจงบีบคอของเขาและหิ้วเขากลับมาที่ซีซิงฟาง
“คุกเข่าลง” ผู้อาวุโสจงบีบให้ฟูกวางคุกเข่าลงเมื่อพวกเขาไปถึงที่ข้างตัวของซีซิงฟาง
“สัส” ฟูกวางคำราม
“อาาาา”
ฟูกวางกรีดร้องเมื่อผู้อาวุโสจงพลันกระทืบลงไปยังขาข้างหนึ่งของเขา ทำลายกระดูกทั้งหมดในขาข้างนั้น
“พ-พ-พวกเจ้าทั้งหลายรออะไรอยู่ ฆ่าข้าเสียสิ” ฟูกวางตะโกนด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อ
“มิต้องกังวล พวกเรามิฆ่าเจ้าหรอก” ซีซิงฟางจ้องมองเขาด้วยสีหน้าขยะแขยงภายในผ้าปิดหน้าของเธอ ราวกับว่าเธอกำลังมองดูสิ่งที่น่ารังเกียจ
“ข้ากำลังจะพาเจ้ากลับไปยังตระกูลซีและให้เจ้าทนรับผิดชอบต่อทุกชีวิตที่เจ้าได้ขโมยไปแม้ว่าจะผ่านไปร้อยปีก็ตาม”
“พ-พวกสัส นรกขุมไหนที่ข้าจักปล่อยให้พวกเจ้าทรมานข้าไปตลอดชีวิต ถ้าเจ้ามิฆ่าข้าเสียในตอนนี้ เช่นนั้นข้าก็จักยินดีที่จะทำเช่นนั้นเอง”
เพียงแค่ฟูกวางเตรียมตัวที่จะกัดลิ้นตนเองให้ขาดเพื่อฆ่าตัวตายนั้น คำสาปที่ฝังไว้ในจิตใจของเขาโดยซูหยางก็ทำงาน ทำให้ฟูกวางรู้สึกเจ็บปวดอย่างมากไปทั่วทั้งร่างที่สามารถทำให้แม้กระทั่งคนที่ทนทานที่สุดในโลกนี้ร้องขอให้ช่วยฆ่าตนเองให้ตาย
“อาาาาาาาาาาาาาาาาา”
ฟูกวางกรีดร้องระคายหู เสียงร้องนั้นฟังดูเลวร้ายยิ่งกว่าเสียงของหมูเมื่อตอนที่มันถูกฆ่า และผู้ได้ยินเสียงกรีดร้องน่าหวาดกลัวเช่นนั้นต่างก็พากันหัวใจสั่นสะท้านไปด้วยความหวาดกลัว
เมื่อรู้สึกเหมือนกับว่าตัวของเขากำลังถูกเผาทั้งเป็นในขณะที่ร่างของเขากำลังถูกทิ่มแทงด้วยกระบี่นับพัน ยังไม่ได้พูดไปถึงความปวดหัวที่รู้สึกเหมือนกับว่าวิญญาณของตนเองนั้นถูกขยี้ด้วยพลังที่มองไม่เห็น ฟูกวางก็ยิ่งตั้งใจที่จะกัดลิ้นของตนเองให้ขาด
แต่ทว่าเขาตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าเขาไม่สามารถที่จะปิดปากของตนเองลงได้แม้ว่าจะเพียงสักมิลิเมตรเดียว อย่าว่าแต่กัดลิ้น
“ก-เกิดอะไรขึ้น ทำไมข้าจึงมิสามารถที่จะขยับร่างกายได้ และความเจ็บปวดมหาศาลนี่คืออะไรกัน”
ฟูกวางร่ำร้องในใจและเริ่มตื่นตระหนก
อย่างไรก็ตามในขณะที่เขาตื่นตระหนก ความเจ็บปวดก็ยิ่งเพิ่มความรุนแรงมากขึ้นและภายในไม่กี่วินาที ฟูกวางก็สูญสิ้นความสามารถแม้กระทั่งการคิดภายใต้ความเจ็บปวดนี้
“เจ้าควรจะยกเลิกในความคิดที่จะฆ่าตัวตาย ซูหยางได้วางคำสาปไว้บนตัวเจ้า ซึ่งเจ้าจักมิสามารถฆ่าตัวตายถึงแม้ว่าเจ้าต้องการก็ตาม” ซีซิงฟางกล่าวกับเขาหลังจากที่เธอไม่สามารถทนฟังเสียงกรีดร้องของอีกฝ่ายได้อีกต่อไป ในเมื่อเธอจะต้องค่อยกลายเป็นบ้าเพียงแค่ได้ฟัง
ไม่นานหลังจากนั้นเมื่อฟูกวางได้สูญสิ้นความหวังที่จะฆ่าตัวตายทั้งหมดแล้ว ความเจ็บปวดก็บรรเทาลงอย่างรวดเร็ว
“ข้า..ข้ามิสามารถฆ่าตัวตาย…” ฟูกวางพึมพัมด้วยเสียงเบาหวิวที่ปราศจากอารมณ์ทั้งปวง ราวกับว่าเขาสิ้นทุกความหวังและกลายเป็นบ้า
จากนั้นเขาก็หันไปมองดูซูหยางอย่างช้าๆด้วยสีหน้าหวาดกลัวและกล่าวว่า “เจ้า…ยังเป็นคนอยู่หรือไม่”
“คำพูดเช่นนั้นค่อนข้างจะฟุ่มเฟือยสำหรับเจ้า ผู้ซึ่งสังเวยชีวิตของศิษย์ตนเองกว่า 36,000 คนเช่นนั้น” ซูหยางตอบกลับด้วยสีหน้าเยือกเย็น เห็นได้ชัดว่าไม่มีความรู้สึกสงสารหรือเสียใจในการกระทำของตนเอง
“แต่เจ้าควรถือว่าตัวเจ้ายังโชคดีที่ได้รับคำสาปนั้น ถ้าข้าต้องลงโทษเจ้าด้วยตัวข้าเอง เจ้าจักต้องร้องขอให้ได้รับคำสาปนั้นแทน”
“เขาถือว่าโชคดีที่ได้รับคำสาปนั้นรึ”
คนอื่นๆที่นั่นต่างก็พากันมองดูซูหยางในเวลานั้นเช่นเดียวกัน และพวกเขาต่างก็พากันเงียบบอกกับตัวเองว่าไม่ควรล่วงเกินอีกฝ่ายไม่ว่าอะไรก็ตาม
“อาาา ข้าจักฆ่าเจ้า” ฟูกวางพลันโถมตัวเข้าไปหาซูหยางทันทีด้วยขาข้างเดียวที่ไม่ได้หักหรือถูกตัดออกไป
ดวงตาของเขาแดงดังเลือดและปากของเขาก็อ้ากว้าง ราวกับว่าเขาพยายามที่จะกัดใบหน้าหล่อเหลาของซูหยาง
เพี๊ยะ
เสียงเพี๊ยะอันสดใสดังขึ้นเมื่อโหลวหลานจีพลันปรากฏตัวขึ้นและตบฟูกวางไปที่ใบหน้า ส่งเขาลอยกลับหลังไป
“ไอ้ย่า แม้ว่าเขามิสามารถฆ่าตัวตาย แต่คนอื่นยังคงสามารถฆ่าเขา เขามิได้แตกต่างไปจากคนธรรมดาในตอนนี้ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเจ้าฆ่าเขาด้วยแรงตบเมื่อกี้นี้” ซูหยางอุทานออกมาด้วยเสียงขบขันหลังจากที่ประจักษ์ถึงแรงตบอันดุร้ายจากโหลวหลานจี
“ฮึ่ม ข้าหวังว่าข้าจักสามารถฆ่าเขาด้วยมือของข้าเอง” โหลวหลานจีแค่นเสียงเย็นชา
ซูหยางสามารถรู้สึกได้ถึงร่างกายของเขาที่พลุ่งพล่านไปด้วยพลังวิญญาณและพลัง อย่างไรก็ตามเขารู้ดีว่าพลังเหล่านี้จะอยู่ได้ไม่นานนัก ในเมื่อมันมาจากเสี้ยวของปราณเทพภายในร่างของเขาหลังจากที่มันได้รับพลังจากกระบี่เทพศิลาจันทร์ และเขามีเวลาอย่างมากแค่สิบสองวินาทีก่อนที่มันจะสูญสลายไป
แน่นอนว่ามีเวลาเพียงแค่สิบสองวินาทีก็เพียงพอสำหรับเขาในการฆ่าอสรพิษโลหิตปีศาจและฟูกวางแล้ว
ครั้นเมื่อกระบี่เทพศิลาจันทร์ถูกครอบคลุมไปด้วยเพลิงสีดำแล้ว ดวงตาของซูหยางก็เป็นประกายลึกล้ำและแขนของเขาก็ตวัดกระบี่ขึ้นไปบนท้องฟ้า
“กระบี่ลับอาชูร่า กระบี่แรกกลืนสวรรค์”
วืด
ไฟสีดำพวยพุ่งออกจากคมกระบี่กึ่งโปร่งใสกลายเป็นเพลิงวงโค้งขนาดยักษ์พุ่งเข้าใส่ฟูกวางและอสรพิษโลหิตปีศาจ
ดวงตาของฟูกวางเบิกโพลงด้วยความตกใจเมื่อเห็นเพลิงรูปโค้งขนาดยักษ์ที่ปลดปล่อยพลังมหาศาลมุ่งมาทางเขาอย่างรวดเร็ว
และในเวลาชั่วพริบตา ฟูกวางก็นำเอาสมบัติช่วยชีวิตออกมาและสั่งให้มันทำงานโดยไม่ลังเลตามสัญชาตญาณ ปกคลุมร่างของเขาด้วยแสงสีทองและย้ายร่างของเขาไปยังปลอดภัยที่ระยะหนึ่งร้อยกิโลเมตรจากอสรพิษโลหิตปีศาจในทันที
ทันทีที่ฟูกวางสั่งสมบัติช่วยชีวิตที่มีค่าถึงห้าล้านก้อนหินวิญญาณ เพลิงครึ่งวงกลมก็ไปถึงตรงหน้าอสรพิษโลหิตปีศาจแล้ว
และเมื่อเพลิงครึ่งวงกลมสัมผัสกับอสรพิษโลหิตปีศาจเพียงเล็กน้อยเท่านั้นมันก็แผ่ขยายและกลืนอสรพิษโลหิตปีศาจทั้งตัวแทบจะในทันทีทำให้มันกรีดร้องอย่างเจ็บปวดโหยหวน
อย่างไรก็ตามเพลิงครึ่งวงกลมไม่ได้หยุดอยู่แค่อสรพิษโลหิตปีศาจและยังคงพุ่งต่อไปตามแนวเส้นทาง จนกระทั่งมันปะทะเข้ากับแนวเทือกเขาเบื้องหลังอสรพิษโลหิตปีศาจ
วืด
ทันทีที่เพลิงครึ่งวงกลมสัมผัสกับแนวเทือกเขา มันก็เปลี่ยนทุกสิ่งที่มันสัมผัสไปเป็นฝุ่น ทำลายภูเขาหลายสิบลูกไปอย่างง่ายดาย
เพลิงครึ่งวงกลมยังเดินทางไปอีกหลายกิโลเมตรก่อนที่จะหายไปในอากาศ
เมื่อตอนที่เพลิงครึ่งวงกลมหายไปนั้น อสรพิษโลหิตปีศาจก็เผาใหม้เป็นจุลไม่เหลือแม้ขี้เถ้าให้เห็น
“ป-ป-เป็นไปไม่ได้…”
ฟูกวางจ้องมองไปยังความว่างเปล่าและภูเขาที่ถูกทำลายอย่างหมดจดจนตาถลนออกจากเบ้าและปากอ้าค้าง ในเมื่อเขาไม่เคยเห็นวิชาที่มีพลังอำนาจการทำลายเช่นนี้มาก่อน
ถ้าซูหยางได้ใช้วิชานี้ภายในเมืองหรือสำนักแทนที่จะเป็นป่าเขา เขาจะต้องลบเมืองทั้งเมืองหรือสำนักนั้นทั้งสำนักได้ภายในพริบตา
“ซ-ซูหยางทรงพลังมากน้อยแค่ไหนกัน นี่มิใช่อะไรที่คนที่อยู่ในเขตอัมพรวิญญาณจะสามารถทำได้ แม้กระทั่งปู่ของข้าก็ยังยากลำบากที่จะทำลายภูเขาสักลูกด้วยตัวของเขาเอง อย่าว่าแต่หลายสิบลูก และด้วยความง่ายดายเช่นนี้” ซีซิงฟางอุทานออกมาด้วยท่าทางตกใจหลังจากที่เห็นความสามารถที่แท้จริงของซูหยาง
“ไม่น่าเชื่อ… นั่นเป็นวิชากระบี่ประเภทไหนกันที่เขาเพิ่งใช้ มันเหนือกว่าทุกสิ่งที่ข้าได้เคยเห็นมาก่อน” ร่างกายของผู้อาวุโสซุนสั่นสะท้านกับการเผยโฉมของวิชากระบี่อันล้ำลึกเช่นนั้น รู้สึกด้อยกว่ามากแม้กระทั่งกระแสพลังที่ยังคงตกค้างอยู่
“เจ้ายังคงรอดอยู่รึ” ซูหยางมองไปที่ฟูกวางด้วยสีหน้าเยือกเย็น แต่ว่าร่างกายและใบหน้าของเขาโชกไปด้วยเหงื่อ
การใช้วิชาของตระกูลเทพอาชูร่าแม้แต่เพียงครั้งเดียวก็ทำให้เขาหมดปราณไร้ลักษณ์ของเขาไปเกือบหมด ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงผลลัพธ์อันทรงความแข็งแกร่งจากการใช้ปราณเทพเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับวิชายิ่งขึ้นไปอีก
แต่แม้ว่าจะรู้สึกเหมือนตัวเขาเองสามารถล้มลงไปได้ทุกขณะจากความเหนื่อยล้า ซูหยางก็ยังสามารถฝืนให้มีสติสามารถพูดได้ด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า “จริงแล้วข้าโล่งใจที่เจ้ายังมิตายง่ายๆ ในเมื่อนั่นจะเป็นการผ่อนปรนโทษทัณฑ์ให้กับคนบาปเช่นเจ้ามากเกินไป”
“จ-จ-เจ้า…” ฟูกวางร่างกายแข็งทื่อด้วยความกลัว กระทั่งแม้เขาต้องการที่จะหันกายหนีไป ร่างกายของเขาก็ปฏิเสธที่จะฟังคำสั่ง เป็นเหตุให้ตัวเขาเองยืนอยู่ตรงนั้นเหมือนกับลูกไก่ที่รอถูกเชือด
“ข้าจักทำให้มั่นใจว่าเจ้าจักต้องทนรับผิดชอบต่อชีวิตทุกคนใน 36,000 คนที่เจ้าได้ขโมยไปอย่างไร้ค่า”
ซูหยางใช้ก้าวเก้าดาราและเข้าประชิดตัวฟูกวางในทันที
“เจ้าชั่ว ดรรชนีพิษพิฆาต”
เมื่อซูหยางเข้าไปใกล้เขา ฟูกวางก็พลันสะบัดกรงเล็บที่เคลือบไปด้วยพิษร้ายเข้าใส่ซูหยาง
วืด
กระบี่เทพศิลาจันทร์ในมือซูหยางเปล่งประกายและหายไปในทันที
และในทันใดนั้นเอง มันก็ตัดแขนทั้งสองข้างของฟูกวางออก
หลังจากที่ตัดแขนฟูกวางออกแล้ว ซูหยางก็ทิ่มจุดตันเถียนของฟูกวางด้วยกระบี่เทพศิลาจันทร์
“ผนึกสมบูรณ์กระบี่ศักดิ์สิทธิ์”
จากนั้นซูหยางก็ปิดผนึกพลังการฝึกปรือและอาการบาดเจ็บหนักของฟูกวาง เปลี่ยนให้อีกฝ่ายกลายเป็นคนธรรมดาและป้องกันไม่ให้เลือดไหลออกจากร่างภายในเวลาเดียวกัน
อย่างไรก็ตามเขายังไม่จบกระบวนการกับฟูกวาง ในเมื่อหลังจากนั้นเขาก็ได้ทิ่มนิ้วที่เปล่งแสงสีดำลึกลับไปยังหน้าผากของฟูกวาง
“คำสาปโบราณเก้าพัน”
ฟูกวางสามารถรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงลึกลับเกิดขึ้นภายในร่างของเขา แต่ไม่สามารถบอกได้ชัดเจนว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงภายในร่างของเขา
และทั้งหมดนี้ก็เกิดขึ้นในเวลาชั่วพริบตา ทำให้เป็นไปไม่ได้สำหรับฟูกวางที่จะทันต่อต้าน
“จ-เจ้าทำอะไรกับข้า ซูหยาง” ฟูกวางคำราม รู้สึกเหมือนกับว่าร่างของเขาไม่ได้เป็นของตนเองอีกต่อไป
ซูหยางไม่ได้พูดอะไรกับอีกฝ่าย เพียงแค่ใช้พลังที่ยังเหลืออยู่ในการกลับคืนไปหาชิวเยว่และคนอื่นๆ
“ข้าได้ปิดสกัดพลังการฝึกปรือของฟูกวาง ดังนั้นเขาจึงไร้พลังอย่างสิ้นเชิงในตอนนี้ เขามิได้เป็นอันตรายแม้กระทั่งคนธรรมดาอีกต่อไป เจ้าสามารถทำอะไรก็ได้ตามต้องการกับเขา หญิงซี” ซูหยางกล่าวกันเธอ
“ท-ท่านมั่นใจรึ” ซีซิงฟางพึมพัมด้วยเสียงสับสน เห็นได้ชัดว่ายังคงหวาดกลัวหลังจากที่เห็นพลังที่เหนือล้ำของเขา
ซูหยางพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “เขาได้สังเวยชีวิตมากกว่า 36,000 คน และพวกเขาล้วนเป็นศิษย์ของเขา ข้าคิดว่าจะเป็นการเหมาะสมกว่าถ้าข้าปล่อยให้ตระกูลซีจัดการเขา ยิ่งไปกว่านั้น เขามิได้เป็นอะไรไปมากกว่ามดในสายตาข้า ข้ามิได้สนใจอะไรมากนักกับเขา”
ซีซิงฟางพยักหน้าสองสามอึดใจจากนั้น “ข้าขอสาบานด้วยชื่อของตระกูลข้าว่าตระกูลซีจักลงโทษเขาตามความเหมาะสมและนำความยุติธรรมมาให้กับคนที่เขาฆ่ามิว่ามันจะเล็กน้อยเพียงใดก็ตาม”
ครั้นเมื่อทุกคนข้างกายซูหยางเข้าไปอยู่ภายในค่ายกลป้องกันแล้ว ชิวเยว่ก็ครอบคลุมค่ายกลด้วยค่ายกลป้องกันอีกหลายชั้น แต่ละชั้นของค่ายกลป้องกันนี้สามารถป้องกันผู้ฝึกยุทธในระดับสูงสุดเขตราชันวิญญาญนับร้อยได้โดยไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน อย่าว่าแต่ค่ายกลหลายสิบชั้นซ้อนทับกันอยู่
“ผู้อาวุโส ท่านคิดว่าเขาจะสามารถฆ่าอสรพิษโลหิตปีศาจหรือไม่” ซีซิงฟางถามชิวเยว่ด้วยน้ำเสียงนบนอบ
ชิวเยว่มองดูเธอแล้วยักไหล่ด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าจะรู้ได้อย่างไร”
“เอ๋”
ซีซิงฟางและคนอื่นๆที่นั่นต่างก็พากันมองดูเธอด้วยสีหน้างุนงง ทำไมจอมยุทธอย่างเธอไม่รู้ผลลัพธ์ แน่นอนว่าเธอต้องมีประสบการณ์มากมายเพียงพอที่จะตัดสินผลลัพธ์ของการต่อสู้ก่อนที่มันจะเริ่มต้นขึ้น
แต่อย่างไรก็ตามในความเป็นจริง แม้ว่าจะมีพลังการฝึกปรือและชีวิตที่ได้อยู่มานานหลายพันปี ชิวเยว่ก็ยังขาดประสบการณ์ในการต่อสู้ ในเมื่อเธอได้แต่เพียงมีชีวิตอยู่อย่างสันโดษนับตั้นแต่เด็ก
แน่นอนว่า เธอต้องรับมือกับการไล่ล่าของวิหารจันทราศักดิ์สิทธิ์ แต่เธอเพียงแค่หนีเท่านั้น ซึ่งไม่ได้ต้องการการต่อสู้มากนัก
หลังจากที่มาถึงโลกแห่งนี้ ที่ซึ่งผู้ฝึกยุทธทุกคนนั้นไม่ต่างไปจากมดในสายตาของเธอ ถึงแม้ว่าเธอต้องการที่จะต่อสู้ ที่เธอจำเป็นต้องทำเพื่อให้ได้รับชัยชนะก็เพียงแค่ปลดปล่อยพลังการฝึกปรือของเธอออกมาบ้างและนั่นก็จะทำให้คู่ต่อสู้ของเธอตกใจตาย
เมื่อเห็นสีหน้างุนงงของซีซิงฟาง ชิวเยว่ก็อธิบายต่อหลังจากนั้นว่า “ถ้าซุหยางบอกเจ้าว่ามิต้องกังวลในเรื่องเขา เช่นนั้นก็มิควรจะมีเหตผลอะไรสำหรับเจ้าที่จะต้องไปกังวลเกี่ยวกับเขา แน่นอนว่าสถานการณ์นี้อาจจะดูบุ่มบ่ามและเกินมือของเขา แต่ข้าเชื่อในการตัดสินใจและความมั่นใจของเขา”
เมื่อได้ยินคำพูดของเธอที่ไม่มีแม้กระทั่งเสี้ยวแห่งความสงสัย ซีซิงฟางก็พยักหน้าและตัดสินใจที่จะเชื่อมั่นในซูหยางเช่นกัน
ในเวลานั้น กลางอากาศ ซูหยางและฟูกวางก็ได้จ้องมองกันและกันอยู่อย่างเงียบๆ
“ขอบคุณที่อดทน” ซูหยางกล่าวกับฟูกวางด้วยสีหน้าเฉยเมยหลังจากที่ซีซิงฟางและคนอื่นไปพ้นจากข้างกายเขาแล้ว
ฟูกวางแค่นเสียงเย็นชาพร้อมกับมีสีหน้าดูถูก “ฮึ่ม มิมีความจำเป็นที่จะต้องเร่งรีบ ตราบเท่าที่ข้ามีอสรพิษโลหิตปีศาจนี้ข้างกาย ข้าสามารถฆ่าเจ้าได้ทุกเมื่อยามที่ข้าต้องการได้อย่างง่ายดาย และข้าต้องการให้การตายของเจ้านั้นเป็นไปอย่างช้าๆและเจ็บปวดไ
สายตาของเขาเลื่อนจากใบหน้าของซูหยางไปยังกระบี่ที่อยู่ในมืออีกฝ่าย “ข้าควรขอบใจเจ้าเสียก่อนสำหรับการมอบสมบัติที่น่ามหัศจรรย์เช่นนี้ให้กับข้า”
ซูหยางยกกระบี่ขึ้นและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ถึงแม้ว่าข้ายื่นกระบี่นี้ให้กับเจ้าในตอนนี้ เจ้าก็มิสามารถที่จะถือมันได้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าสมบัติวิญญาณที่ระดับสวรรค์ชั้นสุดท้ายขึ้นไปจะมีจิตวิญญาณเป็นของตนเอง”
“เมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้น พวกมันสามารถที่จะเลือกเจ้าของของพวกมันได้ ผู้ที่สามารถถือพวกมันและผู้ที่ไม่สามารถแม้จะแตะต้องพวกมันได้”
และเป็นเวลานานมากว่าหลายพันปีแล้ว แต่ก็ยังมีคนแค่สองคนเท่านั้นที่สามารถได้รับสิทธิ์จากกระบี่เทพศิลาจันทร์”
“พูดจาไร้สาระ” ฟูกวางสะบัดชายเสื้ออย่างรุนแรงจนทำให้ปราณไร้ลักษณ์ที่บริเวณนั้นแตกกระจาย
“ถ้าเจ้ามิเชื่อข้า ทำไมเจ้ามิถือกระบี่นี้และดูว่าจักเกิดอะไรขึ้นกับร่างของเจ้าหลังจากนั้น” ซูหยางพลันยื่นส่งกระบี่ไปหาฟูกวางด้วยสีหน้าเรียบเฉย ราวกับว่าเขากำลังเสนอกระบี่ให้กับฟูกวาง
“ซูหยาง” ซีซิงฟางถึงกับงงงันไปกับการกระทำของเขา มีโอกาสสูงมากที่ซูหยางเพียงแค่บลัฟ แต่ถ้าฟูกว่างสามารถได้รับสมบัตินั้น นั่นย่อมเป็นหายนะสำหรับพวกเขาทุกคน
อย่างไรก็ตามชิวเยว่กล่าวด้วยเสียงเยือกเย็นว่า “ซูหยางไม่ได้บลัฟ สมบัตินั่นมีจิตวิญญาณของตัวมันเองจริงๆ ตามความเป็นจริงแล้วแม้ว่าข้าจะสามารถสัมผัสมันได้ แต่ข้าก็ไม่สามารถที่จะควบคุมมันได้ ถ้าเป็นคนอื่นที่มิใช่ซูหยางและแม่ของข้าสัมผัสมัน กระบี่เทพศิลาจันทร์ก็จักพยายามฆ่าคนพวกนั้นด้วยการเทปราณไร้ลักษณ์จำนวนมหาศาลที่คนพวกนั้นไม่สามารถรับได้เข้าไปในร่างคนพวกนั้น ทำให้ร่างของคนพวกนั้นระเบิดในทันใดฆ่าคนพวกนั้นตายคาที่”
ซีซิงฟางร่างกายสั่นสะท้านเมื่อนึกถึงภาพฉากนั้น เมื่อตอนที่ร่างของเธอแตกระเบิดออกจากการที่เพียงแค่แตะสมบัติชิ้นนี้
“…”
ฟูกวางจ้องมองไปที่กระบี่พร้อมกับขมวดคิ้วแน่น แม้ว่าเขาค่อนข้างมั่นใจว่าซูหยางเพียงแค่บลัฟว่าอาวุธวิญญาณนั้นมีจิตวิญญาณของตนเอง แต่เขาก็สามารถรับรู้ได้ถึงความรู้สึกอันตรายอันละเอียดอ่อนออกมาจากกระบี่
มันเป็นความรู้สึกที่มาจากสัญชาตญาณของเขา เป็นความรู้สึกที่ทำให้เซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายของเขาสั่นสะท้าน
หลังจากที่เวลาผ่านไปอีกสักพักโดยที่ไม่มีความเคลื่อนไหวจากฟูกวาง ซูหยางก็ดึงกระบี่กลับแล้วกล่าวว่า “ข้าเป็นคนที่มีธุระยุ่ง ดังนั้นข้าจะมิยืดเยื้ออีกต่อไป”
หลังจากที่พูดคำเหล่านั้นแล้วซูหยางก็ลูบคลำตัวกระบี่กึ่งโปร่งใสนั้นอย่างเบามือด้วยนิ้วของเขา จนทำให้เกิดเปลวไฟสีดำพวยพุ่งขึ้นจากบริเวณที่เขาสัมผัส
เมื่อถึงตอนที่นิ้วของเขาเลื่อนไปถึงปลายสุดของตัวกระบี่ ทั้งตัวกระบี่ก็ปกคลุมไปด้วยไฟสีดำ
อย่างไรก็ตามแม้ว่ามือของเขาจะอยู่ภายในไฟสีดำที่ดูอันตรายนั้น ซูหยางก็เพียงแค่รู้สึกอบอุ่นสบาย ราวกับว่ามือของเขานั้นพันไว้ด้วยผ้านุ่มๆ
ในเวลานั้น ปราณไร้ลักษณ์ในรัศมี 10,000 กิโลเมตรก็พุ่งเข้าไปหาบริเวณที่ซูหยางอยู่และถูกดูดกลืนด้วยกระบี่เทพศิลาจันทร์ จนทำให้เพลิงสีดำนั้นยิ่งดำและร้ายกาจยิ่งกว่าเดิม ราวกับว่าเป็นเพลิงที่มาจากส่วนลึกที่สุดของนรก
ในเวลานี้ ซูหยางก็ไม่ได้ดูเหมือนจะเป็นเพียงแค่ยอดยุทธในเขตอัมพรวิญญาณอีกต่อไป เมื่อเขาปลดปล่อยกระแสพลังที่คล้ายคลึงกับอสรพิษโลหิตปีศาจ ไม่ใช่ นี่ยิ่งเหนือกว่ามันขึ้นไปอีก
เมื่ออสรพิษโลหิตปีศาจรับรู้ถึงจิตสังหารและกระแสพลังที่น่าหวาดกลัวที่มาจากเพลิงสีดำ มันก็เริ่มสั่นสะท้านในขณะที่ส่งเสียงแปลกๆที่ฟังดูคล้ายกับว่ามันกำลังร่ำร้องไห้
“อสรพิษโลหิตปีศาจ” ฟูกวางมองดูมันกระสับกระส่ายไปมาคล้ายกับว่ามันต้องการที่จะหนีไปด้วยสีหน้าแตกตื่น เขาเพียงไม่อยากเชื่อสายตาของตนเอง ทำไมอสรพิษโลหิตปีศาจสัตวอัญเชิญที่ต้องการคนสังเวยกว่า 36,000 คนในการอัญเชิญจึงสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวต่อหน้าแค่ผู้ฝึกวิชาในเขตอัมพรวิญญาณ
เมื่อกระบี่กึ่งโปร่งใสปรากฏขึ้นบนโลกนี้ ก็เหมือนกับว่าสมบัติได้บังเกิดขึ้นในพื้นที่แห่งนั้น จนทำให้ปราณไร้ลักษณ์ในรัศมีกว่า 1,000 กิโลเมตรมารวมตัวกันรอบๆซูหยาง
ยามเมื่อปราณไร้ลักษณ์มารวมตัวกันใกล้กับซูหยางแล้ว กระบี่นั้นก็สั่นสะเทือน เกิดประกายแสงอันลึกล้ำ ก่อนที่จะดูดซับปราณไร้ลักษณ์ที่อยู่ใกล้ๆจนหมดในเกือบทันที
“ส-สมบัติประเภทไหนกันนี่”
ไม่เพียงแต่แค่ฟูกวาง แต่ผู้คนทั้งหมดที่อยู่ที่นั่นต่างพากันตกใจจนพูดไม่ออกกับการปรากฏตัวขึ้นของสมบัติลึกลับนี้
“กระทั่งสมบัติวิญญาณระดับเทพขั้นต่ำที่เป็นมรดกตกทอดของตระกูลข้าก็ยังมิอาจที่จะปลดปล่อยกระแสพลังเช่นนั้นได้” ซีซิงฟางกลืนน้ำลายอย่างยากเย็น
เหนือกว่าสมบัติวิญญาณระดับสวรรค์ ก็ยังมีระดับเทพ และในทั้งทวีปตะวันออกนี้ ก็มีสมบัติระดับนี้ปรากฏอยู่เพียงชิ้นดียว ซึ่งเป็นของตระกูลซี แต่ทว่ากระบี่ที่สวยงามในมือของซูหยางนั้นปลดปล่อยกระแสพลังที่เหนือกว่าสมบัติวิญญาณระดับเทพมากนัก ซึ่งเพียงบอกได้ว่ามันอยู่เหนือกว่ากระทั่งสมบัติระดับเทพ
ในเวลานั้น ที่ห่างออกไปสองสามกิโลเมตรจากสถานที่แห่งนั้น ภายในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ชิวเยว่พลันลืมตาขี้นอย่างรวดเร็วเมื่อเธอรู้สึกถึงการไหลของปราณไร้ลักษณ์ที่ผิดปกติ
“ความรู้สึกนี้คือ…”
เธอหยุดการฝึกวิชาของตนเอง และรีบออกไปจากบ้านในทันที และพุ่งทะยานไปยังตำแหน่งของซูหยาง
เมื่อเธอเข้าใกล้พอที่จะเห็นสัตว์อัญเชิญ และกระบี่ในมือของซูหยาง เธอก็ลืมตาโพลงด้วยความประหลาดใจ
“กระบี่เทพศิลาจันทร์”
ชิวเยว่ประหลาดใจที่เห็นกระบี่ของเธอถูกเขาใช้ กระบี่เทพศิลาจันทร์นั้นเป็นสมบัติของวิหารจันทราศักดิ์สิทธิ์ และครั้งหนึ่งเคยถูกใช้โดยเยว่ไฮ่ แม่ของเธอ แต่เมื่อเธอวิ่งหนีจากวิหารจันทราศักดิ์สิทธิ์นั้น ชิวเยว่ได้ขโมยกระบี่และนำมันไปกับเธอด้วย นี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำไมวิหารจันทราศักดิ์สิทธิ์จึงไล่ติดตามเธอสุดชีวิต ในเมื่อเธอมีหนึ่งในสมบัติล้ำค่าที่สุดของพวกเขา
“พ่—ซูหยาง เกิดอะไรขึ้น” ชิวเยว่พุ่งเข้าไปยืนข้างกายเขาพร้อมกับถาม
“ท-ท่านคือ”
เมื่อคนอื่นเห็นชิวเยว่ พวกเขาก็ลืมตาโพลงด้วยความตกใจ
“เทพธิดาจากเมื่อตอนนั้น” ซีซิงฟางร่างสั่นสะท้านหลังจากที่รู้สึกถึงตัวตนอันพ้นโลกของชิวเยว่
“บ้าแล้วนั่นใครกัน ข้ารู้สึกถึงลางร้ายที่มาจากตัวเธอ… เธอเป็นคนที่อันตรายที่สุดคนหนึ่ง…” ฟูกวางจ้องมองไปยังชิวเยว่พร้อมกับขมวดคิ้วแน่น เพราะว่านิกายล้านอสรพิษไม่ได้รั้งอยู่หลังจากที่พวกเขาพ่ายแพ้ ฟูกวางจึงไม่รู้ถึงการคงอยู่ของชิวเยว่
“ท-ท่านคืออาจารย์ของซูหยาง ถ้าเป็นท่าน ซึ่งกระทั่งปรมาจารย์ยังต้องก้มหัวให้ ท่านต้องสามารถเอาชนะสัตว์อสูรนั่นได้ใช่ไหม” ผู้อาวุโสจงพลันกล่าวขึ้นขณะที่ชี้ไปยังอสรพิษโลหิตปีศาจ
“อาจารย์รึ” ชิวเยว่หันไปมองดูเขาพร้อมกับขมวดคิ้ว “ข้ามิใช่อาจารย์เขา”
จากนั้นเธอก็หันไปมองดูอสรพิษโลหิตปีศาจพร้อมกับเลิกคิ้ว กล่าวว่า “ระดับสูงสุดของเขตราชันย์วิญญาณรึ แม้ว่าพลังการฝึกปรือของมันจะดูสูง แต่พลังภายในของมันไม่เสถียร เจ้านี้มีพลังอำนาจเทียบเท่ากับคนที่อยู่ในระดับสองหรือสามเขตราชันย์วิญญาณเป็นอย่างมาก”
“ถ้าอย่างนั้น ท่านต้องการให้ข้าฆ่าสัตว์ร้ายนี้ไหม” เธอถามซูหยางด้วยสีหน้าไม่หวั่นไหว ราวกับว่าอสรพิษโลหิตปีศาจนี้ไม่ต่างไปจากงูธรรมดาในสายตาของเธอ
“ไม่ นี่เป็นโอกาสอันดีที่ข้าจะได้ทดสอบความสามารถเต็มที่ของข้า แม้ว่าข้าจะโกงบ้างเล็กน้อยด้วยการใช้กระบี่เทพศิลาจันทร์ สมบัติระดับโบราณ ข้าในตอนนี้มิได้มีสมบัติอื่นในมือที่สามารถทนต่อวิชาของตระกูลเทพอาชูร่า”
@อ่านตอนล่าสุดที่ my-novel.co หรือ www.thai-novel.com
“วิชาของตระกูลเทพอาชูร่ารึ อย่าบอกข้านะว่านั่นท่านกำลังจะใช้วิชาเดียวกับที่ใช้ขู่เด็กหญิงนั่น” ชิวเยว่นึกไปถึงเวลานั้นในทวีปศักดิ์สิทธิ์กลาง เมื่อเขาทำให้วูจิงจิงถึงกับฉี่ราดกางเกงจากการใช้วิชากระบี่จากตระกูลเทพอาชูร่า
ซูหยางพยักหน้า
“เจ้าสามารถปกป้องคนที่อยู่ด้านล่างเหล่านั้นได้ไหม” ซูหยางมองไปยังเหล่าศิษย์ที่อยู่บริเวณพื้นที่ทดสอบ
ชิวเยว่พยักหน้าและตรงไปหาพวกเขา ก่อนที่จะสร้างค่ายกลป้องกันที่ทรงพลังรอบๆตัวพวกเขา
“ช-ช่างเป็นค่ายกลที่ทรงพลังนัก และเธอก็ยังสามารถสร้างขึ้นมาได้ภายในชั่วกระพริบตา” โหลวหลานจีถึงกับงงงันกับความสามารถของชิวเยว่ ครุ่นคิดว่าเธอเป็นคนหนึ่งที่ซูหยางได้พูดถึงว่าจะให้ช่วยเขาสร้างค่ายกลให้กับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยหรือไม่
“เจ้าดูอะไรอยู่รึ” ชิวเยว่มองไปที่เธอพร้อมกับเลิกคิ้ว
“จริงแล้วเพียงแค่ว่าท่านเป็นใครกัน เซียนเหมือนกับซูหยางรึ” โหลวหลานจีถามเธอด้วยเสียงกระซิบ
ชิวเยว่มองดูอีกฝ่ายพร้อมกับหรี่ตาแล้วกล่าวว่า “เจ้ารู้ความเป็นมาของเขาแล้วรึ เจ้าเป็นใครกัน”
“ข-ข้าเป็นผู้นำของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย และใช่ เขาบอกข้าเล็กน้อยเกี่ยวกับความเป็นมาของเขาก่อนหน้านี้…”
“อย่างงั้นรึ” หลังจากที่จ้องมองดูโหลวหลานจีชั่วขณะ ชิวเยว่ก็เลิกให้ความสนใจเธอ และกลับไปดูซูหยางต่อไป
ในเวลานั้นซูหยางก็กล่าวกับจอมยุทธเขตอัมพรวิญญาณคนอื่นว่า “ถ้าพวกเจ้ามิต้องการที่จะได้รับผลกระทบจากการระเบิด ข้าแนะนำให้พวกเจ้าถอยไปยู่กับเหล่าศิษย์ พวกเจ้าจะปลอดภัยที่นั่น”
“ท่านมั่นใจว่าท่านมิต้องการความช่วยเหลืออะไรจากพวกเรารึ ซูหยาง ถึงแม้ว่านี่จะอันตรายอยู่บ้าง ข้าก็ยินดีที่จะอยู่เบื้องหลังและช่วยท่านเอาชนะสัตว์ร้ายนั่น” ซีซิงฟางถามเขาด้วยใบหน้าเป็นกังวลภายใต้ผ้าคลุม
ไม่ว่าเขาจะดูมีพรสวรรค์เท่าไหร่ก็ตาม ปกติแล้วมันเป็นเรื่องบุ่มบ่ามที่จะต่อสู้กับผู้ที่แข็งแกร่งกว่าตัวเองทั้งเขต โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคู่ต่อสู้นั้นเป็นสัตว์ร้ายในเขตราชันย์วิญญาณ
สัตว์วิญญาณเป็นที่รู้จักกันว่ามีความแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกยุทธมนุษย์โดยธรรมชาติในระดับเดียวกัน ดังนั้นถ้าผู้ฝึกยุทธต้องการที่จะเอาชนะสัตว์วิญญาณที่ระดับแรกเขตราชันย์วิญญาณ ผู้ฝึกยุทธต้องมีความแข็งแกร่งอย่างน้อยที่ระดับสองหรือระดับสามขึ้นไปในการต่อสู้กับมัน
แน่นอนว่ายังมีผู้ฝึกยุทธอัจฉริยะที่สามารถต่อสู้กับสัตว์วิญญาณเหนือกว่าระดับปัจจุบันของตนเอง แต่คนเหล่านั้นมีน้อยมากและอยู่ห่างไกลมาก
“อย่ากังวลในเรื่องข้า ให้ไปอยู่ที่คนอื่นอยู่ สิ่งต่างๆที่นี่อาจจะค่อนข้างวุ่นวายเล็กน้อยชั่วขณะ และข้าอาจจะมิสามารถควบคุมวิชานี้ได้อย่างสมบูรณ์ และข้ามิต้องการที่จะทำให้เจ้าบาดเจ็บ”
หลังจากที่จ้องมองเขาชั่วขณะ ซีซิงฟางก็พยักหน้าและมุ่งหน้าไปยังค่ายกลป้องกันรอบตัวชิวเยว่ เช่นเดียวกับจอมยุทธเขตอัมพรวิญญาณคนอื่น
“สัตว์อัญเชิญมีระดับเหนือกว่าเขตอัมพรวิญญาณงั้นรึ เป็นไปได้ไหมว่ามันอยู่ในระดับเดียวกับปู่ของข้า เขตราชันย์วิญญาณ” ซีซิงฟางร่างกายสั่นสะท้านไปกับความคิดที่ว่ามีสัตว์อสูรเช่นนั้นเตร็ดเตร่ไปมาบนโลกนี้
“ถ้านั่นเป็นจริง ซึ่งก็ดูเหมือนจะเป็นไปได้มากในเมื่อข้าเองก็มิสามารถเห็นพลังการฝึกปรือของมันได้ เช่นนั้นข้าเกรงว่าคงมีแต่ท่านปรมาจารย์ที่มีความสามารถที่จะฆ่าสัตว์ร้ายนี้ได้…” ผู้อาวุโสจงกล่าวพร้อมกับคิ้วมุ่นลึก
“พวกเราควรทำอะไรดี ซูหยาง”
ผู้คนที่นั่นต่างพากันมองดูเขา ในเมื่อเขามักจะดูเหมือนมีคำตอบในทุกสถานการณ์ไม่ว่ามันจะเลวร้ายมากน้อยเพียงใด
“อืมมมม…” ซูหยางลูบคางของเขาด้วยสีหน้าสงบและกล่าวว่า “สัตว์อัญเชิญนั่นมิเพียงอยู่ในเขตราชันย์วิญญาณ แต่มันก็ยังอยู่ในระดับสูงสุดของเขตราชันย์วิญญาณอีกด้วย ข้าเกรงว่ามิมีใครในหมู่พวกเจ้าที่นี่จะสามารถเอาชนะมันได้ และก็ยังเป็นเช่นนั้นถึงแม้ว่าจะเป็นผู้เฒ่านั่นที่อยู่ในเขตราชันย์วิญญาณ”
“อ-อะไรกัน เช่นนั้นพวกเราควรจะทำบ้าอะไรกันต่อไป ถึงแม้ว่าพวกเราจะมิสามารถเอาชนะมัน พวกเราก็มิสามารถเพียงแค่นั่งดูโดยมิทำอะไรทั้งสิ้น” ไป่ลี่ฮัวกล่าว
จากนั้นเธอก็ชี้ไปยังเขาแล้วกล่าวต่อว่า “แล้วทำไมเจ้าจึงผ่อนคลายบ้าอะไรในสถานการณ์เช่นนี้”
ซูหยางยักไหล่และกล่าวว่า “ทำไมข้าจักต้องกระวนกระวายด้วยเล่า แม้ว่ามิมีใครสักคนในหมู่พวกเจ้าสามารถฆ่ามัน ข้ามีวิธีมากมายที่สามารถกำจัดมันได้”
“ทำไมเจ้าจึงมิพูดออกมาเสียแต่ต้น”
หลังจากนั้นชั่วขณะ อสรพิษโลหิตปีศาจก็หยุดเคลื่อนไหวเมื่ออยู่ห่างออกไปสองสามกิโลเมตรจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ราวกับว่ามันไม่ได้เร่งรีบในการทำลายทุกสิ่งในเส้นทางของมัน
“ซูหยาง เจ้ามีคำสั่งเสียอะไรก่อนที่ข้าจะเหยียบย่ำนิกายของเจ้าจมธรณีจนสิ้นซากในขณะที่เจ้าได้แต่ดูอย่างสิ้นหวัง” ฟูกวางหัวเราะเสียงดัง
สองสามอึดใจให้หลัง ซูหยางก็ใช้พลังวิญญาณของตนเองยกตัวขึ้นสู่ท้องฟ้าและลอยไปอยู่ต่อหน้าอสรพิษโลหิตปีศาจ
“ให้ข้าไปกับเจ้าด้วย ซูหยาง” ซีซิงฟางก็ติดตามเขาขึ้นสู่อากาศไปด้วยเช่นกัน
“อ-องค์หญิง”
ในเมื่อเขามีภาระต้องปกป้องซีซิงฟาง ผู้อาวุโสจงก็ติดตามพวกเขาไปด้วยเช่นกัน
“…”
ไป่ลี่ฮัวถอนหายใจ ถึงแม้ว่านี่จะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับสำนักหงส์สวรรค์ เธอก็ยังมีภาระที่จะต้องปกป้องตระกูลซีในฐานะผู้นำสำนักระดับสูง
ส่วนสำหรับคนอื่นๆนั้น ในเมื่อพวกเขาไม่ได้อยู่ในเขตอัมพรวิญญาณ พวกเขาจึงไม่มีความสามารถที่จะทะยานสู่ท้องฟ้า บีบให้พวกเขาได้แต่มองดูจากพื้นดิน
“โชคดี ซูหยาง”
“รักษาตัวให้ปลอดภัย ทุกคน”
คนอื่นๆต่างพากันส่งเสียงให้กำลังใจพวกเขา
“ต่อให้พวกเจ้าทั้งสี่คนโจมตีพร้อมกัน เจ้าก็จักมิสามารถที่จะเอาชนะสัตว์อัญเชิญของข้าได้” ฟูกวางยืนอยู่ต่อหน้าพวกเขาด้วยสีหน้าหลงลำพอง
“…”
ซูหยางจ้องมองไปยังอสรพิษโลหิตปีศาจเป็นเวลาชั่วขณะก่อนที่จะพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า “ข้ามิอาจจะนึกออกว่านิกายล้านอสรพิษทรัพยากรพอที่จะอัญเชิญสัตว์ร้ายระดับนี้ได้ คนกี่คนที่เจ้าสังเวยเพื่ออัญเชิญมัน 1,000 คน 10,000 คน”
“โอ เจ้ารู้ด้วยรึ” รอยยิ้มฉีกกว้างน่าหวาดกลัวปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฟูกวางขณะที่เขากล่าว “จริงแล้ว มิได้มากมายนัก ข้าเพียงแค่สังเวยไปประมาณ 90% ของจำนวนศิษย์ในนิกายในการที่จะอัญเชิญมัน”
“อ-อะไรกัน เจ้าสังเวยศิษย์ของเจ้าเอง และเป็นจำนวนถึง 90% ของนิกาย เพียงเพื่อที่จะแก้แค้นกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยนะรึ เจ้ามันบ้าไปแล้ว” ซีซิงฟางปิดปากด้วยมือที่สั่นสะท้านของเธออย่างตระหนก
นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมีศิษย์อยู่ประมาณ 40,000 คน และถ้าฟูกวางได้สังเวย 90% ของศิษย์ของตนเอง นั่นย่อมตกประมาณ 36,000 ชีวิตที่ถูกสังเวย
“ฟูกวาง… เจ้ามันบ้า…” กระทั่งผู้อาวุโสจงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าท้องไส้ของตนเองปั่นป่วนหลังจากที่เรียนรู้ว่า มีชีวิตกว่า 36,000 ชีวิตได้ถูกสังเวยไปเพื่ออัญเชิญอสรพิษโลหิตปีศาจนี้
“ข้าคิดสงสัยว่าศิษย์เหล่านี้ยินดีที่จะสละตัวเองด้วยรึ เจ้าทำอะไรกับพวกเขา” ไป่ลี่ฮัวถามเขาด้วยสายตาเย็นเยียบ
“จริงแล้วข้ามิได้ทำอะไรมาก ข้าเพียงแค่เรียกพวกเขามารวมตัวกันในที่แห่งหนึ่งก่อนที่จะทำให้พวกเขาหลับไปด้วยยา พวกเขาทั้งหมดล้วนตายอย่างสงบและไม่รู้อะไรทั้งสิ้น ส่วนศิษย์ที่เหลืออีกประมาณ 10% นั้น ข้าจักใช้ชีวิตพวกเขาเพื่อเติมความแข็งแกร่งให้กับอสรพิษโลหิตปีศาจก่อนที่ข้าจะทำลายตระกูลซีหลังจากนี้”
“สวรรค์ย่อมมิให้อภัยแก่เจ้าเรื่องนี้แน่ ทัณฑ์สวรรค์ย่อมจักมาถึงมิช้าก็เร็วเพื่อลงโทษเจ้า” ซีซิงฟางอุทานออกมาด้วยน้ำตาคลอเบ้า ในเมื่อเธอไม่สามารถแม้กระทั่งจะเริ่มจินตนาการถึงฉากนองเลือดที่นิกายล้านอสรพิษในตอนนี้ได้
ซูหยางถอนหายใจยาวและกล่าวด้วยเสียงเชื่องช้าแต่ชัดเจนว่า “ถ้าข้ารู้ว่าสิ่งนี้จักเกิดขึ้น ข้าก็ควรทำลายนิกายล้านอสรพิษตั้งแต่วันที่เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น อย่างน้อยศิษย์เหล่านั้นก็จักมิต้องตายอย่างอนาถ”
“แต่เจ้ารู้ไหม ฟูกวาง…สิ่งที่เจ้าทำลงไปในตอนนี้นั้นค่อนข้างจะไร้จุดหมาย”
“ไร้จุดหมาย เจ้าพูดอย่างงั้นรึ หรือว่านี่เป็นทุกสิ่งที่เจ้าต้องการพูดในตอนนี้เมื่อข้าได้ต้อนเจ้าจนมุม ซูหยาง เจ้าช่างน่าสงสารเหลือเกิน” ฟูกวางมองดูเขาพร้อมกับขมวดคิ้ว
ซูหยางส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “เจ้าได้สังเวยคนนับหมื่นชีวิต ต่างล้วนเป็นศิษย์ของเจ้า ทำลายนิกายของเจ้าเองในกระบวนการนี้… ทั้งหมดนี้เพื่ออะไร เพียงเพื่อแค่ฆ่าข้างั้นรึ”
“เจ้าต้องมีความมั่นใจอยู่บ้างว่าเจ้าอาจจะสามารถฆ่าข้าได้เช่นนี้ แต่ความมั่นใจของเจ้ามาจากไหน ข้าสงสัย”
“ฮ่า หรือว่าเจ้ากลายเป็นโง่จากความหวาดกลัวไปแล้ว เจ้าอาจจะเป็นอัจฉริยะ แต่เจ้ายังคงเป็นมนุษย์ เจ้าอาจจะมีความสามารถบางอย่าง แต่พลังของเจ้านั้นมีจำกัด เจ้าเพียงแค่อยู่ในเขตอัมพรวิญญาณ แต่อสรพิษโลหิตปีศาจของข้านั้นอยู่ในระดับสูงสุดของเขตราชันย์วิญญาณ แม้แต่เซียนก็มิอาจจะเพิกเฉยกับความแตกต่างอย่างมากในระดับของพลังการฝึกปรือได้ไ
ซูหยางเพียงแค่ยักไหล่และกล่าวว่า “ข้าคงจักเพียงแค่เสียน้ำลายถ้าข้าจะพยายามอธิบายให้เจ้าฟัง ดังนั้นข้าจักแสดงให้เจ้าเห็นว่าช่างไร้จุดหมายเพียงใดกับการกระทำและความเสียสละของเจ้าด้วยการฆ่าสัตว์ร้ายที่เจ้ามั่นใจมากว่าจักสามารถฆ่าข้าได้นี้เสีย”
ในเวลาถัดไป ซูหยางก็นำเอากระบี่ที่สวยงามซึ่งตัวกระบี่นั้นกึ่งโปร่งใสทั้งยังปลดปล่อยกระแสพลังที่กดดันออกมาจากแหวนมิติของเขา จนทำให้บรรยากาศนั้นเปลี่ยนไปในทันที ราวกับว่าตัวตนอันศักดิ์สิทธิ์ได้ปรากฏกายขึ้น
จวบจนกระทั่งสิ้นสุดของวันที่เจ็ด วันสุดท้ายของการทดสอบ นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้รับศิษย์ใหม่ทั้งหมด 893 คน
มีเวลาเหลืออยู่เพียงอีกหกชั่วโมงก่อนที่การทดสอบจะสิ้นสุด แต่ก็ยังมีเหลือที่ว่างอีกประมาณหนึ่งร้อยที่เพื่อเติมให้เต็ม
“ในอีกหกชั่วโมง การทดสอบศิษย์ก็จักถึงเวลาสิ้นสุด แต่เมื่อเห็นแล้วว่าพวกเราใกล้ที่จะถึงขีดจำกัดที่พวกเราจะรับ ดังนั้นถ้าพวกเรายังมิได้มีศิษย์ถึง 1,000 คนภายในหกชั่วโมง พวกเราก็จะทำการทดสอบต่อไปอีกจนกว่าพวกเรามีศิษย์ครบ 1,000 คน แน่นอนว่าพวกเราจักเพียงยืดเวลาต่อไปอีกเพียง 24 ชั่วโมงเท่านั้น ดังนั้นถึงแม้ว่าพวกเราจะมิได้มีศิษย์ถึง 1,000 คนในเวลานั้น พวกเราก็จะปิดการทดสอบไปจนกว่าจะถึงปีหน้า”
“อีกนัยหนึ่งก็คือ ครั้นเมื่อพวกเราได้รับศิษย์คนที่ 1,000 คนแล้ว พวกเราก็จักปิดการทดสอบทันที ถ้าพวกเจ้ามิได้รับโอกาสในการเข้าร่วมการทดสอบในปีนี้ แต่ต้องการที่จะกลับมาในปีหน้า พวกเราก็จะให้ป้ายแก่พวกเจ้าเพื่อที่ว่าพวกเจ้าสามารถข้ามไปยังแถวหน้าและเป็นคนแรกๆในการเข้าร่วมการทดสอบในปีหน้า”
เมื่อผู้เข้าร่วมที่นั่นได้ยินการประกาศนี้ พวกเขาต่างก็พากันกระวนกระวายขึ้นมาในทันใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจำนวนที่ว่างที่เหลืออยู่เริ่มลดลงไปทีละตำแหน่ง
หกชั่วโมงถัดมาเพราะว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยยังไม่ได้จำนวนศิษย์ 1,000 คนตามที่ต้องการและยังคงมีที่เหลืออยู่อีก 36 ตำแหน่ง พวกเขาจึงตัดสินใจที่จะยืดเวลาออกไปอีก 24 ชั่วโมง
สี่ชั่วโมงหลังจากที่ยืดเวลาออกไปแล้วจำนวนที่ว่างก็ลดลงเหลือแค่ 17 ตำแหน่ง
และหลังจากผ่านไปอีกสองชั่วโมง จำนวนที่ว่างก็เหลือเพียง 7 ตำแหน่ง
“ทำไมเจ้าจึงยืดเวลา ซูหยาง ข้ามิคิดว่าเจ้าจักใจกว้างเช่นนั้น” โหลวหลานจีถามเขา
ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “เพราะว่าข้าอารมณ์ดี”
“หรือว่าเป็นเพราะเธอ” ดวงตาของโหลวหลานจีจับอยู่ที่เยี่ยนเยี่ยน ซึ่งยืนอยู่ที่นั่นตลอดเวลาเหมือนกับเป็นตุ๊กตา
“ข้าเดาว่าเจ้าต้องกล่าวเช่นนั้น มิว่าอย่างไรนี่จักเป็นครั้งแรกของข้าที่ได้สอนคนที่เป็นที่รักของสวรรค์ ข้าสนใจใคร่รู้ว่าเธอจักเติบโตได้มากและเร็วแค่ไหน”
หลังจากอีกหนึ่งชั่วโมงผ่านไป ก็เหลือเพียงสามตำแหน่งที่เหลืออยู่
“ต้องการศิษยอีกเพียงแค่สามคนรึ” โหลวหลานจีพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
แม้ว่าการรับศิษย์เพียงแค่ 1,000 คนนั้นน้อยกว่าสิ่งที่เธอคาดคิดไว้จากสถานการณ์และชื่อเสียงปัจจุบันของเธอไว้มากนัก แต่นั่นก็ยังดีกว่าแต่ก่อนมากนัก ที่ซึ่งพวกเขาได้รับเพียงศิษย์ไม่กี่สิบคนทุกปีแม้กระทั่งในช่วงที่นิกายเข้าสู่ยุครุ่งโรจน์
“โอ ใช่แล้ว ซูหยาง ข้ามีคำถาม—”
ในขณะที่โหลวหลานจีกำลังอ้าปาก แผ่นดินก็เริ่มสะเทือน
“อะไรกัน แผ่นดินไหวรึ”
ผู้คนที่นั่นไม่ได้ให้ความสนใจมากนักในตอนต้น ต่างคาดคิดว่าแรงสั่นสะเทือนก็จะหายไปภายในไม่กี่วินาที
แต่ทว่าแผ่นดินกลับสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่องแม้กระทั่งหลังจากเวลาผ่านไปนานถึงหนึ่งนาที รุนแรงขึ้นตลอดเวลาที่ผ่านไป
“ก-เกิดอะไรขึ้น นี่มิใช่แผ่นดินไหวธรรมดาแล้ว”
ผู้คนที่นั่นต่างพากันเกิดความกังวลและกระสับกระส่ายเพิ่มขึ้น
“ซูหยาง เกิดอะไรขึ้น อะไรที่ทำให้เกิดแผ่นดินไหวนี้” โหลวหลานจีถามเขา
“…”
อย่างไรก็ตามซูหยางยังคงเงียบขณะที่เขาจ้องไปยังทิศทางหนึ่งด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“???”
โหลวหลานจีจึงหันมองไปทางด้านนั้นเช่นกัน แต่เธอไม่สามารถเห็นอะไรที่นั่นไม่ว่าเธอจะมองอย่างไรก็ตาม
สองสามอึดใจให้หลัง บางคนค่อยชี้ไปยังทางที่ซูหยางได้จ้องมองไปและพลันอุทานออกมาด้วยเสียงตระหนกและหวาดกลัวว่า “ด-ด-ดูทางนั้น นั่นมันตัวบ้าอะไรกัน”
ผู้คนที่นั่นต่างพากันหันไปมองที่ซึ่งคนผู้นั้นได้ชี้ และนั่นก็เป็นตอนที่ทุกคนสามารถเห็นงูสีดำขนาดมหึมาปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าหลายกิโลเมตรจากที่นั่น
งูสีดำนี้มีดวงตาสีแดงเลือดและมีกลิ่นอายน่าหวาดกลับรอบตัวของมัน และมันก็ยังปลดปล่อยจิตสังหารออกมาอีกด้วยเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นโครงร่างของมันนั้นก็ใหญ่โตเสียจนกระทั่งสูงกว่าภูเขา และหัวของมันนั้นก็ถึงกับแตะก้อนเมฆ
“โอ สวรรค์ ข้ามิเคยเห็นสัตว์วิญญาณที่ใหญ่โตมโหฬารเช่นนี้มาก่อน”
“ฮ-เฮ้ นั่นมันมิใช่มุ่งหน้ามาทางพวกเราหรอกรึ”
ผู้คนที่นั่นต่างเริ่มระส่ำระสายเมื่อพวกเขารู้ว่างูมหึมานี้มุ่งตรงมาทางพวกเขา
“วิ่ง วิ่งเอาชีวิตรอดถ้าพวกเจ้ามิต้องการที่จะถูกบดขยี้จนตายจากเจ้าสัตว์อสูรนั่น”
ผู้คนที่นั่นต่างเริ่มวิ่งหนีจากพื้นที่ทดสอบ
“ซูหยาง สิ่งนั้นคืออะไร” ซุนจิงจิงและศิษย์คนอื่นต่างรีบเข้ามาหาเขา
หวังชูเหริน ผู้อาวุโสจง ไป่ลี่ฮัว และซีซิงฟาง ก็มาปรากฏตัวตรงหน้าเขาในอีกไม่กี่วินาทีให้หลังเช่นกัน
“หากตัดสินจากพลังงานที่มันปลดปล่อยออกมา… นั่นก็คือสัตว์อัญเชิญ” ซูหยางกล่าวอึดใจให้หลัง
“อะไรนะ สัตว์อัญเชิญ เช่นนั้นต้องมีใครสักคนอัญเชิญสัตว์อสูรนี่ ใครกันที่จักทำเช่นนี้ และด้วยเหตุผลอะไรกัน” โหลวหลานจีอุทานออกมาด้วยหน้าตาแตกตื่น
และในขณะที่โหลวหลานจีถามคำถามนั้น เสียงอื่นก็ดังขึ้นมาในบริเวณนั้น แต่ทว่าเสียงนี้ไม่ใช่ของใครสักคนในบริเวณพื้นที่ทดสอบ และฟังดูเหมือนกับว่าดังมาจากที่แสนไกล
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าชอบอสรพิษโลหิตปีศาจนี้หรือไม่ ซูหยาง”
เมื่อผู้อาวุโสจงได้ยินเสียงคุ้นเคยนี้ ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างด้วยความตระหนก และเขาก็อุทานออกมาดังลั่นว่า “ฟูกวาง”
“ฟูกวาง ผู้นำนิกายของนิกายล้านอสรพิษรึ” ไป่ลี่ฮัวอุทานออกมาเมื่อได้ยินชื่อของเขา
“นิกายล้านอสรพิษรึ” โหลวหลานจีร่างสั่นสะท้านหลังจากที่ได้ยินชื่อนี้
เสียงของฟูกวางพลันดังขึ้นมาอีกครั้ง “นิกายล้านอสรพิษได้วางแผนใช้ไม้ตายนี้เพื่อที่จะยึดครองตระกูลซีที่โอหังในอีกสองสามปีข้างหน้า แต่เพราะว่าเจ้า ซูหยาง ข้าได้เปลี่ยนใจและตัดสินใจที่มิเพียงแต่จะเร่งแผนของพวกเราขึ้นอีกสองสามปีแต่ก็ยังใช้มันในการทำลายนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยในเวลาเดียวกันอีกด้วย”
“อะไรนะ เจ้าบ้าไปแล้วรึ ผู้นำนิกายฟู นี่เป็นการทรยศต่อตระกูลซี ตระกูลข้าย่อมมิปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปแน่ และพวกเขาก็จักลงโทษเจ้าด้วยความตาย” ซีซิงฟางกล่าวด้วยเสียงโกรธแค้น
“ฮ่าฮ่าฮ่า ถ้าเจ้าสามารถหยุดอสรพิษโลหิตปีศาจที่เหนือกว่าเขตอัมพรวิญญาณไปไกลแล้วละก็ ข้าย่อมยินดีที่จะมอบชีวิตให้เจ้า แต่ถ้าเจ้ามิสามารถฆ่ามัน แน่นอนว่ามันก็จักทำลายทั้งตระกูลซีและนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและยึดครองทวีปตะวันออก” ฟูกวางคำรามดังลั่นในขณะที่ยืนอยู่บนหัวของสัตว์ร้ายนี้
หลังจากที่เยี่ยนเยี่ยนได้รับการยอมรับเป็นศิษย์เข้าสู่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยแล้ว เธอก็ไม่ได้จากไปไหนและยังคงยืนอยู่ข้างกายซูหยาง
แน่นอนว่าเขาไม่ได้มีปัญหากับเรื่องนี้และยอมปล่อยเธอให้ยืนอยู่อย่างเงียบๆอยู่ตรงนั้น
อย่างไรก็ตามโหลวหลานจีซึ่งก็อยู่ตรงนั้นเช่นกัน อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปยังเยี่ยนเยี่ยนบ่อยๆด้วยหางตา เห็นได้ชัดว่าสนใจตัวตนของเธอเป็นอย่างมาก
เยี่ยนเยี่ยนสังเกตเห็นการจ้องมองมาของโหลวหลานจี จึงหันไปดูอีกฝ่ายและกล่าวว่า “มีอะไรรึ”
เมื่อเห็นสีหน้าไร้อารมณ์ของเยี่ยนเยี่ยน โหลวหลานจีก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายอย่างกระสับกระส่ายแม้ว่าจะมีอายุแตกต่างกันก็ตาม
“ข้าเพียงแค่สงสัยว่าทำไมเจ้าจึงตัดสินใจที่จะเข้าร่วมนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเมื่อมีที่อื่นๆที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับมากกว่าพวกเรา”
“…”
เยี่ยนเยี่ยนยังคงนิ่งเฉยชั่วขณะก่อนที่จะกล่าวด้วยเสียงเรียบเฉยว่า “พลังงานในโลกบอกข้าให้มาที่นี่”
“หือ พลังงานรึ” โหลวหลานจีเลิกคิ้วด้วยท่าทางสับสน
เยี่ยนเยี่ยนพยักหน้าและกล่าวต่อว่า “หลังจากที่พ่อแม่ข้าสิ้น เสียงรอบตัวของข้าก็นำมายังที่แห่งนี้”
ได้ยินคำพูดไร้สาระเช่นนั้น โหลวหลานจีก็มองไปยังเยี่ยนเยี่ยนราวกับว่าอีกฝ่ายนั้นบ้า
อย่างไรก็ตามซูหยางหัวเราะเบาๆหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเธอ เขากล่าวว่า “พลังงานของเธอนั้นหมายถึงปราณไร้ลักษณ์”
“ด-เดี๋ยวก่อน… เจ้ากำลังหมายความว่าปราณไร้ลักษณ์สามารถสื่อสารกับมนุษย์ได้ และเธอมีความสามารถที่จะเข้าใจมัน” โหลวหลานจีตอนนี้มองดูซูหยางราวกับว่าเขาเป็นบ้า
“มิจำเป็นต้องหาความหมาย ในเมื่อนั่นเป็นความจริงอย่างหนึ่ง แม้ว่าจะมีน้อย น้อยมากๆ ประมาณหนึ่งในล้านล้าน แต่ก็ยังมีคนที่เป็นที่ชื่นชอบของปราณไร้ลักษณ์ในโลกนี้ตั้งแต่เกิด ยอมให้พวกเขาสามารถสื่อสารกับปราณไร้ลักษณ์ได้ พวกเรามีศัพท์สำหรับคนประเภทนี้ว่า สวรรค์สำเอียง”
“ไม่น่าเชื่อ… อย่างนี้ก็เป็นไปได้ด้วย อะไรคือการที่สามารถสื่อสารกับปราณไร้ลักษณ์ ต้นตอของทุกพลังในโลกนี้ได้”
ซูหยางยักไหล่ให้กับคำพูดของเธอและกล่าวว่า “ข้ามิรู้ ในเมื่อข้ามิได้เกิดมาด้วยความสามารถเช่นนั้น แม้ว่าข้าจะรู้จักคนที่มีความสามารถแบบเดียวกันนี้ และเธอก็อธิบายว่ามันเป็นอะไรที่คล้ายกันการพูดคุยกับวิญญาณ”
“พูดกับวิญญาณ… พวกผีนะรึ”
“ข้าเดาว่าคงประมาณนั้นแหละ”
โหลวหลานจีมองดูเยี่ยนเยี่ยนด้วยหน้าตาสงสาร ถ้าเธอต้องพูดกับผีมาตลอดชีวิต นั่นยอมอธิบายได้ว่าทำไมเธอจึงดูปราศจากอารมณ์ ไม่ว่าอย่างไรใครก็ตามย่อมต้องเป็นบ้าถ้าพวกเขาได้ยินเสียงที่ซึ่งไม่มีใครเคยได้ยิน
“อย่างไรก็ตามความสามารถของเธอมิได้จำกัดอยู่แต่เพียงพูดกับปราณไร้ลักษณ์ เพราะว่าเธอเป็นที่รักของพวกมัน ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานหลักสำหรับการฝึกวิชา พลังการฝึกปรือของเธอก็จะยิ่งได้ประโยชน์เป็นอย่างมากเช่นกัน มิเพียงแต่เธอจะดูดซับพวกมันได้รวดเร็วกว่าคนอื่น แต่เธอก็ยังสามารถเปลี่ยนพวกมันให้กลายเป็นความแข็งแกร่งของตัวเธอเองได้อย่างง่ายดายกว่าคนทั่วไปอีกด้วย ถ้าเจ้าเปรียบเทียบเธอกับผู้ฝึกยุทธโดยทั่วไป อย่างน้อยเธอก็จะมีความรวดเร็วกว่าสิบกว่าเท่าเมื่อเป็นการฝึกยุทธ ซึ่งอธิบายได้ถึงพลังการฝึกปรือที่ผิดปกติของเธอขณะที่เธออายุยังน้อย”
เยี่ยนเยี่ยนมองดูซูหยางด้วยตาเบิกกว้างเต็มไปด้วยความประหลาดใจ นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของเธอที่พบกับคนที่ไม่เพียงเชื่อ “คำไร้สาระ” ของเธอ แต่ก็ยังเข้าใจชีวิตของเธอได้อย่างลึกซึ้ง ราวกับว่าเธอมีชะตาที่จะต้องอยู่ร่วมกับเขา
“ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้วว่าทำไมเสียงจึงนำข้ามายังที่แห่งนี้…” เยี่ยนเยี่ยนพึมพัมด้วยเสียงสั่นเครือ
“พ่อแม่ข้ามิเคยเชื่อข้า และพวกเขาก็ยังคิดว่ามีอะไรผิดปกติกับข้า เหมือนกับว่าข้าถูกอะไรสักอย่างเข้าสิง”
“อย่างไรก็ตาม จริงแล้วข้ามิได้กล่าวโทษพวกเขาที่มิเข้าใจในเมื่อโลกนี้ยังขาดการศึกษาโดยรวมอย่างมาก…” ซูหยางส่ายหน้า
“ซูหยาง… เจ้าคิดว่าเธอจะเติบโตด้วยพรสวรรค์เฉพาะนี้ได้เร็วแค่ไหน” โหลวหลานจีพลันถามเขา
“เออ… ถ้าข้าสอนเธอเป็นการส่วนตัว เธอควรจะก้าวเข้าถึงระดับสูงสุดของเขตอัมพรวิญญาณภายในเวลาสองปี”
“ระดับสูงสุดของเขตอัมพรวิญญาณในเวลาสองปีรึ เธอเพิ่งจะอายุ 14 ปีเองในตอนนั้น นั่นหมายความว่าเธอนั้นยิ่งมีพรสวรรค์มากกว่าเจ้าสิ ซูหยาง” เธอมองดูเยี่ยนเยี่ยนด้วยอาการปากอ้าตาค้าง
“หือ” ซูหยางมองดูเธอด้วยสีหน้าแปลกประหลาด เขากล่าวว่า “เจ้ารู้ไหม… ข้าเริ่มฝึกวิชาอย่างจริงจังเพียงเมื่อปีที่แล้วเท่านั้น กล่าวอีกนัยหนึ่ง ข้าใช้เวลาหนึ่งปีในการมาถึงระดับปัจจุบันของข้าจากเขตปฐมวิญญาณ”
“โอ อะไรกันนี่ เจ้ากำลังเปรียบเทียบตัวเจ้ากับเธอจริงๆรึ หรือว่านี่เป็นความอิจฉา” โหลวหลานจีพูดด้วยเสียงหยอกล้อ
ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “นั่นไม่เสมอภาคในการเปรียบเทียบพวกเราตั้งแต่แรก พูดตามตรงข้าต้องกล่าวว่าข้านั้นอิจฉาเธออยู่บ้างเล็กน้อยจริงๆ ไม่ว่าอย่างไรใครก็ตามที่เป็นที่รักของปราณไร้ลักษณ์ของโลกย่อมรับประกันได้ว่าจะมีชีวิตในการฝึกยุทธที่ประสบความสำเร็จ และพวกเขาล้วนกลายเป็นจอมยุทธที่ยืนอยู่จุดสุดยอดของโลกนี้ในอนาคตภายหน้าอย่างไม่มีผิดพลาด”
“อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เธอได้รับพรให้เกิดมามีพรสวรรค์เช่นนั้น มันก็เป็นเคราะห์ที่ร้ายสุดสุดในเวลาเดียวกันนั้นเช่นกัน…” ซูหยางมองดูเยี่ยนเยี่ยนในขณะที่ถอนหายใจ
“หือ นั่นหมายความว่าอย่างไร ทำไมนั่นจึงสามารถกลายเป็นเคราะห์ไปได้ หรือเจ้ากำลังจะกล่าวบางอย่างที่มีความหมายทำนอง “เพื่อแลกกับมีพรสวรรค์ที่ท้าทายสวรรค์เช่นนั้น เธอจักมีชีวิตที่สั้นลง” งั้นรึ”
เขาส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “เธอมิสิ้นชีวิตแต่เนิ่นๆหรอก แต่โชคร้ายนั้นแท้จริงก็คือเธอเกิดขึ้นมาในโลกนี้ ที่ซึ่งคุณภาพปราณไร้ลักษณ์โดยรวมนั้นต่ำอย่างน่าใจหาย”
“ถึงแม้ว่าเธอจะมีพรสวรรค์ที่ท้าทายสวรรค์ เธอก็จักจำกัดอยู่กับปราณไร้ลักษณ์ของโลกนี้ และหยุดเติบโตหลังจากที่เธอเข้าถึงเขตราชันย์วิญญาณ ไม่ว่าเธอจะฝึกปรือไปมากมายเพียงใด”
“ข้าสามารถพาเธอไปยังบ้านเกิดของข้า สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ ได้ แต่นั่นไม่ได้รับประกันว่าเธอจักมีพรสวรรค์เช่นเดียวกันที่นั่น ในเมื่อเธอเป็นเพียงที่รักของปราณไร้ลักษณ์ในโลกนี้และไม่ใช่ที่โลกแห่งนั้น และก่อนที่เจ้าจะถาม ใช่ ปราณไร้ลักษณ์ก็คล้ายกับมนุษย์และสัตว์ซึ่งมีความเป็นเฉพาะตัวในรูปแบบของตัวมันเอง ทุกโลกจะมีปราณไร้ลักษณ์เฉพาะตัวของตัวมันเอง ดังนั้นถึงแม้ว่าเธอจะเป็นที่รักของปราณไร้ลักษณ์ที่นี่ นั่นก็มิจำเป็นต้องเป็นเช่นนั้นที่นั่นด้วย ซึ่งเธออาจจะตกต่ำกลายเป็นเด็กหญิงธรรมดาทั่วไป”
“กลับกันถ้าเธอเกิดที่นั่น เธอจะสามารถกลายเป็นยอดยุทธที่น่าหวาดหวั่นอย่างไม่น่าเชื่อที่ยืนอยู่ในจุดสุดยอดของโลกนั้น แต่อนิจจา เธอเกิดในกองขยะแห่งนี้ ทำให้พรสวรรค์ของเธอเสียเปล่า” ซูหยางถอนหายใจขณะที่เขามองดูเด็กหญิงสะสวยที่อยู่ข้างกายเขา รู้สึกเหมือนกับว่าสวรรค์กำลังล้อเล่นกับเธอ
“จ-เจ้ามิมีอาจารย์รึ เช่นนั้นเจ้าเข้าถึงระดับห้าเขตปฐพีวิญญาณได้อย่างไรในอายุเท่านี้ นั่นเป็นไปไม่ได้มิว่าข้าจะคิดเรื่องนั้นอย่างไรก็ตาม” ซุนจิงจิงแสดงความสงสัยของตนเองออกมา
นอกจากว่าเธอเป็นคนอย่างซูหยาง ซึ่งมีความทรงจำจากชีวิตก่อนว่าเป็นเซียน เป็นเรื่องปกติที่ไม่ควรจะเป็นไปได้สำหรับเด็กอายุสิบสองปีที่จะเข้าถึงระดับห้าเขตปฐพีวิญญาณ ไม่ว่าจะมีโชคดีประเภทไหนที่เธอได้ประสบก็ตาม
ยิ่งไปกว่านั้นเด็กหญิงคนนี้สวมเสื้อผ้าธรรมดา ถึงกับมีขาดบ้างเล็กน้อย ดังนั้นความเป็นไปได้ที่เธอจะเป็นคนในตระกูลร่ำรวยสักที่หนึ่งนั้นต่ำมาก นอกจากว่าเธอจะมีเจตนาที่จะสวมเสื้อผ้าปุปะเพื่อหลอกคนอื่นเป็นงานอดิเรก
“ข้ามิเข้าใจ ทำไมถึงเป็นไปไม่ได้” เด็กหญิงถามเธอในขณะที่ยังคงเรียบเฉย
“ช-เช่นนั้นถ้าเจ้ามิถือหากข้าจะถามว่าเจ้ามีพลังฝึกปรือถึงระดับนี้ได้อย่างไร” ซุนจิงจิงถามเธอด้วยหน้าตางุนงง ในเมื่อปกติแล้วเป็นเรื่องยากมากที่จะเชื่อว่าเด็กหญิงได้เข้าถึงระดับนี้ได้โดยปราศจากความช่วยเหลืออื่น
“อย่างไร… ท่านถามอย่างงั้นรึ” เด็กหญิงเอียงหัวด้วยใบหน้างุนงง ดูเหมือนจะสับสนกับคำถามของซุนจิงจิง “ข้าก็ดูดซับพลังงานรอบตัวข้าเป็นปกติ”
“น-นั่น…” ซุนจิงจิงพูดไม่ออก
“จิงจิง มิมีความจำเป็นที่จะต้องถามเธอ นั่นมิได้มีความสำคัญกับพวกเราที่ว่าเธอมีความแข็งแกร่งระดับนี้ได้อย่างไร แต่อยู่ที่ว่าเธอจะผ่านการทดสอบได้หรือไม่” ซูหยางพลันกล่าวกับเธอ
“เอ๋ ท่านยังคงต้องการเธอรับการทดสอบอีกรึ ทั้งที่เธอเป็นจอมยุทธอายุสิบสองปีเขตปฐพีวิญญาณ” ซุนจิงจิงมองดูเขาด้วยสีหน้างงงัน ใครต่อใครก็ย่อมไม่ยอมเสียเวลาและรับอัจฉริยะระดับอสูรเช่นนั้นเข้าสู่สำนักกันทั้งนั้น
“ต่อให้เธอเป็นผู้มีพรสวรรค์ระดับอสูรในโลกนี้ ถ้าเธอมิมีวิถีจิตที่ถูกต้อง เธอก็จักไปได้มิไกลนักในเส้นทางผู้ฝึกยุทธ” เขาตอบอย่างเยือกเย็น
ยิ่งไปกว่านั้น ในขณะที่เด็กหญิงคนนี้ดูเหมือนว่าจะมีพรสวรรค์ที่เหนือโลกนี้สำหรับคนเหล่านี้ ในสายตาของซูหยางแล้ว เธอก็เพียงเหนือกว่ามาตรฐานเท่านั้น
ซุนจิงจิงพยักหน้า “ช-ใช่แล้ว ข้าขอโทษ นั่นทำให้ข้าประหลาดใจจนเสียความตั้งใจ…”
สองสามอึดใจให้หลัง ซุนจิงจิงก็ทำลายเม็ดยาจิตมาร แผ่พุ่งหมอกสีแดงไปทั่วทุกแห่งหน
เด็กหญิงนั่งอยู่ในท่าขัดสมาธิดอกบัวและทำการต่อต้านเม็ดยาจิตมาร
ห้าวินาที… สิบวินาที… สิบห้าวินาที… ยี่สิบวินาที… ยี่สิบห้าวินาที…
เด็กหญิงยังคงไม่หวั่นไหวแม้กระทั่งเมื่ออยู่ภายใต้ผลของเม็ดยาจิตมาร ราวกับว่ามันไม่มีผลต่อเธอ
กระทั่งเมื่อสามสิบวินาทีผ่านไปแล้ว เด็กหญิงคนนี้ก็ยังคงนั่งอยู่ที่นั่นอย่างเยือกเย็น ไม่รู้ตัวโดยสมบูรณ์ว่าเธอนั้นได้ผ่านการทดสอบแล้ว
และเพราะว่าเด็กหญิงไม่แสดงท่าทางยากลำบาก ซุนจิงจิงจึงยอมให้เด็กหญิงทำการทดสอบต่อไปแม้ว่าจะผ่านสามสิบวินาทีไปแล้ว แน่นอนว่าเธอเองก็สงสัยว่าพรสวรรค์ของเด็กหญิงคนนี้เป็นจริงหรือไม่
สี่สิบวินาที… ห้าสิบวินาที หนึ่งนาทีเต็มได้ผ่านไปนับตั้งแต่เด็กหญิงสูดลมหายใจรับเม็ดยาจิตมารเข้าไป แต่เธอก็ยังคงนั่งอยู่อย่างเยือกเย็น
จนกระทั่งเมื่อเวลาผ่านไปห้านาทีเต็ม สุดท้ายเด็กหญิงจึงค่อยลืมตาของเธอขึ้น
“ข้าผ่านหรือยัง” เธอถามซุนจิงจิงด้วยใบหน้าไร้ความสนใจ
ซุนจิงจิงพยักหน้าด้วยใบหน้าสับสน
“ข้าเข้าใจแล้ว” จากนั้นเด็กหญิงจึงลุกขึ้นยืนและเดินไปยังเวทีที่สามอย่างสบายๆ
“ช่างเป็นอสูรพิสดาร เธอสามารถที่จะต้านเม็ดยาจิตอสูรได้นานถึงห้านาที และก็ยังดูเหมือนกับว่าเธอมีความสามารถที่จะอยู่ที่นั่นได้นานยิ่งกว่านี้” ผู้คนต่างพากันส่งเสียงให้กำลังใจต่อเด็กหญิงซึ่งไปได้ไกลขนาดนั้นในการทดสอบ
บนเวทีที่สาม เด็กหญิงหยดเลือดหนึ่งหยดผ่านรอยที่เธอเจาะบนนิ้วลงไปในวารีกลืนสวรรค์
เลือดนั้นทำให้เกิดการกระเพื่อมที่สวยงามบนผิวหน้าของน้ำก่อนที่จะจมลึกลงไปในชาม
สองสามวินาทีให้หลัง วารีกลืนสวรรค์ก็เปลี่ยนเป็นสีแดงจาง แต่ทว่ามันไม่ได้หยุดแค่นั้นและยังคงมีสีเข้มขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากผ่านไปประมาณสิบวินาที วารีกลืนสวรรค์ก็ได้เปลี่ยนไปเป็นสีแดงก่ำอย่างสมบูรณ์ ราวกับว่ามันเปลี่ยนไปเป็นเลือดจริง
อย่างไรก็ตามน้ำสีเลือดไม่ได้หยุดแค่นั้น และมันก็ยังคงเปลี่ยนไปเป็นสีอื่น
“ท-ทอง น้ำเปลี่ยนสีจากแดงเป็นทองได้อย่างไรกัน” ซูลี่ชิงสับสนกับผลลัพธ์ และเธอก็หันไปมองดูซูหยางซึ่งยืนนิ่งอยู่ที่นั่นด้วยสีหน้าสงบเฉย
“มันมิได้เป็นสีแดง.. ข้าล้มเหลวรึ” เด็กหญิงมองดูซูลี่ชิงซึ่งส่ายหน้าของเธออย่างรวดเร็ว
“ม-ไม่… ข้ามิคิดว่าเจ้าล้มเหลว…”
“เธอพูดถูก เจ้ามิได้ล้มเหลว” ซูหยางพลันปรากฏตัวข้างพวกเธอและกล่าวขึ้น
เด็กหญิงหันไปมองดูซูหยางด้วยใบหน้าตื่นตะลึงเล็กน้อย
สองสามอึดใจให้หลังเมื่อเธอฟื้นจากความตื่นตะลึง เด็กหญิงก็ยกกำปั้นของเธอไปยังซูหยาง ราวกับว่าเธอเตรียมตัวที่จะต่อสู้กับเขา
ซูหยางยิ้มให้กับการกระทำของเธอแล้วกล่าวว่า “มิมีความจำเป็นสำหรับพวกเราที่จะต้องประลอง เจ้าได้ผ่านการทดสอบเแล้ว”
“ได้…” เด็กหญิงพยักหน้า
“เจ้าชื่ออะไร” จากนั้นเขาก็ถามเธอ
“เยี่ยน.. เยี่ยนเยี่ยน” เธอตอบ
“ยินดีต้อนรับสู่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย เยี่ยนเยี่ยน” ซูหยางยื่นส่งบัตรประจำตัวศิษย์ให้แล้วกล่าวต่อว่า “เจ้าสามารถกลับมายามเมื่อเจ้าได้จัดการทุกสิ่งที่บ้านเรียบร้อยแล้ว”
อย่างไรก็ตามเยี่ยนเยี่ยนส่ายหน้าและกล่าวด้วยเสียงสงบว่า “พ่อแม่ของข้ามิได้เหลืออยู่ในโลกนี้แล้ว และข้าก็มิมีบ้านให้กลับ”
“อย่างนั้นรึ… เช่นนั้นเจ้าสามารถเริ่มชีวิตของเจ้าในนิกายได้นับแต่วันนี้” ซูหยางพยักหน้า
“ท่านมิถามข้าเรื่องประวัติความเป็นมาของข้ารึ” เยี่ยนเยี่ยนถามเขาด้วยสายตาที่สนใจ
เมื่อได้ยินคำพูดของเธอ เขาก็พูดพร้อมกับรอยยิ้ม “ถ้าเจ้าต้องการที่จะเล่าให้ข้าฟัง ข้าก็จะรับฟังเจ้า แต่ข้ามิใช่ชอบยุ่งเรื่องคนอื่น ดังนั้นข้าจักมิสอดรู้สอดเห็นในเรื่องชีวิตของเจ้าโดยมิมีเหตุผล ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เมื่อเจ้าเป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ในฐานะของผู้นำนิกายของเจ้า ข้าเพียงแต่สนใจที่จะเห็นเจ้าเติบโตขึ้นมิมีอะไรไปมากกว่านั้น”
เมื่อเห็นเหล่าเด็กสาวคุกเข่าต่อหน้าเขา ซูหยางก็พูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “พูดตามตรง จริงๆแล้วข้ามิโทษผู้ใดที่วิ่งหนีไป ไม่ว่าอย่างไรนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็มิใช่สำนักที่เชื่อถือได้จริงๆมาก่อน นี่เป็นคำพูดจากใจข้า”
“อ-อะไร—” โหลวหลานจีมองดูเขาด้วดวงตาเบิกกว้าง เห็นได้ชัดว่าพูดไม่ออกกับคำพูดของเขาที่ไม่ควรพูดอะไรแบบนั้นในฐานะผู้นำนิกาย
“อะไร ข้าก็แค่พูดความจริง นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยขาดกลไกการป้องกันตัวที่เหมาะสม และก็ไม่ต่างไปจากเต่าที่ปราศจากกระดองในช่วงที่ถูกโจมตีนั้น ถ้าข้าเป็นศิษย์ธรรมดาทั่วไป ข้าก็ต้องวิ่งหนีเอาชีวิตรอดเช่นกัน”
ซูหยางยักไหล่ และเขาก็กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น เยาะเย้ยอย่างไร้ปรานีต่อนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอย่างไม่สนใจว่าโลกจะคิดอย่างไรว่า “แม้กระทั่งสำนักขนาดกลางก็ยังมีค่ายกลป้องกันสักอย่างป้องกันสำนัก แต่พวกเรากลับมิมีอะไรเช่นนั้นที่นี่”
“ค-ค่ายกลป้องกัน เจ้าเคยคิดไหมว่าต้องใช้ทรัพยากรมากน้อยเท่าไหร่ในการครอบคลุมทั้งนิกายด้วยค่ายกลอะไรสักอย่าง อย่าว่าแต่นี่เป็นค่ายกลป้องกัน กระทั่งสำนักระดับสูงก็มิได้หรูหราอะไรเช่นนั้น” โหลวหลานจีกล่าว
เพราะว่าวิชาค่ายกลนั้นหายากเป็นอย่างมากในโลกนี้ กระทั่งเหนือกว่าการปรุงยาในแง่ของความซับซ้อนและยากลำบาก มีคนเพียงไม่กี่คนในโลกนี้ที่มีโอกาสได้เรียนมัน
และถึงแม้ว่าผู้เชี่ยวชาญด้านค่ายกลในโลกนี้รวมตัวกัน นั่นก็ยังต้องการความพยายามหลายสิบปีในการสร้างขึ้นมาสักหนึ่งค่ายกลที่สามารถครอบคลุมไปทั่วทั้งนิกาย
ยกตัวอย่างสำนักกระบี่ศักดิ์สิทธ์ได้ใช้หินวิญญาณกว่าหลายแสนก้อนและเวลากว่าร้อยปีในการล้อมสำนักของพวกเขาด้วยค่ายกลป้องกัน
“อา ค่ายกลหายากมากเช่นนั้นเลยรึในโลกแห่งนี้” ซูหยางส่ายหน้าด้วยความไม่สบอารมณ์ “เดาได้เลยว่าข้าคงต้องสร้างขึ้นมาเอง”
“ด-เดี๋ยวก่อน…” โหลวหลานจีจ้องมองเขาด้วยดวงตาเบิกกว้างและพูดขึ้นว่า “จ-เจ้ารู้วิธีว่าจะสร้างค่ายกลได้อย่างไรด้วยรึ”
“ซูหยางมองดูเธอด้วยใบหน้าที่สามารถแปลเป็นคำพูดได้ว่า “แน่นอน”
“แม้ว่าข้าพูดว่าข้าจักสร้างขึ้นมาหนึ่งหลัง แต่จริงๆแล้วข้ามิใช่เป็นคนที่สร้างค่ายกล ข้าอยู่แค่ในเขตอัมพรวิญญาณ ดังนั้นถึงแม้ว่าข้าจะสร้างค่ายกลขึ้นมา มันก็จะมิทรงพลัง”
“เช่นนั้นเจ้ากำลังจะทำอะไรต่อไป”
“แน่นอนว่าต้องขอใครบางคนที่ทรงอำนาจยิ่งกว่าข้าให้ช่วยสร้างให้”
โหลวหลานจีมองดูเขาด้วยใบหน้าที่สงสัยมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมและถามว่า “คนที่กระทั่งทรงอำนาจยิ่งกว่าเจ้ารึ นอกจากเจ้าซีและไม่กี่คนที่อยู่ในเขตอัมพรวิญญาณ จะเป็นไปได้ที่จะมีใครกันที่มีความแข็งแกร่งกว่าเจ้าในตอนนี้”
ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “มีสองคนในตอนนี้ในนิกายที่แข็งแกร่งกว่าข้ามาก หนึ่งในนั้นสามารถเปลี่ยนข้าให้กลายเป็นฝุ่นได้โดยเพียงแค่ขยี้ อย่ากังวล ข้าจักแนะนำพวกเธอให้กับพวกเจ้าในภายหลัง”
“ต-ต-ตัวตนที่ทรงอำนาจตอนนี้อยู่ภายในนิกายเรารึ ทำไมเจ้าจึงมิบอกข้าให้เร็วกว่านี้” โหลวหลานจีเริ่มกระสับกระส่าย ในเมื่อนี่ถือเป็นการล่วงเกินและหยาบคายอย่างหาที่เปรียบที่ไม่ไปทักทายจอมยุทธผู้ทรงอำนาจหากว่าพวกเขาไปเยี่ยมสำนักใดๆ
“แน่นอนว่าปฏิกิริยาของเจ้าเป็นเหตุผลที่ทำไมข้าจึงต้องซ่อนตัวพวกเขาไว้ แต่อย่างไรก็ตาม เจ้าได้พบกับพวกเธอทั้งสองคนมาก่อนหน้านี้แล้ว”
“หือ ข้าได้พบกับพวกเธอมาก่อนรึ…”
ทันใดนั้นใบหน้าหนึ่งก็ปรากฏขึ้นใจของเธอ เป็นเด็กสาวที่มีความสวยเป็นเลิศ
“หรือว่าจะเป็นเด็กหญิงคนนั้นที่ฆ่าจอมยุทธจากนิกายล้านอารพิษในเวลานั้น” โหลวหลานจีครุ่นคิดด้วยสีหน้าเครียด
หลังจากที่ศิษย์ตำหนักโอสถได้ถูกยอมรับเข้ามาในนิกายอีกครั้ง ซูลี่ชิงก็บอกพวกเธอให้กลับไปยังตำหนักยาในเวลาต่อมา และพวกเธอก็หายไปจากพื้นที่นั้นอย่างรวดเร็วหลังจากนั้น
ในวันที่หกของการทดสอบ นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ได้รับคนทั้งหมด 817 เข้าสู่นิกาย
และในวันสุดท้ายของการทดสอบ ก็มีเสียงโห่ร้องปั่นป่วนวุ่นวายดังขึ้นเมื่อเด็กหญิงลึกลับที่สวยมากคนหนึ่งเข้าร่วมทดสอบและเรียกความสนใจของทุกคนที่นั่น
“อายุ 12 ปี… ระดับห้าเขตปฐพีวิญญาณ?!?!?!” ฟางซีหลานปากอ้าค้างจนถึงพื้นเมื่อเธอเห็นผลลัพธ์ และผู้ชมต่างพากันระเบิดเสียงโห่ร้อง
“อะไรกัน ยอดยุทธอายุสิบสองปีระดับห้าเขตปฐพีวิญญาณ เธอมีประวัติความเป็นมาอย่างไร”
“ข้ารู้จักตระกูลที่มีชื่อเสียงและทรงอำนาจทั้งหมดภายในทวีปตะวันออก แต่ข้ากลับมิอาจจดจำเด็กหญิงคนนี้ได้”
“ทำไมคนที่มีพรสวรรค์เช่นนั้นเป็นคนที่มิมีใครรู้จัก ใครสักคนควรจะรู้จักเธอ”
“ต้องมีความผิดพลาดอะไรบางอย่างกับผลลัพธ์แน่”
อย่างไรก็ตาม แม้เวลาจะผ่านไปสักพักใหญ่ ก็ไม่มีแม้ใครสักคนจากคนนับพันที่นั่นรู้จักตัวตนของเด็กหญิงคนนี้
“มิมีใครที่นี่รู้ถึงตัวตนของเด็กหญิงคนนี้ที่มีพรสวรรค์สะท้านฟ้าเช่นนี้ นี่ช่างเป็นสิ่งที่มิคาดคิดอย่างแท้จริง” จอมกระบี่ศักดิ์สิทธิ์กล่าวพร้อมกับลืมตาโพลง
“เข้าถึงระดับห้าเขตปฐพีวิญญาณเมื่ออายุได้ 12 ปี… กระทั่งพรสวรรค์ของข้าก็ยังด้อยกว่าหากเปรียบเทียบกับเด็กหญิงคนนี้…” ซีซิงฟางพึมพัมด้วยใบหน้างงงัน
“อืม… ข้าต้องขอโทษด้วย แต่เจ้าสามารถทำการทดสอบซ้ำอีกครั้งได้หรือไม่ในกรณีที่ว่าอาจจะมีข้อผิดพลาด” ฟางซีหลานถามเด็กหญิงสองสามอึดใจจากนั้น
เด็กหญิงพยักหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย และสัมผัสเทวรูปอีกครั้ง
สองสามวินาทีให้หลังผลลัพธ์ก็ออกมาโดยไม่มีความเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย
“อายุ 12 ปี… ระดับห้าเขตปฐพีวิญญาณ…” ฟางซีหลานจ้องมองเทวรูปด้วยสีหน้างงงัน
“ข้าผ่านหรือยังตอนนี้” เด็กหญิงถามเธอหลังจากนั้น และฟางซีหลานก็รีบพยักหน้า
เมื่อเด็กหญิงผ่านไปถึงการทดสอบที่สอง ซุนจิงจิงก็อดไม่ได้ที่จะถามเธอ “สาวน้อย เจ้ามาจากไหน ถึงมีพลังฝึกปรือระดับนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย เจ้าต้องมีอาจารย์ที่เก่งกาจสอนเจ้าอยู่แล้วเป็นแน่ ข้านึกมิออกว่าทำไมคนอย่างเจ้าจึงต้องเข้าร่วมสำนัก”
เด็กหญิงที่มีหน้าตาคมคายและสีหน้าเรียบเฉยมองดูซุนจิงจิงด้วยดวงตาที่ไร้อารมณ์และกล่าวด้วยเสียงราบเรียบว่า “ข้ามิมีอาจารย์”
“เอ๋ นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร” ไม่เพียงแต่แค่ซุนจิงจิงที่สงสัยคำพูดของเด็กหญิง เช่นเดียวกับทุกคนที่นั่นที่ต่างพากันจ้องมองเธอด้วยดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความสงสัย
ถ้าจะมีใครสักคนที่อายุยังน้อยเหมือนกับเด็กหญิงคนนี้เข้าถึงเขตปฐพีวิญญาณระดับห้าโดยปราศจากอาจารย์ แล้วควรจะพูดอย่างไรดีกับผู้ฝึกวิชายุทธในโลกนี้กว่าครึ่งที่ไม่สามารถแม้กระทั่งจะก้าวเข้าสู่เขตปฐมวิญญาณหากไม่เข้าร่วมสำนัก หรือว่าพวกเขาไม่ควรจะถือว่าเป็นผู้ฝึกวิชาได้จริงอีกต่อไป
“ซูหยาง… เด็กหญิงคนนี้…” โหลวหลานจีหันไปมองดูเขา ซึ่งจ้องมองเด็กหญิงคนนี้อย่างเงียบๆ ด้วยท่าทางครุ่นคิด
“90 วินาทีรึ นั่นเป็นไปไม่ได้”
เมื่อผู้คนที่นั่นได้ยินเงื่อนไขใหม่ของซูหยางสำหรับคนที่เคยเป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมาก่อนและต้องการที่จะคืนกลับมา พวกเขาต่างพากันรู้สึกสงสารสำหรับอดีตศิษย์เหล่านี้
ต้านทานเม็ดยาจิตมารเป็นเวลา 30 วินาทีก็ถือว่ายากพอแล้ว แต่พวกเขาในตอนนี้ต้องทนให้ได้นานถึงสามเท่ากว่าผู้เข้าร่วมคนอื่น
ในสายตาสำหรับคนเหล่านี้ ซูหยางมีเจตนาที่จะทำให้มันเป็นไปไม่ได้เพราะว่าเขาเองก็ไม่ต้องการให้อดีตศิษย์เหล่านี้กลับคืนสู่นิกาย ไม่ว่าอย่างไรก็ตามจินยูโบเกือบตายก่อนที่เขาจะสามารถอยู่ได้ถึงสามสิบวินาที
อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะดูเหมือนว่ามีโอกาสเพียงเล็กน้อย เหล่าอดีตศิษย์ต่างพากันโล่งอกที่รู้ว่าพวกเขายังได้รับโอกาสที่สองที่จะกลับมาเป็นศิษย์นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
“90 วินาทีรึ นั่นค่อนข้างโหดร้าย” ซุนจิงจิงหัวเราะเบาๆ ข้างตัวเขา
“หือ เจ้าเองก็คิดว่าข้ากำลังรังแกพวกเขาด้วยสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อย่างนั้นรึ” ซูหยางเลิกคิ้ว
“เอ๋ ท่านคิดจริงรึว่าจะเป็นไปได้ที่มีใครสักคนที่สามารถอยู่ได้นานถึงสามสิบวินาที” เธอถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“ถ้าพวกเขายอมรับความผิดพลาดของตนเองและต้องการกลับเข้ามายังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจริงๆจากส่วนลึกของใจพวกเขา ก็ย่อมมิมีเหตุผลที่ทำไมพวกเขาจึงจะไม่สามารถทนได้ถึง 90 วินาที แม้ว่าจริงที่มันอาจจะมิใช่สิ่งที่ประสบความสำเร็จได้ง่ายๆแม้กระทั่งผู้ที่มีวิถีจิตอันแข็งแกร่งก็ตาม แต่นั่นย่อมไม่ยุติธรรมสำหรับผู้ที่เสี่ยงชีวิตเพื่อที่จะอยู่ในนิกายถ้าพวกเรายอมให้พวกเขากลับคืนมาง่ายๆ ใช่ไหม”
ข่าวที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยให้โอกาสที่สองแก่อดีตศิษย์นั้นแพร่กระจายไปเข้าหูของผู้ที่ทอดทิ้งนิกายไปในวันนั้นอย่างรวดเร็ว จนทำให้อดีตศิษย์หลายคนปรากฏตัวเพื่อทำการทดสอบในวันต่อๆไป
บ้าแล้ว กระทั่งคนที่ไปเข้าสำนักอื่นก็ยังตัดสินใจที่จะแสดงตัวและใช้โอกาสของตนเองอีกครั้ง
ในวันที่ห้าของการทดสอบ ซูลี่ชิงสังเกตเห็นกลุ่มของสาวสวยอยู่ภายในฝูงชน และดวงตาของเธอก็เบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ
กลุ่มของสาวสวยเหล่านี้ครั้งหนึ่งเคยทำงานที่ตำหนักโอสถกับเธอ และพวกเธอก็ยังเคยเรียกเธอว่าอาจารย์
และในเมื่อไม่มีคนมากนักที่ผ่านมาถึงการทดสอบที่สามได้ ซูลี่ชิงจึงออกมาจากเวทีชั่วขณะและตรงไปยังซูหยางและกล่าวว่า “ซูหยาง… ศิษย์ของข้า… พวกเธอก็มาที่นี่เช่นกัน…”
“หือ ศิษย์ของเจ้ารึ… เช่นนั้นเด็กสาวพวกนั้น” แน่นอนว่าซูหยางจำเหล่าศิษย์ที่ร่าเริงเหล่านี้จากตำหนักโอสถที่จะต้อนรับเขาด้วยรอยยิ้มสดใสเสมอได้
“นี่อาจจะฟังดูเห็นแก่ตัวมาก แต่ว่าข้า…”
ก่อนที่เธอจะทันได้พูดจบประโยค ซูหยางก็พูดขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “ทำตามที่เจ้าต้องการ”
“เจ้าแน่ใจนะ…” เธอมองดูเขาจากนั้นก็มองไปที่โหลวหลานจีด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“ถ้าซูหยางได้ให้สิทธิ์แก่เจ้าแล้ว ก็มิจำเป็นต้องตั้งคำถามอีกต่อไป” โหลวหลานจีพลันกล่าวขึ้น “แม้ว่าการตัดสินใจของพวกเขาในวันนั้นสร้างความผิดหวังให้แก่ข้าถึงที่สุด แต่ก็ใช่ว่าข้านั้นเกลียดพวกศิษย์ ยิ่งไปกว่านั้นในเมื่อพวกเธอเป็นศิษย์ของเจ้า ผู้อาวุโสหลาน ข้ามั่นใจว่าพวกเธอมิใช่ศิษย์ที่เลว ดังนั้นข้ายินดีที่จะยกโทษให้พวกเธอ”
“ข-ขอบคุณท่านผู้นำนิกาย” ซูลี่ชิงคำนับเธอก่อนที่จะเข้าไปหากลุ่มสาวสวยในฝูงชน
เมื่อฝูงชนสังเกตเห็นซูลี่ชิงตรงเข้าไปหาพวกเขา พวกเขาต่างก็พางกันงงงันเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตามผู้คนที่นั่นต่างก็ไม่กล้าที่จะขวางทางเธอและสร้างเป็นช่องทางว่างเปล่าให้เธอเดินผ่าน
“อ-อาจารย์…”
เมื่อซูลี่ชิงได้มายืนอยู่ต่อหน้าของอดีตศิษย์ของเธอ พวกเธอทุกคนต่างก็พากันมองดูเธอด้วยสีหน้าละอายใจบนใบหน้าและไม่มั่นใจว่าควรจะกล่าวกับเธออย่างไร ราวกับกลุ่มของเด็กๆที่รู้ว่าตนเองทำผิดและกำลังจะเผชิญกับการดุด่า
“เอาล่ะ พวกเจ้ามีอะไรจะพูดเพื่อตัวเจ้าเองหรือไม่ อย่างน้อยก็ให้คำแก้ตัวกับข้าสักอย่างสองอย่าง” ซูลี่ชิงถามพวกเธอด้วยสีหน้าเยือกเย็น
“พ-พวกเรามิมีคำแก้ตัวใดๆ อาจารย์… พวกเราต่างพากันกลัวนิกายล้านอสรพิษและทุกคนต่างก็พากันจากไป ดังนั้นพวกเราจึงวิ่งหนีไปเช่นเดียวกับคนขลาด”
ซูลี่ลิงถอนหายใจเบาๆและกล่าวว่า “ พวกเจ้าเหล่าหญิงสาว มิใช่เพียงพวกเดียวที่กลัวในเมื่อตัวข้าเองก็ยังสั่นสะท้านเช่นกัน ดังนั้นข้าจึงเข้าใจความรู้สึกของเจ้า แต่อย่างไรก็ตามพวกเจ้าก็ได้สาบานตนที่จะปกป้องนิกายแม้ว่าจะต้องแลกด้วยชีวิตเมื่อตอนที่เจ้ากลายมาเป็นศิษย์ตั้งแต่แรกแล้ว”
“…”
เหล่าเด็กสาวต่างพากันเงียบในเมื่อพวกเธอไม่ต้องการที่จะทำให้สถานการเลวร้ายลงไปกว่านั้น
“พวกเจ้าเหล่าหญิงสาวต้องการที่จะกลับมาสู่นิกายหรือไม่” ซูลี่ชิงกล่าวกับพวกเธอ
บรรดาเด็กสาวต่างพากันพยักหน้าด้วยสีหน้าสับสน
“พวกเจ้าคิดว่าพวกเจ้าสามารถทนเม็ดยาจิตมารได้ถึง 90 วินาทีหรือไม่” เธอถามพวกเธอ
“ร-เรามิรู้จนกว่าพวกเราจะพยายาม ถึงแม้ว่าโอกาสจะมีเพียงริบหรี่ พวกเราก็ต้องพยายาม”
ซูลี่ชิงถอนหายใจและกล่าวว่า “แม้ว่าพวกเจ้าจะมิรู้ตัว แต่ข้าก็เป็นหนี้พวกเจ้าไว้มากในการขออาสาสมัครทำงานที่ตำหนักโอสถเมื่อมิมีใครเลยต้องการทำงานที่นั่น และข้าก็มิเคยได้มีโอกาสในการขอบคุณพวกเจ้า”
“ข้าได้รับสิทธิ์จากผู้นำนิกายเรียบร้อยแล้วในการที่จะยอมให้พวกเจ้าหญิงสาวกลับคืนสู่นิกาย ดังนั้นจึงมิมีความจำเป็นสำหรับพวกเจ้าที่จะเข้าร่วมการทดสอบ”
“อ-อะไรนะ”
เหล่าเด็กสาวต่างพากันมองดูเธอด้วยสีหน้าตกตะลึง ดูเหมือนกับว่าไม่เชื่อ
“ครั้นเมื่อนิกายกลับมาคึกคักอีกครั้ง พวกเรายังคงต้องการคนทำงานในตำหนักโอสถ และข้าก็จักต้องการศิษย์จำนวนหนึ่งเพื่อช่วยข้า และมิใช่ว่าพวกเจ้าได้หลุดพ้นความผิดทั้งปวงแล้ว แน่นอนว่าข้าจักใช้งานพวกเจ้าให้ถึงแก่นเป็นการลงโทษ” ซูลี่ชิงกล่าว
“ข-ขอบคุณอาจารย์ พวกเราจักมิลืมหนี้บุญคุณครั้งนี้ตราบชั่วชีวิตของพวกเรา”
เหล่าเด็กสาวเริ่มร้องไห้กันทีละคนสองคน
“ข้ามิใช่คนที่พวกเจ้าควรจะขอบคุณ ถ้ามิใช่เป็นเพราะว่าคำอนุญาตของผู้นำนิกาย แม้กระทั่งข้าก็มิอาจจะช่วยพวกเจ้าได้ มากับข้าเพื่อทักทายผู้นำนิกาย”
เหล่าเด็กสาวพยักหน้าและติดตามซูลี่ชิงในขณะที่ผู้คนที่รายล้อมพวกเธอต่างพากันจ้องมองด้วยสายตาอิจฉา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าอดีตศิษย์
ครั้นเมื่อพวกเธอไปยืนต่อหน้าซูหยางและโหลวหลานจีแล้ว เหล่าเด็กสาวต่างพากันคุกเข่าบนพื้นและกล่าวด้วยเสียงอันดังชัดเจนว่า “ขอบพระคุณท่านผู้นำนิกายสำหรับความยินยอมที่มีต่อพวกเราเหล่าศิษย์ที่อสัตย์นี้ พวกเราจักมิทอดทิ้งนิกายอีกเป็นครั้งที่สอง และพวกเราจักพิทักษ์นิกายถึงแม้ว่านั่นจะต้องจ่ายด้วยชีวิตของพวกเราเองก็ตาม”
“หือ เจ้าคือ…”
เมื่อชายหนุ่มซึ่งเคยเป็นศิษย์ในของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก้าวเข้าไปบนเวทีที่สอง ซุนจิงจิงก็หรี่ตาไปยังเขา ดูราวกับว่าเธอจำเขาได้
“เจ้ามิใช่ จินยูโบ หรอกรึ เจ้ามาทำบ้าอะไรที่นี่” ซุนจิงจิงกล่าวกับอีกฝ่ายซึ่งตอนนี้เริ่มตื่นตระหนก
“ศ-ศิษย์พี่หญิง ซุน… ข้าปลื้มใจที่ท่านสามารถจำคนที่มิมีความสำคัญอย่างข้าได้…” เขากล่าวกับเธอด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน
“อย่าเรียกข้าเป็นศิษย์พี่หญิง ในเมื่อเรามิได้มีความเกี่ยวข้องเป็นเพื่อนศิษย์กันอีกต่อไป และถ้ามีใครสักคนคอยรบกวนเจ้าทุกวันทุกคืน ขอร้องให้เจ้าเป็นคู่ร่วมฝึก แน่นอนว่าเจ้าจักต้องจำคนแบบนั้นได้” ซุนจิงจิงกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว เห็นชัดว่าเธอไม่พอใจกับการปรากฏตัวของอีกฝ่าย
“มิว่าอย่างไรก็ตามเจ้ากล้าที่จะมาเข้าร่วมการทดสอบนี้และพยายามที่จะกลับมาเป็นศิษย์อีกครั้งได้อย่างไรหลังจากที่เจ้าทอดทิ้งพวกเราไปแล้วในวันนั้น เจ้ามีความละอายใจหรือเปล่า ข้าจักทำให้เจ้าล้มเหลวที่นี่โดยมิเปิดโอกาสให้เจ้าแม้แต่น้อย”
“ด-ได้โปรดอย่าทำเช่นนั้น ศิษย์พี่… ผู้อาวุโสซุน ข้ารู้ถึงความผิดพลาดข้าแล้ว และข้าก็เสียใจอย่างลึกซึ้งที่จากนิกายไปในวันนั้น ดังนั้นข้าจึงมาที่นี่เพื่อที่จะชดใช้ให้กับนิกาย ถึงแม้ว่าจะใช้ข้าเหมือนกับเป็นทาสหลังจากนี้ ข้าก็มิกล้าบ่น” จินยูโบกล่าวกับเธอด้วยหน้าตาสิ้นหวัง
อย่างไรก็ตามซุนจิงจิงไม่แม้จะชายตามองไปยังตัวตนของเขา เพียงแต่พูดด้วยเสียงเย็นชาว่า “เจ้าคิดจริงๆรึว่าข้ามิได้คิดว่าเจ้าเป็นคนประเภทไหนกัน จินยูโบ ถ้าปู่ของข้ามิใช่ผู้อาวุโสนิกายและเป็นผู้นำหน่วยพิทักษ์กฏ ข้ามั่นใจว่าเจ้าจักต้องใช้กำลังกับข้าเหมือนดังเช่นกับที่เจ้าทำกับศิษย์คนอื่นๆ”
“และข้าก็มั่นใจเช่นกันว่าคำพูดของเจ้าเมื่อกี้นี้มิมีอะไรไปกว่าคำแก้ตัวลมๆแล้งๆ เหตุผลเดียวที่เจ้าตัดสินใจกลับมานิกายก็เพราะว่าชื่อเสียงใหม่ของพวกเรา”
“น-นี่… ข้า…” จินยูโบกัดฟัน ทุกคำพูดที่ออกมาจากปากของซุนจิงจิงนั้นถูกต้องยิ่งกว่าถูกต้อง
เพราะว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยตอนนี้เป็นหนึ่งในสำนักที่เป็นที่นิยมและมีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในทวีปตะวันออก ศิษย์แทบจะทุกคนที่ได้ละทิ้งที่แห่งนี้ไปไม่ต้องสงสัยเลยว่าเสียใจกับการตัดสินใจของตนเองที่ละทิ้งนิกายไปมาตลอดจนถึงทุกวันนี้
ความจริงแล้วจินยูโบไม่ใช่ศิษย์ทิ้งสำนักเพียงคนเดียวที่นี่ ยังมีคนอื่นๆอีกมากในหมู่ผู้คน แต่ทว่าไม่มีใครในหมู่พวกเขาที่กล้าที่จะเข้ามาทดสอบและได้เพียงแต่เฝ้ามองจากที่ไกล บางทีพวกเขาอาจจะกำลังรอใครสักคน ศิษย์ร่วมสำนักที่ทิ้งนิกายไปในวันนั้นปรากฏตัวและเข้าร่วมการทดสอบ เพื่อที่พวกเขาจะได้ตัดสินใจที่จะทำตามหรือไม่
ถ้าจินยูโบผ่านการทดสอบและได้รับการยอมรับให้กลับไปเป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอีกครั้ง เช่นนั้นพวกเขาก็จะถือโอกาสทำอย่างเดียวกันเช่นกัน
“ข้ามีหลายเหตุผลที่จะไล่เจ้าไปในตอนนี้ และข้ามั่นใจว่าท่านผู้นำนิกายจะต้องมิกล่าวโทษข้าในเรื่องนี้ แต่ข้าก็จักยอมให้เจ้าเข้ารับการทดสอบนี้ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็มีความมั่นใจอย่างมากว่าคนที่ฟอนเฟะอย่างเช่นเจ้าจักมิสามารถที่จะต่อต้านเม็ดยาจิตมารนี้ได้” ซุนจิงจิงพลันกล่าวกับอีกฝ่าย
“ข-ขอบคุณ ผู้อาวุโสซุน” จินยูโบคำนับเธอก่อนที่จะหาที่นั่งบนเวที
ในเวลานั้นผู้เข้าร่วมคนอื่นอีกยี่สิบเก้าคนที่นั่นที่ได้ดูสถานการณ์ต่างก็พากันหัวเราะเยาะเคราะห์ร้ายของจินยูโบอยู่อย่างเงียบๆ
“ตอนนี้ข้าจักเริ่มการทดสอบ” ซุนจิงจิงกล่าวกับพวกเขาก่อนที่จะทำลายเม็ดยาจิตมารทำให้หมอกสีแดงแพร่กระจายออกไป
หมอกสีแดงปกคลุมไปทั่วเวทีและปิดบังสายตาของทุกคนที่นั่น
สองสามวินาทีให้หลัง เวทีก็เต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องโหยหวน ราวกับว่ามีการฆ่าฟันกัน
ในเวลานั้น ซุนจิงจิงก็ได้มองไปยังจินยูโบที่เกลือกกลิ้งไปทั่วพื้นในขณะที่ดึงผมของตนเอง
“เพราะว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้เติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจ้นนับตั้งแต่เจ้าทิ้งพวกเราไป ข้ามั่นใจว่าใจของเจ้าเต็มไปด้วยความเสียใจ ทำให้การทดสอบนี้ยากกว่าเดิมสำหรับเจ้า” ซุนจิงจิงส่ายหน้าให้กับเขา “สำหรับหัวใจเน่าเฟะของเจ้า… นั่นคงเป็นปาฏิหาริย์ถ้าเจ้าสามารถผ่านการทดสอบนี้”
สิบห้าวินาทีภายในการทดสอบ เลือดก็เริ่มไหลออกมาจากจมูกของจินยูโบ
“โอ” ซุนจิงจิงเลิกคิ้วเมื่อเห็นเช่นนั้น ในเมื่อจินยูโบได้กลายเป็นคนแรกที่ได้รับผลเป็นความเสียหายจริงๆจากเม็ดยาจิตมาร
ใช่แล้ว ในบรรดาคนหลายพันคนที่เข้ารับการทดสอบที่สอง ไม่มีใครเลยที่ต้องหลั่งเลือดเพราะเม็ดยา
อย่างไรก็ตามในเมื่อนี่เป็นครั้งแรกของเธอที่เห็นเช่นนั้น เธอจึงไม่มั่นใจว่าเธอควรจะปล่อยเขาไว้ตามลำพังหรือว่าย้ายเขาออกไปจากเวทีก่อนที่จะเกิดอันตรายต่อเขามากไปกว่านี้
“อาาาาาา”
ยี่สิบวินาทีภายในการทดสอบ เลือดก็เริ่มไหลออกจากตาและหูของจินยูโบเช่นเดียวกัน
ในขณะที่ซุนจิงจิงหันกายไปเพื่อที่จะขอคำชี้แนะ เงาร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นข้างเธอและเตะจินยูโบออกไปจากเวที
เมื่อซุนจิงจิงเห็นว่านั่นเป็นซูหยางที่ปรากฏตัวขึ้น เธอก็จ้องมองเขาด้วยตากลมโต
สองสามอึดใจให้หลัง ครั้นเมื่อจินยูโบเยือกเย็นลงเล็กน้อย ซูหยางก็พูดขึ้นว่า “แม้ว่าข้าจะยอมรับเจ้าสำหรับการที่สามารถต่อต้านเม็ดยาจิตมารได้ถึงระดับนี้ ถึงกับยอมเสี่ยงชีวิต แต่เจ้าจักตายในอีกสามวินาทีให้หลังถ้าข้ามินำเจ้าออกไปจากเวที”
“น-น-นั่นหมายความว่า… ว่าข้าได้… ล้มเหลว…ใช่ไหม” จินยูโบถามเขา
“เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ ต่อให้เจ้าสามารถทำการอยู่บนเวทีได้นานถึงสามสิบวินาที พวกเราก็ย่อมมิยอมรับคนตายเป็นศิษย์อยู่ดี”
จากนั้นเขาก็หันไปมองดูฝูงชนและกล่าวว่า “ข้ารู้ว่ามีพวกเจ้าบางคนในหมู่ผู้คนที่เคยเป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมาก่อน และสงสัยว่าเจ้ามีโอกาสที่จะกลับมาหรือไม่”
“ผู้นำนิกายโหลวหลานจีมีความปรารถนาที่จะมิให้อภัยกับพวกเจ้าที่ทอดทิ้งนิกาย แต่ข้าจักให้โอกาสที่สองต่อพวกเจ้า แต่ทว่านี่มิได้ง่ายดายนักเพราะว่าพวกเจ้าได้ทอดทิ้งนิกายไปครั้งหนึ่งมาก่อนแล้ว ดังนั้นถ้าเจ้าต้องการที่จะกลับมา เจ้าต้องต้านเม็ดยาจิตมารให้ได้ถึง 90 วินาที แทนที่จะเป็น 30 วินาที”
ในวันที่สองของการทดสอบ โหลวหลานจีปรากฏตัวขึ้นเพื่อตรวจสอบความคืบหน้าของพวกเขา
“เป็นอย่างไรบ้าง ซูหยาง มีศิษย์มากเท่าไหร่ที่พวกเราได้รับตอนนี้” เธอถามเขาด้วยเสียงตื่นเต้น
“สองร้อยกับสิบคน” เขาตอบอย่างใจเย็น
“เอ๋…” โหลวหลานจีมองดูเขาด้วยสีหน้าว่างเปล่าไปชั่วขณะ
“ศิษย์สองร้อยสิบคน… เท่านั้นรึ” โหลวหลานจีมองดูคนนับพันที่รวมตัวกันที่นั่น เธอไม่สามารถที่จะทำความเข้าใจได้ว่าทำไมพวกเขาจึงสามารถรับศิษย์เพียง 210 คนในเมื่อมีผู้เข้าร่วมการทดสอบนับหมื่นคนที่นั่น
“ถูกต้อง และพวกเราก็จักรับศิษย์สูงสุดเพียง 1,000 คนในตอนนี้” เขากล่าวเสริมขึ้น
“แต่ทำไมจึงน้อยนัก มิดีกว่าหรือถ้าเรารับศิษย์ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อเพิ่มจำนวนของพวกเรา” เธอถามด้วยใบหน้าสงสัย ในเมื่อยิ่งมีศิษย์มากเท่าไหร่ ชื่อเสียงของพวกเขาก็จะดีขึ้นมากเท่านั้น
“ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไร แต่พวกเราไม่ต้องการที่จะถมจำนวนนิกายของพวกเราด้วยขยะเพียงเพื่อที่จะเพิ่มชื่อเสียงของสำนัก ในเมื่อนั่นย่อมเพียงเป็นอันตรายต่อนิกายยามเมื่อเวลาผ่านไป สิ่งที่พวกเราต้องการในตอนนี้มิใช่ชื่อเสียงหรือจำนวน แต่เป็นรากฐานอันแข็งแกร่งที่จักอยู่ได้แม้จะผ่านไปนับพันปี และในการที่จะให้ได้สิ่งนี้ พวกเรามิอาจจะยอมให้ใครก็ได้เข้าร่วมกับพวกเรา แต่ทว่าครั้นเมื่อรากฐานของเราแข็งแกร่งพอแล้ว พวกเราสามารถที่จะเริ่มรับศิษย์ให้มากขึ้นได้ขึ้นอยู่กับพรสวรรค์ของพวกเขา”
“ข-ข้าเข้าใจ…” โหลวหลานจีมองดูเขาด้วยสีหน้าประหลาดใจ และเธอถามเขาว่า “ดูเหมือนว่าเจ้าจะมีประสบการณ์ในเรื่องเหล่านี้มาก ราวกับว่าเจ้าได้เคยทำอะไรเช่นนี้มาก่อน หรือว่าเจ้ามีสำนักเป็นของตนเองในชีวิตก่อน นั่นย่อมอธิบายได้ถึงความเชี่ยวชาญของเจ้า”
“ข้ามิควรเรียกมันว่าสำนัก แต่ก็ควรเป็นอะไรทำนองนั้น” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงลึกลับ
จากนั้นโหลวหลานจีก็ดูการทดสอบเป็นเวลาสองสามชั่วโมง ในเมื่อเธอก็อยากรู้เกี่ยวกับวิธีการทดสอบของเขา
“เม็ดยาสีแดงนั่นคืออะไร” เธอถามเขาหลังจากที่เห็นผลลัพธ์อันลึกลับ
เพราะว่าซูหยางไม่ได้เกริ่นให้เธอฟังถึงการทดสอบ เธอจึงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย
“เม็ดยาจิตมาร มันจักเข้าไปค้นหาความกลัวที่แสนเลวร้ายหรือความชอกช้ำที่เลวร้ายที่สุดของคนผู้นั้นที่เคยได้ประสบมาก่อนและสร้างมันขึ้นมาใหม่ภายในใจของจิตใจของพวกเขาและทำให้มันน่าหวาดกลัวยิ่งกว่าเดิมอีกหลายเท่า ราวกับความฝันที่เป็นจริง ในการที่จะผ่านการทดสอบนี้คนผู้นั้นจะต้องมีวิถีจิตที่แข็งแกร่งพอที่จะเอาชนะความกลัวที่เลวร้ายที่สุดนี้ มิเช่นนั้นเม็ดยาจิตมารนี้ก็จักมีอิทธิพลเหนือจิตใจและวิญญาณของพวกเขาและทำการครอบงำ”
“แล้วอะไรคือการทดสอบที่สาม ข้าได้ดูมาสักพักหนึ่งแล้ว แต่ข้ากลับมิสามารถที่จะเข้าใจว่านี่คือการทดสอบอะไร” โหลวหลานจีถาม
“พูดให้ง่ายๆ มันคือการทดสอบพรสวรรค์ในการฝึกวิชา น้ำในชามนั้นเป็นที่รู้จักกันในนามของ วารีกลืนสวรรค์ และมันมีความสามารถในการดูดซับปราณไร้ลักษณ์ใดๆที่เข้ามาสัมผัสกับมัน ในที่ที่ข้าจากมา มันใช้ในการทดสอบอัตราการดูดซับปราณไร้ลักษณ์ของผู้คนจนเป็นเรื่องปกติ ถ้าหากว่าวารีกลืนสวรรค์ไม่สามารถที่จะดูดซับเลือดที่บรรจุไปด้วยปราณไร้ลักษณ์ที่ผสมผสานในนั้นได้เต็มที่ นั่นก็หมายความว่าคนผู้นั้นมีเลือดที่มีความสามารถในการดูดซับปราณไร้ลักษณ์สูงอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้คนผู้นั้นเป็นผู้ฝึกวิชายุทธที่ยอดเยี่ยม”
“แน่นอนว่านั่นก็ยังมีหลายระดับของวารีกลืนสวรรค์ และที่ข้าใช้ในตอนนี้ก็เป็นระดับที่ต่ำที่สุด”
“ช่างเป็นสสารที่ลึกล้ำ… เพียงแต่ว่าเจ้าหาสิ่งแบบนี้จากที่ไหนกันรึ” โหลวหลานจีถามเขาหลังจากนั้น
ซูหยางหัวเราะแล้วกล่าวว่า “เจ้ามิสามารถที่จะหาสิ่งของประเภทนี้ได้ที่นี่ต่อให้ค้นหาจากทั่วทั้งโลก ดังนั้นข้าจึงสร้างมันขึ้นมาด้วยตนเอง”
“ข้าจักมิถามเจ้าต่อว่าเจ้าสร้างมันขึ้นมาได้อย่างไร…” โหลวหลานจีถอนหายใจ
“จริงๆแล้วมันค่อนข้างง่ายดาย เจ้าเพียงแค่ต้องการน้ำทั่วไปและองค์ประกอบอีกบางอย่าง ส่วนที่สำคัญที่สุดก็คือเทคนิคที่ใช้ ถ้าเจ้าต้องการใช้วารีกลืนสวรรค์ในอนาคต ข้าก็จักให้สูตรไว้ในภายหลัง ไม่ว่าอย่างไรมันก็มิได้เป็นสิ่งมีค่าอะไรมากนัก”
“จ-จริงรึ เช่นนั้นข้าก็จักมิเกรงใจแล้ว” เธอรีบรับความใจกว้างของเขาไว้
“แล้วอะไรคือความหมายเบื้องหลังการประลอง” เธอถามเขาหลังจากนั้น “เจ้าคาดหวังว่าจะมีใครสักคนสามารถเอาชนะศิษย์ของพวกเราได้จริงงั้นรึ”
แต่ทว่าซูหยางกลับส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “ข้ามิได้คาดหวังอะไร เจตนาเพียงอย่างเดียวสำหรับการประลองนี้ก็คือให้ข้าสามารถวิเคราะห์ความสามารถของพวกเขาและให้วิชาการฝึกปรือที่เหมาะสมกับพวกเขา ซึ่งนั่นจะเป็นประโยชน์สูงสุดต่อความแข็งแกร่งและแก้ไขจุดอ่อนของพวกเขา”
“อะไรกัน อย่างนั้นเป็นไปได้ด้วยรึ ในการเลือกวิชาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับศิษย์แต่ละคน… นั่นปกติแล้วต้องใช้เวลาหลายเดือนหรือไม่ก็หลายปีในการสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิด แต่เจ้ากำลังบอกข้าว่าเจ้าสามารถทำสิ่งเช่นเดียวกันนั้นโดยการมองดูพวกเขาต่อสู้เพียงไม่กี่นาที” โหลวหลานจีไม่เคยได้ยินหรือเห็นใครสักคนทำอะไรมากมายสำหรับศิษย์ใหม่มาก่อน แน่นอนว่าซูหยางเป็นคนแรกที่คิดอะไรเช่นนั้นอย่างจริงจัง
“แน่นอน เจ้าคิดว่าข้าเป็นใครกัน ถ้าข้ามิสามารถกระทั่งทำอะไรที่เป็นพื้นฐานมากๆเช่นนี้ ข้าก็มิมีค่ามากพอที่จะเรียกว่าเซียนแล้ว” เขากล่าวด้วยรอยยิ้มภาคภูมิใจ
ในวันที่สามของการทดสอบ นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้รับศิษย์ใหม่ 510 คน แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป ก็ยิ่งมีคนน้อยลงที่สามารถผ่านการทดสอบ
“หืออออ คนที่เข้าร่วมการทดสอบที่อยู่ตรงนั้น…” โหลวหลานจีพลันชี้ไปยังผู้เข้าร่วมการทดสอบคนหนึ่งที่ตอนนี้อยู่ที่การทดสอบที่สองและกล่าวว่า “ข้าจำเขาได้ เขาเคยเป็นศิษย์ในของนิกายมาก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์นั้น”
“โอ จริงรึ” ซูหยางเลิกคิ้ว
“ข้ามั่นใจ แม้ว่าข้าอาจจะจำศิษย์ทุกคนมิได้ แต่ข้าได้จดจำใบหน้าของศิษย์ในส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดได้”
“เช่นนั้นเจ้าคิดว่าอย่างไร” เขาถามเธอ สายตาของเขาเต็มไปด้วยความสนใจ
“แม้ว่าอาจจะดูข้าใจแคบไปบ้างในตอนนี้ ข้าได้สาบานต่อตนเองว่าข้าจักมิยอมให้คนที่ละทิ้งนิกายในวันนั้นได้ก้าวเท้าเข้าในนิกายอีกครั้ง แต่อย่างไรก็ตามในเมื่อเจ้าเป็นคนที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการทดสอบครั้งนี้ ดังนั้นข้าจักปล่อยให้เจ้าเป็นคนตัดสินใจขั้นสุดท้าย” เธอตอบพร้อมกับขมวดคิ้วลึก
แม้กระทั่งคนตาบอดที่ไม่สามารถมองเห็นสีหน้าไม่พึงพอใจของเธอในตอนนี้ก็ยังสามารถรับรู้ได้อย่างง่ายดายถึงความเกลียดชังที่เธอมีต่อคนที่ทอดทิ้งนิกายจากน้ำเสียงของเธอเพียงอย่างเดียวได้
“ก็ได้ แต่มาดูกันว่าเขาสามารถผ่านการทดสอบที่สามได้หรือไม่ก่อนก็แล้วกัน” ซูหยางกล่าว
“ท่านรู้จักเด็กหญิงคนนั้นรึ ซูหยาง” หลินนาสังเกตเห็นเขาจ้องไปยังผู้เข้าร่วมการแข่งขันจึงได้ถามเขา
“ใช่ เรามีช่วงเวลาอยู่ร่วมกันในอดีต” เขาพยักหน้า
“ท่านคิดว่าเธอจะผ่านการทดสอบหรือไม่”
“ใครจะรู้” เขาตอบพร้อมกับรอยยิ้มเล็กน้อย
ในขณะเดียวกันหญิงสาวคนนี้ก็กำลังนั่งอยู่ในหมอกสีแดงต่อสู้กับอิทธิพลของเม็ดยาจิตมารภายในใจเธออย่างหมดท่า
30 วินาทีหลังจากนั้นเธอก็สามารถต่อต้านเม็ดยาจิตมาร และผ่านการทดสอบรอบที่ 2 ไปพร้อมกับคนอื่นอีก 3 คน
บนเวทีที่ 3 คน 3 คนนี้ได้เข้าไปก่อนและไม่น่าประหลาดใจที่เลือดของพวกเขาไม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในชามบรรจุน้ำ จึงตกรอบไป
เมื่อหญิงสาวคนนี้ผสมเลือดของเธอเข้ากับน้ำ น้ำก็เปลี่ยนเป็นสีแดงจางๆก่อนที่จะเปลี่ยนไปเป็นสีแดงค่อนข้างเข้มตามเวลาที่เปลี่ยนไป
“เจ้าผ่านแล้ว” ซูลี่ชิงกล่าวกับเธอด้วยรอยยิ้ม
หญิงสาวคำนับเธอก่อนที่จะเดินไปสู่เวทีสุดท้าย
ไม่นานหลังจากนั้นเธอก็ยืนห่างจากซูหยางและหลินนาไม่กี่เมตรบนเวทีที่ 4
และในขณะที่หลินนาเตรียมตัวที่จะต่อสู้กับเธอ ซูหยางก็สะกิดไหล่ของหลินนาจากด้านหลังและพูดว่า “ให้ข้าจัดการกับคนนี้”
หลินนาพยักหน้าและก้าวถอยหลังโดยไม่กล่าวอะไร
“เป็นเวลาพักใหญ่แล้ว ซูหยาง” หญิงสาวกล่าวกับเขาด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดนับตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่ข้าเห็นเจ้า อย่างไรก็ตามข้าไม่สามารถที่จะพูดเช่นนั้นได้กับตัวข้าเอง”
“เจ้ายิ่งมายิ่งสวยกว่าเดิม หลูลี่เฟิน” เขากล่าวด้วยรอยยิ้มหล่อเหลา
“แต่เจ้าก็ยังเจ้าเล่ห์เหมือนเช่นเดิม”
ใช่แล้ว หญิงสาวน่ารักคนนี้ก็คือหลูลี่เฟิน คนที่เขาได้พบที่ห้องสวีทแห่งศลิษาเมื่อตอนที่เขายังเป็นเพียงแค่ศิษย์ใน
ไม่เพียงแต่เขาได้รับแก่นหยินบริสุทธิ์ แต่เขายังคงใช้เวลากับเธออีก 2 วันกับเธอด้วย
หลูลี่เฟินกล่าวต่อว่า “ข้ามิได้บอกเจ้าเรื่องนี้มาก่อน แต่เป็นความคิดของพ่อข้าในการส่งข้าไปยังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเพื่อที่จะหาคู่ครอง ข้าไม่รู้เรื่องนี้ในตอนนั้น แต่ตามความเป็นจริงแล้วเป็นรูปแบบการลงโทษข้าชนิดหนึ่งซึ่งได้ปฏิเสธที่จะยอมรับสามีทั้งที่พ่อแม่ข้าได้กดดันอย่างหนัก”
“เขาต้องการทำให้ข้าโกรธด้วยการทำให้ข้ารู้สึกอับอาย และข้าต้องบอกว่ามันใช้ได้ผลอย่างสมบูรณ์แบบ แน่นอนว่าเขาไม่ได้คาดคิดจริงๆที่จะให้ข้าปล่อยตัวไปอย่างนั้น”
“อีกนัยหนึ่งพ่อของข้าไม่ได้วางแผนที่จะให้ข้าหาคู่ครองภายในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย แต่อนิจจาข้าพบกับเจ้าและได้ให้ร่างกายของข้ากับเจ้า”
“ข้าไม่ได้กล่าวเรื่องนี้กับพ่อของข้าเมื่อตอนที่ข้ากลับบ้านในเมื่อข้าไม่พบเจอสามี และเขาก็ยังคงจัดการหาวิธีจับคู่ให้กับข้า แต่ในที่สุดเขาก็พบความจริงเมื่อเขาถามผู้อาวุโสลู่ซึ่งอยู่กับข้าที่ห้องสวีทแห่งศลิษา”
“พ่อของข้าหน้าซีดเมื่อเขาพบเห็นว่าข้าไม่ใช่สาวบริสุทธิ์อีกต่อไปแต่ก็ไม่มีอะไรที่เขาจะสามารถเปลี่ยนแปลงความจริงนี้ได้ ดังนั้นเขาจึงยอมรับผลลัพธ์และไม่รบกวนข้าให้หาสามีอีกต่อไป ในเมื่อหญิงสาวที่ไม่ได้บริสุทธิ์อีกต่อไปแล้วย่อมไม่เป็นที่ต้องการของตระกูลใหญ่ แน่นอนว่านี่ทำให้ข้าได้มุ่งเน้นในด้านการฝึกวิชาของข้าอย่างเต็มที่ และข้าก็ไม่รู้ว่าจะขอบคุณอย่างไรสำหรับเรื่องนั้น ซูหยาง”
“อย่างไรก็ตามแม้ว่านี่จะเป็นความคิดของพ่อของข้าในการให้เข้าร่วมกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเช่นกัน แต่ข้าก็ยังจะมาที่นี่ถึงแม้ว่าเขาจะไม่พูดอะไรเลยก็ตาม”
หลูลี่เฟินพลันชี้นิ้วไปยังเขาแล้วกล่าวว่า “ซูหยาง ข้าจะมาเป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย และจากนั้นก็ทำให้เจ้ารับผิดชอบในการเอาพรหมจรรย์ของข้าไปโดยการทำให้เจ้ากลายเป็นสามีของข้า”
ซูหยางเผยรอยยิ้มเยือกเย็นหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเธอแล้วกล่าวว่า “ข้าจะคอยดู”
หลูลี่เฟินพยักหน้าและต่อด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าสวยของเธอ “หลังจากเรื่องนี้จบแล้วทำไมเราไม่ดื่มชาด้วยกัน เหมือนกับครั้งก่อนหน้านั้น”
“ฟังดูเข้าท่า”
ทั้งสองคนเริ่มต่อสู้กันในไม่กี่อึดใจหลังจากนั้น
หลังจากนั้นหลูลี่เฟินก็ล้มลงบนพื้นด้วยใบหน้าหมดแรง
ซูหยางตรงเข้าไปหาเธอและยื่นมือของเขาไปให้
“ขอแสดงความยินดี เจ้าประสบความสำเร็จส่วนแรกแล้ว ตอนนี้เจ้าจะทำให้ข้ากลายเป็นสามีของเจ้าได้อย่างไร” เขาถามเธอขณะที่เขาดึงเธอลุกขึ้นมายืน
“แน่นอนว่าด้วยการทำให้เจ้าตกหลุมรักข้าอย่างบ้าคลั่ง” หลูลี่เฟินก็พลันหันหน้าของเธอไปยังซูหยาง และจูบลงไปที่ริมฝีปากของเขาแบบผ่านๆ
“จูบผู้นำนิกาย นั่นค่อนข้างจะกล้าไปหน่อยสำหรับเจ้า” ซูหยางกล่าวหลังจากนั้น
“ถ้าเจ้ามิต้องการมัน เจ้าสามารถที่จะหลบไปได้อย่างง่ายๆ” เธอกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“ข้าไม่ปฏิเสธในเรื่องนั้น” เขาตอบพร้อมกับหัวเราะหึๆ
“ข้าจักมาพบกับเจ้าภายใน 7 วัน ซูหยาง” หลูลี่เฟินกล่าวก่อนที่จะจากสถานที่นั้นไปไม่กี่อึดใจให้หลัง
“ช่างเป็นหญิงสาวที่กล้ามาก จูบซูหยางต่อหน้าผู้คนมากมาย” ไป่ลี่ฮัวพึมพัมหลังจากที่เห็นฉากนั้น
“เธอมิใช่ลูกสาวคนเล็กของตระกูลหลูรึนั่น ข้าได้ทำธุรกิจกับพวกเขาก่อนหน้านั้น” หวังชูเหรินกล่าว และเธอก็กล่าวต่อว่า “ข้ามิคิดว่าพวกเขามีความสัมพันธ์กันเช่นนั้น”
ในเวลานั้น คิ้วของซีซิงฟางก็สั่นไหวเล็กน้อยเห็นได้ชัดว่าสะท้านจากการจูบระหว่างหลูลี่เฟินกับซูหยาง
“ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะฐานันดรของข้า เช่นนั้นบางทีข้าก็คงจะสามารถทำสิ่งที่กล้าแบบนั้นได้เช่นกัน…” เธอถอนหายใจ
การทดสอบศิษย์ดำเนินต่อไป และเมื่อจบวันแรกก็มีผู้เข้าร่วมการทดสอบกว่า 20,000 คน และมีผู้ล้มเหลวในการทดสอบมากกว่า 90% ที่เวทีทดสอบแห่งที่ 2
ยิ่งไปกว่านั้นในบรรดาผู้คน 2 หมื่นคนนั้นมีน้อยกว่า 1% ที่สามารถสอบผ่านกลายเป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
“ศิษย์ 169 คนในวันแรกรึ ไปได้ด้วยดีกว่าที่คิดไว้มาก” ซูหยางพยักหน้าด้วยสีหน้าพึงพอใจ
“ท่านพอใจกับที่มีคนผ่านไม่กี่คนเนี่ยนะ” หลินนาพูดไม่ออก
“แม้ว่าคนเพียง 169 คนดูเหมือนจะไม่มากนัก แต่ถ้าเจ้าดูพวกเขาแต่ละคนเป็นเหมือนอัจฉริยะและมีศักยภาพที่จะเป็นจอมยุทธเขตอัมพรวิญญาณ เช่นนั้นมุมมองของเจ้าก็ควรจะเปลี่ยนไปบ้างไม่มากก็น้อย”
“จอมยุทธเขตอัมพรวิญญาณ 169 คนรึ” หลินนาเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ถ้ามองในมุมนี้แน่นอนว่าจำนวนที่ไม่มีนัยสำคัญนั้นจะเปลี่ยนเป็นจำนวนมหาศาลทันที
“น-นั่นต้องมีความผิดพลาดแน่ นี่เป็นการทดสอบพรสวรรค์ ใช่ไหม ข้าได้ก้าวเข้าถึงเขตสัมมาวิญญาณเมื่อตอนอายุได้ 20 ปี เห็นได้ชัดว่าข้ามิใช่ผู้ฝึกวิชายุทธระดับปานกลางทั่วไป” เว่ยลี่หวงปฏิเสธที่จะยอมรับผลลัพธ์
“ข้าต้องขอโทษ แต่นั่นไม่มีข้อผิดพลาด แม้ว่าพลังการฝึกปรือของเจ้าอาจจะเหนือกว่าระดับปานกลาง แต่พวกเราก็ไม่ได้ตัดสินพรสวรรค์ของแต่ละคนจากพลังการฝึกปรือ” ซูลี่ชิงกล่าวกับเขา
เมื่อผู้เข้าชมได้เห็นว่าเว่ยลี่หวงตกการทดสอบรอบที่ 3 พวกเขาต่างพากันงุนงง
“เว่ยลี่หวงล้มเหลวในการทดสอบพรสวรรค์งั้นรึ เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นอัจฉริยะในการฝึกวิชายุทธ”
“ไม่มีใครนอกจากนิกายสุมาลย์พ้นพิสัยที่รู้ว่าการทดสอบเหล่านี้จริงแล้วเป็นอย่างไร ดังนั้นพวกเราจึงไม่มีทางรู้ได้เลย”
“บ-บ้าไปแล้ว” เว่ยลี่หวงฟูมฟายอยู่บนเวที แต่ทว่าแม้เขาจะรู้สึกโกรธเพียงใดก็ตาม เขาก็ไม่กล้าที่จะทำอะไรบุ่มบ่ามเมื่อมีจอมยุทธหลายคนรวมไปถึงตระกูลซีคอยเฝ้าดูทุกสิ่งอยู่ที่นั่น
ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็กระทืบเท้าออกไปจากเวทีหายไปจากพื้นที่ทดสอบในทันที
“เพียงแต่ว่าน้ำในอ่างนั้นเป็นน้ำประเภทไหนกัน เห็นได้ชัดว่าไม่ได้เป็นน้ำธรรมดา” ไป่ลี่ฮัวถามออกมาเสียงดัง
อย่างไรก็ตามจอมยุทธคนอื่นๆที่ตรงนั้นต่างก็พากันส่ายหน้าในเมื่อพวกเขาก็ไม่รู้ว่ามันเป็นอะไรเช่นเดียวกัน
2-3 นาทีให้หลัง ก็มีคนอื่นสามารถก้าวเข้าไปสู่เวทีทดสอบลำดับที่สามได้สำเร็จ และเขาก็มีอายุเพียง 17 ปี ชายหนุ่มที่มีพลังการฝึกปรือเพียงแค่ระดับ 2 ของเขตปฐมวิญญาณ
“เขาอายุได้ 17 ปีแล้ว แต่ยังคงอยู่แค่เพียงระดับ 2 ของเขตปฐมวิญญาณ ถ้าแม้กระทั่งอัจฉริยะอย่างเช่นเว่ยลี่หวงไม่สามารถผ่านการทดสอบได้ ก็ไม่มีทางเป็นไปได้ที่ชายหนุ่มคนนี้จะสามารถผ่านไปได้เช่นกัน”
ผู้คนที่นั่นต่างพากันตัดสินในใจไปแล้วว่าชายหนุ่มคนนี้ย่อมไม่ผ่านการทดสอบอย่างแน่นอน
แต่อย่างไรก็ตามสองสามอึดใจให้หลัง หลังจากที่ชายหนุ่มคนนั้นผสมเลือดของเขาภายในอ่างบรรจุน้ำ ผู้ชมที่นั่นต่างก็พากันตกใจที่เห็นน้ำเปลี่ยนเป็นสีแดงจางๆภายในไม่กี่วินาทีก่อนที่จะกลับคืนสู่สภาพใสสะอาด
“ขอแสดงความยินดี เจ้าได้ผ่านการทดสอบแล้ว” ซูลี่ชิงกล่าวกับเขา
“อะไรกัน ทำไมเขาจึงผ่านการทดสอบด้วยพลังการฝึกปรือเพียงแค่นั้นในอายุเท่านั้น นั่นต้องมีอะไรผิดพลาดที่นี่เป็นแน่”
ไม่เพียงแต่ผู้ชมแต่กระทั่งตัวชายหนุ่มเองก็รู้สึกงงงันผลลัพธ์ ในเมื่อเขาก็เกือบไม่ได้คาดหวังที่จะผ่าน “ข-ข้าผ่านรึ…” เขาพึมพัมกับตัวเอง
ซูลี่ชิงพยักหน้าพร้อมกับยิ้มและกล่าวว่า “ใช่ เจ้าสามารถมุ่งหน้าไปยังเวทีที่ 4 สำหรับการทดสอบครั้งสุดท้าย”
ชายหนุ่มพยักหน้าและมุ่งตรงไปยังเวทีที่ 4 ที่ซึ่งซูหยางได้ยืนหลับตาอยู่อย่างสบายๆที่นั่น
ครั้นเมื่อชายหนุ่มขึ้นไปยืนบนเวที ซูหยางก็ลืมตาขึ้นและกล่าวว่า “หลินนา เข้ามาประลองกับชายหนุ่มคนนี้”
“เอ๋ ข้ารึ”
หลินนาชี้ไปที่ตัวเธอเองด้วยใบหน้างงงัน
“ข-ข้ามาแล้ว”
เธอกระโดดขึ้นไปบนเวทีไม่นานหลังจากนั้น
“ จำกัดตัวเจ้าเองที่เขตปฐมวิญญาณ แล้วก็ต่อสู้กับเขาอย่างจริงจัง” ซูหยางกล่าว
หลินนาพยักหน้าจากนั้นทั้งสองก็เริ่มต่อสู้กันบนเวทีไม่นานหลังจากนั้น
การต่อสู้นั้นอยู่ได้ไม่ถึงนาที และก็เป็นไปตามที่ทุกคนคาดคิด หลินนาชนะการต่อสู้นั้นโดยไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ
“ ท่านคิดว่าเป็นอย่างไร” หลินนาถามซูหยาง หลังจากการต่อสู้จบลง
ซูหยางจ้องมองไปที่ชายหนุ่มชั่วขณะก่อนที่จะพยักหน้า “เจ้าผ่านแล้ว”
เมื่อชายหนุ่มได้ยินคำพูดเช่นนั้นดวงตาของเขาก็เอ่อล้นไปด้วยน้ำตาและเขาก็โค้งคำนับไปยังซูหยาง “ ขอบคุณท่านผู้นำนิกาย ศิษย์คนนี้ จะไม่ทำให้นิกายผิดหวัง”
“ รับสิ่งนี้และกลับบ้านไปเตรียมตัว กลับมาที่นี่อีกใน 7 วันข้างหน้า เมื่อตอนที่การทดสอบศิษย์เสร็จเรียบร้อยแล้ว” ซูหยาง โยนตราให้กับเขา ซึ่งระบุว่าเขาเป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
“ขอรับท่านผู้นำนิกาย” ชายหนุ่มโค้งคำนับเขาอีกครั้งก่อนที่จะลงจากเวทีไปอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตามในขณะที่ชายหนุ่มพยายามออกจากพื้นที่นั้นเขาก็ถูกผู้ชมรุมล้อม
“ขอแสดงความยินดีหนุ่มน้อย เจ้าชื่ออะไรหรือ”
“พี่ชายหนุ่มหล่อทำไมเราไม่มาฉลองความสำเร็จของเจ้าที่ร้านอาหารกันก่อนล่ะ”
“ข้าเป็นผู้นำของตระกูลหวงจากเมืองหมอกควัน ถ้าเจ้าต้องการความช่วยเหลืออะไรในอนาคต เจ้าสามารถไปหาข้าได้เพื่อขอความช่วยเหลือ”
ชายหนุ่มงงงันที่เห็นผู้คนพากันประจบประแจงเขาก่อนที่เขาจะทันได้สวมชุดเครื่องแบบของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย นี่เป็นความรู้สึกที่เขาไม่เคยได้ประสบมาก่อน
“ข-ขอโทษ… ข้าต้องกลับไปที่ครอบครัวของข้าก่อน…” ชายหนุ่มพูดก่อนที่จะวิ่งหนีไป
ในเวลานั้นเมื่อผู้เข้าร่วมการทดสอบคนอื่นเห็นว่าในที่สุดก็มีคนที่สามารถผ่านการทดสอบที่ดูเหมือนกับว่าเป็นไปไม่ได้ ความกระตือรือร้นของพวกเขาก็เพิ่มสูงขึ้นและความหวังของพวกเขาก็กลับคืนมาเพราะเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นไปได้ที่พวกเขาจะสามารถผ่านการทดสอบไปได้จริงๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มาเข้าร่วมการทดสอบที่มาจากครอบครัวทั่วไปหรือว่าเริ่มต้นเส้นทางการฝึกฝีมือช้า ถ้าหากว่าผู้ที่มีอายุ 17 ปี ในระดับ 2 ของเขตปฐมวิญญาณสามารถผ่านการทดสอบ เช่นนั้นก็หมายความว่าพวกเขาก็ต้องมีโอกาสเช่นกัน
หลายชั่วโมงหลังจากนั้น หลังจากทดสอบผู้เข้าร่วมการทดสอบมากกว่า 5000 คน มีเพียง 38 คนที่สามารถผ่านการทดสอบและกลายเป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
“จำนวนคนที่ผ่านการทดสอบมีน้อยกว่า 1%… แม้กระทั่งสำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์หนึ่งในสำนักที่เข้มงวดที่สุดก็ยังไม่มีอัตราประสบความสำเร็จต่ำเช่นนี้”
“แม้ว่าพวกเขาจะชนะการแข่งขันระดับภูมิภาคและมีอัจฉริยะที่เย้ยสวรรค์มากมาย แต่พวกเขาเข้มงวดและเรียกร้องมากเกินไปหรือไม่ ไม่ว่านิกายจะดีเพียงใดก็ตามถ้าพวกเขามิมีศิษย์เลยนั่นย่อมไม่ดีสำหรับพวกเขาแน่”
คนบางคนที่นั่นต่างรู้สึกว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยโลภและจู้จี้มากเกินไปในเรื่องศิษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่ในสถานการณ์ปัจจุบันที่มีความต้องการศิษย์ใหม่เป็นอย่างมาก หากเป็นเช่นนี้ต่อไปพวกเขาย่อมไม่สามารถที่จะรับศิษย์ได้ถึงครึ่งของขีดจำกัด 1,000 คนอย่างแน่นอน
หญิงสาวคนหนึ่งสังเกตเห็นสายตาของซูหยางได้อย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกันเธอก็จ้องมองเขามาตลอดช่วงเวลานี้ เมื่อเธอรู้ว่าเขากำลังมองไปที่เธอและอาจจะจำเธอได้ เธอก็หน้าแดงและคำนับไปที่เขาก่อนที่จะสัมผัสกับเทวรูป
“19 ปี ระดับ 1 เขตสัมมาวิญญาณ”
“ตอนนี้พวกเจ้าเริ่มขึ้นไปบนเวทีได้” ฟางซีหลานซึ่งยืนอยู่บนเวทีแรกพร้อมกับเทวรูปกล่าวกับฝูงชน
ทันใดนั้นเองหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเธอ ผู้คนก็เริ่มขึ้นไปบนเวทีแรก
“18 ปี เขตปฐมวิญญาณ”
“23 ปี เขตคัมภีร์วิญญาณ”
หลังจากที่ผู้เข้าร่วมได้รับการตรวจสอบอายุและพลังการฝึกปรือแล้ว พวกเขาก็ได้รับการยอมให้เข้าสู่เวทีที่สอง
“พวกเราจักเริ่มการทดสอบเมื่อมีคนสามสิบคนบนเวทีนี้แล้ว” ซุนจิงจิง ซึ่งอยู่บนเวทีที่สองและยืนอยู่ด้านข้างเม็ดยา
ครั้นเมื่อมีคนสามสิบคนบนเวทีแล้ว ก็เกิดความเงียบอย่างน่ากลัว ราวกับว่าพวกเขาถูกตัดขาดออกจากโลก และซุนจิงจิงก็เริ่มอธิบายกระบวนการสำหรับการทดสอบที่สอง
“สำหรับการทดสอบที่สองนี้ พวกเราจักทดสอบวิถีจิตของเจ้าโดยใช้เม็ดยาจิตมาร”
“เม็ดยาจิตมาร นั่นเป็นยาประเภทไหนกัน”
ผู้คนที่นั่นต่างไม่เคยได้ยินชื่อยาเช่นนี้มาก่อน
“เม็ดยาจิตมารเป็นเม็ดยาที่จะปลดปล่อยมารในใจเจ้าออกมา ซึ่งเป็นจุดอ่อนของจิตใจของเจ้า มิว่ามันจะซ่อนอยู่ลึกในสติของเจ้าแค่ไหนก็ตาม ต่อให้เจ้ามิเคยรู้ว่ามีมันก็ตาม เม็ดยาจิตมารก็จะค้นหามันและเปิดเผยมันให้กับเจ้า”
“การที่จะผ่านการทดสอบที่สองนี้ เจ้าต้องทนเม็ดยาจิตมารนี้ให้ได้สามสิบวินาที ถ้าเจ้าออกไปจากเวทีก่อนเวลาสามสิบวินาทีจะผ่านพ้นไป เจ้าก็จักล้มเหลวการทดสอบนี้โดยอัตโนมัติ” ซุนจิงจิงกล่าว
“เพียงแค่สามสิบวินาทีเองรึ นี่จักเป็นเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก”
ผู้คนที่นั่นต่างพากันคิดในใจ
“ถ้าพวกเจ้าทั้งหมดพร้อมแล้ว ข้าต้องการให้พวกเจ้านั่งลงและหลับตา”
สองสามอึดใจให้หลัง ครั้นเมื่อผู้เข้าร่วมการทดสอบทั้งหมดนั่งอยู่บนเวทีแล้ว ซุนจิงจิงก็บิเม็ดยาจิตอสูรด้วยนิ้วมือของเธอจนทำให้เม็ดยาระเบิดออกกลายเป็นหมอกสีแดงที่กระจายไปทั่วเวทีอย่างรวดเร็ว
และเพื่อที่จะป้องกันไม่ให้มันกระจายหายไป จึงได้มีการจัดตั้งค่ายกลรอบเวที บีบให้หมอกคงอยู่แต่ด้านใน ยิ่งไปกว่านั้น มันยังปกป้องเสียงจากด้านนอกเข้าไปในค่ายกลเพื่อที่ว่าผู้เข้าร่วมการทดสอบจะไม่ถูกรบกวนจากฝูงชนด้านนอก
ที่แห่งนั้นพลันเงียบลงเมื่อไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับผู้เข้าร่วมทั้งสามสิบคนนั้น
แต่อย่างไรก็ตามสองสามวินาทีให้หลัง กว่าครึ่งของผู้เข้าทดสอบในเวทีที่สองก็เริ่มกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวราวกับว่าพวกเขากำลังถูกฆ่า
ภายในสิบวินาที เกือบทุกคนบนเวทีล้วนกรีดร้องโดยมีสองสามคนในนั้นถึงกับวิ่งออกจากเวทีด้วยสีหน้าหวาดกลัว
หลังจากผ่านไปยี่สิบวินาทีของการทดสอบ ผู้เข้าร่วมการทดสอบทั้งหมดก็ได้วิ่งออกจากเวที ตกรอบไปโดยอัตโนมัติ
“ผ-ผู้เข้าร่วมการทดสอบเจออะไรกันจึงทำให้พวกเขาถึงกับมีท่าทางหวาดกลัวเช่นนั้น พวกเขาวิ่งออกจากเวทีราวกับว่าชีวิตของพวกเขาตกอยู่ในความเป็นตาย”
ผู้คนที่เห็นฉากนั้นต่างพากันตกใจกับสถานการณ์
“แม้ว่าจะผ่านไปเพียงไม่กี่วินาทีในโลกจริง สำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเม็ดยาจิตอสูรนั้น จักรู้สึกเหมือนกับว่าเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง” ซุนจิงจิงกล่าวกลับผู้เข้าร่วมการทดสอบที่ล้มเหลว
“เม็ดยาจิตอสูรนี้… ช่างเป็นยาที่น่าสนใจทีเดียว” หวังชูเหรินคิดในใจขณะที่ดูเวทีที่สองพร้อมกับความสนใจที่พุ่งสูงขึ้น “ข้าต้องถามซูหยางเกี่ยวกับยานี้ระหว่างการอบรมของพวกเราในคราวหน้า”
หลังจากที่ผู้เข้าร่วมการทดสอบชุดแรกล้มเหลว ผู้เข้าร่วมการแข่งขันชุดต่อไปก็เข้าสู่เวทีที่สอง และฉากนั้นก็เกิดซ้ำอีกครั้ง
ภายในยี่สิบวินาที ผู้เข้าร่วมการทดสอบทั้งหมดสามสิบคนก็วิ่งออกจากเวทีด้วยสีหน้าหวาดกลัว ราวกับว่าพวกเขาถูกไล่ตามด้วยมารร้ายภูติผี
“ดังคาด การทดสอบศิษย์นี้อาจจะดูง่ายดาย แต่จริงแล้วมันค่อนข้างยาก ข้าสงสัยว่าจะมีกี่คนจากหลายพันคนนี้จะผ่านเวทีที่สองนี้ อย่าว่าแต่ทั้งสี่เวที” จอมกระบี่ศักดิ์สิทธิ์จงพึมพัมกับตัวเองเมื่อคนหลายชุดได้ล้มเหลวในเวทีที่สอง
อย่างไรก็ตามหลังจากที่ล้มเหลวไปมากกว่าสามร้อยคน ในที่สุดก็มีบางคนที่สามารถอยู่บนเวทีได้นานถึงสามสิบวินาทีเต็มผ่านการทดสอบเวทีที่สอง
“ขอแสดงความยินดี เจ้าเป็นคนแรกที่ผ่านเวทีที่สอง” ซุนจิงจิงกล่าวกับชายหนุ่มรูปหล่อขณะที่เธอสะบัดชายเสื้อขับไล่หมอกสีแดงบนเวที
“ขอบคุณ ผู้อาวุโสซุน” ชายหนุ่มรูปหล่อคำนับเธอก่อนที่จะเดินไปยังเวทีที่สาม
“ดู สุดท้ายก็มีคนผ่านเวทีที่สอง”
ผู้เข้าชมต่างก็พากันสังเกตเห็นชายหนุ่มรูปหล่อหลังจากที่เขาตรงเข้าไปยังเวทีที่สาม
“นั่นเว่ยลี่หวง อัจฉริยะจากตระกูลเว่ยซึ่งสามารถเข้าถึงเขตสัมมาวิญญาณด้วยอายุเพียงยี่สิบปี”
คนสองสามคนจำชายหนุ่มรูปหล่อนี้ได้
ครั้นเมื่อเว่ยลี่หวงเดินเขึ้นไปบนเวทีที่สาม ซูลี่ชิง(หลานลี่ชิง)ก็กล่าวกับเขาว่า “สิ่งที่เจ้าต้องทำทั้งหมดสำหรัการทดสอบครั้งที่สามนี้ก็คือเพียงแค่หยดเลือดหนึ่งหยดลงไปในน้ำนี้”
“ถ้าน้ำนี้เปลี่ยนเป็นสีแดง เจ้าก็จะผ่านการทดสอบรอบที่สาม” เธอแนะนำเขา
“การทดสอบประเภทไหนกันนี่ ถ้าเขาหยดเลือดลงไปในน้ำ แน่นอนว่ามันต้องเปลี่ยนเป็นสีแดงสิ”
ผู้เข้าชมต่างพากันงงงันกับการทดสอบที่สาม ซึ่งดูเหมือนไม่มีจุดหมาย
แต่อย่างไรก็ตาม เว่ยลี่หวงไม่ได้ตั้งคำถามกับการทดสอบเพียงแค่พยักหน้าของเขา จากนั้นเขาก็เจาะรูเล็กๆบนปลายนิ้ว ทำให้เลือดหยดหนึ่งหยดลงไปสู่อ่างบรรจุน้ำที่อยู่ด้านใต้เขา
เมื่อหยดเลือดตกลงสู่อ่างบรรจุน้ำ ผู้คนที่นั่นต่างพากันคาดหวังว่ามันจะเปลี่ยนเป็นสีแดงในทันที แต่ทว่าจนกระทั่งเวลารอไปนานหลายวินาที เลือดที่อยู่ในน้ำกลับไม่รวมตัวเข้ากับน้ำ ราวกับว่ามันเป็นหยดน้ำมันในน้ำ
หลังจากผ่านไปหลายวินาที ราวกับว่าน้ำใสนั้นได้กลืนกินมัน หยดเลือดหายไปภายในอ่างโดยไม่มีร่องรอยให้เห็น
“ข้าต้องขอแสดงความเสียใจ แต่เจ้าล้มเหลวในการทดสอบครั้งที่สาม “ซูลี่ชิงประกาศผลเมื่อหยดเลือดหายไปจากอ่างบรรจุน้ำ
“อะไรกัน เป็นอย่างนั้นไปได้อย่างไร” เว่ยลี่หวงไม่สามารถที่จะทำตัวเยือกเย็นได้อีกต่อไปและอุทานออกมาด้วยความไม่เชื่อ
บทที่ 499 ผู้ชมที่มีตำแหน่งสูง
“ก่อนอื่นให้ข้าอธิบายพวกเจ้าทั้งหมดถึงความต้องการในการทดสอบ
ครั้งนี้” ซูหยางพูดขณะที่กวดสายตาอันสงบไปทั่วหมู่ชนหลายพัน
เบื้องหน้าเขา
“หนึ่ง พวกเจ้ามิจำเป็นต้องเป็นผู้ฝึกยุทธในการเข้าร่วมการทดสอบ
สองพวกเจ้าต้องมิมีอายุเกิน 24 ปี และสุดท้าย มีการทดสอบแยกกัน
อยู่สี่ส่วนที่พวกเจ้าต้องผ่านก่อนที่จะได้รับการยอมรับเป็นศิษย์ของ
นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย”
เมื่อซูหยางอธิบายกฎให้กับผู้คนฟัง ก็มีร่างคนบางร่างที่มีตัวตนอัน
ยิ่งใหญ่ปรากฏตัวขึ้นทีละคนสองคน
เมื่อผู้คนที่นั่นรู้ว่าคนเหล่านี้เป็นใคร พวกเขาต่างพากันประหลาดใจ
อย่างใหญ่หลวง
“นั่นคือหวังชูเหรินจากนิกายดอกบัวเพลิง ทำไมคนแบบเธอจึงมาทำ
อะไรในการคัดเลือกศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยนี่”
“มองทางนั้นสิ เจ้าสำนักหงส์สวรรค์ ไป่ ลี่ฮัวก็อยู่ที่นี่เช่นกัน”
“หือ กระทั่งเจ้าสำนักกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิก็ปรากฏตัวด้วยรึ ทำไมเหล่า
คนที่มีชื่อเสียงเลื่องลือเหล่านี้มาทำอะไรที่แค่งานทดสอบศิษย์ของ
สำนักอื่น”
อย่างไรก็ตามคนที่น่าประหลาดใจมากที่สุดที่ปรากฏตัวขึ้นที่นี่ไม่
ต้องสงสัยเลยว่าจะเป็นคนที่คลุมหน้าที่มีรูปร่างเป็นหญิงสวมเสื้อผ้า
หรูหรา
“น-นั้นคงมิใช่…”
“เป็นไปมิได้ เธอมาทำอะไรถึงที่นี่”
แม้ว่าผู้คนอาจจะไม่สามารถจดจำตัวตนของเธอจากรูปร่างหน้าตา
ของเธอได้ แต่ทหารองครักษ์ที่ยืนรายล้อมเธอช่วยเปิดเผยตัวตนของ
เธอง่ายขึ้น ในเมื่อพวกเขาต่างสวมเกราะที่เป็นของตระกูลซี
“องค์หญิง”
ผู้คนที่นั่นต่างพากันโค้งคำนับให้กับซีซิงฟางในทันที
“ได้โปรด อย่ากังวลในเรื่องข้า ข้ามาที่นี่เพียงเพื่อชมการทดสอบ” ซี
ซิงฟางโบกมือ
ดังนั้น หวังชูเหริน ไป่ ลี่ฮัว เจ้าสำนักกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิจง และซีซิงฟาง
ก็เริ่มชมการทดสอบจากระยะไกล อย่างไรก็ตามตัวตนของพวกเขา
นั้นโดยปกติแล้วมีอำนาจมากจนเกินไป จนทำให้ผู้เข้าร่วมการทดสอบ
ยิ่งเป็นกังวล
ไม่เพียงแต่พวกเขาจะต้องกังวลเกี่ยวกับการผ่านการทดสอบแต่พวก
เขาก็ยังต้องใส่ใจกับบุคคลผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้ที่มาดูพวกเขาอยู่ในตอนนี้
“ซูหยาง…” ฟางซีหลานมองดูเขาด้วยสายตาเป็นกังวล ในเมื่อเธอไม่
คาดคิดว่าเหล่าบุคคลสำคัญเหล่านี้จะมาชมการคัดเลือกศิษย์ของพวก
เขา
แต่ทว่าซูหยางเพียงแค่พูดด้วยรอยยิ้ม “มิต้องใส่ใจพวกเขา ถ้าพวก
เขาต้องการดู ก็ให้พวกเขาสนุกไปกับการแสดง”
หลังจากที่กล่าวคำพูดเหล่านั้นแล้วเขาก็ทำการพูดกับผู้คนต่อไป “ข้า
มั่นใจว่าพวกเจ้าส่วนใหญ่ที่มาที่นี่ได้ยินเรื่องนี้ก่อนที่จะมาที่นี่แล้ว
แต่ข้ายังคงที่จะย้ำสำหรับผู้ที่ยังไม่รู้ในเรื่องความเปลี่ยนแปลงนี้ นิกาย
กุสุมาลย์พ้นพิสัยจักแยกออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งสำหรับผู้ที่
ปรารถนาที่จะฝึกฝนอย่างปกติ และอีกส่วนหนึ่งสำหรับผู้ที่ปรารถนา
ที่จะฝึกฝนการฝึกวิชาคู่”
“ในแต่ละส่วนจะมีวิชา ผลประโยชน์ และพรสวรรค์แตกต่างกันไป
แต่สุดท้ายพวกเจ้าก็ล้วนอยู่ในสำนักเดียวกัน และข้าต้องการให้พวก
เจ้าจดจำไว้ในใจตราบเท่าที่พวกเจ้าได้เป็นศิษย์ของที่นี่”
“ตอนนี้สำหรับสิ่งสุดท้ายก่อนที่เราเริ่มการทดสอบ”
ซูหยางกวาดสายตาผ่านฝูงชน จนทำให้พวกเขาสั่นสะท้านด้วยความ
หวาดกลัว แล้วเขาก็กล่าวต่อว่า “มีคนนับหมื่นคนที่นี่ในวันนี้และก็
จะมีมากกว่านี้ตามมาทีหลัง แต่สำหรับตอนนี้ นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
จักรับศิษย์สูงสุดเพียงห้าร้อยคนสำหรับศิษย์ภาคปกติ และอีกห้าร้อย
คนสำหรับศิษย์ภาคการฝึกวิชาคู่ ดังนั้นมีเพียงคนเพียงหนึ่งพันคน
ในหมู่พวกเจ้าเท่านั้นที่จะได้รับเป็นศิษย์ แน่นอนว่ามาตรฐานของ
เราก็จะแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้ ดังนั้นอาจจะมีไม่ถึงหนึ่งพันคนที่
จะได้กลายมาเป็นศิษย์”
เมื่อผู้คนได้ยินเช่นนั้น พวกเขาต่างตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ
ผู้คนย่อมคาดหวังว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจะรับศิษย์มากเท่าที่สุดที่
จะเป็นไปได้ เพราะว่าในสถานการณ์ปัจจุบันของนิกาย ก็คือขาดศิษย์
แน่นอนว่าศิษย์หนึ่งพันคนไม่ใช่ศิษย์จำนวนน้อยที่จะรับในเวลาหนึ่ง
วันแต่สำหรับทั้งสำนักแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำนักที่ตอนนี้เป็นอันดับ
หนึ่งแล้ว ศิษย์หนึ่งพันคนก็เหมือนกับไม่ได้อะไรเลยแม้แต่น้อย
ตัวอย่างเช่นสำนักกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิ แม้ว่าจะรับศิษย์น้อยกว่าหนึ่งร้อย
คนในทุกเดือน พวกเขาก็มีศิษย์มากกว่าห้าหมื่นคนที่ทำกิจกรรมอยู่
ในสำนัก
กระทั่งนิกายดอกบัวเพลิงและสำนักหงส์สวรรค์ก็มีศิษย์มากกว่าสอง
หมื่นคน ดังนั้นสำหรับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยที่มีศิษย์เพียงแค่หนึ่ง
พันคน ก็ถือได้ว่าค่อนข้างต่ำ
สองสามอึดใจถัดไป ซูหยางก็กล่าวต่อว่า “ตอนนี้เมื่อทุกได้ดำเนิน
มาถึงตอนนี้แล้ว พวกเราก็มาเริ่มการคัดเลือกศิษย์ประจำปีของนิกาย
กุสุมาลย์พ้นพิสัยกัน ซึ่งจักใช้เวลานานทั้งหมดเจ็ดวัน”
จากนั้นเขาก็ชี้ไปยังด้านหลังเขาแล้วกล่าวว่า “ด้านหลังข้าเป็นพื้นที่
ทดสอบ”
ผู้คนต่างพากันมองไปที่ด้านหลังของเขา ซึ่งมีลานประลองขนาดใหญ่
อยู่สี่แห่ง เวทีแรกเป็นเทวรูปอายุกระดูก และเทวรูปวิญญาณจัดตั้งอยู่
เวทีที่สองมีขาตั้งอยู่ตรงกลางโดยมีเม็ดยาสีแดงเม็ดหนึ่งวางอยู่บนขา
ตั้งนั้น เวทีที่สามมีอ่างบรรจุน้ำขนาดใหญ่วางอยู่ตรงกลาง แต่เวทีที่
สี่นั้นกลับว่างเปล่า
“อย่างที่เห็น การทดสอบแรกจักเป็นการทดสอบอายุและพลังการ
ฝึกปรือ การทดสอบที่สองจักทดสอบวิถีจิตของเจ้า สำหรับการทดสอบ
ที่สามนั้นเราจักทดสอบพรสวรรค์ของเจ้าผ่านเลือดของพวกเจ้า และ
ส่วนสำหรับการทดสอบสุดท้ายนั้น เจ้าจักต้องประลองกับศิษย์ของ
เราหนึ่งคน แต่นอนว่าพวกเรามิได้คาดหวังว่าพวกเจ้าคนใดจักเอาชนะ
ศิษย์เราได้ ดังนั้นการพ่ายแพ้มิได้หมายความว่าเจ้าล้มเหลวโดย
อัตโนมัติ”
เมื่อผู้คนได้ยินการทดสอบที่พวกเขาจะต้องทำ พวกเขาก็ค่อนข้างงง
งันอยู่บ้าง ในเมื่อมันง่ายดายเกินกว่าที่พวกเขาคาดคิดไว้
ปกติแล้วสำหนักจะทำการให้ผู้เข้าร่วมการทดสอบได้รับการทดสอบ
ที่รุนแรงเพื่อหาขีดจำกัดของพวกเขาซึ่งบางครั้งต้องการให้พวกเขา
ต่อสู้กับสัตว์ร้ายในภูเขาเป็นเวลาสองสามวัน แต่เมื่อเปรียบเทียบกับ
การทดสอบเหล่านี้ การทดสอบของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยนั้นเรียบ
ง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ อีกทั้งยังง่ายดายอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ในเมื่อพวกเขาจะรับศิษย์อย่างมากที่สุดเพียงหนึ่งพัน
คนเท่านั้น การทดสอบเหล่านี้อาจจะดูเหมือนง่ายเพื่อล่อหลอกให้
ผู้เข้าร่วมการแข่งขันประมาทก็เป็นได้
“ตอนนี้เมื่อข้าได้อธิบายทุกสิ่งให้แก่พวกเจ้าแล้ว สุดท้ายพวกเราก็มา
เริ่มการทดสอบนี้กันเถอะ”
จากนั้นซูหยางก็หันไปมองดูซุนจิงจิง ฟางซีหลาน และหลานลี่ชิง
เมื่อพวกเธอเห็นเขามองไปยังพวกเธอ พวกเธอก็พยักหน้าและเริ่ม
เดินไปบนเวที
ครั้นเมื่อพวกเธอแต่ละคนขึ้นไปยืนบนเวทีเรียบร้อยแล้ว การทดสอบ
ก็ได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
บทที่ 498 ศิษย์ดั้งเดิม
สองวันหลังจากนั้น ซูหยางก็ออกจากศาลาหยินหยางขณะที่โหลว
หลานจีหลับสนิทจากอาการหมดแรง
แต่ก่อนที่จะจากไป เขาได้ทิ้งวิชาฝึกปราณที่อยู่ในระดับเซียนโดยไม่
เปิดเผยถึงระดับของวิชาให้กับเธอ ไม่ว่าเธอจะมีพรสวรรค์เพียงใด
หากปราศจากวิชาระดับเซียน ก็เกือบเป็นไปไม่ได้ที่จะบรรลุเขต
อัมพรวิญญาณในโลกนี้เนื่องมาจากขาดปราณไร้ลักษณ์
ครั้นเมื่อเขาออกไปจากศาลาหยินหยางแล้ว ซูหยางก็ไปยังนิกาย
ดอกบัวเพลิงหนึ่งวันเพื่อฝึกอบรมหวังชูเหรินอีกครั้ง
“ข้าต้องกล่าวว่า… ผลลัพธ์ที่ได้นั้นน่าตกใจมาก” หวังชูเหรินกล่าว
“นั่นยังไม่ถึงเดือนแต่ฝีมือของข้าก็ได้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด”
“เจ้ายังคงมีหนทางอีกยาวไกล ชูเหริน แม้ว่าฝีมือของเจ้านั้นจะได้
พัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเปรียบเทียบกับตอนที่เมื่อเจ้าเริ่มฝึก นั่น
ก็ยังไม่ได้ใกล้เคียงกับระดับที่ข้าต้องการให้เจ้าเป็น” ซูหยางกล่าวกับ
เธอ
“แต่อย่างไรก็ตามนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจักเริ่มรับศิษย์ใหม่ภายใน
อีกสามวันใช่ไหม เกือบทั้งทวีปได้รอด้วยคามคาดหวัง กระทั่งสำนัก
กระบี่ศักด์ิสิทธ์ิก็ไม่สามารถทำให้คนตื่นเต้นกับการเพียงแค่รับศิษย์
ใหม่ บางทีข้าควรจะไปนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและเฝ้าสังเกตการณ์
ข้าได้ฝึกทุกวันไม่ได้หยุดดังนั้นข้าควรจะพักสักหน่อย”
“ทำตามที่เจ้าต้องการ”
หลังจากที่การสอนหวังชูเหรินจบลง ซูหยางก็กลับไปยังนิกายกุสุมาลย์
พ้นพิสัยเพื่อเตรียมตัวการทดสอบศิษย์
ขณะที่เขามุ่งหน้าไปยังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย เขาก็สังเกตเห็นผู้คน
ต่างพากันรวมตัวกันหน้าพื้นที่ทดสอบที่เขาจะใช้เป็นพื้นที่ทดสอบ
ศิษย์เรียบร้อยแล้ว และมีคนรวมตัวกันอยู่ตรงนั้นหลายพันคน
มีผู้คนทุกช่วงอายุ มีกระทั่งผู้คนที่เห็นได้ว่าไม่อยู่ในช่วงอายุที่ต้องการ
อย่างไรก็ตามแม้ว่าพวกเขาอาจจะไม่ใช่ผู้ที่เข้าร่วมการทดสอบ แต่ก็
อาจจะเป็นผู้ชมแทนก็ได้
หลังจากที่กลับถึงนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ซูหยางก็ขอให้ซุนจิงจิงและ
ฟางซีหลานช่วยเขาในระหว่างการคัดเลือกศิษย์ และพวกเธอก็ตกลง
อย่างรวดเร็ว
สามวันให้หลัง ในวันทดสอบ เหล่าศิษย์ปัจจุบันต่างก็มารวมตัวกันที่
หอประชุม
“ซูหยาง เจ้ามั่นใจว่าเจ้าต้องการที่จะจัดการเรื่องนี้ตามลำพัง เมื่อตอน
ที่ข้าแอบมองไปด้านนอกวานนี้ มีคนนับหมื่นคนที่รอคอยอยู่ด้าน
นอกแล้ว ใครจะรู้ว่าจะมีเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนอีกเท่าไหร่ในตอนนี้”
โหลวหลานจีกล่าวกับเขา
“อย่ากังวล ข้ามีซุนจิงจิงและฟางซีหลานช่วยอยู่” เขากล่าวด้วยท่าทาง
ผ่อนคลาย
“อย่างไรก็ตามถ้าเจ้ากังวลเช่นนั้น เจ้าสามารถมาดูการทดสอบได้
ด้วยตนเอง”
จากนั้นเขาก็หันไปมองดูศิษย์คนอื่นและกล่าวว่า “ขอบคุณที่อยู่กับ
นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยตลอดมานี้ แม้ว่าสิ่งต่าง ๆ ในนิกายจะเปลี่ยน
แปลงไปนับตั้งแต่วันนี้ พวกเจ้าสามารถมั่นใจได้ว่าข้าจักมิเปลี่ยน
แปลงวิธีที่ข้าได้ดูแลพวกเจ้า”
“ดังนั้นนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าจักให้พวกเจ้าทั้งหมดได้ตำแหน่ง
เป็น ศิษย์ดั้งเดิม”
“ศิษย์ดั้งเดิมรึ นั่นคืออะไร”
ลืมพวกศิษย์ไปได้เลย ในเมื่อกระทั่งผู้อาวุโสนิกายและโหลวหลานจี
ก็ไม่เคยได้ยินศัพท์นี้มาก่อน
“นี่เป็นตำแหน่งที่ปกติแล้วจะมอบให้กับเหล่าศิษย์ที่มีอยู่ก่อนที่จะ
เกิดการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ภายในนิกายหรือก่อนที่จะถึงยุคใหม่
ในกรณีของพวกเรา นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจะก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ ดังนั้น
ใครก็ตามที่อยู่ที่นี่ก่อนที่จะเป็นยุคใหม่นี้ก็จะรู้จักกันในนาม ศิษย์
ดั้งเดิม”
“แน่นอนว่า ศิษย์ดั้งเดิมนั้น จะมีขึ้นหรือไม่ ทั้งหมดนั้นขึ้นอยู่กับผู้นำ
นิกาย และข้าต้องการที่จะทำให้มันมีขึ้นภายในนิกายกุสุมาลย์พ้น
พิสัย เจ้าเห็นด้วยกับสิ่งนี้หรือไม่” ซูหยางหันไปมองดูโหลวหลานจี
โหลวหลานจีพยักหน้าหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเขา และเธอพูดขึ้น
บ้างว่า “ข้ามิถือ แต่ว่ามีความแตกต่างอย่างไรกันระหว่างศิษย์ดั้งเดิม
กับศิษย์อื่น ๆ”
“การเป็นศิษย์ดั้งเดิมนั้นเป็นมากกว่าแค่ตำแหน่ง มันเป็นฐานะที่
คล้ายกับชนชั้นสูง ยกตัวอย่างเช่น แม้ว่าคนผู้หนึ่งอาจจะเป็นเพียงแค่
ศิษย์นอก แต่เขาก็สามารถเป็นศิษย์ดั้งเดิมได้เช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น
ผลประโยชน์ของการเป็นศิษย์ดั้งเดิมนั้นขึ้นกับผู้นำนิกาย และในเวลา
นี้ข้าจักให้ศิษย์ดั้งเดิมทุกคนมีสิทธิพิเศษเท่ากับศิษย์หลัก ดังนั้นแม้ว่า
พวกเขาเป็นเพียงศิษย์รุ่นเยาว์ พวกเขาก็ยังสามารถได้รับผลประโยชน์
ทั้งหมดเช่นเดียวกับที่ศิษย์หลักจะพึงได้รับ”
“แน่นอนว่า ยังมีผลประโยชน์อื่นในฐานะศิษย์ดั้งเดิมมากกว่าเพียง
แค่มีสิทธิคล้ายกับศิษย์หลัก แต่ข้าจักอธิบายให้ฟังเพิ่มในภายหลัง”
จากนั้นซูหยางก็โบกชายเสื้อ ส่งตราจำนวนมากที่จัดสร้างจากหยก
ไปให้ทุกคนที่อยู่ภายในห้อง
ตรานี้เปล่งพลังงานที่ลึกลับลึกล้ำออกมา จนทำให้เหล่าศิษย์ต่างพา
กันสะท้านเมื่อได้สัมผัสมัน
“นั่นจักเป็นหลักฐานประจำตัวระบุว่าพวกเจ้าเป็นศิษย์ดั้งเดิม แม้ว่า
จริงแล้วพวกมันไม่มีประโยชน์ในตอนนี้ แต่พวกเจ้าจักต้องการใช้
มันในอนาคต”
หลังจากที่พูดกับเหล่าศิษย์ต่ออีกสองสามนาที ซูหยางก็ออกไปจาก
หอประชุมมุ่งหน้าไปยังโถงทดสอบพร้อมกับซุนจิงจิงและฟางซี
หลาน
แน่นอนว่าศิษย์ที่เหลือต่างก็พากันสนใจในการทดสอบเช่นเดียวกัน
ดังนั้นพวกเขาจึงติดตามด้านหลังเขาไปด้วย
เวลาหลังจากนั้น พวกเขาก็ไปถึงที่โถงทดสอบ
“โอพระเจ้า… มีคนมากมายอยู่ที่นี่…” เหล่าศิษย์ต่างพากันงงงันไป
กับทะเลมนุษย์ที่มารวมตัวกันหน้าโถงทดสอบ
“ต้องขอบคุณที่เราได้เพิ่มความจุสำหรับโถงทดสอบล่วงหน้า แต่ถึง
จะมีความจุเพิ่มขึ้น มันก็ยังมีผู้คนหนาแน่นอย่างรวดเร็ว” ฟางซีหลาน
กล่าวด้วยใบหน้าที่ค่อนข้างงุนงงอยู่เล็กน้อย ในเมื่อเธอไม่คาดคิดว่า
จะมีคนมากมายปรากฏตัวขึ้นเพื่อรับการทดสอบ
“ดูสิ นั่นนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย พวกเขาอยู่ที่นี่แล้ว”
“ข้าเห็นนางฟ้าซุนกับนางฟ้าฟางด้วย”
“อัจฉริยะอันดับหนึ่ง ซูหยาง ก็อยู่กับพวกเขาด้วยเช่นกัน”
เมื่อผู้คนที่พากันรวมตัวด้านนอกสังเกตเห็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์
พ้นพิสัยตรงมาหาพวกเขา ที่ซึ่งเสียงดังอยู่แล้วก็ยิ่งดังเซ็งแซ่มาก
กว่าเดิม
“อะแฮ่ม” ซูหยางพลันกระแอม จนทำให้เกิดคลื่นอันลึกล้ำแผ่กระจาย
ไปทั่วทั้งพื้นที่และส่งความหนาวยะเยือกไปยังทุกผู้คน
ที่แห่งนั้นพลันเงียบสงัดภายในไม่กี่วินาที
“ขอบคุณทุกท่านที่มาที่นี่ในวันนี้ การทดสอบศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์
พ้นพิสัยสำหรับศิษย์ใหม่จะเริ่มในเวลาอันสั้นหลังจากที่ข้าได้กล่าว
ถ้อยคำสองสามคำ”
บทที่ 497 แน่นอนว่าต้องตั้งท้อง
หลังจากที่พวกเขาร่วมฝึกวิชาแล้ว โหลวหลานจีก็ถามซูหยางด้วย
เสียงจริงจังว่า “ซูหยาง…ข้ามีคำถามสุดท้ายสำหรับเจ้า แน่นอนว่าถ้า
เจ้ามิต้องการที่จะตอบคำถามนี้ ข้าก็มิบ่นแต่อย่างใด”
ซูหยางมองสบสายตาจริงจังและเป็นกังวลของเธอ เขาสามารถเดา
ได้ว่าเธอกำลังจะถามอะไรเขา
“ว่าไปสิ” เขากล่าว
“เจ้า… จริงแล้วเจ้าเป็นใครกันแน่” สุดท้ายโหลวหลานจีก็ถามคำถาม
นี้ต่อเขาซึ่งได้อยู่ในใจของเธอมาเป็นเวลาหลายเดือนจนมาถึงตอนนี้
“ข้ารู้ว่าเจ้ามาจากตระกูลซู แต่กระทั่งตระกูลซูก็มิสามารถที่จะผลิต
อัจฉริยะเช่นเจ้าได้ ความรู้และประสบการณ์ของเจ้านั้นโดยหลักแล้ว
กว้างมากเกินไป ไม่มีคำกล่าวใดดีไปกว่า มันเหนือเกินกว่าโลกนี้
และเป็นความจริงไหมที่เจ้ามีอาจารย์จากทวีปศักด์ิสิทธ์ิกลาง”
ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “ข้าสามารถให้คำตอบที่เจ้าแสวงหาได้ แต่
เจ้าควรจะทำความสะอาดตัวเจ้าก่อน ในเมื่อมันอาจจะเป็นการ
สนทนาที่ค่อนข้างยาว”
เขาชี้ไปยังร่างของเธอที่ตอนนี้เคลือบเต็มไปด้วยปราณหยางของเขา
โหลวหลานจีพยักหน้าและรีบไปทำความสะอาดร่างกายของเธอ
และเปลี่ยนผ้าปูที่นอน
หลังจากที่เธอรู้สึกว่าสดชื่นดีแล้ว พวกเขาทั้งคู่ก็นั่งลงพร้อมกับถ้วย
ชาในมือคนละถ้วย
“เริ่มจากคำถามที่สองของเจ้าก่อนว่าข้ามีอาจารย์จากทวีปศักด์ิสิทธ์ิ
กลางหรือไม่” ซูหยางพูดหลังจากที่จิบชา “ไม่ ข้ามิมี ข้ามิเคยได้
ยอมรับใครเป็นอาจารย์ในโลกนี้ ความรู้และประสบการณ์ส่วนใหญ่
ของข้ามาจากประสบการณ์ของตัวข้าเอง”
“อะไรนะ… เป็นไปได้อย่างไรที่เจ้ามิมีอาจารย์ เช่นนั้นทำไมความรู้
ของเจ้าจึงลึกล้ำนัก และประสบการณ์ของเจ้า… นั่นก็มิใช่อะไรที่เจ้า
จะเรียนรู้ได้ในชั่วเพียงแค่ไม่กี่ปี”
ซูหยางส่ายหน้าและกล่าวว่า “อย่าเพิ่งใจร้อน ข้ายังมิได้ตอบคำถาม
แรกของเจ้า ซึ่งควรจะคลายความสงสัยของเจ้าได้”
“จริง ๆ แล้วข้าเป็นใครกัน…”
ซูหยางจ้องตรงเข้าไปในดวงตาของเธอและกล่าวด้วยเสียงเรียบสงบ
แต่ลึกล้ำว่า “ข้าเป็นคนที่มีความทรงจำจากชาติก่อน”
“…”
ดวงตาของโหลวหลานจีเบิกกว้างด้วยความตกใจหลังจากที่ได้ยิน
คำพูดของเขา คำถามนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นในใจเธอในเวลานี้ แต่เธอ
ยังคงพูดไม่ออกราวกับว่าเธอสูญเสียความสามารถในการพูด
“ในชีวิตก่อนของข้า ข้าเป็นเซียนซึ่งมีชีวิตอยู่นับพันหมื่นปี คนที่มี
ประสบการณ์และความรู้นับไม่ถ้วน ยิ่งไปกว่านั้นข้าอาศัยอยู่ในโลก
ที่ไกลออกไปจากที่แห่งนี้สุดประมาณ”
“แต่อย่างไรก็ตามหลังจากที่เกิดเหตุการณ์อย่างหนึ่ง ข้าได้ถือกำเนิด
ขึ้นมาใหม่ในโลกแห่งนี้พร้อมกับความทรงจำในชีวิตก่อนที่ครบถ้วน
สมบูรณ์ แน่นอนว่าข้ามิได้มีความทรงจำนี้ในทันทีที่ข้าถือกำเนิดมา
เป็นเพียงเพราะหลังจากที่ได้รับประสบการณ์เร้าใจที่เกือบคร่าชีวิต
ของข้านั่นจึงทำให้ข้าได้จดจำอดีตของข้าได้”
ซูหยางมองดูสีหน้างงงันของโหลวหลานจีแล้วยิ้ม “ข้ารู้ว่ามันต้องใช้
เวลามากในการทำความเข้าใจ ดังนั้นข้าจักให้เวลาเจ้าสักหน่อยใน
การรวบรวมความคิด”
จากนั้นเขาก็นั่งจิบชาต่อไปด้วยท่าทางผ่อนคลาย
เมื่อเวลาผ่านไปชั่วระยะหนึ่ง โหลวหลานจีก็พูดขึ้นว่า “ดังนั้นการ
กลับชาติมาเกิดใหม่นั้นเป็นความจริงสินะ บางทีข้าก็อาจจะมีชีวิตอยู่
เป็นครั้งที่สอง…หรือครั้งที่สามแต่ข้าเพียงแค่มิสามารถที่จะจดจำ
ชีวิตก่อนแบบเจ้าได้”
“เจ้าอาศัยอยู่ในสถานที่แบบไหนกัน มันต่างจากที่แห่งนี้อย่างไร”
จากนั้นเธอก็ถามเขา ดูเหมือนว่าจะสนใจในความเป็นมาดั้งเดิมของ
เขา
“นอกจากจะมีขนาดใหญ่กว่าโลกนี้หลายหลายเท่าตัวและเก่ากว่า
โลกนี้มากแล้ว เกือบทุกสิ่งล้วนเหมือน ๆ กัน ยิ่งไปกว่านั้นระดับ
พลังการฝึกปรือโดยเฉลี่ยในโลกนั้นสูงกว่าโลกนี้มาก ถ้าเจ้าคิดว่า
การเข้าถึงเขตอัมพรวิญญาณเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ เช่นนั้นเจ้า
จะอยู่ในโลกนั้นด้วยความประหลาดใจในเมื่อพวกเขาล้วนถือว่าไม่
มีอะไรไปกว่ามดที่ไร้ความสลักสำคัญในโลกนั้น จำนวนของผู้ฝึก
วิชาในเขตอัมพรวิญญาณที่นั่นก็เหมือนกับผู้ฝึกวิชาในเขตปฐม
วิญญาณในโลกนี้”
“ความแตกต่างมีมากขนาดนั้นเลยรึ” โหลวหลานจีปิดปากของตัว
เธอเองด้วยความตกใจ เธอไม่สามารถจินตนาการได้ว่านั่นเป็นโลก
อะไรกันที่มีจอมยุทธในเขตอัมพรวิญญาณเกลื่อนกลาดเหมือนกับ
เป็นผู้ฝึกยุทธในเขตปฐมวิญญาณ
“เจ้า… คิดถึงโลกนั้นไหม” เธอถามเขา
“แน่นอน ข้าคิดถึง นั่นจึงเป็นเหตุที่ข้าจักกลับไปในเร็ว ๆ นี้”
“ด-เดี๋ยวก่อน…” โหลวหลานจีดวงตาเบิกกว้าง เธอพูดด้วยเสียงสั่น
สะท้าน “จ-เจ้าจะกลับไปรึ อย่างไรรึ”
“ก่อนหน้านี้ข้าได้พบประตูมิติที่อาจจะนำข้ากลับไป” เขากล่าว
“อาจจะรึ เช่นนั้นเจ้าก็ยังมิได้มั่นใจว่ามันจะทำได้”
“ถูกต้องแล้ว”
โหลวหลานจีเงียบไป ถึงกับยอมเสี่ยงเช่นนั้น นั่นหมายความว่ามี
บางสิ่งหรือใครสักคนที่สำคัญในโลกนั้นที่เขาไม่อาจจะยอมสูญเสีย
ไปได้แม้ว่าจะต้องใช้ชีวิตเป็นเดิมพันก็ตาม
“เมื่อไหร่กัน เมื่อไหร่ที่เจ้าจะจากไป” จากนั้นเธอก็ถามเขา
“สำหรับตอนนี้แล้ว ข้าวางแผนที่จะจากไปภายในเวลาสองปี”
“สองปีรึ… ในอนาคตเจ้าจักกลับมาหรือไม่”
“ข้ามิรู้เช่นกัน”
“ข้าเข้าใจ…”
หลังจากที่เงียบไปอีกชั่วขณะ โหลวหลายจีก็ถอนใจ “แม้ว่าข้ารักที่
จะไปกับเจ้าเพื่อดูโลกแห่งนั้น ข้าก็มิอาจจะละทิ้งนิกายกุสุมาลย์พ้น
พิสัยไปได้ ครั้นเมื่อเจ้าจากไปแล้ว ข้าก็จักต้องทำงานเป็นสองเท่า…
ยากกว่าเดิมหลายเท่า”
ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “อย่ากังวลไป ข้าจักทำให้มันง่ายขึ้นสำหรับ
เจ้าในอนาคตในขณะที่ข้ายังอยู่ที่นี่”
“อย่างไรก็ตาม ใครกันบ้างที่รู้เรื่องนี้ ซูหยาง”
“ซุนจิงจิงกับหลานลี่ชิง” เขากล่าว
“และข้าก็อยากให้เจ้าได้รู้ล่วงหน้าว่า พวกเธอจักไปกับข้าด้วย”
“เจ้าสามารถวางใจได้ ข้าย่อมมิสร้างความลำบากให้กับพวกเธอ
ถึงแม้ว่าศิษย์ทั้งหมดในเวลานี้ตัดสินใจที่จะไปกับเจ้าด้วย ข้าก็จักมิ
ปริปากบ่นแม้แต่เพียงสักคำ”
“แต่ว่าเจ้าวางแผนที่จะบอกศิษย์คนอื่นเรื่องที่จะจากไปหรือยัง หรือ
ว่าเจ้าเพียงแค่กระโดดหายไปโดยมิกล่าวอะไรแม้สักคำ…”
“เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนที่ใจดำเช่นนั้นรึ แน่นอนว่าข้าจักยอมให้พวกเธอ
รู้ความจริงในภายหลัง แต่สำหรับตอนนี้แล้ว ข้าต้องให้ความสนใจ
กับการทดสอบศิษย์ใหม่” เขากล่าว
“ข้าก็ยังต้องไปรับแขกเช่นกัน…” โหลวหลานจีถอนใจ
อย่างไรก็ตาม ซูหยางพลันกล่าวด้วยรอยแสยะยิ้มบนใบหน้าว่า “แขก
รึ หรือว่าเจ้าลืมเรื่องเกมเล็ก ๆ ของพวกเราไปแล้ว ในเมื่อข้าชนะ ข้า
ก็จักทำทุกอย่างที่ข้าต้องการกับตัวเจ้าในเวลาถัดไปสองวันนี้”
“เจ้า…” โหลวหลานจีพูดไม่ออก แต่เธอได้วางแผนที่จะอยู่ในห้องนี้
เป็นเวลาสามวันตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่เป็นปัญหาสำหรับเธอ
“ภายในเวลาสองปี ก่อนที่ข้าจากไป ข้าก็จะทำให้เจ้าเป็นจอมยุทธ
ระดับสูงสุด ข้าจะช่วยเจ้าให้เข้าสู่เขตอัมพรวิญญาณ”
“เขตอัมพรวิญญาณภายในสองปีรึ สิ่งนั้นเป็นไปได้แม้กระทั่งคน
อย่างข้าด้วยรึ แม้ว่าหน้าตาของข้าจะยังสาว แต่ว่าข้าได้ผ่านช่วง
สูงสุดไปเรียบร้อยแล้ว” โหลวหลานจีกล่าวด้วยสายตาคาดหวัง
“เจ้าคิดว่าข้ากลายเป็นเซียนในชีวิตก่อนเพราะว่าโชคดีหรืออย่างไร
กัน ถ้าข้าพูดว่าเจ้าสามารถไปถึง เช่นนั้นเจ้าก็จักไปถึงอย่างแน่นอน”
“อย่างไรก็ตามแน่นอนว่านั่นอาจจะมิได้เป็นงานง่ายนัก ในเมื่อ
ปราณไร้ลักษณ์ในโลกนี้ค่อนข้างขาดแคลน ดังนั้นข้าจักต้องทำให้
มั่นใจว่าร่างของเจ้ามีปราณหยางของข้าทุกวินาทีของแต่ละวันโดยมิ
มีข้อยกเว้นใด ๆ”
“ข้าจะต้องมีปราณหยางของเจ้าในร่างตลอดเวลางั้นรึ” โหลวหลานจี
กรามร่วง หลังจากที่ได้ยินเช่นนี้ “แน่นอนว่าข้าจักต้องตั้งท้องกับสิ่ง
นั้นแน่”
“ถ้านั่นเป็นสิ่งที่เจ้ากังวล เช่นนั้นข้าก็มีวิธีที่จักยอมให้ข้าเติมเต็มท้อง
ของเจ้าด้วยปราณหยางโดยมิต้องตั้งท้อง”
“จ-จริงรึ มีวิธีเช่นนั้นอยู่ด้วยเช่นนั้นรึ” เธอดูเขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง
“บางทีอาจจะมิใช่ในโลกนี้ แต่แน่นอนว่ามีอยู่ในโลกของข้า”
“ช-เช่นนั้นข้าก็จักปล่อยให้เป็นภาระของเจ้า ซูหยาง…” โหลวหลาน
จีพยักหน้าด้วยใบหน้าที่แดงเล็กน้อย
แม้ว่าเธอจะมีประสบการณ์ในการเก็บปราณหยางไว้ในร่าง แต่ทั้งหมด
นั่นก็เพียงแค่ชั่วระยะเวลาสั้น ๆ นี่จะเป็นครั้งแรกของเธอที่จะเก็บ
มันไว้เป็นเวลานานชั่วระยะเวลาสองปี ไม่น้อยไปกว่านั้น
และในขณะที่ฟังดูเหมือนกับว่าเธอกังวลเกี่ยวกับการตั้งท้อง จริงแล้ว
โหลวหลานจีไม่ได้ใส่ใจมากหากจะต้องตั้งท้อง ตามความเป็นจริง
เธอกลับรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาในการตั้งท้องลูกของซูหยางขึ้นมาจริง ๆ
ไม่ว่าจะเป็นโลกนี้หรือว่าสวรรค์ศักด์ิสิทธ์ิ ผู้ฝึกยุทธหญิงส่วนใหญ่
เชื่อว่าเป็นความรับผิดชอบของพวกเธอในการให้กำเนิดเด็กที่
แข็งแกร่ง ไม่ว่าอย่างไรก็ตามจะมีแม่ประเภทไหนกันที่ไม่ต้องการ
ให้ลูกของตนเองเติบโตมาเป็นอัจฉริยะและประสบความสำเร็จใน
ชีวิต
หลังจากที่การสนทนาของพวกเขาจบสิ้นไม่นานนัก ทั้งคู่ก็กลับคืน
ไปบนเตียง และซูหยางก็ทำการยิงปราณหยางเข้าไปในครรภ์ของ
โหลวหลานจีอีกเป็นเวลาสองวันถัดไปจากนั้น
บทที่ 496 อาจตั้งท้องได้โดยไม่ได้ตั้งใจ
ห้าชั่วโมงผ่านไปนับตั้งแต่โหลวหลานจีและซูหยางเริ่มเกมเล็ก ๆ
ของพวกเขาดูว่าเขาจะสามารถปล่อยปราณหยางได้ถึง 100 ครั้งใน
วันเดียวได้หรือไม่
“อาา… มันพุ่งเข้าไปในตัวข้าอีกแล้ว” โหลวหลานจีครางเสียงดังเมื่อ
ปราณหยางสายใหม่พุ่งเข้าไปในร่างของเธอ
“นี่เป็นครั้งที่สามสิบแล้ว” ซูหยางกล่าวด้วยท่าทางปลอดโปร่ง ดู
เหมือนกับเขาเพียงแค่เดินเล่นในสวน
“น-นี่เป็นไปได้อย่างไร ทำไมร่างของเจ้าจึงสร้างปราณหยางได้มาก
เช่นนี้” โหลวหลานจีถามเขาด้วยใบหน้าตื่นตระหนก
คนปกติทั่วไปเพียงแค่สามารถหลั่งได้ครั้งสองครั้งในทุกสองสาม
ชั่วโมง ในขณะที่ผู้ฝึกวิชาคู่จะสามารถทำได้สองถึงสามครั้งมากกว่า
นั้น และกระทั่งผู้เชี่ยวชาญด้านการฝึกวิชาคู่ก็ยังไม่สามารถที่จะ
ปล่อยปราณหยางได้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานถึงห้าชั่วโมงโดยไม่
ต้องการเวลาในการฟื้นตัวปราณหยางที่เหือดแห้งไป
แต่ทว่าซูหยางสามารถที่จะทำเช่นนั้นได้ หลั่งปราณหยางของเขาเกือบ
ทุกสิบนาทีในช่วงเวลาที่ผ่านมาห้าชั่วโมง นี่ยิ่งสร้างความตระหนก
ให้กับโหลวหลานจีกับปริมาณปราณหยางของเขา ปกติแล้วหลังจาก
ที่หลั่ง การหลั่งครั้งถัดไปย่อมไม่สามารถที่จะหลั่งได้มากเท่ากับครั้ง
แรก ในเมื่อนั่นต้องการเวลาในการฟื้นฟูปราณหยางของเขา
แต่นั่นกลับไม่ใช่ปัญหาสำหรับซูหยางซึ่งสามารถที่จะหลั่งปราณหยาง
จำนวนเท่าเดิมได้ทุกครั้งแม้ว่าจะทำเช่นนั้นบ่อย ๆ นี่เหมือนราวกับ
ว่าร่างของเขาบรรจุไปด้วยปราณหยางจำนวนนับไม่ถ้วน
“ข้าเดาว่าเป็นเพราะว่าข้ามีร่างกายที่แข็งแรง” เขาพูดเล่นพร้อมรอยยิ้ม
ต้องขอบคุณดอกหยางพิสุทธ์ิและรากปราณที่เขาได้กลืนลงไป การ
ฟื้นฟูปราณหยางของเขานั้นเหนือห่างชั้นกว่าแม้กระทั่งผู้ที่มี
ประสบการณ์ทางด้านฝึกวิชาคู่ในโลกนี้อย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นวิชา
ยุทธของเขา คัมภีร์หลอมร่างสวรรค์ ยอมให้ผู้คนดูดกลืนพลังปราณ
รอบข้างและนำมาฟื้นฟูพลังของตนเองด้วยความเร็วที่สูงมากเป็น
พิเศษ ซึ่งรวมไปถึงปราณหยางของเขาก็จะเพิ่มอัตราการฟื้นฟูด้วย
เช่นกัน
อีกนัยหนึ่งตราบเท่าที่สภาพแวดล้อมรอบข้างของเขาไม่ขาดปราณ
ไร้ลักษณ์ โดยเบื้องต้นแล้วซูหยางก็จะมีแหล่งปราณหยางที่ไม่จำกัด
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดในเรื่องเหล่านี้ทั้งหมดก็คือประสบ
การณ์ของซูหยางเอง เพราะถึงแม้ว่าเขาจะมีแหล่งปราณหยางไม่
จำกัด แต่ถ้าเขาไม่มีความสามารถที่จะระงับหรือปลดปล่อยปราณ
หยางของเขาอย่างต่อเนื่อง ความสามารถที่เหมือนกับพระเจ้าส่งมา
ให้นั้นก็เปล่าประโยชน์
“นี่มาอีกแล้ว” ซูหยางพลันกล่าวขณะที่ปราณหยางอีกกระแสหนึ่ง
ไหลเข้าไปในถ้ำของโหลวหลานจีที่เต็มเปี่ยมไปเรียบร้อยแล้ว
“อาาา… ข้ามิสามารถที่จะฝึกปราณหยางได้มากมายขนาดนี้ในครั้ง
เดียว ซูหยาง ปราณหยางกำลังจะเสียเปล่า” โหลวหลานจีอุทานด้วย
ความเสียใจเมื่อเธอไม่สามารถที่จะรองรับปราณหยางในร่างของเธอ
ได้อีกต่อไป
“อย่ากังวล ทุกครั้งที่ข้าปลดปล่อยปราณหยางของข้า มันจักเหมือนกับ
ตักน้ำหนึ่งแก้วจากมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ดังนั้นเราสามารถที่จะ
ปล่อยให้มันเสียเปล่าไปได้” เขากล่าว
พวกเขาร่วมฝึกต่อไปอีกห้าชั่วโมงถัดไป
ในเวลาสิบชั่วโมง ซูหยางได้ปลดปล่อยปราณหยางของเขาออกไป
แล้วทั้งหมด 55 ครั้ง ดังนั้นเขาเพียงต้องการที่จะปล่อยปราณหยาง
ของเขาอีกเพียงแค่ 45 ครั้งที่จะเอาชนะเกมเล็ก ๆ นี้ แต่ทว่าเพราะ
พวกเราเริ่มฝึกคู่เกือบบ่าย และซูหยางได้กล่าวว่า เขาจะทำเช่นนั้น
100 ครั้งก่อนสิ้นวัน ดังนั้นเขาจึงมีเวลาเหลือเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงใน
การปลดปล่อยปราณหยางจำนวนสุดท้าย 45 ครั้งนี้
“ดูเหมือนว่าข้าจะชนะในรอบนี้ ซูหยาง” โหลวหลานจีกล่าวกับเขา
ด้วยรอยยิ้มภาคภูมิใจบนใบหน้า หลังจากที่พ่ายแพ้มาแล้วหลายครั้ง
ต่อเขามาก่อนหน้านี้ นี่จะต้องเป็นชัยชนะครั้งแรกของเธอ
“ถ้าข้าจำมิผิด เจ้าเพียงสามารถปล่อยปราณหยางของเจ้าหนึ่งครั้งทุก
สิบนาที แต่เวลามีเหลืออยู่อีกเพียงแค่สี่ชั่วโมงเท่านั้นกว่าจะถึงเที่ยง
คืน ดังนั้นจำนวนครั้งสูงสุดที่เจ้าจะสามารถหลังก่อนที่จะหมดเวลา
ก็คืออีกยี่สิบสี่ครั้ง นอกจากว่าเจ้าจะสามารถเพิ่มจำนวนการปล่อย
ปราณหยางของเจ้าเท่าตัวคือทุกห้านาที มิเช่นนั้นข้าก็จักได้รับชัย
ชนะครั้งนี้”
แต่อย่างไรก็ตามซูหยางเพียงแค่หัวเราะหึแล้วกล่าวว่า “เพียงเพราะว่า
ข้าแค่ปล่อยปราณหยางออกมาหนึ่งครั้งทุกสิบนาทีมิได้หมายความ
ว่านี่เป็นขีดจำกัดของข้า ถ้าข้าชนะเกมนี้เร็วเกินไปและปราศจาก
ความยากลำบากบ้าง นั่นก็มิสนุกเลยล่ะสิ ใช่ไหม”
“จ-เจ้ากำลังพยายามจะพูดอะไรรึ ซูหยาง…” โหลวหลานจีมองดูเขา
ด้วยความรู้สึกเป็นลางร้ายในใจ
“นี่เป็นสิ่งที่ข้ากำลังพูดถึง…” ซูหยางพลันเริ่มขยับสะโพก
เพียงแค่นาทีถัดไปให้หลัง โหลวหลานจีก็สามารถรู้สึกได้ถึงกระแส
ความร้อนของปราณหยางไหลเข้าสู่ร่างเธออีก
“อะไรกัน นี่เป็นไปได้อย่างไร เจ้าเพิ่งปล่อยออกมาครั้งหนึ่งแล้วเมื่อ
สามนาทีก่อน” โหลวหลานจีมีสีหน้าตกใจ
อย่างไรก็ตาม ซูหยางไม่สนใจ และทำการทิ่มแทงแท่งแกร่งของเขา
เข้าไปในร่างของเธอ
หลังจากอีกหนึ่งนาทีให้หลังผ่านไป กระแสปราณหยางอีกสายก็พุ่ง
เข้าไปในร่างของเธอ
“ออกมาเร็วเหลือเกิน” ร่างกายของโหลวหลานจีสั่นสะท้านอย่าง
รุนแรงเมื่อภายในร่างของเธอนั้นท่วมท้นไปด้วยปราณหยางของเขา
“ถ้าข้าต้องการ ข้าสามารถจบเกมของพวกเราได้ภายในเวลาน้อยกว่า
สองชั่วโมง” ซูหยางพลันกล่าวกับเธอด้วยรอยยิ้ม
โหลวหลานจีจ้องมองดูเขาด้วยดวงตาเบิกกว้างเต็มไปด้วยความไม่
เชื่อหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเขา เขาสามารถหลั่งได้หนึ่งครั้งทุก
นาทีเลยหรือ นั่นเขาเป็นปีศาจปราณหยางประเภทไหนกัน เขามี
แหล่งปราณหยางที่ไม่จำกัดอย่างนั้นหรือ
ถ้านั่นเป็นความจริง โดยไม่ต้องสงสัยเลยว่าซูหยางเป็นสมบัติที่ไม่มี
ใดเปรียบ โชคดีสำหรับเขาที่ไม่มีใครในโลกนี้ที่สามารถคุกคามเขา
ได้ มิเช่นนั้นผู้ฝึกวิชาคู่หญิงนับไม่ถ้วนย่อมฆ่าฟันกันเพื่อที่จะเอื้อม
มือมาให้ถึงเขา
อีกทางหนึ่ง การคงอยู่ของซูหยางนั้นถือเป็นทั้งโชคและเคราะห์
สามชั่วโมงให้หลังซูหยางก็ปล่อยปราณหยางของเขาเข้าไปในร่าง
โหลวหลานจีเป็นครั้งที่ 100 เอาชนะเกมเล็ก ๆ ของพวกเขาไปได้
“มีปราณหยางมากมายในร่างของข้า ซึ่งข้าอาจจะตั้งท้องได้โดยไม่ได้
ตั้งใจ ซูหยาง” โหลวหลานจีกล่าวกับเขาหลังจากนั้นด้วยน้ำเสียง
ขบขัน “เจ้าจะตั้งชื่อเด็กว่าอย่างไรถ้าหากว่าเกิดอย่างนั้นขึ้นมา”
ซูหยางเพียงแค่ยิ้มและกล่าวว่า “ข้ามิเก่งในเรื่องทำนองนั้น ดังนั้นข้า
จักปล่อยให้เป็นไปตามความต้องการของเจ้า”
“…”
โหลวหลานจีเปลี่ยนเป็นพูดไม่ออก และจ้องมองเขาด้วยใบหน้า
สับสน ในเมื่อเธอไม่ได้คาดคิดว่าเขาจะตอบคำถามนั้นอย่างจริงจัง
เช่นนี้
บทที่ 495 ของเล่นเพื่อความเพลิดเพลินเฉพาะตัว
หลังจากที่ได้เห็นซูหยางเปลี่ยนไปเป็นจักรพรรดิสวรรค์ ผู้อาวุโสผู้ที่
ฆ่าผู้นำนิกายคนก่อนและปกป้องนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจากนิกาย
ล้านอสรพิษ โหลวหลานจีก็ตาโตด้วยความตกใจ แต่ว่าความตกใจ
ในแววตาของเธออยู่ได้เพียงชั่วขณะ ราวกับว่าเธอได้รู้ความจริง
เรียบร้อยแล้ว
“เจ้า… ดูเหมือนมิได้ประหลาดใจเหมือนดังที่ข้าได้คิดว่าเจ้าควรจัก
เป็น” ซูหยางกล่าวด้วยเสียงที่แท้จริงของเขา
โหลวหลานจีนวดขมับของเธอแล้วพูดด้วยเสียงถอนใจว่า “ข้ารู้สึก
ระแคะระคายด้วยตัวข้าเอง”
“โอ นั่นแปลว่าเจ้ารู้แล้วรึ มาจากทางไหนรึ”
“ตอนแรกข้าเพียงแค่มีความรู้สึกเล็กน้อย แต่หลังจากที่เห็นพลังการ
ฝึกปรือที่แท้จริงของเจ้าในเขตอัมพรวิญญาณ ความรู้สึกนั้นก็ยิ่งรุนแรง
ขึ้น แต่อย่างไรก็ตามเบาะแสที่ใหญ่ที่สุดก็คือนั่น” โหลวหลานจีชี้ไป
ที่เป้าของเขาและกล่าวว่า “ต่อให้เจ้าพยายามที่จะซุกซ่อนประสบการณ์
และความสามารถเอาไว้ แต่ก็ไม่ง่ายที่จะกำจัดนิสัยของตนเอง หลังจาก
ที่ร่วมฝึกกับเจ้าหลาย ๆ ครั้ง ข้าก็รู้ชัดเจนว่าวิชาของพวกเจ้านั้นคล้าย
คลึงกัน…”
“มิว่าอย่างไร ขณะที่มิใช่ทุกคนที่จะสามารถทำได้ดีได้เหมือนเช่นเจ้า
แต่แน่นอนว่าเจ้าสามารถทำได้ดีเหมือนกับคนอื่นทุกคน”
หลังจากที่ได้ยินคำอธิบายของโหลวหลานจี ซูหยางก็แสดงรอยยิ้ม
และกลับคืนสู่สภาพหน้าตาปกติ
“เจ้าต้องมีคำถามมากมายต่อข้า ข้าอยู่ที่นี่แล้วเพื่อตอบคำถามเหล่านั้น”
“…”
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ โหลวหลานจีก็กล่าวว่า “ทำไม… ทำไม
เจ้าจึงฆ่าผู้นำนิกายคนก่อน ลี่เฉียง”
“เพราะว่าเขาทำให้ผู้หญิงของข้าร้องไห้” เขาตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“อะไรนะ…”
“เขากดดันผู้อาวุโสหลานในเวลานั้นให้หาคู่ฝึกวิชาร่วม กระทั่งข่มขู่
เธอด้วยกำลัง ดังนั้นข้าจึงฆ่าเขาเพื่อกำจัดความกังวลของเธอ ถ้าเจ้า
ต้องการรายละเอียดมากกว่านี้ เจ้าสามารถถามลี่ชิงได้ด้วยตนเอง”
“ข้าเข้าใจ…”
หลังจากที่พูดกันอีกชั่วขณะเพื่อแจกแจงรายละเอียด โหลวหลานจีก็
ถามต่อว่า “ข้าเข้าใจว่าทำไมเจ้าจึงรู้สึกว่ามีความจำเป็นที่จะต้อง
แปลงโฉม แต่ทำไมต้องใช้เวลานานขนาดนั้นในการบอกความจริง
กับข้า ต่อให้เจ้าพูดความจริงให้ข้าฟังหลังจากที่เกิดเหตุการณ์กับ
นิกายล้านอสรพิษ ข้าก็ยังอยู่ข้างเดียวกับเจ้า”
“บอกตามความจริง ข้าลืมเรื่องนั้นไปนับตั้งแต่เกิดเหตุกับนิกายล้าน
อสรพิษ ในเมื่อมันมิได้มีความหมายสำคัญอะไรกับข้าแม้แต่น้อย”
“มิมีความหมายสำคัญ เจ้าว่าอย่างนั้นรึ เจ้าเคยคิดบ้างไหมว่ามันมี
ความหมายต่อข้ามากมายเพียงไหน” โหลวหลานจีพลันเพิ่มเสียงดัง
ขึ้น “ตามจริงข้าตกหลุมรักเจ้าด้วยตัวตนปลอมของเจ้ามาครั้งหนึ่ง
แล้วเจ้ารู้ไหม เจ้าเคยคิดบ้างไหมว่าความเจ็บปวดที่ข้าได้รับหลังจาก
ที่เจ้าจากไปนั้นมากมายเพียงใด”
ซูหยางไม่ได้เบือนหน้าหนีจากสีหน้าโกรธเคืองของเธอและกล่าว
ด้วยหน้าตาจริงจังว่า “ข้ามิมีคำแก้ตัว ข้าขอโทษ ถ้ามีอะไรอื่นที่ข้า
สามารถทำให้กับเจ้าได้ ก็เพียงพูดออกมา”
“ข้าดีใจที่เจ้าพูดเช่นนั้น ซูหยาง เพราะว่าข้ากำลังจะทำให้เจ้าจ่าย
สำหรับการทำให้ตกตะลึงเล็กน้อยของเจ้า” จากนั้นโหลวหลานจีก็
ลุกขึ้นยืนและจับคอเสื้อของเขา ก่อนที่จะทุ่มเขาลงบนเตียงด้านหลัง
เธอ
ครั้นเมื่อซูหยางนอนลงบนเตียงแล้ว โหลวหลานจีก็รีบขึ้นไปบน
เตียงและนั่งอยู่ตรงที่เป้ากางเกงของเขา
“นี่คือ…” ซูหยางเลิกคิ้ว ดูเหมือนว่างุนงงสงสัยกับการกระทำของ
เธอ
“สำหรับบทลงโทษในการเล่นกับหัวใจของข้านั้น ในอีกสามวัน
ถัดไปนี้ เจ้าจะต้องเป็นเซ็กส์ทอยส่วนตัวให้กับข้า และเจ้าจักห้าม
ออกจากเตียงนี้จนกว่าจะถึงวันนั้น” เธอกล่าวขณะที่เลียริมฝีปากแดง
ของตนเอง
(ผู้แปล ที่หัวข้อข้างบนอาจจะใช้คำว่า ของเล่นเพื่อความเพลิดเพลิน
เฉพาะตัว แต่จริง ๆ แล้วแปลให้ชัด ๆ ได้ว่า เซ็กส์ทอย แต่เนื่องจาก
เป็นหัวข้อ จึงต้องเลี่ยงคำพูดให้มันเบาลงไปบ้าง ฮา)
“โชคเจ้ายังดี การรับศิษย์ใหม่นั้นเกิดขึ้นในอาทิตย์หน้า มิเช่นนั้น
เวลาสามวันจักต้องกลายเป็นทั้งอาทิตย์”
ดูเหมือนว่าจะงงงันไปกับ “การลงโทษ” ของเธอ ซูหยางพูดขึ้นว่า
“เจ้ามั่นใจรึ แล้วพวกแขกที่รออยู่ด้านนอกนั่นล่ะ เจ้ามิต้องไปรับ
พวกเขารึ”
“ผู้อาวุโสนิกายคนอื่นอยู่ที่นั่น พวกเขาจักต้องดูแลแขกโดยปราศจาก
ข้านับตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป”
ได้ยินคำพูดของเธอ ซูหยางแสดงรอยยิ้มยอมแพ้และกล่าวว่า “เชิญ
ทำได้ตามใจต้องการ”
“เจ้ามิต้องบอกข้า” โหลวหลานจีกล่าวพร้อมรอยยิ้มก่อนที่จะฉีก
เสื้อผ้าเขาออกจากร่าง
เมื่อเห็นร่างที่ไม่มีใครเปรียบได้ของซูหยาง ดวงตาโหลวหลานจีก็เป็น
ประกายด้วยความตื่นเต้น และเธอก็เริ่มเลียและจูบไปทั่วร่างของเขา
ตั้งแต่ริมฝีปากของเขาไปจนถึงหัวแม่เท้า ปากของโหลวหลานจีได้
ลิ้มรสทุกกระเบียดนิ้วบนร่างกายของเขา ไม่เหลือจุดใดที่ไม่ได้สัมผัส
“เจ้ารู้ไหมว่าข้าเพิ่งตระหนักอะไร ซูหยาง” โหลวหลานจีพลันกล่าว
ขณะที่นิ้วของเธอหยอกเย้าน้องชายของเขา “ข้ามิเคยเห็นเจ้าหมดแรง
มาก่อน”
และเธอก็กล่าวต่อว่า “แต่ทว่า ข้ากำลังจะเปลี่ยนสิ่งนั้นภายในสาม
วันนี้ ข้ากำลังจะดูดเจ้าให้แห้งเหือด”
“อย่างงั้นรึ… เช่นนั้นก็ขอให้โชคดี” ซูหยางกล่าวด้วยรอยยิ้มเรียบ
เฉยบนใบหน้า
“ข้าจักพูดคำเดียวกับเจ้า”
หลังจากที่พูดคำพูดเหล่านั้นแล้ว โหลวหลานจีก็จูบน้องชายของเขา
และเริ่มเลียมัน
อีกสองสามนาทีให้หลัง เธอก็อ้าปากกว้างและกลืนทั้งชิ้นนั้นเข้าไป
ในทีเดียว
“อืมมมม…”
เสียงเฉอะแฉะดังไปทั่วห้องขณะที่โหลวหลานจีดูดดื่มกับน้องชาย
ของซูหยางยาวนานเกือบถึงหนึ่งชั่วโมง
“เจ้ายับยั้งปราณหยางของเจ้าไว้รึ นั่นจะมิเป็นการดีต่อสุขภาพ เจ้ารู้
ไหม” โหลวหลานจีกล่าวกับเขาในที่สุด
ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “ถ้าเจ้าคิดว่าเจ้าสามารถทำให้ข้าหมดแรงได้
จากเพียงแค่รีดเอาปราณหยางของข้าออกไป เจ้าก็นับว่าดูถูกความ
สามารถของข้าอย่างมหันต์”
“โอ เช่นนั้นเรามาเล่นเกมเล็ก ๆ กันเป็นอย่างไร ถ้าเจ้าสามารถปลด
ปล่อยปราณหยางของเจ้าได้ถึงห้าสิบครั้งและยังคงมีเรี่ยวแรงเหลือ
ต่อไปได้อีก เช่นนั้นข้าจักถือว่าข้าพ่ายแพ้ ถ้าเจ้าชนะก่อนที่เวลาสาม
วันจะสิ้นสุด เจ้าสามารถออกไปจากเตียงได้ หรือไม่… เจ้าสามารถ
ทำอะไรก็ได้ตามที่ต้องการกับร่างกายของข้าจนถึงวันสุดท้าย”
ซูหยางหัวเราะหึแล้วกล่าวว่า “เพียงห้าสิบครั้งเองรึ เรามาทำมันร้อย
ครั้งดีกว่า และข้ามิต้องใช้เวลาสามวันด้วย ข้าจักปล่อยปราณหยาง
ของข้าหนึ่งร้อยครั้งได้ภายในเวลาวันเดียว และถ้าข้ามิสามารถที่จะ
ทำเช่นนี้ได้ ข้าก็จักทำทุกอย่างที่เจ้าต้องการให้ข้าทำจนกว่าจะสิ้น
เดือนโดยมิถามอะไรทั้งสิ้น”
“ร้อยครั้งในหนึ่งวันรึ… นั่นค่อนข้างจะมากไปหน่อย กระทั่งกับตัว
เจ้าเอง…” โหลวหลานจีมองดูเขาด้วยหน้าตางงงัน
และจากนั้นก็เปลี่ยนไปเป็นรอยฉีกยิ้มบนใบหน้าของเธอ “อย่างไรก็
ตามในเมื่อเจ้าเป็นคนกล่าวถึงเรื่องนี้ เจ้าห้ามกลับคำในตอนนี้ ครั้น
เมื่อถึงตอนที่ข้าชนะ ข้าจักทำให้มั่นใจว่าเจ้าจะต้องเสียใจกับการ
กระทำอันโอหังนี้”
บทที่ 494 คำขอร้องของเซียวหรง
หลังจากที่พวกเขากลับไปถึงนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยแล้ว ซูหยางก็
กล่าวกับซุนจิงจิงว่า “ถ้าเจ้ามีเวลา ลองไปพบกับหลานลี่ชิง”
“เอ๋ ผู้อาวุโสตำหนักโอสถรึ ทำไมล่ะ” ซุนจิงจิงเอียงคอด้วยท่าทาง
สงสัย
“ข้ามีความรู้สึกว่าพวกเจ้าสองคนอาจจะมีบางอย่างที่ต้องการคุยกัน”
“จริงรึ แต่ข้ามิเคยพูดกับเธอมาก่อนจริง ๆ”
“เจ้าจักเข้าใจยามเมื่อเจ้าพบกับเธอแล้ว” เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ท่านจะทำอะไรต่อไปในตอนนี้ ซูหยาง”
“ข้าจะไปพบกับโหลวหลานจีเกี่ยวกับการทดสอบศิษย์และเรื่องอื่น ๆ”
เขากล่าว
“ตกลง เช่นนั้นข้าก็จักไปพบกับท่านในภายหลัง”
ซุนจิงจิงไปจากสถานที่นั้นหลังจากนั้นไม่นาน และซูหยางก็ไปพบ
กับโหลวหลานจี
ในเวลานั้น เซียวหรงก็กลับไปยังที่พักที่ซึ่งชิวเยว่และชินเหลียงหยู
กำลังฝึกวิชาอยู่อย่างเงียบ ๆ
“เจ้าคือ…” ความสนใจของชินเหลียงหยูพลันเพิ่มสูงขึ้นหลังจากที่
เห็นเซียวหรง ในเมื่อเธอไม่เคยได้มีโอกาสที่จะพบกับเธอมาก่อน
“นั่นเป็นสัตว์วิญญาณของซูหยาง เซียวหรง” ชิวเยว่แนะนำเธอให้กับ
ชิงเหลียงหยู
“สัตว์วิญญาณรึ เหมือนกับสัตว์จับมาเลี้ยงรึ แต่เห็นชัดว่าเธอเป็น
มนุษย์…”
“แม้ว่าจะมีความต้องการแตกต่างกันไปในแต่ละสายพันธุ์ สัตว์
วิญญาณทั้งหมดก็มีความสามารถที่จะเปลี่ยนตัวเองไปเป็นมนุษย์
โดยมีอวัยวะภายในเหมือนกันทุกประการเมื่อพวกเขามีพลังการ
ฝึกปรือไปถึงช่วงระยะหนึ่ง”
ขณะที่เธอกำลังได้รับการแนะนำจากชิวเยว่ เซียวหรงก็ตรงเข้าไปหา
อีกฝ่ายด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“จ-เจ้าต้องการอะไร” คิ้วของชิวเยว่สั่นสะท้านเมื่อรู้สึกได้ถึงการจ้อง
มองอย่างแน่วแน่ของอีกฝ่าย
แม้ว่าเธอจะดูเหมือนเป็นเด็กหญิงไร้เดียงสา ชิวเยว่ก็ไม่อาจจะเพิกเฉย
ต่อแรงกดดันที่น่าหวาดหวั่นซึ่งเป็นของจอมยุทธเขตตำนานที่แผ่
ออกมาจากร่างของเซียวหรงได้ และสัญชาตญาณของเธอก็บอกเธอ
ให้อยู่ห่างจากเซียวหรงนอกจากว่าจะมีซูหยางอยู่ใกล้ ๆ ไม่ว่าอย่างไร
พวกเธอก็ไม่ได้เป็นมิตรกันสักเท่าไหร่
“สอนเซียวหรงถึงวิธีที่จะกลายเป็นผู้ใหญ่” เธอพลันกล่าวขึ้น สร้าง
ความงุนงงให้กับชิวเยว่
“ขอโทษนะ เจ้าต้องการให้ข้าสอนเจ้าถึงวิธีที่จะกลายเป็นผู้ใหญ่รึ”
“อื้อ” เธอพยักหน้าอย่างสงบ
“ไม่น่าเชื่อ…” ชิวเยว่จ้องมองเธอด้วยดวงตาเบิกกว้างเต็มไปด้วย
ความไม่อยากเชื่อ ทำไมสัตว์วิญญาณจึงสนใจกับการโตขึ้นด้วย และ
ทำไมเธอถึงต้องบากบั่นมาที่นี่เพื่อที่จะขอความช่วยเหลือ
“ทุกคนล้วนโตเป็นผู้ใหญ่ในที่สุด ดังนั้นเจ้าก็จำเป็นเพียงแค่อดทน
รอคอย…”
แต่ทว่า เซียวหรงกลับส่ายหน้าและกล่าวว่า “เซียวหรงต้องการที่จะ
โตเป็นผู้ใหญ่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
“มีเหตุผลพิเศษอะไรที่เจ้าต้องการโตเป็นผู้ใหญ่ให้เร็วขึ้นรึ”
“เพื่อที่จะได้ลิ้มรสของอร่อย ๆ จากนายท่าน” เธอพยักหน้ารับ
“ของอร่อย… จากซูหยาง…”
ทั้งชินเหลียงหยูและชิวเยว่ต่างพากันสบสายตากัน เห็นได้ชัดว่างุนงง
กับคำพูดของเซียวหรง
“ของสีขาวเหนียว ๆ ที่มาจากที่ตรงนี้” เซียวหรงกล่าวต่อในทันใด
ทั้งยังชี้นิ้วไปยังบริเวณเป้ากางเกง
“นั่น…” ชินเหลียงหยูพลันเข้าใจสิ่งที่เซียวหรงอ้างถึงว่าเป็น “ของ
อร่อย” และหน้าแดง
“เจ้าหมายถึงปราณหยางของเขารึ…” เธอถามเพื่อให้ความแน่ใจ
เซียวหรงนึกถึงว่าเคยได้ยินศัพท์นี้จากซูหยางมาก่อนและพยักหน้า
ของเธอ
“เอ่อ แน่นอนว่าปราณหยางของเขามีรสชาติหวานพิเศษเฉพาะ ดังนั้น
ข้าจึงพอเข้าใจ…” ชินเหลียงหยูพลันกล่าวขึ้น จนทำให้ชิวเยว่ต้อง
มองดูเธอด้วยดวงตาเบิกกว้าง
“แต่มิเป็นไรจริงรึสำหรับการที่สัตว์วิญญาณทำอะไรประเภทนั้นกับ
มนุษย์ ข้ามิเคยได้ยินเรื่องพวกนี้มาก่อน”
“สัตว์วิญญาณในร่างมนุษย์โดยเนื้อแท้ก็คือมนุษย์ และจริงแล้วก็เป็น
เรื่องที่ค่อนข้างปกติสำหรับดินแดนที่พวกเราจากมา” ชิวเยว่ถอน
หายใจ
“อย่างไรก็ตาม ข้ามิได้มีเวลาหรือความอดทนที่จะช่วยเจ้ากับคำขอ
ของเจ้า” ชิวเยว่กล่าวก่อนที่จะปิดขังตัวเองในห้อง
“ข้ามิอยากเชื่อ ทำไมสัตว์วิญญาณอย่างเซียวหรงถึงกับนำหน้าข้าไป
ได้” ชิวเยว่ร่ำร้องในใจหลังจากนั้น แม้ว่าเธอไม่ต้องการที่จะพูด แต่
เหตุผลที่เธอไม่ช่วยเซียวหรงหลัก ๆ แล้วก็คือความอิจฉา รู้สึกพ่ายแพ้
ว่าแม้กระทั่งคนอย่างเซียวหรงก็ยังสามารถได้ลิ้มรสของซูหยางได้
ในเวลานั้น หลังจากที่ชิวเยว่ปฏิเสธที่จะช่วยเธอ เซียวหรงก็หันไป
จ้องมองชินเหลียงหยูด้วยสีหน้าหดหู่เล็กน้อย
รอยยิ้มกระอักกระอ่วนปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชินเหลียงหยู่ก่อนที่
เธอจะพูดขึ้นว่า “แม้ว่าข้ามิรู้ว่าข้าจักช่วยเจ้าได้จริงหรือไม่ แต่ถ้าเจ้า
มิรังเกียจที่จะรับความช่วยเหลือจากข้า ข้าสามารถช่วยเจ้าตามคำขอ
ของเจ้าได้…”
ดวงตาของเซียวหรงเป็นประกายด้วยความยินดีหลังจากที่ได้ยินคำพูด
ของชินเหลียงหยู และเธอก็พยักหน้าด้วยความกระตือรือร้น
ดังนั้นจึงกลายเป็นผู้ฝึกสอนให้กับสิ่งมีชีวิตเขตตำนานโดยไม่ได้
คาดคิด
ในเวลานั้น ซูหยางก็ไปยังศาลาหยินหยางเพื่อพบกับโหลวหลานจี
“ท่านทำงานหนักนะ” เขากล่าวกับโหลวหลานจีด้วยรอยยิ้มหลังจาก
ที่เห็นร่างเธอนอนแผ่หลาอยู่บนเตียง ดูเหมือนกับเด็กที่เพิ่งกลับมา
จากการไปวิ่ง
“ซูหยาง เจ้ากลับมาเมื่อไหร่รึ”
ราวกับว่าการเห็นเขานั้นทำให้เธอมีพลังขึ้นมา โหลวหลานจีพลันลุก
ขึ้นนั่งบนเตียง
“เมื่อกี้นี้”
“ฮาาาา…” โหลวหลานจีพลันถอนหายใจยาวแล้วกล่าวขึ้นว่า “ข้า
มิได้ทำอะไรเลยนอกจากต้อนรับแขกนับตั้งแต่เมื่อพวกเรากลับมา
จากการแข่งขันระดับภูมิภาค ข้ามิเคยรู้สึกหมดสิ้นเรี่ยวแรงทั้ง
ร่างกายและจิตใจปานนี้มาก่อน”
“เจ้าทำอะไรไปก่อนหน้านั้น ซูหยาง”
“เตรียมตัวการทดสอบศิษย์อาทิตย์หน้า คิดว่างั้น” ซูหยางโกหกด้วย
รอยยิ้มบนใบหน้า โหลวหลานจีอาจจะเสียใจตายถ้าเธอรู้ว่าเขาไป
สนุกสนานกับชีวิตในขณะที่เธอถูกทนทรมานด้วยบรรดาแขกจากที่
ผ่านมาสามอาทิตย์
“โอ ใช่… การทดสอบนั้นเป็นอาทิตย์หน้า เวลาผ่านไปรวดเร็วมาก
นับตั้งแต่พวกเราได้กลับมา” เธอกล่าว
จากนั้นเธอก็กล่าวต่อด้วยสีหน้าสงสัยว่า “ข้าหวังว่าเจ้ามิได้มาที่นี่
เพื่อขอความช่วยเหลือ เพราะว่ายังมีแขกอีกหลายร้อยคนที่รอคอยที่
จะพูดกับข้า… ข้าเพียงแค่ถือโอกาสพักชั่วขณะในตอนนี้”
ซูหยางหัวเราะเบา ๆ และกล่าวว่า “ท่านสามารถพักได้ ข้ามาที่นี่ด้วย
จุดประสงค์อื่น”
จากนั้นเขาก็นำเอาเม็ดยาเม็ดหนึ่งออกมาจากแหวนมิติและโยนมัน
เข้าไปในปากของตนเอง
“เอ๋” โหลวหลานจีมองดูด้วยใบหน้าสงสัย
สองสามอึดใจหลังจากนั้น รูปลักษณ์ของซูหยางก็เริ่มเปลี่ยนแปลง
ร่างของเขาเติบใหญ่และสูงขึ้น ใบหน้าของเขาก็ดูแก่ลง
ในเพียงแค่ไม่กี่วินาที เขาก็เปลี่ยนไปจากชายหนุ่มรูปงามเกินใครไป
เป็นชายวัยกลางคนที่หล่อน้อยกว่าแต่มีความเฉียบคมกว่า
เมื่อการเปลี่ยนแปลงจบสิ้น โหลวหลานจีก็ได้แต่จ้องมองเขาด้วย
ดวงตาเบิกกว้างเต็มไปด้วยความตระหนก
“ผู้อาวุโส…” เธอพึมพำเสียงเบา
บทที่ 493 จุดจบของตระกูลมู่
และถึงแม้ว่าหลังจากที่มู่หลานจากที่แห่งนั้นไปแล้ว ร้านอาหารก็
ยังคงเงียบสนิทราวกับว่าพวกเขากลัวว่าจะถูกซุนจิงจิงสังเกตพบ
หลังจากนั้นไม่นานพ่อแม่ของซุนจิงจิงก็ตรงเข้าไปหาพวกเขา
“น-นี่คือแผนของเจ้ารึ” ซุนเหรินถามเธอด้วยสีหน้าสับสน ในเมื่อ
เธอไม่ได้คิดว่าจะมีแผนการซับซ้อนเช่นนั้น
“เอ้อ… ก็ไม่ถึงกับเป็นเช่นนั้น…” ซุนจิงจิงเผยให้เห็นรอยยิ้มเล็กน้อย
และเธอก็กล่าวต่อว่า “พวกเราเพียงแค่วางแผนที่จะทำให้มู่ชุนอิจฉา
จนกระทั่งถึงขั้นที่เขาโจมตีซูหยาง ให้เหตุผลกับพวกเราในการจัดการ
กับตระกูลมู่ทั้งหมดสักครั้ง ทั้งหมดนี้เป็นไปตามแผนจนกระทั่ง…
น่าเสียดายที่พวกเรามิได้คาดคิดว่าเขาจะตายในลักษณะนั้น ข้ายัง
เสียใจที่มิได้ฆ่าเขาทันทีที่เขาโจมตีพวกเรา อย่างน้อยนั่นก็จะทำให้
พวกเราพึงพอใจมากกว่านี้”
“เจ้าจักทำอย่างไรถ้าเขามิได้ตกอยู่ภายใต้การยั่วยุของเจ้า”
“ข้าก็จักยังคงจัดการกับเขามิว่ามู่ชุนจะโจมตีพวกเราหรือไม่ ข้าเพียง
แค่ต้องการให้มู่ชุนรู้สึกสิ้นหวังสำหรับทุกสิ่งที่เขาทำ”
“เจ้า… ไม่น่าเชื่อ” ซุนเหรินพูดไม่ออก ไม่เคยแม้สักล้านปีที่เธอจะ
คิดว่าลูกสาวของตนเองจะกลายเป็นคนกล้าพอที่จะเผชิญกับตระกูล
มู่ทั้งตระกูลด้วยตนเอง
แน่นอนว่าถ้าซูหยางไม่ได้อยู่ที่นั่น ซุนจิงจิงอาจจะไม่ได้กลายเป็น
คนที่มีอำนาจข่มเหงในวันนี้
“อย่างไรก็ตาม พวกเราไปจากที่นี่กันเถอะ ใครจะรู้ว่าตระกูลมู่จะทำ
อะไรหลังจากนี้…” ซุนเฉียนกล่าว
อย่างไรก็ตาม ซูหยางส่ายหน้าและกล่าวว่า “อย่ากังวล ตระกูลมู่จักมิ
ทำอะไรทั้งสิ้น ถ้าให้ชัดเจนก็คือพวกเขาไม่สามารถที่จะทำอะไรได้
อีกต่อไปหลังจากวันนี้”
“ท่านหมายความว่าอย่างไรเช่นนั้น” พวกเขาต่างพากันมองดูซูหยาง
ด้วยใบหน้างุนงง
“พวกท่านจักเข้าใจในอีกไม่กี่วัน” เขาตอบด้วยรอยยิ้มลึกลับ
ครั้นเมื่อซูหยางและตระกูลซุนกลับไปยังที่บ้านพวกเขาแล้ว ข่าว
เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นที่ร้านอาหารกระต่ายหยกระหว่างตระกูลซุนและ
ตระกูลมู่ก็แพร่สะพัดไปทั่วเมืองราวกับไฟไหม้ป่ า
เมื่อหมดวันก็ไม่มีใครสักคนในเมืองที่ไม่ได้ยินเรื่องราวการตายที่น่า
อับอายของมู่ชุน
“อะไรนะ นี่หมายความว่าการหมั้นหมายระหว่างตระกูลมู่กับตระกูล
ซุนนั้นเป็นเพียงการตกลงข้างเดียวเพราะว่าตระกูลมู่กดดันตระกูล
ซุนให้ยอมรับงั้นรึ ช่างน่ารังเกียจ แต่ก็มิน่าตกอกตกใจอะไรแต่อย่าง
ใดในเมื่อพวกที่พวกเรากำลังพูดถึงกันอยู่นั้นเป็นตระกูลมู่”
“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าอ้วนชั่วนั่นถูกปฏิเสธอย่างแรงจากนางฟ้าซุนจนถึงกับ
ตายเพราะอกหักนะรึ นั่นเป็นเรื่องน่ายินดี ข้าหวังว่าข้าได้อยู่ที่นั่น
เป็นพยานวาระสุดท้ายของเจ้านั่น”
“อัจฉริยะอันดับหนึ่งซูหยางนั่นอยู่ที่เมืองนี้ตอนนี้นะรึ และเขาก็ยัง
ประกาศว่าซุนจิงจิงเป็นผู้หญิงของเขาด้วยงั้นรึ ตระกูลซุนจักต้อง
เบิกบานไปจนถึงลมหายใจสุดท้ายแน่”
ในเวลาเพียงแค่วันเดียวหลังจากที่ตระกูลมู่ถูกเปิดเผย ธุรกิจทั้งหมด
ของพวกเขาล้วนมียอดขายต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งธุรกิจที่ขาดทุน
น้อยที่สุดมียอดขายลดลงไป 90%
กระทั่งร้านที่เป็นที่นิยมที่สุดของพวกเขา หอยาธรรมชาติ ก็ไม่มีลูกค้า
มาให้ต้อนรับเกินกว่าร้อยคนในวันนั้น แม้กระทั่งจะยังมีโอสถดอกบัว
เพลิงขายอยู่ในตอนนั้นซึ่งปกติแล้วพวกเขามักจะได้เห็นลูกค้าหลาย
พันคน
ในวันที่สองหลังจากที่นิกายดอกบัวเพลิงทราบข่าวว่าเกิดอะไรขึ้นกับ
ตระกูลมู่ พวกเขาก็ยกเลิกการเป็นหุ้นส่วนกับตระกูลมู่ทันที โดย
พื้นฐานแล้วนี่คือการตอกตะปูปิดฝาโลงตระกูลมู่
ในวันที่สามธุรกิจต่าง ๆ ที่เป็นเจ้าของโดยตระกูลมู่ก็ไม่สามารถที่จะ
ขายได้ถึงสิบรายการแม้ว่าจะรวมร้านทั้งหมดเข้าด้วยกัน
เป็นที่ชัดเจนแจ่มแจ้งว่าอิทธิพลของตระกูลมู่ภายในวงการธุรกิจนั้น
ได้มาถึงจุดจบแล้ว ตอนนี้ก็เป็นเพียงแค่เรื่องของเวลาก่อนที่พวกเขา
จะถูกเตะออกไปจากเมือง
ในเวลาเดียวกันธุรกิจที่เป็นเจ้าของโดยตระกูลซุนก็พลันได้รับความ
นิยมและมียอดขายพุ่งกระฉูด โดยมีกำไรมากกว่า 1,000% ภายใน
เวลาเพียงสั้น ๆ แค่สามวัน ยิ่งไปกว่านั้นนิกายดอกบัวเพลิงยังตัดสินใจ
ที่จะมาเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจกับพวกเขาอีกด้วย ซึ่งยิ่งเพิ่มยอดขาย
ของพวกเขาให้สูงขึ้น
ส่วนสำหรับตระกูลซุนเองนั้น พวกเขาถูกถล่มด้วยแขกที่เข้ามาแสดง
ความยินดีกับลูกสาวของพวกเขาได้ประสบความสำเร็จในชีวิตในฐานะ
ผู้ฝึกยุทธและฐานะหญิงสาว แน่นอนว่าแขกส่วนใหญ่ก็ดูเหมือนว่า
จะนำลูกสาวของตนเองมาด้วยเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาวางแผน
อะไรกันไว้ แต่น่าเสียดายพวกเขาส่วนใหญ่ไม่อาจจะได้พบปะกับ
ซูหยาง ในเมื่อเขาวุ่นวายอยู่กับการร่วมฝึกคู่กับซุนจิงจิงเกือบตลอด
เวลา
ส่วนสำหรับผู้ที่สามารถได้เห็นหน้าซูหยางนั้น พวกเขาต่างพากันถูก
ครอบงำกับการปรากฏตัวของเขาจนกระทั่งจิตใจของพวกเขาว่าง
เปล่ารวมไปถึงแผนการของพวกเขาที่จะเกี้ยวพาราสีเขา
และเมื่อสิ้นสุดของอาทิตย์ที่สองของพวกเขาที่นั่น ซูหยางและซุน
จิงจิงก็เตรียมตัวที่จะกลับไปยังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
“ท่านมั่นใจว่าท่านมิต้องการที่จะอยู่ที่นี่นานกว่านี้อีกสักหน่อยรึ”
ซุนเหรินถามพวกเขา เห็นได้ชัดว่าลังเลที่จะเห็นพวกเขาจากไป
“โชคร้าย ข้ามิมีเวลาเหลือที่จะอยู่ที่นี่อีกต่อไป นิกายกุสุมาลย์พ้น
พิสัยจักเริ่มรับศิษย์ในอาทิตย์หน้า และข้าต้องอยู่ที่นั่นเพื่อดูแลทุก
อย่างในฐานะผู้นำนิกาย” ซูหยางกล่าว
“ข้าก็จักกลับไปที่นิกายกับเขาด้วยเช่นกันในกรณีที่พวกเขาต้องการ
ข้า” ซุนจิงจิงก็ตัดสินใจที่จะกลับไปยังนิกายเช่นกัน
“ข้าเข้าใจ… ข้าเริ่มคุ้นเคยกับการที่พวกท่านอยู่ที่นี่ในช่วงสองอาทิตย์
ที่ผ่านมา และแน่นอนว่าย่อมจะรู้สึกเหงาอยู่บ้างเมื่อพวกท่านทั้งสอง
ไป” ซุนเหรินถอนหายใจ
“อย่าลืมมาเยี่ยมพวกเราบ้างเป็นบางครั้ง” ซุนเฉียนกล่าวกับพวกเขา
ด้วยรอยยิ้ม
หลังจากที่กล่าวคำอำลากับครอบครัวของเธอแล้ว ซุนจิงจิงและซู
หยางก็กลับไปยังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
“เวลาที่ผ่านไปสองอาทิตย์นี้ได้ให้ช่วงเวลาที่น่าจดจำที่สุดในชีวิตแก่
ข้าจนถึงตอนนี้…” ซุนจิงจิงกล่าวกับเขาด้วยรอยยิ้มอบอุ่น “ข้าสงสัย
ว่าชีวิตของพวกเราจะเป็นเช่นไรถ้าพวกเรามิใช่ผู้ฝึกยุทธ”
“ข้ารู้ว่าข้าได้กล่าวเช่นนี้บ่อยครั้ง แต่อย่างไรก็ตามขอบคุณ ซูหยาง
ที่ยอมรับคนอย่างข้าเข้าสู่ชีวิตของเจ้า…” ซุนจิงจิงกระซิบอยู่ในอ้อม
กอดของเขา
“และก็ต้องขอขอบคุณที่เลือกเข้ามาในชีวิตของข้า…” ซูหยางกล่าว
ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนขณะที่เขาตอบกลับอ้อมกอดของเธอด้วยการจูบ
อย่างเสน่หาที่ริมฝีปาก
บทที่ 492 อกหักตาย
“เจ้ารู้ไหม… เจ้าพูดบ่นว่าข้าเป็นหญิงของเจ้ามาพักใหญ่แล้ว แต่ข้า
นึกมิออกว่าเคยเป็นของเจ้า” ซุนจิงจิงพลันกล่าวขึ้น
“อ-อะไรกัน” มู่ชุนมองดูเธอด้วยใบหน้างงงันและกล่าวขึ้นว่า “ต-
แต่เจ้ายอมรับการขอแต่งงานของข้า”
ซุนจิงจิงแกล้งทำเป็นครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะก่อนจะพูดว่า “จริงรึ ข้าจำ
มิได้ว่าได้ยอมรับคำขอแต่งงานของเจ้าเช่นกัน เจ้ามีหลักฐานอะไรที่
บอกว่าข้าแต่งงานกับเจ้าหรือไม่”
“แน่นอน มันอยู่ที่นี่” มู่ชุนทำการแสดงให้เธอเห็นข้อตกลงลายลักษณ์
อักษรระหว่างซุนเหรินกับมู่หลาน
อย่างไรก็ตามซุนจิงจิงยังคงเรียบเฉยและกล่าวว่า “นี่เป็นข้อตกลง
ระหว่างพ่อแม่ข้ากับพ่อแม่เจ้า แต่มิมีอะไรเกี่ยวข้องกับข้า ข้าได้ออก
จากตระกูลซุนมาเกินกว่าหนึ่งปีแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นข้าก็ได้อยู่ในตระกูล
อื่นแล้วเช่นกัน”
จากนั้นซุนจิงจิงก็เดินไปข้างกายซูหยางและกอดเขาด้วยความเสน่หา
และกล่าวว่า “มิเพียงข้าได้มอบครั้งแรกของข้าให้กับซูหยาง แต่ข้าก็
ได้เข้าสู่ตระกูลของเขาเรียบร้อยแล้ว ถ้าข้าต้องการ ข้ายังสามารถ
เปลี่ยนชื่อของข้าเป็น ซูจิงจิง”
“เพียงเพราะว่าเจ้าใช้ธุรกิจครอบครัวของเจ้าและความสัมพันธ์กับ
นิกายดอกบัวเพลิงกดดันตระกูลของข้าให้ตกลงหมั้นหมายมิได้
หมายความว่าข้าตกลงที่จะเป็นหญิงของเจ้า ตามความเป็นจริง
ร่างกายของข้า หัวใจ และดวงวิญญาณของข้า เป็นของซูหยางเรียบ
ร้อยแล้ว และเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น”
“ม-มิมีทาง…” มู่ชุนซวนเซถอยหลังหลังจากที่ได้ยินคำพูดโหดร้าย
ของซุนจิงจิงที่สร้างความเจ็บปวดให้กับเขามากยิ่งกว่าสิ่งใดที่เขาเคย
ประสบมาในชีวิต รู้สึกเหมือนกับว่าร่างกายและหัวใจของเขาถูกทิ่ม
แทงด้วยกระบี่นับพัน
“แค่ก”
เมื่อหัวใจของเขารู้สึกเหมือนกับว่ากำลังจะระเบิดออก มู่ชุนก็ไอ
ออกมาเป็นเลือด
“ลูก เป็นอะไรหรือไม่”
มู่หลานพลันพุ่งเข้ามาในร้านอาหารและรับร่างมู่ชุนไว้ก่อนที่อีกฝ่าย
จะล้มลงไปบนพื้น และตระกูลซุนก็ติดตามเข้ามาในร้านอาหารไม่กี่
อึดใจให้หลัง
“จ-เจ้าทำอะไรกับลูกข้า ซูหยาง” มู่หลานมองดูเขาด้วยดวงตาแดง
ฉาน
ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะว่าเขาขาดพลังการฝึกปรือซึ่งอยู่เพียงแค่เขตสัมมา
วิญญาณ เขาก็คงจู่โจมซูหยางเพื่อฆ่าให้ตายไปเรียบร้อยแล้ว
“ข้ายังมิได้แตะต้องตัวเขาด้วยซ้ำ คนที่อยู่ที่นี่นับตั้งแต่ต้นสามารถ
เป็นพยานได้” ซูหยางเพียงแค่ยักไหล่
“เหลวไหล ถ้าเจ้ามิได้โจมตีเขา ทำไมเขาจึงไอออกมาเป็นเลือด”
“บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าเขามิอาจจะทนถูกปฏิเสธจากผู้หญิงของ
ข้าและกำลังจะอกหักตายละมั้ง”
“อ-อะไรกัน…” มู่หลานจ้องมองเขาด้วยใบหน้างงงัน
“ฟังให้ดี เพราะข้าจักกล่าวเพียงครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น ซุนจิงจิงเป็น
ผู้หญิงของข้า ซูหยาง ในเมื่อข้าได้รับเธอเข้าสู่ตระกูลของข้าเรียบร้อย
แล้ว ข้ามิสนใจว่าเจ้าจะหมั้นหมายหรือแต่งงาน ถ้าข้าพูดว่าเธอเป็น
หญิงของข้า เธอก็เป็นหญิงของข้า” ซูหยางกล่าวด้วยเสียงกดดันก่อนที่
จะหันกายไปจูบซุนจิงจิงอย่างหนักที่ริมฝีปากด้วยความเสน่หาต่อ
หน้าทุกผู้คนที่นั่น
“อืมมม…”
ซุนจิงจิงหลับตาลงและจูบตอบเขา ทั้งยังทำเสียงวาบหวามอีกด้วย
หลังจากที่จูบอีกฝ่ายเป็นเวลานานนับนาที ซูหยางก็มองไปที่หน้าซีด
เซียวของมู่ชุนและกล่าวว่า “เจ้ายังคงมีข้อสงสัยว่าซุนจิงจิงเป็นของ
ใครอีกหรือไม่ในตอนนี้ เจ้าหมูสกปรก”
“จ-จ-จ-เจ้า…. เจ้า…. เจ้า… อ๊ากกก”
มู่ชุนพลันไอออกมาเป็นเลือดอีกสองสามคำ
“ลูกพ่อ” ใบหน้ามู่หลานเต็มไปด้วยความกระวนกระวายในขณะที่มู่
ชุนหลับตาลงอย่างช้าๆ ราวกับว่าเขากำลังใช้ลมหายใจเฮือกสุดท้ายอยู่
“ม-ไม่… ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ ม่ายยยยย มู่ชุน ลืมตาขึ้น” มู่หลานร่ำร้อง
ด้วยความสิ้นหวังเมื่อแสงในแววตาของมู่ชุนหายไป
และในเวลานั้น มู่ชุน ลูกชายคนโตของตระกูลมู่ ก็ตายไปด้วยความ
อกหักหลังจากที่ได้รับสิ่งที่เป็นไปได้ว่าเป็นคำปฏิเสธที่เลวร้ายที่สุด
อย่างหนึ่งที่ผู้คนอาจจะได้รับจากคนรักของตนเอง และต่อหน้าผู้คน
จำนวนมากในที่สาธารณะ ไม่มีอะไรร้ายไปกว่านั้น
“อะไรกัน… เขาตายแล้วรึ”
ผู้ชมต่างพากันไม่อยากเชื่อ ในเมื่อนี่เป็นครั้งแรกของพวกเขาที่ได้รับ
รู้ว่ามีคนตายหลังจากที่ถูกปฏิเสธ
“ถูกปฏิเสธนี่อาจจะมิใช่เป็นเหตุผลเดียวสำหรับการตายของเขา บาง
ทีเขาอาจจะมีหัวใจอ่อนแอด้วยเช่นกันในเมื่อเขาเป็นโรคอ้วนตั้งแต่
แรก…”
“จ-จ-เจ้าฆ่าลูกชายข้า” มู่หลานหันไปมองดูซุนจิงจิงและกล่าวโทษ
เธอว่าเป็นต้นเหตุการเสียชีวิตของมู่ชุน
“จริงแล้วข้าชอบที่จะฆ่าเขาด้วยมือของตนเองมากกว่า แต่ในเมื่อเขา
เพิ่งตายไปอย่างน่าสมเพช…” ซุนจิงจิงถอนหายใจด้วยความรู้สึก
โหดร้ายแฝงในดวงตาขณะที่เธอจ้องมองไปยังดวงตาของมู่หลาน
“นังดอกทอง”
ราวกับว่าเขาสูญเสียเหตุผลทั้งหมดไปจากการตายของลูกชาย มู่
หลานพลันดึงกระบี่ระดับสวรรค์ออกมาจากแหวนมิติและเล็งไปที่
ซุนจิงจิงอย่างรวดเร็ว
“จิงจิง”
พ่อแม่ของเธอพลันตื่นตัวขึ้นมาในทันใดกับการกระทำของมู่หลาน
แต่อนิจจาพวกเขาอยู่ห่างไกลและช้าเกินไปที่จะทำอะไรทั้งสิ้น
“ฮึ่ม”
ซุนจิงจิงแค่นเสียงเย็นชาและระเบิดพลังการฝึกปรือทั้งหมดในเขต
ปฐพีวิญญาณของเธอออกมา และคลื่นกระแทกจากการปลดปล่อย
พลังการฝึกปรือของเธอนั้นก็มากพอที่จะส่งมู่หลานปลิวออกไปไกล
เหมือนกับตุ๊กตาเศษผ้าถูกขว้างไปจากมือผู้ใหญ่
“ข้ามิได้มีความอดทนและใจดีเหมือนกับซูหยาง ถ้าเจ้าโจมตีข้าอีก
เพียงครั้งเดียว ข้าก็จักโจมตีกลับ” ซุนจิงจิงกล่าวพร้อมกับกระแส
พลังรุนแรงรอบกายเธอ
หลังจากที่ถูกคลื่นกระแทกจากพลังการฝึกปรือของซุนจิงจิงเหวี่ยง
ออกไปแล้วนั้น มู่หลานก็ไอออกมาเป็นเลือดและก็ยังยากที่จะยืนขึ้น
“ช-ช่างแข็งแกร่ง…” เขาจ้องมองร่างที่เปี่ยมอำนาจของซุนจิงจิงจาก
ระยะห่าง หมดกำลังใจที่จะสู้ไปอย่างรวดเร็ว ใช้เพียงแค่การโจมตีที่
ไม่ร้ายแรงจากเธอเท่านั้นก็พอที่จะลบล้างกำลังใจที่จะต่อสู้ของเขา
ไปจนหมดสิ้น
“ในเมื่อลูกของเจ้าตายไปมินานนัก ข้าจักปล่อยเจ้าไปเพียงแค่นี้ แต่
ทว่าถ้าเจ้ายังกล้าสร้างปัญหาให้ข้าหรือกับตระกูลข้าอีกครั้งในอนาคต
ข้าจักทำลายตระกูลมู่ทั้งหมดด้วยตัวข้าเอง และข้ามิจำเป็นต้องให้ซู
หยางช่วยในเรื่องนั้น เพราะข้าเพียงลำพังก็มีความสามารถที่จะทำ
เช่นนั้นได้” ซุนจิงจิงกล่าวกับเขาพร้อมกับหรี่ตา
“ส่วนสำหรับการหมั้นหมายของข้ากับตระกูลมู่นั้น มันมิเคยเกิด
ขึ้นมาก่อน เจ้าเข้าใจหรือไม่”
“เอาล่ะเอารับลูกเจ้าแล้วไสหัวไป”
สองสามอึดใจจากนั้น มู่หลานก็เข้าไปรับตัวร่างไร้ชีวิตของมู่ชุน
ก่อนที่จะจากหายไปจากร้านอาหาร
บทที่ 491 เจ้าเป็นใครกัน
เมื่อลูกค้าในร้านอาหารได้ยินคำพูดของซูหยาง พวกเขาต่างพากันอ้า
ปากค้างด้วยความตกใจ ไม่มีใครในพวกเขาได้เคยเห็นคนที่กล้าพอ
ที่จะตบหน้านายน้อยตระกูลมู่ตรง ๆ อย่างโหดร้าย
“โอพระเจ้า…คนที่สวมหน้ากากนี้เป็นใครกัน อัณฑะทำมาจากเหล็ก
หรืออย่างไรกัน*”
(ผู้แปล ไข่เหล็ก เป็นประมาณสำนวนมั้ง มีความหมายว่า กล้า คล้าย
กับคำไทยเรา ทองแดง ซึ่งเป็นความเชื่อทางไสยศาสตร์ว่าคนที่เป็น
ทองแดงหรือมีไข่ข้างเดียว จะคงกระพัน)
“เขาเรียกนายน้อยมู่เป็นหมูมิเพียงต่อหน้าอีกฝ่ายแต่ยังต่อหน้าคู่หมั้น
อีกฝ่ายด้วย…”
กระทั่งซุนจิงจิงก็อดที่จะหัวเราะคิกคักอย่างสง่างามไม่ได้หลังจากที่
ได้ยินคำพูดของซูหยาง
“จ-จ-เจ้า…”
ทั้งร่างมู่ชุนสั่นสะท้านในชั่วเวลานั้น ทำให้ไขมันบนร่างและบน
ใบหน้าของเขาสั่นกระเพื่อมเหมือนกับเยลลี่ท่ามกลางแผ่นดินไหว
แต่อนิจจาแม้ว่าเขาจะเกรี้ยวโกรธ ซูหยางก็ยังคงเหยียดหยามเขา
ต่อไปอีก “ข้ามิรู้ว่าหมูสามารถหมั้นกับคนได้ อย่าว่านี่เป็นถึงนางฟ้า
ข้าเดาเอาว่าทุกสิ่งคงเป็นไปได้ในยุทธภพนี้…”
“เรียกเจ้าว่าคางคกพยายามจะกินเนื้อห่านฟ้าก็ยังคงเป็นการยกย่อง
เกินไปและถือเป็นการเหยียดหยามคางคก ในเมื่อสัตว์ประเภทเจ้า
จำเป็นต้องกลับไปกินอุจจาระในเล้าของเจ้า”
“เฮ้ ใจเย็น ข้าเพียงแค่พูดเล่นกับเจ้าเท่านั้น ข้ากลัวว่าถ้าใบหน้าเจ้า
แดงไปมากกว่านี้อีกหน่อย เจ้าจะกลายไปเป็นหมูย่าง…”
“ฮ่าฮ่าฮ่า”
ลูกค้าสองสามคนที่นั่นต่างไม่สามารถที่จะกลั้นหายใจได้อีกต่อไป
จึงได้แต่ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ทำให้ร้านอาหารนั้นเต็มไปด้วย
เสียงหัวเราะบ้าคลั่ง แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าการหัวเราะในเวลานี้นั้น
เป็นไปได้ที่อาจจะต้องจ่ายด้วยชีวิตของพวกเขา แต่เป็นเรื่องปกติที่
พวกเขาไม่สามารถที่จะต่อต้านได้ราวกับว่ามีคนที่จักจี้จุดอ่อนของ
พวกเขา
“ข-ข-ข้าจักฆ่าเจ้า” มู่ชุนพลันคำรามลั่น เตะโต๊ะตรงหน้าพวกเขา
และทำให้อาหารทั้งหมดบนโต๊ะปลิวว่อนไปทั่วห้อง
จากนั้นเขาก็นำเอากระบี่วิญญาณเขตปฐพีวิญญาณออกมาจากแหวน
มิติและชี้มันไปยังซูหยาง
“ถ้าข้ามิฆ่าเจ้าในวันนี้ มิต้องเรียกข้าว่ามู่ชุน และมิต้องถือว่าข้าเป็น
ชายอีกต่อไป”
แต่ทว่าซูหยางยังคงนั่งอยู่ที่นั่นด้วยสีหน้าเรียบเฉยและกล่าวว่า “ต่อ
ให้เจ้าสามารถฆ่าข้าได้ในวันนี้ เจ้าก็ยังคงมิได้เป็นชาย ในเมื่อเจ้า
มิได้เป็นคนมาตั้งแต่แรก”
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”
เสียงหัวเราะที่สถานที่นั้นยิ่งดังขึ้นกว่าเดิมเมื่อมีผู้คนหัวเราะเพิ่ม
จำนวนมากขึ้น
“ตายซะ เจ้าชั่ว” มู่ชุนพลันเหวี่ยงกระบี่ไปยังซูหยาง ทำให้เสียง
หัวเราะหายไปในทันที
ผู้คนที่นั่นต่างพากันกลั้นหายใจขณะที่กระบี่ในมือของมู่ชุนพุ่งไปยัง
ใบหน้าซูหยางอย่างรวดเร็ว
และเมื่อทุกคนที่นั่นคาดว่าเขาจะหลบการโจมตีของกระบี่ ซูหยาง
กลับตัดสินใจที่จะยังคงนั่งอยู่ที่นั่นโดยปราศจากการขยับกล้ามเนื้อ
แม้แต่น้อย สร้างความตกใจให้กับทุกคนที่นั่น
“เขาตายแน่”
แต่ทว่า สุดท้ายเมื่อกระบี่กระทบกับหัวของซูหยาง มันไม่อาจแม้
เพียงจะตัดเส้นผมสักเส้นของซูหยางอย่าว่าแต่จะฆ่าเขา
“อ-อะไรกัน”
ผู้คนที่นั่นต่างพากันอ้าปากค้างด้วยความตกใจ ดวงตาของพวกเขา
ลืมกว้างด้วยความไม่เชื่อ
มู่ชุนจ้องมองไปที่กระบี่ของตนเองและหัวของซูหยางด้วยใบหน้า
งงงวย แต่ราวกับว่าเขาไม่สามารถทำความเข้าใจในสถานการณ์ได้
เขาจึงดึงกระบี่และโจมตีอีกครั้ง
ครั้งนี้ เขาพุ่งปลายกระบี่ตรงไปยังระหว่างดวงตาของซูหยาง
วินาทีถัดไปมู่ชุนรู้สึกกระบี่ของเขาผ่านเข้าไปในบางอย่างที่แข็ง ทำ
ให้รอยฉีกยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้า
แต่อนิจจาเมื่อเขาตระหนักว่ากระบี่ของเขาเพียงแค่แทงเข้าไปใน
หน้ากากบนใบหน้าซูหยางแต่ไม่ใช่ผิวของเขา ร่างของเขาก็ยืนค้าง
อยู่ที่นั่นราวกับว่าถูกแช่แข็งในเวลานั้น
“ตอนนี้เจ้าได้โจมตีข้าสองครั้งด้วยเจตนาที่จะฆ่าข้า ถ้าข้าฆ่าเจ้า
ตอนนี้ ก็จะมิมีใครที่จะกล่าวโทษได้ใช่ไหม” ซูหยางพลันกล่าวขึ้น
ด้วยเสียงเรียบเฉย และสายตาของเขาก็เป็นประกายฆ่าฟัน
“ซี๊ดดดด”
ราวกับว่าวิญญาณของเขาถูกบังคับให้ตื่นขึ้นจากบางสิ่งที่น่าหวาดกลัว
มู่ชุนพลันกระโดดถอยหลังด้วยสีหน้าหวาดกลัว
“จ-เจ้าเป็นใครกัน” เขาร้องลั่น
ซูหยางยืนขึ้นอย่างช้า ๆ และนำเอาหน้ากากที่แตกร้าวออกจาก
ใบหน้าเผยให้เห็นถึงองคาพยพที่หล่อเหลาให้ทุกคนที่นั่น
แต่ทว่าคนที่นั่นไม่ได้จดจำเขาได้ในทันที ในเมื่อไม่มีใครในที่นั้นได้
ไปงานแข่งขันระดับภูมิภาคเพื่อชมการต่อสู้ของเขา และเขาก็ไม่ได้
สวมชุดเครื่องแบบของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
ตามที่ทุกคนคิดและรู้สึกในสายตาของผู้คนเหล่านี้ ซูหยางเป็นเพียง
แค่ชายหนุ่มที่รูปหล่ออย่างเหลือล้นที่มีความเป็นมาไม่ทราบชัด
ในตอนนี้
“ข้าชื่อซูหยาง…”
สุดท้ายเมื่อเขาแนะนำชื่อของตนเอง ผู้คนในร้านอาหารต่างก็พากัน
มีปฏิกิริยาเหมือนกับว่าพวกเขาเห็นผี
“สวรรค์ เขาเป็นซูหยางจริง ๆ ด้วย อัจฉริยะอันดับหนึ่งในทวีป
ตะวันออกที่มีพลังการฝึกปรือในเขตอัมพรวิญญาณเมื่อตอนอายุสิบ
เจ็ดปี”
“มิน่าประหลาดใจว่าทำไมเขาจึงกล้าที่จะล่วงเกินมู่ชุน ด้วยความ
เป็นมาของเขา เขาสามารถกระทั่งล่วงเกินทั้งตระกูลมู่และยังสามารถ
มีชีวิตอยู่ดูหลานของตนเองได้”
“ทำไมคนอย่างเขาจึงมาอยู่ในที่แห่งนี้”
“มีเพียงเหตุผลเดียวที่ข้าคิดออกก็คือ ซุนจิงจิง ไม่ว่าอย่างไรซุนจิงจิง
ก็เป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเช่นกัน นั่นต้องมีบางอย่างที่
เกี่ยวข้องกับการหมั้นหมายกับมู่ชุน”
“มูชุนจบกันคราวนี้ เขากล้าแม้กระทั่งเกี้ยวพาราสีหญิงของซูหยาง
เขาเลือกเป้าหมายผิดในคราวนี้ สุดท้ายนักล่าก็ตกกลายไปเป็นเหยื่อ”
คนในร้านอาหารต่างพากันเต็มไปด้วยความกลัวกับการปรากฏตัว
ของซูหยาง และพวกเขาก็ตื่นเต้นที่จะได้เห็นเขาจัดการมู่ชุนซึ่งเป็น
คนที่โดยทั่วไปแล้วไม่มีใครชอบทั้งเมืองเนื่องจากนิสัยที่น่ารังเกียจ
ของเขาซึ่งชอบใช้ฐานะของตนเองกดดันเด็กสาวให้ยอมยกร่างกาย
ให้ตนเอง
“ซ-ซูหยาง…” มู่ชุนเกือบจะฉี่ราดกางเกงหลังจากที่รู้ถึงตัวตนที่แท้จริง
ของซูหยาง ผิวกายของเขาทั้งหมดขาวซีดเหมือนแผ่นกระดาษ และ
ร่างของเขาก็สั่นสะท้านไม่หยุดยั้ง เหมือนกับว่าเขาเป็นไข้หนัก
แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังสามารถที่จะประคองตัวเองให้หยุดสั่นได้
และพูดด้วยเสียงอันดังว่า “ล-แล้วจะเป็นอย่างไรถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นซู
หยาง ซุนจิงจิงก็ยังคงเป็นผู้หญิงของข้า พวกเราได้หมั้นหมายกันไว้
แล้ว และการแต่งงานของพวกเราก็จะเป็นวันพรุ่งนี้ เพียงเพราะเจ้า
เป็นคนมีพรสวรรค์และหล่อเหลา อย่าคิดว่าเจ้าจะสามารถขโมย
หญิงของชายคนอื่นหนีไปได้”
บทที่ 490 เผชิญหน้าตระกูลซุน
“อะไรนะ เห็นคู่หมั้นข้าจูบอยู่กับชายคนที่ตระกูลซุนอ้างว่าเป็นญาติ
ห่าง ๆ งั้นรึ เป็นไปไม่ได้” มู่ชุนต่อยหมัดลงบนโต๊ะ ทำโต๊ะพังเป็น
ตัวที่สี่ในอาทิตย์นี้
“มันเป็นความจริง นายน้อย ตามคำสั่ง พวกเราได้ตามพวกเขาทุก
วินาทีที่พวกเขาอยู่บนถนน และพวกเราก็ได้เป็นพยานว่าพวกเขาจูบ
กันภายในร้านอาหารกระต่ายหยก”
“ร้านอาหารกระต่ายหยกรึ พาข้าไปที่นั่น” มู่ชุนพลันยืนขึ้นและกล่าว
ว่า “ข้าได้เพิกเฉยเรื่องโกหกไร้สาระนี้มานานเกินไปแล้ว ข้าจักต้อง
ไปดูคู่หมั้นของข้าและญาติห่าง ๆ ของเธอ”
“ข้าก็ได้ทนมาพอแล้วเช่นกันเรื่องนี้” มู่หลานพ่อของเขาก็ยืนขึ้นเช่นกัน
และกล่าวว่า “เช่นนั้นข้าก็จักไปเยี่ยมตระกูลซุนด้วยตัวข้าเอง”
เวลาถัดไป มู่หลานก็ไปถึงที่บ้านตระกูลซุนด้วยท่าทีที่เหมือนกับว่า
พ่อแม่ของเขาเพิ่งถูกฆ่า
“ย้ายก้นของเจ้าออกมาที่นี่ ตระกูลซุน” มู่หลานคำรามสุดเสียง จ้อง
มองไปยังคนภายในตระกูลซุนที่ยังวุ่นวายอยู่กับธุระของตนเอง
หลังจากนั้นไม่นานนัก ซุนเหรินและซุนเฉียนก็มาปรากฏตัวต่อหน้า
มู่หลานพร้อมกับขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจกับความหยาบคาย
ของมู่หลาน
“ถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นผู้นำตระกูลมู่ ตระกูลซุนก็มิใช่สถานที่ที่เจ้าสามารถ
มาวางก้ามได้ตามใจปรารถนา ผู้นำมู่” ซุนเฉียนกล่าวกับอีกฝ่าย
“ทำไมเจ้าถึงกลับมาที่นี่ ถ้าเจ้ามาที่นี่เพื่อที่จะพูดเรื่องลูกสาวของข้า
ใกล้ชิดสนิทสนมเกินไปกับญาติของเธอ เช่นนั้นข้าก็มิมีอะไรที่จะ
พูดอีก” ซุนเหรินถอนหายใจ
“ตระกูลซุน ตระกูลมู่ของข้าต้องเหมือนกับคนโง่ในสายตาของเจ้า
ในตอนนี้ ใช่ไหม” มู่หลานควันขึ้นหน้า หน้าผากของเขาเส้นเลือด
ปูดโปน
สองคนตระกูลซุนต่างพากันสบสายตากันด้วยความสับสนก่อนที่จะ
กล่าวว่า “เจ้าพูดอะไรกัน”
“อย่ามาแกล้งทำเป็นโง่ ชายคนนั้นที่สวมหน้ากากเห็นชัดว่าไม่ใช่
เพียงแค่ญาติ เมื่อในที่สุดพวกเราก็จับได้คาหนังคาเขาว่าพวกเขาจูบ
กันในที่สาธารณะ” มู่หลานเผยเหตุผลที่เขามาที่นี่
“อ-อะไรนะ” ซุนเหรินดวงตาเบิกกว้างด้วยความตระหนก ราวกับว่า
เธอไม่สามารถเชื่อสิ่งที่เธอเพิ่งได้ยิน
“พวกเขาจูบกันในที่สาธารณะรึ ทำไมพวกเขาจึงทำอะไรที่อื้อฉาว
เช่นนั้นในที่สาธารณะ พวกเขาคงมิโง่ขนาดนั้น” ซุนเหรินครุ่นคิด
ในใจ
“อะไรเป็นข้อพิสูจน์ว่าพวกเขาจูบกันในที่สาธารณะ” ซุนเฉียนพลัน
ถาม
“โอ เจ้ามิรู้รึ ตระกูลมู่ของข้าได้ติดตามพวกเขาตลอดอาทิตย์ที่ผ่าน
มา คอยดูความเคลื่อนไหวของพวกเขาทุกฝีก้าวอย่างเงียบ ๆ และเมื่อ
มินานมานี้ พวกเราจับได้ว่าพวกเขาจูบกันที่ร้านอาหารกระต่ายหยก”
คิ้วที่ขมวดบนใบหน้าของซุนเหรินยิ่งลึกขึ้นไปกว่าเดิม คิดในใจว่า
“มิมีทางที่เพียงแค่พวกขี้ข้าจากตระกูลมู่จะสามารถติดตามคนที่อยู่
ในเขตอัมพรวิญญาณได้โดยมิถูกสังเกตพบ นี่เห็นชัดว่าเป็นกับดัก
อย่างไรก็ตามข้ายังคงมิสามารถบอกได้ว่ามันเป็นกับดักหรือไม่ต่อ
ตระกูลมู่หรือว่าต่อพวกเราเอง”
“เจ้ารู้ไหม เจ้าสามารถแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องต่อไปได้ แต่ทว่าตระกูลมู่
ของข้าจักมินั่งอยู่เฉย ๆ ยอมรับความอัปยศนี้อีกต่อไป ลูกข้า มู่ชุน
คงจะไปเผชิญหน้าพวกนั้นแล้วในตอนนี้ ครั้นเมื่อเขายืนยันได้ว่า
พวกเขาทำเรื่องอื้อฉาว เขาคงจักฆ่าเจ้าคนสวมหน้ากากนั่นโดยมิสน
ว่าจะมีความเป็นมาอย่างไร” มู่หลานหัวเราะเสียงดัง
“อะไรนะ”
สกุลซุนทั้งสองคนต่างอุทานออกมาด้วยใบหน้าตกใจ
“จ-เจ้ากำลังพยายามที่จะฆ่าลูกตัวเองงั้นรึ” ซุนเฉียนมองดูมู่หลาน
ด้วยหน้าตาสงสาร
“เจ้าหมายความว่าอย่างไรเช่นนั้น” มู่หลานพลันขมวดคิ้วเมื่อรู้สึกได้
ถึงลางร้าย
“ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว ก็มิมีความจำเป็นที่จะต้องปกปิดตัวตนของ
เขาอีกต่อไป” ซุนเหรินส่ายหน้า
“ชายสวมหน้ากากนั่น… ตัวตนที่แท้จริงของเขาก็คือ ซูหยาง”
สุดท้ายซุนเหรินก็เปิดเผยตัวตนของเขาให้กับมู่หลาน
“ซ-ซูหยางรึ…” มู่หลานยืนอยู่ที่นั่นด้วยสีหน้าตื่นตะลึง เขาไม่ได้
จดจำชื่อนี้ได้ในทันที แต่หลังจากครุ่นคิดไปได้ไม่กี่วินาที ดวงตา
ของเขาก็เบิกกว้างด้วยความตกใจหลังจากที่รู้
“โอไม่ อย่าทำอะไรบุ่มบ่าม ลูกข้า” มู่หลานรีบหันกายและพุ่งกาย
ออกจากตระกูลซุนด้วยร่างกายที่ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อเย็นเยียบ
“เราควรตามเขาไปดีไหม” ซุนเฉียนกระซิบ
“แน่นอน” ซุนเหรินพยักหน้า
ชัดเจนว่ามู่หลานกำลังมุ่งตรงไปที่ไหน ดังนั้นพวกเขาจึงทำการ
ติดตามอีกฝ่ายไป
ในเวลานั้นที่ร้านอาหารกระต่ายหยก หนึ่งในร้านอาหารหรูหราที่
ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงในเมือง ซูหยางและซุนจิงจิงก็กำลัง
นั่งกินเนื้อวิญญาณอย่างผ่อนคลายราวกับว่ามันเป็นอาหารธรรมดา
ทันใดนั้นระหว่างการรับประทานอาหารเที่ยงกันอยู่นั้น ก็เกิดความ
ปั่นป่ วนขึ้นที่ทางเข้าของร้านอาหาร
“นายน้อยมู่ ท่านมาทำอะไรที่นี่– อา”
มู่ชุนเดินกระทืบเท้าเข้าไปในร้านอาหารราวกับช้างตกมันในเวลา
ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น ถึงกับเตะพนักงานต้อนรับออกไปพ้นทาง
ผู้คนที่อยู่ภายในร้านอาหารพากันหยุดกินเพื่อดูฉากนี้ ในเมื่อพวกเขา
ต่างรู้กันว่าทำไมนายน้อยของตระกูลมู่จึงมาปรากฏตัวในที่แห่งนี้
ด้วยอารมณ์รุ่มร้อน
“อือ โอ สุดท้ายนายน้อยมู่ก็ปรากฏตัวที่นี่” หนึ่งในลูกค้าที่นั่นกระซิบ
“เขาต้องได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว…”
“เขาใช้เวลานานพอดู”
ในขณะที่ลูกค้าพากันกระซิบกระซาบกัน มู่ชุนก็กวาดสายตาไปใน
ร้านอาหารด้วยดวงตาหรี่แคบจนกระทั่งสังเกตเห็นหญิงสาวสวยนั่ง
อยู่ใกล้กับด้านหลังของร้านอาหาร
เพียงแค่มองผ่าน ๆ ในครั้งแรก เขาก็ตกตะลึงไปกับความสวยของ
ซุนจิงจิง แต่เมื่อเขาจำได้ว่าตนเองมาที่นี่ทำไม เขาก็เดินกระทืบเท้า
ไปยังอีกฝ่ายพร้อมกับพุงโย้ที่ส่ายไปมาตลอดทาง
“ซุนจิงจิง นี่หมายความว่าอะไรกัน เจ้าบ้านี้เป็นใครกัน”
เมื่อสุดท้ายมู่ชุนได้มาถึงที่โต๊ะของพวกเขา ซุนจิงจิงและซูหยางก็ได้
หยุดกินและมองดูร่างที่เตี้ยและอ้วนกลมที่ยืนอยู่ตรงหน้าของพวกเขา
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นว่าซุนจิงจิงไม่ได้ตอบคำถามของเขา มู่ชุนก็
กล่าวต่อว่า “ข้ากำลังถามคำถามเจ้า ซุนจิงจิง อย่าคิดว่าข้ามิรู้ว่าเจ้า
จูบกับชายคนนี้ก่อนหน้านี้ในร้านอาหารแห่งนี้ เจ้าถือว่าเป็นหญิง
ของข้าแล้ว และเราก็หมั้นหมายกันแล้ว ถ้าเจ้ามิต้องการที่จะให้ข้า
ฆ่าเขา ก็จงตอบข้ามา”
“ข้าควรถามเจ้าคำถามเดียวกัน” ซูหยางพลันกล่าวขึ้นในขณะที่เขา
เช็ดริมฝีปากของเขาอย่างสง่างามด้วยผ้าผืนหนึ่ง “ไอ้โง่ตัวไหน
ปล่อยหมูออกมาจากกรง มันทำให้ความอยากอาหารของข้าป่ นปี้”
บทที่ 489 ขอคำตอบ
หลังจากที่ได้ยินเรื่องอื้อฉายเรื่องซุนจิงจิงเดินเล่นบนถนนอย่างสนิท
สนมกับชายคนอื่นในขณะที่หมั้นหมายกับมู่ชุน ตระกูลมู่พลันส่งคน
สื่อสารไปยังตระกูลซุนเพื่อขอคำตอบ
เมื่อซุนเหรินได้รับข่าวจากตระกูลมู่ที่เต็มไปด้วยความโกรธ เธอก็
เพียงแค่ยักไหล่และตอบกลับไปด้วยเรื่องเหลวไหลว่า “นั่นเป็นความ
เข้าใจผิด ชายหนุ่มที่ใส่หน้ากากนั้นจริงแล้วเป็นญาติห่าง ๆ ของ
ตระกูลซุนซึ่งเคราะห์ร้ายได้รับบาดเจ็บที่ใบหน้าจากอุบัติเหตุ ดังนั้น
เขาจึงสวมหน้ากาก เขาเป็นเพื่อนสนิทมากของลูกสาวเราด้วยเช่นกัน
ดังนั้นข้าจึงมิได้กล่าวโทษที่ว่าจะมีใครเข้าใจผิดถึงความสัมพันธ์
ใกล้ชิดสนิทสนมระหว่างพวกเขา แต่อย่างไรก็ตามพวกเขามิได้มี
ความสัมพันธ์เช่นนั้นอย่างแน่นอน ดังนั้นตระกูลมู่ควรจะสงบสติ
อารมณ์ลง”
ครั้นเมื่อตระกูลมู่ได้ยินคำตอบของซุนเหริน ความโกรธของพวกเขา
ก็สงบลงอย่างรวดเร็ว
“ฮ่าฮ่าฮ่า… เป็นว่าชายคนนั้นเป็นญาติของเธอ ไอ้เชี่ยเอ้ยทำให้ข้า
ปวดใจไปหลายนาที” มู่ชุนหัวเราะโล่งอกหลังจากที่ได้ยินข่าว
“ว่าแต่ว่า เมื่อไหร่งานแต่งงานของพวกเราจึงจะจัดขึ้น ท่านพ่อ” มู่ชุน
ถามเขา “ข้าต้องการหลีกเลี่ยงสิ่งไม่พึงประสงค์ที่อาจจะเกิดขึ้นให้
เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
“ต่อให้พวกเราเริ่มตระเตรียมงานแต่งในวันนี้ นั่นก็ยังต้องใช้เวลา
อย่างน้อยหนึ่งอาทิตย์เพื่อจัดงานพิธี”
“เช่นนั้นพวกเราจะรออะไรอีก เริ่มเตรียมงานในตอนนี้เลย”
“อือ เช่นนั้นข้าก็จักให้ตระกูลซุนได้รู้เรื่องนี้”
เมื่อถึงเวลาที่ซูหยางและซุนจิงจิงกลับคืนสู่ตระกูลซุน ด้านนอกก็มืด
แล้ว
“ข้ามิอาจรอที่จะทำแบบนี้อีกในวันพรุ่งนี้ ซูหยาง” ซุนจิงจิงกล่าวด้วย
ใบหน้าพึงพอใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเคยมีเวลามากมายสนุกอยู่ด้าน
นอก ราวกับว่าเธอได้กลับกลายเป็นหญิงสาวธรรมดาที่มีความสุขอยู่
กับคนรักของเธอ
“จิงจิง เกิดบ้าอะไรขึ้นในวันนี้” ซุนเหรินพลันมายืนต่อหน้าเธอหลัง
จากที่เธอกลับมา
“ท่านหมายความว่าอะไร พวกเราก็เพียงแค่เดินไปรอบเมือง กินอาหาร
อร่อยและจับจ่ายสิ่งของไร้ประโยชน์” ซุนจิงจิงตอบด้วยใบหน้างุนงง
“ข้าหมายความว่า ตระกูลมู่คิดว่ามันเป็นเรื่องอื้อฉาวและมาขอคำตอบ
วันนี้ตั้งแต่เช้า” ซุนเหรินกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว
“ท่านบอกพวกเขาไปว่าอย่างไร”
“ทั้งหมดนั่นเป็นเรื่องเข้าใจผิดและเจ้าก็เพียงแค่ไปเที่ยวกับญาติห่าง ๆ
…” ซุนเหรินถอนใจ
ซุนจิงจิงหัวเราะคิกคักหลังจากที่ได้ยินคำแก้ตัวเช่นนั้น “ท่านให้ข้อ
แก้ตัวได้สมบูรณ์แบบมากตามคาด ท่านแม่”
“นี่มิใช่เรื่องน่าหัวเราะ จิงจิง ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลมู่ได้ส่งข่าวมาให้
ข้าเมื่อชั่วโมงก่อนว่าการแต่งงานระหว่างเจ้ากับมู่ชุนจักจัดขึ้นภายใน
สิบวันข้างหน้า”
“สิบวันรึ เห็นชัดว่าพวกนั้นเคลื่อนไหวเร็วมาก” ซุนจิงจิงเลิกคิ้วด้วย
ท่าทางเรียบเฉย
“ท่านคิดว่าอย่างไร ซูหยาง” เธอหันไปมองดูเขาเพื่อหาคำตอบ
“นั่นเป็นเวลาที่เหลือเฟือสำหรับพวกเรา” เขากล่าว
“เช่นนั้นก็มิมีอะไรที่จะต้องกังวล ท่านแม่” ซุนจิงจิงกล่าวกับเธอ
“ข้ามิรู้ว่าทำไมเจ้าจึงมีท่าทางไร้กังวลระหว่างช่วงเวลาเช่นนี้” แม่
ของเธอถอนหายใจยอมแพ้
“มิว่าอย่างไร อาหารเย็นก็ได้เตรียมพร้อมแล้ว พวกเราไปกินกันก่อน
ที่มันจะเย็น”
หลังจากอาหารเย็นได้ผ่านพ้นไปแล้ว ซุนเหรินก็ถามพวกเขาว่า
“พวกเจ้าจักทำอะไรต่อไปในวันพรุ่งนี้”
“พวกเราจักออกไปเที่ยวเตร่ข้างนอกอีก” ซุนจิงจิงกล่าว
“อีกงั้นรึ” ซุนเหรินเลิกคิ้ว
“ตระกูลมู่อาจจักมาขอคำตอบอีกในวันพรุ่งนี้ ดังนั้นข้าจักปล่อยให้
อยู่ในมือของท่านอีก ท่านแม่”
“อะไรนะ” ซุนเหรินมองดูเธอด้วยสีหน้างงงัน
แต่อย่างไรก็ตามเธอตัดสินใจที่จะไม่ยอมเปลืองน้ำลายถามคำถาม
ในเมื่อเธอมั่นใจว่าซุนจิงจิงจะไม่อธิบายอะไรทั้งสิ้นถึงแม้ว่าเธอจะ
ลงไปนั่งบนพื้นร้องขอ
เช้าวันถัดมา ซูหยางและซุนจิงจิงก็ออกไปด้านนอกเที่ยวเตร่รอบ
เมืองอีกครั้ง แต่ไม่เหมือนกับวันก่อนหน้าที่พวกเขาเพียงแค่จับมือ
ถือแขน ซุนจิงจิงกอดแขนซูหยางแนบอกแน่น ดูเหมือนยิ่งใกล้ชิด
กับเขามากกว่าเดิม ราวกับว่าพวกเขาเป็นคู่กันจริง ๆ
“ดูนั่นซุนจิงจิงกับญาติของเธอ พวกเขาออกมาเที่ยวเล่นข้างนอกอีก
แล้วในวันนี้”
“สวรรค์ พวกเขาดูยิ่งสนิทสนมกันยิ่งกว่าเดิมในวันนี้”
“ต่อให้เขาเป็นญาติห่าง ๆ ของเธอ เจ้ามั่นใจหรือเปล่าว่ามิมีอะไร
ระหว่างพวกเขา เพราะรูปแบบที่ข้ามองเห็น พวกเขาต้องมีความ
สัมพันธ์สนิทสนมกันอะไรสักอย่างเป็นแน่”
“ตระกูลมู่ต้องมิชอบเรื่องนี้แน่…”
เหมือนตามที่ผู้คนได้คาดไว้จากการแสดงออกของซุนจิงจิงและ
ซูหยาง พวกเขาได้รับความสนใจจากผู้คนอย่างรวดเร็ว และทำให้
ผู้คนคิดสงสัยในความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา
มันไม่ได้ใช้เวลานานนักก่อนที่ตระกูลมู่จะได้รับรู้เรื่องนี้ และพวก
เขาก็รีบส่งคนส่งสารคนใหม่ไปยังตระกูลซุนเพื่อขอคำตอบ คำถาม
ที่ว่าพวกเขาเป็นเพียงแค่ญาติกันจริง ๆ ใช่ไหม
แน่นอนว่า ตระกูลซุนปฏิเสธในความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันทุกอย่าง
ระหว่างซุนจิงจิงและ “ญาติ” ของเธอ
“พวกเขาทั้งคู่เป็นญาติกันโดยแท้จริง และนั่นก็มีเขตแดนระหว่าง
ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา” ซุนเหรินตอบข้อกล่าวหาของตระกูล
มู่อย่างเข้มงวด
แม้ว่าตระกูลมู่จะยังคงสงสัย พวกเขาก็ไม่ได้มีข้อพิสูจน์ที่เป็นรูปธรรม
ว่าซุนจิงจิงและญาติผู้ลึกลับคนนี้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันนอกจาก
การแสดงออกของพวกเขาบนท้องถนน ซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดา
ระหว่างพี่น้องที่ใกล้ชิดกันมาก
“ข้าต้องการให้คนของเราคอยเฝ้ามองทุกการเคลื่อนไหวที่ตัวปัญหา
ทั้งคู่นี่ก่อขึ้นทุกวินาทีเริ่มตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป” มู่หลานสั่งคนของ
เขาให้เฝ้าสืบซุนจิงจิงและซูหยางเริ่มในวันถัดไป
“ถ้าพวกเขาทำอะไรที่น่าสงสัย เจ้าต้องรีบรายงานกลับมาที่ข้าในทันที
และข้าก็จักให้ทั้งตระกูลซุนจ่ายสำหรับการหลอกลวงตระกูลมู่ของ
ข้า” เขาคำราม
วันถัดไป ซูหยางและซุนจิงจิงก็กลับไปยังถนนเพื่อหาความสุขใส่
ตนอีก แน่นอนว่าพวกเขายิ่งทำตัวใกล้ชิดสนิทสนมกันมากขึ้นยิ่ง
กว่าวันก่อน แต่ทว่าพวกเขาก็ยังไม่ได้ทำอะไรที่ล้ำเส้น เพียงแค่คาบ
เกี่ยวอยู่ระหว่างขอบเขตและหยอกเย้ากับจินตนาการของผู้คน
สิ่งเหล่านี้ดำเนินต่อไปตลอดทั้งอาทิตย์ซึ่งทำให้ตระกูลมู่ถึงกับทึ้งผม
ด้วยความเครียด โดยเฉพาะอย่างยิ่งมู่ชุน ซึ่งใกล้บ้าจากจินตนาการ
ของตนเอง
“นังดอกทองซุนจิงจิงนั้นเห็นชัดว่ากำลังเล่นกับข้าและพยายามที่จะ
บีบข้าให้ทำอะไรสักอย่างที่บุ่มบ่าม เสี่ยงกับการหมั้นหมาย แต่ทว่า
ข้าจักมิตกอยู่ในกลอุบายของเจ้า ภายในอีกสามวันเจ้าก็จะตกเป็น
ของข้า” มู่ชุนดวงตาวับแวมด้วยประกายชั่วร้าย
แต่อนิจจา ในวันก่อนที่จะถึงวันแต่งงานของพวกเขา ซุนจิงจิงและซู
หยางถึงกับกล้าแลกน้ำลายกันท่ามกลางที่สาธารณะ สร้างความตกใจ
ให้กับทุกคนที่ได้เห็น
บทที่ 488 เรื่องอื้อฉาวของตระกูลซุน
“เดทรึ เจ้ากำลังจะบอกข้าว่าเจ้ากำลังจะไปเดทกับซูหยางอย่างเป็น
เรื่องราวหลังจากที่ยอมรับข้อเสนอการแต่งงานของตระกูลมู่งั้นรึ”
ซุนเหรินกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว
“ใช่แล้ว” ซุนจิงจิงพยักหน้าด้วยสีหน้าเป็นปกติ
“จริงแล้วเจ้ากำลังพยายามที่จะทำอะไรถึงทำเรื่องที่ทำให้ผู้คนต้อง
ตะลึงแบบนี้ จิงจิง” ซุนเฉียนพลันกล่าวขึ้น “ถ้าผู้คนเห็นเจ้าออกไป
เดทกับชายคนอื่นที่ไม่ใช่มู่ชุนทั้งที่หมั้นหมายกับตระกูลมู่แล้ว เจ้าก็
จักถูกทุกคนประณามและทั้งตระกูลซุนก็จักโดนไปด้วยเช่นกัน”
“นั่นเป็นในกรณีที่ชายคนนั้นเป็นเพียงแค่คนธรรมดาทั่วไป” ซุน
จิงจิงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม เธอกล่าวต่อว่า “ท่านอาจจะมิเข้าใจในเมื่อ
ท่านมิใช่ผู้ฝึกยุทธ แต่ท่านกำลังดูถูกคุณค่าการมีอยู่ของซูหยางไป
แล้ว”
“อย่างไรก็ตาม พวกท่านจักเข้าใจในมิช้าก็เร็ว และนั่นก็จักเป็นการดี
ที่จะได้รับประสบการณ์ด้วยตัวท่านเองแทนที่จะให้ข้าอธิบาย”
พ่อแม่ของเธอสบสายตากันด้วยความงุนงง เป็นธรรมดาที่พวกเขา
ไม่อาจจะเข้าใจว่ามีอะไรอยู่ในใจของซุนจิงจิงแม้แต่น้อย
“ม-มิว่าอย่างไร อาหารเช้าก็จักเสร็จในมิกี่นาทีข้างหน้า” ซุนเหริน
กล่าวหลังจากนั้น “จิงจิงไปเตรียมจานชามชุดเงิน”
ซุนจิงจิงพยักหน้าและไปจัดเตรียมโต๊ะสำหรับอาหารเช้าอย่างมี
ความสุข
ที่โต๊ะ ซุนจิงจิงมีท่าทางประหลาดใจเมื่อเห็นเนื้อวิญญาณบนโต๊ะ
“เมื่อไหร่ที่พวกท่านทั้งสองเริ่มกินอาหารหรูเช่นนี้เป็นอาหารเช้า
แม้ว่าพวกเราอาจจะร่ำรวย นี่ก็ค่อนข้างจะเกินไปอยู่บ้างสำหรับ
อาหารเช้า”
“ฮ่าฮ่าฮ่า… เจ้าคิดว่าเรากินเนื้อวิญญาณทุกวันเป็นอาหารเช้ารึ นี่เป็น
เพียงโอกาสพิเศษเพราะว่าซูหยาง ข้ากังวลว่าเขาจะมิพึงพอใจกับ
อาหารธรรมดาสำหรับคนทั่วไป” ซุนเฉียนหัวเราะ
อย่างไรก็ตาม ซูหยางเพียงส่ายหน้าและกล่าวว่า “อันที่จริงข้าชอบ
กินอาหารธรรมดามากกว่าเนื้อวิญญาณในโอกาสพิเศษมากกว่า ใน
เมื่อข้ายากที่จะได้เอร็ดอร่อยกับอาหารของคนธรรมดา”
“ดูเหมือนว่าพวกเราได้ทำอะไรที่มิจำเป็นไป อย่ากังวล ข้าจักเปลี่ยน
มันกลับไปเป็นปกติสำหรับมื้อเย็น” ซุนเหรินกล่าว
“ขอบคุณ” ซูหยางยิ้มให้กับเธอ จนทำให้หัวใจของเธอสั่นสะท้าน
เมื่อซุนจิงจิงสังเกตเห็นแม่ของตนเองมีท่าทางอยู่ไม่เป็นสุข เธอก็
กระซิบกับซูหยางว่า “เฮ้ อย่าไปยั่วยวนแม่ข้าโดยบังเอิญในตอนนี้ ซู
หยาง ข้ามิคิดว่าข้าจะยอมรับเห็นท่านอยู่กับแม่ข้าได้แม้แต่น้อย”
ซูหยางเผยรอยยิ้มขื่นขมขณะที่ยักไหล่ “ช่วยไม่ได้”
หลังจากนั้น หลังจากที่พวกเขากินอาหารเช้าเสร็จแล้ว ซุนจิงจิงและ
ซูหยางก็เตรียมตัวออกไปด้านนอก
“พวกเราจักกลับมาก่อนอาหารเย็น” ซุนจิงจิงกล่าว
“อย่าสร้างปัญหามากเกินไปให้ตระกูลของเจ้าเมื่อเจ้าออกไปด้าน
นอก ถ้าหากว่าเป็นไปได้” ซุนเหรินกล่าวกับพวกเขา
“อย่างไรก็ตาม ท่านแม่ ถ้าตระกูลมู่มาเพื่อถามคำถาม ก็ให้เพียงแค่
พูดว่ามันเป็นความเข้าใจผิด และให้เหตุผลแก้ต่างอะไรสักอย่างไปก็
พอ” ซุนจิงจิงกล่าวกับเธอ
“ห-หือ เจ้าหมายความว่าอย่างไรเช่นนั้น” ซุนเหรินเลิกคิ้ว
“ท่านจักเข้าใจเมื่อเวลานั้นมาถึง” เธอตอบ
ก่อนที่พวกเขาจะออกไปพ้นจากตระกูลซุน ซูหยางก็นำเอาหน้ากาก
สีดำที่ปกปิดใบหน้าส่วนบนออกมาสวม ทำให้กลิ่นอายของเขายิ่งดู
ลึกลับแต่ให้ความรู้สึกเป็นชนชั้นสูง
“ข้าดูเป็นอย่างไร” เขาถามซุนจิงจิง
“กระทั่งมีหน้ากากปกปิดครึ่งหน้า มันก็มิลดทอนเสน่ห์ของท่านลง
แม้แต่น้อย ถ้าพูดอย่างสัตย์ซื่อ ท่านดูเหมือนจะสุขุมกว่าเดิมพร้อมกับ
มีกลิ่นอายลึกลับรอบกาย” ซุนจิงจิงมองดูเขาอย่างหมดใจ เห็นได้ชัด
ว่าหลงเสน่ห์กับรูปลักษณ์ใหม่ของเขา
“แต่ควรจะมิมีใครจดจำท่านได้ว่าเป็นซูหยางจากนิกายกุสุมาลย์พ้น
พิสัยในตอนนี้ เพียงแค่เป็นนายน้อยจากไหนสักแห่ง”
“ดี เช่นนั้นเราไปสนุกกันเถอะ”
ครั้นเมื่อพวกเขาออกจากตระกูลซุนและเริ่มตระเวนไปรอบเมืองด้วย
การคล้องแขนกัน การปรากฏตัวของพวกเขาก็พลันสร้างความสนใจ
ให้กับทุกคนที่ได้เห็น
“ฮ-เฮ้ ดูสองคนนั่นสิ นั่นมิใช่ซุนจิงจิงจากตระกูลซุนหรอกรึ”
“เจ้าพูดถูก และเธอดูกระจ่างที่สุดในชุดนั้น”
“แต่ชายคนที่อยู่ข้างเธอนั้นเป็นใครกัน นั่นมิอาจจะเป็นมู่ชุนจาก
ตระกูลมู่ได้แน่ ใช่ไหม”
“เจ้าถามอย่างนั้นเอาจริงรึ กระทั่งคนตาบอดก็ยังสามารถบอกได้ว่า
เขามิใช่มู่ชุน โครงร่างของเขาสูงและโดดเด่น อีกทั้งยังมีความรู้สึก
อ่อนโยนที่มาจากตัวเขาอีก ต่อให้มีหน้ากากนั่นปิดบังครึ่งหน้าเขาอยู่
ข้ายังสามารถพนันบ้านข้าทั้งหลังว่าเขาต้องมีหน้าตาหล่อมาก ๆ อยู่
ด้านหลังหน้ากากนั้นแน่นอน เขาดูตรงข้ามกับมู่ชุนนั้นอย่างสมบูรณ์”
“ตัดสินจากหน้าตาและกลิ่นอายอันสูงศักด์ิ ข้าพนันว่าเขาต้องเป็น
คุณชายร่ำรวยจากตระกูลที่ทรงอำนาจมาก ๆ ที่ไหนสักแห่งแน่”
“แต่ซุนจิงจิงมาทำอะไรกับชายลึกลับนั่นท่ามกลางสาธารณะชน ทั้ง
ยังมีท่าทางสนิทสนมเช่นนั้นกับอีกฝ่ายมิด้อยไปกว่านั้น มิใช่ว่าเธอ
หมั้นหมายกับมู่ชุนไปเรียบร้อยแล้วรึ”
“ข้ามิรู้ แต่วิธีที่เธอทำตัวในตอนนี้ ท่าทางทั้งมีความสุขสำราญใจ ถ้า
ตระกูลมู่มิได้ประกาศว่าเธอได้หมั้นหมายกับมู่ชุน ข้าก็คงเชื่อว่า
พวกเขาทั้งคู่ได้แต่งงานกันไปเรียบร้อยแล้ว”
“เช่นนั้นเกิดบ้าอะไรขึ้นกันนี่ ข้าคิดสงสัยว่าตระกูลซุนจะโง่พอจน
ยอมให้ลูกสาวของตนเองมีท่าทางสนิทสนมกับชายคนอื่นในขณะที่
หมั้นหมายกับตระกูลมู่ นั่นย่อมต้องเป็นเรื่องอื้อฉาวที่สามารถเสก
หายนะให้กับพวกเขาทั้งตระกูลได้”
“นี่เห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องอื้อฉาว ครั้นเมื่อตระกูลมู่ได้ยินเรื่องนี้ ใคร
จะรู้ว่าพวกเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร”
ขณะที่ซุนจิงจิงและซูหยางเดินเตร็ดเตร่เล่นไปทั่วเมืองโดยไม่ได้สนใจ
สายตาชนชาวโลกแม้แต่น้อยนั้น ข่าวอื้อฉาวของพวกเขาก็แพร่สะพัด
ไปทั่วเมืองเข้าถึงหูของตระกูลมู่ภายในชั่วโมงเดียว
“นี่มีความหมายบ้าอะไรกัน ทำไมคู่หมั้นของข้า หญิงของข้าคล้อง
แขนกับชายอื่น ทั้งยังในที่สาธารณะมิน้อยไปกว่านั้น” มู่ชุนตบโต๊ะ
ตรงหน้าของเขาหักครึ่งด้วยความโกรธหลังจากที่ได้ยินเรื่องอื้อฉาว
จากคนรับใช้
“ใครก็ได้ส่งคนส่งสารไปยังตระกูลซุนและขอคำตอบโดยด่วน
เดี๋ยวนี้” มู่หลาน พ่อของเขา คำรามด้วยใบหน้าที่โกรธจนควันขึ้น
รู้สึกเหมือนกับว่าทั้งใบหน้าของเขาเพิ่งถูกตบไปนับพันครั้งโดย
เรื่องอื้อฉาวนี้
บทที่ 487 แมวขี้สงสัย
หลังจากที่ “ทำความสะอาด” ซูหยางและซุนจิงจิงก็เข้านอนในเตียง
เดียวกันพร้อมกับกอดอีกฝ่ายไว้ ในเวลานั้นเซียวหรงก็หลับอยู่ข้างซู
หยางบนเตียงเดียวกันเช่นกัน
โชคดีสำหรับซุนจิงจิง เมื่อเตียงเธอใหญ่พอที่จะบรรจุพวกเขาทั้ง
สามคนและยังมีพื้นที่ว่างเหลือ
แต่โชคร้ายสำหรับเซียวหรง เธอไม่สามารถที่จะหลับลงได้แม้ว่าจะ
ผ่านไปหลายนาที
รสชาติของปราณหยางของซูหยางนั้นอร่อยเกินไปที่จะเพิกเฉย ดังนั้น
เธอจึงใช้เวลาเกือบทั้งหมดของคืนนั้นนึกถึงรสชาติของมัน
“ความรู้สึกอบอุ่นในร่างกายของข้านี้คืออะไรกัน…” เซียวหรงตระหนัก
ว่าร่างของเธอนั้นร้อนขึ้น มันรู้สึกเหมือนกับตอนที่เมื่อซูหยางเลีย
แขนเธอ ทำให้ร่างของเธอเสียวซ่านไปทั่ว
เวลาหลังจากนั้น มือของเธอก็เคลื่อนไปยังส่วนล่างของร่างกายเธอ
ตามสัญชาตญาณ สัมผัสกับร่องที่เปียกอยู่เล็กน้อยระหว่างขาของเธอ
“โอ… ความรู้สึกนี้ดีมาก….” เซียวหรงคิดในใจขณะที่เธอเริ่ม
ปรนเปรอตนเองตลอดคืนโดยไม่รู้ตัว และเธอก็เริ่มเข้าใจอย่างช้า ๆ
ว่าทำไมซุนจิงจิงกับซูหยางจึงทำอะไรกันแบบนี้
หลังจากที่เวลาผ่านไปไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ เซียวหรงก็ผลอยหลับไป
จากการปรนเปรอตนเอง
เช้าตรู่ ซูหยางก็ตื่นขึ้นมาจากการถูกประกบสองข้างจากสองสาวสวย
“ทำไมห้องจึงเต็มไปด้วยปราณหยินหนาแน่นปานนี้…” ซูหยางงง
งันเมื่อเขาตระหนักว่าห้องนั้นเต็มไปด้วยปราณหยิน ในเมื่อมันยังไม่
ปรากฏเมื่อคืนก่อนที่เขาจะหลับไป
จากนั้นเขาก็หันไปมองยังเซียวหรง ซึ่งกำลังหลับอย่างเป็นสุขข้าง
กายเขา
สายตาของเขาเลื่อนต่ำลงไปจากใบหน้าสวยของเธอไปยังขาที่ซึ่งมือ
ของเซียวหรงยังคงอยู่ภายในกางเกง
ครั้นเมื่อเขารู้เหตุผลถึงปราณหยินในห้อง เขาก็ครุ่นคิดในใจ “เธอ
กำลังปลุกธรรมชาติที่แท้ของเธอขึ้นมาอย่างช้า ๆ … หวังว่าเธอจะ
เติบโตเป็นผู้ใหญ่พอเมื่อเวลาที่ธรรมชาติของเธอตื่นขึ้นมาเต็มที่…”
แม้ว่าเซียวหรงจะเป็นแมวจอมภูตตัวแรกที่เขาได้ข้องแวะ แต่เขาก็
เห็นแมวจอมภูตอยู่บ้างในชีวิตก่อน และในเมื่อแมวจอมภูตนั้นโดย
พื้นฐานแล้วเป็นบรรพบุรุษของแมวภูต เป็นเรื่องปลอดภัยที่จะ
อนุมานว่าพวกมันจะมีธรรมชาติคล้ายคลึงกัน
ในขณะที่แมวภูตจะเกิดขึ้นมาโดยปราศจากความรู้สึกตัณหาหรือราคะ
และใช้ชีวิตตามปกติไปตลอดชีวิตของพวกมันไปโดยปราศจากความ
รู้สึกเช่นนั้นได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกมันจะไม่สามารถเรียนรู้
ความรู้สึกตัณหาหรือราคะ ตามความเป็นจริงถ้าแมวภูตได้เรียนรู้
ความรู้สึกเช่นนั้น พวกมันจะยิ่งกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่เต็มไปด้วยราคะ
ถึงที่สุดที่ซึ่งจะทำทุกวิถีทางในการล่วงละเมิดชายทุกคนที่เข้ากับ
รสนิยมของมัน และพวกมันก็จะล่วงเกินชายคนนั้นจนกว่าพวกเขา
จะสิ้นลมหายใจ
“เพราะว่าธรรมชาติซ่อนเร้นของพวกมันที่สามารถกลายเป็นหายนะ
ได้ ดังนั้นเธอจึงรวบรวมแมวภูตเกือบทั้งหมดภายในโลกมาสอน
พวกมันให้รู้จักควบคุมความปรารถนาราคะ” ซูหยางนึกถึงเพื่อน
ของเขาที่ได้ทำการฝึกสอนแมวภูตจำนวนมาก
แน่นอนว่าเขาไม่ได้กลัวการตื่นขึ้นมาของธรรมชาติอันหื่นกระหาย
ของเซียวหรง ในเมื่อเขาได้รับวิธีที่จะช่วยเธอควบคุมความปรารถนา
ราคะไว้แล้วหากว่าพวกมันถูกปลุกขึ้นมา ซึ่งเขาได้มาจากเพื่อนที่
สอนแมวภูตให้รู้จักดำรงชีพ
ซูหยางพลันถอนหายใจเสียงเบา “ฮ้าาาา ช่างเป็นปราณหยินที่สูญเปล่า
เสียจริง ๆ ห้องนี้เต็มไปด้วยปราณหยินที่มาจากสาวพรหมจรรย์ใน
เขตตำนาน แต่ข้ากลับมิสามารถที่จะฝึกฝนมันได้ นี่ก็เหมือนกับให้
อาหารอร่อยแต่มีพิษที่สามารถฆ่าใครก็ได้ แก่ชายไร้บ้านที่หิวโหย
เป็นธรรมดาที่คนอย่างข้าจะต้องทุกข์ทรมาน”
“…นายท่านรึ”
เสียงบ่นของซูหยางปลุกเซียวหรงให้ตื่นจากการหลับใหล
“นายท่าน เมื่อคืน เซียวหรง…” เธอมองดูตำแหน่งระหว่างขาของ
ตัวเองด้วยใบหน้าสับสน ในเมื่อเธอไม่สามารถอธิบายให้กับเขาได้
ว่าเธอประสบกับอะไรบ้างเมื่อคืนนี้
ซูหยางเพียงแค่ยิ้มและกล่าวว่า “แม้ว่าเจ้าอาจจะมิรู้ แต่ว่าเจ้าได้โต
เป็นผู้ใหญ่มากขึ้นอีกหน่อยแล้ว”
“จริงรึ เซียวหรงโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นรึ เช่นนั้นข้าคงสามารถลิ้มรสของ
เหนียวสีขาวรสดีนั่นตอนนี้แล้วละสิ” เธอมองดูเขาด้วยดวงตาตื่นเต้น
ซูหยางหัวเราะเล็กน้อยกับความกระตือรือร้นของเธอแล้วกล่าวว่า
“เพียงเพราะว่าเจ้าเติบโตเป็นผู้ใหญ่เล็กน้อยมิได้ทำให้เจ้ากลายเป็น
ผู้ใหญ่ เซียวหรง เจ้ายังคงมีเส้นทางอีกยาวไกลในการเติบโตเป็น
ผู้ใหญ่ก่อนที่ข้าจะสามารถทำสิ่งนั้นกับเจ้าได้”
“โอ…” เซียวหรงก้มหน้าของเธอลงด้วยท่าทางหดหู่หลังจากที่ได้ยิน
คำพูดของซูหยาง
ในขณะที่เหตุผลอย่างหนึ่งของซูหยางที่ไม่ร่วมฝึกกับเซียวหรงเป็น
เพราะว่าเธอยังมีจิตใจเป็นเด็ก ความจริงก็คือเขายังไม่ได้เตรียมตัวที่
จะช่วยเธอควบคุมความปรารถนาราคะของเธอ ดังนั้นเขาจึงได้แต่
เพียงถ่วงเวลาเธอไปจนกว่าเขาจะเตรียมตัวพร้อมแล้ว
“อย่ากังวล มันมิได้นานมากเกินไปกว่าที่เจ้าจะสามารถได้ลิ้มรสสาร
เหนียวนั่นอีกครั้ง” ซูหยางพลันกล่าวกับเธอ
“จริงรึ” เซียวหรงเงยหน้าเธอขึ้นอย่างรวดเร็วและมองดูเขาด้วย
ดวงตาไร้เดียงสา
ซูหยางพยักหน้าพร้อมยิ้ม
หลังจากนั้นซุนจิงจิงก็ตื่นขึ้นมาเช่นเดียวกัน และพวกเขาก็เตรียมตัว
สำหรับวันนั้น
“สวัสดียามเช้า ท่านพ่อ ท่านแม่” ซุนจิงจิงทักทายพวกเขาในห้องนั่งเล่น
หลังจากที่ล้างหน้าและจัดแต่งทรงผมแล้ว
“อ-โอ… สวัสดียามเช้า จิงจิง..”
พ่อแม่ทักทายเธอด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนและรอยยิ้มเหนื่อยล้า
แม้ว่าพวกเขาจะพยายามที่จะลืมเรื่องเมื่อวานนี้ แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่พูด
ง่ายทำยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งซุนเหรินซึ่งอดไม่ได้ที่จะจินตนาการ
ตลอดทั้งคืนถึงการที่ลูกสาวของเธอกำลังร่วมฝึกวิชาคู่กับซูหยาง
“ท่านดูเหมือนเหนื่อย ท่านแม่ ท่านมิได้หลับพอเมื่อคืนนี้อย่างนั้นรึ”
ซุนจิงจิงสังเกตเห็นถุงดำใต้ตาของเธอและกล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
“อ-อะไรประมาณนั้นแหละ แล้วเจ้าล่ะ เป็นอย่างไรบ้างเมื่อคืนนี้”
ซุนเหรินถามเธอ
“ข้าได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ เธอตอบด้วยรอยยิ้ม
สองสามอึดใจให้หลัง ซูหยางก็เข้ามาในห้องพร้อมกับเซียวหรงใน
รูปของแมวเกาะอยู่บนไหล่ของเขา
“ส-สวัสดียามเช้า ซูหยาง…”
“สวัสดียามเช้า คุณนายซุน” ซูหยางทักทายเธอด้วยรอยยิ้มหล่อเหลา
และสดใส จนทำให้เธอหน้าแดงเล็กน้อย
“ว-ว่าแต่เกิดอะไรขึ้นกับเสื้อผ้าของพวกเจ้า พวกเจ้าจะออกไปข้าง
นอกในวันนี้รึ” ซุนเหรินกระแอมและชี้ไปยังเสื้อผ้าของพวกเขา
ซุนจิงจิงสวมชุดเสื้อผ้าสีแดงสง่างามที่ช่วยขับเน้นเสน่ห์และความ
สวยงามของเธอไปอีกระดับหนึ่ง ในขณะที่ซูหยางสวมเสื้อผ้าสีดำ
หรูหราที่ช่วยทำให้ใบหน้าหล่อเหลาของเขายิ่งชวนฝันมากยิ่งขึ้น
“ใช่ พวกเรากำลังจะออกเดทกันต่อจากนี้” ซุนจิงจิงตอบกลับด้วย
รอยยิ้ม
“อ-ออกเดท เจ้าพูดอย่างนั้นรึ…” ซุนเหรินมองดูเธอด้วยใบหน้างงงัน
บทที่ 486 เซียวหรงต้องการลิ้มรสของเหนียว ๆ สีขาวมากกว่านี้
ที่ไหนสักแห่งในห้องของซุนจิงจิง เซียวหรงกลมกลืนเข้ากับความ
มืด สายตาของเธอจ้องมองไปยังเตียงโดยไม่กระพริบ จ้องมองซุน
จิงจิงและซูหยางร่วมฝึกวิชากันอย่างเงียบ ๆ ด้วยความสนใจ
ในฐานะที่เป็นแมวจอมภูต เซียวหรงมีความสามารถในการซ่อนตัวตน
ได้อย่างสมบูรณ์ได้อย่างง่ายดายเหมือนกับหายใจ ราวกับว่าเป็น
ธรรมชาติ ทำให้แม้กระทั่งเซียนที่แข็งแกร่งก็ยังเป็นไปไม่ได้สำหรับ
พวกเขาที่จะหาตัวพวกเธอได้โดยปราศจากสมบัติพิเศษเฉพาะหรือ
วิชาระดับเทพ
“พวกเขาทำอะไรกัน…” เซียวหรงครุ่นคิดในใจขณะที่เธอมองดูซูหยาง
ขยับสะโพก สอดใส่แท่งยาวใหญ่ที่อยู่ตรงขาของเขาเข้าไปในร่างของ
ซุนจิงจิง
สัตว์ส่วนใหญ่เข้าใจธรรมชาติของการผสมพันธุ์ตามธรรมชาติและ
ไม่ต้องการให้ใครสอน แต่ในเมื่อเธอเป็นเผ่าพันธุ์พิเศษเฉพาะที่ไม่
ต้องการการผสมพันธุ์ เซียวหรงจึงไม่รู้ถึงความหมายว่าอะไรคือการ
ผสมพันธุ์กับผู้อื่น
“ดูน่าสนุก…” เซียหรงคิดในใจหลังจากที่เห็นความตื่นเต้นบนใบหน้า
ของซุนจิงจิง ถึงแม้ว่าเธอไม่เข้าใจอารมณ์ว่า “ความกำหนัด” หรือ
“ราคะ” คืออะไร เธอก็ยังรับรู้ได้ถึงความรู้สึก “สนุก” และ “ตื่นเต้น”
จากสีหน้าของซุนจิงจิง
หลังจากที่จ้องมองไปยังใบหน้าหื่นกระหายของซุนจิงจิงอยู่สองสาม
นาที เธอก็หันความสนใจไปยังกลิ่นเข้มข้นที่อยู่ในอากาศ
“กลิ่นน่ากิน…”
เซียวหรงคิดในใจ แม้ว่านี่ไม่ใช่เป็นครั้งแรกของเธอที่ได้กลิ่นนี้มา
จากตัวของซูหยาง เธอก็ยังไม่รู้ว่าอะไรที่สร้างกลิ่นหอมนี้
หลังจากนั้นเมื่อซูหยางปลดปล่อยปราณหยางของเขาเข้าไปในร่าง
ของซุนจิงจิง กลิ่นหอมในอากาศก็เข้มข้นและหนาแน่นขึ้น จนกระทั่ง
จมูกของเซียวหรงกระดุกกระดิก
“ข้าคิดว่าข้าสามารถหลับลงได้อย่างง่ายดายแล้วในตอนนี้ ซูหยาง…”
ซุนจิงจิงกล่าวกับเขาด้วยรอยยิ้มขณะที่ร่างของเธอล้มลงไปบนเตียง
ซูหยางเพียงแค่ยิ้มและถอดแท่งของเขาออกมาจากถ้ำของซุนจิงจิง
“นี่ ให้ข้าทำความสะอาดมันให้กับท่าน…” ซุนจิงจิงอ้าปากกว้าง
พร้อมกับแลบลิ้นออกมาอย่างหื่นกระหาย
แต่ทว่าก่อนที่ลิ้นของเธอจะทันได้ถึงแท่งของซูหยาง ลิ้นอื่นก็พลัน
ปรากฏขึ้นข้างเธอและเริ่มเลียปราณหยางจากแท่งของซูหยาง
“อ-อะไรกัน จ-เจ้าคือ” ซุนจิงจิงอุทานออกมาด้วยใบหน้าตื่นตระหนก
เมื่อเซียงหรงปรากฏตัวขึ้นมาจากความว่างเปล่าในรูปร่างของมนุษย์
และเริ่มเลียแท่งของซูหยางอย่างสง่างามและนุ่มนวลราวกับแมวที่
เลียใบหน้าเจ้าของ
“อา เจ้ามาจากทางไหนกัน” กระทั่งซูหยางก็ยังประหลาดใจกับการ
บุกรุกกะทันหันของเซียวหรง จนทำให้เขาก้นจ้ำเบ้า
“อร่อย…” เซียวหรงเลียริมฝีปากของเธออย่างไร้เดียงสาหลังจากที่
ได้ลิ้มรสปราณหยางของเขา
“นายท่าน ให้ข้ามากกว่านี้ เซียวหรงต้องการลิ้มรสของเหนียว ๆ สี
ขาวนั่นมากกว่านี้” เซียวหรงกล่าวขณะที่เธอเริ่มคลานเข้าไปหาแท่ง
ของซูหยางอีกครั้ง
“ร-รอเดี๋ยว” ซุนจิงจิงรีบจับเซียวหรงไว้ด้วยแขนทั้งสองข้างเพื่อที่จะ
ยึดเธอไว้
“มีอะไรรึ” เซียวหรงหันมาถามด้วยสีหน้าไร้เดียงสา
“ข้า… อือ…” ซุนจิงจิงไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไรและหันไปมองดูซู
หยางเพื่อขอความช่วยเหลือ
ซูหยางกระแอมและพูดว่า “เจ้าต้องการพลังวิญญาณใช่หรือไม่ ข้า
จักป้อนเจ้าด้วยปราณไร้ลักษณ์ในภายหลัง…”
ในเมื่อซูหยางเป็นเจ้านายของเธอ ส่วนใหญ่แล้วเซียวหรงก็จะอาศัย
พลังวิญญาณของเขาในการเติบโตแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม แต่ในเมื่อ
เธออยู่ในเขตตำนานในขณะที่ซูหยางยังคงอยู่ที่เขตอัมพรวิญญาณ
ต่อให้เธอกลืนกินทุกหยดหยาดของปราณไร้ลักษณ์ในตัวของเขา
มันก็ไม่ได้ให้ประโยชน์แก่เธอแม้แต่น้อย ดังนั้นส่วนใหญ่แล้วเธอ
จึงกินปราณไร้ลักษณ์ของเขาเหมือนเป็นของว่าง
แต่ทว่าเซียวหรงรีบส่ายหน้าของเธอและกล่าวว่า “ข้ามิได้ต้องการ
ปราณไร้ลักษณ์ ข้าต้องการกินของเหลวสีขาวเหนียวนั่น”
เธอกล่าวขณะที่ชี้ไปยังแท่งของเขา
“ท-ท่านสามารถกระทั่งป้อนปราณหยางให้กับสัตว์วิญญาณได้ด้วยรึ
ข้ามิเคยได้ยินเช่นนั้นมาก่อน” ซุนจิงจิงกล่าว
“แน่นอนถึงแม้ว่ามันจะมิใช่เรื่องปกติสำหรับในหมู่ผู้ฝึกวิชาทั่วไป
แต่นี่ก็เป็นวิธีที่ผู้ฝึกวิชาคู่บางคนที่มีสัตว์วิญญาณใช้เพิ่มความแข็งแกร่ง
ให้กับสัตว์วิญญาณของตนเอง และก็มิใช่เรื่องผิดปกติสำหรับผู้ที่ฝึก
วิชาคู่ในการฝึกวิชาร่วมกับสัตว์วิญญาณที่สามารถกลายร่างเป็น
มนุษย์แต่อย่างใด ในเมื่อโดยพื้นฐานแล้วไม่มีความแตกต่างระหว่าง
มนุษย์และสัตว์วิญญาณครั้นเมื่อพวกเธอกลายร่างแล้ว ถ้าพวกเธอ
แข็งแกร่งพอ สัตว์วิญญาณก็ยังสามารถที่จะตั้งครรภ์กับมนุษย์ได้
ด้วย” ซูหยางอธิบายให้กับเธอ
“กระทั่งในชีวิตก่อนของข้า ข้าก็ได้ร่วมฝึกกับสัตว์วิญญาณในร่าง
มนุษย์นับไม่ถ้วน แต่ทว่าข้าต้องหลีกเลี่ยงสิ่งนั่นกับเซียวหรง ในเมื่อ
เธอเป็นตัวตนที่ผิดปกติ”
“ท่านหมายความว่าอย่างไรเช่นนั้น” ซุนจิงจิงถาม
“เอ้อ สำหรับผู้เริ่มต้น พลังการฝึกปรือของเธอนั้นโดยปกติแล้วสูง
กว่าข้ามาก ถ้าข้าพยายามที่จะฝึกฝนปราณหยินของเธอ แน่นอนว่า
ข้าจักต้องตายในทันที ยิ่งไปกว่านั้น ถึงแม้ว่าเธอจะมีตัวตนมานับ
หลายร้อยปี จิตใจของเธอก็ยังค่อนข้างเป็นเด็กและไร้เดียงสา ดังนั้น
จึงมีความรู้สึกไม่ถูกต้องที่จะร่วมฝึกกับเธอ”
“ตอนนี้เมื่อท่านพูดถึง เธอก็มีพฤติกรรมเหมือนกับเด็กไร้เดียงสา
จริงด้วย…” ซุนจิงจิงพึมพำ
“เช่นนั้น…” จากนั้นซูหยางก็ตบหัวเซียวหรงเบา ๆ และกล่าวว่า “ถ้า
เจ้าโตเป็นผู้ใหญ่อีกสักหน่อย ข้าก็จักยอมให้เจ้ากินปราณหยางได้
มากเท่าที่เจ้าต้องการ”
“ข้าจะโตเป็นผู้ใหญ่มากกว่านี้ได้อย่างไร” เธอถามเขาด้วยใบหน้า
งุนงง
“นั่นเป็นสิ่งที่ข้ามิสามารถที่จะตอบเจ้าได้ ถ้าเจ้าต้องการที่จะเติบโต
เป็นผู้ใหญ่ อย่างน้อยเจ้าควรจะเข้าใจว่าอะไรคือความหมายของการ
เป็นผู้ใหญ่” ซูหยางกล่าว
“อย่ากังวล ตามธรรมชาติแล้วเจ้าจักเติบโตเป็นผู้ใหญ่ตราบเท่าที่เจ้า
ใช้เวลามากขึ้นในโลกนี้ เมื่อสุดท้ายแล้วเจ้าก็ได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ใน
ชีวิตอยู่ภายในเครื่องมือวิญญาณ อย่างน้อยนั่นก็เป็นสิ่งที่เจ้าจำได้”
“ก็ได้…” เซียวหรงพยักหน้า แต่ว่าสายตาของเธอยังคงจ้องไปยังสาร
สีขาวรอบแท่งของซูหยาง
“ว่าไปแล้ว ให้ข้าทำความสะอาดมันเถอะ…” ซุนจิงจิงปล่อยการ
กอดรัดเซียวหรงไว้ แล้วทำการทำความสะอาดน้องชายของซูหยาง
ด้วยปากของเธอราวกับผู้เชี่ยวชาญ
“…”
เซียวหรงจ้องมองซุนจิงจิงกินปราณหยางของเขาจนหมดด้วยสายตา
อิจฉา
“โตเป็นผู้ใหญ่… เซียวหรงต้องกลายเป็นผู้ใหญ่เพื่อที่จะได้ลิ้มรส
สารอร่อยนั่นอีกครั้ง” เธอคิดในใจด้วยดวงตาที่เป็นประกาย
บทที่ 485 การฝึ กวิชาคู่ภายในบ้านตระกูลซุน
“อาาา… โอออ…. อืมมมม…”
ซุนจิงจิงครวญครางด้วยเสียงที่พยายามกดเอาไว้ขณะที่เธอร่วมฝึกวิชา
คู่กับซูหยางบนเตียงส่วนตัวของเธอในห้องมืด
“ท่านมิปิดบังเสียงจากห้องนี้จริง ๆ รึ อาาา…” ซุนจิงจิงถามเขาขณะ
ที่เธอกำลังเข้าใกล้สภาพที่จะไม่สามารถที่จะยับยั้งเสียงของตนเอง
ไว้ได้อีก
“มีอะไรผิดรึ มิใช่ว่าเจ้ามั่นใจว่าเจ้าจักมิส่งเสียงอะไรเมื่อก่อนหน้านั้น
มินานนัก” ซูหยางหยอกเธอและเขาก็ยิ่งเริ่มขยับสะโพกของตนเองถี่
ขึ้นหลังจากนั้น
“อาาา…” ซุนจิงจิงส่งเสียงร้องแหลมเล็กออกมาเป็นเวลาชั่วครึ่งวินาที
ก่อนที่เธอจะปิดหน้าตนเองด้วยหมอนข้างนุ่มภายใต้ตัวเธอ
“อาาา อาาาาา อาาาาาาา” ซุนจิงจิงใช้โอกาสนี้ส่งเสียงร้องครวญโดย
ไม่ต้องยับยั้ง
“นั่นโกง” ซูหยางพลันหยิบหมอนข้างและโยนมันไปอีกด้านของ
เตียงและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เสียงมันจะดีกว่าถ้าเจ้ามิปกปิดมัน”
“อาา… ซูหยาง เจ้าหยอกข้ามากเกินไปแล้ว” ซุนจิงจิงกัดริมฝีปาก
พยายามที่จะยับยั้งเสียงร้องครางของตนเอง
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงฝีเท้าดังตรงมาที่ห้องของพวกเขา ทั้งยังมีแสง
เล็ก ๆ จากตะเกียงลอยอยู่ด้านนอก
เมื่อซุนจิงจิงได้ยินเสียงฝีเท้า หัวใจของเธอก็เริ่มเต้นแรงเหมือนกับ
เสียงกลองศึก และหน้าของเธอก็แดงขึ้น
“ซ-ซูหยาง มีคนข้างนอก” ซุนจิงจิงกระซิบด้วยเสียงหวั่นวิตกเล็กน้อย
เสียงฝึเท้าดังเข้ามาใกล้ขึ้นใกล้ขึ้นกับห้องของพวกเขา จนกระทั่ง
แสงจากตะเกียงลอยอยู่ตรงหน้าห้อง
“ซูหยางท่านหลับไปแล้วหรือยัง” ทันใดนั้นซุนเหรินก็ส่งเสียงดังขึ้น
จากด้านนอกห้อง
“นั่นท่านแม่” ซุนจิงจิงหันไปมองดูเงาร่างของแม่ตนเองเบื้องหลัง
ประตูที่ออกแบบมาโดยกั้นกางไว้ด้วยกระดาษแผ่นบาง ๆ
“อย่าพูดอะไรออกมาซูหยาง” ซุนจิงจิงรีบกระซิบเขา
แต่ทว่าซูหยางฉีกยิ้มให้เห็นบนใบหน้าก่อนที่อ้าปากพูดว่า “ข้ายัง
มิได้หลับ มีปัญหาอะไรหรือไม่”
ซุนจิงจิงมองดูซูหยางด้วยดวงตาเบิกกว้าง เธอไม่สามารถที่จะเผชิญ
หน้าแม่ของเธอตรง ๆ ได้อีกต่อไปถ้าอีกฝ่ายเดินเข้ามาในระหว่างที่
พวกเขากำลังร่วมฝึกคู่กันอยู่ในตอนนี้
“ถ้าท่านมิถือ ข้าพอจะเข้าไปคุยด้านในได้หรือไม่ นี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับ
ลูกสาวของข้า…” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
“เป็นเรื่องเกี่ยวกับที่เธอยอมรับคำขอแต่งงานของตระกูลมู่ใช่ไหม”
ซูหยางพูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย ไม่ได้มีอะไรสื่อถึงสถานการณ์ใน
ปัจจุบันของเขา
“ช่างโชคร้ายที่เป็นเช่นนั้น…”
“เช่นนั้นท่านมิจำเป็นต้องกังวล ในฐานะที่เป็นแม่ของเธอ ท่านควร
จะเชื่อมั่นลูกสาวของตนเอง ข้ามั่นใจว่าเธอมีแผนอยู่ในใจ ข้าเองก็
กำลังฝึกวิชาอยู่ในตอนนี้ ดังนั้นข้าต้องขออภัยที่พูดโดยที่ให้ท่านอยู่
ด้านหลังประตูเช่นนี้”
“ท่านกำลังฝึกวิชาอยู่รึ ข้าต้องขออภัยที่รบกวนท่าน ข้าจักปล่อยท่าน
ไว้ตามลำพังในทันที ซูหยาง” ซุนเหรินกระวนกระวายหลังจากที่รู้
ว่าเขากำลังฝึกวิชา ในเมื่อมันเป็นเรื่องที่รู้กันทั่วไปว่าห้ามรบกวนผู้
ฝึกยุทธขณะที่พวกเขากำลังฝึกวิชาอยู่ ในเมื่อนั่นย่อมจะมีผลต่อการ
ฝึกวิชาของพวกเขา
“อย่ากังวล ข้าสามารถพูดและฝึกวิชาไปในเวลาเดียวกัน”
“ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น ข้าก็มิอาจจะรบกวนท่านได้อีกต่อไป พวก
เราค่อยสนทนากันใหม่ในโอกาสหน้ายามเมื่อท่านมิได้ฝึกวิชา ราตรี
สวัสด์ิ” ซุนเหรินกล่าวก่อนที่จะเดินหนีไป
ซุนจิงจิงถอนหายใจโล่งอกหลังจากที่บรรยากาศกลับคืนมาสู่ความ
เงียบสงบ
“ท่านนี่ช่างกล้าจริง ๆ ซูหยาง พวกเราควรทำอย่างไรต่อไปถ้าเธอ
เห็นพวกเรากำลังอยู่ในสถานการณ์นี้” ซุนจิงจิงส่ายหน้า
“ข้าก็จักทักทายเธอด้วยรอยยิ้มและทำต่อไป” ซูหยางหัวเราะเบา ๆ
ปล่อยให้เธอพูดไม่ออก
ในเวลาเดียวกันหลังจากที่เดิจากห้องของซูหยางแล้ว ซุนเหรินก็
กลับไปยังห้องของตนเอง ซึ่งอยู่ที่ด้านล่างของห้องโถง
“เร็วเช่นนี้เลยรึ เขาหลับหรือยัง” ซุนเฉียนถามเธอหลังจากนั้น
เธอส่ายหน้าและกล่าวว่า “ยัง เขายังคงตื่นอยู่ ทั้งยังฝึกวิชาอยู่อีกด้วย
ดังนั้นข้าจึงรีบกลับมา”
“หือ… เขากำลังฝึกวิชาอยู่รึ…” ซุนเฉียนมองดูเธอด้วยดวงตาเบิกกว้าง
“นั่นเป็นสิ่งที่เขาพูด มีอะไรผิดรึ” ซุนเหรินเลิกคิ้วหลังจากที่เห็นสีหน้า
ตื่นตะลึงของซุนเฉียน ลืมความจริงเรื่องที่ซูหยางเป็นผู้ฝึกวิชาคู่ไป
เสียสิ้น
“ซูหยาง… เขาก็มาจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเช่นกันใช่ไหม ถ้าเขา
กำลังฝึกวิชาอยู่ในตอนนี้ นั่นก็หมายความว่าเขา… กับลูกสาวเรา….
ตอนนี้” ซุนเฉียนไม่ได้ลืมเกี่ยวกับเรื่องนี้และกล่าวด้วยเสียงสับสน
ซุนเหรินดวงตาเบิกกว้างด้วยความตระหนกหลังจากที่ตระหนักถึง
ความจริงนี้
“โอพระเจ้า ข้าควรรู้เรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อตอนที่เธอกล่าวว่า เขาจักอยู่ที่
ห้องของเธอ นั่นหมายความว่าข้าอยู่ใกล้มากจนเกือบเห็นลูกสาวข้า
กำลังร่วมรักกับซูหยางเมื่อกี้นี้ มิน่าทำไมข้าจึงได้ยินเสียงประหลาด
ออกมาจากห้องนั้น ข้าคิดว่าข้าเพียงคิดจินตนาการสิ่งต่าง ๆ ไปเอง
เพราะว่านั่นมันบอบบางเหลือเกิน”
ร่างกายของซุนเหรินซวนเซไปด้านหลังจนกระทั่งเธอเธอสะดุดล้ม
ลงไปก้นจ้ำเบ้ากับพื้น ใบหน้าซีดไม่อยากจะเชื่อ
“เธอเป็นผู้ใหญ่แล้วตอนนี้… และเธอก็เป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์
พ้นพิสัยด้วยเช่นกัน ดังนั้นจึงมิแปลกที่เธอจะทำอะไรแบบนั้นกับ
เขา” ซุนเฉียนถอนใจด้วยเสียงพ่ายแพ้
“ล-แล้วเรื่องการหมั้นหมายกับตระกูลมู่ล่ะ ทำไมเธอจึงยอมรับ
ข้อเสนอถ้าเธอมีแผนที่จะหลับนอนกับซูหยางคืนนี้ ถึงแม้ว่าเธอจะ
เป็นศิษย์จากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ตาม เธอก็มิอาจจะหลับนอน
กับคนอื่นได้ในตอนนี้ในเมื่อเธอได้หมั้นหมายแล้ว ถ้าผู้คนรับรู้เรื่อง
นี้ ลูกสาวเราและทั้งตระกูลซุนย่อมต้องถูกประณามไปตลอดชีวิต”
ซุนเหรินอุทานออกมา
“ข้ามิรู้ว่าเธอวางแผนว่าอะไร แต่เราก็ควรทำเหมือนกับว่ามิมีอะไร
เกิดขึ้น” ซุนเฉียนส่ายหน้า “พวกเรายังโชคดี คนรับใช้มิได้รับอนุญาต
ให้เข้ามาในพื้นที่นี้มิเช่นนั้นก็จักเป็นปัญหาอย่างมาก”
“ข้ายังคงมิอยากเชื่อว่าเธอจักกล้าทำเช่นนั้นทั้งที่รู้เป็นอย่างดีว่าพวก
เราพักอยู่ต่ำกว่าเธอเพียงสองสามห้องจากห้องโถงเท่านั้น” ซุนเหริน
ลุกขึ้นยืนและนวดขมับ รู้สึกหมดเรี่ยวแรงอย่างไม่มีเหตุผล
ในเวลานั้นภายในห้องของซุนจิงจิง ซึ่งซุนจิงจิงไม่สามารถมองเห็น
ได้อย่างสิ้นเชิงนั้น ดวงตาแมวคู่หนึ่งจ้องมองเธอร่วมฝึกวิชาคู่กับ
ซูหยางอยู่อย่างเงียบ ๆ สายตาของมันเต็มไปด้วยความสนใจและ
ประหลาดใจ
บทที่ 484 จะเป็นอย่างไรถ้าพ่อแม่เจ้าเดินเข้ามาหา
หลังจากนั้น พ่อแม่ของซุนจิงจิงก็กลับคืนไปยังห้องนั่งเล่น
“ท่านผู้อาวุโสซู แม้ว่านี่อาจจะฟังดูกะทันหัน แต่ข้ามีคำขอร้อง
ท่าน…” ซุนเหรินกล่าวกับเขา
แต่ทว่าก่อนที่ซูหยางจะทันได้อ้าปาก ซุนจิงจิงก็พูดขึ้นว่า “ท่านแม่
ข้ามีบางอย่างที่จะพูดก่อน”
“นั่นสามารถรอจนกว่า…”
“ข้ามิอาจรอได้” เธอรีบตัดบท
จากนั้นเธอก็กล่าวต่อว่า “นี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการหมั้นหมายของข้า
กับตระกูลมู่ ท่านสามารถยอมรับมันได้”
“อ-อะไรนะ…”
ทั้งพ่อและแม่เธอมองดูเธอด้วยหน้าตาแตกตื่น
“จ-เจ้าเพิ่งพูดอะไรไป… พูดซ้ำให้ข้าฟังอีกครั้งซิ” ซุนเหรินไม่เชื่อหู
ของตนเองและถามขึ้น
“ข้าพูดว่าท่านสามารถดำเนินการตกลงกับข้อเสนอของตระกูลมู่ได้”
ซุนจิงจิงตอบกลับอย่างใจเย็น
“เจ้าบ้าไปแล้วรึ ข้าคิดว่าเจ้าจะยอมตายเสียดีกว่าแต่งงานเข้าสู่ตระกูล
มู่” ซุนเหรินคำรามด้วยใบหน้าแดงฉาน “เจ้าคิดบ้างไหมว่าข้าต้องใช้
ความพยายามแค่ไหนที่จะทำให้เจ้าอยู่ห่างจากเจ้านั่น ตอนนี้เจ้าต้องการ
ที่จะโยนความพยายามทั้งหมดของข้าทิ้งไปและยอมรับข้อเสนอของ
พวกนั้นนะรึ”
จากนั้นเธอก็หันไปมองดูซูหยางและกล่าวว่า “ผู้อาวุโสซู ท่านควร
จะพูดอะไรบางอย่างกับเธอ เห็นได้ชัดว่าเธอมิได้อยู่กับร่องกับรอย”
แต่ทว่า ซูหยางเพียงแค่ยิ้มและกล่าวว่า “ทำไมพวกท่านมิฟังเธอพูด
ก่อนล่ะ ข้ามั่นใจว่าเธอสบายดีที่สุด”
“ท่านแม่ เชื่อข้า” ซุนจิงจิงกล่าวด้วยรอยยิ้มเชื่อมั่นขณะที่เธอก้าว
ออกไปด้านหน้า “สิ่งที่ท่านต้องทำก็คือยอมรับข้อเสนอการแต่งงาน
และข้าก็จักจัดการทุกสิ่งเอง ข้ามิได้เป็นเด็กที่ต้องการการปกป้อง
จากพ่อแม่ของตนเองตลอดเวลาอีกต่อไปแล้ว”
ที่แห่งนั้นพลันกลายเป็นเงียบสนิท และพ่อแม่ของเธอต่างก็สบสายตา
กัน
สองสามอึดใจให้หลัง ซุนเหรินก็ถอนหายใจยาว “ข้ามิรู้ว่าเจ้ากำลัง
พยายามที่จะทำอะไรในการยอมรับข้อเสนอการแต่งงานจากพวกนั้น
แต่ข้าหวังจริง ๆ ว่าเจ้ารู้ว่าเจ้ากำลังทำอะไร”
“ขอบคุณท่านแม่”
“อย่างไรก็ตาม ข้าก็จักอยู่ที่นี่อีกสองสามวันถ้าท่านมิถือ” ซูหยาง
พลันกล่าวขึ้น
“น-แน่นอน ท่านสามารถอยู่ที่นี่ได้นานตราบเท่าที่ท่านต้องการ ท่าน
ผู้อาวุโสซู”
“เลิกพิธีรีตองซะ เพียงแค่เรียกข้าว่าซูหยาง”
“เช่นนั้นข้าก็จักจัดห้องให้ท่านทันที…”
“มิเป็นไรท่านแม่ ซูหยางจักอยู่ในห้องข้า” ซุนจิงจิงกล่าว
“เอ๋ เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไปนอนที่ไหนรึ” ซุนเหรินมองดูเธอพร้อมกับ
เลิกคิ้ว
ซุนจิงจิงยังคงเงียบเฉยและเพียงแค่ยิ้มกับคำถามของอีกฝ่าย
“ทำตามใจเจ้า… ข้าจะไปติดต่อกับตระกูลมู่ในตอนนี้”
เวลาถัดไป ซุนเหรินก็ออกจากห้องไปเพื่อส่งข่าวไปยังตระกูลมู่
กล่าวว่าตระกูลซุนยอมรับข้อเสนอการแต่งงานของพวกเขา
เมื่อตระกูลมู่ได้รับข่าว พวกเขาต่างพากันดีใจเป็นอันมากและไม่ยอม
เสียเวลารีบทำการเตรียมตัวสำหรับการแต่งงาน กระทั่งป่ าวประกาศ
ไปยังสาธารณะชนถึงการหมั้นหมายระหว่างซุนจิงจิงกับมู่ชุน
ข่าวการหมั้นหมายของพวกเขากระจายไปทั่วเมืองอย่างง่ายดายภายใน
เวลาไม่ถึงชั่วโมง สร้างความตระหนกให้กับผู้คนที่ได้ยินข่าวนี้
“อะไรนะ ตระกูลซุนและตระกูลมู่จักร่วมมือกัน มิใช่ว่าพวกนั้นเป็น
หนึ่งในคู่แค้นที่ใหญ่ที่สุดที่นี่รึ”
“แน่นอนว่าเวลาได้เปลี่ยนไปแล้ว…”
“ข้ามิสามารถเชื่อได้ว่าเจ้าคนน่ารังเกียจมู่ชุนนั้นจักได้แต่งงานกับ
คนที่ดีงามเหมือนกับซุนจิงจิง สวรรค์ช่างลำเอียง”
“ตราบเท่าที่เจ้าร่ำรวยและมีอำนาจเหมือนกับตระกูลมู่ เจ้าก็จักทำ
การแต่งงานกับสาวสวยได้ถึงแม้ว่าเจ้าจะดูเหมือนหมูสกปรก”
“ระวังปากเจ้าให้ดีถ้าตระกูลมู่ได้ยินคำพูดเช่นนี้ออกมาจากปากเจ้า
เจ้าสามารถบอกลาชีวิตของเจ้าได้เลย”
“การหมั้นหมายต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับการที่ตระกูลมู่กลายเป็นคู่ค้า
กับนิกายดอกบัวเพลิงแน่”
“ข้าก็คิดเช่นนั้นเช่นกัน ตระกูลมู่ได้ครอบครองตลาดในช่วงปลายปี
นี้ในขณะที่ตระกูลซุนได้อยู่ในช่วงตกต่ำ ถ้าตระกูลซุนมิยอมรับ
ข้อเสนอนี้ พวกเขาก็อาจจะถูกตระกูลมู่ครอบงำได้ในอนาคต
อันใกล้นี้”
ในวันนั้นเกือบทุกคนในเมืองเยิ่นก็ได้ยินข่าวการหมั้นหมายของซุน
จิงจิงและมู่เชิน และคนหลายร้อยก็ได้เข้าเยี่ยมตระกูลมู่เพื่อแสดง
ความยินดีไปเรียบร้อยแล้ว
“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้ารู้ว่าตระกูลซุนจักต้องยอมรับข้อเสนอการแต่งงานของ
พวกเรามิช้าก็เร็ว” ผู้นำตระกูลมู่ มู่หลานหัวเราะเสียงดังในห้องของ
ตนเอง
“ขอบคุณท่านพ่อ ตอนนี้ความฝันของข้าที่จะทำให้ซุนจิงจิงกลายเป็น
หญิงของข้าในที่สุดก็ได้กลายเป็นจริง” มู่ชุน ลูกชายของเขาก็หัวเราะ
ขึ้นมาเช่นกัน
“แต่ท่านพ่อ…” มู่ชุนหยุดหัวเราะหลังจากนั้นไม่นาน “จะเกิดอะไร
ขึ้นถ้าตระกูลซุน ให้ชัดก็คือซุนจิงจิงไปขอความช่วยเหลือจากนิกาย
กุสุมาลย์พ้นพิสัย จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเธอร้องไห้กับอัจฉริยะอันดับ
หนึ่งซูหยางนั่น นั่นจะมิเป็นหายนะสำหรับพวกเรารึ”
“ถ้าเป็นเช่นนั้น พวกนั้นก็คงมิยอมรับข้อเสนอของพวกเราตั้งแต่แรก
ยิ่งไปกว่านั้นถ้าซุนจิงจิงไปขอความช่วยเหลือจากซูหยาง ข้ายังสงสัย
ว่าเขาจักยังสนใจเธอหรือไม่ การฝึกวิชาคู่นั้นปกติแล้วเป็นเรื่องของ
คนที่ไร้จิตใจและเห็นแก่ตัวเช่นนั้น และเขาก็คงรายล้อมไปด้วยสาว
สวยในตอนนี้ ดังนั้นเขาจักต้องมิใส่ใจกับคนอย่างซุนจิงจิงแน่”
“อย่างงั้นรึ…” มู่ชุนหัวเราะต่อหลังจากนั้น แต่เขาก็ไม่สามารถที่จะ
ทิ้งความรู้สึกที่เป็นลางร้ายที่อ้อยอิ่งอยู่ในท้องของตนเองได้
ในเวลานั้นกลับมาที่ตระกูลซุน ซุนเหรินกล่าวกับซุนจิงจิงว่า “ทั้ง
เมืองรู้แล้วว่าเจ้าหมั้นหมายกับมู่ชุนแล้วตอนนี้ มิมีทางย้อนกลับได้
อีกต่อไป และก็มิมียาสำหรับความเสียใจในโลกนี้”
ซุนจิงจิงเพียงแค่ยิ้มกับคำพูดของเธอและกล่าวว่า “อย่ากังวลท่านแม่
ถ้ายังไงข้าจักไปหลับแล้วในตอนนี้ในเมื่อพรุ่งนี้ข้าคงต้องวุ่นวาย”
“ฮ้าาาา.. ข้าหวังจริง ๆ ว่าเธอจะรู้ว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่…” ซุนเหริน
ถอนหายใจขณะที่เธอมองดูลูกสาวของตนเองเดินหายไปอย่างเยือก
เย็น
“ไปถึงไหนแล้ว” ซูหยางถามซุนจิงจิงขณะที่เธอกลับคืนมายังห้อง
ของตนเอง
“ทั้งเมืองรู้เรื่องการหมั้นหมายแล้วในตอนนี้” เธอกล่าว
“ข้าเข้าใจละ… เช่นนั้นพวกเรามาพักผ่อนกันก่อน นั่นจักต้องเป็นวัน
วุ่นวายแน่สำหรับวันพรุ่งนี้” ซูหยางกล่าวกับเธอก่อนที่เขาจะเข้าไป
ในเตียง
“แต่ข้ามิอาจหลับลงได้ถ้าข้ามิเหนื่อย…” ซุนจิงจิงกล่าวกับเขาขณะที่
เธอเป่ าเทียนที่จุดอยู่ในห้องก่อนที่เธอจะเริ่มถอดเสื้อผ้า
“ห้องของพ่อแม่เจ้าเพียงแค่อยู่ในห้องโถงข้างล่าง เจ้าก็รู้ จะเป็นอย่างไร
ถ้าพวกเขาเดินเข้ามาหาในขณะที่เรากำลังทำเรื่องนั้น” ซูหยางกล่าว
กับเธอพร้อมรอยยิ้ม
“เช่นนั้นถ้าจะให้ดีพวกเราต้องเก็บเสียงให้เงียบที่สุดเท่าที่จะเป็นไป
ได้…” ซุนจิงจิงยิ้มตอบ
ซูหยางหัวเราะเบา ๆ หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเธอ “เจ้ายังจะมีความ
สามารถเช่นนั้นรึ ข้าจักมิผนึกห้องนี้ด้วยค่ายกลปิดกั้นเพื่อที่เสียง
ครางของเจ้าจักเล็ดลอดออกไปจากห้องได้”
“นั่นฟังดูน่าตื่นเต้น…” ซุนจิงจิงหัวเราะคิกคักก่อนที่จะเข้าไปใน
เตียงพร้อมกับซูหยาง
บทที่ 483 แกล้งทำเป็นโง่
“ตระกูลมู่อีกแล้วรึ ทำไมท่านจึงมิปฏิเสธไป” ซุนจิงจิงถามด้วยใบหน้า
สงบ “ต่อให้พวกนั้นมีอิทธิพลมากกว่าพวกเราอยู่บ้าง แต่พวกนั้นก็
มิได้มีอิทธิพลที่จะคุกคามพวกเรา”
“เรื่องนั้น… ด้วยเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งตระกูลมู่ได้ประสานความ
ร่วมมือกับนิกายดอกบัวเพลิงไปเมื่อสองสามอาทิตย์ก่อน ทำให้พวก
นั้นได้ขายตัวยาของนิกายดอกบัวเพลิงที่ตลาดการค้าของพวกนั้น”
“เจ้าควรรู้ว่าเม็ดยาพวกนั้นได้รับความนิยมมากเพียงใดภายในธุรกิจ
นี้ ใครก็ตามที่มีใบอนุญาตให้ขายพวกมันก็จักกลายเป็นหนึ่งในผู้จัด
จำหน่ายที่ใหญ่ที่สุดในตลาดยาโดยอัตโนมัติ และเพราะเหตุนี้ พวก
นั้นจึงได้ผูกขาดตลาดอย่างสมบูรณ์ นับตั้งแต่พวกนั้นเริ่มขายโอสถ
ดอกบัวเพลิง ธุรกิจยาของพวกเราก็ตกต่ำ รายได้ของพวกเราลดลง
ถึง 90% ภายในเพียงแค่สองสามอาทิตย์”
“และก็มิใช่เพียงยา นับตั้งแต่พวกนั้นกลายเป็นคู่ค้ากับนิกายดอกบัว
เพลิง ลูกค้าของพวกเราจำนวนมากก็ได้เปลี่ยนข้างเพื่อที่จะเอาใจ
ตระกูลมู่ ธุรกิจทั้งหมดของพวกเราล้วนตกต่ำอย่างน้อย 10% หาก
เป็นเช่นนี้ต่อไป พวกนั้นจักต้องขับพวกเราออกจากธุรกิจได้อย่าง
สมบูรณ์”
“เมื่อไม่กี่วันก่อน พวกนั้นก็ยังข่มขู่ที่จะไล่พวกเราออกจากเมืองถ้า
พวกเรามิยอมรับข้อเสนอการหมั้นหมาย”
“นี่เป็นเหตุผลที่ทำไมพวกท่านจึงดูกังวลและสิ้นหวัง…” ซุนจิงจิง
ถอนใจหลังจากที่ตระหนักถึงสถานการณ์
“ถ้าเจ้าได้กลายเป็นนางบำเรอของซูหยาง ถึงแม้จะเป็นตระกูลมู่ก็มิ
กล้าที่จะล่วงเกินเขา เจ้าชอบเขามิใช่รึ” ซุนเหรินถามเธอ
“เอ้อ… ข้ามิรู้เรื่องนั้น…” ซุนจิงจิงเริ่มแกล้งทำเป็นโง่
“อะไรกัน เจ้าทำท่าแตกต่างจากก่อนนี้โดยสิ้นเชิง ตอนที่เจ้ายืนกราน
ว่าจะเข้าร่วมตระกูลของเขา หรือว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเจ้ากับซูหยาง”
“ข้าเดาว่าท่านสามารถกล่าวได้เช่นนั้น” ซุนจิงจิงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
ลึกลับ
“ข้ามิสนว่าเกิดอะไรขึ้น มิว่าเจ้าจะถูกหรือจะผิดก็ตาม แต่ถ้าเจ้ามิ
ต้องการที่จะแต่งงานกับเจ้าอ้วนตระกูลมู่นั่น เช่นนั้นเจ้าจำเป็นต้อง
ขอโทษซูหยางและทำให้เขายอมรับเจ้าให้ได้” ซุนเหรินกล่าวด้วยสี
หน้าเคร่งเครียด
“ข้าจักคิดในเรื่องนี้” เธอกล่าวด้วยสีหน้าไม่ใส่ใจ ราวกับว่าเธอไม่ได้
สนใจเรื่องตระกูลมู่แม้แต่น้อย “ถ้ามิมีอะไรแล้ว เช่นนั้นข้าก็จักกลับ
ไปยังห้องนั่งเล่นกับซูหยางและท่านพ่อ”
“จ-จ-เจ้า… ลืมมันไปเถอะ เจ้าทำตัวดื้อดึงต่อไปได้เลย อย่ามาร้องไห้
ต่อหน้าข้ายามที่เจ้าต้องแต่งงานกับเจ้าอ้วนนั่น” ซุนเหรินกระทืบเท้า
ด้วยความโกรธก่อนที่จะกลับไปยังห้อง
ในเวลาเดียวกัน ซุนเฉียนก็กล่าวกับซูหยางหลังจากที่สองหญิงออกไป
จากห้อง “ขอบคุณสำหรับการดูแลลูกสาวของพวกเราอยู่เสมอ ท่าน
ผู้อาวุโสซู ถ้าเธอรบกวนท่านเพียงบอกให้เรารู้และพวกเราก็จะลงโทษ
เธอในทันที”
“ท่านสามารถโยนเรื่องพิธีรีตองทิ้งไป” ซูหยางกล่าวกับเขา
“แต่นั่นจักเป็นเรื่องมิเหมาะสมสำหรับคนที่มีความรู้เช่นท่าน…” ซุน
เฉียนลังเล
ถึงแม้ว่าตระกูลซุนจะมีอิทธิพลมากมาย แต่ทรัพยากรของพวกเขาก็
เพียงมีจำกัดอยู่เฉพาะภายในวงการธุรกิจในโลกของคนธรรมดาเท่านั้น
ถ้าพวกเขาเปรียบเทียบตัวเองกับซูหยาง อัจฉริยะจากยุทธภพ ก็คล้าย
กับการเปรียบเทียบพ่อค้ากับเจ้าชาย
“ทำไมจึงจะเป็นเรื่องมิเหมาะสม แม้ว่าพวกเรายังมิได้มีเอกสารใดมา
ยืนยันหรือว่าได้จัดงานพิธี แต่ข้าก็ได้ยอมรับลูกสาวท่านเข้าสู่ตระกูล
เรียบร้อยแล้ว” ซูหยางกล่าวกับอีกฝ่ายด้วยสีหน้าสงบราบเรียบ “ถ้า
ท่านต้องการ ข้าเองก็ยังต้องเรียกท่านว่าพ่อตา รู้ไหม”
ซุนเฉียนจ้องมองซูหยางด้วยใบหน้าแตกตื่น เหมือนกับลูกไก่โง่
“ท-ท่านเพิ่งพูดอะไรออกมานะ ข้านะรึ พ่อตาของท่าน” ร่างกายของ
ซุนเฉียนสั่นสะท้าน
ซูหยางพยักหน้าด้วยใบหน้าเรียบเฉย
อย่างไรก็ตามซุนเฉียนก็ยังคงยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นพร้อมกับใบหน้าแตกตื่น
แม้จนกระทั่งเวลาผ่านไปหลายนาที ราวกับว่าเขาได้กลายไปเป็นรูป
ปั้น
จนกระทั่งเมื่อซุนจิงจิงและซุนเหรินกลับมาสุดท้ายนั่นจึงทำให้เขา
สะดุ้งตื่นออกมา
“ทำไมท่านจึงยืนอยู่อย่างนั้นด้วยใบหน้าประหลาดพิกล ท่านพ่อ”
ซุนจิงจิงเลิกคิ้วหลังจากที่เห็นพฤติกรรมแปลกประหลาดของเขา
“ข…”
ก่อนที่ซุนเฉียนจะทันได้พูด ซุนเหรินก็ดึงเขาออกไปข้างนอก
“ม-มีมีอะไรรึ ที่รัก” เขาถามเธอหลังจากที่ถูกลากออกไปด้านนอก
“ล-ลูกสาวหัวดื้อของเรา เธอ…” ซุนเหรินทำการอธิบายให้กับซุน
เฉียนฟังถึงการสนทนาระหว่างเธอกับซุนจิงจิง ซึ่งเพียงแต่สร้าง
ความงุนงงให้กับซุนเฉียนมากกว่าเดิม
“เอ๋…”
ด้วยเรื่องราวที่ท่วมท้นใจ ซุนเฉียนไม่สามารถที่จะอธิบายให้ภรรยา
ของตนเองฟังถึงสิ่งที่ซูหยางได้บอกเขาได้ ดังนั้นเขาจึงได้แต่เพียง
แค่ยืนอยู่ตรงนั้นฟังซุนเหรินพูดอยู่อย่างเงียบ ๆ
“ไม่ว่าอย่างไรถ้าลูกสาวเรายังคงดื้อเกินไปในการแก้ไขปัญหากับซู
หยาง ข้าจักทำแทนเธอ ถึงแม้ว่าเธอจะเกลียดข้าหลังจากนั้น จะเป็น
การดีกว่าที่จะส่งตัวเธอให้กับตระกูลมู่” ซุนเหรินกล่าวด้วยท่าทาง
ตัดสินใจ
“แต่…”
ก่อนที่ซุนเฉียนจะทันได้อ้าปากพูดออกมาได้เต็มที่ ซุนเหรินก็ได้เดิน
จากเขาไปกลับคืนสู่ห้องนั่งเล่น
“ผู้หญิงสองคนนี้… ฮ้าาาา…” ซุนเฉียนส่ายหน้าขณะที่ถอนหายใจ
ก่อนที่จะกลับไปภายในห้องพร้อมกับซุนเหริน
ในเวลานั้นหลังจากที่พ่อแม่ของเธอออกไปจากห้อง ซุนจิงจิงก็
อธิบายสถานการณ์ให้กับซูหยาง
“ท่านคิดว่าอย่างไร ซูหยาง เราควรจะจัดการกับพวกนั้นอย่างไรดี
แม้ว่าข้ามิได้ใส่ใจในธุรกิจของครอบครัวข้าเป็นพิเศษ แต่ข้าก็มิ
ต้องการเห็นตระกูลมู่กลั่นแกล้งตระกูลข้า”
“ตระกูลมู่และนิกายดอกบัวเพลิงรึ…” ซูหยางยังคงเรียบเฉย แล้ว
กล่าวต่อว่า “มีหลายวิธีที่เราสามารถดำเนินการในสถานการณ์นี้ได้
แต่ข้าจักปล่อยให้เป็นการตัดสินใจของเจ้า เจ้าต้องการจะทำอะไรกับ
ตระกูลมู่รึ”
“ตระกูลมู่คิดว่าพวกมันสามารถกลั่นแกล้งตระกูลข้าและบีบข้าให้
แต่งงานกับลูกชายของพวกมัน ดังนั้นพวกมันสมควรตาย แต่
อย่างไรก็ตามเรามิสามารถเพียงแค่ฆ่าพวกมันทั้งหมด…” ซุนจิงจิง
ครุ่นคิดด้วยหน้าตาจริงจัง
หลังจากนั้นสองสามอึดใจ ซุนจิงจิงก็ตาเป็นประกายแสงชั่วร้าย
“ข้ารู้แล้วว่าเราควรจะจัดการกับตระกูลมู่อย่างไรดี เอียงหูมาหาข้า
สักครู่ ซูหยาง” ซุนจิงจิงหัวเราะคิกคักขณะที่เธออธิบายแผนการของ
เธอให้เขาฟัง
หลังจากที่ฟังความคิดเห็นของซุนจิงจิงแล้ว ซูหยางก็ระเบิดเสียง
หัวเราะ “แน่ใจว่าเจ้าต้องมีอะไรสักอย่างถึงคิดแผนการเช่นนี้ออกมา
ได้”
“มันไม่ดีรึ” ซุนจิงจิงแสดงสีหน้าเป็นกังวล
“ไม่ มันสมบูรณ์แบบ พวกเราดำเนินการตามแผนนั้นกันเถอะ”
“เยี่ยม” ซุนจิงจิงพยักหน้าพร้อมกับยิ้ม
บทที่ 482 เยี่ยมตระกูลซุน
ขณะที่พวกเขาไปถึงประตูเมือง ก่อนที่พวกเขาจะทันได้เข้าไปใน
เมือง ซูหยางก็สามารถได้กลิ่นเงินจากในอากาศ
“ท่านได้กลิ่นนั้นไหม ซูหยาง กลิ่นเงิน” ซุนจิงจิงกล่าวกับเขา “นคร
เยิ่นเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นดินแดนแห่งโอกาส ผู้คนจากทุกสารทิศใน
ทวีปมาที่นี่เพื่อที่จะเริ่มธุรกิจของตนเองหรือไม่ก็หางาน นี่เป็นหนึ่ง
ในสถานที่ซึ่งวุ่นวายที่สุดแห่งหนึ่งในโลก”
“ตระกูลซุนของข้าก็เริ่มก่อตั้งและประสบความสำเร็จที่นี่ ดังนั้นจึง
เป็นเหตุที่สถานที่นี้จึงเป็นสถานที่ซึ่งสำคัญที่สุดสำหรับพวกเรา”
ครั้นเมื่อพวกเขาไปถึงประตูแล้ว ทหารเฝ้าประตูเมืองก็หยุดพวกเขา
และกล่าวว่า “พวกเจ้ามาที่นี่มาเยี่ยมหรือว่าอยู่อาศัย พวกเจ้ามีเจตนา
ที่จะทำธุรกิจที่นี่ใช่ไหม เจ้ามีใบอนุญาตหรือไม่”
“ถ้าเจ้ามาที่นี่เพื่อที่จะเปิดธุรกิจของตนเอง เจ้าจักต้องมีใบอนุญาต
ประกอบธุรกิจ ซึ่งจักมีราคา 10,000 เหรียญทองเป็นอย่างต่ำ ถ้าเจ้า
เพียงมาที่นี่เพื่อเยี่ยมเยือน เจ้าจักต้องมีใบอนุญาตเข้าเยี่ยม เริ่มต้นที่ 1
เหรียญทองสำหรับเวลาเจ็ดวัน”
ซุนจิงจิงเพียงแค่เหลือบมองทหารเฝ้าประตูเมืองก่อนที่จะนำเอาตรา
สีแดงออกมาจากชุด
“ห-เหรียญประจำตระกูลซุน”
ทหารเฝ้าประตูพลันยืดหลังเมื่อเขาเห็นตรา และพวกเขาทั้งหมดต่าง
พากันทำความเคารพเธอ
“ช-เชิญเข้า ผู้ทรงเกียรติ”
หลังจากนั้นสองสามอึดใจ ซูหยางและกลุ่มของเขาก็เข้าไปในเมือง
โดยไม่มีปัญหาอะไร
“ข้ารู้ว่าตระกูลของเจ้าร่ำรวยเมื่อข้าเห็นพ่อแม่ของเจ้า แต่มิคิดว่าพวก
เจ้าจักเป็นพี่ใหญ่ในเมืองร่ำรวยถึงเช่นนี้” ซูหยางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ทำไมเจ้าจึงเข้าร่วมกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยล่ะ”
“ตามที่พ่อแม่ของข้ากล่าว ปู่ของข้าเคยเป็นจอมลามกเมื่อตอนที่เขา
ยังหนุ่ม ดังนั้นเขาจึงเข้าร่วมกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเพื่อสนุกกับ
สาว ๆ แต่ทว่าข้าเข้าร่วมกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยด้วยสาเหตุสอง
ประการ หนึ่งก็เพราะว่าปู่ของข้าซึ่งปกติจะเอาใจข้าเสมออยู่ที่นี่ และ
สองเพราะข้าต้องการที่จะเลือกคู่ครองของตนเอง”
“ถ้าข้ายังคงอยู่ในตระกูลซุน พ่อแม่ของข้าก็ย่อมจักจัดการทุกอย่าง
ให้กับข้า ตั้งแต่สามีไปจนถึงอนาคตของข้า และข้ามิต้องการเช่นนั้น
ถึงแม้ว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมิใช่สถานที่ซึ่งดีที่สุดในการมองหา
คู่ครองที่เหมาะสม แต่ก็ยังดีกว่าที่จะถูกบีบบังคับให้มีความสัมพันธ์
โดยพ่อแม่ของข้า”
“ข้ารู้ว่าเรื่องราวของข้าเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไป แต่ข้าก็ดีใจที่ข้าได้
ตัดสินใจเช่นนั้น ในเมื่อข้าสามารถได้พบกับท่าน ซูหยาง” ซุนจิงจิง
กล่าวขณะที่เธอกระชับมือของเขาไว้แน่น
ขณะที่พวกเขาตรงเข้าไปยังที่พักของตระกูลซุนอยู่นั้นก็ได้ยินเสียง
จำนวนมากรอบกาย
“ยินดีต้อนรับสู่โกดังมังกร ท่านสามารถหาอาวุธวิญญาณได้ทุกระดับ”
“ขอเชิญมานั่งในร้านอาหารม้าทองคำของพวกเรา พวกเรามีเนื้อ
วิญญาณทุกประเภทให้เลือก”
“ขอเชิญแวะมาเยี่ยมเยือนหญิงสาวขี้เหงาของเราในอาบอบนวดเทพ
เสน่หา พวกเรามีสาวสวยทุกประเภทเพื่อสร้างความพึงพอใจใน
ความต้องการของท่าน”
“หอยาธรรมชาติเพิ่งได้รับโอสถดอกบัวเพลิงมา มาก่อนได้ก่อน รีบ
ซื้อด่วน”
หลังจากที่เดินไปได้ประมาณครึ่งชั่วโมง ซูหยางและซุนจิงจิงก็ไป
ถึงหน้าอาคารใหญ่ที่กินพื้นที่ไปทั้งถนน
“ยินดีต้อนรับสู่บ้านของข้า ซูหยาง” ซุนจิงจิงกล่าวด้วยรอยยิ้มขณะที่
เธอดึงเขาไปยังอาคาร
“ท-ท่านคือ… ยินดีต้อนรับกลับมา คุณหนู” เมื่อยามที่ยืนอยู่ตรงหน้า
ประตูสังเกตเห็นหน้าตาสะสวยของซุนจิงจิง พวกเขาก็พลันโค้ง
คำนับเธอ
“แจ้งให้พ่อแม่ข้าว่าข้าได้กลับมาแล้วพร้อมกับซูหยาง” เธอกล่าวกับ
พวกเขา
“ขอรับ”
ซุนจิงจิงจึงนำซูหยางไปยังห้องนั่งเล่น
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ซุนเฉียนและซุนเหรินก็เข้ามาในห้องด้วยสีหน้า
สดใส
“โอ สุดท้ายพวกเจ้าก็มาที่นี่”
ซุนเหรินแม่ของเธอพลันตรงเข้าไปหาซูหยางและทำความเคารพ
อย่างสุภาพแก่เขา “ยินดีต้อนรับสู่บ้านซอมซ่อตระกูลซุนของพวก
เรา ท่านผู้อาวุโสซู”
“ผู้อาวุโสรึ” ซูหยางเลิกคิ้ว
กระทั่งซุนจิงจิงเองก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วกับพฤติกรรมแปลก
ประหลาดของแม่เธอ
“ดูเหมือนว่าข้าได้ทำหยาบคายกับผู้อาวุโสซูไปในระหว่างที่พวกเรา
ไปเยี่ยมในครั้งก่อน ถ้าเป็นการล่วงเกินผู้อาวุโสซูอย่างใด ท่านสามารถ
นำลูกสาวข้าไปเป็นสิ่งชดเชยได้…” ซุนเหรินกล่าว สร้างความตกใจ
ให้กับซุนจิงจิงจนกระทั่งกรามตกถึงพื้น
“ท-ท่านทำอะไร ท่านแม่ ทำไมท่านจึงมีท่าทางแปลกประหลาด
เช่นนั้น”
“ขอเวลาพวกเราสักประเดี๋ยว ผู้อาวุโสซู…” ซุนเหรินพลันคว้าซุน
จิงจิงและลากเธอออกไปด้านนอก
ครั้นเมื่อพวกเธอได้อยู่ห่างจากซูหยางพอสมควรแล้ว ซุนเหรินก็
กระซิบกับซุนจิงจิงดัง ๆ ว่า “ทำไมเจ้ามิบอกข้าว่าซุนหยางเป็นจอม
ยุทธเขตอัมพรวิญญาณตอนที่พวกเราไปเยี่ยมเจ้า ข้ารู้สึกเหมือนคน
โง่ที่สุดที่ทำตัวเย่อหยิ่งต่อหน้าเขาในตอนนี้ โอ ข้าช่างมิรู้เรื่องราว
อะไรเลย”
“ท่านมิเคยถามข้า และท่านก็มัวแต่เน้นอยู่กับการให้เขาแบกรับความ
รับผิดชอบในการพรากพรหมจรรย์ของข้า” ซุนจิงจิงตอบอย่างใจเย็น
“จ-เจ้า” ซุนเหรินหน้าแดง แต่อย่างไรก็ตามเธอรีบกดความโกรธ
ของเธอลงอย่างรวดเร็วและกล่าวต่อว่า “อย่างไรก็ตามนี่เป็นโอกาส
ของเจ้า ลูกสาวข้า”
“โอกาส โอกาสในการทำอะไรรึ” เธอเลิกคิ้วด้วยท่าทางงุนงง
“โอกาสที่จะมีตำแหน่งในตระกูลของเขา ถึงแม้ว่าเจ้ามิสามารถเป็น
ภรรยาของเขาได้ อย่างน้อยเจ้าก็ได้เป็นนางบำเรอ ในฐานะอัจฉริยะ
อันดับหนึ่งในทวีปตะวันออก เขามีอนาคตที่ไม่สิ้นสุด มีคนพูดว่า
เขาอาจจะกลายเป็นเจ้าซีคนถัดไปแล้วด้วย ในเมื่อเขาได้ยอมรับตัว
เจ้าแล้ว นั่นเป็นโอกาสอันดีที่เขาจักรับเจ้าเป็นนางบำเรอ”
“…”
ซุนจิงจิงมองดูแม่ของเธอด้วยใบหน้าไร้คำพูด นี่เป็นครั้งแรกที่เธอ
เคยเห็นแม่ของเธอมีท่าทางหมดรูปเช่นนี้
“ทำไมท่านจึงต้องการให้ข้าอยู่กับซูหยางอย่างหมดท่าเช่นนี้ ท่าน
แม่” ซุนจิงจิงถามเธอ
แม้ว่าเธอสามารถเผยให้แม่เธอรู้ว่าเธอได้เป็นส่วนหนึ่งของตระกูลซู
หยางแล้ว เธอก็ยังตัดสินใจที่จะเก็บมันไว้เป็นความลับนานต่อไปอีก
หน่อยเพื่อดูว่าทำไมแม่ของเธอจึงมีท่าทางที่ไม่เหมือนเดิมเช่นนี้
“เฮ้อ ทั้งหมดนั่นก็เป็นเพราะว่าตระกูลมู่ที่น่ารังเกียจนั่น “ซุนเหริน
ถอนใจ “นับตั้งแต่พวกนั้นรู้ว่าเจ้าเป็นอัจฉริยะเขตปฐพีวิญญาณ พวก
นั้นก็ได้เพิ่มความก้าวร้าวและพยายามที่จะสร้างพันธะหมั้นหมาย
อย่างมิคิดชีวิตระหว่างเจ้ากับทายาทของพวกนั้น มู่ชุน”
บทที่ 481 นครเยิ่น
“อาจารย์รึ เจ้าพ่นคำไร้สาระอะไรออกมา” ชิวเยว่ตรงเข้าไปหาอีก
ฝ่ายด้วยคิ้วขมวดงุนงงแสดงบนใบหน้าประดุจนางสวรรค์ของเธอ
“ท-ท่านมิใช่อาจารย์ของเขาหรอกรึ เช่นนั้นจริงแล้วท่านเป็นใครกัน
ท่านมีความสัมพันธ์อะไรกับซูหยาง” ซุนจิงจิงถามเธอเสียงเบา เห็น
ได้ชัดว่าตกตะลึงในความงามของเธอ
“ข้าควรจะถามเจ้าแบบเดียวกัน เจ้าเป็นใครกัน” ชิวเยว่จ้องมองเข้า
ไปในดวงตาของซุนจิงจิง จนทำให้บรรยากาศที่นั่นพลันเปลี่ยนเป็น
เย็นเยียบ ราวกับว่ากำลังจะเกิดสงคราม
“…”
เมื่อรู้สึกถึงช่องว่างอันเยือกเย็นระหว่างพวกเธอ ชินเหลียงหยูก้าว
ถอยหลังไปสองสามก้าวเข้าไปในบ้านโดยสัญชาตญาณ
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ สายตาของชิวเยว่ก็ลดลงไปจากใบหน้า
ของซุนจิงจิงไปยังท้องของเธอ
และด้วยการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เธอก็แหวกผ้าคลุมของซุน
จิงจิงออกเผยให้เห็นผิวหนังบนท้อง
“โอ…” คิ้วของชิวเยว่กระตุกเล็กน้อยเมื่อเธอเห็นผนึกตระกูลบนผิว
ของซุนจิงจิง
“ฮ-เฮ้ เจ้าคิดว่าเจ้ากำลังทำอะไร” ซุนจิงจิงกระโดดถอยหลังออกไป
ด้วยความประหลาดใจ มองดูชิวเยว่ราวกับว่าเธอเป็นพวกโรคจิต
ก่อนที่เธอจะรีบปกปิดตัวเองอีกครั้ง
“ผนึกตระกูลรึ และก็เป็นผนึกตระกูลของซูหยางอีกด้วย” ชิวเยว่
พึมพำกับตนเองในเมื่อสุดท้ายเธอก็เข้าใจสถานการณ์
“เช่นนั้นตอนนี้เจ้าก็เป็นส่วนหนึ่งของตระกูลซูหยางใช่ไหม” ชิวเยว่
กล่าวกับเธอ
ซุนจิงจิงจ้องมองชิวเยว่ด้วยใบหน้างุนงงไปชั่วขณะก่อนที่จะพูดด้วย
เสียงเบาและสงสัย “หรือว่าเจ้าก็ด้วย…”
“พวกเจ้าทั้งคู่ทำอะไรกันอยู่”
พลันเสียงของซูหยางก็ดังขึ้น ทำลายบรรยากาศอันหนาวเยือกไป
ในทันที
“ซูหยาง”
ซุนจิงจิงและชิวเยว่เรียกเขาพร้อมเพรียงกัน
“คืออย่างนี้ซูหยาง หญิง…สาวสวยลามกคนนี้เพิ่งเปลื้องผ้าข้าโดยไม่
มีปี่ขลุ่ย” ซุนจิงจิงฟ้องร้องเขาหลังจากที่เขาลงมาจากฟากฟ้าพร้อม
กับเซียวหรงข้างกาย
ซูหยางเลิกคิ้วและหันไปมองดูชิวเยว่ด้วยสายตาสงสัย
“ข้าเพียงแค่ต้องการยืนยันอะไรบางอย่างที่ข้ารู้สึกได้จากร่างของเธอ
เท่านั้นเอง” ชิวเยว่ยักไหล่ผ่าน ๆ
“ถ้าเจ้ายังสงสัย ใช่ ข้าได้ให้ผนึกตระกูลกับเธอ” ซูหยางพูดด้วยรอยยิ้ม
“และเมื่อไหร่ที่ท่านตั้งใจจะบอกข้าเรื่องนี้” ชิวเยว่ถามพร้อมกับ
ขมวดคิ้วเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยพึงพอใจกับสถานการณ์
“เร็วนี้” ซูหยางตอบอย่างรวดเร็ว “เจ้าไม่อยู่ตอนที่ข้าให้ผนึกตระกูล
กับเธอแค่นั้นเอง”
“…”
ชิวเยว่ถึงกับพูดไม่ออก เช่นเดียวกับสีหน้าไม่ยินดีของเธอ
เมื่อเห็นเช่นนี้ซูหยางก็เพียงเข้าไปหาเธอด้วยรอยยิ้มนุ่มนวลและ
กระซิบที่ข้างหูเธอ “อย่ากังวล ยามเมื่อพวกเราทำลายคำสาปของเจ้า
แล้ว ข้าก็จักสามารถประทับชื่อข้าไว้บนตัวเจ้าเช่นกัน”
“?!?!”
สีแดงพลันระเบิดออกมาบนใบหน้าของชิวเยว่หลังจากที่ได้ยิน
คำพูดของเขา
“ย-ยังไงก็ได้” เธออุทานออกมาก่อนที่จะวิ่งเข้าไปในห้องของเธอ
และปิดประตู
“นั่นใครกัน” ซุนจิงจิงถามเขาหลังจากนั้นสองสามอึดใจให้หลัง
“ข้าจักแนะนำอย่างเป็นเรื่องราวให้กับเจ้าในภายหลัง แต่ดูเหมือนว่า
เจ้ามีธุระอะไรบางอย่างกับข้า”
“โอ ใช่ ข้าเกือบลืมไปเพราะว่าเธอ” ซุนจิงจิงกล่าว “ซูหยาง ท่านยัง
จำได้ไหมถึงเรื่องที่พ่อแม่ของข้ากล่าวกับพวกเราระหว่างที่พวกเขา
มาเยี่ยม เรื่องเกี่ยวกับตระกูลมู่ที่กวนตระกูลข้าอยู่ เห็นชัดว่าพวกนั้น
ได้เพิ่มความก้าวร้าวในการพูดจาเรื่องการหมั้นหมายของข้ากับพวก
นั้น”
“อย่างนั้นรึ..” ซูหยางพึมพำด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“พ่อแม่ของข้าก็ต้องการให้พวกเราไปเยี่ยมพวกเขาด้วยเช่นกัน… ที่
ตระกูลของพวกเรา”
“ยังมีเวลาอีกประมาณสามอาทิตย์ก่อนที่การทดสอบจะเริ่มขึ้น” ซู
หยางกล่าว “ข้าคิดว่าข้าสามารถแบ่งเวลาบางส่วนสำหรับการเดินทาง
เที่ยวเล็ก ๆ กับเจ้าไปเยี่ยมตระกูลของเจ้า”
“เยี่ยม เช่นนั้นเมื่อไหร่ที่พวกเราจักไปดี”
“พวกเราสามารถไปได้เลยในตอนนี้” เขากล่าวขณะที่เขานำเองยาน
บินออกมา
“เราน่าจะกลับมาภายในสองสามวัน” จากนั้นเขาก็ได้กล่าวกับชิน
เหลียงหยู
หลังจากนั้นไม่นาน ซูหยางและซุนจิงจิงก็ขึ้นไปสู่ชั้นเมฆภายในเรือ
บิน
“พวกเราจะไปที่ไหนกัน” เขาถามเธอ
“นครเยิ่น ตลาดการค้าที่ใหญ่ที่สุดในทวีปตะวันออก สาขาหลักของ
ตระกูลซุนก็ตั้งอยู่ที่นี่เช่นกัน ธุรกิจเกือบทั้งหมดของพวกเราก็อยู่
ภายในเมืองนี้”
“ว่าแต่…” ซุนจิงจิงหันไปมองดูเด็กสาวสวยลอยตัวอยู่ข้างหลังพวก
เขาด้วยสีหน้างุนงง “เด็กหญิงนั่นเป็นใครกัน… และทำไมเธอจึง
หน้าตาคล้ายกับหญิงที่อยู่ในบ้านของท่าน”
“ข้าชื่อว่าเซียวหรง และข้าก็เป็นสัตว์วิญญาณของนายท่าน” เซียวหรง
แนะนำตัว
“สัตว์วิญญาณรึ… เช่นนั้นเจ้าก็มิใช่มนุษย์สินะ” ซุนจิงจิงดวงตาเบิก
กว้าง ในเมื่อเซียวหรงดูเป็นมนุษย์ทุกกระเบียดนิ้ว
เพียงไม่กี่นาทีหลังจากที่เธอกล่าวคำพูดเหล่านี้ หูแมวคู่หนึ่งก็ปรากฏ
ขึ้นบนหัวของเซียวหรง
“เซียวหรงเป็นแมวจอมภูต”
“ข-ข้าเข้าใจแล้ว… ข้าชื่อซุนจิงจิง และข้าเองก็เป็นคู่ครองของซู
หยาง” ซุนจิงจิงแนะนำตัวเอง
“คู่ครองรึ…” เซียวหรงเอียงคอด้วยท่าทางสงสัย เห็นได้ชัดว่าไม่
เข้าใจคำพูดนี้
ในเวลาต่อมา ยานบินก็ทะยานผ่านท้องฟ้า แหวกเมฆที่มันสัมผัส
ออกเป็นสองส่วน
…
“เรามาถึงที่แล้ว ซูหยาง”
แม้ว่าจะผ่านไปเพียงสองสามอึดใจ แต่ยานบินก็เดินทางได้หลายพัน
กิโลเมตรภายในสองสามอึดใจนั้น
“แม้ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้อยู่บนสมบัติชิ้นนี้ แต่ความเร็วของมันก็
ยังคงสร้างประสบการณ์ที่น่าประหลาดใจเสมอ” ซุนจิงจิงยิ้ม “แต่
ทว่า… ที่น่าตกใจยิ่งกว่าก็คือ…”
เธอหันไปมองดูเซียวหรงซึ่งสามารถติดตามความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ
ของพวกเขาได้โดยไม่ต้องได้รับความช่วยเหลือจากสมบัติใด ๆ และ
ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ใช้ความพยายามใด ๆ
“เซียวหรง เจ้าเปลี่ยนไปเป็นร่างสัตว์ได้ไหม ตัวตนของเจ้าจักดึงดูด
ความสนใจมากเกินไปที่นี่” เขากล่าวกับเธอ
เซียวหรงพยักหน้า และสองสามอึดใจให้หลัง ร่างมนุษย์ของเธอก็
เปลี่ยนไปเป็นแมวสีขาวธรรมดา
“ว้าว เธอมิใช่มนุษย์จริง ๆ ด้วย…” ซุนจิงจิงพึมพำ ในเมื่อนี่เป็นครั้ง
แรกของเธอที่ได้เห็นฉากมนุษย์เปลี่ยนร่างไปเป็นสัตว์
หลังจากนั้น กลุ่มของพวกเขาก็ลงสู่พื้นห่างจากเมืองไปสองสาม
กิโลเมตร
“ไปกันเถอะซูหยาง สู่บ้านของข้า” ซุนจิงจิงกล่าวด้วยรอยยิ้มสดใส
บนใบหน้าขณะที่เธอจับมือของเขาและเริ่มลากเขาไปยังประตูเมือง
“ถ้าเจ้าดึงแรงเช่นนั้น แขนข้าอาจจะหลุดออกไปก็ได้” ซูหยางหัวเราะ
หึ ๆ
บทที่ 480 ประสบการณ์นรกสวรรค์
สองชั่วโมงผ่านไปนับตั้งแต่การฝึกพิเศษในด้านการปรุงยาของหวัง
ชูเหรินได้เริ่มต้นขึ้น และเธอก็ได้เผาตัวยาไปมากกว่าร้อยชุดแล้ว ยิ่ง
ไปกว่านั้นพวกมันล้วนเป็นแค่เม็ดยาระดับพื้นฐาน เม็ดยาที่เธอสามารถ
ปรุงออกมาได้เป็นปกติแม้กระทั่งอยู่ในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่น
“นี่มันเป็นไปไม่ได้เลย ข้ามิสามารถกระทั่งควบคุมไฟในสภาพ
ปัจจุบันนี้ อย่าว่าแต่จะปรุงยา” หวังชูเหรินร่ำร้องในใจขณะที่เธอเผา
ตัวยาไปอีกชุด
เวลาผ่านไปอีกหนึ่งชั่วโมง และในขณะที่หวังชูเหรินกำลังจะทำได้
นั้น ซูหยางก็พลันพูดกับเธอว่า “ข้าเห็นว่าร่างของเจ้าผ่อนคลายไป
บ้างแล้ว ขึ้นไปบนเตียง พวกเราจะร่วมฝึกวิชาคู่กันอีกครั้งก่อนที่เจ้า
จะเริ่มทำการปรุงยาต่อ”
หวังชูเหรินมองดูเขาด้วยสีหน้างุนงง
“ข-ข้ามิคิดว่าท่านจะซาดิสต์เช่นนั้น ซูหยาง…” เธอกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หวานปนขม
ซูหยางเพียงแค่ยิ้มและกล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้าก็ได้เรียนรู้สิ่งใหม่เกี่ยวกับ
ตัวข้าแล้ว”
ไม่นานหลังจากนั้น ซูหยางก็ถล่มถ้ำของหวังชูเหรินด้วยอาวุธประจำ
กายของเขาจนกระทั่งร่างของเธอสั่นกระตุกไปทั่วทั้งตัว
ครั้นเมื่อเขาเสร็จกิจกับเธอแล้ว หวังชูเหรินก็รู้สึกยิ่งหมดเรี่ยวแรงยิ่ง
กว่าครั้งก่อนเมื่อเกือบไม่มีแรงแม้กระทั่งจะนั่งนิ่ง ๆ
“ท-ท่านมั่นใจว่านี่เป็นการฝึกและมิใช่ว่าเป็นการทรมานข้าแทน…”
หวังชูเหรินถามเขาด้วยเสียงเบาหวิว
“ก็เหมือนกับการฝึกส่วนใหญ่ด้านนอกนั่น ที่ปกติแล้วมันยากมากที่
จะทนในตอนแรก แต่ครั้นเมื่อเจ้าคุ้นเคยกับมัน เจ้าก็จักเข้าใจว่า
วิธีการฝึกฝนแบบนี้มีประสิทธิภาพมากเพียงไหน” ซูหยางกล่าว
“แม้ว่าเจ้าอาจจะมีเคยมีประสบการณ์การฝึกฝนประเภทนี้มาก่อน
จริงแล้วมันค่อนข้างเป็นเรื่องปกติในโลกของข้า แน่นอนว่าหากว่า
พวกเขาไม่ได้ฝึกฝนการฝึกวิชาคู่ พวกเขายังมีวิธีอื่นอีกในการทำให้
ร่างกายหมดแรง แต่ทว่าผลลัพธ์ล้วนเหมือนกันโดยมิต้องคำนึงว่าจะ
ทำอย่างไร”
“เจ้าต้องการที่จะกลายเป็นนักปรุงยาที่ดีที่สุดในโลกนี้ ใช่ไหม ข้า
กำลังช่วยเจ้าให้ได้รับสิ่งนั้นก่อนที่ข้าจักจากไปในเวลาสองปี ซึ่งจัก
เป็นไปไม่ได้ในสถานการณ์ปกติ แต่ถ้าเจ้าปฏิเสธวิธีฝึกนี้จริงจัง ข้าก็
จะฝึกเจ้าแบบปกติ แน่นอนว่าผลลัพธ์ย่อมแตกต่างกันอย่างมากและ
ความสามารถของเจ้าก็จักไปไม่ถึงระดับที่เจ้าจักได้เมื่อเจ้าฝึกโดยใช้
ประสบการณ์นรกสวรรค์ ข้าอนุญาตให้เจ้าเลือกได้ในตอนนี้”
“…”
หวังชูเหรินจ้องมองเตาปรุงยาตรงหน้าเธอด้วยสีหน้าครุ่นคิดอย่าง
จริงจัง
สองสามอึดใจจากนั้นเธอก็พยักหน้า “ข้ามิสนใจว่าท่านจะทำอะไร
กับข้าหรือว่าร่างกายของข้า ข้าต้องการที่จะเป็นนักปรุงยาที่ดีที่สุดที่
โลกนี้เคยเห็นมาก่อน”
หนึ่งชั่วโมง… สองชั่วโมง… สามชั่วโมง… หวังชูเหรินทำการปรุง
ยาต่อไปขณะตกอยู่ภายใต้ความกดดันและหมดเรี่ยวแรงตลอดทั้งวัน
และเมื่อไหร่ก็ตามที่ร่างกายของเธอฟื้นตัวเกือบจะมีแรงที่เคลื่อนไหว
ได้ดี ซูหยางก็จะหยุดการฝึกของเธอมาร่วมฝึกวิชาคู่จนกระทั่งทั้งร่าง
ของเธอรู้สึกเหมือนกับเยลลี่อีกครั้ง
ภายในไม่กี่ชั่วโมงของการฝึกฝน หวังชูเหรินก็หยุดสวมเสื้อผ้า
แม้กระทั่งเมื่อตอนที่เธอปรุงยาในเมื่อร่างกายของเธอเปียกชุ่มไป
ด้วยเหงื่อตลอดเวลา
เช้าวันต่อมา หวังชูเหรินก็นอนเหยียดอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าว่างเปล่า
และดวงตาเหมือนคนตาย ราวกับว่าเธอได้กลายไปเป็นร่างไร้จิตใจ
“รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง” ซูหยางถามเธอด้วยสีหน้าผ่อนคลายบนใบหน้า
ในขณะที่หวังชูเหรินทนแบกรับทั้งคืนทั้งวัน เขาเพียงแค่รู้สึกเป็นสุข
และพึงพอใจจากการร่วมฝึกคู่ของพวกเขา
“ข้า.. ยังคงมีชีวิตอยู่รึ” เธอพึมพำด้วยเสียงที่คล้ายกับยุง
“ขอแสดงความยินดี เจ้าได้ทนวันแรกของการฝึกไปเรียบร้อยแล้ว
หลังจากวันนี้ ข้าจักมาที่นี่อาทิตย์ละครั้งเพื่อดำเนินการฝึกวิธีนี้ต่อไป
ระหว่างช่วงเวลาที่ข้ามิอยู่ที่นี่ เจ้าสามารถปรุงยาได้ตามปกติ”
“ข้าจักกลับไปที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยแล้วในตอนนี้”
“ด-เดี๋ยวก่อน ซูหยาง”
หวังชูเหรินพลันหยุดเขาไว้
“มีอะไรรึ”
“ข้ายังมีเรื่องบางอย่างกับท่าน… ถึงแม้ว่ามันจะมิได้สำคัญอะไรเลย”
ซูหยางพยักหน้าและรอให้เธอพูดต่อ
“ท่านจำหวังเฉินและลูกคนโตของเขา หวังชื่อชง จากการประมูลที่
เมืองหิมะโปรยได้หรือไม่” หวังชูเหรินถามเขา
“ถ้าข้าจำมิผิด ดูเหมือนจะมีแมลงสองสามตัวที่มากวนข้าด้วยชื่อ
คล้ายกันนี้” ซูหยางสบประมาทพวกเขาอย่างไม่ใส่ใจ “ทำไมเจ้าจึง
เอ่ยชื่อพวกนั้น”
“เอ้อ… พวกเขากวนข้านับตั้งแต่การแข่งขันระดับภูมิภาค ร้องขอข้า
ให้ช่วยขอร้องท่านให้ยกโทษให้พวกเขาที่ล่วงเกินท่านที่โรงประมูล
แม้ว่าข้ามิได้ชอบพวกเขาเป็นพิเศษ พวกเขาก็ยังเป็นคนในตระกูลข้า
ดังนั้น…”
เธอกล่าวต่ออีกว่า “พวกเขาบางทีอาจจะหวาดกลัวว่าท่านอาจจะไป
ตามหาพวกเขาเพื่อแก้แค้นในภายหลังในการล่วงเกินท่าน พวกเขา
ยังคงกล่าวว่าพวกเขายินดีที่จะทำทุกอย่างสำหรับให้ท่านยกโทษให้
ซูหยาง ท่านคิดว่าอย่างไร”
แต่ทว่าซูหยางเพียงแค่เย้ยหยันด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “คนแบบนั้นมิ
สามารถล่วงเกินข้าได้ต่อให้พยายามก็ตาม พวกนั้นอยู่ต่ำกว่าข้ามาก
เกินกว่าที่ข้าจะรู้สึกว่าถูกล่วงเกิน แต่ในเมื่อพวกนั้นเป็นคนในตระกูล
ของเจ้า ข้าก็จักปล่อยให้เจ้าจัดการทุกสิ่ง”
“ขอบคุณ ซูหยาง…” เธอกล่าวกับเขา “อีกประการหนึ่งข้าจักทำให้ที่
พักชั่วคราวของท่านเป็นที่พักถาวรเพื่อที่ท่านสามารถกลับมายังที่
เดิมเมื่อท่านกลับมาในอนาคต”
หลังจากนั้น ซูหยางก็กลับไปยังที่พักของเขาเพื่อที่จะรับตัวเซียวหรง
ก่อนที่จะออกจากนิกายดอกบัวเพลิง
ในเวลานั้นภายในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ซุนจิงจิงก็ตรงไปที่พำนัก
ของซูหยางและเคาะประตู
“สวัสดีน้องจิงจิง” ชินเหลียงหยูทักทายเธอที่ประตู
ช่วงที่ผ่านมาสองสามวัน ชินเหลียงหยูได้คุ้นเคยกับศิษย์ทุกคนใน
นิกายกระทั่งกลายเป็นเพื่อนที่ดีกับพวกเธอบางคน ถึงขั้นที่ว่าพวก
เธอเรียกอีกฝ่ายราวกับว่าพวกเธอเป็นพี่น้องกันจริง ๆ และซุนจิงจิงก็
เป็นหนึ่งในคนที่เธอทำตัวเหมือนกับว่าพวกเธอเป็นพี่น้องกัน
เพราะว่ามีอะไรบางอย่างในตัวซุนจิงจิงที่ทำให้ชินเหลียงหยูรู้สึก
ผ่อนคลายเมื่อไหร่ก็ตามที่อีกฝ่ายอยู่ใกล้ ราวกับว่าเธออยู่ใกล้กับซู
หยาง
“พี่สาวเหลียงหยู ซูหยางอยู่ข้างในไหม ข้ามีสิ่งสำคัญบางอย่างที่จะ
พูดกับเขา” ซุนจิงจิงถามอีกฝ่าย
“ไม่ เขาไปนิกายดอกบัวเพลิงเมื่อสองสามวันก่อน แต่อย่างไรก็ตาม
เขาควรจะกลับมาในเร็ว ๆ นี้” ชินเหลียงหยูกล่าว
“อย่างนั้นรึ…” ซุนจิงจิงถอนใจ
“มีอะไรผิดปกติรึ” ชินเหลียงหยูถามอีกฝ่าย
“ไม่ เพียงแค่ว่า…”
ทันใดนั้นเสียงอื่นก็ขัดพวกเธอ
“เฮ้ ทำไมข้าจึงรู้สึกถึงตัวตนซูหยางมาจากเจ้า”
สองสามอึดใจจากนั้น หญิงสาวที่สวยถึงที่สุดที่มีผมสีเงินก็ปรากฏ
ตัวจากภายในห้องหนึ่งในที่พักของซูหยาง สร้างความตระหนกให้กับ
ซุนจิงจิงถึงแก่น
“ท-ท่านคืออาจารย์ของซูหยาง” ซุนจิงจิงอุทานออกมาด้วยความ
ประหลาดใจ
บทที่ 479 การฝึกพิเศษของหวังชูเหริน
หลังจากที่หวังชูเหรินส่งส่วนผสมให้กับเขาแล้ว ซูหยางก็ใช้ไฟปรุง
ยาหุ้มเตา เพิ่มความร้อนให้กับทั้งเตาอย่างรวดเร็ว
“มิว่ากี่ครั้งที่ข้าได้เห็น วิชาและความแม่นยำในด้านอุณหภูมิของเขา
สร้างความตะลึงพรึงเพริดให้แก่ข้าเสมอ หรือว่าเขาเองก็เป็นนักปรุง
ยาในชีวิตก่อนเช่นเดียวกัน…” หวังชูเหรินครุ่นคิดในใจขณะที่เธอ
หลงใหลไปกับเปลวเพลิงที่เต้นระริกอยู่ด้านหน้า
ในสายตาของเธอมันเหมือนกับว่าเปลวเพลิงได้มีชีวิต และพวกมัน
ล้วนเต้นด้วยจังหวะเพลงเดียวกัน ราวกับว่าพวกมันกำลังแสดงละคร
ต่อหน้าผู้ชมซึ่งก็คือหวังชูเหริน
สองสามนาทีให้หลัง ครั้นเมื่อเตาปรุงยาร้อนพอแล้ว ซูหยางก็โยน
ส่วนผสมเข้าไปภายในและปิดฝา
“ดูให้ดี” ซูหยางพลันกล่าวกับเธอ
หวังชูเหรินพยักหน้าด้วยสีหน้าตึงเครียดและจ้องมองที่เตาปรุงยา
พร้อมกับหรี่ตา
แม้ว่าเตาปรุงยาจะอยู่ใกล้และไม่ได้เปิดฝา หวังชูเหรินก็สามารถเห็น
ภายในเตาปรุงยาและทุกสิ่งที่เกิดขึ้นภายในเตาปรุงยาได้ภายในใจ
ของเธอ
ส่วนผสมบางอย่างถูกเผาอย่างรุนแรงจนกระทั่งมีเพียงส่วนผสมที่
บริสุทธ์ิเท่านั้นเหลืออยู่ และส่วนผสมบางอย่างก็ถูกเผาอย่างสมบูรณ์
เปลี่ยนมันไปเป็นควัน แต่อย่างไรก็ตามในเมื่อควันไม่สามารถหนี
ออกไปจากเตาได้ มันก็เริ่มรวมตัวกับส่วนผสมอื่นกลายเป็นบางอย่าง
ที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
และภายในเวลาเพียงไม่กี่นาที หลังจากที่ส่วนผสมทั้งหมดรวมตัว
เข้าด้วยกันหมดแล้ว มันก็สร้างรูปเม็ดยาอย่างรวดเร็ว
หวังชูเหรินมองดูทุกสิ่งที่เกิดขึ้นภายในเตาปรุงยาด้วยดวงตาเบิกกว้าง
เธอไม่เคยเห็นใครปรุงยาด้วยความแม่นยำและรวดเร็วปานนี้ แม้กระทั่ง
จากซูหยางเองก่อนหน้านี้ มันราวกับว่าเธอกำลังดูปาฏิหาริย์เกิดขึ้น
ต่อหน้าต่อตา
สองสามอึดใจให้หลัง ซูหยางก็เปิดเตาและนำเอาเม็ดยาสีทองที่เกิดขึ้น
ภายในนั้นออกมา
“นี่เป็นโอสถเหนือสวรรค์คุณภาพระดับไร้ที่ติ” ซูหยางกล่าวด้วย
สีหน้าเรียบเฉย ทำทีเหมือนกับว่าเขาได้ทำอะไรที่ปกติมาก
“ในเมื่อมันเป็นคุณภาพระดับไร้ที่ติ ถ้าเจ้ากินยานี้ครั้นเมื่อเจ้าเข้าสู่
ระดับสูงสุดของเขตปฐพีวิญญาณ เจ้าก็จักเข้าสู่เขตอัมพรวิญญาณได้
อย่างง่ายดาย แน่นอนว่าเจ้ายังจักไม่สามารถที่จะปรุงยาเหล่านี้ใน
ระดับไร้ที่ติได้ในทันที ดังนั้นพวกมันทั้งหมดจะมีประสิทธิภาพไม่
เท่ากัน”
“อย่างไรก็ตาม เจ้าเข้าใจวิชาของข้าได้บ้างหรือไม่ ข้าตั้งใจทำอย่าง
ช้า ๆ เพื่อที่เจ้าจะได้เห็นมันอย่างชัดเจน” เขาถามเธอ
“แม้ว่าข้ายังมิเข้าใจมันในตอนนี้ แต่ข้าก็จักตีความวิชานี้ให้เข้าใจใน
ที่สุด ในเมื่อข้าได้ประทับทุกการเคลื่อนไหวที่ท่านกระทำไว้ในใจ
ข้าแล้ว” หวังชูเหรินกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
ซูหยางพยักหน้าและกล่าวว่า “ดี เช่นนั้นเจ้าจักเริ่มปรุงยาด้วยวิชานี้
นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าอาจจะเผาสักสองสามร้อยหรือกระทั่ง
นับพันตัวยาระหว่างเจ้าฝึก แต่ครั้นเมื่อเจ้าเข้าใจวิชานี้แล้ว ฝีมือการ
ปรุงยาของเจ้าก็จักเข้าสู่ระดับใหม่อย่างเป็นสากล ระดับที่ไม่มีใคร
ในโลกนี้ที่สามารถเข้าถึงได้”
หวังชูเหรินพยักหน้าและกล่าวว่า “เช่นนั้นข้าจักเริ่มปรุงยาในทันที”
แต่ทว่าซูหยางรีบกล่าวว่า “ใครกล่าวว่าเจ้าได้รับอนุญาตให้ปรุงยา
ในตอนนี้”
“เอ๋” เธอมองดูเขาด้วยใบหน้างงงัน
“ถอดออก” เขาพลันกล่าวสร้างความมึนงงให้กับเธอมากยิ่งกว่าเดิม
“พวกเราจะร่วมฝึกวิชากันในตอนนี้ ครั้นเมื่อเจ้าหมดแรงแล้ว เจ้าจึง
ค่อยเริ่มฝึกปรุงยา”
“เอ๋?!?!” หวังชูเหรินมีสีหน้าตกตะลึงเมื่อได้ยินคำพูดของเขา “ถ้าข้า
ฝึกปรุงยาหลังจากที่ข้าหมดแรง มันจะยิ่งมิยากขึ้นกว่าเดิมสำหรับข้า
ในการเรียนรู้หรอกรึ”
“แน่นอน เจ้าย่อมมิสามารถที่จะเรียนรู้ได้รวดเร็วในตอนแรก แต่ทว่า
ถ้าเราใช้วิธีนี้ในการฝึกฝนตัวเจ้า พลังวิญญาณของเจ้าจักเพิ่มขึ้นอย่าง
เห็นได้ชัด และครั้นเมื่อเจ้าคุ้นเคยกับการปรุงยาภายใต้แรงกดดัน เจ้า
ก็จักสามารถปรุงยาได้อย่างง่ายดายเมื่อยามที่เจ้ามิมีแรงกดดัน และ
วิชาของเจ้าก็จักเพิ่มขึ้นสู่ระดับใหม่” ซูหยางอธิบายให้กับเธอ
“ข้าเข้าใจแล้ว…” หวังชูเหรินพยักหน้าราวกับว่าเธอเข้าใจวิธีการ
ฝึกฝนของเขา
ไม่นานหลังจากนั้น หวังชูเหรินก็ถอดเสื้อผ้าออกเผยให้เขาเห็นร่างที่
เติบโตเต็มวัยและเบ่งบานเต็มที่ของเธอ
ร่างของเธอสูงและมีรูปทรงคล้ายกับนาฬิกาทราย ทรวงอกที่ใหญ่โต
และบั้นท้ายกลมกลึงอิ่มอวบมีอำนาจมากพอที่จะสร้างความหลงใหล
ให้กับชายเกือบทุกคนใต้แผ่นฟ้าแม้กระทั่งยามที่ปกปิดด้วยเสื้อผ้า
ดังนั้นจึงสามารถจินตนาการได้ถึงอำนาจการทำลายล้างของมันยาม
ที่เปิดเผยเปลือยเปล่าอย่างหมดจด
“การปรุงโอสถเหนือสวรรค์นั้นใช้ปราณไร้ลักษณ์ของข้าไปถึงครึ่ง
หนึ่งเมื่อกี้นี้ และข้าก็ได้ให้ยานั้นแก่เจ้าไปแล้ว ดังนั้นข้าจักให้ร่างเจ้า
ชดเชยให้แก่ความสูญเสียของข้า ชูเหริน” ซูหยางตรงเข้าไปหาเธอ
พร้อมรอยยิ้ม
“พวกเราจะทำกันตรงนี้รึ นี่มิใช่สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับ
การกระทำเช่นนั้น และก็มิได้มีเตียงที่นี่เช่นกัน” เธอกล่าวกับเขา
“อย่ากังวลเรื่องเตียง ข้าได้เตรียมมาไว้ให้พวกเราหนึ่งเตียงแล้ว” จาก
นั้นซูหยางก็จึงนำเอาแหวนมิติออกมาและดึงเอาเตียงขนาดคิงไซส์
ออกมาจากภายในนั้น สร้างความตกใจให้กับหวังชูเหริน
“ท-ท่านพกเตียงติดตัวไปด้วยรึ”
“ในชีวิตก่อนของข้า ข้าได้มีแหวนมิติทั้งวงที่มีไว้ใช้สำหรับเก็บเตียง
แต่เพียงอย่างเดียว ดังนั้นข้าจึงมีเตียงพิเศษเฉพาะนับพันเตรียมไว้
สำหรับทุกสถานการณ์ทุกอย่างที่เป็นไปได้” ซูหยางกล่าวกับเธอใน
น้ำเสียงภาคภูมิใจที่ฟังดูแปลกประหลาด
เวลาถัดไป หวังชูเหรินและซูหยางก็เริ่มฝึกวิชาบนเตียง
ดังคาดหวังชูเหรินเริ่มครวญครางเสียงดัง ถมห้องนั้นด้วยเสียงร้อง
เร่าร้อน ในขณะที่ซูหยางกระหน่ำหลืบร่องของหวังชูเหรินด้วยแท่ง
แกร่ง ร่างของเธอสั่นสะท้านอย่างรุนแรงจนทำให้อกใหญ่อวบอิ่ม
ของเธอสั่นกระเพื่อม
หลังจากที่ใช้เวลาหลายนาทีในการฝึกวิชาร่วม เมื่อสุดท้ายหวังชูเหริน
หมดแรงอย่างสิ้นเชิงแล้ว ซูหยางก็ให้เธอฝึกวิชาการปรุงยาด้วยการ
ปรุงยา
“ลืมเรื่องปรุงยาในสภาพนี้ไปได้เลย ข้ามิสามารถแม้จะกระทั่งยก
แขนขึ้นให้เหมาะสมได้” หวังชูเหรินร่ำร้องในใจ รู้สึกเหมือนกับว่า
เธอเพิ่งตื่นขึ้นจากการหลับมานับพันปี
ยิ่งไปกว่านั้นทุกตารางนิ้วบนร่างเธอยังอ่อนไหวถึงที่สุดในตอนนี้
กระทั่งเพียงเหงื่อหยดเดียวที่ไหลไปตามผิวของเธอก็ยังจะทำให้ร่าง
ของเธอมีปฏิกิริยา ทำให้แทบเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะทุ่มเทความสนใจ
ในเตาปรุงยาเมื่อเธอเริ่มมีเหงื่อระหว่างการปรุงยา
“ยินดีต้อนรับสู่ประสบการณ์นรกสวรรค์ของข้า ชูเหริน” ซูหยางกล่าว
กับเธอด้วยรอยยิ้มซาดิสต์ “เมื่อไหร่ที่ข้าฝึกฝนเจ้า เจ้าจักมิได้รับ
อนุญาตให้ปรุงยานอกจากว่าเจ้าจะตกอยู่ในสภาพนี้เท่านั้น”
Dual Cultivation บทที่ 478: นักปรุงยาที่ดีที่สุดในโลก
“ซูหยาง… จะเกิดอะไรขึ้นถ้าข้าต้องการที่จะไปกับท่านด้วย” หวังชูเหรินพลันถามเขาหลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ
“คำพูดสุดท้ายของท่าน…. ฟังดูเหมือนมั่นใจมากว่าข้าจักมิไปพร้อมท่าน บ้าไปแล้ว ท่านไม่แม้จะถามข้าสักคำว่าข้าต้องการที่จะไปด้วยหรือไม่”
“เช่นนั้นเจ้าสามารถที่จะทิ้งความสำเร็จทุกสิ่งทุกอย่างรวมไปถึงตำแหน่งสถานะที่นี่และเริ่มชีวิตใหม่ในสถานที่ซึ่งมิมีใครจะรู้แม้กระทั่งชื่อเจ้าหรือไม่” ซูหยางถามเธอด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
“ชื่อของเจ้าได้ทะยานเข้าสู่ระดับสูงเหนือกว่าเมื่อสามเดือนที่ผ่านมา บางทีอาจจะเป็นนักปรุงยาอันดับหนึ่งในทวีปตะวันออก เจ้าสามารถละทิ้งทุกสิ่งนี้ได้จริงๆรึ”
“…”
หวังชูเหรินคงความเงียบไปชั่วสองสามอึดใจก่อนที่จะพูดขึ้นว่า “ท่านพูดถูก ซูหยาง มันเป็นความไฝ่ฝันของข้าที่จะนักปรุงยาที่มีชื่อเสียงที่เป็นที่รู้จักเกือบทุกคนในทวีปตะวันออก ข้าต้องการเสมอที่จะประสบกับสิ่งที่ประมาณว่าได้รับความนับถือจากนักปรุงยาทุกคนที่ข้าพบเจอ”
“ในตอนนี้ที่ความฝันของข้าได้เป็นความจริงแล้ว ข้ามิสามารถโยนพวกมันทั้งหมดทิ้งไปได้ แม้ว่าทุกสิ่งที่ข้าได้ประสบความสำเร็จทั้งหมดล้วนต้องขอบคุณท่าน”
“อย่างไรก็ตามที่บอกว่าข้าจะมิเปลี่ยนใจที่แห่งไหนสักแห่งในช่วงเวลานี้นะรึ สองปีนั้นเป็นเวลามากพอที่จะเปลี่ยนใจใครสักคน ซูหยาง…”
“บางทีในเวลาสองปี ความสำเร็จทั้งหมดนี้อาจจะมิมีความหมายต่อข้าอีกต่อไป บางทีข้าอาจจะมีความกล้าที่จะละทิ้งพวกมันทั้งหมดและติดตามท่านไป”
ซูหยางยิ้มหลังจากได้ยินคำพูดของเธอและกล่าวด้วยเสียงนุ่มนวลว่า “เช่นนั้นข้าจักถามเจ้าในสองปีให้หลัง แต่ตอนนี้ข้าต้องการให้เจ้ามุ่งเน้นด้านการปรุงยา ในเมื่อข้าต้องการให้เจ้าเป็นมากกว่านักปรุงยาที่ “ดีที่สุด” ในทวีปตะวันออก”
“ท-ท่านหมายความว่าอย่างไรเช่นนั้น” เธอถามเขาด้วยใบหน้างงงัน
“เฉพาะตำรับยาเหล่านี้เพียงอย่างเดียว เจ้าก็ได้ล้ำหน้านักปรุงยาทุกคนในโลกนี้ไปแล้ว ครั้นเมื่อเจ้าเชี่ยวชาญพวกมันแล้ว เจ้าก็จักกลายเป็นตัวตนหาใครเทียบได้ในด้านการปรุงยา และชื่อเจ้าก็จักปรากฏในประวัติศาสตร์ไปชั่วกาล” ซูหยางอธิบายให้เธอฟังด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ซูหยาง…” หวังชูเหรินน้ำตาคลอเบ้าหลังจากที่ตระหนักว่าซูหยางได้วางแผนอะไรไว้ให้เธอ
ถ้าเธอไม่ได้พบกับเขาที่โรงประมูลดอกบัวเพลิงปีที่แล้ว บางทีเธออาจจะยังคงเป็นเพียงผู้อาวุโสนิกายต่ำต้อยที่มีทักษะการปรุงยาต่ำต้อยอยู่จนกระทั่งตอนนี้
ถ้าเธอไม่ได้ทิ้งความภาคภูมิใจของเธอในฐานะผู้อาวุโสเอาไว้ก่อนและเตะซูหยางออกไปจากโรงประมูลในวันนั้น ความสำเร็จทั้งหมดของเธอก็อาจจะเป็นความสำเร็จของใครคนอื่น และเธอก็คงจะเตะตนเองด้วยความเสียใจทุกวันจนถึงกระทั่งวันสุดท้ายของชีวิตหากว่าเธอได้รู้ว่าเธอพลาดโอกาสครั้งเดียวในชีวิต
“อย่างไรก็ตามถ้าเจ้าจะเป็นนักปรุงยาที่ดีที่สุดที่โลกนี้ได้เคยเห็นมา ข้าจำเป็นต้องฝึกเจ้าให้ดี” ซูหยางพลันพูดขึ้น “เริ่มจากวันนี้ ข้าจักมาที่นี่อาทิตย์ละหนึ่งครั้งเพื่อสอนเจ้าถึงวิธีการปรุงยาให้ดี และนี่จักดำเนินต่อไปจนกระทั่งข้ารู้สึกว่าเจ้าดีพอแล้ว”
“จริงรึ” หวังชูเหรินจ้องมองเขาด้วยท่าทางประหลาดใจ “ท่านต้องผ่านพบอุปสรรคมากมายเพียงเพราะข้า”
“นี่มิใช่เพียงเพื่อเจ้า แต่เป็นเพื่อทุกคนในโลกนี้” ซูหยางตอบกลับด้วยรอยยิ้มลึกลับ “ข้าต้องการยกระดับมาตรฐานของการปรุงยาในโลกนี้อีกสักสองสามระดับ อีกนัยหนึ่งก็คือมันเป็นการเข้าสู่ยุคใหม่”
“เจ้าไปได้แล้วในตอนนี้ ข้าจักไปหาเจ้าครั้นเมื่อข้าเสร็จธุระตรงนี้แล้ว”
“ท่านหมายถึงเหล่าศิษย์เบื้องนอกนั่นรึ นั่นต้องใช้เวลาหลายวันในการที่จะทำให้พวกเธอทั้งหมดจากไป” หวังชูเหรินกล่าว
“เช่นนั้นเจ้าควรใช้เวลาในตอนนี้เตรียมตัว เพราะว่าเจ้าจักมิมีช่องว่างให้พักเมื่อข้าเริ่มต้นกับเจ้า”
หวังชูเหรินพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง ก่อนที่จะจากที่แห่งนั้นไป
ครั้นเมื่อหวังชูเหรินไปแล้ว ซูหยางก็กลับไปทำกิจกรรมเซ็นลายเซ็นกับเหล่าศิษย์ด้านนอกต่อ
สามวันให้หลัง ซูหยางก็ตรงไปยังที่พักของหวังชูเหริน ซึ่งเป็นคฤหาสน์ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ข้างกับคฤหาสน์ของผู้นำนิกาย เห็นได้ชัดว่าโหวเยินเจียมีความนับถือและให้คุณค่ามากเพียงใดหลังจากที่เห็นสภาพความเป็นอยู่ของเธอ
มันยิ่งใหญ่เสียจนกระทั่งถ้าใครไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ของพวกเขา เขาเหล่านั้นอาจจะกระทั่งคิดว่าโหวเยินเจียคลั่งไคล้หวังชูเหริน
“ดูเหมือนว่าความเป็นอยู่ของเจ้าได้พัฒนาขึ้นเล็กน้อยนับตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่ข้ามาเยี่ยมบ้านเจ้า” ซูหยางทักทายเธอด้วยรอยยิ้ม
“เล็กน้อยรึ…” หวังชูเหรินหัวเราะคิกคักเมื่อได้ยินเขาดูถูก “มันเพิ่งสร้างขึ้นได้มินานเช่นกัน รายได้ของพวกเราเพิ่มขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดเพราะว่ายาของข้า ค่อนข้างจะมากโขอยู่”
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเธอได้ออกไปจากการพักอยู่ในบ้านหลังเล็กๆมาสู่คฤหาสน์โครตหรู แต่หากพิจารณาสถานะและความร่ำรวยของเธอในปัจจุบัน ก็ไม่ถือว่าเป็นการพูดโอ้อวดว่าเธอสมควรแล้วที่จะอยู่ในที่หรูหราเช่นนี้
“พาข้าไปยังห้องยาของเจ้า” ซูหยางกล่าวกับเธอ
หวังชูเหรินพยักหน้าและพาเขาไปยังภายในอาคารและจากนั้นก็ไปยังห้องว่างขนาดใหญ่ที่ไม่มีการประดับตกแต่งหรือเครื่องเรือนที่ไม่จำเป็น
นอกจากตู้ขนาดเล็กที่มุมห้องที่ส่งกลินหอมของสมุนไพรและตัวยาแล้ว ก็ยังมีเตาปรุงยาที่ดูล้ำค่ากลางห้องด้วยเช่นกัน
“เตาปรุงยานี้ค่อนข้างดีทีเดียว” ซูหยางชมเชยหม้อปรุงยาก ในเมื่อมันเป็นเตาปรุงยาที่ดีที่สุดที่เขาเคยเห็นในโลกนี้มาจนถึงตอนนี้
“เตาปรุงยานี้เป็นสมบัติระดับสวรรค์ และข้าได้ใช้หินวิญญาณสามล้านก้อนไปกับมัน” หวังชูเหรินกล่าวด้วยรอยยิ้มหวานอมขมกลืน ในเมื่อนี่เป็นจำนวนที่มากที่สุดที่เธอเคยใช้กับของเพียงชิ้นเดียว
“อย่างไรก็ตามเจ้าได้วัตถุดิบทั้งหมดที่ข้าต้องการระหว่างการประมูลที่เมืองหิมะโปรยหรือไม่” ซูหยางพลันถามเธอ
“ได้ แม้ว่าพวกมันบางอย่างจะหายาก ข้าก็สามารถที่จะซื้อส่วนผสมทุกอย่างในรายการได้ พวกมันล้วนถูกเก็บไว้ในตู้นั้น” หวังชูเหรินกล่าวขณะที่เธอชี้ไปยังตู้ที่มุมห้อง
“ดี เพราะว่าส่วนผสมเหล่านั้นจำเป็นในการปรุงยาใหม่ ก่อนข้าจะสอนเจ้า ข้าจักทำการสาธิตวิชาของข้าก่อน” ซูหยางทำการพูดถึงชื่อส่วนผสมสองสามอย่าง และหวังชูเหรินก็นำส่งพวกมันให้กับเขาหลังจากนั้นไม่กี่อึดใจต่อมา
“ข้าจักทำเช่นนี้เพียงครั้งเดียว ดังนั้นจงดูและเรียนรู้” เขากล่าวก่อนที่จะนั่งตรงหน้าเตาปรุงยา
Dual Cultivation บทที่ 477: โอสถเหนือสวรรค์
หลังจากที่กลับสู่นิกายและรู้ว่าซูหยางรอคอยเธออยู่ หวังชูเหรินรีบมุ่งหน้าไปยังเขตกลาง
แต่ทว่าเมื่อเธอไปถึงที่นั่น เธอก็ต้องงุนงงกับฉากตรงหน้าเธอ
มีศิษย์หลายสิบ— หลายร้อยคนยืนอยู่ข้างนอกที่พักของซูหยาง ดูเหมือนว่าทั้งหมดรอคอยที่จะพบกับเขา
“เกิดอะไรขึ้นที่นี่”
เมื่อเหล่าศิษย์สังเกตเห็นร่างของหวังชูเหรินตรงเข้าไปหาพวกเขา พวกเขาทั้งหมดต่างก็โน้มตัวลงทักทายเธอ
“ศิษย์ผู้นี้ขอทักทายผู้อาวุโสหวัง”
“ผู้อาวุโสหวัง”
“ยินดีต้อนรับกลับ ผู้อาวุโสหวัง”
อีกชั่วขณะหลังจากนั้นเมื่อหวังชูเหรินไปถึงด้านหน้า ซูหยางก็มองดูเธอและยิ้ม “พักหนึ่งแล้ว ชูเหริน ข้าได้แต่คอยเจ้ากลับมา รู้ไหม”
“ซ-ซูหยาง ข้า–”
ก่อนที่เธอจะทันพูด ซูหยางก็ส่ายหน้าและกล่าวว่า “เราไปพูดกันด้านในเถอะ”
หวังชูเหรินพยักหน้าและเข้าไปในอาคารในเวลาถัดไป
“ข้าขอโทษ แต่ข้าจักกลับมาในภายหลัง” ซูหยางกล่าวกับเหล่าศิษย์ที่รอคอยอยู่ด้านนอกก่อนที่จะปิดประตูใส่พวกเขา
“ข้าต้องขอโทษเป็นอย่างมากที่ทำให้ท่านรอข้า ซูหยาง ถ้าท่านบอกข้าล่วงหน้า ข้าจะชะลอธุระทั้งหมดของข้า—”
“มีมีปัญหา ข้ามาที่นี่โดยไม่ได้ประกาศแค่นั้น” เขาตัดบทเธออีกครั้ง “ทำไมเรามิไปนั่งและพูดเกี่ยวกับแผนของเราล่ะ”
“ช-ใช่แล้ว นี่เป็นเหตุผลที่ทำไมข้าจึงออกจากนิกายไปสองสามวัน นับตั้งแต่การค้นพบโอสถสู่ปฐพี ข้าก็ได้ติดต่อเกือบทุกตระกูลใกล้เคียงที่มีขุมกำลังในทวีปตะวันออก” หวังชูเหรินอธิบาย
“พวกเขาสองสามตระกูลต้องการจ้างข้าเป็นนักปรุงยาให้กับพวกเขา แต่ว่าพวกเขาส่วนใหญ่เพียงแค่ต้องการซื้อโอสถสู่ปฐพี แน่นอนว่า ข้าได้บอกพวกเขาเกี่ยวกับการประชุม และพวกเขาทั้งหมดก็ตกลงด้วย”
“ในตอนนี้ พวกเรามีทั้งหมด 69 สำนักและ 121 ตระกูลที่จะเข้าร่วมในการประชุมที่ท่านต้องการให้ข้าจัดขึ้น ข้าได้จัดการจับจองสถานที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเราเพียงแค่ต้องการรู้ว่าเมื่อไหร่ที่จะจัดการประชุมขึ้น”
“เดือนหน้า” ซูหยางพลันพูด “การประชุมนี้จะเกิดขึ้นหลังจากวันนี้ไปอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า”
“ด-เดือนหน้ารึ เช่นนั้นข้าจักแจ้งให้สำนักและตระกูลที่จะเข้าร่วมทันทีเกี่ยวกับข่าวนี้” แม้ว่าเธอไม่คาดคิดว่าการประชุมจะเกิดขึ้นเร็วนัก หวังชูเหรินก็ตอบสนองอย่างยินดีโดยไม่สนใจอะไร
ซูหยางพูดต่อว่า “มันจักเกิดขึ้นหลังจากการรับศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม พวกเราจักมิพูดเกี่ยวกับโอสถสู่ปฐพี”
“ท่านหมายความว่าอย่างไรเช่นนั้น ซูหยาง เหตุผลเดียวที่ผู้คนสนใจก็เพราะว่าโอสถสู่ปฐพี นอกจากว่าพวกเรามีอย่างอื่นที่น่าตกใจยิ่งกว่าเม็ดยานั่นไปแสดงให้พวกเขาเห็น พวกเขาย่อมมิสนใจมันแน่”
ซูหยางไม่ได้ตอบเธอในทันที เพียงแค่นำเอาแหวนมิติออกมา
อีกไม่กี่วินาทีให้หลัง ม้วนคัมภีร์หลายม้วนก็วางลงบนโต๊ะเบื้องหน้าพวกเขา
“นี่คืออะไร” หวังชูเหรินมองดูม้วนคัมภีร์ด้วยความสนใจ
“ตำรับยา ให้ถูกต้องก็คือพวกมันทั้งหมดเป็นยาที่ไม่ได้ปรากฏในโลกนี้ในตอนนี้”
หวังชูเหรินจ้องมองเขาด้วยดวงตาเบิกกว้างหลังจากที่ได้ยินคำพูดเช่นนั้น และเธอก็อดไม่ได้ที่จะถาม “ท่านเป็นใครกันแน่ ซูหยาง”
ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “เจ้าซื่อสัตย์ต่อข้ามากในช่วงเวลากว่าสองสามเดือนมานี้ ดังนั้นข้าจักบอกกับเจ้าสักเล็กน้อยเกี่ยวกับตัวข้าถือเป็นรูปแบบการขอบคุณอย่างหนึ่ง”
“ข้าชื่อซูหยาง แต่เจ้ารู้จักอยู่แล้ว แต่ทว่าสิ่งที่เจ้ายังไม่รู้ก็คือข้าในตอนนี้ใช้ชีวิตที่สองอยู่ และนั่นทำให้ข้ามีความทรงจำของชีวิตก่อน”
“อ-อะไรนะ… ความทรงจำของชีวิตก่อนรึ” หวังชูเหรินจ้องมองเขาด้วยสีหน้าว่างเปล่า ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ
“ข้าเป็นเซียนในชีวิตก่อน และข้ามีชีวิตอยู่ในที่แห่งใดแห่งหนึ่งห่างออกไปไกลมากจากที่แห่งนี้ แต่น่าเสียดายเพราะว่าสถานการณ์บางอย่างจึงทำให้ข้าเกิดขึ้นมาในโลกนี้”
“เจ้าอาจจะไม่เชื่อคำพูดของข้าในตอนนี้ แต่ครั้นเมื่อเจ้าเห็นตำรับยาเหล่านี้ เจ้าจักรู้ว่าข้าพูดเรื่องจริง” ซูหยางกล่าวพร้อมรอยยิ้ม ดูราวกับว่าเขาสามารถอ่านใจเธอได้
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเขา หวังชูเหรินก็ไม่ยอมเสียเวลา มองดูม้วนคัมภีร์บนโต๊ะ
“เม็ดยาระดับสวรรค์ โอสถรวมปราณ… กินเม็ดยานี้จักเพิ่มประสิทธิภาพการฝึกวิชาเป็นสองเท่าเป็นเวลา 12 ชั่วโมง มีประสิทธิภาพกับผู้ที่อยู่ต่ำกว่าเขตอัมพรวิญญาณ”
“เม็ดยาระดับสวรรค์ โอสถร้อยทิวา เมื่อกินเม็ดยานี้แล้ว พลังการฝึกปรือจักเพิ่มขึ้นราวกับว่าได้ฝึกฝนมาเป็นเวลาร้อยวัน สามารถกินได้เพียงหนึ่งครั้งทุกสี่ปี”
“เม็ดยาระดับสวรรค์ โอสถคืนสวรรค์พิภพ… กลืนกินเม็ดยานี้จักฟื้นคืนพลังปราณไร้ลักษณ์ที่สูญเสียไปทั้งหมดของทุกคนในทันทีแม้ว่าจะเป็นจอมยุทธเขตอัมพรวิญญาณก็ตาม”
“เม็ดยาระดับราชันย์ โอสถเหนือสวรรค์… ตราบใดที่คนใดคนหนึ่งที่อยู่ในระดับสูงสุดของเขตปฐพีวิญญาณกินยานี้ พวกเขาจักมีโอกาส 100% ที่จะทะลวงเข้าสู่เขตอัมพรวิญญาณ”
“ซ-ซูหยาง… ตำรับยาเหล่านี้คือ…”
หวังชูเหรินอ่านตำรับยาด้วยมือที่สั่นระริก ความตกใจของเธอเพิ่มขึ้นในทุกม้วนคัมภีร์ที่เธอหยิบขึ้นมา
“พวกนี้เป็นเพียงยาสองสามชนิดที่มิได้ปรากฏในโลกนี้แต่เป็นสิ่งที่ธรรมดาอย่างยิ่งในสถานที่ซึ่งข้าได้จากมา” ซูหยางกล่าวกับเธอด้วยใบหน้าสงบราบเรียบ
“ท-ทำไมท่านจึงแสดงตำรับยาเหล่านี้ให้ข้า ซูหยาง… ข้าย่อมเชื่อท่านถึงแม้ว่าท่านมิได้แสดงพวกมันให้แก่ข้า ท่านเคยคิดบ้างไหมว่าพวกมันมีค่ามากน้อยเพียงไหน…” หวังชูเหรินมองดูเขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง ดูมึนงงอย่างมากกับการกระทำของเขา
“แม้ว่าพวกมันดูเหมือนจะมีค่ามหาศาลในสายตาของเจ้า แต่มันมิมีความสลักสำคัญอะไรในสายตาของข้า ถ้ามิใช่เพราะความจริงที่ว่าเจ้ามิอาจจะปรุงยาที่แรงกว่านี้ ข้าก็จักให้ตำรับยามากกว่านี้”
“ส่วนที่ว่าทำไมข้าจึงแสดงตำรับยาเหล่านี้ให้แก่เจ้า นั่นง่ายดายมากก็เพราะว่าข้าต้องการให้เจ้าได้มันไว้ มันเป็นของขวัญจากข้าก่อนที่ข้าจะจากโลกนี้ไปและกลับคืนสู่โลกเดิมของข้า”
“ด-เดี๋ยวก่อน… ท่านกำลังจะจากที่แห่งนี้ไปรึ เมื่อไหร่ที่ท่านจะไป และแท้จริงแล้วที่แห่งนั้นอยู่ไกลแค่ไหน”
“ข้าจักจากไปในอีกสองปี แต่กระทั่งข้าเองก็มิรู้ว่ามันไกลแค่ไหน” ซูหยางตอบพร้อมรอยยิ้ม “และเมื่อยามที่ข้าจากไป ข้าต้องการให้เจ้าปกป้องนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยแทนข้าในกรณีที่มีความต้องการ”
“…”
หวังชูเหรินพูดไม่ออก และเธอก็ใช้เวลาอีกสองสามนาทีในการย่อยข้อมูลใหม่ทั้งหมดนี้อย่างเงียบๆ
Dual Cultivation บทที่ 476: หวังชูเหรินกลับมาแล้ว
“ท่านผู้นำนิกายโหว คงต้องทำอะไรสักอย่างเรื่องศิษย์หญิง หลังจากที่ซูหยางมาถึงนับตั้งแต่วานนี้ พวกเธอก็พากันบ้าคลั่ง”
เช้าวันถัดมาเหล่าผู้อาวุโสนิกายต่างก็พากันเข้าไปหาโหวเยินเจียพร้อมกับร้องเรียนในเรื่องสถานการณ์
โหวเยินเจีมองดูใบหน้าที่โกรธเกรี้ยวและหมดเรี่ยวแรงตรงหน้าเขาด้วยรอยยิ้มขื่นขม ถึงแม้ว่าพวกเขาต้องการความช่วยเหลือจากเขา แต่ก็ไม่มีอะไรที่เขาจะสามารถทำได้ในสถานการณ์นี้จริงๆนอกจากจะรอให้หวังชูเหรินกลับมา ซึ่งไม่ใช่ว่าพวกเขาจะสามารถเตะซูหยางออกจากนิกายเพียงเพราะว่าเป็นที่นิยมในหมู่หญิงสาวเกินไปได้สักหน่อย
“พวกเจ้าต้องทนต่อไปนับแต่บัดนี้ เขาจักจากไปในอีกสามวันเป็นอย่างมาก” โหวเยินเจียกล่าวกับผู้อาวุโสนิกายที่ไม่พึงพอใจ
“ข้ามิสามารถทนยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้อีกแม้สักชั่วโมง อย่าว่าแต่สามวัน”
“ทำไมเรามิเพียงแค่ยอมให้ศิษย์เหล่านี้ไปพบกับซูหยางล่ะ นั่นจะทำให้ชีวิตของพวกเราง่ายขึ้น”
“แล้วก็เพิกเฉยต่อกฏของนิกายนะรึ มีเพียงแต่คนที่มีคุณค่าเท่านั้นที่ยอมให้เข้าไปในเขตกลาง และก็เป็นเช่นนี้มาตลอดหลายร้อยปีแล้ว อุกอาจเกินไปแล้ว”
“กฏสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีโอกาสพิเศษที่ยอมให้ศิษย์ทั่วไปเข้าไปในเขตกลาง พวกเราเพียงแค่ทำให้มันเป็นเหมือนกับว่าสถานการณ์ในปัจจุบันของเราเป็นกรณีพิเศษ”
“ท่านผู้นำนิกาย ท่านคิดว่าเราควรทำอย่างไรดี พวกเราควรทำให้นี่เป็นโอกาสพิเศษหรือไม่”
สุดท้ายผู้อาวุโสนิกายก็หันไปดูโหวเยินเจียเพื่อหาคำตอบ
“มีพวกเจ้าอยู่สิบเอ็ดคนในที่นี้ ทำไมพวกเจ้ามิลงคะแนนโดยปกปิดตัวตนล่ะ” เขาแนะนำ
ผู้อาวุโสนิกายพยักหน้าและตัดสินใจลงคะแนนในเรื่องนี้โดยไม่เปิดเผยตัวตน
“เช่นนั้นเราจักลงคะแนนว่าเราควรยอมให้ศิษย์เหล่านี้พบกับซูหยางดีหรือไม่”
สองสามนาทีหลังจากนั้น ผลลัพธ์ก็ออกมา
ห้าคนลงคะแนนขัดกับการตัดสินใจนั้นในขณะที่หกคนลงคะแนนเห็นด้วยกับการตัดสินใจนั้น
“ตัดสินได้แล้ว เราจักยอมให้ศิษย์เข้าไปในเขตกลางเพื่อพบกับซูหยาง แต่ทว่าถ้าพวกเขาเดินสะเปะสะปะ พวกเราจักลงโทษพวกเขาทันที”
ครั้นเมื่อตัดสินใจได้แล้ว ผู้อาวุโสนิกายก็ประกาศข่าวให้กับศิษย์
เมื่อได้ยินข่าวนี้ ศิษย์หญิงหลายร้อยก็ตรงเข้าไปยังที่พักของซูหยางอย่างรวดเร็ว สร้างความงงงันให้กับทั่วทั้งนิกาย
“ก-เกิดอะไรขึ้นที่นี่กันแน่” หลินเชาชางร้องออกมาดังๆเมื่อเธอเห็นภาพด้านนอกหน้าต่างในตอนเช้าตรู่
มีแถวของศิษย์นับไม่ถ้วนต่อคิวกันจากตรงหน้าประตูบ้านซูหยาง และพวกเธอทั้งหมดหากไม่เป็นศิษย์ในก็เป็นศิษย์นอก
“เกิดอะไรขึ้นมีแต่ศิษย์หลักกับผู้อาวุโสนิกายที่ยอมให้อยู่ภายในเขตกลางมิใช่รึ”
หลังจากนั้น ศิษย์อวี้ก็ปรากฏตัวขึ้นที่บ้านของเธอและอธิบายสถานการณ์ให้เธอฟัง
“ผู้อาวุโสนิกายตกลงยอมให้เหล่าศิษย์พบกับซูหยางงั้นรึ”
หลินเชาชางพึมพัมด้วยสีหน้าสับสน
“นี่เป็นสถานการณ์ที่มิเคยมีมาก่อน” ศิษย์อวี้ถอนหายใจ “ข้าดีใจที่ข้าได้พบกับซูหยางเมื่อคืน”
“…”
หลินเชาชางพูดไม่ออก ในเมื่อเธอไม่รู้ว่าควรจะตอบสนองต่อคำพูดเช่นนั้นอย่างไร
ในเวลานั้นภายนอกบ้านของเธอ ซูหยางกำลังวุ่นวายอยู่กับการเซ็นลายเซ็นให้กับเหล่าศิษย์
“ท่านสามารถจับมือกับข้าได้ไหม พี่ชายซูหยาง” หนึ่งในบรรดาศิษย์ถามเขาด้วยดวงตาอ้อนวอน
ซูหยางพยักหน้าและยื่นมือของเขาออกรับรู้ถึงผิวอ่อนนุ่มของศิษย์คนนั้นในเวลาต่อมา
และแม้ว่าจะมีน้อยมาก แต่ก็ยังมีศิษย์ชายสองสามคนในแถว พวกเขาคิดว่าถ้าพวกเขาได้ลายเซ็นของซูหยาง พวกเขาก็จะสามารถใช้มันในการจีบหญิงอื่นในอนาคต
“พี่ชายซูหยาง ท่านสามารถเซ็นชื่อตรงนี้ได้ไหม” หนึ่งในศิษย์หญิงพลันยกชายผ้าขึ้นและชี้ไปยังกางเกงในสีขาวของเธอ สร้างความงงงันให้กับเหล่าศิษย์ที่อยู่เบื้องหลังเธอ
เห็นเช่นนั้น ซูหยางก็ยังยิ้มและพยักหน้า
ศิษย์วัยรุ่นนั้นจึงหันบั้นท้ายไปหาเขาและก้มตัวลง
โดยไม่ลังเล ซูหยางก้มตัวลงและจับบั้นท้ายของเธอด้วยมือของเขาจนทำให้ศิษย์คนนั้นร้องครางออกมาด้วยความประหลาดใจ ก่อนที่เขาจะเริ่มเขียนชื่อตนเองลงบนกางเกงในของศิษย์คนนั้น
“ข-ขอบคุณพี่ชายซูหยาง ข้าจักมิซักกางเกงในตัวนี้อีกเลย” ศิษย์วัยรุ่นขอบคุณเขาด้วยใบหน้าแดงก่อนที่จะรีบวิ่งจากไป ปล่อยให้ผู้คนที่อยู่ที่นั่นพูดไม่ออก
ครั้นเมื่อซูหยางเสร็จสิ้นคำขอเจ้าปัญหาแรกจากศิษย์คนนั้น ศิษย์คนอื่นๆต่างก็เริ่มพากันขอให้เขาเซ็นชื่อในที่ซึ่งไม่ใช่ผ้าเช็ดหน้าหรือกระดาษของตนเอง
อย่างไรก็ตามเมื่อเหล่าศิษย์ปรากฏตัวมากยิ่งขึ้น คำขอก็ยิ่งอุกอาจยิ่งขึ้นจนกระทั่งคาบลูกคาบดอก
“พี่ชายซูหยาง ท่านพอจะช่วยเซ็นตรงนี้ได้ไหม”
หนึ่งในเหล่าศิษย์พลันดึงด้านหนึ่งของชุดของเธอลง เผยให้เห็นอกข้างหนึ่งของเธอและบราสีแดงที่รองรับมันไว้
“แน่นอน” ซูหยางเซีนลงไปด้วยรอยยิ้มสงบบนใบหน้า ราวกับว่าเขาทำเช่นนี้มาหลายครั้งก่อนหน้านี้แล้ว
เวลาหลายชั่วโมงผ่านไปนับตั้งแต่ซูหยางเริ่มเซ็นลายเซ็นให้กับบรรดาแฟนหญิงของเขา แต่ก็แถวด้านนอกบ้านของเขาก็ยังคงไม่มีวี่แววที่จะซาลง โชคยังดีที่เขายังไม่มีอะไรทำจนกว่าหวังชูเหรินจะกลับมา ดังนั้นเขาจึงเดินหน้ายอมเสียเวลาทำให้เหล่าศิษย์ของนิกายดอกบัวเพลิงมีความสุข
“ข้ามิอยากเชื่อ มันเหมือนกับมีละครสัตว์สร้างขึ้นด้านนอกบ้านข้า” หลินเชาชางพยายามนับครั้งไม่ถ้วนที่จะหาความสงบและฝึกวิชา แต่เธอก็ตระหนักในไม่ช้าว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะฝึกโดยมีความวุ่นวายอยู่ด้านนอก ดังนั้นเธอจึงยอมยกเลิกการฝึกทั้งหมดและได้แต่จ้องมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยใบหน้างุนงง คิดสงสัยในใจอย่างเงียบๆว่าเมื่อไหรทั้งหมดนี้จะจบสิ้นเสียที
สองวันหลังจากนั้นสุดท้ายหวังชูเหรินก็กลับมายังนิกาย และเธอก็พลันได้รับการต้อนรับจากโหวเยินเจียและผู้อาวุโสนิกายหลายคน
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมพวกท่านทั้งหมดจึงดูหมดเรี่ยวแรง” หวังชูเหรินถามพวกเขาด้วยใบหน้างงงัน
ผู้อาวุโสนิกายทำการอธิบายให้หวังชูเหรินฟังถึงสถานการณ์ แต่เมื่อรู้ว่าซูหยางได้รอเธอกลับเป็นเวลาสามวันแล้ว ใบหน้าเธอก็ซีดเผือด
“ทำไมพวกท่านมิเรียกข้ากลับมาเร็วกว่านี้” เธอตวาดใส่พวกเขาอย่างรวดเร็ว
“ต-แต่ท่านสั่งพวกเราอย่างเคร่งครัดว่าห้ามติดต่อท่านนอกจากว่ามันเป็นเรื่องเร่งด่วน…” หนึ่งในผู้อาวุโสนิกายกล่าวด้วยใบหน้าตกตะลึง
“ถ้าซูหยางมาเองที่นี่เพื่อหาข้า นั่นหมายความว่านั่นเป็นเรื่องเร่งด่วน บ้าชิบ” หวังชูเหรินไม่สนใจพวกเขาอีกต่อไปและรีบมุ่งหน้าไปยังเขตกลาง ที่ซึ่งซูหยางได้รอคอยอยู่
Dual Cultivation บทที่ 475: สร้างความโกลาหลที่นิกายดอกบัวเพลิงอีกครั้ง
“ข้าจักพบกับเจ้าอีก ซูหยาง”
หญิงสาววัยรุ่นสง่างามสวมชุดศิษย์หลักเดินออกจากบ้านของซูหยางอย่างมีความสุขพร้อมกับผิวแวววาวและสีหน้าพึงพอใจ
“บาย” ซูหยางโบกมืออำลาเธอพร้อมด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
ในเวลานั้นอีกฝั่งของถนน หลินเชาชางมองดูพวกเขาผ่านทางหน้าต่างด้วยสีหน้ารำคาญ
“น-นี่เป็นศิษย์หลักคนที่เก้าแล้วที่เข้าไปเยี่ยมเขาในวันนี้ เขาทำอย่างไรกันจึงทำให้หญิงสาวเหล่านี้เข้าไปหาเขาโดยมิต้องแม้กระทั่งออกจากตัวอาคาร นี่ช่างอุกอาจ” เธอร่ำร้องในใจ
นับตั้งแต่ซูหยางกลับถึงที่พักของเขาในครั้งนั้น เขาก็ไม่ได้ก้าวออกไปจากประตูอีกเลย แต่ว่าเขาก็ยังสามารถดึงดูดเหล่าศิษย์หลักพวกนี้ให้เข้าไปในบ้านของเขาได้ และนี่ทำให้หลินเชาชางจิตใจสับสนจนไม่สามารถที่จะฝึกฝนวิชาได้อย่างสงบเพราะพวกเธอ
สองสามชั่วโมงหลังจากนั้น เมื่อดวงเดือนปรากฏขึ้นบนท้องฟ้ามานานแล้ว ก็ยังเห็นศิษย์หญิงคนอื่นเดินไปยังที่พักของซูหยาง
“เธอคือ…”
เมื่อหลินเชาชางเห็นร่างที่ตรงเข้าไปนี่ เธอก็พลันเปิดหน้าต่างและเรียกอีกฝ่ายทันที “น้องหญิงอวี้ เจ้าจะไปไหนดึกดื่นปานนี้รึ”
“พี่หญิงหลิน ข้า…ข้ามีนัดหมายกับซูหยาง เขาสัญญากับข้าว่าจะสอนวิชากระบี่ให้ข้าสักสองสามกระบวนท่า” ศิษย์คนนี้ตอบกลับด้วยรอยยิ้มกระอักกระอ่วนบนใบหน้าเธอ
“กระทั่งเธอก็ยังโกหกซึ่งหน้าข้า” หลินเชาชางร้องในใจ
ศิษย์อวี้คนนี้ไม่เพียงเป็นแค่ศิษยหลัก เธอได้เข้ามานิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยในเวลาเดียวกันกับหลินเชาชาง และทั้งคู่ก็ได้ฟันฝ่าอุปสรรค์มากมายมาด้วยกันนับตั้งแต่พวกเธอเป็นเพียงแค่ศิษย์นอก กลายเป็นศิษย์หลักในเวลาใกล้เคียงกัน
ทั้งสองคนเป็นมากกว่าเพื่อน โดยหลักแล้วพวกเธอเป็นพี่น้องกัน
และเมื่อมาคิดว่าน้องของเธอคนนี้โกหกต่อหน้าเธอ นี่สร้างความตกใจให้กับหลินเชาชางอย่างมาก
“อย่าโกหกข้า น้องหญิงอวี้ มิมีทางแน่นอนที่เจ้าจักมาที่นี่จนดึกดื่นเพียงเพื่อเรียนวิชากระบี่จากซูหยาง” หลินเชาชางไม่สามารถทนฝืนตัวเองให้ยอมรับคำโกหกนี้ได้จึงได้พูดต่ออีกฝ่าย
ในการตอบกลับกับคำพูดของหลินเชาชาง ศิษย์อวี้แสดงสีหน้าแดงซ่านและกล่าวว่า “ถ้าท่านรู้แล้วว่าทำไมข้ามาที่นี่ เช่นนั้นทำไมท่านจึงมาถามข้าล่ะ พี่หญิงหลิน ท่านล้อข้าเล่นรึ”
“ม-ไม่ ข้าเพียงแค่ต้องการที่จะรู้ว่าทำไมเจ้าจึงต้องการคนอย่างเขามาย่ำยีร่างกายอันบริสุทธิ์ของเจ้าด้วย มิใช่ว่าเจ้าเป็นหญิงสาวบริสุทธ์อยู่รึ”
ศิษย์อวี้พยักหน้า “จริงอยู่ ข้ายังมิมีประสบการณ์เช่นนั้น แต่ทว่าซูหยางเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของทวีปตะวันออก ยิ่งอย่าได้กล่าวถึงหน้าตาชวนฝันของเขา ถ้าจะให้ใครมาเป็นคนรักคนแรกของข้าก็ควรจะเป็นเขา ท่านได้คิดบ้างหรือไม่ว่ามีศิษย์กี่คนที่ต้องการกระโจนเข้าใส่เขาแม้กระทั่งในเวลานี้ สิ่งเดียวที่ห้ามพวกเธอก็คือสถานที่แห่งนี้ ถ้าเขาอยู่ที่เขตศิษย์นอก หรือไม่ก็เขตศิษย์ใน ย่อมต้องมีหญิงสาวเข้าแถวรอคอยที่จะเคาะประตูของเขา”
“อะไรนะ” หลินเชาชางเบิกตากว้างด้วยความตระหนกหลังจากที่ได้ยินคำพูดเช่นนี้ ดูเหมือนว่าเธอได้ประมาทความนิยมที่หญิงสาวมีต่อซูหยางต่ำไปอย่างมาก
เมื่อเห็นหน้าตางงงันของอีกฝ่าย ศิษย์อวี้ก็กล่าวต่อว่า “ท่านได้ออกไปข้างนอกก่อนหน้านี้หรือไม่ พี่หญิงหลิน ท่านเคยคิดว่าไหมว่าตอนนี้มีความวุ่นวายในเขตอื่นๆมากมายเพียงไหน มีศิษย์หญิงหลายสิบคนที่กำลังพยายามที่จะแอบเข้ามาในที่แห่งนี้เพียงเพื่อที่จะพูดกับซูหยางแม้กระทั่งในเวลาที่เราพูดคุยกันอยู่นี้”
“อะไรนะ” หลินเชาชางกรามตกร่วงลงพื้น เธอไม่คิดว่าการปรากฏตัวของซูหยางจะสามารถสร้างความโกลาหลภายในนิกายของพวกเธอมากเช่นนั้น
“ข้ามิได้โกหกต่อท่านในครั้งนี้ พี่หญิงหลิน ถ้าท่านไปยังประตูที่แยกแต่ละเขตออกจากกันในตอนนี้ ท่านสามารถที่จะพบเห็นศิษย์จำนวนมากที่นั่นพยายามที่จะผ่านผู้อาวุโสนิกายอยู”
“ต-แต่ทว่า ข้ามิมีเวลามากนักที่นี่ ข้าจักพูดกับท่านในภายหลัง พี่หญิงหลิน” ศิษย์อวี้กล่าวกับเธอก่อนที่จะมุ่งหน้าไปยังประตูหน้าบ้านซูหยางและเคาะประตู
ไม่นานหลังจากนั้น ซูหยางก็เปิดประตูและต้อนรับเธอเข้าไปข้างในพร้อมรอยยิ้ม
อย่างไรก็ตามก่อนที่เขาจะปิดประตู หลินเชาชางสาบานได้ว่าซูหยางได้เหลือบมองมายังเธอเป็นเวลาชั่วขณะหนึ่ง
“…”
หลินเชาชางยืนอยู่ข้างหน้าต่างด้วยสีหน้าสับสนและไม่ยอมกระพริบตาแม้ว่าจะผ่านไปหลายนาทีราวกับว่าเธอกลายเป็นรูปปั้นหิน
ทันใดนั้นเธอก็กระโดดออกจากหน้าต่างและมุ่งหน้าไปยังประตูใหญ่ที่ศิษย์อวี้กล่าวถึง
ก็เหมือนกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและสำนักส่วนใหญ่ที่นั่น นิกายดอกบัวเพลิงประกอบด้วยสามส่วน เขตศิษย์นอก เขตศิษย์ใน และเขตกลาง
แต่ละเขตนี้กั้นไว้ด้วยกำแพงบางๆ และวิธีที่จะเดินทางผ่านระหว่างแต่ละเขตนั้นก็คือเดินผ่านประตูใหญ่ตรงกำแพง แต่ทว่าปกติแล้วจะมีศิษย์หลายคนยืนอยู่ที่ประตูเหล่านี้เพื่อป้องกันให้มีเพียงผู้ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นที่จะผ่านเข้าไปได้
แต่เพราะความปั่นป่วนวุ่นวาย คนที่เฝ้าประตูใหญ่ในตอนนี้ทั้งหมดจึงเป็นผู้อาวุโสนิกาย
ครั้นเมื่อหลินเชาชางไปถึงประตูที่แยกเขตกลางและเขตศิษย์ในออกจากกันนั้น เธอก็สามารถเห็นศิษย์หญิงมากกว่าห้าสิบคนโต้เถียงกับผู้อาวุโสนิกายที่นั่น
“ผู้อาวุโส ทำไมท่านมิปล่อยให้พวกเราผ่านไปหน่อยล่ะ พวกเราได้สัญญากับท่านว่าพวกเราจักมิเดินเปะปะในเขตกลาง เจตนาของพวกเรามีเพียงแค่เพื่อพบกับพี่ชายซูหยางเท่านั้น”
“ใช่แล้ว พวกเราเพียงต้องการลายเซ็นต์ของพี่ชายซูหยางเท่านั้น ทำไมท่านจึงต้องสร้างความยุ่งยากให้กับพวกเราด้วย”
เหล่าศิษย์ต่างพากันต่อว่าต่อขานผู้อาวุโสนิกาย
“ฮึ่ม มีเพียงศิษย์หลักและผู้อาวุโสนิกายเท่านั้นที่ยอมให้เข้าไปในเขตกลางในสถานการณ์ปกติ นี่เป็นกฏของนิกายนับตั้งแต่ก่อตั้งมา ถ้าเจ้าต้องการที่จะผ่านเช่นนั้ก็จงเป็นศิษย์หลักหรือไม่ก็ผู้อาวุโสนิกายเสียก่อน” หนึ่งในผู้อาวุโสนิกายที่นั่นซึ่งรู้สึกอิจฉาความนิยมของซูหยางอย่างมากกล่าว ซึ่งนี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำไมเขาจึงมีท่าทางดื้อดึงเช่นนั้น
“ข้าเพิ่งได้เป็นศิษย์ในเมื่อปีที่แล้ว นั่นจักต้องใช้เวลาอีกมิน้อยกว่าสิบปีก่อนที่ข้าจะมีคุณสมบัติทดสอบการเป็นศิษย์หลัก และนั่นมันสายเกินไปอย่างมากในตอนนั้น”
“จ-เจ้าพวกตาแก่หัวดื้อ เจ้าเพียงแค่ริษยาความนิยมของหญิงสาวที่มีต่อพี่ชายซู ดังนั้นเจ้าจึงจะเอามันไปจากพวกเรา”
“ใช่แล้ว ข้าพนันได้ว่าพวกเจ้ามิเคยได้รับความนิยมจากหญิงสาวเมื่อตอนพวกเจ้าเป็นศิษย์”
เหล่าศิษย์เริ่มด่าผู้อาวุโสนิกาย สร้างความงุนงงให้กับพวกเขา
“ค-ใครกล่าวเช่นนั้นเมื่อกี้นี้ ข้าขอท้าให้เจ้าออกมาพูดแบบนั้นอีกครั้ง” เหล่าผู้อาวุโสนิกายพากันควันออกหู
“น-นี่เป็นหายนะ…” หลินเชาชางคิดในใจหลังจากที่เห็นฉากปั่นป่วนวุ่นวายนี้
ถ้าเหล่าศิษย์ยังคงมีท่าทางบ้าคลั่งในกลางดึกเช่นนี้ เธอก็ไม่สามารถที่จะจินตนาการได้ว่าภาพเหตุการณ์จะเป็นอย่างไรถ้าเธอมาอยู่ที่นี่ตอนเช้ามืด
ไม่นานหลังจากนั้นเธอก็หันกายและรีบมุ่งหน้ากลับไปที่ห้องของเธอ หลังของเธอชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็นเยียบในเวลาที่เธอกลับไป
Dual Cultivation บทที่ 474: โกหกต่อหน้าเธอ
หลังจากที่พูดกับอีกฝ่ายได้หลายนาที จางซิวยิงก็ยืนขึ้นและเดินไปยังห้องที่ห่างออกไปไม่กี่เมตรและเปิดประตู
กลิ่นหอมลอยมาจากห้องนั้น กลิ่นนั้นติดตัวจางซิวยิงอยู่เช่นกัน เห็นได้ชัดว่าเป็นห้องนอนของเธอเอง
“ซูหยางท่านคงมิได้มาที่นี่เพียงเพื่อแค่พูดเล่นเป็นเพื่อนข้าหรอกใช่ไหม”
แต่ทว่าซูหยางเพียงแค่ยักไหล่พร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าและกล่าวว่า “ใครจะรู้ บางที่ข้ามาที่นี่เพียงเพื่อพูดก็เป็นได้”
“…”
จางซิวยิงมองดูเขาด้วยใบหน้าประหลาดใจ
เวลาถัดไป ซูหยางก็หัวเราะเบาๆ “ข้าเพียงแค่พูดเล่น แต่พวกเรามาทำอะไรที่นี่กันเถอะ”
เขาพลันคว้าแขนเธอและดึงเธอเข้ามาหา ก่อนที่จะพาเธอนอนลงบนโต๊ะ
“อา ท่านต้องการที่จะทำที่นี่รึ” จางซิวยิงอุทานด้วยเสียงตื่นตระหนก
“เจ้ามิต้องการรึ” ซูหยางกระซิบข้างหูเธอขณะที่นิ้วของเขาลูบไล้ไปยังต้นขา
จางซิวยิงสั่นสะท้านเมื่อรู้สึกถึงลมหายใจแผ่วเบาของเขาในหูของเธอและความรู้สึกเสียวซ่านก็คืบคลานขึ้นมาจากขาของเธอ
สองสามวินาทีให้หลัง เมื่อนิ้วของซูหยางเลื่อนมาถึงผ้าไหมที่ปกปิดกลีบดอกไม้ของจางซิวยิง เขาก็ยิ้มและกล่าวว่า “โอ เมื่อไหร่กันที่เจ้าเปลี่ยนรสชาติ”
“ม-ไม่กี่วันก่อน” เธอตอบสนองด้วยใบหน้าที่บานสะพรั่งไปด้วยสีแดง
ซูหยางใช้นิ้วสองนิ้วดึงเชือกที่ใกล้กับต้นขาของเธอ จนทำให้ทั้งชิ้นนั้นหลวมหลุดออก
“ซูหยาง…”
จางซิวยิงพึมพัมชื่อเขาขณะที่มือของเขาย้านชายด้านล่างของชุดคลุมของเธอไปด้านข้างอย่างช้าๆ เผยให้เห็นกลีบดอกไม้ฉ่ำเยิ้ม
ซูหยางก็คลายชุดคลุมของตนเองเช่นกัน จนทำให้งูที่ซ่อนอยู่ภายในกางเกงของเขาปรากฏตัวออกมา
สองสามอึดใจถัดจากนั้น งูก็กลายร่างไปเป็นมังกรก่อนที่จะดำดิ่งเข้าไปในถ้ำเปียกแฉะที่อยู่ระหว่างขาของจางซิวยิง
“อาา…” จางซิวยิงครวญครางอย่างหลงไหลขณะที่ซูหยางขยับสะโพก
ในเวลาเดียวกันหลินเชาชางก็กำลังปิดปากเธอด้วยความตกใจอยู่ด้านนอกหลังจากที่เห็นการร่วมฝึกวิชาคู่ของพวกเขา
“โอ้สวรรค์ พวกเขาถึงกับทำกันในห้องนั่งเล่น” หลินเชาชางร่ำร้องในใจ ดวงตาของเธอเบิกโพลงราวกับจานรองถ้วยขณะที่เธอจ้องมองไปยังการฝึกวิชาของทั้งคู่ผ่านหน้าต่าง
แม้ว่าเธอต้องการที่จะหยุดดู แต่ก็เหมือนมีแรงที่มองไม่เห็นที่ไม่ยอมให้เธอหันหรือหลับตา ราวกับว่าเธอถูกบังคับให้ดู
แน่นอนว่าไม่มีใครที่บังคับเธอให้ดูแต่อย่างใด เพียงฉากนั้นมีมนต์สะกดอย่างไม่น่าเชื่อและหลินเชาชางก็ไม่มีความตั้งใจที่จะหยุดมอง
โชคของเธอยังดี พื้นที่บริเวณนั้นปกติไม่มีผู้คน ดังนั้นหลินเชาชางจึงไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครอาจจะเห็นการกระทำอันไร้ยางอายของเธอโดยบังเอิญ
ชั่วขณะหลังจากนั้น ซูหยางก็อุ้มจางซิวยิงและพาเธอเข้าไปในห้องนอน ก่อนที่จะปิดประตู
ครั้นเมื่อพวกเขาไปแล้ว ในที่สุดหลินเชาชางก็สามารถที่จะกระพริบตาและหายใจได้เป็นปกติ
หลังจากที่หายใจได้ทันแล้ว เธอก็กลับไปยังที่พักของเธอเอง ที่ซึ่งเธอจะได้จ้องมองออกไปนอกหน้าต่างต่อไป แต่ทว่าเธอไม่ได้จ้องมองออกไปด้วยสีหน้าว่างเปล่าอีกในเมื่อในใจเธอเต็มไปด้วยฉากของซูหยางและจางซิวยิงร่วมฝึกวิชาคู่กัน
“ถ้าข้าไปหาเขา เขาจะทำอย่างเดียวกันกับข้างั้นรึ” เธอพึมพัมพร้อมกับถอนหายใจเบาๆ
สองสามชั่วโมงให้หลัง เธอก็สังเกตเห็นซูหยางกลับคืนมาจากที่พักของจางซิวยิง
“เขากลับมาแล้วรึ พวกเขาทำเช่นนี้มาโดยตลอดงั้นรึ” หลินเชาชางครุ่นคิดในใจ ไม่ว่าอย่างไรเธอคาดว่าเขาจะพักที่ที่พักของจางซิวยิงตลอดคืน
“หือ เจ้านั่งอยู่ที่นี่มาตลอดเลยรึ เจ้ามิเบื่อที่จะนั่งจ้องไปยังเมฆตลอดวันบ้างรึ” ซูหยางพลันถามเธอ
“ท-ทำไมเจ้าต้องสนใจด้วย มิใช่กงการธุระของเจ้าที่ข้าจะทำอะไร”
รอยยิ้มลึกลับปรากฏบนใบหน้าซูหยางขณะที่เขายักไหล่ “ถ้าเจ้าเบื่อปานนั้น เจ้าสามารถเคาะประตูห้องข้าได้เสมอ อย่าลืมว่าข้ามีวิธีมากมายที่จะสร้างความบันเทิงให้กับเจ้า”
“ฝันไปเถอะ ซูหยาง”
หลินเชาชางพูดเสียงดังก่อนที่จะปิดหน้าต่างและผ้าม่านจากนั้นเธอก็พยายามที่จะฝึกวิชา
ซูหยางเพียงแค่ส่ายหน้าและเข้าไปในที่พักไม่นานหลังจากนั้น
สองสามชั่วโมงให้หลัง หลินเชาชางก็ได้ยินใครบางคนหัวเราะด้านนอกอาคารของเธอ ซึ่งเป็นการรบกวนการฝึกของเธอ ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจที่จะแอบมองดูผ่านผ้าม่าน
“ขอบคุณซูหยางสำหรับประสบการณ์ที่น่ามหัศจรรย์”
เด็กสาววัยรุ่นหน้าตาน่ารักกล่าวกับเขาขณะที่เธอเดินออกมาจากอาคารของเขาด้วยการเคลื่อนไหวที่ไม่เสถียร
“ศิษย์น้องหญิงมิน”
หลินเชาชางงงงันเมื่อเห็นเพื่อนศิษย์ซึ่งก็เป็นศิษย์หลักเช่นกันออกมาจากที่พักของซูหยาง
เมื่อไหร่กันที่เธอเข้าไปในที่พักของซูหยางและนานเท่าไหร่แล้วที่เธออยู่ภายในนั้น และที่สำคัญที่สุดเธอทำอะไรภายในนั้นตั้งแต่แรก
ครั้นเมื่อซูหยางกลับเข้าไปภายในอาคารแล้วหลินเชาชางก็เปิดหน้าต่างและเรียกศิษย์น้องมินคนนี้
“ศิษย์น้องหญิงมิน เจ้ามาทำอะไรภายในอาคารของชายคนนั้นรึ” เธอถามอีกฝ่าย
“ศิษย์พี่หญิงหลิน…” ศิษย์มินทักทายเธออย่างลังเลก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงค่อนข้างกังวล “ซ-ซูหยาง…เขาใจดีให้คำแนะนำในด้านการฝึกวิชา…”
“…”
หลินเชาชางมองดูอีกฝ่ายด้วยดวงตาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ
“เจ้ากล้าที่จะมองดูตาข้าและกล่าวซ้ำคำพูดนั้นอีกครั้งหรือไม่” เธอร่ำร้องในใจ
ศิษย์มินคนนี้เห็นได้ชัดว่าโกหกต่อหน้าเธอ
ใครก็สามารถจินตนาการได้ว่าเกิดอะไรขึ้นภายในบ้านหลังนั้นเมื่อหญิงสาวออกมาจากนั่นในขณะที่ทำท่าทางกระวนกระวายและเป็นกังวล โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าซูหยางพักอยู่ในบ้านหลังนั้น
“อ-อย่างงั้นรึ… ข้าหวังว่าเจ้าได้คงเรียนอะไรบางอย่างจากเขา ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นอัจฉริยะในเขตอัมพรวิญญาณ” หลินเชาชางกล่าวพร้อมกับเค้นรอยยิ้มออกมา ทำท่าเหมือนกับว่าเธอไม่รู้เรื่องราวอะไรเลย
ศิษย์คนนั้นจากไปไม่นานหลังจากนั้น และหลินเชาชางก็ถอนหายใจ หวังว่าเธอจะไม่ต้องได้รับประสบการณ์อะไรแบบนี้อีก
แต่อนิจจาเหมือนกับว่าสวรรค์ต้องการกลั่นแกล้งเธอ ศิษย์หลักต่างพากันมาแสดงตัวเข้าเยี่ยมที่พักของซูหยางหลังจากนั้นและขัดขวางกระบวนการฝึกวิชาของเธอ
Dual Cultivation บทที่ 473: เจ้าหญิงต้องห้าม
“ศิษย์คนนั้นดูเหมือนเคยเห็น…” หลินเชาชางครุ่นคิดในใจหลังจากที่ซูหยางเข้าไปในอาคารแล้ว
สองสามนาทีหลังจากนั้น สุดท้ายเธอก็นึกขึ้นได้ว่าชื่อของศิษย์คนนั้นคือจางซิวยิง
“ใช่แล้วเธอคือเจ้าหญิงต้องห้าม จางซิวยิง”
หลังจากที่มีเหตุกับซูหยางที่เขาได้ทำการบดขยี้ศิษย์ไปมากมายที่นิกายดอกบัวเพลิงอีกทั้งยังข่มขู่ผู้นำนิกาย โหวเยินเจีย อีกด้วย เขาได้เตือนพวกเขาว่าจางซิวยิงเป็นเพื่อนของเขาและถ้าเธอได้รับอันตรายอะไรเขาจะกลับมาแก้แค้น
นับตั้งแต่เหตุการณ์นั้นกับคำเตือนจากซูหยาง เหล่าศิษย์และผู้อาวุโสนิกายก็ทำคล้ายกับว่าจางซิวยิงนั้นเป็นเหมือนเจ้าหญิง ไม่เพียงแม้จะกล้าเหลือบมองเธอ ดังนั้นเธอจึงได้ฉายาว่า เจ้าหญิงต้องห้าม
ยิ่งไปกว่านั้นพลังการฝึกปรือของเธอเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดนับตั้งแต่เหตุการณ์นั้น กลายเป็นศิษย์หลักไม่กี่เดือนหลังจากนั้น
และในเวลานี้ จางซิวยิงก็เหมือนกับเป็นเทพธิดาภายในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ตัวตนที่อยู่กันคนละโลกกับพวกเขา สิ่งนี้เป็นจริงขึ้นมาหลังจากที่ซูหยางเอาชนะหงอวี้เอ๋อร์และกลายเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของทวีปตะวันออก ยิ่งคนกลัวซูหยางมากขึ้นเท่าไหร่เหล่าศิษย์ในที่นี้ก็ยิ่งกลัวจางซิวยิงมากขึ้นเท่านั้น ในเมื่อเธออยู่ใต้การคุ้มครองของซูหยางโดยตรง
“ว่าแต่ว่าพวกเขามีความสัมพันธ์อะไรกัน” หลินเชาชางอดไม่ได้ที่จะเกิดความสนใจ
หลายอึดใจให้หลังเธอก็ใช้วิชาปิดบังกายอีกแบบหนึ่งทำการปกปิดกลิ่นอายของตนเองไว้เพื่อที่ตัวตนของเธอจะได้ไม่เล็ดลอดออกไปจนถูกรับรู้ และด้วยตัวตนและกลิ่นอายของเธอที่ได้ปกปิดอย่างสมบูรณ์แล้วก็เหมือนกับว่าหลินเชาชางได้กลายเป็นภูตผี ตัวตนที่ไม่ปรากฏอยู่ในโลกนี้
หลังจากที่เธอมั่นใจว่าเธอทำการใช้วิชาปกปิดอำพรางได้สมบูรณ์ดีแล้ว หลินเชาชางก็ตรงเข้าไปยังที่พักของจางซิวยิงและสอดแนมภายในผ่านหน้าต่าง
“ว่าแต่ทำไมท่านจึงมาที่นิกายดอกบัวเพลิงล่ะซูหยาง” จางซิวยิงถามเขาหลังจากบริการชาให้กับเขา
“ข้ามีธุระอะไรบางอย่างกับหวังชูเหริน”
“ผู้อาวุโสหวังรึ เธอมิได้อยู่ในนิกายในตอนนี้”
“ข้ารู้ นั่นจึงเป็นเหตุที่ทำไมข้าจึงยังคงอยู่ที่นี่จนกว่าเธอจะกลับมา”
“เอ๋” จางซิวยิงปิดปากด้วยความประหลาดใจหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเขา “ท่านจะอยู่ที่นี่”
ซูหยางพยักหน้าอย่างเรียบเฉยหลังจากที่จิบชา
“ต-แต่มีเพียงเตียงเดียวในบ้านหลังนี้ และเตียงก็ใหญ่พอสำหรับคนเพียงคนเดียวเท่านั้น”
จางซิวยิงดูเหมือนจะเข้าใจคำพูดของซูหยางผิดเมื่อเขาพูดว่าเขาจะอยู่ที่นี่
ซูหยางหัวเราะเบาๆหลังจากที่เห็นปฏิกิริยาของเธอและกล่าวว่า “ข้ามิได้หมายความว่าจะอยู่ที่นี่จริงๆ ข้าหมายถึงนิกายตอนที่ข้าพูดว่า “ที่นี่” ข้าอยู่ห่างออกไปสิบนาทีจากที่นี่”
“อ-โอ ข้าขอโทษสำหรับความเข้าใจผิด…” จางซิวยิงหน้าแดงก่ำ
“เจ้ารู้ไหม ถึงแม้ว่าเตียงจะเล็ก มันก็ควรยังคงพอกับคนสองคนถ้าพวกเขานอนชิดกับอีกฝ่าย” ซูหยางพูดกับเธอ
“ถ้าข้าต้องการใช้เวลาทั้งคืนที่นี่ ถึงแม้ว่ามันอาจจะคับแคบไปหน่อย แต่เจ้ามิชอบมันรึ” เขาถามเธอด้วยรอยยิ้มยั่วเย้า
“ถ-ถ้าท่านมิรู้สึกว่ามันค่อนข้างจะมิสบายหากหลับอยู่ในที่คับแคบเช่นนี้…” เธอตอบหลังจากเวลาผ่านไปเล็กน้อยด้วยใบหูที่แดงก่ำ
ถึงแม้ว่าพวกเขาได้ทำเช่นนี้ในช่วงเวลาอื่นมาหลายครั้งแล้วก็ตาม เธอก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอายเมื่อไหร่ก็ตามที่เธออยู่ใกล้เขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามที่เธอถูกหยอกเย้า
“ใครพูดเรื่องการนอนหลับกันรึ เราสามารถทำมันทั้งคืนถ้าเจ้าต้องการ” ซูหยางหัวเราะหึๆ
“อาา” จางซิวยิงมองดูเขาด้วยใบหน้าประหลาดใจ ทำทั้งคืนรึ ถึงแม้ว่าความทนทานของเธอจะเพิ่มขึ้นนับตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่พวกเขาร่วมรักกัน เธอก็ไม่สามารถที่จะอยู่ได้เกินสองสามชั่วโมงอย่างแน่นอน อย่าว่าแต่ทั้งคืน
“ว่าแต่ชีวิตในฐานะศิษย์เป็นอย่างไรบ้างหลังจากวันนั้น มีใครที่ยังคงกล้าก่อกวนเจ้าอีกหรือไม่” ซูหยางพลันถามเธอ
“น-นั่น…”
จางซิวยิงแสดงรอยยิ้มหวานปนขื่นขมและเริ่มอธิบายให้เขาฟังถึงการที่เธอกลายเป็นอยู่คนเดียวหลังจากนั้น
“นับตั้งแต่วันนั้นมิมีใครกล้าที่จะพูดกับข้า อย่าว่าแต่จะมากวนข้า ไม่แม้กระทั่งผู้อาวุโสนิกายที่อยากจะมายุ่งเกี่ยวกับข้า ข้ากลายเป็นคนโดดเดี่ยวในนิกายนี้ น่าเสียดายเพราะนั่นหมายความว่าข้าได้มีชีวิตสงบสุขเช่นกันดังนั้นข้าจึงไม่ใส่ใจมัน”
“เอ๋” ซูหยางดวงตาเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ
จริงแล้วเขาไม่คิดว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นแบบนี้ เขาเพียงต้องการให้ผู้คนหยุดรบกวนเธอ แต่กลับเป็นว่าเขาเปลี่ยนเธอให้เป็นคนโดดเดี่ยวในนิกาย
หลังจากครุ่นคิดไปชั่วขณะ เขาก็พูดขึ้นว่า “เช่นนั้นเจ้าต้องการที่จะไปกับข้าสู่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยไหม พวกเราสามารถรับศิษย์จำนวนมากในตอนนี้เจ้ารู้ไหม”
“ท่านต้องการให้ข้าเข้าร่วมกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยงั้นรึ” จางซิวยิงจ้องมองเขาด้วยดวงตาเบิกกว้างเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ เธอไม่เคยคิดฝันว่าซูหยางจะเชื้อเชิญเธอไปยังนิกายของเขา
เขาพยักหน้าและกล่าวว่า “ในเมื่อทุกคนที่นี่หวาดกลัวเจ้า ทำไมเจ้ามิไปกับข้าสู่สำนักของข้า ข้ามั่นใจว่าเจ้าจักเข้ากับศิษย์คนอื่นได้อย่างรวดเร็ว”
“อืม…แม้ว่าข้าชอบที่จะไปกับท่าน แต่ข้ามิอาจจะทิ้งอาจารย์ของข้าไว้ที่นี่ได้ เธอเป็นเหตุผลเดียวที่ทำไมพลังการฝึกปรือของข้าจึงมาถึงระดับนี้ได้ในช่วงเวลาสั้นๆ และข้าก็ยังสงสัยว่าเธอจะยอมให้ข้าจากนิกายดอกบัวเพลิงหรือไม่หลังจากที่ใช้ทรัพยากรจำนวนมากกับข้า”
“อาจารย์ของเจ้า… หวังชูเหรินงั้นรึ” เขาถาม เธอก็พยักหน้า
“ทำไมเจ้ามิพูดกับเธอถึงเรื่องนี้เมื่อเธอกลับมาล่ะ ข้ามั่นใจว่าเธอจักยิ่งกว่ายินดีที่จะให้เจ้าไปกับข้า ข้าก็จักไปกับเจ้าด้วย”
“จริงรึ ท่านคิดว่าผู้าอาวุโสหวังจักยอมให้ข้าไปนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยงั้นรึ” จางซิวยิงมองดูเขาด้วยดวงตามีความหวัง
“ข้ามั่นใจ” เขาพยักหน้าด้วยรอยยิ้มมั่นใจ
ในเวลานั้นหลินเชาชางฟังการสนทนาของพวกเขาด้วยใบหน้าที่มีแต่ความไม่เชื่อ
“ซ-ซูหยางคนนี้ เขากล้าแย่งชิงศิษย์ของเราจริงๆ และเธอก็เป็นศิษย์หลักอีกด้วย ช่างไร้ยางอาย” เธอร่ำร้องในใจ
Dual Cultivation บทที่ 472: เจ้าแอบตามข้ารึ
หลังจากที่ซูหยางออกจากพื้นที่ฝึกฝนของพวกเขาแล้ว หลินเชาชางก็ยืนขึ้นและกล่าวกับโหวเยินเจียว่า “ข้าต้องขออภัย ท่านผู้นำนิกาย แต่โปรดให้อภัยแก่ข้าด้วยสำหรับวันนี้ ความสงบสุขของข้าได้ถูกรบกวนและข้ามิมีอารมณ์ที่จะฝึกฝนอีกต่อไป”
โหวเยินเจียไม่ได้กล่าวโทษเธอเพียงแต่พยักหน้า “ไปเถอะ”
และถึงแม้ว่าหลินเชาชางยังคงฝึกต่อไป นั่นก็จะเป็นสถานการณ์ที่เสี่ยงสำหรับเธออย่างแท้จริง ในเมื่อการฝึกฝนด้วยจิตใจที่ไม่สงบนั้นเป็นอันตรายอย่างมาก การเคลื่อนไหวที่ผิดพลาดเพียงครั้งอาจทำให้ร่างกายของเธอได้รับบาดเจ็บ
หลังจากที่หลินเชาชางออกจากพื้นที่ฝึกไปแล้วศิษย์คนอื่นต่างก็ยกมือขึ้นเช่นกัน พวกเธอกล่าวว่า “ท่านผู้นำนิกายข้าก็มิมีอารมณ์ที่จะฝึกฝนเช่นกัน”
“ข้าด้วย ท่านผู้นำนิกาย”
โหวเยินเจียนวดขมับและกล่าวด้วยเสียงหมดเหนื่อยล้าว่า “พวกเจ้าทุกคนจากไปได้ ข้าจักหยุดการบรรยายของวันนี้ไว้แค่นี้ แต่ข้าจักทำให้เสร็จสิ้นในครั้งถัดไป”
กระทั่งเขาเองก็ไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะสอนต่อไปหลังจากที่เห็นหน้าซูหยาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจิตใจของเขาเองยังเต้นกระหน่ำเหมือนกับกลองศึกหลังจากที่พบกับเซียวหรงเป็นครั้งแรก เขารู้สึกเหมือนกับว่ากำลังใช้ชีวิตวัยหนุ่มอยู่ ที่ซึ่งสาวสวยทุกคนที่เดินผ่านผ่านเขาจะทำให้หัวใจของเขาเต้นกระหน่ำ
“ศิษย์น้องหญิงหลิน เจ้าดีอยู่ไหม” เตียวซื่อตูตรงเข้าไปหาเธอหลังจากนั้นและกล่าวขึ้น
“เจ้าควรอย่าไปใส่ใจชายคนนั้น มิมีอะไรดีจักเกิดขึ้นจากการคบหากับคนแบบเขา”
“….”
แต่ทว่าราวกับว่าเธอไม่ได้ยินเขา หลินเชาชางยังคงเดินต่อไปอย่างเงียบๆ และใบหน้าเธอมีสีหน้าสับสน ดูเหมือนกับว่าเธอกำลังถูกร่ายอาคมใส่
“ศิษย์น้องหญิงหลิน…” เตียวซื่อตูหยุดตามเธอและจ้องมองเธอด้วยดวงตาเบิกกว้าง
หลังจากที่ออกจากพื้นที่ฝึกแล้ว หลินเชาชางก็กลับคืนสู่ที่พักของเธอที่อยู่ตรงใจกลางนิกาย ที่ซึ่งมีเพียงศิษย์หลักและผู้อาวุโสนิกายพำนัก
ครั้นเมื่อเธออยู่ในห้องแล้ว หลินเชาชางก็นั่งลงข้างหน้าต่างและจ้องมองไปยังท้องฟ้า ยังคงมีสีหน้าสับสน
“ความรู้สึกนี้คืออะไรกัน” เธอพึมพัมกับตัวเอง
หัวใจเธอเต้นผิดจังหวะและทั่วทั้งร่างเธอรู้สึกอุ่นเกือบร้อน ถ้าปราณไร้ลักษณ์ของเธอไม่เสถียรในเวลานี้ เธอก็อาจจะคิดว่าเธอถูกพิษ
หลังจากที่นั่งข้างหน้าต่างไปโดยไม่รู้เวลา หลินเชาชางก็พลันมองไปยังอาคารที่อยู่ด้านหน้าเธอ
ตามที่เธอรู้ ที่แห่งนี้ไม่มีคนพักมานานหลายปีแล้วในตอนนี้ แต่ใครสักคนกำลังจะออกจากอาคารแห่งนี้
หลินเชาชางมองขณะที่ประตูของอาคารนั้นเปิดออก และร่างสูงโปร่งก็ออกมาจากบ้านนั้นหลังจากนั้น
“อ-อะไรกัน”
เมื่อหลินเชาชางตระหนักว่านั้นคือซูหยางที่เพิ่งออกมาจากบ้านว่างนั้น เธอก็ยืนขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“จ-เจ้ามาทำอะไรในอาคารที่เป็นของศิษย์หลัก มิได้มีห้องพักแขกในพื้นที่แถบนี้” เธอตะโกนใส่ซูหยางจากหน้าต่างของเธอ
“อ-อย่าบอกข้าว่าเจ้าแอบตามข้ามา” หลินเชาชางสั่นสะท้านเมื่อเธอตระหนักถึงความเป็นไปได้ที่ว่าเธอถูกเขาแอบตาม
“หือ เจ้าพักที่นี่รึ” ซูหยางมองดูหลินเชาชางยืนอยู่ที่หน้าต่างด้วยสีหน้าสงบเรียบและกล่าวต่อว่า “ปราณไร้ลักษณ์ในพื้นที่แถบนี้ดูเหมือนจะดีที่สุดตลอดทั่วทั้งสำนักดังนั้นข้าจึงขออยู่ที่นี่ตอนนี้ และอาคารหลังนี้ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีผู้พักอาศัย ดังนั้นผู้อาวุโสนิกายจึงเห็นด้วยที่จะยอมให้ข้าพักอยู่ที่นี่ชั่วคราว”
แน่นอนว่าเหตุผลเดียวที่ผู้อาวุโสนิกายตกลงยอมให้กับคำขอของซูหยางก็เพราะว่าเขาต้องการที่จะแยกตัวจากซูหยางอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ในเมื่อเขาไม่สามารถทนแรงกดดันรุนแรงจากซูหยางได้อีกต่อไป แต่ห้องพักแขกยังอยู่ห่างออกไปอีกหลายนาที
“ข-ข้ามิเชื่อ” หลินเชาชางพูด เนื่องจากเหตุบังเอิญนี้มีมากเกินไปสำหรับเธอในการที่จะเชื่อถ้อยคำของเขา
ซูหยางยักไหล่และพูดว่า “ข้าจักเพียงอยู่ที่นี่วันหรือสองวันเป็นอย่างมาก”
“สองสามชั่วโมงก็พอเพียงแล้วสำหรับเจ้าในการแอบเข้ามาในห้องและข่มขืนข้า อย่าว่าแต่ตลอดทั้งวัน”
“นั่นมิจำเป็นต้องหวาดระแวงถึงขนาดนั้น ก็เหมือนกับที่ข้าได้พูดไปหลายครั้งแล้วก่อนนี้ ข้ามิทำอะไรที่จักทำให้สูญเสียความภาคภูมิใจในความเป็นชาย และการบังคับตัวข้าเองให้กระทำชำเราร่างกายของหญิงที่ไร้เดียงสานั้นธรรมดาแล้วเป็นเส้นที่ข้าจักมิมีวันข้าม”
“มิว่าอย่างไรข้ามิมีเวลาที่จะมาให้ความสำราญแก่เจ้าในตอนนี้ ถ้าเจ้าต้องการที่จะพูดคุยมากกว่านี้ เจ้ารู้ว่าจะหาข้าได้ที่ไหน” ซูหยางกล่าวด้วยเสียงเรียบเฉยก่อนที่จะเดินจากไป
“เขาไปไหนกันหลังจากได้ที่พำนัก ช่างน่าสงสัย” หลินเชาชางคิดในใจ
เธอมั่นใจว่าซูหยางมีแรงจูงใจแอบแฝงในการมายังนิกายดอกบัวเพลิงโดยไม่แจ้งให้ทราบไว้ก่อน
จากนั้นหลินเชาชางจึงตัดสินใจที่จะติดตามซูหยางไปเพื่อดูว่าเขาไปที่ไหนกัน
แน่นอนว่าเธอไม่ได้ติดตามเขาไปอย่างเปิดเผย และรักษาระยะห่างเบื้องหลังเขาหลายเมตร กระทั่งซ่อนตัวในเงามืดและอะไรก็ตามที่มีท่าทางเหมือนกับพวกเดินย่องตามหรือสตอล์กเกอร์
เวลาหลังจากนั้น หลินเชาชางก็ติดตามซูหยางไปถึงอาคารที่ไม่ห่างไกลไปจากที่พักของตัวเธอเองมากนัก
หลังจากที่เขาไปถึงที่หมาย ซูหยางก็เคาะประตูของอาคารนั้นและรอคอยอยู่ด้านนอกอย่างเงียบๆ
“อาคารนี้เป็นของ…” หลินเชาชางพยายามที่จะนึกว่าใครที่พักอยู่ในอาคารนี้
ในระหว่างที่เธอคิดอยู่สองสามอึดใจนั้น ประตูก็เปิดออกและหญิงสาวที่น่ารักมากหุ่นดีก็ออกมาจากภายในอาคารหลังนั้น
เมื่อหลินเชาชางเห็นใบหน้าของร่างนี้ ดวงตาของเธอก็เบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ
ในเวลาเดียวกันเมื่อเด็กสาวที่ออกมานั้นเห็นใบหน้าของซูหยาง ใบหน้าของเธอก็สดใสขึ้นด้วยความประหลาดใจและยินดี
“ซูหยางท่านมาทำอะไรที่นี่ที่นิกายดอกบัวเพลิงนี้” จางซิวยิงปิดปากของตนเองและกล่าวด้วยน้ำเสียงประหลาดใจแกมยินดี
“ข้ามาเยี่ยมเยือนที่นี่” ซูหยางตอบพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า
“โปรดเข้ามาด้านใน” จางซิวยิงรีบต้อนรับเขาเข้าไปในอาคาร
ซูหยางพยักหน้าและเดินเข้าไปในเวลาถัดไป หายไปจากสายตาของหลินเชาชาง
Dual Cultivation บทที่ 471: ถ้ารู้สึกเปล่าเปลี่ยว เจ้ารู้ว่าจะหาข้าได้ที่ไหน
“ข้าคือเตียวซื่อตู ศิษย์หลัก และเป็นศิษย์อันดับหนึ่งของนิกายดอกบัวเพลิง” ชายหนุ่มรูปหล่อแนะนำตัวเอง
ซูหยางยังคงเรียบเฉยหลังจากที่อีกฝ่ายแนะนำตัว
“เจ้าเป็นศิษย์อันดับหนึ่งรึ เช่นนั้นทำไมข้าจึงมิเห็นเจ้าที่การแข่งขันระดับภูมิภาค” ซูหยางถามเขาด้วยเสียงสงบนิ่ง
“นั่นเป็นเพราะว่าข้าเคราะห์ร้ายเกิดอุบัติเหตุจนล้มหมอนนอนเสื่อมาจนไม่นานมานี้”
ได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย ซูหยางก็อดที่จะหัวเราะไม่ได้ และนั่นยิ่งทำให้เตียวซื่อตูยิ่งโกรธกว่าเดิม
“มีอะไรน่าหัวเราะ”
แต่ทว่าซูหยางเพียงแค่เลิกสนใจเหมือนกับว่าอีกฝ่ายเป็นแมลงและหันไปมองยังหลินเชาชางและกล่าวด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า “ข้าเพียงแค่พูดเล่น นางฟ้าน้อย ถึงแม้ว่าข้าจะสามารถ แต่ข้าก็มิต้องการหญิงคนไหนไปที่เตียงของข้าเพียงเพราะว่าถูกบังคับ ถ้าเจ้าจะมาร่วมฝึกกับข้า ข้าต้องการให้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากความต้องการของตัวเจ้าเอง”
จากนั้นเขาก็หันไปมองดูยังโหวเยินเจียที่ยังคงตะลึงงันและกล่าวต่อว่า “ข้ามาที่นี่เพื่อพบกับหวังชูเหริน เธอไปอยู่ที่ไหนแล้วในตอนนี้”
“เจ้าเลวนี่…” เตียวซื่อตูสั่นสะท้านจากความโกรธขึ้นมาจริงๆในเวลานั้น
ถ้าหากว่าเขามิได้อยู่เพียงแค่เขตปฐพีวิญญาณในขณะที่ซูหยางอยู่ในเขตอัมพรวิญญาณ เขาคงจะชักกระบี่ข้างตัวของเขาขึ้นมาเชือดซูหยางเป็นร้อยชิ้นไปแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาประสบกับการถูกเหยียดหยามถึงเช่นนั้น และต่อหน้าหลินเชาชางที่เขาสนใจไม่น้อยไปกว่านั้น
“ผู้อาวุโสหวัง เจ้าพลาดเธอไปเพียงสามวัน เธอมีนัดหมายกับบางตระกูลดังนั้นเธอจึงออกไปจากนิกายเพื่อจัดการกับพวกเขา ข้ามิรู้ว่าเธออยู่ที่ไหนแล้วตอนนี้ แต่เธอควรจะกลับมาภายในเวลาวันหรือสองวัน”
“ข้าสามารถทิ้งข่าวไว้ให้เธอตอนที่เธอกลับมาให้กับเจ้าได้ ถ้าต้องการ”
ซูหยางส่ายหน้าและกล่าวว่า “มิมีความจำเป็นเรื่องนั้น ข้าก็แค่รอในห้องเธอจนกว่าเธอกลับมา”
“อะไรนะ เจ้าจะไปรอในห้องเธอรึ ข้ามิคิดว่านั่นเป็นเรื่องเหมาะสม…” โหวเยินเจียขมวดคิ้ว
ในใจของเขา หวังชูเหรินเป็นผู้หญิง หญิงสาวบริสุทธิ์คนหนึ่ง ดังนั้นจึงเป็นสิ่งหยาบคายเกือบเรียกได้ว่าเป็นอาชญากรรมสำหรับการที่จะมีผู้ชายเข้าไปในห้องเธอโดยไม่ได้รับอนุญาต อย่าว่าแต่จะอยู่ภายในนั้น
และถึงแม้ว่าซูหยางจะเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่ง แต่ก็ควรมีขีดจำกัดในความหน้าด้านของเขา
“ท่านมิต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้น ข้ามีความรู้สึกว่าเธอจักยิ่งโกรธกว่านี้หากเจ้าให้ข้าจากไปแทนที่จะอยู่ในห้องของเธอ” ซูหยางกล่าวกับอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม
“เจ้ามีความรู้สึกรึ… นั่นมิได้หมายความว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นไปได้ เจ้ารู้ไหม” โหวเยินเจียขมวดคิ้ว
เมื่อเห็นความดื้อดึงและค่อนข้างโกรธในดวงตาของอีกฝ่าย ซูหยางถอนใจ “ในเมื่อท่านลังเลมากเช่นนี้ ข้าก็ยินดีที่จะพำนักในห้องรับแขก”
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ โหวเยินเจียก็พยักหน้า “ได้ ข้าจักจัดสองห้องให้กับเจ้าเดี๋ยวนี้”
จากนั้นเขาก็หันไปดูผู้อาวุโสนิกายที่อยู่ด้านหลังและกล่าวกับเขาว่า “จัดห้องรับรองแขกอย่างดีของเราให้กับแขกผู้ทรงเกียรติเหล่านี้สองห้อง”
แต่ทว่าซูหยางพลันยับยั้งเขาไว้ กล่าวว่า “ห้องเดียวก็พอ”
“ห้อง…เดียวรึ”
โหวเยินเจียมองดูเขาจากนั้นก็มองไปยังสาวสวยสะท้านฟ้าข้างกายเขาด้วยใบหน้างงงัน พวกเขามีความสัมพันธ์แบบไหนกัน แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนนั่นก็ทำให้เขาและคนอื่นๆที่นั่นต่างพากันอิจฉาอย่างมาก
“อย่างไรก็ตาม ท่านคงมิถือหากว่าข้าจะเดินไปรอบๆนิกายในขณะที่ข้าอยู่ที่นี่ คงจะน่าเบื่อเป็นอย่างมากหากต้องอยู่แต่ในห้องตลอดเวลา” ซูหยางพลันถามเขา
“ตราบเท่าที่มันมิทำให้เกิดผลลัพธ์เหมือนกับครั้งที่แล้ว ทำอะไรก็ได้ตามใจเจ้า” โหวเยินเจียถอนหายใจ นี่เป็นครั้งแรกของเขาที่ต้องจัดการกับคนที่ยุ่งยากอย่างเช่นซูหยาง
ซูหยางพยักหน้า แต่ก่อนที่เขาจะออกไปจากที่แห่งนั้น เขาก็หันไปมองดูหลินเชาชางด้วยรอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์และกล่าวกับเธอว่า “เมื่อไหร่ก็ตามที่รู้สึกเปล่าเปลี่ยว เจ้ารู้ว่าจะหาข้าได้ที่ไหน”
“ป-ไปให้พ้นจากที่นี่ ใครจักต้องการที่ทำเรื่องนั้นกับเจ้ากัน” หลินเชาชางระเบิดเสียงตอบกลับไปซึ่งเต็มไปด้วยความอับอาย
ในเวลานั้นเองหญิงสาวสองสามคนที่เหลือต่างพากันแสดงสีหน้าอิจฉาหลังจากที่เห็นความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา พวกเธอก็ต้องการที่จะได้รับการเหลือบมองจากซูหยางเช่นกัน
“ฮ่าฮ่าฮ่า…” เมื่อซูหยางสังเกตเห็นเช่นนั้น เขาก็หัวเราะและกล่าวออกมาเสียงดังว่า “แน่นอนว่าถ้าพวกเจ้าคนไหนรู้สึกเปล่าเปลี่ยวหรือแค่เพียงต้องการคำแนะนำในด้านการฝึกฝน เจ้าสามารถที่จะไปเยี่ยมเยือนข้าได้ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็มีเวลาว่างมากมาย”
หลังจากที่กล่าวคำพูดเหล่านั้นแล้วซูหยางก็ออกไปจากที่แห่งนั้น ปล่อยให้โหวเยินเจียและเหล่าศิษย์ภายในนั้นงงงัน
ครั้นเมื่อเขาออกไปจากที่แห่งนั้นแล้ว เขาก็ตามผู้อาวุโสนิกายไปยังสถานที่ซึ่งห่างออกไปภายในนิกาย ที่ซึ่งอยู่ใกล้กับเขตที่พักของศิษย์หลัก
เปรียบกับที่พักของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย พลังวิญญาณในที่นั้นเข้มข้นและมากมาย และบรรยากาศก็ค่อนข้างดีเช่นกัน
เมื่อศิษย์คนอื่นที่นั่นสังเกตเห็นการปรากฏกายขึ้นของซูหยาง พวกเขาต่างพากันหยุดสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่เพื่อจ้องดูเขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง
เหล่าศิษย์หญิงต่างพากันจ้องมองดูซูหยางด้วยกรามที่ตกห้อยในขณะที่ศิษย์ชายจ้องมองไปที่เซียวหรงน้ำลายหก ในสายตาของพวกเขาแม้ว่าจะอยู่ห่างไปเพียงสองสามเมตรจากพวกเขาเป็นอย่างมาก แต่ก็เหมือนกับว่าพวกเขาอาศัยอยู่กันคนละโลกอย่างแท้จริง
กลิ่นอายที่หยั่งคาดไม่ได้มาจากซูหยางและความรู้สึกพ้นโลกจากเซียวหรงทำให้เหล่าศิษย์ที่นั่นต่างรู้สึกด้อยค่าเหมือนกับมด เหมือนกับว่าพวกเขาเป็นเพียงคนธรรมดาที่อยู่ต่อหน้าสิ่งมีชีวิตระดับสูงสองคน
ที่ใดก็ตามที่ทั้งสองคนเดินไป พื้นที่รอบข้างก็จะเปลี่ยนไปเป็นเงียบงันและหยุดนิ่งราวกับว่าเวลาได้หยุดทุกคนที่นั่นไว้นอกจากซูหยางและเซียวหรง
ส่วนสำหรับผู้อาวุโสนิกายที่นำพวกเขานั้น เขาก็ยากที่จะเดินเป็นเส้นตรงเพราะว่าแรงกดดันจากด้านหลัง แต่เขายังโชคดีที่ไม่ต้องมองดูพวกเขาซึ่งทำให้เขาหายใจได้ง่ายขึ้น
“กระทั่งการร่วมทางไปกับราชวงศ์ที่แท้จริงก็ยังมิกดดันเท่านี้” ผู้อาวุโสนิกายร่ำร้องในใจขณะที่พวกเขาตรงไปยังที่พักของพวกเขา
บทที่ 470 รํ่าร้องในใจ
หลังจากที่ออกจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยไปกับเซียวลี่ (เซียวหรง*)
แล้ว ซูหยางก็ออกเดินทางไปยังนิกายดอกบัวเพลิง แต่ทว่าก่อนที่จะ
ไปถึงนิกายดอกบัวเพลิง เขาก็หยุดอยู่ที่หนึ่งบริเวณรอยต่อของภาคใต้
ชั่วขณะ
(ผู้แปล : * ขอเปลี่ยนชื่อแมวจอมภูต เซียวลี่ เป็น เซียวหรง นะครับ)
“มีกลิ่นเลือดมนุษย์รุนแรงที่นี่ นายท่าน” เซียวหรงเตือนเขาขณะที่
พวกเขาเข้าไปในถ้ำมืด
ซูหยางไม่ได้มีปฏิกิริยากับคำพูดของเธอและเพียงแค่เข้าไปต่อภายในถ้ำ
สองสามอึดใจจากนั้น เขาก็สามารถเห็นทางเข้าข้างกับประตูที่แตกหัก
ใกล้ ๆ
ที่แห่งนี้เคยเป็นรังลับของกลุ่มโจรป่ าชื่อดัง โจรภูผาแดง แต่หลังจาก
ที่ซูหยางช่วยเหลือศิษย์รุ่นเยาว์แล้วเขาก็ตรงเข้ามาฆ่าโจรป่าทุกคนที่
อยู่ในรังลับนี้ ทำให้เกิดทะเลเลือดขนาดเล็กภายในนี้ อีกทั้งยังช่วยเหลือ
ผู้ถูกคุมขังภายในนี้ด้วย
ครั้นเมื่อพวกเขาเข้าไปถึงทางเข้าของรังลับ พวกเขาก็พบกับพื้นที่
เกิดจากเลือดแห้งที่หนาหลายนิ้ว และตรงกลางของพื้นเลือดท่วมนี้ก็
ดูเหมือนจะมีพืชสีแดงเลือดงอกอยู่ที่นั่น
“หากเป็นเช่นนี้ต่อไป มันก็ควรจะเติบโตเต็มที่พร้อมเก็บเกี่ยวภายใน
สี่เดือน” ซูหยางพึมพำกับตัวเอง ก่อนที่จะผนึกปากทางเข้าด้วยค่าย
กลซ่อนเร้น ซ่อนทางเข้ารังลับนี้จากสายตา
และถึงแม้จะมีคนที่มีความสามารถเห็นทะลุค่ายกลซ่อนเร้นของเขา
คนเหล่านั้นก็ย่อมไม่สามารถที่จะเข้าไปได้โดยไม่ทำลายค่ายกล ซึ่ง
เป็นสิ่งที่คนในโลกนี้ยากที่จะเข้าใจกระทั่งพื้นผิวของค่ายกล ไม่
อาจจะทำได้
“ข้ากินมันได้ไหม นายท่าน” เซียวหรงพลันถามเขา เมื่อต้นกล้ากำลัง
ปลดปล่อยพลังวิญญาณมหาศาล แม้ว่ามันจะไม่ได้มีปราณไร้ลักษณ์
มากเท่าไหร่พอที่จะให้ประโยชน์กับพลังการฝึกปรือของเธอในปัจจุบัน
แม้แต่น้อย มันก็ยังเหมาะที่จะเป็นของขบเคี้ยวชั้นดีสำหรับเธอ
“เจ้ากินไม่ได้” เขาส่ายหน้าและกล่าวต่อว่า “นั่นเป็นโสมเลือดอสูร
ดอกไม้หายากที่จะเพียงเติบโตในเลือดทั้งยังต้องการจำนวนมหาศาล
ในการเติบโต และข้าก็ต้องการมันเพื่อรักษาใครบางคน”
เป็นอย่างที่กล่าว ต้นกล้านี้กำลังจะเติบโตเป็นโสมเลือดอสูรครั้นเมื่อ
มันเติบโตเต็มที่ ซึ่งเป็นส่วนผสมที่จำเป็นในการรักษาอาการของซีซิง
ฟาง แน่นอนว่าเขาไม่ได้วางแผนในเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นและการเติบโต
ของมันก็เป็นเพียงแค่เหตุบังเอิญ
“ข้ายังโชคดี ข้ามิจำเป็นต้องหาพวกโจรป่ าเพื่อฆ่าล้างบางมาปลูกมัน
อีกต่อไปในตอนนี้” ซูหยางคิดในใจ
ถ้าโสมเลือดอสูรไม่ปรากฏขึ้นที่นี่ เขาก็ต้องวางแผนที่จะตามหาพวก
โจรป่าเพื่อที่จะฆ่าและสร้างบ่อเลือดด้วยตนเอง ในเมื่อนั่นเป็นวิธี
เดียวที่จะได้โสมเลือดอสูร
หลังจากที่ยืนยันว่าโสมเลือดอสูรกำลังเติบโต ซูหยางก็เดินทางไปยัง
นิกายดอกบัวเพลิง
“หือ”
ครั้นเมื่อเขาไปถึงนิกายดอกบัวเพลิง ซูหยางก็ใช้สัมผัสวิญญาณของ
ตนเองค้นหาหวังชูเหรินในนิกาย แต่ทว่าเขาไม่สามารถที่จะรับรู้ถึง
ตัวตนของเธอได้ นั่นหมายความว่าเธอไม่ได้อยู่ในนิกาย
ดังนั้นเขาจึงไปหาผู้นำนิกายของนิกายดอกบัวเพลิงเพื่อดูว่าเธอไปที่
ไหน
“ผ-ผู้นำนิกาย ท่านมีแขก”
ครั้นเมื่อผู้อาวุโสนิกายตรงเข้าไปหาโหวเยินเจียด้วยท่าทีเร่งรีบ
โหวเยินเจียซึ่งตอนนี้กำลังฝึกเหล่าศิษย์อยู่มองดูผู้อาวุโสพร้อมกับ
ขมวดคิ้วและพูดด้วยเสียงโกรธว่า “เจ้าลืมไปแล้วรึว่าห้ามคนมากวน
ข้าในระหว่างที่ข้ากำลังฝึกศิษย์อยู่ มิว่าจะเร่งด่วนปานใด นอกจากว่า
นิกายกำลังตกอยู่ในความเสี่ยง ผู้อาวุโสนิกายก็สามารถรับมือได้
และเจ้ากล้าที่จะกวนข้าเพียงเพราะว่าแขกคนหนึ่งเท่านั้นนะรึ หรือ
ว่าเจ้าเบื่อที่จะเป็นผู้อาวุโสนิกายแล้ว เพราะว่าหากว่าเป็นเช่นนั้นก็
เพียงแค่บอกข้าและข้าก็จักยินดีนำตำแหน่งนั้นออกให้กับเจ้าได้”
โหวเยินเจียเกลียดยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดหากถูกรบกวนขณะที่เขากำลัง
สอนศิษย์ ในเมื่อเขากลัวว่าจะทำให้พวกเขาเสียสมาธิในช่วงเวลา
สำคัญ ดังนั้นเขาจึงระเบิดความโกรธออกมา
“ศ-ศิษย์ผู้นี้รู้ถึงกฎของท่านผู้นำนิกาย แต่ว่าคนที่มาเยี่ยมท่านที่นี่นั้น
มิได้เป็นคนอื่นไปนอกจาก…”
ผู้อาวุโสนิกายสั่นสะท้านขณะที่เขาพูด แต่ก่อนที่เขาจะทันได้พูดจบ
ประโยคเสียงอื่นก็ดังขึ้น
“เฮ้ ที่นี่ช่างเป็นสถานที่ที่เหมาะสมและสันโดษ ท่านคงสามารถทำ
อะไรก็ได้ตามต้องการที่นี่และก็มิมีใครจากภายนอกจะหาพบ”
ร่างหล่อเหลาของซูหยางตรงเข้ามาหาพวกเขาจากระยะไกล และที่
เดินข้างเขาก็เป็นวัยรุ่นสาวสวยเกินกว่าใครที่เหมือนกับเป็นเทพธิดา
ตัวจริง
“ซูหยางรึ” โหวเยินเจียเรียกชื่อเขาด้วยความประหลาดใจ
“อะไรนะ ซูหยางอยู่ที่นี่รึ”
ยามนั้นเหล่าศิษย์ซึ่งไม่ให้ความสนใจเสียงรบกวนมาตลอดก็พลัน
หยุดการฝึกฝนของตนเองลืมตาขึ้นและหันไปมองดูซูหยาง
หลินเชาชางก็อยู่ในเหล่าศิษย์เหล่านี้และเมื่อเธอเห็นซูหยาง จิตใจ
ของเธอก็พลันนึกถึงตอนที่พวกเขาพนันกันระหว่างการแข่งขันและ
คิดสงสัยว่าเขาเดินทางมาถึงที่นี่สุดท้ายก็เพื่อมาทวงรางวัลของตนเอง
ร่างกายของเธอ หรือไม่
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่ซูหยาง มาโดยมิส่งข่าวมาก่อน นั่นต้องเป็นเรื่อง
เร่งด่วนแน่” โหวเยินเจียกล่าวพร้อมขมวดคิ้ว แต่ตาของเขากลับจ้อง
มองเซียวหรงอย่างเซื่องซึม ซึ่งแน่นอนว่า เธอเป็นคนที่สวยที่สุด
นับตั้งแต่เขาได้เคยเห็นมาในชีวิตนอกจากชิวเยว่ ซึ่งเขาเพียงได้มอง
เพียงแวบเดียวก่อนที่เธอจะหายไป
อีกสองสามวินาทีให้หลัง ซูหยางก็หันไปมองดูหลินเชาชางและกล่าว
ด้วยรอยยิ้มลึกลับว่า “มิได้มีอะไรที่เร่งด่วนมากนัก แต่ข้ามาที่นี่เพราะ
เธอ มิว่าอย่างไรเธอก็เป็นหนี้ข้าบางอย่างอยู่”
“อะไรนะ” โหวเยินเจียและเหล่าศิษย์ต่างพากันเบิกตากว้างด้วยความ
ตระหนก
ในเวลานั้นตัวหลินเชาชางเองก็ร่ำร้องในใจหลังจากที่ได้ยินคำพูด
ของเขา
“อาาาาาาา เขามาที่นี่เพื่อที่จะมาเอาตัวข้าจริง ๆ ข้ายังมิได้เตรียมตัว
ในเรื่องนี้”
ที่แห่งนั้นพลันกลายเป็นเงียบสงัดและคงอยู่เช่นนั้นเป็นระยะเวลา
หนึ่ง
“ไร้สาระ เจ้าเชื่อจริง ๆ รึว่าศิษย์น้องหญิงหลินจักให้ร่างกายของเธอ
กับเจ้าเพียงเพราะว่าการพนันอะไรสักอย่าง” หนึ่งในศิษย์ที่ตรงนั้น
พลันยืนขึ้นและตะโกนใส่ซูหยาง
“แม้ว่าเจ้าอาจจะประสบความสำเร็จอะไรบางอย่างด้วยชื่อของเจ้า
แต่อย่าหยิ่งจองหองเกินไปนัก”
ซูหยางเหลือบไปมองศิษย์หนุ่มหล่อซึ่งเพิ่งพูดออกมา และกล่าวด้วย
สีหน้าเรียบเฉยว่า “เจ้าเป็นใครกัน”
บทที่ 469 ความฝันอันชัดแจ้ง
ในเวลาที่ซูลี่ชิงหลับอยู่นั้น ความฝันของเธอก็ยิ่งชัดเจนขึ้นทุกขณะ
และความฝันก็ค่อยเปลี่ยนเป็นสมจริงมากยิ่งขึ้น ราวกับว่าพวกมัน
เป็นความทรงจำที่แท้จริงและไม่ใช่เป็นเพียงแค่ความฝัน
“เจ้าชื่ออะไรรึ หนุ่มน้อย”
“ซูหยาง”
“เช่นนั้นตามสัญญา ในเมื่อเจ้าเอาชนะข้าได้ ข้าก็จักกลายเป็นภรรยา
ของเจ้า ซูหยาง”
ภายในความฝันของเธอ ซูลี่ชิงเห็นตัวเธอเองคุกเข่าอยู่บนพื้นด้วย
ท่าทางอ่อนล้าและที่ยืนอยู่อย่างภาคภูมิใจตรงหน้าของเธอพร้อมกับ
กระบี่ในมือของเขานั้นก็คือซูหยาง และดูเหมือนว่าเขาเอาชนะเธอ
ในการประลองบางอย่าง
สองสามอึดใจจากนั้นความฝันของเธอก็เปลี่ยนไปสู่อีกฉากที่ซึ่ง
พวกเขาพากันเปลือยกายบนเตียงและซูหยางพยายามอย่างหนักที่จะ
สร้างความพึงพอใจให้กับเธอ แต่ผู้คนสามารถบอกได้ว่ากลเม็ดของ
เขานั้นแย่มากจากเพียงแค่เหลือบมองเท่านั้น
“ข้าออกแล้วเม่ยชี” ซูหยางอุทานออกมาขณะที่ร่างของเขาสั่นสะท้าน
ด้วยความสุข หลั่งของเหลวรุ่มร้อนเข้าไปในร่างของเธอ
หลังจากที่เขาหลั่งออกมาแล้ว ซูหยางก็สลบไสลไปบนอกเธอก่อนที่
จะหลับลงไปเหมือนกับเด็ก
ภาพฉากนั้นเปลี่ยนไปอีกครั้ง และปรากฏว่าเป็นหลังจากที่พวกเขา
ร่วมรัก
“สุดท้ายเจ้าก็ตื่นขึ้นมาแล้วสินะ เม่ยชี” ซูหยางถามเธอ
จากนั้นเขาก็พูดต่อด้วยเสียงอับอายว่า “ข้าขอโทษถ้าเมื่อคืนนี้แย่ไป
หน่อย มันเป็นครั้งแรกของข้า”
“ข้าก็มิรู้ในเมื่อนั่นก็เป็นครั้งแรกของข้าเช่นกัน” ซูลี่ชิงตอบกลับไป
“ข้าจักทำให้ดีขึ้นในคราวหน้าเพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับเจ้า ข้า
สัญญา” ซูหยางยิ้มอย่างไร้เดียงสา
ภาพฉากนั้นพลันเปลี่ยนไปอีกครั้ง
“เจ้าก้าวข้ามผ่านระดับอีกแล้วรึ นั่นเป็นเพียงแค่เดือนเดียวนับตั้งแต่
ครั้งสุดท้ายนั่น ซูหยาง หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เจ้าก็จักเหนือล้ำกว่าข้า
ในเวลาเพียงแค่อีกไม่กี่เดือน” ซูลี่ชิงกล่าวด้วยรอยยิ้มสดสวยบน
ใบหน้า
และอีกครั้ง
“ซูหยาง เจ้าคิดว่าข้าจักสามารถให้กำเนิดลูกเจ้าได้หรือไม่ นี่ก็นับเป็น
เวลาสิบปีแล้วนับตั้งแต่พวกเราแต่งงานกัน และพวกเราก็ทำเช่นนี้
ทุกวัน แต่ข้าก็ยังมิสามารถ…”
“ไม่เป็นไรหรอก เม่ยชี ข้ามิสนใจว่าเจ้าสามารถที่จะตั้งครรภ์ได้
หรือไม่ ข้าพอใจเพียงแค่มีเจ้าในชีวิต”
ฉากเปลี่ยนไปอีกครั้ง
“ข้าขอโทษซูหยางที่เป็นภรรยาที่ไร้ค่าเช่นนี้ ข้าจักมิโทษเจ้าถึงแม้ว่า
เจ้าจะตัดสินใจที่จะหาหญิงอื่นมาให้กำเนิดลูกเจ้า มิว่าอย่างไรคนที่มี
พรสวรรค์เช่นเจ้าสมควรที่มีคนที่ดีกว่าข้า” ซูลี่ชิงกล่าวด้วยน้ำตา
คลอเบ้า
“เมื่อไหร่กันที่เจ้าจักหยุดพูดไร้สาระเช่นนั้น เม่ยชี กี่ครั้งแล้วที่ข้าได้
บอกกับเจ้าว่าถึงแม้ว่าเจ้ามิสามารถที่จะให้กำเนิดลูกข้าได้ ข้าก็จักมิ
ทอดทิ้งเจ้าไว้เพียงลำพัง” ซูหยางเช็ดน้ำตาของเธอออกด้วยรอยยิ้ม
อ่อนโยน
“แต่ข้าแก่ตัวลงไปแล้ว และพลังการฝึกปรือของข้าก็ถึงขีดจำกัดมา
นานแล้ว ถ้าข้ามิสามารถที่จะตั้งครรภ์ได้ภายในห้าปีข้างหน้า ความหวัง
ทั้งหมดก็ต้องสูญสลาย” ซูลี่ชิงร้องไห้หนักขึ้น
อย่างไรก็ตามซูหยางเพียงแค่โอบกอดเธอและกระซิบเสียงเบาว่า
“ข้ามิได้แต่งงานกับเจ้าเพื่อที่ว่าเจ้าจะได้ให้กำเนิดลูกให้กับข้า เม่ยชี
ข้าแต่งงานกับเจ้าเพราะว่าข้ารักเจ้า”
“ข้าขอโทษ ซูหยาง… ข้าเสียใจจริง ๆ …”
และในเวลานั้นนั่นเอง ซูลี่ชิงก็ลืมตาโพลง
เธอพลันลุกขึ้นนั่งบนเตียงและมองดูมือของตัวเองที่ยังสั่นสะท้าน
ไม่อาจควบคุมได้
“น-นั่นเป็นความฝันที่สมจริงอะไรเช่นนั้น” เธอพึมพำกับตนเองด้วย
ร่างกายที่เปียกโชกไปด้วยเหงื่อราวกับว่าเธอฝันร้าย
แต่ทว่ายิ่งนานเท่าไหร่ที่เธอตื่นขึ้นมา ความฝันนั้นก็เริ่มลบเลือนไป
จากใจเธอเท่านั้นราวกับว่ามันถูกลบทิ้ง
หลังจากที่นั่งอยู่บนเตียงต่อไปอีกหลายนาทีด้วยหน้าตาสับสน เธอก็
ลุกขึ้นจากเตียงเพื่อล้างเอาเหงื่อออกไปจากร่างของเธอ
“เห็นชัดว่านั้นเป็นซูหยาง แต่ก็ยังมีบางอย่างที่แตกต่างไปอย่างมาก
ในตัวเขา แต่ว่านั่นเป็นความฝันอะไรกัน” ซูลี่ชิงครุ่นคิดในใจขณะที่
เธอสัมผัสตราตระกูลบนร่างของเธอเบา ๆ
แม้ว่ามันจะแจ่มชัดว่าเป็นเพียงแค่ความฝันของเธอ มันก็ยังคงแจ่ม
ชัดและสมจริงเกินไปที่จะเป็นเพียงแค่ความฝัน
ในเวลานั้นหลังจากที่เขาออกมาจากตำหนักโอสถ ซูหยางก็กลับคืน
ไปยังที่พักของตนเองที่ซึ่งชิวเยว่และเซียวลี่รอคอยเขาอยู่
“สุดท้ายท่านก็กลับมา นายท่าน”
เซียวลี่กระโดดเข้าใส่เขาด้วยแขนที่อ้ากว้าง ทำท่าทางเหมือนกับเด็ก
ที่ไม่เห็นหน้าตาพ่อแม่มาเป็นเวลานาน
แม้ว่าเวลาเพียงเดือนเดียวก็เหมือนกับไม่มีความหมายใดสำหรับ
ตัวตนในเขตตำนานอย่างเซียวลี่ แต่เธอก็พบว่าเวลาได้ผ่านไปอย่าง
เชื่องช้าเป็นอันมากโดยปราศจากซูหยางอยู่ใกล้กับเธอ และก็เป็น
ความรู้สึกไม่สบายใจที่เธอก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้อย่างแท้จริง
“มีอะไรเกิดขึ้นบางไหมในขณะที่ข้าจากไป” ซูหยางถามเธอขณะที่
เขาอุ้มเธอไว้ในวงแขน
“คนที่น่าสงสัยสองสามคนพยายามที่จะเข้ามาในนิกาย ดังนั้นข้าจึง
ฆ่าพวกนั้นทั้งหมด” เซียวลี่ตอบด้วยท่าทางเรียบเฉย ราวกับว่าเธอ
กำลังพูดถึงเรื่องฆ่าแมลง
“คนพวกนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร” ซูหยางเลิกคิ้ว
“พวกนั้นแต่งตัวด้วยชุดดำล้วนดังนั้นข้าจึงมิได้เห็นรูปร่างหน้าตา
พวกนั้น แต่พวกนั้นมีกลิ่นคล้ายกับคนที่ข้าเคยฆ่าไปก่อนหน้านั้น”
“ก่อนหน้านั้นรึ” ซูหยางเพียงได้แต่นึกถึงตอนที่เซียวลี่ฆ่าคนจาก
นิกายล้านอสรพิษ
“เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่”
“เมื่อสองอาทิตย์ก่อน”
“ตอนที่การแข่งขันระดับภูมิภาคยังคงดำเนินอยู่อย่างงั้นสินะ หึ”
“ข้าควรไปฆ่าพวกนั้นทิ้งทั้งหมดไหม” เซียวลี่พลันถามเขาด้วยใบหน้า
ไร้เดียงสา สีหน้าที่ไม่ควรจะเข้ากับคำพูดที่เพิ่งออกมาจากปากของ
เธอ
“เจ้ามิต้องทำให้มือของเจ้าแปดเปื้อนด้วยการฆ่าพวกนั้นหรอก ข้าเอง
ก็สนใจว่าพวกนั้นจักทำอะไรต่อไปเช่นกันในตอนนี้เมื่อแผนของ
พวกนั้นล้มเหลว มิว่าอย่างไรพวกนั้นก็มิสามารถที่จะทำอันตราย
พวกเราได้มิว่าพวกนั้นจะทำอะไรก็ตาม”
เหตุผลอื่นที่ทำไมเขาจึงไม่ให้เซียวลี่ไปกำจัดนิกายล้านอสรพิษก็
เพราะว่าเขาต้องการที่จะเป็นคนจัดการพวกนั้นด้วยตนเอง
“อย่างไรก็ตามข้าจักเดินทางไปยังนิกายดอกบัวเพลิงในตอนนี้ ดังนั้น
ข้าต้องการให้เจ้าปกป้องสถานที่แห่งนี้ต่อไป”
“ข้าต้องการไปพร้อมกับท่านครั้งนี้ นายท่าน” เซียวลี่กล่าวกับเขา
ด้วยดวงตาอ้อนวอน
“เมื่อไหร่กันที่เธอเรียนรู้ที่จะทำสีหน้าเช่นนั้น” ซูหยางครุ่นคิดในใจ
“ชิวเยว่ เจ้าพอจะปกป้องที่แห่งนี้แทนเธอสักหน่อยหรือไม่” เขาหัน
ไปดูเธอ
“ข้ามิมีปัญหาแต่ถ้ามีคนมาหาท่านล่ะ”
“เพียงแค่บอกพวกเขาว่าข้าไปไหน”
“ท่านมั่นใจรึ” ชิวเยว่มองดูเขาพร้อมกับเลิกคิ้ว
“พวกเขาล้วนรู้ถึงความสัมพันธ์ของพวกเราอยู่แล้ว และก็มิมีเหตุผล
อะไรอีกสำหรับข้าที่จะปกปิดเจ้าไว้อีกต่อไป ในเมื่อข้าเองก็มิได้เป็น
เพียงแค่ศิษย์ในโลกที่ไม่รู้จักอีกต่อไป”
ชิวเยว่พยักหน้า
เวลาหลังจากนั้น ซูหยางก็ออกจากนิกายไปโดยมีเซียวลี่ข้างกาย
บทที่ 468 ซูลี่ชิง
“อืมมม…”
“อาาา…”
หลานลี่ชิงครวญครางเบา ๆ ขณะที่ซูหยางขยับสะโพกของเขาอย่าง
ช้า ๆ
แม้ว่าจะผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมงแล้วนับตั้งแต่พวกเขาเริ่มร่วมฝึกวิชา
คู่ หลานลี่ชิงก็ยังดูไม่มีทีท่าว่าใกล้จะหมดแรง ราวกับว่าซูหยาง
ไม่ได้สร้างความลำบากให้กับเธอ
“เจ้าอ่อนโยนเป็นอย่างมากในวันนี้ซูหยาง” หลานลี่ชิงกล่าวพร้อม
รอยยิ้ม “แม้ว่าจะมิใช่ว่าข้าไม่สนุกไปด้วย เพียงแต่ว่ามันรู้สึกเหมือน
แตกต่างไปจากปกติอย่างมาก”
ซูหยางก็ยิ้มขึ้นมาเช่นกันและกล่าวว่า “นั่นเป็นเพราะว่า ข้าต้องการ
ให้สองเรามีความสุขไปด้วยกันให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
ไม่มีอะไรเป็นพิเศษกับกิจกรรมการร่วมฝึกคู่ในตอนนี้ ในเมื่อซูหยาง
ไม่ได้ใช้กลเม็ดใด ๆ และเพียงแต่ร่วมรักแบบธรรมดาสบาย ๆ กับ
หลานลี่ชิง
จุดประสงค์ของกิจกรรมนี้ไม่ใช่เพื่อที่เขาจะได้เพิ่มพูนพลังการฝึกปรือ
หรือเพียงแค่สร้างความพึงพอใจให้กับหญิงสาวในอ้อมแขนแต่เพื่อ
กระชับความสัมพันธ์อันลึกซึ้งระหว่างพวกเขา
สำหรับหลานลี่ชิงแล้วก็เหมือนกับว่าพวกเขาเป็นเพียงคู่รักธรรมดา
สองคนซึ่งเพิ่งแต่งงานและได้ประสานสัมพันธ์ร่างกายเข้าด้วยกันเป็น
ครั้งแรกในคืนแรกที่ได้อยู่ร่วมกัน และมันก็มีเสน่ห์ที่ไม่สามารถ
อธิบายได้ในตัวเอง
การดำเนินไปไม่ได้ช้าหรือเร็วแต่ความพึงพอใจที่เธอได้รับนั้นเกิน
กว่าทุกสิ่งที่เธอรู้สึกมาก่อนหน้านั้น ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าจะรู้สึกถูก
เร่งเร้าขึ้นมากกว่าเดิมแต่เธอก็สามารถที่จะควบคุมเสียงครางและ
การหายใจได้อย่างง่ายดาย
“ข้ารู้สึกเป็นสุขที่ได้พบกับเจ้า ซูหยาง กระทั่งตัวข้าเองยังเริ่มคิดว่า
เหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นพรที่แฝงมาในความโชคร้าย ในเมื่อมันชักนำพา
ให้ข้าได้พบกับเจ้า”
“ข้าเองก็ดีใจเช่นกันที่เจ้ายอมรับคำขอร้องที่ไร้เหตุผลของข้าก่อนที่
ข้าจะกลืนกินดอกหยางพิสุทธ์ิ”
ทั้งสองคนทำการร่วมฝึกคู่เป็นเวลาหลายชั่วโมง ร่างกายของพวกเขา
ขยับเขยื้อนไม่หยุดยั้งราวกับว่าถูกสะกดเอาไว้
และยิ่งนานเท่าไหร่ที่พวกเขาร่วมฝึกฝน ผนึกตระกูลของซูหยางก็
เริ่มปรากฏเด่นชัดขึ้นบนร่างของหลานลี่ชิงมากขึ้นเท่านั้น
เมื่อจบสิ้นกิจกรรมการร่วมฝึกของพวกเขาแล้ว ผนึกตระกูลบนท้อง
น้อยของเธอก็สมจริงจนกระทั่งเหมือนกับว่ามันจะมีชีวิตขึ้นมา
“นี่เป็นผนึกตระกูลรึ” เธอถามเขาขณะที่เธอใช้นิ้วลูบไล้มันไปเบา ๆ
เขาพยักหน้าและกล่าวว่า “ยินดีต้อนรับเข้าสู่ตระกูล”
“นี่คงทำให้ข้าตอนนี้กลายเป็นซูลี่ชิงไปแล้วใช่ไหม” เธอพูดเล่น
พร้อมรอยยิ้ม
“ถ้าเจ้าปรารถนาที่จะใช้ชื่อสกุลของข้า เจ้ามีสิทธ์ิที่จะทำเช่นนั้น”
เมื่อได้ยินคำตอบที่ไม่คาดคิดของเขา หลานลี่ชิงก็จ้องมองเขาด้วย
ใบหน้าตะลึงงัน
“เช่นนั้นนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้ามีชื่อว่าซูลี่ชิง”
ซูหยางมองดูเธอด้วยสายตาเบิกกว้าง ในเมื่อเขาไม่คาดคิดว่าเธอจะ
ใช้ชื่อสกุลของเขาไปใช้อย่างจริงจัง แม้กระทั่งในตระกูลเอง ก็มีน้อย
คนที่ตัดสินใจที่จะเปลี่ยนชื่อของตนเอง
“ชื่อสกุลเดิมของข้าได้รับมาจากพ่อแม่ที่ทอดทิ้งข้าไป อย่างน้อยนั่น
ก็เป็นสิ่งที่ผู้นำนิกายคนก่อนได้บอกข้าตอนที่พวกเขาได้พบข้า และ
ข้าก็รังเกียจมันมาโดยตลอด”
“ว่าแต่เจ้าคงไม่ถือถ้าข้าจะถามว่าคนที่คล้ายกับข้านั้นเป็นใครกัน”
“เธอเป็น… ภรรยาข้า ภรรยาคนแรกของข้า” เขาตอบหลังจากที่หยุด
ไปเล็กน้อย
“หือ” ซูลี่ชิงมองดูเขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง
“เจ้ามีภรรยาแล้วอย่างนั้นรึ” เสียงของเธอฟังดูประหลาดใจมากกว่า
ไม่พึงพอใจ
“ข้ามีภรรยาหนึ่งคน แต่ว่าเธอตายไปเมื่อหลายพันปีก่อนแล้ว”
“หลายพัน… ปี…งั้นรึ” ซูลี่ชิงเปลี่ยนไปเป็นสับสนกว่าเดิม
“ในเมื่อตอนนี้เจ้าเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลข้าแล้ว ก็ถึงเวลาที่ข้าต้อง
บอกเจ้าเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาที่แท้จริงของข้า ซูหยางตัวจริง”
จากนั้นซูหยางก็โยนเม็ดยาแปลงโฉมเข้าไปในปากของตนเองและ
เปลี่ยนหน้าตาที่ยังไม่โตเต็มวัยไปเป็นตัวตนที่เป็นผู้ใหญ่ สร้างความ
ตกใจให้กับซูลี่ชิง
“นี่คือหน้าตาที่แท้จริงของข้า… ซูหยางที่แท้จริง อย่างน้อยก็ก่อนที่
ข้าจะกลับชาติมาเกิดใหม่”
จากนั้นเขาก็ดำเนินการอธิบายให้เธอฟังถึงตัวตนที่แท้จริงของเขา
“ข้าเกิดในสถานที่ที่เรียกว่าสวรรค์ศักด์ิสิทธ์ิทั้งสี่ ที่ซึ่งข้าได้อาศัยอยู่
นั้นห่างไกลจากที่นี่มาก และมันก็เป็นสถานที่ที่พวกเราจะไปในสอง
ปีนี้เช่นกัน”
“เนื่องจากสถานการณ์บางอย่างทำให้ข้าได้ตายจากชีวิตนั้น แต่ทว่า
จากนั้นข้าก็ได้กลับมาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้เป็นคนเดิม และหาก
มิใช่จนกระทั่งข้าได้เข้าสู่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ข้าจึงได้ฟื้นความ
ทรงจำในอดีตของตัวข้า”
ซูลี่ชิงจ้องมองไปยังชายรูปงามมากเกินใครต่อหน้าเธอด้วยหน้าตา
ตะลึงงัน ดูเหมือนจะยังไม่อยากเชื่อ
แม้ว่าเธอจะพบว่ามันยากที่จะเชื่อว่าซูหยางได้มีชีวิตก่อนและกลับมา
เกิดใหม่ แต่นั่นก็สามารถอธิบายได้ว่าทำไมเขาจึงมีความรู้มากมาย
และพรสวรรค์ที่เหนือโลก
เธอมักจะคิดเสมอว่าซูหยางมีพฤติกรรมที่เป็นผู้ใหญ่เกินไปกว่าอายุ
ที่แท้จริงของเขา แต่เมื่อมาคิดว่าข้อสงสัยของเธอนั้นเป็นจริงมาโดย
ตลอดตามปกติแล้วมันเป็นเรื่องที่น่าตกใจอย่างแท้จริง
“มีอะไรอยู่ในใจรึ” ซูหยางถามเธอด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“อือ…” หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ เธอก็กล่าวด้วยรอยยิ้มเอียงอายว่า
“เจ้ายิ่งดูหล่อเหลากว่าเดิม…”
“อย่างงั้นรึ” ซูหยางหัวเราะหึ ๆ
“เช่นนั้นเจ้ามิถือในประวัติของข้ารึ”
ซูลี่ชิงส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “มิใช่เป็นเพราะประวัติที่ทำให้ข้าตก
หลุมรัก ดังนั้นจึงมิมีผลว่าเจ้าจะมาจากไหนหรือเจ้าจะกลายเป็น
อย่างไร เพียงแต่สัญญากับข้าว่าเจ้าจักยังคงเป็นคนเดิมที่ข้ารู้จัก”
ซูหยางพยักหน้า “ข้าสัญญา” เขากระซิบด้วยเสียงนุ่มนวล
หลังจากที่ใช้เวลาไปอีกสองสามนาที ซูลี่ชิงก็กล่าวว่า “อีกสักรอบ
กันดีไหม ข้ารู้สึกดีขึ้นมากกว่าเดิมด้วยเหตุผลบางอย่าง”
ซูหยางยิ้ม และทั้งสองก็กลับไปร่วมฝึกวิชาคู่กันอีกหลายชั่วโมง
หลังจากนั้นซูหยางก็ออกจากตำหนักโอสถ ปล่อยให้ซูลี่ชิงอยู่
ภายในห้องพักผ่อน
ครั้นเมื่อเธอผล็อยหลับลงไปแล้ว ผนึกตระกูลบนร่างของซูลี่ชิงก็เริ่ม
เปล่งแสงเรืองลึกลับทำให้เธอเกิดความฝันที่สมจริง
ภายในความฝัน เธอนอนเปลือยกายอยู่บนเตียงเหมือนกับสถานการณ์
ที่เธอเป็นอยู่ในขณะนี้ และเธอก็รู้สึกถึงคนอีกคนบนเตียงข้าง ๆ เธอ
“สุดท้ายเจ้าก็ตื่นขึ้นมาแล้วสินะ เม่ยชี” เสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นข้างกาย
เธอ ทำให้เธอหันหน้าไป
“ซูหยาง…” ซูลี่ชิงพึมพัมหลังจากที่เห็นใบหน้าหล่อเหลาหลับอยู่
ข้าง ๆ เธอ ถึงแม้ว่าคนผู้นี้ดูเหมือนกับซูหยางปัจจุบันนี้มาก เขาก็ยัง
ทำให้รู้สึกแตกต่างและไร้เดียงสาเป็นอย่างมาก
“ข้าขอโทษถ้าเมื่อคืนนี้แย่ไปหน่อย มันเป็นครั้งแรกของข้า” ซูหยาง
กล่าวพร้อมรอยยิ้มอาย
“ข้าก็มิรู้ในเมื่อนั่นก็เป็นครั้งแรกของข้าเช่นกัน” เธอตอบเขากลับไป
ตามสัญชาตญาณพร้อมรอยยิ้ม รู้สึกเหมือนกับว่าเธอได้เคยกล่าว
คำพูดเช่นนี้มาก่อน
บทที่ 467 ข้าต้องการให้เจ้ามากับข้า
หลังจากที่พาหลานลี่ชิงไปยังห้องส่วนตัวที่เธอเป็นเจ้าของภายใน
ตำหนักโอสถแล้ว ซูหยางก็มองดูเธออย่างเงียบ ๆ ด้วยสีหน้าจริงจัง
“ทำไมต้องทำหน้าเครียด เกิดอะไรขึ้นรึ ข้าอยู่ที่นี่เสมอเผื่อเจ้าต้องการ
ใครสักคนที่จะพูดด้วย” หลานลี่ชิงกล่าวกับเขาด้วยรอยยิ้มปลอบ
ประโลมหลังจากที่ผ่านเวลาอันเงียบงันไปหลายนาที
รอยยิ้มเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา ก่อนที่จะพูดว่า “เป็น
เช่นนั้นจริง ข้ามีเรื่องบางอย่างในใจ แต่ทว่ามันก็มิมีอะไรที่สำคัญ
มากมายนัก ดังนั้นทำไมเราจึงมิมาสนุกร่วมกันก่อนล่ะ”
หลานลี่ชิงเผยให้เห็นรอยยิ้มยอมแพ้และพยักหน้า “ถ้านั่นจักทำให้
เจ้าสบายใจขึ้น พวกเราก็มาสนุกร่วมกันให้มากเท่ากันที่เจ้าต้องการ
เถอะ”
ในอีกไม่กี่วินาทีถัดไป หลานลี่ชิงก็ปลดเปลื้องเสื้อผ้าของเธอและ
เอนกายลงไปบนเตียงพร้อมกับกางแขนกว้างดึงดูดเขาให้เข้าไปใน
อ้อมอกของเธอด้วยรอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์บนใบหน้าสวยของเธอ
“…”
แต่ทว่าซูหยางไม่ได้ขยับและเพียงแต่ยืนอยู่ตรงนั้น
“ซูหยาง… มีอะไรผิดไปหรือ” หลานลี่ชิงถามเขาด้วยคิ้วที่ย่นด้วย
ความเป็นกังวล
“ไม่ เจ้าเพียงแต่ทำให้ข้านึกถึงใครบางคนที่ข้ารู้จัก” เขาตอบด้วยสี
หน้าใฝ่หา “ตั้งแต่นิสัยใจคอไปจนถึงวิธีการมองของเจ้า… เจ้าคล้าย
กับคนหนึ่งที่ข้ารักมากที่สุด”
“…”
หลานลี่ชิงพูดไม่ออก ในเมื่อเธอไม่รู้ว่าจะตอบสนองกับคำพูดนั้นได้
อย่างไร
จากนั้นซูหยางก็พูดต่อว่า “แม้ว่าเธอจะดูเหมือนจะเย็นชาและไร้
ความหวาดกลัวในภายนอก ครั้นเมื่อเจ้ารู้จักกับเธอ เธอนั้นเอาใจใส่
และอ่อนโยนเป็นที่สุด เหมือนกับเจ้าเมื่อตอนที่ข้าพบกับเจ้าเป็นครั้ง
แรก”
“แต่ความเหมือนนั้นมิได้มีเพียงแค่นั้น มิเพียงแต่เธอเป็นคู่ครองคน
แรกของข้าในเวลานั้น เจ้าเองก็ยังเป็นคู่ครองคนแรกของข้าเช่นกัน
ในชีวิตนี้….” ซูหยางพึมพำด้วยเสียงเบา
หลานลี่ชิงเลิกคิ้วด้วยท่าทางงงงัน ทำไมจึงฟังดูเหมือนกับว่าเขาพูด
ถึงชีวิตคนอื่นในอดีต
“ถ้าเธอกลับมาเกิดใหม่ เธอก็ควรจักเป็นสิ่งที่เจ้าเป็นอยู่ดังเช่นทุก
วันนี้”
“ผู้หญิงที่เจ้าพูดถึง…หรือว่าเธอ…” หลานลี่ชิงอดที่จะถามให้ชัดเจน
ไม่ได้
“ถูกต้องแล้ว เธอมิได้อยู่ในโลกนี้อีกต่อไป”
“ข้าขอแสดงความเสียใจสำหรับความสูญเสียของเจ้า…”
สองสามอึดใจผ่านพ้นไปอย่างเงียบ ๆ ซูหยางจ้องมองไปที่ดวงตาของ
หลานลี่ชิงและกล่าวด้วยเสียงจริงจังว่า “แม้ว่าข้าจะยังมิได้ตัดสินใจ
แต่ก็จะมีโอกาสสูงมากที่ข้าจะจากที่แห่งนี้ไปในเวลาสองปี”
“อ-อะไรนะ” หลานลี่ชิงพลันยืนขึ้นด้วยใบหน้าตระหนก “น-นั่น
กะทันหันเกินไป ทำไมเจ้าจึงจะจากไปในตอนนี้ นิกายกุสุมาลย์พ้น
พิสัยต้องการเจ้า”
“ข้ารู้ ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมข้าจึงต้องทำให้นิกายกุสุมาลย์
พ้นพิสัยกลายเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปตะวันออกนี้
ก่อนที่ข้าจะจากไปในเวลาสองปีข้างหน้า เพื่อที่ว่าเมื่อถึงตอนที่ข้า
ต้องจากไปจริง ๆ พวกเขาจักได้มิต้องพึ่งพาข้าอีกต่อไป”
“…คนอื่น ๆ รู้เรื่องนี้แล้วหรือยัง” เธอถามเขาซึ่งเขาก็ได้แต่ส่ายหน้า
อย่างอ่อนโยน
“เจ้าวางแผนที่จะบอกพวกเขาหรือไม่”
“แน่นอน ครั้นเมื่อทุกอย่างลงตัวและกลับคืนสู่สภาพปกติ”
“เช่นนั้นข้าก็เป็นเพียงคนเดียวที่รู้เรื่องนี้สิ”
“ถูกต้อง”
“ทำไมเจ้าจึงบอกข้าเรื่องนี้…”
“…”
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ ซูหยางก็พูดขึ้นด้วยเสียงที่จริงใจ “เพราะว่า
ข้าต้องการให้เวลาเจ้าในการตัดสินใจ”
“ตัดสินใจรึ…” เธอเลิกคิ้ว
“ข้าต้องการให้เจ้ามากับข้ายามเมื่อข้าตัดสินใจที่จะไป”
หลานลี่ชิงดวงตาเบิกกว้างเมื่อเธอได้ยินคำพูดของเขา และเธอก็ถาม
ว่า “เราจะไปที่ไหนกัน”
“ที่ใดที่หนึ่งที่แสนไกลโพ้น ซึ่งเป็นที่ข้ามาจากที่นั่น”
“เขามาจากที่ไหนกัน” หลานลี่ชิงทวนคำพูดของเขาในใจ หรือว่านี่มี
ส่วนเกี่ยวข้องกับเบื้องหลังอันลึกลับของเขา
“ครั้นเมื่อเจ้าจากไป.. เจ้าจะกลับมาอีกหรือไม่” เธอถามเขาต่อ
“ยากที่จะกล่าว แต่ข้าจักพยายามเต็มที่”
ทั้งห้องเปลี่ยนเป็นเงียบอย่างสมบูรณ์หลังจากนั้น
จากนั้นหลานลี่ชิงจึงนอนอยู่บนเตียงโดยวางมือก่ายหน้าผาก ราวกับ
ว่าเธอกำลังตกอยู่ในห้วงคิดลึก
“เจ้ามิจำเป็นต้องตัดสินใจในตอนนี้ อย่าลืมว่ายังมีเวลาอีกมากมาย”
ซูหยางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ข้าจักปล่อยให้เจ้าพักผ่อนในตอนนี้”
ในขณะที่ซูหยางหันกายหลานลี่ชิงก็หยุดเขาไว้ด้วยเสียงสดใส
“เดี๋ยวก่อน เจ้าจะทิ้งข้าไว้อย่างงี้อย่างงั้นรึ”
เมื่อซูหยางหันกายกลับมาหลานลี่ชิงก็มองดูเขาด้วยสายตาชวน
หลงใหลและนิ้วของเธอก็ชี้ไปยังร่างเปลือยเปล่าของตนเอง
ซูหยางดวงตาเบิกกว้าง แต่ก่อนที่เขาจะทันได้พูด เธอก็กล่าวต่อว่า
“เจ้าดูถูกข้าเกินไปแล้วซูหยาง สองปีรึ นั่นนานเกินไป ข้ามิต้องการ
เวลาถึงสองนาทีในการตัดสินใจด้วยซ้ำ ข้าต้องการตามเจ้าไป”
“เอ๋ เจ้ามั่นใจในเรื่องนี้รึ มิใช่ว่านี่เป็นบ้านเจ้ารึ” เขาถาม
“ข้าเคยได้อ้างถึงเรื่องนี้ให้กับเจ้าก่อนหน้านี้ไปแล้วซูหยาง ที่ทำให้
ที่นี่เป็นบ้านของข้านั้นเป็นผู้นำนิกายคนก่อนที่ได้รับเลี้ยงข้า ตอนนี้
เมื่อพวกเขาล้วนจากไปแล้วที่นี่ก็มิใช่บ้านข้าอีกต่อไป ตามความเป็น
จริงข้ามีบ้านใหม่เรียบร้อยแล้วในตอนนี้”
จากนั้นเธอก็ชี้ไปทางเขาแล้วกล่าวว่า “เจ้าเป็นบ้านใหม่ของข้าใน
ตอนนี้ซูหยาง เจ้าไปที่ไหนก็ตามที่แห่งนั้นก็จักเป็นบ้านของข้า”
เมื่อได้ยินคำพูดของเธอ ซูหยางก็หลับตาลงแล้วสูดลมหายใจลึก ๆ
และพึมพำด้วยรอยยิ้มว่า “จริง ๆ .. เจ้าช่างเหมือนกับเธอจริง ๆ …”
จากนั้นเขาก็ตรงเข้าไปหาเธอและมองเข้าไปในดวงตาของเธอและ
กล่าวว่า “ลี่ชิงเจ้าปรารถนาที่จะรับผนึกตระกูลของข้าหรือไม่”
“ผนึกตระกูล มันคืออะไร”
ซูหยางจึงทำการอธิบายให้เธอฟังเกี่ยวกับผนึกตระกูลและกฎที่เธอ
ต้องห้ามทำเมื่อรับมันไว้แล้ว
“รู้สึกเหมือนกับว่าพวกเราจะแต่งงานกันเลยซูหยาง” หลานลี่ชิง
หัวเราะคิกคัก
“คล้ายแบบนั้นแหละ แต่ว่าผนึกตระกูลเป็นอะไรที่มากกว่าการ
แต่งงานกัน” เขาตอบด้วยรอยยิ้ม
เวลาถัดไปหลานลี่ชิงก็กล่าวขึ้นว่า “ข้ามิเคยคิดว่าข้าจักพูดแบบนี้กับ
ข้อเสนอของชายคนหนึ่งแต่ทว่า… ใช่ ข้าปรารถนา”
รอยยิ้มบนใบหน้าของซูหยางกว้างขึ้น และเขาก็เข้าถึงริมฝีปากของ
เธอทันที จูบเธอด้วยความเสน่หา
ไม่นานหลังจากนั้นซูหยางก็ปลดเสื้อผ้าของตนเองออก ก่อนที่ทั้ง
สองจะเริ่มกิจกรรมร่วมฝึกคู่กันด้วยความหลงใหล
บทที่ 466 ผู้อาวุโสนิกายชุดใหม่
“การเอาชนะการแข่งขันเป็นเพียงแค่การเริ่มต้น นับตั้งแต่วันนี้เป็น
ต้นไป ข้าจักกุมหางเสือนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยไปสู่ทิศทางของการ
เป็นสำนักระดับหนึ่งในทวีปตะวันออกและก็จะมิใช่แค่เพียงในนาม
เท่านั้น”
จากนั้นซูหยางก็หันไปมองโหลวหลานจีแล้วกล่าวต่อว่า “ข้าจักปล่อย
เรื่องงานก่อสร้างและการต้อนรับแขกให้กับท่านและผู้อาวุโสนิกาย
และข้าจักดูแลเรื่องอื่น ๆ ทั้งหมด”
“ในอีกเดือนข้างหน้า ข้าจักเริ่มรับศิษย์ใหม่ แต่อย่างไรก็ตามวิธีของ
ข้าจักแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงกับสิ่งที่พวกเจ้าใช้กันอยู่”
“ข้าจักปล่อยทุกอย่างให้กับเจ้า” โหลวหลานจีพยักหน้า
“ครั้นเมื่อการรับสมัครจบสิ้นลงแล้ว นั่นก็จักเป็นเวลาที่ความสนุก
อย่างแท้จริงจะได้เริ่มต้นขึ้น ข้าหวังว่าพวกเจ้าทั้งหมดจักสนุกกับมัน
เท่ากับที่ข้าหวังไว้เมื่อมันเกิดขึ้น” ซูหยางกล่าวด้วยรอยยิ้มลึกลับ
เหล่าศิษย์พากันสบสายตา สงสัยว่าเขากำลังวางแผนที่จะทำอะไรอยู่
แต่อนิจจา ซูหยางเป็นคนที่เดาใจไม่ได้ไม่ได้ยึดติดกับกรอบสามัญ
สำนึกทั่วไป ดังนั้นทุกสิ่งจึงเป็นไปได้หากว่าเป็นเขา
“พวกเจ้ามีคำถามอะไรหรือไม่” เขาถามพวกเธอ
หนึ่งในเหล่าศิษย์ยกมือของเธอขึ้นและกล่าวว่า “พวกเราควรทำ
อย่างไรในตอนนี้เมื่อการแข่งขันระดับภูมิภาคจบลงแล้ว พวกเรายัง
จะสามารถร่วมฝึกกับท่านได้อยู่หรือไม่”
เหล่าศิษย์ที่นั่นต่างพากันมองดูเขาด้วยสีหน้าเป็นกังวล ตอนนี้เมื่อ
การแข่งขันระดับภูมิภาคจบลงแล้วก็ไม่มีเหตุผลอะไรอีกสำหรับเขา
ที่จะร่วมฝึกกับพวกเธอ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาก็จะรับสมัครศิษย์ใหม่
ในอนาคตอันใกล้ เหล่าศิษย์ล้วนกลัวว่าซูหยางจะไม่ร่วมฝึกกับพวก
เธอตั้งแต่นี้ต่อไปซึ่งทุกสิ่งก็คงจบสิ้น
ซูหยางหลับตาลงชั่วขณะก่อนที่จะพูดขึ้นว่า “เมื่อสถานการณ์และ
เวลาเปลี่ยนไปเจตนารมณ์ของพวกเราก็เปลี่ยนไปเช่นเดียวกัน ข้าจัก
ยุ่งมากนับตั้งแต่นี้เป็นต้นไปและก็จักยังมีศิษย์ใหม่มาเติมช่องว่างที่
พวกเรายังขาดศิษย์ชาย ดังนั้นข้าจึงมิอาจจะสามารถที่จะเก็บพวกเจ้า
ทั้งหมดไว้ข้างกายได้”
เมื่อเหล่าศิษย์ได้ยินดังนั้น พวกเธอทั้งหมดต่างแสดงสีหน้าหดหู่
แน่นอนว่าพวกเธอต่างรู้สถานการณ์ของตนเองดีอยู่แล้วว่าเป็นนี่เป็น
เพียงสิ่งชั่วคราวและก็จะต้องจบสิ้นลงในสักวันหนึ่ง แต่ในที่สุดเมื่อ
วันนั้นมาถึง พวกเธอต่างก็ยากที่จะยอมรับได้
“ข-ข้ามิถือหากว่าจะต้องเป็นคู่ในกรณีพิเศษของท่าน เพราะว่ายังไง
ก็จะต้องมีศิษย์หญิงใหม่อยู่ดี ถึงแม้ว่าพวกเราจะมิสามารถร่วมฝึกกับ
ท่านทุกวัน ขอแค่เพียงบางครั้งก็เพียงพอ” หนึ่งในพวกเธอกล่าวขึ้น
ซูหยางยังคงเยือกเย็นและกล่าวว่า “แม้ว่าพวกเจ้าอาจจะอายุยังน้อย
พวกเจ้าทั้งหมดล้วนเก่งกาจอย่างน้อยก็เก่งกว่าผู้ใหญ่ทั่วไปในขณะนี้
ดังนั้นข้าจึงวางแผนที่จะทำให้ทุกคนที่นี่ ยกเว้นศิษย์รุ่นเยาว์ เป็นผู้
อาวุโสนิกายที่จักกลายเป็นเสาหลักของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย แน่นอน
ว่าถ้าพวกเจ้ายังประสงค์ที่จะเป็นศิษย์ต่อไปนั่นก็ไม่เป็นไร”
“ผ-ผู้อาวุโสนิกาย”
เหล่าศิษย์ต่างสบตากันอีกครั้ง พวกเธอไม่คิดว่าจะมีทางออกเช่นนั้น
“ในตอนนี้เมื่อข้าเป็นผู้นำนิกาย และสิ่งต่าง ๆ ก็จักกลับคืนสู่ปกติใน
เร็ววันนี้ ข้าก็จักมิสามารถที่จะร่วมฝึกกับเหล่าศิษย์ได้อีก อย่างไรก็
ตามถ้าหากเป็นผู้อาวุโสนิกายนั่นก็จะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะ
ไม่ได้บ่อยแต่ข้าก็สามารถที่จะกำหนดเวลาว่าเป็นทุกระยะเวลาหนึ่ง
ในการช่วยเหลือผู้อาวุโสนิกายฝึกวิชาได้”
เมื่อเหล่าศิษย์ได้ยินคำพูดของเขา สีหน้าเศร้าสร้อยของเธอก็พลัน
เปลี่ยนเป็นยินดีพร้อมกับรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า
“ข้ายินดีที่จะเป็นผู้อาวุโสนิกาย”
“ข้าก็เช่นเดียวกัน ข้ายอมรับตำแหน่งผู้อาวุโสนิกาย”
เหล่าศิษย์ต่างพากันตกลงใจที่จะเป็นผู้อาวุโสนิกายกันอย่างรวดเร็ว
ในเวลานั้นเหล่าผู้อาวุโสนิกายอื่นต่างพากันงงงันกับสถานการณ์นั้น
ในประวัติศาสตร์ของนิกายตลอดมานี้นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเลือก
ผู้อาวุโสนิกายกันแบบนี้ อย่างไรก็ตามมันก็เป็นความจริงที่พวกเขา
ขาดผู้อาวุโสนิกาย และหากว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเจริญรุ่งเรือง
ขึ้นมาพร้อมกับศิษย์ใหม่ พวกเขาก็จะต้องการผู้อาวุโสนิกายเพื่อที่จะ
รักษากฏระเบียบ และสิ่งเหล่านั้นก็ย่อมเป็นไปไม่ได้กับจำนวนของ
ผู้อาวุโสนิกายที่พวกเขามีอยู่ในตอนนี้
“อย่างไรก็ตามนี่ก็เป็นทั้งหมดที่ข้าต้องการให้พวกเจ้ารับรู้ในตอนนี้
ข้าจักให้รายละเอียดมากกว่านี้หลังจากที่จบสิ้นการรับสมัครศิษย์
ใหม่แล้ว พวกเจ้าสามารถทำอะไรก็ได้ตามใจในตอนนี้จนกว่าการ
รับสมัครจะเริ่มต้น”
หลังจากที่เขาพูดจบแล้ว เหล่าศิษย์ก็เริ่มพูดคุยกันเอง
เหล่าศิษย์ที่เข้าร่วมในการแข่งขันระดับภูมิภาคก็ได้เล่าถึงช่วงเวลา
ของพวกเธอในขณะที่อยู่ที่เมืองหิมะโปรยและการดำเนินไปของ
การแข่งขัน ในเวลานั้นศิษย์บางคนซึ่งส่วนใหญ่เป็นศิษย์รุ่นเยาว์ก็
เข้ารุมล้อมชินเหลียงหยูและถามคำถามเธอเกี่ยวกับประวัติของเธอ
และเรื่องของทวีปใต้
“ท่านมาจากทวีปใต้จริง ๆ หรือ ท่านมาถึงทวีปตะวันออกได้อย่างไร
ทั้งที่ทะเลหยกขวางกั้นพวกเราไว้”
เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์มองดูเธอด้วยสายตาที่อยากรู้อยากเห็น
“เอ้อ… ซูหยางพาข้ามาที่นี่ด้วยยานบิน…” ชินเหลียงหยูพูด
“โหวววว ยานบิน นั่นต้องเป็นลำเดียวกับเมื่อตอนนั้นแน่” เหล่าศิษย์
รุ่นเยาว์พูดขณะที่นึกถึงยานบินลำใหญ่ที่รับตัวซูหยางและหงอวี้เอ๋อร์
ที่งานแข่งขัน
“ทำไมท่านจึงมายังทวีปตะวันออกล่ะ” ศิษย์อีกคนถามเธอ
“ซูหยาง…” เธอตอบด้วยเสียงเอียงอาย
เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ต่างพากันสบสายตากันก่อนที่จะระเบิดเสียงหัวเราะ
ออกมา “ฮ่าฮ่าฮ่า แน่นอนว่าต้องเป็นเช่นนั้น มิเช่นนั้นหญิงสาวสวย
เช่นท่านจะมาอยู่ข้างกายศิษย์พี่ชายได้อย่างไร”
“ได้โปรดเล่าให้พวกเราฟังเกี่ยวกับทวีปใต้”
ชินเหลียงหยูพยักหน้าและเริ่มพูดถึงเกี่ยวกับทวีปใต้ราวกับว่ามัน
เป็นนิทานให้กับศิษย์รุ่นเยาว์
ในเวลานั้นหลังจากที่ซูหยางพูดบรรยายจบแล้ว โหลวหลานจีก็เข้า
ไปหาเขาและพูดว่า “ซูหยาง ข้าต้องการที่จะพูดเกี่ยวกับแผนในอนาคต
ของพวกเรามากกว่านี้ แต่ว่ามีแขกนับพันอยู่ที่ด้านนอกประตู”
ซูหยางพยักหน้าและกล่าวว่า “ข้าเข้าใจ ท่านไปทำสิ่งที่ต้องทำ”
สองสามอึดใจให้หลัง โหลวหลาจีก็ออกไปจากที่แห่งนั้นพร้อมกับ
เหล่าผู้อาวุโสนิกายเพื่อต้อนรับแขก ในกรณีนี้ถึงแม้ว่าพวกเขาจะต้อง
ใช้เวลาทั้งวันในการต้อนรับแขก นั่นก็อาจจะต้องใช้เวลาหลายอาทิตย์
ก่อนที่จะความสงบสุขจะกลับมาเยือนที่แห่งนี้อีกครั้ง
หลังจากที่โหลวหลานจีจากที่แห่งนั้นไปแล้ว ซูหยางก็หันไปมองดู
หลานลี่ชิง ผู้ซึ่งยืนเงียบอยู่ที่มุมห้อง มองดูเขาอยู่อย่างเงียบ ๆ
เมื่อเธอตระหนักว่าซูหยางได้สังเกตเห็นเธอ เธอก็ยิ้มให้เขาอย่างเอียง
อาย
จากนั้นเขาก็เข้าไปหาเธอและกล่าวว่า “มากับข้า ข้ามีเรื่องสองสาม
อย่างที่จะพูดกับเจ้า”
หลานลี่ชิงพยักหน้าก่อนที่จะติดตามเขาไปที่ซึ่งเป็นส่วนตัว
บทที่ 465 แม่ยก*
(ผู้แปล – *ศัพท์คือ fangirls แฟนเกิร์ล เหล่าผู้ติดตามที่เป็นหญิงใน
ด้านการ์ตูน ดนตรี หนัง หรือฟิกชั่น เพื่อที่จะให้ดูเข้ากับยุคสมัยของ
ซูหยาง จึงใช้คำว่า แม่ยก ซึ่งมีความหมายเดียวกัน)
“ทุกคนที่นี่กำลังรอที่จะเข้าเยี่ยมนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยรึ” โหลวหลาน
จีตื่นตะลึงกับการได้รับความนิยมเพิ่มอย่างกะทันหัน แม้ว่ามันจะ
เป็นไปตามคาด เธอก็ไม่ได้คิดว่ามันจะบานปลายรวดเร็วขนาดนี้
สองสามอึดใจถัดไป เธอก็ก้าวไปข้างหน้าและกล่าวว่า “ข้าคือโหลว
หลานจีผู้นำนิกายของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและข้ารู้สึกเจียมตนกับ
ความศรัทธาในการเยี่ยมเยือนของพวกท่าน ดังนั้นครั้นเมื่อข้ากลับไป
ยังนิกายแล้ว ข้าก็จักเริ่มรับแขกทันที ในเมื่อดูเหมือนจะมีผู้คนจำนวน
มาก ซึ่งคงจักต้องใช้เวลาสักพัก ดังนั้นขอได้โปรดอดทน”
“โอ ผู้นำนิกาย”
ผู้คนที่นั่นต่างพากันก้มหัวให้ด้วยความเคารพหลังจากที่รู้ฐานะของ
เธอแล้ว
“เชิญตามสบาย ท่านผู้นำนิกาย พวกเราจักอยู่ที่นี่ถึงแม้ว่ามันจักต้อง
ใช้เวลาถึงเดือนหน้า”
โหลวหลานจีพยักหน้าก่อนที่จะกลับคืนไปในรถม้าพร้อมกับเหล่าผู้
อาวุโสนิกาย
ไม่นานหลังจากนั้นพวกเขาก็เริ่มเดินทางอีกครั้ง
หลังจากนั้น ครั้นเมื่อพวกเขาได้กลับคืนไปยังนิกายแล้ว พวกเขาก็
ได้รับการต้อนรับจากผู้อาวุโสจ้าว ซึ่งยืนอยู่ที่หน้าประตูใหญ่ คอยดู
คนนับร้อยที่รอคอยอยู่ด้านนอกอย่างเงียบ ๆ เหมือนกับพวกยามเฝ้า
ประตู
“ท่านผู้นำนิกาย สุดท้ายท่านก็กลับมา”
ผู้อาวุโสจ้าวยืดตัวขึ้นทันทีเมื่อเห็นรถมาของพวกเขาตรงเข้ามาที่
ประตูใหญ่
“ขอทางหน่อย ท่านผู้นำนิกายกลับมาแล้ว”
ผู้เยี่ยมชมที่นั่นต่างเว้นทางให้รถม้าของพวกเขาผ่านโดยไม่จำเป็น
ต้องบอก
ครั้นเมื่อรถม้าหยุดลงแล้ว ศิษย์ทั้งหมดและผู้อาวุโสนิกายก็พากัน
ออกจากรถม้า
“ดูสิ นั่นนางฟ้าฟาง เธอช่างสวยเหมือนกับที่คำร่ำลือกล่าวไว้”
“นั่นก็นางฟ้าซุนกับศิษย์คนอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน”
เหล่าผู้คนที่นั่นต่างพากันมองด้วยความชื่นชมยามเมื่อเหล่าศิษย์
ออกมาจากรถม้า
เมื่อสุดท้ายซูหยางได้ปรากฏตัวขึ้น ผู้คนที่นั่นต่างก็พากันระเบิดเสียง
โห่ร้องออกมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าผู้หญิงที่นั่นซึ่งพากันส่งเสียง
ตื่นเต้นหลงใหล
“ตรงนั้นนั่นเป็นซูหยาง อัจฉริยะอันดับหนึ่งในทวีปตะวันออก เข้าถึง
เขตอัมพรวิญญาณเมื่ออายุสิบเจ็ดปี เขาดูเหมือนจะหล่อเหลากว่าที่
ได้รับคำอธิบาย”
“สวรรค์ช่วย เขาช่างชวนฝัน ผู้ชายสามารถทำให้ดูสวยเช่นนั้นได้
อย่างไรกัน เขายังกระทั่งสวยกว่าหญิงสาวเกือบทั้งหมดตรงนั้น”
“โปรดมองมาทางนี้ พี่ชายซู”
“ข้าขอรูปท่านได้ไหม”
“…”
เมื่อได้ยินชื่อของเขาเรียกขานหลาย ๆ ครั้ง ซูหยางก็ตัดสินใจหันไป
มองเหล่าหญิงสาวเหล่านั้นและเผยรอยยิ้มหล่อเหลาให้แก่พวกเธอ
จนทำให้พวกเธอทุกคนกรีดร้องด้วยความตื่นเต้น
“โอพระเจ้า เขาเพิ่งยิ้มให้แก่ข้า”
“ไม่ใช่ เขายิ้มให้แก่ข้าต่างหาก”
“พวกเจ้าตาบอดหรือเปล่า สายตาของเขาเห็นได้ชัดว่ามองมาที่ข้า”
บรรดาศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยต่างพากันมองไปยังเหล่าแม่ยก
เหล่านี้ด้วยสีหน้างงงัน พวกเขามีความรู้สึกว่าพวกเขาจะต้องพบเจอ
คนประเภทนี้บ่อยขึ้นนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
ครั้นเมื่อสุดท้ายเหล่าศิษย์ได้เข้าไปในนิกายแล้ว ผู้อาวุโสจ้าวก็กล่าว
กับผู้คนที่รออยู่ด้านนอกก่อนที่จะปิดประตูใหญ่ว่า “ผู้นำนิกายของ
เราเพิ่งกลับมา ดังนั้นให้เวลาพวกเราหน่อยก่อนที่พวกเราจะเริ่ม
รับแขกอีกครั้ง”
อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าประตูจะปิด เหล่าศิษย์ก็ยังคงได้ยินเสียงจาก
ข้างนอกโดยเฉพาะอย่างยิ่งแม่ยกที่ส่งเสียงดังที่สุด
“พวกเราไปหาที่เงียบ ๆ กว่านี้กันเถอะ” โหลวหลานจีกล่าว
“ศิษย์คนอื่นตอนนี้รออยู่ภายในห้องประชุม” ผู้อาวุโสจ้าวกล่าว
โหลวหลานจีพยักหน้าและพวกเขาก็เริ่มออกเดินทางไปยังห้องประชุม
เวลาผ่านไปเมื่อพวกเขาเข้าไปในอาคารแล้ว เหล่าศิษย์ที่ต่างรออยู่
ภายในนั้นก็พากันยืนขึ้นและวิ่งเข้ามาหาพวกเขาในทันใด
“ศิษย์พี่หญิง”
“ศิษย์พี่ชาย”
เหล่าศิษย์ที่ไม่ได้เดินทางไปยังเมืองหิมะโปรยรุมล้อมคนที่เพิ่งกลับ
มาถึงอย่างรวดเร็ว
“เซี่ยวไป่”
ลูกบอลขนยาวสีขาวลูกใหญ่พลันโถมเข้าไปยังฟางซีหลานยามเมื่อ
มันเห็นเธอ
“เจ้าโตขนาดนี้เชียวในเวลาเพียงแค่เดือนเดียว” ฟางซีหลานมีท่าทาง
ประหลาดใจหลังจากที่เห็นว่าเซียวไป่มีขนาดเกือบเป็นสองเท่า
“ซูหยาง…”
หญิงสาวสวยพลันตรงเข้าไปหาซูหยางด้วยรอยยิ้มนุ่มนวลบนใบหน้า
“ลี่ชิง” ซูหยางส่งรอยยิ้มของตนเองตอบรับสายตาของเธอ
“ยินดีต้อนรับกลับ” หลานลี่ชิงกล่าวกับเขา
“ข้ากลับมาแล้ว” เขาพยักหน้า
หลังจากที่ใช้เวลาหลายนาทีกับการพบกันอีกครั้ง โหลวหลานจีก็
รวมตัวทุกคนและพูดขึ้นว่า “ข้ามั่นใจว่าพวกเจ้าคงได้ยินเรื่องนี้
เรียบร้อยแล้ว และพวกเราทำได้ นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้เป็นแชมป์
ของการแข่งขันระดับภูมิภาค ในเวลานี้พวกเราเป็นสำนักอันดับหนึ่ง
ในทวีปตะวันออก”
เหล่าศิษย์ที่นั่นต่างพากันโห่ร้องยินดีด้วยความตื่นเต้น บางคนถึงกับ
ร้องไห้ออกมา
“แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ย่อมมิเกิดขึ้นหากปราศจากความช่วยเหลือของ
พวกเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งซูหยาง ซึ่งรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียวใน
การฝึกฝนเหล่าศิษย์ที่ได้รับชัยชนะการแข่งขันครั้งนี้”
“แม้ว่าข้าจะได้กล่าวเช่นนี้ไปเรียบร้อยแล้วในเมือง ข้าก็จักพูดซ้ำอีก
ครั้งที่นี่สำหรับพวกเจ้าที่ไม่ได้อยู่ที่นั่น ข้าได้แต่งตั้งซูหยางให้เป็น
ผู้นำนิกายอีกคนหนึ่ง ดังนั้นพวกเจ้าต้องถือว่าเขาเป็นเช่นนั้นนับตั้งแต่
วันนี้เป็นต้นไป”
“ผ-ผู้นำนิกาย” ผู้อาวุโสจ้าวดวงตาเบิกกว้างด้วยความตระหนก แม้ว่า
เขาจะได้ทำนายไว้แล้วว่าซูหยางจะได้เป็นผู้นำนิกายในสักวันหนึ่ง
เขาก็ไม่ได้คาดคิดว่ามันจะเร็วมากปานนี้
“ซูหยาง… หรือข้าควรเรียกเจ้าว่าผู้นำนิกายดีในตอนนี้ ขอแสดงความ
ยินดี” หลานลี่ชิงกล่าวกับเขา
อย่างไรก็ตามซูหยางส่ายหน้าและกล่าวกับเหล่าศิษย์ที่นั่นว่า “ข้ามิ
ชอบพิธีรีตอง ดังนั้นข้าจักขอให้ทุกคนยังคงเรียกข้าว่าซูหยางเช่นเดิม”
จากนั้นโหลวหลานจีได้ดำเนินการสรุปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะที่
พวกเขายังอยู่ที่เมืองหิมะโปรย ย้อนถึงการแข่งขันของพวกเขา คู่
ต่อสู้ สำนักเมฆม่วงและหงอวี้เอ๋อร์ พันธมิตรกับนิกายดอกบัวเพลิง
และสำนักหงส์สวรรค์และสิ่งอื่น ๆ จนกระทั่งเดินทางกลับ
“เขตอัมพรวิญญาณ… ข้าสงสัยว่าเมื่อไหร่กันที่ข้าได้ยินคำนี้ แต่ปรากฏ
ว่ามันความจริง…” ผู้อาวุโสจ้าวถอนหายใจเมื่อโหลวหลานจียืนยัน
ความสงสัยของเขา แม้ว่าเขาจะยังยอมรับมันไม่ได้ แต่เขาก็อดที่จะ
ชื่นชมซูหยางและพรสวรรค์ของอีกฝ่ายไม่ได้
หลังจากนั้น โหลวหลานจีก็ทำการแนะนำให้พวกเขาได้รู้จักกับชิน
เหลียงหยู ชนพื้นเมืองจากทวีปใต้ แน่นอนว่าปูมหลังของเธอนั้นได้
จะทำให้เกิดคำถามและความสนใจมากมาย แต่พวกเขาก็ตัดสินใจที่
จะถามเธอหลังจากการประชุม
“มิว่าอย่างไร พวกเราก็ได้รับรางวัลสิบล้านหินวิญญาณและสิ่งอื่น ๆ
อีกหลายอย่าง ดังนั้นพวกเราจักใช้ทรัพยากรเหล่านี้ในการก่อสร้าง
และขยายนิกายของเรา ทำให้ใหญ่ขึ้น อย่าลืมว่าพวกเราจักต้องรับ
ศิษย์จำนวนมากในเร็ว ๆ นี้” โหลวหลานจีกล่าวต่อ “ข้าเองก็ได้รับ
บริจาคจำนวนมากจากซูหยางแล้วเช่นกัน และข้าก็จักแจกจ่ายสิ่ง
เหล่านี้ให้กับพวกเจ้าทั้งหมดในภายหลัง”
“สิ่งสุดท้าย ข้าได้พูดเรื่องนี้ไปแล้วกับผู้อาวุโสนิกายบางคน แต่เพื่อ
ที่จะขยายออกไปอีกในอนาคตและรับศิษย์มากขึ้น นิกายกุสุมาลย์
พ้นพิสัยจักมิเป็นเพียงแค่สำนักที่เน้นเฉพาะการฝึกวิชาคู่แต่อย่างเดียว
อีกต่อไป พวกเราตอนนี้จักต้องแยกออกเป็นสองส่วน หนึ่งสำหรับผู้
ที่ประสงค์ในการฝึกวิชาคู่และอีกหนึ่งที่ประสงค์ในการฝึกฝนแบบ
ปกติ พวกเจ้าคนไหนมีข้อกังขาสำหรับการเปลี่ยนแปลงนี้หรือไม่”
เหล่าศิษย์ที่นั่นต่างสบสายตากันก่อนที่จะส่ายหน้า ตราบเท่าที่พวกเธอ
ยังคงได้รับการร่วมฝึกวิชาคู่ สิ่งอื่นก็ไม่มีความหมายสำหรับพวกเธอ
“นี่คือทุกสิ่งที่ข้าต้องพูดในตอนนี้ ข้าจักปล่อยให้ซูหยางเป็นคนพูด
ต่อไป” โหลวหลานจีกล่าว
สองสามอึดใจถัดไป ซูหยางก็เดินออกมาข้างหน้าและจ้องมองเหล่า
ศิษย์ด้วยสีหน้าเยือกเย็น
บทที่ 464 ความอึดที่น่าอัศจรรย์
หญิงสาวอีกสามคนต่างพากันดูด้วยใบหน้าประหลาดใจขณะที่เห็น
ซุนจิงจิงขี่ไปบนแก่นเกร็งของซูหยางเหมือนกับว่าเธอกำลังขี่ม้า ขยับ
สะโพกของเธออย่างเร่งร้อน
ในเวลาเดียวกันเมื่อซูหยางเห็นอกที่สั่นกระเพื่อมอยู่ตรงหน้า เขาก็
ฝังใบหน้าเข้าไประหว่างนั้นตามสัญชาตญาณก่อนที่จะเลื่อนริม
ฝีปากไปยังปลายยอดถัน ดูดดื่มกับตุ่มไตสีชมพู
ซุนจิงจิงครางออกมาเสียงดังอีกครั้งหลังจากที่รู้สึกถึงลิ้นอันอ่อนนุ่ม
ของเขานวดไปบนยอดถันของเธอ
ครึ่งชั่วโมงให้หลังร่างกายของเธอก็สั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้
และปราณหยินก็ไหลหลั่งออกมาจากด้านล่าง
“เอ๋ เธอสำเร็จแล้วรึ”
ฟางซีหลานงงงันเมื่อเห็นซุนจิงจิงจบเร็วเกินไป ในเมื่อปกติแล้วเธอ
จะอยู่ได้หลายชั่วโมง หรือว่าซูหยางเพิ่มความเข้มข้นอีกงั้นหรือ
หลังจากที่ซุนจิงจิงนั่งพัก โหลวหลานจีก็ตรงเข้าไปหาซูหยางอย่าง
อุกอาจและสอดใส่แก่นเกร็งแกร่งของเขาเข้าไปในส่วนล่างของร่าง
เธอ ราวกับว่าความอดทนของเธอมีจำกัด
“โอ เทพ… แม้ว่ามันจะดูเหมือนว่าใหญ่กว่าก่อนหน้านี้เพียงเล็กน้อย
แต่มันรู้สึกแตกต่างอย่างสิ้นเชิงเมื่ออยู่ภายในนี้ ราวกับว่ามันใหญ่ขึ้น
เป็นสองเท่า” โหลวหลานจีพูดขณะที่ร่างยั่วสวาทของเธอขยับขึ้นลง
ทำให้ห้องเล็กนั้นเต็มไปด้วยเสียงอันรัญจวนใจ
สองสามนาทีให้หลัง โหลวหลานจีก็นั่งลงด้วยสีหน้าหมดเรี่ยวแรง
เช่นกัน
“ข้าจักเป็นคนถัดไป” ฟางซีหลานยืนขึ้นและตรงเข้าไปหาเขา ก่อนที่
เธอจะหันหลังให้กับเขาและนั่งลงบนตักของเขา บีบรัดแท่งสังวาส
ของเขาด้วยช่องสังวาสคับแน่นของตนเอง
ครั้นเมื่อฟางซีหลานเริ่มขยับ มือของซูหยางก็จับอกของเธอไว้อย่าง
มั่นคงจากด้านหลัง รู้สึกถึงความอ่อนนุ่มดังขึ้นสวรรค์จนกระทั่งเขา
พึงพอใจก่อนที่จะลูบไล้นิ้วมือของตนเองอย่างอ่อนโยนตรงจุดปลาย
สุดของอกของเธอ
ฟางซีหลานครวญครางอย่างไหลหลง และสะโพกของเธอก็เริ่มขยับ
เร็วขึ้น
ในเวลานั้นชินเหลียงหยูได้ดูพวกเธอด้วยสายตาที่ถูกสะกดไว้ เมื่อ
เห็นว่าร่างกายของพวกเธอขยับด้วยความมั่นใจและง่ายดายอย่างไร
เธอก็ตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าหญิงสาวทั้งสามนี้ได้ทำเช่นนี้มา
หลายครั้งกับซูหยางมาก่อนแล้วและคุ้นเคยกับร่างกายของเขาเป็น
อย่างมาก
เวลาถัดไป สุดท้ายก็เป็นตาของชินเหลียงหยูที่จะนั่งลงบนตักของซู
หยาง
อย่างไรก็ตามเธอไม่เหมือนกับศิษย์ที่มีประสบการณ์ ชินเหลียงหยู
เข้าหาซูหยางอย่างช้า ๆ กระทั่งยังต้องใช้เวลาอยู่บ้างในการจัด
ตำแหน่งร่างกายของตนเอง
“น่ารักจัง…” ซุนจิงจิงหัวเราะคิกคักอย่างเงียบ ๆ หลังจากที่เห็นการ
เคลื่อนไหวที่ไร้ประสบการณ์ของอีกฝ่าย มันชัดเจนราวกับกลางวัน
ว่าไม่ได้นานเลยนับตั้งแต่ชินเหลียงหยูพ้นสภาพการเป็นสาวบริสุทธ์ิ
แต่ทว่ายามเมื่อชินเหลียงหยูร่วมฝึกคู่กับซูหยาง หญิงสาวทั้งสามคน
ที่เหลือต่างก็พากันเพิ่มความประหลาดใจมากยิ่งขึ้น จนกระทั่งพวก
เธอเต็มไปด้วยความตกใจ
เห็นได้ชัดว่าชินเหลียงหยูเป็นมือใหม่ในเรื่องของการร่วมฝึกวิชาคู่
แต่ว่าระดับความอึดของเธอนั้นน่าอัศจรรย์เกินกว่าจะพูดออกมา ใน
เมื่อเธอสามารถที่จะร่วมฝึกคู่โดยไม่ได้พักมานานเกินกว่าหนึ่งชั่วโมง
แล้วตอนนี้
พวกเธอคิดว่าซูหยางปล่อยผ่านเธอเพราะว่าเป็นมือใหม่ในด้านนี้ แต่
เมื่อตรวจสอบดูอย่างใกล้ชิด พวกเธอก็ตระหนักว่าจริงแล้วซูหยาง
เพิ่มความเข้มข้นให้กับเธอมากกว่าตอนที่เขาทำกับพวกเธอเสียอีก
เมื่อพวกเธอรู้ความจริงนี้ ใบหน้าของพวกเธอก็มีสีหน้ายอมรับนับถือ
ชินเหลียงหยูและพวกเธอจึงพากันเข้าใจว่าทำไมเขาจึงยอมรับเธอมา
เป็นคู่ครองของเขา
ไม่กี่วันถัดมาเมื่อพวกเธอทั้งสี่หมดแรงและไม่สามารถที่จะดำเนินการ
ต่อไปได้ ซูหยางก็ปล่อยพวกเธอพักในขณะที่เขาไปเยี่ยมรถม้าคันอื่นที่
ซึ่งศิษย์คนอื่นอยู่เพื่อดูว่าพวกเธอต้องการที่จะ “ตามให้ทัน” หรือไม่
แน่นอนว่าพวกเธอทั้งหมดล้วนตกลงด้วยความยินดี
“เจ้าช่างน่าประทับใจมาก น้องชิน” โหลวหลานจีกล่าวกับเธอหลังจาก
ผ่านกระบวนการฝึกฝนแล้ว “ถ้าเจ้าเป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้น
พิสัยก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์นั้น แน่นอนว่าเจ้าต้องกลายเป็นหนึ่งใน
ศิษย์ระดับสูง”
“เจ้ามั่นใจรึว่าเจ้าเป็นมือใหม่ในด้านนี้” ฟางซีหลานถามอีกฝ่ายด้วย
สายตาสงสัย กระทั่งเธอก็ยังไม่ได้มีระดับความอึดดังเช่นที่อีกฝ่าย
เป็นอยู่ในตอนนี้เมื่อเธอเริ่มต้น และเธอก็ไม่ได้ฝึกร่วมกับซูหยาง
ด้วยในตอนนั้น
“ใช่ กระทั่งคนที่มีประสบการณ์อย่างเช่นตัวข้าก็ยังมิอาจที่จะอยู่ได้
นานกว่าสองสามนาทีเมื่อตอนที่ข้าร่วมฝึกวิชากับเขา แต่เจ้ากลับ
สามารถยื้อเวลาการร่วมฝึกกับเขาได้มากกว่าพวกเราทั้งสามคนรวม
กัน กระทั่งสร้างความละอายใจให้กับข้าที่ต้องพูดเช่นนั้น” โหลว
หลานจีถอนหายใจ
“ข้าพอจะเข้าใจว่าทำไมซูหยางจึงยอมรับเจ้าเป็นคู่ครอง” ซุนจิงจิง
กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ฮี่ฮี่…” ชินเหลียงหยูใบหน้ามีแต่สีแดงซ่านหลังจากที่ได้ยินคำพูด
ของพวกเธอ ขอบคุณร่างสวรรค์ของตนเองอยู่อย่างเงียบ ๆ สำหรับ
ความอึดที่น่าอัศจรรย์
ผ่านไปอีกสองสามวันให้หลัง เมื่อพวกเขาเหลือเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมง
ห่างจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ซูหยางก็กลับคืนมายังรถม้า
“พวกเราควรจะไปถึงในเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมง” โหลวหลานจีกล่าว
ในเวลาหลังจากนั้น รถม้าก็พลันหยุดเคลื่อนไหว
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมพวกเราถึงหยุด หรือว่าพวกเราถึงเรียบร้อยแล้ว”
“ไม่ พวกเราควรจะยังคงอยู่ห่างอีกสองสามกิโลเมตรกว่าพวกเราจะ
ไปถึงนิกาย” โหลวหลานจีส่ายหน้า
เหล่าศิษย์ต่างพากันสงสัย ดังนั้นพวกเธอจึงพากันเปิดหน้าต่างและ
แอบมองออกไปด้านนอก
“เกิดอะไรขึ้นในนามของสวรรค์*”
(ผู้แปล – *พวกนี้เขาอุทานกันแปลก ๆ นะ จะแทนด้วย อกอีแป้น
แตก ก็ดูจะไม่เข้าที)
เมื่อโหลวหลานจีและเหล่าศิษย์เห็นภาพด้านนอก พวกเธอทั้งหมด
ต่างพากันประเดประดังไปด้วยความแตกตื่นและสับสน
“ทำไมจึงมีคนมากมายปานนี้มาเข้าแถวอยู่ที่นี่” ซุนจิงจิงอุทานออกมา
หลังจากที่เห็นผู้คนจำนวนมหาศาลต่อแถวยาวไปถึงสุดขอบฟ้าด้าน
หน้าพวกเธอ
ในเวลานั้นเมื่อผู้คนในแถวสังเกตเห็นรถม้าของพวกเธอและรู้ว่า
ตัวตนของพวกเธอเป็นใคร พวกเขาต่างพากันทำตาโตด้วยความ
ตระหนก
“นั่นเป็นนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอยู่ที่นี่” บาง
คนพลันตะโกนขึ้นจนทำให้ทุกคนในแถวหันกลับมามองพวกเธอ
“เป็นนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจริง ๆ ด้วย”
เพียงแค่ไม่กี่อึดใจสั้น ๆ ผู้คนนับร้อยก็พากันรุมล้อมรถม้าเหมือนกับ
ฝูงหมาที่อยู่ต่อหน้าอาหาร
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมพวกเราจึงพลันถูกล้อม”
เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ต่างพากันหวาดกลัวกับฉากเบื้องนอก
ในเวลานั้นผู้อาวุโสนิกายและโหลวหลานจีก็ออกมาจากรถม้าเพื่อทำ
ความเข้าใจกับสถานการณ์
“พวกท่านเป็นใครกัน และต้องการอะไรจากพวกเรา” ผู้อาวุโสซุน
ถาม
“หลังจากที่ได้ยินว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้รับชัยชนะการแข่งขัน
ระดับภูมิภาค ทุกคนที่นี่ต่างพากันตัดสินใจที่จะมาเยี่ยมนิกาย อย่างไร
ก็ตามพวกเราได้รับคำบอกให้เข้าแถวและรอคอยจนกว่าผู้นำนิกาย
จะกลับมา ดังนั้นพวกเราจึงรอคอยกันอยู่ที่นี่”
“ร-รอ.. จากที่นี่รึ นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอยู่ห่างไปอีกตั้งสองสาม
กิโลเมตร พวกท่านรู้ไหม” ผู้อาวุโสซุนกล่าวขณะที่เขาชี้ไปยังสุด
ขอบฟ้า
“พวกเรารู้แต่ว่านั่นก็มีคนมากมายที่รอคอยจนทำให้แถวยืดยาวมาถึง
ด้านหลังที่นี่” หนึ่งในพวกนั้นอธิบาย
เหล่าศิษย์จากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยงุนงงกับสถานการณ์ พวกเธอ
ล้วนคาดว่าจะมีแขกมาเยี่ยมมากมายหลังจากที่ได้รับชัยชนะการแข่งขัน
เรียบร้อยแล้ว แต่แน่ใจได้ว่าพวกเธอก็ไม่ได้คาดว่าจะมากเกินควบคุม
เช่นนี้
บทที่ 463 ชัดเจนว่ามันใหญ่กว่าเดิม 18+
หลังจากที่รู้ถึงความสัมพันธ์ของชินเหลียงหยูกับซูหยาง โหลวหลานจี
และฟางซีหลานก็จ้องมองเธอด้วยสายตาอิจฉา หญิงใดที่ได้กลายเป็น
คู่ครองของเขา ถึงแม้ว่าจะได้เป็นเพียงนางบำเรอก็ยังถือได้ว่าต้องมี
ความสุขสมใจตลอดชีวิต
ไม่เพียงแต่เขาในตอนนี้เป็นที่รู้จักกันในนามของอัจฉริยะอันดับหนึ่ง
ของทวีปตะวันออก แต่เขาก็ยังมาจากตระกูลซูหนึ่งในตระกูลใหญ่
ทั้งสี่อีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนจะมีเรื่องลึกลับมากมายรอบกาย
เขา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอนาคตของเขาก็ถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้อง
เปี่ยมไปด้วยความยิ่งใหญ่
“อย่างไรก็ตาม ท่านเจ้าซี ได้แนะนำให้พวกเราไปพบกับเขาที่บ้าน
ตระกูลซีภายในห้าเดือนเพื่อรับรางวัลจากชัยชนะที่เหลือจากการ
แข่งขัน เขายังคงกล่าวว่าพวกเราควรนำศิษย์สามคนไปกับพวกเรา
อีกด้วย ซึ่งพวกเขาจะได้เข้าไปในสระสวรรค์เป็นเวลาเจ็ดวัน”
“สระสวรรค์… พวกเราจะเลือกว่าศิษย์คนไหนควรได้ไปอย่างไรดี
นั่นมีจำกัดเพียงแค่สามที่เท่านั้น แต่พวกเรามีคนถึงสิบคนที่เข้าร่วม
ในการแข่งขันนี้ และพวกเราก็มิสามารถที่จะแยกแยะศิษย์คนอื่นได้”
“ท่านสามารถละเว้นข้าจากการใช้สระสวรรค์นี้ ท่านผู้นำนิกาย”
ฟางซีหลานกล่าว
“เจ้ามั่นใจเรื่องนี้รึ นี่เป็นโอกาสเพียงครั้งเดียวในชีวิตเท่านั้น พลัง
การฝึกปรือของเจ้าจักดำเนินต่อไปเร็วกว่าเดิมถึงร้อยเท่าถ้าเจ้าฝึกฝน
ในนั้น และหากว่าเจ้าได้รับอนุญาตให้ฝึกฝนในนั้นเป็นเวลาเจ็ดวันก็
เหมือนกับความก้าวหน้าเกือบสองปีในเวลาสั้น ๆ เจ็ดวันนี้”
“ข้าพอใจกับการฝึกวิชาในปัจจุบันของข้า และข้าก็ได้รับมากเพียงพอ
แล้วจากซูหยาง ดังนั้นท่านควรจะเลือกคนอื่น คนที่มีพรสวรรค์”
ฟางซีหลานยืนกรานในการยกที่ของเธอให้
“ข้าก็มิต้องการที่นี้เช่นกัน ท่านผู้นำนิกาย” ซุนจิงจิงก็ปฏิเสธโอกาส
นี้เช่นกัน
“เอ๋ เจ้าก็ด้วยรึ” โหลวหลานจีงงงัน
ตามเหตุผลแล้วซุนจิงจิงและฟางซีหลานมีคุณสมบัติมากที่สุดในการ
ฝึกในสระสวรรค์ในเมื่อพวกเธอเป็นคนที่มีพรสวรรค์มากที่สุดใน
เหล่าศิษย์ และการที่พวกเธอปฏิเสธโอกาสนี้ ปกติแล้วนี่ถือว่าเป็น
ความเสียเปล่า
“แม้ว่าสระสวรรค์ดูเหมือนว่าเป็นเรื่องน่าสนใจและแน่นอนว่าจัก
ต้องให้ประโยชน์ต่อข้าเป็นอย่างมาก แต่ว่ามันมิจำเป็นต่อข้า” ซุน
จิงจิงกล่าว
“ช่างเป็นเหตุผลที่ไร้เหตุผล…” โหลวหลานจีพูดไม่ออก
ทันใดนั้นซูหยางก็กล่าวขึ้น “เรามีเวลาอีกห้าเดือนในการตัดสินใจ
ดังนั้นพวกเราค่อยคิดเรื่องนี้กันอย่างช้า ๆ การคัดเลือกศิษย์ใหม่ของ
พวกเราจะเริ่มต้นในอีกไม่ช้า เราสามารถให้หนึ่งที่กับคนที่มีแววมาก
ที่สุดในท้ายที่สุดได้ ไม่ว่าอย่างไรก็มิมีเหตุผลที่จะห้ามเราในการมอบ
หนึ่งที่ให้กับศิษย์ใหม่”
“ยิ่งไปกว่านั้น มันยังสามารถใช้ล่อหลอกให้มีคนมากกว่านั้นมายัง
นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยของเรา”
“ใช้สระสวรรค์เป็นเหยื่อในการคัดเลือกศิษย์ใหม่งั้นรึ… มีแต่คนแบบ
เจ้าที่กล้าที่จะคิดเรื่องแบบนั้น…” โหลวหลานจีกล่าวด้วยใบหน้า
สับสน
“อย่างไรก็ตาม…” ซุนจิงจิงพลันกล่าว
“ก็นับว่าผ่านไปตั้งนานแล้วนับตั้งแต่ที่พวกเราร่วมฝึกวิชาด้วยกัน
ครั้งล่าสุด ซูหยาง พวกเรามีเวลามากมายกว่าที่พวกเราจะกลับไปถึง
นิกาย ดังนั้นทำไมพวกเรามิใช้เวลานี้มาต่อกันจากเวลานั้นล่ะ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเธอ ซูหยางก็ยิ้ม “มันเพิ่งผ่านไปเพียงแค่อาทิตย์
เดียวเองมิใช่รึ”
“หนึ่งอาทิตย์ยาวนานเหลือเกิน” เธอตอบด้วยเสียงหัวเราะคิกคักน่ารัก
“จ-เจ้าต้องการที่จะร่วมฝึกวิชากันในตอนนี้รึ” โหลวหลานจีมองดู
เธอด้วยดวงตาเบิกกว้าง เด็กสาวคนนี้หน้าด้านมากมายเท่าไหร่กัน
“มันก็แค่เหมือนกับตอนที่พวกเราเดินทางไปยังเมืองหิมะโปรย”
“ไม่อยากจะเชื่อ…” โหลวหลานจีส่ายหน้าพูดไม่ออก
“อืม… พวกท่านกำลังจะร่วมฝึกวิชากัน… ที่นี่รึ” ชินเหลียงหยูถาม
ด้วยสีหน้าสับสน
“ใช่แล้ว เจ้าต้องการที่จะร่วมกับพวกเราด้วยเช่นกันรึ”
“…”
ชินเหลียงหยูไม่ได้ตอบคำถามทันที มันเป็นเวลาเพียงวันเดียวนับตั้งแต่
เธอได้ประสบการณ์การร่วมฝึกวิชาคู่เป็นครั้งแรกในชีวิตและเธอก็
กำลังจะทำสิ่งนี้ต่อหน้าคนอื่น สิ่งต่าง ๆ กำลังดำเนินไปเร็วเหลือเกิน
“ข-ข้ามิถือ ถ้าซูหยางต้องการให้ข้าฝึก ข้าก็จะฝึก”
ในที่สุดเธอก็ให้ซูหยางตัดสินใจแทนเธอ
“เจ้ามิต้องทำถ้าเจ้ามิต้องการ รู้ไหม” ซูหยางกล่าวกับเธอ
“ม-ไม่ ข้ามิรังเกียจแต่อย่างใด ว่าไปแล้วข้าก็ได้มีประสบการณ์เรื่อง
นี้ด้วยตาของตนเองมาก่อน” ชินเหลียงหยูพูด อ้างถึงเวลาตอนที่เธอ
แอบมองหญิงสาวสามสิบสองคนร่วมฝึกวิชากับเขาในเวลาเดียวกัน
“เช่นนั้นเมื่อมิมีอะไรทำกันในช่วงเวลานี้”
ซุนจิงจิงพลันยืนขึ้นและเปลื้องเสื้อผ้า เผยให้เห็นถึงร่างที่กระหาย
และน้องสาวที่เปียกแฉะไปเรียบร้อยแล้วให้กับทุกคนในรถม้า
“ช่างไร้ยางอาย…”
โหลวหลานจีและฟางซีหลานส่ายหน้าขณะที่พวกเธอก็เปลื้องเสื้อผ้า
ตนเองออกเช่นกัน
ชินเหลียงหยูเป็นคนสุดท้ายที่เปลื้องเสื้อผ้าออก และเมื่อเธอได้เปิ ดเผย
ให้เห็นผิวสีแทนที่สวยออกมาในที่สุด หญิงสาวที่เหลืออีกสามคนก็
ได้แต่จ้องไปยังร่างกายที่พิเศษเฉพาะของเธอ
“ช่างเป็นร่างกายที่มีสีชมพูสวยน่าอัศจรรย์ ราวกับว่าร่างของเจ้าถูก
สร้างขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์สำหรับการร่วมฝึกคู่โดยเฉพาะ หญิงสาว
ทุกคนจากทวีปใต้มีร่างกายเหมือนเจ้าหรือไม่” โหลวหลานจีชมเชย
ร่างของเธอด้วยสายตาที่ค่อนข้างอิจฉา
“ข-ข้ามิรู้อะไรในเรื่องนั้น…” ชิวเหลียงหยูหน้าแดง ในเมื่อนี่เป็น
ครั้งแรกที่เธอได้รับคำชมแบบนี้
ในเวลานั้นซุนจิงจิงและฟางซีหลานต่างพากันจดจ่ออยู่กับแก่นกายที่
โกรธเกรี้ยวที่อยู่ระหว่างขาของซูหยาง ราวกับว่าพวกเธอถูกมัน
สะกดจิตไว้
“เพียงแค่อาทิตย์เดียวเอง แต่ดูเหมือนว่ามันจะโตกว่าเดิม” ซุนจิงจิง
พึมพำ
ซูหยางเพียงแค่นั่งยิ้มอยู่ที่นั้นและพูดว่า “ทำไมมิให้ร่างกายของเจ้า
ยืนยันว่ามันเป็นเช่นนั้นหรือไม่ล่ะ”
เพราะว่าร่างสวรรค์ของชินเหลียงหยู ไม่เพียงแค่พลังการฝึกปรือ
ของเขาที่เพิ่มขึ้น กระทั่งน้องชายของเขาก็ใหญ่ขึ้นมาอยู่บ้างหลังจาก
ที่พวกเขาร่วมฝึกวิชาคู่
“ข้ามิเกรงใจแล้ว”
ซุนจิงจิงพลันตรงเข้าไปที่เขาและไปยืนอยู่เหนือแท่งสังวาสของเขา
จากนั้นเธอก็ลดสะโพกลงลูบไล้ของเหลวจากดอกไม้ของเธอไปทั่ว
แท่งสังวาสของเขาก่อนที่จะสอดใส่แท่งยักษ์นั้นเข้าไปในถ้ำของเธอ
“อาาา…”
ซุนจิงจิงร้องครางเสียงวาบหวามหลังจากนั้น และเธอก็พูดด้วย
รอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์บนใบหน้าแดงซ่านของเธอว่า “ชัดเจนว่ามันใหญ่
ขึ้นกว่าเดิม”
บทที่ 462 คู่ครองที่มีศักยภาพ
วันถัดมา นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ได้เตรียมตัวที่จะออกจากเมือง
กลับไปยังสำนักของตนเอง
“คนส่วนใหญ่ของสำนักอื่นได้ออกจากเมืองและกลับไปยังที่ของ
ตนเองเรียบร้อยแล้ว แต่นิกายดอกบัวเพลิงและสำนักหงส์สวรรค์
กล่าวว่าพวกเขาจักมาเยี่ยมพวกเราเร็ว ๆ นี้” โหลวหลานจีกล่าวกับซู
หยางขณะที่พวกเขาเตรียมตัวที่จะออกจากเมือง
“เช่นนั้นพวกเราควรจะกลับไปก่อนที่พวกเขาจะตัดสินใจมาเยี่ยม
พวกเรา” ซูหยางกล่าว
เวลาต่อจากนั้นเหล่าศิษย์ก็เข้าไปในรถม้าและนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
ก็เดินทางออกจากเมืองหิมะโปรย
ระหว่างที่พวกเขาเดินทางกลับนั้นซูหยางก็ได้อธิบายเรื่องของนิกาย
กุสุมาลย์พ้นพิสัยและสถานการณ์ของพวกเขาให้กับชินเหลียงหยูฟัง
ซึ่งเธอได้อยู่ภายในรถม้าคันเดียวกับเขา ฟางซีหลาน ซุนจิงจิง และ
โหลวหลานจี
เมื่อเขาอธิบายให้เธอฟังว่าพวกเขาเชี่ยวชาญในด้านการฝึกวิชาคู่ ชิน
เหลียงหยูก็มีท่าทางไม่เชื่อ แม้กระทั่งในความเฟ้อฝันอันกว้างไกล
ของเธอก็ไม่มีจินตนาการถึงความเป็นไปได้ถึงสำนักที่ส่งเสริมให้
ศิษย์ร่วมฝึกฝนวิชาคู่อย่างเปิดเผยจะมีปรากฏอยู่ในโลกนี้
อย่างไรก็ตามทวีปตะวันออกได้มีวัฒนธรรมที่แตกต่างจากทวีปใต้
ดังนั้นจึงไม่ถึงกับน่าตกใจจนเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธอเองก็
ประกอบกามกิจคู่กับซูหยาง
“ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไร แต่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเป็นสถานที่เช่นนี้
เพียงหนึ่งเดียวในทั่วทั้งทวีปตะวันออก พวกเรายังคงเป็นสำนักแรก
ที่แนะนำสถานที่แบบนี้ให้กับโลก” โหลวหลานจีพูดด้วยสีหน้า
ภาคภูมิใจ
“ไม่ว่าอย่างไรข้าเองก็เป็นถึงผู้นำนิกายของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
โหลวหลานจี” เธอแนะนำตัวเองให้กับชินเหลียงหยู
“ผู้นำนิกายรึ… แต่ข้าคิดว่าซูหยางเป็นผู้นำนิกายมิใช่รึ” ชินเหลียงหยู
เอียงคอ ในทวีปใต้แต่ละสำนักควรจะมีผู้นำนิกายเพียงคนเดียว หรือ
ว่าสิ่งต่าง ๆ ที่ทวีปตะวันออกนี่แตกต่างออกไป
“ปกติแล้วจะมีเพียงเจ้าสำนักเพียงคนเดียวสำหรับแต่ละสำนัก แต่ว่า
เนื่องมาจากปกติวิสัยของพวกเรา พวกเราจึงได้ถ่วงสมดุลให้เท่าเทียม
กันเพื่อปกป้องศิษย์ของพวกเรา ดังนั้นพวกเราจึงมีผู้นำนิกายถึงสอง
คน หนึ่งชายและหนึ่งหญิง” โหลวหลานจีอธิบาย
ชินเหลียงหยูพยักหน้าด้วยท่าทางเข้าใจ “ข้าเข้าใจแล้ว…”
“อย่างไรก็ตาม เจ้าอายุเท่าไหร่ เจ้าดูเหมือนว่าอายุยังเยาว์มากสำหรับ
คนที่อยู่ในเขตปฐพีวิญญาณ” โหลวหลานจีพลันถามเธอ
“ข้าอายุยี่สิบปี”
“ย-ยี่สิบปี” เหล่าหญิงสาวในรถต่างพากันมองดูเธอด้วยสีหน้าตก
ตะลึง
“จ-เจ้าช่วยเธอด้วยรึ ซูหยาง” โหลวหลานจีมองดูเขาซึ่งเพียงแค่ส่าย
หน้า
“เป็นไปไม่ได้”
พวกเธอเปลี่ยนเป็นยิ่งตื่นตระหนกเมื่อได้ยินว่าซูหยางไม่ได้มีส่วน
เกี่ยวข้องกับการฝึกวิชาของเธอ
เหตุผลเดียวที่ซุนจิงจิงและฟางซีหลานเข้าถึงเขตปฐพีวิญญาณก็
เพราะว่าซูหยาง การที่เข้าถึงเขตนี้โดยไม่มีเขานั้นเป็นความสำเร็จที่
น่าทึ่งที่ไม่อาจจะคาดคะเนได้
“เพราะว่าวิถีชีวิตและสภาพแวดล้อมของพวกเรา พวกเราจึงได้ต่อสู้
กับสัตว์ร้ายที่แข็งแกร่งอยู่เสมอเกือบทุกวัน ดังนั้นพวกเราจึงต้อง
เปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งเพื่อความอยู่รอด แน่นอนว่าพวกเราก็ยังคงกิน
เนื้อวิญญาณจำนวนมากจากสัตว์ร้ายที่พวกเราล่าเช่นกัน”
“ต่อสู้กับสัตว์ร้ายทุกวันรึ นั่นฟังดูเหมือนกับเป็นวิถีชีวิตที่โหดร้าย…
นี่หมายความว่าความแข็งแกร่งโดยรวมของทวีปใต้นั้นแข็งแกร่ง
กว่ามากเมื่อเปรียบเทียบกับทวีปตะวันออกอย่างนั้นรึ” ซุนจิงจิงถาม
“ข-ข้ามิรู้เรื่องราวเหล่านี้… ขอโทษด้วย…” ชินเหลียงหยูส่ายหน้า
จากนั้นซูหยางก็ได้พูดขึ้น “แม้ว่าพลังการฝึกปรือโดยรวมที่นั่นจะสูง
กว่าที่แห่งนี้ พวกเขาก็ขาดวิชาการและพื้นฐานการต่อสู้ ผู้ฝึกวิชาทั่วไป
ในระดับหนึ่งเขตคัมภีร์วิญญาณในที่แห่งนี้บางทีอาจจะสามารถเอา
ชนะคนที่อยู่ในระดับสี่หรือห้าในเขตเดียวกันของทวีปใต้ได้ ข้ามิ
อาจพูดถึงผู้ฝึกวิชาที่อยู่กับสำนักได้ ในเมื่อข้ามิได้เห็นพวกเขา
ระหว่างการเดินทางไปที่นั่น”
“น้องชิน เจ้ามีเจตนาที่จะเข้าร่วมกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยหรือไม่”
โหลวหลานจีพลันถามเธอ
“เจ้าย่อมจักพลันได้รับการแต่งตั้งให้เป็นศิษย์หลักในทันทีอย่าง
แน่นอน”
“อืออ…”
ชินเหลียงหยูดูงงงันเล็กน้อยหลังจากที่ได้ยินคำถามของอีกฝ่าย
จากนั้นเธอก็หันไปดูซูหยางชั่วขณะก่อนที่จะพูดขึ้น “ข้าเสียใจท่าน
ผู้นำนิกาย แต่ข้ามิอาจจะเข้าร่วมกับสำนักของท่านหรือสำนักอื่นใน
เรื่องนี้ได้”
“ข้าเข้าใจ…” โหลวลานจีดูท่าทางขัดใจเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ช่างโชค
ร้ายนัก เจ้าพอจะบอกข้าถึงเหตุผลสำหรับการตัดสินใจของเจ้าได้
หรือไม่”
“เพราะว่าข้าได้ให้คำสัญญากับซูหยางเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นข้าจึงมิ
อาจจะผูกมัดตัวเองกับคนอื่นหรือสถานที่อื่นได้…” เธอตอบด้วย
ใบหน้าแดงซ่าน
“…”
ทั้งที่นั้นพลันเงียบไป
“ข-ข้าพอจะสอบถามได้หรือไม่ว่า เจ้ามีความสัมพันธ์อะไร และทำไม
เจ้าจึงติดตามเขา” ซุนจิงจิงเป็นคนแรกที่ทำลายความเงียบ ถามคำถามที่
อยู่ในใจของโหลวหลานจีและฟางซีหลานในขณะนั้นออกมา
“ค-ความสัมพันธ์ของพวกเรา…” ชินเหลียงหยูพลันใบหน้าว่างเปล่า
ตอนนี้เมื่อเธอคิดถึงเรื่องนั้น แท้จริงแล้วเธอมีความสัมพันธ์อะไรกับ
ซูหยาง แม้ว่าเธอได้ร่วมฝึกฝนวิชาร่วมกับเขาก่อนหน้านั้นเช่นเดียวกับ
หญิงสาวทั้งสามสิบสองคนในหมู่บ้านหมูป่ า ความสัมพันธ์ระหว่าง
เธอกับเขาจะมีความแตกต่างจากคนอื่น ๆ อย่างไร
“เธอเป็นคู่ของข้า” ซูหยางพลันกล่าวขึ้น จนทำให้ทุกคนที่นั่นหันไป
มองเขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง
“ข้าได้พรากแก่นหยินบริสุทธ์ิของเธอ และเธอได้ตัดสินใจที่จะติดตาม
ข้า ดังนั้นพวกเราตอนนี้จึงเป็นคู่กัน”
จากนั้นเขาก็หันไปมองดูชินเหลียงหยูและกล่าวต่อว่า “แม้ว่าจะยังคง
มิมีพันธสัญญาอย่างจริงจังระหว่างพวกเราในตอนนี้ ในอนาคตหากว่า
เจ้าได้มั่นใจแล้วว่าเจ้ายินดีที่จะอยู่กับข้าไปตลอดชั่วชีวิต ข้าก็จักทำ
ให้มันเป็นเรื่องจริงจัง ดังนั้นจึงมิจำเป็นที่จะต้องรีบตัดสินใจ จนกว่า
จะถึงตอนนั้นเรายังคงถือว่าเป็นคู่กัน”
“ซูหยาง…” ชินเหลียงหยูพูดไม่ออก และเธอก็ไม่คาดคิดว่าเขาจะเห็น
เธอเป็นคู่ของเขาอย่างจริงจัง
ในเวลานั้น โหลวหลานจีและฟางซีหลานจ้องมองพวกเขาด้วยดวงตา
เบิกกว้าง ในเมื่อเขาไม่ได้ทำให้พวกเธอเห็นว่าเขาเป็นคนประเภทที่
มีความสัมพันธ์ “อย่างจริงจัง” กับคนอื่น
แน่นอนว่าความสัมพันธ์ระหว่างซุนจิงจิงกับเขายังคงเป็นความลับ
ระหว่างพวกเขาสองคน ดังนั้นในสายตาของโหลวหลานจีและฟางซี
หลาน ชินเหลียงหยูจึงเป็นคู่ครองที่มีศักยภาพอย่างแท้จริงคนแรก
ขึ้นมาในทันใด และไม่ใช่เพียงแค่คู่ร่วมฝึกวิชาคู่เหมือนกับพวกเธอ
ทั้งสองคนและเหล่าศิษย์คนอื่นในนิกาย แต่เป็นคู่ครองที่แท้จริง คน
ที่จะติดตามเขาไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่
บทที่ 460 กลับคืนสู่ทวีปตะวันออก
“เรามาถึงทวีปตะวันออกแล้ว” ซูหยางกล่าวกับชินเหลียงหยู ซึ่งมี
ท่าทางประหลาดใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น
พวกเขาเพิ่งออกจากทวีปใต้ไม่กี่นาทีก่อนหน้านั้น แต่ว่าพวกเขาก็
มาถึงทวีปตะวันออกแล้วซึ่งอยู่ไกลหลายแสนกิโลเมตรแล้วอย่าง
นั้นหรือ ว่าแต่ยานบินลำนี้มีความเร็วน่าเหลือเชื่อมากแค่ไหนกัน
“ตอนนี้พวกเราอยู่ที่ไหนแล้ว” เธอถามเขา
“เมืองหิมะโปรย หนึ่งในเมืองที่ใหญ่ที่สุดในทวีปตะวันออก พวกเรา
กำลังจะไปพบกับคนบางคน”
จากนั้นซูหยางก็หันไปมองดูชิวเยว่และกล่าวว่า “เจ้าควรกลับไปยัง
นิกายก่อน ข้ามีความรู้สึกว่าจะมีเหตุการณ์ใหญ่เกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้
และข้าต้องการให้เจ้าอยู่ที่นั่นในกรณีที่มันเกิดขึ้นก่อนที่ข้าจะทันได้
กลับไป”
ชิวเยว่พยักหน้า
อีกชั่วขณะหลังจากนั้น ซูหยาง ถังหลินชีและชินเหลียงหยูก็ออกจาก
ยานบินลงห่างจากเมืองหิมะโปรยไม่กี่กิโลเมตร
“ไปกันเถอะ”
หลังจากนั้นเมื่อพวกเขาไปถึงทางเข้า ซูหยางก็แสดงเหรียญตระกูลซี
ให้กับทหารยามและพวกเขาก็ได้รับการยินยอมให้เข้าไปในเมือง
โดยไม่มีเหตุขัดข้องใด ๆ
หลังจากที่เข้าไปในเมืองแล้ว ซูหยางก็ตรงไปยังโรงเตี๊ยมเกล็ดหิมะ
ที่ซึ่งนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยควรจะรออยู่ถ้าพวกเธอยังไม่ได้กลับไป
ยังนิกายก่อนแล้ว
“ทวีปตะวันออกนี้ต่างจากทวีปใต้มากเหลือเกิน…” ชินเหลียงหยู
พึมพำขณะที่เธอสำรวจทุกเส้นทางและผู้คนที่พวกเขาเดินผ่าน ราว
กับว่าเธอกำลังอยู่ในระหว่างการท่องเที่ยว
แม้ว่าทวีปใต้ก็มีเมืองใหญ่เช่นกัน แต่พวกนั้นก็ยังไม่มีสีสันและ
สะอาดเหมือนกับเมืองหิมะโปรย และทุกคนที่นี่ก็ดูเหมือนจะมีผิวสี
อ่อนหากเปรียบเทียบกับทวีปใต้ซึ่งคนส่วนใหญ่แล้วจะมีผิวสีแทน
นอกจากนั้นบรรยากาศในที่แห่งนี้ก็สามารถเพียงอธิบายได้ว่าสงบสุข
และคึกคักในขณะที่ทวีปใต้จะมีบรรยากาศป่ าเถื่อนและอันตรายซึ่ง
สัตว์อสูรที่ดุร้ายจะสามารถโจมตีได้ทุกขณะจิต
ชินเหลียงหยูรู้สึกเหมือนกับว่าเธอได้เดินเข้าไปในโลกที่แตกต่างกัน
อย่างสิ้นเชิง และเธอก็เคลิบเคลิ้มไปกับสภาพแวดล้อมนี้ เหมือนกับ
เด็กในสวนสนุกแสนเพลิดเพลิน
แน่นอนว่าตัวชินเหลียงหยูเองก็ได้รับความสนใจมากมายเช่นกันขณะ
ที่เดินไปบนถนน ไม่เพียงแต่เธอมีผิวสีแทนที่สวยเป็นพิเศษ แต่ตัว
เธอเองก็เป็นสาวสวยระดับต้น ๆ
มีกระทั่งบางคนที่ต้องการจะเข้าไปหาเธอ แต่เมื่อพวกเขาเห็นซูหยาง
กับถังหลินชี พวกเขาล้วนพากันตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ ราวกับว่าพวกเขา
เห็นภูตผี
ในเวลาต่อมา พวกเขาก็เจอกับฝูงชนจำนวนมหาศาลรุมล้อมอาคาร
หลังหนึ่ง
“ก-เกิดอะไรขึ้นที่นี่ ดูเหมือนจะมีคนอย่างน้อยไม่ต่ำกว่าพันคนที่นี่
…” ชินเหลียงหยูงงงันกับภาพที่เห็น หรือว่าคนจำนวนนี้มักจะมา
รวมตัวกันบ่อย ๆ ในทวีปตะวันออกนี้
“ดูเหมือนว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยของเจ้าได้รับความนิยมอยู่บ้าง
นับตั้งแต่การแข่งขัน” ถังหลินชีกล่าวด้วยรอยยิ้มและเธอก็กล่าวต่อ
ว่า “เมื่อประตูถูกปิ ดกั้นเช่นนั้น ข้าสงสัยว่าพวกเขาจะไปไหนกันใน
เร็ว ๆ นี้”
ทันใดนั้นเสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นท่ามกลางฝูงชน
“ข้าบอกกับพวกเจ้าทั้งหมดกี่ครั้งแล้วว่าผู้นำนิกายของเราจักยังมิรับผู้
มาเยี่ยมใด ๆ จนกว่าพวกเราจะกลับคืนไปยังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย”
เสียงของผู้อาวุโสซุนดังก้องขณะที่เขากั้นประตูไว้เบื้องหลังจากการ
ถูกผลักดันจากคนเหล่านี้
“ข้าเป็นผู้นำตระกูลของตระกูลเฉิน ถ้าท่านบอกผู้นำนิกายของท่าน
ว่าตระกูลเฉินมาขอพบเธอที่นี่ ข้ามั่นใจว่าเธอจักให้เป็นข้อยกเว้น”
“ข้าเป็นหัวหน้าพ่อค้าจากสมาคมปีกเงิน และพวกเราต้องการที่จะ
สนับสนุนนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย โปรดให้ข้าได้พูดกับท่านผู้นำ
นิกายของท่าน”
“ข้าชื่อฟู่ซวน นายน้อยของตระกูลฟู่ และข้ามาที่นี่ก็เพียงเพราะนางฟ้า
ฟาง”
ฝูงชนปฏิเสธที่จะจากไปแม้ว่าผู้อาวุโสซุนจะได้ยินคำพูดของผู้อาวุโส
ซุน
แต่ทว่า ไม่นานหลังจากนั้น…
“เฮ้ เจ้าเปิดทางหน่อยได้ไหม ข้ากำลังพยายามจะเข้าไปข้างใน” ซู
หยางกล่าวกับหนึ่งในผู้คนที่นั่น
“เจ้ามิเห็นรึว่าพวกเราทั้งหมดต่างก็พยายามที่จะเข้าไปข้างใน เจ้า
มิได้มีอะไรพิเศษที่นี่ เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน”
คนผู้นั้นตอบเขาโดยไม่แม้จะหันมามอง
“ฮ-เฮ้ น-นั่น”
แม้ว่าคนส่วนใหญ่ที่นั่นไม่ได้สนใจแม้จะหันมาใส่ใจกับซูหยาง แต่
ก็มีคนบางคนที่สังเกตเห็นเขาจากหางตา และพวกเขาก็จ้องมองเขา
ด้วยใบหน้าตื่นตระหนก
“ซ-ซูหยาง นี่คือซูหยาง ในที่สุดแล้วเขาก็กลับมา” หนึ่งในพวกเขา
พลันตะโกนออกมา ทำให้ผู้คนที่นั่นต่างพากันเงียบและหันมามอง
“ท-ท่านคือ…”
เมื่อคนที่ได้ตอบกับซูหยางได้หันมาและเห็นซูหยางที่มีใบหน้าเยือก
เย็นยืนอยู่ด้านหลังเขา ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างด้วยความตระหนก
และร่างของเขาก็เริ่มเหงื่อไหลโชก
ผู้คนที่อยู่รอบข้างเขาที่ได้ยินคำพูดของเขาก็กลืนน้ำลายอย่างประหม่า
เช่นเดียวกัน เมื่อมาคิดว่ามีคนบางคนที่โชคร้ายถึงกับมาล่วงเกินซูหยาง
คนที่ได้รับขนานนามว่าเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งในทวีปตะวันออก
หลังจากการแข่งขัน คนเหล่านี้ล้วนกลัวว่าโชคร้ายของอีกฝ่ายจะระบาด
มาหาพวกเขาถ้าพวกเขายังคงยืนชิดกับอีกฝ่าย ดังนั้นคนเหล่านี้จึง
รีบเร่งถอยห่างออกไปในทันที
“ผ-ผู้อาวุโสซู…ผ-ผู้ต่ำต้อยคนนี้ขออภัยเป็นอย่างสูงสำหรับ…”
“ข้ามิสนใจ ออกไปให้พ้นจากทางของข้า” ซูหยางรีบตัดบท ในเมื่อ
เขาไม่ต้องการที่จะยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนนี้
ด้วยคำพูดเพียงประโยคเดียว ฝูงชนก็แบ่งออกเป็นสองซีก สร้าง
เส้นทางเส้นหนึ่งไปยังโรงเตี๊ยมเกล็ดหิมะ ยอมให้เขาเห็นประตู
โรงเตี๊ยมและใบหน้าตื่นตะลึงของผู้อาวุโสซุนในที่สุด
“แยกกันที่นี่ตอนนี้ที่รัก” ถังหลินชีพลันกล่าวกับเขา
“ข้าต้องกลับไปยังสำนักของข้า ในเมื่อที่นั่นยังมีงานที่ข้าจะต้องทำ
แต่ข้าจักไปหาเจ้าเร็ว ๆ นี้”
“ขอบคุณที่อยู่เป็นเพื่อนพวกเรา” ซูหยางพยักหน้า
ก่อนจากถังหลินชีหันไปมองดูชินเหลียงหยูและกระซิบกับเธอว่า
“ดูแลเขาแทนข้าด้วยนะ”
ชินเหลียงหยูพยักหน้าอย่างเงียบ ๆ ด้วยใบหน้าแดงซ่าน
หลังจากที่ถังหลินชีจากไปเพื่อกลับไปยังสำนักเมฆม่วงแล้ว ซูหยาง
และชินเหลียงหยูก็เข้าไปในโรงเตี๊ยมหิมะโปรยพร้อมกับผู้อาวุโสซุน
บทที่ 459 เรื่องในอดีตกับจักรพรรดิสวรรค์ จบภาคที่ 8
“นั่นหมายความว่ากระจกนิลกาฬเป็นของเจ้าสุนัขจากจักรพรรดิ
สวรรค์งั้นสิ”
ซูหยางย่อยข้อมูลทั้งหมดนี้อย่างใจเย็นหลังจากที่ได้ฟังคำอธิบาย
ของถังหลินชี
“มิน่าประหลาดใจว่าทำไมมันจึงดูคุ้นเคย ข้าเคยเห็นมันมาก่อน”
“สุดท้ายเจ้าก็จำได้ละสิ” ถังหลินชีถามเขา
เขาพยักหน้าและกล่าวว่า “กระจกนิลกาฬจริงแล้วเรียกว่าประตูมิติ
เงิน และมันเป็นสมบัติระดับเทพที่มีความสามารถในการเคลื่อนย้าย
ผู้คนไปยังที่แห่งใดที่พวกเขาเคยไปมาก่อน ยกตัวอย่างเช่นถ้าข้าใช้
ประตูมิติเงิน ข้าสามารถกลับไปยังทวีปตะวันออกได้ในทันที แต่ข้า
มิสามารถที่จะไปยังทวีปตะวันตกได้ในเมื่อข้ามิเคยไปที่นั่น”
“เจ้ารู้เรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร” ถังหลินชีเลิกคิ้ว
“ข้าเคยอยู่ที่ตำหนักสวรรค์มาก่อน และข้าก็ยังเคยได้เที่ยวชมภายใน
คลังสมบัติ” ซูหยางกล่าวด้วยท่าทางโหยหา
อย่างไรก็ตามถังหลินชีก็ถึงกับตาเบิกกว้างด้วยความตระหนกเมื่อ
เธอได้ยินเช่นนี้
“เจ้าอะไรนะ นั่นเป็นไปไม่ได้ นอกจากว่าเจ้าเป็นจักรพรรดิสวรรค์
เอง เช่นนั้นมิมีทางที่เจ้าจะวางเท้าเข้าไปในคลังสมบัติได้ แต่ว่าเจ้า
เข้าไปในสถานที่แห่งนั้นได้อย่างไร”
ซูหยางเผยรอยยิ้มและกล่าวว่า “นอกจากจักรพรรดิสวรรค์ ก็ยังมีคน
อีกสองคนที่สามารถเข้าไปในคลังสมบัติสวรรค์ได้ตามใจปรารถนา
ภรรยาและลูกสาวของเขา”
“อย่าบอกข้านะว่าเจ้า…”
เขาพยักหน้าและกล่าวต่อว่า “ลูกสาวของเขาใจดีพอที่จะนำข้าไป
เยี่ยมชมภายในนั้น กระทั่งยังอธิบายสมบัติบางอย่างในนั้นด้วย และ
ประตูมิติเงินก็เป็นหนึ่งในสมบัติเหล่านั้นด้วย”
“เจ้าคุ้นเคยกับลูกสาวของจักรพรรดิสวรรค์งั้นรึ”
ทั้งชิวเยว่และถังหลินชีต่างพากันจ้องมองเขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง นี่
ยิ่งน่าตระหนกต่อพวกเธอในการที่เขาคุ้นเคยกับลูกสาวของจักรพรรดิ
สวรรค์ยิ่งกว่าเข้าไปในคลังสมบัติสวรรค์เสียอีก
“พวกเราเป็นยิ่งกว่าแค่คุ้นเคย” ซูหยางเผยให้เห็นรอยยิ้มลึกลับ
“จ-จ-จริงรึ เจ้ามิได้หมายความว่า…” ถังหลินชีสั่นสะท้านด้วยความ
ตระหนก
ในฐานะองค์หญิงของสายเลือดอาชูร่า เธอได้มีประสบการณ์มากมาย
ดังนั้นจึงมีเพียงไม่กี่สิ่งในโลกนี้ที่สามารถสร้างความตระหนกให้กับ
เธอได้ถึงระดับนี้ แต่ว่าเธอก็ยังรู้สึกเช่นนั้นในเวลานี้
“ลูกสาวของจักรพรรดิสวรรค์… ลูกสาวของจักรพรรดิสวรรค์… ล-
ลูกสาวของ…จักรพรรดิสวรรค์…” ชิวเยว่ได้แต่พูดซ้ำถ้อยคำสี่คำนี้
ไปมาราวกับว่าเธอพยายามที่จะเข้าใจมันแต่ว่าไม่สำเร็จ หรือบางที
อาจะเป็นเพราะว่าเธอไม่อยากจะเชื่อมัน
ไม่เพียงแต่องค์หญิงของสายเลือดเทพอาชูร่า แต่กระทั่งลูกสาวของ
จักรพรรดิสวรรค์ก็ยังยุ่งเกี่ยวกับซูหยาง ทำไมจึงมีคนมากมายหลาย
คนที่มีความเป็นมาน่าเหลือเชื่อจึงมีความสัมพันธ์กับเขา และในการ
เปรียบเทียบกับสถานะของชิวเยว่ซึ่งเป็นองค์หญิงของวังจันทรา
ศักด์ิสิทธ์ิก็ถึงกับไม่มีค่าที่จะพูดถึง หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเธออาจจะ
ถือได้ว่าเป็นเพียงแค่คนธรรมดาในดินแดนที่ล้าหลัง
ก่อนที่จะพบกับถังหลินชีและรู้เกี่ยวกับเหล่าผู้ที่มีพลังอำนาจและมี
ความสำคัญทั้งหมดเหล่านี้ ชิวเยว่เชื่อมั่นมาเสมอว่าวังจันทราศักด์ิสิทธ์ิ
เป็นสถานที่ที่แข็งแกร่งที่สุดและเธอก็เป็นตัวตนที่พิเศษที่มีสถานะที่
ไม่สั่นคลอนในโลกนี้
แต่อนิจจากลับกลายเป็นว่าเธอเป็นเพียงแค่กบในกะลา และวังจันทรา
ศักด์ิสิทธ์ิก็เป็นเพียงแค่กลุ่มอำนาจเล็ก ๆ ในดินแดนอันกว้างใหญ่นี้
“ข้าได้รับเชิญจากจักรพรรดิสวรรค์ไปเลี้ยงน้ำชาในวันหนึ่ง ในเมื่อ
เขามีเจตนาให้ข้าทำงานให้กับเขาเพราะว่าข้าเป็นที่มีสายสัมพันธ์นับ
ไม่ถ้วนในโลกนี้ และเขาต้องการที่จะใช้ประโยชน์จากสายสัมพันธ์
ที่ข้าสร้างขึ้นมาตลอดทั่วทั้งชีวิต และก็เป็นวันนั้นเช่นกันที่ข้าได้พบ
กับเธอ ลูกสาวของจักรพรรดิสวรรค์”
“เธอนั้นช่างสวยและบริสุทธ์ิจนข้าเกือบตกหลุมรักกับเธอตั้งแต่แรก
เห็น สิ่งที่ข้ามิคาดว่าจะเกิดขึ้นอีกเป็นครั้งสองในชั่วชีวิตนี้ แต่ทว่า
ลูกสาวของจักรพรรดิสวรรค์… บางทีอาจจะเป็นเพราะความโดด
เดี่ยวเนื่องมาจากวิถีชีวิตที่สันโดษของเธอ จึงทำให้เธอตกหลุมรักข้า
เข้าจริง ๆ ตั้งแต่แรกเห็น”
“ข้ามิเคยวางแผนที่จะทำงานให้กับจักรพรรดิสวรรค์ แต่เมื่อเธอพูด
กับข้าหลังจากนั้น ขอร้องข้าอย่างฉลาดให้ทำงานที่นั่นด้วยสีหน้าที่มิ
อาจต้านทานได้ ข้าจึงตอบตกลงโดยมิรู้ตัว”
“ดังนั้น ข้าจึงเริ่มทำงานให้กับจักรพรรดิสวรรค์เป็นเวลาหลายปี และ
ช่วงเวลานั้นความสัมพันธ์ของข้ากับลูกสาวของจักรพรรดิสวรรค์ก็
ยิ่งลึกซึ้ง”
“สิ่งหนึ่งนำไปสู่อีกสิ่งหนึ่ง และด้วยเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง
พวกเราก็จบลงด้วยการข้ามเส้นที่มิควรจะข้าม เมื่อจักรพรรดิสวรรค์
รู้เห็นว่าข้าได้ร่วมรักกับลูกสาวสุดที่รักของเขา เขาก็พลันโกรธขึ้น
ในทันใด”
“ถ้ามิใช่เธอซึ่งร้องขอให้เขาไว้ชีวิตข้า ข้าก็คงตายไปแล้วที่นั่นตอน
นั้น แต่มิว่าลูกสาวของเขาจะอ้อนวอนมากมายเท่าไหร่ก็ตาม เขาก็มิ
อาจที่จะอภัยให้ข้าได้ทั้งหมด ดังนั้นเขาจึงโยนข้าเข้าไปในหุบผาบาป
นิรันดร์”
“นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมข้าจึงตกอยู่ในที่แห่งนั้นและจากนั้นก็มา
อยู่ในโลกนี้หลังจากนั้น”
ซูหยางเปิดเผยให้กับพวกเธอถึงเหตุผลเบื้องหลังการที่เขาถูกคุมขัง
สิ่งที่ไม่มีใครในจักรวาลนี้นอกจากจักรพรรดิสวรรค์ ครอบครัวของ
เขา และชายชราลึกลับซึ่งช่วยเขาให้รอดพ้นที่รู้เรื่องราวเหล่านี้
“ไม่น่าเชื่อ เมื่อมาคิดถึงเหตุผลที่ว่าทำไมเจ้าจึงถูกคุมขัง ข้าได้คาดคะเน
ว่าเป็นอะไรอย่างอื่นมาโดยตลอด แต่เมื่อรู้จักเจ้า นี่จึงสมเหตุผลที่สุด”
ถังหลินชีอุทานออกมาด้วยสีหน้าตื่นตะลึง
“และก็ตามคาด จักรพรรดิสวรรค์กวาดเรื่องนี้เข้าใต้พรม* เพื่อที่ว่า
มันจะมิได้หลุดออกมาสู่สาธารณะ มิว่าอย่างไรมันก็อาจจะเป็นเหตุ
ให้เกิดความโกลาหลขนาดใหญ่” ซูหยางยักไหล่
PS: กวาดเข้าใต้พรม(สำนวน) = (ความลับ) ปกปิด ซ่อนเร้น อำพราง
“อย่างไรก็ตามนี่ก็คงพอแล้วสำหรับเรื่องในอดีตของข้ากับจักรพรรดิ
สวรรค์ ประตูมิติเงิน… มันมิควรจะมีความสามารถในการปรากฏ
และหายไปโดยมิอาจคาดเดา ดังนั้นข้าจึงได้แต่คาดว่ามันได้รับความ
เสียหายหลังจากที่เข้าไปสู่รอยแยกมิติที่ถูกบังคับให้เปิดออกพร้อม
กับเจ้าของมัน หานซิ่น”
“ข้าเข้าใจ… นั่นสมเหตุผลดี…” ถังหลินชีพยักหน้า
“อย่างไรก็ตามในเมื่อพวกเรารู้เรื่องเกี่ยวกับประตูมิติเงินแล้วในตอนนี้
จึงมิมีเหตุผลจำเป็นอะไรสำหรับพวกเราที่จะอยู่ที่นี่ต่อไป พวกเรา
กลับไปยังทวีปตะวันออกกันเถอะ”
ซูหยางพลันพูดกับชิวเยว่ ซึ่งยังคงงงงันสับสนกับเรื่องราวเล็ก ๆ
ของเขา
เวลาผ่านไป เมื่อสุดท้ายเธอได้สะดุ้งตื่นขึ้นมาจากนั้นแล้ว เธอก็
ควบคุมยานบินให้กลับไปยังทวีปตะวันออก
บทที่ 458 ของขวัญอำลา
หลังจากที่ชินเหลียงหยูจากหมู่บ้านหมูป่าไปแล้ว เลอเป่าก็ยอมรับ
ตำแหน่งหัวหน้าหมู่บ้านอย่างลังเลและชนเผ่าทุกคนก็ยอมรับเขา
เป็นหัวหน้าหมู่บ้านคนใหม่โดยไม่มีปัญหาอะไร
“หัวหน้าเลอเป่ า มีเรื่องด่วน โปรดมากับข้า” หนึ่งในชนเผ่าพลันตรง
เข้าไปหาเขาด้วยใบหน้าตื่นเต้น
“เกิดอะไรขึ้นรึ หรือว่าพวกเราถูกโจมตีอีก” เลอเป่ าพลันเกิดความรู้สึก
ไม่น่าไว้ใจ
“ม-ไม่ แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องตรงกันข้าม”
จากนั้นชนเผ่าจึงนำเลอเป่ าไปยังกระท่อมหลังใหญ่ท่ามกลางหมู่บ้าน
หลังเดียวกับที่ซูหยางร่วมฝึกวิชาคู่กับหญิงสามสิบสองคนและชิน
เหลียงหยู
เมื่อยามที่พวกเขามาถึงที่แห่งนั้นมันก็เต็มไปด้วยผู้คนเรียบร้อยแล้ว
ซึ่งนั่นก็เกือบทุกคนจากหมู่บ้านชนเผ่าหมูป่ าที่รุมล้อมรอบกระท่อม
“เข้าไปดูข้างในสิ หัวหน้าเลอเป่า”
ชนเผ่าคนนั้นเปิดทางให้กับเลอเป่ าซึ่งก็ได้เข้าไปในกระท่อม
หลังจากนั้น
“น-นี่”
ดวงตาและปากของเลอเป่ าเปิดกว้างหลังจากที่เห็นภาพภายในนั้น
บนเตียงขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนว่าจะฉ่ำแฉะไปด้วยของเหลวบางอย่าง
มีหินวิญญาณกองเป็นภูเขา กองซ้อนกันนับพันก้อน
ด้านข้างของภูเขาหินวิญญาณยังมีกองของอาวุธวิญญาณนับจากระดับ
มนุษย์ไปจนถึงระดับปฐพีวางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบอยู่ที่นั่น
นอกจากนี้รอบ ๆ เตียงก็ยังมีกองสมบัติและทรัพยากรขนาดเล็ก
สามสิบสองกองพร้อมกับกระดาษข้อความวางอยู่ข้าง ๆ
เลอเป่ าเข้าไปหยิบหนึ่งในกระดาษข้อความเหล่านี้ขึ้นมาอ่าน
“อานเยินเยิน ขอบคุณสำหรับเวลาของเจ้า เจ้าสามารถทำตามใจ
ปรารถนากับสิ่งตอบแทนเล็กน้อยเหล่านี้จากข้า”
กระดาษข้อความชิ้นนี้ลงนามซูหยางไว้ด้านท้ายสุด
หลังจากที่อ่านกระดาษข้อความชิ้นแรก เบอเป่าก็ไปอ่านชิ้นถัดไป
ถัดไป จนกระทั่งเขาอ่านกระดาษข้อความจบหมดครบทั้งสามสิบ
สองแผ่น
“ห-หัวหน้าเลอเป่ า ยังมีกระดาษข้อความซ่อนอยู่ตรงนี้”
หนึ่งในชนเผ่ายื่นส่งกระดาษข้อความให้กับเขา ซึ่งอ่านได้ว่า
“นอกจากของขวัญเฉพาะคนสามสิบสองกองนั้นแล้ว เจ้าสามารถทำ
อะไรก็ได้กับหินวิญญาณและอาวุธวิญญาณที่ข้าทิ้งไว้ นี่เป็นวิธีสำหรับ
ข้าที่จะแสดงความขอบคุณสำหรับการต้อนรับของชนเผ่า ข้าจักกลับ
มาที่นี่อีกครั้งในเวลาสองปีข้างหน้า และถ้าข้ารู้ว่าเจ้าได้กระทำผิด
ต่อหญิงทั้งสามสิบสองคนนั้น ชนเผ่าหมูป่ าทั้งหมู่บ้านจักต้องตอบ
คำถามข้าให้ได้ ซูหยาง”
เลอเป่ าร่างกายสั่นสะท้านหลังจากที่อ่านกระดาษข้อความนั้นและ
ความรู้สึกงงงันก็เกิดขึ้นในใจของเขา
ในขณะที่เขาเกลียดซูหยางที่เอาหญิงของเขาไป ซูหยางก็ยังคงมอบ
อาวุธวิญญาณให้กับพวกเขาอย่างพอเพียงสำหรับติดอาวุธนักรบทุก
คนในหมู่บ้านและยังมีเหลืออีก และด้วยหินวิญญาณจำนวนมากนั้น
พวกเขาสามารถกลายเป็นชนเผ่าอันดับหนึ่งในทวีปใต้ได้ถ้าหากว่ามี
เวลามากเพียงพอ
เวลาผ่านไป เลอเป่ าก็ประกาศให้กับชนเผ่าที่นั่นว่า “นำหญิงทั้งสาม
สิบสองคนซึ่งได้มีชื่อเขียนอยู่ในกระดาษข้อความเหล่านี้ พวกเธอ
จักได้รับสิ่งที่ผู้มีบุญคุณได้ทิ้งไว้ให้กับพวกเธอเป็นการส่วนตัว และ
ถ้ามีใครพยายามที่จะฉกฉวยสิ่งเหล่านี้ พวกนั้นจักต้องถูกฆ่าทิ้ง”
“ขอรับ หัวหน้า”
ชนเผ่าต่างพากันขานรับ ถึงแม้ว่าเขาไม่อยู่ที่นั่น ก็ไม่มีใครในนั้นที่
จะมีความคิดกล้าที่จะขโมยของจากซูหยางหลังจากที่เขาได้ทำทุกสิ่ง
ให้กับชนเผ่าหมูป่ า ส่วนสำหรับหญิงสาวสามสิบสองคนนั้น พวก
เธอต่างพากันตื่นตะลึงไปกับความร่ำรวยที่ซูหยางได้ทิ้งไว้ให้กับ
พวกเธอ ในเมื่อมันเพียงพอสำหรับพวกเธอที่จะใช้ชีวิตอย่างสุข
สบายไปชั่วชีวิต
แน่นอนว่าในบรรดาหญิงทั้งสามสิบสองคนนั้น ก็ยังมีหลายคนที่มี
ฐานะเป็นเมีย และแม้ว่าผัวของพวกเธอจะโกรธในตอนแรกที่เมีย
ของพวกเขาได้ไปร่วมรักกับชายอื่น แต่หลังจากที่พวกเขาเห็นความ
ร่ำรวยนี้ ความโกรธเกรี้ยวพวกเขาทุกคนก็หายไปและได้ยกโทษ
ให้กับเมียของตนเองในทันที ถึงกับยังสรรเสริญพวกเธอกับการ
กระทำนั้นอีกด้วย
หลังจากที่หญิงทั้งสามสิบสองคนได้รับส่วนที่เป็นของเธอแล้ว เลอ
เป่ าก็ได้แบ่งปันความร่ำรวยนี้ให้กับชนเผ่าคนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ครอบครัวที่ได้ประสบกับความสูญเสียจากการโจมตีของชนเผ่า
สิงโต เขายังคงติดอาวุธให้กับนักรบทุกคนในเผ่าด้วยอาวุธวิญญาณ
เพิ่มพลังอำนาจให้กับชนเผ่าหมูป่ าขึ้นอย่างมาก
ด้วยความแข็งแกร่งของพวกเขาในตอนนี้ ต่อให้เป็นชนเผ่ามังกรมา
โจมตีพวกเขาในตอนนี้ พวกเขาก็ยังไม่ถึงกับสิ้นหวังเหมือนก่อน
หน้านี้และอาจจะเอาชนะอีกฝ่ายได้ด้วย
ในเวลานั้นห่างออกไปหลายกิโลเมตรจากชนเผ่าหมูป่ า ถังหลินชี
และชิวเยว่กำลังจ้องมองชินเหลียงหยูอยู่อย่างเงียบ ๆ ซึ่งเธอก็ได้ยืน
อยู่ข้างซูหยางเหมือนกับลูกแกะที่อยู่ต่อหน้าหมาป่า
“แล้วทำไมเธอจึงมาอยู่ที่นี่” ชิวเยว่ถามเขา
“เพราะว่าเธอจักติดตามพวกเรานับจากวันนี้เป็นต้นไป” เขาตอบ
กลับอย่างลวก ๆ
“อะไรนะ แล้วชนเผ่าหมูป่าล่ะ พวกเขาจะบริหารงานอย่างไรหาก
ปราศจากหัวหน้าหมู่บ้าน” ชิวเยว่มองดูพวกเขาด้วยหน้าตางงงัน
“เรื่องนั้นได้ถูกจัดการไปแล้วในเมื่อพวกเขาได้มีหัวหน้าหมู่บ้านคน
ใหม่แล้ว”
“ข้าเห็นว่าเจ้าได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้วนับตั้งแต่ข้าเห็นเจ้าครั้ง
สุดท้ายซึ่งก็เป็นเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ อะไรที่ทำให้เจ้า
เปลี่ยนใจ” ถังหลินชีถามเธอด้วยรอยยิ้มหยอกเย้า ราวกับว่าเธอได้รู้
ว่าเกิดอะไรขึ้น
ชินเหลียงหยูพูดไม่ออกได้แต่เหลือบมองไปยังซูหยาง และทั้งหมด
นั่นก็พอทำให้ถังหลินชีเข้าใจ
“ว่าไปแล้ว ทำไมเรามิมาแนะนำตัวกันใหม่อีกครั้งล่ะ ข้าจักเริ่มก่อน
เป็นคนแรก” ถังหลินชีพลันแนะนำ
“ข้าชื่อถังหลินชี และข้าก็อยู่ในสถานการณ์พิเศษเมื่อนี่ไม่ใช่ร่างที่
แท้จริงของข้า และข้าก็ได้เพียงเข้าสิงร่างนี้ชั่วคราวเนื่องจากเหตุผล
ที่ซับซ้อน เด็กสาวที่เจ้าเห็นในตอนนี้ชื่อว่าหงอวี้เอ๋อร์และเธอก็มี
ตำแหน่งเป็นคู่หมั้นของซูหยาง ทั้งหมดนั้นเป็นสิ่งที่เจ้าควรรู้เกี่ยวกับ
ข้าในตอนนี้ ถ้าเจ้าได้อยู่นานพอที่จะเห็นตัวจริงของข้า ข้าก็จักแนะนำ
ตัวข้าใหม่อีกครั้ง เจ้าก็เพียงเรียกข้าว่าพี่สาวถังนับแต่ตอนนี้ไป”
“เอ๋…”
ชินเหลียงหยูตกตะลึง พวกเขามีความเป็นมาแบบไหนกันและทำไม
การแนะนำตัวเบื้องต้นจึงช่างสับสนและผิดปกติ
ชิวเยว่แนะนำตัวเองถัดไป “เจ้าอาจจะรู้จักข้าในนามเทพธิดาซึ่งได้
ฆ่ามหาวิบัติเมื่อพันปีก่อน แต่ชื่อข้าก็คือชิวเยว่ และซูหยางก็เป็น
ผู้ปกครองของข้า”
“ผ-ผู้ปกครองรึ” ชินเหลียงหยูหันไปมองดูซูหยาง เมื่อมาคิดว่าเขา
เป็นคนที่สำคัญสำหรับเทพธิดา
“ข-ข้าชื่อชินเหลียงหยู และข้าก็ได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตของข้าใน
ชนเผ่าหมูป่า ข้ามิรู้อะไรมากเกี่ยวกับโลกภายนอก แต่ข้าจักพยายาม
ให้ดีที่สุดมิให้กลายเป็นอุปสรรคกับพวกท่าน ข้าขอฝากตัวด้วย”
ชินเหลียงหยูโค้งคำนับพวกเธออย่างนอบน้อม ในเมื่อพวกเธอเป็นผู้
อาวุโสกว่า
“ไม่เลว” ถังหลินชีพยักหน้ายอมรับ
“ว่าไปแล้ว ซูหยาง พวกเรามีข้อมูลมากเพียงพอเกี่ยวกับกระจกนิล
กาฬ บางทีนี่อาจจะแคะความทรงจำของเจ้าออกมาได้บ้าง” ถังหลินชี
พลันกล่าวและทำการอธิบายถึงสิ่งที่ชิวเยว่ได้บอกเธอก่อนหน้านั้น
บทที่ 457 เขาก็ฟันเมียข้าด้วยเช่นกัน
หลังจากที่รู้ว่าคนที่เขารักที่สุดในชีวิตได้เลือกชายคนอื่นที่ไม่ใช่
ตนเอง หัวใจของเลอเป่าก็เต็มไปด้วยความขื่นขมและโกรธแค้น
“ใครกัน เจ้าชั่วคนไหนกล้าขโมยผู้หญิงของข้า ถ้าเจ้าเป็นชายแท้จง
เผยโฉมออกมาเดี๋ยวนี้” เลอเป่ าคำรามด้วยน้ำเสียงโกรธแค้น จนทำ
ให้ชนเผ่ารอบตัวเขาวิ่งหนีออกไปด้วยความกลัว
“ระวังปากของเจ้า เลอเป่ า ข้าจักมิทนต่อพฤติกรรมต่ำช้าที่เจ้ามีต่อ
เขา” ชินเหลียงหยูพลันเปลี่ยนเป็นโกรธและตะโกนด่าอีกฝ่ายเป็น
ครั้งแรกในชีวิตของเธอ
เลอเป่าตกตะลึงกับปฏิกิริยาของชินเหลียงหยู ในเมื่อเขาไม่เคยเห็น
ปฏิกิริยาที่ดุร้ายเช่นนี้ของเธอมาก่อน เขารับใช้พ่อของเธอมาตลอด
ชีวิตของพ่อเธอ และเขาก็อยู่ที่นี่เพื่อสนับสนุนชินเหลียงหยูตลอด
ชีวิตของเธอเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงมีโอกาสมากมายที่จะเปิดเผยความ
รู้สึกให้กับเธอ แต่ทว่าก่อนที่เขาจะทันได้ทำเช่นนั้น คนที่เขารักที่สุด
ในชีวิตก็ถูกใครก็ไม่รู้นำตัวไป ดังนั้นจึงเกิดปฏิกิริยาอันรุนแรงซึ่ง
ส่วนใหญ่มาจากความเศร้าเสียใจและเกลียดชังจากตัวของเขาเอง
“ใครกัน ใครที่สร้างความหวั่นไหวในใจเจ้า ข้าอยากรู้ชื่อ”
“นั่นมิใช่เรื่องของเจ้า เลอเป่ า นับจากวันนี้เป็นต้นไป ชนเผ่าหมูป่ า
จักเป็นธุระเดียวของเจ้า” ชินเหลียงหยูพูดเสียงเย็นชา
“ตำแหน่งหัวหน้าหมู่บ้านไร้ความหมายต่อข้าหากมิมีเจ้าข้างกาย
หัวหน้าชิน นอกจากข้าเห็นว่าชายคนนี้มีคุณสมบัติเหนือข้าสำหรับ
เป็นคู่ของเจ้า มิเช่นนั้นข้าก็จักปฏิเสธตำแหน่งหัวหน้าหมู่บ้าน” เลอ
เป่ าพูดต่อกดดันเธอให้ระบุตัวตนของชายลึกลับที่เธอให้คำสัญญาไว้
“เราจำเป็นต้องทำเช่นนี้รึ เลอเป่ า” ชินเหลียงหยูถอนใจ
“ข้าจักมิเป็นหัวหน้าหมู่บ้านต่อให้เจ้าฆ่าข้าก็ตาม” เลอเป่ ายืนยันคำ
ตัดสินใจของตนเอง
ยามเมื่อเลอเป่ าพูดจบประโยค เสียงอื่นก็ดังขึ้น
“เจ้ามีอะไรที่ต้องการจะพูดกับข้ารึ”
เมื่อเลอเป่ าและชนเผ่าได้ยินเสียงที่คุ้นเคยนี้ พวกเขาพลันหันไป
มองดูข้างหลังของตนเองที่ซึ่งชายหนุ่มรูปหล่อผิวขาวราวกับหยก
ตรงมายังพวกเขา
“ท-ท่านคือ…”
ดวงตาเลอเป่ าเบิกกว้างด้วยความไม่อยากเชื่อเมื่อเห็นใบหน้าของซู
หยาง
“เป็นไปไม่ได้…”
เลอเป่าพลันหันกลับไปมองดูชินเหลียงหยูและพูดด้วยเสียงอันดัง
“เป็นเขาใช่ไหม”
ชินเหลียงหยูไม่ได้พูดแม้แต่คำเดียวเพียงแค่พยักหน้า
“…”
ร่างของเลอเป่ าซวนเซไปด้านหลังหลังจากที่เห็นคำยืนยันของเธอ
“ข้ามิเข้าใจ ถึงแม้ว่าเขาจะแข็งแกร่งและดูดีกว่าข้าอย่างแน่นอน แต่
พวกเจ้าทั้งสองเพียงแค่พบกันมินานมานี้ ทำไมเจ้าจึงเลือกคนที่เพิ่ง
พบแทนที่จะเป็นข้าซึ่งเจ้าใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ด้วย”
“ข้าก็มิเข้าใจเช่นกัน แต่นั่นก็คือความรัก มันมิอาจจะคาดเดาและ
กะทันหันโดยสิ้นเชิง ราวกับดาวตก” ชินเหลียงหยูพูดเสียงเบา
ดวงตาเธอเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
เมื่อเลอเป่ าเห็นอารมณ์ที่อยู่ในดวงตาของเธอ เรี่ยวแรงทั้งหมดของ
เขาก็หมดสิ้น ทำให้เขาล้มลงคุกเข่าอยู่กับพื้น
“…”
เมื่อเห็นเลอเป่ าเป็นเช่นนี้ ชินเหลียงหยูก็รู้สึกเสียใจกับเขา แต่ก็ไม่มี
อะไรที่เธอจะสามารถทำได้ ในเมื่อความรักของเธอมอบให้คนอื่น
ไปหมดแล้ว
กระทั่งซูหยางเองก็รู้สึกแย่ไปอยู่บ้างกับเลอเป่า แต่อนิจจาใช่ว่าเขา
จะสามารถถ่ายโอนความรู้สึกที่ชินเหลียงหยูมีต่อเขาไปให้เลอเป่าได้
และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ตามจริงแล้ว
เขาได้ตกอยู่ในสถานการณ์คล้ายคลึงกันนี้มานับครั้งไม่ถ้วนในอดีต
ซึ่งคนรักของคนอื่นได้ไปกับเขาแทนที่จะเป็นพวกเขาเหล่านั้น
นี่บางทีอาจจะเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมเขาจึงมีศัตรูมากมายในสวรรค์
ศักด์ิสิทธ์ิทั้งสี่และทำไมจึงมีคนมากมายที่ต้องการให้เขาตายในเมื่อ
เขาเองก็ไม่ได้ตั้งใจได้ล่วงเกินคนเหล่านั้น
อีกชั่วขณะหนึ่งหลังจากนั้น เลอเป่ าก็ยืนขึ้นและตรงไปหาซูหยาง
“เจ้าคิดจะทำอะไรรึ เลอเป่ า” ชินเหลียงหยูพลันกังวลว่าเลอเป่ า
อาจจะพยายามที่จะทำร้ายซูหยางเนื่องมาจากความอิจฉา
แต่อย่างไรก็ตามเลอเป่าก็หยุดอยู่ห่างจากเขาเมื่อถึงระยะประมาณ
สามเมตรและมองดูเขาด้วยสีหน้าจริงจัง
“แม้ว่าข้าจะปลื้มปิติไปชั่วชีวิตกับการที่ท่านได้ช่วยเหลือชนเผ่าหมู
ป่ าและตัวข้า แต่โดยพื้นฐานแล้วข้าก็มิอาจที่จะนั่งอยู่เฉยและมิทำ
อะไรเลย ได้โปรดประลองกับข้าถ้าท่านชนะ ข้าจักปล่อยให้ท่านนำ
ตัวหัวหน้าชินไปโดยมิสร้างความยุ่งยากอีกต่อไป แต่ถ้าท่านแพ้ข้า
ต้องการให้ท่านปล่อยเธอไว้ตามลำพัง”
ชนเผ่ามองดูเลอเป่าราวกับว่าเขาเป็นบ้าไปแล้วด้วยความหึงหวงและ
กลายเป็นคนบ้า โดยพื้นฐานแล้วไม่มีทางที่เขาจะเอาชนะซูหยางซึ่ง
สามารถเอาชนะหัวหน้าหลงและหัวหน้าชือได้ตามลำพัง
และถึงแม้ว่าซูหยางได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้ ก็ยังมีโอกาสเป็น
ศูนย์สำหรับเลอเป่ าที่จะเอาชนะเขา แล้วทำไมเขาจึงต้องร้องขอสิ่งที่
บุ่มบ่ามเช่นนี้
มันชัดเจนเหมือนกับยามกลางวันสำหรับพวกเขาว่าผลลัพธ์จะเป็น
อย่างไรก่อนที่การต่อสู้จะได้เริ่มขึ้นเสียอีก
แต่ทว่าทุกคนต่างก็พากันประหลาดใจ เมื่อซูหยางปฏิเสธที่จะต่อสู้
กับเลอเป่า
“ทำไมท่านจึงปฏิเสธ มันชัดเจนอยู่แล้วว่าข้ามิอาจจะเอาชนะท่าน
ได้” เลอเป่าถามเขาด้วยคิ้วที่ขมวดด้วยความสงสัย
“เพราะว่าถึงแม้ว่าผลการต่อสู้จะออกมาเป็นเช่นไร ผลลัพธ์ก็มิได้
เปลี่ยน” ซูหยางกล่าวด้วยเสียงเยือกเย็น
“ถึงแม้ว่าเจ้าบางทีอาจจะเอาชนะข้าได้และข้าได้ปล่อยเธอไว้ตาม
ลำพัง จริงแล้วนั่นจะเปลี่ยนอะไรบ้างไหม มิว่าข้าจักชนะหรือพ่าย
แพ้ เธอก็จักยังคงติดตามข้า และโดยพื้นฐานแล้วข้าก็มิชอบที่จะเสีย
ความพยายามไปกับสิ่งที่ไร้ความหมาย”
“ไร้ความหมาย ท่านว่างั้นรึ นี่เป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับข้า” เลอเป่ า
คำราม
“มีหลายสิ่งในชีวิตที่เจ้ามิอาจจะได้มันมิว่าเจ้าต้องการพวกมันมาก
เพียงใดก็ตาม และเจ้าต้องยอมรับความจริงนี้”
ซูหยางหันตัวกลับและเริ่มเดินจากไป
“เหลียงหยู ข้ากำลังจะกลับไปที่ยานบินแล้วตอนนี้ พวกเราจักจาก
ไปในอีกไม่นาน ดังนั้นนี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่เจ้าจะตัดสินใจว่าจริง
แล้วเจ้าต้องการที่จะติดตามข้าไปหรือไม่”
“ข้าได้ทิ้งสิ่งของบางอย่างไว้ด้านหลังในกระท่อมสำหรับชนเผ่าหมู
ป่ าเช่นกัน นั่นเป็นคำขอบคุณของข้าสำหรับการต้อนรับเช่นเดียวกับ
ความช่วยเหลือของพวกเจ้าสามสิบสองคน ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะชอบ
มัน”
หลังจากที่กล่าวคำพูดเหล่านั้นแล้วซูหยางก็เดินออกจากหมู่บ้าน
อย่างสบาย ๆ และลับหายไปตามเส้นทาง
“ข-เขาหมายถึงอะไรกับ “ติดตามเขาไป” รึ” เลอเป่ามองดูชินเหลียง
หยูด้วยสีหน้างุนงง และเขาก็ได้มีคำตอบอยู่ในใจแล้วเช่นกัน
“ข้าจักจากหมู่บ้านหมูป่ าตั้งแต่วันนี้เพื่อติดตามเขาไป นี่เป็นเหตุผล
อื่นที่ทำไมข้าจึงมิอาจอยู่กับเจ้า เลอเป่ า” ชินเหลียงหยูกล่าวกับเขา
ด้วยรอยยิ้มขออภัย
“ข้ามั่นใจว่าเจ้าจักหาคนอื่นที่เจ้าเห็นคุณค่ามากกว่าข้า เลอเป่า และ
ข้าจักทิ้งชนเผ่าหมูป่ าไว้ในมือเจ้า”
“นี่มันกะทันหันเกินไป เจ้าจักกลับมาอีกหรือไม่” เลอเป่าถามเธอ
ด้วยน้ำตาคลอเบ้า
ชินเหลียงหยูส่ายหน้าอย่างอ่อนโยน
“ข้ามิรู้ ข้าจักไปตามที่เขาพาข้าไปเท่านั้น”
“ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งที่เจ้าได้ทำให้กับข้า ข้าจักมิลืมมันเลย ลาก่อน”
ชินเหลียงหยูหันกายและวิ่งออกไปด้านนอกหมู่บ้านติดตามก้าวย่าง
ของซูหยางก่อนที่จะมีใครทันได้พูดอะไรออกมา ปล่อยให้ชนเผ่า
หมูป่างงงันและพูดไม่ออกอย่างสิ้นเชิง
หลายชั่วขณะต่อจากนั้น หนึ่งในชนเผ่าก็ตรงเข้าไปหาเลอเป่ าและ
พูดด้วยเสียงเบาว่า “อย่ากังวล หัวหน้าเลอเป่ า ท่านมิได้อยู่ตามลำพัง
พวกเรารู้ความรู้สึกท่าน”
“เจ้าจะรู้อะไร เจ้าแต่งงานมีความสุข อย่ามาทำท่าทางราวกับว่าเจ้า
เข้าใจความรู้สึกของข้า” เลอเป่ าคำรามกลับ
อย่างไรก็ตามชายคนนั้นเพียงแค่ยิ้มขื่นขมและกล่าวต่อว่า “ข้าต้องรู้
สิ เลอเป่ า ข้ารู้… เพราะว่าเขาก็ฟันเมียข้าเมื่อวานนี้เช่นกัน”
“ม-เมื่อกี้เจ้าพูดอะไรนะ” เลอเป่ ามองดูชายคนนั้นด้วยดวงตาเบิก
กว้าง
และก่อนที่ชายคนนั้นจะทันได้ตอบ ชายอีกคนก็ตรงเข้ามาหาพวก
เขาและกล่าวว่า “เขาก็ฟันเมียข้าด้วยเช่นกัน เธอกล่าวว่าเขาต้องการ
ความช่วยเหลือสำหรับรักษาอาการบาดเจ็บหลังจากการต่อสู้ ดังนั้น
ข้าจึงอนุญาตให้เธอไปได้ แต่ทว่าข้ามิคาดว่าการช่วยเหลือเขานั้น
ต้องการให้เมียข้าร่วมรักกับเขา เธอกลับมาหลังจากครึ่งวันให้หลังดู
เหมือนกับว่าเธอวิ่งรอบโลกมาโดยมิได้พัก”
ชายอีกคนก็ปรากฏตัวและกล่าวว่า “เมียข้าบอกข้าตามความเป็นจริง
แต่ข้าก็อนุญาตโดยมิได้คิดมากในเมื่อข้าเห็นว่านั่นเป็นเกียรติสำหรับ
เมียข้าในการโดนฟันด้วยคนแบบผู้มีพระคุณ บางทีเจ้าควรคิดใน
แบบนั้นเช่นกัน”
คนอื่น ๆ มองดูเขาพร้อมขมวดคิ้วและตะโกนว่า “เจ้ามันบ้าไปแล้ว
แม่ง…”
อีกชั่วขณะหนึ่งเลอเป่ าก็ถอนหายใจและกล่าวว่า “อย่างไรก็ตามใน
เมื่อหัวหน้าชินจากไปแล้วและเธอก็ได้แต่งตั้งข้าให้เป็นหัวหน้า
หมู่บ้านก่อนจากไป ถึงแม้ว่าข้ามิต้องการตำแหน่งนี้ แต่ชนเผ่าหมูป่ า
ก็ต้องการผู้นำ เช่นนั้นก็ขอให้พวกเราได้ชัดเจนว่า ข้ามิได้ทำเช่นนี้
เพื่อหัวหน้าชินแต่เพื่อพวกเจ้าทุกคน”
ในเวลานั้นชินเหลียงหยูก็เพิ่งตามทันซูหยาง
“เจ้าได้พูดอำลาแล้วรึ” เขาถามเธอ
“อื้อ” ชินเหลียงหยูพยักหน้า และพวกเขาทั้งสองคนก็ค่อยกลับไปยัง
ยานบินที่ซึ่งถังหลินชีและชิวเยว่ได้รอคอยอยู่
บทที่ 456 การประกาศแต่งตั้งหัวหน้าหมู่บ้านคนต่อไป
ยิ่งนานเท่าไหร่ที่ซูหยางร่วมฝึกวิชาคู่กับชินเหลียงหยู พลังการฝึกปรือ
ของเขาก็เพิ่มขึ้นเท่านั้น และเมื่อจบกิจกรรม พลังการฝึกปรือของเขา
ก็เพิ่มขึ้นอีกสามระดับเข้าถึงระดับหกเขตอัมพรวิญญาณ
แม้ว่าชินเหลียงหยูจะอยู่เพียงแค่เขตปฐพีวิญญาณ แต่เพราะว่าร่าง
สวรรค์ของเธอที่มีความสามารถในการเพิ่มความแข็งแกร่งของคู่นอน
ของเธอผ่านการร่วมฝึกวิชาคู่ และเพราะว่าที่เขาได้รับแก่นหยินบริสุทธ์ิ
ของเธอ ความแข็งแกร่งของซูหยางเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดหลังจาก
ที่ร่วมฝึกวิชาคู่กับเธอ
“เจ้าคงเต็มไปด้วยความประหลาดใจใช่หรือไม่” ซูหยางยิ้มให้กับชิน
เหลียงหยู ซึ่งนอนอยู่บนเตียงด้วยท่าทางหมดแรง หอบหายใจอย่าง
หมดรูป
“หากคิดว่าเจ้าทนอยู่ได้ถึงสิบชั่วโมงสำหรับครั้งแรก และโดยไม่
ต้องกล่าวถึงร่างสวรรค์ของเจ้า เจ้ามีพรสวรรค์”
“ร่างสวรรค์พิเศษมากมายเช่นนั้นจริง ๆ รึ” ชินเหลียงหยูถามเขา
หลังจากที่หายใจได้บ้างแล้ว
ซูหยางพยักหน้าและกล่าวว่า “ก็เหมือนกับที่ข้าได้กล่าวเอาไว้ มี
เพียงหนึ่งในกว่าร้อยล้านคนที่เกิดมาพร้อมกับร่างสวรรค์ และด้วย
ร่างสวรรค์ของเจ้าที่เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับคู่ของเจ้าโดยตรงผ่าน
การร่วมฝึกวิชาคู่ แน่นอนว่ามันย่อมกระตุ้นความสนใจนับไม่ถ้วน
จากผู้ฝึกวิชาคู่ทั้งหมดในที่นั้น ข้ามั่นใจว่าหลายคนคงต้องฆ่าฟันกัน
เพื่อจะยื่นมือมายังเจ้า”
“ข้าดีใจ…” ชินเหลียงหยูแสดงสีหน้าโล่งอก
“ดีใจรึ” ซูหยางเลิกคิ้ว
“ร่างของข้ามีพลังที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับคนอื่นใช่ไหม ถ้าข้า
ร่วมฝึกกับท่านต่อไป พลังการฝึกปรือของท่านย่อมเติบโตแข็งแกร่ง
ยิ่งขึ้น นี่หมายความว่าอย่างน้อยข้าสามารถเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อ
ท่าน และข้ามิตกเป็นตัวถ่วงเมื่อข้าติดตามท่าน…”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเธอ ซูหยางก็ดึงเธอเข้ามาแนบอกและ
กล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “ถึงแม้ว่าเจ้ามิมีร่างสวรรค์ ข้าก็จักมิ
เห็นเจ้าเป็นตัวถ่วงแต่อย่างใด”
“ซูหยาง…” ชินเหลียงหยูพยักหน้าด้วยใบหน้าแดงซ่าน
“อย่างไรก็ตามเพราะว่าเจ้ามีร่างสวรรค์ มันจักเป็นเรื่องยุ่งยากอยู่
บ้าง”
“ท่านหมายความว่าอย่างไร” เธอถาม
“อย่างที่ข้าได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่าความสามารถในการเพิ่มความ
แข็งแกร่งให้กับผู้อื่นนั้นมีค่ามากโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกวิชาคู่ ถ้า
หากว่ามีใครรู้ถึงการคงอยู่ของเจ้า นั่นย่อมมั่นใจได้ว่าจะต้องมีผู้คน
ที่ยินดีที่จะทำทุกสิ่งเพื่อที่จะได้ตัวของเจ้า และก็ไม่ใช่คนจำนวนน้อย
นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเจ้าจักต้องมิเปิดเผยร่างสวรรค์ของเจ้าให้แก่
ผู้ใดอีกเพื่อปกป้องตัวเจ้า นอกจากว่าเจ้าต้องการที่จะใช้ชั่วชีวิตของ
เจ้าในฐานะทาสที่มีหน้าที่ที่จะเป็นเครื่องเล่นของผู้อื่นเท่านั้น”
“แม้ว่าความสามารถของเจ้าจะมิได้ผลมากเท่าเดิมอีกต่อไปเนื่องจากว่า
มันจะมีความแข็งแกร่งมากที่สุดเมื่อตอนที่เจ้ายังคงเป็นหญิง
พรหมจรรย์ซึ่งเจ้ามิได้เป็นต่อไปอีกแล้ว มันก็ยังมีประโยชน์อย่าง
มากต่อผู้ที่ร่วมฝึกวิชาคู่กับเจ้า”
“จากที่กล่าวมาแล้ว ตราบเท่าที่เจ้าอยู่เคียงข้างข้า ข้าย่อมจักมิปล่อย
ให้อันตรายใดมาถึงตัวเจ้าแม้ว่านั่นจะต้องจ่ายด้วยชีวิตของข้า”
ชินเหลียงหยูพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าจักมิบอกแม้แต่เพียงคน
เดียวในเรื่องร่างสวรรค์ของข้า ข้าสัญญา สุดท้ายแล้วร่างกายของข้า
นั้นเป็นของท่านและท่านเพียงผู้เดียวซูหยาง ข้าจักฆ่าตัวตายก่อนที่
จะปล่อยให้ใครอื่นแตะต้องตัวข้า”
เวลาต่อมา ชินเหลียงหยูก็ถามเขาว่า “ซูหยางพวกเราจะไปไหนกัน
หลังจากที่เราจากหมู่บ้านชนเผ่าหมูป่าแล้ว”
“ทวีปตะวันออก” เขาตอบอย่างใจเย็น
“ท่านมาจากทวีปตะวันออกรึ” ชินเหลียงหยูเผยใบหน้าประหลาดใจ
ไม่น่าประหลาดใจที่ทำไมเขาจึงมีลักษณะท่าทางที่แตกต่างจากคน
ภายในทวีปใต้ แท้ที่จริงแล้วเขามาจากทวีปอื่นนั่นเอง
“เจ้าเคยไปทวีปตะวันออกมาก่อนไหม” เขาถาม
เธอรีบส่ายหน้าและกล่าวว่า “นั่นเป็นไปไม่ได้สำหรับพวกเรา นั่น
ปกติแล้วเป็นระยะทางที่ไกลเกินไปและถึงแม้ว่าพวกเรามีความคิด
และเวลาที่จะเดินทาง ทะเลหยกก็เต็มไปด้วยสัตว์ทะเลที่แข็งแกร่ง มี
แต่เพียงคนบ้าบิ่นหรือว่าเป็นจอมยุทธที่ทรงอำนาจถึงที่สุดเท่านั้นที่
สามารถท่องเที่ยวข้ามทวีปได้”
“ข้าเข้าใจ…”
หลายนาทีผ่านไป ครั้นเมื่อพวกเขาได้พักผ่อนเพียงพอแล้ว ชินเหลียง
หยูก็พูดขึ้นว่า “ข้าจักไปรวบรวมชนเผ่าและประกาศให้เลอเป่ าเป็น
หัวหน้าหมู่บ้านคนถัดไป หลังจากทุกสิ่งนี้จบลงแล้ว ข้าก็จักจากชน
เผ่าหมูป่าไป”
ซูหยางพยักหน้าและไม่ได้พูดอะไรอื่นอีก
ครั้นเมื่อพวกเขาแต่งตัวเสร็จแล้ว ชินเหลียงหยูก็ออกไปข้างนอก
และเรียกประชุมชนเผ่าทุกคนในหมู่บ้านชนเผ่าหมูป่า รวบรวมคน
นับร้อยมาอยู่ในที่แห่งเดียวกัน
“เกิดอะไรขึ้นรึ หัวหน้าหมู่บ้านจึงเรียกประชุมคนจำนวนมากในครั้ง
เดียว หรือว่าจะมีเรื่องเร่งด่วนหรือว่าข่าวใหญ่”
ชนเผ่ากระซิบกระซาบกัน พยายามคาดเดาถึงเหตุผลที่พวกเขาถูก
เรียกตัวมา
เวลาหลังจากนั้น หลังจากที่ชนเผ่าทุกคนได้อยู่ที่นั่นแล้ว ชินเหลียงห
ยูก็กระแอมและกล่าวเสียงดังว่า “ขอบคุณพวกเจ้าทุกคนที่มาแม้ว่า
จะแจ้งให้ทราบไม่นานนัก แม้ว่านี่อาจจะกะทันหันไปบ้างแต่ข้าก็ได้
ตัดสินใจในเรื่องหัวหน้าหมู่บ้านคนถัดไปของชนเผ่าหมูป่าและข้าก็
จะประกาศในอีกสักครู่”
“หัวหน้าหมู่บ้านคนถัดไปรึ”
ชนเผ่าต่างพากันงงงันในเมื่อนี่เป็นสิ่งที่ไม่คาดคิดและกะทันหัน
อย่างแท้จริง
หลังจากที่พวกเขาเข้าใจสถานการณ์ดีแล้ว ชนเผ่าทุกคนก็หันไปมอง
เลอเป่ าซึ่งยืนอยู่บริเวณด้านหน้าผู้คนสีหน้าประหม่า ถึงแม้ว่าไม่ต้อง
ฟังคำประกาศ แต่พวกเขาก็มั่นใจว่าเลอเป่ าจะกลายเป็นหัวหน้า
หมู่บ้านคนถัดไปเนื่องจากเขามีคุณสมบัติมากที่สุดในบรรดาชนเผ่า
ทั้งหมดที่นั่น
ไม่เพียงแต่เขาจะเป็นนักรบที่มีความแข็งแกร่งที่สุดเขตอัมพรวิญญาณ
แต่เขาก็ยังช่วยหัวหน้าหมู่บ้านคนก่อนให้ประสบความสำเร็จมากมาย
และทุกคนในเผ่าก็ยอมรับเขาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องที่ว่า
ใครจะขึ้นเป็นหัวหน้าหมู่บ้านคนต่อไปแต่เป็นเมื่อไหร่ต่างหาก
ทั่วทั้งที่แห่งนั้นเงียบสงัด และหลังจากที่สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้ว
ชินเหลียงหยูก็พูดขึ้นอย่างชัดเจนว่า “ข้าได้ตัดสินใจแล้วว่าจะให้เลอ
เป่าเป็นหัวหน้าหมู่บ้านคนต่อไป ถ้าพวกเจ้ามีปัญหากับการตัดสินใจ
ของข้าก็จงพูดความคิดเห็นของพวกเจ้าออกมาในตอนนี้”
ดวงตาของเลอเป่ าเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจและร่างกายของ
เขาก็สั่นสะท้านด้วยความตื่นเต้นเมื่อได้ยินชื่อของตนเองออกมาจาก
ปากของชินเหลียงหยู ในเมื่อเขาได้รอคอยช่วงเวลานี้มาหลายปีแล้ว
ผู้คนยังคงอยู่ในความเงียบเนื่องจากไม่มีใครมีปัญหากับการที่เลอเป่ า
จะเป็นหัวหน้าหมู่บ้านคนถัดไป
“ในเมื่อมิมีใครคัดค้าน ดังนั้นเลอเป่ าจักกลายเป็นหัวหน้าหมู่บ้านชน
เผ่าหมูป่าคนต่อไป…”
แต่ทว่าก่อนที่จะมีใครได้แสดงความยินดี ชินเหลียงหยูก็พูดต่อไป
อีกว่า
“ประเพณีของชนเผ่าหมูป่าของพวกเรากำหนดให้ข้าต้องเป็นเมีย
ของเลอเป่าหลังจากที่เขาได้เป็นหัวหน้าหมู่บ้านแล้ว และนั่นก็เป็น
เช่นนี้ตลอดมานับตั้งแต่บรรพบุรุษคนแรกของเรา แต่ทว่าประเพณีนี้
ผลักตัวมันเองไปสู่หายนะในเมื่อข้าจักมิเข้าไปมีส่วนร่วมในเรื่องไร้
สาระเช่นนี้”
เมื่อเลอเป่ าและคนอื่น ๆ ได้ยินคำพูดของเธอ พวกเขาทั้งหมดต่างก็
พากันจ้องมองเธอด้วยดวงตาเบิกกว้างและขากรรไกรอ้าค้าง พวก
เขายืนอยู่ที่นั่นด้วยสีหน้างงงวยดูเหมือนจะไม่อยากเชื่อ
“จ-เจ้าหมายความว่าอย่างไรเช่นนั้น หัวหน้าชิน” เลอเป่ าเป็นคนแรก
ที่ทำลายความเงียบ ในเมื่อเขาเป็นคนที่สับสนที่สุดในบรรดาทุกผู้คน
ที่นั่น
“มันมีความหมายชัดเจนอย่างที่ได้ยิน เลอเป่า เจ้าจักกลายเป็น
หัวหน้าหมู่บ้านของชนเผ่าหมูป่า แต่ข้าจักมิเป็นเมียของเจ้า”
“ท-ทำไมกัน ข้าทำอะไรผิดไปรึ หรือว่าข้าล่วงเกินท่าน ข้าจักทำทุก
สิ่งเพื่อให้ท่านยกโทษให้”
ชินเหลียงหยูส่ายหน้าและกล่าวว่า “เจ้ามิได้ทำอะไรผิด เลอเป่ า ข้า
เองเป็นคนที่ผิดในที่นี้ ดังนั้นจึงควรเป็นข้าที่จะต้องขอโทษ”
“เช่นนั้นทำไมกัน” เลอเป่ าไม่สามารถที่จะยอมรับผลเช่นนั้นได้จึง
ไต่ถาม
“เพราะว่าข้าได้ปฏิญาณฝากร่างกายและชีวิตไว้กับคนอื่นเรียบร้อย
แล้ว” ชินเหลียงหยูกล่าวกับเขาด้วยเสียงชัดเจน จนทำให้ใบหน้าของ
เลอเป่าเปลี่ยนเป็นซีดเผือด ดูเหมือนกับว่าเขาจะตายได้ทุกขณะ
บทที่ 455 เอาเธอครั้งแรก
เมื่อชินเหลียงหยูขอซูหยางให้ยอมพาเธอไปด้วย เธอก็ได้เตรียมตัวที่
จะถูกปฏิเสธ ในเมื่อซูหยางเป็นคนที่มีความเป็นมาที่สูงส่งในขณะที่
เธอเป็นเพียงแค่หัวหน้าหมู่บ้านของชนเผ่าพื้น ๆ ที่กำลังเสื่อมถอย
เธอรู้สึกว่าถึงแม้ว่าซูหยางปฏิเสธเธอ การตัดสินใจเช่นนั้นก็ถือว่า
เป็นเรื่องปกติและธรรมดาอย่างยิ่ง ในเมื่อเธอรู้สึกว่าไม่คู่ควรที่จะอยู่
เคียงข้างเขาแต่อย่างใด
แต่ทว่าเธอจะคาดคิดสักนิดก็หาไม่ว่าซูหยางจะพยักหน้ารับเธออย่าง
จริงจัง ยอมให้เธอติดตามเขาไป
ไม่นานนักหลังจากที่เขายอมรับเธอแล้ว ซูหยางก็กวักมือเรียกเธอให้
เข้ามาใกล้และเริ่มถอดเสื้อผ้าของเขาอีกครั้ง
ชินเหลียงหยูหน้าแดงเมื่อเธอเห็นการกระทำของเขาและก็เข้าใจ
สถานการณ์ได้ในทันที แต่อย่างไรก็ตามเธอไม่ได้ปฏิเสธในครั้งนี้
และเข้าไปหาเขาอย่างช้า ๆ ด้วยสีหน้าประหม่า
ครั้นเมื่อเธอเข้าไปใกล้พอ ซูหยางก็จับเอวเธอและดึงเธอเข้าสู่อ้อม
อก กลิ่นหอมที่เป็นธรรมชาติก็ลอยเข้าสู่จมูกของเขา
“ถึงแม้ว่าเดิมทีข้าปฏิเสธที่จะอยู่ที่นี่ แต่ข้าก็ได้ทำความสะอาดร่างกาย
ตัวเองอย่างหมดจดเช่นเดียวกับที่ผู้อาวุโสถังได้แนะนำไว้เช่นเดียวกับ
ในกรณีของหญิงสาวคนอื่น…” ชินเหลียงหยูพึมพำด้วยเสียงเบา
ร่างกายของเธอรุ่มร้อนราวกับบ้าคลั่งจากความอับอาย
“เจ้าเป็นหญิงสาวที่ซื่อสัตย์และข้าชอบแบบนั้น…” ซูหยางเชยคาง
ของเธอขึ้นให้เธอจ้องมองมายังใบหน้าและรอยยิ้มหล่อเหลา
“ข้า…”
ชินเหลียงหยูอ้าปากเพื่อที่จะพูดแต่เธอถูกขัดด้วยริมฝีปากอ่อนนุ่ม
ประทับลงบนปากของเธอ
“อืม…”
จิตใจของชินเหลียงหยูพลันว่างเปล่าหลังจากที่ได้สัมผัสกับจูบแรก
“ผ่อนคลายและทำตามการชักนำของข้า” ซูหยางถอนริมฝีปากออก
เพื่อที่จะพูดก่อนที่เขาจะปิดริมฝีปากของเธอด้วยริมฝีปากอีกครั้ง
รู้สึกว่าริมฝีปากของเขาสัมผัสกับของเธออีกครั้ง ชินเหลียงหยูหลับตา
ลงและผ่อนคลายร่างกาย
ครั้นเมื่อเธอเยือกเย็นลงแล้ว เธอก็เริ่มเลียนแบบการเคลื่อนไหวของ
ริมฝีปากของซูหยางและจูบเขากลับคืน
ไม่นานหลังจากนั้นซูหยางก็แยกปากเธอออกเล็กน้อยโดยการบุกรุก
เข้าไปภายในด้วยลิ้นของเขา จนทำให้ชินเหลียงหยูร่างกายสั่นสะท้าน
อย่างไรก็ตามไม่เหมือนกับจูบแรกของเธอ ชินเหลียงหยูไม่ได้แข็ง
ทื่อทั้งยังได้ตอบรับลิ้นของเขาด้วยลิ้นของเธอเอง
“อืม…”
“อืมมมม…”
ทั้งคู่ต่างพากันจูบอีกฝ่ายเป็นเวลานานหลายนาที แต่งเติมความเงียบ
ภายในห้องด้วยเสียงจูบอันอ่อนโยน
เมื่อเวลาผ่านไปกว่านั้นอีกเล็กน้อย ซูหยางก็ถอนริมฝีปากแล้วเริ่ม
ถอดเสื้อผ้าของชินเหลียงหยู
ครั้นเมื่อเธอเปลือยเปล่าทั้งตัวแล้ว เขาก็ประคองเธอนอนลงบนเตียง
และแยกขาเธอออก
“อาา…” ชินเหลียงหยูส่งเสียงร้องครางเมื่อเธอรู้สึกถึงสายตาคมกล้า
จ้องมองไปยังดอกไม้ที่อยู่ตรงหว่างขาของเธอ
แม้ว่าผิวของเธอจะเป็นสีแทนน้ำตาลอ่อนจากแสงแดดอันร้อนระอุ
เหนือทวีปใต้ แต่ดอกไม้ของเธอก็ยังสวยบริสุทธ์ิและเป็นสีชมพู
อ่อน อีกทั้งยังมีของเหลวข้นหยดไหลส่งกลิ่นหอม
ซูหยางไม่เสียเวลาอีกต่อไป เสือกริมฝีปากเข้าไปยังดอกไม้ที่ไม่เคย
ถูกแตะต้องนี้ ลิ้มรสทุกสิ่งที่มันมีให้
“อาาาาา…”
ชินเหลียงหยูครางดังลั่น ร่างกายของเธอบิดพริ้ว และมวลน้ำอัน
ศักด์ิสิทธ์ิก็ทะลักออกมาจากช่องสังวาส
“อา ข-ข้าขอโทษ มันออกมาอย่างกะทันหันจนกระทั่งข้าควบคุมมัน
ไม่ได้”
เธอตื่นตระหนกเมื่อตระหนักว่าเธอเพิ่งทำอะไรลงไป พ่นปราณหยิน
ใส่หน้าซูหยาง
แต่ทว่าซูหยางเพียงแค่เช็ดหน้าของเขา เลียริมฝีปากและกล่าวด้วย
รอยยิ้มว่า “อย่าอดรั้งมันไว้ปล่อยให้มันออกมา เจ้าจะรู้สึกดีหาก
ปล่อยเป็นแบบนั้น”
หลังจากที่พูดถ้อยคำแหล่านั้นแล้ว เขาก็หันกลับไปสำรวจคูหาเปียก
แฉะของเธอด้วยปากของเขาต่อไป
“อืมมม..”
“อาาา…”
“โอออ”
ชินเหลียงหยูปลดปล่อยปราณหยินของเธออีกหลายครั้งในสองสาม
นาทีต่อมา รู้สึกเหมือนกับว่าพละกำลังทั้งหมดของเธอออกพ้นไป
จากร่างหลังจากนั้น
ขณะที่ชินเหลียงหยูหอบหายใจ ซูหยางก็จัดท่าทางของตนเองเพื่อให้
แก่นสังวาสของเขาตรงกับช่องสังวาสของเธอ
“อาาา”
ชินเหลียงหยูครวญครางเสียงดังลั่นยามเมื่อเธอรู้สึกว่ามีบางสิ่งที่
ร้อนระอุและแข็งแกร่งได้ถูไถไปบนช่องสังวาสของเธอ
เธอยกหัวขึ้นด้วยเรี่ยวแรงที่มีเหลืออยู่น้อยนิดเพื่อมองดูแก่นกายของ
ซูหยางลูบไถลไปบนติ่งเกสรดอกไม้ของเธอ
“ข้าจะเอามันเข้าไปข้างในแล้วนะ” ซูหยางเตือนเธอ
“ทำต่อเถอะ… ทำให้ร่างกายของข้าเป็นของท่าน ซูหยาง…” ชินเหลียง
หยูมองดูเขาด้วยสีหน้ารักใคร่ สายตาเปี่ยมไปด้วยความกำหนัดและ
ความรัก
ซูหยางพยักหน้าและสอดส่วนปลายเข้าไปภายในช่องสังวาสของชิน
เหลียงหยูอย่างช้า ๆ แหวกมันให้เปิดกว้างขึ้นและฉีกผนึกที่ไม่เคย
ถูกแตะต้องมากว่ายี่สิบปี
“อาาาาา”
ชินเหลียงหยูหลับตาและส่งเสียงร้องแหลมเล็กเมื่อเธอรู้สึกว่าช่อง
สังวาสของเธอถูกบุกรุกและจากความเจ็บปวดที่มาด้วยกัน
เลือดสาวบริสุทธ์ิของเธอหยดลงสู่ผ้าปูเตียงเปลี่ยนมันให้กลายเป็นสี
แดง
จากนั้นชินเหลียงหยูก็เตรียมตัวสำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในลำดับถัดไป
แต่อย่างไรก็ตามแม้ว่าได้รอคอยเป็นเวลาหลายอึดใจ เธอก็ไม่รู้สึกว่า
ซูหยางได้ขยับ ดังนั้นเธอจึงลืมตาขึ้นมองดูว่าทำไมซูหยางจึงได้หยุด
“ซูหยาง…มีอะไรผิดปกติรึ” เธอถามเขาซึ่งดูเหมือนจะงงงันอยู่บ้าง
“…”
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ ซูหยางก็มองดูเธอและพูดว่า “เจ้า… เจ้ามี
ร่างสวรรค์”
ได้ยินคำพูดที่ไม่คุ้นเคย ชินเหลียงหยูก็มีสีหน้าสับสน
“ร่างสวรรค์รึ นั่นหมายความว่ามีอะไรผิดปกติไปสำหรับร่างข้างั้น
รึ” เธอถามเขาด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวล
“ม-ไม่ใช่…” ซูหยางส่ายหน้าและเริ่มอธิบาย
“ร่างสวรรค์ก็คือการที่คนผู้หนึ่งได้เกิดมาพร้อมร่างกายที่พิเศษที่มี
พลังอำนาจพิเศษเฉพาะ ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ยากมากถึง
ที่สุด เมื่อเพียงหนึ่งในกว่าร้อยล้านคนที่จะมีได้”
อย่างไรก็ตามชินเหลียงหยูยังคงสงสัย ในเมื่อเธอไม่เข้าใจว่ามีร่าง
สวรรค์แล้วจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่ตอนนี้
อย่างไรและทำไมเขาจึงต้องหยุด
จากนั้นซูหยางก็พูดต่อว่า “และเมื่อใครก็ตามที่มีร่างสวรรค์ได้ร่วม
รักเป็นครั้งแรก คู่นอนของเธอก็จักได้รับพลังอำนาจนั้นส่วนหนึ่ง
ขึ้นอยู่กับว่าเป็นร่างสวรรค์ประเภทไหนที่พวกเขามี”
“เมื่อข้าสอดใส่เข้าไปในตัวเจ้าครั้งแรกเมื่อกี้นี้ ปราณไร้ลักษณ์ทั้งหมด
ของข้าก็พลันฟื้นคืนทั้งยังเพิ่มพลังการฝึกปรือของข้าอีกอย่างเห็นได้
ชัด ถ้าให้ข้าเดา ร่างสวรรค์ของเจ้ามีอำนาจในการเพิ่มพูนความ
แข็งแกร่งของคู่ของเจ้าระหว่างการร่วมฝึกวิชาคู่”
“…”
ชินเหลียงหยูพูดไม่ออก ในเมื่อเธอดีใจมากที่ได้รู้ว่าเธอมีร่างกาย
พิเศษเช่นนั้นซึ่งเป็นสิ่งเดียวในใจเธอในตอนนี้
“อืม…พวกเราจะหยุดร่วมฝึกเพราะว่าร่างสวรรค์ของข้าใช่ไหม”
เธอถามเขาด้วยสีหน้าเป็นกังวล
ซูหยางยิ้มหลังจากนั้นชั่วขณะและกล่าวว่า “แน่นอนว่าไม่ ข้าเพียง
แค่ประหลาดใจที่เจ้ามีร่างสวรรค์เช่นนั้นซึ่งทำให้ข้างงงันไปชั่วขณะ
ข้าจักเริ่มขยับอีกครั้งแล้วในตอนนี้”
ชินเหลียงหยูพยักหน้า และซูหยางก็เริ่มขยับสะโพกเล็กน้อยหลังจาก
นั้น
“อาาาา…”
ชินเหลียงหยูร่ำร้องด้วยความสุขยามเมื่อแก่นสังวาสของซูหยางพุ่ง
ตรงเข้าไปยังส่วนที่ลึกที่สุดของถ้ำของเธอ จนทำให้ความรู้สึกที่ยาก
จะอธิบายได้แผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างกายของเธอ
ถึงแม้ว่าในเวลานี้จินตนาการของชินเหลียงหยูจะได้กลายเป็นความ
จริง แต่เธอก็มัวยุ่งมากเกินกว่าจะตระหนักถึงความเป็นจริงนี้และได้
เพียงแค่ดื่มด่ำไปกับความสุขสันต์
ความสุขที่เธอได้ประสบนั้นแน่นอนว่าย่อมดีกว่าที่เธอได้จินตนาการ
หรือคาดหวังไว้
“อาาา อาาาา อ้าาาาาา…”
ยามเมื่อเวลาผ่านไป ซูหยางก็ยิ่งหลงใหลและเคลื่อนไหวรุนแรงขึ้น
อีกทั้งชินเหลียงหยูก็ยิ่งคุ้นชินกับความรู้สึกนี้ด้วยระดับความเร็วที่
น่าตระหนก บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าเธอมีร่างสวรรค์จึงทำให้เธอ
สามารถอยู่ได้นานถึงสี่ชั่วโมงกับกลเม็ดของซูหยางแม้ว่านี่จะเป็น
ครั้งแรกของเธอก็ตาม
ยามเมื่อเธอเริ่มต้น ชินเหลียงหยูได้ครวญครางอย่างป่าเถื่อนและไม่
อาจจะควบคุมได้ แต่เมื่อดำเนินไปจนถึงจุดสุดท้าย เสียงครางของ
เธอก็กลายเป็นอ่อนโยนและเสนาะเพราะพริ้ง ราวกับว่าเธอกำลัง
ร้องเพลงที่แสนไพเราะ
บทที่ 454 พาข้าไปด้วยได้ไหม
อีกห้าชั่วโมงผ่านไปนับตั้งแต่จำนวนของคู่นอนของซูหยางลดลง
เหลือสิบคน และระหว่างระยะเวลาห้าชั่วโมงนี้ ชินเหลียงหยูได้แอบ
มองเข้ามาข้างในเป็นเวลาทั้งสิ้นสองชั่วโมง
ทุกครั้งที่เธอมีความกล้าที่จะเบือนหน้าหนี เธอก็จะกลับมาแอบดูอีก
ครั้งในบางเวลาหลังจากนั้น
ในเวลานั้นภายในกระท่อมหญิงสิบคนสุดท้ายที่ได้อยู่มานานกับซู
หยางถึงตอนนี้ก็ได้ถึงขีดจำกัดของพวกเธอแล้วเช่นกัน ถ้าพวกเธอ
ฝึกต่อไปอีกก็จะเป็นอันตรายต่อร่างกายของพวกเธอ
“ขอบคุณที่ให้ประสบการณ์อันล้ำค่านี้แก่พวกเรา ข้าจักมิลืมช่วงเวลา
ของข้าที่อยู่กับท่านในวันนี้ไปตลอดชั่วชีวิต”
บรรดาเด็กสาวคุกเข่าคำนับเขา ให้ความเคารพและขอบคุณอย่างสูงสุด
แก่เขาก่อนที่จะออกไปจากกระท่อม
เมื่อชินเหลียงหยูเห็นเด็กสาวเหล่านั้นกลับออกมาและได้นับจำนวน
ของพวกเธอ เธอก็ถามว่า “พวกเจ้าทั้งหมดเสร็จกิจแล้วรึ”
บรรดาเด็กสาวพยักหน้าและตอบว่า “แม้ว่าพวกเราจักชื่นชอบใน
การร่วมฝึก แต่ว่าร่างกายของพวกเราก็ถึงขีดจำกัดแล้ว ดังนั้นพวก
เราจึงมิมีทางเลือกอื่นนอกจากที่จะจากไป”
“ล-แล้วท่านผู้อาวุโสซูล่ะ เขาสบายดีไหม”
“เขาได้เติมพลังปราณไร้ลักษณ์ของเขาไปเกือบครึ่งหนึ่งแล้ว”
“เพียงแค่ครึ่งเดียวเองรึ”
ชินเหลียงหยูตะลึงงัน เขาร่วมฝึกกับหญิงสาวตั้งมากมายตั้งนานแต่
ฟื้นฟูได้เพียงแค่ครึ่งหนึ่งของปราณไร้ลักษณ์งั้นรึ จริงแล้วเขาแข็งแกร่ง
มากมายแค่ไหนกัน
“ข้าเข้าใจ ขอบคุณพวกเจ้าทุกคนสำหรับความร่วมมือ” ชินเหลียงหยู
กล่าวกับพวกเธอ
“ไม่ พวกเราควรจะขอบคุณท่านที่ให้โอกาสนี้กับพวกเราได้มีโอกาส
ร่วมฝึกกับเขา”
เหล่าหญิงสาวพากันคำนับเธอก่อนที่จะจากไป
ครั้นเมื่อเหล่าหญิงสาวจากไปหมดแล้ว ชินเหลียงหยูก็พูดเสียงดังว่า
“ท่านผู้อาวุโสซู ข้าขอเข้าไปด้านในได้ไหม”
“เข้ามาสิ” เสียงเยือกเย็นของซูหยางแว่วมาในเวลาถัดไป
“ขออภัย…”
ชินเหลียงหยูเลิกผ้าม่านด้วยมือข้างหนึ่งก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน
แต่ทว่าเมื่อเธอเห็นว่าซูหยางยังคงเปลือยเปล่าและนั่งอยู่บนเตียง เธอ
พลันหันกายกลับด้วยใบหน้าแดงซ่าน
“ข-ข้าขอโทษ ข้ามิคิดว่าท่านยังคง…”
ซูหยางหัวเราะหึ ๆ กับปฏิกิริยาของเธอและพูดว่า “นั่นมิสายเกินไป
หน่อยรึที่จะขอโทษ”
“ท-ท่านหมายความว่าอย่างไรเช่นนั้น ผู้อาวุโสซู”
เธอถามโดยที่ยังหันหลังให้กับเขา
“เจ้าได้ดูพวกเราร่วมฝึกมาชั่วขณะแล้วใช่ไหม มันชัดเจนจนกระทั่ง
ข้าเกือบหัวเราะออกมาดัง ๆ เมื่อข้าสังเกตเห็นเจ้า ถ้าเจ้าต้องการที่จะ
ดูเจ้าก็เพียงแค่ขอและข้าก็จักให้เจ้าได้ชมทุกสิ่งที่เจ้าต้องการจาก
ระยะใกล้โดยมิจำเป็นต้องลำบากจากการแอบมองจากด้านนอก”
“อา?!?!”
เลือดสูบฉีดขึ้นใบหน้าของชินเหลียงหยูในทันทีที่รู้ว่าซูหยางรู้ถึง
การกระทำของเธอมาโดยตลอด และขาของเธอก็หมดแรงทำให้เธอ
ล้มลงก้นจ้ำเบ้า
“ข-ข้าขอโทษจริง ๆ ถ้าข้าได้ล่วงเกินท่านผู้อาวุโสซูอย่างหนึ่งอย่าง
ใด ข้าจักยินดีให้ชีวิตไร้ค่าและน่าอับอายนี้เป็นสิ่งชดเชย”
เธอคุกเข่าและเริ่มอ้อนวอนขอโทษ
“ข้ามิต้องการชีวิตของเจ้า” ซูหยางส่ายหน้า
“ช-เช่นนั้นท่านต้องการอะไรจากข้า ข้ายินดีทำทุกสิ่ง”
“อืม…”
หลังจากครุ่นคิดชั่วขณะ ซูหยางก็กล่าวด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าว่า “ข้า
ต้องการให้เจ้าช่วยข้าเติมปราณไร้ลักษณ์ของข้า เจ้าสนใจใช่ไหม
ร่วมฝึกวิชาคู่ไง มิเช่นนั้นเจ้าคงมิจ้องมองอย่างคร่ำเคร่งเช่นนั้น”
ชินเหลียงหยูจ้องมองเขาด้วยสีหน้างงงัน
อย่างไรก็ตามครั้นเมื่อเธอสะดุ้งตื่นขึ้นมา เธอก็ส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว
“อะไรก็ได้ยกเว้นเรื่องนั้น ได้โปรด นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ข้ามิสามารถ
ทำได้”
“โห” ซูหยางยังคงเยือกเย็นและถามว่า “เจ้ายินดีที่จะมอบชีวิตให้กับ
ข้า แต่เจ้ามิยินยอมที่จะให้ร่างกายกับข้าอย่างนั้นรึ หรือว่าข้ามิได้เป็น
แบบที่เจ้าชอบ ข้าพอจะฟังเหตุผลเจ้าได้ไหม”
“นั่นเป็นเพราะว่าข้าอยู่ในตำแหน่งหัวหน้าหมู่บ้าน และข้าต้อง
รับผิดชอบในการที่จะให้ร่างกายกับคนที่จะมาเป็นหัวหน้าคนต่อไป
และเพียงเขาเท่านั้น ถ้ามิใช่เพราะว่าตำแหน่งของข้า ข้าย่อมยอมรับ
คำขอร้องของท่านอย่างแน่นอน”
“อย่างนั้นรึ…”
เพราะว่าเขาสิ้นสติอยู่ในตอนที่ชินเหลียงหยูได้กล่าวถึงเรื่องนี้เป็น
ครั้งแรก เขาจึงไม่รู้สถานการณ์ของเธอ
“ถึงแม้ว่าข้ามิรู้ถึงสถานการณ์ของเจ้า ข้าก็ยังต้องขออภัยในการผลัก
เจ้าเข้าสู่สถานการณ์ที่น่าอึดอัดเช่นนี้ตั้งแต่แรก ข้าต้องขอโทษ
สำหรับคำขอที่มิเหมาะสมของข้า หัวหน้าชิน”
“…”
เมื่อเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเสียใจบนหน้าชวนฝันของเขา ชิน
เหลียงหยูก็พูดไม่ออกและจิตใจของเธอก็ว่างเปล่าไปชั่วขณะ
“อย่างไรก็ตามแม้ว่าข้ายังมิฟื้นตัวเต็มที่นัก แต่มันก็ดีพอแล้วสำหรับ
ข้าในการเคลื่อนไหวไปมา ดังนั้นข้าจักไปจากที่นี่แล้วในตอนนี้
ขอบคุณสำหรับการต้อนรับและทุกสิ่งที่ชนเผ่าหมูป่ าได้ทำให้ข้า” ซู
หยางกล่าวก่อนที่เขาจะเริ่มสวมใส่เสื้อผ้า
“เอ๋ ท่านจะไปในตอนนี้แล้วรึ” ชินเหลียงหยูถามเขาโดยไม่รู้ตัว
เขาพยักหน้าและกล่าวว่า “ข้ามิกล้าที่จะก้าวก่ายเรื่องของหมู่บ้านเจ้า
อีกต่อไป และข้าก็มีคนที่รอคอยข้าให้กลับไปในที่อื่น อย่างไรก็ตาม
ข้าจักขอให้ชิวเยว่ให้ยังคงอยู่ที่นี่อีกชั่วระยะเวลาหนึ่งเพื่อหาข้อมูล
เกี่ยวกับกระจกนิลกาฬเพิ่ม ดังนั้นถ้าเจ้าต้องการอะไร เจ้าก็เพียงแค่
ไปหาเธอ”
ชินเหลียงหยูยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบ ๆ ขณะที่เธอมองดูเขาแต่งตัว
“ท่านจักกลับมาที่ชนเผ่าหมูป่าอีกไหม” เธอพลันถามเขา
“ข้าจักกลับมาในเวลาสองปีสำหรับกระจกนิลกาฬ แต่หลังจากนั้น
ด้วยความสัตย์จริงข้ามิรู้”
“…”
ชินเหลียงหยูกลับไปเงียบอีกครั้ง แต่อย่างไรก็ตามจิตใจของเธอ
เปี่ยมไปด้วยความคิดในเวลานั้น
เมื่อยามที่ซูหยางแต่งตัวเสร็จไปครึ่งหนึ่ง ชินเหลียงหยูก็ได้คิดอะไร
หลาย ๆ อย่าง
และเมื่อถึงตอนที่ซูหยางกำลังจะเสร็จ ชินเหลียงหยูก็กล่าวด้วยเสียง
เบาว่า “ท่านผู้อาวุโสซู ท่านพอที่จะรับฟังคำขอสุดท้ายของข้าได้
ไหม”
“หือ อะไรรึ” ซูหยางหันไปมองเธอ
“ท่านพอที่จะพาข้าไปด้วยได้ไหม” ชินเหลียงหยูกล่าวด้วยสีหน้าเด็ด
เดี่ยว เสียงของเธอชัดเจนราวกับท้องฟ้าครามที่แจ่มใส
“เอ๋”
ซูหยางดูเหมือนจะประหลาดใจอยู่บ้างหลังจากที่ได้ยินคำขอของเธอ
ดังนั้นเธอจึงพูดต่อว่า “ข้ามิสนใจว่าท่านจะไปที่ไหน ข้าต้องการที่
จะติดตามท่านไป”
“แม้ว่านี่อาจจะฟังดูค่อนข้างกะทันหันไปหน่อย แต่ข้าก็เกลียดการ
เป็นหัวหน้าชนเผ่าตลอดมานับตั้งแต่ข้าได้เป็น ข้ามิเห็นด้วยกับ
ประเพณีนี้มาโดยตลอดนับตั้งแต่ข้ารู้จัก แต่เพราะว่าพ่อของข้า ข้าจึง
มิมีทางเลือกนอกจากยอมรับมัน พ่อของข้า… เขาตายหลังจากที่
ได้รับบาดเจ็บหนักจากสัตว์ร้าย และสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้นเกิดจาก
ความผิดพลาดของข้า ดังนั้นข้าจึงรู้สึกเหมือนกับว่าข้าต้องรับผิดชอบ
และรักษาประเพณีนี้ต่อไป”
“ถ้าข้ามิได้พบกับท่านผู้อาวุโสซู บางทีข้าก็จักเลือกเลอเป่ าขึ้นมาเป็น
หัวหน้าคนถัดไปและเป็นคู่ครองของข้าด้วยเช่นกัน เขาเป็นนักรบที่
แข็งแกร่งและทุกคนในชนเผ่าชอบเขา ข้าก็เคารพเขาในฐานะนักรบ
ด้วยเช่นกันแต่ความรู้สึกของข้าก็มีเพียงเท่านั้น”
“ในเมื่อเลอเป่ามีคุณสมบัติที่จะเป็นหัวหน้าคนถัดไปของชนเผ่าหมูป่า
ข้าย่อมต้องทำให้เข้าเป็นหัวหน้าคนถัดไป แต่อย่างไรก็ตามนั่นมิได้
เป็นเพราะว่าข้าจักทำให้เขาเป็นคู่ของข้า ไม่… เขาจักกลายเป็นหัวหน้า
คนถัดไปเพราะว่าข้าปรารถนาที่จะสละตำแหน่งหัวหน้าของข้าและ
ออกไปจากชนเผ่าหมูป่ า หากว่าท่านพยักหน้า ท่านผู้อาวุโสซู ข้าจัก
มิลังเลในการไปจากชนเผ่าหมูป่าเพื่อไปกับท่าน”
“ข้ารู้ว่ามิได้นานเท่าไหร่เลยนับตั้งแต่พวกเราพบกันครั้งแรก แต่ข้า
ต้องการที่จะอยู่กับท่าน ท่านผู้อาวุโสซู ถึงแม้ว่าข้าจะเป็นเพียงหนึ่ง
ในคู่เคียงจำนวนมากของท่าน ข้าก็ยังเต็มใจที่จะติดตามท่าน”
“…”
ความเงียบเข้าครอบงำหลังจากที่ชินเหลียงหยูเผยความรู้สึกที่แท้จริง
ของเธอและทุกสิ่งที่อยู่ในใจของเธอ
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ ซูหยางก็พูดขึ้น “ซูหยาง”
“หือ” ชินเหลียงหยูเลิกคิ้วด้วยท่าทางงงงวย
“ถ้าเจ้ามีความตั้งใจในการติดตามข้า เช่นนั้นอย่างน้อยเจ้าควรจะ
สามารถพูดชื่อของข้าได้โดยปราศจากพิธีรีตอง”
ชินเหลียงหยูตาเบิกกว้าง และเธอก็พูดด้วยสีหน้าสดใสว่า
“ซูหยาง”
บทที่ 453 เจ้าจักเป็นเพียงแค่ภาระของเขา
หลังจากที่ชินเหลียงหยูแอบมองเข้าไปในกระท่อมที่เธอมีเจตนาที่จะ
ปกป้อง ก็เหมือนกับว่าเวลาของเธอได้หยุดยั้งลงขณะที่เธอยืนมอง
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในนั้นด้วยร่างกายที่แข็งทื่อ
ถ้าไม่ใช่เพราะเธอกำลังหอบหายใจ ผู้คนก็คงเข้าใจผิดได้ง่าย ๆ ว่า
เธอเป็นรูปปั้นของจริง
จากหญิงสาวคนแล้วคนเล่า ชินเหลียงหยูมองดูซูหยางสอดใส่ความ
เป็นชายของเขาเข้าไปในร่างกายของเด็กสาวก่อนที่จะขยับสะโพก
ของตนเองอย่างรุนแรง ให้ความสุขแก่คู่นอนของเขาไม่รู้จบ
“ห-หัวหน้ากำลังทำอะไรนั่น”
“ข้ามิรู้ แต่ข้ามีความรู้สึกว่าพวกเรามิควรจะไปรบกวนเธอ…”
เมื่อชนเผ่าสังเกตเห็นพฤติกรรมแปลก ๆ ของชินเหลียงหยู พวกเขารู้
โดยสัญชาตญาณว่าให้อย่าใส่ใจกับเธอและทำเป็นเหมือนกับว่าพวก
เขาไม่เห็นเธอทำท่าเหมือนกับพวกถ้ำมอง
ในเวลานั้นบนยานบินที่ห่างออกไปสองสามกิโลเมตรจากชนเผ่าหมู
ป่า ถังหลินชีเข้าไปหาชิวเยว่และกล่าวถามเธอว่า “เฮ้ เจ้าได้รู้อะไร
ใหม่ ๆ เกี่ยวกับกระจกนิลกาฬจากชนเผ่ามังกรหรือไม่”
ชิวเยว่พยักหน้าและกล่าวว่า “เห็นได้ชัดว่ากระจกนิลกาฬครั้งหนึ่ง
เป็นของคนผู้หนึ่งแต่เขาได้สูญเสียมันไป”
“นั่นหมายความว่ามันมิได้เป็นสมบัติที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติงั้นรึ”
“ไม่ และข้าคิดว่าข้ารู้ว่าใครเคยเป็นเจ้าของกระจกนิลกาฬ”
“โอ บอกข้าสักหน่อยสิ”
ชิวเยว่ทำการอธิบายให้ถังหลินชีฟังเกี่ยวกับอุปกรณ์พิเศษที่เธอกับซู
หยางได้พบ ก่อนที่จะพูดเกี่ยวกับคนที่เป็นเจ้าของมัน
“เขาเป็นคนจากกองกำลังสูงสุดและพวกเราพบซากศพของเขาอยู่ใน
อุปกรณ์พิเศษ เห็นได้ชัดว่าเขาได้รับบาดเจ็บในสงครามที่เกี่ยวข้อง
กับสายเลือดเทพอาชูร่าของท่านก่อนที่เขาจะปรากฏขึ้นในโลกนี้
และได้ตายที่นี่”
“กองกำลังสูงสุดรึ” ถังหลินชีไม่ได้แสดงปฏิกิริยาอะไรมากนัก เธอ
กล่าวต่อว่า “สายเลือดเทพอาชูร่าได้เข้าร่วมสงครามกับจักรพรรดิ
สวรรค์เพื่อแก้แค้นให้กับ “การตาย” ของซูหยาง และพวกเราได้ต่อสู้
กับอีกฝ่ายหลายต่อหลายครั้งเป็นเวลาหลายปี พวกเรายังคงได้ฆ่าคน
มากมายจากกองกำลังสูงสุดและทำร้ายอีกฝ่ายบาดเจ็บนับไม่ถ้วน”
“ส่วนการที่ชายคนนี้ปรากฏตัวที่โลกแห่งนี้… ข้าเดาว่า…” ถังหลินชี
พลันกล่าวขึ้น
เธอกล่าวต่อหลังจากนั้นอีกสักพักหนึ่งว่า “ระหว่างการต่อสู้ครั้ง
สุดท้ายกับกองกำลังสูงสุดซึ่งค่อนข้างดุเดือด และพวกเราได้บังเอิญ
ทำให้เกิดรอยแยกมิติขึ้นมา ซึ่งได้ดูดเอาผู้เคราะห์ร้ายเข้าไปหลายคน
บางทีชายคนนี้อาจจะเป็นหนึ่งในผู้เคราะห์ร้ายเหล่านั้นและได้
ท่องเที่ยวมาจนถึงโลกนี้โดยบังเอิญ”
“ท-ท่านสร้างรอยแยกมิติโดยบังเอิญงั้นรึ ท่านลงเอยด้วยการทำให้
เกิดหายนะเช่นนั้นขึ้นมาได้อย่างไร” ชิวเยว่อุทานด้วยความตกใจ
เมื่อปราณไร้ลักษณ์จำนวนมหาศาลปะทะกันจะมีโอกาสเล็กน้อยที่
จะเกิดรอยแยกมิติขึ้น และเมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นมันจะดูดทุกสิ่ง
ในบริเวณใกล้เคียงนั้นเข้าไป ก่อนที่จะโยนสิ่งเหล่านั้นไปอย่างสุ่ม ๆ
ทั่วจักรวาล
“ถ้าเขาถูกรอยแยกมิติดูด นั่นก็จะสามารถอธิบายได้ว่าทำไมเขาจึงมา
ลงเอยที่โลกนี้ได้” ชิวเยว่พูด
“และถ้ากระจกนิลกาฬเป็นของคนจากกองกำลังสูงสุด ก็มีโอกาส
อย่างสูงที่เขาจะได้รับมันจากตำหนักสวรรค์” ถังหลินชีกล่าว
ตำหนักสวรรค์เป็นที่ตั้งของกองกำลังสูงสุด มันยังเป็นคลังเก็บสมบัติ
ของจักรพรรดิสวรรค์ซึ่งเก็บสมบัตินับไม่ถ้วนด้วย
ถ้ามีใครสักคนจากกองกำลังสูงสุดได้แสดงผลงานที่โดดเด่นหรือทำ
สิ่งที่มีค่าควรแก่การจดจำ พวกเขาก็จะได้รับสมบัติจากตำหนัก
สวรรค์ บางทีกระจกนิลกาฬนี้อาจจะมาจากตำหนักสวรรค์
“แม้ว่าพวกเราจะรู้ต้นตอของมัน พวกเรายังคงไม่รู้ว่ามันจะช่วยให้
พวกเราคืนกลับไปยังสวรรค์ศักด์ิสิทธ์ิทั้งสี่ได้หรือไม่” ชิวเยว่ถอนใจ
“พวกเราอาจจะมิรู้เรื่องเหล่านี้ แต่ซูหยาง..เขาอาจจะมีความคิดเห็น
ในเรื่องนี้ก็ได้”
“อะไรนะ ทำไมท่านจึงพูดเช่นนั้น” ชิวเยว่เลิกคิ้วด้วยท่าทางสงสัย
“ข้ามิอาจพูดได้อย่างมั่นใจนัก แต่เขาดูเหมือนจะจำกระจกนิลกาฬ
ได้ เขาอาจจะยังคงจดจำมันมิได้เต็มที่นัก”
“ข้าเข้าใจแล้ว…”
ครั้นเมื่อพวกเธอจบหัวข้อนี้แล้ว ความเงียบก็เข้าปกคลุมภายในห้อง
นั้น
แต่ทว่าไม่นานหลังจากนั้น ถังหลินชีก็พูดขึ้นว่า “ข้ารู้ว่าซูหยางจะทำ
อะไรต่อไปหลังจากที่เขากลับไปยังสวรรค์สูงสุดทั้งสี่ แต่แล้วเจ้าล่ะ
เจ้าตอนนี้ยังคงเป็นที่ต้องการของวังจันทราศักด์ิสิทธ์ิอยู่ถูกไหม เจ้า
มีที่ไหนจะไปหรือยัง หรือเจ้าจักติดตามซูหยางต่อไป”
“นี่…”
ก่อนที่เธอจะทันได้ตอบ ถังหลินชีก็พูดต่อว่า “ข้ามิเห็นด้วยเป็นอย่าง
ยิ่งที่เจ้าจะติดตามเขาไป”
“อ-อะไรนะ ทำไมกัน” ชิวเยว่ประหลาดใจเป็นอย่างมาก ถึงขั้นตก
ตะลึงกับคำพูดของถังหลินชี
“เพราะว่ามันจะเป็นอันตรายมากเกินไปสำหรับเจ้าในการที่จะติดตาม
เขา และเจ้าก็จักเป็นเพียงแค่ภาระด้วยพลังการฝึกปรืออันต่ำต้อยจน
น่าหัวเราะของเจ้า” ถังหลินชีกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา
“เจ้าอาจจะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในที่แห่งนี้ แต่ครั้นเมื่อเจ้ากลับคืน
ไปยังสถานที่แห่งนั้น ตัวตนของเจ้านั้นก็จะมิต่างไปจากมด และถ้า
เจ้าติดตามซูหยางไปทั่วในขณะที่อยู่ในสภาพนั้น เจ้าก็จักเป็นเพียง
แค่ภาระสำหรับเขา”
“เช่นนั้นข้าควรจะทำอะไรต่อไป เขาเป็นเพียงเหตุผลเดียวกับการคง
อยู่ของข้าในตอนนี้ หากปราศจากเขาข้าก็จักกลับไปหลงทางและไร้
จุดหมายเหมือนกับที่ข้าได้เป็นมาตลอดสองพันปีในโลกแห่งนี้
ก่อนที่จะได้อยู่ร่วมกับเขาอีกครั้ง” ชิวเยว่พูดด้วยเสียงโศกเศร้า
ก่อนที่เธอจะได้อยู่ร่วมกับซูหยางอีกครั้ง เธอได้มีชีวิตอยู่อย่างอนาถ
และเปล่าเปลี่ยวมานับสองพันปีในที่แห่งนี้โดยปราศจากเพื่อนหรือ
ครอบครัวแม้แต่คนเดียว ตามความเป็นจริงเธอเองก็ยังไม่มั่นใจด้วย
ซ้ำว่าเธอยังมีชีวิตอยู่จริง ๆ
“ถ้าข้ามิได้พบกับซูหยาง ข้าก็คงจักฆ่าตัวตายไปหลังจากที่ผ่านไป
อีกไม่กี่ปี ในเมื่อข้ามีความรู้สึกเหมือนกับถูกกักขังยิ่งกว่านกในกรง
เมื่ออยู่ในโลกนี้ ใช้ชีวิตอย่างไร้ค่าไปอย่างช้า ๆ ในเมื่อข้ามิสามารถ
ที่จะเพิ่มพลังการฝึกปรือของข้าได้อีกต่อไปด้วยปราณไร้ลักษณ์ใน
โลกนี้”
“…”
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ ถังหลินชีก็กล่าวขึ้น “ถ้าเจ้าต้องการ เจ้า
สามารถมากับข้าไปยังสายเลือดเทพอาชูร่า”
“อะไรนะ” ชิวเยว่มองดูอีกฝ่ายด้วยดวงตาเบิกกว้าง
“แม้ว่าการฝึกปรือของเจ้าจะล้าหลังคนอื่นที่มีอายุเท่ากับเจ้า พรสวรรค์
ของเจ้ายังคงมิได้หายไปไหน ถ้าเจ้ามายังสายเลือดเทพอาชูร่า พวก
เราสามารถจัดหาทรัพยากรให้เจ้าได้เกือบมิสิ้นสุดสำหรับการฝึกฝน
ของเจ้าและยังสามารถฝึกฝนเจ้าให้กลายเป็นคนที่แข็งแกร่งพอที่จะ
ยืนเคียงข้างซูหยางได้มิว่าเขาจะไปที่ไหนก็ตามอีกด้วย”
“สายเลือดเทพอาชูรายังสามารถที่จะให้การปกป้องเจ้าได้ด้วยเช่นกัน
ถึงแม้ว่าวังจันทราศักด์ิสิทธ์ิจะพบว่าเจ้าอยู่กับพวกเรา พวกนั้นก็มิ
กล้าที่จะแตะต้องเจ้า นอกจากว่าพวกนั้นต้องการที่จะตายเท่านั้น”
“ท-ท่านจะทำเช่นนั้นเพื่อข้ารึ” ชิวเยว่พูดไม่ออก
“แน่นอน พวกเราในตอนนี้เป็นครอบครัวเดียวกันอยู่แล้ว และถ้าข้า
ยอมให้คนที่ซูหยางให้ความสำคัญได้รับความทุกข์ทรมาน ข้าก็จักมิ
สามารถที่จะไปพบหน้าเขาได้หลังจากนั้น” ถังหลินชียิ้ม
“จากที่กล่าวมาทั้งหมดแล้วนั้น ข้ามิรู้ว่าซูหยางมีแผนอะไรสำหรับ
เจ้าหรือไม่ ดังนั้นข้าจึงเพียงพูดคุยในตอนนี้ ข้าสงสัยว่าซูหยางจัก
ปล่อยเจ้าทิ้งไว้ตามลำพังครั้นเมื่อพวกเรากลับคืนไปยังสถานที่แห่ง
นั้นหรือไม่ แต่ถ้าเจ้าต้องการที่จะไปยังสายเลือดเทพอาชูร่าแล้ว
ประตูย่อมจักเปิดให้กับเจ้าเสมอ”
“ข-ขอบคุณ…” ชิวเยว่เผยให้เห็นรอยยิ้มอบอุ่น และเธอก็เริ่มมองถัง
หลินชีเป็นเหมือนกับสมาชิกครอบครัว คนที่เปรียบเสมือนกับพี่สาว
ใหญ่สำหรับเธอจริง ๆ
แม้ว่าครอบครัวของเธออาจจะประกอบไปด้วยแค่ซูหยางและถังหลิน
ชีในตอนนี้ มันย่อมจะเติบใหญ่มากขึ้นกว่านี้ครั้นเมื่อเธอกลับคืนไป
ยังสวรรค์ศักด์ิสิทธ์ิทั้งสี่และพบกับคู่ครองของซูหยางอีกหลายคน
เช่นเดียวกับถังหลินชี
บทที่ 452 แอบดูข้างใน
ครึ่งวันผ่านไปนับตั้งแต่ที่ซูหยางเริ่มร่วมฝึกวิชาคู่ภายในกระท่อม
กับคู่เคียงของเขาทั้งสามสิบสองคน
ในเวลาสิบสองชั่วโมงนี้เขาได้ทำการร่วมฝึกกับทุกคนที่อยู่ภายใน
นั้นอย่างน้อยสี่ครั้งทำให้พวกเธอถึงจุดสุดยอดนับครั้งไม่ถ้วนและ
ได้ฟื้นคืนปราณไร้ลักษณ์ของเขาประมาณหนึ่งในสาม
น่าประหลาดใจเป็นอย่างยิ่งที่แม้ว่าพวกเธอบางคนต้องพักเป็นเวลา
หลายชั่วโมงแต่ก็ไม่มีหญิงสาวคนไหนในสามสิบสองคนภายในนั้น
ยอมแพ้อย่างสิ้นเชิงหรือออกจากเตียง
แต่อย่างไรก็ตามเป็นที่ชัดเจนสำหรับซูหยางว่าหญิงสาวเหล่านี้กว่า
ครึ่งหนึ่งนั้นใกล้จะถึงขีดจำกัดหรือถึงขีดจำกัดไปแล้ว ถ้าเขาทำการ
ฝึกกับพวกเธอต่อไป นั่นไม่เพียงแต่จะเป็นอันตรายต่อร่างกายของ
พวกเธอ แต่ยังจะส่งภาระให้กับจิตใจของพวกเธอด้วยเช่นกัน
“ข้าสามารถบอกได้ว่าพวกเจ้าบางคนได้ถึงขีดจำกัดของพวกเจ้าแล้ว
ข้ารู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมากกับความร่วมมือและช่วยเหลือของพวก
เจ้าในวันนี้ แต่พวกเจ้าควรจะจากไปก่อนที่จักเป็นอันตรายต่อร่างกาย
ของเจ้า” ซูหยางกล่าวกับพวกเธอ
แต่ทว่าพวกเธอต่างพากันลังเลที่จะจากไป
“ซูหยาง ข้าต้องการที่จะช่วยท่านต่อ ได้โปรด ข้ายังสามารถรองรับ
มันได้ถึงแม้ว่ามันจะเจ็บปวด”
“ข้ายังมิต้องการที่จะไปจากข้างกายของท่าน ซูหยาง… พวกเรามาร่วม
ฝึกกันต่อจนกว่าเจ้าจะฟื้นฟูเต็มที่ ตกลงไหม”
ถ้าซูหยางเป็นคนละโมบหรือว่าไม่สนใจกับคู่นอนของเขา เขาก็คง
จะไม่ลังเลที่จะร่วมฝึกกับหญิงสาวเหล่านี้ต่อไปจนกระทั่งร่างกาย
ของพวกเธอเสียหาย แต่ในเมื่อเขาเป็นคนที่นับถือคู่นอนของเขาทุก
คน ซูหยางจึงปฏิเสธที่จะนำความเสียหายมาสู่พวกเธอ
ดังนั้นเขาจึงส่ายหน้าและกล่าวว่า “ข้าเข้าใจความรู้สึกของพวกเจ้า
และข้าก็ต้องการที่จะฝึกร่วมกับพวกเจ้าต่อถ้าข้าทำได้ แต่ว่าข้ารู้ว่า
เมื่อไหร่ควรหยุดและพวกเจ้าก็ควรจะรู้เช่นกัน ถ้าพวกเราทำต่อไป
นั่นย่อมจักทำอันตรายให้กับร่างกายของเจ้าอย่างแน่นอน และนั่น
เป็นสิ่งที่ข้ามิอาจจะทนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเจ้าได้ช่วยเหลือข้า
เป็นอย่างมาก”
เหล่าหญิงสาวสบสายตากันไปมา หลังจากนั้นชั่วขณะพวกเธอก็
พยักหน้า
“แม้จะถือเอาว่าควรเป็นพวกเราที่ได้ช่วยเหลือท่าน แต่พวกเรากลับ
ตกเป็นคนที่มีความสุขที่สุด ขอบคุณที่ยอมรับพวกเรา”
เหล่าหญิงสาวโค้งคำนับเขาก่อนที่พวกเธอจะแต่งตัวและออกไปจาก
กระท่อม
สองสามนาทีให้หลัง เตียงที่เคยรองรับหญิงสาวสามสิบสองคน
ตอนนี้เหลือพวกเธอเพียงสิบคนเท่านั้น
ครั้นเมื่อห้องเงียบลงไปอีกครั้ง หญิงสาวสิบคนที่เหลือก็กลับมาฝึก
ร่วมกับซูหยาง พวกเธอพบว่าตนเองโชคดีมากที่ยังคงได้อยู่ข้างกาย
เขาถึงแม้ว่าจะเพียงแค่นานกว่าคนอื่นอีกสักเล็กน้อยก็ตาม
ในเวลานั้นที่ด้านนอกเมื่อชินเหลียงหยูสังเกตเห็นบรรดาหญิงสาว
กลับออกมา เธอก็ถามพวกเธอว่า “พวกเจ้าเสร็จงานของพวกเจ้าแล้ว
รึ”
พวกเธอส่ายหน้าและกล่าวว่า “ไม่ พวกเราถูกขอให้ออกมา”
“อะไรนะ” ชินเหลียงหยูพูดไม่ออก ทำไมซูหยางจึงให้พวกเธอออกมา
หรือว่าพวกเธอล่วงเกินเขาโดยบังเอิญหรือไม่
“ถ้าพวกเจ้าได้ล่วงเกินเขา ข้าจัก…”
ก่อนที่ชินเหลียงหยูจะทันได้พูดจบประโยค เธอก็ถูกขัดโดยเหล่า
หญิงสาวที่ออกมา “ท่านเข้าใจผิดแล้ว หัวหน้าชิน พวกเรามิได้ทำ
อะไรผิด พวกเราได้ร่วมฝึกกับเขาต่อเนื่องเป็นเวลาสิบสองชั่วโมง
และร่างกายของพวกเราก็ถึงขีดจำกัดแล้ว ซูหยางไม่ต้องการที่จะทำ
ให้ร่างกายของพวกเราเป็นอันตราย ดังนั้นเขาจึงปล่อยให้พวกเรา
ออกมาก่อน”
“ใช่แล้ว ถ้าท่านได้ร่วมฝึกกับเขาเช่นกัน ท่านจักย่อมเข้าใจว่าการ
ร้องครางเป็นเวลาหลายชั่วโมงนั้นเหน็ดเหนื่อยเพียงไหน”
“น-นั่น…” ชินเหลียงหยูพูดไม่ออก
“อย่างไรก็ตามท่านยังคงสบายดีอยู่ไหม หัวหน้าชิน”
หนึ่งในเหล่าหญิงสาวพลันถามเธอ
“ทำไมเจ้าจึงถามเช่นนั้น” ชินเหลียงหยูเลิกคิ้วด้วยท่าทางงงงัน
หญิงสาวจึงชี้ไปที่จมูกของเธอและกล่าวว่า “ท่านมีเลือดกำเดา
หัวหน้าชิน”
“อะไรนะ”
ชินเหลียงหยูรีบแตะจมูกของเธอ เมื่อเธอเห็นเลือดที่นิ้วของเธอ
ร่างกายเธอก็แข็งทื่อ สาเหตุที่มีเลือดกำเดานี้ชัดแจ้ง ในเมื่อเธอได้คิด
เรื่องราวที่กระตุ้นความกำหนัดมากเกินไปในหัว
“ข-ข้าสบายดี…” เธอกล่าวขณะที่ปาดเลือดออกจากจมูก
“ย-อย่างไรก็ตาม ขอบใจพวกเจ้าทุกคนสำหรับความช่วยเหลือ ข้าจัก
ให้รางวัลพวกเจ้าทีหลัง” ชินเหลียงหยูกล่าว
“นั่นมิจำเป็น หัวหน้าชิน พวกเราได้รับรางวัลมากมายจากภายในนั้น
เรียบร้อยแล้ว”
“เช่นนั้นก็ตามใจ…”
แรงกระตุ้นของชินเหลียงหยูรุนแรงขึ้นอย่างมากหลังจากที่ได้ยิน
คำพูดเช่นนั้น หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เธออาจจะคิดทบทวนอย่าง
จริงจังในการเป็นคู่นอนของซูหยางด้วยเช่นกัน
สองสามนาทีให้หลัง เมื่อเธออยู่คนเดียวอีกครั้ง ชินเหลียงหยูก็จ้อง
มองไปที่ผ้าม่านที่ใช้ทำหน้าที่เป็นประตูตรงหน้าเธอ
“เบื้องหลังชั้นบาง ๆ นี้ ผู้อาวุโสซูและคนอื่นกำลังทำสิ่งนั้นร่วมกัน
ในตอนนี้…”
ชินเหลียงหยูกลืนน้ำลายอย่างยากเย็นและพึมพัมกับตนเอง “คงมิ
เสียหายอะไรถ้าข้าจะแอบมองใช่ไหม”
มือของเธอตรงไปที่ผ้าม่านอย่างช้า ๆ สั่นสะท้านตลอดเวลา เพียงแค่
อีกเล็กน้อยเธอก็จะสามารถเห็นสิ่งที่อยู่ภายใน
“ไม่ ข้ามิควรจะทำอะไรเช่นนี้”
ชินเหลียงหยูพลันกระตุกมือของตนเองกลับและกลับไปยืนอยู่ที่เดิม
อย่างเงียบ ๆ
อย่างไรก็ตามความต้องการทางเพศของเธอกลับยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ
ราวกับว่าเธอถูกปีศาจราคะเข้าสิง
“ข้ามิสามารถที่จะยับยั้งความปรารถนานี้ได้ แต่ถ้าข้าได้แอบมองสัก
เล็กน้อย มันอาจจะช่วยให้ข้าใจเย็นขึ้น ข้าจักแค่มองเพียงแวบเดียว
เท่านั้น”
ด้วยเหตุผลนี้ในใจ มือของชินเหลียงหยูก็เริ่มมุ่งตรงกลับไปยังผ้าม่าน
ที่บดบังสายตาของเธออีกครั้ง
สองสามวินาทีให้หลัง ด้วยมือที่สั่นสะท้านไปทั่ว เธอได้แง้มผ้าม่าน
และแอบมองภาพภายในกระท่อม
“?!?!?!”
เมื่อชินเหลียงหยูเห็นภาพภายในนั้นดวงตาของเธอก็เบิกกว้างด้วย
ความแตกตื่น และกลีบดอกไม้ที่อยู่ตรงระหว่างขาเธอก็เสียวซ่านไป
ด้วยความรู้สึกยินดี
จากช่องเล็กที่เธอสร้างขึ้น ชินเหลียงหยูสามารถเห็นหนึ่งในบรรดา
หญิงสาวคร่อมขี่ไปบนม้าที่ชูชันดุร้ายของซูหยางอย่างบ้าคลั่งด้วยสี
หน้าหมกมุ่นไปด้วยตัณหา และถึงแม้ว่าจะไม่มีเสียงออกมาเพราะว่า
ค่ายกลป้องกันเสียง เธอก็ยังสามารถที่จะได้ยินเสียงร้องเปี่ยมไปด้วย
ความกระสันต์ในหูของเธอ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่จินตนาการ
ของเธอเองก็ตาม
“โอสวรรค์… พวกเขาได้ทำเช่นนี้มาทั้งวันแล้วงั้นรึ เขามีเรี่ยวแรง
มากมายเท่าไหร่กันนะ” ชินเหลียงหยูพูดไม่ออก
ครั้นเมื่อเธอเห็นฉากเร่าร้อนภายในนั้น ชินเหลียงหยูก็พลันหลงใหล
ลืมคำสัญญาของตนเองที่จะเพียงแค่แอบมองชั่วสั้น ๆ ไปอย่างรวดเร็ว
และได้แต่ยืนอยู่ตรงนั้นเป็นเวลาหลายนาทีโดยไม่ได้ตระหนักแต่
อย่างใด
บทที่ 451 จินตนาการอันรุ่มร้อน
เสียงครวญครางในกระท่อมเบื้องหลังชินเหลียงหยูมีแต่จะดังขึ้นเมื่อ
เวลาผ่านไป ตามความเป็นจริงมันดังเสียจนถึงจุดที่คนอื่น ๆ ที่อยู่
ภายในกระท่อมของตนเองก็สามารถได้ยินเสียงครางนี้อย่างชัดเจน
“พระเจ้าช่วย ข้าจักต้องยืนอยู่ที่นี่ฟังเสียงเหล่านี้จนกระทั่งพวกเขา
เสร็จสิ้นกันเลยรึ นี่เรียกได้ว่าเป็นการทรมาน” ชินเหลียงหยูร่ำร้อง
ในใจในเมื่อเธอไม่มีอำนาจที่จะหยุดเสียงรบกวนที่ดังมาจากด้านหลัง
เธอ
ครึ่งชั่วโมงถัดมาเสียงครวญครางก็ส่งผลกระทบกับชินเหลียงหยู
มากเสียจนกระทั่งจิตใจของเธอไม่มีอะไรไปนอกจากความคิดลามก
จินตนาการว่าตัวเธอเองได้อยู่ในฐานะเดียวกับคนที่กำลังครวญคราง
อยู่ในที่กำบังนั้น
ในความคิดของเธอนั้น เธอกำลังถูกซูหยางกอดและทั้งคู่ก็ล้วนเปล่า
เปลือย เขาได้โลมเลียไปทั่วสรรพางค์กายของเธอ และเธอก็ทำเช่น
เดียวให้กับเขา จากนั้นเธอก็จินตนาการว่ากลีบดอกไม้ของเธอได้ถูก
ซูหยางลูบไล้ จากนั้นก็เป็นตาของเธอใช้ปากโลมเล้าเจ้าโลกของเขา
สุดท้ายเธอก็จินตนาการว่าซูหยางได้สอดใส่อวัยวะเพศของเขาเข้า
ไปในอวัยวะเพศของเธอ รวมเป็นหนึ่งเดียวกันในเวลานั้น
แต่ทว่าท่ามกลางความฝันของเธอ ถังหลินชีได้ปรากฏตัวต่อหน้าเธอ
และกล่าวว่า “ข้าลืมปิดล้อมสถานที่แห่งนี้ด้วยค่ายกลปิ ดเสียง”
ไม่นานนักหลังจากนั้น เกราะที่มองไม่เห็นก็ปิดล้อมกระท่อมทำให้
เสียงครวญครางทั้งหมดจากภายในหมดสิ้นไป
“เจ้ายังดีอยู่ไหม เจ้าดูหอบหายใจค่อนข้างหนัก” ถังหลินชีกล่าวกับ
เธอหลังจากนั้นพร้อมกับรอยยิ้มลึกลับบนใบหน้า
“ข-ข้าสบายดี” ชินเหลียงหยูตอบอย่างเร่งร้อน เธอไม่อาจปล่อยให้
ถังหลินชีรู้ว่าเธอได้รับผลกระทบจากเสียงครวญครางและฝันกลางวัน
ว่าได้ร่วมเรียงเคียงคู่กับซูหยาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ได้ปฏิเสธ
ที่จะเป็นคู่ให้กับเขาเนื่องมาจากตำแหน่งหัวหน้าหมู่บ้านของเธอ
“เช่นนั้นถ้าเจ้าต้องการอะไร เจ้าสามารถไปหาข้าได้ที่เรือบิน” ถัง
หลินชีกล่าวกับเธอก่อนที่จะจากไป
“…”
ถึงอย่างไรก็ตามแม้ว่าถังหลินชีได้ป้องกันไม่ให้เสียงครวญครางเล็ด
ลอดออกมาจากกระท่อมและทรมานเธออีกต่อไปแล้วก็ตาม ร่างของ
ชินเหลียงหยูก็ยังคงไม่อาจจะเยือกเย็นลงไปได้ ตามความเป็นจริง
เธอยิ่งรู้สึกเหมือนถูกกระตุ้นกว่าเดิมจากความเงียบนั้นเมื่อมันทำให้
เธอจินตนาการสิ่งต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น
“อา…นี่ไม่เข้าท่าแล้ว…ข้ามิอยากจะเชื่อว่าข้าจักมีความคิดหยาบคาย
เช่นนี้กับผู้อาวุโสซู”
กระทั่งชินเหลียงหยูยังรู้สึกประหลาดใจในความสามารถในการคิด
ลามกของจิตใจตนเองในเมื่อสิ่งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ราวกับว่าเธอ
เป็นคนที่ลามกนานมาแล้ว และการได้ยินเสียงครวญครางก็เป็นการ
ปลุกความลามกของเธอที่หลับใหลอยู่ในสันดานให้ตื่นขึ้น
ท้ายที่สุดแล้วถึงแม้ว่าเธอจะถือตำแหน่งหัวหน้าหมู่บ้านของหมู่บ้าน
ระดับสูงแห่งหนึ่งภายในทวีปใต้ ชินเหลียงหยูก็ยังคงเป็นหญิงสาว
วัยยี่สิบต้น ๆ ที่มีจิตใจและร่างกายที่สมบูรณ์ จึงเป็นเรื่องปกติสำหรับ
หญิงสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธอจะมีความคิดปรารถนาแบบนั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเธอได้อยู่ตรงหน้าชายในฝันอย่างเช่นซู
หยาง
ในเวลานั้นภายในกระท่อม ซูหยางเพิ่งได้สอดใส่ลึงค์ของเขาเข้าไป
ในหญิงคนที่สิบสาม
“โอพระเจ้า มันรู้สึกใหญ่กว่าเดิมเมื่ออยู่ในตัวข้า” หญิงสาวคราง
ออกมาเสียงดังลั่นเมื่อรู้สึกว่าแท่งสังวาสอวบใหญ่ขอบซูหยางได้
เต้นตุบตับอยู่ภายในช่องสังวาสเปียกแฉะของเธอ
หลังจากที่ทิ่มทะลวงประตูที่ปิดอยู่ของหญิงคนนั้นแล้ว ซูหยางก็เริ่ม
ขยับสะโพกถูไถอวัยวะเพศชายเข้ากับผนังภายในอันอ่อนนุ่มของ
เธอทำให้เกิดเสียงฉ่ำแฉะ
“อาาา อาาา อาาาาา”
หญิงสาวครวญครางอย่างดิบเถื่อนในขณะที่ดอกไม้ของเธอพ่นฟู
ฝอยปราณหยินออกมา
เมื่ออาบไปด้วยปราณหยิน ซูหยางก็ดูดซับมันเข้าไปเติมปราณไร้
ลักษณ์ของเขาอย่างเงียบ ๆ แต่อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้หยุดขยับสะโพก
ถึงแม้ในขณะที่เขากำลังดูดซับปราณหยินอยู่ก็ตามซึ่งปกติแล้วต้อง
ใช้สมาธิอย่างสูงสุด
นี่เป็นสิ่งที่จะสามารถทำได้ก็เพียงคนที่สามารถร่วมฝึกวิชาคู่ได้อย่าง
ง่ายโดยไม่ต้องคิดนึกเหมือนกับการหายใจซึ่งเป็นสิ่งที่มีเพียงซูหยาง
เท่านั้นที่ทำได้
“ข-ข้ามิอาจจะทนได้แล้ว ถ้ามากไปกว่านี้ข้าจักต้องบ้าแน่ ๆ เลย”
นั่นใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีสำหรับผู้หญิงที่อยู่ในอ้อมกอดของซูหยาง
ในการยอมแพ้เนื่องจากหมดแรง เมื่อการกระตุ้นนั้นรุนแรงเกินไป
สำหรับร่างกายของเธอที่จะรับไหว และครั้นเมื่อเธอถอยไปยังด้าน
ข้างเตียงเพื่อพักผ่อน หญิงคนต่อไปก็เข้าแทนที่เธอในอ้อมกอดของ
ซูหยาง ให้เขาได้ร่วมรักอย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องหยุดพัก
เวลาสามชั่วโมงหลังจากนั้น หญิงสาวทั้งหมดสามสิบสองคนนั้น
ต่างก็ล้วนได้รับรู้ถึงกลเม็ดของซูหยางอย่างน้อยหนึ่งครั้ง และก็ไม่มี
พวกเธอคนไหนที่ไม่พึงพอใจกับสัมผัสระดับเทพของเขา
อย่างไรก็ตามซูหยางไม่มีแม้เหงื่อสักหยดหลังจากที่ร่วมรักกับหญิง
สาวทั้งสามสิบสองคนนี้ ตามความเป็นจริงปราณไร้ลักษณ์ของเขาก็
ได้ฟื้นคืนมาบ้างประมาณหนึ่งในสิบของปริมาณทั้งหมด
หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเขาคงต้องร่วมฝึกกับพวกเธออย่างน้อยสิบครั้ง
ภายในสองวันถัดไปก่อนที่เขาจะฟื้นคืนปราณไร้ลักษณ์ของเขาได้
เต็มที่
แน่นอนว่านี่ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับซูหยางซึ่งครั้งหนึ่งเคยรองรับ
หญิงมากกว่าสามหมื่นคนในครั้งเดียว กลับกันปัญหาตกอยู่กับคู่
นอนของเขาทั้งสามสิบสองคนในเมื่อเกือบเป็นไปไม่ได้ที่พวกเธอ
จะสามารถอยู่ได้นานปานนั้นถึงแม้ว่าพวกเธอจะได้พักระหว่างแต่
ละยก
จากสิ่งที่กล่าวมาแล้วนี้ เขาไม่จำเป็นต้องฟื้นฟูปราณไร้ลักษณ์ของ
เขาจนสมบูรณ์ เพียงแค่พอให้อาการของเขาคงตัว
“ตอนนี้ข้าจักฝึกฝนรวบรวมปราณหยินที่ข้ารวบรวมไว้ได้ ครั้นเมื่อ
พวกเจ้าได้ฟื้นฟูเรี่ยวแรงมากพอแล้วและต้องการที่จะต่อรอบสองก็
เพียงแค่บอกให้ข้ารู้ ถ้าเจ้ามิต้องการที่จะต่อ เช่นนั้นเจ้าก็สามารถ
จากไปได้ทุกเวลา”
ซูหยางกล่าวกับพวกเธอก่อนที่เขาจะหลับตาลงเพื่อทำสมาธิฟื้นคืน
ความแข็งแกร่งของตนเอง
หลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมงหนึ่งในบรรดาหญิงสาวในนั้นก็เข้าไปหาซู
หยางและพูดว่า “ซูหยางข้าพร้อมสำหรับยกที่สองแล้ว”
หญิงสาวรู้ว่านี่เป็นโอกาสครั้งเดียวในชีวิตและนั่นอาจจะไม่มีวันเกิด
ขึ้นอีกครั้งตราบเท่าที่พวกเธอยังอาศัยอยู่ในสถานที่แห่งนี้ ดังนั้นเธอ
จึงต้องการที่จะใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ปัจจุบันให้เต็มที่ในการ
ร่วมฝึกกับซูหยางให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ก่อนที่เขาจะจากไป
ตลอดกาล
ซูหยางลืมตาขึ้นมามองดูหญิงสาวร่างเล็กและเขาก็พยักหน้าพร้อม
ด้วยรอยยิ้ม
“มานี่สิ”
จากนั้นหญิงสาวจึงทำการกางขาของเธอและนั่งคร่อมลงไปบนตัก
ของเขา ดันศิวลึงค์ขนาดมหึมาตรงเข้าไปยังรูฉ่ำแฉะที่อยู่ระหว่างขา
ของเธอ
“โอออ”
ครั้นเมื่อเธอรู้สึกว่าเพศชายของซูหยางได้ฝังเข้าไปเต็มร่องหลืบของ
เธอแล้ว เธอก็เริ่มขี่มันปลดปล่อยตนเองไปกับความหฤหรรษ์ที่
ติดตามมาอย่างรวดเร็ว
บทที่ 450 คู่ฝึ กวิชาสามสิบสองคน
เวลากว่าสามวันผ่านไปนับตั้งแต่ซูหยางหลับไหลหลังจากที่ใช้
ปราณเทพเอาชนะผู้ฝึกวิชาเขตอัมพรวิญญาณถึงสองคน
เมื่อเขาลืมตาอีกครั้ง ถังหลินชีก็นั่งจิบชาอย่างสบาย ๆ ข้างตัวเขาแล้ว
“สุดท้ายเจ้าก็ตื่น” ถังหลินชีสังเกตเห็นเขาอย่างรวดเร็วและวางถ้วย
ชาลง
“เป็นเวลาสามวันนับตั้งแต่เจ้าสลบไป”
“ข้าเข้าใจ… ข้าต้องขอโทษที่ทำให้เจ้าเป็นกังวล” ซูหยางลุกขึ้นนั่ง
บนเตียงพร้อมกับอาการปวดหัวและรู้สึกอ่อนเพลีย บางทีเขาอาจจะ
ใช้ปราณเทพในร่างมากเกินไป จึงเกิดผลกระทบ
“อย่างไรก็ตามเจ้ากำลังขาดปราณไร้ลักษณ์ใช่หรือไม่ ข้าได้ตระเตรียม
วิธีฟื้นฟูปราณไร้ลักษณ์ให้กับเจ้าหนึ่งอย่างเรียบร้อยแล้ว”
“โอ เจ้าได้เตรียมอะไรไว้ให้กับข้ารึ” เขาถามเธอ
ถังหลินชีหันกายไปมองดูยังทางออกและพูดเสียงดังว่า “พวกเจ้า
สามารถเข้ามาด้านในได้แล้วตอนนี้ สาว ๆ ทั้งหลาย”
เวลาถัดไป ผู้หญิงสามสิบสองคนที่ได้ตกลงที่จะเป็นคู่ฝึกให้กับซู
หยางก็เข้ามาภายในกระท่อม และทำให้สถานที่แออัดอย่างรวดเร็ว
“นี่…” ซูหยางมองดูพวกเธอด้วยดวงตาเบิกกว้าง
ผู้หญิงเหล่านี้ล้วนสวมเสื้อผ้าวับแวมที่ยากจะปกปิดส่วนที่กระตุ้น
อารมณ์ และพวกเธอก็มีท่าทางเอียงอายบนใบหน้า ถ้าให้เขาเดาว่า
ทำไมสาวสวยเหล่านี้จึงมายืนอยู่ต่อหน้าเขาด้วยลักษณะยั่วยวนเช่นนั้น
แน่นอนว่าพวกเธอต้องมาเพื่อเติมเต็มปราณไร้ลักษณ์ให้กับเขา
“นี่หมายความว่าอะไรกัน” แม้ว่าเขาจะเข้าใจสถานการณ์เป็นอย่างดี
แล้ว เขาก็ยังตัดสินใจที่จะถามพวกเธออยู่ดี
“เมื่อหญิงเหล่านี้ได้ยินว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บและต้องการความช่วยเหลือ
พวกเธอต่างพากันยินดีตกลงใจที่จะเสนอร่างกายของพวกเธอในการ
ช่วยฟื้นฟูให้กับเจ้า จริงแล้วข้าชอบที่จะช่วยเหลือเจ้าเป็นการส่วนตัว
มากกว่า แต่อย่างที่เจ้ารู้อยู่แล้วว่าสถานการณ์ของข้ามิยอมให้เป็น
เช่นนั้น”
“…”
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ ซูหยางก็ถามหญิงทั้งสามสิบสองคนที่นั่น
ว่า “พวกเจ้ามั่นใจว่าพวกเจ้าต้องการที่จะทำเช่นนี้ แม้ว่าข้าจะประทับใจ
เป็นอย่างมากที่พวกเจ้ามาอยู่ที่นี้ แต่จริงแล้วพวกเจ้ามิจำเป็นต้องทำ
เช่นนี้ก็ได้”
“พวกเราต้องการที่จะทำเช่นนี้ ท่านผู้มีพระคุณ ได้โปรดให้พวกเรา
อย่างน้อยก็ได้ทำเช่นนี้ให้กับท่าน ซึ่งได้ช่วยเหลือชนเผ่าของเราและ
ทุกชีวิตในนั้น”
“และถึงแม้ว่าท่านมิได้ช่วยเหลือชนเผ่าของเรา ข้าก็ยังยินดีที่จะเป็น
คู่นอนของท่าน ผู้มีพระคุณ”
หญิงสามสิบสองคนที่นั้นเริ่มเผยความรู้สึกของตนเองที่มีต่อซูหยาง
จนกระทั่งเขาพยักหน้าพร้อมด้วยรอยยิ้ม
“ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจักร่วมฝึกกับพวกเจ้าสาว ๆ ทั้งหลาย แต่ดูเหมือนว่า
ที่แห่งนี้จะค่อนข้างเล็กไปหน่อยและคับแคบเกินกว่าที่จะจุพวกเรา
ทั้งหมดให้อยู่อย่างสบาย ๆ ได้” ซูหยางกล่าวขณะที่เขามองไปรอบ ๆ
กระท่อม
“เจ้ามิต้องกังวลในเรื่องนี้ ในเมื่อเจ้าจักไปฝึกวิชาในที่อื่น เราได้
ตระเตรียมกระท่อมที่มีห้องใหญ่พอที่จะจุพวกเจ้าทั้งสามสิบสามคน
ได้อย่างสบาย” ถังหลินชีกล่าว
“เช่นนั้นพวกเราจะรออะไรอยู่ นำทางไปเลย” ซูหยางรีบลุกขึ้นยืน
จากเตียง
อาการปวดหัวที่เขามีไม่นานก่อนหน้านั้นดูเหมือนกับได้หายไป
หมดแล้วและร่างกายที่มีความรู้สึกอ่อนเพลียก็เหมือนจะเปี่ยมไป
ด้วยพลัง
เวลาหลังจากนั้นซูหยางและคู่นอนของเขาทั้งสามสิบสองคนก็ย้าย
จากกระท่อมหลังเล็กไปยังอีกหลังที่มีขนาดใหญ่กว่าสามเท่า จาก
เพียงแค่มองผ่าน ๆ ก็เห็นได้ชัดว่ากระท่อมได้ถูกสร้างขึ้นอย่างเร่ง
รีบจึงไม่ได้ดูหรูหราเหมือนกับหลังอื่น ๆ ที่มีอยู่ อย่างไรก็ตามการ
ตกแต่งภายในของที่แห่งนั้นสะอาดและเรียบง่ายอย่างถึงที่สุด แสง
สว่างภายในนั้นไม่ถึงกับสว่างหรือมืดเกินไป มันสลัวอย่างเหมาะสม
อีกทั้งยังมีกลิ่นหอมภายในกระท่อมทำให้บรรยากาศสงบน่าอยู่อาศัย
บริเวณกลางห้องมีเตียงขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นจากต้นไม้ในบริเวณ
ใกล้เคียง และมีผ้าห่มผืนใหญ่หลายผืนที่ยัดไว้ด้วยขนนกอ่อนนุ่ม
คลุมเตียงอยู่
“หากเป็นขนาดนี้ มันควรจะสามารถรองรับคนได้ถึงห้าสิบคนได้
อย่างง่ายดาย” ซูหยางพยักหน้าด้วยสีหน้าพึงพอใจ
แม้ว่าสถานที่แห่งนี้ดูเหมือนจะเรียบง่ายและต่ำต้อย แต่มันก็ให้
ความรู้สึกดิบเถื่อนในบรรยากาศอย่างชัดเจนซึ่งไม่สามารถที่จะ
ลอกเลียนแบบได้ในทวีปตะวันออก
“ในตอนนี้ข้าจักปล่อยให้พวกเจ้าทั้งหมดอยู่กันตามลำพัง ขอให้
สนุกนะ” ถังหลินชีกล่าวกับพวกเธอก่อนที่จะปล่อยซูหยางไว้ตาม
ลำพังกับหญิงทั้งสามสิบสองคนในกระท่อม
“ก่อนที่เราจะเริ่ม ทำไมพวกเจ้าสาว ๆ มิแนะนำตัวก่อนล่ะ ข้าอยากจะ
รู้จักเกี่ยวกับคู่ของข้าบ้างเล็กน้อยก่อนที่พวกเราจะร่วมฝึกวิชากัน”
“ข้าจักเริ่มด้วยการแนะนำตัวข้า ข้าชื่อซูหยาง และข้าต้องการให้เจ้า
เรียกข้าเช่นนั้นในขณะที่พวกเราร่วมฝึกด้วยกัน นั่นหมายความว่าจัก
มิมี “ผู้มีพระคุณ” หรืออะไรทำนองนั้นในขณะที่เราอยู่ภายในสถานที่
แห่งนี้”
หญิงทั้งสามสิบสองคนพากันพยักหน้ารับรู้ก่อนที่พวกเธอจะทำการ
แนะนำตัวเอง
เวลาถัดจากนั้น เมื่อซูหยางได้รู้ถึงชื่อของหญิงทั้งหมดสามสิบสอง
คนแล้ว พวกเขาก็เริ่มฝึกวิชา
“ใครต้องการที่จะเป็นคนแรก” ซูหยางถามพวกเธอตอนที่พวกเขาเริ่ม
สองสามวินาทีถัดไปเด็กสาวร่างเล็กที่มีผมสั้นสีดำก็ก้าวออกมา
ข้างหน้า
“ข้าจักเป็นคนแรกที่ช่วยท่าน ซู…ซูหยาง” เด็กสาวกล่าวขณะที่เธอ
คลายสายรัดบนไหล่ของเธอปล่อยให้เสื้อผ้าชิ้นเดียวของเธอเลื่อนลง
ไปตามร่างกายอ้อนแอ้นของเธอ
ซูหยางก็ถอดเสื้อผ้าของตนเองเช่นกันเผยให้เห็นถึงร่างกายที่สมส่วน
ผิวขาวราวหยก และลำลึงค์ที่แข็งตัวเต็มที่ของเขา
“ช่าง…ช่างใหญ่เหลือเกิน”
เหล่าหญิงสาว ๆ พากันอ้าปากค้างด้วยความตกใจเมื่อพวกเธอเห็น
สัตว์ร้ายนั้นเป็นครั้งแรก แม้แต่หญิงสาวมากประสบการณ์ก็ไม่เคย
เห็นสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่เช่นนี้มาก่อนเช่นกัน และแน่นอน
พวกเธอไม่มีใครที่จะคาดว่าเขาได้ซุกซ่อนของขนาดใหญ่เช่นนี้ไว้
ภายใต้เสื้อผ้าของเขามาโดยตลอด
“มาที่นี่สิ” ซูหยางเชื้อเชิญเด็กสาวด้วยรอยยิ้มน่าหลงใหลพร้อมกาง
แขนออก
เด็กสาวพยักหน้าด้วยรอยยิ้มเอียงอายและตรงเข้าไปหาเขาอย่างช้า ๆ
ครั้นเมื่อเธอเข้าไปใกล้มากพอ ซูหยางก็จับมือเธอไว้และดึงร่างเล็ก ๆ
ของเธอเข้าไปในอ้อมแขน
“ในเมื่อนี่เป็นครั้งแรกของเจ้า ข้าต้องการให้เจ้าคุ้นเคยกับความรู้สึก
ก่อนเป็นอันดับแรก”
“ทำไมท่านจึงรู้” เด็กสาวประหลาดใจในเมื่อเธอจำไม่ได้ว่าเคยบอก
เขาว่าเธอเป็นสาวพรหมจรรย์
“ข้ารู้อยู่แล้ว” ซูหยางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
จากนั้นเขาก็วางร่างเธอนอนลงบนเตียง ก่อนที่จะเลื่อนนิ้วของเขาลง
ไปตามผิวเรียบเนียนของเธอจนกระทั่งถึงรอยแยกของเธอและลูบไล้
มันเหมือนกับทารก
“อาาา”
เด็กสาวบริสุทธ์ิพลันรู้สึกเกร็งไปทั่วทั้งเรือนร่างจนทำให้ร่างกายสั่น
สะท้าน
“ผ่อนคลายร่างกายของเจ้าและสนุกไปกับมัน…”
ซูหยางพึมพำด้วยเสียงอ่อนโยนขณะที่ริมฝีปากของเขาตรงไปยัง
บุปผชาติแปลกใหม่ระหว่างขาของเด็กสาว โลมเลียน้ำหวานแสน
อร่อยที่ไหลออกมาจากช่องสังวาสของเธอ
“โอออออ”
“อาาาา”
“อืมมมม”
เด็กสาวพรหมจรรย์ครางเสียงดัง รู้สึกดังขึ้นสวรรค์ที่เธอไม่สามารถ
บรรยายได้ ยอมให้ความรู้สึกนี้รุกล้ำร่างกายของเธอโดยปราศจาก
การต่อต้านใด ๆ
เมื่อหญิงที่เหลืออีกสามสิบเอ็ดคนเห็นสีหน้าเปี่ยมสุขของเด็กสาว
โสดขณะที่ซูหยางลิ้มลองร่างกายของเธอ พวกเธอก็เริ่มทนไม่ไหว
อุณหภูมิร่างกายและความปรารถนาในกามของพวกเธอพุ่งสูงขึ้น
และพวกเธอก็เริ่มส่งเสียงหอบ
กิจกรรมการร่วมรักของพวกเขาเพียงแค่เพิ่งเริ่มต้น แต่พวกเธอทุก
คนก็ไม่สามารถที่จะอดใจรอให้ถึงตาของตนเองได้สัมผัสกับสิ่งที่
เด็กสาวได้รู้สึกกับซูหยาง
ในเวลานั้น ภายนอกกระท่อมชินเหลียงหยูได้เฝ้าสถานที่ เธอต้องการ
ที่จะให้มั่นใจว่าจะไม่มีใครเข้ามารบกวนสิ่งที่เกิดขึ้นภายในกระท่อม
แม้ว่านั่นจะต้องแลกด้วยชีวิต
แต่ทว่าเมื่อเธอเริ่มได้ยินเสียงอันเปี่ยมไปด้วยความสุขดังมาจากภายใน
กระท่อม จิตใจของเธอก็พลันท่วมท้นไปด้วยจินตนาการของตนเอง
ไม่นานนักกระทั่งเธอก็เริ่มรู้สึกแปลก ๆ มาจากส่วนล่างของร่างกาย
ตนเอง
“ถ้าเพียงข้ามิได้เกิดมาเป็นลูกสาวของหัวหน้าหมู่บ้าน บางทีข้าอาจจะ
อยู่ภายในร่วมกับคนอื่นแล้วในตอนนี้…” เธอถอนหายใจ
บทที่ 449 30,000
เวลาผ่านไปหลังจากที่เดินไปรอบหมู่บ้านชนเผ่าหมูป่าและพูดกับ
ผู้หญิงจำนวนมาก สุดท้ายชินเหลียงหยูก็กลับไปหาถังหลินชีและชิว
เยว่พร้อมด้วยสาวสวยกว่าสามสิบคน
ชินเหลียงหยูได้รวบรวมสาวสวยเกือบทั้งหมดภายในชนเผ่าหมูป่ า
จากสาวน้อยบริสุทธ์ิที่แก่นหยินบริสุทธ์ิยังสมบูรณ์ไปจนถึงหญิงที่
เติบโตเต็มสาวที่มีคู่แล้ว พวกเธอทั้งหมดรวมตัวกันที่นั่นเพื่อช่วย
เติมเต็มปราณไร้ลักษณ์ของซูหยาง
“ผู้อาวุโสถัง ข้าได้รวบรวมทุกคนที่ปรารถนาที่จะช่วยผู้อาวุโสซูมา
เรียบร้อยแล้ว พวกเธอมีทั้งหมดสามสิบสองคนในที่นี้ สิบสองคนยัง
เป็นหญิงพรหมจรรย์ พวกเธอมิเพียงเป็นคนที่มีพรสวรรค์ที่สุดใน
หมู่บ้านแต่พวกเธอยังมีหน้าตาและรูปร่างดีที่สุดด้วยเช่นกัน”
“เจ้าออกไปหาคนมาจริง ๆ …”
ถังหลินชีประหลาดใจเมื่อเห็นว่ามีผู้หญิงมากมายเท่าไหร่ที่ชินเหลียง
หยูได้นำกลับคืนมาพร้อมกัน
“ท่านสามารถเลือกหนึ่งในพวกเธอเพื่อที่จะช่วยผู้อาวุโสซูได้ ในเมื่อ
พวกเธอทุกคนล้วนรู้ถึงสถานการณ์และได้ตกลงใจที่จะช่วยแล้ว”
ชินเหลียงหยูกล่าว
หญิงทั้งสามสิบสองคนนั้นได้จ้องมองถังหลินชีอย่างเงียบ ๆ แต่ละคน
ล้วนหวังว่าตนเองจะได้เป็นคนที่ถังหลินชีเลือกให้เป็นคู่ของซูหยาง
นับตั้งแต่พวกเธอได้รู้เห็นถึงความแข็งแกร่งของซูหยาง พวกเธอก็
ได้คิดว่าจะเป็นการดีสักเพียงไหนถ้าพวกเธอสามารถได้รับใช้ผู้ชาย
อย่างเขา แต่พวกเธอจะรู้สักนิดก็หาไม่ว่าความฝันเช่นนั้นจะกลายเป็น
จริงได้อย่างรวดเร็ว
“มีอะไรผิดปกติรึ ผู้อาวุโสถัง” ชินเหลียงหยูถามอีกฝ่ายหลังจากที่
ผ่านไปหลายชั่วขณะเมื่อถังหลินชีเพียงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นโดยไม่เลือก
ใครเลย
“ถ้าพวกเธอมิเหมาะสม ข้าจักพยายามไปหาเพิ่ม…”
แต่ทว่าก่อนที่ชินเหลียงหยูจะสามารถกระทั่งพูดจบประโยค ถังหลิน
ชีก็พูดขึ้น
“ข้ามิจำเป็นต้องเลือกผู้ใด พวกเธอทั้งหมดสามารถช่วยเขาได้ในครั้ง
นี้”
“หือ”
ชินเหลียงหยูและหญิงสาวที่นั่นต่างพากันจ้องมองไปยังถังหลินชี
ด้วยท่าทางงงงัน และพวกเธอก็ยังคงสับสนถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านไป
ไม่สำคัญว่าซูหยางจะมีพรสวรรค์หรือแข็งแกร่งเพียงใด นั่นก็ไม่มี
ทางที่เขาจะสามารถรองรับหญิงสาวสามสิบสองคนด้วยตัวเอง มิใช่
หรือ
ถ้ามีใครสักคนมีพลังที่จะฝึกวิชาคู่กับหญิงจำนวนสามสิบสองคนใน
ครั้งเดียว เขาควรจะไม่ถือว่าเป็นชายธรรมดาอีกต่อไป แต่เป็นสัตว์
ร้ายแทน อย่างน้อยนี่เป็นสิ่งที่คนจากชนเผ่าหมูป่ าเห็นว่าเป็นเช่นนั้น
“ทำไมเจ้ามองดูข้าเหมือนกับว่าข้ากำลังโกหก เจ้ามิเชื่อข้าว่าเขา
สามารถรองรับพวกเจ้าทั้งหมดสามสิบสองคนได้อย่างง่ายดายงั้นรึ”
ถังหลินชีกล่าวกับพวกเธอหลังจากที่สังเกตเห็นความสงสัยในสายตา
ของพวกเธอ “เขาได้ร่วมฝึกวิชาคู่กับคนจำนวนนับสิบเท่านี้ในคราว
เดียวมาก่อนในอดีต พวกเจ้ารู้ไหม”
“ส-สิบเท่า”
หญิงเหล่านั้นพากันอ้าปากค้างหลังจากที่ได้ยินแบบนั้น กระทั่งชิว
เยว่ก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองอีกฝ่ายด้วยดวงตาเบิกกว้างราวกับจาน
รองชา นี่ก็เป็นครั้งแรกของเธอเช่นกันที่ได้ยินอะไรแบบนี้และมัน
ได้ทิ้งความรู้สึกซับซ้อนอันยากอธิบายไว้ในใจเธอหลังจากนั้น
“ข้าเพียงพูดว่าสิบเท่าเพราะว่าข้ามิต้องการที่จะให้ฟังดูบ้าเกินไปใน
เมื่อสถิติที่แท้จริงของเขานั้นมาก…มากมายกว่านั้น…” ถังหลินชี
หัวเราะหึ ๆ
“อย่างไรก็ตามถ้าพวกเจ้าทั้งหมดสามสิบสองคนยินดีที่จะให้ความ
ช่วยเหลือ ข้าก็ย่อมต้องการให้พวกเจ้าทุกคนช่วยเหลือเขา ดังนั้นจึง
มิจำเป็นที่จะต้องกังวลว่าเจ้ามิมีโอกาสในเมื่อเขาย่อมมิยินดีอย่าง
แน่นอนที่จะทิ้งหญิงคนใดไว้ในห้องเดียวกันโดยมิได้รับความสุข
ถึงแม้ว่าเขาจะต้องตายก็ตาม”
สาวสวยทั้งสามสิบสองคนสบตากันก่อนที่จะพยักหน้ายอมรับ
สถานการณ์ที่แปลกประหลาดนี้ได้อย่างรวดเร็วกว่าที่ชินเหลียงหยู
ได้คาดการณ์ไว้
“ข้ามิอยากเชื่อ ใครจะคิดว่าคนที่ดูเหมือนเป็นชนชั้นสูงและบริสุทธ์ิ
อย่างเช่นผู้อาวุโสซูจักมีด้านนั้นในตัวเอง” ชินเหลียงหยูคิดในใจใน
เมื่อเธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าว่ามีวิธีการฝึกวิชาที่แปลกประหลาด
เช่นนั้นปรากฏอยู่บนโลกใบนี้
“ดี เช่นนั้นกลับมาที่นี่ภายในสามวัน เขาควรจะตื่นขึ้นในตอนนั้น”
ถังหลินชีกล่าวกับพวกเธอและเธอกล่าวต่ออีกว่า “ในเวลานั้นเจ้า
ควรจะชำระล้างร่างกาย ตบแต่งหน้าตา และตระเตรียมใจไว้ นั่นจะ
เป็นประสบการณ์ที่พวกเจ้าจักมิมีวันลืมตราบชั่วชีวิตของพวกเจ้า”
ถังหลินชีกล่าวด้วยรอยยิ้มลึกลับบนใบหน้าทำให้หญิงทั้งสามสิบ
สองคนสั่นสะท้าน
ครั้นเมื่อหญิงทั้งสามสิบสองคนจากไปแล้วชิวเยว่ก็ถามถังหลินชีว่า
“สิ่งที่ท่านพูดมาเมื่อกี้นี้… มันเป็นความจริงรึ”
“เจ้าจะทำอะไรถ้ามันเป็นจริง” ถังหลินชีมองดูเธอด้วยสีหน้าเรียบ
เฉย
“ซูหยาง… เขาแทบจะมิเคยบอกข้าเกี่ยวกับตัวเขาสักอย่าง ข้าเพียง
แค่ต้องการที่จะรู้เรื่องเขาให้มากกว่านี้ถึงแม้ว่าข้อมูลนั้นมิใช่สิ่งที่ข้า
อยากได้ยินก็ตาม” ชิวเยว่กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
แม้ว่าพวกเขาจะมีความสัมพันธ์กัน ซูหยางก็ไม่เคยพูดกับเธอในเรื่อง
อดีตของเขา ดังนั้นเธอจึงแทบจะไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเขานอกจาก
ความสัมพันธ์ลับที่เขามีกับแม่ของเธอ
ได้ยินคำพูดของชิวเยว่และได้มองหน้าเธอแล้ว ถังหลินชีก็ยิ้มและ
กล่าวว่า “ซูหยาง… มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาได้รับเชิญไปยังสำนักหนึ่งใน
ฐานะแขกผู้บรรยาย เพราะสิ่งหนึ่งชักนำให้ไปสู่อีกสิ่งหนึ่งจึงทำให้
เขาจบลงด้วยการฝึกวิชาร่วมกับศิษย์ผู้หญิงเกือบทุกคนในสำนักนั้น”
“อะไรนะ” ชิวเยว่ตาถลนออกจากเบ้า
แต่ถังหลินชียังพูดไม่จบ
“ข้าลืมกล่าวถึงไปอีกอย่างหนึ่ง สำนักนี้เพียงรับผู้ฝึกวิชาที่เป็นหญิง
ดังนั้นโดยเนื้อแท้เขาจึงหลับนอนกับคนทั้งสำนักซึ่งมีศิษย์มากกว่า
สามหมื่นคนในเวลานั้น”
“ศ-ศ-ศิษย์…สามหมื่น…” ชิวเยว่ส่ายร่างโงนเงนด้วยความตกใจ ดู
เหมือนกับว่าเพียงลมหายใจของเด็กคนธรรมดาทั่วไปก็จะสามารถ
ทำให้เธอล้มได้
“มันออกจะสนุกที่ได้พูดในเรื่องนั้นในตอนนี้ แต่ในเวลานั้นเหตุการณ์
นั้นทำให้ซูหยางเกิดปัญหาหลายอย่าง และเขาก็เกือบจะหยุดฝึกวิชา
คู่หลังจากนั้น” ถังหลินชีหัวเราะหึ ๆ
“และหลังจากที่ซูหยางออกจากสำนักนั้นแล้ว เขาก็หายตัวไปเป็น
เวลาสิบปีเต็ม ๆ ถ้าให้ข้าเดาบางทีเขาอาจจะหลับเหมือนกับทารก
ตลอดเวลานั้นเพื่อฟื้นฟูพลังของเขา”
“ข-ข้าพอจะถามถึงชื่อของอดีตสำนักนี้ได้หรือไม่” ชิวเยว่ถามอีก
ฝ่ายต่อจากนั้น
“อดีตรึ ที่แห่งนี้ยังคงอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ ตามจริงแล้วพวกเธอนับเป็น
หนึ่งในสำนักระดับสูงในสวรรค์ศักด์ิสิทธ์ิทั้งสี่ สวนสวรรค์ศักด์ิสิทธ์ิ”
“เดี๋ยว อะไรนะ สวนสวรรค์ศักด์ิสิทธ์ิรึ เป็นไปไม่ได้ ข้าคาดว่าจะได้
เป็นศิษย์ของที่นั่นถ้าข้ามิได้หนีออกจากวังจันทราศักด์ิสิทธ์ิ” ชิวเยว่
เริ่มเหงื่อไหลพลั่ก
“โอ” ถังหลินชีมองดูเธอด้วยสายตาประหลาดใจ
“แต่ที่แห่งนั้นมิได้มีชื่อเสียงด่างพร้อย ข้ามิเคยได้ยินว่ามีเหตุการณ์
อะไรในที่แห่งนั้น และก็มิมีทางที่จะเกิดเหตุการณ์ใหญ่เช่นนั้นที่มิได้
ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ให้ทั้งโลกได้รู้จัก” ชิวเยว่ยังไม่เชื่อ
“ข้ามิรู้ว่าควรจะพูดอะไรนอกจากว่าพวกเธอได้พบวิธีที่จะปกปิด
เหตุการณ์ครั้งนี้และซ่อนมันไว้ใต้พรม ตามความเป็นจริงถ้าซูหยาง
มิได้บอกข้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ กระทั่งข้าเองก็คงมิรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้
เช่นกัน มันเกิดขึ้นเมื่อกว่าสองหมื่นปีมาแล้ว”
“ม-ไม่น่าเชื่อ… เมื่อมาคิดดูว่าเขาจักมีประสบการณ์เช่นนั้น” ชิวเยว่
ปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก
“เชื่อข้าเถอะ ถ้าเรื่องนี้สร้างความตระหนกให้กับเจ้า เขาก็ยังมีเรื่องราว
อีกมากมายที่จักสามารถทำให้เจ้าตาถลนออกนอกเบ้าได้ถ้าเจ้าได้ยิน
เรื่องพวกนั้น ถ้าเจ้าถามเขา ข้ามั่นใจว่าเขาคงมิสนใจเล่าให้เจ้าฟังสัก
เรื่องสองเรื่อง แต่ทว่าถ้าเจ้ายังคงทำตัวสงวนท่าทีต่อเขา เจ้าจักมิมี
วันที่จักได้เข้าใจเขาอย่างแท้จริงอย่างแน่นอน”
เมื่อได้ยินคำพูดของถังหลินชี ชิวเยว่พยักหน้ารับอย่างเงียบงัน
บทที่ 448 รับสมัครคู่นอน
“กะ-เกิดอะไรขึ้นกับเขา เขาบาดเจ็บรึเปล่า” ชินเหลียงหยูวิ่งมาตรง
ชิวเยว่เมื่อเธอเห็นซูหยางล้มลงในอ้อมแขนของอีกฝ่าย
“เขาจักสบายดีหลังจากที่ได้รับการพักผ่อน” ถังหลินชีอธิบายให้กับ
อีกฝ่ายฟังเหมือนกับที่เธอได้อธิบายให้กับชิวเยว่ “หลังจากนั้นเขาจัก
ต้องได้รับการเติมเต็มพลังวิญญาณหลังจากที่เขาตื่นขึ้น หรือนั่นจัก
ทำให้ร่างกายของเขาได้รับความเสียหายหลังจากนั้น”
“สิ่งที่ใช้เติมเต็มพลังวิญญาณของเขาใช่ไหม ข้าจักรวบรวมเนื้อ
วิญญาณและสมุนไพรวิญญาณให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้สำหรับ
เขา” ชินเหลียงหยูกล่าวด้วยความกระตือรือร้น เธอรอคอยโอกาสที่
จะเป็นประโยชน์ให้กับเขาสักครั้ง
แต่ทว่า ถังหลินชีโบกมือและกล่าวด้วยเสียงเยือกเย็นว่า “แม้ว่า
ทรัพยากรทั่วไปจักมีพอเพียง แต่นั่นก็มิมีประสิทธิภาพเท่าไหร่ และ
เจ้าก็จักต้องใช้เป็นจำนวนมากในการเติมเต็มปราณไร้ลักษณ์จำนวน
มหาศาลที่อยู่ในตัวเขา”
ชินเหลียงหยูเลิกคิ้วด้วยท่าทางงงงัน
“เช่นนั้นท่านมีคำแนะนำเช่นไร ผู้อาวุโสถัง เรามีเพียงแค่เนื้อวิญญาณ
และตัวยา” เธอถาม
“เจ้ารู้จักว่าอะไรคือการฝึกวิชาคู่หรือไม่” ถังหลินชีถามอีกฝ่าย
“ไม่ ข้ามิรู้จัก” ชินเหลียงหยูส่ายหน้า
ในเวลานั้น ชิวเยวี่ก็หันไปมองดูถังหลินชีด้วยดวงตาเบิกกว้าง
“ท่านกำลังจะบอกให้เธอร่วมฝึกกับเขางั้นรึ ท่านมิถืองั้นรึ” ชิวเยว่
อดที่จะถามถังหลินชีไม่ได้ ซึ่งดูแล้วเธอไม่เหมือนคนที่จะแบ่งปัน
สิ่งของให้คนอื่นได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นผู้ชายของเธอเอง
“ถ้าข้าอยู่ในสภาพที่สามารถเลือกได้ ข้าย่อมเป็นคนที่ร่วมฝึกกับเขา
แต่ทว่าข้าอยู่ในร่างของหงอวี้เอ๋อร์ และข้าได้สัญญากับเธอว่าข้าจักมิ
ทำลายมัน”
“ส่วนสำหรับเจ้า…นอกจากว่าเจ้ามิสนที่จะตายหลังจากร่วมฝึกกับ
เขา เช่นนั้นเจ้าก็สามารถไปเติมเต็มปราณไร้ลักษณ์ให้กับเขาได้”
“ท่านรู้เรื่องคำสาปของวังเทพจันทราด้วยเช่นกันรึ” ชิวเยว่ประหลาด
ใจในเมื่อเธอก็ไม่รู้เรื่องนี้จนกระทั่งซูหยางบอกกับเธอ
“แน่นอน ข้ารู้เกือบทุกอย่างเกี่ยวกับวังเทพจันทรา และนั่นรวมไปถึง
คำสาปที่ผูกมัดผู้คนของตนเองด้วย บีบบังคับให้พวกเธอต้องแต่งงาน
กับคนในสายเลือดเดียวกันเท่านั้น และด้วยความสัตย์จริง ข้าเองก็มิ
เคยชอบวังเทพจันทราและคนพวกนั้นด้วย กระทั่งยังมีบางครั้งที่ข้า
ต้องการจะกวาดล้างพวกเขาให้เกลี้ยง”
“…”
ชิวเยว่พูดไม่ออก เมื่อมาคิดว่าวังเทพจันทราตกอยู่ในภาวะใกล้ล่ม
สลายหลายครั้งโดยไม่รู้ตัว
“อย่างไรก็ตาม ข้ามิได้ไม่ชอบเจ้า ในเมื่อเจ้าแตกต่างจากคนที่เหลือ
ของตระกูลจันทรา ไม่เหมือนพวกเลวที่เลือดเย็นและไร้ความรู้สึก
พวกนั้น เจ้าน่ารักน่าหลงใหล และเป็นน้องหญิงของข้า”
ชิวเยว่พลันหน้าแดงซ่านหลังจากที่ได้ยินคำพูดเหล่านั้นถึงกับก้ม
หน้าเล็กน้อยเพื่อซุกซ่อนหน้าที่แดง
“เอาเป็นว่า…” ถังหลินชีหันกลับไปยังชินเหลียงหยูและกล่าวต่อว่า
“การฝึกวิชาคู่เป็นสิ่งที่คนสองคนเพศตรงข้ามกันแลกเปลี่ยนไออุ่น
ของร่างกายและปราณเฉพาะของตนเองให้แก่กัน พูดอีกอย่างก็คือ
ร่วมหลับนอนด้วยกัน”
“น-น-นี่…”
ชินเหลียงหยูงุนงงหลังจากที่รู้ว่าการฝึกวิชาคู่เป็นวิชาประเภทไหน
นี่หมายความว่าถังหลินชีต้องการใครสักคนมีเพศสัมพันธ์กับซูหยาง
ใช่ไหม นี่เป็นสถานการณ์ที่ปกติแล้วจะไม่คิดว่าจะเป็นไปได้
“ถึงแม้ว่านี่จะเพื่อผู้อาวุโสซู… ข้าก็มิอาจจะทำได้ มิว่าอย่างไรข้า
ยังคงเป็นสาวพรหมจรรย์และข้าก็ยอมให้ร่างกายข้าเพียงคนที่จะเป็น
หัวหน้าชนเผ่าหมูป่ าคนต่อไปเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นถึงแม้ว่าจะมิมีกฎ
อะไรตราไว้มาหลายร้อยปีแล้วก็ตาม ข้าก็ยังมิมีค่าที่จะทำเช่นนั้นกับ
คนที่เปรื่องปราดเช่นผู้อาวุโสซู” ชินเหลียงหยูเริ่มกระวนกระวาย
เหตุผลเดียวที่ชินเหลียงหยูได้ตำแหน่งหัวหน้าของชนเผ่าหมูป่ าก็
เพราะว่าเธอได้เป็นเพียงชั่วคราวไม่ได้เป็นอย่างถาวรเนื่องมาจากว่า
มีเพียงผู้ชายเท่านั้นที่จะเป็นหัวหน้าเผ่าได้
และถ้าหัวหน้าคนเก่ามีเพียงลูกสาว ลูกสาวของเขาก็จะอุทิศร่างกาย
ของเธอให้กับคนที่เป็นหัวหน้าคนถัดไป และคนผู้นั้นปกติแล้วก็จะ
เป็นนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดในชนเผ่า
ตอนนี้ชนเผ่าหมูป่ ามีผู้ที่เหมาะสมที่สุดที่จะเป็นหัวหน้าคนต่อไปก็
คือเลอเป่ าซึ่งไม่เพียงซื่อสัตย์ต่อชนเผ่าแต่ก็ยังเป็นนักรบที่แข็งแกร่ง
ที่สุดของพวกเขาด้วย
“อย่าใส่ใจเรื่องที่ว่าเจ้าจะมีค่าหรือมิมีค่าที่จะเป็นคู่ของเขา ข้ามิได้
ถามเฉพาะเจาะจงเจ้าให้ช่วยเขาเติมเต็มพลัง” ถังหลินชีกล่าวด้วย
รอยยิ้มหยอกล้อบนใบหน้า
“มีผู้หญิงอื่นอีกมากมายในหมู่บ้าน และข้ามั่นใจว่าพวกเธอบางคน
จักย่อมยินดีที่จะช่วยผู้กอบกู้ของพวกเธอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขา
เป็นคนรูปหล่อและแข็งแกร่งเหมือนกับซูหยาง”
“…”
เมื่อได้ยินคำพูดของถังหลินชี ชินเหลียงหยูก็พลันใบหน้าแดงก่ำ เมื่อ
มาคิดว่าเธอทำพลาดที่เหมาเอาว่าถังหลินชีพูดถึงเพียงแต่เธอ และ
เธอก็เป็นผู้หญิงคนเดียวในที่นี้ ชินเหลียงหยูรู้สึกต้องการจะขุดรูและ
มุดลงไปในนั้นในขณะนี้
“อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่ามิมีความจำเป็น แต่นั่นก็จักย่อมมีประสิทธิภาพ
มากยิ่งขึ้นถ้าคู่ของเขาเป็นสาวบริสุทธ์ิ ในเมื่อแก่นหยินบริสุทธ์ิของ
พวกเธอยังสมบูรณ์”
“ข-ข้าจักถามและจัดการให้เดี๋ยวนี้ ข-ข้าขอตัวก่อน”
ไม่สามารถที่จะทนต่อความอับอายได้อีกต่อไป ชินเหลียงหยูรีบ
ออกไปจากที่ตรงนั้นเพื่อไต่ถามขอความช่วยเหลือจากผู้หญิงใน
หมู่บ้าน
ชินเหลียงหยูตระเวนไปทั่วหมู่บ้านและรับสมัครคู่นอนให้กับซูหยาง
ถามพวกเธอว่าต้องการที่จะช่วยเขาพร้อมกับมีความสุขไปในเวลา
เดียวกันหรือไม่
“อะไรนะ ชายหนุ่มรูปหล่อคนนั้นต้องการหาคู่นอนเพื่อที่จะเติม
ปราณไร้ลักษณ์ของเขารึ แน่นอน ข้ายินดีที่จะช่วย ยังไงเขาก็ได้ช่วย
หมู่บ้านของพวกเราอยู่แล้ว ไม่ ถึงแม้ว่าเขามิได้ช่วยพวกเรา ข้าก็มิ
ถือที่จะยกร่างกายของข้าให้กับคนแบบเขา นี่เป็นสิ่งสุดท้ายที่ข้า
สามารถทำได้”
“นี่มิใช่เรื่องตลกที่เจ้าจะมาเล่นตลกกับข้าได้หัวหน้าชิน อะไรนะ นี่
มิใช่เรื่องตลกรึเจ้าพูดจริงรึ แน่อน ข้าย่อมยินดีที่จะเป็นคู่ของเขา”
“ข้าต้องการที่จะร่วมเตียงกับนักรบรูปหล่อที่ได้สังหารชนเผ่าสิงโต
ทั้งหมดด้วยตนเองนั้นหรือเปล่ารึ ทำไมเจ้ามิมาหาข้าเร็ว ๆ หน่อย”
ชินเหลียงหยูพูดไม่ออก แม้ว่าผู้หญิงในทวีปใต้ล้วนมีความสนใจใน
ตัวผู้ชายที่แข็งแกร่ง แต่เธอก็ไม่คาดว่าจะง่ายดายเช่นนี้ในการที่จะหา
คนที่ยินดีที่จะเสนอตัวให้กับซูหยาง กระทั่งสาวน้อยที่ได้ระมัดระวัง
ตัวมาจนถึงจุดนี้ในการเลือกคู่ครองก็ยังไม่ลังเลเมื่อขอให้พวกเธอยก
แก่นหยินบริสุทธ์ิให้แก่ซูหยางแถมยังดีใจกับคำขอเช่นนั้นอีกด้วย
บทที่ 447 ข้าได้ตัวเจ้าแล้ว
“เจ้าคิดว่าเจ้ากำลังจะไปไหนงั้นรึ”
เมื่อหัวหน้าหลงพลันเปลี่ยนเป้าหมายไปเป็นชินเหลียงหยู ดวงตาซู
หยางก็เป็นประกายไปด้วยจิตสังหารและเขาก็ใช้ก้าวเก้าดาราขั้นที่
สองปรากฏตัวขึ้นด้านหลังของหัวหน้าหลงในชั่วพริบตา
แต่ทว่ารอยแสยะยิ้มกว้างก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหัวหน้าหลง
ขณะที่เขาพลันหันกายกลับไปเผชิญหน้ากับซูหยางราวกับว่าเขา
กำลังรอโอกาสอันเหมาะสมนี้อยู่
“ข้าได้ตัวเจ้าแล้ว” หัวหน้าหลงตะกุยกรงเล็บไปยังซูหยางด้วย
ความเร็วสูง ไปถึงเบื้องหน้าของซูหยางด้วยความเร็วเกินกว่าจะ
กระพริบตาทัน
“ซูหยาง” หัวใจของชิวเยว่ขยายตัวถึงขีดสุดด้วยความหวั่นวิตกเมื่อ
ได้เห็นเช่นนั้นและเธอก็เริ่มบินไปยังพวกเขาด้วยหวังว่าเธอจะ
สามารถปกป้องเขาได้ทันเวลา
แต่อย่างไรก็ตามก็มีคนจับไหล่ของเธอไว้และบังคับเธอให้หยุด
ก่อนที่เธอจะสามารถเคลื่อนตัวไปได้ไกลกว่านั้น
ชิวเยว่หันตัวไปดูถังหลินชีซึ่งส่ายหน้าอย่างเยือกเย็น
“ใจเย็นน้องหญิง เจ้าคิดว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาสู้หรืออะไรทำนองนั้น
งั้นรึ เขาไม่เป็นอะไรแน่นอน”
ชิวเยว่ดูสับสนเล็กน้อยไปชั่วขณะ เธอหันกายกลับไปดูสถานการณ์
อีกครั้ง
“เอ๋”
ชิวเยว่ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตระหนกเมื่อเธอเห็นฉากนั้น เวลา
ก่อนหน้านั้น หัวหน้าหลงได้มีเจตนาหลอกล่อซูหยางให้ลดการ
ป้องกันตัวลงโดยการเปลี่ยนเป้าหมายไปยังชินเหลียงหยูในทันที
ก่อนที่จะหันตัวกลับไปโจมตีเขา
แต่ตอนนี้เมื่อเธอดูสถานการณ์อีกครั้งก็พบว่าซูหยางยังอยู่สุขสบาย
ส่วนสำหรับหัวหน้าหลงนั้น เขายืนอยู่ที่นั่นด้วยสีหน้าหวาดหวั่น
และแขนที่อยู่ห่างจากใบหน้าหล่อเหลาของซูหยางเพียงแค่นิ้วเดียวก็
พลันขาดออกไปจากร่างของเขาหล่นอยู่บนพื้นห่างออกไปไม่กี่เมตร
ดูเหมือนว่าแขนของหัวหน้าหลงได้ถูกตัดออกไปด้วยอะไรบางอย่าง
พี่คมกริบ บางอย่างที่คล้ายกระบี่ แต่ทว่ามือของซูหยางนั้นว่างเปล่า
ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะถูกฟันด้วยกระบี่
“จ-เจ้าทำอะไรกับข้า” หัวหน้าหลงไอออกมาเป็นเลือดก่อนที่เขาจะ
ซวนเซไปด้านหลัง
“เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าข้าจักตกหลุมพรางอะไรที่ช่างพื้นฐานมากแบบ
นี้” ซูหยางจ้องตรงไปยังดวงตาของหัวหน้าหลง ซึ่งรู้สึกเหมือนกับ
ว่าตัวเองเปลือยเปล่าราวกับหนังสือที่เปิดอยู่ตรงหน้าสายตาอันเฉียบ
แหลมของซูหยาง
“และข้ามิจำเป็นต้องใช้อาวุธในการฆ่าคนแบบเจ้า มือของข้าก็
เพียงพอแล้ว” ซูหยางพูดต่อ
“ข้าได้เล่นกับเจ้าก่อนหน้านี้ ในเมื่อเจ้ามีส่วนต้องรับผิดชอบการกระทำ
ของชนเผ่าสิงโตในวันนี้ และข้าก็ได้เตรียมที่จะคืนขวานมังกรดำ
ให้กับเจ้าหลังจากที่ผ่านไประยะเวลาหนึ่ง แต่เจ้าได้ทำเกินเลยและ
ทำสิที่โง่เขลาอย่างเช่นการเปลี่ยนเป้าหมายไปยังหัวหน้าชิน”
แม้ว่ามือของเขาจะว่างเปล่า แต่มันก็ห่อหุ้มไปด้วยปราณกระบี่
ที่แห่งนั้นเงียบสงัดและผู้คนจากชนเผ่าหมูป่ าต่างพากันจ้องมองไปที่
ซูหยางราวกับว่าเขาเป็นเทพสงคราม
“ด-ได้โปรด…ไว้ชีวิตข้า… ข้าจักไม่ขอร้องเจ้าให้คืนขวานมังกรดำ
อีกต่อไป…” หัวหน้าหลงสั่นสะท้านด้วยความกลัว
แม้ว่าพลังการฝึกปรือของซูหยางต่ำกว่าตัวของเขาเองอย่างเห็นได้ชัด
แต่ความแตกต่างระหว่างความแข็งแกร่งและวิชาการต่อสู้ก็เหมือนกับ
อยู่คนละโลก เขารู้สึกเหมือนกับว่าสู้กับคนที่มีประสบการณ์มากกว่า
ตนเองไม่อาจนับได้
“อย่ากังวล ข้าไม่เคยมีเจตนาที่จะฆ่าเจ้าตั้งแต่แรก ข้ายังรู้ด้วยว่าทำไม
เจ้าจึงมุ่งเป้าไปที่ชนเผ่าหมูป่ า ดังนั้นข้าจะขอบอกเจ้าว่า สิ่งที่เจ้ามอง
หานั้นไม่ได้อยู่กับชนเผ่าหมูป่ าอีกต่อไป ในเมื่อมันอยู่ในมือข้าแล้ว
ในตอนนี้”
“แน่นอน ข้ายินดีให้เจ้าพยายามที่จะเอามันไปจากข้าเหมือนกับ
ขวานมังกรดำ”
“…”
ดวงตาของหัวหน้าหลงเปิดกว้างอีกครั้งแต่เขาไม่ได้พูดอะไรในเมื่อ
เขาพูดไม่ออก
“ไม่มีเหตุผลอะไรอีกต่อไปที่เจ้าจะมาใกล้ชนเผ่าหมูป่าอีก ข้าไม่
รับประกันว่าเจ้าจะสามารถกลับไปอย่างมีชีวิตในครั้งหน้าที่เจ้ามา
ที่นี่ ข้าพูดชัดเจนหรือไม่” ซูหยางพูดกับหัวหน้าหลงเชิงออกคำสั่ง
ไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้ปฏิเสธ
“ข-ข้าเข้าใจแล้ว…” หัวหน้าหลงพยักหน้าด้วยท่าทางแข็งทื่อ
“ดี เช่นนั้นไปให้พ้นจากสายตาข้า”
หลังจากพูดคำพูดเหล่านั้นแล้วซูหยางก็หันกายไปไม่สนใจหัวหน้า
ซึ่งรีบหนีออกไปจากชนเผ่าหมูป่ าอีกต่อไป
“เจ้าสบายดีไหม” ซูหยางตรงไปยังขินเหลียงหยูด้วยรอยยิ้มบน
ใบหน้าหลังจากนั้น
“ส-สบายดี…” ชินเหลียงหยูพยักหน้าอย่างช้า ๆ ด้วยสีหน้าสับสน
“โชคร้ายที่ข้าไม่สามารถที่จะช่วยทุกคนของชนเผ่าหมูป่าได้ ข้าต้อง
ขอโทษด้วย”
ซูหยางพูดขณะที่เขามองไปรอบ ๆ
หมู่บ้านชนเผ่าหมูป่ าเกลื่อนกลาดไปด้วยศพในเวลานั้น ในขณะที่
ส่วนใหญ่เป็นศพของชนเผ่าสิงโต แต่ก็ยังมีนักรบที่ล้มตายอีกจำนวน
มากจากฝั่งของชนเผ่าหมูป่าด้วยเช่นกัน
“ไม่… ท่านมิได้ทำอะไรที่ต้องการให้ท่านขอโทษ ผู้อาวุโสซู ถ้ามิใช่
ท่าน นั่นย่อมจะต้องมีผู้เสียชีวิตมากกว่านี้ ขอบคุณที่ช่วยชนเผ่าหมู
ป่า…”
ชินเหลียงหยูพลันคุกเข่าลงและคำนับเขา
เมื่อชนเผ่าคนอื่นเห็นการกระทำของหัวหน้าของตนเอง พวกเขาก็พา
กันคุกเข่าลงกับพื้นและคำนับซูหยาง ขอบคุณเขาอย่างเงียบ ๆ
“ยืนขึ้น แม้ว่าสงครามจบลงแล้วแต่ก็ยังมีงานที่จะต้องทำที่นี่”
ชินเหลียงหยูพลันยืนขึ้นและพูดด้วยเสียงดัง “พวกเราจะช่วยกันทำ
ความสะอาดที่แห่งนี้”
“ขอรับ/เจ้าค่ะ หัวหน้า”
เวลาถัดจากนั้น ชิวเยว่และถังหลินชีก็ตรงเข้าไปหาซูหยาง
“ท่านยังดีอยู่ไหม ซูหยาง” ชิวเยว่ถามเขา
“ข้ายังดี…”
“หยุดโกหกได้แล้ว” ถังหลินชีพลันขัดขึ้น
“เจ้าใช้ปราณเทพระหว่างการต่อสู้ทั้งสองครั้ง แม้ว่าเจ้าอาจจะดูปกติ
ดีภายนอกแต่ข้าสามารถบอกได้ว่าเจ้าหมดแรงแล้วอย่างแน่นอน”
“เอ๋ จริงรึ” ชิวเยว่งงงัน ไม่น่าประหลาดใจที่ทำไมเขาจึงสามารถ
เอาชนะจอมยุทธระดับสูงสุดเขตอัมพรวิญญาณได้ง่ายดายปานนั้น
ซูหยางเผยให้เห็นรอยยิ้มและกล่าวว่า “ข้ามิสามารถซ่อนอะไรจาก
เจ้าได้เลยจริง ๆ หลินชี”
“ก็จริง ข้ารู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย แต่นอกจากรู้สึกง่วงนอนแล้ว ข้า
สบายดีจริง ๆ ข้าต้องการที่จะปรับตัวเข้ากับปราณเทพในร่างของข้า
ดังนั้นข้าจึงต้องฝึกฝนมัน”
“อย่าผลักดันตัวเองมากนัก มิใช่เรื่องง่ายในการควบคุมปราณเทพ
และนั่นก็เป็นเรื่องจริงถึงแม้ว่าจะเป็นตัวข้าเอง” ถังหลินชีกล่าว
“ข้าไม่…”
ก่อนที่เขาจะทันได้พูดจบประโยค สายตาของเขาก็มืดทะมึน
“ซ-ซูหยาง”
เขาพลันล้มลงสร้างความแตกตื่นให้กับชิวเยว่เป็นอย่างมาก และเธอ
รีบตรงไปรับร่างที่กำลังล้มลงของเขา
“ใจเย็น น้องหญิง เขาเพียงแค่หลับไป เขาจักสบายดีหลังจากที่ได้
พักผ่อนสองสามวัน” ถังหลินชีกล่าวกับเธอสร้างความโล่งใจให้กับ
อีกฝ่าย
บทที่ 446 วิชาก้าวเท้าโบราณ
“กรงเล็บมังกรอาบโลหิต” หัวหน้าหลงพุ่งตรงไปยังซูหยางด้วยมือที่
ทำเป็นตะขอและมีรังสีสีแดงเพลิงออกมาจากนิ้วของเขา
ซูหยางขมวดคิ้วเมื่อเห็นรังสีนี้ เขาสามารถรู้สึกได้ถึงอันตรายจาก
วิชานี้และสัญชาตญาณบอกเขาว่าให้หลีกเลี่ยงมัน
ดังนั้นเขารีบใช้ก้าวเก้าดาราเพื่อทิ้งระยะห่างออกจากหัวหน้าหลง
วินาทีถัดไปหลังจากที่ซูหยางกระโดดหนีไป กรงเล็บของหัวหน้า
หลงก็ปักลงไปยังตรงที่ซูหยางยืนอยู่ก่อนหน้านั้นจนทำให้พื้นดิน
หลอมเหลวอย่างน่ากลัว
ถ้าการโจมตีนั้นตกลงบนผิวของซูหยาง นั่นอาจทำให้ผิวของเขา
ละลายไปในทันที
“พิษรึ” รู้ถึงลักษณะของการโจมตีของหัวหน้าหลงได้อย่างรวดเร็ว
ไม่น่าประหลาดใจว่าทำไมหัวหน้าหลงจึงมีท่าทางมั่นใจก่อนหน้านี้
ทั้งที่หลังจากได้เห็นพิษร้ายของแมงป่ องดำแล้วก็ตาม
“ก็เหมือนกับมีดสั้นของเจ้า วิชาพิษของข้าสามารถฆ่าคนที่อยู่ต่ำกว่า
เขตราชันวิญญาณได้อย่างง่ายดาย มิสำคัญว่าเจ้าจะเป็นอัจฉริยะหรือ
อสูรร้ายก็ตาม ถ้าเจ้าสัมผัสกับพิษของข้าเจ้าจะต้องตาย” หัวหน้า
หลงพูดพร้อมกับฉีกยิ้ม
“…”
ซูหยางยังคงนิ่งเฉย
“ท่านพ่อท่านสามารถจัดการเขาได้หรือไม่ ถ้าไม่ ข้าสามารถฆ่าเขา
ให้ท่านได้” เสียงของชิวเยว่พลันดังในหัวของซูหยาง
เขาหันไปมองเธอที่ดูบอบบาง แต่มีสีหน้ากังวลปรากฏบนใบหน้าไร้
ตำหนิของเธอ
“อย่ากังวล พิษของเขานั้นไร้ประโยชน์ถ้าเขาไม่สามารถสัมผัสตัวข้า
ได้” ซูหยางกล่าวโดยใช้สัมผัสวิญญาณ
จากนั้นเขาก็หันไปมองหัวหน้าหลงและยิ้ม “ตอนนี้เมื่อการบุกอย่าง
ฉับพลันของเจ้าได้ผ่านไปแล้ว เจ้าจะทำอะไร ตราบเท่าที่ข้าหลีกการ
โจมตีของเจ้า เจ้าก็มิอาจจะสามารถเอาชนะข้าได้”
“แต่เจ้าจักสามารถหลีกเลี่ยงมันไปได้ตลอดรึ” หัวหน้าหลงพุ่งตรง
ไปยังซูหยางอีกครั้งขณะที่พุ่งกรงเล็บใส่เขาเหมือนกันว่ามันเป็น
กระบี่
“เจ้ากำลังพยายามที่จะแตะตัวข้ารึ เจ้าต้องใช้ความพยายามมากหน่อย
มิเช่นนั้นเจ้าก็มิอาจจะกระทั่งสัมผัสชายเสื้อของข้าได้” ซูหยางกล่าว
ขณะที่เขาหลีกเลี่ยงการโจมตีทั้งหมดของหัวหน้าหลงอย่างไม่ใส่ใจ
2-3 นาทีของการไล่ตาม หัวหน้าหลงก็ยังคงยากในการที่จะสัมผัสซู
หยางซึ่งลื่นราวกับปลาไหล
ผู้คนที่เฝ้ามองต่างพากันงงงันรู้สึกเหมือนกับว่าพวกเขากำลังดูคน 2
คนเล่นไล่จับแทนที่จะเป็นคน 2 คนต่อสู้กัน
“เชอะ ช่างเป็นวิชาการเคลื่อนไหวที่น่ารำคาญจริง ๆ” หัวหน้าหลง
ตะคอกขณะที่เขาพยายามที่จะเพิ่มความเร็วให้ใกล้เคียงกับซูหยาง
อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าจะมีพลังการฝึกปรือที่แตกต่างกันอย่างมาก
ระหว่างพวกเขา หัวหน้าหลงก็ไม่สามารถที่จะแข่งความเร็วกับซู
หยางซึ่งเร็วกว่าแม้กระทั่งสายลมได้
“ไม่เป็นไรถึงแม้ว่าข้ามิสามารถจับเขาได้ พลังวิญญาณของข้าก็มีสูง
กว่าเขามาก เขาจะต้องหมดสิ้นพลังวิญญาณก่อนที่ข้าจะใกล้หมด”
หัวหน้าหลงคิดในใจ
“…”
เมื่อเห็นรอยยิ้มมั่นใจบนใบหน้าของหัวหน้าหลง ซูหยางก็สามารถ
เดาได้ว่าเขาคิดอะไรได้อย่างง่ายดายจึงพูดว่า “ถ้าเจ้าคิดว่าเจ้าสามารถ
รอให้ข้าหมดพลังวิญญาณอย่างง่าย ๆ เช่นนั้นข้าจะคงต้องสร้างความ
ผิดหวังให้กับเจ้าในเมื่อข้ามีพลังวิญญาณเก็บกักไว้มากพอที่จะใช้
หลบหลีกเช่นนี้ไปหลายวันโดยไม่ต้องพัก”
“อ-อะไรนะ… เป็นไปไม่ได้ คิดหรือว่าข้าจะตกหลุมพรางเช่นนั้น
ต่อให้เจ้าความแข็งแกร่งมากกว่าข้า ปกติแล้วก็มิมีทางสำหรับคนที่
อยู่ในระดับ 3 เขตอัมพรวิญญาณจะสามารถมีพลังวิญญาณมากกว่า
คนที่อยู่ในระดับสูงสุดของเขตอัมพรวิญญาณได้” หัวหน้าหลงยิ้ม
เย้ย แม้กระทั่งก็เด็กยังไม่หลงถ้อยคำหลอกลวงที่ชัดเจนเช่นนี้
“เจ้ามิจำเป็นที่จะเชื่อข้าในเมื่อเจ้าก็จักยอมรับมันในภายหลัง ตาม
ความเป็นจริงทำไมเรามิเพิ่มความเร็วกันอีกสักเล็กน้อยล่ะ”
การเคลื่อนไหวขาของซูหยางพลันเปลี่ยนไปและความเร็วของเขาก็
เพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าในทันที
“อ-อะไรกัน”
หัวหน้าหลงหยุดไล่ตามซูหยางหลังจากที่เห็นความเร็วผิดมนุษย์ของ
อีกฝ่ายซึ่งไม่ทิ้งแม้กระทั่งเงาไว้ข้างหลัง เขารู้สึกเหมือนกับว่าเป็น
คนธรรมดาที่กำลังพยายามที่จะจับสายฟ้าซึ่งปกติแล้วเป็นเรื่องที่
เป็นไปไม่ได้
“นี่เป็นวิชาการเคลื่อนไหวอะไรกัน” กระทั่งชิวเยว่ก็ยังประหลาดใจ
กับการเคลื่อนไหวแบบใหม่ของซูหยาง แม้ว่าพวกมันจะดูคล้ายคลึง
กับก้าวเก้าดาราแต่มันก็ลึกล้ำและก้าวหน้ากว่า
“แม้ว่ามันดูเหมือนจะเป็นวิชาการเคลื่อนไหวที่แตกต่างกัน แต่จริง ๆ
แล้วเขาก็ยังใช้ก้าวเก้าดารา รู้ไหม” ถังหลินชีพลันปรากฏตัวข้างชิว
เยว่และกล่าวขึ้น
“พี่สาวคนโต ท่านหมายความว่าอย่างไร หรือว่าเขาใช้วิชาปลอม ๆ
มาโดยตลอด”
“นี่ควรจะถือว่าเป็นความลับที่มีเพียงแต่ผู้ที่ได้เรียนวิชานี้ที่จะรู้ แต่
ในเมื่อข้าถือว่าเจ้าเป็นครอบครัวเดียวกันกับข้า ดังนั้นข้าจะให้เจ้าได้
รู้ ก้าวเก้าดาราเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นวิชาเดียว แต่ในความเป็นจริงมัน
เป็นวิชาการเคลื่อนไหวเก้าแบบซ่อนอยู่ในนั้น” ถังหลินชีกล่าว
“ก้าวเก้าดาราเป็นวิชาก้าวเท้าโบราณที่มีอยู่กระทั่งก่อนยุคดึกดำบรรพ์
และก็เหมือนกับที่ชื่อของมันกล่าวไว้ มันประกอบด้วยวิชาการเคลื่อน
ไหวเก้าขั้น แต่ละขั้นจะแข็งแกร่งและรวดเร็วกว่าเดิม ซูหยางได้แต่
เพียงใช้การเคลื่อนไหวขั้นแรกมาจนถึงจุดนี้เนื่องจากว่าเขาขาดพลัง
การฝึกปรือและตอนนี้เมื่อเขาได้เข้าถึงเขตอัมพรวิญญาณ สุดท้ายเขา
ก็สามารถใช้ขั้นที่สองของวิชานี้ได้”
หลังจากที่ได้ยินถังหลินชีอธิบาย ชิวเยว่ก็อดที่จะอุทานด้วยเสียง
แตกตื่นไม่ได้ว่า “ถ้าหากว่าขั้นที่สองก็ยังรวดเร็วปานนี้แล้วขั้นที่เก้า
จะเร็วปานไหน”
ถังหลินชียิ้มและกล่าวว่า “ในกรณีของข้าเมื่อข้าใช้ขั้นที่เก้า ข้าสามารถ
เดินทางจากดวงดาวดวงหนึ่งไปยังอีกดวงหนึ่งในเวลาชั่วพริบตา
มันสามารถกระทั่งฝืนกฎของมิติและเวลาสามารถเคลื่อนที่ผ่านมิติ
คล้ายกลับอสูรช่องมิติ”
“…”
ชิวเยว่พูดไม่ออก สมกับเป็นคนที่มาจากสายเลือดเทพอาชูร่าหนึ่งใน
ผู้มีพลังอำนาจแข็งแกร่งที่สุดในสวรรค์ศักด์ิสิทธ์ิทั้งสี่ ไม่เพียงแต่คน
ของพวกเขามีพลังอำนาจที่ผิดมนุษย์แต่วิชาที่พวกเขาฝึกฝนก็เป็น
เช่นเดียวกัน
“เจ้าเป็นตัวอะไรกัน แมลงสาบสกปรกอย่างนั้นรึ หยุดวิ่งหนีและมา
สู้กับข้าเหมือนกับนักรบตัวจริง” หัวหน้าหลงเริ่มหงุดหงิดและเบื่อ
หน่ายกับการกระทำของซูหยาง หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเขาคงหมดสิ้น
พลังก่อนที่จะได้ขวานมังกรดำ
“หากเจ้ากำลังบอกข้าว่าให้เพียงแค่ยืนเฉย ๆ ปล่อยให้เจ้าแตะต้องตัว
ข้าด้วยพิษ เช่นนั้นข้าคงต้องขอปฏิเสธข้อเสนอของเจ้า” ซูหยางตอบ
ในเวลาถัดจากนั้น
“เช่นนั้นเจ้าก็คงทำให้ข้าไม่มีทางเลือกอื่นอีก” หัวหน้าหลงพลันหยุด
ไล่ตามและหันไปมองยังทิศทางหนึ่งก่อนที่จะวิ่งไปยังทิศทางนั้น
“?!?!” ชินเหลียงหยูตกตะลึงเมื่อหัวหน้าหลงพลันมองไปที่เธอด้วย
สายตามุ่งร้าย
“มาดูกันว่าเจ้าจะสามารถช่วยหญิงสาวคนนี้ได้หรือไม่ในขณะที่
หลบการโจมตีของข้า” หัวหน้าหลงตะโกนขณะที่กรงเล็บของเขามุ่ง
ตรงไปยังชินเหลียงหยูที่ซึ่งกำลังตกตะลึง
บทที่ 445 ขวานมังกรดำ
“ชนเผ่าสิงโตจบสิ้นแล้ว พวกนั้นไม่มีประโยชน์กับชนเผ่ามังกรอีก
ต่อไป” หัวหน้าหลงถอนหายใจ
จากนั้นเขาก็จ้องมองไปยังด้วยความรู้สึกสับสน
“ชายหนุ่มคนนี้…เห็นได้ชัดว่าเขามีความสัมพันธ์กับเทพธิดา แต่เขา
มีความสัมพันธ์อะไรกัน”
ถึงแม้ว่าหัวหน้าหลงต้องการที่จะลงไปปกป้องชนเผ่าสิงโตมาก
เพียงใดก็ตามการคงอยู่ของตัวตนอันศักด์ิสิทธ์ิของชิวเยว่ที่ข้างกายก็
ได้ขัดขวางเขาไม่ให้ขยับไปแม้แต่นิ้วเดียว
“อาาา”
“ไว้ชีวิตข้า”
“ได้โปรด ข้าจักทำทุกอย่างที่เจ้าต้องการ”
คนของชนเผ่าสิงโตอ้อนวอนขอความเมตตาจากซูหยาง แต่น่า
เสียดายเขาไม่สนใจเสียงร่ำร้องของพวกนั้นแม้แต่น้อยในเมื่อพวก
นั้นไม่สนใจคำอ้อนวอนจากชนเผ่าที่พวกเขาเคยทำลายหลายสิบเผ่า
เช่นกัน
และเมื่อถึงตอนที่ซูหยางได้ฆ่าคนสุดท้ายจากชนเผ่าสิงโต ทั้งร่าง
หัวหน้าชือก็เกือบปกคลุมไปด้วยสีดำดูราวกับว่าเขาถูกเผาด้วยไฟ
นรก
“อย่ากังวล ข้ามิเดินทางไปฆ่าคนของเจ้าที่เหลือที่ตอนนี้อยู่ใน
หมู่บ้านชนเผ่าสิงโตอย่างแน่นอน”
“…”
หัวหน้าชือจ้องมองตรงไปที่ดวงตาของซูหยาง สายตาของเขาเต็มไป
ด้วยความเกลียดโศกเศร้าเสียใจ
“ทำไม…เจ้า…จึงทำ…เช่นนี้…” หัวหน้าชือใช้แรงเฮือกสุดท้ายที่มี
ในร่างถามเขา
“ทำไมนะรึ…” ซูหยางพูดอย่างเยือกเย็นด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า “นั่น
ง่ายดาย ก็เพราะว่ามีคนขอร้องให้ข้าช่วยและธรรมชาติของข้าไม่
ยอมให้ข้าวางเฉยต่อการร้องไห้ขอให้ช่วยจากสาวสวย โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งเมื่อมีน้ำตาหลั่งจากตาของเธอ”
หัวหน้าชือดวงตาเบิกกว้างด้วยความตระหนกไม่เชื่อ เขาไม่อยาก
เชื่อว่าเหตุผลของซูหยางในการฆ่าคนทั้งเผ่าเพียงเพราะแค่ต้องการ
ให้ผู้หญิงคนหนึ่งพอใจ
“อ๊าก”
หัวหน้าชือพลันกรีดร้องก่อนที่จะกระอักเลือดสีดำออกมาและล้มลง
ไปบนพื้น
หลังจากที่หัวหน้าชือตายซูหยางก็ดึงขวานมังกรดำออกจากมือของ
หัวหน้าชือและโยนมันเข้าไปในแหวนมิติ
แต่ทว่าก่อนที่เขาจะทำได้ขยับ ร่าง ๆ หนึ่งก็ลงมาจากท้องฟ้ามายืน
อยู่ตรงหน้าเขา
“ขอโทษหนุ่มน้อย แต่ข้าเชื่อว่าขวานนั่นเป็นของชนเผ่ามังกร ข้าจัก
ประทับใจมากหากเจ้าสามารถคืนมันให้กับเรา” หัวหน้าหลงพูดกับ
เขาด้วยสีหน้าเป็นมิตร
“…”
ซูหยางหันกายอย่างช้า ๆ และมองไปที่ดวงตาของหัวหน้าหลงและ
กล่าวว่า “เจ้ามั่นใจเรื่องนั้นรึ ถ้าขวานนั้นเป็นของชนเผ่ามังกรเหตุใด
มันจึงไปอยู่ในมือของหัวหน้าชนเผ่าสิงโตไม่มากไม่น้อยไปกว่า
นั้น”
หัวหน้าหลงขมวดคิ้วเมื่อได้ยินถ้อยคำของซูหยาง เขาพูดว่า “ใช่
เพราะว่าข้าเป็นคนที่ให้เขายืมขวานมังกรดำ ได้โปรดมันเป็นสมบัติ
ที่หาใดแทนไม่ได้สำหรับชนเผ่ามังกร”
“เป็นเรื่องน่าเสียดายที่เพื่อนของเจ้าสูญเสียสมบัติอันมีค่าเช่นนั้น” ซู
หยางพูด “คราวหน้าอย่าให้ยืมสิ่งของที่เจ้าไม่สามารถที่จะสูญเสียได้
ให้กับผู้อื่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคนพวกนั้นไม่ใช่คนที่เชื่อถือได้”
“…”
หัวหน้าหลงพูดไม่ออก เหตุผลเดียวที่เขาให้หัวหน้าชือยืมขวานมังกร
ดำก็เพราะเขามั่นใจว่าเขาสามารถนำมันกลับคืนมาได้อย่างง่ายดาย
แต่อนิจจาเขาไม่คาดว่าจะมีคนแบบซูหยางปรากฏตัวขึ้นในที่แห่งนี้
และเวลานี้ขโมยขวานมังกรดำไปต่อหน้าต่อตาตัวเขาเอง
อย่างไรก็ตามที่เขากล่าวไปเช่นนั้นเขาก็ไม่สามารถสูญเสียขวานมังกร
ดำมรดกตกทอดของชนเผ่ามังกรได้อย่างแท้จริงแม้ว่าเขาต้องเสี่ยง
ชีวิตบ้าง อย่าว่าคนแปลกหน้าอย่างเช่นซูหยาง
หัวหน้าหลงหันไปมองดูชิวเยว่ซึ่งเป็นความหวังเดียวที่เขาจะได้
ขวานมังกรดำกลับคืนมาและกล่าวว่า “ท่านเทพธิดาแม้ว่าข้าไม่รู้
ความสัมพันธ์ระหว่างท่านกับชายหนุ่มคนนี้ที่ขโมยขวานมังกรดำ
ซึ่งมีความสำคัญต่อชนเผ่ามังกรไปต่อหน้าต่อตา ท่านพอจะช่วยทำ
อะไรในเรื่องนี้ได้บ้างหรือไม่”
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะชิวเยว่ก็ตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ข้าไม่
ยุ่งเกี่ยวกับธุระของเจ้า ข้าคิดว่าข้าได้พูดเรื่องนี้ชัดเจนดีเรียบร้อยแล้ว”
หัวหน้าหลงดวงตาเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ นี่หมายความว่า
เธอจะไม่ยุ่งเกี่ยวถึงแม้ว่าเขาพยายามที่จะใช้กำลังนำขวานมังกรดำ
กลับมาจากซูหยาง พวกเขาเป็นพวกเดียวกันใช่หรือไม่
เขาหันไปมองดูซูหยางซึ่งก็กำลังมองมองกลับมาด้วยรอยยิ้มลึกลับ
บนใบหน้าเช่นเดียวกัน
“ดูเหมือนว่าข้าได้รับคำอนุญาตให้นำขวานมังกรดำของข้ากลับคืน
มาจากเจ้าโดยท่านเทพธิดา” หัวหน้าหลงกล่าว “นี่เป็นคำเตือนสำหรับ
เจ้า เจ้าอาจจะมีพรสวรรค์มากเป็นพิเศษทั้งยังสามารถเอาชนะหัวหน้า
ชือได้แต่เจ้ายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า”
“ข้าเพิ่งฆ่าคนที่มีพลังการฝึกปรือระดับเดียวกับเจ้า อะไรที่ทำให้เจ้า
คิดว่าเจ้าสามารถทำได้ดีกว่าอีกฝ่าย”
“แม้ว่าข้าเองก็อยู่ในระดับอัมพรวิญญาณเช่นเดียวกับหัวหน้าชือ แต่
ความสามารถของเรามิได้ใกล้เคียงกันเลย ดังนั้นจะเป็นการดีที่สุดถ้า
เจ้ามิได้ประมาทข้าโดยการเปรียบเทียบข้ากับเจ้าอ่อนหัวหน้าชือนั่น
หัวหน้าหลงพูดขณะที่เขาปลดปล่อยพลังการฝึกปรือออกมาจนทำ
ให้กระแสพลังจำนวนมากปรากฏออกมา
“อืม…ข้าเดาว่าเจ้าค่อนข้างจะดีกว่าเจ้านั่นเล็กน้อย อย่างไรก็ตามถ้า
เจ้าต้องการที่จะมีโอกาสได้อาวุธกลับคืนไปอย่างน้อยเจ้าต้องอยู่ใน
เขตราชันย์วิญญาณ” ซูหยางสามารถรู้สึกถึงแรงกดดันที่มองไม่เห็น
พยายามที่จะกดเขาลงกับพื้น แต่เขายังคงเยือกเย็นและยืนอยู่ที่นั่น
โดยไม่ขยับไปแม้แต่นิดเดียว
“เจ้าพูดเสียใหญ่โตสำหรับคนที่เพียงแค่สามารถฆ่าหัวหน้าชือเพราะว่า
กลเม็ดเล็กน้อยของเจ้า ตอนนี้เมื่อข้ารู้เกี่ยวกับพิษที่ฉาบอยู่ในอาวุธ
นั่น เจ้าจำเป็นต้องพยายามมากกว่านั้นในการเอาชนะข้า” หัวหน้า
หลงกล่าวด้วยความรอยยิ้มมั่นใจบนใบหน้า
“อย่างนั้นรึ…” ซูหยางมองดูแมงป่ องดำในมือของเขา
จากนั้นซูหยางก็นำเอาแหวนมิติออกมาและเก็บแมงป่ องดำไว้ในนั้น
สร้างความมึนงงให้กับหัวหน้าหลงและผู้คนที่นั่น
“ครั้งนี้เจ้ามีกลเม็ดอะไรที่จะเอามาใช้” หัวหน้าหลงขมวดคิ้ว
“ไม่มีกลเม็ดอะไรที่นี่ ในเมื่อเจ้าอ้างว่าข้ามิสามารถเอาชนะเจ้าโดย
ปราศจากแมงป่องดำ ข้าก็จักเอาชนะเจ้าโดยไม่ใช้มัน” ซูหยางตอบ
ด้วยสีหน้าเยือกเย็น
“ฮ่าฮ่าฮ่า…” หัวหน้าหลงอดที่จะหัวเราะให้กับความหยิ่งยโสของซู
หยางไม่ได้
“ความโอหังนั่นย่อมหมายถึงความตายของเจ้า” หัวหน้าหลงตะโกน
ก่อนที่จะพุ่งไปข้างหน้าในทันที
บทที่ 444 เจ้าอสูรร้ายนี่มาจากไหน
หัวหน้าชือกระโดดสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าและฟาดลงมายังซูหยางด้วย
ขวานมังกรดำที่ปลดปล่อยกระแสพลังกดดัน
“มังกรทำลายสิ้น”
เมื่อยามที่หัวหน้าชือเหวี่ยงขวานมังกรดำนั้นก็เหมือนกับว่ามีแรง
กดดันที่มองไม่เห็นได้พลันปรากฏขึ้นในหมู่บ้านชนเผ่าหมูป่ า จน
ทำให้ผู้คนต่างรู้สึกราวกับว่าตนเองกำลังถูกกดให้คุกเข่าลง
เมื่อเห็นขวานใหญ่ดิ่งตรงลงมาหาตนเอง ซูหยางก็ยกแมงป่องดำ
ขึ้นมาตรงหน้าเตรียมตัวกันการโจมตีจากหัวหน้าชือ
“เจ้าคิดว่าเจ้าสามารถหยุดยั้งขวานมังกรดำของข้าได้ด้วยมีดสั้น
กระจิดริดของเจ้ารึ”
เมื่อขวานมังกรดำเกือบถึงตรงหน้าซูหยาง ดวงตาของเขาก็เปล่ง
ประกายเหนือโลกและกระแสพลังของเขาก็ระเบิดออกในระดับที่ยิ่ง
กว่าเดิม
บูม
ขวานมังกรดำและแมงป่ องดำปะทะกันจนทำให้เกิดคลื่นกระแทกที่
ผลักทุกคนที่อยู่โดยรอบออกไปและครอบคลุมทั้งพื้นที่ด้วยฝุ่นสกปรก
สองสามอึดใจจากนั้นเมื่อฝุ่นสลายตัวลงและผู้คนสามารถที่จะเห็น
ร่างของทั้งคู่อีกครั้ง พวกเขาล้วนพากันตระหนกกับผลลัพธ์จากการ
ประทะ
“ป-เป็นไปไม่ได้” หัวหน้าชืออุทานขณะที่จ้องมองซูหยางด้วยดวงตา
เบิกกว้าง
ลืมเรื่องการเอาชนะซูหยางไปได้เลย เมื่อกระทั่งเขาเองก็มิสามารถที่
จะผลักอีกฝ่ายให้ถอยออกไปแม้ว่าจะใช้แรงมากมายเพียงไหน ราว
กับว่าเขาฟาดใส่ภูเขาที่หยั่งรากกับพื้นด้วยมือเปล่า
หัวหน้าชือเดินถอยหลังออกไปอย่างช้า ๆ เว้นระยะห่างระหว่าง
ตนเองจากซูหยางซึ่งเพียงแค่ยืนอยู่ที่นั่นด้วยท่าทางเยือกเย็น
“นี่เป็นการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของเจ้าแล้วรึ ดูเหมือนว่าข้าจะ
ประเมินความแข็งแกร่งของเจ้าสูงเกินไป” ซูหยางพูดด้วยรอยยิ้มเย้ย
หยัน
“ข้ามิรู้ว่าเจ้าใช้กลเม็ดอะไรในการป้องกันการโจมตีของข้า แต่ข้า
ยินดีที่จะพนันว่าเจ้าได้ใช้พลังทั้งหมดของเจ้าไปเมื่อกี้แล้วและเจ้าจัก
มิสามารถป้องกันการโจมตีถัดไปของข้าได้ ตายซะ”
หัวหน้าชือกำขวานมังกรดำแน่นและพุ่งเข้าไปหาซูหยางอีกครั้งด้วย
กระแสพลังรอบตัวที่รุนแรงกว่าเดิม
อย่างไรก็ตามก็เหมือนกับความพยายามครั้งก่อนหน้านั้น ซูหยาง
สามารถป้องกันการโจมตีของเขาด้วยพลังลึกลับที่เขาไม่สามารถ
เข้าใจได้
มันเหมือนกับว่าเขากำลังต่อสู้กับผนังที่เขาไม่สามารถทำลายได้
“ข้ามิเชื่อว่าเจ้าสามารถป้องกันได้ตลอด”
หัวหน้าชือคำรามและกล้ามเนื้อของเขาก็ขยายใหญ่บึกบึนขึ้น แขน
ของเขาใหญ่ราวกับหัวของเขาในตอนนั้น และร่างของเขาก็ปลดปล่อย
กระแสพลังที่น่าหวาดหวั่นที่เต็มไปด้วยจิตสังหาร
หลังจากนั้นเขาก็กระโดดใส่ซูหยางอีกครั้ง
“จู่โจมทลายภูผา”
หัวหน้าชือฟันขวานมังกรดำออกไปด้วยแรงทั้งหมดที่มี และขวานก็
เปล่งเสียงที่คล้ายกับมังกรคำราม
แต่ทว่าซูหยางไม่ได้ขยับในครั้งนี้ ตามความเป็นจริงเขายืนอยู่โดยไร้
การป้องกันราวกับว่ามีเจตนาที่จะรับการโจมตีนี้ด้วยร่างกายของเขา
เอง
“ฮ่าฮ่าฮ่า หรือว่าสุดท้ายเจ้านั่นได้ใช้พลังทั้งหมดไปแล้วและมิสามารถ
แม้กระทั่งยกนิ้วขึ้นมาได้ในตอนนี้”
แม้ว่านักรบชนเผ่าสิงโตพากันตกใจเมื่อซูหยางป้องกันการโจมตีของ
หัวหน้าของพวกเขาได้ถึงสองครั้งเมื่อกี้นี้แม้ว่าจะมีความแตกต่าง
ระหว่างพลังการฝึกปรือของทั้งคู่และรู้สึกค่อนข้างกังวลต่ออนาคต
แต่พวกเขาก็พากันหัวเราะอย่างโล่งอกเมื่อซูหยางหยุดเคลื่อนไหว
แต่ทว่าการหัวเราะก็หยุดลงในเวลาถัดไปเมื่อหัวหน้าชือก็หยุด
เคลื่อนไหวด้วยเช่นกัน
เขาอยู่ห่างออกไปเพียงแค่สองสามก้าวจากซูหยางแต่เขาก็พลัน
หยุดยั้งและยืนนิ่งราวกับว่าเขาเปลี่ยนไปเป็นรูปปั้น
“ดูเหมือนว่าสุดท้ายมันก็มีผล” ซูหยางพูดขณะที่เขาเดินก้าวไปอย่าง
ช้า ๆ ยืนอยู่ตรงหน้าของหัวหน้าชือ
“จะ…เจ้าทำ…อะไร…กับข้า…” หัวหน้าชือเค้นถ้อยคำเหล่านั้น
ออกมาจากปากในเมื่อเขามีความยากลำบากในการหายใจเหมือนมี
อะไรอุดตันอยู่ในลำคอ
“มันง่ายดายจริง ๆ ” ซูหยางชี้ไปที่หน้าท้องด้านซ้ายของหัวหน้าชือ
ซึ่งมีรอยกรีดเล็ก ๆ ขนาด 1 นิ้วอยู่ตรงนั้น
การบาดเจ็บเล็กน้อยนี้ที่ปกติแล้วไม่ถือแม้จะเป็นรอยข่วนสำหรับ
หัวหน้าชือได้ทำให้เขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้และไร้เรี่ยวแรง
“แมงป่ องดำของข้าเคลือบไว้ด้วยพิษร้ายที่แกร่งพอที่จะฆ่าผู้ฝึกวิชา
ในเขตอัมพรวิญญาณถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงรอยข่วนเพียงเล็กน้อย
แบบนั้น มันเกิดขึ้นในระหว่างที่เจ้าโจมตีข้าครั้งแรกและสุดท้ายมัน
ก็มีผลในตอนนี้”
“อีกไม่นานพิษก็จะแพร่กระจายไปทั่วร่างของเจ้าทำให้เลือดเป็นพิษ
ละลายกระดูก สุดท้ายก็ทำลายร่างกายของเจ้าจากภายในสู่ภายนอก”
ซูหยางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนขณะที่เขาเดินไปรอบ ๆ ร่างของ
หัวหน้าชือที่กำลังเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำ
“ในเมื่อเจ้าอยู่ในระดับสูงสุดของเขตอัมพรวิญญาณและมีร่างกายที่
แข็งแกร่งเพราะเนื้อวิญญาณที่เจ้าได้กินมาตลอดชีวิต เจ้าจักมีเวลา
อีก 2-3 นาทีที่จะมีชีวิตก่อนที่พิษจะฆ่าเจ้า”
ซูหยางยืนอยู่ตรงหน้าหัวหน้าชืออีกครั้งและจ้องมองไปในดวงตาอีก
ฝ่ายด้วยสีหน้าจริงจัง
“ในเวลา 2-3 นาทีนี้ข้าจักให้เจ้าดูอย่างสิ้นหวังขณะที่ข้าเข่นฆ่าชนเผ่า
ของเจ้า”
“เจ้า… เจ้าอสูรร้าย…” หัวหน้าชือคำรามเสียงต่ำพยายามที่จะยับยั้ง
ความเจ็บปวดในร่างที่กำลังเพิ่มความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
ซูหยางไม่สนใจถ้อยคำของเขาและหันไปมองคนของชนเผ่าสิงโต
ซึ่งทุกคนกำลังจ้องมองเขาด้วยสีหน้าหวาดกลัว
“หัวหน้าแพ้แล้ว ว-วิ่งหนีเร็วก่อนที่เจ้านั่นจะฆ่าพวกเราทั้งหมด”
ชนเผ่าสิงโตเริ่มดิ้นรน สิ่งที่พวกเขาทั้งหมดมีอยู่ในใจในตอนนี้ก็คือ
หนีไปให้พ้นจากซูหยางซึ่งตัวตนของเขาตอนนี้น่ากลัวยิ่งกว่าเทพธิดา
ชิวเยว่
อย่างไรก็ตามก่อนที่พวกเขาจะสามารถออกไปพ้นจากหมู่บ้านชน
เผ่าหมูป่าซูหยางก็ใช้ก้าวเก้าดาราติดตามไปฆ่าพวกเขา
“อาาาาาา”
หัวหน้าชือร่ำร้องด้วยความเจ็บปวดและเสียใจขณะที่เฝ้าดูร่างไร้ชีวิต
ของคนของตนเองทอดกายลงบนพื้น เขาไม่เพียงต้องทนกับความ
เจ็บปวดจากพิษร้ายที่กำลังทำลายร่างกายของเขาอย่างรวดเร็วแต่ยัง
ต้องทนกับความเจ็บปวดของการสูญเสียคนในชนเผ่าของตนเอง มัน
เป็นความรู้สึกที่ไม่มีใครสามารถจินตนาการได้
“จ-เจ้าอสูรร้ายนี่มาจากไหนกัน…” หัวหน้าหลงมองฉากนี้จากเบื้อง
บนด้วยสีหน้าหวาดกลัว
บทที่ 443 เทพธิดากลับคืนมาแล้ว
“รอสักครู่…มีดสั้นในมือเจ้า…” หัวหน้าชือพลันสังเกตกลิ่นอายอัน
กดดันมาจากแมงป่องดำในมือซูหยาง
“เจ้าก็มีอาวุธวิญญาณระดับสวรรค์เช่นกันรึ”
“ถ้าพวกขี้แพ้แบบเจ้าสามารถมีได้ ทำไมข้าจึงมีบ้างมิได้เล่า” ซูหยาง
กล่าว
“ฮ่าฮ่าฮ่า แม้ว่ามันจะทำให้ข้าประหลาดใจอยู่เล็กน้อย แต่ผลลัพธ์
การต่อสู้นี้ก็มิเปลี่ยน ต่อให้เจ้ามีอาวุธวิญญาณระดับสวรรค์ เจ้าก็มิ
สามารถเอาชนะข้าได้ ความแตกต่างระหว่างเรานั้นกว้างเกินไป
อย่างไรก็ตามถ้าเจ้าให้อาวุธนั่นแก่เจ้าและเดินจากที่แห่งนี้ไปในตอนนี้
ข้าจักไว้ชีวิตเจ้า” หัวหน้าชือกล่าว
แต่ทว่าซูหยางเพียงแค่ยิ้มและกล่าวว่า “ข้าเห็นด้วยกับเจ้าอย่างหนึ่ง
ที่ว่าความแตกต่างระหว่างเรานั้นกว้างเกินไป”
จากนั้นเขาก็ชี้แมงป่ องดำไปที่หัวหน้าชือแล้วกล่าวต่อว่า “แม้ว่าเจ้า
จะอยู่ในระดับสูงสุดของเขตอัมพรวิญญาณ เจ้าก็เพียงแค่ได้รับพลัง
จากการกินเนื้อวิญญาณมาตลอดชีวิต ก็เหมือนคนผอมที่ขุนตัวเอง
จนอ้วนและได้รับความแข็งแกร่งบ้างจากน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น นั่นมิใช่
ความแข็งแกร่งที่แท้จริง”
“ในเวลาเดียวกัน ข้าได้ฝึกฝนหนึ่งในวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า
ทำให้ข้ามีพลังวิญญาณที่บริสุทธ์ิและเข้มข้น ตามความเป็นจริงหาก
เปรียบกับผู้ฝึกวิชาในเขตอัมพรวิญญาณในทวีปตะวันออก เจ้าเพียง
แค่พอที่จะแข็งแกร่งกว่าผู้ที่อยู่ในระดับต้น ๆ ของเขตอัมพรวิญญาณ
ทั้งที่อยู่ในระดับสูงสุดของเขตอัมพรวิญญาณ แท้จริงแล้วมันค่อนข้าง
น่าขันที่เจ้าทำตัวหยิ่งยโสทั้งที่สุดแสนจะอ่อนแอ”
“จ-เจ้าเด็กเวร…” หัวหน้าชือใบหน้าแดงก่ำและเส้นเลือดปูดโปน
เมื่อตอนที่ซูหยางพูดเยาะเย้ยจบ ร่างของเขาสั่นสะท้านไปด้วยความ
โกรธ เขาไม่เคยถูกหมิ่นถึงระดับนี้มาก่อน ยิ่งมาจากรุ่นเยาว์อีกด้วยซ้ำ
“ถ้าข้ามิหั่นเจ้าให้เป็นชิ้นและป้อนเจ้าให้กับสุนัข ข้าจักมิใช่หัวหน้า
ชือของชนเผ่าสิงโตอีกต่อไป ตาย” หัวหน้าชือพลันพุ่งเข้าไปหาซู
หยางด้วยขวานมังกรดำที่เปล่งแสงอันตรายออกมา
แต่ทว่าก่อนที่เขาจะทันได้ก้าวไปถึงสองก้าว หัวหน้าชือก็พลันหยุด
เคลื่อนที่และเริ่มสั่นสะท้านด้วยความกลัวราวกับว่าเขากลัวที่จะก้าว
“หือ”
เมื่อเห็นพฤติกรรมที่แปลกไปของอีกฝ่ายซูหยางก็เลิกคิ้วจากนั้นก็
มองไปยังท้องฟ้าที่ซึ่งมีคนสองคนกำลังจ้องมองลงมาจากบนอากาศ
เหนือพวกเขา
นั่นคือชิวเยว่กับหัวหน้าหลง
“ท-ท่านเทพธิดา”
“นั่นท่านเทพธิดา เธอกลับมาแล้ว”
เมื่อคนจากชนเผ่าหมูป่าสังเกตเห็นการปรากฏตัวของชิวเยว่ ไม่ว่าจะ
เป็นคนจากชนเผ่าหมูป่าหรือว่าชนเผ่าสิงโตพวกเขาทุกคนล้วนหยุด
การต่อสู้และคำนับเธอ
ทั่วทั้งสถานที่พลันเงียบลงไปในฉับพลันหลังจากที่เธอมาถึง ไม่มี
ใครกล้าที่จะพูดและรอให้ชิวเยว่พูดก่อน
“ท่านจะทำอะไรในเรื่องนี้ ท่านเทพธิดา” หัวหน้าหลงถามเธอ
ชิวเยว่หันไปมองซูหยางก่อนที่จะมองไปยังหัวหน้าหลงและกล่าวว่า
“ข้าได้บอกเจ้าแล้วมิว่าจะเกิดอะไรขึ้นระหว่างชนเผ่าก็มิใช่ธุระที่ข้า
จะต้องใส่ใจ ดังนั้นข้าจักมิยุ่งเกี่ยว”
“ข้าเข้าใจแล้ว…” หัวหน้าหลงถอนใจหลังจากที่ได้ยินคำพูดของชิว
เยว่
แต่เมื่อคนจากชนเผ่าหมูป่ าได้ยินคำพูดของเธอ ความสิ้นหวังก็พลัน
ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพวกเขาทุกคนราวกับว่าพวกเขาถูกพระ
เจ้าทอดทิ้ง
“ไม่นะ…” กระทั่งชิวเหลียงหยูก็อดที่จะเชื่อหูของตนเองไม่ได้ และ
เธอหันไปมองดูซูหยางซึ่งยังคงนิ่งเฉย
“ฮ่าฮ่าฮ่า พวกเจ้าได้ยินนั่นหรือไม่ ทุกคน ท่านเทพธิดาจักมิยุ่งเกี่ยว
กับพวกเรา ดังนั้นพวกเราสามารถทำทุกสิ่งได้เต็มที่” หัวหน้าชือ
ตะโกนออกมาดัง ๆ และคนจากชนเผ่าสิงโตก็คำรามด้วยความตื่นเต้น
“ชินเหลียงหยู ข้าจักให้โอกาสเจ้าเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ข้าจักทำลาย
หมู่บ้านของเจ้า ถ้าเจ้ายอมเชื่อฟังมากับข้าและเป็นผู้หญิงของข้า ข้า
จักยอมทำลายเพียงครึ่งหนึ่งของชนเผ่าหมูป่ า แต่ถ้าเจ้าปฏิเสธข้าจัก
มิเพียงทำลายที่แห่งนี้จนหมดสิ้นและฆ่าทุกคนที่นี่แต่ข้าจักยังคง
ทำลายเจ้าด้วยเช่นกันทั้งร่างกายและจิตใจ ฮ่าฮ่าฮ่า”
“…”
ชินเหลียงหยูกัดริมฝีปากจนเลือดไหล รู้สึกไร้อำนาจอย่างสิ้นเชิงใน
สถานการณ์นี้
“ท่านว่าอย่างไร ซูหยาง”
ท่ามกลางเสียงอึกทึกจากชนเผ่าสิงโต ชิวเยว่พลันพูดขึ้น
“ท่านจะทำอะไรต่อไป” เธอถามเขา
“เจ้าต้องการคำตอบของคำถามนี้จริงรึ” ซูหยางยิ้ม
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชิวเยว่ “เช่นนั้นท่านต้องการความ
ช่วยเหลือหรือไม่”
“มิจำเป็นข้าสามารถจัดการกับสิ่งพวกนี้ได้ด้วยตนเอง”
“ก-เกิดอะไรขึ้นกันนี่” หัวหน้าหลงดูความคืบหน้าของสถานการณ์
ด้วยสีหน้ามึนงง
“เฮ้เจ้าเด็กเล่นขวาน ก่อนที่ข้าจะตัดสินใจว่าข้าควรฆ่าพวกเจ้าทั้งหมด
หรือว่าไว้ชีวิตของพวกเจ้า ทำไมเจ้ามิบอกข้าเหตุผลที่เจ้ารุกรานชน
เผ่าอื่นก่อนสักหน่อยล่ะ” ซูหยางถามอีกฝ่าย
“เหตุผลนะรึ…” หัวหน้าชือเลิกคิ้ว “ข้ามีหลายเหตุผลในใจอย่างเช่น
ต้องการที่จะเป็นใหญ่ในทวีปใต้ หรือต้องการให้ชนเผ่าสิงโตกลาย
เป็นชนเผ่าที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ถ้าให้ข้าหยิบเหตุผลที่แท้จริงในเรื่อง
นั้น… นั่นก็จักต้องเป็นเพราะว่าข้าชอบที่จะทำลายทุกสิ่ง ฮ่าฮ่าฮ่า”
“…”
“เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าชนเผ่าสิงโต พวกเจ้าก็ทำสิ่งเหล่านี้ง่าย ๆ ก็เพราะ
ว่าพวกเจ้าต้องการที่จะทำลายทุกสิ่งเช่นกันรึ” ซูหยางถามพวกเขา
“แน่นอน มีเหตุผลอะไรอีกที่พวกเราจักต้องทำสิ่งนี้ล่ะ” คนเหล่านั้น
พากันคำรามด้วยความตื่นเต้น
“ข้าเข้าใจแล้ว…” ซูหยางหลับตาและถอนหายใจ
เมื่อเขาลืมตาขึ้นมาหลังจากนั้น มันก็เป็นประกายการฆ่าฟันและร่าง
ของเขาก็แผ่กระแสพลังที่ทรงอำนาจเต็มไปด้วยความน่าหวาดกลัว
“พ-พลังนี้แผ่มาจากเขารึ” หัวหน้าชือรู้สึกถึงกลิ่นไออันตรายมาจาก
ซูหยางและสัญชาตญาณบอกเขาว่าให้หันกายหนีไป
“เฮ้ เจ้ารออะไรอยู่” ซูหยางพลันกล่าวกับเขาด้วยเสียงเรียบเฉยที่ไม่
เข้ากับประกายความคิดฆ่าฟันในดวงตาของเขา
“ข้าได้รอให้เจ้าแสดงการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของเจ้ามาตลอดเวลา
เจ้าจักทำให้ข้ารออีกนานเท่าไหร่ ถ้าเจ้ามิโจมตีข้าก่อนที่ข้าฆ่าเจ้า
นั่นจะเหมือนกับว่าข้ารังแกคนอ่อนแอไร้เรี่ยวแรง”
“จ-เจ้า… ในเมื่อเจ้าต้องการตายนัก ข้าย่อมยินดีที่จะทำให้เจ้าได้สม
ประสงค์” หัวหน้าชือคำรามด้วยแรงทั้งหมดที่มี และกระแสพลังที่
กดดันก็พวยพุ่งออกมา ทำให้เหมือนกับว่าร่างของเขานั้นมีขนาด
เพิ่มขึ้น
“ลิ้มรสขวานมังกรดำของข้า เจ้าเด็กเลวไร้ค่า” หัวหน้าชือตะโกน
ขณะที่เขากระโดดไปหาซูหยาง
บทที่ 442 การรุกรานของชนเผ่าสิงโต
“ใจเย็น ๆ หัวหน้าชิน” ซูหยางกล่าวกับเธอซึ่งมีใบหน้าเต็มไปด้วย
น้ำตาในขณะนั้น
จากนั้นเขาก็นำเอาเรือบินออกมาจากแหวนมิติและกล่าวต่อว่า “ถ้า
เราเดินทางด้วยเรือบินนี้ พวกเราจะไปถึงหมู่บ้านชนเผ่าหมูป่ า
ภายในไม่กี่นาที ดังนั้นอย่าเพิ่งสิ้นหวังแบบนั้น”
“จ-จริงรึ” ชินเหลียงหยูมองดูเขาทำตาแดงและพูดว่า “โปรดช่วยชน
เผ่าหมูป่ าของข้าด้วย ข้ายินดีทำทุกอย่างเพื่อแลกเปลี่ยนกับการ
ช่วยเหลือของท่าน”
ซูหยางพยักหน้าและกระโดดขึ้นไปบนยานบินพร้อมกับสองสาว
ก่อนที่พวกเขาจะรีบเดินทางกลับไปยังหมู่บ้านชนเผ่าหมูป่ า
ในเวลานั้นสองสามชั่วโมงก่อนที่ชนเผ่ามังกร ชิวเยว่ก็ได้เสร็จสิ้น
การอ่านม้วนคัมภีร์ทั้งหมดในกระท่อมและเตรียมตัวที่จะกลับไปยัง
ชนเผ่าหมูป่า
“ข้าหวังว่าท่านจะพบข้อมูลที่ท่านค้นหา ท่านเทพธิดา” หัวหน้าหลง
ยืนอยู่ด้านนอกตอนที่เธอออกมา ราวกับว่าเขาได้รอให้ชิวเยว่เสร็จ
งานตลอดเวลามานี้
“ข้าได้ทุกอย่างที่ต้องการแล้ว ขอบคุณสำหรับข้อมูล”
“ท่านจะไปตอนนี้เลยรึ ท่านเทพธิดา ข้าพอจะถามได้ไหมว่า ท่านจะ
ไปไหน” หัวหน้าหลงถามเธอ
“ข้ากำลังจะกลับไปยังชนเผ่าหมูป่ า เจ้ามีปัญหาเรื่องนี้รึ” ชิวเยว่
มองดูอีกฝ่ายพร้อมกับหรี่ตา
“ข้ามิกล้า” หัวหน้าหลงรีบส่ายหน้า และเขากล่าวต่อว่า “อย่างไรก็
ตามข้าผู้ต่ำต้อยนี้ต้องการที่จะไปส่งท่านเทพธิดากลับไปยังชนเผ่า
หมูป่า”
“ทำไมเจ้าจึงต้องการทำอะไรแบบนี้ ข้ามิต้องการให้เจ้าไปส่ง” ชิว
เยว่ปฏิเสธข้อเสนอของเขา
“ข้าก็มีธุระบางอย่างกับชนเผ่าหมูป่ า ดังนั้นข้าก็จักจำต้องไปเยี่ยม
พวกเขามิช้าก็เร็ว” หัวหน้าหลงกล่าว
แน่นอนว่าเหตุผลที่เขาติดตามเธอไปยังชนเผ่าหมูป่ านั้นเป็นเพียง
ข้ออ้าง จริงแล้วหัวหน้าหลงต้องการที่จะไปที่นั่นเพื่อจะดูว่าชิวเยว่
จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการรุกรานของชนเผ่าสิงโตหรือไม่
“ตามใจ แต่ข้ามิรอเจ้า” ชิวเยว่กล่าวขณะที่เธอกระโดดขึ้นไปบน
อากาศก่อนที่จะเหาะไปยังหมู่บ้านชนเผ่าหมูป่ า
ในเวลานั้นบนเรือบินของซูหยาง ถังหลินชีก็เริ่มถอดเสื้อผ้าที่เปื้อน
เลือดออกอย่างไม่ใส่ใจเผยให้เห็นร่างกายที่แบบบางและผิวกายอัน
สมบูรณ์
“เจ้ามั่นใจว่านี่มิได้ผิดสัญญากับหงอวี้เอ๋อร์” ซูหยางถามเธอด้วย
รอยยิ้ม แน่นอนว่าสายตาของเขาไม่ได้มองไปที่อื่นและเพียงมอง
ตรงไปยังที่ร่างอ้อนแอ้นของเธอ
“ข้าเพียงสัญญาเธอว่าข้าจักมิทำลายพรหมจรรย์ของเธอ การแสดง
ให้เห็นผิวกายนิดหน่อยให้กับคู่หมั้นของเธอมิได้เกี่ยวข้องกับเรื่อง
นั้น นอกจากว่าเจ้าจักตะครุบข้าในตอนนี้ที่เหลือก็ไม่เป็นอะไร” ถัง
หลินชียิ้มตอบเขา
สองสามนาทีหลังจากนั้น ก่อนที่เรือบินจะไปถึงหมู่บ้านหมูป่ า ซู
หยางและพวกของเขาก็สังเกตเห็นแสงสีแดงยิงตรงขึ้นสู่ท้องฟ้า
ก่อนที่จะระเบิดออกจนสว่างไสว
“นั่นคืออะไร” ซูหยางถาม
“น-นั่นคือสัญญาณฉุกเฉินของชนเผ่าหมูป่า พวกเขากำลังตกอยู่ใน
อันตราย ต้องเป็นชนเผ่าสิงโตแน่” ชินเหลียงหยูอุทานออกมา
หลังจากที่เห็นสัญญาณ ใบหน้าเธอเต็มไปด้วยความกังวล
ในเวลานั้นภายในหมู่บ้านชนเผ่าหมูป่ าเกิดภาพเหตุการณ์ความ
วุ่นวายเมื่อคนจากชนเผ่าหมูป่ากำลังป้องกันตนจากชนเผ่าสิงโต
อย่างสิ้นหวัง
มีเลือดสาดอยู่ทั่วทุกแห่งหน ศพจากทั้งสองชนเผ่าเรี่ยราดกระจัด
กระจายทั่วพื้น
“เจ้าบ้าไปแล้วรึ หัวหน้าชือ พวกเรามีท่านเทพธิดาปกป้องอยู่ ทำไม
เจ้าจึงกล้าโจมตีพวกเราในขณะที่ท่านเทพธิดายังอยู่ที่นี่” เลอเป่ า
ตะโกนขณะที่เขาต่อสู้กับหัวหน้าของชนเผ่าสิงโต
“ถ้าเทพธิดาของเจ้าอยู่ที่นี่ ทำไมเธอจึงยังมิมาแทรกแซงล่ะ คำตอบ
ชัดเจนราวกับกลางวันว่าเธอมิได้สนใจในการปกป้องชนเผ่าหมูป่ า”
หัวหน้าชือคำรามหัวเราะออกมาขณะที่เขากระแทกเลอเป่ าด้วยความ
แข็งแกร่งของระดับสูงสุดของเขตอัมพรวิญญาณ
“อา”
เลอเป่าครางออกมาด้วยความเจ็บปวดหลังจากที่ถูกกระแทก รู้สึกว่า
กระดูกในร่างบางชิ้นแตกหักจากแรงปะทะ
“เจ้าเป็นนักรบที่ดี เลอเป่ า หนึ่งในคนที่ดีที่สุดในชนเผ่าหมูป่ า นั่นทำ
ให้ข้าสงสัยว่าทำไมเจ้าจึงยังมิได้เปลี่ยนหัวหน้าชินให้กลายเป็นผู้หญิง
ของเจ้าและกลายเป็นหัวหน้าคนใหม่ของชนเผ่าหมูป่า” หัวหน้าชือ
กล่าว
“ถ้าข้าอยู่ในฐานะของเจ้า ข้าคงจักเอาชนะเธอและทำให้เธอกลายเป็น
ผู้หญิงของข้านานแล้ว”
หัวหน้าชือพลันยื่นมือออกมาและกล่าวต่อว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าชอบเธอ
เลอเป่ า ทิ้งชนเผ่าหมูป่ าและเข้าร่วมกับชนเผ่าสิงโตของข้า ถ้าเจ้าทำ
เช่นนั้นข้าจักทำให้ชินเหลียงหยูเป็นหญิงของเจ้า”
“อ-อะไรนะ…” เลอเป่ามองดูอีกฝ่ายด้วยสายตาตกตะลึง “เจ้าต้องการ
ให้ข้าทรยศชนเผ่าหมูป่ างั้นรึ… เจ้าบ้าไปแล้วจริง ๆ ”
“แน่นอนว่าเจ้าสามารถปฏิเสธ อย่างไรก็ตามจงจำไว้ว่าถ้าเจ้าปฏิเสธ
ข้าจักฆ่าเจ้าที่นี่และยึดเอาชินเหลียงหยูมาเป็นของข้าแทน ไม่ว่า
อย่างไรมันยากที่จะหาหญิงที่มีคุณภาพเท่ากับเธอในพื้นที่แถบนี้”
“เจ้าจักมิมีวันได้สิ่งนั้น” เลอเป่ าคำรามขณะที่เขาพุ่งเข้าไปหาหัวหน้า
ชือโดยไม่สนใจความเจ็บปวดบนร่าง
“อย่างไรก็ตาม ข้าคิดสงสัยว่า หัวหน้าเจ้าชินเหลียงหยูอยู่ที่ไหน ข้า
มิได้เห็นเธอนับตั้งแต่มาที่นี่ บางทีเธออาจจะหนีเอาตัวรอดไปแล้ว
ทิ้งชนเผ่าหมูป่าที่เหลืออยู่รับมือกับพวกเราในขณะที่เธอหลบหนี”
“ฮ่าฮ่าฮ่า มิเหมือนมิเหมือนกับพวกตาขาวอย่างเจ้าที่เพียงได้แต่ยืม
กำลังของผู้อื่น หัวหน้าชินย่อมมิทำอะไรเช่นนั้น”
“มิมีความหมายอะไรที่เธอจะซ่อนตัวหรือหนีไป เพราะว่าตราบ
เท่าที่เธอยังอยู่ในทวีปใต้ ข้าย่อมพบเธอแน่” หัวหน้าชือพูดด้วยเสียง
ข่มขู่ขณะที่ดึงเอาขวานขนาดใหญ่ออกมาจากด้านหลัง
“จ-เจ้าได้รับอาวุธวิญญาณนั่นมาจากไหน” เลอเป่าสั่นสะท้านด้วย
ความกลัวหลังจากที่รับรู้ถึงกลิ่นอายน่าหวาดหวั่นปลดปล่อยออกมา
จากขวานสีดำในมือของหัวหน้าชือ
“เจ้าชอบมันรึ มันเป็นของขวัญเล็กน้อยจากเพื่อนของเราชนเผ่ามังกร
มันเรียกว่าขวานมังกรดำ อาวุธวิญญาณระดับสวรรค์”
“ไอ้สารเลว…” เลอเป่าตวาดออกไปพร้อมกับเส้นเลือดสีแดงใน
ดวงตา
“เจ้าควรภูมิใจในเมื่อเจ้าจักเป็นคนแรกที่ข้าฆ่าด้วยขวานมังกรดำ”
หัวหน้าชือยกขวานขึ้นกลางอากาศอย่างช้า ๆ
“อย่ากังวลข้าจักดูแลชินเหลียงหยูแทนเจ้า ข้าจักสนุกกับร่างของเธอ
แทนเจ้าเช่นกัน ลาก่อน เลอเป่า”
หัวหน้าชือจ้องมองลงไปยังเลอเป่ าด้วยรอยยิ้มโหดเหี้ยม
“ข้าขอโทษ หัวหน้าชิน… ข้ามิสามารถที่จักรักษาคำสัญญาของข้า
ได้…” เลอเป่ าพึมพัมและหลับตาลง
“ตายไปซะ”
หัวหน้าชือตะโกนขณะที่เหวี่ยงขวานลงไปด้วยแรงมหาศาล
ในตอนนั้นเองที่มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นมาจากท้องฟ้า
“เลอเป่า”
เมื่อได้ยินเสียงอันคุ้นเคยนี้ เลอเป่ าก็ลืมตาขึ้นและมองขึ้นไปหวังว่า
จะเห็นหน้าของชินเหลียงหยู
แต่ทว่าสิ่งที่เขาเห็นไม่ใช่ชินเหลียงหยู แต่เป็นหลังของร่างสูงโปร่ง
ซึ่งยืนอยู่ระหว่างเขากับหัวหน้าชือ ราวกับเป็นขุนเขา
“จ-เจ้าเป็นใครกัน เจ้าสารเลว” หัวหน้าชือดวงตาเบิกกว้างด้วยความ
ตระหนกเมื่อมีชายหนุ่มจากไหนก็ไม่รู้มาป้องกันขวานมังกรดำของ
เขาด้วยมีดเล็ก ๆ สีดำ
“ที่เจ้ามีนั่นเป็นอาวุธที่ดี เจ้าคงมิถือถ้าข้าจะเอาไปหลังจากที่ข้าฆ่าเจ้า
ใช่ไหม”ซูหยางพูดด้วยรอยยิ้มเยือกเย็นบนใบหน้า
“เจ้าจักฆ่าข้ารึ… ฮ่าฮ่าฮ่า”
หัวหน้าชือกระโดดถอยหลังและทิ้งระยะห่างระหว่างพวกเขาขณะที่
หัวเราะ
“เจ้าเพียงอยู่ที่ระดับสามเขตอัมพรวิญญาณ ในขณะที่ข้าอยู่ที่ระดับ
เก้า คนไร้ค่าอย่างเจ้าจะทำอะไรข้าได้รึ อย่าอวดดีเพียงเพราะว่าเจ้า
สามารถป้องกันการโจมตีที่กระจอกที่สุดของข้าได้อย่างมิทันตั้งตัว”
“เช่นนั้นทำไมเจ้ามิรีบแสดงให้ข้าเห็นถึงกระบวนท่าที่แข็งแกร่ง
ที่สุดของเจ้าล่ะ” ซูหยางตอบกลับด้วยเสียงไม่ใส่ใจ
บทที่ 441 คำสาปของเทพอาชูร่า
ในจำนวนเจ็ดคนจากชนเผ่าสิงโตที่ล้อมถังหลินชีไว้ ห้าคนเพียงแค่
อยู่ในเขตสัมมาวิญญาณในขณะที่อีกสองคนนั้นอยู่ในเขตปฐพี
วิญญาณ
สำหรับคนที่อยู่ในเขตอัมพรวิญญาณ ถังหลินชีสามารถฆ่าพวกนั้น
ได้ทั้งหมดในพริบตาต่อให้เธอมือไพล่หลัง อย่างไรก็ตามเพราะว่ามี
ความแตกต่างในความแข็งแกร่งระหว่างกัน ยามจึงไม่สามารถที่จะ
เห็นความแข็งแกร่งที่แท้จริงของถังหลินชีได้ดังนั้นจึงประมาทในตัว
เธอไม่ได้สนใจถึงอันตรายที่ตนเองกำลังเผชิญอยู่แม้แต่น้อย
“คนรักของเจ้าค่อนข้างขี้ขลาด เขาทิ้งเจ้าโดยมิคิดแม้แต่น้อย ฮ่าฮ่า”
“ทำไมเจ้ามิมากับพวกเราล่ะ พวกเราย่อมมิปล่อยเจ้าไว้เพียงลำพัง
แม้แต่วินาทีเดียว”
พวกยามหัวเราะเสียงดังลั่นหลังจากที่เห็นซูหยางทิ้งระยะห่างจากถัง
หลินชี คิดว่าเขาวิ่งหนีไป
“อันดับแรกสุด…”
ท่ามกลางเสียงหัวเราะของคนพวกนั้นถังหลินชีก้าวไปข้างหน้าหนึ่ง
ก้าวและหายไปจากสายตาของยามราวกับว่าเธอเปลี่ยนไปเป็นผี
“เขามิใช่คนรักแต่เป็นสามีของข้า”
ถังหลินชีพลันปรากฏตัวด้านหลังผู้มีฝีมือเขตปฐพีวิญญาณและจับ
แขนของอีกฝ่าย
“หือ”
เมื่อเวลาที่ยามคนนั้นรู้ว่าตนเองถูกถังหลินชีจับอยู่ แขนของเขาก็ถูก
กระชากขาดออกจากไหล่แล้ว ทำให้ร่างของเขาสั่นสะท้านด้วย
ความตกใจ
“น่าขยะแขยง…” ถังหลินชีโยนแขนขาดทิ้งไปอย่างไม่ใส่ใจด้วยสี
หน้าขยะแขยง
หลังจากที่โยนแขนขาขาดทั้งหมดทิ้งไปเหมือนมันเป็นขยะ ถังหลิน
ชีก็จับหัวของยามและแยกมันออกจากตัวอย่างง่ายดายเช่นกัน ฆ่าอีก
ฝ่ายในทันใด
“…”
ชินเหลียงหยูรู้สึกอยากจะอาเจียนหลังจากที่เห็นฉากที่โหดร้ายต่อหน้า
แม้ว่าเธอจะได้เห็นเลือดและคราบเลือดมามากมายพอสมควรแล้ว
แต่เธอก็ยังไม่เห็นใครที่โหดร้ายกระหายเลือดเหมือนกับถังหลินชี
ต่างจากเทพธิดา เธอดูเหมือนคนที่ถูกเทพปีศาจเข้าสิงมากกว่า
ส่วนสำหรับยามทั้งหกจากชนเผ่าสิงโตนั้น ทุกคนล้วนจ้องมองไปที่
ถังหลินชีด้วยสีหน้าหวาดกลัวดูเหมือนกับว่าพวกเขากำลังเห็นสัตว์
อสูร
“มีอะไรผิดไปรึ” ถังหลิงชีหันไปมองดูเหล่ายามและเดินเข้าไปหา
พวกเขาอย่างช้า ๆ
แต่ทว่าทุกก้าวที่ถังหลินชีก้าวไปยังยามนั้น พวกเขาก็ก้าวถอยหนึ่ง
ก้าวเช่นกัน
“ทำไมพวกเจ้าจึงถอยห่างจากข้า ข้าคิดว่าพวกเจ้าต้องการที่จะสัมผัส
ร่างนี้มิใช่รึ” ถังหลินชีดวงตาเย็นเยียบเหมือนกับน้ำแข็ง และกลิ่น
อายที่น่าหวาดกลัวของเธอก็หลอกหลอนพวกนั้นเหมือนกับฝันร้าย
“ร-ร-ร-รอเดี๋ยว… น-นั่นต้องเป็นความเข้าใจผิด…” หนึ่งในพวกยาม
พลันกล่าวขึ้นด้วยเสียงสั่นสะท้าน
“เข้าใจผิดรึ ข้ามิได้คิดอย่างนั้น”
ถังหลินชีไล่ตามพวกเขาต่อไป
“ถือว่าพวกเจ้าโชคดีในเมื่อพวกเจ้าได้สัมผัสตัวข้าตอนที่ข้าฉีกแขน
ขาพวกเจ้าทั้งหมดออกจากร่างอันไร้ค่า…”
“ว-วิ่ง นังนี่เป็นอสูรร้าย”
ยามทั้งหกคนรีบหันกายและเริ่มวิ่งออกไปหกทิศทาง
แต่อย่างไรก็ตามภายใต้การฝึกปรือและวิชาการเคลื่อนไหวที่เหนือกว่า
ถังหลินชีจับหนึ่งในนั้นได้อย่างง่าย ๆ และจับแขนของอีกฝ่ายอย่าง
รวดเร็ว
“ด-ได้โปรดละเว้นข้า ข-ข้ามีลูกเมีย—อ๊าาาา”
ราวกับว่าถังหลินชีไม่ได้ยินคำพูดของเขา เธอเด็ดแขนอีกฝ่ายออก
จากร่างเหมือนกับผู้เคราะห์ร้ายคนก่อนหน้า
ยามล้มลงบนพื้นอย่างรวดเร็วและเมื่อถังหลินชียกขาขึ้นกระทืบลง
ไปบนหัวของอีกฝ่ายก็ทำให้มันระเบิดออกเป็นเลือดเนื้อเลอะเลือน
ทันใดนั้นหลังจากฆ่ายามคนนั้น เธอก็ไล่ตามคนถัดไป
สองสามอึดใจจากนั้นถังหลินชีก็ใช้แขนเจาะรูที่หน้าอกของยาม ดึง
หัวใจออกจากอกก่อนที่จะขยี้หัวใจจนมันระเบิดออกเหมือนมะเขือ
เทศ
“ดูเหมือนว่าคำสาปของเทพอาชูร่ากำลังแสดงผลแม้ว่าเธอจะอยู่ใน
ร่างอื่น…” ซูหยางพึมพำกับตัวเองขณะที่เขาดูถังหลินชีฉีกร่างของ
ศัตรูออกเป็นส่วน ๆ เหมือนสัตว์ป่าอย่างเยือกเย็น
“คำสาปของเทพอาชูร่ารึ…” ชินเหลียงหยูซึ่งได้ยินเขาพึมพำทำ
หน้าตางุนงง
“เธออยู่ในตระกูลที่เฉพาะตัวและมีสายเลือดที่แข็งแกร่งที่ทำให้เธอ
ข่มเหงผู้คนในใต้หล้าได้อย่างง่ายดาย อย่างไรก็ตามมีน้อยนักที่สิ่งของ
ในโลกนี้จะสมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง”
“แม้ว่าเธอจะมีความแข็งแกร่งอันมหาศาลเนื่องมาจากสายเลือดเฉพาะ
ตัว สายเลือดนั้นก็สาปร่างเธอเช่นกันด้วยคำสาปของเทพอาชูร่า ซึ่ง
จักทำให้ผู้คนมิสามารถควบคุมความกระหายเลือดได้ถ้าพวกเขาถูก
ยั่วยุ”
“นี่เป็นเหตุผลที่มิมีใครปรารถนาที่จะยั่วยุคนจากสายเลือดเทพอาชูร่า
เมื่อมันจักชักนำให้เกิดการนองเลือด”
อย่างไรก็ตามถังหลินชีไม่ได้อยู่ในร่างเธอจริง ๆ และร่างของหงอวี้
เอ๋อร์ก็ไม่ได้มีเลือดของอาชูร่าแม้สักหยด ดังนั้นจึงไม่สมเหตุผล
สำหรับถังหลินชีที่จะได้รับผลกระทบจากคำสาปในเวลานี้
“หรือว่าจริงแล้วคำสาปของเทพอาชูร่ามีผลต่อจิตวิญญาณแทนที่จะ
เป็นเลือด” ซูหยางครุ่นคิดอย่างเงียบ ๆ ขณะที่ถังหลินชีทำการเข่นฆ่า
ยามต่อไปด้วยวิธีการที่โหดเหี้ยมถึงที่สุด
เวลาผ่านไป เสียงกรีดร้องในบริเวณนั้นก็หยุดลงและถังหลินชีก็
กลับคืนมายังข้างกายของซูหยาง
อย่างไรก็ตามรูปลักษณ์ของเธอนั้นห่างไกลจากความสง่างามในเมื่อ
ใบหน้าและเสื้อผ้าของเธอเปื้อนไปด้วยเลือด ทำให้เธอดูเหมือนกับผู้
ฝึกวิชาชั่วร้ายที่น่าหวาดกลัว
“ข้าขอโทษที่เจ้าต้องมาเห็นสิ่งที่ไม่น่าดูเช่นนี้ ที่รัก เป็นเวลานานมาแล้ว
นับตั้งแต่มีคนกล้ายั่วยุข้าแบบนี้ ดังนั้นข้าจึงโกรธบ้างเล็กน้อย และ
ข้าก็มิได้คิดว่าคำสาปของเทพอาชูร่าจักมีผลต่อข้าตอนที่ข้ายังอยู่ใน
ร่างนี้” ถังหลินชีกล่าวกับเขา
“อย่างไรก็ตามก่อนที่ข้าจักฆ่าคนสุดท้าย ข้าได้ถามเขาว่าหัวหน้า
ของพวกเขาไปไหนกัน…” เธอกล่าวต่อ
“เขากล่าวว่าหัวหน้าตอนนี้นำชนเผ่าสิงโตไปยังหมู่บ้านชนเผ่าหมูป่ า
เพื่อทำสงครามและพวกนั้นได้จากไปเมื่อสามวันก่อน”
“อะไรนะ” ชินเหลียงหยูอุทานดังลั่น
“ชนเผ่าหมูป่ าตกอยู่ในอันตราย ข้าต้องกลับไปเดี๋ยวนี้…”
ชินเหลียงหยูพลันคุกเข่าลงด้วยใบหน้าสิ้นหวัง
“แต่ถึงแม้ว่าพวกเรากลับไปในตอนนี้ มันก็จักสายเกินไป ชนเผ่า
สิงโตควรถึงหมู่บ้านชนเผ่าหมูป่ าแล้วในตอนนี้…”
“มันจบแล้ว… ชนเผ่าหมูป่ามิมีพลังที่จะต่อต้านชนเผ่าสิงโต… พวก
เขาทั้งหมดต้องถูกกวาดล้าง”
บทที่ 440 มันเป็นการสูญเปล่าหากฆ่าคนแบบเธอ
“ข้าเข้าใจสถานการณ์และสามารถรับรู้ได้ว่าทำไมเจ้าจึงรู้สึกเป็น
ทุกข์ใจ” ซูหยางกล่าวไม่กี่อึดใจจากนั้น และเขาก็มองดูชินเหลียงหยู
ด้วยสีหน้าจริงจัง
“แน่นอนว่าข้ายินดีช่วยเจ้าในเรื่องทุกข์ใจของเจ้า อย่างไรก็ตามเอาให้
ชัดเจนว่าเจ้าต้องการให้พวกเราช่วยจัดการกับชนเผ่าสิงโตอย่างไร
เจ้าต้องการให้พวกเราขอให้ชนเผ่าสิงโตหยุดข่มเหงชนเผ่าอื่นด้วย
วิธีการอันสันติ หรือว่าเจ้าต้องการให้ข้าสังหารทุกคนจากชนเผ่าสิงโต
เพื่อที่ว่าพวกนั้นจะได้ไม่สามารถทำอันตรายชนเผ่าอื่นได้อีกต่อไป”
ซูหยางพูดด้วยแววตาน่ากลัว สายตาของเขาที่จ้องมองชินเหลียงหยู
นั้นแหลมคมเหมือนกระบี่
“น-นั่น…” ชินเหลียงหยูผงะกับการตอบกลับของเขาจนพูดไม่ออก
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะเธอก็สามารถเค้นคำพูดออกมาได้สองสาม
คำจากลำคอ “ข-ข้าจักเชื่อในคำตัดสินของผู้อาวุโสซู อะไรก็ตามที่
ท่านตัดสินใจทำ ข้าย่อมสนับสนุนโดยมิมีเงื่อนไข”
ได้ยินคำพูดของเธอ ซูหยางก็เผยรอยยิ้มและหันไปมองดูถังหลินชี
“เจ้าคิดว่าอย่างไร เราควรจะจัดการกับชนเผ่าสิงโตนี้อย่างไรดี” เขา
ถามความเห็นเธอ
“ถ้าเป็นข้า ง่าย ๆ ข้าก็จักฆ่าพวกนั้นทิ้งทั้งหมด ในเมื่อนั่นย่อมเป็น
วิธีที่มีประสิทธิภาพและง่ายดายที่สุด” ถังหลินชีกล่าวด้วยสีหน้า
เรียบเฉย ราวกับว่าเธอสามารถพรากชีวิตได้โดยไม่กระพริบตา
“แต่ทว่าเธอต้องการให้เจ้าช่วย และเจ้าก็เป็นคนที่ตัดสินใจที่จะช่วย
เธอด้วยเช่นกัน ดังนั้นทางเลือกจึงขึ้นอยู่กับเจ้า”
ซูหยางพยักหน้าและหันไปยังชินเหลียงหยูและถามว่า “ความสามารถ
ของพวกนั้นมีมากแค่ไหน พวกนั้นมีจอมยุทธในเขตราชันวิญญาณ
หรือไม่”
ชินเหลียงหยูรีบส่ายหน้าและกล่าวว่า “ชนเผ่าสิงโตมีนักรบเขตอัมพร
วิญญาณเจ็ดคนและมีนักรบในเขตปฐพีวิญญาณประมาณสามสิบคน”
ซูหยางหลับตาลงครุ่นคิด
แม้ว่าจำนวนของคนพวกนั้นไม่ได้มากมายเท่ากับสำนักทั่วไปในทวีป
ตะวันออก พวกนั้นก็ชดเชยจำนวนด้วยการมีผู้ฝึกวิชาที่แข็งแกร่งเป็น
จำนวนมากแทน บ้าไปแล้ว กระทั่งสำนักระดับสูงก็ไม่มีจอมยุทธ
เขตอัมพรวิญญาณมากมายปานนี้
ชั่วอึดใจเขาก็ลืมตาขึ้นและกล่าวว่า “ข้าเข้าใจแล้ว อย่างไรก็ตามก่อน
ที่ข้าจะช่วยเจ้าเรื่องชนเผ่าสิงโต ข้าต้องการที่จะดูว่าพวกนั้นทำไมจึง
ทำเช่นนั้น ข้าต้องการรู้เหตุผลสำหรับการที่พวกนั้นข่มเหงผู้อื่น”
“ท่านต้องการไปยังชนเผ่าสิงโตรึ” ชินเหลียงหยูมองดูเขาด้วยใบหน้า
ประหลาดใจ
ซูหยางพยักหน้า “เจ้าพอจะนำทางได้ไหม”
“อื้อ… ข้าจักพาท่านไป” ชินเหลียงหยูพยักหน้า
สองสามวันหลังจากนั้น ชินเหลียงหยูก็พาซูหยางและถังหลินชีไป
ถึงหมู่บ้านชนเผ่าสิงโต
“เหมือนกับว่ามิมีใครอยู่ที่นี่” ถังหลินชีกล่าวหลังจากที่รับรู้ว่ามีคน
เพียงไม่กี่คนภายในหมู่บ้าน
“พวกนั้นหายไปไหนกัน” ชินเหลียงหยูรู้สึกถึงลางร้ายที่ก่อตัวอยู่ใน
อากาศเมื่อเธอรับรู้ถึงบรรยากาศอันหนักอึ้งในบริเวณนั้น ราวกับว่า
เธอเดินเข้าไปในสนามรบที่มองไม่เห็น
“พวกเจ้าเป็นใครกัน และมีธุระอะไรที่นี่กับชนเผ่าสิงโต” สุดท้ายคน
หนึ่งในบรรดาผู้คนที่อยู่ภายในหมู่บ้านก็สังเกตเห็นพวกเขาและตรง
ไปที่ประตูหมู่บ้าน
ชินเหลียงหยูมองดูซูหยางเมื่อเธอไม่ต้องการที่จะเปิดเผยตัวตนต่อ
หน้าฐานทัพศัตรู โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อชนเผ่าสิงโตต้องการที่จะ
ทำลายหมู่บ้านของพวกเธอ นั่นย่อมเปรียบเหมือนกับห่อตัวเองเป็น
ของขวัญส่งตรงไปยังประตูหน้าบ้านของศัตรูและบอกพวกนั้นให้
ฆ่าเธอ
“ข้าชื่อซูหยาง เป็นนักท่องเที่ยวพเนจร ข้ามีธุระบางอย่างกับหัวหน้า
ของเจ้า เขาอยู่ที่นี่ในตอนนี้หรือไม่”
“…”
ยามมองดูซูหยางขึ้น ๆ ลง ๆ และแค่นเสียงในใจด้วยความดูถูก
หลังจากที่เห็นรูปร่างหน้าตาหล่อเหลาของเขา
“หัวหน้ามิได้อยู่ที่นี่ในตอนนี้ เจ้าสามารถกลับมาได้ในภายหลัง”
“โอ เขาไปไหนกันล่ะ ข้ามีเรื่องเร่งด่วนกับเขาดังนั้นข้าจึงมิถือที่จะ
ไปหาเขา” ซูหยางกล่าวด้วยท่าทางเยือกเย็น
“เสียใจ แต่ว่าหัวหน้าจักมิพูดกับเจ้าถึงแม้ว่าเจ้าจะหาเขาเจอ ไม่ว่า
อย่างไรเขา…”
“ฮ-เฮ้ นั่นชินเหลียงหยู หัวหน้าชนเผ่าหมูป่ ามิใช่รึ เธอมาทำอะไร
ที่นี่”
ก่อนที่ยามจะทันได้พูดจบ ยามอีกคนก็ตรงมาหาพวกเขาและเผย
ตัวตนของชินเหลียงหยู
“อะไรนะ หัวหน้าชนเผ่าหมูป่ ารึ” ยามอีกคนรีบยกหอกในมือขึ้นชี้
ไปทางเธอ
ไม่นานหลังจากนั้น ยามอีกสองสามคนก็ปรากฏตัวขึ้น และทุกคน
ต่างก็จ้องมองชินเหลียงหยูราวกับว่าเธอเป็นกระต่ายที่กำลังจะถูกล่า
“ฮ่าฮ่าฮ่า ใครจะคิดว่าหัวหน้าชนเผ่าหมูป่าจักยินดีมาที่ฐานของพวก
เรา เห็นได้ว่าเธอมิต้องการที่จะมีชีวิตอยู่”
“จับเธอไว้ ครั้นเมื่อหัวหน้ากลับมา มั่นใจว่าเขาต้องยินดีอย่างแน่นอน
ที่เห็นเธอตกอยู่ในอุ้งมือของพวกเรา”
คนเจ็ดคนจากชนเผ่าสิงโตพลันล้อมชินเหลียงหยูและพวก
“เฮ้ สองคนนี้เป็นใครกัน และพวกเราควรจะทำอย่างไรกับพวกเขา”
หนึ่งในนั้นกล่าวขณะที่เขามองดูซูหยางและถังหลินชี
“ข้ามิสนว่าพวกนี้เป็นใครกัน แต่ถ้าพวกนี้มากับชนเผ่าหมูป่ า ฆ่า
พวกมันซะ อย่างไรก็ตามปล่อยให้สาวสวยผิวขาวนั่นมีชีวิตก่อน ข้า
มิเคยเห็นใครที่สวยเช่นเธอมาก่อน นั่นจะต้องเป็นความสูญเปล่า
หากฆ่าคนแบบเธอโดยมิได้สนุกกับเธอก่อน”
ยามต่างพากันน้ำลายสอจากเพียงแค่คิดไปว่าได้ใช้มือสัมผัสผิวที่ดู
เรียบเนียนของถังหลินชี เป็นธรรมดาที่พวกเขาไม่สามารถอดใจที่จะ
ลิ้มลองร่างของเธอได้
“ช่างยุ่งยากนัก…” ซูหยางพึมพำเสียงเรียบเฉย เห็นได้ชัดว่าไม่
สะทกสะท้านกับสถานการณ์ของพวกตนเอง
“เราควรทำอย่างไรต่อไปในตอนนี้ ผู้อาวุโสซู” ชินเหลียงหยูถาม
ขณะที่เธอขยับเข้าไปใกล้เขาทีละนิด
“เจ้าสามารถเริ่มจากหลับตาซะ” ซูหยางกล่าวกับเธอ
“หือ” ชินเหลียงหยูมองดูเขาด้วยสีหน้างุนงง
อย่างไรก็ตามก่อนที่เธอจะทันได้มีปฏิกิริยาใด กลิ่นอายอันน่าหวาด
กลัวก็พลันพวยพุ่งออกมาจากร่างของถังหลินชีจนทำให้บรรยากาศ
ที่นั่นเปลี่ยนเป็นหนักอึ้ง
“เจ้าพวกฝูงคนเถื่อนต่ำต้อยที่มิสมควรแม้จะเหลือบมองข้ากล้ามี
ความคิดหยาบช้าเช่นนั้นกับข้ารึ…” ถังหลินชีพึมพำด้วยเสียงเย็นชา
ท่าทางของเธอน่ากลัว
“ไปกับข้า” ซูหยางพลันจับข้อมือชินเหลียงหยูและกระโดดหนีห่าง
ออกไปจากถังหลินชี
“ก-เกิดอะไรขึ้น ผู้อาวุโสซู” ชินเหลียงหยูถามเขาด้วยเสียงเป็นกังวล
“เอ่อ… มันกำลังจะเกิดการนองเลือดเล็กน้อยที่นี่” ซูหยางกล่าว
ทันทีที่เขาพูดถ้อยคำเหล่านั้นจบ ถังหลินชีก็ลงมือ
บทที่ 439 ชินเหลียงหยูขอความช่วยเหลือ
“ตามคาดมิมีข้อมูลที่นี่มากเช่นกัน” ถังหลินชีถอนใจขณะที่เธอวาง
ม้วนคัมภีร์ในมือลง
“เจ้ามิควรคาดหวังมากนัก มันมิใช่เรื่องง่ายในการที่หาที่มาของสมบัติ
เช่นเดียวกับกระจกนี้ แต่ทว่าด้วยเหตุผลบางอย่างข้ามีความรู้สึกว่านี่
มิใช่ครั้งแรกที่ข้าเห็นกระจกนั้น” ซูหยางกล่าวด้วยท่าทางครุ่นคิด
“เจ้าหมายความว่าอย่างไรรึ เจ้าพูดว่าเจ้าเคยเห็นกระจกนี้มาก่อนงั้น
รึ” ถังหลินชีเอียงคอ
เขาพยักหน้าและกล่าวต่อว่า “ข้าได้พยายามที่จะจดจำว่าข้าเคยเห็น
มันที่ไหนมาก่อนนับตั้งแต่ตอนที่ข้าเห็นมัน แต่ข้ายังคงมิสามารถที่
จะเค้นสมองออกมาได้ บางทีข้าอาจจะแค่จำผิด”
แม้ว่าเขาจะจำไม่ได้ว่าเขาเคยเห็นกระจกนิลกาฬนี้ที่ไหนมาก่อน แต่
ก็ยังมีความรู้สึกคุ้นเคยภายในตัวเขานับตั้งแต่ที่เขาเห็นกระจก
“ข้ามั่นใจว่าเจ้าจักจำมันได้ที่ไหนสักแห่งบนเส้นทาง แต่ตอนนี้พวก
เราไปยังหมู่บ้านถัดไปกันดูว่าพวกเขามีอย่างอื่นบ้างไหม” ถังหลินชี
กล่าว
ซูหยางพยักหน้าและทั้งสองคนก็ออกจากกระท่อมไม่กี่อึดใจจากนั้น
“พวกเราเสร็จธุระที่นี่แล้ว” เขากล่าวกับชินเหลียงหยูซึ่งรอคอยข้าง
นอกอย่างอดทน
“ท่านต้องการที่จะไปดูชนเผ่าอื่นหรือไม่ หรือว่าท่านมีข้อมูลเพียงพอ
แล้วในตอนนี้” เธอถาม
“เราไปดูเพิ่มอีกสักสองสามชนเผ่ากัน”
“ข้าเข้าใจ ให้ข้าบอกกล่าวหัวหน้าหลี่ว่าพวกเราจะไปแล้วก่อนนะ”
ชินเหลียงหยูกล่าวก่อนที่จะตามหาอีกฝ่าย
“หัวหน้าหลี่ พวกเราจะไปแล้วในตอนนี้”
“หือ พวกเขาเสร็จแล้วรึ เช่นนั้นให้ข้ากล่าวอำลาพวกเขา”
ไม่นานหลังจากนั้นหัวหน้าหลี่และชินเหลียงหยูก็เดินไปที่ประตูใหญ่
“ถ้าพวกท่านปรารถนาที่จะกลับมาเยี่ยมในโอกาสหน้า ประตูของ
พวกเราย่อมเปิดให้กับพวกท่านเสมอ ท่านแขกผู้ทรงเกียรติ” หัวหน้า
หลี่คำนับพวกเขาและกล่าวกับชินเหลียงหยูก่อนที่พวกเขาจะจากไป
ว่า “หัวหน้าชิน โปรดอย่าลืมเรื่องที่พวกเราสนทนากันก่อนหน้านั้น”
“อย่ากังวล ข้ามิลืมแน่” ชินเหลียงหยูกล่าวขณะที่พวกเขาเริ่มออก
เดินทางไปยังหมู่บ้านถัดไป
หลังจากออกจากหมู่บ้านชนเผ่าหิ่งห้อยแล้ว ชินเหลียงหยูก็ได้นำซู
หยางและถังหลินชีไปยังอีกหลายหมู่บ้านรอบทวีปใต้ เดินทางเป็น
ระยะทางหลายพันกิโลเมตรในเวลาเพียงแค่ไม่กี่วัน
ชนเผ่าดิน ชนเผ่าเทวรูป ชนเผ่าเหล็ก ชนเผ่าชีวิต ซูหยางและถังหลิน
ชีเยี่ยมไปมากกว่าสิบหมู่บ้านระหว่างช่วงสองสามวันนี้และพวกเขา
ก็ได้อ่านม้วนคัมภีร์มากกว่าพันเล่มเกี่ยวกับกระจกนิลกาฬ แต่ทว่า
พวกเขาก็ไม่สามารถที่จะหาข้อมูลที่มีค่ามากพอได้ เมื่อทุกหมู่บ้าน
ล้วนมีข้อมูลที่เกือบจะเหมือนกันมีเพียงความแตกต่างแค่เล็กน้อย
ส่วนสำหรับชินเหลียงหยูนั้นเธอไม่สามารถที่จะหาโอกาสที่เหมาะสม
ในการที่จะพูดกับซูหยางเกี่ยวกับความยุ่งยากของพวกเขากับชนเผ่า
สิงโต ยิ่งไปกว่านั้นเธอต้องการที่จะเพิ่มพูนความสัมพันธ์ให้มากกว่า
เดิมอีกสองสามวันก่อนที่เธอจะขอความช่วยเหลือจากพวกเขา เมื่อ
นั่นย่อมทำให้ง่ายสำหรับเธอในการขอความช่วยเหลือจากเขา
“ข้าเสียใจจริง ๆ สำหรับเรื่องนี้” ชินเหลียงหยูพลันโค้งคำนับซูหยาง
หลังจากที่พวกเขาออกจากหมู่บ้านชนเผ่าหมาป่า “แม้ว่าพวกเราจะ
ได้ท่องเที่ยวนับพันกิโลเมตรและเยี่ยมมากกว่าสิบหมู่บ้านแล้ว ท่าน
ก็ยังมิสามารถที่จะหาข้อมูลที่ท่านต้องการได้ ข้าล้มเหลวสำหรับการ
เป็นพี่เลี้ยง เสียเวลาอันมีค่าของพวกท่าน”
“มิมีอะไรสำหรับเจ้าที่จะต้องขอโทษ ในเมื่อมิใช่ความผิดของเจ้าที่มิ
มีข้อมูลเพียงพอจากที่เหล่านั้น” ซูหยางส่ายหน้าอย่างใจเย็นและ
กล่าวว่า “พวกเรามิคาดว่าจะได้พบอะไรมากเช่นกัน”
อึดใจหลังจากนั้น เขาก็กล่าวต่อว่า “ที่ผ่านมาข้าได้รับรู้ถึงความรู้สึก
ความเป็นกังวลและกลุ้มใจในตัวเจ้า เจ้ามีปัญหาอะไรบ้างไหม”
“น-นั่น…” ชินเหลียงหยูแสดงสีหน้าลังเล “ข้ามิควรจะยัดเยียดปัญหา
ของข้าให้กับท่าน ผู้อาวุโสซู…”
“ถ้ามีอะไรหนักใจ ข้าอยู่ข้างเจ้าเสมอ มิเพียงแต่เจ้าได้ใช้เวลาของเจ้า
เดินทางไปกับพวกเรา อีกทั้งคิ้วที่ขมวดด้วยความเป็นกังวลนั้นมิ
เหมาะสมกับใบหน้าสวยของเจ้าเลยแม้แต่น้อย”
“ส-สวยรึ” ชินเหลียงหยูตกอยู่ในความประหลาดใจกับคำชมที่ไม่ได้
คาดคิดจนทำให้เธอหน้าแดง
ตามความเป็นจริงนั้นเธอหน้าแดงมากเสียจนกระทั่งผิวสีแทนของ
เธอก็ไม่สามารถที่จะซ่อนสีแดงที่ซ่านขึ้นทั่วใบหน้าได้ ราวกับว่า
เธอกำลังประสบกับการเป็นไข้สูง
“เจ้ารู้ไหม…” ถังหลินชีพลันกล่าว “เขาเป็นชายประเภทที่ว่ามิสามารถ
ปล่อยให้ผู้หญิงอยู่โดดเดี่ยวได้ ยิ่งไปกว่านั้นหากเป็นสาวสวยที่มีปัญหา
ดังนั้นย่อมเป็นการดีที่สุดถ้าเจ้าเพียงแค่พูดปัญหาของเจ้าออกมาดัง ๆ
เพื่อที่พวกเราสามารถจบเรื่องนี้ลงได้ เชื่อข้าเถอะ ข้าได้ประสบกับ
เรื่องนี้ด้วยตนเองและมันจักทำให้น่ารำคาญใจหลังจากผ่านไปสักพัก”
“น่ารำคาญรึ…” ซูหยางเผยรอยยิ้มและกล่าวว่า “ถ้าข้ามิได้สร้าง
ความรำคาญให้เจ้าถึงระดับนั้น เจ้าย่อมจักมิมีวันยอมให้ข้าช่วยเจ้า
ในเวลานั้น และพวกเราย่อมมิได้มีความสัมพันธ์กันแบบในตอนนี้”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของถังหลินชี สุดท้ายชินเหลียงหยูก็ตัดสินใจ
ที่จะขอให้พวกเขาช่วย
“เป็นแบบนี้ท่านผู้อาวุโสซู… เมื่อพวกเราไปเยี่ยมชนเผ่าหิ่งห้อย
หัวหน้าหลี่ได้ขอให้ข้าช่วย เดิมทีเขาต้องการให้ข้าขอท่านเทพธิดา
แต่ข้ารู้สึกว่าพวกเรามิอาจที่จะรบกวนเธอในเรื่องทางโลก ดังนั้นเขา
จึงต้องการให้ข้าขอให้ท่านทั้งสองช่วยแทน”
“อย่างที่ท่านรู้ ชนเผ่าหมูป่ าถูกชนเผ่าสิงโตโจมตีก่อนหน้านี้ พวกเรา
ยังโชคดีที่ท่านเทพธิดาได้มาในเวลาที่เหมาะสมและได้ขัดขวาง
แผนการของพวกนั้น ช่วยหมู่บ้านของพวกเราไว้ แต่… แต่คนอื่น ๆ
มิได้โชคดีเช่นนั้น ในเมื่อพวกเรามิใช่เพียงชนเผ่าเดียวที่ถูกข่มเหง
จากชนเผ่าสิงโต ตามความเป็นจริงแล้วพวกนั้นได้ทำลายหมู่บ้านไป
มากกว่าสิบหมู่บ้านในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา เพิ่มความแข็งแกร่ง
ขึ้นตามจำนวนหมู่บ้านที่พวกนั้นได้เอาชนะ”
“ปกติแล้วพวกเราจักมิต้องกังวลเกี่ยวกับชนเผ่าสิงโตในเมื่อพวกนั้น
มีระดับต่ำกว่าพวกเราในด้านความแข็งแกร่ง แต่ทว่าพวกนั้นได้รับ
ความช่วยเหลือจากชนเผ่ามังกรจนทำให้ความแข็งแกร่งของพวกนั้น
เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด”
“พวกเรามิคิดว่าชนเผ่าสิงโตจักหยุดยั้งในเวลาอันใกล้นี้ อย่างน้อยก็
ไม่จนกว่าพวกนั้นได้ครอบครอบและทำลายหมู่บ้านส่วนใหญ่ไป
ดังนั้น.. ชนเผ่าหมูป่ า… และชนเผ่าอื่น ๆ ที่พวกเราได้ไปเยี่ยมในช่วง
สองสามวันที่ผ่านมา… จึงใคร่ขอความช่วยเหลือจากท่านผู้อาวุโสซู”
ชินเหลียงหยูกล่าวขณะที่เธอคุกเข่าลงบนพื้นอย่างช้า อ้อนวอนขอให้
พวกเขาช่วย
“…”
ซูหยางไม่ได้ตอบรับในทันใด จริงแล้วถังหลินชีเป็นคนแรกที่พูด
“เจ้าพอสามารถบอกข้าบางอย่างได้หรือไม่ ถ้าเจ้าพบว่าชนเผ่าสิงโต
เป็นภัยคุกคามแต่มิสามารถที่จะเอาชนะพวกนั้นได้ตามลำพัง ทำไม
เจ้ามิขอความช่วยเหลือจากชนเผ่าอื่นล่ะ ในเมื่อพวกเจ้าทั้งหมดล้วน
มีจุดประสงค์เดียวกัน นั่นควรจะเป็นเรื่องฉลาดที่จะรวมความ
แข็งแกร่งและสู้กับชนเผ่าสิงโตร่วมกัน”
“จริงอยู่ที่มีวิธีเช่นนั้นอยู่… แต่…” ชินเหลียงหยูส่ายหน้าและกล่าว
ว่า “ใช่ว่าทุกชนเผ่าจะมีความเป็นมิตรกับชนเผ่าอื่น ตามความเป็น
จริงส่วนใหญ่แล้วต่างฝ่ายต่างเหยียดหยามกัน ชนเผ่าที่พวกเราไป
เยี่ยมในช่วงสองสามวันก่อนเป็นเพียงข้อยกเว้นในเมื่อพวกเขามี
ความสัมพันธ์ฉันเพื่อนกับชนเผ่าหมูป่ าอยู่แล้ว”
“ส่วนสำหรับชนเผ่าอื่นนั้นพวกเขายอมตายแทนที่จะจับมือกันกับ
ชนเผ่าอื่นถึงแม้ว่านั่นจะหมายถึงการล่มสลายของทั้งชนเผ่าของพวก
เขา เป็นเรื่องที่ง่ายกว่าในการที่จะเอาชนะชนเผ่าสิงโตตามลำพัง
แทนที่จะรวบรวมเผ่นต่าง ๆ เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเพื่อสู้ร่วมกัน ยิ่ง
ไปกว่านั้นถึงแม้ว่าชนเผ่าต่าง ๆ ล้วนปรารถนาที่จะร่วมมือกัน พวก
เขาก็ล้วนเป็นชนเผ่าขนาดเล็กซึ่งมิมีความแข็งแกร่งมากนัก”
บทที่ 438 ชนเผ่าหิ่งห้อย
หนึ่งร้อยกิโลเมตรห่างออกไปจากชนเผ่าหมูป่ าเป็นที่ตั้งของชนเผ่า
หิ่งห้อย
เปรียบเทียบกับประชากรจำนวนมากของชนเผ่าหมูป่า หมู่บ้านของ
ชนเผ่าหิ่งห้อยถือว่าเป็นหมู่บ้านขนาดเล็กที่มีขนาดพื้นที่ไม่กี่พัน
ตารางเมตรและมีจำนวนประชากรไม่ถึงหนึ่งร้อยคนในหมู่บ้าน
และพวกเขาจัดอยู่ในลำดับที่ 364 ในกลุ่มชนเผ่าขนาดเล็กในทวีปใต้
“หัวหน้าชิน อะไรที่ชักนำหัวหน้าของชนเผ่าหมูป่ามาเยี่ยมสถานที่
ซอมซ่อแห่งนี้”
ชายวัยกลางคนที่อยู่ในระดับสูงสุดของเขตปฐพีวิญญาณต้อนรับ
พวกเขาที่ปากทางเข้าหมู่บ้าน
“สวัสดีหัวหน้าหลี่ นับเป็นเวลาพักใหญ่แล้วที่พวกเราได้พบกันเป็น
ครั้งสุดท้าย ข้ามีแขกผู้ทรงเกียรติมากับข้าด้วยในวันนี้ซึ่งพวกเขา
ต้องการที่จะรู้เรื่องกระจกนิลกาฬให้มากกว่าเดิม แต่ชนเผ่าหมูป่า
ของข้ามิสามารถที่จะจัดหาข้อมูลเหล่านั้นให้ได้ ดังนั้นพวกเราจึงมา
ที่นี่หวังว่าชนเผ่าหิ่งห้อยจะสามารถช่วยเหลือพวกเราได้” หัวหน้า
ชินกล่าวกับเขาด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร
“แขกผู้ทรงเกียรติรึ…”
หัวหน้าหลี่มองดูชายหนุ่มที่หล่อเหลาถึงที่สุดและหญิงสาวสวยที่ยืน
อยู่ด้านหลังหัวหน้าชิน และนั่นใช้เวลาเขาเพียงแค่ชายตามองครั้ง
เดียวก็รู้ถึงสง่าราศีและความภาคภูมิใจในกลิ่นอายที่แปลกแยก
ออกไปจากพวกเขาราวกับว่าเขากำลังมองไปยังเชื้อพระวงศ์
“พวกเรามิอยู่ที่นี่นานนัก ดังนั้นเจ้ามิต้องกังวลในเรื่องถูกรบกวน”
ซูหยางพูดกับเขาด้วยรอยยิ้ม
“ไร้สาระ มิมีทางที่พวกเราจักถูกรบกวนด้วยแขกผู้ทรงเกียรติของ
ชนเผ่าหมูป่า ต้องนับเป็นเกียรติที่มีท่านมาที่นี่ที่ชนเผ่าหิ่งห้อย แม้ว่า
ท่านประสงค์ที่จะอยู่ที่นี่ตลอดไป พวกเราก็มิมีข้อติติงใด ๆ ทั้งสิ้น
ฮ่าฮ่าฮ่า” หัวหน้าหลี่กล่าวพร้อมกับเสียงหัวเราะ
ชนเผ่าหมูป่าเป็นอันดับสามในสิบแปดชนเผ่าหลักในขณะที่ชนเผ่า
หิ่งห้อยของพวกเขาอยู่เพียงแค่อันดับที่ 364 ถึงแม้ว่าจะเป็นคนรับใช้
จากชนเผ่าหมูป่ามา ชนเผ่าหิ่งห้อยก็จะต้องปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนกับ
ว่าพวกเขาเป็นแขกผู้ทรงเกียรติ อย่าว่าแต่หัวหน้าเผ่าหมูป่ าและคนที่
ถือว่าเป็น “แขกผู้ทรงเกียรติ”
“โปรดติดตามข้าไปยังห้องสมุด ม้วนคัมภีร์ทั้งหมดของเราถูกเก็บอยู่
ที่นั่น”
หัวหน้าหลี่จึงพาพวกเขาสามคนไปยังกระท่อมหลังหนึ่ง
“คนที่อยู่เบื้องหลังหัวหน้าชินเป็นใครกัน”
“ผิวของพวกเขาช่างเนียนเรียบและขาว… ข้ามิเคยเห็นอะไรแบบนี้
มาก่อน…”
ยามเมื่อซูหยางและถังหลินชีเข้าไปในหมู่บ้านชนเผ่าหิ่งห้อย รูปลักษณ์
และความสวยที่พิเศษเฉพาะของพวกเขาได้สร้างความสนใจให้กับ
ผู้คนที่นั่น ราวกับว่าพวกเขาได้มองเห็นดวงจันทร์เป็นครั้งแรก
ผู้ชายในหมู่บ้านจ้องใบหน้าสวยและรูปร่างที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ของ
ถังหลินชี ในขณะที่หญิงสาวที่นั่นจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาและ
กลิ่นอายที่มีเสน่ห์ของซูหยาง รู้สึกเหมือนกับว่าพวกเขาหลงเสน่ห์
ของรูปร่างหน้าตาและกลิ่นอายของพวกเขา
“แม้ว่ามันจะค่อนข้างเล็กไปบ้าง แต่นี่ก็เป็นห้องสมุดซอมซ่อของพวก
เรา โปรดใช้เวลาของท่านตามที่ต้องการได้ภายในนี้” หัวหน้าหลี่
กล่าวกับพวกเขา
“ขอบคุณ” ซูหยางกล่าวกับเขาก่อนที่จะเข้าไปในกระท่อมกับถัง
หลินชี
หลังจากที่พวกเขาไปแล้วหัวหน้าหลี่ก็เข้าไปหาหัวหน้าชินและ
กล่าวว่า “หัวหน้าชิน ข้าสามารถถามอะไรท่านสักอย่างได้หรือไม่”
“อะไรรึ” เธอเลิกคิ้ว
“เป็นความจริงรึที่เทพธิดาจากตำนานได้กลับคืนมายังทวีปใต้ คนที่
ถือว่าได้ฆ่ามหาพิบัติ ข้ายังคงได้ยินมาว่าเธออยู่ที่ชนเผ่าหมูป่ าอีก
ด้วย”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา หัวหน้าชินก็เชิดอกด้วยท่าทางภูมิใจและยิ้ม
“ใช่แล้วท่านเทพธิดาได้อยู่กับพวกเรามามินานมานี้ แต่ว่าเจ้ารู้ได้
อย่างไร เธอเพิ่งมาถึงได้ไม่นาน”
“คำพูดเดินทางได้รวดเร็วเมื่อมันเกี่ยวข้องกับชนเผ่าสิงโตอยู่แล้ว”
หัวหน้าหลี่ถอนใจ “ข้าดีใจที่ชนเผ่าหมูป่ ายังมิได้ก้มหัวให้กับความ
โลภของพวกนั้น พวกนั้นได้ออกอาละวาดเมื่อไม่นานมานี้ โจมตีชน
เผ่าอื่น ๆ เกือบทุกวัน”
“พวกนั้นเป็นกลุ่มที่มีความทะเยอทะยานมาโดยตลอด แต่ว่าพวกนั้น
มิเคยทำเกินเลยไป แต่ทว่านับตั้งแต่พวกนั้นได้เป็นเพื่อนกับชนเผ่า
มังกร พวกนั้นก็หมดความยับยั้งชั่งใจ เหมือนกับกลุ่มโจรป่ า”
หัวหน้าหลี่กล่าวต่อว่า “หัวหน้าชินท่านคิดว่าเป็นไปได้ไหมที่ท่าน
จักขอร้องท่านเทพธิดาให้ช่วยพวกเราจัดการกับชนเผ่าสิงโต หาก
เป็นเช่นนี้ต่อไปข้าเกรงว่าจักมีชนเผ่าอีกมากที่จักถูกทำลายภายใต้
เงื้อมมือของพวกนั้น”
“…”
ชินเหลียงหยูไม่ได้ตอบกลับในทันใดแต่เงียบไป
อึดใจถัดไปเธอก็พูดขึ้นว่า “เป็นความจริงที่ชนเผ่าสิงโตได้ทำเกินไป
ในระยะหลังนี้ แต่ข้ามิคิดว่าจะเป็นเรื่องดีที่จะไปให้ท่านเทพธิดามา
มีส่วนร่วมกับเรื่องทางโลกของพวกเรา นี่ก็เหมือนกับขอร้องให้ช้าง
ช่วยตอกไข่ให้กับพวกเรา”
“อืมม… ข้าเข้าใจดีว่าหัวหน้าชินนั้นเป็นมาอย่างไร แต่ชนเผ่าสิงโต
นั้นเกือบหยุดมิได้แล้วในตอนนี้ นอกจากว่าทุกชนเผ่ามาร่วมมือกัน
จัดการกับพวกนั้น พวกเราคงมิสามารถเอาชนะพวกนั้นได้ และท่าน
ควรรู้ว่านี่เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากแค่ไหน”
“ข้ารู้… แต่ว่ายัง… ข้ามิอาจขอร้องท่านเทพธิดาให้ช่วยสนับสนุน
แบบนี้ได้ ซึ่งนั่นมีโอกาสที่เธออาจจะมิต้องการที่จะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับ
เรื่องราวทางโลกประเภทนี้ด้วยเช่นกัน พวกเรามิอาจจะล่วงเกินเธอ
ได้”
หลังจากที่เงียบอย่างอึดอัดไปชั่วอึดใจ หัวหน้าหลี่ก็พูดขึ้นว่า “แล้ว
ถ้าเป็นสองคนที่อยู่ภายในห้องสมุดล่ะ ข้าสามารถรู้สึกได้ถึงกลิ่น
อายอันยากหยั่งถึงจากพวกเขา พวกเขาต้องมีกองหนุนที่แข็งแกร่ง
จะเป็นอย่างไรถ้าพวกเราขอร้องให้พวกเขาช่วยเหลือเรา แน่นอนว่า
พวกเรามิขอร้องให้พวกเขาช่วยโดยมิมีค่าตอบแทน”
“นั่น…” ชินเหลียงหยูขมวดคิ้ว
แม้ว่าการเข้าไปหาซูหยางเพื่อให้ช่วยนั้นจะเป็นเรื่องที่ง่ายกว่าการ
เข้าไปหาเทพธิดาอย่างแน่นอน แต่เธอก็รู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องสำหรับ
พวกเขาในการขอร้องให้ช่วยในขณะที่พวกเขาเพิ่งพบกันไม่กี่ครั้ง
อย่างไรก็ตามพวกเขาย่อมไม่สามารถที่จะหยุดความบ้าคลั่งของชน
เผ่าสิงโตถ้าพวกเขาไม่ร้องขอความช่วยเหลือ ในเมื่อมันย่อมเป็นไป
ไม่ได้สำหรับชนเผ่าที่จะมารวมตัวกันถึงด้วยว่าพวกเขาอาจจะพินาศ
ไปเพราะว่าความดูถูกเหยียดหยามซึ่งกันและกัน
“ตกลง… ข้าจักถามพวกเขาทีหลัง” ชินเหลียงหยูพยักหน้าหลังจากที่
พิจารณาเรื่องนี้ชั่วระยะหนึ่ง
“นั่นยอดเยี่ยมมาก เช่นนั้นข้าจักปล่อยทุกอย่างไว้ที่ท่าน หัวหน้าชิน
และถ้าท่านต้องการความช่วยเหลืออะไร ท่านสามารถตรงมาที่ชน
เผ่าหิ่งห้อยได้ แม้ว่าพวกเราอาจจะมิสามารถทำอะไรได้มากนัก พวก
เราก็จักทำทุกสิ่งตามอำนาจที่พวกเรามีในการหยุดยั้งชนเผ่าสิงโต
จากการกดขี่”
บทที่ 437 เซียนเร่ร่อนและกระจกที่สูญหาย
ทั้งหัวหน้าหลงและผู้อาวุโสจั่นจ้องมองชิวเยว่ด้วยสายตางุนงง พูด
ไม่ออกกับคำพูดของเธอโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้อาวุโสจั่นซึ่งเห็นทั้ง
สอง “ผู้เยาว์” มาด้วยตาของตนเอง
“พวกนั้นแก่กว่าพวกเราทั้งหมดรวมกันรึ นี่เป็นเรื่องไร้สาระประเภท
ไหนกัน พวกเขาอยู่เพียงแค่ระดับต้นของเขตอัมพรวิญญาณเท่านั้น
จะเป็นไปได้อย่างไรที่คนเช่นนั้นจะมีอำนาจมากกว่าเทพธิดาซึ่งมี
ความแข็งแกร่งสุดหยั่งคาด” ผู้อาวุโสจั่นคิดในใจ ไม่เชื่ออย่างสิ้นเชิง
“เอาล่ะในเมื่อตอนนี้ข้าได้ฟังคำขอของเจ้าแล้วก็ถึงเวลาที่เจ้าจะต้อง
ฟังข้าบ้าง” ชิวเยว่พลันกล่าวกับพวกเขา
“ตราบเท่าที่ชนเผ่ามังกรมีความสามารถ พวกเราย่อมยินดีที่จะเติม
เต็มความต้องการของท่านเทพธิดา” หัวหน้าหลงกล่าวอย่างรวดเร็ว
“ดี เช่นนั้นจงให้ข้าทุกอย่างที่เจ้ามีเกี่ยวกับกระจกนิลกาฬ” เธอกล่าว
“กระจกนิลกาฬรึ”
“ข้าต้องการข้อมูลทุกอย่างที่เจ้ามีเกี่ยวกับมัน”
“ท-ทุกอย่างเลยรึ” หัวหน้าหลงดูลังเล
“เจ้ามิยอมรึ” ชิวเยว่หรี่ตา
“ม-มิใช่เช่นนั้น ท่านเทพธิดา เพียงแต่ว่าพวกเรามีมาก.. ให้ชัดเจนก็
คือกระท่อมทั้งหลังที่มีแต่ม้วนคัมภีร์”
“ยิ่งมากยิ่งดี บอกทางให้ข้า”
“โปรดมาทางนี้”
สองสามนาทีให้หลัง หัวหน้าหลงก็นำชิวเยว่เข้าไปในกระท่อมที่เต็ม
ไปด้วยม้วนคัมภีร์และหนังสือ
“ท่านเทพธิดาต้องการรู้อะไรเกี่ยวกับกระจกนิลกาฬ แม้ว่าข้ามิรู้ทุก
อย่าง แต่ชนเผ่ามังกรก็ได้ใช้เวลามากที่สุดในบรรดาชนเผ่าทั้งหมด
ในการศึกษาและพยายามที่จะค้นหาต้นกำเนิดของมัน”
“เจ้ารู้ว่ามันมาจากไหนหรือมันจะนำพาไปแห่งไหนหรือไม่” ชิวเยว่
ถาม
“โชคร้าย นี่เป็นคำถามที่ทุกชนเผ่าพยายามค้นหามาตลอดจวบจนทุก
วันนี้ เพราะว่ามิมีใครได้เคยกลับมาหลังจากที่พวกเขาได้ก้าวเข้าไป
ในกระจกนิลกาฬ พวกเรามิสามารถรู้ได้ว่ามันจักนำไปสู่แห่งใด
ส่วนสำหรับต้นกำเนิดนั้น… มีคำร่ำลือว่ากระจกนิลกาฬครั้งหนึ่งเคย
เป็นของเซียนคนหนึ่ง”
“หือ” ชิวเยว่พลันเกิดความสนใจขึ้นมาในทันที เธอถามว่า “บอกข้า
เกี่ยวกับเซียนคนนี้ให้มากขึ้น”
หัวหน้าหลงพยักหน้าและเริ่มอธิบาย “มิมีใครรู้ว่าเมื่อไหร่ที่กระจก
นิลกาฬปรากฏขึ้นในโลกนี้ แต่มีเรื่องราวของเซียนคนนี้ที่เร่ร่อนไป
ทั่วทวีปใต้ตามหา “กระจกเงิน”
“ตามคำบอกของผู้เห็นเหตุการณ์บางคนซึ่งได้พบกับเซียนผู้นี้ เขา
สวมชุดเกราะที่ยับเยินเหมือนกับว่าเขาเพิ่งกลับมาจากสงครามที่
ยาวนานและเสี่ยงต่อชีวิต”
“เซียน… เกราะยับเยิน… คงมิใช่…”
ภาพหนึ่งพลันปรากฏขึ้นในใจของชิวเยว่ขณะที่หัวหน้าหลงกล่าว
เกี่ยวกับเซียน
“เซียนคนนี้… เขาจะถามทุกคนที่เขาพบเจอว่าพวกเขาได้เคยเห็น
กระจกเงินที่ไหนบ้างหรือไม่ และเขาก็ถูกพบเห็นทั่วทั้งทวีปใต้ แต่
อย่างไรก็ตามในหลายปีให้หลัง เซียนผู้นี้ก็ดูเหมือนว่าจะหายไปจาก
โลกนี้และมิมีใครพบเห็นอีกเลย”
“ซ-เซียนคนนี้… เขาต้องเป็นโครงกระดูกที่อยู่ภายในคลังเซียนนั่น
แน่ สมุนของจักรพรรดิสวรรค์” ชิวเยว่เชื่อว่าตัวตนที่แท้จริงของ
เซียนคนนี้เป็นเซียนหานซิ่นคนที่ทำงานภายใต้จักรพรรดิสวรรค์
โดยตรง
“เช่นนี้เป็นว่ากระจกนิลกาฬนี้มิใช่สมบัติที่สร้างขึ้นจากธรรมชาติแต่
เป็นสิ่งที่เขานำมาที่นี่จากสวรรค์ศักด์ิสิทธ์ิทั้งสี่ หือ…” ชิวเยว่พึมพำ
กับตนเอง
หลังจากนั้นเธอก็กล่าวกับหัวหน้าหลงว่า “ข้าต้องการที่จะดูม้วน
คัมภีร์ทั้งหมดนี้”
“โปรดใช้เวลาตามสบายท่านเทพธิดา ข้าจักทำให้มั่นใจว่ามิมีใครจัก
รบกวนท่านในขณะที่ท่านอยู่ภายในกระท่อมนี้” หัวหน้าหลงโค้ง
คำนับเธอก่อนที่จะจากกระท่อมไป
ครั้นเมื่อเขาปล่อยให้ชิวเยว่อยู่ตามลำพังแล้ว หัวหน้าหลงก็ไปหาผู้
อาวุโสจั่นและกล่าวด้วยรอยยิ้มน่าหวาดหวั่น “เทพธิดาได้ให้คำยืนยัน
ว่าเธอจักมิเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับธุระของพวกเรา ข้าต้องการให้ท่านนำ
ข่าวนี้ไปให้ชนเผ่าสิงโตและบอกพวกนั้นให้ถือโอกาสของ
สถานการณ์นี้จัดการกับชนเผ่าหมูป่ า”
“แล้วเรื่องการต่อรองของพวกเรา พวกเรามิรอคำตอบจากพวกนั้นรึ”
ผู้อาวุโสจั่นถาม
“ข้ารู้คำตอบอยู่แล้ว นอกจากว่าหมู่บ้านของพวกนั้นกำลังจะอดตาย
พวกนั้นมิส่งมอบลูกตามหาวิบัติแน่ ดังนั้นแทนที่จะรอคำตอบเหมือน
คนโง่ พวกเราควรจักบีบพวกนั้นให้ยื่นส่งลูกตาให้เรา ยิ่งไปกว่านั้น
เทพธิดาตอนนี้อยู่ที่นี่ที่เผ่ามังกรนี้ นี่ย่อมทำให้ชนเผ่าสิงโตสามารถ
เคลื่อนไหวโดยมิต้องกังวลเรื่องเธอ”
“ข้าเข้าใจแล้ว” ผู้อาวุโสจั่นพยักหน้า “อย่างไรก็ตามเรื่องของพรรค
พวกของท่านเทพธิดาล่ะ พวกเขามีสองคน พวกเราควรจะทำอะไร
ถ้าพวกเขาเข้ามายุ่ง มิว่าอย่างไรเทพธิดาก็ได้พูดว่าเธอมิได้พูดแทน
พวกเขา”
“ถ้าพวกเขาเข้ามายุ่งเช่นนั้นก็ปล่อยพวกเขาไป ให้ชนเผ่าสิงโต
จัดการกับพวกเขาตามที่เห็นสมควร ถ้านั่นทำให้เทพธิดาโกรธ พวก
เราก็เพียงแค่กล่าวโทษชนเผ่าสิงโต”
“ในช่วงเวลานี้ ข้าจักคอยเฝ้าดูเทพธิดาและพยายามเก็บเธอไว้ที่นี่ให้
นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
เวลาถัดไปเมื่อผู้อาวุโสจั่นไปถึงที่ชนเผ่าสิงโต เขาก็สั่งพวกนั้นว่า
“หัวหน้าหลงได้พูดกับท่านเทพธิดาและพวกเราได้รับคำรับรองจาก
เธอว่าเธอจักมิเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับธุระของพวกเราแต่อย่างใด”
“อะไรนะ จริงรึ” ดังที่คาด ชนพื้นเมืองเผ่าสิงโตได้แสดงความ
ประหลาดใจกับข่าวนี้ในเมื่อพวกเขาถูกเธอไล่กลับมาครั้งหนึ่งแล้ว
ผู้อาวุโสจั่นพยักหน้า “ตามจริงตอนนี้ท่านเทพธิดาได้พักอยู่ที่เผ่า
มังกร ข้าขอแนะนำให้พวกเจ้าเริ่มเคลื่อนไหวในตอนนี้ก่อนที่เธอจะ
จากไป ถึงแม้ว่าเธอมิได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวแต่ข้าก็ยังสงสัยว่าพวกเจ้า
ต้องการที่จะสู้ต่อหน้าเธอผู้สง่างามหรือไม่”
หัวหน้าเผ่าสิงโตพยักหน้าและสั่งการคนของตนเอง “พวกเราจักกลับ
ไปยังชนเผ่าหมูป่ าเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เริ่มเตรียมตัวในทันที
แม้ว่าพวกนั้นสามารถรอดไปได้ครั้งที่แล้ว พวกนั้นย่อมมิอาจหนีพ้น
จากพวกเราเป็นครั้งที่สอง”
คนของชนเผ่าสิงโตพากันคำรามอย่างดุร้ายทำให้เกิดความรู้สึกของ
บรรยากาศสงคราม
“…”
หลังจากที่ปลุกปั่นทั่วทั้งชนเผ่าสิงโตแล้ว ผู้อาวุโสจั่นก็หายตัวไป
จากที่นั่นอย่างเงียบ ๆ โดยมิได้เตือนพวกนั้นในเรื่องซูหยางและถัง
หลินชี ไม่ว่าอย่างไรเป้าหมายของเขาก็คือการทำให้พวกเขาต้องการ
ที่จะสู้กับชนเผ่าหมูป่า ถ้าพวกเขารู้ว่าพวกเขาอาจจะต้องสู้กับพรรค
พวกของเทพธิดาแน่นอนว่าพวกเขาต้องลังเลที่จะโจมตีพวกนั้น
“ตอนนี้เมื่อทุกสิ่งได้ตระเตรียมแล้ว พวกเราก็เพียงแค่นั่งลงและรอ
ให้เกิดการดำเนินการ” ผู้อาวุโสจั่นหัวเราะหึ ๆ กับตนเองขณะที่เขา
เดินทางกลับไปยังเผ่ามังกร
บทที่ 436 เยี่ยมชนเผ่ามังกร
หลังจากที่ยื่นสมบัติของชนเผ่าหมูป่ากับถังหลินชีแล้ว ชินเหลียงหยู
ก็พาคนทั้งสองออกไปจากค่ายกลและกล่าวกับนักรบที่รออยู่ด้าน
นอกว่า “เลอเป่ า ข้าจักออกจากหมู่บ้านไปสักพักเพื่อให้แขกผู้ทรง
เกียรติของเราได้เห็นชนเผ่าอื่น ในระหว่างที่ข้าไม่อยู่เจ้าจักเป็นหัวหน้า
ชั่วคราวแทนตำแหน่งของข้า”
“เจ้าสามารถวางใจข้าเรื่องหมู่บ้านได้ หัวหน้า ข้ายินดีที่จะสละกระทั่ง
ชีวิตของข้า” เลอเป่ าพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง
“ดี เช่นนั้นข้าจักปล่อยวางทุกอย่างไว้กับเจ้า” ชินเหลียงหยูกล่าว
ก่อนที่จะเดินออกไปด้านนอกกับซูหยางและถังหลินชี
“เจ้ายอมรับเรื่องนั้นได้รึ” ซูหยางพลันถามเธอ “เจ้ามิได้บอกเขาเรื่อง
ให้สมบัติแก่เราแบบนั้น”
“สบายใจได้ เขามิรู้แน่นอกจากว่าข้าบอกเขาหรือว่าข้าพาเขาเข้าไป
ในค่ายกล อย่างไรก็ตามถ้าความจริงถูกเปิดเผยในสักวันหนึ่ง ข้ามั่นใจ
ว่าพวกเขาจักต้องเข้าใจว่าทำไมข้าจึงตัดสินใจเช่นนั้น” ชินเหลียงหยู
กล่าว
“อย่างไรก็ตามชนเผ่าไหนรึที่เราจักไปเยี่ยมเป็นอันดับแรก” ซูหยาง
พลันถาม
“ชนเผ่าที่ใกล้ที่สุดจากที่นี่ก็คือชนเผ่าหิ่งห้อยซึ่งอยู่ห่างออกไปเพียง
แค่ร้อยกิโลเมตร”
“เช่นนั้นนั่นก็ควรเป็นที่เราจะไปเป็นอันดับแรก”
ชินเหลียงหยูพยักหน้าและกล่าวว่า “ให้ข้าเตรียมตัวบางอย่างก่อนไป”
“ตามสบาย”
ในเวลานั้นที่สองสามพันกิโลเมตรจากชนเผ่าหมูป่ า ชิวเยว่และทูต
ของชนเผ่ามังกรก็เพิ่งกลับมาถึงเป้าหมาย
“ยินดีต้อนรับสู่ชนเผ่ามังกรอันต่ำต้อยของพวกเรา ท่านเทพธิดา” ทูต
กล่าวพร้อมกับโค้งคำนับ
“โปรดรอที่นี่ชั่วขณะในขณะที่ข้าจักไปแจ้งข่าวให้กับหัวหน้าของ
เรากับการมาเยือนของท่าน”
ชายชราลงมาสู่พื้นจากบนท้องฟ้าและเข้าไปในหนึ่งในกระท่อมที่
ใหญ่กว่าภายในหมู่บ้านของชนเผ่ามังกร
“ผู้อาวุโสจั่น ท่านกลับมาแล้วรึ เกิดอะไรขึ้นที่ชนเผ่าหมูป่ ารึ ท่านได้
พบกับเทพธิดาหรือไม่” หัวหน้าชนเผ่ามังกรยืนขึ้นหลังจากที่เห็น
ชายชราเข้ามาในกระท่อม
“หัวหน้าหลง นี่เป็นเรื่องเร่งด่วน” ผู้อาวุโสจั่นรีบมายังตรงหน้าอีก
ฝ่ายและพูดด้วยน้ำเสียงเร่งร้อน
“เทพธิดา… เธอเป็นตัวจริง เธอเป็นเทพธิดาที่ฆ่ามหาวิบัติเมื่อหนึ่ง
พันปีก่อนจริง ๆ”
“อะไรกัน ท่านมั่นใจกับข่าวนี้รึ”
“ข้ามั่นใจ 120% ใจของข้ามิมีอะไรไปกว่ารูปร่างหน้าตาของเธอทุก
วันนับตั้งแต่ครั้งแรกที่ข้าเห็นเธอต่อสู้กับมหาวิบัติในวันนั้น ความ
สวยเหนือโลก… ผมที่แปลกใหม่และดวงตาที่เพียงเปรียบได้กับ
จันทรา นั่นเป็นไปมิได้ที่ข้าจักเข้าใจเธอผิดว่าเป็นคนอื่นอีก” ผู้
อาวุโสจั่นตอบด้วยความเสน่หา เผยให้เห็นถึงความหลงใหลที่เขามี
ต่อชิวเยว่ซึ่งแจ่มชัดประดุจยามกลางวัน
หัวหน้าหลงมองดูตาผู้อาวุโสจั่นโดยไม่มีท่าทางตึงเครียดและพยัก
หน้าช้า ๆ “ข้าเข้าใจแล้วข้าจักเชื่อคำตัดสินของท่าน แต่ทว่านี่จัก
สร้างความยุ่งยากให้เรามิน้อย”
“เหตุผลเดียวที่เราไปก่อกวนชนเผ่าหมูป่าก็เพราะว่าสมบัติที่พวกเขา
ครอบครอง ลูกตาของมหาวิบัติที่ซุกซ่อนพลังอันลึกล้ำไว้ ถ้าเทพธิดา
ปกป้องชนเผ่าหมูป่ า พวกเราย่อมจักไม่สามารถที่จะบีบพวกนั้นให้
ยื่นส่งสมบัติให้กับพวกเราได้และได้แต่หวังว่าพวกนั้นจักยอมรับ
การต่อรองของพวกเรา”
“แน่นอน ถ้าเทพธิดาอยู่ที่นี่ ข้าจักสามารถร้องขอเธอมิให้ขัดขวาง
ธุรกิจของพวกเรากับชนเผ่าหมูป่าได้”
“อือ… หัวหน้าหลงถ้าท่านกังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้น เช่นนั้นก็มิมีความ
จำเป็นที่จะต้องกังวลอีกต่อไปในเมื่อเทพธิดากำลังรออยู่ด้านนอก
ในตอนนี้แล้ว” ผู้อาวุโสจั่นกล่าว
“อะไรนะ” หัวหน้าหลงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ “ถ้าเธออยู่ที่นี่
แล้ว ทำไมท่านมิพูดออกมาก่อนเล่า รีบเข้าพาข้าไปหาเธอก่อนที่เธอ
จะรำคาญ พวกเรามิรู้ว่าเธอจะมีความอดทนมากน้อยเท่าไหร่”
หัวหน้าหลงรีบออกไปจากกระท่อม
“ท่านเทพธิดา ได้โปรดยกโทษให้ข้าผู้ต่ำต้อยนี้ที่ทำให้ท่านรอคอย
อยู่ด้านนอกเช่นนี้” หัวหน้าหลงก้มหน้าและโค้งตัวลงให้กับเธอ
ชิวเยว่เหลือบมองดูเขาชั่วขณะก่อนที่จะลงมาจากฟากฟ้า
“เจ้ามีธุระอะไรกับข้ารึ” ชิวเยว่ถามเขาด้วยเสียงเย็นชา ไม่สนใจผู้คน
ที่จ้องมองเธอด้วยดวงตาเบิกกว้างจากระยะห่าง
“ช่างสวยเหลือเกิน…” หัวหน้าหลงคิดในใจขณะที่เขากำลังตะลึงงัน
ไปกับรูปร่างหน้าตาที่สวยงามของชิวเยว่ไปชั่วขณะ หลังจากที่เห็น
เธอเป็นครั้งแรก เขาก็เข้าใจได้ในทันทีว่าทำไมผู้อาวุโสจั่นจึงหลง
ใหลในตัวเธอมากมายเช่นนั้น
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าความเป็นมาและความแข็งแกร่งที่สุดลึกล้ำของเธอ
เขาคงทำทุกอย่างตามอำนาจที่เขามีเพื่อทำให้เธอตกเป็นของเขา
“ข้าผู้ต่ำต้อยนี้มีเพียงคำขอเพียงข้อเดียวสำหรับเทพธิดา” หัวหน้า
หลงกล่าวขึ้น “ชนเผ่ามังกรและชนเผ่าหมูป่ าตอนนี้อยู่ในระหว่าง
การต่อรองกันในเรื่องสมบัติชิ้นหนึ่งที่พวกเขาครอบครอง และเรา
ปรารถนาที่จะร้องขอให้ท่านเทพธิดาอย่าได้ยุ่งเกี่ยวกับธุระของพวก
เรา”
“หือ” ชิวเยว่พลันขมวดคิ้ว เขาเรียกเธอมาที่นี่ก็เพียงเพื่อจะพูดแค่นี้
นะรึ
“น-แน่นอนว่านี้เป็นเพียงคำขอร้องอันไร้ค่า หากท่านเทพธิดาปฏิเสธ
พวกเราก็จักมิติดตามเรื่องนี้อีกต่อไปในอนาคต” หัวหน้าหลงเข้าใจ
ผิดสีหน้าของชิวเยว่และสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว
“…”
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ ชิวเยว่ก็พูดขึ้นว่า “ทำไมข้าจักต้องสนใจ
ในธุระของพวกเจ้ากับชนเผ่าอื่น ต่อให้พวกเจ้าต้องการฆ่ากันเอง ข้า
ก็มิเข้าไปยุ่งเกี่ยว”
“เอ๋ จริงรึ” หัวหน้าหลงงงงันไปกับการตอบสนองของเธอ เขาพูดต่อ
ว่า “เช่นนั้นทำไมท่านเทพธิดาจึงปกป้องชนเผ่าหมูป่ าตอนที่ชนเผ่า
สิงโต*โจมตีพวกนั้นล่ะ”
PS: จากต้นฉบับ ก่อนหน้านี้ต้นฉบับใช้ Tiger แต่ตอนนี้ใช้คำว่า
Lion ดังนั้น ผมจึงใช้ตามต้นฉบับไปนะครับ ไม่ได้แปลผิดพลาดแต่
อย่างใด และเข้าใจตรงกันว่าไอ้เผ่า เสือโคร่ง กับ สิงโต นี่มันก็คือเผ่า
เดียวกัน
“ถ้าเจ้ากำลังดื่มชาอย่างมีสบายใจในบ้านใครสักคนและก็มีคนพลัน
เข้ามาขัดขวางความสุขของเจ้า เจ้าจักนั่นอยู่ที่นั่นเฉย ๆ โดยมิทำอะไร
งั้นรึ” ชิวเยว่าถาม
“ม-ไม่… ข้าย่อมมิทำเช่นนั้น…” หัวหน้าหลงส่ายหน้า
“เช่นนั้นทำไมเจ้าคาดว่าคนอื่นจะทำเช่นนั้นล่ะ”
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ ชิวเยว่ก็กล่าวต่อว่า “ถึงแม้ว่าข้าพูดทั้งหมด
เช่นนั้น จริงแล้วเจ้ากำลังถามผิดคน”
“ท่านหมายความว่าอย่างไร” หัวหน้าหลงเลิกคิ้วด้วยท่าทางงุนงง
“แม้ว่าจะเป็นจริงที่ข้ามิสนใจเกี่ยวกับธุระของเจ้ากับชนเผ่าหมูป่า
หรือชนเผ่าอื่นใดในเรื่องนั้น ข้าก็มิอาจจะพูดแบบเดียวกันแทน
พรรคพวกข้าได้” เธอกล่าว
“พรรคพวก..ของท่านเทพธิดารึ” หัวหน้าหลงหันไปมองผู้อาวุโสจั่น
“อืม… ท่านเทพธิดาต้องอ้างถึงสองผู้เยาว์ที่อยู่กับเธอในเวลานั้น…”
ผู้อาวุโสจั่นพูด
“นั่นถูกต้องแล้ว แต่ทว่าการที่เรียกพวกเขาว่าเป็นผู้เยาว์นั้น… เจ้าผิด
ไปยิ่งกว่านี้มิได้แล้ว” ชิวเยว่เผยให้เห็นรอยยิ้มลึกลับและกล่าวว่า “มิ
เพียงแต่พวกเขาอายุมากกว่าพวกเราในที่นี้รวมกัน แต่อำนาจของ
พวกเขาทั้งคู่นั้นมีมากยิ่งกว่าข้าด้วยซ้ำ”
บทที่ 435 มารช่องมิติ
“ผ-ผู้อาวุโสซู… ท่านรู้มากมายเกี่ยวกับสัตว์อสูรนั่นที่เกือบทำลาย
ทวีปใต้ มหาวิบัติ” ชินเหลียงหยูถามเขา
“สัตว์อสูรนั่นเป็นสิ่งมีชีวิตที่ควรมีอยู่เฉพาะในรอยแยกมิติ มารช่อง
มิติ พวกมันมีรูปร่างหลายแบบและขนาดจนมิมีมารช่องมิติตนไหน
ที่ดูเหมือนกับตัวอื่น สิ่งเดียวที่เหมือนกันระหว่างมารช่องมิติเหล่านี้
ก็คือความแข็งแกร่งของมัน เพราะว่าพวกมันล้วนเกิดขึ้นในสภาพ
แวดล้อมอันโหดร้ายเหมือนกัน พวกมันทั้งหมดล้วนแข็งแกร่งและ
ทรงพลังถึงที่สุด”
“ส่วนสำหรับรอยแยกมิตินั้น… โดยปกติแล้วมันก็คือสถานที่ที่คล้าย
ช่องว่างที่เจ้าต้องเข้าไปเมื่อยามที่เจ้าต้องเดินทางไปในสถานที่ไกล
มากจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งโดยการใช้การเคลื่อนย้ายผ่านมิติ ดังนั้น
จึงมีโอกาสที่เจ้าอาจจะพบเจอกับมารช่องมิติเมื่อเจ้าเคลื่อนย้ายผ่าน
มิติไปยังที่ไกลมาก ๆ”
“แน่นอนว่ามารช่องมิตินั้นมิใช่สิ่งที่พบเจอได้บ่อย จริงแล้วพวกมัน
หายากมาก”
“เดี๋ยวก่อน… ถ้าหากว่ามหาวิบัติมีต้นกำเนิดจากกระจกนิลกาฬ มี
โอกาสที่ตัวอื่นจะปรากฏตัวในอนาคตหรือไม่” ชินเหลียงหยูถาม
พร้อมขมวดคิ้วด้วยความกังวล
“แม้ว่านั่นมิถึงกับเป็นไปไม่ได้ แต่ก็ยังเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ไม่มากนัก”
ถังหลินชีกล่าว “เหมือนกับที่ข้าพูด มีเพียงมารช่องมิติที่อ่อนแอมาก ๆ
เท่านั้นที่มีโอกาสที่จะหนีไปจากรอยแยกมิติ แต่ถึงกระนั้นพวกมัน
ส่วนใหญ่แล้วจะตายในระหว่างที่พยายาม”
“ก่อนหน้านี้เจ้าพูดถึงเรื่องที่ทวีปใต้เปลี่ยนเป็นยิ่งมีอันตรายมากขึ้น
ใช่ไหม สมบัตินี้ที่เจ้าเก็บไว้ตรงนี้อาจจะเป็นสาเหตุของสิ่งเหล่านั้น”
ถังหลินชีกล่าว
“อะไรนะ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น” ชินเหลียงหยูตอบสนองด้วยสายตา
งงงัน
“ในขณะที่เจ้าอาจจะมิสามารถที่รับรู้มันได้ แต่ข้ารู้สึกถึงกระแสพลัง
น่าหวาดหวั่นซุกซ่อนอยู่ภายในดวงตานั้น และนั่นบางทีมีผลกระทบ
กับธรรมชาติรอบตัวมัน ยิ่งไปกว่านั้นมันจะเติบโตเล็กน้อยตาม
กาลเวลาที่ผ่านไป หลังจากผ่านไปอีกร้อยปีที่แห่งนี้บางทีอาจจะ
กลายเป็นรังที่เต็มไปด้วยสัตว์อสูรวิญญาณที่แข็งแกร่ง”
“ไม่นะ…” ชินเหลียงหยูพึมพำด้วยเสียงกระวนกระวาย “ม-มีทาง
ไหนที่จะแก้ไขปัญหานี้ได้บ้างไหม”
ถังหลินชีพยักหน้าและกล่าวว่า “จริงแล้วมันเป็นเรื่องง่ายมาก เพียง
แค่ทำลายมันหรือโยนมันทิ้งไป”
“น-นี่….” ชินเหลียงหยูเปลี่ยนเป็นลังเล การทำเช่นนั้นพูดง่ายกว่าทำ
ในเมื่อสมบัตินี้ถูกส่งผ่านรุ่นต่อรุ่นมาหลายร้อยปี ถ้าประเพณีนี้จบ
ลงที่เธอ เธอก็จะไม่สามารถที่จะหลับตาลงได้เพราะความอับอายนี้
“คงมิมีประเพณีไหนที่จะคงอยู่ได้อีกถ้าทวีปใต้ถูกทำลายโดยสัตว์
อสูรวิญญาณจำนวนมากใช่ไหม เอางี้ไหม ข้าจักเอาสมบัตินี้ไปจาก
มือเจ้าในเมื่อข้ามีวิธีใช้งานมันได้จริง มิเหมือนกับพวกเจ้าซึ่งเพียงจัก
เก็บมันไว้เป็นของประดับเท่านั้น” ถังหลินชีกล่าวด้วยประกายลึกลับ
ในดวงตา
“…”
หลังจากที่ได้ยินคำแนะนำของถังหลินชี ชินเหลียงหยูก็หลับตาลง
ครุ่นคิดอยู่อย่างเงียบ ๆ
สิ่งที่ถังหลินชีพูดนั้นเป็นความจริง ถ้าพวกเขายังคงเก็บสมบัตินี้ไว้
มันจะเพียงทำให้ชนเผ่าของพวกเขายิ่งปั่นป่ วนแทนที่จะเป็นประโยชน์
ยิ่งไปกว่านั้นสมบัติเองเดิมก็เป็นของชิวเยว่ในเมื่อเธอเป็นคนที่ฆ่า
มารช่องมิติตั้งแต่แรก
“แน่นอนข้ามิเอาสิ่งใดที่มีค่าไปฟรี ๆ ข้าจักชดเชยให้กับเจ้า วิชาฝีมือ
ระดับเซียนสามวิชาฟังดูเป็นอย่างไร แน่นอนว่ามันจะเป็นประโยชน์
ต่อเจ้ามากกว่าลูกตานั่น”
“วิ-วิชาฝีมือระดับเซียนรึ และถึงสามวิชาด้วย” ชินเหลียงหยูคางตก
ถึงพื้น
ลืมเรื่องวิชาระดับเซียนไปได้เลย พวกเธอยังไม่มีวิชาฝีมือระดับสวรรค์
แม้แต่เล่มเดียว
“อะไรนะ นั่นยังมิพออีกรึ” ถังหลินชีเลิกคิ้ว
ชินเหลียงหยูรีบส่ายหน้า “แน่นอนว่าพอแล้ว นั่นยิ่งกว่าพอเสียอีก
ตามความเป็นจริงมันมากเกินไปด้วยซ้ำ”
“เช่นนั้นเจ้ายินดีที่จะแลกเปลี่ยนหรือไม่”
“…”
หลังจากครุ่นคิดไปอีกชั่วขณะ ชินเหลียงหยูก็พยักหน้า “สมบัติเดิมที
ก็เป็นของท่านเทพธิดาอยู่แล้ว มิว่าอย่างไรก็ตามข้าก็รู้สึกแย่ที่รับ
ค่าชดเชยจากท่านเช่นกัน”
“ดีมาก ข้าจักให้วิชาการฝึกฝนแก่เจ้าสำหรับลูกตาของมารช่องมิติ
ยามเมื่อข้าได้จัดเตรียมไว้แล้ว” ถังหลินชีกล่าว
“ข-ขอบคุณ ผู้อาวุโส” ชินเหลียงหยูคำนับเธอ
“ที่รักยืมแหวนมิติของเจ้าหน่อย” ถังหลินชีพลันกล่าวกับเขา
ซูหยางพยักหน้าและยื่นส่งแหวนมิติให้กับเธอโดยไม่ลังเล
ครั้นเมื่อเธอมีแหวนมิติแล้ว ถังหลินชีก็ตรงไปยังลูกตาของมารช่อง
มิติและดูดมันเข้าไปในแหวนมิติ
“นี่ รักษาสิ่งนี้ไว้ให้กับข้าจนกว่าเจ้ากลับไปยังสวรรค์ศักด์ิสิทธ์ิทั้งสี่”
ถังหลินชีกล่าว
เพราะว่าเธอไม่มีวิธีที่จะพาสิ่งที่มีตัวตนไปกับเธอยามเมื่อเธอกลับคืน
ไปยังร่างเดิมของเธอ เธอต้องการบางคนนำมันไปให้กับเธอ
“เจ้าวางแผนที่จะทำอะไรกับลูกตานี้ต่อไปรึ” ซูหยางถามเธอพร้อม
กับเลิกคิ้ว
“สายเลือดเทพอาชูร่าย่อมได้ประโยชน์จากพลังงานปั่นป่วนที่อยู่ใน
ลูกตาของมารช่องมิติ มิว่าอย่างไรพวกเรามิเหมือนกับผู้ฝึกวิชาทั่วไป
ที่ฝึกฝนโดยใช้พลังวิญญาณบริสุทธ์ิ ผู้ที่ฝึกวิชาของสายเลือดเทพอา
ชูร่าของเราต้องทำเช่นนั้นกับพลังวิญญาณปั่นป่ วนแทน นอกจากนั้น
มารช่องมิติก็เป็นตัวตนที่ยิ่งกว่าหายากเช่นกัน ดังนั้นข้าจึงต้องการ
เพิ่มมันเข้าไปในของสะสมของข้า แน่นอนว่ามันจะยิ่งมีค่ามากขึ้น”
“เจ้ายังคงเก็บของสะสมอันตรายพวกนั้นอยู่อีกรึ ข้ามิแปลกใจเลย”
ซูหยางเผยรอยยิ้ม
“อย่างไรก็ตามตอนนี้พวกเราเสร็จงานตรงนี้แล้ว เรามุ่งไปยังชนเผ่า
อื่นและดูว่าข้อมูลอะไรที่พวกเขามีเกี่ยวกับกระจกนิลกาฬกันเถอะ”
ชินเหลียงหยูพยักหน้า
“มิว่าอย่างไรถ้าท่านมิถือหากข้าจะขอถาม ผู้อาวุโสซู ทำไมท่านจึง
ค้นคว้าเรื่องกระจกนิลกาฬ ท่านวางแผนที่จะเข้าไปในนั้นรึ” เธอ
พลันถาม
“ใช่แล้ว” เขาพยักหน้าอย่างใจเย็น “ข้าวางแผนที่จะเข้าไปในกระจก
นิลกาฬคราวหน้าที่มันปรากฏขึ้น”
“และท่านมิกังวลรึว่ามันจักพาท่านไปยังที่ไหนสักแห่ง ถ้าเป็นข้า ข้า
เองย่อมมิกล้าที่จะเข้าไปในนั้นในเมื่อข้ากลัวสิ่งที่ไม่รู้จัก”
“สำหรับผู้ฝึกยุทธแล้ว บางครั้ง…ก็มีหลายสิ่งในชีวิตที่น่ากลัวกว่า
ความตายอีก” ซูหยางกล่าว “หรืออาจจะมีเป้าหมายที่เจ้าต้องทำให้
สำเร็จต่อให้เจ้าอาจจะตายในระหว่างกระทำการนั้น”
“โดยเฉพาะอย่างยิ่งนี่เป็นเรื่องจริงสำหรับข้า ถ้าข้ากลัวความตาย
เช่นนั้นข้าก็มิอาจจักสามารถปกป้องสิ่งที่ข้าเห็นคุณค่าและผู้คนที่ข้า
รัก มันเป็นสิ่งที่ง่าย ๆ เช่นนั้นแหละ”
“อย่างนั้นรึ…” ชินเหลียงหยูพึมพัมเสียงเบา ดูเหมือนจะพูดไม่ออก
ไม่แน่ว่าอาจจะหลงใหลในถ้อยคำของเขา
บทที่ 434 สมบัติของชนเผ่าหมูป่า
“ห-หัวหน้าชิน ท่านคิดอะไรอยู่ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นแขกผู้ทรง
เกียรติของเราแต่เราปกติก็มิควรแสดงสมบัติของเราให้กับคนแปลก
หน้า” นักรบที่ชื่อเลอเป่าดึงเธอไปด้านข้างและพูด
“เจ้าโง่” ชินเหลียงหยูพลันตบหัวเลอเป่า สร้างความงงงันให้กับทุก
คนในห้อง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเลอเป่ าซึ่งไม่เคยถูกเธอตีมาก่อน
“หรือว่าเจ้ามิได้ยินคำพูดของทูตของชนเผ่ามังกรที่เพิ่งกล่าวไป”
“ผู้กอบกู้ของเราเป็นเทพธิดาที่แท้จริง คนที่สังหารมหาวิบัติในขณะที่
ทุกชนเผ่ามิอาจจะเอาชนะมันถึงแม้ว่าพวกเขาจะร่วมมือกันก็ตาม
และสมบัติของเราเดิมทีก็มาจากมหาวิบัติ ดังนั้นเดิมทีมันจึงถือเป็น
ของเทพธิดา.. พวกเขา”
“…”
ได้ยินคำพูดของเธอ เลอเป่ าจึงเงียบลงราวกับว่าเป็นลูกหมาที่เพิ่งถูก
เจ้าของดุ
“โปรดให้อภัยกับพฤติกรรมอันน่าอับอายของพวกเรา ผู้อาวุโสซู”
ชินหลิงหยูขอโทษพวกเขาและกล่าวต่อว่า “ตอนนี้ข้าจักแสดงให้
พวกท่านเห็นสมบัติที่เก็บเกี่ยวมาได้จากมหาวิบัติ”
ซูหยางพยักหน้าและติดตามเธอไปยังด้านหลังของกระท่อมที่ซึ่งมี
ประตูอยู่กลางห้อง
“หืม” ซูหยางเลิกคิ้วหลังจากที่เห็นประตูนี้ซึ่งเกือบจะโปร่งใส
“ประตูนี้เป็นค่ายกล มันค่อนข้างจะเป็นสิ่งที่ทรงพลังเช่นกันถ้าเจ้า
พิจารณาจากสถานการณ์ของพวกเขา” ถังหลิงชีพึมพัมกับซูหยาง
“พวกท่านสามารถเห็นประตูด้วยเช่นกันรึ” ชินเหลียงหยูมองดูพวก
เขาด้วยสายตาประหลาดใจและพูดต่อว่า “ตลอดทั่วทุกชนเผ่า ไม่ใช่
ตลอดทั่วทั้งทวีปใต้ ข้าควรจะเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถเห็นและ
เปิดประตูนี้ได้”
“อย่างไรก็ตามถ้าเจ้ารู้เรื่องค่ายกลสักอย่างสองอย่าง ใครก็จักสามารถ
ที่จะเห็นมันได้” ถังหลินชีกล่าว
“เป็นไปไม่ได้…” ชินเหลียงหยูพึมพัมไม่อยากเชื่อ ในเมื่อเธอเชื่อว่า
มันเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับทางพันธุกรรม
“ถ้าเจ้ามิเชื่อข้า เช่นนั้นข้าจะลองเปิดมันให้เจ้าดูไหม” ถังหลินชี
พลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นั่นจักใช้เวลามินานเช่นกัน”
“เดี๋ยว…”
แต่ทว่าก่อนที่ชินเหลียงหยูจะทันได้กล่าวอะไร ถังหลินชีก็ได้ก้าว
ออกไปข้างหน้าและยืนอยู่ตรงหน้าประตู จ้องมองมันอย่างเงียบ ๆ
ชินเหลียงหยูมองดูด้วยความรู้สึกเป็นกังวลใจ
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะถังหลินชีก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงมีอำนาจ
ว่า “กระทั่งสมุนของจักรพรรดิสวรรค์ก็ยังมิกล้าที่จะขวางทางข้า แต่
แค่เพียงค่ายกลที่สร้างขึ้นจากสิ่งมีชีวิตที่ต่ำต้อยกล้าที่จะขวางทางข้า
งั้นรึ”
“ห-หือ เธอกำลังทำอะไร ทำยังกับว่านั่นจะเปิดค่ายกลได้” ชินเหลียง
หยูคิดในใจ
อย่างไรก็ตามเวลาถัดไปประตูที่โปร่งใสก็มีปฏิกิริยาตอบโต้ด้วยการ
สั่นสะเทือนเล็กน้อย
แม้ว่าการเคลื่อนไหวจะเล็กน้อยและเกือบสังเกตไม่ออก ชินเหลียงหยู
ถึงกับสั่นสะท้านไปถึงขั้วหัวใจ
“ข้าจักให้เวลาเจ้าสามวินาทีที่จะเปิดหรือไม่ข้าก็จักทำลายเจ้าซะ”
หลังจากที่กล่าวคำพูดเหล่านั้น ถังหลินชีก็เริ่มนับ
“หนึ่ง…”
ประตูสั่นสะท้านมากกว่าเดิม
“สอง….”
เมื่อนับถึงสองเป็นที่น่าประหลาดใจที่ประตูเปิดขึ้นเล็กน้อยสร้าง
ความตระหนกให้กับชินเหลียงหยูซึ่งไม่เคยจินตนาการว่าค่ายกลที่
ปกป้องทรัพย์สินที่มีค่ามากที่สุดของชนเผ่าจะเปิดเพียงเพราะว่ามัน
ถูกข่มขู่โดยใครสักคน
“สาม”
เมื่อนับถึงครั้งสุดท้าย ประตูก็รีบเปิ ดราวกับว่ามันถูกบังคับให้เปิด
จากการเตะ
ครั้นเมื่อประตูเปิดแล้ว ประตูก็เริ่มหายไปก่อนที่ประตูมิติปรากฏตัว
ขึ้นในตำแหน่งที่ซึ่งประตูหายไป
“เห็นไหม มันค่อนข้างง่ายดายจริง ๆ” ถังหลินชีหันไปหาชินเหลียง
หยูและกล่าวด้วยรอยยิ้ม
อย่างไรก็ตามซูหยางส่ายหน้าและถอนใจ “เจ้าจะได้อะไรจากการ
แสดงเล็กน้อยนี้รึ หลินชี”
“อะไรนะ การแสดงรึ” ชินเหลียงหยูมองดูพวกเขาด้วยสายตางงงัน
ถังหลินชีหัวเราะคิกคักและกล่าวว่า “การพูดเหล่านั้นเป็นเพียงแค่
การแสดง เป็นตัวล่อ ประตูเปิดเพราะว่าข้ามองเห็นทะลุถึงค่ายกล
และสะเดาะเปิดมันออก มิใช่เพราะว่ามันถูกข้าขู่”
“มิมีทาง…” ชินเหลียงหยูพูดไม่ออก
“อย่างไรก็ตามรีบแสดงสมบัติให้กับข้าเถอะ ข้าค่อนข้างที่จะสนใจ
กับมันแล้วจริง ๆ” ถังหลินชีกล่าว
“ท-ทางนี้ โปรดตามข้ามา”
ชินเหลียงหยูพยักหน้าและพาพวกเขาไปยังประตูมิติ เคลื่อนย้ายพวก
เขาไปยังอีกที่หนึ่ง
“แม้ว่าช่องว่างภายในค่ายกลนี้จะเล็กมาก ก็ถือว่าไม่เลวหากพิจารณา
ว่ามันถูกสร้างจากคนที่อยู่ในเขตราชันวิญญาณ” ซูหยางคิดในใจ
ขณะที่เขามองดูรอบ ๆ ห้องที่ไม่มีขอบเขต สิ่งที่เป็นจริงก็คือพวก
มันถูกรายล้อมไปด้วยความมืดที่มีเพียงแสงกระพริบบางครั้งในฉาก
หลัง ราวกับว่าพวกเขาถูกเคลื่อนย้ายไปยังท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่
ดาว
“สมบัติอยู่ที่นี่ ผู้อาวุโสซู”
ชินเหลียงหยูชี้ไปยังลูกตาขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บนเสาอย่างระมัดระวัง
ไม่กี่เมตรจากพวกเขา
“โอ…”
ซูหยางเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจหลังจากที่เห็นลูกตานี้ที่มีขนาด
ใหญ่กว่าโขดหิน ถ้าให้เขาเดา ตัวตนของมหาวิบัตินี้จะต้องมีความ
ยาวหลายพันเมตร
“ที่รัก… นี่คือ…” กระทั่งถังหลินชีก็ยังมีสีหน้าเคร่งเครียดหลังจากที่
เห็นดวงตาขนาดมหึมา
“ถ้าข้าจำมิผิด สิ่งที่ชิวเยว่ฆ่าต้องมาจากรอยแยกมิติ มันเป็นมารช่อง
มิติ”
“อะไรนะ มารช่องมิติรึ” ซูหยางตาโตด้วยความตกใจ “ทำไมสิ่งมีชีวิต
จากรอยแยกมิติจึงอยู่ในที่แห่งนี้ได้ และมิใช่ว่ามารช่องมิติมิสามารถ
ที่จะออกไปจากรอยแยกมิติได้เช่นนั้นรึ และถึงแม้ว่ามารช่องมิติจะ
หนีออกมาจากรอยแยกมิติได้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ชิวเยว่ก็มิควรจะ
สามารถฆ่ามันได้ กระทั่งจอมยุทธเขตจอมเทพก็ยังต้องกลัวพวกนี้”
จากนั้นถังหลินชีก็พูดขึ้นว่า “มิใช่ทุกคนที่จะรู้เรื่องนี้ในเมื่อมันเกิดขึ้น
ยากมากแต่ทว่ารอยแยกมิติเพียงสามารถที่จะป้องกันมิให้มารช่อง
มิติที่แข็งแกร่งหลบหนีได้เท่านั้น มารช่องมิติที่ถูกชิวเยว่ฆ่าบางที
อาจจะอ่อนแอมากมายนัก ดังนั้นมันจึงสามารถที่จะหลบหนีรอย
แยกมิติออกมาได้”
“ถ้าเป็นเช่นนั้น… บางทีสิ่งนี้อาจจะมาจากกระจกนิลกาฬก็ได้ในเมื่อ
กระจกเป็นประตูมิติไปสู่ที่ต่าง ๆ ได้ และทุกประตูมิติล้วนเชื่อมต่อ
กับรอยแยกมิติ” ซูหยางครุ่นคิด
“นี่เป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ ตอนนี้พวกเราก้าวเข้าใกล้กับการเปิ ดเผย
ต้นตอของกระจกแล้ว” ถังหลินชีกว่าว
“รอยแยกมิติ มารช่องมิติ สิ่งเหล่านี้คืออะไรกัน” ชินเหลียงหยูตาม
การสนทนาของพวกเขาไม่ทันในเมื่อเธอไม่เคยได้ยินศัพท์เหล่านี้มา
ก่อนจนถึงวันนี้
บทที่ 433 แรงกดดันที่น่าสยดสยอง
“ท-ท่านเทพธิดา ผู้ต่ำต้อยคนนี้ขอคารวะท่านเทพธิดา”
จอมยุทธเขตราชันวิญญาณคุกเข่าลงบนพื้นทันทีที่เห็นชิวเยว่
เมื่อพันปีก่อนเมื่อเขายังเป็นเด็กหนุ่ม เขาได้มีโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่ได้
เห็นชิวเยว่สังหารสัตว์อสูรที่เป็นที่รู้จักกันในภายหลังว่า “มหาวิบัติ”
ด้วยตนเอง และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเขาก็ไม่สามารถที่จะลืมความ
แข็งแกร่งประดุจพระเจ้าและความสวยอันสูงส่งของชิวเยว่ได้ แม้กระทั่ง
เวลาผ่านไปหลายร้อยปีเขาก็ยังสามารถจดจำชิวเยว่ในฐานะเทพธิดา
ที่ได้ล่ามหาวิบัติและช่วยเหลือทวีปใต้ได้อย่างง่ายดาย
“ข-ข้ามิอยากเชื่อ… หลังจากผ่านมาหนึ่งพันปี ข้าจักได้มีโอกาสได้
เห็นเป็นบุญตาข้าเป็นครั้งที่สองกับตัวตนอันสง่างามของท่าน ท่าน
เทพธิดา”
“ว้าว เขาพูดสิ่งที่น่าอายในเรื่องของเจ้าโดยปราศจากความละอาย
ออกมาได้จริง ๆ ชิวเยว่” ถังหลิงชีหัวเราะคิกคัก
“น่าอายรึ มิมีอะไรที่น่าอายในเรื่องแสดงความจงรักต่อท่านเทพธิดา
และเจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครถึงอ้างท่านเทพธิดาในลักษณะเช่นนั้น เพียง
แค่เจ้าพวกผู้เยาว์ในเขตอัมพรวิญญาณ” ชายชราจ้องไปยังถังหลิงชี
พร้อมหรี่ตา
“โห เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นพี่ใหญ่เพียงเพราะว่าเจ้าอยู่ในเขตราชันวิญญาณ
อย่างงั้นรึ ถ้าข้าอยู่ในร่างเดิมของข้า ข้าสามารถฆ่าเจ้าได้โดยมิต้อง
ยกนิ้วแม้แต่นิ้วเดียว” ถังหลินชีก็หรี่ตาเธอลงเช่นกัน จนทำให้
บรรยากาศในห้องเปลี่ยนไป
“น-นี่”
ชินเหลียงหยูและนักรบชายสามารถรู้สึกได้ถึงแรงกดดันจนแทบ
หายใจไม่ออกจากถังหลินชี มันเป็นสิ่งที่เต็มไปด้วยความหวาดหวั่น
และชวนสิ้นหวัง พวกเขาไม่เคยรู้สึกถึงแรงกดดันอันน่าหวาดหวั่น
เช่นนี้มาก่อนซึ่งทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าพวกเขากำลังยืนอยู่ต่อหน้า
เทพแห่งความตาย
กระทั่งจอมยุทธเขตราชันวิญญาณก็อดไม่ได้ที่จะมีสีหน้าประหลาด
ใจหลังจากที่รู้สึกถึงแรงกดดันอันน่าสยดสยองจากถังหลิงชี
“ใจเย็นหลิงชี” ซูหยางวางมือของเขาลงบนไหล่เธอและกระซิบด้วย
เสียงนุ่มนวล
“ขอโทษ ที่รัก วิธีที่เจ้านี่มองดูข้ามีแต่ความไม่เคารพและมิน่าพอใจ
ดังนั้นข้าจึงโกรธขึ้นมาบ้างเล็กน้อย” ถังหลินชีถอนจิตสังหารใน
ดวงตาออกไปและกระแอมอย่างไม่ใส่ใจ สร้างความงงงันให้กับคน
ที่นั่น
“…”
ชิวเยว่กลืนน้ำลายอย่างเงียบ ๆ และกล่าวกับตัวเองในใจว่า “เธอมา
จากสายเลือดเทพอาชูร่าจริงแท้แน่นอน…”
“เจ้าต้องการที่จะพูดกับข้ารึ รีบพูดออกมาในสิ่งที่เจ้าต้องการ อย่างไร
ก็ตามถ้าเจ้าทำให้พี่สาวใหญ่ของข้าโกรธอีกครั้ง ข้าจักเป็นคนที่ต้อง
พูดกับเจ้าเอง” ชิวเยว่กล่าวกับเขาด้วยสีหน้าเย็นชา
“พ-พ-พี่สาวใหญ่รึ ให้ข้าผู้ต่ำต้อยคนนี้แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง”
ชายชราดวงตาเปิดกว้างด้วยความตระหนกและเขาเริ่มโขกหัวกับ
พื้นหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเธอ เมื่อเขาไม่คาดคิดว่าคนที่อ่อนด้อย
กว่าชิวเยว่จะเป็นพี่สาวใหญ่ของเธอ
“พี่สาวใหญ่รึ” ในเวลาเดียวกันถังหลิงชีก็มองดูชิวเยว่ด้วยรอยยิ้มบน
ใบหน้า
“พอแล้ว รีบพูดออกมา” รู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมากกับการที่ชายชรา
เคารพเธออย่างมาก ชิวเยว่จึงพูดเสียงดังขึ้น
“ข-ขอรับ” ชายชรารีบยืนขึ้นพูด “ข้าผู้ต่ำต้อยนี้มาที่นี่ในฐานะทูตจาก
ชนเผ่ามังกรด้วยเจตนาที่จะเชื้อเชิญท่านเทพธิดาไปยังชนเผ่ามังกร
ในฐานะแขกผู้ทรงเกียรติ”
“เจ้าต้องการข้าไปยังชนเผ่ามังกรรึ ทำไมกัน” ชิวเยว่ถาม
“หัวหน้าของข้า หัวหน้าหลงประสงค์ที่จะพูดกับท่าน ท่านเทพธิดา”
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ ชิวเยว่ก็พูดขึ้นว่า “ถ้าหัวหน้าของเจ้า
ต้องการที่จะพูดกับข้าจริง ๆ ทำไมเขาจึงมิมาที่นี่กับเจ้า แต่ว่าเจ้า
ต้องการให้ข้าเสียเวลาโดยการให้ข้าไปหาเขางั้นรึ เจ้าดูถูกข้างั้นรึ”
ชายชราเริ่มสั่นสะท้านหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเธอและรีบตอบ
กลับอย่างรวดเร็ว “น-นี่เป็นความเข้าใจผิด ท่านเทพธิดา ห-หัวหน้า
ในตอนนี้ยุ่งอยู่กับธุระอื่นและมิสามารถออกมาจากหมู่บ้านได้ใน
เวลานี้ และพวกเรามิมั่นใจว่าท่านเทพธิดาเป็นตัวจริงหรือตัวปลอม
มิเช่นนั้นเขาก็คงอยู่ที่นี่แล้ว อย่างไรก็ตามท่านมิต้องกังวล ท่าน
เทพธิดา ข้าผู้ต่ำต้อยจักกลับไปในทันทีและถ่ายทอดข้อความของ
ท่านให้กับหัวหน้าของเรา”
“รอสักครู่” ซูหยางพลันส่งเสียง
คนในห้องหันไปดูเขาพร้อมเลิกคิ้ว
“ชิวเยว่ เจ้าควรจะไปยังชนเผ่ามังกรและดูว่าพวกนั้นมีข้อมูลเกี่ยวกับ
กระจกนิลกาฬหรือไม่”
“กระจกนิลกาฬรึ ท่านเทพธิดาต้องการความรู้ที่เกี่ยวข้องกับกระจก
นั่นรึ” ชายชราถาม
“ใช่ เจ้ามีข้อมูลที่เป็นประโยชน์บ้างหรือไม่”
“ม-มีขอรับ แม้ว่าข้ามิอาจจะรับประกันว่าเราจะมีคำตอบต่อคำถาม
ของท่าน แต่ชนเผ่ามังกรมีม้วนคัมภีร์โบราณมากมายเกี่ยวกับกระจก
นิลกาฬ”
ชิวเยว่พยักหน้าอึดใจหลังจากนั้นและกล่าวว่า “ซูหยาง ท่านต้องการ
จะมากับข้าไปยังชนเผ่ามังกรหรือไม่”
เขาส่ายหน้า “ข้าจักมุ่งหน้าไปยังชนเผ่าอื่นกับหัวหน้าชินและหลินชี
หลังจากที่พวกเราเสร็จกิจที่นี่แล้ว”
“ยังงั้นรึ…” ชิวเยว่พึมพำ ฟังดูค่อนข้างผิดหวังเล็กน้อย
“หากท่านปรารถนา เราสามารถจากไปได้ในตอนนี้เลย ท่านเทพธิดา”
ชายชรากล่าวกับเธอ
ชิวเยว่พยักหน้า
ก่อนที่พวกเขาจะจากไป ชายชราก็พูดกับชินเหลียงหยูว่า “หัวหน้า
ชิน อย่าลืมเรื่องของพวกเรา พวกเราจักกลับมาในวันหลังเพื่อฟังคำ
ตัดสินใจของเจ้า”
อย่างไรก็ตามก่อนที่เธอจะทันได้ตอบ นักรบที่ยืนอยู่อย่างเงียบ ๆ ที่
ตรงนั้นพลันกล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า “แน่นอนว่าพวกเราย่อมต้อง
ปฏิเสธ สมบัตินั้นได้อยู่กับชนเผ่าหมูป่ ามานับพันปี มิมีทางแน่นอน
ที่พวกเราจักให้มันกับใคร ไม่แม้แต่จะเป็นชนเผ่ามังกร”
“ข้ามิรู้ว่าข้ากำลังพูดอยู่กับเจ้า มิใช่หัวหน้าชิน นักรบหนุ่ม” ชายชรา
เยาะเย้ยและกล่าวต่อว่า “และก็ใช่ว่าข้ากำลังถามเจ้าให้ส่งมันมาให้
กับพวกเราโดยมิมีสิ่งของตอบแทน ตราบเท่าที่มันอยู่ในราคาที่สม
เหตุผล พวกเราจักซื้อมันจากเจ้า มิว่าอย่างไรเจ้าก็มีเวลาถึงอาทิตย์
หน้าสำหรับการตัดสินใจ หัวหน้าชิน ตอนนี้ข้าจักขอตัวก่อน”
ชายชราออกไปจากกระท่อมและชิวเยว่ก็ติดตามเขาไปในไม่กี่วินาที
หลังจากนั้น
“จ-เจ้าแก่เลวนั่น” นักรบชนพื้นเมืองคำรามเสียงต่ำ ดวงตาของเขา
เต็มไปด้วยความเหยียดหยามและโกรธแค้น
“ใจเย็น เลอเป่า” หัวหน้าชินกล่าวกับเขา
“แต่หัวหน้า พวกเราย่อมมิสามารถมอบสมบัติให้ได้”
“เฮ้อ…” ชินเหลียงหยูถอนใจและกล่าวว่า “ข้าเข้าใจความขุ่นใจของ
เจ้า แต่ถึงแม้ว่าข้าต้องการเก็บสมบัตินั้นไว้มากเท่าไหร่ก็ตาม พวกเรา
ก็ยังมิอยู่ในสถานะที่จะปฏิเสธได้เมื่อชนเผ่าของพวกเราได้ตกต่ำลง
มาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้วในตอนนี้ ถ้าพวกเรามิทำการตัดสินใจ
เด็ดขาดอะไรบางอย่างในตอนนี้ ทั้งชนเผ่าหมูห่าจักต้องทนทุกข์
ทรมานในอนาคตภายหน้าแน่”
“สมบัตินี้…” ซูหยางพลันพูดขึ้น “พวกเจ้าสามารถบอกข้าเกี่ยวกับ
มันได้บ้างไหม บางทีข้าอาจจะช่วยอะไรได้บ้าง”
“ผู้อาวุโสซู…ข้าคิดว่านั่นคงเป็นการง่ายในการอธิบายถ้าข้าได้แสดง
ให้ท่านเห็นสมบัติก่อนเป็นอันดับแรก” ชินเหลียงหยูกล่าว
บทที่ 432 ทูตชนเผ่ามังกร
“ยินดีต้อนรับการกลับมา ท่านแขกผู้ทรงเกียรติ ข้าหวังว่าพวกท่านคง
จะพักผ่อนอย่างสบายใจเมื่อคืนนี้” หนึ่งในชนพื้นเมืองกล่าวทักทาย
พวกเขาที่ปากทางเข้าหมู่บ้าน
“หือ แล้วหัวหน้าของพวกเจ้าไปไหนล่ะ” ชิวเยว่ถามเธอ
“อือ…” ชนพื้นเมืองพลันแสดงท่าทางกังวลใจ กล่าวว่า “หัวหน้า…
ตอนนี้เธอกำลังพบปะกับทูตจากชนเผ่ามังกรที่มาถึงมินานนัก”
“โอ ชนเผ่ามังกรอยู่ที่นี่รึ มิใช่ว่าพวกนี้เป็นเพื่อนกับชนเผ่าเสือโคร่ง
ที่พยายามโจมตีที่แห่งนี้มินานมานี้” ซูหยางรู้สึกถึงอุบายของการมา
เยี่ยมเยือนโดยเจตนาของอีกฝ่าย
“ข-ข้าก็มิทราบถึงเจตนาการมาเยี่ยมของพวกนั้น” เด็กสาวชนพื้นเมือง
ส่ายหน้า
“อย่างไรก็ตามพวกนั้นได้เข้าไปอยู่ด้านในนานพอสมควรแล้วใน
ตอนนี้ ดังนั้นพวกเขาควรจะออกมาในเร็ว ๆ นี้”
เพียงแค่เด็กสาวชนพื้นเมืองกล่าวเช่นนั้น ชินเหลียงหยูก็เดินออกมา
จากกระท่อมหลังใหญ่ที่สุดหลังหนึ่งด้วยสีหน้าสับสน
เมื่อเธอสังเกตเห็นซูหยางและพวกยืนอยู่ที่ปากทางเข้าหมู่บ้าน ก็ทำ
ให้เธอยิ้มออกมาได้ในทันที
“ผ-ผู้อาวุโสซู” ชินเหลียงหยูรีบวิ่งไปหาพวกเขา “ท่านมาได้เวลา
ประจวบเหมาะ ชนเผ่ามังกร พวกเขา…”
“พวกนั้นมาอยู่ที่นี่ในตอนนี้ ใช่ไหม” ซูหยางขัด
“ช-ใช่… ถูกต้องแล้ว” ชินเหลียงหยูพยักหน้า “ทูตจากชนเผ่ามังกร
ได้มาถึงมินานมานี้และพวกนั้นได้นำของขวัญบางอย่างมาด้วย”
ชินเหลียงหยูชี้ไปยังยี่สิบร่างที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เกวียนขนาดใหญ่บรรทุก
เนื้อวิญญาณ และพูดต่อไปว่า “คนรับใช้ยี่สิบคน ชายหนุ่มสิบคน
สำหรับใช้งาน และสิบหญิงสาวพรหมจรรย์สำหรับให้นักรบพวกเรา
ได้ตักตวงหาความสุข และสุดท้ายเนื้อวิญญาณอีกห้าร้อยกิโลกรัม”
“…”
ซูหยางหรี่ตาลงเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น
“ช่างขัดใจนัก” เขาพึมพำออกมาในอึดใจถัดมา
“ข-ขอประทานอภัย” ชินเหลียงหยูแสดงสีหน้างงงัน “มีอะไรที่มิ
ถูกใจท่านผู้อาวุโสซูหรือไม่”
“ข้ามิรู้ว่าชนเผ่าที่นี่ดำเนินชีวิตกันอย่างไร แต่การทำกับมนุษย์เหมือน
กับว่าพวกเขาเป็นสัตว์เลี้ยงในทุ่งนั้น… เป็นอะไรที่ข้ามิอยากจะเห็น”
ซูหยางกล่าว
“!!!”
ชินเหลียงหยูเข้าใจได้อย่างรวดเร็วว่าทำไมซูหยางจึงไม่ยินดีและเริ่ม
อธิบายในทันที “เมื่อชนเผ่าหนึ่งเอาชนะชนเผ่าอื่น ผู้ชนะจะเอาทุก
สิ่งทุกอย่างที่ต้องการจากผู้แพ้ ไม่ว่าจะเป็นอาหารหรือว่าผู้คน ผู้แพ้
มิอาจขัดขืนได้ ซึ่งนั่นมักจะนำมาสู่การล้างเผ่าพันธุ์ของตนเอง ใน
กรณีส่วนใหญ่ผู้ชายจักถูกบังคับให้เป็นแรงงานและผู้หญิงจักถูกใช้
เพื่อเพิ่มจำนวนประชากรของชนเผ่า ซึ่งนี่เป็นไปได้มากที่สุดสำหรับ
สถานการณ์ของพวกเขาในตอนนี้”
แต่อย่างไรก็ตามซูหยางส่ายหน้าและกล่าวว่า “มิใช่ว่าข้ามิเข้าใจ ข้า
เคยไปหลายสถานที่ซึ่งมีวิถีชีวิตรูปแบบคล้ายคลึงกันนี้และข้าก็เป็น
เพียงแค่แขกที่นี่ ดังนั้นเจ้ามิจำเป็นต้องสนใจข้า ข้าเพียงแค่พูด
ออกมาเท่านั้น”
“….”
ชินเหลียงหยูพูดไม่ออก แม้ว่าซูหยางพูดว่าไม่ต้องสนใจเขา เธอก็ไม่
สามารถที่จะยอมให้สิ่งเหล่านี้ซึ่งเห็นได้ชัดว่าจะทำให้เกิดความไม่
พอใจแก่แขกผู้ทรงเกียรติของพวกเธอเกิดขึ้นได้
สองสามอึดใจจากนั้น ชินเหลียงหยูเรียกหนึ่งในคนของตนเองมา
และกล่าวว่า “คนยี่สิบคนที่ถูกนำตัวมาที่นี่จากชนเผ่ามังกร พวกเขา
ในตอนนี้เป็นส่วนหนึ่งของชนเผ่าหมูป่ าของพวกเรา และมิใช่คนรับ
ใช้แต่เป็นครอบครัว ข้าต้องการให้เจ้าจัดการในตอนนี้เลย”
“เอ๋”
เด็กสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าชินเหลียงหยูงุนงง ทำไมพวกเขาจึงยอมรับ
คนแปลกหน้าพวกนี้ที่ถูกพามาให้พวกเขาจากศัตรูเข้ามาเป็น
ครอบครัว พวกเขาจะได้อะไรจากการทำสิ่งเหล่านั้น
“ข้ามิต้องการที่จะทวนคำสั่ง ไปทำให้สำเร็จ” ชินเหลียงหยูหรี่ตา ทำ
ให้เด็กสาวพลันสั่นสะท้าน
“ด-ได้เจ้าค่ะ หัวหน้าชิน”
ขณะที่เด็กสาวชนพื้นเมืองลนลานจากไป ซูหยางก็พูดขึ้น “ก็เหมือน
กับที่ข้าพูดไว้ เจ้ามิจำเป็นต้องสนใจข้า ข้าเพียงแค่อยู่ที่นี่ในฐานะแขก
เจ้ามิจำเป็นต้องทำสิ่งต่าง ๆ ที่บางทีอาจจะสร้างความไม่สะดวกให้กับ
ทั้งหมู่บ้านเพียงเพื่อข้าคนเดียว”
ชินเหลียงหยูส่ายหน้าและกล่าวว่า “ข้าเข้าใจเรื่องนั้น แต่ในฐานะ
หัวหน้าหมู่บ้าน ข้ามิสามารถที่จะยอมให้แขกของข้ารู้สึกมิสบายใจ
เมื่อพวกเขายังอยู่ในหมู่บ้านของพวกเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งแขกผู้
ทรงเกียรติอย่างเช่นพวกท่าน”
“อย่างไรก็ตามข้าควรพูดเรื่องนี้ตั้งแต่แรก แต่ทูตของชนเผ่ามังกร….
เขาขอพบกับท่านเทพธิดาเป็นการเฉพาะเจาะจง” เธอพลันกล่าว
ขณะที่มองไปยังชิวเยว่
“หืม ทำไมชนเผ่ามังกรจึงมีธุระกับข้า” ชิวเยว่เลิกคิ้ว
“ข้ามิรู้อะไรไปนอกจากว่าเขาร้องขอพบกับท่าน” ชินเหลียงหยูส่าย
หน้า
ชิวเยว่หันไปมองดูซูหยางซึ่งพยักหน้ารับ
“ก็ดี เรามาดูกันว่าทูตคนนี้ต้องการอะไรจากข้า”
ชินเหลียงหยูจึงนำพวกเขาไปยังกระท่อมที่เธอออกมาเมื่อไม่กี่นาที
ก่อน
ทันทีที่พวกเขาเข้าไปในกระท่อม ซูหยางก็เห็นคนสองคนกำลังจ้อง
มองพวกเขา
หนึ่งในนั้นเป็นนักรบจากชนเผ่าหมูป่ า เขามีร่างกายกำยำและหน้าตา
ดุร้าย ในขณะที่อีกคนในห้องเป็นชายชราที่มีร่างกายผอมหนังติด
กระดูก แต่อย่างไรก็ตามแม้ว่าเขาจะดูบอบบางแต่กลิ่นอายที่เขาปลด
ปล่อยออกมานั้นน่าหวาดหวั่นที่เหนือกว่าทุกคนในชนเผ่าหมูป่ า เขา
เป็นจอมยุทธในเขตราชันวิญญาณ
แน่นอนว่าซูหยางสามารถรับรู้ความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายได้แม้กระทั่ง
ก่อนที่เขาจะมาถึงเผ่าหมูป่ า ดังนั้นเขาจึงไม่แปลกใจที่เห็นจอมยุทธผู้
นี้ที่นี่
อย่างไรก็ตามที่ทำให้เขารู้สึกว่ามีอุบายก็เพราะความจริงที่ว่าชนเผ่า
มังกรส่งคนที่อยู่ในเขตราชันวิญญาณ ตัวตนที่ถือว่าอยู่ในระดับ
สูงสุดของการฝึกวิชาในโลกนี้ มายังที่แห่งนี้เพื่อเป็นเพียงแค่ทูต
“พวกคนหนุ่มเหล่านี้เป็นใครกัน แม้ว่าพวกเขาจะมีศักยภาพที่น่า
ตระหนก แต่ข้ามาที่นี่วันนี้เพื่อเทพธิดา” ชายชรากล่าวเมื่อเขาเพียง
เห็นซูหยางและถังหลินชีเข้ามาภายในห้อง
“สองคนนี้มาด้วยกันกับข้า เจ้ามีปัญหาอะไรเรื่องนี้รึ” ชิวเยว่กล่าว
ขณะที่เธอเข้ามาในห้องเป็นคนสุดท้าย
“ท-ท่านคือ”
ชายชราดวงตาเบิกกว้างด้วยความตระหนกเมื่อเขาเห็นชิวเยว่ แม้ว่า
มันจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นหลายร้อยปีก่อน นั่นก็ทำให้เขาใช้เวลาเหลือบ
มองแวบเดียวไปยังความสวยและรัศมีพ้นโลกของเธอในการที่ทำให้
เขามั่นใจว่าเธอเป็นเทพธิดาคนเดียวกันกับที่เขาเคยเห็นด้วยตนเอง
ว่าได้สังหารมหาวิบัติเมื่อพันปีก่อน
บทที่ 431 คำแนะนำจากพี่สาวใหญ่
“ท่านพ่– ซูหยาง ข้ากำลังจะไปฝึกวิชาที่ห้องของข้า ถ้าท่านจะไปฝึก
วิชา ท่านสามารถใช้ห้องอื่นได้” ชิวเยว่พลันปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า
พวกเขาและกล่าวขณะที่มองไปที่ถังหลินชี
ได้ยินคำพูดของเธอ ถังหลินชีเผยรอยยิ้มและกล่าวว่า “โชคดีสำหรับ
เจ้าแต่โชคร้ายสำหรับข้า ข้ายังจักมิร่วมฝึกกับเขา ดังนั้นเจ้าจึงมิต้อง
เป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้น”
“เอ๋” ชิวเยว่มองดูอีกฝ่ายด้วยหน้าประหลาดใจ ทำไมเธอจึงไม่ฝึก
ร่วมกับเขากัน คนต่างก็ต้องคาดว่าทั้งคู่คงต้องโอบกอดกันหลังจาก
ที่แยกจากกันมาเป็นเวลานาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาเป็นคน
รักกัน
“เพราะว่านี่มิใช่ร่างของข้า” ถังหลินชีกล่าว “แม้ว่าข้าต้องการถอด
เสื้อผ้าเขาออกในตอนนี้และเล่นสนุกกับร่างของเขามากเท่าไหร่ก็
ตาม ข้าก็ได้สัญญากับหงอวี้เอ๋อร์ว่าข้าจักมิทำอะไรที่ทำให้ร่างกาย
เธอเป็นมลทินในขณะที่ข้ายืมร่างเธอใช้”
“ช่างน่าเสียใจจริง แต่ข้าจักรอเจ้ากลับไปยังสวรรค์ศักด์ิสิทธ์ิทั้งสี่
ก่อนที่เราจะทำอะไรที่เร่าร้อนเป็นพิเศษ” เธอกล่าวกับซูหยางซึ่งส่าย
หน้าอย่างสบาย ๆ หลังจากที่เขาได้ยินคำพูดของเธอ
“มิมีปัญหา ข้าพึงพอใจแล้วกับเพียงแค่สามารถได้พูดกับเจ้าอีกครั้ง
ต่อให้พวกเราฝึกร่วมกันตอนนี้นั่นก็จักมิรู้สึกเหมือนเดิม ในเมื่อร่าง
ของเจ้าในตอนนี้ย่อมมิสามารถที่จะทนมันทั้งหมดได้อยู่ดี” ซูหยาง
กล่าว
“…”
ชิวเยว่ไม่ได้พูดอะไรออกไปอีกและหายเข้าไปในห้องของเธอสอง
สามอึดใจหลังจากนั้น
“เธอเรียกเจ้าว่า “พ่อ” รึ ช่างน่ารักจัง” ถังหลินชีหัวเราะคิกคัก
หลังจากที่ชิวเยว่ไปแล้ว
“เอ้อ ข้าเป็นอะไรที่เหมือนกับตัวแทนพ่อสำหรับเธอ” เขากล่าวด้วย
รอยยิ้ม
“วิหารเทพจันทราเป็นหนึ่งในสถานที่ซึ่งสันโดษที่สุดในสวรรค์
ศักด์ิสิทธ์ิทั้งสี่ เป็นเรื่องปาฏิหาริย์ที่เจ้าได้รับการยินยอมให้ไปเยี่ยมที่
นั่น ยิ่งไปกว่านั้นได้ร่วมรักกับเทพธิดาจันทราเยว่ไฮ”
“นั่นเป็นเพียงเหตุบังเอิญล้วน ๆ ที่ข้าได้ค้นพบวิชาที่ยอมให้คนที่มี
สายเลือดพิเศษได้มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ถ้ามิใช่วิชานั้นวิหาร
เทพจันทราก็คงไม่แม้กระทั่งจะเหลือบมองข้า”
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ ถังหลินชีก็กล่าวขึ้นว่า “เฮ้ ที่รัก เจ้า
วางแผนที่จะรับชิวเยว่เข้าในตระกูลของเรารึ”
“ถ้านั่นเป็นสิ่งที่เธอปรารถนา ข้าก็จักยินดีรับเธอไว้” ซูหยางพยัก
หน้าโดยไม่ลังเล
“ข้ามิควรจะถามคำถามที่มีคำตอบชัดเจนเช่นนั้นอยู่แล้ว” ถังหลินชี
ส่ายหน้าและกล่าวต่อว่า “เช่นนั้นเจ้าเตรียมตัวที่จะสู้กับวิหารเทพ
จันทราเพื่อเธอรึ เจ้าควรจะรู้ว่าพวกนั้นย่อมมิมีวันยอมให้สายเลือด
พิเศษของตนเองเล็ดลอดพ้นไปจากบ้านของพวกเขา โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งเมื่อเธอเป็นลูกสาวเยว่ไฮซึ่งมีสายเลือดบริสุทธ์ิที่สุดในหมู่
พวกนั้นทั้งหมด”
“แน่นอนมิเพียงแต่ข้าจักสู้เพื่อชิวเยว่ แต่ข้าจักสู้เพื่อทุกคนในวิหาร
เทพจันทรา คำสาปนี้ที่ผูกยึดชะตากรรมของพวกเธอไว้ ข้าจักทำลาย
มันด้วยมือของข้าเอง” ซูหยางกล่าวขณะที่กำหมัดแน่น
“หากเป็นเช่นนั้นเมื่อเวลามาถึงและเจ้าต้องการความช่วยเหลือ
สายเลือดเทพอาชูร่าย่อมจักยินดีช่วยเหลือเจ้า” ถังหลินชีกล่าว
อย่างไรก็ตามซูหยางส่ายหน้าและกล่าวว่า “สิ่งที่สายเลือดเทพอาชูร่า
เข้าไปเกี่ยวข้อง จักรพรรดิสวรรค์ย่อมต้องใส่ใจ ข้ามิอาจให้ตัวตน
ของข้าเปิดเผยให้เขาเห็น อย่างน้อยก็จนกว่าข้ามีความมั่นใจว่าข้า
สามารถปกป้องตระกูลของข้าได้แม้ว่าจักรพรรดิสวรรค์มาถึงประตู
บ้านข้า ยิ่งไปกว่านั้นนี่เป็นการแก้แค้นของตัวข้าเอง ความโกรธของ
ข้าย่อมจักมิบรรเทาลงจนกว่าข้าได้แก้แค้นให้กับเยว่ไฮด้วยตัวข้าเอง”
“เจ้าช่างมีความรับผิดชอบนัก” ถังหลินชีหัวเราะคิกคัก
ซูหยางและถังหลินชีทำการพูดคุยกันตลอดทั้งคืน
เช้าวันใหม่ ซูหยาง ถังหลินชี และชิวเยว่เตรียมตัวที่จะกลับไปยัง
หมู่บ้านของชนเผ่าหมูป่า
“เฮ้ ที่รัก” ถังหลินชีเรียกเขาก่อนที่พวกเขาจะออกจากยานบิน
“มีอะไรรึ”
ขณะที่ซูหยางหันตัวไป ถังหลินชีถือโอกาสก้าวไปหาเขาและจูบ
แก้มเขาเบา ๆ
“ในเมื่อเรามิอาจจะฝึกในตอนนี้ นี่ก็คงจะเพียงพอ” เธอกล่าวด้วย
รอยยิ้ม
“…”
ชิวเยว่พูดไม่ออก ภาพลักษณ์ของสายเลือดเทพอาชูร่าของเธอแตก
สลายลงต่อหน้า
ในใจของเธอ สายเลือดเทพอาชูร่าเป็นสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยอาชญากร
ที่จะทำทุกสิ่งที่พวกเขาสามารถเพื่อล่วงเกินจักรพรรดิสวรรค์อีกทั้ง
ยังต่อต้านกระทั่งสวรรค์ บ้าไปแล้ว ถึงแม้ว่าเธอจะไม่เคยพบกับถัง
หลิงชีก่อนที่จะมายังที่นี่ เธอก็ได้ยินเรื่องราวที่สยองขวัญมากมาย
เกี่ยวกับเธอ อย่างไรก็ตามถังหลินชีคนนี้ซึ่งถือว่าเป็นองค์หญิงของ
สายเลือดที่ชั่วร้ายเช่นนั้นและเป็นหนึ่งในคนที่อันตรายที่สุดใน
สวรรค์ศักด์ิสิทธ์ิทั้งสี่กลับทำตัวไม่ต่างไปจากภรรยาที่ห่วงหาทั่วไป
ในตอนนี้
“ถ้าเจ้าอิจฉา ทำไมมิจูบเขาเช่นกันบ้างล่ะ”
เมื่อเห็นชิวเยว่จ้องมองเธอพร้อมเบิกตากว้าง ถังหลินชีจึงกล่าวกับ
เธอด้วยเสียงล้อเลียน
“ข-ข้ามิรู้ว่าท่านพูดถึงเรื่องอะไร” ใบหน้าชิวเยว่แดงขึ้นมาอย่าง
รวดเร็วก่อนที่เธอจะหันกลับและเริ่มเดินจากไป
“หรือว่าคนจากสายเลือดจันทราศักด์ิสิทธ์ิล้วนขี้อายเช่นนี้ ทุกคนที่
ข้าได้พบที่มาจากสถานที่นั้นล้วนทำตัวจองหองและหลงตัวเอง” ถัง
หลินชีกล่าว
“เธอเป็นองค์หญิงตัวน้อยที่พิเศษอย่างแท้จริง ต้องขอบคุณแม่ของ
เธอ เยว่ไฮ สำหรับเรื่องนั้น” ซูหยางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ถังหลินชีหัวเราะคิกคักก่อนที่จะติดตามชิวเยว่ไป
“เฮ้ ชิวเยว่” ถังหลินชีพลันเรียกอีกฝ่ายหลังจากตามทัน
“มีอะไรรึ พี่หญิงถัง” ชิวเยว่กล่าวด้วยน้ำเสียงนบนอบ
“พี่หญิงถังรึ เจ้าสามารถทิ้งความเป็นพิธีการไป เพียงเรียกข้าว่าพี่สาว
หลินชี”
“แต่…” ชิวเยว่พลันลังเล ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพไหนเธอก็ยังยืนอยู่ต่อ
หน้าของคนที่มีความแข็งแกร่งที่สุดคนหนึ่งในสวรรค์ศักด์ิสิทธ์ิทั้งสี่
และเธอก็ไม่กล้าที่จะแสดงความไม่เคารพแม้แต่น้อยต่อถังหลินชี
“ซูหยางได้บอกข้าเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าเมื่อคืน ดังนั้นจึงมิ
ถือว่าเป็นเรื่องเกินจริงที่จะพูดว่าเราอยู่ในตระกูลเดียวกันแล้วใน
ตอนนี้” ถังหลินชีกล่าว “แม้ว่าพวกเรายังคงหมั้นหมาย ข้าก็ถือว่าเรา
เป็นสามีภรรยากันเรียบร้อยแล้ว และเจ้าก็ควรจะทำเช่นเดียวกัน”
“นั่นค่อนข้าง…” ชิวเยว่พลันงงงัน ทำไมถังหลินชีจึงบอกเรื่อง
ทั้งหมดนี้กับเธอ
“เจ้าควรหยุดทำท่าทางเอียงอายได้แล้วเช่นกัน ถ้าเจ้ายังทำตัวแบบ
นั้นต่อไป เจ้าย่อมจักมิอาจเอาชนะหญิงอื่นได้”
“หญิงอื่นรึ” ชิวเยว่เลิกคิ้วสีหน้าดูสับสน ทำไมเธอจำเป็นต้องเอาชนะ
หญิงอื่นด้วย
“ข้ามิรู้ว่าเจ้ารู้เรื่องราวอะไรบ้างเกี่ยวกับซูหยาง แต่เห็นได้ชัดว่าเจ้า
มิได้รู้อะไรมากเกี่ยวกับเขา ถ้าเจ้าจริงจังกับการติดตามเขาไปชั่ว
นิรันดร์ เจ้าจักจำเป็นต้องเตรียมตัวในอนาคตเมื่อพวกเจ้าทั้งสองคน
กลับไปยังสวรรค์ศักด์ิสิทธ์ิทั้งสี่” ถังหลินชีกล่าวกับเธอด้วยรอยยิ้ม
ลึกลับ
“พวกเจ้าสองคนอยู่ในสถานการณ์ที่พิเศษเฉพาะเป็นอย่างมากในตอนนี้
และถ้าเจ้ามิถือโอกาสของเจ้ากับเขาในเวลานี้ เจ้าจักเสียใจอย่างลึกซึ้ง
ที่มิใช้เวลาให้มากพอกับเขาครั้นเมื่อเจ้าจากที่แห่งนี้ไปกับเขา นี่เป็น
คำแนะนำแรกสำหรับเจ้าในฐานะพี่สาวใหญ่และก็ยังมิใช่คำแนะนำ
สุดท้าย”
“…”
ชิวเยว่พูดไม่ออก เมื่อเธอยังไม่สามารถตีความถ้อยคำของถังหลินชีที่
ฟังดูเหมือนกับคำเตือนได้ครบถ้วน
“ข้าจักเสียใจที่มิใช้เวลาร่วมกับเขารึ ทำไมเธอจึงพูดอะไรแบบนั้น”
ชิวเยว่ครุ่นคิดขณะที่พวกเขาไปยังหมู่บ้านของชนเผ่าหมูป่ า
บทที่ 430 สิบตระกูลและสายเลือดสูงสุดทั้งสี่
“เมื่อหลายร้อยปีก่อนรึ นั่นค่อนข้างนานพอควร” ซูหยางเลิกคิ้ว
ชิวเยว่พยักหน้าและกล่าวว่า “ในเวลานั้น ข้ายังคงหลงใหลกับการ
เพิ่มพูนพลังการฝึกปรือของข้า ดังนั้นข้าจึงท่องเที่ยวทั่วโลกเพื่อ
เสาะหาทรัพยากรและสัตว์ร้ายที่แข็งแกร่ง นั่นจึงทำให้ข้าได้ผ่าน
มายังที่ตรงนี้ที่ซึ่งข้าได้พบกับสัตว์ลึกลับที่อยู่ในเขตเทพวิญญาณ
หนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดที่ข้าเคยพบเจอมา”
“สัตว์ร้ายในเขตเทพวิญญาณรึ” ซูหยางดวงตาเบิกกว้าง ลืมเรื่องเมื่อ
สองร้อยปีก่อนไปได้เลยเมื่อการฝึกวิชายังไม่ก้าวหน้าเหมือนทุก
วันนี้ เขาสามารถจินตนาการได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับโลกนี้ถ้าหากว่ามี
สัตว์อสูรอาละวาดอยู่ในที่แห่งนี้ในตอนนี้
“สัตว์ร้ายลึกลับนั้นสร้างความหายนะในที่แห่งนี้ในเมื่อไม่มีใครจะมี
ความสามารถที่จะหยุดมันได้ในเวลานั้น และมันก็จักดำเนินไปตาม
นั้นจวบจนวันนี้ถ้าข้ามิได้ล่ามัน” ชิวเยว่พูดต่อ “แม้ว่าข้าจะมีเขตสูง
กว่าสัตว์ร้ายลึกลับนั่นถึงสองเขต นั่นก็มิได้เป็นการต่อสู้ที่ง่ายดายแต่
อย่างใด ถ้าข้ามิได้ฆ่าสัตว์ร้ายนั่นในเวลานั้น ข้าก็มิอาจจะจินตนาการ
ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคนที่นี่ บางทีอาจจะมิมีใครที่เหลือรอดมาถึง
วันนี้”
“สัตว์ร้ายลึกลับรึ” ซูหยางครุ่นคิด
เวลาถัดไปเมื่อไม่มีเนื้อเหลือที่จะเสิร์ฟแล้ว งานเลี้ยงก็จบลง และชิน
เหลียงหยูก็ตรงเข้ามาหากลุ่มซูหยาง
“อาหารเป็นอย่างไรบ้าง ท่านแขกผู้ทรงเกียรติ” เธอถามพวกเขา
“มหัศจรรย์” ซูหยางยิ้มให้กับเธอและพูดต่อว่า “ข้าเกือบก้าวผ่าน
ระดับหลังจากที่กินเนื้อวิญญาณไปมาก”
“ยอดเยี่ยมที่ได้ยินเช่นนั้น อย่างไรก็ตามนี่ค่อนข้างจะสาย ถ้าพวกท่าน
มิมีที่ไหนพักในคืนนี้ ข้าจักตระเตรียมมันทันที” ชินเหลียงหยูกล่าว
“ขอบคุณสำหรับการต้อนรับ แต่ข้าจักพักบนยานบินของข้า ที่นั่นมี
ที่ว่างพอให้พวกเราสามคนอยู่เช่นกัน” ชิวเยว่กล่าว
“ข้าเข้าใจแล้ว…” ชินเหลียงหยูพยักหน้า “ถ้าเช่นนั้นถ้าท่านต้องการ
สิ่งใด เพียงขอให้พวกเราสักคนรู้และข้าจักตระเตรียมให้ในทันที”
“ข้าต้องการไปเยี่ยมชนเผ่าอื่นสองสามเผ่าพรุ่งนี้และดูว่าพวกเขามี
ข้อมูลของกระจกนิลกาฬหรือไม่” ซูหยางพลันกล่าวขึ้น “เจ้าพอจะ
พร้อมไหม”
“นั่นมิมีปัญหาใด ท่านผู้อาวุโสซู ถึงแม้ว่าท่านต้องการจะไปตอนนี้
ข้าก็จักพร้อมเป็นทูตให้”
“เยี่ยม เช่นนั้นข้าจะพบกับเจ้าพรุ่งนี้เช้า”
หลังจากงานเลี้ยง ซูหยางและกลุ่มของเขาก็กลับไปยังยานบินขนาด
มหึมาที่ลอยตั้งอยู่เหนือชนเผ่าหมูป่ า ให้ความรู้สึกปลอดภัยอันลึกซึ้ง
ให้กับชนพื้นเมือง ราวกับว่าพวกเขาได้รับการปกป้องจากเซียน
ตามความเป็นจริงก่อนที่ชนพื้นเมืองจะหลับ พวกเขาทั้งหมดก็พากัน
คุกเข่าไปยังยานบินและสวดภาวนาให้กับการปกป้องที่มีต่อพวกเขา
“ข้ามิมีโอกาสที่จะพูดเช่นนี้ที่การแข่งขัน แต่… นี่ถือว่าเป็นครั้งแรก
ของข้าที่ได้ชนะเจ้าในการแข่งขัน” ซูหยางกล่าวขณะที่เขานอนอยู่
บนยานบิน จ้องมองดวงจันทร์กระจ่างด้วยท่าทางผ่อนคลาย
“ฮึ่ม” ถังหลินชีแค่นเสียงอยู่ข้างตัวเขาและกล่าวว่า “เจ้าเพียงแค่ชนะ
ครั้งหนึ่งเพราะว่าร่างของข้ามิได้แข็งแกร่งเหมือนเจ้า ทำให้วิชาข้า
เลือกได้จำกัด ถ้าข้ามีเวลาอีกสองสามเดือนในการฝึกฝน ข้าย่อมต้อง
เคี่ยวกรำร่างกายข้าและสามารถใช้วิชาของสายเลือดข้าได้บางอย่าง”
PS: ขอเปลี่ยนจากเผ่าเทพอาชูร่าเป็น สายเลือดเทพอาชูร่า ครับ
เพราะว่ามีคำหลายคำในภาษาอังกฤษที่แปลให้ความหมายคล้าย ๆ
กันในภาษาไทยจนชวนสับสน ตระกูล เผ่า ชนเผ่า สายเลือด
ครอบครัว
“องค์หญิงสายเลือดเทพอาชูร่าต้องใช้ข้ออ้าง ข้ามิอาจจะเห็นเช่นนั้น
ได้บ่อยครั้ง” ซูหยางหัวเราะหึ ๆ
“…” ถังหลินชีเงียบไป
สองสามอึดใจหลังจากนั้นเธอก็หันไปมองเขาและกล่าวถามว่า “เจ้า
วางแผนจะทำอะไรหลังจากที่เจ้ากลับคืนไปยังสวรรค์ศักด์ิสิทธ์ิทั้งสี่”
“…”
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ ซูหยางก็พูดขึ้นว่า “พูดตามตรง ข้ามิรู้
เหมือนกันว่าข้ากำลังจะทำอะไรต่อครั้นเมื่อข้ากลับไปแล้ว”
“แน่นอนข้าจะต้องไปพูดคุยกันอย่างถึงแก่นกับเทพจันทราเรื่องการ
ตายของเยว่ไฮและอนาคตของชิวเยว่ แต่จริงแล้วข้ามิรู้ว่าข้าต้องการ
ทำอะไรหลังจากนั้น ยิ่งไปกว่านั้นข้าเป็นอาชญากรที่ต้องถูกจำขังใน
เหวบาปนิรันดร์ จักรพรรดิสวรรค์คงมิชอบใจถ้าเขารู้ว่าข้ายังคงมี
ชีวิตอยู่เป็นอย่างดีอย่างแน่นอน”
“ผู้คนจำนวนมากต้องทนทุกข์ทรมานหลังจากที่เจ้าตาย ซูหยาง จน
ถึงตอนนี้ก็ยังมีคนหลายคนที่ตกอยู่ในความเศร้าโศก ข้ารู้เพราะว่าข้า
เองก็เป็นหนึ่งในพวกเธอ” ถังหลินชีกล่าว “เจ้าจะทำอะไรกับพวก
เธอรึ”
“…”
“ข้ามิรู้เช่นกัน ยังมีหลายครั้งที่ข้าได้คิดดูว่าบางทีอาจจะเป็นการ
ดีกว่ากับโลกถ้าข้าตายไป” ซูหยางถอนหายใจ “เจ้าควรรู้ว่าข้ามีศัตรู
จำนวนมากภายในสวรรค์ศักด์ิสิทธ์ิทั้งสี่และคนจำนวนมากที่ข้ารักก็
ต้องตายไปเพราะข้า”
“ข้ารู้… แต่เจ้าก็ได้ช่วยเหลือคนจำนวนมากเช่นกัน ไม่ว่าอย่างไรข้า
เองก็เป็นหนึ่งในคนเหล่านั้น ถ้าเจ้ามิได้ช่วยเหลือข้าใครจะรู้ว่าจัก
เกิดอะไรขึ้นกับสายเลือดเทพอาชูร่าในวันนั้น” ถังหลินชีกล่าวและ
ต่ออีกว่า “ยังมีตระกูลซูของเจ้าอีก มีปัญหาบางอย่างอยู่บ้างหลังจาก
ที่การตายของเจ้าถูกประกาศอย่างเป็นทางการ”
ซูหยางตาเบิกกว้างหลังจากที่ได้ยินเรื่องเกี่ยวกับตระกูลของตนเอง
และเขาพูดด้วยเสียงกระวนกระวายว่า “อะไรนะ เกิดอะไรขึ้นกับ
พวกเธอรึ”
“ใจเย็น” ถังหลินชีกล่าว “แม้ว่าพวกเธอจะมีปัญหาในตอนแรกกับ
ตระกูลต่าง ๆ พยายามที่จะทำลายตระกูลซูทั้งตระกูล จอมยุทธที่ไม่
ทราบชื่อได้ปรากฏตัวขึ้นปกป้องพวกเธอ”
“อะไรนะ ใครกล้าโจมตีตระกูลของข้าหลังจากที่ข้าตาย ช่างไร้
ยางอายนัก ครั้นเมื่อข้ากลับไปข้าจักจัดการทวงหนี้นี้ด้วยตนเอง” ซู
หยางตาเป็นประกายด้วยความโกรธ
“บางตระกูลในสิบตระกูลและหนึ่งในสายเลือดสูงสุดทั้งสี่ร่วมมือกัน
ด้วยความแข็งแกร่งมหาศาลเช่นนั้นพวกเขาควรจักทำลายตระกูลซู
ได้อย่างง่ายดาย ข้าจักบอกเจ้ามากกว่านี้เกี่ยวกับพวกนั้นในภายหลัง”
“สิบตระกูลและสายเลือดสูงสุดทั้งสี่รึ” ซูหยางเริ่มเหงื่อตกหลังจาก
ที่ได้ยินชื่อของพวกเขา เมื่อพวกนั้นล้วนเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดใน
สวรรค์ศักด์ิสิทธ์ิทั้งสี่ทั้งหมด ถ้าหนึ่งในกองกำลังเหล่านี้ต้องการ
ทำลายตระกูลหรือสำนักใด ๆ พวกเขาก็สามารถทำได้เพียงแค่ดีดนิ้ว
“เช่นนั้นใครไล่พวกนั้นไปรึ กระทั่งสายเลือดเทพอาชูร่าก็ต้องมีปัญหา
หากเจอพวกนั้น อย่าว่าแต่คนเพียงคนเดียว” ซูหยางพลันถาม
“นั่นคือสิ่งที่… มิมีใครสามารถที่จะระบุตัวตนคนนี้ได้ ในเมื่อเขาได้
ปกปิดตัวตนไว้ สิ่งเดียวที่พวกเรารู้จักเกี่ยวกับเขาก็คือเขาถือกระบี่
ขนาดมหึมาเท่าดวงดาว เพียงแค่กวัดแกว่งกระบี่นั้นครั้งเดียวก็สร้าง
ความหวาดกลัวให้กับคนที่พยายามจะทำอันตรายตระกูลซู”
“หลังจากนั้นจอมยุทธผู้นี้ก็ได้เตือนผู้ที่ต้องการจะทำอันตรายตระกูล
ซูว่าเขาจักทำลายพวกนั้นทั้งตระกูลถ้าพวกนั้นพยายามจะทำอันตราย
ตระกูลซูอีกครั้งก่อนที่จะหายตัวไป แน่นอนว่าหนึ่งในสิบตระกูลได้
เพิกเฉยคำเตือนของเขาและเข้าโจมตีตระกูลซูอีกครั้ง และก็ได้เพียง
ถูกทำลายด้วยจอมยุทธลึกลับนั้นในคืนเดียว เหตุการณ์นี้ได้ทำให้
เกิดความปั่นป่วนที่กระทั่งจักรพรรดิสวรรค์เองถูกบีบให้ลงมือ”
“กระบี่ขนาดมหึมาเท่าดวงดาวรึ… หรือว่าจะเป็น…” ซูหยางคิดว่า
เขาน่าจะรู้ตัวตนของจอมยุทธลึกลับที่ช่วยเหลือครอบครัวของเขานี้
“และนับตั้งแต่เหตุการณ์นั้นเป็นต้นมา มิมีใครกล้าที่จะเข้าไปตระกูล
ซู อย่าว่าแต่จะโจมตี เจ้ารู้ตัวตนของจอมยุทธลึกลับนี้หรือไม่ ซูหยาง”
ถังหลินชีกล่าว
เขาพยักหน้า “ข้ามีความคิดอยู่ แต่ข้าได้สัญญากับคนผู้นี้ว่าข้าจักมิ
เปิดเผยตัวตนเขาให้กับใคร”
“เอ๋” ถังหลินชีแสดงท่าทีผิดหวัง “เจ้ามิสามารถกระทั่งบอกข้าคู่หมั้น
ของเจ้ารึ”
“อย่ากังวล เจ้ามีชะตาที่จะต้องพบกับคนผู้นี้มิช้าก็เร็ว” เขากล่าวด้วย
รอยยิ้ม
บทที่ 429 มหาวิบัติ
“มีกี่ชนเผ่าในพื้นที่รอบ ๆ นี้” ซูหยางถามเธอ
“มีสิบแปดชนเผ่าหลักในพื้นในพื้นที่นี้ และมีอีกกว่าหนึ่งร้อยชนเผ่า
ย่อยในรัศมีหนึ่งพันกิโลเมตร” ชินเหลียงหยูพูด
“ชนเผ่าหมูป่ายืนอยู่ในอันดับที่เท่าไหร่”
“แม้ว่าพวกเราจะได้รับผลกระทบจากจำนวนประชากรก่อนหน้านั้น
พวกเราก็มิได้ด้อยลงไป ชนเผ่าหมูป่ าตอนนี้เป็นเผ่าที่แข็งแกร่งที่สุด
เป็นอันดับสามในบรรดาชนเผ่าหลักทั้งสิบแปด โดยมีเพียงชนเผ่า
แมงมุมและผู้ทรงอำนาจสูงสุด เผ่ามังกร เท่านั้นที่เหนือกว่า” ชิน
เหลียงหยูกล่าว “อย่างไรก็ตามชนเผ่าเสือโคร่งอยู่ในอันดับสี่ ต่ำกว่า
พวกเราลงไป”
ซูหยางพยักหน้าและกล่าวว่า “บางทีพวกเราควรจะไปเยี่ยมชนเผ่า
อื่น ๆ เหล่านี้… ดูว่าพวกนี้จะมีข้อมูลเกี่ยวกับกระจกนิลกาฬหรือไม่”
“ถ-ถ้าท่านวางแผนที่จะไปเยี่ยมชนเผ่าอื่น ข้าสามารถนำท่านไปที่
นั่นด้วยตนเองในฐานะทูต เผ่าหมูป่ ามีความสัมพันธ์อันดีกับกว่า
ครึ่งหนึ่งของชนเผ่าหลักและชนเผ่าย่อยอีกมากมาย” ชินเหลียงหยู
กล่าว
ซูหยางพยักหน้า “นั่นจักช่วยได้มากถ้าเจ้าสามารถทำเช่นนั้นได้”
“เพียงแค่บอกให้ข้าทราบว่าเมื่อไหร่และที่ไหนและข้าจักมาหาท่าน
ทันที ตอนนี้ของให้เพียงพวกท่านพักผ่อนจนกว่าอาหารจะพร้อม
นักล่ากำลังปรุงอาหารแล้วตอนนี้และนั่นก็คงจะเรียบร้อยในเวลามิกี่
ชั่วโมง”
“ข้าอดใจรอไม่ไหว” ซูหยางยิ้มทำให้ชินเหลียงหยูหน้าแดง
ในเวลานั้นที่ห่างออกไปสองสามร้อยกิโลเมตร ในพื้นที่ของชนเผ่า
มังกร หัวหน้าชนเผ่าเสือโคร่ง หัวหน้าหลี และหัวหน้าชนเผ่ามังกร
หัวหน้าหลง กำลังสนทนากันอย่างติดพันและเคร่งเครียด
“เจ้าพูดจริงรึ” หัวหน้าหลงมองดูหัวหน้าหลีด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“เจ้ามั่นใจเรื่องนี้มากแค่ไหน”
“ข้ามั่นใจสิ่งที่ข้า-พวกเราเห็นเมื่อพวกเราพยายามที่จะปล้นชนเผ่า
หมูป่ า ผมสีขาวและตาที่คล้ายจันทราของเธอ เทพธิดาจากตำนานอยู่
ที่นั่น และเธอเป็นเหตุผลที่ทำไมพวกเราจึงกลับคืนมา” หัวหน้าหลี
กล่าวเสียงดัง
“เทพธิดาจากตำนาน…” หัวหน้าหลงหลับตาและครุ่นคิดไปชั่วขณะ
ก่อนที่จะกล่าวต่อว่า “ตามตำนาน เทพธิดาปรากฏตัวครั้งแรกเมื่อพัน
กว่าปีก่อน และเธอได้ปกป้องชนเผ่าหมูป่ าจากการถูกทำลายล้างจาก
มหาวิบัติ ก่อนที่จักหายไปอย่างไร้ร่องรอยและมิได้พบเห็นอีกเลย
แม้ว่าการปรากฏตัวของเธอจะสั้น แต่ชื่อเสียงและผลกระทบที่เธอ
ทิ้งไว้นั้นมากมายมหาศาล”
“แน่นอน สิ่งที่เธอทำวันนั้นได้สั่นคลอนทุกชนเผ่าในพื้นที่แห่งนี้”
หัวหน้าหลีกล่าว
“ถ้าคนผู้นี้เป็นคนเดียวกันกับเทพธิดาตามตำนาน พวกเราย่อมมิอาจจะ
เทียบเธอได้แม้ว่าพวกเราทั้งสองชนเผ่าร่วมมือกันโจมตี ตามความ
เป็นจริงบางทีเธออาจจะสามารถจัดการกับทุกชนเผ่าที่นี่ทั้งหมดด้วย
ตัวเธอเองได้…” หัวหน้าหลงนวดหว่างคิ้ว
“เช่นนั้นพวกเราควรทำอย่างไรดี ถ้าเธอเป็นเทพธิดาจริง ๆ พวกเราก็
คงมิสามารถที่จะทำตามแผนพิชิตทุกชนเผ่าของพวกเราต่อไปได้
และความพยายามเป็นเวลาหลายปีของพวกเราก็จะไร้ค่า” หัวหน้า
หลีถอนใจ
“ใจเย็น ๆ แม้ว่าเธออาจจะมีหน้าตาคล้ายคลึงกัน พวกเรามิรู้ว่าเธอ
เป็นเทพธิดาที่ปรากฏตัวเมื่อหนึ่งพันปีก่อนจริงหรือไม่ บางทีเธอ
อาจจะดูคล้าย” หัวหน้าหลงกล่าว และกล่าวต่ออีกว่า “อย่างไรก็ตาม
เราต้องยืนยันตัวตนของเธอก่อนที่พวกเราจะดำเนินการตามแผน
ต่อไปมิเช่นนั้นก็คงเหมือนกับพวกเราขุดหลุมฝังศพตัวเอง”
“ท่านมีคำแนะนำอย่างไร” หัวหน้าหลีถาม
“ชนเผ่ามังกรสามารถส่งทูตไปสองสามคนเพื่อปรับความสัมพันธ์
ระหว่างกัน แต่นั่นก็เพียงแค่ข้ออ้างสำหรับพวกเราในการซื้อเวลา
สำหรับยืนยันตัวตนของเด็กสาวผมสีเงิน” หัวหน้าหลงกล่าว
“นั่นฟังดูเยี่ยม แล้วชนเผ่าเสือโคร่งควรทำอะไรดีในตอนนั้น”
“เพราะว่าการปล้นของพวกเจ้านั้นล้มเหลว ชนเผ่าหมูป่ าจักต้องระวัง
พวกเจ้าอย่างสูงสุดทุกขณะ ดังนั้นข้าแนะนำให้พวกเจ้าทำตัวเงียบ ๆ
จนกว่าข้าจะรู้ข้อเท็จจริงทุกอย่าง”
“จะเป็นอย่างไรถ้าเธอเป็นตัวจริง เทพธิดาที่สั่นสะเทือนสรวงสวรรค์
และพิภพด้วยเพียงแค่หมัดเดียว” หัวหน้าหลีกถาม
“เช่นนั้น… พวกเราก็จักยั้งแผนการของเราไว้ นอกจากว่าเจ้าต้องการ
ให้ทั้งชนเผ่าของเจ้าหายไป อย่างน้อยจนกว่าเธอจากไป บางทีเธอจัก
หายไปอย่างเงียบ ๆ อีกครั้งเหมือนครั้งก่อน”
หัวหน้าหลีพยักหน้า
“เอาล่ะตอนนี้ข้าจักเตรียมตัวไปเยี่ยม”
หัวหน้าหลงปล่อยหัวหน้าหลีไว้คนเดียวและเริ่มตระเตรียมขบวน
ทูตและสิ่งอื่นอีกบางอย่าง
เมื่อเวลาที่ชนเผ่ามังกรเตรียมตัวที่จะออกไปยังเผ่าหมูป่ า ท้องฟ้าก็ได้
มืดมิดไปนานแล้ว
“ท่านกำลังจะให้คนรับใช้แก่ชนเผ่าหมูป่ ายี่สิบคน และเนื้อวิญญาณ
อีกห้าร้อยกิโลกรัมงั้นรึ นั่นค่อนข้างจะใจกว้างสำหรับเพียงแค่การ
ไปเยี่ยม” หัวหน้าหลีกล่าวขณะที่เขาดูทูตของชนเผ่ามังกร หญิงสาว
ยี่สิบคนและชายอีกจำนวนมากออกไปยังชนเผ่าหมูป่ า
“พวกเรามิอาจเสี่ยงล่วงเกินชนเผ่าหมูป่า ถ้าพบว่าเธอกลายเป็นเทพธิดา
ตัวจริง ยิ่งไปกว่านั้นนี่เป็นครั้งแรกที่ชนเผ่ามังกรไปเยี่ยมพวกเขา
พวกเรามิอาจจะทำเพียงแค่พอถูไถในเรื่องนี้” หัวหน้าหลงกล่าว
ในเวลานั้นภายในหมู่บ้านชนเผ่าหมูป่ า ชนพื้นเมืองเพิ่งเสร็จสิ้นการ
ทำอาหาร
“ท่านผู้กอบกู้และท่านแขกผู้มีเกียรติ อาหารพร้อมแล้ว” ชินเหลียงหยู
พาพวกเขาไปยังกองไฟ ที่ซึ่งมีเนื้อกว่าร้อยกิโลกรัมได้ปรุงเสร็จแล้ว
“พวกเราได้ปรุงสัตว์วิญญาณสามตัวแตกต่างกันออกไปสำหรับงาน
เลี้ยงคืนนี้ ช้างวิญญาณพสุธา เสือดาวกรงเล็บเหล็ก และเสือโคร่งร้าย
สองหัว” ชินเหลียงหยูกล่าว “พวกมันล้วนเป็นสัตว์ร้ายที่แข็งแกร่ง
ในเขตอัมพรวิญญาณ เนื้อของพวกมันนุ่มมากและเต็มไปด้วยพลัง
วิญญาณ และกระดูกของพวกมันสามารถใช้ในการอาบน้ำเพื่อปรับ
สภาพร่างกาย ตัวไหนที่พวกท่านต้องการที่จะลิ้มลองเป็นอันดับแรก
พวกเรามีเพียงพอสำหรับทุกคน ดังนั้นพวกท่านมิจำเป็นต้องเกรงใจ”
“ข้าย่อมต้องเชื่อในรสชาติของเจ้า ดังนั้นเลือกให้ข้า หัวหน้าชิน” ซู
หยางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ข-ข้าเข้าใจแล้ว” ชินเหลียงหยูพยักหน้า
“แล้วท่านผู้กอบกู้กับ…” เธอหันไปมองยังชิวเยว่และถังหลินชี
“ให้ข้าในสิ่งที่เขาได้” ชิวเยว่พูดอย่างไม่ใส่ใจ
“ข้าด้วย” ถังหลิงชีตามน้ำ
ไม่นานหลังจากนั้น ซูหยางก็นั่งอยู่ข้างแคมป์ ไฟกองใหญ่พร้อมกับ
อาหาร และเริ่มต้นกิน
“ดังคาดสำหรับเนื้อจากสัตว์เขตอัมพรวิญญาณ แค่กัดไปเพียงคำเดียว
และข้าก็สามารถรู้สึกได้ว่าพลังการฝึกปรือของข้าได้เพิ่มขึ้นเล็กน้อย”
ซูหยางกล่าว
“แม้ว่านั่นมิอาจจะเทียบได้กับอาหารที่ข้าเคยกิน แต่นี่นับว่าน่าประทับ
ใจจริง ๆ สำหรับมาตรฐานในโลกนี้” ถังหลิงชีพยักหน้ารับรอง
“นี่เป็นอาหารที่ดีที่สุดที่ข้าได้กินในเวลาหลายปีนี้…” ชิวเยว่กล่าว
ด้วยท่าทางประทับใจ “ข้าควรจักอยู่ที่นี่นานกว่านี้อีกหน่อยคราที่
แล้วเมื่อข้าอยู่ที่นี่”
“เจ้าได้อยู่ที่นี่มาก่อนรึ” ซูหยางเลิกคิ้ว
ชิวเยว่พยักหน้าและกล่าวว่า “มันเป็นเพียงแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ข้าก็
ได้ผ่านสถานที่แห่งนี้เมื่อหลายร้อยปีก่อน…”
บทที่ 428 นักล่าชนเผ่าหมูป่า
หลังจากที่ใช้เวลาหลายนาทีไปกับม้วนคัมภีร์ ถังหลินชีก็วางม้วน
คัมภีร์ในมือลงและถอนใจ “เป็นเวลาที่เสียไปโดยเปล่าประโยชน์
เวลาห้าร้อยปีกับการค้นคว้าและสิ่งที่พวกเขาได้มาก็เพียงแค่การคาด
เดา”
“ข้ามิได้คาดหวังมากนัก แต่เมื่อคิดดูว่ามันมิมีอะไรเลย…” ชิวเยว่ก็
ส่ายหน้าของเธอเช่นกัน
“ข้ามิได้กล่าวโทษพวกเขาที่มิสามารถตีความสิ่งที่อยู่นอกเหนือความ
เข้าใจของพวกเขาได้” ซูหยางกล่าว
สองสามนาทีหลังจากนั้น ชินเหลียงหยูก็เข้ามาในกระท่อมและกล่าว
ว่า “ท่านแขกผู้ทรงเกียรติ นักล่าของพวกเราได้กลับมาจากการเดินทาง
และพวกเขาได้นำเนื้อวิญญาณกลับมาด้วย ขอเชิญพวกท่านร่วมงาน
เลี้ยงกับพวกเราในคืนนี้”
“เนื้อวิญญาณรึ” ซูหยางเลิกคิ้ว
เนื้อของสัตว์วิญญาณที่แข็งแกร่งมักจะถือว่าเป็นอาหารอันโอชะใน
ยุทธภพ เมื่อมันให้พลังวิญญาณกับผู้ฝึกยุทธ ทำให้พวกเขาแข็งแกร่ง
กว่าเดิมด้วยเพียงแค่กินมันเข้าไป แต่อย่างไรก็ตามสำหรับเผ่าหมูป่า
แล้ว เนื้อวิญญาณก็เหมือนกับอาหารปกติมื้อหนึ่ง ในเมื่อพวกเขา
ต้องล่าสัตว์ร้ายเพื่อดำรงชีวิต
“ถ้าเจ้ามิถือสา ข้าก็จักขอเข้าร่วมงานเลี้ยงนี้” ซูหยางพยักหน้า เขา
ต้องการที่จะได้มีประสบการณ์ด้วยตนเองสำหรับอาหารวิญญาณใน
สถานที่แบบนี้
“ข้าจักเข้าร่วมเช่นกัน” ชิวเยว่กล่าว
“เยี่ยม” ชินเหลียงหยูพลันแสดงความกระตือรือร้นขึ้นมาในทันใด
และพูดด้วยน้ำเสียงรื่นเริง “เราจักมิทำให้พวกท่านผิดหวัง”
“อย่างไรก็ตาม ม้วนคัมภีร์มีส่วนช่วยเหลืออะไรหรือไม่” เธอกล่าว
ต่อ
“น่าเสียดาย..มันมิช่วยอะไรเลย” ซูหยางส่ายหน้า
“เช่นนั้น… ข้าต้องเสียใจด้วยที่มิอาจมีประโยชน์มากกว่านี้…” เธอ
เปลี่ยนไปเป็นหดหู่อย่างรวดเร็ว
“มิต้องกังวลเรื่องนั้น”
ไม่นานหลังจากนั้น ชินเหลียงหยูก็ชักนำพวกเขาออกไปด้านนอก
ครั้นเมื่อพวกเขาอยู่ด้านนอกแล้ว พวกเขาก็สามารถที่จะเห็นชายร่าง
บึกบึนอย่างมากห้าสิบถึงหกสิบคนยืนอยู่ตรงประตูทางเข้าหมู่บ้าน
โดยมีครึ่งหนึ่งในนั้นถือซากของสัตว์วิญญาณ และเกือบทุกคนล้วน
ปลดปล่อยกลิ่นอายของเขตปฐพีวิญญาณโดยมีบางคนที่อยู่ในเขต
อัมพรวิญญาณ
“ข้าได้ตระหนักถึงเรื่องนี้แล้ว แต่คนที่นี่… พลังการฝึกปรือของพวก
เขาค่อนข้างน่าประทับใจสำหรับคนที่อาศัยอยู่ในสภาพเงื่อนไขแบบ
นี้” ซูหยางกล่าว “กระทั่งผู้หญิงเกือบทั้งหมดก็ยังอยู่ในเขตสัมมา
วิญญาณ”
ชิวเยว่พยักหน้าและกล่าวว่า “วิถีชีวิตที่อันตรายของพวกเขาต้องการ
พวกเขาล่าสัตว์วิญญาณเกือบทุกวัน และพวกเขาได้กินเนื้อวิญญาณ
เกือบทุกมื้อ ดังนั้นจึงมิเป็นเรื่องแปลกสำหรับพวกเขาที่จะมีพลังการ
ฝึกปรือถึงขั้นนี้ ตามความเป็นจริงหากเปรียบเทียบกับทวีปตะวันออก
โดยรวมแล้วทวีปใต้แข็งแกร่งกว่า”
“อืม…”
ในเวลานั้น คนพื้นเมืองก็สังเกตเห็นซูหยางและพวกของเขาเช่นกัน
“ส-สามคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นเป็นใครกัน ผิวของพวกเขาซีดเหมือนกับ
ผี” หนึ่งในพวกนั้นถามด้วยสีหน้าตกใจ สายตาของเขาตกอยู่กับสอง
สาวสวยที่ข้างกายซูหยาง
และไม่ใช่เพียงเขาคนเดียว ชายทุกคนที่นั่นต่างพากันจ้องมองชิวเยว่
และถังหลินชีด้วยดวงตาเบิกกว้างไม่อยากเชื่อ ราวกับว่านี่เป็นครั้ง
แรกที่พวกเขาเห็นผู้หญิงที่สวยดังเช่นสองสาว
และเพราะว่าพวกเขาได้ออกไปล่าข้างนอกตอนที่ชิวเยว่มาถึง พวก
เขาจึงไม่รู้การมาของอีกฝ่าย
“พวกเขาเป็นแขกผู้ทรงเกียรติของพวกเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มี
ผมและตาสีขาว เธอเป็นเทพธิดาจากตำนาน… แม้ว่าเธอมิต้องการที่
จะยอมรับ ถ้ามิใช่เธอชนเผ่าเสือโคร่งจักต้องทำลายที่แห่งนี้และทำ
ให้พวกเรากลายเป็นทาสไปแล้ว” หนึ่งในเด็กสาวกล่าว
“อะไรนะ เจ้าพวกเลวเสือโคร่งนั่นโจมตีพวกเรารึ” พวกผู้ชายพากัน
โกรธแค้นเมื่อได้ยินข่าวนี้
“ยอมรับไม่ได้ นี่เป็นการประกาศสงครามกับชนเผ่าหมูป่าของเรา”
“ทำไมพวกนั้นจึงพลันโจมตีพวกเราหลังจากที่สงบสุขมานับสิบปี”
หนึ่งในพวกเขาครุ่นคิดเสียงดัง
“มันต้องเป็นชนเผ่ามังกร พวกนั้นคบหากันมินานมานี้”
“บางทีพวกนั้นคิดว่าสามารถที่จะปกครองพวกเราเพราะว่ามีชนเผ่า
มังกรหนุนหลังอยู่ตอนนี้ ช่างกล้านัก”
“ถ้าพวกมันต้องการสงคราม พวกมันก็จักได้สงคราม”
ผู้ชายชนพื้นเมืองเริ่มตะโกนใฝ่หาสงคราม จนอากาศสั่นสะเทือน
“เฮ้ หยุดร่ำร้องแบบป่ าเถื่อนได้แล้ว” ชินเหลียงหยูพลันตรงเข้าไปหา
พวกเขาและกล่าวขึ้น “พวกเจ้าเหล่าผู้ชายกำลังรบกวนแขกผู้ทรง
เกียรติของพวกเรา”
“หัวหน้าชิน”
ชายชนพื้นเมืองพลันหยุดตะโกนและคำนับเธอด้วยความเคารพ
“ตอนนี้วางเนื้อลงและทำความเคารพผู้กอบกู้และแขกผู้ทรงเกียรติ”
ชินเหลียงหยูปลดปล่อยกลิ่นอายที่แตกต่างออกมาในเวลานั้น ดูไม่
เหมือนกับหญิงสาวขี้อายเมื่อไม่กี่นาทีก่อน
“ขอรับ หัวหน้า”
ชายชนพื้นเหมืองทั้งหมดวางเนื้อและอาวุธลงก่อนที่จะเข้าไปหาซู
หยางและพวก
“พวกเรานักล่าชนเผ่าหมูป่ าขอคารวะเทพธิดาและแขกผู้ทรงเกียรติ”
พวกเขาคำนับอีกฝ่าย “ขอบคุณที่ช่วยเหลือชนเผ่าหมูป่ าของพวกเรา
ถ้ามิใช่พวกท่าน ที่แห่งนี้ของชนเผ่าหมูป่ าคงถูกเผาผลาญและผู้คน
ของพวกเราก็คงถูกลักพาตัวไป”
“อย่าเรียกข้าว่าเทพธิดา” ชิวเยว่ขมวดคิ้วแน่น
“ร-เราขออภัยเป็นอย่างสูงถ้าพวกเราล่วงเกินท่าน ผ-ผู้กอบกู้” ชน
พื้นเมืองพลันเหงื่อแตกเมื่อพวกเขาสัมผัสถึงกลิ่นอายอันยิ่งใหญ่มา
จากชิวเยว่ พวกเขาสู้กับสัตว์วิญญาณอันตรายมานับครั้งไม่ถ้วน แต่
นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขารู้สึกถึงความกลัวอย่างแท้จริง เหมือนกับว่า
พวกเขาอยู่ต่อหน้าเทพแห่งความตาย
“ลืมมันไปเถอะ” ชิวเยว่ถอนใจ
เวลาต่อจากนั้น ชนเผ่าหมูป่ าก็เริ่มตระเตรียมงานเลี้ยง
ระหว่างชั่วเวลานี้ ชินเหลียงหยูก็เข้าไปหาซูหยางและถามเขาว่า
“ท่านแขกผู้ทรงเกียรติ ท่านต้องการอะไรในตอนนี้หรือไม่”
ซูหยางครุ่นคิดชั่วขณะก่อนที่จะพูดว่า “ใช่แล้วข้าต้องการ”
และเขาก็พูดต่อว่า “ชื่อข้าคือซูหยาง ข้าจักรู้สึกสบายใจกว่านี้ถ้าเจ้า
เริ่มเรียกข้าเช่นนั้นนับแต่นี้ไป”
“ต-แต่ท่านเป็น…” ชินเหลียงหยูลังเล
ซูหยางไม่ได้พูดอะไรอีกและเพียงเผยยิ้มที่สุภาพ
“…”
ชินเหลียงหยูพลันเงียบลงไป ไม่นานหลังจากนั้น เธอก็พยักหน้าด้วย
รอยยิ้มเอียงอาย
“ขอบคุณ” เขากล่าวและกล่าวต่ออีกว่า “อย่างไรก็ตามช่วยบอกข้า
เรื่องเกี่ยวกับชนเผ่าของเจ้ามากกว่านี้ ข้าค่อนข้างสนใจว่าที่แห่งนี้
เป็นไปกันอย่างไรในเมื่อข้ามาจากที่อันแสนไกล”
ชินเหลียงหยูพยักหน้าและทำการอธิบายให้เขาฟังถึงวิถีชีวิตของชน
เผ่าหมูป่า “อย่างที่ท่านเห็น มากกว่าสองในสามของประชากรเผ่าเรา
เป็นผู้หญิง นั่นเป็นเพราะว่างานของผู้ชายในการแสวงหาอาหารจาก
ด้านนอกในขณะที่ผู้หญิงดูแลบ้านและสิ่งจำเป็นอื่น ๆ และเพราะว่า
การล่าสัตว์วิญญาณเป็นงานอันตรายมิว่าจะมีความแข็งแกร่งมากมาย
เพียงใด เมื่อนักล่าจากไป พวกเขาปกติมิได้กลับมาเร็วกว่าสามวัน
และโศกนาฏกรรมก็มักจะเกิดขึ้นเมื่อต้องอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อม
เช่นนี้”
“ทรัพยากรและอาหารหายากในที่แห่งนี้ ดังนั้นจึงเป็นเหตุที่ทำให้แต่
ละชนเผ่ามักจะโจมตีและขโมยอาหารชนเผ่าอื่น”
“ชนเผ่าหมูป่ าของเราเป็นเผ่าที่แข็งแกร่งที่สุดเผ่าหนึ่งในพื้นที่แถบนี้
และปกติแล้วพวกเรามิต้องกังวลเรื่องถูกโจมตี อย่างไรก็ตามเผ่าเสือ
โคร่งที่มีความแข็งแกร่งด้อยกว่าพวกเราเพียงเล็กน้อยได้เป็นเพื่อน
กับชนเผ่ามังกรที่เป็นชนเผ่าที่แข็งแกร่งอีกเผ่าในบริเวณนี้ ในเมื่อนัก
ล่ามิได้อยู่ในเวลานั้นถ้ามิใช่เป็นเพราะท่านผู้กอบกู้ เผ่าเสือโคร่งจัก
ต้องทำลายและปล้นสถานที่แห่งนี้ และพวกเราทั้งหมดคงต้องได้รับ
การปฏิบัติเยี่ยงทาสในหมู่บ้านของพวกนั้น”
“ข้าเข้าใจแล้ว…” ซูหยางพยักหน้า
ไม่นานหลังจากนั้น เขาก็ถามว่า “ทำไมพวกเจ้ามิทิ้งนักรบของพวก
เจ้าบางส่วนไว้ด้านหลัง มิเป็นเรื่องฉลาดที่จะทิ้งทั้งหมู่บ้านให้
เปราะบางทุกครั้งที่พวกเจ้าต้องออกไปล่าหาอาหาร”
“แน่นอนปกติแล้วพวกเรามิส่งนักรบทั้งหมดออกไปล่า แต่อย่างไรก็
ตามเมื่อเร็ว ๆ นี้แดนกันดารนี้ได้มีอันตรายมากยิ่งขึ้น และถ้าพวกเรา
มิส่งทุกคนออกไป การบาดเจ็บล้มตายของพวกเราจะเพิ่มขึ้นเป็นสอง
เท่าหรืออาจจะสามเท่า พวกเรามิอาจจะยอมเสียนักรบไปมากกว่านี้
เช่นกัน” ชินเหลียงหยูถอนใจรู้สึกสิ้นหวัง
บทที่ 427 หมู่บ้านของชนเผ่าหมูป่ า
ขณะที่กลุ่มของซูหยางติดตามชนพื้นเมืองไปยังหมู่บ้านของพวกเขา
ซูหยางก็ได้ถามหนึ่งในนั้นว่า “ข้าต้องการที่จะถามว่าทำไมพวกเจ้า
จึงเอาแต่เรียกเธอว่าเป็นเทพธิดา”
เขากล่าวขณะที่ชี้ไปยังชิวเยว่ซึ่งพลันเริ่มหน้าแดงอีกครั้ง
ชนพื้นเมืองมองดูเขาและกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เทพธิดาเสด็จลง
มาจากสวรรค์ในวันหนึ่ง และรูปร่างหน้าตาของเธอก็ตรงกับคำอธิบาย
ในตำนาน ผมและดวงตาสีเงินพร้อมด้วยผิวพรรณที่บริสุทธ์ิ”
“ตำนานรึ ตำนานอะไร”
“ตำนานที่ว่ามีเซียนเสด็จลงมาจากสวรรค์เพื่อปกป้องชนเผ่าหมูป่ า
ในช่วงเวลาวิกฤต และก็เหมือนกับที่ตำนานทำนายเอาไว้ เทพธิดา
ได้เสด็จลงมาจากสวรรค์และปกป้องพวกเราจากศัตรู ชนเผ่าเสือ
โคร่ง เมื่อพวกนั้นต้องการที่จะกวาดล้างหมู่บ้านของพวกเรา” หญิง
สาวชาวพื้นเมืองกล่าว
ซูหยางหันไปมองชิวเยว่ ซึ่งยักไหล่กล่าวว่า “ข้าเพียงผ่านทางมายังที่
แห่งนี้เพื่อถามพวกเธอเกี่ยวกับกระจกนิลกาฬ แต่ด้วยเหตุบังเอิญอีก
ชนเผ่าได้ปรากฏตัวมาสร้างปัญหาในระหว่างการสนทนาดังนั้นข้า
จึงไล่พวกนั้นไป”
“อย่างไรก็ตามหยุดเรียกข้าว่าเทพธิดาได้แล้ว” ชิวเยว่กล่าวกับชน
พื้นเมือง
“แต่ตำนาน…” ชนพื้นเมืองแสดงสีหน้าลังเล
“ข้ามิสนเรื่องตำนานของพวกเจ้า ข้ามิใช่เทพธิดาของพวกเจ้า”
ชนพื้นเมืองสบตากันด้วยสายตาลังเลอีกครั้ง
ไม่นานหลังจากนั้นหนึ่งในพวกเธอก็พูดขึ้นว่า “เช่นนั้น.. พอจะ
อนุญาตให้พวกเราเรียกท่านว่าเป็นผู้กอบกู้ได้หรือไม่”
“แม้ว่านั่นจะฟังดูระคายหูอยู่บ้าง แต่ก็ดีกว่าถูกเรียกว่าเทพธิดามาก
นัก” ชิวเยว่พยักหน้า
“เจ้าค่ะท่านผู้กอบกู้” ชนพื้นเมืองคำนับเธอด้วยท่าทางสำนึกบุญคุณ
เวลาผ่านไปพวกเขาก็ไปถึงหมู่บ้านของชนพื้นเมือง
หมู่บ้านรายล้อมไปด้วยรั้วไม้ มีที่พักอาศัยประมาณร้อยหลังที่เกือบ
ทั้งหมดเป็นไม้และมีหนังสัตว์อยู่ภายใน
“ยินดีต้อนรับสู่หมู่บ้านหมูป่ าของพวกเรา ท่านแขกผู้มีเกียรติ” ชน
พื้นเมืองกล่าวกับพวกเขายามเมื่อไปถึง
“ท-ท่านเทพธิดากลับมาแล้ว” หนึ่งในชนพื้นเมืองที่ยืนยามอยู่ตรง
ประตูหมู่บ้านพลันตะโกนหลังจากที่เห็นพวกเขา และเกือบทันที
หลังจากนั้นก็จะเห็นผู้คนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านวิ่งออกมาจากบ้าน
ไม่นานหลังจากนั้น คนประมาณสามร้อยคนก็มารวมตัวกันที่ประตู
ทางหมู่บ้านและคุกเข่าให้กับชิวเยว่ ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่
กระทั่งคนที่ได้รับบาดเจ็บทั้งหมดก็ยังยินดีที่จะทำการเคารพชิวเยว่
“ยินดีต้อนรับกลับมาท่านเทพธิดา” พวกเขาพากันตะโกนออกมา
อย่างพร้อมเพรียงกัน
“ช่างยิ่งใหญ่” ซูหยางเผยรอยยิ้ม
“อะแฮ่ม” ชิวเยว่กระแอมเสียงดังก่อนที่จะกล่าวขึ้น “ข้าได้พูดเรื่องนี้
กับพวกเจ้าบางคนแล้วและจงหยุดทำเหมือนกับข้าเป็นเทพธิดาของ
พวกเจ้า”
ชนพื้นเมืองสบสายตากันอย่างงุนงงจากนั้นคนที่ได้ติดตามกลุ่ม
ซูหยางก็ได้อธิบายเรื่องราวให้กับชนพื้นเมืองที่ยังไม่รู้
“ความประสงค์ของท่านเทพธิดาก็คือต้องการให้เรียกท่านแบบอื่น
ดังนั้นเราจักเรียกเธอว่าผู้กอบกู้นับตั้งแต่ตอนนี้”
“โอ ข้าเข้าใจแล้ว…”
ชนพื้นเมืองเข้าใจเรื่องราวอย่างรวดเร็ว
“อย่างไรก็ตามคนสองคนนั้นเป็นผู้ติดตามท่านเทพธิดา– ผู้กอบกู้
ของพวกเรา…” หนึ่งในพวกเธอถาม
“ข้ามิรู้ความสัมพันธ์ของพวกเขากับท่านผู้กอบกู้ แต่พวกเขาดูค่อนข้าง
สนิทสนมกัน ดังนั้นให้ปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนกับการปฏิบัติต่อ
ท่านผู้กอบกู้”
“ข้าเข้าใจแล้ว…”
สองสามอึดใจหลังจากนั้น หนึ่งในชนพื้นเมืองก็เข้าไปหาชิวเยว่
“ยินดีต้อนรับสู่ชนเผ่าหมูป่ าของเราท่านผู้กอบกู้และเพื่อนผู้มีเกียรติ
ของท่าน ข้าคือหัวหน้าเผ่านี้ ชินเหลียงหยู” เด็กสาวชนพื้นเมืองที่ดูมี
อายุใกล้เคียงกับซูหยางและหงอวี้เอ๋อร์กล่าว “เป็นเกียรติและความ
ยินดีอย่างยิ่งเมื่อการปรากฏตัวของพวกท่านนับเป็นพรอันประเสริฐ
แก่สถานที่อันไร้ค่าแห่งนี้”
“เจ้าค่อนข้างจะอายุน้อยสำหรับการเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน” หงอวี้เอ๋อร์
กล่าวขณะที่เธอมองไปยังร่างผิวสีแทนดูเหมือนว่ากำลังตรวจสอบ
อีกฝ่าย
“หัวหน้าคนก่อน พ่อของข้าสิ้นใจไปมินานมานี้ และจนกว่าพวกเรา
จักแต่งตั้งหัวหน้าคนใหม่ ข้าก็จักเป็นหัวหน้ารักษาการไปก่อน” ชิน
เหลียงหยูกล่าว “โปรดเข้ามาด้านใน”
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ชินเหลียงหยูก็นำซูหยางและกลุ่มของเขาเข้า
ไปในกระท่อมหลังใหญ่และต้อนรับด้วยน้ำชา
“ข้าได้รับรายงานจากคนอื่นว่าพวกท่านต้องการที่จะรู้เรื่องเกี่ยวกับ
กระจกนิลกาฬมากกว่านี้” ชินเหลียงหยูกล่าวกับพวกเขาขณะที่เธอ
นำเอาม้วนคัมภีร์ที่ดูโบราณออกมาสองสามม้วน
“ทั้งหมดนี้เป็นข้อมูลที่พวกเรามีเกี่ยวกับกระจกนิลกาฬ ย้อนกลับไป
ยังเมื่อห้าร้อยปีก่อนนับตั้งแต่มันถูกค้นพบครั้งแรก”
“ขอบคุณ” ซูหยางกล่าวขณะที่เขารับม้วนคัมภีร์จากมือเธอ
“อา…”
เมื่อซูหยางเข้าไปรับม้วนคัมภีร์ นิ้วของเขาเผอิญไปสัมผัสกับมือของ
ชินเหลียงหยูทำให้เธอมีปฏิกิริยาตอบโต้ในทันที
“ข-ข้าต้องขออภัยที่บังเอิญสัมผัสท่าน” ชินเหลียงหยูพลันโค้งคำนับ
เขา
แม้ว่าค่อนข้างประหลาดใจกับปฏิกิริยาที่เกินไปของเธอ ซูหยางก็ยัง
โบกมือและกล่าวว่า “เจ้ามิต้องกังวลมากมายเพียงนั้น ใช่ว่าเจ้าจักทำ
ให้ข้าแปดเปื้อนจากการสัมผัสข้า”
จากนั้นเขาก็ยื่นมือออกไปจับมือเธออย่างสุภาพและติดตามมาด้วย
รอยยิ้มหล่อเหลา “เห็นไหม ข้ามิถือสา”
“…”
ทั้งใบหน้าของชินเหลียงหยูแดงขึ้นมาขณะที่เธอจ้องไปยังมือใหญ่
ของเขาที่กำลังกุมมือเธอ
“อา… เขาทำแบบนี้อีกแล้ว…” หงอวี้เอ๋อร์ส่ายหน้า
“หือ” ชิวเยว่มองดูอีกฝ่ายอย่างสับสน
“เจ้าไม่รู้รึ เขามักจะหว่านเสน่ห์สาว ๆ โดยไม่ได้ตั้งใจด้วยการกระทำ
ของเขา เพราะบุคลิกของเขา เขาจึงมักจะเป็นที่ต้องตาติดใจแม้กระทั่ง
นั่นจะมิใช่เจตนาของเขาก็ตาม และก็เป็นเช่นนี้กระทั่งในสวรรค์
ศักด์ิสิทธ์ิทั้งสี่ ข้าเดาเอาว่าการกลับมาถือกำเนิดใหม่มิอาจจะเปลี่ยน
ธรรมชาติของเขาได้ เฮ้อ”
ชิวเยว่มองดูซูหยาง ทำไมเธอจึงไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อนหน้านี้นะ
จริงด้วยนั่นเป็นเหมือนกับว่าเขามีความสามารถในการหว่านเสน่ห์
หญิงโดยสัญชาตญาณ
“ด-เดี๋ยวข้ากลับมา” ชินเหลียงหยูพลันกล่าวก่อนที่จะรีบออกไป
นอกกระท่อม
“เจ้าทำให้เธอวิ่งหนีไป ที่รัก” หงอวี้เอ๋อร์หัวเราะคิกคักตามหลัง
“…” ซูหยางพูดไม่ออก เขามิคาดว่าผู้คนที่นี่จะช่างขี้อาย ไม่ว่า
อย่างไรก็ตามคนส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ปกติ
แล้วจะไม่ขี้อายเช่นนี้ ตามความเป็นจริงพวกเธอส่วนใหญ่แล้วมักจะ
เป็นคนกล้าและใจถึง
“อย่างไรก็ตามพวกเรามาดูว่านี่เป็นข้อมูลประเภทไหนกันที่พวกเขา
มีต่อกระจกนิลกาฬหลังจากผ่านการค้นคว้ามานานถึงห้าร้อยปี” ซู
หยางกล่าวขณะที่โยนม้วนคัมภีร์ไปให้พวกเธอก่อนที่พวกเขาจะเริ่ม
อ่าน
บทที่ 426 กระจกนิลกาฬ
ครั้นเมื่อพวกเขาไปถึงเป้าหมายแล้ว ชิวเยว่ก็สั่งให้ยานบินลงไป
ด้านล่าง
“ประตูมิติอยู่ท่ามกลางของที่ไหนก็ไม่รู้” ซูหยางมองดูเบื้องล่าง
ขณะที่กำลังลงไป และสิ่งเดียวที่เห็นในสายตาของเขาก็คือต้นไม้
แห้งแล้งและผืนดินที่ไร้ชีวิตไม่มีจุดสีเขียวให้เห็นแม้จะมองไกลไป
สุดขอบฟ้า
“นี่คือสภาพแวดล้อมหลักของทวีปใต้ ครึ่งหนึ่งของประชากรมีชีวิต
อยู่อย่างป่ าเถื่อน” ชิวเยว่กล่าวกับเขา เมื่อเธอเดินทางมาทวีปแห่งนี้
มามากกว่าหนึ่งครั้ง
เมื่อพวกเขาลงไปใกล้กับพื้น ซูหยางก็สามารถเห็นร่างหลายร่างยืน
อยู่ด้านใต้นั้นใช้สายตาจับจ้องมายังยานบิน
พวกเขามีอยู่ประมาณห้าสิบคน และทุกคนล้วนเป็นหญิงผิวสีแทน
“พวกนี้คือ…”
“พวกนี้มาจากชาติพันธุ์ที่ตั้งรกรากอยู่แถวนี้ ประตูมิติก็อยู่ในพื้นที่
ของพวกนี้เช่นกัน ข้าก็รู้จักพวกนี้เพียงเล็กน้อย ดังนั้นข้าจึงมิรู้อะไร
มากนัก”
“อืม…” ซูหยางพยักหน้า
ครั้นเมื่อพวกเขาลงจอดแล้ว ผู้คนทั้งหมดที่รออยู่เบื้องล่างก็ตรงเข้า
มาหายานบินก่อนที่จะคุกเข่าลงบนพื้น
“ยินดีต้อนรับกลับมา ท่านเทพธิดา” พวกเธอทั้งหมดต่างสวดด้วย
น้ำเสียงเคารพ
“เทพธิดารึ…” ซูหยางและหงอวี้เอ๋อร์พากันหันไปมองดูชิวเยว่ด้วย
ใบหน้าประหลาด เธอในตอนนี้หน้าแดง
“อืม… ข้าสามารถอธิบาย…เรื่องนี้ได้…” ชิวเยว่รีบพูดด้วยท่าทาง
ประหม่า “ข้ามิรู้ว่าทำไม แต่พวกเธอต่างเริ่มเรียกข้าเช่นนั้นตั้งแต่ข้า
เริ่มปรากฏตัว และข้าก็มิได้ใส่ใจไปแก้ไข”
“เรียกเจ้าเป็นเทพธิดานี่ก็มิผิด ในเมื่อเจ้าก็มาจากวิหารจันทราศักด์ิสิทธ์ิ”
ซูหยางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ว่าแต่ ประตูมิติอยู่ไหน”
เมื่อซูหยางพูดอย่างสบาย ๆ กับชิวเยว่ ผู้คนที่นั่นต่างก็พากันมองดู
เขาด้วยความตกใจ ตามความเป็นจริงแล้วผู้คนทั้งหมดที่นั่นต่างจ้อง
มองเขาด้วยสีหน้างงงัน ราวกับว่าพวกเธอไม่เคยเห็นผู้ชายมาก่อน
“อะไรของพวกนั้นกัน” หงอวี้เอ๋อร์เลิกคิ้ว “พวกเธอมองดูเจ้าเหมือน
กับต้องการจะกินเจ้า”
“เพราะว่าพวกเธอมีชีวิตอยู่ค่อนข้างโดดเดี่ยว พวกเธอมิได้เห็นคน
ต่างถิ่นบ่อยนัก ที่สำคัญก็คือเกือบทุกคนที่อาศัยอยู่ในทวีปใต้นี้จะมี
ผิวสีแทน ดังนั้นผิวที่เหมือนกับหยกของพวกเราจึงเป็นของหายาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่แถบนี้”
“ยิ่งไปกว่านั้น…” ชิวเยว่มองดูหน้าตาหล่อเหลาและรูปลักษณ์ที่
เปี่ยมเสน่ห์ของซูหยาง เขาย่อมดึงดูดความสนใจไม่ว่าจะที่ไหนที่เขา
ไปหรือทำอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้หญิง
ไม่นานหลังจากนั้น ชิวเยว่ก็พาทั้งสองคนไปยัง “ประตูมิติ” และ
กลุ่มของคนพื้นเมืองก็ติดตามอยู่เบื้องหลังพวกเขา
“นี่คือประตูมิติรึ…” ซูหยางมองดูประตูมิติที่มีรูปร่างเหมือนกับ
กระจกตรงหน้าเขา
มันเป็นกระจกเงาที่ค่อนข้างจะมีขนาดใหญ่กว่าตัวของเขา แต่แทนที่
จะเป็นแก้วตรงกลางมันกลับเป็นสีดำสนิท
“เจ้าคิดว่าอย่างไร หลิงชี” ซูหยางถามเธอหลังจากที่ตรวจสอบประตู
มิติชั่วขณะ
หงอวี้เอ๋อร์พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “โดยมิต้องสงสัยข้าสามารถสัมผัส
ได้ถึงพลังวิญญาณที่เป็นของสวรรค์ศักด์ิสิทธ์ิทั้งสี่มาจากมันแม้จะ
เพียงเล็กน้อยก็ตาม”
ซูหยางพยักหน้า “ตอนนี้พวกเรายังคงต้องตรวจสอบถึงต้นตอของ
มันและความปลอดภัยของมันว่ามีมากน้อยเพียงใด…”
ขณะที่เขากำลังพูดถ้อยคำเหล่านั้น ประตูมิติก็เริ่มสั่นสะเทือน
“ก-เกิดอะไรขึ้น” ชิวเยว่ถาม
“ข้ามิรู้เช่นกัน แต่รู้สึกเหมือนว่าจะมิถูกต้อง” ซูหยางกล่าวขณะที่เขา
ทิ้งระยะห่างออกมาจากมัน
อีกไม่กี่วินาทีต่อมา กระจกก็เริ่มบิดเบี้ยว ราวกับว่ามันกำลังถูกมิติ
กลืนกิน
และต่อหน้าต่อตาพวกเขา กระจกก็หายไปในอากาศ
“เม-เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น ประตูมิติหายไปไหน” ชิวเยว่งงงันกับ
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน
“ท่านเทพธิดา ถ้าท่านพอจะอนุญาต…” หนึ่งในคนพื้นเมืองพลันเริ่ม
พูด “ประตูมิติที่ท่านเทพธิดาอ้างถึงนี้มันเรียกว่า กระจกนิลกาฬ และ
มันจะปรากฏขึ้นหนึ่งครั้งทุกสองปีและเพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่จะ
หายไปอีกครั้ง”
“เป็นไปมิได้… เช่นนั้นเราต้องรอไปอีกสองปีก่อนที่มันจะปรากฏ
อีกครั้งงั้นรึ” ชิวเยว่ตกตะลึง
“ข้าเกรงว่าจะต้องเป็นเช่นนั้น…” ชนพื้นเมืองพยักหน้า
“บอกข้าเกี่ยวกับกระจกนิลกาฬนี้ให้กับข้าเพิ่มอีกสักหน่อยสิ” ซูหยาง
พลันตรงเข้าไปหาเธอและพูดขึ้น “ต้นกำเนิดของกระจกนี้อยู่ที่ไหน”
“ด-ด-ได้” ชนพื้นเมืองเริ่มหน้าแดงและเคลื่อนไหวไม่เป็นสุข “แม้ว่า
พวกเราจักมิรู้ว่ามันปรากฏขึ้นครั้งแรกเมื่อไหร่ แต่มันก็ถูกค้นพบ
เมื่อห้าร้อยปีก่อนแล้ว มันจักปรากฏขึ้นหนึ่งครั้งทุกสองปีเป็นเวลา
สองสามชั่วโมงก่อนที่จะหายไป และจักดำเนินเป็นกิจวัตรเช่นนี้ทุก
ครั้งมาตลอดห้าร้อยปีที่ผ่านมา”
“เจ้ารู้ไหมว่ามันนำพาไปสู่ที่แห่งใด” ซูหยางถามต่อ
“ม-ไม่รู้” ชนพื้นเมืองส่ายหน้า “คนนับพันจากเผ่าพันธุ์ที่แตกต่างกัน
ได้เดินทางเข้าไปในกระจกนิลกาฬมาหลายปี แต่มิมีผู้ใดได้กลับคืน
มานับจนถึงวันนี้”
“แม้ว่าจะมีบางคนคาดว่ากระจกนิลกาฬจักนำไปสู่อีกด้านของ
จักรวาล และก็มีคนอื่นอีกที่เชื่อว่ามันมิมีปลายทางและมีเพียงแต่
ความตายเท่านั้นที่รออยู่สำหรับผู้ที่เข้าไปในความมืดนี้”
“ข้าเข้าใจแล้ว…ขอบคุณ” ซูหยางพยักหน้าและกล่าวต่อว่า “แม้ว่า
มันจะโชคร้ายที่เราต้องรอไปอีกสองปีก่อนที่กระจกนิลกาฬจะ
ปรากฏอีกครั้ง อย่างน้อยพวกเราก็ได้มีเงื่อนงำแล้วตอนนี้ ต่อไปนี้
พวกเราควรพยายามที่จะเรียนรู้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เกี่ยวกับ
ประตูมิติและสถานที่แห่งนี้”
ชิวเยว่พยักหน้า
“เฮ้ ที่รัก” หงอวี้เอ๋อร์พลันกล่าวขึ้น “ข้าจักต้องกลับไปยังร่างเดิม
ของข้าในอีกครึ่งปี ถ้าเจ้ามิกลับไปภายในสองปี ข้าจักใช้ทรัพยากร
ทุกอย่างของข้าพยายามที่จะหาสถานที่แห่งนี้เพื่อที่จะสามารถพาเจ้า
กลับไปได้ ถ้าเจ้าคิดว่าประตูมิตินี้อันตรายเกินไป ข้าจักจัดตั้งกลุ่ม
ค้นหาทันทีที่ข้ากลับไป”
ซูหยางพยักหน้า “ขอบใจ แต่จนกว่าข้าได้เรียนรู้เพียงพอเกี่ยวกับ
กระจกนิลกาฬนี้ มิเช่นนั้นข้าก็จักมิพยายามกลับไปอย่างบุ่มบ่าม ข้า
จักใช้เวลาของข้ากับเรื่องนี้ มิว่าอย่างไรความกังวลที่หนักที่สุดและ
เหตุผลที่จะกลับไปได้ถูกแก้ไขแล้ว”
“เจ้าหมายถึง.. เผ่าเทพอาชูร่าสู้กับจักรพรรดิสวรรค์รึ”
ซูหยางส่ายหน้าและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่ใช่ ข้ากังวลเรื่องเจ้า”
“ที่รัก…” ได้ยินคำพูดเช่นนั้น หงอวี้เอ๋อร์ก็อดที่จะหน้าแดงและมี
น้ำตาซึมออกมาเล็กน้อยไม่ได้
“…” ชิวเยว่มองดูพวกเขาด้วยสีหน้าขรึม อดรู้สึกอิจฉาความสัมพันธ์
ของพวกเขาไม่ได้
หลังจากนั้น ซูหยางก็หันไปมองดูชนพื้นเมืองที่ยังคงเงียบดูพวกเขา
จากระยะห่างและกล่าวว่า “ถ้าพวกเจ้ามิถือ พอจะบอกพวกเรามาก
ขึ้นกว่านี้อีกหน่อยเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้และสิ่งที่มีความเกี่ยวข้อง
กับกระจกนิลกาฬนี้ได้หรือไม่”
ชนพื้นเมืองมองหน้ากันก่อนที่หนึ่งในนั้นจะก้าวออกมาและคำนับ
“ถ้าท่านมีปัญหาใด โปรดอย่าได้ลังเลที่จะถามพวกเรา”
ซูหยางพยักหน้าและกล่าวว่า “สำหรับการเริ่มต้น ทำไมพวกเรามิ
เปลี่ยนสถานที่พูดคุยกันล่ะ”
“เช่นนั้นโปรดให้พวกเราพาพวกท่านกลับไปยังที่พักของพวกเรา”
หญิงสาวชนพื้นเมืองกล่าว
บทที่ 425 กลับคืนสู่สวรรค์ศักด์ิสิทธ์ิทั้งสี่ ?
“ชิวเยว่ อธิบายสถานการณ์ซิ เจ้าพบอะไร” ซูหยางถามเธอขณะที่
พวกเขาเดินทางบนยานบิน
ชิวเยว่พยักหน้าและเริ่มอธิบาย “ข้าได้เดินทางปราศจากจุดหมายเมื่อ
สองสามเดือนก่อน โดยหวังว่าข้าจักพบเจอสิ่งที่จักสามารถพาพวก
เรากลับบ้านได้ และในขณะที่ข้ากำลังบินอยู่เหนือทวีปใต้ ข้าก็รับรู้
ถึงพลังงานที่คุ้นเคยและตัดสินใจที่จะสืบเสาะหามัน”
“ครั้นเมื่อข้าตรวจสอบแหล่งที่มา มันกลายเป็นประตูมิติเดินไปสู่
ปลายทางที่มิรู้จัก และพลังงานที่ปลดปล่อยออกมาจากประตูทำให้
ข้านึกถึงสวรรค์ศักด์ิสิทธ์ิทั้งสี่ แต่ข้ามิมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ ดังนั้นข้า
จึงตัดสินใจที่จะกลับคืนมาก่อนเป็นอันดับแรกและให้ท่านไปดูมัน”
“ข้าเข้าใจแล้ว…” ซูหยางพยักหน้าและเริ่มครุ่นคิด
ไม่นานหลังจากนั้น ชิวเยว่หันไปมองดูหงอวี้เอ๋อร์และกล่าวถามว่า
“ท่านจะบอกข้าได้หรือยังว่าทำไมเธอจึงมากับพวกเราในตอนนี้”
“โอ ใช่” ซูหยางพลันนึกออกและกล่าวว่า “แต่ก่อนที่ข้าจักแนะนำ
เธอให้กับเจ้า ข้าคิดว่าเธอควรจะรู้ว่าเจ้าเป็นใครก่อนเป็นอันดับแรก”
เขาหันไปยังหงอวี้เอ๋อร์และกล่าวว่า “นี่คือชิวเยว่ และก็เหมือนกับที่
เจ้าสามารถบอกได้จากหน้าตาพิเศษเฉพาะของเธอ เธอมาจากวิหาร
จันทราศักด์ิสิทธ์ิ”
“วิหารจันทราศักด์ิสิทธ์ิ… ทำไมคนจากสถานที่ศักด์ิสิทธ์ิจึงอยู่ใน
โลกนี้ได้” หงอวี้เอ๋อร์ถาม
“สรุปให้สั้น ๆ เธอเป็นลูกสาวของเยว่ไห่ และเธอถูกวิหารจันทรา
ศักด์ิสิทธ์ิล่าในตอนนี้ ส่วนสำหรับที่ว่าเธอมาถึงที่นี่ได้อย่างไร เธอ
เข้าไปในประตูมิติโบราณของแดนสวรรค์ทั้งสี่โดยมิได้กำหนด
จุดหมายปลายทางและตกมาอยู่ในที่แห่งนี้ด้วยเหตุบังเอิญอย่าง
แท้จริง” ซูหยางอธิบายให้ข้อมูลอย่างคร่าว ๆ กับอีกฝ่าย “และนี่ก็ทำ
ให้ข้ารู้เรื่องเจ้าทำสงครามกับจักรพรรดิสวรรค์เช่นกัน”
“ลูกสาวของเยว่ไห่รึ… ถ้านี่มิได้พิสูจน์ว่าชะตากรรมมีจริง ข้าก็มิรู้
ว่าอะไรจักอธิบายได้…” หงอวี้เอ๋อร์มองดูชิวเยว่ในอีกแง่มุมหนึ่ง
ในตอนนี้
จากนั้นเธอก็ตระหนักถึงอะไรบางอย่าง
“เกี่ยวกับเยว่ไห่… เจ้ารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ ใช่ไหม” หงอวี้เอ๋อร์
ถามเขาด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“ข้ารู้” ซูหยางหลับตา พยายามที่จะซ่อนความเศร้าโศกในดวงตา
“ถ้าเจ้าต้องการ ข้าสามารถให้เผ่าของข้า…”
“ไม่ วิหารจันทราศักด์ิสิทธ์ิเป็นปัญหาของข้า ข้าจักจัดการกับพวก
นั้นด้วยตนเองหลังจากที่ข้ากลับไป” ซูหยางส่ายหน้า
“ข้าเข้าใจแล้ว…” หงอวี้เอ๋อร์พยักหน้า
“ตอนนี้เมื่อเจ้ารู้ว่าชิวเยว่คือใครแล้ว ข้าจักแนะนำเจ้าให้กับเธอ…”
“ข้าสามารถแนะนำตนเองได้น่า ที่รัก” หงอวี้เอ๋อร์พลันกล่าว
“ท-ท-ที่รักรึ” ชิวเยว่จ้องมองเธอด้วยดวงตาเบิกกว้าง
หงอวี้เอ๋อร์ยืนขึ้นและวางมือลงบนอกและกล่าวด้วยท่าทางภูมิใจว่า
“แม้ว่าข้าตอนนี้จะเรียกว่าหวอวี้เอ๋อร์ แต่นี่มิใช่ร่างจริงของข้า ในเมื่อ
ข้าจักสิงมันเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่ง”
“เจ้ากำลังสิงร่างนี้อยู่รึ…” ซูหยางงงงัน
“ใช่แล้ว หลังจากที่เจ้าตาย ข้าได้นำพาเผ่าเทพอาชูร่าประกาศสงคราม
กับจักรพรรดิสวรรค์ แต่ทว่าหลังจากต่อสู้กันได้สองสามร้อยปี ข้า
พลันพบเจอกับชายชราที่มิรู้ที่มา”
“ชายชรารึ” ซูหยางไม่อยากเชื่อ จะเป็นชายชราคนเดียวกับที่ซึ่งผลัก
เขาเข้าสู่ที่แห่งนี้หรือไม่ แต่เขาออกจากหน้าผาบาปนิรันดร์ได้
อย่างไร นั่นเป็นสถานที่ที่ซึ่งหากมีใครเข้าไปพวกเขาจะต้องอยู่ในที่
แห่งนั้นไปตราบชั่วชีวิต
หงอวี้เอ๋อร์พยักหน้าและกล่าวต่อว่า “เขาบอกข้าว่าเจ้ายังคงมีชีวิตอยู่
จริง แต่แน่นอนว่าข้าย่อมมิเชื่อเขาในตอนแรก ดังนั้นเขาจึงบอกข้า
ว่าเขาจักพิสูจน์ให้ดู”
“แม้ว่าเขาจักกล่าวเช่นนั้น แต่เขาก็ให้ข้ารออีกกว่าสองสามร้อยปี
ก่อนที่จะให้โอสถรุกล้ำวิญญาณกับข้า”
“โอสถรุกล้ำวิญญาณ”
ซูหยางตกใจ โอสถรุกล้ำวิญญาณเป็นสมบัติต้องห้ามที่ล้ำค่าที่ยอม
ให้คนผู้หนึ่งรุกเข้าไปในวิญญาณของอีกคนหนึ่งและยึดครองร่าง
นั้นเป็นชั่วระยะเวลาสั้น ๆ
“ข้ากลืนโอสถรุกล้ำวิญญาณและชายชราผู้นั้นก็ได้ชักนำวิญญาณข้า
ไปสู่ร่างของเด็กสาวคนนี้ ยอมให้ข้าเข้าสิงร่างของเธอ อย่างไรก็ตาม
ข้าก็สามารถอยู่ภายในร่างนี้ได้เพียงหนึ่งปี และเวลาครึ่งหนึ่งก็ได้
ผ่านพ้นไปแล้ว ดังนั้นข้าจักกลับคืนไปยังร่างเดิมของข้าในอีกครึ่งปี
ให้หลัง”
“ข้ายังคงมิเชื่อว่าเจ้ายังคงมีชีวิตในตอนนั้น แต่ข้าสิ้นหวังและโง่เขลา
ยึดมั่นอยู่กับความหวังอันน้อยนิดว่าเจ้ายังคงมีชีวิตอยู่ และหลังจาก
ที่ค้นหาผ่านความทรงจำของเด็กสาวคนนี้และพบเห็นเจ้า ข้าถึงกับ
ตระหนกเมื่อเห็นเจ้ามีชีวิตอยู่เป็นอย่างดี”
“ทำไมชายชราคนนั้นจึงทำเช่นนี้ให้กับเจ้า” ซูหยางถาม
“เขากล่าวว่า เขาต้องการที่จะหยุดสงครามก่อนที่มันจะควบคุมมิได้
ดังนั้นเขาจึงยอมให้ข้าเห็นเจ้า หักล้างเหตุผลเดียวที่ข้าต้องต่อสู้กับ
จักรพรรดิสวรรค์ทิ้งไป”
“ข้าเข้าใจแล้ว… นั่นมีเหตุผลอยู่…” ซูหยางพยักหน้า
“อย่างไรก็ตามจักเกิดอะไรขึ้นกับหงอวี้เอ๋อร์หลังจากที่เจ้ากลับคืน
ไปยังร่างของเจ้า” เขาพลันถาม
“เออ แม้ว่าข้าจะยึดครองร่างเธอ เธอก็ยังคงมีสติสัมปชัญญะเต็มเปี่ยม
และรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกระทั่งตอนนี้ จริงแล้วเธอก็ยังได้รับความทรงจำ
ของข้าบางส่วน แต่เราก็ได้ทำข้อตกลงกันและเพื่อเป็นการชดเชยกับ
การยืมร่างเธอ ข้าจักช่วยเธอฝึกจนถึงเขตอัมพรวิญญาณและแบ่งปัน
วิชาฝึกฝนให้กับเธอบางส่วน”
“เจ้ามิใจกว้างไปหน่อยรึ…” ซูหยางหัวเราะหึ
จากนั้นเขาก็มองเข้าไปในดวงตาของหงอวี้เอ๋อร์และกล่าวว่า “ข้า
ต้องขอโทษที่เจ้าถูกลากเข้ามาในเรื่องนี้โดยมิเต็มใจ ข้าก็จักชดเชย
ให้กับเจ้าสำหรับปัญหานี้ในภายหลังเช่นกัน”
ในเวลานั้นชิวเยว่ก็จ้องมองหงอวี้เอ๋อร์ด้วยดวงตาเบิกกว้างและกราม
ตก ดูเหมือนจะไม่เชื่อ
“โอ ใช่ ข้ายังอยู่ในระหว่างการแนะนำตัวเอง” สุดท้ายหงอวี้เอ๋อร์ก็
ตระหนักถึงเรื่องนี้และกล่าวต่อว่า “ชื่อของข้าคือถังหลิวชี และข้ามา
จากเผ่าเทพอาชูร่า”
“ผ-ผ-เผ่าเทพอาชูร่า” ชิวเยว่เริ่มสั่นสะท้านด้วยความกลัว เมื่อมาคิดว่า
เธอพบกับคนจากเผ่าเทพอาชูร่าที่มีชื่อเสียงโด่งดังในสถานที่แห่งนี้
“ท-ท-ท่านมีความสัมพันธ์อะไรกับซูหยางรึ” ชิวเยว่ถามถังหลิวซี
แม้ว่าเธอจะยังคงกลัว
“มิว่าจะเป็นหงอวี้เอ๋อร์หรือถังหงซี เราก็หมั้นหมายกับคนคนเดียวกัน”
“อะไรนะ” ชิวเยว่พลันหันไปมองดูซูหยางและกล่าวว่า “น-นี่จริงรึ
ท่านได้หมั้นหมายจากคนในเผ่าเทพอาชูร่า”
“แม้ว่านี่จะซับซ้อนอยู่บ้าง เธอก็พูดมิผิด” ซูหยางพยักหน้าโดยไม่
ลังเล “และเธอก็มิใช่เป็นใครก็ได้ในเผ่าเทพอาชูร่า เธอเป็นลูกสาว
คนเดียวของหัวหน้าเผ่า ในด้านอำนาจเธอเพียงอยู่ใต้คนคนเดียวซึ่งก็
คือพ่อของเธอ”
“ป-ป-เป็นไปมิได้…” ชิวเยว่ตกอยู่ในสภาพไม่เชื่อ เขาทำอะไรลงไป
จนทำให้เกิดผลลัพธ์เช่นนั้นออกมาได้
“หลิงชี ที่เจ้าพูดออกมาเมื่อกี้ที่ว่าเผ่าเทพอาชูร่ามิได้ต่อสู้กับจักรพรรดิ
สวรรค์อีกต่อไปแล้วงั้นรึ” ซูหยางถามเธอ
เธอพยักหน้าและกล่าวว่า “ในเมื่อเจ้ามิได้ตายจริง ๆ ก็มิจำเป็นต้อง
แก้แค้นให้กับเจ้าอีกต่อไปเท่านั้นเอง”
“ฟิ้ว…” ซูหยางปาดเหงื่อออกจากหน้าผากและถอนใจ “ขอบคุณ
สวรรค์ที่ข้ามิต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้นอีกต่อไป…”
“เจ้ารู้ไหมว่าข้ากังวลแค่ไหนเมื่อข้าได้ยินว่าตระกูลเจ้าเริ่มสงคราม
กับจักรพรรดิสวรรค์” ซูหยางกล่าว
“ข้ารู้… เพราะว่านั่นเป็นสิ่งที่ข้ารู้สึกเมื่อข้าพลันได้ยินข่าวการตาย
ของเจ้า ไม่ใช่ มันเลวร้ายยิ่งกว่านั้น”
“นั่น… นอกจากว่าข้าได้พูดกับชายชรานั่นอีกครั้ง มิเช่นนั้นข้าก็คงมิ
รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับข้าจริง ๆ” ซูหยางถอนใจ
เวลาผ่านไป ชิวเยว่ก็พลันกล่าวขึ้นว่า “พวกเรามาถึงแล้ว นี่เป็นตำแหน่ง
ของประตูมิตินั้น”
ซูหยางพยักหน้าและกล่าวว่า “ลงไปกันเถอะ”
บทที่ 424 ชิวเยว่กลับมา
การที่ชิวเยว่พลันปรากฏตัวขึ้นนั้นสร้างความตกใจให้กับทุกคนในที่
นั้น กระทั่งยังมีบางคนก้มหัวให้เธอตามสัญชาตญาณอีกด้วย
กระทั่งหงอวี้เอ๋อร์เองก็ยังไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง “ผมสีเงินนั่น
ดวงตาเธอส่องประกายเหมือนกับจันทรายามค่ำคืน และรัศมีศักด์ิสิทธ์ิ
เฉพาะตัวนั่น… สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นคุณสมบัติของคนจากวิหารจันทรา
ศักด์ิสิทธ์ิ แต่ทำไมจึงมีคนจากเผ่านั้นในที่แห่งนี้ด้วย”
หลังจากการปรากฏตัวของชิวเยว่ ชายชราพ่อของเจ้าซีพลันปรากฏ
ตัวขึ้นต่อหน้าเธอและประสานมือด้วยความเคารพและกล่าวว่า “ผู้
เฒ่าคนนี้ชื่อซีหวังจากตระกูลซีซึ่งปกครองทวีปแห่งนี้ มิทราบว่า
ท่านมีเจตนาใดจึงมาเยี่ยมที่แห่งนี้ ท่านผู้อาวุโสผู้ทรงเกียรติ”
“อะไรนะ ท่านพ่อ” เจ้าซีพลันงงงัน เขาไม่เคยเห็นพ่อของตนเอง
จริงจังและนบนอบขนาดนี้ต่อคนอื่นมาก่อน
ชิวเยว่เหลือบมองชีหวังด้วยหางตาและกล่าวว่า “ข้ามิมีธุระอะไรกับ
เจ้า ไปให้พ้น”
“…”
ซีหวังพูดไม่ออก นี่นับเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาได้รับการปฏิบัติโดย
ไม่ไว้หน้าแบบนี้ แต่อย่างไรก็ตามเขาสามารถรู้สึกได้ถึงแรงคุกคาม
พลังวิญญาณจำนวนมากจากชิวเยว่ ทำให้เขารู้สึกไร้พลัง ถึงแม้ว่าเขา
ต้องการที่จะตอบโต้เขาก็ไม่กล้า ถ้าเขาล่วงเกินเธอใครจะรู้ว่าเธอจะ
ทำอะไรกับที่แห่งนี้หรือกับตระกูลซี ไม่ว่าอย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าด้วย
พลังการฝึกปรือในเขตราชันย์วิญญาณของเขา เขาก็ยังไม่สามารถที่
จะเห็นความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเธอได้ ชี้ชวนให้เห็นว่านั่นต้อง
เป็นระดับที่เหนือกว่าเขามาก
หลังจากที่เลิกสนใจซีหวังแล้ว ชิวเยว่ก็หันความสนใจของตนเองไป
ยังซูหยางซึ่งจ้องมองเธอด้วยสายตางุนงง
“ท่านพ่อไปกับข้า ในที่สุดข้าก็ค้นพบเบาะแสที่อาจจะช่วยพวกเรา
กลับบ้านได้แล้ว” ชิวเยว่เผยข้อมูลที่สร้างความตระหนกนี้ให้กับ
ซูหยางผ่านพลังวิญญาณ
“อะไรนะ จริงรึนั่น” ซูหยางดวงตาเบิกกว้างด้วยความตระหนก เขา
ยิ้มออกมาตามสัญชาตญาณด้วยความสุขใจ
ชิวเยว่พยักหน้าและกล่าวว่า “อย่างไรก็ตามข้าต้องการความช่วยเหลือ
จากท่านก่อนที่ข้าจะมั่นใจ”
ชิวเยว่สะบัดชายแขนเสื้อทำให้ยานบินหรูหราของเธอปรากฏขึ้นบน
ท้องฟ้า สร้างความตกใจให้กับผู้คนที่นั่นมากยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม
“เป็นสมบัติวิญญาณประเภทไหนกันนี่” เจ้าซีร่ำร้องในใจ
“ไปกันเถอะซูหยาง เรามิมีเวลามากนัก” ชิวเยว่เร่งรัดเขา
ซูหยางพยักหน้าและพลันกระโดดขึ้นไปบนยาน
“ซูหยาง นั่นเจ้ากำลังจะไปไหน” โหลวหลานจีพลันกล่าวกับเขา
“อย่ากังวลเรื่องข้า ข้าจักกลับมาเร็ว ๆ นี้” ซูหยางกล่าวจากนั้นเขาก็
หันไปดูหงอวี้เอ๋อร์และกล่าวต่อว่า “มากับพวกเราสิ”
หงอวี้เอ๋อร์ไม่ถามอะไรเขาและเพียงกระโดดขึ้นไปบนเรือ สร้าง
ความงงงันให้กับชิวเยว่
“เอ๋ เด็กสาวคนนี้เป็นใครกัน ทำไมท่านจึงพาเธอไปกับพวกเราด้วย”
ชิวเยว่ถามเขาด้วยหน้าตาสงสัย
“ข้าจักอธิบายระหว่างทาง” เขาตอบ
ชิวเยว่พยักหน้าและเวลาถัดไปนั่นเอง ยานบินก็เริ่มเคลื่อนที่และ
หายไปจากโคลีเซียมราวกับภูติผี
ในเวลานั้นทั้งโคลีเซียมต่างเงียบสนิท เงียบเสียจนกระทั่งหากมีเข็ม
ตกสักเล่มก็จะสามารถได้ยินไปไกลหลายกิโลเมตร
“ก-เกิดอะไรขึ้นเมื่อกี้นี้ ทำไมซูหยางและหงอวี้เอ๋อร์จึงพลันจากไป
กับหญิงคนนั้น” ซุนจิงจิงเป็นคนแรกที่ทำลายความเงียบ
“ข้าเข้าใจแล้ว… ข้าเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น…” ซีหวังพลันลดตัวลงมา
จากท้องฟ้า
“ท่านปู่ ท่านรู้อะไรรึ” ซีซิงฟางถามเขาด้วยเสียงเป็นกระวนกระวาย
“ผู้หญิงคนนั้น… เธอเหมือนกับว่าจะเป็นคนจากทวีปศักด์ิสิทธ์ิกลาง
และบางทีเธออาจจะเป็นอาจารย์ของซูหยางและหงอวี้เอ๋อร์ด้วย
เช่นกัน” ซีหวังอธิบายความคิดของตนเอง “นั่นเป็นเพียงคำอธิบายที่
สมเหตุผลเพียงอย่างเดียวถึงตัวตนพ้นโลกของเธอและทำไมพวกเขา
จึงต้องติดตามเธอไปโดยไม่ถามอะไรแม้แต่น้อย”
“อาจารย์ของซูหยางรึ หญิงคนนั้น” ซุนจิงจิงพลันงงงัน
“ข้าได้สงสัยมานานแล้วว่าเขาต้องมีอาจารย์ผู้ซ่อนตัวคอยสอนเขาอยู่
แต่เมื่อมาคิดว่าอาจารย์คนนั้นจักเป็นคนเช่นนี้…” เจ้าซีถอนใจ
แม้กระทั่งเขาก็ยังไม่อาจหาคำพูดสำหรับตัวตนอันสง่างามและความ
สวยที่พ้นโลก
“ในเมื่อเธอเป็นอาจารย์ของเขา ข้าคงมิต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องพวก
นั้นมากนัก” โหลวหลานจีถอนใจโล่งอก
“อย่างไรก็ตามตอนนี้เมื่อซูหยางจากไปแล้ว ใครจักเป็นคนให้คำ
ปราศรัย” เจ้าซีมองไปทางนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
“ข้าจักทำเอง…” โหลวหลานจีกล่าวและก้าวออกมาข้างหน้า
“ข้าขออภัยกับความขัดข้องก่อนหน้านี้ ดูเหมือนว่าอาจารย์ของซูหยาง
ได้มาพากเขาไปด้วยเหตุผลบางอย่าง” โหลวหลานจีกล่าวกับผู้ชม
“นั่นหมายความว่านั่นเป็นอาจารย์ของเขารึ มิน่าแปลกใจว่าทำไมเขา
จึงช่างแข็งแกร่ง มีอาจารย์เป็นสาวสวยและทรงอำนาจเช่นนั้น เจ้าบ้า
นั่นช่างโชคดีเพียงไหนกัน
“ในเมื่อหงอวี้เอ๋อร์ก็ติดตามพวกเขาไปด้วย เธอก็อาจจะเป็นอาจารย์
ของหงอวี้เอ๋อร์ด้วยเช่นกัน”
เวลาไม่นานหลังจากนั้น โหลวหลานจีก็กล่าวต่อว่า “นิกายกุสุมาลย์
พ้นพิสัย… แม้ว่าพวกเราจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก อย่างไร
ก็ตามพวกเราก็สามารถเอาชนะการแข่งขันภูมิภาคได้”
“พวกท่านบางคนอาจจะคิดว่าข้าต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับชัยชนะของ
พวกเรา แต่นั่นผิดแล้ว ในเมื่อนั่นเป็นเป็นศิษย์ของข้าที่ทำให้ทั้งหมด
นี้เกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งซูหยาง ซึ่งฝึกฝนศิษย์เหล่านี้ด้วยตนเอง
มาตลอดสำหรับช่วงสองสามเดือนสุดท้ายนี้ ถ้ามิใช่เขา ข้าก็ยังสงสัย
ว่าพวกเราจักชนะในวันนี้ได้หรือไม่”
“อะไรนะ ชายหนุ่มคนนั้นสอนศิษย์ทั้งหมดนี้ด้วยตนเองรึ นั่นเป็นไป
ได้อย่างไร”
ผู้ชมต่างพากันตกใจ
“ซูหยางบอกข้าว่าเขาจักสอนศิษย์ใหม่เช่นเดียวกัน ดังนั้นในอีกมิกี่
เดือนข้างหน้า นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจักทำการทดสอบศิษย์ใหม่เข้า
นิกาย”
“นอกจากนั้นนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจักผ่านการเปลี่ยนแปลงอย่างที่
มิเคยมีมาก่อนนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เมื่อพวกเราจักมิเน้นเฉพาะ
เพียงฝึกวิชาคู่อย่างเดียวอีกต่อไป ดังนั้นผู้ที่มิประสงค์ที่จะฝึกวิชาคู่ก็
สามารถเข้าร่วมได้”
“อะไรนะ” เหล่าศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมองดูโหลวหลานจี
ด้วยดวงตาเบิกกว้าง เมื่อนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเธอได้ยินข้อมูลนี้
“แน่นอนว่า ถ้าพวกท่านประสงค์ที่จะฝึกวิชาคู่แทน พวกท่านก็มี
อิสระที่จะทำเช่นนั้นเช่นกัน”
โหลวหลานจีกล่าวต่อ ใช้โอกาสนี้ทำการโฆษณาความประสงค์ของ
นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยที่มีต่อศิษย์ใหม่ต่อหน้าคนนับล้าน
“นี่เป็นทั้งหมดที่ข้าจักกล่าวในวันนี้ ถ้าพวกท่านต้องการที่จะรู้
มากกว่านี้ โปรดไปเยี่ยมเยือนนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้ทุกเวลา”
ครั้นเมื่อโหลวหลานจีหยุดพูด ผู้ชมต่างพากันระเบิดเสียงโห่ร้องด้วย
ความตื่นเต้น
“หลังจากที่เห็นสิ่งที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยสามารถทำได้ แน่นอน
ว่าข้าจักเข้าร่วมการทดสอบเข้า”
“ข้าก็ต้องการที่จะเข้าร่วมนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยด้วยเช่นกัน”
ผู้คนต่างพากันแสดงความปรารถนาที่จะเข้าร่วมกับนิกายกุสุมาลย์
พ้นพิสัยอย่างเปิดเผยจนทำให้โหลวหลานจียิ้มออกมา
“ไม่น่าเชื่อเมื่อมาคิดว่าท่านจักใช้คำประกาศชัยชนะเป็นเหมือนโฆษณา
สำหรับนิกายของพวกท่าน” เจ้าซีหัวเราะ
“ห-หรือว่าข้ามิควรทำเช่นนั้น” โหลวหลานจีเริ่มเหงื่อตก
“ฮ่าฮ่าฮ่า ท่านสามารถพูดทุกอย่างได้ตามต้องการ ในเมื่อท่านได้รับ
สิทธ์ินั้นแล้ว” เจ้าซีกล่าว
“อย่างไรก็ตามในเมื่อนี่เป็นการสิ้นสุดของการแข่งขันระดับภูมิภาค
ขอขอบคุณทุกท่านที่มาในวันนี้ โดยเฉพาะผู้ที่เข้าร่วมการแข่งขัน
แต่ก่อนที่พวกเราจักแยกย้ายกันไป ข้าจักแจกจ่ายรางวัลให้กับผู้ที่ถูก
จัดอยู่ในสิบอันดับแรก”
ดังนั้นสำนักสิบอันดับแรกต่างพากันเข้าแถวต่อหน้าเจ้าซีเพื่อให้เขา
มอบรางวัลให้
บทที่ 423 อันดับแรก
“ข้ามิอาจเชื่อได้ เมื่อมาคิดว่าหงอวี้เอ๋อร์จักยอมแพ้ด้วยตนเอง” ไป่ ลี่
ฮัวตกตะลึงกับผลที่ได้จากการแข่งขัน
“น-น-น-นี่หมายความว่า… พวกเราเป็นแชมป์ รึ” โหลวหลานจีทั้ง
ร่างสั่นสะท้านด้วยความตกใจและสับสน
“แม้ว่าพวกเขายังคงเหลือนักสู้อีกเก้าคน พวกเขาก็มิสามารถที่จะ
เอาชนะเราได้ อย่าว่าแต่ซูหยางซึ่งยังคงอยู่บนเวทีดูมีเรี่ยวแรงเหมือน
ปกติ” ฟางซีหลานกล่าว
“ข้ายังมิเชื่อ… นี่เป็นจริงรึหรือว่าข้าเพิ่งกำลังฝันอยู่อย่างยาวนาน
อย่างแท้จริง” โหลวหลานจีจ้องไปที่เวทีด้วยท่าทางงุนงง
“อย่ากังวล ท่านผู้นำนิกาย ท่านกำลังอยู่กับความเป็นจริงในตอนนี้”
ซุนจิงจิงหัวเราะคิกคักให้กับเธอ
หลังจากที่หงอวี้เอ๋อร์ยอมแพ้รอบนี้ ศิษย์สำนักเมฆม่วงก็หันไปดูกู
กว่านถิง เจ้าสำนักด้วยดวงตาเป็นกังวล
“ท่านเจ้าสำนัก พวกเราควรทำอะไรต่อไปตอนนี้ ถึงแม้ว่าพวกเรา
ขึ้นไปบนเวที พวกเราก็มิอาจจะสามารถแตะต้องเขาได้ อย่าว่าจะล้ม
เขา”
“ใช่ ท่านเจ้าสำนัก ต่อให้พวกเราทั้งหมดร่วมมือกันสู้กับเขา พวกเรา
ยังมิสามารถเอาชนะได้โดยปราศจากศิษย์พี่หญิงหง”
กูกว่านถิงนวดขมับและถอนใจ “ข้ารู้แล้ว… ข้ารู้ พวกเจ้ามิต้องบอก
ข้าอะไรทั้งสิ้น หากปราศจากหงอวี้เอ๋อร์ พวกเราย่อมพ่ายแพ้ครั้งนี้”
ต่อจากนั้นอีกชั่วขณะ กูกว่านถิงก็ก้าวขึ้นไปบนเวทีและกล่าวกับซื่อ
ตงว่า “สำนักเมฆม่วงขอยอมแพ้การแข่งครั้งนี้”
“เชี่ย นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยสามารถเอาชนะสำนักเมฆม่วงด้วยการ
เอาชนะหงอวี้เอ๋อร์ได้จริง ๆ”
ผู้ชมต่างพากันตกใจ แม้ว่าพวกเขาหลายคนได้คาดเช่นนี้ไว้แล้ว
พวกเขาก็ไม่คิดว่ามันจะจบไปในรูปแบบนี้
“ส-สำนักเมฆม่วงยอมแพ้การแข่งขันครั้งนี้ ทำให้นิกายกุสุมาลย์พ้น
พิสัยกลายเป็นแชมป์ ของการแข่งขันระดับภูมิภาคในครั้งนี้ พวกเรา
มาช่วยกันส่งเสียงแสดงความยินดีกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยหน่อย”
หลังจากที่ซื่อตงประกาศ ทั่วทั้งโคลีเซียมก็ระเบิดเสียงหวีดและโห่
ร้องจนทำให้อากาศสั่นสะเทือน
เวลาหลังจากนั้น เมื่อเสียงต่าง ๆ ซาลง เจ้าซีก็ยืนขึ้นจากที่นั่ง ทำให้
เสียงที่เหลืออยู่พลันหยุดหายไปในทันที
ซีซิงฟางก็ยืนขึ้นเช่นกัน พวกเขาทั้งสองคนตรงไปยังเวทีอย่างช้า ๆ
ที่ซึ่งนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยกำลังยืนอยู่
“พวกเราขอคารวะท่านเจ้า”
เหล่าศิษย์และโหลวหลานจีโค้งคำนับเขา
แน่นอนว่าซูหยางยังคงยืนอยู่ที่นั่นด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เจ้าซีมองดูซูหยางด้วยหางตาก่อนที่จะไม่สนใจเขา
“ขอแสดงความยินดีกับชัยชนะของพวกเจ้า นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย”
เจ้าซีกล่าวกับพวกเธอ “ทั้งหมดนี้ย่อมเป็นไปมิได้ถ้ามิใช่พวกเจ้า
ฝึกฝนอย่างหนัก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้นำนิกายซึ่งได้
แนะนำพวกเจ้าให้ไปตามเส้นทางที่ถูกต้อง แม้ว่าพวกเจ้าอาจจะ
ฝึกฝนผิดแผกไปจากปกติ แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็สำคัญ และข้าต้องขอ
กล่าวว่าเป็นสิ่งที่น่าประทับใจทีเดียว”
“ผู้เยาว์เหล่านี้… การที่พวกเจ้าทั้งหลายได้ยืนอยู่ต่อหน้าข้าในวันนี้
เป็นสัญลักษณ์ของยุคใหม่ในยุทธภพนี้ และข้าก็มิอาจจะอดใจรอดู
ว่าพวกเจ้าจะแสดงอะไรให้ข้าเห็นในอนาคต”
“ขอบพระทัยท่านเจ้าสำหรับพระกรุณา”
เหล่าศิษย์ยังคงรักษาอาการโค้งคำนับ
“เงยหน้าขึ้น” ซีซิงฟางพลันกล่าวกับพวกเธอด้วยเสียงนุ่มนวล
เมื่อเหล่าศิษย์เงยหน้าขึ้น พวกเธอก็เห็นซีซิงฟางถือหีบสีทองในมือ
เธอ
“นี่คือรางวัลสำหรับอันดับแรกของการแข่งขัน”
ซีซิงฟางเปิดหีบสีทองและเผยให้พวกเธอเห็นวัตถุที่อยู่ภายในนั้น
“นี่เป็นถุงมิติขนาดใหญ่สิบถุง และแหวนมิติขนาดกลางห้าวง พร้อม
กับหินวิญญาณสิบล้านก้อนภายในนั้น รับไว้สิ” ซีซิงฟางยื่นวัตถุ
เหล่านั้นให้กับโหลวหลานจี ซึ่งรับมันไว้ด้วยความลังเล
“ข-ขอบคุณองค์หญิง” โหลวหลานจีรับรางวัลด้วยมือที่สั่น
“สำหรับสมบัติวิญญาณระดับสวรรค์สองชิ้นและวิชาฝีมือ ท่านสามารถ
หยิบฉวยได้เมื่อพวกท่านเข้าไปเยี่ยมตระกูลซีในภายหลัง” ซีซิงฟาง
กล่าวกับเธอ
“เอ๋ พวกเราจะเข้าไปยังตระกูลซีรึ” โหลวหลานจีมองดูอีกฝ่ายด้วย
ใบหน้างงงัน ลืมเรื่องรางวัลอื่น ๆ ไปโดยสิ้นเชิง
ซีซิงฟางหัวเราะเบา ๆ และกล่าวว่า “รึว่าท่านลืมว่าแชมป์ของการ
แข่งขันจักได้รับสิทธ์ิเข้าไปที่สระสวรรค์เป็นเวลาเจ็ดวันด้วย อย่าลืม
เรื่องรับประทานอาหารเย็นด้วยเช่นกัน”
“โอ ใช่แล้ว… ข้าลืมไปเสียสนิทเกี่ยวกับรางวัลเหล่านั้น…” โหลว
หลานจีแสดงรอยยิ้มอาย ๆ
หลังจากที่ยื่นรางวัลให้กับโหลวหลานจีแล้ว ซีซิงฟางก็หันไปมองดู
ซูหยาง
เวลาต่อจากนั้น เธอก็เดินไปตรงหน้าเขาและยกผ้าคลุมหน้าของเธอ
ออก สร้างความตกใจให้กับทุกคนที่นั่นด้วยความสวยของเธอ
“สวรรค์ นางฟ้าซียิ่งสวยกว่าที่ข้าจินตนาการไว้”
“มีคนที่สวยเช่นนี้อยู่บนโลกนี้ได้อย่างไร”
ผู้ชมต่างอ้าปากค้างด้วยความตกใจหลังจากที่เห็นความสวยของซีซิง
ฟาง
“ข้าเคยบอกเจ้าว่าอย่าเผยโฉมหน้าที่นี่…” เจ้าซีส่ายหน้ากับการ
กระทำของเธอ
“มิว่าอย่างไร ก็จักเป็นเรื่องหยาบคายสำหรับข้าในการพูดกับซูหยาง
โดยปิดหน้าไว้” ซีซิงฟางกล่าวด้วยรอยยิ้มและหันไปมองดูเขา
“ขอแสดงความยินดีในชัยชนะระดับภูมิภาค ซูหยาง” เธอกล่าวกับ
เขา “แม้ว่าข้าชอบที่จะพูดกับท่านมากกว่านี้ แต่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่
เหมาะสม”
“อย่ากังวลไป พวกเราสามารถพูดเรื่องที่เจ้าต้องการได้ระหว่าง
อาหารเย็นในภายหลัง” ซูหยางตอบพร้อมรอยยิ้ม
“อื้อ” ซีซิงฟางพยักหน้าพร้อมใบหน้าแดงเล็กน้อย
ในเวลานั้นเหล่าศิษย์และโหลวหลานจีต่างก็พากันมองดูอีกฝ่ายตาโต
ตามธรรมดาที่พวกเธอไม่เชื่อกับสิ่งที่ตนเองเห็น เมื่อไหร่กันที่ซูหยาง
รู้จักกับองค์หญิงของตระกูลซี และทั้งยังเหมือนจะค่อนข้างสนิท
สนมกันอีกด้วย
“อะแฮ่ม” เจ้าซีพลันกระแอมหลังจากที่เห็นบรรยากาศโรแมนติก
ของพวกเขาและกล่าวว่า “อย่างไรก็ตามในฐานะของแชมป์คนใหม่
ครั้งแรกของประวัติศาสตร์ พวกเจ้าควรพูดสองสามคำกับผู้คนที่นี่
บ้าง”
โหลวหลานจีมองดูซูหยางและกล่าวว่า “เจ้าควรทำการพูด มิว่า
อย่างไรเจ้าเป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้พวกเราสามารถมายืนอยู่ที่ตรงนี้
ในวันนี้ได้”
ซูหยางพยักหน้าและถือโอกาสก้าวออกไปข้างหน้าสองสามก้าว ยืน
อยู่ในใจกลางความสนใจในเวลานี้
ทั้งสถานที่พลันเงียบสงัดและทุกคนต่างรอคอยที่จะให้เขาพูด
แต่ทว่าในขณะที่ซูหยางกำลังอ้าปาก เจ้าซีพลันหันไปมองยังท้องฟ้า
และตะโกนว่า “ใครอยู่ที่นั่น”
คำพูดของเขาทำให้ทุกคนที่นั่นหันเหความสนใจไปยังก้อนเมฆ
ไม่นานหลังจากนั้น ร่างหนึ่งก็ลดตัวลงมาจากเหนือเมฆและลอยอยู่
เหนือสนามประลองเล็กน้อย
“ท-เทพธิดา นี่เป็นเทพธิดาตัวจริง”
ผู้ชมต่างพากันตกตะลึงเมื่อเห็นหญิงสาวสวยคนนี้พลันปรากฏตัว
ตามความเป็นจริงแล้วตัวตนของเธอนั้นดูเหนือโลกจนปิดผนึก
ความสามารถในการหายใจของทุกคนในที่นั้นไปชั่วขณะ
ซูหยางดวงตาเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นคนผู้นั้น
“ชิวเยว่รึ” เขาพึมพำชื่อเธอ
บทที่ 422 ถังหลิงชี
หลังจากที่พักชั่วขณะ ซูหยางและหงอวี้เอ๋อร์ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าคือ
ถังหลิงชี ก็เริ่มต่อสู้กันอีกครั้ง
หลังจากที่ผ่านไปหลายนาทีของการประกระบี่กันและยังคงไม่มี
วี่แววว่าจะมีผู้ชนะ ซื่อตงก็พลันกล่าวกับพวกเขาว่า “เฮ้ อีกนาน
เท่าไหร่ที่พวกเจ้าจะทำอย่างนี้กันต่อไป หากเป็นเช่นนี้ พวกเจ้าคงจะ
ทำลายลานประลองนี้จนหมดก่อนที่พวกเจ้าจะทันได้เหนื่อย”
“เขาพูดถูกที่รัก พวกเราสามารถสู้กันแบบนี้หลายชั่วโมงโดยที่มิมี
ใครได้รับชัยชนะ” หงอวี้เอ๋อร์กล่าว
“เช่นนั้นเจ้ามีคำแนะนำว่าควรทำอย่างไร”
“กระบี่ผลาญสวรรค์ เจ้าคงจำวิชานี้ได้ ใช่ไหม เรามาจบกันด้วยสิ่ง
นั้น”
ซูหยางเผยรอยยิ้มและกล่าวว่า “เจ้ามิได้ยินชายชรานั่นรึ เขามิต้องการ
ให้ลานประลองต้องถูกทำลาย แต่ตอนนี้เจ้าแนะนำสิ่งที่จักทำลายทั้ง
โคลีเซียมนี้ ซึ่งบางทีก็อาจจะทั้งเมือง”
“แน่นอน ข้ามิได้แนะนำว่าเราควรโจมตีกันด้วยวิชานี้ แม้ว่าเจ้าอาจจะ
ต่างออกไป แต่ร่างบอบบางนี้มิอาจจะทนแรงกดดันมากขนาดนั้นได้
เรามาดูกันว่าใครสามารถปลดปล่อยพลังออกมาได้มากที่สุดจากวิชา
นี้”
“ข้าเข้าใจแล้ว…” ซูหยางพึมพัม “เช่นนั้นก็ได้ แม้ว่าเจ้าจักยังมิได้อยู่
ในร่างจริง เจ้าก็มีความได้เปรียบเหนือข้า ถูกต้องหรือไม่องค์หญิง
น้อยของเผ่าเทพอาชูร่า ถังหลิงชี”
หงอวี้เอ๋อร์เผยรอยยิ้มและกล่าวว่า “มาทำเช่นนี้กันเถอะ”
เวลาถัดไป ทั้งซูหยางและหงอวี้เอ๋อร์ก็หยุดเคลื่อนไหวและเปลี่ยนไป
เป็นเงียบสงบอย่างสมบูรณ์
อย่างไรก็ตามกระแสพลังของพวกเขาต่างพากันแข็งแกร่งขึ้นทุกขณะ
จนกระทั่งแข็งแกร่งมากพอจนปรากฏเป็นรูปร่างและเกิดประกาย
ขึ้นในอากาศ
“ช-ช่างเป็นกระแสพลังที่น่าหวาดกลัว พวกเขากำลังพยายามทำอะไร
จึงต้องใช้พลังงานมากมายปานนี้” ซื่อตงเริ่มเกิดความกังวลมากขึ้น
หากเป็นเช่นนี้ต่อไปการโจมตีครั้งถัดไปของพวกเขาต้องระเบิด
สนามประลองไปทั้งหมดอย่างแน่นอน
“วิชาลับอาชูร่าขั้นแรก กระบี่ผลาญสวรรค์”
ทั้งหงอวี้เอ๋อร์และซูหยางดวงตาพลันเรืองแสงลึกล้ำ และกระบี่ใน
มือก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรงก่อนที่จะมีไฟสีดำปรากฏขึ้นและกลืน
กินตัวกระบี่
อีกไม่กี่วินาทีถัดไป พื้นรอบกายของพวกเขาก็เริ่มแผดเผา และ
อากาศก็เต็มไปด้วยกลิ่นไหม้
ตอนนี้ทั้งโคลีเซียมปกคลุมไปด้วยแรงกดดันมหาศาลที่ไม่มีใครเคย
ประสบมาก่อน กระทั่งเจ้าซีก็ยังยากที่จะหายใจภายใต้แรงกดดัน
แบบนี้ อย่าว่าแต่จะพูด ดังนั้นทั่วทั้งบริเวณจึงเงียบสงัด
“พวกเขากำลังพยายามจะทำลายเมืองข้าหรืออย่างไรกัน” เจ้าซีร่ำ
ร้องในใจหลังจากที่รับรู้พลังอันน่าอัศจรรย์ที่ยังคงเพิ่มขึ้น
พลังงานที่ปลดปล่อยออกมาจากซูหยางและหงอวี้เอ๋อร์ทรงพลังมาก
จนกระทั่งบรรพบุรุษตระกูลซี พ่อของเจ้าซีต้องปรากฏตัวเพื่อที่ว่า
เขาจะได้ปกป้องประชาชนได้
“นี่เป็นวิชาประเภทไหนกัน กระทั่งวิชาระดับเซียนก็มิอาจจะปลด
ปล่อยกระแสพลังที่น่าหวาดหวั่นเช่นนี้ได้ ชายหนุ่มคนนั้นช่างเต็ม
ไปด้วยสิ่งน่าประหลาดใจเสมอ…” ชายชราครุ่นคิดขณะที่เขาเตรียม
ตัวที่จะเข้าไปแทรกแซง
“…”
หงอวี้เอ๋อร์จ้องมองไปยังซูหยางพร้อมกับหรี่ตา ดูเหมือนว่ากำลังคิด
ลึก
กลับกันซูหยางยืนอยู่ที่นั่นด้วยรอยยิ้มปลอดโปร่ง
สองสามอึดใจจากนั้น หงอวี้เอ๋อร์ก็ดึงพลังกลับและสอดกระบี่เข้าไป
ในฝัก
“เจ้าบ้าไปแล้ว ทำไมแล้วก็อย่างไรเจ้าจึงมีปราณเทพในร่าง ข้ามิอาจจะ
จินตนาการได้ว่าที่เล็ก ๆ แห่งนี้จะมีปราณเทพ” หงอวี้เอ๋อร์ถามเขา
ทั้งยังคงขมวดคิ้ว
“ข้ามิรู้เช่นกัน” ซูหยางยักไหล่ด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าสังเกตเห็นมัน
อยู่ในร่างข้าในวันหนึ่ง”
“เจ้า… ไม่น่าเชื่อ” หงอวี้เอ๋อร์ถอนใจและส่ายหน้า “เจ้าเคยคิดไหมว่า
มันอันตรายเพียงไหนสำหรับคนธรรมดาที่มีปราณเทพในร่าง กระทั่ง
เซียนก็ยังมิกล้าที่จะควบคุมปราณเทพโดยปราศจากความช่วยเหลือ
ของตัวตนระดับสูงสุด”
“แน่นอนว่าข้ารู้เรื่องนั้น แต่ในเมื่อมันอยู่ในร่างของข้าเรียบร้อยแล้ว
ก็มิมีอะไรที่ข้าสามารถจะทำกับมันได้ ยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนว่าข้า
จะมีความสามารถควบคุมมันได้อย่างสมบูรณ์”
“เดี๋ยวก่อน… เจ้าพยายามที่จะใช้มันรึ…” หงอวี้เอ๋อร์จ้องมองเขาด้วย
หน้าตาที่บอกว่าไม่เชื่อ
“ข้ารวมมันเข้ากับกระบี่ผลาญสวรรค์ครั้งหนึ่งและพลังที่แท้จริงของ
มันเกือบฆ่าข้า… ฮ่าฮ่า…” ซูหยางหัวเราะด้วยท่าทางกระอักกระอ่วน
“เจ้าช่างบุ่มบ่ามนัก เจ้าอาจตายได้”
“อย่างไรก็ตามข้ายังคงมีชีวิตอยู่ในตอนนี้ ดังนั้นมันมิเป็นไร”
“ไม่ ไม่ มันไม่ใช่ มันไม่ใช่แค่กรณีนี้ เจ้ามักจะบุ่มบ่ามเสมอ กระทั่ง
ในชีวิตก่อนของเจ้า เจ้าเคยคิดบ้างไหมว่าข้ารู้สึกอย่างไรเมื่อข้ารู้ว่า
เจ้าพลันเสียชีวิต” หงอวี้เอ๋อร์พลันปล่อยกระบี่ทิ้งและวิ่งเข้าไปหาซู
หยางก่อนที่จะกอดเขาแน่น
“หง- หลิงชี…” ซูหยางพึมพัมชื่อเธอด้วยเสียงสนิทสนม “ข้าเสียใจที่
ทำให้เจ้าเป็นกังวลเกี่ยวกับข้าตลอดมานี้”
“เอ๋ เกิดอะไรขึ้นกันนี่” ซื่อตงพลันงุนงงกับการที่ทั้งสองพลันกอด
กันอย่างรักใคร่ พวกเขายังคงสู้กันอยู่หรือเปล่า
“นี่…” เมื่อซีซิงฟางเห็นหงอวี้เอ๋อร์กอดซูหยาง เธอรู้สึกเหมือนกับว่า
มีแรงที่มองไม่เห็นบีบรัดหัวใจเธอ จนทำให้เธอรู้สึกไม่สบาย
“2,000 ปี.. ผ่านมา 2,000 ปีแล้วนับตั้งแต่เจ้ากอดข้าครั้งสุดท้าย ทั้งที่
เจ้าสัญญากับข้าว่าเจ้าจักแต่งงานกับข้าเมื่อพันปีก่อน”
“ข้าเสียใจ… ข้าเสียใจจริง ๆ หลิงชี…”
“ขอโทษ ข้าเกลียดที่ต้องเป็นคนขัดจังหวะการได้อยู่ร่วมกันกับคน
รักของพวกเจ้า แต่ยังมีการแข่งขันอยู่ในตอนนี้…” ซื่อตงพลันกล่าว
กับพวกเขา
“เรามาพูดคุยหัวข้อนี้กันทีหลัง ที่รัก” หงอวี้เอ๋อร์ปาดน้ำตาออกจาก
ตาเธอและถอยหลังออกไปสองสามก้าว
“อื้อ” ซูหยางพยักหน้า
ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น หงอวี้เอ๋อร์ก็ยกมือขึ้นและกล่าวเสียงดังว่า
“ข้ายอมแพ้การประลองครั้งนี้ เป็นข้าที่พ่ายแพ้”
“อะไรนะ”
เกือบทุกคนที่นั่นต่างพากันตะโกนออกมาด้วยเสียงตกใจ
“เจ้ากำลังทำอะไร หงอวี้เอ๋อร์ ต่อให้เจ้าเป็นคู่หมั้นของเขา เจ้าก็มิ
อาจจะแค่เพียงยอมแพ้ง่าย ๆ” กูกว่านถิงกล่าวกับเธอด้วยสีหน้าหมด
หวัง
เมื่อคิดว่าพวกเขามาไกลถึงปานนี้เพียงเพื่อที่จะพ่ายแพ้ในลักษณะนี้
นี่คงเป็นสิ่งที่จะหลอกหลอนเขาไปตลอดชีวิต
“ท่านได้ดูพวกเราเมื่อกี้อยู่หรือไม่” หงอวี้เอ๋อร์กล่าวกับเขาด้วยสีหน้า
เรียบเฉย “ท่านคิดว่าเมื่อกี้พวกเราเพียงแค่อวดกระแสพลังของเรางั้น
รึ ต่อให้ข้าใช้ความแข็งแกร่งทั้งหมดของข้า นั่นก็ยังมิอาจจะเอาชนะ
เขาได้”
ไม่ว่าอย่างไรก็ตามร่างของเธอไม่มีปราณเทพในขณะที่ซูหยางมี
และความแตกต่างระหว่างปราณทั่วไปกับปราณเทพนั้นกว้าง
จนกระทั่งคำพูดไม่อาจจะบรรยายออกมาได้
บทที่ 421 สู้กับหงอวี้เอ๋อร์
“เฮ้ เจ้าได้ยินนั่นไหม หงอวี้เอ๋อร์เพิ่งเรียกตัวเธอเองเป็นคู่หมั้นของ
เขา”
ผู้ชมต่างพากันตระหนักว่าเกิดอะไรขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
“ถ้าข้าจำมิผิด ตระกูลหงกับตระกูลซูต่างมีความสัมพันธ์ที่ดีตลอดมา
ไม่แปลกที่พวกเขาจะหมั้นกัน”
“เชี่ย นี่หมายความว่าหงอวี้เอ๋อร์ถูกจองมาโดยตลอดรึ และจากตระกูล
ซูทั้งหมด ตอนนี้ข้าเหมือนกับคนโง่ลามกที่พยายามเกี้ยวเธอเมื่อวัน
ก่อน”
“ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าตระกูลซูจักมิตามหาคนที่พยายามเกี้ยวพาราสี
หงอวี้เอ๋อร์ มิเช่นนั้นก็จักเป็นหายนะสำหรับทุกคนที่เกี่ยวข้อง”
ในเวลานั้นซูหยางยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยและกล่าวขึ้นว่า “เพลงกระบี่
ของเจ้า แม้ว่าข้าคิดว่ามันจะดูคล้ายในตอนแรก แต่ยิ่งข้าดูเจ้าสู้มากขึ้น
เท่าไหร่ข้าก็ยิ่งมั่นใจว่ามันถูกสร้างขึ้นจากวิชากระบี่เลือนเร้นร่ายรำ
และนั่นก็มีเพียงคนสองคนที่ข้ารู้ที่รู้จักวิชานี้”
หงอวี้เอ๋อร์ยังคงเยือกเย็นพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า เธอกล่าวว่า
“งั้นรึ มันเป็นยังไงรึ”
“หนึ่งในนั้นสิ้นชีพไปแล้ว และอีกคนควรจะอยู่ในสถานที่แสนไกล
ไกลออกไป… ตอนนี้เจ้าเป็นคนไหน”
“…”
หงอวี้เอ๋อร์พูดไม่ออกไปชั่วขณะก่อนที่จะพูดว่า “คนไหนที่เจ้าคิดว่า
เป็นข้า”
“ข้าได้เดาเรียบร้อยแล้ว แต่ข้าต้องการที่จะได้ยินจากปากเจ้าเอง” ซู
หยางกล่าว
“ข้าจักบอกเจ้าถ้าเจ้าเอาชนะข้าได้” หงอวี้เอ๋อร์พลันกล่าว
ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “แม้ว่าข้ามิได้แสดงความแข็งแกร่งทั้งหมด
ของข้า เจ้าก็ควรรู้ว่าเจ้ามิอาจเอาเอาชนะข้าได้”
“เราคงมิรู้จนกว่าข้าได้ลองดู”
“ฮ่าฮ่าฮ่า…” ซูหยางพลันหัวเราะ
“ขำอะไรรึ” หงอวี้เอ๋อร์เลิกคิ้ว
“ข้าเข้าใจละ…” ซูหยางพยักหน้าราวกับว่าเขารู้อะไรบางอย่างในที่สุด
“แม้ว่าข้าจะมีคำถามมากมายกับเจ้า ข้าก็จักเก็บมันไว้หลังจากการ
แข่งขัน เข้ามาเลย”
ซูหยางดึงกระบี่ออกมาจากข้างตัวและชี้ไปยังหงอวี้เอ๋อร์
หงอวี้เอ๋อร์ก็ดึงกระบี่ออกจากฝักและพูดขึ้นเช่นกันว่า “สักพักหนึ่ง
แล้วที่ข้าต้องเอาจริง”
ทันทีที่ทั้งคู่ได้ชักกระบี่ออก กระแสพลังกดดันก็ปรากฏขึ้นถาโถม
ไปทั่วทั้งโคลีเซียม จนทำให้คนนับล้านที่อยู่ที่นั่นรู้สึกเหมือนกับว่า
พวกเขาถูกกดดันด้วยพลังที่มองไม่เห็น
“ช่างเป็นแรงกดดันที่เข้มข้น นี่เองที่เรียกว่าเป็นการต่อสู้ระหว่างผู้
ฝึกยุทธเขตอัมพรวิญญาณสองคน”
“ไม่ นี่เป็นอะไรที่เหนือกว่านั้น ข้าได้เคยเห็นผู้ฝึกยุทธเขตอัมพร
วิญญาณต่อสู้กันมาก่อน แต่นั่นมิได้เข้มข้นเท่านี้”
“ข้ามาแล้ว ที่รัก” หงอวี้เอ๋อร์พลันพุ่งเข้าไปหาซูหยางแต่วิชาการ
เคลื่อนไหวของเธอกลับแตกต่างจากก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง
“เป็นวิชาการเคลื่อนที่ประเภทไหนกันนี่ ข้ามั่นใจว่านี่มิได้เป็นของ
สำนักเรา” กูกว่านถิงงงงันกับการกระทำของเธอ
“เคลื่อนไหวราวกับว่าเจ้าเข้าและออกผ่านช่องว่าง ก้าวย่างมิติรึ เจ้า
มิได้พยายามที่จะซ่อนตัวตนเลยแม้แต่น้อย” ซูหยางกล่าวพร้อม
รอยยิ้มขณะที่หงอวี้เอ๋อร์เข้าประชิดตัวเกือบในทันใด
“เจ้าพูดว่าเจ้ารู้ถึงตัวตนของข้าอยู่แล้ว เช่นนั้นทำไมข้าจึงจำต้องซ่อน
มันอีก”
“ข้าย่อมสามารถโกหกเจ้าเพื่อที่เจ้าจักทำอะไรแบบนี้ก็ได้ มิใช่รึ”
“เจ้าสามารถทำเช่นนั้น… แต่ข้ารู้จักเจ้าดีเกินไป ที่รัก”
“แน่นอนว่าเจ้าเป็นแบบนั้น”
ขณะที่ซูหยางและหงอวี้เอ๋อร์แลกเปลี่ยนเพลงกระบี่กันนับร้อย
กระบวนท่าภายในไม่กี่อึดใจ พวกเขาก็ยังคงพูดคุยกันไปด้วย ทำให้
เหมือนกับว่าพวกเขากำลังเต้นรำร่วมกัน
เพียงไม่กี่นาทีผ่านนับตั้งแต่ทั้งสองคนเริ่มกัดแกว่งกระบี่ไปยังอีกฝ่าย
แต่ทว่าทั้งลานประลองก็ดูเหมือนกับกลายเป็นสนามรบมาหลายปี
ไปแล้ว
ด้วยการกวัดแกว่งเพียงครั้งเดียวจากพวกเขา ก็จะปรากฏรอยแยกลึก
ยาวกว่าสิบเมตรขึ้นไปบนเวทีประลอง
“ข-ข้ากำลังมองบ้าอะไรอยู่ นี่เป็นการต่อสู้จริง ๆ ระหว่างรุ่นเยาว์
สองคนจริงรึ ถึงแม้ว่าพลังการฝึกปรือของพวกเขาจะน่าประทับใจ
แต่การเคลื่อนไหวและวิชาการต่อสู้ของพวกเขาก็เหนือยิ่งกว่ากระทั่ง
ผู้เชี่ยวชาญที่ช่ำชองที่สุดในโลกนี้” ผู้อาวุโสจงมองดูพวกเขาด้วย
ดวงตาเบิกกว้างดูเหมือนไม่อยากจะเชื่อ
ความแตกต่างในฝีมือกระบี่ระหว่างพวกเขากับคนเหล่านั้นปกติแล้ว
กว้างเกินไปเหมือนกับแผ่นดินแผ่นฟ้า
“ถ้าข้าเปรียบตัวเองกับพวกเขา ข้าคงได้แต่ละอายตัวเอง อะไรคือ
จอมกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิ ข้าเองบางทีอาจจะมิใช่กระทั่งจอมกระบี่ที่
แท้จริงในสายตาของพวกเขา”
กระทั่งเจ้าซีก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจกับความสามารถของพวก
เขา
“ลูกสาวข้า…ดูการต่อสู้ครั้งนี้อย่างจริงจังนะ กระทั่งข้าเองก็ยังได้
เรียนรู้บางสิ่งบางอย่างขณะที่ดูการต่อสู้ของพวกเขา” เจ้าซีกล่าวกับ
ลูกสาวของตนเอง ซึ่งพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง
“สมกับเป็นคนที่เหยียบย่ำทั้งสำนักดอกบัวเพลิงทั้งสำนักเพียงลำพัง
มิใช่รึ เมื่อมาคิดว่าข้าต้องการเอาชนะอสูรแบบเขาในตอนนั้น ข้าช่าง
ไร้เดียงสาเสียจริง…” หลินเชาชางถอนใจหลังจากที่ตระหนักว่าเธอ
เป็นเพียงกบที่อยู่ในบ่อตลอดมา
“ซูหยาง… เขาช่างน่าประหลาดใจจริง ๆ น่าประหลาดใจเหลือเกิน
อย่างแท้จริง หงอวี้เอ๋อร์ก็เช่นกัน นี่ราวกับว่าพวกเขามิมีความเกี่ยวพัน
กับโลกนี้…” ฟางซีหลานกล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อยบนใบหน้า
“เอ่อ…” ซุนจิงจิงซึ่งรู้ตัวตนที่แท้จริงของซูหยางเผยให้เห็นรอยยิ้ม
กระอักกระอ่วนหลังจากที่ได้ยินคำพูดของฟางซีหลานซึ่งไม่ไกล
จากความเป็นจริงนัก ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วในเวลานั้นเธอพูด
ถูกต้อง
“ข้าเห็นว่าเจ้ายังคงใช้ก้าวเก้าดารา ที่รัก” หงอวี้เอ๋อร์พลันกล่าวกับเขา
“แน่นอน”
“เช่นนั้นเรามาดูกันว่าใครเก่งกว่าในด้านนั้น ข้าหรือว่าเจ้า”
การเคลื่อนไหวของหงอวี้เอ๋อร์พลันเปลี่ยนไป สร้างความงงงันให้กับ
ผู้ชม
“ดูสิ หงอวี้เอ๋อร์เลียนแบบวิชาการก้าวย่างของซูหยาง นี่เป็นไปได้
อย่างไร” ซุนจิงจิงกล่าวขณะที่ชี้ไปยังอีกฝ่าย
“และเธอก็ทำได้สมบูรณ์แบบเช่นเดียวกัน มิได้เป็นเพียงแค่เหมือนกับ
การเลียนแบบ แต่เป็นสิ่งที่มากกว่านั้น ราวกับว่าเธอก็ได้ฝึกฝนวิชา
เดียวกันนี้มาเช่นเดียวกัน” โหลวหลานจีกล่าว
“อะไรกัน นั่นยิ่งไร้เหตุผล”
“ก้าวเก้าดารารึ เหมือนที่คาดไว้ เจ้าช่าง…” ซูหยางแสดงสีหน้างงงัน
“นี่หมายความว่า… เจ้าก็ได้สิ้นชีพจากโลกนั้นเช่นกันรึ หรือว่าเป็น
เพราะสงครามหลังจากนั้น” เขาถามเธอพร้อมกับหรี่ตา
“เจ้า… เจ้ารู้ได้อย่างไรเรื่องสงคราม” หงอวี้เอ๋อร์หยุดการต่อสู้และ
จ้องมองเขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง
“มันค่อนข้างซับซ้อน ดังนั้นข้าจักอธิบายให้กับเจ้าในภายหลัง” ซู
หยางกล่าว
“เช่นนั้นข้าก็จักอธิบายสถานการณ์ของข้าให้กับเจ้าเช่นกันหลังจากนี้
แต่เจ้ามิต้องเป็นกังวล ที่รัก ในเมื่อข้ายังมิได้ตาย” หงอวี้เอ๋อร์กล่าว
ด้วยรอยยิ้ม
“อะไรนะ เช่นนั้น ในนามของสวรรค์ ทำไมเจ้า…” ซูหยางตกตะลึง
ถ้าเธอไม่ได้ตายในสวรรค์ศักด์ิสิทธ์ิทั้งสี่ เธอมาปรากฏตัวที่โลกนี้ใน
ร่างของหงอวี้เอ๋อร์ได้อย่างไร
“ข้าจักอธิบายทุกสิ่งให้เจ้าหลังจากจบการแข่งขันระดับภูมิภาค แต่
ตอนนี้มาสู้กับข้าให้เต็มที่ ที่รัก” หงอวี้เอ๋อร์กล่าวกับเขา
ซูหยางพยักหน้าและจับกระบี่ในมือแน่นขึ้น “ข้ามาแล้ว หงอวี้เอ๋อร์
หรือข้าควรเรียกเจ้าว่า ถังหลิงชี”
บทที่ 420 รึว่าเจ้าจำคู่หมั้นของตนเองมิได้แล้ว
“โชคดี ซูหยาง” หวังชูเหรินกล่าวกับเขาหลังจากที่พวกเขาเข้าไปใน
โคลีเซียมแล้ว เธอกล่าวต่อว่า “อย่างไรก็ตามข้าจักหาสถานที่ประชุม
ให้กับท่าน เพียงแค่บอกให้ข้าทราบว่าเมื่อไหร่ที่ท่านต้องการ และ
ข้าจักดำเนินการให้กับท่าน”
เพราะว่าโอสถสู่ปฐพี หวังชูเหรินถูกถล่มด้วยตระกูลและสำนัก
ใกล้เคียงในทวีปตะวันออกในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้ ทุกฝ่ายต่าง
ต้องการที่จะพบกับนักปรุงยาลึกลับหรืออย่างน้อยก็ต้องการที่จะซื้อ
โอสถสู่ปฐพี
“อืม… ข้าจักต้องดูสถานการณ์หลังจากการแข่งขันระดับภูมิภาค
ก่อน ข้าจักบอกให้เจ้าทราบหลังจากนั้น” ซูหยางกล่าว
“ข้าเข้าใจแล้ว มีอยู่กว่าหนึ่งร้อยตระกูลและเจ็ดสิบกว่าสำนักที่แจ้ง
ข้าว่ามีความต้องการที่จะเข้าร่วมการประชุม ดังนั้นนั่นจักต้องมีคน
มากมายที่นั่น” หวังชูเหรินพยักหน้า
ครั้นเมื่อพวกเขาเข้าไปภายในโคลีเซียมแล้ว สำนักหงส์สวรรค์และ
นิกายดอกบัวเพลิงก็ให้กำลังใจนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยสองสามคำ
ก่อนที่จะปล่อยให้พวกเขาอยู่ตามลำพังเพื่อจะมุ่งหน้าไปยังพื้นที่ชม
การแข่งขัน
“เป็นอย่างนี้เองรึ เมื่อมานึกดูว่าข้าได้สงสัยว่าเราจักสามารถมาถึงจุด
นี้ได้หรือไม่เมื่อไม่กี่อาทิตย์ก่อน”
หลังจากที่รออยู่ชั่วขณะ ซื่อตงก็เดินขึ้นมาบนเวทีด้วยสีหน้าเรียบเฉย
แต่ความตื่นเต้นในดวงตาของเขาไม่อาจจะซ่อนได้
“ข้า ซื่อตง ยินดีต้อนรับทุกคนที่นี่ในวันนี้สำหรับการแข่งขันรอบชิง
ชนะเลิศของการแข่งขันระดับภูมิภาค”
ผู้ชมต่างพากันตะโกนกึกก้องด้วยความตื่นเต้น
“แม้ว่าพวกท่านเกือบทั้งหมดได้รู้จักชื่อของพวกเขาเรียบร้อยแล้ว
แต่ก็ให้ข้าได้แนะนำพวกเขาอีกครั้งอย่างเป็นทางการ”
“อันดับแรกและสำคัญที่สุด พวกเรามีสำนักเมฆม่วงที่ก่อนนี้ได้รับ
ตำแหน่งระดับสูง กลายเป็นสำนักระดับสูง และผู้ที่ได้นำชัยชนะ
นับตั้งแต่วันแรกมาสู่พวกเขาก็คือศิษย์อันดับหนึ่ง หงอวี้เอ๋อร์ ซึ่ง
เป็นผู้ที่น่าตระหนกได้เข้าสู่เขตอัมพรวิญญาณแม้ว่าจะยังมีอายุน้อย”
“อันดับต่อไป เรามีคู่ต่อสู้ของพวกเขา นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและ
แม้ว่าพวกเขาจะมีจำนวนศิษย์น้อยและอยู่ในสถานการณ์ที่ค่อนข้าง
ซับซ้อน พวกเขาก็สามารถทำให้โลกตื่นตระหนกด้วยความสวย
หล่อและความแข็งแกร่งของพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้นเช่นเดียวกันพวก
เขาก็ยังมีคนที่อยู่ในเขตอัมพรวิญญาณ ซูหยาง ซึ่งไม่เพียงแต่จะเป็น
ผู้นำนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย แต่ก็ยังคงเป็นคนของตระกูลซู หนึ่งในสี่
ตระกูลใหญ่”
“อะไรนะ ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ยอมให้เจ้าสำนักเข้าร่วมในการแข่งขัน
ข้ามิเคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน” ผู้ขมบางคนรู้สึกงงงวย
“แต่ก็มิมีกฎว่าเจ้าสำนักเข้าร่วมมิได้อยู่จริง ตราบเท่าที่พวกเขามีอายุ
และพลังการฝึกปรือตรงตามข้อกำหนด พวกเขาล้วนยอมให้เข้า
ร่วม” บางคนที่มีความรู้มากกว่าในเรื่องกฎกล่าวขึ้น
ไม่นานหลังจากนั้น ซื่อตงก็กล่าวว่า “ตอนนี้เมื่อมิมีสิ่งอื่นแล้ว ขอ
เชิญทั้งสำนักที่น่าประทับใจทั้งสองขึ้นบนเวที”
“โออออ”
เสียงโห่ร้องจากผู้ชมดังขึ้นกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
หลังจากนั้นไม่นานสำนักทั้งสอง นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย และ สำนัก
เมฆม่วง ก็ก้าวขึ้นบนเวทียืนเผชิญหน้ากัน
“…”
ซูหยางและหงอวี้เอ๋อร์จ้องมองกันและกันอย่างลึกซึ้งเงียบ ๆ
แม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่ซูหยางยืนใกล้ชิดกับเธอขนาดนี้ ความรู้สึก
ของเขาก็เหมือนกับว่าพวกเขาได้รู้จักกันมานานหลายร้อยปีแล้ว
ส่วนสำหรับหงอวี้เอ๋อร์นั้น เธอเพียงแค่แสดงรอยยิ้มให้กับเขา
“ธ-เธอยิ้ม นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นรอยยิ้มของเธอแบบนั้น”
เหล่าศิษย์ของสำนักเมฆม่วงต่างพากันตกใจเมื่อเห็นสีหน้าแบบนั้น
บนใบหน้าของหงอวี้เอ๋อร์ เมื่อพวกเขาเพียงคุ้นเคยกับการเห็นสีหน้า
จริงจังบนใบหน้าเธอ
“คำนับ” ซื่อตงตะโกน และทั้งสองสำนักก็โค้งคำนับกัน
“โชคดี ขอให้ผู้ที่ยอดเยี่ยมที่สุดชนะ” กูกว่านถิงพูดกับโหลวหลานจี
“โชคดีสำหรับท่านและศิษย์ของท่านเช่นกัน” โหลวหลานจีพยักหน้า
หลังจากทักทายกันแล้ว แต่ละสำนักก็เดินไปที่ขอบเวที
“ท่านเจ้าสำนัก เราจะส่งใครขึ้นไปเป็นคนแรก” หนึ่งในบรรดาศิษย์
ถามกูกว่านถิง
“พวกเรามารอดูกันว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจะส่งศิษย์คนไหนขึ้น
เป็นคนแรก” เขาตอบกลับหลังจากที่ครุ่นคิดชั่วขณะ
ในเวลานั้นอีกฝั่งหนึ่ง โหลวหลานจีก็ถามว่า “เราควรส่งใครเป็นคน
แรก ซูหยาง”
ซูหยางยักไหล่และกล่าวว่า “มิมีความสำคัญอะไรที่จะส่งใครเป็นคน
แรกเพราะมิว่าอย่างไร เราก็จักชนะในที่สุด”
“เช่นนั้นเรามารออีกสักนิดว่าสำนักเมฆม่วงจะส่งใครมาก่อน”
หลายนาทีผ่านไปแต่ก็ยังไม่มีฝ่ายไหนที่ตัดสินใจส่งนักสู้คนแรก
ออกมา
“อืมม… พวกท่านกำลังจะส่งนักสู้ของพวกท่านมาในเร็วนี้หรือไม่”
ซื่อตงเบื่อกับการรอคอยหลังจากที่ผ่านความเงียบไปหลายนาที
“ร-รอสักครู่” โหลวหลานจีกล่าว
“เราจักส่งคนของพวกเราเร็ว ๆ นี้” กูกว่านถิงก็พูดเช่นกัน
“ได้… แต่เร็วหน่อย…” ซื่อตงส่ายหน้าและรอพวกเขาต่อไป
“นี่เป็นเรื่องตลกที่ไร้สาระ” หงอวี้เอ๋อร์กล่าว “ยังไงผลลัพธ์ของการ
ต่อสู้นี้ก็จักขึ้นกับการต่อสู้ของข้ากับซูหยางเท่านั้น”
“เช่นนั้น..”
“ข้าจักไปเป็นคนแรก” หงอวี้เอ๋อร์พลันกล่าว
“อะไรกัน แต่เจ้าจำเป็นต้องสงวนพลังเอาไว้สำหรับต่อสู้กับซูหยาง
จะเป็นอย่างไรถ้าพวกเขาส่งคนอื่นมาทำให้เจ้าสิ้นเปลืองแรง” กู
กว่านถิงพูดพร้อมขมวดคิ้ว
“ท่านมิต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้น ในเมื่อ…” หงอวี้เอ๋อร์ชี้ไปยังเวที
“อะไรรึ” กูกว่านถิงหันไปมองดูเวที ที่ซึ่งชายหนุ่มรูปงามกำลังเดิน
ไปยังบริเวณกึ่งกลาง
“เขาไปเป็นคนแรกรึ” กูกว่านถิงดวงตาเบิกกว้างด้วยความประหลาด
ใจ เมื่อเขาไม่คาดว่าซูหยางซึ่งเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดจะขึ้นไปบน
เวทีเป็นคนแรก
“หงอวี้เอ๋อร์ เจ้ารออะไรอยู่ ขึ้นมาบนนี้มาคุยกัน” ซูหยางกล่าวเสียง
ดังหลังจากที่ไปถึงกลางเวที
หงอวี้เอ๋อร์เผยรอยยิ้มเล็กน้อยก่อนจะกระโดดขึ้นไปบนเวที ยืนห่าง
ตรงหน้าซูหยางเพียงไม่กี่เมตร
“ซูหยาง… มิเจอกันสักพักแล้วนะ” เธอกล่าวกับเขาด้วยสายตารัก
ใคร่ ราวกับว่าสุดท้ายเธอก็ได้พบกับคนรักหลังจากที่แยกจากกันเป็น
เวลานานหลายปี
“เจ้าว่าสักพักรึ… แต่ว่า “สักพัก” นั้นนานเท่าไหร่กัน” ซูหยางถาม
เธอ “เจ้าจริงแล้วเป็นหงอวี้เอ๋อร์หรือว่าใครกัน”
“มีอะไรผิดไปรึ ที่รัก รึว่าเจ้าจำคู่หมั้นของตนเองไม่ได้แล้ว” เธอ
หัวเราะคิกคักเปี่ยมเสน่ห์ จนทำให้ทุกคนที่นั่นรู้สึกเหมือนกับว่า
หัวใจของตนเองถูกบีบคั้น
บทที่ 419 วันสุดท้ายของการแข่งขัน
เวลาสามชั่วโมงได้ผ่านไปนับตั้งแต่ซุนจิงจิงได้เริ่มการฝึกกับซูหยาง
แต่เธอก็ยังคงไม่แสดงท่าทีที่จะหมดแรง จริงแล้วเธอดูเหมือนยิ่ง
กระตือรือร้นกว่าตอนที่พวกเขาเริ่มต้นเสียอีก
“อา…”
“โอ…”
“อืมมมม”
ซุนจิงจิงครวญครางอ่อนหวานขณะที่ซูหยางกระแทกกระทั้นมังกร
ของเขาเข้าไปในถ้ำที่ทั้งเปียกและคับแคบ
“เธออยู่คนละระดับแตกต่างกับพวกเราจริง ๆ …” เหล่าศิษย์ต่างพา
กันจ้องมองด้วยความตระหนก
“ข้ายังคงมิเชื่อว่าข้าจักพ่ายแพ้ให้กับคนซึ่งเป็นสาวพรหมจรรย์เมื่อมิ
กี่เดือนก่อน…” โหลวหลานจีส่ายหน้า
“หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เธอจักต้องฝึกกับเขาไปจนกระทั่งเช้า”
เหล่าศิษย์ต่างพากันดูพวกเขาฝึกฝนต่อไปขณะที่รอให้พละกำลังของ
ตนเองกลับคืนมา
ไม่รู้เมื่อไหร่หลังจากนั้น ซุนจิงจิงก็ครวญครางดังขึ้นและกระชั้นขึ้น
และการเคลื่อนไหวของซูหยางก็สังเกตเห็นได้ว่าเร็วขึ้นและรุนแรง
ยิ่งขึ้น
“อาาา ข้าทนต่อไปมิได้แล้ว”
สองสามนาทีหลังจากนั้น ซุนจิงจิงก็พลันตะโกนออกมา
แต่อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะได้ยินเสียงกระสันของเธอ ซูหยางเพียงแค่
ขยับเร็วยิ่งขึ้น แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
“อาาาา… กำลังจะออกมาแล้ว”
หลังจากนั้นสองสามอึดใจ ร่างของซุนจิงจิงก็กระตุกอย่างไม่อาจ
ควบคุมได้ก่อนที่ช่องคลอดของเธอจะปลดปล่อยปราณหยินราวกับ
น้ำตก
เมื่อซูหยางวางร่างเธอลงและถอนมังกรออกมาจากถ้ำ ก็จะเห็น
ปราณหยางท่วมท้นอยู่ในรูของเธอ
เหล่าศิษย์ต่างพากันกลืนน้ำลายหลังจากที่เห็นฉากนี้ และร่างกาย
ของพวกเธอก็รู้สึกเสียวซ่านกระตุ้นความกำหนัดของพวกเธอขึ้น
“เรายังคงมีเวลาอีกหลายชั่วโมงก่อนที่จะถึงการแข่งขัน ใครต้องการ
ที่จะฝึกต่อ” ซูหยางหันไปดูพวกเธอและถาม
“ข้า ข้า ข้า”
“ข้าต้องการต่อ”
เหล่าศิษย์ทุกคนต่างพากันยกมือขึ้นด้วยความกระตือรือร้น
ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “มาเลย ข้าจักสร้างความพึงพอใจให้กับเจ้า
สามคนในทีเดียวเลยตอนนี้”
หลังจากที่ซูหยางเริ่มฝึกกับศิษย์คนอื่น ซุนจิงจิงกล่าวกับโหลว
หลานจีว่า “นี่เป็นเหตุผลที่ข้ามิต้องการที่จะพนันกับท่าน ท่านผู้นำ
นิกาย ตอนนี้ดูเหมือนว่าข้ารังแกท่าน ท่านมิจำเป็นต้องถือการพนัน
เป็นจริงเป็นจังแต่อย่างใด”
แต่ทว่าโหลวหลานจีส่ายหน้าและกล่าวด้วยเสียงพ่ายแพ้ว่า “เป็นข้า
ที่พ่ายแพ้ และข้ามิใช่คนที่จักคืนคำพูดของตนเอง ในเมื่อเจ้าชนะ
พนันครั้งนี้ ข้าจักมิฝึกร่วมกับเขาทั้งเดือนนี้”
“ท-ท่านมั่นใจเรื่องนั้นรึ ท่านผู้นำนิกาย ข้าจักรู้สึกแย่ถ้าพลังการ
ฝึกปรือของท่านลดถอยลงเพราะว่าเรื่องนี้…” ซุนจิงจิงยืนยันเธอ
ไม่ได้หยุดการฝึกฝนของอีกฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมื่ออีกฝ่ายนั้น
ล้าหลังศิษย์ของตนเองไปเรียบร้อยแล้ว
“เจ้ามิจำเป็นต้องพูดอีกแล้ว มิเป็นไรจริง ๆ” โหลวหลานจีพยักหน้า
หลังจากนั้น เธอก็กล่าวต่อว่า “อย่างไรก็ตามข้าตั้งใจจะถามว่า
สัญลักษณ์ที่อยู่ใต้ท้องของเจ้านั้นคืออะไร ทำไมเป็นชื่อตระกูลของ
ซูหยาง”
“อือ.. นี่คือ…” ซุนจิงจิงครุ่นคิดอย่างหนักพยายามหาข้อแก้ตัว
สำหรับตราประจำตระกูลของเธอ
“นี่คือสัญลักษณ์ของความรักของเรา…” เธอกล่าวพร้อมกับหน้าแดง
“ข้ามิเข้าใจ…” โหลวหลานจีเลิกคิ้วมองดูซุนจิงจิงราวกับว่าเธอเป็น
คนแปลกหน้า
เหล่าศิษย์และซูหยางฝึกฝนกันต่อไปในเวลาค่ำคืนที่เหลืออยู่และ
จนกระทั่งถึงเช้า จนกระทั่งการแข่งขันรอบสุดท้ายเหลือเวลาอีก
เพียงสองชั่วโมง
“ซูหยาง การแข่งขันจะเริ่มภายในสองชั่วโมง” โหลวหลานจีเตือน
เขาผู้ซึ่งตอนนี้ยังคงร่วมฝึกอยู่กับเหล่าศิษย์
“โอ จริงรึ” ซูหยางตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ ทำท่าเหมือนกับว่าการ
แข่งขันไม่ได้สำคัญมากมายนักตั้งแต่ต้นแล้ว
“เราควรจักเริ่มตรงไปที่นั่นในตอนนี้ ใครจะรู้ว่าคนมากมายเพียงใด
ที่พยายายามเข้าไปในโคลีเซียมในวันนี้”
ซูหยางพยักหน้าและเพิ่มความเข้มข้นขึ้นทำให้จุดสุดยอดที่แสนสุข
สมของเหล่าศิษย์มาถึงในเวลาไม่กี่วินาที
เวลาต่อมา ทุกคนจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็รวมตัวกันที่ด้านหน้า
โรงเตี๊ยม ที่ซึ่งสำนักหงส์สวรรค์และนิกายดอกบัวเพลิงมารอพวก
เขาอยู่อย่างไม่คาดคิด
“พวกเจ้าเห็นชัดว่าใช้เวลาอย่างแสนหวาน เหมือนกับว่าพวกเจ้ามิ
สนใจกระทั่งการแข่งขัน” ไป่ ลี่ฮัวส่ายหน้าหลังจากที่เห็นพวกเขา
“ขอโทษที พวกเราเพิ่งเสร็จสิ้นการฝึกวิชา” โหลวหลานจีพูดผ่าน ๆ
“เอ๋”
ทุกคนที่นั่นต่างหันไปมองเธอด้วยดวงตาเบิกกว้าง
“เช่นนั้นเป็นว่าพวกเขาเมื่อกี้…กำลัง…มีเซ็กส์ใช่ไหม” ศิษย์นิกาย
ดอกบัวเพลิงและสำนักหงส์สวรรค์ต่างพากันครุ่นคิดในใจ ตะลึงกับ
นิสัยที่เสรีและไร้ยางอายของอีกฝ่าย
ถ้าเป็นพวกเขา พวกเขาย่อมต้องกังวลเกินกว่าจะหลับ อย่าว่าแต่จะ
ทำเรื่องเช่นนั้น
“น่าอิจฉานัก… ข้าก็ต้องการทำเช่นนั้นกับพี่ชายเช่นกัน…” ซูหยิ
นพึมพำด้วยเสียงที่เบาเหมือนกับยุง
ขณะที่พวกเขาเดินไปยังโคลีเซียม เหล่าศิษย์สตรีของทั้งสองสำนัก
ต่างพากันเหลือบมองไปยังซูหยางจากหางตาโดยมีบางคนในหมู่
พวกเธอหน้าแดงเล็กน้อย
หลังจากที่รู้ว่าเขาเป็นจอมยุทธเขตอัมพรวิญญาณตั้งแต่อายุยังน้อย
โดยที่ยังไม่ต้องพูดถึงภูมิหลังที่น่าประทับใจของเขา มุมมองของ
พวกเธอที่มีต่อเขาก็ได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง และเขาก็ยิ่งดูหล่อเหลา
มีเสน่ห์ยิ่งขึ้นกว่าเดิม
“ดูพวกสาวบริสุทธ์ิพวกนี้กำลังเล่นหูเล่นตากับศิษย์พี่ชายสิ…” เหล่า
ศิษย์รุ่นเยาว์ต่างพากันกระซิบกระซาบกันหลังจากที่สังเกตเห็นการ
จ้องมองของอีกฝ่าย
“มิน่าแปลกใจแม้แต่น้อย ในเมื่อเสน่ห์ของศิษย์พี่ชายเป็นสิ่งที่มิอาจ
ต้านทาน”
“อาาา… ข้าอดใจรอจนกระทั่งข้ากลายเป็นผู้ใหญ่และเสนอแก่น
หยินบริสุทธ์ให้กับศิษย์พี่ชายไม่ได้แล้ว”
เวลาถัดไปสำนักทั้งสามก็ไปถึงหน้าโคลีเซียม แต่ก็เหมือนที่ได้คาด
กันไว้ ที่แห่งนั้นคลาคล่ำไปด้วยผู้คน
“น-นี่บ้าไปแล้ว นี่ราวกับว่าข้ายืนอยู่ต่อหน้าทะเล แต่แทนที่จะเป็น
น้ำกลับเป็นผู้คนแทน” เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ต่างพากันร่ำร้องเสียงดัง
หลังจากที่เห็นผู้คนจำนวนมหาศาลพยายามที่จะเข้าไปในโคลีเซียม
“มีผู้คนมากมายแล้วอย่างไรล่ะ พวกเขากล้าที่จะขวางทางพวกเรารึ”
ไป่ลี่ฮัวกล่าวขณะที่เธอก้าวไปข้างหน้า
“อะแฮ่ม” ไป่ ลี่ฮัวพลันกระแอมออกมาซึ่งดังเหมือนกับฟ้าร้อง ทำให้
คนทั้งหมดที่อยู่ตรงนั้นหันมามองเธอ
“นี่สำนักหงส์สวรรค์”
“นิกายดอกบัวเพลิงก็อยู่ตรงนี้เช่นกัน”
“กระทั่งนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยซึ่งจักต้องต่อสู้ในการแข่งขันรอบ
สุดท้ายในวันนี้ก็ด้วย ทำไมพวกเขาจึงมาที่นี่ด้วยกัน”
“เจ้ามิเคยได้ยินรึ พวกเขาล้วนร่วมเป็นพันธมิตรกัน ดังนั้นจึงมิน่า
แปลกสำหรับพวกเขาที่อยู่ด้วยกัน”
ครั้นเมื่อผู้คนที่นั่นตระหนักถึงตัวตนของพวกเขา ทะเลมนุษย์ก็แบ่ง
ครึ่งยอมให้พวกเขาผ่านไปโดยไม่ต้องใช้ความพยายามใด
บทที่ 418 ความอึดที่น่าอัศจรรย์
สองสามชั่วโมงผ่านไปนับตั้งแต่เหล่าศิษย์พากันฉุดซูหยางเข้าไปใน
ห้องส่วนตัว และเขาก็ได้ทำให้เธอทุกคนหมดเรี่ยวแรงยกเว้นโหลว
หลานจีและซุนจิงจิง
“อาาา”
ฟางซีหลานครางออกมาอย่างสุขสมก่อนที่จะล้มลงไปบนเตียง
พร้อมกับหยาดเหงื่อพราวทั้งปลดปล่อยปราณหยิน
“เหลือเพียงแค่สองคนเท่านั้น คนไหนที่ต้องการเข้ามาเป็นอันดับ
แรก” ซูหยางถามพวกเธอ
“ท่านผู้นำนิกาย ท่านควรเข้าไปก่อน” ซุนจิงจิงกล่าวกับเธอ
“ทำไมข้าควรเข้าไปก่อน” เธอเลิกคิ้ว
“เพราะว่าถ้าข้าไปก่อน ท่านจักมิมีโอกาสที่จะได้ฝึก เป็นเรื่องปกติที่
จักใช้เวลานานมาก”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของซุนจิงจิง โหลวหลานจีก็พลันขมวดคิ้ว
“โห ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เจ้ากลายเป็นคนยโส หรือเจ้าลืมไปแล้วว่า
เจ้าเป็นเพียงแค่หญิงพรหมจรรย์เมื่อไม่กี่เดือนก่อน ในขณะที่ข้าได้
ฝึกวิชามากว่าห้าสิบปี” โหลวหลานจีกล่าว
“อย่างไรก็ตามในเมื่อเจ้ายืนกรานเช่นนี้ ข้าก็จักไปเป็นอันดับแรก
อย่าโทษข้าถ้าเจ้าแพ้พนันเพราะความทระนงตนของเจ้า”
ซุนจิงจิงเพียงแค่ขยุกขยิกเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ซูหยางทำพวกเราทั้ง
คู่ที่ยี่สิบเปอร์เซ็นต์”
ซูหยางเลิกคิ้วแล้วถาม “เจ้ามั่นใจรึ”
“นั่นย่อมมิเป็นเรื่องท้าทายถ้าท่านปล่อยพวกเราไปง่าย ๆ” ซุนจิงจิง
พยักหน้า
“ด-เดี๋ยวก่อน… อะไรคือยี่สิบเปอร์เซ็นต์” โหลวหลานจีดูทั้งคู่พร้อม
กับรู้สึกเหมือนมีลางร้ายบริเวณท้องน้อยของเธอ
“ท่านจักเข้าใจครั้นเมื่อพวกเราเริ่ม” ซูหยางกล่าวพร้อมกับรอยยิ้ม
ลึกลับ
“ตอนนี้ท่านพร้อมรึยัง” ซูหยางยื่นมือออกมาเหมือนกับต้องการจับ
มือเธอ
แม้ว่าเธอจะค่อนข้างประหม่าเล็กน้อย โหลวหลานจีก็ยังพยักหน้า
และจับมือของเขา
หลังจากที่จับมือของเขาแล้ว ซูหยางก็ดึงเธอเข้าสู่เตียงในทันทีและ
เริ่มรุกกระหน่ำร่างกายของเธอด้วยทั้งปากและนิ้ว
“อาาา”
โหลวหลานจีถึงกับผงะกับการจู่โจมอย่างรุนแรงในฉับพลันแต่ก็
เคลิบเคลิ้มไปในทันทีกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับร่างกาย
“โออออ”
“อาาาา”
แม้ว่านี่ไม่ใช่เป็นครั้งแรกของเธอที่ฝึกกับซูหยาง แต่ก็ให้ความรู้สึก
แตกต่างอย่างสิ้นเชิงราวกับว่าเธอกำลังฝึกอยู่กับคนอื่น ยิ่งไปกว่านั้น
ความรู้สึกสุขสมก็ยิ่งเข้มข้นยิ่งกว่าเดิม
ในเวลานั้นศิษย์คนอื่นพากันมองด้วยสีหน้างงงันเมื่อผู้นำนิกายที่
พวกเธอนับถือแสดงสีหน้าเย้ายวนที่พวกเธอไม่เคยเห็นมาก่อน
พร้อมกับเสียงที่วาบหวามที่พวกเธอไม่เคยได้ยินมาก่อน
“ว้าว… นี่คงเป็นสิ่งที่ควรจะเป็นเมื่อผู้นำนิกายฝึกฝนกัน… นี่ช่างเร่า
ร้อน…” หนึ่งในศิษย์พึมพำ
“สมกับเป็นท่านผู้นำนิกาย เธอมีเรือนร่างที่ทำให้คนอย่างข้าต้องการ
ที่จะโอบกอด…”
“ข้ามิอาจนึกฝันว่าสักวันหนึ่งจะได้เห็นผู้นำนิกายแสดงท่าทางเช่นนี้
ห่างจากตัวข้าไปเพียงไม่กี่เมตร”
อย่างไรก็ตามแม้ว่าเหล่าศิษย์จะพากันจ้องมองตลอดเวลา แต่ก็
เหมือนกับว่าเธออยู่ในโลกส่วนตัว โหลวหลานจียังคงดื่มด่ำอยู่กับ
ความสุขสม
สามสิบนาทีหลังจากนั้น โหลวหลานจีก็นอนเหยียดยาวอยู่บนเตียง
ด้วยสีหน้าหมดแรงหอบหายใจ ร่างของเธอยังคงบิดกระตุกไปด้วย
ความหรรษา
“สามสิบนาทีรึ ดูเหมือนว่าข้าจักเป็นผู้ชนะในครั้งนี้อยู่ดี ท่านผู้นำ
นิกาย” ซุนจิงจิงกล่าวกับเธอพร้อมกับฉีกยิ้มกว้าง
“เจ้าใช้เคล็ดลับอะไรรึ ซูหยาง ข้าได้ฝึกกับเจ้าหลายครั้งแต่มิมีครั้งไหน
ที่ร้อนแรงเท่าครั้งนี้” โหลวหลานจีถามเขาหลังจากที่หายใจได้ทัน
“ข้ามิได้ใช้เคล็ดลับอะไร” เขาตอบอย่างเยือกเย็น “เพียงแค่ว่าข้าได้
ออมรั้งไว้ตลอดเวลาเมื่อข้าฝึกฝนกับพวกท่านทุกคน ตามจริงแล้วข้า
มิเคยใช้เกิน 15% ของกลเม็ดกับทุกคนมาก่อนจนถึงวันนี้”
“จ-เจ้าพูดจริงรึ” โหลวหลานจีมองดูเขาด้วยหน้าตาตกตะลึง
เมื่อมาคิดว่าเขาได้ออมรั้งตัวเองไว้ตลอดมานี้และยังสามารถที่จะทำ
ให้พวกเธอรู้สึกเหมือนกับอยู่บนสรวงสวรรค์ได้
“ถ้าเจ้ายอดเยี่ยมปานนี้กับการใช้เพียง 15% กับความความสามารถ
ของเจ้า เช่นนั้นข้าสงสัยว่าจะรู้สึกเป็นอย่างไรถ้าฝึกฝนด้วย 100%
ของเจ้า” โหลวหลานจีกล่าวด้วยรอยยิ้ม
แต่ทว่าซูหยางเพียงแค่ส่ายหน้าและกล่าวว่า “ข้ามิได้มีความหมายจะ
ล่วงเกินเมื่อข้าจะพูดว่า เป็นสิ่งที่มิมีใครในหมู่พวกท่านจะสามารถ
รับได้ ถ้าข้าใช้วิชาทั้งหมดบนตัวท่าน ข้ายังสงสัยว่าท่านจะคงสติ
หลังจากนั้นได้อยู่หรือไม่”
“หนักหนาปานนั้นเลยรึ” โหลวหลานจีไม่อยากเชื่อ
แม้ว่าเขาแทบจะไม่ร่วมฝึกฝนโดยใช้ทุกสิ่งที่เขามี แม้กระทั่งใน
สวรรค์ศักด์ิสิทธ์ิทั้งสี่ แต่ก็ยังมีไม่กี่คนที่สามารถรับมือกลเม็ดของ
เขาได้
และจำนวนคนที่กลายเป็นบ้าหรือกลายเป็นคนเบี่ยงเบนทางเพศ
หลังจากได้รับประสบการณ์จากร้อยเปอร์เซนต์ของเขานั้นมีมากกว่า
ไม่กี่คนนั้น
ตามจริงแล้วกลเม็ดการฝึกวิชาคู่ของเขานั้นเทพมากและไม่อาจต่อต้าน
ได้จนกระทั่งเขาได้ใช้ในการลงโทษหรือทรมานศัตรูมากกว่าที่จะใช้
สร้างความพึงพอใจให้คู่ของเขา
“มาเลย ซูหยาง ตอนนี้ถึงตาข้าแล้ว ร่างกายของข้าหมดเรี่ยวแรงไป
หมดแล้วจากการรอคอยแสนนาน” ซุนจิงจิงพลันกระโดดเข้าไปใน
อ้อมอกของเขา
ครั้นเมื่อพวกเขาทั้งคู่เริ่มร่วมฝึก โหลวหลานจีก็ถามศิษย์คนอื่น ๆ
“เธอสามารถอยู่ได้นานเท่าไหร่ที่ยี่สิบเปอร์เซ็นต์”
เหล่าศิษย์สบสายตากันไปมาก่อนที่จะมองดูโหลวหลานจีด้วยรอยยิ้ม
ขื่นขม “เธอ…บางทีอาจจะสามารถอยู่ได้ทั้งคืน…”
“อะไรนะ นั่นเป็นไปไม่ได้ ทำไมเธออยู่ได้นานขนาดนั้น” โหลว
หลานจีประหลาดใจถึงที่สุดกับคำตอบของพวกเธอ
อย่างไรก็ตามเหล่าศิษย์ก็พากันส่ายหน้าและกล่าวว่า “กระทั่งพวก
เราก็ยังคงตระหนกกับระดับความอึดของเธอ ท่านผู้นำนิกาย เธอมิ
สามารถทนได้ถึงสิบนาทีเมื่อมินานมานี้ แต่โดยไม่มีสาเหตุเธอก็
สามารถฝึกร่วมกับซูหยางได้ราวกับว่าพวกเขาได้ทำเช่นนี้มานาน
หลายปี เหมือนกับว่าเธอได้รับการอำนวยพรอะไรสักอย่าง”
“นั่นไร้เหตุผล… เจ้ามิมีทางที่จะกลายเป็นคุ้นเคยกับบางสิ่งที่เข้มข้น
ปานนี้ได้ในทันที เจ้าต้องใช้เวลาหลายเดือนหรือไม่ก็หลายปีในการ
ฝึกฝนและอดทนกับการฝึกวิชาคู่ที่เข้มข้นปานนี้”
โหลวหลานจีไม่มั่นใจว่ามีความรู้สึกอย่างไรในเวลานั้น เธอควรจะ
เสียใจที่ถูกเอาชนะจากเด็กสาวตัวเล็ก ๆ ซึ่งเพิ่งสูญเสียความบริสุทธ์ิ
ไปไม่นาน หรือควรจะดีใจไปกับซุนจิงจิงซึ่งเหมือนจะมีพรสวรรค์
เป็นพิเศษกับการฝึกวิชาคู่
“ข้ารู้ว่าความรู้สึกของท่านเป็นเช่นไร ท่านผู้นำนิกาย” ฟางซีหลาน
พลันกล่าวด้วยรอยยิ้มขื่นขม “ข้าเคยภาคภูมิใจกับความอึดของข้า
เมื่อร่วมฝึกกับซูหยางจนกระทั่งไม่นานมานี้ แต่อนิจจากลายเป็นว่า
ข้ามิมีอะไรจะเปรียบเทียบกับน้องสาวคนนี้ได้”
เหล่าศิษย์ที่นั่นต่างพากันถอนใจ ครุ่นคิดถึงตนเองอย่างเงียบ ๆ ว่า
ซุนจิงจิงพลันได้รับร่างที่ทรงพลังเช่นนั้นได้อย่างไร
บทที่ 417 ข้าสงสัยว่าเจ้าคนเดียวมิอาจเพียงพอสำหรับเขา
หลังจากที่ซูซุนออกไปจากห้อง ซูหยินก็หันไปมองดูซูหยางและ
กล่าวด้วยดวงตาที่เป็นรูปหัวใจว่า “พี่ชายที่รัก ตอนนี้ท่านพ่อจักมิ
รบกวนเราอีกต่อไป เราสามารถทำทุกอย่างตามที่เราต้องการได้”
ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “เรามารอจนกว่าเจ้าเป็นผู้ใหญ่ก่อนที่เราจะ
พูดเรื่องนั้น”
“ได้เลย”
ในเมื่อวันเกิดครบรอบสิบหกปีเหลืออยู่เพียงไม่กี่อาทิตย์ เธอย่อมไม่
รู้สึกผิดหวังกับคำตอบของเขา ตามความเป็นจริงความคาดหวังของ
เธอยิ่งเพิ่มมากขึ้น
เวลาหลังจากนั้นซูหยางก็รวมเหล่าศิษย์ทั้งหมดและกล่าวว่า “พรุ่งนี้
จักเป็นครั้งสุดท้าย ครั้นเมื่อพวกเราเอาชนะสำนักเมฆม่วงแล้ว นิกาย
กุสุมาลย์พ้นพิสัยของพวกเราก็จักกลายเป็นสำนักอันดับหนึ่งในทวีป
ตะวันออก”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไรกับคำว่า “เรา” ในเมื่อการแข่งขันนี้ในทาง
ปฏิบัติเป็นแบบหนึ่งต่อหนึ่ง” ไป่ ลี่ฮัวซึ่งติดตามพวกเขามาถึงโรงเตี๊ยม
กล่าวกับเขา “ถ้าเจ้าเอาชนะหงอวี้เอ๋อร์ไม่ได้ สำนักเมฆม่วงก็จักชนะ
ถ้าเจ้าเอาชนะหงอวี้เอ๋อร์ นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ชนะ นั่นเป็นเรื่อง
ง่ายดายแบบนั้น”
“ว่าไปแล้ว ท่านพูดมิผิด” ซูหยางยิ้ม
ถ้าหงอวี้เอ๋อร์แพ้ สำนักเมฆม่วงที่เหลือก็จะไม่สามารถแบกรับพวก
เธอได้ อย่างไรก็ตามถ้าหงอวี้เอ๋อร์เอาชนะซูหยาง เธอก็อาจจะกวาด
ศิษย์ที่เหลือทั้งหมด
แน่นอนว่าฟางซีหลานอาจจะสามารถเอาชนะหงอวี้เอ๋อร์ถ้าเธอหมด
แรงหลังจากที่ต่อสู้กับซูหยาง แต่ถึงแม้ว่าจะอยู่ในสภาพเสียเปรียบ
เช่นนั้น ความแตกต่างระหว่างเขตอัมพรวิญญาณกับเขตปฐพีวิญญาณ
ก็ยังถือว่ากว้างเกินไป
“อย่างไรก็ตาม ข้าอยากถามแทบตายว่าเจ้าเข้าสู่เขตอัมพรวิญญาณ
ด้วยอายุเพียงเท่านี้ได้อย่างไร” ไป่ ลี่ฮัวพลันถามเขา และทุกคนที่นั่น
ต่างก็พากันจ้องมองเขาด้วยสายตาคร่ำเคร่ง
“จริงแล้วมิได้มีความลับเบื้องหลังนั้น แต่ถ้าท่านต้องการที่จะรู้จริง ๆ
ท่านสามารถมาหาข้าได้ที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย และข้าจักแสดงให้
ท่านเห็นว่าข้าฝึกวิชาอย่างไรด้วยตัวเอง” ซูหยางกล่าวกับเธอด้วย
รอยยิ้ม
“เจ้า…” ไป่ลี่ฮัวพูดไม่ออก นอกจากซูหยางแน่นอนว่าไม่มีรุ่นเยาว์
คนไหนในโลกที่กล้าที่จะพูดกับเธอหยาบโลนเช่นนี้
อย่างไรก็ตามแม้ว่าเธอเกลียดที่จะยอมรับ แต่ข้อเสนอของเขาก็เย้า
ยวนเป็นอย่างมาก ไม่ว่าอย่างไรเขาก็สามารถที่จะยกระดับศิษย์
เหล่านี้ทั้งหมดให้กลายเป็นอัจฉริยะอันดับต้น ๆ ด้วยตัวของเขาเอง
ในช่วงเวลาสั้น ๆ
ถ้าเธอสามารถได้รับประสบการณ์ความก้าวหน้าคล้ายคลึงกันนี้เพียง
แค่เสนอร่างกายให้กับซูหยาง นั่นก็เป็นสิ่งที่คุ้มค่าอย่างแท้จริง ยิ่งไป
กว่านั้นไม่ว่าจะเป็นอายุหรือบุคลิก ก็รับประกันได้อยู่แล้วว่าซูหยาง
ย่อมกลายเป็นตัวตนที่ยิ่งใหญ่ในยุทธภพหลังจากที่การแข่งขันระดับ
ภูมิภาคจบลง
และยามเมื่อหญิงโสดในโลกนี้รู้ถึงการมีอยู่ของเขา นั่นย่อมต้องมี
สาวสวยนับไม่ถ้วนเข้าแถวรอเขา ในโลกของผู้ฝึกวิชาสิ่งเดียวที่
สำคัญสำหรับผู้ชายก็คือภูมิหลังและพลังอำนาจขณะที่อย่างอื่นนั้น
ล้วนรองลงไป
“มิเพียงแต่เขาจะเป็นอัจฉริยะหนึ่งในพันล้านแต่เขาก็ยังมาจากสี่ตระกูล
ใหญ่ด้วยเช่นกัน เขายังคงอายุน้อยและหน้าตาก็พิเศษกว่าใคร ชาย
คนนี้เป็นสิ่งที่ผู้หญิงนิยามว่าเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์แบบ” ไป่ ลี่ฮัวคิด
ในใจ
“อย่ากังวล ท่านสามารถใช้เวลาตัดสินใจ ประตูของข้าเปิดต้อนรับ
ท่านเสมอ” ซูหยางพลันกล่าวกับเธอ
“ง-เงียบ ใครจักสน” ไป่ลี่ฮัวพลันหน้าแดง
“ซูหยิน ข้ากำลังจะไปโดยมิสนเจ้าแล้ว” เธอกล่าวกับอีกฝ่ายก่อนที่
จะเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
“เจอกันทีหลัง พี่ชาย” ซูหยินเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วจูบแก้มซู
หยางก่อนที่จะกระโดดเหยงไปด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข
ครั้นเมื่อซูหยินและไป่ ลี่ฮัวจากไปแล้ว โหลวหลานจีก็พูดขึ้นว่า “ซู
หยาง… เจ้ามีความมั่นใจในการเอาชนะหงอวี้เอ๋อร์มากเท่าไหร่”
ซูหยางแสดงท่าทางครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะก่อนจะกล่าวว่า “ข้าคงต้อง
พูดว่า…มั่นใจ 110%”
“จริงรึ”
ซูหยางพยักหน้าและกล่าวต่อว่า “แม้ว่าหงอวี้เอ๋อร์จะมีพลังการฝึกปรือ
ที่ล้ำลึกและเป็นจอมกระบี่ที่น่าชื่นชม แต่เธอยังล้าหลังข้าเล็กน้อยใน
ด้านของการฝึกวิชาและเพลงกระบี่ ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่ดูการ
ต่อสู้ของเธอในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา ข้ามั่นใจว่าเธอมิมีอะไรแสดง
อีกต่อไป อีกนัยหนึ่งก็คือเธอมิมีไม้ตายซึ่งข้ามีอยู่มากมาย ดังที่กล่าว
มาแล้วนั่นก็ยังมิใช่การต่อสู้ที่ง่ายนัก”
“ซูหยางเจ้าจักต้องการพลังงานจำนวนมากสำหรับการต่อสู้ในวัน
พรุ่งนี้ใช่ไหม ข้าจักฝึกร่วมกับเจ้าคืนนี้” ฟางซีหลานพลันกล่าวกับ
เขา
“ข้าสงสัยว่าเจ้าคนเดียวมิอาจจะเพียงพอสำหรับเขา ข้าจักเข้าร่วม
ด้วยเช่นกัน” ซุนจิงจิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ข้าก็จักร่วมฝึกกับท่านเช่นกัน”
“ข้าด้วย”
“พวกเราทั้งหมดมาร่วมฝึกกันจนกว่าตะวันจะขึ้น”
เหล่าศิษย์ต่างพากันกระตือรือร้นในการฝึกกับซูหยาง ในเมื่อนี่เป็น
วิธีเดียวที่พวกเธอสามารถรู้สึกเหมือนกับว่าพวกเธอได้มีส่วนร่วม
ในการต่อสู้วันพรุ่งนี้จริง ๆ
“…”
โหลวหลานจีมองดูเหล่าศิษย์ที่มีความสุขด้วยสีหน้าครุ่นคิด
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะเธอก็พูดขึ้นว่า “ข้ามิมีประสบการณ์ใน
การฝึกฝนหมู่มาก่อน ดังนั้นขอให้ข้าได้เข้าร่วมกับพวกเจ้าในครั้งนี้”
“เอ๋”
เหล่าศิษย์ทั้งหมดต่างพากันมองไปที่เธอด้วยดวงตาเบิกกว้างเหมือน
กับจะไม่เชื่อ
“ข-ข้าได้ฟังถูกต้องหรือไม่ ท่านผู้นำนิกาย ท่านพูดว่าท่านต้องการ
เข้าร่วมกับพวกเรา” ฟางซีหลานถามเธอ
“นั่นเป็นสิ่งที่ข้าได้พูดไปจริง หรือว่าพวกเจ้ามิต้องการให้ข้าอยู่ด้วย”
โหลวหลานจีกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ม-มิใช่เช่นนั้น ท่านผู้นำนิกาย เพียงแค่ว่า… ข้ามิคาดว่าท่านจัก…”
โหลวหลานจียิ้มและกล่าวว่า “อย่างไรก็ตามก็ต้องมีครั้งแรกเสมอ
สำหรับทุกสิ่ง”
“ท่านผู้นำนิกายจักฝึกร่วมกับพวกเรางั้นรึ นั่นรู้สึกเหมือนไม่เป็น
จริง…”
“เพียงแค่อย่าล้าหลังเหล่าศิษย์ ท่านผู้นำนิกาย” ซุนจิงจิงหยอกเธอ
“โอ เจ้าเหมือนค่อนข้างมีความมั่นใจอยู่ เจ้าสนใจที่จะพนันกับข้า
ไหม”
“พนันประเภทไหนรึ”
“ใครที่ทนได้นานที่สุดเป็นฝ่ายชนะพนัน และผู้แพ้จะถูกห้ามฝึกกับ
ซูหยางเป็นเวลาหนึ่งเดือน”
“หนึ่งเดือนรึ” ซุนจิงจิงดวงตาเบิกกว้างด้วยความตระหนก เธอไม่
สามารถที่จะจินตนาการว่าจะเป็นอย่างไรถ้าหากไม่ได้ฝึกกับเขาเป็น
เวลาหนึ่งอาทิตย์ต่อเนื่อง อย่าว่าแต่ทั้งเดือน
“ข้าคิดว่าเจ้ามีความมั่นใจในความสามารถของเจ้าใช่ไหม” โหลว
หลานจีแสดงสายตามั่นใจในตนเอง
“ต-ตามนั้น ท่านผู้นำนิกาย ข้าจักยอมรับการท้าทายนี้” ซุนจิงจิงพยัก
หน้า
“พวกเราไปกัน ซูหยาง พวกเราไปร่วมฝึกกันเดี๋ยวนี้เลย” ซุนจิงจิง
กล่าวขณะที่เธอลากเขาเข้าไปในห้องของพวกเธอ
“ร-รอพวกเราด้วย”
ศิษย์คนอื่นและโหลวหลานจีติดตามพวกเขาไปอย่างรวดเร็ว เข้าไป
ในห้องด้วยกัน
บทที่ 416 การยอมรับ
“เจ้าพูดว่าเป็นเรื่องซับซ้อนรึ” ซูซุนคำรามออกมาด้วยความโกรธกับ
การตอบสนองอย่างเฉยชาของอีกฝ่าย “เจ้าโชคดีที่ข้ามิได้ฆ่าเจ้า
ในทันทีและทิ้งศพเจ้าไว้ในป่ าให้สัตว์กิน”
ซูหยางยักไหล่ ใช่ว่าเขาจะบอกซูซุนได้ว่าเขากลับมาเกิดใหม่แต่
ความทรงจำทั้งหมดยังไม่กลับมาจนกระทั่งเขาเข้าสู่นิกายกุสุมาลย์
พ้นพิสัยและซูหยางคนเดิมนั้นไม่มีอีกต่อไป
“ท่านพ่อ มิมีคำอธิบายอื่นที่ต้องการอีกอีกนอกจากความจริงที่ว่า
พวกเรารักกัน” ซูหยินพลันก้าวเข้ามาและพูดด้วยน้ำเสียงกล้าหาญ
“ยอมลงนรกเพื่อรัก ถึงแม้ว่าเจ้าจะพูดเช่นนั้น แต่ก็ยังมีขีดจำกัด” ซู
ซุนไม่ได้ยอมรับคำอธิบายเช่นนั้น
“ความรักมิมีขีดจำกัด” ซูหยินแค่นเสียง
“เจ้า…”
“เฮ้” ซูหยางพลันขัดขึ้น
“มีอะไรรึ” ซูซุนขมวดคิ้ว
“ทำไมท่านจึงปฏิเสธความคิดที่ว่าพี่น้องเป็นคู่กันมากมายเช่นนี้ แม้ว่า
จะเป็นค่านิยมที่ไม่ปกติ ข้าก็รู้ว่ามีคนมากมายที่เริ่มต้นครอบครัว
ด้วยความเป็นพี่น้อง” ซูหยางกล่าว
“จ-จริงรึ” ซูหยินดวงตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้นหลังจากที่ได้
ยินคำพูดของเขา
“เจ้าเคยคิดบ้างไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกับเด็กเมื่อพี่น้องตั้งครรภ์ พวก
เขากลายเป็นคนพิการมากกว่าปกติ นั่นเป็นเหตุที่ว่าทำไมจึงถือว่า
เป็นเรื่องต้องห้ามในโลกนี้” ซูซุนกล่าวกับอีกฝ่าย
“โอออ… นั่นเป็นเหตุผลที่ท่านสติแตกในเรื่องบางอย่างที่มิสำคัญ”
ซูหยางพยักหน้าราวกับว่าเขาเข้าใจบางอย่าง
“เจ้าพูดอะไรออกไป มิสำคัญรึ เจ้ากล้าดีอย่างไร” ซูซุนคำราม
ซูหยางส่ายหน้าและกล่าวต่อว่า “แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องจริงที่เหตุการณ์
เช่นนั้นจะเกิดขึ้นได้และเป็นเรื่องที่โชคร้าย แต่นั่นก็เพียงใช้ได้กับ
เพียงคนธรรมดาที่มิได้ฝึกวิชา เมื่อกล่าวถึงผู้ฝึกวิชา เพราะว่าพลัง
วิญญาณภายในร่างจึงมีโอกาสน้อยที่จะเกิดเหตุการณ์เช่นนั้น ยิ่งไป
กว่านั้นหากเมื่อผู้ฝึกวิชาเข้าถึงเขตอัมพรวิญญาณ เหตุการณ์ที่จะ
เกิดขึ้นแบบนั้นไม่มีอีกต่อไป ดังนั้นพี่น้องจึงสามารถที่จะเชื่อใจได้
โดยมิจำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเด็กของพวกเขาจะพิการ”
“จริงรึ” ซูหยินไม่อยากเชื่อหูตนเอง เมื่อความกลัวที่เลวร้ายที่สุดของ
เธอได้ถูกคลี่คลายออกไป
“นี่เป็นเรื่องไร้สาระประเภทไหนกัน…”
ก่อนที่ซูซุนจะสามารถได้ทันพูด ซูหยางก็พูดต่อว่า “เนื่องมาจากขาด
ผู้ฝึกวิชาในเขตอัมพรวิญญาณในที่แห่งนี้ แน่นอนว่าท่านจึงมิมี
ตัวอย่างให้เห็น”
“ในเมื่อมิมีตัวอย่าง ทำไมเจ้าจึงมั่นใจในคำพูดของตนเองนัก”
ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “เพราะว่าข้ามีประสบการณ์มากกว่าท่านใน
เรื่องของการฝึกฝนและ “เรื่องนั้น”
“เจ้า…”
แม้ว่าเขาไม่ต้องการยอมรับ แต่ในเมื่อซูหยางได้เข้าถึงเขตอัมพร
วิญญาณตั้งแต่อายุยังน้อยเช่นนั้น อีกฝ่ายย่อมมีคุณสมบัติมากกว่าเขา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการฝึกวิชาคู่
“พี่ชาย นั่นหมายความว่าถ้าข้าเข้าถึงเขตอัมพรวิญญาณ ข้าก็จักสามารถ
ที่จะอุ้มท้องเด็กให้ท่านได้” ซูหยินถามเขาด้วยสายตาคาดหวัง
“เอ๋…เรื่องนั้นเอาไว้วันอื่น” ซูหยางกล่าวกับเธอ
“อย่างไรก็ตามตอนนี้เมื่อความกังวลใจหลัก ๆ ของท่านหมดลงแล้ว
ท่านยังคงมีปัญหาอื่นอีกกับความสัมพันธ์ของพวกเราอยู่หรือไม่” ซู
หยางถามเขาด้วยเสียงเยือกเย็นแจ่มใส ราวกับว่าเขาได้ใช้ประโยคนี้
มาหลายครั้งในชีวิต
“ม-มันมิได้ง่ายดายเช่นนั้น เจ้าคิดบ้างหรือไม่ว่าโลกจักคิดเกี่ยวกับ
เรื่องนี้อย่างไรครั้นเมื่อพวกเขารู้ความจริง” ซูซุนกล่าว
“เช่นนั้นก็มิเป็นไรตราบเท่าที่พวกเขามิพบเจอใช่ไหม” ซูหยินถาม
“นี่…” ซูซุนพูดไม่ออก เขาไม่อาจที่จะหาเรี่ยวแรงมาโต้แย้งกับอีก
ฝ่ายได้อีกและรู้สึกเหมือนกับว่าพวกเขามีทางออกทุกปัญหาที่เขามี
ต่อพวกเขา
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ ซูซุนก็นวดขมับและกล่าวด้วยเสียงถอน
ใจ “ข้ามิสนอีกแล้ว พวกเจ้าทั้งคู่ล้วนเป็นผู้ใหญ่แล้วตอนนี้ ดังนั้น
เจ้าสามารถทำอะไรก็ได้ที่เจ้าต้องการ”
“จ-จริงรึ” ซูหยินดูอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อ เธอไม่เคยคิดว่าพ่อของเธอจัก
ยอมรับความสัมพันธ์ของพวกเธอได้จริง ๆ แม้จะผ่านไปนับล้านปี
บ้าไปแล้ว เธอเตรียมตัวที่จะออกจากตระกูลซูถ้าหากว่าเขายังคง
ปฏิเสธ
“อย่างไรก็ตามถ้าข้าได้ยินสักคำเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพวกเจ้า
ภายนอกตระกูล ข้าจักตัดความสัมพันธ์กับพวกเจ้าทั้งคู่ทันที” ซูซุน
กล่าวต่อ
“ข้าได้ออกจากตระกูลไปแล้ว ดังนั้นท่านจึงมิสามารถที่จะตัดความ
สัมพันธ์ข้าได้อีกต่อไป” ซูหยางกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
“หุบปาก ข้ามิต้องการที่จะได้ยินคำพูดอะไรออกมาจากปากเจ้าอีก”
ซูซุนกล่าวก่อนที่จะเดินกระทืบเท้าออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว เมื่อ
เขาไม่ต้องการที่จะให้อีกฝ่ายมีโอกาสได้พูดโต้ตอบอีกต่อไป
“ทุกสิ่งเรียบร้อยดีไหม ผู้อาวุโสซู” โหลวหลานจีถามเขาด้วยหน้าตา
กังวลหลังจากที่เห็นเขาออกมาอย่างเร่งรีบ
“ข้าก็หวังเช่นนั้น” เขาถอนใจและกล่าวต่อว่า “อย่างไรก็ตามข้าต้อง
การที่จะถือโอกาสนี้ขอบคุณอย่างมากที่ดูแลเด็กของข้า เขาต้องเป็น
ตัวปัญหาแน่ใช่ไหม ใครจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าท่านมิรับเขาไว้”
โหลวหลานจีพลันส่ายหน้าและกล่าวว่า “ไม่ ไม่ ไม่ ข้าควรจะเป็น
คนที่ขอบคุณท่าน หากปราศจากซูหยาง นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยคง
มิคงอยู่อีกต่อไปในตอนนี้”
“อย่างไรก็ตามข้ารู้ว่าข้ามิมีฐานะที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับธุระของตระกูล
ท่าน แต่จริงแล้วก็มิถึงกับเป็นเรื่องผิดปกติสำหรับพี่น้องที่จะ… ท่าน
คงรู้ เมื่อเป็นผู้นำนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมาชั่วระยะเวลาหนึ่งถึง
ตอนนี้ ข้าได้เห็นดัวยตนเองที่พี่น้องหลายคู่อยู่ร่วมกัน ดังนั้นข้าจึง
หวังว่าท่านจักให้โอกาสพวกเขา”
แม้ว่าเธอไม่ได้ยินการสนทนาของพวกเขา แต่เมื่อรู้จักตัวตนของซู
หยางและพฤติกรรมของซูหยินเมื่ออยู่ข้างเขา จึงเป็นเรื่องที่แจ่มแจ้ง
เหมือนกลางวันถึงปัญหาของพวกเขาปัจจุบัน
“อย่ากังวล ข้าจักมิเข้าไปยุ่งกับพวกเขาอีกต่อไป” ซูซุนถอนใจด้วยสี
หน้าพ่ายแพ้
“หมายความว่าท่านเห็นด้วยกับความสัมพันธ์ของพวกเขารึ” โหลว
หลานจีประหลาดใจอยู่บ้าง
“ไม่ แทนที่จะถือว่าเห็นด้วย มันเหมือนกับการยินยอมมากกว่า ข้า
ตระหนักว่าหลังจากการสนทนาเมื่อกี้นี้ ไม่ว่าข้าจะกล่าวอะไรกับ
เธอ ซูหยินก็ยังคงรักพี่ชายเธอ”
“แม้ว่ามันจะฟังดูเหมือนเป็นเรื่องน่าอาย แต่ความรักก็เป็นอย่างนั้น”
โหลวหลานจีกล่าวด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
“อย่างนั้นรึ… เช่นนั้น โปรดดูแลพวกเขาต่อไปด้วย ข้าจักยังคง
สนับสนุนนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยต่อไป”
“จ-จริงรึ” โหลวหลานจีมองดูเขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง
“ข้าได้ยินว่าสำนักหงส์สวรรค์และนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยร่วมเป็น
พันธมิตรงั้นรึ ตระกูลซูจักสนับสนุนทั้งสองแห่ง นี่เป็นเรื่องเล็กน้อย
ที่ข้าพอจะสามารถทำได้ในฐานะบิดาของพวกเขา”
“ข-ขอบคุณ ท่านผู้อาวุโสซู” โหลวหลานจีคำนับเขา
บทที่ 415 ความลับถูกเปิดเผย
“ศ-ศิษย์พี่ชายเป็นคนจากหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่มาโดยตลอดรึ…”
บรรดาศิษย์จากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยต่างพากันตระหนกที่ได้รับรู้
ข่าวนี้ มีเพียงฟางซีหลานที่รู้เรื่องนี้หลังจากที่โหลวหลานจีบอกเธอ
ตามความจริง
“เดี๋ยวก่อน ซูหยิน น้องสาวของเขาก็มาจากตระกูลซูด้วยเช่นกัน
ทำไมข้าจึงมองข้ามเรื่องนี้ไป”
“เจ้าพูดถูก… ข้าเดาว่าเป็นเพราะว่ามิเคยจดจำใส่ใจว่าน้องสาวของ
เขามาจากตระกูลซูแต่อย่างใด… ช่างผิดพลาดอะไรเช่นนี้…”
แม้ว่าจะได้รับการประกาศระหว่างการแข่งขันว่าซูหยินมาจากตระกูล
ซู แต่ก็ไม่มีใครในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้คิดเรื่องนี้จริง ๆ ด้วย
เหตุผลที่ไม่ทราบชัดบางประการทำให้มันเล็ดลอดไปจากจิตใจของ
พวกเขาอย่างสมบูรณ์
ยิ่งไปกว่านั้นวิธีแสดงท่าทีของซูหยินโดยปกติแล้วก็ไม่ได้ทำให้เธอ
ดูเหมือนเป็นคนที่มีเบื้องหลังยิ่งใหญ่
“โอ สวรรค์ ข้าได้หลับนอนกับคนที่มาจากหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ สิ่ง
ต่าง ๆ ดูเหมือนกับเป็นความฝันเมื่อวันเวลาผ่านไป”
“เช่นนั้น ท่านต้องการอะไรจากข้า” ซูหยางไม่สนใจเสียงอึกทึกรอบ
ข้างและถามอีกฝ่าย
“ข้า…”
อย่างไรก็ตามก่อนที่ซูซุนจะทันได้ตอบสนอง เสียงอีกเสียงก็ดังขึ้น
และเป็นน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธ
“ท่านพ่อ ท่านไปอยู่ไหนมาจนป่ านนี้ และท่านมาทำอะไรที่นี่” ซูหยิน
พลันปรากฏตัวด้านหลังซูหยาง ติดตามมาด้วยไป่ ลี่ฮัวซึ่งมองดูซูหยาง
ด้วยสีหน้างงงันเล็กน้อย
“ข้าอยู่ที่นี่มาโดยตลอด คอยมองพวกเจ้าทั้งสองคนอย่างเงียบ ๆ” ซูซุน
พูดด้วยเสียงหนักแน่น
“แล้วยังไง ท่านได้เคยคิดหรือไม่ว่านานเท่าไหร่แล้วที่ข้าต้องการที่
จะพูดกับท่าน ข้าได้ยินทุกสิ่งจากพี่ชายแล้ว ข้ารู้ว่าท่านปิดกั้นความ
ทรงจำและทอดทิ้งเขาไว้ที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ข้าต้องการคำอธิบาย”
ซูหยินตะโกนดังลั่น เผยทุกสิ่งให้กับผู้คนที่นั่นได้รู้
“อะไรนะ… ทำไมผู้อาวุโสซูจึงทอดทิ้งลูกชายที่มีพรสวรรค์เช่นนั้น”
ผู้คนที่นั่นต่างพากันงุนงงสับสนกับข่าวนั้น
“อะแฮ่ม…” ซูซุนกระแอมเสียงดังและกล่าวด้วยใบหน้าแดงเล็กน้อย
“ข้าจักตอบคำถามของเจ้าทุกอย่าง… แต่พวกเราไปยังที่อื่นก่อนที่จะ
ทำเช่นนั้น ดีไหม”
ซูหยินมองดูซูหยางซึ่งรับคำอย่างง่าย ๆ
“ในเมื่อมีเรื่องสำคัญเกิดขึ้น ข้าจักขอตัวก่อนในตอนนี้” ซูหยางกล่าว
กับคนที่อยู่ตรงนั้น และไม่เป็นที่น่าประหลาดใจเมื่อไม่มีใครที่จะ
หยุดยั้งเขาไว้ไม่ให้ไปกับตระกูลซู
ครั้นเมื่อพวกเขาจากไปแล้วผู้คนที่นั่นต่างก็พากันโกลาหล
“เจ้าได้ยินนั่นหรือไม่ มิเพียงซูหยางจะมาจากหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่
แต่เขายังถูกทางนั้นทอดทิ้งอีกด้วย”
“นี่หมายความว่าเขามิได้มีความสัมพันธ์กับพวกนั้นอีกต่อไปใช่ไหม”
“นี่เป็นโอกาสอันแสนจะยิ่งใหญ่สำหรับตระกูลเล็ก ถ้าเขามิได้
เกี่ยวข้องกับตระกูลซูอีกโดยพื้นฐานแล้วเขาก็อาจจะถูกคว้าไปโดย
ใครสักคนก็ได้”
ข่าวเบื้องหลังที่แท้จริงของซูหยางเริ่มกระจายออกไปทั่วทั้งเมืองราว
กับไฟป่ าทำให้ทุกคนที่ได้ยินต่างพากันตระหนก
“อะไรนะ ชายหนุ่มรูปงามคนนั้นเป็นคนจากตระกูลซูมาโดยตลอดรึ”
“มิน่าทำไมเขาจึงมีพรสวรรค์เช่นนั้น ทุกสิ่งล้วนสมเหตุผลในตอนนี้”
“มิว่าจะเหตุผลใดก็ตามที่ถึงกับทอดทิ้งลูกชายที่มีพรสวรรค์เช่นนั้น
ข้าจะเตะตัวเองทันที”
“ข้าจำได้แล้วในตอนนี้ แม้ว่าเขาจักมิค่อยปรากฏตัว ตระกูลซูก็มีลูก
ชายชื่อซูหยางอยู่จริง ๆ ซึ่งเขาถูกถือว่าเป็นคนที่สาบสูญ เมื่อคิด
ในตอนนี้เขามิได้หายสาบสูญไปจริง ๆ แต่กลับถูกทอดทิ้งแทน”
ขณะที่ข่าวของซูหยางแพร่กระจายออกไปกระทั่งไปถึงนอกเมือง
ตระกูลซูก็กำลังสนทนากันเป็นการส่วนตัวภายในโรงเตี๊ยมเกล็ดหิมะ
ภายในห้องเล็ก ๆ ทั้งซูหยางและซูหยินยืนอยู่ต่อหน้าซูซุน พ่อของ
พวกเขา
“ตอนนี้เมื่อพวกเราอยู่กันตามลำพังแล้ว อธิบายออกมาท่านพ่อ ถ้า
ท่านมิให้คำแก้ตัวดี ๆ กับข้า ข้าก็จักมิกลับไปยังตระกูลซูด้วยเช่นกัน”
ซูหยินกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว
ซูซุนนวดขมับและกล่าวว่า “ก่อนที่ข้าจะอธิบายเหตุผลของข้า ทำไม
พวกเจ้าสองคนมิให้คำอธิบายเรื่องของตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก”
“ท่านหมายความว่าอะไร” ซูหยินขมวดคิ้วแนบแน่น
ซูซุนหันไปดูซูหยางและกล่าวว่า “ในเมื่อเจ้าได้คืนความทรงจำแล้ว
ข้าจักถือว่าเจ้าจดจำทุกสิ่งได้”
“นั่นถูกต้องแล้ว” ซูหยางพยักหน้าอย่างเยือกเย็น
“เช่นนั้นทำไมเจ้ามิอธิบายให้ข้าฟังถึงความสัมพันธ์ลับ ๆ ที่มีกับ
น้องสาวของเจ้าล่ะ เจ้าคิดว่าข้ามิรู้ว่าเจ้าสองคนได้ทำอะไรหลัง
ประตูรึ” ซูซุนคำราม สุดท้ายก็เผยความลับที่เขาเก็บไว้ในใจมา
ตลอดหลายปีนี้
“น-นั่น” ใบหน้าซูหยินพลันแดงขึ้น กลายเป็นพูดไม่ออกขึ้นในทันใด
เธอไม่ได้คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะค้นพบความลับของพวกเขาแม้แต่น้อย
ซูซุนมองดูซูหยินและพูดต่อว่า “เพียงเพราะว่าพวกเจ้าปิดประตูมิได้
หมายความว่าจะย้ายพวกเจ้าไปยังโลกอื่นที่ซึ่งมีแต่พวกเจ้าสองคน
เท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นถึงแม้ว่าประตูจะปิด เสียงของพวกเจ้าก็ดังเล็ด
ลอดออกมา ซูหยิน มีสองสามครั้งที่ข้าได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของ
เจ้าจากโถงทางเดิน”
“อะไรนะ”
ราวกับว่ามีคนโยนสีแดงทั้งถังลงไปบนหัวของเธอ หน้าตาหัวหูของ
เธอแดงซ่าน
“ข้าเชื่อมาโดยตลอดว่าพวกเจ้าสองคนเพียงแค่เล่นเกมสนุกอะไร
บางอย่าง แต่สุดท้ายเมื่อข้าตัดสินใจที่จะแอบดูในวันหนึ่ง เจ้าได้คิด
บ้างไหมว่าข้าได้รับความตระหนกมากเพียงใดหลังจากเห็นสิ่งที่
พวกเจ้าทั้งสองคนกำลังพัวพันกันในวันนั้น ท้องของข้าปั่นป่ วนเมื่อ
ข้าได้นึกถึง พระเจ้า พวกเจ้ามิได้ตระหนักว่าพวกเจ้ามีความสัมพันธ์
กันฉันพี่น้องรึ ถ้านี่เปิดเผยต่อสาธารณะ ข้าก็มิอาจจะนึกถึงผลที่
ตามมาได้ ตระกูลซูทั้งตระกูลต้องกลายเป็นตัวตลก”
“และเพื่อที่จะหยุดยั้งเรื่องนี้ ข้าจึงได้ตัดสินใจที่จะกำจัดเจ้าหนึ่งคน
ออกจากบ้าน ซูหยิน เจ้าเป็นอัจฉริยะที่แท้จริง เป็นผู้ที่เหนือกว่าพี่ชาย
ทั้งสองของเจ้า ดังนั้นข้าจึงเลือกที่จะกำจัดเจ้า ซูหยาง ซึ่งมิได้มีความ
สนใจในการฝึกวิชาและจะกลายไปเป็นเพียงภาระในอนาคต”
“มิมีทาง… เช่นนั้นทำไมท่าน…” ซูหยินตอนนี้พูดไม่ออกอย่างแท้จริง
เมื่อคิดว่าเหตุผลที่พ่อของพวกเขาละทิ้งซูหยางก็เพราะว่าอีกฝ่ายรู้
ความสัมพันธ์ลับของพวกเขา
“ดังนั้น เจ้ามีอะไรที่จะพูดแก้ตัวหรือไม่” ซูซุนยืนอยู่ตรงนั้นด้วย
กลิ่นอายกดดัน
แต่ทว่า ซูหยางยังคงเยือกเย็นและพูดด้วยเสียงอันแจ่มใสว่า “นี่เป็น
เรื่องซับซ้อน”
บทที่ 414 เข้าสู่รอบตัดสิน
“ข..ข้า…” เย่ไฉอื้อพูดไม่ออกเมื่ออยู่ต่อหน้าซูหยางที่มีกลิ่นอายของ
เขตอัมพรวิญญาณ รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเธอเป็นมดที่อยู่ต่อหน้าช้าง
ตามจริงแล้วปราณไร้ลักษณ์ของซูหยางจะหนาแน่นและมากมาย
กว่าผู้ฝึกวิชาทั่วไปในเขตอัมพรวิญญาณเป็นผลเนื่องมาจากวิชายุทธ
ที่เหนือกว่าและปราณหยินทั้งหมดที่เขาได้ดูดซับ
“โอ ใช่แล้ว ถึงแม้ว่าคนผู้หนึ่งจะเข้าถึงเขตอัมพรวิญญาณ แต่นั่น
มิได้หมายความว่าเขาจักสามารถใช้สำนึกกระบี่ได้”
ซูหยางค่อย ๆ ดึงกระบี่ออกจากฝักข้างกาย จนทำให้กลิ่นอายที่น่า
หวาดหวั่นของเขายิ่งเพิ่มพูนมากยิ่งขึ้น
ครั้นเมื่อเขาเผยให้เห็นกระบี่ ก็เหมือนกับว่ามีกระบี่ที่มองไม่เห็นนับ
ไม่ถ้วนได้ปรากฏรอบกายเขากวาดผ่านไปทั่วพื้นที่
ภาพลวงตานี้ทำให้ทุกคนที่อยู่ที่นั่นพากันหลั่งเหงื่อท่วมตัว เมื่อพวก
เขาเชื่อว่ากระบี่ที่มองไม่เห็นจะตัดพวกเขาได้จริง ๆ ถ้าหากว่าไป
แตะโดนมันเข้า
“สำนึกกระบี่ประเภทไหนกันนี่” ผู้อาวุโสจงกรามร่วงลงถึงพื้น ใน
เมื่อเขาไม่เคยเห็นสำนึกกระบี่ที่มีความแข็งแกร่งพอที่จะสร้างภาพ
ลวงตาที่เหมือนจริงนี้
“คนผู้นี้… จริงแล้วเขาน่ากลัวเกินกว่าที่ข้าคิด…” เจ้าซีครุ่นคิดในใจ
พร้อมกับขมวดคิ้ว
แม้ว่าซูหยางจะเพียงอยู่ในระดับเริ่มต้นเขตอัมพรวิญญาณ เจ้าซีก็ไม่
มีความมั่นใจที่จะเอาชนะซูหยางด้วยพลังการฝึกปรือระดับสูงสุดใน
เขตอัมพรวิญญาณ
“ข้ามิอยากเชื่อว่าจริงแล้วนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็มีรุ่นหลังที่อยู่ใน
เขตอัมพรวิญญาณด้วยเช่นกัน”
“สุดท้ายหงอวี้เอ๋อร์ก็พบกับคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อ นี่จักต้องเป็นการ
ต่อสู้ที่มิเคยมีมาก่อนในการแข่งขันระดับภูมิภาค”
“ไม่ นอกจากว่าหงอวี้เอ๋อร์จะรู้จักสำนึกกระบี่ ชายหนุ่มคนนี้ตอนนี้
ได้เปรียบกว่า”
ผู้ชมต่างพากันเปี่ยมไปด้วยความคาดหวังสำหรับการแข่งขันระหว่าง
พวกเขา
ในเวลานั้น เย่ไฉอื้อได้แต่สั่นสะท้านอยู่บนเวทีต่อหน้ากลิ่นอายอัน
กดดันของซูหยาง รู้สึกไร้พลังอย่างสิ้นเชิงต่อหน้าสำนึกกระบี่ของ
เขา
“สิ่งที่ข้าแสดงให้เจ้าเห็นในวันนี้เป็นเพียงแค่ปลายคมกระบี่ ถ้าเจ้า
ต้องการที่จะรู้จักมากกว่านี้ในเรื่องกระบี่ ไปหาข้าที่นิกายกุสุมาลย์
พ้นพิสัย” ซูหยางกล่าว
“ตอนนี้เจ้ายังต้องการที่จะสู้ต่อหรือไม่”
“สู้รึ” เย่ไฉอื้อหัวเราะด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยตัวเองชั่วขณะก่อนที่จะยืน
ขึ้นและเดินออกไปจากเวทีอย่างช้า ๆ ด้วยสีหน้าหดหู่
เมื่อเห็นเช่นนี้ซื่อตงก็ประกาศอย่างรวดเร็วว่า “หลังจากการพลิกผัน
อันมิคาดคิดน่าตื่นตระหนก เย่ไฉอื้อได้ลงไปจากเวที ยอมแพ้การ
แข่งครั้งนี้ นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยชนะการแข่งครั้งนี้และจักมุ่งตรง
เข้าสู่รอบตัดสินในวันพรุ่งนี้”
อย่างไรก็ตามแม้ว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจะชนะการแข่งครั้งนี้ แต่
ผู้ชมก็ได้แต่เงียบงันราวกับว่าพวกเขายังคงตระหนกจนพูดไม่ออก
กับความแข็งแกร่งที่แท้จริงของซูหยาง
“อืออ…เจ้ามีอะไรที่เจ้าต้องการจะพูดสำหรับผู้ชมในตอนนี้หรือไม่”
ซื่อตงถามซูหยาง
“แน่นอนว่ามี แต่ตอนนี้มิใช่เวลาที่เหมาะสม จักต้องรอจนกว่าพวก
เราได้เป็นแชมป์ ในวันพรุ่งนี้ก่อน”
“ข-ข้าเข้าใจแล้ว…” ซื่อตงพูดไม่ออกและไม่กล่าวอะไรอีกหลังจาก
นั้น
“นี่เป็นปัญหา…” กูกว่านถิงพึมพัมขมวดคิ้ว “ข้ามิคาดว่าพวกเขาก็มี
คนที่อยู่ในเขตอัมพรวิญญาณด้วยเช่นกัน หงอวี้เอ๋อร์ เจ้าคิดว่าเจ้าจัก
สามารถเอาชนะเขาได้หรือไม่”
“ใครจะรู้” หงอวี้เอ๋อร์ตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ราวกับว่าเธอไม่สนใจในเรื่องนี้
“อย่างไรก็ตามเราสามารถพูดเรื่องเขาหลังจากการต่อสู้ของพวกเรา”
กูกว่านถิงพูด
หลังจากการแข่งขันของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยแล้ว สำนักเมฆม่วงก็
ขึ้นไปบนเวที และเช่นเดียวกับที่ทุกคนได้คาดคิดไว้ สำนักเมฆม่วง
เอาชนะคู่แข่งของเธอได้อย่างง่ายดาย ซึ่งแท้จริงแล้วสำนักเมฆม่วง
ได้ส่งหงอวี้เอ๋อร์ไปเป็นนักสู้เพียงลำพัง
“สำนักเมฆม่วงจักมุ่งสู่รอบตัดสินในวันพรุ่งนี้ ซึ่งพวกเขาจักต้องสู้
กับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเพื่อที่จะเป็นแชมป์” ซื่อตงกล่าวกับทุกคน
หลังจากที่การแข่งขันสำหรับวันนั้นจบสิ้นแล้ว ขณะที่นิกายกุสุมาลย์
พ้นพิสัยเตรียมตัวกลับไปยังที่พัก พวกเขาก็ถูกโหมกระหน่ำด้วย
ผู้คนนับไม่ถ้วน
“อาจารย์ซู ข้าเป็นผู้นำของตระกูลเจียง และหญิงสาวคนนี้เป็นลูก
สาวข้า…”
“ข้าชื่อไคจิงจากตระกูลไคจากภาคตะวันตกและลูกสาวข้าอยากพูด
กับท่าน…”
เหมือนกับสถานการณ์ของฟางซีหลานและหงอวี้เอ๋อร์ ตระกูลนับ
ไม่ถ้วนได้เข้าหาซูหยางด้วยเจตนาที่จะเกี้ยวเขาด้วยลูกสาวของ
ตนเองหลังจากที่รู้ถึงพรสวรรค์และศักยภาพของเขา
ชายหนุ่มที่มีพรสวรรค์เขตอัมพรวิญญาณเป็นสิ่งที่ทุกตระกูลปรารถนา
อย่าว่าแต่คนที่ทั้งหล่อเหลาเตะตาอย่างเช่นซูหยาง ซึ่งเพียบพร้อมไป
ด้วยพรสวรรค์หาใดเทียมและหน้าตา
แม้ว่าซูหยางจะอยู่ในสถานที่โสมมอย่างเช่นนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
และมีอะไรกับผู้หญิงนับไม่ถ้วน สาวน้อยที่รายล้อมเขาในตอนนั้น
ต่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นเพียงปรารถนาจะกระโจนเข้าไปหาเขา
แม้ว่าเธอจะเป็นเพียงแค่คนอุ่นเตียงให้กับเขา
สาวสวยนับร้อยรายล้อมซูหยางในเวลานั้น แต่ในสายตาของเขามี
เพียงคนหนึ่งคน และคนผู้นั้นไม่ใช่แม้กระทั่งผู้หญิง ตามจริงเขาเป็น
ชายวัยกลางคนที่มีใบหน้าคมคายและสีหน้าที่ดูดื้อดึง
“ข้ามิคิดว่าท่านจักเข้ามาหาข้า” ซูหยางกล่าวกับเขา “ท่านต้องการ
อะไรจากข้าในตอนนี้รึ ถ้าท่านต้องการให้ข้ากลับไปยังตระกูล ข้าคง
ต้องปฏิเสธสำหรับข้อเสนอนั้น”
“ดูสิ นั่นซูซุน ผู้นำตระกูลซู”
ผู้คนที่นั่นต่างพากันจดจำชายวัยกลางคนได้อย่างรวดเร็ว
“ตระกูลซูในสี่ตระกูลใหญ่รึ”
ตามที่ผู้คนได้คาดไว้ เมื่อเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ที่สุดในทวีปแห่ง
นี้ ตระกูลซูจึงถูกจำได้อย่างง่ายดายไม่ว่าพวกเขาจะไปที่ไหนก็ตาม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคนผู้นั้นเป็นผู้นำตระกูลซู ซูซุน ซึ่งประสบ
ความสำเร็จมากมายใต้เข็มขัด
“ลืมเรื่องนั้นไปซะ เจ้าได้ยินหรือไม่ที่ชายหนุ่มคนนั้นเพิ่งพูดไป เขา
มีความเกี่ยวพันกับตระกูลซู มิน่าทำไมเขาจึงมีพรสวรรค์เช่นนั้น
ย่อมสมควรแล้วสำหรับคนที่เกิดในตระกูลเช่นนั้น”
“ข้าควรจะรู้หลังจากที่ได้ยินชื่อของเขา ซึ่งนี่ยังหมายความว่าเขาเป็น
พี่ชายของนางฟ้าซู”
หลังจากที่รู้ว่าซูหยางมาจากสี่ตระกูลใหญ่ ตระกูลเล็ก ๆ ที่รายล้อม
เขาต่างพากันถอยออกไปอย่างช้า ๆ พวกเขาตระหนักว่านี่เป็นเพียง
แค่ความฝันในการที่จะพยายามเกี้ยวคนจากตระกูลซู
บทที่ 413 เผยความแข็งแกร่งที่แท้จริง
หลังจากที่ยึดกระบี่ของเย่ไฉอื้อแล้ว ซูหยางก็โยนมันทิ้งไปนอกเวที
ที่ซึ่งเธอไม่สามารถที่จะเอื้อมถึงได้
“นั่น ช่างสกปรก” ผู้ชมบางคนอุทานออกมา
แต่ทว่าเย่ไฉอื้อเพียงแค่แค่นเสียงและกล่าวว่า “เจ้าคิดว่าข้าจักไร้
ประโยชน์หากไร้กระบี่รึ ถึงแม้ว่าข้าจะมิมีสำนึกกระบี่ แต่ข้าก็ยัง
สามารถทำอะไรแบบนี้ได้”
เย่ไฉอื้อยกมือขึ้นและรังสีอันแหลมคมก็ครอบคลุมแขนของเธอ
เปลี่ยนมันให้เป็นกระบี่
“โห ถึงแม้ว่าเจ้ามิสามารถใช้สำนึกกระบี่ได้ เจ้าก็ยังสามารถใช้รังสี
กระบี่ได้รึ นั่นช่างน่าประทับใจจากคนที่เติบโตในสถานที่แห่งนั้น”
ซูหยางพยักหน้ายอมรับ
แม้ว่าพรสวรรค์ของเย่ไฉอื้ออาจจะไม่มีความหมายในสวรรค์
ศักด์ิสิทธ์ิทั้งสี่ แต่เธอก็เป็นคนที่มีพรสวรรค์ที่สุดคนหนึ่งในทวีปนี้
อย่างแท้จริง
“ถ้าเจ้าปรารถนาที่จะพัฒนาความสามารถในเชิงกระบี่ จงไปเยี่ยม
นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ข้าจักช่วยเจ้าเรียนรู้สำนึกกระบี่ภายในหนึ่ง
เดือน” ซูหยางพลันกล่าวกับเธอด้วยรอยยิ้ม
“อะไรกัน” เย่ไฉอื้อไม่อยากเชื่อหูตัวเอง อีกฝ่ายกำลังพยายามที่จะ
รับเธอเข้านิกายต่อหน้าสำนักของเธอเองหรือไร เขาจะหน้าด้านไป
ถึงไหนกัน
กระทั่งผู้อาวุโสจงก็อดที่จะตะโกนหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเขา
ไม่ได้ว่า “ซูหยาง เจ้ากำลังดึงคนไปหรืออย่างไร เจ้ากล้าพยายาม
เปลี่ยนใจศิษย์ข้าต่อหน้าข้าเลยหรืออย่างไร”
ซูหยางเลิกคิ้วและกล่าวว่า “ใครพยายามที่จะเปลี่ยนใจใครรึ ข้าเพียง
แค่พยายามที่จะช่วยเธอพัฒนาความสามารถในเชิงกระบี่ ในเมื่อ
เห็นชัดว่าเจ้ามิสามารถทำได้ดีเท่าไหร่นัก”
“เจ้า เจ้ากล่าวอ้างว่าสำนักกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิมิได้ฝึกศิษย์ให้ดีอย่างนั้นรึ”
“ข้ามิได้กล่าวเช่นนั้น แต่ทว่าถ้าข้าเป็นคนที่ฝึกฝนเธอ เธอจักกลายเป็น
จอมกระบี่ที่แท้จริงหลายปีนานมาแล้ว” ซูหยางยักไหล่ “เจ้าใช้
พรสวรรค์ของเธออย่างสูญเปล่า”
“เจ้า…”
ผู้อาวุโสจงใบหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ เขาต้องการที่จะโต้แย้ง
คำพูดของซูหยาง แต่เมื่อเขานึกถึงศิษย์ของอีกฝ่ายที่มีสำนึกกระบี่
ทั้งหมด เขาก็ไม่สามารถที่จะแย้งออกมาได้แม้สักคำ
ซูหยางหันไปมองดูเย่ไฉอื้อและกล่าวต่อว่า “แม้ว่าเจ้าเป็นคู่ต่อสู้ของ
ข้าในตอนนี้ ข้าก็ยังยินดีที่จะช่วยเหลือสาวงามเสมอ ถ้าเจ้าตัดสินใจ
ว่าเจ้าต้องการที่จะเป็นจอมกระบี่ในอีกหนึ่งเดือนแทนที่จะเป็นสิบปี
ก็ไปหาข้าหลังจากการแข่งขันระดับภูมิภาค ข้าจักฝึกเจ้าให้ดี และข้า
สามารถสัญญาได้ว่าเจ้าจักกลายเป็นจอมกระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่
โลกนี้เคยเห็นมา”
“…”
เย่ไฉอื้อพูดไม่ออก ในเมื่อเธอไม่คิดว่าเขาจะรุกล้ำเธอในเวลาเช่นนี้
แต่ถึงแม้ว่าเธอจะกังขามากเพียงใด เสียงที่ชัดเจนของซูหยางก็ฟังดู
น่าเชื่อถือเป็นอย่างมาก
“แน่นอนว่า เจ้ามิจำเป็นต้องออกจากสำนักกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิ” เขาพลัน
พูดเพิ่มเติม
“เจ้ากำลังโกหก มิมีทางที่เจ้าสามารถช่วยข้าได้ เจ้ามิมีคุณสมบัติที่จะ
พูดถึงสำนึกกระบี่ อย่าว่าแต่จะสอนคนอื่น ตามจริงบางทีเจ้าอาจจะ
เพียงแค่ต้องการทำเรื่องลามกกับข้า” เย่ไฉอื้อกล่าวกับเขา
“ถ้าข้ามิมีคุณสมบัติที่จะพูดเรื่องสำนึกกระบี่ เช่นนั้นก็มิมีใครในโลก
นี้ที่มีคุณสมบัติอีก” ซูหยางพูดด้วยเสียงกำแหง สร้างความตระหนก
ให้กับทุกคนที่นั่น
“ซูหยางคนนี้นี่ช่างอวดดีแม้ว่าจะอยู่เพียงแค่เขตคัมภีร์วิญญาณ”
“แม้ว่าเขาจะมีความสามารถบางอย่างที่เห็นชัดเจน เขาก็ยังอายุน้อย
เกินไปที่จะสอนสั่งคนอื่น”
“ใช่ เขากล้าที่จะสอนดรุณีกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิในเรื่องสำนึกกระบี่ ในขณะ
ที่เขาเองก็ยังมิได้พิสูจน์ว่าตัวเขาเองสามารถใช้สำนึกกระบี่ได้”
“ข้าพนันว่าเขาเป็นคนเดียวที่มิสามารถใช้สำนึกกระบี่ได้ภายใน
นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย มิเช่นนั้นเขาก็คงมิหาข้ออ้างนี้ตั้งแต่เริ่มต้น”
“เจ้าคิดว่าเขาพยายามที่จะทำอะไรรึ ท่านผู้นำนิกาย ทำไมเขาต้องการ
ที่จะสอนเธอเป็นจอมกระบี่” หนึ่งในเหล่าศิษย์ถามโหลวหลานจี
“คงเหมือนกับสร้างความเชื่อถือ” โหลวหลานจีกล่าว “ถ้าเขาสามารถ
ช่วยดรุณีกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิกลายเป็นจอมกระบี่ที่แท้จริง คนที่ปรารถนา
จะเป็นจอมกระบี่ย่อมต้องแห่กันไปที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเหมือนกับ
นกในสวนสาธารณะที่อยู่ตรงหน้าอาหาร”
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ เธอก็พูดต่อว่า “หรือไม่ก็… เขาเพียง
ต้องการที่จะมุดเข้าไปในเสื้อผ้าของเธอ…”
“…”
เหล่าศิษย์ต่างพากันพูดไม่ออกหลังจากที่ได้ยินประโยคหลังของเธอ
“ถ้าเจ้ายังคงมิเชื่อข้า เจ้าสามารถถามเจ้าสำนักของเจ้าได้ อย่างไรก็
ตามเขารู้เรื่องของข้าอยู่บ้างแล้ว” ซูหยางกล่าวกับเธอขณะที่มองดูผู้
อาวุโสจงด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
“อย่าฟังคำเขา เย่ไฉอื้อ แม้ว่าความสามารถเชิงกระบี่ของเขาจะดีกว่า
ข้า เขาก็เป็นคนที่มิน่าเชื่อถือ” ผู้อาวุโสจงพลันกล่าว
“เอ๋ ท่านเพิ่งพูดอะไรไปรึ ท่านเจ้าสำนัก” เย่ไฉอื้อและทุกคนที่ได้ยิน
คำพูดผู้อาวุโสจงหันไปมองเขาด้วยดวงตาเบิกกว้างเต็มไปด้วยความ
ตระหนก
“ข้าพูดว่าเขามิใช่คนที่เจ้าควรเชื่อถือ เขาเป็นคนประเภทที่มีความ
ต้องการแอบแฝง” ผู้อาวุโสจงพูดย้ำ
“ไม่ มิใช่เรื่องนั้น ท่านเจ้าสำนัก อะไรที่ท่านพูดก่อนหน้านั้น…”
“แม้ว่าความสามารถเชิงกระบี่ของเขาจะดีกว่าข้า… โอ” ผู้อาวุโสจง
สุดท้ายก็ตระหนักว่าตนเองได้พูดอะไรไปและได้แต่จ้องมองเย่ไฉอื้อ
ด้วยใบหน้าแดงเล็กน้อย
อย่างไรก็ตามเขากระแอมออกมาหลังจากนั้นและหันไปมองดูซูหยาง
ด้วยสีหน้าจริงจังและกล่าวว่า “ซูหยาง ทำไมเจ้ายังคงแกล้งทำเป็น
คนอ่อนแอในเขตคัมภีร์วิญญาณ ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเจ้าจัก
ต้องเปิดเผยไม่ช้าก็เร็ว ทำไมเจ้ามิถอดหน้ากากออกเสียที”
“…” ซูหยางหรี่ตาเล็กน้อยหลังจากที่ได้ยินคำของผู้อาวุโสจง และ
เขาก็พูดขึ้นว่า “ข้ามิได้มีเจตนาที่จะซุกซ่อนความแข็งแกร่งที่แท้จริง
ของข้าเนิ่นนานปานนี้ เพียงแค่ว่ามิมีเหตุผลให้ข้าต้องเปิดเผยมัน
อย่างไรก็ตามในเมื่อก็ต้องเปิดเผยในวันพรุ่งนี้อยู่ดี ข้าก็ควรเผยมัน
เสียตอนนี้ดีไหม”
ซูหยางหันไปมองดูเย่ไฉอื้อและกล่าวว่า “อย่าเข้าใจผิด ความแข็งแกร่ง
ของเจ้าในตอนนี้มิได้เพียงพอที่จะให้ข้าใช้ความแข็งแกร่งที่แท้จริง
แต่ในเมื่อเจ้าถามถึงคุณสมบัติของข้า เช่นนั้นก็ขอให้ข้าได้แสดงถึง
คุณสมบัติของข้าก็แล้วกัน”
“อะไร…”
ก่อนที่เย่ไฉอื้อจะทันได้ตอบ ดวงตาซูหยางก็เปล่งประกายความลึก
ล้ำ และราวกับมังกรที่หลับใหลได้ตื่นขึ้น ร่างกายของเขาพลันระเบิด
กลิ่นอายที่น่าหวาดหวั่นที่สั่นสะท้านไปถึงหัวใจของทุกคนที่ตรงนั้น
ระดับพลังการฝึกปรือของซูหยางที่อยู่ในเขตคัมภีร์วิญญาณพลันทะลุ
เข้าสู่เขตสัมมาวิญญาณในทันทีก่อนที่จะเข้าถึงระดับสูงสุดของเขต
สัมมาวิญญาณภายในวินาที ไม่นานหลังจากนั้นพลังการฝึกปรือของ
เขาก็เข้าสู่เขตปฐพีวิญญาณ
แต่ทว่ามันไม่ได้หยุดแค่นั้นเมื่อพลังการฝึกปรือของเขายังคงเพิ่มขึ้น
ต่อไป
ระดับหนึ่งเขตปฐพีวิญญาณ… ระดับสอง… ระดับสี่…. ระดับเจ็ด…
ระดับเก้า…
หลังจากที่ถึงระดับเก้าเขตปฐพีวิญญาณ พลังการฝึกปรือของเขาก็ได้
หยุดยั้งอยู่สองสามวินาทีก่อนที่จะเข้าสู่เขตอัมพรวิญญาณในทันที
“จ-จ-จ-เจ้าจริงแล้วเป็น… นั่นเป็นไปไมได้” เย่ไฉอื้อล้มลงก้นจ้ำเบ้า
หลังจากที่เห็นการเปลี่ยนแปลงพลังการฝึกปรือของซูหยางอย่าง
มากมาย ราวกับว่าเธอกำลังดูเด็กที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ในช่วงเวลาที่ไม่
นานนัก
ไม่เพียงแต่แค่เย่ไฉอื้อ เกือบทุกคนที่ดูอยู่ได้ยืนขึ้นด้วยความตระหนก
ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ
“ข-ข-ข-เขตอัมพรวิญญาณ…” โหลวหลานจีเกือบล้มลงจากความ
ตระหนกหลังจากที่รู้ถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของซูหยาง
“พระเจ้าช่วย” ผู้อาวุโสซุนอ้าปากกว้าง เช่นเดียวกับตระกูลซุนที่ได้ดู
อยู่อย่างเงียบ ๆ จากที่นั่งผู้ชม
“สมกับเป็นพี่ชายที่รักของข้า… มิมีใครในโลกนี้ที่เจ๋งและหล่อเหลา
ไปกว่าเขา…” ซูหยินร่างกายสั่นสะท้านไปด้วยความยินดี ในขณะที่
อาจารย์ของเธอ ไป่ ลี่ฮัวได้แต่เพียงยืนขึ้นด้วยหน้าตาตื่นตะลึง
หลังจากการเปลี่ยนแปลงอันเร้าอารมณ์ของเขาแล้ว ซูหยางก็มองดูเย่
ไฉอื้อด้วยรอยยิ้มลำพองบนใบหน้า แล้วพูดว่า “ตอนนี้… เจ้ายังคง
สงสัยคุณสมบัติของข้าอยู่หรือไม่”
บทที่ 412 เขากำลังหยอกข้า
การแข่งขันระหว่างนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและสำนักกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิ
ดำเนินต่อไปและหลังจากทุกการแข่งขันศิษย์คนถัดไปของฝั่งนิกาย
กุสุมาลย์พ้นพิสัยที่สามารถใช้สำนึกกระบี่ก็จะปรากฏตัวขึ้นสร้าง
ความตระหนกให้กับผู้ชมยิ่งกว่าที่เป็นอยู่แล้ว
“พระเจ้าช่วย หรือว่าศิษย์ทุกคนจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเป็นจอม
กระบี่”
“พวกเขาฝึกอสูรแบบนั้นกันได้อย่างไร”
“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเพียงลำพังก็ทำให้จำนวนจอมกระบี่ในโลก
นี้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าแล้ว นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน”
“ทำไมพวกเขายังไม่หยุดการต่อสู้นี้เสียที ชัดแจ้งยิ่งกว่ากลางวัน
สำหรับทุกคนแล้วว่าสำนักกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิจักต้องพ่ายแพ้ครั้งนี้
นอกจากว่านักสู้คนสุดท้ายของพวกเขาอยู่ในระดับเดียวกับหงอวี้
เอ๋อร์ มิเช่นนั้นก็เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะฟื้นตัวได้”
“นี่มิใช่ผลลัพธ์แต่เป็นจิตวิญญาณ อย่างน้อยสำนักกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิก็
มิได้ยอมแพ้ในทันใด”
“เย่ไฉอื้อเจ้าเป็นคนเดียวที่เหลืออยู่” ผู้อาวุโสจงมองดูสาวสวยร่างสูง
ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา
เย่ไฉอื้อเป็นหนึ่งในคนที่มีพรสวรรค์ที่สุดจากทั้งสำนักกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิ
เข้าถึงเขตปฐพีวิญญาณระดับที่สามเมื่ออายุเพียงแค่ยี่สิบห้าปี เธอยัง
คงเป็นที่รู้จักกันในนามของ ดรุณีกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิ ทั้งจากคนทั่วไป
และผู้ฝึกยุทธ
“แม้ว่าข้ามิอาจจะเอาชนะการแข่งขันให้กับพวกเราได้ แน่นอนว่าข้า
จักมิปล่อยให้การแข่งขันนี้จบลงโดยมิได้รับชัยชนะแม้สักครั้ง” เย่
ไฉอื้อกล่าวกับเพื่อนศิษย์ด้วยสีหน้าไม่สะทกสะท้านก่อนจะตรงไป
ยังเวที
ครั้นเมื่อเธอขึ้นไปบนเวทีแล้ว เย่ไฉอื้อก็ตะโกนดังลั่นว่า “ออกมา
ฟางซีหลาน ข้าท้าทายเจ้าให้ออกมาต่อสู้”
“เจ้าได้ยินไหม ดรุณีกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิเย่ถึงกลับต้องเรียกใครสักคน
ออกมา เธอต้องหงุดหงิดมากแน่ในตอนนี้เพราะสถานการณ์ของ
พวกเขาที่เป็นแบบนี้”
ผู้ชมต่างพากันรอคอยฟางซีหลานให้ขึ้นไปบนเวทีอย่างกระวนกระวาย
“ข้าจักขึ้นไปในตอนนี้” ฟางซีหลานกล่าวกับพวกเขา
แต่ทว่าก่อนที่เธอจะเริ่มเดิน บางคนก็พลันจับไหล่หยุดเธอเธอไว้
“ซูหยาง” ฟางซีหลานดูเขาด้วยหน้าตาสงสัย ทำไมเขาจึงหยุดเธอไว้
“ข้าจักรับมือเอง” เขากล่าวพรัอมกับรอยยิ้มบนใบหน้า
“เอ๋ เจ้าต้องการสู้กับเธอรึ” โหลวหลานจีเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ
“ตาเฒ่านั่นต้องบ่นข้าทีหลังแน่ถ้าข้ามิขึ้นไปบนเวทีด้วยตนเองหลังจาก
ทุกสิ่งที่ข้าได้พูดกับเขาไว้ แค่นั้นแหละ” ซูหยางกล่าวขณะที่เขาตรง
ไปยังเวทีอย่างช้า ๆ
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมเขาเป็นคนที่ขึ้นไปบนเวที” ผู้ชมต่างพากันงงงัน
กับการปรากฏตัวของซูหยาง ในเมื่อพวกเขาล้วนคาดหวังว่าจะเป็น
ฟางซีหลาน
“เจ้ามาที่นี่ทำบ้าอะไร ข้าเรียกฟางซีหลานมิใช่เจ้า แม้ว่าเจ้าเอาชนะ
คนที่อยู่ในเขตปฐพีวิญญาณได้ แต่เจ้ามิใช่คู่ต่อสู้ข้า ไสหัวไปให้พ้น
จากสายตาข้าและนำฟางซีหลานมาหาข้า” เย่ไฉอื้อกล่าวกับเขา
พร้อมกับขมวดคิ้ว
ซูหยางยังคงเยือกเย็นและกล่าวว่า “ถ้าเจ้ามิสามารถเอาชนะข้าได้
เช่นนั้นอะไรที่ทำให้เจ้าคิดว่าเจ้าจักเอาชนะฟางซีหลานได้”
“ฮึ่ม เจ้าพยายามที่จะทำให้ข้าเปลืองแรงก่อนที่จะสู้กับเธอรึ ถ้าเจ้าคิด
ว่ากลเม็ดเช่นนั้นจักได้ผล เช่นนั้นเจ้าต้องผิดหวังอย่างแน่นอน”
“พวกเจ้าทั้งสองพร้อมต่อสู้หรือยัง” ซื่อตงพลันถามพวกเขา
จากนั้นเขาก็หันไปดูเย่ไฉอื้อและพูดต่อว่า “เจ้ามิสามารถเลือกคู่ต่อสู้
ของเจ้าได้ ถ้าเจ้าต้องการที่จะสู้กับฟางซีหลาน เช่นนั้นเจ้าต้องจัดการ
กับเขาก่อนเป็นอันดับแรก”
“ข้าเข้าใจแล้ว… ข้าจักจัดการกับเขาอย่างรวดเร็ว”
ในเวลานั้น ผู้อาวุโสจงก็ส่ายหน้า
“ข้าเพียงได้แต่หวังว่าเธอจักฟันฝ่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นได้” ผู้อาวุโส
จงคิดในใจขณะที่เขาจ้องมองเย่ไฉอื้อกับซูหยาง
“เริ่มการต่อสู้” ซื่อตงตะโกนในเวลาถัดไป
อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่มีใครที่เคลื่อนที่และเพียงแต่จ้องมองแต่ละ
ฝ่ายอย่างเงียบงัน
“เจ้ารออะไรอยู่รึ เข้ามาจัดการข้าโดยไว” ซูหยางกล่าวกับเธอด้วย
รอยยิ้ม
“ข้าจักถามเจ้าด้วยคำถามเดียวกัน เจ้ามิทำให้ข้าเปลืองแรงแน่ถ้าเจ้า
ยังคงยืนอยู่ตรงนั้น” เธอตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“รีบมาแสดงสำนึกกระบี่ของเจ้า เจ้าควรจะสามารถที่จะปลดปล่อย
มันออกมาได้ใช่ไหม” เธอพลันกล่าวกับเขา
“ข้ามิจำเป็นต้องใช้สำนึกกระบี่ในการเอาชนะคนในระดับเจ้า”
“ช่างโอหัง” เย่ไฉอื้อแค่นเสียงเย็นชาและดึงกระบี่ออกมาในทันใด
วินาทีถัดไปรังสีที่แหลมคมอย่างที่สุดพลันรายล้อมเย่ไฉอื้อ ราวกับ
ว่าเธอเปลี่ยนไปเป็นกระบี่
“อืมม… สมกับเป็นคนที่ผู้คนเรียกว่าเป็นดรุณีกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิ แม้ว่า
จะยังมิเป็นสำนึกกระบี่ที่แท้จริง แต่ก็ใกล้เคียงมากแล้ว เจ้าควรจะ
เข้าใจสำนึกกระบี่หลังจากนี้อีกสิบปีในการฝึกฝนตามแบบของเจ้า”
ซูหยางกล่าว
“ข้ามิต้องการให้เจ้ามาสอนข้า รับมือ” เย่ไฉอื้อตวัดกระบี่ในมือจน
ทำให้เกิดแสงเป็นเส้นโค้งจากการสร้างด้วยรังสีกระบี่พุ่งไปยังซู
หยางราวกับนกที่ดุร้าย
“…”
เมื่อเห็นแสงกระบี่พุ่งเข้าหาเขา ซูหยางเพียงแค่ยกมือขึ้นและฟันลง
ไปเหมือนกับว่าเขาตัดอากาศ
วินาทีที่แขนของเขาสัมผัสกับส่วนโค้งของแสง มือของเขาก็ตัดมัน
ขาดครึ่งราวกับว่ากระบี่ตัดกิ่งไม้ขาดครึ่ง
“อ-อะไรกัน” เย่ไฉอื้อดวงตาเบิกกว้างด้วยความตระหนกหลังจากที่
เห็นซูหยางจัดการกับการโจมตีของเธออย่างไม่ใส่ใจไร้ความพยายาม
ใด ๆ
“การโจมตีนั่นมิเลว ค่อนข้างจะดีกว่าเด็กสาวของข้าเล็กน้อย” ซูหยาง
กล่าวขณะที่เขาปัดฝุ่นในมืออย่างไม่ใส่ใจ
“ง-เงียบ” เย่ไฉอื้อพลันพุ่งเข้าไปหาเขาด้วยสีหน้าหงุดหงิด
“เจ้ากระวนกระวายง่ายดายเกินไป นั่นจะส่งผลต่ออนาคตการฝึกปรือ
ของเจ้า” ซูหยางขยับร่างเล็กน้อยหลบการโจมตีทั้งหมดของเธอ
หลังจากที่หลบการโจมตีของเธอแล้ว ซูหยางก็จับปลายกระบี่ในมือ
เธอด้วยมือเปล่าสร้างความตระหนกให้กับผู้คนที่กำลังดู
“เขาจับคมกระบี่ด้วยมือเปล่า เขาบ้าหรือเปล่านั่น” ผู้ชมพากันอุทาน
ผู้คนคาดหวังว่าเย่ไฉอื้อจะตัดนิ้วของเขาออกสองสามนิ้ว แต่จริง
แล้วซูหยางกลับปลดกระบี่ขโมยมันไปจากเธอ
“เจ้าจะทำอะไรหากปราศจากกระบี่ในตอนนี้” ซูหยางกล่าวด้วย
รอยยิ้ม
“จ-เจ้าเลวนี่… เขากำลังหยอกข้า เขาหยอกข้าเย่ไฉอื้อมาโดยตลอด
เขาเป็นใครกัน” เธอร่ำร้องในใจ
บทที่ 411 สถานการณ์ที่สิ้นหวัง
“จินซีเจ้ากลับมาได้แล้ว” ซูหยางกล่าวกับเธอหลังจากที่เธอได้รับชัย
ชนะ
“เอ๋ แต่ข้ายังสามารถที่จะไปต่อได้” เธอมองดูเขาหน้างงงัน
“ข้ารู้ว่าเจ้ามีแรงเหลือเฟือ แต่ข้าต้องการให้คนอื่นได้แสดงความ
แข็งแกร่งของตนเองด้วยเช่นกัน มิว่าอย่างไรนั่นย่อมต้องดูดีสำหรับ
นิกายถ้าศิษย์ทุกคนมีความสามารถเท่าเทียมกันใช่ไหม สุดท้าย
เป้าหมายของพวกเราในการแข่งขันระดับภูมิภาคนี้ก็คือแสดงให้โลก
เห็นว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยใหม่สามารถทำอะไรได้บ้าง”
จินซีพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว”
“ข้าจักกลับไปที่ม้านั่ง” จินซีกล่าวกับซื่อตงก่อนที่จะเดินออกไปจาก
เวที
ในเวลานั้นผู้ชมต่างพากันงงงันกับการกระทำของจินซี
“ทำไมเธอพลันลงจากเวทีไป สำหรับข้าแล้วเธอยังดูมีพลังอีกเหลือ
เฟือ”
“แม้ว่าเธออาจจะดูดีด้านนอก เจ้าเข้าใจหรือไม่ว่ามันจักส่งผลต่อร่าง
กายอย่างไรเมื่อต้องใช้สำนึกกระบี่ เธอบางทีอาจจะหมดแรงภายใน
หลังจากการโจมตีก่อนหน้านี้”
ไม่นานหลังจากนั้นศิษย์อีกคนจากแต่ละฝ่ายก็ก้าวขึ้นมาบนเวที
แน่นอนว่าก่อนที่ศิษย์นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจะก้าวขึ้นไปบนเวที
ซูหยางก็ได้แตะที่หน้าผากของเธอเบา ๆ เช่นกัน
“เจ้าพร้อมแล้วหรือไม่” ซื่อตงถามพวกเขาหลังจากนั้นชั่วขณะ
ทั้งคู่พยักหน้า
“ฮ่า”
ศิษย์สำนักกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิพลันปลดปล่อยสำนึกกระบี่ปลอมและพุ่ง
เข้าหาเด็กสาวตรงหน้าตนเอง
แต่ทว่าศิษย์สำนักนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ปลดปล่อยสำนึกกระบี่
ของเธอเช่นกันและทำการป้องกันตนจากการโจมตี
“อะไรกัน นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมีจอมกระบี่อื่นอีกรึ”
คนหลายคนในหมู่ผู้ชมพากันยืนขึ้นด้วยความตระหนก เมื่อพวกเขา
ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่พวกเขาเห็น
“เป็นไปไม่ได้” ผู้อาวุโสจงอุทาน “พวกเขามีจอมกระบี่มากกว่าหนึ่ง
คนได้อย่างไร”
“นี่เป็นเรื่องเหนือความคาดคิดจริง ๆ…” เจ้าซีลูบปลายคางด้วยความ
สนใจเป็นอย่างยิ่ง นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยฝึกจอมกระบี่ขึ้นมามากมาย
ได้อย่างไร
ในขณะที่ผู้ชมต่างพากันตกตะลึงจนพูดไม่ออกกับการปรากฏตัวของ
จอมกระบี่คนที่สอง ศิษย์ที่อยู่บนเวทีก็ได้ต่อสู้กันเป็นเวลาสองสาม
นาทีก่อนที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจะได้รักษาชัยชนะของตนเอง
เอาไว้เป็นรอบที่สาม
“ยอดเยี่ยมมาก พี่เหมย”
ศิษย์นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยต่างพากันชื่นชมเธอขณะที่กลับมาด้วยสี
หน้าเหนียมอาย
“นั่นทำให้ประสาท…” ศิษย์เหมยพูด “ข้ามิเคยจินตนาการว่าจักมีสัก
วันที่ข้าสามารถเอาชนะอัจฉริยะจากสำนักกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิที่มีชื่อเสียง
ได้”
ต่อจากนั้น นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ส่งนักสู้คนใหม่ออกไป
แน่นอนว่าศิษย์คนนี้ก็มีความสามารถในการสร้างสำนึกกระบี่เช่นกัน
“โอเทพเจ้า นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมีจอมกระบี่สามคนจริง ๆ”
“โลกนี้เพี้ยนไปแล้ว ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่จอมกระบี่กลายเป็นเรื่องปกติ”
“เรื่องปกติตูดสิ มีจอมกระบี่ไม่ถึงสิบคนในโลกนี้”
“ถ้าคนรุ่นหลังเหล่านี้สามารถกลายเป็นจอมกระบี่ได้ ข้าก็มิอยากเชื่อ
ว่าข้ามิสามารถทำได้เช่นกัน”
ผู้ชมต่างพากันส่งเสียงอึกทึกกับสถานการณ์นี้
ส่วนสำหรับผู้อาวุโสจง เขามีสีหน้าเหมือนกับคนที่ไม่ได้นอนมาทั้ง
อาทิตย์และตกอยู่ในสภาพหลอน
“เป็นไปไม่ได้… นี่เป็นไปไม่ได้ พวกเขาต้องมีเคล็ดลับอะไรบางอย่าง
ที่ยอมให้พวกเธอสร้างสำนึกกระบี่ได้ ข้าจักมิเชื่อว่าวัยรุ่นพวกนี้
สามารถกลายเป็นจอมกระบี่ได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ ” ผู้อาวุโสจงพึมพำ
กับตนเองไม่รู้จบเหมือนกับคนแก่บ้า
สองสามนาทีหลังจากนั้น นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็รับชัยชนะอีกครั้ง
“พระเจ้าช่วย นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเอาชนะสำนักกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิที่
ไร้เทียมทานสี่ต่อศูนย์ นี่เป็นประวัติการณ์”
ในที่สุดไป่ ลี่ฮัวก็เข้าใจว่าทำไมนิกายดอกบัวเพลิงจึงตกลงที่จะร่วม
เป็นพันธมิตรกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
แน่นอนว่าจริงแล้วนิกายดอกบัวเพลิงก็คิดไม่ถึงกับความแข็งแกร่งที่
เกินคาดของพวกเธอและตกตะลึงเช่นเดียวกับคนอื่นในที่แห่งนั้น
“ผู้อาวุโสหวัง… หรือว่านี่เป็นเหตุผลที่ท่านต้องการให้พวกเราร่วม
เป็นพันธมิตรกับพวกเขาอย่างมากแบบนั้น เพราะว่าท่านรู้ความ
แข็งแกร่งที่แท้จริงของพวกเขามาโดยตลอด”
ผู้นำนิกายดอกบัวเพลิงถามเธอด้วยเสียงสับสน
หวังชูเหรินแสดงรอยยิ้มขื่นขมและส่ายหน้า “ไม่… ข้าก็มิคิดว่าพวก
เขาจะแข็งแกร่งถึงปานนี้เช่นกัน”
เมื่อเวลาผ่านไป นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ส่งนักสู้คนใหม่ทุกการ
แข่งขัน และตามที่ผู้คนได้คาดไว้ พวกเธอทั้งหมดสามารถสร้าง
สำนึกกระบี่ได้
“ข้าเคยได้ยินคำร่ำลือเกี่ยวกับเขาใช้สำนึกกระบี่ระหว่างที่เขาต่อสู้
กับศิษย์นอกคนอื่น ซึ่งข้าได้เพิกเฉยไปในทันทีในเมื่อเป็นอะไรที่
เป็นไปไม่ได้กับสิ่งผู้อาวุโสนั่นได้เห็น แต่อนิจจา…” ผู้อาวุโสซุน
มองดูซูหยางด้วยดวงตาเบิกกว้าง
“น-นี่เป็นสิ่งที่บ้าเกินไปแล้ว ศิษย์ทุกคนจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
เป็นจอมกระบี่รึ” ความสนใจของเจ้าซีเปลี่ยนไปเป็นตื่นตระหนกมา
นานแล้ว
“อย่างไรก็ตามนี่ก็ยืนยันความสงสัยของข้า ตอนนี้ข้ามั่นใจว่ามี
อาจารย์จากทวีปศักด์ิสิทธ์ิกลางคอยช่วยเหลือนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
อยู่เบื้องหลัง แม้ว่าข้ามิรู้ว่าทำไมผู้อาวุโสท่านนี้จึงช่วยเหลือพวกเขา
แต่ข้าก็จะหาวิธีพูดกับเขา”
เจ้าซีคิดว่าถ้าเขาสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับจอมยุทธที่ไม่มี
ใครรู้คนนี้ได้ ตระกูลซีอาจจะได้ความรู้เกี่ยวกับทวีปศักด์ิสิทธ์ิกลาง
และบางทีได้ประสบการณ์จากจอมยุทธคนนี้บางอย่างด้วย ซึ่งย่อม
ต้องมีค่ามากกว่าสมบัติใด ๆ ที่เขามีอยู่ในตอนนี้
ในเวลานั้นฝั่งของสำนักกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิ ศิษย์ทุกคนล้วนมีสีหน้า
เคร่งเครียด
“ตอนนี้พวกเราแพ้เจ็ดชนะศูนย์ และที่ทำให้สถานการณ์แย่ยิ่งกว่านี้
ก็คือ ฟางซีหลานและซุนจิงจิงยังมิได้ขึ้นมาต่อสู้ นี่เป็นครั้งแรกที่ข้า
รู้สึกสิ้นหวังเช่นนี้” หนึ่งในศิษย์ของพวกเขากล่าวเสียงเบา
“…”
“เฮ้อ….”
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ ผู้อาวุโสจงก็ถอนหายใจลึก แม้ว่าเขาจะ
รู้อยู่แล้วว่าพวกเขาไม่ชนะการแข่งขันนี้ แต่เขาก็ไม่คิดว่าจะได้รับ
ความสูญเสียอย่างหนักทั้งที่ยังไม่ได้สู้กับซูหยาง
“เมื่อมาคิดว่าความเหลื่อมล้ำระหว่างเราจะมีมากมายปานนี้ เขาทำให้
ข้ากลายเป็นคนโง่” ผู้อาวุโสจงมองดูซูหยางด้วยสีหน้าพ่ายแพ้
แต่ทว่าเขาไม่ปรารถนาที่จะยอมแพ้กระทั่งในเวลาแบบนี้และกล่าว
ว่า “แม้ว่าเราอาจจะมิชนะในครั้งนี้ เราจักมิยอมพ่ายแพ้โดยมิได้ต่อสู้
ถ้าเราจักต้องพ่ายแพ้ อย่างน้อยเราต้องพ่ายแพ้อย่างสมศักด์ิศรี”
บทที่ 410 ต่อสู้กับสำนักกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิ
“น-นั่นต้องมีอะไรผิดปกติแน่ ข้าต้องฝันไปหรืออะไรบางอย่าง ปกติ
แล้วต้องเป็นมิมีทางที่บางคนในเขตสัมมาวิญญาณจะปลดปล่อย
สำนึกกระบี่ได้” ผู้อาวุโสจงรู้สึกเหมือนกับว่าโลกหมุนเร็วกว่าปกติ
จนทำให้เขาเวียนหัว
ไม่ว่าอย่างไรในฐานะจอมกระบี่ ผู้อาวุโสจงรู้เป็นอย่างดีว่ายากแค่ไหน
ในการที่จะตีความสำนึกกระบี่ อย่าว่าจะสร้างมันขึ้น ความต้องการ
นั้นปกติแล้วจะลึกซึ้งเกินสำหรับคนทั่วไปในเขตสัมมาวิญญาณ
แม้ว่าซูหยางสามารถสร้างสำนึกกระบี่ได้เช่นกัน แต่เขาก็อยู่ในเขต
อัมพรวิญญาณแล้ว ดังนั้นผู้อาวุโสจงจึงไม่รู้สึกแปลกเกินไปแม้ว่า
เขาจะอายุยังน้อย ยิ่งไปกว่านั้นใช่ว่าศิษย์เหล่านี้จะมีอาจารย์จากทวีป
ศักด์ิสิทธ์ิกลางมาสั่งสอนพวกเธอ
“ข…ข้ายอมแพ้..”
แม้ว่าศิษย์สำนักกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิจะมีพลังการฝึกปรือเหนือกว่าอย่าง
มากต่อจินซี แต่เขาก็ยอมแพ้โดยไม่แม้จะยกกระบี่ขึ้นเมื่อเขาไม่คิดที่
จะสู้กับคนที่เชี่ยวชาญสำนึกกระบี่ สิ่งที่กระทั่งผู้อาวุโสสำนักของ
พวกเขาก็ยังไม่สามารถมีได้
“อะไรกัน” ผู้อาวุโสจงมองดูศิษย์ของตนเองด้วยสายตาเบิกกว้าง
“ทำไมเจ้าจึงยอมแพ้โดยมิต่อสู้กับเธอ” เขาพลันอบรมศิษย์คนนั้น
หลังจากที่กลับมาทันที
“พ-เพราะว่าเธอมีสำนึกกระบี่… คนที่สามารถสร้างสำนึกกระบี่เป็น
จอมยุทธที่น่าหวาดหวั่นโดยมิต้องคำนึงถึงพลังการฝึกปรือของพวก
เขา เพียงแค่ดูสำนึกกระบี่ของเธอ ข้าสามารถบอกได้ว่าเธอเข้าใจ
กระบี่สูงกว่าข้ามาก ข้ามิอาจเปรียบเทียบเธอได้” ศิษย์คนนั้นส่าย
หน้าและอธิบายเหตุผลเบื้องหลังการกระทำของตนเอง
“ในอีกความหมายหนึ่งก็คือเจ้ากลัวเธอใช่ไหม” ผู้อาวุโสจงส่ายหน้า
และถอนหายใจ “เมื่อมาคิดว่าสำนักของข้าเลี้ยงดูคนขลาดเช่นนี้ ดู
เหมือนว่าพวกเราทั้งหมดได้อยู่อย่างสุขสบายมาตลอดในช่วงหลาย
ปีนี้”
จากนั้นเขาก็หันไปมองดูศิษย์คนอื่นพร้อมหรี่ตาและพูดด้วยน้ำเสียง
เคร่งเครียดว่า “ข้ามิสนว่าพวกเจ้ามิมีโอกาสชนะ พวกเจ้าจักต้องมิ
ยอมแพ้โดยมิได้ต่อสู้และนำความอับอายมาสู่ทั้งสำนักกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิ
ส่วนสำหรับเจ้าผู้ที่ยอมแพ้ ก็ให้เจ้าถือว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายในฐานะ
ศิษย์ของสำนัก”
“ท-ท่านเจ้าสำนัก ข-ข้าผิดไปแล้ว” ศิษย์ซึ่งยอมแพ้พลันคุกเข่าลง
พร้อมกับสีหน้าสิ้นหวัง
ทว่าผู้อาวุโสจงเพียงแค่แค่นเสียงด้วยสีหน้าเย็นชาและกล่าวว่า “มิว่า
เจ้าจักมีพรสวรรค์เพียงใด ถ้าเจ้ามิสามารถที่จะแสดงศักด์ิศรีออกมา
ได้แม้แต่น้อย ข้ามิต้องการให้เจ้าอยู่ในสำนักของข้าอีกต่อไป
ในตอนนี้จงไสหัวไป”
“…”
ศิษย์คนอื่นต่างพากันเงียบ ในเมื่อพวกเขาไม่ต้องการทำให้ผู้อาวุโส
จงโกรธอีกต่อไป
“ท่านเจ้าสำนักบางทีอาจจะโกรธที่รุ่นหลังบางคนจากไหนก็ไม่รู้
สามารถเข้าใจสำนึกกระบี่ในขณะที่เขาต้องใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตใน
การทำเช่นนั้น…” เหล่าศิษย์พากันคิดในใจขณะที่พวกเขามองดูผู้
อาวุโสจง
“ศิษย์หลู… มิใช่แล้ว หลูเฉียน เจ้าเพียงได้แต่โทษตนเองที่เป็นคนขี้
ขลาดและนำความอับอายมาสู่สำนักกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิ” หนึ่งในเหล่า
ศิษย์พลันพูดขึ้น
“ศ-ศิษย์พี่หญิง เย่… ท่านช่วยข้าหน่อยได้ไหม”
“หา ศิษย์พี่หญิงรึ อย่าพยายามทำเหมือนกับว่าพวกเรามีความสัมพันธ์
อะไรกันในตอนนี้ หลูเฉียน” หญิงสาวแค่นเสียงเย็นชา “เจ้าได้ทรยศ
พวกเราทันทีที่เจ้าก้าวลงจากเวทีโดยมิต่อสู้ ถ้ามิใช่คนนับล้านกำลัง
ดูพวกเราอยู่ที่นี่ ข้าคงจักฆ่าเจ้าไปเรียบร้อยแล้ว”
“…”
“ถ้ายังไงพวกเราค่อยคุยกันในภายหลัง ตอนนี้พวกเราต้องเน้นกับ
การแข่งขัน” ผู้อาวุโสจงกล่าวกับพวกเขา
ไม่นานหลังจากนั้น สำนักกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิก็ส่งศิษย์อีกคนขึ้นไปบน
เวที
“ในนามของสำนักกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิ ข้าต้องขออภัยสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้น
ก่อนหน้านี้ ซึ่งมิได้มีผลกระทบใดต่อค่าของสำนักของเรา” ศิษย์คน
นั้นกล่าวกับจินซีด้วยท่าทางเยือกเย็น
“จริงแล้วข้ามิได้สนใจอะไรในเรื่องนั้น” จินซียักไหล่
“ดีแล้ว เช่นนั้นให้ข้าได้สนองการต่อสู้กับเจ้าให้สมอยาก”
ศิษย์สำนักกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิยกกระบี่ขึ้น และรังสีที่คล้ายกับศิษย์คน
ก่อนก็คลุมกายของเขา
จินซีดูชายหนุ่มด้วยสีหน้าจริงจัง
ต่อจากนั้นจินซีก็หรี่ตาและกระบี่ในมือเธอก็พุ่งเข้าหาชายหนุ่มคน
นั้นด้วยความเร็วและความคมกริบที่น่าเหลือเชื่อ
“!!!”
ชายหนุ่มค่อนข้างประหลาดใจกับการเข้ามาหาของจินซีในทันที แต่
เขาก็สามารถที่จะป้องกันการโจมตีด้วยกระบี่ของเธอด้วยวิชากระบี่
ของตนเองได้อย่างฉิวเฉียด
“ช่างเป็นการโจมตีที่หนักหน่วง” ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าแขนของตนเอง
ค่อนข้างชาเล็กน้อยหลังจากการโจมตีของจินซีซึ่งมีความแข็งแกร่ง
ที่ไม่ควรจะเป็นของคนที่อยู่ในเขตสัมมาวิญญาณ
“กุสุมาลย์พ้นพิสัยศิลป์ กลีบดอกพร่างพรม”
แต่ทว่าจินซีไม่ได้ปล่อยโอกาสให้ศิษย์คนนั้นได้พักแม้แต่วินาที เธอ
ติดตามด้วยการโจมตีครั้งที่สองในทันที
เงาของดอกกลีบดอกไม้นับพันพลันปรากฏขึ้นและรายล้อมศิษย์
สำนักกระบี่ศักด์ิสิทธ์ และกลีบดอกแต่ละกลีบแฝงความคมของ
กระบี่จริง
เมื่อโหลวหลานจีเห็นเช่นนั้น ดวงตาของเธอก็เบิกกว้างด้วยความ
ตระหนก และเธอก็พึมพำกับตนเอง “ทำไมวิชาแค่ระดับมนุษย์จึง
สามารถแสดงความแข็งแกร่งได้ถึงขนาดนั้น ในสภาพนี้แน่นอนว่า
มันไม่ได้ด้อยไปกว่าแม้กระทั่งวิชาเขตปฐพีวิญญาณ”
“ฮ่าาา”
ศิษย์สำนักกระบี่ศักด์ิสิทธ์พยายามที่จะฝ่าออกไปจากวิชากระบี่ของ
จินซี แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามอย่างหนักเพียงใด เขาก็ไม่สามารถที่จะ
หนีออกไปได้
รู้สึกเหมือนกับสัตว์ร้ายที่ถูกกักขัง ศิษย์คนนั้นตัดสินใจที่จะใช้กำลัง
ฝ่าออกไปจากวิชานั้น แต่น่าเสียดายวินาทีที่ร่างของเขาสัมผัสกับ
กลีบดอกไม้ กลีบดอกไม้ทั้งหมดก็จู่โจมเขาโดยพร้อมเพรียงกัน
“อาาาา”
ศิษย์สำนักกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิรู้สึกเหมือนกับว่าเขาถูกแทงด้วยกระบี่เล็ก ๆ
นับพันภายในเสี้ยววินาที และไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นเขาก็ล้มลงบน
พื้นด้วยดวงตาว่างเปล่า
“นักสู้ของสำนักกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิหมดสติ นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยชนะ
รอบที่สอง”
ผู้ชมพากันส่งเสียงโห่ร้องตะโกนผิวปากหลังจากที่ซื่อตงประกาศ
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยพลันเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่ง
มากขึ้นอย่างมากโดยมิมีปี่ขลุ่ย”
“การเติบโตก้าวกระโดดแบบอสูรนี้มิใช่อะไรที่จักใช้พรสวรรค์ได้
เพียงอย่างเดียว นั่นต้องมีอะไรอื่นอีกที่ช่วยพวกเขา”
ผู้คนที่นั่นต่างพากันคิดสงสัยว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมีสมบัติที่ท้า
ทายสวรรค์บางอย่างที่ยอมให้ศิษย์ของพวกเขาเปลี่ยนเป็นเก่งกาจ
ในเมื่อนั่นจึงจะสมเหตุผลที่สุดสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นหลัก ๆ นั่น
บทที่ 409 ความสามารถที่แท้จริงของพวกเธอ
หลังจากที่ทักทายกันแล้ว แต่ละสำนักก็กลับไปยังขอบเวทีก่อนที่จะ
ส่งนักสู้คนแรกออกมา
ไม่นานหลังจากนั้น สำนักกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิก็ส่งศิษย์ที่อยู่ในระดับสูงสุด
ของเขตสัมมาวิญญาณออกมา
“ใครต้องการต่อสู้เป็นคนแรก” โหลวหลานจีถามพวกเธอ
“โอ ข้า ให้ข้าได้รับประสบการณ์เพลงกระบี่ของพวกนั้นเป็นอันดับ
แรกเถอะ ท่านผู้นำนิกาย” ศิษย์จินซีพลันยกมือขึ้น
โหลวหลานจีมองดูเธอและพยักหน้า “ระวังตัวไว้คู่ต่อสู้ของเจ้ามิ
เพียงมีระดับเหนือกว่าเจ้าสามระดับ แต่ปราณไร้ลักษณ์ของเขาก็
แน่นหนามากสำหรับคนที่อยู่ในระดับนั้น เขาต้องมีความแข็งแกร่ง
เท่ากับคนที่เพิ่งเข้าสู่เขตปฐพีวิญญาณแน่”
จินซีพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง
อย่างไรก็ตามขณะที่จินซีเตรียมตัวขึ้นไปบนเวที ซูหยางก็กล่าวขึ้น
“รอสักครู่”
เขาพลันตรงเข้าไปหาเธอและแตะหน้าผากของเธอเบา ๆ
จินซีพลันรู้สึกเหมือนกับว่าบางสิ่งภายในร่างได้ถูกคลายออก และ
พลังอันลึกล้ำก็เล็ดลอดออกมาภายใต้รังสีจากร่างของเธอ
“ข้าได้ปลดขีดจำกัดของเจ้าออกแล้ว ไปอาละวาดให้เต็มที่” ซูหยาง
กล่าวกับเธอพร้อมรอยยิ้ม
จินซียิ้มกว้างและพยักหน้าอย่างตื่นเต้น “ข้าจักมิทำให้ท่านผิดหวัง”
ครั้นเมื่อจินซีก้าวขึ้นไปบนเวทีแล้ว โหลวหลานจีก็ถามซูหยาง
“อะไรกันรึที่เจ้าเพิ่งทำกับเธอเมื่อกี้ ทำไมปราณไร้ลักษณ์ของเธอ
พลันแข็งแกร่งขึ้น”
“ข้าอาจจะมิได้กล่าวถึง แต่ก่อนหน้านี้เหล่าศิษย์มิได้ใช้พลังของพวก
เธอเต็มที่ ในเมื่อข้าได้วางขีดจำกัดไว้บนตันเถียนของพวกเธอ” ซู
หยางกล่าวเผยข้อมูลที่น่าตระหนกให้กับเธอ
“อะไรนะ เจ้าต้องการจะบอกข้าว่าพวกเธอได้ต่อสู้ด้วยศักยภาพเพียง
บางส่วนตลอดมานี้เช่นนั้นรึ ทำไมเจ้าต้องจำกัดความแข็งแกร่งของ
พวกเธอด้วย”
โหลวหลานจีตื่นตะลึงจนไม่อาจจะอธิบายได้ว่าเธอรู้สึกอย่างไร
ในตอนนี้
“ท่านจักเข้าใจในอีกไม่นาน มันย่อมมิสนุกถ้าพวกเธออยู่เหนือกว่า
มากจนเอาชนะการแข่งขันทุกนัดอย่างง่ายดายใช่ไหม”
โหลวหลานจียังไม่ตอบรับทันทีแต่หันไปมองจินซีแทน
“พวกเจ้าทั้งสองพร้อมหรือยัง” ซื่อตงถามพวกเธอหลังจากทั้งสอง
ฝั่งได้ส่งนักสู้ขึ้นไปบนเวทีแล้ว
จินซีและชายหนุ่มตรงหน้าเธอพยักหน้า
“เช่นนั้น การแข่งขันรอบแรกของการแข่งขันสี่สำนักสุดท้าย เริ่ม
ได้” ซื่อตงสะบัดมือก่อนที่จะถอยออกไปอยู่ที่ขอบเวที
ทันทีที่การแข่งขันเริ่มขึ้น ชายหนุ่มจากสำนักกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิก็คำราม
จนทำให้รังสีจากร่างของเขาคมขึ้นจนคล้ายกับคมของกระบี่
“นั่นคือสำนึกกระบี่ใช่ไหม”
ผู้ชมพากันตระหนกเมื่อรู้สึกถึงรังสีอันคมกริบจากชายหนุ่ม ราวกับ
ว่าพวกเขากำลังมองไปยังจอมกระบี่
“ไม่ใช่นั่นมิใช่สำนึกกระบี่ นั่นเป็นเพียงการเลียนแบบของจริง มิมี
ทางที่พวกเขาจักสามารถปล่อยสำนึกกระบี่แท้จริงได้ ในเมื่อนั่น
ต้องการเวลาในการฝึกฝนนับสิบปีเพื่อทำความเข้าใจสำนึกกระบี่
อย่าว่าแต่จะสร้างมันขึ้นมา”
“แต่ทว่าถึงแม้ว่ามันจะเป็นของเลียนแบบ แต่นั่นก็ค่อนข้างน่า
ประทับใจในเมื่อมิใช่ใครก็ได้ที่สามารถเลียนแบบสำนึกกระบี่ได้
และนั่นก็สามารถบอกได้ว่าเขามีความเข้าใจในกระบี่อย่างลึกซึ้ง”
ผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริงเท่านั้นที่ให้สำนึกกับพวกเขาได้
“แม้ว่าข้าได้นับถือพวกเจ้าที่มาได้ไกลถึงปานนี้ แต่นี่ก็นับได้ว่าไกล
ที่สุดที่พวกเจ้าจะมาถึงแล้ว”
ศิษย์สำนักกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิชี้กระบี่ไปยังจินซีซึ่งยืนอยู่อย่างเยือกเย็นที่
นั่น
“จริงแล้วกระทั่งข้าก็มิคาดว่าพวกเราจักมาได้ไกลเพียงนี้มาก่อน”
จินซีกล่าวด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
“แต่ทว่าข้าจักต้องคัดค้านเจ้าอย่างหนึ่งที่ว่านี่เป็นจุดสิ้นสุดของพวก
เราแล้ว พวกเรามิเพียงจักเอาชนะพวกเจ้า แต่พวกเรายังคงจักเอาชนะ
สำนักเมฆม่วงและกลายเป็นแชมป์”
ชายหนุ่มระเบิดเสียงหัวเราะออกมาหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเธอ
และกล่าวว่า “เจ้าหวังที่จะเอาชนะพวกเรารึ แม้ว่าเจ้าอาจจะมีพลัง
การฝึกปรือที่น่าประทับใจ แต่นั่นก็เป็นทุกสิ่งที่พวกเจ้ามี และนั่น
ย่อมมิเพียงพอในการเอาชนะพวกเรา”
จินซีพลันจับกระบี่ข้างกายและกล่าวว่า “แม้ว่าพวกเรามิมีประสบการณ์
การต่อสู้จริงมากนัก แต่พวกเราก็ได้ประลองกับจอมกระบี่มาหลาย
ครั้ง มากพอที่จะจัดการกับคนอย่างเจ้า”
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า จอมกระบี่รึ เพียงแค่คนที่จับกระบี่ได้มิได้หมายความว่า
พวกเขาเป็นจอมกระบี่หรอกนะ” ชายหนุ่มแค่นเสียงเหยียดหยาม
“กล่าวกับตนเองเถอะ เพียงเพราะว่าพวกเขาถูกเรียกขานว่าจอมกระบี่
นั่นมิได้หมายความว่าเขาเป็นจอมกระบี่ได้จริง” จินซีดึงกระบี่ออก
จากฝัก
วินาทีที่เธอดึงกระบี่ออก รังสีของจินซีก็พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าและ
แหลมคมเหมือนคมกระบี่ ทำให้เหมือนกับว่าทั้งร่างของเธอกลายไป
เป็นกระบี่
“น-นี่คือ — เป็นไปไม่ได้”
เมื่อศิษย์ของสำนักกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิตระหนักว่านี่เป็นสำนึกกระบี่ที่มา
จากร่างของจินซี ขาของเขาก็อ่อนยวบและล้มลงบนพื้น
“น-นี่เป็นสำนึกกระบี่ที่แท้จริง นี่เป็นไปได้อย่างไร”
ไม่เพียงแต่ศิษย์ของสำนักกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิ กระทั่งคนอื่น ๆ ต่างก็พา
กันงุนงงกับสถานการณ์นี้
“เกิดอะไรขึ้นกัน ทำไมเธอจึงมีสำนึกกระบี่” ผู้อาวุโสจงทั้งร่างสั่น
สะท้านด้วยความตระหนกและไม่อยากเชื่อในเวลานี้
“นี่เป็นสิ่งที่ไม่คาดคิดอย่างแท้จริง…” กระทั่งเจ้าซีก็ไม่สามารถที่จะ
เข้าใจสถานการณ์ได้ “ข้ามิสามารถที่จะรับรู้สำนึกกระบี่จากร่างเธอ
ก่อนหน้านี้ และจู่ ๆ เธอก็พลันปลดปล่อยสำนึกกระบี่ เกิดบ้าอะไร
ขึ้นนี่”
“ซ-ซ-ซ-ซูหยาง เกิดอะไรขึ้น เธอพลันสามารถใช้สำนึกกระบี่ได้
อย่างไร ข้าจำมิได้ว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมีวิชากระบี่อะไรนอกจาก
กุสุมาลย์พ้นพิสัยศิลป์ และการทำความเข้าใจศิลปะการใช้กระบี่เพื่อ
สร้างสำนึกกระบี่ด้วยวิชาระดับมนุษย์นั้นปกติแล้วเป็นไปไม่ได้”
โหลวหลานจีกล่าวกับเขา
“หือ โอ ข้าสอนพวกเธอบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับกระบี่เมื่อตอนพวก
เรามิได้ฝึกวิชาร่วมกัน” ซูหยางตอบอย่างง่าย ๆ
“เอ๋ น-นี่หมายความว่าพวกเธอทั้งหมดสามารถปลดปล่อยสำนึกกระบี่
รึ” โหลวหลานจีมองดูศิษย์คนอื่นด้วยดวงตาเบิกกว้าง
“แน่นอน” ซูหยางพยักหน้า “เพียงแค่ข้าได้ผนึกสำนึกกระบี่ของพวก
เธอไว้ภายในตันเถียนในเวลานั้น ดังนั้นเจ้าจึงมิอาจที่จะบอกได้”
“ม-ไม่น่าเชื่อ…” โหลวหลานจีไม่รู้ว่าจะคิดอย่างไรดีในเรื่องนี้และ
ได้แต่เพียงยอมรับความเป็นจริง
บทที่ 408 การปรากฏตัวของสำนักกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิ
วันถัดมาทุกคนในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยรวมตัวกันที่ด้านหน้า
โรงเตี๊ยมรวมไปถึงผู้อาวุโสนิกายที่เก็บตัวฝึก
“ฮ่าฮ่าฮ่า… ข้ามิคิดว่าข้าจักสามารถเข้าถึงเขตปฐพีวิญญาณโดยมิ
ต้องใช้เวลาอีกห้าสิบปี” ผู้อาวุโสซุนหัวเราะดังลั่นหลังจากที่ออก
จากที่เก็บตัว
“ท่านทำตัวน่าอาย ท่านปู่…” ซุนจิงจิงมองดูเขาแปลก ๆ
“แน่นอน ข้าย่อมมิอาจเทียบกับเจ้าได้ เจ้าก้าวไปถึงเขตปฐพีวิญญาณ
ตั้งแต่ยังเยาว์ แต่อย่างไรก็ตามนี่ก็ยังคงเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่
ของข้า” เขากล่าว
“ที่ผ่านมาข้าได้ยินจากท่านผู้นำนิกายว่าพ่อแม่ของเจ้าได้มาเยี่ยม
พวกเราขณะที่ข้ากำลังเก็บตัวอยู่ พวกเขาพูดกับเจ้าว่าอะไรรึ”
“อย่ากังวล ท่านปู่ นั่นมิใช่อะไรที่ท่านจำเป็นต้องรู้ แต่ถ้าท่านต้องการ
จะรู้จริง ๆ ท่านก็ไปถามพวกเขาเอง”
“โห เจ้าปีกกล้าขาแข็งตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” ผู้อาวุโสซุนเลิกคิ้วเมื่อเขา
สังเกตเห็นบางอย่างผิดแผกไปจากตัวหลานสาวซึ่งดูมีกลิ่นอายเป็น
ผู้ใหญ่กว่าเดิม
“หลายอย่างได้เกิดขึ้นนับตั้งแต่ท่านเข้าเก็บตัว แต่ท่านจักรู้มิช้าก็เร็ว”
ซุนจิงจิงกล่าวแต่เธอก็ยังไม่ยินดีที่จะเปิดเผยทุกอย่างให้กับอีกฝ่าย
“ฮึ่ม เจ้าสามารถเก็บความลับของเจ้า แต่อย่ามาร้องไห้กับข้าถ้าพ่อ
แม่เจ้าทำสิ่งยุ่งยากให้กับเจ้าในอนาคต” ผู้อาวุโสซุนกล่าวก่อนจะ
เลิกสนใจเธอ
ไม่นานจากนั้น โหลวหลานจีก็ปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขาและกล่าว
ว่า “พวกเราครบหมดหรือยัง”
“พวกเราพร้อมแล้ว ท่านผู้นำนิกาย”
ทุกคนต่างพากันตะโกนด้วยความตื่นเต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งศิษย์รุ่น
เยาว์
“ดี” โหลวหลานจีพยักหน้า
หลังจากนั้นนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ไปถึงโคลีเซียม
เมื่อพวกเขาไปถึงประตูใหญ่ ผู้คนที่นั่นต่างพากันหันจ้องมองพวกเขา
ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชม
มีกระทั่งชายหนุ่มหญิงสาวสองสามคนตรงมาหาพวกเขาด้วยเจตนา
ที่จะเข้าร่วมด้วย
“ขออภัย ท่านผู้นำนิกายและท่านผู้อาวุโส เมื่อไหร่ที่นิกายกุสุมาลย์
พ้นพิสัยจะเริ่มรับศิษย์อีกครั้ง”
“นับตั้งแต่ข้าเห็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเอาชนะนิกาย
ดอกบัวเพลิง ข้าก็ต้องการที่จะเข้าร่วมนับแต่นั้น”
“ข้าก็เช่นกัน ข้าก็ต้องการเป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเช่นกัน”
แม้ว่าเธอถึงกับต้องผงะกับความกระตือรือร้นของพวกเขา โหลว
หลานจีก็ยังพูดด้วยสีหน้าของมืออาชีพว่า “การรับสมัครครั้งต่อไป
สำหรับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยนั้นวางแผนไว้ประมาณหนึ่งเดือน
หลังจากการแข่งขันระดับภูมิภาค แต่ทว่าเนื่องจากมีความเปลี่ยน
แปลงบางอย่างกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ดังนั้นอาจจะต้องล่าช้าไป
บ้าง ดังนั้นขอให้รอหลังจากการการแข่งขันระดับภูมิภาคในการ
ประกาศอย่างเป็นทางการ”
แม้ว่าจะมีเพียงไม่กี่คนที่เข้าหาพวกเขา แต่ก็มีอีกมากมายที่นั่นที่สนใจ
ในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยแต่อายเกินกว่าที่จะตรงเข้ามาหาพวกเขา
และได้จดจำคำพูดของโหลวหลานจีอยู่ด้านหลังอย่างเงียบ ๆ
เกือบสองชั่วโมงให้หลัง การแข่งขันระดับภูมิภาคก็ได้เริ่มต้นขึ้นใน
ที่สุด
“ยินดีต้อนรับเข้าสู่รอบรองชนะเลิศสำหรับการแข่งขันระดับภูมิภาค
แม้ว่าจะผ่านไปเพียงมิกี่ปีหลังจากการแข่งขันครั้งก่อนนี้ แต่ก็เห็นชัด
ว่ามีความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในยุทธภพในช่วงไม่กี่ปีสั้น ๆ นี้”
หลังจากที่ใช้เวลาสองสามนาทีในการย้ำถึงกฎ ซื่อตงก็เรียกผู้เข้าร่วม
การแข่งขันสำหรับการต่อสู้คู่แรก
“อันดับถัดไปให้ข้าได้แนะนำผู้เข้าแข่งขันสำหรับนัดแรกนี้ นิกาย
กุสุมาลย์พ้นพิสัย หนึ่งในสองม้ามืดของยุคนี้ และคู่ต่อสู้ของพวกเขา
แชมป์ ที่มิมีใครล้มได้มาหลายปี สำนักกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิ”
ผู้ชมต่างพากันส่งเสียงอื้ออึงด้วยความตื่นเต้นเมื่อสุดท้ายสำนักกระบี่
ศักด์ิสิทธ์ิก็ปรากฏตัวขึ้นบนเวที เมื่อพวกเขาได้รอให้อีกฝ่ายกลับมา
นับตั้งแต่การแข่งขันเริ่มขึ้น
อย่างไรก็ตามเพียงแค่ไม่ถึงนาทีนับตั้งแต่สำนักกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิได้
ขึ้นไปยืนบนเวที ผู้ชมก็ได้สังเกตเห็นบางอย่างผิดแผกไปจากพวก
เขา
“นี่อะไรกัน… มีบางอย่างผิดไปกับสำนักกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิปีนี้ แต่ข้ามิ
สามารถที่จะชี้ชัดความผิดปกตินั้นออกมาได้…”
“เจ้าพูดถูก แม้ว่าข้าอาจจะพูดผิดแต่พวกเขาดูเหมือนจะมีสง่าราศี
ด้อยกว่าเมื่อเทียบกับการปรากฏตัวครั้งก่อนหน้านั้น เหมือนกับว่า
พวกเขามิได้เหนือกว่าอีกต่อไป”
“เมื่อเจ้ากล่าวถึงตอนนี้ น่าจะเป็นเหตุผลนั้นแหละ มิว่าอย่างไรก็ยังมี
นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและสำนักเมฆม่วงในปีนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับ
ความเป็นอัจฉริยะทึ่เหนือเหตุผลของพวกเขาแล้ว สำนักกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิ
ดูมิเห็นว่าแข็งแกร่งแต่อย่างใด ดูพวกเขาสิผู้ฝึกวิชาที่แข็งแกร่งที่สุด
ของพวกเขาอยู่เพียงแค่ระดับสามเขตปฐพีวิญญาณ ซึ่งมิมีอะไรหาก
เปรียบเทียบกับฟางซีหลาน ยิ่งมิต้องเปรียบกับหงอวี้เอ๋อร์”
ขณะที่มีหลายคนได้ดูถูกสำนักกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิ แต่ก็มีคนมากกว่าที่
ปกป้องพวกเขา
“แม้ว่าพวกเขาอาจจะเปรียบกับฟางซีหลานหรือหงอวี้เอ๋อร์ในแง่
ของพลังการฝึกปรือได้ แต่สำนักกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิก็ได้มีผู้ฝึกกระบี่ที่มี
ชื่อเสียงมากมายทั้งยังมีประสบการการต่อสู้มาหลายร้อยปี”
“จริงด้วย และพวกเขาก็มีอัจฉริยะมากมายที่สามารถต่อสู้กับผู้ที่มี
ขอบเขตเหนือกว่าตนเองได้ ดังนั้นเจ้ามิอาจที่จะดูหมิ่นพวกเขาได้”
“หากพูดถึงการสู้กับผู้ที่มีขอบเขตเหนือกว่า แล้วชายหนุ่มคนนั้น
จากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยล่ะ เขาสามารถเอาชนะคนที่อยู่เขตปฐพี
วิญญาณในขณะที่เพียงอยู่ในเขตคัมภีร์วิญญาณ ถ้าเจ้าถามข้านั่นมิยิ่ง
น่าตระหนกกว่าหงอวี้เอ๋อร์ที่มีพลังการฝึกปรือในเขตอัมพรวิญญาณ
อีกรึ”
“เขาชื่อว่าซูหยางใช่ไหม ช่างยากที่จะตัดสินความแข็งแกร่งของเขา
จากสิ่งที่พวกเราเห็นมาก่อนหน้านี้ ในเมื่อเขามิเคยแสดงอะไรที่น่า
ตระหนกถึงที่สุดออกมาอย่างจริงจัง และเขาก็แทบจะมิปรากฏตัว
บนเวที ตามจริงข้ายังคงมิเข้าใจว่าทำไมเขาจึงสามารถจัดการนางฟ้า
หลินเชาชางได้”
“เอ้อ หวังว่าเขาได้ต่อสู้กับสำนักกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิ เพื่อที่พวกเราจัก
สามารถเข้าใจความแข็งแกร่งของพวกเขาได้”
ในเวลานั้นบนเวที ผู้อาวุโสจงจ้องมองซูหยางซึ่งยืนอยู่ไม่กี่เมตร
ออกไปจากเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“เจ้าเด็กเลว ข้ามิคิดว่าเจ้าเป็นแค่รุ่นหลังของข้าเนื่องมาจากวิธีที่เจ้า
พูด เจ้าเล่นตลกกับข้ามาตลอดใช่ไหม” ผู้อาวุโสจงกล่าวกับเขา
พร้อมกับหรี่ตา
“ข้ามิรู้ว่าเจ้าพูดเรื่องอะไร” ซูหยางยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ
“โอ เจ้ามิรู้ว่าข้าพูดถึงเรื่องอะไร ดีดี เช่นนั้นมาดูกันว่าเจ้าจักจำได้
หรือไม่หลังจากที่พวกเราจัดการกับเจ้าแล้ว”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูหยางขณะที่เขาพูด “เจ้าสามารถ
ลองดูได้”
บทที่ 407 ไม่ว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น
“ท่านเจ้า จอมกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิจงเฉาหวง รออยู่ที่ห้องรับรอง ดูเหมือน
ว่าเขาจะกระวนกระวายอยู่บ้าง” คนรับใช้แจ้งต่อเจ้าซีว่าผู้อาวุโสจง
มาถึง
“ผู้อาวุโสจงรึ เขาลืมอะไรไว้รึ เขาเพิ่งอยู่ที่นี่มินานมานี้” เจ้าซีเลิกคิ้ว
“ให้เขามาพบกับข้า” เขากล่าวกับองครักษ์
“ขอรับ ท่านเจ้า”
สองสามนาทีหลังจากนั้นผู้อาวุโสจงก็เข้ามาในห้องด้วยท่าทางสิ้น
หวังและสับสน
“ท-ท่านเจ้า ต้องมีอะไรผิดพลาดอย่างแน่นอน ทำไม “เขา” จึงเป็น
หนึ่งในผู้เข้าร่วมการแข่งขัน” ผู้อาวุโสจงถามเขา
“ใจเย็น…” เจ้าซีรู้สึกถูกรุกเร้าจากพฤติกรรมผู้อาวุโสจงอยู่บ้าง
กล่าวว่า “ท่านพูดถึงอะไร”
“ค-คนนั้น ซูหยาง ทำไมเขาจึงเป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมการแข่งขันได้”
ผู้อาวุโสจงถามอีกครั้ง ด้วยความชัดเจนในครั้งนี้ “มิมีทางที่คนที่อยู่
ในเขตอัมพรวิญญาณจักมีคุณสมบัติเป็นผู้เข้าร่วมการแข่งขัน”
“อา… เช่นนั้นหมายความว่าท่านได้ยินข่าวแล้ว” สุดท้ายเจ้าซีก็
เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายจึงมีท่าทางแปลกไปแบบนี้
“ข้ารู้ว่านี่อาจจะมียาที่เกือบเป็นไปไม่ได้ให้กิน แต่ซูหยาง… เขามี
อายุเพียงสิบเจ็ดปีในขณะนี้จริง ๆ” เจ้าซีเผยความจริงให้กับอีกฝ่าย
ซึ่งปากอ้าตาค้างด้วยความตระหนก
“ส-ส-ส-สิบเจ็ดปี…” ผู้อาวุโสจงพูดติดอ่างอย่างหยุดไม่ได้
“น-นั่นเป็นไปไม่ได้ พรสวรรค์ประเภทไหนกันที่ต้องมีเพื่อที่จะเขต
อัมพรวิญญาณในอายุเท่านั้น ในเมื่อพวกเราทั้งหมดล้วนอายุเกินร้อย
ปี”
เจ้าซีส่ายหน้าและกล่าวว่า “แม้ว่าเขาจะปฏิเสธ ข้าก็เชื่อว่าเขามีอาจารย์
จากทวีปศักด์ิสิทธ์ิกลางที่ลึกลับ มิเช่นนั้นข้าก็มิอาจจะจินตนาการได้
ว่าเขาจะประสบความสำเร็จเช่นนั้นได้อย่างไร”
“อาจารย์จากทวีปศักด์ิสิทธ์ิกลาง…”
บางทีเหตุผลที่พวกเขาไม่สามารถเข้าใจพรสวรรค์ของซูหยางก็
เพราะว่าอีกฝ่ายมีคนจากสถานที่ซึ่งพวกเขาไม่สามารถเข้าใจได้
หนุนหลังอยู่
“ถ้าเจ้ายังคงรู้สึกสงสัย ไปดูลูกชายคนที่สองของตระกูลซู”
“เดี๋ยวก่อน… ตระกูลซู “นั่น” นะรึ” ผู้อาวุโสจงมองดูอีกฝ่ายไม่
อยากเชื่อ
เจ้าซีพยักหน้าและกล่าวว่า “เนื่องมาจากเหตุผลที่ไม่ทราบชัด ซูหยาง
ได้สูญหายไปประมาณหนึ่งปี แต่ทว่าหลังจากที่มีการสืบสวนอย่าง
ลึก ๆ ปรากฏว่าเขาถูกเตะออกจากบ้านและส่งไปยังนิกายกุสุมาลย์
พ้นพิสัยในฐานะศิษย์”
ผู้อาวุโสจงพูดไม่ออก เขาไม่คาดว่าซูหยางจะมีเบื้องหลังซับซ้อน
แบบนั้น
“แม้ว่านั่นจะมิสามารถอธิบายได้ว่าเขาเข้าถึงเขตอัมพรวิญญาณได้
อย่างไร แต่นั่นก็จักสามารถลบล้างความสงสัยทั้งหมดที่ท่านมีต่อ
ตัวตนของเขาได้”
ผู้อาวุโสจงหัวเราะหึด้วยท่าทางยอมแพ้ไม่นานหลังจากนั้นและ
กล่าวว่า “อันดับแรกก็เป็นโอสถสู่ปฐพี ตอนนี้ก็มีรุ่นหลังที่เข้าถึงเขต
อัมพรวิญญาณ ดูเหมือนว่ายุคของการฝึกฝนวิชาแบบใหม่กำลังมาถึง
และการฝึกฝนวิชาของข้าก็ไร้ประโยชน์ ถ้าหากว่าข้าเกิดช้าลงอีกสัก
นิด”
“ถ้าซูหยางมีอายุเพียงสิบเจ็ดปีจริง ก็คงจะมิยากที่จะเชื่อได้ว่าหงอวี้
เอ๋อร์จากสำนักเมฆม่วงก็อยู่ที่เขตอัมพรวิญญาณเช่นกันใช่ไหม”
“หงอวี้เอ๋อร์…” เจ้าซีถอนหายใจหลังจากที่ได้ยินชื่อของเธอและ
กล่าวว่า “บางทีเธอก็อาจจะมีจอมยุทธจากทวีปศักด์ิสิทธ์ิกลาง
สนับสนุนเธอเช่นกัน มันเป็นเหตุบังเอิญอย่างที่สุดที่เธอก็เป็นคู่หมั้น
ของซูหยางด้วยเช่นกัน”
“เดี๋ยวก่อน…”
ผู้อาวุโสจงนวดขมับด้วยความเครียดและกล่าวต่อว่า “หงอวี้เอ๋อร์นี้
เป็นคู่หมั้นของซูหยางรึ”
“จากการสืบสวน ใช่ ข้าได้ส่งชายหนุ่มที่มีปูมหลังทรงอำนาจยาก
ต้านทานสองสามคนเข้าหาเธอแต่พวกเขาล้วนถูกเธอ ซึ่งยืนยันว่ามี
คู่หมั้นแล้ว ถีบออกไปในทันที ข้ายังได้สืบสวนตระกูลหงและเหตุ
ใดพวกเขาจึงได้ซ่อนความจริงไว้ และจริงแล้วหงอวี้เอ๋อร์ได้หมั้น
กับซูหยางนับตั้งแต่อายุยังน้อย”
“อย่างไรก็ตามมิว่าพวกเขามีความสัมพันธ์กันเช่นไร นั่นก็คงจะสนุก
หากได้เห็นว่าพวกเขาจักทำอย่างไรเมื่อต้องอยู่บนเวทีเดียวกัน” เจ้าซี
ยิ้ม
ผู้อาวุโสจงมองดูอีกฝ่ายด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์
เมื่อเจ้าซีสังเกตเห็นเช่นนั้นเขาก็กล่าวว่า “ข้ารู้ว่าท่านคิดอะไร แต่มิ
ว่าจะจับคู่สำนักของท่านอีกครั้งกับใครก็ตาม ผลลัพธ์ก็ยังคงเหมือน
เดิม นอกจากว่าท่านจะมีจอมยุทธเขตอัมพรวิญญาณอยู่ในกลุ่มคน
รุ่นเยาว์”
“ถ้าข้ามีคนแบบนั้น ทั้งโลกก็คงรู้ไปแล้วในตอนนี้” ผู้อาวุโสจงส่าย
หน้า
“ช่างเป็นโชคร้าย แต่ข้าก็จักให้ศิษย์ของข้าต่อสู้ศึกครั้งนี้ที่รู้ผล
เรียบร้อยแล้วก่อนที่มันจะเริ่ม”
“ท่านมิตั้งใจจะบอกพวกเขาเกี่ยวกับซูหยางรึ” เจ้าซีถาม
“จะมีความหมายอะไร รู้ถึงความแข็งแกร่งของเขาก็มิเปลี่ยนอะไร
ทั้งสิ้น ตามจริงมันเพียงแค่ทำให้พวกเขายิ่งผิดหวังกว่าเดิมกว่าตอน
ที่พวกเขาเป็นอยู่นี้กับฟางซีหลาน”
“เฮ้อ…เมื่อมาคิดว่าอำนาจที่มิเคยสั่นคลอนของสำนักกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิ
สุดท้ายก็มาถึงจุดสิ้นสุด… และในทันทีทันใดแบบนี้ ข้าได้ล่วงเกิน
เทพเจ้าในชีวิตก่อนหรืออย่างไรจึงต้องรับผลเช่นนี้” ผู้อาวุโสจงถอน
หายใจลึก
“มิมีอะไรจักคงอยู่ได้ตลอดกาล ความจริงแล้วในอีกไม่กี่สิบปี ข้า
มั่นใจว่าซูหยางจักเหนือกว่าพ่อของข้าซึ่งได้ถึงเขตราชันย์วิญญาณ
ในตำนานในที่สุด ครั้นเมื่อเกิดแบบนั้นขึ้นเขาก็อาจจะกลายเป็น
จักรพรรดิคนถัดไปของทวีปตะวันออก” เจ้าซีกล่าว
“อย่างไรก็ตาม ผู้ฝึกวิชาที่มีอนาคตมิสิ้นสุดล้วนยากทำนาย ใครจะรู้
ว่าเขาจักทำอะไรในอนาคตเมื่อเขาเติบโตขึ้น เขาอาจจะอยู่ที่ทวีป
ตะวันออกในฐานะผู้กุมอำนาจหรือเขาอาจจะท่องเที่ยวไปยังทวีป
อื่นก็เป็นไปได้ เมื่อเห็นว่าอาจารย์ของเขามาจากทวีปศักด์ิสิทธ์ิกลาง
บางทีเขาอาจจะไปที่นั่นก็เป็นไปได้”
“มิว่าอย่างไรนี่ก็เป็นสิ่งที่เขาอาจจะทำ ข้ามั่นใจว่านั่นคงจะสั่นคลอน
ทั้งโลกแน่”
หลังจากนั้นผู้อาวุโสจงก็กลับไปหาศิษย์ของตนเอง
“ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีไหม ท่านเจ้าสำนัก”
พวกเขาถามเขาด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“อย่าเป็นกังวล มิมีอะไรที่ต้องห่วง อย่างไรก็ตามมิว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ในวันพรุ่งนี้ ก็จงเพียงมุ่งมั่นทำให้ดีที่สุดและพยายามอย่าทำตัวงี่เง่า”
ผู้อาวุโสจงกล่าวกับพวกเขา
“ตอนนี้ ข้าปวดหัวมาก ดังนั้นข้าจักขอพักสักวัน”
หลังจากที่เขาหายออกไปจากห้องแล้ว ผู้อาวุโสสำนักก็มองดูหน้า
กันด้วยท่าทางงุนงง
“ถึงกับทำให้จอมยุทธเขตอัมพรวิญญาณปวดหัวได้ นี่ต้องเป็นเรื่อง
หนักหนาแน่นอน”
“แต่น่าเสียดายมิมีอะไรที่พวกเราสามารถทำได้ เพียงหวังว่ามิมีอะไร
เลวร้ายเกินไป ตั้งใจก้าวผ่านพรุ่งนี้ไปโดยมิเสียหน้ามากเกินไปก็
แล้วกัน”
บทที่ 406 เจ้าพวกไร้สาระ
“ยินดีต้อนรับกลับ ท่านเจ้าสำนักจง”
ที่แห่งหนึ่งในเมืองหิมะร่วง ศิษย์สำนักกระบี่ศักด์ิสิทธ์และผู้อาวุโส
สำนักพากันต้อนรับจงเฉาหวงซึ่งเพิ่งกลับจากภารกิจบางอย่างที่เจ้าซี
มอบหมายไว้
“ข้าขอโทษที่กลับมาช้ากว่าที่พูดเพราะว่าข้าวิ่งไปชนเข้ากับสถานการณ์
ไม่คาดคิดบางอย่าง” ผู้อาวุโสจงกล่าวกับพวกเขา
“มิมีความจำเป็นต้องขอโทษพวกเรา ท่านเจ้าสำนัก อย่างไรก็ตาม
ท่านติดธุระก็เพราะคำสั่งของท่านเจ้า”
หนึ่งในผู้อาวุโสสำนักเทน้ำชาให้ขณะที่เขานั่งลง
“อืม…” ผู้อาวุโสจงพยักหน้าหลังจากที่ลิ้มรสชาดี
“มิว่าอย่างไร การแข่งขันรอบแรกสำหรับการแข่งขันระดับภูมิภาค
ของเราควรจะมาถึงในวันพรุ่งนี้ ใครเป็นคู่แข่งของพวกเรา นั่นควร
จะประกาศเรียบร้อยแล้วตอนนี้”
“อือ…”
ผู้อาวุโสสำนักและศิษย์ต่างพากันสบตากันอย่างเป็นกังวล
“มีอะไรรึ” ผู้อาวุโสจงเลิกคิ้วด้วยความสงสัย
เพราะว่าผู้อาวุโสจงอยู่ไกลตลอดเวลามานี้ เขาจึงไม่รู้สถานการณ์กับ
หงอวี้เอ๋อร์และฟางซีหลาน
“คู่ต่อสู้ของพวกเราในวันพรุ่งนี้เป็นนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย…” หนึ่ง
ในผู้อาวุโสสำนักกล่าว
“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยรึ” ผู้อาวุโสจงเกือบพ่นน้ำชาในปากออกมา
หลังจากที่ได้ยินชื่อนี้
“พวกนั้นสามารถอยู่ได้นานถึงปานนี้จริงรึ ไม่น่าเชื่อ” ผู้อาวุโสจง
กล่าวด้วยความประหลาดใจ
“ท่านเจ้าสำนัก ท่านอาจจะยังมิรู้ว่านับตั้งแต่ท่านไปตลอดระยะเวลา
นี้ นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ได้มีพวกสัตว์ประหลาดสองคนในเขต
ปฐพีวิญญาณ หนึ่งในนั้นอยู่ที่ระดับเจ็ด… ในขณะที่เรามีเพียงสาม
และผู้ที่มีระดับสูงสุดอยู่ที่ระดับสาม…”
“อะไรนะ ระดับเจ็ดเขตปฐพีวิญญาณรึ” ผู้อาวุโสจงดวงตาเบิกกว้าง
ด้วยความตระหนก
“นั่นเป็นหญิงสาวชื่อฟางซีหลาน อย่างไรก็ตามนั่นมิใช่ส่วนที่
เลวร้ายที่สุด ถึงแม้ว่าเราอาจจะล้มเธอและนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยลง
ได้ เรายังต้องเจอกับสำนักเมฆม่วง…”
“สำนักเมฆม่วงก็สามารถเข้ามาได้ลึกปานนี้เช่นเดียวกันรึ แม้ว่าพวก
เขาจะดีกว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอย่างเห็นได้ชัดในเรื่องของตำแหน่ง
พวกเขาก็มิควรจะมีความสามารถเข้ามาได้ถึงรอบสี่คนสุดท้าย เกิด
อะไรขึ้นกับสำนักระดับสูงรึ รึว่าพวกเขาล้วนตัดสินใจมิเข้าร่วมการ
แข่งขันระดับภูมิภาคในปีนี้” ผู้อาวุโสจงประหลาดใจอย่างที่สุดกับ
สถานการณ์ในการแข่งขันระดับภูมิภาค ในเมื่อเขาไม่คาดคิดว่า
สำนักระดับสูงทั้งหมดจะพ่ายแพ้ต่อสำนักระดับต่ำเหล่านี้
“ไม่ใช่ พวกเขาพ่ายแพ้ถูกจัดการอย่างยุติธรรม ตามจริงแล้วหนึ่งใน
พวกเขายังถูกถอนตำแหน่ง สำนักเมฆม่วงได้รับตำแหน่งระดับสูง
จากท่านเจ้าเมื่อไม่นานมานี้”
“…”
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ ผู้อาวุโสจงก็กล่าวว่า “ใครกัน ใครเป็น
อัจฉริยะจากสำนักเมฆม่วง”
“เธอชื่อหงอวี้เอ๋อร์ และเธออยู่ในเขตอัมพรวิญญาณ…”
“เขตอำพรวิญญาณรึ” ผู้อาวุโสจงไอน้ำชาในปากออกมาและยืนขึ้น
ด้วยความตระหนก
“พวกเจ้าต้องคิดว่าข้าถูกหลอกได้ง่าย ๆ ในตอนนี้แน่เพราะว่าข้าเริ่ม
แก่ลงใช่ไหม ถ้าจะมีใครในเขตอัมพรวิญญาณในการแข่งขันจริง ๆ
นั่นคงมีมีความหมายในการเป็นเจ้าภาพ” ผู้อาวุโสจงตะโกนอย่าง
โกรธเคือง คิดว่าคนพวกนี้เล่นตลกกับเขา
ถ้าเขตอัมพรวิญญาณเป็นสิ่งที่บรรลุได้ง่าย ๆ จากคนรุ่นหลัง ทั้งชีวิต
ของเขาย่อมไร้ความหมาย
ผู้อาวุโสสำนักต่างพากันสบสายตากันอีกครั้ง
“แต่ท่านเจ้าสำนัก พวกเรามิได้พูดตลก” พวกเขากล่าวกับอีกฝ่ายด้วย
สีหน้าจริงจัง “หงอวี้เอ๋อร์นั้นอยู่ในเขตอัมพรวิญญาณจริง ๆ และเธอ
ก็ยังอายุมิถึงยี่สิบปี พวกเราเห็นด้วยตาของพวกเราเอง”
“พอแล้ว” ผู้อาวุโสจงตัดบทอย่างรวดเร็ว “ข้าจักดูด้วยตนเองว่าเธอ
ใช่ระดับนั้นจริง ๆ หรือไม่ในวันพรุ่งนี้ บอกข้าเกี่ยวกับนิกายกุสุมาลย์
พ้นพิสัยในตอนนี้ ใครเป็นนักสู้ของพวกเขาบ้างและฟางซีหลานเป็น
อย่างไรบ้าง”
แม้ว่านั่นเกือบจะเป็นเรื่องไม่น่าเชื่อที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจะมีคน
ที่อยู่ในเขตปฐพีวิญญาณระดับเจ็ด แต่ก็น่าเชื่อมากกว่ารุ่นเยาว์ที่เข้า
ถึงเขตอัมพรวิญญาณก่อนอายุยี่สิบปี อย่าว่าแต่พวกนั้นยังมีซูหยาง
เช่นกัน ซึ่งเป็นจอมกระบี่ที่สุดหยั่งคาดกระทั่งในสายตาของพวกเขา
“นอกจากพวกเขาจะมีนักสู้สองคนนั้น คนที่เหลือล้วนอยู่ในเขต
สัมมาวิญญาณยกเว้นคนหนึ่งที่อยู่เพียงเขตคัมภีร์วิญญาณ คนแรกที่
อยู่ในเขตปฐพีวิญญาณชื่อซุนจิงจิง และเธออยู่ที่ระดับสอง ส่วน
สำหรับฟางซีหลานเธอเผยให้เห็นว่าอยู่ที่ระดับเจ็ดเมื่อสองวันก่อน”
ผู้อาวุโสสำนักเริ่มอธิบาย
“จากที่กล่าวมาแล้วนั้น ข้าได้ตรวจสอบดูความสามารถของพวกเธอ
ในสองสามวันมานี้และตระหนักว่านอกจากจะมีพลังการฝึกปรือที่
ตราตรึงใจแล้ว วิชาและประสบการณ์ความสามารถในการต่อสู้
โดยรวมนั้นยังขาดอยู่”
“ดังนั้น เราจึงมิต้องกังวลเกี่ยวกับศิษย์ของพวกเขาที่อยู่ในเขตสัมมา
วิญญาณ สำหรับผู้ที่อยู่ในเขตปฐพีวิญญาณสองคนนั้น พวกเราเพียง
สามารถลากถ่วงการต่อสู้และทำให้พลังปราณของพวกเธอหมดไป
มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ก่อนที่จะส่งศิษย์ของพวกเราในเขตปฐพี
วิญญาณออกไป”
“แต่…”
“แต่อะไรรึ” ผู้อาวุโสจงเลิกคิ้ว
“ศิษย์ที่อยู่ในเขตคัมภีร์วิญญาณ… เขาเป็นคนประหลาดคนหนึ่ง”
“ประหลาดรึ ยังไง” เขาถาม
“ถึงแม้ว่าเขาจะอยู่เพียงในเขตคัมภีร์วิญญาณ เขาสามารถที่จะเอาชนะ
อัจฉริยะในเขตปฐพีวิญญาณจากนิกายดอกบัวเพลิงได้ และมิมีใคร
ในหมู่พวกเราที่สามารถมองเห็นความสามารถที่แท้จริงของเขาได้
โดยพื้นฐานแล้วเขาลึกล้ำสุดหยั่ง”
“อะไรกัน คนที่อยู่ในเขตคัมภีร์วิญญาณเอาชนะคนที่อยู่ในเขตปฐพี
วิญญาณรึ นี่เป็นเรื่องไร้สาระอะไรกันที่พวกเจ้าพ่นออกมาอีก นี่ยิ่ง
ไม่น่าเชื่อยิ่งกว่าคนรุ่นเยาว์เข้าถึงเขตอัมพรวิญญาณเสียอีก” ผู้อาวุโส
จงเย้ยพวกเขา
“นั่นเป็นเรื่องจริง ท่านเจ้าสำนัก พวกเราทั้งหมดอยู่ที่นั่นล้วนได้เห็น
บางทีเขาอาจจะฝึกวิชาปีศาจบางอย่าง แต่พลังของเขานั้นลึกล้ำลึกลับ
มากเกินไป” ผู้อาวุโสสำนักแสดงสีหน้าขื่นขม เมื่อพวกเขาล้วน
ตระหนักว่ามันฟังดูไร้สาระเพียงใดที่พวกเขาพูดออกมาในตอนนี้
“ถ้าข้าจำมิผิด ชายหนุ่มคนนั้นชื่อว่า ซูหยาง…”
“อะไรนะ!!!!!!!”
ผู้อาวุโสจงตะโกนเสียงดังจนกระทั่งทุกคนที่นั่นรู้สึกแก้วหู
สั่นสะเทือน
“ป-ป-ป-เป็นไปไม่ได้ มิมีทางที่เขาจะสามารถเข้าสู่การแข่งขันได้!!”
เขาตะโกนออกมาอีก
ไม่ว่าอย่างไร เขาจะไม่ประหลาดใจเลยถ้าซูหยางอายุมากกว่าเขา
“แค่นี้แหละ เดี๋ยวข้ากลับมา” ผู้อาวุโสจงกล่าวก่อนที่จะพุ่งไปยัง
ทางออก
“เอ๋ ท่านจะไปไหน ท่านเจ้าสำนัก”
“ไปพูดกับท่านเจ้า”
“ทำไมกัน….”
ผู้อาวุโสสำนักพึมพัมด้วยเสียงงุนงงเมื่อร่างของผู้อาวุโสจงหายไป
จากที่แห่งนั้น
Dual Cultivation บทที่ 405: เข้าสู่รอบสี่สำนักสุดท้าย
หลังจากผ่านการฝึกวิชาคู่ไปหลายชั่วโมง ซุนจิงจิงก็หลับไปบนเตียงในขณะที่ซูหยางนั่งฝึกฝนปราณหยินที่เขาได้รับมา
เวลาผ่านไป โหลวหลานจีก็เคาะประตูห้องและกล่าวว่า “ซูหยางการต่อสู้รอบถัดไปของพวกเราได้ประกาศออกมาแล้ว”
ซูหยางหยุดการฝึกและเปิดประตู
“เราจะสู้กับใครในวันพรุ่งนี้” เขาถาม
“หอผู้พิทักษ์”
“มิเคยได้ยินมาก่อน” ซูหยางยักไหล่ไม่ใส่ใจ
“พวกเขาเป็นสำนักระดับสูงอีกที่หนึ่ง แต่ด้วยซุนจิงจิงและฟางซีหลานอยู่ฝ่ายเรา เรามิจำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับพวกเขา ในเมื่อมีศิษย์เพียงแค่คนเดียวที่อยู่ในเขตปฐพีวิญญาณ แต่ว่าสิ่งที่ตามมาหลังจากที่เราเอาชนะหอผู้พิทักษ์ดูเหมือนจะเป็นปัญหา เพราะว่าพวกเรามีโอกาสสูงที่จะต้องสู้กับสำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ก็สำนักเมฆม่วง”
“แม้ว่าฟางซีหลานอาจจะมีความได้เปรียบทางด้านพลังการฝึกปรือ แต่ศิษย์ของสำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ล้วนแต่เป็นนักสู้ยอดฝีมือมีประสบการณ์มากกว่าศิษย์ของพวกเรานับไม่ถ้วนในด้านของการต่อสู้ และประสบการณ์นั้นอาจจะสามารถลบล้างความได้เปรียบในการแข่งขันครั้งนี้ของพวกเราซึ่งก็คือพลังการฝึกปรือที่เหนือกว่าได้”
“สำหรับสำนักเมฆม่วง… ข้ามิจำเป็นต้องกล่าวถึง…”
ซูหยางพยักหน้า “จริง แม้ว่าพวกเราอาจจะมีความได้เปรียบในด้านพลังการฝึกปรือ แต่แท้จริงแล้วศิษย์ของพวกเราก็มิมีประสบการณ์ในการต่อสู้มากนัก แต่ถึงแม้ว่าความแตกต่างนั้นอาจจักทำให้สิ่งต่างๆยากขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย ข้าก็มีความมั่นใจในเหล่าศิษย์ของพวกเราพอสมควร”
แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดกับโหลวหลานจี นอกจากการฝึกวิชาร่วมแล้วซูหยางก็ได้ฝึกเหล่าศิษย์ด้วยวิชากระบี่เช่นกัน กระทั่งยังประลองกับพวกเธอเป็นบางครั้ง
และแม้ว่านั่นอาจจะไม่เพียงพอในการทำให้พวกเธอเป็นจอมกระบี่ผู้ช่ำชอง แต่แน่นอนว่าพวกเธอย่อมใกล้เคียงกับศิษย์สำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ในด้านของสำนึกกระบี่ บางทีอาจจะเหนือกว่าด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตามซูหยางก็เคยเป็นจอมกระบี่ที่มีชื่อเสียงมาก่อนที่เขาจะกลายเป็นนักเลงผู้หญิงที่มีชื่อเสียง ซึ่งเขาได้ฝึกกับกระบี่นับร้อยชั่วโมงในเวลานั้น ประสบการณ์ด้านกระบี่ไม่ใช่สิ่งที่จอมยุทธหรือจอมกระบี่ในสำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์จะสามารถเข้าใจได้ อย่าว่าจะเปรียบเทียบ
“ว่าแต่ซุนจิงจิงสบายดีหรือไม่ เธอดูแปลกไปอยู่บ้างหลังจากการพูดคุยกับพ่อแม่ของเธอ” โหลวหลานจีพลันถาม
ซูหยางกวาดสายตาไปที่ซุนจิงจิงซึ่งหลับอย่างเป็นสุขและกล่าวว่า “อย่างที่เห็น เธอสบายดี”
เมื่อเห็นใบหน้าหลับเป็นสุขของซุนจิงจิง โหลวหลานจีพยักหน้าด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
“อีกอย่างหนึ่ง..อย่าคิดว่าข้าลืมเรื่องที่เจ้าสัญญาว่าจะสอนข้าวิชานั้น”
โหลวหลานจีกล่าว อ้างถึงวิชาที่เขาสอนเหล่าศิษย์ก่อนการต่อสู้กับนิกายดอกบัวเพลิง
“ดูเหมือนว่าข้าจะมีเวลาว่างอยู่บ้างในตอนนี้” เขากล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“เช่นนั้นเจ้ารออะไรอยู่ ไปร่วมฝึกวิชากันเถอะ” โหลวหลานขีกล่าวก่อนที่จะลากซูหยางไปอีกห้องหนึ่ง ที่ซึ่งพวกเขาจะได้ร่วมฝึกด้วยกันจนถึงวันถัดไป
เช้าวันต่อมานิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็มุ่งหน้าไปยังโคลีเซียมดังเช่นปกติก่อนที่จะรอถึงตาตนเองขึ้นไปบนเวที
สำนักเมฆม่วงเป็นกลุ่มแรกที่ต่อสู้บนเวทีในวันนั้น และดังเช่นที่ทุกคนคาดคิด หงอวี้เอ๋อร์ก็เอาชนะคู่ต่อสู้ทั้งหมดของพวกเขาโดยไม่มีเหงื่อแม้สักหยดบนตัวเธอ
หลังจากการแข่งขันของสำนักเมฆม่วงแล้ว ก็เป็นผาทะเลใหญ่กับหอแสงสัมพันธ์ ซึ่งเป็นหอแสงสัมพันธ์ที่เป็นผู้ชนะ
นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเป็นคู่ถัดไปและเป็นคู่สุดท้ายของวันนั้น
ศิษย์หลินนาขึ้นไปเป็นคนแรกและเอาชนะคู่ต่อสู้สองคนก่อนที่จะลงจากเวที
ศิษย์คนต่อไปของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยที่ต่อสู้เป็นเด็กสาวชื่อว่า เล่ยถิงจี ซึ่งสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้หนึ่งคนก่อนที่จะลงจากเวที
ครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็เอาชนะหอผู้พิทักษ์ เข้าสู่รอบสี่สำนักสุดท้ายของการแข่งขันระดับภาค
“จบการแข่งขันในวันนี้ อย่างไรก็ตามก่อนที่พวกเราทั้งหมดจะไปจากสถานที่นี้ ขอให้ข้ากล่าวคำพูดอะไรสักเล็กน้อย” ซื่อตงกล่าวกับทุกคน
“อันดับแรกและสำคัญที่สุด ขอแสดงความยินดีกับทุกคนที่ซึ่งสามารถเข้าสู่รอบสี่สำนักสุดท้ายได้ ความสำเร็จของพวกท่านล้วนเป็นผลลัพธ์จากการสอนของผู้อาวุโสสำนักรวมไปถึงความพยายามของสำนักและศิษย์ร่วมมือกัน”
“ตอนนี้ในเมื่อพวกเราจะเข้าสู่รอบสี่สำนักสุดท้ายในวันพรุ่งนี้ สำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ แชมป์ของการแข่งขันระดับภูมิภาคครั้งที่แล้วก็จะเข้าร่วมกับพวกเราในที่สุด”
“โออออออ”
ฝูงชนพากันโห่ร้องด้วยความตื่นเต้นเมื่อชื่อของสำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ได้ถูกกล่าวถึง ในเมื่อสถานะของพวกเขานั้นเกือบหาใครเทียบได้ภายในทวีปตะวันออก
สำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นั้นมีมานานนับตั้งแต่ผู้คนจำความได้ และพวกเขาก็ครอบครองการแข่งขันระดับภูมิภาคด้วยตำแหน่งอันดับหนึ่งมาโดยตลอดนับตั้งแต่การแข่งขันครั้งแรก
ยิ่งไปกว่านั้น สำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นส่วนหนึ่งของอำนาจทางการทหารของตระกูลซีด้วยเช่นกัน ดังนั้นพวกเขาจึงได้รับการสนับสนุนจากตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาคนี้ ไม่ถือว่าเป็นการโอ้อวดหากจะกล่าวว่าสำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์เป็นเพียงที่สองรองจากตระกูลซี
“ท่านเจ้าซีจักประกาศการแข่งขันสำหรับวันพรุ่งนี้” ซื่อตงกล่าวหลังจากนั้นชั่วขณะ
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ เจ้าซีก็กล่าวว่า “สำนักเมฆม่วงและหอแสงสัมพันธ์จักต่อสู้กันเป็นคู่แรก นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยกับสำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์จักต่อสู้กันหลังจากนั้น”
เมื่อผู้ชมได้ยินการจับคู่ พวกเขาก็เริ่มคาดเดาว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจะสามารถเอาชนะสำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ได้หรือไม่ ขณะที่สำนักเมฆม่วงนั้นมั่นใจได้เลยว่าต้องเอาชนะการแข่งขันได้แน่นอน
“ถ้ามิใช่เพราะว่าซุนจิงจิงและฟางซีหลาน นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยย่อมมิสามารถเผชิญหน้ากับสำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ได้”
“อย่างไรก็ตามในเมื่อพวกเขามีอัจฉริยะสองคนนี้ พวกเขาอาจจะมีโอกาสชนะการแข่งขันนี้จริงๆก็เป็นไปได้”
“ข้าต้องการพนันว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจักเอาชนะได้ในการแข่งขันวันพรุ่งนี้”
“เป็นไปไม่ได้ แม้ว่าพวกเขาอาจจะมีพลังการฝึกปรือที่น่าประทับใจ ผู้คนสามารถบอกได้จากการแข่งขันก่อนหน้านี้ว่าพวกเขาขาดประสบการณ์ อีกอย่างสำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ล้วนฝึกฝนมาอย่างหนักโดยจอมกระบี่ที่มีคุณสมบัติยอดเยี่ยมที่สุดในโลก ความแตกต่างนั้นเห็นได้ชัด และสำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์จะกดดันพวกเขา”
ไม่เหมือนก่อนหน้านั้น ผู้คนไม่มีใครที่จะประมาทนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอีกต่อไป อย่างที่กล่าวไปแล้วนั้นผู้คนส่วนใหญ่ยังคงไม่เชื่อว่าพวกเขาจะสามารถเอาชนะสำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ สำนักอันดับหนึ่งในโลก ในสายตาของคนหลายๆคน
Dual Cultivation บทที่ 404: เจ้าเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดหรือไม่
“นี่หรือคือผนึกตระกูล… มันเป็นอะไรที่ช่างตราตรึงใจ” ซุนจิงจิงลูบตัวอักษรซูที่หัวหน่าวของเธออย่างแผ่วเบา รู้สึกถึงอารมณ์ที่ไม่สามารถอธิบายออกมาได้ในเวลานั้น
“อืม… ข้าควรทำอะไรต่อไป ซูหยาง” ซุนจิงจิงหันไปถามเขา
“เพียงทำสิ่งต่างๆอย่างที่เจ้าเคยทำ การมีผนึกตระกูลมิได้หมายความว่าเจ้าจักต้องทำตัวแตกต่าง” เขากล่าว
“อย่างนั้นรึ… ถ้าเช่นนั้นท่านยินดีที่จะรับศิษย์คนอื่นเข้าสู่ตระกูลของท่านด้วยหรือไม่ถ้าพวกเธอขอ” เธอพลันถามเขา
ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “ชั่วชีวิตของข้า ข้าได้ฝึกวิชาร่วมกับสาวสวยมากกกว่าแสนคน แต่ทว่ามีมิถึงร้อยคนที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของตระกูลข้าอย่างแท้จริง”
“เดี๋ยวก่อน… อะไรนะ แสนคน” ซุนจิงจิงมองดูเขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง ดูเหมือนจะสับสนกับตัวเลขที่เขาอ้างออกมาเกินจริง
ซูหยางพยักหน้าและกล่าวต่อว่า “ในเมื่อเจ้าตอนนี้เป็นส่วนหนึ่งของตระกูลข้าแล้ว ดังนั้นจึงมิมีเหตุผลที่จะมิบอกความจริงต่อเจ้า ซึ่งเจ้าจักต้องรู้เรื่องนี้ไม่ช้าก็เร็ว”
ซุนจิงจิงทำท่ากลืนน้ำลายและคอยฟังเขาพูดต่ออย่างกระสับกระส่าย
“ก่อนที่ข้าเริ่ม ข้าต้องถามเจ้าคำถามหนึ่ง เจ้าเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดหรือไม่”
ซุนจิงจิงครุ่นคิดชั่วขณะแล้วกล่าวว่า “แม้ว่าหลายคนจะเชื่อว่าเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดมีจริง แต่แท้จริงแล้วก็มิมีใครที่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามันมีจริงหรือไม่…”
ซุนจิงจิงพลันตระหนักถึงอะไรบางอย่างและหันไปมองดูซูหยางด้วยดวงตาเบิกกว้าง
“อ-อย่าบอกนะว่าท่าน…”
ซูหยางพยักหน้าและกล่าวว่า “นี่มิใช่ชีวิตแรกของข้า ในเมื่อข้ามีความทรงจำของชีวิตก่อนของข้าอยู่”
“มิมีทาง…” ซุนจิงจิงตกตะลึงเนื่องจากไม่อยากจะเชื่อ
“ก่อนที่จะถือกำเนิดในโลกนี้ ข้าได้เกิดขึ้นในสถานที่เรียกว่า สรวงสวรรค์ หนึ่งในสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ แต่ทว่าหลังจากเหตุการณ์หนึ่งที่กระทั่งข้าเองก็มิสามารถอธิบายได้เกิดขึ้น ข้าก็ตื่นขึ้นมาในโลกนี้ในร่างปัจจุบันของข้า”
“ช-เช่นนั้นท่านก็มิใช่ซูหยาง” เธอถามเขา ใบหน้าของเธอเห็นชัดว่ายังคงพยายามทำความเข้าใจกับสถานการณ์
“เปล่า ข้าเป็นซูหยางจริง บังเอิญว่าข้าเกิดในโลกนี้ด้วยชื่อและหน้าตาเดิมเช่นเดียวกัน นั่นมิได้เป็นการโอ้อวดหากจะกล่าวว่าข้าในตอนนี้เหมือนตัวข้าในชีวิตก่อนเมื่อตอนอ่อนเยาว์”
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ ซูหยางก็ถามเธอว่า “เจ้ารู้สึกเสียใจหรือไม่ที่ได้เข้าร่วมกับตระกูลของข้าในตอนนี้”
ได้ยินคำถามของเขา ซุนจิงจิงส่ายหน้าเธออย่างรวดเร็ว “แน่นอนว่าไม่ ตามจริงข้ายิ่งตื่นเต้นกว่าเดิมที่รู้ว่าข้าได้เป็นคนของผู้ที่มีปูมหลังที่ไม่ธรรมดาเช่นนั้น”
“นี่ยังคงอธิบายได้ว่าทำไมท่านจึงช่างมีประสบการณ์เรื่องการฝึกคู่และสิ่งอื่นทั้งหมด” ซุนจิงจิงพยักหน้าราวกับว่าสุดท้ายเธอก็พบชิ้นส่วนปริศนาที่หายไป
หลังจากนั้นซุนจิงจิงก็พูดกับเขาว่า “ซูหยาง ท่านสามารถบอกข้าเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตก่อนของท่านได้หรือไม่ ข้าอยากรู้เกี่ยวกับโลกที่เรียกว่าสรวงสวรรค์มากกว่านี้”
ซูหยางพยักหน้าและกล่าวว่า “สรวงสวรรค์เป็นหนึ่งในสี่สวรรค์หลักที่เรียกว่า สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ ที่ตั้งอยู่ในที่แห่งใดแห่งหนึ่งในจักรวาลนี้ และมันเป็นสถานที่ที่ซึ่งผู้ฝึกยุทธมีพลังการฝึกปรือที่เจ้ามิอาจหยั่งถึงเตร็ดเตร่อยู่ที่นั่น”
“ปฐพีวิญญาณ อัมพรวิญญาณ นี่มิต่างไปจากขยะในสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ที่ซึ่งเซียนอมตะเต็มท้องถนนและเทพผู้ทรงอิทธิฤทธิ์ท่องเที่ยวไปบนฟากฟ้าดาราพราว”
ซุนจิงจิงดวงตาลุกโพลงไปด้วยความตื่นเต้น เธอถามว่า “เช่นนั้นแล้วท่านล่ะ ท่านเป็นเซียนในชีวิตก่อนด้วยใช่ไหม”
ซูหยางพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ข้าเป็นเซียนดึกดำบรรพ์ในชีวิตก่อน อีกเพียงก้าวเดียวก่อนที่จะเข้าสู่ความเป็นเทพ แต่อนิจจา…”
“เซียนดึกดำบรรพ์รึ เก่งกาจขนาดไหนหากเทียบกับเขตอัมพรวิญญาณ”
“เอาเป็นว่า ข้าสามารถบี้ผู้ฝึกยุทธเขตอัมพรนับล้านได้โดยมิต้องยกนิ้วขึ้น”
“เก่งกาจมากขนาดนั้นเลยรึ” ซุนจิงจิงไม่สามารถบอกได้ว่าเขาโม้หรือว่าเขาพูดความจริง ในเมื่อเธอขาดความรู้ความเข้าใจที่จะทำเช่นนั้น ในใจของเธอ เขตอัมพรวิญญาณถือว่าเป็นจุดสูงสุดของเส้นทางการฝึกฝนและสิ่งที่นอกเหนือกว่านั้นเป็นสิ่งที่เกินความเข้าใจของเธอ
“ซูหยาง ท่านได้เคยคิดที่จะกลับไปโลกนั้นหรือไม่” ซุนจิงจิงพลันถามเขา
สีหน้าเคร่งขรึมปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูหยาง และเขาก็พยักหน้าอย่างช้าๆ “ทุกวันข้าคิดเกี่ยวกับการกลับไป แต่อนิจจา ข้ายังมิอาจค้นพบทางกลับ แต่มิต้องกังวล ข้าย่อมต้องหาวิธีกลับไปโลกของข้าได้อย่างแน่นอน และเมื่อข้าทำเช่นนั้น…”
“อืม… เมื่อท่านพบทางไปที่นั่น ท่านยินดีที่จะพาข้าไปกับท่านหรือไม่” ซุนจิงจิงถามเขาด้วยใบหน้าเป็นกังวล
ซูหยางดูเธอและหัวเราะหึ “ทำไมเจ้าถามข้าเรื่องนั้นในตอนนี้ ต่อให้เจ้ามิขอข้าก็จักขอให้เจ้าไปกับข้า แต่เจ้ามั่นใจรึ แล้วเรื่องตระกูลของเจ้าในโลกนี้จะเป็นอย่างไร”
“ข้ามิใช่เด็กหญิงตัวน้อยที่พวกเขาจักต้องดูแลอีกต่อไป พวกเขาย่อมอยู่ได้แม้ว่าจะปราศจากข้า อย่างไรก็ตามข้าต้องการมั่นใจว่าตระกูลของข้าจักมีชีวิตอยู่อย่างดีหลังจากที่ข้าไปแล้ว”
ซูหยางพลันกล่าวว่า “อย่ากังวล ข้ายินดีรับรองเจ้าว่าพวกเขาจักมีชีวิตอยู่อย่างไร้ความกังวลในอนาคตอันใกล้นี้”
“จริงรึ”
เขาพยักหน้าและกล่าวต่อว่า “ข้าจักช่วยเหลือพวกเขาเป็นอันดับแรกด้วยการจัดการกับตระกูลมู่ที่เป็นเข็มทิ่มตำตระกูลเจ้า”
“ท่านมีความตั้งใจจะทำอะไรกับพวกนั้น” ซุนจิงจิงดูเขาพร้อมทำตาโต
“ข้ามิทำอะไรพวกนั้นด้วยตนเอง ถ้าพวกนั่นมิได้ทำอะไรโอหังเกินไป แต่ทว่าข้าสามารถกำจัดอิทธิพลในวงการธุรกิจได้อย่างง่ายๆด้วยการทำให้ตระกูลซุนของเจ้ามีอิทธิพลมากยิ่งไปกว่าพวกนั้น”
“กำจัดอิทธิพลพวกนั้นด้วยการทำให้ตระกูลของข้ามีอิทธิพลมากกว่างั้นรึ ท่านวางแผนที่จะทำเช่นนั้นอย่างไร”
“จริงแล้วเป็นเรื่องง่ายๆ ทั้งตระกูลซุนและตระกูลมู่ล้วนเกี่ยวข้องกับยาใช่ไหม ข้ามีตำรับยามากมายที่สามารถสั่นคลอนวงการปรุงยาในโลกนี้ถ้าเผยออกไป และถ้าข้าให้ตระกูลซุนไปสองสามตำรับ แน่นอนว่าพวกเขาจักต้องผูกขาดตลาดทั้งหมดโดยมิมีคู่แข่ง”
ได้ยินเช่นนี้ ซุนจิงจิงก็มองดูเขาด้วยท่าทางแปลกๆ และถามว่า “ซูหยาง… อย่าบอกข้าว่าท่านมีอะไรเกี่ยวข้องกับโอสถสู่ปฐพี”
ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “เอ้อ ข้าเป็นคนแนะนำพวกมันให้กับหวังชูเหริน”
“ท่านเป็นนักปรุงยาลึกลับนั่นมาโดยตลอด”
“เจ้าคิดว่าข้ารู้เพียงแค่วิธีการเอาใจสตรีรึ มีหลายอย่างที่ข้ารู้ที่เจ้ายังคงมิตระหนักถึง แต่อย่ากังวล เจ้าจักรู้เกี่ยวกับข้ามากขึ้นมิช้าก็เร็ว”
ซุนจิงจิงเผยให้เห็นรอยยิ้มอบอุ่นหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเขา นี่เป็นครั้งแรกที่ซูหยางเหมือนจะ “เปิดเผย” ให้กับเธออย่างแท้จริง และเธอก็สามารถรู้สึกถึงความเชื่อใจที่เขามีต่อเธอ ในอดีตซูหยางในสายตาเธอนั้นจะปกคลุมไปด้วยความลึกลับ ราวกับว่าเขาปฏิเสธที่จะเปิดใจให้กับคนอื่น
“ซูหยาง ท่านกอดข้าได้ไหม” เธอพลันขอร้องเขาพร้อมหน้าแดงเล็กน้อย
ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “เจ้าต้องการซูหยางคนปัจจุบันกอดเจ้า หรือว่าเจ้าต้องการประสบการณ์จากซูหยาง “อีกคน”
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ ซุนจิงจิงก็กล่าวว่า “ถ้าเป็นไปได้ ข้าอยากจะเห็นว่าท่านเป็นอย่างไรก่อนหน้านี้”
“มิต้องกล่าวแล้ว…” ซูหยางพลันนำยาแปลงโฉมออกมาและกลืนเข้าไป
ไม่นานหลังจากนั้น ใบหน้าซูหยางก็เปลี่ยนเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเดิม องคาพยบบนใบหน้ายิ่งดูดีกว่าเดิมและสภาพร่างกายโดยรวมก็สูงใหญ่ขึ้น ดูเป็นผู้ใหญ่
“…”
เมื่อซุนจิงจิงเห็นรูปร่างหน้าตาใหม่ของซูหยาง กรามของเธอก็อ้าค้างด้วยความตกตะลึง เธอไม่คิดว่าจะเป็นไปได้ที่เขาจะสามารถหล่อเหลายิ่งกว่าที่เขาเป็น แต่หลังจากที่เห็นซูหยางนี้ ทั่วทั้งร่างกายของเธอก็มีปฏิกิริยาตื่นเต้นและความปรารถนาอันร้อนแรง
เพียงแค่เหลือบดูซูหยางก็ทำให้น้องสาวของเธอน้ำลายไหลเปียกแฉะจากความปรารถนา
“อย่าเพิ่งสลบไป ยังคงมีอีกหลายสิ่งที่จะตามมา…” ซูหยางกล่าวขณะที่เขาถอดเสื้อผ้าออกอย่างช้าๆอีกครั้ง แสดงให้ซุนจิงจิงเห็นแท่งขนาดมหึมาที่อยู่ระหว่างขา
“โอ สวรรค์…” ซุนจิงจิงเกือบหลั่งปราณหยินเพียงแค่มองดูแท่งศักดิ์สิทธิ์ของเขา
เธอแทบอดใจไม่ไหวที่จะลิ้มลองดูว่าจะมีความรู้สึกเป็นอย่างไรหากว่ามีแท่งอสูรประเภทนั้นเข้าไปอยู่ในตัวเธอ กล่าวว่า “ได้โปรด… เพียงสอดมันเข้าไปในตัวข้า ข้าต้องการมันตอนนี้”
ซูหยางพยักหน้าและตรงเข้าไปหาเธออย่างช้าๆ
Dual Cultivation บทที่ 403: ผนึกตระกูลซูหยาง
“ทำไมเจ้าจึงบอกพวกเขาว่าเจ้าจะรับคำขอของตระกูลมู่ในเมื่อเห็นชัดว่าเจ้าจักมิทำเช่นนั้น” ซุนเฉียนถามภรรยาของเขาหลังจากที่พวกเขาออกจากโรงเตี๊ยมแล้ว
“นอกจากรู้สึกอยากจะแกล้งลูกสาวพวกเราที่มิสนใจข้าและเข้าร่วมกับนิกายกุสุมาลย์แล้ว ข้าคิดว่าอย่างอื่นก็มิมีอะไรอีก” ซุนเหรินกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า
แน่นอนว่าซุนเหรินไม่มีเจตนาที่จะรับคำขอของตระกูลมู่ แต่เธอต้องการที่จะแก้แค้นนิสัยดื้อของซุนจิงจิง ดังนั้นจึงเป็นเหตุให้เธอโกหกเรื่องคำขอ
อย่างไรก็ตามเธอไม่คิดว่าซุนจิงจิงจะไม่มีปฏิกิริยาต่อเรื่องนี้ ไม่แม้จะโกรธ เป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดอย่างแท้จริงที่อีกฝ่ายมีท่าทางเป็นผู้ใหญ่และเยือกเย็นเช่นนั้นในเวลานั้น
“บางทีชายหนุ่มนั่นอาจจะมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นเช่นกัน” ซุนเหรินพึมพัมกับตนเอง
“ไม่อยากเชื่อเจ้าจริงๆ…” ซุนเฉียนส่ายหน้า
ในเวลนั้นกลับไปที่โรงเตี๊ยม โหลวหลานจีถามพวกเขา “ ทุกสิ่งเป็นไปด้วยดีไหม เจ้าสามารถจัดการเรื่องของพ่อแม่เจ้าได้หรือไม่”
“เรียบร้อยดีเจ้าค่ะ ท่านผู้นำนิกาย” ซุนจิงจิงพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม
“นั่นเป็นเรื่องที่น่ายินดี เช่นนั้นข้าจักปล่อยให้พวกเจ้าทั้งคู่อยู่กันตามลำพังในวันนี้” โหลวหลานจีกล่าวก่อนที่จะปล่อยพวกเขาทิ้งไว้ตามลำพังภายในห้อง
ความเงียบปกคลุมห้องหลังจากที่โหลวหลานจีจากไปแล้ว แต่ซุนจิงจิงก็ทำลายความเงียบไม่นานหลังจากนั้น
“ซูหยาง… ข้าต้องขอโทษสำหรับวันนี้ ท่านมิจำเป็นต้องถือพ่อแม่ข้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งแม่ข้าซึ่งปกติจะพูดทุกอย่างที่อยู่ในใจเธออยู่แล้ว เพียงแค่มิสนใจสิ่งที่พวกเขาพูดในวันนี้”
“…”
หลังจากเงียบไปอีกชั่วขณะ ซูหยางก็มองสบตาเธอและกล่าวด้วยเสียงชัดเจนว่า “แต่ข้าหมายความตามที่ข้าพูดทุกคำ ถ้าเจ้าต้องการที่จะเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลข้าจริงๆ ข้าย่อมไม่ปฏิเสธ”
“จ-จริงรึ” ซุนจิงจิงปิดปากของตนเองเต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์
“อย่างไรก็ตามนี่มิได้เป็นตระกูลเล็ก ตามความเป็นจริงยังมีคนอื่นอีกมาก แม้ว่าเจ้ายังมิเคยพบกับพวกเธอ แต่พวกเธอก็มีตัวตนอยู่ในที่ห่างไกลออกไป”
“ข้ามิสน” ซุนจิงจิงพลันกล่าวโดยไม่ลังเล “ต่อให้มีคนอื่นอีกนับร้อย ข้าก็ยังคงยินดีที่จะเข้าร่วม”
แม้ว่าชายหนึ่งคนจะมีภรรยาหลายคนจะไม่ได้เป็นเรื่องปกติในโลกนี้ แต่แน่นอนว่าก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ร่ำรวยและแข็งแกร่งในยุทธภพ ตามความเป็นจริงยิ่งคนผู้นั้นแข็งแกร่งมากเพียงใดโอกาสที่จะมีฮาเร็มก็มากเพียงนั้น ในเมื่อนั่นย่อมยอมให้พวกเขาได้ให้กำเนิดอัฉริยะในตระกูลมากขึ้นเพียงนั้น
“ตราบเท่าที่ข้ายังคงเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเขา ตราบเท่าที่เขายังมิทิ้งข้า ข้ามิสนต่อให้ข้าเป็นเพียงคนหนึ่งในคู่ครองมากมายของเขา…” ซุนจิงจิงคิดในใจขณะที่เธอจ้องเขม็งไปยังซูหยาง
หลังจากที่เงียบไปสองสามนาที ซูหยางพลันยืนขึ้นและปล่อยชุดคลุมหลุดจากร่าง เผยให้เห็นน้องชายที่แข็งเกร็ง
ซุนจิงจิงมองดูเขาพร้อมกับเลิกคิ้ว
“ถ้าเจ้าต้องการที่จะเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลข้าจริงๆ เช่นนั้นก็รับผนึกตระกูลของข้า”
“ผนึก… ตระกูลรึ คืออะไรกัน” ซุนจิงจิงเอียงคอด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ ในเมื่อเธอไม่เคยได้ยินศัพท์คำนี้มาก่อน
“เป็นประเพณีทั่วไปในเมืองเกิดข้า ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นตระกูลที่มีชายเพียงคนเดียวในบ้านโดยที่เหลือเป็นภรรยาหรือไม่ก็อนุภรรยา” ซูหยางกล่าว เมืองเกิดของเขาก็คือสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์
“ก่อนที่คนหนึ่งจะถือว่าเป็นคนในตระกูล พวกเธอจะต้องยอมรับผนึกตระกูลก่อน ซึ่งจักสร้างขึ้นผ่านการฝึกวิชาร่วมด้วยปราณหยางของชาย”
“ครั้นเมื่อผนึกตระกูลประทับบนร่างของเจ้า เจ้าจักต้องทำตามกฏตระกูล ถ้าเจ้าตัดสินใจที่จะทำลายกฏหรือทรยศข้า ผนึกตระกูลจักทำลายพลังการฝึกปรือของเจ้าอย่างสิ้นเชิงหรือไม่ก็ฆ่าเจ้าในทันที แน่นอนว่าถ้าเจ้าถ้าเจ้ารู้สึกว่าเจ้ามิต้องการที่จะเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลอีกต่อไป ข้าสามารถช่วยเจ้านำเอาผนึกตระกูลออกซึ่งจะมิมีผลต่อเจ้าแต่อย่างใด”
“เจ้าต้องการที่จะได้ยินกฏหรือไม่” ซูหยางพลันถาม
ซุนจิงจิงพยักหน้าทันใด
“หนึ่ง เจ้าจักต้องมิฝึกฝนวิชาร่วมกับชายอื่นใดนอกจากข้าตราบเท่าที่เจ้ายังเป็นสมาชิกของตระกูลข้า นี่ควรจะอธิบายได้ด้วยตนเอง แต่ถ้าเจ้าทรยศข้าผนึกตระกูลจักฆ่าเจ้าทันที”
“สอง เจ้าจักต้องมิวางแผนต่อต้าน ทำร้าย หรือฆ่าคนในตระกูลโดยเจตนา ถ้าเจ้ามีความคับข้องใจกับคนอื่นภายในตระกูลที่มิอาจจะแก้ไขได้ด้วยตนเอง เจ้าจักมาหาข้าและข้าสัญญาว่าจักจัดการเรื่องนั้น บทลงโทษนั้นแตกต่างไปขึ้นอยู่กับความรุนแรง ส่วนใหญ่แล้วถ้าเจ้ามิได้ฆ่าใคร เจ้าเพียงแต่จะถูกทำลายพลังการฝึกปรือ”
“สาม เจ้าจักมิต้องทำอะไรที่เป็นการเสื่อมเสียชื่อเสียงของตระกูลหรือสมาชิกคนอื่นในตระกูลในเรื่องใดๆ เช่นเดียวกันขึ้นอยู่กับความหนักเบา เจ้าอาจจะถูกทำลายพลังการฝึกหรือหรือว่าถูกฆ่า”
“สี่ ครั้นเมื่อเจ้ารับผนึกตระกูลแล้ว มีเพียงข้าที่จักสามารถลบมันออกจากตัวเจ้าได้ ถ้าเจ้าแข็งขืนพยายามลบมันออก… พูดได้เพียงว่าเจ้ามิต้องการที่จะรู้คำตอบ”
“และสุดท้าย เจ้ามีหน้าที่ต้องฝึกวิชาร่วมกับข้าอย่างน้อยหนึ่งครั้งทุกสองพันห้าร้อยปีเพื่อที่จะต่ออายุผนึกตระกูล”
“เจ้ามีคำถามเกี่ยวกับกฏอะไรหรือไม่” ซูหยางถามเธอ
ซุนจิงจิงส่ายหน้า นอกจากกฏสองพันห้าร้อยปีแล้ว เธอเห็นว่าทุกอย่างล้วนสมเหตุผลและเป็นเรื่องปกติ
“สองพันห้าร้อยปีรึ คนหนึ่งสามารถอยู่ได้ยาวนานเช่นนั้นเลยรึ” เธอคิดสงสัย
เมื่อเห็นคำตอบของเธอ ซูหยางก็พยักหน้าก่อนที่จะพูดต่อว่า “ตอนนี้เมื่อเจ้าได้ยินกฏทั้งหมดแล้ว เจ้ายังยินดีที่จะร่วมกับตระกูลข้าหรือไม่”
“ข้ายินดี” ซุนจิงจิงตอบโดยไม่ลังเลขณะที่เธอถอดเสื้อผ้าออก
“ดี มานี่สิ”
ซุนจิงจิงพลันกระโดดเข้าไปในอ้อมแขนของซูหยาง และหลังจากเล้าโลมไปสองสามนาที ซูหยางก็ผลักศิวลึงค์เข้าไปในร่างทรงเสน่ห์ของซุนจิงจิง
“อาาาา”
ซุนจิงจิงครวญครางเสียงดังยามที่ซูหยางทะลวงเข้าไปในถ้ำของเธอ ค่อยปล่อยปราณหยางของเขาเข้าไปในร่างของเธอ
หลังจากที่ฝึกวิชาร่วมกันต่ออีกสองสามนาที อักษรคำว่า “ซู” สีดำก็เริ่มก่อร่างขึ้นบนร่างของซุนจิงจิงบริเวณหัวหน่าว ตัวอักษรไม่ได้ใหญ่กว่าสามนิ้วทั้งความกว้างและความยาว และมันปลดปล่อยกลิ่นอายที่สุดหยั่งคาดออกมา
ครั้นเมื่อตัวอักษรก่อร่างขึ้นมาสมบูรณ์แล้ว ซูหยางก็กัดปลายนิ้วของตนเองและป้ายเลือดลงไปบนจุดที่คำพูดประทับอยู่ ทำให้ตัวอักษรถูกระบายกลายเป็นสีแดงสด
สองสามวินาทีต่อไป ราวกับว่ามันมีชีวิต ตัวอักษรที่ประทับอยู่บนตัวของซุนจิงจิงดูดซับเลือดของซูหยางอย่างรวดเร็วก่อนที่จะเปลี่ยนสีเป็นสีทอง
“สำเร็จแล้ว” ซูหยางกล่าวกับเธอด้วยรอยยิ้มที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน “ตอนนี้เจ้าเป็นคนในตระกูลข้าแล้ว”
Dual Cultivation บทที่ 402: พ่อแม่ของซุนจิงจิง
หลังจากที่กลับไปถึงที่พักแล้ว ซุนจิงจิงและพ่อแม่ก็พากันเข้าไปในห้องทันทีเพื่อสนทนากัน
“จิงจิง ข้าจักพูดให้ตรงจุด มีผู้ชายมากมายเท่าไหร่ที่เจ้าได้หลับนอนด้วยนับจนถึงตอนนี้” แม่ของเธอพลันถามเธอด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“อ-อะไ– ท่านหมายความว่าอย่างไรกับคำว่ามากมายเท่าไหร่–”
“เจ้าเห็นข้าเป็นคนโง่รึ ข้าเข้าใจเรื่องการฝึก มีเพียงคำอธิบายที่สมเหตุผลเพียงอย่างเดียวในการที่เจ้าก้าวหน้าอย่างรวดเร็วเช่นนี้ เจ้าต้องหลับนอนกับผู้ชายจำนวนมากแน่”
“ไร้สาระ” ซุนจิงจิงตะโกนด้วยใบหน้าแดงก่ำ “ข้าเพียงหลับนอนกับผู้ชายเพียงคนเดียวในชีวิตนี้ และนั่นก็คือท่านพี่ชายซูหยาง”
แม่ของเธอมองดูเธอด้วยดวงตาเบิกกว้างเต็มไปด้วยความประหลาดใจ เหตุใดชายเพียงคนเดียวถึงสามารถช่วยเพิ่มพลังการฝึกปรือของเธอได้มากมายนัก
“จริงรึ” เธอถามด้วยน้ำเสียงสงสัย
“ถ-ถ้าท่านมิเชื่อข้า เช่นนั้นท่านสามารถถามท่านปู่ได้ พรหมจรรย์ของข้ายังมิมีใครแตะต้องจนกระทั่งเมื่อครึ่งปีก่อน เมื่อศิษย์ทุกคนจากนิกายไปแล้วและตลอดระยะเวลานี้ ซูหยางเป็นศิษย์ชายเพียงคนเดียวในนิกายนอกจากผู้อาวุโสสำนักอีกไม่กี่คน”
“ท่านคิดว่าอย่างไรเรื่องนี้” แม่ของเธอหันไปมองดูพ่อของเธอและถาม
“มีสิ่งหนึ่งที่จะต้องทำใช่ไหม” พ่อของเธอกล่าว
แม่ของเธอพยักหน้าและกล่าวว่า “จิงจิงไปนำซูหยางมาที่นี่ ข้าต้องการที่จะพูดกับเขา”
“…”
แม้ว่าเธอจะไม่เต็มใจ ซุนจิงจิงก็เรียกให้ซูหยางเข้ามาภายในห้อง
อีกสองสามนาทีหลังจากนั้นซูหยางก็มาปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขา
“ให้ข้าแนะนำตัวเอง ข้าซุนเหริน และนี่สามีข้า ซุนเฉียน”
“ตามที่ข้ารู้ เจ้าเป็นคนที่พรากพรหมจรรย์ลูกสาวข้า ใช่ไหม”
“ใช่แล้ว” ซูหยางพยักหน้าโดยไม่ลังเล
“เช่นนั้นข้าจักพูดให้ตรงจุด เจ้าจักรับผิดชอบอย่างไร แม้ว่าตระกูลซุนจะมิได้มีชื่อเสียงในด้านอำนาจทางการทหาร หรือว่าจะมีผู้ฝึกยุทธที่มีชื่อเสียง พวกเราก็ยังเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงที่สุดในด้านความสัมพันธ์ทางธุรกิจทั้งทั้งสี่ภาค”
“ยิ่งไปกว่านั้น ลูกสาวของพวกเราก็เป็นสาวสวยที่มีคนชื่นชมมากมาย เจ้าเข้าใจไหมว่าข้าพูดถึงเรื่องอะไร” ซุนเหรินถามเขา
ซูหยางแสดงรอยยิ้มเล็กน้อยบนใบหน้า เขาสามารถเดาได้เป็นอย่างดีว่าพวกเขาต้องการอะไรจากเขา ในเมื่อนี่ไม่ได้เป็นครั้งแรกที่ต้องจัดการกับพ่อแม่ของคู่ของเขา
“เดี๋ยวก่อน ท่านแม่ ข้าเป็นคนที่เข้าหาซูหยางก่อน และข้ามิเคยแม้สักครั้งที่จะคิดใหัเขาต้องรับผิดชอบการกระทำของข้า ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ได้ทำให้ข้ามากเพียงพอแล้ว” ซุนจิงจิงพลันเข้ามาขัด
“หุบปาก จิงจิง ข้ากำลังพูดอยู่กับซูหยางในตอนนี้” ซุนเหรินตะคอกกลับ
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ ซูหยางก็พูดขึ้นว่า “ก็เหมือนดังที่ซุนจิงจิงได้กล่าวไว้ ข้ามิต้องรับผิดชอบในการพรากพรหมจรรย์ของเธอ ในเมื่อพวกเราทั้งคู่ล้วนเป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและสิ่งต่างๆอย่างเช่นความรับผิดชอบไม่มีผลในที่นั้น อย่างไรก็ตามข้ามิใช่คนที่จักมาแก้ตัวอย่างน่าสมเพชเช่นนั้น ไม่ว่าอย่างไรเธอก็เป็นหญิงของข้าเรียบร้อยแล้ว จากที่กล่าวมาท่านต้องการให้ข้ารับผิดชอบอย่างไร”
“ซูหยาง…” ซุนจิงจิงใบหน้าแดงเหมือนกับมะเขือเทศในตอนนี้
“…ข้าต้องการให้เจ้าเข้าร่วมกับตระกูลซุน” ซุนเหรินพลันกล่าวขึ้น
“!!!” ซุนจิงจิงดวงตาเบิกกว้างด้วยความตระหนก แม่ของเธอต้องการให้ซูหยางเข้าร่วมกับตระกูลเหรอ นั่นเป็นเรื่องที่สะดวกสำหรับเธอที่สุดในเมื่อเธอก็ต้องการที่จะอุ้มท้องลูกของซูหยางในอนาคตเช่นกัน
ซูหยางหลับตาลงและส่ายหน้า “น่าเสียดาย เนื่องจากหลายเหตุผล ข้ามิสามารถที่จะทำเช่นนั้นได้”
ซุนเหรินขมวดคิ้้วเมื่อได้ยินเขาปฏิเสธ ในขณะที่ซุนจิงจิงได้เพียงแต่แอบถอนใจ ในเมื่อเธอได้ทำนายสถานการณ์นี้ไว้เรียบร้อยแล้ว ในเมื่อไม่น่าเป็นไปได้ในการที่จะผูกมัดคนอย่างเช่นซูหยางไว้กับตระกูลซุน
“อธิบายเหตุผลมา” ซุนเหรินกล่าว
“อันดับแรกและสำคัญที่สุดก็คือมีหลายสิ่งที่ข้าต้องทำซึ่งจักต้องการให้ข้าเดินทางไปยังที่แสนไกล อันดับที่สอง ข้าจักมิเข้าร่วมกับตระกูลใด ในเมื่อนี่เป็นสิ่งที่ข้าได้ตัดสินใจไปเรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตามถ้าท่านขอให้ข้ายอมรับลูกสาวของท่านเข้าสู่ตระกูลของข้า… นี่ก็จะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง”
“เจ้าต้องการให้ลูกสาวข้าเข้าร่วมกับตระกูลของเจ้ารึ” ทั้งซุนเหรินและซุนจิงจิงมองดูเขาด้วยท่าทางประหลาดใจ ตามหลักพื้นฐานแล้วเขากำลังเพิ่งขอซุนจิงจิงกับพ่อแม่เธอ
“นอกจากที่จะเป็นผู้นำนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยแล้ว เจ้ามีอะไรอย่างอื่นอีก เจ้าจะสนับสนุนลูกสาวข้าได้อย่างไร ตระกูลซุนมีทรัพยากรและความร่ำรวยจากธุรกิจของพวกเราไม่จำกัด”
“แม้ว่าข้าอาจจะมิมีอะไรในมือตอนนี้ สิ่งที่ข้าสามารถทำในการสนับสนุนลูกสาวพวกท่านก็เห็นกันอยู่เรียบร้อยแล้ว และนั่นก็เป็นเพียงแค่ยอดของทั้งภูเขาเท่านั้น” ซูหยางกล่าว ใช้ความก้าวหน้าของซุนจิงจิงเป็นข้อพิสูจน์ที่จับต้องได้
“ตราบเท่าที่เธอยังอยู่ข้างกายข้า เธอจักกลายเป็นคนที่จักยืนอยู่ที่จุดสูงสุดของโลกนี้อย่างปฏิเสธไม่ได้”
“…”
ห้องพลันเงียบไป ไม่ว่าพ่อหรือแม่ของซุนจิงจิงสามารถที่จะปฏิเสธคำพูดของเขาได้ ในเมื่อเขาสามารถช่วยซุนจิงจิงเข้าถึงเขตปฐพีวิญญาณได้ตั้งแต่อายุยังน้อย
“ข้าปรารถนาที่จะทำเช่นนั้น” ซุนจิงจิงเป็นคนแรกที่ทำลายความเงียบ “ข้าจักเข้าร่วมตระกูลของท่าน ซูหยาง”
“เจ้า— อย่าทำการตัดสินอะไรที่สำคัญเช่นนั้นด้วยตัวเจ้าอีก ที่พวกเราพูดถึงกันอยู่นี้เป็นอนาคตของเจ้า การที่ยอมให้เจ้าเข้าร่วมนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็นับว่าเป็นความผิดพลาดไปเรียบร้อยแล้ว และข้าจักมิยอมให้ผิดพลาดซ้ำสอง” ซุนเหรินตะโกน
“มิว่าท่่านจะพูดอะไร ข้ามิเปลี่ยนใจ ยิ่งไปกว่านั้น ข้าก็เสพติดกับการร่วมฝึกคู่ของพวกเราไปแล้ว ข้ามิอาจที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปโดยปราศจากวิชาบนเตียงของเขาได้อีกต่อไป” ซุนจิงจิงกล่าว
“เจ้าพูดเรื่องไร้ยางอายเช่นนั้นได้อย่างไร”
“ฮึ่ม แต่นั่นเป็นความจริง ท่านจักเข้าใจถ้าท่านร่วมฝึกกับเขาด้วยเช่นกัน”
“?!?!?!” ซุนเหรินหน้าแดงในทันใด
“อะแฮ่ม…” ซุนเฉียนกระแอมเสียงดัง แสร้งทำเป็นเหมือนว่าเขาไม่ได้ยินคำพูดของซุนจิงจิงเมื่อกี้นี้
หลังจากที่ตกอยู่ในความเงียบที่น่าอึดอัดไปชั่วขณะ ซุนเหรินก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง “ซูหยาง แล้วเรื่องของศิษย์คนอื่นล่ะ เจ้าก็ “ฝึกฝน” ร่วมกับพวกเธอด้วยเช่นกันรึ”
“เป็นเช่นนั้น” ซูหยางพยักหน้าอย่างภาคภูมิใจ
“…”
แม้ว่าจะไม่แปลกที่ชายคนหนึ่งจะมีภรรยาหลายคนในยุคนี้ ซุนเหรินก็รู้สึกว่าลูกสาวของเธอสมควรจะได้รับสิ่งที่ดีกว่านี้ ไม่ว่าอย่างไรเธอไม่ต้องการให้ลูกสาวของเธอกลายเป็นเพียงแค่อนุภรรยา
“ขอให้ข้าได้ใช้เวลาคิดเรื่องต่างๆที่พวกเราได้พูดคุยกันในวันนี้ อย่างไรก็ตามมีอีกสิ่งหนึ่งที่ข้าต้องพูดในวันนี้”
ซุนเหรินหันไปดูซุนจิงจิงด้วยสีหน้าเคร่งเครียดและกล่าวว่า “ตระกูลมู่ได้ส่งคำขอแต่งงานกับลูกชายคนโตของพวกเขา มู่เฉิน ให้กับพวกเรา ถามทางด้านของเจ้า”
“อะไรนะ เจ้าหมูน่าสะอิดสะเอียนนั่นรึ กระทั่งท่านจำเป็นต้องบอกข้าเรื่องนั้นด้วยรึ เพียงแค่ส่งมันกลับไปและทำเป็นเหมือนว่านั่นมิเคยเกิดขึ้นก็พอ” ซุนจิงจิงขมวดคิ้ว
“ข้าย่อมต้องการที่จะทำเช่นนั้น แต่ตระกูลมู่เอาจริงในครั้งนี้ พวกนั้นกระทั่งข่มขู่พวกเราทางอ้อมด้วยสงครามทางธุรกิจถ้าพวกเราปฏิเสธอ แม้ว่าพวกเราจะมีเส้นสายหลายช่องทาง แต่ตระกูลมู่ก็มีมากเท่ากันหรืออาจจะมีอิทธิพลมากกว่าพวกเราเล็กน้อย ข้าเกรงว่านั่นจักกลายเป็นสงครามสกปรกที่จะส่งผลร้ายต่อทั้งระบบเศรษฐกิจ”
“ตระกูลมู่นี่เป็นใครกัน” ซูหยางพลันถามขึ้น
“นอกจากตระกูลซุนของพวกเรา ยังมีตระกูลใหญ่อื่นอีกในวงการธุรกิจ และตระกูลมู่ก็เป็นหนึ่งในนั้น ลูกชายคนโตของพวกนั้น มู่เฉิน ได้ตามตื้อข้าตั้งแต่ก่อนที่ข้าจะเป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย” ซุนจิงจิงถอนใจ
“อย่างนั้นรึ ถ้าเช่นนั้นข้าพอจะถามได้หรือไม่ว่า ธุรกิจประเภทไหนกันที่ตระกูลซุนเชี่ยวชาญ” ซูหยางถาม
“พวกเรามีตลาดแทบทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการฝึกยุทธ แต่ยาน้ำและยาเม็ดเป็นธุรกิจหลักของเราเช่นเดียวกับตระกูลมู่” ซุนเฉียนกล่าว
“ยาเม็ดและยาน้ำรึ…” ซูหยางพึมพัม
“อย่างไรก็ตามข้าได้ทำการหน่วงการตอบกลับไปหลังการแข่งขัน” ซุนเหรินกล่าวและหันไปดูซูหยางและกล่าวต่อว่า “ก่อนนั้นข้าต้องการที่จะเห็นด้วยตัวของข้าเองว่าข้าจักสามารถปล่อยลูกสาวข้าไว้ในมือของเจ้าได้หรือไม่”
“ถ้าข้าพบว่าเจ้ามิมีค่าพอสำหรับลูกสาวของพวกเรา ข้าจักยอมรับคำขอของตระกูลมู่”
“…”
ซูหยางยังคงนิ่งเฉย แต่สิ่งที่สร้างความประหลาดใจให้กับซุนเหรินที่สุดนั้นคือซุนจิงจิงก็ยังคงเฉยเมยกับคำพูดของเธอเช่นกัน
“อะไรกัน เจ้าคิดว่าข้ามิทำเช่นนั้นรึ” เธอถามซุนจิงจิง
ซุนจิงจิงแสดงรอยยิ้มมั่นใจและกล่าวว่า “ไม่ใช่ ข้าเพียงแค่มีความมั่นใจว่าท่านจักยอมรับซูหยาง”
“…”
ซุนเหรินพูดไม่ออก นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นซุนจิงจิงมีท่าทางมั่นใจเช่นนั้น
“บางทีอาจจะมีบางอย่างพิเศษในตัวซูหยางนี้จริงๆนอกจากวิชาบนเตียงของเขา…” เธอคิดในใจ
Dual Cultivation บทที่ 401: ข้ารู้ว่าเจ้าได้หลับนอนกับลูกสาวข้า
สามชั่วโมงผ่านนับตั้งแต่การแข่งขันเริ่มต้นในวันที่ห้า
“สำหรับการแข่งขันรอบถัดไป พวกเรามีนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยกับโถงเก้าสัตว์ร้าย”
สำนักทั้งสองปรากฏตัวขึ้นบนเวทีและโค้งคำนับแต่ละฝ่ายก่อนที่ซื่อตงจะบอกให้กลับออกไป
“ข้ามิได้เข้าร่วมด้วยในวันนี้ ดังนั้นอย่าทำให้ข้าผิดหวัง” ฟางซีหลานกล่าวกับศิษย์คนอื่น
“อย่ากังวลพี่ฟาง พวกเราสามารถจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเอง สบายใจได้” ซุนจิงจิงแสดงรอยยิ้มมั่นใจ
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ได้ตัดสินกันว่าเป็นซุนจิงจิงที่จะต่อสู้ให้กับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเป็นคนแรก
“กุสุมาลย์พ้นพิสัยศิลป์ เกสรร่วงหล่น”
“อา”
“กุสุมาลย์พ้นพิสัยศิลป์ บุปผาเบ่งบาน”
“อาา”
“กุสุมาลย์พ้นพิสัยศิลป์ กลีบดอกไม้พิโรธ”
“อาาาา”
“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยชนะรอบที่สี่ติดต่อกัน” ซื่อตงประกาศหลังจากที่ซุนจิงจิงเอาชนะคู่ต่อสู้คนที่สี่ติดต่อกัน
“จัดการกับพวกนั้นเลย ศิษย์พี่หญิงซุน”
“ซัดพวกเขาเลย ซัดพวกเขาให้หมดเลย”
“แสดงให้โลกประจักษ์ถึงพลังของนิกายของพวกเรา”
เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ต่างพากันส่งเสียงเชียร์เธอด้วยสีหน้าบ้าระห่ำ
“เด็กสาวคนนี้… เพียงไม่กี่วันนับตั้งแต่เธอสู้ครั้งสุดท้ายแต่เหมือนกับว่าเธอได้แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม เป็นการฝึกฝนประเภทไหนกันที่เธอได้รับที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย”
หญิงวัยกลางคน ที่น่าจะเป็นแม่ของซุนจิงจิง ดูเธอต่อสู้ด้วยสีหน้าตื่นตะลึง
“นอกจาก “แบบนั้น” เจ้าคิดว่าพวกเขาจักทำการฝึกฝนแบบไหนอีก ข้าเพียงภาวนาว่าเขาจะเป็นชายที่มีค่าสำหรับเธอ” ชายวัยกลางคนข้างตัวเธอกล่าว
หญิงวัยกลางคนมองดูเหล่าศิษย์จากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและกล่าวว่า “ข้าได้ดูพวกเขามาตลอด และชายหนุ่มรูปงามนั่นดูเหมือนจะเป็นศิษย์ชายเพียงคนเดียวที่พวกเขามี แม้ว่าหน้าตาของเขาจะมีคุณสมบัติเหมาะสมมากที่จะเป็นคู่ของลูกสาวของข้า แต่ข้าก็มิมั่นใจในตัวตนของเขา”
“ข้าได้ทำการสืบสวนบางอย่างกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย และดูเหมือนว่าตอนนี้เขาเป็นเพียงศิษย์ชายเพียงคนเดียวที่อยู่ในนิกายหลังจากสถานการณ์ครั้งนั้น นอกจากเขาแล้วจะมีใครที่เธอจักฝึกฝนด้วย” ชายวัยกลางคนกล่าว
“หากเป็นเช่นนั้น ข้าต้องสนทนากับเขาในภายหลังเพื่อดูด้วยตนเองว่าเขามีค่าพอกับลูกสาวของเราหรือไม่”
“เอ๋ เจ้าวางแผนที่จะรับเขาเข้ามาในตระกูลเหรอ แล้วเรื่องนั้นล่ะ…”
“ใครจะไปสนใจเรื่องตระกูลเย่ ข้ามิยอมให้เจ้าหื่นสกปรกน่าเกลียดนั่นแตะลูกสาวข้าแน่นอนต่อให้นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่ทำได้ก็ตาม”
ขณะที่พ่อแม่ของซุนจิงจิงกำลังพูดถึงอนาคตของเธอนั้น ซุนจิงจิงเองก็เก็บชัยชนะรอบถัดไปให้กับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
หลังจากที่จัดการคู่ต่อสู้จากโถงเก้าสัตว์ร้ายไปครึ่งหนึ่งด้วยตนเองแล้ว ซุนจิงจิงก็ก้าวออกจากเวทีแล้วกล่าวว่า “ข้าจักปล่อยครึ่งที่เหลือให้กับพวกสาวเจ้า”
ต่อไปหลังจากนั้นซื่อตงก็ประกาศผลการแข่งขัน “ขอแสดงความยินดีกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยที่ได้รับชัยชนะในการแข่งขันนี้ สิบต่อเจ็ดแต้ม เป็นหนึ่งในสิบของอันดับสูงสุดของการแข่งขันระดับภูมิภาคของปีนี้”
“ศิษย์พี่หญิงซุนช่างยอดเยี่ยมจริงๆ เธอสามารถเอาชนะพวกเขาห้าคนในขณะที่พวกเราที่เหลือเอาชนะพวกนั้นแต่ละคนได้อย่างยากลำบาก…”
เหล่าศิษย์พากันถอนหายใจหลังจากที่ได้รับชัยชนะ
“ทำได้ดีสาวๆ เหลือการแข่งขันให้ชนะอีกเพียงแค่สามครั้งเท่านั้นก่อนที่เราจะได้กลายเป็นแชมป์ของปีนี้” ซูหยางกล่าวกับพวกเธอด้วยรอยยิ้ม
บรรดาศิษย์ต่างพากันมองดูเขาด้วยรอยยิ้ม
“ศิษย์พี่ชายพยายามที่จะเอาชนะการแข่งขันนี้จริงๆ พวกเราต้องมิทำให้เขาผิดหวัง”
หลังจากการแข่งขันของพวกเขาแล้ว นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยตัดสินใจกลับที่พัก
อย่างไรก็ตามพวกเขาถูกคนคู่หนึ่งที่สวมเสื้อผ้าหรูหราหยุดไว้ขณะที่พวกเขาออกมาจากโคลีเซียม
เมื่อซุนจิงจิงเห็นคนทั้งสอง ดวงตาเธอก็เบิกกว้างด้วยความตระหนก
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านมาทำอะไรกันที่นี่” ซุนจิงจิงรีบตรงเข้าไปหาพวกเขา
“ตระกูลของผู้อาวุโสซุนรึ” โหลวหลานจีเลิกคิ้ว
“พวกเขาเป็นพ่อแม่ของศิษย์พี่หญิงซุนรึ พวกเขาดูร่ำรวยมาก…” ความสนใจของศิษย์คนอื่นต่างพากันพุ่งพรวด
“ทำไมพวกเราจักมิอยู่ที่นี่สำหรับเหตุการณ์ยิ่งใหญ่เช่นนี้ล่ะ พวกเราต้องการรู้ด้วยตนเองว่าลูกสาวแสนดื้อของเราเติบโตแค่ไหนแล้ว” แม่ของเธอพูด
“ว่าไปแล้วปู่ของเจ้าอยู่ที่ไหนรึ ข้ามิเห็นเขามาตั้งแต่ต้น เขายังอยู่ในเมืองนี้หรือไม่” ชายวัยกลางคนถาม
“ผู้อาวุโสซุนตอนนี้เก็บตัวฝึกฝนอยู่ในโรงเตี๊ยม อย่างน้อยก็คงอีกสองสามวันกว่าเขาจะออกมา” โหลวหลานจีก้าวไปข้างหน้าแล้วพูด
“ท่านต้องเป็นผู้นำนิกาย ขอบคุณที่ดูแลลูกสาวของพวกเรา ดูเหมือนว่าเธอจะกลายเป็นคนน่าเกรงขามก็เพราะว่าท่าน” ผู้เป็นพ่อคำนับเธอ
“ข-ข้ามิได้ทำอะไรที่ควรแก่คำชมเชยของท่านแม้แต่น้อย ถ้าจะมีบ้าง ท่านต้องขอบคุณผู้นำนิกายซู เขาเป็นคนเดียวที่สอนลูกสาวท่าน” โหลวหลานจีหันมองไปที่ซูหยาง
“ผ-ผู้นำนิกายซูรึ เขาก็เป็นผู้นำนิกายเช่นเดียวกันด้วยรึ” คนทั้งคู่ต่างพากันตะลึงกับข่าวนี้ ในเมื่อพวกเขาไม่คาดคิดว่าหนุ่มน้อยเช่นนั้นจะเป็นผู้นำนิกาย
“เจ้าชื่อซูหยางใช่ไหม ข้ารู้ว่าเจ้าได้หลับนอนกับลูกสาวข้า และข้ามาที่นี่ก็เพื่อจะดูว่าเจ้ามีค่าพอสำหรับเธอหรือไม่” แม่ของซุนจิงจิงก้าวออกมาข้างหน้าและกล่าวกับเขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ท-ท่านแม่ ท่านสามารถพูดอะไรน่าอายแบบนั้นต่อหน้าสาธารณชนได้อย่างไรกัน” หน้าของซุนจิงจิงแดงไปหมดหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเธอ และเมื่อเธอมองไปรอบๆ คนรอบข้างต่างพากันมองดูพวกเขาด้วยหน้าตาที่ไม่อยากเชื่อ
“อายรึ อะไรที่น่าอายกว่ากัน คำพูดมิกี่คำหรือว่าลูกสาวของตระกูลซุนเป็นศิษย์ของสถานที่แบบนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย แม้ว่าข้าได้เตือนเจ้าหลายครั้งแล้วเจ้าก็ยังตามรอยปู่ของเจ้า เจ้าได้คิดบ้างหรือไม่ว่าเจ้าได้นำความอับอายมาสู่ชื่อเสียงของตระกูล” แม่ของซุนจิงจิงดุเธอ
“…” ซุนจิงจิงพูดไม่ออกไปชั่วขณะก่อนที่จะเถียงกลับว่า “นั่นท่านหมายความว่าอย่างไร ดูข้าตอนนี้สิ ข้าเป็นผู้ฝึกยุทธเขตปฐพีวิญญาณเพราะว่าการตัดสินใจนั่น กระทั่งปู่ซึ่งเป็นอัจฉริยะหมายเลขหนึ่งในตระกูลของเรายังติดอยู่ที่เขตสัมมาวิญญาณมาหลายสิบปีก่อนที่จะได้รับโอสถสู่ปฐพี มีคนมากมายเท่าไหร่ในโลกที่ได้เข้าสู่เขตปฐพีวิญญาณเมื่อมีอายุเท่าข้า หือ”
แม่และลูกสาวต่างติดพันสงครามคารมกันในทันที
“ทำไมพวกเจ้าทั้งคู่มิเย็นลงสักหน่อย พวกเรายังอยู่ในที่สาธารณะ” สุดท้ายผู้เป็นพ่อก็ตัดสินใจที่จะก้าวเข้าไปหยุดพวกเธอ
“ถ้านี่มิสะดวก ทำไมพวกท่านมิกลับไปที่โรงเตี๊ยมกับพวกเราล่ะ ข้ามั่นใจว่าต้องมีเรื่องมากมายที่จะพูดคุยกัน” โหลวหลานจีแนะนำเพื่อให้คนทั้งคู่ยอมรับ
Dual Cultivation บทที่ 400: พวกขี้ขลาดตาขาว
เช้าวันรุ่งขึ้น นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยรวมตัวกันที่ห้องโถงของโรงเตี๊ยม
“ไปกับซูหยางเมื่อวานนี้เป็นอย่างไรบ้าง พี่ฟาง ท่านจัดการธุระได้เรียบร้อยดีไหม” ซุนจิงจิงตรงเข้าไปหาเธอแล้วก็ถาม
ฟางซีหลานพยักหน้าด้วยรอยยิ้มสดใสและกล่าวว่า “ดี ยอดเยี่ยมที่สุด”
เธอพลันกล่าวต่อว่า “น้องสาว ถ้าเจ้าต้องการ เจ้าสามารถร่วมห้องกับเขาสองต่อสองคืนนี้ ข้าจักนอนที่อีกห้อง”
“เอ๋ จริงแล้วนั่นมิจำเป็นหรอก” ซุนจิงจิงส่ายหน้าอย่างเยือกเย็น
“ถึงแม้ว่าเจ้าจะพูดแบบนั้น แต่ร่างกายของข้าก็ต้องการพักอย่างน้อยสองสามวันหลังจากฝึกร่วมกับเขาตลอดทั้งคืน” ฟางซีหลานกล่าวพร้อมกับหน้าแดงเล็กน้อย “กระทั่งตอนนี้ ข้ายังยากที่จะยืนให้มั่นคง”
“พวกท่านอยู่กันทั้งคืนรึ” ซุนจิงจิงมองดูเธอด้วยดวงตาเบิกกว้าง เธออดไม่ได้ที่จะคิดว่าธุระประเภทไหนที่อีกฝ่ายมีกับซูหยางที่จบลงด้วยการฝึกร่วมกันตลอดทั้งคืน
อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าพวกเขาไม่เคยไม่นอนข้ามคืนในการฝึกร่วมกับซูหยางมาก่อน แล้วอะไรที่เป็นสิ่งที่แตกต่างกับการฝึกวิชาในครั้งนี้
น่าเสียดายที่ซุนจิงจิงไม่กล้าถามเธอ
หลังจากที่ทุกคนรวมตัวกันที่ห้องโถงแล้วพวกเขาก็ออกเดินทางไปโคลีเซียม
ระหว่างทางไปยังโคลีเซียมพวกเขาต่างดึงดูดสายตาของคนผ่านทาง ราวกับว่าพวกเขากลายเป็นคนดังเหมือนกับสำนักระดับสูง
“ดู นั่นนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย แม้ว่าจะเป็นสำนักระดับต่ำ พวกเขาสามารถที่จะอยู่รอดในการแข่งขันจวบจนบัดนี้”
“ข้าได้ยินว่ามีอัจฉริยะที่โดดเด่นที่เข้าถึงเขตปฐพีวิญญาณในสำนักของพวกเขาและหนึ่งในพวกนั้นมีพรสวรรค์เป็นพิเศษไปถึงระดับที่เจ็ด”
“มิมีใครเชื่อข้าตอนที่ข้าพูดว่าพวกเขาคาบเส้นตายเมื่อครึ่งปีก่อน”
“ต่อให้พวกเขาพ่ายแพ้ในวันนี้ แน่นอนว่าพวกเขาต้องดึงดูดศิษย์จำนวนมากในอนาคต”
“ข้ามิมั่นใจในเรื่องนั้นนัก อย่างไรก็ตามการฝึกฝนของพวกเขาค่อนข้างจะ…”
“เจ้าประมาทพวกลามกในโลกนี้มากเกินไป ถ้าข้ามีหน้าตาดีกว่านี้ ข้ามิลังเลเลยที่จะสมัครเข้าร่วมกับพวกเขา”
เมื่อศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้ยินเสียงกระซิบกระซาบของคนผ่านทาง ปากของพวกเขาก็โค้งเป็นรอยยิ้มน้อยๆ เห็นชัดว่าดีใจที่เห็นว่าชื่อเสียงของพวกเขาค่อนกลับคืนเข้าสู่ความรุ่งเรืองในอดีตอย่างช้าๆ
เวลาถัดไป เมื่อนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยไปถึงโคลีเซียม พวกเขาก็ได้รับการทักทายจากสำนักหงส์สวรรค์
“เฮ้ พวกเราจักชมการแสดงความสามารถของพวกท่านในวันนี้” ไป่ลี่ฮัวกล่าว
“ในเมื่อพวกเราแพ้ไปแล้ว ก็จึงมิมีอะไรที่จักให้ทำอีก” ซูหยินยักไหล่
“…”
ไป่ลี่ฮัวเหล่ตามองดูอีกฝ่าย
“อย่างไรก็ตาม ใครที่พวกท่านจักต่อสู้ด้วยในวันนี้” จากนั้นเธอก็ถาม
“โถงเก้าสัตว์ร้าย” โหลวหลานจีกล่าว
“เช่นนั้นพวกท่านก็โชคดีสินะ”
“ท่านหมายความว่าอะไรเช่นนั้น” โหลวหลานจีเลิกคิ้ว
“ท่านโชคดีที่หลีกเลี่ยงสำนักเมฆม่วงได้ในที่สุด”
“ข้าว่าท่านพูดถูกหากว่าเป็นเช่นนั้น…”
นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและสำนักหงส์สวรรค์เข้าสู่โคลีเซียมหลังจากนั้นไม่นาน
หลังจากที่รอเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง สุดท้ายซื่อตงก็ปรากฏตัวขึ้นบนเวที
“ยินดีต้อนรับเข้าสู่การแข่งขันระดับภูมิภาควันที่ห้า เรามีเพียงแค่หกคู่ของการแข่งขันในวันนี้ระหว่างการต่อสู้ของสิบสองสำนัก”
ซื่อตงดำเนินการอธิบายกฏอีกครั้งสำหรับผู้ที่มาใหม่
“จากที่กล่าวไปแล้วต่อไปให้ข้าแนะนำผู้เข้าแข่งขันคู่แรกของวันนี้ สำนักเมฆม่วงและ—”
ซื่อตงพลันหยุดพูดก่อนที่เขาจะทันได้จบประโยค
“เอ๋ สำนักสุสานโบราณอยู่ไหน”
เขาตระหนักว่าคู่ต่อสู้ของสำนักเมฆม่วง สำนักสุสานโบราณ ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้
“สำนักสุสานโบราณมีเวลาสิบห้านาทีที่จะแสดงตัวก่อนที่พวกเขาจะถูกปรับแพ้การแข่งขันนี้โดยอัตโนมัติ” ซื่อตงประกาศเสียงดัง
“….”
ผู้ชมไร้คำพูด
“สำนักสุสานโบราณต้องตั้งใจไม่มาโดยเจตนาใช่ไหม”
“นั่นเป็นอย่างอื่นไปมิได้ พวกเขารู้ว่าพวกตนมิอาจจะเอาชนะสำนักเมฆม่วงได้และตัดสินใจหนีไป”
“แน่นอนว่าพวกเขาต้องกลายเป็นตัวตลกหลังจากนี้”
“จริงแล้วพวกเราก็มิอาจที่จะกล่าวโทษพวกเขา สำนักเมฆม่วงหงอวี้เอ๋อร์แข็งแกร่งเกินไป เธอทำให้คู่แข่งทั้งหมดของเธอหวาดกลัว”
หลังจากที่รออยู่ประมาณสิบนาที ก็มีคนตรงเข้าไปหาซื่อตงและกระซิบบางอย่างที่หูของเขา
เมื่อซื่อตงได้ยินเช่นนั้น เขาก็ส่ายหน้า
“ข้าเพิ่งได้รับข่าวว่ามีผู้พบว่าสำนักสุสานโบราณออกจากเมืองไปเมื่อคืน ดังนั้นพวกเขาจึงมิได้อยู่ในเมืองอีกต่อไป หากเป็นเช่นนี้เนื่องจากว่าสำนักสุสานโบราณไม่มา พวกเขาจึงถูกปรับแพ้ในการแข่งขันนี้โดยอัตโนมัติ และสำนักเมฆม่วงได้รับชัยชนะในการแข่งขันนี้โดยปริยาย”
“สำนักระดับสูงหนีไปหางจุกตูด ช่างเป็นเรื่องที่น่าขายหน้ากับตำแหน่งของพวกเขาและเป็นเรื่องน่าอับอายสำหรับตระกูลซี” ไป่ลี่ฮัวถอนหายใจอย่างเหยียดหยาม
ขณะที่ไป่ลี่ฮัวกล่าวถ้อยคำเหล่านั้น เจ้าซีก็ลุกขึ้นและตะโกนดังลั่น “ข้ามิเคยคาดคิดว่าสำนักสุสานโบราณจะเป็นพวกขี้ขลาดตาขาว นับแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกเขาจักมิเป็นสำนักระดับสูงอีกต่อไป กลับกันข้าจักมอบตำแหน่งนี้ให้กับสำนักเมฆม่วง”
เมื่อได้ยินว่าเจ้าซีริบตำแหน่งสำนักระดับสูงของสำนักสุสานโบราณ ผู้ชมต่างพากันส่งเสียงแสดงความยินดีกับสำนักเมฆม่วง
“ขอบคุณท่านเจ้า กับการมอบตำแหน่งที่ทรงเกียรตินี้ให้กับสำนักเมฆม่วง พวกเราจักมิสร้างความผิดหวังให้กับตระกูลซี” กูกว่านถิงพลันคุกเข่าลงบนพื้นพร้อมกับน้ำตาไหลนองหน้า
เขาไม่เคยคาดคิดว่าวันหนึ่งสำนักเมฆม่วงจะกลายเป็นสำนักระดับสูง และทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะคนเพียงคนเดียว หงอวี้เอ๋อร์
“ไม่น่าเชื่อ…” โหลวหลานจีไร้คำพูด
“อย่างไรก็ตามหากพิจารณาจากตำแหน่งที่สำนักเมฆม่วงยืนอยู่ในตอนนี้ มิแปลกที่พวกเขาจักได้รับตำแหน่งสำนักระดับสูง” ไป่ลี่ฮัวกล่าว “จริงแล้วข้าประหลาดใจมากกว่าที่พวกเขามิได้ทำเช่นนี้เร็วกว่านี้”
จากนั้นเธอก็หันไปมองดูนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและคิดในใจ “พวกเจ้าอาจจะเป็นรายถัดไปที่จักกลายเป็นสำนักระดับสูง…”
หลังจากนั้น สำนักเมฆม่วงก็ออกไปจากโคลีเซียมเพื่อไปฉลองตำแหน่งใหม่ และการแข่งขันก็ดำเนินต่อไป
Dual Cultivation บทที่ 399: ข้าต้องการสร้างความพึงพอใจให้ท่านทั้งคืนด้วยร่างกายนี้ 18+
“ช่างเป็นวิธีการทดสอบที่…” ซุนจิงจิงถอนหายใจหลังจากที่สุดท้ายพวกเขาดำเนินการกลับไปถึงโรงเตี้ยมได้ “ข้ามิต้องการมีประสบการณ์อะไรแบบนั้นอีกแล้ว”
“ศิษย์พี่หญิงซุนมิต้องการเป็นที่นิยมรึ” ศิษย์รุ่นเยาว์ถามเธอ
ซุนจิงจิงส่ายหน้าและกล่าวว่า “ตราบเท่าที่คนที่ข้ารักมองดูข้า ข้ามิสนใจอะไรอีกแม้ว่าโลกจะเมินข้า…”
“ว๊าว… ช่างโรแมนติก…” ศิษย์รุ่นเยาว์มองดูเธอด้วยดวงตาเป็นประกาย โดยเฉพาะบรรดาเด็กสาว
“นี่หมายความว่าศิษย์พี่หญิงซุนต้องปิ๊งใครอยู่ คนนั้นใครรึ” หนึ่งในศิษย์รุ่นเยาว์ถาม
“นั่นนับเป็นคำถามได้ด้วยรึ แน่นอนนั่นย่อมต้องเป็นศิษย์พี่ชายซู” ศิษย์รุ่นเยาว์อีกคนกล่าว
“เจ้าพวกนี้ เงียบเสียงลงหน่อย” ซุนจิงจิงหน้าแดงจากการฟังคำพูดของพวกนั้น
อย่างไรก็ตามเธอก็ได้แอบมองไปที่หน้าตาหล่อเหลาของซูหยางหลังจากนั้นชั่วขณะและก็ยิ่งหน้าแดงกว่าเดิม
“ดูสิ ศิษย์พี่ชายซูเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวในนิกายที่สามารถร่วมฝึกกับศิษย์หญิง ดังนั้นเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องเป็นเขา”
ศิษย์รุ่นเยาว์ต่างพากันกระซิบกระซาบกัน
หลังจากนั้นชั่วขณะ โหลวหลานจีก็ทำการเรียกประชุมเหล่าศิษย์และกล่าวว่า “พวกเราตอนนี้ลดลงเหลือเพียงสิบสองสำนักในการแข่งขัน คู่แข่งทุกคนที่พวกเราต่อสู้นับต่อนี้ไปล้วนเป็นสำนักระดับสูงภายในหมู่สำนักระดับสูง แม้ว่าพวกเราได้ทำผลงานอย่างยอดเยี่ยม พวกเราก็มิสามารถที่จะประมาทพวกเขาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำนักเมฆม่วง”
“อย่ากังวลเรื่องสำนักเมฆม่วงและจงต่อสู้อย่างสมใจ ปราศจากหงอวี้เอ๋อร์พวกนั้นก็มิดีไปกว่าสำนักเหล่านั้นที่พวกเราได้เอาชนะมาแล้ว” ซูหยางพลันพูดด้วยรอยยิ้ม
โหลวหลานจีหันไปมองดูเขาด้วสีหน้างงงัน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ถามเขา
หลังจากที่พูดกับเหล่าศิษย์อีกสองสามนาที โหลวหลานจีก็ปล่อยให้พวกเธอกลับไปยังห้องของตนเองเพื่อพักผ่อนในวันนั้น
“น้องหญิงซุน” ฟางซีหลานพลันเรียกเธอ
“มีอะไรผิดไปรึ พี่หญิงฟาง” ซุนจิงจิงสังเกตเห็นแววความลังเลในดวงตาของฟางซีหลาน
“ใช่แล้ว… ข้าต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า..”
“ความช่วยเหลือจากข้ารึ นี่แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดา” ซุนจิงจิงคิดในใจ เธอไม่เคยเห็นฟางซีหลานทำตัวไม่มั่นใจมาก่อน
“ถ้านั่นอยู่ภายใต้ขีดความสามารถของข้า ข้าย่อมมิปฏิเสธ” ซุนจิงจิงตอบด้วยสีหน้าจริงจัง
ฟางซีหลานพยักหน้าและกล่าวว่า “เช่นนั้น…ข้าจักขอให้เจ้านอนกับศิษย์คนอื่นเพียงเฉพาะคืนนี้ มีบางอย่างที่ข้าต้องปรึกษากับซูหยางตามลำพัง”
ซุนจิงจิงดูสับสนเล็กน้อยชั่วขณะก่อนที่จะพูดว่า “เป็นอย่างนั้นรึ ข้ากังวลไปหน่อยเมื่อท่านดูลังเล นี่แค่หนึ่งคืน ข้ามิถือหรอก”
“ขอบคุณ” ฟางซีหลานเผยให้เห็นรอยยิ้ม
เวลาผ่านไปเมื่อยามกลางคืนมาถึง ฟางซีหลานก็เข้าไปในห้องของเธอ
แน่นอนว่าซูหยางก็อยู่ในห้อง ในเมื่อเขาได้ฝึกฝนด้วยตนเองอยู่เงียบๆมาทั้งวัน
“ซูหยาง…” ฟางซีหลานพลันเรียกเขา
หลังจากนั้นชั่วขณะ ซูหยางก็ลืมตาซึ่งเปล่งประกายแสงลึกล้ำเพียงชั่ววินาที
เขาหันไปดูฟางซีหลานซึ่งดูเหมือนจะแตกต่างไปบ้างเล็กน้อยในวันนี้
“มีอะไรรึ” เขาถามเธอ
“เกี่ยวกับสิ่งที่ข้าพูดก่อนหน้านี้…”
“เธอกล่าวอะไรกับข้าก่อนหน้านี้รึ” ซูหยางครุ่นคิดแต่ไม่สามารถที่จะนึกเหตุการณ์แบบนั้นที่ทำให้เธอเป็นแบบนี้ได้
“ข้าได้พูดว่าข้ามิเข้าร่วมกับตระกูลใด… และข้าก็หมายความเช่นนั้นจริงๆ” ฟางซีหลานพูดต่อ
“กระทั่งก่อนหน้าที่ข้าอายุมากพอที่จะเข้าใจว่าการฝึกวิชาคู่คืออะไร ข้าก็ได้ล้มเลิกความคิดที่จะมีครอบครัวแล้วในเมื่อข้าชอบที่จะอยู่ด้วยตัวของข้าเองโดยไม่มีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนใด”
“ปณิธานของข้ายังคงเหมือนเดิมแม้ว่าหลังจากที่ข้าได้เข้าร่วมกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ข้ามิได้สนใจอะไรมากในเรื่องพรหมจรรย์หรือร่างกายของข้า และข้าก็ได้ฝึกฝนอย่างสมใจโดยมิได้ซุกงำอารมณ์ใดไว้ในใจแม้ว่าหลังจากได้พบกับคนนับไม่ถ้วน”
“อย่างไรก็ตามนับตั้งแต่ข้าได้พบกับท่าน…”
ฟางซีหลานพลันเริ่มปล่อยเสื้อคลุมเลื่อนไถลเผยให้เห็นผิวราบเรียบร่างแบบบาง
“แม้ว่าร่างของข้านี้จักมิได้บริสุทธ์อีกแล้ว แม้ว่าข้าได้สัญญากับตัวเองว่าข้าจักมิขึ้นอยู่กับใคร ต่อให้ท่านมิได้ต้องการ ข้าก็เพียงขอให้ท่านได้ทราบว่าร่างกายที่แปดเปื้อนของข้านั้นเป็นของท่านแล้วในตอนนี้และเพียงท่านเท่านั้นนับแต่นี้ชั่วนิรันดร์ และท่านสามารถทำทุกสิ่งกับมันได้โดยที่ข้าจักมิพูดอะไรเลยแม้แต่เพียงคำเดียว”
“…”
ซูหยางไร้คำพูดไปแสนนานก่อนที่จะพูดด้วยเสียงนุ่มนวลว่า “นี่เป็นวิธีของเจ้าในการตอบแทนข้าสำหรับวิชาระดับเซียนรึ หากเป็นเช่นนั้น—”
“ไม่ใช่” ฟางซีหลานพลันตัดบท
“นี่มิมีอะไรเกี่ยวข้องกับวิชาระดับเซียน ต่อให้ข้าให้ท่านทุกสิ่งที่ข้ามีรวมไปถึงร่างกายและจิตใจ นั่นก็ยังมิมีค่าพอครึ่งหนึ่งของวิชาระดับเซียน”
“ข้าได้ยอมทิ้งตัวตนความเป็นหญิงไปแล้วเมื่อข้าได้เข้าร่วมกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ข้าคิดว่าข้ามิต้องการครอบครัว แต่ทว่าท่านได้เปลี่ยนใจของข้า หลังจากที่ได้อยู่ในอ้อมกอดของท่านนับร้อยครั้ง ข้าก็อดมิได้ที่จะต้องการอยู่ในอ้อมกอดของท่านไปจวบชั่วนิรันดร์ แต่ข้ารู้ว่านั่นเป็นเพียงแค่ความฝันที่มิอาจเป็นจริง เราอาศัยอยู่ในโลกที่แตกต่างกัน ท่านและข้า เป็นเรื่องธรรมดาที่ข้ามิคู่ควร”
“ข้ามิคู่ควร” เป็นประโยคที่ซูหยางได้ยินมานับครั้งไม่ถ้วนในชีวิตจากคู่ของเขา
“มิว่าเธอจะเป็นลูกสาวของจักรพรรดิ์สวรรค์หรือว่าจะเป็นศิษย์ที่ไร้ความสำคัญของสำนักเล็กๆ มีเพียงข้าเท่านั้นที่ตัดสินว่าเธอคู่ควรหรือไม่ ดังนั้นอย่าลดค่าของตัวเจ้าเช่นนี้ สำหรับร่างที่ “แปดเปื้อน” ของเจ้านั้น ข้ามิได้เห็นมีอะไรที่สกปรก” ซูหยางกล่าวขณะที่เขาดึงตัวฟางซีหลานเข้ามาหาตัวเองและให้เธอนั่งลงบนตักเหมือนกับเด็กหญิงตัวเล็กๆที่ถูกตามใจ
“แต่ข้า—”
ซูหยางแตะปลายนิ้วลงบนริมฝีปากของเธออย่างเบามือ ปิดความสามารถในการพูดของเธอในชั่วเวลานั้นไว้
“ในเมื่อเจ้าคิดว่ามีร่างกายที่แปดเปื้อนแต่ข้ากลับคิดต่างออกไป ดังนั้นขอให้ข้าได้ตรวจสอบทุกส่วนสัดของเจ้าเพื่อให้มั่นใจ…”
ซูหยางเลื่อนไล้นิ้วของเขาอย่างแผ่วเบาไปทั่วร่างกายของเธอ จากคอถึงขาจนทำให้ร่างของเธอสั่นสะท้าน
“เมื่อมิมีสิ่งสกปรกบนผิวของข้า ดังนั้นต้องเป็นอย่างอื่นหรือไม่”
ซูหยางอ้าปากและจูบลงบนคอของเธออย่างนุ่มนวลก่อนที่จะเคลื่อนลงไปยังอกของเธอ
“อาาา…” ฟางซีหลานครวญครางเบาๆเมื่อซาลาเปาของเธอถูกหยอกล้อ
“มิมีอะไรผิดปกติกับส่วนบน ดังนั้นต้องเป็นส่วนล่าง ใช่ไหม”
ซูหยางวางร่างของเธอลงบนเตียงก่อนที่จะแยกขาของเธอออกและจูบไปบนน้องสาวของเธออย่างอ่อนโยน
“โอออ…”
รู้สึกถึงลิ้นอันอบอุ่นของซูหยางแหวกกลีบดอกไม้ของเธอ น้องสาวของฟางซีหลานเสียวซ่านไปด้วยความสุขสม
หลังจากที่หยอกล้อดอกไม้ที่ชุ่มฉ่ำของฟางซีหลานไปหลายนาที ซูหยางก็กล่าวขึ้นว่า “ข้ามิสามารถที่จะลิ้มรสอะไรที่สกปรกได้เลย เช่นนั้นเจ้าก็ควรจักแนะนำว่าข้าควรจะทำอะไรเป็นอันดับต่อไป”
ฟางซีหลานตอบด้วยดวงตาที่มีน้ำตาคลอ “ข้ารู้แล้ว… ข้าผิดไปแล้ว… ข้ามิได้แปดเปื้อน… ท่าน… สามารถทำอะไรก็ได้ที่ท่านต้องการ… ร่างกายนี้เป็นของท่านอยู่แล้ว…”
ซูหยางส่ายหน้าและกล่าวว่า “ถ้าข้าเป็นไปตามหลักเหตุผลของเจ้า ข้าย่อมเป็นคนที่สกปรกที่สุดในจักรวาลนี้…”
“สำหรับร่างของเจ้าจักเป็นของข้าในระหว่างที่เราร่วมฝึกวิชา นอกจากเวลานั้นมันจะยังเป็นร่างของเจ้า และข้ามิกล้าที่จะอ้างสิทธิ์ในตัวมันถึงแม้ว่าเจ้าจะบีบบังคับข้าด้วยการจ่อกระบี่ที่คอข้า ยิ่งไปกว่านั้นถ้าร่างของเจ้าเป็นของข้าระหว่างการฝึกวิชาเช่นนั้นร่างของข้าก็จะเป็นของเจ้าด้วยเช่นกัน” ซูหยางกล่าวขณะที่เขาถอดชุดของตนเองออก เผยให้เห็นมังกรที่ตื่นขึ้นที่ดูเหมือนกับว่ามันต้องการที่จะทิ่มแทงสวรรค์ให้เป็นรูในเวลานั้น
“ร่างกายของข้าเป็นของท่าน และร่างกายของท่านก็เป็นของข้า…” ฟางซีหลานดันตัวเองขึ้นนั่งอย่างช้าๆบนเตียงขณะที่ใบหน้าของเธออยู่ตรงกับมังกรพิโรธของซูหยาง
จากนั้นเธอก็รวบนิ้วของเธอรอบตัวมันและอ้าปาก
หลังจากนั้นซูหยางก็สามารถรู้สึกได้ถึงปากอันอ่อนนุ่มของฟางซีหลานรอบหัวมังกรของเขาโดยมีลิ้นของเธอสร้างความพึงพอใจให้กับมันอยู่ภายใน
เป็นความรู้สึกที่ยากอธิบาย ความรู้สึกดั่งสรวงสวรรค์ที่จะสามารถหลอมละลายดวงใจผู้คนได้ในทันที
หลังจากที่นวดหัวมังกรด้วยลิ้นของเธอแล้ว ฟางซีหลานก็ทำการกลืนมังกรทั้งตัวในทีเดียวปล่อยให้มันเลื่อนลึกเข้าไปในคอของเธอ
หลังจากนั้นหลังจากที่ใช้เวลาหลายนาทีกับการดูดกลืนด้วยความเสน่หาจากฟางซีหลาน ซูหยางก็ปล่อยน้ำศักดิ์สิทธิ์ชุดแรก
ปริมาณของปราณหยางจำนวนมากไหลเข้าไปในปากของฟางซีหลานและเธอก็กลืนมันเข้าไปทั้งหมดโดยไม่ลังเล
ฟางซีหลานถอนปากของเธอออกจากมังกรของซูหยางหลังจากนั้น อย่างไรก็ตามดังที่เธอคาดไว้ มันยังคงโกรธเกรี้ยวและแกร่งกร้าวราวกับเป็นมังกรจริง
“นำเข้าไปในร่างข้าเถอะ ข้าต้องการสร้างความพึงพอใจให้ท่านทั้งคืนด้วยร่างกายนี้” ฟางซีหลานนอนลงไปบนเตียงและกางแขนกว้าง
ซูหยางยิ้มให้กับเธอและเวลาถัดไป เขาก็ดันมังกรเข้าไปในร่างของเธอ
“อาาาาา…” ฟางซีหลานครวญครางดังลั่น รู้สึกว่าทุกสัดส่วนของหลืบร่องที่คับแน่นของเธอถูกกระแทกกระทั้นด้วยมังกรผู้ทรงพลัง
แม้ว่าพวกเขาได้ฝึกฝนร่วมกันหลายครั้งแล้วก่อนวันนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ฟางซีหลานรู้สึกหลงไหลไปกับการฝึกฝนร่วมกัน รู้สึกเหมือนกับว่านี่เป็นการร่วมฝึกคู่ครั้งแรกและกับชายที่เธอรักอย่างแท้จริง
จากนั้นฟางซีหลานและซูหยางก็ร่วมฝึกด้วยกันทั้งคืน และถ้าไม่ใช่เป็นเพราะว่าค่ายกลซ่อนเสียงที่ซูหยางได้วางเอาไว้ก่อนหน้านี้ คงไม่มีใครในโรงเตี๊ยมที่จะสามารถหลับลงได้จากการร้องครวญครางอย่างเต็มที่ของฟางซีหลาน
หลังจากที่ผ่านการฝึกฝนร่วมกันเป็นเวลาหลายชั่วโมง ฟางซีหลานก็พึมพัมไปด้วยความพึงพอใจอย่างที่สุด “มีคำกล่าวว่าเจ้าย่อมจักมิได้ประสบการณ์ที่แท้จริงนอกจากว่าเจ้าจะรักคนผู้นั้น ข้าเดาว่านี่คงเป็นสิ่งที่การฝึกวิชาคู่ที่แท้จริงนั้นควรจะเป็น…”
Dual Cultivation บทที่ 398: เกี้ยวพาราสีฟางซีหลาน
“กุสุมาลย์พ้นพิสัยศิลป์ เกสรร่วงหล่น” ฟางซีหลานส่งการโจมตีด้วยกระบี่นับสิบภายในชั่วพริบตา ระเบิดคู่ต่อสู้กระเด็นไปในทันที
ครั้นเมื่อศิษย์สถาบันกระบี่ภูไคกระเด็นไปจากเวทีแล้ว ซื่อตงก็ตะโกนด้วยความตื่นเต้นว่า “ฟางซีหลานเอาชนะคู่ต่อสู้ของเธอได้อย่างง่ายดาย และนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ประสบความสำเร็จในการเอาชนะรอบที่ห้าของการแข่งขันนี้”
“แม้ว่าเธอจะอยู่ที่ระดับเจ็ดเขตปฐพีวิญญาณ ดูเหมือนว่าเธอก็เพียงใช้ความแข็งแกร่งของคนที่อยู่ที่ระดับหนึ่ง” ซีซิงฟางกล่าวหลังจากที่วิเคราะห์การต่อสู้ “คำอธิบายอีกอย่างก็คือเธอตั้งใจจำกัดความแข็งแกร่งของเธอไว้ที่ระดับหนึ่ง”
“การแข่งขันประจำปีนี้กระทั่งข้าก็ยังเห็นว่าบ้าบอเกินไป” เจ้าซีแสดงรอยยิ้มแปลกประหลาด “หรือว่านี่เป็นยุคใหม่ของผู้ฝึกยุทธ”
ในเวลานั้นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์ก็กำลังดูฟางซีหลานเผด็จการแต่ละรอบด้วยความอิจฉา
“แม้ว่าความแข็งแกร่งของเธอจะจำกัดไว้แค่เพียงระดับแรกของเขตปฐพีวิญญาณ เธอก็ยังคงจัดการกับเหล่าศิษย์จากสำนักระดับสูงได้อย่างง่ายๆ วิชาระดับเซียนอาจจะตกอยู่ในมือเธอแล้วตอนนี้…” ซุนจิงจิงถอนใจ
สองสามนาทีหลังจากนั้น ฟางซีหลานก็จัดการกับศิษย์คนอื่นอีก ทำให้ชัยชนะของพวกเขากลายเป็นหกรอบ
ผ่านไปอีกครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น ฟางซีหลานก็เอาชนะศิษย์คนที่สิบจากสถาบันกระบี่ภูไค นำชัยชนะมาให้กับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยสำหรับวันนั้น
“ข้าเอาชนะพวกเขาทั้งหมดแล้ว” ฟางซีหลานกล่าวกับซูหยางซึ่งยิ้มอย่างสบายหลังจากนั้น
“ใช่ เจ้าทำได้” ซูหยางแบมือแสดงให้เธอเห็นหยกชิ้นหนึ่ง “รับไปสิ”
“น-นี่เป็นวิชาระดับเซียนรึ” ฟางซีหลานเลิกคิ้ว เมื่อเธอไม่เคยเห็นวิชาการฝึกยุทธซ่อนอยู่ในหยกชิ้นหนึ่งมาก่อน
“เพียงแค่ถ่ายเทพลังปราณไร้ลักษณ์ของเจ้าเข้าไปในหยกและวิชาก็จักปรากฏขึ้นในหัวเจ้าราวกับว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำของเจ้า มันสะดวกมากกว่าการถือม้วนกระดาษไป ใช่ไหม”
“ข-ขอบคุณ…”
ฟางซีหลานจนคำพูดและไม่แน่ใจว่าควรจะแสดงความขอบคุณให้ถูกต้องอย่างไรดี ในเมื่อเธอไม่เคยคิดฝันที่จะได้รับวิชาระดับเซียนมาก่อนในชีวิต
เมื่อเธอรับแผ่นหยก มือของเธอก็สั่นสะท้าน ราวกับว่าเธอกำลังถือสมบัติล้ำค่าที่เปราะบางเหมือนกับแก้วบาง
หลังจากที่ให้รางวัลฟางซีหลานแล้ว เขาก็หันไปมองดูศิษย์คนอื่นที่เกือบจะน้ำลายไหลไปกับแผ่นหยกในมือฟางซีหลาน
“ครั้นเมื่อการแข่งขันนี้จบ พวกเจ้าทุกคนก็จักมีโอกาสได้รับวิชาระดับเซียนด้วยเช่นกัน”
คำพูดของเขาที่เปรียบเสมือนสายฟ้าผ่ากลางวันแสกๆเป็นเหตุให้ศิษย์ทุกคนต่างหันไปมองดูเขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง เหมือนกับไม่อยากเชื่อ
“จ-จริงรึ” ซุนจิงจิงอดถามไม่ได้
“แน่นอน”
“ข้ารักท่าน ซูหยาง”
“ข้าก็ด้วย”
เหล่าศิษย์พากันทิ้งตัวลงไปที่ซูหยางและกอดเขาแน่นเหมือนกับว่าเขาเป็นตุ๊กตาที่มีไว้สำหรับบีบ
หลังจากที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยชนะแล้ว สำนักเมฆม่วงก็ขึ้นไปบนเวทีและก็เป็นดังที่หลายคนคาดไว้ คู่ต่อสู้ก็พลันยอมแพ้ในเมื่อความพยายามของพวกเขาล้วนไม่มีความหมาย
สองสามชั่วโมงหลังจากนั้น เมื่อการแข่งขันทั้งหมดจบสิ้นลงแล้ว สำนักที่เหลืออยู่สิบสองสำนักก็จับคู่ในครั้งหน้า
“ข้าภาวนาขอให้พวกเรามิพบกับสำนักเมฆม่วง…” โหลวหลานจีอธิษฐานอย่างเงียบๆต่อสวรรค์ขณะที่เธอหยิบหมายเลขในกล่อง
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ซื่อตงก็ประกาศผลการจับคู่
“หมายเลขห้า นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและ โถงเก้าสัตว์ร้าย”
“อย่างงี้สิ” โหลวหลานจีกำหมัดแน่นด้วยความตื่นเต้นเมื่อพวกเขาไม่ต้องต่อสู้กับสำนักเมฆม่วง
“แม้ว่าโถงเก้าสัตว์ร้ายจะแข็งแกร่งกว่าสถาบันกระบี่ภูไคอย่างเห็นได้ชัด ตราบเท่าที่พวกเขามิมีใครที่อยู่ในเขตอัมพรวิญญาณ พวกเราก็อาจจะเอาชนะได้”
ครั้นเมื่อทุกคนรู้ถึงการแข่งขันในวันพรุ่งนี้ของตนเองแล้ว พวกเขาก็กลับที่พักเพื่อเตรียมความพร้อม
อย่างไรก็ตามเมื่อนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยไปถึงโรงเตี๊ยม พวกเขาก็ถูกรุมล้อมไปด้วยผู้คนที่ดูการแข่งขันในวันนี้ในทันที
“ข้าเป็นผู้อาวุโสของตระกูลกู๋จากภาคเหนือ และข้าต้องการแจ้งให้นางฟ้าฟางทราบว่านายน้อยของข้าต้องการให้เธอไปร่วมรับประทานอาหารเย็นคืนนี้”
“อย่าสนใจตระกูลกู๋ พวกนั้นมิอยู่ในสายตาของตระกูลว่านของข้า นายน้อยว่านของข้าได้ตกอยู่ในความงงงันนับตั้งแต่ที่เขาเห็นความสวยของนางฟ้าฟางบนเวทีและต้องการที่จักพูดคุยกับเธอ”
“นางฟ้าฟาง ข้าชื่อหานอี้ฟาน และข้าเป็นศิษย์ตรงของสำนัก–”
“ข้าเจียงเฉิน และข้ามี–”
ผู้คนนับไม่ถ้วนพากันตรงเข้าหาฟางซีหลานด้วยเจตนาที่จะเกี้ยวพาราสีเธอ สร้างความงงงันให้กับศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
“ศิษย์พี่หญิงฟางพลันกลายเป็นคนมีชื่อเสียง…” ศิษย์รุ่นเยาว์พากันงงงัน
เมื่อเวลาผ่านไปก็ยิ่งมีผู้คนมากกว่าเดิมรุมล้อมพวกเขา และภายในชั่วพริบตาทั่วทั้งถนนก็เต็มไปผู้คนที่พยายามจะเกี้ยวฟางซีหลาน
แม้ว่าเธอจะมีสถานะเป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ผู้คนเหล่านี้ก็ไม่ได้สนใจว่าเธอจะบริสุทธิ์หรือไม่ ในเมื่อพรสวรรค์ของเธอนั้นเป็นธรรมดาที่น่าตระหนกเกินกว่าที่จะมองข้ามไปได้ และพวกเขาต้องการที่จะรวบเธอเข้าไปไว้ในตระกูลของพวกเขาโดยไม่สนใจว่าจะต้องใช้จ่ายเท่าไหร่
“เงียบ” โหลวหลานจีคำรามขึ้นในทันใด ทำให้ทั้งบริเวณนั้นเงียบกริบ
“ถ้าพวกเจ้าต้องการที่จะพูดกับศิษย์ของข้า พวกเจ้าต้องผ่านข้าก่อน อย่างไรก็ตามเนื่องจากการประลองยังดำเนินอยู่ ข้าจักมิยอมให้ใครมารบกวนเธอ ถ้าพวกเจ้ายังคงต้องการที่จะพูดกับเธอ พวกเจ้าต้องจัดทำการนัดหมายหลังจากจบการแข่งขันและพวกเรากลับไปยังนิกายของพวกเราแล้ว
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ ฟางซีหลานก็กล่าวขึ้นว่า “ผู้นำนิกาย มิจำเป็นต้องมีอะไรเช่นนั้น”
จากนั้นเธอก็พลันก้าวไปข้างหน้าและกล่าวด้วยเสียงอันดังแต่เยือกเย็นว่า “ข้ามิมีเจตนาที่จะเข้าร่วมกับตระกูลใด ในเมื่อข้าได้ละทิ้งความคิดเหล่านั้นไปก่อนที่ข้าจักกลายเป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยแล้ว ดังนั้นจงโปรดลืมเรื่องข้าเสีย”
“ถ้าพวกท่านมีอะไรอื่นนอกจากเรื่องนี้แล้ว พวกท่านสามารถไปเยี่ยมนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้ทุกเวลาหลังการแข่งขัน ตอนนี้ข้าต้องขออภัยเมื่อพวกเรามีหลายสิ่งที่ต้องตระเตรียมสำหรับวันพรุ่งนี้”
Dual Cultivation บทที่ 397: วันที่สี่แห่งการแข่งขัน
“อึก… เกิดอะไรขึ้นกับข้า” ซูหยินลืมตาขึ้นช้าๆ ยังคงรู้สึกเจ็บบนแขนทั้งสองข้างและอีกครึ่งซีกร่าง
“ในที่สุดเจ้าก็ตื่นขึ้น หงอวี้เอ๋อร์กระแทกเจ้าออกจากเวที” ไป่ลี่ฮัวอยู่ตรงด้านข้างขณะที่เธอตื่นขึ้น
“เจ้าสำนัก… เช่นนั้นข้าแพ้แล้วใช่ไหม”
“น่าเสียดาย”
“แย่จริง” ซูหยินกัดฟัน
ถึงแม้ว่าเธอจะเสียใจที่สำนักหงส์สวรรค์ได้แพ้การแข่งขัน แต่ก็ไม่สามารถเปรียบได้กับความเจ็บปวดที่แพ้ให้กับหงอวี้เอ๋อร์ในฐานะที่เป็นหญิง อย่างน้อยนี่ก็คือสิ่งที่ซูหยินเข้าใจ
“มิจำเป็นต้องหงุดหงิด หงอวี้เอ๋อร์ได้หลอกทุกคนและกลายเป็นผู้ที่อยู่ในเขตอัมพรวิญญาณ มิมีทางที่เจ้าหรือใครจักสามารถเอาชนะเธอได้ ต่อให้ข้าเองก็ยังมิมีความมั่นใจว่าข้าจักสามารถเอาชนะเธอได้” ไป่ลี่ฮัวคิดว่าซูหยินเสียใจเพราะว่าพวกเธอได้พ่ายแพ้การแข่งขันและพยายามที่จะปลอบเธอ
“อย่างไรก็ตามทำไมเราจึงอยู่ภายในโรงเตี๊ยม และพี่ชายข้าอยู่ที่ไหน” ซูหยินถามเธอ
“การแข่งขันได้จบลงไปแล้ว และเมื่อนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้ชนะการแข่งขัน พวกเขาควรยังคงอยู่ที่โคลีเซียม รอจับคู่รอบถัดไป
“ข้าเข้าใจ…” ซูหยินพยักหน้า
ในเวลานั้นภายในโคลีเซียม โหลวหลานจีมองไปยังกระดาษที่เธอเพิ่งจับขึ้นมา
“นี่…” โหลวหลานจีเผยให้ซูหยางเห็นกระดาษและหมายเลขหนึ่งบนนั้น “เราจะต่อสู้เป็นคู่แรกวันพรุ่งนี้”
หลังจากนั้น ครั้นเมื่อทุกคนได้หยิบหมายเลขของตนเองหมดแล้ว ซื่อตงก็เริ่มประกาศการจับคู่
“เราจะได้สู้กับสถาบันกระบี่ภูไค เฮ้อ…” โหลวหลานจีถอนหายใจหลังจากที่ได้ยินชื่อของอีกฝ่าย
“มิเคยได้ยินชื่อมาก่อน” ซูหยางยักไหล่
“สถาบันกระบี่ภูไค ได้รับการขนานนามว่าเป็นที่ที่ดีที่สุดอันดับสองในด้านเพลงกระบี่ในโลกนี้ เพียงแค่ด้อยกว่าสำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาค่อนข้างมีชื่อเสียงในภาคเหนือ”
“แค่ดีที่สุดอันดับสองรึ เปรียบเทียบกับสำนักหงส์สวรรค์หรือนิกายล้านอสรพิษแล้วเป็นอย่างไรบ้าง”
“พวกเขาเพียงค่อนข้างด้อยกว่าอีกฝ่ายเล็กน้อย ข้าเดาว่าเช่นนั้น”
“ถ้าเช่นนั้นก็มิมีอะไรต้องกังวลใจ”
“ม-มิมีอะไรต้องกังวลใจงั้นรึ” โหลวหลานจีเลิกคิ้ว “อย่างไรก็ตามในเมื่อเราได้เอาชนะนิกายดอกบัวเพลิง สถาบันกระบี่ภูไคควรจักมิมีปัญหามากนัก…”
หนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็กลับไปยังโรงเตี๊ยม ซูหยางก็เรียกประชุมเหล่าศิษย์และกล่าวว่า “สำหรับการต่อสู้พรุ่งนี้ ข้าต้องการให้ฟางซีหลานสู้ทั้งหมดสิบรอบ”
“อ-อะไรนะ” เหล่าศิษย์ต่างพากันมองดูเขาและฟางซีหลานด้วยดวงตาเบิกกว้าง
“เจ้าคิดว่าเจ้าสามารถทำได้หรือไม่” ซูหยางถามเธอ
“…”
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ ฟางซีหลานก็พยักหน้า “ข้าเป็นเพียงคนเดียวที่ยังมิได้สู้แม้แต่รอบเดียวนับตั้งแต่วันแรก ข้าเองก็เริ่มสงสัยว่าข้าจักมีโอกาสได้ขึ้นเวทีหรือไม่”
“และเพื่อที่จะทำเกิดความตื่นเต้นมากกว่านี้ ถ้าเจ้าสามารถที่จะเอาชนะได้ทั้งสิบรอบติดต่อกัน ข้าจักให้รางวัลเจ้าด้วยวิชาระดับเซียน” ซูหยางกล่าว
“อะไรนะ”
เหล่าศิษย์ต่างแสดงสีหน้าตระหนกหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเขา และกระทั่งฟางซีหลานเองก็อดไม่ได้ที่จะจ้องไปยังเขาด้วยสีหน้างงงัน
“ข-ข้าจักมิทำให้ท่านผิดหวัง” ฟางซีหลานกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียดในเวลาถัดไป
เช้าวันถัดมา นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้ออกเดินทางไปยังโคลีเซียมเป็นวันที่สี่ติดต่อกัน
และถึงแม้ว่าจะมีสำนักน้อยกว่าสามสิบสำนักต่อสู้กันในวันนี้ ผู้คนกลับยิ่งมากและส่งเสียงเอะอะกว่าวันก่อน
“ยินดีต้อนรับสู่วันที่สี่ของการแข่งขันระดับภูมิภาค สำหรับการแข่งขันรอบแรกในวันนี้ เรามีสถาบันกระบี่ภูไคปะทะกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ม้ามืดที่น่าประหลาดใจที่สุดอันดับสองของปีนี้” ซื่อตงกล่าว
“พวกเราเป็นเพียงแค่อันดับสอง สำนักเมฆม่วงต้องเป็นอันดับหนึ่ง เฮ้อ…” ซุนจิงจิงเดา
“นั่นช่วยไม่ได้ หงอวี้เอ๋อร์อยู่ในเขตอัมพรวิญญาณย่อมน่าตระหนกเป็นธรรมดา” ฟางซีหลานกล่าว
“พูดถึงหงอวี้เอ๋อร์ เจ้าได้ยินว่าเกิดอะไรขึ้นหรือไม่เมื่อวานนี้ คนนับพันแห่กันไปโรงเตี๊ยมหยกร้อยปีหลังจากการแข่งขันวานนี้เพราะว่าพวกเขาต้องการที่จะพบกับหงอวี้เอ๋อร์ กระทั่งคนจากตระกูลใหญ่ก็ยังพยายามที่จะเกี้ยวเธอด้วยทรัพย์สินมูลค่ามหาศาล” โหลวหลานจีกล่าวขณะที่มองดูซูหยาง
ได้ยินว่ามีเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้น ซูหยางก็ยิ้มและกล่าวว่า “น่าตระหนกเช่นนั้นเลยเชียวรึ หงอวี้เอ๋อร์เป็นคนสวยทั้งยังมีพรสวรรค์หาใดเทียบในโลกนี้อย่างแท้จริง ถ้าข้ามิรู้อะไรมากกว่านี้ ข้าก็คงจะพยายามเข้าไปหาเธอเช่นกัน”
“ถ้าเจ้ามิรู้อะไรมากกว่านี้งั้นรึ” โหลวหลานจีเลิกคิ้ว งงงันว่าทำไมเขาจึงใช้ประโยคคำพูดเช่นนั้น
สองสามนาทีหลังจากนั้น เมื่อซื่อตงเรียกให้นักสู้ขึ้นสู่เวที ฟางซีหลานก็เริ่มตรงไปยังเวทีด้วยสีหน้าจริงจังบนใบหน้า
“โชคดี ศิษย์พี่หญิง” เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์พากันส่งเสียงให้กำลังใจเธอ
“ถล่มพวกนั้นให้ยับ พี่สาวฟาง” เช่นเดียวกับศิษย์คนอื่น
ในเวลานั้นผู้ชมต่างพากันมีสีหน้าประหลาดใจกับการปรากฏตัวของฟางซีหลาน เพราะว่าเธอไม่เคยต่อสู้แม้สักรอบมาก่อนนับตั้งแต่วันแรก พวกเขาคิดว่าเธอเป็นไพ่ใบสุดท้ายของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ตอนนี้เมื่อเธอขึ้นสู่เวทีเป็นรอบแรกนั่นหมายความว่าอะไร
“สถาบันกระบี่ภูไคได้ส่งศิษย์ตูออกมา ซึ่งอยู่ในระดับเจ็ดเขตสัมมาวิญญาณ” ซื่อตงแนะนำคู่ต่อสู้ของฟางซีหลาน
“สำหรับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้เลือกศิษย์ฟางมาเป็นนักสู้ของพวกเขา ซึ่งน่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง เธออยู่ในระดับเจ็ดเขตปฐพีวิญญาณ”
หลังจากที่รู้ว่าพลังการฝึกปรือของฟางซีหลาน ผู้ชมกว่าครึ่งอ้าปากค้างด้วยความตระหนก
“อะไรกันเรื่องนี้เป็นไปได้อย่างไร นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็มีคนที่มีพรสวรรค์ในหมู่พวกเขาด้วยเช่นกันรึ”
“แม้ว่าจะมิได้ใกล้เคียงระดับน่าตระหนกของหงอวี้เอ๋อร์ แต่นี่ก็ยังชวนงงงันทีเดียวเชียว”
“ทำไมจึงมีอัฉริยะยากหาใดเทียบมากมายปานนี้ปรากฏตัวในปีนี้ พวกเขาไปซ่อนตัวที่ไหนมา ทำไมจึงปรากฏตัวขึ้นตอนนี้”
“ร-ระดับเจ็ดเขตปฐพีวิญญาณ นั่นล้อเล่นหรือเปล่า”
กระทั่งศิษย์ของสถาบันกระบี่ภูไคก็ไม่อยากจะเชื่อ เขาจะสู้กับคนที่อยู่เหนือกว่าตนเองไปอีกช่วงชั้นได้อย่างไร เขาไม่สามารถแม้กระทั่งจะรับมือการโจมตีของเธอได้แม้สักครั้ง บ้าแล้ว ไม่ต่างกับสู้กับหงอวี้เอ๋อร์ในตอนนี้เลยแม้แต่น้อย
Dual Cultivation บทที่ 396: ข้าจักพูดกับเจ้าเร็วนี้ ซูหยาง
“นี่เป็นไปไม่ได้…” เจ้าซีขมวดคิ้ว “เทวรูปวิญญาณรายงานว่าพลังการฝึกปรือของเธออยู่ที่เขตสัมมาวิญญาณ แต่เห็นชัดว่าเธอแสดงพลังการฝึกปรือที่เขตอัมพรวิญญาณ เทวรูปวิญญาณมิเคยผิดพลาดมานับพันปี”
หลังจากนั้นชั่วขณะ เจ้าซีก็พลันนึกอะไรได้บางอย่าง
“เดี๋ยวก่อน เธอมิใช่เพียงคนเดียว ซูหยางนั่นก็รายงานมว่าอยู่ที่เขตคัมภีร์วิญญาณ ซึ่งเห็นชัดว่าไร้สาระ นี่หมายความว่าอย่างไร หรือว่าพวกเขามีวิธีที่จะซ่อนพลังการฝึกปรือที่แท้จริงจากเทวรูปวิญญาณ”
ขณะที่เจ้าซีครุ่นคิดอยู่นั้นซูหยางก็จ้องไปที่หงอวี้เอ๋อร์ด้วยรอยยิ้มลึกลับบนใบหน้า
“ซ-ซูหยาง ก-เกิดอะไรขึ้นที่นี่ เธอพลันไปอยู่ที่เขตอัมพรวิญญาณได้อย่างไรกัน” โหลวหลานจีถามเขาด้วยสีหน้างุนงง
“ท่านหมายความว่าอะไรกับคำว่า “พลัน” เธออยู่ที่เขตอัมพรวิญญาณตลอดมาอยู่แล้ว เพียงแค่เธอซ่อนความจริงไว้และทำเหมือนกับว่าอยู่ที่เขตสัมมาวิญญาณมาตลอดเท่านั้น”
“เอ๋ แต่นั่นยิ่งน่าสับสน เธอน่าจะได้รับการทดสอบด้วยเทวรูปวิญญาณ…”
“ของเล่นเล็กน้อยเช่นนั้นจักใช้งานมากไปแล้ว มีหลายวิธีที่จะทำให้มันผิดพลาด”
“เช่นนั้น…” โหลวหลานจีตระหนักถึงบางสิ่งและมองดูซูหยางด้วยดวงตาเบิกกว้าง “อย่าบอกข้าว่าเจ้าเองก็ทำบางอย่างกับพลังการฝึกปรือของเจ้าเช่นกัน อย่างไรก็ตามมันค่อนข้างเป็นไปได้ยากที่จะเชื่อว่าเจ้าเพียงอยู่แค่เขตคัมภีร์วิญญาณในเมื่อทุกคนอย่างน้อยต่างก็อยู่ที่เขตสัมมาวิญญาณ”
ซูหยางเพียงแค่ยักไหล่และกล่าวว่า “บางที”
ในเวลานั้นซูหยินยืนอยู่บนเวทีด้วยสีหน้าตื่นตะลึง ดูเหมือนว่าจะสูญเสียความมั่นใจและความปรารถนาทั้งหมดที่จะต่อสู้กับหงอวี้เอ๋อร์ซึ่งเห็นชัดว่าอยู่เหนือเธออีกขอบเขตหนึ่ง
“ฮาฮา…. เรื่องตลกอะไรกันนี่ ข้าจักชนะการต่อสู้นี้ได้อย่างไร” เธอพึมพัมกับตัวเอง
“ท้ายที่สุดเจ้าก็คงเข้าใจความแตกต่างระหว่างเราและเหตุใดที่เจ้ามิอาจเอาชนะข้าได้แล้วใช่ไหม น้องสาวของซูหยาง ต่อให้ผ่านไปอีกสิบปี ข้าก็ยังคงชนะการต่อสู้นี้” หงอวี้เอ๋อร์พลันกล่าวกันเธอ
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ ซูหยินก็เงยหน้าขึ้นจ้องมองไปที่หงอวี้เอ๋อร์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“เรามิรู้จนกว่าข้าจักได้ลองพยายาม พี่ชายของข้ากำลังดูข้าอยู่ในตอนนี้ ข้ามิสามารถยอมแพ้ได้หากมิได้ลองพยายาม” เธอตะโกน
หงอวี้เอ๋อร์แสดงรอยยิ้มให้เห็นเล็กน้อยและกล่าวว่า “เจ้าเป็นผู้ใหญ่แล้วจริงๆ ซูหยิน ช่างน่าชื่นชม”
“เช่นนั้นก็ดี เช่นนั้นให้ข้าสู้กับเจ้าจนถึงที่สุด”
ซูหยินพลันตั้งท่าในทันทีและเตรียมที่จะเข้าปะทะกับหงอวี้เอ๋อร์
“รูปแบบสวรรค์ที่สาม รัศมีสวรรรค์”
แสงเรืองศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งพลันโอบล้อมซูหยิน เพิ่มพลังการฝึกปรือของเธอขึ้นไปอีกสามระดับ
“ข้าเพิ่งเรียนได้เมื่อวานนี้ ดังนั้นข้าก็จักเพียงสามารถใช้ได้เพียงแค่หนึ่งนาทีเป็นอย่างมาก…” ซูหยินคิด
“ดังที่คาดไว้สำหรับคนตระกูลซู พวกเขาเป็นคนที่มีจิตใจมิไหวหวั่น”
แม้ว่าผู้ชมจะไม่เชื่อว่าซูหยินจะสามารถเอาชนะคนที่มีพลังเหนือกว่าอีกหนึ่งขอบเขตได้ พวกเขาก็พากันชื่นชมซูหยินที่ไม่ยอมแพ้แม้ว่าจะมีความแข็งแกร่งที่ต่างกันเห็นชัดเจน ทั้งยังให้กำลังใจเธออีกด้วย
“ต่อให้เธอแพ้ในครั้งนี้ ก็มิมีใครที่จะโทษเธอ”
“ลืมเรื่องนางฟ้าซูไปเถอ ในเมื่อกระทั่งเจ้าสำนักหงสวรรค์เองก็อาจจะมิสามารถเอาชนะเธอได้ นางฟ้าหงแข็งแกร่งเกินไป”
“ซูหยิน ถ้าเจ้ายังคงยืนอยู่หลังจากการโจมตีของข้าครั้งนี้ ข้าจักยอมแพ้ ฟังดูเป็นไงบ้าง” หงอวี้เอ๋อร์พลันกล่าวกับเธอ
“จริงรึ” ความหวังอันริบหรี่ปรากฏขึ้นในดวงตาของซูหยิน
“แน่นอน” หงอวี้เอ๋อร์พยักหน้าและเลียนแบบการเคลื่อนไหวของซูหยินอีกครั้ง
“รูปแบบสวรรค์ที่สอง อีกครั้งรึ” ซูหยินเลิกคิ้ว
“ข้าเข้าไปแล้ว”
หงอวี้เอ๋อร์พลันพุ่งเข้าไปหาซูหยิน ซึ่งรู้สึกเหมือนว่าตนเองกำลังมองดูมังกรที่ไม่มีอะไรหยุดยั้งได้พุ่งเข้าใส่ตัวเธอ
“รูปแบบสวรรค์ที่สอง หมัดเกลียวสวรรค์”
หงอวี้เอ๋อร์ทิ่มหมัดทั้งคู่ไปข้างหน้าแต่ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ มันสนับสนุนด้วยพลังการฝึกปรือเขตอัมพรวิญญาณทำให้ความแข็งแกร่งของวิชาระดับสวรรค์นี้เหมือนกับเป็นวิชาระดับเซียน
ซูหยินตัดสินใจที่จะเน้นในการป้องกันโดยเฉพาะ เธอยื่นแขนออกไปเบื้องหน้าเตรียมป้องกันการโจมตีด้วยตัวตนของตนเอง
บูม
ทันทีที่หมัดของหงอวี้เอ๋อร์ปะทะเข้ากับซูหยิน ริ้วคลื่นที่ทรงพลังที่เต็มไปด้วยปราณไร้ลักษณ์ก็กวาดไปทั่วทั้งเวที จนทำให้เกิดแผ่นดินไหวเล็กน้อยภายในโคลีเซียม
สำหรับซูหยินนั้นเธอไม่สามารถต่อต้านแรงกระแทกจากการโจมตีและปลิวตรงออกไปนอกเวที ก่อนที่จะปะทะเข้ากับผนังและร่วงลงสิ้นสติ
“น-น-นักสู้ซูหยินตกจากเวทีและสิ้นสติ ผู้ชนะการแข่งขันรอบนี้คือหงอวี้เอ๋อร์และสำนักเมฆม่วงได้ชนะการแข่งขันครั้งนี้” ซื่อตรงประกาศหลังจากที่หลุดออกมาจากความงงงัน
หลังจากที่เอาชนะซูหยินแล้ว หงอวี้เอ๋อร์ก็หันมองไปยังคนผู้หนึ่งภายในหมู่ผู้ชมและแสดงรอยยิ้มลึกลับบนใบหน้าของเธอ
“ข้าจักพูดกับเจ้าเร็วนี้ ซูหยาง…” เธอพึมพัมก่อนที่จะลงจากเวที ทิ้งกลิ่นอายอันงดงามสง่าไว้ด้านหลัง
“ข้ามิอยากเชื่อ… สำนักหงส์สวรรค์ก็ยังพ่ายแพ้ให้กับพวกเขา…” โหลวหลานจีพึมพัมหลังจากที่เห็นความพ่ายแพ้ของพวกเธอ
“พ-พวกเรามีโอกาสในการสู้กับพวกเขาจริงเหรอ” ซุนจิงจิงถอนหายใจด้วยเสียงโศกเศร้า “คนที่อยู่ในเขตอัมพรวิญญาณสามารถจัดการกับผู้เชี่ยวชาญเขตปฐพีวิญญาณนับสิบได้อย่างง่ายดาย นอกจากว่าพวกเราก็มีคนที่อยู่ในระดับนั้นเช่นกัน ข้าสงสัยว่าพวกเราจักสามารถจัดการกับหงอวี้เอ๋อร์หรือไม่ พวกเจ้าคิดอย่างไร พี่สาวฟาง”
“ใครจะรู้…” ฟางซีหลานยักไหล่อย่างเยือกเย็น
“ท่านยังคงใจเย็นอยู่ได้อย่างไร เป็นความมั่นใจหรือมีอะไรหรือ” ซุนจิงจิงเลิกคิ้ว
“ความเชื่อมั่น… ข้าเดาว่าควรเป็นความเชื่อมั่น” เธอตอบ
“ความเชื่อมั่นรึ กับอะไร”
“ไม่ใช่อะไร แต่เป็นใคร…” ฟางซีหลานยิ้ม
—
“ม-เมื่อไหร่กันที่เจ้าเข้าถึงเขตอัมพรวิญญาณ อย่างน้อยเจ้าควรจะบอกข้า อาจารย์ของเจ้า” กูกว่านถิงกล่าวกับหงอวี้เอ๋อร์เมื่อเธอกลับมายังพวกเขา
“โอ ข้ามิได้บอกรึ เช่นนั้นข้าคงลืมไป” หงอวี้เอ๋อร์กล่าวด้วยเสียงเรียบเฉย
“จ-เจ้าลืมรึ ฟังนี่–”
“ข้าเหนื่อย เช่นนั้นข้าจักขอพักสักวัน” หงอวี้เอ๋อร์ตัดบทเขาและรีบเดินจากไป
“ฮ้าาาา…. ทำตามที่เธอต้องการเสมอเลย…” กูกว่านถิงถอนใจ
แม้ว่าเขาต้องการที่จะสั่งสอนเธอ เขาก็ไม่มีความกล้าแม้ว่าจะเป็นเจ้าสำนัก มีบางอย่างในตัวหงอวี้เอ๋อร์ที่ทำให้เขารู้สึกกังวลเมื่อเขาอยู่ใกล้เธอ ราวกับว่าอยู่ต่อหน้าสิ่งมีชีวิตระดับสูง
Dual Cultivation บทที่ 395: พลังการฝึกปรือที่แท้จริงของหงอวี้เอ๋อร์
“นี่เป็นเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง…”
ผู้ชมต่างพากันมึนงงกับสถานการณ์ สิ่งที่ไม่มีใครในนั้นได้คาดไว้ล่วงหน้า
“ข-ข้าเกลียดเจ้า พี่หง” ซูหยินจนคำพูด
“นี่เป็นความผิดเจ้าที่พยายามจะแยกพวกเราจากกัน ซูหยิน” หงอวี้เอ๋อร์ยักไหล่ไม่แยแส “ต่อให้เจ้าเป็นน้องสาวของเขา ข้าก็จักมิยอมปล่อยให้เจ้าลอยนวลโดยมิรับผลกระทบอะไรเลย”
“ว่ายังไง เจ้าได้ข้อสรุปหรือยัง ถ้าเจ้ามิยอมแพ้ภายในสิบวินาทีต่อไป ข้าจักนำเอาชุดคลุมส่วนล่างของเจ้าออก”
เมื่อผู้ชมผู้ชายได้ยินคำพูดของหงอวี้เอ๋อร์ ใจของพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงภาพ ใจหนึ่งพวกเขาไม่สนับสนุนวิธีการของหงอวี้เอ๋อร์ในการบีบให้ซูหยินยอมแพ้ แต่อีกใจหนึ่งนั้นพวกเขาไม่รังเกียจที่จะได้เห็นสิ่งเหล่านี้ดำเนินต่อไปจนถึงที่สุด
“บ้า สิ่งเหล่านี้มิควรจะเกิดขึ้น ควรจักเป็นข้าที่เอาชนะเธออย่างใสสะอาดยุติธรรมและได้รับคำชมจากพี่ชายข้าหลังจากนี้” ซูหยินอยากจะร้องไห้ออกมาดังๆ
“สิบ… เก้า… แปด…” หงอวี้เอ๋อร์เริ่มนับถอยหลัง จนทำให้ร่างของซูหยินสั่นสะท้าน
“ข้าจักมิให้อภัยเจ้าสำหรับเรื่องนี้…” ซูหยินยกมือของเธอขึ้นช้าๆ ดูเหมือนว่าเตรียมตัวที่จะยอมแพ้
อย่างไรก็ตามขณะที่เธอกำลังจะเปิดปากพูดยอมแพ้ เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นในหัวของซูหยิน
“กระบี่เลือนเร้นร่ายรำ เป็นวิชาที่เน้นในการลวงการรับรู้ เจ้ามิอาจเห็นมันด้วยเพียงแค่ดวงตา เจ้าจำเป็นต้องรับรู้ถึงสายลมในอากาศและทำนายทิศทางกระบี่”
“พี่ชาย” ซูหยินประหลาดใจและยินดีที่ได้ยินเสียงของซูหยางในหัว
“ห้า… สี่… สาม…” หงอวี้เอ๋อร์ยังคงนับถอยหลัง
“หลับตาเจ้าซะ”
“ห-หลับตาข้าลงรึ” ซูหยินไร้คำพูด
การหลับตาลงต่อหน้าจอมกระบี่ระหว่างการต่อสู้ก็คล้ายกับการยอมรับความตาย
อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่ามันจะไร้สาระอย่างไรก็ตาม ซูหยินก็ไม่เคยหวั่นไหวในความศรัทธาต่อซูหยาง ดังนั้นเธอจึงหลับตาลงพร้อมกับลดมือลง
“สอง.. หนึ่ง… ศูนย์” หงอวี้เอ๋อร์ยกกระบี่ในมือขึ้นเล็กน้อย “เจ้าได้แต่โทษตัวเองที่ดื้อดึง น้องเล็ก”
“ใช่แล้ว” ซูหยินพลันลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว
“รูปแบบสวรรค์ที่สอง หมัดเกลียวสวรรค์”
ติง
เสียงแหลมของโลหะปะทะกันดังขึ้นในบริเวณนั้น
“โอ” หงอวี้เอ๋อร์เบิกตาขึ้นเล็กน้อย ดูเหมือนว่าจะประหลาดใจที่ซูหยินสามารถป้องกันการโจมตีของเธอได้ทันท่วงที
“ข-ข้าทำได้ ข้าป้องกันมันได้” ซูหยินตะโกนด้วยน้ำเสียงยินดีขณะที่มองไปที่ซูหยางซึ่งนั่งอยู่ในตำแหน่งผู้ชม
เมื่อเห็นซูหยินมองไปที่ซูหยาง หงอวี้เอ๋อร์พลันตระหนักว่าทำไมซูหยินจึงเข้าใจกลเม็ดในกระบี่เลือนเร้นร่ายรำได้อย่างรวดเร็ว
“นี่เป็นวิธีการบอกข้าให้สู้กับเธออย่างยุติธรรมใช่ไหมซูหยาง” รอยยิ้มเล็กน้อยปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหงอวี้เอ๋อร์ “ถ้านั่นเป็นสิ่งที่เจ้าต้องการ ข้าจักเอาจริงอีกสักเล็กน้อยเพื่อเจ้า สุดที่รัก”
“น้องเล็ก ข้าเข้าไปละนะ” หงอวี้เอ๋อร์พลันโยนกระบี่ในมือทิ้งและพุ่งตรงเข้าไปหาซูหยิน
“เจ้าต้องการจะทำอะไรตอนนี้”
ด้วยความประหลาดใจกับการกระทำที่สร้างความสับสนของหงอวี้เอ๋อร์ ซูหยินจึงเตรียมตัวที่จะวิ่งหนี
“เจ้าต้องการสู้กับข้าอย่างยุติธรรมใช่ไหม ให้ข้าได้เติมเต็มความปรารถนาของเจ้า”
หงอวี้เอ๋อร์เลียนแบบการเคลื่อนไหวของซูหยินก่อนหน้านั้นและต่อยหมัดของเธอออก
“รูปแบบสวรรค์ที่สอง หมัดเกลียวสวรรค์”
“อะไรกัน”
ซูหยินประหลาดใจเกินไปที่เห็นหงอวี้เอ๋อร์ใช้วิชาของเธอเองจนทำให้ป้องกันตัวได้ไม่เหมาะสม ทำให้การโจมตีเข้าถึงตัว
“อา”
ซูหยินตะโกนด้วยความเจ็บปวดขณะที่ร่างของเธอถูกเหวี่ยงขึ้นไปบนอากาศก่อนจะลอยไปไกลหลายเมตรหลังจากที่ถูกโจมตี รู้สึกเหมือนกับว่าเธอเพิ่งถูกชนด้วยช้าง
“อะไรกัน นั่นเป็นไปมิได้ ทำไมหงอวี้เอ๋อร์จึงรู้จักวิชานี้” ไป่ลี่ฮัวและศิษย์คนอื่นต่างพากันตกใจเช่นเดียวกับซูหยิน
นอกจากว่าซูหยางได้เปิดเผยวิชานี้ให้กับหงอวี้เอ๋อร์ด้วยเช่นกัน ไม่เช่นนั้นไม่มีทางที่เธอจะสามารถเรียนวิชานี้ได้
แต่ทว่าซูหยางไม่เคยเผยวิชานี้ให้กับเธอแน่นอน สิ่งเดียวที่อธิบายได้ว่าทำไมหงอวี้เอ๋อร์เรียนรู้วิชานี้ก็คือดูซูหยินใช้
แน่นอนว่านอกจากซูหยางที่มีประสบการณ์มากมายในฐานะเซียน คนที่มีพรสวรรค์ดั่งอสูรเช่นนี้ไม่ควรมีอยู่ นอกจากว่าหงอวี้เอ๋อร์ก็เป็นเหมือนกับซูหยาง คนที่มีประสบการณ์เกินกว่าตรรกะของโลกนี้
“นี่เป็นวิชาที่ดีเยี่ยมสำหรับวิชาระดับสวรรค์” หงอวี้เอ๋อรพูดอย่างสบายๆ
“จ-เจ้ารู้วิชานี้ได้อย่างไร” ซูหยินพูดขณะที่เธอพยายามดิ้นรนลุกขึ้น
“ถ้าเจ้าเอาแต่ใช้วิชาเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ข้าก็ได้แต่เรียนรู้ถึงแม้ว่าข้ามิต้องการ”
“ช่างเป็นเรื่องไร้สาระอะไรเช่นนี้” ซูหยินไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีกับคำพูดไร้สาระเช่นนั้น
“เจ้าพร้อมที่จะยอมแพ้หรือยังน้องเล็ก เจ้าควรตระหนักว่าตอนนี้เจ้ามิอาจเอาชนะข้าได้” หงอวี้เอ๋อร์กล่าวกับเธอ
“มิมีทาง” ซูหยินตะโกน
หงอวี้เอ๋อร์ถอนหายใจ “ช่างน่าสมเพช”
ในเวลาถัดไปแรงกดดันที่มองไม่เห็นก็เกิดขึ้นบนเวที สร้างความงงงันให้กับซูหยินและผู้ชม
“ก-เกิดอะไรขึ้น” ซูหยินมองดูหงอวี้เอ๋อร์ด้วยดวงตาเบิกกว้างเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ
“ถ้าข้ามิแสดงให้เจ้าเห็นความแตกต่างระหว่าเราอย่างชัดเจน เจ้าคงจักมิยอมเข้าใจ”
ปราณไร้ลักษณ์มหาศาลพลันทะลักออกจากร่างของหงอวี้เอ๋อร์ จนทำให้ระดับพลังการฝึกปรือของเธอเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
ระดับหนึ่งเขตปฐพีวิญญาณ… ระดับสอง… ระดับสาม… ระดับสี่…
ภายในไม่กี่วินาที พลังการฝึกปรือของหงอวี้เอ๋อร์พลันพุ่งทะยานจากระดับสูงสุขเขตสัมมาวิญญาณไปสู่ระดับสูงสุดเขตปฐพีวิญญาณ
“ป-เป็นไปไม่ได้..” ซูหยินสีหน้ว่างเปล่า ดูเหมือนกับว่าเธอกำลังฝันไป
“ข้ายังมิจบดี…”
ด้วยการผลักดันอีกครั้ง พลังการฝึกปรือของหงอวี้เอ๋อร์ก็ก้าวไปอีกระดับหนึ่ง เข้าสู่เขตอัมพรวิญญาณ
“สวรรค์…” ไป่ลี่ฮัวและเจ้าซีอุทานออกมาเป็นเสียงเดียวกัน
ซีซิงฟางยังคงเงียบ แต่ที่ซ่อนอยู่ภายในผ้าคลุมหน้านั้นเป็นสีหน้าเคร่งเครียด
ส่วนสำหรับผู้ชมนั้น พวกเขาต่างพากันตระหนกจนเงียบงัน
มันเงียบมากภายในโคลีเซียมจนกระทั่งสามารถได้ยินเสียงเข็มตกในระยะห่างไปนับกิโลเมตร
Dual Cultivation บทที่ 394: กลยุทธ์ไร้ยางอาย
“ต-ตระหนักรู้ อย่างงั้นรึ” รอยคิ้วขมวดปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูหยิน “ท่านเล่นตลกกับข้ารึ พี่สาวหง”
“ทำไมเจ้าจึงคิดอย่างนั้น ข้ามิมีเหตุผลที่จะโกหกเจ้า ในเมื่อข้าก็เพียงแค่พูดความจริง”
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ ซูหยินก็ถามเธอว่า “ท่านจริงจังมากแค่ไหนกับพี่ชายของข้า”
“พูดได้แค่เพียงว่าเป็นระดับที่มิว่าใครในโลกนี้แม้แต่เจ้าจักเข้าใจได้”
“ข้ามิเชื่อท่าน ข้าจักเชื่อคนที่มิเคยแม้แต่น้อยที่จะพยายามค้นหาพี่ชายของข้าเมื่อเขาหายสาบสูญไปได้อย่างไร” ซูหยินตะโกน “ถ้าข้าเอาชนะท่านได้ในรอบนี้ ข้าต้องการให้ท่านลืมพี่ชายข้าไปซะ”
“ลืมเขาไปงั้นรึ… ข้าเกรงว่านั่นเป็นไปมิได้” หงอวี้เอ๋อร์ส่ายหน้าอย่างนุ่มนวล “และเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้ามิได้ค้นหาซูหยาง”
หลังจากเงียบไปอีกชั่วขณะ หงอวี้เอ๋อร์ก็กล่าวต่อว่า “ปกติแล้วข้ามิทำอะไรเช่นนี้ แต่ในเมื่อเจ้าเป็นน้องสาวของซูหยาง ข้าจักให้เรื่องนี้เป็นข้อยกเว้นและยอมรับข้อเสนอที่ไร้เหตุผลของเจ้า”
“แต่ทว่า ถ้าข้าชนะ เจ้าต้องรับความสัมพันธ์ทุกอย่างที่ข้ามีต่อซูหยาง”
“ตกลง” ซูหยินไม่มีความคิดที่จะพ่ายแพ้ต่อหงอวี้เอ๋อร์ ไม่เช่นนั้นเธอก็คงไม่ตกลงโดยปราศจากความลังเล
“พวกเจ้าสองคนพร้อมที่จะต่อสู้กันแล้วหรือยัง” ซื่อตงถามพวกเธอด้วยสีหน้าประหลาด
เพราะว่ามีกลิ่นอายอันดุร้ายระหว่างพวกเธอ ซื่อตงจึงไม่กล้าที่จะขัดจังหวะพวกเธอในเวลานั้น และรอคอยอย่างอดทนจนพวกเธอเยือกเย็นลง
“ข้าพร้อมแล้ว” ซูหยินกล่าวขณะที่เธอตั้งท่า
“ข้าก็พร้อมแล้วเช่นกัน” หงอวี้เอ๋อร์พยักหน้าให้กับซื่อตง
“ถ้าเช่นนั้น… เริ่ม”
วินาทีที่การต่อสู้เริ่มต้น ซูหยินก็ใช้วิชาการเคลื่อนที่เข้าประชิด
“รูปแบบสวรรค์ที่สอง หมัดเกลียวสวรรค์”
ซูหยินต่อยหมัดที่กำแน่นไปยังหงอวี้เอ๋อร์ จนทำให้เกิดริ้วปราณไร้ลักษณ์แพร่กระจาย
อย่างไรก็ตาม หงอวี้เอ๋อร์หลบการโจมตีออกไปอย่างเยือกเย็นด้วยการขยับตัวไปด้านขวาเล็กน้อย หลบหมัดซูหยินไปอย่างฉิวเฉียด “รูปแบบสวรรค์ที่หนึ่ง ฝ่ามือแยกภูผา”
ทันทีที่พลาดการโจมตีครั้งแรก ซูหยินก็รีบปรับท่าทางเพื่อโจมตีอีกครั้ง
บูม
การโจมตีของซูหยินถูกหลบไปอย่างฉิวเฉียดอีกครั้ง แต่การโจมตีก็ได้ทำลายแผ่นกระเบื้องบนเวทีนับสิบแผ่น
“การโจมตีดุร้ายการตัดสินใจเฉียบขาด เจ้าเติบโตขึ้นมากนับตั้นแต่ที่ข้าเห็นเจ้าครั้งสุดท้าย” หงอวี้เอ๋อร์ชมเธอหลังจากที่หลบการโจมตี
“ข้ามิต้องการคำชมของท่าน รูปแบบสวรรค์ที่สอง หมัดเกลียวสวรรค์”
อีกครั้งที่หงอวี้เอ๋อร์หลบการโจมตี
“การโจมตีของเจ้ามิมีทางโดนตัวข้า ทำไมเจ้ามิยอมแพ้ล่ะ ข้าต้องการหลีกเลี่ยงการโจมตีน้องสาวซูหยางถ้าเป็นไปได้”
ซูหยินหน้าแดงหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเธอ “ข้ารู้ว่าท่านกำลังเย้ยหยันข้า”
หงอวี้เอ๋อร์ถอนหายใจและยกกระบี่พร้อมฝักในมือขึ้นเล็กน้อย
เมื่อซูหยินเห็นเช่นนั้นร่างของเธอก็มีปฏิกิริยาตอบโต้โดยสัญชาตญาณทำการถอยเข้าระยะปลอดภัยทันที
อย่างไรก็ตามในเวลาถัดไป ซูหยินก็สังเกตเห็นว่าร่างของเธอเบาขึ้นเล็กน้อยด้วยเหตุผลบางประการ
ซูหยินตัดสินใจมองลงไป แต่เมื่อเธอเห็นว่าเสื้อคลุมช่วงล่างของเธอได้สั้นลงด้วยของมีคมบางอย่าง ร่างของเธอก็สั่นสะท้านลงด้วยความกลัว
“นั่นคืออะไรกัน ข้ามิเห็นแม้กระทั่งเธอชักดาบออกจากฝัก”
เสื้อคลุมของเธอแท้จริงแล้วได้ถูกตัดออกด้วยกระบี่ของหงอวี้เอ๋อร์ แต่เธอไม่สามารถที่จะสังเกตเห็นได้ อย่าว่าแต่จะตอบสนอง
“ประสาทสัมผัสของเจ้าค่อนข้างเฉียบคม ถ้าเจ้ามิล่าถอยเมื่อกี้นี้ ชุดชั้นในของเจ้าคงเผยให้สาธารณชนเห็นไปแล้วตอนนี้” หงอวี้เอ๋อร์พูดพร้อมกับรอยยิ้มซุกซนบนใบหน้า
“ข้าทำได้มิค่อยดีนักในการยั้งมือ แต่ข้ามิต้องการที่จะทำร้ายเจ้า ดังนั้นนี่จึงเป็นวิธีเดียวที่ข้าสามารถคิดได้ที่จักทำให้เจ้ายอมแพ้”
“จ-เจ้าชั่วร้าย เจ้าขี้ขลาด สู้กับข้าอย่างใสสะอาดสิ” ซูหยินกัดฟันด้วยความโกรธ
“เจ้าจักทำอะไรรึถ้าข้าปฏิเสธ รีบยอมแพ้เร็วเข้า หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เจ้าจักต้องสู้กับข้าในขณะที่เปลือยเปล่า” “จ-จ-เจ้ามันเลว ข้าจักมิยอมปล่อยให้พี่ชายของข้าเข้าใกล้กับหญิงอย่างเจ้าไม่ว่าที่ไหนก็ตาม”
“บ้าสิ ถ้าข้ามิยอมแพ้การต่อสู้ครั้งนี้ สุดท้ายเธอจักต้องเปลื้องข้าจนเปลือยเปล่าต่อหน้าคนจำนวนมากแน่ ข้าคงจะยอมตายดีกว่าปล่อยให้คนเหล่านั้นที่มิใช่พี่ชายสุดที่รักของข้าเห็นร่างข้า แต่ถ้าข้ายอมแพ้ ข้าจักต้องยอมให้นังจิ้งจอกนี่เข้าใกล้พี่ชายข้า และข้าก็มิต้องการเช่นนั้นเช่นกัน”
ซูหยินถูกผลักเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกหงอวี้เอ๋อร์คุกคามว่าจะเปลื้องผ้าเธอเปลือยเปล่าถ้าเธอไม่ยอมแพ้การต่อสู้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อน
“เหมือนที่ข้าคิดไว้ แม้ว่าเธอจะมีรูปร่างหน้าตาเหมือนพี่สาวหง แต่ลักษณะท่าทางของเธอแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ราวกับว่าเธอถูกผีสิง” ซูหยินหรี่ตาไปยังหงอวี้เอ๋อร์
“โห นี่อะไรกัน เจ้ากำลังร้องไห้รึ” หงอวี้เอ๋อร์ปิดปากและทำท่าทางประหลาดใจขณะที่ดวงตาของซูหยินเริ่มมีน้ำตาคลอเบ้า
“ข้ามิได้ร้องไห้” ซูหยินกัดริมฝีปากและฝืนที่จะร้องไห้
“เช่นนั้นเจ้ารู้สึกต้องการยอมแพ้แล้วหรือยัง ข้ามิได้มีความอดทนที่จะรอคอยทั้งวัน”
“ข้าจักมิมีวันยอมแพ้” ซูหยินตะโกน
“ถ้าเช่นนั้น…”
ดวงตาของหงอวี้เอ๋อร์เปล่งแสงลึกลับ และกระบี่ในมือเธอก็สั่นสะท้านเล็กน้อย
วูดดด
“อา”
ซูหยินร้องเสียงดังเมื่อชายเสื้อของเธอพลันเลื่อนไถลออกจากแขน เผยให้เห็นแขนแบบบางเรียบเนียนของเธอ
“ช-ช่างไร้ยางอาย ช่างสกปรกนัก”
ศิษย์สำนักหงส์สวรรค์ต่างพากันงงงันกับกลยุทธ์ที่ไม่คาดคิดและสกปรกของหงอวี้เอ๋อร์ในการที่จะทำให้ซูหยินยอมแพ้ อย่างไรก็ตามการเล่นสกปรกประเภทนี้เป็นสิ่งที่คนมักจะคาดหมายว่าผู้ชายเป็นคนทำ ไม่ใช่หญิงสาวสวยเฉลียวฉลาดเหมือนดังเช่นหงอวี้เอ๋อร์
“เฮ้ย กูกว่านถิง นี่เป็นบ้าอะไรกัน นี่เป็นวิธีที่สำนักเมฆม่วงทำตอนนี้งั้นรึ” ไป่ลี่ฮัวตัดสินใจที่จะระบายความโกรธตรงไปยังกูกว่านถิง อาจารย์ของหงอวี้เอ๋อร์
แต่ทว่ากูกว่านถิงซึ่งก็ประหลาดใจเช่นเดียวกับทุกคนกับการเล่นตลกของหงอวี้เอ๋อร์ ก็ส่ายหน้าของตนเองอย่างรวดเร็ว และกล่าวว่า “อย่ากล่าวหาข้า ข-ข้ามิมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้”
“สัส ข้าต้องการพูดกับเจ้าหลังจากนี้ กล้าดีก็อย่าหนีไปล่ะ” ไป่ลี่ฮัวตะโกนใส่อีกฝ่าย”
“ด-ได้…” กูกว่านถิงยอมจำนนต่อโชคชะตาและถอนหายใจเสียงดัง
“โอ หงอวี้เอ๋อร์… เจ้าคิดบ้าอะไรอยู่ แรกก็นิกายล้านอสรพิษและตอนนี้ก็… หรือว่าเจ้าต้องการจะให้ข้าถูกฆ่า” กูกว่านถิงรู้สึกเหมือนอยากร้องไห้
Dual Cultivation บทที่ 393: ความคิดเห็นของข้าที่มีต่อเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว
ตอนที่หลินเชาชางตื่นขึ้นนั้นการต่อสู้หลายคู่ได้จบไปแล้ว
“สำหรับการต่อสู้คู่ต่อไป เรามีสำนักหงส์สวรรค์และสำนักเมฆม่วง”
ครั้นเมื่อผู้ชมได้ยินคำพูดของซื่อตง ทุกแห่งหนล้วนกระหึ่มไปด้วยความตื่นเต้น
“เจ้าคิดว่าใครจักเป็นผู้ชนะครั้งนี้”
“นี่ค่อนข้างยาก แม้ว่าสำนักหงส์สวรรค์จะเป็นที่ที่แข็งแกร่ง สำนักเมฆม่วงก็มิอาจที่จะมองข้ามได้ในปีนี้เพราะว่านางฟ้าหง อีกทั้งพวกเขาก็เอาชนะนิกายล้านอสรพิษย์ซึ่งถือได้ว่าเทียบเท่ากับสำนักหงส์สวรรค์มาแล้วด้วย”
“ข้าพนันหินวิญญาณสิบก้อนว่าสำนักหงส์สวรรค์ชนะ”
“เช่นนั้นข้าจักพนันหินวิญญาณห้าสิบก้อนกับสำนักเมฆม่วง”
“ยี่สิบห้าให้กับสำนักหงส์สวรรค์”
“สิบห้ากับสำนักเมฆม่วง”
ผู้ชมพากันพนันการต่อสู้ด้วยอัตราต่อรองที่เท่ากันทั้งสองฝั่ง
“ท่านเจ้าสำนักมีคำพูดอะไรก่อนที่เราจะเริ่มการแข่งขันหรือไม่” ซื่อตงถามพวกเขา
ไป่ลี่ฮัวหรี่ตาไปที่กูกว่านถิงและกล่าวว่า “ถ้าท่าน–”
“อย่ากังวล ศิษย์ของข้ามิมีเจตนาที่จะทำร้ายศิษย์ของท่าน” กูกว่านถิงสามารถเดาได้ว่าเธอต้องการที่จะพูดอะไรและรีบตัดบท
“อะไรที่เกิดขึ้นกับนิกายล้านอสรพิษนั่นเป็นความแค้นส่วนตัวของเธอ”
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ ไป่ลี่ฮัวหันไปมองดูซื่อตงแล้วพยักหน้า
“เช่นนั้นก็ขอเริ่มการแข่งขัน โปรดส่งนักสู้คนแรกของพวกท่านขึ้นบนเวที”
ไม่นานหลังจากนั้นสำนักเมฆม่วงและสำนักหงส์สวรรค์ก็ส่งนักสู้ของตนเองออกมา
แน่นอนว่าศิษย์สำนักเมฆม่วงไม่มีทางต่อสู้กับศิษย์สำนักหงส์สวรรค์ได้อย่างแน่นอน มีเพียงหงอวี้เอ๋อร์คนเดียวที่สามารถสู้กับพวกเขาได้อย่างเท่าเทียม
อย่างไรก็ตามสำนักเมฆม่วงเพียงต้องการที่จะตัดกำลังศิษย์สำนักหงส์สวรรค์ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ก่อนที่จะปล่อยให้หงอวี้เอ๋อร์ขึ้นบนเวที ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ใส่ใจที่จะเสียแต้มทุกรอบก่อนหน้านั้น
หลายนาทีถัดไปจากนั้นสำนักเมฆม่วงก็เหลือเพียงนักสู้คนสุดท้ายในขณะที่สำนักหงส์สวรรค์ยังคงเหลือศิษย์อีกห้าคนที่สามารถส่งขึ้นบนเวทีได้
“หงอวี้เอ๋อร์ ตอนนี้ทุกสิ่งขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว” กูกว่านถิงกล่าวกับหงอวี้เอ๋อร์
“ไปจัดการพวกเขาเลย ศิษย์พี่หญิง”
“ใช่แล้ว พวกเขามิมีทางเทียบท่านได้”
เหล่าศิษย์ต่างพากันเชียร์เธอเช่นกัน
“ข้าจักไปเดี๋ยวนี้” หงอวี้เอ๋อร์พยักหน้าและเริ่มตรงไปที่เวทีการต่อสู้
“นั่นนางฟ้าหง สุดท้ายเธอก็ขึ้นมาบนเวที”
ผู้ชมต่างพากันส่งเสียงขึ้นในทันใดหลังจากที่เห็นหงอวี้เอ๋อร์ก้าวขึ้นไปบนเวที และถึงแม้ว่าสำนักเมฆม่วงจะไม่ชนะแม้สักรอบเดียว ผู้คนส่วนใหญ่ก็ยังเชียร์พวกเขา
ในเวลานั้นศิษย์จากสำนักหงส์สวรรค์ต่างพากันกังวลหลังจากที่เห็นหงอวี้เอ๋อร์กระทั่งถึงกับกลัวเธอบ้างเล็กน้อย
“มิมีอะไรที่จะต้องกลัว” เสียงซูหยินพลันดังขึ้น ทำให้เหล่าศิษย์ต่างพากันมองดูเธอ
หลังจากที่เห็นดวงตากระจ่างและสีหน้าสดใสของซูหยิน ความกลัวในใจของพวกเธอก็หายไปอย่างรวดเร็ว
“แม้ว่าพี่สาวหงจะเป็นยอดยุทธที่แข็งแกร่ง พวกเราก็มิได้อ่อนแอเช่นกัน พวกเราทั้งหมดมาช่วยกันเอาชนะเธอกันตกลงไหม”
เหล่าศิษย์ต่างพากันยิ้มเล็กน้อยหลังจากที่ได้ยินคำพูดของซูหยินและพากันพยักหน้า
“ศิษย์น้องหญิงพูดถูก เรามิมีเหตุผลที่จะกลัวเธอ”
“ใช่แล้วข้าจะไปสู้กับเธอด้วยทุกสิ่งที่ข้ามี”
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น หงอวี้เอ๋อร์และสำนักหงส์สวรรค์ก็เริ่มต่อสู้
“อา”
หลังจากที่แลกหมัดกันหลายนาที ศิษย์สำนักหงส์สวรรค์ก็ถอยกลับด้วยสีหน้าอ่อนล้า
“ข-ข้ายอมแพ้”
“สำนักเมฆม่วงได้รักษาชัยชนะครั้งแรกในการแข่งขันนี้” ซื่อตงตะโกน
“ต้องแบบนี้ สำนักเมฆม่วงจักกลับย้อนคืนมานับจากจุดนี้เป็นต้นไป”
“เจ้าสามารถทำได้ นางฟ้าหง เอาชนะสำนักหงส์สวรรค์และช่วยข้าให้ได้รับเงินหน่อย” ผู้ชมตะโกน
หลังจากที่ผ่านไปครึ่งชั่วโมงจากการต่อสู้หลังจากนั้น หงอวี้เอ๋อร์ยังคงยืนอยู่บนเวทีด้วยท่าทางเรียบเฉยบนใบหน้าสวยของเธอ ดูเหมือนกับเทพธิดาที่มิอาจเอื้อมถึง
“ถ้าข้ารู้ว่าตระกูลหงมีคนที่เฉลียวฉลาดปานนี้ในตระกูล ข้าคงจักให้ความสนใจกับพวกเขามากกว่านี้…” เจ้าซีส่ายหน้า
“ข้ามิรู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่รู้สึกเหมือนกับมีกลิ่นอายเหนือโลกรอบกายเธอ เมื่อข้ามองดูเธอทำให้ข้านึกถึงซูหยางซึ่งจะมีกลิ่นอายลึกล้ำคล้ายคลึงกันรอบตัวเขา ราวกับว่าพวกเขามาจากต้นกำเนิดเดียวกัน” ซีซิงฟางกล่าวด้วยสีหน้าครุ่นคิด
ในเวลานั้นในส่วนของผู้ชม ซูหยางจ้องมองไปที่หงอวี้เอ๋อร์ด้วยสายตาลึกล้ำดูเหมือนตกอยู่ในห้วงความคิดลึกๆ
“เสน่ห์อันสูงส่ง การเคลื่อนไหวที่สง่างามและเด็ดขาด และสีหน้าเย็นชาของเธอ เหมือนกับใครคนหนึ่งอย่างที่สุด…” ซูหยางคิดในใจ “ราวกับว่าหงอวี้เอ๋อร์นี้เป็นการกลับมาเกิดใหม่ของเธอ…”
ความคิดที่ว่าหงอวี้เอ๋อร์เป็นการกลับมาเกิดใหม่ของใครบางคนที่เขาเคยรู้จักปรากฏขึ้นในใจของซูหยาง
หลังจากที่ครุ่นคิดชั่วขณะหนึ่ง รอยยิ้มที่อ่อนโยนสงบสุขก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเขา
“แม้ว่าโอกาสที่จักเกิดอะไรเช่นนั้นขึ้นมีค่าเกือบเป็นศูนย์ การมีตัวตนอยู่ของข้านั้นก็สนับสนุนให้เห็นว่าโอกาสเล็กน้อยเช่นนั้นมีโอกาสที่จะเป็นจริงได้”
“ข้าเดาว่าข้าจักรู้ความจริงก็ต่อเมื่อข้าสู้กับเธอ”
หลังจากนั้นไม่นาน ร่างเล็กน่ารักของซูหยินก็เห็นเดินขึ้นไปบนเวที
“โชคดี ศิษย์น้องหญิง” เพื่อนศิษย์ของเธอต่างพากันเชียร์เธอจากด้านหลัง
ซูหยินเผยรอยยิ้มให้กับพวกเธอและเดินต่อไป
“นี่เป็นนางฟ้าตระกูลซู ซูหยิน”
ผู้คนส่วนใหญ่ในหมู่ผู้ชมพลันจดจำใบหน้าซูหยินได้
“ถ้าข้าจำมิผิด ตระกูลซูและตระกูลหงค่อนข้างใกล้ชิดกันใช่ไหม”
“ใช่ ข้าเชื่อว่านางฟ้าหงตอนนี้หมั้นหมายอยู่กับศิษย์คนโตของตระกูลซู ชื่อของเขาคืออะไรกันนะ”
“เจ้าหมายถึงซูหยูหานรึ แต่ตามความทรงจำของข้า เธอหมั้นหมายกับลูกชายคนที่สองของตระกูลซู”
“ตระกูลซูมีลูกชายคนที่สองด้วยรึ นี่เป็นเรื่องใหม่ของข้า”
“ใช่ เขายากที่จะปรากฏตัวในโลกและมิมีใครเห็นหน้าเขาจริงๆมาก่อน ดังนั้นจึงมิมีคนมากนักรู้จักเขา ถ้าความทรงจำของข้ายังดีอยู่ ข้าเชื่อว่าชื่อเขาคือซูหยาง…”
“ด-ด-เดี๋ยวก่อน ซูหยางรึ ศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็มีชื่อที่คล้ายกันนี้…”
“ฮ่าฮ่าฮ่า… อย่าไปคิดแบบนั้น พวกเขาแน่นอนว่าต้องเป็นคนละคนกันที่มีชื่อคล้ายกันแน่ มิว่าอย่างไรก็ตามเหตุใดที่คนจากตระกูลซูจึงไปอยู่ยังสถานที่เช่นนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้ล่ะ กระทั่งคนโง่ก็มิทำการคิดเชื่อมโยงเช่นนี้”
“เจ้าพูดถูก ข้าเดาว่าเช่นนั้น…”
ขณะที่ผู้ชมพากันพูดคุยกัน ซูหยินก็สนทนากับหงอวี้เอ๋อร์อยู่เช่นกัน
“มิพบกันพักหนึ่งแล้ว พี่สาวหง” เธอกล่าวด้วยรอยยิ้มสนิทสนมบนใบหน้า
“จริง มิพบกันพักหนึ่งแล้ว ซูหยิน” หงอวี้เอ๋อร์ยิ้มตอบกลับ ซึ่งทำให้ผู้ชมที่อยู่รอบข้างพากันส่งเสียงดังขึ้นอีกเล็กน้อย
“สองปี ใช่ไหม ท่านหยุดไปเยี่ยมพวกเรานับตั้งแต่พี่ชายข้าหายตัวไป” ซูหยินกล่าว และต่ออีกว่า “ข้าก็ยังได้ยินอีกว่าท่านยกเลิกการหมั้นหมายกับซูหยูหานและต้องการที่จะหมั้นหมายใหม่กับซูหยาง ทำไมท่านจึงทำเช่นนั้น ข้าคิดว่าท่านเกลียดพี่ชายเสียอีก”
หงอวี้เอ๋อร์ยังคงยิ้มและกล่าวว่า “นั่นค่อนข้างจะเป็นการกล่าวหา ซูหยุิน ข้ามิเคยกล่าวคำพูดเช่นนั้นมาก่อน”
“ท่านมิได้พูด แต่การกระทำของท่านและทัศนคติต่อเขาส่อไปทางนั้น”
“จริงอยู่ ข้าอาจะหยาบคายกับเขาไปบ้างในอดีต แต่ทว่าความคิดเห็นของข้าที่มีต่อเขาได้เปลี่ยนไปแล้วนับจากตอนนั้น”
ซูหยินเลิกคิ้วและถามว่า “อะไรที่เปลี่ยนไป”
ความรู้สึกลึกลับปรากฏขึ้นรอบตัวของหงอวี้เอ๋อร์ขณะที่เธอพูดว่า “ให้ถือว่าข้าเพิ่งตระหนักรู้ ทำให้ข้าได้เห็นเขาในมุมมองที่ต่างออกไป”
Dual Cultivation บทที่ 392: วิชาเหนือโลก
“เฮ้” โหวเยินเจียเรียกซูหยางขณะที่เขาเดินจากไปจากเวที
ซูหยางหยุดเดินและหันไปมองดูอีกฝ่าย
“ขอบคุณ… ที่หยุดเธอไว้” โหวเยินเจียพูดต่อ
“ถ้าเจ้ามิหยุดเธอไว้ นั่นย่อมทำให้เธอสูญเสียอนาคตในฐานะผู้ฝึกวิชา ในกรณีที่เลวร้ายเธออาจจะกลายเป็นคนพิการจากวิชาตีกลับ”
ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “ถ้าเจ้าต้องการขอบคุณจริงๆ ส่งสาวสวยที่เต็มใจไปยังที่ข้าอยู่”
โหวเยินเจียไม่รู้ว่าควรจะตอบสนองกับคำพูดเช่นนั้นอย่างไรจึงได้แต่เงียบด้วยสีหน้าแข็งทื่อ ในเวลาเดียวกันนั้นผู้ชมต่างก็พากันเงียบสนิท ราวกับว่าไม่มีใครอยู่ที่นั่น
“ผู้ชนะในการแข่งขันนี้คือนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย”
มีเพียงแต่ตอนที่ซื่อตงประกาศผลที่ทำลายความเงียบลงได้
“มิมีทาง… นี่มิควรจะเกิดอะไรขึ้นเช่นนี้…”
“นิกายดอกบัวเพลิงพ่ายแพ้ได้อย่างไรกันเมื่อกว่าครึ่งของผู้เข้าร่วมการแข่งขันล้วนอยู่ในเขตปฐพีวิญญาณ และก็มิใช่ว่าพวกเขาสู้กับสำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์”
“เชี่ยทั้งนั้น ข้าอุตส่าห์พนันเงินทั้งหมดไปว่าพวกเขาจะชนะ”
หลายคนดูเหมือนไม่อยากเชื่อ แต่มีคนมากกว่านั้นที่ตื่นตระหนกไปกับผลของการแข่งขันนี้
ไม่ว่าอย่างไร นิกายดอกบัวเพลิงซึ่งคนส่วนใหญ่ต่างพากันคิดว่าจะเป็นผู้ชนะในการแข่งขันนี้ได้พ่ายแพ้ให้กับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย หนึ่งในสำนักระดับต่ำที่สุดในการแข่งขันทั้งหมดนี้
“พี่ชายข้าเป็นดังที่คาดไว้… เขาช่างน่ามหัศจรรย์…” ซูหยินตาเป็นประกายไปด้วยความชื่นชม
“วิชานั้นที่เขาใช้เคาะหลินเชาชางสิ้นสติไป… มีวิชาแบบนี้ในโลกด้วยรึ” ไป่ลี่ฮัวสามารถรู้สึกได้ว่าหลังของเธอชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็นเยียบหลังจากที่เห็นวิชาสุดท้ายที่ซูหยางใช้ซึ่งแผ่รังสีพ้นโลกออกมา
อย่างไรก็ตามไม่เพียงแค่ไป่ลี่ฮัว จอมยุทธทุกคนที่นั่นต่างก็พากันรู้สึกได้ถึงรังสีเทพเจ้าจากวิชานั้น ราวกับว่านั่นเป็นแหล่งกำเนิดความศักดิ์สิทธิ์
“ท่านพ่อ วิชานั่นที่ซูหยางใช้…” ซีซิงฟางกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก
“ข้าเข้าใจ…แต่ข้าก็มิรู้อะไรเช่นกัน” เจ้าซีมีสีหน้เคร่งเครียด
“ทุกวิชาในโลกนี้มีระดับ และแต่ละระดับก็จะมีกลิ่นอายที่เฉพาะตัว อย่างไรก็ตามข้ายังมิเคยรู้สึกถึงกลิ่นอายรังสีแบบนี้มาก่อน”
ตัวอย่างเช่น ส่วนใหญ่แล้ววิชาระดับมนุษย์จะปลดปล่อยกลิ่นอายที่ทำให้รับรู้ได้ทันทีว่าเป็นวิชาระดับมนุษย์ และนี่คือวิธีปกติที่ผู้ฝึกยุทธใช้ประเมินวิชาที่พวกเขาไม่เคยเห็นหรือได้ยินมาก่อนโดยอาศัยกลิ่นอายของมัน อย่างไรก็ตามวิชาที่ซูหยางใช้ได้ปลดปล่อยกลิ่นอายที่เป็นรังสีที่เหนือโลกที่ไม่มีใครเคยรู้จัก ได้แต่กล่าวว่ามันเป็นวิชาระดับใหม่หรือเป็นวิชาที่พิเศษเฉพาะจริงๆเท่านั้น
“แม้ว่าข้ามิรู้ว่าวิชานี้อยู่ในระดับไหน แต่รังสีของมันนั้นแกร่งกล้ากว่าวิชาระดับเซียนใดๆ” เจ้าซีคาดเดา
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ เขากล่าวต่อว่า “ตามที่ข้าคาดไว้ อาจารย์ของเขาต้องเป็นคนจากทวีปศักดิ์สิทธิ์กลางอันลึกลับนั่น”
หลังจากที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยชนะโดยไม่คาดฝัน การแข่งขันก็ดำเนินต่อไปตามปกติ
เวลาผ่านไปหลังจากนั้น หลินเชาชางก็ค่อยลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ
“อืมม.. เกิดอะไรขึ้นกับข้ากัน” เธอพึมพัมขณะที่เธอลุกขึ้นนั่ง รู้สึกถึงวัสดุนุ่มนิ่มสบายภายใต้ร่าง “ศิษย์พี่หญิง ร่างกายของท่านรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง ท่านเจ็บตรงไหนบ้าง”
ศิษย์ที่ทำหน้าที่เฝ้าดูเธอพลันตรงเข้าไปหาหลังจากที่เห็นเธอตื่นขึ้น
“นอกจากจะรู้สึกอ่อนแรงเล็กน้อย ข้าก็รู้สึกว่าค่อนข้างปกติ…” หลินเชาชางตอบกลับด้วยเสียงนุ่มนวลและสับสน “ขอบคุณสวรรค์ที่ท่านสบายดี” ศิษย์คนนั้นถอนหายใจโล่งอก
“เกิดอะไรขึ้นกับการแข่งขัน ทำไมข้าจึงมาหลับอยู่ที่นี่” หลินเชาชางเลิกคิ้ว
“ท่าน… ท่านจำอะไรมิได้เลยหรือ ท่านใช้วิชาสุดยอดบงกชดาลเดือดระหว่างการแข่งขันกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย” ศิษย์คนนั้นให้คำอธิบายอย่างคร่าวๆ
หลังจากครุ่นคิดชั่วขณะ สุดท้ายหลินเชาชางก็นึกทุกสิ่งที่เกิดขึ้นได้และความจำในการต่อสู้ก็ปรากฏขึ้นในใจ
“อาา…ข้าเข้าใจแล้ว.. มิเพียงแต่ข้าแพ้การแข่งขันให้กับเขา แต่ข้าก็ยังกระทั่งทำตัวงี่เง่า…”
“อย่าพูดอะไรแบบนั้น ศิษย์พี่หญิง ท่านพยายามอย่างดีที่สุด นั่นมิได้น่าอายแม้แต่น้อย” ศิษย์คนนั้นพยายามที่จะปลอบใจเธอ
“หยุด เจ้ามิจำเป็นต้องโกหกโต้งๆอย่างนั้น ถึงแม้ว่าข้าตกอยู่ในผลกระทบของบงกชดาลเดือด เขาก็เคาะข้าร่วงอย่างง่ายๆเหมือนกับกำลังหายใจ แท้จริงแล้วเขากำลังเล่นกับข้ามาตลอด”
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะหลินเชาชางก็กล่าวต่อว่า “อย่างไรก็ตามการแข่งขันมิใช่เพียงสิ่งเดียวที่ข้าสูญเสียในการแข่งขันครั้งนั้น…”
หลินเชาชางแสดงรอยยิ้มขื่นขม
ศิษย์คนนั้นตระหนักถึงสิ่งที่เธอพูดถึงได้อย่างรวดเร็วและมองดูเธอด้วยดวงตาเบิกกว้าง “ศิษย์พี่หญิงหลิน ท่านมั่นใจว่ามิคิดที่จะให้ร่างกายของท่านกับเขาใช่ไหม”
“นั่นเป็นการพนัน และนั่นเป็นพนันที่ข้าแพ้”
“ท่านแพ้แล้วจักเป็นไร ท่านมิจำเป็นต้องให้เขาอะไรทั้งสิ้น”
“แต่ว่ามีคนเป็นพยานนับแสน”
“ไร้สาระ ผู้คนย่อมเข้าใจถ้าท่านมิทำเช่นนั้น ตามจริง ข้ามั่นใจว่ามิว่าพวกเขาหรือท่านย่อมมิอยากให้เป็นเช่นนั้น ทำไมท่านมิพูดกับท่านเจ้าสำนักล่ะ ข้ามั่นใจว่าเขาจักต้องทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้แน่”
หลินเชาชางหลับตาและเปลี่ยนเป็นเงียบขณะที่เธอนึกถึงสิ่งที่ซูหยางได้พูดกับเธอก่อนที่เธอจะหมดสติ
รอยยิ้มแปลกๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าเธอ และเธอก็พึมพัมว่า “อย่ากังวล ใช่ว่าข้าจักมอบร่างกายให้เขาในเรื่องอะไรทำนองนี้จริงๆ ข้ามิทำอะไรแน่นอนตอนนี้”
“จริงรึ” ศิษย์คนนั้นมองดูเธอด้วยสายตาเป็นกังวล
หลินเชาชางพยักหน้าก่อนที่จะกล่าวว่า “เจ้าตามหาท่านผู้นำนิกายให้ข้าได้หรือไม่ ข้าอยากจะพูดกับเขา”
“อื้อ” ศิษย์คนนั้นพยักหน้าและออกจากห้องไปไม่นานจากนั้น
หลังจากนั้น โหวเยินเจียก็เข้ามาในห้อง
“เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง” เขาถามเธอ
“อ่อนแออยู่บ้างเล็กน้อย”
“นั่นเป็นไปตามคาด ในเมื่อพลังการฝึกปรือของเจ้าถูกผนึกชั่วคราว เจัาจักกลับคืนเป็นปกติภายในไม่กี่วัน… อย่างน้อยก็ตามสิ่งที่ซูหยางพูดไว้”
แม้ว่าหลินเชาชางจะเงียบ สีหน้าของเธอก็เต็มไปด้วยคำถาม
“ข้าเสียใจ… ที่แพ้… ที่ทำให้ทุกคนผิดหวังหลังจากที่ข้าพูดสิ่งต่างๆออกไป” หลินเชาชางพึมพัมหลังจากนั้นชั่วขณะด้วยน้ำตาคลอเบ้าเล็กน้อย
โหวเยินเจียส่ายหน้าและยิ้ม “สัตว์ประหลาดเช่นเขา ข้าก็มิมั่นใจว่าข้าจักเอาชนะเขาได้ อย่าว่าแต่เจ้า อย่าคิดอะไรมากเรื่องนี้ สิ่งที่เจ้าต้องรู้อย่างเดียวก็คือมิมีใครที่โทษเจ้าที่แพ้”
หลินเชาชางกระพริบตาและพยักหน้าด้วยรอยยิ้มนุ่มนวล
Dual Cultivation บทที่ 391: บงกชดาลเดือด
หลังจากที่เห็นซูหยางป้องกันเพลิงสวรรค์ของตนเองได้อย่างง่ายดาย หลินเชาชางรีบพุ่งเข้าไปหาเขาด้วยหมัดที่กำแน่นและเตรียมวิชาต่อไป
“ทัณฑ์สวรรค์เผาผลาญ”
ครั้นเมื่อเธอเข้าไปใกล้มากพอ หลินเชาชางก็ต่อยหมัดทั้งสองของเธอออกไปยังซูหยางซึ่งเพียงยืนอยู่อย่างสบายที่นั่น ราวกับว่าเขาต้องการรับมันไว้
เปลวเพลิงสองสายที่รูปร่างเหมือนมังกรหมุนเป็นเกลียวเข้าใส่ซูหยางด้วยความเร็วสูงสุด ทำให้พื้นดินที่มันผ่านไปลุกเป็นไฟ
มันแผ่ความร้อนออกมาจนกระทั่งผู้ชมสามารถรู้สึกได้ถึงกระแสไอร้อนที่ผ่านหน้าไป
บูม
มังกรทั้งคู่ปะทะกับซูหยางที่ยังยืนอยู่ที่นั่นด้วยสีหน้าเฉยเมยแม้กระทั่งในขณะที่เพลิงลุกท่วมร่างของเขา
ซี่ซซซซซซ…
เสียงที่เหมือนเนื้อไหม้พองดังอยู่ในหูของผู้ฟัง ทำให้ร่างของพวกเขาสั่นสะท้านอย่างไม่อาจข่มกลั้น
“พระเจ้า เขาคงมิตายจากการโจมตีนั่น ใช่ไหม”
“ต่อให้เขามิตาย ใบหน้าหล่อเหลาของเขาย่อมต้องเห็นความเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากแน่หลังจากที่สวาปามการโจมตีรุนแรงนั่น”
“…ศิษย์พี่ชายคงมิเป็นไรใช่ไหม” เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ดูอยู่ด้วยสีหน้าเป็นกังวล กระทั่งพวกเขาก็ไม่สามารถจินตนาการได้ว่าจะมีใครรอดจากการโจมตีที่โหดร้ายแบบนี้ตรงๆได้
“ฮ่าาา…ฮ่าา..ฮ่าา..” หลินเชาชางหอบหายใจหนักหลังจากที่เธอจ้องไปยังภาพของการเผาผลาญด้านหน้าเธอ เธอไม่คาดคิดว่าเธอจะต้องใช้ไม้ตายหนึ่งของเธอตั้งแต่ต้นการแข่งขัน
“ข้ามิได้ฆ่าเขา ใช่ไหม”
แม้ว่าเธอเกลียดซูหยางหลายอย่าง แต่นั่นก็ไม่ถึงกับจุดที่ว่าเธอต้องการฆ่าเขา ตามจริงถ้าเธอฆ่าเขานั่นย่อมสร้างความยุ่งยากให้กับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและหวังชูเหรินซึ่งดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับพวกนั้น
“อย่ากังวล เพลิงที่อ่อนโยนเช่นนั้นมิอาจที่จะทำร้ายแม้เพียงผมเส้นเดียวบนตัวข้าได้ อย่าว่าแต่จะฆ่าข้า”
เสียงของซูหยางพลันดังขึ้น
และอีกไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นหลังจากที่ไฟมอดดับแล้ว ร่างสูงโปร่งและใบหน้าทรงเสน่ห์ของซูหยางก็โผล่ออกมาให้เห็นในตำแหน่งเดิมโดยไม่มีแม้กระทั่งริ้วรอยบาดเจ็บแม้แต่รอยเดียวบนตัวของเขา บ้าไปแล้วกระทั่งเสื้อผ้าก็ยังไม่มีแม้แต่ร่องรอย ราวกับว่าการโจมตีนั้นพลาดอย่างสมบูรณ์ อย่างไรก็ตามพื้นที่รอบตัวเขานั้นล้วนดำไหม้เกรียมและหลอมละลาย
“อะไรกัน นี่เป็นไปได้อย่างไร”
ผู้ชมต่างพากันตกใจเมื่อเห็นซูหยางครบองคาพยบและปราศจากอันตรายโดยสิ้นเชิง
“เห็นชัดเจนว่าเขาโดนการโจมตีนั่น มิมีทางที่จักมิมีแม้แต่ริ้วรอยบนร่างเขา”
“…”
กระทั่งหลินเชาชางก็ตกใจจนพูดไม่ออก เธอได้แต่จ้องดูหน้ากระจ่างใสของซูหยางด้วยสีหน้างุนงง
“อย่างที่เจ้าเห็น การโจมตีของเจ้านั้นมิมีผลกับข้า ซึ่งจริงแล้วเรานั้นอยู่คนละโลกอย่างสิ้นเชิงเหมือนกับสวรรค์และพื้นพิภพ ดังนั้นทำไมเจ้ามิเก็บปราณและพลังของเจ้าไว้ด้วยการยอมแพ้ข้าเสียในตอนนี้ล่ะ เจ้าต้องใช้มันตอนที่เจ้าไปเยี่ยมข้าในภายหลัง…”
“พ่อง” หลิงเชาชางตะโกน ปฏิเสธที่จะเชื่อว่าเธอไม่สามารถที่จะเอาชนะเขาได้ “เจ้าต้องใช้กลอะไรบางอย่างแน่ นั่นต้องเป็นกลเดียวกับที่เจ้าใช้เมื่อเจ้าต่อสู้กับเหล่าศิษย์ของพวกเราอยู่ข้างเดียว เป็นไปมิได้ที่ธรรมดาคนอายุน้อยอย่างเจ้าจะทรงพลังมากมายปานนั้น”
หลังจากที่กล่าวคำพูดเหล่านั้นแล้วหลินเชาชางก็คำรามก้อง จนทำให้ปราณไร้ลักษณ์จำนวนมหาศาลระเบิดออกจากภายในร่างกายของเธอ
“บงกชดาลเดือด”
ไม่นานหลังจากนั้นก็เห็นเพลิงสีดำลุกไหม้ออกมาจากรูขุมขนของเธอปกคลุมไปทั่วร่าง หลังจากผ่านไปอีกสักพักร่างของหลินเชาชางก็ครอบคลุมไปด้วยเพลิงสีดำ ดูเหมือนกับสัตว์ร้ายจากนรก
“นั่นมิสมควรกับร่างของเจ้า” ซูหยางเลิกคิ้วไปยังรูปร่างที่ดูดุร้ายของเธอ
ถ้าหากมองดูใกล้ๆก็สามารถเห็นผิวของหลินเชาชาลเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำอย่างช้าๆ ราวกับว่าถูกเผา
“เจ้ากำลังทำอะไรหลินเชาชาง” เสียงโกรธเกรี้ยวของโหวเยินเจียพลันดังขึ้น “วิชานั้นสามารถใช้ไดเพียงเมื่อเจ้าอยู่ในสถานการณ์เป็นตายเท่านั้น เจ้าต้องการฆ่าตัวตายในการแข่งขันนี้งั้นรึ”
วิชาบงกชดาลเดือดเป็นวิชาขั้นสุดยอดที่มีเพียงศิษย์หลักและผู้อาวุโสนิกายที่สามารถเรียนได้จากนิกายดอกบัวเพลิง และก็เหมือนกับวิชาขั้นสุดยอดส่วนใหญ่ มันเพียงใช้เฉพาะในสถานการณ์ที่เสี่ยงต่อความเป็นความตายเท่านั้น เมื่อพวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นอีกนอกจากจะต้องใช้มันเพื่อให้รอดชีวิต อย่างไรก็ตามการใช้วิชานี้นั้นจะเป็นภาระของร่างกายของผู้ใช้อย่างหนักและมักจะเป็นอันตรายต่อพลังการฝึกปรือของพวกเขาในอนาคต
“ข้ารู้ว่าข้ากำลังทำอะไ ท่านผู้นำนิกาย ข้าจักเอาชนะเขาก่อนที่จะเกิดอันตรายที่แท้จริงต่อร่างของเขา” หลินเชาชางกล่าว
“ข้าต้องการหนึ่งนาทีเท่านั้น”
ขณะที่เธอพูดคำพูดเหล่านั้น หลินเชาชางก็ขยับเท้า
ทันใดนั้นราวกับว่าเธอข้ามมิติ หลินเชาชางก็อยู่ห่างเพียงแค่ช่วงแขนจากตรงหน้าซูหยาง
“ทัณฑ์สวรรค์เผาผลาญ”
หลินเชาชางพลันต่อยหมัดออกไปเหมือนก่อนหน้านั้น แต่ต่างจากครั้งที่แล้วเมื่อไฟสามสายที่พุ่งออกไปจากมือเธอแทนที่จะเป็นสอง พวกมันล้วนมีสีดำและมีขนาดใหญ่กว่าเดิม
ซูหยางส่ายหน้าและกล่าวว่า “ถึงแม้ว่านี่จะเป็นการแข่งขันและเจ้าเป็นคู่ต่อสู้ของข้า ข้าก็มิอาจที่จะทนดูสาวสวยเช่นเจ้าพยายามที่จะทำลายตนเองได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าข้าเป็นต้นเหตุ”
“อย่ากังวล เจ้าสามารถใช้เวลาของเจ้าไปเยี่ยมข้าได้เมื่อเจ้ารู้สึกชอบหลังจากนี้… ข้ามิได้บังคับเจ้าหรือว่าวางแผนไว้ตั้งแต่แรก”
หลังจากที่กล่าวคำพูดเหล่านี้แล้ว ดวงตาของซูหยางก็เปล่งประกายแสงลึกล้ำ
“กระบี่ศักดิ์สิทธิ์ปิดสกัด”
แขนของซูหยางสะบัดหายไปในทันใด
เมื่อพวกมันปรากฏขึ้นอีกครั้ง ดวงตาของหลินเชาชางก็ว่างเปล่า และร่างของเธอก็ตกลงสู่พื้น
อย่างไรก็ตาม ซูหยางก็รวบร่างของหลินเชาชางไว้อย่างสง่างามก่อนที่ผมของเธอจะทันได้สัมผัสพื้น
“จ-เจ้าทำอะไรเธอ”
เสียงตื่นตระหนกของโหวเยินเจียดังขึ้น และตัวของเขาเองก็ปรากฏตัวขึ้นบนเวทีในวินาทีถัดไป
“ใจเย็นๆ ข้าเพียงแค่ทำให้เธอหมดสติ โอ ข้ายังคงปิดสกัดพลังการฝึกปรือของเธอไว้ชั่วคราวเพื่อป้องกันมิให้วิชาทำลายล้างนั่นหลุดจากการควบคุมและกลืนกินร่างของเธอ ดังนั้นเธอจักมิสามารถที่จะฝึกวิชาหรือใช้วิชาใดๆในชั่วระยะเวลาหนึ่ง เธอจักกลับคืนเป็นปกติหลังจากที่ผ่านไปสามวัน”
“…” โหวเยินเจียมองดูเขาด้วยท่าทางงุนงง เขาจนคำพูดแต่นั่นก็เป็นมากกว่าแค่สิ่งใดๆ
Dual Cultivation บทที่ 390: ต่อสู้กับหลินเชาชาง
“นำเรื่องไร้สาระของเจ้าออกไป ทำไมนางฟ้าหลินจึงจักทำอะไรเช่นนั้นกับเจ้า”
“ช่างเสิบสานนัก ทำไมเจ้านี่จึงกล้าพูดอะไรที่ไร้ยางอายเช่นนี้ต่อหน้าคนมากมาย”
“นางฟ้าหลินมิจำเป็นต้องฟังเขา อย่าสนใจเขาและจัดการเจ้าบ้านั่นให้ข้าเห็น”
ผู้ชมพากันส่งเสียงอึงคะนึงในทันทีหลังจากที่ได้ยินเรื่องพนันเล็กน้อยระหว่างซูหยางและหลินเชาชาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ชายที่อยู่ตรงนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออีกฝ่ายบอกให้นางฟ้าที่บริสุทธิ์ของพวกเขาให้หลับนอนกับอีกฝ่ายถ้าอีกฝ่ายนั้นชนะการแข่งขัน
“ไอ้ย่า… เขาทำอะไรนั่น” กระทั่งเจ้าซีเองก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้
เขาจึงหันไปดูซีซิงฟาง ซึ่งดูเหมือนค่อนข้างจะเยือกเย็นภายนอก
“ถ้ามิใช่เพราะสถานะของเขาในฐานะศิษย์นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ข้าคงจะเสนอให้พวกเขาทั้งคู่แต่งงานไปเรียบร้อยแล้ว…”
ถ้าเขายอมให้ศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย คนที่เป็นที่รู้กันว่ามีคู่ครองจำนวนมากในชีวิตเข้าสู่ตระกูลซี ใครจะรู้ว่าโลกจะมีปฏิกิริยาต่อเรื่องนี้อย่างไร อย่างไรก็ตามสิ่งหนึ่งที่มั่นใจได้ก็คือมันต้องเป็นปฏิกิริยาทางลบ
“บางทีนี่อาจจักทำให้เธอพิจารณาความรู้สึกต่อเขาใหม่อีกครั้ง แม้ว่าเขาจักเป็นตัวตนที่แปลกประหลาดที่มีพรสวรรค์ที่มิเคยปรากฏขึ้นในโลกนี้มาก่อน เขาอาจจักมิมีค่าพอที่จะให้หน้าตาและมรดกตกทอดของตระกูลซีทั้งหมดแปดเปื้อน” เขาคิด
“ข้ารู้ว่าเจ้าใหม่ต่อสิ่งประเภทนี้ แต่นี่เป็นเรื่องปกติของคนจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย” เจ้าซีตัดสินใจที่จะเตือนเธออยูดี “ถึงแม้ว่าเจ้ายังคงซื่อสัตย์ต่อเขา ใครจะรู้ว่าเขาจักทำเช่นเดียวกัน”
“…”
หลังจากเงียบไปชั่วขณะ ซึซิงฟางก็กล่าวขึ้นว่า “ท่านกำลังพยายามจะพูดอะไรรึ ท่านพ่อ”
“ข้ากำลังจะพูดว่า บางทีเจ้าควรจะคิดซ้ำก่อนที่จะเลือกคู่ร่วมชีวิต ในเมื่อพวกเขาดูเหมือนว่าจักมิอยู่กับเจ้าตราบชั่วชีวิตการฝึกฝนของเจ้า”
“…”
หลังจากเงียบไปอีกสักพัก ซึซิงฟางก็ตอบว่า “ข้าคิดว่าท่านเข้าใจผิดอะไรบางอย่างที่นี่ ท่านพ่อ ข้าเพียงชื่นชมซูหยางในฐานะไอดอล เพราะว่าเขามีพรสวรรค์ฟ้าประทาน มิมีอย่างอื่นอีกมากไปกว่านี้”
“เช่นนั้นก็ตามใจเจ้า…” เจ้าซียักไหล่ไม่ใส่ใจ
ในเวลานั้นบนเวที หลินเชาชางกล่าวพร้อมกับหรี่ตา “เจ้ามั่นใจว่าเจ้าจักให้ข้าโอสถสู่ปฐพีทั้งหมดนี้ถ้าข้าชนะ”
“แน่นอน ทำไมข้าจักผายลมต่อหน้าสายตาผู้คนมากมายปานนี้”
“ให้ข้าดูพวกมันสักหน่อยเพื่อให้มั่นใจว่าพวกมันทั้งหมดล้วนเป็นของจริง” หลินเชาชางกล่าวด้วยเสียงสงสัย
กระทั่งนิกายดอกบัวเพลิงก็ยังไม่มีโอสถสู่ปฐพีมากมายปานนี้ ดังนั้นเขาได้พวกมันมากมายปานนี้ได้อย่างไร และกระทั่งยินดีที่จะพนันพวกมันมากมายปานนี้ในครั้งเดียวก็มีเพียงคนที่บ้าหรือมั่นใจสุดขีดว่าตนเองจะชนะเท่านั้นที่จะพนันแบบนี้
“เอาสิ เจ้าสามารถตรวจสอบพวกมันทั้งหมดได้เลยถ้าเจ้าต้องการ แต่เร็วหน่อย ในเมื่อเรายังคงอยู่ในระหว่างการแข่งขัน”
เมื่อซูหยางอนุญาต หลินเชาชางก็พลันเข้าไปหยิบเม็ดยาบางเม็ดที่กลิ้งอยู่บนพื้นราวกับว่าพวกมันเป็นขยะไร้ประโยชน์
“น-นี่เป็นโอสถสู่ปฐพีจริงๆ” หลังจากที่ตรวจสอบเม็ดยาแล้ว หลินเชาชางก็กล้ำกลืนน้ำลายและหันไปดูโหวเยินเจียด้วยสีหน้าซับซ้อนเหมือนกับว่ากำลังหาคำแนะนำ
แต่ทว่าโหวเยินเจียเพียงแค่ส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “มีเพียงแต่เจ้าที่สามารถตัดสินใจ ข้ามิมีอะไรพูด”
โหวเยินเจียรู้สึกว่าเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจแทนเธอ ในเมื่อร่างกายของเธอแขวนอยู่บนเส้นด้าย แต่ถึงจะกล่าวเช่นนั้นถ้าเขาอยู่ในตำแหน่งเดียวกับหลินเชาชางในเวลานี้ เขาคงเลือกที่จะรับพนันอย่างแน่นอน ไม่ว่าอย่างไรก็ตามโอสถสู่ปฐพีหลายร้อยเม็ดย่อมทำให้สำนักใดๆไร้เทียมทานและไม่มีใครหยุดยั้งได้ ความเสี่ยงแต่เพียงคนเดียวเพื่อทรัพยากรทั้งหมดนี้หลายคนย่อมพิจารณาว่ามันเป็นเพียงแค่การเสี่ยงเล็กน้อยเท่านั้น
“เจ้าได้ตัดสินใจหรือยัง” ซูหยางถามเธอขณะที่เขาเก็บเม็ดยาทั้งหมดกลับเข้าสู่ถุงมิติ
หลังจากเงียบไปชั่วขณะ หลินเชาชางก็กัดริมฝีปากและพยักหน้า “ยังไงข้าก็จักทุบตีเจ้าอยู่แล้ว แต่เมื่อตอนนี้เจ้ากำลังจักให้รางวัลข้าที่ทำเช่นนั้น ย่อมมิมีเหตุผลที่ข้าจักต้องปฏิเสธของขวัญเช่นนั้น อย่ามาเสียใจภายหลัง”
แม้ว่าความมั่นใจของซูหยางจะสั่นคลอนเธอบ้างเล็กน้อยในตอนแรก หลังจากที่เธอนึกถึงสิ่งที่เพื่อนศิษย์ของเธอได้รับความทรมาณเพราะเขา ความมุ่งมั่นที่จะเอาชนะเขาก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น
“โอพระเจ้า นางฟ้าหลินถึงกับตกลงกับข้อเสนออันอุกอาจของเจ้าคนลามกนั่น”
“นี่มิหมายความว่านางฟ้าหลินจักต้องยกร่างกายของเธอให้กับเจ้าลามกนกเขามิขันสารเลวนั่นถ้าเธอแพ้รึ”
“ใจเย็น มิมีทางที่นางฟ้าหลินจักแพ้คนแบบเขา”
ผู้เข้าชมไม่อาจเข้าใจว่าทำไม แต่พวกเขามีความรู้สึกว่ามีบางสิ่งที่ผิดพลาดกำลังจะเกิดขึ้น
“พวกเจ้าทั้งคู่พร้อมที่จะต่อสู้หรือยัง” ซื่อตงไม่ได้สนใจมากนักเกี่ยวกับการเดิมพันของทั้งคู่และเพียงต้องการที่จะดำเนินการแข่งขันต่อไปเท่านั้น
“ใช่ ข้าพร้อมแล้ว” ซูหยางกล่าวขณะที่เขาเดินทอดน่องขึ้นไปบนเวทีการต่อสู้
หลินเชาชางซึ่งอยู่ภายในเวทีการต่อสู้เรียบร้อยแล้วพยักหน้า
ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น ซื่อตงก็โบกมือและตะโกนว่า “เริ่มการต่อสู้ได้”
ทันทีที่การต่อสู้เริ่มต้น หลินเชาชางก็พุ่งเข้าไปหาซูหยางพร้อมกับยกมือที่ลุกเป็นไฟขึ้น
“เพลิงสวรรค์”
หลินเชาชางผลักมือทั้งสองข้างออกไปตรงหน้าเธอ จนทำให้เกิดกงล้อเพลิงระเบิดออกไปด้านหน้า
“โอ” ซูหยางพลันจดจำวิชานี้ได้ในทันทีในเมื่อเป็นวิชาหนึ่งที่เขาได้ให้พวกเขาไปหลังจากที่ร่วมเป็นพันธมิตรแล้ว
“กุสุมาลย์พ้นพิสัยศิลป์ กลีบดอกไม้พิโรธ”
ซูหยางโบกมือของเขาลวกๆ สร้างลำแสงกระบี่ตรงหน้าตัดวิชาของหลินเชาชางขาดครึ่งได้อย่างง่ายดาย
แม้ว่าเขาไม่เคยฝึกกุสุมาลย์พ้นพิสัยศิลป์ เขาก็สามารถที่จะเรียนมันได้เพียงแค่มองจากศิษย์คนอื่น
“น-นั่นอะไรกัน เขาใช้วิชากระบี่ด้วยมือเปล่า”
ผู้ชมต่างพากันงงงันเมื่อเห็นบางสิ่งซึ่งมหัศจรรย์
“เขาสามารถแม้กระทั่งสร้างรังสีกระบี่ บางสิ่งที่เป็นไปได้เมื่อใช้กระบี่เท่านั้น”
ยิ่งผู้ฝึกวิชาที่มีประสบการณ์กับกระบี่มากเท่าไหร่ก็ยิ่งตระหนกเท่านั้น
“เชอะ” หลินเชาชางหัวเราะเย้ยหยัน
PS: เมื่อวานซืนเย็นถูกตะขาบต่อยมือบวม พิมพ์ไม่ได้เลย วันนี้พยายามฝืนพิมพ์
Dual Cultivation บทที่ 389: ไอ้คนไร้สมรรถภาพทางเพศ
“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยพวกท่านพร้อมที่จะส่งนักสู้คนต่อไปออกมาหรือยัง” ซื่อตงถามพวกเขาหลังจากที่รอมาชั่วระยะเวลาหนึ่ง
ไม่นานหลังจากนั้น นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ส่งศิษย์คนอื่นลงไป
อย่างไรก็ตามไม่เหมือนกับรอบก่อน ศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยไม่ได้ต่อสู้กับศิษยนิกายดอกบัวเพลิงอย่างง่ายดายอีกต่อไป และหลังจากผลัดกันรุกรับไปหลายนาที นิกายดอกบัวเพลิงก็ได้รับชัยชนะครั้งแรกจากการสู้กับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
“ข้าขอโทษ ผู้นำนิกายและเพื่อนศิษย์หญิง ข้าสร้างความผิดหวังให้กับพวกท่านทั้งหมด”
ศิษย์นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยกลับมาหาพวกเธอด้วยความรู้สึกหดหู่
“อย่ากังวลเรื่องนั้น ศิษย์น้อง เพียงแค่แพ้ครั้งเดียว พวกเรายังคงเหนือกว่าพวกเขา”
โหลวหลานจีพยักหน้าและกล่าวขึ้น “เพื่อนพ้องของเจ้ากล่าวถูกแล้ว เจ้าพยายามดีที่สุดแล้ว ดังนั้นจึงมิจำเป็นต้องขอโทษ ยิ่งไปกว่านั้นนิกายดอกบัวเพลิงเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง ข้ามิคาดว่าจักได้รับชัยชนะง่ายๆจากการต่อสู้กับพวกเขา”
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ส่งศิษย์คนอื่นออกไป
หลังจากปะทะกันอีกไม่กี่นาที นิกายดอกบัวเพลิงก็ได้รับชัยชนะอีกครั้งอย่างหวุดหวิด
“เยี่ยมมาก ศิษย์พี่ชาย”
ศิษย์นิกายดอกบัวเพลิงส่งเสียงเชียร์จากด้านข้าง
“…”
อย่างไรก็ตาม โหวเยินเจียไม่ได้ยินดีด้วย ตามความเป็นจริงเขายืนอยู่ที่นั่นพร้อมขมวดคิ้ว
“อะไรอยู่ในใจท่าน อาจารย์” หญิงสาวสวยพลันถามเขา
โหวเยินเจีหันไปมองศิษย์ส่วนตัวของเขา หลินเชาชาง
“ถึงแม้ว่าพวกเราจะชนะ พวกเราก็เอาชนะได้อย่างยากลำบาก ข้าอดมิได้ที่จักรู้สึกเหมือนกับว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยยังคงมีสิ่งน่าประหลาดใจไม้ตายเก็บซ่อนไว้”
“มิว่าพวกเขาจะมีแผนการอะไร ข้าจักมิยอมให้นิกายดอกบัวเพลิงของพวกเราพ่ายแพ้ต่อพวกเขา ต่อเขา อีกครั้ง”
แม้ว่าเธอจะไม่ได้แลกหมัดกับซูหยางด้วยตนเองก่อนหน้านั้น เธอก็ได้เป็นพยานกับความวุ่นวายที่เขาก่อให้กับนิกายของเธอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเสียหายที่เขาสร้างไว้ให้กับเหล่าศิษย์
“หลังจากที่การแสดงเล็กน้อยของเขาสร้างภาระทางใจให้หลายคน ศิษย์ของเราก็มิสามารถที่จักสงบใจฝึกฝนได้ตลอดทั้งเดือน เพื่อนของข้าบางคนยังฝันร้ายถึงเรื่องเขาในวันนั้น ข้าจักมิปล่อยให้เขาทำตามใจอย่างแน่นอน ต่อให้เป็นสิ่งสุดท้ายที่ข้าจักสามารถทำได้”
โหวเยินเจียยิ้มขื่นขมและกล่าวว่า “เจ้าโม้เกินไป”
“ที่ผ่านมาเจ้าเห็นหวังชูเหรินหรือไม่ ข้าทิ้งให้ผู้อาวุโสสูงสุดหานไว้ด้านหลังปกป้องทรัพย์สินของพวกเรา แต่ข้าเหมือนนึกมิออกว่าเธออยู่ที่ไหน” เขาพลันถามอีกฝ่าย
“ถ้าข้าจำมิผิด ผู้อาวุโสหวังต้องการที่จะดูการแข่งขันจากที่นั่งผู้ชม”
“บางทีเธอมิต้องการที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับตั้งแต่พวกเราต่อสู้กับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย” โหวเยินเจียถอนหายใจ
“อาจารย์ทำไมผู้อาวุโสหวังจึงตั้งนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยไว้สูงเช่นนั้น กระทั่งบีบให้ทั้งสำนักร่วมเป็นพันธมิตรกับพวกเขา” หลินเชาชางถามเขา
“นับวันยากขึ้นเรื่อยๆในการเข้าใจว่ามีอะไรอยู่ในใจเธอ อย่างไรก็ตามข้ามั่นใจว่าเธอมีเหตุผลส่วนตัวในการเชื่อถือนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย และข้าก็ปรารถนาที่จะเชื่อความจริงนั้น ถ้ามิใช่เธอนิกายดอกบัวเพลิงคงมิได้อยู่ในตำแหน่งเช่นปัจจุบันนี้”
“ข้าเข้าใจ…” หลินเชาชางพลันเงียบไปหลังจากนั้น
การต่อสู้ระหว่างนิกายดอกบัวเพลิงและนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยดำเนินต่อไป
หลายนาทีหลังจากนั้นหลังจากที่ผลัดกันแพ้ชนะไปมานิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและนิกายดอกบัวเพลิงตอนนี้ก็เสมอกันด้วยการชนะเก้าครั้งและแพ้เก้าครั้งทั้งสองฝ่าย
“ซูหยาง ย้ายก้นของเจ้าออกมาที่นี่และรับการท้าทายจากข้า” หลินเชาชางตะโกนด้วยเสียงดุร้ายขณะที่เธอยืนอยู่บนเวทีด้วยกลิ่นอายอันกล้าหาญรอบตัวเธอ
ศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยหันไปมองดูซูหยางซึ่งตอนนี้ยืนอย่างสบายอยู่ที่นั่นด้วยสีหน้าเรียบเฉย
พวกเธอล้วนคิดสงสัยว่าเขาไปล่วงเกินอะไรอัจฉริยะหมายเลขหนึ่งของนิกายดอกบัวเพลิงหลินเชาชาง
“นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นนางฟ้าหลินมีท่าทางโกรธเช่นนั้น ซูหยางคนนี้ต้องทำอะไรบางอย่างที่ล่วงเกินเธอเป็นอย่างมากแน่”
กระทั่งผู้ชมที่คุ้นเคยกับหลินเชาชางเป็นการส่วนตัวยังสับสนกับสีหน้าปัจจุบันของเธอ
“ทำไมเจ้าจึงมิขึ้นมาบนเวที เจ้ากลัวรึไง เกิดอะไขึ้นกับความกล้าและความโอหังที่เจ้าแสดงให้พวกเราเห็นในวันนั้น” หลินเชาชางตะโกนเสียงดังต่อไป
“นี่น่าขัน” เจ้าซีแสดงรอยยิ้มกับเหตุการณ์นี้
“มีอะไรที่น่าขันรึ” ซีซิงฟางขมวดคิ้ว
“ทุกอย่าง”
เพราะว่าเขาได้สืบสวนเบื้องหลังของซูหยาง เป็นเรื่องธรรมชาติที่เจ้าซีจะรู้เรื่องดราม่าระหว่างนิกายดอกบัวเพลิงกับซูหยาง ต่อให้นิกายดอกบัวเพลิงได้พยามถึงที่สุดในการเก็บเหตุการณ์นั้นเป็นความลับ แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะหลีกเลี่ยงเครือข่ายข้อมูลอันกว้างขวางของตระกูลซีซึ่งได้กระจายครอบคลุมไปทั่วทั้งทวีปได้
หลังจากนั้นเมื่อหลินเชาชางเหนื่อยกับการรอคอยซูหยางตอบสนอง เธอได้ด่าเขาเสียงดัง “รีบขึ้นมาบนเวที ไอ้คนไร้สมรรถภาพทางเพศ”
“…”
เมื่อผู้ชมได้ยินเช่นนั้น พวกเขาเกือบทั้งหมดพลันระเบิดเสียงหัวเราะ
“ถึงกับถูกนางฟ้าหลินเรียกว่าเป็นคนไร้สมรรถภาพทางเพศ…. ข้าคงจักไปให้พ้นจากสถานที่นี้ในทันทีและมิเผยโฉมหน้าให้โลกเห็นอีกหากว่าข้าเป็นเขา”
“นางฟ้าหลินพูดถูก เจ้าจะกลัวอะไร รีบยอมรับการท้าทายของเธอเหมือนลูกผู้ชายเสียที”
“ซูหยาง…”
โหลวหลานจีมองดูเขาด้วยสีหน้าพิกล เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเขาจึงยังเฉยตลอดช่วงเวลานี้
“ไร้สมรรถภาพทางเพศ ไร้สมรรถภาพทางเพศ ไร้สมรรถภาพทางเพศ”
ผู้ชมเริ่มท่องถ้อยคำนั้นเสียงดัง
“เงียบ”
ฉับพลันนั้นเสียงอันทรงพลังก็ดังขึ้นในสนามประลอง จนทำให้ทั้งสถานที่นั้นสั่นสะเทือน
เมื่อผู้ชมได้ยินเสียงนี้และรับรู้ถึงความแข็งแกร่งอันลึกล้ำที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง พวกเขาก็หุบปากลง
อย่างไรก็ตามเสียงนั้นไม่ได้มาจากซูหยาง กลับกันมาจากหญิงสาวคนหนึ่ง
“เจ้า…” เจ้าซีหันไปมองดูซีซิงฟางด้วยไม่อยากจะเชื่อ เหมือนว่าจนคำพูด
หลังจากเงียบไปได้ชั่วขณะหลังจากนั้น ซูหยางก็พลันก้าวเท้าออกไปด้านหน้าหนึ่งก้าว
“เจ้าฟังดูเหมือนจักค่อนข้างมั่นใจเมื่อเจ้าเรียกข้าว่าไร้สมรรถภาพทางเพศ ราวกับว่าเจ้ามั่นใจเช่นนั้น ข้ามิถือที่จะรับคำท้าทายของเจ้า แต่ข้ามิเล่นไปตามบทของเจ้าโดยมิมีอะไรตอบแทน”
ซูหยางหยุดเดินหน้าเขตต่อสู้และจ้องมองหลินเชาชางด้วยสีหน้าจริงจัง
“เจ้าต้องการอะไร” หลินเชาชางถามเขา
“นั่นง่ายดายมาก ถ้าเจ้าชนะ ข้าจักให้ทุกสิ่งที่อยู่ในถุงผ้านี้” ซูหยางนำเอาถุงผ้าเล็กๆออกมาและพลันเทสิ่งที่อยู่ในนั้นทุกอย่างลงบนพื้น
เมื่อหลินเชาชางเห็นเม็ดยาร้อยกว่าเม็ดกลิ้งอยู่บนพื้น คิ้วของเธอก็เลิกขึ้นด้วยความงุนงง
อย่างไรก็ตามเมื่อเธอตระหนักว่าพวกมันเป็นยาประเภทไหนกัน ดวงตาเธอก็เบิกกว้างด้วยความตระหนก
“พ-พวกนั้นเป็น…” โหวเยินเจียไม่อยากเชื่อสายตาตนเองและเกือบทำให้หัวใจกระดอนออกมาจากปากเมื่อเขาเห็นยาเหล่านั้น
“เกิดบ้าอะไรขึ้นเจ้าถึงได้รับโอสถสู่ปฐพีมากมายเช่นนี้” เขาร่ำร้องเสียงดัง
“เจ้าจักให้ยาทั้งหมดเหล่านี้แก่ข้าถ้าข้าชนะงั้นรึ” หลินเชาชางฝืนกลืนน้ำลายที่ท่วมปากเธอก่อนที่จะพูด
“ใช่แล้ว” ซูหยางยิ้มและกล่าวต่อว่า “อย่างไรก็ตามถ้าข้าชนะการต่อสู้ครั้งนี้ เจ้าจักต้องลิ้มลองด้วยตนเองว่าข้าเป็นไอ้คนไร้สมรรถภาพทางเพศหรือไม่…”
Dual Cultivation บทที่ 388: วิธีที่ผู้ฝึกวิชาคู่ต่อสู้
ที่แห่งหนึ่งภายในหมู่ผู้ชม หญิงงามวัยกลางคนที่ดูคล้ายซุนจิงจิงอยู่บ้างจ้องมองบนเวทีด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“แม้ว่าข้าเกลียดที่จะยอมรับ แต่ก็ดูเหมือนว่าการตัดสินใจของเธอที่จะไปยังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยนั้นเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง…”
ชายวัยกลางคนนั่งอยู่ข้างเธอพลันกล่าวขึ้น สายตาจ้องมองซุนจิงจิงอย่างอ่อนโยน
“…”
“อะไร เจ้ามิคิดเช่นนั้นรึทั้งที่เห็นเธออยู่บนเวทีแล้ว” เขาพูดต่อหลังจากที่เงียบไปอีกชั่วขณะ
“ไม่ใช่ เพียงแค่—”
“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้รับชัยชนะติดต่อกันเป็นครั้งที่สาม และศิษย์ซุนจิงจิงจักยังอยู่ต่อในรอบที่สี่” ซื่อตงพลันประกาศ
“นั่นคือเด็กสาวของข้า” ชายวัยกลางคนตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้น
หญิงงามข้างกายเขาส่ายหน้าและกล่าวว่า “…ก็เหมือนที่ข้ากล่าวไว้ ถึงแม้ว่าเธอจักประสบความสำเร็จด้วยตนเองบ้าง ใครจักปรารถนาที่จะยอมรับหญิงจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย”
“ท่านรู้ไหมว่าผู้ชายส่วนใหญ่คิดอย่างไร พวกเขาเพียงสนใจแต่เพียงหญิงสาวอ่อนวัยใสบริสุทธิ์ ส่วนเด็กสาวที่มิบริสุทธิ์แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเธอมาจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ข้าเกรงว่านั่นจะเป็นสิ่งที่ยากมากสำหรับเธอในการที่จะหาคู่”
ชายวัยกลางคนหัวเราะหึแล้วกล่าวว่า “ข้าคิดว่าเจ้าประเมินพวกเราต่ำไป ตราบเท่าที่พวกเธอมีใบหน้าสวยและเรือนร่างเหมาะสม พวกเรายินดีทำทุกอย่าง ซุนจิงจิงมิใช้เพียงแต่เป็นสาวสวยไร้ที่เปรียบ แต่ก็ยังเป็นผู้ฝึกวิชาที่เก่งกาจด้วยเช่นกันในตอนนี้ ข้าสงสัยว่าเจ้าจักมีปัญหาในใจเรื่องเธอบางอย่าง ตามจริงจากบุคลิกของเธอข้ากังวลมากกว่าว่าเธอมิอาจจะหาชายที่มีความสามารถมากพอที่ตรงกับใจของเธอได้”
“…”
หญิงวัยกลางคนเงียบไปและมุ่งความสนใจไปยังบนเวที
“ฮ่า กุสุมาลย์พ้นพิสัยศิลป์: เกสรร่วงหล่น”
สำแสงกระบี่หลายสายปรากฏขึ้นด้านบนซุนจิงจิงก่อนที่จะพร่างพรมลงไปยังชายหนุ่มตรงหน้าเธอ
“เตาแผดเผา”
ศิษย์นิกายดอกบัวเพลิงสร้างเตาปรุงยาขนาดใหญ่ตรงหน้าเพื่อป้องกันตนจากแสงกระบี่ แต่น่าเสียดายมันขาดกระจุยอย่างรวดเร็วราวกับว่ามันถูกจัดสร้างมาจากกระดาษ
“อาาา”
แสงกระบี่ที่ทิ่มทะลุเตาปรุงยานั้นยังพุ่งเข้าทิ่มแทงศิษย์คนนั้น ทำใหเขารู้สึกเหมือนกับว่าร่างของเขาถูกทิ่มแทงด้วยกระบี่นับสิบเล่ม ถ้ามิใช่เพราะว่าเกราะป้องกันผลลัพธ์ก็คงเป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน
“ข้า..ข้ายอมแพ้”
ศิษย์นิกายดอกบัวเพลิงยอมแพ้การแข่งขันหลังจากดิ้นรนต่อสู้ซุนจิงจิงไปอีกหลายนาที
“นั่นมิสมเหตุผล…” โหวเยินเจียพึมพัมพร้อมขมวดคิ้ว
“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมิได้เป็นที่รู้จักในเรื่องความแข็งแกร่งหรือวิชาฝีมือ ดังนั้นพวกเธอสามารถเอาชนะศิษย์ของพวกเราได้อย่างง่ายดายได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นกุสุมาลย์พ้นพิสัยศิลป์เป็นเพียงแค่วิชาฝีมือระดับทั่วไป มันมิควรจักสามารถต่อต้านวิชาระดับปฐพีของพวกเราได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังเหนือกว่าอีกด้วย”
ไม่เพียงแต่โหวเวินเจีย ทุกคนที่อยู่ในโคลีเซียมต่างพากันงงงันกับผลลัพธ์ ในเมื่อไม่มีใครในที่นั้นคาดว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจะเอาชนะนิกายดอกบัวเพลิงได้แม้แต่รอบเดียว อย่าว่าแต่จะชนะสี่ครั้งรวด
“สวรรค์ ดูเหมือนว่าพวกเราล้วนประเมินนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยต่ำไปอย่างมากมาย”
“มิเพียงแต่พวกเราจะประเมินพวกเขาต่ำไป นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยปีนี้ช่าง… ราวกับว่าต่างกันเป็นคนละสำนักเมื่อเปรียบเทียบกับความสำเร็จที่ได้ในครั้งที่แล้ว”
“จริงด้วย นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยปกติจะอยู่อันดับท้ายสุดหรือไม่ก็ท้ายๆ นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาแสดงให้เห็นความสามารถเช่นนี้
“ข้าสงสัยว่าอะไรที่เปลี่ยนแปลง”
“บางทีสิ่งที่เกิดขึ้นกับนิกายล้านอสรพิษอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้”
ผู้ชมต่างพากันมองไปที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยด้วยรูปแบบใหม่ อย่างไรก็ตามยังคงมีผู้คนที่ปฏิเสธที่จะชื่นชมนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
“นิกายดอกบัวเพลิงคงจะมิได้เอาจริงจังกับพวกเขา อย่างไรก็ตามพวกเขาเป็นพันธมิตรกัน”
“ข้าพนันกับเจ้าว่าพวกเขาเพียงยอมให้นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยชนะเพื่อที่อีกฝ่ายจะได้รักษาหน้า จริงแล้วนิกายดอกบัวเพลิงยังมิได้ส่งอัจฉริยะของพวกเขาออกมา”
ในเวลานั้นบนเวที ซื่อตงก็ได้ถามซุนจิงจิงว่า “เจ้าสามารถสู้ต่อหรือไม่ หรือว่าเจ้าต้องการที่จะส่งนักสู้คนอื่น”
ซุนจิงจิงครุ่นคิดชั่วขณะก่อนที่จะพูดว่า “ข้าสนุกมาพอแล้ววันนี้ ข้าจักให้พี่น้องของข้าจัดการที่เหลือ”
แม้ว่าเธอยังมีเรี่ยวแรงเหลืออีกมากในร่าง ซุนจิงจิงก็ไม่ต้องการที่จะดึงดูดความสนใจทั้งหมดมาไว้ที่ตนเองและหยุดไว้เพียงแค่นั้น
“นั่นช่างน่าประหลาด พี่สาวจิงจิง ท่านจัดการกับพวกเขาสามคนได้อย่างง่ายดาย”
เหล่าศิษย์พากันชื่นชมเธอในทันที
“ฮี่ฮี่… นั่นมิมีอะไรมาก..” ซุนจิงจิงหน้าแดง
“อย่างไรก็ตามวิชานี้ช่างน่ามหัศจรรย์ แม้ว่าข้าเพิ่งได้สู้กับคนในเขตปฐพีวิญญาณถึงสามคน แต่ปราณไร้ลักษณ์ในร่างของข้ายังแทบมิลดลงเลยแม้แต่น้อย” ซุนจิงจิงมองดูซูหยางด้วยสายตาชื่นชม
อย่างไรก็ตามซูหยางส่ายหน้าและกล่าวว่า “ตัววิชานี้เองมิได้มีอะไรพิเศษ ที่สำคัญก็คือมันช่วยเติมพลังให้กับร่างของเจ้าให้แข็งแกร่ง”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ซุนจิงจิงก็ลูบท้องของเธอโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งเป็นที่มาของต้นกำเนิดของความแข็งแกร่ง
“พูดจากใจ มันทรงพลังจนกระทั่งรู้สึกเหมือนกับโกง” ซุนจิงจิงแสดงรอยยิ้มขื่นขม
เพราะว่าความแข็งแกร่งที่เหนือล้ำนี้ยืมมาจากปราณหยางที่ตอนนี้อยู่ในร่างของพวกเธอ มันเป็นการโกงทางเทคนิคที่อาศัยความช่วยเหลือจากสิ่งภายนอก
“มิจำเป็นต้องรู้สึกผิด ในเมื่อนี่เป็นวิธีการต่อสู้ของผู้ฝึกวิชาคู่” ซูหยางส่ายหน้า “ถ้าเจ้าคิดว่าการฝึกวิชาคู่ทั้งหมดเป็นเพียงแค่ความสัมพันธ์และความสุขและมิมีอะไรไปกว่านั้น เจ้ามิอาจถือได้ว่าเป็นผู้ฝึกวิชาคู่ที่แท้จริง ตามจริงสิ่งที่พวกเจ้าทั้งหมดได้ทำมาจนถึงวันนี้นั้นเป็นเพียงการเริ่มต้นของสิ่งที่การฝึกวิชาคู่ได้มอบให้เท่านั้น”
“ผู้ฝึกวิชาทั่วไปมีวิธีของตนเองในการต่อสู้ และพวกเราก็มีวิถีทางของตนเองเช่นเดียวกัน วิชานี้เป็นเพียงแค่หนึ่งในวิชาหลากหลายที่บ่งบอกว่าการฝึกวิชาคู่ที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร”
“จำไว้ มันเรียกว่าการฝึกวิชาคู่เพราะว่ามีเหตุผล แม้ว่าเหมือนจะเป็นแบบนั้นพวกเจ้าก็มิได้อยู่คนเดียวแต่อย่างใดในเมื่อสิ่งเหล่านั้นเป็นของการฝึกวิชาทั่วไป”
“แม้ว่าเหมือนจะเป็นแบบนั้นพวกเราก็มิเคยอยู่คนเดียวแต่อย่างใด…”
ไม่เพียงแต่เหล่าศิษย์กระทั่งโหลวหลานจีก็ยังย้ำถ้อยคำของเขาอยู่อย่างเงียบๆ ราวกับว่าพวกเธอพยายามที่จะประทับมันไว้ในใจของพวกเธอ
DC บทที่ 387: คนละคนกันใช่ไหม
“ฮ่า ลองลิ้มรสฝ่ามือดอกบัวเพลิงบานของข้าดู”
ศิษย์ของนิกายดอกบัวเพลิงพุ่งเข้ามาหาหลินนาด้วยมือสองข้างที่ลุกเป็นลูกบอลไฟก่อนที่จะผลักฝ่ามือทั้งคู่เข้าสู่อกเธอ
“กุสุมาลย์พ้นพิสัยศิลป์: กลีบดอกไม้พิโรธ” หลินนาดึงกระบี่ออกจากฝักและกรีดเฉือนไปยังศิษย์ของนิกายดอกบัวเพลิง
เมื่อผู้ชมเห็นเช่นนั้น ดวงตาของพวกเขาต่างพากันเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ
“เธอกล้าที่จะแลกหมัดกันตรงๆกับคนที่มีระดับเหนือกว่าเธอถึงหนึ่งเขตเชียวรึ นั่นมิใช่บ้าคลั่งก็หยิ่งยะโสแล้ว”
ปกติแล้วเมื่อพลังการฝึกปรือของใครก็ตามต่ำกว่าคู่ต่อสู้ พวกเขาย่อมไม่คิดที่จะพยายามที่จะสู้ซึ่งหน้า ในเมื่อนั่นก็เหมือนกับการฆ่าตัวตาย แต่หลินนาพุ่งเข้าหาเขาด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมบนใบหน้า
บูม
ทันทีที่ฝ่ามือของศิษย์ของนิกายดอกบัวเพลิงปะทะเข้ากับกระบี่ของหลินนา ก็เกิดการระเบิดออกอย่างรุนแรงระหว่างพวกเขา ก่อนที่จะส่งหนึ่งในนั้นปลิวไปยังขอบของเวที
“เป็นไปไม่ได้”
ไม่เพียงแต่ผู้ชม แต่กระทั่งโหวเวินเจีย ก็ยังร้องออกมาเสียงดังลั่นหลังจากที่เห็นศิษย์ของนิกายดอกบัวเพลิงพ่ายแพ้ในการแลกหมัดในเมื่อพวกเขาต่างคาดว่าหลินนาจะต้องเป็นคนที่ถูกส่งปลิวออกไป
“นี่เป็นไปได้อย่างไรที่คนในเขตสัมมาวิญญาณชนะการปะทะซึ่งหน้ากับคนที่อยู่ในเขตปฐพีวิญญาณ นั่นมิสมเหตุผล”
ถึงแม้ว่มันจะไม่ถึงขั้นเป็นไปไม่ได้ มีเพียงแต่ผู้ฝึกวิชาที่เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ที่สุดเท่านั้นที่จะสามารถบรรลุความสำเร็จดังกล่าวได้ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาอย่างมากก็เพียงแค่หนึ่งหรือสองระดับต่ำกว่าเขตปฐพีวิญญาณ อย่างไรก็ตามหลินนาอยู่เพียงแค่ระดับที่ห้าของเขตสัมมาวิญญาณ เธอต่ำกว่าศิษย์นิกายดอกบัวเพลิงที่อยู่ในระดับหนึ่งเขตปฐพีวิญญาณถึงห้าระดับ
“ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมีผู้มีพรสวรรค์ตรึงใจเช่นนั้น” กระทั่งเจ้าซีก็ยังประหลาดใจในเมื่อเขามั่นใจว่ากระทั่งตัวเขาเองก็ยังไม่สามารถที่จะทำในสิ่งที่หลินนาเพิ่งทำไปหากเขามีอายุและมีพลังการฝึกปรือเท่าเธอ
“บางทีซูหยางอาจจะมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้” ซีซิงฟางกล่าว
เจ้าซีมองดูเธอด้วยท่าทางประหลาดและกล่าวว่า “เจ้ารู้ไหมว่ามิใช่ทุกสิ่งในโลกนี้ที่หมุนรอบตัวเขา”
“ใครจักรู้ เห็นได้ชัดว่าเขามีกลิ่นอายเช่นนั้น”
เจ้าซีได้แต่เพียงแค่ส่ายหน้าด้วยจนคำพูด
“กุสุมาลย์พ้นพิสัยศิลป์: เกสรร่วงหล่น”
หลังจากที่ระเบิดศิษย์นิกายดอกบัวเพลิงปลิวออกไปแล้ว หลินนาพลันไล่ตามติดอีกฝ่ายไปทันทีโดยไม่เสียเวลา
“อาาา”
ศิษย์นิกายดอกบัวเพลิงซึ่งสามารถฝืนยืนจนมั่นคงได้หลังจากถูกผลักปลิวออกไปไม่สามารถที่จะป้องกันตนอย่างเต็มที่จากการโจมตีอันรวดเร็วของหลินนาและใช้ถูกฟันเข้าที่อกครึ่งคมกระบี่
โชคยังดีสำหรับเขา ซึ่งมีเกราะป้องกันรอบสนามแข่งขันซึ่งป้องกันกระบี่ไม่ให้ตัดร่างของเขาเป็นสองส่วนเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นเลือดเนื้อเลอะเลือน อย่างไรก็ตามถึงแม่ว่าร่างของเขาจะยังอยู่ครบ แต่ศิษย์ของนิกายดอกบัวเพลิงยังคงได้ประสบกับแรงกระแทกจากการโจมตีที่กระทบกระเทือนไปถึงอวัยวะภายในอย่างรุนแรงและบดขยี้กระดูกสองสามซี่ จนทำให้เขากระอักเลือดออกมา
“ข้ายังมิได้จัดการเจ้าเด็ดขาดเลย” หลินนาไม่ยอมให้ศิษย์คนนั้นได้ตั้งตัวและเข้าไปร่ายรำท่วงท่าของกุสุมาลย์พ้นพิสัยศิลป์ต่ออีกฝ่ายต่อไป
หลังจากดิ้นรนต่อไปอีกไม่กี่นาที ในที่สุดศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ยอมแพ้รอบนี้ไปในเมื่อเขาไม่สามารถที่จะเคลื่อนไหวต่อไปได้อีกเนื่องจากความเจ็บปวดบนร่าง
“ฮึ่ม เมื่อมาคิดว่าเจ้าต้องการสู้กับศิษย์พี่ชายในขณะที่เจ้าอยู่ในแค่ระดับนี้ช่างโอหังนัก เจ้าอยู่ได้มิถึงแม้สักวินาทีหากเผชิญกับเขา”
ศิษย์นิกายดอกบัวเพลิงกัดฟันด้วยความโกรธ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาและลงไปจากเวทีอย่างช้าๆเพื่อรับการรักษาอาการบาดเจ็บ
“ข้าขอโทษ ท่านผู้นำนิกาย ข้าประมาทเธอมากเกินไป”
ศิษย์คนนั้นก้มหัวให้กับโหวเยินเจียซึ่งส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว
“อย่าโทษตัวเอง กระทั่งข้าเองก็ยังประมาทเธอ ตามจริงแล้วนอกจากซูหยาง ข้าก็อดที่จะประมาทพวกเธอมิได้”
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ โหวเยินเจียก็กล่าวกับเหล่าศิษย์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า “ตราบใดที่เจ้ายังอยู่บนเวที ข้าต้องการให้พวกเจ้าถือเสียว่าคู่ต่อสู้ของพวกเจ้า มิว่าพวกเธอเป็นใคร ให้เหมือนกับว่าพวกเธอเป็นซูหยางและต่อสู้กับพวกเธอด้วยทุกอย่างที่เจ้ามี ให้การต่อสู้รอบแรกของเราเป็นการพ่ายแพ้ครั้งเดียวในวันนี้”
“ขอรับท่านผู้นำนิกาย”
เหล่าศิษย์ตอบด้วยเสียงชัดเจน
ในเวลานั้นอีกด้านหนึ่ง หลินนาก็ลงจากเวทีไปแล้วเช่นกันในเมื่อเธอใช้พลังของเธอไปจนหมดก่อนหน้านั้นและไม่สามารถที่จะสู้รอบถัดไปได้
“ข้ามิสนใจว่าเจ้าทำได้อย่างไร แต่นี่ทำให้ข้าหน้าเปลี่ยนสีด้วยความประทับใจ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปตำแหน่งแรกในการแข่งขันย่อมมิใช่เป็นเพียงแค่ความฝัน” โหลวหลานจีชมเธอ
หลินนาหน้าแดงและกล่าวขณะที่ลูบท้อง “ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณศิษย์พี่ชาย”
โหลวหลานจียิ่งรู้สึกทึ่งกับวิชาที่ซูหยางได้สอนพวกเธอเมื่อวานนี้มากยิ่งขึ้นหลังจากที่เห็นผลลัพธ์
“เจ้าต้องสอนวิชานี้ให้ข้าคืนนี้มิเช่นนั้นข้าจักมิปล่อยให้เจ้าหลับจนกว่าเจ้าจะทำเช่นนั้น” เธอกระซิบที่ข้างหูเขา
ซูหยางไม่ได้กล่าวอะไรและเพียงแค่ยิ้มให้กับเธอ
หลังจากนั้นชั่วขณะซื่อตงก็เรียกร้องให้มีการแข่งขันรอบที่สอง
“โปรดส่งนักสู้คนต่อไปของพวกท่านขึ้นมา”
ไม่นานหลังจากนั้นศิษย์คนอื่นที่ระดับหนึ่งเขตปฐพีวิญญาณจากนิกายดอกบัวเพลิงก็ตรงมาที่ใจกลางเวที
อีกนาทีถัดไปหลังจากที่เดาตัวเลขกันอีกรอบ นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ส่งนักสู้คนถัดไปขึ้นไปบนเวที
ร่างที่บางเพรียวพลันก้าวขึ้นไปบนเวที
“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยตัดสินใจส่งนักสู้คนต่อไปออกมาแล้ว ซุนจิงจิง ซึ่งอยู่ที่ระดับหนึ่งเขตปฐพีวิญญาณเช่นเดียวกัน”
ทันทีที่ซุนจิงจิงปรากฏตัวบนเวที ความสวยของเธอก็ต้องตาเกือบทุกคู่ในที่แห่งนั้น แม้ว่าศิษย์ทุกคนจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจะเป็นสาวสวยสุดยอด แต่ก็ยังมีบางอย่างที่พิเศษเฉพาะในหน้าตาของซุนจิงจิงและกลิ่นอายที่ทำให้เธอเหมือนดูดีกว่าคนอื่น
“ซุนจิงจิงรึ ถ้าข้าจำมิผิด เจ้าหญิงน้อยของตระกูลซุนจากภูมิภาคตะวันตกก็ใช้ชื่อเดียวกันนี้เช่นกัน”
ผู้ชมสองสามคนจดจำชื่อของเธอได้
อย่างไรก็ตามบางคนก็ปฏิเสธคำอ้างนั้น
“เจ้าบ้าไปแล้วรึ ทำไมเจ้าหญิงนั่นจึงเป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย พวกเธอต้องเป็นคนละคนกันอย่างแน่นอน”
“แต่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ตั้งอยู่ที่ภูมิภาคตะวันตกเช่นเดียวกันซึ่งตระกูลซุนล้วนเคลื่อนไหวอยู่ที่นั่น…”
“ข้าจะบอกเจ้าว่ามีโอกาสเป็นศูนย์ที่ตระกูลซุนจะยอมให้เจ้าหญิงของพวกเขากลายเป็นโสเภณีในสถานที่เช่นนั้น ยิ่งไปกว่านั้นครั้งสุดท้ายที่ข้าได้ยินเธอยังคงอยู่ที่เขตปฐมวิญญาณ ตระกูลซุนเป็นที่รู้จักในเรื่องความร่ำรวยและเส้นสายกับพ่อค้าทั่วโลก มิใช่พรสวรรค์ในการฝึกวิชา ดังนั้นมิมีทางที่เด็กสาวคนนี้ซึ่งอยู่ที่เขตปฐพีวิญญาณจะเป็นคนเดียวกับเจ้าหญิงจากตระกูลซุน”
“ข้าเดาว่าเจ้าพูดถูก…”
ในเวลานั้น บนเวที ซุนจิงจิงสั่นสะท้านเล็กน้อยจากความตื่นเต้น
“ข้าสงสัยว่าตระกูลของข้ากำลังมองดูข้าอยู่ในตอนนี้หรือไม่” เธอคิดสงสัยอยู่ในใจขณะที่เธอค่อยตรงไปยังใจกลางเวที
“แม้ว่าพวกเขาจักปฏิเสธข้าในการเลือกที่จะติดตามท่านปู่อย่างหนัก แต่ก็เพราะว่าการตัดสินใจนั้นที่ทำให้ข้าได้มายืนอยู่ที่นี่ในตอนนี้…”
ไม่นานหลังจากนั้นครั้นเมื่อซุนจิงจิงอยู่ที่กลางเวทีแล้ว ซื่อตงก็ยกมือขึ้นและกล่าวว่า “รอบที่สอง เริ่มได้”
DC บทที่ 386: นิกายดอกบัวเพลิงปะทะนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
“ยินดีต้อนรับสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทั้งหลายเข้าสู่โคลีเซียมหิมะโปรย ที่ซึ่งการแข่งขันระดับภูมิภาคได้จัดขึ้นเป็นวันที่สาม หลังจากผ่านมานานสามวัน ก็เหลือเพียงห้าสิบกว่าสำนักที่คงเหลืออยู่ในการแข่งขันนี้” ซื่อตงปรากฏตัวบนเวทีและพูดเสียงดัง
“จากที่กล่าวมาในเมื่อมิมีอะไรแล้วเช่นนั้นก็ขอให้ข้าได้แนะนำการแข่งขันคู่แรกสำหรับวันนี้ วังสายฟ้าฟาด กับคู่ต่อสู้ของเขา สำนักร้อนแรงไร้ขีดจำกัด”
ทั้งสองสำนักที่ประกอบด้วยผู้เข้าร่วมยี่สิบคนในแต่ละข้างพากันขึ้นไปบนเวทีไม่นานหลังจากนั้นซึ่งแต่ละคนในเหล่าผู้เข้าร่วมเหล่านี้ล้วนปลดปล่อยกลิ่นอายของผู้ที่อยู่ในเขตสัมมาวิญญาณ
“จะมีแต่เพียงสำนักที่ได้รับการยกย่องและมีชื่อเสียงที่สามารถเข้าสู่เวทีมาถึงจุดนี้ได้ เฮ้อ…” ไป่ลี่ฮัวพึมพัมอย่างเยือกเย็น
จากนั้นเธอก็หันไปดูนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและแอบถอนหายใจ “ยกเว้นสำนักหนึ่ง…”
ไม่ว่าเธอจะพยายามครุ่นคิดเพียงใด เธอก็ไม่อาจเข้าใจได้ว่าทำไมนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจึงสามารถบรรลุสิ่งที่พวกเขาเป็นอยู่ตอนนี้ได้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาจากฐานะที่เหมือนสำนักระดับต่ำ
“นอกจากว่าจักมีสิ่งมีชีวิตพ้นโลกที่มีความรู้และประสบการณ์อันลึกล้ำช่วยนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย มิเช่นนั้นก็เกือบเป็นไปมิได้สำหรับสำนักที่มีขนาดเท่านั้นที่จะมาถึงจุดนี้ได้ถึงแม้ว่าได้รับโชคจากสวรรค์ก็ตาม”
ร่างที่ปราศจากหน้าตาที่มีความรู้สึกพ้นโลกรายล้อมรอบกายพลันปรากฏขึ้นในใจไป่ลี่ฮัวขณะที่เธอกำลังคิดถึงความเป็นไปได้ที่อาจจะมีจอมยุทธที่ทรงอำนาจมาช่วยนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจากเบื้องหลัง ซึ่งโลกไม่อาจรับรู้
ไป่ลี่ฮัวพลันมองดูนิกายดอกบัวเพลิง
“หรือว่าจอมยุทธและนักปรุงยาลึกลับนี้ที่ได้สร้างความตื่นตระหนกแก่โลกก่อนหน้านี้ด้วยโอสถสู่ปฐพีจะเป็นคนคนเดียวกัน นิกายดอกบัวเพลิงก็เป็นเพียงแค่สำนักที่เหนือกว่าระดับกลางก่อนที่พวกเขาจะเป็นเพื่อนกับนักปรุงยาลึกลับนั่นเช่นกัน”
“แต่ทำไมทำไมจอมยุทธนี้จึงเลือกที่จะช่วยพวกเขา หรือจะมีอะไรบางอย่างพิเศษเกี่ยวกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและนิกายดอกบัวเพลิงที่ข้าไม่รู้
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วขณะที่ไป่ลี่ฮัวนิ่งคิดถึงถึง “จอมยุทธลึกลับ” และเพียงแค่เธอคิดว่าผ่านไปเพียงพริบตาก็ถึงคู่ที่เก้าของวันนี้แล้ว
“โชคดีพี่ชาย โชคดีพี่สาวทั้งหลาย ซูหยินที่ส่งเสียงเชียร์พลันปลุกไป่ลี่ฮัวให้หลุดออกมาจากการคิดลึก
“ถึงตาของพวกเขาขึ้นบนเวทีแล้วเหรอ” ไป่ลี่ฮัวหยุดความคิดของตนเองและมุ่งความสนใจไปบนเวที ซึ่งนิกายดอกบัวเพลิงและนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้ยืนอยู่ห่างไม่กี่เมตรจากแต่ละฝ่าย
“ผู้นำนิกายมีคำพูดอะไรที่จะพูดกับอีกฝ่ายก่อนการต่อสู้อย่างเป็นทางการจะเริ่มต้นหรือไม่” ซื่อตงถามพวกเขา
โหลวหลานจีส่ายหน้าและหันไปดูซูหยางซึ่งจ้องกลับไปยังโหวเยินเจียด้วยสีหน้าท่าทางเยือกเย็น
“ให้ข้าดูว่าพวกเจ้าก้าวหน้ามากขึ้นอีกเท่าไหร่นับตั้งแต่ “วันนั้น” ซูหยางพลันกล่าวกับพวกเขาด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
เมื่อศิษย์ของสำนักดอกบัวเพลิงได้ยินคำพูดของเขา ความทรงจำที่ไม่ต้องการที่พวกเขาพยายามที่จะลืมก็พลันปรากฏขึ้นในใจ จนทำให้ร่างกายของพวกเขาสั่นสะท้านอย่างไม่อาจข่มกลั้น
โหวเยินเจียขมวดคิ้วและพูดด้วยท่าทางเคร่งเครียดว่า “มีอย่างหนึ่งที่ข้าต้องการจะพูด รีบเริ่มการแข่งขันนี้ได้แล้ว”
ซื่อตงพยักหน้าและกล่าวว่า “ครั้นเมื่อทั้งสองสำนักได้กลับไปยังข้างเวทีและส่งผู้เข้าร่วมการแข่งขันคนแรก ข้าก็จักเริ่มการแข่งขัน”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขานิกายดอกบัวเพลิงก็พลันถอยกลับไปที่ข้างเวที และนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ไปยังฝั่งตรงข้ามเวที ปล่อยให้ตรงกลางเวทีว่างเปล่า
“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยช่างโชคดีถึงที่สุดที่มาได้ไกลถึงตอนนี้ อย่างไรก็ตามช่างโชคร้ายสำหรับพวกเขา ดูเหมือนว่าโชคของพวกเขาได้หมดลงไปแล้ว วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายของพวกเขาบนเวที”
“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเป็นเพียงแค่สำนักระดับต่ำใช่ไหม ถึงแม้ว่าจะเป็นโชคดีหนุน แต่นี้ก็เป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เมื่อไม่เคยมีสำนักระดับต่ำที่ได้ก้าวเข้ามาไกลมากกว่าวันที่สองในการแข่งขันระดับภูมิภาค”
ขณะที่ผู้ชมต่างพากันพูดคุยกัน นิกายดอกบัวเพลิงก็ส่งได้ศิษย์คนแรกขึ้นไปบนเวที
“ระดับหนึ่งเขตปฐพีวิญญาณรึ พวกเขายังส่งแค่ศิษย์ที่อยู่ในเขตสัมมาวิญญาณมาเป็นอันดับแรกเมื่อการแข่งขันก่อนหน้านี้อยู่เลย…” โหลวหลานจีถอนหายใจ
“ดูเหมือนว่านิกายดอกบัวเพลิงจะเอาจริงพยายามที่จะล้มพวกเรา ใครต้องการที่จะไปเป็นอันดับแรก” เธอหันไปมองดูเหล่าศิษย์
“ข้า”
“โอ ข้าต้องการสู้ก่อน”
“เดี๋ยว ให้ข้าไปก่อน”
โดยไม่คาดคิดศิษย์ทุกคนต่างพากันยกมือ
“…”
ประหลาดใจกับความกระตือรือล้นของพวกเธอจนทำให้โหลวหลานจีพูดไม่ออก
หลังจากเงียบไปชั่วขณะ เธอก็พูดว่า “ข้าจักนึกตัวเลขที่อยู่ระหว่างหนึ่งถึงร้อย ใครก็ตามที่เดาถูกหรือใกล้เคียงจักขึ้นไปต่อสู้ก่อนเป็นคนแรก พวกเจ้ามีโอกาสหนึ่งครั้งเท่านั้น”
“หนึ่ง”
“เก้า”
“ยี่สิบ”
“สามสิบสอง”
“แปดสิบ”
“ห้าสิบห้า”
เหล่าศิษย์พากันเริ่มเดาตัวเลขกันในทันที
ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น โหลวหลานจีก็พยักหน้าและชี้มือไปยังศิษย์คนหนึ่งและกล่าวว่า “ขอแสดงความยินดี หลิงนา เลขของเจ้าใกล้เคียงที่สุด”
สาวสวยร่างบางน่ารักที่โหลวหลานจีชี้แสดงท่าทางสดใสขึ้นและพยักหน้า “ข้าจักมิยอมให้นิกายผิดหวัง”
เธอกล่าวกับพวกเธอก่อนที่จะวิ่งขึ้นไปบนเวทีด้วยความตื่นเต้น
“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยส่งศิษย์หลินนา ซึ่งอยู่ที่ระดับห้าเขตสัมมาวิญญาณ” ซื่อตงแนะนำเธออย่างรวดเร็ว
“ไอ๊ย่า ถึงกับส่งศิษยที่มีพลังการฝึกปรือต่ำสุดในหมู่พวกเธอออกมาสู้กับคนที่อยู่ในเขตปฐพีวิญญาณ ตลอดการแข่งขันนี้จักต้องโหดร้ายและทำอยู่ข้างเดียวโดยมิต้องสงสัย”
ผู้ชมต่างพากันส่ายหน้ากับความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนระหว่างทั้งสองข้าง กระทั่งรู้สึกแย่กับเด็กสาวตัวเล็กที่มีอายุเพียงสิบเจ็ดปี
“เริ่มการต่อสู้” ซื่อตงประกาศไม่นานหลังจากนั้น
“เฮ้ สาวน้อย”
ศิษย์นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยพลันเรียกเธอ “ข้ามิมีความแค้นกับเจ้าหรือว่าดูถูกเจ้า และข้าก็จักชื่นชมมากหากเจ้ารีบยอมแพ้และส่งเจ้าเลวซูหยางออกมาเพื่อที่ข้าจักสามารถทุบตีเจ้านั่นอย่างช้าๆ”
“…”
หลินนามองดูศิษย์นิกายดอกบัวเพลิงด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้ามิสนใจในเรื่องความแค้นของเจ้า แต่ถ้าเจ้าต้องการจะสู้กับศิษย์พี่ชายของข้า เจ้าจักต้องเตะข้าออกไปจากเวทีก่อน”
“แม้ว่าข้ามิได้มีความสุขกับการข่มเหงคนอ่อนแอ แต่เจ้าบีบให้ข้าลงมือ” ศิษย์ของนิกายดอกบัวเพลิงแค่นเสียงเย็นชากับคำพูดของเธอ ก่อนที่จะพุ่งเข้าไปหาหลินนาด้วยสีหน้าดุร้าย
Dual Cultivation บทที่ 385: วันที่สามของการแข่งขัน
“โอ อาาา-” จิงชีครางเสียงดังลั่นขณะที่มือใหญ่จับสะโพกเธอไว้มั่น ขณะที่ร่างท่อนล่างของเธอถูกล่วงละเมิดด้วยแท่งที่ทั้งแกร่งและยาวทะลวงเข้าไปในถ้ำของเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ในเวลานั้นหญิงสาวเก้าคนมองดูจากด้านข้าง ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความปรารถนาและตื่นเต้น
ชั่วขณะหลังจากนั้น ซูหยางก็ปล่อยมือจากจิงซีและยอมให้ร่างที่สิ้นเรี่ยวแรงของเธอล้มลงไปบนเตียงที่อ่อนนุ่ม
อย่างไรก็ตามก่อนที่จิงซีจะทันได้พัก ซูหยางก็แตะนิ้วของเขาลงไปบนหน้าผากของเธอ ส่งผ่านข้อมูลตรงเข้าไปยังหัวของเธอ
“อย่าเพิ่งฝึกฝนปราณหยางในร่างเจ้าแต่จงทำตามวิชาที่ข้าเพิ่งให้กับเจ้าไป” ซูหยางกล่าวกับเธอก่อนที่จะหันไปดูหญิงสาวคนถัดไป
วินาทีถัดไปหญิงสาวอีกคนก็เข้าสู่อ้อมกอดของเขาก่อนที่จะรู้สึกถึงแก่นกายแข็งแกร่งของเขาเข้าสู่ร่าง
ซูหยางดำเนินการฝึกกับเหล่าศิษย์จนเกือบตลอดคืนขณะที่บรรยายให้พวกเธอเกี่ยวกับวิชาที่เขามอบให้กับพวกเธอ
“สมกับเป็นซูหยางทุกครั้งที่เขาแนะนำสิ่งใหม่ๆให้กับพวกเรา มันต้องเป็นอะไรที่หากไม่ใช่มีค่ามากก็ต้องเป็นอะไรที่ชวนให้ตื่นตระหนก” ซุนจิงจิงพึมพัมอยู่บนเตียงด้วยเสียงที่หมดแรงหลังจากที่ซูหยางปล่อยให้พวกเธออยู่ตามลำพังเพื่อพัก
“ด้วยวิชาใหม่นี้ ข้ารู้สึกว่าข้าสามารถที่จะสู้กับทั้งโลกได้ด้วยตัวข้าเอง” ฟางซีหลานลูบท้องของเธอที่เต็มไปด้วยปราณหยางระอุอุ่นอย่างอ่อนโยน
“ถ้าวิชานี้ถ่ายทอดให้กับผู้คนทั่วไป ข้ามีความรู้สึกว่าผู้ฝึกวิชาอีกมากมายย่อมยินดีที่จะลองฝึกวิชาคู่” ศิษย์อีกคนพูด
“วิชานี้ใช้งานได้ดีที่สุดเฉพาะผู้หญิงใช่ไหม ข้าสงสัยว่าซูหยางไปเรียนวิชานี้มาจากไหน”
“ข้ามีความรู้สึกว่าเราคงมิมีวันได้รู้”
“ความรู้สึกนั่นมิเลวเลย ข้ารักชายที่ลึกลับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีวิชาบนเตียงแบบนี้”
“อย่างไรก็ตามในเมื่อเรามิอาจฝึกปราณหยางในร่าง ข้าสงสัยว่าเราจะท้องหลังจากนี้หรือไม่” ศิษย์คนหนึ่งพลันถาม
ทั้งห้องพลันเงียบลงทันที
อีกชั่วขณะฟางซีหลานก็กล่าวขึ้นว่า “ใจเย็น เจ้ามิท้องรวดเร็วปานนี้หรอก มันต้องใช้เวลาเป็นอาทิตย์ถ้าเจ้ามิดูดซับปราณหยาง แต่ปราณหยางในร่างของพวกเราจักเหือดแห้งไปหมดในวันพรุ่งนี้”
“ถ้าเป็นข้า ข้ามิถือที่จะอุ้มท้องลูกของเขา” ซุนจิงจิงพลันกล่าวขึ้น ทำให้ทุกคนที่นั่นต่างพากันมองดูเธอด้วยดวงตาเบิกกว้าง
“โอ ใช่ ข้ามิเคยกล่าวเรื่องนี้กับพวกเจ้า แต่ข้าตัดสินใจว่าข้าต้องการที่จะสืบเชื้อสายของเขาเอาไว้” เธอกล่าวขณะที่ลูบท้องของตนเองด้วยความเสน่หา
“เจ้าพูดกับเขาแล้วรึ” ศิษย์คนหนึ่งถาม
“ยังไม่” ซุนจิงจิงส่ายหน้า และเธอก็พูดต่อว่า “แต่ข้าวางแผนไว้หลังจากที่การแข่งขันนี้จบ”
“เจ้าคิดว่าเขาจะยอมรับไหม” อีกคนถามเธอ
“ข้าจักรู้ได้เองเมื่อข้าถามเขาแล้ว” ซุนจิงจิงกล่าว “ถึงแม้ว่าพวกเรามิอาจจะอยู่ด้วยกัน ข้าก็จักพึงพอใจกับเพียงแค่มีลูกกับเขา”
เหล่าศิษย์ต่างพากันสบตากัน
“โชคดี น้องจิงจิง แม้ว่าชายคนอื่นอาจจะมิเห็นด้วย แต่ซูหยางมิใช่ชายทั่วไป ยิ่งไปกว่านั้นมิเหมือนกับพวกเราที่เหลือ เจ้าเพียงกอดกับชายเพียงคนเดียว เขาเป็นชีวิตของเจ้า ใช่ไหม ข้าคิดว่าเขาคงมิถือกับการที่เจ้าจะมีลูกให้เขา” ฟางซีหลานกล่าวกับเธอด้วยรอยยิ้ม
แม้ว่าเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ที่ชายคนหนึ่งจะยอมให้หญิงที่เป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอุ้มท้องลูกของตนเองเนื่องจากพวกเธอมักจะมีคู่นอนหลายคนในชีวิต ซุนจิงจิงเป็นข้อยกเว้นในนิกาย ในเมื่อเธอสามารถก้าวเข้ามาเป็นศิษย์ในโดยไม่มีคู่เพราะว่าปู่ของเธอผู้อาวุโสซุน
เหล่าศิษย์ต่างพากันอยู่ในห้องตลอดทั้งคืนเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องซูหยางเหมือนกับกลุ่มเพื่อนๆระหว่างการนอนหลับ
เช้าวันถัดมา ศิษย์ทั้งหมดต่างพากันมารวมตัวกันที่หน้าโรงเตี๊ยมและเตรียมตัวที่จะจากไปสู่การแข่งขัน
“สาวๆรู้สึกกันอย่างไรบ้าง” โหลวหลานจีถามพวกเธอ
“รู้สึกดีกว่าที่ข้าเคยรู้สึก ท่านผู้นำนิกาย”
“นั่นเป็นสิ่งดีที่ได้ยิน ข้าหวังว่าความมั่นใจนี้จะคงอยู่แม้ว่าขณะที่พวกเรายืนอยู่บนเวที”
ไม่นานหลังจากนั้นนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็มุ่งหน้าสู่โคลีเซียม
ระหว่างทางสู่โคลีเซียมพวกเธอก็ได้พบกับหวังชูเหรินซึ่งแน่นอนว่าอยู่กับนิกายดอกบัวเพลิง
นิกายดอกบัวเพลิงก็สังเกตเห็นพวกเธอเช่นกัน และหวังชูเหรินก็ตรงเข้ามาหาพวกเธอด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
“ข้าได้หวังไว้ว่าพวกเราจะสามารถอยู่ด้วยกันอย่างน้อยจนถึงวันสุดท้ายการแข่งขัน แต่อนิจจา…” หวังชูเหรินกระซิบให้กับซูหยาง
“ใครจะรู้ เจ้าอาจจะชนะก็ได้”
“เก็บคำพูดท่านไว้เถอะ พวกเราล้วนรู้ผลลัพธ์อยู่แล้ว”
ในเวลานั้นศิษย์จากนิกายดอกบัวเพลิงก็จ้องมองซูหยางพร้อมกับหรี่ตาที่เต็มไปด้วยความดุร้ายและโกรธแค้น พวกเขาทุกคนยังจำวันที่ซูหยางต่อสู้กับพวกเขาทั้งนิกายด้วยตัวคนเดียว ตามจริงศิษย์ครึ่งหนึ่งที่นั่นได้ลิ้มลองกำปั้นของซูหยางมาแล้วและร่างกายของพวกเขาก็สั่นสะท้านทันทีหลังจากที่เห็นหน้าเขา ราวกับว่าร่างกายของพวกเขากลัวอีกฝ่ายโดยสัญชาตญาณ
“ใจเย็น.. ใจเย็น… พลังของเขานั้นเพียงแค่ยืมมาจากสมบัติ…”
“นั่นมิใช่พลังที่แท้จริงของเขา… ทั้งหมดนั่นล้วนปลอมแปลง.. อย่ากลัว…”
“อย่าถูกหลอก… อย่าถูกหลอก… จริงๆแล้วเขาอ่อนแอ… เขาอ่อนแอจริงๆ…”
โหวเยินเจียคิ้วกระตุกโดยไม่อาจข่มกลั้นเมื่อเขาได้ยินศิษย์ของตนเองพึมพัมกับตัวเอง พยายามที่จะชักจูงตนเองไม่ให้กลัวซูหยาง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต่างได้รับความบอบช้ำจากเหตุการณ์ในวันนั้น
“ไปกันเถอะ” โหวเยินเจียกล่าวกับพวกเขาเสียงดัง และเหล่าศิษย์ต่างพากันติดตามเขาไปด้วยความยินดีที่ได้ห่างจากซูหยาง
“พวกเขาเป็นอะไรไป พวกเขาดูเหมือนตัวสั่นเพราะอะไรบางอย่าง” หนึ่งในเหล่าศิษย์สังเกตเห็นพฤติกรรมแปลกประหลาดของอีกฝ่าย
“ข้าก็สังเกตเห็นเช่นกัน พวกเขาดูเหมือนจะเป็นกังวล ราวกับว่าพวกเขากำลังเผชิญหน้ากับสัตว์ร้ายที่ทรงพลัง”
“พวกเขาต้องกลัวศิษย์พี่หญิงและศิษย์พี่ชายของพวกเราแน่นอนหลังจากที่เป็นความสามารถของพวกเธอวานนี้” ศิษย์รุ่นเยาว์คนหนึ่งกล่าวด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ
“คุยกันพอแล้ว พวกเราก็มุ่งหน้าไปโคลีเซียมกันเถอะ” โหลวหลานจีกล่าวกับพวกเขาก่อนที่จะเดินไป
Dual Cultivation บทที่ 384: เริ่มแรก ถอดเสื้อผ้าออก
หลังจากที่เขียนชื่อนิกายกุสุมาลพ้นพิสัยและนิกายดอกบัวเพลิงข้างกันบนกระดานแล้ว ซื่อตงก็เริ่มขานหมายเลขต่อไป
หลังจากนั้นไปได้อีกสักพัก ซื่อตงก็พูดเสียงดังว่า “หมายเลข สิบแปด”
ครั้นเมื่อไป่ลี่ฮัวได้ยินหมายเลขของเธอถูกเรียกแล้ว เธอก็ยกมือขึ้น และห่างไปจากเธอไม่กี่เมตรอีกคนก็ได้ยกมือขึ้น
เมื่อเหล่าเจ้าสำนักเห็นคนทั้งคู่ ดวงตาของพวกเขาต่างก็เป็นประกายสนุกสนาน
“สำนักหงส์สวรรค์ และสำนักเมฆม่วง” ซื่อตงทำการเขียนชื่อพวกเขาลงไปบนกระดาน
“…”
ไป่ลี่ฮัวมองดูกู่กว่านถิงจนหน้าสวยตึงเครียด และกู่กว่านถิงก็จ้องมองกลับมาที่เธอด้วยท่าทางเช่นเดียวกัน
“ท่านคิดว่าอย่างไรกับคู่นี้”
เจ้าสำนักต่างๆที่อยู่ที่นั่นต่างพากันกระซิบกระซาบกัน
“แม้ว่าสำนักเมฆม่วงจะได้รับชัยชนะที่น่าประหลาดใจกับการต่อสู้กับนิกายล้านอสรพิษ ข้าก็มิคิดว่าพวกเขาจะสามารถที่จะรับมือสำนักหงส์สวรรค์ได้” หนึ่งในเจ้าสำนักกล่าวสิ่งที่ตนเองคิดขึ้น
“ข้ามีความรู้สึกว่าหงอวี้เอ๋อร์จากสำนักเมฆม่วงยังมิได้แสดงความสามารถของเธออย่างเต็มที่ ใครจะรู้ บางทีเธอเพียงคนเดียวอาจจะเอาชนะสำนักหงส์สวรรค์อีกก็ได้”
เจ้าสำนักอีกคนให้คำตัดสินของตนเอง
“เจ้าคิดว่าอย่างไร ซูหยาง เจ้ามีความมั่นใจว่านิกายล้านอสรพิษจะพ่ายแพ้ให้กับสำนักเมฆม่วงก่อนที่มันจะเริ่ม สำนักหงสวรรค์จะสามารถเอาชนะสำนักเมฆม่วงได้หรือไม่ หรือให้ชัดเจนก็คือเอาชนะหงอวี้เอ๋อร์” โหลวหลานจีถามเขา
ซูหยางยักไหล่ของตนเองอย่างรวดเร็ว “ข้ามิรู้ ท่านคิดว่าอย่างไรล่ะ”
โหลวหลานจีหรี่ตาให้กับเขาซึ่งเห็นได้ชัดว่ารู้อะไรบางอย่าง
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะเธอก็กล่าวว่า “ข้าคิดว่าหงอวี้เอ๋อร์ ยังคงซ่อนไม้ตายเอาไว้ ยิ่งไปกว่านั้น เธอสามารถจัดการนิกายล้านอสรพิษได้อย่างง่ายดาย แม้ว่าข้ามิอาจคาดเดาได้ว่าฝ่ายไหนจะชนะในท้ายที่สุด แต่เห็นได้ชัดว่านี่จะเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบากที่สุดของสำนักหงส์สวรรค์”
หลังจากนั้น ครั้นเมื่อทุกคนได้มีชื่อของสำนักตนเองบนกระดานแล้ว เจ้าสำนักทุกคนก็กลับไปหาศิษย์ตนเองเพื่อถ่ายทอดข่าวสาร
“นี่มันโชคอะไรกัน” ไป่ลี่ฮัวตรงเข้าไปหาโหลวหลานจีและซูหยางหลังจากนั้นและกล่าวว่า “พวกเจ้าได้จับคู่กับนิกายดอกบัวเพลิง คู่แข่งที่แข็งแกร่งที่สุดในการแข่งขันนี้ ในเวลาเดียวกันพวกเราต้องรับมือกับสำนักเมฆม่วงหนึ่งในม้ามืดที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์”
“ท่านกังวลว่าจะแพ้รึ” ซูหยางถามเธอด้วยรอยยิ้ม
ไป่ลี่ฮันขมวดคิ้วและตะโกน “ไร้สาระ”
“ข้ามีความมั่นใจในความสามารถของศิษย์ของข้าอย่างที่สุด ถึงแม้ว่าหงอวี้เอ๋อร์จะเก่งกาจ เธอก็จักมิสามารถที่จะจัดการกับพวกเราเหมือนกับที่จัดการนิกายล้านอสรพิษได้ ในเมื่อเราจักเตรียมตัวให้พร้อมที่สุด”
“โชคดี” ซูหยางกล่าวก่อนที่พวกเขาจะแยกย้ายกันไป
ครั้นเมื่อพวกเขากลับไปยังโรงเตี๊ยม โหลวหลานจีก็เปิดเผยให้เหล่าศิษย์ฟังถึงคู่ต่อสู้ถัดไป ซึ่งสร้างความงุนงงให้กับพวกเธอเป็นอย่างมาก
“พ-พวกเราต้องต่อสู้กับนิกายดอกบัวเพลิงแล้วเหรอ” ซุนจิงจิงปากอ้าค้างด้วยความตระหนก
“จากการต่อสู้กับสมาพันธ์แม่น้ำเหลืองมาเป็นนิกายดอกบัวเพลิง… นี่เหมือนเป็นการข้ามระดับความยาก” ฟางซีหลานกล่าว
“ข้าเข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้ค่อนข้างจะยาก แต่ถ้าพวกเราต้องการชนะการแข่งขันนี้ เราจักต้องสู้พวกเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่าได้กล่าวถึงการต่อสู้กับสำนักระดับสูงอื่นๆ” โหลวหลานจีกล่าว
“สาวๆกังวลกับเรื่องนิกายดอกบัวเพลิงกันอยู่รึ” ซูหยางพลันถามพวกเธอ
“เอ้อ… พวกเขามีศิษย์นับโหลที่อยู่ในเขตปฐพีวิญญาณในขณะที่พวกเรามีเพียงแค่สองคน” ซุนจิงจิงกล่าว
ซูหยางส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มและกล่าวว่า “แม้ว่าความแตกต่างระหว่างเขตสัมมาวิญญาณและเขตปฐพีวิญญาณอาจจะเหมือนกันผืนดินผืนฟ้า แต่มันมิได้มีนัยสำคัญจริงจังเหมือนที่พวกเจ้าเชื่อ ตราบเท่าที่พวกเจ้าเตรียมตัวให้พร้อมก่อนการต่อสู้ ความได้เปรียบเล็กน้อยของพวกเขานี้ย่อมแทบสังเกตไม่เห็น”
“พวกเราจะเตรียมตัวอะไรแบบนั้นได้อย่างไร” หนึ่งในเหล่าศิษย์ถาม
“นั่นเป็นเรื่องค่อนข้างง่าย จริงแล้ว มันก็เป็นเพียงกิจวัตรประจำวันสำหรับพวกเจ้าทุกคนอยู่แล้ว”
เหล่าศิษย์ต่างพากันเลิกคิ้ว ดูเหมือนจะสงสัยกับคำพูดของเขาที่ทำให้ดูเหมือนกับว่าพวกเธอได้มีประสบการณ์เรื่องนี้อยู่แล้ว
“ข้าต้องการให้พวกเจ้าทุกคนรวมตัวกันในห้องเดียวคืนนี้ ข้าจักสอนพวกเจ้าทั้งหมดถึงวิชาใหม่สำหรับการต่อสู้วันพรุ่งนี้”
“จริงรึ” เหล่าศิษย์ต่างพากันตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้นหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเขา คิดสงสัยว่าเป็นวิชาแบบไหนกันที่เขาจะสอนพวกเธอ
“เจ้าต้องการที่จะสอนพวกเธอให้เรียนวิชาใหม่ในคืนเดียวงั้นรึ ข้ามิได้สงสัยในความสามารถในการสอนของเจ้าหรือความสามารถของพวกเธอ แต่การเรียนวิชาหนึ่งนั้นถึงแม้ว่ามันจะเป็นวิชาระดับต่ำก็ยังค่อนข้างจะเหลือเชื่อและเป็นไปไม่ได้แม้กระทั่งอัจฉริยะ…” โหลวหลานจีมองดูเขาด้วยสีหน้าเป็นกังวล
ถ้าวิชาที่ใช้ในการฝึกฝนนั้นง่ายและรวดเร็วในการเรียน เช่นนั้นผู้ฝึกวิชาทุกคนในโลกย่อมกลายเป็นจอมยุทธที่มีวิชานับร้อยอยู่ในมือแล้วตอนนี้
เมื่อได้ยินคำพูดของโหลวหลานจี ซูหยางก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “แม้ว่ามันจะเรียกว่าวิชา แต่ว่ามันเป็นอะไรที่แตกต่าง ตามจริงมันเป็นสิ่งที่ผู้ฝึกวิชาสามารถเรียนภายในไม่กี่ชั่วโมงถ้าพวกเขาปรารถนา แต่เพราะว่าธรรมชาติของวิชานี้ มันสามารถฝึกได้เฉพาะกับการฝึกคู่”
“บางอย่างเช่นนี้ก็มีด้วยรึ ทำไมเจ้ามิสอนข้าด้วยล่ะ” โหลวหลานจีพลันรู้สึกทึ่ง
“แน่นอนข้าจักสอนท่านวิชานี้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ข้าจักทำแบบนั้นวันอื่น ในเมื่อศิษย์เหล่านี้ต้องการใช้มันมากกว่าท่าน”
โหลวหลานจีพยักหน้า “นั่นเป็นที่เข้าใจ”
ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้น ซูหยางก็เข้าไปในห้องหนึ่งของโรงเตี๊ยม และภายในนั้นก็ยืนไปด้วยสิบสาวงาม
เมื่อซูหยางเข้าไปในห้อง ดวงตาเป็นประกายสิบคู่ก็หันมามองดูเขา ดูเหมือนว่าจะตื่นเต้นที่ได้เห็นเขา
“สาวๆทั้งหลายพร้อมหรือยัง” ซูหยางถามพวกเธอด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น
“อื้อ”
พวกเธอทุกคนพยักหน้า
“ดี มาเริ่มต้นกันเถอะ”
“พวกเราต้องทำอย่างไรบ้าง” ซุนจิงจิงถามเขา
“เริ่มแรก ถอดเสื้อผ้าออก” เขาตอบด้วยใบหน้าเรียบเฉย
บรรดาหญิงสาวต่างพากันมองดูเขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง
“พวกเรากำลังจะฝึกฝน” เขากล่าว
หญิงสาวทุกคนพากันมองดูหน้ากันแล้วหัวเราะคิกคัก ราวกับว่าพวกเธอได้คาดการณ์เหตุการณ์นี้ไว้เรียบร้อยแล้ว
DC บทที่ 383: สิ้นสุดวันที่สอง
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ ซีซิงฟางก็พยักหน้ารับคำซูหยางอย่างเงียบๆและคืนกลับไปยังที่นั่งของเธอ
ในเวลานั้นนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและผู้ชมต่างพากันมองไปยังเธอด้วยท่าทางตื่นตะลึงซึ่งทุกคนต่างก็คิดสงสัยว่านั่นหมายความว่าอย่างไร
“เจ้าไม่รออีกสักสองสามวันก่อนที่จะพูดกับเขาล่ะ” เจ้าซีรู้สึกต้องการถอนใจเมื่อเขาเห็นเธอ
“นี่ก็ตั้งหลายวันแล้วตั้งแต่ที่ข้าได้พูดกับเขา และข้าก็มิต้องการให้เขาลืมตัวตนข้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขารายล้อมไปด้วยสาวสวยรอบข้าง ด้งนั้นข้าจึงอดใจไม่ได้”
เจ้าซีพลันเปลี่ยนเป็นไร้คำพูดกับพฤติกรรมที่ไม่เข้ากับตัวตนที่อยู่ในฐานะนี้ของเธอ อย่างไรก็ตามนั่นต้องเป็นซูหยางที่เข้าหาเธอไม่ใช่อย่างอื่นอีก นั่นจึงทำให้เธอรู้สึกสิ้นหวัง
องค์หญิงที่แสนสวยอย่างเช่นซีซิงฟางมีท่าทีสิ้นหวังเช่นนี้เมื่อเธอสามารถมีชายคนใดก็ได้ในแผ่นดินนี้อย่างงั้นรึ เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อราวกับเป็นเทพนิยาย
“ป-เป็นบ้าอะไรกันไปแล้ว” ไป่ลี่ฮัวชี้ไปที่เวทีด้วยนิ้วที่สั่นสะท้าน “ทำไมองค์หญิงจึงเข้าไปหาพวกเขาทั้งยังแสดงความยินดีอีกด้วย”
ได้ยินเสียงสั่นสะท้านของเธอ หวังชูเหรินยักไหล่และกล่าวว่า “บางทีเธออาจจะประทับใจอย่างมากกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย”
“หมายความว่าเธอประทับใจพวกเขาแต่ไม่สนใจนิกายดอกบัวเพลิงที่เห็นชัดว่าน่าประทับใจกว่าพวกเขาในหลายด้านโดยสิ้นเชิงอย่างนั้นรึ ท่านมิรู้สึกมิพึงพอใจแม้แต่น้อยเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างนั้นรึ”
“แม้ว่านั่นอาจจะยอดเยี่ยมที่สุดถ้าองค์หญิงของตระกูลซีให้ความสนใจพวกเราแม้สักนิด แต่สุดท้ายก็เป็นเจ้าซีที่เราจะต้องสร้างความประทับใจอยู่ดี”
“นั่นก็มีเหตุผลอยู่…” ไป่ลี่ฮัวพยักหน้า
คนที่สำคัญที่สุดในสถานที่นี้ก็คือเจ้าซี ตราบเท่าที่พวกเขาสามารถสร้างความประทับใจให้กับเขาระหว่างการแข่งขัน พวกเขาก็จะได้รับผลประโยชน์หลายอย่างและย่อมจะได้รางวัลด้วยการเป็นที่รู้จักของทั้งโลก
สองสามนาทีหลังจากนั้น นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็กลับไปสู่ที่นั่งของตนเองในฐานะผู้ชม
“ข้าต้องยอมรับว่า พวกเจ้าค่อนข้างจะเป็นพวกที่น่ากลัวทีเดียว” ไป่ลี่ฮัวพูดกับพวกเขา
จากนั้นเธอก็หันไปหาโหลวหลานจีและกล่าวต่อว่า “เด็กสาวเหล่านี้ช่างโชคดีที่มีผู้นำนิกายที่มีความสามารถเช่นนี้ ท่านควรจะภูมิใจ”
“ฮี่ฮี่…”
ศิษย์ทุกคนต่างพากันยิ้มเขินโดยเฉพาะอย่างยิ่งโหลวหลานจีผู้ที่พยายามอย่างมากที่จะไม่ฉีกยิ้มกว้างไปถึงหู อย่างไรก็ตามครั้นเมื่อเธอนึกถึงว่านี่เป็นซูหยางที่ทำงานนี้ทั้งหมด เธอก็แสดงรอยยิ้มอายและกล่าวว่า “ข้ามิได้ทำอะไรเลยทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะว่าซูหยางที่เราได้มาจนถึงตอนนี้วันนี้”
ไป่ลี่ฮัวคิดว่าโหลวหลานจีกำลังถ่อมตัวและพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจ “ก็แล้วแต่ท่าน”
ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้นการแข่งขันวันที่สองก็ถึงที่สุด และห้าสิบสำนักที่เหลือก็มารวมตัวกันอีกครั้งเพื่อจับฉลากสำหรับการแข่งขันครั้งต่อไป
“ใครได้หมายเลขเก้า” ซื่อตงถามหลังจากที่ทุกคนได้จับหมายเลขแล้ว
ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น โหลวหลานจีก็ยกมือและห่างจากเธอไปกี่เมตรชายวัยกลางคนก็ยกมือขึ้นเช่นกัน
เมื่อโหลวหลานจีเห็นใบหน้าของชายวัยกลางคน ดวงตาของเธอก็เบิกกว้างด้วยความตระหนก
“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและนิกายดอกบัวเพลิงงั้นรึ” ซื่อตงพยักหน้าขณะที่เขาเขียนชื่อสำนักของพวกเขาลงไปบนกระดาน
“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเจอหายนะแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะโชคดีพอที่จะมาได้ไกลปานนี้ พวกเขากลับต้องได้พบกับนิกายดอกบัวเพลิง”
เจ้าสำนักต่างๆที่นั่นต่างพากันเชื่อว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นการแข่งขันครั้งสุดท้ายสำหรับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
“เมื่อมาคิดว่าพวกเราจับฉลากเจอกับนิกายดอกบัวเพลิงจากผู้เข้าแข่งขันทั้งหมด…” โหลวหลานจีถอนหายใจ
ถ้าเธอรู้ว่าจะเกิดเรื่องนี้ขึ้น เธอควรจะยอมให้ซูหยางเป็นคนจับหมายเลข
“ทำไมต้องไปใส่ใจในเมื่อพวกเราจะต้องเจอพวกเขาอยู่แล้วไม่ช้าก็เร็ว ถ้าพวกเขามิแพ้ไปเสียก่อน เราก็จักต้องสู้กับเขาไม่ช้าก็เร็ว” ซูหยางพูดอย่างไม่ใส่ใจ
“นั่นก็จริงแต่ข้าก็หวังว่าพวกเราจะได้เจอกับพวกเขาทีหลัง ถึงไม่ใช่นัดสุดท้ายก็ตาม…” โหลวหลานจีถอนหายใจอีกครั้ง
ขณะที่โหลวหลานจีและซูหยางคุยกันอยู่นั้น ผู้นำนิกายดอกบัวเพลิงก็ตรงเข้ามาหาพวกเขาด้วยท่าทางเคร่งเครียด
“ผู้อาวุโสโหวเยินเจีย” โหลวหลานจีโค้งด้วยความเคารพ
โหวเยินเจียพยักหน้าให้กับเธอก่อนที่จะหันไปมองดูซูหยางด้วยคิ้วที่ขมวด
“อย่าคิดว่าข้าลืมสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นแม้แต่วินาทีเดียว ในเมื่อมันฝังอยู่ในใจข้ามาจนถึงทุกวันนี้ ความอดสูที่ข้า ที่พวกเราต้องเผชิญ พวกเราจักจ่ายคืนเป็นสิบเท่า”
เมื่อโหลวหลานจีได้ยินคำพูดของโหวเยินเจีย ดวงตาของเธอก็เบิกกว้างด้วยความตระหนก
“ข-เขาพูดเรื่องอะไรกัน ซูหยาง เจ้าทำอะไรล่วงเกินพวกเขารึ” เธอกระซิบกระซาบเขา
ซูหยางเลิกคิ้วและกล่าวด้วยน้ำเสียงสับสน “ถึงแม้ว่าข้าจะภูมิใจในหลายๆอย่างในตัวเอง แต่ว่าความทรงจำของข้านั้นมิได้เป็นหนึ่งในนั้น ดังนั้นหากท่านมิถือ ท่านพอจะช่วยข้านึกได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น”
โหวเยินเจียคิ้วกระตุกหลังจากที่ได้ยินคำพูดของซูหยาง รู้สึกอยากจะต่อยเขาขึ้นมาอย่างแรงในเวลานั้น
“ข้ามิรู้ว่าเจ้าใช้กลเม็ดอะไรในวันนั้น แต่มันจะใช้ไม่ได้ที่นี่ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเรามิได้เป็นแบบแต่ก่อนอีกแล้ว ถ้าเจ้าคิดว่าเจ้าจักเหยียบไปบนพวกเราทั้งหมดเหมือนเมื่อตอนนั้น จักไม่เกิดขึ้นแบบนั้นอีกในวันพรุ่งนี้”
“ข-ขออภัย ผู้อาวุโสโหว ถ้าท่านมิถือ ท่านพอจักให้คำอธิบายแก่ข้าได้หรือไม่ ดูเหมือนว่าซูหยางจากล่วงเกินท่าน…” โหลวหลานจีถามเขา
โหวเยินเจียมองดูเธอแล้วกล่าวว่า “อย่ากังวล นี่เป็นแค่เรื่องเล็กน้อย และเป็นเรื่องระหว่างเขากับพวกเรา ถึงแม้ว่าเขาจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย พวกเราก็จักมิสร้างปัญหาให้กับพวกเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมื่อพวกเราเป็นพันธมิตร”
โหลวหลานจีไร้คำพูดไปชั่วขณะก่อนที่จะพูดว่า “ถึงแม้ว่าท่านจะพูดเช่นนั้น… เขาก็ยังคงเป็นผู้นำนิกายเช่นเดียวกับข้า ถ้าท่านสร้างปัญหาให้กับเขา ก็เหมือนกับสร้างปัญหาให้กับนิกายเช่นกัน”
โหวเยินเจีเพียงแค่ยิ้มให้กับคำพูดของเธอก่อนที่จะหันตัวเดินจากไป
“จริงรึ ซูหยาง เจ้าทำอะไรกับพวกเขา และเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่กัน” เธอมองดูเขาพร้อมกับขมวดคิ้ว “สิ่งที่เจ้าทำลงไป ถ้าเจ้ามิแก้ไขโดยเร็วนั่นจักมีผลต่อความเป็นพันธมิตรของพวกเรา”
“ก็เหมือนกับที่เขาพูด ท่านมิต้องกังวล เป็นแค่เพียงเรื่องเล็กน้อยที่จักแก้ไขในเร็วๆนี้” เขากล่าวพร้อมรอยยิ้ม
DC บทที่ 382: ชนะการแข่งขันรอบแรก
หลังจากที่ได้ยินคำเตือนฉันท์มิตรจากหวังชูเหรินแล้ว ซึ่งโดยเบื้องต้นเป็นการบอกเธอไม่ให้ทรยศซูหยางหรือไม่เธอก็จะเสียใจอย่างมากภายหลัง ไป่ลี่ฮัวก็ครุ่นคิดอย่างเงียบๆว่าทำไมอีกฝ่ายจึงพูดอะไรแบบนั้น
“เธอไม่ได้กล่าวถึงนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย หรืออ้างถึงคนที่อาจจะอยู่เบื้องหลังเขา ซูหยาง…เขามีความพิเศษอะไรกันนอกจากลิ้นเจ้าสำนวนและใบหน้าหล่อเหลานั่น”
ไป่ลี่ฮัวไม่อาจจะเข้าใจว่าทำไมหวังชูเหรินจึงช่างจงรักภักดีและนับถือเพียงแค่เด็กวัยรุ่นที่มีอายุเพียงสิบเจ็ดปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธอฝึกฝนวิชามานานกว่าที่เขาได้ใช้ชีวิต
ไป่ลี่ฮัวหรี่ตาไปยังซูหยางซึ่งกำลังมองดูการแข่งขันอย่างผ่านๆด้วยท่าทางผ่อนคลาย
หลังจากนั้นไม่นานซื่อตงก็ยกมือขึ้นและประกาศด้วยความตื่นเต้นว่า “นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้เอาชนะเก้ารอบต่อสมาพันธ์แม่น้ำเหลือง รักษาตำแหน่งในการแข่งขันพรุ่งนี้ไว้ได้ ขอแสดงความยินดี”
“ทำได้ดี เด็กๆทุกคน” โหลวหลานจีกล่าวกับพวกเธอด้วยรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า
ต่อให้ผ่านไปร้อยปีเธอก็ไม่คาดคิดว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจะชนะสมาพันธ์แม่น้ำเหลืองได้ ยิ่งไปกว่านั้นใช้เวลาไม่นานในการแข่งขันด้วย ยังไม่ได้กล่าวถึงสถานะปัจจุบันของนิกายของพวกเขา นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของนิกายที่พวกเขาได้อยู่นานมากกว่าหนึ่งวันในการแข่งขัน
“สุด้ายข้ามิมีโอกาสได้ขึ้นเวทีเลย….” ซุนจิงจิงถอนหายใจกับความจริงที่ว่าเธอไม่สามารถได้ต่อสู้ในวันนี้
“จากที่พูดมานั่นหมายความว่าพี่น้องร่วมสำนักของข้ามีความสามารถ” เธอกล่าวหลังจากนั้น
ในเวลานั้นศิษย์เกือบทั้งหมดของสมาพันธ์แม่น้ำเหลืองต่างก็พากันสิ้นหวังหลังจากความพ่ายแพ้ ในเมื่อพวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่ามีความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะพ่ายแพ้ให้กับสำนักที่ด้อยกว่าอย่างเช่นนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
“มิเพียงแค่จินซีคนนี้เท่านั้น แต่ข้าถึงกับมิอาจจำศิษย์ทุกคนที่ตามมาหลังจากนั้น ไม่มีทางที่ข้าจักมิรู้จักชื่อของพวกเธอถ้าพวกเธอเก่งกาจขนาดนี้ หรือว่าพวกเธอเข้าร่วมกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยหลังจากที่ทุกคนจากไปแล้ว”
นี่เป็นคำอธิบายเพียงอย่างเดียวที่มีเหตุผลในใจหลี่เซียวโม่
“ต้องเป็นเช่นนั้นแน่ มิเช่นนั้นจะอธิบายสถานการณ์นี้ได้อย่างไร กระทั่งศิษย์หลักที่เคยอยู่ที่นั่นมาก่อนที่จะจากไปก็มิแข็งแกร่งเหมือนกับพวกเธอ”
หลังจากที่การแข่งขันจบลง ทั้งสมาพันธ์แม่น้ำเหลืองและนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็รวมตัวกันที่ตรงกลาง และเจ้าสำนักต่างก็พากันคารวะกันเพื่อแสดงความนับถือต่ออีกฝ่ายโดยไม่ใสใจต่อผลลัพธ์
อย่างไรก็ตามก่อนที่พวกเขาจะจากไปตามทางของตนเอง ซูหยางกล่าวกับหลี่เซียวโม่ว่า “ข้าวามารถบอกได้ว่าเจ้ากำลังสงสัยดังนั้นให้ข้าได้ช่วยเจ้าให้เข้าใจ ศิษย์ทั้งหมดที่ขึ้นไปบนเวทีวันนี้เคยเป็นศิษย์นอกธรรมดาก่อนที่จะมีการแยกย้ายกันไป ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เจ้าจึงมิอาจจดจำพวกเธอได้”
“อ-อะไรกัน” หลี่เซียวโม่จ้องมองพวกเธอด้วยสีหน้างุนงง หลังจากที่ได้ยินคำพูดของซูหยาง
อย่างไรก็ตามซูหยางก็กล่าวต่อว่า “และข้าเป็นคนฝึกฝนพวกเธอด้วยตนเอง”
“?!?!”
ใบหน้าสวยของหลี่เซียวโม่เปี่ยมไปด้วยความตระหนกและไม่เชื่อในทันที
“ข้าเข้าใจแล้ว…” เธอพึมพัมชั่วขณะหลังจากนั้นด้วยรอยยิ้มขื่นขมบนใบหน้า “บอกเจ้าตามตรง ตอนที่ข้ามิอาจที่จะหาเจ้าพบในเวลานั้น ข้าก็ประเมินว่าเจ้าได้จากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยไปแล้ว ดังนั้นข้าก็จึงตัดสินใจที่จะไปเช่นกัน แต่น่าเสียดายเมื่อมาคิดว่าเจ้ายังอยู่ ข้าควรจะรอนานอีกสักหน่อยก่อนที่จะตัดสินใจ”
เพราะว่าซูหยางไม่ได้อยู่ในที่ที่ซึ่งเหล่าศิษย์ได้กำหนดให้มารวมตัวกัน หลี่เซียวโม่จึงได้คาดเดาว่าซูหยางได้จากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยไปแล้ว ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเธอจึงทิ้งพวกเขา
อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะเป็นเพียงเวลาไม่นาน ซูหยางก็ได้อยู่ที่พื้นที่ส่วนกลางกับศิษย์คนอื่นจริงๆ โชคร้ายสำหรับหลี่เซียวโม่ที่เขาไม่ได้อยู่ใกล้เธอและเขาได้จากไปก่อนที่จะทันได้เห็นเขา
“ถ้าข้าได้อยู่ที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย บางทีข้าอาจจะได้อยู่ข้างกายเขาในตอนนี้ด้วยรอยยิ้มสดใสก็เป็นได้ แต่น่าเสียดาย…” หลี่เซียวโม่ครุ่นคิดขณะที่ส่ายหน้าก่อนที่จะจากไปพร้อมกับสมาพันธ์แม่น้ำเหลือง
“เจ้ามิรู้สึกแย่กับเธอบ้างรึเมื่อเจ้ามองสีหน้าเจ็บปวดบนใบหน้าของเธอ” ซุนจิงจิงกระซิบ
“มิว่าเธอจะมีเหตุผลอะไรก็ตาม นั่นก็ยังเป็นความจริงที่ว่าเธอได้ละทิ้งนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและเหล่าศิษย์ไปแล้ว” ฟางซีหลานกล่าวด้วยท่าทางเฉยเมย
ครั้นเมื่อสมาพันธ์แม่น้ำเหลืองเริ่มเดินจากไป นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็หันกลับ
อย่างไรก็ตามก่อนที่พวกเขาจะทันได้เดินออกไปจากเวที ร่างอันสง่างามในชุดหรูหราก็พลันยืนขึ้นจากที่นั่งของเธอและตรงเข้ามาหาพวกเขา
ครั้นเมื่อนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยตระหนักว่าใครที่ยืนอยู่ต่อหน้าของพวกเขา พวกเขาทุกคนก็พลันคำนำเธอและกล่าวด้วยน้ำเสียงนอบน้อมว่า “องค์หญิง”
เมื่อผู้ชมเห็นเช่นนั้น ดวงตาของพวกเขาก็เบิกกว้างด้วยความตระหนก ทำไมซีซิงฟางจึงตรงเข้าไปหาพวกเขา นี่เป็นครั้งแรกที่เธอออกจากที่นั่งท่ามกลางการแข่งขัน
“…”
ศิษย์ทุกคนโดยเฉพาะอย่างยิ่งโหลวหลานจีรอคอยซีซิงฟางพูดอย่างกระวนกระวาย ขณะที่พวกเธอคิดสงสัยว่าทำไมอีกฝ่ายจึงมาหาพวกเธอ
“ขอแสดงความยินดีที่ชนะการแข่งขัน” น้ำเสียงนุ่มนวลของซีซิงฟางดังออกมาหลังจากนั้นไม่นาน
“?!?!”
โหลวหลานจีไม่รู้ว่าจะปฏิบัติตัวอย่างไรได้แต่นิ่งเงียบจ้องมองซีซิงฟางด้วยสายตางงงัน องค์หญิงพายายามทำทุกอย่างทั้งหมดในการมาหาพวกเธอก็เพียงแค่แสดงความยินดีเท่านั้นเหรอ และทำไมเธอจึงเลือกที่จะแสดงความยินดีกับพวกเธอแต่ไม่สนใจใครอีก
“ขอบพระทัย แต่พวกเรายังคงมิมีค่ากับคำชมของท่านนัก” ขณะที่โหลวหลานจียังคงตกอยู่ในภวังค์ ซูหยางก็กล่าวกับเธอด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า “กลับมาพูดถ้อยคำเหล่านั้นซ้ำอีกครั้งหลังจากที่พวกเราได้ชนะเลิศ”
เมื่อผู้คนได้ยินคำพูดของซูหยาง พวกเขาทุกคนต่างพากันอ้าปากค้างด้วยความตระหนก
“องค์หญิงทรงอุตส่าห์ชมพวกเขาด้วยตนเอง แต่เขากลับกล้าที่จะบอกพระองค์ให้กลับมาหลังจากนั้นงั้นรึ?!”
“เจ้าคนยะโสโอหังนี้คิดว่าพวกเขาจักชนะการแข่งขันระดับภูมิภาครึ ฮ่าฮ่าฮ่า”
“ใบหน้าของเจ้านั่นทำให้ข้าหงุดหงิดนับตั้งแต่ข้าเห็นเขาแล้ว ใครสักคนจำเป็นต้องทำให้มันหยาบขึ้นสักหน่อยแล้ว”
ผู้ชมต่างพากันสาปแช่งซูหยางเสียงดัง แต่ท่าทางของเขาทำเหมือนกับว่าไม่ได้ยินพวกเขาและยังคงยิ้มไปให้ซีซิงฟาง
Dual Cultivation บทที่ 381: คำเตือนฉันท์มิตร
“ฮ่าฮ่าฮ่า… ช่างเป็นเจ้าโง่จอมโอหังที่ให้พวกเราชนะฟรี”
ศิษย์สมาพันธ์แม่น้ำเหลืองหัวเราะให้กับซูหยางที่ยอมแพ้การแข่งขันแม้ว่าจะชนะอย่างชัดแจ้ง อย่างไรก็ตามเจ้าสมาพันธ์ขมวดคิ้วเมื่อเขารู้สึกว่าเหมือนกับถูกตบหน้า
“เจ้าใจดีมากเกินไป ซูหยาง” โหลวหลานจีกล่าวกับเขาครั้นเมื่อเขากลับไปถึงข้างตัวพวกเธอ
“ท่านหมายความว่าอย่างไร” ซูหยางเลิกคิ้ว
“เจ้มีเจตนาที่จะขึ้นไปบนเวทีเพื่อที่จะศิษย์คนอื่นจะได้มิต้องต่อสู้กับเธอ ใช่ไหม”
ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “ข้ามิรู้ว่าข้าใจดีขนาดนั้น ข้าต่อสู้กับเธอก็เพราะว่าข้าต้องการที่จะพูดกับเธอเล็กน้อย ก็เท่านั้น”
“เอาอย่างงั้นเหรอ” โหลวหลานจีกล่าวก่อนที่จะหันไปดูศิษย์คนอื่นและกล่าวว่า “นอกจากฟางซีหลานและซุนจิงจิง ใครคนใหนที่ต้องการไปเป็นคนถัดไป”
“เอ๋ ทำไมเราถึงไม่สามารถเป็นคนถัดไปล่ะ” ซุนจิงจิงแสดงท่าทีประหลาดใจ
“พวกเจ้าสองคนอยู่ในเขตปฐพีวิญญาณ ซึ่งศิษย์ของสมาพันธ์แม่น้ำเหลืองมีศิษย์อยู่ในเขตสัมมาวิญญาณเกือบทั้งหมด นี่จะมิใช่การแข่งขันหากว่าเจ้าทั้งสองคนไปเป็นคนแรก ให้โอกาสคนอื่นได้สู้ด้วย อย่ากังวล ย่อมถึงโอกาสของเจ้าแน่ถ้าพวกเราเกือบแพ้”
ไม่นานหลังจากนั้นศิษย์หนึ่งในนั้นก็ยกมือของเธอขึ้นและกล่าวว่า “ผู้นำนิกายข้าต้องการสู้”
“จินซีเหรอ ไปได้” โหลวหลานจีพยักหน้าให้กับเด็กสาวน่ารักที่มีเอวบางร่างน้อยข้างหน้าเธอ
“โชคดีพี่สาวจิน”
ศิษย์ร่วมสำนักของเธอพากันส่งเสียงเชียร์ให้ขณะที่เธอก้าวขึ้นไปสู่ความสนใจ
“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยส่งจินซี แม้ว่าเธอจะอายุเพียงสิบแปดปี เธอก็ได้ประสบความสำเร็จขั้นทีหกของเขตสัมมาวิญญาณ” ซื่อตงแนะนำเธอให้กับผู้ชม สร้างความตระหนกให้กับพวกเขาหลายคน
“เธอเข้าถึงระดับสูงในวิชาการต่อสู้เช่นนั้นตั้งแต่อายุยังน้อยเลยเหรอ และในสถานที่เล็กๆอย่างเช่นนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอีกด้วย ช่างน่าประหลาดใจนัก”
“ทำไมนางฟ้าอายุน้อยมีพรสวรรค์เช่นนั้นจึงอยู่ในสถานที่อย่างเช่นนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ถ้าเธอถูกดูแลในที่ที่เหมาะสม เธออาจจะก้าวถึงเขตปฐพีวิญญาณไปเรียบร้อยแล้วในตอนนี้”
ผู้ชมต่างพากันสาปแช่งนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยกับความโชคดีของพวกเขาและกับการย่ำยีคนที่มีพรสวรรค์อย่างเช่นจินซี แต่พวกเขาจะรู้สักนิดก็หาไม่ว่าจินซีเคยเป็นศิษย์นอกธรรมดาที่อยู่ในเขตปฐมวิญญาณเมื่อครึ่งปีก่อน
ไม่นานหลังจากนั้นสมาพันธ์แม่น้ำเหลืองตัดสินใจส่งศิษย์คนอื่นขึ้นไป ในเมื่อหลี่เซียวโม่ได้ใช้ปราณไร้ลักษณ์ไปหมดสิ้นแล้วระหว่างการแข่งขันกับซูหยาง
“ฝั่งสมาพันธ์แม่น้ำเหลือง เรามีลี่จวินซึ่งอยู่ในระดับที่ห้าเขตสัมมาวิญญาณ”
ครั้นเมื่อซื่อตงแนะนำทั้งคู่แล้ว เขาก็เริ่มการแข่งขัน
“ฮ่า”
ทันทีที่การแข่งขันเริ่มต้น จินซีก็หยิบกระบี่ข้างตัวเธอออกและตรงเข้าไปหาลี่จวินซึ่งยืนอยู่อย่างสบายด้วยรอยยิ้มผ่อนคลายบนใบหน้า
เมื่อจินซีเข้าถึงระยะหนึ่งลีจวินก็ปรบมือสามครั้งเหมือนกับหลี่เซียวโมส่งจินซีเข้าสู่ภาพมายาทันทีทำให้เธอหยุดเคลื่อนไหว
เมื่อผู้ชมเห็นเช่นนั้นพวกเขาต่างก็พากันถอนใจออกมาด้วยเสียงอันดัง
“อย่าบอกข้าว่าเราต้องนั่งอยู่อย่างนี้ไปจนถึงอีกแปดคู่ถัดไปเช่นกัน”
“ถึงแม้ว่าวิชาภาพมายาของสมาพันธ์แม่น้ำเหลืองจะทรงพลังอย่างแท้จริง แต่ก็มิสนุกเลยที่ต้องได้เห็นระหว่างการแข่งขัน”
อย่างไรก็ตาม ไม่ถึงชั่วอึดใจหลังจากที่จินซีหยุดเคลื่อนไหว เธอก็เริ่มขยับตัวอีกครั้งสร้างความตระหนกให้กับทุกคน
“กุสุมาลย์พ้นพิสัยศิลป์: กลีบดอกไม้พิโรธ”
ขณะที่ลีจวินพยายามที่จะหอบหายใจหลังจากที่ประสบกับเลือดลมย้อนกลับ จินซีก็โจมตีเขาด้วยวิชาเดียวกับที่หลี่เซียวโม่ได้แสดงต่อหน้าซูหยาง แต่การเคลื่อนไหวนั้นแหลมคมและดุร้ายยิ่งกว่า
เมื่อหลี่เซียวโม่เห็นเช่นนั้นตาเธอก็เบิกกว้างและสงสัยใจ “มิมีทาง… เด็กสาวคนนี้เป็นใครกัน ทำไมข้าจึงจำเธอมิได้ มิมีทางที่ข้าจะพลาดคนที่เก่งกาจปานนี้ในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย”
“อาาา”
ลีจวินกระอักเลือดออกมาคำใหญ่และล้มลงไปบนพื้นหลังจากที่ถูกจินซีโจมตี
“ข-ข้ายอมแพ้” ลีจวินรีบยอมแพ้ในทันใดหลังจากที่เห็นจินซีวิ่งมาหาเขาอีกครั้ง
เป็นเรื่องธรรมดาที่เขาไม่มีทางที่จะเอาชนะคนที่สามารถทำลายวิชาภาพมายาของเขาได้ในเวลาไม่กี่วินาที
“ซูหยาง…เจ้าฝึกพวกเธออย่างไรกันแน่ ผู้คนย่อมมิอาจที่จะก้าวหน้ามากมายปานนี้เพียงแค่จากการฝึกวิชาคู่” โหลวหลานจีจ้องมองไปยังจินซีด้วยดวงตาเบิกกว้างดูเหมือนว่าจะไม่อยากเชื่อ
เมื่อพิจารณาจากระยะเวลาส่วนใหญ่ที่พวกเธอมีแล้ว เพราะว่าพลังการฝึกปรือของศิษย์ทุกคนได้ก้าวทะยานในช่วงระยะเวลาสั้นๆ โหลวหลานจีจึงไม่ได้คิดแม้แต่วินาทีว่าจะเป็นไปได้ที่พวกเธอจะได้เรียนอย่างอื่นอีก
“ท่านคิดจริงๆรึว่าข้าเพียงแค่ใช้เวลากับพวกเธอบนเตียงภายในห้องตลอดเวลา แน่นอนว่าข้าต้องสอนพวกเธออย่างอื่นด้วยเช่นกัน” ซูหยางกล่าวอย่างสบาย
นอกจากเติมเต็มร่างกายพวกเธอด้วยปราณหยางของเขา ซูหยางก็ได้สอนเหล่าศิษย์พื้นฐานกระบี่บางอย่างเช่นกัน ซึ่งก็ได้เพิ่มพูนวิชากระบี่ที่พวกเธอมีขึ้นมาเป็นอย่างมาก
“เช่นนั้นมีกลเม็ดอะไรที่พวกเธอใช้ในการทำลายภาพมายารวดเร็วปานนั้น”
“กลเม็ดรึ มิมีกลเม็ดใด หลังจากที่ฝึกกับข้าเป็นระยะเวลานาน มิเพียงแต่พลังการฝึกปรือของพวกเธอแต่กระทั่งความแข็งแกร่งของจิตใจของพวกเธอก็ก้าวไปอีกระดับ เพราะอย่างไรก็ตามต้องใช้ความแข็งแกร่งทางจิตใจระดับหนึ่งในการอดทนต่อวิชาของข้า” ซูหยางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
โหลวหลานจีไร้คำพูดหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเขา เมื่อเธอเองก็ปฏเสธไม่ได้
“หากจะพูดไปวิชาบนเตียงของเขาก็ร้ายกาจยิ่งกว่าวิชาภาพมายาของสมาพันธ์แม่น้ำเหลืองมากมายนัก” โหลวหลานจีไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีหลังจากที่ได้ตระหนักถึงความจริงนี้
หลังจากที่จินซีได้รับชัยชนะ นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็สร้างความตื่นตระหนกให้กับผู้ชมอย่างต่อเนื่องด้วยพลังการฝึกปรืออันน่าอัศจรรย์ของพวกเธอคนแล้วคนเล่า
“นี่เป็นบ้าอะไรกัน ข้าเข้าใจว่าจะมีก็ศิษย์เพียงคนเดียว แต่ที่ไหนได้ศิษย์ทุกคนของพวกเขาล้วนมีพรสวรรค์ผิดมนุษย์ เหมือนกับว่าพวกเธอแทบทั้งหมดล้วนถูกป้อนด้วยยาวิเศษที่ยอมให้พวกเธอได้รับสิ่งที่พวกเธอเป็นอยู่ในวันนี้”
“จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากว่าเป็นเช่นนั้น ถ้าหากว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยค้นพบยาที่ปฏิวัติวงการอะไรบางอย่างที่สามารถเพิ่มความเร็วในการฝึกปรือเหมือนอย่างเช่นที่นิกายดอกบัวเพลิงมีโอสถสู่ปฐพี”
ผู้คนต่างพากันคาดเดาอย่างบ้าคลั่ง และคนหลายคนที่นั่นต่างพากันสนใจนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยกระทั่งบางคนก็ยังต้องการที่จะเข้าร่วมกับพวกเขาแม้ว่าพวกเขาจะมีการฝึกฝีมือที่ไม่เหมือนใครก็ตาม
“ท่านคิดว่าพวกเธอเป็นอย่างไร นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมีอัจฉริยะมากมายหากดูจากสถานการณ์ของพวกเขาในปัจจุบัน” ไป่ลี่ฮัวถามหวังชูเหรินซึ่งนั่งอยู่อย่างสบายข้างๆเธอ
“ประหลาดใจมากขนาดนั้นเลยรึ นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจักทรงอำนาจและน่าตระหนกขึ้นอีกมากนักนับจากนี้”
ไป่ลี่ฮัวหันไปมองหวังชูเหรินด้วยดวงตาเบิกกว้าง เธอไม่คาดว่าอีกฝ่ายจะมองนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยสูงมากมายเพียงนั้น “ข้ามิมีโอกาสที่จะถามว่าทำไมนิกายดอกบัวเพลิงจึงตัดสินใจที่จะร่วมเข้าเป็นพันธมิตรกับพวกเขา ในเมื่อท่านรู้จักนักปรุงยานั่นอยู่แล้วจึงมิมีเหตุผลที่จะร่วมเป็นพันธมิตรกับพวกเขา ซึ่งนั่นคงมิเกี่ยวข้องกับโอสถสู่ปฐพี”
หวังชูเหรินแสดงรอยยิ้มลึกลับและกล่าวว่า “อย่ากังวลในที่สุดท่านก็จักได้รับรู้ความจริง ที่ว่าหากท่านยังเป็นพันธมิตรกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยต่อไป และในฐานะของเพื่อนร่วมพันธมิตรขอให้ข้าได้ให้คำเตือนฉันท์มิตร มิว่าอะไรก็ตามอย่าล่วงเกินซูหยาง ถ้าท่านต้องล่วงเกินเขาหรือทั้งโลกอย่าลังเลที่จะเลือกเข้าข้างซูหยางหรือไม่ท่านก็จักต้องเสียใจอย่างสุดซึ้ง”
PS: แปลปุ๊บลงปั๊บเลยครับ
DC บทที่ 380: ต่อสู้กับหลี่เซียวโม่
หลังจากที่เธอเตรียมตัวพร้อมแล้ว หลี่เซียวโม่ก็ตรงเขาไปหาซูหยางพร้อมกับกระบี่ในมือ
“กุสุมาลย์พ้นพิสัยศิลป์: กลีบดอกไม้พิโรธ”
รัศมีอันอ่อนโยนรายล้อมหลี่เซียวโม่ก่อนที่จะทิ่มแทงกระบี่ออกอย่างแหลมคม
“หวา— นี่เป็นเคล็ดวิชากระบี่ของพวกเรา เธอช่างหน้าด้านนัก” ซุนจิงจิงอุทานออกมาเมื่อเห็นหลี่เซียวโม่หน้าด้านใช้หนึ่งในวิชาของพวกเธอ ซึ่งเป็นวิชาศิลปกระบี่ที่มีเพียงศิษย์ไม่กี่คนเรียนยามเมื่อพวกเขาได้เป็นศิษย์ในเท่านั้น แน่นอนว่ามันเป็นเพียงวิชาระดับโลหะเท่านั้น
“โห”
แม้ว่าเขาไม่รู้วิชานี้ ซูหยางก็หลบกระบี่ที่ทิ่มแทงเข้ามาอย่างง่ายดาย ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมาพักหนึ่งแล้ว ซูหยางก็ยังไม่เคยเรียนวิชาอะไรจากพวกเขา ไม่ใช่ว่าเขาไม่ใส่ใจตั้งแต่แรก
“กุสุมาลย์พ้นพิสัยศิลป์: เกสรร่วงหล่น”
การโจมตีหลายสิบครั้งพุ่งเข้าหาซูหยางอย่างรวดเร็ว
“ไม่เลว” ซูหยางกล่าวขณะที่เขาหลีกไปอย่างสง่างาม
“แม้ว่าข้ามิได้เป็นศิษย์นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอีกต่อไปแล้ว ข้าก็ยังได้ฝึกกุสุมาลย์พ้นพิสัยศิลป์หลังจากที่ข้าจากไปแล้ว” หลี่เซียวโม่กล่าว
ต่อจากนั้นอีกไม่กี่นาที หลี่เซียวโม่ก็ได้แสดงวิชากุสุมาลย์พ้นพิสัยศิลป์ออกมาอย่างต่อเนื่อง และซูหยางก็สามารถหลีกไปได้อย่างง่ายดาย
“ศิษย์พี่ชายทำอะไรอยู่ ทำไมเขาจึงเอาแต่หลบการโจมตีของเธอ” ซุนจิงจิงไม่อาจเข้าใจเจตนาของเขาได้
“ถ้าเขาต้องการที่จะสู้กับเธอจริงๆ นั่นก็คงจบลงไปนานแล้ว” ฟางซีหลานกล่าว
ในเวลานั้นผู้ชมต่างพากันหาวด้วยความเบื่อไปเรียบร้อยแล้ว นั่นเหมือนกับว่าพวกเขากำลังดูการประมือฉันมิตรระหว่างคู่รัก และนั่นทำให้บางคนไม่พอใจ
“ถ้าเจ้ามิคิดที่จะสู้อย่างจริงจังนัก ลงเวทีไปซะ”
“ใช่แล้ว “ข้ามิได้ถ่อมาที่นี่เพียงแค่มาดูพวกเขาร่ายรำนะ เอาพวกเขาออกไปจากเวทีซะ”
ผู้ชมเริ่มส่งเสียงบ่น
อย่างไรก็ตามทั้งหลี่เซียวโม่หรือซูหยางต่างไม่ได้ยินเสียงบ่นด้วยความไม่พอใจของพวกเขา ในเมื่อทั้งคู่ต่างจดจ่ออยู่กับอีกฝ่าย
“ดูซิว่าเจ้าจะสามารถหลบนี่ได้หรือเปล่า” หลี่เซียวโม่พลันหยุดเคลื่อนไหวและปรบมือสามครั้งเป็นจังหวะ
“…”
เมื่อการปรบมือสามครั้งดังเข้าหูซูหยาง การมองเห็นของเขาก็พร่ามัวไปชั่วขณะก่อนที่จะกลับมาชัดเจนเช่นเดิม อย่างไรก็ตามเมื่อเขาสามารถเห็นชัดอีกครั้ง เขาก็ไม่ได้อยู่ในสนามประลองรายล้อมไปด้วยผู้ชมอีกต่อไป กลับกันเขาอยู่กลางทะเลทรายที่เวิ้งว้าง แต่ไม่นานนักสัตว์ร้ายจำนวนมากก็ปรากฏขึ้นมาจากขอบฟ้าดูเหมือนกับว่ามันเป็นฝูงสัตว์
“ภาพมายาเหรอ” ซูหยางตระหนักถึงสถานการณ์อย่างรวดเร็ว
ในเวลานั้นในสายตาของผู้ชม ทั้งซูหยางและหลี่เซียวโม่พลันหยุดการเคลื่อนไหวของพวกเขาและยืนอยู่ที่นั่นด้วยใบหน้าเหม่อลอย
“เอ๋ ทำไมพวกเขาจึงหยุดการเคลื่อนไหวอีกแล้ว”
“นี่ต้องเป็นวิชามายาของสมาพันธ์แม่น้ำเหลือง มายาสีเหลือ มีคำร่ำลือว่าถ้าเมื่อเจ้าถูกขังอยู่ภายในภาพมายาก็เกือบเป็นไปไม่ได้ที่จะหนีออกมาด้วยตนเอง อย่างไรก็ตามคนที่ร่ายภาพมายาก็จะไม่สามารถเคลื่อนไหวขณะที่พวกเขาใช้วิชานี้ ดังนั้นจึงพากันยืนนิ่งจนกว่าหนึ่งในพวกเขาจะพ่ายแพ้”
“ไม่รู้ว่าหลี่เซียวโม่จะสิ้นพลังปราณไร้ลักษณ์ก่อนหรือว่าซูหยางสูญเสียจิตใจไปกับภาพมายาก่อน” ซุนจิงจิงพึมพัม
“เจ้าคิดว่าอีกนานเท่าไหร่ในการที่จะทำให้ซูหยางทำลายภาพมายาออกมา” ซุนจิงจิงถามฟางซีหลาน “ข้าคิดว่านั่นคงต้องใช้เวลาอีกสองสามนาทีเป็นอย่างมาก”
“น้อยกว่าหนึ่งนาที” ฟางซีหลานกล่าวโดยไม่ลังเล
ในเวลานั้นอีกด้านหนึ่งของสนามประลอง สมาพันธ์แม่น้ำเหลือกได้พากันส่งเสียงเชียร์ชัยชนะครั้งแรกของพวกเขาไปเรียบร้อยแล้ว
“เขาจบแล้ว หากมีใครถูกจับด้วยวิชาของพวกเรา พวกเขาจักมิอาจหนีออกมาได้อีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่อยู่ในเขตสัมมาวิญญาณ”
“ศิษย์พี่หญิงหลี่สามารถควบคุมวิชาได้นานถึงหกชั่วโมงต่อเนื่อง ข้าสงสัยว่าความแข็งแกร่งทางใจของเขาจักสามารถทนได้นานขนาดนั้นหรือไม่”
“ลืมเรื่องเขาไป กระทั่งพวกเราก็มิอาจที่จะเอาชนะเธอได้เมื่อใช้วิชามายา”
“น่าเสียดายที่เธอเสียเวลาหลายปีที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ด้วยพรสวรรค์ของเธอถ้าเธออยู่กับพวกเราตั้งแต่ต้น เธอย่อมกลายเป็นศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดคนหนึ่งอย่างแน่นอน”
“เขาควรจะยอมพ่ายแพ้กับสัตว์ร้ายแล้วในตอนนี้ ข้าจักให้เวลาเขาอีกสิบนาทีก่อนที่จิตของเขาจะล้มเหลว” เจ้าสมาพันธ์แม่น้ำเหลืองพลันกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าอันลึกล้ำ
เป็นจริงที่ซูหยางถูกรายล้อมด้วยสัตว์อสูรจำนวนนับไม่ถ้วนในตอนนี้ อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้กังวลใจแม้แต่น้อย
“ถึงแม้ว่าภาพมายานี้จะน่าจะประทับใจเป็นอย่างมาก ภาพมายานี้ก็ยังขาดหลายสิ่งที่ทำให้ภาพมายาทรงพลังกว่านี้ ในสายตาของผู้เชี่ยวชาญภาพมายานี้ไม่ต่างไปจากเด็กเล่น”
ซูหยางหลับตาลงอย่างช้าๆและสูดลมหายใจช้าๆ เมื่อเขาลืมตาขึ้นมาอีกครั้งทะเลทรายและฝูงสัตว์ร้ายต่างพากันหายไปอย่างสิ้นเชิง และเขาก็กลับมาอยู่ในสนามแข่งขันอีกครั้ง
“อึก” หลี่เซียวโม่กระอักเลือดออกมาทันทีในเวลาที่ซูหยางทำลายภาพมายาของเธอ
“เป็นไปไม่ได้”
เจ้าสมาพันธ์แม่น้ำเหลืองและบรรดาศิษย์ต่างพากันจ้องมองซูหยางด้วยดวงตาเบิกกว้างพร้อมกับกรามตกพื้น
“ยี่สิบวินาที… เขาใช้เวลาเพียงยี่สิบวินาทีในการหนีออกมาจากวิชาภาพมายาที่มีชื่อเสียงของสมาพันธ์แม่น้ำเหลือง”
ผู้ชมต่างก็พากันตื่นตระหนกกับผลที่ออกมาได้เช่นกัน
“แม้ว่าภาพอาจจะดูคุกคามเมื่อมีสัตว์ร้ายมากมายรายล้อม แต่จริงแล้วมันขาดความรู้สึกเช่นนั้นไป ข้าแนะนำให้เจ้าทำให้มันง่ายกว่านี้และเน้นแค่สัตว์อสูรไม่กี่ตัวแทนที่จะเป็นใช้ฝูง เมื่อจะต้องใช้พลังปราณและพลังจิตในการควบคุมสัตว์อสูรจำนวนมากในครั้งเดียว” ซูหยางอธิบายให้กับหลี่เซียวโม่ถึงข้อผิดพลาดของตัวเธอเหมือนกับเป็นการสั่งสอนเธอ
เมื่อได้ยินคำกล่าวของเขา หลี่เซียวโม่ยิ้มขื่นขมและกล่าวว่า “เหมือนที่ข้าคิดไว้ เป็นไปไม่ได้สำหรับข้าในการเอาชนะเจ้า ต่อให้ข้าใช้น้ำมันรัญจวนทั้งหมดที่เจ้าให้กับข้าไว้ ข้าก็ยังมิมีทางที่จะเข้าไปใกล้ระดับของเจ้าได้”
“โอ ใช่ ข้าได้ให้เจ้าไว้บางส่วนจริง” ซูหยางนึกได้ว่าเขาต้องการให้เธอช่วยเขาบางอย่าง แต่หลังจากเกิดอะไรบางอย่างกับนิกาย ก็ไม่มีความจำเป็นสำหรับความช่วยเหลือนั้นอีกต่อไป
“ถ้าเจ้าต้องการน้ำมันมากกว่าเดิม เจ้าก็สามารถซื้อมันได้ที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเสมอ เราจักขายพวกมันให้กับผู้คนทั่วไปหลังจากการแข่งขัน” เขาพลันกล่าวขึ้น
“จริงเหรอ” หลี่เซียวโม่พลันตาเป็นประกาย
ซูหยางพยักหน้า
“อย่าลืมคำพูดนี้ล่ะ ข้าจักไปหาเจ้าเมื่อข้ามีเวลาในภายหน้า”
“แน่นอน ข้าเป็นคนรักษาคำพูดเสมอ”
หลี่เซียวโม่พยักหน้า และหลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ เธอก็กล่าวขึ้นว่า “เจ้าชนะในครั้งนี้ ซูหยาง ข้ายอม–”
“ข้าแพ้การแข่งครั้งนี้”
ก่อนที่หลี่เซียวโม่จะทันได้ขอยอมแพ้ ซูหยางได้ยกมือขึ้นและยอมแพ้ในการแข่งขันครั้งนี้ สร้างความงุนงงให้กับทุกคนที่นั่น
“ท-ทำไมกัน” หลี่เซียวโม่ถามเขาด้วยเสียเบา
“ข้ามิได้วางแผนที่จะเข้าร่วมการแข่งขันในวันนี้ ดังนั้นข้าจึงถือว่าพ่ายแพ้ตั้งแต่ข้าก้าวขึ้นมาบนเวที” ซูหยางตอบด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น “อย่ากังวล นี่มิมีผลต่อผลสุดท้ายอยู่แล้ว”
หลี่เซียวโม่จ้องมองเขาด้วยสีหน้าสับสนขณะที่เธอมองดูเขาก้าวลงเวทีไปอย่างเงียบๆ แม้ว่าเธอจะชนะการแข่งขัน แน่นอนว่าเธอไม่ได้รู้สึกยินดีแม้แต่น้อย
DC บทที่ 379: คู่ต่อสู้ที่ไม่คาดคิด
สองสามชั่วโมงผ่านไปนับตั้งแต่เริ่มการแข่งขันในวันที่สองสำนักหงส์สวรรค์ที่เพิ่งเสร็จสิ้นการแข่งขันของตนเองก็ได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้นอีกครั้ง อย่างไรก็ตามซูหยินได้ยอมให้เพื่อนศิษย์ของตนเองได้มีโอกาสสนุกในรอบนี้
“ทำได้ดีมากสาวๆทั้งหลาย” ไป่ลี่ฮัวชมพวกเธอด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
หลังจากนั้นอีกสองสามคู่สำนักเมฆม่วงก็ก้าวขึ้นไปบนเวทีเพื่อแข่งขัน อย่างไรก็ตามคู่ต่อสู้ของพวกเขา สำนักตัดใบไม้ ได้ยอมแพ้ก่อนที่จะก้าวขึ้นไปบนเวที สร้างความงุนงงให้กับผู้ชม
“พวกเขาต้องยังคงกลัวที่เจะเจอกับนางฟ้าหงหลังจากที่เห็นการกำราบอย่างโหดเหี้ยมเมื่อวาน…”
“ข้าก็คงจะยอมแพ้เช่นกันถ้าข้าเข้าไปอยู่ในตำแหน่งนั้น นางฟ้าหงแข็งแกร่งเกินไป”
“ในเมื่อพวกเขาเอาชนะนิกายล้านอสรพิษ มีเพียงสำนักระดับสูงเท่านั้นที่จะมีโอกาสเอาชนะพวกเขา”
หลังจากที่สำนักเมฆม่วงลงไปจากเวที พวกเขาก็หายไปจากโคลีเซียม
“จะเป็นการแข่งขันของพวกเราหลังจากคู่นี้ พวกเราไปยังชั้นล่างกัน” โหลวหลานจีกล่าวกับศิษย์ของเธอ
“อือ” พวกเธอพากันพยักหน้าด้วยความตื่นเต้น
“โชคดีพี่ชาย โชคดี….เอ่อ…คู่ฝึกพี่ชาย” ซูหยินโบกมือให้กับพวกเขาขณะที่พวกเขาไปจากที่ตรงนั้นด้วยสีหน้าประหลาด
ครึ่งชั่วโมงถัดมา สุดท้ายก็ถึงช่วงเวลาที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยที่จะก้าวสู่บริเวณสำหรับการแข่งขันครั้งแรกของพวกเขา
“สำหรับการต่อสู้รอบต่อไป เรามีสมาพันธ์แม่น้ำเหลืองและนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย”
ครั้นเมื่อซื่อตงเรียกพวกเขา ซูหยางและทุกคนก็ก้าวขึ้นไปบนเวทีอย่างใจเย็น
“พระเจ้าช่วย นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเป็นนางฟ้าจากสวรรค์ชั้นไหนกัน พวกเธอทุกคนล้วนมีหน้าตาชวนให้ปากอ้าตาค้าง”
เมื่อผู้ชมเห็นนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและศิษย์ พวกเขาทุกคนต่างพากันตกตะลึงจนพูดไม่ออก โดยเฉพาะผู้ชายที่เห็นศิษย์หญิงที่เหมือนกับหยกที่ไร้ตำหนิ ในสายตาของพวกเขานี่เหมือนกับแหล่งรวมนางฟ้าจากสวรรค์
“อย่าตื่นเต้นเกินไปพวกนั้นเป็นสำนักที่ฝึกวิชาคู่ แม้ว่าพวกเธอจะดูไร้ตำหนิปราศจากมลทิน ใครจะรู้ว่าชายกี่คนที่พวกเธอได้ร่วมฝึกด้วย”
ผู้คนที่รู้จักนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยไม่ยอมเสียเวลาแม้แต่น้อยทำการเปิดโปงความจริงธรรมชาติของพวกเขา จนเป็นเหตุให้คนหลายคนรู้สึกไม่พอใจหรือเสียใจไปตามกัน
“เชี่ย พวกเธอล้วนดอกทองเรอะ ช่างน่าสมเพช ช่างเป็นความสวยที่เสียเปล่า”
“พวกหมูสกปรกที่ไหนพูดอย่างนั้นวะ ความแตกต่างระหว่างดอกทองกับผู้ฝึกวิชาคู่นั้นต่างกันอย่างมหาศาลนะ”
ขณะที่ผู้ชมเริ่มส่งเสียงเอะอะวุ่นวายในหมู่พวกเขา ศิษย์จากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยต่างก็พากันมองไปยังศิษย์จากสมาพันธ์แม่น้ำเหลือง หรือกล่าวให้ถูกต้องก็คือ คนบางคนจากสมาพันธ์แม่น้ำเหลือง
@อ่านตอนล่าสุดที่ my-novel.co หรือ www.thai-novel.com
“ข้าผิดหวังในตัวเจ้า หลี่เซียวโม่” ซุนจิงจิงตะโกนขณะที่ชี้มือไปที่อีกฝ่าย
ใช่แล้วคนที่พวกเธอต่างพากันจ้องมองไปก็คือ หลี่เซียวโม่ ผู้ที่เคยเป็นศิษย์ในของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย อย่างไรก็ตามเธอเป็นหนึ่งในผู้ที่ทิ้งสำนักไประหว่างที่มีเรื่องกับนิกายล้านอสรพิษ และเธอก็เข้าร่วมกันสมาพันธ์แม่น้ำเหลืองหลังจากนั้น
“ซูหยาง…” มีสีหน้าซับซ้อนบนใบหน้าของหลี่เซียวโมที่ไม่รู้ว่าควรจะยินดีหรือเสียใจดีที่ได้เห็นเขา
“ท่านเป็นไรไหม ศิษย์พี่หญิงหลี่ ต้องการนั่งพักตรงนี้ก่อนไหม” บรรดาศิษย์ถามเธอหลังจากที่เห็นสภาพของเธอ
“ไม่ ข้ามิเป็นไร” เธอส่ายหน้า
“ท่านเจ้าสมาพันธ์ ข้าเป็นคนแรกได้ไหม” เธอพลันถามเจ้าสำนัก
เจ้าสมาพันธ์แม่น้ำเหลืองมองดูเธอด้วยสีหน้าครุ่นคิดชั่วขณะก่อนที่จะพยักหน้า
“แม้ว่าข้ามิควรที่จะพูดเช่นนี้ ต่อให้พวกเธอจะเคยเป็นศิษย์ร่วมสำนักกับเจ้า ข้าก็ต้องการให้เจ้าสู้กับพวกเธอด้วยทุกสิ่งที่เจ้ามี”
“เจ้าค่ะ ท่านเจ้าสมาพันธ์”
หลี่เซียวโม่พยักหน้าก่อนที่จะเข้าสู้พื้นที่ต่อสู้
“ใครต้องการไปเป็นคนแรก” โหลวหลานจีถามพวกเธอ
“ข้าจักไป”
ซูหยางพลันก้าวออกไป สร้างความงุนงงให้กับพวกเธอ
“ข้าคิดว่าเจ้ามิเข้าร่วมในการต่อสู้ครั้งนี้” โหลวหลานจีและศิษย์คนอื่นมองดูเขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง
“เพียงแค่ครั้งนี้” เขากล่าวก่อนที่จะเข้าไปหาหลี่เซียวโม่ซึ่งหัวใจเต้นระรัวราวกับกลองศึกในตอนนั้น
“เริ่มได้” ซื่อตงประกาศหลังจากที่พวกเขาทั้งคู่อยู่บนพื้นที่ต่อสู้
อย่างไรก็ตามไม่มีใครสักคนในหมู่พวกเขาขยับแม้ว่าจะผ่านไปหลายชั่วขณะหลังจากนั้น
“นานพอสมควรแล้วนะหลี่เซียวโม่” ซูหยางกล่าวกับเธอด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ชีวิตในฐานะศิษย์ที่นั่นเป็นอย่างไร พวกเขาดูแลเจ้าดีไหม” เขาพลันถามเธอ
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะเนื่องมาจากความประหลาดใจ หลี่เซียวโม่พยักหน้า “ครึ่งปีแล้ว ซูหยาง ข้ามีความสุขในฐานะศิษย์ของสมาพันธ์แม่น้ำเหลือง พวกเขาดูแลข้าเป็นอย่างดีแม้ว่าจะเป็นคนทรยศ”
ซูหยางแสดงรอยยิ้มอ่อนโยนและกล่าวว่า “อย่าโทษตัวเองที่ตัดสินใจจากในวันนั้น นั่นมิได้ผิดอะไร มิว่าใครจะคิดอะไร ข้ามิโทษเจ้าหรือใครก็ตามที่จากไปในวันนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์เช่นนั้น”
“…”
หลี่เซียวโม่ร่างสั่นสะท้านหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเขา และน้ำตาก็เริ่มไหลลงมาจากใบหน้า รู้สึกโล่งใจที่รู้ว่าชายที่เธอรักไม่ได้เกลียดเธอที่ทอดทิ้งนิกาย สิ่งที่เธอรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่จากมาหลังจากนั้นไม่กี่วัน
“เกิดบ้าอะไรขึ้นบนนั้นวะ ทำไมพวกนั้นจึงยังมิสู้กันอีก”
“หญิงสาวคนนั้น… ดูเหมือนว่าเธอกำลังร้องไห้…”
ผู้ชมต่างพากันงุนงงกับสถานการณ์
“หญิงสาวคนนั้นมีความสัมพันธ์อะไรกับซูหยางรึ พวกเขาดูเหมือนว่าค่อนข้างจะสนิทสนมกัน…” กระทั่งซีซิงฟางก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
“ข้าขอโทษที่ขัดจังหวะการได้พบหน้าของพวกเจ้าแต่พวกเราตอนนี้อยู่ในระหว่างการแข่งขัน พวกเจ้าควรจะเก็บอะไรก็ตามที่พวกเจ้าต้องการจะพูดไว้ภายหลัง” ซื่อตงกล่าวกับพวกเขาหลังจากที่ผู้ชมเริ่มส่งเสียงดังขึ้น
ซูหยางพยักหน้าและกล่าวว่า “มาสิ หลี่เซียวโม่ แสดงให้ข้าเห็นว่าเจ้าได้เรียนอะไรไปบ้างจากบ้านใหม่ของเจ้า”
หลี่เซียวโม่พยักหน้าขณะที่เธอปาดน้ำตาออกไปจากใบหน้า แสดงให้เขาเห็นถึงความแน่วแน่
“เช่นนั้นข้าจักแสดงให้ท่านเห็นว่าข้าพัฒนาไปมากน้อยเพียงใด ข้าเข้าไปละนะ ซูหยาง”
DC บทที่ 378: วันที่สองของการแข่งขัน
“ใครที่เจ้าจะแข่งขันด้วยในวันพรุ่งนี้” ไป่ลี่ฮัวเข้าไปหาพวกเขาหลังจากที่เธอได้รับหมายเลขและคู่แข่งขัน
“สมาพันธ์แม่น้ำเหลือง”
“ช่างโชคดีจัง” เธอกล่าว
“ทำไมท่านจึงพูดเช่นนั้น” โหลวหลานจีเลิกคิ้ว
“อย่างน้อยพวกท่านก็มีคนที่เหมาะสมที่จะสู้ด้วย คู่ต่อสู้ของสำนักหงส์สวรรค์ในวันพรุ่งนี้เป็นเพียงแค่สำนักระดับกลางทั่วไป เปรียบกับนิกายแท่นบูชาทองแล้วพวกเขายังแย่ยิ่งกว่า ดังนั้นศิษย์ข้าอาจจะมิมีโอกาสที่จะแสดงพรสวรรค์ที่แท้จริงออกมา”
“นั่นมิใช่สิ่งที่ต้องเสียใจมิใช่รึ” โหลวหลานจีไม่รู้ว่าจะต้องโต้ตอบกับคำพูดของไป่ลี่ฮัวอย่างไร ถ้าเป็นเธอ เธอคงดีใจยอมรับชัยชนะที่ได้มาฟรีๆนั้นด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
“อย่างไรก็ตามตอนนี้เมื่อนิกายล้านอสรพิษออกไปพ้นทางแล้ว ผู้ทรงอำนาจที่ข้าต้องกังวลก็มีเพียงแค่ สำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ นิกายดอกบัวเพลิง และบางทีก็อาจจะสำนักเมฆม่วงด้วย” ไป่ลี่ฮัวกล่าว
“กล่าวถึงสำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ ทำไมจึงไม่เห็นพวกเขาในการแข่งขันแม้สักคู่ในวันนี้ ข้าก็มิเห็นเจ้าสำนักของพวกเขาที่นี่เช่นกัน” ซูหยางกล่าวขณะที่เขาพยายามที่จะมองหาใบหน้าผู้อาวุโสจง
“เพราะว่าพวกเขาเป็นแชมป์ในการแข่งขันระดับภูมิภาคในครั้งล่าสุด” ไป่ลี่ฮัวกล่าว “พวกเขามิต้องเข้าร่วมการแข่งขันใดจนกว่าจะถึงวันสุดท้าย”
“อย่างงั้นรึ…”
หลังจากที่ทุกคนได้คู่แข่งขันสำหรับในวันพรุ่งนี้แล้วพวกเขาทั้งหมดต่างก็พากันกลับไปยังที่พักเพื่อกระจายข่าว
“แม้ว่าพวกเจ้าทุกคนมีพลังการฝึกปรือที่น่าประทับใจเมื่อเปรียบเทียบกับพวกเขา ก็อย่าประมาทสมาพันธ์แม่น้ำเหลือง พวกนั้นมีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในด้านวิชาลวงตา ดังนั้นจงระวังเรื่องนั้น” โหลวหลานจีเตือนเหล่าศิษย์
“อย่ากังวลท่านผู้นำนิกาย มิมีทางที่พวกเราจะพ่ายแพ้” ซุนจิงจิงกล่าวด้วยรอยยิ้มมั่นใจบนใบหน้า
หลังจากที่พูดกับเหล่าศิษย์แล้ว โหลวหลานจีก็ปล่อยพวกเธอไปก่อนที่จะพูดกับซูหยางเป็นการส่วนตัว
“เจ้าคิดว่าอย่างไร” เธอพลันถามเขา
“หมายความว่าอย่างไรรึ”
“เจ้าได้เห็นสิ่งที่คู่หมั้นของเจ้า หงอวี้เอ๋อร์ สามารถทำได้ เธอเพียงคนเดียวเอาชนะนิกายล้านอสรพิษได้ ยังมีน้องสาวของเจ้าและนิกายดอกบัวเพลิง เจ้ายังคงมั่นใจว่าพวกเราสามารถเอาชนะการแข่งขันนี้หลังจากที่เห็นสิ่งทั้งหมดเหล่านี้อยู่รึ”
“แน่นอน” ซูหยางตอบโดยไม่ลังเล “แม้ว่าพลังของหงอวี้เอ๋อร์จะเหนือความคาดหมายไปบ้าง แต่นั่นก็ยังอยู่ในขอบเขตความสามารถของข้า”
“…ถ้าพูดเช่นนั้น” โหลวหลานจีพยักหน้า
วันถัดมา นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยพร้อมกับคนอีกครึ่งเมืองก็กลับไปยังโคลีเซียมสำหรับการแข่งขันระดับภูมิภาคในวันที่สอง ตามจริงดูเหมือนว่าจะมีคนที่นี่ในวันนี้มากขึ้นกว่าเมื่อวาน
“เชี่ย เพราะว่าข้ามิสามารถเข้ามาในเมืองได้จนกระทั่งวันนี้ ข้าจึงพลาดโอกาสที่จะเห็นนิกายล้านอสรพิษพ่ายแพ้นับตั้งแต่วันแรกของการแข่งขัน”
“นั่นเป็นเรื่องมหัศจรรย์จริงๆ ข้ายังคงจำได้ชัดเจนถึงนางฟ้าหงทุบตีศิษย์ของนิกายล้านอสรพิษจนโง่ไปเลย”
ผู้ชมเกือบทั้งหมดยังไม่อาจลืมความแข็งแกร่งอันน่าตระหนกที่หงอวี้เอ๋อร์แสดงออกมา และพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องของเธอต่อราวกับว่ายังเป็นเมื่อวานนี้
“ยินดีต้อนรับกลับสู่การแข่งขันระดับภูมิภาค” ซื่อตงปรากฏกายบนเวทีไม่กี่นาทีหลังจากนั้น
“มีสำนักมากกว่าสองร้อยสำนักสู้กันเมื่อวานนี้ และตอนนี้ก็ลดลงเหลือเพียงร้อยสำนัก แม้ว่าจักมีการแข่งขันน้อยลงในทุกวัน แต่ละการต่อสู้ก็จักยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน”
“ก่อนที่ข้าจะเริ่มการแข่งขันในวันนี้ ข้าจักทบทวนกฏสำหรับผู้ที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ในวานนี้”
ซื่อตงจึงทำการอธิบายกฏอีกครั้ง
“สิบล้านก้อนหินวิญญาณถึงแม้ว่าจะเป็นอุบัติเหตุก็ตาม นั่นค่อนข้างโหดทีเดียว”
“ข้าได้ยินว่ามีอุบัติเหตุระหว่างการแข่งขันหนึ่งเมื่อวานนี้”
“ใช่แล้ว เหมาอี้จวินจากนิกายล้านอสรพิษตายบนเวทีเมื่อวานนี้ตอนกำลังต่อสู้กับนางฟ้าหง”
“อะไรนะ นางฟ้าหงฆ่าเขาเหรอ”
“แม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนั้น แต่ตระกูลซียังมิได้ลงโทษสำนักเมฆม่วงให้ชำระสิบล้านก้อนหินวิญญาณ ในเมื่อตอนนี้พวกเขากำลังตรวจสอบการตายของเขาที่ค่อนข้างแปลก”
หลังจากที่ซื่อตงเสร็จสิ้นการอธิบายกฏอีกครั้ง เขาก็เรียกการแข่งขันรอบแรกให้ขึ้นสู่เวที
“เมื่อไหร่พวกท่านจะได้สู้”
หวังชูเหรินพลันปรากฏตัวในพื้นที่และถามซูหยาง
“กลางๆ” เขาแสดงบันทึกที่มีหมายเลข “29”
“เจ้าเป็นคนเดียวที่นี่ที่มาดูรึ” ซูหยางถามเธอ
หวังชูเหรินพยักหน้าและกล่าวว่า “อย่าลืมว่าข้ามิอาจพลาดที่จะเห็นท่านขึ้นเวที”
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ ซูหยางก็พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ช่างเป็นโชคร้ายของเจ้า ข้าอาจจักมิมีโอกาสที่จะต่อสู้ในวันนี้”
“เอ๋ ท่านจักมิต่อสู้รึ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น” หวังชูเหรินเลิกคิ้ว
“ครั้นเมื่อข้าขึ้นเวที นั่นจักมิเป็นการแข่งขันอีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้นหญิงสาวพวกนั้นก็เพียงพอที่จะรับประกันชัยชนะต่อสมาพันธ์แม่น้ำเหลือง”
หวังชูเหรินถอนใจและกล่าวขึ้น “ถ้าเพียงนิกายดอกบัวเพลิงสามารถรักษาความเยือกเย็นเหมือนท่านได้ในตอนนี้”
“แม้ว่าพวกเราจะมีศิษย์มากกว่าสิบที่อยู่ในเขตปฐพีวิญญาณ แต่ทุกคนรู้สึกตึงเครียดเกี่ยวกับการแข่งขัน”
“โอ อะไรเป็นเหตุให้พวกเขารู้สึกกระวนกระวายเช่นนั้นรึ”
หวังชูเหรินชี้ไปที่เขาด้วยรอยยิ้มขื่นขมและกล่าวว่า “ข้าบอกพวกเขาว่าท่านจักเข้าร่วมกันแข่งขันด้วยเช่นกัน”
ซูหยางระเบิดเสียงหัวเราะออกมาหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเธอ
“พวกเขามิเชื่อข้าตอนที่ข้าบอกพวกเขาครั้งแรก ไม่ว่าอย่างไรพวกเขามักจะคิดเสมอว่าท่านแก่กว่าหน้าตาที่เห็นนั้นมากนัก ตอนนี้เมื่อพวกเขารู้อายุจริงของท่าน พวกเขาก็พยายามที่จะทำให้ตัวเองเชื่อว่าท่านยืมความแข็งแกร่งมาจากสมบัติวิญญาณระดับอัมพร ซึ่งทำให้ท่านสามารถเหยียบย่ำพวกเขาได้ในวันนั้น”
“ข้ามิโทษพวกเขาที่กลัวข้า” ซูหยางกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ข้าก็คงจะกลัวเช่นกันถ้าข้าอยู่ในสถานะเดียวกันกับพวกเขา”
ในเวลานั้น ไป่ลี่ฮัวและโหลวหลานจีต่างพากันฟังการสนทนาระหว่างพวกเขาอยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ และพวกเธอก็อดไม่ได้ที่จะคิดสงสัยว่าพวกเขากำลังพูดถึงเรื่องอะไรกัน
ทำไมนิกายดอกบัวเพลิงจึงกลัวซูหยางกัน เขาทำอะไรให้กับพวกนั้นกันรึ
DC บทที่ 377: ขอความยุติธรรม
“ไร้สาระ มิมีทางที่ศิษย์ข้าจักฆ่าศิษย์เจ้า”
เจ้าสำนักเมฆม่วงกู่กว่านถิงกระโดดขึ้นไปบนเวทีและปกป้องหงอวี้เอ๋อร์
“ทุกคนที่นี่ต่างเป็นประจักษ์พยานให้กับการแข่งขัน ศิษย์ของข้ามิได้แม้กระทั่งแตะตัวศิษย์เจ้าด้วยซ้ำ”
“ข้ามิรู้ว่านังนี่ทำอย่างไร แต่ข้ามั่นใจว่านั่งนี่ฆ่าศิษย์ของข้า”
“ผายลม ไหนละข้อพิสูจน์ของเจ้า” กู่กว่านถิงตะโกนด้วยความโกรธ
แม้ว่าหินวิญญาณสิบล้านก้อนจะเป็นเงินจำนวนมหาศาล แต่สำนักเมฆม่วงสามารถอยู่รอดได้โดยไม่มีสิ่งนั้น อย่างไรก็ตามชื่อเสียงและความปลอดภัยของหงอวี้เอ๋อร์นั้นเป็นอีกเรื่อง ถ้าเธอกลายเป็นคนผิดสำหรับการตายของเหมาอี้จวิน นิกายล้านอสรพิษย่อมตามล่าเธออย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เธอตบหน้าคนพวกนั้นทั้งนิกายต่อหน้าคนนับล้านในวันนี้
“ข้อพิสูจน์ ข้าจำเป็นต้องหาข้อพิสูจน์อะไรอีกนอกจากการที่นังนี้ได้ทุบตีศิษย์ข้าอย่างโหดร้ายในวันนี้ เห็นชัดว่านังนี่มีความแค้นกับพวกเราด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง และสุดท้ายเธอก็มิอาจจะต่อต้านความต้องการและฆ่าหนึ่งในนั้น”
จากนั้นฟูกวานก็หันไปมองเจ้าซีและคำนับ “ท่านเจ้า ข้าน้อยผู้นี้ขอความยุติธรรมสำหรับศิษย์ของเขา หลังจากที่ดูการกระทำของพวกเขาในวันนี้ ข้ามั่นใจว่าสำนักเมฆม่วงแฝงเร้นเจตนาร้ายบางอย่างต่อนิกายล้านอสรพิษ มิเพียงแต่พวกนั้นป้ายอึหมาบนใบหน้าพวกเราในการแข่งขันกระชับมิตรนี้ แต่พวกนั้นก็ยังฆ่าหนึ่งในศิษย์ที่มีพรสวรรค์มากที่สุดของเราอีกด้วย นิกายล้านอสรพิษของพวกเรามิเคยทำอะไรที่เป็นการล่วงเกินพวกเขา พวกเรามิสมควรได้รับผลเช่นนี้”
เจ้าซีหรี่ตาไปยังฟูกวานและแอบถอนหายใจ “ฟูกวานเป็นอย่างที่คิด เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์ที่มีลิ้นคมกริบ”
อย่างไรก็ตามก่อนที่เขาจะทันได้พูดอะไร กู่กว่านถิงก็ก้าวออกมาด้านหน้าเช่นกันและพูดว่า “ท่านเจ้า มีคนนับล้านที่นี่ที่ได้ดูศิษย์ของข้าตลอดเวลา นั่นย่อมมิมีทางที่เธอจักสามารถฆ่าอีกฝ่ายได้โดยมิถูกสังเกตแม้แต่น้อย แม้ว่าข้ามิสามารถจะอธิบายถึงพฤติกรรมที่ผิดปกติของเธอในวันนี้ ข้าก็ยินดีที่จะเสี่ยงเดิมพันด้วยตำแหน่งเจ้าสำนักของข้าว่าเธอมิได้ฆ่าอีกฝ่าย นั่นต้องมีเหตุผลอื่นที่ทำไมเหมาอี้จุนจึงล้มลง”
หลังจากที่นิ่งเงียบไปชั่วขณะแล้ว เจ้าซีก็กล่าวขึ้นว่า “เจ้าสำนักฟู ข้าเข้าใจความขุ่นข้องเสียใจของเจ้าในเมื่อเหตุการณ์นี้เป็นโชคร้ายอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตามข้าได้มองตลอดเวลาและข้าก็มิเห็นอะไรที่จักสามารถกล่าวหาหงอวี้เอ๋อร์ถึงการตายของเหมาอี้จวินได้ ด้วยเหตุนั้น จนกว่าเราจะสอบสวนหาสาเหตุการตายของเหมาอี้จวินได้ ข้าจักขอเลื่อนคำตัดสินออกไป”
“ข-ขอบพระทัย ท่านเจ้า” กู่กว่านถิงพลันแสดงรอยยิ้มโล่งอกและประสานมือคารวะเพื่อแสดงความขอบคุณ
อย่างไรก็ตามฟูกวานเพียงแค่ยืนอยู่ที่นั้นด้วยท่าทางไม่พึงพอใจ
“ต-แต่ท่านเจ้า—”
“พอแล้ว ข้าเข้าใจว่าเจ้าต้องการที่จะแก้ไขเรื่องนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ แต่จนกว่าเราจะรู้ว่าเหมาอี้จวินตายด้วยสาเหตุอะไร ก็ยังมิมีสิ่งใดที่เราจะสามารถทำได้ ซื่อตง ข้าจักปล่อยเรื่องนี้ให้เจ้า”
“ขอรับ ท่านเจ้า” ซื่อตงพลันตอบรับ
“ในเมื่อมิมีการแข่งขันต่อแล้วหลังจากรอบนี้ ข้าก็จักขอตัวในตอนนี้”
หลังจากที่กล่าวคำพูดเหล่านั้นแล้ว เจ้าซีพร้อมด้วยซีซิงฟางก็ออกไปจากสนามแข่งขัน
ครั้นเมื่อตระกูลซีไม่อยู่อีกต่อไปแล้ว ฟูกวางก็หันไปหากู่กว่านถิงและหงอวี้เอ๋อร์และกล่าวว่า “อย่าแม้แต่จะคิดแม้วินาทีว่าเรื่องจะจบลงตรงนี้ เจ้าฆ่าศิษย์ของข้าและนิกายล้านอสรพิษจักมิพลาดที่จะตามเก็บหนี้นี้”
“พวกเราไปกัน” ฟูกวางหันตัวกลับอย่างรวดเร็วและเริ่มเดินออกไปจากสนามแข่งขันพร้อมกับศิษย์
ตลอดเวลานี้ผู้ชมต่างพากันเงียบ แต่ครั้นเมื่อนิกายล้านอสรพิษออกไปจากโคลีเซียม พวกเขาก็ส่งเสียงดังขึ้น
“สวรรค์ สำนักเมฆม่วงเอาชนะนิกายล้านอสรพิษได้จริงๆ เตะพวกนั้นออกไปตั้งแต่วันแรก นี่เป็นสิ่งที่มิมีใครคาดคิด นี่เป็นสิ่งที่มิเคยมีมาก่อน”
“นิกายล้านอสรพิษมักจะเย่อหยิ่งและใจร้อนมาโดยตลอด ข้ามิอาจจะจินตนาการได้ว่าพวกนั้นจะรู้สึกอย่างไรหลังจากที่พ่ายแพ้อย่างน่าอับอายในวันนี้”
“มิเพียงเท่านั้น นี่เป็นด้านที่เหนือกว่าอย่างแท้จริงของสำนักเมฆม่วง และทั้งหมดนี้ล้วนทำให้เกิดขึ้นได้เพราะนางฟ้าหง”
“พี่ชาย ข้ากังวลเรื่องพี่สาวอวี้เอ๋อร์ จะเกิดอะไรขึ้นถ้านิกายล้านอสรพิษตามหาตัวเธอจากสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้” ซูหยินถามเขา
“จากที่รู้จักนิกายล้านอสรพิษและนิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้นของพวกนั้น นี่เป็นไปได้มาก” โหลวหลานจีถอนใจ
“ถ้าเจ้ากังวลเกี่ยวกับคู่หมั้นของเจ้า ทำไมเจ้ามิขอให้สำนักเมฆม่วงเข้าร่วมเป็นพันธมิตรล่ะ” ไป่ลี่ฮัวพลันแนะนำ “นี่ย่อมทำให้นิกายล้านอสรพิษต้องคิดซ้ำก่อนที่พวกนั้นจะตัดสินใจจะทำอะไรไปจริงๆ”
“อย่ากังวล ข้ามีความรู้สึกว่าเธอจักมิมีปัญหาอะไรต่อให้มิได้รับความช่วยเหลือของพวกเรา กล่าวไปแล้วการที่มีสำนักเมฆม่วงเข้าร่วมกับพวกเราก็เป็นความคิดที่ไม่เลว ข้าจักพูดกับพวกเขาเมื่อมีโอกาส” ซูหยางกล่าว
ไม่นานหลังจากนั้น ซื่อตงก็ประกาศเสียงดัง “ขอแสดงความยินดีกับผู้ชนะทุกคนในวันนี้ พวกเราจักทำการจับฉลากอีกครั้งสำหรับการแข่งขันรอบต่อไปหลังจากนี้ไม่นานนัก สำหรับผู้ชม ก็ขอขอบคุณทุกท่านที่มาในวันนี้ และพวกเราจักพบกันอีกครั้งในวันพรุ่งนี้ในการแข่งขันระดับภูมิภาควันที่สอง”
“อย่างไรก็ตาม พวกเรามาดูกันว่าพวกเราจักมีโอกาสที่จะต่อสู้ในวันพรุ่งนี้หรือไม่” ซูหยางกล่าวขณะที่เขายืนขึ้น
ไม่นานหลังจากนั้น เจ้าสำนักทุกคนที่สำนักได้รับชัยชนะในวันนี้ก็มารวมตัวในที่เดียวกัน
หลังจากที่ทุกคนหยิบหมายเลขแล้ว ซื่อตงก็เริ่มเขียนผังการแข่งขันสำหรับวันถัดไป
“ใครได้รับกระดาษเปล่าในครั้งนี้” ซื่อตงพลันถาม
ชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่ยกมือขึ้นหลังจากนั้น
เมื่อเจ้าสำนักอื่นตระหนักถึงตัวตนของชายคนนี้ พวกเขาต่างพากันถอนหายใจโล่งอก
“ขอบคุณสวรรค์ที่มิมีใครต้องสู้กับนิกายดอกบัวเพลิงในการแข่งขันวันพรุ่งนี้”
“ใช่ การจับคู่กับนิกายดอกบัวเพลิงก็เหมือนกับการพ่ายแพ้ไปเรียบร้อยแล้ว…”
ตอนนี้เมื่อความกังวลเกี่ยวกับนิกายดอกบัวเพลิงพ้นไปจากใจของเจ้าสำนักเหล่านี้แล้ว พวกเขาทั้งหมดต่างก็ใส่ใจกับคู่ต่อสู้คนถัดไป
“สมาพันธ์แม่น้ำเหลือง… ท่านรู้จักที่แห่งนี้หรือไม่” ซูหยางถามโหลวหลานจีเกี่ยวกับคู่ต่อสู้ในวันพรุ่งนี้
“พวกเขาเป็นพวกที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงอยู่พอควร ตั้งอยู่ห่างจากที่อยู่ของพวกเราประมาณสามร้อยกิโลเมตร แม้ว่าพวกเขามิอาจจะเปรียบเทียบได้กับสำนักระดับสูงหรือสำนักเมฆม่วง พวกเขาก็ยังเป็นคู่แข่งที่พวกเรามองข้ามไปไม่ได้”
“ข้าหวังเช่นนั้น มิเช่นนั้นก็จะน่าเบื่อเกินไป” ซูหยางกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
DC บทที่ 376: เจ้าฆ่าศิษย์ข้า
“บ้าแล้ว บ้าไปหมดแล้ว ทำไมข้าจึงมิสามารถที่จะตามทันนังนั่นได้ ข้าควรจะมีพลังเทียบเท่ากับคนที่อยู่ในระดับสูงสุดของเขตปฐพีวิญญาณในตอนนี้ แต่ข้าก็มิสามารถที่จะจับคนที่อยู่ในเขตสัมมาวิญญาณได้” เหมาอี้จวินร่ำร้องในใจในขณะที่เขาไล่ตามหงอวี้เอ๋อร์ไปรอบๆเวทีอย่างต่อเนื่องราวกับว่านี่เป็นเกมแมวจับหนู
“หรือว่าพี่สาวอวี้เอ๋อร์พยายามที่จะถ่วงเวลาและปล่อยให้ยานั่นฆ่าเขา” ซูหยินอุทานดังลั่น
“มิเพียงเท่านั้น แต่เมื่ออีกฝ่ายตาย เธอก็จักมิถูกกล่าวหาถึงการตายของอีกฝ่าย ในเมื่อพวกเราทุกคนได้เป็นพยานว่าเธอไม่ได้แตะต้องอีกฝ่ายแม้แต่น้อย” เขากล่าว
“มันต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไหร่ที่เจ้าคิดก่อนที่ยานั่นจะพรากชีวิตของศิษย์คนนั้น” โหลวหลานจีถามเขา
ซูหยางหรี่ตามองไปที่เหมาอี้จวินชั่วขณะก่อนที่จะกล่าวว่า “ดวงตาของเขาแดงก่ำไปหมดแล้ ข้าจักให้เวลาเขาสิบนาทีก่อนที่ชีวิตของเขาจะหมดไป แน่นอนว่านั่นเฉพาะสำหรับถ้าพวกเขาเพียงแค่วิ่งไปมา ถ้าศิษย์คนนั้นเริ่มใช้วิชา มันก็จะสั้นลงไปมากกว่านั้น”
และก็เป็นเช่นนั้นจริง หลังจากที่วิ่งไปรอบๆอีกประมาณห้านาที เหมาอี้จวินก็สังเกตเห็นว่ามีเลือดไหลออกมาจากจมูกของตนเอง เขาจึงหยุดไล่ตามหงอวี้เอ๋อร์ไปชั่วครู่
“เจ้ากล้าสู้กับข้าหรือไม่” รู้ว่าตนเองไม่อาจจะจับหงอวี้เอ๋อร์ได้ เหมาอี้จวินก็จึงตะโกนใส่เธออย่างสิ้นหวัง “หรือว่าเจ้าจะคอยหลีกหนีข้าเหมือนแมลง สำนักเมฆม่วงมีระดับแค่นี้รึ”
“เจ้ากำลังพยายามที่จะหลอกเด็กด้วยคำพูดเหล่านั้นรึ”
หงอวี้เอ๋อร์ไม่ตกลงไปในคำยั่วยุของอีกฝ่ายและยังคงรักษาระยะห่างจากอีกฝ่ายระดับหนึ่งอย่างต่อเนื่อง
“เจ้าอยู่ที่ระดับสูงสุดของเขตปฐพีวิญญาณในตอนนี้ในขณะที่ข้าเพียงแค่อยู่ในเขตสัมมาวิญญาณ มีแต่เพียงคนโง่ที่ต้องการตายแต่เนิ่นๆเท่านั้นที่จะเข้าไปสู้กับเจ้าในช่วงเวลาที่เงื่อนไขไม่เหมาะสมเช่นนั้น”
“เช่นนั้นอย่ากล่าวโทษข้าถ้าข้าฆ่าเจ้าไปโดยมิตั้งใจ” เหมาอี้จวินคำรามขณะที่ร่างกายของเขาพลันระเบิดพลังปราณไร้ลักษณ์จำนวนมหาศาลออกมา สร้างความตื่นตระหนกให้กับผู้ชม
“ท่านพ่อ นี่คือ…” ซีซิงฟางหันไปมองเจ้าซี ซึ่งจ้องมองไปยังเหมาอี้จวินพร้อมกับขมวดคิ้ว
“มีบางอย่างมิถูกต้อง เห็นชัดว่าเขาอยู่เพียงแค่ระดับแรกของเขตปฐพีวิญญาณ แต่ว่าเขาสำแดงพลังที่เหนือกว่านั้นไปมาก”
ซีซิงฟางพยักหน้าและกล่าวว่า “สี่… ไม่ใช่ นั่นควรจะเปรียบได้กับระดับห้าในตอนนี้”
หลังจากเงียบไปชั่วขณะ เธอก็ถามเขาว่า “ท่านจะไปหยุดการต่อสู้หรือไม่”
เขาส่ายหน้า “ไม่ ข้าต้องการเห็นว่านิกายล้านอสรพิษต้องการทำอะไรกันแน่”
“แต่ถ้าหากเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา…” ซีซิงฟางแสดงท่าทางเป็นกังวล แม้ว่าเธออาจจะไม่ชอบหงอวี้เอ๋อร์นัก แต่เธอก็ยังไม่ต้องการให้คู่หมั้นของซูหยางตายต่อหน้าพวกเขา
“อย่ากังวล ข้ากำลังดูอยู่อย่างใกล้ชิด ถ้าข้ารู้สึกถึงสัญญาณว่าเธออยู่ในอันตรายแม้แต่น้อยนิด ข้าจักปกป้องเธอด้วยตนเอง” เจ้าซีกล่าว
ต่อให้เขาไม่ทำอะไรทั้งสิ้น เขาก็มั่นใจว่าซูหยางย่อมไม่ปล่อยให้คู่หมั้นของตนเองตายต่อหน้า
“ดูซิว่าเจ้าจะหลบการโจมตีพวกนี้พ้นหรือไม่” เหมาอี้จวินตะโกน
“พันงูจู่โจม”
“งูม่วงบิน”
เหมาอี้จวินโหมใช้วิชาต่างๆอย่างต่อเนื่องเข้าใส่หงอวี้เอ๋อร์ หวังว่ามันจะโดนตัวเธอ แต่อนิจจาหงอวี้เอ๋อร์หลบทุกวิชาของเขาอย่างงดงามง่ายดาย
“นี่คือทั้งหมดที่นิกายล้านอสรพิษมีรึ นับว่าเป็นปาฏิหาริย์ที่พวกเจ้าสามารถขึ้นไปเป็นสำนักระดับสูงได้จากฝีมือเพียงแค่นี้” หงอวี้เอ๋อร์เย้ยเขาอย่างไม่ใส่ใจ
“นี่เป็นไปได้อย่างไร การโจมตีของข้าทุกอย่างมิสัมผัสตัวเธอแม้แต่น้อย ข้าต้องใช้พลังมากกว่านี้”
เมื่อคิดเช่นนั้น เหมาอี้จวินก็ยิ่งปลดปล่อยปราณไร้ลักษณ์ยิ่งกว่าเดิม
“แค่ก”
อย่างไรก็ตามไม่นานหลังจากนั้นเขาก็พลันไอออกมาเป็นเลือด และไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น เลือดก็ไหลออกจากหูของเขาเช่นกัน
“ดูเหมือนว่าเวลาของเจ้าใกล้จะหมดลงแล้ว” หงอวี้เอ๋อร์หยุดเคลื่อนที่หลังจากที่สังเกตเห็นสภาพของเหมาอี้จวิน
“เจ้าทำอะไรกับข้า” เหมาอี้จวินมองดูเธอด้วยดวงตาแดงก่ำ เขามั่นใจว่าหงอวี้เอ๋อร์ต้องทำอะไรสักอย่างกับร่างกายของเขาโดยที่เขาไม่รู้
“ข้ารึ ข้ามิได้ทำอะไรกับเจ้าแม้แต่น้อย เจ้าทำเช่นนี้ด้วยตัวเจ้าเอง”
“ไร้สาระ”
“ยาปีศาจเสริมพลัง ยาที่เจ้าได้รับเข้าไปก่อนที่การต่อสู้ของพวกเราเริ่มต้น มันจักเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับเจ้าอย่างเห็นได้ชัดช่วงเวลาสั้นๆแต่ในเวลาเดียวกันก็จะทำให้ร่างกายเจ้าติดพิษ หลังจากที่กินยาชะตาของเจ้าก็ถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องตาย”
“จ-เจ้าโกหก ทำไมผู้นำนิกายของข้าจักต้องป้อนพิษให้กับข้าด้วย” เหมาอี้จวินปฏิเสธที่จะเชื่อคำของเธอที่ว่าผู้นำนิกายของตนเองจะทำร้ายเขา
“ทำไมข้าจะต้องโกหกเจ้า มิมีเหตุผลที่ข้าจักต้องทำเช่นนั้น ตามจริงข้าสามารถรู้สึกได้ถึงพิษชนิดอื่นในร่างของเจ้านอกจากยาปีศาจเสริมพลัง ถ้าข้าจำมิผิดมันควรจะเป็นพิษเปลี่ยนวิญญาณ”
หงอวี้เอ๋อร์ส่ายหน้าและกล่าวต่อว่า “ถ้าลำพังเพียงเจ้าหยุดหลังจากกลืนพิษเปลี่ยนวิญญาณไปแล้ว เจ้าก็คงมิต้องถึงกับเสียชีวิต และสูญเสียเพียงอนาคตในฐานะของผู้ฝึกยุทธ แต่ตอนนี้กระทั่งเซียนก็ช่วยเจ้าไม่ได้”
เหมาอี้จวินหันไปมองฟูกวางด้วยสีหน้าเสียใจ อย่างไรก็ตามก่อนที่เขาจะทันได้อ้าปากถาม ร่างของเขาก็เริ่มล้มลง สิ้นชีวิตไปก่อนที่จะสัมผัสพื้น
การที่เหมาอี้จวินพลันล้มลงไปกับพื้นนั้นสร้างความประหลาดใจให้กับคนจำนวนมาก และซื่อตงก็รีบตะโกนขึ้นมา “หมอ”
ต่อจากนั้นหลังจากที่ตรวจสอบชีพจรเหมาอี้จวินแล้ว หมอก็พูดพร้อมกับส่ายหน้าว่า “ตันเถียนของเขาแตกสลายและว่างเปล่าเหมือนกับบ่อน้ำแห้ง และเส้นชีพจรของเขาล้วนขาดสะบั้น โชคร้าย เขาสิ้นชีวิตแล้ว”
“อะไรกัน”
ไม่เพียงแต่ผู้ชมแต่กระทั่งฟูกวางเองก็ตื่นตระหนกไปกับความตายของเหมาอี้จวินเช่นกัน
“หรือว่าเป็นเพราะยา” ฟูกวางร่ำร้องในใจ
ในเมื่อมียาปีศาจเสริมพลังอยู่เพียงไม่กี่เม็ด เขาจึงไม่ได้ทดสอบเม็ดยาให้ดีก่อน ดังนั้นจึงเป็นเหตุที่ว่าทำไมเขาจึงไม่รู้ถึงผลทั้งหมดของมัน
“นี่ไม่ดีแน่ ต้องมิอาจให้พวกนั้นรู้ว่าข้าเป็นคนให้ยาเขา”
เมื่อคิดเช่นนั้นแล้ว ฟูกวางก็พลันขึ้นไปบนเวทีด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยวและชี้ไปยังหงอวี้เอ๋อร์ขณะที่ตะโกนออกมา “เจ้า เจ้าฆ่าศิษย์ข้า เจ้ากล้าฆ่าเขาได้อย่างไร เขาทำอะไรให้กับเจ้าจึงได้รับผลเช่นนี้”
DC บทที่ 375: ยาปีศาจเสริมพลัง
“อาาาา ห…หยุด ข้ายอมแพ้ ข้ายอมแพ้”
ศิษย์ที่อยู่ตรงหน้าหงอวี้เอ๋อร์ตะโกนเสียงดังหลังจากที่ถูกทุบตีอย่างต่อเนื่องหลายนาที
“ฮ่าฮ่าฮ่า สุดท้ายนางฟ้าคนนี้ก็สามารถทำให้หนึ่งในศิษย์ของพวกนั้นยอมแพ้ก่อนที่จะทำให้พวกเขาหมดสติ”
ผู้ชมต่างพากันระเบิดเสียงเชียร์หลังจากที่หงอวี้เอ๋อร์ประสบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่
“นิกายล้านอสรพิษสามารถส่งศิษย์ได้อีกเพียงหนึ่งคนเข้าสู่สนามแข่งขันหลังจากคนนี้ สำนักเมฆม่วงสามารถคืบคลานกลับมาจากสถานการณ์ที่เป็นไปไม่ได้ และทั้งหมดนี้เกิดมาจากนางฟ้าคนนี้”
“นางฟ้าคนนี้มาจากตระกูลไหน ทำไมข้ามิเคยได้ยินถึงตัวตนที่น่าตระหนกเช่นนี้มาก่อน”
“นางฟ้าคนนี้คือหงอวี้เอ๋อร์จากตระกูลหง แม้ว่าพวกเขามิเคยได้รับฉายาว่าเป็นตระกูล “ใหญ่” แต่แน่นอนว่าพวกเขามีความสามารถที่เปรียบเทียบกับพวกนั้น ตามจริงพวกเขามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับหนึ่งในตระกูลใหญ่ ตระกูลซู”
“ถ้าข้าจำมิผิด นางฟ้าหงตอนนี้หมั้นหมายกับนายน้อยของตระกูลซู”
“นั่นควรจะเป็น ซูอวี้หาน ใช่ไหม นานพอควรแล้วนับตั้งแต่ข้าได้ยินชื่อเขาครั้งสุดท้าย”
“มิใช่เพียงแต่เจ้า ดูเหมือนมิมีข่าวคราวเกี่ยวกับเขามาเกือบปีแล้วตอนนี้ เหมือนกับว่าเขาพลันหายไปจากโลกนี้”
“ครั้งสุดท้ายที่ข้าได้ยินเรื่องเกี่ยวกับเขาก็คือเขาได้รับบาดเจ็บบางอย่าง ดังนั้นบางทีนั่นอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาเงียบเช่นนี้”
ในขณะที่ผู้ชมพูดคุยกัน ฟูกวานก็มองดูศิษย์คนสุดท้ายของเขา และกล่าวด้วยท่าทางโกรธแค้นเป็นควัน “ข้ามิสนใจว่านังนั่นจะมาจากตระกูลหงหรือไม่ ในเมื่อนังนั่นกล้าที่จะสร้างความอับอายให้กับนิกายล้านอสรพิษของเราต่อหน้าคนมากมายและตระกูลซีเช่นนี้ ข้าต้องการให้เธอตาย เจ้าได้ยินข้าหรือไม่ เหมา อี้จวิน”
จากนั้นเขาก็ยื่นมือออกและส่งยาเม็ดสีแดงให้กับเหมาอี้จวินอย่างลับๆ
“นี่คือยาศักดิ์สิทธิ์ที่จักเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับเจ้าอย่างเห็นได้ชัดในช่วงเวลาสั้นๆ เป็นสิ่งที่ข้าค้นพบด้วยตนเองเมื่อสองสามปีก่อนและมิเคยเปิดเผยต่อผู้คน มันจักปกปิดพลังการฝึกปรือของเจ้าเช่นกัน ทำให้เหมือนกับว่าเป็นปกติมิมีอะไรเปลี่ยนแปลง เหมือนกับว่ามันเป็นความแข็งแกร่งปกติของเจ้า แต่ตามจริงความแข็งแกร่งของเจ้าจักมากกว่าสิ่งที่เห็นอย่างแท้จริง”
“นิกายล้านอสรพิษจักต้องสูญเสียสิบล้านก้อนหินวิญญาณ ถ้าข้าฆ่าเธอ” เหมาอี้จวินกล่าวด้วยท่าทางเคร่งเครียด
“ข้ามิสน แม้ว่านั่นอาจจะทำให้พวกเราเจ็บตัวบ้าง แต่ก็จักคุ้มถ้าข้าสามารถกำจัดอสูรเช่นเธอได้ซึ่งมั่นใจได้เลยว่าต้องเป็นภัยคุกคามต่อพวกเราในอนาคตถ้าพวกเราปล่อยให้เธอเติบโตเข้มแข็ง”
ในขณะที่ฟูกวานยังไม่มีเบาะแสถึงเหตุผลที่หงอวี้เอ๋อร์มุ่งเป้ามาที่พวกเขา แต่เขามั่นใจว่าเธอจักกลายเป็นยอดยุทธที่น่าหวาดหวั่นในอนาคตจากพรสวรรค์เหนือมนุษย์ของเธอ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขายอมให้เกิดขึ้นไม่ได้
ถ้าเขาไม่จัดการหงอวี้เอ๋อร์ในวันนี้และเธอกลายเป็นผู้แข็งแกร่งนั้น ใครจะรู้ว่าเธอจะทำอะไรกับนิกายล้านอสรพิษ อย่างไรก็ตามหากตัดสินจากการกระทำและความเป็นปรปักษ์ที่เธอแสดงออกในวันนี้ ดูเหมือนว่าเธอจะต้องพยายามทำลายพวกเขาหากว่าให้โอกาสเธอ
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ เหมาอี้จวินก็พยักหน้าและแอบกลืนเม็ดยาสีแดง
ทันทีที่เขากลืนเม็ดยา เหมาอี้จวินสามารถรู้สึกได้ว่าตันเถียนของตนเองขยายออกและเต็มไปด้วยปราณไร้ลักษณ์
“ช่างเป็นยาที่ล้ำลึก ช่างเป็นความรู้สึกที่สดชื่นอะไรเช่นนี้ ข้าสามารถทำความคุ้นเคยกับความรู้สึกนี้” เหมาอี้จวินเผยให้เห็นรอยยิ้มกว้างหลังจากที่รู้สึกถึงพลังอันมหาศาลพุ่งเข้าใส่ร่าง ถ้าให้เขาเดา ระดับของพลังการฝึกปรือของเขาควรจะสามารถเปรียบได้กับคนที่อยู่ระดับเก้าเขตปฐพีวิญญาณ เกือบหนึ่งขอบเขตสูงกว่าความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขาตอนนี้
หลังจากที่ยืดกล้ามเนื้อที่กรีดร้องต้องการทำอะไรสักอย่าง เหมาอี้จวินก็ก้าวขึ้นสู่เวที
สีหน้าเรียบเฉยของหงอวี้เอ๋อร์เปลี่ยนไปเป็นครั้งแรกหลังจากที่รับรู้ถึงกลิ่นอายของเหมาอี้จวิน
“ยาปีศาจเสริมพลังรึ ข้ามิคิดว่ายาชนิดนี้จะปรากฏในโลกนี้ด้วยเช่นกัน” หงอวี้เอ๋อร์พึมพัมเสียงเบา
เหมาอี้จวินขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำพูดของเธอ ทำไมเธอจึงสามารถบ่งบอกออกมาได้ว่าเขาใช้ยา ไม่ใช่ว่าฟูกวานเพิ่งพูดว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะบอกออกมา
“อย่ากังวล ข้ามิพูดอะไรทั้งสิ้น” หงอวี้เอ๋อร์แสดงรอยยิ้มลึกลับให้กับเขา “สุดท้ายต่อให้ข้ามิทำอะไรเลย เจ้าก็ยังคงพ่ายแพ้”
“ดูสิ นางฟ้าหงกำลังยิ้มอยู่จริงๆ เจ้าคิดว่าอะไรเป็นเหตุให้เธอยิ้ม”
ผู้ชมหลายคนพลันหลงเสน่ห์รอยยิ้มของเธอ
“ยาปีศาจเสริมพลัง…” ซูหยางก็สังเกตเห็นสถานการณ์นั้นเช่นกัน
“เจ้าพูดอะไรออกมารี” ไป่ลี่ฮัวหันไปมองดูเขาหลังจากที่ได้ยินชื่อที่ไม่เป็นมงคล
“พวกนั้นเล่นสกปรกเหมือนเดิม ยาปีศาจเสริมพลังเป็นเม็ดยาที่จักเพิ่มพลังการฝึกปรือให้ไปถึงจุดสูงสุดของเขตนั้นๆในช่วงเวลาสั้นๆก่อนที่จะมีผลสะท้อนกลับที่จักทำลายพลังการฝึกปรือทั้งหมดและฆ่าผู้ใช้ ศิษย์คนนั้นตอนนี้กำลังรู้ถึงผลลัพธ์ของมัน”
“อะไรกัน แต่เห็นชัดว่าเขายังคงอยู่ที่ระดับหนึ่งของเขตปฐพีวิญญาณ” ไป่ลี่ฮัวกล่าวกับเขา
“ท่านจักเข้าใจก็ตอนที่เขาเริ่มใช้วิชาของเขา” ซูหยางไม่คิดจะอธิบาย
ไป่ลี่ฮัวไม่กล่าวอะไรอีกและหันหน้าไปให้ความสนใจบนเวที ที่ซึ่งซื่อตงเพิ่งประกาศการแข่งขันรอบสุดท้ายของวันนี้
“เจ้ากำลังจะไปไหน มิใช่ว่าเจ้ากำลังจะมาทุบตีข้าเช่นเดียวกับที่เจ้าทำกับศิษย์ร่วมสำนักของข้ารึ”
เหมาอี้จวินไล่ตามหงอวี้เอ๋อร์ที่พลันเริ่มวิ่งไปในทิศทางตรงกันข้ามทันทีที่เริ่มการต่อสู้
“ก็เหมือนที่ข้าพูดไว้ ข้าจักชนะโดยมิต้องยกแม้แต่นิ้วเดียวไปต้านเจ้า” หงอวี้เอ๋อร์กล่าวขณะที่เธอหลบหลีกเหมาอี้จวินอย่างต่อเนื่องราวกับว่าเธอกำลังวิ่งหนีแมลงสาบ
การกระทำของหงอวี้เอ๋อร์สร้างความงุนงงและสับสนให้กับผู้ชมในเวลาเดียวกัน ในเมื่อพวกเขาล้วนคาดว่าเธอจะทุบตีเหมาอี้จวินตั้งแต่เริ่มต้นเหมือนกับการต่อสู้ครั้งก่อน
“นางฟ้าหงทำอะไรอยู่ ทำไมเธอจึงหลีกเลี่ยงเหมาอี้จวิน”
บางทีเธออาจจะพยายามที่จะฟื้นคืนพลังบางส่วนก่อนที่จะเผชิญหน้ากับเขาหรือเปล่า มิว่าอย่างไรเธอก็ได้ต่อสู้มาโดยมิได้พัก
พวกเขาทั้งหลายต่างพากันคาดเดาถึงเหตุผลที่หงอวี้เอ๋อร์มีพฤติกรรมที่แปลกประหลาด
DC บทที่ 374: ไม่เพียงแค่สวยแต่อันตรายด้วย
“นี่หมายความว่าอะไร กูกว่านถิง” ฟูกวานชี้นิ้วสั่นสะท้านไปยังเจ้าสำนักเมฆม่วงควันออกหู “เมื่อไหร่ที่นิกายล้านอสรพิษของข้าไปล่วงเกินเจ้าถึงได้รับความโหดร้ายเช่นนี้ หรือว่าเจ้าพยายามจะเริ่มสงครามกับพวกเรา”
อย่างไรก็ตาม กูกว่านถิงทำท่าเหมือนกับว่าเขาไม่ได้สังเกตเห็นฟูกวานและพูดกับหงอวี้เอ๋อร์ว่า “ข้าหวังว่าเจ้าจะรักษาคำพูด หรือนี่จะสร้างปัญหาไม่เพียงแต่พวกเราแต่เพื่อนศิษย์ของเจ้าด้วยเช่นกัน”
“กูกว่านถิง เจ้าทำเป็นไม่สนใจข้ารึ กล้าดียังไง” ฟูกวางยังคงตะโกนใส่อีกฝ่ายซึ่งสุดท้ายก็ตอบกลับมา
“ใจเย็น ฟูกวาน มันเป็นเพียงแค่อุบัติเหตุ และข้าก็ได้ตำหนิศิษย์ข้าไปแล้ว”
“อุบัติเหตุงั้นรึ เจ้ากำลังบอกข้าให้เชื่อว่าที่เธอทำจนพิการไม่เพียงแค่คนเดียวแต่ถึงสองคนติดต่อกันนั้นเป็นอุบัติเหตุงั้นรึ”
“แม้ว่าศิษย์ของข้าจะมีพรสวรรค์เหนือกว่าคนอื่นอยู่บ้าง แต่เธอก็มีปัญหาในการควบคุมแรง ข้าจักชดเชยความสูญเสียให้เจ้าในภายหลัง” กูกว่านถิงพูดอย่างใจเย็น
“ข้ามิต้องการ—”
“ผู้นำนิกายฟูกวาน โปรดส่งศิษย์คนถัดไปของเจ้าออกมา” ซื่อตงตัดบทอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วในเมื่อเขาไม่ต้องการทำให้การแข่งขันนี้ล่าช้าไปมากกว่านี้
ฟูกวานกัดฟันกรอดและหันไปมองศิษย์ของตนเอง “ใครต้องการไปเป็นคนถัดไป” เขาถามทุกคน
“..”
อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครสักคนยกมือแม้จะผ่านไปหลายวินาที ราวกับว่าพวกเขากลัวที่จะเผชิญหน้ากับหงอวี้เอ๋อร์หลังจากที่ได้รับรู้การกระทำอันโหดร้ายของเธอ
เมื่อเห็นเช่นนี้ ร่างของฟูกวานก็สั่นสะท้านไปด้วยความโกรธ
แต่ก่อนที่เขาจะได้พูด สุดท้ายก็มีคนที่ยกมือขึ้น
“ข้าจักขึ้นไปบนเวที”
ฟูกวางขมวดคิ้วเมื่อรู้ว่าใครที่เป็นคนพูดจึงกล่าวว่า “เจ้าเป็นคนเดียวในที่นี้ที่เข้าถึงเขตปฐพีวิญญาณ เจ้ามั่นใจรึว่าเจ้าต้องการจะสูญเสียพละกำลังในตอนนี้”
“หญิงสาวคนนั้นดูขัดตา ข้ามีความรู้สึกว่ามิมีใครในที่นี้จักสามารถเอาชนะเธอได้”
“ข้าสามารถบอกได้เช่นกันว่าเธอซ่อนความสามารถมากกว่าที่แสดงออกมานี้ อย่างไรก็ตามนั้นทำให้ยิ่งมีความสำคัญสำหรับเจ้าที่จะต้องรักษาเรี่ยวแรงเอาไว้ใช้ในเวลาที่เหมาะสม ต่อให้คนอื่นไม่สามารถล้มเธอได้ อย่างน้อยพวกเขาก็จะได้ทำให้เธออ่อนล้า” ฟูกวางกล่าวกับเขา “เรายังมีศิษย์คนอื่นเหลือถ้าพวกเขาไม่สามารถเอาชนะเธอได้ในตอนนั้น ข้าจักให้เจ้าขึ้นไปบนเวที”
ศิษย์คนนั้นพยักหน้าและก้าวถอยไป
จากนั้นฟูกวางก็ชี้มือไปยังศิษย์คนหนึ่งและกล่าวว่า “ขึ้นไปบนเวที”
“ขอรับ ผู้นำนิกาย…” แม้ว่าเขาจะรู้สึกขมขื่นใจ ศิษย์คนนั้นก็ยังก้าวขึ้นไปยังสนามประลองอย่างลังเล
“เริ่ม”
ซื่อตงเริ่มการแข่งขันไม่นานหลังจากนั้น
วินาทีที่การแข่งขันเริ่มขึ้น หงอวี้เอ๋อร์ก็พุ่งตัวเข้าไปหาศิษย์คนนั้นซึ่งไม่คาดคิดว่าเธอจะพุ่งเข้ามาหาอย่างทันควันจึงก้าวถอยไปด้านหลัง
และในเมื่อเธอถูกห้ามไม่ให้ทำให้อีกฝ่ายพิการ หงอวี้เอ๋อร์จึงไม่ได้ใช้กระบี่ของเธอในรอบนี้ ใช้แต่เพียงมือเปล่าเท่านั้น
แน่นอนว่าถึงแม้จะไม่ได้ใช้อาวุธ หงอวี้เอ๋อร์ก็ยังเหนือกว่าศิษย์ที่น่าสงสารจากนิกายล้านอสรพิษนั้นได้อย่างง่ายดาย ทุบตีอีกฝ่ายจนกระทั่งเขาร้องขอความเมตตา
“ได้โปรดเมตตาข้าด้วย”
“ถ้าเจ้ามีแรงที่จะพูด เจ้าควรพูดยอมแพ้” หงอวี้เอ๋อร์กล่าวขณะที่เธอชกศิษย์คนนั้นอีกสองสามหมัด
“ผู้นำนิกายของข้าคงจักฆ่าข้าถ้าข้าทำเช่นนั้น ข้ายอมให้เจ้าทุบตีข้าจนหมดสติดีกว่าที่จะยอมแพ้” ศิษย์คนนั้นกล่าว
“เช่นนั้นข้าก็จักทุบตีเจ้าจนกว่าเจ้าจะยอมแพ้หรือสิ้นสติ” หงอวี้เอ๋อร์เริ่มทุบตีอีกฝ่ายหนักกว่าเดิมหลังจากที่พูดคำเหล่านั้น
“อา ข้าได้ทำอะไรที่เป็นการล่วงเกินท่านนางฟ้ารึ ทำไมเจ้าจึงทำกับข้าเช่นนี้”
ศิษย์คนนั้นถามเธอด้วยสีหน้ากำลังร้องไห้
“ฮึ่ม”
อย่างไรก็ตาม หงอวี้เอ๋อร์เพียงแค่แค่นเสียงตอบและทุบตีศิษย์จากนิกายล้านอสรพิษต่อไป
“….”
ผู้ชมต่างพากันตกตะลึงกับความโหดร้ายของหงอวี้เอ๋อร์ บางคนถึงกับต้องหันหน้าหนีจากเวที แน่นอนว่าขณะที่บางคนกำลังหวาดกลัวหงอวี้เอ๋อร์ ก็ยังมีอีกหลายคนยิ่งกว่าที่ประทับใจในความแข็งแกร่งของเธอในตอนนี้กระทั่งเห็นว่านี่ช่างเฉิดฉาย
“สวรรค์ นางฟ้าคนนี้มิเพียงแต่สวยแต่อันตรายเป็นบ้าด้วยเช่นกัน นิกายล้านอสรพิษทำอะไรถึงไปล่วงเกินเธอได้”
“มิว่าอะไรก็ตามที่พวกเขาทำ มิมีปัญหาเลยที่จะพูดว่าพวกเขาแตะเกล็ดย้อนของเธอเข้า”
“เธอเหมือนกับเทพีแห่งสงคราม ร้ายกาจและไร้ความปรานี”
ไม่เพียงแต่ผู้ชม แต่กระทั่งซูหยางและคนรอบกายของเขาก็ยังงงงันไปกับหงอวี้เอ๋อร์
“ศิษย์พี่ชาย… คู่หมั้นของท่าน… ช่างเป็นประเภทที่น่ากลัวนัก… “ ซุนจิงจิงกล่าวกับเขาด้วยตาเบิกกว้าง
ซูหยางยิ้มอย่างขมขื่นและกล่าวว่า “ข้าก็มิรู้ว่าเธอจะเป็นเช่นนี้เช่นกัน… แต่เธอทำให้ข้านึกถึงใครบางคน”
ถ้าเขาต้องแต่งงานกับสาวสวยร้ายกาจคนนี้ ใครจะรู้ว่าเขาจะรอดพ้นผ่านคืนแรกที่อยู่ร่วมกันได้หรือไม่
ผู้เขียน : ซูหยางเจอคนคุมแล้วสิ 555 แม่มาแล้ว
“แต่พี่สาวอวี้เอ๋อร์ที่ข้ารู้จักปกติมิเป็นเช่นนี้…” ซูหยินพลันพูดด้วยท่าทางเป็นกังวล “เธอดูเหมือนจะโกรธอะไรบางอย่าง และเธอก็เอาไปลงกับนิกายล้านอสรพิษ”
ในเวลานั้นใกล้กับเวที ฟูกวานก็จ้องมองหงอวี้เอ๋อร์ด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดแดง
จากนั้นเขาก็หันไปมองศิษย์คนอื่นและกล่าวว่า “ข้ามิสนใจบทลงโทษหนึ่งล้านก้อนหินวิญญาณ ข้าต้องการให้เธอกลายเป็นคนพิการนับจากวันนี้เป็นต้นไป พวกเจ้าได้ยินข้าหรือไม่”
“ขอรับ ท่านผู้นำนิกาย”
แม้ว่าศิษย์ส่วนใหญ่จะรู้ว่าเป็นไปไม่ได้สำหรับพวกเขาในการทำหงอวี้เอ๋อร์บาดเจ็บ อย่าว่าแต่จะทำให้เธอพิการ พวกเขาต่างพากันพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจ
หลังจากนั้น ศิษย์อีกคนจากนิกายล้านอสรพิษก็หมดสติหลังจากที่ถูกทุบตีจากหงอวี้เอ๋อร์
“หงอวี้เอ๋อร์คนนี้… เธอโหดร้ายเกินไปสำหรับคนที่อ่อนโยนเหมือนกับซูหยาง ข้าเกรงว่าเธออาจะฆ่าเขาในตอนที่เขาหลับ ถ้าเขาทำให้เธอไม่พึงใจแม้เพียงน้อยนิด” ซีซิงฟางส่ายหน้า
เจ้าซีเพียงแค่มองดูเธอพร้อมกับเลิกคิ้ว แต่ในหัวของเขานั้นกำลังคิดว่าพวกเขาสองคนนั้นจับคู่กันได้เหมาะมาก แน่นอนว่าเขากลัวว่าซีซิงฟางจะทุบตีเขาเหมือนกับหงอวี้เอ๋อร์ทุบตีคู่ต่อสู้ ถ้าเขาพูดออกไปเสียงดัง
“ถ้าเพียงแต่เจ้าได้ไปอยู่ที่นั่นและเห็นเขาพรากชีวิตของผู้อาวุโสเหริน” เขาแอบถอนใจ
DC บทที่ 373: ระบำกระบี่อันตรธาน
“เกิดอะไรขึ้นเหรอพี่ชาย มีอะไรผิดปกติกับเพลงกระบี่ของพี่สาวอวี้เอ๋อร์รึ” ซูหยิน*ตกตะลึงเมื่อซูหยางพลันยืนขึ้นและตะโกนออกมา
ผู้แปล: * ต้นฉบับใช้ Yu Qin ซึ่งเป็นตัวละครที่ไม่มีที่มาที่ไป ในขณะที่ในคำพูดใช้คำว่า พี่ชาย ซึ่งมีคนเดียวที่เรียกเขาอย่างนี้ในนี้ ดังนั้นจึงขอใช้ Su Yin แทน
แม้กระทั่งบรรดาศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ยังงงงันเมื่อเห็นซูหยางทำท่าทางประหลาดใจถึงเช่นนั้น อะไรที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน
“เพลงกระบี่ของเธอ… มันเรียกว่า ระบำกระบี่อันตรธาน เป็นวิชากระบี่สำหรับการรบพุ่ง” ซูหยางพึมพัม
“ระบำกระบี่อันตรธานรึ มิเคยได้ยินมาก่อนเลย” ซูหยินกล่าว
เป็นเรื่องธรรมดาที่ซูหยินไม่รู้จักระบำกระบี่อันตรธานในเมื่อมันเป็นวิชาที่ไม่ได้มีต้นกำเนิดมาจากโลกนี้ ตามความเป็นจริงแล้วนอกจากซูหยางก็มีอีกเพียงแค่สองคนที่รู้จักวิชานี้ แต่ไม่มีใครในนั้นที่จะสามารถถ่ายทอดวิชานี้อีก ในเมื่อทั้งคู่นั้นสิ้นชีพไปนานแล้ว
“แม้ว่านี่จะไม่ใช่วิชาเดียวกันเสียทีเดียว แต่ก็เห็นได้ชัดว่ามันสร้างมาจากวิชานั้น เหมือนกับว่าเป็นฉบับปรับปรุง…” ซูหยางครุ่นคิดว่าหงอวี้เอ๋อร์ได้วิชารำกระบี่อันตรฐานมาได้อย่างไร
“มีอะไรพิเศษสำหรับวิชากระบี่นี้รึ ดูจากปฏิกิริยาของเจ้า ดูเหมือนว่ามันไม่ใช่อะไรที่ธรรมดา” โหลวหลานจีถามเขาด้วยท่าทางสนใจ เธอต้องการที่จะรู้ว่าเหตุใดจึงทำให้ซูหยางมีท่าทางเช่นนั้น
“มันเป็น…. มันเป็นวิชากระบี่ที่งดงามเสียจนกระทั่งจับใจข้า” ซูหยางกล่าวด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความรู้สึกจริงจัง
ในเวลานั้นใกล้กับเวที ซื่อตงอธิบายสถานการณ์ให้กับเจ้าซี และซีซิงฟาง ซึ่งต่างพากันประหลาดใจหลังจากที่ได้ยินชื่อของเธอ
“หง…. ท่านเพิ่งพูดว่าหงอวี้เอ๋อร์งั้นรึ” ซีซิงฟางถาม “ตระกูลหงนั้นงั้นรึ”
“ถูกต้องแล้ว เธอเป็นลูกสาวของตระกูลหง “นั่น” “ ซื่อตงพยักหน้าอย่างเป็นกังวลหลังจากที่รู้สึกถึงความไม่พอใจมาจากซีซิงฟาง
เจ้าซีมองดูซีซิงฟางด้วยหางตาและแอบถอนหายใจ
“หงอวี้เอ๋อร์…. คู่หมั้นของซูหยางก่อนที่เขาจะเข้าร่วมนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย…” เขาคิดในใจ
ในเมื่อพวกเขาค้นคว้าชีวประวัติของซูหยาง มันเป็นเรื่องปกติสำหรับพวกเขาที่จะรู้ถึงตัวตนของเธอ
“เช่นนั้นพวกเราควรจะทำอะไรกับอุบัติเหตุครั้งนี้ดี ท่านเจ้า” ซื่อตงถามเขาหลังจากนั้น “นิกายล้านอสรพิษต้องการคำอธิบาย”
“….”
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ เจ้าซีก็กล่าวขึ้นว่า “มันเป็นเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด แต่อุบัติเหตุย่อมเกิดขึ้นได้ ใช่ว่าเธอได้ฆ่าเขาเสียเมื่อไหร่ เขาจะไม่เป็นไร”
“เขาจะไม่เป็นไรงั้นรึ” ซื่อตงเลิกคิ้ว เขาไม่อาจจินตนาการได้ว่าผู้ชายจะไม่เป็นอะไรได้อย่างไรถ้าหากพวกเขาสูญเสียสัญลักษณ์ความเป็นชายที่ทำให้พวกเขาได้เป็นผู้ชาย
ต่อจากนั้นหลังจากซื่อตงอธิบายสถานการณ์ให้กับเจ้านิกายของนิกายล้านอสรพิษแล้ว พวกเขาก็ดำเนินการแข่งขันต่อ
“ข้าต้องขออภัยสำหรับความล่าช้า แต่การแข่งขันกลับมาเป็นปกติแล้วในตอนนี้” ซื่อตงประกาศต่อผู้ชม
“อย่าฆ่าเธอ แต่ข้าต้องการแขนหรือขาข้างหนึ่งจากเธอ” ฟูกวางกล่าวกับผู้เข้าร่วมการแข่งขันคนถัดไปด้วยหน้าตาโกรธแค้น
อย่ากังวลท่านผู้นำนิกาย ข้าจักแก้แค้นให้กับศิษย์ร่วมนิกายเอง”
ไม่นานหลังจากนั้น ชายร่างสูงที่มีแรงกดดันรุนแรงและหอกยาวก็มายืนต่อหน้าหงอวี้เอ๋อร์
“เจ้าทำดีมากกับศิษย์น้องของข้าเมื่อกี้นี้ นังเด็กชั่ว” เขาจ้องไปที่เธอ
“เจ้าก็ต้องการการดูแลแบบเดียวกันด้วยรึ” หงอวี้เอ๋อร์กล่าวด้วยเสียงเรียบเฉยเย็นชา
“เจ้าสามารถลองดูได้ แต่จงรู้ไว้ว่านั่นอาจจะทำให้เจ้าเสียแขนหรือไม่ก็ขา” ศิษย์คนนั้นกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว
“การต่อสู้เริ่มขึ้นแล้ว” ซื่อตงประกาศไม่นานหลังจากนั้น
“งูม่วงพิฆาต” ศิษย์คนนั้นแทงหอกออกในวินาทีที่การแข่งขันเริ่มต้นบังเกิดเป็นภาพของงูยักษ์สีม่วงพุ่งเข้าหาหงอวี้เอ๋อร์ด้วยความเร็วสูง
“น่าเบื่อจริง”
ประกายเย็นเยียบวาบอยู่ภายในดวงตาของหงอวี้เอ๋อร์ และกระบี่ข้างกายของเธอก็สั่นสะท้าน
“ระบำกระบี่อันตรธาน แรกระบำตัดผ่า”
วินาทีถัดไป งูยักษ์สีม่วงที่กำลังพุ่งเข้าหาเธอก็แยกออกเป็นสองส่วน
“เป็นไปไม่ได้” ดวงตาของศิษย์คนนั้นเบิกกว้างด้วยความตระหนกขณะที่เขามองวิชาระดับปฐพีของตนเองหายไป
แต่ทว่าหงอวี้เอ๋อร์ยังไม่ได้จบแค่นั้น
“ระบำกระบี่อันตรธาน ระบำท่าที่สองแลบแปลบปลาบ”
กระบี่ข้างกายของเธอหายไปในทันที และการโจมตีที่เกือบมองไม่เห็นก็พุ่งเข้าหาศิษย์คนนั้นด้วยความเร็วราวกับแสง
“อาาาา”
ศิษย์นิกายล้านอสรพิษคนนี้พลันล้มลงกับพื้นเหมือนกับศิษย์คนก่อนและกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดในเมื่อแขนของเขาข้างหนึ่งกลิ้งอยู่ห่างจากตัวเขาไม่กี่เมตร
“นังชั่วนี้เป็นใครกัน” ฟูกวางกัดฟันขณะที่เขามองดูศิษย์ของตนเองบิดร่างไปมาด้วยความเจ็บปวดบนเวที
อย่างไรก็ตามไม่ว่าเขาจะครุ่นคิดมากเพียงใด เขาก็ไม่อาจจะนึกออกว่าทำไมหงอวี้เอ๋อร์จึงช่างโหดร้ายไร้ความปรานีต่อศิษย์ของพวกเขา เหมือนราวกับว่าเธอมีความแค้นกับพวกเขา
“ห-หมอ” ซื่อตงที่ยืนอยู่ตรงนั้นเหม่อมองอย่างเงียบๆไปชั่วขณะก่อนที่จะตะโกนหาหมออีกครั้ง
“บ้าแล้ว นางฟ้าคนนี้ช่างเป็นคนโหดร้าย” ผู้ชมต่างพากันตระหนกกับการโจมตีอย่างเด็ดขาดของหงอวี้เอ๋อร์
“ตราบเท่าที่เธอมิฆ่าเขา พวกเธอมิต้องจ่ายหินวิญญาณ ช่างเป็นความคิดที่หลักแหลม”
“แต่การกระทำของเธอแน่นอนว่าต้องล่วงเกินนิกายล้านอสรพิษ เธอกำลังคิดอะไรอยู่ ทำไมเธอจึงทำเช่นนี้”
ในขณะที่ผู้ชมต่างพากันคาดเดา ซื่อตงก็รอให้เจ้าซีมีคำตอบกับสถานการณ์นี้อย่างเงียบๆ
“ท่านคิดว่าเธอทำเช่นนี้เพื่อซูหยางเพราะความบาดหมางของเขากับนิกายล้านอสรพิษหรือไม่” ซีซิงฟางพึมพัม
“นี่ย่อมเป็นปัญหาแน่ ถ้าเธอเป็น…”
เจ้าซีนวดขมับและพูดขึ้นว่า “สูญเสียแขนขาก็เหมือนกับสิ้นชีวิตสำหรับผู้ฝึกยุทธ ข้ามิอาจยอมให้เธอล่วงเกินนิกายล้านอสรพิษแบบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมื่อเธอมีความเกี่ยวข้องกับซูหยาง”
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ เขาก็พูดต่อว่า “หนึ่งล้านก้อนหินวิญญาณ นั่นคือการลงโทษสำหรับการทำให้เกิดการบาดเจ็บจนถึงขั้นพิการ เริ่มตั้งแต่ตอนนี้”
ซื่อตงพยักหน้าและทำการประกาศกฏใหม่นี้ให้กับทุกคน
“ศ-ศิษย์หง เจ้าคิดว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่ เจ้ามิโหดร้ายเกินไปหน่อยหรือสำหรับพวกเขา ถึงแม้ว่าพวกเขาจะหยาบคายกับศิษย์ของพวกเราอยู่บ้างเล็กน้อย แต่การทำให้พวกเขาพิการนั้นค่อนข้าง…” เจ้าสำนักเมฆม่วงอดไม่ได้ที่จะกังวลต่อตัวเธอและสำนัก
“ต่อให้เจ้ามาจากตระกูลหง เราก็มิอาจจะพยายามไปล่วงเกินนิกายล้านอสรพิษได้”
“อย่ากังวลท่านเจ้าสำนัก ข้ารู้ว่าข้ากำลังทำอะไร” หงอวี้เอ๋อร์กล่าวกับเขาอย่างเยือกเย็นก่อนที่จะกลับไปยังเวทีสำหรับการแข่งขันครั้งต่อไป
DC บทที่ 372: เป็นไปไม่ได้
“เนื่องมาจากสถานการณ์บางอย่าง ข้าได้สูญเสียความทรงจำทั้งหมดไปก่อนที่จะได้มาเป็นศิษย์ที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย และเพียงมินานมานี้ที่ข้าได้ฟื้นคืนความทรงจำเหล่านี้ และถึงแม้ว่าข้ามีคู่หมั้นอยู่จริง ทั้งหมดนี้ก็ตัดสินโดยตระกูลที่ข้ามิได้มีส่วนเกี่ยวข้องอีกต่อไป ดังนั้นพวกเราจึงมิได้มีความสัมพันธ์กันอีกต่อไปแล้ว ตามจริงพวกเราก็มิเคยพูดคุยกันอย่างจริงจังมาก่อน” ซูหยางอธิบายสถานการณ์ให้คนรอบตัวเขาฟังอย่างใจเย็น ซึ่งต่างก็มีท่าทางแตกต่างกันไปตั้งแต่สงสัยไปจนถึงประหลาดใจ
“โอ ใช่แล้ว… ข้าเกือบลืมเรื่องนี้ไปแล้ว…” โหลวหลานจีแสดงรอยยิ้มขื่นขมหลังจากที่นึกถึงว่าเธอต้องซ่อนความจริงนี้ไว้
“เมื่อมาคิดว่าศิษย์พี่ชายของพวกเราต้องประสบกับโรคความจำเสื่อม*ก่อนที่เขาจะกลายเป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ถ้าเขาไม่ได้บอกพวกเราเรื่องนี้ ข้าก็คงไม่รู้เรื่องนี้ได้ด้วยตนเองต่อให้ผ่านไปร้อยปี” ซุนจิงจิงแสดงท่าทางงุนงง
ผู้แปล: * ต้นฉบับใช้คำว่า anemia (โรคโลหิตจาง) ซึ่งดูไม่เข้ากับเรื่อง ดังนั้นผมจึงคิดว่าผู้เขียนอาจจะต้องการสื่อถึง amnesia (ความจำเสื่อม) จึงขอดัดแปลงต้นฉบับเล็กน้อย
ฟางซีหลานพยักหน้าและกล่าวว่า “เห็นชัดว่าเขาไม่ได้มีท่าทางเหมือนคนที่เป็นโรคความจำเสื่อม*”
ผู้แปล: * เช่นเดียวกับข้างบน
“เห็นด้วย เฉพาะกลเม็ดบนเตียงของเขาก็ทำให้ร้องครางเป็นประสบการณ์หลายสิบปีแล้ว” ซุนจิงจิงพึมพัมออกมาเสียงดัง
“…”
คำพูดของเธอพลันทำให้ผู้คนรอบตัวเธอมองดูเธอด้วยดวงตาเบิกกว้าง ดูเหมือนว่าไม่อยากจะเชื่อในความหน้าด้านของเธอ
“จะว่าไปเด็กหญิงที่ยืนอยู่บนเวทีในตอนนี้ดูเหมือนจะแตกต่างจากตอนที่ข้าจำเธอได้ไปอยู่บ้าง ราวกับว่าข้ากำลังมองไปยังคนอีกคน กระทั่งพลังการฝึกปรือของเธอก็…” ซูหยางพูดออกมาด้วยความสับสน
“นับเวลาเป็นปีแล้วนับตั้งแต่พี่ได้เห็นเธอ เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเธอที่จะดูเปลี่ยนไป” ซูหยินกล่าว
“อืมมมมม… “ หลังจากครุ่นคิดไปชั่วขณะ ซูหยางก็พูดขึ้นว่า “อย่างไรก็ตามนั่นก็เป็นเรื่องราวของข้า เราเคยหมั้นหมายกัน แต่ก็มิได้เป็นเช่นนั้นอีกต่อไปแล้ว ข้ามั่นใจว่าเธอก็คงรู้สึกในทำนองเดียวกัน”
“ข้ามิมั่นใจในเรื่องนั้น พี่ชาย” ซูหยินพลันกล่าวขึ้น
“เจ้าหมายความว่าอะไรเช่นนั้น” ซูหยางเลิกคิ้วด้วยท่าทางงุนงง
“นับตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่พี่ไปเยี่ยมพวกเรา พี่สาวอวี้เอ๋อร์ก็เริ่มแวะเวียนไปที่พวกเราบ่อยขึ้นและเธอก็จะถามพวกเราว่ามีข่าวของพี่ชายบ้างไหมอยู่เสมอ ถ้าให้ข้าเดา ข้าคิดว่าเธอกังวลเกี่ยวกับพี่”
“เป็นไปได้อย่างไรกัน เรายากที่จะพูดคุยกัน และจากความทรงจำของข้า เธอจะมองดูข้าด้วยท่าทางสะอิดสะเอียนเสมอ ราวกับว่าความคิดที่จะอยู่กับข้านั้นจะทำให้เธออาเจียน”
“ข้ามิรู้ว่าจะพูดอะไรดี พี่ชาย ทำไมท่านไม่ไปพูดกับเธอด้วยตัวเอง” ซูหยินถามเขา
“ข้าได้สลัดช่วงชีวิตก่อนที่จะเข้านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยทิ้งไปแล้ว ทุกสิ่งที่ได้เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น… ข้ามิมีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับมันอีก” ซูหยางส่ายหน้า
ชีวิตที่เขาไม่ได้ดำเนินการไปด้วยตนเอง ทางที่ดีเขาควรจะทิ้งมันไว้เบื้องหลัง และเป็นโชคดีสำหรับเขาที่ไม่มีความผูกพันอย่างจริงจังติดมาด้วยจากชีวิตนั้น
“อย่างไรก็ตาม ถ้าเธอมาหาข้า นั่นก็จะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง” เขากล่าวต่อ
ขณะที่ซูหยางพูดถึงเรื่องราวของตนเอง การแข่งขันรอบสุดท้ายของวันนี้ก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว
หลังจากที่เขาได้อธิบายเสร็จสิ้นแล้ว สำนักเมฆม่วงก็ได้อยู่ที่ขอบเหวของความพ่ายแพ้เมื่อมีผู้เข้าร่วมการแข่งขันเหลืออยู่เพียงสองคน
“โอ และนั่นก็คือศิษย์อีกคนหนึ่งของสำนักเมฆม่วง ในเวลานี้นิกายล้านอสรพิษยังคงมีศิษย์เหลืออยู่อีกเจ็ดคนที่ยังสามารถต่อสู้ได้ แม้ว่าข้าเกลียดที่จะประกาศผลก่อนถึงจุดจบจริงๆ แต่โอกาสที่สำนักเมฆม่วงจะกลับมาหากเป็นเช่นนี้ต่อไปนั้นเกือบเป็นไปไม่ได้” ซื่อตงแสดงความคิดเห็นของตนเองต่อผู้ชม
“อย่างไรก็ตามหากมองไปยังฝั่งสำนักเมฆม่วง พวกเขาไม่มีใครที่ดูเหมือนพ่ายแพ้ อันที่จริงแล้วพวกเขายิ้มอยู่จริงๆ พวกเขาได้ยอมแพ้ไปแล้วหรือไงหรือว่ายังมีเหตุผลอื่นที่ทำไมพวกเขาทั้งหมดจึงยังคงยิ้มอยู่ในตอนนี้”
แม้ว่าสำนักเมฆม่วงจะลดจำนวนลงเหลือศิษย์เพียงแค่หนึ่งคนในขณะที่คู่แข่งของพวกเขายังคงมีศิษย์เหลืออีกเจ็ดคนที่สามารถขึ้นไปบนเวที แต่ก็ไม่มีศิษย์คนไหนท้อใจ พวกเขาทั้งหมดยังคงยิ้มราวกับว่าพวกเขามีความมั่นใจว่าพวกเขาจะชนะ
“ศิษย์หง ตาเจ้าแล้ว” เจ้าสำนักเมฆม่วงหันไปมองดูใบหน้าสวยของเธอและกล่าวขึ้น
หงอวี้เอ๋อร์พยักหน้าและตรงไปที่เวที
“ท่านสามารถทำได้ ศิษย์พี่หญิงหง”
“ถล่มพวกนั้นให้กับพวกเรา”
ศิษย์ร่วมสำนักของเธอต่างพากันส่งเสียงเชียร์เธอ
ก่อนที่จะเข้าไปในพื้นที่ต่อสู้ หงอวี้เอ๋อร์ได้หยิบกระบี่ธรรมดาจากซื่อตง
ไม่นานหลังจากนั้น หงอวี้เอ๋อร์ก็ยืนอยู่ตรงหน้าคู่ต่อสู้อย่างเยือกเย็น ซึ่งอีกฝ่ายนั้นได้อยู่ที่ระดับสูงสุดของเขตสัมมาวิญญาณ
“เฮ้ คนสวย ทำไมพวกเรามิมาตกลงกันล่ะ ถ้าเจ้าสัญญาที่จะมอบความสนุกให้กับข้าหลังจากนี้ ข้าจักยอมให้เจ้าทุบตีข้าและให้เจ้ามีหน้ามีตา” ศิษย์จากนิกายล้านอสรพิษกล่าว
“…”
อย่างไรก็ตามหงอวี้เอ๋อร์ยังคงนิ่งเฉยทั้งที่ได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย
“เช่นนั้นอย่ากล่าวหาข้าสำหรับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น”
ใบหน้าของศิษย์คนนั้นพลันควันขึ้น(โกรธ) หลังจากที่เธอไม่ให้ความสนใจ
“เริ่ม” ซื่อตงเริ่มการแข่งขันไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น
ทันทีที่การแข่งขันเริ่มขึ้น ประกายอันหนาวเหน็บลึกล้ำก็ปรากฏวาบภายในดวงตาของหงอวี้เอ๋อร์
“อาาาาาาา”
คู่ต่อสู้ของเธอที่กำลังยืนอยู่ห่างออกไปนับสิบเมตรพลันทรุดตัวลงกับพื้นขณะที่กุมพื้นที่บริเวณหว่างขาไว้แน่น
“เอ๋ เจ้าเป็นอะไรไหม” ซื่อตงงงงันในตอนแรก
จนกระทั่งเขาได้สังเกตเห็นว่ากางเกงของอีกฝ่ายนั้นชุ่มไปด้วยเลือด เขาจึงตระหนักได้ถึงสถานการณ์
“หมอ ขอหมอหนึ่งคน” ซื่อตงตะโกนดังลั่น
ไม่นานหลังจากนั้น หมอสองคนก็ปรากฏขึ้นบนเวทีและตรวจสอบอาการของชายหนุ่ม
เมื่อหมอรู้ถึงปัญหา ร่างกายของพวกเขาก็สั่นสะท้านไปด้วยความหวาดกลัว
“เกิดอะไรขึ้นกับเขา” ซื่อตงถามพวกเขา
“ต-ตอน เขาถูกตอนแล้ว” หมอคนหนึ่งอุทานออกมาด้วยเสียงหวาดผวา
“อะไรกัน” ซื่อตงพลันหันไปมองดูหงอวี้เอ๋อร์ซึ่งยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเยือกเย็นเหมือนกับว่าไม่มีธุระอะไรเกี่ยวข้องกับเธอ
“ถ้าข้าจำมิผิด หญิงสาวคนนี้ควรจะอยู่ที่ระดับสูงสุดของเขตสัมมาวิญญาณ มิมีทางที่คนที่มีการฝึกปรือระดับนั้นจะสามารถเชือดเข้าไปถึงเนื้อได้ในขณะที่อยู่ภายในค่ายกลป้องกันที่รายล้อมพื้นที่นี้อยู่ อย่าว่าแต่จะตอนเจ้าหนุ่มนั่น เธอทำสิ่งนั้นได้อย่างไร” ซื่อตงครุ่นคิดอย่างหนัก
ในเวลานั้นซูหยางก็กำลังยืนอยู่ด้วยสีหน้าตื่นตระหนกขณะที่ดวงตาของเขาจ้องมองไปที่ใบหน้าสวยของหงอวี้เอ๋อร์
“วิชากระบี่นั่น เป็นไปไม่ได้”
ผู้แปล: นานๆจะเห็นซูหยางตกใจสักครั้ง หงอวี้เอ๋อร์อยู่ที่บทที่ 139-140 นะครับ ผมเดาเอาว่าเธอน่าจะเป็นแม่ของชิวเยวี่ย เทพีจันทรา เยวี่ยไฮ เพราะจากเรื่องราวที่ผ่านมา บทที่ 70 เยวี่ยไฮ เป็นคนเดียวที่ได้ตายตามซูหยาง (เดานะครับ ไม่รู้เนื้อเรื่องเหมือนกัน)
DC บทที่ 371: คนนอกใจ
“น้องสาวของเจ้า…ช่างมีพรสวรรค์ที่น่าสะพังกลัว…” โหลวหลานจีพึมพัมด้วยดวงตาเบิกกว้าง แม้ว่าเธอได้รู้ว่าซูหยินเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ นั่นก็ยังเป็นที่น่าประหลาดใจที่ได้รับรู้ถึงพรสวรรค์ของเธอด้วยตนเอง
ไม่นานหลังจากนั้นสำนักหงส์สวรรค์ก็กลับมายังที่นั่งของตนเอง
“พี่ชายคิดว่าประสิทธิภาพของน้องเมื่อกี้นี้เป็นอย่างไรบ้าง” ซูหยินถามเขาด้วยรอยยิ้มทะเล้นบนใบหน้า
“ถือว่าค่อนข้างดีนะ” เขาตอบอย่างใจเย็น ค่อนข้างจะชื่นชมเธอ
“เยี่ยมมาก ซูหยิน” ไป่ลี่ฮัยพลันปรากฏตัวขึ้นด้านหลังเธอด้วยท่าทางพึงพอใจ “ข้ารู้ว่าเจ้าต้องไม่ทำให้โอสถสู่ปฐพีเสียเปล่า อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าจะไม่มีเม็ดยา ข้าก็มั่นใจว่าเจ้าสามารถเปล่งประกายบนเวทีได้ไม่ต่างกัน”
เพราะว่าซูหยินเป็นศิษย์ที่มีพรสวรรค์มากที่สุดในสำนักหงส์สวรรค์ มันเป็นธรรมดาที่ไป่ลี่ฮัวจะให้โอสถสู่ปฐพีที่พวกเขามีอยู่ในเวลานั้น
“อย่างไรก็ตามนิกายดอกบัวเพลิงอยู่ที่ไหน ข้าคิดว่าพวกเขาจะมาที่นี่หลังจากที่ชนะการต่อสู้” โหลวหลานจีพลันถาม
“พวกเขากลับไปยังโรงเตี๊ยมทันทีหลังจากที่จบการแข่งขันเพื่อเตรียมตัวสำหรับการต่อสู้ถัดไป พวกเขาดูเหมือนจะค่อนข้างเป็นกังวลเกี่ยวกับชัยชนะการแข่งขันระดับประเทศปีนี้ ข้าไม่โทษพวกเขา เมื่อพิจารณาจากจุดยืนของพวกเขาในปัจจุบัน พวกเขามีโอกาสสูงสุดที่จะได้รับตำแหน่งชนะเลิศในปีนี้” ไป่ลี่ฮัวกล่าว
“ถ้าข้ามีผู้เข้าร่วมแข่งขันเขตปฐพีวิญญาณมากกว่าคู่แข่งสิบกว่าคน ข้าจักมิทำท่าทางจริงจังกับการแข่งขันครั้งนี้เหมือนกับนิกายดอกบัวเพลิง” โหลวหลานจีไม่อาจเข้าใจว่าทำไมนิกายดอกบัวเพลิงจึงช่างระมัดระวังทั้งที่อยู่เหนือกว่าคนอื่นในการแข่งขันนี้ลิบลับ
“พวกเขามีความกังวลของตนเอง” ซูหยางกล้าวด้วยรอยยิ้มลึกลับบนใบหน้า
หลังจากการแข่งขันของสำนักหงส์สวรรค์ ก็มีการแข่งขันอีกเพียงไม่กี่คู่ที่เหลืออยู่สำหรับวันนี้
สองสามชั่วโมงหลังจากนั้นก็เป็นเวลาของการแข่งขันคู่สุดท้าย
“สำหรับการแข่งขันคู่สุดท้ายสำหรับวันนี้ เรามีนิกายล้านอสรพิษและคู่ต่อสู้ของเขาก็คือ สำนักเมฆม่วง”
“สำนักเมฆม่วงรึ แม้ว่าพวกเขาจะมิใช่สำนักระดับสูง แต่พวกเขาก็มีศิษย์ที่มีพรสวรรค์บางคนที่สามารถแข่งขันได้กับอัจฉริยะระดับต้นๆจากสำนักระดับสูง” ไป่ลี่ฮัวกล่าว “พวกเขาไม่เลวเลย แต่โชคร้ายที่พวกเขาพบกับสำนักล้านอสรพิษ”
เมื่อศิษย์จากนิกายล้านอสรพิษเดินขึ้นมาบนเวที ซูหยางก็หรี่ตาลง
“พวกเลว…” เขาพึมพัมพร้อมกับร่องรอยความโกรธในดวงตา
“มีอะไรรึ ซูหยาง” โหลวหลานจีถามเขาหลังจากที่สังเกตเห็นท่าทางไม่พอใจของเขา
“พวกเขาทั้งหมดถูกพิษ” เขาตอบกลับอย่างฉับพลัน
“อะไรนะ”
โหลวหลานจีและไป่ลี่ฮัวหันไปมองเขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง
“เจ้าหมายความว่าอะไรในเรื่องนั้น พวกเขาดูสุขภาพสมบูรณ์ดีสำหรับข้า” ไป่ลี่ฮัวกล่าวกับเขาหลังจากมองไปที่ศิษย์ของนิกายล้านอสรพิษ
“พวกท่านเคยได้ยินเรื่องพิษเปลี่ยนวิญญาณหรือไม่” เขาถามพวกเธอ
“พวกเธอต่างพากันส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว
“มันเป็นยาพิเศษเฉพาะชนิดหนึ่งที่ยอมให้ผู้คนได้ความแข็งแกร่งที่มากมายมหาศาลโดยการสังเวยพลังการฝึกปรือของตนเอง ครั้นเมื่อใครสักคนกินยาประเภทนี้เข้าไป พละกำลังของพวกเขาก็จะเพิ่มขึ้นอีกระดับหนึ่งเป็นเวลาสองสามวัน แต่พลังการฝึกปรือของพวกเขาก็จะค่อยสูญสลายไป ยิ่งไปกว่านั้นพลังการฝึกปรือที่สูญสลายไปของพวกเขานั้นจะไม่สามารถคืนกลับมาได้อีกถึงแม้ว่ายาตัวนี้จะหมดฤทธิ์แล้ว”
“อะไรกัน พวกเขามิกลายเป็นคนพิการหรอกรึถ้าพลังการฝึกปรือของพวกเขามิอาจเรียกคืนกลับมาได้” โหลวหลานจีปิดปากของตนเองด้วยความตระหนก
“ถ้าสิ่งที่เจ้าพูดเป็นความจริง พวกเขาก็ถือว่าผิดกฏโดยการใช้ความช่วยเหลือจากภายนอกเพิ่มพูนความแข็งแกร่งและหมดสิทธิ์ อย่างไรก็ตามถ้าเจ้าสามารถบอกออกมาได้ แน่นอนว่าเจ้าซีก็ต้องรู้ด้วยเช่นกัน ถ้าเกิดเหตุการณ์เช่นนั้น ทำไมเขาจึงไม่พูดอะไรสักอย่างล่ะ” ไป่ลี่ฮัวมีท่าทางสงสัย
“เขาไม่พูดอะไรก็เพราะว่าเขาก็เหมือนพวกท่าน ไม่รู้จักมัน อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่อะไรที่จะมองเห็นได้ด้วยดวงตา” ซูหยางส่ายหน้า
“เช่นนั้นเจ้าสามารถบอกได้อย่างไร” ไป่ลี่ฮัวขมวดคิ้ว
“ง่ายมาก ข้าได้กลิ่นมัน”
“กลิ่นรึ”
ไป่ลี่ฮัวเลิกคิ้ว เขาสามารถได้กลิ่นจากคนพวกนั้นไกลขนาดนี้ได้อย่างไร กระทั่งหมายังทำไม่ได้
“แม้ว่าจะเบาบางมาก แต่เมื่อใครสักคนกินพิษเปลี่ยนวิญญาณไป ร่างกายของพวกเขาก็จะปล่อยกลิ่นเฉพาะตัวที่ค่อนข้างหวานหอมกลิ่นดอกไม้ แน่นอนว่าถ้าท่านมิเคยมีประสบการณ์กับพิษ ท่านย่อมมิรู้จักมันแน่นอน” ซูหยางอธิบาย
“ถ้าเป็นเช่นนั้น ทำไมเจ้าจึงมิรายงานต่อตระกูลซี และทำให้พวกนั้นหมดสิทธิ์” ไป่ลี่ฮัวกล่าว
“เพราะว่าจะเพลิดเพลินกว่าในการเห็นพวกนั้นพ่ายแพ้แม้กระทั่งใช้กลเม็ดเล็กน้อยพวกนั้น” ซูหยางกล่าวด้วยรอยยิ้มลึกลับบนใบหน้า
“พ่ายแพ้งั้นรึ เจ้าคิดจริงๆรึว่านิกายล้านอสรพิษจักพ่ายแพ้ต่อสำนักเมฆม่วง ต่อให้ปราศจากการสนับสนุนของ “พิษ” นี้ นิกายล้านอสรพิษก็ชนะการแข่งขันนี้ได้อย่างง่ายดาย”
อย่างไรก็ตามซูหยางไม่ได้ตอบและเพียงแค่ยิ้ม
“หือ” ซูหยินพลันสังเกตเห็นคนคุ้นเคยบนเวทีและชี้ไปที่เธอทันที “พี่ชาย ดูนั่น หญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านหลังเจ้าสำนักเมฆม่วง นั่นเป็นพี่สาวอวี้เอ๋อร์ คู่หมั้นท่านไง”
“อะไรนะ”
ทุกคนจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยหันไปมองดูซูหยางและหญิงสาวสวยบนเวทีด้วยใบหน้าตระหนกเมื่อพวกเขาได้ยินคำว่า “คู่หมั้น”
“โอ มิน่าทำไมใบหน้าของเธอจึงช่างคุ้นเคยยามที่ข้าเห็นเธอครั้งแรก” ซูหยางประหลาดใจเป็นอันมากเมื่อรู้ว่าคู่หมั้นของเขาก็เข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้เช่นกัน ถ้าซูหยินไม่เตือนเขา เขาคงจดจำไม่ได้
“ซ-ซูหยาง… เจ้ามีคู่หมั้นเรอะ” โหลวหลานจีตกใจไปถึงแก่นเมื่อรู้ข่าวนี้ เมื่อมาคิดว่าเธอหลับนอนกับชายที่มีคู่หมั้นแล้วทั้งยังสนุกไปกับมันด้วย
“เป็นเช่นนั้นจริง” เขายักไหล่
“เจ้าเข้าร่วมกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเมื่อเจ้ามีคู่หมั้นเรียบร้อยแล้วงั้นรึ เจ้าคนนอกใจ…” ไป่ลี่ฮัวไร้คำพูด
“ใจเย็นๆ อย่ามองดูข้าเหมือนกับว่าข้าเป็นคนบาปทั้งที่ไม่รู้เรื่องราวทั้งหมด” ซูหยางขมวดคิ้วหลังจากที่เห็นไป่ลี่ฮัวมองดูเขาด้วยท่าทางขยะแขยง
DC บทที่ 370: อัจฉริยะไร้เทียมทาน ซูหยิน
“สำนักอินทรีทองได้ส่งเหยาชางซึ่งอยู่ที่ระดับห้าเขตสัมมาวิญญาณออกมา” สือตงประกาศ
ไม่นานหลังจากนั้นก็เห็นร่างเล็กเดินขึ้นไปบนเวทีและสือตงก็พูดด้วยความตื่นเต้น “สำนักหงส์สวรรค์ได้ตัดสินใจส่งศิษย์คนเล็กที่สุด ซูหยิน ซึ่งก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลใหญ่ทั้งสี่ ในขณะที่มีอายุได้สิบห้าปี เธอได้เข้าสู่จุดสูงสุดของเขตสัมมาวิญญาณ สมกับเป็นอัจฉริยะของตระกูลซู”
“ซูหยินของตระกูลซูงั้นรึ…” ซีซิงฟางเลิกคิ้ว “เธอเป็นน้องสาวของซูหยางงั้นรึ สมกับเป็นคนที่มีความสัมพันธ์กับเขา พรสวรรค์ของเธอค่อนข้างน่ากลัว ถึงกระทั่งก้าวหน้าเกินกว่าข้าถ้ามิใช่เพราะร่างสวรรค์ของข้า”
“ยาศักดิ์สิทธิ์ประเภทไหนกันที่พวกเขาใช้เลี้ยงดูเด็กหญิงคนนี้ เธอเพิ่งจะเข้าสู่เขตสัมมาวิญญาณเมื่อหนึ่งปีก่อน” เจ้าซีก็มีท่าทีประหลาดใจเช่นกัน
อย่างไรก็ตามหลังจากที่ดูซูหยินชั่วขณะ เจ้าซีก็สังเกตเห็นแววของพลังที่อยู่ภายในตัวเธอที่ควรจะเป็นของเขตปฐพีวิญญาณ
“เธอได้ก้าวข้ามผ่านเขตสัมมาวิญญาณสำเร็จเขตปฐพีวิญญาณไปเรียบร้อยแล้ว”
“ข้าเข้าสู่เขตปฐพีวิญญาณตอนที่ข้าอายุสิบหกปี และนั่นส่วนใหญ่ก็เป็นเพราะร่างสวรรค์ของข้าที่ยอมให้ข้าดูดกลืนปราณไร้ลักษณ์รวดเร็วกว่าผู้ฝึกยุทธทั่วไป สำหรับการที่เธอได้สำเร็จสิ่งนี้โดยไม่มีร่างศักดิ์สิทธิ์ ต่อให้เธอไม่มีความสัมพันธ์กับเขา ข้าก็อดไม่ได้ที่จะอิจฉาเธออยู่บ้าง…” ซีซิงฟางแอบถอนหายใจขณะที่เธอมองดูร่างของซูหยินระเบิดพลังออกมาและน็อคคู่ต่อสู้หมดสติไปอย่างง่ายดาย
“วิชาที่ซูหยินใช้เมื่อกี้ช่างที่ทรงพลังจริงๆ มันระเบิดพลังในทันทีน็อคเหยาชางหมดสติไปแม้ว่าจะใช้วิชาป้องกัน ถ้าให้ข้าเดานั่นต้องเป็นวิชาระดับอัมพร” สือตงตะโกนด้วยความตื่นเต้น
“แสดงวิชาระดับอัมพรได้อย่างหมดจดตั้งแต่อายุยังน้อย อนาคตของเธอไร้ขีดจำกัด”
“วิชานั้นชื่อว่าอะไรรึ ช่างมีอำนาจทำลายล้างเหลือเกิน”
“สมกับเป็นอัจฉริยะหมายเลขหนึ่งของตระกูลซู ตราบเท่าที่พวกเขามีเธออยู่ในตระกูล พวกเขาย่อมกลายเป็นสุดยอดของสี่ตระกูลใหญ่ได้อย่างง่ายดาย”
ผู้ชมต่างพากันตะโกนชื่นชมซูหยินและตระกูลซูหลังจากที่ได้ประจักษ์ถึงความเป็นอัจฉริยะของซูหยินและการแสดงวิชาของเธอ
หลังจากชนะรอบแรก ซูหยินก็หันไปทางซูหยางและโบกมือให้กับเขาด้วยรอยยิ้มสดใสบนใบหน้า
“เจ้าคิดยังไง นั่นใช้เวลาเธอเพียงแค่อาทิตย์เดียวในการเชี่ยวชาญรูปแบบที่สองของเจ็ดรูปแบบศักดิ์สิทธิ์ถึงขั้นนี้” ไป่ลี่ฮัวมองดูเขาจากเวทีด้วยความพึงใจบนใบหน้าและกล่าวกับเขาโดยใช้สัมผัสวิญญาณ ทำท่าเหมือนกับว่านี่เป็นความสำเร็จของเธอเอง
“ข้าเห็นว่าก็พอใช้ได้” ซูหยางตอบด้วยท่าทางเรียบเฉย
“ฮึ่ม ชอบทำท่าเหมือนกับว่าทุกอย่างมิมีค่าให้สนใจในสายตาของเจ้า” ไป่ลี่ฮัวแค่นเสียงเย็นชาก่อนที่จะเลิกสนใจเขา
ในขณะที่ความก้าวหน้าของซูหยินอาจจะน่ามหัศจรรย์ในสายตาของผู้ฝึกวิชาในโลกนี้ แต่ก็ถือว่าเป็นเพียงแค่ระดับปานกลางในสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่
หลังจากที่ล้มคู่ต่อสู้คนแรกแล้ว ซูหยินก็ตัดสินใจที่จะอยู่ต่อบนเวทีและทำการต่อสู้ต่อรอบต่อไป
“รูปแบบศักดิ์สิทธิ์ที่สอง หมัดวังวนศักดิ์สิทธิ์”
ซูหยินต่อยหมัดออก ส่งปราณไร้ลักษณ์จำนวนมหาศาลบิดอากาศเป็นเกลียวไปยังคู่ต่อสู้ที่กำลังหวาดกลัว
โชคร้ายสำหรับคู่ต่อสู้ซูหยิน ซึ่งเพียงแค่อยู่ที่ระดับเจ็ดเขตสัมมาวิญญาณ เขาหมดทางช่วยกับการโจมตีของเธอและปลิวหมุนควงสว่านกลางอากาศอย่างควบคุมไม่ได้ออกไปจากเวทีหลังจากที่ถูกโจมตี
“ใครเป็นคนถัดไป” ซูหยินยืนอย่างภาคภูมิใจบนเวทีและตะโกนออกมาร แม้ว่าเธอเพิ่งต่อสู้กับคนที่แปดในแถว เธอก็ยังหายใจเป็นปกติ
“ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป คงมิถึงตาของพวกเราแม้สักคน…”
ศิษย์คนอื่นของสำนักหงส์สวรรค์ต่างพากันถอนใจ
“ความแตกต่างระหว่างผู้เข้าร่วมการแข่งขันระดับภูมิภาคปีนี้กว้างเหมือนกับผืนฟ้ากับแผ่นดิน ในปีก่อนเรามีเพียงแค่ผู้เข้าร่วมอย่างมากหนึ่งถึงสองคนเท่านั้นที่อยู่ในเขตปฐพีวิญญาณ อย่างไรก็ตามมีมากกว่าสิบคนในปีนี้ และเกือบทั้งหมดของพวกเขามาจากที่เดียวกัน” ซีซิงฟางเผยให้เห็นถึงรอยยิ้มขื่นขมภายใต้ผ้าคลุมหน้า
แม้ว่าเธอจะดีใจกับความสำเร็จของอัจฉริยะเหล่านี้ แต่นี่ก็ทำให้การแข่งขันปีนี้ค่อนข้างเป็นแค่การแข่งขันฝ่ายเดียวและทำให้เธอเบื่อ
“และทั้งหมดนี้มีสาเหตุมาจากโอสถสู่ปฐพี มันเกือบเหมือนโกง ไม่ มันคือการโกง”
“ใช่ อย่างไรก็ตามมิมีอะไรที่เราสามารถทำได้เกี่ยวกับเรื่องนี้ในเมื่อโอสถสู่ปฐพีปรากฏในเวลาที่ไม่ถูกต้อง บางทีการแข่งขันระดับภูมิภาคครั้งหน้าอาจจะรุนแรงขึ้นเมื่อทุกคนได้รับโอสถสู่ปฐพี” เจ้าซีพูดกับเธอ
“นิกายดอกบัวเพลิงมีผู้เข้าร่วมการแข่งขันอยู่สิบห้าคนที่ระดับปฐพีวิญญาณ นอกจากว่าสำนักอื่นมีพลังอำนาจเท่ากันหรือเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้น ก็ค่อนข้างจะประกันได้ว่าพวกเขาจะได้อันดับสองในการแข่งขันนี้”
“เพียงอันดับสองเองรึ เช่นนั้นใครจักเป็นอันดับแรกล่ะ” เจ้าซีถามเธอ
“แน่นอนว่าต้องเป็นนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย” ซีซิงฟางพลันตอบคำถามด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
“….”
เจ้าซีได้แต่ส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มขื่นขมบนใบหน้า แม้ว่าเขาไม่ต้องการที่จะยอมรับ แต่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็แทบจะรับประกันได้ว่าเป็นอันดับแรกของการแข่งขันระดับประเทศนี้
หลังจากนั้นไม่นานซูหยินก็เดินออกจากเวทีหลังจากที่ล้มคู่แข่งคนที่สิบของเธอ เอาชนะทั้งสำนักด้วยตัวของเธอเอง ซึ่งได้เกิดขึ้นเพียงสองครั้งนับตั้งแต่การแข่งขันครั้งแรกเกิดขึ้น และแต่ละครั้งล้วนแต่ได้รับมาจากอัจฉริยะไร้เทียมทานที่จะกลายเป็นจอมยุทธผู้โด่งดังในอนาคตทั้งสิ้น
“ว้าว… น้องสาวของศิษย์พี่ชายช่างมหัศจรรย์…”
“ยากที่จะเชื่อว่าเธอมีอายุเท่ากับพวกเราบางคน…”
ศิษย์รุ่นเยาว์จากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยแสดงความประหลาดใจบนใบหน้าหลังจากที่รู้เห็นถึงอำนาจที่เหนือกว่าของซูหยินบนเวที
ผู้แปล: เช่นเคยครับ บทที่ลงท้ายด้วยเลข 0 ถือเป็นของสมนาคุณเพื่อนนักอ่านทุกคน และฝากติดตามสองเรื่องแปล
แวนดาลู นักเวทแห่งความตาย
ผู้กล้าไร้อาชีพ
ไว้ด้วยนะครับ
DC บทที่ 369: การต่อสู้รอบแรก
หลังจากที่นิกายดอกบัวเพลิงและนิกายแท่นบูชาทองก้าวขึ้นมาบนเวที บรรดาศิษย์ของพวกเขาก็จ้องมองซึ่งกันและกันด้วยสายตาเกรี้ยวกราด และปลดปล่อยกลิ่นอายอันลึกล้ำที่ดูเหมือนกับว่าพวกเขาพร้อมที่จะปะทะกันได้ทุกขณะจิต
แต่ละฝ่ายล้วนมีศิษย์รวมกันทั้งหมดยี่สิบคน ซึ่งเป็นจำนวนมากที่สุดเท่าที่แต่ละสำนักสามารถนำมาได้
อย่างไรก็ตามนั่นก็ยังมีความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างศิษย์ของทั้งสองสำนัก
แม้ว่าศิษย์ของนิกายแท่นบูชาทองจะปลดปล่อยกลิ่นอายอันรุนแรงที่ทำให้พวกเขาดูเหมือนกับลึกล้ำและทรงพลัง แต่ศิษย์ของนิกายดอกบัวเพลิงก็ปล่อยกลิ่นอายที่กดดันเหนือกว่าจนทำให้ผู้เข้าชมต่างพากันรู้สึกราวกับว่าพวกเขานั้นเป็นมดที่มองดูไปยังภูเขาซึ่งยิ่งใหญ่และเป็นไปไม่ได้ที่จะเอาชนะ
“ดังที่คาดหมายของนิกายดอกบัวเพลิงและเหล่าศิษย์ของพวกเขา สิบห้าในยี่สิบของผู้เข้าร่วมการแข่งขันอยู่ในเขตปฐพีวิญญาณ นั่นคงเป็นเพราะโอสถสู่ปฐพี” เจ้าซีเพ่งมองนิกายดอกบัวเพลิง รู้สึกเหมือนกับว่าพวกเขาเก่งกาจรวดเร็วเกินไป
ถ้านิกายดอกบัวเพลิงเติบโตด้วยอัตรานี้อย่างต่อเนื่อง พวกเขาอาจจะล้ำหน้าตระกูลซีภายในไม่กี่สิบปีหรือน้อยกว่านั้น
“ท่านพ่อ นิกายดอกบัวเพลิงทรงอำนาจเช่นนี้มาตลอดเลยหรือ เท่าที่ข้ารู้มาพวกเขาเพียงแค่มั่งคั่ง แต่ตอนนี้พวกเขามีศิษย์จำนวนมากที่อยู่ในเขตปฐพีวิญญาณ” ซีซิงฟางมีท่าทีประหลาดใจหลังจากที่เห็นพวกเขาเข้าแถว
“ข้าคงมิประหลาดใจถ้าศิษย์ของพวกเขาเกือบทุกคนต่างอยู่ในเขตปฐพีวิญญาณในตอนนี้ นั่นก็เพราะว่าโอสถสู่ปฐพี” เจ้าซีส่ายหน้า
“โอสถสู่ปฐพีรึ มันคืออะไรรึ” ซึซิงฟางถาม
“เจ้าอยู่ในช่วงกักตัวในระยะไม่กี่อาทิตย์ก่อน นั่นจึงมิน่าประหลาดใจที่เจ้าไม่รู้เกี่ยวกับโอสถสู่ปฐพีที่มีความสามารถที่จะช่วยผู้ฝึกวิชาในระดับสูงสุดของเขตสัมมาวิญญาณก้าวไปถึงเขตปฐพีวิญญาณโดยรับประกันความสำเร็จ” เจ้าซีอธิบายให้เธอฟังอย่างลวกๆ
“โอสถในตำนานเช่นนั้นมีด้วยรึ” ซีซิงฟางทำตาโตด้วยความตกตะลึงอยู่หลังผ้าปิดหน้า
“ชัดเจนอยู่อย่างนั้น” เจ้าซียักไหล่ “มันเพิ่งจะถูกค้นพบมินานมานี้”
ขณะที่เจ้าซีและซีซิงฟางพูดคุยกันอยู่นั้นพวกเขาก็ชมศิษย์ของนิกายดอกบัวเพลิงและนิกายแท่นบูชาทองต่อสู้กัน
“เชี่ย ทำไมพวกเราต้องมาเจอกับโชคร้ายเช่นนี้เร็วปานนี้ มิเพียงแต่ผู้อาวุโสนิกายของพวกเราถูกใครก็ไม่รู้ฆ่า เรายังต้องมาปะทะกับนิกายดอกบัวเพลิงตั้งแต่รอบแรกอีก”
ผู้นำนิกายของนิกายแท่นบูชาทองก่นด่าอยู่ในใจขณะที่เขาชมศิษย์ของตนเองพ่ายให้กับศิษย์ของนิกายดอกบัวเพลิง
ตามความเป็นจริงด้วยความห่างชั้นระหว่างระดับพลังการฝึกปรือของพวกเขา ไม่อาจแม้จะถือว่าเป็นการแข่งขันระหว่างสองสำนัก มันเป็นการข่มเหงล้วนๆ
“บ้าไปแล้ว นิกายดอกบัวเพลิงส่งคนออกมาเพียงสามคนแต่นิกายแท่นบูชาทองได้ส่งศิษย์คนที่เก้าออกมาแล้ว อีกเพียงแค่คนเดียวนิกายดอกบัวเพลิงก็จะชนะในรอบนี้”
ผู้เข้าชมโห่ร้องด้วยความตื่นเต้นเมื่อนิกายดอกบัวเพลิงเอาชนะนิกายแท่นบูชาทองได้อย่างง่ายดาย
“นิกายแท่นบูชาทองศิษย์คนที่สิบได้พ่ายแพ้ไปในเวทีนี้แล้ว เป็นชัยชนะของนิกายดอกบัวเพลิงในการแข่งขันรอบแรกในวันนี้” สือตกประกาศผลหลังจากที่ศิษย์นิกายแท่นบูชาทองคนสุดท้ายล้มลงหมดสติบนลานประลอง
“นี่ประหลาดมาก… แม้ว่านี่จะไม่ประหลาดสำหรับนิกายดอกบัวเพลิงที่มีผู้ฝึกวิชาเขตปฐพีวิญญาณมากมายเพราะว่าโอสถสู่ปฐพี แต่พวกเขาได้วิชาการต่อสู้เหล่านั้นมาจากไหนกัน ข้ารู้จักวิชาการต่อสู้เกือบทั้งหมดของพวกเขา แต่ข้ากลับมิอาจจำได้ถึงวิชาการต่อสู้บางอย่างที่พวกเขาแสดงในวันนี้” เจ้าซีหรี่ตาด้วยท่าทางครุ่นคิด
“มีอะไรผิดไปในเรื่องนั้นรึ ในเมื่อล้วนมีการค้นพบวิชาการต่อสู้ใหม่ๆอยู่ทุกปี” ซีซิงฟางกล่าวกับเขา
“ใช่… แต่… วิชาพวกนี้เหมาะสมกับแนวของเขาอย่างสมบูรณ์แบบ ราวกับว่าวิชาพวกนี้สร้างขึ้นมาโดยเฉพาะเจาะจงกับพวกเขา”
ไม่เพียงแต่เจ้าซีที่สังเกตเห็นเรื่องนี้ ไป่ลี่ฮัวหันไปมองซูหยางด้วยสายตาแสดงความสงสัยและถามว่า “วิชาการต่อสู้พวกนี้ที่ใช้โดยศิษย์ของนิกายดอกบัวเพลิง อย่างน้อยก็อยู่ในระดับปฐพี เจ้าให้วิชาพวกนี้กับพวกเขาใช่ไหม”
“อาจจะ” ซูหยางกล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย “อย่างไรก็ตามพวกเขาก็เกือบควบคุมวิชาไม่ได้”
“แล้วศิษย์ของท่านเป็นอย่างไร ความก้าวหน้าของพวกเธอกับวิชาเหล่านั้นเป็นอย่างไรบ้าง”
ได้ยินคำถามของเขา ไป่ลี่ฮัวกล่าวด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า “สำนักหงส์สวรรค์มิได้เป็นสำนักระดับสูงโดยมิมีเหตุผลหรอกนะ”
หลังจากที่นิกายดอกบัวเพลิงเสร็จสิ้นการแข่งขันของพวกเขา การต่อสู้รอบถัดไปก็เริ่มขึ้นในทันใด อย่างไรก็ตาม ไม่เหมือนนิกายดอกบัวเพลิงที่กวาดคู่ต่อสู้ของพวกเขาได้อย่างง่ายดาย มันใช้เวลานานกว่าเป็นสองเท่าสำหรับพวกเขาในการจบการแข่งขัน และเป็นเช่นนี้ต่อเนื่องไปไปจนถึงสิบคู่
หลังจากนั้น ไป่ลี่ฮัวก็พลันลุกขึ้นและกล่าวว่า “เตรียมตัวให้พร้อม พวกเราต่อจากนี้”
ผู้เข้าร่วมการแข่งขันยี่สิบคนพลันยืนขึ้นก่อนที่จะถูกนำไปโดยไป่ลี่ฮัว
“อย่าลืมดูข้าให้ดีเมื่อข้าอยู่บนเวทีนะ ข้าจักมาหาท่านทีหลัง” ซูหยินโบกมือให้กับเขาขณะที่เธอจากไปพร้อมกับไป่ลี่ฮัว รายล้อมไปด้วยความรู้สึกมั่นใจ
ไม่นานหลังจากนั้น สือตงก็ประกาศการต่อสู้รอบถัดไป
“สำหรับการต่อสู้รอบถัดไป เรามีสำนักหงส์สวรรค์และสำนักอินทรีทอง”
“สำนักอินทรีทองช่างโชคร้ายแท้เทียวที่ต้องมาจับคู่กับหนึ่งในสำนักระดับสูงตั้งแต่รอบแรก”
“ข้าจักให้เวลาสำนักอินทรีทองสิบนาทีก่อนที่พวกเขาจะแพ้”
“ข้าอยากจะเดิมพันสิบก้อนหินวิญญาณว่าพวกเขาอยู่ไม่ถึงห้านาที”
ผู้เข้าชมต่างเริ่มพนันกับผลลัพธ์
“ใครต้องการที่จะไปเป็นคนแรก” ไป่ลี่ฮัวถามศิษย์ของเธอ
“ข้า”
ไม่มากไม่น้อยศิษย์ทุกคนยกมือขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน
“ข้า ข้า ข้า ท่านเจ้าสำนัก ให้ข้าสู้คนแรก” ซูหยินตะโกน แสดงให้เห็นถึงความกระตือรือล้นในการต่อสู้
บ้าแล้ว บางทีเธอเพียงแค่ไม่อาจจะรอที่จะแสดงความสามารถของเธอให้ซูหยางเห็น
ไป่ลี่ฮัวอดไม่ได้ที่จะยิ้มหลังจากที่เห็นซูหยินกระตืรือล้นและมีท่าทางแจ่มใส “ได้ เจ้าไปเป็นคนแรก”
“ขอบคุณ ท่านเจ้าสำนัก” ซูหยินคำนับให้กับเธออย่างรวดเร็วก่อนที่จะวิ่งไปยังเวที
DC บทที่ 368: สระสวรรค์
“อย่างไรก็ตาม อะไรคือสระสวรรค์” ซูหยางถามไป่ลี่ฮัวหลังจากที่นั่นลงแล้ว
“สระสวรรค์เป็นสิ่งที่มีอยู่ภายในภูสวรรค์ ที่ซึ่งมีคำร่ำลือว่าบรรพชนตระกูลซีได้เก็บตัวฝึกฝนที่นั่น ส่วนตัวสระสวรรค์เองนั้นเป็นสระเล็กๆที่บรรจุไปด้วยวารีสวรรค์บางอย่างที่เปี่ยมไปด้วยปราณไร้ลักษณ์ ยังมีคำร่ำลือว่าถ้าได้ฝึกฝนอยู่ในนั้น ความเร็วในการฝึกปรือก็จะเพิ่มขึ้นร้อยเท่า หรืออีกนัยหนึ่งถ้าได้ฝึกอยู่ที่นั่นเจ็ดวัน ก็จะเหมือนว่าได้ฝึกฝนนานถึงเจ็ดร้อยวัน” ไป่ลี่ฮัวอธิบายให้กับเขา
“สิ่งที่มหัศจรรย์เช่นนั้นเกิดขึ้นในโลกนี้ได้อย่างไรกัน” โหลวหลานจีมีท่าทางประหลาดใจหลังจากที่ได้ยินเช่นนั้น ขณะนี้เธอเข้าใจแล้วว่าทำไมเจ้าสำนักทุกคนจึงพากันตื่นเต้นเกี่ยวกับเรื่องนี้
“ใช่ มันเป็นสถานที่ที่น่ามหัศจรรย์ที่ท้าทายสวรรค์ อย่างไรก็ตามมันต้องการเวลาถึงร้อยปีในการฟื้นฟูปราณไร้ลักษณ์หลังจากที่ฝึกฝนอยู่ในสระเป็นเวลาหนึ่งเดือน” ไป่ลี่ฮัวกล่าวต่อ
“หนึ่งร้อยปีสำหรับการฝึกฝนหนึ่งเดือน และตระกูลซียังปรารถนาที่จะให้เวลาผู้ชนะการแข่งขันนี้ถึงเจ็ดวันเชียว นั่นเรียกว่าเป็นความใจกว้างอย่างมากถึงแม้ว่าจะเป็นพวกเขาเองก็ตาม” โหลวหลานจีกล่าว
ไป่ลี่ฮัวพยักหน้า “ใช่แล้วมันเป็นความใจกว้างอย่างมากของพวกเขา จริงแล้วเจ้าสำนักบางคนเชื่อว่าตระกูลซีรู้ถึงผลของการแข่งขันแล้ว มิเช่นนั้นทำไมพวกเขาจึงเต็มใจที่จะให้รางวัลแบบนั้น”
“ท่านหมายความว่าตระกูลซีรู้ว่าใครจักเป็นผู้ชนะการแข่งขันนี้และมีเจตนาเลือกรางวัลนี้เป็นของขวัญให้กับพวกเขางั้นรึ นั่นฟังดูค่อนข้างจะไร้สาระอยู่บ้าง” โหลวหลานจีเลิกคิ้ว
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ทำไมตระกูลซีจึงทำอะไรเช่นนี้เมื่อพวกเขาสามารถที่จะให้สิทธิในการเข้าสระสวรรค์โดยไม่จำเป็นต้องใช้การแข่งขันมาเป็นข้ออ้าง
“ใครจะรู้ มันก็ยังเป็นไปได้ว่าตระกูลซีรู้สึกใจกว้างมากเป็นพิเศษปีนี้ ท้ายที่สุดนี่ก็เป็นเพียงแค่แผนร้าย” ไป่ลี่ฮัวยักไหล่
“สระสวรรค์รึ…” ซูหยางพึมพัมกับตัวเอง
ในสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ มีหลายที่ซึ่งคล้ายคลึงกับสระสวรรค์นี้ และแทบทั้งหมดล้วนถูกยึดครองด้วยกลุ่มที่เข้มแข็งที่สุด
“ถึงแม้ว่ามันมิอาจเปรียบเทียบได้กับหนึ่งในสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ มันก็ควรจะช่วยในการฝึกปรือของข้าอย่างมากในระดับปัจจุบัน” เขาพยักหน้า
หลังจากที่รอประมาณครึ่งชั่วโมง ก็มีสองร่างปรากฏตัวขึ้นบนเวทีที่ใกล้สนามแข่งขัน ที่ซึ่งมีเก้าอี้หรูจัดวางอยู่
“ท่านเจ้าซี มาถึงแล้ว”
“องค์หญิงซี มาถึงแล้ว”
ทหารองครักษ์รอบโคลีเซียมตะโกนเสียงดังเมื่อร่างของพวกเขาปรากฏตัวขึ้น และทุกคนในโคลีเซียมก็พากันยืนขึ้นและโค้งคำนับไปยังทิศทางนั้น
เจ้าซีโบกชาเสื้อของเขาอย่างสบายๆก่อนที่จะนั่งลงบนหนึ่งในที่นั่งหรูหรานั้นขณะที่ซีซิงฟางซึ่งสวมผ้าคลุมหน้านั่งลงข้างเขา
“นั่นคือนางฟ้าซีรึ นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นเธอ”
“แม้ว่าเธอมีผ้าคลุมหน้า ข้าสามารถบอกได้ว่ามีความสวยหาใครเปรียบซ่อนอยู่ในนั้น”
“ดูที่ผิวขาวและร่างไร้ที่ติของเธอสิ มิน่าสงสัยเลยว่าเธอจะเป็นคนสวยไร้คู่เปรียบ”
เกือบทุกคนในโคลีเซ๊ยมต่างมองไปยังซีซิงฟางในเวลานั้น ในเมื่อเธอน้อยครั้งที่จะแสดงตัวต่อสาธารณะชนมาก่อนหน้านี้
“ลูกมั่นใจหรือว่าลูกต้องการที่จะอยู่ที่นี่ ถ้าร่างของเจ้าพลัน…” เจ้าซีมองดูเธอด้วยสายตาที่เป็นกังวล
ถ้าซีซิงฟางไม่ได้ขออนุญาตให้เธอปรากฏตัววันนี้ เขาก็คงไม่ยอมให้เธอออกจากบ้านเพราะว่าสภาพร่างกายของเธอ
“ลูกไม่เป็นไรท่านพ่อ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ซูหยางก็อยู่ที่นี่” ซีซิงฟางกล่าวขณะที่เธอหันไปมองดูทิศซูหยาง
“….” เจ้าซีเพ่งสายตาไปยังซูหยางซึ่งอยู่อย่างสบายรายล้อมไปด้วยสาวสวยทุกด้าน
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ เจ้าซีก็หันไปมองชายชราที่ยืนอยู่ใกล้เวทีและพยักหน้า
ชายชราสังเกตเห็นสัญญาณจากเจ้าซีและก้าวขึ้นไปบนเวทีอย่างรวดเร็ว
“ขอบคุณทุกท่านที่มาที่นี่ในวันนี้ ข้า สือตง จะเป็นผู้ตัดสินในวันนี้ ก่อนที่เราจะเริ่มการแข่งขันรอบแรกในวันนี้ ขอให้ข้าอธิบายกฏบางอย่าง”
“สิ่งแรกและสิ่งสำคัญที่สุด การฆ่าฟันนั้นต้องห้ามสำหรับสนามแข่งขันนี้ ต่อให้ถึงแม้จะเป็นอุบัติเหตุ ถ้าเจ้าฆ่าคู่ต่อสู้ของเจ้า สำนักของเจ้าจะถูกปรับเป็นจำนวนสิบล้านก้อนหินวิญญาณ”
“สิบล้านก้อนหินวิญญาณงั้นรึ”
ผู้เข้าชมต่างพากันงงงันกับกฏใหม่นี้ สิบล้านก้อนหินวิญญาณเป็นจำนวนมหาศาลแม้กระทั่งสำนักระดับสูงที่ร่ำรวย อย่าว่าแต่สำนักอื่น ถ้าพวกเขาฆ่าใครสักคนวันนี้พวกเขาคงต้องล้มละลายอย่างแน่นอน หากเกิดเรื่องนี้ขึ้นสำนักย่อมไม่สามารถที่จะสนับสนุนศิษย์ได้อีกต่อไปและล่มสลาย
“กฏใหม่นี้จะมิสร้างความกดดันที่ไม่จำเป็นให้แก่ผู้เข้าแข่งขันรึ จำกัดพลังสูงสุดของพวกเขาไว้งั้นรึ ถ้าข้าเป็นพวกเขาข้าคงจะหวาดหวั่นเกินไปที่จะสู้”
“ใช่ อุบัติเหตุย่อมเกิดขึ้นได้ สิบล้านก้อนหินวิญญาณเป็นการลงโทษที่รุนแรงเกินกว่าปกติไป”
ผู้เข้าชมต่างพากันกระซิบกระซาบกันถึงความกังวลของตน
“สำหรับกฏข้อที่สอง ผู้เข้าร่วมห้ามใช้อาวุธและสมบัติส่วนตัวเพื่อหลีกเลี่ยงความไม่ยุติธรรม”
แตกต่างจากวิชาการต่อสู้ที่ต้องการพรสวรรค์ของพวกเขาเพื่อให้เชี่ยวชาญ ถือสมบัติอันทรงอำนาจเพื่อที่จะมีอำนาจเหนือกว่าคู่ต่อสู้ไม่จำเป็นต้องอาศัยอะไรแบบนั้น ดังนั้นจึงเป็นเหตุที่ทำไมการแข่งขันจึงห้ามใช้อาวุธส่วนตัว
อย่างไรก็ตามถ้ามีใครสามารถขึ้นสู่เวทีด้วยอาวุธที่ทรงอำนาจที่ไม่เปิดเผย จะมีจุดไหนที่เหลือไว้ให้สำหรับวิชาต่างๆในการแข่งขัน
“สาม ผู้เข้าร่วมต้องมีเครื่องรางป้องกันตัวที่ให้ไว้ก่อนที่พวกเขาจะขึ้นไปบนเวที การทำเช่นนี้ย่อมทำให้พวกเขาสามารถต่อสู้โดยไม่กังวลว่าจะฆ่าอีกฝ่ายไปโดยไม่ตั้งใจ นอกจากว่าคู่ต่อสู้ของพวกเจ้าอยู่ในเขตอำพรวิญญาณ พวกเขาย่อมมิอาจที่จะสร้างบาดแผลร้ายแรงบนร่างเจ้าได้ ยิ่งไปกว่านั้นข้าจักดูอย่างระมัดระวังเผื่อในกรณีที่ว่าบางอย่างเกิดผิดพลาดขึ้น ดังนั้นต่อสู้ให้เต็มที่”
“นี่คือกฏหลักสามข้อของการแข่งขันนี้ และในเมื่อไม่มีอะไรต่อไปแล้ว ดังนั้นให้ข้าแนะนำผู้เข้าร่วมการแข่งขันการต่อสู้รอบแรกในวันนี้ นิกายแท่นบูชาทอง และ นิกายดอกบัวเพลิง”
หลังจากที่สือตงแนะนำสองฝ่ายแล้ว นิกายดอกบัวเพลิงและนิกายแท่นบูชาทองก็ก้าวขึ้นไปบนเวที จนทำให้ผู้เข้าชมต่างพากันโห่ร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น
DC บทที่ 367: วันแรกของการแข่งขันระดับภูมิภาค
“สระสวรรค์คืออะไรรึ” ซูหยางหันไปถามโหลวหลานจีซึ่งก็ส่ายหน้าตอบอย่างรวดเร็ว
“ข้าก็มิรู้เช่นกัน แต่เมื่อเห็นว่าเจ้าสำนักอื่นๆมีปฏิกิริยาต่อชื่อของมัน นั่นคงเป็นอะไรบางอย่างที่มีค่าสูงล้ำมาก” เธอกล่าวกับเขา
ในเวลานั้นเจ้าสำนักที่อยู่ที่นั่นต่างพากันจ้องมองเจ้าซีด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ในเมื่อนี่เป็นครั้งแรกที่ตระกูลซียินดีที่จะเปิดสระสวรรค์อันลึกล้ำนี้ให้กับผู้อื่นใช้
อย่างไรก็ตามเจ้าซียังไม่ได้จบเรื่องพูด เขาพูดต่อว่า “ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเจ้าได้ตำแหน่งที่หนึ่ง เจ้าสำนักและศิษย์หนึ่งคนที่เจ้าเลือกจักได้รับเชิญให้มารับประทานอาหารเย็นร่วมกับตระกูลซี”
เมื่อเหล่าเจ้าสำนักได้ยินเช่นนี้ ดวงตาของพวกเขาก็เบิกโพลงด้วยความตระหนก
เจ้าซียิ้มเมื่อเห็นท่าทางของเจ้าสำนักและกล่าวต่อว่า “แน่นอนว่านี่เป็นข้อเสนอของลูกสาวข้า ซีซิงฟาง”
เจ้าสำนักเกือบทุกคนกำหมัดแน่นจากความตื่นเต้นอย่างเต็มที่ ถ้าพวกเขาได้อันดับแรก พวกเขาจะสามารถที่จะนำศิษย์ชายที่มีพรสวรรค์มากที่สุดไปร่วมรับประทานอาหารเย็นกับซีซิงฟาง ผูกพันธ์พวกเขาเข้าด้วยกันอย่างเป็นธรรมชาติ
เจ้าซีแค่นเสียงเมื่อเห็นความตื่นเต้นจากสีหน้าเจ้าสำนักเหล่านี้ เขาหัวเราะอยู่ในใจ “งานเลี้ยงอาหารเย็นนี้ถูกยกขึ้นมาก็เพราะว่าลูกสาวข้ามั่นใจว่าซูหยางจะได้อันดับที่หนึ่ง มีรึที่แค่ศิษย์คนหนึ่งจะสามารถล้มคนที่สามารถฆ่าจอมยุทธเขตอัมพรวิญญาณได้”
“ในเมื่อตอนนี้ข้าได้พูดทุกสิ่งที่จำเป็นไปเแล้ว พวกเจ้าก็ควรเริ่มจับหมายเลขจากกล่องได้” เจ้าซีกล่าวกับพวกเขาต่อจากนั้น
บรรดาเจ้าสำนักพยักหน้าและเริ่มเข้าแถวไปยังกล่องก่อนที่พวกเขาจะหยิบกระดาษชิ้นหนึ่งจากในนั้น
หลังจากนั้นเมื่อทุกคนที่นั่นต่างได้รับหมายเลขแล้ว เจ้าซีก็กล่าวขึ้นว่า “ใครที่ได้รับกระดาษเปล่า”
ไม่นานหลังจากนั้นก็มีบางคนยกมือขึ้น
“เจ้าจับได้กระดาษเปล่ารึ” เจ้าซีเบิ่งตามองดูซูหยาง
ซูหยางแสดงแผ่นกระดาษเปล่าในมือให้ดูพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า “นี่หมายความว่าพวกเราได้นั่งดูในรอบแรกใช่ไหม” เขาถามหลังจากนั้น
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ เจ้าซีก็พยักหน้า “เจ้ามิต้องเข้าร่วมในรอบแรกและเข้าสู่รอบที่สองได้ในทันที”
ซูหยางพยักหน้าและในเมื่อไม่มีอะไรจะต้องทำอีก เขาก็จึงกลับไปที่โรงเตี๊ยมพร้อมกับโหลวหลานจีอย่างรวดเร็วหลังจากนั้น
“เชอะ พวกนั้นช่างโชคดีนัก ข้ามั่นใจว่าคงมีคนมากมายที่นี่ที่หวังว่าพวกเขาจะได้เผชิญหน้ากับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย”
“ต่อให้พวกเขาสามารถผ่านเข้ารอบสอง นั่นก็ไกลที่สุดที่พวกเขาจะได้เข้าไปแล้ว”
“จริงด้วย มีโชคมิได้หมายความว่าจะไปได้ไกลถ้าอยู่ในการแข่งขันระดับภูมิภาคนี้”
เจ้าสำนักต่างๆที่นั่นต่างพากันเหยียดหยามโชคดีของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย เชื่อว่าพวกเขาเพียงแค่หลบหายนะพ้นไปได้แค่ครั้งหนึ่งและได้อยู่ต่อไปอีกวัน
ในเวลานั้นโหลวหลานจีได้ถ่ายทอดข้อมูลให้กับบรรดาศิษย์และผู้อาวุโสนิกาย
“อะไรนะ พวกเรามิต้องเข้าร่วมในรอบแรกและได้เข้าสู่รอบที่สองโดยอัตโนมัติรึ”
เหล่าศิษย์ต่างพากันงุนงงกับข่าว ในเมื่อพวกเธอได้ตั้งตาคอยการแข่งขันกันทั้งคืนเพียงเพื่อที่จะได้รับการบอกว่าพวกเธอต้องรอไปอีกวันก่อนที่พวกเธอจะได้ร่วมการแข่งขันจริงๆ
“หากจะกล่าวไปแล้ว ข้าแนะนำให้พวกเจ้าทุกคนดูการแข่งขันของคนอื่นในวันนี้ ด้วยวิธีนี้พวกเจ้าจักได้เข้าใจพลังของพวกนั้นได้ดีขึ้นก่อนที่จะต่อสู้” โหลวหลานจีกล่าว
บรรดาศิษย์ต่างพากันพยักหน้าอย่างรวดเร็ว พวกเธอจะไปดูการแข่งขันอย่างแน่นอนถึงแม้ว่าโหลวหลานจีไม่พูดถึง
ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้นทุกคนจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ได้เดินทางไปยังโคลีเซียมหิมะร่วง ที่ซึ่งคนนับแสนได้รวมตัวกันอยู่ที่นั่นแล้ว
“ข้ามิเคยเห็นคนมากมายปานนี้ในที่เดียวมาก่อนในชีวิต…”
ศิษย์รุ่นเยาว์ต่างพากันหวาดหวั่นกับภาพเบื้องหน้า
หากว่ามีใครมองดูจากระยะห่าง โคลีเซียมหิมะร่วงก็ดูเหมือนกับทะเลสีดำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายนอกโคลีเซียมที่ซึ่งคนหลายพันคนยังพยายามที่จะเข้าไปด้านใน
แต่เป็นโชคดีสำหรับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยในฐานะผู้เข้าร่วมแข่งขัน พวกเขาได้รับอนุญาตให้เข้าจากทางประตูด้านหลังของโคลีเซียมโดยไม่จำเป็นต้องรอเหมือนหมู่ชนเหล่านั้น
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ไปถึงพื้นที่สำหรับไว้ให้ผู้เข้าแข่งขันโดยเฉพาะและหาที่นั่งที่นั่น
“พี่ชาย ทางนี้”
ซูหยินพลันโบกมือให้กับเขาหลังจากที่เห็นกลุ่มของเขา สำนักหงส์สวรรค์ได้สำรองที่นั่งไว้ให้พวกเขาอย่างตั้งใจ
“นั่นเป็นนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยรึ กว่าครึ่งของพวกเขาเป็นแค่เด็กเล็ก”
ศิษย์สำนักหงส์สวรรค์ต่างพากันงงงันเมื่อเห็นว่ามีเด็กจำนวนมากอยู่ในที่ซึ่งควรจะเป็นสถานที่ของผู้ใหญ่อย่างเช่นนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยนี้
“เห็นได้ว่าเด็กเหล่านี้รวมกันเกินกว่าครึ่งของทั้งนิกายของพวกเขาหลังจากที่เกิดเหตุการณ์กับนิกายล้านอสรพิษนั้น” ศิษย์อีกคนกล่าว
“ไม่มีทาง… พวกเขายังคงถือว่าเป็นสำนักได้อย่างไรด้วยศิษย์ที่มีจำนวนน้อยนิดแค่นี้”
ขณะที่สำนักหงส์สวรรค์กระซิบกระซาบกันเกี่ยวกับศิษย์รุ่นเยาว์นั้น นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็เข้าประจำที่นั่ง
“นิกายดอกบัวเพลิงอยู่ที่ไหนหรือ” โหลวหลานจีถามหลังจากที่ตระหนักว่าอีกฝ่ายนั้นไม่อยู่
“พวกเขาอยู่ตรงนั้น” ซูหยินชี้ไปยังบนเวที ที่ซึ่งคนสองกลุ่มรวมตัวกันอยู่ตรงกันข้าม
“พวกเขาต่อสู้รอบแรกรึ ใครเป็นคู่แข่งของพวกเขา” โหลวหลานจีเลิกคิ้ว
เพราะว่าพวกเขาออกไปจากที่ประชุมในทันทีหลังจากที่จับหมายเลข ทั้งซูหยางและโหลวหลานจีจึงไม่รู้เรื่องกำหนดการณ์
“นิกายแท่นบูชาทอง” ไป่ลี่ฮัวพลันตอบ
“คารวะ ผู้อาวุโสไป่” โหลวหลานจีโค้งคำนับไป่ลี่ฮัวผู้เป็นเจ้าสำนักของสำนักหงส์สวรรค์อย่างนอบน้อม
ไป่ลี่ฮัวพยักหน้าและกล่าวต่อว่า “ระหว่างนั้นพวกเราจะได้พบกับสำนักอินทรีทอง สำนักระดับกลาง”
จากนั้นเธอก็หันไปยังซูหยางและกล่าวว่า “อีกอย่างหนึ่ง แม้ว่าเราจะร่วมเป็นพันธมิตร ถ้าเราต้องสู้กันระหว่างการแข่งขันนี้ สำนักหงส์สวรรค์ของข้าจักมิปล่อยเจ้าไปง่ายๆ ดังนั้นอย่าคิดมากถ้าพวกเจ้าแพ้”
“ข้าก็จะกล่าวคำพูดเดียวกับท่านเช่นกัน” ซูหยางตอบพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า
DC บทที่ 366: ชุมนุมเจ้าสำนัก
หลังจากที่พวกเขาเสร็จสิ้นการให้คำแนะนำแก่ศิษย์แล้ว โหลวหลานจีก็กล่าวว่า “แม้ว่าการแข่งขันจะเริ่มขึ้นในวันพรุ่งนี้ เราก็อาจจะไม่ได้แข่งขันทันทีขึ้นกับเวลาของการแข่งคู่ของเรา เจ้าสำนักต่างๆจะรวมตัวกันก่อนในตอนเช้าพรุ่งนี้เพื่อที่จะฟังคำจากตระกูลซี เราควรจะได้รู้ถึงตัวตนของคู่แข่งขันของเราในขณะที่อยู่ที่นั่น”
“นี่คือทั้งหมดที่ข้ามีในวันนี้ เตรียมตัวพวกเจ้าให้พร้อมจนกว่าพวกเรากลับมาพร้อมกับข้อมูลที่มากกว่านี้พรุ่งนี้”
บรรดาศิษย์แยกย้ายกันไปหลังจากนั้น และเหล่าศิษย์ทั้งหมดก็พากันไปเตรียมตัวอย่างตั้งใจ
วันถัดมาซูหยางและโหลวหลานจีก็ออกไปจากโรงเตี๊ยมแต่เช้าและมุ่งตรงสู่สถานที่ที่ซึ่งการแข่งขันจะจัดขึ้น โคลีเซียมหิมะร่วงที่ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมือง
โคลีเซียมหิมะร่วงเป็นสถานที่ขนาดใหญ่ที่สามารถจุคนได้หลายล้านอย่างง่ายดาย และใจกลางของสถานที่นี้เป็นสนามแข่งขันขนาดใหญ่ที่ซึ่งตำแหน่งนั้นเพียงจุดเดียวสามารถจุคนได้นับพัน
และผู้ที่ชุมนุมอยู่ในสนามแข่งขันขนาดใหญ่นี้ในตอนนี้ก็คือเจ้าสำนักจากทุกสำนักที่จะเข้าร่วมในการแข่งขันระดับภูมิภาคในปีนี้ และมีจำนวนมากถึงสองร้อยคน ในอีกความหมายหนึ่งก็คือมีมากกว่าสองร้อยสำนักที่เข้าร่วมในการแข่งขันปีนี้ ซึ่งเป็นสองเท่าของการแข่งขันปีที่แล้วที่มีเพียงร้อยสำนักที่เข้าร่วมการแข่งขัน
การเพิ่มขึ้นของผู้เข้าแข่งขันนี้อาจบางทีเกิดจากซีซิงฟาง ผู้ซึ่งมีข่าวว่าจะปรากฏตัวมาดูว่าจะมีชายหนุ่มผู้มีความสามารถคนไหนที่จะทำให้เธอสนใจได้บ้าง
“ซูหยางอย่ามองไปทางขวา ผู้นำนิกายล้านอสรพิษกำลังจ้องมาทางเรา” โหลวหลานจีกระซิบให้กับเขาหลังจากที่เธอสังเกตเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความดูถูกของอีกฝ่าย
อย่างไรก็ตามซูหยางไม่ได้สนใจคำแนะนำของเธอ หันไปมองสบสายตาฟูกวางด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า กระทั่งโบกมือให้อีกฝ่ายแล้วกล่าวว่า “นิกายล้านอสรพิษจัดการกับการตายของตาแก่นั่นอย่างไรบ้าง ข้าหวังว่าพวกเขาจะทำได้ดีนะ”
ซูหยางยั่วยุฟูกวางโดยตรงด้วยการตายของผู้อาวุโสสูงสุดเหริน ทำให้ดวงตาของฟูกวางแผดเผาไปด้วยจิตสังหาร
“ขอบคุณทุกท่านที่มาที่นี่ในวันนี้และเข้าร่วมในการแข่งขันระดับภูมิภาคในปีนี้” เจ้าซีพลันปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขา
“ท่านเจ้า”
เจ้าสำนักทุกสำนักที่อยู่ที่นั่นพลันโค้งคำนับเพื่อทักทายการมาของเขาหลังจากที่สังเกตเห็นตัวตนของอีกฝ่าย ยกเว้นชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งยืนอย่างสบายๆที่นั่นด้วยท่าทีที่ผ่อนคลาย
แต่เป็นโชคดีสำหรับซูหยางเพราะว่าทุกคนที่นั่นได้ก้มหัวของตนเองลง พวกเขาไม่ได้สังเกตเห็นเขายกเว้นเจ้าซี ซึ่งได้แต่ทำเป็นไม่สนใจเขา
“เงยหน้าขึ้น ตอนนี้ข้าจะอธิบายบางอย่างเกี่ยวกับการแข่งขันปีนี้ มองไปทางด้านขวาของพวกเจ้าตรงที่กล่องจับฉลาก” เจ้าสิกล่าวขณะที่เขาชี้ไปยังกล่องซึ่งตั้งอยู่ในที่โล่งห่างออกไป 2-3 เมตรจากพวกเขา
“แต่ละสำนักจะเลือกกระดาษชิ้นหนึ่งภายในนั้น และใครก็ตามที่มีหมายเลขเหมือนกันจะต่อสู้กันในรอบแรกในวันนี้ และในเมื่อมันมีจำนวนผู้เข้าร่วมแข่งขันเป็นเลขคี่ก็จะมีกระดาษแผ่นหนึ่งที่ว่างอยู่ภายในนั้น ซึ่งจะทำให้สำนักนั้นผ่านการแข่งขันในรอบแรก”
“พวกเจ้าสามารถหยิบหมายเลขได้ในภายหลัง สำหรับตอนนี้ให้ข้าได้อธิบายถึงกฎเกณฑ์และรางวัลไว้ล่วงหน้า”
“อันดับแรกสุดแต่ละสำนักจะสามารถส่งจำนวนศิษย์ได้สูงสุดสิบคนขึ้นไปบนเวทีเท่านั้น ถ้าเจ้ามีศิษย์มากกว่าสิบคนที่เข้าร่วมการแข่งขันคนที่เหลือจะต้องรอไปยังรอบถัดไป”
“ครั้นเมื่อเจ้าได้เลือกศิษย์สิบคนแล้วพวกเขาก็จะถูกส่งขึ้นไปบนเวทีครั้งละหนึ่งคนจนกว่าข้างใดข้างหนึ่งไม่มีคนเหลือที่จะต่อสู้อีก แน่นอนว่าตราบเท่าที่พวกเขายังสามารถต่อสู้ได้พวกเขาอาจจะต้องเข้าร่วมการต่อสู้มากกว่าหนึ่งครั้ง อาจจะถึงขั้นต่อสู้กับฝ่ายตรงข้ามทั้งสิบคนด้วยตัวคนเดียว”
“แม้ว่าตอนนี้ข้าไม่ควรกล่าวถึงเรื่องนี้แต่การฆ่าฟันระหว่างการแข่งขันเป็นสิ่งที่ต้องห้ามสูงสุด ในเมื่อศิษย์ที่เข้าร่วมการแข่งขันทุกๆคนเป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะ มันจะเป็นการสูญเสียสำหรับทุกคนถ้าคนใดคนหนึ่งของผู้มีพรสวรรค์เหล่านี้ต้องสิ้นชีวิตในการแข่งขัน ต่อให้เป็นอุบัติเหตุถ้าสำนักของเจ้าทำให้ผู้อื่นสิ้นชีวิตจะมีค่าปรับเท่ากับสิบล้านก้อนหินวิญญาณ”
“เราต้องจ่ายสิบล้านก้อนหินวิญญาณทั้งๆที่เป็นอุบัติเหตุงั้นรึ”
เจ้าสำนักที่อยู่ตรงนั้นต่างพากันงุนงงหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเจ้าซีในเมื่อกฏแบบนี้ไม่เคยปรากฏมาก่อนหน้านี้ ทำไมเขาจึงพลันสร้างกฏแบบนี้ขึ้นมา
“เชอะ…” ฟูกวางแค่นเสียงเย็นชาอยู่ในใจ เขามีความรู้สึกว่าเจ้าซีสร้างกฏนี้ขึ้นมาก็เพื่อในกรณีที่นิกายล้านอสรพิษได้พบเจอกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและฆ่าพวกเขาโดย”อุบัติเหตุ”
แน่นอนฟูกวางจะรู้สักนิดก็หาไม่ว่าเจ้าซีมีเจตนาตรงกันข้ามเมื่อกฏและบทลงโทษนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อปกป้องนิกายล้านอสรพิษในกรณีที่พวกเขาวิ่งเข้าไปชนกับซูหยางผู้ซึ่งอาจจะเข่นฆ่าศิษย์ของพวกเขาทั้งหมดโดย”อุบัติเหตุ”
ส่วนสำหรับซูหยางเขาเพียงแค่ส่ายหัวหลังจากที่ได้ยินกฏนี้ “เจ้าเชื่อจริงๆเลยหรือว่าข้าจักฆ่าศิษย์ของพวกเขาโดยไม่แยกแยะเพียงเพราะสถานการณ์เช่นนี้”
“ตอนนี้มาถึงรางวัลสำหรับการแข่งขันระดับภูมิภาคประจำปีนี้” เจ้าซีกล่าวต่อหลังจากนั้น “ถ้าสำนักของเจ้าได้ตำแหน่งในลำดับที่ 4 ถึงที่ 10 ตระกูลซีจะให้รางวัลเจ้าแต่ละคนด้วยหินวิญญาณ 500.000 ก้อน สมบัติวิญญาณระดับวิญญาณ 5 ชิ้นตามแต่จะเลือก และยอมให้สำนักของเจ้าได้ยืมวิชาฝีมือระดับปฐพี1 วิชาตามแต่จะเลือกจากห้องสมบัติของตระกูลของข้าเป็นเวลา 10 ปี”
“สำหรับตำแหน่งที่ 3จะได้รับรางวัล 2 ล้านก้อนหินวิญญาณ สมบัติวิญญาณระดับปฐพี 2 ชิ้นตามแต่จะเลือก และยืมวิชาฝีมือระดับปฐพี3 วิชาตามแต่จะเลือกเป็นเวลา 10 ปี”
“สำหรับตำแหน่งที่ 2 จะได้รับรางวัล 5 ล้านก้อนหินวิญญาณ สมบัติวิญญาณระดับอัมพร 1 ชิ้นตามแต่จะเลือก และยืมวิชาฝีมือระดับอัมพร 1 วิชาเป็นเวลา 10 ปี”
“ส่วนสำหรับตำแหน่งที่ 1 นั้น….. จะได้รับรางวัล10 ล้านก้อนหินวิญญาณ สมบัติวิญญาณระดับอัมพรตามแต่จะเลือก 2 ชิ้น ยืมวิชาฝีมือระดับอัมพร 2 วิชาเป็นเวลา 10 ปี และจะมีสิทธิ์ที่จะส่งศิษย์ 3 คนจากสำนักมาฝึกฝนในสระสวรรค์เป็นเวลา 7 วัน”
“สระสวรรค์”
สำนักส่วนใหญ่ที่อยู่ในนั้นต่างมีท่าทางตกตะลึงหลังจากที่ได้ยินชื่อ “สระสวรรค์” เหมือนราวกับว่าพวกเขาไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
“สระสวรรค์ นั่นคืออะไรกัน”
อย่างไรก็ตามทั้งโหลวหลานจีและซูหยางต่างก็ไม่เคยได้ยินชื่อสถานที่นี้มาก่อน ดังนั้นพวกเขาได้แต่เพียงเลิกคิ้วเล็กน้อย คิดสงสัยอยู่ในใจอย่างเงียบๆว่าทำไมเจ้าสำนักอื่นจึงมีท่าทางประหลาดใจเช่นนั้น
DC บทที่ 365: วันก่อนถึงการแข่งขัน
“ถ้าพวกเรายังคงเป็นสำนักที่เน้นไปทางร่วมฝึกคู่อย่างเดียว นอกจากว่าเรายอมให้พวกที่ได้ละทิ้งพวกเราไปกลับคืนมายังนิกาย ข้าเกรงว่าแม้กระทั่งตัวข้าเองก็มิอาจพลิกฟื้นนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้ในระยะเวลาสั้นๆ ในเมื่อมีผู้ฝึกวิชาไม่กี่คนที่อยากฝึกวิชาคู่”
เพราะว่าการฝึกวิชาคู่นั้นโดยทั่วไปถือเป็นการฝึกฝนที่ไม่เป็นที่ยอมรับและมักจะได้รับการเหยียดหยามจากผู้ฝึกวิชาส่วนใหญ่ มันเป็นการยากที่จะรวบรวมศิษย์ที่ปรารถนาที่จะฝึกวิชาคู่ในระยะเวลาสั้นๆ ตามความเป็นจริงนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้ดำรงอยู่มานานกว่าร้อยปีแต่ก็มีศิษย์เพียงไม่กี่พันคนก่อนที่พวกเขาทั้งหมดจะได้จากไป ถ้านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยต้องการอยู่รอดในยุทธภพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับตั้งแต่ตอนนี้ที่พวกเขาได้เป็นจุดสนใจพวกเขาจำเป็นต้องมีศิษย์จำนวนมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ในระยะเวลาสั้นๆ
“แน่นอนว่าไม่ ข้าจักมิยอมให้พวกคนทรยศเหล่านั้นกลับคืนมายังนิกายไม่ว่ากรณีใดๆก็ตาม ถึงแม้ว่าข้าจักต้องตายหากปราศจากพวกนั้นก็ตาม” โหลวหลานจีไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับความคิดที่จะยอมให้เหล่าศิษย์ที่ทิ้งให้พวกเขาตายระหว่างที่นิกายล้านอสรพิษบุกได้กลับคืนสู่นิกาย
“พวกนั้นได้ทอดทิ้งพวกเราเมื่อพวกเราต้องการพวกเขามากที่สุด และพวกนั้นส่วนใหญ่ก็ได้เข้าร่วมกับสำนักอื่นเรียบร้อยแล้วตอนนี้ ต่อให้พวกนั้นมาอ้อนวอนที่ปากทางเข้า ข้าก็จักมิยอมให้พวกนั้นกลับมา”
ซูหยางพยักหน้าและกล่าวว่า “เช่นนั้นเราก็สามารถทำได้แค่เพียงแบ่งนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยออกเป็นสองภาค แม้ว่าศิษย์ที่ฝึกวิชาคู่จะมาช้า แต่แน่นอนว่าพวกเขาก็จักกลับคืนสู่จำนวนปกติ”
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ โหลวหลานจีก็กล่าวขึ้น “แต่เรามีปัญหาอย่างหนึ่ง… วิชาฝึกฝนส่วนใหญ่ในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเป็นวิชาสำหรับการฝึกวิชาคู่ ต่อให้พวกเรานับวิชาที่ผู้อาวุโสเซียนให้กับเราเข้าไป มันก็ยังมิเพียงพอสำหรับศิษย์ทั่วไป”
“มันเป็นแค่เพียงวิชามิกี่วิชา เจ้าสามารถปล่อยให้ข้ากังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้” ซูหยางกล่าว “ข้าเผอิญรู้จักใครบางคนที่ปรารถนาจะอุทิศวิชาการฝึกฝนให้กับพวกเรา”
“อะไรกัน ใครกันช่างใจกว้างมากพอที่จะอุทิศวิชาการฝึกฝนด้วย” โหลวหลานจีเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจและคิดสงสัยอยู่ในใจ
แน่นอนว่าไม่มีใครในโลกนี้ที่ใจกว้างพอที่จะอุทิศวิชาการฝึกฝนให้กับสำนักอื่น ส่วนการที่ซูหยางจะได้รับวิชาการฝึกฝนนั้น เขาก็เพียงเขียนวิชาบางวิชาที่เขาอ่านในชีวิตก่อนออกมา ต่อให้เขาไม่ได้เรียนวิชาเหล่านั้น เขาก็ยังสามารถที่จะส่งต่อมันให้กับคนอื่นตราบเท่าที่เขาสามารถจดจำเนื้อหาของมันได้ ซึ่งเป็นความสามารถที่จะกระทำได้ด้วยจอมยุทธที่แท้จริงเท่านั้น ในเมื่อวิชาการฝึกฝนโดยปกติแล้วจะมีความล้ำลึกและยากที่จะจดจำเนื้อหาทั้งหมด
“เช่นนั้นก็ตัดสินตามนี้ นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจะเป็นสำนักผสมผสานนับตั้งแต่วันนี้ไป ข้าจักพูดกับผู้อาวุโสนิกายเกี่ยวกับเรื่องนี้ยามเมื่อพวกเขาได้สำเร็จการกักตัวฝึกฝน” โหลวหลานจีกล่าวหลังจากนั้นชั่วขณะ
ซูหยางพยักหน้า
–
–
–
ในสองอาทิตย์ถัดมา ซูหยางและนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้แต่อยู่ภายในโรงเตี๊ยมเกล็ดหิมะ หากว่าซูหยางไม่ได้ฝึกร่วมกับโหลวหลานจี ซูหยางก็จะอยู่กับบรรดาศิษย์ เมื่อโหลวหลานจีและเหล่าศิษย์ยุ่งอยู่กับการฝึกปรือดูดซับปราณหยางของเขา ซูหยางก็จะทำการอบรมเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์
ยังมีบางวันที่หวังชูเหรินมาเยี่ยมเขาโดยใช้หน้ากากว่าเป็นธุรกิจระหว่างพันธมิตร แน่นอนว่าโหลวหลานจีรู้ถึงเหตุผลที่แท้จริงในการมาเยี่ยมของเธอ
สองสัปดาห์ผ่านไปราวสายฟ้า และการแข่งขันระดับภูมิภาคก็จะเริ่มต้นอย่างเป็นทางการในวันพรุ่งนี้
คืนก่อนที่จะถึงการแข่งขันระดับภูมิภาค โหลวหลานจีรวบรวมศิษย์ทั้งหมดที่จะต้องเข้าร่วมการแข่งขันระดับภูมิภาคเพื่อที่จะให้คำแนะนำพวกเธอบางอย่างเกี่ยวกับการแข่งขัน
“การแข่งขันระดับภูมิภาคจะเริ่มขึ้นภายในวันพรุ่งนี้ และมันจะดำเนินต่อเนื่องไปเป็นเวลาทั้งสิ้นเจ็ดวัน แม้ว่าคู่แข่งของพวกเราจะยังไม่ได้ประกาศออกมา จงอย่าประหลาดใจถ้าพวกเราต้องคู่กับสำนักระดับสูง ในเมื่อทุกสิ่งนั้นล้วนถูกสุ่มขึ้นมา” โหลวหลานจีกล่าวกับเหล่าศิษย์
“ครั้นเมื่อพวกเรารู้ว่าคู่ต่อสู้ของเราเป็นใครและถึงเวลาสำหรับพวกเราขึ้นไปบนเวที พวกเจ้าจักสามารถเลือกอาวุธในแบบของเจ้าที่พวกเขาจักจัดสรรให้ในเมื่อมีกฏห้ามใช้อาวุธของตนเอง”
“ข้ารู้ดีว่าพวกเจ้าส่วนใหญ่มิมีประสบการณ์หรือมีเพียงน้อยนิดกับการต่อสู้ในเมื่อพวกเราเพียงมุ่งเน้นในด้านการฝึกวิชาคู่และกว่าครึ่งของพวกเจ้าเป็นศิษย์นอกก่อนที่จะมาที่นี่ ดังนั้นข้ารู้ถึงความเสียเปรียบของพวกเจ้า อย่างไรก็ตามอย่าท้อแท้ให้สู้ด้วยทุกสิ่งที่มี มันมิเป็นไรถ้าจะต้องแพ้ อย่ากดดันตัวเองหนักจนเกินไปและอย่าทำอะไรที่อันตรายหรือเสี่ยงเกินไป แม้ว่าการฆ่าจะถือเป็นสิ่งต้องห้าม อุบัติเหตุย่อมเกิดขึ้นได้ อย่างน้อยก็มีการตายเกิดขึ้นครั้งสองครั้งในทุกการแข่งขัน”
“ผู้นำนิกายซู ในขณะที่ท่านเองก็เข้าร่วมการแข่งขันเช่นกัน ท่านมีถ้อยคำอะไรสำหรับศิษย์หรือไม่” เธอหันไปถามเขาหลังจากนั้น
ซูหยางพยักหน้าและมองไปยังเหล่าศิษย์ตรงหน้าและกล่าวว่า “แม้ว่าพวกเรามีผู้เข้าร่วมเพียงสิบเอ็ดคน ก็มิใช่ว่าพวกเราทุกคนต้องต่อสู้ ในขณะที่จำนวนผู้แข่งขันในแต่ละสำนักสามารถพาเข้าไปได้คือยี่สิบคน แต่ก็มีเพียงสิบรอบ ดังนั้นอย่างมากที่สุดก็เพียงแค่สิบคนที่จะมีโอกาสที่จะสู้ ยิ่งไปกว่านั้นคนเดียวก็สามารถสู้ทั้งสิบรอบได้”
“ส่วนสำหรับตัวข้านั้น ข้าจักมิสู้กับคู่ต่อสู้ที่ข้ารู้ว่าพวกเจ้าหญิงสาวสามารถเอาชนะได้ ถ้าหากว่าในบางครั้งพวกเราได้คู่กับสำนักระดับสูงหรือคู่ต่อสู้ที่พวกเจ้ามิอาจเอาชนะได้ ข้าจักจัดการกับพวกเขาทั้งหมด ดังนั้นพวกเจ้าสามารถต่อสู้ได้โดยมิต้องกังวลสิ่งใด”
“หากจะว่าไปข้ามิเหมือนกับผู้นำนิกายโหลว ข้าจักมิยอมรับความพ่ายแพ้ใดๆของเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากความพยายามทั้งหมดที่ข้าได้ใส่ลงไปในตัวพวกเจ้าหญิงสาว เข้าใจหรือไม่”
“เจ้าค่ะ”
บรรดาหญิงสาวตอบสนองด้วยรอยยิ้มมั่นใจบนใบหน้าซึ่งสร้างความงงงวยให้กับโหลวหลานจี
“ทำไมพวกเธอจึงดูมั่นใจนัก หรือว่าพวกเธอทำอะไรบางอย่างนอกจากการฝึกวิชาที่ข้าไม่รู้” โหลวหลานจีคิดในใจ
“อย่างไรก็ตามจุดประสงค์หลักของพวกเราในการแข่งขันระดับภูมิภาคนี้ก็คือการแสดงให้โดดเด่นเพื่อที่ผู้คนจักได้มีเหตุผลที่จะมาหาพวกเราเมื่อพวกเราเริ่มรับศิษย์ใหม่อีกครั้ง นั่นเป็นเหตุที่ว่าทำไมข้าจึงต้องการให้พวกเจ้าต่อสู้ด้วยความตั้งใจทำให้ผู้คนตื่นตะลึง” ซูหยางกล่าวหลังจากนั้นชั่วขณะ สร้างความตกตะลึงให้กับโหลวหลานจี
“หรือว่านี่เป็นเหตุที่เขาทำให้พวกเราเข้าร่วมในการแข่งขันระดับภูมิภาคแม้ว่าสถานการณ์ปัจจุบันของพวกเราเป็นอย่างนี้” โหลวหลานจีร่ำร้องในใจเมื่อสุดท้ายเธอก็ตระหนักถึงความจริงเบื้องหลังเจตนาที่จะเข้าร่วมการแข่งขันระดับภูมิภาคของซูหยาง
DC บทที่ 364: นี่ต้องเป็นการสมรู้ร่วมคิด
“ท่านผู้นำนิกาย เรามีเรื่องฉุกเฉิน เรามีเรื่องฉุกเฉิน”
“อะไรรึ” ฟูกวางมองดูผู้อาวุโสนิกายที่เรียกเขาอย่างเร่งรีบพร้อมกับขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่ายังคงโกรธเกี่ยวกับเรื่องการตายของผู้อาวุโสสูงสุดเหริน
“สำนักหงส์สวรรค์ พวกเธอ.. พวกเธอร่วมเป็นพันธมิตรกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย” ผู้อาวุโสนิกายเปิดเผยข่าวให้กับฟูกวางผู้ซึ่งดวงตาเบิกกว้างด้วยความตระหนกเมื่อได้ยินเช่นนี้
“อะไรกัน เป็นไปไม่ได้”
“มันเป็นความจริง ไป่ลี่ฮัวผู้นำนิกายของพวกเธอได้ประกาศด้วยตัวเธอเองเมื่อกี้นี้ พวกเธอกล่าวว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยตอนนี้อยู่ภายใต้การปกป้องของพวกเธอ ในเมื่อพวกเขาได้ร่วมเป็นพันธมิตรกันแล้ว”
“เจ้าพวกเลวนั่น เป็นเพราะการตายของผู้อาวุโสสูงสุดเหริน พวกนั้นจึงกล้าที่จะเข้าข้างกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยทั้งที่รู้ว่านี่เป็นการล่วงเกินพวกเรา” ฟูกวางด่าลั่น
“แล้วเรื่องความบาดหมางของพวกเรากับนิกายกุสุมาลพ้นพิสัยล่ะ พวกเราจะยังคงทำสงครามกับพวกเขาหรือไม่” ผู้อาวุโสนิกายถามเขาด้วยท่าทางกังวล
แม้ว่าจะเป็นที่รู้กันว่านิกายล้านอสรพิษเป็นขั้วอำนาจระดับสูงแม้กระทั่งกับสำนักระดับสูงด้วยกันเอง แต่เมื่อปราศจากผู้อาวุโสสูงสุดเหรินพวกเขาตอนนี้ก็ได้แต่อยู่ในระดับกลางหรือท้ายๆของอันดับของสำนักระดับสูง
ถ้านิกายล้านอสรพิษยังคงต้องการที่จะทำสงครามกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยที่ตอนนี้ได้รับการปกป้องจากสำนักหงส์สวรรค์สำนักระดับสูงต้นๆเช่นเดียวกับพวกเขา แน่นอนว่าพวกเขาย่อมต้องมีผู้บาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาอาจจะไม่ได้เป็นผู้ได้รับชัยชนะในสงครามนี้อีกด้วยซ้ำ
“เราจะทำ”
หลังจากที่ลังเลชั่วขณะฟูกวางก็ประกาศออกมาด้วยดวงตาแดงเถือก
“แม้ว่าเราจะมีผู้บาดเจ็บล้มตายอยู่บ้าง แต่พวกเราจะไม่แพ้ ต่อให้พวกเราต้องเปิดเผยไพ่ตายของพวกเราต่อโลก พวกเราก็จะต้องทำลายนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและสำนักหงส์สวรรค์”
“อะไรนะ ไพ่ตายของพวกเรา แต่นั่นสำหรับใช้กับตระกูลซี…” ผู้อาวุโสนิกายตกตะลึงกับความตั้งใจอันเด็ดเดี่ยวของฟูกวางในการที่จะสู้กับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
“แล้วจะทำไม พวกเราก็เพียงแค่เลื่อนแผนของเราออกไปอีกไม่กี่ปี นั่นมิมีอะไรแตกต่าง แต่ไม่ว่าอย่างไรนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจะต้องหายไปอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
“แต่หากว่าตระกูลซีรู้ถึงไพ่ตายของพวกเรา แน่นอนว่าพวกเขาจักต้องให้ความสนใจใกล้ชิดกับพวกเรา หากว่าเป็นเช่นนั้น แผนของพวกเราอาจจะรั่วไหลได้”
“เจ้ามิต้องกังวลในเรื่องนั้น” ฟูกวางกล่าวด้วยเสียงดุดัน “มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นในนิกายที่รู้เรื่องแผนนี้ ถ้าเกิดมีความสงสัยในตัวพวกเขา ข้าก็จักสังหารพวกเขาทิ้งโดยไม่ลังเล”
“ขอรับ ท่านผู้นำนิกาย” ผู้อาวุโสนิกายคำนับด้วยว่าเขากลัวว่าถ้าเขาพยายามที่จะโน้มน้าวฟูกวางต่อไป นั่นอาจจะดูเหมือนกับว่าเขากำลังพยายามปกป้องนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและถูกฟูกวางสังหารเสีย
อย่างไรก็ตาม เพียงหนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นข่าวของนิกายดอกบัวเพลิงร่วมเป็นพันธมิตรกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็แพร่กระจายออก จนทำให้ฟูกวางถึงกับกระทืบเท้าด้วยความโกรธแค้นจนเกือบทำลายทั้งชั้น
“เชี่ย มิเพียงแต่สำนักหงส์สวรรค์แต่กระทั่งนิกายดอกบัวเพลิงก็พยายามที่จะผสมโรงเล่นงานข้าด้วยรึ” ฟูกวางอดไม่ได้ที่จะด่าออกมาเสียงดัง “นี่ต้องเป็นการสมรู้ร่วมคิด สำนักระดับสูงต้องพยายามที่จะกำจัดนิกายล้านอสรพิษและสุดท้ายการตายของผู้อาวุโสสูงสุดเหรินก็มีผลต่อการเคลื่อนไหวของพวกนั้น”
“พวกเราควรทำอย่างไรต่อไปตอนนี้ ท่านผู้นำนิกาย ต่อให้กระทั่งไพ่ตายของพวกเรา นั่นก็เกือบเป็นไปไม่ได้ที่จะสู้กับสำนักระดับสูงสองสำนักในเวลาเดียวกันหากปราศจากผู้อาวุโสสูงสุดเหริน อย่าว่าแต่นั่นยังมีเซียนอยู่ที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอยู่ด้วย”
“…”
ฟูกวางไร้คำพูด เขาไม่เคยรู้สึกจนมุมเช่นนี้มาก่อน แม้กระทั่งในระหว่างสถานการณ์การต่อสู้เสี่ยงชีวิตที่เขาเคยได้ประสบมาก่อนหน้านี้
“ให้เวลาข้าในการคิดเรื่องนี้สักหน่อย…” สุดท้ายฟูกวางก็กล่าวขึ้นหลังจากที่ผ่านเวลาไปหลายนาที
ผู้อาวุโสนิกายพยักหน้าและปล่อยให้ฟูกวางอยู่ตามลำพัง
ในเวลานั้นภายในห้องหนึ่งในโรงเตี๊ยมเกล็ดหิมะ โหลวหลานจีทิ้งตัวลงบนเตียงด้วยท่าทางหมดแรงร่างกายปกคลุมไปด้วยเหงื่อ
“ฮาาา…ฮาาา… ฮาาา… ซูหยาง… เจ้าเก่งในเรื่องการฝึกคู่อย่างนี้ได้อย่างไร นี่เหมือนกับว่าเจ้ามีประสบการณ์เรื่องนี้มาหลายพันปี” โหลวหลานจีถามเขาขณะที่หอบหายใจอย่างหนัก
หลังจากที่ผ่านเวลาร่วมฝึกคู่มาเพียงหนึ่งชั่วโมง ซูหยางก็ได้ทำให้ร่างกายของเธอปลดปล่อยพลังงานและปราณหยินออกมาจนหมดสิ้น มันเป็นหนึ่งประวัติการณ์สำหรับโหลวหลานจี ผู้ซึ่งเป็นคนที่ทำให้คู่ฝึกของเธอหมดแรงก่อนเสมอ
“และหากเปรียบเทียบกับครั้งแรกที่พวกเราได้ทำการร่วมฝึกที่การทดสอบศิษย์ใน ปราณหยางของเจ้าได้เพิ่มคุณภาพอย่างมาก จริงแล้วมันมากเสียจนกระทั่งข้ามิอาจบอกได้ถึงคุณภาพของมันว่ามีมากน้อยเพียงใด ถ้าพวกเราร่วมฝึกกันต่อไป ข้าคงจะเข้าสู่ระดับที่หกของเขตปฐพีวิญญาณในอาทิตย์หน้า มิน่าสงสัยเลยที่ว่าพลังการฝึกปรือของเหล่าศิษย์ต่างพากันเพิ่มขึ้นพรวดพราด” โหลวหลานจีอุทานออกมาขณะที่เธอมองดูปราณหยางของเขาที่ท่วมท้นล้นออกมาจากร่องสีชมพูของเธอ
“ข้าอ่านหนังสือสองสามเล่มเกี่ยวกับการฝึกวิชาคู่เท่านั้นเอง” ซูหยางกล่าวกับเธอด้วยรอยยิ้มลึกลับบนใบหน้า
“ฮึ่ม ถ้าเจ้าสามารถมีประสบการณ์เท่านี้จากการแค่อ่านหนังสือ เช่นนั้นศิษย์ทุกคนก็คงเก่งกาจเช่นเดียวกับเจ้า” โหลวหลานจีแค่นเสียงหลังจากที่ได้ยินเขาพูดเห็นชัดว่าไร้สาระ
หลังจากนั้นชั่วขณะซูหยางก็พูดกับเธอว่า “จะว่าไปแล้วข้ามีเรื่องที่จะพูดกับเจ้า มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับอนาคตของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย”
“หือ อะไรหรือ”
“ข้าวางแผนที่จะทำให้นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเป็นสำนักผสมผสาน” เขากล่าว
“ผสมผสานรึ นี่หมายความว่าอย่างไร” โหลวหลานจีเงยหน้าขึ้นอย่างงุนงงในเมื่อเธอไม่เคยได้ยินอะไรทำนองนี้มาก่อน
“ก็ตรงตามความหมาย นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจักแบ่งศิษย์ออกเป็นสองภาคในอนาคต ภาคหนึ่งจะฝึกวิชาคู่ในขณะที่อีกภาคจะฝึกวิชาธรรมดา แต่แน่นอนว่านิกายเองจะยังคงเป็นหนึ่ง”
“ข้าพอที่จะถามได้ไหมว่าทำไมเจ้าต้องการที่จะแบ่งศิษย์ออก” ถึงแม้ว่ามันจะเปลี่ยนวิถีทางของนิกายกุสุมาลพ้นพิสัยไปอย่างสมบูรณ์ โหลวหลานจีก็ไม่ได้ปฏิเสธความคิดของเขาในทันทีและเปิดใจรับ
ซูหยางพยักหน้าและทำการอธิบายให้เธอฟังถึงเหตุผลเบื้องหลังความคิดของเขา
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 363
DC บทที่ 363: สถานการณ์ที่คาดไม่ถึง
เมื่อซูหยางกลับไปถึงโรงเตี๊ยม โหลวหลานจีก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเขาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
“ซูหยางเรามีเหตุฉุกเฉิน” เธอร้องลั่น “นิกายล้านอสรพิษ… พวกนั้น–”
“ข้ารู้ พวกเขากล่าวหาพวกเราว่าฆ่าผู้อาวุโสนิกายของเขาคนหนึ่งใช่ไหม”
“ไม่ใช่แค่ผู้อาวุโสนิกายทั่วไป เขาเป็นผู้อาวุโสสูงสุดที่ซึ่งเปรียบเหมือนกับบรรพบุรุษของพวกเขา แล้วนี่เจ้ายังเยือกเย็นกับสถานการณ์นี้ได้อย่างไร จะเกิดอะไรขึ้นถ้าตระกูลซีเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเราต้องถึงเคราะห์หามยามร้ายแน่ไม่ว่าพวกเราจะเป็นผู้บริสุทธิ์หรือไม่ก็ตาม เพราะว่านิกายล้านอสรพิษเป็นสำนักระดับสูง สำนักระดับสูงทั้งหมดได้รับการปกป้องจากตระกูลซีโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว” โหลวหลานจีกล่าวกับเขา
“เยือกเย็นไว้และคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ถี่ถ้วน เจ้ายังคิดจริงรึว่าจะมีใครเชื่อเรื่องไร้สาระนี้ พวกเราเป็นใครกัน สำนักระดับต่ำที่มีศิษย์เพียงร้อยคนและอยู่ในสภาพใกล้ล่มสลาย พวกเราสามารถทำอะไรได้กับจอมยุทธเขตอัมพรวิญญาณงั้นรึ อย่าว่าแต่ฆ่าสักคนหนึ่ง”
โหลวหลานจีพลันอับจนถ้อยคำ ต่อให้เธอเกลียดที่จะยอมรับแต่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยตอนนี้อยู่ในสถานะที่อ่อนแอเสียจนกระทั่งพวกเขาไม่สามารถทำร้ายใครได้ อย่าว่าแต่นี่เป็นถึงจอมยุทธเขตอัมพรวิญญาณจากสำนักระดับสูง
“ตอนนี้เมื่อเจ้าตระหนักถึงสถานการณ์ที่แท้จริงแล้วก็จงนั่งลงผ่อนคลายและดูนิกายล้านอสรพิษสร้างความอับอายให้ตัวเอง”
“อย่างไรก็ตามตอนนี้ข้าอดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าใครที่อยู่เบื้องหลังการตายของผู้อาวุโสสูงสุด”
“และเจ้าจะทำอะไรต่อหากว่าเจ้ารู้แล้ว ขอบคุณเขารึ สิ่งที่ข้ารู้อย่างเดียวก็คือคนผู้นี้ได้ช่วยพวกเราอย่างมากที่ฆ่าจอมยุทธจากนิกายล้านอสรพิษ ต่อให้มิได้เจตนาก็ตาม” ซูหยางกล่าวด้วยรอยยิ้มลึกลับบนใบหน้า
“อย่างไรก็ตาม…” โหลวหลานจีขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “ต่อให้มิมีใครเชื่อข่าวลือที่นิกายล้านอสรพิษได้กระจายออกไป พวกเขาก็ยังเชื่อว่าพวกเราผิด ไม่ช้าไม่นานพวกเขาจักต้องมาหาพวกเราเพื่อแก้แค้นแน่”
“หรือว่าเจ้าลืมไปแล้วว่าพวกเราเป็นพันธมิตรกับสำนักหงส์สวรรค์และนิกายดอกบัวเพลิงเรียบร้อยแล้ว แล้วคนที่ปกป้องนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยของพวกเราจากเบื้องหลังอีกล่ะ ต่อให้นิกายล้านอสรพิษต้องการทำสงครามกับพวกเรา พวกเขาจะทำอะไรเราได้”
“ข้ามิได้ลืม แต่จักเป็นการดีกว่าในการระมัดระวัง ไม่ว่าอย่างไรก็ตามใครจะรู้ว่านิกายล้านอสรพิษยังมีอะไรซ่อนอยู่ในแขนเสื้ออีก”
“แน่นอน อย่างไรก็ตามทำไมเราไม่ทำอะไรที่ช่วยผ่อนคลายความกังวลของเจ้าสักนิดล่ะ” ซูหยางพลันกล่าวขึ้น
“เอ๋ อย่างเช่นอะไรรึ”
ซูหยางเผยรอยยิ้มและกล่าวว่า “ตอนนี้เมื่อข้าเป็นผู้นำนิกายแล้ว ข้ามีภาระผูกพันที่จะต้องฝึกร่วมกับผู้นำนิกายอีกคนใช่ไหม นั่นคงจะดูไม่ดีกับนิกายถ้าผู้นำนิกายล้าหลังกว่าศิษย์คนอื่นในด้านการฝึกฝนแน่ๆ”
โหลวหลานจีไร้ถ้อยคำไปชั่วขณะก่อนที่จะเผยรอยยิ้ม “ในตอนนี้ข้าคิดว่าเจ้าลืมเรื่องภาระของเจ้าไปเสียแล้วซูหยาง มากับข้า ผู้อาวุโสคนอื่นๆกำลังวุ่นอยู่กับการพยายามที่จะก้าวข้ามไปอีกเขตหลังจากที่กลืนโอสถเขตปฐพีเข้าไป ดังนั้นพวกเรามีเวลามากมายที่จะเล่น”
ไม่นานหลังจากนั้น โหลวหลานจีก็ลากซูหยางเข้าไปในห้องว่างก่อนที่จะปิดล็อกประตู
ในเวลานั้นโลกเบื้องนอก นอกจากข่าวการตายกระทันหันของผู้อาวุโสสูงสุดเหริน ข่าวที่น่าตระหนกอื่นก็ได้แพร่กระจายออกไปทั่วเมืองราวกับไฟไหม้ป่า
“เจ้าพูดว่าอะไรนะ สำนักหงส์สวรรค์ประกาศว่าพวกเธอร่วมเป็นพันธมิตรกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยงั้นรึ” เจ้าซีเกือบจะไม่เชื่อหูตัวเองเมื่อเขาได้ยินข่าว
“เจ้ามั่นใจในเรื่องนี้รึ” เขาถามอีกครั้ง
“ข้าน้อยผู้นี้เห็นว่าข่าวนี้เชื่อถือได้ในเมื่อมันถูกแจ้งออกมาโดยเจ้าสำนักเอง”
“เกิดอะไรขึ้นกันนี่ ทำไมจึงกระทันหันเช่นนี้ หรือว่าพวกเขาพยายามที่จะปกป้องนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจากนิกายล้านอสรพิษ แต่ทำไมพวกเขาจึงทำเช่นนี้กัน” เจ้าซีรู้สึกว่าปัญหาปวดหัวจะตามมาหลังจากนี้
“เดี๋ยวก่อน… ซูหยางมีน้องสาวอยู่ที่สำนักหงส์สวรรค์ซึ่งค่อนข้างจะมีบุญคุญต่อสำนักอยู่บ้าง บางทีเธออาจจะเป็นคนที่ทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้นก็ได้ ไม่ใช่ ต่อให้เธอเป็นศิษย์ที่มีพรสวรรค์ที่สุดในสำนัก เธอก็ไม่ควรจะสามารถทำการตัดสินใจที่ใหญ่เช่นนี้ได้”
ไม่ว่าเจ้าซีจะครุ่นคิดมากเพียงใด เขาก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจการตัดสินใจของสำนักหงส์สวรรค์ในการร่วมเป็นพันธมิตรกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้แม้แต่เพียงด้านเดียว
อย่างไรก็ตามนั่นไม่ได้จบความปวดหัวของเขาเพียงเท่านั้น ในเมื่อเพียงแค่หนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น นิกายดอกบัวเพลิงก็ประกาศว่าพวกเขาจะร่วมเป็นพันธมิตรกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเช่นกัน
การที่สำนักระดับสูงสองสำนักยินดีเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับที่แห่งเดียวกันนั้น นั่นกลายเป็นสถานการณ์ที่คาดไม่ถึงไปแล้ว อย่าว่าแต่เป็นที่เล็กๆดังเช่นนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
ดังคาดเมื่อได้ยินว่าทั้งสำนักหงส์สวรรค์และนิกายดอกบัวเพลิงได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับสำนักที่ทั้งเล็กและแทบจะไม่เป็นที่รู้จัก ได้สร้างความตื่นตระหนกไปทั่วทั้งโลกเท่าที่มันจะแพร่กระจายไปได้
สิ่งนี้ทำให้เกิดความตื่นตัวให้กับสำนักต่างๆไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ต่างเริ่มสืบหานิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ในเมื่อพวกเขาล้วนต้องการที่จะรู้ว่ามีอะไรพิเศษเกี่ยวกับพวกเขาที่ทำให้สำนักระดับสูงสองสำนักสนใจ อย่างไรก็ตาม หลังจากที่รวบรวมข่าวสารทั้งหมดและวิเคราะห์แม้กระทั่งรายละเอียดเล็กน้อย มันกลับเพียงสร้างความสับสนให้ผู้คนมากยิ่งไปกว่าเดิม ในเมื่อนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยไม่ได้เป็นอะไรไปกว่าสำนักเล็กๆที่ฝึกวิชาคู่เท่านั้นไม่มากไม่น้อยไปกว่านั้น ที่บ้าไปกว่านั้นพวกเขาไม่มีแม้กระทั่งความสำเร็จให้เห็นในยุทธภพ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาตอนนี้อยู่ในสภาวะใกล้ล่มสลายหลังจากที่ถูกนิกายล้านอสรพิษจู่โจม เป็นเพียงปาฏิหาริย์เท่านั้นที่พวกเขายังดำรงอยู่ได้หลังจากผ่านเรื่องทั้งหมดนั้น
“กระทั่งนิกายดอกบัวเพลิงก็ยังร่วมเป็นพันธมิตรกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยงั้นรึ เท่าที่ข้ารู้ พวกเขาไม่น่าจะมีความสัมพันธ์กัน” เจ้าซีขมวดคิ้ว
เพราะว่าการร่วมเป็นพันธมิตรของสำนักทั้งสามนี้ สมดุลอำนาจในโลกนี้กลายเป็นไม่เสถียรดังนั้นเจ้าซีจึงพยายามที่จะหาทางออก ยิ่งไปกว่านั้นยามเมื่อนิกายล้านอสรพิษถูกถอดสถานะสำนักระดับสูงของพวกเขาออก สมดุลของขั้วอำนาจที่ดำรงอยู่มากว่าพันปีย่อมพังครืนลงมาอย่างแน่นอน
แน่นอนว่าเจ้าซีไม่ได้เป็นเพียงผู้เดียวที่ต้องเกาหัวในเรื่องของพันธมิตรนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย กระทั่งนิกายล้านอสรพิษเองก็พยายามที่จะเข้าใจกับเหตุการณ์ด้วยเช่นกัน
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 362
DC บทที่ 362: เจ้ามีข้อพิสูจน์อะไรบ้าง
ปัง ปัง ปัง
ทหารองครักษ์คนหนึ่งเคาะประตูห้องเจ้าซีอย่างเร่งรีบ
“ท่านเจ้า เรื่องฉุกเฉิน เรื่องฉุกเฉิน” ทหารองครักษ์ตะโกน ฟังดูเหมือนกับฟ้าถล่ม
“เกิดบ้าอะไรกัน” เจ้าซีเปิดประตูพร้อมขมวดคิ้ว ขณะที่เขาเกือบไม่ได้นอนเมื่อคืนเนื่องมาจากการทะเลาะกับซูหยาง
“ท่านเจ้า เราได้รับรายงานว่าผู้อาวุโสสูงสุดเหรินของนิกายล้านอสรพิษถูกฆ่า และ… และ… ใครบางคนได้ประจานหัวของเขากลางตลาด มันสร้างความปั่นป่วนอย่างมหาศาลภายในเมือง”
“เจ้าพูดว่ากระไรนะ พาข้าไปที่เกิดเหตุเดี๋ยวนี้” ไม่เสียเวลาสำหรับเจ้าซีแม้แต่วินาทีเดียวที่จะรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่เวลาสำหรับเขาที่จะมากังวลเรื่องผู้ร้าย ในเมื่อเขากังวลวุ่นวายเกินไปอยู่กับเรื่องที่ว่านิกายล้านอสรพิษจะมีปฏิกิริยาอย่างไรกับการยั่วยุอย่างเปิดเผยนี้
เวลาต่อจากนั้นเมื่อเจ้าซีไปถึงที่เหตุการณ์ เขาก็ต้องตกใจที่เห็นหัวที่ถูกตัดออกของผู้อาวุโสเหรินปักตรึงอยู่กับพื้นด้วยกระบี่ระดับวิญญาณ ยิ่งไปกว่านั้นหัวนั้นได้แสดงสีหน้าหวาดกลัว ราวกับว่าเขากำลังมองเห็นปีศาจอยู่ตรงหน้าก่อนตาย
มียอดยุทธหลายคนได้มาถึงที่เหตุการณ์ก่อนเจ้าซีได้ไปถึง และนั่นก็รวมไปถึงคนจากนิกายล้านอสรพิษด้วย
“ใครกันช่างกล้าทำบางอย่างเช่นนี้กับนิกายล้านอสรพิษ นี่โดยปกติแล้วถือว่าเป็นการประกาศสงคราม” ผู้ชมคนหนึ่งกล่าว
“ข้าคิดว่านี่เป็นเรื่องน่าเร้าใจมากที่คนผู้นี้สามารถฆ่าจอมยุทธดังเช่นผู้อาวุโสสูงสุดเหรินที่ก่อนตายอยู่ถึงเขตอัมพรวิญญาณได้”
“หรือว่าความปั่นป่วนเมื่อคืนนี้เกิดจากผู้อาวุโสเหรินและคนที่เขาต่อสู้ด้วย”
ขณะที่ผู้คนต่างพากันคาดเดาว่าเกิดอะไรขึ้นกับผู้อาวุโสสูงสุดเหริน ก็มีคนหนึ่งพลันไปคุกเข่าต่อหน้าหัวขาดของผู้อาวุโสสูงสุดเหรินและร่ำร้องเสียงดัง
“อาาาาาาา”
ผู้คนที่นั่นต่างพากันจำคนผู้นั้นได้ทันที นั่นก็คือฟูกวางผู้นำนิกายของนิกายล้านอสรพิษ
“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย นี่เป็นสงคราม ข้า ฟูกวาง ขอสาบานที่จะแก้แค้นให้กับพี่น้องของข้าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม” ฟูกวางคำราม สร้างความมึนงงให้กับผู้คนที่นั่น
“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับการตายของผู้อาวุโสสูงสุดเหรินรึ พวกเขามีเพียงยอดยุทธเขตปฐพีวิญญาณเพียงคนเดียวเป็นอย่างมาก มิมีทางที่ผู้อาวุโสสูงสุดเหรินจะตกตายเพราะพวกเขา”
“ใช่ นั่นต้องมีความเข้าใจผิดอะไรสักอย่างที่นี่”
ผู้คนต่างพากันสงสัยในความสามารถที่จะฆ่าผู้อาวุโสสูงสุดเหรินของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ผู้ซึ่งควรจะมีความสามารถเพียงพอที่จะทำลายทั้งนิกายนี้ได้หลายรอบด้วยตัวของเขาเอง
“ผู้นำนิกายฟู ใจเย็น” เจ้าซีพลันก้าวออกไปข้างหน้า
“ท-ท่านเจ้า”
ทุกคนที่นั่นต่างพากันก้มหัวลงทักทายเขาหลังจากที่เห็นเจ้าซี
“ท่านเจ้า นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ พวกเขาฆ่าผู้อาวุโสสูงสุดเหริน” ฟูกวางกล่าวกับเขาพร้อมกับใบหน้าแดงก่ำ “โปรดยินยอมให้ข้าน้อยผู้นี้ได้ลงโทษนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยสำหรับการกระทำที่เสแสร้งของพวกเขา”
เมื่อเจ้าซีได้ยินคำพูดของฟูกวาง เขาก็เย้ยเยาะอยู่ในใจ “ไอ้เฒ่าเจ้าเล่ห์ เจ้าคิดหรือว่าข้ามิรู้เรื่องราวอะไรเลย เพราะว่าการกระทำของเจ้าข้าจึงถูกเจ้าเด็กบ้านั่นปั่นหัว และยังถูกลูกสาวสุดที่รักของข้าด่าอีกด้วย”
“เดี๋ยก่อน เจ้ามีข้อพิสูจน์อะไรที่ว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ มันดูเหมือนจะเป็นเรื่องน่าขันที่สำนักเล็กๆแบบพวกเขานั้นจะมีพลังอำนาจในการฆ่าคนที่มีประสบการณ์เหมือนกับผู้อาวุโสเหริน” เจ้าซียับยั้งความอยากที่จะต่อยฟูกวางไว้และถามเขาด้วยเสียงเยือกเย็น
ฟูกวางพลันจนคำพูด ถ้าเขาต้องการที่จะพิสูจน์ว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอยู่เบื้องหลังการตายของผู้อาวุโสสูงสุดเหริน เขาก็จำต้องเปิดเผยให้ทุกคนรู้ถึงแผนการที่จะลอบฆ่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ซึ่งมีแต่จะย้อนเข้าตัวนิกายล้านอสรพิษเท่านั้น มันเป็นไปไม่ได้ที่จะพิสูจน์อะไรได้โดยไม่ทำให้ตัวเองเจ็บตัวในกระบวนการเหล่านี้ในเวลานี้
“ไม่…ข้ามิมีข้อพิสูจน์อะไร… ต-แต่นั่นเป็นใครไปอีกไม่ได้นอกจากพวกเขา” ฟูกวางกล่าวใบหน้าแดงด้วยความอับอาย
“เจ้ามิอาจกล่าวหาใครโดยมิมีหลักฐาน ผู้นำนิกายฟู นั่นมิเข้ากับคนที่อยู่ในตำแหน่งของเจ้า…” เจ้าซีส่ายหน้า
“ข้าน้อยผู้นี้แสดงความโง่เขลาไปแล้ว…” ฟูกวางต้องกล้ำกลืนความโกรธและก้มหน้าลง
อย่างไรก็ตามขณะที่ทุกสิ่งที่นั่นเริ่มสงบลง เสียงอื่นพลันดังขึ้น “โอ มีคนมากมากมายอะไรปานนี้ หรือว่ามีงานอะไรกัน”
“จ-เจ้าคือ” ความโกรธที่ฟูกวางกดเอาไว้พลันปะทุขึ้นมาหลังจากที่เห็นหน้าซูหยางปรากฏขึ้นตรงหน้า
กระทั่งเจ้าซีก็ยังตกใจที่เห็นเขาที่นี่ ในเมื่อเขาไม่คาดคิดว่าผู้ร้ายจะกล้าพอที่จะกลับมายังภาพเหตุการณ์ที่ตนเองได้ก่อขึ้น
หลังจากที่เห็นหัวขาดของผู้อาวุโสเหรินที่ตั้งอยู่ตรงนั้น ซูหยางทำท่าตกใจและพูดด้วยน้ำเสียงขวัญเสียว่า “โอ ตายแล้ว อะไรที่เป็นแรงจูงใจให้บางคนทำบางสิ่งที่เลวร้ายเลือดเย็นปานนี้”
“ซ-ซ-ซูหยาง เจ้าเด็กชั่ว เจ้ากล้ามาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร” ฟูกวางระงับความต้องการที่จะต่อยซูหยางต่อหน้าเจ้าซีไว้ และชี้ไปที่เขาด้วยนิ้วอันสั่นเทาแทน
“มีอะไรผิดที่ข้ามาอยู่ที่นี่ด้วยรึ ข้าเพียงแค่ได้ยินว่ามีความวุ่นวายแถวนี้และมาตรวจดู”
“เจ้าอย่ามาทำเป็นโง่ ข้ารู้ว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยของเจ้าอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ มันต้องเป็นเด็กหญิงคนนั้นแน่” ฟูกวางคำรามใส่เขา
อย่างไรก็ตามซูหยางก็ยังทำหน้าตาไร้เดียงสาต่อไปอีกและกล่าวด้วยด้วยท่าทางตระหนก “ทำไมนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยของเราจะทำอะไรเช่นนี้ ถึงแม้ว่าพวกเราจะมีความแค้นกับนิกายล้านอสรพิษของเจ้าสำหรับการที่เกือบทำลายนิกายของพวกเรา พวกเรามิได้เป็นคนดุร้ายเหมือนกับเจ้า”
และเขากล่าวต่อไปอีกว่า “เจ้ามีข้อพิสูจน์ว่าพวกเราทำสิ่งนี้หรือไม่ และเด็กหญิงนั่นเกี่ยวข้องอะไรด้วย หรือว่าเจ้ากำลังแนะว่าเด็กหญิงตัวเล็กๆได้ฆ่าชายชรานั่น เจ้าบ้าไปแล้วหรือเปล่า”
คนดูหลายคนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะหลังจากที่ได้ยินคำพูดของซูหยาง พวกเขาล้วนเห็นด้วยว่าฟูกวางฟังดูบ้าอยู่บ้างในตอนนี้ ในเมื่อเขาเอาแต่พูดสิ่งที่ไร้สาระตลอดเวลา
“อย่าทดสอบความอดทนของข้า เจ้าเด็กเลว” ขณะที่ใบหน้าของฟูกวางแดงยิ่งขึ้น เขาก็เอื้อมมือไปยังแหวนมิติโดยไม่รู้ตัว
“เจ้ากำลังจะโจมตีข้าในขณะที่เจ้ามิมีข้อพิสูจน์อะไรอย่างนั้นรึ สมกับเป็นนิกายล้านอสรพิษ พวกเจ้าเป็นเพียงแค่ฝูงอันธพาล” ซูหยางส่ายหน้า
“ผู้นำนิกายฟู เจ้ามิสนใจว่ามีข้าอยู่ที่นี่ด้วยรึ” เจ้าซีจ้องมองเขาพร้อมหรี่ตา
“ม-ไม่ ผ-ผู้น้อยคนนี้มิกล้า” ฟูกวางกัดฟันพูด
“เช่นนั้นจนกว่าเจ้ามีข้อพิสูจน์ชัดแจ้งว่าใครเป็นคนฆ่าผู้อาวุโสเหริน ตระกูลซีของข้าก็จักสืบสวนเรื่องนี้ด้วย เจ้ามีปัญหาอะไรเรื่องนี้หรือไม่” เจ้าซีถามเขา
ฟูกวางส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว
“ดี” จากนั้นเจ้าซีก็หันไปมองดูผู้คนและกล่าวเสียงดังว่า “พื้นที่นี่ตอนนี้เป็นพื้นที่เหตุการณ์ที่จะได้รับการสืบสวนโดยตระกูลซีของข้า จักมิให้ผู้ใดเข้าใกล้พื้นที่นี้จนกว่าจะมีประกาศต่อไป แยกย้านกันไปได้”
“ตามพระประสงค์ท่านเจ้า”
ผู้ชนพากันกระจายออกไปจากที่นั้น อย่างไรก็ตามเรื่องราวความปั่นป่วนนี้ก็จะแพร่กระจายข้ามไปทั่วทวีปเหมือนกับไฟป่าหลังจากนั้นทันทีเช่นกัน
และในเมื่อเขาได้รับสิ่งที่เขาต้องการเรียบร้อยแล้วจากการปรากฏตัวต่อหน้าฟูกวาง ซูหยางก็จากไปพร้อมฝูงชนและกลับไปยังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
ยามเมื่อเขากลับไปถึงโรงเตี๊ยมข่าวที่ผู้อาวุโสสูงสุดเหรินตายก็ได้ไปถึงหูของโหลวหลานจีแล้วซึ่งเธอก็สั่นสะท้านอย่างหนักหลังจากที่ได้ยินชื่อนิกายของพวกเขาในนั้นด้วย
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 361
DC บทที่ 361: กิเลนม่วง
หลังจากที่ซูหยางไปจากสถานที่แห่งนั้นแล้ว เจ้าซีก็กลับไปที่เมืองเช่นกัน อย่างไรก็ตามขณะที่ไปถึงประตู เขาก็พบกับคนขี้สงสัยจำนวนมากที่ถูกสั่งให้อยู่แต่ในเมืองจากทหารเฝ้าประตู
“ท-ท่านเจ้า ทุกสิ่งเป็นไปด้วยดีหรือไม่ ท่านบาดเจ็บหรือไม่” ทหารเฝ้าประตูพลันถามเขา
“ข้าสบายดี ต้นตอของปรากฏการณ์ประหลาดเมื่อกี้นี้ได้ข้อสรุปแล้ว มิมีอะไรน่าเป็นห่วง” เจ้าซีกล่าว
“ท่านเจ้า ข้าพอจะถามได้หรือไม่ว่า อะไรที่เป็นต้นตอของปรากฏการณ์ประหลาดนั้น”
ผู้คนที่สงสัยต่างพากันถามเขา
“มันเป็นเพียงแค่การวิวาทกันเล็กน้อยระหว่างยอดยุทธสองคน มิมีค่าอะไรแก่การใส่ใจ”
“เพียงแค่การวิวาทเล็กน้อยเองรึ”
ผู้คนต่างพากันมึนงงกับคำตอบที่ไม่คาดคิด การทะเลาะวิวาทเล็กน้อยอะไรกันถึงทำให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวายเพียงนี้ พวกเขายังคิดว่านี่เป็นสงครามระหว่างกองกำลังที่แข็งแกร่งสองฝ่ายเสียอีก
“ข้าจักต้องขออภัยแทนผู้ที่สร้างปัญหาเหล่านี้ด้วยถ้าการวิวาทของพวกเขาทำให้เกิดความไม่สะดวกขึ้น” เจ้าซีกล่าว
อย่างไรก็ตามก็ไม่มีใครพูดอะไร ไม่ว่าอย่างไรใครจะกล้าให้ราชันย์ขอโทษด้วยตนเอง ต่อให้เจ้าซีเองเป็นคนที่สร้างความวุ่นวายนี้เอง ก็ไม่มีใครกล้าตัดพ้อ
หลังจากนั้นเมื่อเจ้าซีกลับคืนถึงบ้าน ร่างอีกร่างหนึ่งที่มีสีหน้าอยากรู้ก็มาปรากฏต่อหน้าของเขา
“ท่านพ่อ เกิดอะไรขึ้นข้างนอกรึ ใช่พี่ชายซูหยางหรือไม่” ซีซิงฟางถามเขาทันทีที่เขาเดินผ่านประตู
“…อย่ากล่าวถึงชื่อของเขา” เจ้าซีรู้สึกถึงความโกรธที่ได้กดเอาไว้ปะทุขึ้นมาหลังจากที่ได้ยินชื่อของเขา
ซีซิงฟางขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “เป็นเขาอย่างงั้นสินะ… มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างพวกท่านทั้งสองกัน”
“เจ้าเลวนั่นเป็นคนเดียวในโลกนี้ที่กล้าหยามข้าอย่างตรงๆ เขามิเคารพอำนาจหรือฐานะของข้า ถ้ามิใช่เพราะว่าอาการของเจ้า ข้าจักต้องฆ่าเขาที่นั่นเดี๋ยวนั้น”
“ท่านพ่อ” ซีซิงฟางพลันตะโกนออกมา ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความโกรธ “ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรระหว่างท่านกับพี่ชายซูหยาง ข้าจักมิยอมให้ท่านทำอันตรายเขา”
“ฮึ่ม”
เจ้าซีเพียงแค่แค่นเสียงกับคำพูดของเธอและเดินจากไป
“ท่านพ่อ ข้าขอเตือนท่าน ถ้าท่านทำอันตรายเขา ข้าจักมิให้อภัยท่านถึงแม้ว่าท่านจะเป็นพ่อของข้าก็ตาม”
อย่างไรก็ตาม เจ้าซีไม่สนใจเธออีกต่อไปและหายไปจากตรงนั้นอย่างสิ้นเชิง
“…”
ชั่วขณะหลังจากนั้น ร่างอีกร่างหนึ่งก็มาปรากฏตัวต่อหน้าซีซิงฟาง
“ซิงเอ๋อร์ เจ้าชอบชายหนุ่มคนนั้นจริงๆ เฮ้อ”
“ท-ท่านปู่ ท่านมาทำอะไรที่นี่” ซีซิงฟางแสดงท่าทางประหลาดใจหลังจากที่เห็นชายชรา
“ถ้าข้ามิออกมา พ่อของเจ้าคงจะสู้ตายกับเพื่อนของเจ้า” เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ท่านพ่อจักไปสู้ตายกับพี่ชายซูหยาง ทำไมอะไรแบบนี้จึงเกิดขึ้นได้” ซีซิงฟางตื่นตระหนกอย่างแท้จริงในตอนนี้
“เอ้อ.. เจ้ารู้ไหม..”
ในเมื่อมันไม่ได้มีอันตรายอะไรในการที่จะให้เธอได้รู้ ชายชราจึงอธิบายสถานการณ์ให้กับเธอ
หลังจากที่รู้ความจริง ซีซิงฟางกัดฟันเธอด้วยความโกรธและพูดเสียงเย็นชา “นิกายล้านอสรพิษทำเกินไปแล้วคราวนี้ เมื่อมาคิดว่าพวกเขาถึงกับส่งนักฆ่าไปโจมตีนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย พวกเขาสมควรที่จะถูกริบสถานะสำนักระดับสูง ในเมื่อพฤติกรรมของเขามิต่างไปจากโจรร้าย”
“โฮ่ มิง่ายเลยที่จะเห็นเจ้าถึงกับโกรธแทนคนอื่นถึงปานนี้ ซิงเอ๋อร์ ชายชรามองดูเธอด้วยสีหน้าสนุกสนาน
ซีซิงฟางหน้าแดงและกล่าวว่า “เออ.. พี่ชายซูหยางเป็นผู้ที่มีพระคุณต่อข้าและจะเป็นผู้ช่วยชีวิตของข้าด้วย แน่นอนว่าข้าย่อมโกรธแค้นถ้าเขาถูกคนของพวกเรารังแก”
“เจ้าดูเหมือนมีความมั่นใจว่าเขาจักสามารถรักษาอาการของร่างกายเจ้าได้ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น” เขาถามเธอ
“ข้ามิสามารถที่จะอธิบายได้ถูกต้องอย่างแท้จริง แต่มีกลิ่นอายรอบตัวเขาที่ทำให้ข้ามั่นใจเพียงแค่ได้อยู่ข้างกายเขา”
ชายชรายิ้มและกล่าวว่า “กลิ่นอายแบบนั้นเป็นสิ่งที่มีเพียงคนที่มีความมั่นใจสูงสุดในความสามารถของตนเองปลดปล่อยออกมา มิว่านั่นจะเป็นความหยิ่งยะโสหรือความมั่นใจ ตราบเท่าที่คนนั้นแข็งแกร่งพอ เขาจักย่อมมีผลกระทบต่อคนอื่นด้วยเพียงกลิ่นอายของเขาแต่เพียงอย่างเดียว มันเป็นบางสิ่งที่คล้ายกับสิ่งที่ราชันย์ปลดปล่อยออกมาเมื่ออยู่ต่อหน้าประชาชนของเขา”
“ข้าเข้าใจ…” ซีซิงฟางพยักหน้า
“อย่างไรก็ตามการรวบรวมดำเนินไปอย่างไรแล้ว มีสิ่งของมากมายเพียงใดที่พวกเรายังคงต้องการจากรายการนั้น” ชายชราพลันถามเธอ
“ท่านพ่อกลับมาพร้อมกับเลือดงูสามฤดูวันนี้ซึ่งนั่นทำให้สำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่งของรายการ เราควรจะได้สิ่งของอีกสองในอาทิตย์หน้า อย่างไรก็ตามสิ่งของที่เหลืออีกสามรายการทั้งหมดล้วนเป็นของหายากที่สุดที่กระทั่งพวกเรายังมิได้เห็นมันมานับสิบปีแล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งโสมเลือดปีศาจ หากจะกล่าวไปแล้ว พี่ชายซูหยางได้กล่าวว่าเขาจะจัดการเรื่องโสมเลือดปีศาจ พวกเราจึงเพียงต้องกังวลกับอีกสองสิ่งเท่านั้น” ซีซิงฟางกล่าว
“ของสองสิ่งนั้นมีชื่อว่าอะไร” ชายชราถาม
“ข้าเชื่อว่ามันเป็นสมุนไพรพิษชื่อว่ารากอสูรและเลือดจากสัตว์พิเศษ กิเลนม่วง”
“กิเลนม่วง หือ… นี่ค่อนข้างจะมีปัญหา…” ชายชราขมวดคิ้ว
“ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ท่านปู่” ซีซิงฟางถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“กิเลนม่วงสามารถพบได้ที่ใกล้กับสระม่วงที่อยู่ในป่าต้องห้าม อย่างไรก็ตามปัญหามิได้อยู่ที่ตัวกิเลนแต่กลับเป็นสภาพแวดล้อมอันตรายของป่าต้องห้ามแทน สถานที่นั้นเต็มไปด้วยอากาศที่เป็นพิษที่อันตรายเสียจนกระทั่งข้ามิอาจจะเข้าไปได้ลึกโดยมิเป็นอันตรายต่อพลังการฝึกปรือของข้า”
“มันอันตรายถึงขนาดนั้นเชียวรึ เช่นนั้นพวกเราจะเข้าไปเอาเลือดของกิเลนม่วงได้อย่างไร”
“แม้ว่าข้ามิอาจเข้าไปในป่านั้นได้ แต่นั่นเป็นเรื่องอีกเรื่องสำหรับเจ้าซึ่งมีร่างกายที่ต้านทานพิษอย่างสมบูรณ์”
“ข-ข้ารึ…” ซีซิงฟางกลืนน้ำลายด้วยความเป็นกังวล
“ใช่ มีเพียงเจ้าที่สามารถเข้าไปในป่าต้องห้ามได้อย่างปลอดภัย อย่างไรก็ตามข้ามิแนะนำเช่นนั้น ในเมื่อเจ้ามิอาจจะเป็นคู่มือของกิเลนม่วงที่อยู่ประมาณระดับหกของเขตอัมพรวิญญาณได้”
“ต่อให้มันจะต้องมีอันตราย เพื่อที่จะให้ได้มาซึ่งเลือดกิเลนม่วง ข้าต้องไป” ซีซิงฟางกล่าว
“ใจเย็นๆ ซิงเอ๋อร์ เราสามารถคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกครั้งเมื่อเราได้รับของอย่างอื่นแล้ว ส่วนสำหรับรากอสูรนั้น เจ้าก็สามารถหามันได้จากภายในป่าต้องห้ามด้วยเช่นกัน แต่ในเมื่อมันสามารถหาพบได้จากรอบๆชายเขตของป่า เรามิต้องจำเป็นต้องกังวลว่าจะมิสามารถเข้าถึงมันได้”
ซีซิงฟางพยักหน้า
“มันดึกแล้ว เจ้าควรไปพักผ่อน”
“แล้วท่านล่ะ ท่านปู่”
“ข้าจักอยู่ที่นี่นานอีกสักหน่อย ข้ายังคงมีเรื่องต้องคุยกับพ่อของเจ้าอีกสองสามเรื่อง”
“ได้เลย ราตรีสวัสดิ์ ท่านปู่” ซีซิงฟางกล่าวกับเขาก่อนที่จะกลับไปยังห้องของตนเอง
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 360
DC บทที่ 360 อย่าล่วงเกินเขา
“หรือว่าเจ้าลืมไปแล้วว่าข้าคือใคร ซูหยาง เช่นนั้นขอให้ข้าช่วยเตือนความจำว่าข้าคือซีอีมู ราชาของทวีปนี้” เจ้าซีตะโกนออกมาด้วยกลิ่นอายท่วมท้นรอบกายเขา “แม้ว่าเจ้าอาจจะทรงอำนาจ หรือว่าเจ้าทรงอำนาจพอที่จะสู้กับทั้งทวีป”
“…”
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะซูหยางก็พูดขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า “ข้าจะสามารถต่อสู้กับทั้งทวีปได้หรือไม่หรือเปล่านั้น.. เจ้าต้องการทดสอบหรือไม่”
“ซูหยาง… เจ้าสารเลว หรือเจ้ากำลังจะทรยศลูกสาวข้า ซีซิงฟาง” เจ้าซีคำรามออกมาอย่างโกรธแค้น
“ทำไมข้าจึงต้องทำเช่นนั้น ข้าจำมิได้ว่าเคยข่มขู่เจ้าว่าข้าจักปล่อยให้เธอตาย ข้าเป็นคนรักษาคำพูด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคำพูดนั้นให้ไว้กับหญิง ต่อให้ทั้งตระกูลซีเป็นศัตรูของข้า ข้าก็ยังคงรักษาอาการของเธอ” ซูหยางกล่าวด้วยเสียงผ่อนคลาย
อย่างไรก็ตามนั่นมิได้หมายความว่า นั่นมิได้หมายความว่าข้าจักมิต่อสู้กับเจ้าเพียงเพราะว่าเจ้าเป็นครอบครัวเดียวกับเธอ มิว่าพวกเขาเป็นใครหากว่าพวกเขาเป็นศัตรูของข้า ข้าย่อมจักล่าพวกเขา” ซูหยางจ้องไปยังเจ้าซีด้วยดวงตาคมกริบที่มีกลิ่นอายการฆ่าฟันแผ่ออกมา
“นี่เป็นเรื่องระหว่างนิกายล้านอสรพิษกับข้า ถ้าเจ้าต้องการที่จะปกป้องพวกเขาหลังจากที่พวกเขาทำสิ่งนี้กับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย เช่นนั้นก็จงชักกระบี่ของเจ้าออกมาที่นี่ในตอนนี้” ซูหยางดึงแมงป่องดำออกมาและชี้มันไปยังหน้าเจ้าซีที่กรุ่นไปด้วยความโกรธ
“ถ้าเจ้าเปลี่ยนใจในตอนนี้ ข้าจักยกโทษให้กับการชี้อาวุธมายังหน้าข้า แต่ถ้าเจ้ายังคงต้องการที่จะต่อสู้กับนิกายล้านอสรพิษ เช่นนั้นข้าจักลงโทษเจ้าฐานกบฏ
“ช่างน่าสงสาร…” ดวงตาซูหยางวาบเป็นประกายอันตราย
“เจ้ากล้า” เจ้าซีพลันดึงอาวุธของตนเองออกมา
อย่างไรก็ตามก่อนที่พวกเขาจะทันได้เคลื่อนไหว ร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นระหว่างพวกเขาราวกับเป็นภูตผี
“หยุดความโง่เง่านี่เดี๋ยวนี้” ร่างนั้นกล่าว
“ท่านคือ…” ซูหยางเพ่งความสนใจไปยังชายชราที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา
“ท-ท่านพ่อ” เจ้าซีแสดงสีหน้าประหลาดใจหลังจากที่เห็นพ่อของตนเองปรากฏตัวขึ้นมาจากความว่างเปล่า “ท-ท่านมาทำอะไรที่นี่”
“ข้ามาที่นี่เพื่อช่วยชีวิตลูกชายที่ดื้อดึงของข้า” ชายชรากล่าวขณะที่เขามองดูเจ้าซีด้วยดวงตาที่เหมือนไม่พึงพอใจอีกฝ่าย “แม้ว่าเจ้าอาจจะเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปแห่งนี้ เจ้าก็ยังมิใช่คู่ต่อสู้ของชายหนุ่มคนนี้”
“อ-อะไรกัน” เจ้าซีตาโตด้วยความตระหนก ในเมื่อเขาไม่คาดคิดว่าพ่อของตนเองจะพูดออกมาตรงๆแบบนี้ กระทั่งถึงกับพูดต่อหน้าคนแปลกหน้า
“ดูเหมือนว่าท่านยังคงเห็นได้ชัดเจนแม้ว่าจะอายุปูนนี้แล้ว ท่านผู้เฒ่า” ซูหยางพูดกับเขาด้วยรอยยิ้ม
“อืมม…” ชายชราหันไปมองดูซูหยางด้วยสายตาที่แฝงความลึกล้ำ “เจ้าเป็นคนจากทวีปศักดิ์สิทธิ์กลางรึ ข้ามิอาจจินตนาการได้ว่าที่แห่งนี้จะสร้างสัตว์ประหลาดอย่างเจ้าขึ้นมาได้”
“ข้าเกิดในทวีปนี้โดยมิต้องสงสัย” เขาตอบ
และเขาก็พูดต่อว่า “ข้ามั่นใจว่าท่านได้ค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องราวของข้าเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นทำไมท่านจึงทำตัวเหมือนไม่คุ้นเคยกับข้า”
“ถ้าเจ้ามิใช่คนจากทวีปศักดิ์สิทธิ์กลาง เช่นนั้นเจ้าต้องมีอาจารย์จากที่แห่งนั้น หรือบางทีเขาจะเป็นเซียนที่ปกป้องนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยในตอนนี้”
“ใครจะรู้” ซูหยางยักไหล่อย่างสบายๆ
“…”
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะชายชราก็หันไปมองดูเจ้าซีและกล่าวว่า “อย่าเข้าไปแทรกแซงเรื่องของเขากับสำนักล้านอสรพิษ”
“อ-อะไรกัน ข้าทำเช่นนั้นมิได้ ท่านพ่อ สำนักระดับสูงทั้งหมดล้วนได้รับการปกป้องจากตระกูลซี ถ้าเรายอมให้พวกเขาสักคนถูกทำลายโดยมิทำอะไรเลยและสำนักอื่นเห็นเช่นนั้น พวกเราต้องเจอกับผลที่ตามมาที่จักเป็นอันตรายต่อตระกูลซีอย่างแน่นอน” เจ้าซีกล่าว
ไม่ว่าอย่างไรถ้าตระกูลซีไม่ปกป้องนิกายล้านอสรพิษ สำนักระดับสูงอื่นๆย่อมสูญเสียความเชื่อมั่นและศรัทธาต่อตระกูลซี เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนั้น สำนักระดับสูงต้องพากันมาประท้วง และต่อให้ตระกูลซีแข็งแกร่งมากมายเพียงไหน พวกเขาก็ไม่สามารถที่จะสู้เอาชนะกับขั้วอำนาจมากมายปานนั้นได้
ต่อให้พวกเขาสามารถเอาชนะกับสำนักระดับสูงเหล่านั้นได้ พวกเขาก็จะต้องอ่อนแอและเปราะบางหลังจากนั้น ในเวลานั้นกระทั่งตระกูลที่มีขนาดทั่วไปก็จะสามารถเอาชนะพวกเขาได้ อย่าว่าศัตรูของพวกเขาที่ไม่ว่ามีพลังอำนาจเท่าไหร่
“เช่นนั้นก็เพียงแค่ถอดสถานภาพของนิกายล้านอสรพิษออกจากการเป็นสำนักระดับสูง” ชายชรากล่าวอย่างไม่ไยดี
“นั่นเป็นทางออกประเภทไหนกัน ข้ามิอาจเพียงแค่ถอดสถานะของพวกเขาออกอย่างง่ายๆเช่นนั้นโดยปราศจากเหตุผล” เจ้าซีขมวดคิ้ว
“ถ้าเจ้าต้องการเหตุผล นั่นก็มีอยู่หนึ่งต่อหน้าต่อตาเจ้า” ชายชราชี้ไปยังศพที่ปราศจากหัวบนพื้นและกล่าวขึ้นว่า “นิกายล้านอสรพิษได้เพิกเฉยกฏของเมืองโดยการส่งจอมยุทธเขตอัมพรวิญญาณไปลอบสังหารผู้นำนิกายของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยในเวลากลางคืน”
“แต่นั่น…”
“ถ้าใครมีปัญหา ข้าจักพูดกับพวกเขาด้วยตนเอง” ชายชราหันไปมองดูซูหยางและกล่าวต่อว่า “เจ้าคิดว่าอย่างไร ตระกูลซีของข้าจักมิแทรกแซงกับเรื่องราวของเจ้า”
“นั่นควรจะเป็นเช่นนี้ตั้งแต่แรก” ซูหยางกล่าวขณะที่เขาเก็บแมงป่องดำในมือกลับเข้าไปในแหวนมิติ
“ถ้าเจ้าต้องการที่จะโทษใครในเรื่องนี้ เจ้าสามารถโทษนิกายล้านอสรพิษที่ตีงูผิดตัว” ซูหยางกล่าวขณะที่เขาหายไปจากที่แห่งนั้นเหมือนกับภูตผี
ครั้นเมื่อซูหยางจากไปแล้ว เจ้าซีก็กล่าวกับพ่อของเขา
“ทำไมท่านจึงเข้าข้างเขา ท่านพ่อ ตอนนี้ข้าดูเหมือนกับเป็นคนที่ถูกรังแกได้ง่ายๆ” เขาบ่น
“เจ้าเด็กโง่ เจ้ามิเห็นเสี้ยวแสงสีดำเมื่อไม่กี่นาทีก่อนรึ หรือเจ้าคิดจริงๆว่าเจ้าสามารถสู้กับบางสิ่งแบบนั้นได้ กระทั่งข้ายังมิกล้าที่จะรับการโจมตีนั้นโดยตรง”
“อะไรกัน ท่านกำลังจะพูดว่าเสี้ยวแสงสีดำที่ผ่าครึ่งท้องฟ้านั้นเป็นวิชาที่ใช้จากเขาจริงรึ ข้าคิดว่านั่นเกิดจากมีดสั้นสีดำในมือเขาเสียอีก” เจ้าซีร้องออกมาดังๆ
ไม่ว่าอย่างไรไม่ควรจะมีคนที่สามารถปลดปล่อยพลังได้สัตว์ประหลาดแแบบนั้น
“ข้าได้มองดูเขาตั้งแต่แรก อย่าล่วงเกินเขา เขามิใช่คนที่เราสามารถยุ่งเกี่ยวได้ อย่าว่าแต่เขายังต้องไปรักษาซิงเอ๋อร์
“…”
เจ้าซีพลันพูดไม่ออก เมื่อคิดว่าพ่อของเขาซึ่งไม่รู้จักคำว่า กลัว นั้นสะกดอย่างไร กลับเกรงที่จะล่วงเกินซูหยาง นี่เป็นเรื่องที่น่าตระหนกเกินไป
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 359
DC บทที่ 359: เจ้าขู่ข้างั้นรึ
หลังจากที่ใช้เวลาหลายนาทีในการพยายามหาต้นตอของความปั่นป่วนนี้ เจ้าซีก็ขมวดคิ้ว “ทำไมข้าจึงมิสามารถหาพวกเขาได้ทั้งที่ปราณของพวกเขาที่ส่งออกมาทรงพลังปานนั้น ใครช่างสามารถตั้งค่ายกลที่ลึกล้ำที่กระทั่งข้าก็ยังมิอาจหามันพบได้”
“บางทีปรากฏการณ์นี้อาจจะมิได้เกิดจากผู้คนแต่เป็นธรรมชาติทำให้เกิดขึ้น มันอาจจะเป็นการอุบัติขึ้นของสมบัติศักดิ์สิทธิ์อันทรงอำนาจ” ด้วยความคิดนี้ในใจ เจ้าซีตัดสินใจที่จะหาความช่วยเหลือจากพ่อของเขา ผู้ซึ่งควรจะมีพลังอำนาจมากพอที่หาต้นตอนี้ได้
อย่างไรก็ตามเพียงแค่เขาหันกาย ปราณไร้ลักษณ์ในอากาศก็พลันทะลุทะลวงเข้าใส่ ในสายตาของผู้ฝึกวิชาในเมือง นั่นเหมือนกับว่าพวกเขาพลันจมน้ำหลังจากที่ถูกคลื่นน้ำปะทะเข้าใส่ แต่แทนที่จะเป็นน้ำ คลื่นนี้กลับเกิดขึ้นจากปราณอันมหาศาล
“ป-ป-ปราณมหาศาลนี้สามารถกดดันจนกระทั่งทำให้ผู้ทรงอำนาจอย่างเช่นตัวข้าหายใจไม่ออกจากระยะทางไกล แม้กระทั่งพ่อของข้าที่เป็นราชันย์ก็มิอาจจะปลดปล่อยพลังเช่นนี้ได้ เกิดบ้าอะไรกันขึ้นนี่” เจ้าซีรู้สึกว่ามีเหงื่อเย็นเยียบซึมออกมาเปียกเสื้อผ้าทุกวินาที
วูซซซซ
ไม่กี่วินาทีหลังจากที่เกิดการเปลี่ยนแปลงเฉียบพลัน เจ้าซีก็เห็นเสี้ยวแสงสีดำขนาดใหญ่มหึมากวาดทุกอย่างที่ขวางทางขึ้นไปสู่ท้องฟ้าที่กำลังปลดปล่อยสายฟ้าอันทรงพลังที่เหมือนกับสายฟ้าของทัณฑ์สวรรค์ออกมาเช่นกัน
อย่างไรก็ตามแม้ว่าสายฟ้าจะทรงพลังมากเพียงใด มันก็ไม่มีโอกาสที่จะต่อต้านเสี้ยวแสงสีดำที่กลืนกินทุกอย่างบนเส้นทางของมันได้ มันสลายหายไปทันทีที่สัมผัสเข้ากับเสี้ยวแสงสีดำ
หลังจากที่กลืนกินสายฟ้าที่ฟาดลงมา เสี้ยวแสงสีดำก็พุ่งขึ้นต่อไปในท้องฟ้าราวกับว่ามันต้องการฉีกท้องฟ้าให้กลายเป็นสองซีกก่อนที่จะกลืนเข้ากับท้องฟ้ายามค่ำคืนและหายไปอย่างสิ้นเชิง
เจ้าซียืนอยู่ที่นั่นเป็นเวลาชั่วขณะหนึ่งพร้อมกับดวงตาที่อ้ากว้างและกรามที่ร่วงแตะพื้น เช่นเดียวกับคนอีกหลายคนในเวลานี้ พวกเขาอดไม่ได้ที่จะคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าแสงนั้นพุ่งตรงเข้าหาเมืองแทน เมืองจะแยกออกเป็นสองเหมือนท้องฟ้าหรือว่าจะถูกความมืดนั้นกลืนกินหายไปอย่างสิ้นเชิง
ครั้นเมื่อเขาเยือกเย็นลงบ้างเล็กน้อยสุดท้ายเจ้าซีก็รู้สึกถึงสิ่งที่เขาสัมผัสไม่ได้ก่อนหน้านั้น
“ข้าพลันสามารถสัมผัสถึงพวกเขาได้ คนสองคนอยู่ห่างไปสิบกว่ากิโลเมตรจากที่นี่”
เจ้าซีพลันเร่งรุดไปยังทิศทางนั้นหลังจากที่รับรู้ถึงปราณของพวกเขา
ในเวลานั้น ณ ตำแหน่งที่เกิดการต่อสู้ ผู้อาวุโสสูงสุดเหรินได้นั่งก้นกระแทกพื้นหลังจากที่ประจักษ์ถึงวิชากระบี่ของซูหยางที่กลืนกินสายฟ้าของแหวนกัมปนาทอย่างง่ายดาย
“ป-ป-โปรดไว้ชีวิตข้า ข้ายินดีทำทุกสิ่ง” ผู้อาวุโสสูงสุดเหรินร้องขอชีวิตของตนเองอย่างรวดเร็วโดยไม่ใส่ใจในความภาคภูมิใจหรือหน้าตาเลยแม้แต่น้อยในเมื่อเขาไม่ต้องการที่จะตายอย่างเปล่าประโยชน์หลังจากที่ใช้เวลาและความพยายามมากมายไต่เต้ามาจนถึงที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้
อย่างไรก็ตาม ซูหยางไม่แม้จะสนใจตัวเขา เมื่อเขามัววุ่นอยู่กับการมองไปยังทิศทางหนึ่งหลังจากที่รู้ว่ามีคนหนึ่งตรงเข้ามาที่นี่อย่างรวดเร็ว
“ค่ายกลปกปิดแตกสลายไปเพราะการโจมตีของข้าเมื่อกี้นี้ ดังนั้นพวกเราจึงมิได้ซ่อนเร้นอีกต่อไป” ซูหยางสามารถเดาได้ว่าใครที่กำลังมา ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจมากนักกับเรื่องนี้
เขาจึงหันไปมองดูผู้อาวุโสเหรินผู้ที่ยังคงร้องขอชีวิต
“เจ้าควรถือว่าตัวเจ้านั้นโชคดี” เขากล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“ข-ข-ขอบคุณ ขอบคุณ ท่านผู้มีพระคุณ” ผู้อาวุโสสูงสุดเหริน ผู้ที่คิดว่าซูหยางได้ยอมปล่อยให้ตัวเองไปแล้วเริ่มร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ รู้สึกโล่งอก
“มิต้องเกรงใจ ข้าจักทำให้มั่นใจว่านั่นจะเป็นการตายที่มิเจ็บปวดในเมื่อข้ามิมีเวลามาทรมานเจ้า”
“อ-อะไร ท่านมิได้ปล่อยข้าไปรึ” ผู้อาวุโสสูงสุดเหรินรู้สึกหัวใจหยุดเต้นหลังจากที่ได้ยินคำพูดของซูหยาง
“เจ้าเห็นว่าข้าเป็นตัวอะไร มีเพียงคนโง่เท่านั้นที่ยอมปล่อยเจ้าไปในสถานการณ์เช่นนี้” ซูหยางกล่าวขณะที่ดึงกระบี่เล่มใหม่ออกมาเมื่อเล่มก่อนหน้านั้นสลายเป็นฝุ่นไปแล้วหลังจากการโจมตีก่อนหน้านี้
“แต่อย่ากังวลไปเพราะว่าข้าจักทำให้มั่นใจว่าศพของเจ้าจักกลับคืนสู่นิกายล้านอสรพิษแน่นอน แม้ว่ามันอาจจะมิใช่ทั้งตัว”
“เจ้า–”
ซูหยางพลันโบกมือ เป็นเหตุให้เกิดแสงสีเงินอันสวยงามปรากฏขึ้นและบินตรงไปผ่านคอของผู้อาวุโสสูงสุดเหริน ตัดหัวของเขาออกมาจากร่างด้วยการเคลื่อนไหวอย่างเร็วเพียงครั้งเดียว
ไม่นานหลังจากนั้นซูหยางก็ช้อนเอาหัวของผู้อาวุโสสูงสุดเหรินที่ยังคงมีสีหน้าหวาดกลัวเข้าไปในแหวนมิติพร้อมกับของมีค่าอื่นๆทั้งหมดที่เหลืออยู่
อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้จากไปในทันทีและตัดสินใจที่จะอยู่ต่อนานอีกเล็กน้อยจนกระทั่งเขาสามารถเห็นร่างของเจ้าซีมาจากที่ไกล
“ซูหยาง…เจ้า…” เจ้าซีมองดูภาพเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยดวงตาเบิกกว้าง “เกิดอะไรขึ้นที่นี่ ใครเป็นศพที่ตรงนั้น”
“เขารึ คนจากนิกายล้านอสรพิษ” ซูหยางตอบอย่างเฉื่อยชา
“ข้ารู้สึกถึงถึงตัวตนของเขาก่อนตายและมีเพียงสองคนเท่านั้นในสถานที่นี้ผู้ที่สามารถปลดปล่อยกระแสพลังเช่นนั้นออกมา เจ้าสำนักและผู้อาวุโสสูงสุดเหริน และศพนี้แก่เกินไปที่จะเป็นฟูกวาน ดังนั้น…” เจ้าซีคาดเดาตัวตนของศพอย่างรวดเร็ว
“เจ้าฆ่าผู้อาวุโสสูงสุดเหรินจริงรึ เจ้ากำลังพยายามที่จะเริ่มก่อสงครามเต็มรูปกับนิกายล้านอสรพิษรึ” เจ้าซีกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว
“เริ่มสงครามนะรึ มันค่อนข้างจะสายเกินไปบ้างกับการเริ่มก่อสงคราม ในเมื่อสงครามนั้นเริ่มต้นไปนานแล้วนับตั้งแต่พวกเขาพยายามที่จะกำจัดพวกเราเมื่อครึ่งปีก่อน” ซูหยางยักไหล่ “ไม่ว่าอย่างไรเขาก็พยายามที่จะฆาตกรรมข้าในห้องของข้า ถ้าข้ามิหยุดยั้งเขาไว้นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็คงมิสามารถเข้าร่วมการแข่งขันได้อีกต่อไปเนื่องจากถูกกำจัดออกไปแล้ว”
“เช่นนั้นเจ้าจักทำอะไรต่อไป” เจ้าซีถามเขา
“นี่ยังมิชัดเจนอีกรึ ก็เหมือนนิกายล้านอสรพิษที่ต้องการทำลายเรา ข้าต้องการให้พวกเขาสิ้น”
“ข้าเสียใจด้วยแต่ข้ามิอาจจะยอมให้เจ้าทำเช่นนั้น ซูหยาง” เจ้าซีกล่าวด้วยท่าทางจริงจัง และกล่าวต่ออีกว่า “พวกเขาถูกแต่งตั้งให้เป็นสำนักระดับสูงโดยตัวข้า ดังนั้นข้าจึงมีภาระที่ต้องปกป้องพวกเขา”
“เช่นนั้นเจ้าคิดที่จะปกป้องนิกายล้านอสรพิษโดยมิคำนึงถึงสิ่งใดเลยรึ ข้าจักให้เวลาเจ้าสามวินาทีเพื่อตัดสินใจใหม่อีกครั้ง” ซูหยางจ้องมองเข้าไปที่ดวงตาอีกฝ่ายด้วยสายตาอันคมกล้า
“เจ้าขู่ข้างั้นรึ ซูหยาง” เจ้าซีหรี่ตาจนทำให้บรรยากาศพลันหนักหน่วงขึ้น
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 358
DC บทที่ 358: การต่อสู้ข้างเดียวระหว่างยอดยุทธเขตอัมพรวิญญาณ
รับรู้ถึงพลังการฝึกปรือของผู้อาวุโสสูงสุดเหรินที่โถมทับใส่ร่างกายของเขาเหมือนกับเป็นภูเขาที่มองไม่เห็น ซูหยางพูดอย่างเยือกเย็นว่า “ทำไมเจ้าจึงทำท่าทางหยิ่งยะโสเช่นนั้นในเมื่อเจ้าเองก็เพิ่งอยู่แค่ระดับแรกของเขตอัมพรวิญญาณ ดูกระแสพลังของเจ้าข้าสามารถบอกได้เลยว่าเจ้าเกือบจะไม่ผ่านสู่เขตอัมพรวิญญาณแล้ว”
จากนั้นเขาก็ยกนิ้วขึ้นมาหนึ่งนิ้วแล้วกล่าวต่อว่า “ข้าเพียงใช้นิ้วเดียวเท่านั้นก็สามารถทำลายเจ้าได้แล้ว”
“ฮ่าฮ่าฮ่า” ผู้อาวุโสสูงสุดเหรินระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “ถึงกับสามารถทำท่าเหมือนกับว่าเจ้านั้นมิอาจแตะต้องได้กระทั่งในสถานการณ์แบบนี้ ข้าอดมิได้ที่จะชื่นชมส่วนนั้นของเจ้า โชคร้ายที่ถึงแม้จะได้รับการชื่นชมจากข้าก็มิอาจที่จะช่วยชีวิตของเจ้าในวันนี้ได้”
จากนั้นเขาก็พูดต่อว่า “อย่างไรก็ตามถ้าเซียนที่ปกป้องนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมาอยู่ที่นี่ในตอนนี้ เขาอาจจะช่วยชีวิตที่ไร้ค่าของเจ้าได้ โอใช่ ยังมีเด็กหญิงคนนั้นที่ฆ่าศิษย์ของพวกเรา ทำไมเจ้ามิเรียกเธอมาที่นี่เพื่อที่ข้าจักสามารถเห็นได้ด้วยตนเองว่าเธอแข็งแกร่งเหมือนกับที่ผู้อาวุโสวันพูด”
“ข้าเกรงว่านั่นคงเป็นไปไม่ได้ในเมื่อเธอมิได้อยู่ที่นี่ในตอนนี้” ซูหยางส่ายหน้า
“เธอมิได้อยู่ที่นี่รึ ความจริงแล้วข้าคิดว่าเธอเป็นเหตุผลที่เจ้าทำตัวหยิ่งจองหอง” ผู้อาวุโสสูงสุดเหรินเลิกคิ้ว “แต่นี่ย่อมจักทำให้ทุกสิ่งง่ายขึ้น”
“หือ… เจ้าคิดอย่างนั้นรึ” ซูหยางพลันปลดผนึกที่เก็บซ่อนพลังการฝึกปรือของเขาเอาไว้และปล่อยให้กระแสพลังเขตอัมพรวิญญาณระเบิดออกไปทุกทิศทาง
เมื่อผู้อาวุโสสูงสุดเหรินเห็นเช่นนั้นดวงตาของเขาก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ และร่างของเขาก็สั่นสะท้านเมื่อรู้สึกถึงแรงกดดันที่ครอบคลุมเข้าใส่ตัวเขา
“น-น-นี่เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทางเป็นไปได้ที่เจ้าอยู่ในเขตอัมพรวิญญาณ อย่าว่าแต่ถึงระดับสอง” ผู้อาวุโสสูงสุดเหรินก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัวเมื่อรู้สึกถึงการคุกคามจากกระแสพลังกดดันของซูหยาง
“มีอะไรรึเจ้าเด็กน้อย เจ้าได้พูดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเซียนที่ปกป้องนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมิใช่รึ เอาล่ะ เขายืนอยู่ตรงหน้าเจ้าแล้วตอนนี้ เจ้าคิดว่าข้าสามารถรอดไหมในตอนนี้” ซูหยางเริ่มตรงเข้าไปหาผู้อาวุโสสูงสุดเหริน
อย่างไรก็ตามผู้อาวุโสสูงสุดเหรินก้าวถอยหลังทีละก้าวทุกครั้งที่ซูหยางก้าวไปข้างหน้า
“ทำไมเจ้าจึงต้องวิ่งหนีล่ะ เจ้าจะจับข้าได้อย่างไรถ้าเจ้ามิเข้ามาหาข้า”
“น-นี่เป็นเรื่องโกหก นี่ต้องเป็นกลอะไรบางอย่างของเจ้า ข้ามิเชื่อว่าเจ้าอยู่เหนือข้าในด้านการฝึกวิชาจริงๆ รับนี่ไป อัญเชิญพันงู” ผู้อาวุโสเหรินพลันใช้วิชาการต่อสู้เพื่อเรียกงูพันตัวมาจากความว่างเปล่า
งูแต่ละตัวมีกลิ่นอายของผู้ฝึกวิชาในเขตสัมมาวิญญาณ และมีจำนวนถึงพันตัว ถ้าซูหยางโกหกเรื่องพลังการฝึกปรือของเขา เช่นนั้นเขาก็จะไม่สามารถที่จะรอดพ้นวิชาไม้ตายนี้ได้
โชคร้ายสำหรับผู้อาวุโสเหริน เมื่อนี่ไม่ได้เข้าข่ายนั้น และกระแสพลังอันลึกล้ำรอบกายซูหยางก็ยิ่งยากที่จะทนได้กว่าเดิมในเวลาผ่านไป บดขยี้งูทุกตัวด้วยเพียงแค่แรงกดดันจากพลังการฝึกปรือของเขาเพียงอย่างเดียว
“ป-ป-เป็นไปไม่ได้”
เมื่อผู้อาวุโสสูงสุดเหรินตระหนักว่างูของเขาทุกตัวถูกฆ่าโดยซูหยางในทันที เขาก็ใจหายไปเล็กน้อยจากความตระหนก
“นี่คือทุกสิ่งที่เจ้ามีแล้วงั้นรึ ถ้านี่เป็นวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดของเจ้า ข้าเกรงว่าเจ้าคงมิอาจจะสามารถจับข้าได้” ซูหยางตรงเข้าไปหาเขาอีกด้วยท่าทางเยือกเย็นและก้าวย่างที่ผ่อนคลาย
“ค่ายกลล้านอสรพิษ”
ผู้อาวุโสเหรินพลันตะโกนออกมาจนทำให้สถานที่นั้นเต็มไปด้วยปราณไร้ลักษณ์มากมายมหาศาล
หลังจากนั้นไม่นานงูหลายแสนตัวก็ปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่าปกคลุมพื้นที่หลายกิโลเมตรด้วยงูเหล่านั้น
“โอ” ซูหยางมองดูงูจำนวนมหาศาลตกลงใส่เขา ฝังทั้งร่างของเขาในทะเลงู
“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าจะทำอะไรเล่าในตอนนี้” ผู้อาวุโสสูงสุดเหรินหัวเราะขณะที่เขายืนอยู่บนฝูงงู
อย่างไรก็ตามเสียงของซูหยางตอบกลับเขาอย่างรวดเร็วหลังจากนั้นชั่วขณะ
“นี่มันวิชาขยะอะไรกัน เจ้ามิสามารถกระทั่งหลอกเด็กได้ด้วยภาพลวงตาประเภทนี้”
บูม
พลังงานรอบร่างซูหยางพลันระเบิดออกไปรอบข้างจนทำให้งูทุกตัวรอบกายของเขาปลิวออกไปด้วยพลังที่ทรงอานุภาพ
ครั้นเมื่อเขาไม่ได้ถูกฝังอยู่ในฝูงงูอีกต่อไป ภาพลวงตางูก็หายไปในทันที
“…”
ผู้อาวุโสสูงสุดเหรินมองดูซูหยางด้วยสีหน้าตื่นตะลึง ต่อให้ซูหยางเป็นยอดยุทธเขตอัมพรวิญญาณอย่างแท้จริง เขาก็ไม่ควรจะหนีออกจากภาพลวงตาได้ง่ายๆปานนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ตามผู้อาวุโสสูงสุดเหรินเคยให้ฟูกวางเจ้านิกายล้านอสรพิษใช้วิชาเดียวกันกับตัวเองและทำให้เขาต้องใช้เวลาเกือบทั้งวันในการหนีออกมา มันเป็นวิชาที่ทรงอานุภาพที่สุดของนิกายล้านอสรพิษ
“ว-วิชาที่ทรงอำนาจที่สุดของนิกาย… แตกสลายไปเพียงในชั่ววินาที… นี่มันเป็นไปได้อย่างไร” ผู้อาวุโสสูงสุดเหรินสั่นสะท้านด้วยความตกใจ
“เจ้ามีอะไรอื่นอีกที่จะให้ความสำราญข้าหรือไม่ ถ้ามิมีแล้ว ข้าจักจัดการกับเจ้าโดยเร็วและกลับไปนอน” ซูหยางหาวอย่างไม่ใส่ใจ
ได้ยินคำพูดของซูหยาง ผู้อาวุโสสูงสุดเหรินกัดฟันของตนเองอย่างแรงจนแตกและพึมพัมว่า “ในเมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว ข้ามิมีทางเลือกได้แต่ฆ่าเขาซะ”
จากนั้นเขาก็นำเอาแหวนสีเงินออกมาจากแหวนมิติ
เมื่อซูหยางเห็นแหวนสีเงิน เขาก็เลิกคิ้วขึ้นและกล่าวว่า “แหวนกัมปนาทรึ เจ้านิกายของเจ้าค่อนข้างจะใจกว้างยอมให้เจ้าถือมันไว้”
“เจ้านิกายให้แหวนกัมปนาทแก่ข้าเพียงในกรณีที่เด็กหญิงตัวเล็กนั่นปรากฏตัวขึ้น แต่ในเมื่อเธอมิอยู่ที่นี่ข้าก็จักใช้มันกับเจ้าแทน” ผู้อาวุโสสูงสุดเหรินกล่าวขณะที่เขาประจุพลังปราณไร้ลักษณ์ของตนเองเข้าไปในแหวนกัมปนาท จนทำให้มันเกิดประกายสายฟ้าขึ้น
“เช่นนั้นเราก็มาดูกันว่าอะไรแข็งแกร่งกว่ากัน สมบัตวิญญาณระดับอัมพรหรือว่าวิชาขั้นสุดยอดของตระกูลเทพอาชูร่าที่กระทั่งพระเจ้ายังต้องกลัวเกรง ดีไหม” ซูหยางยิ้มขณะที่เขานำเอากระบี่ระดับวิญญาณออกมาจากแหวนมิติ
“กระบี่นี้ก็ควรจะพอทนพลังของการโจมตีหนึ่งครั้งได้”
เมื่อผู้อาวุโสสูงสุดเหรินเห็นกระบี่ระดับวิญญาณในมือของซูหยาง เขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะราวกับคนบ้า
“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าทำบ้าอะไรกับของเล่นนั่น เจ้าคิดจริงรึว่ามันจักช่วยชีวิตของเจ้าจากแหวนกัมปนาทของข้าได้”
“มิว่ามันจะใช้การได้หรือไม่ เราจักพบเห็นได้ในไม่นานต่อจากนี้” ซูหยางยิ้มขณะที่เขาประจุกระบี่นั้นด้วยพลังปราณไร้ลักษณ์จำนวนมหาศาล
ในเวลานั้นภายในเมืองหิมะร่วง ผู้ฝึกวิชาทุกคนที่กำลังฝึกฝนอยู่ต่างพากันหยุดฝึกฝนเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงพลังปราณภายในอากาศ มันเป็นปรากฏการณ์ที่ผิดธรรมชาติที่จะเกิดขึ้นก็เพียงเมื่อยอดยุทธเขตอัมพรวิญญาณสองคนปะทะกันด้วยทุกสิ่งที่พวกเขามี
“เกิดอะไรขึ้น ใครเป็นต้นเหตุของความปั่นป่วนนี้
“มียอดยุทธที่แข็งแกร่งสองคนต่อสู้กันอย่างบ้าคลั่งในตอนนี้ แต่ข้ามิอาจรู้ได้ว่าตำแหน่งของพวกเขานั้นอยู่ที่ไหนทั้งที่ปราณไร้ลักษณ์อันบ้าคลั่งของพวกเขานั้นถูกปลดปล่อยออกมา”
ไม่เพียงแต่ผู้ฝึกวิชายุทธในเมืองหิมะร่วงแต่กระทั่งตระกูลซีก็ตื่นตัวกับการไหลเวียนของปราณอันผิดธรรมชาตินี้
“ความรู้สึกนี้.. พี่ชายซูหยาง…” ซีซิงฟางพบเห็นความรู้สึกอันคุ้นเคยในอากาศและพลันนึกถึงซูหยาง
“ท่านเจ้า มีจอมยุทธสองคนต่อสู้กันที่ไหนสักแห่งใกล้เมืองหิมะร่วง แต่พวกเรามิสามารถกำหนดตำแหน่งของพวกเขาได้”
ทหารองครักษ์รายงานต่อเจ้าซี ผู้ซึ่งก็ถูกบังคับให้หยุดการฝึกวิชาอย่างบังเอิญ
“ข้าจักไปดูเรื่องนี้ด้วยตนเอง อย่าเพิ่งเคลื่อนไหวอะไรให้รอคำสั่งข้า” เจ้าซีสั่งคนของเขาก่อนที่จะมุ่งตรงออกไปภายนอกเมืองหิมะร่วงเพื่อตรวจสอบ
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 357
DC บทที่ 357: นิกายล้านอสรพิษจู่โจมอีกครั้ง
“ไม่..ไม่ใช่ว่าเรามิเชื่อเจ้า เป็นเพียงแต่เป็นเรื่องน่าตกใจเกินไปจนพวกเรายอมรับกันไม่ได้ในทันที” โหลวหลานจีกล่าวหลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ
“ข้ากลับยิ่งสนใจในเรื่องที่ท่านจัดการอย่างเฉียบขาดมากกว่า มิต้องกล่าวถึงหวังชูเหรินที่เป็นผู้ร่วมธุรกิจกับเรา แต่สำนักหงส์สวรรค์มิมีความสัมพันธ์กับพวกเราเลย…” ผู้อาวุโสซุนกล่าวด้วยท่าทางประหลาดใจ
“มิสำคัญที่ข้าทำเช่นนั้นได้อย่างไร สิ่งสำคัญก็คือพวกเขาได้ตกลงที่จะร่วมเป็นพันธมิตรกับพวกเรา” ซูหยางกล่าว “ถ้ามิมีอะไรแล้วข้าจักต้องขอตัวก่อนในตอนนี้”
“เจ้าจะไปไหน” โหลวหลานจีถามเขา
“มิได้ เพียงแต่ข้ามีเรื่องที่ต้องเตรียมการ”
“เตรียมการรึ ข้าเดาว่าเจ้าจักต้องค่อนข้างยุ่งกับเรื่องของพันธมิตรอยู่เป็นแน่”
ถึงแม้ว่ามันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพันธมิตร ซูหยางก็ไม่ได้สนใจที่จะแก้ไขความเข้าใจของเธอและเพียงแค่พยักหน้า
หลังจากที่เขาออกไปจากห้อง โหลวหลานจีและผู้อาวุโสนิกายก็กลับไปสนทนากันดังเดิม
“ข้ายังคงมิอาจเชื่อ สำนักหงส์สวรรค์และนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจะร่วมเป็นพันธมิตรกัน นี่ดีเกินกว่าที่จะเป็นจริง”
“ทำไมซูหยางจะต้องโกหกพวกเราเกี่ยวกับบางอย่างที่จริงจังเช่นนี้”
“ข้ามิได้สงสัยคำพูดของเขา แต่เพียงรู้สึกเหมือนความฝัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ต้องดิ้นรนมาเป็นเวลานาน”
“ข้ารู้ว่ามันเป็นความคิดที่ดีที่ให้ตำแหน่งผู้นำนิกายแก่ซูหยาง ใครจะรู้ว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยของพวกเราจะเปลี่ยนไปเป็นเช่นไรในอีกหนึ่งปีนับจากนี้ ถ้าเขาสามารถจัดการบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่แบบนี้จนลุล่วงทั้งที่ยังไม่ถึงวันหลังจากที่เขาได้รับแต่งตั้ง” โหลวหลานจีพยายามต้านความอยากที่จะหัวเราะออกมาดังๆจากความสุขที่แท้จริง
ในเวลานั้นซุนจิงจิงและฟางซีหลานต่างพากันแสดงความยินดีต่อซูหยางหลังจากที่เห็นเขา
“ขอแสดงความยินดีที่ท่านได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้นำนิกาย ท่านผู้นำนิกาย” ซุนจิงจิงปรบมือด้วยความตื่นเต้น
“เจ้าสามารถเรียกข้าซูหยางต่อไปได้” เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ซูหยาง ตอนนี้เมื่อท่านเป็นผู้นำนิกาย นั่นหมายความว่าท่านมิสามารถที่จะฝึกร่วมกับพวกเราเหล่าศิษย์ได้อีกต่อไปใช่ไหม” ฟางซีหลานถามเขาพร้อมกับขมวดคิ้วด้วยความกังวล
ซุนจิงจิงดวงตาพลันโตขึ้นด้วยความตกใจหลังจากที่เธอนึกถึงกฏนี้
“ใช่แล้ว ผู้นำนิกายเพียงยอมให้ฝึกกับผู้นำนิกายอีกคนรวมไปถึงผู้อาวุโสนิกาย” ซุนจิงจิงร้องเสียงดัง
“ใจเย็นๆพวกเจ้าทั้งสองคน ข้ามิหยุดฝึกกับพวกเจ้าเหล่าหญิงแค่เพราะว่ากฏเก่าหรอก ในเมื่อตอนนี้ข้าได้เป็นผู้นำนิกายนั่นจักมีกฏใหม่เช่นกัน”
“จริงรึ กฏประเภทไหนกัน” ซุนจิงจิงอดที่จะถามไม่ได้
“เจ้ามิจำเป็นต้องสนใจกับเรื่องนี้ ในเมื่อส่วนใหญ่แล้วมันจะนำไปใช้กับศิษย์ในอนาคต” ซูหยางกล่าว
“หืมม…ถ้าท่านพูดเช่นนั้น” ซุนจิงจิงพยักหน้าและเธอก็กล่าวต่อหลังจากนั้นว่า “เอาล่ะเราจะเริ่มฝึกกันเลยตอนนี้หรือเปล่า”
ซูหยางส่ายหน้าและพูดว่า “ข้ายังมิฝึกวิชาในวันนี้ในเมื่อยังมีปัญหาบางอย่างที่ต้องสะสาง”
เมื่อเขาพูดคำพูดเหล่านั้น ดวงตาของเขาก็เป็นประกายเย็นชา
“โอ เจ้าสองคนนอนในห้องอื่นสักสองสามวันได้ไหม ข้าต้องการเวลาอยู่คนเดียวชั่วระยะเวลาหนึ่ง”
“ไม่มีปัญหา” พวกเธอทั้งคู่พยักหน้า
“ขอบคุณ”
หลังจากที่ฟางซีหลานและซุนจิงจิงออกไปจากห้องแล้ว ซูหยางก็ปิดป้ายบนประตูภายนอกห้องของเขา แจ้งผู้คนไม่ให้รบกวนเขา
–
–
–
เมื่อยามกลางคืนมาถึง โหลวหลานจีก็ไปหาซูหยาง
“ในเมื่อเขาก็เป็นผู้นำนิกายเหมือนกับข้าในตอนนี้แล้ว ข้าก็สามารถไปหาเขาเพื่อฝึกด้วยโดยไม่ต้องรู้สึกผิดอีกต่อไป เพราะเป็นหน้าที่ของพวกเราที่จะฝึกฝนด้วยกัน”
อย่างไรก็ตามหลังจากที่เห็นป้ายบนประตูของเขา เธอก็ยอมแพ้และกลับไปยังห้องของตนเองด้วยสีหน้าผิดหวัง
ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้น เมื่อผ่านเวลาเที่ยงคืนไปแล้ว ร่างหนึ่งที่ปกคลุมไปด้วยเสื้อคลุมสีดำก็ตรงเข้าไปที่โรงเตี๊ยมเกล็ดหิมะโดยไม่ทำให้เกิดเสียงแม้แต่น้อย
ครั้นเมื่อร่างนี้ไปถึงโรงเตี๊ยมเกล็ดหิมะเขาก็พลันใช้วิชาเงาบางอย่างที่ยอมให้ตัวเขาเข้าไปในอาคารได้โดยไม่ทำให้ใครรู้ตัว
ไม่กี่อึดใจหลังจากนั้น ผู้ที่คลุมร่างไว้นั้นก็ใช้วิชาเงาแบบเดิมเข้าไปในห้องซูหยางที่มืดสนิท
“ข้าสามารถรับรู้ตัวตนและได้ยินเสียงหายใจแผ่วเบาของเจ้านั่น เจ้าเลวนี่หลับอยู่อย่างแน่นอน”
รู้สึกถึงตัวตนที่หลับอยู่เตียงหนึ่ง ร่างนี้ก็ปรากฏตัวข้างเตียงราวกับผี
“เจ้าคงได้แต่โทษตัวเองที่ล่วงเกินนิกายล้านอสรพิษและนี่เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ ตายให้กับข้าได้แล้ว”
ร่างที่หุ้มตัวไว้นั้นยกมือขึ้นก่อนที่จะกระแทกลงใส่เตียงตรงหน้าอย่างลึกลับพร้อมด้วยกลิ่นอายความตายในฝ่ามือ
“ฝ่ามือพิษจู่โจมไร้สำเนียง”
อย่างไรก็ตามทันทีที่เขาขยับความรู้สึกแปลกๆก็ก่อกวนบรรยากาศภายในห้องและร่างนั้นก็ตระหนักว่าเขาไม่ได้อยู่ภายในห้องซูหยางอีกต่อไป แต่อยู่ท่ามกลางพื้นที่ว่างในวินาทีถัดไป
“อะไรวะ ข้าอยู่ที่ไหน ข้ามาที่นี่ได้อย่างไร”
ร่างที่คลุมตัวอยู่นั้นมองไปรอบๆขณะที่เต็มไปด้วยความสับสน
“บางทีเจ้าอาจจะสงสัยว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร”
เสียงเรียบนิ่งพลันดังมาจากด้านหลังของร่างนั้นจนทำให้เขารีบหันตัวไปอย่างรวดเร็ว
“จ-เจ้าคือซูหยาง” ร่างนั้นอุทานออกมาด้วยเสียงตกใจหลังจากที่เห็นซูหยางยืนอยู่ด้านหลังของเขา
“นี่เป็นไปได้อย่างไร เจ้าทำอะไร เจ้าพาข้ามาที่ไหนกัน”
“มันมิได้มีอะไรที่ซับซ้อนเลยจริงๆ ง่ายๆเพียงแค่ข้าวางค่ายกลเคลื่อนย้ายไว้ภายในห้องและรอให้เจ้ามา และเราก็มาอยู่ห่างจากเมืองหิมะร่วงไม่กี่กิโลเมตรเท่านั้น” ซูหยางอธิบายอย่างใจเย็น
“ส่วนที่ว่าทำไมข้าจึงทำเรื่องทั้งหมดนี้…นั่นก็เพราะว่าข้ามิสามารถเล่นกับเจ้าได้สะดวกภายในที่คับแคบแบบนั้น”
“…”
ร่างนั้นไม่ตอบสนองแม้กระทั่งหลังจากผ่านไปหลายอึดใจ เห็นชัดว่างงงันไปกับสถานการณ์
จากนั้นอีกสองสามอึดใจร่างนั้นก็ระเบิดเสียงหัวเราะ “ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าล่ะพูดไม่ออกเลยทีเดียว ข้ามิคาดว่าเจ้าเด็กเย่อหยิ่งแบบเจ้าจะเตรียมตัวสำหรับเรื่องนี้ อย่าว่าแต่จะคาดการณ์ล่วงหน้า แต่เจ้าต้องการที่จะเล่นกับข้าอย่างนั้นรึ โชคร้ายสำหรับเจ้า มิเพียงแต่ข้ามิมีเวลาที่จะเล่นกับเจ้าแต่เจ้าเองก็มิมีคุณสมบัติด้วยเช่นกัน”
“ครั้นเมื่อข้าจับเจ้าแล้ว ข้าก็จักกลับไปที่โรงแรมและฆ่าคนของเจ้าที่เหลือ อย่ากังวลข้ายังคงมิฆ่าเจ้า แต่เจ้าจักหวังที่จะตายครั้นเมื่อใครคนนั้นเริ่มทรมานเจ้า”
“อืมมมม… คนคนนั้น…. หรือว่าเขาเป็นผู้นำนิกายของนิกายล้านอสรพิษ” ซูหยางถามเขาด้วยรอยยิ้มเยือกเย็นบนใบหน้า
และเขาก็ยังกล่าวต่อว่า “ถึงกับส่งคนที่อยู่ในเขตอัมพรวิญญาณมาเพื่อจับแค่เด็กวัยรุ่นอย่างข้า ข้าต้องปรบมือให้กับความเสียสละของเจ้า อย่างไรก็ตามถ้าเจ้าต้องการโอกาสสักครั้งในการจับตัวข้าเป็นๆ เจ้าควรนำนิกายล้านอสรพิษทั้งนิกายมากับเจ้าด้วยที่นี่ ช่างน่าเสียดายที่ตอนนี้นิกายล้านอสรพิษกำลังจะเสียจอมยุทธเขตอัมพรวิญญาณไปอีกคน”
“…”
ร่างนั้นกลับมานิ่งเงียบไปอีกครั้ง แต่สายตาของเขาเต็มไปด้วยจิตสังหารขณะที่เขาจ้องมองซูหยางซึ่งยืนอยู่อย่างสบายๆโดยปราศจากการระแวดระวังใดราวกับว่าเขาเพียงกำลังเดินเล่นอยู่ในสวนสาธารณะในตอนนี้
“ในเมื่อเจ้าดูเหมือนจะรู้ทุกอย่างแล้ว ก็มิจำเป็นต้องซ่อนใบหน้าของข้าอีกต่อไป”
ร่างนั้นถอดหน้ากากออกเปิดเผยใบหน้าของตนเองต่อซูหยาง
“อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าข้ามิฆ่าเจ้า ข้าก็ยังสามารถฉีกแขนขาสักข้างสองข้างจากตัวของเจ้า” ผู้อาวุโสสูงสุดเหรินกล่าวกับเขาด้วยรอยยิ้มมุ่งร้ายบนใบหน้าก่อนที่จะปลดปล่อยพลังการฝึกปรือของตนเองออกมา
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 356
บทที่ 356: ข้าเกรงว่าร่างของเจ้าจะไม่สามารถทนได้
“ฮาาา… ฮาาา…. ฮาาา…” หวังชูเหรินนอนเหยียดอยู่บนเตียงขณะที่หอบหายใจลึกและหนัก
“ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เราทำเรื่องนี้ กลเม็ดของท่านทำให้ข้าไร้คำพูดเสมอ” เธอกล่าวกับเขาด้วยร่างกายที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ
“นั่นเป็นเพราะว่าข้าเพิ่มความเข้มข้นขึ้นเล็กน้อยทุกครั้งที่เรามีอะไรกัน” ซูหยางพูดพร้อมกับรอยยิ้ม
“อะไรกัน ท่านพูดว่าท่านเพียงแค่ทำเล่นๆกันข้า” หวังชูเหรินมองดูเขาด้วยดวงตาโต “ที่ท่านพูดไปแบบนั้นในตอนนี้ข้าต้องการที่จะรับรู้ว่าจะเป็นอย่างไรถ้าท่านไม่ยับยั้งไว้”
“ข้าเกรงว่าร่างของเจ้าจะไม่สามารถทนได้”
“นั่นไม่ใช่เพียงแค่ร่วมรักหรอกรึ อย่างมากที่สุดร่างกายของข้าก็ควรจะแค่ไม่สามารถเดินได้ไประยะหนึ่ง” หวังชูเหรินเลิกคิ้ว
“เจ้าคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าผู้ฝึกวิชากลืนกินยาที่มีปริมาณฉีมากเกินกว่าที่พวกเขาจะควบคุมได้” ซูหยางพลันถามเธอ
“ผู้ฝึกวิชาคนนั้นจะระเบิดตาย” เธอตอบอย่างรวดเร็ว
“ถูกต้องแล้ว การฝึกวิชาคู่เป็นเช่นนั้นเช่นเดียวกัน แต่ว่าร่างของเจ้าจะไม่ระเบิด กลับกันร่างของของเจ้าจักมิอาจมีชีวิตอยู่ต่อไปหากขาดคู่เคียง ซึ่งจะนำไปสู่ปัญหาทางจิต”
“ร้ายแรงปานนั้นเลยรึ” หวังชูเหรินกลืนน้ำลายอย่างกังวล
“ก็เหมือนกับการฝึกวิชาปกติ การฝึกวิชาคู่สามารถให้ประโยชน์หรือโทษกับผู้อื่นขึ้นกับว่าเจ้าใช้มันอย่างไร แม้ว่าเจ้าอาจจะไม่ตระหนักถึงมัน แต่ด้วยการกระตุ้นร่างกายของเจ้าให้ได้รับความสุขอย่างมากจนเกือบสลบไป ความอดทนและความแข็งแกร่งของจิตใจของเจ้าก็จะเติบโตแข็งแกร่งขึ้น นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมข้าจึงทำให้ร่างกายของคู่ของข้าเข้าสู่ขีดจำกัดทุกครั้ง”
“เมื่อท่านพูดถึงเรื่องนี้ในตอนนี้ ทุกครั้งที่ข้าฝึกฝนร่วมกับท่าน ทักษะการปรุงยาของข้าก็พัฒนาขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความอดทนของข้า ข้าคิดว่ามันเป็นผลจากวิชาระดับเซียน แต่ดูเหมือนว่าสาเหตุมาจากท่านตลอดมานี้…” หวังชูเหรินกล่าวด้วยสีหน้าที่ดูเหมือนตระหนักขึ้นมา
และเธอก็พูดต่อขณะที่หัวเราะคิกคักอย่างนุ่มนวล “หากว่าเป็นกรณีนี้ ข้าต้องฝึกกับท่านบ่อยๆ ในเมื่อตอนนี้เราเป็นพันธมิตรแล้ว ข้าก็จักมีข้อแก้ตัวดีๆมาหาท่าน”
หลังจากที่ใช้เวลาสองสามนาทีในการชำระร่างกายและแต่งตัวแล้ว หวังชูเหรินก็ออกไปจากโรงเตี๊ยมกลับคืนสู่นิกายดอกบัวเพลิงเพื่อพูดกับผู้อาวุโสนิกายและผู้นำนิกายเกี่ยวกับการร่วมเป็นพันธมิตรกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
ส่วนสำหรับซูหยางแล้ว เขาก็ออกไปพบกับโหลวหลานจีที่พูดกับผู้อาวุโสนิกายคนอื่นอยู่ในอีกห้อง
“ซูหยาง ในที่สุดเจ้าก็มาที่นี่” โหลวหลานจีชักชวนเขาเข้าสู่แวดวงการประชุม
“คารวะท่านผู้นำนิกาย…”
แม้ว่ามันค่อนข้างจะกระอักกระอ่วนในการก้มหัวให้กับผู้ที่ด้อยอาวุโสกว่า บรรดาผู้อาวุโสนิกายในห้องก็คำนับต่อซูหยางยามเมื่อเขาเข้ามาหาพวกเขา
โหลวหลานจีได้อธิบายเหตุการณ์ให้กับพวกเขาขณะที่ซูหยางอยู่กับสำนักหงส์สวรรค์ ดังนั้นพวกเขาจึงมีเวลาเหลือเฟือในการเตรียมใจ
ซูหยางมองดูผู้อาวุโสนิกาย โดยเฉพาะผู้อาวุโสซุน และกล่าวว่า “พวกท่านคนไหนมีปัญหาในการที่ข้าเป็นผู้นำนิกายหรือไม่”
ผู้อาวุโสนิกายไม่ได้ตอบกลับในทันที
“พวกเรามิปฏิเสธในการที่ให้ท่านเป็นผู้นำนิกาย ตามจริงแล้วพวกเราก็ได้คาดหวังเช่นนี้มานานแล้ว” หนึ่งในพวกเขาก็พูดออกมาในที่สุด
“จริง แม้ว่าท่านยังเด็กแต่นั่นมิได้เปลี่ยนความจริงที่ว่าท่านมีความสามารถมากพอที่จะเป็นผู้นำนิกาย”
“พวกเราได้พูดคุยกันในเรื่องนี้ก่อนที่พวกเราจะจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย หลังจากที่ประมวลความสำเร็จของท่านทั้งหมดที่มีต่อนิกาย คงเป็นเรื่องแปลกที่เรามิเห็นด้วย”
“ท่านมีความคิดเห็นอื่นอีกหรือไม่ ผู้อาวุโสซุน” ซูหยางมองตรงไปที่เขา
ผู้อาวุโสซุนยิ้มอย่างขมขื่นและกล่าวว่า “ข้าก็มิมีข้อข้องใจใดๆ สุดท้ายนี่ก็จะเป็นเรื่องที่ง่ายกว่าเดิมในการที่จะโน้มน้าวตระกูลซุนให้ยอมรับความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับหลานสาวของข้าเมื่อในตอนนี้ท่านมีตำแหน่งผู้นำนิกายสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง”
ผู้อาวุโสซุนไม่ได้ซ่อนอะไรไว้และเปิดเผยความคิดที่แท้จริงให้กับซูหยาง นับตั้งแต่ซุนจิงจิงกล่าวถึงการสืบทอดเชื้อสายของซูหยาง เขาก็ได้คิดหาวิธีที่จะโน้มน้าวตระกูลซุนให้ยอมรับความปรารถนาของซุนจิงจิง
ในตอนนี้เมื่อซูหยางเป็นผู้นำนิกายของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ตระกูลซุนก็จะไม่ถึงกับขัดขวางความสัมพันธ์ของพวกเขา
“ทำไมเจ้ามิพูดอะไรบางอย่างกับพวกเขาด้วยล่ะ ซูหยาง” โหลวหลานจีพลันกล่าวกับเขา
ซูหยางพยักหน้าและกล่าวว่า “เช่นนั้นให้ข้าเริ่มต้นด้วยการพูดว่ามันขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้นก่อนที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจะยืนอยู่ที่จุดสูงสุดของการฝึกฝน ยามเมื่อมันเกิดขึ้น พวกท่านทุกคนจักต้องยืนตรงตระหง่านมิว่าเราจักเผชิญกับศัตรูเช่นไร”
“และเพื่อช่วยเหลือพวกท่านในเรื่องนี้ ข้าจักแบ่งโอสถเขตปฐพีนี่ให้แก่พวกท่าน”
ซูหยางนำเอาโอสถเขตปฐพีห้าเม็ดออกมาจากแหวนมิติและยื่นส่งพวกมันให้กับผู้อาวุโสนิกายที่มึนงง
“น-นี่คือ…”
ผู้อาวุโสนิกายก็ได้รับการบอกเล่าเกี่ยวกับการมีอยู่ของโอสถเขตปฐพี ดังนั้นพวกเขาจึงรู้ชัดเจนว่าของขวัญชิ้นนี้มีคุณค่ามากน้อยเพียงใด
“ในเมื่อพวกท่านอยู่ในระดับสูงสุดของเขตสัมมาวิญญาณ เพียงกลืนพวกมันเม็ดหนึ่งก่อนที่จะพยายามก้าวข้ามไปสู่เขตปฐพีวิญญาณ” เขาอธิบายต่อพวกเขา
อย่างไรก็ตามก่อนที่พวกเขาจะทันได้ตอบสนอง ซูหยางก็กล่าวต่อว่า “มิเพียงแต่พวกเรามีจอมยุทธเขตปฐพีวิญญาณเพิ่มมากขึ้น แต่ตอนนี้พวกเรายังคงได้รับการหนุนจากสำนักหงส์สวรรค์และหวังชูเหรินด้วย”
“เอ๋ เจ้าหมายความว่าอย่างไรในเรื่องนั้น” โหลวหลานจีแสดงสีหน้าสับสน
“สำนักหงส์สวรรค์และข้าได้ร่วมสนทนามินานมานี้ และพวกเขาได้ตกลงที่จะร่วมเป็นพันธมิตรกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยของพวกเรา นับจากวันนี้เป็นต้นไปถ้าใครมาสร้างปัญหาให้กับพวกเรา สำนักหงส์สวรรค์จักมาช่วยเหลือพวกเราและเราก็จะทำแบบนั้นเช่นเดียวกัน”
“ม-ไม่มีทาง…”
ไม่เพียงแค่แค่โหลวหลานจี แต่ผู้อาวุโสนิกายต่างก็พากันตระหนกจนโง่งมไปกับคำพูดของเขา
“สิ่งนี้ก็เช่นเดียวกันกับหวังชูเหริน ซึ่งก็ตกลงที่จะร่วมเป็นพันธมิตรกับพวกเรา ส่วนสำหรับนิกายดอกบัวเพลิงนั้น พวกเขาควรจะร่วมกับพวกเราหลังจากนี้เช่นกัน” ซูหยางกล่าวด้วยท่าทางเรียบเฉย
หลังจากที่ไม่ได้รับการตอบสนองจากพวกเขา ซูหยางก็ยังคงรักษารอยยิ้มไว้ “ถ้าพวกท่านมิเชื่อข้า พวกท่านสามารถไปหาหวังชูเหรินหรือว่าสำนักหงส์สวรรค์และยืนยันด้วยตัวเอง นี่คือทั้งหมดที่ข้าต้องพูดกับพวกท่านทุกคนในตอนนี้”
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 355
DC บทที่ 355: ดียิ่งกว่ากระทั่งโอสถเขตปฐพี
“เช่นนั้นใครที่ท่านจะไปพบ สำนักระดับสูงรึ หรือตระกูลระดับสูง หรือผู้ที่ร่ำรวยที่สุด หรือผู้ที่ทรงอำนาจที่สุด คนเหล่านี้จักนำคนจำนวนมากมายมหาศาลมาหาท่าน” หวังชูเหรินถามเขา
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ ซูหยางก็พูดขึ้น “ข้าจักพบกับคนที่ปรารถนาจะพบข้า ต่อให้พวกเขามิมีปูมหลังน่าประทับใจ นั่นก็ยังคงเป็นประโยชน์อย่างมากที่มีคนจำนวนมากอยู่ฝั่งเดียวกับข้า”
“การพบปะในระดับนั้น… ท่านจะไปทำมันที่ไหน”
“ข้าจักปล่อยให้เจ้าเป็นคนคิดหาทาง”
“ตกลง แล้วนิกายล้านอสรพิษล่ะ ท่านยังคงต้องการที่จะพบกับพวกเขาด้วยรึ”
ซูหยางยิ้มและพยักหน้า “แน่นอน”
“ต่อให้พวกเขามิได้ขอเข้าพบข้า ข้าก็จักหาพวกเขาด้วยตนเอง…”
หวังชูเหรินพยักหน้าและเธอกล่าวต่อว่า “อย่างไรก็ตามเมื่อพูดถึงนิกายล้านอสรพิษ พวกเขามีท่าทางแปลกๆระหว่างการประมูล ข้าเกรงว่าพวกเขาจะพยายามทำอะไรกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและท่านในขณะที่พวกท่านยังอยู่ที่นี่”
“ข้าหวังว่าพวกเขาจะทำเช่นนั้น ซึ่งนั่นจะเป็นการให้ข้าได้ใช้เป็นข้ออ้างในการจัดการพวกเขาทั้งหมดอีกครั้ง…”
“…”
หวังซูเหรินพูดไม่ออก ถ้าเธอไม่รู้ความสามารถของเขา เธอคงหัวเราะเยาะที่เขาโง่
“นิกายล้านอสรพิษช่างหยิ่งยะโสและละโมบเกินไปในคราวนี้ พวกเขาได้ล่วงเกินคนที่พวกเขามิควรล่วงเกินเพื่อวิญญาณพิทักษ์และสุดท้ายพวกเขาก็ยังมิได้รับมัน ถ้าข้ามิจับมือกับเขาในวันนั้นบางทีนิกายดอกบัวเพลิงของเราก็อาจจะอยู่ในฐานะเดียวกันในตอนนี้” หวังชูเหรินระลึกถึงครั้งแรกที่พวกเขาพบกันในเมืองขนนกพริ้ว
“พวกเราจบเรื่องนี้แล้วใช่ไหม” ซูหยางพลันถามเธอ
“ใช่… ท่านมีอะไรบอกกับข้าอีกไหม”
ซูหยางพยักหน้าและกล่าวว่า “นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและสำนักหงส์สวรรค์ได้ร่วมเป็นพันธมิตรกันแล้ว”
“อะไรนะ” หวังชูเหรินอุทานออกมาด้วยเสียงสั่นสะท้าน “ร-เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่”
“เมื่อกี้นี้ ข้าได้พูดกับสำนักหงส์สวรรค์ก่อนหน้านี้”
“อืม… ข้าควรจะแสดงความยินดีกับท่านตอนนี้หรือไม่” หวังชูเหรินถาม รู้สึกค่อนข้างเป็นกังวลเพราะว่าสำนักหงส์สวรรค์พลันก้าวล้ำนำนิกายดอกบัวเพลิงในการเป็นพวกแรกที่ร่วมเป็นพันธมิตรกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
อย่างไรก็ตามเพราะว่านิกายดอกบัวเพลิงไม่ได้เป็นพวกที่มีความสัมพันธ์อันดีกับซูหยางแต่เป็นเธอหวังชูเหรินผู้เดียว นั่นจึงค่อนข้างยากสำหรับนิกายดอกบัวเพลิงที่จะยอมรับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังมีความแค้นกับซูหยางกับความปั่นป่วนที่เขาได้สร้างขึ้นก่อนหน้านั้น
“ข้ารู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่” ซูหยางพลันพูดขึ้น “นั่นจึงเป็นเหตุที่ทำไมข้าจึงยื่นข้อเสนอเดียวกันให้กับเจ้า”
“จ-จริงรึ ท่านยินดีที่จะร่วมเป็นพันธมิตรกับนิกายดอกบัวเพลิงด้วยรึ” สีหน้าหวังชูเหรินสดใสขึ้นมาในทันใด
“ไม่ใช่ ข้ามิได้ทำเช่นนี้เพื่อนิกายดอกบัวเพลิง” ซูหยางส่ายหน้า “ข้าถามเจ้า หวังชูเหริน มาร่วมเป็นพันธมิตรกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยของข้า นิกายดอกบัวเพลิงเป็นเพียงแค่ของแถมในเมื่อเจ้าอยู่กับพวกเขา และฐานะของเจ้าภายในนิกายก็ควรเหนือกว่ากระทั่งผู้นำนิกายไปแล้วตอนนี้”
“เจ้ายอมรับการเป็นพันธมิตรนี้หรือไม่” ซูหยางถามเธออีกครั้ง
“…”
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะหวังชูเหรินที่งงงันอยู่ก็พยักหน้า “ยอ…ยอมรับ ข้าต้องการร่วมเป็นพันธมิตร”
“ดี เช่นนั้นเจ้าสามารถรับสิ่งนี้ไป”
ซูหยางนำเอาม้วนกระดาษห้าม้วนออกมาจากแหวนมิติและวางพวกมันข้างๆถ้วยชา
“นี่คือ…” หวังชูเหรินมองดูม้วนกระดาษแต่รู้สึกประหม่าเกินไปที่จะดูเนื้อหาข้างใน
“อย่ากลัวไป มันมิกัดหรอก” ซูหยางยิ้ม
หวังชูเหรินพยักหน้าและหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมาเปิด
ไม่นานหลังจากนั้น ร่างกายของเธอก็สั่นสะท้านไปด้วยความตื่นตระหนก
“ว-ว-วิชาระดับเซียน” เธออุทานออกมา
“พูดให้ถูก มันเป็นวิชาระดับเซียนสามม้วนและวิชาระดับอัมพรอีกสองม้วน” ซูหยางกล่าวกับเธอขณะที่เขาจิบชาอย่างสบายใจ
“มากมายเพียงนี้เลยรึ” หวังชูเหรินสามารถรู้สึกได้ว่าหัวใจของเธอพยายามที่จะกระโดดออกมาจากปากเพระความตระหนก
“ชิ้นที่อยู่ในมือของเจ้าจักต้องใหักับศิษย์ของเจ้า จางซิวยิง เท่านั้น เจ้าสามารถบอกเธอว่ามาจากข้าได้ถ้าเจ้าต้องการ สำหรับอีกสี่ม้วนนั้น ถ้านิกายดอกบัวเพลิงต้องการที่จะร่วมเป็นพันธมิตรกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย เช่นนั้นพวกเขาก็สามารถใช้มันในการฝึกฝนศิษย์ อย่างไรก็ตามถ้าพวกเขากล้าทรยศพวกเรา ข้าจักไปเยี่ยมพวกเขาอีกครั้งและนั่นก็จะมิเป็นการเยี่ยมที่สงบเรียบร้อยเหมือนครั้งก่อน”
“ถ้าพวกเขาปฏิเสธล่ะ”
แม้ว่าแทบจะมั่นใจได้ว่านิกายดอกบัวเพลิงจะร่วมเป็นพันธมิตรยามเมื่อพวกเขาเห็นวิชาระดับเซียน อย่างไรก็ตามถ้ายังมีโอกาสที่พวกเขาจะปฏิเสธแม้เพียงเล็กน้อย เธอควรจะทำอย่างไรกับวิชาเหล่านี้
“ถ้าพวกเขาปฏิเสธ… ก็เพียงแค่เผาพวกมันทิ้ง” ซูหยางพูดอย่างเรียบง่าย
“ท่านต้องการให้ข้าเผาวิชาระดับเซียนและวิชาระดับอัมพรทิ้งรึ… นั่นเป็นการหยามผู้ฝึกยุทธนะ” หวังชูเหรินร่ำร้องในใจหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเขา
“ข้ายังมีงานอื่นให้เจ้าด้วย” ซูหยางดึงเอาม้วนกระดาษอื่นออกมาจากแหวนมิติและยื่นส่งให้กับหวังชูเหริน
“เจ้าพอจะช่วยข้าหาวัตถุดิบตามรายการนี้ได้ไหม”
หวังชูเหรินมองดูสิ่งที่อยู่ในรายการ
“แม้ว่านั่นอาจจะมีสมุนไพรหายากยิ่งยวดอยู่ในรายการนี้อยู่บ้าง แต่นั่นก็มิถึงกับเป็นไปไม่ได้ในการหาพวกมัน… ปัญหาอยู่ที่จำนวน นั่นค่อนข้างจะมีปัญหาอยู่บ้างถึงแม้ว่าจะมีเงิน หรือว่าของพวกนี้มีโอกาสที่จะเป็นวัตถุดิบของโอสถเขตปฐพีหรือไม่”
“ไม่ใช่ มันเป็นอะไรบางอย่างที่ดียิ่งกว่าเม็ดยาเหล่านั้น”
“ถึงกับดีกว่าโอสถเขตปฐพีเลยรึ” หวังชูเหรินเลิกคิ้ว เป็นปกติที่เธอไม่สามารถที่จะจินตนาการได้ว่ายาประเภทไหนกันที่ดีเกินกว่าโอสถเขตปฐพีที่ทำให้ยุทธภพถึงกับเกิดความปั่นป่วน
“ถ้าเจ้าสามารถรวบรวมวัตถุดิบ ข้าจักให้เม็ดยาเจ้าหนึ่งเม็ดหลังจากที่ข้าจัดการกับมันแล้ว” ซูหยางกล่าว “ส่วนสำหรับเรื่องเงิน… ก็เพียงแค่ใช้จากที่เจ้าได้รับจากการขายโอสถเขตปฐพีและเก็บส่วนที่เหลือไว้ให้ตัวเจ้าเอง”
“จริงรึ ท่านสัญญาว่าท่านจะให้ยาข้าเม็ดหนึ่ง” หวังชูเหรินตาเริ่มเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น
“ทำไมข้าจักต้องโกหกเจ้าด้วย”
“ขอบคุณซูหยาง” หวังชูเหรินเกือบกระโดดกอดเขาจากความรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง “อย่างไรก็ตามในเมื่อข้ามาที่นี่แล้ว ทำไมเรามิมาสนุกด้วยกันสักหน่อยก่อนข้าไป นานแล้วนับตั้งแต่พวกเราทำมันครั้งสุดท้าย”
ซูหยางวางถ้วยชาลงด้วยรอยยิ้มและกล่าวว่า “ยังไงมันเพียงแค่ไม่กี่สัปดาห์เอง แต่ในเมื่อเจ้าเรียกร้อง ข้าก็จักมิปฏิเสธข้อเสนอของเจ้า”
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 354
DC บทที่ 354: ร่วมเป็นพันธมิตร
“ถ้าเช่นนั้น พวกท่านคิดอย่างไรกับสถานการณ์เช่นนี้” ไป่ลี่ฮัวถามผู้อาวุโสสำนักหลังจากที่ใช้เวลาสองสามนาทีในการอธิบายสถานการณ์ให้กับพวกเธอ
“แม้ว่าเราอาจจะล่วงเกินผู้มีอิทธิพลจำนวนมากหากร่วมเป็นพันธมิตรกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย แต่ทั้งหมดนี้ก็คุ้มค่าถ้าพวกเราสามารถก้าวนำหน้าทุกคนในการพบปะกับนักปรุงยาคนนี้ และที่ดียิ่งกว่าก็คือถ้าเราสามารถสร้างความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนซึ่งกันและกัน”
“ข้าก็สนับสนุนความคิดในการร่วมเป็นพันธมิตรกับพวกเขาเช่นกัน ตราบเท่าที่พวกเขามีเซียนนักปรุงยาหนุนหลังอยู่ พวกเขาก็เกือบมิมีวันพ่ายแพ้”
“ฮึ่ม มินาประหลาดใจเลยที่เจ้าเด็กเลวนั่นกล้าที่จะทำตัวกร่างเช่นนั้นระหว่างการประมูล กลับกลายเป็นว่าเขามีคนหนุนหลังเป็นเซียนทั้งยังเป็นคนที่ค้นพบโอสถเขตปฐพีอีกด้วย”
“เช่นนั้นก็ถือว่าทุกคนที่นี่สนับสนุนการร่วมเป็นพันธมิตรกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ถูกต้องหรือไม่” ไป่ลี่ฮัวถามพวกเธออีกครั้ง
ผู้อาวุโสนิกายพากันพยักหน้า
ไป่ลี่ฮัวเรียกซูหยางกลับมาในห้องไม่นานหลังจากนั้น
“หลังจากที่พูดคุยกับผู้อาวุโสส่วนหนึ่งของสำนักข้า พวกเราลงความเห็นที่จะร่วมเป็นพันธมิตรกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย อย่างไรก็ตามพันธมิตรนี้จักยังคงอยู่ถ้าเซียนมีจริง ถ้าเจ้ากล้าหลอกข้าข้าจักจัดการเจ้าและนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยด้วยตนเอง”
ซูหยางยังคงมีท่าทางเยือกเย็น กล่าวขึ้นว่า “ท่านตัดสินใจได้ถูกต้อง เจ้าสำนักไป่”
เขาทำการนำเอาม้วนกระดาษออกมาสามม้วนจากแหวนมิติและวางพวกมันลงบนโต๊ะ
“นั่นคืออะไร” ไป่ลี่ฮัวถามอย่างรวดเร็ว
“วิชาการโคจรพลัง ในเมื่อถือว่าพวกเราอยู่ฝ่ายเดียวกันแล้วในตอนนี้ เป็นเรื่องธรรมดาที่ข้าจักช่วยท่าน ท่านสามารถเปิดดูมันได้หลังจากที่ข้าไปแล้ว” เขากล่าวด้วยรอยยิ้มลึกลับบนใบหน้า
“อย่างไรก็ตามถ้าสำนักหงส์สวรรค์เปิดเผยวิชาพวกนี้ให้กับคนอื่นหรือกล้าที่จะทรยศนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยของข้า ข้าจักจัดการกับท่านด้วยตนเอง”
หลังจากที่กล่าวคำพูดเหล่านั้นแล้ว ซูหยางก็เริ่มเดินไปยังทางออก
แต่ก่อนที่เขาจะจากไป เขาก็กล่าวขึ้นว่า “อย่าลืมเด็กสาวที่หลับอยู่ด้านหลังท่าน”
“…”
ครั้นเมื่อเธอรู้สึกว่าซูหยางไม่อยู่อีกต่อไปแล้ว ไป่ลี่ฮัวก็เปิดหนึ่งในม้วนกระดาษเพื่อมองดู
อย่างไรก็ตามหลังจากที่อ่านส่วนเล็กๆของเนื้อหาข้างในแล้ว ดวงตาเธอก็เปิดกว้างด้วยความตระหนก และเธอก็อุทานดังลั่น “วิชาการฝึกปรือระดับอัมพร”
ไม่กล้าที่จะเชื่อสายตาตัวเอง เธออ่านมันซ้ำอีกครั้ง และได้แต่งงงันกับความเป็นจริง
ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นไป่ลี่ฮัวก็วางวิชาระดับอัมพรกลับลงไปบนโต๊ะทั้งที่ยังอ่านเนื้อหาในนั้นไม่จบและหยิบเอาม้วนกระดาษม้วนที่สองขึ้นมา
“น-นี่…นี่คือ…” ไป่ลี่ฮัวมือสั่นสะท้านอย่างรุนแรงขณะที่มองดูภายในม้วนคัมภีร์
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นเธอก็วางมันกลับลงไปและหยิบม้วนคัมภีร์สุดท้ายขึ้นมา
“…”
หลังจากนั้นไม่นาน ไป่ลี่ฮัวก็เก็บวิชาทั้งสามไว้ในแหวนมิติของเธอและเริ่มหัวเราะราวกับคนบ้าหลังจากนั้น
“วิชาการฝึกปรือขั้นอัมพรหนึ่ง และวิชาการฝึกปรือขั้นเซียนสอง ฮ่าฮ่า… ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”
ผู้อาวุโสสำนักที่รออยู่ด้านนอกห้องต่างพากันคิดว่าเจ้าสำนักของตนเองบ้าไปแล้วหลังจากที่พวกเธอต้องทนฟังอีกฝ่ายหัวเราะอย่างบ้าคลั่งมานานหลายนาทีโดยไม่หยุด
ตามความเป็นจริงไป่ลี่ฮัวหัวเราะเสียงดังลั่นจนกระทั่งปลุกซูหยินให้ตื่นขึ้น
“อ-อาจารย์…” ซูหยินมองดูเธอด้วยดวงตาโต
“ในที่สุดเจ้าก็ตื่นขึ้นมา ซูหยิน ข้าต้องขอโทษที่อารมณ์เสียและทำให้เจ้าสลบไปด้วพลังการฝึกปรือของข้า นั่นเป็นอุบัติเหตุ” ไป่ลี่ฮัวหยุดหัวเราะเพื่อพูดกับเธอ
“นั่นมิเป็นไร…” ซูหยินส่ายหน้า “อย่างไรก็ตาม… เกี่ยวกับการตัดสินใจของข้าที่จะออกจากสำนัก…”
“เจ้ามิต้องพูดอะไรทั้งสิ้น” ไป่ลี่ฮัวยับยั้งเธอไว้ในทันใด “ขณะที่เจ้าหลับไป ข้าได้สนทนากับพี่ชายของเจ้า และพวกเราได้ข้อสรุปว่าสำนักหงส์สวรรค์ของพวกเราและนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยของพวกเขาจะร่วมเป็นพันธมิตรกัน เจ้าสามารถเป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยในขณะที่ยังคงเป็นศิษย์ของสำนักหงส์สวรรค์ของพวกเราด้วยเช่นกัน”
“อ-อะไรกัน…” ซูหยินแสดงท่าทางมึนงงออกมาในเมื่อนั่นเป็นข้อมูลที่น่าตื่นตระหนกเกินไปสำหรับเธอในการย่อยสลายได้อย่างเหมาะสม
–
–
–
หลังจากที่ออกจากที่อยู่ของสำนักหงสวรรค์ ซูหยางก็กลับไปยังโรงเตี๊ยมเกล็ดหิมะ ที่ซึ่งโหลวหลานจีและเหล่าศิษย์รอคอยเขากลับอย่างกระวนกระวาย
“สุดท้ายเจ้าก็กลับมา เจ้ามิได้วิ่งเข้าไปชนกับปัญหาอะไรใช่ไหม” โหลวหลานจีถามเขาทันทีที่เธอเห็นเขา
“ใจเย็นๆ มิมีอะไรเกิดขึ้นกับข้า” ซูหยางยิ้ม
“ขอบคุณสวรรค์..” โหลวหลานจีถอนใจโล่งอก
“อย่างไรก็ตามมีบางคนตามหาเจ้าอยู่ หวังชูเหริน… เธอมาที่นี่ไม่นานนักและตอนนี้รออยู่ในห้องของเจ้า”
“เช่นนั้นข้าก็จักไปพูดกับเธอในตอนนี้”
“หากว่าเจ้าเสร็จสิ้นธุระกับเธอแล้ว เราก็ควรจักสนทนากันสักครั้ง”
ซูหยางพยักหน้าและเข้าไปในห้องของตนเอง
เมื่อเข้าไปในห้องแล้ว หวังชูเหรินซึ่งนอนหลับผ่อนคลายอยู่บนเตียงของเขาก็ลุกขึ้นนั่งและพูดกับเขาว่า “ซูหยางในที่สุดท่านก็มาที่นี่ โปรดนั่งลง ข้าเพิ่งต้มชาไป”
ซูหยางเดินไปยังม้านั่งขณะที่หวังชูเหรินเทชาให้กับเขา
หลังจากที่นั่งลงและจิบชา ซูหยางก็กล่าวขึ้นว่า “เหตุเช่นไรทำไมเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่”
หวังชูเหรินตอบสนองด้วยเสียงน่าสงสาร “ท่านจะถามข้าอย่างนั้นจริงๆรึในตอนนี้ ข้ารู้ว่าเรื่องนี้ต้องเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อท่านให้โอสถเขตปฐพีแก่ข้า แต่ท่านคิดบ้างไหมว่าข้าต้องทนแบกรับมากมายแค่ไหนยามเมื่อข้าเผยพวกมันที่โรงประมูล แม้ว่าข้าเฝ้าบอกพวกเขาให้รอ เจ้าพวกละโมบนี้ก็ยังเฝ้ารบกวนข้า กระทั่งท่านเจ้าซีก็ยังพยายามกดดันข้าให้เปิดเผยตัวตนของท่าน”
“ซูหยางท่านก็อยู่ที่โรงประมูลเช่นกัน ดังนั้นท่านควรจะรู้ว่าทำไมข้าจึงมาที่นี่ ท่านจะพบปะกับพวกเขารึ ไม่ว่าอย่างไรท่านก็เป็นนักปรุงยาที่พวกเขาตามหา”
“…”
เขาไม่ได้ตอบกลับในทันทีแต่จิบชาไปอีกสองสามคำก่อนที่จะพูดว่า “แน่นอน นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าต้องการให้เจ้าขายเม็ดยา”
“ท่านมั่นใจในเรื่องนี้รึ คนที่ท่านจักพบล้วนเป็นผู้ทรงอิทธิพลในยุทธภพซึ่งอย่างต่ำก็เป็นผู้ฝึกวิชาระดับสูงสุดของเขตปฐพีวิญญาณ ต่อให้เป็นข้าก็มิอาจจะปกป้องท่านถ้าพวกเขาคิดจะเล่นตลกอะไรสักอย่าง”
“นั่นมิมีปัญหา” เขาตอบอย่างใจเย็น
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 353
DC บทที่ 353: การล่อลวง
“จ-เจ้า… น-นี่… เจ้าได้โอสถเขตปฐพีมาจากที่ไหน” ไป่ลี่ฮัวมั่นใจว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยไม่ได้มันมาจากการประมูล ในเมื่อพวกเขาไม่ได้ประมูลแม้แต่สักเม็ด
ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “ก็อย่างที่ท่านรู้เป็นอย่างดีแล้วตอนนี้ ข้ามีความสัมพันธ์เป็นอย่างดีกับหวางชูเหริน”
“เจ้ากำลังบอกข้าว่าเธอให้โอสถเขตปฐพีเม็ดหนึ่งแก่เจ้าในขณะที่พวกเราทั้งหมดต้องจ่ายสุดตัวเพื่อเม็ดหนึ่งงั้นรึ กระทั่งตระกูลซียังต้องจ่ายสำหรับมัน เจ้าคาดว่าข้าจะเชื่อว่าเจ้าได้รับมาฟรีเม็ดหนึ่งงั้นรึ”
“มิเพียงแต่ข้าได้รับมาฟรี แต่ข้าก็ยังรู้จักนักปรุงยาที่อยู่เบื้องหลังเม็ดยาเหล่านี้อีกด้วย” ซูหยางกล่าว
เมื่อไป่ลี่ฮัวได้ยินคำพูดของเขา ดวงตาเธอก็โตขึ้นด้วยความตกใจ เธอยืนขึ้น “เจ้ารู้จักกับนักปรุงยาที่ปรุงเม็ดยาเหล่านี้รึ ใครกัน”
“ทำไมข้าต้องบอกท่านในขณะที่กระทั่งหวังชูเหรินยังมิต้องการที่จะเปิดเผยมัน” ซูหยางส่ายหน้า “อย่างไรก็ตามข้าต้องการให้โอกาสท่านที่จะได้พบกับเขา บางทีอาจจะถึงขั้นสานสัมพันธ์ฉันเพื่อนกับเขาด้วย”
“จริงรึ เจ้าต้องการอะไรจากข้า”
“จริงแล้วง่ายดายยิ่ง ข้าต้องการให้สำนักหงส์สวรรค์ของเจ้าและนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยของข้าร่วมเป็นพันธมิตรกัน”
“…”
ไป่ลี่ฮัวขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำพูดของเขา
“เจ้าเอาจริงรึ เจ้าต้องการให้สำนักหงส์สวรรค์ของข้า สำนักระดับสูงไปร่วมเป็นพันธมิตรกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยของเจ้าที่ใกล้ล่มสลายแล้วงั้นรึ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า…” ซูหยางพลันระเบิดเสียงหัวเราะ “ใครกันที่ใกล้ล่มสลาย อีกครั้งนะรึ ข้าจักยอมให้ท่านได้รู้ว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยของข้าอยู่ในฐานะที่แข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านี้”
“แม้ว่ามันจะเป็นความจริงที่พวกเรามีศิษย์เพียงประมาณร้อยคน แต่ก็เป็นเพียงแค่เรื่องของเวลาเท่านั้นก่อนที่เราจะกลายเป็นสำนักระดับสูงและอยู่ในจุดสูงสุดของยุทธภพ”
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ ไป่ลี่ฮัวก็กล่าวว่า “ถ้าเพิกเฉยกับความเย่อหยิ่งและความฝันอันเป็นไปไม่ได้ของเจ้าในตอนนี้ การเป็นพันธมิตรจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับนักปรุงยานี้อย่างไร”
“ทุกสิ่ง” ซูหยางยิ้มและกล่าวต่อว่า “ท่านรู้หรือไม่ว่าทำไมนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยยังคงยืนอยู่ได้แม้ว่าจะถูกหมายหัวจากนิกายล้านอสรพิษ นั่นก็เป็นเพราะว่ามีผู้ฝึกเทพยุทธปกป้องนิกายของพวกเราอยู่ในตอนนี้”
ไป่ลี่ฮัวลืมตาโต ดูเหมือนว่าไม่อยากเชื่อ
“จ-เจ้ามีเซียนปกป้องนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอย่างนั้นรึ และเขาก็เป็นนักปรุงยาที่อยู่เบื้องหลังโอสถเขตปฐพีด้วยอย่างนั้นรึ” เธอถามด้วยเสียงสั่นสะท้าน
“ถูกต้องแล้ว เซียนคนนี้มาจากที่ห่างไกลและได้ผ่านเขตอัมพรวิญญาณไปนานแล้ว กระทั่งเขตราชันย์วิญญาณในตำนานที่ได้รับการกล่าวขานว่ามิอาจบรรลุถึงได้”
“ป-ป-เป็นไปไม่ได้” ไป่ลี่ฮัวล้มลงไปอยู่บนเก้าอี้ด้านหลังด้วยท่าทางงงงัน
“นั่นจะเป็นไปได้หรือไม่ ท่านจักพบเห็นก็ยามเมื่อท่านร่วมเป็นพันธมิตรกับพวกเรา”
“…”
ไป่ลี่ฮัวกัดฟันและพูดขึ้นว่า “ทำไมเซียนจึงไปอยู่ในสถานที่เช่นนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเมื่อมีที่อื่นอีกมากมายที่เหมาะสมกว่า จะเป็นอย่างไรถ้าเจ้าเพียงแค่โกหกข้าให้ร่วมเป็นพันธมิตรและมิได้มีเซียนอยู่อย่างแท้จริง”
“แม้ว่าเราอาจจะมิเป็นสำนักที่น่าประทับใจที่สุด แต่ก็ต้องเป็นบางสิ่งที่พิเศษเฉพาะสำหรับพวกเราที่ต้องใจเซียน อีกอย่างทำไมข้าจึงต้องผายลมกับสถานการณ์แบบนี้ นั่นย่อมมิมีประโยชน์อะไรกับพวกเราแม้แต่น้อย อีกอย่างท่านก็ยังคงสามารถตัดการเป็นพันธมิตรหลังจากที่เรียนรู้ความจริงได้”
หลังจากที่ครุ่นคิดชั่วขณะ ไป่ลี่ฮัวก็ถามว่า “ข้าสามารถพบกับเซียนนักปรุงยาก่อนที่ข้าจะตัดสินใจหรือไม่”
ซูหยางพยักหน้า “เซียนในตอนนี้พักอยู่ในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ถ้าท่านต้องการจะพบกับเขา ท่านจักต้องรอจนหลังการแข่งขันระหว่างภูมิภาค”
“อย่างไรก็ตามถ้าท่านร่วมเป็นพันธมิตรกับเรา ซูหยินจักก็ยังคงเป็นศิษย์ของสำนักหงส์สวรรค์แม้ว่าจะเป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย เธอมิต้องจากไปแต่ประการใด”
ไป่ลี่ฮัวหรี่ตาขณะเดียวกันเธอก็ตระหนักถึงจุดนี้เช่นกัน
“โอ อีกอย่างหนึ่ง” ซูหยางพลันกล่าวขึ้น “ตราบเท่าที่ท่านเป็นพันธมิตรกับพวกเรานิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย เราจักให้โอสถเขตปฐพีแก่สำนักหงส์สวรรค์ของท่านเม็ดหนึ่งทุกเดือน”
“ว่ากระไร” ไป่ลี่ฮัวอุทานดังลั่น
“นี่เป็นสิ่งที่เซียนได้ตัดสินใจแล้ว ดังนั้นข้าจึงยอมให้ท่านรู้ได้ตอนนี้”
“โอสถเขตปฐพีเม็ดหนึ่งทุกเดือน…” ไป่ลี่ฮัวไม่อยากเชื่อหูของตนเอง
นั่นมันดีมากแล้วถ้าพวกเธอสามารถซื้อโอสถเขตปฐพีหนึ่งเม็ดทุกปี หรือกระทั่งทุกสิบปี แต่นี่พวกเธอจะสามารถได้รับโอสถเขตปฐพีทุกเดือนอย่างหรูหรางั้นหรือ และทั้งหมดนี้ก็เพียงแค่พวกเธอร่วมเป็นพันธมิตรกับนิกายกุสุมาลพ้นพิสัยงั้นหรือ กระทั่งต่อให้พวกเธอต้องล่วงเกินนิกายล้านอสรพิษและผู้ทรงอิทธิพลอื่น นั่นก็ยังคุ้ม
“และเพื่อเป็นการแสดงความจริงใจของข้า ข้าจักทิ้งโอสถเขตปฐพีเม็ดนี้ไว้ให้ท่าน” ซูหยางกล่าวขณะที่เขาผลักขวดเม็ดยาไปยังไป่ลี่ฮัว ผู้ที่ยากจะสามารถเก็บความตื่นเต้นของตนเองไว้ได้
“แน่นอนว่า ถ้าท่านต้องการที่จะร่วมเป็นพันธมิตรกับพวกเรานิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยในตอนนี้ เช่นนั้นข้าจักให้โอสถเขตปฐพีให้กับท่านเป็นสองเม็ดแทนที่จะเป็นหนึ่งเม็ดในเดือนหน้า”
“…จริงแล้วเจ้าเป็นคนที่พยายามจะล่อลวงข้าแบบนี้รึ” ไป่ลี่ฮัวไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะกับความพยายามของเขาหรือโกรธที่เขามองเธอต่ำไปดี
หลังจากที่จ้องมองไปที่โอสถเขตปฐพีชั่วขณะ จากนั้นไป่ลี่ฮัวก็พูดขึ้นว่า “ออกไปข้างนอกก่อนสักครู่ในขณะที่ข้าพูดกับผู้อาวุโสสำนัก ถึงแม้ว่าข้าจะเป็นเจ้าสำนักแต่การตัดสินใจนี้ใหญ่เกินไปที่จะตัดสินใจด้วยตัวข้าเอง”
ซูหยางพยักหน้า “ตามสบาย” เขากล่าวขณะที่ออกไปจากห้อง
“ผู้อาวุโสสำนัก เข้ามาที่ห้องของข้าตอนนี้” ไป่ลี่ฮัวตะโกนยามเมื่อซูหยางออกไปแล้ว
ไม่นานหลังจากนั้นผู้อาวุโสสำนักทุกคนก็เข้ามารวมตัวกันในห้อง
แน่นอนว่าพวกเธอทั้งหมดต่างก็จ้องมองซูหยางขณะที่พวกเธอผ่านเขาไป สายตาของพวกเธอพูดได้ว่า “เจ้าทำอะไรอีกตอนนี้”
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 352
DC บทที่ 352: มืดบอดไปกับความโกรธ
“เจ้าสำนัก โปรดให้ข้าจัดการกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย พวกนั้นฆ่าลูกศิษย์ข้าและญาติของท่าน เรามิอาจปล่อยให้พวกเขารอดพ้นไปได้” ผู้อาวุโสเหรินพลันกล่าวขึ้น
“ผ-ผู้อาวุโสสูงสุด ท่านเอาจริงรึ กระทั่งผู้ฝึกยุทธเขตอัมพรวิญญาณก็ยังเหมือนกับมดในดวงตาของเซียนที่แท้จริง ท่านจักทำให้ตัวท่านเองถูกฆ่า” ผู้อาวุโสวันกล่าวกับเขาด้วยเสียงตื่นตระหนก
“ฮึ่ม เซียนอะไรกัน ข้าจักมิยอมเชื่อจนกว่าข้าจะเห็นด้วยตนเอง ต่อให้พวกเขามีเซียน ข้าก็ยังมั่นใจในความสามารถของข้าในการล่าถอยอย่างปลอดภัยโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อข้ามีสมบัติช่วยชีวิตชิ้นนั้น”
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ ฟูกวานก็พยักหน้าและพูดขึ้นว่า “ผู้อาวุโสสูงสุดเหริน ถ้าท่านรู้สึกถึงอันตรายอะไรแม้เพียงนิดเดียว ข้าต้องการให้ท่านหลบหนีอย่างเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ต่อให้ท่านต้องใช้สมบัติของท่านก็ตาม แม้ว่าเราอาจจะยอมให้มีการสูญเสียยอดยุทธในเขตปฐพีวิญญาณได้บ้าง แต่การสูญเสียผู้คนในเขตอัมพรวิญญาณนั้นย่อมทำให้นิกายล้านอสรพิษของเราสูญอำนาจไปอย่างมาก”
“ขอรับท่านเจ้าสำนัก” ผู้อาวุโสสูงสุดเหรินอดไม่ได้ที่จะฉีกยิ้มหลังจากที่ได้รับอนุญาตจากเจ้าสำนัก
เมื่อเห็นเช่นนี้ ผู้อาวุโสวันได้แต่แอบส่ายหน้า “จบสิ้นกัน ทั้งเจ้าสำนักและผู้อาวุโสสูงสุดเหรินต่างมืดบอดไปกับความโกรธและมิอาจคิดได้ถูกต้อง พวกเขาหวังที่จะจัดการกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยทั้งที่มันอาจจะชักนำหายนะเข้าสู่นิกายล้านอสรพิษ”
“คืนนี้ข้าจักจัดการกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเมื่อไร้ตะวันแล้ว” ผู้อาวุโสสูงสุดเหรินพูด
ฟูกวางพยักหน้า
–
–
–
ในเวลานั้น ซูหยางกำลังจิบชาอย่างสบายใจอยู่ท่ามกลางผู้คนสำนักหงส์สวรรค์
“แม้ว่ายุทธภพในโลกนี้จะด้อยพัฒนา แต่น้ำชานี่ก็ยังชวนให้เบิกบานไม่น้อย…” เขาคิดในใจขณะที่คนมากกว่าโหลจ้องมองเขาจากด้านข้าง
“ข้ามิเคยเห็นชายเช่นเขามาก่อน เขาแวดล้อมไปด้วยหญิงสาวมากมายแต่ว่าเขาก็ยังทำตัวเหมือนกับว่าพวกเรามิมีตัวตน…”
“ดูหน้าตาเขาสิ ด้วยหน้าตาหล่อเหลาอย่างนั้น คงมิแปลกหรอกถ้าเขาจะรายล้อมไปด้วยหญิงสาวสวยทุกวัน บางทีจริงแล้วพวกเราอาจจะมิมีค่าให้ใส่ใจในสายตาของเขาด้วยซ้ำ…”
“เขาเป็นพี่ชายของซูหยินใช่ไหม ข้าสงสัยว่าความสามารถของเขามีมากน้อยเพียงใด”
“ทำไมมิมีใครในหมู่พวกเจ้าไปพูดคุยกับเขาที่นั่นล่ะ”
“เจ้าบ้าไปแล้วหรือ เจ้ามิเห็นผู้อาวุโสมายที่ยืนอยู่ตรงนั้นจ้องตรงไปยังเขาราวกับว่าเขาฆ่าคนในครอบครัวของเธอหรือไง ข้ามิต้องการที่จะล่วงเกินผู้อาวุโสมายด้วยการพูดกับเขา”
ศิษย์สำนักหงส์สวรรค์พากันซุบซิบกันขณะที่จ้องมองไปยังซูหยาง
“เจ้าคิดว่าท่านเจ้าสำนักและซูหยินพูดอะไรกัน นั่นเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วแต่พวกเขาก็ยังคงอยู่ภายในนั้น” เหล่าผู้อาวุโสต่างพากันแปลกใจ
สองสามนาทีหลังจากนั้นทั้งโรงเตี๊ยมก็พลันสั่นไหวอย่างรุนแรง และพลังของจอมยุทธในเขตอัมพรวิญญาณก็ท่วมท้นสถานที่แห่งนั้น
“ก-เกิดอะไรขึ้น”
“เราถูกโจมตีใช่ไหม”
เหล่าศิษย์และผู้อาวุโสสำนักมองไปรอบๆด้วยใบหน้าตื่นตระหนก
“ด-เดี๋ยวก่อน พลังกดดันแบบนี้ นี่เป็นของเจ้าสำนัก”
ขณะที่พวกเธอเริ่มตระหนักถึงความจริงนี้ ก็มีเสียงพูดดังลั่นในสถานที่นั้น “ซูหยาง มาที่นี่”
ได้ยินเสียงเรียกอย่างโกรธเคืองของไป่ลี่ฮัวมีต่อเขา ซูหยางค่อยวางถ้วยชาลงอย่างเบามือและเดินไปที่ห้องด้วยสีหน้าปลอดโปร่ง
ครั้นเมื่อเขาอยู่ภายในห้องและสังเกตเห็นสถานการณ์ ซูหยางก็กล่าวขึ้นว่า “นี่เป็นวิธีที่ท่านดูแลศิษย์ของตนเองรึ มิน่าที่ทำไมเธอจึงต้องการจากไป”
เขาชี้ไปที่ซูหยินซึ่งดูเหมือนว่าจะหมดสติไปอยู่บนพื้น
“อย่าได้กังวล เธอมิได้รับอันตรายอะไร เธอเพียงแค่หมดสติไปหลังจากที่ข้าปลดปล่อยพลังการฝึกปรือของข้าเต็มที่โดยมิเจตนาเนื่องจากความโกรธ” ไป่ลี่ฮัวกล่าว
ซูหยางส่ายหน้าและพาซูหยินที่สิ้นสติไปยังเตียงก่อนที่จะนั่งลงตรงหน้าเจ้าสำนักของสำนักหงส์สวรรค์
“แล้วยังไง ท่านมีธุระอะไรกับข้ารึ” ซูหยางถามเธอด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าเด็กเลว… เจ้าพูดอะไรกับซูหยิน”
“ข้ามิเข้าใจคำถามของท่าน ข้ามิได้พูดอะไรกับเธอเลย”
“ยังกล้ามาทำเป็นเบื้อใบ้ ถ้าเจ้ามิได้บอกเธอให้ไปจากสำนักหงส์สวรรค์เข้าสู่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย มีรึเธอจะขอร้องข้าให้ปล่อยเธอไป เจ้าต้องรู้ว่าเธอจักจากไปดังนั้นเจ้าจึงติดตามพวกเรามา” ไป่ลี่ฮัวตบโต๊ะตรงหน้าเกือบหักมันออกเป็นสองซีก
“นั่นเป็นการตัดสินใจของเธอเอง ข้ามิมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนั้น” ซูหยางยักไหล่ “ส่วนตัวข้านั้นมีธุระอย่างอื่นกับสำนักหงส์สวรรค์ของท่าน”
“มิว่าเจ้าจะพูดอะไรก็ตาม ข้าก็มิยอมให้เธอเข้าร่วมกับสถานที่เช่นนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย นั่นย่อมมิแตกต่างไปจากการสนับสนุนเธอให้กลายเป็นโสเภณี” ไป่ลี่ฮัวกล่าวด้วยคิ้วที่ขมวด
“โสเภณีรึ นั่นค่อนข้างที่จะรุนแรงอยู่บ้างสำหรับผู้นำนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเช่นข้า เป็นความผิดด้วยหรือที่ต้องการดื่มด่ำกับความปรารถนาทางอารมณ์ ข้าเข้าใจดีว่าท่านยังคงเป็นหญิงสาวบริสุทธิ์และมิมีประสบการณ์ในเรื่องประเภทนี้ แต่การสาปแช่งผู้คนที่มีความสุขกับเรื่องนี้… ท่านถือว่ายังคงเด็กอยู่มาก…”
“ช-ช่างกล้านัก เพียงแค่ผู้เยาว์ กลับพูดไร้สาระเช่นนี้” ไป่ลี่ฮัวไร้คำพูดในเมื่อเธอไม่คาดว่าซูหยางจะพูดอะไรแบบนั้นกับเธอ
“จะเป็นผู้เยาว์หรือไม่ เราทั้งคู่ต่างก็เป็นเจ้าสำนัก และสำคัญที่สุดก็คือต่างก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว ถ้าท่านสาปแช่งนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยของข้า ข้าย่อมจักมิทนนั่งรับมันอย่างเงียบๆที่นี่” ซูหยางส่ายหน้าและกล่าวต่อว่า “ศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมิได้ถูกบังคับให้ฝึกวิชาและพวกเขาหรือเธอจักมิตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น ศิษย์บางคนมีคู่เพียงคนเดียวตลอดชีวิต ในขณะที่คนอื่นอาจจะมีมากกว่าหนึ่ง อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ก็เป็นไปกับทุกคนเช่นกัน รวมถึงท่านด้วย”
“เจ้าต้องการที่จะพูดอะไรรึ มิว่าเจ้าจะบิดเบือนคำพูดอย่างไร นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ถือว่าเป็นสถานที่ลามกสำหรับคนหลายคน”
“ข้ามิปฏิเสธว่าพวกเราส่วนใหญ่นั้นลามก แต่นั่นก็มิได้ให้สิทธิ์ท่านในการปฏิบัติต่อศิษย์ของข้าเหมือนเป็นโสเภณี”
“…”
หลังจากที่ผ่านไปด้วยความเงียบอันน่าอึดอัดชั่วขณะหนึ่ง ซูหยางก็กล่าวต่อว่า “อย่างไรก็ตามเรามาปรึกษากันเรื่องที่ข้ามาที่นี่ในวันนี้กันเถอะ”
ซูหยางนำเอาขวดแก้วขวดหนึ่งออกมาจากแหวนมิติและวางมันลงบนโต๊ะ
เมื่อไป่ลี่ฮัวเห็นเม็ดยาในขวด ดวงตาของเธอก็โตขึ้นด้วยความตระหนก
“โ-โอสถเขตปฐพี” เธออุทานดังลั่น
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 351
DC บทที่ 351: กดดันให้เปิดเผยข้อมูล
ขณะที่ซูหยางและสำนักหงส์สวรรค์ออกไปจากโรงประมูลก่อนนั้น สำนักระดับสูงอื่นๆได้รั้งอยู่เพื่อหวังชูเหริน หรือพูดให้ชัดเจนก็คืออยู่เพื่อโอสถเขตปฐพี นั่นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมนิกายล้านอสรพิษไม่ได้รบกวนซูหยางในเวลานั้น
“อย่างที่ข้าได้กล่าวไว้แล้ว ข้าจักมิเปิดเผยข้อมูลใดๆเกี่ยวกับเพื่อนของข้า ซึ่งต้องการอยู่อย่างไม่เปิดเผยในตอนนี้” หวังชูเหรินปฏิเสธที่จะเปิดเผยอะไรแม้ว่าจะมีแรงกดดันอย่างต่อเนื่อง
“ถ้าเป็นข้าล่ะที่ต้องการรู้เกี่ยวกับเพื่อนของเจ้าคนนี้” เจ้าซีถามเธอด้วยท่าทางเครียด
หวังชูเหรินกลืนน้ำลายอย่างยากเย็นและพูดขึ้นว่า “ต่อให้เป็นท่านเจ้า ผู้น้อยคนนี้ก็มิอาจเปิดเผยอะไรทั้งสิ้น ถ้าท่านเจ้ามิต้องการล่วงเกินเขาและเสี่ยงต่อการสูญเสียโอสถเขตปฐพีไปตลอดกาล เช่นนั้น…”
เมื่อหวังชูเหรินข่มขู่ทุกคนด้วยคำพูดของเธอ ทุกคนในห้องต่างพากันขมวดคิ้ว
อย่างไรก็ตามไม่มีใครในหมู่พวกเขากล้าที่จะพูดออกมา ในเมื่อนั่นย่อมจะเป็นหายนะสำหรับพวกเขาในการล่วงเกินนักปรุงยาลึกลับคนนี้ที่เหมือนมีอำนาจมิรู้สิ้นในมือของเขาในตอนนี้
“เช่นนั้นโปรดให้ข้าถามคำถามอื่น” เจ้าซีกล่าวหลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ “โอสถเขตปฐพีจะแจกจ่ายกันในอนาคตอย่างไร ในเมื่อมันสามารถมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อยุทธภพ คงมิเป็นเรื่องฉลาดที่จะขายมันโดยมิมีกฏเกณฑ์ใดๆ ตระกูลซีของข้าจักขออาสาที่จักจัดการมัน”
ผู้คนในห้องต้างพากันเหลือบมองไปที่เจ้าซีด้วยหางตาและแค่นเสียงอยู่ในใจ “ช่างเจ้าเล่ห์นัก… ตระกูลซีต้องการผูกขาดโอสถเขตปฐพี หรืออย่างน้อยก็จัดการเส้นทางของมัน..”
ในเมื่อตระกูลซีเป็นขั้วอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปนี้อยู่แล้วทั้งยังเป็นผู้ปกครองอีกด้วย จึงไม่ถึงกับไร้เหตุผลเสียทีเดียวที่พวกเขาต้องการที่จะจัดการโอสถเขตปฐพีและสร้างสมดุลในยุทธภพ
แต่ทว่าถ้าเกิดเรื่องเช่นนั้น ตระกูลซีก็จะยิ่งทรงอำนาจเหนือใครอย่างแน่นอน ในเมื่อพวกเขามีความสามารถที่จะกำหนดได้ว่าสำนักไหนควรมีผู้ฝึกวิชาเขตปฐพีวิญญาณ
ตัวอย่างเช่นตระกูลซีสามารถให้โอสถเขตปฐพีสิบเม็ดให้แก่สำนักที่พวกเขาเลือกและเพิ่มพูนสถานะของพวกเขาอย่างฮวบฮาบในยุทธภพและได้รับความภักดีไปพร้อมกัน
ถ้าตระกูลซีทำเช่นนี้กับกองกำลังหลายกลุ่ม เช่นนั้นตระกูลซีก็จะยิ่งทรงอำนาจจนกระทั่ง ต่อให้สำนักระดับสูงในโลกนี้ทั้งหมดรวมกันเพื่อต่อสู้กับตระกูลซี เหล่าสำนักระดับสูงก็ยังจะพ่ายแพ้ต่อกองทหารของตระกูลซีในเขตปฐพีวิญญาณ
หวังชูเหรินรู้ถึงเจตนาของเจ้าซีได้ในทันที และกล่าวขึ้นว่า “ท่านเจ้า นี่มิใช่อะไรที่เพียงแค่คนเช่นข้าน้อยจะสามารถตัดสินใจได้”
“เจ้าหมายความว่าอะไรรึ” เจ้าซีขมวดคิ้ว
“แม้ว่าโอสถเขตปฐพีจะได้ให้ข้าน้อยจริงๆ แต่นั่นมิใช่ว่าข้าเป็นเจ้าของมัน จริงแล้วข้าเพียงแค่ขายพวกมันให้กับเพื่อนข้า ถ้ามีโอสถเขตปฐพีปรากฏขึ้นมาอีกในอนาคต นั่นก็มิใช่การตัดสินใจของข้าที่ว่าพวกมันจะถูกจัดการอย่างไร” หวังชูเหรินกล่าว
แน่นอนว่าสิ่งที่เธอพูดออกไปนั้นไม่มีอะไรไปมากกว่าการโกหกคำโต ในเมื่อโอสถเขตปฐพีได้ถูกมอบให้กับเธอเป็นของขวัญ ดังนั้นเธอจึงมีสิทธิทุกอย่างในการจัดการมัน อย่างไรก็ตามเธอไม่ต้องการที่จะยุ่งเกี่ยวกับตระกูลซีทั้งยังไม่มีอำนาจพอ
“อย่างนั้นรึ…” เจ้าซีหลับตาลงครุ่นคิด
หลังจากนั้นเขาก็กล่าวขึ้นว่า “ข้าต้องการที่จะเชื้อเชิญเพื่อนของเจ้ามาดื่มน้ำชากับข้าอย่างเป็นทางการ สถานที่และเวลาจักเป็นไปตามความต้องการของเขา ถ้าเขาตกลงแจ้งให้ข้าทราบด้วย”
หลังจากที่พูดคำกล่าวเหล่านั้นแล้ว เจ้าซีก็หันตัวและเริ่มเดินไปยังประตู
“อย่างไรก็ตามขอบคุณมากสำหรับเลือดงูสามฤดู หากเจ้าต้องการอะไรตระกูลซีของข้าก็ยังเป็นหนี้บุญคุญนิกายดอกบัวเพลิงอยู่” เจ้าซีกล่าวก่อนที่จะจากโรงประมูลไป
หวังชูเหรินกล่าวกับคนที่เหลือที่นั้นว่า “ถึงเวลาแล้ว ข้าต้องขอตัวก่อนเช่นกัน โปรดอภัยให้แก่ข้าด้วย”
ครั้นเมื่อหวังชูเหรินจากไปแล้ว ผู้คนที่อยู่ที่นั่นต่างพากันพูดสบประมาท “นิกายดอกบัวเพลิงช่างโชคดีจริงๆที่มีคนอย่างเธอ แม้ว่าพวกเขาเพียงแค่เพิ่งได้เลื่อนเป็นสำนักระดับสูง แต่ว่าคงไม่นานก่อนที่พวกเขาจะล้ำนำหน้าพวกเราไปด้วยโอสถเขตปฐพีนี้”
“เพื่อนเธอเป็นชายใช่ใหม ข้าคงมิประหลาดใจถ้าเธอขายตัวเพื่อเม็ดยาเหล่านี้”
“มิมีใครต้องการสะกดรอยเธอหรือ เราอาจจะรู้ถึงตัวตนของนักปรุงยานี้ทางนี้ได้”
“ในเมื่อท่านนำเสนอมันขึ้นมา ทำไมท่านมิตามเธอไปล่ะ ข้ามิต้องการที่จะถูกลากลงน้ำไปกับความคิดโง่เขลาของท่าน ถ้าถูกนักปรุงยานั้นจับได้และกลายเป็นล่วงเกินเขา”
“เช่นนั้นพวกเราจะอยู่เฉยๆโดยมิทำอะไรเลยจริงๆรึ ในขณะที่นิกายดอกบัวเพลิงกำลังก้าวล้ำพวกเราไปอย่างรวดเร็ว”
“จนกว่าพวกเราจะรู้ถึงตัวตนของนักปรุงยาลึกลับคนนี้ก็ไม่มีอะไรที่เราสามารถทำได้ ครั้นเมื่อพวกเรารู้แล้ว นั่นย่อมมีวิธีสารพัดที่จะจัดการกับสถานการณ์นี้”
หลังจากที่ยืนอยู่ด้วยกันอีกสองสามนาที สำนักระดับสูงที่เหลืออยู่ต่างพากันออกไปจากโรงประมูลและกลับไปยังที่พักของตนเอง
ครั้นเมื่อนิกายล้านอสรพิษกลับไปยังโรงเตี๊ยมของพวกเขาแล้ว เจ้าสำนักก็พลันเรียกประชุมเหล่าผู้อาวุโส
“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็อยู่ในเมืองนี้เช่นกัน และข้าวางแผนที่จะจัดการกับพวกเขาก่อนที่พวกเขาจะกลับไปยังสำนัก” ฟูกวางประกาศแผนของตนเองให้กับเหล่าผู้อาวุโส
“อะไรกัน หรือว่าท่านลืมเรื่องเซียนคนนั้นแล้ว ท่านเจ้าสำนัก” ผู้อาวุโสวันเตือนเขาถึงคำเตือนของซูหยาง
“ผู้อาวุโสวัน ท่านเชื่อว่าพวกเขาจักนำเซียนคนนั้นมากับพวกเขาในเมืองนี้และปล่อยให้สำนักของพวกเขาตกเป็นเป้าอย่างนั้นรึ ถ้าพวกเราจัดการกับพวกเขาในตอนนี้ พวกเขาย่อมมิมีข้อพิสูจน์”
ผู้อาวุโสวันส่ายหน้าและถอนใจ “แม้ว่าเซียนอาจจะยังคงอยู่ที่สำนัก แล้วเด็กหญิงที่ทำการฆ่าฟัน จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเธอมากับพวกเขา”
ผู้อาวุโสวันยังคงนึกถึงเซียวลี่ที่ยิ่งใหญ่ที่ทางเข้าและใบหน้าไร้ที่ติราวกับว่าเป็นเพียงแค่ผ่านไปเมื่อวันวาน
“ผู้อาวุโสวันพูดถูก แม้ว่าเซียนอาจจะไม่อยู่ที่นี่ นั่นก็ยังมีโอกาสที่คนของเขาอาจจะอยู่ในเมืองนี้และปกป้องนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอยู่อย่างเงียบๆ”
ผู้อาวุโสคนอื่นต่างให้ความคิดเห็นของตนเองเช่นกัน
“อืม…” ฟูกวางลืมเรื่องเด็กหญิงผมสีเงินไปก่อนนี้และเริ่มครุ่นคิดอย่างเงียบๆ
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 350
DC บทที่ 350: ไปกับสำนักหงส์สวรรค์
“นั่นเป็นสินค้าชิ้นสุดท้ายสำหรับวันนี้ ขอบคุณที่มายังโรงประมูลนิกายดอกบัวเพลิงของพวกเรา หวังว่าจักเห็นพวกท่านอีกครั้งในภายภาคหน้าเช่นกัน” หวังชูเหรินโค้งคำนับแขกหลังจากที่ขายโอสถเขตปฐพีเม็ดสุดท้าย
อย่างไรก็ตามบรรดาแขกต่างไม่ต้องการให้เธอจากไปเร็วนักและโยนคำถามจำนวนมากใส่เธอ
“ผู้อาวุโสหวัง ท่านพอจะส่งสิ่งนี้ให้กับเพื่อนของท่านแทนข้าได้ไหม บอกเขาว่าตระกูลหัวต้องการที่จะสานสัมพันธ์ฉันเพื่อนกับเขา”
“ข้าด้วย โปรดให้เพื่อนของท่านได้รับรู้ว่าประตูของตระกูลกูของเราเปิดต้อนรับเขาเสมอ”
หวังชูเหรินส่ายหน้าและกล่าวว่า “ข้าเหมือนหญิงรับใช้หรืออย่างไร ถ้าพวกท่านต้องการที่จะให้อะไรเขา ท่านจะมีโอกาสถ้าเขาตกลงที่จะพบกับพวกท่านทั้งหลาย”
“ล-แล้วถ้าเขาปฏิเสธล่ะ” ใครบางคนถาม
“เช่นนั้นพวกท่านก็จะต้องรอจนกว่าเขาตกลง” หวังชูเหรินยักไหล่ก่อนที่จะลงเวทีไป
ผู้คนต่างพากันถอนใจ ไม่จำเป็นต้องฉลาดก็รู้ได้ว่านักปรุงยาคนนี้มีความสำคัญต่อยุทธภพมากเพียงไหน ถ้าพวกเขาเป็นเพื่อนกับเขาเหมือนกับหวังชูเหริน นักปรุงยาคนนี้อาจจะปรุงโอสถเขตปฐพีให้กับพวกเขาและเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับพวกเขาโดยรวมยิ่งขึ้น
“การประมูลจบสิ้นแล้ว กลับโรงเตี๊ยมกันเถอะ” โหลวหลานจีกล่าวกับพวกเขา
ในเมื่อซูหยางล่วงเกินผู้คนมากมายในที่แห่งนี้ นั่นย่อมยิ่งอันตรายต่อพวกเขามากยิ่งขึ้นหากว่ายังคงอยู่ที่นี่ต่อไป
“ข้าจักไปหาท่านทีหลัง ซูหยาง ขอให้ปลอดภัย” จางซิวยิงกอดซูหยางก่อนที่จะปล่อยพวกเขาไว้ตามลำพัง
อย่างไรก็ตามเพราะว่าพวกเขาเป็นกลุ่มใหญ่และโดดเด่นเหมือนนิ้วโป้งที่บวมเป่ง ทุกคนจึงเห็นการเคลื่อนไหวของพวกเขา
“พวกเขาคิดว่าสามารถจากไปได้หลังจากที่ล่วงเกินคนมากมายงั้นรึ ข้าจักมิแปลกใจเลยถ้านิกายล้านอสรพิษปิดทางออกพวกเขาไว้”
“ต่อให้พวกเขาสามารถออกไปจากที่นี่ได้ในวันนี้ พวกเขาก็มิอาจที่จะออกไปจากเมืองโดยมิถูกฆ่า พวกเขาจบสิ้นแล้ว”
โหลวหลานจีเลิกสนใจคนที่พยายามที่จะทำให้พวกเขาหวาดกลัวและพาเหล่าศิษย์ออกไปด้านนอก
“โปรดรอสักครู่”
ขณะที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก้าวออกไปจากโรงประมูล กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งก็ขวางทางพวกเขาไว้ เหมือนกับที่คนอื่นได้คาดการณ์ไว้
“อ-อาจารย์…” ซูหยินขมวดคิ้วหลังจากที่รู้ว่าพวกเขาเป็นใคร
“หรือว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ล่วงเกินสำนักหงส์สวรรค์เช่นกัน พวกเขาตอนนี้ก็เหมือนกับตายไปแล้ว”
ผู้คนต่างพากันขบขันกับสถานการณ์และมองดูพวกเขาจากด้านข้าง
“ซูหยิน ถึงเวลาแล้วที่เจ้าต้องกลับไปกับพวกเรา” ไป่ลี่ฮัว เจ้าสำนักหงส์สวรรค์กล่าว “เจ้าก็ด้วย เหยาหนิง”
เหยาหนิงซึ่งตามซูหยินและนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมาอย่างเงียบๆพยักหน้าและไปยืนอยู่ข้างกลุ่มของสำนักหงส์สวรรค์ต่อจากนั้น
“ข้าต้องการอยู่กับพี่ชายของข้านานกว่านี้อีกสักหน่อย” ซูหยินกล่าว
“ข้าจักมิปฏิเสธถ้าเขามิได้ล่วงเกินคนมากมายปานนั้นระหว่างที่อยู่ในโรงประมูล นั่นจะเป็นอันตรายต่อเจ้าหากว่าอยู่ข้างกายเขานานกว่านี้ ดังนั้นข้าจำเป็นให้เจ้ากลับมา” ไป่ลี่ฮัวหันไปดูซูหยางและกล่าวต่อว่า “เจ้าอวดเก่งมากเกินไปสำหรับคนที่อายุเท่ากับเจ้า ต่อให้เจ้าเป็นคนของตระกูลซู เจ้าก็ได้ล่วงเกินขั้วอำนาจต่างๆมากมายเกินไปในคราวนี้ ถ้าเจ้าต้องการมีอายุผ่านยี่สิบปี เจ้าจักต้องอยู่ที่เมืองนี้ตลอดไป แต่ต่อให้มีกฏของเมืองก็มิอาจจะรับประกันความปลอดภัยของเจ้าได้”
“ศิษย์ซู ทำไมเจ้าจึงยังอยู่ตรงนั้น หรือว่าเจ้ามิได้ยินเจ้าสำนัก มาหาพวกเราได้แล้ว” หนึ่งในหมู่ผู้อาวุโสกล่าวกับเธอ
“ข้ามิต้องการไป” ซูหยินตอบ
“เจ้า เจ้ามิเชื่อฟังอาจารย์ของเจ้าหรืออย่างไร” ผู้อาวุโสกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
ซูหยางหันไปมองดูโหลวหลานจีและกล่าวว่า “ท่านพาเหล่าศิษย์กลับไปยังโรงเตี๊ยมก่อน”
“แล้วเจ้าล่ะ” เธอถาม
“ข้ามีธุระอะไรบางอย่างกับพวกเธอ”
“แต่ข้ามิอาจปล่อยให้เจ้าอยู่ตรงนี้คนเดียว… ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าล่ะ” โหลวหลานจีขมวดคิ้ว
“อย่ากังวล มิมีใครจักพยายามเล่นตลกอะไรเมื่อคน “คนนั้น” ยังอยู่แถวนี้” ซูหยางกล่าวด้วยรอยยิ้มลึกลับบนใบหน้า
“คนคนนั้นรึ….” โหลวหลานจีเลิกคิ้ว
“ก็ได้ แต่ถ้าเจ้ามิกลับมาในคืนนี้ ข้าจักยกเลิกการแข่งขันระดับภูมิภาคและกลับนิกายพร้อมกับศิษย์คนอื่น”
“อย่างนั้นก็ได้ นี่มิได้ใช้เวลานานเช่นนั้น” ซูหยางพยักหน้า
หลังจากนั้นไม่นาน โหลวหลานจีและศิษย์คนอื่นต่างก็ไปลับพ้นสายตา
“เจ้าเด็กนี่…” ไป่ลี่ฮัวขมวดคิ้วหลังจากที่ได้ยินคำพูดของซูหยาง “หรือว่าเขารู้ว่าเจ้าซีอยู่ที่นี่ ไม่ นั่นเป็นไปไม่ได้…”
“พี่ชาย ท่านจะติดตามพวกเราไปจริงรึ ข้าสามารถเกลี้ยกล่อมอาจารของข้าด้วยตนเอง…” เธอกระซิบกับเขา
“ข้ามีธุระอย่างอื่นกับเจ้าสำนักของเจ้า” ซูหยางกล่าว
“โอ เจ้ามีธุระกับข้ารึ แต่ข้ามิมีธุระอะไรกับเจ้า” ไป่ลี่ฮัวได้ยินคำพูดของพวกเขาและพูดออกมาเสียงดัง
“แน่นอนว่าท่านมิมีในตอนนี้ แต่ทว่าท่านจักมิคิดเช่นนั้นหลังจากที่ท่านได้ยินสิ่งที่น้องสาวของข้าต้องการพูด” ซูหยางยิ้ม
“ซูหยิน เขากำลังพูดเกี่ยวกับเรื่องอะไร” ไปลี่ฮัวมองดูซูหยินด้วยความรู้สึกถึงลางร้ายรอบตัวเธอ
“อาจารย์ที่นี่มิใช่สถานที่ที่เหมาะสม พวกเรากลับไปยังโรงเตี๊ยมก่อน” ซูหยินกล่าว
ไป่ลี่ฮัวพยักหน้า “พวกเราออกเดินทาง”
“พวกเขาจากไปกันทั้งอย่างนั้นรึ ช่างน่าเบื่อ”
ผู้ชมต่างพากันส่ายหน้า ในเมื่อพวกเขาคาดว่าอย่างน้อยก็จะเกิดความขัดแย้งระหว่างสองขั้วอำนาจ
เวลาถัดไปสำนักหงส์สวรรค์ก็กลับไปถึงโรงเตี๊ยมของพวกเธอ โรงเตี๊ยมน้ำแข็งเงิน
“เจ้าสำนักและเหล่าผู้อาวุโสกลับมาแล้ว”
“ยินดีต้อนรับกลับ ท่านเจ้าสำนัก ผู้อาวุโส”
ศิษย์หญิงมากกว่าห้าสิบคนทักทายพวกเขาที่ประตู
“ศิษย์น้องซูก็กลับมาเช่นกัน”
“ชายหนุ่มสุดหล่อคนนั้นเป็นใครกัน”
“ข้ามิรู้จักเขาเช่นกัน”
“นั่นเขาล่ะ เขาเป็นพี่ชายของศิษย์น้องซู” หนึ่งในเหล่าศิษย์ที่นั่นจดจำเขาและเผยตัวตนของเขาให้กับศิษย์คนอื่น
“เขาเป็นคนที่กล้าโต้เถียงกับผู้อาวุโสมาย เห็นชัดว่าเขามีกลิ่นอายดุร้ายรอบตัวราวกับว่าเป็นสิงโตที่ไม่เชื่อง”
เหล่าศิษย์ที่นั่นต่างค่อนข้างสนใจในตัวซูหยางในฐานะพี่ชายของซูหยิน และใบหน้าหล่อเหลาของเขาทำให้พวกเธอเหล่าหญิงยากที่จะเบือนหน้าหนี พวกเธอบางคนยังถึงกับหน้าแดง
“ข้าจักเข้าไปพูดคุยเป็นส่วนตัวกับศิษย์ข้าในตอนนี้ ข้ามิต้องการให้ใครมารบกวนพวกเรา” ไป่ลี่ฮัวกล่าว
“เจ้าสามารถรออยู่ตรงนี้จนกว่าพวกเราพูดจบ ถ้าเจ้ากล้าสร้างปัญหาอะไร พวกเราจักเตะเจ้าออกไปโดยมิลังเล” เธอกล่าวกับซูหยางก่อนที่จะลากซูหยินเข้าไปในห้อง
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 349
DC บทที่ 349: โอสถเขตปฐพี
“ผู้อาวุโสหวัง แล้วเม็ดยาพวกนี้เรียกว่าอะไรรึ” บางคนถามเธอ
หวังชูเหรินครุ่นคิดชั่วขณะและกล่าวว่า “เพื่อนของข้ามิได้บอกชื่อให้ข้าว่าเม็ดยาพวกนี้เรียกว่าอะไรตอนที่ข้าได้รับพวกมัน ดังนั้นข้าจักขอเรียกพวกมันว่า โอสถเขตปฐพีนับแต่นี้ไป”
และเธอก็กล่าวต่อว่า “ในเมื่อตอนนี้ข้าได้แนะนำโอสถเขตปฐพีเหล่านี้แล้ว ในที่สุดพวกเราก็สามารถเริ่มการประมูลสุดท้ายสำหรับวันนี้ได้ ราคาเริ่มต้นของเม็ดยาแรกควรจะเป็น 100,000 ก้อนหินวิญญาณ”
แม้ว่า 100,000 ก้อนหินวิญญาณอาจจะดูเหมือนกับว่ามากมายนักสำหรับเม็ดยาเม็ดหนึ่ง แต่เพราะเม็ดยาเหล่านี้จะช่วยผู้ฝึกวิชาใดก็ตามเข้าถึงเขตปฐพีวิญญาณและกลายเป็นผู้มีอำนาจในยุทธภพ
ในยุทธภพปัจจุบัน เหตุผลที่มันขาดผู้ฝึกวิชาในเขตปฐพีวิญญาณนั้นง่ายดายยิ่ง นั่นก็เพราะว่าไม่มีปราณไร้ลักษณ์มากเพียงพอในโลกนี้ ไม่ใช่เป็นเพราะว่าพวกเขาขาดพรสวรรค์ คนที่มีพรสวรรค์หลายคนมักจะไม่อาจก้าวต่อไปได้อีกหลังจากที่พวกเขาเข้าถึงจุดสูงสุดของเขตสัมมาวิญญาณเพราะว่าคอขวดตรงนี้ ที่เพียงสามารถผ่านไปได้ด้วยยาวิญญาณจำนวนมาก แต่ถึงแม้ว่าจะใช้วิธีนั้นโอกาสที่จะประสบความสำเร็จก็ยังค่อนข้างต่ำ
อย่างไรก็ตามโอสถเขตปฐพีมีความสามารถในการช่วยผู้ฝึกวิชาเหล่านี้ข้ามผ่านคอขวดและเข้าถึงเขตปฐพีวิญญาณด้วยการรับประกันความสำเร็จ ถ้าโอสถเขตปฐพีสามารถสร้างได้เป็นจำนวนมากต่อให้เพียงแค่สิบเม็ดทุกปีโลกก็จะเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงของขั้วอำนาจและผู้ฝึกวิชาทุกคนก็จะมีขีดจำกัดใหม่ในยุทธภพ
“ถ้านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมีเม็ดยาเหล่านี้ ผู้อาวุโสนิกายที่หยุดยั้งอยู่ที่จุดสูงสุดของเขตสัมมาวิญญาณก็จักสามารถบรรลุเขตปฐพีวิญญาณได้ในที่สุด แต่น่าเสียดายต่อให้เราต้องการที่จะซื้อมัน เราก็ไม่สามารถที่จะเอาชนะขั้วอำนาจในที่นี้ได้ และต่อให้ซูหยางยินดีที่จะซื้อพวกมันให้นิกายเราก็เพียงสามารถซื้อได้เพียงแค่หนึ่งเท่านั้น” โหลวหลานจีทอดถอนใจ
แม้ว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจะเปลี่ยนไปเป็นร่ำรวยมหาศาลหลังจากที่ได้รับทรัพย์สมบัติและคัมภีร์การฝึกฝนจากซูหยางที่ปลอมแปลงตัวแต่ก็ยังไม่ถือว่าเป็นเงินจนกว่าจะได้ขายพวกมัน ยิ่งไปกว่านั้นคัมภีร์การฝึกฝนนั้นจะมีประโยชน์ต่อนิกายมากกว่าในระยะยาว
“ผู้นำนิกาย ท่านต้องการโอสถเขตปฐพีพวกนี้บ้างรึ” ซูหยางอ่านสีหน้าเธอเหมือนกับเปิดหนังสือแล้วก็ถามขึ้น
“นั่นมิจำเป็นต้องพูดอย่างเป็นทางการเช่นนั้นในตอนนี้ ในเมื่อเจ้าเองก็เป็นผู้นำนิกายเช่นกัน ซูหยาง เพียงแค่เรียกข้าว่าพี่สาว หรือผู้อาวุโสหลานจีก็พอ” เธอกล่าว
“เช่นนั้นข้าจักเรียกท่านเป็น หลานจี”
“เป็นทางการอีกสักนิดได้ไหม แต่ถ้านั่นทำให้เจ้าสบายใจมากกว่าเดิม…” เธอส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้ม “ว่าอย่างไร เจ้าจะซื้อให้นิกายสักเม็ดได้หรือไม่ นั่นจะเป็นการสนับสนุนนิกายครั้งแรกของเจ้าในฐานะผู้นำนิกาย”
ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “นั่นมิจำเป็นต้องเสียเงินซื้ออะไรที่ข้าสามารได้มันมาฟรี”
โหลวหลานจีเลิกคิ้วและกล่าวว่า “ฟรีรึ ต่อให้เจ้าใกล้ชิดกับหวังชูเหรินมาก นั่นก็มิใช่อะไรที่เจ้าสามารถได้มาจากการขอ เจ้ารู้ไหม ใครจะรู้ว่าเมื่อไหร่เธอจักได้รับยาชุดใหม่จากเพื่อนของเธอ”
“หรือว่าท่านลืมเรื่องคนหนึ่งหรือสองคนจากนิกายของเรา ท่านคิดว่าพวกเธอก้าวเข้าสู่เขตปฐพีวิญญาณด้วยความเร็วระดับนั้นได้อย่างไร”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของซูหยางเธอก็พลันรู้สึกตัว ดวงตาของโหลวหลานจีกลมโตด้วยความตระหนก
“ฟางซีหลานกับซุนจิงจิง นั่นหมายความว่าเจ้าช่วยพวกเธอก้าวเข้าสู่เขตปฐพีวิญญาณ”
“ถ้าเด็กสาวคนอื่นๆก้าวเข้าถึงระดับสูงสุดของเขตสัมมาวิญญาณ พวกเธอก็จักเข้าสู่เขตปฐพีวิญญาณได้ทันทีเช่นกัน” ซูหยางกล่าว
“เจ้า…เจ้า…เจ้า.. เจ้ามีโอสถเขตปฐพีมากเท่าไหร่กัน”
“ประมาณสิบกว่าเม็ดประมาณนั้น” เขาหัวเราะหึ
นั่นก็เพราะว่าเขาเป็นถึงตัวตนที่แท้จริงของนักปรุงลึกลับคนนี้และเป็น “เพื่อน” สนิทของหวังชูเหรินเช่นกัน
ปากของโหลวหลานจีอ้าตกลงไปถึงพื้น “ถ้าเจ้ามีมากมายปานนั้นทำไมเจ้ามิแบ่งปันพวกมันให้กับผู้อาวุโสนิกายล่ะ นอกจากผู้อาวุโสเจ้าแล้วพวกเขาทั้งหมดต่างติดอยู่ที่ระดับสูงสุดของเขตสัมมาวิญญาณมาเป็นเวลาหลายปี ถ้าพวกเขาเข้าถึงเขตปฐพีวิญญาณนั่นย่อมเป็นประโยชน์ต่อนิกายของเราอย่างมาก”
“ใจเย็นๆ” ซูหยางกล่าวอย่างสบายๆ “ต้องให้อยู่แล้วถ้าพวกเขาต้องการรับไปสักเม็ดเช่นกัน แต่ว่ามันจะดีกว่าถ้าพวกเขาได้รับเม็ดยาหลังจากที่มันปรากฏขึ้นมาในโลกนี้เป็นครั้งแรกแล้ว ซึ่งแตกต่างจากเหล่าศิษย์ พวกเขาจักต้องถามถึงสิ่งที่น่าสงสัยนี้อย่างแน่นอน และข้ามิต้องการที่จะไปยุ่งกับเรื่องเหล่านั้น”
“ข้าคิดว่าเป็นเรื่องสมเหตุผลที่เจ้าพูดแบบนั้น…” โหลวหลานจีพยักหน้า
ถ้าเธอพลันให้ยาลึกลับที่มีผลอันน่ามหัศจรรย์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในโลก เธอก็ย่อมมีคำถามมากมายเกี่ยวกับมันอย่างแน่นอน
“ขอแสดงความยินดีกับตระกูลซีที่ได้รับโอสถเขตปฐพีเม็ดแรก” หวังชูเหรินประกาศหลังจากที่ผ่านการประมูลอย่างรุนแรงเป็นเวลาหลายนาที
“500,000 ก้อนหินวิญญาณสำหรับเม็ดยาเม็ดเดียว… นี่ถือว่าเป็นเม็ดยาที่แพงที่สุดในโลกนี้ที่สามารถซื้อได้ในขณะนี้” โหลวหลานจีสั่นสะท้านเพียงแค่เมื่อคิดพยายามจะซื้อมัน
ต่อให้ซูหยางพลันเปลี่ยนใจและปฏิเสธที่จะแบ่งปันโอสถเขตปฐพีให้กับผู้อาวุโสนิกาย เธอก็ไม่อาจจะบ่นได้อีกทั้งยังจะเข้าใจความรู้สึกของเขา
หลังจากนั้นสามสิบนาทีถัดไป ทั้งห้องประมูลก็ยิ่งปั่นป่วนในเมื่อผู้คนต่างพยายามแย่งชิงโอสถเขตปฐพีที่เหลืออีกเก้าเม็ด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันเหลือเพียงเม็ดเดียว
“อย่างไรก็ตาม ข้าก็มิรู้ว่าเมื่อไหร่จะมีโอสถเขตปฐพีเพิ่มขึ้น และถึงแม้ว่าข้าจะขอเขามากขึ้น นั่นก็จักขึ้นกับเขาว่าจะมีเพิ่มมากขึ้นอีกหรือไม่”
เมื่อหวังชูเหรินพูดคำพูดเหล่านี้ นั่นก็ยิ่งจุดประกายบางอย่างในผู้คนที่ยังไม่ได้รับโอสถเขตปฐพีเก้าเม็ดแรก จนเป็นเหตุให้พวกเขาพากันประมูลราวกับว่าพวกเขาถูกครอบงำ
สุดท้าย โอสถเขตปฐพีเม็ดสุดท้ายก็ขายออกไปด้วยเงินจำนวนมหันต์ 2,000,000 ก้อนหินวิญญาณ และสำนักระดับสูงทุกสำนักที่นั่นก็ได้รับโอสถเขตปฐพีสำนักละหนึ่งเม็ด
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 348
DC บทที่ 348: นักปรุงยาลึกลับ
หลังจากที่ประกาศราคาของวิชาการต่อสู้ระดับเซียน ผู้คนก็เริ่มประมูลมันทันที
อย่างไรก็ตามไม่มีคนเข้าร่วมประมูลมากเท่าที่ได้คาดหมายกันไว้ นั่นเป็นเพราะผู้คนส่วนใหญ่ในห้องไม่สามารถที่จะฝึกมันได้ต่อให้พวกเขาได้ซื้อมันไป
ตามจริงแล้วมีเพียงสำนักระดับสูงที่เข้าร่วมประมูลวิชาการต่อสู้
“สำนักหงส์สวรรค์ประมูล 2,050,000 ก้อนหินวิญญาณ”
“สำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ประมูล 2,300,000 ก้อนหินวิญญาณ”
“…2,400,000 ก้อนหินวิญญาณ”
“…2,500,000 ก้อนหินวิญญาณ
หลังจากนั้นไม่นานเจ้าซีก็พูดขึ้น “5,000,000 ก้อนหินวิญญาณ”
“ท่านเจ้าประมูลแล้ว ดูเหมือนว่าตระกูลซีจักได้รับวิชาระดับเซียนอีกวิชานับจากวันนี้เป็นต้นไป”
คนอื่นไม่กล้าที่จะประมูลหลังจากที่เจ้าซีพูดอีกต่อไป
“นั่นมิจำเป็นที่จักต้องลังเล ถ้าเจ้าต้องการมันก็ประมูล อย่ารู้สึกเหมือนกับว่าเจ้ามิอาจประมูลเพียงเพราะว่าข้าเข้าร่วมประมูลด้วย” เจ้าซีกล่าวหลังจากที่ไม่มีใครประมูลต่อ
“นั่นมิมีอะไรเกี่ยวข้องกับการที่ท่านเจ้าได้เข้าร่วม แม้ว่านี่จะเป็นวิชาการต่อสู้ที่ดีแต่มันก็ไม่เข้ากับรูปแบบของข้า ข้าเพียงแค่ต้องการที่จะทดสอบโชคของข้า เพื่อที่จะดูว่าข้าสามารถได้รับมันมาอย่างถูกๆหรือไม่” เจ้าสำนักหงส์สวรรค์พูด
“ช่างเป็นเหตุบังเอิญ ผู้เฒ่าคนนี้ก็มีความคิดเช่นนั้นเหมือนกัน” เจ้าสำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์พูด
“ในเมื่อไม่มีใครที่นี่ต้องการมันเช่นนั้นข้าก็จักรับมันไปเอง” เจ้าซีพยักหน้า
“วิชาเข็มหมื่นสวรรค์ขายที่ห้าล้านก้อนหินวิญญาณให้กับตระกูลซี ขอแสดงความยินดี หวังซูเหรินประกาศขึ้นหลังจากนั้นชั่วขณะ
“ตระกูลซีก็อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกันปีนี้…”
“พวกเขาค่อนข้างจะเงียบในวันนี้จนข้าคิดว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ที่นี่”
“ใช่ ปกติพวกเขาค่อนข้างจะก้าวร้าวมากในการประมูลและมักจะซื้อไม่ต่ำกว่า 10 ชิ้นทุกครั้ง”
หลังจากที่ตระกูลซีได้รับวิชาการต่อสู้ระดับเซียน หวังซูเหรินก็พลันประกาศของชิ้นต่อไป ซึ่งก็ปรากฏว่าเป็นสิ่งสุดท้ายสำหรับการประมูลในวันนี้
“ตอนนี้ข้าจะเปิดเผยสินค้าชิ้นสุดท้ายสำหรับการประมูลในวันนี้
หวังชูเหรินปรบมือและผู้ช่วยของเธอก็นำเอาโต๊ะเลื่อนตัวใหม่ที่บรรทุกขวดยา 10 ขวดที่มีเม็ดยา 1 เม็ดในแต่ละขวดออกมา
“นั่นเป็นยาประเภทไหนกัน ข้ามิเคยเห็นยาแบบนี้มาก่อน”
นักปรุงยาพลันตื่นเต้นเมื่อพวกเขาเห็นยาที่ไม่คุ้นเคย กระทั่งรู้สึกอยากจะกระโจนขึ้นไปบนเวทีเพื่อที่จะได้มองใกล้ๆ
“ก่อนที่ข้าจะบอกว่ายานี้เป็นยาประเภทไหน อนุญาตให้ข้าได้บอกพวกท่านก่อนว่านี่เป็นยาที่ค้นพบใหม่ซึ่งปรุงขึ้นมาโดยเพื่อนที่สนิทมากกับข้า พูดตามจริงยานี้ลึกล้ำมากจนกระทั่งข้ามิอาจหวังที่จะปรุงมันออกมาได้ในระยะเวลาใกล้ๆนี้” หวังชูเหรินกล่าว
“อะไรกัน กระทั่งผู้เชี่ยวชาญเช่นผู้อาวุโสหวังก็ยังมิอาจหวังที่จะปรุงยานี้เลยรึ ใครเป็นเพื่อนของเธอกัน ข้านึกไม่ออกว่าจะมีนักปรุงยาคนอื่นที่ยิ่งใหญ่เหมือนเช่นผู้อาวุโสหวัง อย่าว่าแต่เก่งกว่าเธอ”
นักปรุงยาที่นั่นต่างมีท่าทางประหลาดใจ
หวังชูเหรินพูดต่อว่า “ยาเมื่อข้าเปิดเผยตัวยาเหล่านี้ในวันนี้ ยุทธภพทั้งหมดจักเข้าสู่ยุคใหม่อย่างแน่นอน และเพื่อที่จะรักษาสมดุลของพลังข้าจักจำกัดจำนวนของยาที่แต่ละฝ่ายจะสามารถซื้อได้เพียง 1”
“ยาเหล่านี้ทรงพลังขนาดนั้นเชียวหรือ ข้าทนรอฟังประสิทธิภาพของมันไม่ไหวแล้ว”
“ยุคสมัยของการฝึกวิชาใหม่รึ นั่นต้องเป็นการคุยโม้โอ้อวดใช่ไหม
เจ้าซีเพ่งสายตาไปที่เม็ดยาบนโต๊ะเลื่อนขณะที่ครุ่นคิด “กระทั่งข้ายังไม่รู้ว่านี่เป็นยาประเภทไหน…. ส่วนเพื่อนของเธอนั้น คนผู้นี้เก่งกาจยิ่งกว่าเธอในด้านการปรุงยาจริงหรือ ทำไมข้าจึงไม่รู้ตัวตนของคนคนนี้
“อย่างที่ท่านทุกคนทราบแล้ว นิทานดอกบัวเพลิงของข้ามีเม็ดยาดอกบัวเพลิง ซึ่งจะเพิ่มโอกาสของผู้คนในการเข้าสู่เขตคัมภีร์วิญญาณจากเขตปฐมวิญญาณได้แม่นยำร้อยเปอร์เซ็นต์” หวังชูเหรินกล่าวและต่ออีกว่า “ยาเหล่านี้โดยพื้นฐานแล้วเหมือนกับเม็ดยาดอกบัวเพลิง ยกเว้นว่ามันจะช่วยคนที่อยู่ในระดับสูงสุดของเขตสัมมาวิญญาณก้าวผ่านไปยังเขตปฐพีวิญญาณโดยไม่มีการล้มเหลว”
“ว่ากระไร”
ครั้นเมื่อหวังชูเหรินเปิดเผยถึงประสิทธิภาพ ทุกคนในห้องต่างพากันยืนขึ้นจากเก้าอี้ของตัวเองด้วยความตื่นตระหนก
ต่อให้เจ้าซีเองก็อดไม่ได้ที่จะยืนขึ้นและจ้องมองไปยังเม็ดยาด้วยความตระหนก
“เป็นไปไม่ได้ เม็ดยาเหล่านี้จะช่วยคนที่อยู่ในเขตสัมมาวิญญาณก้าวข้ามไปยังเขตปฐพีวิญญาณโดยไม่ล้มเหลวงั้นรึ ท่านได้ทดลองมันหรือยัง”
“ถ้าเม็ดยาเหล่านี้เป็นของจริงและสามารถทำงานได้เหมือนดังที่อธิบาย ยุทธภพย่อมต้องก้าวเข้าสู่ยุคใหม่อย่างไม่ต้องสงสัย โดยมีผู้ฝึกตนในเขตปฐพีวิญญาณมากมายเป็นเรื่องธรรมดา”
“ผู้อาวุโสหวัง ท่านตอบคำถามของพวกเราหน่อยได้หรือไม่ ท่านได้ทดสอบเม็ดยาเหล่านี้หรือยัง”
ถูกถล่มด้วยคำถาม หวังชูเหรินกระแอมไอเสียงดังเพื่อทำให้พวกเขาเงียบ
“ข้าเข้าใจความสงสัยของพวกท่าน ในเมื่อเม็ดยาเหล่านี้ค่อนข้างจะท้าทายสวรรค์ อย่างไรก็ตามข้าได้ทดสอบวิชาเหล่านี้เรียบร้อยแล้วกับศิษย์ของพวกเรา และจากศิษย์สิบคนที่อยู่ในระดับสูงสุดของเขตสัมมาวิญญาณที่กลืนเม็ดยาเหล่านี้เข้าไป พวกเขาทั้งสิบคนได้ประสบความสำเร็จในการเข้าสู่ระดับปฐพีวิญญาณ”
“โอ้ เทพเจ้า ถ้าสิ่งที่เธอพูดเป็นจริงนิกายดอกบัวเพลิงจะมีผู้เชี่ยวชาญในเขตคัมภีร์วิญญาณเกลื่อนไปทั่วในเร็วๆนี้”
หวังชูเหรินยิ้มและกล่าวว่า ข้าจักเดิมพันชื่อเสียงของข้าในฐานะนักปรุงยาไปกับเม็ดยาเหล่านี้ ถ้าพวกมันใช้งานไม่ได้ข้าก็จักมิปรุงยาอื่นอีกตลอดชั่วชีวิต
“!!!”
ในตอนนี้ผู้คนในห้องต่างตื่นตระหนกอย่างแท้จริง
“ถ้าเธอมั่นใจในเม็ดยาเหล่านี้ถึงปานนี้ นั่นต้องเป็นของจริงแน่”
“เฉพาะชื่อเสียงของผู้อาวุโสหวังอย่างเดียวก็เพียงพอที่จะรับประกันเม็ดยาเหล่านี้
“ด้วยเม็ดยาเหล่านี้นิกายดอกบัวเพลิงจักต้องกลายเป็นสำนักอันดับหนึ่งในเวลาไม่นาน”
“ผู้อาวุโสหวัง ท่านคงไม่ถือที่จะตอบคำถาม นักปรุงยาผู้ทรงเกียรติท่านใดที่ปรุงเม็ดยาเหล่านี้และพวกเราจะมีโอกาสได้ทักทายคนผู้นี้หรือไม่” นักปรุงยาคนหนึ่งในนั้นถาม
หวังชูเหรินส่ายหน้า “ข้าต้องขอโทษที่ว่าเพื่อนของข้าไม่ต้องการที่จะเปิดเผยตัวตนในตอนนี้ ถ้าพวกท่านต้องการที่จะทักทายเขานั่นก็ยังมีโอกาสเป็นไปได้ อย่างไรก็ตามแน่นอนว่านั่นต้องมีค่าใช้จ่าย”
“ถ้ามีโอกาสแม้แต่เพียงเล็กน้อยที่จะให้ข้าได้เข้าไปแสดงความเคารพต่อท่านผู้นี้ ข้าก็ยินดีที่จะทำได้ทุกอย่าง”
“ในเมื่อทุกท่านต่างจริงใจและกระตือรือล้นที่จะพบกับเขา ข้าก็จักพูดกับเขาในเรื่องการจัดการพบปะในอนาคต ถ้าเขาตกลงข้าจะส่งจดหมายไปหาทุกๆคนที่ปรารถนาจะเข้าร่วม หวังชูเหรินกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า
“ขอบคุณผู้อาวุโสหวัง”
ผู้คนที่ตรงนั้นโค้งคำนับเธอ
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 347
DC บทที่ 347: วิชาการต่อสู้ระดับเซียน
เมื่อนิกายล้านอสรพิษประมูลสามล้านก้อนหินวิญญาณ รอยยิ้มลึกลับก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าซูหยาง และเขาก็พูดขึ้นว่า “สามล้านห้าแสนก้อนหินวิญญาณ”
“เจ้าเด็กโคตรเลวนี่ ถ้าข้ามิฆ่าเจ้า มิต้องถือว่าข้าเป็นผู้ฝึกยุทธ” ฟูกว่างกัดฟัน
“สี่ล้านก้อนหินวิญญาณ”
ซูหยางยกมือเขาขึ้นอีกครั้ง “สี่ล้านห้าแสนก้อนหินวิญญาณ”
เขาพลันหันไปมองดูห้องวีไอพี ซึ่งแน่นอนว่าเป็นตรงที่ฟูกวางนั่งอยู่ คล้ายกับว่าเขาสามารถเห็นทะลุกระจกดำและเผยให้อีกฝ่ายเห็นถึงรอยยิ้มปีศาจร้าย
“!!!”
รอยยิ้มชั่วร้ายของซูหยางที่มองดูเหมือนกับว่าเต็มไปด้วยแผนการณ์ทำให้ฟูกวางรู้สึกหนาวเยือกไปทั่วไขสันหลัง
“เจ้าเด็กเลวนี่พยายามที่จะใช้แหวนกัมปนาทกับข้าจริงๆด้วย คิดหรือว่าข้าจักยอมให้เกิดขึ้น”
ฟูกวางกำมือเป็นกำปั้นแน่น เล็บมือของเขาจิกเข้าไปในเนื้อจนทำให้เลือดไหล
“นิกายล้านอสรพิษประมูล หกล้านก้อนหินวิญญาณ” เขากล่าวเสียงดัง สร้างความแตกตื่นให้ไม่เพียงแต่คนในห้องธรรมดาแต่ก็ยังไปถึงคนในห้องวีไอพีด้วย
กระทั่งผู้อาวุโสที่ยืนข้างเขาก็ยังมีสีหน้าตกใจ
“จ-เจ้านิกาย นั่นมากเกินกว่าวงเงินค่าใช้จ่ายที่เราตัดสินใจไว้ เรามีเพียงแค่ห้าล้านก้อนหินวิญญาณสำหรับการประมูลในวันนี้ และนั่นก็ถือเป็นเงินฉุกเฉิน”
ฟูกวางคำราม “ข้ารู้ ข้าได้นำมาเพิ่มอีกหนึ่งล้านจากกระเป๋าเงินส่วนตัวของข้าในกรณีพิเศษก่อนที่เราออกจากนิกาย ดังนั้นควรจะถือได้ว่าไม่มีปัญหา”
“แต่นี่เราพูดถึง หกล้านก้อนหินวิญญาณเชียวนะท่านเจ้านิกาย มันจักส่งผลกระทบต่อนิกายและศิษย์ของเราไปอีกหลายปี”
“ได้โปรดพิจารณาเช่นนี้ท่านเจ้านิกาย”
“ต่อให้นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้แหวนกัมปนาทไป พวกเขาก็มีจอมยุทธอย่างมากเพียงสองสามคนในเขตปฐพีวิญญาณ แหวนกัมปนาทวงเดียวมิได้ทำร้ายพวกเราได้มากนัก หกล้านก้อนหินวิญญาณจักมีผลกระทบต่อพวกเรามากกว่านั้น”
หลังจากครุ่นคิดชั่วขณะ ฟูกวางก็พยักหน้า “แต่ทว่าข้าได้ประมูลสินค้าไปแล้ว ท่านเจ้าก็อยู่ที่นี่เช่นกัน ดังนั้นข้ามิอาจทำตัวโง่งมด้วยการยกเลิกข้อเสนอของข้าได้ มิเช่นนั้นพวกเราก็จักกลายเป็นตัวตลก”
“อย่ากังวลท่านเจ้านิกาย เจ้าเด็กเลวนั่นต้องพยายามที่จะซื้อแหวนกัมปนาทแน่นอน เขาเป็นคนที่เกลีดความพ่ายแพ้”
“ใช่แล้ว เขามิพลาดการประมูลแม้แต่รายการเดียวในวันนี้ ข้าสงสัยว่าเขาจะปล่อยให้ของชิ้นนี้ไปด้วยงั้นหรือ”
อย่างไรก็ตามซูหยางก็ได้สร้างความผิดหวังให้กับความคาดหวังของนิกายล้านอสรพิษ ในเมื่อเขาเจตนาเพิ่มราคาก็เพียงแค่ให้นิกายล้านอสรพิษเสียเงินทั้งหมด กระทั่งยังส่งสายตาข่มขู่ไปยังฟูกวางเพียงแค่ทำให้อีกฝ่ายหวาดกลัว
“หกล้านก้อนหินวิญญาณครั้งที่หนึ่ง” หวังชูเหรินเริ่มนับถอยหลัง
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมเขาจึงยังไม่ประมูล”
“เขาจะปล่อยให้พวกเราได้ของชิ้นนี้จริงๆรึ”
“เป็นไปได้ไหมที่เขามีเงินไม่พอ”
“แย่แล้ว นี่พวกเรากำลังพูดถึงเงินหกล้านก้อนหินวิญญาณ”
“หกล้านครั้งที่สอง…”
“ซวย ซวย ซวย เขากำลังปล่อยให้เราได้มันไปจริงๆ”
“เจ้าเด็กเลวนั่น มันทำให้พวกเราเสียหกล้านก้อนหินวิญญาณ”
“และขาย แหวนกัมปนาทตกเป็นของนิกายล้านอสรพิษ” หวังชูเหรินยื่นส่งแหวนกัมปนาทให้ผู้ช่วยคนหนึ่งของเธอให้นำไปส่งให้กับพวกเขาในห้องวีไอพี
“ฮ่าฮ่าฮ่า ขอแสดงความยินดี สำนักที่แข็งแกร่งอย่างเช่นนิกายล้านอสรพิษสมควรได้รับสมบัติที่ดีจริงๆ ดูแลมันให้ดี แน่นอนว่าพวกท่านจำเป็นต้องฝากโชคชะตาไว้กับมัน” ซูหยางแสดงความยินดีกับพวกเขาพร้อมกับปรบมือสร้างความมึนงงให้กับทุกคนที่นั่น
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของซูหยาง คนจากนิกายล้านอสรพิษทุกคนต่างพากันรู้สึกว่าเลือดเดือดพล่านไปด้วยความโกรธแค้น
“ท่านเจ้านิกาย ให้ข้าไปแก้แค้นเถอะ ข้าต้องการสับเขาเป็นชิ้นและป้อนให้หมากินด้วยตนเอง”
“ไม่ ให้ข้าจัดการเรื่องนี้ ข้าจักฉีกแขนขาและดื่มเลือดของเขา”
“เงียบ ผู้อาวุโสใหญ่เหรินจักจัดการเรื่องนี้เอง” ฟูกวางคำรามเสียงต่ำ
เขาพลันหันไปมองดูผู้อาวุโสเหรินและกล่าวว่า “ท่านสามารถฆ่าทุกคนได้ยกเว้นเขา ข้าต้องการทรมานเขาด้วยตนเอง”
“ขอรับท่านเจ้านิกาย…”
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ยามเมื่อนิกายล้านอสรพิษจ่ายหกล้านก้อนหินวิญญาณอย่างไม่เต็มใจ พร้อมกับทำให้กระเป๋าเงินว่างเปล่าไปในเวลาเดียวกัน หวังชูเหรินก็ทำการประมูลต่อ
“ยังมีของอีกสองอย่างเหลืออยู่ในการประมูลวันนี้ ขอให้ข้าได้แนะนำของชิ้นถัดไป”
หวังชูเหรินได้นำม้วนคัมภีร์บอกมาและแสดงมันให้กับผู้คน
“นี่คือวิชาการต่อสู้ระดับเซียน มันมีชื่อเรียกว่าคัมภีร์เข็มพันสวรรค์ คัมภีร์นี้มี 9 ระดับและแต่ละระดับจะเพิ่มจำนวนเข็มที่ท่านสามารถเรียกมาใช้ได้ระดับละ 1,000 เข็ม สำหรับพลังของเข็มแต่ละเล่มนั้น… มันสามารถเทียบได้กับคนที่อยู่ในระดับต้นของเขตปฐพีวิญญาณ สำเร็จวิชานี้ก็เปรียบเหมือนได้รับความแข็งแกร่งของจอมยุทธในเขตปฐพีวิญญาณนับหมื่น
“ช่างเป็นวิชาที่น่ากลัวมาก”
“ในที่สุดโลกนี้ก็มีวิชาระดับเซียนอื่น นานกว่าร้อยปีแล้วนับตั้งแต่ชิ้นสุดท้ายปรากฏขึ้น”
“ต่อให้มันเป็นวิชาที่ทรงพลังอย่างเหลือเชื่อ คงจะเป็นเรื่องยากในการฝึกเกินบรรยายเช่นกัน”
“ต่อให้ข้าต้องการเก็บมันไว้ให้สำนัก ข้าก็ยังสงสัยว่าจักมีใครที่สามารถฝึกมันได้อย่างแท้จริง”
“หวาว… นี่เป็นวิชาระดับเซียน นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็น ศิษย์พี่ชายท่านยังคงจะซื้อมันหรือไม่
เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ถามซูหยาง กระทั่งหวังชูเหรินก็อดไม่ได้ที่จะมองดูเขา
ซูหยางเพียงแค่สายหน้าและกล่าวว่า “มันเป็นเพียงแค่วิชาระดับเซียน”
ถ้าเขาต้องการ เขาสามารถนำวิชาระดับเซียนออกมาได้มากกว่าโหลสำหรับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย”
“ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้เราได้มันไปเราก็ไม่สามารถที่จะฝึกมันได้ ไม่เหมือนวิชาฝีมือ วิชาการต่อสู้ต้องการพลังมหาศาลในการฝึกมันให้ได้ดี เจ้าจำเป็นต้องอยู่ในเขตอัมพรวิญญาณเป็นอย่างน้อยในการที่จะเรียนวิชาเข็มพันสวรรค์”
“เขตอัมพรวิญญาณรึ… กระทั่งผู้นำนิกายก็ยังอยู่เพียงแค่ปฐพีวิญญาณเท่านั้นเอง” ศิษย์รุ่นเยาว์ถอนหายใจ
“ราคาเริ่มต้นสำหรับเข็มพันสวรรค์จะอยู่ที่ 2 ล้านก้อนหินวิญญาณ” หวังชูเหรินประกาศ
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 346
DC บทที่ 346: แหวนกัมปนาท
“สุดท้ายสำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ก็เข้าร่วมการประมูล มันยากที่จะเอาชนะพวกเขา”
ผู้คนที่นั่นต่างพากันส่ายหัวด้วยความเสียใจ นอกจากว่าพวกเขาร่ำรวยเหมือนสำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์
“550,000 ก้อนหินวิญญาณ” ซูหยางยกมือขึ้นอย่างสบายๆสร้างความมึนงงให้กับทุกคนที่นั่น
“เขาพยายามที่จะล่วงเกินสำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ด้วยเช่นกันรึ”
“ยิ่งไปกว่านั้นเขายังคงมีเงินที่จะประมูลได้อย่างไร ทรัพย์สมบัติของเขามาจากไหนกัน”
บรรดาแขกต่างพากันถอนหายใจกับความร่ำรวยที่ไม่สิ้นสุดของเขา
“600,000 ก้อนหินวิญญาณ”
สำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ประมูลต่อ
“650,000” ซูหยางยกมือเขาขึ้นอีกครั้ง
“700,000 ก้อนหินวิญญาณ”
ถึงตอนนี้มีแต่พวกเขาเท่านั้นที่ประมูลเพื่อเมล็ดเพลิงนรก
“…”
สำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ประมูลเพิ่มขึ้นในทันทีและนิ่งเงียบไปชั่วขณะ
“เจ้าหนู ทำไมเจ้าไม่รักษาหน้าของชายชราคนนี้บ้าง เมล็ดเพลิงนรกนี้เป็นทรัพยากรที่สำคัญของศิษย์ของเรา 710,000 ก้อนหินวิญญาณ”
เสียงของชายชราดังขึ้นในหูของซูหยางและนั่นนำพลังการฝึกปรือของคนที่อยู่ในเขตอัมพรวิญญาณมาถึงด้วย
“ช่างเป็นเหตุบังเอิญ เมล็ดเพลิงนรกก็เป็นทรัพยากรที่สำคัญของข้าเช่นกัน” ซูหยาง กล่าวโดยไม่เหลือบมองไปที่ห้องวีไอพี “72 0,000 ก้อนหินวิญญาณ”
“เช่นนั้นเจ้าปฏิเสธที่จะรักษาหน้าข้าแม้ว่าจะขอร้องอย่างเคารพ หือ เอาละเจ้าเอาเมล็ดเพลิงนรกนี้ไปข้าหวังว่ามันจะคุ้มค่า”
“มันจบสิ้นสำหรับเขาแล้วจริงๆ เขาล่วงเกินกระทั่งสำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์”
ผู้คนต่างพากันมองดูและสวดมนต์ให้กับซูหยางอย่าเงียบๆ ไม่มีปาฏิหาริย์สำหรับเขาที่ทำให้รอดแม้แต่เพียงวันเดียวหลังจากออกจากเมืองนี้ไปแล้ว
ซูหยางยื่นส่งหินวิญญาณให้กับหวังชูเหรินและรับเมล็ดเพลิงนรก
เขามองดูมันด้วยรอยยิ้มเล็กน้อยบนใบหน้า
“เมล็ดเพลิงนรกนี้มีคุณสมบัติดีกว่าที่ข้าคาดหวังไว้ มันจักต้องเพิ่มพลังการฝึกปรือของข้าอย่างต่ำ3 ระดับอย่างแน่นอนถ้าข้ากลืนมัน อย่างไรก็ตามข้าต้องการที่จะหาคู่ฝึกมากกว่านี้ก่อนที่จะกลืนมัน ลำพังเพียงแค่ศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยยังคงไม่เพียงพอที่จะจัดการกับข้าหลังจากที่ข้ากลืนมันแล้ว”
ครั้นที่เขากลืนเมล็ดเพลิงนรก เขาจะอยู่ในสถานการณ์ที่จำเป็นต้องปลดปล่อยปราณหยางในร่างเหมือนกับตอนที่เขาต้องการหลานลี่ขิงช่วยสำหรับดอกหยางพิสุทธิ์ อย่างไรก็ตามเมล็ดเพลิงนรกมีความแข็งแกร่งอย่างต่ำไม่น้อยกว่าร้อยเท่าดอกหยางพิสุทธิ์ ขอให้เขามีศิษย์ทุกคนในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยช่วยเขา พวกเธอต้องหมดแรงไปก่อนตัวเขาอย่างแน่นอน
ดังนั้น เขาจำเป็นต้องหาคนจำนวนมากกว่านี้ที่ปรารถนาที่จะร่วมฝึกกับเขาก่อนที่จะกลืนเมล็ดเพลิงนรก
“เดาว่าข้าต้องกลืนเมล็ดเพลิงนรกหลังจากการแข่งขันระดับภูมิภาคและหลังจากที่ข้าหาคู่ฝึกได้มากกว่านี้” เขาครุ่นคิดในใจขณะที่โยนเมล็ดเพลิงนรกเข้าไปในแหวนมิติ
“ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้ให้สิ่งนี้ไปในครานี้…” ผู้คนที่มองดูเขาคิดในใจ
ยามเมื่อหวังชูเหรินกลับขึ้นไปบนเวทีเธอก็ประกาศของชิ้นที่ 2 สำหรับการประมูลครึ่งหลัง
“ของชิ้นที่ 2 จะเป็นสมบัติวิญญาณระดับสวรรค์ แหวนกัมปนาท ซึ่งมีความสามารถที่จะเรียกสายฟ้าฟาดจากสวรรค์เข้าโจมตีศัตรู สายฟ้าฟาดแต่ละครั้งจะมีพลังการทำลายล้างสูงพอที่จะฆ่าใครก็ตามกระทั่งในเขตอัมพรวิญญาณ ถ้าเขาไม่ระวัง อย่างไรก็ตามท่านสามารถใช้ความสามารถนี้ได้เพียงครั้งเดียวก่อนที่จะต้องประจุพลังช่วงฝนฟ้าคะนองก่อนที่จะใช้มันได้อีกครั้ง”
“สมบัติวิญญาณระดับสวรรค์ และมันสามารถฆ่าใครสักคนในระดับในเขตอัมพรวิญญาณ ช่างเป็นสิ่งที่น่ากลัวจริงๆ”
แม้ว่ามันจะมีข้อกำหนดและข้อจำกัด ทุกคนในห้องก็ต้องการที่จะได้รับแหวนกัมปนาท
ต่อให้แหวนกัมปนาทสามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียวตลอดชั่วอายุการใช้งานของมันและแตกสลายไปหลังจากนั้น ก็ยังมีคนที่ปรารถนาที่จะจ่ายหมดตัวสำหรับความสามารถที่จะตัดสินความเป็นตายกับคนในเขตอัมพรวิญญาณ
มีคนในเขตอัมพรวิญญาณมากมายเท่าไหร่ในโลกนี้ เราสามารถนับพวกเขาทั้งหมดได้ด้วยการใช้เพียงมือสองข้าง ยิ่งไปกว่านั้นผู้ฝึกยุทธในเขตพรวิญญาณทุกคนมีอิทธิพลเป็นอย่างมากในโลกไม่ว่าเขาจะไปที่ไหนก็ตาม การที่มีสิ่งของที่มีความสามารถที่จะฆ่าคนที่ทั้งล้ำลึกและทรงอำนาจนี้ย่อมประเมินค่าไม่ได้
หวังชูเหรินเผยให้เห็นแหวนกัมปนาทให้กับผู้คน มันมีหน้าตาเหมือนกับแหวนเงินธรรมดาแต่ปกคลุมไปด้วยเส้นสีม่วงที่ดูคล้ายสายฟ้าฟาด
“นอกจากความสามารถที่ทรงพลังแล้วแหวนคำขนาดนี้ก็ยังคงมีเบื้องหลังที่น่าประทับใจ ในเมื่อมันถูกค้นพบภายในประตูศักดิ์สิทธิ์ที่หายไปนับตั้งแต่เกือบปีที่ผ่านมา มีความเป็นไปได้สูงที่มันจะเป็นของเซียน “
“ราคาเริ่มต้นของแหวนกัมปนาทนี้จักเริ่มต้นที่ 500,000 ก้อนหินวิญญาณ” หวังชูเหรินพลันประกาศ
“ข้าดีใจที่มิจ่ายเงินไปก่อนเห็นแหวนกัมปนาทนี้ ข้าจักซื้อมันต่อให้ข้าต้องใช้เงินหมดกระเป๋าในวันนี้ก็ตาม ตระกูลหลีประมูล 600,000 ก้อนหินวิญญาณ”
“แหวนกัมปนาทนี่ของข้า ตระกูลหัวประมูล 1 ล้านก้อนหินวิญญาณ”
“สำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ประมูล 1,200,000 ก้อนหินวิญญาณ”
“1,500,000 ก้อนหินวิญญาณจากสำนักหงษ์สวรรค์”
ซูหยางก็ยกมือเขาขึ้นเช่นกันและพูดว่า2 ล้านก้อนหินวิญญาณ“
ภายในห้องวีไอพี ฟูกวานจ้องมองแหวนกัมปนาทพร้อมกับขมวดคิ้ว
“ข้าวางแผนที่จะปล่อยให้เจ้าเด็กเลวจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยนั่นซื้อทุกอย่างและขโมยมันหลังจากนั้น อย่างไรก็ตามถ้าเขาได้แหวนกัมปนาทนี้มันก็จักคุกคามกระทั่งชีวิตของข้า ข้ามิอาจยอมให้เขาได้มันไป”
คิดเช่นนี้แล้วฟูกวานก็เริ่มประมูลอีกครั้ง “นิกายอสรพิษประมูล3 ล้านก้อนหินวิญญาณ”
ราคาที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างกะทันหันสร้างความตระหนกให้กับผู้คนที่ประมูลมัน เมื่อนึกถึงว่ามันเพิ่มราคาขึ้นถึง 1 ล้านก้อนวิญญาณภายในชั่วพริบตา
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 345
DC บทที่ 345: พิจารณาหมั้นหมาย
“หรือว่าเธอบ้าไปแล้ว เธอให้ตำแหน่งที่น่ายกย่องให้แก่คนที่ทั้งอ่อนเยาว์และหยิ่งยะโสได้อย่างไร ว่าแต่นิสัยใช้เงินอย่างบ้าคลั่งเช่นนั้น เขาต้องเป็นตะปูดอกสุดท้ายสำหรับโลงของพวกเขาแน่นอน”
“ถึงแม้ว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจะเป็นสำนักขนาดเล็ก เขาก็ยังเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดที่เคยเป็นผู้นำนิกาย….”
ผู้คนที่นั่นส่วนใหญ่แล้วพากันตกตะลึงในการตัดสินใจของโหลวหลานจีในการที่ทำให้บางคนที่ทั้งอายุน้อยและหยิ่งยะโสดังเช่นซูหยางเป็นผู้นำนิกายในเมื่อพวกเขาเชื่อว่าเขาจะต้องนำสำนักเข้าไปสู่การล่มสลายด้วยอัตราที่เร็วกว่าเดิม
ความจริงแล้วพวกเขาทั้งหมดต่างพากันเดาว่าเขาจะทำลายสำนักได้เร็วแค่ไหน
“สมกับเป็นพี่ชายของข้า…. ที่กลายเป็นเจ้าสำนักไปแล้ว….” ซูหยินหัวเราะคิกคัก
“อืม… ข้าควรเรียกท่านอย่างไรในเมื่อท่านกลายเป็นเจ้าสำนักไปแล้ว” จางซิวยิงถามด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน
“ก็ใช้เหมือนดังที่เจ้ารู้สึกว่าสบายใจ” ซูหยางกล่าว “นี่ก็ใช้สำหรับพวกเจ้าตัวเล็กด้วยเช่นกัน ถ้านั่นทำให้เจ้ารู้สึกสบายใจมากยิ่งขึ้น ก็เพียงเรียกข้าว่า ศิษย์พี่ชายเหมือนปกติ”
ในเวลานั้นภายในห้องวีไอพี เจ้าซีกำลังตกอยู่ในภวังค์ลึก
“เขาวางแผนที่จะทำให้นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเป็นสำนักที่ทรงอำนาจที่สุดในทวีปตะวันออกจริงรึ หากเป็นเช่นนั้น โดยมิต้องสงสัยเลยว่านั่นจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสมดุลในโลกนี้ไปทั่วทุกที่”
เจ้าซีไม่คิดสงสัยว่าซูหยางจะไม่สามารถบรรลุเป้าหมายที่ทะเยอทะยานดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ ตามจริงแล้วเขาเชื่อว่าต่อให้ซูหยางไม่กระตือรือล้นทำอะไรเลย ตราบเท่าที่อีกฝ่ายยังอยู่ในที่แห่งนั้น นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ถูกกำหนดให้กลายเป็นปลาหลีฮื้อที่ทะยานเข้าสู่ประตูมังกรอยู่แล้ว
“เขาได้รับความแข็งแกร่งแบบนั้นในช่วงเวลาสั้นๆมาจากไหน ตามรายงานเขาเพิ่งอายุสิบเจ็ดปี โลกนี้จะเป็นอย่างไรในอีกสิบปีต่อจากนี้ เขามีเซียนเป็นอาจารย์ของเขาจริงหรือ”
เจ้าซีก็ไม่อาจที่จะจินตนาการถึงอนาคตของซูหยางในหนึ่งปีนับจากนี้ ในเมื่อเขาได้อยู่ในเขตอัมพรวิญญาณในขณะที่อายุยังเยาว์เช่นนี้ อย่าเพิ่งคิดถึงสิบปีข้างหน้า
“ศิษย์จากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยต่างก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงที่ท้าทายสวรรค์ในปีนี้ เมื่อมาคิดว่าพวกเขาก็มีศิษย์ถึงสองคนที่ได้เข้าสู่เขตปฐพีวิญญาณ ถ้าทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับซูหยางเกี่ยวพันไปถึงเซียนลึกลับนั้นที่ปกป้องนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจากนิกายล้านอสรพิษอยู่ บางทีข้าควรจะไปเยี่ยมเขาหลังจากการแข่งขันระดับภูมิภาค”
เจ้าซีเริ่มเชื่อว่าให้ลูกสาวเขาแก่ซูหยางที่มีพรสวรรค์หาใดเทียบและมีอนาคตไม่สิ้นสุดอย่างแท้จริงนั้น ว่าไปแล้วอาจจะเป็นความคิดที่ไม่เลวเสียทีเดียว
“ถ้าเขาสามารถช่วยรักษาอาการของลูกสาวข้าและยังคงมีชีวิตรอดหลังจากที่ล่วงเกินคนมากมายปานนี้ เช่นนั้นข้าจักพิจารณาการหมั้นหมายของพวกเขาอย่างจริงจัง…” เจ้าซีพยักเพยิดกับตัวเองอย่างเงียบๆ
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นหวังชูเหรินก็กลับขึ้นไปบนเวทีพร้อมกับผู้ช่วยสาวสวย 2 คน
“ขอบคุณทุกท่านที่รอคอยเราตอนนี้จักเริ่มส่วนที่ 2 และเป็นส่วนสุดท้ายของการประมูล” เธอกล่าวเสียงดังพร้อมกับกล่าวต่อว่า “ถ้าพวกท่านได้ประหลาดใจกับการประมูลสมบัติในครึ่งแรกแล้ว เช่นนั้นพวกท่านต้องเตรียมตัวสำหรับสิ่งที่เรามีในคลังสำหรับพวกท่านในเวลาถัดไปนี้”
ก่อนที่เราจะเริ่มข้ามีสิ่งที่ต้องประกาศ เลือดงูสามฤดูที่คาดว่าจักนำมาประมูลในช่วงหลังจะไม่มีอีกต่อไป ในเมื่อท่านเจ้าได้ร้องขอเป็นการส่วนตัว ข้าต้องขออภัยในความไม่สะดวกที่ได้เกิดขึ้นนี้”
คนบางคนส่ายหน้าด้วยความเสียใจหลังจากที่ได้ยินข่าวนี้ในเมื่อพวกเขาได้เฝ้ามองที่จะซื้อเลือดงูสามฤดูที่สามารถใช้ปรุงเป็นยาที่ทรงพลัง อย่างไรก็ตามในเมื่อท่านเจ้าซีได้เพ่งเล็งมัน นั่นย่อมไร้ค่าที่จะประมูลในเมื่อไม่มีใครกล้าที่จะท้าทายเขาเพื่อสิ่งนั้น
“ในเมื่อเป็นท่านเจ้าย่อมไม่มีเหตุผลที่เทพธิดาหวังจักต้องขอโทษ”
“อย่ากังวลผู้อาวุโสหวัง พวกเรามิใช่คนไร้เหตุผล ท่านไม่ควรถูกตำหนิ”
บรรดาแขกต่างพากันเข้าใจสถานการณ์และไม่ได้ทำเรื่องยุ่งยากให้แก่เธอ
หวังชูเหรินพยักหน้าและกล่าวต่อว่า “เช่นนั้นในเมื่อมิมีอะไรแล้วขอให้ข้าประกาศสมบัติชิ้นต่อไป”
ผู้ช่วยทั้ง 2 เปิดผ้าคลุมบนโต๊ะเลื่อนและเผยให้เห็นกล่องไม้ที่ค่อนข้างใหญ่กว่าแขนผู้ใหญ่เล็กน้อย”
“ภายในกล่องไม้นี้ก็คือเมล็ดเพลิงนรกที่ไหลเวียนไปด้วยปราณหยาง ตำนานกล่าวว่าถ้าหากกลืนมันเข้าไปต่อให้เป็นคนในเขตอัมพรวิญญาณก็สามารถข้ามระดับไปถึง 3 ระดับได้อย่างง่ายดาย อย่างไรก็ตามเพราะว่าปราณหยางรุนแรงเกินไปและไม่สามารถควบคุมได้ กระทั่งคนที่อยู่ในเขตอัมพรวิญญาณก็ไม่สามารถกลืนมันเข้าไปได้โดยไม่ระเบิดตาย แทนที่จะกลืนมัน เมล็ดเพลิงนรกส่วนใหญ่แล้วมักใช้เพิ่มพลังปราณไร้ลักษณ์ในห้องปิด ถ้าวางมันภายในห้อง ปราณไร้ลักษณ์ภายในห้องก็จะเพิ่มขึ้น 2 เท่าทั้งปริมาณและคุณภาพเพิ่มความเร็วในการฝึกปรืออย่างมากขณะที่อยู่ในห้องนั้น”
“ในที่สุดก็ได้เวลาประมูลเมล็ดเพลิงนรก”
“ข้าได้รอคอยสิ่งนี้อยู่”
ทุกคนในห้องต่างพากันตื่นเต้นกับเมล็ดเพลิงนรก ในเมื่อมันสามารถเปลี่ยนห้องธรรมดาให้กลายเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์เต็มไปด้วยปราณสำหรับฝึกฝีมือ
อีกนัยหนึ่งเมล็ดเพลิงนรกจะเพิ่มความแข็งแกร่งของตระกูลหรือสำนักใดๆได้อย่างมหาศาล ดังนั้นจึงเป็นเหตุที่ว่าทำไมทุกคนที่นั่นต่างพากันเพ่งเล็งมัน
“ราคาเริ่มต้นสำหรับเมล็ดเพลิงนรกจักเป็น 100,000 ก้อนหินวิญญาณ”
ทันทีหลังจากที่หวังชูเหรินได้ประกาศราคา มือนับสิบก็ได้ยกขึ้นไปบนอากาศและราคาสำหรับเมล็ดเพลิงนรกก็พุ่งสูงเสียดฟ้าขึ้นไปในทันที
“ตระกูลหวูประมูล 150,000 ก้อนหินวิญญาณ”
“ตระกูลหัวประมูล 180,000 ก้อนหินวิญญาณ”
“สำนักหงส์สวรรค์ประมูล 250,000 ก้อนหินวิญญาณ”
“ตระกูลหวังประมูล 255,000 ก้อนหินวิญญาณ”
“สำนักหมัดมังกรประมูล 270,000 ก้อนหินวิญญาณ”
“…300,000 ก้อนหินวิญญาณ”
“…375,000 ก้อนหินวิญญาณ”
“…390,000 ก้อนหินวิญญาณ”
“สำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ประมูล 500,000 ก้อนหินวิญญาณ”
สำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นสำนักระดับสูงที่แข็งแกร่งที่สุดพลันเข้าร่วมการต่อสู้เป็นครั้งแรกในวันนี้สร้างความประหลาดใจให้กับผู้คนหลายคนที่นั่น
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 344
DC บทที่ 344: ป้ายสิทธิ์ขาด
หลังจากที่ชนะการประมูลสำหรับเตาปรุงยาไร้รูป ซูหยางก็ทำการประมูลทุกสิ่งที่มาต่อจากนั้นสร้างความตระหนกให้กับทั่วทั้งโรงประมูลซึ่งดูเหมือนกับว่าเขามีความร่ำรวยไม่สิ้นสุด กระทั่งหวังชูเหรินก็อดที่จะจ้องมองเขาด้วยสีหน้ามึนงงไม่ได้
ของมากกว่า 20 ชิ้นและหนึ่งล้านก้อนหินวิญญาณหลังจากนั้น
“…พี่ชาย.. หรือว่าท่านได้หินวิญญาณมาจากประตูศักดิ์สิทธิ์” ซูหยินพลันนึกถึงสถานที่นั้นและถามเขา เธอนึกไม่ออกว่าที่ไหนที่เขาจะได้ความร่ำรวยเช่นนั้นนอกจากประตูศักดิ์สิทธิ์สุสานของเซียน
ซูหยางเพียงแค่หัวเราะหึ “อาจจะ”
หลังจากประมูลสินค้าชิ้นที่ 25 หวังชูเหรินก็ประกาศว่า “เราจักพัก 10 นาทีก่อนที่เราจะกลับมาประมูลกันใหม่อีกครั้ง”
คร้้นเมื่อหวังชูเหรินลงจากเวที ทุกคนในห้องนั้นก็เริ่มกระซิบกระซาบกันขณะที่ตาของพวกเขาต่างพากันจ้องไปที่ซูหยาง
“เจ้าคนโคตรรวยนี้มาจากไหนกัน เขาซื้อของทุกอย่างที่นำมาประมูลวันนี้”
“พระเจ้าช่วย ครอบครัวของเขาต้องมีหินวิญญาณเติบโตได้เหมือนข้าวในหลังบ้านหรืออะไรทำนองนั้น”
“ต่อให้ปล้นสำนักหลายสิบสำนักก็ยังไม่สามารถที่จะให้ความร่ำรวยได้มากเพียงนี้”
“เขาใช้เงินมากกว่า 1 ล้านก้อนหินวิญญาณไปแล้วตอนนี้ ข้าไม่คิดว่ากระเป๋าเงินของเขาจักไม่ว่างเปล่า”
ในเวลานั้นหลังจากที่เขาวางของทุกอย่างที่เขาชนะเข้าไปในแหวนมิติ ซูหยางหันไปมองโหลวหลานจีและพูดว่า “ผู้นำนิกาย นี่ให้ท่าน”
โดยไม่รอให้เธอตอบ ซูหยางโยนแหวนมิติพร้อมกับของที่มีค่านับล้านก้อนหินวิญญาณไปให้เธออย่างสบายๆ
โหลวหลานจีรับมิติด้วยมือที่สั่นสะท้านและจ้องมองไปที่เขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง
กระทั่งคนอื่นๆในห้องก็หยุดกระซิบกระซาบเพื่อมองไปที่พวกเขาด้วยท่าทีที่ตื่นตะลึงบนใบหน้า
“น-นี่หมายความว่าอะไร ซูหยาง” โหลวหลานจีขมวดคิ้ว “เจ้ากำลังพยายามที่จะซื้อทั้งนิกายด้วยสิ่งนี้รึ”
ซูหยางหัวเราะหึหึกับจินตนาการของเธอและพูดว่า “ผู้นำนิกายหรือท่านลืมไปแล้วว่าข้าได้สัญญาที่จะดูแลนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย สมบัติเหล่านี้ก็เพื่อสำหรับศิษย์รุ่นต่อไปเหมือนที่พวกที่นั่งอยู่ตรงนั้น”
ซูหยางชี้มือไปยังศิษย์รุ่นเยาว์ด้วยรอยยิ้ม
“ศิษย์พี่ชาย…” ศิษย์รุ่นเยาว์พากันอับจนถ้อยคำ
“แม้ว่าเจ้ามีเจตนาเช่นนี้นี่ไม่มากเกินไปหน่อยรึ” โหลวหลานจีแสดงยิ้มขมขื่นออกมา นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจะตอบแทนบุณคุณเช่นนี้ได้อย่างไร กระทั่งให้เขาเป็นผู้นำนิกายก็ยังไม่พอเพียง
“มากเกินไปรึ นี่เพียงแค่ 1 ล้านก้อนหินวิญญาณ ถ้าท่านไม่สามารถรับของขวัญเล็กน้อยเช่นนี้ ข้าจะทำการให้ของที่แพงมากกว่านี้ภายหลังได้อย่างไร”
“จ-เจ้ามีแผนที่จะให้ข้ามากกว่านี้รึ” โหลวหลานจีอ้าปากค้างด้วยความตระหนก
“นี่ไม่ใช่สำหรับท่าน ผู้นำนิกาย นี่สำหรับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย”
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะโหลวหลานจีก็กระซิบเขาว่า “ข้าเข้าใจ แต่มันก็ไม่เหมาะสมที่จะให้ของมากมายปานนี้ต่อหน้าสายตามากมาย จะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเขาสร้างปัญหาให้กับเราในภายหลัง เจ้าควรให้มันกับข้าหลังจากที่เรากลับไปที่โรงเตี๊ยมแล้ว”
ซูหยางกวาดสายตาไปยังผู้คนที่จ้องมองเขาด้วยสายตาดุร้ายและพูดเสียงดังว่า “จะมีอะไรที่ต้องกังวล ต่อให้พวกเขากล้าพยายามปล้นเรา พวกเขาก็ไม่มีความสามารถที่จะทำเช่นนั้น”
โหลวหลานจีจ้องมองเขาด้วยสีหน้าตื่นตระหนกและหันไปมองรอบห้อง ไม่มีข้อสงสัยเลยว่ามีคนมากมายหลายคนจ้องมองพวกเขาด้วยสายตาเกลียดชัง
“ทำไมเจ้าถึงพูดเสียงดังเช่นนี้ นี่เหมือนกับว่าเจ้ากำลังพยายามที่จะยั่วยุพวกเขา” โหลวหลานจีรู้สึกอยากจะร้องไห้
ซูหยางส่ายหน้าและกล่าวว่า “ผู้นำนิกายถ้าท่านทำตัวต่ำต้อยและขี้ขลาดอย่างนี้ต่อไป โลกก็จักเหยียดหยามเราเมื่อเรายืนอยู่บนจุดสูงสุด”
“จ-เจ้าหมายความว่าอย่างไรเช่นนี้ และเจ้ากล้าเรียกข้าว่าคนขี้ขลาดได้อย่างไร” เธอมองดูเขาด้วยท่าทางตื่นตะลึง
“ท่านเชื่อจริงๆรึว่าจุดมุ่งหมายของข้าก็คือการฟื้นฟูนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยกลับไปยังจุดเดิม นอกจากว่าเราก้าวข้ามตัวตนเดิมของเราและยืนอยู่เหนือสำนักอื่นทุกสำนักในทวีปแห่งนี้ มิเช่นนั้นข้าย่อมยังไม่พอใจ ครั้นเมื่อข้า ซูหยาง ได้ตัดสินใจที่จะทำอะไรสักอย่างมันจะต้องไม่เป็นอะไรที่ธรรมดา” ซูหยางพูดด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ
“ตลกอะไรเช่นนี้ ถ้าเจ้าคิดว่าเจ้าสามารถยืนอยู่บนจุดสูงสุดด้วยเพียงสมบัติพื้นๆไม่กี่ชิ้น เช่นนั้นทุกขั้วอำนาจในห้องนี้คงเป็นสำนักระดับสูงกันทั้งหมด”
“เจ้าเป็นเพียงกบธรรมดาที่ยังคงอาศัยอยู่ในบ่อ เจ้ากล้าทำตัวเย่อหยิ่งจองหองต่อหน้าคนมากมายที่มีอำนาจเหนือกว่าเจ้าได้อย่างไร”
ผู้คนในห้องต่างพากันเริ่มเยาะเย้ยในความทะเยอทะยานของซูหยางทันที
“แม้ว่าข้าชื่นชมในความกล้าของเจ้า เจ้ายังคงเด็กเกินไปและไร้เดียงสาที่จะมีความทะเยอทะยานอันสูงส่งเช่นนั้น”
“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอยู่บนขอบเหวของการสูญสลายในเวลานี้ เพียงแค่หนึ่งในหมู่พวกเราก็มีความสามารถที่จะเหยียบย่ำไปบนสำนักของเจ้าและทำลายความทะเยอทะยานของเจ้าได้อย่างง่ายดาย แต่เจ้ายังกล้าที่จะแสดงความโอหังต่อหน้าพวกเราเช่นนี้ เจ้ากำลังมองหาที่ตายอย่างนั้นรึ”
หลังจากที่ฟังคำข่มขู่มากมายที่ส่งมายังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยต่อหน้าพวกเขา โหลวหลานจีและศิษย์รุ่นเยาว์ต่างพากันมีใบหน้าซีดเผือด
“ซู-ซูหยาง เจ้ากำลังพยายามที่จะฟื้นฟูนิกายหรือว่าทำลายมัน รีบขอโทษทุกคนที่นี่เร็ว” โหลวหลานจีพลันโกรธ
ซูหยางส่ายหน้าและถอนใจ “นี่คือสิ่งที่ข้าพูดถึงที่ว่าเป็นคนขี้ขลาด ผู้นำนิกาย ทำไมท่านจึงก้มหัวหลังจากที่ได้ยินหมา 2-3 ตัวเห่าเช่นนี้”
เขาพลันหันไปมองดูผู้คนที่ข่มขู่นิกายกุสุมาลพ้นพิสัยและกล่าวต่อว่า “ไม่ว่าพวกเจ้าจะชอบมันหรือไม่ นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็จักเติบโตต่อไปและเจ้าจักเห็นจากด้านข้าง ถ้าพวกเจ้าเชื่อว่าเจ้ามีความสามารถที่จะหยุดพวกเรา ข้ายินดีให้เจ้าได้ลอง”
ซูหยางเผชิญหน้ากับทั้งห้องด้วยรัศมีของผู้ที่อยู่เหนือกว่า นี่คือเจตนาที่แท้จริงในการมาที่โรงประมูลนี้ที่ซึ่งผู้ทรงอำนาจจากรอบโลกมารวมตัวกัน ถ้าหากว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยพลันมีอำนาจขึ้นมาในทันใด ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้วโดยที่ไม่มีใครรู้ ผู้อื่นก็จะเพียงเหยียดหยามพวกเขาราวกับว่าพวกเขาเป็นคนอ่อนแอซึ่งไม่สมควรที่จะอยู่ในตำแหน่งสูงสุด
ในตอนนี้ซูหยางได้ทำให้พวกเขาเป็นที่รู้จักทั้งล่วงเกินคนจำนวนมากมาย ผู้ทรงอำนาจเหล่านี้ย่อมมองดูพวกเขาต่อให้พวกเขาไม่มีค่าที่จะให้มองดูในตอนนี้และเฝ้ามองพวกเขาเติบโต ถ้าคนเหล่านี้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเติบโตของพวกเขา เช่นนั้นซูหยางก็จะกำจัดคนเหล่านี้ทิ้ง
ซูหยางมองดูโหลวหลานจีและพูดด้วยใบหน้าที่จริงจังว่า “ผู้นำนิกาย ข้าจักทำให้นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเป็นสำนักที่จักทำให้กระทั่งสำนักระดับสูงดูเหมือนเป็นบ้านเรือนคนทั่วไป ท่านเชื่อข้าหรือไม่”
โหลวหลานจีนิ่งเงียบไปชั่วขณะขณะที่เธอจ้องมองเขาด้วยสีหน้าสับสน
“ทำไมกลิ่นอายของเขาจึงรู้สึกช่างคุ้นเคยนัก ที่ไหนที่ข้า…”
ร่างของโหลวหลานจีพลันสั่นสะท่านเล็กน้อย เมื่อเธอพลันตระหนัก
“ความรู้สึกนี้… นี่มันเหมือนกับผู้อาวุโส…”
หลังจากเงียบไปชั่วขณะ โหลวหลานจีก็ถอนใจ “ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าใครจะรู้ว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจักเป็นอย่างไรในตอนนี้ และถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าศิษย์รุ่นเยาว์ก็คงไม่ได้อยู่ที่นี่ในตอนนี้ ส่วนสำหรับบุญคุณที่มีต่อนิกายและเหล่าศิษย์ในช่วงปีที่ผ่านมาข้าจักมิพูดถึงในเมื่อนั้นจะต้องพูดกันทั้งวัน”
โหลวหลานจีทำการล้วงเข้าไปในแหวนมิติ ไม่กี่วินาทีต่อมาเธอก็นำเอาป้ายที่จัดสร้างจากหยกที่สวยงามจากแหวนมิติและยื่นส่งให้ซูหยางเหมือนกับว่าเธอต้องการให้เขาเก็บมันไว้
“ข้าได้คิดเกี่ยวกับการที่จะให้ป้ายนี้แก่เจ้านับตั้งแต่ศิษย์ส่วนใหญ่จากไปแล้ว ถ้ารู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมแต่นี่คือคำตอบของข้าที่ว่าข้าเชื่อถือเจ้าหรือไม่”
ซูหยางมองไปที่ป้ายที่อยู่บนมือของโหลวหลานจีให้ความรู้สึกอันลึกลับในสายตาของเขา
สลักไว้บนป้ายเป็นคำสองคำซึ่งอ่านได้ว่า “ นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย” และ “สิทธิ์ขาด”
ศิษย์รุ่นเยาว์อ้าปากหวอมือปิดปากเมื่อพวกเขาเห็นป้ายหยก
“นั่นคือป้ายสิทธิ์ขาด มีเพียงคนสองคนในนิกายที่ได้รับอนุญาตให้ถือมันไว้ และนั่นก็คือผู้นำนิกาย”
“ศิษย์พี่ชายกำลังจะเป็นผู้นำนิกายคนที่ 2 ของเรางั้นรึ”
อันที่จริงโหลวหลานจีต้องการให้ซูหยางเป็นผู้นำนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยคนที่สองด้วยการยื่นส่งป้ายสิทธิ์ขาดให้แก่เขาในเวลานั้น นับตั้งแต่หลีเชียงผู้นำนิกายคนก่อนได้ตายไป นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ได้ดำเนินการเพียงผู้นำนิกายคนเดียวในขณะที่พวกเขาควรจะมี 2 คน
อย่างไรก็ตามซูหยางไม่ได้รับป้ายไว้ในทันที
“ข้าไม่สามารถอยู่ที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยไปได้ตลอดฉันก็รู้ ใครจะรู้ว่าเมื่อไหร่ที่ข้าต้องไป”
“ตั้งแต่รู้เบื้องหลังของเจ้าข้าก็มิเคยคิดที่จะเก็บเจ้าไว้กับเราตลอดไป อย่างไรก็ตามจนกว่าจะถึงวันที่เจ้าต้องไปเจ้าสามารถถือป้ายนี้ไว้ได้หรือไม่” โหลวหลานจีเสนอ
ซูหยางยิ้มและกล่าวต่อว่า “ข้ายังคงจักสร้างปัญหาให้กับนิกายต่อไปอีก”
“นั่นมิมีอะไรใหม่” โหลวหลานจีหัวเราะคิกคัก
“ท่านจักไม่สามารถหลับได้เต็มอิ่มไปตอนกลางคืนอีกต่อไปถ้าข้าเป็น” เขากล่าวด้วยรอยยิ้มลามก
โหลวหลานจีพยักหน้าด้วยใบหน้าแดงเล็กน้อย
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะซูหยางก็เริ่มขยับแขนและรับป้ายบนมือของโหลวหลานจี
“ตกลงข้าจักถือสิ่งนี้เพื่อท่านนับแต่นี้ต่อไป”
“เราจักจัดงานฉลองอย่างเป็นทางการให้แก่เจ้าเมื่อเรากลับไป” เธอยิ้ม
โหลวหลานจีพลันหันไปมองศิษย์รุ่นเยาว์และพูดเสียงดังว่า “ทักทายผู้นำนิกายคนใหม่ของพวกเจ้าสิ”
ศิษย์รุ่นเยาว์ทุกคนพลันโค้งคำนับอย่างพร้อมเพรียงกัน “ขอคำนับผู้นำนิกายคนใหม่ของพวกเรา”
ในเวลานั้นบุคคลที่ได้ดูพวกเขาต่างพากันงงงันไปกับสถานการณ์ที่แปลกประหลาดนี้ นี่เป็นครั้งแรกของพวกเขาที่ได้พบเห็นบางคนได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้นำนิกายภายในโรงประมูลและอย่างไม่เป็นทางการเช่นนี้ด้วย
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 343
DC บทที่ 343: แฟนหนุ่มใจกว้าง
“ราคาประมูลเริ่มต้นสำหรับเตาปรุงยาไร้รูปนี้เริ่มต้นที่ 70,000 ก้อนหินวิญญาณ” หวังชูเหรินประกาศต่อหน้านักปรุงยาในห้องที่แย่งชิงกัน
“ตระกูลหัวประมูลหมื่นก้อนหินวิญญาณ”
“ผู้เฒ่าเล่ยคนนี้ประมูล 15,000 ก้อนหินวิญญาณ”
ราคาเพิ่มขึ้นด้วยอัตราเร็วที่มากกว่าสมบัติวิญญาณ แม้ว่าเตาปรุงยาวิญญาณจะไม่มีค่ามากเท่ากับสมบัติวิญญาณโดยทั่วไป แต่นักปรุงยาส่วนใหญ่ต้องการมีเตาปรุงยาที่ดีมากกว่าสมบัติวิญญาณที่ดีและไม่ลังเลที่จะใช้เงินสำหรับเตาปรุงยาที่ดี ในเมื่อนักปรุงยาที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ล้วนนั่งอยู่บนความร่ำรวยจากการขายยาหรือการให้บริการ
ในเวลาเป็นนาทีราคาของเตาปรุงยาไร้รูปเพิ่มขึ้นไปถึง 40,000 ก้อนหินวิญญาณ
“ตระกูลหัวประมูล 40,000 ก้อนหินวิญญาณมีใครต้องการประมูลมากกว่านี้หรือไม่” หวังชูเหรินถาม
“ครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2”
“50,000 ก้อนหินวิญญาณ” ซูหยางพลันยกมือขึ้น สร้างความงๆให้กับทุกคนที่นั่น
เพราะว่าคนส่วนใหญ่ที่ได้ประมูลคือนักปรุงยา ไม่มีใครในหมู่พวกเขาคาดคิดว่าซูหยางจะเข้าร่วมประมูลด้วยเช่นกัน
“ทำไมเขาถึงมาร่วมประมูล ทั้งที่นิกายล้านอสรพิษไม่ได้เข้าร่วมประมูลครั้งนี้…”
ผู้คนที่นั่นต่างพากันสงสัย
“เจ้าหนุ่ม เจ้ากำลังพยายามที่จะซื้อทุกอย่างในการประมูลวันนี้หรือ เตาปรุงยาไร้รูปไม่มีประโยชน์ต่อเจ้า ต่อให้เจ้าเป็นนักปรุงยาคนหนึ่งใครจะรู้ว่าเจ้าจะสามารถใช้เตาปรุงยาวิญญาณได้อย่างถูกต้อง” หนึ่งในนักปรุงยาที่นั่นกล่าวขึ้น
หลังจากที่คนแรกพูดขึ้นคนอื่นก็เสนอความคิดของตัวเองบ้าง
“เตาปรุงยาวิญญาณไม่ใช่เตาปรุงยาปกติและไม่สามารถใช้ด้วยนักปรุงยาทั่วไป เจ้ายังเด็กดังนั้นควรปล่อยให้ผู้อาวุโสที่นี่หยิบฉวยจากมือของเจ้า”
“เจ้าได้ยินเหล่าผู้อาวุโสพูดแล้ว เจ้าหนุ่มควรยึดถือคำแนะนำของพวกเราและนั่งลง ตระกูลหัวประมูล 51,000 ก้อนหินวิญญาณ”
อย่างไรก็ตามซูหยางยกมือขึ้นและเพิ่มราคาไปอีก 9,000 ก้อนหินวิญญาณทำทีเหมือนกับว่าเขาไม่ได้ยินคำพูดของคนอื่น
“จ-เจ้า”
คนจากตระกูลหัวกัดฟันหลังจากที่ซูหยางไม่เชื่อฟัง
“เจ้าได้ล่วงเกินตระกูลหวังและนิกายล้านอสรพิษไปแล้ว เจ้าแน่ใจว่าเจ้าต้องการที่จะล่วงเกินคนมากกว่าเดิมรึ” ตระกูลหัวพูดเสียงดังลั่น
เพื่อตอบสนองกับการข่มขู่ของตระกูลหัว ซูหยางเพียงแค่ส่ายหัว “นี่เป็นโรงประมูลไม่ใช่บ้านของพวกเจ้า ถ้าข้าต้องการอะไรทำไมข้าถึงซื้อมันไม่ได้ล่ะ ข่มขู่ข้าด้วยกลเม็ดเด็กๆ เจ้ายังกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นผู้อาวุโสอยู่อีกรึ”
หวังชูเหรินอดไม่ได้ ได้แต่หัวเราะหลังจากได้ยินคำพูดของเขา
“เด็กหนุ่มคนนี้พูดถูก นี่เป็นโรงประมูลซึ่งผู้คนสามารถได้รับสิ่งต่างๆตราบเท่าที่เขามีเงิน ข้าไม่สมควรพูดเช่นนี้แต่ได้โปรดยั้งตัวเองจากการกดดันผู้อื่นด้วยอำนาจของพวกท่านหรือข่มขู่ผู้อื่นขณะที่ยังอยู่ที่นี่”
ที่แห่งนั้นเงียบลงไปหลังจากที่หวังชูเหรินพูดขึ้นเป็นครั้งแรก
“ยังมีใครต้องการประมูลอีกหรือไม่ ราคาประมูลตอนนี้คือ 60,000 ก้อนหินวิญญาณ”
“80,000 ก้อนหินวิญญาณ”
มีคนตะโกนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว สร้างความงุนงงให้กับผู้คนที่นั่น
ใครกันช่างร่ำรวยจริงที่จะเสนอถึง 80,000 ก้อนหินวิญญาณสำหรับเตาปรุงยาวิญญาณ ต่อให้เป็นนักปรุงยาผู้ร่ำรวยก็ไม่ฟุ่มเฟือยปานนั้น ว่าไปแล้วยังมีเตาปรุงยาวิญญาณที่ดีกว่านั้นข้างนอกนั่นที่สามารถซื้อได้ด้วยราคาใกล้เคียงกัน
“นั่นคือตระกูลเฉิน พวกเขาเป็นตระกูลนักปรุงยาอันดับ 1 ของภาคใต้”
ผู้คนรู้จักเบื้องหลังของพวกเขาได้อย่างรวดเร็ว
“เป็นอย่างไรเจ้าเด็กเย่อหยิ่งที่นั่งอยู่ด้านหน้าทำไมเจ้าจึงไม่ประมูลอีกละ มิใช่ว่าเจ้าเพิ่งอหังการเมื่อกี้เพราะความร่ำรวยของเจ้ารึ” หญิงสาวจากตระกูลเฉินยืนขึ้นและชี้ไปยังซูหยางขณะที่พูดจายั่วยุ
ซูหยางยิ้มไปกับความพยายามของเธอและตอบกลับว่า มันแค่ 80,000 ก้อนหินวิญญาณเอง”
เขาพลันยกมือขึ้นและด้วยท่าทีที่สงบเฉยเขาพูดต่อว่า “ข้าประมูล 100,000 ก้อนหินวิญญาณ”
“100,000 ก้อนหินวิญญาณ”
ผู้คนที่นั่นต่างพากันงงงัน เขาได้รับความร่ำรวยเช่นนั้นมาจากที่ไหนกัน
“นี่มันอะไรกัน เจ้าเด็กนั่นร่ำรวยขนาดนั้นได้อย่างไร”
“เขาต้องปล้นทั้งสำนักหรืออะไรทำนองนั้นแน่…”
“ซูหยาง… เจ้า…”
โหลหลานจีและศิษย์รุ่นเยาว์จ้องมองเขาดวงตาเบิกกว้าง ในเมื่อไม่มีใครในหมู่พวกเขาได้จินตนาการว่าเขาร่ำรวยมากเช่นนี้
หญิงสาวจากตระกูลเฉินสั่นสะท้านขณะที่กัดฟัน
“เช่นนั้นข้าประมูล 110–”
“เจ้ากำลังจะทำอะไร ต่อให้เป็นเราก็ไม่สามารถพยายามที่จะใช้จ่ายมากมายเช่นนั้นไปกับเพียงแค่เตาปรุงยาวิญญาณธรรมดา”
หนึ่งในผู้อาวุโสจากตระกูลเฉินจับแขนของเธอไว้และพาเธอกลับไปยังที่นั่งของเธอ
“แต่เขาช่างโอหัง ถ้าข้าไม่ผลักเขาให้อยู่ถูกที่ ใครกันเล่าที่จะทำ”
“เห็นชัดว่าเขามีความสามารถที่จะโอหังเช่นนั้น จงนั่งลงและเงียบซะ หรือเจ้าลืมว่าพวกเรามาที่นี่วันนี้เพื่ออะไร ถ้าเจ้าใช้เงินทั้งหมดของเจ้าก่อนนั้นและพลาดในการปกป้องมัน เจ้าจะไปเผชิญหน้าพ่อของเจ้าหลังจากนั้นได้อย่างไร”
ไม่นานหลังจากนั้น หญิงสาวจากตระกูลเฉินก็พยักหน้าอย่างไม่เต็มใจ
“ปล่อยให้เจ้าหนุ่มคนนั้นประมูลทุกอย่างที่เขาต้องการกับของชิ้นแรกๆพวกนี้และสูญเสียเงินไป การต่อสู้ที่แท้จริงยังมิได้เริ่มต้นเลย คนอื่นๆต่างมีความอดทนรอให้สิ่งที่มีค่ามากกว่านี้ปรากฏขึ้นก่อนที่จะทุ่มสุดตัว”
เพราะว่าของที่มีค่ามากกว่านี้ไม่เคยแสดงขึ้นมาแต่เนิ่นๆและมักจะเผยในตอนท้ายของการประมูล เป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องไม่เสียเงินมากเกินไปก่อนที่จะไปถึงจุดนั้น ยิ่งไปกว่านี้ สมบัติที่มีค่ามากที่สุดบ่อยครั้งที่มักจะเก็บไว้เป็นความลับจนกว่าจะได้เวลาเปิดเผย ดังนั้นจึงอาจจะมีสิ่งของมาประมูลที่ไม่ได้ระบุไว้สำหรับแขกทั่วไป
“100,000 ก้อนหินวิญญาณ ครั้งที่ 1 … ครั้งที่ 2 … และขาย”
หลังจากที่ได้รับเตาปรุงยาไร้รูป ทุกคนในห้องต่างพากันมองดูการกระทำของเขาอย่างเงียบๆ พวกเขาต่างสงสัยว่าเขาจะแจกมันไปด้วยหรือไม่
และดังเช่นคนส่วนใหญ่ได้คาดหมายไว้ ซูหยางหันไปมองที่จางซิวยิงในทันทีด้วยรอยยิ้มลึกลับหลังจากที่รับเตาปรุงยาไร้รูป
“ซ-ซูหยาง…ท่านมิอาจ…” จางซิวยิงปิดปากของเธอ ไม่กล้าเชื่อจินตนาการของเธอเอง
“เช่ากำลังศึกษาการปรุงยาภายใต้หวังชูเหรินใช่ไหม ข้าสามารถได้กลิ่นของยาจากตัวเจ้า เตาปรุงยาไร้รูปนี้จักเป็นประโยชน์ต่อเจ้าอย่างมาก อย่าพูดอะไรเพียงแค่เอามันไปก็พอ” ซูหยางยื่นเตาปรุงยาสีดำไปตรงหน้าเธอ
“ข้า..ข้า..”
จางซิวยิงจนคำพูดถึงกับร้องไห้ออกมาขณะที่เธอรับเตาปรุงยาไร้รูปด้วยมือที่สั่นสะท้าน
“ขอ..ขอบคุณ..”
จางซิวยิงรู้สึกว่าไม่มีความจำเป็นสำหรับเธอที่จะพูดไปมากกว่า 2 คำนี้
ในเวลานั้นนักปรุงยาทั้งหมดพากันจ้องมองไปที่จางซิวยิงและเตาปรุงยาไร้รูปในมือของเธอด้วยสายตาอิจฉา
“เขาล่วงเกินตระกูลเฉินและนักปรุงยามากมายอย่างแท้จริง ถึงกับใช้หินวิญญาณถึง 100,000 ก้อนเพียงเพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับหญิงสาว ช่างสมชายจริงๆ ข้ามิอาจเกลียดเขาในเรื่องนั้นต่อให้พยายามก็ตาม”
“หญิงสาวคนนั้นเป็นคนรักของเขาหรือเปล่า เธอเป็นศิษย์หลักของนิกายดอกบัวเพลิงใช่ไหม ช่างเป็นหญิงสาวที่โชคดี…”
อย่างไรก็ตามไม่ใช่แค่เพียงนักปรุงยาที่อิจฉาจางซิวยิง หญิงสาวหลายคนในห้องต่างก็พากันอิจฉาเธอเช่นกัน ไม่เพียงแต่เธอมีแฟนหนุ่มที่ใจกว้างเช่นนั้นแต่เขายังหล่อเหลาและร่ำรวยอย่างไม่น่าเชื่อ ถ้าพวกเธอมีผู้ชายเช่นนั้นเป็นสามีพวกเธอเช่นกันหรืออาจเป็นเพียงแค่แฟนหนุ่ม จะมีอะไรอีกที่พวกเธอต้องการในชีวิตนี้
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 342
DC บทที่ 342: ท้าทายนิกายล้านอสรพิษอย่างเปิดเผย
หวังชูเหรินถือกระบี่ยาวที่มีตัวกระบี่เป็นสีแดงไว้ในมือ แสดงให้เห็นถึงความสง่างามของกระบี่เทพธิดาเพลิง
“สิ่งสวยงามในมือของข้านี้มิเพียงแต่แหลมคม แต่มันยังบรรจุทักษะที่เปรียบเทียบได้กับการโจมตีจากคนในระดับสูงสุดของเขตปฐพีวิญญาณไว้ภายใน แม้ว่าข้าอยากที่จะแสดงทักษะให้เห็น แต่เมื่อมันจะระเบิดโรงประมูลแห่งนี้ไป เช่นนั้นข้าจำต้องงดเว้นไว้”
“โอ้เทพเจ้า มันเป็นสมบัติวิญญญาณที่มีทักษะอยู่ภายใน”
บรรดาแขกต่างพากันตระหนก
อาวุธวิญญาณที่มีทักษะเป็นสิ่งที่หาได้ยากมากและเป็นที่ต้องการของผู้ฝึกยุทธเกือบทุกคน ในเมื่อมันยอมให้พวกเขาใช้ความแข็งแกร่งที่เหนือกว่าความสามารถปกติของพวกเขาเข้าจัดการกับศัตรูที่เหนือกว่าเขตของพวกเขา
ยกตัวอย่างเช่นถ้าผู้ฝึกยุทธในเขตสัมมาวิญญาณได้ถือกระบี่เทพธิดาเพลิง คนผู้นั้นย่อมมีโอกาสที่จะเอาชนะคนในเขตปฐพีวิญญาณเพราะว่าพลังที่เก็บไว้ในอาวุธ
ในแง่ของความสูงค่า กระบี่เทพธิดาเพลิงย่อมมีค่ามากกว่าระฆังพิษม่วงในสายตาของคนบางคน
“ราคาประมูลเริ่มต้นสำหรับกระบี่เทพธิดาเพลิงจักเป็น หนึ่งหมื่นห้าพันก้อนหินวิญญาณ” หวังชูเหรินกล่าว
“ตระกูลกังประมูลที่ หนึ่งหมื่นเจ็ดพันก้อนหินวิญญาณ”
“สำนักหงส์สวรรค์ประมูลที่ สามหมื่นก้อนหินวิญญาณ”
โรงประมูลเงียบไปชั่วขณะหลังจากที่สำนักหงส์สวรรค์พลันเพิ่มราคาไปเท่าตัวในทันที
“สาม…สามหมื่นหนึ่งพันก้อนหินวิญาณ”
“ตระกูลเยว่ประมูล สามหมื่นสองพันก้อนหินวิญญาณ”
“นิกายล้านอสรพิษประมูล สี่หมื่นก้อนหินวิญญาณ”
“ห้าหมื่นก้อนหินวิญญาณ”
แม้ว่าเขาจะเงียบมาตั้งแต่แรก แต่ทันทีที่นิกายล้านอสรพิษได้ทำการประมูล ซูหยางก็จะยกมือและประมูลทับพวกเขาทันที
ตอนนี้แขกทุกคนเห็นได้ชัดว่าเขาจงใจประมูลทับนิกายล้านอสรพิษและตบหน้าอีกฝ่ายต่อหน้าธารกำนัล
“ทำไมเขาจึงจงใจพยายามล่วงเกินนิกายล้านอสรพิษโดยเจตนา”
“อา ถ้าข้าจำมิผิด นิกายล้านอสรพิษได้ไล่ศิษย์จำนวนมากออกไปจากสำนักพวกเขา ทำให้พวกเขาเสี่ยงต่อการแตกสลาย แต่อย่างไรก็ตามนั่นยิ่งทำให้ความพยายามที่จะตบหน้าอีกฝ่ายของเขานั้นยิ่งโง่เขลา พวกเขาจะทำอะไรถ้านิกายล้านอสรพิษตัดสินใจที่จะจู่โจมสำนักของพวกเขา”
“พวกเขามีความสัมพันธ์กับอย่างนั้นรึ หือ… แต่นิกายที่อ่อนแอแบบนั้นทำไมจึงมีทรัพย์สินมากมาย ชายหนุ่มนั่นเพียงคนเดียวได้ประมูลเกินกว่าแสนก้อนหินวิญญาณไปแล้วในตอนนี้ และนี่เพิ่งจะเป็นของชิ้นที่สอง”
“บางทีเงินทั้งหมดนั่นอาจจะมอบให้กับศิษย์ที่ยังคงอยู่ ใครจะรู้”
ในเวลานั้นภายในห้องวีไอพี ฟูกวานได้กัดฟันของเขาด้วยความโกรธ
“ศิษย์เพียงคนเดียวจากสำนักอ่อนแอกล้าที่จะท้าทายนิกายล้านอสรพิษของข้ารึ ถ้ามิใช่เพราะว่าเซียนนั่น ข้าคงจะทำลายสำนักนั่นได้อย่าง่ายๆเพียงแค่ปลายนิ้วของข้า”
“ห้าหมื่นห้าพันก้อนหินวิญญาณ” ฟูกวานประมูลต่อ
“หกหมื่นก้อนหินวิญญาณ” ซูหยางประมูลทับเขาอย่างสบายๆอีกครั้ง
“ผู้อาวุโสใหญ่ ข้าต้องการให้เขาตายอย่างช้าๆและเจ็บปวด” ฟูกวานคำรามด้วยเสียงอาฆาต
ไม่นานจากนั้น ฟูกวานก็หัวเราะในใจ “ไปเลย ซื้อทุกสิ่งทุกอย่างจากโรงประมูลให้ข้า เจ้าเด็กชั่ว ครั้นเมื่อเราจัดการเจ้า ข้าก็จักได้มันจากศพของเจ้า”
เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว ฟูกวานก็ไม่ได้ประมูลของนั้นอีกต่อไป
ในอีกมุมหนึ่งภายในห้องวีไอพี เจ้าซีเหลือบมองฟูกวานด้วยหางตา หลังจากตรวจสอบซูหยาง เขาก็รู้ถึงความบาดหมางของพวกเขา
“ข้าควรหยุดพวกเขาดีหรือไม่ หรือว่าข้าควรปล่อยให้เขาจัดการมันเอง” เขาครุ่นคิดอยู่อย่างเงียบๆ
“กระบี่เทพธิดาเพลิงจะถูกขายที่หกหมื่นก้อนหินวิญญาณ”
อีกครั้ง หวังชูเหรินได้นำของไปส่งให้กับซูหยางหลังจากที่เขาจ่ายหินวิญญาณ
“ผู้นำนิกาย กระบี่นี้ค่อนข้างจะสวยงามเกินไปสำหรับข้า ท่านเอามันไปเถอะ” ซูหยางยื่นส่งกระบี่เทพธิดาเพลิงให้กับเธออย่างไม่ใส่ใจ
โหลวหลานจีอ้าปากจนกรามตกถึงพื้นเมื่อได้ยินคำพูดของเขา “จ-เจ้ากำลังพยายามทำอะไรอยู่ ซูหยาง”
เธอพลันรู้สึกสงสัยการกระทำของเขา
“มีบุญคุณต่อนิกาย” เขาตอบอย่างสบายๆ
“เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อเช่นนั้นรึ”
ซูหยางส่ายหน้าและหันไปมองดูซูหยิน ซึ่งจ้องมองดูเขาด้วยหน้าตางงงัน
“เอ้านี่ เจ้ารับมันไปเถอะ”
ในเมื่อเธอนั่งอยู่ติดกับเขา ซูหยางจึงยื่นส่งกระบี่เทพธิดาเพลิงให้กับเธอ พูดให้ถูกก็คือเขาจับมันยัดใส่เข้าไปในมือเธอ
“ข-ขอบคุณ พี่ชาย ข้าจักดูแลมันอย่างดีตลอดไป” ซูหยินรู้สึกอยากจะร้องไห้ขณะที่ความร้อนตามธรรมชาติของกระบี่เทพธิดาเพลิงถ่ายทอดความอบอุ่นเข้าสู่ร่างของเธอ
“อะไรกันวะ เจ้านี่ร่ำรวยมากเท่าไหร่กัน เขามาจากตระกูลไหน”
“หญิงสาวข้างกายเขาคือเจ้าหญิงตระกูลซู ซูหยิน และเธอเพิ่งเรียกเขาว่าพี่ชาย บางทีเขาอาจจะมาจากตระกูลซูหรือเปล่า”
“ต่อให้เป็นตระกูลซูก็มิอาจจะใช้จ่ายเงินเช่นนี้”
ผู้คนที่นั่นพลันเพิ่มความสนใจในเบื้องหลังของซูหยาง ถ้าพวกเขาสามารถเป็นเพื่อนกับคนที่ทั้งร่ำรวยและใจกว้างเหมือนเช่นเขา…
“ข้าอยากจะเป็นเพื่อนเขา ต่อให้ต้องยกลูกสาวให้กับเขา แต่น่าเสียดาย เขาได้ล่วงเกินนิกายล้านอสรพิษแล้ว มิมีค่าที่จะลากตระกูลของข้าไปสู่ปัญหา”
“เจ้าพูดถูกจุด มันเป็นเรื่องน่าเสียดายจริงๆ…”
ครั้นเมื่อหวังชูเหรินกลับคืนไปสู่เวที เธอก็พลันแนะนำของชิ้นต่อไป
“มีนักปรุงยาในที่นี้หรือไม่ ของชิ้นต่อไปไม่ควรพลาด” หวังชูเหรินเปิดเผยให้แขกเห็นเตาปรุงยาสีดำที่มีความสูงครึ่งหนึ่งของความสูงของเธอและกว้างเท่ากับผู้ใหญ่สองคน
เมื่อนักปรุงยาเห็นเตาปรุงยาสีดำ ดวงตาของพวกเขาก็พลันเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น
“นั่นคือเตาปรุงยาไร้รูป”
คนบางคนในห้องจดจำเตาปรุงยาได้
“ใช่แล้ว นี่เป็นเตาปรุงยาไร้รูปจริงๆ ถ้าท่านปรุงยาใช้เตาอันลึกล้ำนี้ คุณสมบัติของยาก็จะเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ สิบเปอร์เซ็นต์ ยิ่งไปกว่านั้น ท่านสามารถเปลี่ยนขนาดของมันตามใจปรารถนาและนำมันไปกับท่านได้ทุกที่ที่ท่านไป”
หลังจากที่กล่าวคำพูดเหล่านั้นแล้ว หวังชูเหรินก็ใช้ปราณไร้ลักษณ์ของเธอลดขนาดของเตาปรุงยาไร้รูปจนมันมีขนาดเท่ากับถ้วยชา ก่อนที่จะคืนขนาดของมันมาเป็นขนาดปกติ
“ข้าต้องได้เตาปรุงยาไร้รูปนี้ ต่อให้ข้าจะต้องหมดตัว”
“สมบัติเช่นนั้นจักสูญเปล่าเมื่ออยู่ในมือท่าน ผู้เฒ่า ให้ผู้มีเกียรติคนนี้ถือมันแทนท่านเถอะ”
บรรดานักปรุงยาที่นั่นต่างพากันจ้องมองแต่ละฝ่ายด้วยสายตาดุร้าย
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 341
DC บทที่ 341: ระฆังพิษม่วง
หลังจากประกาศชื่อของชิ้นแรกที่จะประมูล หวังชูเหรินก็เปิดผ้าคลุมที่ปิดโต๊ะเลื่อนสีแดง เผยให้แขกเห็นระฆังสีม่วงเล็กๆ
“ระฆังพิษม่วงนี้ถือได้ว่าเป็นสมบัติป้องกันตัวที่ยอดเยี่ยมสำหรับคนที่ท่านรัก ครั้นเมื่อได้รับการกระตุ้น มันก็จักสร้างเกราะรอบร่างท่านที่มิเพียงลบล้างความเสียหายเท่านั้น แต่ยังแพร่พิษใส่คนที่โจมตีอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นนอกจากว่าคนนั้นจะอยู่ในเขตอัมพรวิญญาณเป็นอย่างต่ำ มิเช่นนั้นพวกเขาก็อย่าคิดหมายที่จะทำลายเกราะป้องกันของมัน”
“ข้าจักสาธิตให้ดู”
หวังชูเหรินหยิบระฆังม่วงขึ้นมาอย่างระมัดระวังและสั่นอย่างนุ่มนวล
วินาทีถัดไปเกราะสีม่วงก็เกิดขึ้นล้อมร่างของหวังชูเหรินพร้อมกับหนามที่ดูอันตรายครอบคลุมไปทั่วเกราะนั้น
“ช่างเป็นสมบัติที่ดี”
“ข้าต้องได้สมบัติวิญญาณนี้ มีวัตถุนี้ก็เหมือนกับมีอีกชีวิต”
“ข้าจักต้องได้สมบัติชิ้นนี้แน่นอนสำหรับลูกสาวข้า ต่อให้ข้าต้องกู้หนี้ยืมสิน”
บรรดาแขกในห้องต่างพากันส่งเสียงอื้ออึงกันทันที ในเมื่อพวกเขาหลายคนต้องการวัตถุป้องกันตัวชิ้นนี้ที่สามารถป้องกันการโจมตีต่างๆจากผู้ที่ต่ำกว่าเขตอัมพรวิญญาณ
“ระฆังพิษม่วงนี้ นิกายล้านอสรพิษของเราต้องได้มันมา” ฟูกวานตะโกนออกมาอย่างตื่นเต้น
หลังจากที่วางระฆังพิษม่วงกลับลงไปบนโต๊ะ หวังชูเหรินก็ยกนิ้วทั้งสิบของเธอขึ้นและกล่าวว่า “ราคาประมูลเริ่มต้นสำหรับระฆังพิษม่วงนี้ก็คือ หนึ่งหมื่นก้อนหินวิญญาณ”
“หนึ่งหมื่นก้อนหินวิญญาณเหรอ”
ศิษย์รุ่นเยาวต่างพากันตื่นตระหนกกับราคาที่สูงเทียมฟ้า นี่เป็นครั้งแรกของพวกเขาที่ได้อยู่ใกล้กับสิ่งที่มีราคาสูงมากเช่นนั้น
“ตระกูลเจียงประมูลที่ หนึ่งหมื่นหนึ่งพันหินวิญญาณ”
“ตระกูลวูประมูลหนึ่งหมื่นหนึ่งพันห้าร้อยหินวิญญาณ”
“สำนักไม้เท้าสายฟ้าประมูลหนึ่งหมื่นสามพันหินวิญญาณ”
บรรดาแขกต่างพากันประมูลอย่างเผ็ดร้อนและภายในไม่กี่วินาทีราคาประมูลก็กลายเป็นสองหมื่นหินวิญญาณ
“นิกายล้านอสรพิษประมูลสามหมื่นหินวิญญาณ”
ฟูกวางใช้ปราณไร้ลักษณ์ของตนเองส่งเสียงจากห้องวีไอพีไปยังห้องประมูล
“นิกายล้านอสรพิษก็อยู่ที่นี่รึ” โหลวหลานจีขมวดคิ้ว เธอน่าจะรู้ว่าพวกเขาก็มาที่นี่เช่นกัน
“โอเทพเจ้า… นั่นนิกายล้านอสรพิษ พวกเขาต้องจำพวกเราได้แล้วแน่นอน”
เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์เริ่มสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว
“พี่ชาย ถ้าข้าจำมิผิด นิกายล้านอสรพิษได้ไล่ศิษย์ส่วนใหญ่ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยไป ท่านกังวลเกี่ยวกับพวกเขาหรือไม่” ซูหยินถาม
“ในสายตาของข้า นิกายล้านอสรพิษมิมีอะไรต่างไปจากตระกูลหวัง” ซูหยางยิ้ม
จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นและพูดเสียงดัง “สี่หมื่นก้อนหินวิญญาณ”
“อะไรกัน”
โหลวหลานจีและศิษย์รุ่นเยาว์พากันสะบัดหน้าหันไปมองดูซูหยางด้วยท่าทางตกใจบนใบหน้า เมื่อไหร่กันที่เขากลายเป็นคนร่ำรวยเช่นนั้น
“เป็นเจ้าเด็กนั่นอีกแล้ว… เขากล้ากระทั่งที่จะประมูลแข่งกับนิกายล้านอสรพิษ”
ในเวลานั้นภายในห้องวีไอพี ฟูกวางจ้องมองซูหยางด้วยใบหน้าค่อนข้างแดงและกำหมัดแน่น
“เช่นนั้นเจ้าต้องการที่จะสู้กับนิกายล้านอสรพิษของข้าจนถึงที่สุดรึ ดี ผู้อาวุโสคนนี้จักเล่นกับเจ้า ดูซิว่าทรัพย์สินของนิกายที่เกือบจะล้มนั้นมีมากมายพอจะเสียได้เท่าไหร่”
“ห้าหมื่นก้อนหินวิญญาณ” ฟูกวานส่งเสียงออกมาอีกครั้งภายในห้องประมูล
“หกหมื่นก้อนหินวิญญาณ” เสียงของซูหยางพลันตามติดมาชั่ววินาทีที่เสียงของฟูกวางจบลง
“จ-เจ้าเด็กชั่วร้ายนี้” ฟูกวางร่างสั่นสะท้านไปด้วยความโกรธ
อาวุธวิญญาณระดับปฐพีทั่วไปนั้นปกติจะมีราคาประมาณสองหมื่นห้าพันก้อนหินวิญญาณ แต่ในเมื่อมันเป็นสมบัติวิญญาณสำหรับการป้องกัน ราคาของมันก็จะผันผวนไปตามประสิทธิภาพ ในกรณีนี้ สมบัติป้องกันที่สามารถป้องกันการโจมตีใดๆที่ต่ำกว่าเขตอัมพรวิญญาณ จ่ายสี่หมื่นก้อนหินวิญญาณสำหรับมันก็ไม่ถือว่ามากเกินไป
อย่างไรก็ตามหากจ่ายมากกว่าหกหมื่นก้อนหินวิญญาณนั้นถือว่าเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ปกติจะถือว่าเป็นความสูญเสียมากเกินจำเป็นถึงแม้ว่าจะเป็นสถานที่ดังเช่นนิกายล้านอสรพิษ
“หกหมื่นก้อนหินวิญญาณ ครั้งที่หนึ่ง…”
“ครั้งที่สอง…”
“และมันขายให้กับชายหนุ่มคนนี้จากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย”
“ศิษย์พี่ชาย ท่านช่างร่ำรวยจริง…” เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ต่างพากันจ้องมองเขาด้วยปากที่อ้ากว้าง
หลังจากที่การประมูลครั้งแรกจบลง หวังชูเหรินเองก็ได้ยื่นส่งระฆังพิษม่วงให้กับซูหยางด้วยตนเอง
“นี่คือหินวิญญาณหกหมื่นก้อน” ซูหยางยื่นส่งถุงเก็บเงินให้เธออย่างสบาย
หวังชูเหรินใช้เวลาวินาทีหนึ่งในการยืนยันจำนวนและถ่ายเทหินวิญญาณหกหมื่นก้อนไปยังถุงเก็บเงินของเธอเองก่อนที่จะคืนถุงเปล่าให้กับซูหยาง
หลังจากที่รับระฆังพิษม่วงแล้ว ซูหยางก็หันไปดูโหลวหลานจีแล้วกล่าวว่า “ผู้นำนิกายเก็บสิ่งนี้ไว้ให้นิกาย ท่านสามารถให้มันกับศิษย์คนใดในอนาคตหรือจะใช้มันเองก็ได้”
จากนั้นเขาก็โยนระฆังพิษม่วงเข้าไปที่มือของเธอโดยไม่ลังเล ทำเหมือนกับว่ามันเป็นระฆังธรรมดา
“?!?!?!”
โหลวหลานจีรับระฆังม่วงด้วยมือสั่นสะท้านและจ้องมองเขาด้วยใบหน้างงงันหลังจากนั้น “เจ้า…เจ้ามั่นใจรี แต่นั่นเจ้าใช้เงินเจ้าเอง…”
“ถ้าท่านไม่ต้องการมัน ข้าก็สามารถให้มันกับคนอื่นก็ได้” ซูหยางตอบในฉับพลัน
“ร-ไร้สาระ ใครว่ากันว่าข้ามิต้องการมัน” ด้วยกลัวว่าเขาอาจจะเปลี่ยนใจในทันใด โหลวหลานจีโยนระฆังพิษม่วงเข้าไปในแหวนมิติของเธออย่างรวดเร็ว
“ขอบคุณมาก ซูหยาง…” เธอขอบคุณเขาหลังจากนั้น “ข้าจักให้รางวัลเจ้าสำหรับบุญคุณหลังจากนี้…”
ซูหยางไม่ได้กล่าวอะไรเพียงแค่ยิ้ม
ในเวลานั้นสายตาเกือบทุกคู่ในห้องนั้นต่างพากันมองดูโหลวหลานจีด้วยสายตาอิจฉา
“ถึงกับมีศิษย์ที่ใจกว้างเช่นนั้น เธอต้องหัวเราะแม้กระทั่งตอนหลับแน่…”
“เฮ้อออ.. ทำไมข้ามิมีศิษย์ร่ำรวยเหมือนเขาบ้าง ถึงแม้ว่าข้ามีแต่ก็ไม่มีใครในพวกเขาใจกว้างถึงหนึ่งในสิบของเขา”
“พวกเจ้าควรจะเรียนรู้จากเขา มิใช่ว่าข้าคาดหวังให้พวกเจ้าใช้หินวิญญาณนับหมื่นก้อน…”
หลังจากหวังชูเหรินกลับไปยังเวที เธอก็พลันประกาศวัตถุชิ้นที่สองสำหรับการประมูล
“สินค้าชิ้นที่สองสำหรับวันนี้เป็นสมบัติวิญญาณอีกชิ้น อย่างไรก็ตามแทนที่จะใช้ป้องกัน มันเต็มไปด้วยพลังอำนาจ ขอให้ข้าแนะนำสมบัติวิญญาณระดับปฐพีนี้ กระบี่เทพธิดาเพลิง”
“มันเป็นสมบัติวิญญาณระดับปฐพีอีกชิ้น”
“การประมูลปีนี้ยอดเยี่ยมกว่าที่ผ่านมาทั้งหมด และเราเพิ่งอยู่ที่สินค้าชิ้นที่สอง”
ผู้คนต่างพากันส่งเสียงเชียร์กระหึ่ม
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 340
DC บทที่ 340: งูเจ้าเล่ห์
หลังจากที่กลับไปยังห้องวีไอพี หวังฟูจีก็ตรงไปที่หวังชูเหรินซึ่งขมวดคิ้วแนบแน่น
“น-น้องสาว ข้ารู้ว่าเจ้าโกรธเรื่องหวังชิชงแต่–”
“เจ้าคิดว่าข้ามิพอใจกับลูกชายไร้ประโยชน์ของเจ้ารึ” หวังชูเหรินตัดบทเขาทันควัน
“นี่เพราะว่าเจ้าเป็นพี่ชายในสายเลือดของข้า ข้าจึงจักขอเตือนเจ้าไว้ตอนนี้ว่าถ้าเจ้าล่วงเกินซูหยาง ต่อให้เป็นข้าก็มิอาจจะช่วยเหลือเจ้าได้”
“ซ-ซูหยางรึ เจ้ากำลังพูดถึงเจ้าเด็กโอหังข้างล่างนั้นรึ เขาจะสามารถทำ…”
เผี๊ยะ
หวังชูเหรินสะบัดมือฟาดไปบนใบหน้าหวังฟูจีโดยไม่ยั้งมือ จนทำให้เกิดเสียงดังฟาดดังไปทั่วห้อง
คนอื่นๆต่างพากันมองดูพวกเขาด้วยท่าทางงงงันกันอยู่บ้าง ในเมื่อไม่มีใครในหมู่พวกเขาคาดว่าหวังชูเหรินจะไร้ความปรานีแม้กระทั่งกับคนในตระกูลของตนเอง
“ข้าจักมิเตือนเจ้าอีก”
หวังชูเหรินหันกายตรงไปหาเจ้าซี ซึ่งมองดูเธอด้วยสายตาสนอกสนใจ
“ท่านเจ้า ข้าขออภัยที่จักต้องขอตัวไปก่อนตอนนี้”
“ก่อนเจ้าไป ข้าใคร่ถามว่าเจ้ารู้เด็กหนุ่มข้างล่างนั่นด้วยรึ” เจ้าซีกล่าว “ดูเหมือนว่าเจ้ารู้จักเขาเป็นอย่างดี”
“…”
หลังจากเงียบไปชั่วขณะ หวังชูเหรินก็กล่าวว่า “ใช่ ท่านเจ้า”
“เจ้าคงมิถือที่จะบอกข้าเกี่ยวกับเรื่องเขาสักเล็กน้อย”
“เราได้ทำธุรกิจกันในอดีตและตอนนี้ และตอนนี้พวกเราได้สนับสนุนนิกายของพวกเขาด้วยเม็ดยาของพวกเรา” เธอกล่าว
เจ้าซีสังเกตเห็นว่าหวังชูเหรินตอบมาอย่างคลุมเครือ แต่เขาไม่ต้องการที่จะตรวจสอบเพิ่มเติมจึงแค่พยักหน้า
“เจ้าไปเถอะ” เขากล่าวหลังจากนั้น
หวังชูเหรินคำนับก่อนจากไป
ในเวลานั้นในมุมอื่นของห้องวีไอพี สองคนได้จ้องเขม็งมองไปยังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
“พวกนั้นคือนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยรึ”
“ถูกต้องแล้วผู้นำนิกาย”
“ฮึ่ม เจ้าพวกที่ดูอ่อนแอเช่นนั้นเหตุใดจึงได้รับการปกป้องจากคนที่เป็นผู้ยิ่งใหญ่เช่นนั้น ผู้อาวุโสท่านนั้นได้เห็นอะไรที่มีค่าในตัวพวกนั้นรึ”
ผู้นำนิกายของนิกายล้านอสรพิษ ฟูกวาน แค่นหายใจเย็นชาขณะที่เขาจ้องมองไปยังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยด้วยแววตาฆ่าฟัน
“ท่านผู้นำนิกาย แม้ว่าเรามิอาจจะทำอะไรก่อนหน้านี้เนื่องจากเซียนคนนั้นที่ผู้อาวุโสวานพูดถึง เราก็ยังสามารถจัดการกับพวกเขาก่อนที่จะกลับไปยังที่นั่น ว่าไปแล้วข้ายังคิดสงสัยว่าเซียนคนนั้นจะตามพวกเขามาตลอดทางถึงที่นี่หรือไม่” คนคนหนึ่งข้างฟูกวานกล่าว “ยิ่งไปกว่านั้น ผู้นำนิกายของพวกเขาก็อยู่ที่นี่ ถ้าเราจัดการกับเธอ นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจักต้องล่มลงด้วยตนเอง”
“นั่นเป็นความคิดที่ไม่เลว แต่จะเป็นอย่างไรถ้าเซียนนั่นตัดสินใจล้างแค้นและสร้างปัญหาให้กับเรา” ฟูกวานถาม
“เราเพียงแค่ผลักความรับผิดชอบไปที่คนอื่น หากปราศจากหลักฐานต่อให้เป็นเซียนก็มิอาจแตะต้องพวกเราโดยไม่เสื่อมเสียชื่อเสียง และในเวลาที่เหมาะสมที่เจ้าหนุ่มคนนั้นเพิ่งล่วงเกินตระกูลหวัง พวกเราสามารถใช้พวกเขาเป็นเครื่องปกปิดได้”
“ฮ่าฮ่าฮ่า…” ฟูกวานหัวเราะด้วยเสียงต่ำ “เจ้าช่างเป็นงูเจ้าเล่ห์ ผู้อาวุโสเหริน”
“ขอบคุณที่ชมเชย ท่านผู้นำนิกาย”
“ข้าจักปล่อยให้เจ้าจัดการเรื่องนี้ ผู้อาวุโสสูงสุด อย่าทำพลาดล่ะ” ฟูกวานกล่าวกับเขา
“มันใจได้เลย ท่านผู้นำนิกาย พวกเขาจักต้องสาบสูญไปจากโลกนี้และมิมีใครจักได้เบาะแส…”
ขณะที่นิกายล้านอสรพิษมองล่วงหน้าไปถึงการตายของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ในมุมอื่นภายในห้องวีไอพี หญิงสาวสวยสี่คนก็สนทนากันเกี่ยวกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเช่นกัน
“นั่นรึ ซูหยาง พี่ชายของซูหยิน…”
เจ้าสำนักของสำนักหงส์สวรรค์ ไป่ลี่ฮัว มองไปที่ซูหยางด้วยความสนใจเป็นที่สุด
“ซูหยินมิได้โอ้อวดแต่อย่างไรเมื่อเธอพูดว่าเขาเป็นชายที่รูปหล่อที่สุดในโลกนี้… อย่างน้อยข้ามิเคยเห็นใครที่ดูดีกว่าเขา”
ผู้อาวุโสข้างกายไป่ลี่ฮัวหัวเราะคิกคัก
“จริงแล้วถ้าสำนักหงส์สวรรค์มิได้เป็นสำนักที่มีแต่หญิงเท่านั้น ข้าคงจะยินดีเป็นอย่างยิ่งในการเชิญเขามาเข้าร่วมกับพวกเรา” ไป่ลี่ฮัวกล่าว
“นั่นใช่ผู้นำนิกายของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยด้านหลังเขา ข้าต้องชื่นชมในพรสวรรค์ของเธอ ไม่ง่ายนักที่จะยังรักษาตนให้ดูอ่อนเยาว์และสวยในวัยนั้น เธอดูมิแตกต่างจากคนที่ยังอยู่ในวัยยี่สิบ”
“เจ้าอิจฉาละสิ”
“หรือว่าเจ้าไม่”
“บางทีเราควรจะขอคำแนะนำจากเธอหลังจากงานประมูลและจะได้นำซูหยินกลับคืนมาข้างกาย”
“เอาล่ะ เงียบได้ละ การประมูลกำลังจะเริ่มแล้ว”
ในเวลานี้หวังชูเหรินได้ปรากฏตัวขึ้นบนเวทีโดยมีคนนับร้อยที่หลงไหลไปกับรูปร่างอันทรงเสน่ห์และใบหน้าสวยงามของเธอ
“ข้าต้องขออภัยสำหรับความล่าช้า เพื่อมิให้ยุ่งยาก พวกเรามาเริ่มการประมูลในเมืองหิมะร่วงสำหรับปีนี้กันเถอะ”
ทั้งห้องพากันกระหึ่มไปด้วยความตื่นเต้นจากผู้คน
“ข้าเฝ้ารอการนี้มานาน”
“ท่านช่างดูสวยงามมากในวันนี้ ผู้อาวุโสหวัง”
“ข้ารักเจ้า นางฟ้าหวัง”
ผู้คนดูเหมือนจะตื่นเต้นกับการได้เห็นหวังชูเหรินเสียยิ่งกว่าการประมูล
หวังชูเหรินคงรอยยิ้มอันสดใสบนใบหน้าเธอไว้และให้สัญญาณสาวสวยคนอื่นอีกสองคนขึ้นมาบนเวที
ผู้ช่วยสาวสวยสองคนพากันผลักโต๊ะเลื่อนสีแดงคลุมด้วยผ้าคลุมหนาขึ้นมาบนเวที
“ก่อนที่ข้าจะประกาศวัตถุชิ้นแรก ข้าจักขออธิบายกฏพื้นฐานสำหรับการประมูลในวันนี้ก่อน”
หวังชูเหรินยกนิ้วสามนิ้วและเริ่มนับพวกมัน
“อันดับแรกถ้าท่านต้องการจะประมูลวัตถุชิ้นใด ท่านต้องประมูลอย่างต่ำหนึ่งร้อยหินวิญญาณของราคาปัจจุบันของสินค้าชิ้นนั้น ถ้าวัตถุชิ้นนั้นมีราคามากกว่าหนึ่งแสนหินวิญญาณเช่นนั้นราคาประมูลต่ำสุดจะเพิ่มเป็นหนึ่งพันก้อนหินวิญญาณ ถ้ามันราคาเกินหนึ่งล้านหินวิญญาณเช่นนั้นมันจักเพิ่มเป็นหนึ่งหมื่นก้อนหินวิญญาณ”
“อันดับที่สอง เงินจักต้องจ่ายเต็มหลังจากที่ชนะประมูลและสิ่งของจะส่งให้ท่านทันทีหลังจากที่จ่ายแล้ว แต่ถ้าท่านต้องการรับของหลังจากการประมูล ก็สามารถทำเช่นนั้นได้”
“และสุดท้าย ท่านสามารถใช้สมบัติอื่นแทนหินวิญญาณได้ และนิกายดอกบัวเพลิงก็จักประมูลมันตรงนั้นเพื่อเปลี่ยนเป็นหินวิญญาณ และมูลค่าของมันก็จักขึ้นกับผลลัพธ์สุดท้าย และสำหรับผู้ที่ประมูลกับสมบัติชิ้นนั้นท่านสามารถใช้ได้เพียงแค่หินวิญญาณ”
“จากที่กล่าวไปแล้วนั้น ต่อไปนี้ข้าจักขอนำเสนอวัตถุชิ้นแรกในการประมูลในวันนี้ สมบัติวิญญาณระดับปฐพีที่มีคุณสมบัติในการปกป้อง ระฆังพิษม่วง”
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 339
DC บทที่ 339: เจ้ากำลังพยายามลากทั้งตระกูลหวังให้ล่มจมไปกับเจ้ารึ
“เฮ้ ระวังด้วยว่าเจ้าแกว่งของเล่นนั่นที่ไหนกัน มีเด็กๆอยู่ที่นี่และเจ้ากำลังทำให้พวกเขากลัว” ซูหยางชี้ไปที่ศิษย์รุ่นเยาว์ที่ต่างพากันสั่นสะท้านอยู่บนเก้าอี้ของตนเอง
“ต่อให้ผู้อาวุโสหวังเป็นป้าของเขา ก็ควรจะมีขีดจำกัดกับนิสัยของเขาบ้าง เขากล้าสะเออะอ้างว่าตนเองจักฆ่าคนในเมืองนี้ต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นตระกูลหวังก็มิได้มีอิทธิพลมากมายปานนั้น ถ้ามิใช่เพราะผู้อาวุโสหวัง พวกเขาคงมิได้รับการเชื้อเชิญให้เข้ามาในโรงประมูลนี้แต่แรกแล้ว”
ผู้คนพากันส่ายหน้าหลังจากที่ได้ยินคำพูดหวังชิชง มีจอมยุทธมากมายที่มีอำนาจล้ำลึกในที่นี้ก็ยังไม่มีใครกล้าพูดคำพูดโอหังเช่นนั้น แค่เป็นเพียงเด็กรุ่นหลังจากตระกูลเล็กๆกลับกล้าที่จะอวดอ้างว่าตระกูลหวังของเขาอยู่เหนือกฏหมาย
“ถ้ามีคนจากตระกูลซีได้ยินเช่นนี้ ตระกูลหวังต้องหาคำตอบให้กับพวกเขาหลังจากนี้”
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะไม่เห็นด้วยกับเขา แต่ก็ไม่มีใครในที่นั้นเข้าไปยุ่งเกี่ยวหยุดยั้งหวังชิชงจากการพยายามฆ่าซูหยาง ในเมื่อไม่มีใครสักคนในหมู่พวกเขาต้องการที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับทั้งสองฝ่าย
“ตายเสียเถอะ เจ้าเลว” หวังชิชงคำรามลั่น
“หยุด”
ขณะที่หวังชิชงเตรียมตัวสะบัดกระบี่ เงาร่างหนึ่งก็ตรงเข้าไปในห้องและจับแขนเขาไว้หยุดยั้งการเคลื่อนไหวของเขา
“ท-ท่านพ่อ” รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหวังชิชง ครั้นเมื่อเขาตระหนักว่าใครเพิ่งมาถึง
“ท่านมาได้ถูกเวลา ท่านพ่อ เจ้าเลวตรงนั้นกล้าที่จะตบหน้าข้าและหมิ่นเกียรติตระกูลหวังต่อหน้าคนจำนวนมาก ข้าต้องการให้เขาตาย” หวังชิชงชี้ไปทางซูหยางด้วยกระบี่
อย่างไรก็ตามหวังฟูจี พ่อของเขาพลันยกมือขึ้นและตบหน้าหวังชิชง ตะโกนด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธต่อจากนั้นว่า “คนที่หมิ่นเกียรติตระกูลหวังที่นี่มิใช่ใครอื่นนอกจากตัวเจ้าเอง เจ้ากล้าอ้างได้อย่างไรว่าเจ้าอยู่เหนือกฏหมาย เจ้ากำลังพยายามที่จะลากตระกูลหวังทั้งตระกูลลงไปกับเจ้ารี คอยก่อนเถอะ ยามเมื่อเรากลับบ้านข้าจักสั่งสอนเจ้าให้ดีเพื่อที่ว่าเจ้าจะมิได้เดินตามทางเดียวกับหวังหมิง”
“อะไรกัน” หวังชิชงเกือบหายใจไม่ออกจากความแตกตื่นหลังจากที่เห็นท่าทางควันขึ้นบนใบหน้าของพ่อของตนเอง “ต-แต่เขาตบข้าก่อน และเขาเองก็ยังรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับการตายของหวังหมิงด้วย”
หวังฟูจีขมวดคิ้วทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น และสายตาของเขาก็หันไปมองดูซูหยางซึ่งยืนอย่างสบายๆที่นั่นเหมือนกับว่าเขามิมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องราวใดๆทั้งสิ้น
“เราค่อยจัดการกับเขาทีหลัง ท่านเจ้าซี อยู่ที่นี่ เรามิอาจทำอะไรโง่เขลาต่อหน้าเขา” เขากล่าวกับหวังชิชงโดยผ่านปราณไร้ลักษณ์
“ท่านเจ้าอยู่นี่รึ” หวังชิชงตกใจเป็นอย่างมากกับข่าวนี้ สุดท้ายเขาก็ตระหนักว่าทำไมพ่อของเขาจึงหยุดเขาไว้ไม่ให้ฆ่าซูหยาง ถึงกับดุด่าเขาต่อหน้าผู้คน
“ข้าเสียใจ ท่านพ่อ ข้าจักทบทวนพฤติกรรมของข้า” หวังชิชงกล่าวก้มหน้าลง
“เจ้ากลับไปที่โรงเตี๊ยมก่อนในตอนนี้ ข้าจักจัดการเจ้าทีหลัง” หวังฟูจีกล่าวกับเขา
หวังชิชงพยักหน้าและรีบออกไปจากโรงประมูลติดตามไปด้วยเพื่อนของเขา
หลังจากที่หวังชิชงจากไปแล้ว หวังฟูจีก็เข้าไปหาซูหยางและจ้องมองเขาเขม็ง
“ข้าจักลงโทษลูกชายข้าจากการกระทำของเขาในวันนี้ แต่ข้าจักต้องให้เจ้ารับผิดชอบเช่นกันสำหรับการสร้างปัญหาให้กับตระกูลหวังของข้า อย่าคิดว่ามิมีผลใดในการล่วงเกินตระกูลหวัง สำหรับเรื่องที่เจ้ารู้เกี่ยวกับการตายของหวังหมิง ข้าจักให้เจ้าคายทุกสิ่งออกมา”
ซูหยางหัวเราะหึและกล่าวว่า “ตระกูลหวังรึ หากปราศจากหวังชูเหริน เจ้าจะมีฐานะอะไร เจ้ามิอาจแม้กระทั่งอบรมลูกของเจ้าให้ดี แต่เจ้ากลับคิดจัดการกับข้านะรึ นั่นช่างน่าขำ”
“จ-เจ้าเด็กโอหัง” หวังฟูจีไม่คาดว่าจะมีรุ่นเยาวที่ไหนก็ไม่รู้กล้าโต้เถียงกับเขาถึงขั้นด่าเขา ใบหน้าของเขาจึงแดงขึ้นทันที “แม้ว่าข้ามิอาจฆ่าเจ้า ข้าก็ยังสามารถทำให้เจ้าพิการได้ในตอนนี้”
“เจ้าต้องการทำให้ข้าพิการรึ ด้วยคุณสมบัติเช่นใดรึ พลังการฝึกปรือที่น่าขันของเจ้าที่อยู่แค่ระดับสามเขตปฐพีวิญญาณนะรึ” ซูหยางกล่าว
“…”
หวังฟูจีเบิกตากว้างขึ้นด้วยความตระหนก “เขาสามารถเห็นพลังการฝึกปรือของข้าด้วยรึ”
อย่างไรก็ตามเมื่อเขาพยายามที่จะดูพลังการฝึกปรือของซูหยางบ้าง เขากลับไม่สามารถที่จะตรวจพบอะไรทั้งสิ้น มันเหมือนกับว่ายืนอยู่ต่อหน้าคนธรรมดาที่ยังไม่เคยฝึกวิชา แต่คนที่ไม่เคยฝึกวิชาไม่ควรจะมีความสามารถหรือความแข็งแกร่งที่จะส่งหวังชิชงข้ามห้องไปด้วยการตบเพียงครั้งเดียว
“เด็กหนุ่มคนนี้… เขาเป็นคนน่ากลัวคนหนึ่ง”
ไม่เพียงแต่หวังฟูจีที่ตระหนักเช่นนี้ กระทั่งจอมยุทธคนอื่นในห้องก็สังเกตพบว่ามีบางอย่างเกี่ยวกับซูหยางผิดพลาดไป ราวกับว่าเขาซ่อนเร้นความลึกลับเอาไว้
“ในเมื่อคนคนนั้นกำลังจ้องดูอยู่ ข้าจักมิยกมือข้าในวันนี้ อย่างไรก็ตามครั้นเมื่อเจ้าจากเมืองนี้ไป อย่าได้แม้กระทั่งคิดจะหนีไปจากข้า ข้าจักให้เจ้าเผยความลับทุกอย่างของเจ้า”
หวังฟูจีแค่นเสียงเย็นชาและออกจากห้องไป
“เจ้ามิเป็นไรใช่ไหม ซูหยาง” โหลวหลานจีตรงเข้าไปหาเขาด้วยสีหน้าเป็นกังวล “ทำไมเจ้าต้องไปล่วงเกินตระกูลหวัง มิเพียงแต่เจ้าตบหน้าลูกชายคนโตของเขา แต่เจ้ายังด่าผู้นำตระกูลหวังต่อหน้าจอมยุทธมากมาย เราจะอธิบายเรื่องนี้กับหวังชูเหรินตอนนี้ได้อย่างไร”
เธอกังวลเกี่ยวกับหวังชูเหรินยิ่งกว่าตระกูลหวังทั้งหมด แม้ว่าโหลวหลานจีจะมั่นใจว่าเธอสามารถปกป้องซูหยางจากหวังฟูจี ถ้าหวังชูเหรินตัดสินใจเอาเรื่องเขา เธอคงไม่สามารถที่จะปกป้องเขาได้อีกต่อไป
“ศิษย์พี่ชาย ทั้งหมดนี้เป็นเพราะว่าพวกเราต้องการที่จะมาที่นี่และจับจองที่นั่งมากมาย…”
ศิษย์รุ่นเยาว์รู้สึกอยากจะร้องไห้ ในสายตาของพวกเขาซูหยางมีท่าทางเช่นนั้นเพราะว่าเขาต้องการรักษาที่นั่งของพวกเขาไว้
“พี่ชาย ท่านมิต้องกังวลเกี่ยวกับตระกูลหวัง ข้าจักพูดกับพ่อของเราและบีบให้เขาใช้เส้นสายบางอย่างไล่คนพวกนั้นไป” ซูหยินกล่าวกับเขาด้วยสีหน้ามั่นใจ
“ซูหยาง ข้าจักพูดกับผู้อาวุโสหวังเช่นกัน เจ้าเป็นแขกของเธอ และเธอเป็นคนให้ที่นั่งเหล่านี้แก่เจ้าด้วยตนเอง ในเมื่อหวังชิชงเป็นคนริเริ่มทั้งหมดนี้ ข้ามั่นใจว่าเธอจักเข้าใจ” จางซิวยิงก็พยายามที่จะลดทอนความกังวลของเขาเช่นกัน
“ฮ่าฮ่าฮ่า…” ซูหยางอดไม่ได้ที่จะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “ทำไมพวกเจ้าจึงกังวลมากกว่าข้าละนี่ มิมีสิ่งใดจักเกิดขึ้นกับข้าต่อให้พวกเจ้ามิได้ทำอะไรเลย”
ซูหยางกลับไปนั่งที่ของตนเองอย่างสบายและกล่าวต่อว่า “การประมูลควรจะเริ่มต้นเร็วนี้ ลืมเรื่องวุ่นวายเล็กน้อยเมื่อกี้ไปซะและสนุกไปกับโอกาสนี้ และมิต้องกล่าวโทษตัวเจ้าเองเด็กน้อย ในเมื่อมิได้มีอะไรผิดกับความต้องการที่จะมาที่นี่”
ศิษย์รุ่นเยาว์สบสายตากันไปมา ในเมื่อซูหยางดูไม่เหมือนจะมีความกังวลเลยแม้แต่น้อย พวกเขาก็จึงได้รับอิทธิพลกับทัศนคติที่ไร้กังวลของเขาเช่นกัน
“ถ้าศิษย์พี่ชายมิได้กังวล แล้วทำไมพวกเราจะต้องกังวลด้วยล่ะ”
“ใช่ กระทั่งศิษย์พี่ชายยังพูดเองว่าตระกูลหวังมิมีอะไรเลย พวกเขาจะทำอะไรได้กับพี่ชายที่มีพลังพอที่จะกำจัดโจรนับพันได้ด้วยตัวคนเดียว”
ด้วยศิษย์รุ่นเยาว์ตอนนี้ปราศจากความกังวล ทำให้โหลวหลานจีและคนอื่นได้แต่ส่ายหน้าและพยายามที่จะไม่คิดมากเกี่ยวกับพวกนั้น พวกเขาค่อยกังวลเกี่ยวกับตระกูลหวังหลังจากการประมูล
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 338
DC บทที่ 338: แขกที่ไม่คาดหมายในโรงประมูล
หลังจากที่ซูหยางตบหวังชิชงแล้ว คนที่ติดตามหวังชิชงต่างพากันร่ำร้องด้วยความหวาดหวั่น
“จ-เจ้ากำลังหาที่ตาย ผู้นำตระกูลหวังต้องกำลังดูการกระทำของเจ้าเมื่อกี้จากห้องวีไอพีแน่ แค่ว่าเมื่อไหร่ก่อนที่เขาจะมาถึง”
พวกเขาชี้ไปที่แถบกระจกสีดำเหนือพวกเขาบนผนังที่ล้อมห้องซึ่งคนที่อยู่ด้านในสามารถเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นในห้องธรรมดาได้
ในเวลานั้นในห้องวีไอพี ชายวัยกลางคนได้กำมือเป็นหมัดแน่นขณะที่สายตาของเขาจ้องเขม็งไปที่หน้าของซูหยาง
“จ-เจ้าเลวนั่นช่างกล้าตบตีลูกข้า” เขาพึมพัมขณะที่กัดฟันด้วยความโกรธ
“ฮ่าฮ่าฮ่า ผู้นำตระกูลหวัง เจ้าจะทำอะไรกับเด็กนั่นรึ เขาตบหน้าตระกูลหวังของเจ้าโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย”
แขกวีไอพีคนอื่นในห้องเริ่มยุแหย่เขาให้ลงโทษซูหยาง
“ข้ามิจำเป็นต้องให้เจ้าเตือนหรอก” หวังเชิน ผู้นำตระกูลหวังและเป็นพ่อของหวังชิชงแค่นเสียงเย็นชา “แต่ข้ามิทำอะไรในตอนนี้ เขาสามารถตบได้สำเร็จเพราะว่าลูกข้ามิได้ระวัง ตอนนี้เมื่อเขาตบหน้าชิชง ลูกข้าย่อมจักจัดการกับเจ้าเด็กนั่นด้วยตนเอง”
ขณะที่เขาพูดคำพูดเหล่านั้น ก็เห็นว่าหวังชิชงลุกขึ้นจากพื้น
“เจ้าลูกสำส่อน เจ้ากล้าตบหน้าข้าได้อย่างไร ข้าจักถลกหนังเจ้าทั้งเป็นต่อให้เจ้าเป็นเพื่อนของหวังหมิง”
หวังชิชงคำรามลั่นขณะที่เขานำเอากระบี่ที่เปล่งกลิ่นอายของสมบัติระดับปฐพีออกมาจากแหวนมิติ
“เจ้าต้องการฆ่าข้ารึ หรือเจ้าลืมไปว่าพวกเราอยู่ที่ไหนกัน หากว่าเจ้าลืมไปก็ให้ข้าเตือนเจ้าว่านี่คือเมืองหิมะร่วง ที่ซึ่งห้ามการฆ่าฟัน ถ้ามิใช่เพราะกฏนี้เจ้าคงมิมีโอกาสได้ยืนขึ้นแล้วตอนนี้ อย่าว่าแต่จะมาเห่าหอนเช่นสุนัข” ซูหยางกล่าวกับเขาด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย
“ฮ่าฮ่าฮ่า กฏแบบนั้นเป็นแค่อะไรที่คนปราศจากอำนาจหนุนหลังจักต้องปฏิบัติตาม ข้าเป็นใครกัน ข้าคือหวังชิชง ลูกชายคนโตของตระกูลหวังที่ยิ่งใหญ่ ญาติของข้าก็คือหวังชูเหริน นักปรุงยาที่ได้รับการยกย่องอย่างสูงกระทั่งตระกูลซี ต่อให้ข้าฆ่าใครสักคนแบบเจ้า ข้าก็จักมิถูกลงโทษ” หวังชิชงหัวเราะราวกับคนบ้า
ซูหยางส่ายหน้าและพึมพัม “สมกับเป็นพี่ชายของหวังหมิง”
ในเวลานั้นในห้องวีไอพี
“ฮ่าฮ่าฮ่า เหมือนที่ข้าได้กล่าวไว้ก่อนนี้ ผู้นำตระกูลหวู ลูกข้าจักจัดการเรื่องนี้เองโดยมิต้องให้ข้าช่วย” หวังเชินประกาศอย่างภาคภูมิใจ
อย่างไรก็ตามทั้งห้องกลับเปลี่ยนเป็นเงียบสงัด ตามจริงนี่เป็นความเงียบที่ผิดปกติกระทั่งหวังเชินต้องหันหลังไปโดยไม่รู้ตัวเพื่อดูว่าทำไมจึงไม่มีใครตอบสนองกับคำพูดของเขา
หลังจากที่เขาหันกลับตัวไปแล้วนั้น หวังเชินก็ตระหนักว่าทำไมทั้งห้องจึงช่างเงียบนัก
นั่นเป็นเรื่องปกติพวกเขาต่างพากันเพ่งความสนใจไปกับบางสิ่ง
“โฮ่ ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ตระกูลหวังจึงมีอำนาจมากมายเสียจนกระทั่งอยู่เหนือกฏที่บังคับใช้จากตระกูลซีของข้า”
ชายวัยกลางคนที่มีกลิ่นอายอันแหลมคมและกดดันกล่าวด้วยเสียงเยือกเย็นขณะที่เขาเดินเข้าไปในห้องวีไอพี
“ป-เป็นไปมิได้…ข-เขามาทำอะไรที่นี่” หวังเชินลืมตาโพลงด้วยความตระหนกและหวาดกลัวเมื่อเขาพบว่าใครที่เป็นคนพูดก่อนหน้านี้
“พวกเราขอคารวะท่านเจ้า”
ทุกคนในห้องวีไอพีพลันคุกเข่าข้างหนึ่งและทักทายการมาของเจ้าซี ซึ่งปรากฏตัวขึ้นโดยไม่ได้ประกาศ
ติดตามมาหลังเจ้าซีคือหวังชูเหริน สีหน้าเธอซีดเผือดและเต็มไปด้วยความกังวล
“เจ้าทำอะไรไป พี่ชายงี่เง่า” เธอร่ำร้องในใจ
“ท-ท่านเจ้า นั่นเป็นความเข้าใจผิด โปรดอย่าใส่ใจสิ่งที่ลูกชายโง่เขลาของข้าเพิ่งกล่าวไป ข้าจักอบรมเขาอย่างเหมาะสมหลังจากนี้” หวังเชิงคุกเข่าลงบนพื้นขอร้อง
อย่างไรก็ตามเจ้าซีเดินผ่านเขาและมองดูสถานการณ์ด้านหลังผนังกระจก หรือให้ชัดเจนกว่านั้น มองไปยังตัวซูหยาง
“เขามาทำอะไรที่นี่ ถึงกับมาหยอกล้อคนแบบหวังชิชง เขามิมีความละอายบ้างเลยรึ”
ในเมื่อเขารู้ถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของซูหยางแล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะดูสถานการณ์เช่นนี้เป็นเหมือนผู้แข็งแกร่งที่รังแกคนอ่อนแอขณะที่แสร้งทำตัวเป็นคนอ่อนแอ ทำให้เขาอดที่จะตั้งคำถามกับเจตนาของซูหยางไม่ได้
“ผู้นำตระกูลหวัง ถ้าเจ้ามิต้องการให้ลูกชายคนโตของเจ้าตายโดยไร้ความหมาย ข้าแนะนำให้เจ้าหยุดการกระทำอันโง่เง่าของเขาโดยเร็วในตอนนี้” เจ้าซีพลันกล่าว
“ตามประสงค์ของท่านเจ้า” หวังเชินพลันวิ่งออกไปนอกห้องทันที
“ท่านเจ้า เรื่องเจ้าคนไร้ค่าหวังชิชงนั่น ข้าขอร้องให้ท่านได้โปรดอภัยปากพล่อยๆของเขาเมื่อกี้นี้” หวังชูเหรินคำนับเขา
แม้ว่าเธออาจจะไม่สนใจมากนักเรื่องชีวิตของหวังชิชง แต่ว่าทั้งตระกูลหวังอาจจะถูกลงโทษเพราะว่าคำพูดของเขาที่อาจจะถือได้ว่าเป็นกบฏ
“เจ้ามิต้องกังวล นักปรุงยาหวัง ข้ามิใช่คนไร้เหตุผล ข้ามิลงโทษตระกูลเจ้าเพราะคำพูดเรื่อยเปื่อยของเด็กบางคน แต่นั่นคงเป็นการดีที่สุดถ้าเจ้าได้อบรมเขาให้ดีกว่านี้เพื่อที่เรื่องนี้จะได้มิเกิดขึ้นอีกในอนาคต”
“ตระกูลหวังจักมิทำให้ท่านเจ้าผิดหวัง นี่จักมิเกิดขึ้นอีกครั้ง” หวังชูเหรินกล่าวในขณะที่หัวของเธอยังคงก้มต่ำ
“ข้าจักถือว่าเจ้าได้รับปากแล้ว” เจ้าซีพยักหน้าและกล่าวต่อว่า “ระหว่างทางข้ารู้ว่าได้พูดว่าข้าจักจากไปหลังจากที่ได้เลือดงูสามฤดู แต่ข้าเพิ่งได้ตัดสินใจที่จะอยู่นานอีกหน่อย เจ้ามิต้องประกาศว่าข้าอยู่ที่นี่ ข้ามิต้องการให้มีผลกระทบต่อบรรยากาศข้างล่างนั้น”
เหตุผลเดียวที่เขามาที่นี่ตอนเริ่มต้นก็เพื่อเลือดงูสามฤดู หนึ่งในรายการพิษบนกระดาษที่ซูหยางได้ให้เขาไว้ เขาถึงต้องมาด้วยตัวเองเพราะว่าเขาไม่ต้องการที่จะเสี่ยงกับการสูญเสียสิ่งของที่ต้องการในการรักษาอาการของลูกสาวของตนเอง แต่เมื่อรู้ว่าซูหยางก็มาที่โรงประมูลเช่นกันเขาก็ไม่คิดกลับไปเร็วเกินไปนัก
“ตามความประสงค์ของท่านเจ้า” หวังชูเหรินพยักหน้า
แม้ว่านิกายดอกบัวเพลิงก็ได้ส่งบัตรเชิญไปยังตระกูลซีเกี่ยวกับการประมูล แต่ก็ไม่มีใครคาดว่าเจ้าซีจะมาด้วยตนเอง ในเมื่อพวกเขาเพียงแค่ส่งคนรับใช้มาร่วมการประมูลก่อนหน้านี้
“พวกเจ้าที่เหลือก็ควรผ่อนคลายตามสบาย ข้ามิได้มาที่นี่เพื่อทำให้พวกเจ้าทั้งหมดเกิดความเครียด” เจ้าซีพูดกับคนอื่นในห้อง
“ขอรับท่านเจ้า”
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 337
DC บทที่ 337: นายน้อยตระกูลหวัง
หลังจากที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้ที่นั่งแล้ว คนก็ไหลหลั่งเข้าไปในโรงประมูล
ไม่เหมือนกับเมืองขนนกพริ้ว โรงประมูลดอกบัวเพลิงนี้มีที่นั่งเพียงพอสำหรับคนนับพัน แต่แม้ว่าจะมีที่นั่งมากมายเพียงนั้น ห้องก็ยังเต็มอย่ารวดเร็ว
และเพราะว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจับจองที่นั่งสำหรับตนเองเกินกว่าขีดจำกัดของแต่ละกลุ่มถึงยี่สิบห้าที่นั่งดังนั้นจึงมีคนที่ไม่มีที่นั่งในโรงประมูลด้วย
“เกิดบ้าอะไรกันวะ ทำไมจึงไม่มีที่นั่ง นิกายดอกบัวเพลิงได้ส่งบัตรเชิญเต็มพอดีห้องนี้แต่กลับไม่มีที่นั่งเหลือรึ พวกเขาคำนวณที่นั่งผิดหรือว่าให้บัตรเชิญมากเกินไป”
กลุ่มของชายหนุ่มหญิงสาวพลันเข้ามาในโรงประมูลและผู้ที่นำพวกเขามาก็มองดูไปรอบโรงประมูลด้วยรัศมีรอบกายเหมือนกับว่าเขาเป็นเจ้าของสถานที่
“นายน้อยหวังดูตรงนั้น ท่านรู้จักพวกเขาหรือไม่ พวกเขาจับจองสามสิบที่นั่งสำหรับตัวเอง” คนหนึ่งในกลุ่มสังเกตนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและชี้ไปยังพวกเขา
“พวกโง่เง่าตาบอดไหนกันที่ปล่อยให้คนมากมายที่เห็นชัดว่ามาจากกลุ่มเดียวกันมาที่นี่ ขีดจำกัดคือห้าคนต่อกลุ่ม ไม่มีแม้สำนักระดับสูงใดจะเป็นข้อยกเว้นของกฏนี้”
“ใช่ กระทั่งนายน้อยหวังที่เป็นญาติของผู้อาวุโสหวังก็พาคนไปได้แค่เจ็ดคนเท่านั้น”
“มิเพียงแต่พวกเขาจับจองที่นั่งถึงสามสิบที่แต่พวกเขายังอยู่ด้านหน้าสุดของโรงประมูล นั่นเป็นที่นั่งที่ดีที่สุด”
“ตอนนี้เมื่อข้าสังเกตอย่างใกล้ชิดมิใช่ว่าส่วนใหญ่ของพวกนั้นเป็นเด็กรึ เมื่อไหร่ที่สถานที่นี้กลายเป็นสนามเด็กเล่นไปแล้ว”
“นายน้อยหวังท่านต้องพูดอะไรกับพวกเขาก่อนที่ผู้อาวุโสหวังจะพบเห็น บางทีเธออาจจะให้รางวัลท่านด้วยยาล้ำค่าของเธอ”
นายน้อยหวังพยักหน้าด้วยใบหน้าภาคภูมิใจ “ดีมาก ให้นายน้อยคนนี้จัดการกับพวกเขาเอง”
ขณะที่กลุ่มนายน้อยหวังตรงเข้าไปหานิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยคนอื่นที่สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของพวกเขาก็สังเกตเห็นเจตนาของพวกเขาได้อย่างรวดเร็ว
พวกเขาต่างเริ่มกระซิบกระซาบกัน
“เราควรหยุดพวกเขาดีหรือไม่ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเขาล่วงเกินผู้อาวุโสหวัง”
“เจ้ามิรู้จักชายหนุ่มที่นำหน้าพวกเขารึ เขาคือหวังชิชงลูกชายคนโตของตระกูลหวังและเป็นญาติคนหนึ่งของผู้อาวุโสหวัง”
“ต่อให้เขาเป็นญาติของเธอ คนหยิ่งยะโสแบบเขาซึ่งไม่สามารถเข้าใจสถานการณ์ได้ก็สมควรจะปล่อยให้อยู่ตามลำพัง”
“มีคนหลายคนที่นี่ที่มีอิทธิพลแต่ไม่มีใครกล้าที่จะเข้าไปหากลุ่มนั้น ถ้าเขายังมิอาจที่จะแยกแยะสถานการณ์นั้นออกมาเช่นนั้นเขาก็สมควรเป็นทั้งคนโง่เง่าและตาบอดจากความหยิ่งยะโส”
“เจ้าพูดถูก ข้าก็ต้องการเห็นเช่นกันว่าเรื่องนี้จะดำเนินไปอย่างไร”
คนที่นั่นมองกลุ่มของหวังชิชงตรงเข้าไปหานิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอย่างเงียบๆด้วยรอยยิ้มเยียบบนใบหน้าและความคาดหวังในดวงตา
“เฮ้ นรกที่ไหนกันทำให้พวกเจ้าคิดว่าที่นี่เป็นบ้านของเจ้ากัน” หวังชิชงยืนต่อหน้านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและพูดเสียงดัง
“แต่ละกลุ่มเพียงได้รับอนุญาตให้พาคนมาห้าคนแต่พวกเจ้ากลับนำผู้คนมาถึงสามสิบคนกระทั่งยังยึดครองที่นั่งด้านหน้าเกือบทั้งหมด ต่อให้คนอื่นมิยุ่งเกี่ยวกับเจ้า แต่ข้าจักมิยอมปล่อยให้เจ้าทำตามใจปรารถนาในที่ของข้า”
จางซิวยิงพลันขมวดคิ้วกับสิ่งที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตามก่อนที่เธอจะทันได้พูด ซูหยางก็ได้เปิดปากพูดขึ้นว่า “โอ เช่นนั้นเจ้าเป็นเจ้าของสถานที่นี้รึ นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้ยินเช่นนั้น”
“ระวังปากของเจ้าให้ดี เจ้ารู้หรือเปล่าว่าเจ้ากำลังพูดกับใครอยู่ เขาคือนายน้อยหวังลูกชายคนโตของตระกูลหวังและเป็นญาติของผู้อาวุโสหวังด้วย”
“คนที่ดูแลโรงประมูลนี้เป็นผู้อาวุโสหวัง ดังนั้นเป็นเรื่องธรรมดาที่มันก็ต้องขึ้นกับตระกูลหวังด้วย”
คนที่ยืนอยู่เบื้องหลังหวังชิชงพูด
“เจ้ารู้แล้วนะ” หวังชิชงยิ้มเยาะ “ในเมื่อตอนนี้พวกเจ้าเข้าใจฐานะของข้าแล้วพวกเจ้าก็จงไสหัวไปให้พ้นที่แห่งนี้ซะ”
“โฮ่ เช่นนั้นเจ้าก็เป็นญาติของชูเหรินเช่นกันรึ เจ้ารู้จักคนที่ชื่อว่าหวังหมิงหรือไม่” ซูหยางพลันถามด้วยรอยยิ้มลึกลับบนใบหน้า
หวังชิชงรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีจากท่าทางของซูหยาง เขาขมวดคิ้ว “เจ้ารู้จักหวังหมิงน้องชายของข้าด้วยรึ” เขาถาม
“แน่นอน ข้าจะลืมคนอย่างเขาได้อย่างไร เราเป็นเพื่อนสนิทกัน”
“ซูหยาง…” จางซิวยิงมองดูเขาด้วยดวงตาโตขึ้นเล็กน้อย
“เช่นนั้นเจ้าเป็นเพื่อนของหวังหมิงรึ” หวังชิชงพยักหน้า “เช่นนั้นเพื่อรักษาหน้าเขาซึ่งได้เสียไปแล้ว ข้าจักอนุญาตให้เจ้า เจ้าเพียงผู้เดียว อยู่ได้ คนที่เหลือไสหัวไป”
“ฮ่าฮ่าฮ่า…” ซูหยางพลันหัวเราะลั่น
“มีอะไรขำกัน” หวังชิชงขมวดคิ้ว
“เจ้าต้องการที่จะรู้หรือไม่ว่าทำไมหวังหมิงน้องชายของเจ้าจึงตาย” ซูหยางถาม
“จ-เจ้าหมายความว่าอะไร เจ้ารู้จักบางอย่างเกี่ยวกับการตายของหวังหมิงรึ” คิ้วที่ขมวดบนใบหน้าของหวังชิชงยิ่งลึกยิ่งขึ้น
“ลืมมันเสียเถอะ” ซูหยางโบกมือของเขาไม่ใส่ใจ “ข้าเดาว่าเจ้าจักต้องสนใจ”
“พูด ข้าสั่งเจ้าให้บอกข้าทุกอย่าง” หวังชิชงคำราม
รอยยิ้มบนใบหน้าของซูหยางพลันหายวับไปและดวงตาของเขาพลันเพ่งตรงไปยังหวังชิชง
“สั่งข้ารึ… เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกันที่จะมาสั่งข้าได้” ซูหยางพลันยืนขึ้นจากที่นั่งและใช้มือตบหน้าของหวังชิชงอย่างไม่คาดคิด
เพี๊ยะ
หวังชิชงซึ่งไม่สามารถตอบโต้การตบได้ทันปลิวข้ามโรงประมูลราวกับตุ๊กตาผ้าก่อนที่จะปะทะกับผนังอีกฟากหนึ่งของห้อง
ในเวลานั้นทุกคนต่างจ้องมองซูหยางด้วยดวงตาที่แทบหลุดออกมาจากเบ้า ไม่มีใครในหมู่พวกเขาจะจินตนาการว่าอีกฝ่ายจะตบหวังชิชงโดยไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย
“โอพระเจ้า เขาตบหวังชิชงรึนั่น”
“เขามิได้มาที่นี่เพียงลำพังแน่ พ่อแม่ของเขาก็ต้องอยู่อยู่นี่เช่นกัน หากว่าพวกเขารู้เรื่องนี้ ชายหนุ่มคนนั้นจักตัองได้รับผลอย่างหนักกับการกระทำของตนเองแน่นอน”
“ต่อให้เขามีความสัมพันธ์บางอย่างกับผู้อาวุโสหวัง การตบญาติของเธอจักต้องทำลายความสัมพันธ์นั้นแน่นอน”
“เขาเด็กและหัวร้อนเกินไป”
ผู้คนพากันส่ายหน้ากับการกระทำของซูหยาง
“ซ-ซูหยาง เจ้าทำอะไรลงไป” โหลวหลานจีร้องเสียงดัง “ต่อให้เขาได้ล่วงเกินเจ้า ทำไมเจ้าจึงต้องตบเขาเสียแรงเช่นนั้น เราจักต้องอธิบายเรื่องนี้ให้กับหวังชูเหรินที่ใจกว้างกับเรามากกว่าที่เราควรจะได้รับได้อย่างไร
“อะฮะ” ซูหยางยังคงรักษาท่าทางเยือกเย็นบนใบหน้าและกล่าวว่า “อย่ากังวลไป ต่อให้ข้าฆ่าเขา เธอก็จักมิกล่าวโทษข้า”
โหลวหลานจีไร้คำพูดไปในทันที
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 336
DC บทที่ 336: คนหนุ่มสาวควรอยู่ร่วมกัน
เมื่อผู้อาวุโสของนิกายดอกบัวเพลิงเห็นจางซิวยิงโอบกอดซูหยางต่อหน้าทุกคน ดวงตาของเขาก็ถลนออกมาจากเบ้าเนื่องจากความตระหนก
แต่นั่นไม่ใช่แต่เพียงเขาเท่านั้น ทุกคนที่นั่นต่างก็งงงันไปกับความใกล้ชิดสนิทสนมของพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งซูหยินซึ่งไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
แม้ว่าเธอสามารถหาข้ออ้างให้กับศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยที่หลับนอนกับเขาเนื่องมาจากการฝึกฝนของนิกาย แล้วจะมีข้ออ้างไหนให้กับสาวคนใหม่นี้ที่ถือว่าเป็นคนนอก
“เกิดอะไรขึ้นที่นี่ผู้อาวุโสโจว” จางซิวยิงมองดูเขาด้วยดวงตาหรี่เรียว
หลังจากที่ใช้เวลาสงบใจลงชั่วขณะ ผู้อาวุโสโจวก็อธิบายสถานการณ์ให้กับเธอ
“ไม่เพียงแต่พวกเขามาที่นี่พร้อมกับคนกว่าสามสิบคน แต่พวกเขายังกระทั่งพยายามที่จะหลอกคนงานนี้ด้วยบัตรเชิญปลอม เขามิเคารพผู้อาวุโสหวัง หลังจากที่ข้าพยายามจะแก้ไขนิสัยเขา เขากลับข่มขู่ข้า-นิกายดอกบัวเพลิง ข้ามีพยาน”
“ผู้อาวุโสนี้มิได้โกหก ชายหนุ่มคนนั้นได้ข่มขู่ผู้อาวุโสว่าเขาจักเข้าไปในโรงประมูลไม่ว่าวิธีใดก็วิธีหนึ่ง”
พยานเลือกเข้าข้างด้านนี้
“บัตรเชิญปลอมนี่อยู่ที่ไหน ข้าต้องการดูมัน” จางซิวยิงออกคำสั่ง
“มันอยู่ตรงนี้” คนงานรีบไปเก็บบัตรเชิญที่เขาโยนทิ้งไปเหมือนขยะและยื่นส่งให้กับเธอ
จางซิวยิงใช้เวลาชั่วขณะในการดูบัตรเชิญ
“เจ้าเห็นหรือยังตอนนี้ ศิษย์จาง ต่อให้เขาเป็นหนึ่งในเพื่อนของเจ้า เราก็จะต้องลงโทษเขาที่–”
“หุบปาก” จางซิวยิงขัดเขาในทันที
“เจ้าตาบอดหรืออย่างไร ตาพวกเจ้าเพียงมองแต่บัตรหรูหราหรืออย่างไร ถ่านี่มิใช่ลายมือของผู้อาวุโสหวัง ข้ายินดีที่จะวิ่งเปลือยกายรอบเมือง” จางซิวยิงฟาดบัตรเชิญไปที่ใบหน้าผู้อาวุโสโจว
“อะไรกัน นี่เป็นไปได้อย่างไรกัน” ในเมื่อเขาไม่ได้ดูบัตรเชิญ เขาจึงไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าใครเป็นคนเขียน
“ซิวยิง เขากระทั่งมองจดหมายเชิญก่อนที่จะกล่าวหาพวกเราว่านำบัตรเชิญปลอมมา ยังมิทำเลย” ซูหยางพลันฟ้องทำให้หน้าผู้อาวุโสโจวซีดเผือด
“อะไรกัน เจ้าทำสิ่งโง่เง่าเช่นนี้ทั้งที่เป็นผู้อาวุโสได้อย่างไรกัน” จางซิวยิงขมวดคิ้ว
“อา คนรับใช้ตรงนั้นถึงกระทั่งทิ้งจดหมายเชิญที่เขียนด้วยตัวหวังชูเหรินเองลงบนพื้น”
ในเมื่อเขาถูกผู้อื่นฟ้องนั่นย่อมจะเป็นการสูญเสียถ้าเขาไม่กระทำเช่นนี้กับคนอื่นบ้าง
“โอ วีรบุรุษผู้กล้าคนไหนกันที่กล้าโยนจดหมายเชิญของหญิงสาวคนนี้ลงบนพื้น”
เสียงอันคุ้นเคยอีกเสียงหนึ่งพลังส่งมาและหวังชูเหรินที่มีรูปร่างสง่างามพลันปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขาจากความว่างเปล่า
“ผู้อาวุโสหวัง”
ทุกคนที่นั่นต่างพากันโค้งให้กับเธอทันทีที่เธอมาถึง
หวังชูเหรินไม่สนใจผู้ใดและรับบัตรเชิญจากจางซิวยิงและเหลือบดูมัน
“นี่เป็นจดหมายเชิญที่ข้าเขียนเอง…และได้นำไปส่งที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยด้วยตัวข้าเอง และเจ้าโยนมันทิ้งเหมือนกับว่ามันเป็นขยะรึ”
หวังชูเหรินตรงเข้าไปหาคนงานชายด้วยท่าทางโกรธ
คนงานที่เธอมองดูพลันเป็นลมไปจากความตระหนกหลังจากที่รับรู้ถึงจิตสังหารจากสายตาของเธอ
กระทั่งผู้อาวุโสโจวก็ยังสั่นสะท้านราวกับเป็นบ้า
“ชูเหริน ในเมื่อเจ้าอยู่ที่นี่ในตอนนี้ มิมีเหตุผลใดที่จะปล่อยให้พวกเรายืนรออีกต่อไป เจ้าสามารถจัดการพวกเขาทีหลัง” ซูหยางกล่าวกับเธอ
“เจ้าพูดถูก ข้ามิควรเสียเวลาอันมีค่าของข้ากับขยะเช่นพวกเขา ตามข้ามา”
“ข้าจักจัดการกับเจ้าทีหลังผู้อาวุโสโจว” เธอกล่าวกับเขาด้วยเสียงแผ่วเบาก่อนปล่อยอีกฝ่ายอยู่ตามลำพัง
“อย่างไรก็ตามข้าได้นำคนสามสิบคนมากับข้าด้วย ถ้าเจ้ามิถือ” ซูหยางชี้ไปยังศิษย์รุ่นเยาว์ด้านหลังเขา
“สามสิบคนรึ… ที่นั่งในห้องวีไอพีมีไม่พอสำหรับคนมากมายปานนี้ต่อให้ข้าเตะทุกคนออกไป” เธอกล่าวด้วยเสียงครุ่นคิด
“เรามิต้องการห้องวีไอพี เพียงแค่แบบธรรมดาก็ใช้ได้แล้ว”
“ได้ถ้าเจ้าว่าเช่นนั้น” ซูหยางพยักหน้า
เธอจึงนำนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเข้าไปในโรงประมูลและให้ที่นั่งพวกเขาเกือบทั้งหมดด้านหน้าซึ่งพวกเขาสามารถเห็นเวทีประมูลได้อย่างชัดเจนที่สุด ส่วนคนที่ได้นั่งอยู่ที่นั่นก่อนแล้วหวังชูเหรินได้ขอร้องพวกเขาอย่างสุภาพให้เปลี่ยนที่นั่ง และบอกว่าพวกเขาจะได้รับการชดเชยในภายหลัง
แน่นอนว่าต่อให้พวกเขาเป็นคนที่มีอำนาจหนุนหลัง ก็ไม่มีพวกเขาคนไหนกล้าที่จะโต้เถียงกับหวังชูเหรินที่กระทั่งบรรพบุรุษของพวกเขายังไม่กล้าล่วงเกิน
“คนพวกนั้นเป็นใครกัน ถึงกับต้องมีผู้อาวุโสหวังหาที่นั่งให้กับพวกเขาด้วยตนเองกระทั่งทำให้แขกคนอื่นเปลี่ยนที่นั่งให้กับพวกเขา พวกเขาต้องเป็นพวกมีอำนาจหนุนหลังแน่”
“พวกเขากระทั่งนำคนมาด้วยถึงสามสิบคนในขณะที่พวกเราทั้งหมดจำกัดไว้ที่ห้า”
หลังจากที่ได้รับที่นั่งของพวกเขาแล้ว โหลวหลานจีก็ได้ถามหวังชูเหรินด้วยสีหน้ากังวล “ท่านมั่นใจว่านี่ไม่เป็นไร พวกเรามิสร้างปัญหาให้กับท่านที่ยึดเอาที่นั่งคนอื่นรึ”
“อย่ากังวลเรื่องนั้น ถ้าพวกเขากล้าสร้างปัญหาข้าก็จักเพียงแค่ปฏิเสธที่จะขายยาให้พวกเขาเท่านั้นเอง ฮ่าฮ่าฮ่า” หวังชูเหรินเจตนาหัวเราะเสียงดังพอที่จะให้ทุกคนในห้องได้ยินคำพูดของเธอ
“ศิษย์จางทำไมเจ้ามิอยู่เป็นเพื่อนกับพวกเขาหน่อยในขณะที่ข้ากลับไปทำงาน” หวังชูเหรินพลันกล่าวกับเธอ
“เอ๋ แต่ว่างานของข้าล่ะ”
“คนอื่นจักจัดการมันแทน เจ้าได้ทำงานหนักมากระยะหลังนี้ ดังนั้นข้าจักให้เจ้าได้พักครั้งนี้”
“ขอบคุณผู้อาวุโสหวัง” จางซิวยิงคำนับเธอ
หลังจากที่หวังชูเหรินจากไป จางซิวยิงก็มองไปยังที่นั่งข้างตัวซูหยางแต่อนิจจานั่นถูกจับจองไปแล้วโดยโหลวหลานจีและซูหยิน
“ลืมมันไปซะ ข้ามิให้ที่นั่งของข้าแน่นอนต่อให้เจ้าขอร้องก็ตาม” ซูหยินรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรและกล่าวขึ้นก่อน
จางซิวยิงยิ้มขื่นขมและกล่าวว่า “อย่ากังวลไปข้ามิแย่งที่นั่งของเจ้าหรอก”
โหลวหลานจีสังเกตเห็นความขมขื่นในรอยยิ้มของจางซิวยิง จึงยิ้มในใจ
“คนหนุ่มสาวควรอยู่ร่วมกัน เจ้านั่งที่ของข้าเถอะ” เธอกล่าวขณะที่ยืนขึ้นและไปนั่งที่อื่น
“ข-ขอบคุณ” จางซิวยิงรีบคำนับให้กับเธอก่อนที่จะนั่งเก้าอี้นั้น
“ข้าคิดถึงท่านเหลือเกินซูหยาง” จางซิวยิงกล่าวกับเขาด้วยใบหน้าแดง
“ในเมื่อเจ้าคิดถึงข้าเจ้าก็ควรไปหาข้าที่โรงเตี๊ยมของข้าเมื่อเจ้ามีเวลาว่าง เราจักพูดคุยกันเป็นส่วนตัวเหมือนครั้งที่แล้วเป็นไง” ซูหยางกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“อื้อ…” จางซิวยิงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
บทที่ 335 บัตรเชิญปลอม
“หวาวว ช่างเป็นอาคารที่สวยจัง”
เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ต่างแสดงท่าทางหวาดหวั่นอยู่ตรงหน้าโรงประมูล
ดอกบัวเพลิงที่ระบายลวดลายด้วยทองและสิ่งประดับราคาแพงอื่น ๆ
“เอาล่ะ หยุดยืนนิ่งอยู่ที่นี่และเข้าไปข้างในกันก่อนที่เก้าอี้จะหมดไป”
โหลวหลานจีปรบมือเพื่อเรียกความสนใจของพวกเขา
อย่างไรก็ตามขณะที่พวกเขาตรงเข้าไปยังทางเข้า หนึ่งในคนงานของ
ที่นั่นก็ได้หยุดพวกเขาไว้ไม่ให้เข้า
“ขออภัย แต่พวกท่านมาจากสำนักไหน” เขาถาม
“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย” โหลวหลานจีกล่าว “มีปัญหาอะไรรึ”
“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยรึ” คนงานชายคนนั้นมองทั่วรายการในมือ
แล้วส่ายหน้าหลังจากนั้น “ข้าขออภัยแต่ข้ามิพบเจอนิกายกุสุมาลย์
พ้นพิสัยในรายการแขกวันนี้ การประมูลปีนี้เพียงเปิดให้สำหรับผู้ที่
ได้รับคำเชิญเท่านั้น”
“อะไรนะ เรามิได้รับเชิญรึ เป็นเช่นนั้นได้อย่างไร เราก็ได้รับ
จดหมายเชิญนะ”
“รายการนี้ได้ถูกดูทั่วแล้วมิต่ำกว่าสิบครั้งจากคนจำนวนมากที่นั่น
และย่อมมิมีปัญหากับมันแน่นอน” คนงานส่ายหน้า
“ยิ่งไปกว่านั้นจำนวนจำกัดของแขกแต่ละกลุ่มสามารถพามาได้อย่าง
มากก็เพียงห้าคน ขณะที่พวกท่านพามาไม่ต่ำกว่าสามสิบคน เช่นนั้น
นั่นเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน”
“ผู้นำนิกาย ทำไมท่านต้องเสียเวลาพูดกับเขาในเมื่อเพียงแค่ท่าน
สามารถแสดงจดหมายเชิญให้กับเขาเท่านั้น” ซูหยางดูเธออย่าง
ประหลาดใจ
“โอ จริงด้วย” โหลวหลานจีที่ไม่ได้คิดเช่นนั้นมาก่อน พยักหน้า
เธอนำบัตรเชิญที่ส่งตรงด้วยตัวหวังชูเหรินเองมาแสดงให้กับคนงาน
คนงานมองดูบัตรเชิญสีทองด้วยท่าทางประหลาด
“พวกเจ้าคิดว่าข้าโง่รึ” คนงานชายนั้นส่ายหน้าและโยนบัตรเชิญนั้น
ไปด้านข้างราวกับว่ามันเป็นขยะ
“เจ้าคิดว่าข้ามิสามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างบัตรเชิญจริง
กับปลอมอย่างนั้นรึ มิเพียงแต่บัตรนั้นขาดสัญลักษณ์นิกายดอกบัว
เพลิง แต่บัตรเชิญทั้งหมดที่ถูกส่งไปมิมีบัตรไหนที่ดูเป็นแบบนั้น”
“เป็นไปมิได้…หรือว่ามีใครสักคนเล่นตลกกับพวกเรา” โหลวหลาน
จีงุนงง แต่เธอจำได้อย่างชัดเจนว่าผู้อาวุโสอ้างว่าหวังชูเหรินได้จัดส่ง
บัตรเชิญด้วยตนเอง ทำไมเธอจึงต้องทำเช่นนี้กับพวกเขา
“เฮ้ เกิดอะไรขึ้นที่นี่รึ มีปัญหาอะไรรึ”
ทันใดนั้น ชายวัยกลางคนก็ตรงเข้ามาหาพวกเขา
“ผู้อาวุโส คนเหล่านี้พยายามที่จะแอบเข้าไปในงานประมูล พวกเขา
กล้ากระทั่งที่จะปลอมบัตร” คนงานชายกล่าวกับผู้อาวุโสที่เข้าไปหา
“บัตรเชิญปลอมรึ ข้าต้องการเห็นว่าใครกล้ามาวางท่า”
ชายวัยกลางคนนั้นที่ดูเหมือนจะเป็นผู้อาวุโสนิกายจากนิกายดอกบัว
เพลิงมองดูนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร
“แสดงสถานะพวกเจ้าออกมา” เขาพูดด้วยเสียงกดดัน
“พวกเราเป็น…”
ขณะที่โหลวหลานจีอ้าปากขึ้น ซูหยางพลันก้าวเท้ามาข้างหน้า
ขัดจังหวะเธอ
“บอกให้หวังชูเหรินออกมาที่นี่ ข้ารู้ว่าเธออยู่ข้างใน” เขากล่าวด้วย
เสียงเย็นชา
“พวกเจ้าคิดว่าพวกเจ้าเป็นใครกัน กล้าดียังไงจึงเรียกผู้อาวุโสหวัง
ด้วยน้ำเสียงแบบนั้น”
ชายวัยกลางคนพลันเปลี่ยนเป็นก้าวร้าว
“เกิดอะไรขึ้นที่นั่น”
“ถึงกับล่วงเกินนิกายดอกบัวเพลิงที่นี่ พวกเขามาจากสำนักไหนกัน
ช่างเป็นพวกโง่เง่า…”
คนอื่น ๆ ที่นั่นต่างพากันสังเกตเห็นสถานการณ์นี้ พวกเขาบางคน
กระทั่งตรงเข้ามาหาพวกเขาด้วยเจตนาที่จะสนับสนุนนิกายดอกบัว
เพลิงหวังที่จะได้มีบุญคุณในภายหลัง
“ข้ามิรู้ว่าพวกเจ้ามุดออกมาจากรูไหนแต่ไสหัวไปซะ ที่นี่มิใช่
สถานที่สำหรับเด็ก”
“ถ้าเจ้ามองหาสนามเด็กเล่น มีที่หนึ่งห่างจากที่นี่ไปสิบนาที”
“อย่าสนใจพวกขอทานพวกนี้ ท่านผู้อาวุโสจากนิกายดอกบัวเพลิง
ถ้าพวกเขากล้าสร้างปัญหามากกว่านี้ ข้าจักทุบตีพวกนี้ให้แก่ท่าน”
“พวกเจ้ากล้าหยามพี่ชายของข้าได้อย่างไร ข้าจักทุบตีเจ้าตอนนี้เลย”
ซูหยินพลันก้าวออกมาข้างหน้าอย่างควันขึ้นหน้า
“ศิษย์ของสำนักหงส์สวรรค์”
คนที่นั่นต่างพากันจดจำลวดลายบนชุดของเธอได้ในทันที
“นี่หมายความว่าเจ้ามิยอมให้พวกเราเข้าไปข้างในมิว่าเหตุใดก็ตาม
รึ” ซูหยางถามด้วยท่าทางเรียบเฉย
“ถูกต้อง” ชายวัยกลางคนยืนยัน
“อืมม.. นั่นมีปัญหาอยู่ ข้าได้สัญญากับเด็ก ๆ เหล่านี้ว่าข้าจักให้พวก
เขาได้มีประสบการณ์การประมูลในวันนี้ ดังนั้นข้าจักต้องเติมเต็มสิ่ง
นั้นมิทางใดก็ทางหนึ่ง..” ซูหยางพูดด้วยดวงตาที่หรี่ลง
“โฮ่ เจ้ากำลังข่มขู่ข้า นิกายดอกบัวเพลิงรึ” ชายวัยกลางคนพลันระเบิด
เสียงหัวเราะ “พวกท่านได้ยินนั่นหรือไม่เพื่อน เจ้าเด็กเหลือขอนี่เพิ่ง
ข่มขู่ข้า ฮ่าฮ่าฮ่า”
“ข้าได้เหยียบนิกายดอกบัวเพลิงไปแล้วครั้งหนึ่ง นั่นย่อมมิแตกต่าง
ถ้าข้าทำซ้ำอีกครั้ง…” ซูหยางส่ายหน้าและเตรียมตัวที่จะดึงกระบี่
ออกมา
อย่างไรก็ตามเสียงอีกเสียงหนึ่งพลันดังขึ้น
“เกิดอะไรขึ้นที่นี่ ทำไมจึงมีความวุ่นวายเช่นนี้ พวกเจ้าต้องการให้ข้า
รายงานเรื่องนี้กับผู้อาวุโสหวังรึ”
นั่นเป็นเสียงของหญิงที่ค่อนข้างเยาว์
ไม่นานหลังจากนั้นหญิงสาวน่ารักเยาว์วัยสวมชุดศิษย์หลักของ
นิกายดอกบัวเพลิงก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าพวกเขา
ดวงตาซูหยางมีแสงแวววาวอย่างลึกลับเมื่อเขาเห็นหญิงสาวคนนี้
“ศิษย์จาง เจ้ามาได้ถูกเวลา คนพวกนี้จากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้
สร้างความวุ่นวายที่นี่ พวกเขาพยายามที่จะแอบเข้าไปด้านในด้วย
บัตรเชิญปลอม” ชายวัยกลางคนกล่าวกับศิษย์จางคนนี้ด้วยน้ำเสียง
นบนอบแม้ว่าจะอาวุโสกว่า
“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยรึ”
ศิษย์จางคนนี้เลิกคิ้วเมื่อเธอได้ยินชื่อนี้
“อย่ากีดขวางทางข้า” เธอตะโกนใส่พวกเขา
ไม่นานนักหลังจากที่ศิษย์จางเห็นใบหน้าหล่อเหลาของซูหยาง
ดวงตาเธอก็เปิดกว้างขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“ซูหยาง”
เธอพลันโถมตัวเข้าไปหาเขาและกอดเขาไว้แน่นสร้างความตระหนก
ให้กับคนแถวนั้น
“จางซิวยิง ไม่ได้พบกันสักพักแล้วนะ” ซูหยางยิ้ม
“ท่านมาทำอะไรที่นี่ซูหยาง ถ้าข้ารู้ว่าท่านจะมาข้าจักต้องมาต้อนรับ
ท่านด้วยตัวเองแน่นอน” จางซิวยิงต้องการจูบเขาตรงนั้นแต่ว่ามีคน
โดยรอบมากมายเกินไปทำให้การกระทำเช่นนั้นเป็นได้ยาก
“ข้าควรถามเจ้าคำถามนั้น ทำไมเจ้ามาที่นี่ อย่าบอกว่าเจ้าถูกเลือกให้
เป็นผู้ช่วยอีกแล้ว” เขาหัวเราะหึ
“แม้ว่าข้าอยู่ที่นี่ในฐานะผู้ช่วย แต่ตำแหน่งของข้าตอนนี้เพียงต่ำกว่า
ผู้อาวุโสหวัง” เธอหัวเราะ
“โอ นี่ช่างน่าประหลาดใจ ในเมื่อเจ้ามีอำนาจมากมาย เจ้าควรสามารถ
จัดการปัญหานี้ได้อย่างง่ายดายใช่ไหม”
จางซิวยิงพยักหน้า “อย่ากังวล ในเมื่อข้าอยู่ที่นี่เรื่องนี้จะถูกจัดการ
โดยเร็ว”
บทที่ 334 วันประมูล
สามชั่วโมงหลังจากที่ซูหยางออกไปจากห้องพร้อมกับซุนจิงจิงและ
ฟางซีหลาน สุดท้ายซูหยางก็กลับมาที่ห้องซึ่งซูหยินได้ตื่นรอเขาอยู่
ตลอดเวลา
“นอนมิหลับรึ” เขาถามเธอ
“ข้าต้องการหลับด้วยกัน” เธอตอบด้วยรอยยิ้ม
ซูหยางไม่ได้พูดอะไรเพียงแค่พยักหน้าก่อนที่จะตรงไปยังที่นอนผืน
หนึ่ง
ซูหยินติดตามไปนอนข้างเขาด้วยสีหน้าพึงพอใจ
“ว่าไปแล้วหญิงสาวสองคนนั้นไปไหนแล้ว นี่ก็เป็นห้องของพวก
เธอด้วยเช่นกันมิใช่หรือ” เธอคิดสงสัยว่าทำไมเขาจึงกลับมาคนเดียว
“พวกเธอหลับที่อีกห้องไปเรียบร้อยแล้ว”
“อย่างนั้นรึ…”
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นลมหายใจของซูหยินก็สงบลง นับตั้งแต่ซูหยาง
“สูญหาย” ไปนี่เป็นครั้งแรกของเธอที่ได้หลับอย่างเป็นสุข
ยามเช้าตรู่ เหยาหนิงก็ลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ และเห็นซูหยินหลับอยู่
ข้างซูหยางด้วยรอยยิ้มเปี่ยมสุขบนใบหน้า
“เด็กคนนี้…” เธอก็ยิ้มตามไปด้วยเมื่อเห็นใบหน้าสงบสุขนั้น
หลังจากนั้นชั่วขณะซูหยางก็ตื่นขึ้นตามด้วยซูหยิน
“ท่านจะทำอะไรวันนี้พี่ชาย” เธอถามเขา
“นอกจากฝึกวิชาแล้วก็มิมีอะไรทำอีกก่อนที่การประมูลจะมาถึง”
เขากล่าว
“เช่นนั้นปกติท่านทำอะไร”
“ข้าก็ฝึกวิชา”
“เจ้าหมายถึงมีเพศสัมพันธ์” เหยาหนิงพูดขำ
“ถ้านั่นเป็นสิ่งที่เจ้าต้องการจะเรียก” ซูหยางยิ้ม
“พวกเจ้าเหล่าหญิงจะทำอะไรก็ได้ตามที่ต้องการจนถึงตอนนั้น ข้า
จะไปทำการฝึกฝนแล้ว”
หลังจากที่ซูหยางจากห้องไป เหยาหนิงก็ถอนหายใจเสียงดัง “ช่าง
เป็นพี่ชายที่ไร้หัวใจ น้องสาวสุดที่รักของตนเองอยู่ที่นี่ แต่เขายังกล้า
ที่จะทำสิ่งที่ไร้ยางอายกับหญิงคนอื่น พวกเราควรจะกลับไปสำนัก
กันเถอะ”
“นั่นช่วยไม่ได้” ซูหยินส่ายหน้า “นี่เป็นวิถีชีวิตของพวกเขา ต่อให้
พวกเรามิได้อยู่ที่นี่ พวกเราก็ยังคงต้องฝึกฝนอย่างโดดเดี่ยวจนกว่า
จะถึงการแข่งขัน”
ขณะที่ซูหยินดูเยือกเย็นภายนอกเธอกลับอิจฉาเหล่าศิษย์เหล่านั้นอยู่
ภายในเมื่อพวกเธอเหล่านั้นสามารถที่จะกอดซูหยางได้อย่างง่ายดาย
ไม่เหมือนเธอที่ผู้คนมากมายจะต้องเลิกคิ้วถ้ากระทำอย่างเปิดเผย
“อย่างไรก็ตามความอิจฉานี้ก็จักคงอยู่แค่ก่อนข้าเข้าร่วมกับนิกาย
กุสุมาลย์พ้นพิสัย ครั้นเมื่อข้าก็เป็นศิษย์ของนิกายของพวกเขาเช่นกัน
ข้าก็จักสามารถที่จะกอดเขาตามที่ข้าต้องการ” ซูหยินคิดกับตนเอง
ในเมื่อการคิดแบบนี้เป็นสิ่งเดียวที่สามารถควบคุมความอิจฉาของ
เธอให้อยู่ภายใต้การควบคุมได้
และสำหรับสองวันถัดไปซูหยางก็ได้ฝึกวิชาร่วมกับเหล่าศิษย์ขณะที่
ซูหยินและเหยาหนิงก็ได้ฝึกวิชากันตามลำพังในห้องจนกระทั่งถึง
เวลาหลับ
“เจ้าทำเช่นนี้ได้ทั้งวันทุกวันได้อย่างไร เจ้ามิหมดแรงบ้างรึ ต่อให้
จิตใจเจ้าสามารถทนได้แต่ว่าร่างกายของเจ้าทำงานต่อเนื่องอย่างนี้
ได้อย่างไร” เหยาหนิงอดที่จะถามเขาไม่ได้
ต่อให้ชายคนนั้นจะไม่ล้มป่ วยลงเพราะว่าสนุกกับหญิงสาวมากมาย
ทุกวัน ร่างกายของเขาก็ไม่ควรจะสามารถรับแรงกดดันไหวโดย
เฉพาะอย่างยิ่งถ้าปราณหยางของเขาถูกดูดออกไปจากร่างอย่าง
ต่อเนื่อง
“หรือว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมีวิชาที่ทำให้ชายมีกำลังวังชามิสิ้นสุด”
“โฮ่ เจ้าสนใจในร่างกายของข้ารึ ต้องการให้ข้าแสดงให้ดูหรือไม่” ซู
หยางถามด้วยรอยยิ้มยั่วเย้า
“มิมีทาง” เหยาหนิงแค่นเสียงเย็นชา
“พี่ชายข้าพร้อมไปแล้ว” ซูหยินกล่าวขณะที่เธอตรงไปที่ประตู
ซูหยางพยักหน้า “คนอื่นรออยู่ที่ชั้นล่างแล้ว เราไปกันเถอะ”
หลังจากนั้นซูหยาง ซูหยินและเหยาหนิงก็เดินลงไปยังชั้นล่างที่กลุ่ม
ของศิษย์รุ่นเยาว์รวมตัวกัน
“พวกเขาก็ล้วนเป็นศิษย์จากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยรึ” นี่เป็นครั้งแรก
ที่ซูหยินเห็นพวกเขานับตั้งแต่เธอมา “ทำไมข้าจึงมิเห็นพวกเขามา
ก่อน”
“เพราะว่ามีบางอย่างที่ผู้นำนิกายได้พูดกับพวกเขา ทำให้พวกเขามิ
กล้าที่จะออกจากห้องนอกจากจะเป็นเวลาเร่งด่วน…” ซูหยางส่าย
หน้า
“แต่แน่นอนว่าพวกเขาก็เป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเช่นกัน”
“พวกเขาเห็นชัดว่าอายุยังไม่ถึงเกณฑ์ อย่าบอกข้าว่าพวกเขาก็…”
เหยาหนิงปิดปากตนเองด้วยความตระหนกและรังเกียจ
“ใจเย็น แม้ว่าพวกเขาจะเป็นศิษย์แต่พวกเขาก็ถูกห้ามมิให้ฝึกวิชา
จนกว่าพวกเขาจะเป็นผู้ใหญ่มีอายุถึงสิบหกปี ถ้าซูหยินเข้าร่วมนิกาย
กุสุมาลย์พ้นพิสัยในตอนนี้เธอก็จักเป็นหนึ่งในหมู่พวกเขาจนกว่า
เธอจะกลายเป็นผู้ใหญ่”
“โอ… ข้าต้องขอโทษสำหรับเรื่องเมื่อกี้นี้” เหยาหนิงขอโทษกับ
ความเข้าใจผิดของตัวเธอเอง
“ดูสิ ศิษย์พี่ชายอยู่ที่นี่”
เมื่อศิษย์รุ่นเยาว์สังเกตเห็นเขาพวกเขาก็พากันส่งเสียงเอะอะในทันที
“หญิงสองคนนี้เป็นใครกัน”
พวกเขาถามทันทีที่สังเกตเห็นซูหยิงและเหยาหนิงซึ่งไม่ได้อยู่ใน
นิกายของพวกเขา
“ข้าชื่อซูหยิน และนี่คือเหยาหนิง เราทั้งคู่เป็นศิษย์ของสำนักหงส์
สวรรค์” ซูหยินพูด
“ซูหยินรึ”
บรรดาศิษย์รุ่นเยาว์มองไปยังซูหยางซึ่งมีนามสกุลเดียวกัน
“เขาเป็นพี่ชายของข้า เราทั้งคู่มาจากตระกูลซู” ซูหยินยืนยันความ
สงสัยของพวกเขา
“มิมีทาง ศิษย์พี่ชายมีน้องสาวด้วยรึ”
“สมกับเป็นน้องสาวของศิษย์พี่ชาย เธอช่างสวยจริง”
“น่าอิจฉาเหลือเกิน ข้าก็ต้องการมีพี่ชายเหมือนศิษย์พี่ชายเช่นกัน”
บรรยากาศยิ่งอึกทึกยิ่งกว่าเดิมเมื่อศิษย์รุ่นเยาว์ต่างพากันรุมล้อมซูหยิน
ซึ่งหน้าแดงจากการที่เหล่าศิษย์พากันชมเชย
“พวกเราทั้งหมดเตรียมพร้อมที่จะไปยังโรงประมูลดอกบัวเพลิงหรือ
ยัง”
โหลวหลานจีปรากฏตัวขึ้นหลังจากนั้นเล็กน้อย
“ทุกคนอยู่ที่นี่ไหม” เธอถามซูหยาง
“ศิษย์คนอื่นวุ่นวายอยู่กับการฝึกฝน นั่นจะต้องใช้เวลาสองสามวัน
ก่อนที่พวกเธอจะซึมซับปราณหยางของข้าอย่างสมบูรณ์ และนี่มี
ศิษย์รุ่นเยาว์ทั้งหมดที่ต้องการไปโรงประมูล”
โหลวหลานจีพยักหน้า “ข้าทิ้งผู้อาวุโสนิกายไว้ข้างหลังในกรณี
จำเป็น พวกเราจะไปยังโรงประมูลและนิกายดอกบัวเพลิงก็อยู่ที่นั่น
ดังนั้นพวกเรามิต้องกังวลว่าจะมีปัญหาขณะที่พวกเราอยู่ที่นั่น”
“ก่อนที่พวกเราจะออกไปข้าต้องการที่จะตักเตือนพวกเจ้าทั้งหมด
สองสามอย่าง อันดับแรกสุดอย่าเตร็ดเตร่ไปทั่วและอยู่กับกลุ่มเมื่อ
พวกเราอยู่ด้านนอก เราอาจจะมิสามารถช่วยเหลือเจ้าได้หากว่าเจ้า
พลันสูญหายไป อันดับที่สองอย่าสร้างปัญหาอะไรเมื่อพวกเราอยู่
ด้านนอกโดยเฉพาะอย่างยิ่งในโรงประมูล ที่นั่นมีคนมากมายที่มี
กำลังหนุนหลังเทียบได้กับนิกายล้านอสรพิษหรือไม่ก็ทรงพลังยิ่ง
กว่า และสุดท้ายทำตัวให้มีความสุขในวันนี้ นี่เป็นเหตุการณ์ที่พวก
เจ้าอาจจะมิได้รับประสบการณ์เช่นนี้อีก พวกเจ้าเข้าใจไหม”
“ขอรับ/เจ้าค่ะผู้นำนิกาย” ศิษย์รุ่นเยาว์ต่างพากันตะโกนออกมา
“ดีมาก” โหลวหลานจีพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม
ไม่นานนักนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็เริ่มเดินทางไปยังโรงประมูล
ดอกบัวเพลิง
บทที่ 333 สนับสนุนการตัดสินใจของเธอ
หลังจากที่ซูหยินได้พูดคุยกับโหลวหลานจีแล้ว พวกเธอก็ตรงไปยัง
ซูหยางเพื่อให้เขารู้ถึงสถานการณ์
“เช่นนั้นรึ” ซูหยางตอบสนองกับความปรารถนาที่จะเข้านิกายกุสุมาลย์
พ้นพิสัยของซูหยินด้วยอาการสงบ
“เจ้ามิมีความเห็นแย้งเรื่องนี้รึ” โหลวหลานจีเลิกคิ้ว
“ทำไมข้าต้องทำเช่นนั้น ถ้าเธอต้องการจะเป็นศิษย์ของนิกาย เช่นนั้น
ก็ให้เธอเป็น” เขายักไหล่อย่างไม่แยแส
“แต่สำนักหงส์สวรรค์…”
“พวกเขาแข็งแกร่งแค่ไหนเชียวเมื่อเปรียบเทียบกับนิกายล้านอสรพิษ”
เขาพลันถาม
“พวกเขาน่าจะมีพลังคู่คี่ก้ำกึ่งกับนิกายล้านอสรพิษ” โหลวหลานจีพูด
“เช่นนั้นต้องมีอะไรที่จะต้องกังวล ถ้านิกายล้านอสรพิษมิอาจทำ
อันตรายเราได้ พวกเขาจะทำอะไรได้”
“พี่ชาย ท่านมิถือกับการเข้าร่วมนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยของข้ารึ”
ซูหยินค่อนข้างประหลาดใจเล็กน้อยกับการที่เขาสนับสนุนการ
ตัดสินใจของเธอ ในเมื่อเธอคาดว่าเขาจะทำในสิ่งตรงกันข้าม
“ถ้านั่นเป็นการตัดสินใจของเจ้า แน่นอนว่าข้ามิถือ อย่างไรก็ตามกล่าว
ไปแล้ว เจ้าควรพูดกับอาจารย์ของเจ้าก่อนเกี่ยวกับเรื่องนี้ ถ้าเจ้าต้องการ
ข้าสามารถไปกับเจ้าได้ มิว่าจะอย่างไร เจ้าก็มิได้เป็นเครื่องมือหรือ
ทาสของพวกเขา”
“พี่ชาย…” ซูหยินรู้สึกเหมือนว่าน้ำตาเธอจะไหลหลังจากที่ได้ยิน
ถ้อยคำของเขา
ในเวลานั้นในอีกโรงเตี๊ยม ที่ซึ่งนิกายหงส์สวรรค์อาศัยอยู่
“ซูหยินจากไปกับพี่ชายของเธอรึ” เจ้าสำนักหงส์สวรรค์มองดูผู้
อาวุโสสำนักที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“มิเพียงเท่านั้น เธอยังกระทั่งตบหน้าข้าท่ามกลางสาธารณะชนด้วย
การข่มขู่ข้า ท่านเจ้าสำนักควรจะบอกเธอให้กลับมาและลงโทษเธอ
สำหรับการไร้สัมมาคาวะผู้อาวุโสของเธอ” ผู้อาวุโสสำนักกล่าว
เจ้าสำนักครุ่นคิดอยู่อย่างเงียบ ๆ ชั่วขณะ
“ถ้าข้าจำได้มิผิด พี่ชายของเธอได้สูญหายไปเมื่อปีที่แล้ว เธอต้องเต็ม
ไปด้วยความสุขที่ในที่สุดก็สามารถได้อยู่ร่วมกับเขาอีกครั้ง ยังมิได้
พูดถึงความหดหู่ที่เธอมีไม่นานมานี้ ปล่อยให้เธอใช้เวลาชั่วขณะกับ
พี่ชายเธอ นั่นย่อมมิมีอันตรายใด”
เจ้าสำนักพูดหลังจากครุ่นคิด
“แต่ท่านเจ้าสำนัก ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นศิษย์ของท่าน เธอก็มิอาจจะไร้
ซึ่งความเคารพต่อผู้อาวุโสของเธอ เราต้องสอนวินัยให้เธออย่าง
เข้มงวด มิเช่นนั้นพฤติกรรมของเธอมีแต่จักเลวร้ายลงในอนาคต”
ผู้อาวุโสสำนักปฏิเสธที่จะปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปง่าย ๆ ความอับ
อายที่เธอได้รับนั้นมากเกินไปเกินกว่าที่เธอจะปล่อยผ่าน
“เช่นนั้นเจ้าก็สามารถไปลากเธอกลับมาด้วยตัวเอง ข้าจักมิเข้าไปมี
ส่วนในเรื่องนี้ และถ้าเธอเปลี่ยนเป็นโกรธพวกเราในเรื่องนี้ ข้าจัก
ให้เจ้าเป็นผู้รับผิดชอบ”
เจ้าสำนักรู้ดีว่าซูหยินหวงแหนพี่ชายของเธอมากเพียงใด ถ้าพวกเธอ
แยกพวกเขาในตอนนี้ แน่นอนว่าเธอต้องเกลียดสำนักหงส์สวรรค์
แน่นอน
“ซูหยินมีอายุเพียงสิบห้าปี แต่เธอก็ได้ก้าวเข้าสู่ระดับสูงสุดของเขต
สัมมาวิญญาณแล้วตั้งแต่อายุยังน้อย ถ้าดูแลอย่างเหมาะสม เธอก็จัก
เข้าแทนที่ข้าในฐานะเจ้าสำนักอย่างแน่นอนภายในสิบปี เรามิอาจที่
จะยอมสูญเสียศิษย์เช่นเธอ” เธอกล่าวต่อว่า “ส่วนสำหรับพฤติกรรม
ของเธอ แน่นอนว่าข้าย่อมสั่งสอนเธออย่างเหมาะสมยามเมื่อเธอ
กลับมาแล้ว”
หลังจากที่ฟังคำพูดของเจ้าสำนัก ผู้อาวุโสสำนักก็นึกถึงความรู้สึก
อันตรายที่ซูหยินปลดปล่อยออกมาจากตอนนั้น
“ศิษย์คนนี้เข้าใจแล้ว…”
“พี่ชาย ห้องไหนที่เราจะได้ใช้ในคืนนี้” ซูหยินถามเขาหลังจากที่
ท้องฟ้าเริ่มมืด
“เจ้าสามารถหลับในห้องข้ากับเพื่อนของเจ้า” เขาตอบ
“เจ้าต้องการให้ข้าใช้ห้องเดียวร่วมกับชายที่เพิ่งพบรึ” เหยาหนิง
มองดูเข้าด้วยใบหน้าประหลาด
“เจ้ากังวลว่าข้าจักทำอะไรเจ้ารึ” ซูหยางถามด้วยรอยยิ้ม
“เจ้ามิทำรึ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าควรจะเป็นคนที่กังวลว่าจะถูกลวนลามขณะหลับ ข้าจะรู้
ได้อย่างไรว่าเจ้าจักไม่พ่ายแพ้ต่ออารมณ์หลังจากที่เห็นใบหน้ายาม
หลับของข้า” ซูหยางระเบิดเสียงหัวเราะ
“เจ้า… เจ้าตัวเลวน้อย แม้ว่าข้ายอมรับว่าเจ้าเป็นคนที่หน้าตาดีที่สุด
คนหนึ่งที่ข้าเคยเห็น แต่ก็อย่าหลงตัวเองเกินไป” เหยาหนิงหน้าแดง
“อย่ากังวลไปพี่หนิง พี่ชายข้ามิได้เป็นคนประเภทที่ถือโอกาสคนอื่น
เช่นนั้น ยิ่งไปกว่านั้นข้าก็อยู่ที่นั่นเช่นกัน” ซูหยินประกันความ
ปลอดภัยของเธอจากซูหยาง
“ข้าเพียงล้อเล่น น้องหญิง ข้าเชื่อพี่ชายเจ้า” เหยาหนิงถอนใจ
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ซูหยางก็พาเด็กสาวทั้งสองไปที่ห้องของเขา
ซึ่งมีหญิงสาวอีกสองคนได้รอคอยพวกเขาอยู่
“พวกเธอจักอยู่กับพวกเราในห้องนี้จนกว่าพวกเธอจะไป” เขากล่าว
กับพวกเธอ ซึ่งดูค่อนข้างไม่พอใจหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเขา
“เอ๋…. แล้วการฝึกวิชาของพวกเราล่ะ เจ้าสัญญาจะฝึกกับพวกเรา
ทั้งหมดเป็นกลุ่มเดียวคืนนี้” ซุนจิงจิงถามเขาโดยไม่อาย
“แน่นอน ข้าจักยังคงฝึกร่วมกับพวกเจ้าสาว ๆ คืนนี้ พวกเธอจักหลับ
ในห้องนี้ขณะที่เราไปยังอีกห้อง” ซูหยางหัวเราะหึ
“ถ้าเช่นนั้น พวกเราก็ไปอีกห้องกันตอนนี้เถอะ” ซูหยางหันไปมองดู
น้องสาวของตนเองที่ตกตะลึงอยู่และกล่าวว่า “ราตรีสวัสด์ิ ข้าจัก
กลับมาไม่นานนัก”
“อะแฮ่ม..”
แม้ว่าจะรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่เล็กน้อย แต่ทั้งซุนจิงจิงและฟางซี
หลานก็ติดตามซูหยางไปยังอีกห้องที่ซึ่งศิษย์คนอื่นอาศัยอยู่ ทิ้งให้ซู
หยินและเหยาหนิงงงงันอยู่เบื้องหลัง
“พี่ชายของเจ้าช่างหน้าด้านไร้ยางอายจริง ๆ ถึงกล้าพูดถ้อยคำเหล่านั้น
ต่อหน้าน้องสาวของตนเอง เขามิสนใจความรู้สึกของเจ้าแม้แต่น้อย”
เหยาหนิงเริ่มด่าเขาหลังจากที่พวกเขาไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม ซูหยินยังคงเงียบเฉย
“ทำไมเจ้าถึงเงียบไปล่ะ พูดอะไรบ้างซิ…”
“ฮ่าาาาา..” ซูหยินถอนใจเสียงดังหลังจากนั้นชั่วขณะและพูดขึ้นว่า
“แม้ว่าข้าเกลียดที่จะเห็นหญิงคนอื่นแตะต้องพี่ชายที่รักของข้า ข้าก็มิ
อาจหาเหตุผลบอกเขาให้หยุด ในเมื่อนี่เป็นเรื่องปกติของนิกาย
กุสุมาลย์พ้นพิสัย ถ้าข้าก้าวเข้าเป็นศิษย์ของพวกเขา ข้าก็จักต้องคุ้นเคย
กับความรู้สึกนี้ไม่ช้าก็เร็ว” แม้ว่าเธอจะเต็มไปด้วยความอิจฉา เธอก็
ได้แต่ปลอบตัวเองด้วยการเชื่อว่าเธอก็จะสามารถทำเช่นนั้นกับซูหยาง
ได้เช่นกันถ้าเธอเข้าร่วมกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
“เจ้าจริงจังในเรื่องจากพวกเราไปเข้าร่วมกับพวกเขาอย่างแท้จริงเลย
รึ” เหยาหนิงอดไม่ได้ที่จะแสดงความเสียใจต่อการตัดสินใจของอีก
ฝ่าย
“แน่นอน” อีกฝ่ายตอบกลับในทันที
“อย่างไรก็ตาม ข้าจักต้องปวดหัวถ้าข้าคิดเรื่องนี้ต่อไป ดังนั้นข้าจัก
ปล่อยให้เจ้าสำนักจัดการเรื่องนี้…” เหยาหนิงส่ายหน้าและเลือกที่
นอนที่หนึ่งสำหรับหลับนอน
“เจ้ามิหลับรึ” เธอถามซูหยินสองสามนาทีหลังจากนั้น
“ข้าจักรอคอยพี่ชายกลับมา อย่างไรก็ตามข้าต้องการหลับอยู่ข้างเขา”
“…”
เหยาหนิงไม่รู้ว่าควรจะตอบสนองอย่างไรจึงได้แต่เงียบ และหลับลง
ไปในเวลาต่อมา
บทที่ 332 ข้าต้องการเข้าร่วมนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
“เจ้ามิควรล้อเล่นเช่นนี้ น้องหญิง มิใช่ว่าเจ้าเป็นศิษย์ของสำนักหงส์
สวรรค์ที่ทรงเกียรติแล้วรึ นั่นย่อมเป็นการดูหมิ่นพวกเขาอย่างแรง”
หนึ่งในเหล่าศิษย์กล่าว
“เจ้าเพิ่งเป็นศิษย์ส่วนตัวของเจ้าสำนักไม่นานมานี้ด้วยเช่นกัน”
“เอ๋ พวกท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าเป็นศิษย์ของเจ้าสำนักด้วย” ซูหยิน
ถาม
“พี่น้องคนนั้นบอกเราเกี่ยวกับเจ้าเล็กน้อยเมื่อเราถามก่อนหน้านี้”
“ข้าเข้าใจละ…อย่างไรก็ตามอะไรทำให้พวกท่านคิดว่าข้าพูดเล่น ข้า
จริงจังที่สุดในตอนนี้ ถ้าข้าสามารถส่งความรักของข้าต่อพี่ชายได้
อย่างอิสระ ข้าจักมิลังเลที่จะจากสำนักหงส์สวรรค์มาเข้าร่วมกับ
นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเลย” ซูหยินพูดด้วยสีหน้าท่าทางจริงจัง
เมื่อเห็นการตัดสินใจเข้าร่วมนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยของซูหยิน
บรรดาศิษย์ต่างสบสายตากันอย่างงงงวย
“สำหรับเรื่องนี้นั้นเกินความสามารถของพวกเรา ข้าคิดว่าเจ้าควรจะ
พูดกับท่านผู้นำนิกายของเราเกี่ยวกับเรื่องนี้แทน” หนึ่งในหมู่ศิษย์
กล่าว
“ได้ ข้าจักพูดกับเธอตอนนี้เลย”
ซูหยินพลันมุ่งตรงไปยังประตูทิ้งให้เหล่าศิษย์อยู่อย่างงงงัน
“เธอวางแผนที่จะออกจากสำนักหงส์สวรรค์มาเข้าร่วมกับนิกาย
กุสุมาลย์พ้นพิสัยจริงหรือ แม้ว่าเธอจะเป็นน้องสาวของศิษย์พี่ชาย
ข้าก็มิคิดว่านั่นจักเป็นความคิดที่ดีนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนิกาย
ของเราอยู่ในสภาพเช่นนี้”
“ใช่ นั่นจักดูเหมือนว่าเรากำลังขโมยศิษย์ของพวกเขา และเราก็มิ
อาจจะพยายามล่วงเกินสำนักระดับสูงอื่นได้อีก…”
เหล่าศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยต่างพากันส่ายหน้า
หลังจากที่ออกจากห้อง ซูหยินก็ตรงไปหาโหลวหลานจี ซึ่งพูดอยู่
กับเหยาหนิงในอีกห้องในเวลานั้น
“ว่าไง เจ้าได้รู้อะไรบ้าง” เหยาหนิงถามเธอด้วยรอยยิ้มที่มีเลศนัย
“ฮึ่ม” ซูหยินแค่นเสียงเย็นชา
“ข้าจักถือว่านี่เป็นคำตอบว่าใช่” เหยาหนิงพูดขณะหัวเราะคิกคัก
“ขออภัย ท่านคงเป็นผู้นำนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ใช่หรือไม่” ซูหยิน
ตรงเข้าไปหาโหลวหลานจี
“นั่นถูกต้องแล้ว”
“ข้ามีคำขอร้องต่อท่าน ท่านผู้นำนิกาย”
“หือ ข้าจักทำอะไรเพื่อน้องสาวของซูหยางได้บ้าง”
“ข้าต้องการเข้าร่วมนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย” ซูหยินประกาศก้อง
“เจ้าต้องการอะไรนะ”
เหยาหนิงอุทานออกมาด้วยความตกใจ
“เจ้ามิควรเล่นตลกแบบนี้ เจ้าเป็นศิษย์เอกของสำนักหงส์สวรรค์อยู่
แล้วนะ”
“ข้ามิได้เล่นตลก พี่หนิง ข้าจักออกจากสำนักหงส์สวรรค์เพื่อเข้า
ร่วมกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย” ซูหยินยังยืนกรานอย่างมั่นคง
“เจ้า… หากว่าเจ้าสำนัก อาจารย์ของเจ้าได้ยินเรื่องนี้ เธอต้องบ้าแน่”
“เดี๋ยวก่อน” โหลวหลานจีพลันขัดขึ้น เธอยังคงรักษาความเยือกเย็น
กับสถานการณ์เช่นนี้
“อะไรเป็นเหตุผลที่เจ้าต้องการเข้าร่วมกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
ของข้ารึ และสำนักหงส์สวรรค์จะว่าไงกับการที่ได้ฟูมฟักเจ้ามาจน
เป็นอยู่อย่างเช่นทุกวันนี้ เจ้าจะละทิ้งพวกเขาได้จริง ๆ รึ”
ซูหยินยังคงมีสีหน้าจริงจังและกล่าวว่า “แม้ว่าข้าจักซาบซึ้งกับทุกสิ่ง
ที่สำนักหงส์สวรรค์ได้ทำไว้เพื่อข้า ข้าก็ยังจักทำทุกสิ่งเพื่อที่จะให้ได้
อยู่เคียงข้างพี่ชายของข้า”
“เช่นนั้นซูหยางก็เป็นเหตุผลสำหรับการตัดสินใจของเจ้า” โหลว
หลานจีมองดูซูหยินตรงเข้าไปในดวงตา
“ใช่” ซูหยินตอบโดยไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย
เหยาหนิงอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านหลังจากที่ได้เห็นสีหน้าเด็ดเดี่ยว
ของซูหยิน เธอไม่คาดคิดว่าความรักต่อซูหยางของอีกฝ่ายจะมากมาย
ถึงปานนี้ ถึงขั้นที่เธอต้องการจะละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเขา หรือว่า
การแยกจากเขาเป็นเวลานานนั้นทำให้ความคิดอ่านของเธอผิดไป
“พี่ชายของเจ้า ซูหยาง รู้เรื่องนี้หรือไม่” โหลวหลานจีถาม
ซูหยินส่ายหน้า “ไม่ นี่เป็นสิ่งที่ข้าเพิ่งตัดสินใจ”
“เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเป็นสถานที่เช่นไร”
“ข้ารู้ อย่างไรก็ตาม เจตนาของข้าเพียงอย่างเดียวก็คืออยู่ร่วมกับพี่ชาย
ของข้า ข้ามิปรารถนาอย่างอื่นอีก”
โหลวหลานจีเงียบและหลับตาลงในเวลาต่อมา
ชั่วขณะหลังจากนั้น เธอก็กล่าวขึ้นว่า “ข้ายินดีอย่างมากที่จะมีอัจฉริยะ
เช่นเจ้าเข้าร่วมกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย แต่ทว่าข้ามิอาจตอบรับ
ข้อเสนอของเจ้าได้”
ได้ยินคำกล่าวปฏิเสธของโหลวหลานจี ซูหยินกัดริมฝีปากและกล่าว
ว่า “นั่นเป็นเพราะว่าข้าเป็นพี่น้องกับเขาหรือไม่”
โหลวหลานจีส่ายหน้าและพูดต่อว่า “การตัดสินใจของข้ามิได้มีส่วน
เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของเจ้ากับซูหยาง ลองคิดในฐานะของข้า
ถ้าข้ารับเจ้าไว้สำนักหงส์สวรรค์จักมีท่าทีอย่างไร พวกเขาจักต้องคิด
ว่าข้าได้ขโมยศิษย์ที่มีพรสวรรค์ที่สุดของเขาไป แม้ว่าข้าเกลียดที่จะ
พูดแต่ทว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็อยู่ในฐานะที่ยากลำบากในตอนนี้
เรามิอาจที่จะพยายามล่วงเกินพวกเขา ถ้ามิใช่เพราะซูหยางพวกเราก็
คงมิได้อยู่ยังที่นี้เพื่อเข้าร่วมการแข่งขันระดับภูมิภาค”
ซูหยินพลันเงียบลงไปหลังจากที่ได้ยินเหตุผลตอบกลับมาจากโหลว
หลานจี
ชั่วขณะหนึ่งหลังจากนั้น ซูหยินก็พูดขึ้นว่า “เช่นนั้นท่านก็หมายความ
ว่าตราบเท่าที่สำนักหงส์สวรรค์มิได้สร้างปัญหาให้กันนิกายกุสุมาลย์
พ้นพิสัยจากการตัดสินใจของข้า ท่านก็จักยอมให้ข้าเข้าร่วมใช่ไหม”
“ถูกต้องแล้ว” โหลวหลานจีพยักหน้าหลังจากครุ่นคิดชั่วขณะ
“ตกลง เช่นนั้นข้าจักไปโน้มน้าวอาจารย์ของข้ายอมให้ข้าจากมาโดย
มิมีปัญหาใด” ซูหยินกล่าว
“นั่นเป็นไปมิได้” เหยาหนิงพลันกล่าวขึ้น
“น้องซู เจ้าเป็นหนึ่งในผู้ที่มีพรสวรรค์ที่สุดในบรรดาศิษย์ทั้งหมดใน
สำนักหงส์สวรรค์ของเราในรุ่นนี้ เจ้าสำนักจักมิยอมให้ท่านจากมา
อย่างแน่นอนต่อให้ต้องฆ่าเธอ แล้วพ่อของท่านเจ้าซูล่ะ เขาจักต้องมิ
ยอมให้ลูกสาวของเขาเข้าร่วมกับสถานที่ดังเช่นนิกายกุสุมาลย์พ้น
พิสัยแน่นอน”
“พ่อข้ารึ” สีหน้าของซูหยินพลันมืดหม่นลง “เพราะว่าสิ่งที่เขาทำ ข้า
จึงมีเรื่องที่จักต้องพูดคุยกับเขาให้รู้เรื่อง ถ้าเขาปฏิเสธ เช่นนั้นข้าจัก
เพียงแค่ออกจากตระกูลซู เช่นเดียวกับพี่ชายของข้า”
“เจ้า…”
เหยาหนิงจนคำพูด นี่เป็นความลึกซึ้งแค่ไหนกันกับความรู้สึกที่ซูหยิน
มีต่อพี่ชายของเธอ กับการที่เธอไปไกลถึงเพียงนี้นี่เหมือนกับว่าเธอ
กำลังไล่ตามหาคนรัก
กระทั่งโหลวหลานจีก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมกับความเด็ดเดี่ยวและ
ความปรารถนาที่จะอยู่ร่วมกับซูหยางของซูหยิน
“อย่าลำบากพยายามคิดโน้มน้าวข้าเลยพี่สาวหนิง ข้าได้ตัดสินใจแล้ว
หลังจากที่ข้าได้อยู่ร่วมกับพี่ชายที่นี่เพียงพอแล้ว ข้าจักพูดกับอาจารย์
เกี่ยวกับการออกจากสำนัก”
“สวรรค์…” เหยาหนิงคุ้นเคยเป็นอย่างมากกับความดื้อรั้นของซูหยิน
ดังนั้นจึงทำให้เธอไม่รู้สึกอะไรไปมากกว่าความกลัวในเวลานี้สำหรับ
กับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ต่อจากนี้ “เจ้าสำนักจักต้อง
พลิกสำนักกลับด้านแน่ถ้าเธอได้ยินเรื่องนี้”
บทที่ 331รู้ความจริง
หลังจากที่เหล่าศิษย์พาซูหยินไปยังห้องของพวกเธอและนั่งลงแล้ว
เหล่าหญิงสาวก็ถามเธอว่า “เจ้าต้องการจะรู้อะไรเกี่ยวกับพี่ชายของ
เจ้ารึ น้องหญิง”
“อืมม… ตั้งแต่เริ่มต้น พวกท่านสามารถบอกข้าเกี่ยวกับชีวิตของ
พี่ชายข้าในนิกายในฐานะศิษย์ได้หรือไม่ ตำแหน่งของเขาเป็น
อย่างไร มีใครรังแกเขาหรือไม่”
บรรดาศิษย์ต่างพากันสบสายตากันไปมาหลังจากที่ได้ยินคำถามของ
ซูหยินก่อนที่จะหัวเราะเสียงดัง
“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าคิดว่าพี่ชายเจ้าเป็นคนที่ถูกรังแกได้ง่าย ๆ งั้นรึ แม้ว่าเขา
จะถูกล้อเลียนจากคนอื่นในตอนแรกยามที่เขาได้เข้าร่วมนิกาย
เนื่องมาจากคำร่ำลือบางอย่าง ศิษย์พี่ชายได้พิสูจน์ตัวเองต่อทุกคน
อย่างรวดเร็วว่าเขามิใช่ชายที่จักล้อเล่นได้ สร้างความตื่นตระหนก
ให้กับเขตศิษย์นอกกับความแข็งแกร่งอันลึกล้ำในฝีมือกระบี่”
“ตอนนี้ในเมื่อเจ้าได้พูดถึง คำร่ำลือนั้นเรียกศิษย์พี่ชายว่าเป็นคน
พิการ”
ซูหยินเลิกคิ้ว “คนพิการ แม้ว่าพี่ชายมักจะปฏิเสธที่จะฝึกวิชายามอยู่
ที่บ้าน แต่เป็นที่แน่นอนว่าเขามิใช่คนพิการ”
เหล่าศิษย์มองดูเธอด้วยดวงตาโตขึ้นเล็กน้อย
“เราจักมิพูดถึง “พิการ” ประเภทนั้น หนึ่งในเหล่าศิษย์กล่าว ซึ่งได้ชี้
ไปที่บริเวณที่ลับของตนเอง “นั่นเป็นเงื่อนไขที่สามารถเป็นได้สำหรับ
ชายเท่านั้น ถ้าชายไม่สามารถกระทั่งยกน้องชายขึ้น เขาจะยังคงถือ
ว่าเป็นชายอยู่อีกรึ”
“?!?!” ซูหยินทำตาโตด้วยความตระหนก “นั่นยิ่งไร้สาระ มิมีทางที่
เขาจะพิการตรงนั้น อย่างไรก็ตามข้าได้เป็นเห็นมันด้วยตน–”
เมื่อรู้ตัวว่าเธอกำลังจะพูดอะไร ซูหยินรีบปิดปากตัวเอง สร้างความ
งุนงงให้กับเหล่าศิษย์ที่นั่น
“อืม… สิ่งที่ข้าพยายามจะพูดก็คือ… ข้าบังเอิญเห็นพี่ชายเปลือยครั้ง
หนึ่ง… และก็เห็นชัดว่ามันทรงพลังในเวลานั้น…“ ซูหยินใช้ไหว
พริบหาข้อแก้ตัวออกมาได้
บรรดาศิษย์ต่างพากันสบสายตากันไปมาก่อนที่จะระเบิดเสียงหัวเราะ
ออกมาอีกครั้ง
“เอาล่ะ พวกเรามาพูดถึงพี่ชายเจ้ากันต่อเถอะ”
พวกเธอกลับคืนสู่หัวข้อหลังจากที่หัวเราะกันชั่วขณะ
“กระทั่งในฐานะศิษย์นอก ศิษย์พี่ชายได้มีอิทธิพลอย่างมากภายใน
เหล่าศิษย์ โดยเฉพาะผู้หญิง เมื่อเขากลายเป็นศิษย์ใน เขาก็ยิ่งเป็นที่
นิยมซึ่งมีศิษย์มากมายขอพบเขาทุกวัน”
“ว้าว.. พี่ชายของข้ามีอำนาจมากเช่นนั้นเลยรึ” ซูหยินอดที่จะแสดง
ความชื่นชมไม่ได้
“ทรงอิทธิพลรึ แม้ว่าเขาจะเป็นที่รู้จักว่ามีพรสวรรค์เชิงกระบี่ แต่นั่น
มิใช่เหตุผลที่เขาเป็นที่นิยม” ศิษย์คนหนึ่งกล่าว
“เอ๋ พวกท่านหมายความว่าอะไรเช่นนั้น” ซูหยินเอียงคอของเธอ
“ศิษย์พี่ชายเป็นที่นิยมโดยหลักแล้วเพราะว่ากลเม็ดของเขา โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งกลเม็ดการใช้มือของเขา”
“ก-กลเม็ดการใช้มือรึ พี่ชายมีพรสวรรค์ในการต่อสู้ด้วยมือเปล่าด้วย
เช่นนั้นรึ”
เพราะว่าซูหยินไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเป็นอะไร
เธอจึงไม่สามารถเข้าใจคำพูดของเหล่าศิษย์เหล่านี้ กระทั่งเข้าใจพวก
เธอผิดไป
“…”
ศิษย์นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมองดูซูหยินด้วยดวงตาสงสัย พวกเธอ
เริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไปกับสถานการณ์นี้
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ หนึ่งในเหล่าศิษย์ก็กล่าวขึ้นว่า “อืมม..
น้องหญิง… เจ้ารู้จักไหมว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเป็นสถานที่เช่นไร
เจ้าเคยได้ยินได้ฟังมาก่อนหรือไม่”
ซูหยินส่ายหน้าอย่างรวดเร็วและกล่าวว่า “ไม่ ข้ามิเคยได้ยินนิกาย
กุสุมาลย์พ้นพิสัยมาจนกระทั่งวันนี้ วิชาประเภทไหนกันที่พวกท่าน
เชี่ยวชาญเป็นพิเศษ”
ครั้นเมื่อซูหยินเปิดเผยให้เหล่าศิษย์เห็นถึงความไม่รู้ของเธอ เหล่า
ศิษย์ต่างพากันกุมหน้าผาก
“ไอย่า เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร”
“คิดว่าพวกเราคงต้องเริ่มจากตรงนั้น”
“มีอะไรหรือ พี่หญิง” ซูหยินมีท่าทางงุนงงกับปฏิกิริยาแปลกประหลาด
ของเหล่าศิษย์
“อย่าตระหนกเกินไปหากเจ้าได้ยินเรื่องนี้ แต่… นิกายกุสุมาลย์พ้น
พิสัยฝึกวิชาคู่…”
หลังจากที่พูดคำพูดเหล่านี้แล้ว ทั้งห้องพลันเงียบไป และเหล่าศิษย์
ต่างก็พากันรอปฏิกิริยาของซูหยินอย่างกระวนกระวาย
“ฝึกวิชาคู่รึ เป็นการฝึกฝนประเภทไหนกัน”
ความบริสุทธ์ิไร้เดียงสาของซูหยินสร้างความตระหนกให้กับเหล่า
ศิษย์
“ธ-เธอบริสุทธ์ิเกินไป… ข้ามิคิดว่าเราควรให้เธอรู้…” หนึ่งในเหล่า
ศิษย์พลันกระซิบกับคนอื่น
“ข้าคิดว่านั่นสายเกินไปแล้วสำหรับเรื่องนั้น ต่อให้พวกเรามิพูด
อะไรในวันนี้ เธอก็จักรู้ความจริงไม่ช้าก็เร็ว”
“ข้าก็คิดว่าเราควรบอกเธอให้รู้ความจริงเช่นกัน อย่างไรก็ตามเธอก็
ยังเป็นน้องสาวของศิษย์พี่ชาย”
“จริงด้วย ศิษย์พี่ชายคงจะยับยั้งพวกเราไว้แล้วตั้งแต่ตอนนั้นถ้าเขามิ
ต้องการให้สิ่งนี้เกิดขึ้น”
หลังจากพูดคุยกันสั้น ๆ ระหว่างพวกเธอ เหล่าศิษย์สุดท้ายก็
ตัดสินใจที่จะบอกซูหยินตามความเป็นจริง
“น้องหญิง อย่าตื่นตระหนกเกินไปเมื่อเจ้าได้ยินเรื่องนี้ แต่…การฝึก
วิชาคู่นั้นก็คือการที่ชายและหญิงอยู่ร่วมกันและแลกเปลี่ยนหยิน
และหยาง.. อีกความหมายหนึ่งก็คือ พวกเขามีเพศสัมพันธ์กัน”
สถานที่นั้นพลันเงียบลงไป และซูหยินก็นิ่งค้าง ท่าทางของเธอแข็ง
ทื่อดูราวกับรูปปั้น
“…”
“…”
“…”
หลังจากผ่านช่วงเวลาอันเงียบงันอึดอัดเป็นเวลานาน ร่างที่เกร็งค้าง
ของซูหยินก็พลันสั่นสะท้านอย่างรุนแรง และในเวลาถัดไปเธอก็
กระอักเลือดออกมาหนึ่งคำ
“น้องหญิง เจ้ายังดีอยู่ไหม”
เหล่าศิษย์ต่างพากันตกใจเป็นอันมากกับปฏิกิริยาของซูหยิน ไม่มี
ใครในหมู่พวกเธอได้คาดว่าอีกฝ่ายจะได้รับความตระหนกมากมาย
เพียงนั้น
“ท-ท-ท-ท่านโกหก พวกท่านโกหกข้า มิมีทางที่พี่ชายข้าจะทำสิ่ง
นั้น” ซูหยินไม่สนใจเลือดบนปลายลิ้นและปฏิเสธทุกอย่างที่พวกเธอ
เพิ่งพูดออกมา
เหล่าศิษย์ส่ายหน้า เมื่อเห็นซูหยินในสภาพที่ยังไม่อาจยอมรับได้
“ทำไมเราจึงต้องโกหกเจ้า พวกเรามิได้อะไรจากการกระทำเช่นนั้น
เจ้าสามารถถามคนทั่วไปได้ถ้าเจ้าต้องการว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
เป็นสถานที่ประเภทไหน”
เหล่าศิษย์พากันยักไหล่
“มิมีทาง… เช่นนั้นพวกท่านหญิงสาว… และพี่ชาย…” ซูหยินไม่
อาจหยุดสั่น เมื่อตระหนักถึงความจริง
“ถูกต้องแล้ว พวกเราทุกคนได้ร่วมฝึกกับศิษย์พี่ชายเรียบร้อยแล้ว
และไม่ใช่เพียงแค่ครั้งสองครั้ง”
เมื่อเหล่าศิษย์กล่าวถ้อยคำเหล่านี้ ต่างก็มีท่าทางพึงพอใจบนใบหน้า
ตนเอง ราวกับว่าพวกเธอภูมิใจกับการได้รับความสำเร็จเช่นนั้น
“แง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ”
ซูหยิงพลันเริ่มร่ำไห้น้ำตาไหล
“กระทั่งข้ายังมิเคยก้าวไปไกลถึงเช่นนั้นกับพี่ชาย ข้าต้องการเป็นคน
แรกของเขา เช่นกัน แง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ”
ด้วยว่าหัวใจของเธอเปี่ยมไปด้วยความโศกเศร้า ซูหยินจึงไม่สนใจ
กับการซ่อนความรู้สึกของตนเองต่อซูหยางอีกต่อไป
“…”
เหล่าศิษย์ต่างพากันทำกรามร่วงลงสู่พื้นเมื่อเธอได้ยินคำพูดของซูหยิน
“จ-เจ้ารักพี่ชายของเจ้าจริง ๆ หือ…”
“ผิดด้วยหรือที่ข้ารักเขา ข้ามิได้รับอนุญาตให้รักเขาเพราะว่าเราเป็น
พี่น้องในสายเลือดกันหรือไร”
“เอ่อ…”
เหล่าศิษย์พากันสบสายตากันก่อนที่จะพูดว่า “เจ้าคิดว่าพวกเราเป็น
ใครกัน จะเป็นอะไรถ้าเจ้าจะมีความรู้สึกต่อพี่ชายของเจ้า ถ้าพวกเรา
สนใจกับสิ่งที่สังคมคิด เราก็คงมิได้มาเป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์
พ้นพิสัยตั้งแต่แรก”
“เอ๋ พวกท่านมิได้รังเกียจข้ารึ” ซูหยินมองดูศิษย์เหล่านี้ตาโต
“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าดูถูกพวกเราศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมากไปแล้ว
เจ้าคิดบ้างไหมว่ามีพี่น้องกี่มากน้อยที่เคยอยู่ในนิกายกุสุมาลย์พ้น
พิสัยที่เป็นคู่ฝึกกัน ความไร้ยางอายของพวกเราเป็นที่รู้กันว่าไร้
ขอบเขต”
“เคยอยู่รึ… เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา” ซูหยินถามด้วยเสียงสั่นสะท้าน
“อา อย่ากังวล มิใช่ว่าพวกเราไล่พวกเขาหรืออะไรทำนองนั้น บาง
สิ่งได้เกิดขึ้นกับนิกายของพวกเราก่อนหน้านี้ จนทำให้ศิษย์ของพวก
เราส่วนใหญ่ได้จากไป ดังนั้นพวกเราตอนนี้จึงอยู่ในฐานะที่ลำบาก”
“…”
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ ซูหยินก็ปาดน้ำตาออกไปจากใบหน้าและ
มองดูเหล่าศิษย์ด้วยท่าทางจริงจัง
“เช่นนั้นพวกท่านพูดว่าถ้าข้าเข้าร่วมนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย เช่นนั้น
ข้าจักสามารถรักพี่ชายข้าได้อย่างเปิดเผยโดยมิถูกใครดูหมิ่นเหยียด
หยามรึ” เธอถามอีกฝ่าย
เหล่าศิษย์ไม่คาดว่าเธอจะถามคำถามเช่นนั้นและได้แต่เพียงจับจ้อง
ไปยังเธอด้วยสีหน้างงงัน
“อืออ… ข้าเดาว่าเช่นนั้น” สุดท้ายหนึ่งในพวกเธอก็ตอบ
“ดี เช่นนั้นข้าจักเข้าร่วมนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย” ซูหยินพลันประกาศ
ออกมา
“เจ้าจะทำอะไรนะ”
ได้ยินคำพูดของซูหยิน เหล่าศิษย์ต่างอดที่จะตะโกนออกมาเสียงดัง
ไม่ได้
บทที่ 330 เมล็ดเพลิงนรก
“เจ้าสองคนเสร็จแล้วรึ” โหลวหลานจีถามซูหยางหลังจากที่เขา
ออกไปจากห้องพร้อมกับซูหยิน
“ใช่ และถ้าท่านมิถือ เธอต้องการอยู่กับพวกเราพักหนึ่ง ให้เธอใช้
ห้องข้าได้”
“ตามสบาย” โหลวหลานจีพยักหน้า “อย่างไรก็ตาม เจ้าวางแผนที่จะ
ทำอะไรในตอนนี้จนกว่าจะถึงการแข่งขันระดับภูมิภาค”
“จริงแล้ว นอกจากฝึกวิชา ก็มิมีอย่างอื่นอีก” ซูหยางยักไหล่
“เช่นนั้นเจ้ายินดีที่จะร่วมทางกับศิษย์รุ่นเยาว์หรือไม่ พวกเขาต้องการ
เข้าร่วมในการประมูลที่จะมาถึงนี้และได้ถามข้าว่าเจ้าจะไปกับพวก
เขาได้ไหม”
“งานประมูลรึ” ซูหยางเลิกคิ้ว “ทำไมพวกเขาจึงต้องการเข้าร่วมงาน
ประมูล”
“ดูเหมือนว่าโรงประมูลนี้มีเจ้าของเป็นนิกายดอกบัวเพลิง และพวก
เขามีสมบัติหายากเป็นพิเศษมาประมูลในปีนี้ ก็เหมือนกับการแข่งขัน
ระดับภูมิภาค มันไม่ค่อยได้เปิดทำธุรกิจ และศิษย์เหล่านี้ต้องการหา
ประสบการณ์กับเหตุการณ์หายากนี้ให้ตนเอง”
“นิกายดอกบัวเพลิงรึ พวกเขาก็มีโรงประมูลในเมืองนี้ด้วยรึ”
“มิได้มีเพียงแค่ไม่กี่เมือง พวกเขาเป็นเจ้าของโรงประมูลในเกือบทุก
เมืองในทวีปแห่งนี้ แน่นอนว่าที่อยู่ในเมืองนี้เป็นโรงประมูลที่ใหญ่
ที่สุด” โหลวหลานจีกล่าว “นี่คือรายการของสิ่งที่น่าสนใจที่สุดที่
พวกเขาจักขายในปีนี้”
เธอยื่นกระดาษที่เปี่ยมสีสันให้กับเขา
“นี่คือบัตรเชื้อเชิญอย่างเป็นทางการสู่โรงประมูล ส่งมาโดยนักปรุง
ยาหวังชูเหรินด้วยตนเอง เธอมาที่นี่เมื่อตอนที่พวกเราไปทำการ
ทดสอบ”
ซูหยางมองดูรายการอย่างรวดเร็ว
“เมล็ดเพลิงนรกรึ” ซูหยางค่อนข้างประหลาดใจเมื่อเห็นวัตถุสิ่งนี้ใน
โลกนี้
“มีอะไรที่กระตุ้นความสนใจของเจ้ารึ” โหลวหลานจีสังเกตเห็นแวว
ปรารถนาจากสายตาของเขา
“ใช่..เล็กน้อย”
เขาพยักหน้า “ข้าจักเข้าร่วมในงานประมูลนี้กับศิษย์เหล่านั้น”
“ดี ข้าจักบอกพวกเขาทีหลัง ที่นั่นจะเปิดสามวันหลังจากนี้ ดังนั้นใช้
เวลานี้เตรียมตัวให้พร้อม”
“พี่ชาย อะไรที่ทำให้ท่านสนใจ” ซูหยินถามเขาขณะที่แอบมองไปยัง
รายการจากด้านข้าง
“เมล็ดเพลิงนรก มันเป็นยาที่มีประสิทธิภาพสุดยอดสำหรับเพิ่ม
ปราณหยางของผู้คน”
“เจ้าพูดว่าเมล็ดเพลิงนรกรึ ทำไมเจ้าจึงต้องการสิ่งอันตรายเช่นนั้น”
โหลวหลานจีมีท่าทางตระหนกเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“มันอันตรายขนาดนั้นเลยรึ” ซูหยินถาม
“แน่นอน เปรียบเทียบกับดอกหยางพิสุทธ์ิ มันมีประสิทธิภาพและ
อันตรายมากกว่าอย่างน้อยสิบเท่า จริงแล้วมันอันตรายมากกระทั่งผู้
ที่อยู่ในเขตอัมพรวิญญาณก็ยังมิกล้าแตะต้องมัน”
“ถ้ามันเป็นสิ่งอันตรายเช่นนั้น ทำไมจึงมีคนต้องการที่จะซื้อมัน” ซู
หยินเผยให้เห็นหน้าตาสงสัย
“แม้ว่ามันจะมิสามารถกลืนกินได้โดยตรง มันยังมีประโยชน์อื่น
อย่างเช่นเพิ่มปราณไร้ลักษณ์ในบริเวณใกล้เคียง” โหลวหลานจี
กล่าว “ถ้าเจ้าวางเมล็ดเพลิงนรกไว้ในห้องหนึ่งเปรียบเทียบกับอีก
ห้องที่ว่างเปล่า ปราณไร้ลักษณ์ในห้องที่มีเมล็ดเพลิงนรกก็จักมี
ความเข้มข้นมากกว่าห้องที่ว่างอย่างน้อยสองเท่า ทำให้เจ้าสามารถ
ฝึกยุทธได้รวดเร็วมากกว่า”
“แต่แน่นอน เพราะว่าธาตุหยางอันรุนแรง มีเพียงผู้ที่ฝึกวิชาด้วย
ปราณหยางที่สามารถฝึกฝนได้ในสภาพแวดล้อมแบบนั้นโดยไม่มี
ผลข้างเคียง”
โหลวหลานจีจึงหันไปมองดูซูหยางและกล่าวต่อว่า “เป็นการดีกว่า
ถ้าเจ้าปล่อยวางเมล็ดเพลิงนรก ในเมื่อพวกมันล้วนแพงอย่างที่สุด
เมล็ดสุดท้ายถูกขายที่ราคามากกว่าหนึ่งแสนก้อนหินวิญญาณ”
“หนึ่งแสนก้อนหินวิญญาณ” ซูหยินอ้าปากค้างกับจำนวนเงินมหาศาล
ต่อให้เป็นตระกูลซูก็ยังไม่สามารถที่จะนำเอาเงินจำนวนนั้นออกมา
โดยไม่กระทบต่อสถานะทางการเงินของตระกูลไปหลายปี
“หนึ่งแสนก้อนหินวิญญาณรึ” ซูหยางไม่มีปฏิกิริยาแม้แต่น้อย ใน
เมื่อเงินจำนวนนั้นก็เหมือนกับหยดน้ำหยดหนึ่งในทะเลในสายตา
ของเขา
หลังจากที่ปล้นห้องสมบัติภายในคลังสมบัติเซียน นอกจากวิชายุทธ
และสมบัติวิญญาณ เขาก็ยังได้หินวิญญาณอีกหลายล้านก้อน ความ
ร่ำรวยเช่นนี้ย่อมพอเพียงที่จะเป็นค่าใช้จ่ายให้กับสำนักขนาดใหญ่
ทั้งหมดเป็นเวลาหลายปี
“ข้าจักจำไว้” ซูหยางตอบหลังจากผ่านไปชั่วขณะ
เวลาต่อไป เหยาหนิงและศิษย์คนอื่นก็ปรากฏตัวขึ้น
“น้องหญิง เจ้าเสร็จสิ้นการพูดกับพี่ชายของเจ้าแล้วหรือ” เหยาหนิง
เข้าไปหาเธอ
“อื้อ และข้าต้องขอโทษที่ลากเจ้ามาที่นี่พร้อมกับข้า” ซูหยินกล่าว
“อย่ากังวลเรื่องนี้ ข้ามาที่นี่ด้วยตัวข้าเอง ทั้งข้าเองก็สนใจในตัว
พี่ชายของเจ้าอยู่เล็กน้อย” เหยาหนิงหันไปมองดูซูหยางพร้อมกับ
รอยยิ้มบนใบหน้า “ซูหยางใช่หรือไม่ อีกครั้งที่ข้าต้องขอโทษกับ
ความเข้าใจผิด”
“เป็นแค่เรื่องเล็กน้อย” เขาตอบสนองเธอด้วยท่าทีไม่สนใจ
“อย่างไรก็ตาม ข้าได้พูดกับเพื่อนศิษย์ของเจ้าได้สักพักหนึ่งแล้ว
และข้าต้องขอพูดว่าเจ้ามิได้เป็นอะไรที่เหมือนกับน้องสาวเจ้า
อธิบายเลยแม้แต่น้อย” เหยาหนิงพลันหัวเราะคิกคัก
“โฮ่ เจ้าหมายความว่าอะไรเช่นนั้น” ซูหยางเลิกคิ้ว
“ใช่แล้ว เจ้าหมายความว่าอะไร อธิบายมาให้ชัดเจน ข้าจักมิทนการ
ถูกหมิ่นเหยียดหยามต่อพี่ชายต่อให้เป็นเจ้าก็ตามเถอะ” ซูหยินกล่าว
“นั่นมิใช่อะไรแบบนั้น” เธอโบกมือ “จริงแล้วข้าอดมิได้ที่จะชื่นชอบ
เขามากกว่าเดิมตอนนี้ ที่สามารถดูแลคนมากมายปานนี้ได้ในครั้ง
เดียวอีกทั้งบ่อยครั้ง ร่างกายของเจ้าต้องพิเศษเป็นอย่างมากจริง ๆ”
“ข้ายังคงมิเข้าใจกับสิ่งที่เจ้าพยายามจะพูด พี่หนิง” ซูหยินขมวดคิ้ว
“ฮี่ฮี่… เจ้ายังคงเยาว์วัย” เหยาหนิงส่ายหน้า “รอจนกว่าผ่านพ้นวัน
เกิดของเจ้าเดือนหน้าก่อนที่จะถามคำถามข้ามากกว่านี้”
ได้ยินคำของอีกฝ่าย ศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยด้านหลังเธอ
ต่างพากันหัวเราะคิกคัก
ระหว่างที่ซูหยินสนทนากับซูหยาง พวกเธอก็ได้เปิดเผยข้อมูล
เกี่ยวกับซูหยางหลังจากที่เหยาหนิงร้องขอต้องการรู้จักซูหยางให้
มากกว่านี้ แน่นอนว่าเนื่องจากธรรมชาติและประสบการณ์ของพวก
เธอ สิ่งที่พวกเธอสามารถเปิดเผยได้ก็เป็นเพียงความสามารถของซู
หยางบนเตียงและวิธีที่เขาระรานร่างกายของพวกเธอด้วยการใช้
เพียงแค่มือ
เหยาหนิงถูกความตระหนกเข้าครอบงำกับข้อมูลแบบนั้นในตอนแรก
ในเมื่อเธอยังเป็นสาวบริสุทธ์ิ แต่หลังจากที่รู้มากขึ้นเกี่ยวกับนิกาย
กุสุมาลย์พ้นพิสัยและปกติวิสัยของพวกเธอ เธอก็เริ่มสนใจกับพวก
เธอมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ และก่อนที่เธอจะทันรู้ตัว ใจเธอก็ประทับใจไป
กับการสนทนาเสียแล้ว
“ได้ ถ้าเจ้ามิต้องการที่จะบอกข้า ข้าจักถามพวกเธอด้วยตนเอง” ซู
หยินแค่นเสียงและตรงไปยังเหล่าศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
“โปรดบอกข้าเรื่องราวเกี่ยวกับพี่ชายของข้าในนิกายกุสุมาลย์พ้น
พิสัยอย่างละเอียด เพราะสถานการณ์บางอย่างทำให้ข้ามิสามารถที่
จะเจอเขาเป็นเวลานับปี และข้าจักปลาบปลื้มไปนานเท่านานถ้าพวก
เจ้าสามารถเปิดเผยประสบการณ์ของพวกเจ้ากับเขาต่อข้า”
“…”
เมื่อเห็นความจริงใจของซูหยิน เหล่าศิษย์ก็อดไม่ได้ที่จะแสดงรอยยิ้ม
อบอุ่นบนใบหน้า
“มากับพวกเรา เราจักบอกเจ้าทุกอย่างที่เจ้าต้องการจะรู้” หนึ่งใน
เหล่าศิษย์กล่าว
“ตกลง” ซูหยินพลันเปี่ยมไปด้วยความสุขในทันใด
“พี่ชาย เดี๋ยวข้าค่อยกลับมา” เธอกล่าวกับเขาก่อนที่จะติดตามเหล่า
ศิษย์ไปยังห้องอื่น
“เจ้ามิไปหยุดยั้งพวกเธอรึ” เหยาหนิงถามเขา “น้องสาวไร้เดียงสา
ของเจ้าจักรู้ความจริงเกี่ยวกับเจ้าในไม่กี่นาที รู้ไหม ใครจะรู้ว่าเธอ
จักมีท่าทีเช่นไรยามเมื่อเธอรู้ว่าพี่ชายสุดที่รักของเธอได้กลายเป็น
ชายเต็มตัวไปแล้วทั้งยังกับหญิงสาวมากมาย”
“ทำไมข้าต้องทำเช่นนั้น เธอต้องรู้เกี่ยวกับเรื่องนั้นไม่ช้าก็เร็วอยู่
แล้ว” ซูหยางยักไหล่
“ฮ่าฮ่าฮ่า ช่างน่ารัก ข้าชอบ” เหยาหนิงหัวเราะ
บทที่ 329 ถ้าท่านมิพอใจกับเพียงแค่จูบ ข้าสามารถ…
หลังจากที่รอคอยชั่วขณะและเห็นว่าไม่มีการตอบสนองจากซูหยาง
ซูหยินตัดสินใจที่จะดำเนินการไปอีกระดับโดยการมุ่งไปยังเป้า
กางเกง
“พี่ชาย ถ้าท่านมิพอใจกับเพียงแค่จูบ ข้าสามารถใช้ปากของข้าดูด…”
“ซูหยิน ควบคุมความต้องการของเจ้า” ซูหยางพลันกล่าว “น้องสาว
ของข้าจะแสดงท่าทีที่ไร้ความสง่าผ่าเผยได้อย่างไร เจ้ากำลังทำตัวมิ
ต่างจากโสเภณีชั้นต่ำในตอนนี้”
“!!!” ร่างซูหยินพลันสั่นสะท้านเมื่อเธอได้ยินคำพูดเย็นชาของเขา
และร่างของเธอก็ชะงักค้าง
“นั่งลง” เขากล่าวต่อ
“ข้าเสียใจ…” ซูหยินขอโทษก่อนที่จะกลับไปยังที่นั่งของเธอ
“เจ้าต้องการที่จะรู้ว่าข้าอยู่ที่ไหน ใช่ไหม ข้าจักบอกเจ้า”
ซูหยางจึงดำเนินการอธิบายว่าเขาได้กลายเป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์
พ้นพิสัยได้อย่างไรนับตั้งแต่เขาสูญเสียความทรงจำ
แน่นอนว่า เขาไม่ได้พูดอะไรที่น่าตื่นตระหนกเกินไปให้เธอได้ยิน
อย่างเช่นการเดินทางไปยังทวีปศักด์ิสิทธ์ิกลาง
ตามจริง เขาเพียงบอกเธอไปตามตรงว่าเขามีชีวิตอย่างเสรีเพียงไรใน
ฐานะของศิษย์และไม่มีอย่างอื่นนอกไปจากข้อมูลที่เพียงพอที่จะลบ
ล้างความกังวลและความสงสัยของซูหยินไปเท่านั้น
“ส่วนสำหรับหญิงที่เจ้าเห็นและพยายามจะโจมตีนั้น เธอเป็นจอม
ยุทธที่ทรงอำนาจที่มาจากดินแดนอันห่างไกล และเธอก็ยังช่วยข้า
ฟื้นคืนความทรงจำด้วย”
“…”
หลังจากที่รู้ว่าชิวเยว่ไม่เป็นดังที่เธอได้จินตนาการ ซูหยินก็รู้สึกผิด
อย่างมหันต์ที่ทำกับอีกฝ่ายเหมือนกับว่าอีกฝ่ายเป็นปีศาจร้ายที่ได้
ล่อลวงซูหยางและลบความทรงจำของเขา
“อืมมม… ผู้มีบุญคุณคนนี้อยู่ที่ไหนในตอนนี้ ข้าต้องการที่จะขอ
โทษเธอหลายอย่าง… รวมไปถึงขอบคุณเธอที่ช่วยฟื้นคืนความทรง
จำของท่าน…”
“ตอนนี้เธอยุ่งอยู่ ดังนั้นเจ้าจึงมิได้เห็นเธอ แต่ข้าจักบอกกล่าวถึง
ความรู้สึกของเจ้าให้กับเธอในอนาคต” เขากล่าว
“ตอนนี้ในเมื่อข้าได้บอกเล่าสิ่งที่เจ้าต้องการทราบแล้ว เรากลับมา
พูดคุยในเรื่องอื่นกัน ดีไหม”
ซูหยางมองดูซูหยินด้วยท่าทางเยือกเย็นแต่ก็จริงจังและถามเธอว่า
“เจ้าจักมิลืมข้ามิว่าเช่นไรอย่างนั้นรึ”
“ใช่แล้ว ต่อให้ข้าต้องเผชิญกับทั้งโลก ข้าก็ยังต้องการที่จะอยู่กับ
ท่าน” เธอตอบโดยไม่มีแววของความลังเลแม้แต่น้อย
หลังจากผ่านความเงียบมาชั่วขณะ ซูหยางก็พยักหน้า “ให้เวลาข้า
บ้างที่จะคิดถึงเรื่องนี้ ข้าจักบอกคำตอบของข้าให้กับเจ้าหลังจากนี้”
แม้ว่าเขาไม่ได้แสดงออกมา แต่เขาก็ชื่นชมความกล้าหาญและความ
เด็ดเดี่ยวของซูหยิน
“ในที่สุดต่อให้นี่มิใช่ตัวข้า ข้าก็ยังต้องรับผิดชอบที่ทำให้เธอเป็น
เช่นนี้” เขาคิด
“ข้าเข้าใจแล้ว…” แม้ว่าจะไม่พึงพอใจกับผลลัพธ์ ในเมื่อเธอต้องการ
ที่จะรู้คำตอบจากเขาในตอนนี้ ซูหยินก็ยังคงรู้สึกโล่งอกในเวลา
เดียวกันกับการที่เขาไม่ได้ปฏิเสธเธอในทันที
“ตราบเท่าที่ยังมีโอกาส ข้าจักไม่ยอมแพ้” เธอคิด
“อย่างไรก็ตาม พี่ชาย ข้าต้องการที่จะอยู่กับนิกายของท่านไปอีกสอง
สามวัน นั่นคงมิเป็นไร ใช่ไหม” เธอพลันถาม
“นั่นควรจะมิมีปัญหา” เขาพยักหน้า
“อีกอย่างหนึ่ง พี่ชาย นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยนี้ เป็นที่เช่นไรกันแน่
ข้ามิเคยได้ยินชื่อสถานที่เช่นนี้มาก่อน”
“เจ้าควรจะถามศิษย์คนอื่น” เขากล่าวด้วยรอยยิ้มลึกลับ
ในเวลาเดียวกันในห้องข้างซูหยาง โหลวหลานจีและฟางซีหลานได้
พูดคุยกัน
“เจ้ามั่นใจรึที่จะไม่ต้องการเป็นผู้นำนิกายคนต่อไป เจ้าได้ก้าวล้ำ
เหนือข้าในด้านการฝึกวิชาไปแล้ว” โหลวหลานจีกล่าว
“จะเกิดอะไรขึ้นกับท่านถ้าข้าดำรงตำแหน่งนั้น” ฟางซีหลานถาม
“แน่นอนว่าข้าก็จักเกษียณตัวเองและกลายเป็นผู้อาวุโสสูงสุดหรือ
อะไรที่คล้ายคลึงกันสำหรับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย” เธอกล่าว
เมื่อผู้นำนิกายสละตำแหน่งของตนเองไปให้คนรุ่นหลัง ผู้นำนิกายก็
จะยังไม่ทิ้งนิกายไว้เบื้องหลังแต่จะกลายเป็นคนที่เหมือนกับบรรพชน
หรืออีกชื่อหนึ่งก็คือผู้อาวุโสสูงสุด
ครั้นเมื่อเปลี่ยนเป็นผู้อาวุโสสูงสุดแล้ว พวกเขาก็จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับ
ธุระในนิกายอีก และพวกเขาก็จะใช้ช่วงชีวิตที่เหลือมุ่งเน้นในการ
ฝึกวิชา คล้ายกับการเก็บตัวฝึกวิชา นอกจากว่านิกายเผชิญพบกับภัย
พิบัติจนพวกเขาต้องถูกบีบให้ปรากฏตัวออกมา
หลังจากครุ่นคิดไปอีกชั่วขณะ ฟางซีหลานก็ส่ายหน้า “หลังจาก
คิดถึงเรื่องนี้ ข้าก็ยังคงมิสามารถที่จะรับตำแหน่งผู้นำนิกาย ถ้าจะมี
ใครที่ควรรับตำแหน่งนี้ นั่นควรจะเป็นซูหยาง…”
“ซูหยาง หึ แน่นอนว่าข้าก็มีความคิดนี้ในใจเช่นกัน แต่เจ้าลืมไปแล้ว
รึว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมีสองตำแหน่งสำหรับผู้นำนิกาย หนึ่ง
ชายหนึ่งหญิง”
“ผู้นำนิกาย ข้าคิดว่าเราควรพูดถึงเรื่องนี้ยามเมื่อนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
สามารถได้รับการเรียกว่า “นิกาย” อีกครั้ง…” ฟางซีหลานถอนใจ
“อัยย่า… ซูหยางได้สัญญาว่าจะทำอะไรบางอย่างเรื่องนี้ไปแล้วด้วย
เช่นนั้นมันจักต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน”
“ท่านผู้นำนิกายมีความเชื่อถือในตัวเขาเป็นอย่างมาก มิใช่ว่าข้ามิ
เข้าใจ” ฟางซีหลานยิ้ม
“ข้ามิเคยเห็นเจ้ายิ้มเช่นนี้มาหลายปีแล้ว” โหลวหลานจีก็ยิ้มขึ้นเช่นกัน
“พูดเรื่องซูหยาง เจ้าเชื่อจริงหรือกับการทดสอบวันนี้ เป็นที่รู้กันดีว่า
เขามักจะมีไพ่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อเสมอ ข้ามิประหลาดใจเลยถ้าเขา
ไปยุ่งกับเทวรูปวิญญาณ”
“เรื่องนั้น… ผู้นำนิกายจักต้องรู้ความจริงในเวลามินานนัก” ฟางซี
หลานไม่ต้องการที่จะเปิดเผยความประหลาดใจให้กับอีกฝ่าย
“ฮึ่ม ซูหยางนั่นช่างมีอิทธิพลชั่วร้ายจริง ตอนนี้กระทั่งเจ้าก็ยังเก็บ
ซ่อนความลับไว้จากข้า” โหลวหลานจีทำแก้มป่ อง
ฟางซีหลานหัวเราะหึ ๆ กับท่าทางเป็นเด็กของอีกฝ่าย เป็นเวลานาน
แล้วนับตั้งแต่ที่พวกเธอได้พูดกันครั้งสุดท้ายในแบบที่ผ่อนคลาย
และเสรีเช่นนี้ ว่าไปแล้วนับตั้งแต่เธอกลายเป็นศิษย์หลัก พวกเธอก็
ยากที่จะได้พูดกับอีกฝ่าย
“อย่ากังวลไปเลยท่านผู้นำนิกาย มันคุ้มค่าที่จะรอคอย ข้าสัญญา”
ไม่นานหลังจากนั้น โหลวหลานจีก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“ดูเหมือนว่าสุดท้ายพี่น้องคู่นี้ก็ได้พูดคุยกันจบแล้ว” เธอกล่าว “พวก
เราไปเจอพวกเขากัน”
“ตระกูลซู หึ… ข้ายังคงมิอาจเชื่อว่าเขาเป็นคนหนึ่งจากตระกูลใหญ่…”
ฟางซีหลานคิดในใจ
สำหรับสมาชิกของตระกูลใหญ่มาอยู่ยังสถานที่ดังเช่นนิกายกุสุมาลย์
พ้นพิสัย มีอะไรอยู่ในใจของซูหยางกันยามที่เขาตัดสินใจเช่นนั้น
บทที่ 328 ความลับของพี่น้อง
ครั้นเมื่อพวกเขากลับคืนไปยังโรงเตี๊ยม ซูหยางก็นำซูหยินไปยังห้อง
ว่าง
“ผู้นำนิกาย ข้าต้องการให้ท่านอยู่ในห้องกับพวกเราด้วย” ซูหยาง
กล่าวกับเธอก่อนที่จะเข้าไปในห้อง
“…”
โหลวหลานจีไม่ได้พูดอะไรและติดตามเขาเข้าไปในห้อง
ครั้นเมื่อทุกคนอยู่ในห้องและนั่งลงแล้ว ซูหยินก็พูดขึ้นว่า “เช่นนั้น
พี่ชาย ท่านสามารถบอกข้าได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมท่านพลัน
สูญเสียความทรงจำ และท่านไปอยู่ไหนมาตลอดทั้งปี เกิดอะไรขึ้น
ที่ประตูศักด์ิสิทธ์ิหลังจากที่ท่านเข้าไปในประตูมิติแล้ว ผู้หญิงที่ตาม
ท่านคนนั้นเป็นใครกัน”
เมื่อถูกถล่มด้วยคำถามมากมาย ซูหยางก็ยกมือขึ้นกล่าวว่า “เดี๋ยวก่อน
ก่อนที่ข้าจะตอบคำถามเจ้า… ท่านผู้นำนิกาย ท่านมีความสัมพันธ์
อย่างไรกับตระกูลซู”
เขามองดูเธอด้วยสายตาที่เรียบเฉยแต่ทิ่มทะลวง ส่งความรู้สึกเย็นยะ
เยือกไปทั่วทั้งหลังเธอ
“ฮาาา… ถึงจุดที่มิอาจปิดบังมันแล้วในตอนนี้ในเมื่อความทรงจำเจ้า
ได้กลับคืนมาแล้ว” เธอถอนหายใจ
“เมื่อหนึ่งปีก่อนพ่อของเจ้า ผู้นำตระกูลซูมาหาข้าพร้อมกับข้อเสนอ
ข้อเสนอนั้นก็คือ ถ้าข้ารับเจ้าเป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
และป้องกันเจ้ามิให้กลับไปยังภาคตะวันออกหรือพบกับผู้คนจาก
ตระกูลซู ตระกูลซูจักจัดหาทรัพยากรให้กับนิกายเราทุกเดือน
แน่นอนว่าไม่มีเหตุผลสำหรับข้าที่จะปฏิเสธ ในเมื่อข้าเห็นว่าเป็น
เพียงแค่พี่เลี้ยงในเวลานั้น” โหลวหลานจีเปิดเผยความจริงต่อเขา
“อะไรกัน นั่นเป็นไปมิได้ ทำไมพ่อของข้า…”
เต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ ซูหยินยืนขึ้น
“ใจเย็น” ซูหยางกล่าว
“มีแค่นั้นรึ” เขามองดูโหลวหลานจี ซึ่งพยักหน้าอย่างรวดเร็ว
“ความทรงจำของเจ้ามิคงอยู่แล้วในเวลาที่เจ้ามาถึงนิกายกุสุมาลย์พ้น
พิสัย” เธอเสริม
ซูหยางพยักหน้าและหันไปมองซูหยิน ซึ่งยืนอยู่ที่นั่นด้วยใบหน้า
สับสน
“เจ้าก็เห็นแล้วซูหยิน ข้ามิเคย “สูญหาย” ไป ทั้งหมดนั้นล้วนโกหก
ซึ่งสร้างขึ้นมาโดยพ่อของพวกเราด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ตามจริง
แล้วเขาเป็นคนคนที่ปิดกั้นความทรงจำของข้าตั้งแต่แรก”
“แต่… ทำไมเขาต้องทำเช่นนั้น ปกติเรานั้นใกล้ชิดกันมาก มิมีเหตุผล
สำหรับเขาที่จะทำสิ่งเหล่านั้นกับท่าน”
“บางทีอาจจะมีเหตุผลบางอย่างที่ทำไมเขาจึงทิ้งข้า จากที่ข้าจำได้
ปกติเราจะอยู่ด้วยกันเสมอจนมีผลกระทบต่อการฝึกวิชาของเจ้า” ซู
หยางยักไหล่อย่างปลอดโปร่ง “ข้าเป็นคนไร้พรสวรรค์ขณะที่เจ้า
เป็นคนที่มีพรสวรรค์มากที่สุดที่ตระกูลเคยพบเจอ และเมื่อคนอย่าง
ข้าต้องมีผลกระทบต่อการฝึกวิชาของเจ้า นั่นต้องทำให้เขาโกรธ
โกรธจนกระทั่งปิดกั้นความทรงจำของข้าและโยนข้าออกจากประตู”
“มิมีทาง…”
“แน่นอนว่ายังมีเหตุผลอื่นที่ทำไมเขาจึงทำอะไรสุดโต่งเช่นนี้” ซู
หยางพูดต่อ
“อะไรรึ”
“เขาพบเห็นความลับของเรา” เขากล่าวด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
“!!!” ดวงตาซูหยินพลันเบิกกว้าง ใบหน้าของเธอเริ่มแดง
“ความลับรึ ความลับประเภทไหนกันจึงทำให้พ่อถึงกับละทิ้งลูกชาย
ของตนเอง” โหลวหลานจีครุ่นคิดอยู่ในใจ
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ ซูหยินก็กล่าวขึ้น “ถ้าเขารับรู้เรื่องนี้จริง ๆ
… ทุกสิ่งย่อมสมเหตุผล… ฮ่า..” เธอถอนใจหลังจากนั้น
“ท่านผู้นำนิกาย ถ้าท่านมิถือข้าต้องการพูดกับน้องสาวของข้าแบบ
เป็นส่วนตัวในตอนนี้ ขอบคุณสำหรับข้อมูลเมื่อกี้นี้” ซูหยางพลัน
กล่าวขึ้น
“ข้าเข้าใจ ตามสบาย”
โหลวหลานจีออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว
“ตอนนี้พวกเราอยู่ตามลำพังแล้ว เจ้าสามารถพูดได้อิสระ” เขากล่าว
“พ่อของเรา… ท่านคิดจริงหรือว่าเขารู้ถึงความสัมพันธ์ของเรา” เธอ
ถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
“เป็นไปได้อย่างสูง แต่มิยืนยัน”
“…”
ซูหยินเงียบลง
“บอกเจ้าตามตรง ข้าบอกเจ้าทั้งหมดนี้เพราะว่าข้าเห็นว่าเจ้าควรรู้
ความจริง ส่วนสำหรับตัวข้านั้น ข้ามิได้สนใจมากนักเกี่ยวกับอดีต
ของข้าหรือตระกูลอีกต่อไป พูดให้ถูกต้องข้ามิถือว่าตัวข้าเป็นส่วน
หนึ่งของตระกูลซูอีกต่อไป ดังเช่นที่ข้าบอกเจ้าไว้ก่อนนี้ ข้ามิได้เป็น
พี่ชายที่เจ้ารู้จักอีกต่อไป ถึงแม้ว่าข้าได้ความทรงจำกลับคืนมาแล้วก็
ตาม”
“เช่นนั้นความสัมพันธ์ของเราก่อนหน้านั้น…”
“เป็นธรรมดาที่มันจักต้องหยุดลงเช่นกัน”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเขา ซูหยินก็เริ่มร้องไห้
ซูหยางมองดูเธอร้องไห้อย่างเงียบ ๆ
เขาได้กลับมาเกิดในโลกนี้โดยไม่มีความทรงจำของเซียนเหลืออยู่
อย่างไรก็ตามธรรมชาติและสัญชาติญาณในฐานะนักรักระดับเทพ
ในชีวิตก่อนของเขาฝังลึกลงไปในจิตสำนึก มีผลต่อบุคลิกของเขา
โดยไม่รู้ตัว
และเพราะบุคลิกนักรักตามธรรมชาติของเขา เขาได้สร้างความสัมพันธ์
อันใกล้ชิดซึ่งพี่น้องไม่กล้าที่จะจินตนาการกับซูหยิน น้องสาวของ
ตนเอง
แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้ข้ามเส้นจนมีเพศสัมพันธ์ ในเมื่อนั่นเป็นข้อ
ห้ามที่ร้ายแรงในสายตาของคนทั่วไปในโลกนี้ กล่าวไปแล้วพวกเขา
ได้ทำหลายสิ่งร่วมกันอย่างลับ ๆ ซึ่งย่อมทำให้โลกตื่นตระหนกถ้า
ถูกล่วงรู้
“เรา… เราควรทำอย่างไรดีตอนนี้ พี่ชาย” ซูหยินกล้ำกลืนน้ำตาถาม
เขา
“นั่นยังมิชัดเจนอีกรึ เราจักดำรงชีวิตของเราต่อไป เจ้าจักยังคงเป็น
อัจฉริยะของตระกูลซู และข้าก็จักมีชีวิตต่อไปในฐานะคนที่มิมี
ความสัมพันธ์กับตระกูลซู จะเป็นการดีที่สุดถ้าเจ้าลืมข้าเสีย… ทุก
สิ่งทุกอย่าง”
“ข้ามิอาจรับผลลัพธ์แบบนี้ได้ ต่อให้ท่านมิสนใจเรื่องตระกูลซู ข้าก็
มิอาจลืมท่าน นั่นเป็นไปมิได้” ซูหยินปฏิเสธอย่างรวดเร็ว
“ข้าจักพยายามที่จะโน้มน้าวพ่อของเราให้ยอมให้ท่านกลับไป และ
ถ้าเขายังคงปฏิเสธ ข้าจักออกจากตระกูลติดตามท่าน”
หลังจากที่เห็นความหลงใหลอย่างหัวปักหัวปำต่อตนเอง ซูหยางก็
ต้องนึกถอนใจ เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดและรับผิดชอบต่อตัวเธอ ใน
เมื่อเขาอาจจะมีผลทำลายอนาคตของเด็กคนนี้
“ส่วนสำหรับความสัมพันธ์ของเรา… ข้ายังคงมิสามารถที่จะหยุดรัก
ท่าน…”
ซูหยินพลันตรงเข้าไปหาซูหยางและกอดเขาไว้ในทันที
“ได้โปรด พี่ชาย… ต่อให้โลกนี้ปฏิเสธ ต่อให้พวกเขาเห็นว่านั่นเป็น
สิ่งน่าสะอิดสะเอียน ข้าต้องการที่จะรักท่านต่อไป…”
“…”
ซูหยางจนคำพูด ต่อให้หลังจากผ่านชีวิตมาหลายพันปี เขาก็ไม่เคย
พบกับสถานการณ์น่าสับสนงงงันเช่นนี้มาก่อน แม้ว่าเขาเคยอยู่ใน
สถานการณ์ที่คล้ายคลึงกัน แต่ก็ไม่มีเหตุการณ์ไหนที่เป็นน้องที่
แท้จริงของตนเอง
ขณะที่ซูหยางครุ่นคิดว่าหาคำตอบ ซูหยินก็พลันเคลื่อนไหว จูบปาก
ซูหยางอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าเขาจะประหลาดใจ ซูหยางก็ไม่ได้ผลักเธอออกไปในทันที
หลังจากนั้นชั่วขณะ หลังจากที่จูบซูหยางด้วยความเสน่หา ซูหยินก็
ถามเขา
“พี่ชาย… ท่านคิดว่ายังไง เปรียบกับแต่ก่อนแล้ว ข้าพัฒนาขึ้นมาบ้าง
หรือไม่”
บทที่ 327 พวกเจ้าได้ข้ามเส้นที่ไม่ควรข้ามไปแล้ว
“พี่ชาย… ท่าน… หรือว่าความทรงจำของท่านในที่สุดก็กลับคืน
มาแล้ว” ซูหยินมองดูเขาด้วยดวงตานองน้ำตา แขนของเธอยังคง
โอบรอบซูหยางราวกับโคอาล่ากอดต้นไม้
“อื้อ” ซูหยางพยักหน้าอย่างเยือกเย็น
แม้ว่าเขาไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับชีวิตของตนเองก่อนที่เขาคืนความ
ทรงจำของเซียน ดูเหมือนว่านั่นคงไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เมื่อมาถึง
จุดนี้
“หวาาา พี่ชายใหญ่ ข้าคิดถึงท่านมาตลอด” ซูหยินเริ่มร้องไห้เสียงดัง
กว่าเดิม
ในขณะนั้นคนสำนักหงส์สวรรค์จ้องมองพวกเขาด้วยท่าทางงงงัน
“ไม่มีทาง… เขาเป็นพี่ชายใหญ่ของศิษย์น้องหญิงจริง ๆ ด้วย…”
“แต่ข้าคิดว่าเขาตายไปแล้ว”
“ไม่ เขามิเคยได้รับการยืนยันว่าตาย เพียงสูญหายไป” เหยาหนิง
กล่าว ซึ่งเธอได้ฟังซูหยินพูดถึงซูหยางบ่อยกว่าที่ต้องการ
“ข้าคิดว่าเธอเพียงแค่โม้เมื่อเธอเรียกพี่ชายของเธอว่าเป็น “ชายรูป
หล่อที่สุดในโลก” …” เหยาหนิงอดที่จะชื่นชมหน้าตาซูหยางอย่าง
เงียบไม่ได้
“ขออภัย…”
ทหารยามพลันเรียกขานพวกเขา
“ข้าต้องขออภัย แต่ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความเข้าใจผิด ข้าจักประทับใจ
อย่างยิ่งถ้าพวกท่านสามารถทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นกับการกระทบกระทั่ง
เล็ก ๆ น้อย ๆ นี้ นี่ก็มิมีใครได้รับบาดเจ็บด้วยเช่นกัน”
เหยาหนิงคำนับทหารลาดตระเวน
“เอ่อ…”
ทหารลาดตระเวนสบสายตากันและหลังจากนั้นพวกเขาก็กล่าวต่อ
ว่า “ในเมื่อมิมีใครได้รับบาดเจ็บและนี่ก็เป็นถึงสำนักหงส์สวรรค์ เรา
จักมิไล่เลียงเรื่องนี้ต่อไปและจักไปในบัดดล”
สุดท้ายแล้ว พวกเขาก็ไม่ต้องการที่จะล่วงเกินสำนักระดับสูงในเรื่อง
บางอย่างที่เล็กน้อย
ครั้นเมื่อทหารลาดตระเวนจากไปแล้ว เหยาหนิงก็ก้าวไปข้างหน้าแล
คำนับอีกครั้ง
“ข้าต้องขออภัยกับความเข้าใจผิดในพฤติกรรมของศิษย์ร่วมสำนัก
ของข้านี้ ในเมื่อพวกเขากระทำหยาบคายและทำผิดพลาดล่วงเกิน
น้องชายท่านนี้มากเกินไป ข้าคือเหยาหนิง ศิษย์หลักของสำนักหงส์
สวรรค์และเพื่อนรักของน้องสาวซู มีอะไรที่ข้าจะสามารถทำได้ใน
การชดเชยกับการกระทำของพวกเราในวันนี้ได้บ้างหรือไม่”
เหยาหนิงขอโทษด้วยความจริงใจต่อซูหยาง แม้ว่าเธอจะเป็นหนึ่งใน
ไม่กี่คนที่ไม่ได้ด่าว่าซูหยาง เธอก็ยังคงรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบกับผล
ที่เกิดขึ้น ในเมื่อเธอเป็นคนที่เกือบอาวุโสที่สุดรองมาจากผู้อาวุโส
สำนัก
“ปกติแล้วข้าก็จักมักจะมองข้ามความเข้าใจผิดเล็กน้อยเช่นนี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสาวสวยเช่นตัวเจ้าคำนับขออภัยต่อข้า อย่างไร
ก็ตามข้าเกือบสิ้นชีพเมื่อกี้เมื่อตาแก่นั่นพยายามที่จะลอบทำร้ายข้า
บอกข้าสิว่าเจ้าจะชดเชยให้กับข้าอย่างไร”
“ไร้สาระ ข้าเพียงต้องการที่จะแยกเจ้าจากซูหยิน ต่อให้การโจมตี
ของข้าโดน นั่นก็มิถึงกับฆ่าเจ้า และถึงกับเรียกว่านี่เป็นการลอบทำ
ร้าย เจ้าไร้ยางอายหรืออย่างไร”
ผู้อาวุโสสำนักที่พยายามจะโจมตีซูหยางพลันโต้ตอบ
“ยังจะกล่าวหาว่าข้าไร้ยางอายในขณะที่เจ้าซึ่งเป็นผู้ฝึกวิชาระดับสูงสุด
ของเขตปฐพีวิญญาณ เพียงแค่พยายามจะโจมตีคนรุ่นเยาว์ที่ไม่แม้จะ
ถึงเขตสัมมาวิญญาณ หนังเจ้าต้องหนาเหมือนกับหนังวัวแน่”
ผู้อาวุโสสำนักใบหน้าแดงก่ำหลังจากที่ได้ยินคำพูดของซูหยาง
“เจ้าเด็กเลว เจ้ากล้าดูถูกข้าอย่างงั้นรึ…”
“ผู้อาวุโส ถ้าเจ้ามิหยุดในครั้งนี้ ข้าจักบอกอาจารย์ข้าว่าเกิดอะไรขึ้น
ที่นี่หลังจากนี้”
ซูหยินพลันขัดขึ้นด้วยเสียงเย็นเยียบ
“ซ-ซูหยิน… เจ้า…”
ผู้อาวุโสสำนักไม่อยากเชื่อ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้รับความเย็นชา
จากซูหยินแบบนั้น ซึ่งปกติแล้วจะเป็นเด็กใจดีและนุ่มนวล
ซูหยินพลันกล่าวต่อว่า “พวกเจ้าทั้งหมดควรกลับไปที่โรงเตี๊ยมโดย
มิมีข้า ข้าจักอยู่กับพี่ชายใหญ่ของข้าชั่วระยะเวลาหนึ่ง”
“อะไร ทำเช่นนั้นมิได้ อาจารย์ของเจ้า เจ้าสำนักคาดหวังให้เจ้า
กลับไป” ผู้อาวุโสสำนักปฏิเสธทันที
“ข้ามิได้ขออนุญาต” ซูหยินตอบ
“น้องหญิง… อย่าทำให้เรื่องนี้ยุ่งยากกับพวกเรา…”
“เจ้าสำนักจักต้องโกรธแน่ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า..”
“ใช่แล้ว ชีวิตของพวกเราจักต้องเสี่ยงในเวลานั้น”
ศิษย์ของเธอต่างก็พากันกล่าวถึงความกังวลของตนเองออกมา
“ฮึ่ม” ซูหยินแค่นเสียงเย็นชา “แม้ว่าเราอาจจะเป็นศิษย์ร่วมสำนัก แต่
เจ้าได้ข้ามเส้นที่เจ้ามิควรจะข้ามไปแล้วในวันนี้เมื่อเจ้าหยามพี่ชายใหญ่
ของข้า ข้าจักจำเรื่องนี้ไว้”
“…”
ศิษย์ทุกคนที่นั่นที่ได้อ้าปากกล่าวหาซูหยางไม่นานก่อนหน้านั้นได้
ก้มหน้าลงด้วยความละอาย จิตใจเต็มไปด้วยความเสียใจ
พวกเขาทั้งหมดล้วนรู้ว่าซูหยินรักพี่ชายของเธอสุดซึ้ง ในเมื่อนั่น
เป็นทุกอย่างที่เธอจะพูดถึงในสำนัก แต่พวกเขาทุกคนไม่คาดว่าจะ
มากมายถึงเพียงนี้
“ถ้าเจ้าไปกับพวกเขา เช่นนั้นข้าจักร่วมทางกับเจ้าด้วย” เหยาหนิงพูด
ในขณะถัดไป “ถ้าข้าไปกับเจ้า เจ้าสำนักจักได้ไม่กังวล ข้ามั่นใจว่า
เจ้าคงมิต้องการให้เจ้าสำนักขัดขวางการอยู่ร่วมของเจ้ากับพี่ชายของ
เจ้า ใช่ไหม”
ซูหยินครุ่นคิดอย่างเงียบ ๆ ชั่วขณะก่อนที่จะพยักหน้า
“ตกลง พี่หนิงไปกับข้าได้”
ซูหยินพลันหันไปหาซูหยาง
“พวกเราไปกันเถอะ พี่ชาย ข้ามีหลายเรื่องที่จะพูดกับท่าน” เธอ
กล่าวด้วยรอยยิ้มสดใสบนใบหน้า
“อื้อ..”
ซูหยางหันไปมองดูโหลวหลานจี ซึ่งพยักหน้าด้วยรอยยิ้มขื่นขม
“น้องสาวเจ้าสามารถตามพวกเราไปยังโรงเตี๊ยมได้”
หลังจากที่ทุกสิ่งได้จัดการเรียบร้อยแล้ว ซูหยินและเหยาหนิงก็ได้
ตามนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยกลับไปยังที่พักของพวกเขา ปล่อยให้ผู้
อาวุโสสำนักจากสำนักหงส์สวรรค์กรุ่นไปด้วยความโกรธ
“ข้าจักพูดกับเจ้าสำนักยามเมื่อเรากลับไป พวกเจ้าจักต้องมิพูด
ออกไปเกี่ยวกับเรื่องวันนี้ พวกเจ้าเข้าใจข้าหรือไม่”
“ได้ ผู้อาวุโส”
สำนักหงส์สวรรค์จากไปไม่นานหลังจากนั้น
“ฮี่ฮี่ฮี่…”
ซูหยินกอดแขนซูหยางแน่นขณะที่พวกเขาเดินกลับไปยังโรงเตี๊ยม
ขณะที่ส่งเสียงสนุกสนาน
“น้องสาวคนนี้.. ดูประหลาดอยู่บ้าง…”
ศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมองดูการกระทำของซูหยินด้วยหางตา
“เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว น้องสาว” ซุนจิงจิงตัดสินใจที่จะเริ่มการสนทนา
กับเธอ
“ข้าจักอายุสิบหกเดือนหน้า” เธอตอบกลับอย่างรวดเร็ว
“เช่นนั้นเธอก็เพียงอ่อนกว่าศิษย์พี่ชายปีเดียวเองนะสิ หือ”
เหล่าศิษย์เริ่มกระซิบกระซาบกัน
“สามารถเข้าถึงระดับสูงสุดของเขตสัมมาวิญญาณตั้งแต่อายุยังน้อย
เช่นนั้น ช่างเป็นสัตว์ประหลาดอะไรเช่นนั้น..” โหลวหลานจีถอนใจ
“สมกับเป็นน้องสาวของซูหยาง หน้าตาและพรสวรรค์ของทั้งคู่ล้วน
ไม่ธรรมดา” ซุนจิงจิงหัวเราะหึ
“…”
ซูหยินมองดูซุนจิงจิงและสาวสวยเหล่านี้ทั้งหมดด้วยสายตาครุ่นคิด
“พี่ชาย ข้าต้องการถาม เกิดอะไรขึ้นกับนังเลวนั่น” ซูหยินถามเขา
ด้วยท่าทางจริงจัง
“ใครกัน” ซูหยางเลิกคิ้ว
“คนที่อยู่กับท่านที่ประตูศักด์ิสิทธ์ิ และที่บ้านของตระกูลซู”
เมื่อรู้ว่าซูหยินพูดถึงชิวเยว่ ซูหยางไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้
ดี ในเมื่อเธอเพิ่งถูกเรียกว่านังเลวจากเด็กน้อย
“ข้าจักบอกเจ้าทุกอย่างที่โรงเตี๊ยม ส่วนสำหรับหญิงสาวคนนั้น นั่น
ไม่เหมือนกับที่เจ้าคิดนะ เธอมิมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับการสูญเสีย
ความทรงจำของข้า”
“อะไรกัน เช่นนั้น..”
“ก็เหมือนกับวันนี้ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความเข้าใจผิด”
“ไม่มีทาง…” ซูหยินพลันเงียบไปและเริ่มรู้สึกผิดกับการกระทำและ
ความคิดของเธอก่อนหน้านี้
บทที่ 326 ความเข้าใจผิด
“อา”
“เฮ้ ดูซิเจ้าจะไปไหนกัน”
“เชี่ย เจ้าเลวคนไหนกล้าผลักนายน้อยคนนี้”
โดยไม่สนใจสังคมหรือสิ่งรอบข้างตัวเธอ ตราบเท่าที่ระยะทาง
ระหว่างพวกเขาขยับใกล้ขึ้น ซูหยินล้วนผลักทุกคนออกไปด้านข้าง
ในสายตาของเธอมีเพียงซูหยางเท่านั้น
“พี่ชายใหญ่”
ครั้นเมื่อเธอเข้าไปใกล้มากพอ ซูหยินก็กระโจนเข้าไปหาซูหยางด้วย
มือที่อ้ากว้างราวกับเสือ จับเขาไว้ในอ้อมกอดของเธอ
“อะไรกัน”
การปรากฏตัวอย่างกะทันหันและการกระทำของซูหยินสร้างความ
สับสนให้กับหญิงสาวจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ทำให้พวกเธอ
มองดูอีกฝ่ายด้วยสีหน้าประหลาด
“ศิษย์พี่ชาย สาวน้อยคนนี้เป็นใครกัน” ซุนจิงจิงเป็นคนแรกที่ถาม
คำถามนี้
“เธอคงจะเป็นคู่คนหนึ่งของศิษย์พี่ชายในโลกภายนอก” ศิษย์คน
หนึ่งล้อ
“มิเป็นเช่นนั้นแน่…เธออายุน้อยเกินไป…”
“นั่นคือ…” โหลวหลานจีมองดูซูหยิน ขมวดคิ้ว รู้สึกเหมือนกับว่า
เธอเคยเห็นอีกฝ่ายที่ไหนสักแห่งก่อนหน้านี้
“เดี๋ยว เจ้า… เจ้าคือซูหยิน” สุดท้ายโหลวหลานจีก็นึกตัวตนของอีก
ฝ่ายออกในฐานะของลูกสาวตระกูลซูและน้องสาวของซูหยาง
“ธ-เธอมาทำอะไรที่นี่ จะเกิดอะไรขึ้นกับข้อตกลงของพวกเรา
ตอนนี้” โหลวหลานจีครุ่นคิดในใจ
หนึ่งในข้อตกลงของเธอกับพ่อของซูหยาง ซูซุน ก็คือรักษาระยะห่าง
ซูหยางออกจากตระกูลซู แต่ตอนนี้น้องสาวเข้ามาหาพวกเขาด้วยตัว
เธอเอง นั่นจะถือว่าละเมิดข้อตกลงของพวกเขาหรือไม่
แน่นอนว่าโหลวหลานจีไม่รู้ว่าซูหยินไม่รู้ถึงข้อตกลงของเธอกับ
ตระกูลซู
“ผู้นำนิกายรู้จักสาวน้อยคนนี้ด้วยรึ ซูหยินรึ หรือว่าเธอเป็นน้องสาว
ของศิษย์พี่ชาย” หนึ่งในบรรดาศิษย์ถาม
“เธอเรียกเขาว่า พี่ชายใหญ่ ด้วยเมื่อกี้นี้..”
ความสนใจของเหล่าศิษย์ในซูหยินคนนี้พลันเพิ่มขึ้นในทันใด ไม่มี
ใครในหมู่พวกเธอคาดว่าซูหยางจะมีพี่น้อง
“พี่ชายใหญ่ ข้าคิดถึงท่าน แงแงแงแงแง”
ซูหยินพลันเริ่มร้องไห้เสียงดัง สร้างความงงงันให้กับคนแถวนั้น
ซูหยางมองดูสาวน้อยที่เกาะเสื้อคลุมของเขาและร้องไห้ราวกับเด็ก
ทารก อย่างไรก็ตามขณะที่เขากำลังอ้าปากจะพูด คนจากสำนักหงส์
สวรรค์ก็ตามมาทันซูหยินในที่สุดและเริ่มชี้นิ้วไปที่ซูหยาง
“เจ้าเป็นตัวอะไร ออกไปให้พ้นจากศิษย์น้องหญิงของพวกเรา”
“เธอ… เธอกำลังร้องไห้ เจ้าเลวนี่ต้องทำให้เธอร้องไห้แน่นอน”
ศิษย์สำนักหงส์สวรรค์เข้าใจผิดกับสถานการณ์อย่างรวดเร็วและเริ่ม
กล่าวหาซูหยางว่าทำให้ซูหยินร้องไห้ ซึ่งก็ไม่ผิดไปจากความจริง
มากนัก
“คนเหล่านี้เป็นใครกัน โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้และพูดจาว่าร้ายศิษย์
พี่ชายของพวกเรา พวกเขาช่างกล้าจริง”
นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยดูคนเหล่านี้ด้วยสายตาไม่เป็นมิตร
“เกิดอะไรขึ้นที่นี่”
สุดท้ายผู้อาวุโสนิกายจากสำนักหงส์สวรรค์ก็มาถึง
“ผู้อาวุโส เจ้าเลวตรงนั้นทำให้ศิษย์น้องหญิงร้องไห้ เขากระทั่งยื้อยุด
เธอไว้เหมือนคนลามก”
“อะไรกัน” ผู้อาวุโสโกรธขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ในเมื่อซูหยินเป็นหนึ่ง
ในผู้ที่มีพรสวรรค์และเป็นศิษย์ที่หวงแหนมากที่สุดของพวกเขา
ทำให้เธอร้องไห้ก็เหมือนกับการล่วงเกินทั้งสำนักหงส์สวรรค์ ยิ่งไป
กว่านั้นแตะต้องตัวเธออย่างไม่เหมาะสม
“เอามือสกปรกของเจ้าออกไปจากเธอเดี๋ยวนี้
โดยไม่มีคำเตือนอะไรทั้งสิ้น ผู้อาวุโสจากสำนักหงส์สวรรค์ก็เข้า
โจมตีซูหยางด้วยฝ่ามือ
“เจ้ากล้าทำร้ายศิษย์ของข้าได้อย่างไรต่อหน้าข้า” โหลวหลานจีก็
พลันโคจรพลังปราณไร้ลักษณ์ของเธอและโจมตีสวนกลับ ป้องกัน
ซูหยางจากการโจมตีของผู้อาวุโสสำนัก และผลักผู้อาวุโสสำนักนั้น
ห่างออกไปหลายเมตร
ศิษย์นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยพลันพากันก่นด่าสำนักหงส์สวรรค์
“โจมตีผู้เยาว์โดยไม่มีวี่แวว เจ้ายังจะเรียกตัวเองว่าเป็นผู้อาวุโสสำนัก
ได้รึ”
“นี่เป็นสาวน้อยคนนี้ที่ปรากฏตัวขึ้นโดยไร้วี่แววและกอดศิษย์พี่ชาย
ของเรา มิใช่เป็นอย่างอื่น”
หลังจากที่ปะทะกันครั้งแรก ทั้งบริเวณนั้นก็พากันหลีกทางเปิด
ช่องว่างให้กับพวกเขา
“นั่นเป็นการต่อสู้”
“พวกเขาบ้าไปแล้วหรือเปล่า ต่อสู้ในเมืองหิมะร่วง หรือว่าพวกเขา
ลืมไปว่าพวกเขาอยู่ในเมืองไหนในตอนนี้”
“ออกไปให้พ้นทางถ้าเจ้ามิต้องการถูกลากเข้าไปพัวพัน ทหาร
ลาดตระเวนกำลังมาแล้ว”
เห็นทหารลาดตระเวนสองสามคนตรงมาที่พวกเขาจากที่ไกล
“เกิดอะไรขึ้นที่นี่ ใครเริ่มการต่อสู้นี้”
ทหารลาดตระเวนถามพวกเขาเมื่อมาถึง
“พวกเขาเริ่ม”
นิกายกุสุมาลย์ชี้นิ้วไปโดยไม่เสียเวลา
ทหารลาดตระเวนมองดูสำนักหงส์สวรรค์
“ส-สำนักหงส์สวรรค์รึ”
ทหารลาดตระเวนประหลาดใจที่เห็นสำนักระดับสูงนี้ที่สร้างปัญหา
“ทหาร พวกเขาโกหก เขาเป็นคนที่เริ่มต้นสิ่งนี้ เจ้าเลวนี่ทำให้ศิษย์น้อง
หญิงของพวกเราร้องไห้ เขาถึงกับแตะต้องตัวเธอโดยไม่เหมาะสม”
ศิษย์สำนักหงส์สวรรค์ตำหนิ
“…”
ทหารลาดตระเวนมองดูนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย แต่พวกเขาไม่
สามารถจดจำเสื้อผ้าอีกฝ่ายได้
“พวกเจ้าเป็นใครกัน” หนึ่งในทหารลาดตระเวนถาม เขาไม่ต้องการ
ที่จะล่วงเกินสำนักหงส์สวรรค์ แต่เขาก็ไม่ต้องการที่จะล่วงเกินผู้ที่
ไม่ทราบความเป็นมาเช่นกัน
“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ข้าคือผู้นำนิกาย” โหลวหลานจีก้าวออกมา
ด้านหน้า
ทหารลาดตระเวนมองหน้ากันเอง ไม่มีใครในหมู่พวกเขาเคยได้ยิน
ชื่อนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมาก่อน
“ไม่สำคัญว่าพวกเขาเป็นใคร แต่พวกเขาทำให้ศิษย์ของพวกเราคน
หนึ่งร้องไห้ ข้าจักต้องให้เจ้าสำนักรู้เรื่องนี้หลังจากนี้” ผู้อาวุโส
สำนักที่โจมตีซูหยางพลันพูดขึ้น
โหลวหลานจีขมวดคิ้วและกล่าวว่า “เจ้าเป็นคนที่โจมตีก่อน เจ้ามิมี
ยางอายหรืออย่างไรกัน”
“ข้าขอพูด…” ซูหยางซึ่งได้เงียบมาตลอดเวลานี้พลันกล่าวขึ้น “พวก
เจ้าได้เห็นหรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเจ้ารู้ไหมว่าทำไมเธอจึงร้องไห้”
“ม-ม-ไม่..” ผู้อาวุโสสำนักพูดขึ้นอย่างลังเล
“เช่นนั้นเจ้าก็โจมตีข้าโดยไม่มีเหตุผลอะไร ข้าต้องพูดว่าสำนักหงส์
สวรรค์นั้นช่างเอาแต่ใจตนมากมายทีเดียว” ซูหยางกล่าวด้วยสีหน้า
เรียบเฉย
“ระวังปากของเจ้า เจ้าเด็กเลว และรีบปล่อยศิษย์ข้ากลับมา”
ซูหยางส่ายหน้าและกล่าวต่อว่า “เจ้าตาบอดหรือไร มองดูพวกเรา
และบอกซิว่าใครเป็นคนยื้อยุดอีกคนอยู่ พูดอีกครั้งซิ”
บรรดาศิษย์ของสำนักหงส์สวรรค์มองดูเขาและซูหยินอีกครั้ง แต่
ครานี้มองอย่างใส่ใจมากกว่าเดิม
“น-นี่…”
พวกเขาต่างพากันตกตะลึงเมื่อตระหนักว่าเป็นซูหยินที่เกาะเขาไว้
“นี่เป็นสถานที่แบบไหนกันที่ดูแลน้องสาวของข้าอยู่ หือ น่าเป็น
ห่วงนัก” ซูหยางถอนใจ แสร้งทำตนเป็นพี่ชายที่เป็นห่วงเป็นไย
“จ-เจ้าพูดอะไรไป เธอเป็นน้องสาวของเจ้ารึ”
ไม่เพียงแค่สำนักหงส์สวรรค์ แต่กระทั่งโหลวหลานจีก็ยังมองดูเขา
ด้วยดวงตาเบิกกว้าง
“เขารู้ว่าซูหยินนั้นเป็นน้องของเขา แต่นั่นเป็นไปไม่ได้ เขามิควรจะ
มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับตระกูลซู เช่นนั้นเขาคืนความทรงจำแล้ว
รึ ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” โหลวหลานจีครุ่นคิด
บทที่ 325 ผลลัพธ์ที่น่าสงสัย
เมื่อเขาเข้าถึงเทวรูปอายุกระดูก ซูหยางก็ยกมือขึ้น
เวลาไม่นานหลังจากนั้นดวงแสงทั้งหมดสิบเจ็ดดวงก็ลอยออกมา
รอบเทวรูป
“สิบเจ็ดปี…”
ผู้ตรวจสอบอดที่จะเปรียบเทียบตนเองกับเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ได้ ซึ่ง
เปล่งกลิ่นอายอันลึกลับที่ดูเหมือนจะลึกล้ำกว่าฟางซีหลานด้วยซ้ำ
“เขาเพียงแค่สิบเจ็ดปีจริงหรือ…” ฟางซีหลานถึงกับสับสนกับผลลัพธ์
เดิมเธอเชื่อว่าเขาเป็นจอมยุทธที่ปลอมตัวมา
กล่าวเช่นนั้น เข้าถึงเขตอัมพรวิญญาณเมื่ออายุเพียงแค่นี้ทำให้เธอ
รู้สึกไร้ความหมายเหมือนเป็นแค่มดตัวหนึ่ง
“เจ้าคิดว่าพลังการฝึกปรือระดับไหนที่ศิษย์พี่ชายเข้าถึง” หนึ่งใน
บรรดาศิษย์ถาม
“เขาต้องอยู่ไม่ต่ำกว่าระดับสูงสุดของเขตปฐพีวิญญาณ ใช่ไหม”
“เป็นไปได้ว่าเขาน่าจะเข้าสู่เขตอัมพรวิญญาณไปแล้ว”
“แต่เขาอายุเพียงสิบเจ็ดปี เป็นยอดยุทธเขตอัมพรวิญญาณที่อายุเพียง
เท่านี้ค่อนข้างจะเกินไปหน่อยถึงแม้ว่าจะเป็นศิษย์พี่ชายก็ตาม…”
“เช่นนั้นเจ้าจะอธิบายความก้าวหน้าของพวกเราอย่างไร”
“นั่นก็จริง แต่ในทำนองเดียวกัน เราก็จักมิสามารถที่จะฝึกโดยใช้
ปราณหยางของเขาได้ ถ้าเขามีระดับมากกว่าพวกเราเกินไป พวกเรา
ทุกคนคงต้องตายไปนานแล้ว”
ปกติแล้วผู้คนไม่สามารถที่จะฝึกปราณที่เกินกว่าเขตของตนเอง
อย่างไรก็ตาม ซูหยางมีวิชาอันล้ำลึกที่สามารถหักล้างกับกฎสวรรค์
ได้ถึงระดับหนึ่ง ยอมให้คู่ฝึกของเขาได้ฝึกฝนกับปราณหยางของเขา
ได้ทั้งที่มีพลังการฝึกปรือต่ำกว่าเขา
ถึงกระนั้นวิชาที่บิดเบือนกฎสวรรค์นี้สามารถใช้ได้กับคนที่อยู่ใน
ขอบเขตมนุษย์ทั้งเจ็ดเท่านั้น
อีกนัยหนึ่ง ตราบเท่าที่ความแตกต่างนั้นไม่มากมายจนเกินไป ซูหยาง
สามารถที่จะฝึกฝนร่วมกับใครก็ตามที่เขาต้องการโดยไม่สนใจพลัง
การฝึกปรือของพวกเธอ แต่แน่นอนว่าวิชาประเภทนี้เพียงช่วยคนที่มี
พลังการฝึกปรือต่ำกว่าซูหยางและจะใช้ไม่ได้ถ้าพวกเธอเหนือกว่าเขา
หลังจากที่เสร็จสิ้นกับเทวรูปอายุกระดูก ซูหยางก็ตรงเข้าไปยังเทวรูป
วิญญาณ
“…”
สถานที่นั้นพลันเปลี่ยนเป็นเงียบไปอย่างสิ้นเชิง ในเมื่อทุกคนที่นั่น
ต่างคาดหวังถึงการเปิดเผยพลังการฝึกปรือของเขา
ไม่นานหลังจากนั้น ผู้ตรวจสอบกล่าวด้วยเสียงสับสนว่า “ระดับ
เก้า… เขตคัมภีร์วิญญาณ..”
“อะไรกัน”
ทุกคนที่นั่นต่างพากันอุทานดังลั่น
“หรือว่าศิษย์พี่ชายพังเทวรูปวิญญาณ”
“เขตคัมภีร์วิญญาณ นั่นเป็นไปได้อย่าง เห็นชัดว่าเขาอยู่ที่เขตอัมพร
วิญญาณ…” ฟางซีหลานซึ่งเป็นคนเดียวที่ตระหนักถึงพลังการ
ฝึกปรือที่แท้จริงของเขาครุ่นคิด
“หรือว่าเขาเข้าไปยุ่งกับเทวรูปวิญญาณด้วย แล้วเทวรูปอายุกระดูก
ล่ะ หรือว่าเขาเข้าไปยุ่งกันมันด้วยเช่นกัน”
ไม่เพียงแต่ฟางซีหลาน แต่กระทั่งโหลวหลานจีก็สงสัยถึงผลลัพธ์
ด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นว่าซูหยางสงบเยือกเย็น
เพียงไรในตอนนี้
“ประทับ” ซูหยางพูดกับผู้ตรวจสอบอย่างไม่ใส่ใจ
“ด-ได้…”
ผู้ตรวจสอบประทับตราบนมือซูหยางโดยไม่ได้คิดอะไรมากเรื่องนั้น
ครั้นเมื่อทุกคนจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้รับตราประทับ
คุณสมบัติแล้วพวกเขาต่างก็ออกไปจากสนามกีฬาจากทางด้านหลัง
“ซูหยาง เจ้าอยู่เพียงแค่เขตคัมภีร์วิญญาณจริงรึ” โหลวหลานจีถาม
เขาหลังจากพวกเขาออกไป
“นั่นเป็นสิ่งที่เทวรูปวิญญาณวัดออกมา ไม่ใช่รึ”
“ถ้าเจ้าอยู่เพียงแค่เขตคัมภีร์วิญญาณ เจ้าสามารถช่วยคนอื่น ๆ บรรลุ
ถึงพลังการฝึกปรือของพวกเธอได้อย่างไร นั่นไม่ใช่สิ่งที่ใครที่อยู่
เพียงแค่เขตคัมภีร์วิญญาณจะสามารถช่วยได้”
“มีปัญหาอะไรกับพลังการฝึกปรือที่ข้ามีรึ หากว่าได้ผลลัพธ์เช่นนั้น…”
โหลวหลานจีถอนใจ “ก็ได้ ถ้าเจ้ามิต้องการที่จะพูดอะไรในตอนนี้
รอจนกว่าหลังจากที่ข้าชนะพนันของพวกเรา”
ซูหยางเพียงแค่พยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม
อย่างไรก็ตามไม่นานหลังจากนั้น ฟางซีหลานก็ใช้สัมผัสวิญญาณ
ของเธอพูดกับซูหยางในใจ “ไม่มีอะไรถ้าเจ้าต้องการที่จะเก็บไว้เป็น
ความลับ แต่เกิดอะไรขึ้นเมื่อกี้นี้ ในเมื่อเห็นชัดว่าเจ้าอยู่ในเขตอัมพร
วิญญาณ”
“ข้าลวงมันนิดหน่อย เท่านั้นเอง” ซูหยางตอบอย่างเรียบเฉย
“เจ้าลวงมัน แต่สมบัติวิญญาณนั่นเป็นที่รู้จักว่า… ลืมมันไปเถอะ ไม่
มีอะไรน่าประหลาดใจมากกว่าคนอายุสิบเจ็ดปีเข้าถึงเขตอันพร
วิญญาณ”
“เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าศิษย์พี่ชายอยู่เพียงแค่เขตคัมภีร์วิญญาณ” ศิษย์คน
อื่นกระซิบกระซาบกัน
“มิมีทาง… เขาบางทีใช้วิชาลึกลับบางอย่างอย่างซ่อนพลังการฝึกปรือ
ของเขา”
“ใช่ ลำพังแค่คุณภาพของปราณหยางของเขาอย่างเดียวก็อย่างน้อย
ต้องในเขตปฐพีวิญญาณแล้ว”
ในเวลานั้นไม่กี่เมตรออกไปจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย คนกว่าโหล
ได้รายล้อมเด็กสาวคนหนึ่ง ต่างพากันกระตือรือร้น
“อย่างที่คาดไว้ถึงศิษย์น้องหญิง เข้าถึงระดับสูงสุดของเขตสัมมา
วิญญาณยามที่อายุยังน้อย อนาคตของเจ้าไร้ขอบเขต”
“น้องหญิงอะไรกัน เธอจักกลายเป็นศิษย์พี่หญิงของเราเพียงแค่
กระพริบตา ทางที่ดีเราต้องเริ่มปฏิบัติต่อเธอเท่าเทียมกัน”
อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะได้รับการชื่นชมโดยเกือบทุกคนรอบตัวเธอ
เด็กสาวคนนี้ก็ยังคงเงียบเฉย
“ศิษย์ซู แม้ว่าข้าต้องการชื่นชมความพยายามของเจ้า ข้าก็ยังคงมิอาจ
เพิกเฉยสุขภาพของเจ้า ตามจริงข้าห้ามเจ้าฝึกฝนในอีกสี่สิบแปดชั่วโมง
ข้างหน้า ใช้เวลานี้ในการพัก” ผู้อาวุโสสำนักของสำนักหงส์สวรรค์
กล่าวกับเด็กสาว
“เจ้าค่ะ ผู้อาวุโส…” ซูหยินพยักหน้าอย่างเชื่องช้า
“มีอะไรเกิดขึ้นกับศิษย์น้องหญิงรึ เธอดูเศร้าก่อนที่พวกเราจะมาถึง
ที่นี่ด้วยซ้ำ”
“ข้าจะรู้เรื่องนั้นได้อย่างไรกัน คนที่ใกล้ชิดกับเธอก็คือศิษย์พี่หญิง
เหยา..”
ศิษย์อื่น ๆ ต่างพากันมองดูหญิงสาวสวยที่ยืนอยู่ข้างซูหยินด้วย
สายตาเร่งเร้า
“…”
หญิงสาวตระกูลเหยากลอกนัยน์ตาไปยังเพื่อนศิษย์ของเธอก่อนที่จะ
พูดกับซูหยิน
“น้องหยิน ถ้ามีอะไรที่เจ้าต้องการจะระบาย พี่สาวอยู่ที่นี่สำหรับเจ้า
เสมอ…”
“…”
“น้องหยิน เจ้ามองดูอะไรอยู่รึ นั่นเหมือนกับว่าเจ้ากำลังมองเห็นผี
หรืออะไรทำนองนั้น” เมื่อสังเกตเห็นซูหยินจ้องมองไปยังทิศทาง
หนึ่งด้วยดวงตากลมโต เหยาหนิง เพื่อนที่ดีที่สุดของเธอจึงมองไป
ยังทิศทางนั้นเช่นกัน
อย่างไรก็ตามนอกจากจะเป็นกลุ่มของหญิงสาวที่สวยมากเป็นพิเศษ
แล้ว ก็ไม่มีอะไรที่มีค่าควรแก่การสนใจในทิศทางนั้นอีก
“พ-พี่ชาย” ร่างของซูหยินทั้งร่างพลันสั่นสะท้านเมื่อเธอสังเกตเห็น
ใบหน้าหล่อเหลาของซูหยางในกลุ่มของสาวสวย
และโดยไม่ต้องคิดถึงอะไรอีก ซูหยินเริ่มวิ่งไปยังซูหยาง ผลักทุกคน
ออกไปด้านข้าง
บทที่ 324 ผลลัพธ์ที่น่าตื่นตะลึง
ทันทีที่เข้าไปในสนามกีฬา เทวรูปสูงใหญ่ก็จ้องเขม็งลงมายังนิกาย
กุสุมาลย์พ้นพิสัยราวกับผู้พิทักษ์ที่แข็งกร้าวสององค์
“เทวรูปวิญญาณและเทวรูปอายุกระดูก หนึ่งใช้วัดอายุของพวกเจ้า
ผ่านกระดูกและอีกหนึ่งสำหรับวัดพลังการฝึกปรือของพวกเจ้า
เป็นไปไม่ได้ที่จะโกหกต่อหน้าสมบัติวิญญาณทั้งสองนี้”
โหลวหลานจีอธิบายให้กับพวกเขา
“…”
ซูหยางมองดูเทวรูปวิญญาณด้วยสายตาครุ่นคิด
“ข้ามิต้องกังวลในการเปิดเผยอายุของข้า หรือว่าต้องพยายามปิดบัง
พลังการฝึกปรืออย่างจริงจัง แต่การเปิดเผยพลังการฝึกปรือที่แท้จริง
ที่นี่ย่อมทำให้เกิดความปั่นป่ วนมากเกินไป นี่ยังมิได้พูดถึงแผนการ
ของข้า ข้าจักซ่อนมันไว้ก่อนตอนนี้”
แม้ว่าสมบัติวิญญาณเหล่านี้เป็นที่รู้กันว่าแม่นยำร้อยเปอร์เซ็นต์และ
ไม่สามารถหลอกได้ แต่สมบัติวิญญาณด้อยค่าเหล่านี้ก็เปรียบเสมือน
ของเล่นต่อหน้าของเซียนดังเช่นซูหยาง ซึ่งมีวิชาการปกปิดมากมาย
ที่จะหลอกของเล่นเหล่านี้
“ทีละคน พวกเจ้าจะต้องวางมือบนเทวรูปทั้งสองนี้เพื่อตรวจสอบ
เราจักทดสอบอายุของเจ้าก่อนเป็นอันดับแรก ดังนั้นจงวางมือเจ้าบน
เทวรูปอายุกระดูกที่อยู่ด้านซ้าย” ผู้ตรวจสอบพลันกล่าวกับพวกเขา
“ไปเลย” โหลวหลานจีเร่งเหล่าศิษย์
หนึ่งในเหล่าศิษย์พยักหน้าและเข้าไปหาเทวรูปอายุกระดูกและ
วางมือบนนั้น
ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น ลูกกลมสีเขียวสว่างสิบแปดลูกก็ปรากฏรอบ
เทวรูปอายุกระดูก แน่นอนว่าลูกกลมสีเขียวแต่ละลูกหมายถึงหนึ่งปี
สำหรับศิษย์
“สิบแปดปี เจ้าผ่านการทดสอบอายุ ต่อไปวางมือของเจ้าบนเทวรูป
วิญญาณและถ่ายเทปราณไร้ลักษณ์ลงไปในนั้นเพื่อกระตุ้นการทำงาน
ของมัน” ผู้ตรวจสอบกล่าว
ศิษย์ทำตามคำแนะนำและปลดปล่อยปราณไร้ลักษณ์เข้าไปในเทวรูป
วิญญาณเพื่อที่จะกระตุ้นสมบัติวิญญาณ
ไม่นานหลังจากนั้นทั้งตัวเทวรูปก็เปล่งแสงสีเขียวเข้ม
“เขตสัมมาวิญญาณระดับห้า เจ้ามีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วมในการ
แข่งขันนี้ ยื่นหลังมือมาให้ข้า” ผู้ตรวจสอบกล่าว
เมื่อศิษย์ยกมือของเธอขึ้น ผู้ตรวจสอบก็นำเอาตราประทับออกมา
ประทับไปบนหลังมือของศิษย์ รอยประทับสีเหลืองก็พลันปรากฏ
ขึ้นบริเวณที่ถูกประทับในไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นก่อนที่จะหายเข้าไป
ในผิวของเธอเมื่อเวลาผ่านไป
“นี่คือ…” ศิษย์มองดูผู้ตรวจสอบด้วยสีหน้างุนงง
“รอยประทับนั้นเป็นสิ่งที่ใช้พิสูจน์ว่าเจ้าเป็นผู้เข้าร่วมการแข่งขัน
อย่างเป็นทางการ หากไม่มีมันเจ้าจักไม่สามารถที่จะขึ้นไปบนเวที
ได้”
“ข้าเข้าใจแล้ว…”
หลังจากที่ศิษย์คนแรกผ่านการทดสอบซึ่งใช้เวลาไม่ถึงนาที ศิษย์คน
ต่อไปก็ก้าวไปข้างหน้า
“สิบแปดปี เขตสัมมาวิญญาณระดับหก ผ่าน”
“สิบเจ็ดปี เขตสัมมาวิญญาณระดับห้า ผ่าน”
“ยี่สิบปี เขตสัมมาวิญญาณระดับแปด ผ่าน”
“สิบเก้าปี เขตสัมมาวิญญาณระดับเก้า ผ่าน”
เมื่อการทดสอบดำเนินต่อไป ผู้ตรวจสอบก็ยิ่งประหลาดใจกับศิษย์
ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและผลลัพธ์ของการทดสอบของพวกเธอ
“แม้ว่าพวกเธอจะมีอายุน้อย พวกเธอทั้งหมดล้วนมีพลังการฝึกปรือ
ที่สูง ซึ่งไม่มีทางด้อยไปกว่านิกายระดับสูง นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยรึ
พวกเขาพบเหมืองแร่วิญญาณหรืออะไรบางอย่างและร่ำรวยขึ้นมา
หรือเปล่า นั่นต้องใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลืองจำนวนมากในการที่
จะฝึกศิษย์เหล่านี้ การแข่งขันระดับภูมิภาคปีนี้ต้องสนุกอย่างแน่นอน”
เพราะว่ามากกว่าครึ่งของเหล่าศิษย์ที่มาที่นี่ในวันนี้ล้วนเป็นศิษย์นอก
เมื่อครึ่งปีก่อน ดังนั้นอายุของพวกเธอล้วนอยู่ในระดับต่ำ
“คนต่อไป”
“ในที่สุดก็ถึงตาข้า” ซุนจิงจิงก้าวไปข้างหน้าด้วยท่าทางตื่นเต้น
“ยี่สิบเอ็ดปี… ระดับสอง…. ข-ข-เขตปฐพีวิญญาณ”
ผู้ตรวจสอบเกือบกรีดร้องเมื่อเขาเห็นเทวรูปวิญญาณเปล่งแสงสีแดง
ซึ่งเป็นสิ่งที่มีเพียงผู้ที่เข้าสู่เขตปฐพีวิญญาณสามารถทำให้เกิดขึ้นได้
“สามารถเข้าสู่เขตปฐพีวิญญาณตั้งแต่เยาว์วัย ช่างเป็นคนอันยิ่งใหญ่
อะไรเช่นนี้ อนาคตของเธอจักต้องไร้ขีดจำกัด”
ผู้ตรวจสอบปาดเหงื่อออกจากหน้าผากของตนเองและคารวะไปยัง
โหลวหลานจี “ขอแสดงความยินดีกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยที่มีศิษย์
ที่เฉลียวฉลาดเช่นนี้”
โหลวหลานจีอดที่จะยิ้มหลังจากที่ได้ยินคำชมจากผู้ตรวจสอบไม่ได้
รู้สึกเป็นเกียรติอย่างสูงที่มีศิษย์ดังเช่นซุนจิงจิง
แต่แน่นอนว่าทุกสิ่งนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้หากปราศจากซูหยาง
หลังจากที่ซุนจิงจิงไปแล้ว คนที่เหลือที่ยังไม่ได้ทดสอบก็คือฟางซี
หลานและซูหยาง
“ศิษย์ฟาง เข้าไป” โหลวหลานจีมองดูเธอด้วยรอยยิ้มกว้าง
ฟางซีหลานพยักหน้าและเข้าไปที่เทวรูปอายุกระดูก
“ยี่สิบสี่ปี”
หลังจากผ่านการทดสอบอายุ ฟางซีหลานก็วางมือของเธอไปยัง
เทวรูปวิญญาณ
ไม่นานหลังจากนั้น เทวรูปก็เปล่งแสงสีแดงเข้ม ซึ่งเหนือกว่าซุน
จิงจิงในด้านความแจ่มชัด
“ป-ป-เป็นไปไม่ได้” ผู้ตรวจสอบล้มลงก้นจ้ำเบ้าหลังจากที่เห็นพลัง
การฝึกปรือของฟางซีหลาน
“ร-ร-ระดับเจ็ดเขตปฐพีวิญญาณ” ผู้ตรวจสอบตะโกนลั่นด้วยเสียงที่
ตื่นตระหนก
“ม…มิมีทาง..” กระทั่งโหลวหลานจีก็ยังไม่อาจเชื่อผลลัพธ์และจ้อง
มองฟางซีหลานด้วยท่าทางมึนงง ในที่สุดเธอก็เข้าใจว่าทำไมเธอจึง
ไม่สามารถเห็นพลังการฝึกปรือของฟางซีหลานได้ ไม่เหมือนศิษย์
คนอื่นนอกจากซูหยาง
จริงแล้วโหลวหลานจีเองก็อยู่เพียงระดับห้าเขตปฐพีวิญญาณ
โหลวหลานจีจึงหันไปมองดูซูหยาง ซึ่งเป็นคนรับผิดชอบเรื่องนี้
ถ้าเขาสามารถช่วยฟางซีหลานได้รับพลังการฝึกปรือสูงเช่นนั้นใน
เวลาอันสั้น เขาต้องแข็งแกร่งกว่าฟางซีหลานใช่หรือไม่
“ดัง…ดังคาดสำหรับศิษย์พี่หญิง… พรสวรรค์ของเธอเพียงลำพังก็
ดีกว่าพวกเราทุกคนรวมกัน…”
ศิษย์คนอื่นแอบถอนใจ
“ข้าต้องการได้รับการประทับตอนนี้” ฟางซีหลานกล่าวกับผู้ตรวจ
สอบที่นั่งอยู่บนพื้น
“อือ…”
อย่างไรก็ตาม ผู้ตรวจสอบไม่ได้ตอบสนองในทันทีและแสดงความ
ลังเล แม้ว่าอายุของฟางซีหลานจะอยู่ในช่วงที่กำหนดไว้ แต่พลังการ
ฝึกปรือของเธอผิดปกติจนเกินไป ถ้าเธอขึ้นไปบนเวที เธอจะไม่ข่ม
เหงทุกคนที่นั่นอย่างง่ายดายหรือ
บ้าแล้ว ถ้าให้ดีพวกเขาควรให้รางวัลที่หนึ่งเธอไปเลยก่อนที่การ
แข่งขันจะเริ่มขึ้น
“มีปัญหาอะไรหรือผู้ตรวจสอบ ทำไมท่านจึงยังไม่ประทับตรามือ
เธอ” โหลวหลานจีถามพร้อมขมวดคิ้ว
“เอ้อ.. มิมีอะไรผิดปกติกับอายุของเธอ แต่พลังการฝึกปรือของเธอ
ค่อนข้างจะ..”
“อะไรกัน นั่นมิมีข้อกำหนดถึงขีดจำกัดของพลังการฝึกปรือของคน
ที่จะมีคุณสมบัติเป็นผู้เข้าร่วมการแข่งขัน ถ้าข้าจำไม่ผิด ต่อให้เธออยู่
ที่เขตอัมพรวิญญาณ ศิษย์ข้าย่อมมีคุณสมบัติเข้าเป็นผู้ร่วมการแข่งขัน”
โหลวหลานจีตอบโต้ทันที
ผู้ตรวจสอบพลันเงียบไปหลังจากที่ได้ยินคำตำหนิของโหลวหลานจี
และหลังจากผ่านการครุ่นคิดไปหลายนาที ผู้ตรวจสอบสุดท้ายก็ยอม
ประทับตรามือของฟางซีหลาน
“ท่านพูดถูก มิมีกฎที่ห้ามคนที่อยู่ในระดับเจ็ดเขตปฐพีวิญญาณว่ามิ
ผ่านคุณสมบัติ ตราบเท่าที่พวกเขาเหนือกว่าเขตปฐมวิญญาณ พวก
เขาล้วนมีคุณสมบัติ ต้องขอโทษสำหรับความล่าช้าของข้าเมื่อกี้นี้”
โหลวหลานจีถอนใจโล่งอกหลังจากที่เห็นประทับสีเหลืองบนมือ
ของฟางซีหลาน ตราบเท่าที่มีฟางซีหลานอยู่บนเวที เกือบเป็นไป
ไม่ได้สำหรับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจะได้ตำแหน่งอะไรที่ต่ำกว่า
ระดับสามในการแข่งขัน
“ศิษย์ฟาง.. เห็นได้ว่าเจ้าได้ก้าวข้ามผ่านข้าไปเรียบร้อยแล้ว ข้าเห็น
ควรเรียกเจ้าว่าผู้นำนิกายนับแต่ตอนนี้ไหม” โหลวหลานจียิ้มขื่นขม
อย่างไรก็ตามฟางซีหลานส่ายหน้าของเธออย่างสงบและกล่าวว่า
“ในแง่ของประสบการณ์ ศิษย์คนนี้ยังทิ้งห่างจากท่านผู้นำนิกาย ข้ามิ
กล้าที่จะเป็นผู้นำนิกายแม้จะผ่านไปอีกนับสิบปีจากตอนนี้”
“เจ้าช่างถ่อมตัวเกินไป…” โหลวหลานจีถอนใจ “อย่างไรก็ตาม เราก็
ยังสามารถพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกครั้งเมื่อเรากลับไปยังโรงเตี๊ยม ใน
เมื่อยังคงมีอีกคนที่นี่ที่ต้องการทดสอบ”
ในเวลานั้นทุกคนต่างหันไปมองดูซูหยาง ซึ่งได้ตรงไปยังเทวรูปทั้ง
สององค์แล้ว
บทที่ 323 นั่นมิใช่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยหรอกรึ
หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ โหลวหลานจีก็พยักหน้า ตกลงเดิมพัน
กับซูหยาง “ทางที่ดีเจ้าอย่าคืนคำเมื่อเจ้าแพ้”
ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “มิต้องกังวล ท่านมิมีโอกาสได้ถามอะไรข้า
แน่นอน”
“…”
ไม่เพียงแต่โหลวหลานจี แต่หญิงสาวคนอื่น ๆ ต่างก็พากันเหม่อมอง
สีหน้ามั่นใจของเขาด้วยท่าทีสงสัยว่าเขากำลังจะทำอะไรบ้าบอ
หรือไม่
“ถ้าเจ้าทำให้เกิดปัญหากับตระกูลซี ถือว่าเจ้าแพ้” โหลวหลานจีเพิ่ม
เงื่อนไข
“มิมีปัญหา”
“ฮึ่ม”
หลังจากที่พวกเขาตกลงกันแล้ว นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ได้รอให้ถึง
ตาของตนเองที่จะลงทะเบียนการแข่งขัน
แน่นอน เพราะว่ากลุ่มของพวกเธอประกอบไปด้วยสาวสวยระดับ
สุดยอดที่ยากจะพบเห็นในทวีปนี้ นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจึงเป็นที่
เตะตาสายตามากมายจากรอบข้างดังปกติ
“สวรรค์ มีสาวสวยมากมายเช่นนี้รวมกันอยู่ในที่เดียว ศิษย์ชายในที่
แห่งนี้ต้องยิ้มทุกวันกระทั่งในความฝัน”
หลังจากเวลาผ่านไปชั่วขณะ เมื่อพวกเขาไม่อาจยับยั้งความสงสัยได้
อีก สุภาพบุรุษสองสามคนก็เข้าไปหานิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
“เหล่านางฟ้าแสนสวย ทำไมเรามิสนทนากันสักหน่อยระหว่างที่
พวกเรารอล่ะ”
“อย่าใส่ใจเขา นั่นเป็นเพียงแค่ศิษย์จากนิกายระดับสาม ข้าสิเป็นศิษย์
หลักจากสำนักลึกเก้าชั้น”
“สำนักหุ่นฟ้าคำรามของพวกเราอยู่แนวหน้าสุด ถ้าพวกเจ้าชอบ เรา
สามารถเว้นที่ให้พวกเจ้าได้ นางฟ้าทั้งหลาย”
เหล่าศิษย์จากนิกายมากมายพยายามที่จะสร้างความประทับใจให้กับ
นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย กระทั่งโอ้อวดอำนาจเบื้องหลังของตนเอง
“…”
อย่างไรก็ตามเหล่าศิษย์จากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยยังคงไม่ประทับใจ
กับคนเหล่านี้ กระทั่งดูเห็นเป็นสิ่งน่ารำคาญกับการมาของพวกเขา
“ศูนย์แต้ม” ศิษย์หญิงคนหนึ่งส่ายหน้า
“พวกฝูงคางคกที่ไร้ความสง่างาม ไปให้พ้น”
เมื่อผู้ที่เข้ามาเกี้ยวพาราณสีไม่ได้รับอะไรนอกจากการสาปแช่งจาก
นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย พวกเขาก็กลับไปยังสำนักของตนเองด้วย
ใบหน้าอับอาย อย่างไรก็ตามนี่ไม่ได้ทำให้คนอื่นเลิกพยายาม ยิ่ง
หญิงสาวจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยปฏิเสธที่จะร่วมคุยด้วย ก็ยิ่งมี
คนต้องการที่จะพยายามดูว่าตนเองมีโอกาสหรือไม่มากยิ่งขึ้น
ในเวลานั้นผู้อาวุโสและพี่ที่นำกลุ่มของตนเองต่างพากันประทับใจ
กับพลังอำนาจโดยรวมของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
“พวกเธอมาจากไหนกัน เกือบทุกคนในกลุ่มนั้นอยู่ในเขตสัมมา
วิญญาณ สองคนในกลุ่มนั้นกระทั่งอยู่ในเขตปฐพีวิญญาณ ทำไมผู้
ทรงอำนาจเช่นนั้นจึงมิมีใครรู้จัก”
“เดี๋ยวก่อน นั่นมิใช่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยหรอกรึ เป็นไปไม่ได้ ข้า
คิดว่าพวกเขาได้สลายไปแล้วหลังจากเกิดเหตุการณ์นั้น ทำไมพวก
เขาจึงมาอยู่ที่นี่กัน”
“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ทำไมข้าจึงมิเคยได้ยินพวกเขาเลย”
“พวกเขาเป็นเพียงแค่สำนักระดับสามจากภาคตะวันออก ตามจริง
ศิษย์ของพวกเขาทุกคนได้ถูกขับไล่โดยนิกายล้านอสรพิษซึ่งพวกเขา
ได้ล่วงเกินไว้”
“สำนักระดับสามรึ เจ้าคิดจะหลอกใครกัน สำนักระดับสามประเภท
ไหนกันที่จะสามารถปลุกปั้นศิษย์ที่ยอดเยี่ยมเช่นนั้น”
“ข้าพูดความจริง พวกเขาเพียงมีแค่พลังการฝึกปรือที่สูงเพราะการ
ฝึกวิชาพิเศษเฉพาะของพวกเขา ตามจริง สิ่งที่น่าประทับใจที่สุดของ
พวกเขาก็คือพลังการฝึกปรือของพวกเขาเท่านั้น ฝีมือการต่อสู้ของ
พวกเขานั้นน่าขัน กระทั่งศิษย์ในเขตคัมภีร์วิญญาณจากสำนักข้าก็
สามารถล้มเขตสัมมาวิญญาณระดับสูงสุดของที่นั่นได้อย่างง่ายดาย”
“วิธีการฝึกวิชาพิเศษเฉพาะที่เจ้าพูดถึงนี่คืออะไรกัน” บางคนพลัน
ถามขึ้น
“แน่นอนต้องเป็นการฝึกคู่ แม้ว่าหญิงสาวเหล่านี้อาจจะดูน่ารัก
บริสุทธ์ิ แต่ศิษย์จากที่แห่งนั้นล้วนเป็นโสเภณี ใครจะรู้ว่ามีคู่ฝึก
มากมายกี่คนที่พวกเธอมี”
ครั้นเมื่อผู้คนเริ่มรู้จักนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและพฤติกรรมปกติของ
พวกเธอ ก็มีคนน้อยลงไปเรื่อย ๆ ที่ไปหาพวกเธอ และในเวลา
นับเป็นนาที ก็ไม่มีใครไปหาพวกเธออีก
จริงแล้วผู้คนก็เริ่มมองดูพวกเธออย่างเหยียดหยาม
“ไอ้ย่า ข้ามิอยากเชื่อว่าข้าได้พยายามที่จะเกี้ยวสิ่งสกปรกพวกนี้เมื่อ
กี้…”
“ช่อดอกไม้ที่สกปรก น่าสมเพช”
อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะมีการเหยียดหยามส่งไปหาพวกเธอ เหล่าศิษย์
จากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ยังคงไม่ได้รับผลกระทบ ยังคงเยือกเย็น
ราวกับว่าพวกเธอไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น
โหลวหลานจียิ้มในใจเมื่อเธอเห็นความสงบเฉยของเหล่าศิษย์ ชื่นชม
ความสามารถในการอดทนต่อการถูกเหยียดหยามของพวกเธอ
แน่นอนว่าถ้าพวกเธอมิสามารถกระทั่งรับมือกับคำวิพากษ์วิจารณ์
เช่นนั้น ก็ไม่มีใครในหมู่พวกเธอที่จะได้รับให้เข้าร่วมกับนิกาย
กุสุมาลย์พ้นพิสัย
“ครั้นเมื่อทั้งหมดนี้จบลงและเรากลับไปถึงโรงเตี๊ยม ทำไมพวกเรา
ทั้งหมดมิมาร่วมสนุกด้วยกันล่ะ แน่นอนว่าภายในห้องเดียวกัน ข้ามี
กลเม็ดใหม่ที่ข้าต้องการแบ่งปันกับพวกเจ้าทั้งหมด” ซูหยางพลัน
กล่าวขึ้นด้วยเสียงที่ดังพอที่จะได้ยินไปทั่วทุกคนที่อยู่รายรอบ
แม้ว่าเหล่าหญิงสาวค่อนข้างจะตะลึงกับคำพูดของเขา พวกเธอทั้งหมด
ต่างพากันพยักหน้า ก่อนที่จะหัวเราะอย่างงดงามสง่า
ส่วนคนที่อยู่รายรอบนั้น พวกเขาทุกคนต่างพากันมองดูซูหยางด้วย
ใบหน้ายับย่น สายตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความโกรธและอิจฉา
“ข้าสาบานว่าถ้าข้าโชคดีพอได้พบกับเจ้าเลวนี่บนเวที ข้าจักแม่งฆ่า
มัน”
“พูดได้ดี ข้าจักสาบานที่จะฆ่ามันเช่นกันถ้าเราเจอกันบนเวที”
เมื่อรู้สึกว่าถูกยั่วยุจากเพียงแค่การปรากฏตัวของซูหยาง โดยเฉพาะ
หน้าตาที่สุดยอดของเขาที่เย้ยหยันชายทุกคนที่นั่นอย่างเงียบ ๆ คน
หลายสิบคนที่นั่นต่างพากันสาบานที่จะฆ่าเขาถ้าพวกเขาขึ้นบนเวที
เดียวกันระหว่างการแข่งขัน
แน่นอนว่า การแข่งขันห้ามการฆ่ากันโดยเจตนา อย่างไรก็ตามบน
เวทีซึ่งทุกคนจะต้องแสดงวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดของตนเอง อุบัติเหตุ
ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้
หลังจากที่ยืนอยู่หลายชั่วโมงสุดท้ายก็เป็นตาของนิกายกุสุมาลย์พ้น
พิสัยที่จะต้องลงทะเบียน
“ชื่อสำนักและจำนวนผู้เข้าร่วม” คนงานด้านหลังโต๊ะลงทะเบียนพูด
กับพวกเขาทันทีที่พวกเขาเข้าไปหา “จำนวนของผู้เข้าร่วมในแต่ละ
สำนักสามารถมีได้ถึงยี่สิบคน และทุกคนต้องอยู่เหนือกว่าเขตปฐม
วิญญาณ และมีอายุต่ำกว่าสามสิบจึงจะมีคุณสมบัติเป็นผู้เข้าร่วม”
“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ผู้เข้าร่วมสิบเอ็ดคน”
“จำไว้ พวกเจ้าควรเข้าไปในห้องโถงเพื่อประเมิน” คนงานยื่นป้าย
ให้กับโหลวหลานจีก่อนที่จะเปิดประตูสู่สนามการแข่งขันขนาด
ใหญ่ที่อยู่เบื้องหลัง
“เราเข้าไปทดสอบภายในนั้นกันเถอะ” โหลวหลานจีกล่าว
“เรายังต้องทดสอบอีกหรือ” ศิษย์คนหนึ่งถาม
“นั่นเป็นเพียงการทดสอบเพื่อที่จะดูว่าพวกเจ้ามีคุณสมบัติที่จะเข้า
ร่วมจริงหรือไม่” โหลวหลานจีกล่าวขณะที่นำพาพวกเขาไปยัง
สนามแข่งขัน “เจตนาที่แท้จริงก็เพื่อคัดทิ้งคนโกหก อย่ากังวลนั่น
มิได้ใช้เวลาพวกเรามากกว่าหนึ่งนาทีต่อคน”
บทที่ 322 กายที่ไม่อาจสงบ
หลังจากออกจากตระกูลซี ซูหยางก็กลับไปยังโรงเตี๊ยมผลึกหิมะที่
ซึ่งโหลวหลานจีรอคอยเขาอย่างกระวนกระวาย
“ซูหยาง ในที่สุดเจ้าก็กลับมา”
“ท่านดูเหมือนเป็นกังวล หรือว่ามีอะไรเกิดขึ้นขณะที่ข้าไม่อยู่” เขา
พลันถามขึ้น
“เราสบายดี มิมีอะไรเกิดขึ้น แต่แล้วเจ้าล่ะ เจ้ายังดีอยู่หรือไม่” โหลว
หลานจีถามเขา
“อะไรที่ทำให้ท่านคิดว่าข้ามิได้เป็นเช่นนั้น”
“ปราชญ์กระบี่ศักด์ิสิทธ์ิดูค่อนข้างจะขุ่นเคืองยามที่เขาพาเจ้าไป…
เขามิได้ทำสิ่งใดยุ่งยากให้กับเจ้าใช่ไหม”
“ฮ่าฮ่าฮ่า” ซูหยางพลันเริ่มหัวเราะ ทำให้เธอตื่นตะลึง “ยุ่งยากรึ เขา
ยังเร็วเกินไปอีกหลายพันปีที่จะสร้างปัญหาอะไรให้กับข้าได้”
“…”
โหลวหลานจีพลันกลับกลายเป็นไร้วาจาว่ากล่าว
“อย่างไรก็ตาม ข้าจักพาเจ้าและคนอื่นไปลงทะเบียนแข่งขันพรุ่งนี้
พักผ่อนกันก่อนที่จะถึงเวลานั้น” เธอกล่าวสักพักหนึ่งหลังจากนั้น
ซูหยางพยักหน้าและเข้าไปในห้องของตนเองซึ่งเขาก็เริ่มครุ่นคิดถึง
ขิงเลือดปีศาจ
“เป็นไปได้มากว่าขิงเลือดปีศาจจะยังคงมิปรากฏขึ้นในโลกนี้ ถ้าเป็น
เช่นนั้น ข้าจักต้องสร้างขึ้นมาเองด้วยตนเอง”
ขิงเลือดปีศาจเป็นสมุนไพรพิเศษที่ไม่ต้องการดินหรือน้ำในการ
เติบโต กลับกันมันต้องการเลือดจำนวนมาก ปริมาณที่จะตรงกับ
เงื่อนไขก็ต่อเมื่อทำการสังเวยมนุษย์จำนวนมากเท่านั้น
อย่างไรก็ดีเป็นโชคดีสำหรับซูหยางและซีซิงฟาง รังลับของโจรภูผา
แดงมีเลือดจำนวนมากพอ ตามจริงแล้วด้วยจำนวนของศพและ
ปริมาณเลือด ขิงเลือดปีศาจควรจะเติบโตที่นั่นแล้ว
“ขิงเลือดปีศาจจักเติบโตตามธรรมชาติตราบเท่าที่มีเลือดเพียงพอใน
พื้นที่แถบนั้น ถ้ามิมีใครล้างเลือดในรังลับของโจรเหล่านั้น ในเมื่อมี
เลือดมากมายปานนั้น ขิงเลือดปิศาจควรจะพร้อมเก็บเกี่ยวได้ภายใน
หนึ่งปี”
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ซูหยางตัดสินใจที่จะไปเยี่ยมรังลับของโจรภูผาแดง
อีกครั้งหลังจากการแข่งขันระดับภูมิภาค
ทันใดนั้นก็มีใครสักคนเคาะประตู
“เข้ามาด้านใน” ซูหยางกล่าว
ประตูเปิดออกและหญิงสาวสองคนก็เดินเข้ามาภายในห้อง
“ผู้นำนิกายพูดว่าเจ้าได้กลับมาแล้ว” ซุนจิงจิงซึ่งดูค่อนข้างกระวน
กระวายกล่าว
ซูหยางมองดูซุนจิงจิงที่มีการเคลื่อนไหวไม่เป็นธรรมชาติแล้วยิ้ม
ออกมา “ร่างของเจ้าดูไม่สงบ เจ้าสบายดีไหม”
“แน่นอนว่าไม่ นับตั้งแต่ข้ารับรู้ถึงกลเม็ดใหม่ของเจ้า ร่างของข้าก็
ถูกแผดเผาด้วยความปรารถนา” ซุนจิงจิงบ่น
ซูหยางหันไปดูฟางซีหลานและถามว่า “เจ้าก็รู้สึกเช่นเดียวกันหรือไม่”
ฟางซีหลานพยักหน้าอย่างเงียบ ๆ แม้ว่าเธอไม่ได้งุ่นง่านไปทั่ว
เหมือนซุนจิงจิง ร่างของเธอก็ได้ปล่อยปราณหยินออกมานับตั้งแต่
เธอเข้ามาในห้อง
“เช่นนั้นเจ้ามีคำแนะนำอะไรบ้างหรือไม่” ซูหยางพลันถาม
“หยุดหยอกเย้าพวกเราและรับผิดชอบเดี๋ยวนี้เลย” ซุนจิงจิงกล่าว
ขณะที่เธอปลดเปลื้องจนเปลือยเปล่าแล้วกระโดดดึ๋งเข้าใส่ซูหยาง
ราวกับเสือหิว
ซูหยางได้แต่หัวเราะกับการกระทำของเธอ
“รีบเร่งอะไรกัน ข้าจักอยู่เป็นเพื่อนพวกเจ้าทั้งสองตลอดคืน”
จากนั้นพวกเขาทั้งสามคนก็เริ่มฝึกวิชา และหยุดยั้งก็ต่อเมื่อทั้งซุน
จิงจิงและฟางซีหลานสลบไสลไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยหลังจาก
ผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้น
เช้าตรู่ของอีกวัน โหลวหลานจีรวบรวมซูหยางและศิษย์คนอื่น
ทั้งหมดที่จะต้องเข้าร่วมในการแข่งขันระดับภูมิภาค
“เราจักกลับมาภายในไม่กี่ชั่วโมง อย่าออกไปข้างนอกห้องของพวก
เจ้าจนกว่าพวกเราจะกลับมา” โหลวหลานจีสั่งเหล่าศิษย์ที่จะต้อง
คอยอยู่เบื้องหลัง
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น โหลวหลานจีนำซูหยางและศิษย์คนอื่นไปยัง
ใจกลางเมืองที่ซึ่งศิษย์นับพันจากสำนักหลากหลายมารวมตัวกันเพื่อ
ลงทะเบียน
“ค…คนที่มาเข้าร่วมช่างมากมาย” ซุนจิงจิงมีท่าทางประหลาดใจเมื่อ
เธอเห็นฝูงชนที่นั่น
“เจ้าคาดว่าจะได้อะไรจากเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของทั่วทั้งทวีป”
โหลวหลานจีถาม
“ถ้าจะพูดไปแล้ว จำนวนของผู้เข้าร่วมในการแข่งขันระดับภูมิภาค
ในปีนี้อย่างน้อยสามเท่าของครั้งก่อนหน้านั้น… แน่นอนว่าเจ้าหญิง
ตระกูลซีเป็นที่นิยมอย่างมาก”
ซูหยางเพียงแค่ยิ้มและพึมพำว่า “เธอเป็นแค่เด็กหญิงที่ไม่แม้จะกระทั่ง
ทำตามคำแนะนำง่าย ๆ …”
“เจ้าพูดว่าอะไรนะ”
เนื่องมาจากบรรยากาศอันอึกทึกครึกโครม โหลวหลานจีจึงไม่ได้ยิน
คำพูดของซูหยาง
“มิมีอะไร” เขายิ้ม
โหลวหลานจีหรี่ตาของเธอกับรอยยิ้มน่าสงสัยของเขา “อย่ามีความคิด
แผลง ๆ อะไรกับเจ้าหญิง ซูหยาง เจ้าถือว่าโชคดีหากว่าได้เห็นเธอ
ในชั่วชีวิตนี้ของเจ้า อย่าว่าแต่ได้หายใจร่วมกับเธอในที่เดียวกัน”
“อะไรที่ทำให้ท่านคิดว่าข้าจักทำอะไรเธอรึ” เขาถามด้วยเสียงงุนงง
“ฮึ่ม อย่าคิดว่าข้าละเลยไปอย่างสิ้นเชิงกับความคิดของเจ้า ลืมเรื่อง
เธอไปเสีย ไม่ว่าจะเป็นพรสวรรค์หรือเบื้องหลังของเธอ เธออยู่คน
ละโลกกับพวกเรา”
“อืมมม… เช่นนั้นท่านอยากจะเดิมพันกับข้าหรือไม่ ท่านผู้นำนิกาย”
ซูหยางพลันกล่าวขึ้น
“เจ้าต้องการที่จะพนันรึ เรื่องอะไร” โหลวหลานจีพลันรู้สึกสนใจ
“จากคำพูดของท่านเมื่อกี้นี้ ข้าได้มีโชคดีพอที่ได้เห็นเธอจากการ
แข่งขันนี้และจักมิมีโอกาสได้ยืนอยู่ข้างเธอ ข้าพูดถูกไหม”
“เป็นเช่นนั้น”
“เช่นนั้นเรามาพนันเรื่องนั้นกัน ข้าจักสามารถไปยืนอยู่ข้างเธอ
หรือไม่” เขากล่าว
“…เจ้าเอาจริงรึ” โหลวหลานจีหรี่ตาไปยังเขาด้วยท่าทางจริงจัง
“แน่นอน”
“…”
โหลวหลานจีกลับเงียบลง
“เจ้าเด็กซูหยางมีความสัมพันธ์กับปราชญ์กระบี่ศักด์ิสิทธ์ิซึ่งเป็นหนึ่ง
ในผู้พิทักษ์ แต่ต่อให้มีความสัมพันธ์อยู่บ้าง เจ้าหญิงตระกูลซีก็ยังคง
เป็นคนละระดับ… แม้กระทั่งบุตรของปราชญ์กระบี่ศักด์ิสิทธ์ิยังมิ
อาจที่จะยืนเคียงข้างเจ้าหญิงได้ อย่าว่าแต่เจ้าเด็กลามกน้อยคนนี้…”
หลังจากที่ครุ่นคิดมากมาย โหลวหลานจีกล่าวว่า “เดิมพันด้วยอะไร”
“อืม… ถ้าข้าชนะ เช่นนั้นท่านจักต้องยอมให้ข้าควบคุมการทดสอบ
ศิษย์เข้าสำนักใหม่ทั้งหมด”
“นี่… เจ้าต้องการที่จะควบคุมการทดสอบเข้าสำนักทั้งหมดงั้นรึ”
โหลวหลานจีขมวดคิ้วกับคำขอที่แปลกประหลาดของเขา ในเมื่อเธอ
ไม่อาจเข้าใจเจตนาของเขา
“ถูกต้องแล้ว และถ้าท่านชนะ ข้าจักตอบคำถามอะไรก็ได้สามข้อ
จากท่าน ไม่ว่าจะเป็นความลับหรือเป็นส่วนตัวแค่ไหน ข้าจักตอบ
คำถามนั้นอย่างซื่อสัตย์”
“บ้าอะไรกัน นี่จะยุติธรรมได้อย่างไรกัน เปรียบกับเงื่อนไขของข้า
เจ้ามิสูญเสียอะไรทั้งสิ้น”
“ท่านแน่ใจรึว่ามิมีคำถามอะไรในตัวข้า ไม่ว่านั่นจะลับเพียงไหน ข้า
จักตอบคำถามนั่น ท่านรู้ไหม” เขากล่าวด้วยรอยยิ้มลึกลับ
ได้ยินเช่นนี้ โหลวหลานจีพลันเงียบลงทันที และบนใบหน้าของเธอ
พลันมีสีหน้าครุ่นคิดอย่างเคร่งเครียด
บทที่ 321 เขาสามารถเชื่อถือได้หรือไม่
“ในเมื่อตอนนี้ข้าได้พูดทุกสิ่งที่ข้าต้องการแล้ว ข้าก็จักขอตัว” ซูหยาง
พลันกล่าว
“เจ้าจะไปตอนนี้รึ แล้วลูกสาวข้าเล่า” เจ้าซีเปลี่ยนเป็นโกรธขึ้นมา
เล็กน้อยเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าซูหยางยังคงเยือกเย็นกับสถานการณ์
เช่นนี้อย่างสมบูรณ์ ราวกับว่านี่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับตัวเอง
“อย่าคิดว่าเจ้าสามารถหลีกหนีไปจากเรื่องนี้” ผู้อาวุโสจงก็ขมวดคิ้ว
เช่นกัน
“หนีรึ ข้าได้ให้รายการยาที่จำเป็นในการรักษาเธอแก่เจ้าไปเรียบร้อย
แล้ว จนกว่าเจ้ารวบรวมพวกมันได้ เช่นนั้นก็มิมีอะไรที่เราสามารถ
ทำเพื่อเธอได้ หรือว่าเจ้ากำลังบอกข้าให้อยู่ที่นี่จนกระทั่งเธอรักษา
หายสนิทงั้นรึ ข้ายังมีสิ่งที่ต้องทำเช่นกัน” ซูหยางแค่นเสียงเย็นชา
“ถ้าเจ้าต้องการข้าจริง ๆ เจ้าก็รู้ว่าจะหาข้าได้จากไหน”
ซูหยางหันกายและเริ่มเดินไปยังประตู
“ท่านพ่อ โปรดเยือกเย็นลง พี่ชายซูหยางพูดถูก… หากปราศจากตัว
ยา เราจะทำอะไรได้ในตอนนี้ เรามิสามารถที่จะกักเขาไว้ที่นี่โดยไร้
เหตุผล จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราทำให้เขาโกรธ ใครจักช่วยข้าในตอน
นั้น” ซีซิงฟางยังคงอยู่ข้างเดียวกับซูหยาง
เจ้าซีมองดูท่าทางเคร่งเครียดของเธอชั่วขณะก่อนที่จะถอนใจ
“เจ้าพูดถูก เราจำเป็นที่จะมุ่งไปในการรวบรวมตัวยาก่อนเป็นอันดับ
แรก ผู้อาวุโสจง ข้ามิสนใจว่าเราจะต้องใช้ทรัพย์สินมากมายเพียงใด
ที่จะต้องใช้หรือว่าจะต้องล่วงเกินใครสำหรับตัวยาในรายการนี้ ข้า
ต้องการมันให้มาอยู่ตรงหน้าข้าภายในครึ่งปี”
“อีกอย่าง อาการของลูกสาวข้าต้องมิผ่านออกไปจากห้องนี้ ถ้าเจ้า
พวกชั่วอย่างเช่นดาบแสงจันทร์รู้เรื่องนี้ พวกมันต้องถือโอกาสใน
เรื่องนี้อย่างแน่นอน”
“ขอรับ ท่านเจ้า”
หลังจากที่ผู้อาวุโสจงจากไป เจ้าซีก็กล่าวกับซีซิงฟางว่า “สำหรับเจ้า
.. ข้าจะพาเจ้าไปพบกับพ่อข้า”
“ท-ท่านปู่รึ”
“แม้ว่าซูหยางนั่นอาจจะเป็นผู้บริสุทธ์ิและต้องการช่วย แต่มิมีใครรู้
เจตนาที่แท้จริงของเขา เพียงแค่ปลอดภัยไว้ก่อน เราต้องการฟัง
ความเห็นของพ่อข้าเกี่ยวกับอาการของเจ้าเช่นกัน”
เวลาต่อจากนั้น หลังจากที่ซีซิงฟางติดตามเจ้าซีไปพบกับปู่ของเธอ
พวกเขาก็ไปถึงยังพื้นที่ห่างไกลจากบ้านของพวกเขาไม่กี่กิโลเมตร
ที่ซึ่งมีบ้านไม้หลังเล็ก ๆ ตั้งอยู่
“ท่านพ่อ มีเรื่องเร่งด่วน” เจ้าซีเคาะประตูตรงหน้า
“เรื่องที่ซิงเอ๋อร์ถูกพิษ ใช่ไหม” เสียงผู้ชราแว่วมาหลังจากนั้น
“ใช่” เจ้าซีดูไม่ประหลาดใจแม้แต่น้อยที่พ่อของเขารู้เกี่ยวกับอาการ
ของซีซิงฟาง
“เข้ามาข้างใน…”
ไม่นานจากนั้น เจ้าซีและซีซิงฟางก็เข้าไปในบ้านไม้หลังเล็กตรงหน้า
และที่นั่งอยู่ตรงหน้าพวกเขาก็คือชายชราที่มีกลิ่นอายอันลึกล้ำราว
กับหลุดพ้นจากโลกนี้ เป็นกลิ่นอายที่เพียงสามารถเปล่งออกมาจากผู้
ที่ย่างเข้าสู่เขตราชันวิญญาณเท่านั้น
“ข้าได้ดูพวกเจ้านับตั้งแต่ต้น” ชายชรากล่าว
“ต-ตั้งแต่ต้น…” เจ้าซีสงสัยว่าพ่อของเขาเห็นมากน้อยเพียงใด
“แน่นอนว่า นับตั้งแต่เด็กหนุ่มนั่นก้าวเท้าเข้ามาในบ้าน”
เจ้าซีแอบถอนใจและกล่าวว่า “ในเมื่อพ่อได้เห็นทุกอย่างแล้ว ข้าก็จัก
มิต้องอธิบาย เพียงแต่ขอความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซูหยางคนนี้… เขา
สามารถเชื่อถือได้หรือไม่”
“…”
ซีซิงฟางยังคงนิ่งเฉย แต่เธอก็จ้องมองชายชราด้วยสายตาที่เห็นชัดว่า
เป็นกังวล
ทั้งห้องเปลี่ยนเป็นเงียบสงัดหลังจากที่เจ้าซีถามคำถามของตนเอง
และชายชราก็ได้หลับตาลงครุ่นคิด
หลังจากเวลาผ่านไปอย่างเงียบสงัดชั่วขณะ ชายชราก็กล่าวอย่าง
เชื่องช้าแต่ชัดเจนว่า “เด็กหนุ่มนั่น… กระทั่งข้าเองก็มิอาจเห็นถึง
เจตนาที่แท้จริงของเขา”
“ว่ากระไร เรื่องนี้เป็นไปได้อย่างไร” เจ้าซีมีท่าทางตกใจเป็นอย่าง
มาก
“อย่างไรก็ตาม ข้าก็มิได้รู้สึกถึงสิ่งที่เป็นอันตรายจากเขา” ชายชรา
พลันกล่าวต่อ
“จริงรึ” ซีซิงฟางพลันมีท่าทางโล่งอก
“อย่าเพิ่งยินดีเร็วเกินไป ซิงเอ๋อร์ แม้ว่าข้ามิรู้ว่าเจ้ามีความสัมพันธ์ใด
กับเขา เจ้าก็ยังจำเป็นที่จะต้องระวังตัวจากเขา ชายคนนั้น… แม้ว่า
เขามิได้แสดงออก แต่เขารับรู้ถึงการคงอยู่ของข้าอย่างแน่นอน”
แม้ว่าเขามิได้กล่าวถึง แม้ว่ารู้ว่าเขาถูกจับจ้องโดยจอมยุทธในเขต
ราชันวิญญาณ ซูหยางก็ไม่ได้แสดงความกลัวออกมาแม้แต่น้อย ราว
กับว่าเขามั่นใจว่ากระทั่งจอมราชันไม่อาจแตะต้องเขา
“นั่นเป็นไปมิได้ ท่านพ่อก้าวสู่เขตราชันวิญญาณไปแล้ว นอกจากว่า
เขาก็อยู่ในระดับเดียวกันเช่นกัน มิมีทางที่เขาสามารถสังเกตเห็นท่าน”
“เด็กหนุ่มนั่นแน่นอนว่ายังมิถึงเขตราชันวิญญาณ ถ้าสายตาข้ามิ
พลาด เขาควรจะยังอยู่ในระดับต้นของเขตอัมพรวิญญาณ”
“ว่ากระไร นั่นยิ่งเป็นไปมิได้ ถ้าเขาเพียงอยู่ในระดับต้นของเขต
อัมพรวิญญาณ ทำไมเขาจึงสามารถป้องกันการโจมตีของข้าได้อย่าง
สมบูรณ์แบบ ยิ่งไปกว่านั้นยังเหนือกว่าข้าอีกด้วย” เจ้าซีปฏิเสธที่จะ
เชื่อถึงความเป็นไปได้ที่ว่าเขตอัมพรวิญญาณระดับสูงสุดเช่นตัวเขา
จะพ่ายแพ้แก่คนที่อยู่ในเขตอัมพรวิญญาณระดับต้น
“ท่านพ่อ ท่านโจมตีพี่ชายซูหยางได้อย่างไร” ซีซิงฟางพลันแสดง
ความโกรธกับการกระทำของเขาในทันที
“จ-ใจเย็น… ข้าเพียงทดสอบเขา…” เจ้าซียิ้มขื่นขม
“มียอดยุทธซุ่มซ่อนอยู่มากมายในโลกกว้างใหญ่นี้ แม้ว่าข้าอาจจะ
เป็นเพียงคนเดียวที่อยู่ในเขตราชันวิญญาณในทวีปนี้ แต่นั่นก็ยังมี
ทวีปอื่นอีกสามทวีปนอกเหนือจากทวีปตะวันออก นี่ยังมิรวมทวีป
ศักด์ิสิทธ์ิกลางอีก”
“ข้ามิแปลกใจเลยถ้าชายหนุ่มคนนี้มีอาจารย์เป็นหนึ่งในหมู่ยอดยุทธ
ที่ซุกซ่อนกาย ยิ่งกว่านั้น เขาอาจจะกระทั่งเป็นยอดยุทธซ่อนกายเอง
ด้วยซ้ำและมีเจตนาที่จะหลอกตาผู้เฒ่าคนนี้”
“แม้ว่าเรามิรู้อะไรเกี่ยวกับชายหนุ่มคนนี้ ถ้าเขามิได้แสดงความ
ประสงค์ร้ายต่อตระกูลซีของเรา ที่ดีที่สุดก็คือการหลีกเลี่ยงการ
ล่วงเกินเขา” ชายชรากล่าว
“เอาล่ะ พอกับเรื่องเขาได้แล้ว ซิงเอ๋อร์ ขอมือเจ้าให้ข้าหน่อย”
ซีซิงฟางยื่นมือของเธอออกไป
“ข้ากำลังจะเอาเลือดของเจ้าออกมาเล็กน้อย”
ชายชราจึงทำการเปิดแผลบนนิ้วของเธอเช่นเดียวกับที่ซูหยางได้ทำ
และเก็บเลือดของเธอออกมาเล็กน้อย
หลังจากที่จ้องมองไปที่เลือดเป็นเวลาหลายนาที ชายชราก็ส่ายหน้า
“ข้าเกรงว่ากระทั่งผู้เฒ่าคนนี้ก็มิอาจจะรักษาเจ้า ซิงเอ๋อร์ ข้าเสียใจ…”
“ม-มิมีทาง…” เจ้าซีถอนใจ ดูเหมือนว่าซูหยางอาจจะเป็นคนเดียวใน
โลกนี้ที่มีความสามารถที่จะรักษาซีซิงฟางในตอนนี้
“มิเป็นไร ท่านปู่ ท่านมิต้องขอโทษกับความผิดพลาดอันโง่เขลาของ
ข้า ถ้าข้าได้ฝึกวิชาอย่างถูกต้อง สิ่งเหล่านี้คงมิเกิดขึ้น และเราก็ยังคง
มีพี่ชายซูหยาง ข้าเชื่อว่าเขาจักรักษาข้าได้” ซีซิงฟางยังไม่หมดหวัง
“อือ” ชายชราพยักหน้า “เจ้าควรอยู่ที่นี่ชั่วระยะหนึ่ง เพื่อที่ข้าจะ
สามารถตรวจสอบอาการและวิเคราะห์เลือดของเจ้าได้ ถ้ามันเลวร้าย
ขึ้นในทันใด ข้าก็ยังอยู่ที่นี่”
“ซิงเอ๋อร์เข้าใจแล้ว ท่านปู่”
ไม่นานหลังจากนั้น ครั้นเมื่อเจ้าซีกลับบ้านตามลำพัง เขาก็สั่งหน่วย
ข่าวที่ดีที่สุดของตระกูลซีทำการสืบทุกอย่างเกี่ยวกับซูหยาง
“ข้าต้องการผลลัพธ์ก่อนการแข่งขันระดับภูมิภาคจะเริ่มต้นขึ้น”
“ตามประสงค์ของท่านเจ้า”
หลังจากที่สั่งการแล้ว เจ้าซีก็นั่งลงบนบัลลังก์ของตนเองด้วยท่าทาง
งุนงง คิดในใจว่า “ซูหยาง… จริงแล้วเจ้าเป็นใครกันรึ”
ที่เจ้าซีไม่รู้ ด้วยไม่คาดคิดว่าจะได้ข้อมูลอะไรเกี่ยวกับเบื้องหลังของ
ซูหยาง แต่ทุกอย่างเกี่ยวกับชีวิตของซูหยางจะเปิดเผยต่อหน้าเขา
เพียงแค่ไม่กี่วันหลังจากนั้น
บทที่ 320 เลือดไม่กี่หยด
ไม่นานหลังจากนั้นครั้นเมื่อผู้อาวุโสจงเข้าใจสถานการณ์ได้เต็มที่
แล้ว เขาก็พลันพาพวกเขาไปพบกับเจ้าซี
“พวกเจ้ากลับมาแล้วรึ” เจ้าซีไม่คิดว่าจะเห็นพวกเขาเร็วปานนี้
“นายท่าน มี…มีปัญหาขอรับ…” ผู้อาวุโสจงไม่รู้ว่าควรจะอธิบาย
สถานการณ์ให้แก่เจ้าซีโดยไม่ทำให้อีกฝ่ายโกรธอย่างไร ในเมื่อ
แน่นอนว่าอีกฝ่ายต้องแทบบ้าครั้นเมื่อเขารู้ถึงสถานการณ์ของซีซิง
ฟาง
“มีปัญหาอะไรรึ พูดมา” เจ้าซีขมวดคิ้ว รู้สึกถึงลางร้ายจากผู้อาวุโสจง
“ผู้อาวุโสจง ข้าจักเป็นคนพูดเอง”
ซีซิงฟางก้าวออกมาข้างหน้าและพูดว่า “ท่านพ่อ บอกท่านตามจริง
ข้าได้ฝึกร่างสวรรค์ของข้านับตั้งแต่กลับมา และข้าสามารถเปลี่ยน
ร่างร้อยพิษมิกรายของข้าไปเป็นร่างพันพิษมิกราย”
“อะไรนะ นั่นเป็นจริงรึ ลูกสาวข้า” เจ้าซีพลันลุกขึ้นยืนจากที่นั่ง
ความสุขปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาซึ่งเป็นสิ่งที่ยากจะได้เห็น
ซีซิงฟางพยักหน้า แต่บนใบหน้าของเธอมีความตึงเครียด ไม่มี
ความรู้สึกภูมิใจในความสำเร็จของตนเอง
“มิน่าที่ทำไมการฝึกฝนวิชาของเจ้าจึงพัฒนาไปมากมายเพียงนั้น
ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ” เจ้าซีอยู่ในสภาพที่เกือบจะเต้นรำเพราะ
ความดีใจ “นี่เป็นสิ่งที่มีค่าควรแก่การเฉลิมฉลอง ข้าจัก…”
“ท่านพ่อ ข้ายังพูดไม่จบ” ซีซิงฟางรีบยับยั้งพร้อมขมวดคิ้ว
“แม้ว่าข้าได้รับร่างพันพิษมิกราย แต่เพราะความประมาทของข้า
ระหว่างการฝึกวิชา ข้าได้ทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายตนเอง ถ้ามิ
รักษาข้าจักสิ้นชีพภายในห้าปี”
ท้ายที่สุดเมื่อซีซิงฟางได้เปิดเผยสถานการณ์ที่แท้จริงในปัจจุบัน ทั้ง
ร่างและสีหน้าของเจ้าซีพลันชะงักค้าง ราวกับว่าตัวเขาพลัน
เปลี่ยนไปเป็นรูปปั้นศิลา
“จ-จ-เจ้าพูดว่า….”
เจ้าซีเกือบล้มลงคุกเข่าจากความตระหนก
“ร่างข้าตอนนี้ถูกพิษ” เธอพูดต่อ
“นั่นเป็นไปได้อย่างไร ร่างของเจ้าควรจะต้านทานพิษทั้งมวล” เจ้าซี
พลันกล่าวอย่างรวดเร็ว
“นั่น…ข้ามิอาจจะอธิบายได้…” เธอส่ายหน้า
“นี่มัน.. นี่มันกะทันหันเกินไป นานเท่าไหร่แล้วที่เจ้ารู้เรื่องนี้ ทำไม
เจ้าจึงถึงมาบอกข้าในตอนนี้” เจ้าซีกลับกลายเป็นโกรธ
ซีซิงฟางถอนใจและกล่าวว่า “ข้ารู้เรื่องนี้ไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้เช่นกัน
ถ้ามิใช่เขาข้าคงอยู่ต่อไปโดยมิรู้เรื่องราวอะไรเลย”
เมื่อเจ้าซีสังเกตเห็นซีซิงฟางชี้ไปที่ซูหยาง ความโกรธของเขาก็ปะทุ
ขึ้น
“ซูหยาง หวังว่านี่ไม่ใช่เป็นการเสแสร้งของเจ้าอีกครั้ง” เขาคำราม
“ท่านพ่อ มิมีเหตุผลสำหรับเขาที่จะต้องโกหก ในเมื่อซูหยางเป็นคน
ที่ให้คัมภีร์ระดับเซียนแก่ข้าเพื่อฝึกฝนร่างสวรรค์”
“อะไรนะ เขาให้คัมภีร์ระดับเซียนแก่เจ้างั้นรึ” เจ้าซีแตกตื่นถึงที่สุด
คัมภีร์ระดับเซียนเป็นอะไรที่กระทั่งตระกูลซีของเขาก็ต้องฆ่าฟัน
เพื่อให้ได้มา สุดท้ายเขาจึงเข้าใจว่าทำไมซีซิงฟางจึงมีท่าทีแบบที่เธอ
เป็นก่อนหน้านั้นยามเมื่ออยู่ใกล้กับซูหยาง
ซูหยางยังคงเยือกเย็นและพูดด้วยเสียงชัดเจนว่า “ข้าสามารถรู้สึกถึง
ความสงสัยของพวกเจ้าทั้งหมด”
เขาพลันหันไปมองดูซีซิงฟางและกล่าวว่า “รวมถึงเจ้าด้วย”
“…” ซีซิงฟางอ้าปากแต่ไม่สามารถเปล่งเสียงอะไรออกมา
“ยื่นมือเจ้ามาให้ข้า” เขาพลันกล่าว
ซีซิงฟางไม่ถามอะไรเพียงยื่นมือให้กับซูหยาง
“ข้ากำลังจะเปิดปากแผลบนนิ้วของเจ้า เพียงเลือดไม่กี่หยดก็เพียงพอ”
ซูหยางกล่าวขณะที่เขานำกระบี่ออกมา
“เจ้าคิดว่ากำลังจะทำอะไรกับนายหญิงน้อย”
“เจ้าชั่ว ถ้าเจ้ากล้าทำร้ายลูกสาวข้า ข้าจักฆ่าเจ้าแน่”
ไม่เพียงแต่ผู้อาวุโสจงแต่เจ้าซีก็ยังตื่นตัวกับการกระทำของเขา
“ข้ามิเป็นไร” ซีซิงฟางกล่าวอย่างรวดเร็ว “เชื่อถือเขาบ้างสิ”
ซีซิงฟางหันไปจ้องตรงเข้าไปในดวงตาของซูหยางและพยักหน้า
“ข้าเชื่อท่าน”
ซูหยางไม่ได้พูดอะไรเพียงเฉือนเป็นรอยเล็ก ๆ บนนิ้วของซีซิงฟาง
ทำให้เลือดของเธอหยดลงพื้นสองสามหยด
ทันทีที่เลือดของซีซิงฟางสัมผัสพื้น ก็ได้ยินเสียงซู่ ราวกับว่าใครสัก
คนกำลังปรุงอาหารในห้องนี้
เมื่อเลือดสัมผัสพื้นแกร่ง มันก็เริ่มกัดกระเบื้องปูพื้นทันที ราวกับว่า
เลือดของซีซิงฟางกลายเป็นกรด
“พ-พื้น มันกำลังหลอมละลาย” ผู้อาวุโสจงชี้ไปยังพื้นด้วยแขนที่สั่น
ระริกทั้งแขน
“สวรรค์” เจ้าซีเกือบจะไม่เชื่อสายตาตนเอง และซีซิงฟางเองก็เกือบ
ล้มก้นจ้ำเบ้าจากความตกใจ
“น-น-นี่เป็นเพราะเลือดข้ารึ…” ซีซิงฟางปิดปากด้วยมืออีกข้าง
“ถ้ามิใช่เพราะว่าร่างพันพิษมิกรายของเจ้า ร่างของเจ้าคงมิสามารถ
ต้านทานพิษนี้ได้แม้จะแค่เพียงนาทีเดียว”
หลังจากที่ทั้งห้องเงียบไปเนิ่นนานเนื่องมาจากความตระหนก เจ้าซีก็
พูดด้วยแหบพร่า “แก้พิษ… เราต้องการหายาแก้พิษเดี๋ยวนี้”
“ผู้อาวุโสจง ข้าต้องการหมอที่ดีที่สุดทั้งหมดในทวีปนี้มาที่นี่เร็ว
ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เราต้องการที่จะหาวิธีที่จะรักษาลูกสาวข้า
ก่อนที่จะ…บัดซบ” เจ้าซีเริ่มอยู่ไม่เป็นสุข
“ท่านพ่อ ใจเย็น ซูหยางได้หาวิธีที่จะรักษาพิษในร่างข้าแล้ว” ซีซิง
ฟางกล่าวอย่างรวดเร็ว
“นั่นเป็นความจริงรึ” เจ้าซีไม่มีกลิ่นอายของผู้ครองเมืองอีกต่อไป
เขาตรงเข้าไปหาซูหยางด้วยท่าทางของบิดาที่เป็นห่วงไย “บอกข้ามา
เราจะรักษาลูกสาวข้าได้อย่างไร ข้าจักให้เจ้าทุกสิ่งถ้าเจ้ารักษาเธอ”
“ข้าได้เขียนรายการสิ่งของที่เราต้องการรักษาพิษของเธอไว้แล้ว หา
มันมาก่อนจากนั้นเราจึงจะดำเนินการขั้นต่อไป” ซูหยางกล่าว
ซีซิงฟางนำเอากระดาษแผ่นหนึ่งออกมาและแสดงให้กับเจ้าซีซึ่ง
เกือบหายใจไม่ออกเมื่อเห็นสมุนไพรหายากจำนวนมากในรายการ
“ลืมสมุนไพรอื่นที่ยากจะเห็นแม้กระทั่งในตลาดที่ใหญ่ที่สุดก่อน ขิง
เลือดปีศาจนี่คือบ้าอะไรกันวะ ข้ามิเคยกระทั่งจะได้ยินชื่อยาแบบนั้น
มาก่อน”
“สนใจสมุนไพรอื่นก่อน เจ้าสามารถปล่อยให้ข้ากังวลกับขิงเลือด
ปีศาจเอง” ซูหยางพลันพูดขึ้น
“จ-จริงรึ” เจ้าซีมองดูอีกฝ่ายด้วยสายตาสงสัย ด้วยว่าตัวเขาเองยังไม่
เชื่อใจซูหยางเต็มที่
“ในเมื่อข้าเป็นคนที่ให้วิชานั้นแก่เธอเพื่อฝึกฝน ข้าก็สมควรแบ่งปัน
ความรับผิดชอบด้วยในเรื่องทั้งหมดนี้” ซูหยางยักไหล่ และเขากล่าว
ต่อว่า “และแม้ว่าเธอจะมีเวลามากถึงห้าปี ข้าแนะนำให้พวกเจ้ามีทุก
สิ่งพร้อมภายในหนึ่งปี มิเช่นนั้นเธอจักต้องกล้ำกลืนความเจ็บปวด
อย่างรุนแรงในปีถัด ๆ ไปจนกว่าจะตาย”
“…”
ทุกคนในห้องฝืนกลืนน้ำลายอย่างยากเย็นโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ซีซิงฟาง
ซึ่งเกือบจะเป็นลมหลังจากที่ได้ยินว่าเธอจะต้องเจ็บปวดอย่างหนัก
หลังจากนั้น
บทที่ 319 ถูกพิษ
หลังจากที่ตรวจสอบเงื่อนไขของซีซิงฟางไปสองสามนาที สุดท้าย
ซูหยางก็รู้ว่าอะไรที่กวนใจเขาอยู่
“เจ้า.. เจ้าได้ทำตามคัมภีร์ยุทธถูกต้องทุกอย่างหรือไม่” เขาถามเธอ
พร้อมกับขมวดคิ้ว จนทำให้เกิดความรู้สึกลางร้ายปรากฏขึ้นในห้อง
“ข-ข้าทำ…” ซีซิงฟางพยักหน้าอย่างแข็งกระด้าง
“มีอะไรผิดพลาดกับร่างสวรรค์ของข้าหรือไม่” เธออดไม่ได้แต่รู้สึก
กังวลหลังจากที่เห็นเขาขมวดคิ้ว อย่างไรก็ตามเธอมั่นใจว่าเธอได้
ฝึกฝนร่างร้อยพิษมิกรายของเธอเข้าสู่ร่างระดับเซียนร่างพันพิษมิ
กรายไปเรียบร้อยแล้ว
“เพื่อที่จะฝึกร่างร้อยพิษมิกรายไปเป็นร่างพันพิษมิกราย เจ้าได้อาบ
พิษที่แตกต่างกันกว่าพันชนิดตามลำดับเฉพาะ ข้าสามารถเห็นได้ว่า
เจ้าได้รับร่างพันพิษมิกรายแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม… เจ้าโดนพิษ
ระหว่างขั้นตอนไปเสียแล้ว”
“อะไรกัน” ซีซิงฟางมีท่าทางตระหนกเมื่อได้ยินว่าตัวเธอตอนนี้ติด
พิษ
“ท-ท่านมั่นใจเรื่องนี้รึ” เธอถาม รู้สึกสงสัย
แม้ว่าเธอต้องการเชื่อวาจาเขา แต่นั่นก็เป็นการยากมากที่จะเชื่อว่า
ร่างของเธอนั้นถูกพิษเมื่อเธอมีร่างกายที่ต้านทานพิษ ยิ่งไปกว่านั้น
เธอไม่รู้สึกเจ็บป่ วยหรืออะไรทั้งสิ้นที่จะแสดงให้เห็นว่าร่างของเธอ
ถูกพิษ
“พิษชนิดนี้เป็นพิษพิเศษที่ไม่เหมือนพิษอื่น จริงแล้วบางคนไม่แม้จะ
ถือว่ามันเป็นพิษชนิดหนึ่งแต่เป็นอย่างอื่นไป ซึ่งนี่เป็นไปไม่ได้ถ้าเจ้า
ทำตามคัมภีร์ยุทธอย่างถูกต้อง ลองนึกถึงการฝึกฝนของเจ้า ประเภท
และปริมาณของพิษที่เจ้าอาบต้องเป็นไปตามวิชาอย่างถูกต้อง”
“จ-เจ้าพูดถึงอะไรกัน ร่างพันพิษมิกราย ถูกพิษ” ผู้อาวุโสจงขัดพวก
เขาด้วยสีหน้าสงสัย แต่อนิจจาเขาถูกอีกฝ่ายละเลยอย่างสิ้นเชิง
ซีซิงฟางหลับตาลงครุ่นคิด ไม่นานหลังจากนั้นเธอก็กล่าวว่า “ใช่
แล้ว เพราะว่าข้ามิเคยได้ยินพิษที่ต้องการบางอย่าง ข้าจึงทดแทนมัน
ด้วยพิษอย่างอื่นที่มีผลเหมือนกัน เช่นการใช้สมุนไพรเศียรมังกรฟ้า
แทนดอกเศียรมังกรม่วง หรือว่านั่นเป็นสาเหตุ”
“…”
เมื่อซูหยางได้ยินคำของเธอ เขาก็เกือบยกมือกุมหน้าผาก “ข้าได้
มองข้ามความจริงที่ว่าพิษบางอย่างที่เธอต้องการในการฝึกมิอาจจะ
ปรากฏขึ้นในโลกเยาว์วัยนี้ที่ซึ่งมีอายุเพียงสองพันปี ในเมื่อพวกมัน
ต้องใช้เวลานับหมื่นปีในการเติบโต…” เขาถอนใจ
“ข้าขอโทษ ข้าควรจะรู้ดีกว่านี้” เขาส่ายหน้า “ทั้งหมดนี้เนื่องมาจาก
ความประมาทของข้า ข้ามิควรให้วิชานั้นแก่เจ้าตั้งแต่แรก..”
ซูหยางมีเจตนาที่จะช่วยเหลือเธอด้วยวิชาระดับเซียนด้วยใจบริสุทธ์ิ
แต่อนิจจาเจตนาเช่นนั้นกลับเป็นต้นเหตุทำร้ายเธอ
“ม-ไม่จริง” ซีซิงฟางกล่าวอย่างรวดเร็ว “นี่มิใช่ความผิดของท่าน ข้า
มิควรจะทำการอย่างบุ่มบ่ามเช่นนั้น ถ้าข้าได้ทำตามคัมภีร์ยุทธอย่าง
ถูกต้อง นี่ก็มิควรจะเกิดขึ้น…”
“อย่างไรก็ตาม จักเกิดอะไรขึ้นกับข้าตอนนี้หรือไม่ เหตุใดข้าจึงยัง
รู้สึกสบายดีถึงที่สุด” เธอพลันถาม
“พิษในร่างของเจ้ายังเพิ่งปรากฏขึ้น ดังนั้นเจ้าจึงมิประสบกับอาการ
ของมันไปอีกสองสามเดือน อย่างไรก็ตามครั้นเมื่อพิษเริ่มแสดงผล
มันจักกัดกร่อนร่างกายของเจ้าอย่างช้า ๆ จากภายใน…จนกระทั่ง
ร่างของเจ้าทั้งหมดสูญหายไปจากโลกนี้ ถ้าเจ้าปล่อยให้พิษคงอยู่ใน
ร่าง เจ้าจักหายจากโลกนี้ไปภายในห้าปี”
“ม..ไม่จริง…”
ความสิ้นหวังลึกล้ำที่เธอไม่เคยประสบมาก่อนเติมใจซีซิงฟางจนเต็ม
อย่างรวดเร็ว ท่าทางของเธอเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น
“เจ้าพ่นวาจาเน่าเหม็นอะไรใส่นายหญิงน้อย เธอจะถูกพิษได้อย่างไร
ในเมื่อเธอมีร่างร้อยพิษมิกรายที่ต้านทานต่อพิษร้ายทั้งมวลในโลกนี้
เห็นชัดว่าเจ้าเพียงแค่ต้องการที่จะทำให้เธอกลัว”
แม้ว่าเขาไม่รู้สถานการณ์นี้ ผู้อาวุโสจงก็ยังตะโกนใส่ซูหยางที่เป็น
ต้นเหตุให้ซีซิงฟางมีปฏิกิริยาเช่นนั้น
“ผู้อาวุโสจง โปรดเงียบชั่วขณะ” ซีซิงฟางมองดูเขาด้วยท่าทางตึง
เครียด
เธอหันกลับไปหาซูหยางและกล่าวว่า “มี…มีวิธีที่จะรักษาพิษชนิดนี้
ในร่างข้าหรือไม่”
ซูหยางไม่ได้ตอบเธอในทันใดชั่วขณะก่อนที่จะกล่าวขึ้น “มี มีวิธี
หนึ่งที่รักษาเจ้าได้ มันเป็นเรื่องง่ายเช่นเดียวกับการอาบร่างเจ้าในพิษ
บางอย่าง เช่นเดียวกับการที่เจ้าฝึกร่างพันพิษมิกราย อย่างไรก็ตาม
สมุนไพรที่ต้องการเหล่านั้นมีอยู่ในโลกนี้หรือไม่นี่ยังเป็นปัญหา”
“ขอกระดาษและบางอย่างสำหรับเขียนให้ข้า” เขาพลันกล่าว
ซีซิงฟางไม่กล้าที่จะอืดอาด หยิบกระดาษและหมึกโดยเร็วพลัน
ครั้นเมื่อเขาพร้อมเขียนแล้ว ซูหยางก็บันทึกรายชื่อบางอย่างบน
แผ่นกระดาษและยื่นส่งให้กับซีซิงฟาง “เจ้าสามารถหาสิ่งเหล่านี้มา
ได้หรือไม่”
ซีซิงฟางมองดูกระดาษ
ไม่นานหลังจากนั้นเธอก็ขมวดคิ้ว
“สมุนไพรแปดในเก้าชนิดนี้มีอยู่ แม้ว่าจะหายากมากและแพงมาก
แต่อย่างไรก็ตามสำหรับขิงเลือดปีศาจนี้… ข้ามิเคยได้ยินสมุนไพร
พิษชนิดนี้มาก่อน” ซีซิงฟาง ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในผู้ที่มีความรู้
ประสบการณ์มากที่สุดในด้านพิษในทวีปแห่งนี้ กล่าว
“นี่ยุ่งยากอยู่บ้าง…” ซูหยางครุ่นคิดอีกครั้ง
หลังจากนั้นชั่วขณะ เขาก็กล่าวว่า “เราสามารถหารือเกี่ยวกับขิงเลือด
ปีศาจหลังจากที่เราได้สมุนไพรทั้งแปดมาแล้ว”
ซีซิงฟางพยักหน้าด้วยความรู้สึกเป็นกังวล “ข้าจักพูดกับพ่อข้า
เกี่ยวกับเรื่องนี้…”
“เจ้าสามารถอธิบายให้ข้าฟังเกี่ยวกับสถานการณ์นี้ได้หรือยัง” ผู้
อาวุโสจงสุดท้ายก็พูดขึ้น “เกิดอะไรขึ้น นายหญิงน้อยถูกพิษจริงรึ
มันเกิดขึ้นได้อย่างไร”
แม้ว่าเขาเข้าใจบางอย่างจากการสนทนาของพวกเขา แต่ก็ไม่เพียงพอ
สำหรับเขาที่จะเข้าใจทั้งหมด
ซีซิงฟางหันไปมองซูหยาง
“มิมีความจำเป็นที่จะต้องเก็บไว้เป็นความลับในตอนนี้” ซูหยางกล่าว
ซีซิงฟางพยักหน้าและเริ่มอธิบายสถานการณ์ให้กับผู้อาวุโสจง
“ก่อนที่ซูหยางจะออกไปจากรถม้าในวันนั้น เขาได้มอบคัมภีร์ยุทธ
ระดับเซียนให้กับข้า วิชาที่ยอมให้ข้าสามารถฝึกร่างร้อยพิษมิกราย
ไปอีกระดับ…”
“อะไรนะ” ผู้อาวุโสจงตะโกนลั่น รู้สึกตระหนกถึงที่สุด
คัมภีร์ยุทธระดับเซียนเป็นอะไรที่กระทั่งสำนักกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิยัง
เข่นฆ่าแก่งแย่งกัน ยิ่งนี่เป็นถึงวิชาที่สามารถฝึกร่างสวรรค์ด้วย
“ข้าฝึกวิชาอย่างลับ ๆ ในปีหลัง ๆ โดยการอาบร่างข้าด้วยพิษที่
แตกต่างกันนับพันชนิด และข้าได้ประสบความสำเร็จในการเปลี่ยน
ร่างร้อยพิษมิกรายของข้าไปเป็นร่างพันพิษมิกรายที่เหนือกว่าไม่
นานมานี้”
หลังจากชะงักไปเล็กน้อยเธอก็กล่าวต่อว่า “แต่อนิจจาแม้ว่าข้าได้รับ
ร่างพันพิษมิกราย เพราะว่าข้าฝึกอย่างไม่ถูกต้อง ตอนนี้ข้าถูกพิษ…
และถ้าไม่รักษา ข้าจักตายภายในห้าปี…”
“ป-เป็นไปไม่ได้…” ผู้อาวุโสจงล้มลงคุกเข่าเมื่อเขาได้ยินคำพูดสุดท้าย
ของซีซิงฟาง เจ้าซีจะมีปฏิกิริยาอย่างไรต่อข่าวนี้
“เจ้าชั่ว เจ้ามีเจตนาให้วิชาระดับเซียนแก่เธอทั้งที่รู้อยู่ว่าจะเกิดอย่าง
นี้ขึ้นรึ” ผู้อาวุโสจงเริ่มกล่าวโทษซูหยางกับสถานการณ์นี้ สายตา
ของเขาเปล่งจิตสังหารออกมา
เมื่อซีซิงฟางสังเกตเห็นผู้อาวุโสจงจับกระบี่ เธอก็พลันกระโดดมา
หน้าซูหยางและตะโกนว่า “ท่านจะทำอะไร ผู้อาวุโสจง ถ้าเขา
ต้องการทำร้ายข้าจริง เขาก็ควรจะเงียบไว้เกี่ยวกับพิษและปล่อยให้
ข้าตายโดยไม่แม้จะได้รู้ความจริง”
ผู้อาวุโสจงพลันชะงักค้างด้วยท่าทางสับสน
ถ้าซูหยางต้องการทำร้ายซีซิงฟางจริง ๆ ทำไมเขาจึงต้องยอมให้เธอรู้
เกี่ยวกับพิษในร่างเธอ กระทั่งเปิดเผยถึงวิธีที่จะรักษามัน ซึ่งนั่น
ตรงกันข้ามกับเจตนาร้ายเช่นนั้นอย่างแท้จริง
หลังจากที่คิดหักล้างในใจอยู่ชั่วขณะ ผู้อาวุโสจงก็ปล่อยมือจาก
กระบี่และกล่าวว่า “เราไปหาพ่อของท่านตอนนี้เลย”
บทที่ 318 ดูร่างข้าสิ
“ท่านเจ้า จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเจ้าเลวนั่นทำอะไรที่ไม่เหมาะสมกับนาย
หญิงน้อย เราคงมิสามารถปกป้องเธอได้ถ้ามีสิ่งผิดพลาดเกิดขึ้น…”
บรรดาองครักษ์มีท่าทางกังวลกับเหตุการณ์ รู้สึกเหมือนกับว่าซีซิงฟาง
ถูกโยนเข้าไปในดงสิงโตในฐานะกระต่าย
“พวกเจ้ามิต้องกังวล เขามิแตะต้องเธอแน่” เจ้าซีกล่าวด้วยเสียงชัดเจน
องครักษ์จ้องมองเขาด้วยท่าทางหวาดหวั่น ทำไมเขาจึงถึงมั่นใจ
เกี่ยวกับเรื่องนี้
“ชายคนนั้น… เขาสามารถจ้องมองลูกสาวข้าได้อย่างเต็มตาโดย
ปราศจากอารมณ์ใดได้อย่างแท้จริง ราวกับว่าเขาเพียงมองดูผู้หญิง
ดาษดื่นทั่วไป… ข้ามิเคยพบชายอื่นนอกจากข้าที่สามารถมองดูเธอ
ด้วยดวงตาผุดผ่องปานนั้น…”
ซีซิงฟางสามารถถือได้ว่าเป็นหนึ่งในบรรดาหญิงสาวที่สวยที่สุดใน
ทวีปตะวันออก ดังนั้นทุกผู้คนมักจ้องมองเธอหากไม่ใช่สายตาหื่น
กระหายก็เป็นความคิดเพ้อฝัน ดังนั้นจึงเป็นเหตุที่ทำไมเธอจึงสวม
ผ้าแพรปิดบังใบหน้าเมื่อเธอออกไปพ้นจากอาคารนี้
กล่าวไปแล้ว ซูหยางได้เห็นหญิงสาวสวยมาคณานับในชีวิตของเขา
และในสายตาของเขาแล้วหน้าตาของซีซิงฟางก็ไม่ใช่อะไรที่ต้อง
หวั่นไหวเช่นเดียวกับที่เธอทำให้คนอื่นรู้สึก
องครักษ์เงียบไปหลังจากที่เจ้าซีอธิบาย พวกเขาล้วนรู้ว่ายากแค่ไหน
ที่จะมองดูซีซิงฟางด้วยความคิดผ่องใส ในเมื่อไม่มีพวกเขาสักคนที่
ประสบความสำเร็จมาจนถึงวันนี้ถึงแม้ว่าจะเห็นเธอมานับครั้งไม่
ถ้วนจากช่วงเวลาหลายปีนี้
“และถึงแม้ว่าเขาต้องการทำอะไรสนุกกับลูกสาวข้า เธอก็มิใช่คนที่
อ่อนด้อยไปกว่าข้าในบางสถานการณ์” เจ้าซูพูด “ไม่ว่าอย่างไรร่าง
สวรรค์ของเธอก็มิใช่มีไว้เพื่อแสดง”
แม้ว่าซีซิงฟางจะยังไม่ใกล้เคียงกับระดับของเขาในด้านการฝึกวิชา
แต่พลังความแข็งแกร่งของเธอได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญนับตั้งแต่
ครึ่งปีที่ผ่านมานี้เมื่อเธอกลับมาจากการผจญภัย แต่ในเมื่อซีซิงฟาง
ไม่ได้อธิบายเหตุผลเบื้องหลังความก้าวหน้าอย่างฉับพลันให้กับเจ้า
ซี เขาได้แต่คิดสงสัยไปต่าง ๆ นา ๆ
“ใช่แล้วนับตั้งแต่นายหญิงน้อยกระตุ้นร่างร้อยพิษมิกรายของเธอ
กระทั่งจอมยุทธเขตอัมพรวิญญาณก็จักล้มลงภายใต้อำนาจนั้น”
องครักษ์ต่างพากันตระหนัก
ในเวลานั้นภายในห้องส่วนตัวของซีซิงฟาง ซูหยางจิบชาที่ชงโดยซี
ซิงฟางอย่างใจเย็น
“ท่านคิดว่าชาข้าเป็นอย่างไรบ้าง พี่ชายเซียว” ซีซิงฟางถามเขาขณะที่
เธอนั่งข้างกายเขา
“เจ้าควรเพียงเรียกข้าว่าซูหยาง เซียวหยางเป็นเพียงชื่อปลอมสำหรับ
ตอนที่ข้าเดินทาง และเจ้ามิจำเป็นต้องมากมารยาท” ซูหยางกล่าวกับ
เธอ
“ส่วนสำหรับชานี้… เจ้าผลิตมันขึ้นมาเองรึ” เขาพลันถามเธอ
“ช-ใช่แล้ว…”
แม้ว่าเธอค่อนข้างประหลาดใจอยู่บ้างกับข้อมูลใหม่นี้ เธอยังคงรู้สึก
ดีใจที่เขาตัดสินใจเปิดเผยให้เธอรู้ถึงตัวตนที่แท้จริง นั่นหมายถึงว่า
เขาเชื่อถือเธอ
“สมุนไพรที่ใช้สร้างเป็นชานี้ข้าก็ปลูกมันขึ้นมาเอง ถ้าท่านอยากเห็น
มัน ข้าสามารถพาท่านไปยังสวนของข้าหลังจากนี้”
“ถ้าเจ้าพูดถึงสวนที่อยู่หลังอาคารนี้ เช่นนั้นข้าก็ได้เห็นมันแล้ว” ซู
หยางกล่าวซึ่งเขาได้ตรวจสอบสถานที่นี้ด้วยสัมผัสวิญญาณทันทีที่
เขามาถึงแล้ว
“…?”
ผู้อาวุโสจง ซึ่งยืนอยู่ข้างประตูเหมือนกับคนรับใช้มองดูซูหยางด้วย
คิ้วขมวดมุ่น เท่าที่เขารู้ ซูหยางอยู่ข้างกายเขามาก่อนหน้าที่พวกเขา
จะได้ก้าวเข้ามาในที่แห่งนี้ ดังนั้นทำไมเขาจึงรู้เกี่ยวกับสวนของซี
ซิงฟางอย่าว่าแต่ได้เห็นมัน
ซีซิงฟางพยักหน้า “อย่าไรก็ตามข้าหวังว่าพ่อของข้ามิได้สร้างปัญหา
ให้ท่านเมื่อกี้นี้” เธอกล่าวหลังจากนั้น
“อะไรที่ทำให้เจ้าคาดคิดว่าเขาสร้างปัญหาให้กับข้า” ซูหยางถามด้วย
รอยยิ้ม
ซีซิงฟางหัวเราะหึและกล่าวว่า “เพราะว่าเขาเป็นคนดื้อดึงมาก และ
เมื่อเขาต้องการให้ท่านเป็นผู้พิทักษ์ให้กับตระกูลซีของเรา ข้าก็ได้
นึกออกมาเช่นนั้น”
“เอ่อ แม้ว่านั่นมิเท่าไหร่นัก ข้าก็เกือบหัวหลุดในห้องนั้น” ซูหยางก็
ยังเริ่มหัวเราะ
“อะไรนะ” ซีซิงฟางตื่นตระหนกกับคำของเขา
“เจ้าพูดเรื่องไร้สาระอะไรกัน” ผู้อาวุโสจงแค่นเสียงเย็นชา “นั่นเป็น
สิ่งที่เจ้าหาเข้าตัวเอง”
“ผู้อาวุโสจง ทำไมท่านพูดเช่นนั้น อย่ากังวล ซูหยาง ข้าจักพูดกับพ่อ
อย่างแน่นอนหลังจากนี้” ซีซิงฟางกล่าวกับเขา
แม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่าเขาทำอะไรจึงเป็นเหตุให้เกิดสถานการณ์เช่นนั้น
เธอก็อดไม่ได้ที่จะอยู่ข้างซูหยางในเมื่อเขาเป็นผู้มีบุญคุณของเธอ
“ข้ามิถือ” ซูหยางกล่าว “ว่าไปแล้วก็ดังที่ผู้อาวุโสจงกล่าว นั่นเป็น
ความผิดของข้าเอง”
“อย่างไรก็ตาม ข้ามั่นใจว่าเจ้ามิได้พาข้ามาที่นี่เพียงเพื่อดื่มชา ใช่
ไหม” เขามองดูซีซิงฟาง ซึ่งดูเหมือนกับว่าเธอเป็นเด็กเล็กที่มีข่าวน่า
ตื่นเต้นต้องการบอกเล่า
หลังจากเงียบไปชั่วขณะ ซีซิงฟางยกมือของเธอขึ้นและกล่าวว่า
“โปรดมองดูร่างข้าสิ”
“…”
ผู้อาวุโสจงลืมตากว้างด้วยความตระหนก และเขารีบแทรกอย่าง
รวดเร็ว “ท่านพูดอะไรนายหญิงน้อย”
อย่างไรก็ตาม ซีซิงฟางแสดงสีหน้าสับสนและถามว่า “มีอะไรผิดไป
หรือผู้อาวุโสจง”
“ท-ท-ท่าน… ทำไมท่านจึงขอร้องสิ่งที่ไม่เหมาะสมจากคนที่เพิ่งรู้จัก
ได้อย่างไร”
ผู้อาวุโสจงกล่าว สร้างความสงสัยให้กับเธอ
ซีซิงฟางขมวดคิ้ว “ไม่เหมาะสมรึ มีอะไรที่ไม่เหมาะสมเกี่ยวกับการ
ที่ข้า…”
อย่างไรก็ตามเธอชะงักถ้อยคำเพียงแค่ครึ่งประโยคหลังจากที่ตระหนัก
ว่าเธอได้พูดอะไรไปก่อนหน้านี้ และหน้าแดงขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ข-ข-ข้ามิได้หมายความแบบนั้น ข้าเพียงต้องการให้เขาดูร่างสวรรค์
ของข้า” เธอรีบอธิบายตัวเอง แต่อนิจจานั่นเพียงยิ่งทำให้ผู้อาวุโสจง
เข้าใจผิดไปมากกว่าเดิม
“ท่านต้องการให้เขาดูร่างสวรรค์ของเจ้า”
แน่นอนว่าผู้อาวุโสจงได้ลืมไปว่าซูหยางมีความสามารถที่จะดูร่าง
สวรรค์ของซีซิงฟางโดยไม่จำเป็นต้องให้เธอเปลือยร่าง
“ผู้อาวุโสจง ถ้าท่านมิหุบปาก ข้าจักโยนท่านออกไปจากห้องของ
ข้า” ซีซิงฟางตะโกน ใบหน้าเธอรุ่มร้อนแดงก่ำ
“นอกจากว่าท่านฆ่าชายชราคนนี้ อย่าแม้จะคิดในเรื่องที่จะบีบข้า
จากไป”
ซูหยางส่ายหน้าและกล่าวกับซีซิงฟางว่า “ส่งมือเจ้ามาให้ข้า”
ซีซิงฟางสูดลมหายใจลึกและยื่นมือเรียบของเธอให้กับเขา
ซูหยางเลิกสนใจผู้อาวุโสจง ซึ่งจ้องมองเขาเขม็งข่มขู่ฆ่าถ้าเขาเล่น
ตุกติกอะไร และจับมืองามของซีซิงฟาง
เขาไม่เสียเวลาอีกต่อไปทำการตรวจสอบร่างของเธอด้วยปราณไร้
ลักษณ์ของเขา
“อืมม” ซูหยางเลิกคิ้วหลังจากนั้นชั่วขณะ ดูเหมือนว่าสับสนกับบาง
สิ่ง
“ม-มีอะไรผิดไปหรือ” ซีซิงฟางถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลหลังจากที่
เห็นท่าทางของเขา
บทที่ 317 ผู้พิทักษ์ตระกูลซี
“ข้ามีข้อเสนอสำหรับเจ้า ซูหยาง” เจ้าซีกล่าวด้วยท่าทางจริงจังบน
ใบหน้า “เข้าร่วมกับตระกูลซีในฐานะผู้พิทักษ์ หากว่าเจ้าตกลง ข้า
จักทำเหมือนกับว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นวันนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน”
“ท-ท่านเจ้า…นั่นค่อนข้างจะ…”
ผู้อาวุโสจงมองดูเขาด้วยสายตาประหลาดใจเต็มไปด้วยความสงสัย
และลังเล
ผู้พิทักษ์ก็เป็นดังที่กล่าว ใครสักคนที่ปกป้องตระกูลยามเมื่อต้องการ
ฐานะของผู้พิทักษ์ของตระกูลซีก็เปรียบเหมือนกับผู้บัญชาการกองทัพ
ทั้งหมด และยิ่งไปกว่านั้นในเมื่อพวกเขาเป็นผู้ปกป้องตระกูลอันดับ
หนึ่งของทวีปแห่งนี้ เมื่อมีตำแหน่งถึงระดับนั้นย่อมนำมาซึ่งชื่อเสียง
ไม่จบสิ้นต่อคนผู้นั้น
เป็นถึงจอมกระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปแห่งนี้ แน่นอนว่าผู้อาวุโส
จงเองก็ย่อมเป็นผู้พิทักษ์ตระกูลเซียว อย่างไรก็ตามเพียงแค่ความ
แข็งแกร่งอันลึกล้ำอย่างเดียวย่อมไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้พิทักษ์
ตระกูลซีได้ในทันใด ในเมื่อพวกเขาย่อมต้องเป็นคนที่เชื่อถือได้ด้วย
ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเหตุที่ว่าทำไมผู้อาวุโสจงรู้สึกว่าการตัดสินใจของ
เจ้าซีที่จะให้ซูหยางเป็นผู้พิทักษ์ตระกูลซีจึงไม่เหมาะสม ในเมื่อเขา
ไม่ใช่คนที่พวกเขสามารถไว้วางใจได้อย่างเต็มที่ในเวลานั้น อย่าว่า
แต่การกระทำของเขาในวันนี้ที่ไม่ไว้หน้าของตระกูลซี ยิ่งไปกว่านั้น
ยังต่อหน้าเจ้าซีอีกด้วย
“โห ข้าจะได้อะไรตอบแทนในการเป็นผู้พิทักษ์” ซูหยางถามแม้ว่า
จะมีเจตนาเป็นศูนย์ในการเข้าร่วมตระกูลซีด้วยการเป็นผู้พิทักษ์
เจ้าซีดวงตาเป็นประกายและพูดขึ้นว่า “การเป็นผู้พิทักษ์ของตระกูล
ซีก็เหมือนกับการได้เป็นคนของตระกูล ปกติแล้วการเป็นคนของ
ตระกูลซี ถือเป็นความรับผิดชอบของเราในการจัดหาทรัพยากร
สำหรับการฝึกฝนให้เจ้า ยิ่งไปกว่านั้นเรายังจักหาสมบัติวิญญาณ
ระดับปฐพีสูงสุด ส่วนสิ่งอื่นอย่างเช่นชื่อเสียงและตำแหน่งนั้นยิ่งมิ
ต้องไปกล่าวถึง”
“อืมมมม..”
ซูหยางแกล้งทำเป็นครุ่นคิด ถ้าเขาไม่ได้พบกับชิวเยว่ เช่นนั้นเขา
อาจจะครุ่นคิดอย่างหนักในการเข้าร่วมกับตระกูลซีเพื่อวัตถุสำหรับ
การฝึกฝนวิชา
ปกติแล้วนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยย่อมได้ผลลัพธ์ด้วยเช่นกันและ
อาจจะได้รับศิษย์ใหม่อย่างล้นหลามแม้กระทั่งเขาไม่ได้ทำอะไรก็
ตามระหว่างการแข่งระดับภูมิภาค
อย่างไรก็ตามด้วยแผนปัจจุบันของเขา นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ถูก
ผูกไว้ให้เป็นหนึ่งในนั้นถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นนิกายที่มีชื่อเสียงมาก
ที่สุดในทวีปก็ตามหลังจากการแข่งขันระดับภูมิภาค
“ข้ามิต้องการสมบัติวิญญาณระดับปฐพีหรือผลประโยชน์อื่นใด แต่
ข้าอาจจะพิจารณาข้อเสนอของท่านถ้าท่านยกลูกสาวท่านให้ข้า” ซู
หยางกล่าวด้วยรอยยิ้มอย่างหน้าด้านหลังจากนั้น
“เจ้า…”
เจ้าซีพยายามอย่างดีที่สุดที่จะไม่ระเบิดความโกรธออกมาเหมือน
ก่อนหน้านี้ แต่ร่างของเขาก็เห็นชัดว่าสั่นสะท้าน
“ท่านเจ้า เพียงแค่ให้คำสั่งพวกเราและพวกเราจะสู้ตายกับเจ้าเลวนี่
แม้ว่าพวกเราจะมีโอกาสชนะน้อยมาก”
องครักษ์พากันสั่นสะท้านไปด้วยความโกรธ ในเมื่อพวกเขาไม่เคย
ได้รับการถูกเหยียดหยามเช่นนั้นมาก่อนในชีวิต
“เจ้ามั่นใจรึว่าเจ้าต้องการปฏิเสธ ซูหยาง นี่เป็นโอกาสที่จักมิมาอีก
ครั้ง” เจ้าซีกล่าวโดยไม่สนใจเหล่าองครักษ์
“นั่นมิมีปัญหาใด ๆ ทั้งสิ้น” ซูหยางกล่าวขณะที่เขาเริ่มเดินออกไป
ยังทางออกอีกครั้ง
เจ้าซีถอนใจ เมื่อคนหยาบคายอย่างซูหยางอาจยากเข้าสู่ตระกูลซี การ
พลาดกับความแข็งแกร่งอันลึกล้ำของเขานั้นนับเป็นความสูญเสียอัน
ยิ่งใหญ่สำหรับตระกูลซีโดยรวม
ไม่นานนักขณะที่ซูหยางก้าวออกไปนอกห้อง คนนับสิบซึ่งเห็นว่า
ส่วนใหญ่เป็นองครักษ์ก็พากันวิ่งมาทางเขา
“ท่านเจ้า ท่านบาดเจ็บหรือไม่ แรงสั่นสะเทือนเมื่อกี้นี้คืออะไร”
องครักษ์ต่างพากันวิ่งเข้ามาภายในห้อง
“ใจเย็น ๆ ทุกสิ่งเป็น–”
“ท่านพ่อ ปราณไร้ลักษณ์เมื่อกี้นั่นคืออะไรกัน”
ก่อนที่เจ้าซีจะทันได้พูดจบประโยค สาวสวยที่มีรัศมีสง่างามก็
ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังของฝูงชน
“นายหญิงน้อย” ผู้อาวุโสจงเกือบจะกุมหน้าผากกับการปรากฏตัว
ของเธอในทันใด ซึ่งจะต้องทำให้เรื่องซับซ้อนยิ่งขึ้นในอนาคต
“พ-พี่ชายเซียว ท่านมาทำอะไรที่นี่”
ดังเช่นที่ผู้อาวุโสจงได้คาดคิดไว้อย่างไม่ยากนัก ซีซิงฟางพลัน
สังเกตเห็นหน้าตาหล่อเหลาของซูหยาง
“มาได้สักพักแล้ว” ซูหยางแสดงรอยยิ้มสดใสให้เธอ
“ถ้าข้ารู้ว่าท่านมา ข้าต้องมาต้อนรับท่านด้วยตนเองแน่นอน ท่าน
ได้รับของสิ่งนั้นจากผู้อาวุโสจงหรือไม่”
ซีซิงฟางเข้าไปหาซูหยางอย่างกระตือรือร้น
“…”
นอกเหนือจากเสียงอันตื่นเต้นของซีซิงฟาง ทุกคนนอกเหนือจากนั้น
ล้วนพากันมองดูพวกเขาอย่างเงียบกริบด้วยดวงตาโต
“ถ้านี่เป็นท่าทางการแสดงออกแบบคนรู้จักของพวกเขา ข้ามิสามารถ
ที่จะจินตนาการเห็นพวกเขาในฐานะเพื่อน” เจ้าซีร่ำร้องในใจ
พวกเขาจะเป็นเพียงแค่คนรู้จักได้อย่างไรเมื่อพวกเขาดูเหมือนใกล้ชิด
สนิทสนมกันเช่นนั้น หากเป็นเช่นนี้ต่อไปพวกเขาอาจจะร่วมเตียงกัน
ถ้าพวกเขาเป็นแค่เพื่อน
อย่างไรก็ตามแม้ว่าเจ้าซีเกลียดที่จะใช้ลูกสาวของตนเองเพื่อผลประโยชน์
เขาก็ต้องการความแข็งแกร่งอันลึกล้ำของซูหยางมาเป็นส่วนหนึ่ง
ของตระกูลซีจริง ๆ นี่ยังไม่ได้พูดถึงเบื้องหลังอันลึกลับของอีกฝ่าย
“ลูกสาวข้า เจ้ามาได้ถูกเวลา ข้าเพิ่งปรึกษากับจอมยุทธท่านนี้เผื่อว่า
เขาต้องการเป็นผู้พิทักษ์ตระกูลซี”
“ท่านเจ้า” ผู้อาวุโสจงไม่อยากเชื่อหูตาของตนเอง เจ้าซีเพิ่งใช้ลูกสาว
ตนเองเพื่อหว่านล้อมซูหยางอยู่ใช่ไหม ขณะที่เขากำลังจะฆ่าซูหยาง
ที่กล่าวถึงลูกสางของตนเองเมื่อไม่กี่นาทีก่อน การเปลี่ยนแปลง
ทัศนคติของเขาช่างล้ำลึกเหลือเกิน
แน่นอนว่าในโลกที่ความแข็งแกร่งมาเป็นอันดับแรกในแทบทุก
สถานการณ์นี้ เจ้าซีย่อมไม่สนใจที่จะทำหน้าด้านสักหน่อยตราบเท่าที่
ตระกูลซีของเขาได้จอมยุทธคนอื่นมาเพิ่ม
“จริงรึ พี่ชายเซียว ท่านจะมาเป็นผู้พิทักษ์ของตระกูลเราหรือ” เธอ
มองดูเขาด้วยดวงตาร้องขอ
ภายใต้สถานการณ์ปกติ ใครก็ตามที่เผชิญกับคำอ้อนวอนของเธอ
ย่อมต้องพยักหน้าโดยไม่ลังเลหรือครุ่นคิด แต่เธอโชคร้าย ซูหยาง
เป็นชายที่เผชิญพบกับผู้หญิงนับไม่ถ้วนใต้เข็มขัดของเขาจึงเฉยเมย
กระทั่งภายใต้รูปลักษณ์ที่ไม่อาจต้านทานได้ของเธอ
“ข้าต้องขออภัย แต่ข้าได้ปฏิเสธข้อเสนอไปแล้ว” ซูหยางกล่าวด้วย
รอยยิ้มขอโทษ
ท่าทางดีใจของซีซิงฟางเปลี่ยนเป็นเศร้าเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดของ
เขา อย่างไรก็ตามเธอไม่ได้กดดันเขาและกล่าวว่า “ข้ามั่นใจว่าท่าน
ต้องมีเหตุผล ดังนั้นข้าจักมิถาม แต่ในเมื่อท่านมาที่นี่ ทำไมเรามินั่ง
ดื่มชาสักถ้วยล่ะ ข้ามีบางสิ่งที่ต้องการพูดกับท่าน ข้ามิต้องการคำว่า
ไม่เป็นคำตอบในครั้งนี้”
ซูหยางพยักหน้า “ธุระของข้าที่นี่ได้เสร็จสิ้นแล้ว ดังนั้นข้าจักรับ
ข้อเสนอนี้” เขาสนอง
“เยี่ยม เช่นนั้นโปรดตามข้ามา”
“ด-เดี๋ยว” เจ้าซีรีบหยุดพวกเขาในทันใด
“มีอะไรรึ ท่านพ่อ พี่ชายเซียวเป็นแขกคนสำคัญของข้าแล้วตอนนี้”
เธอหันตัวกลับมาถามพร้อมขมวดคิ้ว หวังว่าเขาจะไม่ทำเรื่องยุ่งยาก
ให้กับพวกเธอ
“พวกเจ้าทั้งสองจะไปไหนกัน” เขาถาม
“แน่นอนว่าห้องข้า” ซีซิงฟางตอบโดยไม่ลังเล
เจ้าซีขมวดคิ้วและพูดว่า “เพียงแค่พวกเจ้าสองคนนะรึ ฮึ่ม นอกจาก
ว่าผู้อาวุโสจงจะไปกับเจ้าด้วยก็อย่าได้คิดเรื่องนั้นอีก”
ซีซิงฟางหันไปมองดูผู้อาวุโสจง ซึ่งจ้องมองกลับมาด้วยรอยยิ้มว่า
ช่วยไม่ได้บนใบหน้า
“ตกลง” เธอตอบตกลงในทันที
บทที่ 316 เจ้ามีความสัมพันธ์อะไรกับลูกสาวข้า
“เจ้าเรียกใครเป็นสุนัข ข้าจักฆ่าเจ้าเดี๋ยวนี้”
ไม่ต่ำกว่าจำนวนครึ่งหนึ่งขององครักษ์ในห้องนั้นพุ่งตัวเข้าไปยัง
ซูหยางพร้อมกับอาวุธที่ยกขึ้น สายตาเต็มไปด้วยจิตสังหาร
“หยุด”
ชายวัยกลางคนพลันคำรามลั่น จนทำให้อากาศภายในห้องนั้นสั่น
กระเพื่อม
องครักษ์เหล่านั้นพลันชะงักการเคลื่อนไหว
“กลับคืนสู่ที่” เจ้าซีกล่าว
“ขอรับ ท่านเจ้า”
แม้ว่าพวกเขาจะยังลังเล องครักษ์ต่างก็พากันกลับคืนสู่ที่ของตนเอง
อย่างไรก็ตามสายตาของพวกเขายังคงจ้องเขม็งไปยังซูหยางและเต็ม
ไปด้วยจิตสังหาร
“ผู้อาวุโสจงเขาเป็นคนที่ฆ่าคนในเมืองของข้าหรือไม่” เจ้าซีถามเขา
“เรียนท่านเจ้า ข้ามิคิดว่าเขาเป็นผู้ร้าย”
“โอ้ อธิบายให้ข้าฟังว่าทำไมท่านจึงคิดว่าเขาเป็นผู้บริสุทธ์ิ ท่านเป็น
คนที่พูดเองไม่ใช่รึว่าสำนึกกระบี่นั้นเป็นของเขา หรือว่าเขามิใช่
เซียวหยาง”
“เซียวหยางเป็นชื่อปลอม ชื่อจริงของเขาคือซูหยาง” ผู้อาวุโสจงกล่าว
“ส่วนที่ว่าทำไมข้าจึงเชื่อว่าเขาบริสุทธ์ิก็เพราะ….เขามีข้ออ้าง”
“ชื่อปลอมรึ นั่นมิใช่เรื่องผิดปกติอะไรในหมู่ผู้ฝึกยุทธ” เจ้าซีครุ่นคิด
ในใจ
“ให้ข้าได้รับรู้ถึงข้ออ้างของเขาด้วย”
ผู้อาวุโสจงแสดงความลังเลเมื่อเจ้าซีถามคำถามเช่นนั้น
“มีอะไรรึ ผู้อาวุโสจง ทำไมเจ้าจึงลังเล หรือว่ามีอะไรที่จะต้องซุกซ่อน
ไว้” เจ้าซีกดดัน
ผู้อาวุโสจงแอบถอนใจและกล่าวว่า “เมื่อข้าคนนี้เข้าไปเยี่ยมนิกาย
กุสุมาลย์พ้นพิสัยที่โรงเตี๊ยม ซูหยางยังคงฝึกฝนวิชาอยู่ และสามารถ
ยืนยันได้ชัดเจนโดยผู้นำนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยว่าเขาได้อยู่ที่นั่นนับ
ตั้งแต่พวกเขาไปถึงโรงเตี๊ยมก่อนที่การฆาตกรรมได้เกิดขึ้น ดังนั้น
จึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะทำความผิด”
เจ้าซีมองดูผู้อาวุโสจงด้วยท่าทางงุนงงและกล่าวว่า “นั่นเป็นข้ออ้าง
ประเภทไหนกัน ผู้อาวุโสจง เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเขามิได้แอบออกมา
ระหว่างที่เขาฝึกวิชา หรือว่าผู้นำนิกายอยู่ข้างเขาตลอดเวลางั้นรึ” เจ้า
ซีตั้งคำถามเขา
“ท่านเจ้า… การฝึกวิชาที่ข้าพูดถึงมิใช่การฝึกฝนปกติทั่วไป แต่เป็น
การฝึกวิชาคู่…” ผู้อาวุโสจงเกือบสำลักเมื่อเขาต้องพูดเช่นนั้น
“ท-ท่านพูดอะไรไป” เจ้าซีมีท่าทางแข็งทื่อจากความประหลาดใจ
“ซูหยาง… เขามิได้ฝึกวิชาตามลำพัง… ตามจริงแล้วยังมีหญิงสาวอีก
สองนางอยู่ข้างเขาด้วยเมื่อข้าเห็นเขา… และพวกเธอดูเหมือนจะ
ค่อนข้างอ่อนเพลีย…”
หลังจากที่ผู้อาวุโสจงจบคำพูดของเขา ทั้งสถานที่พลันเงียบสงัด
“นี่มันเป็นเรื่องอะไรกันแน่” ซูหยางอ้าปากพูดทำลายความเงียบ
“แรกสุดท่านขัดขวางการฝึกวิชาของข้า จากนั้นท่านก็ลากข้ามาตาม
ทางถึงที่นี่ และตอนนี้ข้าก็กำลังถูกตัดสินราวกับว่าเป็นผู้ร้ายอะไร
สักอย่าง ถ้าท่านมิมีคำอธิบายที่ดีสำหรับเรื่องนี้ ต่อให้ท่านเป็นถึง
ตระกูลซี ก็อย่าหาว่าข้าหยาบคาย”
“หุบปากเน่าของเจ้า ใครให้สิทธ์ิในการพูดแก่เจ้ากัน และเจ้าก็มิได้
เป็นอย่างอื่นนอกจากคนหยาบคายนับตั้งแต่ทันทีที่เจ้าก้าวเข้ามา
ภายในห้องนี้แล้ว” หนึ่งในองครักษ์คำรามใส่เขา
“…” เจ้าซีจ้องมองซูหยางด้วยแววตาสงสัย ถ้าเขามิได้ฆ่าผู้อาวุโส
นิกายเช่นนั้นใครเป็นคนทำ
“ถ้าผู้อาวุโสจงเชื่อว่าเขาเป็นผู้บริสุทธ์ิ เช่นนั้นข้าก็จักมิติดตามหัวข้อ
นี้จากเขาอีกต่อไป” เจ้าซีกล่าวในเวลาถัดไป
จากนั้นเขาก็หันไปมองดูซูหยาง
“เจ้าเป็นคนแรกที่ข้าพบที่กล้าแสดงท่าทางโอหังต่อหน้าตระกูลซี
ของข้า อย่างไรก็ตาม ข้าจักทิ้งเรื่องนี้ไปนับแต่นี้ เซียว…ซูหยาง ใช่
ไหม ข้ามีเพียงแค่คำถามง่าย ๆ ข้อหนึ่งสำหรับเจ้า”
เจ้าซีหรี่ตาลง มองดูคล้ายกับว่าเขาเตรียมตัวฆ่าซูหยางถ้าเขาตอบผิด
และกล่าวต่อว่า “เจ้ามีความสัมพันธ์อะไรกับลูกสาวข้า”
“เราเป็นแค่เพียงคนรู้จักที่ได้แลกเปลี่ยนคำพูดไม่กี่คำก่อนหน้านี้
ดังนั้นจึงมิมีอะไรระหว่างเรา” ซูหยางกล่าวด้วยเสียงเรียบเฉย
“อย่างนั้นรึ” เจ้าซีมีความสงสัยในความสัมพันธ์ระหว่างซูหยางและ
ลูกสาวของเขา ซีซิงฟาง ว่าไปแล้ววิธีที่ซีซิงฟางมีปฏิกิริยาต่อชื่อของ
เขาบ่งบอกถึงบางอย่างที่ใกล้ชิดยิ่งกว่านั้น
“แต่ถึงแม้ว่าเราจะยังเป็นเพียงคนรู้จักตอนนี้ นั่นก็จักต้องเปลี่ยนแปลง
ในอนาคต”
ซูหยางพลันพูดต่อ
“จ-เจ้าเพิ่งพูดอะไรไป”
ไม่เพียงแค่เจ้าซี กระทั่งผู้อาวุโสจงก็มองดูเขาด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
เต็มไปด้วยความตระหนก
“ในเมื่อท่านเป็นพ่อของเธอ ข้าควรยอมให้ท่านรู้เป็นการล่วงหน้าว่า
ข้าวางแผนที่จะเป็นมากกว่าคนรู้จักกับลูกสาวท่าน” ซูหยางกล่าว
พร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า “มิเพียงแต่เธอจะสุภาพสะสวยแต่ร่างกาย
ของเธอก็ค่อนข้างพิเศษและน่าประทับใจเช่นกัน”
“ช่างกล้านัก”
จิตสังหารพลันปกคลุมทั้งห้อง
อย่างไรก็ตามไม่ใช่องครักษ์ที่ปลดปล่อยจิตสังหารนั้น กลับกันเป็น
เจ้าซีซึ่งมองดูซูหยางราวกับว่าเขาเป็นคนที่ตกตายไปแล้ว
เจ้าซีเป็นคนใจคอหนักแน่นด้วยมีความอดทนสูง ด้วยเหตุนั้นเขาจึง
ไม่ได้นำเรื่องความเย่อหยิ่งของซูหยางมาใส่ใจ อย่างไรก็ตามเมื่อ
มาถึงเรื่องของลูกสาวแก้วตาแก้วใจของเขา เขากลายเป็นคนที่แทบ
จะแตกต่างไปโดยสิ้นเชิง
“เจ้าลองกล้าพูดถึงลูกสาวข้าอีกสักครั้ง”
พลังอำนาจอันลึกล้ำของเขตอัมพรวิญญาณระดับสูงสุดปลดปล่อย
ออกมาจากร่างของเจ้าซีและเขาก็ยืนขึ้นตรงเข้าไปหาซูหยางด้วยจิต
คุกคาม
อย่างไรก็ตามซูหยางไม่ได้เป็นคนประเภทที่ขี้ขลาดภายใต้แรงกดดัน
ความจริงแล้วเขาจะยิ่งเติบโตภายใต้สถานการณ์แบบนั้น
“มีอะไรผิดไปกับการที่ข้าเผยความรู้สึกต่อลูกสาวท่านรึ นั่นเป็น
อาชญากรรมรึไง ข้ามิอาจจินตนาการได้ว่ามีชายคนอื่นอีกมากมาย
เพียงใดในโลกนี้นอกจากข้าที่ต้องการจะได้ควงเทพธิดาเช่นนั้น”
“เจ้าเลว”
โดยไม่มีการเตือน เจ้าซีเหวี่ยงหมัดไปยังซูหยางด้วยพลังการฝึกปรือ
เกือบทั้งหมดในนั้น
ซูหยางยิ้มกับการโจมตีที่เข้ามาและต่อยหมัดไปข้างหน้าเช่นกัน
บูม
เมื่อหมัดของพวกเขาปะทะกัน ปราณไร้ลักษณ์ในหมัดของพวกเขาก็
ระเบิดออก จนทำให้ทั้งอาคารสั่นไหว ถ้าไม่ใช่เพราะว่าค่ายกล
ป้องกันที่ปกป้องสถานที่นี้อยู่ บ้านตระกูลซีคงต้องแหลกสลายลง
กับพื้นจากการแลกหมัดของพวกเขาเมื่อกี้นี้
“อาาา”
เจ้าซีปลิวกลับหลังไปจากแรงกระแทก ลงสู่พื้นห่างออกไปหลาย
เมตร
“ท่านเจ้า”
องครักษ์ต่างพากันตระหนกไปชั่วขณะ แต่เมื่อพวกเขาเห็นว่าเจ้าซี
ยังคงไม่เป็นไร พวกเขาก็ถอนหายใจโล่งอก
ส่วนสำหรับซูหยาง เขาเพียงก้าวถอยหลังไปเพียงหนึ่งก้าวหลังจาก
การปะทะ
“เจ้า…” เจ้าซีมองดูซูหยางด้ายท่าทางตระหนก ดูเหมือนว่าไม่อยาก
เชื่อ
เมื่อมาคิดว่าตัวเขาเองซึ่งเป็นผู้ฝึกวิชาเขตอัมพรวิญญาณระดับสูงสุด
จะต้องมาพ่ายให้กับใครก็ไม่รู้คนนี้ในการแลกหมัดที่ต้องใช้เพียง
พลังปราณไร้ลักษณ์ นั่นช่างเป็นเรื่องที่น่าตระหนกอย่ามาก
“เจ้ากล้าลงมือต่อท่านเจ้าได้อย่างไร ทิ้งชีวิตเจ้าไว้ที่นี่ซะ”
องครักษ์ในห้องต่างพากันลงมือพุ่งเข้าไปหาซูหยางพร้อมกับยก
อาวุธขึ้น กระทั่งผู้อาวุโสจงก็ยังดึงกระบี่ของตนเองออกมา
“เดี๋ยวก่อน”
เจ้าซีพลันคำราม
“ท-ท่านเจ้า”
องครักษ์ไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าซีจึงยับยั้งพวกเขาไว้ทั้งที่มาถึงจุดนี้แล้ว
หรือว่าพวกเขาจะได้รับการยอมให้ลงมือหลังจากที่เขาตายไปแล้ว
“พวกเจ้ามิเห็นการแลกหมัดของพวกเราเมื่อกี้นี้รึ พวกเจ้ามิมีใครสัก
คนที่เป็นคู่ต่อสู้ของเขา กระทั่งต่อให้พวกเจ้าทั้งหมดรุมก็ตาม” เจ้าซี
พูดอย่างรวดเร็ว
“…”
องครักษ์พากันกัดฟัน ต่อให้พวกเขาทั้งหมดร่วมมือกันพวกเขาก็ยัง
ไม่อาจที่จะสยบเจ้าซีได้ ยิ่งกว่านั้นซูหยางซึ่งสามารถต้านทานการจู่
โจมของเขาได้อย่างง่ายดาย
“ซูหยาง… เจ้า… เจ้าเป็นใครกัน ไม่.. เจ้าเป็นมิตรหรือศัตรู”
ผู้อาวุโสจงถามเขาพร้อมขมวดคิ้ว หลังจากที่เห็นการประมือของซู
หยางกับเจ้าซี นั่นก็เห็นชัดเจนแล้วว่ากระทั่งตัวเขาเองก็ไม่อาจสยบ
อีกฝ่ายได้ แม้ว่าเขาจะถูกยกย่องว่าเป็นจอมกระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดใน
ทวีปตะวันออก เขายังคงตามหลังเจ้าซีในด้านพลังการฝึกปรืออีก
หลายก้าว
“อย่ากังวล ข้ามิได้มาที่นี่วันนี้ด้วยเจตนาที่จะสร้างปัญหา” ซูหยาง
กล่าวด้วยท่าทางเรียบเฉย “ถ้าข้าต้องการทำร้ายตระกูลซีของท่าน ข้า
ควรจะทำมันไปแล้วตั้งแต่เราพบกันครั้งแรก”
“เช่นนั้นอะไรคือเจตนาทั้งหมดนี้”
“ข้าเพียงแค่ต้องการพิสูจน์อะไรบางอย่างเท่านั้น”
“พิสูจน์ อะไรที่เจ้าต้องการที่จะพิสูจน์ที่นี่” เจ้าซีถามเขาด้วยท่าทาง
งุนงง
“ท่านจักรู้เรื่องนี้ไม่เร็วก็ช้า” ซูหยางพูดด้วยรอยยิ้มลึกลับ
“ว่าไปแล้ว ที่ข้าพูดเพื่อยั่วยุท่านให้โจมตีข้าเมื่อกี้ ข้าหวังว่าท่านคงมิ
นำมันมาใส่ใจ”
“…”
ทั้งห้องพลันเงียบลงไปในทันที
“ส่วนสำหรับความสัมพันธ์ของข้ากับนายหญิงน้อยนั้น จริงแล้วเรา
มิได้มีอะไรพิเศษเกิดขึ้น และข้าก็มิได้มีแผนที่จะไล่ตามเธอ”
แม้ว่าซีซิงฟางจะเป็นหญิงสาวสวยสุดยอดและมีกระทั่งร่างสวรรค์
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ซูหยางไล่ตามเธอได้ อย่าว่าจะคลั่งไคล้ในตัว
เธอ ในเมื่อเธอไม่ได้มีคุณสมบัติมากปานนั้น แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาควร
พูดออกมาดัง ๆ
“อย่างไรก็ตาม ถ้าท่านชักนำข้ามาที่นี่เพียงแค่เรื่องสองอย่างนี้เท่านั้น
เช่นนั้นข้าจักขอตัวก่อนในตอนนี้”
ซูหยางหันกายและเริ่มมุ่งตรงไปทางออก
“ด-เดี๋ยวก่อน” เจ้าซีพลันหยุดเขาไว้
ซูหยางหยุดเดินและหันกลับไปมองยังเจ้าซี “เร็วหน่อย ข้ายังมีคนรอ
ข้ากลับไปด้วยความกระวนกระวาย ในเมื่อการฝึกวิชาของพวกเรา
ถูกขัดขวางจากใครสักคนที่นี่” เขาพูดด้วยเสียงเรียบเฉย
บทที่ 315 จงคุกเข่าต่อหน้าท่านเจ้า
“ผู้นำนิกาย ข้าจักออกไปชั่วขณะ” ซูหยางกล่าวกับโหลวหลานจีซึ่ง
รอพวกเขาอยู่ข้างนอก
“เอ๋ เจ้าจักไปไหนรึ” เธอถามเขาเมื่อเห็นว่านี่ช่างกะทันหันเกินไป
ซูหยางแค่ชี้ไปยังผู้อาวุโสจงเป็นการตอบคำถามเธอ
“ข้าคงต้องขอยืมตัวเขาชั่วขณะ” ผู้อาวุโสจงกล่าว
ในเมื่อปราชญ์กระบี่ศักด์ิสิทธ์ิจะอยู่ข้างกายเขา ดังนั้นโหลวหลานจี
จึงไม่กังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของซูหยางและยอมรับการเดินทาง
ไปของเขาอย่างง่าย ๆ
“เจ้าจักกลับมาทันพรุ่งนี้หรือไม่ยามเมื่อเราลงทะเบียนการแข่งขัน”
โหลวหลานจีถาม
ผู้อาวุโสจงเงียบไปชั่วขณะในเมื่อเขาไม่มั่นใจว่าเจ้าซีต้องการทำ
อะไรกับซูหยาง ต่อให้เขาไม่ได้ฆ่าผู้อาวุโสนิกายจากนิกายแท่นบูชา
ทองแต่ก็เหมือนกับว่าเจ้าซีมีเจตนาอื่นกับเขา
“แน่นอน” ซูหยางกล่าวด้วยรอยยิ้มมั่นใจ
ไม่นานหลังจากนั้นซูหยางและผู้อาวุโสจงก็ออกจากโรงเตี๊ยมเกล็ด
หิมะ
“ถ้าเจ้ามิทำหรือพูดอะไรงี่เง่า เจ้าอาจจะสามารถกลับมาภายในพรุ่งนี้”
ผู้อาวุโสจงกล่าวหลังจากที่พวกเขาออกไป
“ถ้าข้าต้องการไปใครกล้าหยุดข้ารึ” ซูหยางกล่าวอย่างเยือกเย็น
“ข้าหวังว่าเจ้ากล้าที่จะทำท่าหยิ่งยโสต่อหน้าเจ้าซี” ผู้อาวุโสซีแค่น
เสียงเย็นชา
หลังจากการสนทนาสั้น ๆ พวกเขาก็เดินทางไปยังบ้านตระกูลซี
อย่างเงียบกริบ
เวลาต่อมาหลังจากนั้นซูหยางก็ยืนอยู่ตรงหน้าแผ่นดินตระกูลซีที่
กว้างใหญ่เท่ากับสำนักหนึ่ง
สังเกตเห็นซูหยางจ้องไปยังภาพอันยิ่งใหญ่ข้างหน้าผู้อาวุโสจงก็พูด
ขึ้นว่า “เรายังคงอยู่ที่ทางเข้าและเจ้าก็หวาดหวั่นเสียแล้วรึ ปฏิกิริยา
เช่นนั้นมิเข้ากับบุคลิกของเจ้าเลย”
ซูหยางเพียงแค่ยักไหล่ เขาไม่อยากเสียลมปากกับผู้อาวุโสจง
“เปิดประตูและแจ้งเจ้าซีว่าข้าได้กลับมาแล้วพร้อมกับ “เซียวหยาง””
ผู้อาวุโสจงกล่าวกับทหารรักษาการณ์คนหนึ่ง
หลังจากที่ทหารรักษาการณ์เปิดประตู ผู้อาวุโสจงก็ได้นำซูหยางไป
ยังหนึ่งในร้อยห้องรับแขกภายในอาคารขนาดใหญ่
“เราจักรออยู่ที่นี่จนกว่าเจ้าซีจะเรียกหาเรา” ผู้อาวุโสจงกล่าว
“และข้าจักเตือนเจ้าตอนนี้ว่า เจ้าซีเป็นคนที่มีอำนาจมากที่สุดในทวีป
ตะวันออกนี้รองลงมาจากท่านบรรพบุรุษ อีกนัยหนึ่งก็คือเขาเป็น
จักรพรรดิของสถานที่นี้ เจ้าสามารถไม่เคารพข้าได้ตามที่เจ้าต้องการ
แต่เขามิใช่คนที่เจ้าสามารถล่วงเกินได้ ถ้าเจ้าเห็นค่าชีวิตตัวเอง จะ
เป็นประโยชน์สูงสุดต่อเจ้าหากจะละทิ้งความเย่อหยิ่งต่อหน้าเขา”
“เจ้าพูดว่าจักรพรรดิรึ ฮ่าฮ่าฮ่า” ซูหยางพลันระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
“ขำอะไรกัน” ผู้อาวุโสจงขมวดคิ้ว
“ข้าควรจะพาเจ้าไปทวีปศักด์ิสิทธ์ิกลางสักวันหนึ่งจริง ๆ เพื่อเปิดหู
เปิดตาเจ้า”
“อะไรกัน เจ้าเคยไปทวีปศักด์ิสิทธ์ิกลางมาก่อนรึ ไม่… ที่สำคัญไป
กว่านั้น… เจ้ารู้วิธีไปที่นั่น” ผู้อาวุโสจงตกใจเป็นอย่างมากราวกับว่า
เขามองเห็นผี
อย่างไรก็ตามก่อนที่ซูหยางจะทันได้ตอบคำถาม คนรับใช้ของ
ตระกูลซีก็ได้เคาะประตูห้อง
“ผู้อาวุโสจง ท่านเจ้าได้รับรู้ว่าท่านได้กลับมาแล้วและตอนนี้ได้รอ
ท่านไปแสดงตัวในท้องพระโรง”
“ดูเหมือนว่าเป็นเวลาที่จะต้องพบกับ “จักรพรรดิ” คนนี้แล้ว” ซูหยาง
กล่าวขณะที่เขาเดินไปทางประตู
“เดี๋ยวก่อน เจ้ายังมิได้ตอบคำถามข้า เจ้ารู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับทวีป
ศักด์ิสิทธ์ิกลางบ้าง”
แต่อนิจจาซูหยางไม่สนใจเขาอย่างสิ้นเชิงและพูดกับคนรับใช้ที่รอ
อยู่ด้านข้างว่า “พาข้าไปยังท้องพระโรง”
“ซูหยาง… เจ้าเลว…” ผู้อาวุโสจงกัดฟันด้วยความโกรธเมื่อซูหยาง
ไม่สนใจเขา
อย่างไรก็ตามต่อให้เขาต้องการที่จะมัดซูหยางติดเก้าอี้และตั้งคำถาม
อีกฝ่ายในตอนนี้แค่ไหนก็ตาม เขาก็ไม่อาจที่จะปล่อยให้เจ้าซีรอพวก
เขานานเกินไป
“เจ้าอาจจะไม่สนใจข้าในตอนนี้แต่ข้าจักมั่นใจว่าจะต้องได้คำตอบ
จากเจ้าก่อนที่เจ้าจะจากที่นี่ไป”
ผู้อาวุโสจงสาบานในใจก่อนที่จะติดตามคนรับใช้และซูหยางไปพบ
เจ้าซี
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นซูหยางก็ไปถึงท้องพระโรงพร้อมกับผู้อาวุโส
จงด้านข้าง
“ท่านเจ้า ผู้อาวุโสจงและเซียวหยางมาถึงแล้ว”
คนรับใช้เคาะประตู
“ให้พวกเขาเข้ามาข้างใน”
สุ้มเสียงอันแข็งแกร่งดังขึ้นมาจากด้านหลังประตูใหญ่
ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น ประตูก็เปิดออกและซูหยางก็เดินเข้าไปใน
ห้องอย่างสบาย ๆ ที่ซึ่งคนหลายสิบคนได้รออยู่แล้ว
ด้านในสุดของห้องนี้เป็นชายวัยกลางคนที่มีรูปลักษณ์อันเข้มแข็ง
และกลิ่นอายน่าหวาดหวั่น
ส่วนสำหรับคนอื่น ๆ พวกเขาล้วนสวมชุดเกราะอันทรงอานุภาพ
และยืนอยู่สองฟากข้างของห้องด้วยสมบัติวิญญาณระดับสวรรค์ใน
มือและท่าทางดุร้ายมองดูเหมือนกับว่าพวกเขากำลังเตรียมตัวทำ
สงคราม
“ท่านเจ้า” ผู้อาวุโสจงพลันคุกเข่าลงต่อหน้าชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่
ด้านในสุดของห้องทันทีที่เขาเข้ามาในห้อง
ส่วนสำหรับซูหยางนั้น เขาเพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางเยือกเย็น
“จงคุกเข่าต่อหน้าท่านเจ้า”
ทหารองครักษ์ที่ยืนอยู่ของข้างพากันตะโกนออกมาอย่างพร้อมเพรียง
กัน นำมาซึ่งกลิ่นอายอันข่มขู่กดดันลงบนร่างซูหยาง
ทหารองครักษ์เหล่านี้ล้วนอยู่จุดสูงสุดของเขตปฐพีวิญญาณและบาง
คนก็อยู่ในเขตอัมพรวิญญาณ
อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะถูกกดดันจากกลิ่นอายของจอมยุทธนับสิบที่
ถือว่าอยู่ในระดับสูงสุดของโลกนี้ ซูหยางก็ยังคงยืนอยู่ที่นั่นด้วย
ท่าทางเฉยเมยเหมือนกับว่าเขาไม่รู้สึกถึงแรงกดดันเลยแม้แต่น้อย
เมื่อเห็นเช่นนี้ผู้อาวุโสจงได้แต่แอบถอนหายใจ
“น่าสนใจ…” เจ้าซียิ้มภายในใจเมื่อเขาเห็นแรงต้านทานของซูหยาง
“เจ้ามิได้ยินพวกเรารึเจ้าคนต่ำช้า จงคุกเข่าลงต่อหน้าท่านเจ้า”
ทหารองครักษ์พลันไม่พึงพอใจกับปฏิกิริยาของเขาและตระเตรียม
อาวุธของตนเองในทันทีชี้ไปยังซูหยาง
ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นสุดท้ายซูหยางก็เปิดปากพูด
“ถ้าท่านพาข้ามาที่นี่เพียงเพื่อที่จะให้สุนัขเหล่านี้เห่าเข้ามาในหูข้า ข้า
จักหันกายกลับไปเดี๋ยวนี้”
“เจ้า…เจ้าลูกสำส่อน”
บรรดาทหารองครักษ์ต่างพากันคำรามด้วยความโกรธหลังจากที่ถูก
ซูหยางเรียกเป็นสุนัขและสองสามคนในนั้นก็ได้พุ่งเข้าหาซูหยาง
พร้อมจิตสังหาร
“อนิจจา… เจ้าทำอะไรลงไป หรือว่าเจ้าพยายามหาที่ตายในวันนี้จริง ๆ”
ผู้อาวุโสจงซึ่งยังคงอยู่ในท่านั่งคุกเข่าทอดถอนใจเมื่อเขาไม่ได้มี
ความคิดที่จะช่วยซูหยางซึ่งเขาได้เตือนไว้แล้วก่อนที่จะมาที่นี่
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 314
DC บทที่ 314: คุณธรรม
เพื่อให้สมกับความโกรธจากความผิดหวัง ผู้อาวุโสจงตรงเข้าไปยังประตูห้องของซูหยางและเตรียมที่จะเคาะ อย่างไรก็ตามเขาก็ได้ทำการยับยั้งความโกรธไว้ได้ในวินาทีสุดท้ายและยืนอยู่ที่นั่นด้วยท่าทางที่ชะงักค้าง
“ท่านผู้อาวุโส…” โหลวหลานจีส่ายหน้าขณะถอนใจ
“ซูหยาง เจ้ามีแขก ปราชญ์กระบี่ศักดิ์สิทธิ์มาที่นี่เพื่อพบกับเจ้า”
แม้ว่าเธอจะยอมให้ซูหยางฝึกวิชาของเขาจนจบ โหลวหลานจีก็ต้องตัดสินใจเริ่มเคาะประตูห้องของเขา ในเมื่อเธอไม่ต้องการที่จะล่วงเกินปราชญ์กระบี่ศักดิ์สิทธิ์นี้ซึ่งเพียงลำพังตัวเขาคนเดียวก็น่ากลัวกว่านิกายล้านอสรพิษทั้งนิกาย
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ประตูก็เปิดออก และหญิงสาวสวยสองคนก็เดินออกมาจากห้องของซูหยางด้วยเสื้อผ้าหลวมรุ่มร่ามและผิวที่เป็นประกาย
“…”
ผู้อาวุโสจงกรามตกค้างเมื่อเขาเห็นหญิงสาวทั้งสองคนนี้
“หญิงสาวพวกนี้เห็นอะไรในผู้ชายประเภทนี้กัน” เขาถอนใจ
“ผู้อาวุโสจง ข้ามิคิดว่าเราจักพบกันอีกครั้งเร็วปานนี้” ซูหยางปรากฏตัวขึ้นหลังจากนั้น
“เข้ามาข้างในสิ”
ผู้อาวุโสจงไม่ได้พูดอะไรและเดินตามเขาเข้าไปในห้องซึ่งอ้อยอิ่งไปด้วยปราณหยินและกลิ่นหอมหวานจากสองหญิงสาวเมื่อกี้นี้
ครั้นเมื่อประตูปิด ผู้อาวุโสจงก็พูดขึ้น “ข้าคิดว่าเจ้าพูดเล่นเมื่อพูดว่าเจ้ามาจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย แต่อนิจจาข้าหารู้สักนิด ช่างไร้ยางอายเสียจริง”
“ไร้ยางอายรึ ไร้ยางอายตรงไหนที่กกกอดสาวสวยในฐานะผู้ชาย” ซูหยางตอบด้วยเสียงเรียบเฉย
“ไม่มีสิ่งที่ต้องอับอายในการกระทำเช่นนั้น แต่เมื่อคิดว่าจอมกระบี่เช่นเจ้าถึงกับสัมผัสเด็กสาวเหล่านี้โดยมิสนใจสนใจโลกเลย อย่าให้ข้าพบว่าเจ้ากดขี่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยด้วยฐานะของเจ้าจริงเพื่อเติมเต็มสันดานที่เต็มไปด้วยตัณหาของเจ้า ข้าจักจัดการโดยเร็วต่อให้เด็กสาวพวกนั้นร้องขอข้าให้หยุดก็ตาม”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดเหล่านั้นซูหยางก็หรี่ตามองไปยังผู้อาวุโสจงและกล่าวด้วยเสียงเย็นเยียบว่า “เจ้ากล้ากล่าวหาข้าว่ากดขี่เด็กสาวเหล่านี้ให้ร่วมฝึกวิชากับข้ารึ ถ้ามิใช่เพื่อหญิงสาวเหล่านี้ ข้าคงต้องฆ่าเจ้าไปสักสิบครั้งแล้วตอนนี้”
จิตสังหารพลันปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง จนทำให้ผู้อาวุโสจงถึงกับหลั่งเหงื่อเย็นเยียบ
ซูหยางพลันกล่าวต่อว่า “จะมีปัญหาอะไรถ้าพวกเธออายุยี่สิบปีหรือสองร้อยปี ช่วงอายุเล็กน้อยปานนี้ พวกเธอก็ยังคงมิมีอะไรไปมากกว่าเด็กเล็กๆในสายตาของข้า ตราบเท่าที่พวกเธอเป็นหญิงและพวกเธอยอมรับข้า ข้าจักโอบกอดเธอโดยมิเห็นต้องอับอาย”
แม้ว่านั่นอาจจะแตกต่างอยู่สำหรับผู้อาวุโสจงซึ่งมีชีวิตอยู่เพียงแค่สามร้อยปี เพราะว่าซูหยางได้มีชีวิตมานานกว่าหมื่นปีในฐานะเซียน จึงไม่มีความแตกต่างในช่วงอายุที่เล็กน้อยแค่นั้นในใจเขา ตามจริงถ้าเขาต้องพิจารณาอายุของพวกเธอสำหรับการฝึกฝีมือของเขา เช่นนั้นกระทั่งผู้ที่สูงอายุที่สุดในโลกนี้ก็เป็นเพียงแค่เด็กน้อยในสายตาของเขา
ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาจะเพิ่มพลังการฝึกปรือของตัวเขาและกลับสู่สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร ดังนั้นหากว่าเขาไม่แตะต้องหญิงสาวเหล่านี้เขาก็จะไม่มีตัวเลือกอื่นอีก จึงเป็นเหตุที่ว่าทำไมเขาจึงลังเลที่จะร่วมฝึกกับศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเมื่อเขาได้รับความทรงจำคืนในครั้งแรก
“ตระกูลจง เราทั้งคู่เป็นผู้ฝึกวิชา บางสิ่งดังเช่นอายุเป็นเพียงแค่ตัวเลขวัดความฉลาดในโลกของเรา แน่นอนว่าข้ามิได้พูดว่าอายุของแต่ละคนไม่มีความสำคัญไปเสียทีเดียว แต่ตราบเท่าที่พวกเธอเป็นผู้ใหญ่แล้ว ใครจะสน จริงไหม”
ซูหยางโยนการกระทำแบบศิษย์อายุเยาว์ทิ้งไปและเริ่มทำเหมือนกับเป็นผู้อาวุโส สิ่งที่สร้างความงุนงงให้กับผู้อาวุโสจงเป็นอย่างมาก
“…”
ผู้อาวุโสจงนิ่งเงียบไปเป็นเวลาหลายนาที แม้ว่าเขาต้องการที่จะโต้แย้งการกล่าวอ้างของซูหยาง เขาก็ไม่อาจหาข้อผิดพลาดใดในคำพูดของซูหยางได้
แตกต่างจากสามัญชน ความสัมพันธ์กับอายุของแต่ละคนนั้นแตกต่างไปในสายตาของผู้ฝึกยุทธและนี่ยิ่งเป็นจริงมากยิ่งขึ้นกับผู้ที่มีชีวิตนานมากพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซียนที่มีชีวิตชั่วนิรันดร์
“อย่างไรก็ตามทำไมเจ้ามิเริ่มบอกข้าว่าทำไมเจ้าจึงมาที่นี่ อย่าบอกนะว่าที่เจ้ามาที่นี่ทั้งหมดนี้ก็เพียงแค่เพื่อเรียกข้าว่าไร้ยางอาย ใช่ไหม”
“เจ้า… เจ้าไปไหนมาหลังจากที่เราแยกทางกันที่ประตูทางเข้า” ผู้อาวุโสจงตัดสินใจที่จะเก็บความคิดเห็นของตนเองไว้และตั้งคำถามซูหยาง
“ข้าจะไปไหนได้ ข้าก็อยู่ในห้องนี้ตลอดเวลากับเด็กสาวทั้งสองนั่นอย่างแน่นอน” ซูหยางกล่าว
“เช่นนี้เขามิมีส่วนเกี่ยวข้องกับสำนึกกระบี่นั่น” ผู้อาวุโสจงแอบขมวดคิ้ว
ถ้าสำนึกกระบี่นั่นไม่ใช่ของซูหยาง แล้วนั่นจะเป็นของใคร และทำไมเขาจึงรู้สึกคลับคล้ายกับสำนึกกระบี่ของซูหยาง
“เจ้ามั่นใจในเรื่องนี้รึ” ผู้อาวุโสจงกดดันเขาต่อ
“ถ้าเจ้ายังคงสงสัยข้า เช่นนั้นเจ้าสามารถถามสองสาวได้ว่าก่อนหน้านี้พวกเรากำลังทำอะไรกันนับตั้งแต่ที่พวกเรามาถึงที่แห่งนี้” ซูหยางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ผู้อาวุโสจงส่ายหน้า
“ลืมมันไปเถอะ”
ไม่นานนักหลังจากนั้น ผู้อาวุโสจงก็เอาบางอย่างออกมาจากชุดคลุมและโยนมันให้ซูหยาง
“แผ่นหยกสื่อสารรึ ของใครกัน” ซูหยางถาม
“นายหญิงน้อย” ผู้อาวุโสจงตอบ
“แต่ข้าต้องขอเตือนเจ้าว่าถ้าเจ้ากล้ามีความคิดสนุกอะไรกับนายหญิงน้อย ทั้งตระกูลซีจักต้องล่าหัวเจ้า และข้าจะเป็นคนแรกที่มองหาเจ้า”
“น่ากลัวจัง..” ซูหยางพูดอย่างไม่ใส่ใจ
“ถ้ามีทั้งหมดแค่นี้ เช่นนี้เจ้าก็ไปได้ ข้ายังมีธุระที่ไม่เสร็จกับสองสาวนั่นซึ่งเจ้ามาขัดจังหวะ” เขาพูดต่อ
ผู้อาวุโสจงยืนขึ้นจากเก้าอี้ของเขาและกล่าวว่า “เช่นนั้นข้าคงมีข่าวร้ายมาให้เจ้า เจ้าซีแห่งตระกูลซีได้เรียกตัวเจ้า ดังนั้นข้าจักต้องพาเจ้ากลับไปที่ตระกูลซีพร้อมกับข้าตอนนี้”
“เจ้าต้องการข้าให้ไปที่ตระกูลซีรึ หรือว่าเจ้ามิกลัวว่าข้าอาจจะทำอะไรกับนายหญิงน้อยขณะที่ข้าอยู่ที่นั่น” ซูหยางหัวเราะ
“ถ้าเจ้ากล้าแตะต้องนายหญิงน้อย เจ้าสามารถลืมเรื่องออกไปจากตระกูลซีได้เลยชั่วนิรันดร์” ผู้อาวุโสจงมองดูเขาด้วยสีหน้าเปี่ยมอันตราย
ซูหยางเพียงแค่ยักไหล่ แม้ว่าเขายังไม่มีเจตนาที่จะแตะต้องซีซิงฟางตอนนี้ แต่เขาก็อยากรู้ถึงความก้าวหน้าของเธอกับวิชาที่เขาได้ให้เธอไว้ ดังนั้นเขาจึงไม่ปฏิเสธที่จะไปยังตระกูลซี
“เช่นนั้นก็ดี นำทาง”
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 313
DC บทที่ 313: กลเม็ดใหม่
หลังจากที่ฆ่าผู้อาวุโสนิกายจากนิกายแท่นบูชาทองแล้ว ซูหยางก็ตรงกลับไปยังที่พักของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยโดยไม่มีใครสังเกตเห็นแม้กระทั่งเงาของเขา
ก่อนที่เขาจะเข้าไปในห้องทางหน้าต่าง ซูหยางก็เก็บซ่อนหน้ากากและกระบี่
“ศิษย์พี่ชาย” ซุนจิงจิงถอนหายใจโล่งอกเมื่อเห็นเขากลับภายในไม่กี่นาที
“มีอะไรรึ หรือมีอะไรเกิดขึ้นขณะที่ข้าอยู่ข้างนอก” เขาถามหลังจากที่สังเกตเห็นปฏิกิริยาของพวกเธอ
“ผู้นำนิกายเคาะประตูตามหาท่านหลังจากที่ท่านจากไป ข้าเกือบหัวใจวายเพราะเรื่องนั้น”
“ผู้นำนิกายรึ เธอต้องการอะไรจากข้ากัน”
“ข้ามิรู้ แต่เธอพูดว่ามันไม่ได้สำคัญอะไรมากมายนักให้ลืมๆไปเสีย หลังจากที่เราโกหกเรื่องฝึกวิชาอยู่ในตอนนั้น อย่างไรก็ตามท่านได้กลับคืนมาเร็วกว่าที่ข้าคาดนัก”
ซูหยางพยักหน้า
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะทันได้ผ่อนคลาย เขาก็สังเกตเห็นจอมยุทธในเขตอัมพรวิญญาณตรงมาทางพวกเขาจากหลายกิโลเมตรห่างออกไป
“ตาแก่นั่น… เขาต้องการอะไรจากข้าในตอนนี้” เขาครุ่นคิด
หลังจากที่ครุ่นคิดชั่วขณะ ซูหยางก็มองไปยังซุนจิงจิงและฟางซีหลานและพูดขึ้นว่า “เราได้ฝึกวิชาร่วมกันมาเกือบทุกวันเป็นเวลาหลายเดือนมาแล้วในตอนนี้ และข้าก็คิดจะแสดงให้พวกเจ้าเห็นกลเม็ดใหม่อย่างสองอย่าง พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร ถ้าพวกเจ้าสามารถทนได้นานถึงหนึ่งนาที ข้าจักทำทุกอย่างที่เจ้าขอให้ข้าทำ”
“จ-จริงรึ”
สองสาวสวยมองดูเขาด้วยสีหน้าประหลาดใจ ในเมื่อพวกเธอไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้อย่างกระทันหัน
ซูหยางพยักหน้าและพูดต่อว่า “ร่างกายของพวกเจ้าอาจจะไม่สามารถรองรับมันได้ก่อนหน้านี้ แต่นั่นควรจะพอไหวแล้วในตอนนี้ พวกเจ้าจักได้รับรู้ถึงประสบการณ์อีกระดับหนึ่ง”
“ป..ประสบการณ์อีกระดับหนึ่งเลยรึ…”
หญิงสาวทั้งสองกลืนน้ำลายอย่างยากเย็น ในเมื่อพวกเธอไม่สามารถจินตนาการได้ถึงความสุขที่ยิ่งกว่าสิ่งที่พวกเธอได้ประสบอยู่แล้วตอนนี้
“ข้าพร้อมสำหรับความท้าทาย”
น่าประหลาดใจยิ่ง เป็นฟางซีหลานซึ่งตอบสนองเป็นคนแรก
“ข้า เช่นกัน หนึ่งนาทีรึ ฮ่า ท่านประเมินพวกเราต่ำเกินไปนัก ศิษย์พี่ชาย” ซุนจิงจิงพลันยอมรับต่อจากฟางซีหลาน
หลังจากที่ฝึกวิชาร่วมกับเขาเป็นเวลานาน ร่างกายของพวกเธอก็คุ้นเคยกับความสุขที่ซูหยางได้นำมาให้กับร่างกายของพวกเธออย่างเต็มที่ ยอมให้พวกเธอร่วมฝึกกับเขาโดยไม่ต้องหยุดพักได้นานถึงครึ่งชั่วโมง กล่าวไปแล้วแม้ว่าพวกเธอจะคุ้นเคยกับกลเม็ดของเขา ก็ใช่ว่าพวกเธอจะเบื่อมันหรือว่ากลเม็ดของซูหยางหมดประสิทธิภาพ
ตามจริง เพราะว่าพวกเธอได้สร้างความสามารถในการฟื้นคืนสภาพ ทำให้พวกเธอตอนนี้สามารถสนุกไปกับกลเม็ดของเขานานขึ้นโดยไม่ต้องหยุดพัก ยอมให้พวกเธอดื่มด่ำอยู่ในการฝึกวิชา
“ข้าประเมินเจ้าต่ำไปรึ”
ซูหยางเผยให้เห็นรอยยิ้มลึกลับแล้วกล่าวต่อว่า “สามสิบวินาที ข้าจักเป็นทาสของพวกเจ้าตลอดทั้งวันถ้าเจ้าสามารถทนได้นานเพียงนี้โดยไม่ปลดปล่อยปราณหยิน”
หญิงสาวทั้งสองยิ่งตื่นเต้นเมื่อได้ยินคำพูดของเขา และพวกเธอได้จินตนาการไปเรียบร้อยแล้วว่าจะเป็นอย่างไรถ้ามีซูหยางคอยรับฟังคำสั่งของพวกเธอตลอดทั้งวัน
“ท่านพูดไปแล้วนะ มิมีการคืนคำ” ซุนจิงจิงกล่าวเสียงดัง
“ข้าเป็นคนรักษาคำพูด”
โดยไม่มีการเสียเวลาหรือลังเลใด ทั้งฟางซีหลานและซุนจิงจิงถอดเสื้อผ้าของพวกเธอออกทันที
“ใครต้องการเป็นคนแรก” ซูหยางดึงกางเกงของเขาลงและถามขณะที่มังกรของเขาได้ผงาดขึ้นแล้วและเงยเศียรขึ้นไปยังสวรรค์
“ข้า–”
“ข้าจักเป็นคนแรก”
ฟางซีหลานสามารถพูดได้จบก่อนซุนจิงจิงที่เป็นคนแรกที่อ้าปากพูด
ซูหยางพยักหน้าและเดินไปตรงหน้าฟางซีหลาน ซึ่งได้ไปอยู่ที่เตียงเรียบร้อยแล้วพร้อมกับแยกขากว้างอีกกลีบดอกไม้ที่เปียกแฉะ และเขาก็ได้ดันมังกรคลั่งเข้าไปในทางเข้าของเธอ
“มิมีการเล้าโลมแม้แต่น้อย เขาต้องค่อนข้างมั่นใจ” ซุนจิงจิงคิดในใจขณะที่มองดูซูหยางบุกทะลวงฟางซีหลาน
“อาาา”
ฟางซีหลานอ้าปากค้างด้วยความตระหนกในเวลาไม่ถึงวินาทีหลังจากที่ถูกบุกทะลวงจากซูหยาง สร้างความตื่นตะลึงให้กับซุนจิงจิง
“ค-ความรู้สึกนี้คืออะไรกัน อาาาาา ข้า… ข้ามิอาจ”
ยังไม่ถึงยี่สิบวินาทีหลังจากที่พวกเขาเริ่ม ฟางซีหลานก็ได้ปล่อยปราณหยินของเธอไปทั่วซูหยาง
“อะไรกัน” ซุนจิงจิงจ้องไปยังปราณหยินที่พวยพุ่งออกมาจากส่วนล่างของฟางซีหลานด้วยสีหน้าตกตะลึง
เหตุใดที่ฟางซีหลานซึ่งมีประสบการณ์มากที่สุดและฟื้นฟูได้รวดเร็วที่สุดในบรรดาศิษย์ทั้งหมดจึงปลดปล่อยปราณหยินของเธอออกมาได้หลังจากที่ผ่านไปเพียงไม่กี่วินาทีจากการร่วมฝึกวิชา อะไรที่เปลี่ยนไป ซุนจิงจิงไม่สามารถบอกได้
ตามจริง จากจุดยืนของเธอ ซูหยางไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษ เพียงแค่ทิ่มแก่นกายเข้าไปในร่างของเธอตามปกติ
“สิบแปดวินาที… เหอ”
ซูหยางยิ้มและมองดูซุนจิงจิงด้วยดวงตาคล้ายกับหมาป่า
“…”
ซุนจิงจิงมองไปที่ใบหน้าเปี่ยมสุขของฟางซีหลานและรอยยิ้มล่าเหยื่อของซูหยางแล้วได้แต่ยิ้มขื่นขม ถ้าฟางซีหลานไม่อาจต้านได้แม้กระทั่งยี่สิบวินาที มั่นใจได้ว่าเธอต้องสูญเสียการควบคุมตัวเองภายในสิบวินาทีแน่นอน
“อะไรกัน ข้ามิเห็นความมั่นใจในดวงตาเจ้าอีกต่อไป เจ้ายังสามารถที่จะคืนคำได้ในตอนนี้”
ซุนจิงจิงเพียงแค่ถอนใจและกล่าวว่า “แม้ว่าข้าได้เลิกล้มความคิดเอาชนะการท้าทายนี้ไปแล้ว ข้าจักไม่ถอยกับการท้าทายนี้”
“พูดได้ดี”
ซูหยางดึงเอาแท่งหนาออกมาจากฟางซีหลานและตรงเข้าไปหาซุนจิงจิงซึ่งพยายามกล้ำกลืนความประหม่าไปให้พ้น
ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น ซูหยางก็บุกโจมตีซุนจิงจิง และเสียงครวญครางแหลมก็กังวานไปทั่วโถงอีกครั้ง และที่แตกต่างจากการแกล้งครางของเธอ ครั้งนี้แหลมเล็กราวกับเสียงร้องของนกฟีนิกซ์เต็มไปด้วยอารมณ์และความพึงพอใจ
“อาาาาาาาาาาา ศิษย์พี่ชาย”
ในเวลานั้นเมื่อผู้อาวุโสจง ซึ่งเพิ่งพูดกับโหลวหลานจีจบก็พลันได้ยินเสียงครวญครางนี้ สีหน้าของเขาก็มืดหม่นลง ราวกับว่าเขาเพิ่งเห็นใครสักคนกำลังอาเจียนเศษอาหารออกมา
“จ-เจ้าเลวนี่ฝึกวิชาร่วมกับศิษย์สาวของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจริงๆ เขามิมีความอายเลยรึไง” ผู้อาวุโสจงสาปแช่งซูหยางในใจ ในเมื่อเขายังเชื่อว่าซูหยางเป็นใครสักคนที่แก่หรือไม่ก็แก่กว่าตัวเองเนื่องมาจากสำนึกกระบี่ที่น่ามหัศจรรย์นั้น ซึ่งควรมีอายุประมาณสามร้อยปี
และสำหรับคนที่มีอายุเท่ากับเขากลับมาเล่นกับศิษย์เหล่านี้ซึ่งควรถือว่าเป็นหลานสาวได้อย่างง่ายดายนั้นทำให้ผู้อาวุโสจงรู้สึกไม่พึงใจกับอีกฝ่าย
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 312
DC บทที่ 312: เขาชื่อว่าซูหยาง
การประชุมสิ้นสุดลงอย่างรวดเร็วหลังจากที่เจ้าซีสั่งให้ผู้อาวุโสจงนำเซียวหยางไปหาเขา อย่างไรก็ตามก่อนที่เขาจะปล่อยทุกคนที่นั่นไป เจ้าซีได้กล่าวกับพวกเขาว่า “มิว่านี่จะเป็นเซียวหยางหรือไม่ที่เป็นผู้ร้ายให้ถือว่าเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าพวกท่านพบเจอเขาให้พาเขามาหาข้า ข้ามีบางสิ่งที่ข้าต้องการถามเขา”
“ขอรับ ท่านเจ้า”
หลังจากที่ออกจากห้องประชุมแล้ว ผู้อาวุโสจงก็ไม่ได้ตามหานิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยในทันทีในเมื่อเขาถูกหยุดไว้ด้วยคนคนหนึ่งก่อนที่เขาจะทันได้ออกไปจากบ้าน
“มีเรื่องอะไรรึ นายหญิงน้อย” ผู้อาวุโสจงมองดูสาวงามล่มเมืองตรงหน้าเขาด้วยรอยยิ้มขื่นขม
“ข้าต้องการให้ท่านบอกข้าให้มากกว่านี้เรื่องที่ท่านพบเจอกับพี่ชายเซียว”
“ว่าแล้วว่าต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับเขา…” ผู้อาวุโสจงคิดและถอนใจ
“เล่าให้สั้นๆ ข้าพบกับเซียวหยางที่ประตูทางเข้าเมือง แต่เราก็แยกกันหลังจากที่เข้ามาในเมืองและได้พูดคุยกันเพียงเล็กน้อย มิมีอะไรที่สลักสำคัญ”
“ท่านพูดว่าเขามากับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย กระทั่งสวมชุดนิกายของพวกเขาด้วย พวกเขาคิดว่าเขาเกี่ยวข้องกับพวกเขาเช่นนั้นจริงๆรึ” เธอถาม
แม้ว่าซีซิงฟางไม่ได้มีความคิดรังเกียจใดต่อนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย แต่วิสัยทางเพศของพวกเขาก็ยังทำให้เธอ หญิงสาวบริสุทธิ์ซึ่งอ่อนด้อยต่อเรื่องเช่นนั้น รู้สึกอึดอัด
“ข้าจักพบกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยต่อจากนี้เพื่อยืนยันเรื่องนั้น” เขากล่าว
“หรือว่าท่านพ่อของข้าบอกท่านให้ทำเช่นนั้น”
ผู้อาวุโสจนเพียงพยักหน้า เขามีเจตนาที่จะละเลยส่วนที่ว่าเซียวหยางตอนนี้เป็นผู้ต้องสงสัยฆ่าคนขณะที่อยู่ในเมือง ในเมื่อนั่นย่อมจะทำให้เธอเสียใจ
“อืม… ถ้าผู้อาวุโสจงพบกับเขา ท่านพอจะให้สิ่งนี้กับพี่ชายเซียวแทนข้าได้หรือไม่” ซีซิงฟางนำเอาบางอย่างออกมาจากกระเป๋าของเธอและยื่นส่งให้กับเขา
“…”
ผู้อาวุโสจงมองดูหยกสื่อสารที่ซีซิงฟางให้กับเขาด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน ในเมื่อเขาไม่มั่นใจว่าเจ้าซีจะคิดว่าอย่างไรในเรื่องนี้
“นายหญิงน้อย ถ้าพ่อของท่านรู้เรื่องนี้…”
“เช่นนั้นก็อย่าให้เขารู้” ซีซิงฟางตอบกลับอย่างรวดเร็ว
ผู้อาวุโสจงยิ้มขื่นขม และหลังจากที่ครุ่นคิดชั่วขณะ เขาก็กล่าวว่า “ถ้านายหญิงน้อยสัญญาว่าเธอจักมิแอบหนีออกไปพบกับเซียวหยาง ผู้เฒ่าคนนี้จักย่อมยินดีส่งมอบหยกสื่อสารนี้ให้กับเขา”
ซีซิงฟางแอบขมวดคิ้ว ทำไมเขาจึงรู้ว่าเธอกำลังคิดเรื่องแบบนั้น ใช่ว่าเธอแอบออกไปหรือทำอะไรทำนองนั้นบ่อยๆเสียเมื่อไหร่ จริงแล้วนี่เป็นครั้งแรกที่เธอคิดจะทำอย่างนั้นด้วยซ้ำ
“ได้ ข้าสัญญา” เธอกล่าวเมื่อเวลาผ่านไปสองสามวินาทีหลังจากนั้น
ผู้อาวุโสจงพยักหน้าและเริ่มเดินจากไป อย่างไรก็ตามเขาก็ได้ถามเธอก่อนที่จะไปลับตาว่า “อีกอย่าง นายหญิงน้อย ท่านคิดอย่างไรกับเซียวหยางคนนี้”
“ข้าชื่นชมเขา” เธอตอบอย่างง่ายๆ
“อย่างนั้นรึ..” ผู้อาวุโสจงไม่ได้พูดอะไรอีกต่อไปและออกไปจากบ้านตระกูลซีเพื่อตามหานิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
แน่นอนว่า ด้วยฐานะของเขาและเครือข่ายของตระกูลซี นั่นไม่ได้ใช้เวลาเขาถึงนาทีในการที่รู้ตำแหน่งที่แน่นอนของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
หลังจากที่รู้ตำแหน่งของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ผู้อาวุโสจงก็ไปถึงโรงเตี๊ยมเกล็ดหิมะต่อจากนั้น
“ป-ปราชญ์กระบี่ศักดิ์สิทธิ์”
พนักงานต้อนรับพลันจดจำรูปลักษณ์อันสูงส่งของเขาได้ในทันทีและเกือบหัวใจวาย
“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอยู่ที่ไหน” ผู้อาวุโสจงถามพนักงานต้อนรับโดยไม่ยอมเสียเวลา
“ช-ชั้นสี่ พวกเขาอยู่ที่ชั้นสี่”
แม้ว่าพวกเขาจะมีกฏที่เข้มงวด แต่พนักงานต้อนรับก็เปิดเผยชั้นที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอยูให้กับผู้อาวุโสจงในทันที
“ข้ารู้สึกซาบซึ้ง”
ผู้อาวุโสจงไม่ได้ชักช้าตรงไปยังชั้นสี่อย่างรวดเร็ว
เมื่อไปถึงชั้นสี่ ผู้อาวุโสจงก็สังเกตเห็นหญิงสาวสวยคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงกลางห้องโถงหลับตา ดูเหมือนว่ากำลังฝึกสมาธิ อย่างไรก็ตามทำไมเธอจึงมาฝึกสมาธิในที่เปิดโล่งเช่นนี้ในเมื่อมีห้องอยู่ทุกด้าน
เมื่อผู้อาวุโสจงปรากฏตัวขึ้นบนชั้นสี่ หญิงสาวสวยที่นั่งอยู่ตรงกลางห้องโถงนั้นก็ลืมตาขึ้นมองดูเขา
“ปราชญ์กระบี่ศักดิ์สิทธิ์”
หญิงสาวสวยนั้นพลันยืนขึ้นและโค้งคำนับเล็กน้อยกล่าวว่า “คำนับผู้อาวุโสจง ข้าน้อยเรียกว่าโหลวหลานจี ผู้นำนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ข้าพอจะช่วยเหลือท่านได้อย่างไรบ้างในวันนี้”
“ข้าต้องขออภัยกับการมาอย่างกระทันหัน แต่ตอนนี้ข้ากำลังมองหาใครสักคนอยู่”
โหลวหลานจีพลันนึกถึงซูหยางเมื่อผู้อาวุโสจงกล่าวว่าเขากำลังมองหาคน แต่เธอยังคงรอให้เขาพูดให้จบก่อน
“เซียวหยาง ข้าขอพูดกับเขาได้ไหม”
“เซียวหยาง… ใครกัน” โหลวหลานจีเลิกคิ้วด้วยความสงสัย
“เอ๋”
ผู้อาวุโสจงสังเกตเห็นหน้าตาสงสัยของเธอจึงกล่าวว่า “เซียวหยาง… ชายหนุ่มคนนั้นที่อยู่ในกลุ่มของพวกเจ้าที่ทางเข้าเมืองนั่นไง… รึว่าเขามิได้มากับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดเหล่านั้น โหลวหลานจีพลันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจึงถามว่า “ชายหนุ่มนั่น… รึว่าเขาบอกท่านว่าเขาชื่อเซียวหยาง”
ผู้อาวุโสจงก็เริ่มเข้าใจสถานการณ์เช่นกัน
“รึว่านั่นมิใช่ชื่อเขา” เขาตอบสนองด้วยน้ำเสียงเชิงคำถาม
“แม้ว่าข้ามิรู้เหตุผลที่เขาปกปิดตัวตน แต่เจ้าเด็กหนุ่มเกเรนั่นชื่อ ซูหยาง…” โหลวหลานจีเผยความจริงให้กับผู้อาวุโสจงซึ่งยืนอยู่ที่นั่นด้วยท่าทางงุนงง
“ไม่น่าประหลาดใจเลยที่ทำไมข้าจึงมิพบชื่อเขาเมื่อข้าสืบนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย นั่นเป็นชื่อปลอมมาโดยตลอด” ผู้อาวุโสจงร่ำร้องในใจ
อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะถูกโกหก ผู้อาวุโสจงก็ไม่ถือโทษซูหยาง ในเมื่อนั่นเป็นเรื่องปกติสำหรับผู้ฝึกยุทธที่จะปกปิดตัวตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามเมื่อพวกเขาเดินทางตามลำพัง
หลังจากที่เงียบงันกระอักกระอ่วนไปชั่วขณะ ผู้อาวุโสจงก็พูดต่อราวกับว่าเขารู้เรื่องนี้มาโดยตลอด “ซูหยาง… ข้าสามารถพูดกับเขาได้ไหม”
โหลวหลานจีหันไปมองที่ห้องที่ซูหยางพักอยู่ภายในและหันกลับมายังผู้อาวุโสจง
“นั่น… อาจจะยากในตอนนี้” เธอตอบด้วยรอยยิ้มขออภัย
“เพราะเหตุอันใดรึ” ผู้อาวุโสจงถาม
“เขา…เอ้อ… ตอนนี้กำลังฝึกวิชาร่วมกับศิษย์คนอื่นอยู่…”
“ฝึกวิชา…กับคนอื่น”
แม้ว่านั่นจะทำให้เขาต้องใช้เวลาชั่วขณะหนึ่ง ครั้นเมื่อผู้อาวุโสจงตระหนักว่าอะไรคือสิ่งที่โหลวหลานจีพยายามจะพูด ดวงตาของเขาก็กว้างขึ้นด้วยความตระหนก และเขาก็ถึงกับยืนนิ่งอยู่ที่นั่นด้วยท่าทางงงงัน
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 311
DC บทที่ 311: เซียวหยาง
“เซียวหยางรึ..” เมื่อผู้อาวุโสจงได้ยินซีซิงฟางอ้างถึงเขา ดวงตาของเขาก็เปิดกว้างขึ้นด้วยความตระหนกจากการรับรู้
เขาไม่อยากเชื่อว่าตัวเขาเองพลาดบางอย่างเช่นนี้ไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาพบกับอีกฝ่ายก่อนหน้านี้ไม่นานนักในวันนี้ อย่างไรก็ตามสำนึกกระบี่นี้กลับรุนแรงยิ่งกว่าสำนึกกระบี่ที่เซียวหยางใช้ก่อนหน้านี้ มันแตกต่างกันเป็นคนละระดับ
“น-นายหญิงน้อย เมื่อกล่าวถึงเซียวหยางแล้ว… เขาก็อยู่ในเมืองหิมะร่วงแล้วจริงๆตอนนี้…”
ซีซิงฟางพลันหันไปมองดูผู้อาวุโสจงด้วยดวงตาโต
“ท่านมั่นใจในเรื่องนี้รึ” เธอถามเขาด้วยเสียงอันดัง กระทั่งยังตบโต๊ะด้วยความตื่นเต้น
“…”
การระเบิดออกในทันทีของซีซิงฟางพลันทำให้ทั้งห้องตะลึงงัน จนทำให้ทุกคนในนั้นต่างพากันมองดูเธอด้วยท่าทางตกตะลึง
“ผู้อาวุโสจง ท่านก็รู้จักเซียวหยางคนนี้รึ” เจ้าซีถามเขา
“รู้จักเล็กน้อย…”
เจ้าซียิ้มในใจเมื่อได้ยินเช่นนี้ แทนที่จะขอร้องลูกสาวตนเอง เขาก็แค่ถามผู้อาวุโสจงเกี่ยวกับเซียวหยางคนนี้ได้ในตอนนี้
“บอกข้าเกี่ยวกับเซียวหยางคนนี้ซิ” เขาถามโดยไม่เสียเวลาอีกต่อไป
ผู้อาวุโสจงพยักหน้าและเริ่มอธิบายให้เจ้าซีฟังถึงการพบปะกับเซียวหยาง อ้างไปถึงการที่อีกฝ่ายช่วยพวกเขาฆ่าคนของดาบเสี้ยวจันทร์
คำอธิบายเพียงใช้เวลาไม่กี่นาทีเป็นอย่างมาก ในเมื่อการพบปะของพวกเขาค่อนข้างสั้น
“เช่นนั้นรึ” เจ้าซีตะลึงงันไปกับเรื่องราวที่ไม่มีความสำคัญเช่นนั้น ถ้าการพบปะของพวกเขาเป็นอย่างเช่นที่ผู้อาวุโสจงอธิบาย ทำไมลูกสาวของเขาจึงทำท่าทางเหมือนกับว่าเขาเป็นชายชู้ของเธอ
“แต่ว่า… นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ท่านมั่นใจเกี่ยวกับเรื่องนี้รึ” เจ้าซีไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรดีกับข่าวนี้
ในฐานะของเจ้าผู้ปกครองทวีปตะวันออก เขาย่อมรู้จักชื่อเสียงของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและพฤติกรรมทางเพศของพวกเขา อย่างไรก็ตามนี่เพียงทำให้สถานการณ์ยิ่งสับสน ในเมื่อที่นั่นไม่ควรจะมีจอมยุทธแบบนี้ในสถานที่แบบนั้น
“แม้ว่าข้าเองก็ยังสงสัยเรื่องนั้นเมื่อข้าศึกษาสถานที่นั้น ข้ายังเห็นเขาที่ทางเข้าเมืองวันนี้ และเขาก็อยู่กับคนจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ทั้งยังสวมชุดศิษย์ของที่นั่นด้วย” ผู้อาวุโสจงกล่าว
หลังจากที่แยกทางกับเซียวหยางและกลับถึงที่พัก ผู้อาวุโสจงก็เริ่มศึกษานิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยทันที แต่ทว่าเมื่อเขาตระหนักว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเป็นสถานที่อย่างไร เขาก็คาดว่าเซียวหยางนั้นได้โกหกในเรื่องพื้นเพของตนเอง เพื่อปกป้องตัวตนของตัวเองในเมื่อไม่มีทางที่จอมกระบี่จะมีตัวตนในสถานที่ที่เน้นหนักทางด้านการฝึกวิชาคู่
“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย…”
ซีซิงฟางหน้าแดงเมื่อได้ยินชื่อสถานที่นี้ แน่นอนว่าเธอก็ทำการค้นคว้าด้วยตัวเองเช่นกัน ในเมื่อเธอค่อนข้างสงสัยเป็นอันมากเกี่ยวกับเซียวหยางเกินกว่าจะละเลยได้ อย่างไรก็ตามเธอไม่เชื่อแม้แต่น้อยว่าเซียวหยางจะมาจากสถานที่เช่นนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขามีท่าทางที่สง่าผ่าเผยเช่นนั้น
“อย่างไรก็ตามนั่นค่อนข้างง่ายในการหาว่าเขามาจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจริงหรือไม่”
เจ้าซียืนขึ้นจากเก้าอี้ตนเองและกล่าวต่อว่า “ข้าจักไปพบกับพวกเขาด้วยตนเอง”
“ว่ากระไร”
ทุกคนที่นั่นต่างมีท่าทางตระหนกเมื่อได้ยินว่าเจ้าซีจะไปหาใครก่อน ด้วยฐานะที่สูงส่งของเขา ผู้คนล้วนคาดหมายว่าเขาจะส่งหนังสือเรียกตัวไปยังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย เพื่อให้พวกนั้นมาหาเขา ไม่ใช่เป็นแบบนี้
“ข-ข้าต้องการไปกับท่านด้วย”
ซีซิงฟางก็ยืนขึ้นด้วยเช่นกัน นี่ควรจะเป็นโอกาสให้เธอได้พบกับเซียวหยางอีกครั้ง
“ไม่ เจ้าจักต้องอยู่ที่นี่”
อย่างไรก็ตามเจ้าซีปฏิเสธทันควัน
“ถ้าท่านพ่อไป ข้าก็ไปด้วยเช่นกัน” เธอจ้องมองเขาด้วยท่าทางมั่นคง เธอย่อมไม่ยอมให้โอกาสนี้พลาดไปง่ายๆ
“ท่านเจ้าซี นั่นค่อนข้างจะไม่เหมาะสมอยู่บ้างสำหรับท่านที่จะไป…”
“เขาพูดถูก ท่านเจ้าซี ถ้ายังไง พวกเราสักคนสามารถไปแทนท่าน”
ผู้คนในห้องเริ่มให้คำแนะนำของตน
เจ้าซีเงียบไป และหลังจากครุ่นคิดชั่วขณะเขาก็พยักหน้า
“เช่นนั้นก็ดี ผู้อาวุโสจงในเมื่อท่านเป็นคนที่คุ้นเคยกับเซียวหยางนี้ที่สุด ข้าจักขอร้องท่านไปพบกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเพื่อดูว่าเขาอยู่กับพวกนั้นจริงหรือไม่”
จากนั้นเขาก็หันไปมองดูลูกสาวของตนเองและกล่าวว่า “ถ้าข้าอยู่ เช่นนั้นเจ้าก็จักอยู่ด้วย ใช่ไหม”
“…”
ซีซิงฟางมองดูเขาด้วยท่าทางโกรธเล็กน้อยไปชั่วขณะหนึ่งก่อนที่จะกล่าวว่า “ข้าจักกลับห้องข้า”
เจ้าซียิ้มขื่นขมขณะที่มองดูลูกสาวของตนเองออกไปจากที่นั้นด้วยท่าทางไม่พอใจ เธอยังเป็นเด็กเมื่อครั้งสุดท้ายที่เขาเห็นเธอทำท่าทางแบบนั้น และในขณะที่มีคนมากมายอยู่ด้วย ไม่แตกต่างกันแม้แต่น้อย
“ข้าจักรับภารกิจนี้” ผู้อาวุโสจงกล่าว
ไม่นานหลังจากนั้นขณะที่เจ้าซีกลับไปยังที่นั่งของตนเอง หยกสื่อสารของเขาก็สั่น และข่าวที่ว่ามีคนสร้างความปั่นป่วนในเมืองสุดท้ายก็เข้าหูเขา
“จอมกระบี่คนหนึ่งไม่สนใจกฏของเมืองอย่างเปิดเผยและได้ฆ่าคนกลางวันแสกๆ”
เจ้าซีถึงกับตกตะลึงไปกับข่าวนี้
“เช่นนี้คือเหตุผลของสำนึกกระบี่เมื่อกี้นี้…” เจ้าซีนึกส่ายหน้า
“เห็นชัดว่ามีคนได้ฆ่าคนในเมืองหิมะร่วงของข้า เขาฆ่าผู้อาวุโสนิกายจากนิกายแท่นบูชาทอง”
เจ้าซีตัดสินใจที่จะแบ่งปันข้อมูลนี้ให้กับทุกคนในที่นั้น
“ใครกันกล้าทำเช่นนั้น”
“ผู้อาวุโสจากนิกายแทนบูชาทองรึ นักฆ่าคนนี้ต้องมีฝีมืออยู่ไม่ใช่น้อยจึงสามารถฆ่าผู้อาวุโสนิกายจากที่นั่นได้”
คนในห้องต่างพากันไม่เชื่อ มีเพียงแต่คนโง่ที่สุดเท่านั้นที่จะประกอบอาชญากรรมแบบนั้นระหว่างช่วงเวลาแบบนี้
“ผู้ต้องสงสัยปรากฏว่าเป็นจอมกระบี่คนหนึ่งเช่นกัน…”
“ว่ากระไร…”
ที่แห่งนั้นพลันเปลี่ยนเป็นเงียบงัน ทำให้เกิดบรรยากาศอันอึดอัด
“ไม่น่าเป็นไปได้…”
ในห้องนั้นผู้อาวุโสจงเป็นคนที่ตกตะลึงมากที่สุดกับข่าวนี้
“ถ้าท่านได้พบกับเซียวหยางคนนี้ พาเขากลับมาที่นี่เพื่อไต่สวนด้วย” เจ้าซีกล่าว
“ข้าน้อมรับ”
แม้ว่าผู้อาวุโสจงไม่ได้ตัดสินใจในทันทีว่าเซียวหยางกระทำผิด แต่เขาก็พบว่าสำนึกกระบี่ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันเมื่อกี้นี้ประหลาดและแปลกแยกอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นนั่นก็ยังไม่ชัดเจนว่าสำนึกกระบี่นั้นเป็นของเซียวหยางตั้งแต่แรก
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 310
DC บทที่ 310: จอมกระบี่ที่ไม่รู้จัก
กว่าผู้คนจะตระหนักว่าชายวัยกลางคนจากนิกายแท่นบูชาทองสิ้นชีพไปแล้ว ซูหยางก็อยู่ในระหว่างทางกลับไปยังที่พักของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
“ผ-ผ-ผู้อาวุโสนิกาย”
ศิษย์เหล่านั้นสั่นสะท้านด้วยความแตกตื่นขณะที่พวกเขาก้าวถอยหลังไปอย่างช้าๆจากศพที่ไร้หัว สีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ
พวกเขาไม่อยากเชื่อว่าผู้อาวุโสนิกายของพวกเขา ซึ่งอยู่ถึงเขตอัมพรวิญญาณ จะตายง่ายดายเพียงนี้ ถึงแม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะเป็นถึงจอมกระบี่ เขาก็ไม่ควรจะพ่ายแพ้ง่ายดายปานนี้ นี่เหมือนกับว่าเวลาที่เขาใช้ไปในการฝึกวิชาจนถึงเขตอัมพรวิญญาณนั้นใช้ไปโดยเปล่าประโยชน์
“จ-เจ้าคนบ้านั่นถึงกับกล้าฆ่าคนขณะที่อยู่ในเมืองหิมะร่วง”
“ยิ่งไปกว่านั้นระหว่างงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดด้วย”
“มีจอมกระบี่ไม่กี่คนในโลกนี้ และยิ่งน้อยไปกว่านั้นที่มีความสามารถระดับนั้น นั่นใช้เวลาไม่นานนักสำหรับตระกูลซีที่จะหาตัวเขา”
ประมาณหนึ่งนาทีหลังจากที่ซูหยางได้ฆ่าชายวัยกลางคนจากนิกายแท่นบูชาทอง กองลาดตระเวนก็เข้ามาในฉากนั้น
“เกิดอะไรขึ้นที่นี่”
กองลาดตระเวนพลันจำกัดการเคลื่อนไหวของทุกคนในที่นั่น ยอมให้พวกเขาจากไปได้หลังจากที่พวกเขาตอบคำถามสองสามคำเท่านั้น
“มีคนใส่หน้ากากมาจากไหนก็ไม่รู้และฆ่าชายวัยกลางคนนั่นตรงนั้น…”
“พวกเจ้าเป็นใครกัน” กองลาดตระเวนถามบรรดาศิษย์
“น-นิกายแท่นบูชาทอง ช-ชายที่ตายเป็นผู้อาวุโสนิกายของพวกเรา” หนึ่งในศิษย์กล่าว เสียงของเขายังคงสั่นสะท้าน
“นิกายแท่นบูชาทองรึ”
กองลาดตระเวนประหลาดใจ ในเมื่อพวกเขาไม่คาดว่ากองกำลังที่แข็งแกร่งขนาดนั้นจะมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ยิ่งกว่านั้นกลับตกเป็นเหยื่ออีกด้วย
“พวกเจ้ารู้ไหมว่าทำไมพวกเจ้าจึงถูกโจมตี คิดว่าชายสวมหน้ากากนั่นเป็นใคร”
เหล่าศิษย์พากันส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว
“ชายสวมหน้ากากเป็นจอมกระบี่” หนึ่งในผู้ชมกล่าว
“อะไรกัน เช่นนี้สำนึกกระบี่เมื่อกี้นี้มิได้มาจากผู้อาวุโสนิกายแต่มาจากฆาตกรแทน”
กองลาดตระเวนตอนแรกคิดว่านั่นเป็นของผู้อาวุโสนิกายในตอนแรกเนื่องมาจากกระบี่ที่ยังคงอยู่ในมือของเขา แต่อนิจจาพวกเขาไม่อาจผิดพลาดต่อไปได้
หลังจากที่พูดกับทุกคนที่นั่นและได้รับข้อมูลเพียงพอแล้ว กองลาดตระเวนก็ปล่อยทุกคนที่นั่นและกลับสู่สำนักงานใหญ่เพื่อรายงานข้อมูลทั้งหมดให้กับผู้บังคับบัญชา
“จอมกระบี่ได้ฆ่าคนตายใจกลางเมืองงั้นรึ”
ผู้บังคับบัญชาเกือบไม่เชื่อข่าวนั้นเมื่อพวกเขาได้ยินมันในครั้งแรก ทำไมจอมกระบี่จึงเสี่ยงกับการล่วงเกินตระกูลซี ต่อให้เขาซ่อนตัวตนด้วยหน้ากาก นั่นก็เพียงชะลอการถูกลงโทษชั่วขณะก่อนที่ตระกูลซีจะพบตัวเขา
–
–
–
ในที่แห่งหนึ่งใจกลางเมืองหิมะร่วง หนึ่งในที่พักหลายแห่งของตระกูลซี จอมยุทธมากมายที่นั่นที่มีชื่อเสียงเลื่องลือและผู้หนุนหลังที่แข็งแกร่งจากทั่วทั้งทวีปตะวันออกมารวมตัวกันในห้องใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งได้จัดการประชุมด้วยตระกูลซี
“พวกท่านทั้งหลายได้รู้สึกถึงสำนึกกระบี่เมื่อกี้หรือไม่”
หนึ่งในจอมยุทธที่นั่นพลันถามขึ้นมาเสียงดัง
“มีเพียงคนโง่เง่าเต่าตุ่นที่จะมิรู้สึกถึงสำนึกกระบี่ที่ทรงอำนาจเช่นนั้น”
“ข้าได้ต่อสู้กับจอมกระบี่มาหลายคนในชีวิต แต่ข้ามิเคยรู้สึกได้ถึงสำนึกกระบี่ที่แหลมคมเช่นนั้นมาก่อน…”
“ข้าก็รู้จักกับจอมกระบี่มาหลายคนมาก่อนเช่นกัน อย่างไรก็ตามสำนึกกระบี่เมื่อกี้นั้นมิใช่ของพวกเขาแม้แต่คนเดียว…”
ในเมื่อการประชุมเพิ่งสิ้นสุด จอมยุทธในห้องจึงเริ่มพูดถึงเกี่ยวกับสำนึกกระบี่ที่เพิ่งปรากฏขึ้นไม่นานหลังจากนั้น
เมื่อหัวข้อเกี่ยวกับจอมกระบี่ลึกลับนี้กลายเป็นที่นิยมระหว่างจอมยุทธ ชายวัยกลางคนที่มีท่าทางเฉียบแหลมห่อหุ้มร่างกายด้วยผ้าคลุมสีดำก็พูดเสียงดังขึ้นว่า “ท่านคิดว่าหัวข้อนี้เป็นอย่างไร ผู้อาวุโสจง”
ปรมาจารย์กระบี่ศักดิ์สิทธิ์จง ซึ่งนั่งอยู่อย่างสบายตรงนั้นหันไปมองชายวัยกลางคนที่เพิ่งพูดไป
“บอกท่านตามตรง ท่านเจ้าซี ข้ามิเคยรู้สึกถึงสำนึกกระบี่ที่ทรงอำนาจเช่นนี้มาก่อนจนกระทั่งถึงวันนี้เช่นกัน นั่นแหลมคมชัดเจนจนถึงที่สุด ทำให้ข้าเกือบรู้สึกเหมือนกับดาบจริงๆ” เขากล่าว
คนในห้องต่างพากันมองเขาด้วยท่าทางประหลาดใจแม้กระทั่งชายวัยกลางคนที่ถูกระบุว่าเป็นท่านเจ้าซี ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นผู้นำตระกูลซี
“ท่านกำลังจะบอกข้าว่ากระทั่งท่านเองที่เป็นที่รู้จักกันในนามปราชญ์กระบี่ศักดิ์สิทธิ์ หนึ่งในจอมกระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกนี้ ยังรู้สึกด้อยกว่าคนที่ใช้สำนึกกระบี่ภายในเมืองของข้าเมื่อกี้นี้งั้นรึ” เจ้าซีมองดูผู้อาวุโสจงด้วยดวงตาที่กว้างขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
“ถ้าข้าสามารถพบกับจอมกระบี่นี้ตอนนี้ ข้าจักย่อมต้องขอคำชี้แนะเกี่ยวกับกระบี่อย่างแน่นอน” ผู้อาวุโสจงพูดด้วยเสียงจริงใจ
ทั้งห้องพลันเงียบลง และไม่มีใครคาดคิดว่าผู้อาวุโสจงจะเป็นคนตรงไปตรงมาและซื่อสัตย์ กระทั่งต้องการคำชี้แนะจากจอมกระบี่ที่ไม่รู้จักนี้
ความรู้สึกต้องการพบกับจอมกระบี่นี้พลันเกิดขึ้นในใจของเหล่าจอมยุทธเหล่านี้
ทันใดนั้นเอง คนที่นั่งข้างเจ้าซีก็พึมพัมว่า “สำนึกกระบี่นี้… ข้าเคยรู้สึกจากที่ไหนสักแห่งมาก่อน…”
“เจ้ามั่นใจในเรื่องนี้รึ ลูกสาวข้า เจ้าสามารถจำได้หรือไม่ว่าที่ไหนที่เจ้ารู้สึกถึงสำนึกกระบี่นี้มาก่อน” เจ้าซีหันไปถามลูกสาวของตนเอง ซีซิงฟาง
ซีซิงฟางพยักหน้าและหลับตาลง โคลงศีรษะพยายามจดจำว่าเธอเคยรู้สึกสำนึกกระบี่เช่นนี้มาจากที่ไหนมาก่อน
ไม่นานหลังจากนั้น ซีซิงฟางก็ลืมตาขึ้น และดวงตาของเธอก็เป็นประกายแวววาว
“พี่ชายเซียว”
เจ้าซีมองดูซีซิงฟางพร้อมกับขมวดคิ้ว
“พี่ชายเซียว ใครกัน” เขาไม่ยอมเสียเวลาแม้แต่น้อยในการถามเธอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ตระหนักว่าเธอกำลังพูดถึงผู้ชายคนหนึ่ง
“เขา… เขาเป็นเหตุผลที่ทำให้ข้าเป็นดังเช่นทุกวันนี้…” สายตาซีซิงเป็นประกายด้วยอารมณ์อันล้ำลึกเมื่อเธอพูดถึงพี่ชายเซียวคนนี้
หลังจากที่แยกจากซูหยางที่หุบเขาฟ้าคำรณ ซีซิงฟางได้ฝึกวิชาระดับเซียนที่เขาได้ให้เธอไว้ด้วยความจริงใจ และนั่นมีผลต่อการฝึกฝีมือของเธอนับตั้งแต่นั้น
อย่างไรก็ตามนี่เป็นบางสิ่งที่มีเพียงซีซิงฟางรู้ ในเมื่อเธอไม่ได้บอกใครในเรื่องที่เธอพบปะกับซูหยางหรือเรื่องที่เธอได้รับวิชาระดับเซียนที่เขาให้เป็นของขวัญให้แก่เธอ ไม่บอกแม้กระทั่งกับครอบครัวของเธอเอง
“ข้ามิสามารถเข้าใจอะไรได้จากคำกล่าวนั้น เจ้าสามารถอธิบายเรื่องนั้นได้หรือไม่” เขาถามเธออีกครั้ง
“แม้ว่าข้ามิอาจพูดถึงรายละเอียดได้ แต่ว่าความก้าวหน้าของข้าในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาย่อมมิอาจเป็นไปได้ ถ้าข้ามิได้พบกับเขา…” เธอกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“….” เจ้าซีหรี่ตากับรอยยิ้มลึกลับของเธอ สายตาของเขาเต็มไปด้วยความสงสัยพร้อมแววความประหลาดใจด้วยเล็กน้อย ในเมื่อเขาไม่เคยรู้เห็นว่าลูกสาวของตนเองจะมีท่าทีเช่นนี้มาก่อน
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 309
DC บทที่ 309: ฆ่าฟันกลางวันแสกๆ
หลังจากที่ออกจากโรงเตี๊ยมเกล็ดหิมะ ซูหยางก็ตระเวนไปทั่วเมืองจนกระทั่งเขาพบกับกลุ่มคนที่ดูคุ้นเคยกำลังเตินเตร่อยู่
เมื่อยืนยันว่าคนเหล่านี้เป็นคนของนิกายแท่นบูชาทอง เขาก็พลันตรงเข้าไปหาพวกนั้นโดยไม่อำพรางตน ราวกับว่าเขาต้องการให้คนเหล่านั้นรู้ถึงการคงอยู่ของเขา
เมื่อชายวัยกลางคนจากนิกายแท่นบูชาทองสังเกตเห็นซูหยางซึ่งกำลังยืนอยู่ห่างไม่กี่เมตรด้านหน้าของเขาด้วยกระบี่ในมือ เขาก็เลิกคิ้วด้วยความสงสัย
ชายวัยกลางคนไม่ได้ตระหนักถึงเจตนาของซูหยางในตอนแรก ไม่แม้จะคิดว่าตนเองเป็นเป้าหมายในขณะนั้น
หลังจากเวลาผ่านไปชั่วขณะสุดท้ายเมื่อชายวัยกลางคนได้ตระหนักว่าซูหยางจ้องมองมาที่ตนเอง เขาก็กล่าวว่า “เจ้าเป็นใครกัน เจ้าต้องการอะไรจากข้า”
อย่างไรก็ตามซูหยางไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียวเพียงแค่ยกกระบี่ขึ้นชี้ไปยังชายวัยกลางคน ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้กับเขาเป็นอย่างมาก
ถ้าจะกล่าวไปแล้วนั่นไม่ใช่ว่าชายวัยกลางคนจะกลัวตายในเมื่อเขาตระหนักดีถึงกฏของเมืองนี้ที่ห้ามการฆ่า
อีกครั้งที่ซูหยางยังคงเงียบเฉย
“ข้ามิรู้ว่าเจ้าเป็นใครและเจ้าต้องการอะไรจากข้า แต่เจ้าหากมิเป็นคนโง่เขลาก็สติไม่สมประกอบถึงกับชี้กระบี่มาที่ข้าทั้งที่อยู่ภายในเมืองหิมะร่วงไม่มากก็น้อย”
ขณะนี้คนรอบข้างต่างพากันมองไปที่ซูหยางและชายวัยกลางคน สายตาของพวกเขาเปี่ยมไปด้วยความสนใจกับเรื่องเร้าใจที่เปิดฉากขึ้นต่อหน้า
“แม้ว่าข้ามิรู้ว่าเจ้ามีแผนอะไรในใจ…” สุดท้ายซูหยางก็พูดขึ้น แน่นอนว่าเขาดัดเสียง “ข้ามีประสบการณ์ความสูญเสียมากมายกับคนโฉดเช่นเจ้า…”
แม้ว่าเสียงเขาจะถูกดัด แต่ก็ยังมีแววความเศร้าเสียใจชัดเจนอยู่ภายในนั้น
ในชีวิตก่อนเขาได้สูญเสียเพื่อนคนสำคัญบางคนไปเพียงเพราะว่าเขาไม่ได้สนใจในสัญชาตญาณของตนเองและรอจนกระทั่งสายเกินไปที่จะรับมือกับสถานการณ์เมื่อต้องรับมืออย่างฉับพลันนั้น
เนื่องมาจากความผิดพลาดเหล่านั้น ซูหยางได้สาบานต่อตนเองว่าเขาจะไม่รอจนกระทั่งโชคร้ายนั้นเกิดขึ้นอีกต่อไป
กลิ่นอายกระหายเลือดพลันปรากฏขึ้นรอบกายซูหยาง สิ่งที่ชายวัยกลางคนและคนที่เฝ้าดูอยู่สังเกตพบได้ในทันที
“อย่าบอกนะว่าเขากำลังจะฆ่าคนกลางวันแสกๆ”
“หรือว่าเขาลืมไปว่าเมืองไหนที่เขากำลังอาศัยอยู่ เขากำลังหาที่ตายหรืออย่างไร”
“มิสนใจกฏที่ตั้งขึ้นโดยตระกูลซีช่างเป็นเรื่องที่เลวร้ายยิ่งกว่าความตาย…”
ไม่เพียงแต่ชายวัยกลางคน แต่กระทั่งผู้ที่เฝ้าดูสถานการณ์ต่างก็ประหลาดใจกับจิตสังหารของซูหยาง
“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าบ้าไปแล้ว ดี ถ้าข้าฆ่าเจ้าตอนนี้ นั่นยอมถือว่าเป็นการป้องกันตัว”
ชายวัยกลางคนนำเอาอาวุธของตนเองออกมา ซึ่งก็เป็นกระบี่เช่นกัน กระบี่ที่มีรัศมีของวิญญาณ เห็นชัดว่ามันเป็นอาวุธวิญญาณ
“เจ้าจะทำอะไรต่อไปตอนนี้ ข้าชักสงสัย” ชายวัยกลางคนพูดด้วยสีหน้าเย้ยหยัน
อย่างไรก็ตามไม่กี่วินาทีถัดไป เมื่อสำนึกกระบี่ครอบคลุมไปทั่วสถานที่นั้น ชายวัยกลางคนก็มีสีหน้าซีดลงอย่างรวดเร็วกว่าก้อนหินที่ร่วงสู่พื้น
“จ-จอมกระบี่”
ผู้คนต่างพากันมีสีหน้าตกตะลึง พวกเขาแทบทั้งหมดไม่เคยเห็นจอมกระบี่ด้วยตัวเองมาก่อน
“ป-ป-เป็นไปไม่ได้” ชายวัยกลางคนพลันพึมพัมด้วยใบหน้าซีดเผือด
มีคนไม่กี่คนที่ถือได้ว่าเป็นจอมกระบี่ในโลกนี้ และเขาก็มั่นใจว่าตนเองไม่เคยล่วงเกินหนึ่งในคนเหล่านั้น ดังนั้นจอมกระบี่คนนี้ที่ยืนอยู่ต่อหน้าเขาตอนนี้ด้วยจิตสังหารเปี่ยมล้นนี้เป็นใครกัน เขาไปล่วงเกินอะไรกับอีกฝ่าย
“จ-จ-เจ้าเป็นใคร ถ้าเจ้าคิดว่าเจ้าสามารถหลบหนีจากการลงโทษเพียงเพราะว่าเจ้าเป็นจอมกระบี่คนหนึ่ง เช่นนั้นเจ้าก็เพียงหลงตนเอง ตระกูลซีจักต้องลงโทษเจ้ามิว่าเจ้าจะมีฐานะอะไร”
“ลงโทษรึ ถ้าพวกเขามีความสามารถในการตามหาภูติผี เช่นนั้นการลงโทษนั้นก็สมควรจะได้รับ” ซูหยางกล่าว ราวกับว่าเขาเป็นภูติผี
“อย่างน้อยก็บอกข้าว่าทำไมเจ้าจึงตั้งเป้าที่ตัวข้า ข้าไปทำอะไรล่วงเกินเจ้ารึ”
ชายวัยกลางคนพยายามพูดต่อไป เขาต้องการยื้อเวลาให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ หวังว่าผู้ดูแลจะมาเร็วขึ้น
แน่นอนว่าซูหยางก็ตระหนักดีเช่นกันว่าชายวัยกลางคนพยายามที่จะยื้อเวลาโดยการพูดกับเขา อย่างไรก็ตาม เขามีความมั่นใจว่าฆ่าอีกฝ่ายที่อยู่เพียงแค่ระดับหนึ่งของเขตอัมพรวิญญาณนั้นใช้เวลาแค่ไม่ถึงวินาที
ในกรณีเลวร้ายที่สุด ต่อให้เขาไม่สามารถฆ่าชายวัยกลางคนนี้ทันเวลา เขาก็ยังมั่นใจว่าเขาสามารถที่จะหลบหนีไปได้โดยไม่ได้รับอันตรายอะไร
อย่างไรก็ตามเป็นโชคร้ายสำหรับชายวัยกลางคนเมื่อซูหยางไม่ได้วางแผนที่จะอ้อยอิ่งอยู่นานกว่านี้
ซูหยางเตรียมกระบี่พร้อมแล้วในวินาทีต่อไป สำนึกกระบี่ก็ครอบคลุมไปทั่วพื้นที่
สำนึกกระบี่ที่ถูกขับออกมาจากซูหยางตอนนี้เหนือกว่าเวลาก่อนหน้านั้นมากมายนัก จนทำให้ผู้เฝ้าชมถึงกับหายใจไม่ออกกับบรรยากาศเช่นนี้
ส่วนชายวัยกลางคน เพราะว่าสำนึกกระบี่นั้นมุ่งเป้าตรงไปยังเขา ทั่วร่างจึงสั่นสะท้านไปในเวลานั้น รู้สึกเหมือนกับว่ามีกระบี่นับพันกำลังทิ่มแทงตัวเขาอยู่
“ฆ..ฆ…ฆ..ฆ่าคนแล้ว ฆ่าคน มีคนพยายามจะฆ่าข้า”
ชายวัยกลางคนรู้สึกหวาดหวั่นไปกับสำนึกกระบี่มากจนกระทั่งเขากรีดร้องสุดชีวิต สร้างความงงงันให้กับเหล่าศิษย์ที่อยู่เบื้องหลังเขา ในเมื่อพวกเขาไม่เคยประจักษ์ว่าผู้อาวุโสนิกายที่แสนภาคภูมิจะมีท่าทีขี้ขลาดตาขาวหวาดกลัวเช่นนี้ ทั้งที่เป็นหนึ่งในผู้อาวุโสระดับสูงในนิกายแท่นบูชาทอง
“ช่างน่าทุเรศ…” ซูหยางส่ายหน้า
ไม่อยากที่จะได้ยินชายวัยกลางคนกรีดร้องอีกต่อไป ซูหยางใช้งานก้าวเก้าดาราหายไปจากตำแหน่งที่ตนเองอยู่และปรากฏขึ้นต่อหน้าชายวัยกลางคนในชั่วพริบตา
“เรียนรู้ที่จะซ่อนจิตสังหารของเจ้าให้ดีกว่านี้ในชาติหน้า…”
หลังจากที่พึมพัมคำเหล่านี้แล้ว ซูหยางก็ตวัดกระบี่ด้วยความเร็วที่ไม่อาจมองเห็นด้วยตาของคนทั่วไป มันเด็ดชีวิตของชายวัยกลางคนไปด้วยการเด็ดหัว
ทันทีที่ฆ่าชายวัยกลางคนซูหยางก็ใช้ก้าวเก้าดาราอีกครั้งหายไปต่อหน้าสายตาก่อนที่ผู้คนจะทันได้เข้าใจว่าทำไมจึงมีศีรษะหมุนคว้างอยู่กลางอากาศ
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 308
DC บทที่ 308: ไม่มีอะไรนอกจากกามในใจเขา
เมื่อไปถึงชั้นที่สี่ โหลวหลานจีก็ยื่นส่งกุญแจให้กับศิษย์
“ศิษย์รุ่นเยาว์หญิงจะใช้สี่ห้องสุดท้ายตรงสุดโถงทางเดิน ขณะที่ศิษย์ชายจะใช้สี่ห้องก่อนหน้านั้น ผู้เข้าร่วมแข่งขันจะใช้สองห้อง และผู้อาวุโสนิกายกับข้าจะใช้ห้องแรก ข้าจักให้พวกเจ้าทั้งหมดทำการเลือกห้องของเจ้ากันเอง เพียงแต่จำไว้ว่า มีที่ว่างสำหรับเจ็ดคนในแต่ละห้อง”
หลังจากที่ยื่นส่งกุญแจทั้งหมดแล้ว โหลวหลานจีก็พูดต่อว่า “ตอนนี้จากสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างทาง ข้าจักพูดถึงกฏในการพักอาศัยอยู่ที่นี่จนกว่าเราจะกลับบ้าน”
“อันดับแรกและเป็นเพียงสิ่งเดียวก็คือ พวกเจ้าจักต้องไม่ออกจากโรงเตี๊ยมนี้ไปโดยมิได้รับอนุญาตจากผู้อาวุโสนิกายหรือตัวข้า และเมื่อออกจากสถานที่นี้ไปแล้ว พวกเจ้าจักต้องไปเป็นกลุ่มอย่างน้อยสี่คนพร้อมกับมีผู้อาวุโสนิกายด้วยหนึ่งคน เพิ่มเติมว่าเจ้าจักต้องไม่สวมอะไรที่สามารถบ่งบอกว่าพวกเจ้าเป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย พวกเจ้ามีใครมีคำถามเกี่ยวกับกฏที่กล่าวมาหรือไม่”
เพราะว่าเธอไม่ต้องการเสี่ยงอะไรขณะที่พวกเขายังอยู่ในเมืองนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนิกายล้านอสรพิษก็ยังคงอยู่ที่นี่ โหลวหลานจีตัดสินใจที่จะใช้กฏอันเข้มงวดเหล่านี้ ในเมื่อเธอต้องการให้ทุกคนที่นี่กลับไปนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอย่างปลอดภัย
เหล่าศิษย์พากันส่ายหน้า
“ดีมาก ตอนนี้เข้าสู่เรื่องของเมืองนี้ ในเมื่อพวกเจ้าทั้งหมดควรรู้ไว้ว่าเมืองนี้ควบคุมโดยตรงจากตระกูลซี ผู้ครองทวีปตะวันออก นี่หมายความว่าพวกเจ้าต้องประพฤติตนให้ดีขณะที่เจ้ายังคงอยู่ที่เมืองนี้และหลีกเลี่ยงการล่วงเกินตระกูลซี ที่จริงให้ลืมตระกูลซีไปได้เลย ในเมื่อยังคงมีผู้ทรงอำนาจอื่นอีกหลายสิบในเมืองนี้ที่เรามิอาจจะล่วงเกินได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ของพวกเราในปัจจุบัน ความผิดพลาดบางอย่างอาจจะต้องจ่ายด้วยชีวิตของพวกเจ้า และยิ่งไปกว่านั้นอาจด้วยชีวิตของพวกเราทั้งหมด พวกเจ้าเข้าใจไหม”
เหล่าศิษย์ต่างพากันพยักหน้าด้วยท่าทางเป็นกังวล
“เมืองนี้เป็นสถานที่น่ากลัวจริง…ข้ากลัวว่าข้าจักกังวลเกินกว่าจักออกจากห้อง…”
“ใช่ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเราไปเจอะกับคนแบบชายวัยกลางคนชั้นล่างเมื่อกี้นั้นโดยบังเอิญและล่วงเกินพวกเขา พวกเราต้องตายคาที่แน่…”
“พวกเจ้ามิต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้น ในเมื่อเมืองนี้ห้ามมีการฆ่าฟันกันอย่างเข้มงวด” โหลวหลานจีกล่าว
แม้ว่าโหลวหลานจีต้องการให้ศิษย์รุ่นเยาว์อยู่แต่ในห้องของพวกเขาจนกว่าจะถึงการแข่งขัน แต่เธอก็ไม่ต้องการให้พวกเขาพลาดโอกาสอันหายากในการสำรวจเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเมืองหนึ่งในทวีปตะวันออก
“จะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเราถูกลักพาตัว นั่นยิ่งน่ากลัวกว่าความตายในบางสถานการณ์ด้วยซ้ำ”
“ด้วยจำนวนของจอมยุทธในสถานที่นี้ การลักพาตัวเด็กเหมือนเช่นพวกเราจักง่ายเหมือนกับแย่งลูกอมจากเด็กด้วยซ้ำสำหรับพวกเขา”
ผู้อาวุโสนิกายและโหลวหลานจีมองดูศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้ที่สร้างความกลัวให้กับตัวเองด้วยสีหน้าประหลาดพิกล พวกเขาพากันกังวลมากเกินไปโดยใช่เหตุ
“อย่างไรก็ตาม ขอเพียงระมัดระวังรักษาตนเองให้ปลอดภัยจนกว่าเราจะกลับไปถึงนิกาย พวกเราจักอยู่ที่นี่เพียงแค่ถึงสิ้นเดือนและพวกเราก็บรรลุไปเกือบครึ่งแล้ว”
“ส่วนสำหรับคนที่จักต้องเข้าร่วมการแข่งขัน เราจักตรงไปยังพื้นที่ลงทะเบียนในวันพรุ่งนี้เพื่อลงทะเบียนชื่อของพวกเจ้าว่าเป็นผู้เข้าร่วมแข่งขันอย่างเป็นทางการ จนกว่าจะถึงเวลานั้น จงผ่อนคลาย” โหลวหลานจีกล่าวขณะที่เธอมองดูซูหยางและบรรดาหญิงสาว
หลังจากที่พูดอีกสองสามนาที โหลวหลานจีก็เลิกประชุมบรรดาศิษย์ เพื่อที่พวกเขาจะได้มีเวลาวุ่นวายชั่วขณะสำหรับการเลือกห้อง
ส่วนผู้เข้าร่วมการแข่งขันนั้นเพราะว่าฟางซีหลาน ซุนจิงจิง และซูหยาง เป็นกลุ่มเดียวกันและถึอว่าเป็นผู้อาวุโสที่สุดในกลุ่ม ศิษย์คนอื่นทั้งเจ็ดต่างพากันตกลงที่จะให้สามคนนี้ได้ใช้ห้องหนึ่งเป็นของตนเองในขณะที่พวกเธอใช้อีกห้อง
ครั้นเมื่อซูหยางเข้าไปในห้องพร้อมกับซุนจิงจิงและฟางซีหลาน เขาก็เริ่มถอดเสื้อคลุม
“เอ๋”
ทั้งฟางซีหลานและซุนจิงจิงมองดูเขาด้วยสายตาประหลาดใจ เขาต้องการเริ่มฝึกวิชาร่วมกับพวกเธอแล้วหรือยังไงกัน
อย่างไรก็ตาม คำพูดของซูหยางต่อจากนั้นยิ่งสร้างความตื่นตะลึงให้กับพวกเธอยิ่งกว่าเดิม
“ข้าจักออกไปข้างนอกสักครู่ จนกว่าข้าจะกลับมาให้ทำเหมือนกับว่าพวกเรากำลังร่วมฝึกวิชาอยู่เพื่อที่คนอื่นจะได้ไม่พบเห็น” เขากล่าวกับพวกเธอขณะที่เขาเปลี่ยนชุดสีเขียวของเขาเป็นชุดสีขาวเรียบ
“จ-เจ้าจะไปไหนรึ” ซุนจิงจิงถามเขา “ให้พวกเราสักคนไปด้วยไหม”
ซูหยางส่ายหน้า “ข้ากำลังจะไปพบ “เพื่อน” สักคนหนึ่ง ข้ามิไปนานนัก มิมีอะไรที่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้”
“ตกลง รักษาตัวให้ปลอดภัยนะ”
“แน่นอน”
ซูหยางยิ้มให้พวกเธอก่อนที่จะกระโดดออกไปจากหน้าต่างหายลับไปจากสายตาของพวกเธอ
ครั้นเมื่อซูหยางออกไปจากที่นั่นแล้ว เขาก็นำเอาหน้ากากออกมาจากแหวนมิติและสวมมันไปบนใบหน้า ปิดบังความหล่อเหลาเอาไว้ ในวินาทีถัดไปเขาก็นำเอาวัตถุอื่นออกมาจากแหวนมิติ กระบี่เหล็ก
ซูหยางมองดูกระบี่นี้ด้วยสายตาเย็นชาชั่วขณะหนึ่งก่อนที่จะใช้งานก้าวเก้าดาราลับหายไปในอากาศอันว่างเปล่า
–
–
–
หลังจากที่ซูหยางออกไปจากโรงเตี๊ยมแล้ว ก็มีคนเคาะประตูห้องเขา
“นี่ข้าเอง ข้าลืมบอกพวกเจ้าอะไรบางอย่าง…” เสียงโหลวหลานจีดังมาจากด้านหลังประตู
“ร-เราควรทำอย่างไรดี ซูหยางเพิ่งจากไปและผู้นำนิกายก็มาเคาะประตูห้องของพวกเราแล้ว” ซุนจิงจิงถามฟางซีหลานที่กำลังครุ่นคิด
“ศิษย์น้องหญิง เริ่มครางเถอ” ฟางซีหลานกล่าวหลังจากนั้นสองสามวินาทีด้วยท่าทางจริงจัง
“อ-อะไรนะ…” ซุนจิงจิงมองดูเธอด้วยใบหน้าตกตะลึง
“แสร้งทำเป็นว่าเจ้ากำลังฝึกวิชาร่วมกับซูหยางอยู่ และทำให้สมจริงมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
ซุนจิงจิงพยักหน้าและเริ่มครางเสียงดัง
“อาาาา”
“อืม ทำตรงนั้นของข้าอีก ซูหยาง”
“อาาาาาาา”
เสียงเปี่ยมความสุขสันต์ของซุนจิงจิงทะลุผ่านห้องของพวกเธอออกไปสะท้อนก้องอยู่ในโถงทางเดินอย่างง่ายดาย
“…”
เมื่อโหลวหลานจีได้ยินเสียงซุนจิงจิงคราง คางของเธอก็ตกกระทบพื้น ในเมื่อเธอไม่อยากเชื่อ
“ซ-ซูหยางคนนี้ เป็นสัตว์ประหลาดที่มิมีอะไรนอกไปจากกามในใจเขาจริงๆ เราเพิ่งปักหลักแต่เขาก็เริ่มร่วมฝึกกับหญิงสาวไปเรียบร้อยแล้ว”
“ข-ข้าขออภัย ท่านผู้นำนิกาย แต่ท่านมาทีหลังได้หรือไม่…” เสียงฟางซีหลานดังมาไม่นานหลังจากที่ซุนจิงจิงเริ่มคราง
“ม-มิต้องกังวลเรื่องนั้น… มิมีอะไรสำคัญนัก… “ โหลวหลานจีกล่าวก่อนที่จะปล่อยให้พวกเธออยู่ตามลำพัง
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ครั้นเมื่อพวกเธอมั่นใจว่าโหลวหลานจีได้จากไปแล้ว ซุนจิงจิงก็หยุดคราง รู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อยหลังจากนั้น
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 307
DC บทที่ 307: นิกายแท่นบูชาทอง
“ผู้นำนิกาย…โรงเตี๊ยมนี้…มันต้องมีค่าใช้จ่ายน่าดูแน่เลย…”
ผู้อาวุโสนิกายพากันตะลึงงันกับสถานที่หรูหราเช่นนี้ที่ยิ่งใหญ่กว่าโรงเตี๊ยมที่พวกเขาเคยเห็นมาก่อน
“เอ่อ มันมีราคาไม่กี่ร้อยเหรียญวิญญาณ…”
โหลวหลานจีเปิดเผยค่าใช้จ่ายให้กับพวกเขา เป็นเหตุให้ดวงตาของพวกเขาเบิกกว้างด้วยความตระหนก เมื่อพวกเขาไม่คิดว่าจะเป็นตัวเลขมากเพียงนั้น
“ไม่กี่ร้อยเหรียญวิญญาณรึ เพียงแค่อาศัยอยู่ที่นี่ไม่กี่อาทิตย์ เงินขนาดนี้สามารถซื้อหินอาวุธวิญญาณได้หลายชิ้นเชียวนะ”
“น-นี่เป็นการปล้นกลางวันแสกๆ”
ผู้อาวุโสนิกายพบว่ามันเป็นเรื่องยากที่เชื่อว่าโหลวหลานจีจะใจกว้างมากกับการใช้จ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่นิกายไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะสามารถใช้ทรัพย์สินอย่างฟุ่มเฟือยได้
แน่นอนว่าเหตุผลเดียวที่โหลวหลานจีกล้าที่จะใช้เงินเช่นนั้นก็เพราะว่าความร่ำรวยที่ซูหยางได้ให้เธอไว้ ไม่เช่นนั้นพวกเขาก็คงต้องตั้งเต็นท์อาศัยกลางแจ้งกันตลอดทั้งเดือน
“ข้ารู้ว่านั่นเป็นเงินเยอะอยู่ แต่อย่างน้อยพวกเราต้องมีสถานที่ที่จะอยู่ตลอดทั้งเดือน นอกจากว่าพวกท่านต้องการไปนอนกลางถนน ยิ่งไปกว่านั้นนี่ค่อนข้างถูกเมื่อเปรียบเทียบกับโรงเตี๊ยมอื่นในเมืองนี้ หากว่าพวกท่านเห็นราคาที่อื่นแล้ว ท่านจักต้องขอบคุณที่ข้าใช้เงินเพียงเท่านี้…”
“ถ้าท่านผู้นำนิกายพูดถึงขนาดนี้…”
ผู้อาวุโสนิกายยอมรับคำอธิบายของเธออย่างรวดเร็วในเมื่อไม่มีใครในหมู่พวกเขาต้องการหลับกลางถนนตลอดทั้งเดือน
“อย่างไรก็ตาม เราเข้าไปข้างในและปักหลักก่อนที่ข้าจักบรรยายสรุปให้แก่ทุกคน” โหลวหลานจีพูดขณะที่เธอเปิดประตูเข้าไปในโรงเตี๊ยม
“ข้าขออภัยสำหรับความไม่สะดวกต่อแขกผู้ทรงเกียรติ แต่โรงเตี๊ยมนี้ได้ถูกจองไว้เต็มแล้ว”
พนักงานต้อนรับกล่าวกับพวกเขาก่อนที่จะทันได้ไปถึงแผนกต้อนรับ
“พวกเรามาจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย และพวกเราได้สำรองที่นั่งไว้เรียบร้อยแล้ว” โหลวหลานจีแสดงใบเสร็จของเธอ
พนักงานต้อนรับรับใบเสร็จไปดูอย่างละเอียด
ครั้นเมื่อเขายืนยันสิทธิ์แล้ว พนักงานต้อนรับก็พยักหน้าและกล่าวว่า “ขอบคุณที่เลือกที่พักที่โรงเตี๊ยมเกล็ดหิมะของเรา ห้องของพวกท่านจักอยู่ที่ชั้นสี่ นี่คือกุญแจไปยังห้องของท่าน…”
ขณะที่พนักงานต้อนรับนำเอาพวงกุญแจออกมาจากใต้โต๊ะเตรียมส่งมอบให้กับโหลวหลานจี ประตูก็เปิดออกมาอีกครั้งและคนอีกกลุ่มก็เดินเข้ามาข้างใน
“ข้าต้องขออภัยสำหรับความไม่สะดวก ท่านแขกผู้ทรงเกียรติ แต่ห้องของเราทั้งหมดล้วนถูกจับจองแล้ว…”
พนักงานต้อนรับกล่าวกับผู้ที่มาใหม่
อย่างไรก็ตามแทนที่จะจากไปในทันที ผู้มาใหม่เหล่านี้กลับตรงมายังที่โต๊ะแทน
ครั้นเมื่อพวกเขามาถึงโต๊ะ ชายวัยกลางคนที่นำหน้าคนกลุ่มนี้ชี้มือไปยังกุญแจในมือของพนักงานต้อนรับและกล่าวว่า “ข้าจักจ่ายให้เจ้าสองเท่าของสิ่งที่คนกลุ่มนี้จ่ายให้สำหรับห้องเหล่านั้น”
“…”
สถานที่นั้นพลันเปลี่ยนเป็นอึดอัดและเงียบงัน
“ข-ข้าต้องขออภัย แต่ข้าคิดว่าสิ่งนั้น–”
ก่อนที่พนักงานต้อนรับจะทันได้พูดจบ ชายวัยกลางคนก็นำเอาถุงหนังออกมาจากเสื้อคลุมและโยนลงไปบนโต๊ะอย่างสบายๆ
“มีหินวิญญาณสองพันก้อนในถุงนั้น ข้าต้องการซื้อห้องจากเจ้า” เขากล่าว
อย่างไรก็ตามชายวัยกลางคนไม่ได้มองไปที่พนักงานต้อนรับเมื่อเขาพูดคำพูดเหล่านั้น แท้ที่จริงแล้วเขาเสนอหินวิญญาณให้กับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยสำหรับห้องของพวกเขา
“…”
โหลวหลานจีมองไปที่ชายวัยกลางคนที่ไม่รู้จักนี้พร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ไม่ ขอบคุณ” เธอกล่าวกับเขาด้วยเสียงค่อนข้างเรียบเฉย
ทันทีที่โหลวหลานจีปฏิเสธข้อเสนอของพวกเขา ศิษย์ที่อยู่เบื้องหลังชายวัยกลางคนก็เริ่มพูดเสียงดัง
“พวกไร้ชื่อเสียงเรียงนามนี่เป็นใครกัน พวกเขามิรู้เลยรึว่าพวกเราเป็นใคร”
“พวกเขาต้องมาจากหลังเขาถึงไม่รู้จักพวกเรา”
ศิษย์เหล่านี้พูดโดยไม่เกรงใจ เห็นชัดว่าดูถูกพวกเขา
เมื่อได้ยินว่านิกายของพวกเขาถูกกล่าวร้าย บรรดาศิษย์รุ่นเยาว์จากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็เริ่มพูดเสียงดังบ้าง “จริงด้วยพวกโง่นี่เป็นใครกัน ถึงแสดงท่าทีมิเคารพเช่นนั้นต่อพวกเราและศิษย์พี่ชาย พวกเขาต้องคิดหาที่ตายแน่ๆ…”
“ใช่แล้ว พวกนี้คิดว่าตนเองเป็นใครกัน”
เพราะว่าเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้มั่นใจในความปลอดภัยของตนเองเนื่องมาจากซูหยางมีความคุ้นเคยกับปรมาจารย์กระบี่ศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาจึงไม่ออมรั้งในการพูดถ้อยคำขยะ
และก็เป็นดังที่คาดไว้ คนกลุ่มนี้มองดูเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ด้วยดวงตาถลนเต็มไปด้วยความตระหนก พวกเขาไม่เคยคิดจินตนาการว่าพวกกลุ่มเด็กเลวนี่จะกล้าโต้กลับกับพวกเขา อย่าว่าแต่พูดด้วยถ้อยคำเยาะเย้ยเช่นนี้
“ท-ทำไมจึงมีคนจากสถานที่ไร้ชื่อกล้าไม่เคารพในนิกายแท่นบูชาทองของพวกเรา”
“พวกเจ้านั่นแหละที่หาที่ตาย”
“นิกายแท่นบูชาทองรึ…”
โหลวหลานจีขมวดคิ้วลึกเมื่อได้ยินชื่อคุ้นเคยนั้น หลังจากที่ใช้เวลาครุ่นคิดชั่วขณะ สุดท้ายเธอก็นึกชื่อนิกายแท่นบูชาทองออก นั่นเป็นสถานที่ที่แม้ว่าจะไม่ถือว่าเป็นสำนักระดับสูง พวกเขาก็เก่งกาจพอที่จะเทียบได้กับสถานที่ดังเช่นนิกายล้านอสรพิษ
แน่นอนว่าเพราะว่าพวกเขามักจะเก็บตัว ผู้คนจากภาคอื่นๆจึงปกติไม่คุ้นเคยกับพวกเขา
“ใจเย็นๆ ศิษย์ทั้งหลาย…”
ชายวัยกลางคนสุดท้ายก็ตัดสินใจที่จะก้าวเข้ามา
“ข้าขออภัยสำหรับ “ความหยาบคาย” ของศิษย์ข้า” เขากล่าวกับโหลวหลานจีด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น
“ข้าก็ขออภัยสำหรับศิษย์ข้าเช่นกัน…”
แม้ว่าเธอไม่ได้กล่าวอะไร โหลวหลานจีก็สังเกตเห็นความรู้สึกรังเกียจเบื้องหลังใบหน้าสงบของชายวัยกลางคน เห็นชัดว่าเขาไม่ได้ยึดคำขอโทษของตนเองจริงจังนัก
“อย่างไรก็ตาม เรามิต้องการขายห้องของเรา” โหลวหลานจีกล่าวขณะที่เธอหยิบกุญแจจากมือของพนักงานต้อนรับ
“…อย่างนั้นรึ.. ช่างน่าเสียดาย…”
ชายวัยกลางคนส่ายหน้าและทำการเดินออกไปจากประตู
อย่างไรก็ตามมีบรรยากาศแปลกๆรอบกายของชายวัยกลางคน และไม่ใช่เพียงโหลวหลานจีที่รู้สึกเช่นนั้น กระทั่งศิษย์รุ่นเยาว์เองก็รู้สึกบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับชายวัยกลางคน
ครั้นเมื่อนิกายแท่นบูชาทองลับสายตาไปแล้ว ศิษย์รุ่นเยาว์ก็พูดขึ้นว่า “ข้ารู้สึกถึงอันตรายจากชายคนนั้น…”
“ข้าก็ด้วย…”
“ลืมพวกเขาไปเสีย พวกเรารีบไปยังชั้นสี่กัน ซึ่งข้าจักได้จัดห้องให้พวกเจ้า” โหลวหลานจีกล่าวก่อนที่จะพาเหล่าศิษย์ขึ้นไปยังชั้นบน
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 306
DC บทที่ 306: ปรมาจารย์กระบี่ศักดิ์สิทธิ์
“ล้อเลียนพอแล้ว…” ผู้อาวุโสจงกล่าวด้วยดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเขาเคารพในสำนึกกระบี่อันลึกล้ำของซูหยาง เขาคงตบไปที่ซูหยางเรียบร้อยแล้วที่พูดคำพูดแบบนั้น
“ผู้เฒ่าคนนี้เป็นใคร”
ไม่มีใครในที่นั้นจดจำผู้อาวุโสจงได้นอกจากคาดคิดไปยังภูมิหลังของเขา อารามกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ สำนักระดับสูงที่อยู่เหนือสำนักระดับสูงอื่นๆ ตามจริงแล้วไม่ถือเป็นการพูดเกินจริงเลยที่จะเรียกอารามกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ว่าเป็นหนึ่งในขุมกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปแห่งนี้
อย่างไรก็ตามยังมีหนึ่งคนที่นั่นที่จดจำหน้าตาผู้อาวุโสจงได้ และคนนั้นก็คือผู้อาวุโสสูงสุดหาน ซึ่งยืนอยู่ที่นั่นด้วยท่าทางไม่อยากเชื่อราวกับว่าเขาเพิ่งพบกับไอดอลของตนเอง
“ปรมาจารย์กระบี่ศักดิ์สิทธิ์ จงเชาหวง” ผู้อาวุโสสูงสุดหานพึมพัมชื่ออีกฝ่ายด้วยความตระหนก
“เจ้าพูดอะไร จงเชาหวงรึ”
ผู้คนตรงนั้นพลันนึกถึงชื่อนั้นและสุดท้ายก็จดจำได้ว่าใครที่พวกเขากำลังมองดู ตามจริงมีเพียงไม่กี่คนที่ไม่รู้จักปรมาจารย์กระบี่ศักดิ์สิทธิ์ หนึ่งในปรมาจารย์กระบี่สูงสุดในโลกนี้
“น-นั่นเป็นปรมาจารย์กระบี่ศักดิ์สิทธิ์ ใครจะคิดว่าประมุขของอารามกระบี่ศักดิ์สิทธิ์จะอยู่ที่นี่”
“ป-ประมุขของอารามกระบี่ศักดิ์สิทธิ์รึ”
ผู้คนของนิกายดอกบัวเพลิงมองไปยังผู้อาวุโสจงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชม
“อย่างไรก็ตาม ถ้าเจ้ามิถือ ข้าขอตัวเข้าเมืองก่อนตอนนี้” ผู้อาวุโสจงกล่าวเมื่อฝูงชนเริ่มส่งเสียงอึกทึก
ยามพลันหันไปมองยังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและกล่าวว่า “พวกเจ้าขวางทางอารามกระบี่ศักดิ์สิทธิ์อยู่ หลีกไปก่อนที่ข้าจักช่วยเจ้า”
“…”
ผู้อาวุโสจงมองดูยามเหล่านี้ด้วยท่าทางงงงัน ก็เห็นชัดอยู่ว่าเขามีความคุ้นเคยกับซูหยาง แต่ยามเหล่านี้กลับกล้าที่จะพูดกับพวกเขาด้วยทัศนคติแบบนั้นนะรึ ยามพวกนี้กร่างหรือว่าโง่กันแน่
อย่างไรก็ตาม ในเมื่อเขาไม่ต้องกรให้สถานการณ์บานปลายไปมากกว่านั้น ผู้อาวุโสจงก็พลันโยนเหรียญทองไปยังซูหยางและกล่าวว่า “เจ้ารับนี่ไว้…”
ซูหยางรับเหรียญไว้ด้วยการเคลื่อนไหวอันราบรื่นในขั้นตอนเดียว จากนั้นก็มองไปยังเหรียญที่มีชื่อสกุล “ซี” แกะสลักไว้
“ข้ามิเกรงใจแล้ว” ซูหยางกล่าว
เขาจึงแสดงให้ยามเห็นเหรียญและกล่าวว่า “ด้วยสิ่งนี้ เจ้าคงมิมีปัญหาในการปล่อยให้พวกเราผ่านในตอนนี้ ใช่ไหม”
“อื๋อ…”
บรรดายามต่างพากันงุนงงไปกับเหตุที่เกิดโดยไม่คาดคิด และยืนอยู่ที่นั่นด้วยท่าทางตะลึงงัน
“ข้าจักถือว่านั่นเป็นการยอมรับ…”
ซูหยางเดินเข้าไปในเมืองโดยไม่รอให้ยามตอบสนอง “พวกเจ้ารออะไรอยู่” เขาหันตัวกลับไปและพูดกับศิษย์คนอื่น
“…”
แม้ว่าพวกเขาจะมีคำถามนับสิบสำหรับเขา แต่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ยังคงติดตามซูหยางเข้าไปในเมือง
ครั้นเมื่อนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเข้าไปในเมืองหิมะร่วงแล้ว ผู้อาวุโสสูงสุดหานก็ไม่อาจเก็บความสงสัยไว้ได้อีกและได้ถามซูหยางว่า “ท-ท่านมีความสัมพันธ์ใดกับปรมาจารย์กระบี่ศักดิ์สิทธิ์”
ซูหยางตอบอย่างราบเรียบ “พวกเรามิได้มีความสัมพันธ์ใดกันอย่างแท้จริง ข้าเพียงพบกับเขาครั้งหนึ่งก่อนหน้านี้ และนั่นก็เป็นเวลาเพียงชั่วขณะ”
ผู้อาวุโสสูงสุดหานไม่พบข้อผิดพลาดใดในคำของซูหยางแต่เขาก็ยังคงถามต่อ “ถ้าเช่นนั้นอะไรที่เป็นเหตุให้เขายกเหรียญทองให้ท่าน”
ซูหยางยักไหล่ “ข้ามิรู้เช่นกัน ถามเขาก็แล้วกันถ้าท่านสงสัย”
“…”
ผู้อาวุโสสูงสุดหานพลันไร้คำพูด เขาหรือจะมีความกล้าที่จะเดินไปหาคนอย่างปรมาจารย์กระบี่ศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งกว่านั้นยังต้องพูดกับอีกฝ่ายด้วย
“ข้ายังคงสามารถเข้าไปได้หรือไม่ในเมื่อข้ามิมีสิ่งยืนยันตัวตนอะไรอีกต่อไปแล้ว” ผู้อาวุโสจงถามยามด้วยเสียงราบเรียบ
“น-น-แน่นอนขอรับ”
นั่นไม่ต้องใช้เวลาสำหรับยามในการตอบสนองอีกแม้สักวินาที ในเมื่อพวกเขาไม่มีทางที่ปฏิเสธประมุขของอารามกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งถือได้ว่าเป็นเพื่อนคนสำคัญของตระกูลซี
หลังจากที่ผู้อาวุโสจงเข้าไปในเมือง เขาก็พูดกับซูหยางว่า “แม้ว่าข้าต้องการที่จะอยู่ที่นี่พูดกับเจ้าให้นานอีกสักหน่อย แต่ข้ามีการประชุมที่จะต้องเข้าร่วม”
“ข้ามั่นใจว่าเราจักพบกันอีกครั้งในเมืองนี้เร็วๆนี้” ซูหยางพูดด้วยรอยยิ้มลึกลับ
ผู้อาวุโสจงหรี่ตามองซูหยาง แต่ว่าเขาตัดสินใจนิ่งเงียบไว้ก่อนที่จะจากไปในเวลาต่อมา
ครั้นเมื่อผู้อาวุโสจงจากไปแล้ว นิกายดอกบัวเพลิงก็แยกจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยในเวลาอีกไม่กี่นาทีต่อมาเช่นกัน
“พวกเจ้าพักอยู่ที่ไหนกัน ข้ามีธุระบางอย่างกับเจ้าหลังจากนั้น” หวังชูเหรินถามซูหยางก่อนจาก
“สถานที่ซึ่งเรียกว่าโรงเตี๊ยมเกล็ดหิมะ”
หวังชูเหรินพยักหน้า แถมด้วยขยิบตาให้กับเขา “ข้าจักไปพบกับเจ้าเร็วๆนี้..”
ซูหยางได้แต่ยิ้มให้กับเจตนาอันชัดเจนของเธอ
หลังจากที่นิกายดอกบัวเพลิงจากไปแล้ว โหลวหลานจีก็พูดขึ้นว่า “พวกเราก็รีบไปยังโรงเตี๊ยมของเราและเข้าพักกันเถอะ”
ขณะที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยไปตามเส้นทางมุ่งสู่โรงเตี๊ยมของพวกเขา ศิษย์รุ่นเยาว์ต่างก็พากันชื่นชมซูหยางโดยไม่ระงับยับยั้ง
“ดังที่คาดไว้ที่ศิษย์พี่ชายเป็นเพื่อนกับคนผู้นั้นที่เป็นถึงปรมาจารย์กระบี่ศักดิ์สิทธิ์”
“เจ้าเห็นถึงวิธีที่เขาดูแลศิษย์พี่ชายของพวกเราหรือไม่ นั่นเหมือนกับว่าเขาเห็นศิษย์พี่ชายมีศักดิ์เท่าเทียมกัน ทั้งที่เขาเป็นปรมาจารย์กระบี่ศักดิ์สิทธิ์”
เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ต่างพากันพูดด้วยบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความรื่นเริง
“…”
โหลวหลานจีและผู้อาวุโสนิกายไม่รู้ว่าควรจะตอบสนองอย่างไรกับคำพูดของเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้
“ซูหยางคนนี้… ไม่เพียงแต่เขารู้จักหวังชูเหริน หนึ่งในนักปรุงยาที่มีชื่อเสียงที่สุดในทวีปแต่เขายังมีความสัมพันธ์กับปรมาจารย์กระบี่ศักดิ์สิทธิ์ หนึ่งในจอมกระบี่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในทวีปแห่งนี้ด้วย จะมีคนที่มีชื่อเสียงคนไหนบ้างที่เขาไม่รู้จัก” โหลวหลานจีถอนใจ
ส่วนสำหรับศิษย์คนอื่น พวกเธอก็ประหลาดใจเช่นกันที่ซูหยางรู้จักกับคนสำคัญเช่นนี้ อย่างไรก็ตามไม่มีใครจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยตกใจมากนัก ราวกับว่าพวกเขาได้คุ้นเคยกับการทำให้ตระหนกจากซูหยางไปเรียบร้อยแล้ว
เวลาหลังจากนั้น พวกเขาก็ไปถึงหน้าของโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่ที่มีขนาดเท่ากับคฤหาสน์
“เทพเจ้า… ข้ามิเคยเห็นโรงเตี๊ยมใหญ่เช่นนี้มาก่อน..”
ลืมเรื่องศิษย์รุ่นเยาว์ไปได้เลยเมื่อกระทั่งผู้อาวุโสนิกายก็ยังตะลึงงันไปกับขนาดของสถานที่นี้
อย่างไรก็ตามขนาดของโรงเตี๊ยมขนาดนี้เป็นเรื่องปกติภายในเมืองหิมะร่วง ตามจริงแล้วสถานที่นี้สามารถถึงได้ว่ามีขนาดปานกลางเมื่อเทียบกับโรงเตี๊ยมอื่นที่มีขนาดใหญ่กว่าและหรูหรากว่า
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 305
DC บทที่ 305: ห้ามเข้า
หลังจากที่นิกายกุสุมาลย์พ้นเริ่มติดตามด้านหลังนิกายดอกบัวเพลิง พวกเขาก็กลับมาเป็นศูนย์กลางความสนใจอีกครั้ง
“คนเหล่านี้ที่ตามหลังนิกายดอกบัวเพลิงเป็นใครกัน”
ผู้คนด้านนอกเมืองหิมะร่วงกระซิบกระซาบกัน
“ข้ามิเคยเห็นชุดของพวกเขามาก่อน…”
“ข้าก็มิเคยเช่นกัน…”
“ทำไมถึงมิมีใครในที่นี้จดจำกลุ่มคนที่โดดเด่นเช่นนั้นได้เช่นเดียวกับข้า…”
“มิว่าพวกนั้นเป็นใคร หากสามารถได้รับการสนับสนุนจากนิกายดอกบัวเพลิง พวกเขาต้องมีความสัมพันธ์พิเศษกันแน่”
ในเวลานั้นภายในเกวียนคันหนึ่งของนิกายดอกบัวเพลิง ผู้อาวุโสสูงสุดหานกำลังขมวดคิ้ว
“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมาทำอะไรที่นี่กัน พวกเขาคงมิเดินทางมาที่นี่เพียงเพื่อชมดูการแข่งขัน ใช่ไหม หรือว่าพวกเขาวางแผนที่จะเข้าร่วมเช่นกัน”
ผู้อาวุโสสูงสุดหานครุ่นคิดในใจ อย่างไรก็ตามเพราะว่าเขาไม่เชื่อว่าผู้ที่ทรงอำนาจอย่างเช่นซูหยางจะเป็นเพียงแค่ศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย อย่าว่าแต่มีอายุเข้าเกณฑ์ของการแข่งขัน เขาไม่กังวลว่านิกายดอกบัวเพลิงอาจจะต้องปะทะกับซูหยางระหว่างการแข่งขันแม้แต่น้อย
ถ้าจะกล่าวไปแล้วเขาพบว่าการปรากฏตัวของอีกฝ่ายที่นี่นั้นแปลกประหลาดมาก มองดูจำนวนคนในกลุ่มของอีกฝ่ายในปัจจุบัน นั่นควรจะถือได้ว่าเกือบทั้งหมดของประชากรของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยซึ่งเป็นจำนวนที่ไม่มีคุณสมบัติที่พอจะถือได้ว่าเป็นสำนัก
ยิ่งไปกว่านั้น เห็นได้ชัดว่าศิษย์สาวสวยเก้าที่ตรงหน้านั้นจะเป็นผู้ที่เข้าร่วม ในเมื่อพวกเธอเป็นเพียงพวกเดียวในกลุ่มที่เข้าเกณฑ์ อย่างไรก็ตามนี่ยิ่งทำให้สถานการณ์ยิ่งสับสนยิ่งขึ้นในเมื่อการแข่งขันระดับภูมิภาคต้องการสมาชิกสิบคน
“บางทีพวกเขามาที่นี่เพียงเพื่อดูการแข่งขันเช่นนั้นอย่างแน่นอน”
ผู้อาวุโสหานตัดสินใจที่จะไม่คิดมากเกินไปเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตราบเท่าที่นีิกายดอกบัวเพลิงไม่ต้องพบเจอกับซูหยาง ก็ไม่มีอะไรน่าสนใจเกี่ยวกับแผนการของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
“ข้าพอจะดูบัตรประจำตัวของท่านหน่อยได้ไหม”
ยามคนหนึ่งตรงทางเข้าถามเมื่อนิกายดอกบัวเพลิงเข้าไปถึง
ไม่นานนักนิกายดอกบัวเพลิงก็แสดงเหรียญทองที่มีชื่อสกุล “ซี” สลักติดตรงกลาง
“ขอบคุณท่านแขกผู้ทรงเกียรติ”
ยามไม่ถามคำถามอื่นอีกต่อไปเพียงเปิดประตูใหญ่ให้กับพวกเขา อย่างไรก็ตามก่อนที่พวกเขาจะเข้าไปในประตูใหญ่ คนจากนิกายดอกบัวเพลิงก็ออกจากเกวียนเมื่อพวกเขาไม่ได้วางแผนที่จะนั่งเกวียนเข้าไปในเมือง
“…”
เมื่อเหล่าศิษย์และผู้อาวุโสนิกายออกมาจากเกวียนและสังเกตเห็นนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งซูหยาง สีหน้าของพวกเขาก็พลันเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น แย่ไปกว่านั้นความทรงจำของพวกเขาจากความปั่นป่วนที่อีกฝ่ายเป็นต้นเหตุในสถานที่ของพวกเขานั้นพลันปรากฏขึ้นมาอีก
เพราะว่าพวกเขาได้อยู่แต่ในเกวียนมาโดยตลอดและหวังชูเหรินไม่ได้อธิบายสถานการณ์ให้กับพวกเขา คนเหล่านี้จึงไม่รู้แม้แต่น้อยว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้ตามติดด้านหลังพวกเขามาโดยตลอด
“ใจเย็นๆ เขามิทำร้ายเจ้าหรอก…” ผู้อาวุโสสูงสุดหานพูดด้วยน้ำเสียงกระอักกระอ่วนหลังจากที่สังเกตเห็นท่าทางแข็งทื่อของพวกเขา “จริงแล้วเพียงแค่อย่าสนใจเขา…”
เหล่าศิษย์ไม่ได้ตอบสนองแม้ว่าหลังจากเวลาผ่านไปสักพัก ราวกับว่าพวกเขาไม่รู้ว่าจะสามารถเพิกเฉยตัวตนอันยิ่งใหญ่ของอีกฝ่ายที่ยังคงวนเวียนอยู่ในใจของพวกเขาได้หรือไม่
“พวกเจ้ายืนอยู่ที่นี่ทำอะไรกัน รีบเร็วเข้า เรายังต้องไปพบกับผู้นำนิกายและคนอื่นๆอีก”
หวังชูเหรินซึ่งอยู่ด้านในเมืองเรียบร้อยแล้วพูดด้วยเสียงอันดัง
“ด-เดี๋ยวนี้เลยขอรับ”
ทันทีที่นิกายดอกบัวเพลิงผ่านเข้าไปในประตู นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ตามพวกเขามาจากทางด้านหลัง
อย่างไรก็ตามดังที่คนคาดคิดไว้ พวกเขาพลันถูกหยุดยั้งลงด้วยยามในทันที
“ข้าพอจะดูบัตรประจำตัวของท่านหน่อยได้ไหม”
“พวกเขามากับข้า” หวังชูเหรินกล่าวเมื่อเธอเห็นเช่นนั้น
“ถ้าพวกเขามิมีบัตรประจำตัวอะไร ต่อให้เขาเป็นเพื่อนของท่าน ข้าก็เกรงว่าข้ามิอาจจะยอมให้พวกเขาผ่านเข้าไปเช่นนี้ได้ ในเมื่อนี่เป็นกฏที่ตั้งขึ้นไว้โดยท่านเจ้าเมืองของเมืองนี้”
หวังชูเหรินขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “เจ้าเมืองของที่แห่งนี้คือตระกูลซีใช่ไหม ถ้าตระกูลซีให้สิทธิพวกเราในการเข้า ทำไมพวกเขาซึ่งมากับข้าจึงเข้าไม่ได้ด้วย เรามาที่นี่ด้วยกัน เข้าใจไหม”
นี่ย่อมเป็นการตบหน้าหวังชูเหรินอย่างแรงถ้าพวกเขาไม่ยอมให้นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเข้าหลังจากที่เธอได้พูดกับพวกเขาไว้แล้ว อย่างไรก็ตามที่แย่ที่สุดสำหรับเรื่องนี้ทั้งหมดก็คือเธอจะต้องได้รับความอับอายต่อหน้าซูหยาง บางอย่างที่เธอพยายามหลีกเลี่ยงทุกวิถีทาง
“นอกจากว่าพวกเขามีบัตรแสดงตัว มิเช่นนั้นพวกเขาต้องจ่ายภาษีและรอในแถวเหมือนกับคนอื่นๆ”
ยามยังคงไม่หวั่นไหว
“…”
โหลวหลานจีย่อมไม่พอใจกับสถานการณ์นี้เช่นกัน ถ้าพวกเขาต้องกลับไปที่แถวในตอนนี้ พวกเขาต้องกลับไปที่ท้ายสุดของแถว เสียเวลาพวกเขาไปอีกหลายชั่วโมง
“ข้าน่าจะรู้ว่าเราควรจะเลิกสนใจข้อเสนอของเธอและอยู่ในแถว” เธอบ่นในใจ
ขณะที่หวังชูเหรินและยามเริ่มโต้เถียงกันและกันเกี่ยวกับสถานการณ์นั้นต่อไปอีกหลายนาที ความปั่นป่วนก็เกิดขึ้นอีกครั้งด้านหลังของพวกเขา
“นั่นอารามกระบี่ศักดิ์สิทธิ์”
“โอพระเจ้าของข้า ข้ามิคิดว่าจะมีโอกาสได้เห็นพวกเขาใกล้ชิดเพียงนี้ในชีวิต”
ผู้คนต่างพากันโห่ร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น บรรยากาศที่กระทั่งนิกายดอกบัวเพลิงไม่อาจทำให้เกิดขึ้นได้
“อารามกระบี่ศักดิ์สิทธิ์รึ”
ซูหยางเลิกคิ้วเมื่อได้ยินชื่อนี้ เมื่อฟังดูรู้สึกคุ้นเคย
ไม่นานหลังจากนั้น เกวียนสีขาวสองคันที่มีกรอบเป็นสีทองก็มาถึงประตู
อย่างไรก็ตามเพราะว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยยังคงอยู่ที่ปากทางเข้า อารามกระบี่ศักดิ์สิทธิ์จึงต้องหยุดชะงักอยู่เบื้องหลังพวกเขา
“มิว่าอย่างไร ข้าก็จักมิย้ายไปจากจุดนี้จนกว่าเจ้าจะปล่อยให้พวกเขาเข้าไป” หวังชูเหรินไม่สนใจเกี่ยวกับอารามกระบี่ศักดิ์สิทธิ์และยังคงโต้เถียงกับยามซึ่งค่อนข้างจะรำคาญอยู่บ้างในตอนนี้
แต่ต่อให้พวกเขาต้องล่วงเกินสำนักระดับสูง พวกเขาก็ไม่อาจไม่เชื่อฟังคำพูดของตระกูลซีที่เปรียบเสมือนกับกฏสวรรค์
“เกิดอะไรขึ้นที่นี่รึ”
เสียงที่เป็นของผู้ชราพลันดังขึ้น
“ผ-ผู้อาวุโส”
ยามพลันจดจำเสียงนี้ได้ทันทีและตรงไปยังเกวียนของอารามกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่สนใจหวังชูเหรินและนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
“ท่านดูสิ คนเหล่านี้ที่นี่…”
ยามอธิบายสถานการณ์อย่างรวดเร็วให้กับคนที่อยู่ในเกวียนคันแรก
“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย..เจ้าว่างั้นรึ”
เสียงชรานั้นฟังดูค่อนข้างประหลาดใจเมื่อได้ยินชื่อนี้ ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นประตูเกวียนคันแรกก็เปิดออก และชายชราก็ออกมาจากเกวียนอย่างเร่งรีบ
“เป็นเจ้าจริงๆ”
ชายชราตาโตขึ้นมาด้วยความประหลาดใจเมื่อเขาสังเกตเห็นใบหน้าหล่อเหลาของซูหยาง
เมื่อซูหยางเห็นชายชรานี้ สุดท้ายเขาก็นึกขึ้นได้ว่าทำไมชื่อ “อารามกระบี่ศักดิ์สิทธิ์” จึงฟังดูคุ้นเคย
“นั่นมิใช่ท่านผู้เฒ่าซึ่งอยู่กับนายหญิงน้อยวันนั้นรึ” เขากล่าวด้วยรอยยิ้มสุภาพบนใบหน้าเรียบเฉย
ใช่แล้ว ชายชราคนนี้คือผู้อาวุโสจง คนที่ซูหยางพบระหว่างการเดินทางไปยังหุบเขาฟ้าคำราม และเป็นเวลานั้นที่เขาได้พบกับซีซิงฟาง หญิงสาวจากตระกูลซีที่มีร่างสวรรค์รู้จักกันในฐานะ “ร่างร้อยพิษมิกราย”
“จ-จ-เจ้า… เจ้ามาทำอะไรที่นี่” ผู้อาวุโสจงถามเขาโดยไม่ได้คิดเนื่องมาจากความประหลาดใจ
“แน่นอนว่ามาพบกับนายหญิงน้อยอีกครั้ง…” เขาตอบด้วยเสียงที่เหมือนล้อเลียนผู้อาวุโสจง
แต่ผู้อาวุโสจงจะรู้สักนิดก็หาไม่ว่า ซูหยางพูดจริงอย่างที่สุดแล้ว
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 304
DC บทที่ 304: การดูแลเป็นพิเศษ
“มีอะไรรึ ศิษย์พี่ชาย ท่านโบกมือให้ใครรึ” ซุนจิงจิงถามเขา
“แค่เพื่อนคนหนึ่งท่ามกลางฝูงชน” เขาตอบด้วยรอยยิ้มลึกลับ
“…”
โหลวหลานจีมองดูซูหยางด้วยแววตาสงสัย เห็นได้ชัดว่าเขาโบกมือไปที่สำนักหงส์สวรรค์ แต่ทำไมเขาต้องโบกมือให้กับพวกนั้น
หลังจากที่สำนักหงส์สวรรค์ไปพ้นจากบริเวณนั้นแล้ว นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ตรงเข้าไปรอในแถว
หนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น ความวุ่นวายก็มาอีกครั้ง
“ดูนั่น นิกายดอกบัวเพลิง”
ฝูงชนเปลี่ยนเป็นตื่นเต้นซึ่งดูเหมือนจะมากยิ่งกว่าเมื่อตอนสำนักหงส์สวรรค์มาถึงก่อนหน้านี้
ช่วงเวลาสองสามเดือนไม่นานมานี้ นิกายดอกบัวเพลิงยิ่งมายิ่งมีความเกี่ยวพันกับทวีปมากยิ่งขึ้น กระทั่งได้รับการยอมรับว่าเป็นสำนักระดับสูงจากตระกูลซี
สำนักระดับสูงคือสำนักที่ได้พิสูจน์ว่าพวกเขามีคุณค่าอยู่ในระดับสูง ตัวอย่างเช่นสำนักหงส์สวรรค์และนิกายล้านอสรพิษ และมีเพียงตระกูลซีที่มีสิทธิ์ที่จะตัดสินว่าใครเป็นนิกายระดับสูง
แน่นอนว่าเหตุผลที่ใหญ่ที่สุดสำหรับนิกายดอกบัวเพลิงสำหรับการเติบโตด้วยความโดดเด่นเช่นนั้นในช่วงเวลาสั้นๆทั้งหมดก็เพราะหวังชูเหรินและโอสถดอกบัวเพลิงของเธอ
ไม่เพียงแต่เม็ดยาดอกบัวเพลิงเพิ่มพลังการฝึกปรือของศิษย์ของพวกเขาโดยรวม แต่มันยังทำให้พวกเขาร่ำรวยถึงที่สุดด้วย และด้วยความร่ำรวยและอำนาจอันมหาศาลของพวกเขา ตระกูลซีจึงตัดสินใจให้นิกายดอกบัวเพลิงเป็นสำนักระดับสูง
สำหรับหวังชูเหริน ต้นเหตุโดยตรงของเรื่องนี้ เธอก็กลายเป็นหนึ่งในคนสำคัญถึงที่สุดของทวีปตะวันออก สาเหตุหลักก็เพราะว่าความสามารถทางด้านการปรุงยาอันลึกล้ำของเธอและโอสถดอกบัวเพลิง
“นิกายดอกบัวเพลิงมีชื่อเสียงเช่นนี้ตลอดมารึ” หนึ่งในศิษย์รุ่นเยาว์ถาม
“ไม่ ข้ามิคิดเช่นนั้น…” อีกคนกล่าว
นิกายดอกบัวเพลิงและเกวียนสีแดงของพวกเขาขับเคลื่อนไปอย่างช้าๆมุ่งสู่ทางเข้า อย่างไรก็ตามขณะที่พวกเขามาถึงกลางทาง ขบวนเกวียนก็พลันหยุดชะงัก
“ทำไมพวกเขาจึงหยุดอยู่ตรงนั้น”
ผู้คนต่างพากันคิดสงสัย
ไม่นานหลังจากนั้นประตูของเกวียนคันแรกก็เปิดออก และหญิงสาวสวยพร้อมกับรูปร่างอันน่าจับใจก็ก้าวออกมาจากเกวียน
“นั่นผู้อาวุโสหวัง”
สายตานับไม่ถ้วนพลันตกลงไปบนหวังชูเหรินและร่างกายอันอวบอัดของเธอวินาทีที่เธอปรากฏตัวขึ้น
มีคนมากมายที่นั่นทีพลันหลงเสน่ห์กลิ่นอายสาวสะพรั่งของเธอ ทั้งถูกกระตุ้นด้วยรูปลักษณ์ที่เย้ายวนของเธอด้วย
“นั่นผู้อาวุโสหวังรึ เธอสวยและมีเสน่ห์ยิ่งกว่าคำร่ำลือ”
“มิเพียงแต่เธอมีรูปร่างของเทพธิดาแต่เธอก็ยังเป็นนักปรุงยาอัจฉริยะ เธอถือว่าเป็นหญิงที่สมบูรณ์แบบได้อย่างแท้จริง”
ในเวลานั้น หวังชูเหรินไม่สนใจสายตาผู้ใดและเดินตรงไปยังแถวที่ซึ่งนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยยืนอยู่
“เธอมาทางนี้”
ศิษย์รุ่นเยาว์ชายสามารถรู้สึกได้ว่าหัวใจของพวกเขาเต้นแรงราวกับตีกลอง ใบหน้าของพวกเขาแดงก่ำด้วยความอาย เมื่อการปรากฏตัวของหวังชูเหรินนั้นมากเกินสำหรับเด็กหนุ่มจะรับไหว
“ม-มิใช่แน่ เธอมองมาทางนี้”
บรรดาศิษย์ยิ่งเกิดความตื่นเต้นมากขึ้นขณะที่หวังชูเหรินตรงเข้ามาหาพวกเขาด้วยการเยื้องย่างอันยั่วเย้า
“พวกเจ้าก็อยู่ที่นี่กันรึ…”
หวังชูเหรินยืนอยู่ตรงหน้านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
“สักพักหนึ่งแล้ว” ซูหยางพูด
“ซูหยาง…”
หวังชูเหรินไม่รู้ว่าควรตอบกับคำพูดของเขาอย่างไร ในเมื่อเธอเพิ่งจะเห็นเขาเพียงแค่สองสัปดาห์ก่อน… ในห้องของเขา…
แน่นอนว่านับตั้งแต่กิจกรรมร่วมฝึกคู่กับซูหยางครั้งแรก หวังชูเหรินได้กลับมาหลายครั้งระหว่างช่วงเดือนที่ผ่านมา และเพื่อที่จะไม่ทำให้เกิดความสงสัย เธอก็ทำเหมือนกับว่าเธอมาทำธุรกิจกับซูหยาง
ดังนั้นนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจึงมีโอสถดอกบัวเพลิงเก็บไว้มากมายเป็นผล
“ว่าไปแล้ว ท่านต้องการอะไรจากพวกเรารึ” โหลวหลานจีก้าวออกไปข้างหน้าถามอีกฝ่าย ในเมื่อเธอไม่อาจระบุได้ว่าหวังชูเหรินวางแผนอะไรไว้
“มิมีอะไรมากนัก เพียงแต่ว่าถ้าท่านมิต้องการที่จะยืนอยู่ที่นี่ตลอดทั้งวัน ทำไมท่านมิติดตามพวกเราเข้าไปในเมืองล่ะ” หวังชูเหรินกล่าว
แม้ว่าเธอทำเหมือนกับว่าเธอต้องการช่วยนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย แต่เจตนาที่แท้จริงของเธอก็คือช่วยซูหยาง ซึ่งเป็นเหตุผลเดียวที่นิกายดอกบัวเพลิงและตัวเธอเองสามารถเสพสุขกับสิทธิพิเศษในฐานะสำนักระดับสูง
โหลวหลานจีหรี่ตา เห็นชัดว่าสงสัยหวังชูเหริน ถ้าจะพูดไปทำไมคนที่มีชื่อเสียงและได้รับความนับถืออย่างเช่นอีกฝ่ายจึงปฏิบัติต่อพวกเธออย่างสุภาพนัก ทำไมอีกฝ่ายจึงมาทำธุรกิจด้วยในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เพราะยังมีสถานที่อื่นอีกมากนักที่หวังทำธุรกิจกับอีกฝ่าย ดังนั้นทำไมจึงเป็นพวกเธอที่ได้รับการดูแลเป็นพิเศษ
ทุกสิ่งที่หวังชูเหรินเสนอดูเหมือนจะมีความไม่ชอบมาพากลสำหรับโหลวหลานจี
หวังชูเหรินสังเกตเห็นความสงสัยของโหลวหลานจีเพียงแค่จากสายตาของอีกฝ่าย เธอจึงกล่าวว่า “ท่านสามารถยืนอยู่ที่นี่ต่อได้ถ้าต้องการ แต่ข้าหวังว่าท่านมีที่พักสำรองไว้ล่วงหน้าแล้ว มิง่ายนักที่จักพบสักที่หลังจากนี้”
“ขอบคุณสำหรับความห่วงไยเกี่ยวกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยของข้า แต่ข้าได้เตรียมสถานที่พักสำหรับพวกเราเรียบร้อยแล้ว”
“ถ้าเช่นนั้นละก็”
หวังชูเหรินไม่รบกวนพวกเขาอีกต่อไปและเริ่มเดินกลับไปยังเกวียนไม่นานหลังจากนั้น
“ผู้นำนิกาย.. ทำไมท่านจึงมิรับข้อเสนอของเธอ ในเมื่อเธอได้เสนอเช่นนี้…”
ผู้อาวุโสนิกายมองดูโหลวหลานจีด้วยท่าทางงุนงง ในเมื่อพวกเขาไม่อาจหาสิ่งที่เป็นเหตุเป็นผลในการปฏิเสธข้อเสนอของหวังชูเหริน
“ข้ามิรู้ เพียงแต่ว่ามีบางสิ่งในวิธีการที่เธอเข้ามาหาพวกเรานั้นค่อนข้างแปลก จับต้นชนปลายไม่ได้…”
ซูหยางหัวเราะในใจหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเธอ
เขาพลันพูดขึ้นว่า “ท่านผู้นำนิกาย ข้าคิดว่าเราควรตามพวกเขาไป”
“ซูหยาง เจ้า..”
โหลวหลานจีมองดูเขาด้วยดวงตาค่อนข้างโตเล็กน้อย บางทีเขาอาจจะเป็นเหตุผลที่แท้จริงที่ทำไมหวังชูเหรินมาหาพวกเขาตั้งแต่แรก ไม่ใช่สำหรับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย มิน่าทำไมเธอจึงรู้สึกว่าจึงมีบางสิ่งเป็นที่น่าสงสัย
เมื่อหวังชูเหรินได้ยินคำพูดของซูหยาง เธอก็พลันชะงักการเคลื่อนที่และหันกลับมามองพวกเขา
“ข้ารู้แล้ว เธอมิได้ให้กับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย แต่เป็นซูหยางที่ได้รับการดูแลเป็นพิเศษจากเธอ”
โหลวหลานจียืนยันเรื่องนี้ได้หลังจากที่เห็นปฏิกิริยาของหวังชูเหริน
“ฮ้าาา…” เธอถอนใจยอมแพ้หลังจากนั้น ก่อนที่จะพยักหน้าตกลงกับคำแนะนำของเขา
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 302
DC บทที่ 302: ดึงดูดความสนใจที่ไม่พึงประสงค์
“น-นั่นเป็นนิกายล้านอสรพิษ พวกเราจักทำอย่างไรดีถ้าพวกนั้นเห็นเรา ท่านผู้นำนิกาย”
ผู้อาวุโสนิกายเริ่มตื่นกลัวเมื่อพวกเขาเห็นธงงูนั้น ร่างกายของพวกเขาสั่นสะท้านจากความกลัว
“ใจเย็น” โหลวหลานจีกล่าวเสียงดัง เสียงของเธอค่อนข้างจะเป็นกังวลเล็กน้อย
“พวกเขามิรู้ว่าพวกเราอยู่ที่นี เพียงแค่ขับเกวียนให้ช้าลงและทิ้งระยะห่างระหว่างพวกเรากับพวกเขา”
เวลาต่อมาเกวียนก็เริ่มช้าลง
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ครั้นเมื่อนิกายล้านอสรพิษลับหายไปจากสายตา โหลวหลานจีและผู้อาวุโสนิกายต่างก็พากันหายใจโล่งอก โดยเฉพาะโหลวหลานจีซึ่งดีใจที่เธอไม่ได้แสดงธงของตนเองและทำตัวไม่เป็นที่ดึงดูดความสนใจ
“น-นั่นช่างน่ากลัวนัก… ใครจะคิดว่าเราจะพบกับพวกเขาเร็วเช่นนี้…”
“แม้ว่าเราจะหลีกพวกเขาได้ในตอนนี้ เรายังต้องพบเจอกับพวกเขาระหว่างการแข่งขันระดับภูมิภาคหรือไม่ก็เร็วกว่านั้น จงทำใจไว้เสียก่อนในเมื่อเรามิอาจที่จะหนีอย่างนี้ต่อไปได้…” ผู้อาวุโสซุนถอนใจ
โหลวหลานจีพยักหน้าและกล่าวเสริมว่า “ผู้อาวุโสซุนพูดถูก เราจักต้องเผชิญหน้ากับพวกเขาไม่ช้าก็เร็ว ถ้าเราแสดงความอ่อนแออะไรแม้เพียงนิดเดียวในระหว่างนั้น เราอาจจะมิมีชีวิตยืนยาวพอที่จะกลับไปนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย อย่าว่าแต่จะซ่อมแซมนิกายให้กลับสู่สภาพปกติ”
“โชคยังดีที่เมืองหิมะร่วงห้ามอย่างชัดเจนมิให้มีการเข่นฆ่ากันระหว่างองค์กร ดังนั้นพวกเราอย่างน้อยก็สามารถเปิดเผยหน้าตาของเราได้โดยไม่ต้องหวาดระแวง กล่าวไปแล้วเราก็ยังต้องคงความตื่นตัวไว้ ในเมื่อเรามิอาจมั่นใจได้อย่างเต็มที่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น” โหลวหลานจีพูด
“ใช่แล้ว นิกายล้านอสรพิษมีอำนาจมหาศาลในทวีปตะวันออก ไม่น่าแปลกใจเลยถ้าพวกเขาจะเพียงแค่ถูกตีมือหลังจากที่ฝ่าฝืนกฏ…”
“พวกเขายังสามารถลบผู้คนทิ้งไปโดยไม่ทิ้งร่องรอยไว้..”
ผู้อาวุโสนิกายเพียงทำให้ตัวเองกังวลใจมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อเผยถึงสถานการณ์ที่เป็นไปได้เหล่านี้
“ใจเย็นๆ.. หลังจากที่เกิดสิ่งเหล่านั้นกับพวกเขา ข้าเดาว่าพวกเขาจักต้องพยายามหาเรื่องกับพวกเราในเร็วๆนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ผู้อาวุโสเตือน”
“ในเมื่อผู้นำนิกายพูดเช่นนั้น…”
ในเวลานั้น ศิษย์คนอื่นก็สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในการเดินทางของพวกเขา
“นั่นเป็นนิกายล้านอสรพิษ…” ฟางซีหลานขมวดคิ้วเมื่อเธอสังเกตเห็นพวกเขาจากหน้าต่าง
“พ-พวกเราควรทำยังไงดีถ้าพวกเขาเห็นเรา” หนึ่งในเหล่าศิษย์ถาม
“นั่นคงมิเป็นไร เรามิได้ปักตั้งธง ดังนั้นพวกเขาคงมิรู้ว่าเราคือใครจากเกวียนเพียงอย่างเดียว” ซุนจิงจิงพูด
“การพบกับนิกายล้านอสรพิษเสียก่อนที่เราจะถึงเมืองหิมะร่วง… นี่เป็นชะตาหรือสัญญาณ”
ครั้นเมื่อนิกายล้านอสรพิษลับไปจากเส้นทางเหล่าศิษย์ต่างพากันหายใจโล่งอก
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ประตูเกวียนของพวกเธอก็เปิดออก และซูหยางก็ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าพวกเธอ
“ศิษย์พี่ชาย…”
“เกิดอะไรขึ้นรึ” เขาถามหลังจากที่สังเกตเห็นท่าทางเป็นกังวลของพวกเธอ
“บางทีท่านมิได้เห็นพวกนั้นในเมื่อท่านวุ่นวายอยู่กับการฝึกวิชา แต่พวกเราเกือบจะพบกันนิกายล้านอสพิษเมื่อกี้นี้ เป็นเรื่องน่าหวาดหวั่นหากไปอยู่ต่อหน้าพวกเขา”
ซูหยางส่ายหน้าและกล่าวว่า “ไม่ ข้าสังเกตเห็นพวกนั้นแล้ว”
ตามจริง เขาสังเกตเห็นพวกนั้นตามเส้นทางมาตั้งแต่ก่อนที่พวกนั้นจะเข้าสู่คลองจักษุ
“เช่นนั้นทำไมท่านจึงยังเยือกเย็นได้เพียงนี้ พวกนั้นเป็นคนที่เกือบทำลายนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยของพวกเรา”
หนึ่งในเหล่าศิษย์พูดขึ้น
ซูหยางหัวเราะหึ “พวกนั้นไม่แม้จะใกล้เคียงกับการทำลายนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ในเมื่อพวกนั้นตายเสียตั้งแต่หน้าประตู ดังนั้นจึงมิมีอะไรต้องกังวลเกี่ยวกับพวกนั้น” เขาตอบอย่างง่ายๆ
“เอ้อ…นั่นก็เป็นความจริงที่ถูกต้อง… แต่ยัง…”
“ลืมเรื่องพวกนั้นไป พวกนั้นมิอาจที่จะทำร้ายพวกเรา เจ้าจักเข้าใจว่าพวกนั้นกระจ้อยร่อยเพียงใดยามเมื่อการแข่งขันระดับภูมิภาคนี้จบลง”
“ถ้าท่านพูดอย่างนั้นละก็นะ ศิษย์พี่ชาย”
–
–
–
หนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นจำนวนของเกวียนที่สามารถเห็นได้ก็เพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อพวกเขาเข้าไปใกล้เมืองหิมะร่วงอย่างแท้จริง
“หยุดเกวียน พวกเราจักเดินทางระยะที่เหลือด้วยการเดินเท้า โหลวหลานจีสั่ง
ไม่นานหลังจากนั้น เกวียนก็พลันหยุดชะงักและทุกคนก็ออกมาข้างนอกด้วยสีหน้างุนงง
“เพื่อที่จะมิให้เกิดการสัญจรติดขัด เมืองหิมะร่วงห้ามเกวียนทุกคันเข้ามาในระยะสิบกิโลเมตรจากประตูทางเข้า ดังนั้นเราจักต้องเดินไปที่นั่นจากที่นี่” โหลวหลานจีอธิบายสถานการณ์ให้กับพวกเขา
เหล่าศิษย์ต่างพากันเข้าใจสถานการณ์อย่างรวดเร็ว ตามจริงแล้วเกวียนทุกคันในพื้นที่นั้นก็ทำแบบเดียวกัน
“เช่นนั้นเราจักเจอกับพวกเจ้าอีกครั้งสิ้นเดือนตรงจุดนี้” โหลวหลานจีพูดกับเหล่าคนขับเกวียนก่อนที่จะพาเหล่าศิษย์ไปจากสถานที่นั้น
ขณะที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยตรงเข้าไปยังเมืองหิมะร่วงอย่างช้าๆ เหล่าศิษย์ต่างก็พากันมองไปรอบๆอย่างตื่นเต้น สายตาของพวกเขาส่วนใหญ่อยู่กับผู้คนที่เดินทางไปยังทิศทางเดียวกับพวกเขา
“ทุกคนล้วนมีกลิ่นอายอันทรงพลังอยู่กับตัว…”
ศิษย์รุ่นเยาว์กระซิบกระซาบกันขณะที่เปรียบเทียบตัวเองกับเหล่าศิษย์จากองค์กรอื่น
ในเวลานั้นคนอื่นๆก็ให้ความสนใจไปยังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเช่นกัน ส่วนใหญ่แล้วเป็นเพราะว่าจำนวนสาวสวยที่อยู่ในกลุ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งโหลวหลานจี ฟางซีหลาน และซุนจิงจิง ซึ่งเป็นสาวสวยสุดยอดของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
เหมือนกับว่าเป็นการประชันขันแข่งดอกไม้ที่สวยที่สุดในทวีปแห่งนี้ และนั่นย่อมดึงดูดความสนใจที่ไม่พึงประสงค์มากมาย
“ข้ามิเคยเห็นหญิงที่สวยงามเหมือนพวกเธอมาก่อนในชีวิต อย่าว่าแต่พวกเธอรวมตัวกันมากเช่นนี้ในที่เดียว”
บางคนอุทานออกมาอย่างชื่นชมจากระยะห่าง
“กระทั่งเด็กเล็กนั่นก็ยังเหมือนกับดอกไม้ นี่เป็นสำนักไหนกัน ทำไมข้ามิเคยได้ยินชื่อของสถานที่แบบนั้นมาก่อน”
เพราะว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเป็นที่รู้จักเพียงในภาคตะวันออก กลุ่มที่ห่างออกไปจึงไม่รู้จักพวกเขา
“ข้ามิรู้เช่นกัน แต่ข้ารู้สึกอยากไปทางนั้นเพื่อเริ่มการสนทนา”
“เจ้าโง่ มองดูใบหน้าตัวเองก่อนที่จะพูดคำพูดเหล่านั้น อย่าว่าแต่จะพูดกับเจ้าข้าจักยอมควักลูกตาทิ้งถ้าพวกนั้นยอมมองเจ้า”
“เจ้าพูดอะไรกัน ข้าขอท้าให้เจ้าพูดซ้ำอีกครั้ง”
“ข้าจักพูดซ้ำอีกหลายครั้งหากเจ้าต้องการที่จะได้ยิน เจ้าหน้าหมู”
ที่แห่งนั้นเปลี่ยนเป็นเอะอะเมื่อนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยกลายเป็นหัวข้อถกเถียงในที่แห่งนั้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นสิ่งที่โหลวหลานจีได้คาดคิดไว้แล้ว ในเมื่อได้เกิดภาพคล้ายกันนี้ระหว่างที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมาครั้งที่แล้ว
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 301
DC บทที่ 301: พบโดยไม่คาดคิด
เสียงครวญครางจากเกวียนของซูหยางแทรกผ่านผนังบางๆและยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆเมื่อเวลาผ่านไป ทุกคนนับตั้งแต่ผู้อาวุโสนิกายไปจนถึงศิษย์รุ่นเยาว์ต่างก็พากันฟังเสียงนั้นด้วยสีหน้าแดง รู้สึกอับอายจากเพียงแค่เสียงนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งศิษย์รุ่นเยาว์ในเมื่อสีหน้าของพวกเขาแดงเหมือนลูกมะเขือเทศ
“อาาาาา”
“เสียงนั้นดูเหมือนจะเป็นศิษย์พี่หญิงซุน…”
ศิษย์รุ่นเยาว์คนหนึ่งพูดหลังจากที่ได้ยินเสียงของเธอ
“อาาาาาาาา”
“อา นั่นต้องเป็นศิษย์พี่หญิงฟาง”
บรรดาศิษย์รุ่นเยาว์เริ่มเดาว่าใครที่เป็นคนร้องเพื่อรักษาบรรยากาศให้รู้สึกอึดอัดน้อยลง
“น่าอิจฉานัก…ข้าเองก็ต้องการฝึกร่วมกับศิษย์พี่ชาย…”
“ฮ่าฮ่าฮ่า… เจ้ายังเหลือเวลาอีกตั้งปีผ่าน”
“ข้าจักเป็นผู้ใหญ่ในอีกสามเดือน ข้าอดรอมอบแก่นพลังหยินของข้าให้ศิษย์พี่ชายไม่ไหว”
ศิษย์รุ่นเยาว์ชายที่โชคร้ายพอที่จะได้ยินคำพูดเหล่านี้ต่างพากันถอนใจ ถ้าเพียงพวกเขาได้รับความชื่นชมสักครึ่งหนึ่งของซูหยาง พวกเขาคงรายล้อมไปด้วยเหล่าศิษย์หญิงเช่นเดียวกัน
ในเวลานั้น ภายในเกวียนคันแรก
“พอแล้ว ข้าจักมิยอมนั่งอยู่ที่นี่และทนทรมานต่อไปอีกเจ็ดวัน” ผู้อาวุโสซุนยืนขึ้นและเตรียมตัวที่จะเปิดประตูเกวียน
อย่างไรก็ตามเพียงแค่เขาเปิดประตู เสียงครวญครางทั้งหมดจากเกวียนของซูหยางที่ออกมาก็พลันหยุดชะงักไป
“ม-มันหยุดไปแล้วรึ”
ผู้อาวุโสซุนมีท่าทางชะงักค้าง รู้สึกกระอักกระอ่วน เมื่อเขาไม่รู้ว่าควรจะทำตามแผนต่อไปในเวลานี้หรือไม่
หลังจากที่รออยู่อีกชั่วขณะและมั่นใจว่าเสียงครวญครางได้หยุดชะงักไปแล้วอย่างแท้จริง ผู้อาวุโสซุนก็ปิดประตูและกลับลงไปนั่งด้วยสีหน้ามืดหม่น
“พวกเขาเสร็จกันแล้วรึ ไม่น่าเป็นไปได้… มันเร็วเกินไป…”
โหลวหลานจีครุ่นคิดในใจ นั่นยังไม่ถึงห้านาทีเสียด้วยซ้ำนับตั้งแต่การครวญครางได้เริ่มขึ้น และพวกเขาก็เสร็จสิ้นกันหมดแล้วหรือ นั่นเร็วเกินไปไม่ว่าเธอจะพิจารณาอย่างไร
อย่างไรก็ตามเธอจะรู้สักนิดก็หาไม่ว่าซูหยางเพียงหยอกล้อพวกเขาโดยเจตนาโดยการปล่อยให้พวกเขาได้ยินเสียงคราง เหตุผลเพียงอย่างเดียวที่พวกเขาไม่ได้ยินเสียงครางอีกต่อไปนั้นไม่มีอะไรมาก ก็เพราะว่าซูหยางได้ล้อมเกวียนไว้ด้วยค่ายกลกักเสียง
กล่าวอีกนัยหนึ่ง การกระทำภายในเกวียนของเขาไม่ได้หยุดยั้งและก็เพียงเงียบไปเท่านั้น
“เสียงครางหยุดแล้ว…”
เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ต่างยังคงสงสัยว่าทำไมเสียงครางจึงพลันหยุดลงไป แต่ไม่มีใครสักคนในหมู่พวกเขากล้าที่จะออกจากเกวียนเพื่อไปพิสูจน์ว่าทำไม
การเดินทางไม่ถึงกับรู้สึกว่าทนไม่ได้อีกต่อไปเมื่อบรรยากาศเงียบสงบกลับคืนมา และเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
สี่วันหลังจากนั้นประตูเกวียนซูหยางก็พลันเปิดออก
ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น ซูหยางก็กระโดดออกมาจากเกวียนและร่อนลงบนเกวียนคันที่สามที่ซึ่งผู้เข้าร่วมแข่งขันที่เหลือนั่งอยู่ภายใน
“ศ-ศิษย์พี่ชาย”
เมื่อศิษย์จากเกวียนคันที่สามเห็นท่าทางของเขาดวงตาของพวกเธอก็เปิดกว้างขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“ท-ท่านมาทำอะไรที่นี่” หนึ่งในนั้นถาม
ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “ข้าหวังว่าพวกเจ้ามิได้คิดว่าข้าลืมพวกสาวเจ้าไปเสียแล้ว”
เหล่าศิษย์พลันเข้าใจคำพูดของเขาและสถานการณ์ในทันที และพวกเธอก็เริ่มหน้าแดง
“เช่นนั้น พวกสาวเจ้าเห็นว่าอย่างไร”
บรรดาศิษย์ต่างสบสายตากันชั่วขณะก่อนที่จะพยักหน้า
“เช่นนั้นก็ดี…”
ซูหยางเข้าไปในเกวียนของพวกเธอและทำการถอดเสื้อผ้าของเขาอีกครั้ง
“อาาาา”
ไม่นานหลังจากนั้นเสียงครวญครางแว่วหวานของเหล่าศิษย์ก็แทรกผ่านผนังบางๆของเกวียนออกมา ทำลายบรรยากาศเงียบสงัดที่อยู่มานานถึงสี่วันในทันที
“ข-เขาทำทำแบบนั้นอีกแล้ว และกระทั่งยังเปลี่ยนเกวียนอีกด้วย”
“โอ้สวรรค์ ความทนทานของชายคนนี้มีมากแค่ไหนกัน เขาเป็นสัตว์ประหลาดสุดพิสดาร”
ผู้อาวุโสนิกายไม่ได้ตกใจไปกับการกระทำของเขาแต่กับความทนทานที่ดูเหมือนไม่หมดสิ้นของเขาแทน แม้ว่าพวกเขาไม่ได้ยินเสียงอะไรมาเป็นเวลาหลายวัน ผู้อาวุโสนิกายเหล่านี้ล้วนมั่นใจว่าซูหยางได้ร่วมฝึกกับเหล่าศิษย์อยู่ภายในนั้น ในเมื่อเกวียนเหวี่ยงไปมาด้วยท่าทางแปลกๆไม่เป็นธรรมชาติ
ไม่เพียงแต่ผู้อาวุโสนิกายแต่กระทั่งศิษย์รุ่นเยาว์ก็ยังคงหวาดหวั่นไปกับความปรารถนาในการฝึกฝนของซูหยาง เหมือนกับว่าเขาเป็นศูนย์รวมแห่งความสุขสันต์
“มิเพียงแต่เขามีพละกำลังแต่กลเม็ดของเขาก็ยังคงสุดยอด เขาเป็นศิษย์ในอุดมคติสำหรับนิกายที่เน้นด้านการฝึกวิชาคู่”
หนึ่งในผู้อาวุโสนิกายชื่นชมเขาราวกับว่าเขาเป็นทรัพย์ล้ำค่า
“ใช่แล้ว… และในเมื่อเขาเป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยของเรา ข้าอดมิได้ที่จะรู้สึกมีโชคดี”
“โชคดีรึ เฮ้อ…” โหลวหลานจีแอบถอนใจ
หลังจากที่ถูกบีบให้ฟังเสียงครวญครางที่ดังไม่หยุดหย่อนจากเกวียนลำที่สามต่อไปอีกสองสามนาที มันก็หยุดชะงักไปอีกครั้ง
“มันหยุดไปอีกแล้ว…”
ศิษย์รุ่นเยาว์ต่างพากันสงสัยกับเหตุการณ์ผิดปกตินี้ พวกเขาไม่มีใครเชื่อว่าซูหยางจะเสร็จสิ้นการฝึกคู่ของตนเองภายในไม่กี่นาที โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อที่นั่นมีหญิงมากกว่าหนึ่งในเกวียนคันนั้น แต่พวกเขาก็ไม่อาจอธิบายความเงียบที่เกิดขึ้นนี้ได้
–
–
–
สามวันหลังจากนั้นเมื่อนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเข้าไปใกล้กับเมืองหิมะร่วง พวกเขาก็เริ่มสังเกตเห็นเกวียนจากหลากหลายกองกำลังเคลื่อนที่ไปยังทิศทางเดียวกัน
“ดูทางนั้นสิ นั่นเป็นตำหนักอินทรีโลหิต”
หนึ่งในผู้อาวุโสนิกายสังเกตเห็นธงสีดำที่มีรูปหัวอินทรีสีแดงอยู่ตั้งแต่ไกล
“น-นั่นเป็นสำนักหมัดใต้ใช่ไหมที่ตามมาด้านหลังพวกเขา”
โหลวหลานจีส่ายหน้าและกล่าวว่า “ถ้าเพียงแค่สถานที่ธรรมดาเหล่านี้เพียงพอให้พวกท่านตื่นเต้น ก็จงรอจนกระทั่งเห็นยักษ์ใหญ่ที่แท้จริงของยุทธภพ”
อย่างไรก็ตามนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยไม่ได้แสดงสัญลักษณ์ของนิกายบนธงเช่นเดียวกับสำนักอื่นเพื่อถ่อมตัว ในเมื่อโหลวหลานจีกลัวที่จะดึงดูดความสนใจที่ไม่พึงประสงค์ก่อนที่กิจกรรมแข่งขันระดับภูมิภาคจะเริ่มขึ้น
“ด-ด-ด-ด-ดูนั่น ธ-ธงนั่น”
น่าประหลาดใจที่เป็นผู้อาวุโสซุนที่ส่งเสียงขึ้นมาในคราวนี้
ด้วยความประหลาดใจว่าอะไรที่สร้างความตระหนกให้กับผู้อาวุโสซุนมากมายเช่นนี้จนถึงกับส่งเสียงออกมา โหลวหลานจีและคนอื่นๆต่างหันไปมองยังทิศทางที่ผู้อาวุโสซุนได้ชี้ไป
“น-นั่น…”
กระทั่งโหลวหลานจีก็อดไม่ได้ที่จะลืมตากว้างเมื่อเธอสังเกตเห็นเหล่าเกวียนจากระยะไกลที่มีรูปงูที่น่ากลัวอยู่บนธงของพวกเขา
“นิกายล้านอสรพิษ”
โหลวหลานจีเริ่มหายใจหนัก สีหน้าเธอซีดเผือด แม้ว่าเธอได้เตรียมตัวที่จะประจันหน้ากับพวกเขาระหว่างการแข่งขันระดับภูมิภาค เธอก็ไม่คาดคิดที่จะพบกับพวกเขาเร็วปานนี้
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 300
DC บทที่ 300: ยังมีที่และเวลาสำหรับเรื่องนี้ (ฟรีตอนถัดไป)
สามวันหลังจากนั้นที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย คนประมาณแปดสิบคนก็มารวมตัวกันหน้านิกาย
“ข้าจักพูดเช่นนี้ก่อนที่การแข่งขันระดับภูมิภาคจะเริ่มขึ้น มิว่าผลลัพธ์ของพวกเจ้าจะเป็นเช่นไร ข้าย่อมภาคภูมิใจกับพวกเจ้า แน่นอนว่ามันคงดีต่อสำหรับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยถ้าพวกเจ้าชนะสักสองสามรอบ ซึ่งถ้าให้กล่าวไปก็คืออย่ากดดันตัวเองมากจนเกินไป ในเมื่อข้ามิอาจยอมสูญเสียพวกเจ้าสักคนในที่นี้” โหลวหลานจีกล่าว
แม้ว่าการแข่งขันระดับภูมิภาคห้ามการเข่นฆ่า แต่อุบัติเหตุย่อมเกิดขึ้นได้ ดังนั้นจึงยังคงมีความเสี่ยงอยู่
“ขอรับ ผู้นำนิกาย”
เหล่าศิษย์ต่างพากันรับคำด้วยความตื่นเต้น
“เอาล่ะ ตอนนี้เป็นการตระเตรียม…”
โหลวหลานจีชี้ไปยังเกวียนสิบกว่าคันด้านนอกทางออก แต่ละคันใหญ่มากพอที่จะบรรจุคนได้ห้าถึงหกคน
“ผู้อาวุโสนิกายและข้าจักอยู่ในเกวียนคันแรก ผู้เข้าร่วมการแข่งขันจักนั่งอยู่เกวียนคันที่สองและสามจากข้างหน้า ส่วนคนที่เหลือจักอยู่ในเกวียนคันที่เหลือ”
ก่อนที่เกวียนจะออกเดินทาง ผู้คนที่จะต้องอยู่ด้านหลังในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยต่างก็กล่าวคำอำลา
“โชคดี ศิษย์ทั้งหลาย” หลานลี่ชิงยิ้มให้กับพวกเขาด้วยท่าทางสะสวย สายตาของเธอส่วนใหญ่แล้วตกอยู่บนเกวียนคันที่บรรทุกซูหยาง
สองสามนาทีหลังจากนั้น เกวียนที่บรรทุกเหล่าศิษย์ก็ออกจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
ในเวลานั้น ภายในเกวียนที่บรรทุกซูหยางและศิษย์คนอื่นอีกห้าคน ซุนจิงจิงก็พูดขึ้น “พวกเจ้าคิดว่าโอกาสที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจะชนะการแข่งขันระดับภูมิภาคครั้งนี้มีมากน้อยเพียงใด นี่เป็นครั้งแรกที่ข้ามีส่วนร่วมกิจกรรมที่ใหญ่มากเช่นนี้”
“แม้ว่าที่นั่นจะมีผู้ฝึกวิชามากมายในเขตสัมมาวิญญาณและกระทั่งอัจฉริยะในเขตปฐพีวิญญาณ ข้าก็มิเห็นว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจะพ่ายแพ้ในการแข่งขันระดับภูมิภาคนี้…ไม่ว่าอะไรก็ตาม”
ฟางซีหลานให้ความเห็น หางตาของเธอเหลือบไปมองยังซูหยางที่นั่งหลับตาอยู่ตรงกลางอย่างสบายๆ
“โอ ใช่ ศิษย์พี่หญิงฟางได้อันดับสุดท้าย หึ”
ฟางซีหลานพยักหน้า ถ้าจะกล่าวไปแล้วนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยรั้งอันดับสุดท้าย… และนั่นไม่ใช่เป็นการสูญเสียเล็กน้อย ความจริงแล้วจากทั้งหมดหลายสิบสำนักที่เข้าร่วม นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยติดอันดับสุดท้าย
“อะไรที่ทำให้ศิษย์พี่หญิงฟางคิดว่าพวกเราจักชนะการแข่งขันระดับภูมิภาคครั้งนี้ ความมั่นใจเช่นนี้ต้องมีเหตุผล”
ซุนจิงจิงถาม
“เจ้าจักเข้าใจเมื่อเวลานั้นมาถึง…” ฟางซีหลานตอบด้วยท่าทางเรียบเฉย
นอกจากว่าจะมีสัตว์ประหลาดคนอื่นที่มีพลังการฝึกปรือเขตอัมพรวิญญาณปรากฏขึ้นในการแข่งขันระดับภูมิภาคอย่างสมน้ำสมเนื้อกับตัวตนของซูหยาง นอกจากชัยชนะแล้วไม่มีความเป็นไปได้อื่นอีกสำหรับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
“อย่างนั้นรึ…”
“ว่าไปแล้ว พวกเรามีเวลาถึงเจ็ดวันก่อนที่พวกเราจะไปถึงเมืองหิมะร่วง พวกเราควรทำอะไรดีจนกว่าจะถึงตอนนั้น” ซุนจิงจิงซึ่งไม่ใช่คนประเภทที่จะนั่งอยู่เฉยๆโดยไม่ทำอะไรถามพวกเขา
ศิษย์คนอื่นในเกวียนต่างสบสายตากัน พวกเธอจะสามารถทำอะไรได้ในที่แคบๆแบบนี้
เมื่อถึงตอนนี้ซูหยางก็ลืมตาขึ้นและกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าว่า “ข้ามีข้อเสนอ”
“อืม อะไรรึ”
“ทำไมพวกเรามิร่วมฝึกฝีมือกันจนกระทั่งเราไปถึงจุดหมาย นั่นยังมีเวลาเหลืออีกนับเดือนก่อนที่การแข่งขันระดับภูมิภาคจะเริ่มขึ้น เราสามารถใช้เวลานี้เพิ่มพลังการฝึกปรือของพวกเราให้มากขึ้นเท่าที่จะเป็นไปได้”
“…”
พวกเธอที่อยู่ตรงนั้นต่างพากันมองเขาด้วยสีหน้าตกตะลึง
“จ-เจ้าต้องการฝึกคู่รึ…. แม้ว่าข้าจะเห็นด้วยกับความคิดนี้ พวกเราจะไปหาสถานที่สำหรับเรื่องนี้จากที่ไหน” ซุนจิงจิงถาม
“สถานที่ เกวียนคันนี้มีที่ว่างมากมาย” ซูหยางตอบกลับอย่างเยือกเย็น
“…”
ทั้งเกวียนพลันเงียบสงัด
“เจ้าต้องการฝึกวิชาคู่ที่นี่… แต่นี่ย่อมหมายความว่า…”
บรรดาหญิงสาวในเกวียนต่างพากันสบตากันด้วยความกระอักกระอ่วน แม้ว่าทุกคนที่นั่นต่างก็ร่วมฝึกวิชากับซูหยางมาก่อน แต่พวกเธอก็ไม่เคยทำสิ่งนี้โดยมีคนอื่นอยู่ด้วย อย่าว่าแต่มีคนมากมายเพียงนี้
หลังจากเงียบไปชั่วขณะ หนึ่งในศิษย์เหล่านั้นก็พูดขึ้นว่า “ข-ข้ามิถือ”
เมื่อคนแรกเห็นด้วยก็เหมือนกับปรากฏการณ์ของคลื่น ที่เหลือล้วนตกลงอย่างรวดเร็วหลังจากนั้น
“นี่ค่อนข้างน่าตื่นเต้น อือ…”
“ข้ามิเคยคิดมาก่อนว่าข้าจักร่วมฝึกวิชาในห้องเดียวกันกับศิษย์พี่หญิงฟาง…” ซุนจิงจิงหัวเราะหึ
“…”
แม้ว่าเธอจะดูเยือกเย็นในภายนอก ฟางซีหลานก็ยังคงตื่นเต้นอยู่เล็กน้อยกับสถานการณ์นี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนี่เป็นครั้งแรกที่เธอจะต้องร่วมแบ่งปันคู่ฝึกของเธอกับคนอื่นระหว่างกิจกรรมการฝึกของเธอ
“เช่นนั้นเพื่อมิให้เป็นเรื่องยุ่งยาก…”
โดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า ซูหยางก็เริ่มถอดชุดของเขาออก
“ใครจะเป็นคนแรก” เขาถามด้วยรอยยิ้ม
–
–
–
ในเวลานั้นภายในเกวียนของผู้นำนิกาย ผู้อาวุโสคนหนึ่งก็ถามขึ้น
“ท่านผู้นำนิกาย โอกาสที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจะชนะการแข่งขันระดับภูมิภาคในปีนี้เป็นอย่างไร”
“แม้ว่าศิษย์ของพวกเราจะก้าวหน้าอย่างน่ากลัวแต่โอกาสที่พวกเราจะชนะในการแข่งขันระดับภูมิภาคค่อนข้างต่ำ ศิษย์ของเราจักต้องต่อสู้กับอัจฉริยะจากสำนักที่ใหญ่และทรงอำนาจกว่า พวกที่ฝึกฝนศิษย์มาสำหรับการต่อสู้ สิ่งที่พวกเรานิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยขาดเป็นอย่างมาก”
จุดอ่อนหลักอย่างหนึ่งของศิษย์จากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็คือพวกเขาใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการฝึกฝนโดยไม่สนใจกับความสามารถในการต่อสู้ ดังนั้นจึงเป็นเหตุที่ทำไมนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจึงพ่ายแพ้หมดรูปในครั้งที่แล้วแม้ว่าพลังการฝึกปรือของพวกเขาจะสูง
“ในอนาคต ถ้าเราสามารถฟื้นคืนนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยของเราไปถึงสภาพเดิมได้จริงๆ ข้าจักต้องให้มั่นใจว่าศิษย์ของเราจักได้รับการฝึกฝนอย่างเหมาะสม…” โหลวหลานจีนึกถอนใจ
“พูดถึงการแข่งขันระดับภูมิภาค เจ้าหญิงของตระกูลเซียก็จักไปที่นั่นด้วย ใช่ไหม” หนึ่งในผู้อาวุโสนิกายถาม
“นั่นถูกต้องแล้ว อย่างไรก็ตามนี่จักเป็นปัญหากับพวกเราในเมื่อการปรากฏตัวของเธอจักทำให้ผู้เข้าร่วมการแข่งขันคนอื่นยิ่งจริงจังยิ่งขึ้นและยิ่งอันตรายยิ่งขึ้น”
“เพียงเพื่อให้เธอประทับใจเท่านั้น หึ ศิษย์ของพวกเราจักต้องประสบความยากลำบากในครั้งนี้… บางทีอาจจะยิ่งกว่าการแข่งขันครั้งที่แล้ว”
“อาาาาาา”
ทันใดนั้นเสียงของใครสักคนครวญครางก็เข้ามาในเกวียนของพวกเขา
“อะไรกันวะ สั–”
ผู้อาวุโสนิกายสบสายตากันเมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยแต่ชวนงุนงงนั้น
โหลวหลานจีขมวดคิ้วและใช้ปราณไร้ลักษณ์เพื่อประเมินสถานการณ์ และทันทีที่เธอมองเข้าไปในเกวียนที่บรรทุกซูหยางและตระหนักถึงสถานการณ์สีหน้าของเธอก็มีแต่ความงงงวย
ผู้อาวุโสนิกายคนอื่นต่างก็ตระหนักถึงสถานการณ์ในเวลาไม่นานหลังจากนั้น
“ซ-ซูหยางคนนี้เป็นบ้าไปแล้ว เขากระทั่งร่วมฝึกคู่กับเหล่าศิษย์ภายในเกวียน”
หนึ่งในผู้อาวุโสนิกายอุทานออกมา เสียงของเธอมีแต่ความไม่อยากเชื่อและชื่นชมกับความกล้าของเขา
“ยังมีที่และเวลาสำหรับเรื่องนี้อีก นี่ช่างไร้ยางอายเกินไปแล้วถึงแม้จะเป็นศิษย์ของพวกเราก็ตาม”
“จ-เจ้าเลวนั่น…ทำให้หลานสาวของข้าทำเรื่องแบบนี้ เขาไร้ความละอาย” ผู้อาวุโสซุนสั่นสะท้านไปด้วยความโกรธ อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าเขาต้องการที่จะระเบิดเข้าไปในเกวียนของพวกัน้นและหยุดยั้งการกระทำนี้ แต่เขาก็ต้องต้านแรงกระตุ้นนั้นไว้ ในเมื่อเขาไม่ต้องการที่จะถูกซุนจิงจิงเกลียดกับการกระทำเช่นนี้
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 299
DC บทที่ 299: สำนักหงส์สวรรค์
หลังจากที่เหล่าศิษย์จากไปหมดแล้ว แรงขาของโหลวหลานจีก็หมดสิ้นจนทำให้เธอล้มนั่งลง
“ผ-ผู้นำนิกาย”
ผู้อาวุโสนิกายต่างพากันตะลึงกับการล้มลงอย่างกระทันหันของเธอ
“ข-ข้าสบายดี…” โหลวหลานจีโบกมือ “ข้าเพียงแค่ตกใจมากไปเล็กน้อย…”
ผู้อาวุโสนิกายพากันสบตากันเอง พวกเขาเองก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกันนี้เช่นกัน แม้ว่าจะไม่ลึกซึ้งเท่ากับโหลวหลานจี
“ข้าเข้าใจความรู้สึกของท่าน ผู้นำนิกาย ในเมื่อข้าเองก็ยังมิอาจจะเชื่อเช่นกัน…”
ผู้อาวุโสเจ้าถอนใจ
พวกเขาปล่อยให้ศิษย์เหล่านี้อยู่ตามลำพังสองสามเดือนท้ายนี้ด้วยหวังว่าจะได้รับความประหลาดใจ แต่ไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะได้รับความตระหนกมากถึงระดับนี้
“เพียงแต่ว่าซูหยางทำให้เกิดปาฏิหาริย์เช่นนี้ได้อย่างไร ถึงแม้ว่าการฝึกวิชาคู่จะรวดเร็วในความก้าวหน้ากว่าการฝึกวิชาปกติ แต่ความก้าวหน้าแบบนี้นี่มันเหลือเชื่อ ข้ามิอาจจินตนาการได้ว่าเขาทำได้อย่างไร…” ผู้อาวุโสซุนก็ถอนหายใจเช่นกัน
“ข้ามีความรู้สึกว่าจะเป็นการดีกว่าถ้าพวกเรามิขุดคุ้ย” โหลวหลานจีกล่าวขณะที่เธอลุกขึ้นยืน
“ท่านหมายความว่าอย่างไรเช่นนั้น ท่านผู้นำนิกาย ถ้าเราสามารถหาพบว่าซูหยางช่วยศิษย์เหล่านี้ให้มีพลังการฝึกปรือพุ่งทะยานได้อย่างไร เราก็สามารถใช้มันสำหรับความก้าวหน้าของพวกเราในอนาคตสำหรับศิษย์ทุกคน ในเวลานั้นย่อมมิใช่ความฝันที่จะอยู่ในระดับสูงสุด” ผู้อาวุโสเจ้ากล่าว
โหลวหลานจีส่ายหน้า
“ถ้าท่านคิดว่าเป็นการง่ายที่จะทำให้ซูหยางพูด ท่านสามารถเข้าไปลองพยายามได้ แต่ทว่าถ้าท่านล่วงเกินเขาและบีบให้เขาไปจากที่แห่งนี้ ท่านจะรับผิดชอบได้อย่างไร แม้ว่าข้ามิได้ต้องการที่จะทำให้มันดูเกินจริง แต่อนาคตของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยทั้งหมดตกอยู่บนบ่าของเขาแล้วในเวลานี้”
ผู้อาวุโสเจ้าพลันเงียบลงไปในเมื่อเขาไม่ได้คิดถึงลึกถึงเพียงนี้ ซูหยางเป็นศิษย์ชายเพียงคนเดียวที่สามารถฝึกวิชาร่วมกับศิษย์หญิงในเวลานี้ และถ้าเขาต้องจากไป ใครเล่าจะมาเป็นคู่ของศิษย์หญิงเหล่านี้ และนี่ยังไม่ได้พูดถึงบุญคุณที่ซูหยางได้ให้ไว้กับนิกาย
“การที่ซูหยางช่วยศิษยเหล่านี้อย่างไรนั้นมิใช่ธุระหรือกงการอะไรของเรา ตามจริงก็มิควรแม้แต่จะคิด สิ่งที่เราต้องรู้ก็คือบุญคุณที่เขาได้ให้ไว้กับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
“ขอรับ ผู้นำนิกาย…”
ผู้อาวุโสนิกายพากันพยักหน้ารับ
“…”
แม้ว่าจะพูดคำพูดเหล่านี้ออกมา โหลวหลานจีก็อดไม่ได้ที่จะถอนใจในเมื่อเธอรู้ว่าซูหยางจะต้องจากไปสักวันหนึ่งเมื่อสุดท้ายตระกูลซูตัดสินใจที่จะพาเขากลับไป
ในเวลานั้นภายในที่พักของซูหยาง
“เซียวลี่ ข้าจักออกไปสักหนึ่งเดือน ข้าต้องการให้เจ้าอยู่ที่นี่ในกรณีที่มีอะไรเกิดขึ้น”
ซูหยางพูดกับเซียวลี่ ซึ่งหลับอยู่อย่างสบายบนเตียง
“ถ้ามีผู้บุกรุกหรือคนที่มีเจตนาร้ายต่อสถานที่นี้ เจ้าสามารถฆ่าพวกนั้นได้”
“เจ้าค่ะเจ้านาย”
สำหรับสัตว์เซียนดังเช่นเซียวลี่ เวลาที่มีค่าหนึ่งเดือนนั้นคล้ายกับไม่กี่นาที ดังนั้นเธอจึงไม่มีปัญหาอะไรในการที่จะอยู่ที่นี่นานแค่นั้น
หลังจากที่ข่าวการแข่งขันระดับภูมิภาคได้แพร่กระจายไปทั่วนิกาย ศิษย์รุ่นเยาว์ทุกคนและศิษย์ทั่วไปหลายคนก็ขออนุญาตติดตามไปเพื่อที่พวกเขาจะได้ชมดู
และเพราะว่าศิษย์เหล่านี้ไม่ได้มีผลกระทบต่อความปลอดภัยของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยต่อให้พวกเขาทั้งหมดจากไปก็ตาม ในเมื่อพลังการฝึกปรือของพวกเขาต่ำมากและไม่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงใดไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่นี่หรือไม่ โหลวหลานจีจึงตกลงที่จะพาพวกเขาไปด้วย
เพื่อสามวันถัดไป ศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยต่างก็เตรียมตัวการเดินทาง
อย่างไรก็ตามนี่ไม่เพียงนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยที่เตรียมตัวสำหรับการแข่งขันระดับภูมิภาค ในเมื่อนิกายหลายสิบทั่วทั้งทวีปตะวันออกต่างก็เตรียมตัวสำหรับกิจกรรมอันยิ่งใหญ่ที่อาจจะส่งผลกระทบต่ออนาคตของนิกายของพวกเขาอยู่ในขณะนี้
ในเวลานั้น ที่ตระกูลซู
“ซูหยิน ออกมาหน่อยลูก สำนักหงส์สวรรค์ได้ส่งคนมาที่นี่เพื่อที่จะรับเจ้าไปเพื่อการแข่งขันระดับภูมิภาค”
ซูซุนยืนอยู่นอกห้องซูหยินตะโกนเรียกเธอให้ออกมา
นับตั้งแต่ซูหยางมาเยี่ยม ซูหยินได้เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง และใช้ความโกรธต่อชิวเยว่ซึ่งเธอเชื่อว่าเป็นต้นเหตุให้ซูหยางเปลี่ยนเป็นคนละคนเป็นเชื้อเพลิงฝึกฝนตนเองราวกับคนบ้าหวังที่จะได้รับพลังอำนาจที่จะช่วยพี่ชายที่รักจากอีกฝ่าย
เวลาต่อจากนั้นสุดท้ายประตูก็เปิดออก และซูหยินก็เดินออกมาจากห้องอย่างช้าๆ
“ซูหยิน..”
ซูซุนตกใจที่เห็นซูหยินซึ่งดูเหมือนกับว่าเธออดนอนมาเป็นเวลาหลายวันปรากฏตัวขึ้น
“จ-เจ้ายังดีอยู่หรือไม่” เขาถามเธอโดยไม่รู้ตัว
อย่างไรก็ตามเมื่อซูซุนพลันสังเกตเห็นกลิ่นอายอันล้ำลึกของเธอ ดวงตาเขาก็เบิกโพลงด้วยความตระหนก
“ระดับสูงสุดของเขตสัมมาวิญญาณ”
ซูซุนเกือบล้มลงก้นจ้ำเบ้า
หลังจากเก็บตัวฝึกฝนเกือบหกเดือน พลังการฝึกปรือของซูหยินก็พุ่งทะยานจากระดับสามเขตสัมมาวิญญาณไปยังระดับสูงสุดของเขตสัมมาวิญญาณ ความเร็วที่ซึ่งเธอได้ก้าวหน้าไปนั้นน่าตกใจ กล่าวแล้วยังน้อยไป
อย่างไรก็ตามถึงจะมีความสุขเพียงใดที่เห็นลูกสาวของเขาก้าวหน้าขึ้น ซูซุนก็อดไม่ได้ที่จะกังวลว่าซูหยินอาจจะกดดันตนเองมากเกินไป
“ซ-ซูหยิน…ผู้อาวุโสเฉินรอคอยเจ้าอยู่ในห้องนั่งเล่น การแข่งขันระดับภูมิภาคเหลือไม่ถึงเดือนแล้ว และเธอมาที่นี่เพื่อที่จะพาเจ้าไปยังเมืองหิมะร่วงเพื่อลงทะเบียน”
ซูหยินพยักหน้าและไปพบกับผู้อาวุโสเฉิน
“ระดับสูงสุดของเขตสัมมาวิญญาณ”
เมื่อผู้อาวุโสเฉินเห็นพลังการฝึกปรือของซูหยิน เธอก็เหมือนกับซูซุน ดวงตาของเธอเบิกกว้างด้วยความตระหนก
ซูหยินอายุเพียงสิบห้าปี แต่เธอกลับสามารถเข้าถึงระดับสูงสุดของเขตสัมมาวิญญาณได้ พรสวรรค์เช่นนี้หายากเป็นอย่างยิ่งแม้กระทั่งในนิกายที่ใหญ่ที่สุดในทวีปนี้ และถ้าส่งเสริมอย่างดีอนาคตของเธอนั้นไม่มีขีดจำกัด
“พวกเรารออะไรกันอยู่ ท่านผู้อาวุโสเฉิน รีบไปเมืองหิมะร่วงกันเถอะ” ซูหยินกล่าวกับอีกฝ่ายที่ยังคงตื่นตะลึง
“ช-ใช่ๆ”
“ด-เดี๋ยวก่อน ข้าไปด้วย”
ขณะที่พวกเธอกำลังจะจากไป ซูซุนและคนรับใช้อีกสองสามคนก็ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังพวกเธอ ซึ่งพวกเขาได้วางแผนที่จะไปยังการแข่งขันระดับภูมิภาคเพื่อให้กำลังใจซูหยิน
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 298
DC บทที่ 298: เตรียมการแข่งขันระดับภูมิภาค
หลังจากที่เขาให้ศิษย์รุ่นเยาว์เลิกเรียน ซูหยางก็กลับไปยังที่พักของเขา ซึ่งเขาก็ได้ใช้เวลาเวลาอีกสองสามสัปดาห์ต่อจากนั้นในการฝึกวิชาจนกระทั่งเหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งเดือนก่อนจะถึงพิธีเปิดการแข่งขันระดับภูมิภาค
วันหนึ่งโหลวหลานจีก็เรียกซูหยางและศิษย์ทุกคนที่จะเข้าร่วมในการแข่งขันระดับภูมิภาค
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ศิษย์สิบคนรวมถึงซูหยางก็มารวมตัวกันที่หน้าศาลาหยินหยาง ซึ่งโหลหลานจีและผู้อาวุโสนิกายอีกสองสามคนได้รอพวกเขาอยู่แล้ว
“เหตุผลที่ข้าเรียกพวกเจ้าทุกคนมารวมตัวกันที่นี่ไม่มีอะไรมาก การแข่งขันระดับภูมิภาคอยู่ห่างไปเพียงหนึ่งเดือน และพวกเราต้องลงทะเบียนนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยของเราในฐานะผู้เข้าร่วมแข่งขัน” โหลวหลานจีพูดหลังจากที่พวกเขาทั้งหมดมาถึงแล้ว
“อย่างไรก็ตามก่อนที่เราจะสามารถลงทะเบียนชื่อของพวกเราได้ เราต้องมั่นใจว่าพวกเรามีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วมจริงๆ มิเช่นนั้นเราก็จะเหมือนคนโง่เมื่อเราไปถึงที่นั่น ดังนั้นข้าต้องการดูว่าพวกเจ้ามีคุณสมบัติพอหรือไม่”
โหลวหลานจีจึงหันไปมองดูซูหยางและพูดว่า “แม้ว่าข้ามิได้ตรวจสอบพวกเธอก่อนนี้ก็เพราะว่าข้าเชื่อมั่นในตัวเจ้า เจ้ามีอะไรที่จะพูดไหมก่อนที่เราจะเริ่ม”
ซูหยางส่ายหน้าอย่างเยือกเย็น
“เช่นนั้นก็ดี… แสดงให้ข้าเห็นถึงพลังการฝึกปรือของพวกเจ้า”
เมื่อได้ยินคำพูดของเธอ ศิษย์นอกเจ็ดคนที่อยู่ในการดูแลของซูหยางก็ปลดปล่อยพลังการฝึกปรือของตนเองออกมา จนเกิดกลิ่นอายอันล้ำลึกรายล้อมพวกเธอ
“ส-ส-สัมมาวิญญาณ”
ไม่เพียงแต่โหลวหลานจีแต่กระทั่งผู้อาวุโสเจ้าและผู้อาวุโสซุนก็ยังคงตกตะลึงไร้คำกล่าวกับการเติบโตอย่างรวดเร็วของพวกเธอ
“ในเวลามิถึงครึ่งปี พวกเธอทั้งเจ็ดสามารถเข้าถึงเขตสัมมาวิญญาณได้จากเขตปฐมวิญญาณ นี่ไปไกลเกินกว่าความคาดคิดของข้านัก”
โหลวหลานจีสั่นสะท้านไปด้วยความตื่นเต้นเมื่อเธอเห็นการเติบโตของศิษย์ของตนเอง โดยไม่มีวี่แววนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้รับเจ็ดคนที่มีคุณสมบัติมากพอที่จะเป็นศิษย์หลัก
“ก-เกิดอะไรขึ้นบนโลกใบนี้กันที่เจ้าทำให้พวกเธอก้าวหน้ารวดเร็วปานนี้ ซูหยาง” ผู้อาวุโสซุนถามเขาด้วยสายตาตกตะลึง
“อะไรกัน ข้าก็แค่ฝึกฝนร่วมกับพวกเธอตามปกติ” ซูหยางยักไหล่
“ร-ไร้สาระ ต่อให้เจ้าป้อนพวกเธอด้วยสมบัติล้ำค่าอย่างต่อเนื่องทุกวันเป็นเวลาสองสามเดือน พวกเธอก็มิควรเติบโตรวดเร็วปานนี้” ผู้อาวุโสเจ้าสับสน กระทั่งเขาเองก็ไม่อาจจะเชื่อ
“ไม่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่นั่นมิได้มีปัญหาใด ในเมื่อสิ่งที่สำคัญทั้งหมดก็คือผลลัพธ์ และผลลัพธ์เป็นยังไงล่ะ พวกเธอตอนนี้มีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วมในการแข่งขันระดับภูมิภาคแล้ว”
“ซูหยางพูดถูก…”
แม้ว่าเธอไม่ต้องการที่จะยอมรับ โหลวหลานจีก็ได้เห็นด้วยกับซูหยางในกรณีนี้ ไม่ว่าเขาจะจัดการให้เกิดปาฏิหาริย์เช่นนั้นได้อย่างไร สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือผลลัพธ์
ทันใดนั้น ขณะที่โหลวหลานจีและผู้อาวุโสนิกายยังคงงุนงงกับการเติบโตของศิษย์ทั้งเจ็ด ซุนจิงจิงก็ปลดปล่อยพลังการฝึกปรือของเธอออกมา แสดงตัวตนอันทรงอำนาจให้ปรากฏ
“ข-ข-เขตปฐพีวิญญาณ”
ผู้อาวุโสซุนกรามตกร่วงลงสู่พื้นเมื่อซุนจิงจิงเผยพลังการฝึกปรือของเธอเอง
“เกิดสิ่งเช่นนี้ได้อย่างไร เธอเพียงอยู่ในเขตสัมมาวิญญาณระดับสองเมื่อเพียงสองสามอาทิตย์ก่อน”
ผู้อาวุโสซุนคิดในใจ
เมื่อคิดว่าหลานสาวได้ก้าวล้ำนำหน้าเขาเรื่องพลังการฝึกปรือไปแล้วอย่างง่ายดาย… อนาคตของเธอนั้นไร้ขีดจำกัด
เมื่อซุนจิงจิงเห็นสายตาตกตะลึงจ้องมองมายังตัวเธอ เธอก็แสดงรอยยิ้มภูมิใจออกมาเห็นได้ชัดว่าเธอภูมิใจในความสำเร็จของตัวเอง
ความจริงแล้วหลังจากที่ซุนจิงจิงมอบความบริสุทธิ์ให้กับซูหยาง ซุนจิงจิงได้ฝึกวิชาร่วมกับซูหยางเกือบทุกวันและด้วยความช่วยเหลือจากน้ำมันรัญจวนและทรัพยากรการฝึกฝนอื่นๆที่จัดหาให้จากซูหยาง ซุนจิงจิงจึงผ่านเข้าสู่เขตปฐพีวิญญาณได้อย่างฉิวเฉียดเมื่อไม่กี่วันก่อน
โหลวหลานจียืนอยู่ที่นั่นด้วยสีหน้าว่างเปล่าในเวลานั้น ในเมื่อเธอไม่มั่นใจว่าเธอควรมีปฏิกิริยาเช่นไรในสถานการณ์นี้
ศิษย์ทั้งหกคนก่อนหน้านี้เติบโตก้าวหน้ามากพอที่จะทำให้เธอตกตะลึงพูดไม่ออกเรียบร้อยแล้ว แต่ซุนจิงจิงยังสามารถเข้าถึงเขตปฐพีวิญญาณได้ในขณะที่อายุยังน้อยเพียงนี้ หากเป็นเช่นนี้ซุนจิงจิงจะต้องก้าวล้ำนำหน้าเธอไปภายในไม่กี่เดือนอย่างแน่นอน
โหลวหลานจีทำการหันไปมองดูฟางซีหลานซึ่งยืนอยู่ที่นั่นด้วยสีหน้าเรียบเฉย ดูเหมือนกับว่าเธอไม่แปลกใจแม้แต่น้อยกับความก้าวหน้าของพวกเธอ
“พลังการฝึกปรือของเธอไปถึงไหนแล้วตอนนี้ ในเมื่อเธอได้อยู่ที่ระดับสูงสุดของเขตสัมมาวิญญาณก่อนหน้านี้… บางทีเธอได้เหนือข้า ผู้นำนิกาย ไปแล้วในด้านการฝึกวิชา”
โหลวหลานจีครุ่นคิดในใจ
อย่างไรก็ตามเพราะว่าเธอไม่ต้องการที่จะยืนยันผลลัพธ์ ทั้งยังรู้สึกกลัวอยู่บ้างเล็กน้อยกับผลลัพธ์ โหลวหลานจีตัดสินใจที่จะหยุดการตรวจสอบไว้ก่อน จึงกล่าวว่า “อ-เอาล่ะ ข้าเข้าใจแล้ว… พวกเจ้าทุกคนมีคุณสมบัติพอสำหรับการแข่งขันระดับภูมิภาค…”
“ตอนนี้เรายังต้องไปลงทะเบียนการแข่งขัน ดังนั้นพวกเราจักตรงไปยังสถานที่ซึ่งการแข่งขันจักจัดขึ้น เมืองหิมะร่วง”
“เอ๋ เราจะไปที่นั่นตอนนี้เลยเหรอ”
เมื่อพบว่านี่ค่อนข้างจะกระทันหัน ซุนจิงจิงจึงถามขึ้น
“ไม่ เราจะจากไปในอีกสามวัน ดังนั้นจงใช้เวลานี้ในการเตรียมตัว” โหลวหลานจีตอบ
ผู้อาวุโสเจ้ากระตือรือล้นเข้ามาร่วมในวงสนทนาและอธิบายรายละเอียดเพิ่มเติม
“การลงทะเบียนสำหรับการแข่งขันระดับภูมิภาคได้เริ่มต้นเรียบร้อยแล้ว และมันจักสิ้นสุดสองสัปดาห์ก่อนที่การแข่งขันจักเริ่มต้น ซึ่งนั่นจักต้องใช้เวลาพวกเราประมาณเจ็ดวันในการไปถึงเมืองหิมะร่วงทำให้เรามีเวลาเหลือไม่กี่วันในการลงทะเบียน”
“ยิ่งไปกว่านั้นยามเมื่อเราไปถึงเมืองหิมะร่วงแล้วเราจักต้องอยู่ที่นั่นจนกว่าทุกสิ่งจะจบสิ้น ดังนั้นจงเตรียมตัวให้พร้อม”
“พวกเจ้ามีคำถามอะไรกับพวกเราอีกไหม”
“ใครจักไปกับพวกเรายังเมืองหิมะร่วง” ฟางซีหลานถาม
“ทุกคนจักอยู่ที่นี่ยกเว้นผู้อาวุโสเจ้าที่จักไปเมืองหิมะร่วง นอกจากนั้นถ้ามีศิษย์คนไหนต้องการที่จะติดตามพวกเราไปเพื่อที่พวกเขาจักสามารถชมการแข่งขัน หากเป็นเช่นนั้นเราก็จักพาพวกเขาไปด้วย” โหลวหลานจีพูด
นอกจากโหลวหลานจีและผู้อาวุโสซุน ก็ยังมีผู้อาวุโสคนอื่นอีกสามคนยังอยู่ เพราะว่าเหตุผลด้านความปลอดภัยและเนื่องมาจากพวกเขาขาดคน โหลวหลานจีจึงมีทางเลือกน้อยในการที่จะพาใครไป ในเมื่อเธอไม่ต้องการที่จะปล่อยนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยให้อ่อนแอในระหว่างที่พวกเขากำลังเดินทาง
“เอาล่ะเราจักพบกันในที่แห่งนี้สามวันให้หลังจากนี้”
โหลวหลานจีปล่อยพวกเขาจากไปก่อนที่จะไปเตรียมตัวสำหรับการแข่งขันระดับภูมิภาค
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 297
DC บทที่ 297: การอบรมครั้งสุดท้าย
อีกสองสัปดาห์ผ่านไปนับตั้งแต่โหลวหลานจีได้มาสังเกตการณ์การอบรมของซูหยางกับศิษย์รุ่นเยาว์
อย่างไรก็ตามแม้กระทั่งถึงตอนจบการอบรมครั้งที่หก ก็ไม่มีศิษย์รุ่นเยาว์คนไหนที่สามารถปลุกจุดสำคัญของซูหยางได้
“เหลือเพียงแค่อาทิตย์เดียว เฮ้อ…”
เหล่าศิษย์รุ่นเยาวต่างรู้สึกว่าการบรรลุเป้าหมายเช่นนั้นเป็นไปไม่ได้
“เจ้าคิดว่าอย่างไรน้องชี เจ้าเป็นคนที่มีประสบการณ์มากที่สุดกับวิชานี้จากพวกเราทั้งหมด เจ้าคิดว่าเจ้ามีโอกาสที่จะกระตุ้นจุดสำคัญของศิษย์พี่ชายหรือไม่”
ศิษย์รุ่นเยาว์หันไปมองชีเยว่ ความหวังเดียวของพวกเขาในการล้มซูหยาง
ชีเยว่ไม่ได้ตอบรับในทันทีแต่คิดชั่วขณะก่อนที่จะพูดว่า “แม้ว่าข้าจะมิมั่นใจนักแต่ข้าก็รู้สึกว่าข้าเกือบกระตุ้นจุดสำคัญของศิษย์พี่ชายได้ในวันนี้ กั้นไว้เพียงเส้นผม”
“เช่นนั้นเจ้าคงมั่นใจว่าจักกระตุ้นมันได้ในอาทิตย์หน้าและได้รับรางวัลพิเศษนี้”
“ข้าหวังไว้เช่นนั้น…” ชีเยว่ถอนหายใจ คิดถึงตนเองว่าถ้าเธอมีเวลาอีกเดือนหนึ่งในการฝึก เช่นนั้นเธอย่อมมั่นใจว่าสามารถกระตุ้นจุดสำคัญของซูหยางได้อย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามเวลามีจำกัดและเธอก็มีเวลาเหลือเพียงอาทิตย์เดียวก่อนที่การอบรมของซูหยางจะจบสิ้น
ว่าไปแล้วแม้ว่าจะมีโอกาสเพียงเล็กน้อย ชีเยว่ก็ฝึกฝนตลอดเวลาตลอดทั้งอาทิตย์จนกระทั่งถึงเวลาสำหรับการอบรมครั้งที่เจ็ดและเป็นการอบรมครั้งสุดท้าย
หนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้น
“การอบรมวันนี้จักเป็นครั้งสุดท้าย” ซูหยางกล่าวขณะที่เขาปรากฏตัวขึ้นในห้องอบรม
“…”
เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ในวันนี้ดูเหมือนไม่ค่อยตื่นเต้นกับการอบรมครั้งนี้ ในเมื่อนี่จะเป็นครั้งสุดท้ายของพวกเขา
“ศิษย์พี่ชาย ท่านต้องหยุดหลังจากวันนี้เหรอ ข้าต้องการให้ท่านเป็นผู้อบรมพวกเราต่อไป”
หนึ่งในเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์แสดงความปรารถนาของเธอออกมา และศิษย์รุ่นเยาว์คนอื่นต่างก็เห็นด้วยกับเธอ
ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “บอกเจ้าตามตรง เหตุผลเดียวที่ข้ากลายมาเป็นผู้สอนให้กับพวกเจ้าตั้งแต่แรกก็เพราะว่าผู้นำนิกายได้ตัดสินใจที่จะลงโทษข้าสำหรับความผิดพลาดที่ข้าได้ทำไว้ อย่างไรก็ตามนับตั้งแต่ก่อนที่จะได้รับการลงโทษ ข้าก็ต้องการที่จะทิ้งความรู้ของข้าบางอย่างไว้เบื้องหลังให้กับพวกเจ้า ศิษย์รุ่นเยาว์ ซึ่งจักเป็นอนาคตของที่แห่งนี้ต่อไป”
ซูหยางเปิดเผยความจริงต่อพวกเขา
อย่างไรก็ตามบรรดาศิษย์รุ่นเยาว์ดูเหมือนไม่สนใจในเรื่องที่ว่าเขากลายเป็นผู้อบรมได้อย่างไร ที่พวกเขาต้องการตอนนี้ก็คือให้เขายังคงอยู่
“แม้ว่าข้าจักมิได้เป็นผู้สอนพวกเจ้าหลังจากวันนี้เป็นต้นไป ถ้าเจ้ามีคำถามอะไร อย่าลังเลที่จะไปหาข้า ตราบเท่าที่ข้ายังคงอยู่ในที่นี้ ข้าจักช่วยเจ้า”
ซูหยางทำเหมือนกับว่าเขาจะไม่ได้อยู่ที่นี่ไปตลอด และเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ก็สังเกตพบ อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่ได้ถามคำถามอะไรเพียงแค่พยักหน้า
“ในเมื่อวันนี้เป็นครั้งสุดท้าย ข้าจักมิรับการท้าทายใดๆไปจนกว่าจะจบการอบรม และต่อให้พวกเจ้ามีความมั่นใจว่าเจ้ามิสามารถที่จะกระตุ้นจุดสำคัญของข้า แต่ข้าก็ต้องการให้ทุกคนได้ลองกับตัวข้า”
ซูหยางเริ่มการอบรมหลังจากนั้นไม่นาน
และต่อจากนั้นสองสามชั่วโมงถัดไป ซูหยางก็ได้ให้คำแนะนำกับศิษย์รุ่นเยาว์ทุกคนเป็นรายบุคคล หลังจากที่ดูพวกเขามาเกือบสองเดือน เขาก็ได้จับจุดแข็งและจุดอ่อนของพวกเขาเป็นรายคนในวิชานี้ ดังนั้นเขาจึงรู้วิธีช่วยพวกเขาปรับปรุงวิชาตลอดไปจนถึงสิ่งอื่นๆที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการฝึกฝนวิชายุทธ
หลังจากที่ให้คำแนะนำกับศิษย์รุ่นเยาว์ทั้งเจ็ดสิบคน ด้วยคำแนะนำเฉพาะแต่ละคนแล้ว ซูหยางก็ปรบมือและกล่าวว่า “ข้าต้องการให้ทุกคนยืนเข้าแถวและมาลองท้าข้า”
ไม่นานหลังจากนั้นเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ก็เข้าแถวและเริ่มใช้ดรรชนีสมปรารถนากับซูหยาง อย่างไรก็ตามเพราะรู้ว่าการอบรมจะจบลงหลังจากเหตุการณ์ในวันนี้ จึงไม่มีศิษย์รุ่นเยาว์คนไหนมีความสุข
หลายชั่วโมงหลังจากนั้น ครั้นเมื่อทุกคนยกเว้นศิษย์รุ่นเยาว์คนหนึ่งได้ท้าทายซูหยางหมดแล้ว ศิษย์คนสุดท้ายก็ได้ท้าทายเขา ชีเยว่ก้าวขึ้นไปบนเวที
แน่นอนว่าไม่มีศิษย์รุ่นเยาว์คนไหนที่ขึ้นไปก่อนชีเยว่สามารถที่จะกระตุ้นจุดสำคัญของซูหยางได้ อย่างไรก็ตามหลังจากที่ฝึกมานานกว่าเจ็ดสัปดาห์ พวกเขาทุกคนอย่างน้อยสามารถเห็นจุดสำคัญของซูหยางได้
“เจ้าพร้อมหรือยัง”
ซูหยางถามชีเยว่ซึ่งยืนอยู่ด้านหลังเขาด้วยท่าทางจริงจัง
“อื้อ”
ซูหยางเริ่มจับเวลาหลังจากที่เห็นชีเยว่พยักหน้า
“เจ้าเริ่มได้แล้ว”
เพียงวินาทีเดียวหลังจากที่ซูหยางพูดคำพูดเหล่านั้น ชีเยว่ก็พบจุดสำคัญเขาเรียบร้อยแล้วและเตรียมตัวที่จะกระตุ้นมัน
อย่างไรก็ตามชีเยว่ไม่ได้พยายามที่จะกระตุ้นจุดสำคัญของเขาในทันทีและยังคงยืนนิ่งอยู่ที่นั่นอย่างเงียบเชียบเตรียมตัว
หลังจากที่ยืนนิ่งอยู่หลายนาที จนกระทั่งห้านาทีนั้นเกือบจะหมดไป ดวงตาชีเยว่ก็เป็นประกายลึกล้ำ และเธอก็จิ้มไปยังจุดสำคัญของซูหยางด้วยการเคลื่อนนิ้วอย่างปราดเปรียวและแม่นยำ
“…”
ทั้งสถานที่เงียบสงัด ทุกคนต่างพากันมองดูปฏิกิริยาของซูหยางด้วยดวงตากลมโตในเวลานั้น
อย่างไรก็ตามในเมื่อซูหยางไม่ได้แสดงปฏิกิริยาใดแม้จะผ่านไปหลายอึดใจหลังจากนั้น ศิษย์รุ่นเยาว์ต่างพากันถอนหายใจยอมแพ้
“นี่หมายความว่าพวกเรามิสามารถที่จะกระตุ้นจุดสำคัญของศิษย์พี่ชายได้จนถึงท้ายสุด…”
“ช่างน่าสมเพช…”
“มิมีอะไรที่พวกเราสามารถทำได้อีกแล้ว”
ชีเยว่ย้ายนิ้วของเธอออกจากหลังของซูหยางในเวลาถัดมา ใบหน้าของเธอเปี่ยมไปด้วยความผิดหวัง
เธอคิดว่าเธอสามารถกระตุ้นจุดสำคัญของซูหยางได้แน่นอนหลังจากที่เธอได้ฝึกฝนมาจนหมด แต่อนิจจา ดูเหมือนว่าเธอได้ประเมินซูหยางต่ำไป
ขณะที่ชีเยว่เริ่มเดินออกไปจากเวทีด้วยสายตาเศร้าสลด ซูหยางก็ได้ยิ้มขึ้นและกล่าวว่า “แม้ว่ามันจะเพียงเล็กน้อย แต่ข้าก็ได้รู้สึกเสียวซ่านในร่างข้า”
“!?”
ชีเยว่พลันหันกลับไปและจ้องมองไปยังเขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง
“ขอแสดงความยินดีในการกระตุ้นจุดสำคัญของข้า”
ซูหยางกล่าวกับเธอและพูดต่อว่า “สำหรับรางวัลของเจ้า ตราบเท่าที่ข้าสามารถทำได้ เจ้าสามารถขออะไรก็ได้จากข้า”
ค่อนข้างตื่นตะลึงกับผลลัพธ์ที่ไม่คาดหมาย ชีเยว่ยืนนิ่งอยู่ที่นั่นเป็นเวลาชั่วขณะ
“อืมม… เช่นนั้น ถ้ามิเป็นการขอร้องมากเกินไป ข้าพอจะขอให้ศิษย์พี่ชายอบรมพวกเราต่อไปได้หรือไม่ มิจำเป็นจะต้องสัปดาห์ละครั้งก็ได้ ถึงแม้ว่าจะเป็นเดือนละครั้ง ข้าก็ยังดีใจ”
ซูหยางหัวเราะหึๆและกล่าวว่า “แน่นอนว่าเจ้าสามารถขออะไรแบบนั้นได้ อย่างไรนั่นก็มิใช่สิ่งที่ข้าจะมิได้คาดคิดไว้เช่นกัน เอาล่ะ ข้าจักให้การอบรมพวกเจ้าต่อไปทุกสัปดาห์”
เมื่อได้ยินข่าวนี้ ศิษย์รุ่นเยาว์ต่างพากันพลุ่งพล่านไปด้วยความตื่นเต้นเป็นสุข
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 296
DC บทที่ 296: ความมั่นใจ
“แม้ว่าผลลัพธ์จะเหมือนกับอาทิตย์ที่แล้ว ข้าก็สังเกตเห็นพัฒนาการบางอย่าง ดังนั้นจงมุ่งมั่นต่อไป”
“อย่างไรก็ตาม ข้ามิมีอะไรใหม่สำหรับวันนี้ ดังนั้นพวกเจ้าสามารถเริ่มฝึกฝนด้วยกันเอง ถ้าให้กล่าวก็คือถ้าพวกเจ้าฝึกหนักมากพอ ข้าอาจจะแสดงความฝันแสนงามให้กับพวกเจ้าอีก พวกเจ้าคงรู้ว่าข้าหมายความว่าอย่างไร…”
เมื่อศิษย์รุ่นเยาว์ได้ยินคำพูดเหล่านี้ ดวงตาของพวกเขาก็เป็นประกายด้วยความตื่นเต้นและมุ่งหวัง
หลังจากที่พวกเขาได้รับประสบการณ์อะไรบางอย่างระหว่างการอบรมครั้งที่แล้ว มันก็ฝังติดอยู่ในใจพวกเขาราวกับว่าเป็นคำสาป และพวกเขาต่างพากันสงสัยว่าซูหยางจะทำอะไรเช่นนั้นอีกครั้งหรือไม่หลังจากนั้น
เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ต่างไม่ยอมเสียเวลาและรีบหาคู่อย่างรวดเร็วก่อนที่จะฝึกดรรชนีสมปรารถนากับอีกฝ่าย
ได้มาเห็นภาพแปลกประหลาดนี้ โหลวหลานจีก็มีท่าทางประหลาด
“การกระทำของพวกเขาก็คือการจ้องมองหลังของแต่ละคนก่อนที่จะใช้นิ้วจิ้มลงไปบนตำแหน่งพิเศษ ข้ามิอาจเข้าใจสถานการณ์นี้ได้จากสิ่งที่เกิดขึ้น…”
อย่างไรก็ตามเมื่อโหลวหลานจีสังเกตเห็นสีหน้าพึงพอใจบนใบหน้าของศิษย์เหล่านี้บางคนหลังจากถูกจิ้มจากคู่ฝึก ความคิดหนึ่งก็พลันปรากฏขึ้นในใจเธอ
“พวกเขา… พวกเขากำลังได้รับความสุขสมงั้นรึ แต่พวกเขาเพียงแค่ถูกจิ้มไปบนหลัง… มันเกือบเหมือนกับ…”
โหลวหลานจีดวงตากลมโตขึ้นเมื่อเธอมาได้รับรู้
เธอจึงเข้าไปหาซูหยางและถามเขาว่า “เจ้าสอนวิชาการนวดให้พวกเขางั้นรึ”
ซูหยางแค่ยิ้มและกล่าวว่า “แม้ว่าข้ามิได้บอกพวกเขา แต่วิชานี้ก็สามารถนำไปใช้แบบนั้นได้จริงๆ”
โหลวหลานจีมองดูเขาด้วยท่าทางมึนงง
เธอไม่อาจจะจินตนาการได้ว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจะเป็นอย่างไรในอนาคตถ้าศิษย์รุ่นเยาว์ทั้งเจ็ดสิบคนเติบโตขึ้นมาด้วยวิชาแบบนี้ ในเมื่อนั่นคล้ายกับมีซูหยางขนาดย่ออีกเจ็ดสิบคน
“อ-อะไรที่เจ้าสอนพวกเขา” โหลวหลานจีถาม
“เพราะว่าข้อจำกัดเนื่องจากอายุของพวกเขา ข้าสามารถสอนพวกเขาไม่ได้มากนัก ดังนั้นข้าจึงสอนวิชานี้แก่พวกเขาเพื่อไว้ใช้ในอนาคต เมื่อตอนนั้นนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจักต้องเจริญรุ่งเรืองอย่างแน่นอน”
“ซูหยาง…” โหลวหลานจีมองดูเขาด้วยสีหน้าลึกล้ำ
“เหตุใดเจ้าจึงสามารถมั่นใจเสียเหลือเกินในที่แห่งนี้ในเมื่อมันมีผู้นำนิกายที่ไร้ความสามารถเช่นนี้”
ซูหยางยิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า “ข้าคิดว่าท่านเข้าใจผิดอะไรไปบางอย่าง ความมั่นใจของข้ามิได้มาจากสถานที่นี้แต่มาจากตัวข้า”
โหลวหลานจีทำตาโตด้วยความตกใจ
“จ-เจ้าหมายความว่าอย่างไรเช่นนั้น” เธอถาม
“นั่นง่ายดายยิ่ง ตราบเท่าที่ข้ายังอยู่ที่นี่ ข้ามั่นใจว่าที่แห่งนี้จักเจริญรุ่งเรือง”
“…”
โหลวหลานจีกลายเป็นพูดไม่ออก แต่สีหน้าของเธอในปัจจุบันบอกเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับความรู้สึกของเธอต่อคำพูดของซูหยาง
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ เธอก็กล่าวว่า “ช่างยะโสโอหังนัก ซูหยาง เจ้าหมายถึงว่าตราบที่เท่าเจ้ายังคงอยู่ที่นี่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจะต้องประสบความสำเร็จใช่หรือไม่”
“นั่นมิจำเป็นต้องให้เป็นนัย ในเมื่อนั่นเป็นคำกล่าวที่ชัดแจ้งจากข้า”
เขากล่าวต่อว่า “ท่านอาจจะหัวเราะเยาะข้าในใจตอนนี้ แต่ข้าจักแสดงให้ท่านเห็น งานแข่งระหว่างภูมิภาคก็เหลืออีกแค่ไม่กี่เดือน และท่านยังคงหัวเราะเยาะข้าได้หลังจากนั้น ข้าจักก้มหัวให้และทำทุกอย่างเท่าที่ท่านต้องการ”
“ข้ามิมีเหตุผลที่จะหัวเราะเยาะ ถ้าเจ้าเชื่อเช่นนั้น ข้าเองก็จักเชื่อไปเช่นนั้นกับเจ้าด้วย ในเมื่อเจ้าได้พิสูจน์ตัวเจ้านับครั้งไม่ถ้วนมาจนถึงตอนนี้ ข้ามีแต่ความคาดหวังอย่างสูงในตัวเจ้า ซูหยาง”
“เยินยอไปแล้ว” ซูหยางหัวเราะหึๆ
สองชั่วโมงหลังจากนั้น ซูหยางก็ปรบมือและพูดว่า “นี่คือทั้งหมดของวันนี้ อย่างไรก็ตามถ้าเจ้าต้องการที่จะอยู่นานอีกสักหน่อยสำหรับการอบรมพิเศษ ข้าจักยินดีที่จะยืดเวลาการอบรมวันนี้เพิ่มไปอีกสองสามชั่วโมงสำหรับคนเหล่านั้น”
“ข้าจะอยู่”
“ข้าด้วย”
ศิษย์รุ่นเยาว์ทุกคนตัดสินใจที่จะอยู่ที่นั่นโดยไม่จำเป็นต้องใช้เวลาในการคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้น
“อย่างนั้นก็ได้….”
จากนั้นซูหยางก็ดึงเอาม้วนคัมภีร์จากแหวนมิติ
เมื่อศิษย์รุ่นเยาว์เห็นม้วนคัมภีร์ สีหน้าของพวกเขาก็แจ่มใสขึ้น และหลายคนก็เริ่มฉีกยิ้มทันที
“ก-เกิดอะไรขึ้น”
โหลวหลานจีมองดูท่าทางแปลกประหลาดของศิษย์เหล่านี้มีต่อม้วนคัมภีร์
“ไปเริ่มต้นด้วยท่าสมาธิดอกบัว”
ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น เมื่อศิษย์ทุกคนหลับตาลงแล้ว ซูหยางก็เปิดม้วนคัมภีร์และเริ่มอ่านมัน
“น-นี่คือ…”
โหลวหลานจีตื่นตกใจเป็นอย่างมากเมื่อบรรยากาศพลันเปลี่ยนไป เกิดอะไรขึ้นในโลกใบนี้กันกับที่ซูหยางทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงนี้
อย่างไรก็ตามในเมื่อโหลวหลานจีไม่ได้ฝึกส่วนแรกของวิชาดรรชนีสมปรารถนา เธอจึงไม่ได้รับประสบการณ์กับสิ่งที่ศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้ได้ประสบ
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นยามเมื่อศิษย์เหล่านี้เริ่มฝัน โหลหลานจีก็ถึงกับงุนงงกับท่าทางมีความสุขของพวกเขา ราวกับว่าพวกเขามีความสุขกับช่วงเวลาในตอนนี้เป็นอย่างมาก
โหลวหลานจีมองดูซูหยางซึ่งเดินกลับไปมาบนเวทีขณะที่อ่านม้วนคัมภีร์ ถึงแม้ว่าเธอต้องการที่จะถามเขา เธอก็กลัวว่าจะไปรบกวนเขาและเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ ดังนั้นเธอจึงหักห้ามความต้องการและคงความนิ่งเฉย มองดูเหล่าศิษย์อย่างเงียบๆอยู่ด้านหลัง
สองสามชั่วโมงหลังจากนั้น เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้ก็ลืมตาขึ้นในที่สุด ไม่เหมือนกับครั้งแรกของพวกเขา กิจกรรมนี้ไม่ได้ยาวนานตลอดทั้งวัน
“อย่างที่ข้าคาดไว้… เป็นศิษย์พี่ชายที่อยู่ในความฝันของข้า…” ชีเยว่กล่าวกับตัวเองขณะที่เธอจ้องมองไปยังซูหยางด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชมและหน้าแดงก่ำ
ตามจริงแล้วก็คือศิษย์หญิงทุกคนที่มองดูซูหยางในเวลานี้พร้อมกับสีหน้าคล้ายคลึงกับชีเยว่ ในเมื่อพวกเธอทั้งหมดมีซูหยางเป็นคู่ในความฝัน
“พวกเจ้ามีเวลาในการอบรมเหลืออีกสามครั้ง และสำหรับวันนี้ข้ามีเพียงเท่านี้” ซูหยางกล่าวก่อนที่เขาจะสั่งเลิกชั้นเรียน
ครั้นเมื่อศิษย์รุ่นเยาว์จากไปหมดแล้ว โหลวหลานจีก็เข้าไปหาซูหยางและถามว่า “เกิดอะไรขึ้นระหว่างช่วงเวลาสองสามชั่วโมงนี้”
“มิมีอะไรมาก ข้าเพียงแสดงให้พวกเธอเห็น “ความฝัน””
โหลวหลานจีกลับยิ่งงงงันและถามต่อว่า “เจ้าสามารถอธิบายให้มีรายละเอียดมากกว่านี้สักเล็กน้อยหรือไม่”
ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “แม้ว่าพวกเขายังคงเด็กเกินไปที่จะร่วมฝึกคู่ แต่นั่นมิได้หมายความว่าข้ามิอาจสอนพวกเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังนั้นข้าจึงแสดงให้พวกเขาเห็น “ภาพ” ในใจเกี่ยกับสิ่งที่คล้ายกันในความฝัน”
โหลวหลานจีพลันกลายเป็นไร้คำพูด
“เจ้าหมายถึง… ไม่น่าเชื่อ…” เธอพึมพัมหลังจากที่เงียบไปเป็นเวลานาน
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 295
DC บทที่ 295: ผู้นำนิกายสังเกตการณ์
ครั้นเมื่อศิษย์รุ่นเยาว์ออกไปจากห้องอบรมแล้วพวกเขาก็เริ่มพูดคุยกันเกี่ยวกับประสบการณ์ของพวกเขาระหว่างการอบรม
“เฮ้… น้องชี เจ้าก็ได้รับประสบการณ์ “นั่น” ระหว่างการอบรมเช่นกันใช่ไหม”
“อื้อ…”
ชีเยว่หน้าแดงเมื่อเพื่อนศิษย์ถาม
“ใครเป็นคู่ของเจ้า หรือว่าเป็นศิษย์พี่ชายเหมือนกัน”
ชีเยว่มองดูอีกฝ่ายทำตาโตและกล่าวว่า “เจ้าหมายความว่าเจ้าก็ทำ “สิ่งนั้น” กับศิษย์พี่ชายเช่นกันในความฝันของเจ้า”
ศิษย์คนนั้นพยักหน้า “นั่นช่างมหัศจรรย์ ข้ามิอาจทนรอให้โตขึ้นและอยากประสบกับสิ่งที่เป็นจริงในตอนนี้เลย”
ชีเยว่หันมองไปยังศิษย์ชายคนหนึ่งและถามพวกเขาว่า “เฮ้ ใครเป็นคู่ของเจ้าในความฝัน”
ศิษย์ชายหน้าแดงและไม่พูดอะไรออกมาเป็นเวลาชั่วขณะ
ชีเยว่ขมวดคิ้วและถามศิษย์ชายคนอื่น
อย่างไรก็ตามก็ได้รับผลเช่นเดียวกัน ในเมื่อเหล่าศิษย์ชายปฏิเสธที่จะตอบคำถามของเธอ
นี่ทำให้ชีเยว่งงงัน ทำไมพวกเขาจึงปฏิเสธที่จะตอบคำถามที่ง่ายเช่นนั้น หรือว่านี่ทำให้พวกเขาอายในการที่จะยอมให้คนอื่นรู้
หลังจากที่ส่งคำถามเดียวกันนั้นไปยังศิษย์ชายอีกสองสามคน สุดท้ายชีเยว่ก็ได้รับคำตอบ
“คู่ของข้าคือเพื่อนในวัยเด็กของข้าสมัยยังอยู่ที่บ้าน…. ข้าประหลาดใจจริงที่เห็นเธอในความฝันของข้า กระทั่งยังทำ “เรื่องนั้น” กับข้าด้วย…”
ชีเยว่ตัดสินใจที่จะถามศิษย์ชายมากขึ้นอีกสองสามคนในคำถามเดียวกับและก็ได้รับคำตอบเช่นเดียวกัน
“บางทีคู่ในความฝันของพวกเราจะเป็นคนที่เราชื่นชม…” ชีเยว่มาถึงข้อสรุปหลังจากที่พูดกับศิษย์หลายคน
ศิษย์รุ่นเยาว์ต่างพากันกลับบ้านและฝึกดรรชนีสมปรารถนาต่อ ในเมื่อพวกเขาถูกห้ามไม่ให้ฝึกวิมานคนธรรพ์
–
–
–
เวลาผ่านไปอีกหนึ่งสัปดาห์ และนับว่าเป็นเวลานับเดือนแล้วนับตั้งแต่ซูหยางกลายเป็นผู้สอนให้กับศิษย์รุ่นเยาว์
“เป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้วตั้งแต่ตอนนั้น เฮ้อ… ข้าสงสัยว่าพวกเขาทำอะไรกัน”
โหลวหลานจีมองออกไปนอกหน้าต่างและพึมพัมกับตัวเอง
ไม่นานหลังจากนั้น เธอตัดสินใจที่จะไปเยี่ยมซูหยางในระหว่างที่เขาอบรม
แม้ว่าเธอไม่รู้ว่าเขาสอนอะไรให้กับศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้ แต่เธอก็รู้ว่าเขาอบรมอาทิตย์ละครั้ง และวันนี้ก็จะเป็นการอบรมครั้งที่สี่ของเขา
หลังจากนั้นโหลวหลานจีก็ออกจากศาลาหยินหยางและตรงไปยังห้องอบรมที่อยู่ในเขตศิษย์ใน
เมื่อเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์สังเกตเห็นโหลวหลานจีปรากฏกาย พวกเขาก็ทักทายเธอในทันที
“ผู้สอนของพวกเจ้ายังไม่มาที่นี่รึ” โหลวหลานจีถามพวกเขา
“ศิษย์พี่ชายควรจะมาที่นี่ในไม่กี่นาทีนี้”
“อืมมม…” โหลวหลานจีครุ่นคิดชั่วขณะก่อนที่จะถามพวกเขา “พวกเจ้าคิดอย่างไรกับเขาในฐานะผู้สอน”
ศิษย์รุ่นเยาว์พากันสบสายตากันก่อนที่จะพูดประสานเสียงกันว่า “พวกเรารักเขา”
โหลวหลานจีประหลาดใจอยู่บ้างกับคำพูดของพวกเขาและกล่าวว่า “เจ้ามิต้องโกหกเรื่องนั้นก็ได้ พวกเจ้ารู้ไหม ถ้าพวกเจ้ากลัวหากจะพูดไม่ดีเกี่ยวกับเขา ข้าสามารถรับประกันได้ว่าพวกเจ้าจักมิเกิดปัญหาใดๆ”
ศิษย์รุ่นเยาว์พากันสบสายตากันอีกครั้ง ดูค่อนข้างงุนงง หรือว่าผู้นำนิกายคาดหวังให้ซูหยางเป็นผู้ฝึกสอนที่ไม่ดี
“พวกเรามิได้โกหก ผู้นำนิกาย” ชีเยว่ก้าวออกมาแล้วกล่าว “พวกเรารักศิษย์พี่ชายในฐานะผู้สอนจริงๆ ตามจริงแล้วเขาเป็นคนที่ดีกว่าผู้สอนคนใดที่มีมาก่อนนั้น”
“ข้าก็ด้วย ข้าได้เรียนจากศิษย์พี่ชายมากกว่าผู้สอนคนใดก่อนหน้าเขา”
โหลวหลานจีเปลี่ยนเป็นพูดไม่ออก ในเมื่อเธอไม่คาดคิดว่าศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้จะยึดเอาซูหยางไว้เป็นที่เทิดทูนอย่างสูงเช่นนี้ ถ้าผู้สอนคนก่อนหน้านี้ได้มาที่นี่และได้ยินคำพูดของพวกเขา คนเหล่านั้นต้องร้องไห้แน่นอน
“ข้า… ข้าเข้าใจแล้ว”
โหลวหลานจียอมแพ้ในการที่จะพยายามที่จะหาบางสิ่งมาวิจารณ์ซูหยางและเดินไปยังด้านหลังของห้องอบรม
“มิต้องสนใจข้า ข้ามาที่นี่เพียวเพื่อที่จะสังเกตการณ์” เธอกล่าวกับศิษย์รุ่นเยาว์
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ซูหยางก็ปรากฏตัวขึ้นในห้องอบรม
“ผู้นำนิกาย”
ซูหยางทักทายเธอทันทีที่เขาเห็นร่างแบบบางของเธอยืนพิงกับผนังด้านหลังห้องอบรม
“มิต้องสนใจข้า ข้ามาที่นี่เพียงเพื่อดูเท่านั้น เพียงดำเนินการต่อไปเช่นที่เจ้าทำดังปกติ”
ซูหยางพยักหน้าและกล่าวต่อว่า “ก่อนที่จะเริ่มการเรียนการสอน มีคนต้องการลองหรือไม่”
โหลวหลานจีพลันเลิกคิ้ว เขาพูดถึงอะไรกัน
“ข้าต้องการลองอีกครั้ง”
ชีเยว่และศิษยรุ่นเยาว์อีกสองสามคนพลันยกมือขึ้น
ไม่นานหลังจากนั้น ชีเยว่ก็ไปยืนอยู่ด้านหลังซูหยางและเพ่งมองหลังของเขา ซึ่งสร้างความสับสนให้กับโหลวหลานจี ซึ่งไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสถานการณ์นี้แม้แต่น้อย
ไม่นานหลังจากนั้น ชีเยว่ก็ยกมือของเธอขึ้นจิ้มไปบนหลังส่วนล่างของซูหยาง
โหลวหลานจีซึ่งสนใจมากกับสิ่งที่พวกเขาทำกัน เดินไปยังด้านหลังพวกเขาและพิจารณาพวกเขาอย่างใกล้ชิดทุกการกระทำ
อย่างไรก็ตามแม้ว่าหลังจากที่ดูเป็นเวลาหลายนาที โหลวหลานจีก็ไม่อาจเรียนรู้อะไรเลยแม้แต่น้อยและเพียงยิ่งเพิ่มความสับสน
“พวกเขาทำอะไรกันในโลกนี้”
โหลวหลานจีเพียงเห็นว่าชีเยว่รวบรวมพลังปราณไร้ลักษณ์บนนิ้วที่ใช้ทิ่มไปบนหลัง แต่ไม่รู้ว่าเจตนาอะไรสำหรับการกระทำเช่นนั้น เธอไม่สามารถเข้าใจได้
ห้านาทีหลังจากนั้น ชีเยว่ก็ขยับนิ้วออกจากหลังของซูหยางและถอนหายใจด้วยท่าทางยอมแพ้
“ข้ายอมแพ้…”
หลังจากที่ชีเยว่ลงไปจากเวที ศิษย์คนต่อไปก็เริ่มจ้องไปที่หลังของซูหยาง เกือบเช่นเดียวกับที่เธอได้เพ่งพิจารณาหลังของเขา
อย่างไรก็ตามไม่เหมือนกับชีเยว่เสียทีเดียว ศิษย์รุ่นเยาว์คนนี้ไม่ได้จิ้มหลังซูหยางด้วยนิ้วของเธอและลงจากเวทีสามนาทีหลังจากนั้น
สถานการณ์นี้วนเวียนไปจนกระทั่งศิษย์รุ่นเยาว์ทุกคนบนเวทีจากไปด้วยท่าทางพ่ายแพ้
หลังจากที่ศิษย์รุ่นเยาว์ทุกคนออกจากเวที โหลวหลานจีก็ถามซูหยาง “พวกเจ้าทำอะไรกันเมื่อกี้นี้”
ซูหยางยิ้มและตอบว่า “ถ้าท่านมิสามารถบ่งบอกออกมาได้ยามเมื่อจบการอบรม ข้าจักบอกให้”
โหลวหลานจีขมวดคิ้วและกล่าวว่า “ดี ข้าจักยอมรับคำท้าทายของเจ้า”
โหลวหลานจีพลันกลับไปยืนยังด้านหลังของห้องอบรม อย่างไรก็ตามสายตาของเธอยิ่งคมกล้ากว่าเดิม ราวกับว่าเธอกำลังจ้องมองไปทั่วทั้งห้องเรียน ซึ่งทำให้เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์รู้สึกไม่สบายใจอะไรบางอย่าง
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 294
DC บทที่ 294: วิมานคนธรรพ์
แม้ว่าชีเยว่จะไม่สามารถกระตุ้นจุดสำคัญของเขาได้ ซูหยางก็ยังค่อนข้างประทับใจกับความก้าวหน้าของเธอกับวิชาดรรชนีสมปรารถนา ถ้าให้ต้องเปรียบเทียบเธอกับเพื่อนศิษย์ เธอก้าวล้ำนำหน้าคนอื่นกว่าสิบเท่า
“เจ้ารู้สึกอย่างไร” เขาถามเธอ
“ห-หมดแรง…” ชีเยว่พูดเสียงเบา
“นั่นเป็นเพราะว่าเจ้าพยายามที่จะใช้เรี่ยวแรงกระตุ้นจุดสำคัญของข้าด้วยปราณไร้ลักษณ์ของเจ้า” ซูหยางส่ายหน้า “นั่นจักเพียงทำให้แรงของเจ้าสิ้นเปลืองไปโดยไร้ประโยชน์”
“เอาล่ะใครต้องการลองอีก” ซูหยางหันไปยังเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์และถามด้วยรอยยิ้มยั่วเย้า
“ข-ข้า ข้าต้องการลอง”
ศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านั้นต่างพากันยกมือขึ้นทีละคนสองคน
ซูหยางพยักหน้าและยอมให้ศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้ได้ลองสู้เขา
อย่างไรก็ตามครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นก็ไม่มีใครอีกนอกจากชีเยว่ที่สามารถหาตำแหน่งจุดสำคัญของเขาได้ยิ่งอย่าคิดถึงการที่จะกระตุ้นจุด
กล่าวไปแล้ว ใช่ว่าพวกเขาจะไม่รู้ตำแหน่ง ในเมื่อชีเยว่ได้ชี้ให้เห็นก่อนหน้านั้น อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะรู้ว่าตำแหน่งที่แน่นอนมันอยู่ที่ไหน พวกเขาก็ไม่สามารถที่จะเห็นจุดสำคัญนั้น
“ต่อให้เจ้ารู้ว่ามันอยู่ที่ไหนก็ตามถ้าเจ้ามิได้เห็นด้วยตัวเอง เช่นนั้นโอกาสที่พวกเจ้าจะปลุกจุดสำคัญนั้นก็เป็นได้แค่ศูนย์”
ซูหยางกล่าวกับพวกเขาหลังจากนั้น
“อย่างไรก็ตามในเมื่อตอนนี้ทุกคนที่นี่สามารถจับพื้นฐานได้แล้ว ข้ามีคำถามต่อพวกเจ้า ใครในที่นี้ที่เห็นมากกว่าหนึ่งจุดสำคัญบนคนหนึ่งคน ยกมือขึ้น”
ไม่นานหลังจากนั้น กว่าครึ่งของศิษย์รุ่นเยาว์ก็ยกมือขึ้น
“ดี ตอนนี้ยกมือของเจ้าไว้ ถ้าเจ้าเห็นมากกว่าสองจุดในแต่ละครั้ง”
หลังจากที่เขาพูดคำพูดเหล่านั้น กว่าครึ่งของที่ยกมือขึ้นก็ได้ลดมือลง
“แล้วสามล่ะ”
ถึงตอนนี้ มีเพียงศิษย์รุ่นเยาว์สามคนที่ยังคงยกมือขึ้นกลางอากาศ
“สี่”
เมื่อได้ยินคำกล่าวนี้ สองในสามของศิษย์รุ่นเยาว์ก็ลดมือของพวกเขาลงและมีเพียงชีเยว่ที่ยังคงยกมือขึ้น เป็นสิ่งที่ซูหยางได้คาดคิดไว้แล้วก่อนที่เหตุการณ์นี้จะได้เริ่มขึ้น
“มากที่สุดเท่าไหร่ที่เจ้าได้เห็นจุดสำคัญบนคนคนหนึ่ง” เขาถามเธอ
“เจ็ด” ชีเยว่ตอบด้วยเสียงภูมิใจ
“ดีมาก เช่นนั้นพวกเจ้าเข้าใจแล้วใช่ไหมว่าทำไมข้าจึงถามเจ้าเช่นนี้”
ชีเยว่พยักหน้าและกล่าวว่า “ข้าตระหนักว่ายิ่งข้าเข้าใจวิชานี้มากขึ้นเท่าไหร่ จุดสำคัญที่ข้าสามารถเห็นจากคู่ของข้าก็มากขึ้นเท่านั้น”
ซูหยางพยักหน้าและกล่าวว่า “มนุษย์ทุกคนมีอย่างน้อยหนึ่งจุดสำคัญ แต่บางคนก็มีเพียงแค่จุดเดียว อย่างไรก็ตามมีความลับหนึ่งที่วิชานี้ได้รับมาด้วยก็คือเจ้าสามารถ “สร้าง” จุดสำคัญเหล่านี้ขึ้นมาได้มากกว่านั้น”
“ตามจริงถ้าเจ้าเชี่ยวชาญวิชานี้ เจ้าจักสามารถที่จะกระตุ้นคู่ฝึกของเจ้าจากการสัมผัสที่ไหนก็ตามบนร่างของพวกเขาได้ กระทั่งจุดที่ไม่ใช่จุดสำคัญของพวกเขาก็ตาม”
แม้ว่าจะได้กล่าวคำพูดเหล่านี้ ซูหยางก็ไม่ได้มีความคิดว่าจะมีพวกเขาคนไหนที่จะเข้าถึงระดับเชี่ยวชาญกับวิชาดรรชนีสมปรารถนาของเขา
“อย่างไรก็ตาม เราจักทำสิ่งที่แตกต่างไปในวันนี้”
ซูหยางนำเอาม้วนกระดาษขึ้นมาจากแหวนมิติและกล่าวต่อว่า “แม้ว่าพวกเจ้าทั้งหมดได้คุ้นเคยกับดรรชนีสมปรารถนาแล้ว ตามจริงแล้วนั่นเป็นเพียงแค่ครึ่งหนึ่งของวิชาทั้งหมด”
“อะไรกัน”
ศิษย์รุ่นเยาว์มีสีหน้าตระหนกเมื่อได้ยินคำพูดของเขา พวกเขาได้ฝึกฝนวิชาที่ไม่สมบูรณ์มานานถึงสามสัปดาห์
“เหตุผลที่ข้าให้พวกเจ้าเพียงครึ่งหนึ่งของวิชานี้นั้นไม่ยาก ครึ่งหลังนั้นลึกล้ำมากเกินไปสำหรับพวกเจ้าในการที่จะตีความด้วยตัวพวกเจ้าเอง และนั่นจักทำให้พวกเจ้าถูกครอบงำ บางทีอาจจะทำให้เกิดความสับสนวุ่นวายในใจพวกเจ้า”
เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์พากันสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว พวกเขาไม่คาดว่าวิชานี้จะน่าหวาดกลัวและลึกล้ำเช่นนั้น ทั้งที่มันไม่ได้เป็นทั้งวิชาการต่อสู้หรืออะไรที่ซับซ้อน
“อย่างไรก็ตามหลังจากที่เห็นพวเจ้าเติบโตในหนึ่งเดือนนี้ ข้าสามารถบอกได้แน่นอนว่าพวกเจ้าพร้อมสำหรับส่วนที่สองของวิชานี้ วิมานคนธรรพ์”
“วิมานคนธรรพ์…”
เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์พากันพึมพัมชื่อวิชาที่ให้ความรู้สึกลึกลับอย่างไม่รู้ตัว
“ส่วนแรก ดรรชนีสมปรารถนา จักทำให้เจ้าสามารถที่จะให้ความสุขสมกับคู่ของเจ้าได้อย่างง่ายดาย ส่วนที่สอง วิมานคนธรรพ์ จักทำให้เจ้าได้รับประสบการณ์โลกใบใหม่ไปกับคู่ของเจ้า อย่างไรก็ตามพวกเจ้ายังคงเด็กเกินไปที่จะใช้วิชานี้ในการฝึก ดังนั้นข้าจักเพียงให้พวกเจ้าได้ลิ้มลองวิชานี้ในใจของพวกเจ้า”
ซูหยางคลายผนึกของม้วนวิชาและเปิดมันออก
“พวกเจ้าทุกคนนั่งลงในท่าสมาธิดอกบัวและเริ่มฝึกวิชาเดี๋ยวนี้” ซูหยางกล่าว
ศิษย์รุ่นเยาว์พลันนั่งลงและหลับตาเพื่อฝึกวิชา
ไม่นานหลังจากนั้น ซูหยางก็เริ่มอ่านม้วนวิชาในมือและบรรยากาศอันลึกลับก็เกิดขึ้นรอบห้องอบรม
ขณะที่ซูหยางอ่านม้วนคัมภีร์อย่างต่อเนื่องก็เกิดภาพขึ้นภายในใจของเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้
ภาพเหล่านี้มีความสมจริงขึ้นตามเวลาที่ผ่านไป และก่อนที่พวกเขาจะทันได้รู้ตัว มันก็กลายเป็นความเป็นจริงของศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้แล้ว สิ่งที่เหมือนกับความฝันที่สมจริง
สำหรับความฝันประเภทไหนที่พวกเขามีนั้น มีเพียงแต่คนที่ฝันอยู่เท่านั้นที่จะรู้ ในเมื่อทุกคนที่นั่นต่างมีความฝันที่เฉพาะตัวสำหรับพวกเขา
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วและเมื่อถึงเวลาที่เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้เริ่มลืมตาขึ้นนั่นก็ถึงเวลาที่ดวงดาวพราวระยับไปทั่วฟ้าคราค่ำคืนเรียบร้อยแล้ว
“ศ-ศิษย์พี่ชาย… นี่คือ…”
ศิษย์รุ่นเยาว์ทุกคนมองดูเขาด้วยใบหน้าแดงก่ำ เหมือนกับว่าพวกเขาเพิ่งประสบกับบางอย่างที่เหนือพ้นโลกและหมดเรี่ยวแรงไปในเวลาเดียวกัน
“เจ้าสนุกไปกับมันไหม” ซูหยางถามพวกเขาด้วยรอยยิ้มลึกลับบนใบหน้า”
พวกเขาพากันพยักหน้ากันช้าๆด้วยสีหน้าแปลกประหลาด
“นั่นเป็นโลกที่เจ้าจักได้อาศัยอยู่ยามเมื่อพวกเจ้ากลายเป็นผู้ใหญ่ ดังนั้นก่อนจะถึงตอนนั้นเรียนรู้ให้หนักเพื่อที่ว่าเจ้าจักได้มิสร้างความผิดหวังให้กับคู่ของเจ้า”
“อีกอย่างหนึ่ง…” ซูหยางพลันหรี่ตาเปล่งกลิ่นอายที่น่าหวาดหวั่น
“ข้าขอห้าพวกเจ้าทุกคนในการใช้วิมานคนธรรพ์ก่อนที่จะเป็นผู้ใหญ่ ถ้าเจ้ามิเชื่อฟังกฏนี้ ข้าจักสาปแช่งให้ชีวิตของพวกเจ้าจักมิสามารถพบกับความสุขได้อีกครั้ง พวกเจ้าเข้าใจไหม”
เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์พลันพยักหน้าด้วยเหงื่อที่ไหลออกมาจากใบหน้า ในเมื่อพวกเขาหวาดกลัวกับท่าทางของซูหยาง
หลังจากที่เห็นพวกเขาตกลงแล้ว ซูหยางก็มีท่าทางกลับคืนเป็นปกติและเขาก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “เช่นนั้นข้าจักพบกับพวกเจ้าทั้งหมดอีกครั้งในอีกหนึ่งอาทิตย์”
PS: ผมตอนแรกได้ตกลงกับเพื่อนสมาชิกว่าจะลองแปลเรื่อง The Sinful Life of The Emperor อีกครั้ง แต่ก็พบว่าเพราะว่าผมเริ่มโครงการอื่นทำให้ไม่มีเวลาเหลือที่จะแปลนิยายเรื่องThe Sinful Life of The Emperor จึงต้องขออภัยเพื่อนสมาชิกมาด้วยในที่นี้
และก็ Happy Valentine Day กับทุกๆ ท่านนะครับ ขอให้มีความสุขสมหวังในความรักกันทุกคน
NOS+
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 293
DC บทที่ 293: โกง
เวลาหนึ่งอาทิตย์ผ่านไปนับตั้งแต่การอบรมครั้งแรกของซูหยาง เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ต่างก็พากันกลับมาเพื่ออบรมครั้งที่สองโดยไม่มีใครแม้สักคนในหมู่พวกเขาที่ขาดหายไป
“ข้าต้องการให้ทุกคนมีคู่ฝึกที่ต่างออกไปในครั้งนี้” ซูหยางกล่าว
เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ต่างพากันมองหาคู่คนใหม่ในทันที
ต่อจากนั้นครั้นเมื่อทุกคนมีคู่แล้ว ซูหยางก็พูดขึ้นว่า “ดี ตอนนี้มาทำซ้ำสิ่งที่เราทำเมื่ออาทิตย์ที่แล้วและพิสูจน์ให้ข้าเห็นว่าพวกเจ้าได้ศึกษากันมาอย่างดี”
หนึ่งนาทีหลังจากนั้นยามเมื่อซูหยางเห็นว่าทุกคนที่นั่นได้ชี้นิ้วไปยังจุดเฉพาะบนหลังของคู่ฝึก เขาก็พยักหน้าเป็นการยอมรับ
“แม้ว่าครึ่งหนึ่งของพวกเจ้าใช้เวลานานกว่าครึ่งนาทีในการหาจุดสำคัญของคู่ฝึก ข้าก็ยังดีใจที่เห็นการพัฒนาอย่างมากจากพวกเจ้าทุกคน ถ้าให้กล่าวไปแล้วพวกเจ้าทุกคนก็ยังไม่สามารถที่จะกระตุ้นจุดสำคัญได้ ดังนั้นพวกเจ้ายังคงมีอีกหลายสิ่งที่จะต้องเรียนรู้”
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ก็มีการเปลี่ยนข้าง และผู้ที่ได้จี้ตอนนี้ก็กลับมาเป็นผู้ถูกจี้ด้วยคู่ของตน
และก็เช่นเดียวกับกลุ่มแรก ทุกคนในที่นั้นสามารถที่จะหาจุดสำคัญของคู่ฝึกได้
ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังมีบางคนที่กระทั่งสามารถกระตุ้นจุดสำคัญของคู่ฝึกได้ เป็นเหตุให้ศิษย์รุ่นเยาว์คนนั้นล้มลงคุกเข่า
“ศิษย์พี่ชาย ข้าต้องการลองหาจุดสำคัญของท่านในตอนนี้”
ศิษย์รุ่นเยาว์ที่กระตุ้นจุดสำคัญของคู่ของเธอพลันยกมือขึ้นหลังจากที่การทดสอบจบลง
“เอาสิ” ซูหยางยิ้มเมื่อเขาเห็นท่าทางมั่นใจบนใบหน้าชีเยว่
เขาทำการนั่งลงและกล่าวต่อว่า “ข้าจักให้เวลาเจ้าสามนาทีเพื่อที่จะหาจุดสำคัญของข้า ถ้าเจ้าสามารถที่จะหาได้ภายในเวลาสามนาทีนี้ ข้าจักให้เวลาเพิ่มอีกห้านาทีในการที่จะลองกระตุ้นมัน”
“เวลาเยอะจัง”
เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์อ้าปากค้าง
อย่างไรก็ตามชีเยว่รู้ว่าซูหยางให้เวลาเธอมากมายเช่นนี้ก็เพียงเพราะว่าเขามั่นใจว่าเธอจะไม่สามารถได้รับรางวัลพิเศษของเขาในวันนี้
ไม่นานนักชีเยว่ก็ยืนอยู่ด้านหลังซูหยางและเพ่งสายตาไปยังหลังของเขา
ดรรชนีสมปรารถนาประกอบด้วยสองเคล็ดวิชา หนึ่งก็คือใช้ดูจุดสำคัญเหล่านี้ และอีกอย่างก็เพื่อใช้กระตุ้นมัน
“…”
“…”
“…”
เวลาที่จำกัดไว้สามนาทีได้ผ่านไปแล้ว แต่ชีเยว่ยังยืนอยู่ที่นั่นตลอดชั่วเวลานั้นโดยไม่ได้ขยับตัวแม้แต่น้อย
“ทำไมข้าจึงมิเห็นมัน แม้กระทั่งข้าสามารถมองเห็นจุดสำคัญทุกจดของคู่ของข้าได้อย่างง่ายดาย…” ชีเยว่ถามเขาด้วยเสียงพึมพัม ลิ้มลองรสชาติของความพ่ายแพ้ที่อยู่ในปาก
ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “เช่นเดียวกับพลังการฝึกปรือและปราณไร้ลักษณ์ ผู้คนสามารถซ่อนมันไว้จากสายตาของคนอื่นได้ถ้าพวกเขาต้องการ”
คางของชีเยว่ตกลงหลังจากที่ได้ยินคำอธิบายของเขา
“ต-แต่นั่นเป็นการโกงนี่ ข้าจักสามารถหาจุดสำคัญของท่านได้อย่างไรถ้าท่านมีเจตนาซ่อนมันไว้จากข้า” ชีเยว่มีท่าทางเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรม
ซูหยางระเบิดเสียงหัวเราะและกล่าวว่า “เจ้าคิดหรือว่าข้าจักยอมให้เจ้าหาจุดสำคัญของข้าและได้รับรางวัลพิเศษของข้าได้โดยง่าย เจ้าไร้เดียงสาเกินไปแล้ว”
“…”
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ ซูหยางก็กล่าวต่อว่า “อย่างไรก็ตามถ้าจักกล่าวไปแล้ว มิใช่ว่าข้าทุ่มเทเต็มที่ในการพยายามซ่อนจุดสำคัญของข้า ตราบเท่าที่เจ้ามีความเชี่ยวชาญในวิชามากพอถึงจุดหนึ่ง เจ้าก็จักเห็นมัน”
ว่าไปแล้วถ้าเขาต้องการที่จะซ่อนจุดสำคัญของเขาอย่างแท้จริง เช่นนั้นก็จะไม่มีใครในโลกนี้ที่จะสามารถหามันพบได้
“อ-อย่างนั้นรึ…”
ชีเยว่ไม่ได้รู้สึกหดหู่อีกต่อไปหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเขา ในเมื่อยังคงมีโอกาสสำหรับพวกเธอที่จะหาจุดสำคัญของเขา
ซูหยางหันไปดูผู้เข้าอบรมและกล่าวว่า “ถ้าเจ้าต้องการที่จะท้าทายข้า เจ้าจักต้องอย่างน้อยสามารถที่จะหาจุดสำคัญของคู่ของเจ้าได้ภายในการมองผ่านๆครั้นแรก”
“อย่างไรก็ตาม นี่มิมีสิ่งใดใหม่สำหรับการอบรมในวันนี้ ดังนั้นเพียงแค่พยายามฝึกฝนกับคนอื่น ถ้าเจ้าต้องการที่จะท้าทายข้าในเวลาใด ก็เพียงแต่พูดขึ้น”
ซูหยางนั่งลงบนเวทีและหลับตา ลบตัวตนออกไปจากห้องเรียน และเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ต่างพากันดำเนินการฝึกฝนดรรชนีสมปรารถนากับคนอื่นทั้งยังเปลี่ยนคู่ในชั่วโมงถัดไป
ระหว่างช่วงเวลาหนึ่งชั่วโมงนี้ มีศิษย์รุ่นเยาว์สองสามคนได้ท้าทายซูหยาง แต่อนิจจาไม่มีใครสักคนสามารถที่จะเห็นจุดสำคัญของเขาได้จนถึงที่สุด
หลังจากไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ซูหยางก็ลืมตาขึ้นและปล่อยชั้นเรียนไปจนถึงอาทิตย์หน้า
–
–
–
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว และก่อนที่พวกเขาจะได้ตระหนัก ก็ถึงเวลาที่ซูหยางจะเริ่มการอบรมครั้งที่สาม
“ศิษย์พี่ชาย ข้าต้องการที่จะลองหาจุดสำคัญของท่านอีกครั้ง” ชีเยว่ขอลองเขาทันทีที่เขามาถึงที่ห้องอบรม
ซูหยางไม่ได้พูดอะไรทั้งสิ้นเพียงแค่พยักหน้าก่อนจะนั่งลง
ชีเยว่ทำการยืนอยู่ด้านหลังของเขาและเพ่งมองสายตาไปบนหลังเขาอีกครั้ง
หนึ่งวินาที สองวินาที สิบวินาที…
สามสิบวินาที… หนึ่งนาที… สองนาที…
ในช่วงไม่กี่วินาทีสุดท้าย ก่อนที่จะหมดเวลาสามนาที ชีเยว่ก็ตาเป็นประกายอย่างล้ำลึก และวินาทีถัดไปเธอก็ยกนิ้วของเธอชี้ไปยังจุดหนึ่งบนหลังของซูหยางที่ใกล้กับศูนย์กลางของหลังส่วนล่าง
“ข้าพบแล้ว ข้าพบจุดสำคัญของท่านแล้ว ศิษย์พี่ชาย” ชีเยว่ประกาศด้วยความตื่นเต้นและรอยยิ้มอันสดใสเต็มไปด้วยความสุข
“หวาาา”
เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์เริ่มส่งเสียงโห่ร้องด้วยความตื่นเต้นให้กับเธอหลังจากที่ประจักษ์ว่าชิวเยว่ได้มีวิชาก้าวหน้าอย่างมหาศาล
ซูหยางก็ยิ้มและกล่าวว่า “ดีมาก ตอนนี้เจ้ามีเวลาห้านาทีที่จะปลุกมัน”
ชีเยว่พยักหน้าและกลับคืนสู่สีหน้าจริงจังอีกครั้ง
เธอจึงมุ่งมั่นสะสมพลังปราณไร้ลักษณ์บางส่วนของเธอไว้บนปลายนิ้วก่อนที่จะจิ้มลงไปบนจุดสำคัญของซูหยางด้วยนิ้วเล็กๆของเธอ
หนึ่งนาที… สองนาที… สามนาที….
ห้านาทีให้หลัง ชีเยว่ยืนอยู่ที่นั่นด้วยใบหน้าและร่างกายที่เต็มไปด้วยเหงื่อขณะที่หายใจลึก
“ฮาาาา…. ฮาาา… ฮาาาา…”
ไม่ว่าเธอจะพยายามมากเท่าไหร่ในการกระตุ้นจุดสำคัญของซูหยาง มันก็ยังคงไม่สั่นไหวแม้แต่น้อย และให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าเธอพยายามที่จะเปิดประตูนิรภัยเหล็กด้วยขวานไม้
“ความพยายามที่ดี”
ซูหยางกล่าวกับเธอก่อนที่จะยืนขึ้นมองดูเธอด้วยรอยยิ้มลึกลับบนใบหน้าหล่อเหลา
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 292
DC บทที่ 292: รางวัลพิเศษ
“ดรรชนีสมปรารถนานี่… ใช่เป็นสิ่งที่เจ้าได้ใช้ระหว่างการนวดของเจ้าหรือไม่”
หลานลี่ชิงเดินไปยังข้างกายซูหยางและถามเขาในขณะที่ศิษย์รุ่นเยาว์กำลังศึกษา
“ประมาณนั้น…” ซูหยางยิ้ม
หลานลี่ชิงแอบส่ายหน้า วิชาที่สร้างขึ้นโดยเทพแห่งความสุข… ไม่น่าประหลาดใจเลยที่ทำไมการนวดของซูหยางจึงรู้สึกเหมือนอยู่เหนือโลก
หนึ่งชั่วโมงให้หลัง ซูหยางก็ปรบมือและกล่าวเสียงดังว่า “ครบหนึ่งชั่วโมงแล้วตอนนี้”
แม้ว่าพวกเขาได้ตั้งใจเต็มที่กับวิชาและไม่ต้องการที่จะหยุดชะงัก เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ก็ได้หยุดการศึกษาและเงยหน้าขึ้นมามองซูหยาง
“แต่ละคนที่นี่จักต้องจับคู่กับใครสักคนที่เป็นเพศตรงข้ามและใช้ดรรชนีสมปรารถนากับพวกเขา อย่างไรก็ตามเนื่องมาจากสัดส่วนที่ไม่เท่ากันระหว่างหญิงกับชาย ถ้าเจ้ามิมีคู่ก็เพียงทำกับใครก็ได้”
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นหลังจากที่ดิ้นรนไปทั่วหาเพื่อน เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ทั้งหมดก็ได้คู่
“ถ้าเจ้ายืนอยู่ด้านขวามือของข้าตอนนี้ เจ้าจักเริ่มต้นก่อนและอีกคนก็จักหันหลังให้”
เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ทำตามคำแนะนำของเขาและประจำตำแหน่งอย่างรวดเร็ว
“ดี ตอนนี้ข้าต้องการให้พวกเจ้าที่อยู่ด้านขวามือหาจุดสำคัญบนตัวคู่ฝึกและจิ้มจุดนั้น และเจ้ามีเวลาหนึ่งนาทีก่อนที่จะสลับข้างกับคู่ฝึกของเจ้า”
บรรดาศิษย์รุ่นเยาว์ไม่ยอมเสียเวลาและพลันเริ่มมองหาจุดสำคัญบนร่างคู่ฝึก
ศิษย์รุ่นเยาว์สองสามคนในกลุ่มที่ได้จับใจความสำคัญของดรรชนีสมปรารถนาถึงระดับหนึ่งภายในหนึ่งชั่วโมงนั้นได้ใช้เวลาเพียงสองสามวินาทีในการกำหนดตำแหน่งจุสำคัญของคู่ฝึก อย่างไรก็ตามศิษย์รุ่นเยาว์ที่เหลือไม่อาจที่จะหาตำแหน่งจุดสำคัญเหล่านี้แม้ว่าจะใช้เวลาไปตลอดทั้งนาที
ศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้บางคนก็จิ้มไปอย่างเดาสุ่มบนหลังของคู่ฝึกอย่างหมดหวังหวังว่าพวกเขาจะเดาได้ถูกต้อง อย่างไรก็ตามซูหยางมองทะลุความไม่เป็นจริงของพวกเขาได้อย่างง่ายดาย อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้พูดอะไรออกมาและยังคงดูศิษย์เหล่านี้ต่อไป
หนึ่งนาทีให้หลัง ซูหยางก็พูดขึ้นว่า “เอาล่ะ เปลี่ยนข้างได้แล้วตอนนี้”
หลังจากที่ศิษย์รุ่นเยาว์เปลี่ยนข้างแล้ว ซูหยางก็ให้สัญญาณเริ่ม และศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้ก็เริ่มหาจุดสำคัญของคู่ตนเองในทันที
เมื่อหนึ่งนาทีสั้นๆนี้จบลง ซูหยางก็ปรบมือและกล่าวว่า “หยุด”
เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์หันไปดูเขา
“พวกเจ้าส่วนใหญ่มิสามารถหาตำแหน่งจุดสำคัญของคู่ของเจ้าได้ แต่พวกเจ้าอย่าเพิ่งท้อถอยกับผลลัพธ์นี้”
“ส่วนสำหรับพวกเจ้าผู้ที่สามารถหาตำแหน่งจุดสำคัญของคู่ฝึกของเจ้าได้แล้ว ถ้าข้าเป็นเจ้า หากยังมิสามารถเห็นจุดสำคัญได้ในทันทีข้าก็จักยังมิฉลองความสำเร็จ ตามจริงแล้วแม้ว่าเจ้าจะสามารถหาตำแหน่งจุดสำคัญพวกเขาได้ เจ้าก็ยังไม่สามารถกระตุ้นนำพาความสุขให้กับพวกเขาได้ นอกจากว่าเจ้าสามารถทำได้ทั้งสองอย่างนี้ มิเช่นนั้นก็ยังถือว่าเจ้ายังมิได้เรียนรู้ดรรชนีสมปรารถนา”
ทันใดนั้นหนึ่งในเหล่าศิษย์ก็ยกมือของเธอขึ้น
“มีอะไรรึ”
“ศิษย์พี่ชาย เราสามารถบรรลุผลวิชานี้ได้มากเท่าไหร่”
ได้ยินคำถามนี้ รอยยิ้มลึกลับก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าซูหยาง
“แม้ว่าวิชานี้อาจจะดูง่ายดายและตรงไปตรงมา แต่วิชานี้มีความลึกล้ำสุดจะหยั่งจริงๆ ตามจริงแล้วหากเจ้าสามารถเชี่ยวชาญมันได้ เช่นนั้นเจ้าก็สามารถที่จะทำให้เทพเจ้าคุกเข่าลงได้ด้วยนิ้วเพียงนิ้วเดียว”
“…”
เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์เชื่อว่าซูหยางยกยอวิชานี้เกินจริงเพื่อทำให้มันดูน่าประทับใจมากกว่าเดิม แต่ถ้าเพียงพวกเขารู้ว่าซูหยางพูดออกมาจากประสบการณ์…
“อย่างไรก็ตามนี่ก็ถึงเวลาสิ้นสุดการอบรมในวันนี้แล้ว พยายามฝึกฝนวิชาที่ข้าให้พวกเจ้าในวันนี้ และพวกเราจักพบกันอีกครั้งอาทิตย์หน้าเวลาเดิม ซึ่งตอนนั้นจะมีการทดสอบอีก”
“เอ๋”
เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์มีท่าทางประหลาดใจเมื่อพวกเขาได้ยินคำพูดของเขา
อีกครั้งรึ เขาจักมาอบรมพวกเขาอีกครั้งงั้นรึ
“นี่มิใช่ครั้งเดียวหรอกรึ” บางคนถามขึ้น
“รวมกับการอบรมในวันนี้แล้ว ข้าจักอบรมพวกเจ้าเจ็ดครั้งตลอดทั้งหลักสูตรในอาทิตย์ถัดๆไป” ซูหยางกล่าว
เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์พลันกระโดดด้วยความตื่นเต้นเมื่อได้ยินข่าวนี้ เห็นได้ชัดเจนแล้วในตอนนี้ว่าเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้ค่อนข้างจะหลงไหลซูหยางและเมื่อได้รับการสอนจากผู้ช่วยชีวิตและคนที่พวกเขาคลั่งไคล้ยิ่งทำให้บทเรียนยิ่งสนุกสนานยิ่งขึ้น
หากจะว่าไปแล้วพวกเขายังพบว่าการอบรมภายในวันนี้ให้ทั้งข้อมูลสำคัญและลึกซึ้งมาก ตามจริงนี่ถือว่าเป็นสิ่งที่พวกเขาได้เรียนรู้มากที่สุดนับตั้งแต่เป็นศิษย์รุ่นเยาว์มา
ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาก็ยังได้รับวิชาใหม่ที่ล้ำค่าที่เหมาะสมกับสถานที่นี้มากที่สุด
“โอ อีกอย่างหนึ่ง ระหว่างหลักสูตรการอบรมของข้าจนกระทั่งถึงวันสุดท้าย ถ้ามีใครที่นี่สามารถระบุและกระตุ้นจุดสำคัญของข้าได้ ข้าจักให้รางวัลพิเศษแก่พวกเขา”
“รางวัลพิเศษประเภทไหนกัน” บางคนอดยับยั้งความตื่นเต้นไม่ได้จึงถามออกมา
“นั่นก็ขึ้นกับเจ้าที่จักต้องค้นหา” เขาตอบพร้อมรอยยิ้ม
หลังจากที่ปล่อยเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ไปแล้ว ซูหยางก็กล่าวกับหลานลี่ชิงว่า “ทำไมเรามิกลับไปและสานต่อธุระของเราล่ะ”
หลานลี่ชิงยิ้มและกระซิบไปที่หูของเขาว่า “ดอกไม้เล็กๆของข้าได้เปียกแฉะไปหมดแล้วนับตั้งแต่เจ้ากระตุ้นความต้องการในร่างของข้า…”
ซูหยางหัวเราะเล็กน้อยและไม่ได้กล่าวอะไรอีกก่อนที่จะพาหลานลี่ชิงกลับไปยังห้องของเขาซึ่งพวกเขาได้ร่วมฝึกคู่อย่างเข้มข้นตลอดช่วงเวลาที่เหลือของวัน
“เขตปฐพีวิญญาณระดับเจ็ด หึ เจ้าเติบโตขึ้นมิใช่น้อย”
“นี่เป็นไปได้ก็เพียงเพราะว่าปราณหยางของเจ้า ซูหยาง”
หลานลี่ชิงยิ้ม
เพราะว่าปราณหยางที่ทั้งทรงพลังและมีคุณภาพของเขา พลังการฝึกปรือของหลานลี่ชิงจึงได้ประสบกับความก้าวหน้าอย่างมาก ที่จริงแล้วศิษย์ทุกคนที่ได้ร่วมฝึกกับเขาต่างรู้สึกราวกับว่าพวกเธอเป็นปลาคาร์พที่กระโจนผ่านประตูมังกรหลังจากนั้น
“ว่าไปแล้ว ปราณหยางของเจ้ารู้สึกว่ามีรสชาติต่างไปจากปกติ… มีอะไรเกิดขึ้นรึ” หลานลี่ชิงถามเขาหลังจากที่สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงนี้
แม้ว่าเธอสามารถบอกได้ว่ามันมีคุณภาพสูงกว่าก่อนอย่างชัดเจน แต่ก็ยังต่างจากฟางซีหลานในเมื่อเธอไม่สามารถเห็นถึงพลังการฝึกปรือเขตอัมพรวิญญาณของซูหยางแม้กระทั่งหลังจากที่ได้ลิ้มลองแล้ว
“การก้าวข้ามผ่านเล็กน้อย” ซูหยางตอบเธออย่างง่ายๆด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 291
DC บทที่ 291: ดรรชนีสมปรารถนา
“อย่างที่พวกเจ้าเพิ่งประจักษ์ ยังมีที่อื่นที่เจ้าสามารถใช้สร้างความสุขให้กับคู่ของเจ้าได้ ต่อให้มันเป็นจุดที่ดูเหมือนไม่มีอะไรเลยและดูผิดปกติ ตราบเท่าที่เจ้ามีความรู้เจ้าก็สามารถสร้างความสุขให้กับคู่ของเจ้าได้โดยไม่ต้องสัมผัสส่วนที่ไวต่อความรู้สึก”
ศิษย์รุ่นเยาว์ต่างพากันกลืนน้ำลายอย่างยากเย็น รู้สึกถึงความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะเรียนรู้วิชานี้
“อย่างไรก็ตามเพื่อที่จะให้พวกเจ้าได้เข้าใจมันอย่างถ่องแท้ ข้าจักให้พวกเจ้าทั้งหมดนี้ได้มีประสบการณ์กับเทคนิคนี้ด้วยตัวเอง”
ซูหยางชี้ไปยังศิษย์รุ่นเยาว์ที่อยู่ใกล้กับเขามากที่สุดและกล่าวว่า “ข้าต้องการให้ทุกคนมายืนเข้าแถวต่อจากด้านหลังของเธอ และเมื่อถึงตาของเจ้าก็ขึ้นมาบนเวที”
ศิษย์รุ่นเยาว์ที่เป็นอันดับแรกของแถวขึ้นมาบนเวทีอย่างกระตือรือล้น
“และเพื่อที่จะทำให้เหตุการณ์นี้ยิ่งตื่นเต้นมากยิ่งขึ้น ถ้าเจ้าสามารถที่จะยืนอยู่ได้หลังจากที่ได้รับประสบการณ์จากวิชาของข้า ข้าจักให้รางวัลพวกเจ้าด้วยหินวิญญาณร้อยก้อน”
“หินวิญญาณร้อยก้อน”
เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ต่างตกตะลึงกับความใจกว้างของซูหยาง แม้ว่าหินวิญญาณร้อยก้อนอาจจะดูไม่มากนัก แต่มันก็เป็นทรัพยากรที่เพียงพอสำหรับพวกเขาในการฝึกวิชาโดยไม่หยุดพักได้ถึงปีหรือสองปี
“ข้าจักเริ่มแล้วตอนนี้”
ซูหยางเคลื่อนมือไปยังด้านหลังของศิษย์รุ่นเยาว์คนนี้อย่างช้าๆ ก่อนที่จะจิ้มนิ้วหนึ่งนิ้วไปยังจุดหนึ่งบนหลังของเธอ
“อาาา”
ศิษย์รุ่นเยาว์นี้พลันรู้สึกว่ามีความรู้สึกอันล้ำลึกเอ่อล้นไปทั่วร่างกาย จนทำให้ร่างของเธอล้มลงไปบนพื้นราวกับว่าเธอเพิ่งถูกไฟฟ้าช๊อต
“…”
ศิษย์รุ่นเยาว์คนอื่นที่ดูอยู่ต่างรู้สึกว่ากรามของตนเองกระทบพื้นหลังจากที่เห็นเหตุการณ์นี้ หนึ่งร้อยก้อนหินวิญญาณนี้อาจจะยากเกินเอื้อมกว่าที่พวกเขาคิดไว้ตอนแรก
“เจ้าเป็นไรไหม” ซูหยางถามศิษย์รุ่นเยาว์ขณะที่ช่วยเธอลุกขึ้นยืน
“ค-ค-ความรู้สึกนี้คืออะไร…”
ศิษย์รุ่นเยาว์นี้ไม่สามารถหยุดยั้งร่างกายจากการสั่นสะท้านได้ ในเมื่อผลตามหลังยังคง ความจริงแล้วความรู้สึกนั้นได้กระตุ้นร่างกายเธออย่างมากจนกระทั่งเธอได้ฉี่เล็ดออกมาเล็กน้อย
ครั้นเมื่อคนแรกได้รับประสบการณ์จากวิชาของซูหยางแล้ว คนถัดมาก็ขึ้นไปบนเวที
“อาาา”
ต่างจากศิษย์คนแรกที่สามารถควบคุมกระเพาะปัสสาวะของเธอได้อย่างยากลำบาก ศิษย์รุ่นเยาว์คนที่สองไม่เพียงแต่ล้มลงบนพื้นแต่ยังคงฉี่รดตัวเองอย่างเต็มที่หลังจากที่ประสบกับเทคนิคการใช้นิ้วเทพจิ้มของซูหยาง
“เจ้าสามารถกลับไปที่ห้องและชำระล้างร่างกายก่อนที่จะกลับมา” ซูหยางกล่าว
“เอ๋ แต่ข้ามิต้องการที่จะพลาดการอบรม…”
“เจ้ามิต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้น เพราะว่าข้าจะยังมิเริ่มบทเรียนจนกว่าทุกคนจะกลับมาแล้ว”
คำพูดเช่นนั้นหมายความว่าซูหยางคาดว่าต้องมีศิษย์รุ่นเยาว์อีกมากมายที่จะฉี่รดตัวเอง
“ตกลง…”
ศิษย์รุ่นเยาว์นั้นพยักหน้าและออกไปจากห้องอบรมเพื่อชำระร่างกาย
ใช้เวลาอย่างมากที่สุดหนึ่งนาทีต่อศิษย์แต่ละคน ซูหยางสามารถจัดการให้ศิษย์ถึงเจ็ดสิบคนที่นั่นเข้ารับรู้ประสบการณ์จากวิชาของเขาได้ภายในครึ่งชั่วโมง
และหลังจากที่จบการสาธิต จำนวนของศิษย์ที่ยังคงยืนอยู่ได้หลังจากที่ถูกจิ้มที่หลังจากซูหยางเป็นศูนย์อย่างไม่น่าประหลาดใจแต่อย่างใด
ครั้นเมื่อศิษย์รุ่นเยาว์ทุกคนได้กลับมาหลังจากที่กลับไปทำการชำระล้างร่างกายแล้ว ซูหยางก็ถามพวกเขาว่า “บอกข้าซิว่าเจ้าได้เรียนรู้อะไรจากประสบการณ์ครั้งนี้”
เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ต่างหันไปสบตากัน นอกจากที่ได้เรียนรู้ว่าความสุข “ที่แท้จริง” รู้สึกเช่นไร พวกเขาไม่ได้คิดถึงอะไรอย่างอื่นอีก
หลังจากที่นิ่งเงียบไปชั่วขณะ เด็กหญิงตัวเล็กก็ยกมือขึ้น
“นั่นเป็นน้องเล็กของข้า”
หลานลี่ชิงยิ้มในใจเมื่อเธอสังเกตเห็นชีเยว่ยกมือของเธอขึ้น
“ว่ามา”
“อืมม.. ข้าได้สังเกตเห็นว่าตำแหน่งที่ท่านได้จิ้มลงไปล้วนแตกต่างกันไปในแต่ละคน บางทีแต่ละคนจะมีจุดความสุขแตกต่างกันไป”
ซูหยางยิ้มและพยักหน้า “เป็นการสังเกตที่ยอดเยี่ยมมาก”
และในเมื่อเขาไม่ได้คาดคิดว่าจะมีใครในที่นี้สามารถสังเกตเห็นจุดนั้น ซูหยางตัดสินใจที่จะให้รางวัลชีเยว่สำหรับความสำเร็จของเธอ
“นี่เป็นหินวิญญาณหนึ่งร้อยก้อน”
ซูหยางโยนถุงบรรจุหินวิญญาณอย่างสบายๆไปยังชีเยว่ที่ตรงเข้าไปรับมันอย่างเร่งรีบ
ศิษย์รุ่นเยาว์คนอื่นมองดูเธอด้วยสายตาอิจฉา เสียใจที่พวกเขาไม่ได้เป็นคนที่สังเกตเห็น
“อย่ากังวลไป ยังมีโอกาสอีกมากมายสำหรับพวกเจ้าที่จะได้รับบางสิ่งระหว่างการอบรมของข้า”
เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ต่างพากันตื่นเต้น และความตั้งใจในการอบรมยิ่งจริงจังมากขึ้น
“ช่างเป็นแครอทที่แพงมากในการใช้ให้ศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้ตั้งใจในการอบรมของเขา…”
หลานลี่ชิงตาโตด้วยความตระหนกเมื่อซูหยางยื่นส่งหินวิญญาณร้อยก้อนให้กับศิษย์รุ่นเยาว์อย่างง่ายๆ นั่นมากกว่าเงินรายปีของเธอไปแล้ว และนั่นเพียงแค่จากการตอบคำถามง่ายๆได้ถูกต้อง
หลานลี่ชิงไม่อาจนึกออกว่าจะมีผู้อาวุโสนิกายคนใดที่ร่ำรวยและบ้าพอที่จะใช้เทคนิคนี้ อย่างไรก็ตามพฤติกรรมที่คาดเดาไม่ได้ประเภทนี้เป็นแค่เศษเสี้ยวของสิ่งที่เธอรักในตัวซูหยาง
“อย่างที่เธอพูดไว้เมื่อกี้นี้ ทุกคนมีจุดสำคัญแตกต่างกันออกไป แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมด ในเมื่อปกติแล้วจะมีมากกว่าหนึ่งจุดเหล่านี้ในแต่ละคน”
ซูหยางดำเนินการบรรยายต่อไป
“ตอนนี้เมื่อพวกเจ้าทุกคนได้เห็นและได้รับประสบการณ์จากวิชาโดยตรงแล้ว ข้าจักให้ทุกคนที่นี่ได้มีโอกาสได้เรียนรู้มัน”
หลังจากที่พูดคำพูดเหล่านี้ ซูหยางก็สะบัดชายเสื้อ ทำให้กระดาษเจ็ดสิบชิ้นปรากฏขึ้นและบินตรงไปยังเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์
“บนกระดาษเหล่านั้นเป็นวิชาที่จักยอมให้พวกเจ้าได้รับรู้และปลุกเร้าจุดสำคัญเหล่านี้ ทำให้เกิดความสุขอย่างแรงกล้ากับผู้ที่ประสบ และชื่อของมันก็คือ ดรรชนีสมปรารถนา”
“มีคำกล่าวไว้ว่าวิชานี้ถูกสร้างขึ้นมาจากเทพแห่งความสุข และถ้าเจ้าดูแลมันอย่างไม่สนใจใยดีมันหรือหละหลวม เทพแห่งความสุขจักสาปแช่งเจ้าไปชั่วนิรันดร์ พรากความสุขไปจากชีวิตของเจ้า”
เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ต่างพากันกลืนน้ำลายอย่างยากลำบากเมื่อได้ยินที่มาแบบนั้นของวิชาที่ลึกล้ำเช่นนี้
“จากที่กล่าวมาแล้ว พวกเจ้าทุกคนจงศึกษาวิชานี้ไปจนถึงชั่วโมงหน้าก่อนที่ข้าจะทดสอบถึงทักษะในการทำความเข้าใจในทันทีหลังจากนั้น”
เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ต่างไม่ยอมเสียเวลาและค้นคว้าลึกเข้าไปในวิชานั้นทันที
พวกเขาทุกคนต้องการที่จะสร้างความประทับใจให้กับซูหยาง แต่ยิ่งไปกว่านั้นคือเรียนรู้วิชานี้ที่บางทีอาจจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขาไปตลอดกาล
DC บทที่ 290: บรรยายให้แก่ศิษย์รุ่นเยาว์
ในวันเดียวกันสองสามชั่วโมงหลังจากที่ซูหยางร่วมฝึกคู่กับซุนจิงจิง คนที่ไม่คาดคิดอีกคนก็มาปรากฏตัวต่อหน้าซูหยาง
“ซูหยางข้าอยากจะขอบคุณเจ้าที่ช่วยเหลือศิษย์รุ่นเยาว์โดยเฉพาะอย่างยิ่งชีเยว่ซึ่งข้ารู้จักเธอมาเป็นเวลานานแล้ว ข้ามิอาจคาดคิดได้ว่าจักเกิดอะไรขึ้นกับเธอถ้าเจ้ามิช่วยเหลือเธอไว้จากพวกโจร…”
หลานลี่ชิงน้อมคำนับซูหยางด้วยท่าทางจริงจัง
“ข้าก็เพียงแค่ทำงานในฐานะศิษย์ของที่แห่งนี้เท่านั้น”
“นั่นมิจำเป็นต้องถ่อมตัว” หลานลี่ชิงยิ้ม
เธอกล่าวต่อว่า “อย่างไรก็ตามเจ้าว่างหรือเปล่าตอนนี้ นี่ก็เป็นเวลาพักใหญ่แล้วที่เราได้ร่วมฝึกด้วยกันครั้งล่าสุด เจ้ารู้ไหม”
“แม้ว่าข้าปรารถนาในการร่วมฝึกกับเจ้าตอนนี้ ข้าก็ยังจำเป็นจะต้องไปที่ห้องอบรมในตอนนี้ เจ้าคงมิรังเกียจที่จะรออยู่หลังจากเวลานั้น”
“ห้องอบรมรึ ผู้อาวุโสนิกายคนไหนที่กำลังจะให้การอบรมในตอนนี้รึ” หลานลี่ชิงมั่นใจว่าไม่มีผู้อาวุโสนิกายคนไหนให้การอบรมในเวลานี้
“ข้าเป็นคนที่จักให้การอบรม”
“อะไรกัน ใครจักเป็นคนที่เจ้าให้การอบรม” หลานลี่ชิงมองดูเขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง
“ศิษย์รุ่นเยาว์ ตามที่ผู้นำนิกายได้สั่งไว้”
“ผู้นำนิกายสั่งเจ้าให้อบรมศิษย์รุ่นเยาว์รึ ทำไมเธอจึงทำเช่นนั้น”
“นี่เป็นการลงโทษสำหรับความผิดเล็กน้อยที่ข้าก่อขึ้น” ซูหยางยิ้มออกมาสบายๆ
“อย่างไรก็ตามข้าได้แจ้งเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์เรื่องการอบรมไปเรียบร้อยแล้วและข้าก็กำลังจะตรงไปที่นั่นในตอนนี้”
“เจ้าจะว่าอะไรไหมถ้าข้าไปด้วย”
หลานลี่ชิงถาม รู้สึกค่อนข้างสนใจในเรื่องที่ว่าซูหยางจะอบรมเด็กพวกนี้อย่างไร
“นั่นสบายมาก เพราะนี่เป็นการอบรมแบบเปิดเผยอยู่แล้ว”
หลานลี่ชิงพยักหน้าและตามซูหยางไปยังห้องอบรมในเขตศิษย์ใน ในเมื่อที่นั่นเป็นสถานที่ที่ศิษย์รุ่นเยาว์ทั้งหมดมารวมตัวกัน
เวลาต่อมาเมื่อซูหยางมาถึงห้องฝึกอบรม ศิษย์รุ่นเยาว์ประมาณเจ็ดสิบคนก็พากันทักทายเขา
“สวัสดีตอนเช้า ศิษย์พี่ชาย”
เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์พากันประหลาดใจเล็กน้อยที่เห็นหลานลี่ชิงที่นั่นเช่นเดียวกัน หรือว่าเธอก็จะเข้าร่วมบรรยายในครั้งนี้ด้วย
“ศิษย์คำนับผู้อาวุโสหลาน”
“ข้ามาที่นี่เพียงแค่มาดูเท่านั้น” หลานลี่ชิงกล่าวขณะที่เธอเดินไปยังด้านหลังของห้องอบรม
หลังจากนั้นไม่นาน ครั้นเมื่อทุกคนนั่งลงแล้ว ซูหยางก็เดินไปยังเวทีและพูดขึ้นอย่างใจเย็นว่า “สวัสดีศิษย์ทั้งหลาย ข้าซูหยาง และข้าจักเป็นผู้อบรมในวันนี้”
“ก่อนที่ข้าจักเริ่มการอบรม ข้ามีคำถามต่อพวกเจ้าทุกคน อะไรคือจุดประสงค์ของการฝึกวิชาคู่”
ศิษย์รุ่นเยาว์สองสามคนพลันยกมือของพวกเขาขึ้นทันที
“เจ้า”
ซูหยางเลือกหนึ่งในนั้นแบบสุ่ม
“ขอรับ”
ศิษย์รุ่นเยาว์ยืนขึ้นและเริ่มอธิบาย “จุดประสงค์ของการฝึกวิชาคู่ก็คือการฝึกพลังยุทธ”
“คำตอบที่ถูกต้องและเรียบง่าย แต่การฝึกวิชาคู่นั้นเป็นมากกว่านั้น มันเป็นความผูกพันระหว่างคนสองคน เป็นสิ่งที่จักคงอยู่ชั่วนิรันดร์หากเจ้าปฏิบัติได้อย่างเหมาะสม”
“พวกเราจักปฏิบัติได้อย่างเหมาะสมได้อย่างไร”
บางคนถามขึ้น
“นั่นจักทำได้ผ่านทางความสุข ยิ่งเจ้าสามารถให้ความสุขแก่คู่ของเจ้ามากเท่าไหร่ ความผูกพันก็จักยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น และสุดท้ายหากเจ้ามิสามารถให้ความสุขแก่คู่ของเจ้า พวกเขาก็แค่จักหาคนอื่นที่สามารถทำได้มาแทน”
“ดังนั้น ความสุขจักเป็นหัวข้อหลักของการอบรมในวันนี้”
“…”
หลานลี่ชิงซึ่งดูการอบรมอย่างเงียบๆ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจกับการบรรยายอย่างเยือกเย็นและราบรื่นของซูหยาง แม้ว่าจะเพิ่งเป็นการเริ่มต้น เธอก็สามารถบอกได้ว่าซูหยางมีประสบการณ์ลึกซึ้งในการอบรมผู้อื่น
“ความเยือกเย็นของเขา… บรรยากาศอันลึกล้ำที่อยู่รอบกายเขายามที่กำลังพูด… นั่นราวกับว่าเขาได้ทำเช่นนี้มาเป็นเวลาหลายปี…”
หลานลี่ชิงเริ่มรู้สึกสงสัยว่าซูหยางจะเป็นอาจารย์ที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตที่ผ่านมาหรือไม่
“มีความสุขมากมายหลายประเภทในโลกนี้ แต่ข้าจักเน้นไปยังความสุขประเภทที่มีผลกระทบต่อร่างกายของเจ้า”
ซูหยางพลันเลือกหนึ่งในศิษย์รุ่นเยาว์แบบสุ่ม ซึ่งเป็นผู้ชายและถามเขาว่า “เจ้าจะให้ความสุขกับคู่ของเจ้าได้อย่างไร”
“อืม… โดยการลูบไล้ร่างกายของเธออย่างนุ่มนวลใช่ไหม”
“โฮ่ และส่วนไหนของร่างกายเธอที่เจ้าจะสัมผัส”
“ส่วนล่างมั้ง…” ศิษย์รุ่นเยาว์ตอบด้วยเสียงลังเล
ซูหยางส่ายหน้า
“ถ้าเจ้าเพียงแค่สามารถให้ความสุขแก่หญิงสาวด้วยการสัมผัสพื้นที่ส่วนนั้น เจ้าก็ถือว่าเป็นเพียงคนธรรมดา”
ซูหยางจึงหันไปมองหลานลี่ชิงและกล่าวว่า “ผู้อาวุโสหลาน ถ้าท่านมิถือ ท่านมาบนนี้หน่อยได้ไหมเพื่อที่ข้าจักได้สาธิตอะไรบางอย่างให้กับศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้”
หลานลี่ชิงไม่ได้คิดอะไรมากจึงพยักหน้า
ไม่นานหลังจากนั้นเมื่อหลานลี่ชิงก้าวขึ้นไปบนเวที ซูหยางก็กระซิบไปที่หูของเธอว่า “นี่จักเป็นการปลุกเร้าอยู่บ้าง…”
“เอ๋ เจ้ากำลังจะทำอะไรกับข้าต่อหน้าศิษย์รุ่นเยาว์ทั้งหมดนี้รึ” หลานลี่ชิงลังเล ในเมื่อเธอไม่ต้องการที่จะแสดงให้พวกเขาเห็นอะไรที่น่าอาย
“อย่ากังวลไป ข้ามิทำอะไรที่วิตถาร”
“ถ้าเจ้าพูดเช่นนั้น…”
ซูหยางไปยืนตรงด้านหลังหลานลี่ชิงและวางมือลงไปบนหลังเธอ
“…”
หลานลี่ชิงร่างสั่นสะท้านเมื่อเธอรู้สึกว่านิ้วของซูหยางลูบไล้ไปบนหลังเธอ แม้ว่าจะสวมชุดคลุมแต่ก็รู้สึกเหมือนกับว่าเธอร่างเปลือยเปล่าเมื่อถูกเขาสัมผัส
เวลาต่อมาซูหยางก็กดนิ้วหนึ่งของเขาในตำแหน่งพิเศษเฉพาะบนหลังหลานลี่ชิง กดนิ้วของเขาลึกลงไปในผิวของเธอ
“อาาาา”
หลานลี่ชิงส่งเสียงร้องครางอย่างควบคุมไม่ได้เมื่อพลันมีคลื่นแห่งความสุขรุกเร้าเข้าสู่ทุกอนูของร่างกาย เธอทรุดกายลงคุกเข่าในวินาทีต่อมา
บรรดาศิษย์รุ่นเยาว์ดวงตาเบิกกว้างไปกับฉากนั้น เกิดอะไรขึ้นกัน ทำไมหลานลี่ชิงจึงมีปฏิกิริยาตอบโต้แบบนั้น สิ่งที่ซูหยางทำทั้งหมดคือการจิ้มนิ้วนิ้วหนึ่งไปบนหลังของเธอเท่านั้น
“ผู้อาวโสหลาน ถ้าท่านมิรังเกียจทำไมจึงมิบอกให้เหล่าศิษย์ที่อยู่ที่นี่ว่าความรู้สึกประเภทไหนกันที่ผ่านเข้ามาในร่างกายท่านเมื่อกี้นี้” ซูหยางกล่าวกับเธอ
“…”
หลังจากที่ใช้เวลาชั่วขณะในการสงบใจลง หลานลี่ชิงก็พึมพัมออกมาเป็นเสียงที่ฟังได้ค่อนข้างยาก “มันเป็นความรู้สึกที่ทำให้ทั่วร่างกายของข้ารู้สึกหมดแรงและเกียจคร้าน…แต่ก็เป็นความรู้สึกที่เป็นสุขอย่างมาก”
“ว้าว…”
ศิษย์รุ่นเยาว์มีท่าทางหวาดหวั่นเมื่อได้ประจักษ์ถึงวิชาของซูหยาง เขาสามารถที่จะบังคับให้ผู้อาวุโสนิกายคุกเข่าลงเพราะความสุขด้วยเพียงแค่นิ้วเดียว
DC บทที่ 289: ตระกูลซุนต้องมิยอมแน่
“อาาาา”
“อาาาาาาา”
ยังไม่ถึงห้านาทีนับตั้งแต่ซูหยางเริ่มใช้ลิ้นกับน้องสาวของเธอ ซุนจิงจิงก็หายใจไม่ออกเสียแล้วจากทั้งการร่ำร้องและครวญคราง
“เจ้าต้องการพักหรือไม่”
ซูหยางถามเธอหลังจากผ่านไปอีกไม่กี่นาที
ซุนจิงจิงปาดน้ำตาแห่งความสุขสมออกจากหางตาและส่ายหน้า
“ได้โปรด… ทำต่อ…”
ซูหยางพยักหน้าและยืนขึ้น
จากนั้นเขาก็กดส่วนปลายของแท่งแกร่งเข้าไปในร่องหลืบที่คับแน่นของซุนจิงจิง ก่อนจะฉีกผนึกที่รักษาความบริสุทธิ์ของเธอไว้ออกด้วยการดันอย่างแรงหนึ่งครั้ง
“อาาาาาาาาาา”
รู้สึกถึงซอกหลืบของเธอถูกแยกออกโดยสัตว์ร้ายของซูหยาง ซุนจิงจิงก็ร่ำร้องด้วยเสียงอันดัง
“นี่คือการฝึกวิชาคู่งั้นรึ”
ซุนจิงจิงหลับตาลงเพื่อรับรู้ถึงความรู้สึกอันลึกล้ำที่ไหลเวียนไปทั่วร่างกายเธอ
“อืม…”
“อาาา…”
“อาาาาา…”
ซูหยางทิ่มแทงร่องหลืบของซุนจิงจิงอย่างต่อเนื่องไปอีกครึ่งชั่วโมง และก็เหมือนกับว่าเขากำลังขุดบ่อน้ำเมื่อมีน้ำไหลและพุ่งออกมาจากช่องหลุมอย่างต่อเนื่อง
หลังจากนั้นอีกหลายนาทีของการฝึกวิชาคู่ เมื่อซุนจิงจิงดูเหมือนจะถึงขีดจำกัด ซูหยางก็ปลดปล่อยปราณหยางเข้าไปในตัวเธอ
ซุนจิงจิงร่างสั่นสะท้านทั้งยังปลดปล่อยปราณหยินหยาดสุดท้ายในตัวเธอออกมาด้วย
สองสามนาทีหลังจากเงียบไปชั่วขณะ ซุนจิงจิงก็ถามเขาว่า “ข้ามาอีกได้ไหม…”
“ทุกเวลาที่เจ้าต้องการ” คือคำตอบจากซูหยางพร้อมกับรอยยิ้ม
–
–
–
ต่อจากนั้นหลังจากที่ซุนจิงจิงออกไปจากที่พักของซูหยาง เธอก็เข้าไปพบกับผู้อาวุโสซุน
“เจ้า…. เจ้าทำมันจริงๆ เฮ้อ…”
ผู้อาวุโสซุนพลันรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงกลิ่นอายของเธอได้ทันทีและถอนหายใจลึก
“ใช่แล้ว ข้าฝึกวิชาคู่ร่วมกับเขา”
ซุนจิงจิงพยักหน้า ทั้งเสียงของเธอก็เต็มไปด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจ
“เจ้าเสียใจบ้างไหม” ผู้อาวุโสซุนถาม
“…”
หลังจากเงียบไปชั่วขณะ ซุนจิงจิงก็ยิ้มและกล่าวว่า “ข้าเสียใจ…. ที่ไม่ไปพบเขาในช่วงเวลาก่อนหน้านี้…”
ผู้อาวุโสซุนดวงตาเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ
“ปู่ ข้าได้ตัดสินใจแล้ว”
ซุนจิงจิงพลันกล่าวขึ้น
“เอ๋ เจ้าหมายความว่าอย่างไรรึ” ผู้อาวุโสซุนถาม
“ข้าต้องการที่จะเชื่อมประสานสายเลือดของเรากับเขา ข้าต้องการตั้งท้องลูกของเขา”
“อะไรกัน นี่ช่างกระทันหันเกินไป” ผู้อาวุโสซุนพลันลุกยืนขึ้นจากที่นั่งและอุทานเสียงดังลั่น
“ฝึกวิชาร่วมกับเขาเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ตั้งท้องลูกของเขาด้วยนี่ เจ้ามิได้คิดบ้างรึว่าเจ้ากำลังพูดถึงเรื่องอะไร ข้า-ตระกูลซุนต้องมิยอมแน่ อีกทั้งเจ้าก็ยังเด็กเกินไป”
ผู้อาวุโสซุนปฏิเสธความคิดของซุนจิงจิงเสียงแข็ง
อย่างไรก็ตามซุนจิงจิงยังคงเยือกเย็นและกล่าวว่า “ข้ามิได้กล่าวว่านั่นจักเป็นเวลาในเร็ววันนี้ ในเวลาที่ข้าต้องการตั้งท้องลูกของเขา ตระกูลซุนต้องสนับสนุนแน่นอน”
“อะไรที่ทำให้เจ้ามั่นใจปานนี้ว่าตระกูลจักยอมรับ” ผู้อาวุโสซุนขมวดคิ้ว
“ในยุทธภพ พลังอำนาจเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด กระทั่งสำคัญยิ่งกว่าชื่อเสียงหรือตำแหน่งฐานะ และเมื่อรู้ว่าตระกูลซุนมักจะไล่ตามชื่อเสียงหรือพลังอำนาจอยู่เสมอมา หากเมื่อพวกเขาได้รู้ตัวตนของซูหยางนั่นเป็นเรื่องธรรมชาติสำหรับพวกเขาที่จะติดตามเขา”
“เจ้าเด็กนั่นทรงพลังมากรึ แม้ว่าข้าจะยอมรับว่าเขาเป็นคนที่มีความพิเศษเฉพาะ นั่นมิได้หมายความว่าต้องเกี่ยวพันกับการมีพลังอำนาจ”
ซุนจิงจิงส่ายหน้าและกล่าวว่า “ปูมิได้เห็นวิธีที่เขาจัดการกับโจรพวกนั้น… ความจริงแล้ว ข้าได้ตัดตอนรายละเอียดบางอย่างในวันนั้นโดยเจตนา…”
คิ้วที่ขมวดของผู้อาวุโสซุนยิ่งเป็นรอยลึกขึ้น
“เจ้าหมายความว่าอย่างไรรึ”
ผู้อาวุโสซุนนึกถึงคำอธิบายของซุนจิงจิงในวันที่มีปฏิบัติการช่วยเหลือ แต่เขาไม่อาจแยกแยะออกมาได้ว่าเธอเจตนาซ่อนอะไรไว้
“ระหว่างการอธิบายของข้า ข้าเพียงกล่าวถึงว่านั่นมีโจรเพียงสองสามคน… อย่างไรก็ตามถ้านั่นเป็นเพียงโจรสองสามคน ทำไมผู้อาวุโสนิกายสี่คนจึงมิสามารถที่จะจัดการพวกนั้นได้ นั่นง่ายดายยิ่งก็เพราะว่าพวกเหล่านั้นทั้งหมดล้วนอยู่ในเขตสัมมาวิญญาณและคัมภีร์วิญญาณ”
“เจ้าพูดว่ากระไรนะ”
ผู้อาวุโสซุนไม่อยากเชื่อว่าตนเองพลาดอะไรบางอย่างเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นกระทั่งผู้นำนิกายและผู้อาวุโสอื่นๆก็พลาดเรื่องนี้ไปเช่นกัน
“ซูหยางเพียงแค่อยู่ในเขตคัมภีร์วิญญาณ สามารถฆ่าโจรทั้งสิบคนด้วยตนเองอย่างง่ายดาย และครึ่งหนึ่งของพวกนั้นอยู่ในเขตสัมมาวิญญาณ มีพลังการฝึกปรือเหนือกว่าเขาถึงหนึ่งขอบเขต… นี่เป็นสิ่งที่กระทั่งปู่ซึ่งอยู่ในระดับสูงสุดของเขตสัมมาวิญญาณก็ยังมิสามารถทำแบบนั้นได้โดยง่าย…”
“ส่วนสำหรับซ่องโจรนั้น… ข้าก็ิมิอาจคาดคิดได้ว่าเขาช่วยเหลือคนพวกนั้นออกมาจากสถานที่แบบนั้นได้อย่างไร…”
“…”
ผู้อาวุโสซุนพลันเงียบไป แต่นั่นไม่ใช่เป็นเพราะว่าเขาตื่นตระหนก กลับกัน เขากำลังครุ่นคิดถึงสิ่งที่ซุนจิงจิงได้กล่าวไว้ก่อนหน้านั้น
“ถ้าข้าจำได้มิผิด เจ้ากล่าวว่าพวกโจรมีชื่อว่า โจรภูผาแดง ใช่ไหม แม้ว่าข้าเพียงได้ยินชื่อพวกนั้นเพียงครั้งเดียวเพราะว่าการปฏิบัติการของพวกนั้นส่วนใหญ่แล้วอยู่ในภาคใต้ มันเป็นเรื่องราวที่พวกโจรเหล่านี้นับพันได้บุกโจมตีเมืองทั้งเมือง เก็บกวาดทุกสิ่งก่อนที่จะเผาเมืองจนกลายเป็นเถ้าถ่าน”
“พ…พันคน… ปู่มั่นใจในเรื่องตัวเลขหรือเปล่า ปู่” ซุนจิงจิงมีท่าทางสงสัย กระทั่งเธอเองก็ยังไม่เชื่อว่าซูหยางสามารถต่อกรกับโจรนับพันได้ในครั้งเดียว
ผู้อาวุโสซุนพยักหน้า “ข้าสามารถทำค้นคว้าเรื่องพวกนั้นได้ แต่ข้าก็ยังมั่นใจว่าพวกนั้นเป็นโจรกลุ่มใหญ่ ถึงแม้จะมิใช่หนึ่งในกลุ่มโจรที่ใหญ่ที่สุดในภาคใต้ก็ตาม”
“แต่ถึงแม้ว่าจะมิสนใจกับจำนวนของพวกโจร แค่ความสำเร็จของเขาในการปราบโจรสิบคนนั้นเพียงลำพังก็นับว่ามีค่าควรชื่นชมแล้ว… ต่อให้เขามิได้อยู่ในเขตคัมภีร์วิญญาณก็ตาม”
“เอ๋ ปู่หมายความว่าซูหยางอาจจะก้าวข้ามเขตคัมภีร์วิญญาณเข้าสู่เขตสัมมาวิญญาณแล้วอย่างนั้นรึ” ซุนจิงจิงตั้งคำถาม
“ข้ามิอาจมั่นใจเพราะว่าเขามักจะซ่อนพลังปราณไร้ลักษณ์ของเขา แต่กลิ่นอายของเขามิใช่สิ่งที่เพียงแค่เขตคัมภีร์วิญญาณควรจะมี ข้าจักมิแปลกใจเลยแม้แต่น้อยถ้าเขาได้ก้าวไปถึงเขตสัมมาวิญญาณแล้ว”
อย่างไรก็ตามผู้อาวุโสซุนไม่รู้ว่า ซูหยางไม่ได้ปิดบังปราณไร้ลักษณ์ของเขาแม้แต่น้อย เหตุผลที่ผู้อาวุโสซุนไม่อาจมองเห็นปราณไร้ลักษณ์ของเขาจนคาดเดาว่าซูหยางได้ซ่อนปราณไร้ลักษณ์ของเขานั้น เป็นเพียงเพราะว่าความต่างระหว่างพลังการฝึกปรือของพวกเขานั้นมากเกินไป
“เดี๋ยวก่อน… เจ้าฝึกวิชาร่วมกับเขา มิใช่รึ เจ้ามิสามารถบอกถึงพลังการฝึกปรือของเขาได้รึจากปราณหยางของเขา” ผู้อาวุโสซุนถาม
ซุนจิงจิงยิ้มขื่นขมและกล่าวว่า “นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้สัมผัสกับปราณหยาง และปู่คาดจะให้ข้ารู้ถึงวิชาแบบนั้นงั้นรึ”
“อย่างไรก็ตามนั่นมิสำคัญว่าเขาจะอยู่เขตคัมภีร์วิญญาณหรือสัมมาวิญญาณ ข้าได้ตัดสินใจแล้วที่จะทุ่มเทชีวิตไว้กับเขา และมิว่าปู่หรือตระกูลซุนก็เปลี่ยนแปลงมันมิได้”
“ฮาาาา… ดูเหมือนว่าข้าจักต้องกลับไปเยี่ยมตระกูลซุนหลังจากนี้…” ผู้อาวุโสซุนคิดในใจขณะที่แอบถอนใจ
DC บทที่ 288: ลิ้มลองซุนจิงจิง
ซูหยางและโหลวหลานจีปล่อยให้ฟางซีหลานและเซียวไปอยู่ตามลำพังหลังจากนั้นไม่นาน
“ซูหยาง รอสักครู่”
โหลวหลานจีหยุดเขาไว้ก่อนที่เขาจะทันได้จากไป
“มีเรื่องอะไรรึ ผู้นำนิกาย หรือว่าเจ้าเปลี่ยนใจและตัดสินใจที่จะด่าข้าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสองสามวันก่อน”
ซูหยางถามพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า
“ฮึ่ม แม้ว่าข้ามิลงโทษเจ้าเรื่องนั้น ข้ายังคงมิลืมสิ่งที่เจ้าได้ทำไว้กับหน้าข้า และข้าหวังว่าเจ้ายังคงมิลืมเรื่องนั้นเช่นกัน”
ซูหยางเลิกคิ้วคิดสงสัยว่าเธอพูดถึงเรื่องอะไร
หลังจากคิดอย่างรวดเร็วชั่วขณะ สุดท้ายเขาก็นึกได้ถึงเหตุการณ์ที่เขาได้ตบหน้าเธอเพื่อปลุกให้ตื่นขึ้นจากการหลับไหลอย่างยาวนานของเธอ
“โอ เรื่องนั้นรึ มีอะไรรึ” เขาตอบสนองแบบผ่านๆ
“ข้าจักให้บทลงโทษเจ้าในตอนนี้”
ซูหยางไม่ได้พูดอะไรและรอให้เธอพูดต่อ
“สำหรับการลงโทษที่ตบหน้าข้า ข้าจักให้เจ้าอบรมศิษย์รุ่นเยาว์สักหลายวัน”
ซูหยางเลิกคิ้วอีกครั้ง เขาจักฝึกอบรมศิษย์รุ่นเยาว์รึ
“ปกติแล้วมิใช่ว่าจะต้องเป็นผู้อาวุโสนิกายทำหน้าที่นี้รึ เจ้ามั่นใจว่าเจ้าต้องการให้ข้าที่เป็นศิษย์ไร้ประสบการณ์และการศึกษาให้ไปอบรมผู้ที่เป็นอนาคตของนิกายนี้”
ซูหยางถาม
เมื่อซูหยางพูดออกมาเช่นนี้ ทำให้โหลวหลานจีทบทวนการตัดสินใจของเธออีกครั้ง
อย่างไรก็ตามหลังจากที่นึกถึงชายกลอกกลิ้งซูหยาง เธอก็พูดขึ้น “แม้ว่าข้าจะเรียกมันว่าเป็นการอบรม เจ้ามิจำเป็นต้องเขียนหรืออ่านในเรื่องนี้ ดังนั้นจึงไม่มีปัญหา ตามจริงหัวข้อของการอบรมจักตัดสินใจโดยตัวเจ้าเอง ผู้ให้การอบรม”
“เช่นนั้นหมายความว่าข้าสามารถทำการอบรมอะไรก็ได้ที่ข้าต้องการให้มันเป็น”
“ใช่แล้ว”
โหลวหลานจีพยักหน้า
“อย่างไรก็ตามให้กล่าวไปแล้ว หัวข้อต้องอยู่ในขอบเขตความเชี่ยวชาญของพวกเรา นั่นก็คือการฝึกวิชาคู่”
“นั่นมิมีปัญหา ใช่ว่าข้าจักมิรู้อะไรเลย”
ซูหยางยักไหล่พร้อมรอยยิ้ม
“เช่นนั้นเมื่อไหร่ข้าจักเริ่ม และต้องอบรมมากน้อยกี่ครั้งที่ข้าต้องจัดให้”
“ข้ามิสนใจว่าเมื่อไหร่ที่เจ้าตัดสินใจที่จะให้การอบรมเหล่านี้ แต่นั่นต้องอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ส่วนสำหรับกี่ครั้งนั้น…”
หลังจากคิดไปชั่วขณะ เธอก็กล่าวต่อว่า “เจ็ด ข้าต้องการให้เจ้าอบรมให้เจ็ดครั้ง เจ้าสามารถทำทุกอย่างนี้ได้ภายในหนึ่งอาทิตย์ หรือเจ้าสามารถยืดเวลาออกเป็นเป็นเจ็ดอาทิตย์ก็ได้ ตราบเท่าที่เจ้าอบรมครบเจ็ดครั้ง ข้าจักยกโทษให้สำหรับการตบหน้าสวยของข้า”
ซูหยางไม่ได้ปฏิเสธแม้แต่น้อยและทำการพยักหน้า
“เช่นนั้นก็ดี ข้าจักให้การอบรมศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้”
ที่โหลวหลานจีไม่รู้ก็คือซูหยางได้พิจารณาที่จะสอนเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้ไปสองสามอย่างก่อนที่เธอจะมาหาเขาเรียบร้อยแล้ว ตามจริงกระทั่งแม้ไม่มีการลงโทษนี้ เขาก็จะไปหาเธอและขออนุญาตสอนเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์
เหตุผลที่เขาต้องการสอนเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้นั้นง่ายดาย เขารู้สึกว่าคุณภาพโดยรวมของการฝึกวิชาคู่ในสถานที่แห่งนี้ค่อนข้างแห้งแล้งน่าเบื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานที่ที่เชี่ยวชาญเฉพาะในด้านนี้ ดังนั้นเขาต้องการที่จะยกระดับมาตรฐานขึ้นหนึ่งถึงสองระดับ
“ในเมื่อเจ้าเข้าใจแล้ว ก็เพียงใช้ป้ายหยกนี้แจ้งพวกเขาถึงวันที่เจ้าจักให้การอบรม”
โหลวหลานจีทิ้งเขาไว้ตามลำพังหลังจากที่ให้ป้ายหยกแก่เขา
บนหนทางกลับบ้าน ซูหยางก็ครุ่นคิดว่าเขาควรจะอบรมศิษย์รุ่นเยาว์อย่างไร
“ประสบการณ์การใช้มือจักยังคงเป็นไปไม่ได้เมื่อพิจารณาถึงอายุของพวกเขา แต่นั่นยังมีวิธีอื่นๆอีกหลายวิธีในการสอนพวกเขา”
หลังจากที่กลับถึงบ้าน ซูหยางก็เริ่มเตรียมอุปกรณ์สำหรับการอบรม
–
–
–
วันถัดมาแขกที่ไม่คาดคิดก็มายังที่พักของซูหยาง
“ซูหยาง เจ้าว่างหรือเปล่าตอนนี้”
ซุนจิงจิงซึ่งยืนอยู่ด้านนอกประตูถามเขา
“ข้าว่าง”
“นั่นดีจริง”
ซุนจิงจิงพยักหน้า
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ เธอก็กล่าวต่อว่า “เช่นนั้นเจ้าต้องการร่วมฝึกกับข้าไหม”
ซูหยางเลิกคิ้วรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับการตรงเข้ามาในทันทีของเธอ
“เจ้า… เจ้ามิต้องการข้าเป็นคู่ฝึกรึ”
ซุนจิงจิงถามหลังจากที่ไม่ได้รับคำตอบเป็นเวลาสองสามวินาที
ซูหยางหัวเราะเล็กน้อยและกล่าวว่า “ข้าเพียงแค่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเนื่องมาจากมันเกิดขึ้นกระทันหัน เข้ามาข้างในสิ ข้ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ร่วมฝึกกับเจ้า”
ครั้นเมื่อพวกเขาเข้าไปข้างใน ซุนจิงจิงก็นั่งลงไปบนเตียงของเขาด้วยท่าทางแข็งกระด้าง ดูเหมือนจะกังวลกับสถานการณ์
ความจริงแล้วนี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของเธอที่รู้สึกกังวลมากเช่นนี้
“อืม… บอกเจ้าตามตรง ข้ายังคงบริสุทธิ์อยู่… ดังนั้นนี่จึงเป็นครั้งแรกของข้า…”
ซุนจิงจิงตัดสินใจที่จะบอกเขาตามความเป็นจริง สิ่งที่เขารู้อยู่แล้วตั้งแต่วันแรกที่เขาพบกับเธอ
“และเจ้าตัดสินใจที่จะเลือกข้าเป็นคู่ฝึกคนแรกของเจ้า ข้ารู้สึกเป็นเกียรติ”
“…”
ซุนจิงจิงหน้าแดงกับคำพูดของเขา
เวลาต่อจากนั้นครั้นเมื่อซุนจิงจิงได้เตรียมใจพร้อมแล้ว เธอก็เริ่มถอดชุด
หลังจากนั้นไม่นาน ครั้นเมื่อทั้งคู่เปลือยเปล่าแล้ว ซุนจิงจิงก็ตรงเข้าไปหาซูหยาง
“แม้ว่าข้าจะมีประสบการณ์เป็นศูนย์ในเรื่องนี้ ก็ใช่ว่าข้าจะมิรู้อะไรเลย…”
ซุนจิงจิงตรงเข้าไปจับน้องชายของซูหยางที่แข็งตัวเรียบร้อยแล้ว และเริ่มขยับมือเรียบเนียนของเธออย่างนุ่มนวล
ต่อจากนั้นเธอก็ขยับปากเข้าไปใกล้ปลายยอดและเริ่มเลีย
ครั้นเมื่อเธอคุ้นเคยกับความรู้สึกยั่วเย้านี้ ซุนจิงจิงก็อ้าปากกว้างและรับแก่นแกร่งของซูหยางเข้าไปในปาก
และไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ซุนจิงจิงก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่นอีกนอกจากแท่งแกร่งที่อยู่ในปากเธอ ราวกับว่าเธอได้เกิดความติดใจสิ่งนั้นเข้าแล้ว
“อืม..”
“อืมมมมม”
“อืมมมมมมมม”…”
ขณะที่ซุนจิงจิงลิ้มรสทุกซอกหลืบของน้องชายของเขา ซูหยางก็คิดในใจว่า “มิเลวสำหรับครั้งแรกของเธอ…”
แม้ว่าเธอจะแข็งกระด้างและใช้แรงไปบ้างในตอนแรก ซุนจิงจิงก็เรียนรู้การใช้ปากของเธอสร้างความเพลิดเพลินได้อย่างรวดเร็ว และภายในไม่กี่นาทีเธอก็ดูดด่ำกับแท่งของซูหยางราวกับว่าเธอเป็นผู้เชี่ยวชาญ
หลังจากไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ซูหยางก็กล่าวกับเธอว่า “ให้ข้าสร้างความสุขให้กับเจ้าบ้างตอนนี้”
ซุนจิงจิงพยักหน้าและนอนลงบนเตียง ไม่สนใจแม้จะปิดบังร่างกายงดงามแม้แต่น้อย
เธอมีอกขนาดกลาง ร่างกายที่เพรียวไร้ริ้วรอย และกลีบดอกไม้ที่ดูน่าลิ้มลองที่พร้อมที่จะถูกเชยชมได้ทุกขณะตอนนี้
อย่างไรก็ตามซูหยางไม่ได้ทิ่มแทงเธอในทันทีและตัดสินใจที่จะลิ้มลองถ้ำเล็กแฉะชื้นของเธอด้วยปากของเขาก่อน
“อาาาา”
ซุนจิงจิงอ้าปากค้างจากความตื่นเต้นขณะที่ลิ้นของซูหยางกดประทับลงไปบนถ้ำของเธออย่างอ่อนโยน และในชั่วขณะนั้นเธอก็รู้สึกราวกับว่าเธอได้เข้าสู่สรวงสวรรค์ ร่ำร้องครวญครางอย่างพึงพอใจ
DC บทที่ 287: เติบโตเต็มวัย
ทั้งห้องเงียบสงัดไปหลังจากที่เซียวไป่กลืนใบสุดท้ายของหญ้าเงินเจ็ดใบ และเพื่อไม่เป็นการรบกวนเธอ พวกเขาได้ย้ายไปอยู่มุมห้องมองดูการเปลี่ยนแปลงของเซียวไป่
“…”
“…”
“…”
อย่างไรก็ตามเมื่อไม่มีอะไรเกิดขึ้นหลังจากที่รอมานานหลายนาที โหลวหลานจีก็มีท่าทางสงสัย
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมจึงไม่มีอะไรเกิดขึ้น เราได้รออยู่ตั้งครึ่งชั่วโมงแล้วตอนนี้”
“ข-ข้ามิทราบ…”
ฟางซีหลานส่ายหน้า
พวกเขาหันไปมองดูซูหยาง หนึ่งเดียวที่อาจจะมีคำตอบให้กับพวกเธอ
“แม้ว่าพวกเจ้าอาจจะมิเห็นทางกายภาพ เธอตอนนี้ได้อยู่ในขั้นตอนการเติบโตเต็มวัยแล้ว”
ซูหยางพูด
“เธอได้อยู่ในขั้นตอนแล้วรึ”
พวกเธอหันไปมองดูเซียวไป ซึ่งยังนั่งอยู่ที่นั่นพร้อมกับหลับตาเหมือนกับรูปสลักหิน
หลังจากที่รอไปอีกสองสามนาที ซูหยางก็หรี่ตาและกล่าวว่า “มาแล้ว”
วินาทีที่ซูหยางพูดเช่นนั้น เซียวไปก็ลืมตาและอ้าปากปลดปล่อยเสียงคำรามน่าครั่นคร้าม ซึ่งเหนือกว่าการคำรามครั้งก่อน
แรงกดดันจากเสียงคำรามทรงพลังมากจนกระทั่งทั้งโหลวหลานจีและฟางซีหลานคุกเข่าลงบนพื้น รู้สึกเหมือนกับว่าพวกเธอพลันแบกหินก้อนใหญ่ไว้
อย่างไรก็ตามทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นของเซียวไป่
เมื่อเวลาผ่านไป เสียงคำรามของเซียวไปก็ยิ่งทรงพลังมากขึ้นลึกล้ำขึ้น จนถึงขั้นที่ว่าฟางซีหลานกระอักเลือดออกมาคำใหญ่
เมื่อเห็นเช่นนั้นซูหยางก็คลุมฟางซีหลานไว้ด้วยปราณไร้ลักษณ์ไว้ชั้นหนึ่ง ทำให้เธอรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังสวมเสื้อคลุมบนร่าง
“ข-ขอบคุณ…” ฟางซีหลานเช็ดเลือดจากปาก
ซูหยางไม่ได้กล่าวอะไรและมองดูเซียวไป่ต่อไป
“วิญญาณพิทักษ์เป็นสัตว์อันตรายที่เป็นที่รักของสวรรค์จริงๆ กระทั่งเธอเป็นแค่วิญญาณพิทักษ์ระดับต่ำ พลังอำนาจของเธอก็สามารถสยบโลกนี้ได้อย่างง่ายดาย…”
หลังจากผ่านเวลาไปอีกสองสามนาทีจากการทนทุกข์ทรมานจากเสียงคำรามของเซียวไป่ สุดท้ายเธอก็สงบลง
ทั้งโหลวหลานจีและฟางซีหลานมองไปยังเซียวไป่ที่เปลี่ยนแปลง
อย่างไรก็ตามเมื่อพวกเธอสังเกตเห็นว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงให้เห็นเด่นชัด พวกเธอก็เกิดความกังวล
“เกิดอะไรขึ้น ซูหยาง นอกจากที่ตัวเธอจะเพิ่มขนาดขึ้นเล็กน้อย เธอก็เหมือนกับไม่เปลี่ยนแปลงอะไรไปแม้แต่น้อย หรือว่าการเติบโตล้มเหลว”
โหลวหลานจีถามเขาด้วยใบหน้ากังวล
“พวกเจ้าพูดอะไรกัน เสือหิมะตอนนี้เติบโตเต็มที่แล้ว”
เขาตอบ
“อะไรกัน เซียวไปโตเต็มวัยแล้วรึตอนนี้ แต่เธอยังดูเหมือนเดิม เพียงแค่โตขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย”
พวกเธอยังคงสงสัย
ซูหยางส่ายหน้าและกล่าวว่า “รูปร่างหน้าตาของเธอจักเติบโตไปตามธรรมชาติ ดังนั้นเธอย่อมมิกลายเป็นเสือขนาดโตเต็มวัยได้ภายในไม่กี่นาที”
เขากล่าวต่อว่า “มองดูที่พลังการฝึกปรือของเธอสิแล้วพวกเจ้าก็จักเข้าใจ”
โหลวหลานจีและฟางซีหลานวางมือลงไปบนเซียวไปเพื่อรับรู้พลังการฝึกปรือของเธอ ในเมื่อนี่เป็นวิธีเดียวสำหรับคนทั่วไปในการวัดพลังการฝึกปรือของวิญญาณพิทักษ์ได้อย่างถูกต้องเนื่องมาจากพวกเธอมีความสามารถในการปิดบังตัวตนและพลังปราณไร้ลักษณ์ของพวกเธอได้ตามธรรมชาติ
“เขตปฐพีวิญญาณ”
พวกเธอทั้งคู่ต่างพากันอุทานออกมาโดยพร้อมเพรียงกันสองสามวินาทีถัดมา
“มิมีทาง… เซียวไป่เพียงแค่อยู่ในเขตสัมมาวิญญาณระดับสี่ก่อนที่จะกินหญ้าเงินใบสุดท้าย”
ฟางซีหลานมีสีหน้าไม่อยากเชื่อ
“พวกเจ้าพากันตกใจกับรายละเอียดเล็กน้อยแค่นี้ไปแล้วรึ หากเป็นเช่นนี้พวกเจ้าคงมิอาจรับได้กับการเติบโตขั้นต่อไป”
ซูหยางพลันกล่าวขึ้น
“จ-เจ้าหมายความว่ากระไรเช่นนั้น มิใช่เจ้าบอกว่าเซียวไป่เติบโตเต็มวัยแล้วรึ”
“นั่นก็เป็นไปตามที่ข้าพูด อย่างไรก็ตาม เสือหิมะมีการโตเต็มวัยสองขั้น และเซียวไปก็เพียงอยู่ในขั้นแรก”
“อะไรกัน”
ฟางซีหลานและโหลวหลานจีตากลมโตเหมือนกับจานรองแก้ว ทำไมเขาจึงเพิ่งมาบอกพวกเธอในข่าวสารเรื่องสำคัญเช่นนั้นตอนนี้
“พวกเจ้าคงต้องสงสัยว่าทำไมข้าจึงบอกพวกเจ้าเรื่องนั้นตอนนี้ นั่นง่ายดายมาก ก็เพราะว่าโอกาสที่เซียวไปจะก้าวไปถึงการเติบโตขั้นที่สองของเธอนั้นใกล้เคียงกับศูนย์”
“เจ้ารู้เรื่องนั้นได้อย่างไร”
โหลวหลานจีถาม
“เพราะว่าปริมาณปราณไร้ลักษณ์ที่เธอต้องการเพื่อที่จะไปให้ถึงจุดนั้นมีไม่เพียงพอ และที่แห่งนี้ธรรมดาก็ไม่สามารถที่จะเติมเต็มความต้องการนั้นได้”
เมื่อซูหยางพูดถึง “สถานที่” เขาไม่ได้หมายถึงนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยนี้ หรือหมายถึงทวีปตะวันออก
กลับกันนั่นหมายถึงโลกแห่งนี้ โลกนี้ที่มีไม่ถึงหนึ่งในพันของทรัพยากรในการฝึกปรือที่สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่จะสามารถจัดหามาให้ได้
อีกนัยหนึ่งก็เหมือนกับชิวเยว่กับการฝึกปรือของเธอ ไม่ว่าเซียวไปจะฝึกฝีมือมากมายแค่ไหน ตราบเท่าที่เธอยังคงอยู่ในโลกแห่งนี้ที่มีพลังปราณไร้ลักษณ์ต่ำต้อย เธอก็ไม่อาจที่จะบรรลุถึงความสามารถสูงสุดของเธอได้
และนี่ก็เป็นปัญหาที่ไม่อาจแก้ได้แม้กระทั่งความรู้อันกว้างขวางทั้งประสบการณ์ในฐานะเซียนของซูหยาง
“กล่าวไปแล้ว เธอจักมีพลังอำนาจมากเพียงพอที่จะปกป้องสถานที่แห่งนี้จากอันตรายทุกอย่างในอนาคต ที่เขตปฐพีวิญญาณเธอจักจัดการได้แม้กระทั่งจอมยุทธเขตอัมพรวิญญาณอย่างง่ายดาย”
“เซียวไปทรงพลังเช่นนั้นในตอนนี้เลยหรือ”
ใบหน้าโหลวหลานจีมีท่าทางดีใจ เมื่อมีเซียวไป่ก็เหมือนกับมีจอมยุทธเขตอัมพรวิญญาณอยู่ในนิกาย
“อย่างไรก็ตามไม่ใช่ในตอนนี้เสียทีเดียว หากปราศจากประสบการณ์การต่อสู้ กระทั่งตัวตนที่ทรงอำนาจก็มิมีค่าอะไรต่อหน้าผู้เชี่ยวชาญ ถ้าเธอต้องสู้กับจอมยุทธเขตอัมพรวิญญาณในตอนนี้ เธอจักพบแต่ความพ่ายแพ้”
ซูหยางชี้ไปยังเซียวไปและพูดกับฟางซีหลาน “เจ้าต้องพาเธอออกไปในป่าเป็นบางครั้งเพื่อสู้กับสัตว์ร้าย เพื่อที่เธอจะได้สะสมประสบการณ์การต่อสู้ นั่นจะเป็นสิ่งสำคัญในการเติบโตต่อไปในภายภาคหน้าของเธอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตอนนี้เธอได้โตเต็มที่แล้ว”
“เจ้ามั่นใจรึว่านั่นเป็นความคิดที่ดี วิญญาณพิทักษ์จักดึงดูดความสนใจที่ไม่จำเป็น”
เป็นโหลวหลานจีที่มีแสดงท่าทีเป็นกังวลเป็นอันดับแรก
“มิมีปัญหาอะไร ตราบเท่าที่เจ้ามิได้ผ่านไปพบกับคนที่มีวิชาสายตาพิเศษเฉพาะหรือคนที่มีความรู้เชี่ยวชาญทางด้านเสือหิมะ มิมีใครจักจดจำมันได้ ตามจริงถ้ามีใครสักคนถามก็เพียงบอกว่าเธอเป็นเสือขนเงินในเมื่อพวกเธอค่อนข้างจะคล้ายคลึงกัน”
“อย่างนั้นรึ..”
หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ โหลวหลานจีก็พยักหน้าและกล่าวว่า “ข้าได้ตัดสินใจแล้ว ศิษย์ฟาง เจ้าคงต้องพาเซียวไป่ไปข้างนอกเพื่อฝึกฝนเมื่อไหร่ก็ตามที่เป็นไปได้ นี่จักเป็นประโยชน์มิเพียงต่อนิกายของเราแต่ทั้งต่อตัวเซียวไปเองด้วย ในเมื่อเธอจักสามามารถได้เรียนรู้ที่จะปกป้องตนเอง”
ฟางซีหลานไม่ได้มีปัญหาอะไรในเรื่องนี้ เธอพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้วท่านผู้นำนิกาย”
บทที่ 286: แบบอย่างที่เลวร้าย
วันนั้นในภายหลังผู้อาวุโสซุนก็ได้รับข่าวจากโหลวหลานจีว่าศิษย์รุ่นเยาว์ได้กลับมาแล้ว
เมื่อได้ยินข่าวนี้ซุนจิงจิงก็พลันพุ่งตรงไปยังทางเข้าเพื่อพบกับศิษย์รุ่นเยาว์
“ว้าว… นี่มีมากกว่าที่ข้าได้คาดเอาไว้…”
ซุนจิงจิงค่อนข้างประหลาดใจเมื่อมากกว่าครึ่งของศิษย์รุ่นเยาว์ได้กลับมา
ส่วนสำหรับผู้อาวุโสนิกายนั้น มีเพียงคนเดียวที่ได้ตัดสินใจอยู่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยต่อไป ในขณะที่คนที่เหลืออีกสามไปที่อื่น
“ข้าพอที่จะถามได้ไหมว่าทำไมพวกเจ้าจึงตัดสินใจกลับมา พวกเจ้าอายุยังน้อยดังนั้นย่อมมีทางเลือกมากมายที่เจ้าสามารถไปได้นอกจากที่แห่งนี้…โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์เช่นนี้”
โหลวหลานจีถามพวกเธอในเมื่อเธออยากรู้จริงๆว่าพวกเธอมีเหตุผลอะไรในการตัดสินใจเช่นนี้
เด็กหญิงตัวเล็กคนหนึ่งออกมาด้านหน้าและกล่าวว่า “เพราะว่าศิษย์พี่ชายซูได้เป็นแรงบันดาลใจให้พวกเรา และเราต้องการที่จะเป็นเหมือนเช่นเขา”
“ข-เขาเป็นแรงบันดาลใจให้พวกเจ้ารึ…”
แม้ว่าโหลวหลานจีต้องการเตือนเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ว่าซูหยางอาจจะเป็นแบบอย่างที่เลวร้าย เธอก็ได้แต่ยิ้มและกล่าวว่า “ถ้าพวกเจ้าต้องการเป็นเหมือนเขา เจ้าจำเป็นต้องฝึกฝนยาวนานและยากลำบาก…”
“พวกเราจักทำเช่นนั้น”
เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ต่างพากันพยักหน้า
อย่างไรก็ตามหลังจากนั้น หนึ่งในศิษย์รุ่นเยาว์ก็กล่าวว่า “ข้าอดใจรอที่จะฝึกร่วมกับศิษย์พี่ชายในปีหน้าไม่ได้ตอนที่ข้าเป็นผู้ใหญ่แล้ว”
“ข้าก็ด้วย”
“ข้ายังคงเหลืออีกตั้งห้าปีที่จะต้องผ่าน…”
เมื่อโหลวหลานจีได้ยินข้อคิดเห็นเหล่านี้ ท่าทางของเธอก็แข็งทื่อ
สุดท้ายแล้วศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้ก็ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอย่างแท้จริง…
“อย่างไรก็ตามเพราะว่าสถานการณ์นี้ ข้าจักให้พวกเจ้าเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ย้ายเข้ามาอยู่ในเขตศิษย์ในเพื่อให้ได้รับการปกป้องจนกว่าจำนวนประชากรของพวกเราเพิ่มขึ้นอีกครั้ง”
“พวกเราได้อยู่ในเขตศิษย์นอกเหรอ”
เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ต่างพากันโห่ร้องอย่างยินดี เมื่อคิดว่าพวกเธอไม่เพียงแค่ก้าวเท้าเข้าไปในเขตศิษย์นอก แต่ได้อาศัยอยู่ที่นั่นก่อนที่พวกเธอจะได้เป็นศิษย์นอกเสียอีก นี่เป็นความฝันที่เป็นจริง
โหลวหลานจีหันไปมองยังผู้อาวุโสนิกายที่ยังคงเหลือและกล่าวว่า “มากับข้าหลังจากนี้ ข้ามีบางอย่างให้กับท่าน”
“ขอรับ ผู้นำนิกาย”
“ว่าไปแล้ว ศิษย์พี่ชายซูไปไหน”
ชีเยว่ถามเมื่อเธอไม่เห็นเขา
“เขาวุ่นวายกับการฝึกฝนสำหรับการแข่งขันระดับภูมิภาค” ซุนจิงจิงกล่าว
“ท่านผู้นำนิกาย ตอนนี้พวกเราควรทำอะไร”
หนึ่งในศิษย์รุ่นเยาว์พลันถามขึ้น
“เจ้าหมายความว่าอะไร”
“อืม…ในเมื่อศิษย์ทั้งหมดและผู้อาวุโสนิกายล้วนจากไปแล้ว ใครจักให้การอบรมแก่พวกเรานับแต่นี้ต่อไป”
“อืม…”
โหลวหลานจีหลับตาลงครุ่นคิดในเมื่อเธอยังไม่ได้คิดมาถึงจุดนี้
การที่จะมาเป็นผู้อบรม คนนั้นจะต้องมีความรู้และฝีมือในเรื่องของการฝึกวิชาคู่เพื่อที่ว่าเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้จะมีความรู้ว่าจะต้องทำอย่างไรยามเมื่อเวลานั้นมาถึง
แน่นอนว่าบทบาทนี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะเพียงผู้อาวุโสนิกายซึ่งจะเป็นใครก็ได้ที่มีความสามารถในการอบรมก็สามารถเข้าร่วมได้ ตามจริงแล้วก่อนนี้จะมีศิษย์หลักและศิษย์ในมาให้การอบรม
“ข้ารู้แล้ว”
ประกายของความรู้วาบผ่านในใจของโหลวหลานจี
“ข้ายังมิได้ลงโทษซูหยางที่ตบหน้าข้า ข้าจักให้เขาอบรมพวกเธอเป็นเวลาชั่วขณะและดูว่าจะเป็นอย่างไร ด้วยความรู้ความสามารถที่เหนือล้ำของเขา ผลลัพธ์ที่ออกมาน่าจะตื่นตะลึง”
“ในเมื่อพวกเจ้าล้วนมองหาศิษย์ซู ทำไมข้ามิให้เขามาเป็นผู้อบรมพวกเจ้าสักพักหนึ่งไหม” เธอถามพวกเธอ
เมื่อเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้ได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของพวกเธอก็พลันเบิกกว้างอย่างยินดี
“พวกเราจะได้รับการอบรมจากศิษย์พี่ชาย”
ชีเยว่ค่อนข้างตื่นตะลึงกับข่าวนี้
“ตอนนี้ก็ตกลงตามนี้ เราจักต้องจัดหาที่พักให้พวกเจ้าอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ สำหรับตอนนี้พวกเจ้าก็เตร็ดเตร่อยู่แถวนี้ก่อน”
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นโหลวหลานจีก็จากสถานที่นั้นไปพร้อมกับผู้อาวุโสนิกาย ทิ้งให้ศิษย์รุ่นเยาว์อยู่เบื้องหลังพูดคุยกันจนกระทั่งพวกเธอได้รับที่พักใหม่
ในเวลานั้นเมื่อหลานลี่ชิงได้ยินข่าวการกลับมาของบรรดาศิษย์ เธอก็พลันตรงไปยังตำแหน่งของพวกเธอ
เมื่อได้เห็นชีเยว่ หลานลี่ชิงก็ตรงเข้าไปกอดอีกฝ่ายทันที
“ข้ารู้ว่าเจ้าต้องอยู่”
ชีเยว่หัวเราะและกล่าวว่า “เพราะว่าข้ารู้ว่าพี่สาวหลานต้องยังคงอยู่ที่นี่”
“อย่างไรก็ตามข้าได้ยินข่าวว่าเจ้าถูกจับโดยพวกโจร… เจ้าสบายดีไหม” หลานลี่ชิงถามถึงกรณีนั้น
“แน่นอน ศิษย์พี่ชายซูมาถึงในเวลาที่เหมาะสมและฆ่าพวกโจรทั้งหมดก่อนที่พวกเราจะได้มีปฏิกิริยาใด ข้าทนรอที่จะโตขึ้นมาและฝึกร่วมกับเขาไม่ได้เช่นกัน”
“อย-อย่างงั้นรึ…”
หลานลี่ชิงไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีกับความไร้เดียงสาของอีกฝ่าย
“เช่นนั้นทางที่ดีเจ้าต้องทำงานหนักสำหรับสี่ปีข้างหน้านี้”
“อือ”
ชีเยว่พยักหน้า
–
–
–
สามวันผ่านไปนับตั้งแต่ศิษย์รุ่นเยาว์กลับมา
“เซียวไป่จักกลืนหญ้าเงินเจ็ดใบใบสุดท้ายหลังจากนี้ เจ้าไปอยู่ที่นั่นกับข้าได้ไหมตอนที่เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น ผู้นำนิกายก็จักไปอยู่ที่นั่นเช่นกัน”
ฟางซีหลานถามเขาขณะที่ปกปิดร่างเปลือยเปล่าของเธอด้วยเสื้อผ้าหลังจากที่พวกเขามีกิจกรรมฝึกคู่
“นั่นย่อมแน่นอน”
ซูหยางเห็นด้วยในทันทีแต่ยังไงก็ตามเขาก็ต้องไปที่นั่นไม่ว่าเธอจะขอร้องหรือไม่ ในกรณีที่เกิดบางอย่างผิดพลาด
ไม่นานหลังจากนั้นซูหยางก็ตามฟางซีหลานไปยังที่พักของเธอที่ซึ่งโหลวหลานจีได้รออยู่แล้ว
“เป็นว่าเจ้าได้พาเขามาด้วยจริงๆ หือ”
โหลวหลานจีมองดูซูหยางด้วยท่าทางเรียบเฉย เพราะใช่ว่าเธอจะไม่ได้คาดคิดว่าเขาอยู่ที่นี่
ครั้นเมื่อพวกเขาเข้าไปในบ้าน ฟางซีหลานก็เรียกหาเซียวไป่ซึ่งก็ได้ตอบรับการเรียกหาของเธอในทันที
“เซียวไป่ นี่คือชิ้นสุดท้ายที่ข้ามีให้กับเจ้า”
ฟางซีหลานนำเอากระถางที่มีหญ้าเงินเหลืออยู่เพียงใบเดียวในนั้นออกมา
อย่างไรก็ตามตรงกันข้ามกับปฏิกิริยาตื่นเต้นตามปกติของมัน เซียวไปมีสีหน้าท่าทางโศกเศร้ากระทั่งแสดงออกถึงความลังเลในการที่จะกินหญ้าเงิน เห็นได้ชัดว่าไม่ต้องการให้นี่เป็นอาหารมื้อสุดท้ายของเธอ
“เจ้ารออะไรอยู่รึเซียวไป่ เจ้าจักมิโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ถ้าเจ้ามิกินสิ่งนี้…”
ฟางซีหลานยื่นหญ้าเงินไปตรงใบหน้าของเซียวไป
เมื่อเห็นสถานการณ์ตามที่ได้คาดคิดไว้ ซูหยางก็ยิ้มและกล่าวว่า “เจ้าอาจจะคิดว่าหญ้าเงินเจ็ดใบจักเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เจ้าเคยได้กิน แต่นั่นยังมีวัตถุที่อร่อยกว่านี้ด้านนอกนั้นที่เจ้าจะสามารถกินได้ก็ต่อเมื่อเจ้าเติบโตเป็นผู้ใหญ่”
ดวงตาของเซียวไป่เป็นประกายด้วยความตื่นเต้นหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเขาและโดยปราศจากความกังวลต่อไปเซียวไป่ก็ได้กลืนกินหญ้าเงินเจ็ดใบใบสุดท้ายจากมือฟางซีหลานในคำเดียว
ตอนที่ 285: ข้าได้ตัดสินใจเลือกคู่
ณ ที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย หลังจากได้รับข่าวจากซุนจิงจิง โหลวหลานจีและผู้อาวุโสนิกายหลายคนได้มารอพวกเขากลับที่ศาลาหยินหยาง
“พวกเขาอยู่ที่ไหน ศิษย์ซุนได้ส่งข่าวบอกว่าพวกเขาจะมาถึงที่นี่เร็วๆนี้เมื่อชั่วโมงก่อน แต่พวกเขายังมาไม่ถึงที่นี่”
หนึ่งในผู้อาวุโสนิกายที่นั่นกังวลว่าจะเกิดข่าวร้ายกับพวกเขา
“อย่ากังวล ข้าได้รับข้อความก่อนหน้านี้ว่าพวกเขาอาจจะมาถึงช้าเล็กน้อย”
โหลวหลานจีพูดกับเธอ
และขณะที่เธอพูดถ้อยคำเหล่านั้นจบ เรือไม้ก็ปรากฏตัวขึ้นเหนือพวกเธอโดยปราศจากเสียงแม้แต่น้อย สร้างความตกใจให้กับเหล่าผู้อาวุโสนิกายที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร
“ใจเย็นๆ..”
โหลวหลานจียิ้มเมื่อเธอเห็นเรือไม้อยู่เหนือพวกเธอ
ไม่กี่วินาทีถัดไป ร่างสองร่างก็กระโดดจากเรือไม้ลงมายืนต่อหน้าพวกเธอ
“เจ้าสองคนได้ทำการช่วยเหลือศิษย์รุ่นเยาว์ได้อย่างยอดเยี่ยม แม้ว่ามิอาจกล่าวได้ว่าข้ามิได้สงสัยในความสามารถของพวกเจ้าแม้แต่น้อย ข้าก็ดีใจที่พวกเจ้าทั้งสองสามารถกลับมาหาพวกเราได้ครบสามสิบสอง”
โหลวหลานจีพูดกับพวกเขา
“ว่าไปแล้ว ศิษย์รุ่นเยาว์อยู่ไหนกัน”
โหลวหลานจีมองไปรอบๆแต่ก็ไม่พบร่องรอยของพวกเขา รู้สึกสงสัยอยู่บ้าง
“เรามิได้กลับมาพร้อมกับพวกเขา”
ซุนจิงจิงบอกเธอตามตรง
“อะไรนะ”
ทั้งโหลวหลานจีและผู้อาวุโสนิกายมองดูซุนจิงจิงด้วยดวงตาโต
“ศิษย์รุ่นเยาว์ยังคงอยู่ที่ชายแดน…”
ซุนจิงจิงทำการอธิบายสถานการณ์ให้กับโหลวหลานจีและผู้อาวุโสนิกาย
“ข้าเข้าใจ…”
โหลวหลานจีถอนหายใจพร้อมกับหลับตาหลังจากที่ได้ฟังคำอธิบายของซุนจิงจิง เข้าใจถึงสถานการณ์ได้อย่างแท้จริง
ถ้าศิษย์รุ่นเยาว์ต้องการที่จะจากไป เธอสัญญาว่าจะไม่กล่าวโทษพวกเขา
โหลวหลานจีหันไปมองดูซูหยางพร้อมขมวดคิ้ว
หลังจากที่นิ่งเงียบไปชั่วขณะ เธอก็พูดขึ้นว่า “แม้ว่าจริงแล้วข้าต้องการที่จะดุด่าเจ้ากับการกระทำในวันนี้ ข้าก็มิอาจทำเช่นนั้นได้ในเมื่อเจ้ามิเพียงช่วยเหลือศิษย์รุ่นเยาว์เท่านั้นแต่ยังคงช่วยเหลือผู้บริสุทธ์เคราะห์ร้ายเหล่านั้นจากภายในซ่องโจรด้วย และสำหรับเหตุการณ์นี้ ข้าต้องขอบใจเจ้ามาก”
“นั่นมิได้มีอะไรมาก” ซูหยางกล่าวผ่านๆ
“ตอนนี้พวกเราก็ได้แต่รอและหวังว่าอย่างน้อยพวกเขาบางคนจะกลับมา…” โหลวหลานจีถอนหายใจ
ต่อจากนั้นโหลวหลานจีก็สั่งให้ทุกคนแยกย้ายกันไป
หลังจากที่แยกย้ายจากกันไปแล้ว ซูหยางก็กลับไปยังที่พักของเขาและฝึกฝนวิชาต่อไป
–
–
–
ชั่วพริบตาเวลาสี่วันก็ผ่านไปนับตั้งแต่ภารกิจช่วยเหลือ และก็ยังไม่มีศิษย์รุ่นเยาว์แม้สักคนเดียวได้กลับมาหลังจากนั้น
“บางทีพวกเขาทั้งหมดได้ละทิ้งพวกเราไปแล้ว…”
ซุนจิงจิงถอนหายใจขณะที่เธอฝึกวิชากระบี่ในลานบ้าน
“ใครจะรู้…”
ผู้อาวุโสซุนพูดขณะที่เขามองดูม้วนคัมภีร์ในมือ
“ในขณะที่มันเป็นคราวเคราะห์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ถ้าเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ได้ตัดสินใจมิกลับมาอีก จากใจแล้วนั่นก็ไม่เลวนัก ในเมื่อพวกเขามีมากกว่าหนึ่งร้อยคน มิใช่ว่าจะมีเพิ่มอีกหนึ่งร้อยคนจักช่วยนิกายมีชื่อเสียงกลับคืนมาเช่นอดีตได้”
“นั่นก็ใช่ แต่คนหนึ่งร้อยคนย่อมเพิ่มจำนวนประชากรของพวกเรา ดังนั้นปู่ย่อมมิอาจพูดได้ว่านั่นมิมีอะไรเลย”
ซุนจิงจิงพลันหยุดการกวัดแกว่งกระบี่และถามผู้อาวุโสซุน “ปู่คิดว่าจักเกิดอะไรขึ้นกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยไหม พวกเราจักอยู่รอดจากสถานการณ์นี้หรือไม่ หรือว่าเราจักต้องตาย”
ผู้อาวุโสซุนหลับตาลงครุ่นคิด
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ เขาก็พูดขึ้นว่า “ถ้าให้ข้ากล่าวจากใจจริงกับเจ้า ข้ามิอาจคาดเดาได้… และข้ามั่นใจว่าผู้อาวุโสนิกายคนอื่นก็ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน”
ขณะที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอาจจะร่ำรวยด้วยวิชาและทรัพยากร หากปราศจากศิษย์ความร่ำรวยเหล่านั้นย่อมไม่มีค่าอะไร
ยิ่งไปกว่านั้นเพราะว่าวิธีการสำหรับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยใช้ในการฝึกวิชา นั่นย่อมยากที่จะหาศิษย์เมื่อเปรียบเทียบกับนิกายขนาดกลางทั่วไป ในเมื่อวิธีการฝึกฝีมือนี้ย่อมผลักดันคนส่วนใหญ่ออกห่างโดยไม่แม้จะคิดอีกเป็นครั้งที่สอง
“เช่นนั้นทำไมปู่จึงตัดสินใจที่จะอยู่ที่นี่ในเมื่อปู่สามารถจากไปได้ ปู่อาจจะตายได้รู้ไหม อย่างไรก็ตามที่ข้าตัดสินใจที่จะอยู่ที่นี่นั้นก็เป็นเพราะว่าปู่นั่นแหละ”
“ที่นี่เป็นที่ข้าเติบโตมา… โดยพื้นฐานแล้วข้ามิอาจทอดทิ้งมันไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่มีอันตราย”
“อืม… อย่างนั้นรึ…”
“แล้วเจ้าล่ะ เจ้ามั่นใจรึว่าเจ้าต้องการอยู่ที่นี่ แทนที่จะอยู่ที่นี่ เจ้าควรจะไปที่อื่นในตอนนี้ สถานที่ที่สามารถช่วยเจ้าเติบโตได้อย่างเหมาะสม หากปราศจากการร่วมฝึกคู่ก็มิมีความหมายใดที่จะต้องอยู่ที่นี่…”
ผู้อาวุโสซุนถอนหายใจและกล่าวต่อว่า “ตระกูลซุนได้เจ้ากี้เจ้าการบอกข้าให้โน้มน้าวเจ้าให้หยุดติดตามข้าตั้งแต่เดือนก่อน เจ้ารู้ไหม พวกเขายังกระทั่งอ้างว่าศักยภาพของเจ้าจักสูญเปล่าหากยังอยู่ที่นี่”
“…”
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ ซุนจิงจิงก็ยิ้มขึ้นและกล่าวว่า “เช่นนั้นพวกเขาย่อมหยุดบ่นปู่ถ้าข้าพิสูจน์ให้พวกเขาเห็นว่าข้าได้เลือกเส้นทางที่ถูกต้องหากอยู่ที่นี่ ใช่ไหม”
“แล้วเจ้าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรรึ นอกจากวิชากระบี่ของเจ้าแล้ว เจ้าแทบจะไม่ได้พัฒนาอะไรนับตั้งแต่มาที่นี่”
“ข….ข้าได้ตัดสินใจเลือกคนที่จะร่วมฝึกไว้แล้ว”
ซุนจิงจิงพลันเปิดเผยออกมา เป็นเหตุให้ผู้อาวุโสซุนดวงตาเบิกโพลงราวกับไข่
“เจ้า…แต่นั่นมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถ…”
เมื่อผู้อาวุโสซุนตระหนักได้ในเรื่องนี้ เขาพลันขมวดคิ้ว “ไม่ ข้ามิเห็นด้วยในเรื่องนี้ เจ้าสามารถเลือกคนอื่นได้นอกจากเจ้าเด็กเลวซูหยางนั่น เขาเป็นคนประเภทที่จักมินำสิ่งอื่นมานอกจากปัญหา ถ้าเจ้าพาตัวไปเกี่ยวข้องกับเขา”
“ข้าต้องขอโทษ ปู่ แต่ข้าได้ตัดสินใจไปแล้ว”
ซุนจิงจิงไม่ได้เถียงเขา เพียงแสดงถึงรอยยิ้มมั่นใจ
“เจ้า…. เฮ้อ”
ผู้อาวุโสซุนถอนหายใจเสียงดัง
เขาไม่อาจจะมีแม้เรี่ยวแรงใดไปชักจูงเธอ ในเมื่อไม่มีใครในโลกนี้ที่เข้าใจความดื้อดึงของเธอได้ดีกว่าเขา ครั้นเมื่อเธอได้ตัดสินใจสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธอยิ้มแบบนั้นแม้แต่บุพการีก็ไม่อาจจะเปลี่ยนใจเธอได้
“ถ้านั่นเป็นการตัดสินใจของเจ้า เช่นนั้นก็ให้เป็นไปตามนั้นเถอะ อย่างไรก็ตามอย่ามาร้องไห้หาข้าในอนาคตเมื่อสิ่งต่างๆมิเป็นไปตามที่หวัง ต่อให้เจ้าเป็นหลานรักของข้าก็ตาม”
“อย่ากังวลเลยปู่ ปู่ก็ควรรู้ในตอนนี้ว่าข้ามีสายตาเฉียบคมในเรื่องคน มิใช่ว่าตัดสินใจอย่างหยาบๆ”
“ถ้าเจ้าพูดเช่นนั้นละก็…”
แม้ว่าผู้อาวุโสซุนได้ผลักสถานการณ์นี้ออกจากความรับผิดชอบ เขาก็อดที่จะกังวลในใจไม่ได้
ตอนที่ 284: ซื่อตรงต่อหัวใจของตนเอง
สุดท้ายเมื่อกลุ่มคนได้ติดตามซูหยางมาถึงชั้นแรก กลิ่นเหม็นรุนแรงของเลือดเนื้อก็ชอนไชเข้าไปในจมูกของพวกเธอ ต่างพากันตกตะลึงกับฉากนองเลือดซึ่งดูเหมือนกับโรงฆ่าสัตว์
จริงแล้วสถานที่นี้ก็ช่างน่าสยดสยองจนกระทั่งมีบางคนถึงกับอาเจียนออกมา และมีกระทั่งบางคนที่ถึงกับเป็นลมกันตรงนั้น
“นี่ช่างโหดร้ายนัก..”
แม้ว่าพวกนี้จะเป็นโจรและทำสิ่งโหดร้ายกับพวกเธอ คนเหล่านี้ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วกับฉากนี้ที่มีเพียงซากศพไม่สมบูรณ์นับไม่ถ้วนกระจัดกระจายไปทุกตารางนิ้วบนพื้น
อย่างไรก็ตามซูหยางไม่ได้สนใจฉากนี้และตรงไปยังทางออกทั้งยังเหยียบย่ำไปบนซากศพขณะที่เขาเดินออกไป
พวกเธอมองดูซูหยางด้วยสายตาครุ่นคิด เขาฆ่าโจรเหล่านี้ด้วยตัวคนเดียวทั้งหมดหรือ อย่างไรก็ตามพวกเธอได้เดินไปมาที่นี่ระยะเวลาหนึ่งแล้วโดยไม่พบเห็นคนอื่นอีก
หากว่าไปแล้วพวกเธอก็พบว่าเป็นการยากที่จะเชื่อว่าคนที่มีอายุน้อยอย่างเช่นซูหยางจะโหดร้ายได้ถึงเพียงนี้ อย่าว่าแต่ฆ่าพวกโจรทั้งหมดนี้ด้วยตัวคนเดียว
ในเวลานี้ ศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้รออยู่ด้านนอกนานกว่าหนึ่งชั่วโมงแล้ว
“เจ้าคิดว่าจักเกิดอะไรขึ้นกับเขาหรือไม่ ในเมื่อเขาได้เข้าไปในซ่องโจรตามลำพัง…”
หนึ่งในศิษย์รุ่นเยาว์ถาม
“อย่าพูดอะไรที่น่ารังเกียจแบบนั้น ศิษย์พี่ชายจักต้องมิเป็นไรแน่นอน” ชีเยว่กล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว
เพียงแค่ขณะที่เธอกล่าวคำพูดเหล่านั้นจบ ก็เห็นเงาร่างหนึ่งตรงไปหาพวกเธอจากระยะห่าง และไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น ผู้คนกลุ่มใหญ่ก็ตามติดมาด้านหลัง
“ศิษย์พี่ชาย”
ชีเยว่พลันวิ่งเข้าไปหาเขาพร้อมรอยยิ้มสดใสบนใบหน้าเธอ
ซูหยางสังเกตเห็นร่างเล็กๆวิ่งเข้าไปหาเขาอย่างรวดเร็วและได้ยิ้มขึ้น
“นี่ไม่ใช่คนตัวเล็กนั่นรึ” เขากล่าว “ขาของเจ้าดีขึ้นหรือยัง”
ชีเยว่พยักหน้า
“อื้อ และทั้งหมดนี้ก็ต้องขอบคุณศิษย์พี่ชาย”
ไม่นานหลังจากนั้น ซุนจิงจิงและผู้อาวุโสนิกายก็ได้ตรงเข้ามาหาซูหยาง
“คนที่ตามหลังเจ้ามานี่เป็นใครกัน” ซุนจิงจิงถาม
“พวกเธอล้วนถูกโจรจับตัวไว้ ข้าได้ปล่อยพวกเธอ เท่านั้นเอง”
ซูหยางจึงหันไปมองดูกลุ่มคนเบื้องหลังและกล่าวว่า “ตอนนี้พวกเจ้าล้วนเป็นอิสระ พวกเจ้าสามารถทำทุกอย่างได้ตามที่เจ้าต้องการ อา…ถ้าพวกเจ้าคิดจะทดแทนข้าในการช่วยพวกเจ้าในวันนี้ นั่นมิจำเป็น…”
จากนั้นเขาก็มองไปยังหญิงสาวที่ต้องการตกตายมากกว่าที่จะมีชีวิตอยู่และกล่าวว่า “ข้าจักรักษาคำพูด ถ้าพวกเจ้าอยากจะตายมากกว่าที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพราะว่าความทรงจำที่เจ็บปวด ข้าจักมิหยุดยั้งพวกเจ้าแม้ว่าพวกเจ้าจะฆ่าตัวตายเดี๋ยวนี้”
“…”
สถานที่นั้นเงียบสงัดลง และหลังจากที่เงียบไปอีกชั่วขณะ ซูหยางก็พูดขึ้นต่อว่า “ถ้าจะว่าไปแล้ว ถ้าพวกเจ้าต้องการ ข้าสามารถลบความทรงจำที่เจ็บปวดของพวกเจ้าได้…”
บรรดาหญิงสาวมองดูเขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง
“ท่าน… ท่านสามารถทำเช่นนั้นด้วยรึ”
“แน่นอน”
“ได้โปรด… ได้โปรดช่วยข้าให้ลืมมันไป…”
หนึ่งในหญิงสาวพลันร้องขอเขาพร้อมกับร้องไห้ และคนอื่นๆก็ทำตามอย่างรวดเร็ว
ถ้าพวกเธอสามารถอยู่ต่อได้โดยปราศจากความทรงจำในเวลาที่อยู่ในซ่องโจร มีชีวิตอยู่เหมือนกับว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เช่นนั้นหญิงสาวเหล่านี้ย่อมเลือกทำเช่นนี้แทนการตาย
แม้ว่าใบหน้าของเขาจะยังเรียบเฉย ซูหยางได้ยิ้มอยู่ภายในใจ
“เช่นนั้นก็ดี” เขาพยักหน้า
“ยืนเข้าแถวตรงหน้าข้าและข้าจักลบความทรงจำให้กับเจ้า อย่างไรก็ตามในการที่ข้าจักทำเช่นนั้น ข้าจำเป็นต้องเห็นความทรงจำของเจ้าบางอย่าง หวังว่าพวกเจ้าไม่ถือ”
หญิงสาวต่างพากันเข้าแถวตรงหน้าซูหยางที่วางมือลงบนหน้าผากของหญิงสาวเหล่านั้นและหลับตาลง
และหลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง ซูหยางก็ได้ใช้วิชาอันลึกล้ำอ่านทะลุความทรงจำของหญิงสาวเหล่านี้ก่อนที่จะปิดกั้นพวกมันไว้
ตามความเป็นจริงสิ่งที่ซูหยางทำอาจจะไม่ใช่เป็นการ “ลบ” ความทรงจำเสียทีเดียวแต่เป็นแค่เพียงการ “ปิดกั้น” ซึ่งมันสามารถเรียกคืนกลับมาได้ในอนาคต สิ่งเดียวกับที่ตระกูลซูได้ทำไว้กับเขา
กล่าวไปแล้วตราบเท่าที่หญิงสาวเหล่านี้ไม่ได้ฝึกฝนวิชาจนถึงขั้นที่พวกเธอสามารถลบการปิดกั้นความทรงจำออกไปได้ พวกเธอก็จะมีชีวิตอยู่โดยปราศจากความทรงจำเหล่านี้ไปจนตาย
หลังจากนั้นอีกครึ่งชั่วโมงเกือบทุกคนที่นั่นที่ถูกจับโดยโจรภูผาแดงก็ได้ถูกปิดกั้นความทรงจำจากซูหยาง
“ข..ข้ามิสามารถจำอะไรได้ในช่วงสามเดือนหลังนี้…”
“ข-ข้าก็เช่นกัน ข้ามิสามารถนึกขึ้นมาได้ไม่ว่าข้าจะพยายามมากมายเพียงใด”
ผู้คนในที่นั้นต่างพากันมีสีหน้าประหลาดใจก่อนที่จะมองไปยังซูหยาง
แม้ว่าความทรงจำของพวกเธอได้ถูกปิดกั้นไว้ พวกเธอก็ยังคงจดจำซูหยางได้ แม้ว่าพวกเธอจะไม่สามารถจำได้ว่าเขาทำอะไรไปกับพวกเธอบ้าง พวกเธอก็ไม่รู้สึกอะไรไปมากกว่าความสำนึกบุญคุณต่อเขา
หลังจากที่มั่นใจแล้วว่าความทรงจำของพวกเธอได้ถูกปิดกั้นอย่างดีแล้ว ซูหยางก็ได้กล่าวกับศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยว่า “ตอนนี้พวกเราสามารถกลับนิกายได้แล้ว”
“หือ แล้วคนพวกนี้ล่ะ”
ผู้อาวุโสนิกายคนหนึ่งถาม
“ข้าได้ให้อิสระกลับคืนแก่พวกเธอแล้ว สิ่งที่พวกเธอทำจากนี้ไปมิใช่เรื่องของข้าอีก”
“…”
อย่างไรก็ตามก่อนที่จะจากพวกเธอ ซูหยางได้ทำให้มั่นใจว่าให้ทองแก่พวกเธอไปบ้างแล้วพอเพียงที่จะมีชีวิตอยู่ตราบจนวันตายโดยไม่ต้องทำงาน
“ซูหยาง พวกเราจะกลับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอย่างไร ถ้าเรามิใช้ยานบิน นั่นพวกเราต้องใช้เวลาสองสามวัน…” ซุนจิงจิงถามเขา
“แม้ว่ามันจะยุ่งยากในการเดินทางกลับไปกลับมาหลายครั้งด้วยยานบิน มันต้องเร็วกว่าการเดินเท้าแน่นอน
ซูหยางมองดูซุนจิงจิงชั่วขณะก่อนที่จะพูดขึ้นว่า “เจ้าพูดถึงอะไรกัน ในเมื่อตอนนี้พวกเขามิได้ตกอยู่ในอันตรายแล้ว เรามิจำเป็นต้องอยู่ที่นี่อีกต่อไป”
ซูหยางพลันนำเอาเรือไม้ออกมาและกระโดดขึ้นไป
ไม่นานนักซูหยางก็พูดกับซุนจิงจิงที่ยังคงยืนอยู่ที่ตรงนั้นอย่างุนงงว่า “เจ้ารออะไรอยู่ ถ้าเจ้ามิขึ้นมา ข้าจักกลับไปเพียงลำพัง…”
“ข-ข-ข้ามาแล้ว”
ซุนจิงจิงไม่ได้มัวแต่ครุ่นคิดเรื่องนั้นอีกต่อไป เธอกระโดดขึ้นไปบนเรือไม้กับเขา
“เช่นนั้น…พวกเราจักพบกันอีกครั้งที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย…” ซุนจิงจิงกล่าวกับบรรดาศิษย์ที่ยังคงตะลึงงันด้วยเสียงอับอายเล็กน้อยก่อนที่เรือไม้จะหายลับไปจากสถานที่นั้น
ครั้นเมื่อพวกเขาจากสถานที่นั้น ซุนจิงจิงได้ถามซูหยางว่า “เจ้าสามารถบอกเหตุผลที่ไม่พาพวกเขามากับพวกเราได้หรือไม่ ข้ามิเชื่อว่าคนอย่างเจ้าจักปล่อยให้พวกเขาอยู่ตรงนั้นเช่นนั้นโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร”
ซูหยางมีท่าทางเรียบเฉยและถามเธอว่า “เจ้าได้อธิบายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยหรือยัง”
“ข้าอธิบายแล้ว…”
“ทุกสิ่งรึ”
“ใช่…”
“เช่นนั้นเจ้าได้หยุดคิดบ้างไหมว่าบางทีพวกเขาบางคนอาจจะไม่ต้องการกลับไปนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยหลังจากที่รู้ว่าสถานที่ที่พวกเขาเคยรู้จักนั้นไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว”
ดวงตาของซุนจิงจิงโตขึ้นด้วยความตระหนกเมื่อได้ตระหนักถึงความเป็นไปได้นี้
ในเมื่อนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้ถูกทอดทิ้งจนถึงขั้นนี้ ผู้อาวุโสนิกายและศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้จะยังคงเป็นศิษย์ของสถานที่แบบนี้อีกต่อไปหรือไม่ ว่าไปแล้วแม้ว่าศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้ถือว่าเป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอย่างแท้จริง แต่พวกเขาก็ไม่ได้เป็นอย่างเป็นทางการ
ส่วนสำหรับผู้อาวุโสนิกาย บางทีพวกเขาอาจจะไม่ต้องการที่จะอยู่ในสถานที่ที่เกือบไม่มีศิษย์อีกต่อไปก็ได้
“ข้าปล่อยพวกเขาไว้ที่นั้นก็เพื่อให้พวกเขาได้สามารถตัดสินใจว่าพวกเขาต้องการที่จะกลับนิกายหรือไม่ ส่วนที่ว่าทำไมข้ามิได้พวกเขาเช่นนี้…พวกเขาตอนนี้จักสามารถตัดสินใจให้ตนเองได้อย่างจริงจังโดยปราศจากการแทรกแซง อีกนัยหนึ่งพวกเขาจะได้ซื่อตรงต่อหัวใจของตนเอง”
“…”
ซุนจิงจิงเงียบลงไป แต่สายตาของเธอที่จ้องมองไปยังซูหยางนั้นเต็มไปด้วยความประทับใจ เมื่อคิดว่าความคิดของเขาก้าวไปไกล…ช่างน่าประทับใจอย่างแท้จริง
PS: จากที่ผมได้เคยกล่าวไว้แล้วว่า ผมแปลตามต้นฉบับทันแล้ว และต้นฉบับก็ไม่ได้ลงทุกวัน ทำให้การติดตามของพวกเรานั้นกระท่อนกระแท่น ผมจึงเห็นว่าต่อไป ผมจะแปลและลงทุกตอนที่ต้นฉบับได้ออกมาให้ในวันเสาร์ทุกเสาร์แทน เพื่อที่พวกเราจะได้ไม่ต้องมาไล่คลิกดูว่าเมื่อไหร่กันที่เรื่องนี้จะออกตอนใหม่มา ดังนั้นนัดของพวกเราก็คือเสาร์หน้า และเสาร์ถัดๆไปในเวลาเดิม 18:00 น หากมีข้อคิดเห็นเสนอแนะ ติดต่อกันที่ [email protected] นะครับ เสียดายที่ทางเวปไซต์ไม่มีให้คอมเมนต์ ขอบคุณที่ติดตามมากนะครับ
ตอนที่ 283: มองทางนี้…ข้ายังคงบริสุทธิ์อยู่…
ซูหยางเข้าไปหาหญิงเหล่านั้นอย่างช้าๆ
“พวกโจรในสถานที่นี้ทั้งหมดล้วนตายแล้ว ดังนั้นพวกเจ้าจักมิต้องทนทรมานเช่นนี้อีกต่อไป…”
ซูหยางนำเอาห่วงที่คล้องรัดบรรดาหญิงเหล่านั้นติดไว้กับผนังออก
อย่างไรก็ตามไม่มีใครสักคนเคลื่อนไหวหลังจากที่ถูกปล่อยตัวเป็นอิสระ
“โปรด…ฆ่าข้า..”
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะหนึ่งในบรรดาหญิงเหล่านั้นพึมพัมออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง
“ฆ่าข้าด้วย…”
ทีละคนสองคนหญิงสาวเหล่านั้นต่างพากันร้องขอให้ซูหยางฆ่าพวกเธอ ราวกับว่าพวกเธอควรจะตายแทนที่จะมีชีวิตอยู่จากความทรงจำที่พวกเธอได้รับในที่แห่งนี้
“…”
ซูหยางหรี่ตาไปยังหญิงสาวเหล่านี้
ไม่มีแม้แต่น้อยกับความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ในดวงตาของหญิงสาวเหล่านี้ ราวกับว่าพวกเธอได้ตัดสินใจที่จะเลือกความตายไปเรียบร้อยแล้ว
“ก่อนที่ข้าจะได้ก้าวเข้ามาในห้องนี้ ข้าได้ตัดสินใจไปแล้วว่าจะนำพวกเจ้าทั้งหมดออกไปจากสถานที่แห่งนี้ และนี่เป็นสิ่งที่ข้าจักทำ ถ้าเจ้ายังปรารถนาที่จะตายก็จงทำเช่นนั้นหลังจากที่พวกเราออกไปจากสถานที่นี้แล้วเพราะว่าข้าจักมิหยุดยั้งพวกเจ้าอีก”
บรรดาหญิงสาวพากันนิ่งเงียบไปหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเขา
“พาพวกเราออกไป… อย่างไรรึ พวกเราแทบไม่มีแรงที่จะพูด… อย่าว่าแต่ยืน… และเดิน…”
ซูหยางไม่ได้พูดอะไรอีกเพียงนำเอาแหวนมิติออกมาก่อนที่นำเอาเม็ดยาออกมาจากภายใน
“นี่คือยาฟื้นฟู มันช่วยได้”
ซูหยางยื่นส่งเม็ดยาฟื้นฟูระดับไร้ตำหนิให้กับหญิงสาวแต่ละคน
“…”
แต่เหล่าหญิงสาวได้แต่เพียงจ้องมองมัน
ซูหยางส่ายหน้าและนำเอาน้ำออกมาจากแหวนมิติ
เขาพลันดื่มน้ำและป้อนยาให้กับหญิงสาวเหล่านี้ด้วยปาก
อารมณ์บางอย่างเริ่มปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของหญิงสาวเหล่านี้หลังจากที่รู้สึกถึงความอบอุ่นที่มากับริมฝีปากของซูหยางและความอ่อนโยนจากการป้อนของเขา
ไม่นานหลังจากที่กลืนยาฟื้นฟู บรรดาหญิงสาวก็สามารถเคลื่อนไหวได้เป็นอย่างดี
หลังจากผ่านไปอีกไม่กี่นาที พวกเธอทั้งหมดก็สามารถที่จะยืนและเดินราวกับว่าร่างกายของเธอมีสุขภาพดี
“พวกเจ้าสามารถสวมเสื้อผ้าเหล่านี้” ซูหยางกล่าวและเขาได้ยื่นเสื้อผ้าจำนวนหนึ่งให้กับพวกเธอซึ่งเขาได้หยิบมาระหว่างทางก่อนถึงห้องนี้
ต่อจากนั้นซูหยางและหญิงสาวทั้งหมดหกคนก็ออกจากห้องนั้น
“ยังมีคนอื่นอีกในที่แห่งนี้ และข้าได้วางแผนที่จะนำทุกคนไปพร้อมกับข้า เพราะข้ามิต้องการให้พวกเธอต้องเน่าเปื่อยอยู่ในสถานที่แห่งนี้” ซูหยางกล่าวขณะที่เขาไปยังชั้นต่อไป
เหล่าหญิงสาวที่นั่นไม่ได้กล่าวคำพูดแม้คำเดียวและเพียงเดินตามหลังเขาไปไม่ห่างอย่างเงียบเชียบ
ในชั้นถัดไปซูหยางก็เข้าไปในอีกห้องและอย่างที่ทุกคนคาดเอาไว้ ที่นั่นมีผู้หญิงเปลือยถูกล่ามโซ่กับผนังในห้องนี้เช่นกัน
และก็เหมือนก่อนหน้านั้น หญิงเหล่านี้ร้องขอให้ซูหยางฆ่าพวกเธอ แต่อนิจจาพวกเธอล้วนจบลงด้วยการกลืนกินยาฟื้นฟูและตามซูหยางไปด้านนอกห้องไม่กี่นาทีหลังจากนั้น
เหตุการณ์เช่นนี้ได้ซ้ำรอยเดิมไปอีกหลายครั้งจนกระทั่งซูหยางไปถึงชั้นที่ลึกที่สุด ซึ่งได้ใช้เวลาเขาไปกว่าครึ่งชั่วโมงในการไปให้ถึง
และในเวลานั้นก็มีหญิงสาวกว่าห้าสิบคนที่ตามอยู่ด้านหลังเขา
เมื่อไปถึงชั้นสุดท้ายซูหยางก็พลันตรงไปยังประตูที่ใหญ่ที่สุดในโถงทางเดินโดยไม่สนใจห้องอื่น
ภายในห้องใหญ่แห่งนี้ มีกรงที่ดูเหมือนสร้างไว้สำหรับขังสัตว์ใหญ่มากกว่าสิบวางเรียงอยู่เคียงข้างกัน อย่างไรก็ตามแทนที่จะขังสัตว์ร้ายไว้ภายในกรงขังเหล่านี้กลับมีแต่มนุษย์อยู่ในนั้น
แต่เมื่อเปรียบเทียบกับหญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านหลังซูหยางแล้ว คนเหล่านี้ล้วนได้รับการปฏิบัติอย่างดีจากเหล่าโจร
เหตุผลที่พวกเธอได้รับการปฏิบัติที่ดีกว่านั้นเห็นได้ชัด ในเมื่อเหล่าโจรได้วางแผนที่จะขายคนเหล่านี้ไปยังตลาดมืดดังนั้นการทำลายผลผลิตของตนเองย่อมมีเพียงแต่ลดราคาของพวกมันลง
“…”
เมื่อคนเหล่านี้เห็นซูหยางในครั้งแรก พวกเธอก็เริ่มคิดว่าเขาเป็นลูกค้าคนหนึ่งของฝูงโจร และเมื่อหญิงเหล่านั้นสังเกตเห็นว่าเขานั้นหล่อเหลาเพียงใด พวกเธอก็พลันต้องการให้เขาซื้อพวกเธอไป
ในความคิดของพวกเธอในเมื่อพวกเธอกำลังจะถูกขายไปอย่างไม่ไยดี พวกเธอควรจะให้ชายรูปหล่ออย่างเช่นซูหยางเป็นเจ้าของพวกเธอแทนที่จะเป็นคนที่น่าเกลียดหรือน่ารังเกียจ ด้วยวิธีนี้ชีวิตของพวกเธอย่อมจะไม่ถึงกับน่าสังเวชเมื่อพวกเธอต้องปรนนิบัติพวกเขาเหล่านั้นบนเตียง
ตามจริงหญิงส่วนใหญ่ที่ถูกขายด้วยวิธีนี้มักจะกลายเป็นคนอุ่นเตียงหลังจากที่พวกเธอถูกขายหรือไม่ก็ถูกบังคับให้ค้าประเวณีจากนายของตนเอง
“หนุ่มน้อยรูปหล่อ เจ้าพอที่จะใจดีซื้อพี่สาวคนนี้ไหม ข้าจักทำทุกอย่างที่เจ้าต้องการ…”
“น้องชาย พวกเราล้วนรู้ว่าทำไมเจ้ามาที่นี่… ถ้าเจ้านำข้าออกไปจากที่หนาวเย็นแห่งนี้ ข้าจักให้เจ้าทุกอย่างที่เจ้าเคยต้องการ…”
“สุดหล่อ มองทางนี้… ข้ายังคงบริสุทธิ์อยู่…”
หญิงสาวสองสามคนที่นั่นยังกระทั่งทำท่ายั่วยวนด้วยหวังว่าซูหยางจะหลงเสน่ห์กับร่างกายของพวกเธอ
ซูหยางยังคงนิ่งเฉยกับภาพเหล่านี้ และหลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ เขาก็พูดขึ้นว่า “พวกโจรในที่แห่งนี้มิมีอีกต่อไปแล้ว และข้ามาที่นี่เพื่อช่วยเหลือพวกเจ้าให้เป็นอิสระ”
ซูหยางดึงเอาดาบออกมาและเริ่มตัดกรงเหล็กเหล่านี้ราวกับว่าพวกมันเป็นกล่องกระดาษ และผู้คนที่อยู่ในกรงเหล่านี้ต่างพากันจ้องมองเขาด้วยท่าทางตกตะลึง
หลังจากที่ปล่อยคนอีกกว่าสี่สิบคนในห้องนี้ โดยไม่ต้องอธิบายอะไรอีก ซูหยางก็หันกายและเริ่มเดินกลับไปยังเส้นทางที่เขามา
หญิงสาวกว่าห้าสิบคนที่ได้ตามหลังเขามานับตั้งแต่ต้นก็ติดตามเขาต่อไปอย่างเงียบๆ
“ก-เกิดอะไรขึ้น เจ้าสามารถอธิบายสถานการณ์ใหักับพวกเราหรือไม่ เกิดอะไรขึ้นกับพวกโจร”
ใครบางคนในนั้นถาม
โดยไม่ต้องหยุดเดิน ซูหยางก็พูดขึ้นว่า “พวกมันล้วนตกตาย และพวกเจ้าตอนนี้เป็นอิสระแล้ว”
“มิมีทาง…”
พวกเธอมองดูเขาด้วยท่าทางโง่งม
โจรภูผมแดงที่มีชื่อเสียงโด่งดังได้ตกตายสิ้นแล้วรึ แม้ว่านี่จะเป็นผลลัพธ์ที่ไม่ถึงกับเหนือความคาดหมายอย่างสิ้นเชิงก็เพราะเนื่องมาจากความเลวทรามของพวกนั้น แต่ความจริงที่ว่าใช้เวลาเพียงวันเดียวในการทำลายพื้นฐานที่ใช้เวลากว่าครึ่งศตวรรษในการสร้างขึ้น ย่อมสั่นสะท้านใจผู้คนเหล่านี้
หลังจากที่ยืนนิ่งอยู่ชั่วขณะเพื่อฟื้นคืนจากความตกตะลึง คนทั้งสี่สิบคนในห้องก็ติดตามซูหยางไปเช่นกัน
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 282
DC บทที่ 282: นองเลือด
เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่นาทีนับตั้งแต่ซูหยางเริ่มต้น และโจรมากกว่าร้อยคนก็ได้สิ้นชีวิตลงด้วยดาบในมือของเขา
“อาาาา”
“ทำไมจึงมีคนที่โหดร้ายและเก่งกาจเช่นนี้ นี่ไม่ใช่คนแล้ว”
“สัตว์ร้าย นี่ต้องเป็นสัตว์ร้ายแปลงกายมา”
ซ่องโจรดังก้องไปด้วยเสียงร้องที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวจากเหล่าโจรเมื่อซูหยางฆ่าพวกเขาได้โดยง่าย
ไม่ว่าจะเป็นโล่เหล็กหรือวิชาป้องกันตัว เพียงดาบเดียวจากซูหยางก็จะตัดพวกมันขาดราวกับมีดร้อนตัดเนย ก่อนที่จะฆ่าโจรที่อยู่ด้านหลังการปกป้องเหล่านี้
ยิ่งไปกว่านั้นเพราะว่าซูหยางใช้ก้าวเก้าดารา ฝูงโจรรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังต่อสู้อยู่กับวิญญาณในเมื่อพวกเขาแทบทั้งหมดไม่แม้จะเห็นเงาของอีกฝ่าย
และถึงแม้ว่าพวกเขาจะโชคดีมากพอที่จะทันเห็นเงาของซูหยาง พวกเขาก็จะถูกฆ่าเสียก่อนที่จะทันได้มีปฏิกิริยาใด
กลิ่นคาวเลือดภายในซ่องโจรเข้มข้นขึ้นภายในไม่กี่นาที เมื่อทั่วทั้งทุกที่กองสุมไปด้วยศพเจิ่งนองไปด้วยเลือด
ยิ่งไปกว่านั้นเพราะว่าส่วนใหญ่ของโจรเหล่านี้อยู่ที่เขตปฐมวิญญาณและสัมมาวิญญาณ พวกเขาล้วนยากที่จะหายใจในเมื่อพลังการฝึกปรือเขตอัมพรวิญญาณของซูหยางกดดันพวกเขาอยู่ ลดทอนการป้องกันของพวกเขาไปยิ่งกว่าเดิม
นั่นก็ยังมีบ้างบางคนที่เขตคัมภีร์วิญญาณและสองสามคนที่เขตปฐพีวิญญาณปะปนอยู่ในกลุ่มโจรพวกนี้ แต่น่าเสียดายต่อหน้าซูหยางที่อยู่ในเขตอัมพรวิญญาณแล้วก็เหมือนกับมดที่ล้วนง่ายต่อการขยี้
“ว-วิ่งเร็ว เขามิอาจจับพวกเราทั้งหมดได้”
ฝูงโจรพากันวิ่งไปยังทางออกด้วยความพยายามคร้้งสุดท้าย แต่น่าเสียดายที่มีทางออกเพียงทางเดียว และซูหยางก็จะฆ่าพวกเขาก่อนที่จะมีใครในกลุ่มจะสามารถเข้าไปใกล้ทางออกได้
โจรภูผาแดงลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว และภายในครึ่งชั่วโมงจำนวนผู้แข็งแกร่งนับพันก็ได้ลดลงเหลือเพียงแค่ไม่กี่สิบคน
“ด-ได้โปรด โปรดเมตตา พวกเราทำอะไรล่วงเกินท่านรึจึงต้องขุ่นเคืองถึงขนาดนี้”
หมู่โจรที่เหลือทิ้งอาวุธและคุกเข่าลง ร้องขอชีวิตต่อซูหยาง
ซูหยางหยุดพักจากการฆ่าเป็นครั้งแรกนับจากตอนเริ่มต้นและพูดว่า “มีผู้เคราะห์ร้ายคนบริสุทธิ์ได้พูดคำพูดเช่นนี้ต่อพวกเจ้ากี่คนก่อนที่พวกเจ้าจะเปลี่ยนชีวิตของพวกเขาจนเลวร้ายถึงที่สุด”
“…”
ฝูงโจรพลันเงียบลงไป
“ข้ามิใช่วีรบุรุษทั้งมิได้คิดจะเป็นหนึ่งในนั้น ข้ามิได้ทำเช่นนี้เพราะต้องการล้างแค้นหรือถูกล่วงเกินโดยพวกเจ้าเหล่าขยะ”
หลังจากเงียบไปชั่วเสี้ยววินาที เขาก็พูดต่อว่า “กลับกันข้าทำเช่นนี้เพียงเพื่อความสะใจของตัวข้าเองเท่านั้น”
“ม-ไม่ ไม่มีทาง…”
ฝูงโจรมองดูซูหยางเหมือนกับว่าพวกเขากำลังดูปีศาจร้าย
หลังจากปล้นฆ่าคนบริสุทธิ์นับไม่ถ้วนมานานหลายปี ฝูงโจรเหล่านี้ได้ลืมไปนานแล้วถึงความรู้สึกสิ้นหวังและหวาดกลัวโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาปราศจากคู่แข่งในพื้นที่แห่งนี้ แต่หลังจากที่พบกับซูหยางวันนี้สุดท้ายพวกเขาก็รำลึกถึงความรู้สึกเช่นนั้นขึ้นมาได้
“ถ้าข้าเสียลมปากพูดกับพวกเจ้าเหล่าขยะอีกต่อไป ปากข้าจักต้องเปื้อนความโสโครกของพวกเจ้า ดังนั้นจงตายให้ข้าเสียเถอะ”
“ด-ด-เดี๋ยว ให้พวกเราพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้–”
ปราณล้ำลึกระดับอัมพรพลันระเบิดออกมาจากร่างของซูหยาง และด้วยการตวัดด้วยวิชาดาบเพียงครั้งเดียว ประกายดาบนับร้อยก็พลันพวยพุ่งออกมาจากดาบ ตัดฝูงโจรที่เหลือเป็นหลายชิ้นภายในชั่วกระพริบตา
“…”
ซ่องโจรพลันเปลี่ยนเป็นเงียบสงัด
ซูหยางมองดูไปยังพื้นที่ปกคลุมไปด้วยเลือด ต่อด้วยร่างของตัวเขาเองที่ไม่มีแม้สักหยดของเลือดเกาะ ทั้งที่อยู่ท่ามกลางฝนเลือด
“นานพอควรแล้วนับตั้งแต่ข้าได้ปลิดชีวิตมากมายปานนี้ในช่วงเวลาสั้นๆ…” เขานึกถอนใจ
แม้ว่าการกระทำของซูหยางในวันนี้อาจจะดูโหดร้ายและไม่จำเป็น แต่การเข่นฆ่าล้างบางแบบนี้ก็เกิดขึ้นเกือบทุกวันในยุทธภพ บางครั้งก็กินขอบเขตกว้างขวาง และเป็นเรื่องปกติที่มักจะเป็นผู้บริสุทธิ์ถูกเข่นฆ่า ไม่ใช่หมู่โจรที่ไม่ทำอะไรนอกไปจากทำร้ายทั้งคนธรรมดาและยุทธภพ
ตามจริงแล้วถึงแม้ว่าเขาจะฆ่าคนไปมากมาย ซูหยางไม่ได้รู้สึกสงสารหรือสำนึกผิดแม้แต่น้อยในเวลานี้
บางทีเขาอาจจะสงสารคนผู้บริสุทธิ์และถูกปลิดชีวิตโดยพวกโจรเหล่านี้ แต่ต่อให้มีอารมณ์ความรู้สึกต่อโจรเหล่านี้ นั่นก็ไม่อาจจะจับใจซูหยางได้
หลังจากที่ยืนอยู่ชั่วขณะ ซูหยางก็เริ่มเตร่เข้าไปในซ่องโจร
แม้ว่านั่นอาจจะดูไม่มีอะไรน่าประทับใจจากด้านนอก แต่ขนาดที่แท้จริงของที่ซ่อนแห่งนี้ก็มีขนาดใกล้เคียงกับปราสาทของราชาเพียงแต่สร้างไว้ใต้ดิน ไม่เช่นนั้นมันจะสามารถรองรับหมู่โจรนับพันได้ในทีเดียวได้อย่างไร
มีมากกว่าห้าชั้นที่อยู่ลึกลงไปและมีมากกว่าร้อยห้อง และที่น่าประทับใจที่สุดของที่ซ่องสุมแห่งนี้ก็คือมันชัดเจนว่าถูกจัดสร้างด้วยมือทั้งหมด
อย่างไรก็ตามการที่สิ่งเหล่านี้เกิดจากความพยายามของฝูงโจรหรือความพยายามของคนที่ถูกจับตัวมานั้นยังเป็นปริศนา
หลังจากที่เดินไปรอบๆชั่วขณะ ซูหยางก็หยุดอยู่ตรงหน้าห้องห้องหนึ่งที่ชั้นสองและเปิดมันออก
ครั้นเมื่อเขาเปิดห้องออกมา เขาก็พบกับฉากโหดร้ายที่ทำให้กระทั่งคนที่ใจแข็งที่สุดก็ยังใจสั่นสะท้าน
ภายในห้องนี้มีหญิงหลายคนถูกล่ามโซ่ไว้กับผนังและไม่มีใครในนั้นที่สวมเสื้อผ้า
ยิ่งไปกว่านั้นร่างกายของหญิงพวกนี้ล้วนมีรอยช้ำผ่ายผอมเห็นชัดว่าขาดสารอาหาร ดวงตาของพวกเธอขาดประกายราวกับตุ๊กตาที่ปราศจากจิตวิญญาณ แต่กระนั้นตุ๊กตาเองก็ยังมีอารมณ์บนใบหน้ามากกว่าคนที่อยู่ในห้องนี้ บางอย่างที่พวกเธอขาดไปอย่างสิ้นเชิง
ผู้คนสามารถคาดเดาจุดประสงค์ของห้องนี้และเหตุใดหญิงพวกนี้จึงมาอยู่ที่นี่ได้อย่างง่ายดายเพียงแค่เหลือบมอง แต่นั่นยิ่งทำให้สถานที่แห่งนี้น่ารังเกียจยิ่งกว่าเดิม
เมื่อซูหยางเห็นสภาพของหญิงพวกนี้และสีหน้าของพวกเธอ ถึงแม้ว่าเขาไม่รู้จักพวกเธอแม้สักคนในใจเขาก็เต็มไปด้วยความโกรธ
“ข้ามิควรฆ่าพวกมันเร็วจนเกินไปนัก…” เขานึกถอนใจ ค่อนข้างเสียใจในการตัดสินใจไม่ทรมานเหล่าโจรก่อนที่จะฆ่าพวกนั้นอย่างช้าๆ
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 281
DC บทที่ 281: ซ่องโจร
“อะไรนะ” ซุนจิงจิงมองดูเขาด้วยท่าทางสับสน “เจ้าจะทำอะไรในตอนนี้รึ”
ซูหยางหันไปมองโจรที่สั่นสะท้านอยู่บนพื้นและพูดด้วยท่าทางเย็นชาบนใบหน้าหล่อเหลา “ล่าโจร”
“…”
ซุนจิงจิงไร้คำพูด “ทำไมเจ้าจึงต้องไปไกลขนาดนี้ด้วย ในเมื่อศิษย์รุ่นเยาว์ล้วนปลอดภัยและภารกิจช่วยเหลือได้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีดังนั้นจึงมิจำเป็นที่เจ้าจะต้องทำทั้งหมดนั่น เราควรกลับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในตอนนี้”
ซูหยางส่ายหน้าและกล่าวว่า “ก็จริงการกระทำเช่นนั้นอาจจะไม่จำเป็น แต่ทว่าหลังจากที่ดูเจ้าพวกเหล่านี้มาสักพัก เจ้าพวกนี้ได้ทำให้ข้าเชื่อว่าโลกนี้จะดีขึ้นมากหากปราศจากพวกมัน”
จากนั้นเขาได้หันกลับไปมองยังโจรและกล่าวต่อว่า “เจ้าสามารถนำทางข้าไปยังที่ซ่องสุมของเจ้าและข้าจะไว้ชีวิตเจ้าหรือว่าให้ข้าฆ่าเจ้าเสียตรงนี้และค้นหามันด้วยตนเอง ซึ่งนั่นก็มิได้แตกต่างกันมากนัก”
“ข-ข้าจักนำท่านไป”
โจรไม่ลังเลที่จะทรยศเพื่อนโจรด้วยกันเพื่อรักษาชีวิตของตนเอง
“เมื่อพวกเจ้าพร้อมแล้ว ข้าจักไปก่อนนะ” ซูหยางกล่าวขณะที่เขาตามโจรไป
“ร-รอก่อน ขอข้าไป–”
ก่อนที่ซุนจิงจิงจะทันได้พูดจบ ซูหยางก็หยุดเธอไว้ พูดว่า “เจ้าควรอยู่ที่นี่และอธิบายให้พวกเขารู้ถึงสถานการณ์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ข้าจักกลับมาภายในเวลาที่เจ้าพูดคุยเรียบร้อยแล้ว”
แม้ว่าเธอยังคงต้องการที่จะตามเขาไป ซุนจิงจิงก็ต้องอยู่กับศิษย์รุ่นเยาว์
หลังจากที่ซูหยางลับจากสายตาไปแล้วซุนจิงจิงก็อธิบายทุกอย่างให้พวกเขาฟัง
ซุนจิงจิงบอกพวกเขานับตั้งแต่นิกายล้านอสรพิษรุกรานไปจนกระทั่งถึงสถานะปัจจุบันของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
“ไม่…ไม่มีทาง…สุดท้ายนี่หมายความว่าพวกโจรได้พูดความจริง”
ผู้อาวุโสนิกายสั่นสะท้านเมื่อรู้ความจริง ถ้าซูหยางไม่มาช่วยพวกเขา เช่นนั้นพวกโจรก็คงเปลี่ยนพวกเขาไปเป็นสินค้าและทาส และก็คงไม่มีใครมาช่วยพวกเขา
“ช-ชายหนุ่มรูปงามคนเมื่อกี้นี้เป็นใครกัน ทำไมข้ามิรู้จักคนที่เก่งกาจดังเช่นเขามาก่อน”
หนึ่งของผู้อาวุโสนิกายถาม
“นั่นคือ…”
“นั่นคือศิษย์พี่ชายซู เขาได้เคยช่วยข้าไว้มาก่อนครั้งหนึ่ง และเขาก็เป็นคนที่ใจดีมาก”
ก่อนที่ซุนจิงจิงจะทันตอบ หนึ่งในศิษย์รุ่นเยาว์ก็ก้าวออกมาพูดก่อน
ซุนจิงจิงมองดูเด็กหญิงตัวเล็กตรงหน้าเธอ
ชีเยว่เป็นชื่อของเด็กหญิงตัวเล็กคนนี้ และเธอก็เป็นลูกค้าคนแรกสุดของซูหยาง
“ปรากฏว่าเจ้ารู้เรื่องเขามากกว่าข้า” ซุนจิงจิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ข้า…ข้ามิได้กล่าวเช่นนั้น…” ชีเยว่หน้าแดงเพราะอะไรสักอย่าง
“อืมม…เราควรทำอะไรกันตอนนี้”
หนึ่งในผู้อาวุโสนิกายถาม
“ถ้าพวกท่านต้องการ พวกท่านสามารถกลับไปยังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก่อน ข้าจักรอซูหยางกลับมาที่นี่” ซุนจิงจิงกล่าว
“ข้า…ข้าจักรอศิษย์พี่ชายซูเช่นกัน ข้ายังต้องขอบคุณเขาที่ช่วยเหลือพวกเรา”
ชีเยว่กล่าว
ผู้อาวุโสนิกายสบสายตากันก่อนที่พยักหนัากับคนอื่น
“เราก็จักรอเขากลับมาเช่นกัน”
“เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้”
–
–
–
ในเวลานั้นที่ไหนสักแห่งในเขตภูเขา ซูหยางตามโจรไปอย่างสบายๆสู่ซ่องโจร
หลังจากไปตามเส้นทางผ่านต้นไม้มากมายทั้งกับดักสัตว์นับร้อยที่สร้างขึ้นโดยฝูงโจรเพื่อป้องกันผู้บุกรุก สุดท้ายพวกเขาก็ไปถึงถ้ำที่ดูเหมือนเป็นถ้ำธรรมดา
“เรามาถึงแล้ว นายท่าน”
โจรกล่าวขณะที่หยุดเดิน
“ค่ายกลอำพรางรึ”
แม้ว่าดูอ่อนด้อยและลวกๆ ซูหยางก็สามารถรู้สึกได้ถึงค่ายกลอำพรางรอบสถานที่นี้
“นายท่าน…ข้าได้ทรยศพวกข้าด้วยการนำทางมาถึงที่ซ่อนของพวกเรา…โปรดเมตตา…”
โจรคุกเข่าลงบนพื้นและขอร้องเขาขณะที่ร้องไห้ออกมา
อย่างไรก็ตามซูหยางไม่แม้จะชายตามองโจรก่อนที่จะตวัดดาบในมือฆ่าตัดคอโจรในทันที
หลังจากฆ่าโจรแล้ว ซูหยางก็เดินเข้าไปยังปากทางเข้าถ้ำอย่างเยือกเย็นทำเหมือนกับว่าทุกอย่างปกติ
ภายในซ่องโจรมืดและชื้น มีกลิ่นเหม็นรุนแรงของเลือดและแอลกอฮอล์
ซูหยางเดินเข้าไปไม่กี่นาทีในช่องทางยาวนี้ก่อนจะถึงประตู
“เจ้าเป็นใครกันวะ”
มียามเฝ้าตรงทางเข้าและเขาก็ยกอาวุธขึ้นมาทันทีที่เห็นหน้าตาที่ไม่คุ้นเคยของซูหยาง
แม้จะเห็นยามโจร ซูหยางก็ไม่ได้หยุดก้าวยังคงเดินตรงไปทางเข้า
“ข้าถามเจ้า เจ้าเป็นเชี่ยใครกันและมาทำอะไรที่นี่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าที่นี่—”
ครั้นเมื่อซูหยางไปถึงระยะห่างระดับหนึ่งจากโจร เขาก็ตวัดแขนจนทำให้ดาบในมือหายไปในทันทีก่อนที่จะปรากฏขึ้นอีกครั้ง
ในเสี้ยวเวลานั้นโจรเฝ้าประตูก็ถูกฆ่าและเลือดก็ย้อมประตูเหล็ก
ด้วยการตวัดมืออีกข้าง ซูหยางก็ตัดประตูเหล็กนั้นออกเป็นหลายชิ้น ก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปสู่รังโจรที่แท้จริงอย่างสบายๆ
การเข้าไปด้วยการใช้กำลังจนมีเสียงดังสนั่นของซูหยางพลันสร้างความตื่นตัวให้กับเหล่าโจรที่อยู่ภายใน
“มีผู้บุกรุก ทุกคนหยุดทุกอย่างที่ทำและมาช่วยกันฆ่าผู้บุกรุก”
โจรนับร้อยพากันฮือมายังตำแหน่งของซูหยางอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นหมู่โจร ซูหยางก็ยิ้มในเมื่อเขาหวังให้เกิดสถานการณ์เช่นนี้
“พวกป่าเถื่อนที่ไม่รู้จักความงดงาม…”
ซูหยางยกดาบและชี้ไปยังพวกโจร
“ถึงแม้ขยะอย่างพวกเจ้าพลันหายไปชั่วนิรันดร์ก็ไม่มีใครในโลกนี้สนใจ…ตามจริงข้ายังหวังที่จะพนันว่าผู้คนกลับจะเฉลิมฉลองเสียด้วยซ้ำ”
“เจ้าเด็กบ้านี้ใครกัน เจ้านี้ถูกตีที่หัวมาหรืออย่างไร”
“เมื่อมาคิดว่าจะมีวันที่พวกเราโจรภูผาแดงจะถูกบุกรุกโดยเพียงแค่เด็ก….คนหนึ่ง ไม่มากไม่น้อย…ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…นี่ช่างน่าขันเหลือเกิน…”
ฝูงโจรไม่รู้สึกเร่งด่วนอีกต่อไปและเริ่มหัวเราะป่าเถื่อนครั้นเมื่อตระหนักว่ามีเพียงเด็กคนเดียวที่มาบุกรุกพวกเขา
“หัวเราะให้เต็มที่ตอนนี้เพราะว่าอีกไม่นานจักเป็นวาระสุดท้ายของพวกเจ้า”
พวกโจรพากันหยุดหัวเราะในทันทีและหรึ่ตาจ้องมองซูหยางด้วยกลิ่นอายกระหายเลือด
“อย่าฆ่าเจ้านี่ ข้าต้องการจับมันเป็นๆ” หนึ่งในหมู่โจรกล่าว
“พวกเราจะทรมานเจ้านี่กันรึ”
“แน่นอน”
“เราควรเริ่มจากใบหน้า” โจรอีกคนกล่าว
เมื่อได้ยินพวกโจรเหล่านี้ใช้ช่วงเวลาสุดท้ายของตนเองปรึกษาถึงอนาคตที่ไม่มีวันเกิดขึ้น ซูหยางได้แค่เพียงส่ายหน้า
ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นโดยไม่มีคำเตือนใดๆ ซูหยางก็เปิดใช้งานก้าวเก้าดาราประกาศถึงการนองเลือด
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 280
DC บทที่ 280: ซุ่มโจมตีจากท้องฟ้า
หลังจากนำดาบออกมาแล้ว ซูหยางก็หรี่ตาไปยังหนึ่งในพวกโจร
เวลาถัดไปเขาก็ปาออกไป
เกิดแสงกระพริบขึ้นในท้องฟ้าด้วยความเร็วเหลือเชื่อ ดาบในมือซูหยางพุ่งไปยังหนึ่งในหมู่โจร
อย่างไรก็ตามไม่มีใครจากเบื้องล่างสังเกตเห็นดาบนี้ที่พุ่งเข้าไปหาพวกเขาจากบนท้องฟ้า
ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น ก่อนที่โจรที่กำลังจับหนึ่งในศิษย์รุ่นเยาว์จะทันได้มีปฏิกิริยาใด ดาบคมกริบก็เปิดรูที่ศีรษะของเขา ฆ่าเขาตายในทันที
ฝูงโจรไม่ได้รับรู้ในทันทีที่หนึ่งในพวกเขาได้ตายไป ยังคงไล่จับศิษย์รุ่นเยาว์
เพียงตอนที่เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์เริ่มกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งนั่นแหละฝูงโจรจึงได้สังเกตเห็นศพบนพื้นที่ใบหน้าหายไป
“พ-พี่น้อง เกิดอะไรขึ้น”
ฝูงโจรต่างพากันมองไปรอบๆด้วยความหวาดหวั่น พยายามที่จะค้นหาว่าดาบมาจากไหน
ตามจริงพวกเขายังไม่เข้าใจสถานการณ์ได้เต็มที่นัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพลันมีคนในหมู่พวกเขาตายอย่างกระทันหัน
“ม-มันเป็นการซุ่มโจมตี ระวัง”
“เจ้าคนขี้ขลาด ออกมา เจ้าคนขี้ขลาด”
เมื่อฝูงโจรเริ่มยั่วยุซูหยางผู้ซึ่งขว้างดาบ ซุนจิงจิงก็เริ่มถามเขา “เจ้าจะทำอะไรต่อไปในตอนนี้”
“อะไรรึ นั่นง่ายดายยิ่ง”
ซูหยางพลันยกเท้าขึ้นหนึ่งข้างและก้าวออกไป อย่างไรก็ตามก้าวก้าวเดียวนี้อยู่ภายนอกเรือ ดังนั้นร่างของเขาจึงตกลงไปในวินาทีถัดไป
“ซ-ซูหยาง”
ซุนจิงจิงรู้สึกว่าหัวใจของเธอหยุดเต้นเมื่อซูหยางกระโดดออกไปจากเรือโดยไม่มีการเตือนอะไรทั้งสิ้น
ด้วยความสูงระดับนี้ ต่อให้จอมยุทธเขตอัมพรวิญญาณก็ต้องตายถ้าเขาตกลงสู่พื้น
อย่างไรก็ตามระหว่างที่เขาตกลงมา ซูหยางได้ใช้งานก้าวเก้าดาราซึ่งยอมให้เขาก้าวเดินไปบนอากาศและชี้นำเส้นทางเขาลงไปยังพื้นอย่างปลอดภัย
ในสายตาของซุนจิงจิงนั้นเหมือนกับว่าซูหยางเดินลงบนขั้นบันไดที่มองไม่เห็น
รู้สึกไม่อยากเชื่อ ซุนจิงจิงขยี้ตาโดยสัญชาตญาณ
“นี่เป็นวิชาการเคลื่อนไหวแบบไหนกัน” เธอจ้องมองไปยังซูหยางซึ่งเดินทางอยู่ในอากาศอันว่างเปล่าด้วยขาของตนเองอย่างแท้จริง ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความชื่นชม
“ข้างบนนั้น กลางอากาศ”
โจรที่มีพลังการฝึกปรือสูงสุดได้สังเกตเห็นซูหยางเป็นอันดับแรกและพลันเตือนพวกคนที่เหลือ
“เจ้านั่น…กำลังเดินบนอากาศ”
ทุกคนที่นั่นต่างพากันมองดูซูหยางตรงไปหาพวกเขาจากสรวงสวรรค์ด้วยดวงตาเบิกค้าง รู้สึกเหมือนกับว่าพวกเขากำลังเห็นเทพเจ้าเสด็จลงมา
“เสื้อผ้าเขา เขาเป็นศิษย์ในของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยของเรา”
ผู้อาวุโสนิการรู้สึกปิติยินดีที่มีกำลังเสริมมาถึง อย่างไรก็ตามในหมู่พวกเขาเองก็ไม่คาดว่าจะมาถึงเร็วปานนี้ ในเมื่อพวกเขาเพิ่งส่งสัญญาณไปเพียงไม่กี่นาทีก่อน ยิ่งไปกว่านั้นไม่มีใครในที่นั้นที่รู้จักใบหน้าของซูหยาง ไม่มีใครเลยยกเว้นคนหนึ่ง
“ศิษยพี่ชายซู…”
เด็กหญิงที่ถูกจับเป็นคนแรกมองดูซูหยางด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความประทับใจ ตามจริงนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอได้รับการช่วยเหลือจากเขาแต่เป็นครั้งที่สอง
เมื่อร่อนลงสู่พื้นแล้ว ซูหยางก็หยิบดาบที่อยู่ด้านข้างศพโจรขึ้นมา
“พี่น้อง เจ้านี่ก็เป็นคนจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย”
“แต่ดูเหมือนเขาจะมีคนเดียว ต่อให้เขาฆ่าพี่น้องพวกเราไปหนึ่ง นั่นก็เป็นเพียงแค่การซุ่มโจมตี ถ้าพวกเราร่วมมือกัน พวกเราต้องสามารถล้มเขาลงได้ง่ายๆ”
ห้าคนจากที่เหลือในเก้าโจรรีบรวมกลุ่มและเข้าไปรายล้อมซูหยางซึ่งยืนอยู่ที่นั่นด้วยท่าทางเฉยชา สายตาของเขาไม่แม้จะมองฝูงโจร
เมื่อเห็นซูหยางยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น หนึ่งในฝูงโจรก็ตะโกน “จัดการมัน”
ขณะที่ฝูงโจรพุ่งเข้าไปหาเขา ซูหยางก็ใช้ก้าวเก้าดาราหายไปต่อหน้าต่อตาของฝูงโจร
“มันไปไหน”
ด้วยความตระหนกฝูงโจรหยุดการเคลื่อนไหวของตนเองและเริ่มมองไปรอบๆอย่างกระวนกระวาย
๐แควก๐
ทันใดนั้นเสียงของเสื้อผ้าฉีกขาดก็ดังขึ้นและฝูงโจรต่างก็พากันหันหน้าไปยังทิศทางของเสียง
สิ่งที่พวกเขาประจักษ์หลังจากนั้นก็ไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่าความน่าสะพรึงกลัว เมื่อการโจมตีหนึ่งครั้งของซูหยางได้ผ่าครึ่งคนหนึ่งในหมู่พวกโจรจากด้านบนลงด้านล่าง
หลังจากที่ฆ่าโจรไปหนึ่งและโดยไม่ยอมให้คนอื่นได้ทันมีปฏิกิริยา ซูหยางได้ใช้ก้าวเก้าดาราอีกครั้งเพื่อไปอยู่ด้านหลังของโจรอีกคน
วินาทีถัดไป โจรอีกคนก็ล้มลงสู่พื้นโดยไม่ทันแม้จะรับรู้ว่าตนเองได้ตายไป ลดจำนวนทั้งหมดของฝูงโจรเหลือแค่เจ็ดคน
อย่างไรก็ตามซูหยางก็ไม่ได้สิ้นสุดแค่นั้น เขาใช้ก้าวเก้าดาราต่อไปอีกหกครั้ง ฆ่าโจรไปอีกหกคนในช่วงเวลาไม่กี่วินาที
เพียงแค่กระพริบตาก่อนที่ใครในที่นั้นจะทันได้มีปฏิกิริยาหรือทำความเข้าใจกับสถานการณ์ ซูหยางก็ได้ฆ่าโจรไปเกือบทุกคนเหลือไว้เพียงแค่หนึ่งคน
ยิ่งไปกว่านั้น ซูหยางก็ไม่ได้พูดอะไรแม้สักคำตลอดเวลานี้ คล้ายกับว่าเขาไม่มีอะไรจะพูดกับฝูงโจรเหล่านี้
โจรคนเดียวที่เหลือล้มลงสู่พื้นด้วยความตื่นตระหนกเมื่อตระหนักได้ว่าเขาเป็นเพียงคนเดียวที่ยังมีชีวิต กระทั่งถึงกับฉี่ราดกางเกง
ผู้อาวุโสนิกายและศิษย์รุ่นเยาว์มองดูซูหยางด้วยดวงตาเบิกกว้าง ดูเหมือนไม่อยากจะเชื่อ
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่พวกเขามีศิษย์ที่ทรงอำนาจเช่นนี้ในนิกาย และทำไมเขาจึงยังเป็นแค่ศิษย์ใน ความแข็งแกร่งที่เขาแสดงออกมาวันนี้ก้าวล้ำไปแม้กระทั่งศิษย์หลักทั้งหมด
หลังจากฆ่าโจรทั้งหมดยกเว้นเพียงหนึ่ง ซูหยางก็หันไปยังท้องฟ้าและทำท่าส่งสัญญาณมือ
ไม่นานหลังจากนั้น เรือไม้ก็ลดตัวลงจากท้องฟ้าพร้อมกับซุนจิงจิงที่ยืนอยู่บนนั้น
“ศิษย์ซุน”
แม้ว่าพวกเขาไม่รู้จักใบหน้าของซูหยาง ผู้อาวุโสนิกายก็พลันจำซุนจิงจิงได้ในทันที
ยามเมื่อเรือลดตัวลงมาจนถึงที่สุด ซุนจิงจิงก็ก้าวออกมาจากเรือไม้
อย่างไรก็ตามเธอรู้สึกทำตัวไม่ถูกว่าต้องปฏิบัติตัวอย่างไรกับสถานการณ์นี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธอตอนนี้ก็ตื่นตระหนกเช่นเดียวกับคนเหล่านี้กับความสามารถของซูหยาง
เธอหันไปมองดูซูหยางด้วยดวงตาที่ดูเหมือนจะร้องขอความช่วยเหลือ
ซูหยางยิ้มผ่านๆและกล่าวว่า “เจ้าสามารถกลับนิกายไปกับพวกเขาก่อนได้ ข้ายังคงมีธุระบางอย่างที่นี่”
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 279
DC บทที่ 279: โจรภูผาแดง
“เจ้าโจรชั่ว ถ้าเจ้ารู้ถึงภูมิหลังของพวกเราแล้วนั่นจะเป็นประโยชน์แก่พวกเจ้าหากปล่อยพวกเราไป ข้าได้เรียกกำลังเสริมเรียบร้อยแล้ว”
หนึ่งในผู้อาวุโสนิกายกล่าวเสียงดัง รู้สึกถึงแรงกดดันของสถานการณ์อยู่บ้าง
มีผู้อาวุโสนิกายอยู่ที่นี่สี่คน ทั้งหมดล้วนอยู่ในเขตสัมมาวิญญาณ อย่างไรก็ตามโจรเองก็ล้วนอยู่ระหว่างเขตคัมภีร์วิญญาณไปจนถึงเขตสัมมาวิญญาณ มีจำนวนเหนือกว่าพวกเขาถึงสิบต่อสี่
และเมื่อพวกเขาคิดเรื่องที่ว่าเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์เป็นเพียงภาระในสถานการณ์นี้ ผู้อาวุโสนิกายรู้สึกเหมือนว่าพวกเขาถูกมัดมือ
แน่นอนว่าผู้อาวุโสนิกายสามารถละทิ้งเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ได้อย่างง่ายดายเพื่อปกป้องชีวิตของตนเอง แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับจิตสำนึกของพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาย่อมถูกโหลวหลานจีฆ่าทิ้งถ้าเธอพบความจริงซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
เหล่าโจรพากันหยุดหัวเราะแล้วมองหน้ากัน ไม่นานหลังจากนั้นพวกเขาก็หัวเราะต่อแต่คราวนี้ยิ่งดังขึ้นกว่าเดิม
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า อย่าบอกข้านะว่าพวกนี้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย”
ผู้อาวุโสนิกายขมวดคิ้วเมื่อพวกเขาได้ยินคำพูดของเหล่าโจร
“พวกเจ้าหมายความว่าอย่างไร”
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า พวกนี้ไม่รู้อะไรเลยจริงๆ”
เหล่าโจรพากันหัวเราะหนักกว่าเดิม
“ฟังให้ดีเจ้าพวกโง่ นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้ล่วงเกินคนที่มิควรล่วงเกินและถูกทำลายไปแล้วในแค่เพียงวันเดียว”
“อะไรกัน”
ผู้อาวุโสนิกายและศิษย์รุ่นเยาว์ยืนตกตะลึง ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ
“เจ้า…เจ้าโกหก อย่าฟังพวกมันบรรดาศิษย์ทั้งหลาย การทำให้จิตใจเจ้าสับสนนี่คือเป้าหมายของพวกโจร”
“มิว่าพวกเราโกหกหรือไม่นั้น พวกเจ้าจักรับรู้ได้ในภายหลัง แน่นอนนั่นคงอีกนานหลังจากที่พวกเราทำอะไรก็ตามต้องการกับพวกเจ้าแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”
“ถ้าพวกเจ้ามิต้องการที่จะได้รับบาดเจ็บ เช่นนั้นข้าขอแนะนำเจ้าให้อยู่เฉยๆระหว่างที่พวกเรามัดมือเจ้า”
“พี่น้องจับเด็กพวกนี้”
โจรทั้งสิบเริ่มเข้าประชิดกลุ่มศิษย์พร้อมกับรอยยิ้มป่าเถื่อนบนใบหน้า ราวกับฝูงสุนัขป่าที่ตรงเข้าไปหาฝูงลูกไก่อ่อนแออย่างช้าๆ
ผู้อาวุโสนิกายจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยดึงอาวุธออกมา ต่อให้พวกเขาต้องเสี่ยงชีวิตพวกเขาก็ยังต้องการที่จะปกป้องศิษย์เยาว์วัยเหล่านี้สุดความสามารถ
“มาเลยดิ้นรนอย่างที่พวกเจ้าต้องการ เมื่อสุดท้ายแล้วความพยายามของพวกเจ้าทั้งมวลล้วนเสียเปล่า”
หลังจากนั้นไม่นาน ผู้อาวุโสนิกายทั้งสี่ก็ปะทะกับพวกโจร อย่างไรก็ตามเนื่องจากมีความแตกต่างกันทางด้านจำนวน ผู้อาวุโสนิกายจึงถูกกดดันไว้จากเหล่าโจรตามคาด
“ร-เราต้องช่วยผู้อาวุโสนิกาย”
หนึ่งในศิษย์รุ่นเยาว์เสนอ
“แล้วยังไง เข้าไปขวางทางพวกนั้นรึ พวกเราเพียงอยู่ในเขตปฐมวิญญาณ ตบเพียงครั้งเดียวจากโจรพวกนี้ก็จักทำให้พวกเราหัวหลุดจากบ่า”
“เช่นนั้นพวกเราควรทำอย่างไรดี เรามิสามารถเพียงแค่นั่งรอให้พวกนั้นจับพวกเรา ข้ามิต้องการถูกขาย”
ศิษย์รุ่นเยาว์สองสามคนในกลุ่มเริ่มร้องไห้จากความกลัวและกระวนกระวาย
“โอ อย่าทำให้ร่างกายพวกนี้บอบช้ำมากเกินไป โดยเฉพาะผู้หญิง นั่นจะทำให้ราคาพวกเธอลดลง”
“โอ โทษที..”
“เรามิต้องใช้ทุกคนจัดการกับจอมยุทธเขตสัมมาวิญญาณพวกนี้ พวกเจ้าสามคนไปเริ่มจัดการกับพวกเด็กนั่นซะ”
เมื่อศิษย์รุ่นเยาว์สังเกตเห็นโจรสามคนพลันหันมามอง ร่างกายของพวกเขาก็สั่นสะท้านไปด้วยความหวาดกลัว และพวกเขาบางคนก็กระทั่งไม่อาจควบคุมตนเองจนฉี่ราดกางเกง
“เจ้าพวกสารเลว”
ผู้อาวุโสนิกายต้องการหยุดยั้งเหล่าโจรแต่ก็ถูกขัดขวางไว้ด้วยโจรอีกเจ็ดคน บีบพวกเขาให้ห่างออกไปทีละน้อยจากเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์
“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าพวกเด็กตัวน้อย อย่ากังวลไป ข้าจักดูแลเจ้าอย่างดีและเล่นกับร่างของเจ้าอย่างทนุถนอมภายหลังเช่นเดียวกับตุ๊กตาราคาแพง”
เหล่าโจรหัวเราะ
หนึ่งในพวกนั้นกระทั่งทำท่าทางน่าขนลุกด้วยการเลียดาบ
“ม..ม..ม่าาย”
เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ต่างพากันวิ่งวุ่นไปทั่ว แต่อนิจจาสามโจรรายล้อมพวกเขาเป็นรูปสามเหลี่ยมได้อย่างรวดเร็ว
“พวกเจ้าเด็กน้อยคิดว่าจะหนีไปไหนกัน” ถ้าพวกเจ้ายังคงวิ่งวุ่น ข้าอาจจะเผลอแทงเจ้านะ”
กลิ่นอายกระหายเลือดจากเหล่าโจรเขตสัมมาวิญญาณไม่ใช่อะไรที่เพียงแค่เด็กๆในเขตปฐมวิญญาณอย่างพวกเขาจะทนได้ ดังนั้นพวกเขาหลายคนจึงชะงักค้างอยู่กับที่ด้วยความกลัว
“ฮ่าฮ่าฮ่า ดูพวกเจ้านี่สั่นกลัว นั่นเพียงทำให้ข้าต้องการเล่นกับพวกนี้มากกว่าเดิม”
“หยุดเล่นได้แล้ว พวกเราเพียงแค่จับพวกเด็กนี่และทำเรื่องนี้ให้จบ”
หนึ่งในโจรอาวุโสพลันคำราม
โจรคนอื่นพากันพยักหน้าและหยุดหัวเราะ
“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจักมิให้อภัยพวกเจ้าถ้าเจ้าแตะแม้แต่เพียงผมเส้นเดียวของศิษย์ของเรา ถ้าพวกเจ้าปล่อยเราไปเดี๋ยวนี้ นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจักต้องละเว้นพวกเจ้าเหล่าโจรจากการถูกกำจัด”
หนึ่งในผู้อาวุโสนกายกล่าวด้วยความพยายามเป็นครั้งสุดท้ายที่จะปกป้องพวกเขา
“เราจะคอยดูเรื่องนั้น” หนึ่งในหมู่โจรกล่าวขณะที่ยื่นมือไปจับหนึ่งในศิษย์รุ่นเยาว์ที่อยู่ใกล้
“อาาา”
ศิษย์รุ่นเยาว์ที่พลันถูกจับร้องลั่น
“ศิษย์ฝึกหัดหญิงฉี”
“ปล่อยเธอไป เจ้าโจรร้าย”
สองสามศิษย์รุ่นเยาว์ตะคอก
“ถ้าเจ้ามิหยุดดิ้นรน เจ้าเด็กน้อย ข้าจักตัดแขนขาเจ้าสักข้าง”
โจรพูดด้วยเสียงเย็นชา และศิษย์รุ่นเยาว์ก็พลันตัวแข็งทื่อ
อย่างไรก็ตามน้ำตาเธอก็ยังไหลหลั่ง
ในเวลานั้นเหนือเมฆที่ซึ่งพ้นการรับรู้ของเหล่าศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยหรือพวกโจร ร่างสองร่างยืนอยู่บนเรือไม้นิ่งดูสถานการณ์ทั้งหมดนี้บานปลาย
“โจรภูผาแดง…รู้กันว่าพวกมันชั่วช้าและไร้ศีลธรรม พวกมันเป็นโจรที่มีชื่อเสียงที่สุดในภาคใต้ ถ้าหากว่ามีใครสาธยายความผิดของพวกมัน ก็น่าจะบันทึกได้เต็มชั้นหนังสือ”
ซุนจิงจิงมองดูศิษย์รุ่นเยาว์และท่าทางหวาดหวั่นของพวกเขาจากเบื้องบน รู้สึกเหมือนไร้อำนาจ
แม้ว่าซุนจิงจิงต้องการกระโดดลงไปช่วยพวกเขามากเท่าไรก็ตามเธอก็รู้ว่าการกระทำเช่นนั้นย่อมไม่สามารถช่วยสถานการณ์นี้ได้แม้แต่น้อยในเมื่อเธอเป็นเพียงยอดยุทธเขตคัมภีร์วิญญาณ
“พวกมันหกคนอยู่ในเขตคัมภีร์วิญญาณในขณะที่เหลืออยู่ในเขตสัมมาวิญญาณ ถ้าเราลงไปในตอนนี้เราก็จักเพียงแค่ถูกพวกโจรจับเท่านั้น”
ซุนจิงจิงหันไปหาซูหยางและพูดต่อด้วยท่าทางกังวล “พวกเราควรทำอย่างไรดี สถานการณ์นี้เลวร้ายกว่าที่คิด ถ้าเพียงแต่ศิษย์พี่หญิงฟางที่อยู่ที่นี่ตอนนี้แทนที่จะเป็นข้า…ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความผิดของข้าที่มาที่นี่เอง…”
เธอเริ่มโทษตัวเองในสถานการณ์เช่นนี้
อย่างไรก็ตามซูหยางยังคงนิ่งเฉย
หลังจากนั้นไม่นาน ซูหยางก็หยิบดาบเหล็กออกมาจากถุงมิติและทำท่าปาทั้งตัวเหมือนกับว่าใครที่กำลังจะพุ่งหอก กระทั่งถือดาบกลับด้านเหมือนกับการถือหอก
“จ..เจ้ากำลังจะทำอะไรไ ซุนจิงจิงถามเขาด้วยสีหน้างุนงง
ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “เจ้าจักเข้าใจอย่างรวดเร็ว”
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 278
DC บทที่ 278: พวกโง่นี่เป็นใครกัน
“อย่างไรก็ตามมีที่ว่างสำหรับเพียงสองคน ดังนั้นข้าจึงสามารถนำพวกเจ้าไปได้เพียงคนเดียว ข้าเองมิถือที่จะต้องไปด้วยตนเอง” ซูหยางกล่าวขณะที่เขายืนอยู่บนเรือไม้
“ข้าจักไป”
ก่อนที่ฟางซีหลานหรือผู้อาวุโสซุนจะทันได้มีปฏิกิริยา ซุนจิงจิงก็กระโดดขึ้นไปบนเรือและยืนข้างซูหยางด้วยท่าทางกระตือรือร้นบนใบหน้า และดูเหมือนว่าเธอจะสนใจในยานบินนี้มากกว่าภารกิจช่วยเหลือเสียอีก
“เพียงแค่พวกเจ้าสองคนรึ ข้ามิยอมให้เป็นเช่นนั้น นั่นมันอันตรายเกินไป” โหลวหลานจีพลันปฏิเสธ
เหตุผลที่เธอปฏิเสธนั้นง่ายๆ เธอกังวลว่าพวกเขาอาจจะสิ้นชีวิตไปในระหว่างภารกิจช่วยเหลือ และเธอก็ไม่อาจยอมให้สูญเสียใครสักคนในหมู่พวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งซูหยางซึ่งเป็นศิษย์ชายเพียงคนเดียว
ตามจริง ถ้าไม่ใช่เพราะว่าฟางซีหลานซึ่งดื้อดึงเรียกร้องให้ซูหยางมาด้วย โหลวหลานจีคงไม่เรียกเขามาที่นี่
“ยิ่งไปกว่านั้น พวกเจ้าทั้งสองจะทำอะไรเมื่อพวกเจ้าไปถึง นี่มิใช่อะไรที่พวกเจ้าสองคนจะสามารถรับมือได้เพียงลำพัง”
ซูหยางเพียงแค่ยักไหล่และกล่าวว่า “ข้าจักฟังคำบ่นของเจ้าทีหลัง ตอนนี้มีศิษย์รุ่นเยาว์ที่นั่นรอความช่วยเหลืออยู่”
หลังจากที่พูดคำเหล่านั้นแล้วซูหยางก็สั่งเรือไม้ทำงาน และภายในชั่วพริบตาพวกเขาก็หายไปจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
โหลวหลานจีและคนอื่นต่างพากันยืนอยู่ที่นั่นด้วยท่าทางตะลึงงันหลังจากที่พวกเขาจากไป ตระหนกกับความเร็วที่น่าเหลือเชื่อของยานบิน
ไม่นานหลังจากนั้นเมื่อเห็นร่างสั่นสะท้านของโหลวหลานจี ฟางซีหลานก็พูดขึ้น “ผู้นำนิกาย ท่านมิต้องกังวลเกี่ยวกับพวกเขา ต่อให้ซูหยางไปคนเดียวเขาก็จักมิตาย”
“ทำไมเจ้าจึงมั่นใจในเรื่องนั้น” ผู้อาวุโสซุนถามพร้อมขมวดคิ้ว
เขาเองก็อดไม่ได้ที่จะกังวลว่าสิ่งเลวร้ายอาจเกิดขึ้นได้กับซุนจิงจิง
สุดท้ายแล้วถ้าซุนจิงจิงตายไปภายใต้การดูแลของเขา เขาก็ไม่อาจที่จะเงยหน้าเผชิญกับตระกูลซุนได้
“ข้า…ข้าเพิ่งทำ…”
ผู้อาวุโสซุนจ้องมองฟางซีหลานด้วยดวงตาเบิกกว้าง เขามิเคยเห็นเธอเป็นเช่นนี้มาก่อน
โหลวหลานจีเองก็มองไปยังฟางซีหลานด้วยสายตาแสดงความสงสัย คิดในใจว่า “เธอต้องรู้อะไรบางอย่างที่พวกเรามิรู้เกี่ยวกับซูหยาง…”
“อย่างไรก็ตาม มิมีอะไรที่พวกเราสามารถทำได้ในตอนนี้ในเมื่อพวกเขาได้จากไปแล้ว”
โหลวหลานจีส่ายหน้า
ผู้อาวุโสซุนกัดฟันและพึมพัมว่า “ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเด็กของข้า ข้าจักแล่ร่างเจ้าและป้อนมันให้กับสุนัข ถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นศพแล้วตอนนั้น ซูหยาง”
ผู้อาวุโสซุนจากไปไม่นานหลังจากนั้น แต่ในใจเขายังคงเต็มไปด้วยความกังวลเกี่ยวกับซุนจิงจิง
ส่วนสำหรับฟางซีหลาน โหลวหลานจีได้บอกเธอให้อยู่ ดังนั้นเธอจึงยังคงอยู่ที่นั่น
“มีอะไรรึ ท่านผู้นำนิกาย”
โหลวหลานจีหรี่ตาและถามเธอว่า “ศิษย์ฟาง…เจ้าซุกซ่อนอะไรไว้จากข้า”
“…”
ฟางซีหลานไม่ได้มีสีหน้าประหลาดใจจากคำถามของโหลวหลานจีในเมื่อเธอคาดคิดไว้แล้วหลังจากถูกบอกให้อยู่ต่อ
“ข้าคิดว่านั่นคงจะเป็นการดีที่สุดถ้าท่านมิรู้ ท่านผู้นำนิกาย…” สุดท้ายฟางซีหลานก็ส่ายหน้า
“ทำไมเจ้าจึงมั่นใจในเรื่องนั้น” โหลวหลานจีขมวดคิ้ว
“ข้าขออภัย ท่านผู้นำนิกาย แต่ข้ามิอาจพูดออกมา ว่าไปแล้วต่อให้ข้ามิพูดอะไร ท่านก็จักพบเห็นความจริงในเวลาไม่นานนัก..”
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ โหลวหลานจีก็แค่นเสียง “ฮึ่ม จากที่รู้จักตัวตนของเจ้านั่น บางทีซูหยางคงจะบอกเจ้าให้เงียบไว้ใช่ไหม ก็ได้ เจ้ามิต้องบอกข้าอะไรก็ได้”
แม้ว่าฟางซีหลานตัดสินใจที่จะเก็บความลับของซูหยางไว้กับตัว เธอก็ไม่ได้แก้ไขความเข้าใจของโหลวหลานจีและเพียงแค่รับมันไว้ ดังนั้นเธอจึงเพียงพยักหน้ากับคำของโหลวหลานจี
–
–
–
ในเวลานั้นบนเรือไม้กลางท้องฟ้า ซุนจิงจิงได้เกาะติดซูหยางอย่างแน่นทั้งตัว ราวกับกระรอกเกาะต้นไม้
การออกเดินทางอย่างกระทันหันและความเร็วได้ทำให้เธอไม่ทันตั้งตัว หัวใจเธอแทบจะกระดอนออกมาจากปากในเวลานั้น
“วางใจได้ เจ้ามิตกไปหรอก…”
ซูหยางกล่าวกับเธอด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น
“จ-จ-เจ้ามั่นใจรึ”
ซุนจิงจิงถามด้วยเสียงสั่นสะท้าน
เมื่อเห็นซูหยางพยักหน้า ซุนจิงจิงก็ค่อยปล่อยมือจากเขา
“จ-เจ้าพูดถูก แม้ว่าจะเคลื่อนไปกลางอากาศด้วยความเร็วเช่นนี้ ก็ยังรู้สึกเหมือนกับว่าข้ายืนอยู่บนพื้นราบ ยานบินเป็นเช่นนี้เอง เหอ”
ความตื่นเต้นของซุนจิงจิงกลับมาอย่างรวดเร็วและเธอก็เริ่มมองไปรอบๆ
“เจ้าสนใจในยานบินรึ” ซูหยางถามเธอ
“ตอนนี้ใช่” ซุนจิงจิงพยักหน้า
“ข้ามักจะฝันเสมอที่จะทะยานข้ามขอบฟ้าด้วยความเร็วสูง และประสบการณ์นี้เพิ่งได้รับการเติมเต็ม”
หลังจากชื่นชมภาพที่พร่ามัวไปอีกชั่วขณะ ซุนจิงจิงก็พูดขึ้นว่า “อย่างไรก็ตามเราจะไปถึงที่รอยต่อได้เร็วแค่ไหนในตอนนี้ในเมื่อเราใช้ยานบินนี้”
“สองสามนาที”
ซูหยางตอบอย่างไม่ใส่ใจ
“สามวันเปลี่ยนเป็นสามนาที…สิ่งนี้ไปได้เร็วแค่ไหนกัน” ซุนจิงจิงไม่แม้จะจินตนาการได้ว่าจะมีสมบัติแบบนี้ปรากฏขึ้นในโลกนี้ มันเหมือนกับว่ายานบินนี้มาจากโลกอื่น
–
–
–
ในขณะนี้ที่ไหนสักแห่งระหว่างรอยต่อชายแดนตะวันออกและชายแดนใต้ในเขตภูเขา คนร่างสูงใหญ่และเต็มไปด้วยมัดกล้ามสิบคนยืนล้อมคนตัวเล็กๆกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่ง ดูเหมือนกับคนเลี้ยงแกะกับฝูงแกะของพวกเขา
บางคนในสิบคนนี้สวมเสื้อผ้าที่ดูแพงในขณะที่คนอื่นสวมชุดสกปรกและขาดหลุดลุ่ย
พวกเขาทั้งหมดดูเหมือนจะมีภูมิหลังที่แตกต่างกัน แต่พวกเขาล้วนมีกลิ่นอายร่วมที่เหมือนกันที่มีเพียงคนที่ละทิ้งศีลธรรมจะปล่อยออกมา
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า พวกโง่นี่เป็นใครกัน ถึงก้าวเท้าเข้ามาในพื้นที่โจรภูเขาแดงของพวกเรา พวกเจ้าเพียงเรียกร้องหาที่ตายหรือไม่ก็ถูกพวกเราขาย”
หนึ่งในหมู่โจรหัวเราะเสียงดัง
“พี่ชาย ดูจากเสื้อผ้าของพวกเขา นี่น่าจะมาจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย” หนึ่งในกลุ่มโจรจำเสื้อผ้าของพวกเขาได้
“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยรึ พวกนั้นยังมีอยู่รึ และพวกนี้ดูค่อนข้างจะเด็กเกินไปอยู่บ้างสำหรับอยู่ในสถานที่แบบนั้น”
“ไม่ว่าสถานการณ์ของพวกนั้นจะเป็นอย่างไร พวกเรารวยแล้ว มองดูเด็กผู้หญิงพวกนี้สิ แม้ว่าพวกเธอยังเด็ก พวกเธอทุกคนมีหน้าตาเหนือธรรมดาทุกคน ต่อให้พวกเรามิขายพวกเธอไปจนหมด พวกเธอยังคงมีประโยชน์กับพวกเราในอนาคต ในเมื่อพวกเธอจักต้องโตขึ้นเป็นสาวงามอย่างแน่นอน”
“ถ้าข้าจำได้มิผิด เรามีพี่น้องสองสามคนที่มีรสนิยมผิดปกติ พวกเขาจักต้องมีความสุขแน่เมื่อเห็นเด็กหญิงมากมายให้เลือก”
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า เราพบกับทองคำแล้วในวันนี้ หรือข้าควรจะพูดว่าสวรรค์ได้ให้พรกับพวกเราด้วยการส่งทองมาถึงหน้าประตูบ้านในวันนี้”
โจรทั้งสิบคนหัวเราะอย่างป่าเถื่อน ดูเหมือนกับเป็นกลุ่มคนที่บ้าคลั่ง
ในเวลานั้นเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์จากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวโดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาเด็กหญิงหลังจากที่ได้ยินว่าพวกเธอจะถูกขายไป หรือที่เลวร้ายกว่านั้นคือตกเป็นทาสและถูกใช้โดยโจรจิตวิปริตไปตราบชั่วชีวิตของพวกเธอ
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 277
DC บทที่ 277: ภารกิจช่วยเหลือ
หลังจากเข้าสู่เขตอัมพรวิญญาณ ปราณหยางที่เข้มข้นอยู่แล้วของซูหยางยิ่งทวีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นเพราะว่าความแข็งแกร่งที่มากล้นของปราณหยางทำให้น้องชายของซูหยางปลดปล่อยกระแสพลังอันลึกล้ำที่จะเพิ่มความสุขให้กับคู่ของเขาระหว่างการฝึกวิชาคู่อย่างเป็นธรรมชาติ
กล่าวอีกนัยหนึ่ง แม้กระทั่งซูหยางไม่ทำอะไรเลย คู่ของเขาก็ยังจะรู้สึกมีความสุขเพียงแค่มีแก่นของเขาอยู่ในร่างกายของพวกเธอ
“อาาา”
“อาาาาาาา”
“อาาาาาาาาาาาา”
ทั้งร่างของฟางซีหลานสั่นสะท้านก่อนที่จะปล่อยปราณหยินจากร่างกายส่วนล่าง
“อีกแล้ว…เขาทำให้ข้าหลั่งอีกแล้ว…”
หลังจากที่ฝึกวิชาร่วมกับซูหยางได้ครึ่งชั่วโมง ฟางซีหลานก็จำไม่ได้แล้วว่าตนเองหลั่งปราณหยินออกไปแล้วกี่ครั้ง
นับตั้งแต่เธอเริ่มเส้นทางการฝึกฝนแบบนี้ ฟางซีหลานก็ไม่เคยรู้สึกถึงความพึงพอใจและสุขสมเช่นนี้มาก่อนจากการร่วมฝึกคู่
รู้สึกเหมือนกับกบในบ่อ ฟางซีหลานจึงอ้าแขนรับทุกสิ่งที่ซูหยางฝากไว้บนกายเธอ
หลังจากผ่านไปอีกครึ่งชั่วโมงเมื่อร่างของฟางซีหลานไม่อาจรองรับสถานการณ์ได้อีกต่อไป ซูหยางก็หลั่งปราณหยางเข้าสู่ฟางซีหลาน
“อาาาาา”
ฟางซีหลานร้องครางเสียงยาวเมื่อเธอรู้สึกว่ามีบางสิ่งที่อบอุ่นพุ่งเข้าไปเติมเต็มในช่องของเธออย่างรวดเร็ว
ไม่นานหลังจากนั้นเมื่อฟางซีหลานรู้สึกถึงคุณภาพของปราณหยางในร่างเธอ เธอก็จ้องมองซูหยางด้วยดวงตาเบิกกว้าง
“น-น-นี่…เขตอัมพรวิญญาณ”
“เจ้าบอกได้ด้วยรึ” ซูหยางยิ้ม
แม้ว่าเธอจะตะลึง ฟางซีหลานก็ยังสามารถพยักหน้าตอบรับได้
“ตราบเท่าที่เจ้าร่วมฝึกคู่กับข้าอย่างต่อเนื่อง เจ้าก็จักเข้าถึงเขตปฐพีวิญญาณก่อนถึงการแข่งขันระดับภูมิภาค”
ฟางซีหลานไม่ได้สงสัยในคำพูดของเขาแม้แต่น้อย
ตามจริงเธอควรจะไปถึงระดับที่สี่เขตปฐพีวิญญาณได้เลยในเวลาที่การแข่งขันระดับภูมิภาคเริ่มต้นถ้าเธอฝึกร่วมกับซูหยางอย่างต่อเนื่อง
ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากผ่านไปเพียงแค่อาทิตย์เดียว ศิษย์นอกทั้งเจ็ดที่ต้องการเข้าร่วมการแข่งขันระดับภูมิภาคแต่ยังคงอยู่แค่ระดับปฐมวิญญาณก็ได้เข้าสู่เขตคัมภีร์วิญญาณไปนานแล้วหลังจากที่ฝึกร่วมกับซูหยางและพวกเธอทั้งหมดก็คาดหวังว่าจะเข้าสู่เขตสัมมาวิญญาณก่อนที่จะถึงการแข่งขันระดับภูมิภาค
หลังจากที่ฝึกร่วมกับฟางซีหลานแล้วซูหยางก็กลับไปยังที่พักของตนเองเพืี่อที่จะได้ฝึกฝนร่วมกับบรรดาศิษย์ในวันถัดไป
–
–
–
ระหว่างช่วงเวลานี้นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ยังคงเงียบเชียบและอยู่แต่ภายในพื้นที่ของตนเอง
ส่วนสำหรับนิกายดอกบัวเพลิง พวกเขาก็ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยให้กับโลกภายนอกและเพียงพูดถึงประสบการณ์ของตนเองกับผู้นำนิกายเท่านั้น ในเมื่อนี่เป็นคำแนะนำของผู้นำนิกายด้วยตนเอง
“ซูหยาง”
ขณะที่เขาอยู่ในระหว่างการฝึกคู่ หยกสื่อสารของซูหยางพลันสั่นและเสียงของโหลวหลานจีก็ดังขึ้นในหัวของเขา
“มาที่ศาลาหยินหยางเดี๋ยวนี้ มีเรื่องด่วน”
“…”
“มีอะไรผิดไปรึ ศิษย์พี่ชาย”
คู่ฝึกของซูหยางถามเขาหลังจากที่เขาพลันหยุดเคลื่อนไหว
“ใช่ ผู้นำนิกายเพิ่งเรียกหาข้า และฟังดูเหมือนว่าเธอค่อนข้างรีบร้อน คงมีอะไรเกิดขึ้นบางอย่าง”
“ไปเถอะ ศิษย์พี่ชาย เราสามารถเสร็จเรื่องนี้ต่อวันหน้า”
ซูหยางส่ายหน้าและกล่าวว่า “หนึ่งนาที”
หลังจากที่พูดคำพูดเหล่านั้นแล้ว ซูหยางก็ฝึกคู่ต่อไป
หนึ่งนาทีหลังจากนั้นซูหยางก็ปลดปล่อยปราณหยางของเขาเข้าสู่ร่างเธอและหญิงสาวก็พอใจมากกับกิจกรรมนี้
หลังจากนั้นไม่นาน ซูหยางก็เปลี่ยนเสื้อผ้าและตรงไปยังศาลาหยินหยาง
เมื่อไปถึงโหลวหลานจีและคนอีกสามคนที่นั่นก็หันไปมองดูเขา
“เจ้าใช้เวลานานพอสมควร” ผู้อาวุโสซุนแค่นเสียงเมื่อเห็นเขา
“ข้าอยู่ในระหว่างการฝึกวิชา” เขาตอบผ่านๆ
“อย่างไรก็ตามทำไมเราจึงมาที่นี่กัน”
ซูหยางหันไปมองดูโหลวหลานจีซึ่งมีท่าทางกระวนกระวายบนใบหน้า
โหลวหลานจีพยักหน้าและเริ่มอธิบายสถานการณ์ “ข้าได้ลืมเรื่องนี้ไปเพราะว่าสถานการณ์ของนิกายล้านอสรพิษ แต่ศิษย์น้องของเราได้ฝึกฝนอยู่ข้างนอกและข้าเพิ่งได้รับการเรียกหาด่วนจากผู้อาวุโสนิกายที่นำพวกเขาบอกว่าพวกเขาตอนนี้ตกอยู่ในอันตรายและต้องการกองหนุน อีกนัยหนึ่งมันเป็นภารกิจช่วยเหลือและข้าต้องการพวกท่านสี่คนไป”
“ศิษย์รุ่นเยาว์รึ”
ซูหยางเลิกคิ้ว แม้ว่าเขาจะยังไม่รู้จักคำนี้ได้ในทันที แต่เขาก็ค้นหาพบในความทรงจำอย่างรวดเร็ว
พูดง่ายๆศิษย์รุ่นเยาว์คือศิษย์ที่อายุต่ำกว่าเกณฑ์ และนี่ก็เป็นตำแหน่งพิเศษที่มีเฉพาะในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเนื่องมาจากวิธีการฝึกวิชาที่พิเศษเฉพาะ ยิ่งไปกว่านั้นศิษย์รุ่นเยาว์ก็จะถูกห้ามเข้าร่วมการฝึกคู่ก่อนที่จะมีอายุถึง 16 เมื่อพวกเขาจะได้เป็นผู้ใหญ่อย่างเต็มตัว ซึ่งใครๆก็สามารถจินตนาการถึงความชั่วร้ายของนิกายได้หากพวกเขาได้รับการยินยอมให้ร่วมฝึกคู่ก่อนนั้น
“พวกเขาอยู่ที่ไหนกัน” ฟางซีหลานซึ่งอยู่ที่นั่นได้ถามโหลวหลานจี
“พวกเขาตอนนี้อยู่ที่รอยต่อระหว่างเขตตะวันออกและเขตใต้”
“ท่านรู้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา” ซุนจิงจิงสมาชิกคนสุดท้ายที่นั่นถาม
โหลวหลานจีส่ายหน้า “ข้ามิได้รับข้อความอะไรโดยตรง มีเพียงสัญญาณหลังจากที่พวกเขาทำลายยันต์ขอความช่วยเหลือที่ข้าให้ไว้ อย่างไรก็ตามเพราะว่าเรามิรู้สถานการณ์ดังนั้นอย่าประมาทในเมื่อมันเป็นสิ่งที่แม้กระทั่งผู้อาวุโสนิกายที่นั่นมิอาจรับมือได้”
“ไกลแค่ไหนจากรอยต่อกับที่นี่” ซูหยางถาม
“ถ้าพวกเจ้ารีบวิ่งไปตอนนี้ นั่นคงใช้เวลาเพียงแค่สองสามวัน”
“สามวัน นั่นไกลเกินไป…และเวลาที่พวกเราไปถึงที่นั่น…ข้าเกรงว่านั่นคงจะสายเกินไป…” ซุนจิงจิงขมวดคิ้ว
โหลวหลานจีถอนหายใจและกล่าวว่า “ถึงแม้ว่าเราอาจจะไปไม่ทันเวลา เรามิอาจทำเพียงเพิกเฉยพวกเขา ในเมื่อนั่นก็เหมือนทอดทิ้งพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันเกิดขึ้นกับพวกเราไม่นานเกินไป”
“เราเพียงแค่ไปช่วยเหลือพวกเขาใช่ไหม”
ซูหยางพลันนำเอาเรือลำน้อยออกมาและโยนมันไปกลางอากาศ
เวลาถัดไปเรือไม้ก็ขยายขนาดขึ้นจนมีขนาดเท่ากับเรือไม้ขนาดจริง
“น-นั่นอะไร มันสามารถลอยกลางอากาศได้ด้วย” ซุนจิงจิงถามเขาด้วยความสนใจที่พุ่งพรวด
“มันเป็นยานบิน ด้วยสิ่งนี้เราจะไปถึงเป้าหมายของเราได้เร็วยิ่งขึ้น”
“ยานบิน…”
ทั้งโหลวหลานจีและผู้อาวุโสซุนจ้องมองเรือไม้ด้วยดวงตาเบิกกว้างเต็มไปด้วยความตระหนก ซูหยางได้สมบัติเช่นนี้มาจากไหนกัน
ซูหยางกระโดดขึ้นไปบนเรือและหันไปมองคนอื่นและกล่าวว่า “พวกเจ้ารออะไรกัน เรากำลังรีบอยู่มิใช่รึ ขึ้นมาเร็ว”
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 276
DC บทที่ 276: เทียนเสริมสุข
หลังจากรอเกือบตลอดวัน สุดท้ายฟางซีหลานก็ได้ยินเสียงเคาะประตูบ้านพัก และเธอก็รีบไปเปิด
“เจ้าต้องการพบข้ารึ”
แน่นอนว่าเป็นซูหยางที่อยู่เบื้องหลังประตูนั้น
“ช..ใช่”
แม้ว่าเธอคาดว่าจะเห็นเขา แต่ฟางซีหลานก็อดที่จะรู้สึกประหม่าไม่ได้เมื่อเขาปรากฏตัว เธอไม่เคยรู้สึกกระวนกระวายเช่นนี้มาก่อน
บางทีเป็นเพราะว่าเธอรู้ถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขา หรือบางทีเป็นเพราะว่ากระแสพลังที่อธิบายไม่ได้ที่รายล้อมซูหยางอยู่ในเวลานั้น แต่บางอย่างเกี่ยวกับซูหยางที่เป็นเหตุให้ตัวเธอรู้สึกกระวนกระวายคล้ายกลัวเกรง
“ข้ามาที่นี่สายเกินไปหรือไม่ ข้าควรจะมาพรุ่งนี้” ซูหยางกล่าว
“มิเป็นไร ยังไงข้าก็ยังมิหลับในเร็วๆนี้”
ซูหยางพยักหน้าและเข้าไปผ่านประตู
เมื่อเข้าไปในที่พักของฟางซีหลานแล้ว ลูกบอลขนฟูสีขาวก็ปรากฏตัวต่อหน้าซูหยาง
นั่นเป็นเซียวไป่ และเธอก็จ้องมองเขาด้วยดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยปัญญา
ฟางซีหลานค่อนข้างประหลาดใจที่เห็นเซียวไป่อยากทักทายใครสักคน
“บางทีเธออาจรู้ว่าซูหยางเป็นคนที่ช่วยเธอไว้” เธอคิดสงสัย
เป็นเช่นนั้นจริง เซียวไป่จำได้ว่าซูหยางเป็นเจ้าของตัวตนนั้นในระหว่างที่นิกายล้านอสรพิษรุกรานในทันทีที่เธอรับรู้ถึงอีกฝ่าย
“เจ้าดูเหมือนจะเติบโตได้ดี” ซูหยางกล่าวหลังจากที่มองดูเซียวไป่
หลังจากที่เกิดเหตุการณ์กับนิกายล้านอสรพิษ ซูหยางสร้างค่ายกลซ่อนเร้นไม่เพียงแต่รอบนิกายแต่มีอีกค่ายกลรอบบ้านฟางซีหลานด้วย และเพราะว่าเธอไม่ต้องกังวลว่าตัวตนของเซียวไป่จะถูกสังเกตพบหลังจากป้อนอาหาร ฟางซีหลานจึงได้ป้อนเซียวไป่ด้วยหญ้าเงินเจ็ดใบอย่างต่อเนื่องจนถึงอาทิตย์ที่ผ่านมา
นับถึงวันที่เธอจะต้องป้อนเซียวไป่อีกครั้งในวันพรุ่งนี้ เซียวไปก็จะต้องการหญ้าเงินอีกแค่สามใบ หรืออีกสิบสองวัน เพื่อที่จะเติบโตเต็มวัย
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของซูหยาง เซียวไป่ก็เข้าไปหาซูหยางและถูหัวอันอ่อนนุ่มของเธอเข้ากับขาของเขาเหมือนกับเป็นแมว
“พอแล้วเซียวไป่ เจ้าหยุดได้แล้วตอนนี้”
ฟางซีหลานกล่าวหลังจากนั้นชั่วขณะเมื่อเซียวไป่ไม่ยอมหยุด
หลังจากนั้นไม่นานฟางซีหลานก็ย้ายเซียวไป่ไปยังอีกห้องก่อนที่จะนั่งลงที่ห้องนั่งเล่นพร้อมกับซูหยาง
“เจ้ามีคำถามอะไรอยากถามข้ารึ ข้าเห็นมันอยู่ทั่วหน้าของเจ้า”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของซูหยาง ฟางซีหลานเริ่มถามคำถามต่อเขา
“เจ้าเป็นคนที่เข้าไปแทรกแซงในวันนั้นตอนที่นิกายล้านอสรพิษโจมตีใช่ไหม” เธอตรงเข้าไปยังคำถามที่เธอต้องการคำตอบมากที่สุด
“เจ้าควรรู้คำตอบนั้นเรียบร้อยแล้ว”
ซูหยางตอบสนองอย่างไม่ใส่ใจ
“…”
ฟางซีหลานเงียบลง
แม้ว่าเธอได้คาดถึงคำตอบนี้อยู่แล้ว แต่ฟางซีหลานยังคงรู้สึกถึงคลื่นความตระหนกกระแทกเข้าไปท่วมท้นใจเธอ
ไม่นานหลังจากนั้นฟางซีหลานก็ลดตัวลงคำนับซูหยางในท่าคุกเข่า
“ขอบคุณที่ช่วยเซียวไป่และที่แห่งนี้…”
ฟางซีหลานขอบคุณเขาจากก้นบึ้งของหัวใจ
ถ้านั่นไม่ใช่เพราะเขา นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอาจจะไม่มีอยู่ที่นี่แล้วตอนนี้ แน่นอนว่าคนที่อยู่ด้านในนิกายด้วยเช่นกัน
ซูหยางส่ายหน้าและกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “ข้ามิได้ต้องการให้เจ้าสำนึกขอบคุณ ในเมื่อนั่นเป็นหน้าที่ของศิษย์ที่จะปกป้องบ้านของตนเอง”
ฟางซีหลานไม่ได้ยกหัวของเธอขึ้น กล่าวต่อว่า “ขณะที่ศิษย์ส่วนใหญ่ได้ละทิ้งหน้าที่และหนีเอาชีวิตรอด แต่เจ้า…เจ้าอยู่ อีกทั้งยังปกป้องนิกายด้วย ข้าเป็นเพียงศิษย์คนหนึ่ง ดังนั้นคำพูดของข้าอาจจะมิมีความหมายต่อเจ้า แต่นี่เป็นเพียงสถานที่เดียวที่ข้าสามารถเรียกได้ว่าบ้าน และเจ้าปกป้องมันไว้ให้ข้าและเซียวไป่”
แม้ว่าจะซุกซ่อนไว้พ้นจากสายตา แต่น้ำตาก็คลออยู่ในดวงตาของฟางซีหลานในเวลานั้น
“ข้าเข้าใจ เช่นนั้นทำไมเจ้ามิลุกขึ้นจากพื้นเสียก่อนล่ะ ข้ามิมีรสนิยมที่จะเห็นหญิงสาวคุกเข่าต่อหน้าข้า”
ฟางซีหลานรีบปาดน้ำตาและยืนขึ้น
“อย่างไรก็ตามเรามาเข้าสู่เรื่องหลักที่ว่าทำไมข้าจึงมาที่นี่กันเถอะ…”
ซูหยางพลันกล่าวขึ้น
ฟางซีหลานไม่จำเป็นต้องให้ซูหยางอธิบายเพิ่มเติม พยักหน้าก่อนที่จะกล่าวว่า “เราไปที่ห้องของข้ากันเถอะ”
ซูหยางตามฟางซีหลานเข้าไปในห้องของเธอ ยามเมื่อพวกเขาเข้าไปข้างในแล้ว ฟางซีหลานพลันเริ่มต้นถอดเสื้อผ้าโดยไม่พูดอะไร ดูเหมือนกระตือรือล้นต้องการฝึกวิชา
ซูหยางมองดูฟางซีหลานเผยร่างบางของเธออย่างช้าๆขณะที่จมูกของเขาก็ถูกรุกรานจากกลิ่นหอมหวานและสงบระงับที่เป็นธรรมชาติของห้องนี้
ตามจริงกลิ่นหอมเฉพาะนี้ทำให้น้องชายของซูหยางมีความปรารถนาที่จะฝึกวิชาเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม
“เทียนเสริมสุข หึ”
ซูหยางพลันรู้ถึงสาเหตุของปรากฏการณ์นี้
แม้ว่าเทียนเสริมสุขอาจจะเพิ่มความปรารถนาและความมีชีวิตชีวาให้แก่ผู้คน แต่ผลของมันไม่ได้รุนแรงพอที่จะทำให้กระทั่งคนธรรมดาทั่วไปส่วนใหญ่สูญเสียเหตุผลไปกับความต้องการทางเพศ ดังนั้นผู้คนจึงมักจะใช้มันทั่วไปเพื่อต้องการให้บรรยากาศดีขึ้นหรือเพื่อต้องการให้การร่วมรักมีระยะเวลายาวนานขึ้น
“เจ้ามิชอบเทียนเสริมสุขรึ” ฟางซีหลานไม่ได้แม้จะซ่อนความจริงนั้นและถามเขาหลังจากที่เห็นเขายืนอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางตื่นตะลึงเล็กน้อย
“เปล่า มิใช่เช่นนั้น”
เขาตอบกลับอย่างรวดเร็วและกล่าวต่อว่า “มันดึงเอาความทรงจำที่ข้าคิดถึงกลับมาเท่านั้นเอง”
หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งฟางซีหลานและซูหยางก็เปลือยเปล่าอยู่บนเตียง
ฟางซีหลานซึ่งเปียกแฉะไปเรียบร้อยและพร้อมแล้วได้กล่าวกับซูหยางด้วยดวงตาไฝ่ฝัน “มาเถอะ ตัวข้าพร้อมแล้ว…”
ซูหยางพยักหน้าและทำการอัดแท่งหยาบของเขาเข้าไปในถ้ำคับแน่นของฟางซีหลาน
“อาาาาา”
ฟางซีหลานซึ่งไม่เคยครางเร็วเช่นนี้มาก่อนรู้สึกตกตะลึงไปกับความแข็งแกร่งและมั่นคงของแก่นกายซูหยาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งปริมาณความสุขที่เธอได้รับจากเพียงแค่การแทงครั้งแรก
หลังจากที่เขาได้เริ่มต้นแทงแล้ว ซูหยางก็ไม่ได้หยุดชะงักไปแม้ชั่วขณะและทำการขยับสะโพกของเขาส่งคลื่นความสุขสันต์ไปทั่วร่างกายของฟางซีหลานด้วยการทิ่มแทงแต่ละครั้ง
“อาาา”
“อ๊าาาาาาา”
“น-นี่มันอะไรกัน ข้ามิเคยรู้สึกสุขสมเช่นนี้มาก่อน” ฟางซีหลานร่ำร้องในใจขณะที่เธอพบกับการเปิดโลกใหม่ของความสุข รู้สึกเหมือนกับคนธรรมดาที่เพิ่งลอยพ้นจากพิภพขึ้นสู่ดินแดนที่เหนือกว่า
ตอนที่ 275: เขตอัมพรวิญญาณ
เวลาสองวันผ่านไปนับตั้งแต่นิกายดอกบัวเพลิงมาเยี่ยมนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
ไม่มีสิ่งน่าสนใจใดเกิดขึ้นในสองวันนี้และนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็เงียบดังเช่นปกติ
ในวันที่สามก็มีคนคนหนึ่งตรงเข้าไปยังที่พักของซูหยางแต่เช้าตรู่
หลังจากที่ใช้เวลาผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ในการดูแลเซียวไป่และมั่นใจว่าเธอสบายดีแล้ว สุดท้ายฟางซีหลานก็สามารถปล่อยเซี่ยวไป่ไว้ตามลำพังในห้องได้
มีคำถามนับร้อยพันในใจเธอต่อซูหยาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวตนที่เธอรู้สึกได้ระหว่างการรุกรานของนิกายล้านอสรพิษ
ครั้นเมื่อเธอไปถึงหน้าประตูที่พักของซูหยาง ฟางซีหลานสูดลมหายใจลึกก่อนที่จะเคาะประตู
ไม่นานหลังจากนั้น ร่างหนึ่งก็เปิดประตูต้อนรับฟางซีหลาน
อย่างไรก็ตามนั่นไม่ใช่ซูหยางที่แสดงตนที่ประตู แต่กลับเป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆในชุดเรียบๆสีขาว
ฟางซีหลานเลิกคิ้วเมื่อเห็นเด็กหญิงเล็กๆคนนี้ เธอจำไม่ได้ว่าเคยเห็นอีกฝ่ายมาก่อน
“เจ้าต้องการอะไร” เซียวลี่ถามเธอด้วยเสียงเรียบเฉย
“ซู…ซูหยางอยู่ข้างในหรือไม่”
เซียวลี่พยักหน้า
“ข้าขอพบเขาได้ไหม ข้ามาที่นี่เพื่อฝึกวิชา” เธอกล่าว
“ตอนนี้นายท่านปิดประตูฝึกฝน เจ้ามิอาจเจอเขาจนกว่าเขาจะฝึกเสร็จ”
“อย่างนั้นรึ…เจ้าพอจะบอกให้เขารู้ได้ไหมว่าฟางซีหลานมาที่นี่เพื่อพบกับเขา”
ฟางซีหลานหันกายและเริ่มเดินจากไป
ในเวลานั้นในใจของฟางซีหลานคิดสงสัยว่าเด็กหญิงตัวน้อยนี้เป็นใคร
ทันใดนั้นเธอพลันนึกถึงคำกล่าวของโหลวหลานจีเกี่ยวกับเด็กหญิงตัวน้อยผู้ที่ฆ่าล้างบางผู้คนจากนิกายล้านอสรพิษ
“เธอคงมิใช่เด็กหญิงตัวเล็กที่ผู้นำนิกายพูดถึงใช่ไหม”
ฟางซีหลานร่างสั่นสะท้านเมื่อเธอตระหนักว่าเป็นไปได้สูงมากที่เด็กหญิงตัวเล็กที่ฆ่าคนนิกายล้านอสรพิษอาจจะอยู่ในที่พักของซูหยางในเวลานี้
อย่างไรก็ตามเธอก็ยังคงรู้สึกโล่งใจที่มีจอมยุทธที่ทรงอำนาจมากอาศัยอยู่ในนิกายในตอนนี้ เพราะว่านั่นจะทำให้เธอรู้สึกปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาเช่นนี้
“เธอยังเรียกเขาว่านายท่านด้วย…”
ฟางซีหลานไม่สามารถจินตนาการได้ว่าซูหยางไปพบจอมยุทธที่ทรงอำนาจเช่นนี้ได้อย่างไร อย่าว่าแต่กลายเป็นนายท่านของเธอด้วย
กล่าวไปแล้วบางทีเด็กหญิงตัวเล็กคนนี้อาจจะเป็นเหตุผลที่แท้จริงที่ทำให้ซูหยางเข้าถึงเขตปฐพีวิญญาณขณะที่อายุยังเยาว์วัย
ในเวลานั้นซูหยางอยู่ในขั้นตอนของการก้าวข้ามไปสู่เขตอัมพรวิญญาณ
หลังจากที่ดูดซับแก่นพลังหยินของหวังชูเหรินแล้ว บางอย่างที่เขาไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นในเร็วนี้นั่นคือพลังการฝึกปรือของเขาพุ่งทะยานอย่างรวดเร็วยอมให้เขาเข้าสู่เขตอัมพรวิญญาณโดยไม่มีความยากลำบาก
ซูหยางนั่งอยู่ภายในห้องของตนเองและฝึกฝนอย่างเงียบๆมาทั้งวัน
แม้ว่าจะมั่นใจว่าเขาไม่ต้องใช้เวลาทั้งวันในการก้าวผ่านเข้าสู่เขตอัมพรวิญญาณ แต่เขาก็ต้องการทำมันไปช้าๆอย่างสมบูรณ์แบบเพื่อที่จะได้ไม่มีจุดด่างพร้อยในรากฐานของเขา
แม้ว่าเขตอัมพรวิญญาณไม่ได้มีอะไรพิเศษและก็ไม่ใช่ครึ่งทางสู่จุดสูงสุด แต่มันก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของผู้ฝึกยุทธที่มาถึงระดับนี้ ในเมื่อระดับนี้ผู้ฝึกยุทธจะถือว่าเป็นการเข้าสู่ยุทธภพอย่างแท้จริง กลายเป็นผู้ฝึกยุทธอย่างแท้จริง
ในสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ ถ้าเจ้าอยู่ต่ำกว่าเขตอัมพรวิญญาณ ก็จะไม่มีใครนับเจ้าเป็นผู้ฝึกยุทธแต่เป็นเพียงแค่คนธรรมดาที่มีความแข็งแกร่งและความเร็วที่ค่อนข้างพิเศษเล็กน้อย ซึ่งหากอยู่ในเขตอัมพรวิญญาณคนคนนั้นก็จะตระหนักได้ว่าปราณไร้ลักษณ์ของตนได้ใช้ประโยชน์เต็มที่แล้ว
สิ้นสุดวันและการฝึกวิชา ซูหยางลืมตาขึ้นเผยให้เห็นถึงอัญมณีอันสุกสว่างลึกล้ำที่เป็นประกายไม่รู้จบราวกับบรรจุไว้ด้วยดวงดารานับไม่ถ้วน
ซูหยางถอนหายใจลึกและครุ่นคิดในใจ “สุดท้ายข้าก็เข้าสู่เขตอัมพรวิญญาณ แต่ถ้าข้ากลับไปสู่สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ในตอนนี้ ข้าต้องตายโดยมิทันได้รู้ตัวแน่นอน”
แม้ว่าเขาจะมีทางเลือกที่จะกลับไปสู่สวรรค์ศักดิ์ตอนนี้ และถึงแม้ว่าเขาอยากกลับไปมากเพียงใดก็ตาม ซูหยางก็ได้แต่ยับยั้งความคิดเช่นนั้นจนกว่าเขาจะมีความมั่นใจในความสามารถของตัวเองในการปกป้องตัวเอง
เพราะว่าถ้าเขากลับสู่สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ในสภาพปัจจุบัน มีโอกาสสูงที่เขาอาจตายจากเพียงแค่การเข้าไปใกล้การต่อสู้ระหว่างผู้ฝึกยุทธเขตศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังไม่ได้กล่าวถึงสิ่งมีชีวิตอันตรายนับไม่ถ้วนและธรรมชาติที่ไม่อาจคาดเดาได้ที่พบเห็นเป็นปกติในที่นั้น
“เขตราชันย์วิญญาณ…ไม่ ข้าควรจะรับไหวหากไปได้ถึงระดับสูงสุดของเขตอัมพรวิญญาณ”
ในขณะนี้ซูหยางตัดสินใจที่จะใช้ระดับสูงสุดของเขตอัมพรวิญญาณเป็นเป้าหมายก่อนที่จะกลับคืนสู่สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ ถ้าเขาพบวิธีกลับไปก่อนนั้น เขาก็จะยังคงอยู่ในโลกแห่งนี้และฝึกฝนจนกว่าเขาจะพร้อม
อย่างไรก็ตามสถานการณ์ตามอุดมคติแบบนั้นเป็นบางอย่างที่อาจจะใช้ได้เพียงถ้าพวกเขามีเวลามากมายพอที่จะนั่งลงรอคอย ถ้าวิธีกลับบ้านไม่อาจรอพวกเขาได้ เขาก็คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากไปจากสถานที่แห่งนี้แม้ว่าเขายังเตรียมตัวไม่พร้อม
“จุดสูงสุดของเขตอัมพรวิญญาณ เฮ้อ…ถ้าข้ายังคงฝึกฝนต่ออยู่ในที่แห่งนี้ ข้าคงก้าวไปถึงระดับสองของเขตอัมพรวิญญาณในช่วงการแข่งขันระดับภูมิภาค หากงานนั้นเสร็จสิ้นแล้วข้าคงต้องจากที่แห่งนี้…”
ถ้าซูหยางต้องการจะไปให้ถึงระดับสูงสุดของเขตอัมพรวิญญาณก่อนชิวเยวี่ยพบวิธีกลับบ้าน เช่นนั้นการอยู่ที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็จะเป็นเพียงการขัดขวางความก้าวหน้าของเขา เพราะว่าด้วยอัตราก้าวหน้าเช่นนี้ ย่อมต้องใช้เวลาของเขาหลายปีกว่าจะถึงระดับสูงสุดของเขตอัมพรวิญญาณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้ฝึกยุทธในที่แห่งนี้ก็เพียงแค่อยู่ในเขตปฐพีวิญญาณ
“ครึ่งปี… นี่คงจะเป็นช่วงเวลาสุดท้ายที่ข้าใช้ในที่แห่งนี้ที่ยาวนานที่สุด…”
สองสามนาทีหลังจากนั้นซูหยางก็ออกจากห้อง
“นายท่าน”
เซียวลี่อยู่ด้านนอกรอคอยเขาอยู่
“มนุษย์ที่ชื่อฟางซีหลานมาเยี่ยมนายท่านระหว่างที่นายท่านกำลังฝึกยุทธ” เธอพลันเตือนเขาถึงการมาของอีกฝ่าย
“ขอบคุณ” ซูหยางพยักหน้า
“ข้าจักกลับมาไม่นานนัก”
หลังจากนั้นซูหยางก็ออกจากที่พักของเขาตรงไปยังที่พักของฟางซีหลาน
ตอนที่ 274: บางสิ่งผิดปกติกับเธอ(18)
ยามเมื่อซูหยางทิ่มตำร่างของหวังซูเหริน อกโอฬารของเธอก็ส่ายไหวอย่างดุเดือดไปกับทุกการทิ่มแทง
“อาาาาา”
หวังชูเหรินร้องครวญครางเสียงดังขณะที่เธอกอดคอซูหยางแน่นด้วยแขนเรียวยาวของเธอ รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังบ้าคลั่งไปกับความสุขสมที่รุกรานร่างเร่าร้อนของเธอ
“อีก…ข้าต้องการรู้สึกถึงความอบอุ่นของเจ้ามากกว่านี้ ซูหยาง”
ซูหยางได้ยินคำอ้อนวอนของหวังชูเหรินจึงกอดร่างของเธอไว้ สัมผัสถึงความรู้สึกอันอ่อนนุ่มและอบอุ่นที่ทาบทับกับอกของเขา
มันเป็นความรู้สึกที่แปลกล้ำและเมื่อรวมกับความรู้สึกคับแน่นบีบรัดต่อน้องชายของเขา ทำให้ซูหยางรู้สึกเหมือนกับว่าเขาอยู่ในสวรรค์
อย่างไรก็ตามเพราะว่าเขาไม่ต้องการให้หวังชูเหรินสูญเสียความสามารถในการเดินเป็นปกติหลังจากนี้ เขาจึงยับยั้งกลเม็ดของเขาเอาไว้และร่วมฝึกคู่กับเธออย่าง “ปกติ”
ดังนั้นหลังจากที่ร่วมฝึกคู่กับหวังชูเหรินเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วซูหยางก็พูดว่า “ข้ากำลังจะปลดปล่อยแล้วนะ”
“ท-ทำข้างในเลย…”
หวังชูเหรินกล่าว
ถึงแม้ว่าเธอไม่ได้มีแผนที่จะตั้งท้องในวันนี้ แต่เธอก็ต้องการรองรับทุกสิ่งที่ซูหยางเสนอให้ และตราบเท่าที่เธอกลืนยาที่ป้องกันการตั้งครรภ์ภายในห้าวันหลังจากที่ได้รับปราณหยางของเขา เธอก็จะไม่ตั้งท้อง
ซูหยางพยักหน้าและเริ่มทิ่มตำเร็วขึ้นและแรงขึ้น
“อาาา”
“อาาาาาา”
ไม่นานหลังจากนั้น ซูหยางก็หยุดการอั้นน้องชายไว้และเติมเต็มช่องหลืบของหวังชูเหรินด้วยปราณหยาง
“อาาาาาาาาาาาา”
หวังชูเหรินก็ถึงจุดสุดยอดเช่นกัน แต่แน่นอนว่านี่ไม่ใช่การถึงครั้งแรกของเธอวันนี้
“ฮาา… ฮาาาา… ฮาาาาา…”
หวังชูเหรินใช้เวลานานพอควรในการปรับลมหายใจของเธอหลังจากนั้น
ซูหยางถอนแก่นกายออกจากร่องหลืบของหวังชูเหรินและคลุมร่างของเขาไว้ด้วยเสื้อคลุมอีกครั้ง
หลังจากที่พักผ่อนไปสองสามนาที หวังชูเหรินก็สวมชุดชั้นในและเสื้อคลุมของเธอเช่นกันเพื่อเตรียมตัวจากไป
“ซูหยาง…ข้ากลับมาอีกเพื่อที่จะ…เจ้าก็รู้” เธอถามเขาด้วยรอยยิ้มเอียงอาย
“ข้าจักมิออมมือให้ในคราวหน้าถ้าเจ้ามา” เขาตอบด้วยรอยยิ้ม
ถ้าเขาไม่ออมมือให้เธอ หวังชูเหรินคงจะไม่สามารถยืนขึ้นได้ในตอนนี้ อย่าว่าแต่จะมีความสามารถในการเดิน
“เช่นนั้น ข้าจักมาพบเจ้าอีกครั้ง”
หวังชูเหรินออกไปจากที่นั้นและกลับไปยังที่เหล่าศิษย์ร่วมสำนักของเธอได้รอหลังจากนั้นไม่กี่นาที
–
–
–
เมื่อผู้อาวุโสสูงสุดหานสังเกตเห็นร่างของหวังชูเหริน เขาพลันทักเธอทันที “ผู้อาวุโสหวัง ในที่สุดเจ้าก็กลับมา ข้าเบื่อที่จะรอแล้ว”
“หือออ”
ผู้อาวุโสสูงสุดหานพลันหรี่ตามองหวังชูเหริน เขารู้สึกว่ามีอะไรผิดแปลกไปจากเธอตอนนี้ บางอย่างที่ไม่เคยมีตอนก่อนจากไป
มันเหมือนกับว่าเธอได้เป็นผู้ใหญ่มากขึ้นกว่าเดิมอีกเล็กน้อย แต่ความรู้สึกเช่นนั้นไม่สมเหตุผลสำหรับผู้อาวุโสสูงสุดหาน
คนอื่นๆก็สังเกตเห็นได้เช่นกัน แต่พวกเขาไม่มีใครสามารถชี้ชัดได้ว่าทำไมพวกเขาจึงรู้สึกเช่นนี้จากเธอ ไม่มีใครในนั้นยกเว้นโหลวหลานจี
เมื่อโหลวหลานจีเห็นหวังชูเหรินครั้งแรกหลังจากที่อีกฝ่ายกลับมา ดวงตาของเธอก็เบิกกว้างอย่างไม่อยากเชื่อ
“ก่อนเธอไปเธอมีกลิ่นอายของสาวบริสุทธิ์ แต่ตอนนี้…มันหายไปแล้ว บ้าแล้ว ข้ายังกระทั่งรู้สึกถึงปราณหยางของซูหยางและได้กลิ่นตัวเขาจากร่างของเธอ” เธอคิดในใจ
แม้ว่ากระทั่งผู้ที่มีความเฉียบแหลมดังเช่นผู้อาวุโสสูงสุดหานก็ยังไม่สามารถสังเกตเห็นรายละเอียดเช่นนี้ แต่ในฐานะผู้เชี่ยวชาญในเรื่องเหล่านี้ เหตุใดโหลวหลานจีจะพลาดไปได้ ตามจริงแล้วเธอสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในบรรยากาศรอบตัวของหวังชูเหรินเพียงแค่เหลือบมองเท่านั้น อย่างไรก็ตามการได้รับรู้เช่นนี้กลับเพียงยิ่งสร้างความตระหนกให้กับเธอยิ่งขึ้น
“ซูหยางคนนี้…ถึงกลับกล้าเด็ดแก่นพลังหยินของหวังชูเหริน”
ถ้าพูดถึงด้านฐานะ หวังชูเหรินค่อนข้างต่ำกว่าโหลวหลานจีซึ่งเป็นผู้นำนิกายของทั้งสำนักอยู่เล็กน้อย อย่างไรก็ตามในด้านของชื่อเสียงและความสำคัญ หวังชูเหรินจะเหนือกว่าโหลวหลานจีมากเพราะว่าตัวตนของเธออยู่ในฐานะนักปรุงยารวมถึงโอสถดอกบัวเพลิงของเธอด้วย
และการที่ซูหยางสามารถหว่านล้อมคนเช่นนั้นให้ร่วมฝึกคู่กับเขาได้ ยอมกระทั่งมอบครั้งแรกให้กับเขา นั่นไม่ใช่แค่ปาฏิหาริย์ ส่วนการที่ซูหยางสามารถประสบความสำเร็จเช่นนั้นได้นั้น โหลวหลานจีได้แต่นึกจินตนาการ
“ข้ามิมีธุระอะไรที่นี่แล้ว ดังนั้นข้าจักขอลาไปก่อนตอนนี้”
หวังชูเหรินกล่าวทันทีที่เธอมาถึง
“ด-เดี๋ยว…”
โหลวหลานจีพลันหยุดเธอไว้
อย่างไรก็ตามเพราะโหลวหลานจีได้หยุดหวังชูเหรินโดยไม่ทันได้คิด เธอจึงไม่รู้จริงๆว่าจะพูดอะไรต่อไปจึงได้แต่นิ่งเงียบหลังจากนั้น
“มีอะไรรึท่านเจ้านิกาย”
หวังชูเหรินหันกายกลับมาถามเธอ
“อืม…”
หวังชูเหรินหรี่ตาด้วยความสงสัย
“หรือว่าเธอจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”
หวังชูเหรินครุ่นคิดในใจ รู้สึกกระวนกระวายขึ้นมา
“ถ้ามิมากนักข้าอยากขอถามในเมื่อท่านอยู่ที่นี่แล้ว ข้าพอจะสั่งโอสถดอกบัวเพลิงให้กับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้บ้างหรือไม่”
โหลวหลานจีจัดการแต่งเรื่องขึ้นมาหาข้ออ้างที่ไปหยุดอีกฝ่ายไว้
กล่าวไปแล้ว การที่มีโอสถดอกบัวเพลิงย่อมให้ประโยชน์แก่พวกเธอย่างมากเช่นกัน
ได้ยินคำพูดของเธอหวังชูเหรินรู้สึกโล่งอกขึ้นมา
“มากเท่าไหร่ที่ท่านต้องการสั่ง” เธอถามโหลวหลานจี
“สักสิบเม็ดโอสถดอกบัวเพลิงจะถือว่ามากเกินไปที่จะขอหรือไม่”
“ไม่ นั่นมิมีปัญหาใด”
หวังชูเหรินพลันนำเอาถุงมิติของเธอออกมาและหยิบเอาขวดโอสถดอกบัวเพลิงออกมาจากภายในสามขวดและวางมันลงบนโต๊ะด้านข้างเธอ
“ทั้งหมดมี 30 เม็ดโอสถดอกบัวเพลิงที่นี่ ให้ท่านฟรี” หวังซูเหรินพูด
ไม่เพียงโหลวหลานจีเท่านั้นแต่กระทั่งคนของหวังชูเหรินเองต่างก็พากันตะลึงงันไปกับความใจกว้างของเธอ
ปกติแล้วจะไม่ยอมให้ทุกสำนักสั่งได้มากกว่าห้าเม็ดในแต่ละครั้ง แต่เธอกลับยกให้นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย 30 เม็ดโอสถดอกบัวเพลิงในครั้งเดียว และแถมยังฟรีอีกด้วย นั่นดูเหมือนกับว่ามันดีเกินไปที่จะเป็นจริงได้
“ข-ขอบคุณ” โหลวหลานจีขอบคุณเธออย่างเร่งรีบในเมื่อไม่คิดว่าจะได้รับผลลัพธ์เช่นนั้น
แต่หลังจากที่นึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างหวังชูเหรินและซูหยาง การกระทำของเธอดูไม่เป็นการอุกอาจแม้แต่น้อย
ส่วนสำหรับคนจากนิกายดอกบัวเพลิง พวกเขาถือว่าหวังชูเหรินใจกว้างเนื่องมาจากความสงสารในสถานการณ์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและไม่ได้คิดมากมายเกินไปในเรื่องนี้ อย่าว่าแต่เม็ดยานี้เป็นของเธอ ดังนั้นพวกเขาไม่มีฐานะอะไรที่จะไปคัดค้านการตัดสินใจของเธอ
หลังจากให้โอสถดอกบัวเพลิงกับโหลวหลานจีแล้ว หวังชูเหรินก็ออกจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
อย่างไรก็ตามก่อนที่จะจากไป หวังชูเหรินก็กล่าวกับโหลวหลานจีว่า “ข้าจักกลับมาในภายหลังกับคำสั่งซื้อโอสถดอกบัวเพลิงของท่าน”
“เอ๋”
โหลวหลานจีจ้องมองหวังชูเหรินด้วยใบหน้าตื่นตะลึงขณะที่อีกฝ่ายออกไปจากที่แห่งนั้น
จากนั้นเธอก็มองดูโอสถดอกบัวเพลิงสามสิบเม็ดบนโต๊ะไม่ห่างไปจากตัวเธอนัก
“เช่นนั้นแล้วสิ่งนี้เพื่ออะไร” เธอถามตัวเองในใจ
หลังจากที่คิดชั่วขณะ เธอก็ยิ้มขื่นขมและส่ายหน้า
“เช่นนี้เป็นว่าเจ้าติดกับดักของเจ้าคนอันตรายนั่นละสิ เฮ้อ”
แม้ว่าเธอไม่อาจเข้าใจว่าเหตุใดหวังชูเหรินจึงเลือกคนแบบซูหยางเป็นคู่เคียงคนแรก แต่เธอเข้าใจเป็นอย่างดีว่าทำไมหวังชูเหรินจึงต้องการกลับมาอีกครั้ง
สุดท้ายแล้วก็เป็นเพราะว่าลึงค์ของเขานั้นดีเกินกว่าที่จะไม่กลับมาอีกครั้ง
หลังจากที่หวังชูเหรินและกลุ่มของเธอจากไปแล้ว โหลวหลานจีก็เก็บรักษาโอสถดอกบัวเพลิงไว้ในที่ปลอดภัยก่อนที่จะกลับไปยังศาลาหยินหยาง
ส่วนสำหรับซูหยางนั้น เขาก็ง่วนอยู่กับบรรดาศิษย์หญิงที่รอเขาอยู่ด้านนอก
ตอนที่ 273: ลงโทษหวังชูเหริน
ครั้นเมื่อมือของซูหยางไปถึงสายรัดเอวที่ผูกเสื้อคลุมของหวังชูเหรินไว้ เขาก็ค่อยดึงมันออกอย่างช้าๆจนทำให้เสื้อคลุมเปลวเพลิงร่วงหล่นลงสู่พื้น
หวังชูเหรินหน้าแดงเมื่อเธอเห็นสายตาของซูหยางจ้องไปยังร่างของเธออย่างตั้งใจ อย่างไรก็ตามน่าแปลกเป็นอย่างยิ่งที่เธอไม่รู้สึกอึดอัดแต่อย่างไร ไม่เหมือนกับสายตาสกปรกหื่นกระหายของผู้คนที่มองมายังเธอตามปกติ สายตาของซูหยางเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและรักใคร่ เป็นความรู้สึกสบายอย่างแท้จริงจนทำให้ร่างกายของเธอรู้สึกอบอุ่น
“ซ-ซูหยาง…”
หวังชูเหรินมองดูเขาด้วยสายตากระวนกระวายเล็กน้อย ดูเหมือนว่ากังวลเกี่ยวกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ในเมื่อเธอไม่ได้คาดว่าจะได้ผลลัพธ์เช่นนี้นับตั้งแต่แรก
“อย่ากังวล ข้าจักนำพาเจ้า..และร่างกายเจ้าเอง”
ซูหยางพูดขณะที่เขาดึงเธอไปสู่เตียง
หวังชูเหรินนอนลงบนเตียงพร้อมกับชุดชั้นในสีดำเรียบ เสริมความงามเต็มสาวของเธอมากยิ่งขึ้น
“ถ้านี่ใช้เวลานานเกินไป คนของข้าจักต้องมีข้อสงสัย…”
หวังชูเหรินพลันกล่าวกับเขา
ซูหยางพยักหน้าและทำการเอาเอี้ยมสีดำที่ปกปิดเต้าใหญ่ของเธอออก
ครั้นเมื่อนำออกแล้วถันสวยคู่ใหญ่สีอ่อนจางพร้อมกับปลายถันสีชมพูน่ารักก็เผยออกมาต่อหน้าซูหยาง ซึ่งใช้ดวงตาลิ้มลองมันในทันที
จากคู่รักทุกคนในโลกใบนี้ของเขา ไม่ว่าจะเป็นอกหรือตะโพก หวังชูเหรินถือว่าเป็นคนที่มีสัดส่วนใหญ่ที่สุด อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าจะมีขนาดใหญ่เช่นนั้น เธอก็ยังคงความสง่างามอีกทั้งร่างกายของเธอก็ยังแบบบางและสูง เกือบเหมือนกับนาฬิกาทราย
บ้าแล้วกระทั่งในสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ นั่นก็ยังมีไม่มากนักสำหรับคนที่เขารู้จักที่สามารถเบียดหวังชูเหรินในเรื่องของขนาดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสองแตงบนอกของเธอ
“ขอล่วงเกินแล้ว…”
ต้องการจะรู้รสแตงของเธอ ซูหยางวางปากของเขาไปบนเต้าของหวังชูเหรินอย่างรวดเร็วแต่นุ่มนวล ก่อนที่จะใช้ลิ้นของเขาหยอกล้อกับปลายถันที่แข็งตัว
“อา”
หวังชูเหรินส่งเสียงครวญครางขณะที่ความรู้สึกพ้นโลกโอบล้อมทั่วทั้งกายเธออย่างรวดเร็ว
หลังจากหยอกล้อกับอกของหวังชูเหรินต่อไปอีกชั่วขณะ ซูหยางพลันเลื่อนมือของเขาไปยังชั้นในที่ปกปิดห้องสมบัติของหวังชูเหรินไว้
เขาพลันใช้นิ้วของเขาโลมไล้กลีบดอกไม้ที่เปียกโชกในขณะที่ยังคงดูดดื่มกับอกของเธอ จนทำให้หวังชูเหรินร้องครวญครางดังยิ่งขึ้น
“อา…อาาา….อาาาาาาา”
หวังชูเหรินรู้สึกสุขสบายอย่างบอกไม่ถูกในเวลานี้ และทั้งหัวใจและจิตใจของเธอก็เติมเต็มไปด้วยความหื่นกระหาย
“ซ-ซูหยาง…”
หวังชูเหรินจ้องมองไปยังใบหน้าหล่อเหลาของซูหยางด้วยดวงตาเปี่ยมเสน่หา เธอไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครคนใดมาก่อน อย่าว่าแต่เด็กหนุ่มที่มีอายุเพียงครึ่งของเธอ ส่วนความกระวนกระวายของเธอนั้นมันหายไปนานแล้วโดยที่เธอไม่รู้สึกตัว
เวลาต่อจากนั้น ซูหยางก็ดึงมือของเขาออกจากชั้นในของหวังชูเหริน และปราณหยินของเธอก็หยดหยาดไปทั่วเตียงจากมือของเขา
คิดถึงสิ่งที่ซูหยางทำไป หวังชูเหรินก็ใช้โอกาสนี้พักหายใจจากการครวญครางทั้งหมด แต่ก่อนที่เธอจะทันได้พักนานอีกสองสามวินาที มือของซูหยางก็ได้ดึงเอาชั้นในชิ้นสุดท้ายที่ป้องกันเธอไม่ให้เปลือยอย่างสมบูรณ์ทิ้งไป
ยามเมื่อชั้นในชิ้นสุดท้ายถูกถอดออกไปจากร่างของหวังชูเหริน ซูหยางก็กางขาของเธอออกและเลื่อนปากของเขาไปยังน้องสาวตัวน้อยที่เปียกโชก
ซูหยางจูบลงไปบนร่องที่ชุ่มโชกก่อนที่จะรุกล้ำเข้าไปในถ้ำของหวังชูเหรินด้วยลิ้นที่คล้ายกับงู
“อาาาาาา”
น้ำหวานไหลหลั่งอย่างต่อเนื่องออกมาจากกายส่วนล่างของหวังชูเหรินขณะที่เธอกำลังร่ำร้องเสียงดัง และเธอก็รู้สึกเหมือนกับว่ามีกระแสไฟฟ้าเต้นระริกอยู่ในเลือดเนื้อ ซึ่งเป็นเหตุให้ร่างกายของเธอสั่นสะท้านไปด้วยความสุข
หลังจากที่ซูหยางพึงพอใจกับรสชาติของปราณหยินของหวังชูเหรินแล้ว เขาก็เริ่มถอดเสื้อคลุมของตนเอง
หวังชูเหรินลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆเมื่อเธอได้ยินเสียงเสื้อผ้าของซูหยางตกลงสู่พื้น แม้ว่าใจเธอยังคงรู้สึกแปลกและยุ่งเหยิงหลังจากที่ได้ลิ้มลองลิ้นของซูหยาง เธอจำสิ่งที่อยู่ระหว่างขาของซูหยางที่คล้ายกับกระบี่ที่ชี้ตรงสู่สวรรค์ได้ในทันที
“ใหญ่จัง…”
หวังชูเหรินอ้าปากค้างด้วยความตระหนก
“ของที่ใหญ่เช่นนี้จักเข้าไปในร่างของข้างั้นรึ มันจักพอดีหรือไม่” เธออดที่จะครุ่นคิดอยู่ในใจไม่ได้ ทั้งรู้สึกหวาดกลัวอยู่เล็กน้อย
ซูหยางไม่ได้ทิ่มแทงหวังชูเหรินในทันที แต่กลับให้เวลาเธอได้พักชั่วขณะ
“เจ้ามั่นใจหรือไม่ว่าต้องการเช่นนี้” ซูหยางพลันถามเธอ “ยังมิสายเกินไปที่จะทบทวน”
“ทำไมเจ้าจึงมาพูดเอาป่านนี้เมื่อเจ้าได้ทำให้กายของข้าสกปรกจนถึงระดับนี้…”
“สกปรก… นั่นเป็นวิธีอธิบายที่รุนแรงมาก”
หวังชูเหรินหัวเราะคิกคักและกล่าวว่า “ในเมื่อเรามาถึงจุดนี้แล้ว ถ้าเรามิก้าวต่อไป นั่นเพียงทำให้ข้ายากจะเผชิญหน้าเจ้าในอนาคตยิ่งกว่าเดิม”
ซูหยางเงียบไปชั่วขณะก่อนที่จะพูดว่า “ข้าทำเช่นนี้เพราะ—”
“มิเป็นไร เจ้ามิต้องพูดอะไรอีก”
หวังชูเหรินพลันยับยั้งเขาไว้พร้อมกับส่ายหน้า
“ข้ารู้ดีว่าข้ามิอาจเก็บเจ้าไว้เป็นส่วนตัวได้แม้ว่าข้ายอมมอบกายให้กับเจ้า ทั้งมิได้คาดว่าจะได้อะไรจากสิ่งนี้ ในเมื่อนี่เป็นวิถีชีวิตของเจ้าและยุทธภพ”
หวังชูเหรินทำการกางขาของเธอออกและพูดต่อว่า “ข้าเพียงหวังว่าเจ้าจักไม่ลืมข้า…เพียงเท่านั้น”
หวังชูเหรินมั่นใจว่าซูหยางจะต้องมุ่งสู่โลกที่คนเช่นเธอไม่มีคุณสมบัติที่จะอยู่ในอนาคตไม่ไกลนัก และมีโอกาสสูงที่เขาอาจจะลืมว่าเคยมีเธออยู่ อย่างไรก็ตามถ้ามีวิธีสำหรับเธอในการที่จะคงอยู่ในความทรงจำของเขายามเมื่อเขากลายเป็นตัวตนที่สามารถมองดูได้จากที่ห่างไกล เช่นนั้นเธอก็ยินดีที่จะทำทุกสิ่ง กระทั่งยกแก่นพลังหยินให้กับเขา
“เช่นนั้นรึ…”
ซูหยางพยักหน้าเรียบเฉย และเขาก็ทำการตรงเข้าไปหาร่างเปี่ยมไฟเสน่หาของหวังชูเหรินพร้อมกับแท่งแกร่ง
“อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าเจ้ายังประเมินข้าต่ำไป…”
เขาพลันพูดขึ้น ทำให้หวังชูเหรินจ้องมองเขาด้วยท่าทางงงงัน
“ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร ครั้นเมื่อร่างของเราได้เชื่อมโยงกันแล้ว เจ้าจักดำรงอยู่ในใจของข้าเสมอ ดังนั้นปกติการลืมเจ้านั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แม้ว่าข้ามิได้ยอมรับเจ้าอย่างเต็มที่ในตอนนี้เพราะว่าเหตุผลอันซับซ้อน ข้าก็จักมิทอดทิ้งเจ้า ถ้าเจ้ายินดีที่จะติดตามข้าเมื่อเวลามาถึง แม้ว่าข้าจะยังมีข้อบกพร่องแต่ข้าย่อมยินดีพาเจ้าไปด้วยทุกที่ที่ข้าไป”
ดวงตาของหวังชูเหรินกว้างขึ้นด้วยความตระหนกหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเขา เธอตกตะลึงจนไม่รู้ว่าควรจะตอบสนองอย่างไรและเพียงได้แต่จ้องมองเขาอย่างเงียบงัน
“และจากคำกล่าวนั้น ก็ถึงเวลาลงโทษเจ้าอย่างแท้จริงจะได้เริ่มต้น…”
ซูหยางกล่าวขณะที่เขาดันปลายแท่งเข้าไปในถ้ำอันคับแน่นของหวังชูเหริน จนทำให้ความรู้สึกอันลึกล้ำรุกเร้าร่างของเธอ
เมื่อรู้สึกได้ว่ากลีบร่องช่วงล่างของเธอเริ่มแยกออกจากกันรวมถึงความเจ็บปวดที่มาพร้อมกัน หวังชูเหรินก็ลืมเรื่องที่พวกเขาได้สนทนากันไปก่อนหน้านี้อย่างรวดเร็วและได้เพียงใส่ใจกับสถานการณ์เบื้องหน้า
อย่างไรก็ตามใจเธอไม่อาจคิดเกี่ยวกับอะไรได้นอกจากความรู้สึกที่แท่งหยาบของซูหยางฉีกร่องพรหมจรรย์ของเธอออกขณะที่มันดิ่งลึกเข้าไปเรื่อยๆในร่างของเธอ
“อาาาา”
หวังชูเหรินกัดริมฝีปากพยายามที่จะต้านความเจ็บปวด
สองสามวินาทีหลังจากนั้น ครั้นเมื่อแก่นกายของซูหยางฝังมิดในร่องของเธอและความเจ็บปวดค่อยเลือนหายไปนั้น หวังชูเหรินก็ปาดเหงื่อออกจากหน้าผากและถอนหายใจโล่งอก
“มันยังเร็วเกินไปที่จะโล่งอก”
ซูหยางพลันกล่าวขึ้นพร้อมกับฉีกยิ้มบนใบหน้า
“เอ๋”
หวังชูเหรินมองดูเขาด้วยใบหน้ามึนงง
ในเวลานั้นที่ซูหยางเริ่มขยับตะโพก ดึงแก่นกายใหญ่ออกและดันเข้าไปในร่างของหวังชูเหริน
รู้สึกได้ถึงแท่งหยาบของซูหยางถูไถไปในรูของเธอทั้งความรู้สึกอันรุ่มร้อน หวังชูเหรินพลันร้องครวญครางอย่างบ้าคลั่ง
“อาา”
“อาาา”
“อาาาาาาาา”
จากนั้นกิจกรรมร่วมฝึกคู่อย่างแท้จริงของพวกเขาก็ได้เริ่มต้นขึ้น
ตอนที่ 272: การลงโทษ
ยามเมื่อพวกเขาเข้าไปในบ้านแล้ว หวังชูเหรินก็กล่าวว่า “เจ้าเป็นคนอันตรายจริงๆ หึ”
ซูหยางยิ้ม
“เจ้ามาที่นี่เพื่อที่จะพูดเพียงคำนี้รึ”
“หรือเจ้าจะมีความสุขมากกว่าถ้าข้าพูดว่าข้ากังวลเรื่องเจ้าหลังจากที่ได้ยินว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่”
“อะไรที่เจ้าได้ยินมา นอกจากพวกศิษย์เหล่านั้นจากไป ก็เกือบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง”
หวังชูเหรินพลันเงียบลงไปชั่วขณะก่อนที่จะถามว่า “จอมยุทธลึกลับนั้นที่ช่วยนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย…เจ้ามีความสัมพันธ์กับเขาหรือไม่”
“อะไรที่ทำให้เจ้าคิดเช่นนั้น”
“ถ้าเจ้ามีอาจารย์จากทวีปศักดิ์สิทธิ์กลาง มันก็จะค่อนข้างสมเหตุผลว่าทำไมเจ้าจึงมีประสบการณ์มากเช่นนั้นแม้ว่าจะอยู่ในวัยเยาว์…บางที”
“นั่นเป็นสิ่งที่ผู้นำนิกายของข้าพูดรึ ว่าเขามาจากทวีปศักดิ์สิทธิ์กลาง”
แม้ว่าเขาไม่ได้คาดคิดว่าการปลอมแปลงจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับทวีปศักดิ์สิทธิ์กลาง เขาก็ไม่ประหลาดใจที่โหลวหลานจีได้ข้อสรุปเช่นนั้น
“เธอพูดผิดรึ” หวังชูเหรินเลิกคิ้ว
ซูหยางยักไหล่กล่าวว่า “ข้ามิทราบในเมื่อข้ามิได้มีความสัมพันธ์ใดกับเขา”
หวังชูเหรินจ้องมองเขาด้วยดวงตาแสดงความสงสัย
หลังจากเงียบไปชั่วขณะ ซูหยางก็พูดขึ้นว่า “มีอะไรที่เจ้าต้องการพูดก่อนที่ข้าจักกลับไปฝึกฝนวิชาหรือไม่ การแข่งขันระดับภูมิภาคเหลืออีกไม่กี่เดือนเท่านั้น ดังนั้นข้ามิอาจเสียเวลามาผ่อนคลาย”
ซูหยางพูดด้วยน้ำเสียงราวกับว่าเขาจะต้องพบกับหายนะระหว่างการแข่งขันระดับภูมิภาคหากเขาไม่ฝึกวิชา
“อะไรกัน นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจักเข้าร่วมการแข่งขันระดับภูมิภาครึ”
หวังชูเหรินมีท่าทางประหลาดใจ
“แน่นอน ทำไมเราจึงมิเข้าร่วมล่ะ”
“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมีศิษย์มากพอที่จะเข้าร่วมรึ ถ้าข้านึกดูแล้วเจ้าต้องการอย่างต่ำ 10 คนที่มีคุณสมบัติสำหรับกิจกรรมนี้”
“เรามี”
“…”
หวังชูเหรินจ้องมองซูหยางชั่วขณะก่อนที่จะถามว่า “และจากการฝึกคู่รึ เจ้าหมายถึงการเล่นกับเด็กสาวข้างนอกเหล่านั้นนะรึ”
เสียงของเธอฟังดูเหมือนแข็งกระด้าง ราวกับว่าเธอไม่เห็นด้วยกับวิธีเช่นนั้น
ซูหยางยิ้มและกล่าวอย่างเยือกเย็นว่า “นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยปกติเป็นสถานที่แบบนั้นอยู่แล้ว”
“ช่างน่าด้านนัก..”
“มิใช่ว่าเจ้ารู้อยู่แล้วนับตั้งแต่เราพบกันครั้งแรกรึ เจ้าจำข้าว่าเป็นศิษย์จากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้ในทันที หลังจากนั้น”
“เอ้อ นั่นก็จริง…แต่…”
หวังชูเหรินเงียบไป และหลังจากนั้นชั่วขณะเธอก็ถามว่า “นานเท่าไหร่…ปกติแล้วมันใช้เวลานานเท่าไหร่”
“อะไรที่ใช้เวลานานเท่าไหร่” ซูหยางแสร้งทำเป็นว่าไม่เข้าใจคำถามของเธอ
“เจ้าก็รู้ ฝึกวิชาไง”
“หือ เจ้าสนใจรึ”
ใบหน้าหวังชูเหรินแดงขึ้นสามารถสังเกตเห็นได้
“เออ กิจกรรมแต่ละครั้งแตกต่างกันไปขึ้นกับคู่ฝึกของข้า กล่าวไปแล้วส่วนใหญ่คนที่นี่มิอาจอยู่ได้เกินครึ่งชั่วโมง”
ซูหยางส่ายหน้า อย่างไรก็ตามการขาดคุณภาพนั้นสามารถทดแทนได้ด้วยปริมาณ แม้ว่ากิจกรรมที่เขามีกับเหล่าศิษย์นั้นสั้น แต่ก็ปกติแล้วจะมีคนรอเขาด้านนอกอยู่แล้ว
“เจ้าโอ้อวดเกินไปหรือเปล่า” หวังชูเหรินมองดูเขาด้วยท่าทางแปลกประหลาด
“ข้าก็พูดไปตามความเป็นจริง ถ้าเจ้าต้องการ ข้าสามารถแสดงให้เจ้าเห็นได้” เขากล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“เจ้าถามข้าเช่นนั้นอย่างจริงจังเลยรึ ถ้าเจ้ามิรู้ ข้ายังบริสุทธิ์อยู่นะ”
“จริงรึ ทั้งที่เจ้ามักจะสวมเสื้อผ้าทรงเสน่ห์แบบนั้นนะรึ ข้ามิคาดว่าเจ้ายังคงเป็นหญิงพรหมจรรย์อยู่”
ซูหยางทำท่าประหลาดใจราวกับว่าเขาไม่อยากเชื่อ
“เจ้าล้อเลียนข้ารึ” หวังชูเหรินขมวดคิ้ว “เพียงเพราะข้าต้องการดึงดูดสายตาคนอื่นมิได้หมายความว่าข้าพยายามจับพวกเขา”
“ข้าเพียงชื่นชมเจ้าว่ามีเสน่ห์ของหญิงสาว”
ซูหยางถอนใจ
“โอ…เป็นอย่างนั้นรึ”
หวังชูเหรินพลันหน้าแดง เธอไม่คิดว่าซูหยางจะชมเธอแบบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อปกติแล้วเขามักจะวางเฉยต่อเธอ ราวกับว่าเขาไม่ได้มองเธอเป็นหญิงซึ่งสร้างความรู้สึกแปลกๆให้กับเธอ
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะหวังชูเหรินถอนหายใจลึกก่อนที่จะพูดว่า “ซูหยางเจ้าจำสิ่งที่เจ้าพูดกับข้าก่อนที่เจ้าจะจากนิกายดอกบัวเพลิงได้หรือไม่”
ซูหยางเลิกคิ้วด้วยท่าทางสงสัย เขาได้กล่าวอะไรไว้กับเธอรึ เขาจำเหตุผลอันแปลกประหลาดนั้นไม่ได้
หวังชูเหรินกำมือทั้งสองข้างของเธอแน่น ขณะที่เธอพูดขึ้นว่า “ที่ว่าเจ้าจักลงโทษข้าถ้าข้าหย่อนยานการฝึกฝน เอ้อ…บอกเจ้าตามตรง ข้าได้หย่อนยาน…เป็นอย่างมาก…”
ซูหยางจ้องเธอด้วยดวงตาเบิกกว้าง เขาไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือร้องไห้ดีในเวลานี้ ในเมื่อเขาไม่ได้คาดคิดถึงสถานการณ์นี้
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า” ซูหยางพลันระเบิดเสียงหัวเราะในเมื่อเขาไม่อาจกลั้นหัวเราะต่อไปไหว
หวังชูเหรินใบหน้าพลันแดงก่ำ เช่นเดียวกับชุดของเธอที่บ่งบอกถึงเพลิงที่ลุกไหม้ แน่นอนว่าเธอได้ฝึกฝนอย่างขยันขันแข็งทุกวันและสิ่งที่เธอพูดนั้นเป็นคำโกหก อย่างไรก็ตามเธอต้องการใช้โอกาสนี้ชักนำความสัมพันธ์ของพวกเขาไปอีกขั้น บางสิ่งที่เธอได้คิดมานับตั้งแต่ซูหยางปรากฏตัวที่นิกายดอกบัวเพลิงและเธอคิดว่านี่เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการเร่งรัดความปรารถนาปัจจุบันของเธอ
และดูเหมือนว่าวิธีแปลกประหลาดของหวังชูเหรินอาจจะเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพชัดเจนในการส่งเจตนาของเธอไปยังซูหยาง
“หยุดหัวเราะแล้วพูดอะไรบางอย่างได้แล้ว ซูหยาง ข้าจักจากไปเดี๋ยวนี้ถ้าเจ้ายังมิหยุด”
หวังชูเหรินรู้สึกเหมือนอยากจะผลักประตูออกไปในเวลานี้เนื่องจากความอาย
ซูหยางปาดน้ำตาออกและพูดว่า “เจ้าต้องการข้าให้ลงโทษเจ้ารึ หึ ก็ได้…”
เขาพลันยืนขึ้นและตรงเข้าไปหาเธอ
“การลงโทษประเภทไหนที่เจ้าคิดว่าสมควรได้รับในสถานการณ์เช่นนี้” เขาถามเธอ
“ข-ข้ามิรู้—”
ซูหยางพลันขยับหน้าตรงไปและสัมผัสริมฝีปากเธอด้วยปากของเขา ขณะที่เธออ้าปากเพื่อจะพูด
หลังจากที่จูบแบบนิ่มนวลให้กับเธอแล้ว ซูหยางก็ก้าวถอยออกมาและพูดด้วยรอยยิ้มหล่อเหลาบนใบหน้าว่า “บางอย่างเช่นนี้”
หวังชูเหรินไม่ได้ตอบสนองทั้งที่เวลาผ่านไปแล้วหลายวินาที ด้วยว่าเธอตะลึงงันไปอย่างสมบูรณ์แบบกับการกระทำของซูหยางก่อนนี้
“หรือว่านั่นเป็นการลงโทษที่เบาเกินไป บางทีข้าควรทำบางอย่างที่น่าหวาดกลัวต่อเจ้า บางอย่างที่ไม่สามารถย้อนคืนได้ เจ้าคิดว่าอย่างไร” เขาถามเธออีกครั้ง มือของเขาค่อยลูบไล้อย่างนุ่มนวลไปบนใบหน้าเนียนเรียบของเธอ
หวังชูเหรินร่างกายสั่นสะท้านกับการสัมผัสของเขา
“อะไรก็ตามที่เจ้าตัดสินใจทำ…ข้าสมควรได้รับ…” หวังชูเหรินพูดหลังจากที่กล้ำกลืนน้ำลาย
ซูหยางพยักหน้าและเริ่มยื่นมือไปยังเสื้อผ้าของเธอ
ตอนที่ 271: เรือนร่างอันเร่าร้อน
“แม้ว่าข้ามิอาจบอกพวกท่านได้ว่าท่านผู้อาวุโสตอนนี้อยู่ที่ไหน ข้าสามารถบอกเจ้าได้ว่าเขาอาจะมาจากทวีปศักดิ์สิทธิ์กลาง”
เพื่อที่ต้องการจะสร้างความตระหนกให้กับนิกายดอกบัวเพลิงและเพิ่มความสนใจให้กับซูหยางมากยิ่งขึ้น โหลวหลานจีตัดสินใจที่จะอ้างถึงทวีปศักดิ์สิทธิ์กลาง
“ทวีปศักดิ์สิทธิ์กลาง”
ผู้อาวุโสสูงสุดหานหัวใจเต้นระรัวด้วยความตื่นเต้นหลังจากที่ได้ยินข่าวเช่นนั้น ในเมื่อเขาเป็นหนึ่งในผู้ฝึกยุทธที่ใช้เวลาหลายปีค้นคว้าเรื่องทวีปศักดิ์สิทธิ์กลางโดยหวังว่าจะพบวิธีไปที่นั่น
“ถ-ถ้ามิถือว่าถามมากเกินไป ท่านพอจะบอกผู้อาวุโสท่านนี้ได้หรือไม่ว่าข้าต้องการที่จะขอเข้าคารวะเขา”
ไม่มีทางที่ผู้อาวุโสสูงสุดหานจะไม่ถามคำถามนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้อาวุโสท่านนี้อาจจะถือได้ว่าเป็นกุญแจสำคัญในการไปถึงทวีปศักดิ์สิทธิ์กลาง
“อือ…ข้าเดาว่าข้าสามารถขอร้องเขาครั้งหน้าที่เราพบกันได้…”
โหลวหลานจีตอบตกลงอย่างผ่านๆ
“ขอบคุณท่านมาก”
ผู้อาวุโสสูงสุดหานกล่าวด้วยความตื่นเต้น
หลังจากเวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมง เมื่อพบว่าซูหยางก็ยังไม่แสดงตัว หวังชูเหรินก็ถอนหายใจ “ซูหยางคนนี้ อะไรที่ทำให้เขาต้องใช้เวลาตั้งนาน”
โหลวหลานจีพลันพูดด้วยน้ำเสียงขอโทษว่า “ห-เหล่าศิษย์ค่อนข้างจะหลงไหลในตัวเขา ดังนั้นเขาจึงปกติจะยุ่งมาก…”
“เอ๋ ท่านพูดอย่างนั้นหมายความว่าอย่างไร”
หวังชูเหรินถามด้วยท่าทางงุนงง
“อือออ…”
โหลวหลานจีมองดูเธอด้วยสายตาประหลาดและคิดในใจว่า “เธอคงมิหลงลืมไปว่าอะไรที่พวกเราทำกันในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ใช่ไหม”
ตามจริงเพราะว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้น หวังชูเหรินได้ลืมไปหมดสิ้นเกี่ยวกับเหตุผลที่ทำให้นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมีชื่อเสียงเป็นอันดับแรก
“ผู้อาวุโสหวัง หรือว่าท่านลืมไปแล้วว่าที่เราอยู่ตอนนี้เป็นสถานที่ประเภทไหน”
ผู้อาวุโสหานเตือนเธอ
หวังชูเหรินเลิกคิ้วและครุ่นคิดไปชั่วขณะ
ทันใดนั้นเธอก็นึกขึ้นได้ถึงเหตุผลหลักเกี่ยวกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยที่ทำให้พวกเขาโด่งดัง
โหลวหลานจีสังเกตเห็นว่าหวังชูเหรินระลึกขึ้นได้จึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “นั่นย่อมมีเหตุผลเดียวที่ทำไมผู้ชายจึงยุ่งมากในที่แบบนี้ถ้าเหล่าศิษย์หญิงต่างพากันหลงไหลในตัวเขา”
ใบหน้าของหวังชูเหรินเปลี่ยนไปเป็นสีแดงเล็กน้อยด้วยความอาย
“ข-ข้า..”
หวังชูเหรินไม่รู้ว่าควรจะตอบสนองอย่างไรหลังจากนั้น ในเมื่อเธอไม่คุ้นเคยกับการสนทนาแบบนั้น
ทันใดนั้นเสียงประตูเปิดก็ดังขึ้นเป็นเหตุให้ทุกคนที่นั่นต่างพากันหันไปมองทางประตู
“ซูหยาง”
หวังชูเหรินตาเป็นประกายด้วยความดีใจหลังจากที่เห็นใบหน้าหล่อเหลาของซูหยาง รู้สึกโล่งอกที่เขายังมีชีวิตอยู่จริงๆ
ซูหยางมองไปยังผู้คนจากนิกายดอกบัวเพลิงขณะที่เขาเดินเข้าไปด้านในและพูดด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า “อะไรกันนี่ พวกเจ้ามายังที่นี่เพื่อจะแก้แค้นสิ่งที่เกิดขึ้นวันนั้นรึ”
ผู้อาวุโสสูงสุดหานขบกรามแน่นหลังจากที่เห็นใบหน้าซูหยางและได้ยินเสียงของเขา ด้วยความกลัวต่อซูหยางยังคงอยู่
ส่วนสำหรับจอมยุทธคนอื่นจากนิกายดอกบัวเพลิง พวกเขาต่างพากันร่างสั่นสะท้านจากการที่ได้เห็นซูหยาง
โหลวหลานจีมองดูสถานการณ์ด้วยคิ้วขมวดงุนงง มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่กับสถานการณ์นี้
ซูหยางเลิกสนใจสายตาที่จ้องมาทั้งหมดและนั่งลงตรงหน้าหวังชูเหริน
“เจ้าต้องการพูดกับข้า ใช่หรือไม่”
เขาจ้องหน้าเธอ
“เอ้อ… เนื่องจากว่า…”
ตามจริง หวังชูเหรินไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี เธอมาที่นี่เพียงเพราะว่าเธอกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับนิกายล้านอสรพิษ และจากที่รู้จักซูหยาง เขาต้องยืนอยู่ด้านหน้าพยายามปกป้องสถานที่ของตนเอง
แต่ตอนนี้เมื่อสุดท้ายเธอได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนิกายล้านอสรพิษ กระทั้งเห็นซูหยางด้วยตนเอง เธอได้เติมเต็มเหตุผลที่ต้องการมาที่นี่แล้ว
อย่างไรก็ตามเธอรู้สึกว่าจะเป็นการหยาบคายต่อโหลวหลานจีและซูหยางถ้าเธอจากไปหลังจากที่เขาปรากฏตัว
เมื่อเห็นว่าหวังชูเหรินยังคงนิ่ง ซูหยางก็ถามเธอว่า “เจ้าต้องการพูดเป็นการส่วนตัวรึ”
หวังชูเหรินดวงตาเป็นประกายขึ้นเมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงพยักหน้ารับ
“เอาล่ะ…ตามข้ามา”
ซูหยางยืนขึ้น
“ข้าจักกลับมา” หวังชูเหรินกล่าวกับเพื่อนศิษย์ร่วมสำนักก่อนที่จะตามซูหยางออกไปจากที่นั้น
แม้ว่าผู้อาวุโสสูงสุดหานและคนอื่นถูกสั่งมาว่าห้ามปล่อยให้หวังชูเหรินคลาดสายตาและรู้สึกไม่ค่อยชอบสถานการณ์นี้นัก พวกเขาก็รู้สึกว่าเป็นสิ่งไม่ถูกต้องหากจะยับยั้งเธอไว้ ในเมื่อการมาเยี่ยมครั้งนี้ทั้งหมดคงไร้ความหมายหากพวกเขาไม่ยอมให้หวังชูเหรินได้พูดกับซูหยาง
“พวกท่านต้องการน้ำชาเพิ่มอีกไหม” โหลวหลานจีถามพวกเขา
“เป็นความกรุณา…”
ผู้อาวุโสสูงสุดหานพยักหน้า บางทีเขาอาจจะรู้เรื่องมากขึ้นเกี่ยวกับจอมยุทธลึกลับในช่วงเวลานี้
หลังจากปล่อยให้โหลวหลานจีและคนจากนิกายดอกบัวเพลิงอยู่กันตามลำพังแล้ว ซูหยางก็พาหวังชูเหรินตรงไปยังที่พักของตนเอง
ขณะที่พวกเขาเข้าไปใกล้ที่พัก หวังชูเหรินก็สังเกตเห็นกลุ่มศิษย์หญิงสาวสวยอยู่ด้านนอกที่พักของเขาพูดจาหยอกล้อกันหัวเราะคิกคักอย่างสนุกสนาน
“ศิษย์พี่ชาย ท่านกลับมาแล้วรึ”
เหล่าศิษย์หญิงพากันถามเขาหลังจากที่สังเกตเห็นร่างของเขาตรงเข้ามา
พวกเธอพลันสังเกตเห็นหวังชูเหรินเดินตามหลังเขาด้วยเรือนร่างอันสมบูรณ์แบบ
“ว้าว…ช่างเป็นเรือนร่างอันเร่าร้อน…”
เหล่าศิษย์หญิงต่างพากันค่อนข้างอิจฉาร่างอันเต็มสาวและเปี่ยมเสน่ห์ของหวังชูเหริน ถ้าพวกเธอมีเรือนร่างแบบนี้ชีวิตของเธอในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยคงเป็นไปได้ง่ายกว่านี้อย่างแน่นอน
“ข้าจักบอกให้พวกเจ้าสาวๆรู้เมื่อข้าว่างอีกครั้ง” ซูหยางกล่าวขณะที่เขาตรงเข้าไปในบ้าน
“อย่าปล่อยให้พวกเรารอนานเกินไปนะศิษย์พี่ชาย ร่างกายของข้าร้อนเร่าไปหมดแล้วจากการที่ต้องยืนอยู่ที่นี่”
“ใช่แล้ว ข้าได้รอมาจนถึงวันนี้ตั้งสองวันแล้ว”
เหล่าศิษย์หญิงไม่ได้ซ่อนเจตนาของพวกเธอต่อซูหยางแม้ว่าจะอยู่ในที่สาธารณะ กระทั่งยังสัมผัสร่างกายของตนเองด้วยท่าทางกระสันรัญจวน และหวังชูเหรินรู้สึกตะลึงงันอย่างมากกับพฤติกรรมไร้ยางอายของพวกเธอ
“พวกเธอมิมียางอายบ้างเลยรึ หรือว่านี่เป็นพฤติกรรมที่เหล่าศิษย์หญิงในที่นี้ควรกระทำ”
หวังชูเหรินคิดในใจ
เหล่าศิษย์หญิงพลันหันไปมองหวังชูเหริน
“เจ้ามาจากนิกายดอกบัวเพลิงใช่หรือไม่ ถึงกับเดินทางมาที่นี่เพียงเพื่อที่จะเล่นสนุกกับศิษย์พี่ชาย ข้ายอมแพ้เจ้าจริงๆ”
“ว่ากระไร”
หวังชูเหรินไร้คำพูดไปชั่วขณะก่อนที่จะตะโกนออกไปด้วยความโกรธ “พวกเจ้าคิดว่าข้าเป็นใคร”
เหล่าศิษย์หญิงต่างสบสายตากันไปมา ไม่มีใครสักคนที่นั่นรู้จักหวังชูเหริน
“อย่าสนใจพวกเธอ…” เสียงเรียบเฉยของซูหยางดังมาขณะที่เขาเข้าไปในบ้าน
หวังชูเหรินแค่นเสียงเย็นชาก่อนที่จะตามซูหยางเข้าไปในบ้าน
“เธอเป็นใครกัน รู้ไหม”
เหล่าศิษย์หญิงต่างพากันถามอีกฝ่าย
“ใครจะรู้…แต่เธอมีกลิ่นหอมรุนแรงมาก…บางทีอาจจะเป็นคนสำคัญ”
เหล่าศิษย์ที่นั่นต่างพากันกลับคืนสู่การพูดจาของพวกเธออย่างรวดเร็วขณะที่รอให้ถึงตาของพวกเธออยู่กับซูหยาง
DC บทที่ 270: จอมยุทธลึกลับ
หลังจากใช้เวลาในการหลับไปสองสามวัน โหลวหลานจีก็ตื่นขึ้นไม่นานหลังจากที่เธอล้มตัวลงนอน และแม้ว่าเธอจะจำไม่ได้ว่ากลับถึงศาลาหยินหยางได้อย่างไร หรือไปอยู่บนเตียงได้อย่างไร เธอก็ไม่ได้สนใจที่จะค้นหาว่าใครเป็นคนพาเธอมาที่นี่เพราะเธอคิดว่าคนคนนั้นคงไม่ต้องการเปิดเผยตัวตน ไม่เช่นนั้นคนนั้นคงพูดกับเธอเรื่องการสลบไสลของเธอแล้วตอนนี้
“นิกายดอกบัวเพลิง เฮ้อ…ข้าสงสัยว่าพวกเขาต้องการอะไรจากซูหยาง…”
โหลวหลานจีแต่งตัวอย่างรวดเร็วก่อนที่จะออกไปจากศาลาหยินหยาง
ก่อนที่โหลวหลานจีจะไปถึง หวังชูเหรินและพวกต่างพากันมองไปทั่วพื้นที่ด้วยท่าทางสับสนงงงัน
“ผู้อาวุโสสูงสุดหาน…เห็นชัดว่ามีคนอยู่ที่นี่ แต่ข้ายังมิอาจรับรู้ได้ว่ามีคนอยู่ในที่นี้ เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
บางคนถามขึ้น
แม้ว่าจะเห็นผู้อาวุโสนิกายหนึ่งคนเมื่อกี้นี้ พวกเขาก็ไม่สามารถรับรู้อะไรได้อีกหลังจากที่เธอจากไป ราวกับว่าเธอเป็นปีศาจ
“นั่นอาจจะมีค่ายกลอำพรางรอบสถานที่นี้ อย่างไรก็ตามการที่มันมีขนาดใหญ่มากพอที่จะครอบคลุมไปทั่วทั้งเขตกลางนี่ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจทีเดียว…ข้าสงสัยว่าต้องสิ้นเปลืองทรัพยากรไปมากเท่าไหร่…”
ผู้อาวุโสสูงสุดหานเริ่มรู้สึกหวาดหวั่น แม้ว่าเขาไม่สามารถรับรู้ได้ถึงค่ายกลอำพราง แต่นั่นก็เพียงเป็นสิ่งพิสูจน์ถึงความสามารถของผู้เชี่ยวชาญค่ายกลนี้
หลังจากที่ยืนอยู่สองสามนาที คนนิกายดอกบัวเพลิงก็สังเกตเห็นร่างของโหลวหลานจีตรงมาหา
“ข้าต้องขออภัยที่ต้องให้รอ บรรดาแขกจากนิกายดอกบัวเพลิง ข้าเป็นผู้นำนิกายของที่แห่งนี้ โหลวหลานจี”
“เราควรจักเป็นคนที่ต้องขออภัยในการที่พวกเราพลันมาเยี่ยมทั้งที่สถานการณ์ของพวกท่านเป็นเช่นนี้…”
หวังชูเหรินค้อมศีรษะเล็กน้อย
“ข้าชื่อหวังชูเหริน และข้ามาที่นี่เพื่อพูดกับซูหยาง” เธอพลันแนะนำตัว
“หวังชูเหริน หวังชูเหรินคนนั้นรึ”
โหลวหลานจีตื่นตระหนกอยู่ในใจเมื่อรู้ถึงตัวตนของหวังชูเหริน ทำไมหนึ่งในนักปรุงยาที่มีชื่อเสียงที่สุดของนิกายดอกบัวเพลิงจึงมาที่นี่ อย่าว่าแต่ตามหาซูหยางอีกด้วย
“ตอนนี้เขากำลังยุ่งอยู่ แต่ถ้าท่านยินดีที่จะรอด้านใน ข้าจักเตรียมน้ำชาไว้”
“ท่านคิดว่าต้องใช้เวลานานเท่าไหร่”
โหลวหลานจีครุ่นคิดชั่วขณะก่อนที่จะพูดว่า “เขาควรจะเสร็จภายในไม่กี่นาทีหากข้าได้แจ้งให้เขาทราบถึงการมาของพวกท่าน”
หวังชูเหรินตกลงที่จะรอด้านใน
โหลวหลานจีพยักหน้าและพาพวกเขาเข้าไปข้างในเขตกลาง ไม่นานหลังจากนั้นจอมยุทธทั้งยี่สิบคนจากนิกายดอกบัวเพลิงก็ได้นั่งอยู่ในห้องขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนจะใช้เป็นที่ประชุม
ครั้นเมื่อพวกเขาทั้งหมดนั่งลงแล้ว โหลวหลานจีก็ใช้หยกสื่อสารแจ้งให้ซูหยางว่าหวังชูเหรินมาเยี่ยม
“ข้าได้แจ้งซูหยางแล้ว และน้ำชาจักมาถึงที่นี่ในเวลาไม่นาน” โหลวหลานจีกล่าว
“ในเวลานี้ถ้าท่านมิถือข้าขอถามได้หรือไม่ว่าทำไมนิกายดอกบัวเพลิงจึงถามหาซูหยาง”
แม้ว่าโหลวหลานจีไม่รับรู้ถึงความเป็นศัตรูของพวกเขา เธอก็นึกไม่ออกว่าทำไมพวกเขาจึงต้องการพบซูหยาง
หวังชูเหรินโบกมือกล่าวว่า “นิกายดอกบัวเพลิงมิมีส่วนเกี่ยวข้องใดกับการมาเยี่ยมที่นี่ของข้าในวันนี้ คนพวกนี้เพียงร่วมทางเพื่อความปลอดภัยของข้าเท่านั้น และข้ามาที่นี่ด้วยความสมัครใจของข้าเอง”
“ถ้าท่านมิถือข้าพอจะถามได้ไหมว่า ท่านมีความสัมพันธ์ใดกับซูหยาง”
หวังชูเหรินครุ่นคิดชั่วขณะก่อนที่จะกล่าวว่า “พวกเราได้ทำธุรกิจร่วมกันมาก่อน ข้าคิดว่าเป็นเช่นนั้น”
โหลวหลานจียิ่งรู้สึกสับสนหลังจากที่ได้ยินคำพูดแบบนั้น
“ธุรกิจรึ”
หลังจากครุ่นคิดชั่วขณะโหลวหลานจีก็นึกขึ้นได้ว่าซูหยางมีหลายสิ่งที่หายากและพิเศษเฉพาะเก็บซ่อนไว้ดังเช่นน้ำมันรัญจวนและหญ้าเงินเจ็ดใบ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะคิดว่าเขาอาจจะมีบางอย่างที่กระตุ้นความสนใจของคนอย่างหวังชูเหริน
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ หวังชูเหรินก็พูดขึ้นว่า “ซูหยาง…เขาสบายดีไหม”
โหลวหลานจีมองดูเธอด้วยท่าทางสับสนเห็นได้ชัดว่างงงันกับคำถามของเธอ
“หลังจากที่ได้ยินเกี่ยวกับนิกายล้านอสรพิษและสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่…”
โหลวหลานจีพลันเข้าใจสถานการณ์หลังจากที่ได้ยินเกี่ยวกับนิกายล้านอสรพิษ
“ซูหยางสบายดีไร้ที่ติ ว่าตามจริงเขาเป็นคนที่ใจเย็นที่สุดในหมู่พวกเราในตอนนี้” โหลวหลานจีถอนหายใจรู้สึกละอายที่ศิษย์คนหนึ่งกลับเยือกเย็นยิ่งกว่าเธอในสถานการณ์คับขันเช่นนี้
“นั่นทำให้โล่งอก…” หวังชูเหรินยิ้ม
ทันใดนั้นเสียงอื่นก็ดังขึ้น
“หากท่านมิรังเกียจที่ข้าจะเข้าร่วม ข้าพอจะถามหน่อยได้หรือไม่เกี่ยวกับนิกายล้านอสรพิษ พวกเขาไปไหนกันตอนนี้”
ผู้อาวุโสสูงสุดหานพลันกล่าว เขารู้สึกสงสัยเกี่ยวกับสถานการณ์จนเกินไปจนอดถามไม่ได้
โหลวหลานจีไม่ได้ตอบคำถามในทันทีและครุ่นคิดว่าเธอควรเปิดเผยความจริงให้กับพวกเขาดีหรือไม่
หลังจากที่คิดไปชั่วขณะ โหลวหลานจีก็ตัดสินใจที่จะบอกความจริงกับอีกฝ่าย ในเมื่อไม่มีประโยชน์อะไรที่จะซ่อนสิ่งที่ไม่ช้าไม่นานก็จะต้องเปิดเผย ยิ่งไปกว่านั้นเธอสามารถใช้โอกาสนี้เพื่อเปิดเผยให้โลกรู้ว่ามีจอมยุทธที่ทรงอำนาจจนเหลือเชื่อสนับสนุนนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอยู่เบื้องหลัง ใช้ตัวตนของเขาเป็นคำเตือนให้กับผู้ที่ต้องการที่จะทำร้ายพวกเขา
“คนจากนิกายล้านอสรพิษทั้งหมดล้วนถูกฆ่า”
โหลวหลานจีพูดอย่างเยือกเย็นขณะที่เธอจิบน้ำชาที่เพิ่งมาถึง
“ท่านเพิ่งพูดอะไรไปนะ”
ไม่เพียงแต่ผู้อาวุโสสูงสุดหานแต่ทุกคนที่นั่นต่างพากันอุทานเสียงดังลั่น ท่าทางของพวกเขาเต็มไปด้วยความตระหนกและไม่อยากเชื่อ
“ข้ารู้ว่ามันยากที่จะเชื่อ แต่พวกท่านควรจะเห็นเลือดที่อยู่ตรงทางเข้าม ทุกหยาดของเลือดนั้นเป็นของนิกายล้านอสรพิษทั้งสิ้น”
“เป็นไปมิได้…”
ครั้นเมื่อคนจากนิกายดอกบัวเพลิงรู้ความจริง พวกเขาก็ไม่สามารถแม้กระทั่งนั่งลงบนเก้าอี้เนื่องจากความตระหนก
ใครจะสามารถจินตนาการได้ว่าเลือดตรงทางเข้าเป็นของนิกายล้านอสรพิษและไม่ได้เป็นของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ไม่มีใครทำได้
ผู้อาวุโสสูงสุดหานจ้องมองโหลวหลานจีด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย สงสัยในถ้อยคำที่เพิ่งออกไปจากปากของเธอ
แม้ว่าเขาไม่คุ้นเคยกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอย่างมาก แต่เขาก็มั่นใจว่านั่นไม่อาจเปรียบเทียบได้กับนิกายล้านอสรพิษและพลังอำนาจมหาศาลของมัน
“เป็น—”
“เป็นไปได้อย่างไรกับสถานที่ที่เล็กและด้อยกว่าเช่นพวกเรา ใช่หรือไม่”
โหลวหลานจีเดาสิ่งที่ผู้อาวุโสสูงสุดหานต้องการถามและกล่าวว่า “บอกท่านตามความเป็นจริง นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมิได้แตะต้องนิกายล้านอสรพิษ ตามจริงพวกเรามิสามารถ–มิอาจด้วยความสามารถของพวกเรา โดยเฉพาะเป็นไปไม่ได้อย่างยิ่งเมื่อศิษย์ของพวกเราเกือบทั้งหมดตัดสินใจที่จะละทิ้งสถานที่นี้ก่อนที่พวกเขาจะมาถึง”
“ท่านพูดเช่นนั้นหมายถืงอะไร” ผู้อาวุโสสูงสุดหานถามด้วยคิ้วขมวดไม่เข้าใจ
“นิกายล้านอสรพิษถูกจัดการด้วยคนอื่น และคนคนนั้นเป็นคนที่มีพลังอำนาจสุดหยั่ง บางคนที่สามารถจัดการนิกายล้านอสรพิษได้ด้วยตนเอง”
“น่าขัน มิมีทางที่จะมีคนเช่นนั้นจะปรากฏตัวขึ้นได้”
ผู้อาวุโสสูงสุดหานปฏิเสธที่จะเชื่อว่ามีตัวตนที่เหลือเชื่อเช่นนั้นในโลกนี้ในเมื่อไม่มีใครเคยได้ยินเกี่ยวกับตัวเขา
“นั่นก็แล้วแต่ท่านว่าต้องการจะเชื่อหรือไม่ อย่างไรก็ตามความจริงที่สถานที่นี้ยังคงตั้งอยู่ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ที่ปฏิเสธมิได้” โหลวหลานจีกล่าว
“เช่นนั้นคนนั้นอยู่ที่ไหนแล้วตอนนี้” ผู้อาวุโสสูงสุดหานดำเนินการถามต่อ
“ข้ามิอาจที่จะบอกท่านได้ในเรื่องนั้นในเมื่อคนผู้นี้ขอให้ข้าเคารพความเป็นส่วนตัวของเขา”
โหลวหลานจีส่ายหน้าและสร้างข้อแก้ตัวขึ้นตรงนั้นหลกผู้อาวุโสสูงสุดหานและคนอื่นไปอย่างง่ายๆ
ผู้อาวุโสสูงสุดหานหรี่ตาและคิดสงสัย “หรือว่าค่ายกลอำพรางรอบสถานที่นี้จะมีความสัมพันธ์กับจอมยุทธลึกลับนี้”
DC บทที่ 269: ดูเหมือนร้าง
“เราคงมิรู้อะไรหากยังคงยืนอยู่ที่นี่ ข้าจักเข้าไปข้างใน” หวังชูเหรินกล่าวขณะที่เธอตรงเข้าไปยังทางเข้าที่ยังขาดประตูเพราะว่าไม่มีใครจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยสนใจจะซ่อมมัน
“ร-รอพวกเราด้วย”
ผู้คนที่เหลือต่างพากันรีบตามไปขณะที่ยังคงตื่นตัวกับสภาพแวดล้อมรอบตัว ใครจะรู้ว่าอะไรจะโผล่ขึ้นมาจากสถานที่นี้
ยามเมื่อพวกเขาไปถึงทางเข้าก็สังเกตเห็นสภาพยับเยินของมัน พวกเขาไม่สงสัยอีกต่อไปแล้วว่ามีบางสิ่งเกิดขึ้นกับสถานที่นี้จริงๆ
“ดูเหมือนว่าข่าวจะเป็นความจริงตามนั้น แต่ว่านั่นจะเป็นนิกายล้านอสรพิษหรือไม่นั้นยังคงเป็นเรื่องน่าสงสัย”
หลังจากที่พวกเขาเข้าไปในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและเข้าไปถึงเขตศิษย์นอก พวกเขาก็สังเกตได้ในทันทีว่ามีเลือดแห้งจำนวนมากกระจายอยู่ทั่วบริเวณ เช่นเดียวกับทางเข้าไม่มีใครสนใจที่จะทำความสะอาดมัน หรือบางทีนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอาจจะต้องการใช้ฉากนี้เป็นคำเตือนสำหรับผู้อื่น
“โอ้ สวรรค์…”
หวังชูเหรินปิดปากด้วยความตระหนก เช่นเดียวกับอีกสองสามคนที่นั่น
“เอาหละสิ่งหนึ่งที่มั่นใจได้ก็คือมีคนหลายคนตายที่นี่ และนั่นต้องเป็นการสังหารหมู่”
ผู้อาวุโสหานถอนใจ เขาไม่อาจจินตนาการได้ว่าสิ่งโหดร้ายเพียงไหนที่เกิดกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
“อย่างไรก็ตาม นี่แปลกมาก นอกจากจุดนี้แล้ว ที่เหลือจากนี้ไม่มีร่องรอยอะไรอีกเลย”
หนึ่งในพวกเขาพลันชี้ให้เห็น
“มันเหมือนกับว่ามีการประหารเกิดขึ้นที่นี่…”
คนนิกายดอกบัวเพลิงพากันสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวจากจินตนาการถึงการสังหาร
ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาพลันสันนิษฐานว่าเลือดในสถานที่นี้เป็นของคนจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย และพวกเขาก็ไม่แม้จะจินตนาการว่านิกายล้านอสรพิษจะถูกสังหารหมู่ที่นี่
หลังจากที่ยืนเตร่ไปอีกสองสามนาที หวังชูเหรินก็ทำการเดินลึกเข้าไปในนิกาย
ครั้นเมื่อพวกเขาผ่านเขตศิษย์นอกไปโดยไม่พบแม้กระทั่งศิษย์สักคนแล้ว คนนิกายดอกบัวเพลิงก็ตระหนักว่าสถานที่นี้ร้างไปแล้วจริงๆ
“ช่างเป็นโศกนาฏกรรม…”
“สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในยุทธภพบ่อยครั้งกว่าที่มันควรจะเป็น มีสำนักใหม่เกิดขึ้นเกือบทุกวัน แต่ก็ยังมีสำนักที่ต้องปิดประตูเกิดขึ้นบ่อยๆเช่นกัน”
สำนักที่โชคดีก็จะเฟื่องฟูขึ้นขณะที่สำนักที่ไม่มีใครสังเกตก็จะหายไปโดยไม่มีใครรู้ และนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ควรถือว่าค่อนข้างมีชื่อเสียงในเมื่อข่าวการล่มสลายของมันนั้นแพร่กระจายไปทั่วภาคตะวันออก
เวลาต่อมา ยามเมื่อหวังชูเหรินก้าวเข้าไปในเขตศิษย์ใน พวกเขาก็หยุดมองไปรอบๆ
“ข้าก็ยังคงมิรู้สึกว่าจะมีสิ่งมีชีวิตที่นี่เช่นกัน…” ผู้อาวุโสสูงหานส่ายหน้า
“ก็เหลือเพียงใจกลางของสถานที่นี้เท่านั้นตอนนี้ เฮ้อ”
หวังชูเหรินถอนใจ เธอรู้สึกหนักใจทุกก้าวย่างที่เธอก้าวเข้าไปในสถานที่แห่งนี้
“ซูหยาง…เจ้ายังคงมีชีวิตอยู่หรือไม่” เธอทอดถอนใจ
ในเมื่อไม่มีอะไรให้เห็นในเขตศิษย์ใน หวังชูเหรินและพวกก็ดำเนินการตรงเข้าไปยังเขตกลาง
อย่างไรก็ตามก่อนที่พวกเขาจะเห็นทางเข้า พวกเขาก็ถูกหยุดไว้ด้วยเสียงดัง
“หยุด ผู้มาเป็นใคร พวกเจ้ามีธุระอันใดกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย”
ร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นจากเขตกลางและมายืนอยู่ตรงหน้าคนของนิกายดอกบัวเพลิง
“พวกเรามาจากนิกายดอกบัวเพลิง และข้ามาที่นี่เพื่อสอบถามเกี่ยวกับคนคนหนึ่ง”
หวังชูเหรินพลันก้าวเท้าออกมาและกล่าวกับผู้อาวุโสนิกายที่หยุดพวกเธอไว้
“นิกายดอกบัวเพลิงรึ”
ผู้อาวุโสนิกายในที่สุดก็ได้สังเกตเห็นชุดสีแดงสดของพวกเขาจึงพยักหน้ารับ
“ใครที่พวกเจ้ามองหา”
“เป็นศิษย์ที่ชื่อซูหยาง…” หวังชูเหรินกล่าว
“ซูหยางรึ”
ผู้อาวุโสสูงสุดหานมองดูหวังชูเหรินด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ พวกเขามาที่นี่ตลอดทางเสี่ยงกับอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ก็เพื่อเจ้าเด็กเลวนั่นที่เกือบพลิกตลบนิกายดอกบัวเพลิงอย่างนั้นรึ
ไม่เพียงแต่ผู้อาวุโสสูงสุดหาน กระทั่งคนอื่นๆที่นั่นต่างก็พากันมองไปที่หวังชูเหรินด้วยดวงตาเบิกโพลง แม้ว่าสถานการณ์เกี่ยวกับซูหยางจะถูกเก็บซ่อนไว้โดยนิกายดอกบัวเพลิง ปกป้องไว้ไม่ให้คนภายนอกได้รู้ถึงความอับอายของพวกเขาก็ตาม แต่เกือบทุกคนในนิกายดอกบัวเพลิงรู้จักซูหยางและความวุ่นวายที่เขาก่อขึ้นยังที่แห่งนั้น
“พวกเจ้ามาที่นี่เพื่อซูหยางหรอกรึ”
ผู้อาวุโสนิกายไม่คาดว่าซูหยางจะมีความสัมพันธ์กับนิกายดอกบัวเพลิง หนึ่งในขุมกำลังไม่กี่แห่งที่ได้รับความนับถืออย่างสูงในภาคตะวันออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเม็ดยาดอกบัวเพลิงที่ได้ช่วยสำนักหลายแห่งให้มีพลังอำนาจเพิ่มมากขึ้น
“ซูหยางอยู่ที่นี่รึ ข้าสามารถพูดกับเขาได้หรือไม่”
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของผู้อาวุโสนิกาย หวังชูเหรินพลันยิ้มขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น
“ช-ใช่…”
ผู้อาวุโสนิกายค่อนข้างตะลึงไปกับความกระตือรือล้นของหวังชูเหริน
“อย่างไรก็ตามตอนนี้เขาค่อนข้างจะยุ่งมาก…”
“สบายมาก ข้าจักรอเขาให้เสร็จธุระที่กำลังทำอยู่ได้”
ผู้อาวุโสนิกายพยักหน้าและกล่าวว่า “โปรดรอชั่วขณะขณะที่ข้าไปพูดกับผู้นำนิกาย”
“ฮึ่ม เจ้าไม่แม้กระทั่งเสนอที่ให้พวกเราได้นั่งพักขณะรอ ช่างคิดออกมาได้…”
ผู้อาวุโสสูงสุดหานแค่นเสียงเย็นชา
“ผู้อาวุโสหาน”
หวังชูเหรินขมวดคิ้วกับคำพูดของเขา
ผู้อาวุโสนิกายแสดงท่าทางขอโทษและกล่าวว่า “ข้าต้องขออภัย แต่อย่างที่พวกท่านเห็นสถานการณ์ของพวกเรา พวกเรามิได้อยู่ในเงื่อนไขที่จะสามารถรับรองแขกได้ และผู้นำนิกายก็ได้ให้คำสั่งเข้มงวดว่ามิให้ใครเข้าไปในเขตกลางโดยมิได้รับอนุญาตจากเธอก่อน”
“โอ…”
ผู้อาวุโสสูงสุดหานพลันตระหนักว่าเขาขาดสำนึกไปจากคำพูดก่อนหน้านั้น อย่างไรก็ตามนั่นก็เป็นเพียงเพราะว่าอารมณ์ของเขาย่ำแย่หลังจากที่ได้ยินชื่อซูหยาง จนเป็นเหตุให้เขาลืมสถานการณ์เบื้องหน้าไป
“ข-ข้าควรเป็นคนที่ขออภัย ในเมื่อข้ามิได้คิดไปเมื่อครู่…”
ผู้อาวุโสสูงสุดหานสามารถรู้สึกได้ว่าหน้าตนเองร้อนผ่าวจากความอาย
ผู้อาวุโสนิกายไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของผู้อาวุโสสูงสุดหานและรีบกลับเข้าไปแจ้งให้กับโหลวหลานจีถึงการมาของพวกเขา
“อะไรนะ นิกายดอกบัวเพลิงมาที่นี่เพื่อพูดกับซูหยาง พวกเขาได้กล่าวไหมว่าพวกเขาต้องการพูดเรื่องอะไร”
โหลวหลานจีก็ตกตะลึงที่รู้ว่าซูหยางได้มีความสัมพันธ์กับพวกเขา
“ไม่ พวกเขามิได้พูด”
“อืมมม…เอาละ ให้พวกเขาเข้ามา ข้าจักพูดกับพวกเขาสักครู่หลังจากที่ข้าได้เตรียมตัวแล้ว”
โหลวหลานจีพูดขณะที่เธอลุกขึ้นจากเตียง รู้สึกอืดอาดอยู่บ้างหลังจากนอนมาเป็นเวลานาน
DC บทที่ 268: ควางกังวลของหวังชูเหริน
ขณะที่ซูหยางและศิษย์อื่นเดินไปรอบๆเขตกลางเพื่อหาบ้านใหม่นั้น โลกภายนอกนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็เริ่มรับรู้ถึงสถานการณ์ของพวกเขา
และภายในไม่กี่ชั่วโมง ข่าวของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยสูญเสียศิษย์ทั้งหมดก็ได้แพร่สะพัดไปทั่วภาคตะวันออก
ที่ยิ่งเหมือนตบหน้านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยไปมากกว่านั้นก็คือบรรดาศิษย์ที่ได้ออกมาต่างก็พากันหาสำนักใหม่เข้าร่วมราวกับว่าพวกเขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับการที่ทอดทิ้งนิกายเดิม
อย่างไรก็ตามเพราะเหตุนี้ ศิษย์เก่าต่างพากันปลอมชื่อเปลี่ยนแซ่เมื่อพยายามที่จะหาสำนักใหม่ เมื่อพวกเขาไม่ต้องการให้สำนักใหม่เห็นพวกเขาเป็นคนที่ไม่สามารถเชื่อถือได้ในเรื่องความซื่อสัตย์
ส่วนศิษย์เก่าที่พอมีชื่อเสียงอยู่บ้างนั้น พวกเขาก็ไม่ได้มีทางเลือกมากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งศิษย์หลักดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่พยายามที่จะเข้าร่วมด้วยตัวตนที่แท้จริง
กล่าวไปแล้วเพราะว่าพวกเขามีพลังการฝึกปรือสูงตั้งแต่อายุยังน้อย สำนักที่พวกเขาต้องการเข้าร่วมก็ไม่ได้ปฏิเสธพวกเขาแม้ว่าจะมีสถานภาพของผู้ทรยศ ตามจริงพวกเขากลับยิ่งยินดีต้อนรับอย่างอบอุ่น
แต่ก็ยังมีศิษย์เก่าบางคนที่ถูกปฏิเสธในตอนแรก แต่ครั้นเมื่อเสนอบริการทางเพศด้วยร่างกายสำหรับการยอมรับเข้าร่วมสำนัก ผู้อาวุโสสำนักที่ทำหน้าที่ลงทะเบียนต่างก็พากันยินดีรับสินบน อย่างไรก็ตามกลยุทธประเภทนี้แน่นอนว่าใช้ได้เฉพาะหญิงเท่านั้น ส่วนผู้ชายที่ไม่ได้มีเสน่ห์แบบนี้ พวกเขาได้แต่กัดฟันด้วยความหงุดหงิดเท่านั้น
ในเวลานั้นที่นิกายดอกบัวเพลิง เมื่อหวังชูเหรินได้ยินข่าวนี้ เธอก็เกือบไม่เชื่อ
“นิกายล้านอสรพิษโจมตีนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยรึ”
ถ้าเธอนึกให้ดี นั่นเป็นที่ที่ซูหยางอยู่
หลังจากที่รู้ข่าวนี้ หวังชูเหรินพลันแจ้งนิกายดอกบัวเพลิงว่าเธอจะไปเยี่ยมนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย เธอกังวลว่าจะมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับซูหยางและเธอต้องการเห็นสถานการณ์ด้วยตัวเธอเอง
ในสายตาของเธอแม้ว่าเขาจะท้าทายตรรกะใด นั่นก็ยังไม่มีทางที่เขาจะรับมือนิกายล้านอสรพิษที่มีทั้งพลังอำนาจและชื่อเสียงได้
ผู้นำนิกายดอกบัวเพลิงพยายามหว่านล้อมเธอให้ทิ้งความคิดโง่ๆนั้นในตอนแรก แต่หวังชูเหรินยืนยันว่าเธอจะไปไม่ว่าเขาจะพูดอะไรก็ตาม จนทำให้ผู้นำนิกายไม่มีทางเลือกอื่นได้แต่ให้คนอื่นตามไปปกป้องเธอ เพราะว่าพวกเขาไม่อาจที่จะเสี่ยงสูญเสียคนที่มีค่าดังเช่นหวังชูเหริน
“ก็ได้ เจ้าสามารถไปที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้ แต่นั่นจักต้องมีคนตามเจ้าไปด้วย ถ้าเจ้ามิอาจยอมรับเงื่อนไขนี้ เจ้าก็ต้องข้ามศพข้าไปก่อนออกจากที่แห่งนี้”
หวังชูเหรินถอนใจ “ถ้าพวกนั้นทำให้ข้าช้าลง ข้าก็จักทิ้งพวกเขาไว้ด้านหลัง”
ผู้นำนิกายพลันเรียกจอมยุทธที่มีพลังการฝึกปรือล้ำลึกกว่ายี่สิบคนตามเธอไป
หนึ่งในคนเหล่านี้ที่ตามหวังชูเหรินก็คือผู้อาวุโสสูงหาน แม้ว่าเขาไม่อยากตามเธอไปยังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยที่ซึ่งซูหยางอาจจะอยู่ที่นั่น เขาก็ได้แต่กัดฟันทนในครั้งนี้
“ทำไมเจ้าจึงต้องการไปเยี่ยมนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยในตอนนี้ในเมื่อพวกเรายังมิมีข่าวคราวเกี่ยวกับสถานการณ์ที่นั่นแม้สักอย่างเดียว สิ่งที่เรารู้ก็คือนิกายล้านอสรพิษอาจจะยังอยู่ที่นั่น จักเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเขาเข้าใจพวกเราผิดว่าเป็นกองหนุนของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย จักเหมือนเพียงเราขุดหลุมฝังศพตนเองในการไปที่นั่น และถึงแม้ว่านิกายล้านอสรพิษมิได้อยู่ที่นั่นต่อไปแล้ว นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็คงจะสิ้นไปนานแล้วกว่าเราจะไปถึงที่นั่น ผู้อาวุโสหวัง ข้าแนะนำว่าเจ้าควรคิดเรื่องนี้อีกครั้ง”
ผู้อาวุโสหานพยายามเกลี้ยกล่อมเธอให้อยู่ในนิกายดอกบัวเพลิงอย่างสิ้นหวัง
“มิมีปัญหาถ้าท่านมิต้องการไป ผู้อาวุโสหาน” หวังชูเหรินส่ายหน้า
และโดยไม่รอให้ผู้อาวุโสสูงหานตอบ เธอก็เริ่มมุ่งหน้าตรงไปยังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
ผู้อาวุโสสูงหานถอนใจและตามเธอไปหลังจากนั้นไม่นานโดยไม่ปริปากออกมาอีกตลอดการเดินทาง ในเมื่อเขารู้ว่านั่นเพียงทำให้เสียลมปากไปเปล่าๆ
อีกคนที่กังวลเกี่ยวกับซูหยางที่อยู่ในนิกายดอกบัวเพลิงก็คือจางซิวยิง ซึ่งแทบจะไม่ได้นั่งติดพื้นหลังจากที่รู้ว่ามีการโจมตี และถึงแม้ว่าเธอก็ต้องการที่จะไปยังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเช่นเดียวกับหวังชูเหริน เธอก็รู้ว่าต่อให้เธอไป นั่นก็ไม่มีอะไรที่เธอจะสามารถทำให้เขาได้ ดังนั้นเธอได้แต่สวดภาวนาอย่างเงียบๆเพื่อให้เขาปลอดภัย
–
–
–
สามวันผ่านไปนับตั้งแต่ข่าวนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย “ล่มสลาย” ได้แพร่กระจายไปทั่วโลก และตอนนี้ตลอดทั่วทั้งภาคตะวันออกก็ได้ยินเรื่องนี้อย่างน้อยหนึ่งครั้ง อย่างไรก็ตามคนส่วนใหญ่ที่ได้ยินข่าวนี้ก็ยิ่งสนใจในวิญญาณพิทักษ์และนิกายล้านอสรพิษยิ่งกว่าการล่มสลายของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
ตามจริงแล้วผู้คนต่างมองอย่างมั่นใจว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยต้องล้มตายโดยไม่จำเป็นต้องตรวจสอบ เพราะว่าไม่มีทางที่สถานที่เล็กๆเช่นนั้นจะรอดพ้นจากการโจมตีจากนิกายล้านอสรพิษได้ ต่อให้อีกล้านปีให้หลังก็ตาม
อีกมุมหนึ่งนอกจากนิกายดอกบัวเพลิงแล้วก็ไม่มีกลุ่มอำนาจใดจากภาคพื้นตะวันออกที่สนใจจะไปเยี่ยมนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเพื่อดูว่าพวกเขาได้รอดพ้นจากการโจมตีของนิกายล้านอสรพิษหรือไม่
ครั้นเมื่อนิกายดอกบัวเพลิงไปถึงนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย พวกเขาก็ต้องมึนงงกับสภาพที่สงบเรียบร้อยอย่างสมบูรณ์ที่นั่น
อย่างไรก็ตามที่สร้างความประหลาดใจให้กับพวกเขามากที่สุดก็คือนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเอง ในเมื่อสถานที่นั่นดูไม่เหมือนกับว่าถูกโจมตีแม้แต่น้อย
“เกิดอะไรขึ้น หรือว่าข่าวทั้งหมดนั่นเป็นข่าวลวงมาโดยตลอด”
บางคนถาม
“นั่นมิน่าเป็นไปได้…ใช่ไหม นั่นจักต้องเป็นเหตุให้เกิดความโกรธแค้นอย่างหนักถ้าว่านั่นเป็นความจริง…”
อีกคนสงสัย
“เชอะ ลืมเรื่องนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมีวิญญาณพิทักษ์ไปก่อน ข้าควรรู้ว่านี่เป็นเรื่องงี่เง่าเมื่อพวกเขากล่าวถึงนิกายล้านอสรพิษ ว่าไปแล้วทำไมพวกเขาจะต้องมาที่นี่ตั้งแต่แรก”
“ทำไมพวกเขาจึงต้องหลอกลวงอะไรเช่นนี้ด้วย…” ผู้อาวุโสสูงหานขมวดคิ้ว “เช่นนั้นเจ้าจะอธิบายเหตุการณ์ที่บรรดาศิษย์หลบหนีจากที่แห่งนี้ไปได้อย่างไร เพราะว่านั่นเป็นสิ่งที่ได้เกิดขึ้นแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ข้ามิรู้สึกว่ามีผู้คนในสถานที่นี้เลยในตอนนี้…”
“ท่านพูดถูก…มันเงียบผิดปกติที่นี่…”
นิกายดอกบัวเพลิงไร้คำพูด เกิดอะไรขึ้นกันแน่ที่นี่ หรือว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยกล้าที่จะเล่นตลกไร้สาระแบบนี้กับภาคตะวันออกทั้งหมดจริง แต่นั่นพวกเขาจะได้อะไรจากความบ้าคลั่งนั้น
DC บทที่ 267: นิกายที่ร่ำรวยที่สุดในภาคตะวันออก
ครั้นเมื่อศิษย์ทุกคนจากไปแล้ว โหลวหลานจีก็โค้งคำนับผู้อาวุโสนิกายในห้องและกล่าวว่า “อีกครั้ง ข้าจักต้องขออภัยสำหรับความไร้สามารถของข้า”
ผู้อาวุโสจ้าวส่ายหน้าและกล่าวว่า “ท่านมิต้องขอโทษกับความละโมบของผู้อื่น ถ้าจักต้องกล่าวโทษ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความผิดของนิกายล้านอสรพิษ”
“ผู้อาวุโสจ้าวกล่าวถูกต้อง ผู้นำนิกาย อย่ากล่าวโทษตัวเองสำหรับเรื่องเหล่านี้…”
“ถ้าท่านกล่าวโทษตัวเอง ท่านผู้นำนิกาย เช่นนั้นข้าเองก็จักต้องกล่าวโทษตัวเองด้วย ในเมื่อข้าเองก็มิมีความสามารถในการปกป้องเหล่าศิษย์ในเวลาเช่นนี้”
“พวกท่าน…” โหลวหลานจีเกือบน้ำตาตกเมื่อได้ยินคำพูดของพวกเขา
“บางทีสถานการณ์นี้อาจจะเป็นโชคดีที่แฝงตัวมา มิเพียงแต่เราประสบกับความโหดร้ายที่แท้จริงของโลกนี้แต่เรากลับยังคงรอดอยู่ และนั่นจักทำให้พวกเราทุกคนแข็งแกร่งขึ้น แม้ว่าพวกเราได้สูญเสียเหล่าศิษย์เกือบทั้งหมดแต่เราก็ยังสามารถรับเพิ่มขึ้นมาใหม่ได้แม้ว่ามันอาจจะต้องใช้เวลาสักพัก ยิ่งมิต้องพูดถึงว่าพวกเรายังคงมีศิษย์ที่มีพรสวรรค์เหลืออยู่เป็นจำนวนมาก และนี่รวมไปถึงทุกท่านที่นี่ด้วยเช่นกัน”
โหลวหลานจีพลันนำเอาแหวนมิติออกมาหนึ่งวงและกล่าวขึ้นว่า “นี่เป็นวิธีที่ข้าจักแสดงถึงความขอบคุณ ขอบคุณที่อยู่อย่างภักดีแม้กระทั่งในเวลาที่เหมือนกับจุดจบ ขอบคุณ…”
หลังจากที่พูดคำกล่าวเหล่านี้แล้ว โหลวหลานจีก็เททุกสิ่งที่อยู่ภายในแหวนมิติลงบนโต๊ะตรงหน้าพวกเขา
“น-น-นี่คือ…”
ทุกคนที่นั่นต่างพากันจ้องมองด้วยสีหน้าตื่นตะลึงกับสมบัติวิญญาณหลายสิบชิ้นและวิชายุทธที่กองอยู่บนโต๊ะ
“ส-สวรรค์ ท่านได้ส่ิ่งเหล่านี้ทั้งหมดมาจากไหน ท่านผู้นำนิกาย”
ผู้อาวุโสจ้างพลันตระหนักว่าสมบัติบนโต๊ะล้วนเป็นสมบัติวิญญาณทั้งสิ้น แต่ที่สร้างความตื่นตระหนกให้กับเขายิ่งกว่าเดิมก็เพราะว่าเขาไม่เคยเห็นวัตถุวิญญาณมากมายเช่นนี้รวมตัวกันอยู่ในที่เดียวมาก่อน
“นั่นเป็นของขวัญจากผู้อาวุโสคนเดียวกันที่ปกป้องพวกเราจากนิกายล้านอสรพิษ” เธอกล่าว
“อย่างไรก็ตาม พวกท่านสามารถเข้ามาหยิบหนึ่งในสมบัติวิญญาณเหล่านี้และวิชาฝีมือจากบนโต๊ะนี้ พวกท่านสามารถเก็บสมบัติวิญญาณไว้ แต่ข้าจำเป็นต้องขอคืนวิชาฝีมือหลังจากที่ท่านได้จำเนื้อหาทุกสิ่งที่อยู่ภายในนั้นเรียบร้อยแล้ว ในเมื่อมันจักได้ใช้แบ่งปันกับศิษย์ทุกคน”
ผู้อาวุโสนิกายมองดูโหลวหลานจีด้วยดวงตาเบิกกว้าง โดยหลักแล้วพวกเขาไม่อยากเชื่อว่าเธอเป็นคนใจกว้างกับสมบัติวิญญาณเหล่านี้เพียงใด
อย่างไรก็ตามครั้นเมื่อผู้อาวุโสนิกายหยิบม้วนวิชาฝีมือและเห็นเนื้อหาข้างในจริงๆของมัน ดวงตาของพวกเขาก็เกือบถลนออกมาด้วยความตระหนก
“น-น-นี่มันเป็นวิชาฝีมือระดับปฐพี”
ผู้อาวุโสซุนอ้าปากค้างเมื่อเขาตระหนักว่าอะไรที่เขาถืออยู่ในมือ
วิชาระดับปฐพีเพียงแค่ต่ำกว่าวิชาระดับสวรรค์ที่มีเพียงสถานที่เช่นนิกายล้านอสรพิษจึงจะมี พวกเขาไม่ควรจะมีมากกว่าหนึ่งหรือสองเท่านั้น
“นี่ก็เป็นวิชาระดับปฐพีเช่นกัน”
ผู้อาวุโสนิกายอีกคนอ้าปากค้างเมื่อเธออ่านเนื้อหา
“มีมากกว่าหนึ่งเหรอนี่”
“ข-ข้าก็มีอีกหนึ่ง”
ผู้อาวุโสนิกายอีกคนพูด
โหลวหลานจียิ้มเมื่อเห็นปฏิกิริยาตื่นเต้นของพวกเขา
“วิชาฝีมือทั้งหมดมีระดับปฐพีแปดเล่ม ระดับวิญญาณสิบห้าเล่ม ระดับมนุษย์ยี่สิบเจ็ดเล่มในกองนั้น”
โหลวหลานจีเผยให้พวกเขาเห็นถึงจำนวนที่แท้จริง
“ระดับปฐพีแปดเล่มเลยรึ”
ผู้อาวุโสจ้าวกรามตกลงไปถึงพื้นเมื่อได้ยินจำนวนนั้น
“นั่นยังไม่ใช่ทั้งหมด”
โหลวหลานจีดำเนินการพูดต่อไปด้วยเสียงโอ้อวด “ทั้งหมดนี้มาจากเพียงหนึ่งในจำนวนแหวนมิติ”
“นี่ช่างไม่น่าเชื่อ…ด้วยเพียงกองสมบัตินี้ เราก็ร่ำรวยเทียบเท่ากับนิกายล้านอสรพิษ และถ้าหากว่านี่เป็นเพียงแค่หนึ่งในแหวนมิติอีกหลายวง…ข้าคงมิประหลาดใจถ้าพวกเราตอนนี้เป็นผู้ร่ำรวยที่สุดในภาคตะวันออก”
ผู้อาวุโสจ้าวปาดเหงื่อที่เกิดขึ้นบนหน้าผากจากการคิดเกี่ยวกับความร่ำรวยที่เพิ่งเกิดขึ้นกับพวกเขา
หลังจากผ่านไปหลายนาทีในการมองหาทั่วกองสมบัติ ผู้อาวุโสนิกายทั้งยี่สิบคนในห้องก็ได้หยิบสมบัติวิญญาณและวิชาฝีมือไปอย่างละหนึ่งต่อคน
“ตอนนี้เมื่อพวกท่านทั้งหมดได้เลือกวิชาฝีมือแล้ว ข้าต้องการให้ท่านฝึกฝนมันและเป็นกำลังอันแข็งแกร่งสำหรับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย และเมื่อนิกายล้านอสรพิษกลับคืนมา ข้าต้องการให้พวกท่านทุกคนสามารถปกป้องเหล่าศิษย์ได้อย่างเหมาะสม”
“ขอรับ ผู้นำนิกาย”
หลังจากที่พูดกับผู้อาวุโสนิกายอีกสองสามนาทีจากนั้น โหลวหลานจีก็ให้พวกเขาแยกย้ายกันไป ปล่อยให้เธออยู่คนเดียวในห้องอบรม
“สุดท้ายข้าก็อยู่คนเดียว เฮ้อ”
โหลวหลานจีนั่งลงบนที่เก้าอี้ที่อยู่ใกล้ๆ รู้สึกอ่อนแอถึงที่สุด
แม้ว่าจะเห็นเหมือนว่าเธอยังสบายดีก่อนหน้านั้น โหลวหลานจีก็ยากที่จะประคองตัวจากการล้มลงเนื่องจากความเครียดและหมดเรี่ยวแรงตลอดช่วงเวลานี้ ในเมื่อเธอไม่ต้องการให้เหล่าศิษย์กังวลเกี่ยวกับเธอมากกว่าที่เธอเป็นอยู่ไปกว่านี้
ยิ่งไปกว่านั้น การที่พลันมีจำนวนศิษย์ลดลงอย่างมหาศาลเป็นเหตุให้เกิดความเสียใจต่อเธออย่างใหญ่หลวง
หลังจากนั่งลงไปไม่กี่วินาที โหลวหลานจีก็รู้สึกว่าสติสัมปชัญญะของเธอค่อยๆหลุดลอยไป
เวลาต่อมาโหลวหลานจีก็หล่นลงจากเก้าอี้สู่พื้นโดยที่ดวงตาของเธอยังคงหลับอยู่ เห็นชัดว่าเธอตกอยู่ในการหลับลึกจนกระทั่งเธอไม่รู้สึกว่าตัวเธอเองกระทบพื้น
ไม่กี่วินาทีหลังจากที่โหลวหลานจีล้มนอนกับพื้น ร่างผอมร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นภายในห้องอบรม
นั่นคือซูหยาง และเขาก็ได้รอถึงเวลานี้
แม้ว่าโหลวหลานจีสามารถที่จะหลอกลวงศิษย์ทั้งหมดและกระทั่งผู้อาวุโสนิกายด้วยการแสดงของเธอ ซูหยางกลับเห็นซึ้งทุกสิ่งอย่างง่ายดาย
ซูหยางตรงเข้าไปหาร่างของโหลวหลานจีอย่างเยือกเย็นและอุ้มเธอขึ้นในท่าอุ้มเจ้าหญิง และเขาได้ใช้ก้าวเก้าดาราโอบอุ้มร่างเธอไปตลอดทางจากห้องอบรมสู่ศาลาหยินหยางที่ซึ่งเขาได้วางร่างเธอลงอย่างนิ่มนวลบนเตียงของเธอ
ครั้นเมื่อเขาวางร่างโหลวหลานจีบนเตียงของเธอแล้ว เขาก็จ้องมองใบหน้าที่กำลังพักผ่อนของเธออยู่อย่างเงียบๆ ดูเหมือนว่าตกอยู่ในการครุ่นคิดอยู่อย่างลึกๆ
หลังจากยืนอยู่ที่นั่นอีกสองสามนาที ซูหยางก็ออกไปจากสถานที่นั้นอย่างเงียบๆกลับไปยังที่พักของเขาเองที่เขตศิษย์นอก ที่ซึ่งเซียวลี่ได้รอเขาอยู่
“ไปกันเถอ เซียวลี่ เราย้ายที่กัน”
เซียวลี่พยักหน้าและกลืนกินยาแปลงโฉม เปลี่ยนจากรูปโฉมอันไร้ที่ติไปเป็นแค่เด็กหญิงธรรมดา
หลังจากนั้นไม่กี่นาที พวกเขาทั้งคู่ก็ออกจากบ้านและตรงไปยังเขตกลางเพื่อหาบ้านใหม่
DC บทที่ 266: ย้ายไปยังเขตกลาง
ซูหยางมองผ่านๆไปยังคนหลายร้อยคนในห้อง
“ทั้งหมดนี้เป็นคนที่เหลืออยู่รึ นี่มีมากกว่าที่ข้าคิดไว้”
ซูหยางได้เคยเห็นเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันแบบนี้มาก่อน และเมื่อเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่พวกเขาไม่อาจคิดว่าจะชนะได้ มันไม่แปลกถ้ามีเพียงแค่ศิษย์ไม่กี่คนหลงเหลือก่อนที่การศึกจะเริ่มขึ้น
นี่ถือว่าเป็นความจริงกระทั่งนิกายใหญ่ที่สุดข้างนอกนั้นที่มีศิษย์มากมายหลายแสนคน
ดังนั้นสำหรับศิษย์ร้อยคนที่หลงเหลือจากไม่กี่พันคน ซูหยางค่อนข้างจะประทับใจอยู่บ้าง
“ผู้นำนิกาย ข้ามีข้อเสนอ”
เขาพลันกล่าว
“พูดออกมาให้พวกเราฟัง”
“แผนการรับเป็นเจ้าภาพในการรับสมัครศิษย์หลังการแข่งขันระดับภูมิภาคควรจะคงไว้…เช่นเดียวกับการเข้าร่วมการแข่งขัน”
“ต่อให้ข้าต้องการเข้าร่วมการแข่งขันมากเท่าไหร่ก็ตาม โชคร้ายสำหรับพวกเรา มีคนเหลือไม่ถึงห้าคนในห้องนี้ที่มีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วม และเราต้องการผู้เข้าร่วมอย่างน้อยสิบคนในกรณีที่จะเข้าร่วม” โหลวหลานจีถอนหายใจ
“ความต้องการมีอะไรบ้าง ขออีกครั้ง” ซูหยางถาม
“ผู้นั้นต้องมีอายุต่ำกว่าสามสิบปีและถึงเขตคัมภีร์วิญญาณก่อนพวกเขาจึงจะมีคุณสมบัติ นอกจากนั้นจำนวนผู้เข้าร่วมที่แต่ละนิกายสามารถนำไปได้คือยี่สิบคน”
ซูหยางมองไปรอบๆห้องอีกครั้ง
นอกจากเขาแล้ว ก็มี ฟางซีหลาน ซุนจิงจิง และศิษย์ในอีกคนที่มีคุณสมบัติสำหรับเข้าร่วมการแข่งขันระดับภูมิภาค ทุกคนที่เหลือนอกนั้นล้วนเป็นศิษย์นอกที่มีพลังการฝึกปรือเพียงเขตปฐมวิญญาณและผู้อาวุโสนิกายที่มีอายุเกิน
หลังจากมองไปทั่วยังบรรดาศิษย์นอก ซูหยางก็พลันถาม “พวกเจ้าใครบ้างต้องการเข้าร่วมในการแข่งขันระดับภูมิภาค อย่าเพิ่งคิดว่าไม่มีคุณสมบัติในตอนนี้และเพียงแค่ยกมือเจ้าขึ้น”
เหล่าศิษย์นอกพากันสบสายตาซึ่งกันและกัน
หลังจากเวลาผ่านไป ไม่กี่คนในบรรดานั้นก็ยกมือขึ้น
ซูหยางปล่อยให้เวลาผ่านไปอีกชั่วขณะ ก่อนที่จะพูดว่า “ดีแล้ว ข้าจักช่วยพวกเจ้าในเรื่องนั้น”
โหลวหลานจีมองดูเขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง
“เจ้าจักช่วยพวกเธอให้บรรลุจุดประสงค์ได้อย่างไร” เธอถาม
“อย่างไรรึที่ท่านถาม แน่นอนว่าก็ด้วยการร่วมฝึกคู่กับพวกเธอ”
ผู้อาวุโสจ้างพลันระเบิดเสียงหัวเราะ
“พวกเธอทั้งเจ็ดคนอยู่ระหว่างระดับที่สี่และห้าเขตปฐมวิญญาณ เจ้าบอกข้าว่าเจ้าสามารถช่วยทั้งเจ็ดคนไปให้ถึงเขตคัมภีร์วิญญาณก่อนการแข่งขันระดับภูมิภาคเช่นนั้นรึ”
“แน่นอน”
ซูหยางพยักหน้าด้วยความมั่นใจ
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”
ผู้อาวุโสจ้าวเพิ่มเสียงหัวเราะ กระทั่งผู้อาวุโสซุนก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะหึๆ
อย่างไรก็ตามทั้งโหลวหลานจีและหลานลี่ชิงไม่ได้หัวเราะ ตามจริงพวกเธอทั้งคู่กลับมีสีหน้าจริงจัง
ขณะที่ผู้อาวุโสจ้างอาจจะไม่รู้ ทั้งโหลวหลานจีและหลานลี่ชิงรู้เป็นอย่างดีว่าปราณหยางของซูหยางนั้นมีมากมายเพียงใด ในเมื่อพวกเธอได้มีประสบการณ์มาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลานลี่ชิง
ตามจริงหลานลี่ชิงได้เข้าสู่เขตปฐพีวิญญาณอย่างง่ายดายหลังจากที่ได้ร่วมฝึกคู่กับซูหยาง
ซูหยางไม่สนใจเสียงหัวเราะของผู้อาวุโสจ้าวแต่หันไปหาโหลวหลานจี
“เมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็มีคนสิบเอ็ดคนที่สามารถเข้าร่วมในการแข่งขันระดับภูมิภาคแล้ว”
โหลวหลานจีไร้คำพูด แต่เธอก็พยักหน้า
“ส่วนสำหรับการคัดเลือกหลังจากการแข่งขันระดับภูมิภาค ท่านจักเข้าใจหลังจากที่เวลานั้นมาถึง” ซูหยางกล่าว
ซูหยางพลันหันไปหาศิษย์นอกและกล่าวว่า “ข้าจักร่วมฝึกคู่กับพวกสาวเจ้าไปจนถึงการแข่งขันระดับภูมิภาค แต่แน่นอนว่าเจ้าสามารถเลือกปฏิเสธได้”
“ศิษย์พี่ชาย ท่านได้ร่วมฝึกคู่กับพวกเรามาก่อนอยู่แล้ว…ทำไมเราจึงต้องมาปฏิเสธตอนนี้”
หนึ่งในเหล่าศิษย์นอกหัวเราะหึ รู้สึกว่าการเลือกที่จะอยู่เป็นสิ่งที่ถูกต้องจริงๆ
ศิษย์นอกคนอื่นก็รู้สึกเช่นเดียวกัน ตอนนี้เมื่อศิษย์เกือบทั้งหมดจากไปแล้ว การแข่งขันและเข้าแถวเพื่อที่จะร่วมฝึกคู่กับเขาลดลงไปอย่างมหาศาล
“อืม…ศิษย์พี่ชาย…แล้วพวกเราล่ะ”
ศิษย์ที่ไม่ได้ยกมือถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล จะเป็นอย่างไรถ้าเขาปฏิเสธที่จะร่วมฝึกคู่กับพวกเธอเพราะว่าพวกเธอไม่ต้องการที่จะเข้าร่วมในการแข่งขัน
“มิมีอะไรเปลี่ยน ข้าจักรับพวกเจ้าตราบเท่าที่พวกเจ้าขอร้องและแขนข้าว่าง”
ซูหยางมั่นใจว่าเขาสามารถช่วยศิษย์นอกเจ็ดคนบรรลุถึงเขตคัมภีร์วิญญาณภายในหนึ่งอาทิตย์ ดังนั้นย่อมมีเวลาว่างมากมายนักสำหรับเขาสำหรับศิษย์คนอื่น
และช่างเป็นเหตุบังเอิญ นอกจากจะมีผู้อาวุโสนิกายไม่กี่คนแล้ว ก็ไม่มีศิษย์ชายเหลืออีก อีกนัยหนึ่งก็คือย่อมไม่มึใครที่จะมาบ่นเรื่องขาดคู่ฝึกไปพักหนึ่ง อย่างน้อยก็จนกว่าพวกเขาได้รับศิษย์นอกมามากกว่าเดิม
“ข-ขอบคุณศิษย์พี่ชาย”
ผู้อาวุโสจ้าวและผู้อาวุโสซุนมองไปยังสถานการณ์ด้วยสายตาริษยา นึกในใจอย่างเงียบๆว่า “เจ้าเด็กเลวนี่ช่างเก่งกาจนักในการทำให้คนอื่นอิจฉา…”
“ข้าจักปล่อยศิษย์เหล่านี้ไว้กับเจ้า ซูหยาง และข้าจักช่วยเหลือเจ้าด้วยทรัพยากรจำนวนมากเท่าที่ข้าสามารถหาได้ ศิษย์ฟาง เจ้าสามารถฝึกฝนเซียวไป่ต่อไป นิกายเราจักต้องพึ่งพาความแข็งแกร่งอันล้ำลึกของเธออย่างมากในอนาคต ส่วนสำหรับผู้อาวุโสนิกาย ข้ามีงานอื่นให้กับพวกท่าน”
โหลวหลานจีเริ่มให้คำแนะนำ
“ข้ารู้ว่าเกิดเหตุการณ์มากมายในวันนี้ แต่มิว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม อย่าปล่อยให้มันรบกวนจิตของผู้ฝึกยุทธของเจ้า ซึ่งเจ้าจักเพียงประสบกับความยากลำบากต่อไปเท่านั้น”
“ขอรับ ผู้นำนิกาย”
โหลวหลานจีพยักหน้าและกล่าวว่า “นอกจากผู้อาวุโสนิกายแล้ว พวกเจ้าทุกคนแยกย้ายกันไปได้”
อย่างไรก็ตามก่อนที่เหล่าศิษย์จะทันออกไปพ้นจากที่แห่งนั้น โหลวหลานจีพลันกล่าวขึ้นว่า “หยุดก่อน ข้าเกือบลืมไป ในเมื่อพวกเรามีเพียงไม่กี่คนตอนนี้ ข้าต้องการให้พวกเราอยู่ใกล้ชิดกันในกรณีที่จะมีบางอย่างเกิดขึ้น ดังนั้นพวกเราทั้งหมดจักอาศัยในเขตกลางในตอนนี้ ครั้นเมื่อพวกเจ้าเลือกบ้านพักแล้วจงบอกให้ผู้อาวุโสนิกายรู้”
เหล่าศิษย์นอกต่างพากันตื่นเต้นขึ้นมาในทันที ในเมื่อไม่มีพวกเธอคนใดได้คิดฝันว่าพวกเธอจะได้ย้ายมาอยู่ในเขตกลางในชีวิตนี้ อย่าว่าแต่ในเร็ววันนี้
เมื่อเหล่าศิษย์พากันจากไปทีละคนสองคน ฟางซีหลานก็เข้าไปหาซูหยางและพูดว่า “แม้ว่าข้าต้องการที่จะทำตามแผนของพวกเราตอนนี้ แต่ข้าต้องดูแลเซียวไป่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เธอได้ผ่านมาในวันนี้ อาทิตย์หน้า…ข้าจักไปหาเจ้าแน่นอน”
“ใช้เวลาของเจ้าให้ดี” ซูหยางพยักหน้า
DC บทที่ 267: นิกายที่ร่ำรวยที่สุดในภาคตะวันออก
ครั้นเมื่อศิษย์ทุกคนจากไปแล้ว โหลวหลานจีก็โค้งคำนับผู้อาวุโสนิกายในห้องและกล่าวว่า “อีกครั้ง ข้าจักต้องขออภัยสำหรับความไร้สามารถของข้า”
ผู้อาวุโสจ้าวส่ายหน้าและกล่าวว่า “ท่านมิต้องขอโทษกับความละโมบของผู้อื่น ถ้าจักต้องกล่าวโทษ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความผิดของนิกายล้านอสรพิษ”
“ผู้อาวุโสจ้าวกล่าวถูกต้อง ผู้นำนิกาย อย่ากล่าวโทษตัวเองสำหรับเรื่องเหล่านี้…”
“ถ้าท่านกล่าวโทษตัวเอง ท่านผู้นำนิกาย เช่นนั้นข้าเองก็จักต้องกล่าวโทษตัวเองด้วย ในเมื่อข้าเองก็มิมีความสามารถในการปกป้องเหล่าศิษย์ในเวลาเช่นนี้”
“พวกท่าน…” โหลวหลานจีเกือบน้ำตาตกเมื่อได้ยินคำพูดของพวกเขา
“บางทีสถานการณ์นี้อาจจะเป็นโชคดีที่แฝงตัวมา มิเพียงแต่เราประสบกับความโหดร้ายที่แท้จริงของโลกนี้แต่เรากลับยังคงรอดอยู่ และนั่นจักทำให้พวกเราทุกคนแข็งแกร่งขึ้น แม้ว่าพวกเราได้สูญเสียเหล่าศิษย์เกือบทั้งหมดแต่เราก็ยังสามารถรับเพิ่มขึ้นมาใหม่ได้แม้ว่ามันอาจจะต้องใช้เวลาสักพัก ยิ่งมิต้องพูดถึงว่าพวกเรายังคงมีศิษย์ที่มีพรสวรรค์เหลืออยู่เป็นจำนวนมาก และนี่รวมไปถึงทุกท่านที่นี่ด้วยเช่นกัน”
โหลวหลานจีพลันนำเอาแหวนมิติออกมาหนึ่งวงและกล่าวขึ้นว่า “นี่เป็นวิธีที่ข้าจักแสดงถึงความขอบคุณ ขอบคุณที่อยู่อย่างภักดีแม้กระทั่งในเวลาที่เหมือนกับจุดจบ ขอบคุณ…”
หลังจากที่พูดคำกล่าวเหล่านี้แล้ว โหลวหลานจีก็เททุกสิ่งที่อยู่ภายในแหวนมิติลงบนโต๊ะตรงหน้าพวกเขา
“น-น-นี่คือ…”
ทุกคนที่นั่นต่างพากันจ้องมองด้วยสีหน้าตื่นตะลึงกับสมบัติวิญญาณหลายสิบชิ้นและวิชายุทธที่กองอยู่บนโต๊ะ
“ส-สวรรค์ ท่านได้ส่ิ่งเหล่านี้ทั้งหมดมาจากไหน ท่านผู้นำนิกาย”
ผู้อาวุโสจ้างพลันตระหนักว่าสมบัติบนโต๊ะล้วนเป็นสมบัติวิญญาณทั้งสิ้น แต่ที่สร้างความตื่นตระหนกให้กับเขายิ่งกว่าเดิมก็เพราะว่าเขาไม่เคยเห็นวัตถุวิญญาณมากมายเช่นนี้รวมตัวกันอยู่ในที่เดียวมาก่อน
“นั่นเป็นของขวัญจากผู้อาวุโสคนเดียวกันที่ปกป้องพวกเราจากนิกายล้านอสรพิษ” เธอกล่าว
“อย่างไรก็ตาม พวกท่านสามารถเข้ามาหยิบหนึ่งในสมบัติวิญญาณเหล่านี้และวิชาฝีมือจากบนโต๊ะนี้ พวกท่านสามารถเก็บสมบัติวิญญาณไว้ แต่ข้าจำเป็นต้องขอคืนวิชาฝีมือหลังจากที่ท่านได้จำเนื้อหาทุกสิ่งที่อยู่ภายในนั้นเรียบร้อยแล้ว ในเมื่อมันจักได้ใช้แบ่งปันกับศิษย์ทุกคน”
ผู้อาวุโสนิกายมองดูโหลวหลานจีด้วยดวงตาเบิกกว้าง โดยหลักแล้วพวกเขาไม่อยากเชื่อว่าเธอเป็นคนใจกว้างกับสมบัติวิญญาณเหล่านี้เพียงใด
อย่างไรก็ตามครั้นเมื่อผู้อาวุโสนิกายหยิบม้วนวิชาฝีมือและเห็นเนื้อหาข้างในจริงๆของมัน ดวงตาของพวกเขาก็เกือบถลนออกมาด้วยความตระหนก
“น-น-นี่มันเป็นวิชาฝีมือระดับปฐพี”
ผู้อาวุโสซุนอ้าปากค้างเมื่อเขาตระหนักว่าอะไรที่เขาถืออยู่ในมือ
วิชาระดับปฐพีเพียงแค่ต่ำกว่าวิชาระดับสวรรค์ที่มีเพียงสถานที่เช่นนิกายล้านอสรพิษจึงจะมี พวกเขาไม่ควรจะมีมากกว่าหนึ่งหรือสองเท่านั้น
“นี่ก็เป็นวิชาระดับปฐพีเช่นกัน”
ผู้อาวุโสนิกายอีกคนอ้าปากค้างเมื่อเธออ่านเนื้อหา
“มีมากกว่าหนึ่งเหรอนี่”
“ข-ข้าก็มีอีกหนึ่ง”
ผู้อาวุโสนิกายอีกคนพูด
โหลวหลานจียิ้มเมื่อเห็นปฏิกิริยาตื่นเต้นของพวกเขา
“วิชาฝีมือทั้งหมดมีระดับปฐพีแปดเล่ม ระดับวิญญาณสิบห้าเล่ม ระดับมนุษย์ยี่สิบเจ็ดเล่มในกองนั้น”
โหลวหลานจีเผยให้พวกเขาเห็นถึงจำนวนที่แท้จริง
“ระดับปฐพีแปดเล่มเลยรึ”
ผู้อาวุโสจ้าวกรามตกลงไปถึงพื้นเมื่อได้ยินจำนวนนั้น
“นั่นยังไม่ใช่ทั้งหมด”
โหลวหลานจีดำเนินการพูดต่อไปด้วยเสียงโอ้อวด “ทั้งหมดนี้มาจากเพียงหนึ่งในจำนวนแหวนมิติ”
“นี่ช่างไม่น่าเชื่อ…ด้วยเพียงกองสมบัตินี้ เราก็ร่ำรวยเทียบเท่ากับนิกายล้านอสรพิษ และถ้าหากว่านี่เป็นเพียงแค่หนึ่งในแหวนมิติอีกหลายวง…ข้าคงมิประหลาดใจถ้าพวกเราตอนนี้เป็นผู้ร่ำรวยที่สุดในภาคตะวันออก”
ผู้อาวุโสจ้าวปาดเหงื่อที่เกิดขึ้นบนหน้าผากจากการคิดเกี่ยวกับความร่ำรวยที่เพิ่งเกิดขึ้นกับพวกเขา
หลังจากผ่านไปหลายนาทีในการมองหาทั่วกองสมบัติ ผู้อาวุโสนิกายทั้งยี่สิบคนในห้องก็ได้หยิบสมบัติวิญญาณและวิชาฝีมือไปอย่างละหนึ่งต่อคน
“ตอนนี้เมื่อพวกท่านทั้งหมดได้เลือกวิชาฝีมือแล้ว ข้าต้องการให้ท่านฝึกฝนมันและเป็นกำลังอันแข็งแกร่งสำหรับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย และเมื่อนิกายล้านอสรพิษกลับคืนมา ข้าต้องการให้พวกท่านทุกคนสามารถปกป้องเหล่าศิษย์ได้อย่างเหมาะสม”
“ขอรับ ผู้นำนิกาย”
หลังจากที่พูดกับผู้อาวุโสนิกายอีกสองสามนาทีจากนั้น โหลวหลานจีก็ให้พวกเขาแยกย้ายกันไป ปล่อยให้เธออยู่คนเดียวในห้องอบรม
“สุดท้ายข้าก็อยู่คนเดียว เฮ้อ”
โหลวหลานจีนั่งลงบนที่เก้าอี้ที่อยู่ใกล้ๆ รู้สึกอ่อนแอถึงที่สุด
แม้ว่าจะเห็นเหมือนว่าเธอยังสบายดีก่อนหน้านั้น โหลวหลานจีก็ยากที่จะประคองตัวจากการล้มลงเนื่องจากความเครียดและหมดเรี่ยวแรงตลอดช่วงเวลานี้ ในเมื่อเธอไม่ต้องการให้เหล่าศิษย์กังวลเกี่ยวกับเธอมากกว่าที่เธอเป็นอยู่ไปกว่านี้
ยิ่งไปกว่านั้น การที่พลันมีจำนวนศิษย์ลดลงอย่างมหาศาลเป็นเหตุให้เกิดความเสียใจต่อเธออย่างใหญ่หลวง
หลังจากนั่งลงไปไม่กี่วินาที โหลวหลานจีก็รู้สึกว่าสติสัมปชัญญะของเธอค่อยๆหลุดลอยไป
เวลาต่อมาโหลวหลานจีก็หล่นลงจากเก้าอี้สู่พื้นโดยที่ดวงตาของเธอยังคงหลับอยู่ เห็นชัดว่าเธอตกอยู่ในการหลับลึกจนกระทั่งเธอไม่รู้สึกว่าตัวเธอเองกระทบพื้น
ไม่กี่วินาทีหลังจากที่โหลวหลานจีล้มนอนกับพื้น ร่างผอมร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นภายในห้องอบรม
นั่นคือซูหยาง และเขาก็ได้รอถึงเวลานี้
แม้ว่าโหลวหลานจีสามารถที่จะหลอกลวงศิษย์ทั้งหมดและกระทั่งผู้อาวุโสนิกายด้วยการแสดงของเธอ ซูหยางกลับเห็นซึ้งทุกสิ่งอย่างง่ายดาย
ซูหยางตรงเข้าไปหาร่างของโหลวหลานจีอย่างเยือกเย็นและอุ้มเธอขึ้นในท่าอุ้มเจ้าหญิง และเขาได้ใช้ก้าวเก้าดาราโอบอุ้มร่างเธอไปตลอดทางจากห้องอบรมสู่ศาลาหยินหยางที่ซึ่งเขาได้วางร่างเธอลงอย่างนิ่มนวลบนเตียงของเธอ
ครั้นเมื่อเขาวางร่างโหลวหลานจีบนเตียงของเธอแล้ว เขาก็จ้องมองใบหน้าที่กำลังพักผ่อนของเธออยู่อย่างเงียบๆ ดูเหมือนว่าตกอยู่ในการครุ่นคิดอยู่อย่างลึกๆ
หลังจากยืนอยู่ที่นั่นอีกสองสามนาที ซูหยางก็ออกไปจากสถานที่นั้นอย่างเงียบๆกลับไปยังที่พักของเขาเองที่เขตศิษย์นอก ที่ซึ่งเซียวลี่ได้รอเขาอยู่
“ไปกันเถอ เซียวลี่ เราย้ายที่กัน”
เซียวลี่พยักหน้าและกลืนกินยาแปลงโฉม เปลี่ยนจากรูปโฉมอันไร้ที่ติไปเป็นแค่เด็กหญิงธรรมดา
หลังจากนั้นไม่กี่นาที พวกเขาทั้งคู่ก็ออกจากบ้านและตรงไปยังเขตกลางเพื่อหาบ้านใหม่
DC บทที่ 265: เจ้ากำลังจะไปจากที่นี่ด้วยรึ
โหลวหลานจีและศิษย์ที่เหลือรวมตัวกันในห้องอบรม
“ก่อนที่ข้าจะพูด ข้าจักตอบคำถามที่พวกเจ้าอาจจะมีเกี่ยวกับข้า”
โหลวหลานจีกล่าวด้วยท่าทางตึงเครียด
ผู้อาวุโสจ้าวพลันยกมือพูดว่า “เกิดบ้าอะไรขึ้นกับนิกายล้านอสรพิษ มันเกี่ยวข้องกับพลังกดด้นอันลึกซึ้งที่ข้ารู้สึกหรือไม่”
โหลวหลานจีพยักหน้า
“แม้ว่าข้ามิรู้ว่าข้าจักอธิบายเรื่องนี้อย่างไร ข้าพูดได้เพียงว่าเราได้มีเจ้านิกายชั่วคราวหลังจากเจ้านิกายคนก่อนพลันสิ้นชีวิตลง และเขาก็เป็นคนที่มีเบื้องหลังลึกล้ำและพลังมหาศาล”
ผู้คนที่อยู่ตรงนั้นมองดูเธอด้วยดวงตาเบิกค้าง พวกเขามีเจ้านิกายชั่วคราวโดยไม่มีใครรู้จนกระทั่งวันนี้ และเธอไปหาบุคคลที่ทรงอำนาจ “สุดขั้ว” นี้มาจากไหน
“บุคคลคนนี้ไปอยู่ที่ไหนแล้ว”
บางคนถาม
“ช่างโชคร้าย เขาจากไปแล้ว”
“และเขาเป็นคนที่จัดการกับนิกายล้านอสรพิษรึ”
ผู้อาวุโสซุนถาม เสียงของเขาเปี่ยมไปด้วยความสนใจ
“ใช่แล้ว”
หลังจากเงียบไปชั่วขณะ ผู้อาวุโสจ้าวก็พูดขึ้นว่า “ข้าสามารถยืนยันได้ว่าเขาจักจัดการกับนิกายล้านอสรพิษถ้าพวกนั้นกลับมาแก้แค้น ใช่หรือไม่”
โหลวหลานจีเตรียมตัวพยักหน้า แต่เธอลังเลในตอนสุดท้าย
“ข้าคิดว่าเช่นนั้น” สุดท้ายเธอก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ
บรรยากาศกลับมาเคร่งเครียดอีกครั้ง ถ้านิกายล้านอสรพิษโจมตีพวกเขาอีกครั้ง นั่นคงไม่สวยอย่างแน่นอน ตามจริงก็แทบจะมั่นใจได้ว่านิกายล้านอสรพิษจะเตรียมตัวเมื่อพวกเขากลับมาอีกครั้ง
ทุกคนในห้องอบรมกังวลว่านิกายล้านอสรพิษอาจจะกลับมาพร้อมทั้งกองกำลังทั้งหมด และโดยปราศจากจอมยุทธผู้เก่งกาจคนนี้คอยปกป้อง พวกเขาก็มีแต่เพียงถูกย่ำยี
“อ-อย่ากังวล ผู้อาวุโสเป็นบุคคลที่เชื่อถือได้มาก ก่อนที่พวกเจ้าจะมาถึง เขายังได้เตือนนิกายล้านอสรพิษว่าพวกเขาจักถูกกำจัดถ้าพวกเขายังกลับมาอีก”
เพราะว่าซูหยางพูดกับพวกเขาโดยใช้ปราณไร้ลักษณ์ มีเพียงคนที่อยู่ในพื้นที่เป้าหมายเท่านั้นที่สามารถได้ยินเสียงของเขา ดังนั้นจึงเป็นเหตุว่าทำไมผู้อาวุโสจ้าวและคนอื่นๆจึงไม่ได้ยินอะไรเลย
“อ-อีกทั้งยังมีเด็กหญิงตัวเล็กคนนั้น…”
โหลวหลานจีพลันรู้สึกหนาวเยือกไปทั่วไขสันหลังเมื่อเธอนึกถึงรูปร่างหน้าตาไร้คู่เปรียบของเซียวลี่และพลังอันล้นหลาม
“เด็กหญิงตัวเล็ก”
ผู้คนที่นั่นต่างพากันมองดูเธอด้วยสีหน้างุนงง
“เด็กหญิงตัวเล็กนั่น…เธอเป็นคนที่กำจัดจอมยุทธจากนิกายล้านอสรพิษอย่างแท้จริง และทั้งหมดนั่นเกิดขึ้นในชั่วพริบตา ถ้าให้ข้าเดา เธอเป็นจอมยุทธที่มีพลังการฝึกปรือเหนือกว่ากระทั่งเขตอัมพรวิญญาณ ตามจริงบางคนจากนิกายล้านอสรพิษได้เรียกเธอว่า “ราชันย์”
“ท่านคิดว่า “ผู้อาวุโส” คนนี้มาจากทวีปศักดิ์สิทธิ์กลางในตำนานหรือไม่”
ผู้อาวุโสจ้าวพลันถาม
เมื่อเห็นเหล่าศิษย์มีสีหน้างุนงง ผู้อาวุโสจ้าวจึงอธิบายต่อว่า “ทวีปศักดิ์สิทธิ์กลางกล่าวว่าเป็นดินแดนสำหรับผู้ฝึกวิชา ที่ซึ่งกระทั่งจอมยุทธเขตอัมพรวิญญาณเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไป แม้ว่าจะรู้ไม่มากเกี่ยวกับที่นั่นหรือมันมีตัวตนจริงหรือไม่ แต่จอมยุทธหลายคนที่ท่องเที่ยวไปทั่วโลกก็ได้คาดหวังว่าจะเจอมัน”
โหลวหลานจีครุ่นคิดด้วยท่าทางเคร่งเครียด ถ้าผู้อาวุโสคนนี้มาจากทวีปศักดิ์สิทธิ์กลาง นั่นก็เป็นเหตุผลที่ว่าตัวตนของเขาจึงให้ความรู้สึกเหนือโลก
“อย่างไรก็ตามเราก็เตรียมตัวปะทะกับนิกายล้านอสรพิษถ้าพวกเขากล้ากลับมาหลังจากพ่ายแพ้น่าอับอายในวันนี้ สิ่งที่ข้ามิเห็นว่าจักเกิดขึ้นในเร็ววันนี้ สิ่งที่เราจำเป็นต้องเน้นในเวลานี้ก็คืออนาคตของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ในเมื่อพวกเราไม่แม้จะถือว่าเป็นนิกายได้ในสภาพปัจจุบันของเรา”
ตามจริงด้วยเพียงศิษย์ที่เหลือเพียงร้อยคน นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ไม่อาจเปรียบเทียบได้กับตระกูลขนาดกลางได้ในตอนนี้
“การคัดสรรศิษย์ประจำปีได้วางแผนไว้หลังจากการแข่งขันระดับภูมิภาค แต่อย่างที่พวกท่านเห็น เรามิได้อยู่ในสภาพที่จะเข้าร่วมในอะไรทั้งนั้น อย่าว่าแต่การแข่งขันระดับภูมิภาค”
“มันเป็นความโชคร้าย แต่พวกเราจักต้องเว้นการแข่งขันระดับภูมิภาพปีนี้”
ในขณะที่โหลวหลานจีพูดถ้อยคำเหล่านี้ เสียงอื่นก็ดังเข้ามา
“ช่างน่าเสียดาย ทั้งที่ข้ากำลังตั้งตารอคอยเรื่องนั้นอยู่”
ทุกคนที่นั่นต่างหันไปมองดูที่ประตู ที่ซึ่งมีชายหนุ่มรูปงามยืนอยู่ด้วยรอยยิ้มอันเยือกเย็นบนใบหน้า
“ซ-ซ-ซูหยาง”
ทั้งโหลวหลานจีและหลานลี่ชิงยืนขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน เห็นชัดว่าประหลาดใจกับการปรากฏตัวกระทันหันของเขา
กระทั่งผู้อาวุโสจ้าวและผู้อาวุโสซุนก็ยังมองไปที่เขาด้วยตาโต
“เจ้าไปไหนมา” หลานลี่ชิงถาม
“ข้ารึ ข้านอนหลับอยู่ในห้องจนถึงไม่กี่นาทีก่อน”
ซูหยางตอบด้วยรอยยิ้มไร้ความกังวล
“ฮึ่ม มิจำเป็นต้องโกหก ในเมื่อพวกเราสามารถจินตนาการได้ว่าคนขี้ขลาดอย่างเจ้าต้องทำหลังจากได้ยินชื่อของ “นิกายล้านอสรพิษ” เช่นเดียวกับทุกคน”
ผู้อาวุโสจ้าวพลันเย้ยหยันเขา
ซูหยางเพียงแค่ส่ายหน้าและกล่าวว่า “ถ้าการเชื่อเช่นนั้นช่วยทำให้ท่านหลับคืนนี้ เช่นนั้นข้าก็ยินดี”
“เจ้า”
ผู้อาวุโสจ้าวถึงกลับควันออกหูในทันที
อย่างไรก็ตามโหลวหลานจีพลันเข้ามาขัดจังหวะด้วยการพูดว่า “ซูหยางข้ามิสนใจว่าเจ้าไปอยู่ไหนมา เพียงตอบข้ามาว่า…เจ้ากำลังจะไปจากที่นี่ด้วยหรือไม่”
ซูหยางมองดูท่าทางเคร่งเครียดของโหลวหลานจีและมองทะลุเข้าไปถึงอารมณ์ที่ไม่มั่นคงของเธอ
“ซูหยาง…” หลานลี่ชิงก็แสดงให้เห็นถึงแววของความกังวลบนใบหน้าเธอ
ส่วนสำหรับผู้อาวุโสซุนและซุนจิงจิงนั้น พวกเขาเพียงจ้องมองเขาอย่างเงียบงัน
ในเวลานั้น สายตาที่ฟางซีหลานมองไปยังซูหยางนั้นแตกต่างจากทุกคนที่นั่นอย่างสิ้นเชิง เพราะว่าเธอได้รับรู้ถึงพลังการฝึกปรือที่แท้จริงของเขามาก่อน เธอได้สังเกตเห็นมันจากภายในระลอกคลื่นอันทรงพลังระหว่างการรุกรานของนิกายล้านอสรพิษ อีกนัยหนึ่งเธอเป็นคนเดียวในที่นั้นที่รู้ความจริง
อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะรู้ความจริงนี้ ฟางซีหลานก็ยังเก็บเงียบไว้
“นิกายล้านอสรพิษรึ ข้ากระทั่งมิเคยได้ยินมาก่อน ดังนั้นทำไมข้าต้องวิ่งหนีไปจากพวกนั้น ถ้าข้าต้องการไป ข้าจักเดินออกไปทางประตูหน้าอย่างเยือกเย็น ถ้าข้าต้องการอยู่ กระทั่งสวรรค์ก็มิอาจขยับข้า ส่วนสำหรับที่ว่าข้าจักอยู่หรือไปในวันนี้…ตัวตนของข้าที่นี่ควรจะตอบคำถามนี้ได้เป็นอย่างดี”
ซูหยางพูดอย่างเยือกเย็น อีกทั้งกลิ่นอายของเขาก็ปลดปล่อยออกมาอย่างอหังการ
เมื่อโหลวหลานจีและหลานลี่ชิงได้ยินคำพูดของเขา รอยยิ้มพลันปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่โล่งอกของพวกเธอ
DC บทที่ 264: จงฆ่าข้าเดี๋ยวนี้
ครั้นเมื่อฝนเลือดสลายตัวไปหมดแล้ว ผู้อาวุโสวันก็ล้มลงคุกเข่า รู้สึกเหมือนกับว่าตนเองได้ถูกโยนเข้าไปในโลกใหม่ที่มีตรรกะต่างไปจากที่เขาเคยรู้จักอย่างสมบูรณ์
“แขกจากนิกายล้านอสรพิษ เจ้าควรกลับไปยังที่ของเจ้าและเตือนพวกเขาว่าข้าจักมิมีเมตตาดังเช่นวันนี้อีกถ้าพวกเขาต้องการแก้แค้น”
เสียงนั้นดังขึ้นมาอีกครั้ง
อย่างไรก็ตามผู้อาวุโสวันยังคงไม่เคลื่อนไหว ดูเหมือนคนไร้สติ
หลังจากเงียบไปชั่วขณะ เขาก็พึมพัม “จงฆ่าข้าเดี๋ยวนี้ เพราะว่านิกายล้านอสรพิษจักมิยอมให้เรื่องนี้ผ่านไปง่ายๆ ในบรรดาคนที่เจ้าฆ่าไปเมื่อกี้ หนึ่งในนั้นเป็นญาติกับผู้นำนิกาย ดังนั้นนั่นจึงมีผลกระทบกับนิกายล้านอสรพิษ ผู้นำนิกายแน่นอนว่าต้องพยายามแก้แค้นเขา”
ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้งหลังจากที่ผู้อาวุโสวันพูดจบ
อย่างไรก็ตามเสียงนั้นก็กลับมาหลังจากนั้นไม่นานนัก
“นั่นหมายความว่าเจ้ากำลังบอกข้าให้ไปลบนิกายล้านอสรพิษทิ้ง เช่นนั้นก็ดี…”
ผู้อาวุโสวันดวงตาเบิกกว้างขึ้น เขารีบตะโกนออกมา “ด-เดี๋ยวก่อน แม้ว่าข้ามิสามารถรับประกันผลลัพธ์ใดได้ ข้าจักพูดกับผู้นำนิกายและพยายามหว่านล้อมเขา ด้วยว่าข้ามิเชื่อว่าเขาปรารถนาที่จะสร้างภัยพิบัติให้แก่ทั้งนิกายถึงแม้ว่าจะเป็นญาติของเขา…”
ตามจริงแล้วผู้อาวุโสวันไม่ต้องการกลับไปสู่นิกายล้านอสรพิษแม้แต่น้อย ในเมื่อเขารู้สึกว่าเขาไม่มีหน้าเหลือที่จะไปพบกับผู้นำนิกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเหตุการณ์ในวันนี้ที่จบชีวิตของศิษย์สามสิบคนรวมญาติของผู้นำนิกายด้วย ดังนั้นจึงเป็นเหตุว่าเขายินดีที่จะตายมากกว่าที่จะกลับไป
กล่าวไปแล้วเพราะว่านิกายล้านอสรพิษทั้งหมดจะต้องตกอยู่ในความเสี่ยงถ้าเขาไม่เตือนผู้นำนิกาย ผู้อาวุโสวันจึงไม่มีทางเลือกนอกจากจะกล้ำกลืนฝืนความอายและกลับไปยังนิกายเพื่อพบกับความโกรธเกรี้ยวของผู้นำนิกาย
เสียงนั้นแค่นออกมาอย่างเย็นชา “เจ้าไสหัวไปได้แล้ว”
ยามเมื่อผู้อาวุโสวันได้ยินเสียงนั้น เขาก็ตะเกียกตะกายออกไปจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยในสภาพที่ราวกับว่าเขาเดินทางมาโดยไม่ได้อะไรเลยมาหลายครั้งก่อนที่จะจากที่นี่ไปอย่างแท้จริง
หลังจากนั้น เซียวลี่ก็ใช้ความเร็วอันไร้ผู้เปรียบของเธอและหายไปจากบริเวณนั้นก่อนที่โหลวหลานจีจะทันได้สังเกตเธอ
“ข-ขอบคุณสำหรับการปกป้องสถานที่ไร้ค่าแห่งนี้ ผู้อาวุโส”
โหลวหลานจีคุกเข่าต่อฟ้า แต่อนิจจา เสียงนั้นไม่คืนกลับมา
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นเงาร่างคนประมาณร้อยคนก็ตรงเข้ามาหาโหลวหลานจีอย่างรวดเร็ว
“ผู้นำนิกาย ท่านเป็นไรหรือเปล่า”
เมื่อผู้อาวุโสจ้าวสังเกตเห็นโหลวหลานจีขดตัวอยู่บนพื้น ความคิดแรกของเขาก็คือเธอได้รับบาดเจ็บ
อย่างไรก็ตามเมื่อตรวจสอบอย่างใกล้ชิดผู้อาวุโสจ้าวก็ตระหนักว่าโหลวหลานจีเพียงคุกเข่าต่อท้องฟ้าว่างเปล่า
แม้ว่านั่นดูจะแปลกประหลาดอยู่บ้างผู้อาวุโสจ้าวตัดสินใจไม่สนใจและถามเกี่ยวกับสถานการณ์แทน “นิกายล้านอสรพิษไปไหน อีกทั้งแรงกดดันที่ยากจะหยั่งที่ข้าเพิ่งรู้สึกได้เมื่อไม่กี่นาทีก่อนคืออะไร”
โหลวหลานจีเงยหน้าขึ้นและชี้ไปยังแอ่งเลือดที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่เมตรและกล่าวว่า “นั่นเป็นสิ่งที่เหลือทิ้งไว้ของนิกายล้านอสรพิษ”
“ท่านว่ากระไร”
ทุกคนที่นั่นต่างพากันตื่นตระหนกถึงที่สุดเมื่อเห็นเลือดสดๆบนพื้น
ความโหดเหี้ยมประเภทไหนที่เกิดขึ้นที่นี่กัน นี่ไม่มีแม้กระทั่งแขนขาสักข้างในสายตา และนี่ดูเหมือนฉากฆาตกรรมที่ย้ายร่างคนตายออกไปแล้ว
“ข้าจักอธิบายทุกสิ่งทีหลัง แต่ตอนนี้ เราต้องเน้นในการทำให้เหล่าศิษย์สงบลงก่อนเป็นอันดับแรก” โหลวหลานจีกล่าว เธอไม่รู้แม้แต่น้อยถึงความจริงที่ว่าศิษย์แทบทุกคนของเธอได้ละทิ้งสถานที่แห่งนี้หลังจากรู้ว่าพวกเขาถูกโจมตีโดยนิกายล้านอสรพิษ
“เรื่องนั้น…”
ผู้อาวุโสจ้าวไม่มั่นใจเท่าไหร่นักว่าจะบอกให้เธอรู้ได้อย่างไรโดยไม่ทำให้เธอเสียใจมากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาเพิ่งรอดชีวิตจากการโจมตีจากนิกายล้านอสรพิษ
โหลวหลานจีขมวดคิ้วหลังจากที่เห็นผู้อาวุโสจ้าวมีสายตาลังเลและเงียบไป ความรู้สึกที่เป็นลางร้ายก็ปรากฏขึ้นในใจเธอ
“ทำไมท่านจึงไม่พูด อย่าบอกข้าว่ามีบางสิ่งเกิดขึ้นกับเหล่าศิษย์”
โหลวหลานจีเพิ่มเสียง ฟังดูเหมือนจะตระหนกอยู่บ้าง
เมื่อเห็นว่าผู้อาวุโสจ้าวไม่อาจแจ้งข่าวร้ายให้กับเธอได้ ผู้อาวุโสซุนก็ก้าวออกมาและพูดว่า “แม้ว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเหล่าศิษย์ แต่ข้าก็มีข่าวร้ายบางอย่าง…”
ผู้อาวุโสซุนได้จัดการอธิบายโหลวหลานจีว่าศิษย์ส่วนใหญ่ได้ตัดสินใจจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเพราะว่าเหตุการณ์นี้ ซึ่งทำให้หัวใจของโหลวหลานจีเต็มไปด้วยความเจ็บปวดสุดพรรณา
สุดท้ายศิษย์ทุกคนก็เหมือนกับสมาชิกครอบครัวของโหลวหลานจี และเมื่อเห็นพวกเขาทั้งหมดละทิ้งสถานที่นี้เพราะว่าพวกเขากลัวนิกายล้านอสรพิษ เธอก็ไม่รู้ควรจะหัวเราะเยาะกับการไร้ความสามารถของเธอในฐานะผู้นำนิกายหรือว่าร้องไห้เสียใจดี
กล่าวไปแล้วโหลวหลานจีไม่ได้กล่าวโทษเหล่าศิษย์ที่ต้องการจากไป ในเมื่อเธอเข้าใจความรู้สึกของพวกเขาในความต้องการที่จะรอดชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาต้องเผชิญกับชะตากรรมที่ดูเหมือนจะหลีกเลี่ยงไม่ได้นอกจากการจากไป
ในเวลานั้นเมื่อเซียวไป่ซึ่งได้ซ่อนตัวอยู่ในมุมหนึ่งหลังจากหนีออกมาจากการหน่วงเหนี่ยวของผู้อาวุโสวันมองเห็นฟางซีหลานอยู่ในกลุ่ม เธอพลันวิ่งไปหาอีกฝ่ายพร้อมกับร่ำร้องอย่างเป็นสุข
“เซียวไป่”
ฟางซีหลานพลันสังเกตเห็นเซียวไป่วิ่งไปหาและกอดเธอ ท่าทางเศร้าโศกที่เคยติดอยู่บนใบหน้าเธอพลันหายไปอย่างง่ายดาย
“นั่นเป็นวิญญาณพิทักษ์รึ”
ผู้อาวุโสซุนและคนอื่นๆต่างพากันมองไปยังเซียวไปด้วยความรู้สึกหลากหลายในดวงตา ในเมื่อเธอเป็นเหตุผลที่พวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ในตอนนี้
ไม่นานหลังจากนั้น หลังที่โหลวหลานจีเยือกเย็นลงบ้างแล้ว เธอก็มองดูยังศิษย์ที่ยังเหลืออยู่และถามว่า “ศิษย์ทั้งหมดได้จากไปแล้วรึ”
“ช่างโชคร้ายนัก…”
ผู้อาวุโสจ้าวพยักหน้า
โหลวหลานจีจ้องไปยังเหล่าศิษย์ที่เหลือด้วยสายตาเปี่ยมอารมณ์ที่เต็มไปด้วยความขอบคุณ
“ขอบคุณสำหรับศิษย์ที่ยังคงจงรักที่ยังเหลืออยู่ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยแม้ว่าจะถูกนิกายล้านอสรพิษคุกคาม อีกทั้งการไร้ความสามารถในฐานะผู้นำนิกายของข้าที่ปล่อยให้เหตุการณแบบนี้เกิดขึ้น…”
โหลวหลานจีพลันก้มศีรษะให้กับพวกเขา บางสิ่งที่ไม่มีศิษย์คนใดที่นั่นจะจินตนาการว่าจะได้รู้เห็นเป็นพยานในสิ่งนี้ในชีวิตของพวกเขา
หลังจากที่บรรดาศิษย์ได้ยอมรับคำขอโทษจากเธออย่างนอบน้อมแล้ว โหลวหลานจีพลันตระหนักว่าซูหยางไม่ได้อยู่ในกลุ่มศิษย์เหล่านี้ และเธอได้แต่แอบถอนใจ
“เป็นว่าเขาก็ตัดสินใจจากไปเช่นกัน เฮ้อ”
แม้ว่าเธอไม่ต้องการยอมรับ แต่การที่ซูหยางจากไปนั้นก็ทำให้เธอเจ็บปวดในใจมากกว่าศิษย์อื่นรวมกันทั้งหมด
“อย่างไรก็ตามเราไปพูดกันในที่ที่เหมาะสมกว่านี้” เธอกล่าวกับพวกเขาหลังจากเก็บซ่อนความคิดทั้งหมดเกี่ยวกับซูหยางไว้ในใจและปาดน้ำตาทิ้ง
DC บทที่ 263: การตายอย่างฉับพลัน
ยามเมื่อเซียวลี่ลดตัวลงจากฟากฟ้าด้วยรูปร่างที่แท้จริง สายตาทั้งมวลที่จับจ้องยังตัวเธอล้วนเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นระคนความชื่นชม ในเมื่อไม่มีใครสักคนที่นั่นเคยเห็นเด็กหญิงที่สวยงามเช่นนั้นมาก่อน
แม้จะดูเหมือนว่าเธออายุประมาณสิบสามปี ความงามของเซียวลี่ก็เหนือเกินกว่าแม้กระทั่งโหลวหลานจีไปหลายเท่า และผู้คนก็ได้เพียงแต่จินตนาการว่าเธอจะโตขึ้นเป็นเทพธิดาอย่างไรเมื่อเป็นผู้ใหญ่เท่านั้น
อย่างไรก็ตามแม้ว่าจอมยุทธจากนิกายล้านอสรพิษต้องการที่จะยืนอยู่ที่นั่นตลอดวันเพื่อชื่นชมความงามของเซียวลี่แต่กลิ่นอายกระหายเลือดก็ปลุกให้พวกเขาแตกตื่นกลับคืนมาสู่ความเป็นจริงอย่างรวดเร็ว
“ธ-ธ-เธอกำลังเหาะ”
หนึ่งในจอมยุทธรีบตั้งข้อสังเกต
มีเพียงผู้ฝึกวิชาเขตราชันย์วิญญาณขึ้นไปเท่านั้นที่มีความสามารถในการบินบนท้องฟ้าด้วยปราณไร้ลักษณ์ของตนเอง แต่ในที่แห่งนี้ที่เขตอัมพรวิญญาณเป็นระดับสูงสุด มีน้อยคนนักที่จะรู้จักเขตการฝึกปรือระดับนั้น
กล่าวไปแล้วเพราะว่าเขามีความรู้กว้างขวาง ผู้อาวุโสวันจึงพลันนึกขึ้นได้ว่าเซียวลี่เป็นผู้ฝึกวิชาระดับราชันย์วิญญาณ
“ร-ร-ราชันย์ นั่นเป็นราชันย์จริงๆ เหตุใดจึงมีสิ่งมีชีวิตในตำนานปรากฏตัวอยู่ในที่แห่งนี้ อีกทั้งยังปกป้องนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยที่ไม่สำคัญนี้ได้อย่างไร”
เท่าที่เขารู้ ผู้ฝึกวิชาเขตราชันย์วิญญาณมีเพียงในตำนาน อย่างไรก็ตามหลังจากเห็นความสามารถในการบินของเซียวลี่และรับรู้ถึงพลังกดดันอันรุนแรงของเธอ เขาจึงได้แต่มีเพียงข้อสรุปเช่นนั้น
ขณะที่ผู้อาวุโสวันกำลังประสบกับความตื่นตระหนกของชีวิตตนเอง เท้าเล็กๆของเซียวลี่สุดท้ายก็สัมผัสพื้น
เธอมองดูเหล่าจอมยุทธจากนิกายล้านอสรพิษด้วยสีหน้าเรียบเฉย ที่ดูเหมือนเย็นชาถึงที่สุดในมุมมองของพวกเขา
“พวกเจ้าทำให้นายข้าอารมณ์เสีย ดังนั้นข้าจักต้องฆ่าพวกเจ้า”
หลังจากพูดคำพูดเหล่านั้นแล้ว โดยไม่จำเป็นต้องปล่อยให้บรรดาจอมยุทธได้มีปฏิกิริยา เซียวลี่สะบัดชายเสื้อ เกิดเป็นเสี้ยวปราณไร้ลักษณ์ที่คล้ายกับคมมีดที่มองไม่เห็นตวัดผ่านพื้นที่ตรงไปยังจอมยุทธทั้งสามสิบคน
คมปราณไร้ลักษณ์เคลื่อนด้วยความเร็วที่เร็วมากจนกระทั่งไม่มีใครจากนิกายล้านอสรพิษจะสามารถทันได้มีปฏิกิริยาใด ในเวลาไม่ถึงครึ่งวินาทีมันก็เฉือนเอาศีรษะเก้าหัวออกจากตัวในกลุ่มจอมยุทธที่กำลังหวาดกลัว
ผู้อาวุโสวันและคนอื่นรู้สึกหนาวเยือกไปทั่วไขสันหลัง ร่างกายของพวกเขาสั่นสะท้านอย่างไม่อาจควบคุมได้ด้วยความสยดสยอง
เพียงแค่กระพริบตา หนึ่งในสามของกลุ่มพวกเขาก็ถูกฆ่า
นี่เป็นพลังอำนาจอันไร้เหตุผลประเภทไหนกัน ต้องเป็นสัตว์ประหลาดประเภทไหนจึงสามารถฆ่าจอมยุทธเขตปฐพีวิญญาณเก้าคนด้วยเพียงแค่การสะบัดชายเสื้อของเธอและทำเหมือนกับว่าพวกเขาเป็นมดจริงๆ
“อาาาา”
จอมยุทธจากนิกายล้านอสรพิษบางคนพลันกรีดร้องด้วยเสียงหวาดกลัวหลังจากเห็นภาพนั้น กระทั่งล้มลงก้นจ้ำเบ้า บางคนก็ถึงกับฉี่ราดกางเกงหลังจากเห็นความแข็งแกร่งอันน่ากลัวของเซียวลี่
อย่างไรก็ตามความจริงก็คือเซียวลี่แทบจะไม่ได้ใช้ความแข็งแกร่งของเธอเลย เธอเพียงแค่เล่นสนุกกับคนเหล่านี้ ถ้าเธอต้องการฆ่าพวกเขาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้จริงๆ สิ่งที่เธอจำเป็นต้องทำก็คือจามออกมาด้วยเพียงไม่ต้องถึงครึ่งของพลังการฝึกปรือของเธอ และคนเหล่านี้ที่ได้ถูกขนานนามว่า “จอมยุทธ” ก็จะถูกลบออกไปจากพื้นผิวของโลกนี้
หลังจากฆ่าไปเก้าคน เซียวลี่ก็หันไปดูคนที่เหลืออีกยี่สิบ สายตาของเธอเต็มไปด้วยความบันเทิง
ถึงแม้ว่าแมวภูติเป็นสัตว์ที่เชื่องตามธรรมชาติและยากที่จะฆ่าใครสักคน แต่ยามเมื่อพวกเธอเริ่มฆ่า นั่นมักจะเป็นเหตุให้เกิดการนองเลือดในที่สุด และนี่ยิ่งเป็นจริงกับจอมแมวภูติ นี่เป็นเหตุว่าทำไมผู้คนส่วนใหญ่จึงอยู่ห่างไกลจากพวกเธอ ในเมื่อพวกเธอไม่เพียงยากที่หาแต่พวกเธอยังอันตรายมากถ้าถูกล่วงเกิน
“ร-ร-รอสักครู่…ร-เรามาพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้กันเถอะ”
ผู้อาวุโสวันตะโกนขึ้นไปบนท้องฟ้าแทนที่จะเป็นเซียวลี่ ในเมื่อเธอเพียงรับคำสั่งจากเสียงลึกลับ
“ร-เรามิเพียงปล่อยนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยไปนับแต่บัดนี้เป็นต้นไปแต่เรายังจะลืมความจริงที่ว่าคนของเราทั้งเก้าได้ตายในวันนี้ที่นี่ ส่วนสำหรับวิญญาณพิทักษ์ ท่านสามารถสามารถเอามันกลับไปได้”
ผู้อาวุโสวันย่อมยอมละทิ้งวิญญาณพิทักษ์ดีกว่าไปล่วงเกินผู้ฝึกวิชาเขตราชันย์วิญญาณมากกว่านี้ ส่วนที่ว่าผู้นำนิกายล้านอสรพิษจะคิดอย่างไรเกี่ยวกับการกระทำของเขานั้น เขาจะต้องกลับไปรายงาน ถ้าเขาสามารถกลับไปอย่างมีชีวิต
อย่างไรก็ตามเสียงลึกล้ำนั้นเพียงแค่หัวเราะด้วยท่าทางเยาะหยัน
“ถ้าข้าฆ่าพวกเจ้าทั้งหมดวันนี้ที่นี่ ข้าก็จักได้ผลลัพธ์เดียวกัน”
ผู้อาวุโสวันสั่นสะท้านเมื่อได้ยินคำพูดเหี้ยมโหดนั้น ดูเหมือนว่าผู้อาวุโสคนนี้อันตรายยิ่งกว่าที่เขาคาดคิดไว้
“ทำไมท่านต้องทำเกินไปเช่นนี้ จะมีประโยชน์อะไรที่ท่านจักได้รับจากการฆ่าพวกเรา นั่นเพียงทำให้นิกายล้านอสรพิษโกรธยิ่งขึ้น ตามจริงทั้งนิกายล้านอสรพิษจะมาที่นี่ภายในวันพรุ่งนี้ถ้าไม่มีพวกเราคนใดกลับไป”
“ฮ่าฮ่าฮ่า…ช่างเป็นคำพูดที่คุ้นเคยที่ข้าเคยได้ยินมาจากที่ไหนมาก่อน โอ ใช่แล้ว…นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้ขอร้องเจ้าเช่นเดียวกันนี้เมื่อเก้านาทีก่อน…”
ความหวังที่จะรอดชีวิตของผู้อาวุโสวันเกือบทั้งหมดล้วนแตกสลายหลังจากได้ยินเสียงพูดนั้น มันชัดเจนสำหรับเขาที่ว่าพวกเขาได้ล่วงเกินเสียงนั้นจนถึงขั้นที่ว่าลำพังความเมตตาไม่ใช่ตัวเลือกสำหรับเขาอีกต่อไป
อย่างไรก็ตามขณะที่เขาคิดเช่นนั้น เสียงนั้นก็พูดต่อว่า
“อย่างไรก็ตามเจ้าพูดบางอย่างถูกต้อง ถ้ามิมีใครสักคนจากกลุ่มพวกเจ้ากลับไปเตือนพวกเขา ข้าจักต้องฆ่าทั้งนิกายล้านอสรพิษทิ้ง แต่ใช่ว่าข้าจะมีปัญหากับสิ่งนั้นแต่อย่างใด”
“เช่นนั้น..”
ขณะที่ผู้อาวุโสวันรู้สึกมีความหวังขึ้นมาบ้างนั้น เสียงนั้นพลันตบหน้าเขาด้วยถ้อยคำอันโหดร้าย
“เซียวลี่ฆ่าพวกมันทั้งหมดยกเว้นเขา”
ในวินาทีถัดไปก่อนที่ผู้อาวุโสวันจะทันได้มีปฏิกิริยาใด เซียวลี่พลันสะบัดชายเสื้ออีกครั้ง จนทำให้เกิดริ้วคลื่นแพร่กระจายออกไป เกือบคล้ายกับตอนที่ก้อนหินตกลงไปในน้ำนิ่ง
คลื่นเคลื่อนไปด้วยความเร็วอันเหลือเชื่อและทันทีที่มันสัมผัสกับจอมยุทธจากนิกายล้านอสรพิษร่างของพวกเขาทั้งหมดก็ระเบิดออกเป็นเลือดเลอะเลือน เกิดเป็นละอองเลือดสดโปรยปรอย
ในแทบจะทันทีทุกคนยกเว้นเพียงหนึ่งจากนิกายล้านอสรพิษถูกลบตัวตนออกไปโดยไม่มีแม้โอกาสจะกรีดร้อง
ผู้อาวุโสวันรู้สึกว่าสภาพจิตใจของตนเองล้มเหลวเมื่อชุดสีเขียวเข้มของเขาย้อมไปด้วยเลือดสดของศิษย์ร่วมสำนัก และเขาได้แต่ยืนอยู่ที่นั่นนับเนิ่นนาน เงียบงันและแข็งทื่อราวกับรูปปั้นจริงๆ
DC บทที่ 262: ฆ่ามันทั้งหมด
“ป-โปรดรอชั่วครู่”
โหลวหลานจีเพิ่มเสียงของเธอด้วยความตื่นกลัว
“ทำไมท่านจึงต้องทำเกินไป ท่านจักมิได้อะไรไปนอกจากทำลายสถานที่เช่นพวกเรา”
ผู้อาวุโสวันส่ายหน้าและกล่าวว่า “เจ้าพูดถูกเราจักมิได้อะไรถึงแม้กระทั่งเราปล้นที่นี่ทั้งหมด อย่างไรก็ตามในฐานะผู้นำนิกาย เจ้าควรจะรู้เป็นอย่างดีว่ายุทธภพเป็นอย่างไร ถ้าเราปล่อยพวกเจ้าทิ้งไว้เช่นนี้ นั่นจักทำให้นิกายล้านอสรพิษดูเหมือนเป็นสถานที่ที่มีแต่คนขี้ขลาด และที่อื่นๆก็จักถือโอกาสเอาเปรียบในเรื่องนั้น”
โหลวหลานจีไม่สามารถปฏิเสธคำพูดของเขา ในยุทธภพ ไม่ว่าคนผู้นั้นจะแข็งแกร่งแค่ไหน ถ้ามีจุดอ่อนเพียงนิดเดียวให้เห็น นั่นก็จะถูกเอาเปรียบจากคนอื่น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานที่ที่มีความสำคัญอย่างมากเช่นนิกายล้านอสรพิษ ที่มีทั้งตำแหน่งและอำนาจ ซึ่งมีผู้คนนอกนั้นที่ค้นหาจุดอ่อนเหล่านั้นทุกวันเพื่อหาทางเอาเปรียบพวกเขา
“และแม้ว่านี่อาจจะดูเหมือนสถานการณ์ที่สามารถซุกซ่อนไว้ เจ้ามิรู้หรอกว่าใครอาจจะเฝ้าดูอยู่…”
โหลวหลานจีเลิกล้มความหวังทั้งมวลหลังจากได้ยินคำพูดสุดท้ายของผู้อาวุโสวัน
“อย่างน้อยยอมให้ข้าแบกรับการลงโทษทั้งหมด ท่านสามารถทรมานข้าตามที่ต้องการหรือกระทั่งเอาชีวิตข้า เพียงแค่ปล่อยให้ศิษย์ของข้าไปจากที่นี่”
ดวงตาของผู้อาวุโสวันมีประกายความเย็นชาวาบขึ้น เขาพูดว่า “ช่างโชคร้าย การแสดงความเห็นใจต่อคนแบบพวกเจ้าก็ถือว่าเป็นสัญญาณของความอ่อนแอเช่นกัน”
จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นและตวัดลงไปเหมือนธง
“ฆ่าทุกสิ่งมีชีวิตในที่แห่งนี้ ข้าต้องการให้แม้กระทั่งลูกไก่ยังต้องตาย”
ผู้อาวุโสวันสั่ง
“ม-ไม่มีทาง…” โหลวหลานจีล้มลงไปนั่งคุกเข่าขณะที่กว่าสามสิบจอมยุทธตรงเข้าไปหาเธอด้วยท่าทางกระหายเลือด สีหน้าของเธอซีดเผือด ดูเหมือนว่าเลือดทุกหยดในร่างของเธอถูกสูบไป
“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้ารอสิ่งนี้อยู่”
“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย พวกเจ้าได้แต่โทษตัวเองที่พยายามจะเก็บวิญญาณพิทักษ์ไว้เป็นของตนเอง”
“อย่างไรก็ตามสิ่งที่ถือเป็นการล่วงละเมิดมากที่สุดก็คือเจ้าโกหกต่อนิกายล้านอสรพิษ”
จอมยุทธต่างพากันหัวเราะขณะที่กลิ่นอายความต้องการฆ่าฟ้นระเบิดออก
ขณะที่โหลวหลานจีล้มลงไปบนพื้นจากความกดดัน คลื่นพลังกระแสหนึ่งพลันกวาดผ่านสถานที่นั้น นำพาเสียงอันลึกล้ำที่ดูเหมือนว่าเป็นของพระเจ้า
“ผู้ “แข็งแกร่ง” ใช้ข้ออ้างข่มเหงผู้อ่อนแอ กี่ครั้งแล้วที่ข้าได้ประจักษ์กับฉากแบบนี้มาก่อนหน้านี้…”
ผู้อาวุโสวันขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงและเห็นริ้วคลื่น
“ใครอยู่ที่นั่น จงแสดงตนออกมา”
“แสดงตัวของข้ารึ เจ้าเป็นใครจึงมาสั่งข้า”
เสียงนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกของความมีอำนาจเหนือกว่าอย่างแท้จริงราวกับว่าเป็นเสียงของผู้ปกครองสถานที่
“เจ้ามิมีค่าพอที่จะมาอยู่ต่อหน้าข้า อย่าว่าแต่จะขอพบข้า เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกันวะ”
เสียงนั้นพลันระเบิดความโกรธออกมา ดุจดังฟ้าคำรามระหว่างพายุหนัก
ครั้นเมื่อเสียงนั้นเพิ่มความดัง ริ้วคลื่นก็เพิ่มขึ้นด้วย จนทำให้กลิ่นอายอันลึกล้ำน่าหวาดหวั่นปกคลุมไปทั่วนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
เมื่อผู้อาวุโสวันและคนอื่นๆจากนิกายล้านอสรพิษรับรู้ถึงแรงกดดันนี้ ใบหน้าของพวกเขาพลันซีดเผือด เมื่อสุดท้ายพวกเขาตระหนักว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเสียงนี้เหนือกว่าที่ตนเองคาดคิดไว้มาก
สำหรับโหลวหลานจี เธอจ้องมองไปยังท้องฟ้าด้วยท่าทางตื่นตะลึง
“เสียงนี้…ผู้อาวุโสรึ”
ดวงตาของโหลวหลานจีเริ่มมีประกายความหวัง
“ก-เกิดอะไรขึ้น เสียงนี้เป็นใครกัน”
จอมยุทธนิกายล้านอสรพิษต่างพากันถอยกลับยังข้างตัวผู้อาวุโสวันทันที ท่าทางของพวกเขาเต็มไปด้วยความตระหนกและหวาดกลัว
“นรก ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่ามีตัวตนเช่นนี้ดำรงอยู่ในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยด้วย”
ผู้อาวุโสวันรู้สึกอยากจะตะโกนร้องเสียงดัง
ถ้าจะกล่าวไปแล้ว เขาไม่เชื่อว่าคนเพียงคนเดียวจะสามารถสั่นคลอนนิกายล้านอสรพิษทั้งนิกายได้ ดังนั้นเขาจึงพูดขึ้นว่า “ข้ามิรู้ว่าท่านผู้อาวุโสท่านใดที่พูดอยู่ แต่พวกเรามาจากนิกายล้านอสรพิษจากแดนตะวันตก”
ผู้อาวุโสวันเชื่อว่าไม่มีทางที่ตัวตนอันทรงพลังนั้นจะไม่รู้จักนิกายล้านอสรพิษ
อย่างไรก็ตามเสียงนั้นเพียงแค่เย้ยหยันอย่างเยือกเย็นกับชื่อนั้น “เจ้าพยายามที่จะทำให้ข้ากลัวหรืออะไรประเภทนั้นกับสถานที่ที่เต็มไปด้วยมดเช่นเจ้านะรึ”
“ม-ม-มด… ท่านกล้าสบถใส่นิกายล้านอสรพิษรึ”
ผู้อาวุโสวันพึมพัมด้วยเสียงงงงัน
ไม่กี่วินาทีถัดไป ผู้อาวุโสวันก็ระเบิดความโกรธออกมา เขาตะโกนขึ้นไปบนท้องฟ้า
“ข้ามิสนใจว่าเจ้าเป็นใคร ความจริงที่เจ้ามิกล้าเสนอหน้าหมายความว่าเจ้ากลัวที่จะเผยตัวตนให้กับพวกเรา”
เขาพลันหันไปยังจอมยุทธที่อยู่ข้างกายและตะโกนว่า “อย่าไปสนใจเขา เขามิสามารถทำอะไรพวกเราได้ถ้าเขามิสามารถกระทั่งแสดงตัว ฆ่าทุกคนที่นี่และบีบเขาออกมาจากรูอะไรที่เขาซ่อนอยู่”
จอมยุทธรู้สึกลังเลในตอนแรก แต่เมื่อครั้นพวกเขานึกขึ้นได้ว่าพวกเขามีมากถึงสามสิบคนขณะที่อีกฝ่ายมีเพียงคนเดียว ความกระหายเลือดของพวกเขาก็ฟื้นคืนและเข้มข้นยิ่งกว่าเดิม
“เช่นนั้นรึ…ช่างน่าเสียดาย”
เสียงนั้นก้องดังขึ้นมาอีกครั้ง แต่คราวนี้กลับเปี่ยมไปด้วยความสงบนิ่ง ก่อนที่จะเงียบไป
ไม่นานนักหลังจากความเงียบ เสียงนั้นก็กลับมาอีกอย่างราบเรียบไร้อารมณ์
“ฆ่ามันให้หมด”
เสียงนั้นพูดเพียงสี่คำ แต่ยามเมื่อเสียงนั้นดังขึ้น บรรยากาศทั้งหมดพลันเปลี่ยนแปลง
จิตสังหารพลันครอบคลุมไปทั้งทั่วทั้งบริเวณนั้นในทันที พร้อมกับแรงกดดันอันทรงพลังที่ไม่มีคนไหนจากนิกายล้านอสรพิษได้ประสบมาก่อน
แรงกดดันนี้พลันทำให้จอมยุทธจากนิกายล้านอสรพิษพากันหยุดชะงัก อีกทั้งยังบีบพวกเขาให้ล้มลงบนพื้นจากแรงกดดันอันบ้าคลั่งที่ทะลักทะลวงเข้าใส่พวกเขาดุจขุนเขา
ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น ร่างเล็กๆก็ปรากฏให้เห็นจากเหนือเมฆบนฟ้า
นั่นเป็นเด็กหญิงที่สวยที่สุดด้วยรูปร่างกระทัดรัดและผมสีเงินดวงตาสีเงินประดุจเทพธิดาตัวจริงที่เสด็จลงมาจากสวรรค์
ความสวยของเธอพลันทำให้เหล่าจอมยุทธจากนิกายล้านอสรพิษพากันตะลึงงันจนทำให้พวกเขาลืมจุดประสงค์ของตนเอง เนื่องจากพวกเขาไม่เคยเห็นสิ่งมีชีวิตที่สวยงามไร้ที่ติเช่นนี้มาก่อน
“น-นั่นเป็นใคร”
กระทั่งโหลวหลานจีก็ยังตะลึงงันกับหน้าตาของเธอ
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 261
DC บทที่ 261: เหล่าศิษย์จากไปทุกทิศทาง
ทุกสิ่งเกิดขึ้นจากการที่มีคนหนึ่งคนตัดสินใจที่จะจากไป และภายในไม่กี่นาทีนับตั้งแต่ศิษย์คนแรกตัดสินใจไป ศิษย์กว่าครึ่งที่นั่นก็ได้ติดตามไปและละทิ้งนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย เลือกชีวิตตนเองไว้ก่อนที่แห่งนี้ที่ควรถือว่าเป็นบ้านของพวกเขา
ในใจของพวกเขานั้นถือว่าไม่คุ้มค่าที่จะสละชีวิตของตนเองไปกับการต่อสู้ที่ไม่มีวันชนะกับนิกายล้านอสรพิษ
ตามความเป็นจริงแม้ว่าผู้อาวุโสนิกายที่นั่นต่างพากันปวดใจกับบรรดาศิษย์ตัดสินใจที่จะจากไป แต่ก็ไม่มีผู้อาวุโสนิกายคนไหนที่ถือโทษอีกฝ่ายสำหรับการกระทำนั้น ในเมื่อพวกเขาเองก็อยู่ในสถานการณ์ที่ดูเหมือนหมดสิ้นความหวัง
ที่เลวร้ายไปกว่านั้น หลังจากนั้นไม่กี่นาที เหล่าศิษย์และผู้อาวุโสนิกายก็ได้ตัดสินใจละทิ้งตัวตนในฐานะคนของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเพิ่มขึ้นกว่าเดิม
หากเป็นเช่นนี้ต่อไปต่อให้นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยสามารถรอดพ้นจากการปะทะกับนิกายล้านอสรพิษ ศิษย์เกือบทั้งหมดก็จะไม่มีเหลืออยู่หลังจากนั้น และนิกายจะทำอย่างไรถ้าไม่มีศิษย์อยู่คอยจัดการ
“ศิษย์น้องหญิงฟาง เราไปด้วยกันเถอะ การที่ล่วงเกินสถานที่แบบนิกายล้านอสรพิษนั้นสถานที่นี้ตกอยู่ในหายนะแล้วไม่ว่าเราจะรอดพ้นวันนี้ไปหรือไม่”
ยวินหนานเตียนกล่าวกับเธอ เขาเองก็เตรียมตัวจากไป แต่กระทั่งในช่วงเวลาสุดท้ายเขาก็ยังต้องการให้เธอยอมรับเขา บางทีอาจจะจากไปพร้อมเขาและเริ่มชีวิตใหม่ด้วยกันในสำนักอื่น และด้วยพรสวรรค์ของพวกเขา ยังมีสำนักอีกมากมายที่ปรารถนาที่จะรับพวกเขาโดยไม่สนใจเบื้องหลังของพวกเขา
อย่างไรก็ตามฟางซีหลานส่ายหน้า
เธอไม่ให้เหตุผลอะไรกับยวินหนานเตียนแม้สักข้อ แต่ตัวเธอเองรู้สึกว่าทั้งหมดนี้เป็นความผิดพลาดของเธอ ถ้าเธอไม่พบกับเซียวไป่และนำเธอกลับมายังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย สิ่งเหล่านี้คงไม่เกิดขึ้น
“ต่อให้ข้าต้องตายที่นี่ในวันนี้ ข้าก็จักมิจากที่นี่ไป”
ฟางซีหลานกล่าวกับตัวเธอเองในใจ สายตาของเธอเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว
ในเวลานั้นหลานลี่ชิงมองดูไปรอบๆค้นหาซูหยางแต่ไม่สามารถพบเขา
“อย่าบอกข้าว่าเขาตัดสินใจจากไปเช่นกัน” เธอถอนหายใจ
เพราะว่าสถานการณ์เช่นนี้ ศิษย์ทุกคนจากตำหนักโอสถได้ตัดสินใจจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยไป ทิ้งเธอไว้ตามลำพัง
ถึงแม้ว่าเธอก็ต้องการจากไปเพื่อให้ชีวิตของเธอคงอยู่ แต่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ได้ทำทุกสิ่งมากมายเหลือเกินต่อเธอจนยากที่จะทอดทิ้งไปได้ง่ายๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเจ้านิกายหลายคนก่อนได้ชุบเลี้ยงเธอจนเธอยังคงมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้
หลังจากเวลาผ่านไปหลายนาทีหลังจากนั้น ก็มีเพียงศิษย์และผู้อาวุโสนิกายไม่กี่สิบคนที่ยังคงอยู่ในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ส่วนใหญ่แล้วเป็นคนที่ไม่มีที่จะไป
ผู้อาวุโสจ้าวมองดูศิษย์ที่ยังเหลืออยู่และยิ้ม
“เป็นโอกาสสุดท้ายแล้วที่พวกเจ้าจะจากไป” เขากล่าว
อย่างไรก็ตามเหล่าศิษย์ต่างพากันส่ายหน้า
“ต่อให้ข้าไป ก็คงไม่มีที่ไหนให้ข้าไป”
“ข้าเป็นหนี้นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมากเกินไปที่จะละทิ้งไปง่ายๆ ต่อให้ชีวิตข้าต้องเสี่ยงก็ตาม”
“นั่นเป็นสิ่งที่ข้าอยากได้ยิน” ผู้อาวุโสจ้าวพยายามหัวเราะแม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวัง
“เช่นนั้นก็ดี ถ้าพวกเรารอดได้ในวันนี้ ข้าจักให้พวกเจ้าทุกคนเป็นศิษย์หลักต่อให้ข้าต้องขอร้องผู้นำนิกายก็ตาม”
“ตอนนี้พวกเราไปพบกับผู้นำนิกายกันเถอะ”
ในเมื่อมีเพียงพวกเขาไม่กี่คนเหลืออยู่ ผู้อาวุโสจ้าวได้ตัดสินใจที่จะนำทุกคนที่นั่นไปกับเขาเพื่อพบกับโหลวหลานจี
–
–
–
ตรงบริเวณทางเข้ายามเมื่อนิกายล้านอสรพิษมาถึงพวกเขาก็เข้ามาด้วยกำลังโดยการระเบิดประตูทางเข้าทิ้ง
เมื่อเข้ามาในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย คนจากนิกายล้านอสรพิษก็ได้รับการต้อนรับจากหญิงสาวสวยยืนอยู่ไม่กี่เมตรห่างออกไป และในมือของเธอก็เป็นลูกเสือสีขาว
“วิญญาณพิทักษ์”
เมื่อนิกายล้านอสรพิษเห็นเซียวไป่ สายตาของพวกเขาก็ถลนด้วยความตื่นเต้น หลังจากการค้นหาหลายเดือน ในที่สุดพวกเขาก็พบมัน
ผู้อาวุโสวันจากนิกายล้านอสรพิษก้าวออกมาข้างหน้าและพูดขึ้นว่า “สหายเต๋า…นี่หมายความว่าอะไร”
เขาตัดสินใจยอมให้โหลวหลานจีอธิบายตัวเอง แต่นั่นก็เพื่อเพียงแค่ความสนุกส่วนตัวของเขาเท่านั้น
“…”
โหลวหลานจียังคงเงียบไปชั่วขณะก่อนที่จะพูดเสียงดัง “ข้ามิมีข้อแก้ตัวในวันนี้และมิได้วางแผนที่จะทำให้ทุกสิ่งยุ่งยากสำหรับนิกายล้านอสรพิษ ดังนั้นนี่คือวิญญาณพิทักษ์ที่พวกท่านตามหา”
โหลวหลานจีพลันวางเซียวไป่ลงบนพื้นและก้าวถอยหลัง
“ทุกสิ่งที่ข้าขอพวกท่านก็คือปล่อยนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยไป ถ้าพวกท่านยังมิพอใจ ข้ายินดียอมรับการลงโทษทั้งหมดคนเดียว”
โหลวหลานจีไม่ได้มีเจตนาที่จะสู้กับนิกายล้านอสรพิษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธอรู้ดีถึงโอกาสชนะ ตามความเป็นจริงนอกจากว่าพวกเขาบังคับให้สู้ นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจะไม่ยกอาวุธขึ้น
“นั่นเป็นคำขอที่มาจากคนที่โกหกต่อหน้าข้างั้นสินะ…”
ผู้อาวุโสวันหรี่ตา แสยะยิ้ม
โหลวหลานจีสั่นสะท้านเมื่อรับรู้ถึงจิตสังหารจากผู้อาวุโสวัน
“นั่นมิใช่เจตนาของข้าที่โกหกท่าน ในเมื่อท่านมาเยี่ยมอย่างกระทันหัน ตามจริงข้าได้วางแผนที่จะให้วิญญาณพิทักษ์แก่ท่านถึงแม้ว่าท่านจะมิได้กลับมาที่นี่ ถ้าเพียงข้ามีเวลาอีกสักสองสามวัน…”
“อืมม…”
ผู้อาวุโสวันเริ่มครุ่นคิด
“ตามลำดับ จับวิญญาณพิทักษ์ไว้ก่อนที่มันจะวิ่งหนีไปอีกครั้ง”
ผู้อาวุโสวันสั่งหนึ่งในคนของเขา
หนึ่งในผู้กล้าเขตปฐพีวิญญาณพลันตรงเข้าไปจับเซียวไป่ผู้ซึ่งไม่อาจต้านความแข็งแกร่งอันเหนือกว่าที่ใช้สะกดเธอไว้
เซียวไปเริ่มกรีดร้อง กระทั่งมองไปยังโหลวหลานจีเพื่อขอความช่วยเหลือขณะที่พุ่งตัวไปยังทางซ้ายและขวา แต่อนิจจาโหลวหลานจียังคงยืนนิ่งราวกับรูปปั้น
ครั้นเมื่อนิกายล้านอสรพิษได้รับเซียวไป่ ผู้อาวุโสวันก็กล่าวขึ้นว่า “ข้ายอมรับว่าเจ้าได้ทำให้สิ่งเหล่านี้ง่ายสำหรับพวกเรา แต่ทว่าความจริงที่เจ้าได้โกหกข้าและนิกายล้านอสรพิษยังอยู่ ข้ามิมีทางเลือกนอกจากทำให้มันเป็นเรื่องยุ่งยากให้แก่เจ้าเพื่อจะได้ถือเป็นตัวอย่างสำหรับผู้อื่นเพื่อที่สถานการณ์เช่นนี้จะได้มิซ้ำรอยในภายภาคหน้า”
โหลวหลานจีเบิกตากว้าง หัวใจของเธอบีบรัดแน่นจากความเครียดหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเขา แม้ว่าเธอไม่รู้ว่าผู้อาวุโสวันวางแผนอะไรไว้ แต่เธอก็รู้สึกได้ว่าคงไม่ใช่สิ่งดีแม้แต่น้อยสำหรับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 260
DC บทที่ 260: หลบหนีด้วยชีวิตพวกเขา
“ผู้อาวุโสจ้าว ท่านรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้าง”
ผู้อาวุโสซุนสังเกตเห็นปฏิกิริยาประหลาดของเขาจึงตัดสินใจถาม
ผู้อาวุโสซุนถอนใจและกล่าวว่า “มิมีประโยชน์ที่จะพยายามปิดบังในตอนนี้…ศิษย์คนหนึ่งของเราเกิดพบกับวิญญาณพิทักษ์เมื่อสองสามเดือนก่อน และพวกเราก็ได้เลี้ยงดูมันนับตั้งแต่นั้น อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่านิกายล้านอสรพิษย์ก็รู้เรื่องของมันด้วย ท่านคงจะรู้อยู่แล้วว่าวิญญาณพิทักษ์มีค่าเพียงใดและมีผู้คนมากมายเท่าไหร่ที่ยอมเสียสละเพื่อที่จะได้มันมาไว้ในมือ”
ผู้อาวุโสซุนรวมไปถึงทุกคนที่นั่นต่างพากันลืมตากว้างด้วยความตระหนกเมื่อได้ยินคำพูดนั้น
“วิญญาณพิทักษ์ ท่านว่าอย่างนั้นรึ”
ผู้อาวุโสซุนไม่อยากเชื่อว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจะสามารถมีสิ่งที่ล้ำค่าแต่ว่าอันตรายอย่างนั้นในครอบครองจริงๆ อย่างไรก็ตามในเมื่อมหาอำนาจยิ่งใหญ่อย่างเช่นนิกายล้านอสรพิษสังเกตเห็นสถานที่เล็กๆเช่นพวกเขา นั่นไม่ทำให้ถึงกับไม่น่าเชื่อแต่อย่างใด
กล่าวไปแล้วสิ่งที่ไม่น่าเชื่อยิ่งกว่าสำหรับผู้อาวุโสซุนก็คือความจริงที่ว่าโหลวหลานจียอมให้วิญญาณพิทักษ์อยู่ใกล้นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยแม้ว่าจะรู้เป็นอย่างดีว่าพวกเขาไม่อยู่ในตำแหน่งที่จะเลี้ยงไว้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาไม่สามารถปกป้องมัน
การมีวิญญาณพิทักษ์อาจจะเหมือนกับการประสบโชคดีสำหรับบางคน แต่นั่นก็คล้ายกับหายนะที่รอเกิดขึ้นถ้ามันตกในมือของผู้ที่ไม่คู่ควรดังเช่นนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
อีกนัยหนึ่ง นอกจากว่าเรามีความสามารถที่จะปกป้องวิญญาณพิทักษ์จากการถูกขโมยจากคนอื่น โดยปกติเราก็ควรหลีกเลี่ยงมันหรือทำเหมือนกับว่าไม่เคยเห็นมันมาก่อน
“ท่านเก็บเงียบไว้แม้ว่าจะรู้อยู่งั้นรึ ผู้อาวุโสจ้าว ท่านทำเช่นนั้นได้อย่างไร…”
ผู้อาวุโสซุนส่ายหน้าด้วยความผิดหวัง
“บางทีทั้งผู้นำนิกายและข้าอาจจะตาบอดไปกับพลังที่ยิ่งใหญ่ของวิญญาณพิทักษ์ที่สามารถนำมาให้กับนิกายเมื่อเราตกลงใจที่จะเก็บและฝึกวิญญาณพิทักษ์ หรือบางทีเราอาจจะเชื่อว่าเราสามารถที่จะเก็บมันไว้เป็นความลับจนกระทั่งมันโตเต็มวัย แต่น่าเสียดายก็อย่างที่ท่านเห็นว่าหายนะประเภทไหนที่มันนำมาให้กับพวกเรา…”
ผู้อาวุโสซุนส่ายหน้าและกล่าวว่า “ข้าเข้าใจความรู้สึกของท่านถึงระดับหนึ่ง แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมานั่งเสียใจ ในเมื่อพวกเรายังต้องต่อสู้กับนิกายล้านอสรพิษ”
“ผู้อาวุโสอู เจ้านิกายไปไหนตอนนี้”
ผู้อาวุโสอูส่ายหน้า
“ท่านหายไปหลังจากที่สั่งข้าให้รวบรวมทุกคนมาที่นี่”
ทันใดนั้นฟางซีหลานก็ปรากฏตัวขึ้นจากฝูงชน เธอกล่าวว่า “เจ้านิกายไปพบกับนิกายล้านอสรพิษ… พร้อมกับวิญญาณพิทักษ์”
“ศิษย์ฟาง”
ผู้อาวุโสนิกายที่อยู่ตรงนั้นต่างพากันหันไปมองเธอ
“ทำไมเจ้ารู้เรื่องนี้”
ผู้อาวุโสซุนถาม
“ข้าพูดกับเธอเมื่อกี้ก่อนมาที่นี่” เธอตอบ
“ส่วนสำหรับวิญญาณพิทักษ์…ข้าเป็นคนค้นพบมันและขอร้องให้เจ้านิกายให้เก็บมันไว้”
“เจ้า…”
ผู้อาวุโสนิกายที่นั่นต่างพากันต้องการกล่าวโทษฟางซีหลานสำหรับสถานการณ์ตอนนี้ แต่พวกเขาก็เชื่อว่าเธอเพียงต้องการช่วยเหลือนิกาย ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาก็คงทำเช่นเดียวกันถ้าพวกเขาอยู่ในฐานะเดียวกับเธอ
“นี่มิหมายความว่าเจ้านิกายออกไปพบกับนิกายล้านอสรพิษด้วยตนเอง”
ผู้อาวุโสซุนพลันตระหนัก
ผู้าวุโสจ้าวก็พลันตระหนักเรื่องนี้เช่นเดียวกันและรีบตะโกนขึ้น “ข้าต้องการครึ่งหนึ่งของผู้อาวุโสนิกายที่นี่ตามข้าและไปรวมตัวเข้ากับเจ้านิกาย ส่วนอีกครึ่งให้อยู่ที่นี่พร้อมกับเหล่าศิษย์ในกรณีที่นิกายล้านอสรพิษวางแผนที่จะโจมตีเราจริงๆ”
“ขอรับ ผู้อาวุโสจ้าว”
แม้ว่าจะเป็นการต่อสู้ที่ไม่อาจชนะ ผู้อาวุโสจ้าวก็ไม่ได้อ้างถึงเรื่องนั้น ในเมื่อเขาไม่ต้องการที่จะให้ขวัญกำลังใจตกต่ำไปกว่าที่เป็นอยู่ กล่าวไปแล้วทุกคนที่นั่นที่รู้จักชื่อของ “นิกายล้านอสรพิษ” ล้วนตระหนักถึงโอกาสรอดของพวกเขาอยู่แล้ว ดังนั้นถึงแม้ว่าผู้อาวุโสจ้าวจะไม่ได้พูดอะไรออกมาก็ตาม พวกเขาล้วนรู้ดีว่าเป็นการต่อสู้ที่ไม่มีวันชนะ
“ไปกันเถอะ”
ผู้อาวุโสจ้าวนำผู้อาวุโสนิกายไปยังประตูทางเข้า
อย่างไรก็ตามขณะที่พวกเขาก้าวไปได้เพียงสองก้าว ทั่วทั้งแผ่นดินก็เริ่มสั่นสะเทือน และเสียงระเบิดก็ดังมาจากระยะห่าง
บูม
เศษชิ้นส่วนเล็กน้อยตกลงมาจากท้องฟ้า และประตูขนาดใหญ่ก็ร่วงลงมาห่างไม่กี่เมตรจากผู้อาวุโสจ้าว
“ประตูทางเข้า นิกายล้านอสรพิษมาถึงแล้ว”
เมื่อบรรดาศิษย์และผู้อาวุโสนิกายเห็นประตูทางเข้ามายังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยตกลงมาจากฟ้า ใบหน้าของพวกเขาทั้งหมดต่างพากันซีดเผือด
พวกเขาหลายคนต่างพากันรู้อย่างรวดเร็วว่าพวกเขาทั้งหมดเพียงแค่รอคอยความตาย ดังนั้นพวกเขาเหล่านั้นต่างพากันวิ่งหนีออกไปจากสถานที่นั้น
“พวกเจ้าคิดว่าเจ้ากำลังจะไปไหนกัน”
หนึ่งในผู้อาวุโสนิกายตะโกนไปยังบรรดาศิษย์ที่วิ่งออกไปจากบริเวณนั้น
“ข้ากำลังจะไปจากสถานที่นี้ ถ้าข้าต้องสู้กับนิกายล้านอสรพิษ เช่นนั้นก็มิต่างจากข้าฆ่าตัวตายตอนนี้”
เหล่าศิษย์ต่างพากันร้องไห้เสียงดังพร้อมกับน้ำมูกน้ำตาบนใบหน้าพวกเขา
ผู้อาวุโสนิกายมีท่าทางโกรธและอ้าปากด่า แต่เขาก็ตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าสิ่งที่ศิษย์ได้พูดนั้นเป็นความจริง
ครั้นเมื่อศิษย์คนหนึ่งเริ่มวิ่งไปจากพื้นที่นั้น ก็มีหลายคนติดตามไป เพราะว่าไม่มีใครในหมู่พวกเขาต้องการตายในมือของนิกายล้านอสรพิษ
ผู้อาวุโสนิกายหลายคนที่นั่นต่างพากันรู้สึกเจ็บปวดในใจหลังจากที่เห็นศิษย์นับร้อยวิ่งหนี แต่ไม่มีใครในหมู่พวกเขาที่สนใจจะหยุดอีกฝ่ายไว้ ในเมื่อฉากเช่นนั้นเป็นภาพที่เห็นเป็นปกติยามเมื่อสองนิกายต่อสู้กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหนึ่งในนั้นไม่มีโอกาสที่จะชนะ
“ถ้าพวกเจ้าต้องการที่จะจากไป พวกเจ้าก็ไปเถอะ”
ผู้อาวุโสจ้าวพลันกล่าวออกมาเสียงดัง
“แม้ว่าพวกเจ้าทุกคนได้ให้สัตย์ว่าจะภักดีต่อนิกายอย่างสมบูรณ์ แต่ข้าจักมิกล่าวโทษพวกเจ้าในการที่ต้องการจะรอดชีวิต อย่างไรก็ตามถ้าพวกเจ้าจากไปในวันนี้ พวกเจ้าอาจจะมิมีโอกาสที่จะเหยียบเข้ามาในสถานที่นี้อีกครั้ง”
คำพูดของผู้อาวุโสจ้าวเป็นเหตุให้ศิษย์หลายคนนั้นหยุดวิ่งและเริ่มครุ่นคิด อย่างไรก็ตามไม่กี่อึดใจต่อไป เกือบทั้งหมดของพวกเขาก็เคลื่อนไหวอีกครั้ง ในเมื่อพวกเขาไม่ปรารถนาที่จะสละชีวิตเพื่อนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
ตามจริงแล้วก็ยังมีกระทั่งผู้อาวุโสนิกายบางคนในกลุ่มผู้หลบหนี
เมื่อเห็นภาพฉากนี้ ผู้อาวุโสซุนก็ส่ายหน้าและถอนหายใจ
“ช่างน่าเสียดาย…”
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 259
DC บทที่ 259: หรือว่านี่จะเป็นจุดจบของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
หลังจากที่โหลวหลานจีจากไป ซูหยางและฟางซีหลานก็มุ่งตรงไปยังเขตกลางที่ซึ่งศิษย์ทุกคนรออยู่ที่นั่น
ยามเมื่อพวกเขาไปถึงที่เขตกลางศิษย์ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างพากันหันไปมองทั้งคู่
“ศิษย์พี่หญิงฟาง”
บรรดาศิษย์ที่นั่นต่างพากันมั่นใจขึ้นเมื่อเห็นฟางซีหลานที่นั่น การปรากฏตัวของเธอทำให้พวกเขาต่างพากันรู้สึกปลอดภัยขึ้น
“ศิษย์พี่ชายซูอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน…”
เมื่อเหล่าศิษย์นอกหญิงเห็นซูหยางตรงเข้ามาหาด้วยท่าทางสงบเฉยบนใบหน้า พวกเธอต่างประสบกับความรู้สึกลึกลับที่ช่วยทำให้พวกเธอใจเย็นลง ราวกับว่าศิษย์เหล่านี้เชื่อโดยสัญชาตญาณว่าพวกเธอจะต้องปลอดภัยถ้าเขาปรากฏตัวอยู่ใกล้เคียง
อย่างไรก็ตามไม่ใช่ทุกคนที่นั่นที่ตื่นเต้นเมื่อเห็นหน้าซูหยาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคนที่เดินข้างเขาเป็นฟางซีหลาน ราวกับว่าพวกเขาอยู่ด้วยกันก่อนที่จะมาถึงสถานที่นี้
“เป็นเจ้าอีกแล้ว”
วินหนานเตียนเดินออกมาจากฝูงชนและตรงไปหาซูหยาง ดูเหมือนว่าเตรียมที่จะสร้างปัญหาให้เขา
เมื่อเห็นเช่นนี้ ฟางซีหลานก็มายืนขวางต่อหน้าวินหนานเตียน
“หยุดเดี๋ยวนี้ เรามิมีเวลาสำหรับเรื่องนี้ หรืออยู่ในสถานการณ์แบบนี้” เธอกล่าวด้วยเสียงเย็นเยียบ
“ศิษย์น้องหญิง…”
วินหนานเตียนกัดริมฝีปากและจ้องมองซูหยางด้วยดวงตาหรี่แคบ
“เจ้ามิละอายแก่ใจรึที่ยืนอยู่ข้างหลังผู้หญิงเช่นนี้ ทั้งยังเรียกตัวเองว่าเป็นผู้ชายได้อีกรึ ฮึ่ม”
ซูหยางหรี่ตาลงเล็กน้อยเมื่อวินหนานเตียนกำลังเริ่มทำให้เขาโกรธ
“ถ้าเจ้ามิหันกลับไปตอนนี้ อย่าหาว่าข้ามิได้ไว้หน้าเจ้าแม้แต่น้อย”
กลิ่นอายอันตรายปลดปล่อยออกมาจากร่างของฟางซีหลาน เป็นเหตุให้วิยหนานเตียนสั่นสะท้านเล็กน้อย
วินหนานเตียนเชื่อว่าฟางซีหลานกำลังปกป้องซูหยางจากเขา ซึ่งเพียงทำให้เขารู้สึกยิ่งกระวนกระวายใจ แต่เขาจะรู้สึกนิดก็หาไม่ว่าจริงแล้วฟางซีหลานกำลังปกป้องเขาจากซูหยางผู้ที่เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เป็นคนที่เขาจะล่วงเกินได้
ว่าไปแล้วถ้าวินหนานเตียนไม่ต้องการฟัง เธอก็คงไม่มีทางเลือกได้แต่ปล่อยให้เขาก้าวไปหาความตาย
ทันใดนั้นหนึ่งในผู้อาวุโสนิกายที่นั่นก็เริ่มพูดเสียงดัง “ทุกคนใจเย็น”
ศิษย์ทุกคนตรงนั้นหันไปดูกลุ่มผู้อาวุโสนิกายตรงมาหาพวกเขา
นำหน้าผู้อาวุโสนิกายเหล่านี้คือผู้อาวุโสซุนและผู้อาวุโสจ้าว และแม้ว่าพวกเขาดูสงบด้านนอกแต่ใจของพวกเขาจริงแล้วเต็มไปด้วยความกังวลกับสถานการณ์
“แม้ว่าเรายังมิรู้ถึงสถานการณ์ทั้งหมด ผู้นำนิกายได้สั่งให้พวกเราทั้งหมดรวมตัวกันที่นี่ในกรณีที่มีบางอย่างเกิดขึ้น” ผู้อาวุโสจ้าวกล่าว
เพราะว่าผู้อาวุโสอูอยู่ในสภาวะรีบเร่งเมื่อเธอส่งข้อความไป บรรดาผู้อาวุโสนิกายที่นั่นต่างยังคงไม่รู้ถึงสถานการณ์ อย่างไรก็ตามในเมื่อมันเป็นคำสั่งของผู้นำนิกาย พวกเขาจะถามคำถามได้หลังจากที่เชื่อฟังคำสั่งของเธอ
“ผู้อาวุโสอูควรอธิบายสถานการณ์ตอนนี้ว่าทำไมพวกเราทั้งหมดจึงต้องมารวมตัวที่นี่”
ผู้อาวุโสซุนถามเธอพร้อมขมวดคิ้ว
แม้ว่าเขาไม่มีเบาะแสว่าเกิดอะไรขึ้นเขาก็รู้ว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและบรรดาศิษย์ตกอยู่ในอันตราย ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงไม่ต้องมารวมตัวกันตอนนี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในกระบวนการของสถานการณ์ฉุกเฉิน
ในฐานะของกองกำลังพิทักษ์กฏ ผู้อาวุโสซุนรู้ดีถึงทุกกระบวนการ และสถานการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อระหว่างเวลาที่เกิดสงคราม
“ข-ข้าก็ยังไม่ชัดเจนว่าทำไมเรื่องนี้จึงเกิดขึ้น”
ผู้อาวุโสอูส่ายหน้า
“ผู้นำนิกายเพียงสั่งข้าให้รวมคนทุกคนที่นี่และเตรียมตัวรับศึก”
“อะไรกัน นี่กระทันหันเกินไป ใครที่เรากำลังจะสู้ด้วย” ผู้อาวุโสจ้าวถามเธอ
“ป-ป-เป็น..นิกายล้านอสรพิษ…”
ผู้อาวุโสอูพึมพัมหลังจากเงียบไปชั่วขณะ เสียงของเธอมีแต่ความไม่อยากเชื่อ
“ท่านเพิ่งกล่าวอะไรไป”
ไม่เพียงแต่ผู้อาวุโสจ้าวแต่ผู้อาวุโสนิกายทุกคนที่นั่นต่างพากันอุทานออกมาในเวลาเดียวกัน เสียงของพวกเขาเต็มไปด้วยความตระหนกและไม่อยากเชื่อ
“นิกายล้านอสรพิษจากภูมิภาคตะวันตก เกิดบ้าอะไรที่พวกเราต้องไปสู้กับพวกเขา”
“ใช่แล้ว นี่เป็นนิกายล้านอสรพิษ ผู้ที่มีพลังอำนาจแข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาคตะวันตกเชียวนะที่พวกเรากำลังพูดถึง”
ผู้อาวุโสนิกายและศิษย์ทุกคนต่างไม่อยากเชื่อ ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่พวกเขาไปล่วงเกินสถานที่ยิ่งใหญ่อย่างเช่นนิกายล้านอสรพิษ
“ล-ลืมเรื่องเหตุผลที่พวกเขากำลังจะโจมตีพวกเราไป พวกเราควรทำอะไรตอนนี้เพื่อต่อสู้กับขุนเขาใหญ่เช่นนี้”
ไม่เพียงแต่ผู้อาวุโสนิกายแต่เหล่าศิษย์ก็เริ่มตื่นตระหนก
ถ้านิกายล้านอสรพิษมาหาเรื่องพวกเขาจริงๆ ไม่มีทางที่พวกเขาจะสามารถป้องกันตนได้
ในเวลาเช่นนี้พวกเขาทั้งหมดก็เป็นเพียงแค่ลูกไก่ที่รวมตัวกันในตำแหน่งหนึ่งบนเขียง พร้อมที่จะถูกฆ่าโดยไม่มีโอกาสที่จะโต้ตอบ
“ใจเย็น” ผู้อาวุโสซุนพลันคำรามขึ้น
สถานที่นั้นพลันเงียบลง
ผู้อาวุโสซุนมองดูผู้อาวุโสอูและกล่าว “ท่านมั่นใจว่าท่านไม่ผิดพลาด ข้ามิต้องการที่จะสงสัยท่าน แต่นี่มันไร้เหตุผลเกินไป….นี่เป็นนิกายล้านอสรพิษนะที่เรากำลังพูดถึง ในสายตาของพวกเขาเราไม่มีอะไรนอกจากจะเป็นมด ทำไมพวกเขาจึงต้องรบกวนพวกเราด้วย”
ผู้อาวุโสอูถอนหายใจและกล่าวว่า “ข้ามิโทษท่านที่สงสัยในตัวข้า ในเมื่อตัวข้าเองก็ยังสงสัยตัวเองขณะที่เรายืนอยู่ที่นี่และพูดกันอยู่ อย่างไรก็ตามผู้อาวุโสวันจากนิกายล้านอสรพิษมาที่นี่เพื่อพูดกับเจ้านิกายไม่นานมาแล้ว และเขาพูดถึงเกี่ยวกับวิญญาณพิทักษ์อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงนี้”
“วิญญาณพิทักษ์”
ผู้อาวุโสจ้าวเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อสุดท้ายเขาก็เข้าใจสถานการณ์
เพราะว่าผู้อาวุโสจ้าวมีตำแหน่งสำคัญภายในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและเป็นคนที่โหลวหลานจีเชื่อถืออย่างสมบูรณ์ เขาเป็นคนไม่กี่คนที่รู้ว่าเซียวไป่มีตัวตนอยู่
“เป็นอย่างนี้ได้อย่างไร… ทำไมพวกเขาจึงหาพบ”
ผู้อาวุโสจ้าวพลันนึกถึงคลื่นที่เกิดขึ้นก่อนหน้าที่จะมีการรวมตัวกันและก็ตระหนักได้ ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมเขาจึงรู้สึกถึงบางสิ่งที่คุ้นเคยจากคลื่นที่แฝงด้วยพลังอันลึกล้ำ
“สวรรค์ช่วย…หรือนี่จะเป็นจุดจบของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย” เขาคิดสงสัยในใจด้วยความรู้สึกเปล่าเปลี่ยวในใจ
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 258
DC บทที่ 258: ผู้ใช้ค่ายกล
จอมยุทธจากนิกายล้านอสรพิษตรงเข้าไปหานิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยหลังจากที่รับรู้ถึงปราณไร้ลักษณ์ของเซียวไป่ที่ปะทุออกจากสถานที่นี้
แม้ว่าคนสามสิบคนอาจจะดูเหมือนไม่มีอะไรในเมื่อนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมีผู้อาวุโสอย่างน้อยร้อยคนและศิษย์อีกหลายพันคน แต่จอมยุทธแต่ละคนจากนิกายล้านอสพิษขั้นต่ำอยู่ที่เขตปฐพีวิญญาณ บางคนอยู่กระทั่งเขตอัมพรวิญญาณ
ในเวลานี้ นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยไม่มีจอมยุทธแม้สักคนที่อยู่ในเขตอัมพรวิญญาณ และมีเพียงไม่กี่คนที่อยู่เขตปฐพีวิญญาณ
ต่อให้ครึ่งหนึ่งของจอมยุทธสามสิบคนนี้ไม่แม้จะกระดิกนิ้ว นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ยังไม่มีโอกาสต่อสู้กับนิกายล้านอสพิษ
นี่เป็นความแตกต่างระหว่างนิกายระดับกลางและผู้ที่อยู่ในระดับสูงสุดของภูมิภาค ราวฟ้ากับดิน
ในขณะที่นิกายล้านอสรพิษมุ่งตรงไปยังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอยู่นั้น ซูหยางและฟางซีหลานยืนอยู่บริเวณหน้าห้องสวีทแห่งศลิษา ดูเหมือนว่ากำลังเตรียมตัวเข้าไปในนั้น
อย่างไรก็ตามเพราะว่าระลอกคลื่นที่เซียวไป่ได้สร้างขึ้น พวกเขาจึงยังยืนอยู่ที่นั่นนานกว่าเดิมอีกหลายนาที
“หมายความว่านี่จักต้องเกิดแบบนี้ทุกสี่วันละสิ เฮ้อ…” ฟางซีหลานถอนใจ
เธอจึงหันไปมองดูซูหยางและกล่าวว่า “เป็นเพราะว่าเจ้าที่ลืมสิ่งที่สำคัญเช่นนี้ ข้าเกือบหัวใจวายในครั้งแรกที่มันเกิดขึ้น”
ซูหยางเพียงแค่ยักไหล่กับคำกล่าวของเธอ
“มันจักสงบลงเองในอีกไม่กี่นาที”
อย่างไรก็ตาม ฟางซีหลานไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเซียวไป่ตื่นเต้น กลับกันเธอกังวลว่าริ้วคลื่นอาจจะกระตุ้นความสนใจโดยไม่จำเป็น
“ถ้าคนรู้ถึงตัวตนของเซียวไปเพราะเรื่องนี้ ใครจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับสถานที่นี้…” เธอถอนหายใจ
“ก็เพียงแค่โยนเสือหิมะนั่นเข้าไปในค่ายกลปิดบังก่อนที่จะป้อนหญ้าเงินเจ็ดใบให้เธอ”
“นั่นพูดง่ายกว่าทำ ผู้เชี่ยวชาญด้านยันต์และค่ายกลนั้นหายากเป็นพิเศษในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่สามารถสร้างค่ายกลที่สามารถซ่อนคลื่นพลังที่รุนแรงเช่นนั้น”
แม้ว่าจะไม่จำเป็นที่จะต้องเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ในการเรียนค่ายกลและยันต์ แต่ก็ไม่มีผู้ฝึกยุทธมากเท่าไหร่ที่ปรารถนาจะใช้เวลาหลายปีเรียนรู้บางสิ่งที่ต้องการสมาธิและความอดทนเป็นอย่างสูงและไม่สามารถใช้ในการต่อสู้ได้โดยตรง
เวลาที่จะใช้ในการสร้างค่ายกลหนึ่งหลัง ศัตรูสามารถใช้วิชาได้ไม่ต่ำกว่าสิบวิชาไม่ซ้ำกัน ดังนั้นจึงเป็นเหตุที่ว่าทำไมค่ายกลจึงยากที่จะถูกใช้ระหว่างการต่อสู้ และด้วยเหตุนั้น ผู้ฝึกยุทธหลายคนจึงมองค่ายกลและยันต์เป็นบางสิ่งที่มีไว้สำหรับสนับสนุนและป้องกัน ตามจริงค่ายกลป้องกันที่ล้ำลึกส่วนใหญ่มักจะต้องการใช้เวลานับปีในการสร้างจนสำเร็จ
“ข้าจักสร้างค่ายกลปิดบังรอบที่พักของเจ้าหลังจากเรื่องนี้ ค่ายกลที่แข็งแกร่งพอที่จะกันไม่ให้ริ้วคลื่นนี้กระจายออกไป” ซูหยางกล่าว
“เจ้าเป็นผู้ใช้ค่ายกลด้วยรึ” ฟางซีหลานมองดูเขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง
นอกจากจะเป็นนักปรุงยาแล้ว เขายังเป็นผู้ใช้ค่ายกลด้วย ยิ่งไปกว่านั้นเขามีพลังการฝึกปรือลึกล้ำขณะที่เพียงมีอายุเท่านี้
ฟางซีหลานอดที่จะประหลาดใจว่าตัวตนของซูหยางจะกลายเป็นแบบไหนกันยามเมื่อเขาโตขึ้น ในเมื่อเขาได้เป็นสัตว์ประหลาดที่ท้าทายตรรกะไปแล้วในตอนนี้
“อย่างไรก็ตามอย่ายืนอยู่ตรงนี้อีกเลย ริ้วคลื่นจักหายไปในเวลาไม่นานนัก และทุกสิ่งก็จักกลับคืนสู่ปกติ”
ซูหยางเริ่มตรงเข้าไปในทางเข้าแห่งหนึ่งของห้องสวีทแห่งศลิษา
อย่างไรก็ตามก่อนที่เขาจะทันได้เข้าไปในที่แห่งนั้น ฟางซีหลานก็ตะโกนขึ้น “รอสักครู่ ข้าเห็นร่างเจ้านิกายมุ่งตรงมาทางพวกเรา ดูเหมือนเธอกำลังกระวนกระวาย”
ซูหยางหยุดเท้าหันไปมองทางโหลวหลานจีซึ่งกำลังวิ่งมาทางพวกเขาด้วยหน้าตาที่เต็มไปด้วยเหงื่อและความกระวนกระวายใจ ในอ้อมแขนของเธอเป็นเซียวไป่ซึ่งดูเหมือนไม่พอใจที่ถูกเธออุ้มมา
“ศิษย์ฟาง ซูหยาง พวกเจ้ากำลังจะทำอะไรกัน นี่เป็นเรื่องเร่งด่วน”
โหลวหลานจีตะโกนใส่พวกเขาจากที่ไกล
“เกิดอะไรขึ้น เจ้านิกาย” ฟางซีหลานถามเธอพร้อมขมวดคิ้ว
“นิกายล้านอสรพิษรู้ถึงการปรากฏตัวของเซียวไป่ ไม่เพียงแค่นั้นแต่พวกเขากำลังมาที่นี่ขณะที่พวกเรากำลังพูด”
“ท่านว่ากระไรนะ” ฟางซีหลานอุทานออกมาเสียงดัง “ภูมิภาคตะวันตกนิกายล้านอสรพิษ อะไรทำให้พวกเขามาที่นี่”
“ข้ามิมั่นใจนักแต่ดูเหมือนพวกเขารู้เรื่องเซียวไป่ก่อนที่เราจะได้ตัวเธอ และพวกเขามาที่นี่เพื่อเธอ”
“ม-ไม่มีทาง..เราควรทำอะไรดีตอนนี้ ท่านเจ้านิกาย”
โหลวหลานจีมองดูเธอและส่ายหน้า “ถ้าเรามิยอมให้เซียวไป่ แน่นอนว่านิกายล้านอสรพิษจักต้องใช้กำลัง และนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยของเราก็มิสามารถต่อกรกับพลังมหาศาลดังเช่นนิกายล้านอสรพิษได้ และถึงแม้ว่าเราจะขับไล่พวกเขาในวันนี้ แน่นอนว่าพวกเขาจักต้องกลับมาด้วยกำลังที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม”
ฟางซีหลานพลันเงียบลงไป สายตาเธอจับจ้องไปยังเซียวไป่
“เซียวไป่…”
แม้ว่าเธอไม่ต้องการที่จะยอมยกเซียวไป่ไปง่ายๆ ฟางซีหลานรู้ว่าเธอไม่มีทางเลือก หรือไม่พวกเธอก็จักต้องเสี่ยงกับการล่วงเกินนิกายล้านอสรพิษทั้งหมด หนึ่งในนิกายที่ทรงอำนาจที่สุดภายในทวีปตะวันออก
“เอาจริงรึ หลังจากที่ข้าได้ใช้ความพยายามทั้งหมดไปกับการเพาะหญ้าเงินเจ็ดใบงั้นรึ” ซูหยางส่ายหน้าในใจ
“เจ้าพวกบ้านิกายล้านอสรพิษนี้เป็นใคร ว่ามาหน่อยซิ” เขาถาม
โหลวหลานจีมองดูซูหยางที่มีท่าทางสงบเฉยแม้จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ และอธิบายอย่างรวดเร็วว่า “พวกเขาเป็นผู้ที่มีพลังอำนาจแข็งแกร่งที่สุดในเขตตะวันตก จอมยุทธเขตปฐพีวิญญาณมีมากมายนักในสถานที่แห่งนั้น และพวกเขาก็ยังมีจอมยุทธเขตอัมพรวิญญาณอีกสองสามคนในนั้นด้วย เป็นที่ที่เรามิอาจจะล่วงเกิน”
“อืมมม…อย่างนั้นรึ…” ซูหยางหรี่ตา
“อย่างไรก็ตามพวกเจ้าทั้งสองคนควรตรงไปยังเขตกลางและเตรียมพร้อมในกรณีที่การต่อสู้ปะทุขึ้น” โหลวหลานจีกล่าว
“ท่านจะทำอะไรต่อไป ท่านเจ้านิกาย” ฟางซีหลานถาม
“ข้าคง..ข้าคงต้องส่งเซียวไป่ให้กับพวกเขา”
ฟางซีหลานพยักหน้าและตรงเข้าไปหาเซียวไป่
เธอลูบขนขาวปุยบนหัวเซียวไป่และพูดว่า “ข้าเสียใจที่ไม่สามารถปกป้องเจ้าได้ เซียวไป่..”
น้ำตาไหลลงจากใบหน้าของฟางซีหลาน และเป็นครั้งแรกในชีวิตของเธอที่ร้องไห้
เซียวไปไม่เข้าใจกับสถานการณ์แต่เธอสามารถบอกได้ว่าฟางซีหลานเศร้าในตอนนี้ทำให้มันบึ้งตึง
หลังจากนั้นไม่นาน โหลวหลานจีก็จากไปพร้อมเซียวไป่ ปล่อยให้ซูหยางและฟางซีหลานยืนอยู่ตรงนั้นตามลำพัง
“ข้าเสียใจซูหยาง แต่ข้ามิมีอารมณ์ที่จะฝึกวิชาร่วมอีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้นในสถานการณ์เช่นนี้…”
ซูหยางส่ายหน้าและกล่าวว่า “ไม่เป็นไร ข้าเข้าใจเป็นอย่างดี”
อย่างไรก็ตามในใจของเขา เขาได้ตัดสินโทษให้นิกายล้านอสรพิษล่มสลายไปแล้วที่มารบกวนการร่วมฝึกวิชาของเขา สิ่งที่เขารังเกียจอย่างถึงที่สุด
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 257
DC บทที่ 257: เตรียมพร้อมรบ
“ว-วิญญาณพิทักษ์”
โหลวหลานจีถาม หวังว่าผู้อาวุโสวันไม่ได้คิดลึกเกี่ยวกับท่าทางตกใจของเธอก่อนนี้ และจะดีมากถ้าเขาพลาดไปไม่ได้สังเกต
อย่างไรก็ตามผู้อาวุโสวันได้หัวเราะและเต้นรำอยู่ในใจหลังจากที่เห็นปฏิกิริยาของโหลวหลานจี เขาเกือบมั่นใจแล้วว่าโหลวหลานจีรู้ถึงวิญญาณพิทักษ์
“ใช่แล้ว นิกายล้านอสรพิษตอนนี้กำลังค้นหาวิญญาณพิทักษ์ และจากท่าทีของเจ้าเมื่อกี้ เจ้าต้องรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับมันใช่หรือไม่”
ผู้อาวุโสวันถามเธอ
“ไม่…” โหลวหลานจีสามารถได้ยินหัวใจของเธอเต้นราวกับกลองศึก อย่างไรก็ตามเธอสามารถควบคุมให้ใบหน้าดูเรียบเฉยและกล่าวว่า “ข้าเพียงประหลาดใจกับคำ “วิญญาณพิทักษ์” “
เธอกล่าวต่อว่า “หรือว่านิกายล้านอสรพิษพบวิญญาณพิทักษ์แล้ว ขอแสดงความยินดีด้วย”
ผู้อาวุโสหวังหัวเราะหึและกล่าวว่า “แม้ว่าเราจะพบเจอวิญญาณพิทักษ์ แต่พวกเราก็ยังจับมันไม่ได้ อย่างไรก็ตามนิกายล้านอสรพิษย่อมทำทุกสิ่งตามอำนาจที่มีเพื่อจะจับมันให้ได้”
ผู้อาวุโสวันตัดสินใจที่จะเล่นไปตามเกมของโหลวหลานจี แต่เขาก็ไม่ลืมที่จะข่มขู่เธอทางอ้อมโดยการบอกให้เธอรู้ว่านิกายล้านอสรพิษถือเรื่องนี้จริงจังมาก
“อย่างนั้นรึ แต่อะไรที่นิกายล้านอสรพิษต้องการให้นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยช่วยทำรึ” โหลวหลานจีถาม
“จริงแล้วง่ายมาก เรามิขอให้นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยช่วยพวกเราค้นหา แต่เราจักขอบคุณอย่างมากถ้าเจ้าสามารถแจ้งให้เราทราบถ้ามีใครเห็นลูกเสือขาว แน่นอนว่าเรามิขอร้องให้เจ้าช่วยฟรีๆ ครั้นเมื่อเราพบวิญญาณพิทักษ์ เราย่อมให้รางวัลนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยที่ให้ความร่วมมืออย่างหนัก”
โหลวหลานจีพยักหน้าและกล่าวว่า “ข้าจักแจ้งให้ศิษย์ข้าและบอกพวกเขาเฝ้าระวัง–”
“โอ มีอีกอย่าง”
ผู้อาวุโสวันพลันกล่าวขึ้น “ถ้าเจ้าพบวิญญาณพิทักษ์และซ่อนมันไว้จากพวกเราและพวกเราพบเห็น นั่นย่อมมิใช่วันที่ดีสำหรับพวกเรา…”
โหลวหลานจีหรี่ตาและกล่าวว่า “ข้าคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติที่ท่านมิควรข่มขู่คนหลังจากที่ขอความช่วยเหลือ”
ผู้อาวุโสวันหัวเราะหึและกล่าวว่า “อย่าถือว่านี่เป็นการล่วงเกินเพื่อนเต๋า มันเป็นแค่การเตือนในกรณีที่บางคนมีความคิดตลกๆ”
“อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ข้ามิมีสิ่งใดที่จะพูดแล้ว ข้าควรถือโอกาสอำลา”
ผู้อาวุโสวันหันกายและออกไปจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย หายลับไปจากสายตาโหลวหลานจีอย่างรวดเร็ว
ครั้นเมื่อพวกเธอมั่นใจว่าผู้อาวุโสวันจากไปเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสอูก็แค่นเสียงเย็นชา “ช่างเป็นคนหยิ่งยะโสและหยาบคาย เจ้านิกายลืมเรื่องพวกเขาไปและไม่ต้องช่วยพวกเขา”
โหลวหลานจีส่ายหน้าและกล่าวว่า “เขาอาจจะเป็นไอ้หน้าตูด แต่เขามีความสามารถที่จะเป็นหนึ่งในหล้า ในภูมิภาคตะวันตก นิกายล้านอสรพิษอยู่เบื้องสูง สำหรับพวกเขาที่ได้สังเกตเห็นพวกเราถือว่าเป็นเกียรติอย่างสูงแล้ว”
“แล้วเรื่องวิญญาณพิทักษ์นั่น หรือว่ามีวิญญาณพิทักษ์ในบริเวณใกล้เคียงนี้จริง ข้ากลัวว่าสงครามจะเกิดขึ้นและพวกเราอาจจะตกอยู่ท่ามกลางพวกมันด้วย…”
เพราะว่าผู้อาวุโสอูไม่รู้เรื่องการปรากฏตัวของเซียวไป่ เธอจึงไม่รู้เกี่ยวกับสถานการณ์
“เรื่องนั้น…”
โหลวหลานจีถอนใจ รู้สึกสับสน
ถ้านิกายล้านอสรพิษรู้ว่าพวกเธอมีเซียวไป่ ย่อมเป็นหายนะต่อทั้งนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย และโหลวหลานจีย่อมไม่ปรารถนาที่จะเสียสละทั้งนิกายและศิษย์ทุกคนเพียงเพื่อวิญญาณพิทักษ์หนึ่งตัว
“ถ้าเพียงแต่เซียวไป่โตเต็มวัย…แต่ช่างโชคร้าย ข้ามิอาจรอจนกระทั่งครบเดือนเพื่อให้เธอเติบโตโดยมีนิกายล้านอสรพิษค้นหารอบสถานที่นี้อย่างแข็งขัน ข้าจักต้องปล่อยเซียวไป่ไปอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้…” โหลวหลานจีถอนใจอีกครั้ง
“ฟางซีหลานจักต้องมิชอบข่าวนี้แม้แต่น้อย…”
โหลวหลานจีหันไปมองยังทิศทางห้องสวีทแห่งศลิษา รู้สึกเสียใจกับสถานการณ์ทั้งหมด
ทันใดนั้นเอง คลื่นกระแทกอันทรงพลังก็ปรากฏขึ้น กระจายไปทั่วพื้นที่อย่างรวดเร็ว
“โอ ไม่” ใบหน้าโหลวหลานจีพลันซีดเผือดเมื่อเธอตระหนักว่าอะไรคือต้นเหตุของคลื่นนั้น
“มันเกิดขึ้นอีกแล้ว…คลื่นนี้อะไรเป็นถึงเต็มไปด้วยความรู้สึกอันลึกล้ำ มันเกิดขึ้นมาครั้งหนึ่งแล้วเมื่อสี่วันก่อน” ผู้อาวุโสอูคิดสงสัยขณะที่คลื่นเคลื่อนผ่านร่างของเธอ จนทำให้ร่างของเธอสั่นสะท้านเล็กน้อย
ใช่แล้วเป็นเซียวไป่ที่ทำให้เกิดคลื่นนี้เกิดขึ้น เพราะว่านั่นเป็นเวลาสี่วันแล้วนับตั้งแต่เธอถูกป้อนหญ้าเงินเจ็ดใบ ฟางซีหลานได้ป้อนใบใหม่ให้กับเธอวันนี้ก่อนที่จะจากไปยังห้องสวีทแห่งศลิษาเพื่อพบกับซูหยาง
“นี่ต้องเป็นเหตุผลที่ทำไมนิกายล้านอสรพิษเลือกที่จะปรากฏตัวในพื้นที่นี้ พวกเขาคงรับรู้ถึงปราณไร้ลักษณ์ของเซียวไป่เมื่อสี่วันก่อน”
โหลวหลานจีไม่รู้ว่าควรทำอะไรต่อไปในเวลานั้นและได้เพียงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
ไม่มีทางที่นิกายล้านอสรพิษจะไม่สังเกตพบสิ่งนี้เมื่อพวกเขาอยู่ใกล้ขนาดนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้อาวุโสวันเพิ่งจากไปไม่นานนัก
หลังจากครุ่นคิดชั่วขณะ โหลวหลานจีก็กัดฟันตะโกนไปยังผู้อาวุโสวู “รวบรวมผู้อาวุโสนิกายและศิษย์ทั้งหมดไปที่เขตกลางและเตรียมพร้อมรบ นิกายล้านอสรพิษจักมาถึงที่นี่ได้ทุกขณะ”
“ข-ขออภัย…”
ผู้อาวุโสอูยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางงุนงง เธอไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ว่าทำไมโหลวหลานจีจึงพูดถ้อยคำเหล่านั้น แต่ใครก็โทษว่าเธอไม่ได้ในเมื่อใครก็ตามที่ตกอยู่ในสถานการณ์แบบเดียวกับเธอก็ต้องแตกตื่นตกใจ
“รีบเร็วเข้าและทำตามที่ข้าพูด นี่เป็นคำสั่ง”
หลังจากที่พูดถ้อยคำเหล่านั้นแล้ว โหลวหลานจีก็วิ่งไปยังที่พักของโหลวหลานจี ปล่อยให้ผู้อาวุโสอูยืนอยู่ตรงนั้นราวกับลูกไก่ที่สับสน
ในเวลานั้นผู้อาวุโสวันซึ่งเพิ่งจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ส่งข้อความไปถึงเจ้านิกายของนิกายล้านอสรพิษถึงคลื่นในอากาศ
“ยืนยันว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมีเสือขาวในครอบครอง”
“ดี ดี ดี เจ้ารู้ว่าต้องทำอย่างไร ผู้อาวุโสวัน ข้าจักปล่อยทุกอย่างไว้ในมือเจ้า”
เสียงแสดงความดีใจของเจ้านิกายได้ยินออกมาจากป้ายหยกสื่อสาร
ไม่นานหลังจากนั้น ผู้อาวุโสวันพร้อมด้วยผู้กล้าจากนิกายล้านอสรพิษก็ตรงเข้าไปยังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและล้อมพวกเขาไว้ด้วยกลิ่นอายของความกระหายเลือด
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 256
DC บทที่ 256: นิกายล้านอสรพิษ
ขณะที่โหลวหลานจีพูดจาว่าร้ายป้ายสีซูหยางให้ฟางซีหลานฟังราวกับว่าเป็นคนรักเก่าของเขาอยู่นั้น ที่แห่งหนึ่งในนิกายล้านอสรพิษ หนึ่งในนิกายระดับสูงภายในทวีปตะวันออก ก็มีการประชุมเกิดขึ้น
“ตามข่าว เจ้ามั่นใจหรือว่าสุดท้ายเราก็พบตำแหน่งของวิญญาณพิทักษ์”
เจ้านิกายของนิกายล้านอสรพิษกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดขณะที่เขากวาดสายตาไปยังผู้อาวุโสนิกายที่นั่งรอบตัวเขา
“นั่นถูกต้องแล้ว พวกเราได้รับรายงานเมื่อไม่กี่นาทีก่อนจากคนของเราที่ตั้งสถานีอยู่ภาคตะวันออก และรายงานระบุว่าเขารู้สึกถึงปราณไร้ลักษณ์ของวิญญาณพิทักษ์อยู่ใกล้แถวเมืองกุสุมาลย์” หนึ่งในผู้อาวุโสนิกายกล่าว
“เมืองกุสุมาลย์ หือ ทุกคนได้รวมตัวกันบริเวณนั้นและเริ่มค้นหาวิญญาณพิทักษ์จากที่นั่นหรือยัง ข้าต้องการค้นหาทุกซอกทุกมุม ไม่มีข้อยกเว้น”
ผู้นำนิกายสั่ง
“ได้ขอรับ”
ผู้อาวุโสนิกายคนนั้นคารวะก่อนที่จะจากไปเพื่อทำภารกิจให้สำเร็จ
ยามเมื่อผู้อาวุโสนิกายจากไป ผู้นำนิกายก็พูดต่อว่า “สุดท้ายหลังจากที่ค้นหามาหลายเดือน เราก็พบเจ้าตัวบ้านั่น”
นิกายล้านอสรพิษพบเจอวิญญาณพิทักษ์นี้โดยบังเอิญเมื่อสองสามเดือนก่อน และพวกเขาก็พยายามค้นหาเบาะแสของมันนับแต่นั้น อย่างไรก็ตามเพราะว่าธรรมชาติของวิญญาณพิทักษ์จะหลบหลีกจากเทคนิคการค้นหาและติดตามทุกอย่าง นิกายล้านอสรพิษจึงวิ่งวุ่นเหมือนคนตาบอดมาจนถึงวันนี้
“ถ้าพูดถึงเมืองกุสุมาลย์ นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ถือว่าเป็นผู้ดูแลสถานที่นั้นอยู่ และข้าก็ต้องการให้ใครสักคนจากห้องนี้ไปเยี่ยมพวกเขาสักครั้ง บางทีพวกเขาอาจจะซ่อนวิญญาณพิทักษ์ไว้” เจ้านิกายกล่าว
“จะเป็นอย่างไรถ้าพวกเขามีวิญญาณพิทักษ์จริงๆ”
บางคนถาม
“นั่นยังมิชัดเจนอีกหรือที่ว่าเราต้องทำอะไร ถึงแม้ว่าเราจักต้องใช้กำลัง เราก็จักให้พวกเขายื่นส่งมันมาให้เราให้ได้”
ผู้คนในห้องต่างเริ่มหัวเราะฉีกยิ้มโหดเหี้ยมบนใบหน้า
“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอาจจะมีชื่อเสียงในพลังการฝึกปรือโดยรวมที่สูง แต่วิชาที่พวกเขารู้ก็เพียงวิชาร่วมรักสำหรับใช้บนเตียง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีอันตรายคุกคามใดๆกับพวกเรา”
นิกายล้านอสรพิษยินดีทำสงครามกับนิกายกุสุมายล์พ้นพิสัยถ้านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมีวิญญาณพิทักษ์ที่พวกเขากำลังมองหา
“ข้าจักเป็นคนไปพบนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเอง”
หนึ่งในผู้อาวุโสนิกายยืนขึ้นและกล่าว และที่รายล้อมรอบร่างสูงใหญ่นี้เป็นรัศมีของคนที่อยู่ในเขตอัมพรวิญญาณ
“ผู้อาวุโสวัน เฮอะ ดีมาก ข้ายจักปล่อยเรื่องนี้ให้กับเจ้า”
เจ้านิกายพยักหน้า
หลังจากนั้นไม่กี่นาที การประชุมก็จบลง
–
–
–
หลังจากนั้นสี่วัน ผู้กล้ากว่าโหลก็มารวมตัวกันที่เมืองกุสุมาลย์ ซึ่งอยู่ห่างจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเพียงครึ่งชั่วโมง
“วิญญาณพิทักษ์อยู่บริเวณแถวนี้เมื่อสี่วันก่อน และพวกเราก็ค้นหาเบาะแสบริเวณใกล้เคียง อย่างไรก็ตามวัตถุประสงค์หลักที่แท้จริงในวันนี้ก็คือการรอสัญญาณจากผู้อาวุโสวัน ครั้นเมื่อเขารู้ว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมีวิญญาณพิทักษ์หรือไม่ เขาก็จะแจ้งให้พวกเราและพวกเราก็จะหนุนเขา ดังนั้นให้เตรียมตัวทำสงคราม”
“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยรึ ไม่ใช่ว่าที่นั่นเป็นที่สำหรับพวกลามก”
หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญถาม และทั้งบริเวณนั้นต่างพากันระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
ในเวลานั้นที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ผู้อาวุโสอูวิ่งตรงไปยังศาลาหยินหยาง
“ผ-ผู้นำนิกาย มีเรื่องด่วน” ผู้อาวุโสอูกรีดร้องขณะที่เธอวิ่งเข้าไปในศาลา
“มีเรื่องอะไร ผู้อาวุโสอู ยังเช้าเกินไปที่จะร่ำร้องแบบนั้น”
โหลวหลานจีปรากฏตัวจากห้องของเธอ
“นิ-นิกายล้านอสรพิษ ผู้อาวุโสวันจากนิกายล้านอสรพิษมาที่นี่เพื่อพบกันท่าน” ผู้อาวุโสอูกล่าวกับเธอ
“อะไรที่ท่านพูดถึงรึ นิกายล้านอสรพิษจากภูมิภาคตะวันตกนะรึ ทำไมพวกเขาจึงมาที่นี่”
โหลวหลานจีขมวดคิ้วกับสถานการณ์
จากเท่าที่เธอรู้ นิกายล้านอสรพิษไม่มีความเกี่ยวข้องกับที่นี่ ดังนั้นทำไมพวกเขาจึงมาที่นี่ พวกเขาเดินทางมาแสนไกลเพื่อที่จะส่งผู้อาวุโสระดับสูงของเขาคนหนึ่ง ผู้อาวุโสวัน มาพบกับเธอโดยเฉพาะ
“อะไรที่นิกายล้านอสรพิษต้องการจากพวกเรา พวกเขาถึงกับส่งผู้อาวุโสวันมาด้วยตัวเอง นั่นต้องมีเรื่องสำคัญพอสมควร อย่างนั้นก็ดี ข้าจักไปพบกับเขา”
โหลวหลานจีออกจากศาลาหยินหยางอย่างรวดเร็วและตามมาด้วยผู้อาวุโสอู
สองสามนาทีหลังจากนั้น โหลวหลานจีก็เห็นร่างสูงใหญ่ที่มีรัศมีล้ำลึกรายล้อมตัวเขายืนอยู่ตรงทางเข้า
“ขออภัยที่ต้องให้รอ ผู้อาวุโสวัน”
โหลวหลานจีทักทายเขาด้วยความนอบน้อม
แม้ว่าจะเป็นเจ้านิกาย แต่พลังการฝึกปรือของโหลวหลานจีด้อยกว่าผู้อาวุโสวันซึ่งเป็นเพียงผู้อาวุโสนิกาย ยิ่งไปกว่านั้นนิกายล้านอสรพิษเป็นที่ที่พวกเธอไม่อาจล่วงเกิน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติสำหรับเธอที่จะทักทายผู้อาวุโสวันด้วยท่าทางแบบนั้น
“ข้าเชื่อว่านี่เป็นครั้งแรกที่พวกเราพบกัน สหายเต๋าโหลว” ผู้อาวุโสวันกล่าวด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร และกล่าวต่อว่า “ข้าต้องขออภัยที่มาเยี่ยมอย่างกระทันหัน แต่นิกายล้านอสรพิษได้ประสบปัญหาหนึ่ง และในเมื่อพวกเรามาอยู่ใกล้สถานที่นี้ ข้าจึงมาเพื่อขอความช่วยเหลือจากเจ้า…”
โหลวหลานจีเลิกคิ้ว นิกายล้านอสรพิษมีปัญหาที่พวกเขาไม่สามารถแก้ไขได้งั้นรึ นั่นเป็นเรื่องคาดคิดไม่ถึงสำหรับเธอ
“ถ้านั่นเป็นปัญหากระทั่งนิกายล้านอสรพิษที่ทรงอำนาจพร้อมด้วยชื่อเสียงมิอาจแก้ไขได้ นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยคงมิอาจให้ความช่วยเหลือใดได้อย่างแน่นอน ตามจริงพวกเราคงได้แต่ทำให้พวกท่านเสียเวลา..”
โหลวหลานจีไม่ได้ถ่อมตัวแม้แต่น้อย ในเมื่อนั่นเป็นสิ่งที่เธอเชื่อเช่นนั้นจริงๆ
“โอ นั่นมิใช่ปัญหาแบบนั้น”
ผู้อาวุโสวันหัวเราะหึ หรี่ตาและพูดอย่างเรียบง่าย “เป็นแค่เรื่อง..เจ้าเคยเห็นลูกเสือขาวแถวนี้บ้างไหม มันเป็นวิญญาณพิทักษ์”
ได้ยินคำพูดที่ไม่คาดคิดของผู้อาวุโสวัน ใบหน้าโหลวหลานจีมีท่าทางตกใจไปในทันที แต่เธอก็รีบเปลี่ยนแปลง
“เขามาที่นี่ตามหาเซียวไป่”
โหลวหลานจีสุดท้ายก็รู้ว่าทำไมนิกายล้านอสรพิษจึงแสดงตัวที่หน้านิกาย แต่นั่นเพียงทำให้เธอรู้สึกกระวนกระวายใจถึงที่สุด
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 255
DC บทที่ 255: ประสิทธิภาพของหญ้าเงินเจ็ดใบ
ทั้งโหลวหลานจีและฟางซีหลานปิดหูเมื่อเซียวไป่คำราม รู้สึกเหมือนกับว่าโลกทั้งโลกสั่นสะเทือนในเวลานั้น
“เซียวไป่ เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า” ฟางซีหลานร้องตะโกน รู้สึกค่อนข้างกลัวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อบรรยากาศในที่นั้นพลันเปลี่ยนเป็นน่าหวาดกลัว รู้สึกเหมือนกับว่ามันเป็นช่วงเวลาตัดสินความเป็นตาย
อย่างไรก็ตามเซียวไป่ไม่สนใจฟางซีหลานและยังคงคำรามอย่างต่อเนื่อง ดวงตาของเธอเปล่งแสงสีเงิน ขนสีขาวของเธอตั้งตรงราวกับแมวที่กำลังหวาดกลัว
ในเวลานั้นซูหยางหันไปมองยังทิศทางบ้านของฟางซีหลานและคิดในใจ “ข้าลืมเตือนเธอว่าเสือหิมะจะเกิดความเร่าร้อนขึ้นเล็กน้อยหลังจากกินหญ้าเงินเจ็ดใบ…โอ ช่างเถอะ”
หลังจากยักไหล่แล้วซูหยางก็เดินกลับไปยังที่พักของตนเองต่อไป สิ่งที่เกิดขึ้นกับเซียวไป่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขาอีกต่อไปแต่เป็นปัญหาของฟางซีหลานที่ต้องจัดการ
ภายในที่พักของฟางซีหลาน เซียวไป่ค่อยคืนกลับสู่สภาพปกติหลังจากคำรามอีกสองสามครั้ง หลังจากกินหญ้าเงิน เธอก็แค่รู้สึกอยากปลดปล่อยพลังส่วนเกินออกจากร่างเพราะว่าพลังปราณไร้ลักษณ์ในหญ้าเงินเจ็ดใบทำให้ร่างกายของเธอรู้สึกเร่าร้อนมากขึ้นเล็กน้อย
“ซ-เซียวไป่…เจ้าใจเย็นลงแล้วหรือยัง” ฟางซีหลานพูดด้วยหัวกระเซิง รู้สึกเหมือนว่าเธอเพิ่งลุกออกมาจากเตียงหลังจากค่ำคืนอันเลวร้าย
เซียงไป่พยักหน้าด้วยสีหน้าสดชื่น
“เกิดอะไรขึ้นเมื่อกี้นี้” โหลวหลานจีอดที่มองดูเซียวไป่ด้วยสีหน้าประหลาดใจไม่ได้
การที่มันมีพลังการฝึกปรืออยู่เพียงอยู่ในเขตปฐมวิญญาณและสามารถเป็นเหตุให้ผู้กล้าเขตปฐพีวิญญาณเช่นเธอรู้สึกกดดันได้ พลังอำนาจของวิญญาณพิทักษ์ช่างลึกล้ำและยากต่อกรด้วยอย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตามนี่ยิ่งทำให้โหลวหลานจีตื่นเต้นไปกับอนาคตของเซียวไป่ยามเมื่อมันเติบโตเต็มที่
“ข้ามิรู้ นี่ก็เป็นครั้งแรกของข้าที่เห็นเธอเป็นเช่นนี้” ฟางซีหลานกล่าว
หลังจากครุ่นคิดไปชั่ววินาที เธอก็พูดต่อว่า “บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าเธอกินหญ้าเงิน ปริมาณปราณไร้ลักษณ์ที่เธอปล่อยออกมาเมื่อกี้มากกว่าตอนที่เธอเคยปลดปล่อยตามปกติ”
โหลวหลานจีกลืนน้ำลาย เธอพึมพัมออกมาโดยไม่รู้ตัว “จะเป็นอย่างไรถ้ามนุษย์เรากินหญ้าเงินเจ็ดใบบ้าง”
ฟางซีหลานได้ยินเสียงกระซิบของอีกฝ่ายและตอบว่า “ข้าได้ถามคำถามเดียวกัน แต่ซูหยางเตือนข้าว่ามนุษย์เราไม่สามารถกินมันได้นอกจากว่าพวกเขาอยากตาย”
“ย-อย่างนั้นรึ…”
ครั้งเมื่อสถานที่นั้นเงียบลงแล้ว ฟางซีหลานก็เข้าไปตรวจสภาพร่างกายของเซียวไป่
“เจ้านิกาย พลังการฝึกปรือของเซียวไป่ได้ถึงเขตคัมภีร์วิญญาณแล้ว เธอได้ก้าวข้ามไปเมื่อกี้ และเธอก้าวไปได้ถึงระดับสามเขตคัมภีร์วิญญาณ”
ฟางซีหลานประกาศออกมาอย่างมีความสุข
“จริงรึ นั่นช่างเป็นข่าวใหญ่” ใบหน้าโหลวหลานจีก็ฉายไปด้วยความตื่นเต้นเมื่อได้ยินข่าว
“หญ้าเงินเจ็ดใบนี้ช่างมีผลลัพธ์ที่ไม่น่าเชื่อ…ข้ายังคงรู้สึกยากที่จะเชื่อว่าหญ้าใบเดียวจะสามารถเพิ่มพลังเซียวไป่จากระดับสูงสุดของเขตปฐมวิญญาณไปเป็นระดับสามเขตคัมภีร์วิญญาณในขณะที่แก่นพลังสัตว์อสูรหลายสิบใบยังยากที่จะเติมท้องของเธอได้”
“ซูหยางคนนี้…เมื่อคิดว่าเขาสามารถสร้างสิ่งอื่นขึ้นมาได้นอกจากน้ำมันรัญจวนที่มีผลล้ำลึกปานนั้น…ไม่ว่าใครก็ต้องคิดสงสัยว่าเขามีไม้ตายอะไรซุกซ่อนอยู่อีก” โหลวหลานจีแอบถอนหายใจ
หลังจากที่เห็นเซียวไป่เพิ่มพลังอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งโหลวหลานจีและฟางซีหลานไม่ได้มีเสี้ยวของความสงสัยถึงการที่เซียวไป่จะเติบโตเต็มวัยภายในเวลาเดือนเดียวอีก
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ไม่น่าเชื่อยิ่งกว่าประสิทธิภาพของหญ้าเงินเจ็ดใบย่อมเป็นความสามารถของซูหยางที่สามารถเพาะปลูกทรัพยากรเช่นนั้น
ความสามารถของเขาที่สามารถอธิบายได้เพียงว่าท้าทายสวรรค์ทำให้โหลวหลานจีครุ่นคิดความหมายของชีวิตในเมื่อทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเขาท้าทายความรู้และความคาดหมายของเธอ
“เริ่มจากที่เขาเอาชีวิตรอดจากการกินดอกหยางพิสุทธิ์…หลังจากนั้นพลังการฝึกปรือของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว…กลเม็ดระดับเทพเจ้า และตอนนี้เขาเป็นนักปรุงยาที่มีความสามารถสุดจะหยั่ง…”
ทุกสิ่งเกี่ยวกับซูหยางทำให้โหลวหลานจีคิดว่าเขาเป็นผู้เก่งกล้ามากประสบการณ์แทนที่จะเป็นเด็กหนุ่มที่มีอายุและประสบการณ์เพียง 16 ปี ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้ที่คนอายุ 16 ปีจะรู้หลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องใช้เวลาหลายร้อยหลายพันปีเพื่อที่จะเชี่ยวชาญมัน
ตามจริง โหลวหลานจีได้เริ่มเชื่อว่าซูหยางอาจจะเป็นนักปรุงยาผู้ทรงอำนาจอย่างไม่น่าเชื่อที่กลับมาเกิด คนที่ได้ลิ้มลองหญิงมามากมายในชีวิตก่อน
“ซูหยางได้พูดอะไรก่อนจากไปหรือไม่” โหลวหลานจีตัดสินใจถามฟางซีหลาน
“…”
ฟางซีหลานอ้าปากแต่ก็หุบลงทันควัน เกือบเปิดเผยพลังการฝึกปรือของซูหยางที่อยู่ในเขตปฐพีวิญญาณออกไป
“เจ้านิกายได้รู้ถึงพลังการฝึกปรือของเขาหรือยัง…”
“ศิษย์ฟาง” โหลวหลานจีเลิกคิ้วหลังจากที่ฟางซีหลานยังคงเงียบไปชั่วขณะ
หลังจากครุ่นคิดไปชั่วขณะ ฟางซีหลานก็ตัดสินใจเก็บซ่อนความจริงที่ว่าซูหยางได้ถึงเขตปฐพีวิญญาณในขณะที่ยังเป็นศิษย์ในไว้เป็นความลับ บางสิ่งจะดีกว่าถ้าเก็บไว้โดยไม่พูดถึง
“นอกจากขอให้ข้าร่วมฝึกวิชากับเขา เขาก็ไม่ได้พูดอะไรอีก”
สุดท้ายฟางซีหลานก็พูดขึ้น
“อะไรกัน ซูหยางชวนเจ้าให้ร่วมฝึกกับเขารึ เจ้าตอบว่าอย่างไร”
ปกติแล้วโหลวหลานจีย่อมไม่รบกวนกับธุระอะไรแบบนั้น แต่เมื่อใช้ซูหยางเป็นหัวข้อ เธอก็อดถามไม่ได้
ฟางซีหลานพยักหน้าและกล่าวว่า “ข้าตกลง เราจักพบกันที่ห้องสวีทแห่งศลิษาสี่วันนับจากนี้”
“อย่างนั้นรึ…”
“ท่านเจ้านิกายคุ้นเคยกับเขาหรือเปล่า หากเป็นเช่นนั้นท่านสามารถพูดเกี่ยวกับเขาให้ข้าฟังมากกว่านี้” ฟางซีหลานพลันถาม
“อะไรกันนี่ ศิษย์ฟางของเราเกิดความสนใจศิษย์ในธรรมดาจริงรึ ดีล่ะข้าจะบอกเจ้าทั้งหมดเกี่ยวกับคนเจ้าอุบายและนิสัยเสียคนนี้…”
โหลวหลานจีเริ่มพูดจาใส่ร้ายป้ายสีเกี่ยวกับซูหยาง พูดถึงว่าเขามักจะหยิ่งยะโสและวางแผนอย่างโน้นอย่างนี้อย่างไร
ฟางซีหลานนั่งฟังอยู่ที่นั่นและเธอก็อดสังเกตไม่ได้ว่าโหลวลานจีดูท่าทางมีชีวิตชีวาเมื่อพูดถึงซูหยางแม้ว่าจะพูดไม่ดีใส่เขา ราวกับว่าเธอพูดเกี่ยวกับคนรักเก่าอะไรแบบนั้น
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 254
DC บทที่ 254: ระดับสูงสุดของเขตปฐพีวิญญาณ
“เจ้าจะช่วยข้าไปถึงเขตปฐพีวิญญาณได้อย่างไร เคล็ดลับประเภทไหนที่เจ้าซุกซ่อนไว้” ฟางซีหลานไม่ได้ตื่นเต้นมากมายในทันทีแต่ถามเขาด้วยท่าทางจริงจังแทน เมื่อเธอไม่อาจมั่นใจได้ว่าซูหยางมีความสามารถนั้น
“ไม่มีเคล็ดลับใดๆเกี่ยวข้อง”
ซูหยางตอบด้วยรอยยิ้ม
ทันใดนั้นหลังจากที่ซูหยางพูดคำเหล่านั้นแล้ว พลังกดดันอันลึกล้ำก็แผ่ออกมาจากร่างของเขา จนเกิดเป็นริ้วพลังกระจายออกไปทั่วห้อง
ฟางซีหลานสามารถรู้สึกได้ว่าร่างของเธอทั้งร่างสั่นสะท้านด้วยความตระหนกหลังจากรับรู้ถึงพลังทรงอำนาจที่มาจากร่างซูหยาง ดวงตาของเธอเบิกค้างกรามร่วงถึงพื้นเมื่อเธอตระหนักว่าปราณไร้ลักษณ์ที่มาจากร่างของเขานั้นเป็นของเขตปฐพีวิญญาณ
แม้ว่าเธอไม่สามารถแยกแยะได้ว่าระดับไหนที่เขาอยู่เนื่องมาจากเธอขาดพลังการฝึกปรือ ฟางซีหลานก็ไม่ได้สงสัยในเมื่อปราณไร้ลักษณ์รอบร่างซูหยางนั้นเป็นสิ่งที่เฉพาะผู้เชี่ยวชาญเขตปฐพีวิญญาณเท่านั้นสามารถมีได้
“ป-เป-เป็นไปไม่ได้” เธออุทานออกมาด้วยเสียงแตกตื่น
ทำไมแค่ศิษย์ในธรรมดาอยู่ในเขตปฐพีวิญญาณ ในเมื่อกระทั่งผู้อาวุโสที่ทรงพลังที่สุดในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ยังอยู่ที่เขตปฐพีวิญญาณ หรือว่าซูหยางคนนี้ได้ซ่อนพลังการฝึกปรือของเขาไว้ตลอดเวลา จะเป็นอย่างไรถ้าซูหยางคนนี้แท้จริงแล้วเป็นผู้เชี่ยวชาญการปลอมแปลงตัวและตัวจริงไปอยู่ไหนก็ไม่รู้
“แม้ว่าข้ามิได้มีมีเจตนาจะเปิดเผยพลังการฝึกปรือของข้าเร็วนัก ข้าจักถือเป็นข้อยกเว้นสำหรับเจ้า” ซูหยางพูดพร้อมรอยยิ้ม
จะกล่าวไปแล้ว ในเมื่อพลังการฝึกปรือของเขาจะต้องเปิดเผยที่การแข่งขันระดับภูมิภาคอยู่แล้ว ซูหยางจึงไม่สนใจแม้แต่น้อยถ้ามันจะเปิดเผยก่อนหน้านั้น
และไม่ใช่ว่าเขาพยายามซ่อนพลังการฝึกปรือของเขาอย่างตั้งใจ ตามจริงเหตุผลเดียวที่ไม่มีใครสังเกตเห็นมาตั้งนานนั้นก็ง่ายดาย เพราะว่าพวกเขาไม่มีความสามารถที่จะเห็นพลังการฝึกปรือของเขา
“อย่ากังวล ข้าเองเป็นศิษย์ในของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจริงๆ ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญปลอมตัวมา” เขากล่าวต่อหลังจากที่อ่านสีหน้ากังวลของฟางซีหลานราวกับอ่านหนังสือ
“ข้าอยู่ในเขตคัมภีร์วิญญาณไม่นานมานี้ แต่หลังจากประสบกับโชคลาภ พลังการฝึกปรือของข้าจึงทะลวงผ่านประตูมังกร”
ฟางซีหลานอ้าปากแต่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อไป ดังนั้นเธอได้แต่หุบปากลงและนิ่งเงียบเป็นเวลาชั่วขณะขณะที่ใจของเธอพยายามที่จะเข้าใจกับเหตุการณ์
“ช-เช่นนั้นวิธีที่จักช่วยข้าไปถึงเขตปฐพีวิญญาณ…หรือว่าคือการร่วมฝึกกับเจ้า”
ฟางซีหลานถามด้วยเสียงที่ค่อนข้างสั่นเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่ายังคงตระหนกกับการเปิดเผยในทันทีของเขา
“ข้ามิบังคับเจ้าถ้าเจ้ามิต้องการ”
ฟางซีหลานหรี่ตาเธอจ้องเขม็งไปเฉพาะใบหน้าหล่อเหลาของซูหยาง
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ เธอก็พูดด้วยน้ำเสียงที่สงบลงไปมากแล้วว่า “เจ้ามั่นใจว่าข้าจักถึงเขตปฐพีวิญญาณก่อนถึงการแข่งขันระดับภูมิภาค”
“การแข่งขันระดับภูมิภาครึ” ซูหยางพลันเริ่มหัวเราะ “นั่นช่างนานเหลือเกิน ข้าสามารถรับรองได้ว่าเจ้าจักถึงเขตปฐพีวิญญาณภายในสองอาทิตย์และอย่างน้อยถึงระดับสี่ในครึ่งปีถ้าเจ้าร่วมฝึกกับข้า”
“ส-สี่ระดับของเขตปฐพีวิญญาณเลยรึ” ฟางซีหลานมองดูเขาด้วยใบหน้างงงัน นี่เป็นไปได้ด้วยรึ หรือว่าเขาแค่พยายามเกี้ยวพานเธออย่างง่ายๆ เพราะว่าสิ่งที่เขาบอกเธอนั้นในเบื้องต้นก็คือเธอจะถึงระดับเดียวกับเจ้านิกายภายในครึ่งปี
“เจ้าจักเข้าใจยามเมื่อได้ลิ้มลองปราณหยางของข้า” เขาหัวเราะเล็กน้อย
ฟางซีหลานหรี่ตาและหลังจากเงียบไปอีกชั่วขณะเธอก็พยักหน้า “อย่างนั้นก็ได้ข้าจักฝึกกับเจ้า อย่างไรก็ตามถ้ากลเม็ดของเจ้าห่วย ข้าก็จะไม่รบกวนเจ้าอีกถึงแม้ว่าเจ้าจะสามารถช่วยข้าได้”
“นั่นมีเหตุผล” ซูหยางพยักหน้า
“เมื่อไหร่ที่เจ้าต้องการฝึกคู่” ฟางซีหลานถามเขา
“เวลาไหนก็ได้ที่เจ้าต้องการ” เขาตอบกลับอย่างรวดเร็ว
“เช่นนั้นพบกับข้าเช้าตรู่ที่ห้องสวีทแห่งศลิษาอีกสี่วันให้หลัง” ฟางซีหลานกล่าว
ซูหยางตกลงกับการนัดหมายของเธอและออกไปจากที่นั้นในเวลาไม่นานหลังจากนั้น
ยามเมื่อซูหยางจากไปแล้ว ฟางซีหลานก็ร้องขอพบโหลวหลานจีผ่านหยกสื่อสาร
สองสามนาทีหลังจากนั้น โหลวหลานจีก็แสดงตัวที่บ้านของฟางซีหลาน
“เกิดอะไรขึ้นรึ หรือว่าซูหยางทำให้เจ้าลำบากใจ” โหลวหลานจีถามเธอทันที
ฟางซีหลานส่ายหน้าและนำเอาหญ้าเงินเจ็ดใบออกมาแสดงให้โหลวหลานจีดู
“นั่นคืออะไร ข้าสามารถรับรู้ถึงปราณไร้ลักษณ์จำนวนมหาศาลภายในนั้น”
ฟางซีหลานทำการอธิบายให้โหลวหลานจีฟังถึงหญ้าเงินเจ็ดใบและสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้
“หญ้าเงินเจ็ดใบจักยอมให้เซียวไป่เติบโตเต็มวัยภายในหนึ่งเดือน และเขาให้มันกับข้าฟรีแม้ว่าข้าจะเสนอให้มากมาย เขาพูดว่าสิ่งที่เขาต้องการคือการช่วยนิกายก้าวหน้าเท่านั้น”
“นั่นเป็นสิ่งที่เขาพูดรึ” โหลวหลานจีมีสีหน้าประหลาดใจเมื่อได้ยินเช่นนี้ ซูหยางคิดถึงสำนักเมื่อเขาให้หญ้าเงินเจ็ดใบแก่เธองั้นรึ ตามที่รู้จักนิสัยของซูหยางเธออดไม่ได้ที่จะสงสัยคำกล่าวนั้น
โหลวหลานจีจึงตรวจสอบหญ้าเงินเจ็ดใบและพยักหน้าด้วยความอัศจรรย์ใจ รู้สึกเหมือนกับว่าเธอกำลังมองไปยังสมบัติล้ำค่า
“เขาบอกเจ้าหรือไม่ว่าเขาได้มาอย่างไร”
“เขาพูดว่าเขาเพาะมันขึ้นมาด้วยตนเอง แต่ข้ามิมั่นใจว่ามันถูกต้องแต่ไหน” ฟางซีหลานพูด
โหลวหลานจีมองไปยังสมุนไพรและคิดอยู่ในใจ “มันน่าจะเป็นเรื่องจริงในเมื่อเขาเป็นนักปรุงยาที่สร้างน้ำมันรัญจวน…”
“อย่างไรก็ตาม ทำไมมันจึงเรียกว่าหญ้าเงินเจ็ดใบในเมื่อมันมีเพียงแค่หกใบเท่านั้น” โหลวหลานจีถาม
“โอ ข้าได้ป้อนให้กับเซียวไป่ไปแล้ว” ฟางซีหลานพูดขณะที่เธอชี้ไปยังเซียวไป่ ซึ่งกำลังสั่นอย่างเห็นได้ชัดอยู่ที่มุมห้องในเวลานั้น
“ทำไมเธอจึงสั่นแบบนั้น” โหลวหลานจีถามหลังจากที่เห็นสภาพเซียวไป
“อะไรนะ” ฟางซีหลานซึ่งไม่ได้สังเกตจนกระทั่งจนกระทั่งได้พูดถึงพลันหันไปมองดูเซียวไป่
“ข-ข้ามิมั่นใจ…” ฟางซีหลานส่ายหน้า
“เซียวไป่ เจ้ายังดีอยู่ไหม”
อย่างไรก็ตามขณะที่ฟางซีหลานตรงเข้าไปหาเซียวไป่ แรงกดดันอันทรงพลังก็ปรากฏขึ้นในห้อง และเซียวไป่ก็อ้าปากกว้างขึ้นปล่อยเสียงคำรามก้อง จนทำให้สถานที่นั้นสั่นสะเทือนราวกับแผ่นดินไหว
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 253
DC บทที่ 253: ความปรารถนาที่จะก้าวหน้า
“ตราบเท่าที่เจ้าป้อนเสือหิมะด้วยหญ้าหนึ่งใบทุกสี่วัน มันย่อมสามารถเติบโตเต็มวัยได้ภายในเวลาหนึ่งเดือน บางทีอาจจะเร็วกว่านั้นขึ้นกับว่าวิญญาณพิทักษ์นี้มีพรสวรรค์เท่าไหร่”
แม้ว่าเขาไม่ได้พูดถึง แต่เสือหิมะถือว่าเป็นระดับที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับวิญญาณพิทักษ์อื่น แต่ถ้าจะว่าไปแล้ววิญญาณพิทักษ์ในระดับนี้ก็เพียงพอที่จะยึดครองโลกนี้ถ้าเติบโตเต็มที่และได้รับการฝึกฝนอย่างเหมาะสม
“อย่างไรก็ตามข้าได้บรรลุจุดประสงค์ที่ข้าได้มาที่นี่แล้ว ดังนั้นข้าจักขอตัวกลับในตอนนี้”
“รอสักครู่”
ฟางซีหลานพลันหยุดเขาไว้
“มีอะไรอีก”
“ในเมื่อเจ้ามาที่นี่แล้ว ทำไมเจ้าไม่อยู่ต่ออีกสักหน่อย ข้ามีสองสามคำถามที่ต้องการจะถามเจ้า” ฟางซีหลานกล่าวขณะที่เธอย้ายเก้าอี้ไปทางเขา
ซูหยางเหลือบมองเก้าอี้ชั่วขณะก่อนจะนั่งลง
“เรื่องอะไรที่เจ้าอยากถามข้า”
“เมื่อข้าเห็นเจ้าครั้งแรก ข้ารู้สึกเหมือนว่าเคยเห็นเจ้ามาก่อน ตอนนี้เมื่อข้าได้มองดูเจ้าอย่างใกล้ชิด ข้าคิดว่าข้าจำได้ว่าเคยเห็นเจ้าที่โรงประมูลดอกบัวเพลิง เจ้าได้มีส่วนร่วมในการประมูลนั้นหรือไม่”
“โฮ่ เจ้าเห็นข้ารึ”
นอกจากเวลาที่เขาดูเธอเสนอราคาสำหรับแก่นพลังสัตว์อสูร ซูหยางจำไม่ได้ว่าเห็นเธออีกตอนไหน
ฟางซีหลานพยักหน้าและกล่าวว่า “นั่นเป็นเพียงเวลาชั่ววินาทีแต่ข้าจำได้ว่าเห็นเจ้าออกมาจากโรงประมูลหลังจากนั้น”
เพราะว่าหน้าตาหล่อเหลาของซูหยางนั้นโดดเด่นและน่าจดจำ ฟางซีหลานจึงสามารถจำใบหน้าของเขาแม้ว่าเธอจะได้เพียงเหลือบมองเขาเพียงแค่วินาทีเดียว
“ข้ามิได้วางแผนที่จะพูดอะไรทั้งสิ้น แต่ในเมื่อเจ้าถาม แก่นพลังสัตว์อสูรแมวสายฟ้าทั้งหมดที่เจ้าซื้อจากโรงประมูลล้วนเป็นของข้า”
“เอ๋ จริงรึ พวกมันล้วนเป็นของเจ้ารึ ข้าเคยคิดว่าพวกมันล้วนเป็นของนักสะสมที่ร่ำรวย”
ฟางซีหลานมีสีหน้าประหลาดใจ ในเมื่อเธอไม่คาดคิดว่าเขาจะเป็นเจ้าของของแก่นพลังสัตว์อสูรมากมายปานนี้
“เช่นนั้นเจ้าต้องร่ำรวยพอสมควรตอนนี้ เฮ้อ ไม่น่าประหลาดใจที่ทำไมเจ้าจึงปฏิเสธที่จะรับหินวิญญาณเพื่อแลกเปลี่ยนกับหญ้าเงินเจ็ดใบ ในเมื่อคนทั่วไปย่อมต้องรับมันไว้ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ร้องขอ”
ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “แล้วเจ้าล่ะ เหตุผลที่เจ้าซื้อแก่นพลังสัตว์อสูรมากมายก็เพื่อที่เจ้าจะได้ป้อนวิญญาณพิทักษ์นี้ใช่ไหม หือ”
“ใช่แล้ว” เธอพยักหน้าขณะที่เธอตบเซียวไป่ที่นั่งอยู่ข้างเธอเบาๆ
ซูหยางพลันพูดต่อ “เจ้ามีจุดประสงค์อะไรกับข้าอีกไหม”
ฟางซีหลานพลันเงียบลง ดูเหมือนจะลังเลเกี่ยวกับคำถามข้อต่อไปของเธอ
“ถ้าเจ้าไม่รังเกียจข้าอยากถามว่า..ในเมื่อหญ้าเงินเจ็ดใบมีปราณไร้ลักษณ์บรรจุอยู่จำนวนมาก มนุษย์เราสามารถใช้มันฝึกฝนเช่นเดียวกับหินวิญญาณได้หรือไม่”
“…”
แม้ว่าซูหยางสามารถเดาเหตุผลที่เธอถามคำถามนั้น เขากลับไม่ได้ตอบเธอในทันที
“อย่ากังวล ถึงแม้ว่าข้าปรารถนาที่จะก้าวหน้าเช่นกัน ข้ามิได้มีแผนที่จะเอาส่วนของเซียวไป่มา ในเมื่อการเติบโตของเธอมีความสำคัญต่อนิกายมากกว่าข้า ยิ่งไปกว่านั้นเธอจักเกลียดข้าถ้าทำเช่นนั้น” ฟางซีหลานพูดหลังจากที่เห็นว่าซูหยางเหมือนมีสีหน้าครุ่นคิด
ซูหยางหลับตาลงและกล่าวว่า “ถ้าข้าพูดว่ามนุษย์สามารถฝึกฝนโดยใช้หญ้าเงินเจ็ดใบได้เช่นกัน คำถามต่อไปของเจ้าคงเป็นข้าสามารถทำขึ้นมาเพิ่มสำหรับเจ้าได้หรือไม่ ถูกต้องไหม”
ฟางซีหลานไม่ได้ซ่อนเจตนาของเธอ พยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง
“อย่างที่เจ้ารู้ การแข่งขันระดับภูมิภาคเป็นที่สนใจของผู้คน ไม่เพียงแต่ผู้อาวุโสนิกายแต่กระทั่งเจ้านิกายก็มีความคาดหวังอย่างสูงสำหรับข้าด้วย ดังนั้นข้าจึงต้องทำทุกอย่างที่สามารถทำได้เพื่อที่จะได้อันดับสูงๆในการแข่งขัน อย่างไรก็ตามคู่แข่งของข้าก็จะเป็นศิษย์หลักจากนิกายที่เก่งกาจทั่วภูมิภาค และพวกเขาส่วนใหญ่ล้วนถึงเขตปฐพีวิญญาณก่อนหน้านั้น”
“แม้ว่าข้ามิได้มีข้อสงสัยว่าข้าจะสามารถเข้าสู่เขตปฐพีวิญญาณภายในสิ้นปี แต่ข้าก็มิอาจเห็นตัวข้าไปถึงเป้าหมายนั้นได้ก่อนการแข่งขันระดับภูมิภาค ถ้าเจ้าปรารถนาที่จะช่วยข้าด้วยหญ้าเงินเจ็ดใบ ข้าย่อมเป็นหนี้บุณคุณเจ้าอย่างสูง”
ซูหยางคิดชั่วขณะก่อนที่จะพูด “ทำไมเจ้ามิร่วมฝึกกับเจ้าตัวตลกเมื่อกี้ข้างนอกนั่น เขาดูเหมือนว่ามีความมั่นใจว่าเขาสามารถที่จะเติมเต็มความปรารถนาของเจ้า”
“ยวินหนานเตียน เจ้าคนนั้นเพียงแค่พูดสิ่งที่คนต้องการได้ยินเท่านั้น ไม่ว่ามันจะเป็นจริงหรือไม่”
“หรือว่านั่นเป็นเหตุผลที่เจ้ามิชอบเขา ข้าเคยคิดว่าศิษย์หลักทุกคนค่อนข้างจะเป็นมิตรกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมื่อมีพวกเจ้าเพียงไม่กี่คนในสถานที่นี้”
“นั่นย่อมมิใกล้เคียงกับความเป็นจริง แม้ว่าพวกเราทำตัวเช่นนั้นในที่สาธารณะ แต่พวกเราส่วนใหญ่ก็มักจะรังเกียจกันเอง ตามจริงเมื่อพวกเรามองหาคู่ฝึก พวกเรามักจะออกไปข้างนอกที่ซึ่งมีคนที่เข้มแข็งอยู่มากมาย”
ซูหยางพยักหน้า ด้วยคำพูดของเธอมีเหตุผล เพราะว่าศิษย์หลักทั้งหมดมีพลังการฝึกปรือใกล้เคียงกัน พวกเขาจึงต้องการผู้ที่มีความแข็งแกร่งกว่าตนเองมาเป็นคู่ฝึก ตามจริงศิษย์หลักยากที่จะฝึกฝนร่วมกัน และเพราะด้วยเหตุนี้ศิษย์หลักของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยปกติจะมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับคนที่มีความแข็งแกร่งและชื่อเสียงจากโลกภายนอก
“แม้ว่าข้าจะเข้าใจสถานการณ์ของเจ้า ข้าก็ต้องปฏิเสธที่จะผลิตหญ้าเงินเจ็ดใบมากกว่าเดิม” ซูหยางกล่าวหลังจากนั้นชั่วขณะ
“ข้าถามได้หรือไม่ว่าทำไม”
แม้ว่าฟางซีหลานรู้สึกอารมณ์เสียที่ศิษย์ในคนหนึ่งได้ปฏิเสธคำขอของเธอ สิ่งที่เธอไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นมาก่อนถึงวันนี้ เธอก็ไม่ได้โกรธเขา
“ง่ายมาก หญ้าเงินเจ็ดใบจักฆ่าเจ้าเพราะว่ามนุษย์ไม่สามารถที่จะฝึกฝนกับสิ่งที่เหมาะสมกับวิญญาณพิทักษ์ ในเมื่อการทำงานของจุดตันเถียนของพวกมันแตกต่างจากพวกเราเป็นอย่างมาก”
“เอ๋ แต่เจ้าที่พูดเมื่อสักครู่…”
ฟางซีหลานมองดูเขาด้วยดวงตาโต
“ข้าเพียงพูดสมมุติเท่านั้น”
ฟางซีหลานไร้คำพูดอย่างรวดเร็ว เมื่อคิดว่าซูหยางให้ความหวังกับเธอและขยี้มันแทบจะในทันที เขาได้ตระหนักไหมว่าใครที่ยืนอยู่ต่อหน้าเขา ไม่มีศิษย์ธรรมดาคนไหนกล้าที่จะพูดกับเธออย่างไม่ใส่ใจ อย่าว่าแต่เล่นกับอารมณ์ของเธอแบบนี้
“ถ้าจะพูดไปแล้ว ถ้าเจ้าต้องการที่จะบรรลุเขตปฐพีวิญญาณ ข้าสามารถช่วยเจ้าให้บรรลุเป้าหมายได้”
ซูหยางพลันพูดขึ้น ดวงตาของฟางซีหลานเป็นประกายล้ำลึกหลังจากได้ยินเช่นนั้น
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 252
DC บทที่ 252: เพื่อแลกเปลี่ยนกับหญ้าเงินเจ็ดใบ
“จ-ใจเย็นเซียวไป่”
แม้กระทั่งด้วยพลังการฝึกปรือระดับสูงสุดของเขตสัมมาวิญญาณ ฟางซีหลานยังยากที่จะเก็บเซียวไป่ซึ่งอยู่ในระดับสูงสุดของเขตปฐมวิญญาณไว้ใต้การควบคุม
นี่แสดงให้เห็นว่าวิญญาณพิทักษ์มีพละกำลังเหนือกว่าและลึกล้ำกว่าเพียงไหน และทำไมกระทั่งนิกายระดับสูงยังต้องเริ่มสงครามเพื่อให้ได้สักตัว
ถ้าเซียวไป่โตเต็มวัย มันก็สามารถต่อสู้แม้กระทั่งกับผู้ฝึกวิชาระดับปฐพีวิญญาณในขณะที่ตัวมันอยู่ในเขตคัมภีร์วิญญาณ
“ซูหยาง เจ้าต้องการอะไรในการแลกเปลี่ยนสำหรับหญ้าเงินเจ็ดใบนี้”
ฟางซีหลานรีบถามเขา เธอสงสัยว่าเขาปรารถนาที่ยกให้ฟรีหรือ
“เพียงแค่แจ้งราคามาและนั่นจะเป็นของเจ้า”
แม้กระทั่งเธอไม่มีหินวิญญาณพอเพียง ฟางซีหลานก็มั่นใจว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็จะจ่ายให้เธอ ในเมื่อหญ้าเงินเจ็ดใบนี้เป็นไปได้อย่างมากที่จะช่วยเซียวไป่โตเต็มวัย เป็นสิ่งที่แม้กระทั่งโหลวหลานจีก็ไม่ปฏิเสธแม้ว่ามันจะมีค่ามหาศาล
“ข้ามิได้ต้องการหินวิญญาณของเจ้า…”
หลังจากที่ได้หินวิญญาณนับหมื่นจากคลังเซียน ซูหยางไม่ได้ต้องการความร่ำรวยใดอีกต่อไป ในเมื่อมันเพียงคล้ายกับหยดน้ำสองสามหยดลงในทะเล
“ถ้าเจ้ามิต้องการหินวิญญาณ เช่นนั้นอะไรที่เจ้าต้องการ”
หลังจากครุ่นคิดชั่วขณะ ฟางซีหลานก็หรี่ตา เธอถามว่า “อย่าบอกว่าเพื่อแลกเปลี่ยนกับหญ้าเงินเจ็ดใบ เจ้าต้องการร่างกายของข้า…”
ถ้าซูหยางไม่ต้องการหินวิญญาณ นั่นก็มีเพียงเหตุผลเดียวที่ทำไมเขาถึงเข้ามาหาเธอพร้อมกับหญ้าเงินเจ็ดใบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหากพิจารณาถึงชื่อเสียงและความสวยงามของเธอในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย สุดท้ายแล้วเขาก็เป็นคนที่ให้กระดาษบันทึกแก่เธอ
ซูหยางส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้มและกล่าวว่า “ถ้าเจ้าคิดว่าข้ามาหาเจ้าเพียงแค่ร่างกายของเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็ได้ดูถูกตัวข้าแล้ว”
“เพียงแค่รึ เช่นนั้นเจ้าก็ยังคิดถึงอยู่มิใช่รึ” ฟางซีหลานถาม
“แน่นอน ข้ามิปฏิเสธการร่วมฝึกคู่กับเจ้าถ้าหากมีโอกาส แต่อย่างที่บอกไปแล้วข้ามิมีเจตนาที่จะขอให้เจ้าใช้ร่างเจ้าในการแลกเปลี่ยนสำหรับหญ้าเงินเจ็ดใบ”
ซูหยางไม่ได้ปฏิเสธว่าเขาต้องการร่วมฝึกคู่กับเธอ อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่มีเจตนาที่จะเอาเปรียบกับความรู้สึกของเธอสำหรับเซียวไป่โดยการใช้หญ้าเงินเจ็ดใบกดดันเธอให้ร่วมฝึกกับเขา ซึ่งนั่นเป็นความเลวสำหรับคนเช่นเขา
หลังจากที่กล่าวถ้อยคำเหล่านี้แล้ว ซูหยางก็ยื่นส่งกระถางของหญ้าเงินเจ็ดใบทั้งกระถางให้กับเธอและกล่าวว่า “ข้ามิได้มีเจตนาในการร้องขอสิ่งใดสำหรับหญ้าเงินเจ็ดใบ ในเมื่อนี่เป็นวิถีทางในการช่วยนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยของข้า”
ซูหยางต้องการที่จะช่วยนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเติบโตจนเป็นสถานที่ที่มีพลังน่าเกรงขามก่อนที่เขาจะจากไปสู่สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ นี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำไมเขาจึงยังคงอยู่ที่นี่และฝึกฝนกับบรรดาศิษย์เหล่านั้นซึ่งไม่มีผลกับความก้าวหน้าของเขามากนัก แม้ว่าจะมีทางเลือกไปยังที่ที่มีผู้คนที่มีความแข็งแกร่งมากกว่าอยู่ทั่วไป ดังเช่นทวีปศักดิ์สิทธิ์กลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขามีเรือบินของชิวเยวี่ย ซึ่งจะทำให้เขาเดินทางได้ง่ายกว่าเดิม
จะว่าไปแล้วถึงแม้ว่าเขาเดินทางไปยังทวีปศักดิ์สิทธิ์กลางและฝึกฝนอยู่ที่นั่น พลังการฝึกปรือของเขาก็จะเพียงเพิ่มขึ้นมากก่อนที่จะถึงทางตันที่ไม่อาจข้ามไปได้เนื่องมาจากปริมาณปราณไร้ลักษณ์ในโลกนี้
อีกนัยหนึ่งเขาก็จะประสบกับปัญหาเดียวกับที่ชิวเยวี่ยประสบในตอนนี้ ไม่ว่าจะมีพรสวรรค์มากมายเพียงใดหรือว่าจะฝึกเคล็ดวิชาท้าทายสวรรค์อะไรก็ตาม สิ่งเหล่านั้นก็ไม่สามารถช่วยให้ก้าวข้ามไปได้นอกจากจะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ถูกต้อง
การกระทำของซูหยางสร้างความมึนงงให้กับฟางซีหลาน ซึ่งยังสงสัยเจตนาที่แท้จริงของเขาอยู่
“เจ้ามิต้องการสิ่งใดในการแลกเปลี่ยนสำหรับหญ้าเงินเจ็ดใบรึ เจ้ามั่นใจรึ” เธอถามเพียงเพื่อให้เกิดความมั่นใจ
“ถึงแม้ว่ามันอาจจะมีค่ามากสำหรับวิญญาณพิทักษ์ แต่หญ้าเงินเจ็ดใบง่ายมากในการเพาะปลูก” เขากล่าว
“เดี๋ยวก่อน…เจ้าปลูกมันด้วยตนเองรึ” อันดับแรกฟางซีหลานคิดสงสัยในใจจึงตัดสินใจถามเขา
ซูหยางพยักหน้ายืนยันความคิดของเธอ
“ป-เป็นไปไม่ได้…” ฟางซีหลานตกตะลึงอย่างแท้จริงเมื่อมาถึงจุดนี้
ทำไมคนที่อยู่เขตคัมภีร์วิญญาณและเป็นเพียงศิษย์ในธรรมดาจึงสามารถปลูกบางอย่างที่สามารถช่วยวิญญาณพิทักษ์โตเต็มวัยได้ สิ่งนี้จะเป็นเหตุให้เกิดการนองเลือดถ้าหากมีการรู้กันเข้า บ้าแล้ว เธอก็ยังไม่เคยได้ยินเรื่องหญ้าเงินเจ็ดใบมานับจนวันนี้
“ถ้าเขาสามารถปลูกสิ่งนี้ได้ด้วยตนเองจริงๆ เช่นนั้นข้าก็มิอาจจินตนาการได้ว่าโลกจะมีปฏิกิริยาอย่างไรถ้าพวกเขาเรียนรู้ความสามารถของเขา…” ฟางซีหลานสามารถรู้สึกว่าร่างของเธอมีเหงื่อไหลหลังจากที่รู้ถึงความสามารถระดับท้าทายสวรรค์ของซูหยาง
แต่แน่นอนว่าในสายตาของซูหยาง หญ้าเงินเจ็ดใบเป็นสิ่งของทั่วไปในสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ และถือได้ว่าเป็นอาหารทารกแต่สำหรับเพื่อวิญญาณพิทักษ์เท่านั้น ในอีกนัยหนึ่งพวกมันไม่ได้หายากดังเช่นที่ฟางซีหลานคิดว่ามันควรจะเป็น
“ไปป้อนให้กับเสือหิมะหนึ่งใบ” เขาพลันกล่าวกับเธอ
“ด-ได้”
ฟางซีหลานปล่อยเซียวไปจากการจับและรีบฉวยหญ้าเงินเจ็ดใบไว้ก่อนที่เซียวไป่จะกลืนมันลงไปทั้งหมด
“เซียวไป่ นั่งลง”
ลูกบอลขนสีขาวพลันนั่งลงเมื่อฟางซีหลานแสดงหญ้าเงินเจ็ดใบให้เธอเห็น
ฟางซีหลานดึงเอาหญ้าเงินเจ็ดใบออกมาหนึ่งใบจากกระถางและป้อนให้กับเซียวไป่ ซึ่งกลืนสิ่งนี้เข้าไปในคำเดียวหลังจากที่เคี้ยวไปสองสามครั้ง
หลังจากกินหญ้าเข้าไปไม่กี่วินาที เซียวไปก็จ้องมองฟางซีหลาน เห็นชัดว่าขอเพิ่ม
ฟางซีหลานหันไปมองดูซูหยางซึ่งส่ายหน้าและกล่าวว่า “ข้าควรจะเตือนเจ้าว่าหญ้าเงินเจ็ดใบแต่ละใบเปี่ยมไปด้วยปราณไร้ลักษณ์จำนวนมาก ถ้าเจ้าป้อนมันเกินกว่าที่แนะนำไว้ มันจะเป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวงแก่วิญญาณพิทักษ์ กระทั่งอาจฆ่ามันได้”
คำพูดของซูหยางสร้างความหวาดกลัวให้แก่ฟางซีหลานได้อย่างง่ายดาย เตือนเธอให้ซ่อนกระถางหญ้าเงินเข้าไปในแหวนมิติในทันที แม้ว่าเซียวไป่จะมีสายตาวิงวอน
“ขอบคุณสำหรับทุกสิ่ง” เธอกล่าวด้วยเสียงจริงใจ ถึงกับก้มศีรษะให้เขาเล็กน้อย สิ่งที่ยากจะเกิดขึ้น
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 251
DC บทที่ 251: หญ้าเงินเจ็ดใบ
หยุนหนานเตียนจ้องมองซูหยางด้วยสีหน้าโกรธแค้นบนใบหน้าหล่อเหลา รู้สึกอายกับท่าทางหวาดกลัวของตัวเองเมื่อกี้นี้ ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือฟางซีหลานที่อยู่ที่นั่นก็เห็นด้วย
“ศิษย์ในบ้าคนนี้เป็นใครกัน เข้ามาในเขตกลางได้อย่างไร” ยวินหนานเตียนพลันจดจำชุดเขียวแต่ใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยได้ในทันที ตามจริงเขาไม่เคยเห็นอีกฝ่ายมาก่อน
“เจ้าคือซูหยาง” ฟางซีหลานถามเขา
“ใช่แล้ว”
“มาข้างใน ข้ารอเจ้าอยู่”
ซูหยางพยักหน้าและตรงเข้าไปยังประตู
อย่างไรก็ตามขณะที่เขาก้าวเข้าไปได้สองก้าว ยวินหนานเตียนก็ตะโกนขึ้น “หยุดอยู่ตรงนั้น”
“ศิษย์น้องหญิงฟาง นี่หมายความว่าอะไร หรือว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นเหตุผลที่เจ้าติดธุระ แค่ศิษย์ในเท่านั้น” เขาถามเธอด้วยสีหน้าไม่พอใจบนใบหน้า
“นั่นมิใช่กงการอะไรของท่าน” เธอตอบกลับเสียงเย็นเยียบ
ร่างของยวินหนานเตียนสะท้านด้วยความโกรธ แต่เขาพยายามทำหน้าเรียบเฉยขณะที่พูดกับเธอ “อย่าทำเช่นนั้น ศิษย์น้องหญิง เจ้าจะได้อะไรจากการร่วมฝึกคู่กับคนในเขตคัมภีร์วิญญาณแบบเขา ถ้าเราร่วมฝึกด้วยกัน นั่นย่อมมิใช่ความฝันที่จะก้าวเข้าสู่เขตปฐพีวิญญาณก่อนจะเริ่มการแข่งขันระดับภูมิภาค”
แม้ว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยสนับสนุนอย่างหนักให้ศิษย์ในเข้าร่วมในการแข่งขันระดับภูมิภาค กระทั่งเป็นข้อบังคับให้เป็นกฏในการเป็นศิษย์หลัก แต่งานนี้แท้จริงแล้วยอมรับคนที่มีอายุต่ำกว่าสามสิบ ดังนั้นจึงมีศิษย์หลักจากสำนักอื่นเข้าร่วมด้วยเช่นกัน
กล่าวไปแล้ว นอกจากว่าศิษย์ในล้มคู่ต่อสู้ทุกคนที่มีพลังการฝึกปรือและอายุใกล้เคียงกัน ถึงจะได้เผชิญหน้ากับศิษย์หลัก
“ฮ่าฮ่า…” ซูหยางอดที่จะหัวเราะกับความพยายามที่ไร้ผลของยวินหนานเตียนไม่ได้ เขาได้เห็นชายที่หมดหวังมามากมายนัก แต่พวกเขาล้วนทำให้เขาหัวเราะเสมอ
“เจ้ากล้าหัวเราะเยาะข้ารึ เจ้าศิษย์ใน” ยวินหนานเตียนเพ่งสายตาไปยังซูหยาง สายตาของเขาเต็มไปด้วยเจตนาการฆ่าฟัน
“ผิดด้วยหรือกับการหัวเราะเมื่อมีการเล่าเรื่องตลก มิใช่ผู้คนล้วนทำเช่นนั้นเป็นปกติรึ” ซูหยางถามด้วยน้ำเสียงสับสน ราวกับว่างงงันกับปฏิกิริยาของยวินหนานเตียน
“ตลก ตรงไหนที่ข้าพูดที่เป็นเรื่องตลกสำหรับเจ้า” ยวินหนานเตียนถามเขาพร้อมขมวดคิ้ว
“ทุกสิ่งที่เจ้าพูดล้วนเป็นเรื่องตลก เจ้าเด็กน้อย” ซูหยางหัวเราะเสียงดัง
“ด-เด็กน้อย หาที่ตาย” ยวินหนานเตียนหน้าแดง โกรธจัดกับคำตอบของซูหยาง
ยวินหนานเตียนพลันดึงป้ายประจำตัวของตนเองออกมายกขึ้นตรงหน้าเขา
“ข้าท้าทายเจ้าต่อสู้เป็นตาย”
เขาตะโกนไปยังซูหยาง
“ศิษย์พี่ชายยวิน ข้ามิมีเวลาจริงๆสำหรับเรื่องเหล่านี้ตอนนี้” ฟางซีหลานสุดท้ายก็เข้ามาแทรก รู้สึกค่อนข้างไม่สบายใจเล็กน้อยกับการกระทำแบบเด็กๆของพวกเขา
“ศ-ศิษย์น้องหญิง—-”
“ศิษย์ซูหยาง กรุณาเข้ามาข้างในได้แล้ว” ฟางซีหลานรีบตัดบท
ซูหยางไม่ได้พูดอะไรอีกและเดินเข้าไปในบ้านขณะที่ยังคงหัวเราะ ในเวลานี้เหมือนกับว่าเขามีเจตนาพยายามทำให้ยวินหนานเตียนโกรธ อย่างน้อยก็เป็นเช่นนี้ในสายตาของฟางซีหลาน
“ศิษย์น้องหญิง เดี๋ยว—”
ปัง
ฟางซีหลานปิดประตูใส่หน้ายวินหนานเตียน ปล่อยให้เขายืนอยู่ที่นั่นด้วยท่าทางงุนงง
ฟางซีหลานดูเหมือนจะเย็นชาใส่เขาในวันนี้มากกว่าปกติ และยวินหนานเตียนก็โทษซูหยางที่ต้องเสียหน้าเช่นนี้ต่อหน้าเธอ
“ซูหยาง หึ เจ้ารอไปก่อน ข้าจักหาว่าใครเป็นคู่ฝึกของเจ้าและจักขโมยเธอไปจากเจ้า ไม่เพียงเท่านั้น ข้าจักทิ่มเธอต่อหน้าต่อตาเจ้า” ยวินหนานเตียนดวงตาเปล่งประกายเพลิงแห่งความเกลียดชัง
ย้อนกลับมาด้านในบ้าน ฟางซีหลานกล่าวกับซูหยางด้วยเสียงเย็นชา “เจ้านิกายมิได้บอกเจ้าให้มาที่นี่เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้รึ หรือว่าเจ้ามิมีสำนึกของความเร่งรีบ ทำให้ศิษย์หลักรอเกือบทั้งอาทิตย์เพื่อเพราะเจ้า เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร”
ซูหยางยังคงเรียบเฉยและกล่าวว่า “ข้าต้องเตรียมบางสิ่งก่อนที่จะมาที่นี่ และนั่นต้องใช้เวลาเล็กน้อย”
ฟางซีหลานเพ่งสายตาราวกับว่าเธอต้องการอ่านสีหน้าของเขา และกล่าวว่า “ทำไมเจ้าต้องพยายามล่วงเกินยวินหนานเตียน เจ้ามิรู้รึว่าเขาอันตรายแค่ไหนเวลาถูกล่วงเกิน เขามิเพียงจักตามหาเจ้าแต่คู่ฝึกของเจ้าด้วย”
“ขอบคุณสำหรับคำเตือน แต่ข้ามิมีคู่ฝึก ดังนั้นจึงมิมีอะไรต้องกังวล”
ซูหยางตอบด้วยรอยยิ้ม แม้ว่าฟางซีหลานอาจจะดูเหมือนเย็นชาและเว้นระยะห่างในตอนแรก ซูหยางสามารถบอกได้ว่าเธอไม่ถึงกับเป็นคนไร้ความรู้สึกเสียทั้งหมด
“เอาล่ะ วิญญาณพิทักษ์อยู่ที่ไหน ข้าต้องการเห็นมันเป็นอันดับแรก ก่อนที่จะเริ่มทำอะไร”
ฟางซีหลานยังคงเงียบไปชั่วขณะก่อนที่จะพูดเสียงดัง “ออกมาเซียวไป่”
เมื่อได้ยินเสียงฟางซีหลาน ลูกบอลขนสีขาวก็ปรากฏตัวจากใต้เตียง
เมื่อซูหยางเห็นลูกเสือขาวนี้ คิ้วเขาก็เลิกขึ้นเล็กน้อย
“เสือหิมะ เหอ”
“เจ้ารู้จักว่าเซียวไป่เป็นวิญญาณพิทักษ์ประเภทไหนด้วยรึ” ฟางซีหลานมีสีหน้าประหลาดใจ
“แน่นอน” เขาตอบ
“มันเป็นวิญญาณพิทักษ์ธาตุหยินเกิดเฉพาะในที่ที่เย็นจัดในที่สูง เจ้าคงจะพบเพื่อนตัวน้อยนี้บนภูเขาใช่ไหม” เขาถามเธอ
ฟางซีหลานพยักหน้าและกล่าวว่า “ข้าพบเธอที่ภูเขาเยือกแข็งในภาคตะวันตก”
แม้ว่าเธอไม่ต้องการพูดออกมาดัง ฟางซีหลานก็ยังประทับใจเป็นอันมากกับความรู้เกี่ยวกับวิญญาณพิทักษ์ของซูหยาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไม่มีใครสามารถจำแนกเซียวไป่เมื่อเธอพากลับมาที่นิกายในครั้งแรก
“บางทีเขาอาจจะมีวิธีช่วยเซียวไป่ให้โตเต็มวัยในเวลาหนึ่งเดือนได้จริงๆ…”
ฟางซีหลานคิดในใจถึงความเป็นไปได้อาจจะไม่ถึงกับไร้สาระเกินไปและอดไม่ได้ที่จะเริ่มตื่นเต้นกับอนาคตของเซียวไป่
“เอาล่ะ ที่ทำให้ข้าใช้เวลาตั้งนานเพื่อที่จะเข้ามาหาเจ้าก็เพราะว่าสิ่งนี้…”
ซูหยางนำเอากระถางที่เต็มไปด้วยดินออกมาจากแหวนมิติ ที่ปลูกไว้ในกระถางนี้เป็นใบหญ้าสีเงินเจ็ดใบ และถ้ามองดูใกล้ๆ อาจจะสามารถเห็นรูปแบบบางอย่างอยู่ในใบหญ้า
“นี่คืออะไร” ฟางซีหลานสามารถรู้สึกถึงความล้ำลึกเปล่งออกมาจากหญ้าเงินนี้
อย่างไรก็ตามก่อนที่ซูหยางจะทันได้พูด เซียวไปซึ่งนิ่งเงียบอยู่ใกล้เตียงพลันคำรามและกระโดดเข้าหาซูหยางพร้อมอ้าปาก ราวกับว่าต้องการจะกินซูหยาง
“เซียวไป่”
ฟางซีหลานซึ่งตกตะลึงเป็นอย่างมากกับปฏิกิริยาที่ไม่คุ้นเคยของเซียวไป่ รีบไปจับเซียวไปไว้กลัวว่าเธออาจจะทำให้ซูหยางบาดเจ็บโดยอุบัติเหตุ
“สิ่งของในมือข้าเรียกว่าหญ้าเงินเจ็ดใบ และวิญญาณพิทักษ์ที่ยังไม่เจริญเต็มวัยส่วนใหญ่ล้วนคลั่งไคล้มัน กล่าวอีกนัยหนึ่ง พวกมันรักที่จะกินสิ่งนี้”
“ถ้าเจ้ายอมให้เสือหิมะกินหนึ่งใบทุกสี่วัน มันจะโตเต็มวัยภายในหนึ่งเดือน
ซูหยางอธิบายเรื่องหญ้าเงินเจ็ดใบให้กับฟางซีหลานอย่างเยือกเย็นในขณะที่เซียวไปพยายามที่จะดิ้นให้หลุดจากการรั้งตัวของฟางซีหลาน
นับตั้งแต่เธอได้กลิ่นที่มาจากหญ้าเงินเจ็ดใบ เซียวไปก็ตกหลุมรักมันทันที และเธอจะทำทุกสิ่งเพื่อที่จะได้ลิ้มรสมัน
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 250
DC บทที่ 250: พบกับฟางซีหลาน
หลังจากใช้เวลาหลายนาทีในการพูดคุยกับหลานลี่ชิง โหลวหลานจีก็ตระหนักได้ว่าหลานลี่ชิงรักซูหยางมากมายเพียงไหน ยิ่งไปกว่านั้นปรากฏว่าซูหยางได้สืบข่าวไปทั่วทุกที่มากกว่าที่เธอได้คาดไว้ บ้าไปแล้ว คววมจริงที่ว่าเขาได้หลอกคนแบบหลานลี่ชิงในขณะที่เป็นเพียงแค่ศิษย์นอกไม่มีอะไรได้นอกจากคำว่ามหัศจรรย์
“ข้าคิดว่าข้าได้ยินมามากพอแล้วตอนนี้…” โหลวหลานจีกล่าวหลังจากที่ฟังเรื่องราวของอีกฝ่ายทั้งหมด
“อย่างไรก็ตามจงจำไว้ว่าจนกว่าซูหยางจะกลายเป็นศิษย์หลัก เจ้าจะยังต้องระมัดระวังเวลาไปพบกับเขา”
“เจ้าค่ะ ท่านผู้นำนิกาย” หลานลี่ชิงพยักหน้า รู้สึกเหมือนกับว่าภูเขาได้ยกออกจากอก หลังจากที่เปิดเผยทุกสิ่งให้กับโหลวหลานจี
โหลวหลานจีปล่อยหลานลี่ชิงไว้ตามลำพังหลังจากนั้นไม่นาน กลับคืนสู่ศาลาหยินหยาง
หลานลี่ชิงถอนหายใจลึกอย่างผ่อนคลายหลังจากที่โหลวหลานจีจากไปแล้ว เธอเกือบจะหัวใจวายในตอนแรกเนื่องมาจากโหลวหลานจีล้อเธอเล่น และยังคงรู้สึกว่าใจเธอเต้นระทึกราวกับกลองมาจนถึงตอนนี้
“ซูหยางอย่างน้อยควรจะเตือนข้าก่อนนี้ ข้าเกือบตายด้วยความตระหนกมาจนป่านนี้”
แม้ว่าเธอจะบ่น เธอก็ยังซาบซึ้งซูหยางที่เปิดเผยความจริงให้กับโหลวหลานจี อีกทั้งหว่านล้อมเธอให้ยินยอม เขาจัดการสร้างปาฏิหาริย์นี้ได้อย่างไร เธอไม่อาจจะจินตนาการได้ แต่นั่นก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งในบรรดาเสน่ห์ทั้งหมดของซูหยาง
ในเวลานั้น ซูหยางเพิ่งเสร็จสิ้นการร่วมฝึกคู่กับคู่ฝึกคนที่ยี่สิบในวันนั้น
“อาาา…ศิษย์พี่ชาย ท่านสามารถร่วมฝึกคู่กับหญิงสาวมากมายเช่นนี้ได้อย่างไรโดยที่ไม่หมดแรงจากความเหนื่อยล้า ต่อให้ปราณหยางของท่านมีมากมาย แต่การที่ท่านยังคงแข็งแม้ว่าจะร่วมฝึกต่อเนื่องโดยไม่หยุดพักนี้ปกติแล้วเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ…”
ศิษย์คนนั้นถามเขาในขณะที่เธอนอนเปลือยอยู่บนเตียงของเขา
“ทุกสิ่งล้วนเป็นไปได้ถ้าเจ้าใส่ใจ” เขาตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
หลังจากที่ศิษย์หญิงจากไปแล้ว ซูหยางก็ออกไปข้างนอกและกล่าวกับศิษย์คนอื่นที่รออยู่ด้านนอก “ข้าต้องขออภัยไว้ล่วงหน้าที่ประกาศข่าวกระทันหัน ข้าจะขอพักการร่วมฝึกคู่สักหลายวัน”
แม้ว่าบรรดาหญิงสาวจะไม่พอใจกับข่าวที่ประกาศออกมา พวกเธอก็ไม่ได้กล่าวโทษซูหยางที่ต้องการพัก ในเมื่อเขาได้ร่วมฝึกคู่มาเป็นเวลาหลายวันโดยไม่ได้พัก
“ท่านมิต้องขออภัยในเรื่องนั้น ศิษย์พี่ชาย ถ้าจะมีอะไร พวกเราควรจะเป็นคนที่ขออภัยท่านที่มาใช้เวลาส่วนใหญ่ของท่าน…”
“เพื่อนศิษย์พูดถูก พักผ่อนเท่าที่ท่านต้องการและพวกเราจะรอคอยท่านกลับมาอย่างอดทน”
“ขอบคุณที่เข้าใจ” ซูหยางกล่าว
ครั้นเมื่อศิษย์หญิงกระจัดกระจายไปจากที่พักของเขาแล้ว ซูหยางก็ขังตัวเองอยู่ในที่พักเป็นเวลาหลายวันโดยไม่ก้าวออกไปข้างนอกแม้สักก้าว
“นายท่าน ท่านกำลังทำอะไร” เซียวลี่กลับมาจากการเที่ยวเล่นในวันหนึ่งและได้ถามเขา
“ข้ากำลังปลูกต้นไม้” เขาตอบอย่างไม่ใส่ใจ
ที่วางอยู่ตรงหน้าซูหยางเป็นกระถางเปล่าบรรจุดิน และสำหรับสองสามวันที่ผ่านมา เขาได้เลี้ยงดูบางสิ่งที่ฝังอยู่ภายในดินด้วยปราณไร้ลักษณ์โดยการใช้วิชาเฉพาะ
“หืมมมม…”
เซียวลี่ยืนอยู่ตรงนั้นและมองดูเขาทำงาน อย่างไรก็ตามเธอไม่ได้สนใจในสิ่งที่เขากำลังทำแม้แต่น้อย กลับกันเธอจ้องมองดูใบหน้าหล่อเหลาของซูหยางขณะที่เขากำลังทำงาน
“นายท่านกลิ่นประหลาดที่มาจากตัวท่านนั่นคืออะไร กลิ่นมันคล้ายกับมนุษย์ผู้หญิง”
“นั่นคือปราณหยิน” เขาตอบกลับอย่างใจเย็น
“ปราณหยิน นั่นคืออะไร”
“ผู้หญิงปลดปล่อยปราณชนิดนี้เมื่อพวกเธอมีความสุขถึงสุดยอด”
“เซียวลี่ยังคงไม่เข้าใจ…”
“ไม่เป็นไรถ้าเจ้ายังไม่เข้าใจในตอนนี้”
ซูหยางไม่รู้สึกว่าต้องอธิบายความหมายของ “กำหนัด” ให้กับจอมแมวภูติ ยิ่งกับผู้ที่ยังมีสภาพจิตใจเป็นเด็ก
“อย่างไรก็ตามเจ้าเล่นเสร็จแล้วรึ ข้าจักต้องอยู่ที่นี่อีกหลายเดือน ดังนั้นเจ้าสามารถเล่นต่อได้อีกเล็กน้อยถ้าเจ้าต้องการ”
เซียวลี่ส่ายหน้าและกล่าวว่า “เซียวลี่เล่นพอแล้ว”
ซูหยางเลิกคิ้ว
“หรือว่าเธอได้เดินทางรอบโลกแล้ว” เขาสงสัย
เนื่องจากรู้ว่าความเร็วระดับเทพของจอมแมวภูติยังทำให้เทพกลัว นั่นไม่เป็นเรื่องแปลกถ้าเธอได้เห็นทุกเมืองในโลกในเวลาไม่กี่วันนี้เรียบร้อยแล้ว และไม่ใช่แค่เพียงครั้งเดียวแต่สองครั้ง
“เซียวลี่จะอยู่ที่นี่กับนายท่าน” เธอกล่าวหลังจากนั้นไม่นาน
“นั่นจักน่าเบื่อมากถ้าเจ้าอยู่ที่นี่กับข้า เจ้ารู้ไหม”
“เซียวลี่ไม่เป็นไร” เธอกล่าวด้วยเสียงราบเรียบ
หลังจากที่ใช้เวลาหลายร้อยปีอย่างโดดเดี่ยวในพื้นที่รกร้างดังเช่นสุสานเซียนที่มีเธอเพียงคนเดียวที่เป็นสิ่งมีชีวิต เซียวลี่ได้มีภูมิต้านทานต่อความเบื่อ ยิ่งไปกว่านั้นสัตว์อสูรไม่สนใจหากต้องเบื่อตามธรรมชาติอยู่แล้ว ตามจริงเพียงแค่อยู่ข้างซูหยางก็ยิ่งกว่าพอเพียงสำหรับเธอสำหรับความรื่นเริง
“ถ้าเจ้าพูดอย่างนั้น”
ดังนั้นในเวลาสองสามวันหลังจากนั้น ซูหยางก็มุ่งเน้นไปกับการปลูกพืชประหลาดในขณะที่เซียวลี่ได้มองเขาดูจากด้านข้างราวกับตุ๊กตา
ในเวลานั้น ฟางซีหลานได้อยู่แต่ในบ้านของเธอในเวลาช่วงนี้ อดทนรอซูหยางให้มาพบเธอ
“ศิษย์คนนั้นไปไหนแล้ว ข้าได้รอเขามาเป็นอาทิตย์แล้วตอนนี้” ฟางซีหลานบ่นขณะที่เธอสางขนให้กับเซียวไป่
ก๊อกก๊อก
ทันใดนั้นเองประตูที่พักของเธอก็มีเสียงเคาะ
“หรือว่าจะเป็นเขา สุดท้ายเขาก็มา” ฟางซีหลานรีบไปเปิดประตู
อย่างไรก็ตามคนที่เธอพบที่ประตูไม่ใช่ซูหยาง แต่เป็นศิษย์หลักคนอื่นที่ชื่อ ยวินหนานเตียน
“ศิษย์พี่ชายยวิน ท่านมาทำอะไรที่นี่” เธอถามเขาด้วยสีหน้าไม่ยินดี
“ข้ามาที่นี่เพื่อดูว่าศิษย์น้องหญิงสนใจร่วมฝึกกับข้าหรือไม่” ยวินหนานเตียนถามด้วยรอยยิ้มน่าหลงไหลบนใบหน้าหล่อเหลาของเขา
“เสียใจ ตอนนี้ข้ายุ่ง” ฟางซีหลานปฏิเสธอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตามยวินหนานเตียนไม่ได้จากไปในทันทีและยังคงเตร่อยู่ กระทั่งเสนอให้ความช่วยเหลือเธอ
“เจ้ากำลังยุ่งเรื่องอะไรอยู่ ในเมื่อข้ามิมีอะไรทำในวันนี้ ข้าสามารถยื่นมือเข้าไปช่วยได้นะ”
“มิมีอะไรที่ท่านสามารถ—”
“เจ้าคือฟางซีหลานใช่ไหม”
ทันใดนั้น เสียงอีกเสียงก็ดังขึ้นมาด้านหลังยวินหนานเตียน
“ใคร” ยวินหนานเตียนเกือบฉี่ราดกางเกงในเมื่อซูหยางพลันปรากฏตัวขึ้นเบื้องหลังของเขาราวกับภูติผี เขารีบกระโดดหนีราวกับแมวที่ถูกเหยียบหางโดยไม่ได้ตั้งใจ
ทำไมเขาถึงไม่ทันสังเกตเห็นอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
ฟางซีหลานเพ่งสายตามองไปยังใบหน้าหล่อเหลาของซูหยาง “นี่คือซูหยางรึ” เธอพูดในใจ
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 249
DC บทที่ 249: คำรับรองจากผู้นำนิกาย
“ผ-ผู้นำนิกาย…ท่านว่ากระไรไป” หลานลี่ชิงจ้องมองเธอด้วยดวงตาเบิกกว้าง ดูเหมือนว่าตกอยู่ในความตระหนก
โหลวหลานจียิ้มขอโทษและกล่าวว่า “เพื่อเป็นการขอโทษที่หยอกล้อเจ้าเล่น กระทั่งทำให้เจ้าถึงกับร้องไห้ ข้าจักให้ความสัมพันธ์ของเจ้ากับซูหยางเป็นข้อยกเว้น”
“อะ-อะ-อะไรกัน…” หลานลี่ชิงยังคงตกตะลึง ในเมื่อเธอยังไม่สามารถเข้าใจกับเหตุการณ์ได้
“เป็นซูหยางที่บอกข้าถึงความสัมพันธ์ของเจ้ากับเขา และขอร้องให้ข้ามาที่นี่ ดังนั้นเจ้ามิจำเป็นต้องกังวลว่าจะถูกลงโทษ”
“ท-ทำไมกัน” หลานลี่ชิงถาม
“มันเป็นเรื่องซับซ้อนอยู่บ้าง ดังนั้นข้าจักขออธิบายเลยในตอนนี้” โหลวหลานจีส่ายหน้า
“สิ่งที่เจ้าต้องรู้ตอนนี้ก็คือ ข้าผู้นำนิกายได้รับรองความสัมพันธ์ของเจ้ากับซูหยาง ดังนั้นเจ้าจึงมิจำเป็นต้องกังวลว่าจะถูกลงโทษเรื่องนี้ กล่าวไปแล้วเจ้ายังคงต้องรอจนกว่าเขากลายเป็นศิษย์หลักก่อนที่จะประกาศต่อสาธารณะ ด้วยในตอนนี้สถานการณ์ของเจ้าจักสร้างปัญหาจำนวนมากให้แก่พวกเราถ้าผู้อาวุโสคนอื่นรู้เรื่องนี้”
“…”
โหลวหลานจีคาดว่าหลานลี่ชิงต้องโห่ร้องออกมาด้วยความยินดีหลังจากที่ได้ยินคำของเธอ แต่หลานลี่ชิงยังคงร้องไห้ต่อไป ตามจริงเธอร้องไห้หนักขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ ซึ่งสร้างความงุนงงให้กับโหลวหลานจี
“ผ-ผู้อาวุโสหลาน เจ้ายังดีอยู่หรือไม่” เธอถามอีกฝ่าย
“เจ้าค่ะ…” หลานลี่ชิงพยักหน้า “ข-ข้าเพียงดีใจมากเกินไป…จนมิอาจหยุดหลั่งน้ำตาได้…”
“หลังจากเงียบไปชั่วขณะ โหลวหลานจีก็กล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มเล็กน้อย “แม้ว่าเจ้าอาจจะไม่เชื่อถือข้า ยามที่ข้าพูดเช่นนี้ แต่ข้ายิ่งยิ่งตกใจมากกว่าเมื่อข้าได้ยินชื่อเจ้ามาจากปากของซูหยาง ในเมื่อเจ้าเป็นคนเดียวในที่นี้ที่ข้าคาดคิดว่าจะฝ่าฝืนกฏพิเศษของนิกาย และข้าก็ยังยากที่จะยอมรับได้กระทั่งตอนนี้..”
“เจ้า..คือคนที่ยืนกรานที่จะรักษาความบริสุทธิ์ดั่งชีวิตไว้กว่าสามสิบปี ปฏิเสธการเกี้ยวพานของชายหล่อเหลานับร้อย กลับต้องสูญเสียความบริสุทธิ์ใหักับศิษย์หนุ่มที่อยู่กับพวกเราเพียงหนึ่งปี..ข้ามั่นใจว่าผู้นำนิกายคนก่อนคงมองดูเจ้าอยู่บนสวรรค์ด้วยตาโตและร้องไห้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่พวกเขาพยายามโน้มน้าวให้เจ้าหาคู่ฝึก…”
“…” หลานลี่ชิงนิ่งเงียบฟังพร้อมกับใบหน้าแดง เธอไม่อาจปฏิเสธทุกสิ่งที่มาจากปากของโหลวหลานจี ในเมื่อเธอเองก็ยางที่จะเชื่อว่าเป็นตัวเธอเองเช่นกันกระทั่งตอนนี้
“เจ้าคงมิว่ากระไรถ้าข้าจะถามว่าทำไมเจ้าจึงเลือกคนแบบซูหยาง แม้ว่าข้ายอมรับว่าเขาเป็นชายหนุ่มหล่อและมีเสน่ห์เหลือล้นและคงเติบโตขึ้นพร้อมเสน่ห์ดึงดูดมากยิ่งกว่าเดิมในอนาคต แต่ก็ยังมีคนอีกมากมายนอกจากนี้ที่มีบุคลิกลักษณะที่ดีกว่าเขา…”
“ข้า..” หลานลี่ชิงเปิดปากแต่พูดออกมาได้เพียงแค่คำเดียวก่อนที่จะเงียบไปอีกครั้ง
หลังจากที่ใช้เวลาเงียบงันไปเพื่อคิดหาคำตอบของตัวเธอเอง หลานลี่ชิงก็พูดต่อว่า “พูดตามความจริง กระทั่งข้าเองก็ไม่รู้ว่าทำไมจึงเลือกคนแบบเขา…” เธอกล่าวพร้อมรอยยิ้มขื่นขม
“สิ่งที่ข้ารู้ก็คือข้ารู้สึกปลอดภัยเมื่อมีเขาอยู่ใกล้ๆ และอีกอย่างก็คือมีเสน่ห์บางอย่างของเขาที่ข้าอดไม่ได้ที่จะถูกดึงดูดเข้าไป…”
“…” โหลวหลานจีหรี่ตา ถึงเธอจะเกลียดที่จะยอมรับเท่าไรก็ตาม เธอก็เข้าใจคำอธิบายของหลานลี่ชิง ในเมื่อเธอเองก็รู้สึกเช่นเดียวกันเมื่อเธออยู่กับเขา
“แม้ว่าเขาจะเพียงเป็นแค่ศิษย์…กระทั่งมีอายุไม่ถึงครึ่งของข้า…” โหลวหลานจีเริ่มรู้สึกหงุดหงิดมากยิ่งขึ้นเมื่อเธอรู้สึกถึงเรื่องนั้น
“ทำไมจึงต้องเป็นซูหยาง อะไรทำให้เขาดูพิเศษ นอกจากหน้าตาและกลเม็ดระดับพระเจ้า ก็ไม่มีอะไรพิเศษเกี่ยวกับเขาอีก ทำไมเป็นเช่นนั้น” โหลวหลานจีครุ่นคิด
“แม้ว่าจะสายเกินไปที่จะขอโทษ ข้ายังคงต้องขอโทษที่ฝ่าฝืนกฏนิกาย ผู้นำนิกาย…” หลานลี่ชิงพลันก้มหน้าอีกครั้งและกล่าวว่า “ข้าขอโทษ”
โหลวหลานจีไม่ได้ตอบรับถ้อยคำนั้น ในเมื่อเธอก็มั่นใจว่าเธอก็จักรู้สึกผิดเช่นกันถ้าเธอยอมรับคำขอโทษนั้น
“ข้าเองก็ทำผิดกฏนิกายร่วมฝึกคู่กับเขาเช่นกัน ด้วยฐานะของผู้นำนิกาย ไม่ต่ำไปกว่านี้ ดังนั้นข้าก็ไม่มีฐานะไหนที่จะยอมรับคำขอโทษของเธอได้…” เธอถอนหายใจ
“อย่างไรก็ตามทำไมเจ้ามิยืนขึ้นก่อน ข้ารู้จักเจ้านับตั้งแต่เจ้าถูกรับเลี้ยงโดยผู้นำนิกายคนก่อนๆ แต่พวกเขาล้วนมิอยู่ที่นี่แล้ว ดังนั้นข้าจึงอยากจะรู้รายละเอียดความสัมพันธ์ของเจ้ากับซูหยางแทนพวกเขา” โหลวหลานจีกล่าวขณะที่เธอไปนั่งอยู่ที่โต๊ะใกล้ๆ
“ผู้นำนิกาย…” หลานลี่ชิงปาดน้ำตาออกจากใบหน้าและตามโหลวหลานจีไปที่โต๊ะ
ยามเมื่อหลานลี่ชิงใจเย็นลงแล้ว โหลวหลานจีก็ถามว่า “เป็นอย่างไร เรื่องทั้งหมดนี้เริ่มขึ้นเมื่อไหร่ นานเท่าไหร่แล้วที่เจ้ากลายเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว เจ้าคิดอะไรในเวลานั้น นั่นต้องเปลี่ยนมุมมองความคิดต่อโลกของเจ้าด้วย จริงหรือไม่”
“ด-เดี๋ยวก่อน ผู้นำนิกาย…ข้ามิอาจตอบคำถามทั้งหมดนี้ได้ในคราวเดียว…”
เหงื่อหยดหนึ่งปรากฏขึ้นบนหน้าผากเมื่อโหลวหลานจีส่งคำถามมากมายมาลงที่เธอ
“งั้นก็ตอบทีละข้อ”
หลังจากที่ใช้เวลาเตรียมตัวชั่วขณะ หลานลี่ชิงก็กล่าวว่า “ทั้งหมดนี้เริ่มขึ้นเมื่อเพื่อนสนิทของข้าแนะนำข้าให้ไปหาซูหยางจาก..ความเจ็บปวดบนร่าง…”
“ข้าเองก็ไม่เชื่อในตอนแรก แต่เมื่อเขารักษาอาการเจ็บปวดบนร่างข้าได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ข้าพยายามแก้ปัญหามาหลายอาทิตย์ ข้าก็เริ่มเชื่อถือเขา และความรู้สึกที่มีต่อเขาก็เริ่มพัฒนาขึ้นในช่วงเวลานั้น”
“สิ่งหนึ่งก็นำไปสู่อีกสิ่ง และเขาก็พูดกับข้าให้ยกแก่นหยินบริสุทธิ์ของข้าให้กับเขา…”
โหลวหลานจีไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เธอได้ยิน ความสัมพันธ์ของพวกเขาเริ่มต้นมาตั้งแต่เนิ่นนาน
“ป-ประเดี๋ยวก่อน…จ-เจ้าฝึกคู่กับเขาก่อนที่เขาจะเป็นศิษย์ในเลยรึ” โหลวหลานจีอดที่จะถามไม่ได้
หลานลี่ชิงยืนยันด้วยการพยักหน้า “ไม่นานนักหลังจากที่เขาเริ่มขายบริการนวด”
“ต-แต่เขาอยู่แค่เพียงเขตปฐมวิญญาณในตอนนั้น มิมีทางที่เขาจักร่วมฝึกโดยใช้แก่นหยินบริสุทธิ์ของเจ้าได้ในตอนนั้น แก่นหยินบริสุทธิ์ของเขตสัมมาวิญญาณย่อมต้องทำร้ายรากฐานและร่างกายของเขา บ้าไปแล้ว นี่มันเป็นปาฏิหาริย์ที่เขายังคงมีชีวิตอยู่”
“มิเพียงแต่เขาฝึกฝนโดยใช้แก่นหยินบริสุทธิ์ของข้า ยังคงก้าวข้ามเข้าสู่เขตคัมภีร์วิญญาณและกลายเป็นศิษย์ในด้วย” หลานลี่ชิงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม รู้สึกภูมิใจในตัวเขา
“เหลือเชื่อ…” โหลวหลานจีกล้ำกลืนความตระหนก มีความลับมากมายเพียงใดที่ซูหยางมีภายใต้ชายเสื้อของเขากันแน่ เขาเป็น “ความอับอาย” ของตระกูลซูจริงหรือ นั่นไม่สมเหตุผลกับตัวตนของซูหยางที่เป็นอยู่
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 248
DC บทที่ 248: ซูหยางเป็นผู้บริสุทธิ์
หลังจากออกจากที่พักของซูหยาง โหลวหลานจีก็ตรงไปยังตำหนักโอสถ ที่ซึ่งเหล่าศิษย์ต่างพากันเร่งรีบทำงานหลังจากถูกโหลวหลานจีลงโทษพวกเธอที่มาทำงานสาย
“อาจารย์ช่างใจร้าย… ทำไมเธอต้องโยนงานทั้งหมดนี้ให้กับพวกเราที่มาสายทั้งที่มีข้ออ้างที่มีเหตุผล” อวี้เยียนถอนใจ
“ไม่มีเหตุผลรึ เจ้าต้องการพูดว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนไร้เหตุผลรึ จริงแล้วสิ่งที่ทำให้ข้าต้องถูกลงโทษไปพร้อมพวกเจ้าทั้งที่ไม่ได้มาสายนี่จึงไร้เหตุผล” ศิษย์หญิงเซียว ศิษย์เพียงคนเดียวที่ไม่ชอบซูหยางและเป็นเพียงหนึ่งในศิษย์นอกไม่กี่คนที่ยังไม่เคยได้ร่วมฝึกกับเขา อุทานออกมา
“พวกเราพี่น้องล้วนแบ่งปันทุกสิ่งไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขสมไปจนถึงช่วงเวลาแห่งความระทมทุกข์” อวี้เยียนส่ายหน้าแล้วกล่าวขึ้น
“ช-ช่างเป็นเรื่องไร้สาระ” เซียวร้องเสียงดัง
“ยอมแพ้เถอะ พี่เซียว…”
“ใช่แล้ว…เจ้ามิได้อะไรจากการคร่ำครวญกับพวกเรา…ถ้ามีอะไรก็ไปร้องทุกข์กับท่านอาจารย์…”
ศิษย์คนอื่นกล่าวกับเธอ
“ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของซูหยาง” ศิษย์เซียวก่นด่าเขาในใจ ถ้าไม่ใช่เขา มีหรือที่พวกเธอหรือจะมาสาย และเพราะว่าซูหยางกลายเป็นหัวข้อหลักของพวกเธอในเวลาแทบทั้งหมด ทำให้เธอรู้สึกแปลกแยกจากกลุ่มในฐานะที่เป็นคนที่ไม่มีอะไรดีที่จะพูดเกี่ยวกับเขา
ทันใดนั้นขณะที่ศิษย์เซียวกำลังที่จะอ้าปากพูด โหลวหลานจีก็เดินเข้ามาในตำหนักโอสถอย่างสบายๆ
“ผ-ผู้นำนิกาย” ศิษย์เซียว ซึ่งเป็นคนแรกที่สังเกตเห็นเธอเข้ามา พลันทักทายเธอ
“ศิษย์คนนี้คารวะผู้นำนิกาย”
ศิษย์คนอื่นต่างพากันทำตามหลังจากที่สังเกตเห็นเธอ
“ผู้อาวุโสหลานอยู่ไหม ข้ามาที่นี่เพื่อพูดกับเธอ” โหลวหลานจีกล่าว
“ย-อยู่ อาจารย์อยู่ในห้องของเธอตอนนี้เพื่อทำรายงานให้เสร็จเกี่ยวกับเรื่องน้ำมันรัญจวน…” หนึ่งในศิษย์กล่าว
“โห ตำหนักโอสถได้จำแนกส่วนผสมของน้ำมันรัญจวนออกมาแล้วรึ” โหลวหลานจีรู้สึกประหลาดใจกับผลลัพธ์ ในเมื่อเธอไม่ได้คาดคิดถึงแม้แต่น้อย
“ใช่แล้วท่านผู้นำนิกาย อาจารย์ของเราตอนนี้มีรายการของส่วนผสม”
“พวกเจ้าตำหนักโอสถล้วนเกินความคาดหมายของข้า พวกเจ้าควรได้รับค่าจ้างและหินวิญญาณเพิ่มในสามเดือนถัดไปนี้” โหลวหลานจีกล่าวพร้อมรอยยิ้ม ขณะที่บรรดาศิษย์ต่างพยายามควบคุมความตื่นเต้น เพราะพวกเธอไม่อยากจะมีพฤติกรรมเหลวไหลต่อหน้าผู้นำนิกาย
“อย่างไรก็ตามข้าจักขึ้นไปข้างบนเพื่อพบกับผู้อาวุโสหลาน” โหลวหลานจีกล่าวขณะที่เธอขึ้นไปชั้นบนปล่อยบรรดาศิษย์ไว้ตามลำพัง
“ก๊อกก๊อก”
“ผู้อาวุโสหลาน นี่ผู้นำนิกาย”
ประตูห้องหลานลี่ชิงเปิดหลังจากผ่านไปไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น และหลานลี่ชิงก็ออกมาทักทายเธอที่ประตู
“ศิษย์หลานคำนับผู้นำนิกาย”
“ไปพูดกันข้างใน”
หลานลี่ชิงพยักหน้าและปิดประตูตามหลัง
ยามเมื่อพวกเธออยู่ข้างในแล้ว หลานลี่ชิงก็กล่าวว่า “ผู้นำนิกาย พวกเราได้วิเคราะห์น้ำมันรัญจวนเสร็จแล้ว และนี่คือรายการวัตถุดิบ ส่วนสำหรับรายงาน ข้าก็เกือบทำเสร็จแล้ว…”
โหลวหลานจีรับรายการวัตถุดิบและอ่านรายละเอียด
“เป็นเช่นนี้จริงๆ นี่เป็นเช่นเดียวกับรายการที่ผู้อาวุโสเจ้าเอามาให้…” เธอคิดในใจ
วัตถุดิบทุกอย่างในรายการของหลานลี่ชิงก็เป็นเช่นเดียวกับในรายการของผู้อาวุโสเจ้า ดังนั้นจึงไม่มีข้อกังขาว่านี่เป็นวัตถุดิบที่แท้จริงที่ต้องการในการสร้างน้ำมันรัญจวน ส่วนสำหรับวิธีนั้น…เธอคงต้องรอดูว่าซูหยางต้องการที่จะแบ่งปันให้กับเธอก่อนที่พวกเธอจะสูญเสียทรัพยากรมากขึ้นสำหรับการทดสอบ
“เจ้ามิต้องให้รายงานแก่ข้า” โหลวหลานจีกล่าวกับเธอ
“เอ๋” หลานลี่ชิงจ้องมองเธอด้วยท่าทางมึนงง “ข้าเข้าใจแล้ว…”
“อย่างไรก็ตามที่ข้ามาที่นี่ก็เพราะว่ามีเรื่องอื่น” โหลวหลานจีพลันกล่าวขึ้น ดวงตาเธอเพ่งมองไปที่หลานลี่ชิง
หลานลี่ชิงพลันสับสน ทำไมผู้นำนิกายถึงมาที่นี่ถ้าไม่ใช่เพราะว่าน้ำมันรัญจวน
“เป็นเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับซูหยาง” โหลวหลานจีพลันกล่าวขึ้นโดยไม่มีเกริ่นล่วงหน้า สร้างความตระหนกให้กับหลานลี่ชิง ซึ่งเกือบสำลักเมื่อได้ยินคำพูดของเธอ
“ท-ท่านพูดเรื่องอะไรกัน ท่านผู้นำนิกาย” หลานลี่ชิงกลั้นอาการจะร้องไห้และไต่ถาม
“เจ้ามิจำเป็นต้องปกปิด…ข้ารู้ดีว่าเจ้าได้ร่วมฝึกคู่กับเขา” โหลวหลานจีกล่าว ทำให้ฝันร้ายที่สุดของหลานลี่ชิงเป็นจริง และยิ่งสำคัญไปกว่านั้น ทำไมเธอจึงค้นพบ
“ผ-ผ-ผู้นำนิกาย…ข-ข้าสามารถอธิบายได้…” หลานลี่ชิงเริ่มสั่นสะท้านด้วยความหวาดกล้วกับผลที่ตามมา จนเธอทรุดกายลงคุกเข่าหมอบกราบ
“นั่นล้วนเป็นความผิดของข้า ข้าเป็นคนที่ยั่วซูหยาง กระทั่งใช้อำนาจในฐานะผู้อาวุโสนิกายกดดันเขา”
หลานลี่ชิงเริ่มโกหกเพื่อที่จะผลักข้อกล่าวหาทั้งหมดมาที่ตัวเธอเองเพื่อที่ซูหยางจะไม่ต้องถูกลงโทษหรืออย่างน้อยก็ได้รับการลงโทษที่น้อยกว่าเดิม อย่างไรก็ตามเธอจะรู้สักนิดก็หาไม่ว่าโหลวหลานจีมองทะลุการโกหกของเธอก่อนที่เธอจะพูดจบเสียอีก
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของหลานลี่ชิง โหลวหลานจีรู้สึกอยากหยอกล้อเธอสักเล็กน้อยก่อนบอกความจริง
“ผู้อาวุโสหลาน…ท่านรู้หรือไม่ว่าผู้อาวุโสนิกายห้ามร่วมฝึกคู่กับศิษย์”
“ข้า…”
“เช่นนั้นเจ้ารู้ผลที่ตามมาสำหรับการฝ่าฝืนกฏนิกายข้อนี้หรือไม่” โหลวหลานจีเพ่งมองไปยังหลานลี่ชิงและทำท่าว่าเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
“ข้ารู้…”
“เจ้ามีอะไรที่จะพูดกับข้าอีกไหม”
“ศิษย์คนนี้ไม่มีข้อแก้ตัว หรือว่ามีความคิดที่จะขอให้ยกโทษ อย่างไรก็ตามได้โปรดอย่าลงโทษซูหยางซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์ เพราะนี่เป็นความผิดพลาดอันโง่เขลาของข้าเอง”
โหลวหลานจีเกือบจะหัวเราะออกมาเสียงดังเมื่ออีกฝ่ายเรียกซูหยางว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ อย่างไรก็ตามเธอประทับใจหลานลี่ชิงที่พยายามปกป้องซูหยางกระทั่งผลักดันความผิดทั้งหมดไปไว้ที่ตัวเธอเอง
“ข้ามิสามารถทำเช่นนั้น ในเมื่อเขาเองก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบในเรื่องทั้งหมดนี้…” โหลวหลานจีต้องการเห็นว่าหลานลี่ชิงจะมีปฏิกิริยาต่อเรื่องทั้งหมดนี้อย่างไร
“อ-อย่าทำเช่นนั้น…ได้โปรด ท่านผู้นำนิกาย ข้ายินดีทำทุกสิ่งเพียงแค่ยกเว้นเขา” หลานลี่ชิงขอร้องพร้อมกับก้มจนศีรษะจรดพื้น ดวงตาเธอเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตา
“ข้าคิดว่าแค่นี้คงพอ…” โหลวหลานจีคิดในใจ คงเป็นเรื่องแย่สำหรับเธอถ้าหลานลี่ชิงฟ้องซูหยางเรื่องนี้
“เงยหน้าขึ้น ผู้อาวุโสหลาน… เป็นซูหยางที่บอกข้าเรื่องความสัมพันธ์ของพวกเจ้า…” เธอกล่าว
“..อะไรกัน” หลานลี่ชิงเงยหน้าขึ้นมาอย่าช้าๆ เพื่อมองดูโหลวหลานจี บนใบหน้าของเธอมีท่าทางที่ไม่อยากเชื่อแม้แต่น้อย เหมือนกับว่าเธอเพิ่งรู้ว่าครอบครัวของเธอถูกฆาตกรรมจากโจรร้าย
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 247
DC บทที่ 247: คำขอเล็กน้อย
แม้ว่านั่นทำให้เธอใช้เวลาเกือบครึ่งวันเพราะว่าเธอต้องไปหาพวกเธอ โหลวหลานจีก็สามารถติดต่อศิษย์หลักทุกคนได้ อย่างไรก็ตามเมื่อเธอเธอได้พูดกับศิษย์คนสุดท้ายเสร็จแล้ว โหลวหลานจีก็ออกไปจากที่นั่นพร้อมกับถอนใจ
“เขาต้องมิชอบผลลัพธ์แน่…” เธอถอนใจ
นอกจากฟางซีหลาน ศิษย์หลักคนอื่นปฏิเสธที่จะรับบันทึกของซูหยาง กล่าวไปแล้วไม่ใช่ว่าโหลวหลานจีไม่ได้คาดถึงผลลัพธ์นี้ ตามจริงแล้วเธอไม่ได้แม้แต่จะหว่านล้อมพวกเธอเมื่อพวกเธอปฏิเสธ ในเมื่องานของเธอเพียงแค่แจกจ่ายบันทึกและเธอรู้ว่าพวกเธอคงต้องปฏิเสธ
หลังจากนั้น โหลวหลานจีก็กลับไปยังที่พักของซูหยาง ที่ซึ่งยังมีกลุ่มของศิษย์นอกรออยู่ ราวกับสวนดอกไม้ที่รอรดน้ำ
เมื่อเห็นภาพฉากนี้ โหลวหลานจีก็ถอนใจอีกครั้ง “เมื่อรู้ว่ากลเม็ดของเขาเทพเพียงไหน นั่นคงจะแปลกประหลาดมากถ้าสิ่งนี้ไม่เกิดขึ้น” เธอคิดในใจ
เมื่อเหล่าศิษย์ที่นั่นสังเกตเห็นโหลวหลานจี พวกเธอพลันทักทายเธอ
บางคนรู้สึกสงสัยว่าผู้นำนิกายก็ต้องการการนวดจากซูหยาง ดังนั้นเธอจึงปรากฏตัวขึ้นที่นี่ ส่วนคนอื่นนั้นความคิดแบบนั้นกลับไม่ได้เกิดขึ้นในใจแม้แต่น้อย กลับกันพวกเธอต่างพากันกังวลกับซูหยาง ซึ่งอาจจะมีปัญหากับผู้นำนิกายเพราะว่าความปั่นป่วนก่อนหน้านั้น
หลังจากรอคอยเป็นเวลาอีกสองสามนาที หญิงสาวน่ารักก็เดินออกมาจากห้องพักของซูหยางด้วยท่าทางไม่สมดุลราวกับว่าเธอเดินอยู่บนน้ำแข็งลื่นขณะเกิดแผ่นดินไหว
“คนต่อไป”
เสียงซูหยางดังขึ้นมาจากภายในบ้าน แต่ไม่มีใครกล้าเข้าไป ในเมื่อพวกเธอล้วนรอให้โหลวหลานจีเข้าไปก่อนถึงแม้ว่าจะมาถึงทีหลัง
“ผู้นำนิกาย” ซูหยางทักทายเธอด้วยรอยยิ้มต้อนรับเมื่อเธอเข้าไปในห้อง
“เจ้า…” โหลวหลานจีรู้สึกว่าบางอย่างของซูหยางแตกต่างไปเมื่อเธอเห็นเขา ถึงแม้ว่าเธอไม่อาจแยกแยะได้ว่าทำไมเธอจึงมีความรู้สึกเช่นนั้น แต่นั่นก็ทำให้ใจเธอเต้นรัวเร็วขึ้น ราวกับว่าร่างกายของเธอมีปฏิกิริยากับตัวตนของเขา
“ข้ามาที่นี่เพื่อบอกเจ้าว่าข้าได้ทำสิ่งที่เจ้าร้องขอสำเร็จแล้ว” เธอพลันกล่าวกับเขา
“อย่างไรก็ตามนอกจากฟางซีหลาน ก็มิมีศิษย์หลักคนไหนอีกที่ยอมรับบันทึกของเจ้า”
โหลวหลานจีบอกเขาตามความจริงโดยไม่ปกปิด และรอปฏิกิริยาโต้ตอบจากเขา
อย่างไรก็ตามซูหยางไม่แม้แต่จะเลิกคิ้วเมื่อได้ยินข่าว
“เป็นอย่างนั้นรึ นั่นค่อนข้างโชคร้ายอยู่บ้าง” เขากล่าวด้วยเสียงเรียบเฉย
“เช่นนั้นแล้วเรื่องน้ำมันรัญจวน…”
“ตามสัญญา ข้าจักบอกท่านถึงวิธีที่จะได้มา” เขากล่าว
โหลวหลานจีตะลึงไปเล็กน้อยกับผลที่ได้ ในเมื่อเธอกังวลว่าซูหยางจะเริ่มหาข้ออ้าง ดังนั้นเธอจึงจ้องมองเขาด้วยดวงตากลมกว้าง รอคอยคำพูดถัดไปที่จะออกมาจากปากเขาอย่างอดทน
“แต่ก่อนที่ข้าจะบอกท่านเรื่องนั้น ท่านพอจะคืนกระดาษบันทึกที่ข้าได้ให้แก่ท่านได้หรือไม่” เขากล่าวพร้อมกับแบมือยื่นออกมาข้างหน้า
โหลวหลานจีไม่ได้คิดมากเกี่ยกับเรื่องนั้นและส่งคืนกระดาษบันทึกที่ถูกปฏิเสธโดยศิษย์หลัก
“อะไรที่เขียนไว้ภายในบันทึก หากว่าเจ้ามิรังเกียจคำถามของข้า” เธอรู้สึกสงสัยเกินจนอดถามไม่ได้
“มิมีอะไรมาก” เขาตอบขณะที่เขาหยิบกระดาษบันทึก “เพียงแค่วิชาการฝึกฝนระดับอัมพรที่อาจช่วยการฝึกปรือของพวกเธอได้”
โหลวหลานจีมีท่าทางชะงักค้างเมื่อเธอได้ยินเช่นนั้น และเธอจ้องมองเขาด้วยดวงตากลมกว้างกว่าไข่ไก่
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเธอ ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “ข้าเพียงแค่พูดเล่น…”
ขณะที่เขาพูดคำพูดเหล่านั้น ซูหยางก็ใช้เพลิงปรุงยาของเขาแผดเผากระดาษบันทึกจนกระทั่งพวกมันไม่คงอยู่อีกต่อไป
เมื่อโหลวหลานจีเห็นเพลิงปรุงยา เธอรู้สึกเหมือนกับว่าโลกในใจของเธอสั่นสะท้าน ราวกับว่าเธอประสบกับการแสดงขั้นสุดยอด
“น-น-น-นั่น ป-ป-เป็น…”
“ถูกต้อง นี่เป็นเพลิงปรุงยา” ซูหยางพูดโดยไม่ลังเล “และบังเอิญว่านี่ก็เป็นที่มาของน้ำมันรัญจวน”
“…”
โหลวหลานจีตกตะลึงพูดไม่ออก เมื่อไหร่กันที่ซูหยางกลายเป็นนักปรุงยา นานแค่ไหนแล้วที่เขาเป็น และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ เขาได้ปรุงน้ำมันรัญจวนขึ้นมาจริงหรือไม่ สิ่งที่กระทั่งเหนือกว่ากระทั่งโอสถหยินพ้นพิสัยที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยยกย่องไว้สูงก่อนที่จะรู้จักกับน้ำมันรัญจวน
“มีอะไรผิดไปรึ ท่านมิเชื่อข้ารึ” ซูหยางถามเธอหลังจากที่เธอนิ่งเงียบไปหลายนาที
“ม…ไม่…มิใช่เช่นนั้น…” โหลวหลานจีพูด “ข้าเพียงมิคิดว่าเจ้าเปิดเผยชัดเจนเช่นนี้…”
ถึงแม้ซูหยางจะทำตามคำสัญญาของเขา โหลวหลานจีก็ไม่อยากจะเชื่อว่าคนที่มีความลับซุกซ่อนอย่างลึกลับซับซ้อนแบบเขาจะเปิดเผยความลับยิ่งใหญ่เช่นนี้กับเธอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อดูเหมือนว่าเขาได้ซ่อนมันไว้มาชั่วระยะเวลาหนึ่งจนถึงตอนนี้
“ทำไมเจ้าจึงบอกข้าเรื่องนี้ เจ้าต้องมีเหตุผลอื่น…”
ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “ข้าต้องเปิดเผยมันไม่ช้าก็เร็วถึงแม้ว่าท่านมิได้ถาม อย่างไรก็ตามข้าก็มีคำขอร้องเล็กน้อยสำหรับท่านเช่นกัน…”
“จ-เจ้าต้องการจากข้าตอนนี้เลยรึ” โหลวหลานจีเตรียมตัวเตรียมใจไว้
“มันเป็นเรื่องง่าย จริงแล้ว..” ซูหยางเข้าไปใกล้เธอและพูดสองสามประโยคให้แก่เธอ
โหลวหลานจีสับสนในตอนแรก แต่เมื่อเธอได้ยินจากเขามากขึ้น ดวงตาของเธอก็เปิดกว้างด้วยความตระหนก
“จ-จ-เจ้า…ไม่น่าเชื่อ…”
โหลวหลานจีไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือว่าร้องไห้หลังจากที่ได้ยินเรื่องราวทั้งหมด อย่างไรก็ตามมีสิ่งหนึ่งที่ชัดเจนว่าเธอไม่เคยคาดเดาคำขอร้องของเขาถูกแม้ว่าจะผ่านไปล้านปี
“ก็ดี…” เธอพยักหน้า “แม้ว่าข้าจะฝ่าฝืนกฏของนิกายที่ยอมให้เกิดเรื่องนี้ นี่ให้ถือว่าเป็นกรณีพิเศษ…”
ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “บางทีข้าควรพิจารณาสอนท่านถึงวิธีสร้างน้ำมันรัญจวนในอนาคต…”
ดวงตาของโหลวหลานจีเปล่งประกายสว่างหลังจากที่ได้ยินคำพูดเหล่านี้และเธอก็พูดขึ้นว่า “เจ้ามิต้องกังวลกับความจริงที่ว่าเจ้าเป็นนักปรุงยาแล้วจะถูกเปิดเผยสู่โลกภายนอกในเมื่อมันจะยังคงเป็นความลับสำหรับข้า”
ซูหยางไม่ได้กล่าวอะไรอีกเพราะว่าเขารู้อยู่แล้วว่าเธอต้องพูดเช่นนั้น
“อย่างไรก็ตามข้ามาที่นี่เพื่อบอกเจ้าอีกเรื่อง เนื่องจากสถานการณ์เกี่ยวกับวิญญาณพิทักษ์ ฟางซีหลานหวังว่าเจ้าจะไปหาเธอยังที่พัก”
“ข้าเข้าใจแล้ว…ข้าจักไปหาเธอโดยเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้” ซูหยางกล่าว
“ดี เช่นนั้นข้าจักไปแล้วในตอนนี้เพื่อเติมเต็มคำขอของเจ้า…” เธอกล่าวก่อนที่จะออกไปจากที่นั้นหลังจากนั้นไม่นาน แต่ยังคงรู้สึกตระหนกกับทุกสิ่งที่เธอรับรู้ในวันนี้เกี่ยวกับซูหยาง
และแม้ว่าเธอจะมีคำถามมากมายหลายสิบข้อเกี่ยวกับเพลิงปรุงยาของซูหยางและเรื่องอื่นๆ เธอตัดสินใจที่จะปล่อยให้มันเป็นเรื่องของอนาคตเมื่อเธอเข้าใจและยอมรับข้อมูลทุกอย่างที่เธอได้รับในวันนี้
PS: เรื่องนี้จะชะลอช้าลงตามต้นฉบับนะครับ ไม่ใช่ผมอู้ และฝากเป็นแรงใจให้กับ Nine Yang Sword Saint ด้วยนะครับ เรื่องเป็นอย่างไรนั้น ผมเองก็ยังไม่รู้มากเท่าไหร่ เพราะว่าอ่านไปล่วงหน้าไม่กี่บท พร้อมๆกับแปลครับ
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 246
DC บทที่ 246: เซี่ยวไป่
ยามเมื่อเขาออกจากศาลาหยินหยางแล้วซูหยางก็กลับไปยังที่พักของตนเอง ซึ่งมีเหล่าศิษย์อยู่ข้างนอกรอเขาตั้งแต่เช้าเรียบร้อยแล้ว
ในเวลานั้น หลังจากที่โหลวหลานจีใช้เวลาไปพอประมาณในการครุ่นคิดเกี่ยวกับตัวตนที่ปลอมแปลงมาของซูหยาง เธอก็ออกจากศาลาหยินหยางเช่นกันเพื่อแจกจ่ายบันทึกที่ซูหยางให้กับเธอ
ศิษย์หลักคนแรกที่โหลวหลานจีตัดสินใจที่จะไปเยี่ยมแน่นอนว่าคือ ฟางซีหลาน ผู้ซึ่งดูแลวิญญาณพิทักษ์ให้กับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ในเมื่อเธอเป็นเพียงคนเดียวที่วิญญาณพิทักษ์นี้เชื่อฟังด้วยเหตุผลบางอย่าง
“ซูหยาง ข้ามิรู้จักศิษย์คนใดที่มีชื่อนั้น” ฟางซีหลานกล่าวกับโหลวหลานจีหลังจากที่ถูกถามเกี่ยวกับซูหยาง
“เจ้าแน่ใจรึ ถ้าพวกเจ้าทั้งคู่มิเคยพบกันมาก่อน ทำไมจึงเป็นไปได้ที่เขารู้ถึงวิญญาณพิทักษ์” โหลวหลานจีครุ่นคิดด้วยท่าทางเคร่งเครียด
“ข้ามิอาจตอบกับสิ่งที่ข้ามิรู้” ฟางซีหลานกล่าวด้วยท่าทางเรียบเฉย และกล่าวต่ออีกว่า “อย่างไรก็ตามข้ามั่นใจว่าเธอมิเคยออกไปจากห้องนี้ ดังนั้นนอกจากว่าซูหยางคนนี้แอบเข้ามาในนี้โดยข้ามิรู้ ข้าก็มิอาจคิดออกได้ว่าเหตุใดเขาจึงรู้เรื่องนี้”
ความเป็นไปได้ที่คนอื่นจะปล่อยข้อมูลรั่วไหลก็ยังคงไม่น่าเป็นไปได้ ในเมื่อมีเพียงคนที่ชื่อถือได้และสำคัญเท่านั้นที่รู้เรื่องวิญญาณพิทักษ์
“อย่างไรก็ตาม ทำไมเจ้ามิอ่านบันทึกเสียก่อน” โหลวหลานจียื่นส่งบันทึกที่ซูหยางให้เธอให้แก่ฟางซีหลาน
ฟางซีหลานมองดูบันทึกและรับมันไว้อย่างไม่ใส่ใจก่อนที่จะอ่าน
แม้ว่าใบหน้าเธอยังคงดูเหมือนไม่สนใจในตอนแรก ดวงตาของฟางซีหลานกลับเป็นประกายไปด้วยแสงประหลาดหลังจากที่เธออ่านข้อความทั้งหมด
“นั่นกล่าวว่าอย่าไรบ้าง” โหลวหลานจีถาม
“ผู้นำนิกายยังมิได้อ่านรึ” ฟางซีหลานมองดูเธอด้วยดวงตาที่ค่อนข้างโต เธอแน่ใจว่าโหลวหลานจีควรจะได้มองดูบันทึกก่อนที่จะให้เธอ ช่างผิดคาดและน่าประหลาดใจ
“เอ้อ… ไม่ ข้ายังมิได้…” โหลวหลานจีไม่ต้องการเสี่ยงในการล่วงเกินซูหยางและความลับของน้ำมันรัญจวน ทำให้เธอยับยั้งความต้องการในการแอบดูข้อความแม้ว่าจะเกิดความสงสัย
“ซูหยางคนนี้… เขากล่าวว่าเขาสามารถปลุกวิญญาณพิทักษ์และทำให้มันโตเต็มวัยภายในหนึ่งเดือน…” ฟางซีหลานเปิดเผยข้อมูลบนบันทึก
“เจ้าว่ากระไรนะ” โหลวหลานจีทำตาโตด้วยความตื่นตระหนกอย่างยิ่ง
การตื่นขึ้นเป็นอีกคำหนึ่งสำหรับเมื่อวิญญาณพิทักษ์ย่างเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ อย่างไรก็ตามเหตุการณ์เช่นนี้เกิดค่อนข้างยากและลำบากเป็นอย่างยิ่งที่จะทำให้เป็นเช่นนั้น ในเมื่อพวกเขาต้องการวัตถุดิบจำนวนมหาศาลและการดูแลเพื่อที่จะปลุกมันให้ตื่นขึ้น
ภายใต้สถานการณ์ปกติ แม้จะเป็นสำนักที่ทรงอิทธิพลและร่ำรวยก็ยังต้องการเวลาหลายสิบปีและทรัพยากรจำนวนนับไม่ถ้วนเพื่อปลุกวิญญาณพิทักษ์ อย่าว่าแต่สำนักดังเช่นนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
ตอนนี้คงจะเห็นชัดว่าการเลี้ยงดูวิญญาณพิทักษ์นี้ยากเพียงไหน แตสำหรับซูหยางที่พูดว่าเขาสามารถปลุกวิญญาณพิทักษ์ภายในเวลาเดือนเดียวนั้น เป็นสิ่งที่แม้กระทั่งนิกายระดับสูงก็ไม่กล้าที่จะจินตนาการ มันฟังไร้สาระอย่างสิ้นเชิง
“ซูหยางคนนี้…ค่อนข้างตลกจริงนะ หึ” ฟางซีหลานอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า คิดว่าซูหยางเพียงมาป่วนเธอเล่น
อย่างไรก็ตามโหลวหลานจีจ้องมองฟางซีหลานด้วยท่าทางเคร่งเครียด
“ผ-ผู้นำนิกาย…อย่าบอกข้านะว่าท่านเชื่อคำของเขาจริงๆ ใช่ไหม” ฟางซีหลานถามอีกฝ่ายที่ดูเหมือนตกอยู่ในภวังค์ความคิด
“ข…ข้ามิอาจพูดได้ชัดเจน…” โหลวหลานจีพูดด้วยน้ำเสียงทอดถอนใจ “เท่าที่รู้จักเขา เขาไม่เคยล้อเล่นเลยแม้แต่น้อย ส่วนที่ว่าเขาจะทำได้อย่างไรนั้น ข้าก็มิอาจคิดออกได้”
“…”
ฟางซีหลานจนวาจา ในเมื่อเธอไม่เคยเห็นผู้นำนิกายมีท่าทางเช่นนี้มาก่อน
“สามารถทำให้ผู้นำนิกายเป็นได้เช่นนี้…ซูหยางนี่เป็นใครกัน…” เธอคิดสงสัยอยากรู้
“จะว่าไป วิญญาณพิทักษ์อยู่ที่ไหนตอนนี้ ข้ามิเห็น–”
ในขณะที่โหลวหลานจีอ้าปากพูด ร่างเล็กๆก็ปรากฏตัวขึ้นจากใต้เตียงของฟางซีหลาน
“อยู่นั่นเอง” โหลวหลานจีพลันยิ้มเมื่อเห็นลูกบอลขนสีขาวใต้เตียง
“เซี่ยวไป่ ทักทายเจ้านิกายสิ” ฟางซีหลานกล่าวกับสัตว์ตัวสีขาว
เมื่อสัตวขนตัวน้อยได้ยินคำพูดของฟางซีหลาน มันก็ก้มศีรษะเล็กๆนั้นลงเล็กน้อยไปทางโหลวหลานจี ทักทายเธอด้วยการค้อมคำนับ
โหลวหลานจีรู้สึกว่าใจละลายเมื่อเธอเห็นสัตวน่ารักตัวน้อยที่คล้ายกับลูกเล็กของเสือคำนับเธอ
“สวัสดี เซี่ยวไป่…”
อย่างไรก็ตามเมื่อโหลวหลานจีพยายามที่จะพูดกับมัน ลูกเล็กเสือขาวก็หดศีรษะกลับไปใต้เตียงและหายไปในความมืด
เมื่อเห็นเช่นนี้ โหลวหลานจีก็ได้แต่ยิ้มขื่นขม ถึงแม้ว่าเธอเป็นผู้นำนิกายและอาจารย์ของฟางซีหลาน แต่วิญญาณพิทักษ์ไม่สนใจใครสักคนนอกจากฟางซีหลาน
กล่าวไปแล้วในเมื่อฟางซีหลานเป็นคนค้นพบวิญญาณพิทักษ์ตั้งแต่แรก มันเป็นเรื่องปกติที่มันจะไม่เชื่อฟังใครไปนอกจากเธอ
“อย่างไรก็ตาม ข้าต้องการให้เจ้าพูดกับซูหยาง และอย่าลืมพาเซี่ยวไป่ไปด้วย”
“ท่านต้องการให้ข้าพาเซี่ยวไปออกไปจากห้องนี้…” ฟางซีหลานถามเธอเพื่อความมั่นใจ
“อืออ…” โหลวหลานจีไร้คำพูดไปชั่วขณะก่อนที่จะพูดว่า “ลืมไปซะ ข้าจักให้ซูหยางมาที่นี่แทน..”
โหลวหลานจีเกือบลืมเรื่องเซี่ยวไป่ว่าต้องเก็บเป็นความลับ
หลังจากที่ตัดสินใจเช่นนั้น โหลวหลานจีก็ออกไปจากที่แห่งนั้นไม่นานหลังจากนั้น เพื่อไปพบกับศิษย์หลักคนอื่น
ยามเมื่อโหลวหลานจีจากไป ฟางซีหลานก็ถอนใจ “เกิดอะไรขึ้นกับผู้นำนิกายหรือไม่ เธอดูแตกต่างไปจากครั้งก่อน…”
หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็กล่าวเสียงดังอย่างสุภาพว่า “เซี่ยวไป่ เจ้าออกมาได้แล้ว”
หลังจากที่ได้ยินเสียงเธอ ลูกเสือตัวน้อยก็ค่อยคลานออกมาจากใต้เตียงและเข้าไปหาเธอ
ฟางซีหลานจึงนำเอาแก่นพลังสัตว์อสูรธาตุหยินออกมาจากแหวนมิติและป้อนมันให้กับวิญญาณพิทักษ์
“เจ้าช่างมีท้องที่ไร้ก้นจริงๆ หือ ภายในไม่กี่อาทิตย์เจ้าได้กินเกือบหมดแก่นพลังสัตว์อสูรแมวสายฟ้าที่พอให้ข้าใช้ทั้งปี แม้ว่าจะเป็นตัวข้าเอง…” ฟางซีหลานถอนใจ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เธอก็คงไม่สามารถแม้แต่จะจินตนาการได้ว่าท้องของมันจะเป็นอย่างไรถ้าหากว่ามันเติบโตเต็มวัย
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 245
DC บทที่ 245: ความรักข้างเดียว
โหลวหลานจีคิดแล้วคิดอีกหาวิธีที่จะหว่านล้อมซูหยางให้อยู่เป็นเจ้านิกาย ถึงแม้จะเป็นเพียงในนาม เพราะเพียงตัวตนของเขาอย่างเดียวก็มีผลลัพธ์เป็นความปลอดภัยของเธอนับแต่นั้น
แต่อนิจจาจนถึงที่สุดและถึงแม้ว่าเธอสามารถคิดหาเหตุผลได้ โหลวหลานจีก็ไม่กล้าที่จะพยายามให้คนที่ทรงอำนาจและลึกลับเหมือนซูหยางอยู่นานเกินกว่าที่เขาปรารถนา ด้วยการทำเช่นนั้นย่อมส่งผลร้ายให้กับเธอและนิกาย
“แม้ว่าจะเป็นที่น่าเสียใจและถือเป็นความสูญเสียอย่างมากต่อนิกายของเราที่ท่านจักจากไป แต่ข้าก็เข้าใจและเคารพการตัดสินใจของท่าน” เธอกล่าวหลังจากนั้นชั่วขณะ
ซูหยางพยักหน้า แต่เขายังไม่จบเรื่องกับเธอดีนัก เขาจึงพูดว่า “ขณะที่ข้าจักมิได้อยู่ที่นี่ต่อไป ข้าสามารถรับรองเจ้าว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจักยังคงได้รับพรจากข้า ได้รับการปกป้องต่อไปอย่างน้อยอีกสองสามเดือน ดังนั้นเจ้าสามารถหาคนแทนข้าได้โดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องราวภายนอก”
โหลวหลานจีดวงตาเป็นประกายไปด้วยความตื่นเต้น เธอน้อมคำนับตัวต่ำ “ขอบคุณผู้อาวุโส”
แม้ว่าเธอไม่อาจจินตนาการว่าเขาจะพิทักษ์สถานที่แห่งนี้ได้อย่างไรยามจากไป โหลวหลานจีก็ไม่ได้สงสัยในถ้อยคำของเขาและยอมรับตามนั้น
“ตอนนี้ทุกสิ่งก็เรียบร้อยแล้ว ก่อนที่ข้าจะไปจากที่แห่งนี้ ข้ามีข้อเสนออื่นให้เจ้า” ซูหยางกล่าวพร้อมรอยยิ้มลึกลับบนใบหน้า
“…” โหลวหลานจีมองดูซูหยางด้วยความคาดหวัง
“ก่อนที่ข้าจากไปอย่างถาวร ทำไมเรามิมาร่วมฝึกคู่กันอีกสักครั้ง ข้าสามารถบอกได้ว่าพลังการฝึกปรือของเจ้าได้รับประโยชน์มากจากการร่วมคู่ครั้งสุดท้าย”
เมื่อโหลวหลานจีได้ยินเช่นนี้ ดวงตาเธอก็เบิกขึ้นและปล่อยกรามตกลงไปสู่พื้น
เป็นเช่นนั้นจริงที่พลังการฝึกปรือของเธอได้เพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดนับตั้งแต่เธอได้ร่วมฝึกกับปราณหยางของเขาที่อุดมสมบูรณ์กว่าใครที่เธอได้ร่วมฝึกคู่มาก่อน
“ถ้าเจ้ามิต้องการ เช่นนั้นข้าก็จักขออำลา…” ซูหยางกล่าวกับเธอเมื่อเธอยังคงเงียบ
“ร-ร-รอก่อน ข้าต้องการร่วมฝึกคู่กับท่านอีกครั้ง” โหลวหลานจีพลันกล่าว ใบหน้าของเธอดูเหมือนว่าเต็มไปด้วยความหมดหวัง
หากปราศจากเขาซึ่งด้อยกว่าซูหยางเล็กน้อยในแง่ของกลเม็ด ความปรารถนาในกามของเธอก็คงไมไ่ด้ปลดปล่อยได้อย่างเหมาะสมนอกจากว่าเธอจะไปหาซูหยาง ซึ่งเธอได้ถูกกระตุ้นให้ต่อต้านในตอนท้าย
และโดยไม่ต้องกล่าวอะไรต่อจากนั้น โหลวหลานจีก็ได้ดึงสายคาดเอวและยอมให้ทุกสิ่งที่ปกปิดผิวกายที่ราบเรียบและร่างที่ดูนุ่มละมุนเลื่อนไหลออกไปจากร่าง
ซูหยางก็ถอดเสื้อผ้าเขาออกเช่นกันไม่นานหลังจากนั้น ก่อนที่จะเข้าไปสู่เตียงพร้อมกับโหลวหลานจีและร่วมฝึกคู่กับเธอ
อย่างไรก็ตามไม่เหมือนกิจกรรมครั้งก่อนหน้า ซูหยางไม่ได้ออมรั้งในกลเม็ดและกระทั่งทำเหนือกว่า “ศิษย์” ซูหยางคนนั้น สร้างความประหลาดใจเหลือล้ำให้กับโหลวหลานจี ผู้คิดว่าเธอจะไม่สามารถได้รับความสุขที่เหนือกว่าที่ซูหยางจะสามารถนำมาให้กับร่างของเธอ
“อาาาา โอพระเจ้า ท-ท่านมิได้เข้มข้นเช่นนี้ก่อนหน้านั้น” โหลวหลานจีครวญครางอย่างบ้าคลั่งยามเมื่อความกระหายอยากทั้งหมดในร่างของเธอสลายไป
“ข้ายับยั้งไว้ครั้งที่แล้วเพราะว่าการอบรม” ซูหยางตอบขณะที่เขาเลื่อนนิ้วของเขาผ่านร่างราบเรียบของเธอซึ่งสั่นสะท้านไปด้วยความหฤหรรษ
“อาาาา อืมมมมม อาาาาาา”
โหลวหลานจีสามารถรู้สึกว่าจิตใจของเธอเข้าสู่สภาวะอันลึกล้ำอย่างช้าๆ ที่เหมือนกับการตระหนักรู้ มันเหมือนกับว่าร่างกายของเธอเบาดุจขนนก ทำให้เธอรู้สึกเหมือนกับล่องลอยเข้าสู่สรวงสวรรค์ขณะที่ถูกโอบอุ้มโอบล้อมไปด้วยความสุข
และกระทั่งแม้ประสบการณ์ทั้งหมดของเธอ โหลวหลานจีก็ไม่เคยประสบอะไรเช่นนี้มาก่อน ซึ่งทำให้เหตุการณ์นี้ยิ่งสุขสมยิ่งขึ้น
“อาาาา”
“อาาาาาาา”
“อาาาาาาาาาาาาาา”
โหลวหลานจีครวญครางไม่หยุดยั้งตลอดทั้งคืน ยามเมื่อกิจกรรมการร่วมฝึกของพวกเขายาวนานไปจนพระอาทิตย์เริ่มโผล่ขึ้นจากขอบฟ้า
หลังจากกิจกรรมร่วมฝึกคู่อันยาวนานและดุเดือด โหลวหลานจีก็นอนแผ่อยู่บนเตียงด้วยท่าทางตื่นตะลึงเมื่อถูกสะกดไว้ด้วยปราณหยางอันสมบูรณ์สุดโต่งของซูหยางที่ท่วมท้นถ้ำทองของเธอ
“น-นี่เป็นปราณหยางประเภทไหนกัน นี่มันยิ่งลึกล้ำและทรงพลังมากกว่าครั้งที่แล้ว” เธอไม่อาจจินตนาการได้ว่าพลังการฝึกปรือประเภทไหนกันที่ต้องใช้เพื่อที่จะสร้างปราณหยางที่ชวนมึนเมาเช่นนี้
ท่ามกลางความคิดของเธอ โหลวหลานจีหันศีรษะไปมองดูซูหยาง ซึ่งได้สวมชุดของเขากลับเข้าร่างไปแล้ว พร้อมกับสายตามุ่งหมาย คล้ายกับหญิงสาวแรกรัก
“ความรู้สึกนี้… ใช่รักหรือไม่” โหลวหลานจีแทบจะไม่เชื่อว่าตัวเธอเองได้ตกหลุมรักง่ายดายปานนี้ อีกทั้งกับใครที่เธอไม่รู้จักแม้แต่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธอไม่เคยได้รับประสบการณ์ความรู้สึกเช่นนี้มาก่อนจากคู่เคียงคนใดในอดีต
กล่าวอีกนัยหนึ่งนี่นับเป็นครั้งแรกในชีวิตของโหลวหลานจีที่ประสบกับความรัก แม้ว่าจะเคยมีคู่ฝึกนับร้อยมาจนถึงตอนนี้ อย่างไรก็ตามถ้าพูดอย่างยุติธรรม คนส่วนใหญ่ในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิส้ยล้วนฝึกคู่ไม่ใช่เพราะความรัก ตามความเป็นจริงเหตุผลหลักในการฝึกคู่ล้วนเพียงคิดถึงแต่ตนเองยามฝึกคู่และมองดูคู่ฝึกของตนเองเป็นเพียงวัตถุใช้ในการฝึกวิชาเหมือนกับหินวิญญาณและสิ่งอื่นที่คล้ายกัน
ซูหยางเองก็ไม่ได้แตกต่าง นอกจากไม่กี่คนในหมู่คู่ฝึกนับไม่ถ้วนที่เขาเคยมี เขาถือว่าพวกเธอเป็นเหมือนกับสิ่งที่ใช้ในการฝึกฝนไม่มากไปกว่านั้น แต่ถึงจะกล่าวเช่นนั้นก็ใช่ว่าซูหยางจะโยนพวกเธอทิ้งไว้ด้านหลังหลังจากร่วมฝึกคู่กับพวกเธอ
“ข้าจัก…เห็นท่านอีกครั้งไหม” โหลวหลานจีถามเขาด้วยเสียงนุ่มนวล
“แน่นอน” เขาตอบด้วยรอยยิ้มลึกลับ “และนั่นอาจจะเร็วกว่าที่เจ้าเคยคาดคิดไว้”
ความทุกข์ร้อนในใจโหลวหลานจีเบาบางลงหลังจากที่ได้ยินเช่นนั้น แต่เธอก็ยังคงท้อแท้กับสถานการณ์ทั้งหมด
“ทำไมข้าจึงต้องตกหลุมรักกับเขาในช่วงเวลาสุดท้ายเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นกับคนแบบเขา” เธอแอบสูดหายใจ นึกถึงว่ามีชายมากมายนับไม่ถ้วนด้านนอกนั้น แต่เธอยังตกหลุมรักคนที่เธอไม่เคยคิดว่าจะสามารถยืนเคียงข้างเขาได้โดยไม่รู้สึกว่าต้อยต่ำ
“หรือนี่เป็นกรรมจากชายนับไม่ถ้วนด้านนอกนั้นจึงทำให้ข้าได้ประสบความรู้สึกเช่นเดียวกัน”
หลังจากที่ซูหยางออกไปจากสถานที่นั้นแล้วโหลวหลานจีก็ไม่ได้ฝึกปราณหยางอันเข้มข้นในร่างเธอที่เหมือนกับสมบัติประเมินค่าไม่ได้ในทันที เธอยังคงนอนอยู่บนเตียงครุ่นคิดเกี่ยวกับความรักข้างเดียว
ปล. ช่วงนี้ตามทันต้นฉบับแล้วนะครับ ซึ่งจำเป็นต้องรอให้ต้นฉบับลงก่อน จึงจะสามารถแปลได้ เป็นเหตุให้นิยายไม่ต่อเนื่อง
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 244
DC บทที่ 244: ก้าวลง
“ผู้อาวุโส อะไรทำให้ท่านมาในวันนี้” โหลวหลานจีถามเขาแม้ว่าเธอต้องการจะถามเขาว่าเขาไปไหนมาจนป่านนี้
“ข้ามาที่นี่เพื่อเติมเต็มคำสัญญาที่ให้ไว้” ซูหยางกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
โหลวหลานจีเลิกคิ้วด้วยความสงสัย
“ข้ามิเข้าใจ…” เธอกล่าวหลังจากนั้นชั่วขณะ
ซูหยางไม่ได้กล่าวอะไรนอกจากสะบัดชายเสื้อ จนทำให้สิ่งของกองหนึ่งปรากฏต่อหน้าโหลวหลานจี
“น-น-นี่คือ…”
โหลวหลานจีจ้องมองเขม็งค้างไปยังเคล็ดวิชาและสมบัติวิญญาณที่กองเป็นภูเขาย่อมๆต่อหน้าเธอ
“ข้าหยิบฉวยสิ่งเหล่านี้มาระหว่างการเดินทาง แต่เพราะว่ามันมิมีประโยชน์อะไรต่อข้า ข้าจักให้พวกมันต่อนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยของเจ้า” ซูหยางกล่าวขณะที่เขาชี้ไปยังสมบัติหลายสิบชิ้นที่เขาได้รับในห้องสมบัติของสุสานเซียน
นั่นมีวิชาฝีมือตั้งแต่ระดับปุถุชนไปจนถึงระดับปฐพีกว่าห้าสิบเล่ม และมีสมบัติวิญญาณมากกว่าสองร้อยชิ้นมีระดับตั้งแต่ ระดับวิญญาณไปจนถึงระดับปฐพี
แค่เพียงวิชาฝีมือเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอในการเพิ่มพลังอำนาจให้กับสำนักขนาดใหญ่เห็นได้ชัดเจน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสำนักขนาดกลางดังเช่นนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย อย่างไรก็ตามด้วยการเพิ่มสมบัติวิญญาณเพิ่มเข้าไปอีก นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็จะมีพลังอำนาจพุ่งทะยานฟ้า กลายเป็นสำนักที่มีพลังอำนาจและสมบัติมากมายไม่เพียงแค่เขตตะวันออกแต่เป็นทั่วทั้งทวีปตะวันออก
“ท-ท่านกำลังจะให้ของทั้งหมดนี้กับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย น-นั่นมากเกินไปสำหรับสถานที่ที่ไร้ค่านี้” โหลวหลานจีพูดด้วยเสียงสั่นสะท้าน ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อและตระหนก มองดูราวกับว่าเธอเพิ่งเข้าไปสู่สรวงสวรรค์
“เจ้ามิต้องการมันรึ” ซูหยางเลิกคิ้ว
“น-นั่นมิใช่พ..เพียงข้ามิรู้ว่าต้องปฏิบัติอย่างไร..หรือต้องตอบแทนท่านอย่างไร…”
นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยย่อมต้องยินดีรับสมบัติ “ฟรี” มากมายเช่นนี้อยู่แล้ว แต่โหลวหลานจีกลัวว่าซูหยางอาจจะเรียกร้องบางสิ่งหลังจากนั้น
และถ้าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เธอไม่สามารถตอบสนองได้ จะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น
“เจ้ามิต้องกังวลเรื่องตอบแทนข้า เพียงแค่คิดว่าเหมือนกับการหยิบเอาขยะที่ผู้อื่นทิ้งไว้เบื้องหลัง และนั่นก็จะเป็นสิ่งที่มันจะเกิดขึ้น ถ้าเจ้าปฏิเสธมัน” ซูหยางกล่าว
ถ้าโหลวหลานจีไม่เอาสิ่งเหล่านี้จากเขา เขาอาจจะเพียงแค่โยนมันลงไปกลางถนนและปล่อยให้คนอื่นหยิบมันไป
ในขณะที่สิ่งเหล่านี้อาจจะมีค่าสำหรับผู้คนในโลกนี้ แต่วิชาและสมบัติแค่นี้ไม่ต่างไปจากขยะข้างทางในสายตาของซูหยาง ไร้ค่าโดยสิ้นเชิง
โหลวหลานจีจ้องเขม็งไปยังกองของสมบัติที่ส่งประกายแวววาวตรงหน้าเธอและกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ปากของเธอสอเต็มไปด้วยน้ำลายจากความกระหาย
“ถ-ถ้าเช่นนั้นข้าจักมิเกรงใจและรับของขวัญจากน้ำใจของท่านไว้…”
โหลวหลานจีพลันตรงเข้าไปนำเอาแหวนมิติหลายวงออกมาเก็บสมบัติทันที ในเมื่อสมบัติมากมายตรงหน้าเธอมีมากเกินกว่าที่จะเก็บไว้ภายในแหวนมิติวงเดียว
หลังจากที่นำเอาแหวนมิติออกมา โหลวหลานจีก็โยนสมบัติเหล่านั้นเข้าไปในแหวนทีละชิ้น บนใบหน้าเธอเปี่ยมไปด้วยความสุข ราวกับว่าคนที่เพิ่งถูกลอตเตอรี่
ซูหยางมองดูพฤติกรรมเหมือนเด็กๆของโหลวหลานจีด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้า แม้ว่าจะมีหลายสิ่งที่เขาไม่ชอบในสถานที่แห่งนี้ แต่เขาก็นับถือพวกเขาที่สามาถสร้างสภาพแวดล้อมที่กระทั่งสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ก็ยังขมวดคิ้วขึ้นมาได้
เมื่อมาถึงเรื่องการฝึกคู่ ซึ่งผู้ฝึกร่วมฝึกคู่กันตามความใคร่ คนส่วนใหญ่ในโลกนี้ล้วนเหยียดหยามวิธีการฝึกฝนที่น่ารังเกียจนี้ ในเมื่อพวกเขาเชื่อว่าการฝึกเช่นนี้ทำให้การฝึกฝนอันศักดิ์สิทธิ์ด่างพร้อย
“โอออ นี่เป็นอาวุธวิญญาณระดับปฐพี” โหลวหลานจีตาเป็นประกายเมื่อเธอหยิบเอากระบี่ที่เปล่งประกายลึกล้ำขึ้นมา
“นี่ก็อีกชิ้น” โหลวหลานจีพลันตรงเข้าไปหยิบมันขึ้นมาหลังจากที่โยนสมบัติวิญญาณระดับปฐพีลงไปในแหวนมิติแล้ว
มันใช้เวลาหลายนาทีสำหรับโหลวหลานจีในการเก็บสมบัติที่กองเป็นภูเขาให้เรียบร้อย แม้ว่าเธอแทบจะไม่ได้ดูพวกมันก่อนที่จะโยนเข้าไปในแหวนมิติและถุง
หลังจากที่เธอเก็บสมบัติทั้งหมดแล้ว โหลวหลานจีก็มองไปยังซูหยางด้วยใบหน้ากระดากอายและกล่าวว่า “นั่นเป็นส่วนไม่น่าดูของข้า… ข้าตื่นเต้นเกินไปและควบคุมตนเองไม่ได้…”
ซูหยางส่ายหน้าและกล่าวว่า “อย่างไรก็ตามในเมื่อเรื่องนี้จบแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะบอกเจ้าถึงเหตุผลที่แท้จริงว่าข้ามาที่นี่ในวันนี้ทำไม”
“เอ๋ มีอีกหรือ” โหลวหลานจีหรี่ตา รู้สึกมีลางแปลกๆในสายตาของซูหยาง
“ใช่แล้ว ข้ามาที่นี่เพื่อที่จะบอกว่าข้าจักก้าวลงจากการเป็นเจ้านิกาย ซึ่งก็เป็นชั่วคราวนับตั้งแต่แรก ดังนั้นเจ้าจึงมีอิสระในการหาผู้ที่เหมาะสมมาแทน”
เมื่อโหลวหลานจีได้ยินเช่นนี้เป็นอันดับแรก จิตใจเธอก็ไม่อาจตามทันได้ในทันทีได้แต่จ้องมองเขาด้วยท่าทางงงงัน อย่างไรก็ตามยามเมื่อเธอเข้าใจความหมายเบื้องหลังคำพูดของเขาได้ในที่สุดแล้ว ดวงตาของเธอก็เบิกกว้างด้วยความตระหนก และตะโกนขึ้นว่า “ท่านจะไปแล้ว นี่ช่างกระทันหันเกินไป”
ใช่แล้วซูหยางจากไปอย่างกระทันหันเช่นเดียวกับตอนที่เขาปรากฏตัวขึ้นครั้งแรก ไม่มีคำเตือนหรือสิ่งอื่นใดบอกกล่าวล่วงหน้า เหมือนสายฟ้าฟาดลงมาท่ามกลางท้องฟ้าที่แจ่มใสสวยงาม
“นี่อะไรกัน เจ้ายังต้องการให้ข้าเป็นเจ้านิกายต่อไปอีกงั้นรึ ทั้งที่ถูกบังคับให้ยอมรับเมื่อเราพบกันครั้งแรก” ซูหยางพูดพร้อมหัวเราะน้อยๆ
โหลวหลานจีอ้าปากแต่ไม่มีเสียงพูดออกมา ถ้าซูหยางไม่เคยกดดันหรือติดสินบนเธอให้รับเขาเป็นเจ้านิกาย เธอก็คงเริ่มมองหาเจ้านิกายคนอื่นไปตั้งนานแล้ว แต่ถึงจะกล่าวเช่นนั้น นั่นก็ใช่ว่าเธอไม่ชอบสถานการณ์นี้เสียทีเดียว ในเมื่อไม่เพียงนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้รับการคุ้มครองจากเขาเป็นการตอบแทน แต่เขายังให้พวกเธอเป็นสมบัติมากมายซึ่งพวกเธอไม่มีวันที่จะหามาครอบครองได้ด้วยตนเอง
ตามจริงแม้ว่าซูหยางไม่ได้ช่วยเหลือนิกายอะไรจริงจังระหว่างที่เขาเป็นเจ้านิกายไม่กี่อาทิตย์ แต่พลังการฝึกปรือที่ลึกล้ำและความร่ำรวยที่ดูเหมือนไร้ขีดจำกัดของเขาก็เหมือนเป็นเจ้านิกายใน “อุดมคติ” ของสายตาของโหลวหลานจี ในเมื่อตัวตนอันลึกล้ำของเขาทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยและเต็มไปด้วยความปลอดโปร่งแม้ว่าจะเป็นต้นเหตุให้เจ้านิกายคนก่อนเสียชีวิต
ยามนี้เมื่อเขากำลังจะไป โหลวหลานจีก็กังวลว่าเธออาจจะไม่สามารถหาใครสักคนที่จะมีความสามารถได้สักครึ่งหนึ่งของซูหยางมาแทนที่
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 243
DC บทที่ 243: การกลับมาของเจ้านิกาย
“ท่านสามารถวางใจได้ ท่านผู้นำนิกาย ข้ามิได้มีความคิดที่จะทำลายวันเวลาอันสงบสุขของข้าที่มีอยู่อย่างจำกัดไปกับแค่วิญญาณพิทักษ์” ซูหยางกล่าว
เพราะว่าใครจะรู้ว่าความปั่นป่วนวุ่นวายแบบไหนจะเกิดขึ้นเมื่อเขากลับไปยังสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ ซูหยางจึงต้องการอย่างน้อยมีความสุขไปกับช่วงเวลาสุขสงบนี้
โหลวหลานจีไม่ได้สงสัยซูหยางเพราะมีเหตุผลบางอย่าง ถ้าเป็นใครคนอื่นมาอยู่ต่อหน้าเธอตอนนี้ การสนทนาของพวกเขาต้องแตกต่างกันอย่างมากและต้องไม่ใช่อะไรที่สุขสงบเรียบระงับ
นี่เหมือนราวกับว่าเธอเชื่อซูหยางโดยไม่มีเงื่อนไข และกระทั่งโหลวหลานจีก็รู้ถึงจุดนี้
“นี่เป็นเพราะท่าทางเรียบเฉยของเขาหรือเป็นเพราะเสน่ห์ของเขาที่มีผลกระทบต่อข้าเช่นนี้ แม้ว่าเขาเป็นเพียงแค่เด็กและข้าก็เป็นถึงผู้นำนิกาย…มันเป็นเช่นนี้นับตั้งแต่การประเมินศิษย์ใน…” โหลวหลานจีจ้องมองซูหยางด้วยสายตาครุ่นคิด ราวกับงงงันไปกับตัวตนของเขา
“อย่างไรก็ตามยังมีอะไรอีกไหมที่ท่านต้องการที่นี่ ข้าจักตอบทุกคำถามของท่านเกี่ยวกับน้ำมันรัญจวนยามเมื่อท่านปฏิบัติตามข้อตกลงฝั่งของท่านเรียบร้อยแล้ว”
โหลวหลานจีส่ายหน้าของเธออย่างรวดเร็วและกล่าวว่า “ตราบเท่าที่เจ้ารักษาคำสัญญาและปิดปากแน่นเกี่ยวกับวิญญาณพิทักษ์ ข้ามิมีสิ่งอื่นใดอีกที่จะพูดกับเจ้า”
หลังจากกล่าวถ้อยคำเหล่านี้แล้ว โหลวหลานจีก็หันกายตรงไปยังทางออก
อย่างไรก็ตามก่อนที่เธอจะทันได้ก้าวไปถึงสองก้าว ซูหยางก็อ้าปากพูดว่า “ผู้นำนิกาย ในเมื่อท่านมาที่นี่แล้ว ทำไมมิให้ข้าปลดปลอยความกดดันจากร่างท่านเหมือนครั้งก่อนหน้านี้”
ซูหยางไม่ปรารถนาปล่อยโหลวหลานจีไปง่ายๆในเมื่อเธอมาที่นี่แล้ว
โหลวหลานจีพลันหยุดเคลื่อนไหวหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเขาและหันกายไปจ้องมองเขาพร้อมหรี่ตา
“อย่าทำอะไรเกินตัว ซูหยาง สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการทดสอบศิษย์ในนั้นเป็นเหตุการณ์เฉพาะ อย่าคิดว่าเจ้าสามารถทำเหมือนกับว่าข้าเป็นเพียงแค่ศิษย์อีกคน เพราะว่าเราร่วมฝึกคู่กันหนึ่งครั้งระหว่างการทดสอบ”
“ท่านสามารถพูดอะไรก็ได้ที่ท่านต้องการแต่ข้าสามารถบอกได้ว่าร่างกายของท่านเต็มไปด้วยความหงุดหงิด เป็นเช่นนี้มานานเท่าไหร่แล้วนับตั้งแต่ท่านได้ปลดปล่อยตนเองครั้งสุดท้าย” ซูหยางพูดพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า “นี่ไม่ดีต่อร่างกายถ้าท่านเก็บมันไวเช่นนั้น รู้ไหม”
“ไร้สาระ” เสียงโหลวหลานจีมีเสี้ยวของความโกรธเจือปน แต่นั่นเป็นเพราะซูหยางชี้ตรงเป้าเกี่ยวกับร่างกายของเธอรู้สึกหงุดหงิด
ขณะที่เธอไม่ต้องการที่จะยอมรับมัน ครั้งสุดท้ายที่โหลวหลานจีร่วมฝึกคู่ก็ยามเมื่อซูหยางไปเยี่ยมเธอในฐานะจักรพรรดิสวรรค์ หลายอาทิตย์ก่อน
“ท่านจะได้อะไรจากการโกหกเรื่องนี้ ข้ารู้ ท่านรู้ และยิ่งไปกว่านั้น ร่างกายของท่านก็รู้”
“…”
โหลวหลานจีเงียบไปในยามนี้ ใบหน้าเธอค่อนข้างแดงเล็กน้อย ราวกับว่าเธอกำลังพยายามยับยั้งตนเอง
หลังจากเงียบไปชั่วขณะ โหลวหลานจีก็พูดขึ้นว่า “ข้ามิสามารถ มีศิษย์มากเกินไปอยู่ด้านนอก”
ซูหยางหัวเราะคิกและกล่าวว่า “ศิษย์ไม่กี่คนจะมีความหมายอะไรในเวลานี้เมื่อพวกเธอล้วนเห็นท่านเข้ามาภายในบ้านข้า นอกจากว่าท่านบอกพวกเธอด้วยตนเอง ใครจะกล้าปล่อยข่าวลือ”
โหลวหลานจีเงียบไปอีกครั้ง แต่เธอกลับคิดในใจว่าสิ่งที่ซูหยางพูดนั้นเป็นความจริง ในเมื่อย่อมไม่มีใครเชื่อว่าผู้นำนิกายจะแหกกฏนิกาย
กล่าวไปแล้ว โหลวหลานจีไม่ต้องการให้ซูหยางทำท่าเหมือนกับว่าเขาถือไพ่ในมือสูงกว่า ดังนั้นถึงแม้ว่าเธอจะต้องการที่จะร่วมฝึกคู่กับเขา เธอก็ยังปฏิเสธ
“ไม่ก็คือไม่ ซูหยาง ถ้าเจ้าถามข้าอีกครั้ง ข้าจักลงโทษเจ้าที่ก้าวข้ามขอบเขตของเจ้าในฐานะศิษย์”
โหลวหลานจีหวังให้ซูหยางโต้ตอบคำพูดของเธอ แต่อนิจจา ท่าทางของซูหยางยังคงเรียบเฉย และเขาพยักหน้าอย่างใจเย็น “ช่างโชคร้ายนัก แต่ท่านมิต้องทำเหมือนกับว่าข้าบีบบังคับท่าน อย่ากังวล ท่านผู้นำนิกาย ในเมื่อข้าจักมิรบกวนท่านนับจากนี้ต่อไป”
แม้ว่าโหลวหลานจีจะรู้สึกว่าที่นี่มีบางอย่างไม่ถูกต้อง เธอก็ไม่ต้องการที่จะสนใจมากนักในเรื่องนั้นและกล่าวว่า “ตราบเท่าที่เจ้าเข้าใจฐานะของตนเองว่าเป็นศิษย์”
โหลวหลานจีออกไปจากสถานที่นั่นไม่นานนักหลังจากนั้น และซูหยางก็ต้อนรับศิษย์หญิงเข้ามาในบ้านของเขาต่อไปราวกับว่าการพบปะกับโหลวหลานจีนั้นไม่เคยเกิดขึ้น
ยามเมื่อโหลวหลานจีกลับไปถึงศาลาหยินหยาง เธอก็ก่นด่าเสียงดัง “เจ้าซูหยางฉิบหายนั่น คิดว่าตนเองสามารถทำทุกสิ่งให้เป็นไปตามต้องการเพียงเพราะว่ามีกลเม็ดดี ถ้ามิใช่คนหนุนหลังและความสัมพันธ์อันสับสนของเรา ข้าคงลงโทษไปนานกับพฤติกรรมของเขา”
หลังจากที่ด่าไปอีกสักพัก โหลวหลานจีก็นอนลงบนเตียงและหลับตาเพื่อพักผ่อน
ในขณะที่เธอพัก เธอก็สงสัยว่าเจ้านิกายซึ่งซูหยางปลอมตัวเป็นจักรพรรดิ์สวรรค์ไปไหน หายตัวไปในช่วงสองสามอาทิตย์ที่ผ่านมานี้ ราวกับว่าเขามิเคยมีตัวตนมาก่อน
“เขาอย่างน้อยก็ได้แจ้งเตือนข้าไว้…” เธอถอนหายใจ
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วขณะที่โหลวหลานจีเผลอหลับไปในห้องขณะครุ่นคิดว่าเจ้านิกายไปไหนได้บ้าง และยามที่เธอลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็เป็นเวลาเที่ยงคืน
อย่างไรก็ตามโหลวหลานจีพลันสังเกตเห็นร่างหนึ่งด้วยมุมสายตา
“จ-จ-เจ้านิกาย” โหลวหลานจีลุกขึ้นจากเตียงอย่างเร่งรีบเพื่อทักทายเขาเมื่อสุดท้ายเธอจำหน้าเขาได้
สำหรับการที่เขาปรากฏตัวขึ้นกระทันหันหลังจากที่เธอเพียงแค่คิดถึงเขา..ช่างเป็นเรื่องบังเอิญที่น่ากลัว
“น-นานเท่าไหร่แล้วที่ท่านนั่งอยู่ตรงนั้น” เธอถามเขาซึ่งกำลังจิบชาอยู่บนโต๊ะ
ซูหยางวางถ้วยชาลงและหันไปมองเธอด้วยท่าทางเรียบเฉย “มินานนักแค่ไม่กี่ชั่วโมง”
“ว่ากระไร” โหลวหลานจีไม่อยากเชื่อว่าตนเองไม่ตื่นขึ้นมาแม้กระทั่งเขาปรากฏตัวขึ้นมานานขนาดนั้น
อย่างไรก็ตามหลังจากที่คิดเกี่ยวกับพลังการฝึกปรืออันลึกล้ำของเขา นั่นก็ไม่ถือว่าไม่น่าเชื่ออีกต่อไปสำหรับเธอ
กล่าวไปแล้ว ซูหยางได้โกหกเธอที่ว่าอยู่ที่นี่หลายชั่วโมง ในเมื่อเขาเพิ่งมาถึงไม่กี่นาทีก่อนหน้านั้นด้วยความต้องการที่จะยุ่งกับเธอ
ปล. ตอนนี้ผมเริ่มแปลเรื่อง nine yang sword saint ต่อจากท่าน hayena เมื่อปี 2017 เป็นเรื่อง erotic เช่นเดียวกัน คอยติดตามนะครับ
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 242
DC บทที่ 242: วิญญาณพิทักษ์
“ข้าต้องการให้ท่านช่วยข้าเรื่องร่วมฝึกคู่” ซูหยางพูดด้วยใบหน้าเรียบเฉย
โหลวหลานจีขมวดคิ้วและกล่าวว่า “เจ้าคงรู้ว่าเจ้ากำลังพูดอยู่กับเจ้านิกายของนิกายแห่งนี้ ใช่ไหม”
“ข้ามิได้เจาะจงตัวท่าน” ซูหยางส่ายหน้า “ข้าต้องการให้ท่านหาคู่ฝึกให้ข้า อย่างน้อยก็จนกว่าจะถึงการแข่งขันระดับภูมิภาค”
โหลวหลานจีรู้สึกไม่ค่อยสบายใจด้วยเหตุผลบางอย่างเมื่อซูหยางกล่าวเช่นนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนแรก
“ช่างน่าประหลาดใจนัก” เธอแค่นเสียงเย็นชา “เจ้าเป็นคนสุดท้ายในที่แห่งนี้ที่ข้าคาดว่าจะขอร้องให้ช่วยในเรื่องเช่นนี้ แล้วเจ้าจะอธิบายสถานการณ์ด้านนอกอย่างไร เจ้ามีศิษย์นอกหญิงเกือบทั้งหมดเขตศิษย์นอกชื่นชมเข้าแถวรอเพื่อที่จะร่วมฝึกกับเจ้า”
ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “จริงแล้ว ข้ามิต้องการความช่วยเหลือเท่าไหร่ แต่นั่นจะต้องใช้เวลามากมายถ้าข้าต้องตามหาพวกเธอทีละคน ถ้าข้ามีใครสักคน ไม่ต่ำกว่าระดับเจ้านิกาย แนะนำชื่อข้าให้กับพวกเธอ นั่นจักลดเวลาที่ข้าต้องไปหว่านล้อมพวกเธอและเพิ่มเวลาให้ข้าได้ฝึกฝน”
โหลวหลานจีมองดูเขาด้วยท่าทางค่อนข้างสับสน ถามว่า “พวกเธอ เจ้ากำลังพูดถึงใครกัน”
“แน่นอนว่าบรรดาศิษย์หลัก”
โหลวหลานจีทำตาโตด้วยความประหลาดใจ เธอไม่คาดคิดว่าซูหยางจะก้าวไปถึงศิษย์หลักแล้ว
“เจ้ามิมองสูงเกินไปรึซูหยาง ถึงแม้ว่าเจ้าเป็นศิษย์ใน ยากนักที่จะมีศิษย์หลักตกลงมาร่วมฝึกกับคนที่มีพลังการฝึกปรือด้อยกว่า” โหลวหลานจีกล่าว
ความแตกต่างระหว่างเขตคัมภีร์วิญญาณและเขตสัมมาวิญญาณไม่ใช่อะไรที่ใกล้เคียงกัน ดังนั้นศิษย์หลักจึงมักจะร่วมฝึกกับผู้อาวุโสนิกายหรือไม่ก็ร่วมฝึกกับคู่ฝึกภายนอกนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
ซูหยางหัวเราะหึและกล่าวว่า “ท่านมิต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้น ด้วยว่าข้ามีวิธีของข้าในการหว่านล้อมพวกเธอ ข้าเพียงต้องการให้ท่านพาพวกเธอมาหาข้า”
โหลวหลานจีเชื่อว่าซูหยางพยายามกัดคำใหญ่เกินกว่าจะเคี้ยวได้ แต่ตามจริงซูหยางได้ถ่อมตัวแล้วกับการเลือกเฟ้นของเขา
“เจ้าอาจจะมีความมั่นใจในตนเอง แต่เจ้าก็ยังคงประเมินมาตรฐานบรรดาศิษย์หลักต่ำไป ถึงแม้ว่าเจ้าเป็นคนหล่อเหลาที่สุดในโลก แต่ถ้าปราณหยางของเจ้ามีคุณภาพไม่เพียงพอ พวกเธอย่อมมิพิจารณาร่วมฝึกกับเจ้า”
ซูหยางไม่รู้สึกว่าต้องทบทวนตนเองจึงนิ่งเฉยพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า
หลังจากเงียบไปชั่วขณะ โหลวหลานจีก็กล่าวขึ้นว่า “เจ้ามั่นใจว่านี่คือสิ่งที่เจ้าต้องการทั้งหมดในการแลกกับข้อมูลเรื่องน้ำมันรัญจวน”
“ท่านกำลังบอกให้ข้าร้องขอเพิ่มรึ”
“ไม่มีทาง ข้าเพียงมิต้องการเห็นเจ้าบ่นข้าภายหลังจากนี้”
“ท่านมิต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้น” เขาส่ายหน้าและกล่าวต่อว่า “ข้าเป็นชายที่รักษาคำพูด และด้วยประสบการณ์ของข้า ข้ามีเวลาเสียใจน้อยมาก”
โหลวหลานจีเลิกคิ้วให้กับเขาซึ่งฟังดูเหมือนกับว่าเขามีอายุมาเนิ่นนาน
“คนอายุสิบหกปีเช่นเจ้ามิควรพูดราวกับว่าเจ้ามีอายุถึงหมื่นหกพันปี” เธอพูดเย้ยเขาและกล่าวต่อว่า “อย่างไรก็ตามข้าจักรับคำขอร้องของเจ้าไว้ อย่างไรก็ตามจริงแล้วเจ้าต้องการให้ข้าทำอะไร”
“จริงแล้วง่ายๆ เพียงให้บันทึกชิ้นนี้แก่ทุกคนที่เป็นศิษย์หลักหญิง” ซูหยางยื่นส่งแผ่นกระดาษบันทึกปึกหนึ่งแก่เธอ
โหลวหลานจีรับแผ่นกระดาษและกล่าวด้วยเสียงสับสนว่า “เจ้าเตรียมการเช่นนี้ไว้อยู่แล้วก่อนที่ข้าจะมา นี่เหมือนกับว่าเจ้าคาดว่าข้า…”
เมื่อโหลวหลานจีเริ่มรู้สึกตัว เธอจ้องมองเขาทำตาโต ซูหยางเพียงแค่ยิ้มและกล่าวว่า “โอ ข้ายังมีบันทึกอีกแผ่นเฉพาะสำหรับเด็กหญิงที่มีวิญญาณพิทักษ์ธาตุหยิน”
ซูหยางดึงกระดาษบันทึกอีกแผ่นยื่นส่งให้กับเธอ
“ฟางเจอหลาน” โหลวหลานจีทำตาโตยิ่งกว่าเดิมกับชื่อบนแผ่นกระดาษ
“ทำไมเจ้าจีงรู้ว่าเธอมีวิญญาณพิทักษ์ นั่นเป็นสิ่งที่กระทั่งผู้อาวุโสส่วนใหญ่ยังมิรู้” เธอรีบถามเขา
“ข้ารับรู้ได้” เขาตอบกลับพร้อมกับยักไหล่อย่างสบายๆ
“เป็นไปไม่ได้” โหลวหลานจีตกตะลึงจนพูดไม่ออก
ความจริงที่ว่า ฟางเจอหลานพยายามที่จะฝึกวิญญาณพิทักษ์นี้เป็นสิ่งที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเก็บไว้เป็นความลับอย่างแน่นหนา เพราะว่าวิญญาณพิทักษ์เป็นสิ่งหายากโดยธรรมชาติ และพวกมันล้วนเป็นเพื่อนพ้องที่ทรงพลังสำหรับใครก็ตามที่เลี้ยงมัน บางสิ่งที่กระทั่งนิกายที่มีอำนาจก็ยังไม่ลังเลที่จะขโมยมันมาเป็นของตนเอง
บางคนจะเปรียบเทียบวิญญาณพิทักษ์ได้กับสัตว์อสูรทั่วไปในพงไพร แต่นั่นเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนที่เฉพาะผู้ที่ไม่รู้จึงจะเชื่อ ในเมื่อพวกมันแตกต่างกันเป็นอย่างมาก
เพราะว่ามีสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ วิญญาณพิทักษ์ส่วนใหญ่แล้วล้วนเกี่ยวข้องกับเทพเจ้า และยามที่พวกมันเติบโตขึ้น พลังอำนาจของมันก็ยิ่งเกินกว่าสัตว์อสูรใดๆที่พบเห็นได้ในป่า ยิ่งไปกว่านั้นวิญญาณพิทักษ์ผูกพันตั้งแต่เกิด ดังนั้นจึงยากเป็นอย่างมากในการเลี้ยงและควบคุมมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันยังเล็ก
เพื่อให้เข้าใจในความแข็งแกร่งระหว่างสัตว์อสูรและวิญญาณพิทักษ์ที่ระดับแรกของเขตสัมมาวิญญาณ วิญญาณพิทักษ์อาจจะแข็งแกร่งเท่ากับมนุษย์ที่ฝึกฝนถึงเขตปฐพีวิญญาณ ในขณะที่สัตว์อสูรทั่วไปจะมีความแข็งแกร่งเท่ากับคนที่อยู่เขตสัมมาวิญญาณระดับสามเท่านั้น
และเพราะว่าความสามารถตามธรรมชาติของพวกมันจะหลบซ่อนตัวจากผู้คนและสัตว์อสูร วิญญาณพิทักษ์จึงยากที่จะหานอกจากว่าคนนั้นมีวิชาพิเศษเฉพาะสำหรับค้นหาตำแหน่งของมัน
ตามจริงมีเหตุผลเดียวที่ซูหยางรู้ว่าฟางเจอหลานฝึกฝนวิญญาณพิทักษ์และไม่ใชแค่สัตว์อสูรทั่วไปก็เพราะว่าเซียวลี่ได้บอกกับเขาเมื่อเธอมาถึงยังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเป็นครั้งแรก
“ซูหยาง ความจริงที่ว่าเรามีวิญญาณพิทักษ์ภายในนิกายของเรานั้นเป็นความลับที่มิอาจปล่อยให้รั่วไหลออกไปข้างนอกไม่ว่าอะไรก็ตาม เพราะว่าถ้าหากเกิดการรั่วไหลออกไป ใครจะรู้ว่ามีผู้ทรงอิทธิพลมากมายเท่าไหร่ที่จะโจมตีพวกเราเพื่อที่จะขโมยวิญญาณพิทักษ์เพี่อตัวพวกเขาเอง ยิ่งไปกว่านั้นวิญญาณพิทักษ์นั้นพวกเราฝึกฝนมันมาตั้งแต่อายุยังน้อย ถ้าถูกรู้เข้าสงครามอาจปะทุขึ้นได้” โหลวหลานจีเตือนเขาด้วยสีหน้าตึงเครียด
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 241
DC บทที่ 241: ข้อเสนอที่ไม่อาจต้านทาน
“เจ้าคิดว่าศิษย์พี่ชายซูจะมีปัญหากับเจ้านิกายหรือไม่”
“ข้าคิดว่าทุกอย่างคงเรียบร้อยหลังจากผู้อาวุโสซุนจากไป…บางทีเธออาจจะมาที่นี่ด้วยเหตุผลอื่น”
บรรดาศิษย์หญิงที่ตรงนั้นมองดูโหลวหลานจีตรงเข้าไปยังประตูหน้าบ้านซูหยางด้วยท่าทางเป็นกังวล แม้ว่าพวกเธออาจะสามารถต่อต้านผู้อาวุโสนิกายจากการพยายามที่จะหยุดซูหยางจากการร่วมฝึกได้ แต่กับเจ้านิกายต้องถือว่าเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ถ้าเจ้านิกายต้องการให้ซูหยางหยุดอย่างจริงจัง เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรที่ซูหยางสามารถแก้ไขได้ ได้แต่ยอมรับคำสั่งของเธอ
และถ้าสิ่งนั้นเกิดขึ้นจริงๆ พวกเธอจะทำอย่างไรต่อไปนี้เพื่อให้เกิดความพึงพอใจกับความกระหายอยากในกาม ศิษย์หญิงเหล่านี้ไม่อาจจินตนาการว่าชีวิตจะเป็นเช่นไรโดยปราศจากซูหยาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเธอเริ่มคุ้นเคยกับเขา
หลังจากนั้นไม่นานครั้นเมื่อศิษย์หญิงที่เข้าไปในห้องซูหยางออกมา โหลวหลานจีก็หรี่ตามองจ้องเธอทำให้ศิษย์หญิงสั่นสะท้านด้วยความแตกตื่น
“ผ-ผ-ผู้นำนิกาย” เธอพลันทักทายอีกฝ่ายพร้อมนึกสงสัยว่าทำไมโหลวหลานจีจึงจ้องมองเธอด้วยสายตาไม่พึงใจ
โหลวหลานจีไม่กล่าวอะไรและเดินมุ่งตรงเข้าไปในบ้าน ปิดประตูตามหลังเธอ
เมื่อซูหยางปรากฏตัวขึ้นด้านในห้อง เขาก็แสร้งทำเป็นประหลาดใจเมื่อเห็นเธอ “เจ้านิกาย ช่างน่าประหลาดใจ ท่านมาที่นี่เพื่อนวดหรือ” เขาถามเธอพร้อมรอยยิ้ม
“หยุดเสแสร้งได้แล้ว ซูหยาง ข้าสามารถเห็นความจอมปลอมของเจ้าได้จากหลายกิโลเมตร” โหลวหลานจีแค่นเสียงเย็นชา
“ข้ามิเข้าใจ” ซูหยางส่ายหน้าด้วยท่าทางงงงัน
โหลวหลานจีชี้ไปยังหน้าเธอและกล่าวเสียงดังว่า “ข้ากำลังพูดถึงว่าทำไมเจ้าต้องตบหน้าเพื่อปลุกข้าจากการหลับไหล เจ้าคิดจริงรึว่าเจ้าสามารถหลบเลี่ยงพ้นหลังจากที่ทำความผิดอกตัญญูเช่นนั้น นี่ถือเป็นอาชญากรรมในการทำร้ายใบหน้าผู้หญิงด้วยความมิเคารพเช่นนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสาวสวยอย่างเช่นข้า”
โหลวหลานจีแสดงความโกรธและไม่พอใจต่อวิธีที่เขาทำต่อใบหน้าสวยของเธอ
อย่างไรก็ตามซูหยางเพียงแค่ยักไหล่และกล่าวว่า “ท่านก็พูดออกมาเองอยู่แล้วว่านั่นก็เพื่อปลุกท่านให้ตื่น”
“ใช่ข้ายอมรับ แต่เจ้าก็ได้พูดว่าข้าจะตื่นขึ้นมาเองแม้ว่าเจ้าจะมิได้ช่วยภายในชั่ววัน เช่นนั้นทำไมจึงจำเป็นต้องตบหน้าข้าด้วย”
“ใช่แล้ว ข้าได้พูดอะไรเช่นนั้น อย่างไรก็ตามข้าก็มิอาจเพิกเฉยต่อเหล่าผู้อาวุโสนิกายที่มีท่าทางกระวนกระวายนั่นได้ เพราะนั่นทำให้ข้ากังวลว่าถ้าข้าทำให้พวกเขารออยู่เช่นนั้นต่อไปอีกมิกี่ชั่วโมง นั่นอาจจะมีผลต่อสุขภาพของพวกเขา”
“…”
โหลวหลานจีอ้าปากแต่ไม่มีคำพูดใดออกมาในเมื่อเธอไม่รู้ว่าควรจะตอบสนองกับคำพูดของเขาอย่างไร แม้ว่าจะรู้ว่านั่นไม่ใช่ความกังวลที่แท้จริงของเขาแม้แต่น้อย เธอเพียงแค่ไม่รู้จะพูดอะไรกับตัวตนแบบนี้ของซูหยาง ไม่รู้ว่าเขายังเห็นเธอเป็นเจ้านิกายอยู่หรือไม่ทั้งที่เรียกขานเธอแบบนั้น
“หรือว่านี่เป็นเรื่องทั้งหมดที่ท่านมาที่นี่ เพื่อก่นด่าข้าที่ปลุกท่านขึ้น” ซูหยางพูดต่อราวกับว่าเขากำลังพูดกับเพื่อน
โหลวหลานจีขมวดคิ้วและหยิบขวดแก้วออกมาจากชุดคลุมและแสดงมันให้กับเขา และเธอก็พูดขึ้นว่า “เจ้าขายสิ่งนี้ให้กับผู้อาวุโสเจ้า ถูกไหม”
ซูหยางมองดูน้ำมันรัญจวนในมือเธอและพยักหน้า “ใช่แล้ว”
เขาไม่ได้ปฏิเสธแม้แต่น้อย ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่โหลวหลานจีคาดหวังให้เขาทำ
“เจ้าได้มันมาจากไหน” โหลวหลานจีไม่พูดอ้อมค้อมและพูดเข้าตรงประเด็น
“ถ้าข้าปฏิเสธที่จะตอบคำถาม ท่านจะบีบข้ารึ” ซูหยางตอบกลับพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า
“ไม่ ข้ามิปรารถนาเช่นนั้น แม้ว่าข้าเป็นเจ้านิกาย ข้ามิปรารถนาบีบให้เจ้าเปิดเผยสิ่งที่เจ้ามิต้องการ” โหลวหลานจีหรี่ตา “อย่างไรก็ตามถ้าจะพูดไปแล้ว เพราะว่าสารนี้มีความสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงนิกายของเราทั้งหมดได้เป็นอันมาก ข้าปรารถนาที่จะทำทุกสิ่งที่อยู่ในอำนาจเพื่อที่จะได้รับมันจากเจ้า แน่นอนว่าต้องเป็นสิ่งที่ไม่ผิดกฏนิกาย”
“เช่นนั้นรึ…” ซูหยางยังคงเรียบเฉย
“ถ้าเจ้าร่วมมือกับข้า นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยย่อมต้องชดเชยให้เจ้าเต็มที่ ข้าจักยอมให้เจ้าใช้ห้องสวีทแห่งศลิษาฟรีพร้อมด้วยผลประโยชน์มากมายที่กระทั่งศิษย์หลักยังต้องอิจฉา นี่เป็นข้อเสนอที่เหลือเชื่อที่ยากจะมีศิษย์ใดลังเลที่จะรับ ยังมิได้พูดถึงข้อดีอื่นที่เจ้าจักได้รับจากการช่วยเหลือ”
“ห้องสวีทแห่งศลิษาอย่างนั้นรึ หรือว่าเธอยังคงมิรู้ว่าสถานที่นั่นได้หมดพลังอำนาจของมันไปนานแล้วนับตั้งแต่ข้าถอนรากปราณออกจากที่แห่งนั้น” ซูหยางคิดในใจ
“ตามจริงนั่นอาจจะเป็นข้อเสนอที่ไม่อาจต้านทานได้สำหรับศิษย์ทั่วไป โชคร้ายข้ามิได้มีความสนใจใดกับข้อเสนอนั้น”
โหลวหลานจีขมวดคิ้วเมื่อเขาปฏิเสธข้อเสนอของเธอ แต่เธอก็ยังปฏิเสธที่จะยอมแพ้และพยายามที่จะหว่านล้อมเขาต่อไปอีกว่า “เท่าที่รู้จักเจ้า นั่นต้องมีบางสิ่งที่เจ้ายังคงต้องการจากข้า และเจ้าก็รอให้ข้าพูดออกมา ก็ได้ เจ้าต้องการอะไรจากข้า ถ้านั่นอยู่ภายในขอบเขตอำนาจของข้า ข้าจักดูว่าจะทำอะไรได้บ้าง”
ซูหยางหัวเราะและกล่าวว่า “ถ้านั่นอยู่ในอำนาจของท่านรึ หรือว่าเจ้านิกายล้วนอ่อนน้อมถ่อมตน”
“เพียงเพราะว่าเจ้านิกายควบคุมดูแลนิกายมิได้หมายความว่าพวกเขาสามารถทำทุกสิ่งที่เขาต้องการได้ ในเมื่อยังมีหลายสิ่งที่แม้กระทั่งเราก็ไม่มีความสามารถทำมันได้ ยกตัวอย่างถ้าเจ้าขอทรัพยากรไม่จำกัด ข้าก็จักมิอาจทำตามความประสงค์นั้นได้ ด้วยฐานะที่ข้าต้องรับผิดชอบในตำแหน่งผู้นำนิกายเพื่อให้มั่นใจว่าศิษย์ทุกคนได้มีโอกาสที่จะได้รับอย่างเท่าเทียม”
“อย่ากังวล ข้ามิได้ขออะไรเช่นนั้น” เขากล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“นั่นคงเป็นสิ่งพิเศษที่เจ้าต้องการจากข้า” โหลวหลานจีหรี่ตากับคำพูดของเขา
“แม้ว่านั่นมิได้มีอะไรมากนัก ตามจริงแล้วนั่นก็เป็นบางสิ่งที่ข้าอยากขอให้ท่านช่วย”
“ฮึ่ม อย่าโลภมากจนเกินพอ ซูหยางที่ข้ารู้จัก ต่อให้ฟ้าถล่มลงมาก็อาจจะมิได้มีอะไรไปมากกว่าเรื่องเล็กน้อยในสายตาของเจ้า” โหลวหลานจีเตือนเขา
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 240
DC บทที่ 240: เทพเจ้าแห่งการเสพสม
“นี่ดีพอสำหรับท่านหรือยังผู้อาวุโสซุน” ซูหยางหันไปถามอีกฝ่ายซึ่งกำลังจ้องมองดูเขาด้วยท่าทางสับสนดูเหมือนกำลังงุนงง
“ข..ข้าเดาว่างั้น” ผู้อาวุโสซุนไม่รู้ว่าควรตอบสนองอย่างไร ในเมื่อไม่มีผู้อาวุโสคนใดคาดหวังว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้
“ถ้ามิมีอะไรแล้วที่ท่านต้องการจากข้า ข้าคงต้องขอกลับไปฝึกฝนต่อ” ซูหยางพูดด้วยท่าทางเรียบเฉย
ผู้อาวุโสซุนยืนอยู่ตรงนั้นเหมือนรูปปั้นชั่วขณะก่อนที่จะจากไป ในเมื่อไม่มีเหตุผลใดที่จะให้เขาอยู่นานกว่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นยังมีสายตาคมกริบที่ส่งมาหาเขาจากบรรดาศิษย์หญิง
เขากลัวว่าถ้าเขาอยู่นานกว่านั้น ศิษย์หญิงเหล่านั้นจะมองเขาเป็นผู้ร้ายไปเลยจริงๆ
หลังจากที่ออกจากเขตศิษย์นอก ผู้อาวุโสซุนก็กลับไปยังสถานที่จัดการประชุม ที่ซึ่งผู้อาวุโสที่ยังคงอยู่กำลังรอข่าวจากเขา
“ผู้อาวุโสซุน ท่านกลับมาค่อนข้างเร็วกว่าที่ข้าคาดเอาไว้ เป็นอย่างไรกับศิษย์คนนั้น เขาสร้างปัญหาอะไรหรือไม่”
ผู้อาวุโสนิกายต่างพากันถามเขา
ผู้อาวุโสซุนส่ายหน้า “แม้ว่าข้ามิได้ทำการหว่านล้อมเขาให้หยุด บรรดาศิษย์ชายก็ควรจะมิร้องเรียนอีกต่อไปนับจากวันนี้”
“นั่นท่านหมายความว่าอะไร”
ในเวลานั้นผู้อาวุโสนิกายต่างพากันงุนงง ไม่ว่าเหตุการณ์จะเป็นอย่างไร พวกเขาตกตะลึงมากกว่าที่ผู้อาวุโสซุนไม่สามารถเกลี้ยกล่อมศิษย์คนหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาเป็นถึงหัวหน้าผู้คุมกฏ
ผู้อาวุโสซุนถอนหายใจและอธิบายให้ผู้อาวุโสนิกายที่เหลือฟังว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อเขาพยายามหว่านล้อมซูหยางให้หยุดความสุขสันต์จอมปลอม
“ใครจะคิดว่ายังมีวิธีที่ง่ายและได้ประสิทธิภาพเช่นนั้น…” ผู้อาวุโสสูงวัยที่อยู่ตรงนั้นพึมพัม
สิ่งที่พวกเขาทั้งหมดต้องทำก็คือการขอให้ซูหยางหว่านล้อมให้ศิษย์หญิงหยุดการไม่ให้ความสนใจกับคู่ฝึกของตนเอง และทุกสิ่งก็จะคลี่คลายไปโดยไม่ต้องให้เขาปิดบริการ
“แต่เมื่อมาคิดว่าเขาพูดอย่างโอหังที่ว่า “พรากความสุขของหญิงสาวไป” เห็นชัดว่าเขารู้ถึงวิธีผลักผู้คนให้ตกไปอยู่ในจุดที่ลำบาก”
ผู้อาวุโสนิกายบริเวณนั้นต่างพากันหัวเราะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้อาวุโสหญิง
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะเป็นการแก้ไขปัญหาที่สมบูรณ์แบบ แต่ก็ใช่ว่าผู้อาวุโสนิกายทุกคนที่นั่นจะพึงพอใจ พวกเขาไม่ชอบที่ว่าซูหยางในฐานะแค่เพียงศิษย์สามารถทำอะไรก็ตามที่เขาต้องการราวกับว่าเขาบริหารสถานที่นั้น กล่าวไปแล้วก็ไม่มีใครที่พูดขึ้นมาเพราะพวกเขาเชื่อว่าถ้าซูหยางดำรงชีวิตอยู่ด้วยทัศนคติเช่นนั้นต่อไป เขาก็จะล่วงเกินใครสักคนที่เขาไม่สามารถที่จะล่วงเกินได้สักวันหนึ่งและได้รับรู้ถึงวิถีทางอันยากลำบาก
“ตอนนี้สิ่งที่พวกเราสามารถทำได้ก็เพียงรอให้เกิดผลลัพธ์แท้จริงออกมา” ผู้อาวุโสซุนกล่าว
ทุกคนพยักหน้าพวกเขาต่างพากันออกไปจากสถานที่นั้นสองสามนาทีหลังจากนั้น
ในช่วงเวลานั้นย้อนกลับไปยังเขตศิษย์นอก แถวที่ด้านหน้าบ้านซูหยางไม่ได้หดสั้นลงแม้ว่าจะผ่านไปหลายชั่วโมงให้หลัง ตามจริงมันยิ่งขยายออกไปมากขึ้น
คำพูดถึงกลเม็ดการฝึกคู่ของซูหยางและแท่งใหญ่ที่เขากวัดแกว่งอยู่บนเตียงได้แพร่กระจายไปทั่วนิกายนับตั้งแต่วันแรก และเขตศิษย์นอกส่วนใหญ่ก็รับรู้ถึงเรื่องนี้ในเวลานี้แล้ว
เมื่อเวลาผ่านไปหลายวันจนถึงตอนนี้ กระทั่งกลุ่มศิษย์หญิงที่เคยเยาะเย้ยซูหยางในอดีตก็ไปหาเขาเพื่อร่วมฝึกด้วยอย่างน้อยสักครั้ง
กระทั่งยังมีเหล่าศิษย์ที่แอบสาบานว่าจะอยู่ให้ห่างซูหยาง แต่เมื่อไม่ได้ยินอะไรไปนอกจากชื่อเขามาหลายวันก็ทำให้พวกเธออยากรู้อยากเห็นจนทำให้พวกเธอเปลี่ยนใจและมาหาเขาแทน
หลังจากผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ในเขตศิษย์นอก ก็มีเพียงศิษย์นอกหญิงไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังไม่เคยร่วมฝึกกับซูหยาง บางสิ่งที่พวกเธอคิดว่าเป็นสิ่งที่มีค่าพอที่จะโอ้อวดได้
ยิ่งไปกว่านั้นซูหยางกลายเป็นบุคคลศักดิ์สิทธิ์ภายในเขตศิษย์นอก ซึ่งหญิงสาวหลายคนเริ่มกำหนดให้เขาเป็นเทพเจ้าแห่งการเสพสมเมื่อพูดถึงเขา
–
–
–
เวลาหนึ่งอาทิตย์ผ่านไปนับตั้งแต่โหลวหลานจีตื่นขึ้นจากการหลับไหลเป็นเวลานานของเธอ
“นับเป็นอาทิตย์แล้วและก็ไม่มีสัญญาณว่าท่านจะกลับไปหลับไหลเช่นนั้นอีก ท่านควรจะปลอดภัยแล้วตอนนี้ ถ้าจะกล่าวไปก็อย่าทำอะไรที่อันตรายจนเกินไปสักหนึ่งเดือนเพื่อป้องกันมันกลับมา” หมอกล่าวกับโหลนหลานจีหลังจากใช้เวลาตรวจสอบกว่าหนึ่งอาทิตย์
ยามเมื่อหมอจากไปแล้ว โหลวหลานจีก็พลันออกจากศาลาหยินหยางเป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งอาทิตย์ และด้วยเป้าหมายในใจ เธอก็ตรงไปยังเขตศิษย์นอก
“เจ้ารอไป่ก่อนเถอะ ซูหยาง เจ้าอาจจะคิดว่าข้าได้ลืมเรื่องตบหน้าข้าไปแล้วเพราะว่าข้ามิได้ไปหาเจ้าในสองสามวันที่ผ่านมานี้ แต่ตอนนี้เมื่อข้าสามารถออกจากศาลาหยินหลางได้ เจ้าต้องเสียใจที่มาตบหน้าสาวสวยเช่นข้า”
อย่างไรก็ตามยามเมื่อโหลวหลานจีมาถึงเขตศิษย์นอก เธอต้องตื่นตระหนกกับภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า
นั่นมีศิษย์หญิงไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยคนป้วนเปี้ยนอยู่รอบที่พักของซูหยางและก็มีศิษย์ชายอีกเล็กน้อยที่นั่นซึ่งดูเหมือนมาพยายามเกลี้ยกล่อมศิษย์หญิงให้ไปจากบริเวณนี้
“ศิษย์ผู้นี้คารวะผู้นำนิกาย”
เหล่าศิษย์ที่อยู่ที่นั่นพลันโค้งคำนับโหลวหลานจีและทักทายเธอเมื่อพวกเขาสังเกตเห็นร่างเธอ
“ท-ทำไมจึงมีคนมากมายที่นี่ มีงานฉลองหรืออะไรกันรึ” เธอถามพวกหล่อนด้วยท่าทางงงงัน
เพราะว่าเธอได้อยู่ในศาลาหยินหยางผ่านมานับอาทิตย์และบรรดาผู้อาวุโสนิกายต่างไม่ต้องการรบกวนเธอ พวกเขาจึงไม่ได้พูดให้เธอฟังเกี่ยวกับสถานการณ์ที่นี่ ดังนั้นเธอจึงงุนงงกับสถานการณ์ที่นี่
“นั่นมิถูกต้อง เจ้านิกาย พวกเราทั้งหมดมาที่นี่เพื่อรอร่วมฝึกคู่กับศิษย์พี่ชายซู”
หนึ่งในบรรดาศิษย์ที่ตรงนั้นอธิบายกับเธอ
โหลวหลานจีกรามตกลงไปถึงพื้นเมื่อได้ยินเช่นนั้น ศิษย์หญิงทั้งหมดนี้มาที่นี่เพื่อร่วมฝึกกับซูหยางงั้นรึ
“สวรรค์เบื้องบนเกิดอะไรขึ้นตอนที่ข้าไม่อยู่กัน” เธอร่ำร้องในใจ
ทำไมจึงพลันมีคนมากมายต้องการร่วมฝึกคู่กับซูหยาง หรือว่าเขาทำอะไรอีกแล้ว
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 239
DC บทที่ 239: ความปรารถนาในการฝึกฝน
หลังจากผู้อาวุโสซุนเข้าไปในบ้านพร้อมกับซูหยาง ผู้อาวุโสซุนก็กล่าวขึ้นว่า “ข้าจักพูดสั้นๆและง่ายๆว่า สิ่งที่เจ้าทำตอนนี้เป็นเหตุให้เกิดความวุ่นวายจำนวนมาก และผู้อาวุโสนิกายได้ตัดสินใจที่จะหยุดมันครั้งนี้ตลอดไป”
“ช่างตรงไปตรงมา” ซูหยางกล่าว ท่าทางของเขายังคงสงบ
“แม้ว่าเจ้ามิได้ทำอะไรเกินเลยกฏของนิกาย แต่นั่นกลับทำให้ศิษย์ชายจำนวนมากมิสามารถที่จะฝึกฝนได้ และเราก็มิอาจปล่อยให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นต่อไปได้อีก ข้าหวังว่าเจ้าคงเข้าใจได้ว่านี่ทำให้ผู้อาวุโสนิกายเกิดความสนใจ เพราะว่าข้อร้องเรียนมากมายถูกส่งไปหาพวกเขา และพวกเขาล้วนเบื่อหน่ายกับเรื่องนี้”
ผู้อาวุโสซุนอธิบายให้ซูหยาง แม้ว่าพวกเขาต้องการให้เขาหยุดทำเช่นนี้ พวกเขาก็ทำเพราะว่าถูกบีบโดยเหล่าศิษย์
“อืมมมม… อย่างนั้นรึ” ซูหยางยังคงเฉย กล่าวว่า “นี่หมายความว่าเป็นความผิดของข้าที่บรรดาศิษย์เหล่านี้ไม่สามารถที่จะสร้างความพึงพอใจให้กับหญิงของตนเองได้ หือ ข้าคิดว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยกระตุ้นให้บรรดาศิษย์ร่วมฝึกคู่ให้ได้มากที่สุดเสียอีก และนั่นก็เป็นสิ่งปกติที่ข้ากำลังทำ”
ผู้อาวุโสซุนรู้ว่านี่ไม่ง่ายที่จะหว่านล้อมคนอย่างซูหยาง แต่เขาก็พยายามโดยไม่คิดมากนัก “นั่นก็จริง แต่ในกรณีของเจ้า มันเป็นบางสิ่งที่นิกายมิเคยพบมาก่อน ข้ามั่นใจว่ามิมีใครภายในนิกายที่จะคาดคิดว่าคนคนเดียวสามารถฝึกร่วมกับคนหลายคนได้จนทำให้เกิดปัญหา”
“ถ้าข้าปฏิเสธล่ะ ท่านจะทำอะไร ในเมื่อข้ามิได้ล่วงข้ามกฏใดของนิกายเลย ท่านจักต้องมีเหตุผลที่ดีกว่านี้ในการหว่านล้อมข้าให้หยุด ซึ่งตามความเป็นจริง ทำไมนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมิสอนศิษย์ให้สามารถสร้างความพึงพอใจให้หญิงได้ดีกว่านี้”
“ซูหยาง นี่มิใช่สิ่งที่เจ้าสามารถปฏิเสธได้ ในเมื่อผู้อาวุโสเขตศิษย์นอกทุกคนล้วนคาดหวังให้เจ้าหยุดการลวงโลกีย์นี้” ผู้อาวุโสซุนขมวดคิ้ว
“ลวงโลกีย์ นั่นช่างน่าเจ็บปวด ผู้อาวุโสซุน สิ่งที่ข้ากำลังทำทั้งหมดนี้ก็เพื่อช่วยนิกายโดยการสร้างความสุขสมให้กับบรรดาศิษย์หญิง แต่เพราะว่าการร้องเรียนบางอย่างที่ทำให้ท่านต้องการนำเอาความสุขของพวกเธอออกไป ข้ารู้สึกละอายใจที่ต้องเป็นส่วนหนึ่งของสถานที่ที่มีความคิดเช่นนี้” ซูหยางส่ายหน้าด้วยท่าทางเป็นทุกข์ร้อน
อย่างไรก็ตามกับการแสดงออกของเขานั้น ผู้อาวุโสซุนกลับไม่เชื่อแม้แต่น้อยและกล่าวว่า “แม้ว่าข้าเพียงได้พูดกับเจ้าไม่กี่ครั้ง ข้าก็รู้จักตัวเจ้าเป็นอย่างดี ซูหยาง ในเมื่อเจ้ามิใช่คนประเภทที่จะกล่าวถ้อยคำอย่างนั้นแม้แต่น้อย”
ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “เช่นนั้นท่านก็คงมิเข้าใจข้าแม้แต่น้อย…”
เมื่อเห็นว่าเรื่องนี้ไปไม่ถึงไหน ผู้อาวุโสซุนก็ถอนใจ “จักทำอะไรจึงจะหยุดความบ้าคลั่งนี้ได้ ข้ามาที่นี่เพียงเพื่อส่งข่าวให้กับเจ้า ถ้าเจ้ามิต้องการฟังข้า เช่นนั้นเจ้าก็จักต้องเจอกับคนอื่นอีก และพวกเขาย่อมมิมีความอดทนเช่นเดียวกับข้า”
ซูหยางหรี่ตามองดูผู้อาวุโสซุน แม้ว่าปราณหยินที่เขาได้จากการร่วมฝึกคู่กับศิษย์นอกเหล่านี้ทั้งหมดแทบจะไม่มีอะไรเลย แต่ก็นานมาแล้วที่เขาได้ร่วมฝึกคู่กับหญิงจำนวนมากโดยไม่หยุดพัก และเขาก็ค่อนข้างสนุกกับมันแม้ว่าจะไม่ได้ประโยชน์มากนักจากสิ่งที่เขาต้องการ
ถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่มีผลกระทบกับซูหยางมากนักถ้าหากว่าเขาหยุดการร่วมฝึกคู่กับศิษย์นอกเหล่านี้ แต่เขาก็ไม่ชอบให้มีคนมาบีบบังคับเอาสิ่งต่างๆจากเขา
“ให้ข้ากล่าวแบบตรงประเด็น ท่านมีเพียงปัญหาเดียวกับสิ่งที่ข้าทำ ก็เพราะว่าศิษย์หญิงที่มาหาข้าเพื่อหาความสุขมิยอมกลับไปหาคู่ของพวกเธอ และพวกเขาจึงทำการร้องเรียน ถูกต้องไหม”
“ในแง่นั้น ใช่” ผู้อาวุโสซุนพยักหน้า
“เช่นนั้นท่านก็จักมิรบกวนข้าอีก ถ้าศิษย์เหล่านั้นหยุดร่ำร้อง ใช่ไหม”
ผู้อาวุโสซุนมองดูเขาด้วยท่าทางครุ่นคิด คิดในใจว่า “เขาคิดจะทำอะไรคราวนี้”
“ถ้าเจ้าสามารถทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นได้ เช่นนั้นผู้อาวุโสนิกายก็จักมิมีเหตุผลอีกต่อไปที่จะหยุดสิ่งที่เจ้าทำ”
“เหตุใดทำให้ท่านมั่นใจเช่นนั้น”
“เจ้าคิดว่าข้าเป็นใคร” ผู้อาวุโสซุนกล่าวด้วยเสียงหยิ่งทระนง “ถ้าข้ากล่าวว่าผู้อาวุโสนิกายจักมิรบกวนเจ้าอีก เช่นนั้นพวกเขาก็จักมิรบกวนเจ้า”
หลังจากเงียบไปชั่วขณะ ซูหยางก็พยักหน้าและกล่าวว่า “ข้าจักถือว่าท่านให้สัญญาแล้ว”
สองสามวินาทีหลังจากนั้น เขาก็ตรงไปยังประตู
“เจ้ากำลังจะไปไหน” ผู้อาวุโสซุนถามเขา
ซูหยางไม่ได้กล่าวถ้อยคำอะไรทั้งสิ้น เพียงก้าวเท้าออกไปข้างนอก
ยามเมื่อเขาอยู่ข้างนอก ศิษย์ทุกคนที่นั่นล้วนมองดูเขาด้วยท่าทางกังวล คิดสงสัยว่าจะมีสิ่งที่เป็นปัญหาเกิดขึ้น ในเมื่อผู้อาวุโสซุนเป็นหัวหน้าของหน่วยคุมกฏ และนั่นก็มีเพียงเหตุผลเดียวที่ทำไมเขาจึงมาปรากฏตัวขึ้นที่เขตศิษย์นอก
“ข้ามีสามเรื่องที่จะประกาศ” ซูหยางพลันกล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดังพอที่ศิษย์ทุกคนที่อยู่ด้านหลังจะได้ยิน
“อันดับแรก ข้าจักมิเปิดบริการนี้อีกต่อไป”
เมื่อซูหยางกล่าวถ้อยคำเหล่านั้น หญิงทุกคนที่นั่นรู้สึกเหมือนกับว่าถูกแทงเข้าไปที่หัวใจด้วยกระบี่คม
“ว่ากระไร มีอะไรเกิดขึ้นรึ”
“หรือนี่เป็นเพราะผู้อาวุโสซุน”
“นี่ช่างกระทันหันเกินไป ข้ารออยู่ที่นี่นับชั่วโมงแล้ว”
ความโกลาหลเกิดขึ้นด้านนอกที่พักของซูหยางจนผู้อาวุโสซุนรู้สึกถึงหยาดเหงื่อที่กำลังไหลออกมาจากใบหน้าเมื่อเขาได้ยินชื่อตัวเองถูกกล่าวขานโดยกลุ่มมวลชน แน่นอนว่าเหล่าศิษย์พลันถือว่าเขาเป็นเหตุผลที่ซูหยางปิดประตู
“เงียบก่อนสักชั่วขณะ ข้ายังคงมีอีกสองเรื่องที่จะกล่าว” ซูหยางคำราม จนทำให้ที่แห่งนั้นเงียบลงทันที
“แม้ว่าข้าจักมิทำการบริการเช่นนี้อีกต่อไป ประตูของข้ายังคงเปิดให้ทุกคนที่ต้องการที่จะร่วมฝึกคู่กับข้า ดังนั้นจึงมิมีอะไรเปลี่ยนแปลง”
“นี่มันหมายความว่าอะไร” ผู้อาวุโสซุนจ้องมองซูหยางด้วยท่าทางงุนงง
และก่อนที่ศิษย์หญิงจะทันได้เฉลิมฉลองกับข่าวนั้น ซูหยางก็กล่าวต่อว่า “อย่างไรก็ตามเนื่องเพราะว่าพวกเจ้าส่วนใหญ่ได้ละเลยคู่ฝึกของเจ้า ข้าจึงต้องตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ถ้าเจ้าต้องการที่จะร่วมฝึกคู่กับข้า จงมั่นใจว่าอย่างน้อยอย่าได้ละเลยคู่ฝึกของเจ้า เพราะว่าสุดท้ายแล้ว ข้าก็ยังมิใช่คู่ฝึกของเจ้า เป็นเพียงศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยที่ปรารถนาการฝึกฝนเท่านั้น”
ทั้งสถานที่นั้นพลันเงียบสงัด และคงอยู่เช่นนั้นไปอีกหลายวินาทีหลังจากคำกล่าวของซูหยาง ทุกคนที่นั่นล้วนไร้คำพูดที่จะกล่าวรวมไปถึงผู้อาวุโสซุนด้วย
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 238
DC บทที่ 238: ปิดชื่อลงคะแนน
บรรดาผู้อาวุโสนิกายใช้เวลาอีกครึ่งชั่วโมงต่อมาในการครุ่นคิดอย่างเงียบเชียบ
ถ้าพวกเขายังยอมให้ซูหยางดำเนินธุรกิจเล็กๆนี้อีกต่อไป เช่นนั้นเหล่าศิษย์ชายก็จะร้องเรียนเรื่องคู่ของเขาไม่สนใจพวกเขา
แต่ถ้าพวกเขาหยุดซูหยางจากการให้บริการนวด ก็จะกลายเป็นเหล่าศิษย์หญิงก็จะหันมาร้องเรียนพวกเขาแทน
ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางใดก็ตามที่พวกเขาตัดสินใจเลือก นั่นก็ไม่สามารถที่จะสร้างความพึงพอใจให้กับทั้งสองด้านได้มีแต่จะสร้างความโกรธให้กับอีกฝ่าย
“มีความคิดดีๆบ้างไหม” ผู้อาวุโสนิกายถามหาความคิดดีๆหลังจากนั้น
“ถ้ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะพึงพอใจให้กับทั้งสองฝ่าย ทำไมเราไม่เลือกสักข้างล่ะ อีกฝ่ายย่อมเยือกเย็นลงเมื่อเวลาผ่านไป”
“นั่นก็ถูก แต่ข้างไหนที่เราควรเลือก”
“ทำไมเรามิใช้วิธีปิดชื่อลงคะแนนล่ะ เราสามารถทั้งหยุดซูหยางและสร้างความโกรธแค้นให้กับศิษย์หญิง หรือเลิกสนใจสถานการณ์และสร้างความโกรธแค้นให้กับศิษย์ชายได้เช่นกัน”
ผู้อาวุโสนิกายที่นั่นต่างสบสายตากันและตกลงกับการปิดชื่อลงคะแนน
สองสามนาทีหลังจากนั้น ยามเมื่อการลงคะแนนเสร็จสิ้น ผู้อาวุโสนิกายที่อาวุโสที่สุดก็นับผลการลงคะแนน
“พวกเราเก้าคนเลือกที่จะมิสนใจกับสถานการณ์ ขณะที่อีกสิบต้องการให้ซูหยางหยุดธุรกิจของเขา”
เมื่อผู้อาวุโสนิกายห้าคนที่ลงคะแนนสนับสนุนธุรกิจของซูหยางรู้ผล ใบหน้าของพวกเธอก็แสดงความเสียใจ เมื่อพวกเธอก็จะไม่ได้รับประสบการณ์การนวดของซูหยางอีกต่อไป
“แม้ว่านี่จะเป็นการปิดชื่อ ข้าก็ขอบอกไว้ว่าข้าลงคะแนนฝ่ายตรงข้ามกับซูหยาง” หนึ่งในผู้อาวุโสนิกายพลันกล่าวขึ้น “มันเป็นสิ่งที่ทำให้ศิษย์หญิงโกรธแค้นก็จริง แต่ถ้าหากว่าศิษย์ชายขาดคู่ฝึกที่จะฝึกร่วมด้วยเพราะว่าซูหยาง นั่นย่อมมีผลกระทบอย่างมากต่อนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ในเมื่อพวกเขามีหนทางที่จะเพิ่มพูนความแข็งแกร่งเพียงวิธีเดียวนั่นก็คือผ่านการร่วมฝึกคู่”
ผู้อาวุโสนิกายอธิบาย แสดงเหตุผลที่เขาลงคะแนนฝ่ายตรงข้ามกับซูหยาง
และหลังจากที่ได้ยินคำอธิบายเช่นนั้น ผู้ที่สนับสนุนซูหยางก็เริ่มคิดใหม่อีกครั้ง
หากว่าศิษย์ชายกว่าครึ่งของเขตศิษย์นอกไม่ได้ฝึกฝีมือ พลังฝึกปรือของนิกายโดยรวมก็จะลดลงไป ซึ่งจะเป็นการคุกคามถึงความปลอดภัยของพวกเขา
“แต่ผู้หญิงเป็นสิ่งมีชีวิตที่คาดเดาไม่ได้อย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเธอเป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย…ใครจะรู้ว่าพวกเธอจะทำอะไรบ้าคลั่งบ้างถ้าพวกเราขัดขวางพวกเธอมิให้ได้รับความสุข และนี่เป็นสิ่งที่มาจากผู้หญิง…”
“ถ้าผู้อาวุโสนิกายส่วนใหญ่สนับสนุน ก็จะมิมีอะไรเกิดขึ้นและทุกสิ่งก็จักกลับมาเป็นปกติก่อนที่เราจะรู้เสียอีก และถึงแม้ว่าพวกเธอจะเกเร พวกเธอก็ไม่กล้าที่จะสร้างปัญหามากเกินไปให้กับผู้อาวุโสนิกาย”
สถานที่นั้นพลันเงียบลงหลังจากนั้น
ไม่นานหลังจากนั้น ผู้อาวุโสสูงวัยก็กล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นก็ให้ตัดสินเช่นนี้ แม้ว่ามันอาจจะน่าเสียใจที่สิ่งต่างๆมาถึงขั้นนี้และเขาก็มิได้ทำอะไรผิดตามทำนองคลองธรรม เราก็จำเป็นต้องให้ซูหยางหยุดธุรกิจของเขา ในเมื่อนั่นจักสร้างความขัดแย้งและโกรธเคืองระหว่างศิษย์เป็นจำนวนมาก”
หลังจากเงียบไปอีกชั่วขณะ ผู้อาวุโสนิกายที่สูงวัยก็กล่าวต่อว่า “ถ้าว่าไปแล้ว ใครจักเป็นคนที่ไปพูดกับซูหยางเกี่ยวกับการตัดสินใจของพวกเรา”
ผู้อาวุโสนิกายในที่นั้นพากันสบสายตากันอีกครั้ง แต่ทุกคนล้วนมีท่าทางสับสนงงงัน
แม้ว่ากว่ากึ่งหนึ่งของพวกเขาได้ลงคะแนนตรงข้ามซูหยาง แต่ไม่มีใครในหมู่พวกเขากล้าเป็นคนไปหยุดธุรกิจของซูหยางอย่างเป็นรูปธรรม ในเมื่อพวกเขาไม่ต้องการที่จะปรากฏตัวให้เห็นว่าเป็นคนปิดร้านซูหยาง เพราะแน่นอนว่าศิษย์หญิงย่อมกลุ้มรุมคนคนนั้นหลังจากนั้น
เมื่อเวลาผ่านไปหลายนาทีโดยไม่มีใครต้องการเป็นหน่วยกล้าตายสำหรับงานนี้ หนึ่งในหมู่พวกเขาก็ยกมือขึ้นและกล่าวว่า “ในเมื่อไม่มีใครต้องการเป็นอาสาสมัครแม้ว่าจะมีความกระตือรือล้นตกลงที่จะปิดธุรกิจของซูหยางกันก่อนหน้านี้ ข้าก็จักทำเรื่องนี้เอง”
ผู้อาวุโสนิกายภายในห้องต่างพากันหันไปมองชายคนที่เพิ่งพูด
“ท่านมั่นใจเรื่องนี้รึ ผู้อาวุโสซุน”
คนที่อาสาไม่ได้เป็นใครไปนอกจากผู้อาวุโสซุน ปูของซุนจิงจิง
“ต้องมีคนที่ทำเรื่องนี้ ใช่ไหม ยิ่งไปกว่านั้นข้าได้เคยพูดกับเขามาสองสามครั้งก่อนหน้านี้ ดังนั้นข้าถือเป็นผู้ที่เหมาะสมสำหรับงานนี้”
“ต้องขอโทษที่สร้างปัญหาให้ท่าน ผู้อาวุโสซุน”
ผู้อาวุโสซุนส่ายหน้าและออกไปจากที่นั่นในเวลาไม่นานหลังจากนั้น
ยามเมื่อผู้อาวุโสซุนจากไปแล้ว ผู้อาวุโสนิกายที่เหลืออยู่ก็เริ่มแสดงความประหลาดใจ
“ใครจักคิดว่าคนอย่างผู้อาวุโสซุนจักเป็นผู้อาสาทำงานเช่นนี้…”
“ใช่แล้ว เขาเป็นคนสุดท้ายที่นี่ที่ข้าคาดว่าจะเป็นคนไป”
ในขณะที่ผู้อาวุโสนิกายที่เหลือยังคงอยู่ในในห้องประชุม ผู้อาวุโสซุนก็ตรงเข้าไปยังที่พักของซูหยาง
อย่างไรก็ตามโดยไม่น่าประหลาดใจ สถานที่นั้นคราคร่ำไปด้วยศิษย์หญิง
นับเป็นเวลาสองสามวันตั้งแต่ซูหยางเริ่มธุรกิจของเขาอีกครั้ง และทั่วทั้งเขตศิษย์นอกล้วนได้ยินเรื่องนี้แล้วในตอนนี้ กล่าวอีกนัยหนึ่งศิษย์นอกหญิงส่วนใหญ่ล้วนได้ยินซึ่งนั่นนับเป็นหลักร้อย
พอจะกล่าวได้ว่า แม้ว่าจะเกิดการปิดกั้นในพื้นที่นั้น แต่ยามเมื่อผู้อาวุโสซุนปรากฏตัวและบรรดาศิษย์สังเกตเห็นเขา พวกเขาล้วนเปิดทางให้กับเขาขณะที่คำนับไปด้วยในขณะที่เขาผ่านไป
และเพราะว่าพวกเธอเปิดทางให้เขา ผู้อาวุโสซุนจึงไปถึงทางเข้าบ้านซูหยางอย่างง่ายดาย
อย่างไรก็ตามในขณะที่ผู้อาวุโสซุนสามารถเข้าไปถึงบ้านได้ตามปรารถนา แต่ประตูห้องของซูหยางยังคงปิดอยู่ และในเมื่อเขาไม่ต้องการที่จะทำให้เกิดเหตุที่นั่น ผู้อาวุโสซุนตัดสินใจรอด้านนอกจนกระทั่งซูหยางออกมาด้านนอกด้วยตนเอง
สองสามนาทีหลังจากนั้น ประตูห้องของซูหยางก็เปิดออก และศิษย์หญิงคนหนึ่งก็เดินออกมาด้วยท่าทางการเคลื่อนไหวที่ไม่มั่นคง เหมือนกับว่าขาของเธอหมดแรง
ผู้อาวุโสซุนมองดูเธอจากไปพร้อมเลิกคิ้ว และยามที่เขาได้กลิ่นของปราณหยินมาจากร่างของศิษย์หญิง เขาก็ถอนใจ “เจ้าเด็กชั่วซูหยางนี่…เมื่อมาคิดว่าเขายังมีแรงที่จะฝึกคู่ทั้งที่มีคนมากมายปานนี้…”
ผู้อาวุโสซุนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉาซูหยางในใจหลังจากที่เห็นฉากนี้ เพราะว่าเขาไม่ได้เป็นที่นิยมปานนี้ยามเมื่อเขาอยู่ในวันเวลาที่รุ่งโรจน์ช่วงเป็นศิษย์หลัก อย่าได้พูดถึงว่าเพียงเป็นศิษย์ในดังเช่นซูหยาง
“หืม ผู้อาวุโสซุนรึ” ซูหยางปรากฏตัวขึ้นหลังจากที่ศิษย์นั้นจากไปแล้ว และเขาก็พูดด้วยท่าทางสบายๆว่า “ข้ายินดีที่ท่านมาที่นี่ แต่ท่านไม่รู้รึว่าข้าเพียงรับหญิงเข้าไปในห้องเท่านั้น”
“ว่ากระไร– เจ้าบ้า ข้ามาที่นี่ด้วยเรื่องอื่นตะหาก” ผู้อาวุโสซุนตะโกนใส่เขาอย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด
“อย่างนั้นรึ” ซูหยางเพียงแค่ยิ้มและกล่าวว่า “เข้าไปพูดข้างในกันเถอะ”
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 237
DC บทที่ 237: ผู้อาวุโสนิกายที่ระทมทุกข์
“อาาาา อาาาา อาาาา”
ศิษย์หญิงกรีดร้องด้วยความสุขสมขณะที่ซูหยางย่ำยีร่างกายของเธอด้วยดุ้นใหญ่ เปลี่ยนช่องทางรักของเธอให้เป็นรูปเดียวกับดุ้นของเขา
ภายในชั่วไม่กี่นาทีนับตั้งแต่พวกเขาเริ่มร่วมฝึกคู่ ศิษย์หญิงก็หมดแรงจากการปลดปล่อยปราณหยินมากเกินไป
“ถ้าเราร่วมฝึกกันต่อไปอีก ร่างของเจ้าอาจจะเป็นอันตรายจากการที่ปราณหยินแห้งเหือด” ซูหยางกล่าวกับเธอ
“อือ…” แม้ว่าเธอจะลังเลที่จะจากไปหลังจากที่ใช้เวลาที่เหมือนไม่กี่วินาทีในห้องนี้ ศิษย์หญิงก็จากไปหลังจากที่สวมใส่เสื้อผ้าแล้ว
ศิษย์หญิงมากกว่าโหลได้เข้าแถวหน้าบ้านซูหยางนับตั้งแต่เริ่มบริการ แต่เมื่อลูกค้ารายแรกที่เข้าไปในบ้านซูหยางกลับออกมาหลังจากที่ใช้เวลาไม่กี่นาทีภายในนั้น ทุกคนที่รออยู่ด้านนอกต่างก็พากันงงงัน
“ทำไมเจ้าจึงกลับออกมาด้านนอกแล้วล่ะ นั่นยังไม่ถึงสิบนาทีเสียด้วยซ้ำนับตั้งแต่เจ้าเข้าไปข้างใน” คนในแถวถามเธอ คิดว่าเธอช่างโง่เง่าที่เสียโอกาสทั้งที่เป็นคนแรกที่เข้าไป
“พ-พวกเจ้ามิเข้าใจสิ่งใดเลย…” ศิษย์หญิงส่ายหน้าและจากไปด้วยร่างกายที่ยังคงไวต่อการกระตุ้น ทำให้การก้าวย่างของเธอดูแปลกประหลาด
ผู้คนในแถวมองเธอจากไปด้วยท่าทางสงสัยและประหลาดใจ “นั่นเธอหมายความว่าอย่างไร”
“แขกในแถวคนต่อไป โปรดเข้ามาด้านใน” ซูหยางกล่าวจากภายในห้องเขา
คนต่อไปในแถวไม่มัวคิดให้เสียเวลา เธอตรงเข้าไปในบ้าน
ยามเมื่อเธอเข้าไปในห้องของเขาแล้ว ซูหยางก็ถามเธอว่า “เจ้าต้องการนวดหรือว่าต้องการร่วมฝึกคู่”
“เอ๋”
หญิงสาวมองดูซูหยางด้วยตากลมกว้างและท่าทางตื่นตระหนก เช่นเดียวกับหญิงคนก่อนหน้า
“บริการไหนที่เจ้าต้องการ ข้าสามารถนวดให้เจ้าหรือร่วมฝึกคู่กับเจ้าก็ได้” ซูหยางพูดย้ำอีกครั้งเมื่อหญิงสาวยังคงไม่ตอบสนองหลังจากเวลาผ่านไปหลายวินาที
“ข้าต้องการ…ร่วมฝึกคู่ดีไหม” เธอยังคงไม่แน่ใจ ตอบสนองเป็นเชิงคำถาม
“ดีแล้ว กรุณาถอดเสื้อผ้าของเจ้าเพื่อที่พวกเราจะได้เริ่มกัน”
ศิษย์หญิงถอดเสื้อผ้าของเธอออกและนอนลงบนเตียง และซูหยางก็เริ่มบริการสองสามวินาทีหลังจากนั้น
“อาาา อาาา อาาาาาา”
ศิษย์หญิงไม่อยากเชื่อถึงความสุขที่เธอได้รับ มันเหมือนกับว่าเธอได้เปิดโลกใบใหม่
และเช่นเดียวกับลูกค้ารายก่อนหน้า เธอหมดแรงภายในไม่กี่นาที
“ศิษย์พี่ชาย ท่านช่างมหัศจรรย์…” เธอชื่นชมเขาด้วยน้ำเสียงจริงใจ
ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “ข้าจักรออยู่ที่นี่หากเจ้าต้องการกลับมาในเวลาไหนก็ตาม”
หญิงสาวพยักหน้าและออกไปอย่างรวดเร็วหลังจากนั้น
ยามเมื่อศิษย์หญิงออกจากบ้านไปแล้ว เมื่อถูกถามโดยคนอื่น เธอได้กล่าวว่า “เจ้าสามารถเลือกรับการนวดจากศิษย์พี่ชายหรือเจ้าสามารถร่วมฝึกคู่กับเขาก็ได้”
“ว่ากระไร เราสามารถร่วมฝึกคู่กับศิษย์พี่ชายซู” บรรดาหญิงสาวที่รออยู่ในแถวต่างพากันตระหนกจนพูดไม่ออก ความคาดหวังและความตื่นเต้นของพวกเธอสูงทะลุฟ้า
“เจ้าเลือกแบบไหน” หนึ่งในพวกเธอถาม
“ข้าเลือกร่วมฝึกกับเขา…และนั่น…เหนือโลก…” เธอตอบกลับด้วยท่าทางเอียงอาย
“ดีกว่าการนวดของเขาอีกรึ” อีกคนถาม
“ดียิ่งกว่าทุกวิถีทาง…”
เมื่อเหล่าศิษย์หญิงได้ยินเช่นนั้น ความคาดหวังและความกระตือรือล้นของพวกเธอก็สูงเสียดฟ้าถึงขั้นที่ว่าอาจจะมีพลังมากพอที่จะทำลายเมืองได้ทั้งเมืองถ้าอารมณ์นั้นสามารถเปลี่ยนเป็นวิชาการต่อสู้
ยามเมื่อลูกค้าคนที่สามเข้าไปในห้องซูหยาง เธอพลันกล่าวว่า “ข้าต้องการร่วมฝึกคู่”
ซูหยางเพียงพยักหน้า และไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น เขาก็เริ่มเสือกแทงศิษย์หญิง
หลังจากที่เขาร่วมกับลูกค้าคนที่สามเรียบร้อยแล้ว ซูหยางก็รับศิษย์หญิงเข้าไปในห้องเขาอย่างต่อเนื่อง ลูกค้าแปดในสิบคนพวกเธอล้วนร้องขอกิจกรรมร่วมฝึกคู่กับเขา
และเมื่อกิจกรรมอยู่ได้ไม่นานถึงสิบนาที ซูหยางก็สามารถร่วมฝึกกับหญิงสาวได้ประมาณสี่ถึงแปดคนคนทุกชั่วโมง อย่างไรก็ตาม เพราะว่าทุกกิจกรรมล้วนสั้นและเร็ว ซูหยางจึงปลดปล่อยปราณหยางหลังจากที่ร่วมฝึกกับหญิงสาวสิบกว่าคน
แถวด้านนอกบ้านซูหยางได้เพิ่มขึ้นจนถึงขั้นที่ว่าไม่อาจเห็นบ้านซูหยางได้จากท้ายแถว และนั่นก็มีอย่างน้อยกว่าร้อยคนที่ยืนอยู่ในแถวนั้น
ยังไม่ถึงหนึ่งวันดีสำหรับศิษย์นอกแทบทุกคนก็ได้ยินว่าซูหยางได้เปิดบริการธุรกิจขึ้นมาอีกครั้ง และทุกคนที่เคยไปหาเขาก่อนหน้านี้เพื่อรับการนวดล้วนมุ่งหน้าไปยังที่พักของซูหยางยามเมื่อพวกเธอได้ยินเรื่องนั้น ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อพวกเธอรับรู้ว่าซูหยางมีบริการพิเศษที่ยอมให้พวกเธอเลือกระหว่างการนวดและร่วมฝึกคู่กับเขา พวกเธอเกือบกลายเป็นบ้าไปเพราะความตื่นเต้น ในเมื่อนั่นเป็นบางสิ่งที่พวกเธอได้ต้องการประสบนับตั้งแต่ได้รับการนวดจากเขา
การที่ซูหยางเริ่มเปิดบริการอีกครั้งทำให้เกิดความปั่นป่วนขนานใหญ่ภายในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย จนเกิดความยากลำบากในการเดินทางภายในเขตศิษย์นอก ทำให้ทุกคนลำบากในการเดินทาง ทั้งหมดก็เพราะว่าบรรดาศิษย์นอกที่เป็นหญิงล้วนพากันมาชุมนุมบริเวณที่พักของซูหยาง
ในเวลานั้นผู้อาวุโสนิกายก็เต็มไปด้วยข้อร้องเรียนจากศิษย์ชาย กล่าวโทษซูหยางที่ทำให้พวกเขาขาดคู่ฝึกและการฝึกวิชานับตั้งแต่เขาเริ่มเปิดอีกครั้ง
“พวกเราควรทำอย่างไรดี หากเป็นเช่นนี้ต่อไป พวกเราคงพบว่าการร่วมฝึกคู่ระหว่างศิษย์ลดลงอย่างชัดเจน และศิษย์ชายจักต้องร้องเรียนจนกว่าซูหยางจะหยุดเล่นเกมปริศนาเล็กๆของเขานั่น”
ผู้อาวุโสนิกายต่างพากันปรึกษาหารือกันจนเวลาผ่านไปหลายวัน
“ทำไมเราไม่บอกซูหยางให้หยุดธุรกิจของเขาล่ะ”
“อย่าคิดอย่างนั้น” ผู้อาวุโสนิกายหญิงสองสามคนพลันปฏิเสธคำแนะนำนั้นในทันที เป็นเหตุให้บรรยากาศกลายเป็นความเงียบน่าอึดอัด
“ใช่ ข้ายอมรับว่าข้าได้ไปหาเขาเพื่อรับการนวดก่อนหน้านี้ แต่ตราบเท่าที่เรามิต้องร่วมฝึกคู่ นั่นก็มิได้ผิดกฏนิกาย” หนึ่งในพวกเธอกล่าว
“พวกเราค่อยพูดเรื่องนี้ในคราวหลัง…” หนึ่งในผู้อาวุโสนิกายที่มีอาวุโสมากกว่ากล่าวขึ้น “เรามาที่นี่เพื่อปรึกษาหาทางออกให้กับศิษย์ที่เรียกร้อง ส่วนการบีบบังคับให้ซูหยางหยุดทำธุรกิจ นั่นเป็นเพียงเหตุที่ทำให้เหล่าศิษย์หญิงประท้วงและร้องเรียนต่อจากนั้น ซึ่งนั่นมิได้แก้ปัญหาอะไรทั้งสิ้น”
“เราได้เจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อนหน้านี้แล้ว”
ผู้อาวุโสนิกายพากันถอนใจ
ทำไมศิษย์หนึ่งคนจึงสามารถสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายและสร้างสถานการณ์อันร้ายแรงต่อบรรดาศิษย์ชายได้มากเช่นนี้ ทั้งที่ใช่ว่าเขาได้กระทำอะไรผิดกฏนิกายแม้แต่น้อย และคำตอบที่สามารถสร้างความพึงพอใจให้กับทั้งสองฝ่ายนั้นมีหรือไม่
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 236
DC บทที่ 236: การกลับมาของการนวดขั้นเทพ
“ผู้นำนิกายมีงานให้ตำหนักโอสถศึกษาสารนี้อย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้ว่าจะได้ผลเพียงเล็กน้อยก็ตาม พยายามหาว่าใช้วัตถุดิบอะไรในการผลิตสารนี้” ผู้อาวุโสเจ้ากล่าว
“ส-สารนี้คืออะไร และท่านได้มาจากไหน” หลานลี่ชิงถามด้วยท่าทางโง่งม ทำท่าทางเหมือนกับว่าเธอไม่เคยเห็นน้ำมันรัญจวนมาก่อน
“สิ่งนี้เรียกว่าน้ำมันรัญจวน และถ้าหากเป็นไปได้ มันจักแทนที่โอสถหยินพ้นพิสัย ส่วนที่ว่ามันมาจากไหนนั้นนั่นเป็นสิ่งที่ข้ามิสามารถเปิดเผยได้ ถ้าเจ้าต้องการรู้จริงๆ เจ้าสามารถถามตัวผู้นำนิกายเอง” ผู้อาวุโสเจ้ากล่าว
“นั่นมิจำเป็น…” หลานลี่ชิงกล่าว มั่นใจถึงที่มาของน้ำมันรัญจวนจากคำพูดของเขา
ไม่มีข้อสงสัยเลยว่ามันมาจากซูหยาง ซึ่งนั่นทำให้หลานลี่ชิงค่อนข้างเป็นกังวลอยู่บ้าง เพราะว่าเธอรู้ดีถึงประสิทธิภาพของน้ำมันรัญจวน เธอสามารถเห็นนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยติดตามซูหยางเพื่อความลับของมัน
ผู้อาวุโสเจ้าจากไปหลังจากที่ยื่นส่งน้ำมันรัญจวนให้กับหลานลี่ชิงแล้ว
ยามเมื่อผู้อาวุโสเจ้าจากไปแล้ว ศิษย์ทุกคนก็มารวมตัวกันรอบหลานลี่ชิง พวกเธอล้วนต้องการยืนยันว่านี่ใช่น้ำมันที่ซูหยางใช้บนร่างพวกเธอหรือไม่
“มันเป็นน้ำมันตัวเดียวกันจริงด้วย…” ซวนจิงหลินพึมพัม
“เจ้าคิดว่าพวกเขาได้มาจากศิษย์พี่ชายซูหรือไม่” อวี้เยียนถามด้วยท่าทางเป็นกังวล “จะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกนั้นกำลังสอบสวนเขาอยู่ขณะที่พวกเรากำลังพูดกันอยู่”
“อย่าพูดอะไรที่เป็นลางร้าย” ซางเหวินจีขมวดคิ้ว
“ไม่ว่ามันจะมาจากไหน เจ้านิกายได้คาดหวังให้พวกเราได้ตรวจสอบ ดังนั้นนี่เป็นสิ่งที่เราต้องทำ ถ้าพวกเจ้าเป็นกังวลเรื่องซูหยาง เจ้าสามารถตรวจสอบเขาได้หลังจากที่พวกเราทำเสร็จแล้ว” หลานลี่ชิงกล่าวด้วยท่าทางขุ่นเคือง
“เจ้าค่ะ ท่านอาจารย์”
ตำหนักโอสถก็พลันเริ่มทำงานเกี่ยวกับน้ำมันรัญจวน แต่คนเหล่านั้นก็ไม่อาจทำงานได้โดยปราศจากความกังวลเรื่องซูหยาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลานลี่ชิงซึ่งเหม่อลอยอยู่เป็นระยะตลอดทั้งวัน
ในเวลานั้น ซูหยางเพิ่งเสร็จสิ้นการผลิตน้ำมันรัญจวนเพิ่มขึ้นอีกสองขวด ขณะที่อยู่ภายในห้อง
“ข้าควรไปคลังมุกพิสุทธิ์อาทิตย์ละครั้งสำหรับวัตถุดิบ” เขาคิดในใจ
หลังจากนั้นซูหยางก็ออกไปยังนอกบ้านและแขวนป้ายบนแท่งไม้เหมือนกับธงบริเวณลานด้านหน้า ที่ซึ่งเคยเป็นสถานที่ที่เขาใช้รวบรวมแต้มนิกาย
เพียงพูดว่าเขาได้กลับมาทำธุรกิจอีกครั้ง ย่อมไม่มีข้อสงสัยเลยว่านั่นย่อมกระจายออกไปด้วยตนเองโดยไม่ต้องให้เขาทำอะไรทั้งสิ้น และคำร่ำลือก็จะแพร่กระจายไปรวดเร็วยิ่งขึ้นกว่าเดิมหากซูหยางขึ้นป้ายเอาไว้
หลังจากที่ซูหยางขึ้นป้ายเอาไว้ด้านนอกว่าเปิดบริการธุรกิจอีกครั้งแล้วนั้น เขาก็กลับเข้าไปรอลูกค้าอยู่ภายใน
และอย่างรวดเร็ว เหล่าศิษย์ที่ผ่านบริเวณที่พักของซูหยางก็สังเกตเห็นธงที่โดดเด่นพร้อมกับตัวอักษรที่มีขนาดใหญ่
“การนวดขั้นเทพกลับมาแล้ว ปราศจากค่าใช้จ่าย มิจำกัดเวลา พร้อมบริการพิเศษ”
“เทพยดาฟ้าดิน ซูหยาง เจ้าเลวนั่นสุดท้ายก็กลับมา”
ศิษย์ชายรู้สึกเหมือนกับว่าฟ้ามืดลงอีกครั้ง และความหวาดหวั่นอันเลวร้ายได้กลับมาอีกครั้ง หากเป็นเช่นนี้ต่อไปคู่ของพวกเขาย่อมต้องกลับไปหาธุรกิจของซูหยางเพื่อความสุขสมและลืมเรื่องพวกเขาอย่างสมบูรณ์เหมือนก่อนหน้านั้น
“บัดซบ หญิงของข้าเพิ่งเริ่มกลับไปหาข้าไม่นานหลังจากที่ไปนวดกับซูหยาง ยามเมื่อเธอได้ยินเรื่องนี้ ข้าคงมิอาจจะฝึกคู่ได้ไม่รู้ว่านานอีกเท่าไหร่”
ส่วนบรรดาศิษย์หญิง พวกเธอเริ่มเฉลิมฉลองกันตรงนั้นเมื่อพวกเธอเห็นป้าย
“ซูหยางเปิดบริการนวดอีกครั้ง และฟรีด้วย ข้าคงกำลังฝันไปตอนนี้”
“บริการพิเศษประเภทไหนกันที่เขาจะทำให้นะ ข้ารอไม่ไหวแล้ว”
“ลืมเรื่องพวกนั้นไปให้หมด นั่นไม่มีเวลาจำกัดสิบนาทีอีกต่อไป ย่อมหมายความว่าข้าสามารถเสพสุขกับการนวดของเขาตราบนานเท่าที่ข้าต้องการ”
“ข้ากำลังจะไปร่วมฝึกกับคู่ของข้า ลืมมันไปเถอะ เขารอได้”
ศิษย์นอกหญิงเริ่มเข้าแถวหน้าบ้านของซูหยางหลังจากที่เห็นป้าย
“ศิษย์พี่ชาย ท่านเปิดอีกครั้งจริงหรือ”
ซูหยางเปิดประตูและปรากฏกายตรงหน้าพวกเธอหลังจากที่พวกเธอเคาะประตู
“ถูกต้องแล้ว” เขาตอบด้วยรอยยิ้มหล่อเหลา
“บริการพิเศษประเภทไหนกันที่ท่านจะให้ จะต่างจากสิ่งที่ท่านทำก่อนหน้านี้อย่างไร” หนึ่งในพวกเธอถาม
“พวกเจ้าจักรู้เองภายในนี้”
“ฟรีจริงใช่ไหม” อีกคนถาม
“นั่นบอกไว้บนป้ายแล้วมิใช่รึ”
“ล-แล้วเรื่องเวลาจำกัดล่ะ ถ้าบางคนตัดสินใจอยู่ตลอดทั้งวัน นั่นมิทำให้ต้องใช้เวลาตราบนานเท่านานกว่าจะถึงตาของพวกเราส่วนใหญ่” บางคนที่ท้ายแถวถาม
“เจ้ามิต้องกังวลเรื่องนั้น เพราะว่าพวกเจ้าส่วนใหญ่จักทนมิได้นานเช่นนั้น” ซูหยางตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม
“จะว่าไปแล้วทำไมเจ้ามิเข้ามาข้างในก่อนล่ะเพื่อที่เราจะได้เริ่มกัน” ซูหยางกล่าวกับคนแรกของแถว
“ด-ได้เลย”
ศิษย์คนแรกของแถวเข้าไปในบ้านด้วยท่าทางกระตือรือล้น และความตื่นเต้นของเธอสามารถรับรู้แม้กระทั่งคนสุดท้ายของแถว
ยามเมื่อศิษย์หญิงเข้าไปในห้องของซูหยางแล้ว เขาก็ถามเธอด้วยเสียงเยือกเย็นว่า “เจ้าต้องการนวดหรือว่าต้องการฝึกคู่ร่วมกับข้า”
“ขอทวนอีกครั้ง”
ศิษย์หญิงมองดูซูหยางด้วยดวงตากลมโต เหมือนกับว่าไม่อยากเชื่อ และคิดว่าเธอฟังเขาผิดไป เธอถามย้ำว่า “ท-ท่านต้องการร่วมฝึกกับคนอย่างข้ารึ”
“ถ้านั่นเป็นความปรารถนาของเจ้า” ซูหยางตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม
“…”
ศิษย์หญิงเปลี่ยนเป็นไร้คำพูด เธอไม่คาดคิดว่าจะมีบริการเสริมแบบนั้นเมื่อเธอมาที่นี่
“ข-ข้าต้องการฝึกคู่ร่วมกับท่าน” เธอตอบกลับอย่างรวดเร็ว
มีศิษย์นอกไม่มากนักที่จะปฏิเสธในการฝึกคู่ร่วมกับศิษย์ใน ยิ่งไปกว่านั้นกับคนที่มีฝีมือและความหล่อเหลาดังเช่นซูหยาง
“ดีแล้ว ทำไมเจ้ามิถอดเสื้อผ้าออกเพื่อที่เราจะได้เริ่ม”
ศิษย์หญิงถอดเสื้อผ้าของเธอออกอย่างรวดเร็วและประณีตก่อนที่จะนอนลงบนเตียง
ไม่นานหลังจากนั้น ซูหยางก็เริ่มโลมเล้าร่างกายของเธอก่อนที่จะฝังแท่งขนาดใหญ่ของเขาเข้าไปในร่างและดูดซับปราณหยินของเธอ
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 235
DC บทที่ 235: งานจากผู้นำนิกาย
หลังจากที่ซูหยางและซุนจิงจิงจากคลังมุกพิสุทธิ์แล้ว ผู้อาวุโสเจ้าก็ตรงไปยังศาลาหยินหยางเพื่อพบกับโหลวหลานจีสืบเนื่องมาจากน้ำมันรัญจวน
“ซูหยางให้เจ้ามารึ” โหลวหลานจีตรวจสอบดูขวดแก้วในมือเธออย่างใกล้ชิดด้วยท่าทางเคร่งเครียด
ทุกสิ่งที่มีซูหยางเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยทำให้เธอต้องระมัดระวังอย่างที่สุด ใครจะรู้ว่าคนที่คาดเดาไม่ได้อย่างเขาจะทำอะไรต่อไป
“ใช่แล้ว” ผู้อาวุโสเจ้าพยักหน้าและกล่าวต่อว่า “มันถูกทดสอบแล้วโดยหลานสาวของผู้อาวุโสซุน ซุนจิงจิง และเธอได้ตัดสินว่ามันมีประสิทธิภาพอย่างต่ำสามเท่าของโอสถหยินพิสุทธิ์”
โหลวหลานจีไม่ได้กล่าวอะไรไปชั่วขณะ เธอจุ่มนิ้วของเธอเข้าไปในน้ำมันที่ลื่นไหล และต่อหน้าผู้อาวุโสเจ้า เธอทำการลูบมันเข้ากับตนเองภายใต้ชุดคลุมของเธอ
“…”
ผู้อาวุโสเจ้าแอบถอนหายใจแต่ไม่ได้กล่าวว่าอย่างไร ได้แต่หลับตาลง
ไม่นานหลังจากนั้น โหลวหลานจีก็กล่าวขึ้นว่า “นี่เป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง ถ้าเราสามารถจำแนกได้ว่าสิ่งนี้สร้างขึ้นมาได้อย่างไรหรือว่ามันมาจากไหน มันต้องช่วยเพิ่มพลังอำนาจโดยรวมของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้อย่างมหาศาล”
ถ้าศิษย์หญิงภายในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้รับการเพิ่มปราณหยิน เช่นนั้นศิษย์ชายที่ฝึกร่วมกับพวกเธอก็จะพัฒนาขึ้นเช่นกัน อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าเธอจะตื่นเต้นเพียงใดก็ตาม โหลวหลานจีก็ไม่ได้มองโลกในแง่ดีจนเกินไปนัก ในเมื่อใครจะรู้ว่าพวกเธอจะได้น้ำมันรัญจวนนี้ต่อไปในอนาคตหรือไม่
“ซูหยางได้บอกแก่ท่านว่าเขาได้รับสิ่งนี้มาจากไหนหรือไม่” เธอถามผู้อาวุโสเจ้า
เขาพลันส่ายหน้าและกล่าวว่า “ไม่เพียงแต่เจ้าเด็กเลวนั่นหยาบคายอย่างแท้จริง ทั้งยังปฏิเสธที่จะพูดอะไรออกมา ไม่แม่แต่จะบอกใบ้”
“อย่างนั้นรึ…” โหลวหลานจีถอนหายใจ อย่าว่าแต่เขาเลย กระทั่งเธอในฐานะผู้นำนิกายยังไม่รู้ว่าจะจัดการกับคนแบบซูหยางให้เหมาะสมได้อย่างไร
“อย่างไรก็ตามนั่นก็ยังอาจจะมีเบาะแส…” ผู้อาวุโสเจ้าพลันกล่าวขึ้น
“ว่าต่อไป”
“นอกจากน้ำมันรัญจวนแล้ว เขาก็ยังนำเอารายการวัตถุดิบออกมาด้วย ใช้จ่ายถึงสองพันแต้มนิกายโดยไม่มีความลังเลหลังจากที่ขายน้ำมันรัญจวน ถ้าให้ข้าเดา รายการนั่นต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับน้ำมันรัญจวน อาจจะเป็นตำรับยาก็ได้”
ดวงตาของโหลวหลานจีเปล่งประกายเมื่อเธอได้ยินคำของผู้อาวุโสเจ้า “ท่านจดจำวัถถุดิบทุกอย่างที่อยู่ในรายการนั้นได้รึ” เธอถามเขา
“ข้าจำได้”
“ดีสัส” โหลวหลานจีก่นด่าด้วยความตื่นเต้น เกือบระเบิดเสียงหัวเราะใส่ซูหยางที่ประเมินความฉลาดของพวกเขาต่ำไป
อย่างไรก็ตามพวกเขาจะรู้สักนิดก็หาได้ไม่ว่าซูหยางได้ทำนายเหตุการณ์เช่นนั้นไว้แล้ว ถ้าจะกล่าวไปต่อให้พวกเขารู้ถึงวัตถุดิบที่ใช้ผลิตน้ำมันรัญจวน ถ้าพวกเขาไม่มีทั้งเคล็ดวิชาและฝีมือในการสร้างน้ำมันรัญจวน พวกเขาไม่มีวันที่จะสำเร็จไม่ว่าจะทดลองมากมายกี่ครั้งก็ตาม ด้วยเหตุนี้ซูหยางจึงไม่สนใจที่จะปล่อยให้พวกเขาได้เห็นรายการวัตถุดิบ
ผู้อาวุโสเจ้านึกถึงรายการวัตถุดิบจากความทรงจำของเขาและเขียนออกมาบนแผ่นกระดาษตามความต้องการของโหลวหลานจี
“นี่ ได้แล้ว” เขายื่นส่งให้กับเธอหลังจากที่เสร็จแล้ว
“นี่ค่อนข้างจะเป็นรายการที่ยาวนะ” โหลวหลานจีพูดหลังจากที่อ่านจนจบรายการวัตถุดิบ
“นั่นจึงทำให้รายการนี้ดูสมจริงมากขึ้น”
“ดีล่ะ” โหลวหลานจีพยักหน้า และกล่าวต่อว่า “แม้ว่าเรามิอาจผลิตยาได้ แต่ข้าก็ต้องการให้ตำหนักเม็ดยาพ้นพิสัยศึกษารายการนี้และดูว่าพวกเขาพบอะไรใหม่บ้าง และเพราะว่าเรากำลังเกี่ยวข้องอยู่กับยาและสมุนไพร ดังนั้นข้าจึงต้องการให้ตำหนักโอสถได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย แบ่งน้ำมันรัญจวนให้พวกเธอบางส่วนเพื่อดูว่าพวกเธอสามารถบอกได้ว่ามันทำมาจากอะไร”
“ข้าเข้าใจ แต่..แล้วเขาล่ะ” ผู้อาวุโสเจ้าถาม
“เขา… ถ้าท่านหมายถึงซูหยาง ข้ามีธุระอื่นกับเขาอยู่แล้ว ดังนั้นข้าจักไปพบเขาในเร็วๆนี้”
โหลวหลานจียังคงไม่ยกโทษให้กับการที่ซูหยางตบหน้าเธอขณะที่กำลังหลับอยู่ แม้ว่ามันจะทำให้เธอตื่น นั่นไม่มีวิธีอื่นที่ดีกว่าการตบหน้าสาวสวย มีแต่คนต่ำช้าเท่านั้นที่จะทำเช่นนั้น
ผู้อาวุโสเจ้าออกจากตำหนักหยินหยางหลังจากนั้นสองสามนาทีเพื่อทำงานที่ได้รับมอบจากโหลวหลานจีให้เสร็จ
แรกเริ่มเขาตรงไปยังตำหนักเม็ดยาพ้นพิสัย ที่ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดเม็ดยาทุกเม็ดในคลังมุกพิสุทธิ์
“ผู้นำนิกายได้มีงานให้กับตำหนักเม็ดยาพ้นพิสัย” ผู้อาวุโสเจ้ากล่าวกับพวกเขาทันทีที่เขาเข้าไปในอาคาร
“ผู้อาวุโสเจ้า”
นักปรุงยาภายในนั้นทักทายเขา
“ผู้นำนิกายต้องการอะไรจากพวกเรารึ ตราบเท่าที่มันเกี่ยวข้องกับเม็ดยา ตำหนักเม็ดยาพ้นพิสัยย่อมมิทำให้เธอผิดหวัง”
“โชคร้ายอยู่บ้าง มันไม่ใช่เม็ดยา” ผู้อาวุโสเจ้านำเอารายการออกมาและกล่าวว่า “ผู้นำนิกายต้องการที่จะรู้ว่มีตำรับยาใดบ้างที่ต้องการวัตถุดิบตามรายการนี้ ถ้ามิมีใครรู้ เธอก็ต้องการให้พวกเจ้าทำการวิจัยมันให้ดีที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้”
ยามเมื่อผู้อาวุโสเจ้ายื่นส่งรายการวัตถุดิบให้กับพวกเขา บรรดานักปรุงยาในตำหนักเม็ดยาพ้นพิสัยก็มารวมตัวกันเป็นวงกลมและเริ่มปรึกษาหารือ
หลังจากที่งานที่ตำหนักเม็ดยาพ้นพิสัยเสร็จแล้ว ผู้อาวุโสเจ้าก็ตรงไปยังตำหนักโอสถพร้อมกับขวดจิ๋วบรรจุน้ำมันรัญจวนในกระเป๋า
“ศิษย์น้อยคำนับผู้อาวุโสเจ้า”
บรรดาหญิงสาวที่ตำหนักโอสถพลันทักทายผู้อาวุโสเจ้าเมื่อเห็นเขา
“ผู้อาวุโสเจ้า” หลานลี่ชิงก็ทักทายเขาด้วยการโค้งคำนับอย่างอ่อนหวาน
ผู้อาวุโสเจ้าพยักหน้าและกล่าวว่า “ข้ามาที่นี่วันนี้ก็เพราะว่าผู้นำนิกายได้มีงานให้กับตำหนักโอสถ”
“ผู้นำนิกายต้องการให้เราทำอะไรรึ” หลานลี่ชิงถาม
ผู้อาวุโสเจ้านำเองขวดเล็กบรรจุน้ำมันรัญจวนออกมาจากกระเป๋าและแสดงให้พวกเธอดู
“กลิ่นนี้…”
ไม่เพีงแค่หลานลี่ชิงแต่ศิษย์ทุกคนที่อยู่ในนั้นยกเว้นหนึ่งคนพลันสังเกตพบกลิ่นหอมหวานที่รายล้อมขวดแก้ว
แม้ว่าไม่มีใครในหมู่พวกเธอแสดงออกมาทางสีหน้า พวกเธอล้วนจดจำน้ำมันรัญจวนได้จากกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อร่างกายของพวกเธอได้อาบไล้ด้วยสารนี้เมื่อไม่นานมานี้
หลานลี่ชิงรู้สึกหวาดหวั่นในใจเมื่อเห็นน้ำมันรัญจวน ทำไมผู้อาวุโสเจ้าจึงให้พวกเธอดูน้ำมันรัญจวน และยิ่งไปกว่านั้นเขาได้สิ่งนี้มาจากไหน
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 234
DC บทที่ 234: ข้าทำอะไรลงไป…
“แต้มถูกโอนเรียบร้อยแล้ว” ผู้อาวุโสเจ้ายื่นป้ายประจำตัวคืนให้กับซูหยางหลังจากที่โอนแต้มนิกายให้กับเขาสามพันแต้ม
แม้ว่าเขาอาจจะดูลังเลในการให้สามพันแต้มนิกายแก่ซูหยางสำหรับน้ำมันรัญจวน นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาคิดว่ามันไม่มีค่า
ตามจริงแล้วการจ่ายสามพันแต้มนิกายให้กับสิ่งที่มีความประสิทธิภาพเช่นเดียวกับโอสถหยินพ้นพิสัยอันล้ำค่าอีกทั้งมีประสิทธิภาพสูงกว่าถึงสามเท่า นั่นเหมือนกับการขโมยอีกฝ่ายได้อย่างเหลือเชื่อในใจของผู้อาวุโสเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อโอสถหยินพ้นพิสัยเพียงเม็ดเดียวก็มีค่าสามพันแต้มนิกายแล้วสำหรับศิษย์
“ถ้าข้าแยกมันออกเป็นหลายขวดและขายแต่ละขวดให้ได้ราคาเท่ากับโอสถหยินพ้นพิสัยหนึ่งเม็ด เช่นนั้นข้าสามารถได้คืนสิ่งที่ข้าต้องใช้จ่ายไปได้อย่างง่ายดาย” ผู้อาวุโสเจ้าหัวเราะในใจ
“ถ้าไม่มีอะไรที่เจ้าต้องการแล้ว ก็กลับไปซะ” ผู้อาวุโสเจ้ากล่าวกับเขาหลังจากยื่นส่งป้ายประจำตัวให้กับเขา “ส่วนสำหรับข้อตกลงของเรา ข้าจักติดต่อเจ้ายามเมื่อข้าพร้อมแล้ว”
ซูหยางสามารถบอกได้ว่าผู้อาวุโสเจ้าไม่ต้องการเห็นหน้าเขาอีกต่อไป แต่โชคร้ายเขายังจำเป็นต้องซื้อวัตถุดิบเพื่อที่จะผลิตน้ำมันรัญจวนมากกว่านี้
“ข้าต้องการทุกอย่างในรายการนี้” ซูหยางแสดงใบรายการให้เขาอีกครั้ง
“…”
ผู้อาวุโสเจ้าไม่ได้พูดอะไรกับเขาเพียงหยิบใบรายการ
“เจ้าช่วยจัดวัตถุเหล่านี้จากด้านหลังให้ข้าหน่อยสิ” ผู้อาวุโสเจ้าร้องขอซุนจิงจิงขณะที่เขายื่นส่งแผ่นกระดาษให้เธอ
ซุนจิงจิงพยักหน้าและกลับเข้าไปด้านหลังอีกครั้ง
สองสามนาทีหลังจากนั้น ซุนจิงจิงก็กลับมาพร้อมถุงใบใหญ่ใส่วัตถุดิบ
“ทุกสิ่งที่เจ้าจดไว้อยู่ในนี้ ตรวจสอบอีกครั้งถ้าเจ้าต้องการ”
ซูหยางไม่ต้องเปิดถุงเพื่อดูวัตถุดิบภายใน และเพียงแค่สูดดมครั้งเดียวเพื่อตรวจดูว่ามีอะไรภายในถุง
“นั่นมิจำเป็น” เขากล่าวกับเธอขณะที่เขาถ่ายโอนแต้มสองพันแต้มนิกายคืนให้ผู้อาวุโสเจ้า
หลังจากขายน้ำมันรัญจวนให้กับผู้อาวุโสเจ้าหนึ่งขวดได้มาสามพันแต้มนิกายและใช้สองในสามของแต้มซื้อวัตถุดิบพอสำหรับน้ำมันรัญจวนสองขวด ซูหยางก็ออกจากคลังมุกพิสุทธิ์พร้อมหนึ่งพันแต้มนิกายที่คงเหลืออยู่สำรองไว้ในอนาคต
วัตถุประสงค์ทั้งหมดของเขาได้รับการเติมเต็มโดยไม่สะดุด ยิ่งไปกว่านั้นการเดิมพันเล็กน้อยกับผู้อาวุโสเจ้าซึ่งประกันว่าสมบัติมีค่าจากคลังมุกพิสุทธิ์อยู่ในกระเป๋าเขาแน่นอน
กล่าวไปแล้วถึงแม้ว่าเขาจะได้รับวัตถุมีค่ามากที่สุดที่คลังมุกพิสุทธิ์เสนอ มันก็ยังไม่มีประโยชน์อะไรมากกับคนอย่างซูหยาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขามีพลังการฝึกปรือถึงระดับเก้าเขตปฐพีวิญญาณ
ยามเมื่อซูหยางกลับถึงบ้าน เขาก็นำวัตถุดิบทุกอย่างออกมาจากถุงและเริ่มผลิตน้ำมันรัญจวนมากกว่าเดิม
ในเวลานั้นย้อนกลับไปยังคลังมุกพิสุทธิ์ ผู้อาวุโสเจ้าถามซุนจิงจิงว่า “เจ้าจำวัตถุในใบรายการทั้งหมดได้หรือไม่”
ซุนจิงจิงพยักหน้า
“ข้าต้องการให้เจ้าเก็บใบรายการและน้ำมันรัญจวนนี้ไว้เป็นความลับจากทุกคน แม้ว่าจะเป็นผู้อาวุโสนิกายก็ตามถ้าพวกเขาถามถึง จนกว่าผู้นำนิกายจะมีคำสั่งว่าพวกเราควรทำอย่างไร”
“ข้าเข้าใจแล้ว” เธอตอบกลับอย่างรวดเร็ว
“ดีมาก ช่วยบอกปู่ของเจ้าให้มาหาข้าภายในสองวัน เพราะว่าข้ามีเรื่องสำคัญที่จะปรึกษากับเขา”
“ข้าจักบอกเขาเช่นนั้น”
“สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ เจ้ามิจำเป็นต้องคิดมาก ในเมื่อมันเป็นเรื่องค่อนข้างปกติภายในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย และเมื่อสุดท้ายเจ้าพบคู่ฝึก เจ้าจักทำเรื่องที่น่าอายยิ่งกว่าในห้องนั้น” ผู้อาวุโสเจ้าไม่ต้องการให้ซุนจิงจิงใส่ใจกับการกระทำของตัวเธอเองในวันนี้ เพราะว่ามันอาจจะมีผลต่อการฝึกวิชาของเธอเอง
“ข้า…” แม้ว่าเธอจะประทับใจกับการปลอบโยนของอีกฝ่าย ซุนจิงจิงก็ไม่รู้ว่าจะตอบสนองกับผู้อาวุโสเจ้าอย่างไร ในเมื่อนั่นยิ่งจะทำให้เธอรู้สึกอายและกระอักกระอ่วนยิ่งกว่าเดิม
“เจ้าสามารถไปได้แล้ววันนี้” ผู้อาวุโสเจ้าพลันกล่าวกับเธอ
มีเพียงคนไม่กี่คนภายในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยที่จะได้รับการดูแลแบบซุนจิงจิงจากผู้อาวุโสเจ้า เพราะว่าเธอเป็นหลานสาวของผู้อาวุโสซุน ซึ่งเป็นเพื่อนกับผู้อาวุโสเจ้านับตั้งแต่วันที่พวกเขาเป็นศิษย์นอก ผู้อาวุโสเจ้าไม่ได้มองดูซุนจิงจิงเพียงแค่เป็นศิษย์
ตามจริง ทั่วทั้งนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ซุนจิงจิงเป็นศิษย์เพียงคนเดียวที่สามารถทำตัวสบายๆเมื่ออยู่ใกล้กับคนเช่นผู้อาวุโสเจ้า
กล่าวไปแล้ว ซุนจิงจิงก็รู้ดีว่าผู้อาวุโสเจ้าดูแลเธออย่างลำเอียง แต่เธอก็ตัดสินใจที่จะทำเหมือนว่าเธอไม่สามารถแยกแยะได้ ในเมื่อเธอไม่ต้องการให้ศิษย์คนอื่นเริ่มต้นข่าวลือที่เป็นอันตราย
หลังจากที่ได้รับการบอกให้กลับไปได้ ซุนจิงจิงก็ออกจากคลังมุกพิสุทธิ์กลับไปยังบ้าน
ยามเมื่อเธอกลับถึงห้องของเธอเอง ซุนจิงจิงก็ปิดห้องขังตนเองแม้ว่าจะมีเพียงคนเดียวอาศัยอยู่ในบ้านนั้น
เมื่อเธอมั่นใจว่าไม่มีใครอยู่รอบๆ ซุนจิงจิงก็นำเอาขวดเล็กๆทีซ่อนอยู่ในเสื้อผ้าของเธอออกมาและจ้องมองดูมันด้วยท่าทางสำนึกผิด
“ข้าเสียใจจริงๆ ท่านผู้อาวุโสเจ้า…” เธอถอนหายใจ
ซุนจิงจิงได้แอบเอาน้ำมันรัญจวนใส่ในภาชนะของเธอเองออกมาบางส่วนเมื่อเธอยังอยู่ภายในอีกห้อง และนำกลับมาบ้าน
เมื่อเธอได้เรียนรู้ถึงความพึงใจที่น้ำมันรัญจวนมีผลต่อร่างของเธอ เธอไม่อาจต่อต้านความกระหายอยากจนทำให้ขโมยบางส่วนออกมาเพื่อตัวเธอเองใช้ที่บ้านยามเมื่อเธออยู่คนเดียว
“ข้าทำอะไรลงไป… เมื่อคิดว่าข้าจักทำอะไรเช่นนี้…ข้าต้องบ้าไปแล้ว”
ซุนจิงจิงถอนหายใจเมื่อผู้อาวุโสเจ้าไม่ได้สงสัยเธอหลังจากที่เห็นว่าหนึ่งในสามของน้ำมันรัญจวนหายไป กระทั่งยอมรับคำขอโทษของเธอมิเช่นนั้นเธอคงต้องฆ่าตัวตายด้วยความอับอาย และถึงแม้ว่าเธอจะเหยียดหยามการกระทำของตนเอง แต่เธอกลับไม่มีความเสียใจแม้แต่น้อย
ยามเมื่อซุนจิงจิงเตรียมตัวด้วยการเปลือยกายบนเตียงแล้ว เธอก็ทำการลูบไล้น้ำมันรัญจวนบางส่วนบนส่วนที่ไวต่อความรู้สึกที่สุดของเธอ
สองสามวินาทีหลังจากนั้น ซุนจิงจิงก็เริ่มครวญครางขณะที่สร้างความรัญจวนให้กับตัวเอง
DC บทที่ 233: ขายน้ำมันรัญจวน
“ในเมื่อตอนนี้เรามีเงื่อนไขต่างๆแล้ว พวกเราจะพนันด้วยอะไร” ผู้อาวุโสเจ้าถามเขา
“ถ้าข้ามิสามารถสร้างความพึงใจให้กับผู้อาวุโสนิกายได้แม้สักคน เช่นนั้นข้าก็สมควรสูญเสียทุกอย่างที่ข้ามี ถ้าข้าแพ้ข้ายินดีทำทุกอย่างที่ท่านต้องการ” ซูหยางกล่าวกับเขาด้วยท่าทางเยือกเย็น
“ช่างยะโสนัก…” ผู้อาวุโสเจ้าหรี่ตามองดูซูหยาง ผู้ซึ่งดูเหมือนมั่นใจว่าเขาไม่คิดว่าตนเองจะแพ้
“เอาอย่างนี้ ถ้าเจ้าแพ้ เจ้าจักบอกข้าว่าเจ้าได้น้ำมันรัญจวนนี้มาจากไหน” ผู้อาวุโสเจ้าไม่ต้องการที่จะรังแกซูหยางมากเกินไป เพราะว่าเขาเป็นคนที่ถือหน้าตาเป็นสำคัญ
“เช่นนั้นก็ได้” ซูหยางพยักหน้า
“ถ้าข้าแพ้…มาดูกันว่า… ข้าจักยอมให้เจ้าหยิบของสิ่งหนึ่งจากคลังมุกพิสุทธิ์นี้ตราบเท่าที่มันมีเก็บไว้” ผู้อาวุโสเจ้ากล่าว
แม้ว่าคลังมุกพิสุทธิ์จะมีกระทั่งสมบัติและวัตถุดิบที่มีค่ามากที่สุด ผู้อาวุโสเจ้าก็มั่นใจว่าเขาไม่พ่ายแพ้ให้กับซูหยางในการเดิมพันนี้ ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาจึงไม่ลังเลที่จะพนันด้วยเดิมพันที่สูงเมื่อเปรียบเทียบกับเดิมพันที่ดูเหมือนต่ำของซูหยาง
รอยยิ้มลึกลับแย้มขึ้นบนใบหน้าซูหยางเมื่อเขาได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสเจ้า เขาสามารถหยิบของได้ชิ้นหนึ่งจากคลังมุกพิสุทธิ์เชียวรึ นั่นมากเกินกว่าที่เขาจะร้องขอด้วยซ้ำ
ตามจริง ซูหยางเพียงต้องการที่จะขอแต้มนิกายสักเล็กน้อย แต่อนิจจาผู้อาวุโสเจ้าขุดหลุมฝังตัวเองขึ้นมาอีกหลุมโดยไม่รู้ตัว ซึ่งคงต้องหลั่งน้ำตาหลังจากนั้น
“เช่นนั้นก็ได้ เช่นนั้นข้าจักรอจนกว่าท่านจะหาผู้อาวุโสนิกายสามคนหลังจากนี้” ซูหยางพยักหน้าอย่างแข็งขัน
“ในเวลานี้ทำไมท่านมิให้ข้าดูรายการสิ่งของที่มีทั้งหมดในคลังมุกพิสุทธิ์ ข้าอยากเห็นว่าจะมีอะไรมีค่าพอให้หยิบฉวยไปหลังข้าชนะ” เขากล่าวต่อ
ผู้อาวุโสเจ้าหน้าง้ำและพูดด้วยเสียงเคร่งเครียดว่า “อย่าโอหังเกินไปนัก เจ้าสามารถดูได้หลังจากที่เจ้าชนะเท่านั้น ถ้าเจ้าชนะล่ะนะ”
หลังจากนั้นสองสามนาทีหลังจากซูหยางและผู้อาวุโสเจ้าได้พนันกันแล้ว ประตูก็เปิดออกและซุนจิงจิงก็เดินออกมาจากห้องด้วยใบหน้าแดงเหมือนแอปเปิ้ล อีกทั้งสามารถเห็นความเอียงอายบนท่าทางของเธอ
“ศิษย์ซุน…” ผู้อาวุโสเจ้ามองดูเธอด้วยดวงตากลมโต เกิดอะไรขึ้นบนโลกใบนี้ด้านหลังนั่น เธอดูเหมือนหมดเรี่ยวแรง เหมือนกับว่าเธอกระตือรือล้นในการทดสอบยามอยู่ด้านหลังนั่น
“ข้าขอโทษ ผู้อาวุโสเจ้า” ซุนจิงจิงพลันกล่าวกับเขาด้วยท่าทางเสียใจ
คิดว่าเธอเสียใจกับเวลาที่เธอใช้ไปกว่าจะสำเร็จ ผู้อาวุโสเจ้าส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “มิเป็นไร มิได้นานขนาดนั้น”
“มิใช่…ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น…” ซุนจิงจิงยื่นส่งน้ำมันรัญจวนออกมาด้านหน้าและกล่าวว่า “ข้า…ข้าช่วยตัวเองและใช้มากเกินกว่าที่ข้าควรจะใช้…”
เมื่อผู้อาวุโสเจ้ามองเห็นว่าเกินกว่าหนึ่งในสามของน้ำมันรัญจวนในขวดแก้วหายไป กรามของเขาก็ร่วงลงพื้น
“น-น-นี่…” ผู้อาวุโสเจ้าไร้คำพูด แต่เขายังคงต้องการที่จะรู้ผลลัพธ์ “ผ-ผลลัพธ์เป็นอย่างไร” เขาถามเธอ
“มันได้ผล..ดีเป็นอันมาก…” ซุนจิงจิงกล่าวด้วยท่าทางเอียงอาย บางสิ่งที่ผู้อาวุโสเจ้าไม่เคยเห็นจากเธอมาก่อน
“ถ้าให้ข้าเปรียบเทียบมันกับโอสถหยินพ้นพิสัย เช่นนั้นมันควรมีประสิทธิภาพมากกว่าสามเท่าเป็นอย่างน้อย…” ซุนจิงจิงกล่าวต่อ
“โอ้พระเจ้า…ประสิทธิภาพมากกว่าสามเท่า” ผู้อาวุโสเจ้าไร้คำพูดและงงงันอย่างแท้จริงในตอนนี้ เขาค่อยหันไปหาซูหยางและคิดภายในใจ “ข้าต้องรู้ให้ได้ว่าเขาได้นำมันรัญจวนมาจากไหนในตอนนี้”
“ในเมื่อตอนนี้ท่านรู้ว่ามันใช้ได้ผล ท่านต้องการซื้อมันจากข้าหรือไม่” ซูหยางถามเขาพร้อมรอยยิ้มกริ่ม
ต่อให้ผู้อาวุโสเจ้าไม่อยากที่จะยอมรับ แต่เขาก็ต้องการน้ำมันรัญจวนนี้มาศึกษา แต่ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ เขาต้องแสดงให้ผู้นำนิกายเห็นก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไรด้วยตนเอง ในเมื่อการค้นพบใหม่นี้สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอย่างมหาศาล
“เจ้าต้องการแต้มนิกายมากเท่าไหร่” ผู้อาวุโสเจ้าถามเขาด้วยท่าทางยอมแพ้
“ข้าต้องการสามพันแต้มนิกายสำหรับสิ่งนี้” ซูหยางกล่าวด้วยท่าทางไม่ใส่ใจ
“สาม–” ผู้อาวุโสเจ้าเกือบต่อยหน้าซูหยางที่ขอมากเกินไปกับน้ำมันเช่นนั้น
“มีอะไรผิดไปรึ ท่านมิสามารถซื้ออะไรได้ด้วยการจ่ายเพียงสามพันแต้มนิกายกับสิ่งที่มีประสิทธิภาพสามเท่าของโอสถหยินพ้นพิสัย” ซูหยางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“เจ้า—” ผู้อาวุโสเจ้าสูดลมหายใจลึกอย่างยากลำบากเพื่อทำให้ตนเองใจเย็นลงและกล่าวว่า “มันอาจจะมีค่าถึงสามพันแต้มนิกายถ้ามันมีเต็มขวด แต่เจ้าก็เห็นว่านั่นมีเหลือเพียงสองในสาม”
แม้ว่าผู้อาวุโสเจ้าจะรู้แน่แก่ใจว่านั่นไม่ใช่ความผิดของซูหยาง เขายังคงต้องการที่จะก่อกวนอีกฝ่ายสักเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะต้องยอมเสียหน้าบ้างเพื่อที่จะทำเช่นนั้น
แน่นอนว่าซูหยางก็เลิกคิ้วขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ เขาไม่อยากเชื่อว่าตนเองจะได้ยินอะไรเช่นนั้น
“ทำไมนั่นจึงต้องเป็นปัญหาข้า ถ้าเป็นเช่นนี้ ทำไมท่านมิใช้มันให้หมดขวดไปเลยก่อนที่จะซื้อมันไปจากข้าโดยไม่ต้องจ่ายอะไร” ซูหยางกล่าวกับอีกฝ่าย
“ผู้อาวุโสเจ้า…เขาพูดถูก…ทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นความผิดของข้าที่ทำให้เหลือเพียงสองในสาม” ซุนจิงจิงพยายามที่จะหาเหตุผลให้เขา
“เอาเป็นว่า ให้ข้าจ่ายสำหรับที่ข้าได้ใช้ไป” ด้วยรู้สึกผิดกับสถานการณ์ ซุนจิงจิงเสนอจ่ายพันแต้มจากทั้งหมดสามพันแต้มนิกาย
ผู้อาวุโสเจ้ามองดูเธอและส่ายหน้า “ลืมไปเสียเถอะ คลังมุกพิสุทธิ์จะซื้อมันด้วยราคาสามพัน”
“เจ้าควรคิดเสียว่าการใช้น้ำมันรัญจวนถือเป็นรางวัลที่ได้ช่วยเหลือข้าดูแลสถานที่นี้ตลอดมา”
“ผู้อาวุโสเจ้า…ขอบคุณ” ซุนจิงจิงโค้งคำนับเขาเพื่อแสดงความขอบคุณ
หลังจากนั้นผู้อาวุโสซุนก็หันไปยังซูหยางและกล่าวว่า “ขอป้ายประจำตัวเจ้าและข้าจักได้ถ่ายโอนแต้มให้”
ซูหยางยิ้มและยื่นส่งป้ายประจำตัวให้อีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
DC บทที่ 232: พนันกับผู้อาวุโสเจ้า
หลังจากตกลงที่จะทดสอบน้ำมันรัญจวนกับตนเองแล้ว ซุนจิงจิงก็หยิบขวดแก้วและกลับไปยังอีกห้อง
แต่ก่อนที่เธอจะจากไป เธอก็ถามซูหยางว่า “ข้าต้องใช้มากเท่าไหร่จึงจะเกิดผล”
“เจ้าจักเห็นผลมันทันทีถ้าเจ้าใช้น้ำมันลูบบนส่วนที่ไวต่อความรู้สึกที่สุดเพียงไม่กี่หยด และแน่นอนว่ายิ่งเจ้าใช้มากเท่าไหร่ ประสิทธิภาพของมันก็ยิ่งมากเท่านั้น” เขาตอบ
ภายในอีกห้องนั้นซุนจิงจิงจุ่มนิ้วลงไปในน้ำมัน คลายชุดคลุมแล้วเริ่มลูบไล้น้องสาวของเธอด้วยน้ำมันรัญจวน
แม้ว่าเธอไม่เคยคิดว่าเธอจะทำอะไรเช่นนี้ในคลังมุกพิสุทธิ์ ซุนจิงจิงก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรกับเรื่องนี้ในเมื่อสิ่งที่ไม่อาจคาดเดาได้มักเกิดขึ้นได้เสมอ
ว่าไปแล้วยามเมื่อเธอพยายามกลับไปยังสุสานเซียนเมื่อสองสามวันก่อนหลังจากพบกับซูหยาง สุสานเซียนไม่เพียงแค่ปิดลงแต่ยังคงหายไปอย่างสิ้นเชิง ราวกับว่ามันไม่เคยปรากฏขึ้นมาตั้งแต่แรก
การเดินทางกลับไปยังสุสานเซียนไม่เพียงแต่ทำให้เธอเสียเวลาแต่ยังคงสอนเธอว่า แม้บางสิ่งอาจจะเกิดขึ้นได้ยากมากเพียงใดก็ตาม แต่มันก็ไม่ถึงกับไม่มีทางเป็นไปได้
หลังจากที่ลูบไล้น้ำมันรัญจวนไปบางส่วนบนกลีบสาวอย่างเบามือแล้ว ซุนจิงจิงก็สามารถรับรู้ได้ว่าร่างกายของเธอรุมเร้าไปด้วยความปรารถนาที่จะร่วมคู่
“น-นี่ช่างสุดยอด” เธอคิดในใจขณะที่เธอเริ่มเล่นกับช่องพรหมจรรย์ของตนเอง
เพราะว่าซุนจิงจิงเข้าร่วมกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยในฐานะศิษย์ในโดยผู้อาวุโสซุนมีบทบาทเกี่ยวข้อง เธอเป็นศิษย์เพียงคนเดียวในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยที่เป็นศิษย์ในโดยยังมีแก่นหยินพิสุทธิ์สมบูรณ์
และด้วยความจริงที่ว่าซุนจิงจิงยังคงเป็นสาวบริสุทธิ์แม้ว่าจะเป็นศิษย์ในทำให้เธอเป็นที่หมายปองของศิษย์ชายทุกคนภายในเขตศิษย์ในถึงที่สุด กระทั่งศิษย์หลักเกือบทุกคนก็พยายามเกี้ยวพาราสีเธอ อย่างไรก็ตามเพราะว่าเธอเพียงเข้าร่วมนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเพราะว่าปู่ของเธอ ผู้อาวุโสซุน ซุนจิงจิงจึงปฏิเสธพวกเขาทุกคนและยังคงความบริสุทธิ์ไว้จนกระทั่งถึงวันนี้
กล่าวไปแล้วไม่ได้หมายความว่าซุนจิงจิงต้องการเป็นสาวบริสุทธิ์ตลอดไป ในเมื่อเธอก็ยังคงต้องการอยากมีคู่ในสักวัน อย่างไรก็ตามเพราะว่าตัวตนของเธอ ความปรารถนาจึงถูกเก็บซ่อนไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับเป็นเรื่องท้าทายหากจะหาใครสักคนที่ทำให้เธอค่อนข้างประทับใจ
ในเวลาเดียวกัน ขณะที่ซุนจิงจิงกำลังทดสอบน้ำมันรัญจวนกับตัวเอง ผู้อาวุโสเจ้าก็พยายามที่จะหาข้อมูลเกี่ยวกับน้ำมันรัญจวนจากซูหยาง “ว่าไปแล้วเจ้าได้สิ่งนั้นมาจากไหนกัน หรือว่าเจ้าซื้อมาจากใครสักคน”
“ใครจะรู้ว่ามันมาจากไหน ข้าเองก็ไม่รู้” ซูหยางส่ายหน้าและกล่าวต่อว่า “มันปรากฏขึ้นข้างหมอนข้าเมื่อข้าตื่นขึ้นมาในวันหนึ่ง”
ผู้อาวุโสเจ้าขมวดคิ้วและคำราม “เจ้าคิดว่าข้าจักเชื่อเรื่องไร้สาระอย่างนี้รึ”
ซูหยางเพียงแค่ยักไหล่ ต่อให้ผู้อาวุโสเจ้าต้องการซ้อมเพื่อหาคำตอบจากเขา นิกายก็มีกฏห้ามผู้อาวุโสนิกายถือโอกาสเอารัดเอาเปรียบเหล่าศิษย์ ถ้าพบว่าผู้อาวุโสนิกายใช้สถานะของตนเองกดดันหรือบีบบังคับศิษย์ให้เปิดเผยความลับของตนเองหรือมอบทรัพย์สินให้ ผู้อาวุโสนั้นจะถูกลงโทษในทันทีจากผู้นำนิกาย
“ถ้าเจ้ามิต้องการบอกข้า ก็แค่พูดออกมา” ผู้อาวุโสเจ้าส่ายหน้าพร้อมถอนใจ
ที่แห่งนั้นพลันเงียบสงัดหลังจากนั้น และดำเนินต่อไปอย่างนั้นอีกหลายนาที
“ต้องใช้เวลาเท่าไหร่ในการทดสอบน้ำมัน” ผู้อาวุโสเจ้าเริ่มหมดความอดทนหลังจากที่ซุนจิงจิงเข้าไปในอีกห้องกว่าครึ่งชั่วโมงโดยไม่ออกมา
“ท่านมิควรเร่งสตรีในเวลาของเรื่องแบบนี้” ซูหยางกล่าวพร้อมรอยยิ้มใจเย็น
“ฮึ่ม เจ้ารู้อะไร เร็วไปร้อยปีที่จะมาสั่งสอนข้าในเรื่องแบบนี้” ผู้อาวุโสเจ้าจิกกัด
เขาเป็นส่วนหนึ่งของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมานานกว่าร้อยปีและได้ร่วมฝึกคู่กับศิษย์มากมายยามเมื่อเขายังอยู่ในวัยรุ่งโรจน์ ในใจของเขา ซูหยางยังอ่อนเกินไปที่จะพูดเรื่องหญิงสาวเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา
“ท่านมั่นใจเรื่องนี้รึ” ซูหยางอดไม่ได้ที่จะหัวเราะกับความโฉดเขลาของอีกฝ่าย
ผู้อาวุโสเจ้าขมวดคิ้วและกล่าวว่า “ถึงแม้ว่ากลเม็ดของเจ้าอาจจะสร้างความพึงพอใจให้กับศิษย์นอก สำหรับผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริงเช่นบรรดาผู้อาวุโสนิกายจักมิรู้สึกอะไรถ้าเจ้าใช้มันกับพวกเธอ”
ผู้อาวุโสเจ้ารู้ดีว่าซูหยางค่อนข้างเป็นที่นิยมกับฝีมือการนวดในระดับหนึ่ง แต่ในสายตาของเขา นั่นเป็นเพียงเพราะว่าลูกค้าของเขาล้วนเป็นศิษย์นอก
“โห ท่านสนใจพนันเรื่องนี้ไหมล่ะ” ซูหยางถามเขาพร้อมหรี่ตา
“เจ้าต้องการพนันกับข้ารึ” ผู้อาวุโสเจ้าหัวเราะลั่นแม้จะเห็นว่าซูหยางช่างไร้มารยาทกระทั่งคิดเรื่องแบบนี้ออกมา
“ถูกต้องแล้ว” ซูหยางพยักหน้า “ในเมื่อฟังดูเหมือนกับว่าท่านค่อนข้างมั่นใจเมื่อพูดถึงว่ากลเม็ดของข้าจักมิได้ผลกับบรรดาผู้อาวุโสนิกาย เช่นนั้นท่านต้องมั่นใจว่าจะชนะพนันนี้”
“ช่างน่าสนใจ…” ผู้อาวุโสเจ้ามองดูเขาด้วยท่าทางครุ่นคิด
เพราะว่าเขาไม่สามารถหาอะไรมาสร้างความบันเทิงให้กับตนเอง ผู้อาวุโสเจ้าจึงปกติหลับเพื่อหลีกเลี่ยงความเบื่อหน่าย อย่างไรก็ตามตอนนี้มีบางสิ่งที่กระตุ้นความสนใจของเขาปรากฏขึ้น จึงไม่มีเหตุผลที่เขาจะบอกปัดการพนันเล็กน้อยกับซูหยาง
“มีเงื่อนไขอะไรบ้าง” เขาถามซูหยาง
“จริงแล้วนั่นง่ายดายยิ่ง ท่านเพียงหาผู้อาวุโสนิกายสามคนที่ยินดีสละเวลามาร่วมการเดิมพันของเรา ซึ่งข้าจะใช้กลเม็ดของข้ากับพวกเธอ ถ้าข้ามิสามารถสร้างความพึงใจให้กับผู้อาวุโสทั้งสามคนได้ เช่นนั้นถือว่าท่านชนะ”
“ฮึ่ม นั่นมิมีความท้าทายสำหรับข้าแม้แต่น้อย” ผู้อาวุโสเจ้าแค่นเสียงอย่างหยิ่งยะโส
“หนึ่งคน ถ้าเจ้าสามารถสร้างความพึงใจเพียงหนึ่งคน ข้าจักถือว่าข้าแพ้” ผู้อาวุโสเจ้าให้โอกาสซูหยางสามครั้งในการสร้างความพึงใจอย่างน้อยหนึ่งในพวกเธอด้วยกลเม็ดของเขา บางสิ่งที่ซูหยางสามารถทำได้แม้กระทั่งหลับตาและมัดมือไว้
“เช่นนั้นก็ได้” ซูหยางไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธความเอื้อเฟื้อของผู้อาวุโสเจ้าที่เหมือนกับตัดขาตนเองเมื่ออยู่บนเขียงเรียบร้อยแล้ว
DC บทที่ 231: ทดสอบน้ำมันรัญจวน
“รากวิญญาณหยิน ขิงผลึก น้ำตากิ้งก่าคราม…” ผู้อาวุโสเจ้าอ่านรายละเอียดในรายการของซูหยาง ซึ่งมีอยู่ประมาณสามสิบชนิดซึ่งจำเป็นในการผลิตน้ำมันรัญจวน และถึงแม้ว่าไม่มีวัตถุในรายการที่จำเป็นนั้นที่จัดว่าหายาก พวกมันก็ยังถือว่าเป็นวัตถุดิบทั่วไปที่ใช้ในการปรุงยา
หลังจากอ่านรายการวัตถุดิบแล้ว ผู้อาวุโสเจ้าก็หันไปหาซูหยางพร้อมเลิกคิ้ว สายตาของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย “วัตถุดิบพวกนี้…เจ้ากำลังจะปรุงยาหรือทำอะไร ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เจ้ากลายเป็นนักปรุงยา” เขาถามด้วยความสนใจเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อกล่าวถึงซูหยาง ผู้อาวุโสเจ้าพบว่าเขาเป็นคนที่ลึกลับคาดเดาไม่ได้ ซึ่งทำให้ผู้อาวุโสเจ้ายิ่งต้องการที่จะศึกษาเกี่ยวกับซูหยางมากยิ่งขึ้น
“เพียงแค่การทดลองบางอย่างมิควรค่าแก่การใส่ใจ ว่าแต่นั่นต้องใช้แต้มนิกายมากเท่าไหร่ที่จะซื้อพวกมันทั้งหมด” ซูหยางหลีกเลี่ยงคำถามอย่างผ่านๆและถามกลับอีกฝ่าย
“อืมม…” ผู้อาวุโสเจ้ามองดูเขาด้วยความสงสัยก่อนที่จะหันกลับไปยังรายการด้วยท่าทางครุ่นคิด
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะเพื่อทำการคำนวณ ผู้อาวุโสเจ้าก็กล่าวขึ้นว่า “มันมีราคาประมาณสองพันแต้มนิกาย”
“สองพันรึ..”
แม้ว่ามันจะดูด้อยค่าเมื่อเปรียบเทียบกับดอกหยางพิสุทธิ์ที่เขาต้องใช้ถึงหนึ่งหมื่นแต้มนิกาย มันก็ยังค่อนข้างแพง
“ข้าเข้าใจ” ซูหยางพยักหน้าและเขากล่าวต่อว่า “เช่นนั้นจะได้แต้มนิกายเท่าไหร่ถ้าขายสิ่งนี้ให้กับคลังมุกพิสุทธิ์”
ซูหยางนำเอาขวดน้ำมันรัญจวนออกมาและวางมันลงบนโต๊ะตรงหน้าผู้อาวุโสเจ้าซึ่งหยิบมันขึ้นมาและมองดูด้วยสายตามึนงง
“นี่ใช้ทำอะไร มันใสไม่มีสีเหมือนกับน้ำแต่ดูเหมือนจะข้นกว่าเล็กน้อย…” ผู้อาวุโสเจ้ากล่าวขณะที่เขาเอียงขวดไปมาเพื่อตรวจสอบของเหลวที่อยู่ภายใน
“ยิ่งไปกว่านั้น กลิ่นของมัน…ค่อนข้างเข้มข้นและน่าหลงไหล…”
ซูหยางยิ้มเมื่อผู้อาวุโสเจ้าเริ่มทำท่าทางเหมือนเป็นผู้เชี่ยวชาญในทันใด
“มันเรียกว่าน้ำมันรัญจวน และมันสามารถเพิ่มความแกร่งปราณหยินของผู้หญิงถ้าลูบไล้มันลงบนร่างของพวกเธอ” เขออธิบายคุณสมบัติหลัก
“ว่ากระไรนะ” ผู้อาวุโสเจ้าดวงตาเบิ่งกว้างด้วยความตระหนก และเขาพลันหยุดเล่นกับขวดแก้ว
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะเนื่องจากความตระหนก ผู้อาวุโสเจ้าก็ขมวดคิ้วและกล่าวด้วยท่าทางจริงจัง “ถ้าน้ำมันรัญจวนนี่มีค่าดังที่เจ้ากล่าว เช่นนั้นเจ้าคงมิถือถ้าข้าจะทดสอบมันก่อนเป็นอันดับแรกใช่ไหม ถ้าข้าพบว่าเจ้ากล่าวเพียงวาจาลมลวง เช่นนั้นข้าจักลงโทษเจ้าด้วยตนเอง มีอะไรจะพูดหรือไม่”
ผู้อาวุโสเจ้าต้องการที่จะให้โอกาสซูหยางอย่างใสสะอาดเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่เขาจะทดสอบน้ำมันรัญจวน
“ทำได้เลย” ซูหยางตอบกลับด้วยรอยยิ้มมั่นใจบนใบหน้านิ่งเรียบ
ผู้อาวุโสเจ้าจ้องมองซูหยางด้วยดวงตาหรี่แคบอย่างเงียบๆสองสามวินาทีก่อนที่จะตะโกนว่า “ศิษย์ซุน ออกมานี่หน่อย”
หลังจากนั้นชั่วอึดใจหลังจากผู้อาวุโสเจ้าเรียกศิษย์คนนี้ ร่างแบบบางก็ปรากฏขึ้นที่ประตูสองสามเมตรห่างออกไป
“มีอะไรรึ ท่านผู้อาวุโสเจ้า” ศิษย์คนนั้นถามยามเมื่อเธอปรากฏตัว
เมื่อซูหยางมองเห็นใบหน้าคุ้นเคยของศิษย์นั้น เขาก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“หือ นั่นเจ้า” ศิษย์นั้นก็ดูเหมือนว่าจะจำซูหยางได้
“ไม่เจอกันพักหนึ่งแล้วนะ หลานสาวผู้อาวุโสซุน” ซูหยางพูดพร้อมรอยยิ้ม
“ข้ามีชื่ออยู่ เจ้ารู้ไหม ซุนจิงจิง” เธอตอบกลับพร้อมขมวดคิ้ว
ใช่แล้ว ศิษย์ที่ผู้อาวุโสเจ้าเรียกก็คือซุนจิงจิง หลานสาวของผู้อาวุโสซุน ผู้ซึ่งทำให้เขาเดินทางไปยังสุสานเซียนจนทำให้เขาพบกับเซียวลี่พร้อมกับเหตุการณ์อื่นๆ
“ซุนจิงจิง เช่นนั้นรึ” ซูหยางอดไม่ได้ที่จะหัวเราะหึ เมื่อเขาได้ยินชื่อเธอ ซึ่งทำให้เขานึกไปถึงวูจิงจิง ศิษย์หลักของสำนักเทพกระบี่จากทวีปศักดิ์สิทธิ์กลาง
“มีอะไรน่าหัวเราะกับชื่อของข้ารึ” เธอถามเขาซึ่งหัวเราะขึ้นมาเมื่อเธอแนะนำตัว
“มันทำให้ข้านึกถึงใครบางคนที่ข้ารู้จักเท่านั้นเอง”
“พวกเจ้าทั้งสองรู้จักกันรึ” ผู้อาวุโสเจ้าเลิกคิ้วไปยังซุนจิงจิง
ซุนจิงจิงมีความสัมพันธ์อะไรกับคนอย่างซูหยาง ปู่ของเธอ ผู้อาวุโสซุน รู้เรื่องนี้หรือไม่
“คงมิอาจพูดได้ตรงๆว่าพวกเรารู้จักกัน ในเมื่อพวกเราเพียงแค่พบปะกันหนึ่งครั้ง และนั่นก็เพียงแค่ไม่กี่นาที” ซุนจิงจิงตอบ
“อย่างนั้นรึ…” ผู้อาวุโสเจ้ารู้สึกโล่งอกด้วยเหตุผลบางประการ ในเมื่อเขามั่นใจว่าผู้อาวุโสซุนคงต้องสร้างความปั่นป่วนถ้าพวกเขามีอะไรมากไปกว่านั้น
“ว่าแต่ทำไมท่านจึงเรียกหาข้า ผู้อาวุโสเจ้า ข้าเพิ่งจัดห้องเสร็จ” เธอถามเขา
“โอ ใช่แล้ว” ผู้อาวุโสเจ้าสุดท้ายก็นึกได้ และเขาแสดงขวดแก้วในมือเขาให้กับเธอ “ข้าต้องการให้เจ้าช่วยดูสิ่งนี้หน่อย”
“ซุนจิงจิงเลิกคิ้วเมื่อจมูกเธอพลันได้กลิ่นหอมหวานมาจากขวดแก้วนั้นโดยบังเอิญ
“นี่คืออะไร กลิ่นมันช่างดีจัง…”
“ของเหลวนี้เรียกว่าน้ำมันรัญจวน และมีคุณสมบัติที่สามารถเพิ่มพูนปราณหยินของหญิง ตามที่ชายหนุ่มตรงนี้บอกไว้”
ผู้อาวุโสเจ้าพูดด้วยเสียงกึ่งเสียดสี เห็นชัดว่าเขายังคงพูดตามที่ซูหยางกล่าวไว้อย่างห้วนๆ
“อย่างนั้นรึ…” ซุนจิงจิงตรวจสอบของเหลวนั้นด้วยสายตาเป็นประกายด้วยความสนใจ
แม้ว่าเธอไม่ได้พูดอะไรออกมา เธอก็ไม่ได้มองข้ามคำพูดของซูหยางในทันทีไม่ว่ามันจะฟังดูไร้สาระก็ตาม ว่าไปแล้วสิ่งที่เขาทำที่อาคารควบคุมกฏได้สร้างความประทับใจลึกล้ำให้กับเธอ
และความรู้ของเขาในภาษาศักดิ์สิทธิ์ที่เขียนไว้ในแผ่นกระดาษที่เธอได้นำกลับมาจากสุสานเซียน ไม่เพียงทำให้เธอประหลาดใจ แต่กระทั่งกดดันปู่ของเธอ ผู้อาวุโสซุน ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นคนที่มีความรู้มากที่สุดคนหนึ่งภายในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย พิสูจน์ให้เห็นว่าซูหยางเป็นคนที่ไม่อาจดูหมิ่นหรือมองข้ามไปได้ง่ายๆ อย่างน้อยนี่ก็เป็นสิ่งที่ซุนจิงจิงคิดเกี่ยวกับเขาหลังจากที่เธอประทับใจเขาในครั้งแรก
“ท่านต้องการให้ข้าใช้น้ำมันนี้กับตัวข้าเองรึ” ซุนจิงจิงสามารถคาดเดาเจตนาของผู้อาวุโสเจ้าได้
“ใช่…ถ้าเจ้ามิถือ” ผู้อาวุโสเจ้าไม่ต้องการที่จะบีบบังคับเธอทำสิ่งที่เธอไม่ต้องการทำ ในเมื่อเธอเป็นหลานสาวของผู้ที่ได้รับความนับถืออย่างสูง ผู้อาวุโสซุน
หลังจากนิ่งเงียบไปชั่วขณะ ซุนจิงจิงก็พยักหน้า “เช่นนั้นก็ดี ข้าจักทำตามนั้น”
DC บทที่ 230: กลับไปที่คลังมุกพิสุทธิ์
“ข-ของเขา…ช่างสวยงาม…” หลี่เซียวโม่เกือบน้ำลายหกเมื่อซูหยางเผยน้องชายให้เธอเห็น
“เจ้าต้องการมันไหม” ซูหยางถามเธอพร้อมกับฉีกยิ้ม
“ข…ข้าต้องการ..” หลี่เซียวโม่พยักหน้าด้วยท่าทางตื่นตะลึง
ได้ยินคำกล่าวของเธอ ซูหยางดึงร่างเธอไปหาตัวเองและเริ่มทิ่มถ้ำสวาทแฉะฉ่ำของเธอด้วยดุ้นของเขาโดยยังไม่เข้าไปข้างในตัวเธอ
“ข้าขอร้อง…หยุดหยอกข้าและสอดใส่มันเข้าไปในตัวข้าด้วยเถอะ…” หลี่เซียวโม่พึมพัมด้วยเสียงอ้อนวอน
“อืมมม…ข้าควรทำยังไงต่อไป…” ซูหยางทำท่าทางครุ่นคิดและทำราวกับว่าเขากำลังคิดเช่นนั้นอย่างจริงจัง
หลี่เซียวโม่รู้สึกอยากร้องไห้ แต่ทว่าเธอยอมให้เขาหยอกล้อเธอดีกว่าให้เหตุการณ์ครั้งนั้นย้อนคืนกลับมาอีกครั้ง
หลังจากหยอกล้อเธอชั่วขณะ ซูหยางก็ทิ่มแทงดอกไม้ที่สั่นสะท้านตรงหน้าเขาด้วยการเคลื่อนไหวที่รุนแรงโดยไม่มีการเตือนใดๆ
หลี่เซียวโม่รู้สึกเหมือนใจจะขาดเมื่อคลื่นความสุขท่วมท้นร่างของเธออย่างกระทันหัน เธอไม่ทันได้เตรียมตัวกับการทิ่มแทงเข้าไปในร่างของเธอจนเสียงของเธอชะงักขณะกำลังครวญคราง
“ช-ช-ช่างกระทันหัน…”
หลี่เซียวโม่น้ำตาคลอเบ้าแต่ร่างของเธอกลับกรีดร้องไปด้วยความพึงพอใจขณะที่น้องสาวของเธอพ่นน้ำรักออกมาเป็นจำนวนมาก
หลังจากทิ่มเข้าไปในร่างเธอ ซูหยางก็เริ่มขยับสะโพกเข้าออกภายในถ้ำคับแน่นของหลี่เซียวโม่ รู้สึกได้ถึงแรงดูดรุนแรงทุกการเข้าออก
“อาาา อาาาา อาาาาาง”
ทุกการทิ่มทะลวงของซูหยาง ร่างของหลี่เซียวโม่ก็สั่นสะท้านไปด้วยความสุขสมและปราณหยินของเธอก็ไหลทะลักออกมาจากถ้ำฉ่ำแฉะ ปราณหยินเปียกปอนไปทั่วเตียง
ในเวลานั้น หลี่เซียวโม่รู้สึกเหมือนกับว่าร่างของเธอก้าวล่วงสู่สรวงสวรรค์ จิตใจของเธอเคลื่อนสู่สภาวะอันลึกล้ำไม่เหมือนกับสิ่งที่เธอเคยพานพบมาก่อน
“หรือ..หรือนี่คือสภาวะการตื่นรู้ทางเพศในตำนาน” หลี่เซียวโม่คิดสงสัยขณะที่ร่างของเธอพลันเบาดุจขนนก รู้สึกเหมือนกับว่าร่างของเธอค่อยลอยล่องขึ้นสู่ท้องฟ้า
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วสำหรับหลี่เซียวโม่เมื่อเธออยู่ในสถานะนี้ และเมื่อเวลาผ่านไปนับชั่วโมง เธอกลับรู้สึกเหมือนกับว่ามันผ่านไปเพียงไม่กี่นาที
ซูหยางปล่อยของเหลวสีขาวเข้าไปในร่างของหลี่เซียวโม่ตอนสุดท้ายของกระบวนการ เติมเต็มร่างของเธอด้วยปราณหยางที่กระทั่งผู้เชี่ยวชาญเขตอำพรวิญญาณยังต้องแย่งชิง
หลังจากที่การร่วมฝึกคู่ของพวกเขาเสร็จสิ้นโดยหลี่เซียวโม่ครองสติไว้อย่างเต็มฝืนในตอนสุดท้าย ซูหยางก็กล่าวกับเธอก่อนที่จะปล่อยให้เธอได้พักว่า “ยามเมื่อเจ้าเสร็จงานที่ข้ากำหนดให้ ประตูบ้านข้ายินดีเปิดต้อนรับหากเจ้ารู้สึกต้องการร่วมฝึกคู่”
เมื่อเธอได้ยินคำพูดของเขา หลี่เซียวโม่สาบานอย่างเงียบๆที่จะทำงานนี้ให้เสร็จโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
“ข้าจักทิ้งน้ำมันรัญจวนไว้ห้าขวด นั่นควรจะเพียงพอกระทั่งคนนับร้อยถ้าเจ้าจัดการมันอย่างเหมาะสม โดยเจ้ามิจำเป็นต้องทาน้ำมันทั่วกายของพวกเธอดังเช่นที่ข้าทำกับเจ้า เพียงแค่ลูบมันลงไปเล็กน้อยบนส่วนที่อ่อนไหวที่สุดซึ่งพวกเธอย่อมได้รับประสบการณ์อย่างเพียงพอ”
หลังจากที่ให้คำแนะนำทั้งหมดแล้ว ซูหยางก็ออกจากที่พักของหลี่เซียวโม่และกลับไปยังห้องของตนเองเพื่อดูดซับปราณหยินของหลี่เซียวโม่และชำระร่างกาย
หลังจากทำทุกอย่างเหล่านั้นแล้ว ซูหยางก็จัดแจงทรัพยากรของเขาอีกครั้ง
“ข้าเหลือน้ำมันรัญจวนในมือเพียงสิบกว่าขวด แต่ข้ายังคงมีวัตถุดิบที่จะทำได้อีกยี่สิบกว่าขวด”
แต่ละขวดของน้ำมันรัญจวนบรรจุน้ำมันไว้ประมาณหนึ่งลิตร และหากใช้อย่างเหมาะสมนั่นก็พอให้เขาใช้ได้อีกเพียงสองอาทิตย์
ดังนั้นซูหยางตัดสินใจที่จะใช้น้ำมันรัญจวนเฉพาะเมื่อเขาฝึกร่วมกับผู้ที่อย่างน้อยอยู่ในเขตคัมภีร์วิญญาณระดับกลางขึ้นไป
กล่าวอีกนัยหนึ่งมีเพียงผู้ที่อยู่เหนือกว่าระดับสี่ของเขตคัมภีร์วิญญาณที่จะสามารถได้รับประสบการณ์การนวดน้ำมัน อย่างน้อยจนกว่าเขามีทรัพยากรเพียงพอที่จะผลิตน้ำมันรัญจวนได้เพียงพอ
“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยควรจะมีวัตถุดิบเกือบทั้งหมดที่จำเป็นต่อการผลิตมากกว่านี้ ในเมื่อวัตถุดิบล้วนไม่ใช่ของหายาก อย่างไรก็ตามในการที่จะได้พวกมันมา ข้าจักต้องใช้แต้มสำนักมากกว่านี้”
อย่างไรก็ตามเขาแทบจะไม่มีแต้มเหลือเพราะว่าเขาได้ใช้แต้มสำนักส่วนใหญ่ไปกับดอกหยางพิสุทธิ์ไปแล้ว
ซูหยางครุ่นคิดถึงวิธีที่จะได้รับแต้มสำนัก แต่เพราะว่าเขาไม่ได้สิ้นหวังในการเพิ่มพูนความแข็งแกร่งเหมือนครั้งก่อน เขาจึงไม่มีความคิดที่จะคิดเงินผู้คนสำหรับการนวดในอนาคต
ซูหยางมองดูน้ำมันรัญจวนและความคิดหนึ่งก็เกิดขึ้นในใจ
“ถ้าข้าขายน้ำมันรัญจวนขวดหนึ่งให้กับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเพื่อให้ได้แต้มสำนักมากพอที่จะผลิตน้ำมันรัญจวนให้ได้มากกว่าเพียงแค่หนึ่งขวด ข้าจักสามารถทำพวกมันได้โดยไม่สิ้นเปลืองทรัพยากร”
ซูหยางได้ตัดสินใจที่จะขายน้ำมันรัญจวนแลกกับแต้มสำนักเนื่องมาจากประสิทธิภาพและความสะดวกสบายของมัน
ดังนั้นซูหยางจึงออกจากบ้านอีกครั้งและเริ่มเดินทางไปยังคลังมุกพิสุทธิ์ สถานที่ที่เหล่าศิษย์ไปเพื่อแลกเปลี่ยนแต้มสำนักกับทรัพยากรหรือกลับกัน
เมื่อไปถึงคลังมุกพิสุทธิ์แล้ว ซูหยางสังเกตเห็นร่างที่คุ้นเคยนั่งอยู่อย่างสบายหลังโต๊ะ
นั่นก็คือผู้อาวุโสเจ้า ผู้ที่ขายดอกหยางพิสุทธิ์ให้กับซูหยาง และดังเช่นปกติ เขาเหมือนกับว่ากำลังหลับอยู่
ยามเมื่อซูหยางก้าวเข้าไปในคลังมุกพิสุทธิ์ ผู้อาวุโสเจ้าก็เปิดปากพูดขึ้นโดยไม่แม้จะลืมตา “เจ้าต้องการอะไรจากคลังมุกพิสุทธิ์
“ข้าต้องการทราบว่าท่านมีวัตถุดิบตามในรายการนี้บ้างหรือไม่” ซูหยางวางกระดาษหนึ่งแผ่นลงไปบนโตะหน้าผู้อาวุโสเจ้า
“อืม… เสียงนี้…”
ผู้อาวุโสเจ้าลืมตาขึ้นเมื่อได้ยินเสียงอันคุ้นเคยของซูหยางและจดจำได้ในทันที
เมื่อเขาเห็นใบหน้าหล่อเหลาของซูหยางพร้อมกับชุดเขียว ผู้อาวุโสเจ้าก็ถอนใจ “เป็นเจ้าจริงๆ… ทำไมครานี้เจ้าจึงมาที่นี่”
“ท่านมิได้ยินที่ข้าพูดเมื่อกี้รึ” ซูหยางตอบอย่างเยือกเย็น
“ฮึ่ม ยังคงหยาบคายเหมือนเดิม” ผู้อาวุโสเจ้าแค่นเสียงเย็นชา
DC บทที่ 229: ทำให้เธอเป็นทาสทั้งกายและใจ
“น..นวดเป็นพิเศษอย่างนั้นรึ” หลี่เซียวโม่มองดูซูหยางด้วยใบหน้าสับสน เธอร่ำร้องในใจว่า “ทำไมเจ้าไม่พูดมาตั้งแต่ต้น”
ซูหยางพยักหน้า “นวดโดยใช้น้ำมันรัญจวนนี้ สุดท้ายอย่างน้อยเจ้าต้องรู้เรื่องสิ่งที่เจ้าต้องการเผยแพร่เสียก่อน”
“แต่ถ้าเจ้ามิต้องการทำ เช่นนั้นข้าคงต้องไปแล้ว–”
ซูหยางยืนขึ้นและเตรียมตัวจากไป
แต่เพียแค่เขาหันกาย หลี่เซียวโม่ก็กระโดดมาจากเก้าอี้เธอและกอดหลังเขาไว้แน่น
“ร-รอก่อน ข้าต้องการ โปรดมอบมันให้ข้า” เธอร้องขอเขาขณะที่กอดร่างของเขาไว้ไม่ให้เขาไป
“เช่นนั้นก็ดี…” ซูหยางพยักหน้า
หลังจากนั้นไม่นาน หลี่เซียวโม่ก็พาซูหยางเข้าห้องของเธอ ซึ่งใหญ่กว่าห้องเล็กของซูหยางที่เขตศิษย์นอกไม่ต่ำกว่าสามเท่า
“ไปนอนบนเตียง” ซูหยางกล่าวกับเธอ “และถอดเสื้อผ้าออก”
หลี่เซียวโม่พยักหน้าและเริ่มถอดเสื้อผ้า
สองสามวินาทีถัดไป หลี่เซียวโมนอนคว่ำบนเตียงเผยให้เห็นผิวเรียบเนียนประดุจไหม
“นี่ทำให้ข้านึกถึง…” ซูหยางพลันกล่าวขึ้น “เจ้าพยายามทำทุกอย่างเมื่ออยู่ในห้องข้าคนเดียวจริงๆใช่ไหม”
“หือ ท่านหมายความว่าอะไรเช่นนั้น—”
หลี่เซียวโม่พลันนึกถึงการพบกันครั้งแรกและเรื่องที่ซูหยางได้ปล่อยเธอทิ้งไว้คนเดียวให้จัดการกับความหื่นกระหายที่เขาทิ้งไว้ในร่างเธอ
และฉากย้อนหลังที่เธอช่วยตัวเองภายในห้องซูหยางก็ปรากฏขึ้นในใจ ทำให้ใบหน้าเธอแดงด้วยความอาย
“น-นั่นเป็นเพราะว่าท่านทิ้งข้าไว้เพียงคนเดียวหลังจากสิ่งที่ท่านทำไว้กับตัวของข้า ข้าคงต้องกลายเป็นบ้าถ้าข้ามิปลดปล่อยความกระหายของร่างข้าหลังจากนั้น” หลี่เซียวโม่ร้องลั่น
“ถ้าเจ้าเข้าไปหาข้าด้วยท่าทีที่เหมาะสมตอนนั้น ข้าก็คงมิจำเป็นต้องแกล้งเจ้าแบบนั้น” ซูหยางตอบพร้อมรอยยิ้ม
หลี่เซียวโม่พลันเงียบไป เธอยังคงเสียใจการตัดสินใจที่จะทำให้ซูหยางเป็น “ทาส” เธอในวันนั้นจนถึงวินาทีนี้
แต่ถึงแม้ว่าเธอไม่เคยดูแคลนความสามารถของเขาว่าเป็นเพียงศิษย์นอก แต่ทัศนคติของเธอก็ยังต้องการเก็บซูหยางไว้เป็นของเธอ
“ข…ข้ารู้ว่าคำขอโทษมิอาจลดโทษต่อพฤติกรรมของข้าวันนั้นได้ แต่ข้าจักพยายามให้ดีที่สุดเพื่อที่จะตามใจท่านในอนาคต” หลี่เซียวโม่มองดูตาเขาและกล่าวอย่างจริงใจ
ซูหยางไม่ได้พูดอะไร เขาเริ่มเทน้ำมันรัญจวนลงบนหลังของเธอ
“โอ…” หลี่เซียวโม่รู้สึกถึงความอบอุ่นค่อยโอบอุ้มร่างเธอไว้ ราวกับว่าเธอถูกห่อหุ้มอยู่ในผ้าห่มอันอบอุ่น
ซูหยางพลันเริ่มลูบน้ำมันไปทั่วหลังเธอ นวดทุกตำแหน่งที่ไวต่อการสัมผัสตลอดทาง
“อาาาาา…นี่…ข้าได้รอคอยสิ่งนี้มาตลอดนับตั้งแต่วันนั้น…” หลี่เซียวโม่คิดในใจ เมื่อประสบการณ์ครั้งแรกของเธอกับกลเม็ดของซูหยางผ่านเข้ามาในใจ
นับตั้งแต่ซูหยางใช้กลเม็ดของเขาบนร่างเธอ หลี่เซียวโมได้พยายามทุกสิ่งเพื่อที่จะสร้างความพึงพอใจดังเช่นที่ซูหยางทำให้ร่างเธอได้รู้สึกขึ้นมาใหม่ แต่อนิจจา ไม่ว่าเธอจะพยายามทำอย่างไร ทั้งหมดล้วนเปล่าประโยชน์ กลับยิ่งทำให้ร่างของเธอกระหายมากยิ่งขึ้น
ความปรารถนาที่จะเสพสมได้เลวร้ายลงจนถึงขั้นที่หลี่เซียวโม่ไปยังเขตศิษย์หลักเพื่อหาคำตอบ แต่เมื่อกระทั่งศิษย์หลักผู้ที่เชี่ยวชาญที่สุดในศาสตร์แห่งความสุขภายในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิส้ยก็ไม่อาจทำให้ดับความกระหายที่จะเสพสมของเธอได้เต็มที่ สุดท้ายหลี่เซียวโม่ก็ตระหนักถึงความสามารถที่แท้จริงของซูหยางว่ากลเม็ดของเขาน่าหวาดหวั่นเพียงใด
เธอได้ตระหนักในเวลานั้นว่าซูหยางมีความสามารถในการทำให้หญิงคนใดก็ตามกลายเป็นทาสทั้งกายและใจโดยการทำให้พวกเธอประสบกับความสุขชนิดที่ว่าพวกเธอได้แต่กระหายอยากหลังจากที่ได้ประสบเช่นนั้นสักครั้ง และครั้นเมื่อพวกเธอได้รับมัน พวกเธอจะไม่มีวันที่จะสามารถสร้างความพึงพอใจให้ตัวเองได้อีกนอกจากซูหยางเท่านั้น
ความสามารถที่น่าหวาดหวั่นเช่นนี้หมายความว่าซูหยางมีความสามารถที่จะทำให้หญิงสาวคนใดก็ตามกลายเป็นทาสได้ตามที่เขาปรารถนา เพียงแต่ใช้กลเม็ดอันศักดิ์สิทธิ์ของเขาเท่านั้น และนั่นทำให้หลี่เซียวโม่ใจหายเมื่อไหร่ก็ตามที่เธอคิดย้อนกลับไปถึงยามเมื่อเธอพยายามทำให้คนที่น่าหวาดหวั่นเช่นนั้นเป็นทาสของเธอ
แต่เธอยังโชคดี ซูหยางไม่ใช่คนที่ใช้ความแข็งแกร่งไปในทางที่ผิดนอกจากว่าจำเป็นอย่างถึงที่สุด ในขณะที่เขาทำให้คู่ฝึกของเขาทุกคนปรารถนาในตัวเขา เขาก็ไม่ได้ทำจนถึงขั้นที่ว่าพวกเธอไม่สามารถอยู่ต่อไปได้หากขาดกลเม็ดของเขา
ถ้าซูหยางเป็นคนเช่นนั้น เช่นนั้นเขาคงถูกเกลียดชังไปทั้งโลกและคงตกตายภายใต้น้ำมือของหญิงผู้เชี่ยวชาญมากมายที่แข็งแกร่งกว่าเขาในสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ก่อนที่เขาจะทันได้ถูกคุมขังโดยจักรพรรดิสวรรค์
ยามเมื่อซูหยางทาน้ำมันรัญจวนไปทั่วหลังของหลี่เซียวโม่แล้ว เขาก็พลิกตัวเธอและเริ่มนวดด้านหน้าของเธอ
“อาาา…”
“อืมม…”
“งืออออ..”
ร่างของหลี่เซียวโม่บิดไหวด้วยท่าทางไม่อาจคาดเดา ในเมื่อซูหยางหยอกล้อน้องสาวของเธอด้วยนิ้วเรียวของเขา กลีบแคมของเธอขยายตัวจากความหื่นกระหาย ไข่มุกสีชมพูเม็ดเล็กของเธอสั่นสะท้านอย่างต่อเนื่องจากความรู้สึกเร่าร้อนรุนแรง
หลี่เซียวโม่ได้ปลดปล่อยหลายต่อหลายครั้งภายในเวลาไม่กี่นาทีนี้จนสภาพจิตใจเธอเกือบล้มเหลว
และเมื่อเปรียบเทียบกับกิจกรรมครั้งก่อนกับเขา นี่ช่างแตกต่างเหมือนกับสวรรค์และพิภพ เปรียบเทียบกันไม่ได้แม้แต่น้อย
ซูหยางหยุดนวดเธอหลังจากผ่านไปไม่กี่นาที
“ฮาาา…ฮาาาา…ฮาาาา…” หลี่เซียวโมถือโอกาสหอบหายใจลึกหนักขณะที่เธอนอนลงบนเตียงด้วยร่างที่ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อและน้ำมันรัญจวน ร่างกายท่อนล่างของเธอยังคงกระตุกจากความสุขสมที่ยังคงหลงเหลืออยู่
“จ-จบเท่านี้หรือ…” หลี่เซียวโม่คิดสงสัยในใจ รู้สึกเหมือนกับว่าเวลาเพิ่งผ่านไปเพียงสองสามวินาที
หลี่เซียวโม่ค่อยหันศีรษะไปดูว่าซูหยางกำลังทำอะไรอยู่ ดวงตาของเธอพลันเบิกค้างด้วยความตระหนกเมื่อสายตาของเธอกระทบเข้ากับแท่งที่ทั้งยาวและใหญ่ที่ยื่นออกมาจากชุดคลุมของซูหยาง
“เจ้ามิคิดว่าจะเป็นสิ่งนี้ ใช่ไหม” ซูหยางถามเธอด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
“น-นั่นเป็น…” หลี่เซียวโม่จ้องมองดูเขาด้วยใบหน้าตื่นตะลึง เธอทั้งอับจนถ้อยคำและเปี่ยมล้นด้วยความสุขไปพร้อมๆกัน
DC บทที่ 228: น้ำมันรัญจวน
เมื่อซูหยางถูกปฏิเสธในทันใดจากหลี่เซียวโม่ ศิษย์ชายทั้งสี่ตรงนั้นต่างพากันหัวเราะเยาะเขาในใจ เมื่อเห็นคนอื่นร่วมประสบชะตากรรมเดียวกัน ซึ่งพอช่วยประทังความเจ็บปวดในใจพวกเขาไปได้บ้าง
“หมู หือ ข้ามิคิดว่าข้าจะถูกเรียกว่าหมูมาก่อน” ซูหยางตรงเข้าไปหาพวกเขาพร้อมทั้งรอยยิ้มเยือกเย็นบนใบหน้า
“ด-ด-เดี๋ยวก่อน ข-ข้ามิรู้ว่านั่นเป็นท่าน” หลี่เซียวโม่ผิวหน้าพลันซีดเมื่อตระหนักว่าคนที่เธอเพิ่งด่าไปกลายเป็นคนคนนั้น ซูหยาง
“ไม่มีปัญหา…ข้าเข้าใจ..เจ้ามิต้องการข้าที่นี่…” ซูหยางทำทีเหมือนว่าใจสลายกับการตอบสนองของหลี่เซียวโม่ก่อนหน้านี้ “ข้าจักจากไปเดี๋ยวนี้…”
อย่างไรก็ตามแม้ว่าเขาจะพูดเช่นนั้น เขาก็ยังมุ่งตรงเข้าไปหาเธอ
“น-นั่นไม่จริง ข้าได้คอยพบท่านมาตั้งนาน” หลี่เซียวโม่เกือบร้องไห้ในเวลานี้ เมื่อคิดว่าการรอคอยที่แสนนานเพื่ออยู่ร่วมกับซูหยางเปลี่ยนเป็นหายนะ
ศิษย์ชายทั้งสี่ที่นั่นจ้องมองพวกเขาทั้งคู่ด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อนบนใบหน้า ไม่มีใครในหมู่พวกเขาสามารถเข้าใจสถานการณ์นี้ได้ ทำไมหลี่เซียวโม่มีท่าทางเช่นนี้หลังจากเรียกซูหยางว่าเป็นหมู และที่สำคัญกว่านั้น ซูหยางบ้านี่เป็นใครและเขามีความสัมพันธ์อะไรกับหลี่เซียวโม่
และถ้าซูหยางเป็นคนสำคัญสำหรับหลี่เซียวโม่ เช่นนั้นทำไมจึงไม่มีใครในหมู่พวกเขาเลยสักคนที่รู้จักคนนี้
“เจ้ามั่นใจเช่นนั้นรึ” ซูหยางไม่สนใจศิษย์ทั้งสี่ที่ยืนอยู่ตรงนั้นจ้องมองดูเขาราวกับคนโง่ เขาเดินผ่านคนเหล่านี้ ไม่แม้จะชายตาไปหาขณะเดินผ่าน
“ถ้าสิ่งที่เจ้าพูดเป็นความจริง เช่นนั้นทำไมเจ้ามิพิสูจน์ให้ข้ารู้…ภายในนั้นล่ะ” ซูหยางยืนต่อหน้าหลี่เซียวโม่แลพูดขึ้น
“ด-ได้โปรด…เข้ามาข้างใน…” หลี่เซียวโม่ก้าวเข้าไปในบ้านเพื่ออนุญาตให้ซูหยางเข้าไปได้
ยามเมื่อซูหยางเข้าไปในบ้านแล้ว หลี่เซียวโม่หันไปมองดูศิษย์ทั้งสี่ด้วยการหรี่ตาและกล่าวด้วยเสียงเย็นชา “ข้าจักตัดลึงค์เจ้าออกถ้าเจ้ามารบกวนพวกเรา ไปให้พ้น”
เธอกระแทกประตูปิด ปล่อยให้ศิษย์ทั้งสี่ยืนอยู่ข้างนอกด้วยท่าทางเหม่อมองอย่างโง่งม
ปล่อยผ่านไปกับถ้อยคำหยาบคายของหลี่เซียวโม่ แต่กระทั่งวิธีที่เธอมองดูพวกเขาเหมือนกับว่าเธอกำลังมองดูอาจม เป็นเหตุให้หัวใจของพวกเขาตกวูบเหมือนกับลูกเหล็กที่ถูกทิ้งจากที่สูง ทำลายความหวังทั้งหมดของพวกเขาในการที่จะร่วมฝึกกับเธอด้วยการกวาดตามองเพียงครั้งเดียว
หลังจากปิดประตูแล้ว หลี่เซียวโม่พาเขาไปหาที่นั่งและกระทั่งยังชงชามาบริการ
“อ-อะไรที่ทำให้ท่านมาถึงที่นี่วันนี้ ศิษย์น้องชาย”
“ศิษย์น้องชายเช่นนั้นรึ” ซูหยางยิ้ม
หลี่เซียวโม่ท่าทางชะงักค้าง และเธอรีบแก้คำพูด “ข้าขอโทษ นายท่าน…”
ซูหยางเลิกคิ้ว “ใครให้เจ้าเรียกนายท่านกัน ข้าจำมิได้ว่าเคยรับเจ้าเป็นศิษย์หรือคนรับใช้มาก่อน”
“เอ๋ แต่เมื่อกี้ท่านเพิ่ง…” หลี่เซียวโม่มองดูเขาด้วยดวงตากลมโต ถ้าเขามิรำคาญที่เธอเรียกเขาเป็นศิษย์น้องชาย เช่นนั้นทำไมเขาจึงมีท่าทางเหมือนกับว่าเขาขุ่นเคืองกับถ้อยคำนั้น
“ลืมเรื่องเล็กน้อยไปซะแล้วเรามาพูดถึงเรื่องที่ว่าทำไมข้าจึงมาที่นี่ในวันนี้” ซูหยางนำเอาขวดแก้วออกมาจากชุดและวางมันลงบนโต๊ะตรงหน้าเขา
“นั่นคืออะไร” หลี่เซียวโม่ถามเขาหลังจากที่เห็นขวดแก้วที่ดูเหมือนบรรจุของเหลวใสบางอย่าง
“นี่คือวัตถุที่สร้างขึ้นมาเป็นพิเศษ เรียกว่า น้ำมันรัญจวน ถ้าเจ้าลูบมันลงบนร่างเจ้า มันจะเพิ่มความแข็งแกร่งของปราณหยินของเจ้าและเพิ่มพูนความสุขสมมากยิ่งขึ้น”
“น-น้ำมันรัญจวน” หลี่เซียวโม่ตะลึง
เธอไม่เคยได้ยินบางสิ่งเช่นนี้มาก่อนและมั่นใจว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็คงไม่มีสมบัติที่มหัศจรรย์เช่นนี้เช่นกัน
“ท่านได้สิ่งนี้มาจากไหน นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยต้องบ้าคลั่งแน่ถ้าพวกเขารู้เรื่องสิ่งนี้”
“สิ่งนี้มาจากไหนไม่สำคัญ” ซูหยางกล่าว
“เช่นนั้นท่านต้องการอะไรจากข้า เมื่อดูว่าท่านแสดงให้ข้าเห็น ข้าเดาว่าท่านต้องการให้ข้าทำอะไรบางอย่างกับสิ่งนี้” เธอถามเขา
“ใช่แล้ว” เขาพยักหน้าและกล่าวต่อว่า “ข้าต้องการให้เจ้านำเอาน้ำมันรัญจวนขวดนี้ไปร่วมแบ่งปันกับเพื่อนของเจ้ามากมายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
“ท-ท่านต้องการให้ข้าแบ่งปันน้ำมันรัญจวนกับคนอื่น ท่านมิกลัวว่านิกายจะตามหาท่านหลังจากนี้รึ” เธอถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
“มิต้องกังวลเกี่ยวกับนิกาย เพราะว่าข้ามีเจตนาเข้าเยี่ยมผู้นำนิกายหลังจากนี้” ซูหยางกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“ย-อย่างนั้นรึ… เช่นนั้นเราควรทำอย่างไรต่อไปหลังจากที่แบ่งปันมันแล้ว”
“เจ้าจักรู้เองหลังจากที่แบ่งปันแล้ว” เขาตอบ
“ข้าเข้าใจ…” เธอพยักหน้าแม้ว่าจะยังคงไม่เข้าใจอย่างแท้จริงนัก
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ หลี่เซียวโม่ก็มองดูซูหยางด้วยท่าทางเกรงใจและถามเขาว่า “อืมม…มีอะไรอีกไหมที่ท่านต้องการจากข้า”
แม้ว่าจะถูกซุกซ่อนไว้ใต้โต๊ะ หลี่เซียวโม่ก็ขยับนิ้วไปมาไม่อยู่สุข ในเมื่อเธอคาดหวังให้ซูหยางมีเจตนาอย่างอื่นในการมาหาเธอในวันนี้ด้วย
“อืมมม อะไรที่ทำให้เจ้าคิดเช่นนั้น” ซูหยางถามพร้อมรอยยิ้มลึกลับ
หลี่เซียวโม่ใบหน้าแดงขึ้นเล็กน้อยและกล่าวว่า “เรื่องที่ท่านพูดไว้ก่อนหน้านี้…”
ปกติแล้วเธอจะไม่พูดอ้อมค้อมเมื่อกล่าวถึงความในใจเธอเหมือนเมื่อตอนที่เธอเฉดไล่ศิษย์สี่คนด้านนอกไป แต่หลี่เซียวโม่พบว่ามันยากเป็นพิเศษที่จะกล่าวแม้จะเพียงคำเดียวโดยไม่มีความอายเมื่อพูดกับซูหยาง
มองดูปฏิกิริยาของหลี่เซียวโม่ ซูหยางหัวเราะหึและกล่าวว่า “อย่ากังวล ข้ามิมีเจตนาที่จะให้เจ้าทำงานโดยไม่มีค่าตอบแทน”
“ข-ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น” เธอรีบพูด “ข้ายินดีที่จะทำงานนี้ฟรี”
“เจ้ามั่นใจเช่นนั้นรึ” ซูหยางยิ้ม “ข้ากำลังคิดที่จะนวดให้เจ้าเป็นพิเศษเป็นค่าตอบแทน…”
ท่าทางของหลี่เซียวโม่ชะงักค้างเมื่อได้ยินคำนั้น อีกครั้งที่เธอพูดออกมาเร็วเกินไป
DC บทที่ 227: โน้มน้าวหลี่เซียวโม่ให้ร่วมฝึกคู่
ซูหยางตื่นแต่เช้าและออกจากบ้านทันทีที่ล้างหน้าเสร็จ
หลังจากออกบ้าน เขาก็ตรงไปยังเขตศิษย์ในเพื่อมองหาหลี่เซียวโม่ ศิษย์ในเพียงคนเดียวที่เขาคุ้นเคย
เมื่อเข้าไปในเขตศิษย์ใน ซูหยางก็นำเอาป้ายหยกประจำตัวออกและมองหาที่พักของหลี่เซียวโม่จากในนั้น ในเมื่อป้ายจะบรรจุข้อมูลของสถานที่พักของศิษย์นอกและศิษย์ในทุกคน อย่างไรก็ตามวิธีการเช่นนี้จะสามารถใช้ได้แต่ศิษย์ในขึ้นไปเท่านั้น
เจตนาของวิธีการนี้ก็เพื่อที่จะยอมให้เหล่าศิษย์ค้นหาศิษย์คนอื่นเพื่อที่จะร่วมฝึกคู่ด้วยถึงแม้ว่าพวกเขาและเธอจะไม่เคยพบอีกฝ่ายมาก่อน นี่จะทำให้ศิษย์ที่ปรารถนาที่จะหาคู่ฝึกคนใหม่มีโอกาสที่จะทำเช่นนั้น ยิ่งไปกว่านั้นมันทำให้เกิดความสะดวกสบาย
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าซูหยางไร้คู่ไม่ว่าจะเหตผลใดก็ตามและต้องการจะหาคนใหม่แต่ก็ยากลำบากที่จะทำเช่นนั้น เขาสามารถใช้ป้ายหยกเพื่อค้นหาผู้คนและพยายามโน้มน้าวพวกเธอมาเป็นคู่ฝึกของเขาได้
ตามความเป็นจริงศิษย์ในหลายคนใช้วิธีการนี้เพื่อค้นหาคู่ฝึกคนใหม่เมื่อพวกเขาและเธอเบื่อกับคนปัจจุบัน ถ้าพวกเขาและเธอล้มเหลวเป้าหมายแรก พวกเขาและเธอก็สามารถไปยังเป้าหมายต่อไปได้อย่างง่ายดาย
และถึงแม้ว่าจะมีบางคนไม่ปลื้มกับระบบนี้ เพราะว่ามันสร้างความรำคาญให้ในบางครั้งด้วยผู้คนล้วนตามหาพวกเขาหรือเธอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งศิษย์ที่ได้รับความนิยมที่มีคู่ฝึกหลายคนอยู่แล้ว พวกเขาและเธอก็สามารถร้องของให้ปกปิดข้อมูลของตนเองจากคนอื่นได้ตลอดเวลา
หลังจากเดินไปยังเขตศิษย์ในได้สองสามนาที ซูหยางก็ไปถึงที่พักของหลี่เซียวโม่
ยามเมื่อไปถึง อย่างไรก็ตาม ซูหยางก็พบว่าเขาไม่ได้เป็นคนเดียวที่มาตามหาหลี่เซียวโม่ ตามจริงที่นั่นมีศิษย์ชายอยู่สองสามคนแล้วที่มาถึงก่อนหน้าเขาเพื่อที่จะพยายามเสี่ยงโชคกับหลี่เซียวโม่
ชายหนุ่มรูปงามสี่คนยืนอยู่ตรงหน้าที่พักของหลี่เซียวโม่ โดยมีหลี่เซียวโม่อยู่ตรงประตูพูดคุยกับพวกเขา
“ศิษย์น้องหญิงหลี่ เจ้าสามารถบอกเหตุผลกับข้าสักนิดได้หรือไม่ว่าทำไมเจ้าไม่ต้องการที่จะร่วมฝึกคู่กับข้า ข้าสัญญาเจ้าว่าข้าจักทำให้เจ้าได้รู้จักโลกใบใหม่แห่งความสุข”
หนึ่งในชายหนุ่มรูปงามกล่าวด้วยความผิดหวัง
ถ้าเขาไม่โน้มน้าวหลี่เซียวโม่ เช่นนั้นหนึ่งในสามคนที่เหลืออาจจะพาเธอไปจากเขา
อย่างไรก็ตามหลี่เซียวโม่จ้องมองไปยังชายหนุ่มด้วยสายตาเย็นชาและกระชากเสียงว่า “เจ้าต้องการที่จะรู้ว่าทำไมนะรึ ง่ายมาก ข้ามิต้องการร่วมฝึกวิชากับชายที่ไม่สามารถรักษาสัญญาได้”
หลังจากที่ได้เรียนรู้ถึงกลเม็ดเคล็ดวิชาระดับพระเจ้าของซูหยาง มาตรฐานของหลี่เซียวโม่ในความพึงใจก็เพิ่มสูงขึ้นไปอีกสองสามระดับ ดังนั้นการหาคู่ฝึกที่สามารถเติมเต็มความปรารถนาของเธอนั้นจึงกลายเป็นสิ่งที่ยากมากแม้กระทั่งชายเหล่านี้ทั้งหมดจะมาให้เธอเลือก
“เจ้าหมายความว่าอะไร ข้าจะเติมเต็มคำสัญญาของข้าได้อย่างไรในเมื่อเจ้ายังมิให้แม้กระทั่งโอกาสข้า” ชายหนุ่มกล่าวด้วยท่าทางอยากร้องไห้
“ยอมแพ้เสียเถอะเด็กน้อย เจ้ามิเห็นหรือว่าเจ้าเพียงแค่รบกวนศิษย์น้องหญิงหลี่ ยังมีแถวอยู่ตรงนี้เจ้าก็รู้”
หนึ่งในชายหนุ่มที่รออยู่ให้อีกฝ่ายพูดจบพลันกล่าวขึ้นเสียงดัง จนทำให้ใบหน้าของชายหนุ่มที่ถูกปฏิเสธแดงขึ้นด้วยความโกรธ
“ใช่แล้วศิษย์น้องหญิงหลี่ได้ปฏิเสธที่จะร่วมฝึกกับเจ้าไปแล้วสองครั้ง เจ้ามิมีค่ากับเธอ ไปให้พ้น”
แม้ว่าชายหนุ่มที่ถูกปฏิเสธต้องการทุบตีชายหนุ่มเหล่านั้นเพื่อระบายความโกรธ แต่เขาไม่ต้องการเสียหน้าไปมากกว่านี้ต่อหน้าหลี่เซียวโม่จึงกล่าวกับเธอว่า “ศิษย์น้องหญิงหลี่ ข้าจักกลับมาถามท่านใหม่พรุ่งนี้–”
“เจ้ามิต้องกลับมาในวันพรุ่งนี้ เพราะว่าคำตอบของข้าจักยังคงเหมือนเดิม ข้าจักไม่ฝึกร่วมกับเจ้า” หลี่เซียวโม่กล่าว หักอกชายหนุ่มผู้น่าสงสารอีกครั้ง
อย่างไรก็ตามเธอยังพูดไม่จบจึงกล่าวต่อว่า “ตามความเป็นจริง พวกเจ้าทุกคนก็ควรจะไปได้แล้วและมิต้องกลับมาอีกเพราะว่าข้าจักไม่ฝึกร่วมกับพวกเจ้าไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม”
“ว่ากระไร แต่…”
ชายหนุ่มที่เหลืออีกสามพากันตกตะลึงกับคำพูดของเธอ
“จ-เจ้าพูดเช่นนี้ได้อย่างไร สุดที่รักของข้า เจ้าจำข้ามิได้รึ เราเคยร่วมฝึกกันมาสองสามครั้งก่อนหน้า–”
“อย่าเรียกข้าเช่นนั้น ข้ามิเคยจำได้ว่าเคยฝึกร่วมกับคนที่น่าเกลียดดังเช่นเจ้า” หลี่เซียวโม่ถุยน้ำลายลงพื้น
“น-น-น-น่าเกลียดรึ”
ใบหน้าชายหนุ่มไม่ได้น่าเกลียด เขาเกือบจะระเบิดเสียงร่ำไห้ออกมา ในเมื่อนี่เป็นครั้งแรกที่มีคนบอกเขาว่าน่าเกลียด
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ชายหนุ่มไม่รู้ก็คือว่ามาตรฐานหลี่เซียวโม่ของคำว่า “หล่อเหลา” ได้เปลี่ยนไปแล้วเช่นกันเนื่องเพราะว่าใบหน้าที่เหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัดของซูหยาง
“ล-แล้วข้าล่ะ ศิษย์น้องหญิง เจ้าสัญญากับข้าไว้ว่าเราจักร่วมฝึกฝนด้วยกันยามเมื่อคุยกันครั้งสุดท้าย” อีกคนพูดด้วยเสียงสั่นสะท้าน
“หืม ข้าเคยพูดอะไรอย่างนั้นด้วยรึ ข้ามิเห็นจะจำได้ ดังนั้นเจ้าก็ควรลืมมันไปซะ” หลี่เซียวโม่กล่าวด้วยเสียงไร้อารมณ์
“ม-ไม่มีทาง…เจ้าช่างโหดร้ายที่สุด ศิษย์น้องหญิง…”
“ศิษย์น้องหญิง…” ศิษย์คนสุดท้ายที่ไม่รู้สึกอยากต้องการโน้มน้าวหลี่เซียวโม่อีกต่อไปหลังจากที่เห็นเธอปฏิเสธสามคนก่อนอย่างโหดร้าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาล้วนเหนือกว่าเขาคนละระดับ ยิ่งไม่ต้องการให้หลี่เซียวโม่เยาะเย้ยเขาในทุกวิถีทาง
“ข้าจักไม่กล่าวซ้ำ พวกเจ้าทุกคนควรไปให้พ้นหน้าข้าเพราะว่าข้าจักไม่ร่วมฝึกกับพวกเจ้า” หลี่เซียวโม่กล่าวกับพวกเขา
ชายหนุ่มทั้งสี่ถอนใจ คิดสงสัยในใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ เพราะว่าเธอไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน
สองสามวินาทีหลังจากนั้น ขณะที่หลี่เซียวโม่เตรียมตัวปิดประตู เสียงอื่นก็ดังขึ้นในพื้นที่นั้น
“แล้วข้าล่ะ เจ้าต้องการฝึกร่วมกับข้าหรือไม่” เสียงเรียบเฉยพูดกับเธอจากที่ไกล
ก่อนที่เธอจะทันได้ดูให้ดีไปยังใบหน้าเจ้าของเสียงเรียบเฉยนี้ หลี่เซียวโม่ก็ได้ตะโกนออกมา “ไม่ ข้ามิต้องการที่จะฝึกร่วมกับหมูเช่นเจ้า–”
“เช่นนั้นรึ ช่างน่าเวทนา กระทั่งข้ายังคาดหวังกับเรื่องนี้…” ซูหยางถอนหายใจด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง
“ซ-ซ-ซ-ซู ย-หย-หยาง…”
สุดท้ายเมื่อหลี่เซียวโม่เห็นใบหน้าเจ้าของเสียง เธอก็พลันเสียใจทันทีที่พูดออกไปอย่างเร่งรีบจนสำลักจากความตกตะลึง
DC บทที่ 226: ย้ายไปเขตศิษย์ใน
หลังจากยอมแพ้แล้ว หญิงสาวทั้งเก้าในห้องของซูหยางก็พักผ่อนสองสามชั่วโมงบนเตียงของเขาก่อนจากบ้านเขาไป
“ศิษย์พี่ชายซู ท่านคิดว่า…พวกเราสามารถกลับมาเพื่อร่วมฝึกกับท่านได้อีกหรือไม่” ซางเหวินจีถามเขาก่อนจาก
แม้ว่าเธอจะกังวลว่าเขาอาจจะปฏิเสธ แต่เธอก็ยังต้องการที่จะรู้
หญิงสาวคนอื่นก็มองดูซูหยางด้วยสายตาวิงวอนเช่นกัน
“ที่นี่คงจะวุ่นวายเร็วๆนี้ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเจ้ากลับมา ข้าย่อมไม่ปฏิเสธพวกเจ้า” ซูหยางกล่าวกับพวกเธอด้วยรอยยิ้ม
บรรดาหญิงสาวพลันโล่งอกและขอบคุณเขาด้วยท่าทางมีความสุข
“ถึงแม้ว่าแถวจะยาวไปจนถึงสุดขอบฟ้า ข้าก็จะกลับมาแน่นอน” ซางเหวินจีกล่าว และเหล่าหญิงสาวคนอื่นๆต่างก็เห็นพ้อง
และในขณะที่พวกเธอต้องการที่จะกลับมาในวันถัดไป พวกเธอส่วนใหญ่คงปวดเมื่อย นั่นยังไม่ได้พูดถึงว่าพวกเธอยังต้องดูดซับปราณหยางที่อยู่ในร่าง ซึ่งอาจต้องใช้เวลานานหลายวันหรือไม่ก็หลายอาทิตย์ เนื่องจากคุณภาพอันเข้มข้น
“เพราะเหตุใด ศิษย์พี่ชาย ทำไมท่านจึงไม่ย้ายเข้าไปในเขตศิษย์ในซึ่งมีบ้านหลังใหญ่กว่ามาก ท่านสามารถบรรจุคนมากกว่าสิบคนได้อย่างง่ายดายในห้องนั้น” หนึ่งในบรรดาหญิงสาวถามเขา
กล่าวถึงที่สุดซูหยางถือเป็นศิษย์ในเพียงคนเดียวภายในนิกายที่ยังคงไม่ย้ายเข้าไปในเขตศิษย์ใน
“ถ้าข้าย้ายเข้าไปในเขตศิษย์ใน แล้วพวกเจ้าเหล่าหญิงสาวจะสามารถไปหาข้าได้อย่างไร นั่นจะเป็นการผิดกฏสำหรับศิษย์นอกที่จะเข้าไปในเขตศิษย์ใน” ซูหยางเตือนพวกเธอ
นอกจากว่าพวกเธอได้รับอนุญาตจากผู้อาวุโสนิกายหรือมีศิษย์ในนำพาพวกเธอไป ศิษย์นอกจะถูกห้ามเข้าไปในเขตศิษย์ใน อย่างไรก็ตามกฏนี้ใช้ไม่ได้กับศิษย์ในหากว่าต้องการที่จะเข้ามายังเขตศิษย์นอก นั่นคงเป็นเรื่องโง่สำหรับซูหยางที่จะย้ายไปอยู่ที่เขตศิษย์ใน ซึ่งนั่นจะหยุดเหล่าศิษย์นอกจากโอกาสในการรับบริการจากเขา
และเพราะว่าเขาต้องการที่จะดูดซับปราณหยินให้มากที่สุดจากศิษย์จำนวนมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซูหยางได้ตัดสินใจที่จะอยู่ยังเขตศิษย์นอก เพื่อที่บรรดาศิษย์ทุกระดับจะสามารถเข้าหาเขาได้
“ท่านพูดถูก…”
บรรดาหญิงสาวเริ่มมีเหงื่อไหลออกมาเต็มที่เมื่อคิดว่าจะไม่สามารถพบซูหยางได้เพราะว่าฐานะของพวดเธอเป็นเพียงศิษย์นอกผุดขึ้นมาในใจ
“ข-ข้าเปลี่ยนใจแล้ว โปรดอย่าไปที่ไหน ศิษย์พี่ชาย”
“ช-ใช่แล้ว อย่าปล่อยพวกเราไว้เพียงลำพัง”
พวเธอเริ่มขอร้องเขาให้อยู่
ซูหยางหัวเราะหึและกล่าวว่า “ถ้าข้าต้องการเข้าไปในเขตศิษย์ใน ข้าคงทำเช่นนั้นนานแล้ว พวกเจ้ามิต้องกังวล เพราะว่าข้ามิมีแผนที่จะย้ายเข้าไปที่นั่น”
บรรดาหญิงสาวต่างพากันขอบคุณเขาอีกครั้งสำหรับความรอบคอบของเขาและจากไปหลังจากนั้นไม่กี่นาที
ยามเมื่อหญิงสาวทั้งเก้าออกจากบ้านไป ซูหยางก็นั่งลงบนเตียงซึ่งชุ่มโชกไปด้วยปราณหยินและหลับตาลงเพื่อฝึกวิชา อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าเขาจะใช้น้ำมันพิเศษเพื่อเพิ่มปราณหยินให้กับบรรดาหญิงสาวและร่วมฝึกฝนกับพวกเธอหลายครั้ง แต่เพราะว่าพวกเธอมีพลังการฝึกปรือต่ำเพียงแค่เขตปฐมวิญญาณ พลังการฝึกปรือของซูหยางจึงยากที่จะเห็นความก้าวหน้าหลังจากที่กวาดจนเกลี้ยงทุกหยดหยาดของปราณหยินภายในห้อง
นั่นเหมือนเติมแก้วเปล่าด้วยน้ำเพียงสองสามหยด
“ฮ่าาาา…” ซูหยางถอนหายใจหลังจากที่ฝึกวิชาแล้ว
ถ้าเขาร่วมฝึกคู่อย่างต่อเนื่องกับบรรดาศิษย์ที่มีเขตปฐมวิญญาณ เขาคงต้องร่วมฝึกคู่หลายหมื่นครั้งก่อนที่เขาจะสามารถก้าวผ่านข้ามไปยังเขตอัมพรวิญญาณ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเขามีน้ำมันพิเศษจำนวนจำกัดไม่เพียงพอถึงขนาดนั้น
ดังนั้นซูหยางจึงเริ่มคิดหาวิธีสำหรับตัวเขาในการเกี้ยวพาผู้ที่มีพลังการฝึกปรือสูงให้มาร่วมฝึกกับเขา
“คงจะเป็นอุดมคติถ้าข้าสามารถร่วมฝึกกับหลานลี่ชิงทุกวัน แต่ร่างกายเธอจะไม่สามารถรับข้าได้ทุกวัน ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังกังวลเรื่องกฏของนิกาย ผู้อาวุโสสำนักคนอื่นยิ่งนึกภาพไม่ออกเพราะว่ากฏของนิกายเช่นเดียวกันที่ห้ามผู้อาวุโสนิกายในการร่วมฝึกกับเหล่าศิษย์”
“ส่วนสำหรับศิษย์หลัก พวกเธอน่าจะหยิ่งทระนงเกินกว่าที่จะร่วมฝึกคู่กับศิษย์ในดังเช่นตัวข้า และพวกเธอก็มีจำนวนน้อยมากในที่แห่งนี้ ซึ่งนั่นคงไม่คุ้มค่าต่อการพยายามนอกจากว่าข้าจะได้รับโอกาส”
“โหลวหลาจีก็อยู่ในฐานะเช่นเดียวกับหลานลี่ชิง เพราะว่าเธอเป็นผู้นำนิกาย นั่นจะยิ่งยากกว่าเดิมในการที่จะไปร่วมฝึกคู่กับเธออย่างลับๆ”
เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ ซูหยางก็รู้สึกอยากจะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของเขาให้กับโหลวหลานจีและกลายเป็นเจ้านิกายของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย อย่างไรก็ตามถ้าสิ่งนั้นเกิดขึ้นเช่นนั้นเขาก็คงจะไม่สามารถเข้าร่วมในการแข่งขันระดับภูมิภาคและพบกับซีซิงฟางได้ในระหว่างนั้น
นี่ยังไม่ได้พูดถึงว่าเขาไม่สามารถอยู่ในที่แห่งนี้ได้ตลอดไป ดังนั้นการรับตำแหน่งผู้นำนิกายย่อมจะทำร้ายนิกายในระยะยาวยามเมื่อเขาจากไป
“ดูเหมือนว่าวิธีที่ดีที่สุดควรจะไปหาศิษย์ในในตอนนี้…”
หลังจากครุ่นคิดต่อไปอีกชั่วขณะ ซูหยางก็ลงจากเตียงจัดแจงห้องอาบน้ำแต่งตัวก่อนหลับ เพราะว่ามันดึกแล้ว
–
–
–
เช้าวันถัดมาหลานลี่ชิงยืนอยู่ภายในตำหนักโอสถด้วยท่าทางงุนงง
“ทุกคนเป็นบ้าอยู่ไหนกันหมดแล้ววันนี้”
บรรดาศิษย์ของเธอปกติแล้วจะมาทำงานในเวลานี้ แต่กลับมีเพียงคนเดียวที่แสดงตัวในวันนี้
“ศิษย์เซียว เกิดอะไรขึ้นกับคนอื่นๆ เจ้ารู้ไหมว่าพวกเธอจะหยุดงาน” หลานลี่ชิงถามศิษย์เพียงคนเดียวที่เหลืออยู่
ศิษย์เซียว ซึ่งปฏิเสธที่จะตามเพื่อนศิษย์ไปพบกับซูหยางวานนี้ส่ายหน้า “ข้าก็มิได้ยินอะไรจากพวกเธอเช่นกัน”
หลานลี่ชิงจึงนึกขึ้นได้ว่าพวกเธอไปหาซูหยางหลังจากเลิกงานวานนี้ จึงถอนหายใจ
“ข้าจักไปยังที่พักของพวกเธอและตามหาพวกเธอให้กับท่าน อาจารย์” ศิษย์เซียวกล่าวขึ้นหลังจากเห็นอีกฝ่ายถอนใจ
“ไม่เป็นไร เจ้ามิต้องไปรบกวนพวกเธอ” หลานลี่ชิงกล่าวกันอีกฝ่าย ในเมื่อเธอสามารถเดาเหตุผลที่พวกเหล่านั้นขาดงานวันนี้ “ถ้าพวกนั้นไม่แสดงตัวในวันพรุ่งนี้ ข้าจักไปหาพวกนั้นด้วยตัวเอง”
“ช-เช่นนั้นรึ…” ศิษย์เซียวพยักหน้า รู้สึกว่าหลานลี่ชิงมีกิริยาท่าทางผิดแปลกออกไปเล็กน้อย ในเมื่อปกติเธอจะเข้มงวดมากเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้
DC บทที่ 225: ปราณหยางที่จัดหาได้ไม่สิ้นสุด
หลายชั่วโมงผ่านไปนับตั้งแต่ศิษย์ทั้งเก้าจากตำหนักโอสถเข้าไปในห้องของซูหยางเพื่อท้าทายเขาบนเตียง
อย่างไรก็ตาม พวกเธอรับรู้ได้อย่างรวดเร็วว่าพวกเธอกำลังปะทะอยู่กับสัตว์ประหลาดที่เหมือนจะมีร่างกายเป็นอมตะไม่มีวันหมดแรง ทำให้เขาสามารถร่วมรักกับพวกเธอทุกคนโดยไม่แม้จะมีเหงื่อสักเม็ด
“อาาาาาา” เจียปี้อวีส่งเสียงครางสุขสมบาดหูออกมาเมื่อซูหยางพลันปลดปล่อยปราณหยางเข้าไปในท้องของเธอ โอบล้อมร่างของเธอด้วยความเสพสมประดุจสรวงค์สวรรค์
หลังจากที่ปลดปล่อยปราณหยางของเขาเข้าไปในเจียปี้อวีแล้ว ซูหยางก็วางเธอหงายหน้าลงไปบนเตียงเพื่อให้ได้พัก
“ใครคนต่อไป” ซูหยางหันไปมองสาวสวยที่เหลืออีกแปดคนด้วยดวงตาหรี่เรียวซึ่งคล้ายกับนักล่าที่กำลังมองหาเหยื่อของเขา
เมื่อหญิงสาวคนอื่นๆมองเห็นแก่นกายของซูหยางยังคงแข็งแกร่งแม้ว่าจะเพิ่งปลดปล่อยปราณหยางออกมา พวกเธอก็ตื่นกลัวหวาดหวั่น
อย่างไรก็ตามนั่นไม่ใช่เป็นส่วนที่น่าหวาดหวั่นที่สุด
“น-นี่เป็นครั้งที่สี่สิบสองที่เขาหลั่งปราณหยาง…” ซวนจิงหลินพูดด้วยเสียงสั่นสะท้าน
ปกติแล้วชายทั่วไปจะเหี่ยวแฟบลงหลังจากที่มีการหลั่งหนึ่งครั้ง และแม้จะเป็นผู้ชำนาญการที่เชี่ยวชาญภายในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ไม่สามารถที่จะคงสภาพแข็งตัวได้หลังจากการปลดปล่อยสองสามครั้ง แต่ซูหยางกลับเหมือนสิ่งมหัศจรรย์ สามารถที่จะปลดปล่อยปราณหยางได้ถึงสี่สิบสองครั้งและยังคงดูมีเรี่ยวแรงแข็งขันเหมือนกับตอนแรก
นั่นเหมือนกับว่าซูหยางมีปราณหยางที่จัดหามาได้ไม่สิ้นสุดไหลเวียนอยู่ภายในร่างของเขา จึงทำให้เขามีปราณหยางจำนวนมากเช่นนั้น ส่วนเหตุผลอื่นที่ทำไมซูหยางจึงสามารถยังคงแข็งตัวหลังจากที่ปลดปล่อย อาจจะเนื่องจากว่าร่างของเขามีความสามารถในการสร้างปราณหยางขึ้นมาทดแทนด้วยอัตราเร็วที่มากกว่าการปลดปล่อย
ไม่ว่าจะวิธีใดก็ตาม ร่างของซูหยางก็ไม่ต่างไปจากสมบัติล้ำค่าสำหรับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย และไม่ต้องสงสัยเลยว่านั่นจะต้องสร้างความปั่นป่วนภายในนิกายถ้าหากว่าศิษย์หญิงได้รับรู้เรื่องนี้
ท้ายที่สุดนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็คือสถานที่ที่ประชากรหญิงทั้งหมดฝึกฝนโดยใช้ปราณหยางมากที่สุด อีกนัยหนึ่งนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยให้ความสำคัญกับปราณหยางเหมือนกับที่ทั้งโลกให้คุณค่ากับหินวิญญาณในฐานะเป็นวัตถุดิบหลักในการฝึกฝนฝีมือ
ไม่มีข้อสงสัยเลยว่านี่เป็นเหตุที่ทำไมความสามารถขั้นท้าทายสวรรค์ของซูหยางในการผลิตปราณหยางจำนวนมหาศาลจะเป็นเหตุให้เกิดความปั่นป่วนภายในนิกาย ในเมื่อเขาไม่ได้ต่างไปจากน้ำพุปาฏิหาริย์ที่ดูเหมือนว่าสามารถผลิตวัตถุดิบไม่รู้จบให้กับบรรดาศิษย์หญิงเพื่อใช้ฝึกฝน
ในกรณีที่เลวร้ายที่สุดถ้าหากมีคนผิดประเภทรู้ถึงความสามารถที่มหัศจรรย์ของซูหยาง พวกเธออาจจะเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นทาสปราณหยางของพวกเธอ ซึ่งมีหน้าที่เพียงอย่างเดียวในชีวิตก็คือผลิตปราณหยางจนกว่าจะตายในที่คุมขัง
และเนื่องมาจากความอุดมสมบูรณ์ของปราณหยางของเขา โอกาสที่จะเกิดโศกนาฏกรรมเช่นนี้ในอนาคตย่อมสูงขึ้น
“ข-ข้าเป็นคนถัดไป” อวี้เยียนตรงเข้าไปหาซูหยางหลังจากที่นั่นเงียบลงไปเพราะว่าหญิงสาวคนอื่นล้วนหมดสิ้นเรี่ยวแรงและไวต่อการสัมผัสจนเกินไปในเวลานั้น ในเมื่อเธอไม่ได้คิดจะทำให้ซูหยางเป็นทาสปราณหยาง เธอจึงมีเจตนาใช้ประโยชน์ในโอกาสนี้ทำการร่วมฝึกคู่ให้ได้รับปราณหยางของเขาให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
“คุณภาพของปราณหยางของเขานั้นช่างยอดเยี่ยมสูงส่งดีกว่าเม็ดยาหรือวัตถุดิบใดๆที่ข้าเคยใช้มาก่อนจะเทียบเคียงได้ นั่นคงเป็นเรื่องโง่เง่าสำหรับตัวข้าถ้าปล่อยโอกาสเช่นนี้เสียเปล่า” อวี้เยียนคิดในใจขณะที่เธอนั่งลงบนตักของซูหยางซึ่งอยู่ในท่านั่ง สอดแกนแกร่งลึกเข้าไปในรูร่องของเธอ
เหมือนกับทุกคนในที่นั้น เธอมุ่งมั่นที่จะร่วมฝึกคู่กับซูหยางจนกว่าเธอจะสลบไสลไปจากความอ่อนเพลียเพราะว่าปลดปล่อยออกมามากเกินไป
“โอออ ใช่… ใช่”
อวี้เยียนเริ่มขยับร่างของเธอขึ้นลง ทิ่มแทงตนเองด้วยแก่นกายของซูหยาง
อย่างไรก็ตามการกระทำของเธอไม่ได้ทนอยู่ได้นานนัก ในเมื่ออาการหมดเรี่ยวแรงของเธอเริ่มเป็นอุปสรรคในการเคลื่อนที่หลังจากนั้นไม่กี่วินาที
ครั้นเมื่อเธอช้าลง ซูหยางก็ยกก้นเธอไว้และทิ่มแทงเธอด้วยตนเอง
“อาาาาาาาา”
อวี้เยียนสามารถรู้สึกว่ากลีบสาวของเธอแผดเผาไปด้วยหลงไหล จนเธอต้องกรีดร้องออกมาด้วยความพึงพอใจ
หลังจากนั้น เมื่อซูหยางสังเกตเห็นว่าอวี้เยียนเริ่มสูญเสียสติสัมปชัญญะเพราะความสุขสมที่ท่วมท้นจนเกินไป เขาก็หลั่งปราณหยางจำนวนมากเข้าไปในร่างเธอ เติมเต็มร่างเธอด้วยพลังงานซึ่งจะทำให้เธอยังคงตื่นอยู่ได้
“เทพยดา… เขาหลั่งอีกแล้ว…”
“และเขาก็ยังคงแข็งแกร่งดังปกติ…”
สุดท้ายในวันนี้บรรดาหญิงสาวจึงเริ่มเข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำว่า “ทรหด” โดยมีซูหยางเป็นตัวแทนของคำนั้น
“พวกเจ้ายังคงต้องการต่อหรือไม่” ซูหยางถามผู้ชมที่ตื่นตระหนกหลังจากย้ายอวี้เยียนไปยังด้านข้างด้วยรอยยิ้มของผู้ชนะบนใบหน้า
บรรดาหญิงสาวมองดูใบหน้าหยิ่งผยองและแก่นอวบของเขาที่กำลังยั่วยุความกำหนัดของพวกเธอ แต่อนิจจาพวกเธอล้วนได้แต่ก้มหน้าและยอมรับความพ่ายแพ้
“ท่านเป็นสิ่งมหัศจรรย์ ศิษย์พี่ชายซู มิเพียงแต่เคล็ดวิชาของท่านไร้เทียมทานแต่กระทั่งความอึดของท่านด้วย พวกเรายอมแพ้” ซวนจิงหลินกล่าวพร้อมรอยยิ้มขื่นขม
“ใช่แล้ว…ท่านได้สอนข้าบทเรียนทรงค่าในวันนี้…ว่าคนแบบท่านยังมีอยู่บนโลกที่ล้าหลังนี้…” จางเหวินจีกล่าวพร้อมกับสายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดหวั่นเมื่อมองไปยังตัวตนที่ประดุจความสมบูรณ์แบบของเขา
“ศิษย์พี่ชาย ทำไมท่านจึงยังแข็งแกร่งกระทั่งตอนนี้ ข้าจนถ้อยคำแล้ว…” อวี้เยียนถอนหายใจ ร่างกายของเธอรู้สึกเจ็บแสบมากมาย
“ข้ายินดีที่จะร่วมฝึกคู่กับท่านจนกว่าท่านจะเหนื่อย ช่างโชคร้ายนักร่างกายข้ามิอาจที่จะรองรับไหว ตอนนี้ข้ายากที่จะขยับตัว…” เจียปี้อวีหัวเราะเสียงนุ่มนวล
หลังจากที่พูดความในใจของพวกเธอให้กับซูหยางแล้ว บรรดาหญิงสาวต่างก็สบสายตากัน
สองสามวินาทีหลังจากนั้นหญิงสาวทั้งเก้าใช้แรงที่ยังคงเหลืออยู่ในร่างลุกขึ้นนั่งคุกเข่าบนเตียง
“ขอบคุณศิษย์พี่ชายซูสำหรับการชุมนุมฝึกร่วมกันในวันนี้” พวกเธอพูดกับเขาขณะที่อยู่ในท่านั่งคุกเข่า เสียงของพวกเธอจริงใจ ฟังเหมือนว่ามาจากก้นบึ้งของหัวใจ
มันเป็นเรื่องแสนยากภายในนิกายที่จะมีศิษย์ในยอมเสียเวลากับศิษย์นอกเช่นพวกเธอเพราะว่าพวกเธอมีพลังการฝึกปรือที่ต่ำ ดังนั้นสำหรับการที่ซูหยางมาร่วมฝึกคู่กับพวกเธอและยังทำให้ร่างกายพวกเธอพึงพอใจมากถึงขนาดนี้ พวกเธอไม่รู้สึกอะไรไปมากกว่าความนับถือต่อเขา
ว่าตามจริง พวกเธอเองยังสงสัยว่ากระทั่งศิษย์หลักจะสามารถสร้างความพึงพอใจให้กับร่างกายของพวกเธอได้เท่ากับซูหยางหรือไม่
แม้ว่านั่นจะเป็นภาพที่ต่างออกไปจากปกติ ซูหยางยังคงสงบเรียบและพูดจากับพวกเธอด้วยรอยยิ้มหล่อเหลาบนใบหน้า “นับเป็นความยินดีที่สามารถได้ร่วมฝึกคู่กับพวกเจ้าเหล่าหญิงสาว”
DC บทที่ 224: ร่วมฝึกคู่กับสาวสวยทั้งเก้าไปพร้อมกัน
เมื่อหญิงสาวที่เหลือทั้งหกที่ยังไม่เคยลิ้มลองกลเม็ดของซหยางในวันนี้เข้าไปในห้องของเขา พวกเธอก็ตกตะลึงเมื่อพบว่าซางเหวินจีนกำลังนอนหลับตาอยู่บนเตียงดูเหมือนว่าจะสลบไป
“พ-พี่หญิง” บรรดาหญิงสาวเขย่าร่างเธอเพื่อปลุกให้ตื่น แต่อนิจจาซางเหวินจีกลับไม่ตอบสนอง
“อย่ากังวลเรื่องเธอ เธอหลับไปหลังจากที่เราร่วมฝึกคู่” ซูหยางกล่าวกับพวกเธอ
บรรดาหญิงสาวมองดูเขาด้วยท่าทางงงงัน เธอสลบไปหลังจากที่พวกเขาได้ร่วมฝึกคู่ นั่นต้องเข้มข้นแค่ไหนสำหรับกิจกรรมนี้
“งั้นตอนนี้…” ซูหยางมองดูสาวสวยเปล่าเปลือยทั้งหกตรงหน้าเขาและกล่าวว่า “ใครต้องการเป็นคนแรก”
กระทั่งในสถานการที่สามารถอธิบายได้เพียงว่าเป็นสวรรค์ของชายทุกคน ซูหยางยังคงสงบสำรวม ควบคุมความปรารถนากามารมณ์ได้อย่างสมบูรณ์
“ข้าจักเป็นคนแรก” หนึ่งในบรรดาหญิงสาวทั้งหกก้าวออกไป ชื่อของเธอคือ เจียปี้อวี
ซูหยางพยักหน้าและยามเมื่อเจียปี้อวีอยู่บนเตียงแล้ว ซูหยางก็นวดร่างเธอด้วยน้ำมันพิเศษสองสามนาทีเพื่อช่วยเธอให้มีอารมณ์
“นั่นคืออะไรรึ” หญิงสาวทั้งห้าที่กำลังดูอยู่จากด้านข้างถามเขาเมื่อพวกเธอเห็นเขานำเอาน้ำมันออกมา
“มันจะเพิ่มความแข็งแกร่งของปราณหยินของพวกเจ้าและทำให้พวกเจ้ารู้สึกสุขสันต์มากยิ่งขึ้น” ซูหยางอธิบาย
“ของแบบนี้ก็มีด้วยรึ” พวกเธอมองดูน้ำมันด้วยท่าทางสนใจเป็นที่สุด
“อาาา….อาาา…อาาาาา…” เจียปี้อวีครวญครางเหมือนนกร้องเพลงเมื่อซูหยางนวดน้องสาวของเธอ จนทำให้คนที่ยืนมุงดูต่างพากันกลืนน้ำลายที่สอออกมา
และยามเมื่อเจียปี้อวีเร่าร้อนพอแล้ว ซูหยางก็ทะลวงร่างเธอด้วยแก่นกายหนา เพิ่มระดับเสียงเพลงของเธอ
ต่อจากนั้นหลังจากที่ทิ่มแทงเจียปี้อวีแล้ว ซูหยางก็หันไปยังหญิงสาวที่เหลืออยู่ทั้งห้าและกล่าวว่า “ข้ามีมือว่างพอสำหรับอีกสองคน”
เขาพลันยกมือให้พวกเธอเห็นมือที่ว่างทั้งสองมือพร้อมรอยยิ้ม
“…”
บรรดาหญิงสาวต่างพากันจนถ้อยคำ เขาวางแผนที่จะให้มีประสิทธิภาพมากมายแค่ไหนกัน หรือว่าเขาจะนวดพวกเธอด้วยเท้าเป็นอันดับต่อไป
สองวินาทีถัดไปหญิงสาวสองคนก็นอนลงบนเตียง คนหนึ่งด้านขวาของเจียปี้อวีและอีกคนอยู่ด้านซ้าย
หญิงสาวสามคนนอนอยู่บนเตียงตรงหน้าซูหยางตอนนี้ และเขาก็นวดทั้งสองคนที่อยู่ด้านข้างด้วยแต่ละมือในขณะที่เขารับมือกับเจียปี้อวีที่อยู่ตรงกลางด้วยสะโพกและน้องชายของเขา
หญิงสาวที่ยังคงเหลืออยู่อีกทั้งสามคนเพ่งมองฉากนี้ตาถลนออกนอกเบ้า ในเมื่อพวกเธอไม่เคยพบเห็นฉากแบบนี้มาก่อน
“ขเขารับมือกับพวกเธอทั้งสามในคราเดียวได้จริงๆ”
“และมันมิมีผลกระทบกับการเดินหน้าของเขาแม้แต่น้อย
“เทพยดา…เขายังเป็นคนอยู่หรือไม่”
คนอาจคาดหวังว่าซูหยางจะต้องเดินหน้าช้าลงเมื่อต้องรับมือกับหญิงสามคนในคราวเดียวกัน แต่บรรดาหญิงสาวต่างพากันตกตะลึงเมื่อรู้ว่าขีดจำกัดเช่นนั้นเกิดขึ้นกับซูหยาง ยิ่งไปกว่านั้นหญิงสาวทั้งสามบนเตียงดูเหมือนจะสนุกสนานไปกับมันยิ่งๆขึ้นไป นั่นหมายความว่ากระทั่งความสุขที่เขาให้กับพวกเธอไม่ได้ถดถอยลงแม้ว่าจะยุ่งอยู่ด้วยร่างกายของเขาทุกสัดส่วน
กลเม็ดบนเตียงของซูหยางย่อมเป็นการท้าทายสวรรค์และเหลือเชื่ออย่างแท้จริง และหญิงสาวทั้งสามก็ได้เรียนรู้มันในวันนี้หลังจากที่เห็นการกระทำของเขา
“อาาา”
“อืมมมม”
“โออออ..”
หญิงสาวทั้งสามบนเตียงหลั่งออกมาประสานกันหลังจากนั้นสองสามอึดใจ เติมปราณหยินเข้าไปในห้อง
อย่างไรก็ตาม ซูหยางไม่ได้เสร็จสิ้นกับพวกเธอและทำการเปลี่ยนตำแหน่งเจียปี้อวีกับหนึ่งในหญิงสาวที่อยู่ด้านข้างและเริ่มทะลวงแท่งอวบเข้าไปในร่างเธอ
“อีก…เอาอีก….อาาาา”
“ใช่…ใช่….โออออ…ใช่”
“เร็วกว่านี้…ทำข้าแรงกว่านี้”
ซูหยางร่วมฝึกคู่กับเจียปี้อวีและหญิงสาวอีกสองคนประมาณครึ่งชั่วโมง เปลี่ยนตำแหน่งพวกเธอทุกๆสองสามนาทีเพื่อพวกเธอจะได้ลิ้มรสแกนแกร่งหนาของเขาโดยไม่ต้องแย่งชิงหรือว่ารู้สึกว่าถูกทอดทิ้ง
“ศิษย์พี่ชาย…ทำไมท่านมิปล่อยให้พวกเธอพักสักครู่และร่วมฝึกกับพวกเราแทน”
“ใช่แล้ว พวกเราก็อยู่ที่นี่เหมือนกัน”
หญิงสาวทั้งสามที่จ้องมองดูอยู่ยากที่จะคุมความหื่นกระหายอยากร่วมเข้าไปแย่งชิงของตนเองได้ ในขณะที่น้องสาวของพวกเธอล้วนแฉะฉ่ำจากการยั่วเย้ามาชั่วเวลาหนึ่งแล้ว
“อย่ากังวล ข้ามิได้ลืมพวกเจ้าหญิงสาว มาทางนี้สิ…” ซูหยางกล่าวกับพวกเธอขณะที่เขาช่วยหญิงสาวที่หมดเรี่ยวแรงทั้งสามคนขยับไปท้ายเตียงที่ซึ่งซางเหวินจีกำลังพักอยู่
เป็นโชคดีสำหรับซูหยางและบรรดาหญิงสาว เขาได้ตระเตรียมห้องไว้ก่อนหน้านี้แล้วด้วยการย้ายเตียงจากห้องว่างอีกห้องเข้ามาในห้องนี้ก่อนสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้น มิเช่นนั้นคงไม่มีที่ว่างพอสำหรับพวกเธอทั้งหมดให้ขึ้นไปอยู่บนเตียงในคราวเดียวกัน ในเมื่อนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยไม่ได้ออกแบบห้องมาให้พอกับคนมากมายเช่นนี้ร่วมฝึกด้วยกันในคราวเดียว
หลังจากย้ายหญิงสาวที่หมดเรี่ยวแรงทั้งสามคนออกไปพ้นแล้ว สาวสวยอีกสามคนก็นอนลงตรงหน้าซูหยางพร้อมกับเปิดเผยร่างกายต่อเขาอย่างเต็มที่ด้วยความกระสันรัญจวน
สองสามวินาทีถัดไปซูหยางก็ขยับอีกครั้ง
ด้วยมือข้างซ้าย เขาเคล้นคลึงอกใหญ่ของหญิงสาวด้านซ้าย สำหรับมือขวา เขาลูบไล้ร่องหลืบแฉะชื้นของหญิงสาวด้านขวา และสำหรับแก่นอวบ เขาใช้ทิ่มแทงรูคับแน่นของหญิงสาวตรงกลาง
เช่นเดียวกับกลุ่มหญิงสาวก่อนหน้านั้น เขาจะเปลี่ยนตำแหน่งพวกเธอทุกสองสามนาทีเพื่อที่พวกเธอจะได้ไม่รู้สึกถูกทอดทิ้ง
“ศิษย์พี่ชาย…ข้ารักท่าน…”
“อาา~ ข้าก็เช่นกัน..”
“ร่างกายของข้าช่างรุ่มร้อน~”
หญิงสาวทั้งสามกรีดร้องอย่างเสพสมเมื่อร่างกายของพวกเธอท่วมท้นไปด้วยความสุข รู้สึกเหมือนกับว่าพวกเธออยู่บนสรวงสวรรค์
เหตุการณ์นี้ดำเนินต่อไปอีกครึ่งชั่วโมงโดยไม่มีการหยุดพักระหว่างนั้น จนกระทั่งร่างอีกสองร่างก็เข้ามาภายในห้อง
นั่นเป็นซวนจิงหลินและอวี้เยียน และพวกเธอก็เข้ามาในห้องด้วยร่างเปลือยเปล่า ความปรารถนาของเธอชัดเจนดุจเที่ยงวัน
“พ-พวกเราขอร่วมด้วยได้ไหม” ซวนจิงหลินถามเขาด้วยน้ำเสียงประหม่า เธอกังวลว่าซูหยางจะดูเธอเป็นคนโลภมากหลังจากทำเรื่องนั้นไปสองครั้งและจะปฏิเสธเธอ
แต่เธอช่างโชคดี ซูหยางก็เป็นคนที่โลภมากเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นเรื่องผู้หญิง
“ยิ่งมากยิ่งดี” เขาตอบรับพร้อมรอยยิ้ม
ดังนั้น สาวสวยอีกสองคนจึงเข้ามาร่วมเป็นองค์ประกอบ
ส่วนซางเหวินจี เธอก็ตื่นขึ้นมาสองสามนาทีหลังจากนั้นเนื่องมาจากเสียงครวญครางดังลั่นในห้อง
แม้ว่าเธอจะงุนงงในตอนแรกเมื่อเห็นทุกคนเปลือยอยู่ในห้องและผลัดเปลี่ยนกันร่วมรักกับซูหยางเมื่อเธอตื่นขึ้น เธอก็รีบปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมอย่างรวดเร็วและเข้าร่วมกับพวกเธอภายในไม่กี่นาทีหลังจากตื่นขึ้น
DC บทที่ 223: มิมีทางที่เขาจะดูแลพวกเราทั้งหมดในคราเดียวกัน
“เจ้าเจออะไรในห้องนั้น” บรรดาหญิงสาวถามซวนจิงหลินและอวี้เยียนหลังจากที่พวกเธอถูกเตะออกมาจากห้องโดยซางเหวินจี
“อืมม..ข้าคิดว่าจะเป็นการดีกว่าถ้าเจ้าประสบด้วยตนเองโดยไม่รู้เรื่องมาก่อน” อวี้เยียนกล่าว ในเมื่อเธอไม่อยากทำให้อีกฝ่ายสูญเสียความประหลาดใจ
“เอ๋.อ๋.อ๋.อย่างน้อยก็ควรเกริ่นให้พวกเรารู้บ้าง…ความสงสัยกำลังจะฆ่าข้าตายแล้ว”
“จะบอกให้รู้เพียงว่าเมื่อเปรียบเทียบกับเมื่อครั้งแรกที่เรามา นี่ช่างสุขสนุกสนานอย่างน้อยกว่าสิบเท่า…” ซวนจิงหลินกล่าวกับพวกเธอ
“สนุกสนานกว่าสิบเท่าเลยรึ”
เหล่าหญิงสาวจ้องมองดูเธอด้วยท่าทางตกตะลึง ถ้าพวกเธอเกือบล่องลอยไปสู่สวรรค์ระหว่างการมาครั้งก่อน นี่มิหมายความว่าครานี้คงต้องตายไปจริงๆเพราะความสุขสม
เวลาผ่านไป ประตูก็เปิดออกมาอีกครั้งและซูหยางก็ปรากฏตัวขึ้นด้วยท่าทางเรียบเฉย
อย่างไรก็ตามก่อนที่หญิงสาวคนถัดไปจะทันได้ก้าวไป ซูหยางก็กล่าวขึ้นว่า “ข้ามีคำแนะนำ”
“คำแนะนำหรือ”
“เพื่อให้มีประสิทธิภาพ ทำไมมิให้ข้าดูแลพวกเจ้าทั้งหมดเลยทีเดียวล่ะ” ซูหยางกล่าวกับพวกเธอด้วยรอยยิ้ม เขาพบว่าหญิงสาวทั้งสามคนล่าสุดล้วนขอสิ่งเดียวกัน ซึ่งเขาสามารถดูแลพวกเธอทั้งหมดในครั้งเดียวได้ ด้วยวิธีนี้เขาไม่เพียงประหยัดเวลาแต่ยังคงสามารถดูดซับปราณหยินได้ต่อเนื่องมากยิ่งขึ้น
บรรดาหญิงสาวจ้องมองเขาด้วยดวงตากลมโต นอกจากซวนจิงหลินและอวี้เยียนแล้ว พวกเธอล้วนสับสนความหมายภายในคำพูดของเขา
“ศิษย์พี่ชาย ท่านหมายความว่าอะไรกับคำพูดนั้น” หนึ่งในพวกเธอตัดสินใจถาม
“ความหมายของข้าก็คือ…ข้าต้องการร่วมฝึกคู่กับพวกเจ้าทั้งหมด” ซูหยางกล่าวด้วยท่าทางสงบเรียบ สร้างความงงงันให้กับบรรดาหญิงสาวยิ่งขึ้นไปอีก
“ท-ท-ท่านต้องการร-ร-ร่วมฝึกคู้กับพวกเราทั้งหมด…ในทีเดียวรึ”
บรรดาหญิงสาวถามด้วยเสียงสั่นสะท้าน
สิ่งที่สร้างความตระหนกให้กับพวกเธอมากที่สุดไม่ใช่ความจริงที่ว่าซูหยางถามพวกเธอให้ร่วมฝึกคู่กับเขา แต่เป็นข้อเรียกร้องในการร่วมฝึกคู่กับพวกเธอทั้งหมดในคราเดียวกัน ในใจเธอไม่เชื่อว่าคนคนเดียวจะสามารถรับไหวถ้าเขาต้องที่จะสร้างความพึงใจให้กับหญิงสาวจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง ในเมื่อปราณหยางและความอึดของเขาย่อมต้องไม่พอเพียง
ถึงจะกล่าวเช่นนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าบรรดาหญิงสาวไม่ต้องการจะร่วมฝึกคู่กับซูหยาง ในเมื่อเขามีเสน่ห์และพรสวรรค์สูงส่งอย่างไม่น่าเชื่อกับกลเม็ดของเขา ตามจริงพวกเธอก็จะถามเขาให้ร่วมฝึกคู่กับพวกเธอเมื่อถึงจุดหนึ่งในวันนี้หรือในอนาคต
พวกเธอเพียงกังวลว่าซูหยางอาจจะไม่สามารถรับมือพวกเธอทั้งหมดในคราเดียว ในเมื่อพวกเธอต้องดูดปราณหยางของเขาแห้งเหือดจนไม่เหลือแม้กระทั่งหยดเดียว ซึ่งเป็นสิ่งที่อาจทำร้ายความเป็นชายและพลังการฝึกปรือของเขาได้
“ศิษย์พี่ชาย ข้ายินดีที่จะร่วมฝึกคู่กับท่าน แต่..ท่านมั่นใจรึ เผื่อว่าท่านอาจจะลืมไป พวกเรามิใช่หญิงสาวทั่วไป แต่เป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย”
“ใช่แล้ว ข้าดีใจมากที่จะร่วมฝึกคู่กับท่าน แต่ท่านมิคิดว่าท่านอาจจะกัดคำใหญ่เกินกว่าจะเคี้ยวได้ในตอนนี้”
“พวกเราอาจจะเป็นเพียงแค่ศิษย์นอก แต่พวกเราโลภมากถ้านั่นเป็นปราณหยางท่านรู้ไหม โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าปราณหยางนั้นมาจากคนที่จ้าวเสน่ห์อย่างเช่นศิษย์พี่ชาย…”
บรรดาหญิงสาวต่างพากันตักเตือนเขาเพราะว่าพวกเธอเป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ความต้องการปราณหยางและความอึดของพวกเธอเกินกว่าหญิงสาวทั่วไป
บางทีซูหยางอาจจะสามารถรับมือกับผู้หญิงมากมายเช่นนี้ได้ในครั้งเดียวถ้าพวกเธอไม่ได้มีวิถีชีวิตเป็นการร่วมฝึกคู่ แต่ว่าเขาโชคร้ายบรรดาหญิงสาวตรงหน้าเขาล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ช่ำชองเต็มไปด้วยความทนทานที่เกินปกติในเรื่องของการร่วมฝึกคู่
เมื่อเห็นบรรดาหญิงสาวกังวลว่าเขาอาจไม่สามารถรับมือกับพวกเธอทั้งหมด ซูหยางก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา อย่าว่าแต่เด็กหญิงแค่เก้าคน เขาสามารถรับมือแม้กระทั่งมีพวกเธอถึงหนึ่งร้อยคนได้ในคราเดียวถ้าเขาต้องการ
“ศ-ศิษย์พี่ชาย” บรรดาหญิงสาวค่อนข้างตะลึงเล็กน้อยกับการที่เขาพลันหัวเราะขึ้นมา
ซูหยางปากน้ำตาออกจากดวงตาและกล่าวว่า “ข้าเข้าใจว่าพวกเจ้าคิดว่าข้ากำลังกัดเกินจะเคี้ยว แต่ข้าสามารถรับประกันพวกเจ้าได้ว่ามิจำเป็นต้องกังวลเช่นนั้น”
“ถ้าพวกเจ้ายังคงสงสัยตัวข้า เช่นนั้นทำไมมิให้ข้าพิสูจน์ให้ดู” ซูหยางกล่าวขณะที่เขาเปิดเสื้อคลุมออกมาต่อหน้าบรรดาหญิงสาว เผยให้เห็นถึงร่างกายอันทรงเสน่ห์และท่อนแกร่งขนาดมโหฬาร
“โอนั่น…”
ดวงตาบรรดาหญิงสาวกว้างขึ้นด้วยด้วยความตื่นตระหนก จ้องมองร่างอันสมบูรณ์เปี่ยมล้นด้วยความจับใจ พวกเธอต่างรู้สึกเหมือนถูกกระตุ้นให้โถมตัวเข้าไปหาเขาหลังจากที่ได้แสดงภาพอันน่าโอชะนั้นเรียบร้อยแล้ว
“ตามข้ามาถ้าพวกเจ้าต้องการร่วมฝึกคู่ วันนี้ข้าจักแสดงให้พวกเจ้าเห็นว่าข้ามีความสามารถเช่นไร” ซูหยางหันกายและเดินเข้าไปภายในห้องของเขาด้วยกลิ่นอายที่เปี่ยมความมั่นใจรอบกาย ปล่อยให้ประตูเปิดค้างไว้สำหรับบรรดาหญิงสาว
“…”
สถานที่นั้นพลันเงียบกริบ บรรดาหญิงสาวต่างพากันสบสายตาไปมา ไม่มีใครในพวกเธอกล่าวถ้อยคำใดออกมา แต่พวกเธอล้วนเหมือนว่าเข้าใจถึงสิ่งที่ทุกคนต้องการจะพูดและพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน
“แม้ว่าเขาอาจจะเป็นผู้อาวุโสในแง่ของฐานะ เขาก็ยังคงอายุน้อยกว่าพวกเราสองสามปี เรามาแสดงให้เขาเห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเขาท้าทายพวกเราทั้งหมดในคราเดียว”
“ใช่แล้ว มิมีทางที่เขาสามารถรับมือพวกเราทั้งหมดพร้อมกันได้ เรามาทำให้เขาเสียใจที่ดูถูกพวกเรากันเถอะ”
“ข้าจักมิหยุดดูดปราณหยางให้หมดแม้กระทั่งเขาจะขอร้องให้ข้าหยุด”
บรรดาหญิงสาวถือเอาคำพูดของซูหยางเป็นคำท้าทายต่อพวกเธอและตัดสินใจที่จะรับคำท้าทายนั้น
เวลาต่อมายามเมื่อพวกเธอเตรียมตัวพร้อมด้วยการถอดเสื้อผ้าออกหมดแล้ว พวกเธอก็เข้าไปในห้องของซูหยาง ซึ่งมีเพียงจุดมุ่งหมายเดียวในใจ เพื่อเอาชนะซูหยางและรีดทุกหยดของปราณหยางของเขาออกไปจนกระทั่งเขาล้มพับเพราะว่าหมดเรี่ยวแรง
ยามเมื่อบรรดาหญิงสาวข้างซวนจิงหลินและอวี้เยียนเข้าไปในห้องของซูหยาง หญิงสาวทั้งสองคนก็สบสายตากัน
“ท-ท่านคิดว่าอย่างไร ท่านคิดว่าศิษย์พี่ชายจักสามารถรับมือพวกเธอทั้งหมดหรือไม่” อวี้เยียนถาม
ซวนจิงหลินครุ่นคิดชั่วขณะและกล่าวว่า “น้องหญิง…ข้าขอถามเจ้าหน่อยว่า…ซูหยางได้ปล่อยปราณหยางออกมาสักครั้งหรือไม่ขณะที่เขาร่วมฝึกกับพวกเรา”
อวี้เยียนดวงตาเบิกกว้างด้วยความตระหนก เธอหันไปมองดูห้องซูหยางด้วยท่าทางสับสน
DC บทที่ 222: ข้าเรียกท่านว่าป๋าได้ไหม
“ว้าว ศิษย์น้องหญิงอวี้สามารถอยู่ได้นานกว่าศิษย์พี่หญิงซวน…”
หญิงสาวทั้งเจ็ดที่ยังเหลืออยู่ต่างพากันร่วมแปลกใจอยู่ในบ้านพักของซูหยางเมื่ออวี้เยียนยังคงอยู่ในห้องนานกว่าครึ่งชั่วโมง
กล่าวไปแล้วไม่มีทางที่พวกเธอจะรู้ว่าที่อวี้เยียนอยู่ได้นานกว่าก็เพียงเพราะว่าซวนจิงหลินได้เข้าไปแบ่งเบาภาระด้วยการเข้าไปร่วมกับพวกเขา
สองสามนาทีหลังจากนั้น ประตูก็เปิดขึ้นมาอีกครั้ง และซูหยางก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าหญิงสาวทั้งเจ็ด
“ข-ข้าคนต่อไป” ซางเหวินจี หญิงสาวคนที่สาม ตรงเข้าไปหาเขาด้วยความสมัครใจ
ซูหยางพยักหน้าและกลับไปภายในห้อง
เมื่อซางเหวินจีได้เข้าไปในห้องและเห็นซวนจิงหลินและอวี้เยียนนั่งอยู่ที่มุมห้อง เธอรู้สึกเหมือนเดจาวู(เกิดเหตุการณ์เดิมซ้ำอีกครั้ง) เนื่องเพราะเธอเคยอยู่ในสถานการณ์แบบนี้มาก่อน
“พวกท่านทั้งคู่ออกไปก่อนได้หรือไม่ ข้าต้องการอยู่ลำพัง” ซางเหวินจีกล่าวกับอีกฝ่าย ในเมื่อเธอไม่ต้องการให้อีกฝ่ายเห็นด้านน่าอายของเธอไปมากกว่านี้เหมือนครั้งที่แล้ว
“ไม่”
“ม่าย”
อย่างไรก็ตามซวนจิงหลินและอวี้เยียนปฏิเสธคำคำขอของเธอในทันใด ในเมื่อพวกเธอต้องการร่วมแบ่งปันความอายที่ตนเองได้กล้ำกลืน
“ไม่รึ ข้ามิได้ขอร้องพวกท่านตั้งแต่แรก นี่เป็นเรื่องแปลกสำหรับพวกท่านทั้งคู่ที่จะอยู่ที่นี่ขณะที่ข้ารับการนวด ถ้าพวกท่านมิอาจขยับเขยื้อนได้ด้วยตนเอง เช่นนั้นข้าจักช่วยพาพวกท่านเดิน” ซางเหวินจีตัดสินใจที่จะให้คนทั้งสองออกไป
“ฮ้าาา..”
เมื่อเห็นว่าซางเหวินจีไม่มีเจตนาที่จะให้พวกเธอดูอีกต่อไปเหมือนครั้งที่แล้ว ซวนจิงหลินและอวี้เยียนก็ถอนใจแล้วออกจากห้องไปอย่างไม่เต็มใจ ด้วยความช่วยเหลือของซางเหวินจี
ยามเมื่อพวกเธอถูกเตะออกจากห้องแล้ว ซางเหวินจีก็นอนบนเตียงอย่างกระตือรือล้นโดยไม่ต้องรอให้ซูหยางพูดอะไร
แม้ว่าท่าทางเธอไม่ได้สื่ออะไรทั้งสิ้น แต่จากพวกเธอทั้งเก้าคน ซางเหวินจีเป็นหนึ่งในคนที่คาดหวังต่อวันนี้มากที่สุด มากเสียจนกระทั่งเธอแยกทางกับคู่ของเธอหลังจากนั้นไม่กี่วันนับตั้งแต่เธอพบกับซูหยางเป็นครั้งแรก
“อืมม..ก่อนที่เราจะเริ่ม ข้ามีข้อขอร้อง…” ซางเหวินจีพลันกล่าวด้วยท่าทางลังเล
“มีอะไรรึ” เขาถาม
“อ-อาจจะแปลกไปสักหน่อย…แต่..ข้าขออนุญาตเรียกท่านว่า “ป๋า” ได้ไหม น-นั่นจักเพียงกระทั่งข้าพ้นจากห้องนี้เท่านั้น…” ซางเหวินจีใบหน้าขึ้นสีแดงจากความอายหลังจากที่พูดถ้อยคำเหล่านั้น รู้สึกละอายใจกับความยึดมั่นภายในใจของตนเอง
ซูหยางมองดูเธอพร้อมกับเลิกคิ้ว เห็นชัดว่าประหลาดใจกับคำร้องขอที่เฉพาะตัวของเธอ
อย่างไรก็ตามในเมื่อเขาเป็นสุภาพบุรุษ ซูหยางก็พยักหน้าพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า ตกลงกับข้อร้องขอที่ไม่เหมือนใครของเธอ
“ถ้านั่นทำให้เจ้ามีความสุข” เขากล่าวด้วยเสียงราบเรียบ
หลังจากหลับนอนกับหญิงมานับไม่ถ้วนจากพื้นเพและฐานะแทบทุกอย่างในช่วงชีวิตก่อนหน้านี้ ซูหยางได้มีโอกาสได้รับคำขอร้องแปลกประหลาดไม่ใช่แค่เพียงไม่กี่คนจากคู่ร่วมฝึก กระทั่งเรียนรู้ถึงความเชื่อถือมากมายที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน สำหรับความเชื่อเรื่องป๋าของซางเหวินจีนั้นซูหยางถือว่ามันเป็นเรื่องที่ประหลาดน้อยที่สุดแล้วในบรรดาพวกนั้น
ซางเหวินจีดวงตาสดใสขึ้นมาเมื่อได้รับคำอนุญาตจากซูหยาง แม้ว่าเธอไม่ต้องการที่จะร้องขอเช่นนั้นในตอนแรก เธอก็มีความรู้สึกว่าซูหยางคงไม่เยาะเย้ยเธอในเรื่องนั้น
“ขอบคุณ ป๋า” ซางเหวินจีกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มเป็นประกาย
ซูหยางก็ตอบรับด้วยรอยยิ้มของตัวเขาเอง แต่เขายังคงคิดสงสัยในใจว่าชิวเยวี่ยจะพูดคำเหล่านี้หรือไม่ถ้าเธอได้รับรู้ถึงการละเล่นเล็กๆนี้
สองสามอึดใจหลังจากนั้นซูหยางก็เริ่มนวดซางเหวินจีในที่สุด
“อาา…”
“โอ…”
ซางเหวินจีซึ่งกระหายความรู้สึกนี้มานับตั้งแต่เธอได้ประสบกับมันครั้งแรก ครวญครางตามความต้องการของใจเธอ และเมื่อปราศจากผู้คนคอยมองดูเธอ เธอจึงไม่รู้สึกว่าต้องยับยั้งความปรารถนาในใจ
“ศิษย์พี่–ป๋า…ข้าต้องการฝึกร่วมกับท่าน…” ซางเหวินจีปลดเปลื้องเสื้อผ้าของเธอก่อนที่การนวดจะสิ้นสุดลง รู้สึกถึงความต้องการฝึกร่วมกับซูหยางก่อนที่เธอจะได้รับการนวดด้วยน้ำมัน
“เจ้าเอาจริงรึ” ซูหยางถามเธอพร้อมรอยยิ้มหยอกเย้า
ซางเหวินจีคลายชุดคลุมของเธอจนหมดและปล่อยให้มันลื่นไหลออกไปจากร่าง เปิดเผยให้ซูหยางเห็นผิวประดุจหยกและเย้ายวน
“ดูสิ…เป็นเพราะท่าน มันจึงแฉะไปหมดแล้ว…” ซางเหวินจีเปิดเผยให้เขาเห็นน้องสาวของเธอซึ่งกำลังฉ่ำชื้นไปด้วยน้ำรัก
“โอ…เช่นนั้นทำไมเจ้ามิปล่อยให้ข้ารับผิดชอบล่ะ” ซูหยางกล่าวขณะที่เขานำเอาแท่งแกร่งออกมา
“เทพยดา…” ซางเหวินจีปิดปากของเธอจากความตระหนกหลังจากที่เห็นความเป็นชายของซูหยางอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก เธอไม่คิดว่าสิ่งที่น่าหวาดหวั่นเช่นนี้จะปรากฏขึ้นทั้งสวยงามและสง่าผ่าเผยในเวลาเดียวกัน มันเป็นการค้นพบที่น่าตระหนกประเภทที่สามารถพบเจอได้เพียงครั้งเดียวในชีวิตเท่านั้น
หลังจากใช้เวลาชั่วขณะเพื่อชื่นชมน้องชายของซูหยางแล้ว ซางเหวินจีก็กางขาเธอออกกว้างต้อนรับน้องชายของซูหยางให้พบกับน้องสาวของเธอ
อย่างไรก็ตามก่อนที่เขาจะทะลวงร่างของซางเหวินจี ซูหยางก็ได้นำเอาน้ำมันพิเศษของเขาออกมาและเทบางส่วนลงไปบนแก่นกายของเขา เพื่อที่เขาจะได้ประโยชน์สูงสุดที่จะเป็นได้จากปราณหยินของซางเหวินจี
“นั่นคืออะไร” ซางเหวินจีไม่เข้าใจการกระทำของเขาและไต่ถาม
“นี่เป็นสิ่งที่ข้าทำซึ่งจักเพิ่มพูนความแข็งแกร่งของปราณหยินของเจ้าและทำให้ร่างกายของเจ้ายิ่งไวต่อการเสพสม ทำให้ร่างของเจ้ายิ่งรู้สึกพึงพอใจมากขึ้น”
“ช่างเป็นสารที่ลึกล้ำ ทำไมข้าจึงมิเคยได้ยินสิ่งมหัศจรรย์เช่นนี้มาก่อน” เธอคิดในใจ รู้สึกหวั่นกับประสิทธิภาพของน้ำมันที่จะเปิดเผยออกมา
“แต่ในเมื่อมันสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับปราณหยิน นั่นต้องมีค่าเฉกเช่นโอสถหยินพ้นพิสัยหรือมิฉะนั้นก็หายากยิ่งกว่า…” ซางเหวินจีค่อนข้างกังวลเล็กน้อย แม้ว่าเธอจะสุขใจกับความคิดของซูหยางในความปรารถนาที่จะใช้สิ่งที่ล้ำค่านั้นกับตัวเธอเอง เธอยังรู้สึกผิดที่ทำให้เขาใช้มันกับคนเช่นเธอ เพราะสุดท้ายเธอก็เป็นเพียงแค่ศิษย์นอก
อย่างไรก็ตาม ราวกับว่าเขาสามารถอ่านใจ ซูหยางกล่าวว่า “อย่ากังวล เจ้าคู่ควรกับมันแน่นอน”
“ศิษย์พี่ชายซู…” ซางเหวินจีลืมเรื่องความยึดมั่นภายในใจของเธอไปในเวลานั้นและมองดูเขาด้วยดวงตาน่าทนุถนอม
หลังจากนั้นไม่นาน ยามเมื่อน้องชายของซูหยางชุ่มโชกไปด้วยน้ำมันพิเศษ เขาก็ดันมันเข้าไปในถ้ำแฉะชื้นของซางเหวินจี จนเธอกรีดร้องดังลั่น “โอ ป๋า”
DC บทที่ 221: หลายงานพร้อมกันบนเตียง
“ตรงไปบนเตียงและนอนคว่ำหน้า”
ซูหยางแนะนำอวี้เยียนซึ่งกำลังรู้สึกกลัวเกรงอยู่เล็กน้อยจากคำพูดของซวนจิงหลิน
อวี้เยียนถอนหายใจและนอนลงบนเตียง ปิดตา เพื่อที่เธอจะได้ไม่เห็นซวนจิงหลินจ้องมองมายังเธอด้วยดวงตาที่ดูเหมือนไม่อาจทนรอดูความบันเทิง
ยามเมื่ออวี้เยียนนอนลงบนเตียง ซูหยางก็เริ่มนวดเธอตามปกติ
หลังจากนั้นไม่นานหลังจากเริ่มนวด อวี้เยียนก็ลืมตัวตนของซวนจิงหลินไปสิ้นและเริ่มดื่มด่ำกับความสุขที่ท่วมท้นร่างของเธอ
“อืมม..อาาา…อือออ…”
ซวนจิงหลินมองดูอวี้เยียนครวญครางอย่างสุขสมขณะที่ใบหน้าเธอเต็มไปด้วยความสำราญและพึงพอใจ
“ถ้าเจ้าคิดว่านั่นรู้สึกดีแล้ว จงรอจนกระทั่งเจ้าได้ลิ้มลองสิ่งนั้น…” ซวนจิงหลินหัวเราะในใจและอดไม่ได้ที่จะเห็นอวี้เยียนสิ้นท่าเช่นเดียวกับตัวเธอ
ต่อจากนั้นอีกสองสามนาทีซูหยางก็ยังคงนวดอวี้เยียนตามปกติโดยไม่มีกลเม็ดใดเพิ่ม ซึ่งสร้างความสับสนให้กับซวนจิงหลิน
“ทำไมเขาจึงยังไม่เริ่มเอาน้ำมันพิเศษออกมา เขาควรจะนำมันออกมาในตอนนี้…” เธอครุ่นคิด
และในขณะที่เธอกำลังคิดอยู่นั้น ซูหยางก็กล่าวขึ้นว่า “เจ้าต้องการลองอะไรใหม่ไหม มันเป็นน้ำมันพิเศษที่ถ้าลูบไล้ไปบนตัวเจ้า มันจักเพิ่มพูนความรู้สึกหรรษาอีกทั้งยังเพิ่มความเข้มแข็งให้กับปราณหยินของเจ้า”
“เอ๋ น้ำมัน” อวี้เยียนมองดูซูหยางและหันไปยังซวนจิงหลินซึ่งยังของจ้องเขม็งฉีกยิ้มไปยังเธอ
“นี่ต้องเป็นสาเหตุที่ศิษย์พี่หญิงซวนกลายเป็นเช่นนี้…ถ้าหากเป็นเช่นนั้นย่อมไม่มีเหตุผลใดที่ข้าจะต้องปฏิเสธโอกาสเช่นนี้” อวี้เยียนคิดในใจ
“ข้าต้องการลอง” เธอตอบกลับอย่างรวดเร็ว
ซูหยางพยักหน้าและกล่าวว่า “ถอดเสื้อผ้าของเจ้าเสีย”
อวี้เยียนพยักหน้าและถอดเสื้อผ้าโดยไม่ลังเล และถึงแม้ว่าจะรู้ว่าซวนจิงหลินได้มองดูเธออยู่ พวกเธอก็เห็นร่างเปลือยของอีกฝ่ายมาหลายครั้งแล้ว ดังนั้นนี่จึงไม่ใช่อะไรใหม่สำหรับพวกเธอ
ครั้นเมื่อเธอเปลือยเปล่าแล้ว อวี้เยียนก็นอนคว่ำหน้าและรอคอยซูหยางทำส่วนของเขา
หลังจากนั้นไม่นาน ซูหยางก็เทน้ำมันเต็มกำมือลงบนหลังอวี้เยียน จนทำให้ร่างเธอสั่นสะท้านเป็นการตอบสนอง
เขาจึงวางมือลงบนหลังอันเรียบลื่นและปาดน้ำมันไปทั่วหลัง
“โอออ” อวี้เยียนได้ดูแคลนความสำราญที่น้ำมันพามาไว้ จึงได้แต่ร้องครางด้วยความสุขสันต์ เต็มไปด้วยความพึงพอใจเปี่ยมล้น
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น เมื่อซูหยางเริ่มนวดพื้นที่อ่อนไหวของเธอ อวี้เยียนเริ่มกรีดร้องด้วยความสุขสันต์จนร่างของเธอพ่นน้ำออกมา
ในเวลานั้นซวนจิงหลินมองดูภาพด้วยท่าทางสนุกสนานราวกับว่าเธอกำลังดูการละเล่น
หลังจากนั้นไม่นานเมื่ออวี้เยียนไม่อาจต้านทานความต้องการทางเพศของเธอได้อีกต่อไป เธอก็เริ่มเล็งไปยังบริเวณเป้าของซูหยางดังเช่นที่ซวนจิงหลินได้ทำก่อนหน้านั้น
“ข-ข้าสามารถร่วมฝึกกับท่านได้ไหม” อวี้เยียนถามเขาด้วยท่าทางเอียงอาย เหมือนกับว่าเธอเพิ่งเค้นถ้อยคำสารภาพถึงความรักอันลึกซึ้งที่มีต่อเขาออกมา
ซูหยางไม่ได้กล่าวอะไรในรอบนี้ เพียงดึงเอาแกนหนาออกมาจากชุดคลุมและวางมันไว้ตรงหน้าอวี้เยียนให้เธอได้เห็นรูปลักษณ์อันงดงาม
“โอเทพเซียน…” อวี้เยียนตรึงตรากับแท่งหนาตรงหน้าเธอทันทีที่ซูหยางเปิดเผยมันออกมา ดูราวกับว่าเธอกำลังมองดูสมบัติล้ำค่า
หลังจากที่เธอสะดุ้งตื่นขึ้นจากความงงงันสองสามอึดใจหลังจากนั้น อวี้เยียนก็รวบมือน้อยๆทั้งสองข้างของเธอกับแกนหนาและเริ่มโลมเลียมันด้วยท่าทางที่ทำเหมือนกับว่าเธอกลัวจะทำให้สมบัติที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้เสียหาย
ซวนจิงหลินจ้อมเขม็งไปยังท่าทางของอวี้เยียนด้วยดวงตากลมโตราวกับจานรองแก้วพร้อมกับกรามอ้าตกถึงพื้น ในใจเธอคิดว่าตัวเธอเองคงไม่สามารถที่จะมองอวี้เยียนแบบเดิมได้อีกนับแต่วันนี้เป็นต้นไป
“ได้โปรด…ข้าต้องการให้มันอยู่ในตัวข้า…” อวี้เยียนพลันกล่าวด้วยเสียงออดอ้อน
ซูหยางพยักหน้าและวางเธอลงบนเตียง กุมสะโพกของเธอไว้ เล็งปลายแก่นกายไว้ตรงทางเข้าที่กำลังเรียกร้องของเธอ และเริ่มไสแก่นกายเข้าออกหลืบรูอันเปียกแฉะ
“อาาาาา” อวี้เยียนส่งเสียงกรีดร้องที่กระทั่งหัวใจของซวนจิงหยินยังหยุดเต้นเมื่อเธอได้ยินในครั้งแรก
ซวนจิงหลินใช้สองมือปิดปากตนเองพร้อมกับมองดูอย่างนิ่งเงียบขณะที่ซูหยางครอบงำอวี้เยียนทั้งร่างกายและจิตใจด้วยกลเม็ดและแก่นศักดิ์สิทธิ์ของเขา และทุกเสียงครวญครางที่ออกมาจากปากของอวี้เยียนล้วนทำให้ร่างของเธอสั่นสะท้าน
ซวนจิงหลินรู้สึกว่าเธอไม่ได้มองดูการร่วมสานสัมพันธ์รักในตอนนี้ แต่กลับเป็นการแสดงศิลปะแทน ในเมื่อทุกการเคลื่อนไหวของซูหยางที่แสดงออกมาล้วนเต็มไปด้วยความสง่าผ่าเผยงดงาม ทั้งยังมีความรู้สึกครอบครองรายล้อมตัวตนของเขา
หลังจากที่มองดูทั้งคู่ร่วมฝึกคู่ไปสองสามนาที ซวนจิงหลินก็เริ่มเล้าโลมตนเองและเริ่มเล่นกับของตนเองขณะที่เธอมอง
ยามนั้นเมื่อซูหยางเห็นเช่นนั้น เขาก็ยิ้มและกล่าวกับเธอว่า “ข้าสามารถดูแลเจ้าได้เช่นกันถ้าเจ้าต้องการมาร่วมกับพวกเรา”
ซวนจิงหลินงงงันไปกับคำของเขาในตอนแรกและจ้องมองไปยังเขาด้วยสายตามึนงงไปนับนาทีก่อนที่เธอจะรีบถอดเสื้อผ้าอีกครั้งและเข้าไปร่วมกับพวกเขา
ดังนั้น ซูหยางก็เริ่มนวดซวนจิงหลินซึ่งนอนลงข้างอวี้เยียนด้วยมือของเขาขณะที่เขากำลังนวดอวี้เยียนด้วยแก่นกาย สร้างความพึงพอใจให้กับหญิงสาวทั้งสองไปพร้อมกันอย่างง่ายดาย แสดงให้เห็นถึงความเป็นอัจฉริยะและประสบการณ์ในการทำหลายสิ่งพร้อมกัน
“อา…อาา…อาาา…”
“อา…ดีจัง…อาา…”
ในเวลานั้นห้องก็ยิ่งมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้นด้วยสองสาวสวยครวญครางไปข้างๆกันด้วยท่าทางเย้ายวน ทำให้ห้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นสนุกสนานที่สามารถอธิบายได้เพียงว่าเป็นสวรรค์ของเหล่าชาย
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 220
DC บทที่ 220: ข้าต้องการร่วมฝึกคู่กับท่าน…
ซูหยางเทน้ำมันพิเศษลงบนหลังของซวนจิงหลินและเริ่มนวดเธอ
“อาาาา ความรู้สึกนี้ช่างดียิ่ง ข้ามิเคยประสบอะไรเช่นนี้มาก่อน”
ซวนจิงจินร้องครางเสียงดังยามเมื่อน้ำมันซึมเข้าไปในรูขุมขน ทำให้ร่างของเธอยิ่งไวต่อการสัมผัสของซูหยางและเพิ่มพูนปราณหยินของเธอในระหว่างกระบวนการ
หลังจากที่ซูหยางทาน้ำมันลงไปบนหลังเธอจนทั่วได้ชั่วขณะแล้ว เขาก็ขยับมือไปยังบั้นท้ายของเธอและบีบเฟ้นแน่น รีดเสียงร้องครางด้วยความสุขสันต์อย่างลึกซึ้งออกมาจากปากของซวนจิงหลินพร้อมกับน้ำที่ออกมาจากร่องหลืบส่วนล่างของกายเธอ
ซูหยางเริ่มกระบวนการนวดแก้มก้นโดยการกดนิ้วของเขาลึกลงไปในเนินเนื้อตรงหน้า ส่งผลให้เกิดคลื่นของความสุขสมกระแทกผ่านร่างของซวนจิงหลิน
ยามเมื่อเขานวดก้นเสร็จแล้ว ซูหยางเคลื่อนมือมุ่งไปยังขาเรียวงามนวดต้นขาที่ยืดหยุ่นของเธออย่างมีชั้นเชิงขณะที่หยอกล้อน้องสาวของเธอไปด้วยบ่อยๆ ซึ่งยิ่งกระตุ้นความปรารถนาของร่างกายซวนจิงหลินมากยิ่งขึ้นทุกขณะ
ภายในไม่กี่นาที ซวนจิงหลินก็รู้สึกหมดแรงจากการปลดปล่อยอย่างต่อเนื่อง แต่ซูหยางก็ยังคงเพียงได้แค่ทาน้ำมันด้านหลังเธอเท่านั้นขณะที่ข้างหน้ายังคงไม่ได้แตะต้อง
“มีอะไรผิดหรือ เจ้ารู้สึกหมดแรงไปแล้วหรือ หรือเจ้าต้องการให้ข้าหยุดเพียงเท่านี้” ซูหยางถามเธอ
“ม…ไม่ ข..ข้ายังสามารถ…รับได้มากกว่านี้…” ซวนจิงหลินกล่าวด้วยเสียงที่เห็นชัดว่าหมดแรง
ไม่มีทางที่เธอยอมแพ้หลังจากที่ได้รับประสบการณ์บางอย่างที่ศักดิ์สิทธิ์ดังเช่นการนวดน้ำมันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อร่างของเธอยังแผดเผาไปด้วยความต้องการ ในใจเธอตัดสินใจที่จะไม่ยอมออกไปจากเตียงนี้ถึงแม้ว่าซูหยางจะพรากลมหายใจสุดท้ายของเธอไปด้วยกลเม็ดระดับพระเจ้าของเขา
“ถ้าเจ้าพูดเช่นนั้นละก็”
ซูหยางไม่ได้พยายามที่จะหว่านล้อมเธอให้หยุดและนวดร่างด้านหน้าของเธอต่อไป
“อาาา…ใช่แล้ว….ลูบข้ามากกว่านี้–”
ซวนจิงหลินจับผ้าปูเตียงแน่นเมื่อซูหยางนวดทรวงอกเธอด้วยกลัวว่าเธอจะเผลอกอดเขาโดยสัญชาตญาณ
อย่างไรก็ตามยามเมื่อซูหยางเริ่มนวดน้องสาวของเธอ ซวนจิงหลินก็หลุดการควบคุมภายในไม่กี่วินาทีและเริ่มเอื้อมมืออันสั่นเทาไปยังพื้นที่หว่างขาของซูหยาง สายตาเธอเต็มไปด้วยความปรารถนาที่จะร่วมรัก
“ศิษย์พี่ชายซู…ได้โปรด..ข้าต้องการที่จะร่วมฝึกคู่กับท่าน…” ซวนจิงหลินขอร้องเขาด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน สายตาเธอมีประกายของความกำหนัด
มองเห็นท่าทางสิ้นหวังของเธอ ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “เจ้ามั่นใจรึ เจ้าคงไม่สามารถออกจากห้องนี้ได้ด้วยตนเองถ้าเราร่วมฝึกคู่”
ซวนจิงหลินพยักหน้าด้วยท่าทางเด็ดเดี่ยว คิดในใจว่าประวัติศาสตร์เพียงแค่ซ้ำรอยเท่านั้น
ซูหยางไม่ได้พูดอะไรทั้งสิ้น เขานำเอาแก่นกายแสนแกร่งออกมาจากภายในชุดคลุมดุจอาวุธที่แอบซุกซ่อนไว้
“น-นี่เป็นของศิษย์พี่ชายรึ…”
ซวงจิงหลินจ้องมองไปยังแกนทรงพลังด้วยท่าทางพินิจ ในใจเธอได้ลองเปรียบเทียบแท่งของซูหยางกับของคู่ฝึกของเธอ แต่ความแตกต่างนั้นเหมือนฟ้ากับเหวโดยแก่นกลางของซูหยางคือแบบแรก
“อ-ไอ้เลวตัวไหนที่เป็นต้นเหตุคำร่ำลือเรียกเขาว่าคนพิการ หรือว่าคนพิการมีแก่นกลางที่ดูแข็งแกร่งปานนี้” คิดกลับไปยังคำร่ำลือ ซวนจิงหลินก็อดด่าไปยังคนที่สร้างความเข้าใจผิดให้พวกเธอไม่ได้ ในเมื่อมันสร้างความเสียหายให้กับโอกาสสำหรับคนหลายคนที่จะได้ทดลองแท่งศํกดิ์สิทธิ์เช่นนี้
“ข้าจักเริ่มขยับแล้วตอนนี้” ซูหยางกล่าวกับเธอ
ซวนจิงหลินกลืนน้ำลายที่สอเต็มปากอย่างยากเย็นและพยักหน้า
ซูหยางค่อยดันท่อนเนื้อเข้าไปในทางเข้าของซวนจิงหลิน จนทำให้กลีบชุ่มฉ่ำขยายตัวออก
“อาาาาาา” ซวนจิงหลินร่างกระตุกอย่างควบคุมไม่ได้ด้วยความรู้สึกที่คับแน่นบริเวณเป้าของเธอขณะที่แท่งแกร่งทะลวงเข้าไปในร่างเธอ
น้องชายของซูหยางช่างใหญ่เมื่อมันเข้าไปในร่างเธอจนซวนจิงหลินคิดว่าเธอกำลังพบกับการสูญเสียพรหมจรรย์เป็นครั้งที่สองในตอนนี้
มันเป็นความรู้สึกที่บรรยายไม่ได้ซึ่งจะเปลี่ยนมุมมองต่อการร่วมฝึกคู่ของเธอไปตลอดกาล
ยามเมื่อส่วนปลายของแท่งของซูหยางไปถึงสุดถ้ำอันแน่นคับของซวนจิงหลินแล้ว เขาก็เริ่มขยับสะโพก กระแทกกระทั้นถ้ำของเธอด้วยแก่นกาย ครอบงำร่างกายและจิตใจของซวนจิงหลินด้วยความสุขสม
–
–
–
ในเวลานั้นหญิงสาวอีกแปดคนที่เหลืออดทนรออยู่ด้านนอกห้องด้วยสีหน้ากระวนกระวาย
“พวกเจ้าคิดว่าศิษย์พี่หญิงซวนจะทนได้นานเท่าไหร่” หนึ่งในพวกเธอถาม
“ในเมื่อรู้ว่าเธอเป็นคนที่มีประสบการณ์มากที่สุดในบรรดาพวกเราทั้งเก้าคน เธอควรจะสามารถทนอยู่ได้อย่างน้อยครึ่งชั่วโมงโดยไม่มีปัญหา แม้ว่าเธอจะเผชิญหน้ากับคนอย่างซูหยางก็ตาม”
“ครึ่งชั่วโมงรึ ข้าจักไม่ไปไหนจนกว่าข้าจะได้อยู่กับเขาอย่างน้อยสองชั่วโมง” ผู้ที่มีอายุน้อยที่สุดในบรรดาพวกเธอพูด
“ฮ่าฮ่าฮ่า…ข้าจักเรียกเจ้าเป็นศิษย์พี่ถ้าเจ้าอยู่ได้นานถึงชั่วโมงในนั้น…”
บรรดาหญิงคนอื่นต่างพากันเริ่มหัวเราะ
“ฮึ่ม พวกท่านคอยดู—”
ระหว่างที่พวกเธอกำลังหัวเราะ ประตูห้องซูหยางก็พลันเปิดออกมา
ซูหยางเดินออกมาจากห้องด้วยใบหน้าเรียบเฉยและกล่าวว่า “ข้าพร้อมรับแขกคนต่อไปแล้ว”
“ว่ากระไรนะ ท่านเสร็จกันแล้วรึ”
บรรดาหญิงสาวสบตากันด้วยความตกตะลึง ลืมเรื่องครึ่งชั่วโมงไปเลย นี่ยังไม่ถึงสิบห้านาทีนับตั้งแต่ซวนจิงหลิงเข้าไปในห้อง
“ก-เกิดอะไรขึ้นกับ…ไม่มีอะไร…”
บรรดาหญิงสาวปล่อยผ่านไปเพราะไม่มีประโยชน์อะไรที่จะถามว่าซวนจิงหลินเป็นอย่างไร ในเมื่อพวกเธอล้วนรู้ดีว่าจักเกิดอะไรขึ้นกับพวกเธอหลังจากประสบกับกลเม็ดขั้นเทพของซูหยาง
“ข้าคนต่อไป” อวี้เยียนหญิงสาวอายุน้อยสุดในกลุ่มก้าวออกไปด้วยท่าทางมั่นใจ
“โชคดี พยายยามให้ได้นานถึงสองชั่วโมงในนั้น ศิษย์น้องอวี้”
รู้ดีว่าเธอคงอยู่ไม่นานขนาดนั้น บรรดาหญิงสาวก็ส่งเสียงให้กำลังใจอวี้เยียนทำนองหยอกเย้าขณะที่เธอกำลังเข้าไปในห้องซูหยาง
ยามเมื่ออวี้เอียนเข้าไปในห้อง เธอก็ต้องตระหนกเมื่อเห็นซวนจิงหลินนั่งอยู่ที่มุมห้องเหมือนครั้งที่แล้ว แต่ด้วยท่าทางลามกที่ทำให้เธอสะดุดใจ ยิ่งไปกว่านั้นชุดของเธอก็แทบไม่ได้อยู่บนร่าง ราวกับว่าถูกถอดออกไปจนถึงระดับหนึ่งและเธอก็ไม่สนใจที่จะนำมันมาสวมให้เรียบร้อยหลังจากนั้น
“ก-เกิดอะไรขึ้นบนโลกนี้กับเธอ” อวี้เยียนไม่รู้สึกมั่นใจว่าเธอจะสามารถอยู่ได้นานถึงสองชั่วโมงอีกต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เห็นสภาพของซวนจิงหลิน
“ศิษย์น้องหญิง..” เมื่อเห็นอวี้เยียนเข้ามาในห้อง ซวนจิงหลินจ้องมองเธอด้วยรอยฉีกยิ้มที่อันตรายและกล่าวว่า “แสดงสวยๆให้ข้าดูเหมือนครั้งที่แล้วล่ะ…”
อวี้เยียนอ้าปากค้างจนกรามตกลงพื้นเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้น ธรรมดาที่เธอต้องจนคำพูด
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 219
DC บทที่ 219: ท่านคิดว่าร่างของข้าเป็นอย่างไร
ภายในบ้านของเขา หญิงสาวเก้าคนยืนเข้าแถวต่อหน้าซูหยางตามลำดับ เหมือนกับภาพของโสเภณีรอให้แขกมาเลือกเธอตามอำเภอใจ
แต่แทนที่จะเป็นหญิงโสเภณี พวกเธอล้วนเป็นศิษย์นอกของตำหนักโอสถ อีกทั้งยังเป็นศิษย์ของหลานลี่ชิงอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นพวกเธอล้วนเป็นหนึ่งในลูกค้าแรกสุดของซูหยางก่อนที่เขาจะเป็นที่นิยมในหมู่ศิษย์นอก และพวกเธอมาที่นี่ในวันนี้เพื่อจะรับประสบการณ์จากกลเม็ดระดับเทพอีกครั้ง
“ใครต้องการเป็นคนแรก” ซูหยางพลันถามพวกเธอ “พวกสาวสาวสามารถปรึกษากัน–”
“เราได้ตกลงกันมาแล้วตามลำดับ” หนึ่งในหญิงสาวกล่าว
“โอ” ซูหยางเลิกคิ้ว
“พวกเราได้ตัดสินใจก่อนที่จะมาที่นี่ว่าพวกเราจะเข้าไปตามลำดับเหมือนครั้งก่อน นั่นก็หมายความว่าข้าเข้าไปเป็นคนแรก” ซวนจิงหลินกล่าว เธอเป็นคนแรกยามเมื่อพวกเธอมาครั้งแรกเพื่อลิ้มลองกลเม็ดของซูหยาง
ซูหยางพยักหน้าและกล่าวว่า “ยังไงก็ได้สำหรับข้า”
“…”
สถานที่นั้นพลันเงียบลง
“มีอะไรผิดไปรึ” ซูหยางถามพวกเธอ
“อืมม…เงื่อนไขครั้งนี้คืออะไร” ซวนจินจิงถามเขา ในเมื่อเคยมีเงื่อนไขในครั้งแรกที่มาซึ่งพวกเธอได้ทำตามก่อนที่พวกเธอจะได้รับบริการ
“โอ สิ่งนั้นเองรึ คราวนี้ไม่มีเงื่อนไขอะไร” เขาตอบง่ายๆ
“อะไรก้น ไม่มีเงื่อนไข”
หญิงสาวทั้งเก้ามองดูเขาด้วยดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“ล-แล้วเรื่องจำกัดเวลาล่ะ นานเท่าไหร่สำหรับการนวดคราวนี้” หนึ่งในพวกเธอถาม
ซูหยางตอบพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า “ไม่มีการจำกัดเวลา ดังนั้นพวกเจ้าสามารถอยู่นี่ได้หลายชั่วโมงโดยไม่ต้องไปไหน แต่พวกเจ้าทั้งหมดคงจะหมดแรงภายในไม่กี่นาที ว่าไปแล้วข้าจักทำให้มั่นใจว่าพวกเจ้าทั้งหมดออกจากที่นี่ไปอย่างพึงใจ ดังนั้นเจ้ามิต้องกังวลว่าข้าจักนวดอย่างเร่งรีบเพียงเพื่อทำให้พวกเจ้าออกไปเร็วกว่าปกติ”
“ม..ไม่มีการจำกัดเวลา”
“น-น-นวดนานหลายชั่วโมง”
เหล่าหญิงสาวเริ่มสั่นสะท้านด้วยความมุ่งหวังหลังจากที่ได้ยินเงื่อนไขใหม่ของเขา และพวกเธอแอบสาบานอยู่เงียบในใจว่าพวกเธอจะไม่ออกจากเตียงของเขาต่อให้พวกเธอต้องตายเพราะความสุขสมก็ตาม
“พวกเจ้ายังมีคำถามอะไรจากข้าอีกไหมก่อนที่เราจะเริ่ม” ซูหยางถามพวกเธอ
“อืม…” ซวนจิงหลินยกมือของเธอขึ้นและกล่าวว่า “ท่านอ้างว่าจะมีมากกว่าเพียงแค่การ “นวด” … จริงแล้วท่านหมายถึงอะไรในเรื่องนั้น”
หญิงสาวคนอื่นชื่นชมซวนจิงหลินอยู่ในใจที่ถามคำถามที่ค้างคาอยู่ในใจพวกเธอนับตั้งแต่ได้ยินเรื่องนั้น
อย่างไรก็ตามซูหยางเพียงแค่ยิ้มกับคำถามนั้นและกล่าวว่า “พวกเจ้าจักรู้เองภายในนั้น”
“…”
ความคาดหวังของบรรดาหญิงสาวพุ่งสูงถึงหลังคาทะลุผ่านเมฆในขณะนี้ และจินตนาการของพวกเธอก็เตลิดไปทั่วคิดสงสัยว่าซูหยางจะทำอะไรกับพวกเธอเมื่ออยู่กับพวกเธอตามลำพัง
“ข-ข้าพร้อมแล้ว” ซวนจิงหลินไม่มีความอดทนเหลืออีกต่อไปและก้าวยาวตรงเข้าไปในห้องของซูหยาง ในใจของเธอ เธอมั่นใจว่าคำถามทั้งหมดของเธอจะได้รับคำตอบยามเมื่อพวกเขาเริ่ม ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลใดสำหรับเธอที่พูดคุยให้นานกว่านั้น
ยามเมื่อเธออยู่ในห้องของเขา ความทรงจำครั้งที่เธอมาเยี่ยมเป็นครั้งแรกก็ผุดขึ้นมาในใจ และร่างของเธอก็ถูกปลุกเร้าขึ้นมาในทันใด
“ไปนอนตรงนั้น” ซูหยางกล่าวกับเธอหลังจากที่ปิดประตู
ซวนจิงหลินพยักหน้าและนอนลงไปบนเตียงเช่นเดียวกับครั้งที่แล้ว
ไม่นานหลังจากนั้น ซูหยางก็เริ่มนวดหลังเธอทำให้ความรู้สึกเสียวซ่านแผ่ไปทั่วร่างของเธอ
“อืมมมม…อาาา…แบบนั้นแหละ…ใช่แล้ว…” ซวนจิงหลินเริ่มครวญครางด้วยความสุขสม
อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะมีความสุข ซวนจิงหลินไม่อาจบอกได้ถึงความแตกต่างระหว่างครั้งนี้กับครั้งก่อนหน้านั้น เหมือนกับว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย
ถึงจะกล่าวเช่นนั้น แต่ซวนจิงหลินก็ไม่ได้สนใจเรื่องนั้นแม้แต่น้อยและสุขสมกับการนวดขั้นเทพต่อไป
สองสามนาทีต่อไป ซูหยางพลันกล่าวขึ้นว่า “เจ้าต้องการให้เป็นเช่นนี้ต่อไป หรือว่าเจ้าต้องการที่จะลองของใหม่” เขาถามเธอโดยไม่ได้หยุดการนวด
“ข-ของใหม่รึ นั่นคืออะไรกัน” เธอถาม ความสนใจของเธอถูกจุดขึ้นในทันที
“ข้ามีน้ำมันพิเศษที่สร้างขึ้นโดยการผสมสมุนไพรหลากหลาย และถ้าเจ้าพอกผิวเจ้าด้วยสิ่งนี้ ความรู้สึกของเจ้าจะเพิ่มขึ้นมาอย่างมากมาย ยิ่งไปกว่านั้นมันจะทำการล้างความไม่บริสุทธิ์ในปราณหยินของเจ้าระดับหนึ่งทำให้มันแข็งแกร่งขึ้น”
“ท-ท่านพูดจริงรึ” ซวนจิงหลินทำท่ากลืนน้ำลายหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเขาที่เหมือนกับว่าจะดีเกินที่จะเป็นจริงอยู่บ้าง
ว่าไปแล้วมีเพียงยาหายากดังเช่นโอสถหยินพ้นพิสัยที่มีความสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของปราณหยินของผู้คน แต่ซูหยางตรงนี้กลับออกมาบอกว่าเขามีน้ำมันพิเศษบางอย่างที่มีคุณสมบัติเหมือนเช่นโอสถหยินพ้นพิสัย และเขายินดีที่จะใช้มันกับเธอฟรี
อย่างไรก็ตามซวนจินหลินรู้สึกว่ามันยากยิ่งกว่าที่จะเชื่อว่าซูหยางมีเจตนาทำร้ายเธอ ดังนั้นเธอจึงพยักหน้ากับคำแนะนำให้ใช้น้ำมันพิเศษนี้
“อย่างไรก็ตามเพื่อที่จะทาน้ำมันพิเศษลงบนร่างเจ้า ข้าจำเป็นต้องให้เจ้าถอดเสื้อผ้า” ซูหยางกล่าวกับเธอ
ซวนจิงหลินได้เตรียมใจของเธอมานานแล้วก่อนที่จะมาถึงที่นี่ในกรณีที่ซูหยางต้องการให้เธอมากกว่าการนวด ดังนั้นเธอจึงไม่ประหลาดใจเลยแม้แต่น้อยที่พบว่ามันเกิดขึ้นจริงและถอดเสื้อผ้าออกโดยไม่ตื่นเต้น
ซูหยางมองดูร่างเปลือยของซวนจิงหลินด้วยท่าทางเรียบเฉย แม้ว่าสัดส่วนของเธอไม่อาจเทียบได้กับร่างเติบโตเต็มวัยของหลานลี่ชิง ผิวขาวผ่องและร่างสะโอดสะองของเธอก็สามารถทำให้คนทั่วไปส่วนใหญ่สูญเสียการควบคุมได้ในทันที
“ว่ากระไร…ท่านคิดว่าร่างของข้าเป็นอย่างไร” ซวนจิงหลินถามเขาหลังจากที่เห็นซูหยางจ้องมองรูปร่างของเธอ เสียงของเธอฟังดูเอียงอาย
“ช่างสวยงาม” เขากล่าวตอบอย่างนุ่มนวลพร้อมรอยยิ้มหล่อเหลาบนใบหน้า
ซวนจิงหลินพลันหน้าขึ้นสีจนกระทั่งทั้งใบหน้าเธอกลายเป็นสีแดง
“อ-อย่างนั้นรึ…”
ถ้าซูหยางบอกเธอให้จากคู่ฝึกร่วมปัจจุบันของเธอเพื่อที่จะอยู่กับเขาในเวลานี้ แน่นอนว่าเธอไม่ลังเลใจที่จะพยักหน้า
“เจ้าควรนอนลงอีกครั้ง” เขาพลันกล่าวกับเธอ
ซวนจิงหลินพยักหน้าและนอนลงไปบนเตียงพร้อมกับเสียงหัวใจเต้นราวกับกลองศึก สามารถมองเห็นสารเหลวเล็ดรอดออกมาจากรอยร่องระหว่างขาของเธอ มองดูเหมือนกับริมฝีปากคู่หนึ่งที่น้ำลายไหลย้อยเนื่องจากความหิว
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 218
DC บทที่ 218: กลุ่มสาวสวยกลับมาอีกครั้ง
บรรยากาศภายในห้องน้ำเงียบและสงบสุขเป็นอย่างมากจนหลานลี่ชิงที่พิงศีรษะบนหัวไหล่ของซูหยางในเวลานั้นรู้สึกผ่อนคลายและปลอดภัยเป็นพิเศษ บางสิ่งที่เธอไม่เคยประสบมาก่อนเหมือนกับความฝัน ซึ่งหลานลี่ชิงต้องการให้ช่วงเวลาคงอยู่อย่างนั้นชั่วนิรันดร์
“ซูหยาง…” เธอพลันกล่าวขึ้น “เมื่อไหร่เจ้าจึงจะกลายเป็นศิษย์หลัก ข้าจะได้ไม่ต้องปิดบังความสัมพันธ์กับเจ้าอีกต่อไป”
ทั้งหมดนี้ก็เพื่อที่เก็บความสัมพันธ์อันลึกซึ้งของพวกเขาจากฐานะผู้อาวุโสนิกายและศิษย์ไว้เป็นความลับ เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ถูกลงโทษโดยนิกาย เธอต้องโกหกศิษย์ของเธอเองเพื่อที่จะพบกับเขา บางสิ่งที่เธอไม่อาจปฏิเสธว่าเธอไม่รู้สึกผิด
“เจ้ายังคงกังวลเกี่ยกับเรื่องพวกนี้รึ” ซูหยางส่ายหน้า “ถ้าใครมีปัญหาก็ให้มาหาข้า”
“เจ้ายังมิเข้าใจ ซูหยาง… มันมิใช่อะไรที่ไม่สำคัญอย่างเช่นแค่เพียง “ปัญหา” แม้ว่าจะเป็นเรื่องธรรมดาของนิกายนี้ แต่นี่เป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับผู้อาวุโสนิกายและศิษย์ที่จะฝึกคู่ร่วมกัน ถ้าความสัมพันธ์ของเราถูกเปิดเผย เราคงจะถือได้ว่าโชคดีถ้านิกายเพียงแค่ทำลายพลังการฝึกปรือก่อนที่จะไล่พวกเราออกจากสำนัก ในกรณีที่เลวร้ายอาจลงโทษเราถึงตาย”
“จะเกิดอะไรขึ้นรึถ้าผู้นำนิกายฝึกคู่ร่วมกับศิษย์ ยังมีกฏพวกนี้อยู่หรือไม่” ซูหยางถามง่ายๆ
“ผ-ผู้นำนิกายรึ ร-เรื่องนี้ไม่เคยคิดมาก่อน ในเมื่อเหตุการณ์แบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมานับตั้งแต่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยถูกก่อตั้ง ถ้ามันเกิดขึ้นนั่นต้องยิ่งกว่าเพียงแค่เรื่องอื้อฉาว”
ซูหยางอดไม่ได้ที่จะหัวเราะในใจ ในเมื่อประวัติศาสตร์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยถูกเขียนไว้เรียบร้อยแล้วเมื่อเขาได้ร่วมฝึกคู่กับโหลวหลานจีระหว่างการประเมินศิษย์ใน
“ข้ามิเข้าใจทำไมเรื่องเช่นนั้นจึงต้องห้าม นั่นมิได้ทำร้ายผู้ใด และศิษย์ย่อมได้ผลประโยชน์มากมายถ้าพวกเขาฝึกคู่ร่วมกับผู้อาวุโสนิกาย” ซูหยางถอนหายใจ
“ข้าก็มิเข้าใจเช่นกัน แต่ข้าเคยได้ยินจากผู้นำนิกายคนก่อนว่ากฏดังกล่าวไม่ได้มีมาตั้งแต่ต้น มันเกิดขึ้นหลังจากมีเหตุที่ทำให้เกิดความวุ่นวายอย่างมากภายในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจนทำให้พวกเขาต้องตั้งกฏนั้นขึ้น”
“อย่างนั้นรึ…” แม้ว่าซูหยางไม่ได้สนใจมากนักเกี่ยวกับกฏของนิกายนี้ หลานลี่ชิงดูเหมือนว่าจะเป็นกังวลเกี่ยวกับมันมาก
“อย่างไรก็ตามเจ้าอย่าเครียดเกินไปกับสิ่งที่ไม่สำคัญ และถึงแม้ว่ามันถูกเปิดเผยให้กับนิกายว่าเราร่วมฝึกคู่กัน ก็จักมิมีอะไรเกิดขึ้นกับเราทั้งคู่ นี่ข้าสามารถรับประกันเจ้าได้” เขากล่าวกับเธอด้วยรอยยิ้มมั่นใจบนใบหน้า
“ถ้าเจ้ากล่าวเช่นนั้น…” แม้ว่าเธออาจจะไม่สามารถหยุดกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ทั้งหมด เธอก็ยังรู้สึกว่าน้ำหนักที่กดอยู่บนบ่าเบาลงหลังจากที่เห็นความมั่นใจของเขา มันเหมือนกับว่าซูหยางสามารถแบ่งปันความรู้สึกของเขาให้กับใครก็ตามที่อยู่ข้างเขา
หลังจากที่มีความสุขกับการอาบน้ำอีกชั่วขณะ ซูหยางก็อุ้มหลานลี่ชิงออกจากอ่างอาบน้ำไปเช็ดตัวให้แห้งก่อนที่จะสวมชุดกลับคืนลงบนร่างเธอ
เพียงหลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วโมงที่หลานลี่ชิงมีแรงพอที่จะยืนขึ้นโดยไม่ล้มลงหลังจากที่ยืนได้สองสามวินาที และเมื่อเธอสามารถเดินได้โดยไม่ล้มลงแทบทุกก้าวหลายนาทีหลังจากนั้น หลานลี่ชิงก็กล่าวคำอำลากับซูหยางและกลับไปยังตำหนักโอสถที่ซึ่งศิษย์ของเธอยังคงทำงานก้าวหน้าอย่างเหลือเชื่อ ซึ่งสร้างความงุนงงให้กับหลานลี่ชิงเป็นอย่างมากเมื่อเธอเห็นภาพนั้น
เมื่อหลานลี่ชิงจากไปแล้ว ซูหยางได้นำเอายาเม็ดสีแดงจากถุงเก็บที่ทิ้งไว้เบื้องหลังโดยชิวเยวี่ยและกลืนมันเข้าไปก่อนที่จะหลับตาฝึกฝน
แม้ว่าหลานลี่ชิงจะอยู่เพียงแค่เขตปฐพีวิญญาณระดับต้น แต่เพราะว่าน้ำมันที่เพิ่มปราณหยินของเธอและยาเม็ดสีแดงนี้ที่เต็มไปด้วยปราณหยาง จึงเพียงพอให้ซูหยางสามารถฝึกปราณไร้ลักษณ์ให้ก้าวหน้าต่อไปยังเขตอัมพรวิญญาณได้ และแม้ว่าก้าวนี้จะเชื่องช้าและอ่อนแอ แต่เขาก็ยังเติบโตต่อไปได้
และด้วยความเร็วระดับนี้ เขาไม่ต้องใช้เวลาถึงครึ่งปีในการที่จะเข้าสู่เขตอัมพรวิญญาณ
–
–
–
ขณะที่ซูหยางกำลังฝึกวิชาอย่างสงบสุข บรรดาศิษย์ของตำหนักโอสถก็เคลื่อนไหวอย่างเร่งร้อนเพื่อที่จะทำให้งานวันนั้นของตนเองเสร็จตราบเท่าที่เป็นไปได้เพื่อพวกเธอจะได้ไปหาซูหยาง ทำให้สถานที่แห่งนั้นสับสนวุ่นวาย
และเมื่อหลานลี่ชิงเห็นภาพนั้นครั้งแรก เธอถึงกับตกตะลึงกับการทำงานของพวกเธอ เพราะว่าเธอไม่เคยเห็นพวกเธอทำงานอย่างหนักในหลายปีที่อยู่ด้วยกันมา
อย่างไรก็ตามเมื่อหลานลี่ชิงถามหนึ่งในบรรดาศิษย์ว่าเหตุใดพวกเธอจึงพลันกระฉับกระเฉงและได้รับคำตอบว่าซูหยางได้เปิดกิจการนวดเล็กๆของเขาขึ้นมาอีกครั้งแล้ว เธอจึงตกตะลึงกับข่าวอีกครั้ง
“ซูหยางจักรับลูกค้าอีกครั้งรึ” หลานลี่ชิงอดนึกไม่ได้ว่าความวุ่นวายจะเป็นอย่างไรหากเหล่าศิษย์หญิงรู้ข่าวนี้ ในเมื่อมันเกิดความวุ่นวายมาแล้วเมื่อซูหยางเปิดธุรกิจครั้งแรก
“เช่นนี้พวกหญิงสาวเช่นเจ้าทุกคนวางแผนที่จะไปหาซูหยางหลังจากทำงานวันนี้รึ” เธอถามพวกเธอด้วยท่าทางแปลกประหลาดใบใบหน้า
“เป็นเช่นนั้น พวกเราต้องการเป็นกลุ่มแรกที่อยู่ในแถว”
“หวังว่าศิษย์พี่ชายซูเพียงบอกกับพวกเราเกี่ยวกับการเปิดอีกครั้ง มิเช่นนั้นพวกเราคงต้องเข้าแถวหลายวันก่อนที่พวกเราจะสามารถเจอเขา”
“ย-อย่างนั้นรึ…” หลานลี่ชิงไม่ต้องการที่จะยุ่งเกี่ยวกับความวุ่นวายของพวกเธอมากเกินไป ในเมื่อมันอาจจะทำให้ความลับของเธอกับซูหยางเปิดเผยออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ดังนั้นเธอจึงปล่อยพวกเธอไป และกลับขึ้นไปยังชั้นบนที่ห้องของตนเองเพื่อที่จะฝึกฝนปราณหยางในร่างเธอ
สองสามชั่วโมงหลังจากนั้น หลังจากบรรดาศิษย์ของตำหนักโอสถเสร็จสิ้นงานของประจำวันของพวกเธอแล้ว พวกเธอทั้งหมดพากันวิ่งไปยังที่พักของซูหยางราวกับฝูงสัตว์ร้ายที่หิวโหย
ยามเมื่อพวกเธอไปถึงที่พักของซูหยางและเห็นว่ายังไม่มีใครเข้าแถว ดวงตาของพวกเธอเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น รู้สึกดีใจที่พวกเธอเป็นกลุ่มแรกที่มาถึง
“ศ-ศิษย์พี่ชายซู ตามสัญญา พวกเราอยู่ที่นี่แล้ว” หนึ่งในพวกเธอเคาะประตู
ไม่นานหลังจากนั้นซูหยางก็เปิดประตู
“เข้ามาข้างในสิ” เขาทักทายพวกเธอด้วยรอยยิ้ม และเหล่าหญิงสาวก็เข้าไปในบ้านอย่างมีความสุขโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 217
DC บทที่ 217: แทงตรงเข้าไปในตัวข้า…(18)
“ฮาาา….ฮาาาา….ฮาาาาา…” หลานลี่ชิงหอบหายใจหนักหลังจากถึงจุดสุดยอด
แต่อนิจจาหลานลี่ชิงเพียงสามารถหายใจได้เพียงสองสามครั้งก่อนที่ซูหยางจะเริ่มลูบไล้หลืบถ้ำของเธอด้วยนิ้วซึ่งชุ่มโชกไปด้วยน้ำมันพิเศษ
“อาาาา” หลานลี่ชิงส่งเสียงครางราวสัตว์ร้ายขณะที่ซูหยางนวดหลืบเร้นของเธอ เป็นเหตุให้ร่างของเธอสั่นสะท้านไปด้วยความพึงใจ
ซูหยางลูบไล้ไปทั่วร่องหลืบ หยอกล้ออัญมณีสีชมพูเม็ดเล็กของเธอ และนวดเฟ้นภายในเรือกสวนอันชุ่มชื้นด้วยนิ้วของเขา ส่งคลื่นความสุขสมไม่รู้จบเข้าไปในร่างรุ่มร้อนของหลานลี่ชิง
หลานลี่ชิงรู้สึกว่าเธอถูกไฟฟ้าดูดไม่รู้จบ แต่แทนที่จะมีความเจ็บปวด ร่างของเธอกลับเปี่ยมไปด้วยความสุขสันต์ที่เพียงกระตุ้นความกระหายของสัตว์ร้ายภายในใจเธอ
สองสามนาทีหลังจากนั้นหลังจากที่หลานลี่ชิงได้ไปถึงจุดสุดยอดหลายต่อหลายครั้ง ซูหยางก็ดึงมือของเขาออกจากร่างที่บิดกระตุกของเธอ
เขามองดูเธอที่พึงพอใจจนเกินพอและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าคิดว่าน้ำมันเป็นอย่างไร มันรู้สึกดีกว่าการนวดโดยที่ไม่มีมัน ใช่หรือไม่”
“จ-เจ้ากำลังพยายามจะฆ่าข้าใช่ไหม ซูหยาง” หลานลี่ชิงสามารถเค้นถ้อยคำออกมาสองสามคำหลังจากที่ได้มีเวลาหอบหายใจชั่วขณะ
ซูหยางหัวเราะหึและกล่าวว่า “ถ้าเจ้าคิดว่านั่นเลวร้าย เช่นนั้นเจ้าได้รับประสบการณ์ว่าจะรู้สึกอะไรบ้างตอนข้าใช้น้ำมันคุณภาพสูงกว่านี้”
“จ-เจ้ามีของที่รุนแรงกว่าสิ่งที่เจ้าใช้ไปตอนนี้ด้วยรึ” หลานลี่ชิงอดจินตนาการว่าจะรู้สึกอย่างไรถ้าร่างกายของเธอยิ่งไวต่อความสุขยิ่งกว่านี้
อย่างไรก็ตามถึงแม้จะกล่าวเช่นนั้น เธอก็คงจะโกหกถ้าพูดว่าเธอไม่ต้องการอยากลอง ถึงแม้ว่าเธอจะกลัวผลลัพธ์อยู่เช่นกัน
“แน่นอนว่ามี จริงแล้วน้ำมันที่ข้าใช้ตอนนี้เป็นตัวที่อ่อนที่สุดในกลุ่ม”
“อ-อ่อนที่สุด…” หลานลี่ชิงตกตะลึงอย่างแท้จริงเมื่อได้รับรู้ความจริงนี้
“อย่างไรก็ตามเรามาต่อกันเถอะ…” ซูหยางพลันกล่าวขึ้น
“อะไรกัน เรายังไม่เสร็จสิ้นอีกหรือ ตอนนี้ข้าหมดแรงแล้ว…” หลานลี่ชิงมองไปที่เขาพร้อมกับดวงตากลมโต
ซูหยางตอบกลับพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้าขณะที่เขาเริ่มถอดเสื้อผ้า
หลานลี่ชิงสามารถรู้ถึงความหมายการกระทำของเขาได้ทันที และราวกับว่ามีมนตร์ ความอ่อนเพลียทั้งหมดบนร่างของเธอหายไปในทันทีที่สายตาเธอเห็นแท่งแกร่งของซูหยางชี้ชูขึ้นฟ้า
“นี่ก็นานพักใหญ่แล้วนับตั้งแต่เราฝึกคู่ร่วมกัน ดังนั้นเราใช้โอกาสนี้มาตามให้ทันกันเถอะ” เขากล่าวกับเขาด้วยเสียงนุ่มนวล ตามด้วยจูบเบาๆบนริมฝีปาก
หลังจากได้รับจูบจากเขาหลานลี่ชิงมองดูซูหยางด้วยสายตาโหยหา เธอยื่นมือทั้งสองเข้าไปหาแท่งแกร่งของเขา
ไม่นานหลังจากนั้น หลังจากเล่นกับมันอยู่ชั่วขณะ เธอก็ผลักแก่นกายเข้าไปในปากและเริ่มโยกศีรษะ ช่วยใช้ปากกับน้องชายของซูหยางอย่างเสน่หา
หลายนาทีหลังจากนั้นเมื่อหลานลี่ชิงพึงพอใจกับรสหวานจากปราณหยางและแก่นหนาของซูหยางแล้ว ซูหยางก็เข้าไปบนเตียงกับเธอ
อย่างไรก็ตามก่อนที่จะทิ่มเข้าไปในร่องของเธอ ซูหยางนำน้ำมันพิเศษออกมามากยิ่งขึ้น ทั้งยังไม่เหมือนเดิม กลับทาน้ำมันลงไปทั่วแท่งหนาของเขาไปจนทั่วทุกซอกมุม ทำให้เหมือนกับว่าเป็นแท่งขนมพิเศษน่าอร่อยที่เคลือบไปด้วยสารหวาน
หลานลี่ชิ่งจ้องมองดูโดยไม่กระพริบไปยังแกนหนาที่เปียกเยิ้มไปด้วยน้ำมัน เหมือนกับถูกสะกดจิดด้วยรูปลักษณ์และตัวตนที่ทรงพลัง
สูดหายใจลึกแล้วหลานลี่ชิงก็พูดด้วยเสียงกระเส่า “รีบแทงตรงเข้าไปในตัวข้า…”
เมื่อได้ยินเสียงยั่วยวนของหลานลี่ชิงและเห็นท่าทีออดอ้อนของเธอ ซูหยางกดแก่นหนาลึกลงไปในร่างที่โหยหาของเธอด้วยการแทงเพียงครั้งเดียว
“อาาาาาา”
ยามเมื่อซูหยางเริ่มผลักแท่งหนาเข้าไปในร่างเธอ หลานลี่ชิงร่ำร้องดุจเสียงหงส์ครวญสั่นสะท้านมวลอากาศภายในห้อง ผลรวมของกลเม็ดระดับเทพของซูหยางและน้ำมันพิเศษที่เพิ่มพูนความรู้สึกสุขสมของเธอช่างศักดิ์สิทธิ์จนเกินพอ หลานลี่ชิงรู้สึกเหมือนกับว่าเธอก้าวข้ามสรวงสวรรค์ด้วยความสุขสันต์ในเวลานั้นไปชั่วนาน
เพราะว่าความรู้สึกนั้นเข้มข้นเกินกว่าคนอย่างหลานลี่ชิงจะทนไหว เธอทนได้แค่เพียงไม่กี่นาทีก่อนที่ซูหยางตัดสินใจยุติด้วยการปลดปล่อยปราณหยางระดับสุดยอดเต็มไปด้วยพลังงานและปราณไร้ลักษณ์เข้าไปในร่างเธอ
“เจ้าสามารถล้างน้ำมันออกยามเมื่อเคลื่อนไหวได้แล้ว” ซูหยางกล่าว
อย่างไรก็ตาม หลานลี่ชิงปฏิเสธคำแนะนำ แต่กลับกล่าวว่า “ข้าต้องการให้เจ้าชำระล้างร่างกายให้ข้า…”
ซูหยางมองเธอพร้อมเลิกคิ้ว “เจ้าต้องการให้ข้าช่วยล้างให้รึ ข้าอาจจะแหย่ร่างเจ้าเล่นแทน” เขาหัวเราะหึ
“น-นั่นสบายมากสำหรับข้า…ตราบเท่าที่เจ้าทำความสะอาดร่างกายของข้าหลังจากนั้น…” หลานลี่ชิงเห็นชัดว่าลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
ซูหยางไม่ได้กล่าวอะไรและนำหลานลี่ชิงไปยังห้องน้ำ ด้วยเธออ่อนเพลียจนเกินไปจนไม่อาจแม้จะขยับแขนขา
ภายในห้องน้ำซูหยางวางร่างเปลือยของหลานลี่ชิงลงบนอกเขาและราดน้ำลงบนร่างเธอ หลังจากนั้นเขาใช้สบู่ที่สร้างขึ้นมาจากสมุนไพรตัวยาทำความสะอาดร่างเธอ
ซูหยางทำความสะอาดร่างของหลานลี่ชิงอย่างดีโดยไม่หยอกเย้า ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้กับหลานลี่ชิงซึ่งเตรียมใจไว้กับการยั่วเย้าของเขา
อย่างไรก็ตามเพียงหลานลี่ชิงผ่อนคลายร่างกาย ซูหยางก็เริ่มทำความสะอาดน้องสาวตรงด้านล่างของเธอซึ่งง่ายต่อการกระตุ้นความต้องการของร่างเธออีกครั้ง จนทำให้เกิดการหลั่งอีกครั้ง
“อาาา…” หลานลี่ชิงอดไม่ได้ที่จะเริ่มร้องครางในห้องน้ำขณะที่ซูหยางอาบน้ำให้เธอ
และถึงแม้ว่าซูหยางจะไม่ได้มีเจตนาที่จะปลุกเร้าความต้องการของเธอ เขาก็พบว่าสถานการณ์นี้ค่อนข้างสนุก สุดท้ายแล้วถ้าเธอยังคงปลดปล่อยของเหลวออกมาอย่างต่อเนื่อง เธอคงไม่มีวันสะอาดไม่ว่าเขาจะทำความสะอาดจุดนั้นมากเท่าไรก็ตาม
ดังนั้นซูหยางจึงตัดสินใจปล่อยจุดนั้นไว้หลังจากลูบไล้มันชั่วขณะและเคลื่อนต่อไปยังพื้นที่ถัดไป
ยามเมื่อเขาทำความสะอาดทุกจุดบนผิวผ่องประดุจหยกของเธอแล้ว ซูหยางก็รดน้ำลงไปบนร่างเธอเพื่อล้างสบู่ออก ก่อนที่จะวางร่างเธอลงไปในอ่างอาบน้ำที่เต็มไปด้วยน้ำอุ่นสะอาดเสมอจากค่ายกลวิญญาณ
หลังจากทั้งหมดนั้นแล้ว เขาก็ทำความสะอาดร่างกายของตนเองอย่างรวดเร็วและตรงไปยังอ่างอาบน้ำเพื่ออยู่ร่วมกับหลานลี่ชิงในเมื่อมันกว้างมากพอสำหรับผู้ใหญ่หลายคนและยังมีที่ว่างเหลืออีกด้วย
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 216
DC บทที่ 216: ปลุกเร้าร่างเธอ
หลังจากโกหกศิษย์ของเธอเรื่องไปประชุม หลานลี่ชิงตรงไปยังที่พักของซูหยาง ในเมื่อเธอทนรอไม่ได้ที่จะดูว่าอะไรที่เขาตั้งใจมอบให้เธอ
ยามเมื่อเธอไปถึงที่พักของเขา หลานลี่ชิงเคาะประตูและรอซูหยาง ใจเธอเต้นระรัวด้วยความคาดหมาย รู้สึกเหมือนกับนานแสนนานนับตั้งแต่เธอเห็นหน้าเขาครั้งสุดท้าย
“เจ้ามาถึงเร็วกว่าที่ข้าคาดไว้ เจ้าคิดถึงข้ามากมายเช่นนั้นเลยรึ” ซูหยางทักทายเธอด้วยคำหยอกล้อเล็กน้อย
“ฮึ่ม” หลานลี่ชิงแค่นเสียงเย็นชาและกล่าวว่า “นี่เป็นทั้งหมดที่เจ้าต้องการพูดหลังจากที่ไปจากตำหนักโอสถโดยมิไปพบหน้าข้าแม้แต่น้อยรึ”
ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “ถ้าเราพบกันที่ตำหนักโอสถ ข้าคงมิอาจจากมาได้รวดเร็วนัก ในเมื่อแน่นอนว่าเจ้าต้องรีดปราณหยางของข้าก่อนที่จะปล่อยข้าไป”
หลานลี่ชิงใบหน้าแดงก่ำเมื่อได้ยินคำพูดของเขา “ข-ข้าไม่สิ้นหวังขนาดนั้นหรอกน่ะ”
แม้ว่าเธอจะพูดเช่นนั้น ลึกลงไปในใจเธอ เธอรู้ว่าคำพูดของซูหยางไม่ถึงกับเป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว ดังนั้นจึงทำให้เธอหน้าแดง แท้จริงแล้วใบหน้าเธอแดงก็เพราะว่าเธอรู้สึกละอายกับความปรารถนาในตัวเขาไม่ใช่เพราะคำพูดของเขา
“อย่างไรก็ตามเพราะว่าเจ้ามาถึงเร็วกว่าที่คาดไว้ ข้ายังคงต้องตระเตรียมบางสิ่ง ถ้าทำได้ ให้ตรงไปรอข้าที่ในห้อง”
หลานลี่ชิงพยักหน้าและเข้าไปในบ้าน
ขณะที่หลานลี่ชิงรออยู่ในห้องของเขา ซูหยางก็ไปเตรียมการให้แล้วเสร็จ
“สำหรับสิ่งที่ต้องการการตระเตรียม สิ่งพิเศษนี้ต้องพิเศษอย่างยิ่งจริงๆ..” หลานลี่ชิงยากจะนั่งอยู่นิ่งๆขณะที่รอซูหยาง ในเมื่อทั้งร่างกายและจิตใจของเธอไม่อาจสงบลงเมื่อซูหยางทำลึกลับเช่นนี้
แต่น่าเสียดายไม่ว่าเธอจะครุ่นคิดมากมายเพียงใด ไม่มีสิ่งใดที่เข้ามาในใจของเธอ
ชั่วระยะเวลาผ่านไปซูหยางก็เข้ามาในห้องด้วยท่าทางสบายๆ
“ส-เสร็จแล้วหรือ” หลานลี่ชิงถามเขาด้วยเสียงประหม่า
ซูหยางพยักหน้า และเขาก็พูดขึ้นว่า “ตรงไปถอดเสื้อผ้า เปลื้องทุกสิ่งออกไป”
“เอ๋ ด-เดี๋ยว…อะไรกัน” หลานลี่ชิงมองดูเขาด้วยใบหน้างุนงง
ทำไมเธอต้องถอดเสื้อผ้าสำหรับสิ่งพิเศษนี้
“ข้าจะนวดให้กับเจ้า” ซูหยางพลันกล่าวขึ้น
“…”
แม้ว่าหลานลี่ชิงจะประหลาดใจกระทั่งตื่นเต้นกับการนวด เธออดที่จะถามไม่ได้ว่า “สิ่งพิเศษที่เจ้าต้องการจะให้ข้านี่คืออะไร มันคงไม่ใช่เพียงแค่การนวดนี้เท่านั้น ใช่ไหม”
“เจ้าจักเข้าใจยามเมื่อเราเริ่มต้น”
“…”
หลานลี่ชิงมองดูเขาด้วยดวงตาสงสัย แต่เธอก็เริ่มถอดเสื้อผ้าโดยไม่คิดอะไร
“ถ้าข้ารู้ว่าข้าจักต้องเปลือยกาย ข้าจักอาบน้ำมาก่อนที่จะมาที่นี่” เธอคิดในใจ
หลังจากนั้นไม่นาน หลานลี่ชิงก็ยืนอยู่ตรงนั้นใช้แขนปกปิดอกกลมอวบอิ่มและน้องสาวที่เปียกแฉะด้วยท่าทางเอียงอาย แม้ว่าซูหยางเห็นทุกส่วนของร่างเธอมาแล้ว แต่ด้วยเหตุผลที่ไม่ทราบชัด เธออดที่จะอายไม่ได้ในตอนนี้
ยามเมื่อหลานลี่ชิงเปลือยเปล่าแล้ว ซูหยางก็กล่าวว่า “ตรงไปนอนบนเตียงเหมือนเช่นครั้งแรก”
หลานลี่ชิงพยักหน้าและนอนบนเตียงโดยปล่อยบั้นท้ายอันงดงามเปิดเผยเต็มที่ต่อเขา
สองสามวินาทีถัดไปหลังจากที่เธอนอนบนเตียง หลานลี่ชิงพลันรู้สึกว่าบางสิ่งที่อบอุ่นและลื่นเทลงบนหลังของเธอ จนทำให้เธอต้องครางออกมาด้วยความประหลาดใจ
“อาาา จ-เจ้ากำลังทำอะไรอยู่ ซูหยาง” เธอถามเขา
ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “ข้าละเลงน้ำมันลงบนหลังเจ้า…สิ่งพิเศษที่ทำมาจากตัวยาและสมุนไพรหลายอย่าง”
ขณะที่เขาอธิบาย ซูหยางก็ลูบไล้น้ำมันผสมไปทั่วทั้งหลังเธอ
“ข-ข้ามิเคยรู้สึกอะไรเช่นนี้มาก่อน…จริงแล้วมันทำอะไรได้บ้าง” หลานลี่ชิงค่อนข้างตื่นเต้นและสนใจในประสบการณ์ใหม่
“ไม่เพียงมันเพิ่มพูนปราณหยินของเจ้า แต่มันยังทำให้ร่างกายของเจ้ามีความรู้สึกไวขึ้น ทำให้เจ้ารู้สึกมีความสุขมากยิ่งขึ้น”
“ท-ทำให้มีความสุขมากขึ้น” หลานลี่ชิงเริ่มรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น กลัวว่าเธอจะสูญเสียจิตวิญญาณถ้าเธอได้รับประสบการณ์ที่ยิ่งมีความสุขกว่าสิ่งที่เหลือเชื่อนี่อยู่แล้ว
“อย่ากังวล ข้ามิทำเกินไป” ซูหยางบอกเธอ ราวกับว่าเขาสามารถอ่านใจได้
“ถ-ถ้าเจ้าพูดอย่างนั้น…”
หลานลี่ชิงค่อยหลับตาลงช้าๆและดื่มด่ำไปกับกลเม็ดระดับสวรรค์ของซูหยาง
“อาาา…อืมมม…น-นี่คือ…”
หลังจากที่ประสบกับกลเม็ดระดับสวรรค์ของซูหยางไปชั่วขณะ หลานลี่ชิงก็สามารถรับรู้ได้ถึงความแตกต่างในการนวดครั้งนี้ยามเปรียบเทียบกับครั้งที่แล้ว
ไม่เพียงแต่น้ำมันบนร่างเธอเพิ่มพูดความสุขแต่ซูหยางยิ่งกล้ากว่าเดิมขณะใช้มือของเขาสัมผัสร่างของเธอ นวดไปยังสถานที่เช่นก้นอันอวบอิ่ม
“ใช่…อืม….อาาาา…”
ร่างของหลานลี่ชิงสั่นสะท้านไปด้วยความสุขทุกครั้งที่ซูหยางเคลื่อนนิ้วเรียวข้ามผ่านหลังอันลื่นไหล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อซูหยางนวดพื้นที่ใกล้กับก้น ธาราของน้ำหวานแห่งความตื่นเต้นก็ไหลหลั่งออกมาจากถ้ำอันชุ่มฉ่ำของหลานลี่ชิง
หลังจากนวดหลังเธอไปสองสามนาที ซูหยางก็กล่าวกับเธอว่า “พลิกตัว”
หลานลี่ชิงไม่กล่าวอะไรและพลิกร่างของเธอขึ้น เปิดเผยให้ซูหยางเห็นถึงอกอันเอมโอชและน้องสาวแสนสวย
ยามเมื่อเธอพลิกตัวแล้ว ซูหยางก็เทน้ำมันพิเศษลงบนร่างของเธอมากขึ้น เคลือบทั้งร่างของเธอด้วยน้ำมันนี้
สองสามวินาทีหลังจากนั้นเขาก็เริ่มกระจายน้ำมันไปทั่วอกเธอ ทั้งยังกระตุ้นยอดถันชมพูประดุจเนรมิตด้วยนิ้วของเขาระหว่างการทำงาน
หลานลี่ชิงน้ำตาคลอเล็กน้อยจากความอายเมื่อซูหยางหยอกล้อกับยอดถัด เธอหันศีรษะหนีจากซูหยางเพื่อเขาจะได้ไม่เห็นท่าทางตื่นเต้นของเธอ
เมื่อเขาเสร็จการทาน้ำมันทั่วอกของหลานลี่ชิงแล้ว เขาก็ย้ายมือไปยังส่วนท้องเลื่อนไถลไปจนถึงน้องสาวที่เปียกแฉะไปด้วยสสารที่แตกต่างกันสองชนิด
“อา…โอ…ใช่…อืมมมมม…”
ความรู้สึกสุขสมเข้มข้นจนหลานลี่ชิงไปถึงจุดสุดยอดเสียก่อนที่ซูหยางจะขยับไปถึงถ้ำของเธอ ดังนั้นยามเมื่อนิ้วเรียวของซูหยางเพิ่งสัมผัสคูหาสีชมพู เธอก็พ่นทะลักออกมาอย่างสุดอดกลั้น ครอบคลุมบรรยากาศไปด้วยปราณหยิน
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 215
DC บทที่ 215: ยิ่งกว่าเพียงแค่นวด
“ศิษย์พี่ชายซู”
หนึ่งในศิษย์ของตำหนักโอสถพลันหยุดสิ่งที่เธอกำลังทำเมื่อเธอสังเกตเห็นร่างของเขาเข้าไปในอาคารและทักทายเขาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
และเมื่อมีการกล่าวถึงซูหยางก็เหมือนกับกลุ่มของเด็กเล็กได้ยินว่ามีขนมหวานแจก เหล่าศิษย์ในอาคารต่างพากันหยุดทำงานมองไปยังร่างของชายที่ยืนอยู่ตรงทางเข้า
“มีใครเพิ่งพูดถึงศิษย์พี่ชายซูรึ”
“ศิษย์พี่ชายซูรึ”
“ศิษย์พี่ชายซูมาที่นี่รึ”
เมื่อบรรดาศิษย์ของตำหนักยาเห็นใบหน้าหล่อเหลาของซูหยาง พวกเธอต่างพากันวิ่งไปทักทายเขาด้วยรอยยิ้มอย่างตื่นเต้นราวกับนานแสนนานนับตั้งแต่พวกเธอเห็นเขาครั้งสุดท้าย
“ว้าว ศิษย์พี่ชายซู ท่านก้าวข้ามไปอีกระดับแล้วรึ ข้ารู้สึกได้จากกลิ่นอายของท่าน”
ซูหยางยิ้มและพยักหน้า “ใช่แล้วแต่ไม่มากนัก ข้าได้ก้าวผ่านไปอีกเล็กน้อย”
เหล่าศิษย์ต่างพากันยินดีกับเขาโดยไม่ได้คิดอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องนี้
“ท่านไปอยู่ไหน ศิษย์พี่ชายซู พวกเราพยายามตามหาท่านสองสามครั้งแต่ท่านล้วนไม่อยู่”
“ข้าออกไปทำภารกิจ” เขาตอบ
“อย่างงั้นรึ…แล้วอะไรนำท่านมาที่นี่วันนี้ หรือว่าท่านมาหาท่านอาจารย์อีกแล้ว” หนึ่งในพวกเธอถาม
“ไม่เชิงเสียทีเดียว”
“ถ้าเช่นนั้นท่านหมายความว่าอะไร”
“ข้ามาที่นี่เพื่อเติมเต็มคำสัญญาที่ข้าได้กล่าวไว้ระหว่างที่มาครั้งที่แล้ว” เขากล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“คำสัญญาหรือ”
เหล่าศิษย์สบตากันไปมา ไม่มีใครในกลุ่มสามารถจดจำสัญญานี้ได้ในตอนแรก
“ท-ท่านคงมิได้หมายความถึงเรื่องนั้น…” หนึ่งในบรรดาหญิงสาวพลันนึกขึ้นได้ถึงคำสัญญาของเขาและพึมพัมด้วยเสียงสั่นสะท้าน ดวงตาเธอเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“เรื่องนั้น เจ้าพูดถึงเรื่องอะไร” อีกคนมองดูเธอและถามขึ้น
อย่างไรก็ตามศิษย์หญิงคนนั้นไม่ได้พูดอะไรและเพียงยังคงจ้องมองซูหยาง รอคอยคำตอบเขาอย่างอดทน
ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “ถ้าพวกเจ้าไม่มีธุระยุ่ง ก็ไปที่ที่พักของข้าเพื่อนวดได้”
ครั้นเมื่อซูหยางพูดคำพูดเหล่านั้น ทุกคนที่นั่นพลันจำได้ถึงสิ่งที่เขากล่าวไว้ครั้งสุดท้ายที่เขามายังตำหนักโอสถ
บรรดาศิษย์ต่างพากันจ้องมองเขาด้วยดวงตากลมโต เหมือนไม่อยากจะเชื่อ
“ท-ท่านรับลูกค้าอีกแล้วหรือ” หนึ่งในพวกเธอถามด้วยเสียงสั่นสะท้าน
เมื่อซูหยางพยักหน้า สถานที่นั้นพลันปะทุขึ้นด้วยความตื่นเต้น เหมือนราวกับว่ามีงานฉลองครั้งใหญ่สำหรับเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ ว่าไปแล้วหญิงสาวทั้งหมดล้วนไม่พึงใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อซูหยางหยุดรับลูกค้าในการนวดและได้รอเขาเปิดบริการ
“นี่เป็นข่าวใหญ่ ข้าจักบอกเพื่อนของข้ารู้เดี๋ยวนี้”
“อาาาา ข้ารอให้งานวันนี้เสร็จไม่ไหวแล้ว”
“ศ-ศิษย์พี่ชายซู ข-ข้าจักไปพบท่านวันนี้ทีหลัง”
นับตั้งแต่บรรดาศิษย์เหล่านี้ได้รับประสบการณ์ฝีมือการนวดของซูหยาง ร่างกายของพวกเธอก็ต้องการได้รับกลเม็ดของเขามากกว่าเดิม และไม่ใช่เพียงแค่ศิษย์ของตำหนักโอสถ ลูกค้าของซูหยางทุกคนล้วนรอคอยสำหรับวันนี้
อย่างไรก็ตามซูหยางยังไม่ได้พูดจบ เขาพูดต่อว่า “ยิ่งไปกว่านั้น ข้าจักทำมากยิ่งกว่าเพียงแค่นวด และทั้งหมดล้วนฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย”
เมื่อซูหยางประกาศข่าวนี้ บรรดาหญิงสาวหยุดเฉลิมฉลอง พวกเธอล้วนจ้องมองเขาด้วยดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก พวเธอล้วนงงงันไปกับข่าวนี้จนพวกเธอไม่รู้ว่าควรจะตอบสนองเช่นไร
“ช-เช่นนั้น…ท่านหมายความว่า…”
ซูหยางเพียงแค่ยิ้มและไม่ได้กล่าวอะไร แต่หญิงสาวพลันเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของเขา และพวกเธอเริ่มกรีดร้องด้วยความตื่นเต้นจากใจ
“นี่เป็นเรื่องที่ข้าตั้งใจมาพูดที่นี่ ข้าจักรอคอยพวกเจ้า…”
หลังจากกล่าวคำพูดเหล่านั้น ซูหยางก็ออกไปจากตำหนักโอสถอย่างสบายๆ
บรรดาหญิงสาวไม่ได้ห้ามเขาไว้เพราะว่าพวกเธอล้วนชะงักค้างจากความงงงัน
อย่างไรก็ตามก่อนจากเขาก็พูดกับพวกเธออีกครั้ง “โอ ใช่แล้ว ข้าเกือบลืมไป แต่ช่วยบอกผู้อาวุโสหลานให้ไปหาข้าเมื่อเธอมีเวลาว่าง ข้ามีสิ่งพิเศษบางอย่างให้เธอ”
ยามเมื่อซูหยางจากไปแล้วและบรรดาหญิงสาวตื่นขึ้นจากความงงงัน ตำหนักโอสถก็ปะทุไปด้วยความรื่นเริงอีกรอบหนึ่ง ในเมื่อบรรดาหญิงสาวไม่สามารถยับยั้งความตื่นเต้นของตนเองไว้ได้
แม้ว่าพวกเธอจะมีความสงสัย แต่ใจของพวกเธอก็คลุ้มคลั่งไปด้วยจินตนาการ ร่างกายของพวกเธอสั่นสะท้านไปด้วยความปรารถนา โดยเฉพาะส่วนล่างของร่างกาย
เสียงภายในตำหนักโอสถดังจนกระทั่งหลานลี่ชิงต้องหยุดงานของเธอเองและลงมายังชั้นล่างเพื่อดูว่าความวุ่นวายนี้เกิดขึ้นจากอะไร
“อะไรในโลกนี้ที่ทำให้พวกเจ้าต่างพากันร่ำร้อง ข้ามิอาจทำงานเสร็จได้กับความปั่นป่วนทั้งหมดนี้” หลานลี่ชิงนะโกนใส่บรรดาหญิงสาวทันทีที่เธอปรากฏตัวขึ้น
“อ-อาจารย์”
บรรดาศิษย์หยุดการเฉลิมฉลองมาทักทายหลานลี่ชิง
“ท-ท่านรู้ไหม…ศิษย์พี่ชายซูเพิ่งแวะมา–”
“ว่ากระไร ซูหยางกลับมาแล้วรึ” หลานลี่ชิงถามอย่างเร่งรีบ
ศิษย์ของเธอพากันพยักหน้า “แต่ว่าเขาเพิ่งจากไป”
หลานลี่ชิงพลันขมวดคิ้ว “เขามิได้เอ่ยปากพูดถึงข้าก่อนไปเลยรึ” เธอร่ำร้องในใจ
เธอไม่พอใจกับความจริงที่ว่าซูหยางได้ออกไปจากตำหนักโอสถโดยไม่ได้พยายามไปหาเธอ เหมือนกับว่าเขาลืมเธอไป
อย่างไรก็ตาม ขณะที่หลานลี่ชิงรู้สึกอยากตำหนิซูหยาง ศิษย์ของเธอก็กล่าวขึ้นว่า “อาจารย์ ศิษย์พี่ชายได้ทิ้งข้อความสำหรับท่านไว้ด้วยก่อนจากไป”
“เอ๋ เขาทำเช่นนั้นด้วยรึ เขาพูดว่าอะไร”
“ศิษย์พี่ชายซูกล่าวว่าเขามีบางสิ่งพิเศษสำหรับท่านและขอให้ท่านไปหาเขา”
“ข-เขามีของพิเศษให้ข้ารึ” หลานลี่ชิงยืนอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางงงงันเล็กน้อย คงจะต้องพูดว่าโกหกหากว่าเธอไม่รู้สึกประหลาดใจ
“เขาได้กล่าวไหมว่าสิ่งพิเศษนั้นคืออะไร” เธอพลันถาม
บรรดาหญิงสาวพากันส่ายหน้า
“เขามิได้กล่าวอะไรและทิ้งไว้เพียงข้อความนั้น”
“ข้าเข้าใจแล้ว…”
หลังจากสองสามอึดใจจากความเงียบอันกระอักกระอ่วน หลานลี่ชิงกล่าวกับบรรดาหญิงสาวว่า “ว่าไปแล้ว ข้าต้องไปประชุม ถ้าใครมาหาข้าก็บอกให้พวกเขารู้”
บรรดาหญิงสาวพยักหน้าและพลันกลับไปทำงานด้วยความเร็วที่เร็วกว่าเดิม พวกเขาล้วนต้องการที่จะเสร็จงานและไปหาซูหยางสำหรับการบริการของเขาอย่างเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
ในเวลานั้นเองหลานลี่ชิงก็แอบไปที่ที่พักของซูหยางด้วยท่าทางมุ่งหวัง
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 214
DC บทที่ 214: การจากไปอย่างกระทันหัน
“เขากล้าที่จะตบหน้าสวยของฉันจริงรึ” โหลวหลานจีไม่อยากเชื่อว่าซูหยางจะกล้า ความประทับใจทั้งหมดที่เธอมีต่อเขาสำหรับการปลุกเธอขึ้นมานั้นหายไปอย่างรวดเร็ว
“ข้าจักไปให้คืนสิ่งที่อยู่ในใจข้า” โหลงหลานจีลุกขึ้นจากเตียงและเริ่มตรงไปยังทางออก
อย่างไรก็ตามผู้อาวุโสหวูปิดเส้นทางของเธอไว้และกล่าวด้วยเสียงเป็นกังวลว่า “ผู้นำนิกาย ท่านเพิ่งฟื้นขึ้นมา แม้ว่าท่านอาจจะรู้สึกสบายดี เรายังต้องทำให้มั่นใจว่าสุขภาพท่านสมบูรณ์ที่สุด เหตุการณ์นี้ทำให้คนหลายคนเป็นกังวล”
โหลวหลานจีถอนใจและพยักหน้า “ได้ และช่วยให้รายละเอียดต่อข้าว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างขณะที่พวกเจ้าพบเห็นเหตุการณ์นั้น”
ผู้อาวุโสหวูพยักหน้าและหันไปหาบรรดาหมอที่ยังคงเหลืออยู่ภายในห้องและกล่าวว่า “ช่วยกรุณาตรวจสอบอีกสักหน่อยเพื่อให้มั่นใจว่าร่างกายของเธอสมบูรณ์ดี แน่นอนว่าเราจักตอบแทนพวกท่านอย่างงามสำหรับความพยายามของพวกท่าน”
บรรดาหมอไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธและเริ่มการตรวจร่างกายโหลวหลานจีอีกครั้ง
ในเวลานั้น ซูหยางกลับไปยังที่พักของเขาเพื่อตามหาชิวเยวี่ยเมื่อพ้นจากศาลาหยินหยางแล้ว
นับตั้งแต่เขาเห็นสภาพของโหลวหลานจี เขารู้ว่าชิวเยวี่ยเป็นคนรับผิดชอบต่อการหลับลึกของอีกฝ่าย ในเมื่อนั่นเป็นวิชาการต่อสู้พิเศษเฉพาะของตำหนักจันทราศักดิ์สิทธิ์ ถ้าจะกล่าวไปชิวเยวี่ยยั้งมือเป็นอย่างมากกับวิชานั้น มิเช่นนั้นโหลวหลานจีจะไม่ตื่นขึ้นมาแม้ว่าจะผ่านไปนานถึงสิบปี
อย่างไรก็ตามเมื่อเข้าไปในห้องของเขา ซูหยางกลับไม่พบชิวเยวี่ยนั่งอยู่ตรงนั้นเหมือนเช่นปกติ แต่กลับมีแผ่นกระดาษที่มีข้อความลายมือของเธอแทน
“ในเมื่อเห็นได้ชัดว่าท่านแข็งแกร่งมากพอที่จะปกป้องตนเองได้อย่างง่ายดายในโลกนี้ ข้าจักทิ้งท่านไว้คนเดียวไม่นานนักเพื่อเดินทางต่อในการค้นหาวิธีกลับบ้านสำหรับพวกเรา แม้ว่าข้าสงสัยว่าท่านยังต้องการพวกมันอยู่หรือไม่ อย่างไรก็ตามข้าก็ได้ทิ้งสิ่งของบางสิ่งไว้เบื้องหลังเผื่อกรณีฉุกเฉิน รวมถึงป้ายหยกสื่อสารเผื่อบางทีท่านรู้สึกอยากได้ยินเสียงข้า”
ซูหยางเพียงส่ายหน้ากับจดหมายของชิวเยวี่ย แม้ว่าเขาไม่ได้คัดค้านการกระทำของเธอ แต่นั่นก็กระทันหันเกินไป
“เจ้าเด็กนั่น…ทำไมเธอจึงต้องการกลับไปยังสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ที่ไร้ความหวังนั่นในเมื่อตำหนักจันทราศักดิ์สิทธิ์จักต้องตามหาเธอ” เขาก็ต้องการกลับไปอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่เขารู้ว่ามีหลายสิ่งที่เขาต้องตระเตรียมก่อนกลับไป มิเช่นนั้นพวกเขาก็เพียงรนหาที่ตาย
ซูหยางพลันนั่งลงบนเตียงและหลับตาลง สองสามนาทีหลังจากนั้นแสงเรืองสีทองก็สามารถเห็นแผ่ออกมารอบร่างของเขา ราวกับว่าเขาเพิ่งผ่านการหยั่งรู้
ซูหยางอยู่ในสภาพเช่นนี้นานหลายนาที จนกระทั่งเขาลืมตาขึ้นซึ่งภายในลุกโชนไปด้วยความฉลาดและความทรงจำที่เริ่มไหลเวียนอยู่ภายในใจ
อย่างไรก็ตามความทรงจำเหล่านี้ไม่ได้มาจากช่วงเวลาของเขาในสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ กลับกันพวกมันล้วนเป็นความทรงจำของซูหยางก่อนที่ความทรงจำในชาติปางก่อนของเขาจะกลับมา
นับตั้งแต่ที่เขาพบว่าดวงจิตที่อยู่ภายในร่างมีเพียงหนึ่งหลังจากที่กลืนกินโอสถแยกวิญญาณ ซูหยางก็เริ่มอยากรู้ว่าทำไมความทรงจำของเขาจึงถูกผนึกไว้ในตอนแรก และทำไมคนอย่างซูเซวินพ่อของเขาสามารถผนึกความทรงจำเขาได้
ท้ายที่สุดถ้าเขากลับชาติมาเกิดด้วยความทรงจำของอดีตชาติ ย่อมไม่มีทางที่คนอย่างซูเซวินจะสามารถผนึกความทรงจำของเขาได้ อีกนัยหนึ่งซูหยางไม่ได้กลับชาติมาเกิดด้วยความทรงจำติดมาตั้งแต่ต้นและเพียงแค่ระลึกขึ้นมาได้ที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
ซูหยางหลับตาลงอีกครั้งและไม่ได้ลืมตาขึ้นมาอีกจนเวลาผ่านไปหลายนาที ความทรงจำสิบหกปีที่เหมือนน้ำหนึ่งหยดในทะเลอันกว้างใหญ่ของความทรงจำก็ไหลผ่านในหัวของเขา
นับจากวันที่เขาเริ่มเกิดไปจนถึงวันที่เขามาถึงนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ทุกสิ่งล้วนชัดเจนต่อซูหยางภายในไม่กี่นาที
สองสามนาทีหลังจากนั้นซูหยางก็ลืมตาขึ้นและบนใบหน้าของเขาก็มีรอยยิ้มขื่นขม
“ไม่น่าแปลกใจที่ทำไมเขาจึงผนึกความทรงจำของข้าและโยนข้ามายังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย” เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเสียงดังลั่น
เขาพบว่าความทรงจำของซูหยางที่ไม่รู้อะไรเลยนั้นช่างน่าสนุกสนานเป็นอย่างยิ่ง แน่นอนว่านั่นเป็นรุ่นเด็กของตัวเขาเองที่ปราศจากความรู้ของเซียน
ครั้นเมื่อเขาทำลายผนึกความทรงจำของตนเองและฟื้นคืนความทรงจำของเด็กธรรมดา ซูหยางหันไปมองกระเป๋าหนังข้างตัวเขา
นั่นเป็นของบางสิ่งที่ชิวเยวี่ยทิ้งไว้ให้เขาเบื้องหลัง
เขาหยิบมันและเริ่มตรวจสอบสิ่งที่อยู่ภายในทันที
“นึ่คือ…”
ซูหยางค่อนข้างตะลึงกับจำนวนวัตถุดิบสำหรับการฝึกวิชาภายในถุง ยิ่งไปกว่านั้นวัตถุดิบสำหรับการฝึกฝีมือเหล่านี้ล้วนเต็มไปด้วยปราณหยางที่ทรงพลัง ซึ่งบางอย่างก็เหนือกว่าดอกหยางพิสุทธิ์ไปแสนไกล
“ในการให้ทรัพยากรเหล่านี้แก่ข้า หรือเธอกำลังจะบอกข้าให้ทำให้เต็มที่ขณะที่เธอไม่อยู่”
ด้วยจำนวนของทรัพยากรที่ชิวเยวี่ยทิ้งไว้เบื้องหลังสำหรับเขา ซูหยางย่อมไม่มีปัญหาในการฝึกวิชาไปหลายเดือนโดยไม่ต้องหยุดพักแถมยังมีเหลือ
หลังจากที่เห็นสิ่งที่อยู่ภายในถุงเก็บของทั้งหมดแล้ว ซูหยางก็เทพวกมันทั้งหมดลงไปบนเตียงเพื่อจัดระเบียบ เขามีเจตนาที่จะใช้พวกมันและฝึกวิชาจนกว่าจะถึงการแข่งขันระดับภูมิภาค
“ข้าจักก้าวผ่านเขตปฐพีวิญญาณสู่เขตอัมพรวิญญาณโดยปราศจากปัญหาก่อนที่จะถึงการแข่งขันต่อให้คู่ฝึกของข้าทุกคนอยู่เพียงแค่เขตคัมภีร์วิญญาณและสัมมาวิญญาณ…”
อย่างไรก็ตามก่อนที่เขาจะเริ่มฝึกวิชา เขาจำเป็นต้องมีคู่ฝึกก่อน และนับเป็นโชคสำหรับเขาที่มีสาวสวยมากมายในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยให้เขาเลือก ยิ่งไปกว่านั้นมีศิษย์มากมายรอคอยอย่างอดทนให้เขาเรียกหาพวกเธออยู่เรียบร้อยแล้ว
ซูหยางเข้าไปทำความสะอาดร่างกายของตนเองและเปลี่ยนเป็นชุดใหม่ก่อนที่จะออกจากบ้านตามหาคู่ฝึกที่มีศักยภาพสำหรับสองสามเดือนข้างหน้า และสถานที่แรกที่เกิดขึ้นภายในใจของเขาก็คือตำหนักโอสถ ที่ซึ่งเขาได้สัญญาไว้กับกลุ่มหนึ่งว่าเขาจะนวดให้พวกเธออีก
Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 213
DC บทที่ 213: ปลุกเธอขึ้น
เมื่อซูหยางพูดว่าโหลวหลานจีจะตื่นขึ้นมาด้วยตนเองคืนนี้ ทุกคนในห้องมองดูเขาราวกับว่าเขาเป็นบ้า
“จ-เจ้าพูดว่าอะไรนะ” ผู้อาวุโสหวูต้องการที่จะฟังให้ชัดว่าเธอได้ยินเขาได้ถูกต้องหรือไม่จึงถามขึ้น
“ผู้นำนิกายไม่ได้เจ็บป่วยหรือถูกพิษ เหมือนดังเช่นที่เหล่าหมอได้พูดไว้ ว่าไปแล้วสติของเธอถูกบังคับให้หลับโดยวิชาที่ลึกลับอย่างลึกล้ำ ดังนั้นเป็นเหตุให้เธอตกอยู่ในการสลบไสล” ซูหยางอธิบายให้พวกเขาฟังถึงสาเหตุในกรณีของโหลวหลานจี
“ว่ากระไรนะ วิชาการต่อสู้เป็นสาเหตุของทั้งหมดนี้รึ”
หมอทั้งสามที่ยังคงอยู่ที่นั่นต่างพากันครุ่นคิดตามคำพูดของซูหยางในทันใด กระทั่งผู้อาวุโสนิกายต่างพากันเงียบ
“เหตุผลนี้ค่อนข้างเป็นเหตุเป็นผลจริงๆ” หมอคนหนึ่งกล่าวขึ้นสองสามอึดใจหลังจากนั้น
“มันสามารถอธิบายได้ว่าทำไมผลลัพธ์จึงออกมาเป็นลบเมื่อทดสอบอาการเจ็บป่วยและพิษของเธอ” อีกคนกล่าว
“เจ้ารู้จักวิชาการต่อสู้ที่ใช้บนตัวเธอหรือไม่ว่าเป็นวิชาอะไร” หมอคนหนึ่งหันไปถามซูหยาง
เมื่อผู้อาวุโสนิกายเห็นบรรดาหมอพลันถือซูหยางเหมือนกับว่าเขาเป็นคนหนึ่งในพวกเขา ดวงตาของพวกเขาพลันกลมโตด้วยความตกตะลึง หรือว่าเขามีความรู้ด้านยาอย่างลึกซึ้งจริงๆ ช่างน่าแปลกใจ
ซูหยางส่ายหน้าและกล่าวว่า “โชคร้าย ข้ามิรู้จักวิชาเบื้องหลังการสลบไสลของเธอ”
แม้ว่าเขาจะกล่าวเช่นนั้น อย่างไรก็ตามซูหยางรู้เป็นอย่างดีถึงวิชาฝีมือที่ใช้เพื่อทำให้โหลวหลานจีตกอยู่ในสถานะหลับไหล อีกทั้งรู้ถึงคนที่ทำเช่นนั้นด้วย
“เช่นนั้นทำไมเจ้าจึงรู้ว่าเธอจักตื่นขึ้นมาคืนนี้แม้กระทั่งเรามิทำอะไรเลย” ผู้อาวุโสหวูพลันถามเขา
“ง่ายมาก ก็โดยทางปราณไร้ลักษณ์ของเธอ ซึ่งแสดงสัญญาณของการตื่นของเธอ” ซูหยางกล่าว
“ว่ากระไร นี่เป็นจริงรึ” ผู้อาวุโสหวูหันไปมองดูบรรดาหมอ แต่พวกเขาเพียงส่ายหน้า
พวกเขาจะรู้ได้อย่างไรในเมื่อพวกเขายังไม่รู้ว่ามีวิธีวิธีที่จะอ่านปราณไร้ลักษณ์ด้วยซ้ำ
ผู้อาวุโสหวูหันไปหาซูหยางและกล่าวว่า “ถ้าทุกสิ่งที่เจ้ากล่าวมาก่อนหน้านี้เป็นจริงและผู้นำนิกายจักตื่นขึ้นคืนนี้ เช่นนั้นพวกเราต้องให้รางวัลเจ้าอย่างงามสำหรับเรื่องนี้”
“เช่นนั้นคงไม่มีอะไรที่พวกเราสามารถทำได้นอกจากรอจนถึงที่สุด เฮ้อ…” ผู้อาวุโสนิกายต่างพากันถอนหายใจ
“รอ ใครพูดกันว่าเราต้องรอให้เธอตื่น” ซูหยางพลันกล่าวขึ้น
“เจ้าหมายความว่าอะไร” ผู้อาวุโสหวูถามเขาด้วยคิ้วขมวดอย่างสับสน
ซูหยางไม่ได้ตอบคำถามเธอทันทีแต่หันไปเผชิญหน้ากับโหลวหลานจีอีกครั้ง
เขาพลันยกมือขวาขึ้นกลางอากาศให้นิ้วเหยียดเปิดเผยให้เห็นฝ่ามือ ดูราวกับว่าเขาต้องการตบหน้าใครสักคน
“จ-จ-เจ้าคิดว่าเจ้ากำลังจะทำอะไร” ผู้อาวุโสหวูสั่นสะท้านด้วยความตื่นตระหนกเมื่อเธอเห็นท่าทางของเขา
“ท่านถามอะไรกัน ข้ากำลังจะปลุกเธอขึ้น” ซูหยางกล่าวด้วยเสียงเรียบเฉยในขณะที่เขาเหวี่งมือไปยังใบหน้าสงบสุขและสะสวยของโหลวหลานจี
“หยุด”
ผู้อาวุโสหวูพุ่งตัวไปหยุดเขา แต่น่าเสียดาย เธอช้าไปเพียงเล็กน้อย ดังนั้น เพี๊ยะ
เสียงโหลวหลานจีถูกตบดังขึ้นได้ยินชัดไปทั้งห้อง
บรรดาหมอปิดปากที่อ้ากว้างด้วยความตกใจของพวกเขา ในขณะที่ผู้อาวุโสนิกายสั่นสะท้านด้วยความโกรธ
“ทำไมเจ้าช่างกล้า—” ผู้อาวุโสหวูยกมือของเธอขึ้นด้วยความโกรธและเตรียมที่จะโจมตีซูหยาง
“งือออ…”
ในขณะที่ผู้อาวุโสกำลังขยับ โหลวหลานจีก็ร้องครางออกมาเบาๆ แสดงปฏิกิริยาเป็นครั้งแรกในเวลาสองวันนี้ จนทำให้ผู้อาวุโสหวูชะงักค้างและมองไปยังโหลวหลานจีที่กำลังตื่นขึ้นด้วยดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความตระหนก
“ทำไมใบหน้าข้าจึงเจ็บ…” โหลวหลานจีค่อยลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆและลูบใบหน้าด้วยท่าทางง่วงงุน ดูเหมือนกับงงงันกับความเจ็บบนแก้มของเธอ
“ผ-ผู้นำนิกาย…” ดวงตาผู้อาวุโสหวูคลอไปด้วยน้ำตาแห่งความสุขและโล่งอกกับสัญญาณการตื่นขึ้นมาของโหลวหลานจี
“ทำไมมีคนมากมายอยู่ในห้องของข้า” ยามเมื่อโหลวหลานจีนึกถึงสถานการณ์ขึ้นมาได้ เธอก็ลุกขึ้นนั่งบนเตียงและถามพวกเขา
“ผ-ผู้นำนิกาย ท่านจำได้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับท่าน” ผู้อาวุโสนิกายถามเธอ
แม้ว่าเธอยังสับสน โหลวหลานจีหลับตาลงครุ่นคิด อย่างไรก็ตามเธอรู้ได้อย่างรววดเร็วว่าความทรงจำของเธอไม่ชัดเจนและทั้งหมดที่เธอสามารถจำได้ก็คือเธอมุ่งตรงไปยังที่พักของซูหยางเพื่อลงโทษเขา
“ข้าจำได้ว่าออกไปข้างนอกเพื่อหาศิษย์คนหนึ่ง แล้วทำไมข้าจึงมาหลับอยู่ในห้อง” โหลวหลานจีขมวดคิ้วและถามผู้อาวุโสนิกาย
“ท่านรู้ไหมว่า…” ผู้อาวุโสหวูเริ่มอธิบายทุกสิ่งให้กับโหลวหลานจีตั้งแต่เริ่มต้น
“ท่านถูกพบตัวว่าหลับไหลอยู่กลางเขตศิษย์นอกและถูกนำตัวกลับมายังห้องของท่าน ยิ่งไปกว่านั้นท่านมิมีการตอบสนองไม่ว่าพวกเราจะพยายามปลุกท่านเพียงใด…”
“เราจึงออกไปรวบรวมบรรดาหมอที่ดีที่สุดภายในภาคตะวันออก แต่น่าเสียดายพวกเขาทุกคนล้วนสับสนกับเงื่อนไขที่เกิดกับท่าน…”
โหลวหลานจีตื่นตระหนกที่รู้ว่าเธอได้หลับไปนานถึงสองวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการไม่ตอบสนองของเธอเมื่อผู้อื่นพยายามที่จะปลุกเธอขึ้น
“ช-เช่นนั้นทำไมตอนนี้ข้าจึงตื่นขึ้น พวกเจ้าทำอย่างไรกัน” เธอถามพวกเขา
ผู้อาวุโสหวูยิ้มขื่นขมและกล่าวว่า “เออ…ศิษย์ซูหยางตรงนั้น—เอ๋”
ผู้อาวุโสหวูหยุดพูดเมื่อเธอพบว่าซูหยางได้หายตัวไปอย่างลึกลับจากห้อง เขาไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน และทำไมจึงไม่มีใครที่นั่นสังเกตเห็นเขาไป
“ซูหยาง ซูหยางมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้” โหลวหลานจียิ่งสับสนกับสถานการณ์แต่ยิ่งเกิดความสนใจในเมื่อชื่อซูหยางถูกหยิบยกขึ้นมา
“เอ้อ…เขา…เขาเป็นคนที่ปลุกท่านตื่นขึ้นมาจากการหลับไหล…” ผู้อาวุโสหวูกล่าวด้วยน้ำเสียงกระอักกระอ่วน
“ซูหยางทำรึ” ดวงตาของโหลวหลานจีเป็นประกายด้วยความดีใจและชื่นชม “เขาทำได้อย่างไร”
“อือ…เออ…เขา…” ผู้อาวุโสหวูไม่ต้องการสร้างภาพติดลบให้กับซูหยางหลังจากที่ทำให้เขากลายเป็นฮีโร่ แต่อนิจจา…
“เขาตบหน้าท่าน…” เธอกล่าวด้วยเสียงเบา
“เขาทำอะไรนะ” โหลวหลานจีตากลมโตด้วยความตกใจ ร่างกายเธอเริ่มสั่นสะท้านด้วยความโกรธ
DC บทที่ 212: การทรยศ
ยามเมื่อเขาอยู่บนยอดของศาลาหยินหยาง ซูหยางใช้สัมผัสวิญญาณเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ภายในอาคาร
“ไอ๊หยา…ข้ามิเคยเห็นคนไข้แบบนี้มาก่อน… ไม่มีวี่แววความเจ็บป่วยหรืออะไรทั้งสิ้น เธอดูเหมือนหลับสบาย แต่….”
เหล่าหมอภายในห้องงุนงงกับสภาพไร้สติของโหลวหลานจี และไม่มีใครในกลุ่มพวกเขาเคยดูแลคนไข้แบบนี้มาก่อน
หมอสองสามคนได้ตั้งสมมติฐานว่าเธอถูกพิษ แต่เมื่อพวกเขาได้ตรวจเลือดและปราณไร้ลักษณ์ของโหลวหลานจีก็ไม่พบสัญญาณของการถูกพิษ ตามจริงผลยังแสดงว่าโหลวหลานจีมีสุขภาพแข็งแรงเป็นอย่างยิ่งและไม่มีแม้กระทั่งสัญญาณความเจ็บป่วยบนร่างเธอ
อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ โหลวหลานจียังคงอยู่ในสถานะสลบไสลมากว่าสองวันแล้ว ซึ่งทำให้กระทั่งหมอที่ดีที่สุดที่นั่นงงงัน
“นี่มิมีอะไรที่ท่านสามารถทำได้เพื่อปลุกเธอขึ้นมาเลยจริงๆรึ” หนึ่งในผู้อาวุโสนิกายที่นั่นถามหมอ
บรรดาหมอสบตากันก่อนที่จะมองไปยังผู้อาวุโสนิกายด้วยสีหน้าขอโทษ ส่ายหน้า “โชคร้าย นอกจากว่าเราสามารถหาสาเหตุของการสลบไสลของเธอได้ ก็มิมีอะไรที่เราสามารถทำได้ ในเมื่อเธอทั้งไม่ถูกพิษหรือเจ็บป่วย”
“นั่นคงมิใช่ว่า…”
ผู้อาวุโสภายในห้องต่างมีท่าทางไม่เชื่อถือ รู้สึกหมดหวังกับสถานการณ์เบื้องหน้า ถ้าไม่มีผู้นำนิกาย จะเกิดอะไรขึ้นกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย แม้ว่าพวกเขาสามารถหาเจ้าแม่คนใหม่ได้ถ้าโหลวหลานจีและสิ้นชีวิตจากการหลับไหล นิกายยังคงขาดความลับหลายอย่างที่มีแต่โหลวหลานจีล่วงรู้ เช่นวิชาลับและทรัพยากรที่ซุกซ่อนไว้ ซึ่งจะมีผลต่อพลังอำนาจและทรัพย์สินทั้งนิกายอย่างมีนัยสำคัญ
ไม่นานหลังจากนั้น ขณะที่ทุกคนกำลังครุ่นคิดกันอย่างหนัก ซูหยางก็กระโดดเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่เปิดอยู่ สร้างความตื่นตัวให้กับทุกคนที่นั่น
“เจ้าเป็นใครกันวะ”
อย่างไรก็ตามยามเมื่อพวกเขาสังเกตเห็นชุดที่เขาสวมอยู่กับตัว ซึ่งเป็นของศิษย์ใน พวกเขาผ่อนคลายลงเล็กน้อย
“เจ้าคิดว่าเจ้ามาทำอะไรที่นี่รึ”
“ใครให้สิทธิ์เจ้ามาที่นี่กัน”
ผู้อาวุโสนิกายต่างพากันตั้งคำถามเขา
“ศิษย์ซูหยางรึ”
หนึ่งในผู้อาวุโสนิกายที่นั่นจดจำใบหน้าหล่อเหลาของซูหยางได้หลังจากที่มองดูเขาสองวินาที
“ท่านรู้จักเขา ผู้อาวุโสหวู”
บรรดาผู้อาวุโสนิกายที่นั่นหันไปมองดูหญิงชราเพียงคนเดียวภายในห้อง ซึ่งเป็นคนที่ซูหยางพบระหว่างการทดสอบศิษย์ใน ในตอนที่ยังเป็นศิษย์นอก
“อยู่บ้าง…” ผู้อาวุโสหวูพยักหน้า
อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะเกิดความปั่นป่วนขึ้นจากการเข้ามาของเขา ซูหยางก็เพิกเฉยทุกคนที่นั่นและเดินไปยังโหลวหลานจี ผู้ซึ่งหลับไม่ได้สติบนเตียงของเธอ
“เจ้าคิดว่าเจ้ากำลังทำอะไรกับผู้นำนิกาย” ผู้อาวุโสต่างพากันตรงไปหยุดเขาเมื่อเขาจับมือของโหลวหลานจี
“พวกท่านต้องการให้เธอตื่นหรือไม่ ให้ข้าพึงใจสักนิดด้วยการเงียบ”
“ว-ว่ากระไร…” ผู้อาวุโสนิกายต่างพากันมึนงงกับพฤติกรรมอันอุกอาจของซูหยางในเมื่อเป็นเพียงแค่ศิษย์
“แม้ว่าตอนนี้เจ้าเป็นศิษย์ใน นั่นยังคงมีกฏที่เจ้าต้องปฏิบัติตาม” ผู้อาวุโสหูกล่าวขณะขมวดคิ้ว
ต่อจากนั้นเธอก็กล่าวต่อว่า “ฟังดูเหมือนกับว่าเจ้ามีความสามารถที่จะปลุกผู้นำนิกายตื่นได้”
ซูหยางไม่ได้ตอบกลับผู้อาวุโสหวูในทันที แต่ตรวจชีพจรของโหลวหลานจีโดยใช้ปราณไร้ลักษณ์ของตนเองชั่วสองสามวินาที
ไม่นานหลังจากนั้น ซูหยางก็ปล่อยมือของโหลวหลานจีและกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เป็นอย่างนั้นนั่นเอง”
“ว่ากระไร เป็นไปไม่ได้ เจ้าสามารถทำอะไรได้ในเมื่อพวกเรามิสามารถกระทั่งบ่งบอกได้ว่าทำไมเธอจึงอยู่ในสภาพนั้น”
คนคนแรกในห้องที่เพิกเฉยต่อคำพูดของเขาไม่ใช่่ผู้อาวุโสนิกายแต่เป็นเหล่าหมอในที่นั้นแทน
“เจ้าพูดว่าเจ้าสามารถปลุกเธอตื่นได้ แต่ว่าเจ้าเป็นใครมาจากไหนกัน เจ้ามีใบรับรองว่าเป็นแพทย์หรือไม่”
บรรดาหมอที่นั่นไม่เชื่อว่าคนที่อายุน้อยอย่างเช่นซูหยางจะมีประสบการณ์มากถึงครึ่งของพวกเขาในเชิงของประสบการณ์ทางการแพทย์ อย่าว่าถึงสามารถบ่งบอกถึงสาเหตุที่เกิดขึ้นกับโหลวหลานจีซึ่งทำให้พวกเขาทั้งหมดถึงกับมืดแปดด้านด้วยเพียงแค่ตรวจชีพจรเธอเท่านั้น
ซูหยางกวาดสายตาไปยังเหล่าหมอและแค่นเสียงเย็นชา “เพียงแค่ปัญหาง่ายๆแต่พวกเจ้าไม่มีใครสามารถบ่งบอกออกมาได้ พวกเจ้าเป็นหมอจริงๆหรือเปล่า หรือเพียงแค่สวมชุดและทำตัวเหมือนเป็นหมอ”
หมอทุกคนในห้องรู้สึกเหมือนมีมือที่มองไม่เห็นตบหน้าพวกเขาสลับซ้ายขวาเมื่อได้ยินคำตำหนิของซูหยาง พวกเขาไม่เคยถูกเหยียดหยามเช่นนี้มาก่อน ใบหน้าพวกเขาแดงก่ำด้วยความโกรธ
“ดี ในเมื่อเจ้าคิดว่าข้าเพียงสวมชุดหมอ เช่นนั้นข้าก็จักจากไป”
“ข้าเช่นกัน”
“ในเมื่อเจ้าสามารถรักษาเธอ เช่นนั้นก็ไม่มีความจำเป็นสำหรับพวกเราที่จะอยู่ที่นี่อีกต่อไป”
ด้วยความโกรธแค้นเพราะว่าคำพูดหมิ่นเกียรติของซูหยาง บรรดาหมอออกจากห้องไปทีละคนสองคน
“ร-รอสักครู่”
บรรดาผู้อาวุโสนิกายที่นั่นแสดงท่าทางหวาดหวั่นเมื่อเหล่าหมอเริ่มจากไป หากปราศจากพวกเขา โหลวหลานจีอาจจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีกแล้ว
“อ-อย่าไปฟังคำเจ้าเด็กเลวนี่ มิมีเหตุผลที่จะไปโกรธเพราะว่าคำตำหนิหยาบคายจากเด็กรุ่นหลัง”
บรรดาผู้อาวุโสนิกายต่างพากันพยายามหยุดยั้งพวกเขา แต่น่าเสียดายเหล่าหมอออกไปโดยไม่ไยดี อย่างไรก็ตามไม่ใช่เป็นความผิดของซูหยางทั้งหมดที่ทำให้พวกเขาจากไป ในเมื่อพวกเขาเชื่อว่าเสียเวลาในการรักษาโหลวหลานจีในเมื่อไม่มีใครในกลุ่มพวกเขาที่สามารถหาปัญหาของเธอได้
อีกนัยหนึ่งพวกเขาใช้ซูหยางเป็นข้ออ้างในการหลบออกไปจากห้องนี้ ในเมื่อพวกเขาไม่ต้องการที่จะเสื่อมเสียชื่อเสียงในฐานะหมออีกต่อไปกับการที่ไม่สามารถรักษาโหลวหลานจี ดังนั้นพวกเขาจึงแอบขอบคุณซูหยางอย่างเงียบๆสำหรับโอกาสนี้
และภายในไม่กี่วินาที ก็เหลือหมอเพียงแค่สามคนในห้อง
ผู้อาวุโสนิกายทุกคนหันไปจ้องมองซูหยางด้วยสายตาโกรธแค้นหลังจากเหล่าหมอจากไปแล้ว
“ศิษย์ เจ้าจะรับผิดชอบเรื่องนี้อย่างไร ถ้าผู้นำนิกายสิ้นชีพจากการหลับไหล เจ้าจักถูกประหารสำหรับการฆ่าผู้นำนิกายในเมื่อการกระทำของเจ้าตอนนี้ไม่ต่างจากการทรยศ”
ได้ยินว่าเขาต้องรับผิดชอบในการฆ่าโหลวหลานจีเพราะทำให้เหล่าหมอจากไป ซูหยางเพียงแค่ยักไหล่และกล่าวว่า “นั่นมิได้เป็นปัญหาต่อข้า ในเมื่อเธอจักตื่นขึ้นคืนนี้แม้ว่าเราจะไม่ทำอะไรเลยก็ตาม”
“เจ้าว่ากระไรนะ” บรรดาผู้อาวุโสนิกายมองดูเขาด้วยดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ
DC บทที่ 211: ความวุ่นวายที่ศาลาหยินหยาง
หวังชูเหรินซึ่งกำลังมีความสุขกับความสามารถใหม่ทางด้านการปรุงยาอย่างลึกล้ำอยู่ภายในห้องปรุงยาด้วยการปรุงยาไม่หยุดยั้งพลันรู้สึกว่าหยกสื่อสารในชุดคลุมสั่นสะเทือน
แม้ว่าเธอรู้สึกไม่พอใจที่มีคนมารบกวนของเธอ หวังชูเหรินก็ยังตรวจดูหยกสื่อสาร ในเมื่อมีเพียงคนสำคัญไม่กี่คนภายในนิกายดอกบัวเพลิงที่จะติดต่อกับเธอ
“ผู้อาวุโสสูงสุดหาน ตาเฒ่านั่นต้องการอะไรจากข้ากัน” นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเพิ่งเคยได้รับการติดต่อจากเขา
“ผู้อาวุโสหวัง ข้ามีเรื่องสำคัญที่จะมาปรึกษา ข้าจักรออยู่ด้านนอกที่พักของท่าน” เสียงของผู้อาวุโสสูงสุดหานพลันดังขึ้นจากหยกสื่อสาร
“เรื่องสำคัญ” หวังชูเหรินไม่ได้ออกไปจากที่พักทันทีเพื่อพบกับเขาและยังคงปรุงยาต่อไป
ครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นหวังชูเหรินปิดฝาเตาและออกจากห้องไปทำความสะอาดตนเองก่อนที่จะไปพบกับผู้อาวุโสสูงสุดหาน
แม้ว่าผู้อาวุโสสูงสุดหานจะมีฐานะเป็นเพียงรองผู้นำนิกายเท่านั้น สูงเหนือกว่าผู้อาวุโสนิกายใดๆในความเป็นผู้อาวุโส แต่หวังชูเหรินไม่ได้สนใจแม้แต่น้อยและยังคงเคลื่อนไหวไปตามจังหวะของตนเองโดยไม่กังวลอะไรเกี่ยวกับเขาซึ่งยังคงรอเธออย่างอดทนอยู่ภายนอก ภายในนิกายดอกบัวเพลิงหวังชูเหรินเป็นตัวตนที่พิเศษที่ไม่เกี่ยวข้องกับลำดับชั้นของนิกาย ในเมื่อเธอเป็นเพียงคนเดียวในทั้งนิกายที่รู้วิธีปรุงโอสถดอกบัวเพลิงที่มีประสิทธิภาพร้อยเปอร์เซ็นต์ ยาที่เป็นเครื่องหมายของนิกายดอกบัวเพลิง
ผู้นำนิกายเคยพยายามหลายครั้งเพื่อที่จะให้หวังชูเหรินแบ่งปันความลับในการปรุงโอสถดอกบัวเพลิงแบบสมบูรณ์ แต่หวังชูเหรินล้วนปฏิเสธอย่างแน่วแน่ในแต่ละครั้ง กระทั่งไปไกลถึงขั้นพูดว่าเธอจะออกไปจากนิกายถ้าเขากล้ากดดันเธอ
สูญเสียหวังชูเหรินและยาของเธอย่อมเป็นผลร้ายต่อนิกายดอกบัวเพลิง ดังนั้นผู้นำนิกายจึงยอมแพ้อย่างรวดเร็ว ยอมให้เธอมีบางสิ่งคล้ายกับความเป็นอิสระภายในสำนัก
อีกนัยหนึ่งแม้ว่าหวังชูเหรินจะไม่ได้อยู่เหนือผู้นำนิกาย แต่เธอก็มีอิทธิพบมากกว่าเขาในบางเรื่อง สิ่งที่กระทั่งผู้อาวุโสสูงสุดหานก็ได้แต่เพียงฝันไฝ่
“ขออภัยที่ต้องให้รอ ผู้อาวุโสสูงสุดหาน ข้าอยู่ระหว่างการปรุงยา” หวังชูเหรินทักทายเขาอย่างง่ายๆที่ประตู
“ผู้อาวุโสหวัง…” แม้ว่าผู้อาวุโสสูงสุดหานจะรู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้างเล็กน้อยในใจเนื่องมาจากการไร้ความเร่งด่วนของเธอ เขายังคงมีท่าทางเยือกเย็นบนใบหน้า
หลังจากนั้นชั่วขณะเมื่อพวกเขาทั้งคู่นั่งอยู่ในห้องรับแขก หวังชูเหรินถามเขาว่า “อะไรคือเรื่องสำคัญที่ท่านมีกับข้า ผู้อาวุโสสูงสุดหาน”
“ท่านรู้จักชายคนที่ชื่อซูหยางหรือไม่” ผู้อาวุโสสูงสุดหานพูดตรงประเด็น
“…ซูหยาง” หวังชูเหรินพลันขมวดคิ้ว เธอไม่คาดคิดว่าชื่อของซูหยางจะออกมาจากปากของผู้อาวุโสสูงสุดหาน
มองเห็นท่าทางของเธอ ผู้อาวุโสหานสามารถเดาคำตอบของเธอได้จึงได้กล่าวต่อไปว่า “แม้ว่าข้ามิรู้ว่าท่านมีความสัมพันธ์อะไรกับเขา พวกเราพบว่าเขาเป็นคนที่ฆ่าหวังหมิงญาติของท่าน”
ดวงตาหวังชูเหรินเปิดกว้างด้วยความประหลาดใจ พวกเขารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร มีใครจับท่าทางเขาได้หรือว่าเขาทิ้งร่องรอยบางอย่างไว้เบื้องหลังโดยไม่เจตนา
“แค่…แค่นั้นรึ” หวังชูเหรินกลับคืนสู่ท่าทางสงบหลังจากนั้นไม่กี่วินาที
“ท่านพูดว่า…แค่นั้นรึ หรือ” เป็นตาที่ผู้อาวุโสหานกลับเป็นฝ่ายประหลาดใจ นี่เป็นท่าทางเมื่อรู้ชื่อของคนฆ่าญาติของเธออย่างนั้นหรือ ไม่ต่างอะไรจากไร้เยื่อใยอย่างสิ้นเชิง ราวกับว่าการตายของหวังหมิงไม่มีความหมายต่อเธอแม้แต่เพียงน้อยนิด
“มีมากกว่านั้น” เขากล่าวต่อ “ผู้นำนิกายร้องขออย่างแข็งขันอย่าให้ท่านไล่ตามแก้แค้นเขา ซึ่งนั่นอาจจะทำให้เกิดปัญหามากมาย”
ได้ยินคำพูดของเขาหวังชูเหรินก็แอบแค่นเสียงเย็นชาอยู่ใจ เธอไม่มีทางตามหาซูหยางต่อให้พวกเขาบีบให้ไป
“ข้าเข้าใจแล้ว” หวังชูเหรินพูด
“ท่าน.. ท่านเข้าใจแล้วรึ” ผู้อาวุโสสูงสุดหานมองดูเธอด้วยท่าทางงงงัน
“ข้าพูดอะไรเช่นนั้น มิใช่รึ”
“…”
ผู้อาวุโสสูงสุดหานไร้คำพูด เขาไม่คิดว่าหวังชูเหรินจะตกลงอย่างง่ายดาย นั่นเหมือนกับว่าเธอไม่มีเจตนาจะแก้แค้นตั้งแต่ต้น ช่างเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดสำหรับคนอย่างเธอ
“ถ้านั่นเป็นเรื่องทั้งหมดที่ท่านต้องการพูดเกี่ยวกับเรื่องสำคัญนี้ เช่นนั้นข้าจักขอตัวกลับไปปรุงยาต่อ” หวังชูเหรินกล่าวขณะที่เธอยืนขึ้นจากที่นั่งของเธอ
“ถ-ถ้าท่านมิถือข้าจักขอถามว่า ท่านมีความสัมพันธ์อะไรกับชายคนที่ชื่อซูหยาง” ผู้อาวุโสสูงสุดหานยืนขึ้นและถามเธออย่างเร่งร้อน
หวังชูเหรินมองดูตาเขาด้วยท่าทางจริงจังและกล่าวว่า “เขาเป็นแค่เพียงแขกที่ข้าพบที่โรงประมูลดอกบัวเพลิง”
“ช-เช่นนั้นทำไมท่านจึงดูไม่สนใจ เขาฆ่าหวังหมิง ครอบครัวของท่าน ท่านรู้ไหม” แม้ว่าผู้อาวุโสสูงสุดหานมีเจตนาป้องกันเธอไม่ให้แก้แค้น แต่เขาก็อดอยากรู้คำตอบไม่ได้แม้ว่านั่นอาจจะทำให้เธอไปแก้แค้นให้หวังหมิง
“ครอบครัวของข้ารึ” หวังชูเหรินหรี่ตาลงจนคิ้วขมวด “เพียงเพราะว่าเราใช้นามสกุลร่วมกันมิได้หมายความว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ท่านควรตระหนักถึงตัวตนที่แท้จริงของเขาในตอนนี้ สิ่งที่เห็นแก่ตัวและน่าขยะแขยง ต่อให้เขาถูกฆ่าต่อหน้าข้า ข้าก็มิคิดจะแก้แค้นให้กับคนอย่างเขา ถ้าท่านต้องการคนที่จะแก้แค้นแทนเขา เช่นนั้นท่านควรไปหาพ่อแม่ของเขา”
เสียงของหวังชูเหรินเย็นเยือกและเต็มไปด้วยความขยะแขยง ทำให้ผู้อาวุโสสูงสุดหานเห็นได้ชัดเจนว่าเธอไม่ได้สนใจแม้แต่น้อยเกี่ยวกับการตายของหวังหมิง กระทั่งรู้สึกเสื่อมเสียเกียรติที่มีนามสกุลเดียวกับเขาด้วยซ้ำ
“ข-ข้าเข้าใจแล้ว…” ผู้อาวุโสสูงสุดหานงงงันกับท่าทางเย็นชาของหวังชูเหริน เขาประเมินตัวตนของหวังชูเหรินต่ำไป
ไม่นานหลังจากนั้น ผู้อาวุโสสูงสุดหานออกจากที่พักของหวังชูเหรินและรายงานกลับไปยังผู้นำนิกาย ผู้ที่ค่อนข้างประหลาดใจกับปฏิกิริยาของหวังชูเหริน
“อ-อย่างไรก็ตาม ข้ารู้สึกโล่งอกที่ได้ยินว่าเธอจักไม่ตามหาชายคนที่ชื่อซูหยางเพื่อแก้แค้น…” ผู้นำนิกายถอนหายใจโล่งอก
หลังจากนั้นเขาก็พูดต่อ “เรามาลืมเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้กันและกลับไปสนใจเรื่องการแข่งขันระดับภูมิภาคแทน”
“การแข่งขันระดับภูมิภาค หึ ข้าได้ยินว่าเจ้าหญิงของตระกูลเซี่ยก็จักไปที่นั่นเพื่องานนี้”
“ใช่แล้ว” ผู้นำนิกายพยักหน้าและกล่าวว่า “และนั่นย่อมทำให้เกิดแรงกดดันอย่างมากต่อเหล่าศิษย์ชาย ในเมื่อพวกเขาล้วนต้องการให้เธอประทับใจ”
ผู้อาวุโสสูงสุดหานหัวเราะและกล่าวว่า “อย่างน้อยแรงจูงใจของพวกเขาย่อมสูงขึ้นเมื่อเวลามาถึง”
พวกเขาทั้งคู่พูดคุยต่อไปอีกสองสามนาทีเพื่อระบายความเครียดในใจเพื่อให้ลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ก่อนที่จะกลับไปทำงานประจำวัน
ในเวลานั้นซูหยางเพิ่งกลับไปถึงนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยบนเรือบิน อย่างไรก็ตามในขณะที่เขากำลังร่อนลงมาจากท้องฟ้า เขาสังเกตเห็นความวุ่นวายใกล้กับศาลาหยินหยาง
ที่นั่นมีคนที่ไม่คุ้นเคยเดินเข้าออกอาคาร และพวกเขาล้วนสวมชุดที่สวมโดยพวกหมอ ที่น่าแปลกกว่านั้นก็คือมีผู้อาวุโสนิกายจำนวนมากยืนอยู่ด้านนอกศาลาหยินหยางด้วยท่าทางกระวนกระวายบนใบหน้า ทำให้บรรยากาศในบริเวณนั้นมืดหม่น ราวกับว่าบางคนกำลังใกล้สิ้นใจในที่นั้น
“เกิดอะไรขึ้นที่นั่น” ซูหยางตัดสินใจที่จะหยุดแวะศาลาหยินหยางเพื่อตรวจดูความวุ่นวายด้วยตนเอง ดังนั้นเขาจึงกระโดดออกจากเรือบินและใช้ก้าวเก้าดารานำทางเขาไปยังศาลาหยินหยางโดยไม่มีใครสังเกตพบ ปรากฏตัวเหนืออาคารหลังจากนั้นไม่นานนัก
DC บทที่ 210: หลังการศึก
“ผู้อาวุโสสูงสุดหาน เจ้าทางที่ดีควรมีคำอธิบายที่เหมาะสมกับเรื่องทั้งหมดนี้” ผู้นำนิกายตะโกนใส่อีกฝ่ายโดยไม่สนใจว่ามีศิษย์รายล้อม ทั้งไม่คำนึงถึงหน้าตาของผู้อาวุโสสูงสุดหาน เสียงของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ
เหล่าศิษย์และผู้อาวุโสนิกายต่างพากันเห็นอกเห็นใจในความโกรธแค้นของผู้นำนิกาย ในเมื่อใจของพวกเขาเองก็แผดเผาไปด้วยความคับข้องใจหลังจากประสบกับความรู้สึกไร้อำนาจ และยิ่งต่อคนคนเดียวเสียด้วย
“และเจ้า เจ้าต้องไปกับข้าด้วยเช่นกัน” ผู้นำนิกายพลันชี้มือไปยังจางซิวยิง ซึ่งยังคงตกอยู่ในห้วงความคิด
เหล่าศิษย์คนอื่นและผู้อาวุโสนิกายล้วนพากันจ้องมองไปยังจางซิวยิงด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น พวกเขาล้วนสงสัยในความสัมพันธ์ของเธอกับซูหยาง และพวกเขาบางคนยังรู้สึกอิจฉาเธอเสียด้วยซ้ำไป
ว่าไปแล้ว ใครบ้างไม่ต้องการที่จะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคนที่มีพลังอำนาจที่กระทั่งนิกายดอกบัวเพลิงทั้งหมดไม่อาจต่อกรด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น เพราะว่าจางซิวยิงเคยเป็นเพียงศิษย์นอกจนกระทั่งไม่นานมานี้ ส่วนใหญ่แล้วคนที่นั่นไม่เคยเห็นหน้าเธอมาก่อนจนกระทั่งวันนี้ อย่าว่าจะรู้จักชื่อเธอ
ผู้คนในที่แห่งนั้นต่างพากันจ้องมองหน้าตาน่ารักใคร่ของจางซิวยิงด้วยดวงตาเบิกกว้างขณะที่เธอเดินตามผู้นำนิกายด้วยท่าทางประหม่า ราวกับว่าพวกเขาต้องการที่จะจดจำฝังใจรูปร่างหน้าตาของเธอไว้ เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่เผลอล่วงเกินเธอเข้าโดยไม่เจตนาในอนาคต
ไม่ต้องพูดถึงศิษย์หลัก แม้กระทั่งผู้อาวุโสนิกายในที่แห่งนั้นพวกเขายินดีรับประทานอาจมดีกว่าที่จะไปล่วงเกินซูหยางหลังจากที่เห็นการแสดงออกถึงอำนาจที่เหนือกว่าอย่างน่าหวาดหวั่น ที่สามารถคุกคามได้แม้กระทั่งทั้งนิกายด้วยตัวของเขาเพียงคนเดียว
ยามเมื่อจางซิวยิง ผู้อาวโสสูงสุดหาน และผู้นำนิกายไปพ้นจากพื้นที่บริเวณนั้นและขังตัวเองไว้ในห้องส่วนตัว ผู้นำนิกายก็เริ่มตั้งคำถามผู้อาวุโสสูงสุดหานเป็นอันดับแรก
“เกิดบ้าอะไรขึ้นที่นั่น เจ้าสัตว์ประหลาดนั่นเป็นใคร”
ผู้อาวุโสสูงสุดหานถอนหายใจลึกและเริ่มอธิบายให้เขาฟังทุกอย่างที่เกิดขึ้นก่อนที่เขาจะไปถึง
“ชายคนนั้นที่ระบุตนว่าชื่อ ซูหยาง ได้โจมตีศิษย์ของผู้อาวุโสเหลาภายในเมืองดอกบัวพร้อมด้วยศิษย์ในคนอื่นอีกสามคน เขายังได้ยอมรับว่าเขาเป็นผู้ร้ายในเรื่องการตายของหวังหมิง ศิษย์ในที่พบเป็นขี้เถ้าเมื่อก่อนหน้านี้ภายในเขตศิษย์ใน”
“ด-เดี๋ยวก่อน ซ-ซูหยางโจมตีพวกเขาก็เพราะว่าพวกเขา–”
จางซิวยิงพยายามที่จะปกป้องซูหยางและการกระทำของเขาแต่ถูกขัดจังหวะโดยผู้นำนิกาย “เจ้าจักได้รับโอกาสให้อธิบายภายหลัง”
ผู้นำนิกายพยายามที่จะทำให้เสียงสงบนิ่งยามเมื่อพูดกับเธอ ราวกับว่าเขาเกรงว่าจะทำให้เธอกลัวหลังจากที่ได้ยินคำเตือนอย่างชัดเจนของซูหยาง
“ผู้อาวุโสเหลาเป็นคนแรกที่เข้าไปเผชิญหน้าซูหยาง และในระหว่างการปะทะกัน ผู้อาวุโสเหลาได้ตัดสินใจที่จะใช้ยันต์ขอความช่วยเหลือเรียกพวกเราทั้งหมด และนี่ก็เป็นตอนที่ข้าไปถึง และเพราะว่าเบื้องหลังของเขายังคลุมเคลือไม่แน่ชัดหลังจากที่ข้าได้โต้เถียงกับเขา ข้าได้ตัดสินใจที่จะให้เขาทิ้งแขนไว้ข้างหนึ่งเป็นการลงโทษที่ฆ่าศิษย์ของเราคนหนึ่ง เขาได้ปฏิเสธทั้งยังได้เยาะเย้ยพวกเรา และทุกสิ่งหลังจากนั้นก็คือความปั่นป่วนวุ่นวาย…”
ผู้อาวุโสสูงสุดหานได้อธิบายให้ผู้นำนิกายว่าทั้งวิชาการต่อสู้และอาวุธวิญญาณล้วนไม่อาจทำอะไรซูหยางได้ และเขารู้สึกเหมือนกับว่าพวกเขากำลังต่อสู้อยู่กับภูเขาเหล็กกล้าที่ไม่มีวันขยับเขยื้อน
“ชายคนนั้น…เขาเป็นสิ่งที่ถูกสั่งตรงมาจากฝันร้ายสุดขีด…” ผู้อาวุโสสูงสุดหานถอนใจ รู้สึกเหมือนกับว่าอายุสั้นไปหลายปีหลังจากที่เหตุการณ์ในวันนี้
ผู้นำนิกายหลับตาลงครุ่นคิดหลังจากฟังคำอธิบายของผู้อาวุโสสูงสุดหาน
หลังจากนิ่งเงียบผ่านไปหลายนาที ผู้นำนิกายได้ลืมตาขึ้นมองดูจางซิวยิงและกล่าวว่า “เอาเลย แนะนำตัวเจ้าให้ข้าก่อนที่จะเริ่มด้วย”
จางซิวยิงพยักหน้าและกล่าวว่า “ศิษย์คนนี้เรียกว่าจางซิวยิง ข้าเป็นศิษย์นอกอยู่จนกระทั่งไม่นานมานี้ และที่เมืองดอกบัว…ซูหยางเพียงทำร้ายพวกเขาก็เพราะว่าพวกเขายั่วยุเขาด้วยถ้อยคำหยาบคาย อีกทั้งศิษย์หลักคนนั้นเป็นฝ่ายโจมตีซูหยางก่อน ส-สำหรับหวังหมิง…เพราะว่าเขามักใช้ฐานะศิษย์ในของเขาบีบบังคับศิษย์นอกหญิงให้ไปหลับนอนกับเขา ซูหยางจึงฆ่าเขา…”
ผู้นำนิกายเริ่มครุ่นคิดอีกครั้ง หลังจากเงียบผ่านไปอีกหลายนาที เขากล่าวกับจางซิวยิงว่า “หวังหมิงได้บีบบังคับเจ้าหรือไม่”
เขาไม่สามารถหาเหตุผลดีใดๆที่ชักนำให้ซูหยางไปสู่หวังหมิง นอกจากว่าจางซิวยิงเป็นสาเหตุ
จางซิวยิงพยักหน้าด้วยท่าทางขมขื่น กล่าวว่า “ก่อนเขาตาย หวังหมิงได้กดดันข้าให้ไปหลับนอนกับเขา”
“เจ้าได้พบกับชายคนที่ชื่อซูหยางได้อย่างไร” ผู้นำนิกายถามเธอ
“ข้าพบกับซูหยางที่โรงประมูลดอกบัวเพลิงระหว่างการเปิดประมูลปีนี้” เธอกล่าว หลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงรายละเอียดอย่างจงใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่เธอให้แก่นปราณหยินแก่เขาในช่วงเวลานั้น
“โรงประมูลดอกบัวเพลิง หรือว่าผู้อาวุโสหวังก็รู้จักเขา” เขาถามเธอ
จางซิวยิงพยักหน้า
ผู้นำนิกายเริ่มปวดหัวจากเรื่องทั้งหมดนี้ หวังชูเหรินจะมีปฏิกิริยาอย่างไรหากเธอทราบตัวตนของคนฆ่าญาติของเธอ จะดีที่สุดสำหรับเธอและนิกายดอกบัวเพลิงถ้าเธอไม่ตามไปแก้แค้นเขา
หลังจากครุ่นคิดไปหลายนาที ผู้นำนิกายก็กล่าวว่า “ผู้อาวุโสสูงสุดหาน ข้าต้องการให้ท่านไปพูดกับผู้อาวุโสหวังเกี่ยวกับซูหยาง และถ้าเธอต้องการแก้แค้นให้ญาติเธอ ข้าต้องการให้ท่านพยายามโน้มน้าวเธอให้โยนความคิดนั้นทิ้งไปทุกวิถีทาง”
และเขากล่าวต่อไปอีกว่า “สำหรับเหตุการณ์ในวันนี้ ให้ทำเหมือนกับว่าไม่เคยเกิดเรื่องนี้มาก่อน”
“ประทานโทษ” ผู้อาวุโสสูงสุดหานมองดูผู้นำนิกายด้วยดวงตาเบิกกว้าง
“ยินดีเป็นอย่างยิ่งถ้าเจ้าจะไปหาเขาเองและบอกเขาให้รับผิดชอบเรื่องวันนี้” ผู้นำนิกายกล่าว
ผู้อาวุโสสูงสุดหานส่ายหน้าในทันที
“ส่วนสำหรับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย เห็นชัดว่าพวกเขามิมีส่วนร่วมในเรื่องนี้ ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่จะสร้างปัญหาให้กับพวกเขา และสำหรับเจ้าศิษย์จาง ข้าต้องขออภัยสำหรับการกระทำของหวังหมิง ในเมื่อมันเป็นความผิดพลาดในส่วนของข้าในฐานะผู้นำนิกาย นับแต่วันนี้ ข้าจักทำให้มั่นใจว่าจักไม่มีผู้กระทำผิดเช่นหวังหมิงอีก”
จางซิวยิงพลันโค้งคำนับและแสดงความขอบคุณ “ขอบคุณท่านผู้นำนิกาย”
แม้ว่าผู้นำนิกายอาจจะถือเกียรติและหยิ่งทระนง เขาก็ไม่ได้โง่เขลาและไร้เหตุผล เขาตระหนักถึงความผิดพลาดของตนเองและจะทำมันให้ถูกต้อง ส่วนความขื่นขมในใจที่เกิดจากการเผชิญหน้ากับซูหยาง ไม่มีอะไรที่เขาจะสามารถทำได้นอกจากพยายามลืมมันไป
นอกเหนือจากอาการบาดเจ็บที่ไม่มีผลข้างเคียงของเหล่าศิษย์บางคนแล้ว ก็ไม่มีอันตรายแท้จริงใดต่อนิกายดอกบัวเพลิงอีก ดังนั้นเขาสามารถเพิกเฉยต่อเหตุการณ์ในวันนี้ได้ในระดับหนึ่ง ถ้าจะมีสิ่งอื่นใด เขาก็ต้องขอบคุณซูหยางที่ไม่ได้ฆ่าเหล่าศิษย์ของเขาเมื่อเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายมีความสามารถที่จะทำเช่นนั้น
“ทั้งหมดก็มีเพียงเท่านี้ในวันนี้”
ผู้นำนิกายส่งแขกผู้อาวุโสสูงสุดหานและจางซิวยิง แต่ก่อนที่จางซิวยิงจะจากไป ผู้นำนิกายได้กล่าวกับเธอว่า “ถ้าเจ้าพบเห็นว่ามีศิษย์คนอื่นเหมือนหวังหมิง เจ้าสามารถมาพบข้าและข้าจักจัดการเรื่องนั้นด้วยตนเอง”
จางซิวยิงพยักหน้า “ศิษย์เข้าใจแล้ว”
ครั้นเมื่อจางซิวยิงออกไปพ้นสถานที่นั้นแล้ว เธอก็มองไปยังฟ้ากว้างด้วยสายตาสับสน คิดถึงเหตุการณ์เหนือธรรมดาที่เกิดขึ้นในเวลาสองวันนี้เนื่องมาจากซูหยาง
ในเวลานั้น ผู้อาวุโสสูงสุดหานตรงไปยังที่พักของหวังชูเหริน
ผู้นำนิกายดอกบัวเพลิงมองไปยังฉากรอบข้างพร้อมกับขมวดคิ้วบนใบหน้าดุดัน ศิษย์หลายคนนั้นครวญครางด้วยความปวดร้าว เลือดสาดกระจายไปทั่วพื้น และทั่วทั้งพื้นที่ดูเหมือนกับว่าเพิ่งเกิดสงครามใหญ่ขึ้น
เขาจึงหันไปมองดูซูหยาง ซึ่งยังคงยืนอยู่ที่นั่นด้วยท่าทางสงบพร้อมกับสายตาที่จับจ้องมายังตัวเขา
ผู้นำนิกายดวงตาเบิกกว้างขึ้นด้วยความประหลาดใจเมื่อเขาพบว่าพลังการฝึกปรือของซูหยางอยู่ที่เขตปฐพีวิญญาณระดับสูงสุด อย่างไรก็ตามเห็นชัดว่าเขาสวมชุดที่เป็นของศิษย์นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย และเท่าที่เขาจำได้ ผู้นำนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเพียงอยู่ที่ระดับกลางของเขตปฐพีวิญญาณ ดังนั้นผู้มีฝึมือระดับสูงสุดนี้มาจากไหนกัน
“เจ้าเป็นใคร เจ้าเป็นคนที่ทำให้เกิดเรื่องทั้งหมดนี้รึ” ผู้นำนิกายถามซูหยางด้วยเสียงเรียบเฉย แต่เปี่ยมไปด้วยการคุกคาม
แต่ทว่า ผู้อาวุโสสูงสุดหานกลับยืนอยู่ตรงหน้าเขาและกล่าวว่า “ท่านผู้นำนิกาย ทั้งหมดนี้สาเหตุมาจากความโง่เขลาของชายชราผู้นี้…”
“อะไรกัน เจ้ารึ ไหนลองอธิบายมาซิ” ผู้นำนิกายมีท่าทางที่เปี่ยมไปด้วยความประหลาดใจเมื่อได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสสูงสุดหาน เหตุใดคนที่มีปัญญาอย่างเช่นผู้อาวุโสสูงสุดหานจึงเป็นต้นเหตุของความวุ่นวายทั้งหมดนี้
ผู้อาวุโสสูงสุดหานรู้สึกกระอักกระอ่วนที่จะบอกผู้นำนิกายตามความเป็นจริงในตอนนี้ ในเมื่อไม่ต้องสงสัยเลยว่าการทะเลาะรอบใหม่จะต้องเกิดขึ้นแน่นอนถ้าคนที่หยิ่งทระนงและใจร้อนดังเช่นผู้นำนิกายได้รู้ถึงการกระทำของซูหยางต่อศิษย์ของตนเองในพื้นที่ของเขา
“มีอะไรผิดไปรึ ผู้อาวุโสสูงสุดหาน ทำไมเจ้าจึงมิพูด” ผู้นำนิกายขมวดคิ้วเมื่ออีกฝ่ายเงียบไปเป็นเวลานาน
“ท่านผู้นำนิกาย โปรดรอสักครู่ ข้าจักอธิบายทุกสิ่งให้กับท่าน… เพียงแต่…” ผู้อาวุโสสูงสุดหานหันไปมองดูซูหยางด้วยท่าทางสับสน
เขาต้องการอธิบายสถานการณ์ให้กับผู้นำนิกาย แต่เขาไม่ต้องการให้เกิดการถูกซ้อมข้างเดียวรอบใหม่เกิดขึ้น บางทีอาจจะเป็นการฆาตกรรมหมู่ในคราวนี้ ซึ่งเขาแน่ใจว่าแม้จะเป็นผู้นำนิกายก็ไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายได้
ยิ่งไปกว่านั้น ซูหยางยังไม่ได้พูดอะไรออกมาเกี่ยวกับข้อเสนอของผู้อาวุโสหานให้ละเว้นนิกายดอกบัวเพลิงโดยใช้ชีวิตเขาแทน
เมื่อเห็นสายตาของผู้อาวุโสหาน ซูหยางยิ้มและหันไปหาจางซิวยิงและกล่าวว่า “ซิวยิง เจ้าพอที่จะพาข้าไปยังทางออกได้หรือไม่ ข้าจำมิได้ว่าอยู่ตรงไหน”
ซูหยางไม่มีเจตนาที่จะเอาชีวิตผู้อาวุโสหาน เหตุผลเดียวที่ซูหยางตัดสินใจเข้าร่วมทะเลาะวิวาทครั้งนี้ง่ายๆก็คือเขาต้องการทดสอบความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขา และผลลัพธ์ก็น่าพอใจยิ่งนัก
“หยุดอยู่ตรงนั้น ใครบอกให้เจ้าไปได้” ผู้นำนิกายพลันตะโกนไปยังซูหยาง จนทำให้หัวใจผู้อาวุโสหานเต็มไปด้วยความตระหนก เขาพึ่งขอบคุณสวรรค์ไปก่อนหน้านั้นเมื่อซูหยางตัดสินใจปล่อยพวกเขาไป
ซูหยางหยุดเดินและหันไปมองผู้นำนิกายพร้อมกับหรี่ตา สายตาของเขาเต็มไปด้วยความคิดฆ่าฟัน
“เจ้าคิดหยุดข้ารึ” ซูหยางพูดด้วยเสียงเย็นเยียบ รังสีฆ่าฟันในดวงตาของเขาพลันแผ่กระจายออกไปทั่วบริเวณ เป็นเหตุให้ทุกคนในที่นั้นสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว
แม้ว่าผู้นำนิกายตระหนกกับรังสีฆ่าฟันที่น่าหวาดหวั่นของซูหยาง แต่เขายังยืนหยัดและเริ่มปลดปล่อยแรงกดดันของตนเองออกมา ดูเหมือนว่าเขาเตรียมตัวที่จะต่อสู้กับซูหยาง
เมื่อผู้อาวุโสสูงสุดหานเห็นภาพนี้ ร่างกายของเขาทั้งหมดพลันชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อเย็นเยียบ
“จบสิ้นกัน เขากำลังจะฆ่าพวกเราทั้งหมด” ผู้อาวุโสสูงสุดหานร่ำร้องในใจ เขาสามารถจินตนาการฉากของนิกายดอกบัวเพลิงถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน
ซูหยางหันหน้ามาเผชิญกับผู้นำนิกายและดึงเอาแมงป่องดำออกมาจากแหวนมิติ เป็นเหตุให้บรรยากาศดูร้ายแรง ราวกับว่าอากาศเปลี่ยนเป็นพิษเพียงแค่การปรากฏตัวของแมงป่องดำ
ท่าทางของผู้นำนิกายเปลี่ยนไปอย่างมากเมื่อเห็นแมงป่องดำ ผิวของเขาซีดเผือด
“ข-ข-เขามีกระทั่งสมบัติวิญญาณระดับสวรรค์ ชายผู้นี้เป็นใครกัน” แม้ว่าเป็นครั้งแรกที่ผู้นำนิกายเห็นสมบัติวิญญาณระดับสวรรค์ เขาสามารถบอกถึงระดับของมันได้โดยอาศัยกลิ่นอายที่สามารถเปลี่ยนสภาพบรรยากาศที่มันปลดปล่อยออกมา สิ่งที่กระทั่งสมบัติระดับปฐพีของเขาไม่อาจทำได้
ส่วนสำหรับศิษย์และผู้อาวุโสนิกายคนอื่น พวกเขารู้สึกว่ามีแรงกดดันที่มองไม่เห็นทำให้พวกเขายากที่จะหายใจหลังจากที่แมงป่องดำปรากฏขึ้น
หลังจากที่เผยให้เห็นแมงป่องดำ ซูหยางก็เริ่มตรงเข้าไปหาผู้นำนิกาย สายตาของเขายังเปี่ยมไปด้วยควมคิดฆ่าฟัน
ผู้นำนิกายเริ่มก้าวถอยหลัง เห็นชัดว่าเขาหวาดหวั่นกับสิ่งสวยงามสีดำในมือซูหยางที่ปลดปล่อยกลิ่นอายแห่งความตายราวกับว่าต้องการกลืนกินชีวิตของเขา
“ร-รอสักครู่–เรามาตกลงกัน–”
ขณะที่ผู้นำนิกายเปิดปากพูด ซูหยางใช้ก้าวเก้าดาราปรากฏตัวเบื้องหน้าของอีกฝ่ายพร้อมกับแมงป่องดำห่างเพียงมิลลิเมตรเดียวจากคอของผู้นำนิกาย
“มีดสั้นเล่มนี้แช่ด้วยพิษที่สามารถฆ่าได้กระทั่งผู้มีฝีมือเขตอัมพรวิญญาณภายในเวลาไม่กี่วินาที และถ้าเจ้ามิต้องการให้ข้าเผลอฆ่าเจ้าโดยไม่เจตนา ข้าขอแนะนำให้เจ้าอย่าเคลื่อนไหว”
“…”
ผู้นำนิกายตกตะลึงกับความเร็วของซูหยางจนทำให้เขาตัวแข็งทื่อด้วยความตระหนก และหลังจากที่ได้ยินคำพูดของซูหยาง เขาไม่กล้าแม้แต่จะกลืนน้ำลาย ด้วยกลัวว่าตัวเองจะเผลอขยับผิวหนังบริเวณลำคอ
หลังจากนิ่งเงียบไปชั่วขณะที่มีความรู้สึกเหมือนผ่านไปหลายชั่วโมงสำหนับเหล่าศิษย์และผู้อาวุโสนิกาย ซูหยางดึงแมงป่องดำออกจากคอของผู้นำนิกายและเพียงหันกายไปอย่างง่ายๆ
“ข้าสามารถฆ่าทุกคนในที่นี้ได้อย่างง่ายๆและทำให้ชื่อนิกายนี้กลายเป็นความจริง แต่ข้ามิต้องการให้เพื่อนตัวน้อยของข้ากลายเป็นคนไร้บ้าน ดังนั้นจงถือว่าพวกเจ้านั้นโชคดี” ซูหยางกล่าวกับพวกเขาในขณะที่เขามองดูจางซิวยิง
แม้ว่าคำพูดซูหยางอาจจะฟังดูตรงไปตรงมา แต่ทั้งผู้นำนิกายและผู้อาวุโสสูงสุดหานรู้ถึงความจริงที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของอีกฝ่าย ซึ่งเป็นการเตือนพวกเขาว่าถ้าพวกเขาทำร้ายจางซิวยิงเหตุเพราะว่าอีกฝ่าย โดยไม่ต้องสงสัยว่าเขาจะต้องฆ่าพวกเขาทั้งหมดและทำลายนิกายดอกบัวเพลิง
ซูหยางพลันหันไปมองดูจางซิวยิงและกล่าวพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า “ไม่เป็นไร ซิวยิง ข้าควรไปด้วยตัวเอง”
หลังจากพูดถ้อยคำเหล่านั้นแล้ว ซูหยางก็นำเอาเรือบินออกมาจากแหวนมิติและกระโดดเข้าไปในนั้น ก่อนที่จะออกตัวบินไปด้วยความเร็วที่สามารถอธิบายว่าเร็วดุจสายฟ้า
ครั้นเมื่อร่างของซูหยางหายไปจากนิกายดอกบัวเพลิง ทุกคนที่ตรงนั้นค่อยหันกายไปมองดูจางซิวยิงด้วยดวงตาเบิกกว้าง สายตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นเกรงกลัว
DC บทที่ 208: ความวุ่นวายภายในนิกายดอกบัวเพลิง
ความวุ่นวายเกิดขึ้นภายในนิกายดอกบัวเพลิงเมื่อซูหยางเผชิญกับผู้มีฝีมือนับร้อยด้วยตัวคนเดียว ส่งร่างคนปลิวว่อนไปทั่วพื้นที่โดยไม่สนใจพลังการฝึกปรือของพวกเขาแม้แต่น้อย
จากศิษย์หลักเขตสัมมาวิญญาณไปจนถึงผู้อาวโสเขตปฐพีวิญญาณ ซูหยางไม่ได้แสดงความเมตตาโจมตีพวกเขาด้วยแรงที่เท่ากัน ทำราวกับว่าพวกเขาเป็นหุ่นสำหรับซ้อมมือ
“ฝ่ามือดอกบัวเพลิงพิฆาตระดับสูง”
“เตาหลอมแผดเผา”
“ฝนร้อยบัว”
วิชามากกว่าหลายสิบวิชาสำแดงเดชมุ่งไปยังซูหยางซึ่งกำลังวุ่นวายกับการรับมือศิษย์คนอื่น
บูม
เกิดการระเบิดขึ้นขนานใหญ่ตรงตำแหน่งที่ซูหยางยืนอยู่ ฝุ่นควันปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าเหนือนิกายดอกบัวเพลิง เป็นเหตุให้ศิษย์คนอื่นและผู้อาวุโสนิกายที่อยู่ภายในนิกายคิดว่าพวกเขาถูกโจมตี
การระเบิดทำให้พื้นดินสั่นสะท้านและในขณะที่เหล่าศิษย์เชื่อว่าซูหยางตกตายไปแล้วจากการโจมตีที่รุนแรง ก็มีเสียงหัวเราะดังลั่นไปทั่วพื้นที่
“ฮ่าฮ่าฮ่า มีอะไรผิดพลาดกับนิกายดอกบัวเพลิงรึ หรือว่านี่เป็นทุกอย่างที่พวกเจ้าทำได้” ซูหยางกระโดดออกมาจากกลุ่มฝุ่นควันพร้อมกับหัวเราะ ดูไม่มีแม้รอยขีดข่วนกับวิชามากมายที่โจมตีไปยังเขาก่อนหน้านี้
“นี่มันบ้าอะไรกัน ไม่มีแม้แผลสักรอยบนตัวเขา”
ผู้คนบริเวณนั้นล้วนปากอ้าค้างด้วยความตระหนกเมื่อพวกเขาพบว่าร่างกายของซูหยางยังสมบูรณ์แม้ว่าจะโดนโจมตีเข้าไปโดยตรง
สิ่งที่ควรจะฆ่าผู้มีฝีมือเขตอัมพรวิญญาณได้อย่างง่ายดายไม่อาจแม้จะทำให้เสื้อผ้าบนร่างซูหยางเสียหาย อย่าว่าแต่จะฆ่าเขา อีกทั้งยังถูกอีกฝ่ายหัวเราะเยาะหลังจากพบเห็นความจริง ดูเหมือนว่าเขาจะสนุกสนานไปกับฉากวุ่นวายนี้
“บ้าแล้ว เจ้าชั่วนั่นเป็นสัตว์ประหลาด อย่ายั้งมือ ใช้ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเจ้ามีกับเขา”
วิชามากมายยิ่งกว่านั้นจู่โจมเข้าไปยังซูหยาง แต่ซูหยางเพียงแค่โบกชายเสื้อเปลี่ยนทิศทางการโจมตีของวิชาเหล่านั้นไปยังทิศทางอื่น เป็นเหตุให้เกิดการโจมตีพวกเดียวกัน
“ห-หยุด หยุดการใช้วิชา พวกเราเพียงทำร้ายตนเองเท่านั้น”
ผู้คนบริเวณนั้นต่างพบว่าวิชาเหล่านั้นไร้ประโยชน์ต่อซูหยางและเปลี่ยนเป็นพุ่งตรงเข้าหาเขาด้วยอาวุธแทน
อาวุธวิญญาณปรากฏขึ้นทั่วทุกทิศทาง จนทำให้เกิดบรรยากาศอันลึกล้ำปกคลุมที่นั่น
อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะได้เห็นอาวุธวิญญาณเหล่านี้ทั้งหมด ซูหยางไม่ได้นำเอาอาวุธของตนเองออกมา เพียงต่อสู้กับพวกเขาด้วยมือเปล่า
ติ๊ง
ดิ๊ง
แคร้ง
“อ-อ-อาวุธวิญญาณของข้า เขาทำลายอาวุธวิญญาณของข้าด้วยมือเปล่า”
“อาาา ของรักของข้า เขาหักมันเป็นหลายท่อนเพียงหมัดเดียว”
ผู้คนบริเวณนั้นรู้สึกหวาดกลัวอย่างแท้จริงเป็นครั้งแรกเมื่อพวกเขาพบว่าแม้กระทั่งสมบัติวิญญาณก็ไม่สามารถทำร้ายซูหยางได้
พวกเขาล้วนรู้สึกเหมือนว่าพวกเขากำลังต่อสู้กับสัตว์อสูร ไม่ใช่ กระทั่งสัตว์อสูรยังมีจุดอ่อนของตนเอง ซูหยางคล้ายกับภูเขาที่ทำมาจากเหล็กกล้า บางสิ่งที่ไม่ว่าจะเป็นวิชาหรือสมบัติวิญญาณไม่อาจทำอันตรายได้
ส่วนสำหรับซูหยาง เขาทำเหตุการณ์นี้เหมือนกับว่าเป็นเพียงการทะเลาะวิวาทในงานเลี้ยงใหญ่ในขณะที่ทุกคนกำลังมึนเมา อย่างไรก็ตามแม้ว่าเขาจะโจมตีโดยไร้ความปราณี เขาไม่ได้โจมตีด้วยความคิดฆ่าฟัน
ส่วนมากแล้วก็จะมีเพียงบางคนที่ซี่โครงแขนขาหัก แต่ไม่มีใครในนั้นที่ได้รับบาดเจ็บถึงขั้นคุกคามต่อชีวิต นั่นเป็นวิธีแสดงความ “เมตตา” แบบซูหยาง ถ้าเขาต้องการที่จะสร้างศัตรูกับนิกายดอกบัวเพลิงจริงๆ เขาสามารถฆ่าทุกคนที่นั่นด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวด้วยแมงป่องดำ
ผู้อาวุโสหานก็สังเกตเห็นเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงรีบตะโกน “หยุด หยุด หยุด พวกเจ้าทุกคนหยุด ยับยั้งการเคลื่อนไหวของพวกเจ้า”
เหล่าศิษย์และผู้อาวุโสนิกายต่างพากันหยุดการโจมตีซูหยางในทันทีและเว้นระยะห่างออกมาจากเขา ทั้งยังแอบขอบใจผู้อาวุโสหานที่หยุดพวกเขา ในเมื่อพวกเขาส่วนใหญ่ล้วนสูญเสียความคิดต่อสู้กับซูหยางไปแล้ว กระทั่งหวาดกลัวเขาราวกับว่าเขาเป็นฝันร้ายที่ร้ายที่สุด
ครั้นเมื่อพวกเขาหยุดโจมตีเขา ซูหยางก็ยืนสงบนิ่งอยู่ที่นั่นพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า ราวกับว่าเขาเพิ่งเสร็จสิ้นการเดินเล่นในสวนสาธารณะ
ในเวลานั้นจางซิวยิงผู้ซึ่งถูกผลักไปอยู่เบื้องหลังก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ขึ้นก็ได้จ้องมองซูหยางด้วยดวงตาแลปากเปิดกว้างเหมือนจานรองแก้ว เช่นเดียวกับทุกคน เธอไม่อาจเชื่อกับสิ่งที่เธอมองเห็น
คนคนเดียวสามารถรับมือกับนิกายดอกบัวเพลิงเกือบทั้งหมดสำนักด้วยตัวเอง โดยไม่ได้รับบาดเจ็บบนร่างกายแม้แต่น้อย คงไม่มีใครเชื่อเหตุการณ์นี้นอกจากว่าพวกเขารับรู้ด้วยตาของตนเอง แต่แม้กระทั่งพวกเขาอยู่ที่นี่และได้พบเห็น พวกเขาก็คงยังสงสัยดวงตาของตนเองอยู่ดี
“ความคิดที่ว่า…ข้ามิอาจไปได้ถ้าเจ้ามิอนุญาตให้ข้าไป… เจ้ายังคงเชื่อเช่นนั้นอยู่หรือไม่” ซูหยางถามผู้อาวุโสสูงสุดหานพร้อมหรี่ตา มือไพล่หลัง
เหงื่อเม็ดโตปรากฏขึ้นบนใบหน้าของผู้อาวุโสสูงสุดหานเมื่อได้ยินคำถาม และภายใต้การจ้องมองของเหล่าศิษย์นับร้อยตรงนั้น เขาส่ายหน้าอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจ กล่าวว่า “โปรดละเว้นนิกายดอกบัวเพลิง นี่เป็นความผิดของข้า ดังนั้นข้าจักรับผิดชอบทั้งหมด กระทั่งท่านต้องการชีวิตของข้า ข้าก็จักมิปฏิเสธ”
ผู้อาวุโสสูงสุดหานค้อมกายคารวะซูหยางและพูดด้วยเสียงจริงใจ เขาไม่คิดว่าซูหยางจะยกโทษให้กับนิกายของเขาหลังจากเรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้น แต่ถึงแม้ซูหยางอาจจะยกโทษให้เขาและนิกาย เขายังคงเสียใจที่ไปล่วงเกินคนอย่างซูหยางต่อจากนี้ไปอีกนานหลายปี
หลังจากที่นิ่งเงียบไปชั่วขณะ ซูหยางก็อ้าปากพูด แต่ก่อนที่จะมีคำพูดใดออกมา เสียงอื่นก็ดังขึ้นมาในพื้นที่เสียก่อน
“เกิดอะไรขึ้นที่นี่”
ชายวัยกลางคนปรากฏตัวจากที่ไกล ข้างกายมีหญิงสาวสวมชุดศิษย์หลัก
“ผ-ผ-ผู้นำนิกาย”
“ศิษย์พี่หญิงหลิน”
ผู้นำนิกายของนิกายดอกบัวเพลิงได้ตัดสินใจที่จะปรากฏตัวด้วยตนเองที่นี่หลังจากที่มีความปั่นป่วนวุ่นวายมหาศาลที่สั่นสะเทือนไปทั้งนิกายไปหลายนาที ข้างกายเขาคือหลินเฉาชางหนึ่งในศิษยหลักไม่กี่คนที่เป็นศิษย์โดยตรงของผู้นำนิกาย วันนี้เป็นตาของเธอที่จะรับการอบรมจากผู้นำนิกาย แต่เพราะว่าความวุ่นวายที่เกิดขึ้น จึงถูกตัดไป ดังนั้นจึงมีท่าทางไม่พอใจปรากฏขึ้นบนใบหน้างดงามของเธอ
DC บทที่ 207: โจมตีข้างเดียวกับนิกายดอกบัวเพลิง
เพื่อให้เห็นมุมมองของอิทธิพลจากผู้ที่อยู่เขตปฐพีวิญญาณระดับสูงสุด โหลวหลานจีซึ่งอยู่ประมาณเขตปฐพีวิญญาณระดับสี่มีความสามารถที่จะควบคุมนิกายทั้งหมดได้ด้วยตนเอง แม้ว่านั่นอาจจะไม่ใช่สำนักที่ทรงพลังที่สุด แต่นั่นก็ต้องการทรัพยากรมหาศาลสำหรับผู้คนจำนวนหลายร้อยในการดำรงชีพ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงสำนักที่มีคนมากหลายพันคน
“ข้ามิสนใจว่าเจ้ามีเหตุผลใดในการปลอมแปลงเป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย แต่เจ้าได้ฆ่าหนึ่งในศิษย์ของนิกายเรา และข้าจักต้องให้เจ้ารับผิดชอบ แต่อย่าเข้าใจผิดจุดประสงค์ของข้าว่านี่เป็นวิธีการปกป้องหวังหมิง แม้ว่าหวังหมิงอาจจะเป็นคนไม่ดี แต่ว่าเขาก็ยังเป็นพวกข้า เจ้าคิดว่าคนจะพูดเกี่ยวกับพวกเราเช่นไรถ้าพวกเขารู้ว่ามีคนภายนอกได้จัดการฆ่าศิษย์ของนิกายดอกบัวเพลิงในขณะที่อยู่ภายในนิกายของตนเอง อีกทั้งจากไปโดยไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ข้าหวังว่าเจ้าคงเข้าใจ…”
ผู้อาวุโสหานจริงแล้วไม่ต้องการที่จะล่วงเกินคนเช่นซูหยางถ้าเขาไม่มีความจำเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเบื้องหลังของอีกฝ่าย แต่เพื่อที่จะรักษาภาพพจน์ของตนเองต่อหน้าสาธารณะเพื่อที่ผู้อื่นจะได้ไม่มองพวกเขาว่าเป็นผู้ที่โดนรังแกได้โดยง่าย ในเมื่อหากว่าแสดงความอ่อนแอย่อมนำไปสู่ความพินาจในยุทธภพ ทำให้เขาไม่มีทางเลือกได้แต่ลงโทษซูหยางที่ฆ่าหนึ่งในศิษย์ของพวกเขา
“เจ้าพูดว่าเจ้าต้องการที่จะลงโทษข้าที่ฆ่าหวังหมิง แต่เจ้าตั้งใจจะทำอะไรกับข้ารึ” ซูหยางพูดด้วยเสียงผ่อนคลาย หน้าตายังคงเฉยเมยดังเช่นปกติ
คล้ายกับว่าเขาไม่ได้รู้สึกแม้แต่น้อยว่ามีความกดดันจากสถานการณ์ในตอนนี้ และผู้อาวุโสหานเพียงรู้สึกถึงความมั่นใจที่ปลดปล่อยออกมาจากเขา
“เขามิสะทกสะท้านอย่างแท้จริงเมื่อถูกรายล้อมด้วยคนทั้งนิกายในขณะที่เขาอยู่เพียงลำพัง หรือว่าว่าเขาเพียงแกล้งทำเป็นมั่นใจ” ผู้อาวุโสหานครุ่นคิดในใจ
ถ้าซูหยางยังสามารถผ่อนคลายได้ในสถานการณ์เช่นนี้ บางทีผู้หนุนหลังของเขาอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
“ข้ามิขอมาก” ผู้อาวุโสหานกล่าวหลังจากนั้นด้วยท่าทางจริงจังและชี้ตรงไปยังแขนขวาของซูหยาง “เพียงแค่เจ้าทิ้งแขนไว้ข้างหนึ่ง”
“อวัยวะข้าข้างหนึ่งรึ หือ” ซูหยางยกแขนขวาขึ้นและมองดู ราวกับว่าเขากำลังพยายามหาค่าของมันอยู่
เขากล่าวต่อสองสามวินาทีหลังจากนั้นว่า “ข้ามิรังเกียจที่จะทิ้งแขนไว้ข้างหนึ่ง แต่ว่าพวกเจ้าสามารถที่จะรับผิดชอบผลที่ตามมาได้หรือไม่ นั่นอาจจะมีค่าเท่ากับนิกายของเจ้าทั้งหมด เจ้ารู้บ้างไหม”
“เจ้ากล้า”
ผู้อาวุโสนิกายที่รายล้อมมีท่าทางโกรธแค้นเมื่อพวกเขาได้ยินคำพูดเยาะเย้ยของซูหยาง แขนข้างหนึ่งของเขาจะมีค่าเท่ากับนิกายของพวกเขาทั้งนิกายที่มีประวัติมาหลายพันปีได้อย่างไร
“หุบปาก เข้าเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถพูดได้ที่นี่” ผู้อาวุโสหานตะโกนใส่บรรดาผู้อาวุโสนิกาย เป็นเหตุให้พวกเขาพากันปิดปากลงในทันที
หลังจากที่ปิดปากผู้อาวุโสนิกายแล้ว ผู้อาวุโสหานหันไปมองซูหยางพร้อมขมวดคิ้ว เขาพยายามอ่านสีหน้าและแววตาของซูหยาง หวังว่าจะพบเบาะแสเพียงเล็กน้อยว่าอีกฝ่ายกำลังหลอกลวง แต่น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถหาแม้เงาของการโกหกของซูหยางได้ มีแต่เพียงความมั่นใจ
“เจ้าสามารถบอกถึงเบื้องหลังของเจ้าได้หรือไม่ บางทีข้าอาจจะลดโทษของเจ้าลง” เขากล่าวกับซูหยาง พยายามไม่ให้เกิดเสียงกระอักกระอ่วน
เขาไม่ต้องการที่จะล่วงเกินผู้ทรงอำนาจที่เหนือกว่านิกายดอกบัวเพลิงของพวกเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ ท้ายที่สุดแล้วจะมีค่าอะไรในการพยายามปกป้องภาพพจน์ต่อสาธารณะชน หากว่าพวกเขาต้องเสี่ยงกับความปลอดภัยของนิกายทั้งหมดหากทำเช่นนั้น
ซูหยางชี้ไปที่ชุดสีเขียวบนร่างของเขาและกล่าวด้วยเสียงเรียบเฉยว่า “นี่คือสิ่งยืนยันตัวตนของข้า”
คิ้วของผู้อาวุโสหานยิ่งขมวดย่น คิดในใจว่าซูหยางทำเหมือนกับว่าเขาเป็นคนโง่เขลา
“แม้ว่าเจ้าอาจจะอยู่ที่เขตปฐพีวิญญาณระดับสูงสุด เจ้าตอนนี้ยังคงรายล้อมไปด้วยผู้มีฝีมือนับร้อยใจกลางนิกายดอกบัวเพลิง และด้วยคนมากมายเพียงนี้ ถ้าพวกเรามิต้องการให้เจ้าไป กระทั่งเส้นผมของเจ้าเส้นหนึ่งก็ไม่สามารถออกไปจากสถานที่แห่งนี้ในวันนี้ได้ ดังนั้นทำไมเจ้ามิคิดถึงคำตอบของเจ้าอีกครั้ง ข้าจักให้เวลาเจ้าชั่วขณะ”
ในใจของผู้อาวุโสหาน ไม่ว่าซูหยางจะมีเบื้องหลังทรงอำนาจเพียงใด ถ้าเขาไม่อาจกลับไปบอกพวกเขา และนิกายดอกบัวเพลิงปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด เช่นนั้นผู้ทรงอำนาจที่หนุนหลังอยู่ก็ไม่สามารถที่จะโจมตีนิกายดอกบัวเพลิงและแก้แค้นให้กับซูหยางได้โดยไม่ทำให้ตนเองเหมือนกับคนป่าเถื่อนดุร้ายไร้เหตุผล
“หืม…เช่นนั้นรึ” ซูหยางหรี่ตาลงและพูดอย่างช้าๆ “ความคิดเช่นนั้น…เจ้าต้องการที่จะทดสอบมันรึ”
ทันใดนั้นเองพลังอันน่าหวาดหวั่นก็ระเบิดออกจากร่างของซูหยาง แรงกดดันอันน่าหวาดหวั่นแผ่ออกไปรอบกายเขาและผู้อาวุโสและศิษย์มากมายต่างพากันเข่าอ่อนล้มลง
ใบหน้าของผู้อาวุโสหานพลันซีดเผือด กระทั่งถอยหลังไปสองสามก้าวอย่างไม่ตั้งใจเนื่องมาจากพลังอำนาจอันบ้าคลั่งที่รายล้อมรอบซูหยาง
“ป-ป-เป็นไปไม่ได้ ร-แรงกดดันนี้…มันทรงพลังเกินกว่าผู้นำนิกายไปมากนัก ข-เขาปลดปล่อยพลังมากมายเช่นนั้นได้อย่างไรในเมื่อเขาเองยังไปไม่ถึงเขตอัมพรวิญญาณ
“ขณะที่เจ้าอาจจะอยู่เขตอัมพรวิญญาณ แต่รากฐานของเจ้าช่างอ่อนแอ อ่อนแอเหลือเกิน ตามจริงแล้วข้าสามารถทำลายมันได้เพียงแค่ใช้สองนิ้ว เหมือนกับหักครึ่งกิ่งไม้…” ซูหยางกล่าวขณะที่เขาตรงเข้าไปหาผู้อาวุโสสูงสุดหาน ผู้ที่สั่นสะท้านยามเมื่อรู้สึกถึงแรงกดดันของเขา
ผู้อาวุโสสูงสุดหานไม่อาจเข้าใจกับสถานการณ์ เหตุใดเขาจึงถูกกดดันโดยคนจากเขตปฐพีวิญญาณ ความแตกต่างระหว่างระดับเก้าเขตปฐพีวิญญาณและระดับหนึ่งของเขตอัมพรวิญญาณนั้นแตกต่างกันราวกับลูกไก่และนกฟินิกซ์ นี่เป็นสิ่งที่คิดไม่ถึงเกี่ยวกับซูหยาง ซึ่งเปรียบเสมือนลูกไก่ สามารถข่มขู่ฟินิกซ์ดังเช่นผู้อาวุโสสูงสุดหานได้
“ป-ป-ปกป้องผู้อาวุโสสูงสุด” หนึ่งในผู้อาวุโสนิกายพลันตะโกนออกมา
วินาทีถัดไปสามารถเห็นร่างคนหลายคนกระโจนเข้าใส่ซูหยาง แม้ว่าจะมีแรงกดดันบนร่างพวกเขา ในสายตาของพวกเขาแม้ว่าจะต้องเสี่ยงชีวิต พวกเขาจะต้องปกป้องผู้อาวุโสสูงสุด ผู้ซึ่งต่ำกว่าเพียงผู้นำนิกายในด้านของฐานะและอิทธิพล
ดวงตาของซูหยางเป็นประกายวาวแววลึกล้ำ เขาเริ่มเหวี่ยงหมัดไปยังร่างที่พุ่งเข้ามาหา
“อาาา”
อย่างไรก็ตามเพราะว่าร่างกายที่ได้รับการบ่มเพาะมา หมัดธรรมดาของซูหยางที่ปล่อยออกไปโดยไม่ต้องใช้วิชาใดกระแทกได้รุนแรงกว่าวิชาใดๆที่เหล่าศิษย์และผู้อาวุโสนิกายเหล่านั้นจะเคยได้พบเจอ จนรู้สึกเหมือนกับว่าพวกเขาปะทะเข้ากับภูเขา
ภายในเวลาเป็นวินาที ผู้คนมากมายสามารถเห็นได้ว่าปลิวลิ่วไปทุกสารทิศหลังจากที่ถูกกระแทกโดยซูหยาง คล้ายกับฉากที่เด็กขี้หงุดหงิดปัดของเล่นกระจายไปทั่วห้องด้วยความหงุดหงิดจากการถูกกักบริเวณ
“ส-สวรรค์ สัตว์ร้ายแบบไหนกันที่ข้าไปแหย่เข้าให้” ผู้อาวุโสสูงสุดหานรู้สึกว่าเรี่ยวแรงบนขาของเขาหายไปเมื่อมองดูซูหยางโยนเหล่าศิษย์ของเขากระจายไปทั่วบริเวณ ทำราวกับว่าพวกเขาเป็นเพียงแค่ตุ๊กตาหญ้าฟาง
DC บทที่ 206: ถูกล้อมด้วยผู้มีฝีมือ
การระเบิดบนท้องฟ้าคือสัญญาณขอความช่วยเหลือ เป็นสิ่งที่ใช้ได้ยามเมื่อคนของนิกายดอกบัวเพลิงตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง แต่ใช่ศิษย์ทุกคนของนิกายดอกบัวเพลิงจะได้รับวัตถุนี้ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นผู้อาวุโสนิกายและศิษย์หลักจึงจะได้รับสิ่งนี้เนื่องเพราะว่าพวกเขามีความสำคัญต่อนิกาย
และตามกฏของนิกายดอกบัวเพลิง ทุกคนต้องหยุดทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนเองกำลังทำอยู่เพื่อตอบสนองต่อการขอความช่วยเหลือหากว่าได้พบเห็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้อาวุโสนิกาย แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่ามีอันตรายรออยู่ข้างหน้า
เมื่อการระเบิดเกิดขึ้นบนท้องฟ้าเหนือนิกายดอกบัวเพลิง ผู้อาวุโสนิกายและศิษย์หลักภายในนิกายที่สังเกตเห็นเปลวเพลิงต่างพากันหยุดสิ่งที่พวกเขากำลังทำทันทีและเริ่มมุ่งตรงไปยังพื้นที่ที่เกิดการระเบิด
ภายในไม่กี่นาที ผู้อาวุโสนิกายและศิษย์ระดับสูงหลายร้อยคนต่างพากันปรากฏตัวยังบริเวณซูหยาง สร้างความตระหนกให้กับศิษย์ทุกคนที่อยู่แถวนั้น ในเมื่อพวกเขาส่วนใหญ่แล้วไม่เคยเห็นผู้อาวุโสนิกายและศิษย์เองจำนวนมากมารวมตัวกันในพื้นที่เดียวมาก่อนยกเว้นว่าจะมีเหตุการณ์ใหญ่
การถูกรายล้อมโดยศิษย์และผู้อาวุโสนับพันจากนิกายดอกบัวเพลิงนับตั้งแต่เขตสัมมาวิญญาณไปจนถึงเขตปฐพีวิญญาณโดยฉับพลัน ใครต่างก็คาดคิดว่าศิษย์รุ่นหลังเด็กๆอย่างเช่นซูหยางต้องฉี่ราดกางเกงและสลบไปด้วยความหวาดกลัว แต่ตามความเป็นจริง ซูหยางเพียงแค่ยิ้มอย่างเยือกเย็นกับสถานการณ์เช่นนี้และกล่าวกับผู้อาวุโสนิกายที่แขนหักว่า “ช่างเป็นกระต่ายตื่นตูม ข้ายังมิได้แตะต้องเจ้าด้วยซ้ำ แต่เจ้ากลับทำเรื่องใหญ่หาความช่วยเหลือมาอย่างมากมายราวกับว่าเจ้ากำลังอยู่บนเส้นตาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากโจมตีข้าเมื่อกี้นี้ เช่นเดียวกับศิษย์ของเจ้า ช่างไร้ยางอาย”
“เกิดอะไรขึ้นที่นี่ ผู้อาวุโสเหลา ทำไมเจ้าจึงใช้ยันต์ขอความช่วยเหลือ”
ผู้อาวุโสนิกายมีท่าทางสับสนเมื่อเห็นสถานการณ์ จากมุมมองของพวกเขาไม่มีอะไรที่ดูผิดปกติที่นี่เมื่อแรกเห็นที่จำเป็นต้องใช้ยันต์ขอความช่วยเหลือ สิ่งที่ต้องใช้ในสถานการณ์ที่ถึงตายเท่านั้น
“จ-จ-เจ้าคนเลวตรงนั้นเป็นผู้บุกรุก มิเพียงแต่เขาทำมือข้าพิการ แต่จากสิ่งที่ข้าได้รับรู้มา เขามาที่นี่ด้วยเจตนาที่จะสร้างอันตรายใหญ่หลวงกับนิกายดอกบัวเพลิงด้วย”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา บรรดาผู้อาวุโสนิกายหันไปมองดูซูหยางพร้อมกับขมวดคิ้วย่นบนใบหน้า
“ผู้บุกรุก เขาเป็นเพียงแค่ศิษย์ในจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย เป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะทำร้ายพวกเรา”
ผู้อาวุโสนิกายต่างมีท่าทางสงสัย แต่ปฏิกิริยาเช่นนั้นย่อมถือว่าเป็นเรื่องปกติ ในเมื่อนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยไม่ใช่สถานที่ที่สามารถคุกคามพวกเขาได้ แม้ว่าอีกฝ่ายจะจู่โจมเต็มกำลัง อย่าว่าแต่เพียงแค่ศิษย์เพียงคนเดียวจากที่แห่งนั้น
“เอ้อ…” ผู้อาวุโสเหลาเริ่มรู้สึกหวาดหวั่นเมื่อเขานึกขึ้นได้ว่าตนเองเร่งรีบใช้ยันต์ขอความช่วยเหลือเร็วเกินไป ถ้าเขาไม่มีเหตุผลที่เหมาะสมในการใช้ เขาอาจจะเป็นคนที่ถูกลงโทษแทนที่จะเป็นซูหยาง สำหรับการเสียทรัพยากรและเวลาอันมีค่าของทุกคน
พลันนั้นเองเขาก็นึกถึงหวังหมิงซึ่งสิ้นชีวิตไปอย่างลึกลับก่อนหน้านั้น เขาจึงกล่าวพร้อมกับชี้ไปที่ซูหยางว่า “ศิษย์ของข้าเห็นเจ้าเลวนี้ฆ่าหวังหมิง”
แน่นอนว่าผู้อาวุโสเหลาย่อมไม่รู้ว่าซูหยางฆ่าหวังหมิง และพียงโกหกพกลมเพื่อที่จะทำให้อีกฝ่ายดูอันตรายมากขึ้น แต่เขาจะรู้สักนิดก็หาไม่ว่าเขาได้เปิดเผยความจริงได้โดยบังเอิญ
“อะไรกัน จริงรึ”
วิธีที่ผู้อาวุโสนิกายใช้มองซูหยางพลันเปลี่ยนไปทันทีที่ได้ยินผู้อาวุโสเหลาแก้ตัวมั่วๆ
กระทั่งซูหยางยังมีท่าทางประหลาดใจเมื่อเรื่องหวังหมิงถูกยกขึ้นมา เขามั่นใจว่าไม่มีใครอยู่ใกล้ๆเมื่อตอนที่เขาฆ่าหวังหมิง แต่ผู้อาวุโสเหลาคนนี้กลับรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร
“ร-รอสักครู่”
เสียงหวานแว่วขึ้นด้านหน้าซูหยางก่อนที่เขาจะทันได้พูด และร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวต่อหน้าเขา
“ข-เขามิได้ทำเช่นนี้ด้วยเจตนาอันเป็นอันตรายต่อนิกาย แต่นั่นเป็นเพราะข้า” คนผู้นั้นกล่าว
ซูหยางมองไปยังสาวน่ารักตรงหน้าเขาด้วยดวงตากลมกว้าง ซึ่งปรากฏว่าคือจางซิวยิง
แม้ว่าซูหยางไม่เคยบอกจางซิวยิงเรื่องการฆ่าหวังหมิง เธอมั่นใจว่าซูหยางได้ฆ่าหวังหมิงเพื่อเธอเมื่อเธอได้ยินเกี่ยวกับการตายของอีกฝ่ายหลังจากสิ่งที่ซูหยางได้พูดกับเธอไว้ก่อนหน้านี้
“และเจ้าคือใครกัน”
ผู้อาวุโสนิกายหลายคนไม่อาจจดจำจางซิวยิงได้ จึงถามเธอ
“ข-ข้าคือจางซิวยิง….” เธอแนะนำตัวเองด้วยเสียงเอียงอาย
“ศิษย์จาง เจ้าหมายความว่าอะไรกับคำกล่าวเมื่อกี้นี้ ช่วยอธิบายหน่อย”
จางซิวยิงพยักหน้าและอธิบายให้พวกเขาฟังอย่างลวกๆว่า หวังหมิงได้ใช้ฐานะศิษย์ในของตนเองกดขี่ศิษย์นอกที่เป็นหญิงไปร่วมหลับนอนกับเขาอย่างไร หลังจากนั้นเธออธิบายเกี่ยวกับว่าซูหยางได้ช่วยเธอแก้แค้นหวังหมิงอย่างไร
“ใครจะคิดว่าคนอย่างเช่นหวังหมิงกลายเป็นคนแบบนี้…”
ผู้อาวุโสและศิษย์หลายคนสะอิดสะเอียนยิ่งนักเมื่อรับรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของหวังหมิง บางคนกระทั่งรู้สึกยินดีต่อซูหยางที่ได้ฆ่าเขา ในเมื่อพวกเขาก็จะทำเช่นนี้เช่นเดียวกัน
ซูหยางมองดูทุกสิ่งเหล่านี้เปิดเผยต่อหน้าเขาพร้อมกับเลิกคิ้ว ดูเหมือนจะประหลาดใจกับเหตุการณ์ที่ดำเนินไปได้โดยเขาไม่ต้องพูดแม้แต่เพียงคำเดียว
“นั่นถูกต้องแล้ว ข้าเป็นคนที่ฆ่าหวังหมิง” สุดท้ายซูหยางได้แต่สารภาพว่าฆ่าหวังหมิงแม้ว่าจะมีเจตนาที่จะปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมดเมื่อช่วงเวลาก่อนหน้านี้
เมื่อผู้อาวุโสเหลาได้ยินคำสารภาพของซูหยาง ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความตระหนก เขามิคิดว่าคำพูดไร้สาระของเขาจะกลายเป็นความจริง
ช่วงเวลาก่อนหน้านั้นมีชายชราปรากฏตัวขึ้นจากภายในฝูงชนและยืนห่างสองสามเมตรจากซูหยาง สายตาอันลึกล้ำของเขาเต็มไปด้วยความตระหนกและชื่นชมเมื่อมองดูซูหยาง
“ผู้อาวุโสสูงสุดหาน” เหล่าผู้อาวุโสและศิษย์พลันจำชายชราคนนี้ที่มีผมยาวสีขาวและหนวดเคราฟู
“เจ้า…ทำไมเจ้าจึงปลอมตัวเป็นเพียงศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย” ผู้อาวุโสสูงสุดหานพูดขณะที่ลูบบนเครายาวของตนเอง
“ว่ากระไร เขามิใช่ศิษย์ของที่นั่นรึ กระนั้นเขาก็ยังสวมเครื่องแบบของที่นั่น” ทุกคนมีท่าทางสับสนเมื่อพวกเขาได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสสูงสุดหาน
“บางคนอาจจะได้กระทั่งเสื้อผ้าเฉพาะด้วยความพยายามอยู่บ้าง และเจ้าอาจจะดูเหมือน “อ่อนแอ” แต่เจ้ามิอาจหลอกข้าได้…” ผู้อาวุโสสูงสุดหานจ้องเขม็งไปยังซูหยางด้วยความรู้สึกลึกล้ำ ราวกับว่าเขาสามารถมองทะลุอีกฝ่าย
“เจ้าพูดถึงเรื่องอะไรกัน” ซูหยางถามเขาพร้อมกับรอยยิ้มเล็กน้อยบนใบหน้า
“แม้ว่ามิมีใครในที่นี้สามารถมองเห็นพลังการฝึกปรือที่แท้จริงของเจ้าได้ แต่ข้าก็มิได้โทษพวกเขา ในเมื่อมีเพียงผู้ที่อยู่เขตอัมพรวิญญาณเช่นข้าจึงสามารถที่จะมองเห็นระดับปฐพีวิญญาณระดับสูงสุดของเจ้าได้…”
“ว่ากระไร เขตปฐพีวิญญาณระดับสูงสุด”
เมื่อผู้อาวุโสสูงสุดหานเปิดเผยพลังการฝึกปรือที่แท้จริงของซูหยางว่าเป็นเขตปฐพีวิญญาณระดับสูงสุด ทุกคนในที่นั้นต่างพากันอุทานออกมาด้วยความตื่นตระหนกเป็นอันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้อาวุโสเหลาถึงกับล้มลงก้นจ้ำเบ้าจากความตกใจ
กระทั่งจางซิวยิงอดที่จะอ้าปากค้างด้วยความตระหนกไม่ได้ เธอมองดูซูหยางด้วยหน้าตาสับสนเหมือนว่าไม่อยากเชื่อ
ขณะที่ผู้ที่อยู่เขตปฐพีวิญญาณอาจจะไม่มีค่ามากนักในทวีปศักดิ์สิทธิ์กลาง แต่ถือว่าระดับสุดยอดของยุทธภพในที่แห่งนี้
ขาดการสั่งสอน
เมื่อออกจากที่พักของหวังชูเหรินแล้ว ซูหยางก็เดินทอดน่องไปตามนิกายดอกบัวเพลิงตรงไปยังทางออก และเพราะว่าเขาได้บอกลากับจางซิวยิงไว้ก่อนหน้าที่จะออกจากบ้านของเธอเมื่อตอนเช้าแล้ว จึงไม่มีเหตุผลใดที่เขาจะกลับไปหาเธอก่อนจาก
ศิษย์จำนวนมากหันหน้าไปมองซูหยางขณะที่เขาเดินผ่านพวกเขา ดูคล้ายกับตะลึงกับรูปโฉมของเขา บางคนทำท่าทางสะอิดสะเอียนกับชุดที่เขาใส่ แต่ก็ยังมีคนอื่นที่มองเขาอย่างรักใคร่ เห็นชัดว่าติดใจใบหน้าหล่อเหลาของเขาและบรรยากาศชวนหลงไหลรอบตัวเขา
อย่างไรก็ตามขณะที่ซูหยางไปถึงเขตศิษย์นอก บางคนก็ตะโกนเสียงดังพร้อมกับชี้ไปทางซูหยาง “เขานี่แหละ เจ้าชั่วนี่แหละที่ทำร้ายข้าและศิษย์ในที่เมืองดอกบัว”
ชายคนที่ส่งเสียงเป็นศิษย์หลักที่ถูกตบหน้าจากซูหยางที่เมืองดอกบัว โดยมีผู้อาวุโสนิกายจากนิกายดอกบัวเพลิงตามมาเป็นเพื่อน ซึ่งขมวดคิ้วมองดูซูหยางอยู่
“เจ้านั่นแหละ หยุดอยู่ตรงนั้น”
ผู้อาวุโสนิกายใช้วิชาก้าวย่างมาปรากฏตัวต่อหน้าซูหยางด้วยเพียงก้าวเดียว ทิ้งรอยเปลวเพลิงไว้ยังที่เขาเคยยืนอยู่
ซูหยางมองไปยังชายวัยกลางคนตรงหน้าเขาด้วยใบหน้าเรียบเฉย ท่าทางเขาสงบนิ่งเหมือนน้ำในแก้วนิ่ง
“เจ้าเป็นคนที่ทำร้ายศิษย์ข้าใช่หรือไม่ เจ้าดูไม่เหมือนคนที่มีความสามารถเช่นนั้นเลย ดังนั้นข้าจักให้โอกาสเจ้า…” ผู้อาวุโสนิกายมองดูตั้งแต่หัวจรดเท้าไปยังซูหยางที่รูปร่างบอบบางสะโอดสะอง ดูเหมือนกำลังวิเคราะห์เขา
“เจ้ามั่นใจนะว่าเป็นเขา” ผู้อาวุโสนิกายหันไปถามศิษย์ของตนเอง ผู้ซึ่งตรงมาหาเขาด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยความระมัดระวัง ราวกับว่าเขายังเกรงกลัวซูหยางหลังจากสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา
“ช-ใช่เขาจริงๆ เขาเป็นคนที่ทำร้ายข้าหลังจากข้าเตือนเขาให้เคารพนิกายดอกบัวเพลิงและเหล่าศิษย์ในขณะที่อยู่ในพื้นที่ของเรา” ศิษย์หลักยืนยัน
ครั้นเมื่อได้ยินคำพูดของศิษย์ ผู้อาวุโสนิกายพยักหน้าและหันกลับมาให้ความสนใจซูหยาง
“เจ้าคงมีความกล้าอยู่บ้าง เจ้าหนุ่มน้อย หรือเจ้าอาจจะเป็นเพียงแค่คนโฉดเขลา เจ้าคิดบ้างไหมว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเล็กจ้อยเพียงใดเมื่ออยู่ต่อหน้านิกายดอกบัวเพลิง”
ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “เจ้ามาแก้แค้นให้ศิษย์เจ้าที่ถูกตบกระเด็นราวกับแมลงวันรึ ผู้อาวุโสนิกายเช่นเจ้านะรึ ต่อให้พลังอำนาจ “ใหญ่โต” ดังเช่นนิกายดอกบัวเพลิงก็มิมีหน้ามากพอที่จะเหลือไว้ให้เจ้า”
ผู้อาวุโสนิกายระเบิดเสียงหัวเราะหลังจากได้ยินคำของเขา
“แก้แค้น ฮ่าฮ่าฮ่า ผิดแล้ว เจ้าหนุ่ม ศิษย์ข้าถูกข่มเหงเพราะว่าเขาอ่อนด้อยกว่าเจ้า เท่านั้นเอง”
หลังจากที่หัวเราะไปอีกสองสามวินาที ผู้อาวุโสนิกายพลันมีใบหน้าเคร่งขรึมและกล่าวว่า “สิ่งที่ข้าจักทำกับเจ้าเป็นเพียงแค่การสั่งสอนเบาะๆกับท่าทางหยิ่งยะโสและไม่ยำเกรงในนิกายดอกบัวเพลิง กระทั่งตอนนี้ เจ้าก็ยังมิได้คำนับข้า ผู้อาวุโสของเจ้า”
“อย่าเพิ่งอึเรี่ยราด เมื่อข้ามิทำรุนแรงกับเจ้าเกินไปนัก เพียงแค่กระดูกหักไม่กี่ท่อน” ดวงตาผู้อาวุโสนิกายจ้องเขม็งด้วยจิตสังหารอยู่บ้าง ดูท่าทางจริงจังอย่างมาก
“เจ้ามิอาจโทษใครได้นอกจากนิกายของเจ้าเองที่ขาดการสั่งสอนอบรมศิษย์ของตนเอง มิเช่นนั้นพวกเขาคงมิต้องการใครสักคนเช่นข้ามาแทนที่เพื่อสั่งสอนเจ้า”
ท่าทางของซูหยางยังคงไม่มีสิ่งใดผิดปกติตลอดเวลาที่ผ่านมา และวิธีที่เขาใช้มองไปยังที่ผู้อาวุโสนิกายเหมือนกับมองไปยังมด อาจถึงกระทั่งบางสิ่งที่ไร้ความสำคัญยี่งกว่านั้น
“หืม…อย่างนั้นรึ” กระทั่งเสียงของเขาก็ยังคงมีแต่ความเฉยเมย
เมื่อมองเห็นพฤติกรรมอันไม่ใส่ใจของซูหยาง ซึ่งเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายของชายวัยกลางคน ใบหน้าของผู้อาวุโสนิกายเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความโกรธ
และโดยปราศจากคำเตือน ชายวัยกลางคนผลักฝ่ามือของเขาที่พลันมีเปลวไฟลุกพรึบขึ้นมาตรงไปยังอกของซูหยาง
“….”
แม้ว่าจะเห็นการจู่โจมมาและสามารถป้องกันได้ แต่ซูหยางเพียงแค่ยืนเฉยอยู่ตรงนั้นโดยไม่แม้จะกระพริบตา ประดุจรูปปั้นศิลา
“ฝ่ามือดอกบัวเพลิงพิฆาต”
ฝ่ามือพุ่งไปถึงอกของซูหยางด้วยความเร็วที่เกินกว่าจะกระพริบตา และในวินาทีที่กระทบเปลวเพลิงก็ระเบิดออกจากตรงบริเวณที่ซูหยางถูกกระแทก
เพลิงเหมือนกับว่ากำลังจะกลืนกินซูหยางไปทั้งตัวภายในวินาทีถัดไป แต่ผู้อาวุโสนิกายดึงฝ่ามือออกมาอย่างไม่คาดหมายก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น
ครั้นเมื่อเขาดึงมือกลับ ผู้อาวุโสนิกายกระโดดถอยหลังเว้นระยะห่างออกมาจากซูหยาง ใบหน้าของเขามีเหงื่อไหลโซม
“อ-อาจารย์”
ศิษย์หลักคนนั้นเบิกตาจนเกือบถลนออกมาจากเบ้าเมื่อเห็นการโค้งงอของแขนผู้อาวุโสนิกายไปยังทิศทางที่แปลกประหลาด
ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งผู้อาวุโสนิกายได้หักแขนตนเองจากการโจมตี
“จ-จ-เจ้าทำอะไรกับข้า” ผู้อาวุโสนิกายพยายามสะกดข่มความต้องการที่จะกรีดร้องในใจเพื่อรักษาหน้า แต่ท่าทางเจ็บปวดหวาดกลัวนั้นกลับสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง
ซูหยางซึ่งไม่แม้จะกระพริบตาจากการโจมตี ยืนเฉยอยู่ตรงนั้นพร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า “เจ้าพูดอะไรกัน เจ้าเป็นคนที่โจมตีข้านะ”
“ไร้สาระ เจ้าต้องทำอะไรบางอย่างแน่นอน” ผู้อาวุโสนิกายปฏิเสธที่จะยอมรับ ซึ่งไม่มีทางที่เขาซึ่งอยู่เขตปฐพีวิญญาณระดับสองจะเสียท่าให้กับศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย อย่าว่าแต่ทำตัวเองบาดเจ็บร้ายแรงในระหว่างนั้น
ซูหยางส่ายหน้าและกล่าวว่า “ข้ามิสนใจว่าเจ้าคิดอะไร แต่การที่โจมตี “ผู้อ่อนอาวุโส” โดยไม่มีแม้คำเตือนนั้น เจ้าเป็นผู้อาวุโสประเภทใดกัน”
ซูหยางเริ่มตรงเข้าไปหาผู้อาวุโสนิกาย และเขากล่าวต่อว่า “ในเมื่อนิกายของเจ้าไม่อาจสั่งสอนศิษย์ของตนเอง ข้าคงต้องช่วยสั่งสอนเจ้าด้วยตนเอง…”
“ร-รอก่อนสักครู่…” เมื่อผู้อาวุโสนิกายสังเกตเห็นซูหยางตรงไปหาเขา ใบหน้าเขาพลันซีดลง เขารีบใช้มือข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บนำเอาบางสิ่งออกมาจากเสื้อคลุมและโยนมันขึ้นไปบนท้องฟ้า
อีกไม่กี่วินาทีถัดไปสิ่งที่ผู้อาวุโสนิกายโยนขึ้นไปบนท้องฟ้าก็ระเบิดออก เกิดเป็นลูกบอลเพลิงปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าเหมือนเป็นสัญญาณของอะไรบางอย่าง
ซูหยางมองดูบอลเพลิงบนฟ้าพร้อมเลิกคิ้ว
“นั่นอะไร” เขาคิดสงสัย
ตีอะไรของข้านะ
หลังจากที่พูดกับหวังเฉินต่ออีกสองสามนาที หวังชูเหรินก็กลับไปยังนิกายดอกบัวเพลิงเพื่อดูว่าซูหยางออกมาจากสมาธิหรือยัง ในเมื่อเธอมีคำถามสองสามคำถามที่เธอต้องการถามเขา
“ซูหยาง” หวังชูเหรินค่อนข้างสับสนเมื่อสิ่งแรกที่เธอสังเกตพบขณะที่เดินเข้าไปในบ้านของตนเอง นั่นคือซูหยางกำลังนั่งจิบชาอย่างสบายๆบนเก้าอี้ของเธอ
เขาทำท่าทางสบายใจได้อย่างไรหลังจากที่ฆ่าคนจากตระกูลหวัง แม้ว่าเขาอาจจะไม่กลัวตระกูลหวัง อย่างน้อยเขาควรระมัดระวังผลที่จะตามมา ในเมื่อเขาไม่เพียงฆ่าคนจากตระกูลหวังแต่เป็นศิษย์ในของนิกายดอกบัวเพลิงในขณะที่อยู่ภายในอาณาเขตของอีกฝ่ายด้วย
ถ้านิกายดอกบัวเพลิงพบเห็น พวกเขาอาจจะไล่ล่าเขา
“มีอะไรผิดปกติรึ หน้าตาของเจ้าเต็มไปด้วยความกังวล” ซูหยางวางถ้วยชาลงและกล่าว
“ข้ามีสองสามคำถามที่อยากจะถามท่าน…และข้าจะยินดียิ่งหากว่าท่านจะพูดความจริง” หวังชูเหรินเตรียมตัวที่จะถามเขา “เป็นเรื่องเกี่ยวกับหวังหมิง…”
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เธอจะทันได้ถามเขา ซูหยางก็อ้าปากพูดด้วยเสียงปกติ “ใช่ ข้าฆ่าเจ้านั่นเอง”
หวังชูเหรินตาโต แม้ว่าเธอได้คาดเดาว่าเขาต้องเป็นคนฆ่าหวังหมิง เธอจึงไม่ตระหนกกับการเปิดเผย กลับกัน เธอแปลกใจว่าทำไมเขาจึงไม่ไยดีกับเรื่องทั้งหมดนี้
“เจ้าโกรธที่ข้าฆ่าคนจากตระกูลเจ้ารึ เจ้าต้องการแก้แค้นรึ” ซูหยางพลันถามเธอเสียงของเขายังคงวางเฉยดังเช่นปกติ
อย่างไรก็ตาม หวังชูเหรินสามารถบอกได้ว่าซูหยางเพียงทดสอบเธอ เธอจึงตอบสนองว่า “ไม่ ข้ามิได้รู้สึกอะไรเลยกับการตายของเจ้าสัตว์นั่น และเจ้านั่นสมควรที่จะได้รับผลเช่นนั้นแล้วกับสิ่งที่เขาได้ทำ ตรงกันข้าม ข้ายังต้องขอขอบคุณที่ช่วยจัดการเขา ในเมื่อข้ามิอาจเพราะว่าความสัมพันธ์กับพ่อแม่ของเขา แต่ถ้าท่านมิถือข้าพอจะถามหน่อยได้ไหมว่า ทำไมท่านจึงทำเช่นนั้น”
“ข้ามิชอบเจ้านั่น ก็เท่านั้นเอง” ซูหยางให้คำตอบง่ายๆกับเธอ แต่คำตอบเช่นนั้นทำให้หวังชูเหรินสั่นสะท้านไปด้วยความหวาดกลัว
“เขาเสี่ยงต่อทั้งนิกายดอกบัวเพลิง และตระกูลหวัง ที่จะตามล่าเขา เพียงแค่เพื่อฆ่าหวังหมิงเพราะว่าเขาไม่ชอบหวังหมิง นี่เป็นเพราะว่าเขาเพียงเป็นคนหยิ่งยะโสเกินไป หรือว่ามั่นใจในตนเองถึงที่สุดว่าไม่มีใครสามารถแตะต้องเขาได้กันแน่” หวังชูเหรินครุ่นคิด
ไม่ว่าจะแบบไหนก็ตาม การกระทำของเขาพิสูจน์ว่า ตัวตนของซูหยางนั้นอันตรายมากเพียงใด ไม่เพียงแต่เขามีความสามารถอันท้าทายสวรรค์ แต่กระทั่งเบื้องหลังของเขาก็ไม่ใช่อะไรที่ดูแคลนได้
การล่วงเกินคนที่อันตรายอย่างเช่นซูหยางก็เหมือนกับการหาที่ตาย ไม่ใช่…มันควรเป็นสิ่งที่น่าหวาดหวั่นยิ่งกว่าหาที่ตายและควรเหมือนกับการอ้อนวอนให้ช่วยฆ่า
“เช่นนั้น ถ้าเจ้ามิมาที่นี่เพื่อแก้แค้นเจ้าตัวตลกนั่น เช่นนั้นทำไมเจ้าจึงอยู่ที่นี่” ซูหยางถามเธอ
“อืมม…นี่เป็นบ้านข้ามิใช่รึ” หวังชูเหรินกล่าวด้วยใบหน้าสับสน
“โอ้ ใช่” ซูหยางหัวเราะเสียงดัง เขารู้สึกสุขสบายจนเขาคิดว่าอยู่ที่บ้านตนเอง
“จะว่าไปแล้ว ข้าจักทำเหมือนกับว่าหวังหมิงสิ้นชีวิตตามปกติ ส่วนสำหรับนิกายดอกบัวเพลิงและตระกูลหวัง ตราบเท่าที่ข้ามิกล่าวอะไร มีโอกาสเป็นศูนย์ที่ความจริงนี้จะเปิดเผย”
“นั่นมิถือว่าเป็นการกระทำของคนทรยศรึ” ซูหยางยิ้ม
หวังชูเหรินไร้คำพูดไปชั่วขณะก่อนที่จะพูดว่า “ข้ายินดีทรยศต่อตระกูลและนิกายถ้าหากว่าเป็นเพราะท่าน…”
หวังชูเหรินพลันหน้าแดงหลังจากที่พูดคำพูดเหล่านั้น เธอได้พูดออกไปโดยไม่คิดและจินตนาการไม่ถูกว่าคำพูดเหล่านั้นจะมาจากปากของเธอได้แม้จะผ่านไปนับล้านปี
“ช่างน่าชื่นชม…” ซูหยางยิ้ม
“ช-เช่นนั้น การฝึกฝนของท่านเป็นอย่างไรบ้าง ท่านได้รับผลที่ต้องการหรือไม่” หวังชูเหรินตัดสินใจลดความอายของตนเองด้วยการเปลี่ยนเรื่อง
ซูหยางไม่ได้กล่าวอะไรแต่เพียงพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม
“นั่นจึงดูเหมือนว่าท่านกำลังมีความสุข ต้องการที่จะบอกข้าบ้างหรือไม่”
“เจ้าคงมิเชื่อถึงแม้ว่าข้าบอกออกไป”
“ลองดูสิ”
ซูหยางส่ายหน้าและยืนขึ้นจากที่นั่งและกล่าวว่า “เชื่อข้าเถอะ เจ้ามิต้องการที่จะรู้ เช่นนั้น ข้าควรจะไปได้แล้วตอนนี้ ข้าอยู่ที่นี่มานานเกินไปแล้ว”
หวังชูเหรินไม่รู้ว่าควรพูดกับเขาว่าอะไรดี จึงได้แต่มองดูเขาตรงไปที่ประตู มันเหมือนกับว่าริมฝีปากเธอถูกเย็บติด บังคับให้เธอได้แต่มองเขาจากไปอย่างเงียบๆ
ถึงที่สุด นี่ก็บ่งบอกได้ถึงความสัมพันธ์ของพวกเขาว่ามีมากน้อยเพียงใด แม่ว่าเขาจะทำเหมือนกับว่าเธอเป็นศิษย์ของเขา กระทั่งสั่งสอนเธอ แต่พวกเขาก็เพียงผู้สมรู้ร่วมคิดเท่านั้น และหวังชูเหรินไม่อาจคิดหาเหตุผลอะไรที่จะพูดกับเขา ในเมื่อเธอไม่มีฐานะใดที่จะบอกเขาให้อยู่ที่นี่ให้นานกว่านี้
สุดท้าย หวังชูเหรินได้แต่บอกลาซูหยางด้วยรอยยิ้มบนใบหน้ามีเสน่ห์นั้น “ตราบเท่าที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าจักอยู่ที่นี่ตราบที่ท่านต้องการข้าอีกครั้ง”
ถ้านั่นเป็นใครสักคนพวกเขาคงจะหันกายมามองดวงตาฝืนใจของหวังชูเหริน กระทั่งโอบกอดเธอขณะที่บอกเธอว่าเขาจะอยู่ต่อเพื่อเธอ
ซูหยางไม่มองกลับไปและยังคงเดินต่อไป แต่สองสามวินาทีหลังจากนั้น เขานำเอาม้วนหนังสือออกมาจากแหวนมิติและโยนมันให้หวังชูเหริน
“ศึกษาตำรับยาเหล่านี้ยามเมื่อข้าไม่อยู่ และบางทีข้าอาจจะกลับมาในอนาคตเพื่อให้เจ้าช่วยกับยาพวกนั้นหรือมากกว่านั้น ใครจะรู้…”
หวังชูเหรินรับตำรับยาเหล่านั้นด้วยหน้าตาดีใจ แม้ว่าเธอยังไม่ทันได้ดูตำรับยาเหล่านี้ เธอก็มั่นใจว่าพวกมันล้วนเป็นยาที่ทรงค่ามหาศาลและน่าจะนำความตระหนกมาให้แก่โลกถ้าได้รับรู้
“และอย่าขี้เกียจในวิชาของเจ้าเพียงเพราะว่าดีกว่าก่อนเพียงเล็กน้อย มิเช่นนั้นข้าจักตีก้นเจ้าเป็นการลงโทษ” ซูหยางกล่าวขณะหัวเราะเสียงดังก้อง
“ตีอะไรของข้านะ–” หวังชูเหรินปิดบั้นท้ายกลมมนของเธอตามสัญชาตญาณ หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเขา และบนใบหน้าของเธอมีท่าทางสับสนปะปนอยู่กับความเอียงอาย คำพูดสุดท้ายของเขาเป็นสิ่งที่ไม่คาดคิดเช่นเดียวกับการปรากฏตัวของเขาในนิกายดอกบัวเพลิง และนั่นทำให้ภาพพจน์อันหล่อเหลาและลึกลับของซูหยางในใจเธอมีความลามกขึ้นมากกว่าเดิม
“ช่างเป็นชายที่อันตราย” หวังชูเหรินคิดในใจขณะที่มองร่างของซูหยางเดินหายไปจากสายตา
ความโศกเศร้าของตระกูลหวัง
หลังจากที่ได้ยินว่าหวังหมิงอาจจะตายไปแล้ว หวังชูเหรินจึงไปยังที่พักของเขา อย่างไรก็ตามเมื่อเธอไปถึง ที่นั่นมีศิษย์มากถึงยี่สิบกว่าคนรายล้อมบ้านของหวังหมิงพร้อมกับผู้อาวุโสนิกายสองสามคน
“ผู้อาวุโสหวัง”
เมื่อผู้อาวุโสนิกายสังเกตเห็นหวังชูเหรินปรากฏตัวขึ้น พวกเขาจึงไปต้อนรับเธอ
อย่างไรก็ตามเนื่องจากสถานการณ์นี้ จึงไม่มีผู้อาวุโสนิกายคนใดมีท่าทางยินดีบนใบหน้าพวกเขา
“เกิดอะไรขึ้น หรือว่าคำร่ำลือเป็นความจริง ที่ว่าญาติของข้าสิ้นชีวิตไปแล้ว และพวกท่านพบเถ้าของเขา” หวังชูเหรินไม่ได้กล่าวอ้อมค้อมและถามไถ่พวกเขา
แม้ว่าพวกเขาดูลังเลในตอนแรก แต่ผู้อาวุโสนิกายก็พยักหน้าและกล่าวว่า “เป็นจริง เถ้านั้นพิจารณาแล้วว่าเป็นหวังหมิง ยิ่งไปกว่านั้น เขาถูกเผาจนตายจากเพลิงปรุงยา…”
“อะไรกัน เพลิงปรุงยา เป็นไปไม่ได้” หวังชูเหรินมีท่าทางตื่นตระหนก แต่เธอยิ่งประหลาดใจกับเรื่องของเพลิงปรุงยามากกว่าการตายของหวังหมิง ในเมื่อนั่นต้องมีเพลิงปรุงยาที่ทรงพลังมากมายจึงจะเผาไหม้ใครสักคนจนตายได้ อย่าว่าแต่เผาจนกลายเป็นเถ้า
“ทั่วทั้งนิกายนี้ มีเพียงคนเดียวที่สามารถที่จะทำให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นได้ ผู้นำนิกาย อย่างไรก็ตามทำไมผู้นำนิกายจึงต้องฆ่าใครสักคนอย่างลับๆ ยิ่งไปกว่านั้นศิษย์อย่างเช่นหวังหมิง”
หลังจากครุ่นคิดไปมากกว่านั้น ผู้อื่นที่อาจจะทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ก็ปรากฏขึ้นในใจเธอ แต่ว่าถ้าหากเป็นคนคนนั้นจริง นั่นก็ไม่มีสิ่งใดที่เธอหรือนิกายจะสามารถแก้แค้นให้หวังหมิงได้
“ท่านคิดว่าพวกเราควรทำอย่างไรกับเรื่องนี้ ผู้อาวุโสหวัง และถ้าเป็นไปได้ ข้าต้องการให้ท่านในฐานะคนจากตระกูลหวัง เปิดเผยให้ครอบครัวของเขารู้ถึงการตายของเขา…” หนึ่งในผู้อาวุโสนิกายถามเธอ ในเมื่อพวกเขาไม่ต้องการเป็นคนที่ต้องแบกรับความโกรธเกรี้ยวของตระกูลหวัง
“ข้าจักให้ตระกูลหวังรู้เรื่องหวังหมิง ส่วนการตายของเขา บอกผู้นำนิกายว่าตระกูลหวังจะจัดการสอบสวนเช่นกัน” หวังชูเหรินกล่าวหลังจากครุ่นคิดไปชั่วขณะ
“ข้าจักบอกให้ผู้นำนิกายรับรู้เดี๋ยวนี้”
ก่อนที่ผู้อาวุโสนิกายจะจากไป พวกเขาไล่เหล่าศิษย์ขี้สงสัยที่ล้อมรอบที่พักของหวังหมิงไป ในเมื่อพวกเขาไม่ต้องการให้เหล่าศิษย์ดูไม่เคารพต่อคนตาย
ครั้นเมื่อผู้อาวุโสนิกายจากไปแล้ว หวังชูเหรินก็ออกจากนิกายดอกบัวเพลิงกลับไปยังตระกูลหวัง
“ท่านว่ากระไรนะ หวังหมิงตายแล้วรึ และเขาก็ตายในนิกายดอกบัวเพลิงด้วยเช่นนั้นรึ” ผู้นำตระกูลหวัง หวังเฉินขมวดคิ้วเมื่อได้ยินข่าว ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ
แม้ว่าเขาจะไม่รู้สึกอะไรนอกจากความไม่พอใจหลังจากที่รู้ว่าหวังหมิงมีพฤติกรรมที่น่าอับอาย อย่างไรก็ตามหวังหมิงก็เป็นลูกชายของเขา และเมื่อได้ยินว่าลูกชายของเขาตายหลังจากตระกูลหวังได้ลงโทษเขา หวังเฉินรู้สึกผิดและเสียใจเล็กน้อย
“ลูกชายข้าตายแล้วรึ…” มารดาของหวังหมิงน้ำตาไหลทันที รู้สึกเสียใจยิ่งกว่าขณะที่เธอรู้ว่าลูกชายของเธอกลายเป็นโจรราคะ สุดท้าย ไม่ว่าหวังหมิงจะสร้างปัญหามากน้อยเพียงใด อย่างน้อยเขาก็ยังคงมีชีวิตอยู่
“ท่านมีความคิดว่าใครเป็นคนฆ่าหรือไม่ หรือว่าเป็นเพื่อนศิษย์” หวังเฉินถามเธอด้วยเสียงปกติแม้ว่าจะเดือดด้วยความแค้น
“อะไรเป็นสาเหตุของการตาย เป็นผลมาจากข้อพิพาทใดหรือไม่” เขาถามต่อ
“เรามิมีเบาะแสใดว่าใครเป็นคนฆ่าหวังหมิง แต่เขาตายหลังจากที่ถูกเผา…” สุดท้ายหวังชูเหรินก็เปิดเผยให้พวกเขารู้ถึงการตายอันน่าสยดสยองของเขา “เมื่อพวกเราพบหวังหมิง เขาก็กลายเป็นเถ้าไปแล้ว…”
เมื่อมารดาหวังหมิงได้ยินเช่นนี้ เธอเป็นลมไปอยู่บนที่นั่งของเธอ เป็นเหตุให้เกิดความวุ่นวายภายในห้อง
“ใครก็ได้พาภรรยาข้ากลับห้องเธอเพื่อพักผ่อน” หวังเฉินร่ำร้องเรียกคนรับใช้ที่อยู่ด้านนอก
คนรับใช้รีบเข้ามาหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเขา และพวกเขาพากันย้ายร่างไร้สติของมารดาไปยังห้องของเธออย่างนุ่มนวล
“ข้ามิอยากเชื่อ..ทำไมเขาจึงตายไปแบบนั้น อีกทั้งในนิกายของเขาเองด้วยเช่นกัน” หวังเฉินส่ายหน้าไม่อยากเชื่อ
“ท่านมิมีผู้ต้องสงสัยในใจสักคนเลยรี แล้วพวกผู้หญิงทั้หมดนั้นที่เขาได้ล่วงเกิน ท่านคิดว่าใครในกลุ่มนั้นที่สามารถทำเช่นนั้น หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของเขา”
หวังชูเหรินส่ายหน้าและกล่าวว่า “นั่นเป็นไปไม่ได้เพราะว่าไฟที่ใช้ฆ่าหวังหมิงเป็นเพลิงปรุงยา ดังนั้นนั่นต้องเป็นการกระทำของนักปรุงยา ไม่ใช่คนธรรมดาเหล่านั้น”
“เพลิงปรุงยารึ เช่นนั้นคนนั้นต้องมีอำนาจมากมาย…แต่ทำไมคนเช่นนั้นจึงฆ่าหวังหมิง บางทีหนึ่งในผู้เคราะห์ร้ายอาจจะมีอำนาจหนุนหลัง ไม่ นั่นไม่สมเหตุผล ในเมื่อเธอคงจะไม่กลายเป็นเหยื่อของเขาตั้งแต่แรกถ้าเธอมีคนเช่นนั้นหนุนหลังอยู่แล้ว…”
หวังชูเหรินนิ่งเงียบขณะที่หวังเฉินครุ่นคิดเกี่ยวกับความเป็นไปได้ ไม่แม้จะพูดถึงซูหยางผู้ที่เธอค่อนข้างมั่นใจว่าเป็นคนฆ่าหวังหมิง ในเมื่อมีหลักฐานมากมายบ่งชี้ว่าเป็นเขา
ไม่เพียงแต่ซูหยางตรงกับตัวตนของผู้ฆ่าที่เป็นนักปรุงยาทรงอำนาจ แต่เขายังเป็นคนแรกที่เปิดเผยพฤติกรรมของหวังหมิงที่นิกายดอกบัวเพลิง อีกทั้งยังบังคับเธอให้จัดการกับเขา
ยิ่งไปกว่านั้นซูหยางได้จากหวังชูเหรินไปในช่วงเวลาที่หวังหมิงตาย และเขายังปกปิดเกี่ยวกับสถานที่อยู่ของเขายามเมื่อหวังชูเหรินถามเขา
ข้อบ่งชี้ทั้งหมดนี้ทำให้หวังชูเหรินมั่นใจว่าซูหยางเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังการตายของหวังหมิง แต่อนิจจา ถึงแม้ว่าเธอมีข้อมูลเช่นนั้น ก็ไม่มีสิ่งใดที่เธอสามารถทำได้ในเรื่องนี้ ในเมื่อเธอไม่กล้าแม้จะถามเขา อย่าว่าแต่ให้เขารับผิดชอบการตายของหวังหมิง
“ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลอะไรก็ตาม หวังหมิงได้แต่โทษตนเองที่ไปล่วงเกินคนแบบซูหยาง ถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นญาติข้า ข้ามิอาจล่วงเกินเขาเพื่อคนเช่นเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากทุกสิ่งที่เจ้าได้ทำไว้…” หวังชูเหรินแอบยักไหล่และส่ายหน้า
กลืนโอสถแยกวิญญาณ
ยามเมื่อการปรุงยาเริ่มต้น ห้องทั้งห้องก็เงียบสงบ
หวังชูเหรินเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วเฉียบคม อีกทั้งยังเคลื่อนไหวด้วยความแม่นยำและเอาใจใส่ เธอระมัดระวังอย่างถึงที่สุดกับวัตถุดิบที่นำใส่ลงในเตาปรุงยา ทำราวกับว่าพวกมันเป็นสมบัติล้ำค่าอันบอบบาง ในเมื่อเพียงการมอดไหม้ของวัตถุดิบเพียงชนิดเดียวก็หมายถึงจุดจบของการปรุงยาครั้งนี้
ซูหยางช่วยเธอด้วยการควบคุมความร้อนของเตาปรุงยาในตอนนี้ดังนั้นเธอสามารถใส่ใจกับส่วนผสมภายในเตา ทำให้เธอง่ายขึ้น
หลังจากผ่านไปสองชั่วโมงพวกเขาก็ถึงจุดสำคัญของการปรุงยา ซูหยางหยุดควบคุมเพลิงและนำเอาอาวุธระดับอำพรที่เขาได้มาจากสุสานมรดก แมงป่องดำ และบาดเป็นแผลเล็กๆที่ปลายนิ้วโป้ง
แม้ว่าแมงป่องดำจะแพร่พิษให้กับสิ่งที่เข้ามาสัมผัสมัน แต่ซูหยางเป็นเจ้าของแมงป่องดำมีความสามารถในการผนึกพิษภายในมีดสั้นดังนั้นเขาจึงไม่ถูกพิษจนตาย
“ข้าจักโอนการควบคุมให้กับเจ้าเดี๋ยวนี้” ซูหยางกล่าวกับหวังชูเหรินก่อนที่เขาจะหยุดการสนับสนุนเพลิงปรุงยา
ครั้นเมื่อมีรอยแผลบนนิ้วของเขา ซูหยางก็เริ่มพึมพัมบทสวดอันลึกล้ำจนทำให้ปราณไร้ลักษณ์ภายในร่างของเขาตอบสนองอย่างบ้าคลั่งและพุ่งตรงไปยังรอยแผลขนาดเล็กบนนิ้ว
สองสามวินาทีถัดไป ซูหยางเปิดฝาเตาปรุงยาและหยดเลือดลงไปหนึ่งหยดเพื่อผสมเข้ากับส่วนผสม
ทันทีที่เลือดของเขาผสมเข้ากับวัตถุดิบ หวังชูเหรินรู้สึกว่ามีบางสิ่งที่ลึกล้ำยากอธิบายเกิดขึ้นกับส่วนผสม และพลังงานภายในร่างของหวังชูเหรินเริ่มระบายออกไปด้วยอัตราที่เร็วยิ่งขึ้น
“ก-เกิดอะไรขึ้น” หวังชูเหรินแตกตื่นเมื่อเตาปรุงยาเริ่มดูดซับพลังของเธอด้วยอัตราเร็วที่เธอไม่เคยประสบมาก่อน ราวกับว่าเตาปรุงยาพลันกลายเป็นหลุมดำที่กระหายต่อพลังโดยไม่รู้จบ
“ตั้งใจอยู่กับเตาปรุงยา” เสียงซูหยางบังคับหวังชูเหรินให้หลุดออกจากความงงงัน
“ข-ข้าขอโทษ” หัวใจของหวังชูเหรินเต้นรัว ถ้าเธองงงันต่อไปอีกไม่กี่วินาที เช่นนั้นทุกสิ่งภายในเตาต้องเผาไหม้จนกรอบ
และในขณะที่หวังชูเหรินคิดว่าจะจบแค่นี้ ซูหยางพลันใช้แมงป่องดำเฉือนแผลบนนิ้วอื่นอีก
หลังจากที่เขาสวดคาถาอันลึกล้ำอีกสองสามบท ซูหยางก็หยดเลือดลงไปอีกสี่หยดไปในเตาปรุงยาโดยเว้นระยะทุกสองสามวินาทีระหว่างหยด
และทุกหยดที่เพิ่มเข้าไปผสมภายในเตาปรุงยา หวังชูเหรินก็สามารถรู้สึกถึงอำนาจอันลึกลับที่ดูดกลืนพลังของเธอรุนแรงมากยิ่งขึ้น
โชคดีที่ขณะที่หวังชูเหรินเกือบหมดเรี่ยวแรง ซูหยางก็เสร็จสิ้นส่วนของเขาและกลับมารับช่วงควบคุมการปรุงยา
“ข้าจักรับช่วงต่อจนจบ ขอบคุณ” ซูหยางพูดกับเธอพร้อมรอยยิ้ม
หวังชูเหรินนอนแผ่ลงไปบนพื้นขณะที่หายใจหอบ ชุดของเธอโชกไปด้วยเหงื่อ เพียงแค่ไม่กี่นาทีก่อนนี้ทำให้เธอรู้สึกเหมือนกับว่าเธอได้ปรุงยาต่อเนื่องมาหลายวันโดยไม่ได้พัก มันช่างเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน
ครั้นเมื่อเธอพักเพียงพอแล้ว หวังชูเหรินก็มองดูซูหยางปรุงยาด้วยดวงตากลมโต
“อยู่ได้นานเช่นนี้โดยไม่มีเหงื่อสักหยดบนร่างเขา ปราณไร้ลักษณ์ของเขามีมากมายเพียงใดกันแน่” เธอคิดสงสัยในใจในเมื่อเธอไม่คิดรบกวนเขา
“ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเขาเข้ารับช่วงต่อการควบคุมเตาปรุงของข้าอย่างสบายๆได้อย่างไร…”
ปกติแล้วผู้หนึ่งผู้ใดไม่อาจจะเข้าแทนที่ผู้ที่กำลังปรุงยาอยู่แล้วโดยไม่ต้องใช้เวลาชั่วระยะหนึ่งในการปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ในเมื่อนักปรุงยาแต่ละคนมีวิชาและเคล็ดลับเฉพาะตัว ทว่าซูหยางก็สามารถเข้าแทนที่หวังชูเหรินและปรุงยาต่อไปโดยไม่มีแม้กระทั่งการหยุดชะงักเพียงเล็กน้อยระหว่างนั้น ราวกับว่าหวังชูเหรินไม่ได้จากไปไหน เป็นสิ่งที่หวังชูเหรินเองไม่อาจเข้าใจได้
เกินสิบนาทีไปเพียงเล็กน้อยหลังจากที่ซูหยางเข้าไปแทนที่หวังชูเหริน ซูหยางก็เสร็จสิ้นการปรุงยาและเปิดฝาเตา นำเอายาเม็ดสีแดงเลือดภายในเตาออกมา
แม้ว่าเธอไม่อาจเข้าใจในความรู้สึก แต่เมื่อหวังชูเหรินเห็นโอสถแยกวิญญาณในครั้งแรก เธอรู้สึกเหมือนว่ามีบางสิ่งลึกภายในจิตสำนึกของเธอสั่นสะท้านไปด้วยความตื่นเต้น
“นั่นเป็นโอสถแยกวิญญาณรึ มันดูช่างธรรมดาทว่าช่าง…ลึกล้ำ…”
อย่างไรก็ตามซูหยางไม่ได้ตอบเธอแต่กลับโยนโอสถแยกวิญญาณเข้าไปในปากทันทีหลังจากนำมันออกมาจากเตา สร้างความมึนงงให้กับหวังชูเหริน
“ท่านกลืนมันเข้าไปในตอนนี้เลยรึ” เธอตะโกนออกมาด้วยความประหลาดใจ
หลังจากที่กลืนโอสถแยกวิญญาณ ซูหยางนั่งลงและหลับตาลงเพื่อฝึกฝน
เมื่อหวังชูเหรินเห็นเช่นนี้ ด้วยเกรงว่าจะเป็นการรบกวนเขา เธอรีบออกไปจากห้อง
“อาจารย์ ในที่สุดท่านก็ทำสำเร็จแล้วรึ” เซียวยาเหวินถามหวังชูเหรินทันทีที่อีกฝ่ายออกมาจากห้อง ราวกับว่าเธอยืนอยู่ที่นั่นรออีกฝ่ายมาตลอดเวลา
“ใช่แล้ว” หวังชูเหรินพยักหน้า “ทำไมเจ้าจึงมีใบหน้าท่าทางเช่นนั้น”
เธอพลันถามเซียวยาเหวินเมื่อเห็นหน้าตาเป็นกังวลของอีกฝ่าย
“สาเหตุคือ…บางคนพบกองอะไรบางอย่างที่ดูราวกับว่าเป็นเถ้าในเขตศิษย์ใน และพบว่ามันคือเถ้ากระดูกมนุษย์…”
“อะไรกัน ใครกันที่มิเคารพต่อผู้อื่น พวกเขารู้ไหมว่าขี้เถ้านี้เป็นของใคร” หวังชูเหรินรู้สึกคลื่นไส้เล็กน้อยจากการกระทำของคนคนนี้
“เอ่อ…ยังไม่มีคำแถลงการณ์จากนิกายเลย แต่มีคำร่ำลือไปทั่วว่านี่เป็นเถ้าของ…หวังหมิง ญาติของท่านอาจารย์” เซียวยาเหวินพูดด้วยน้ำเสียงสงบเสงี่ยม ในเมื่อมันเป็นเพียงข่าวลือที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน
“ว่ากระไร หวังหมิง เขาตายได้อย่างไรในเมื่อข้าเพิ่งเห็นเขาก่อนที่จะเริ่มขายโอสถดอกบัวเพลิง ข้าจักไปดูเขาหน่อยตอนนี้”
“เดี๋ยวก่อน” เซียวยาเหวินหยุดอีกฝ่ายไว้อย่างรวดเร็วและกล่าวว่า “นั่นคงจะเป็นสิ่งที่ยากสักหน่อย ในเมื่อหวังหมิงหายตัวไปตั้งแต่เช้าวันนี้”
หวังชูเหรินเบิกตากว้างด้วยความตระหนก หรือว่าหวังหมิงตายไปแล้วจริงๆ ถ้านั่นเป็นความจริง เกิดเหตุการณ์นี้ได้อย่างไร ทำไมเขาจึงสิ้นชีวิตอย่างฉับพลัน แม้ว่าเธอจะมองเขาเป็นความอัปยศของตระกูลหวังเพราะการกระทำของเขา สุดท้ายเขาก็ยังคงเป็นคนในตระกูล และถ้ามีคนฆ่าเขา เธอก็ต้องหาคำตอบ ไม่ใช่เพื่อตัวเธอเองแต่เพื่อพ่อแม่ของหวังหมิง
เตรียมการปรุงโอสถแยกวิญญาณ
หวังชูเหรินไม่อยากเชื่อว่าซูหยางอายุเพียงสิบหกปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับความรู้ที่เขาแสดงให้เห็น ในเมื่อความรู้ที่กว้างขวางเช่นนั้นไม่ใช่บางสิ่งที่ผู้ที่มีอายุเพียงสิบหกปีจะมีได้ดังปรารถนา ไม่แม้กระทั่งผู้ที่เรียกได้ว่าอัจฉริยะ
“ข-ข้ามิเชื่อท่าน” หวังชูเหรินกล่าวขณะที่เธอดึงเอาบอลคริสตัลออกมาจากแหวนมิติ
“สิ่งนี้เรียกว่าคริสตัลอายุ มันจะส่องเข้าไปในกระดูกของคนเพื่อวัดอายุของคนคนนั้นด้วยความแม่นยำร้อยเปอร์เซนต์ ถ้าท่านอายุสิบหกปีจริงเช่นนั้นท่านมิต้องกังวลที่จะ—”
ก่อนที่หวังชูเหรินจะทันพูดจบประโยค ซูหยางก็ได้วางมือเขาไปบนบอลคริสตัลทำให้มันเปล่งแสงสีเขียวออกมาและตัวเลขสิบหกก็ปรากฏขึ้นภายในบอลในไม่กี่วินาทีถัดไป
“ป-ป-เป็นไปไมได้ ท่านอายุสิบหกปีจริงๆ” หวังชูเหรินรู้สึกมึนงงถึงที่สุดในเวลานั้น ทำไมซูหยางจึงมีอายุเพียงแค่สิบหกปีในเมื่อความรู้ของเขาในศาสตร์แห่งการปรุงยานั้นกว้างขวางดุจมหาสมุทร บางสิ่งที่กระทั่งผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์มากว่าหลายร้อยปีไม่อาจหวังที่จะก้าวไปถึงและได้แต่จ้องมองด้วยความอิจฉา มันไม่สมเหตุผลไม่ว่าเธอจะคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากมายเพียงใด
อย่างไรก็ตามถ้าซูหยางคือเทพแห่งการปรุงยาที่กลับชาติมาเกิด เช่นนั้นบางทีนั่นอาจจะทำให้สิ่งที่เขาเป็นอยู่น่าเชื่อถือมากขึ้นในสายตาของหวังชูเหริน
“เลิกพูดเรื่องข้าได้แล้ว” ซูหยางพลันกล่าว “ตะวันเริ่มตกแล้ว ดังนั้นปรุงโอสถมังกรเพลิงอีกครั้งให้ข้าดู”
แม้ว่าเธอยังคงตื่นตระหนกเป็นอันมากกับสิ่งที่ค้นพบ หวังชูเหรินยังทุ่มเทความสนใจทั้งหมดไปกับโอสถมังกรเพลิง
หลังจากที่ได้รับการสั่งสอนจากซูหยางเกือบครึ่งวันโดยไม่หยุดพัก เธอมั่นใจว่าเธอสามารถปรุงยาในขณะละเมอได้ แต่เพราะว่าเธอต้องการแสดงให้ซูหยางเห็นถึงยาที่ดีที่สุด เธอจึงไม่กล้าที่จะออมสิ่งใดไว้นอกจากพยายามสุดความสามารถ
สองสามชั่วโมงหลังจากนั้น ขณะที่ดวงจันทร์ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า หวังชูเหรินก็นำเอาเม็ดยาออกมาจากเตาและยื่นส่งมันให้กับซูหยางด้วยรอยยิ้มสดใสบนใบหน้า
“เก้าสิบห้าเปอร์เซนต์คุณภาพสูง” ซูหยางพยักหน้าหลังจากที่ตรวจสอบเม็ดยา
เขาพลันหันไปยังหวังชูเหรินและกล่าวว่า “ไปพักก่อนเพื่อฟื้นฟูพลังของเจ้า เจ้าจักได้ปรุงยาหลังจากนั้น”
หวังชูเหรินพยักหน้าและไปเปลี่ยนเสื้อผ้า อีกทั้งพักผ่อนด้วยการอาบน้ำเล็กน้อย
ครั้นเมื่อเธอกลับมาที่ห้อง ซูหยางยื่นส่งตำรับยาโอสถแยกวิญญาณและวิธีการปรุงยาให้กับเธอ
“จดจำสิ่งนี้ไว้ก่อนที่เราจะเริ่ม” เขากล่าว
“โอสถแยกวิญญาณงั้นรึ ข้ามิเคยได้ยินยานี้มาก่อน…” หวังชูเหรินคิดในใจขณะที่เธออ่านรายละเอียด
“และมันยังต้องการสมุนไพรมากมายปานนี้…” หวังชูเหรินค่อนข้างตื่นตะลึงกับสมุนไพรในรายการ และมากกว่าหนึ่งในสามของมันเป็นสิ่งที่เธอไม่เคยได้ยินมาก่อน
“จ-จะเกิดอะไรขึ้นถ้าข้ามิสามารถปรุงยานี้” หวังชูเหรินถามเขาด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล เธอไม่รู้สึกมั่นใจในความสามารถของเธออีกต่อไปแม้ว่าแม้ว่าจะมีความก้าวหน้าในศาสตร์แห่งการปรุงยาของเธอ หลังจากที่เห็นโอสถแยกวิญญาณ
“เจ้ามิต้องเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้เพราะว่าข้าจักปรุงยานี้ร่วมกับเจ้า” ซูหยางกล่าว
“ว่ากระไร” หวังชูเหรินมองดูเขาด้วยใบหน้าสับสน
เธอไม่เคยได้ยินถึงการที่มีคนสองคนปรุงยาเม็ดเดียวกันในเวลาเดียวกันมาก่อน
“เจ้าจักเข้าใจเมื่อเวลามาถึง ส่วนตอนนี้เพียงแค่ตั้งใจจดจำตำรับยาและบทบาทในการปรุงยาก็พอ”
“ถ้าท่านพูดเช่นนี้…” หวังชูเหรินไม่รบกวนเขาอีกต่อไปและเพียงตั้งใจศึกษาตำรับยา
ในเวลานั้นซูหยางก็เตรียมตัวในการปรุงยาเช่นกัน ในเมื่อเขาต้องมีส่วนร่วมรับมือกับอันตรายในขณะที่หวังชูเหรินปรุงยา
สองชั่วโมงต่อมายามเมื่อหวังชูเหรินเต็มไปด้วยพละกำลังแล้ว ซูหยางก็กล่าวกับเธอว่า “เจ้าจดจำตำรับยาทั้งหมดแล้วรึ”
หวังชูเหรินพยักหน้าด้วยท่าทางจริงจัง “ข้าสามารถกระทั่งท่องย้อนหลังได้”
ซูหยางจึงนั่งที่อีกด้านของเตาปรุงยาตรงข้ามหวังชูเหรินและพูดต่อว่า “ก่อนที่เราจะเริ่ม ข้าจักอธิบายบางอย่าง ระหว่างการปรุงยาข้าจักผสมเลือดของข้าเข้าไปในวัตถุดิบและวัตถุดิบอื่นอีกสองสามอย่าง ดังนั้นมันจึงจะยากในการควบคุมสำหรับเจ้า อย่างไรก็ตามเจ้ามิต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้เพราะว่าข้าจักช่วยเจ้าเมื่อเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น และข้ารู้ว่าเจ้ามิเคยปรุงยาในรูปแบบนี้มาก่อน ดังนั้นสิ่งที่เจ้าต้องทำก็คือจดจ่ออยู่กับส่วนของเจ้า”
หนึ่งในเหตุผลสองสามอย่างที่ทำไมซูหยางจึงตัดสินใจไม่ปรุงโอสถแยกวิญญาณคนเดียวก็เพื่อที่จะทำให้ทำให้ยามีประสิทธิภาพสูงสุดบนตัวเขา โอสถแยกวิญญาณต้องการเลือดสดที่ได้มาจากร่างกายตรงๆขณะเดียวกันก็ต้องการเพิ่มพลังเลือดนั้นด้วยวิชาเฉพาะก่อนที่จะผสมมันเข้ากับวัตถุดิบอื่นในเตา และมันจะยุ่งยากมากแม้กระทั่งซูหยางที่จะควบคุมเตาปรุงยาได้อย่างต่อเนื่องในขณะที่ทำทุกสิ่งเหล่านั้นไปพร้อมกัน ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเขาจึงเสาะหาหวังชูเหรินมาเป็นผู้ช่วยปรุงยาของเขา
กล่าวไปแล้วก็เป็นไปได้ที่จะปรุงโอสถแยกวิญญาณโดยไม่ต้องใช้เลือดของเขา แต่ประสิทธิภาพของมันต่อร่างกายของเขาจะลดลงเป็นอย่างมาก อีกนัยหนึ่งมีโอกาสอย่างมากที่โอสถแยกวิญญาณจะไม่สามารถค้นหาจิตวิญญาณดวงอื่นในร่างของเขาได้อย่างแม่นยำถึงแม้ว่ามันจะมีอยู่
หลังจากที่ฟังคำพูดของเขาแล้ว หวังชูเหรินก็พยักหน้าและเริ่มตรวจสอบวัตถุดิบ แต่เพราะว่าเธอไม่รู้จักวัตถุดิบหลายชนิดในนี้ ซูหยางจึงช่วยเธอตรวจสอบทำให้กระบวนการทั้งหมดเป็นไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากตรวจสอบแล้ว หวังชูเหรินก็เริ่มบดยาจนกระทั่งมันกลายเป็นผง ในขณะที่ซูหยางหลับตาลงเพื่อเตรียมการปรุงยาในภายหลัง
การตายของหวังหมิง
ภายใต้ฟ้ายามค่ำคืนในค่ายกลป้องกันเสียง ซูหยางทรมานหวังหมิงนานกว่าสองชั่วโมงโดยไม่หยุดพัก ทำราวกับว่าอีกฝ่ายอยู่ในขุมนรก ซูหยางย่อมไม่มีความเห็นใจกับคนดังเช่นหวังหมิง ซึ่งไม่เคยสนใจความรู้สึกของผู้อื่นเพื่อความปรารถนาลามกของตนเอง
“นี่ช่างน่าเบื่อ” ซูหยางกล่าว ไม่แม้จะกระพริบตาจากการได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนของหวังหมิงหรือสนใจกับท่าทางเจ็บปวดของอีกฝ่าย
“….”
หวังหมิงสิ้นเสียงไปนานแล้วจากการกรีดร้องมากเกินไป ดวงตาของเขาเหลือกขาวโดยไม่เห็นลูกตาดำ ร่างกายของเขาสั่นกระตุกเหมือนแมลงที่ถูกบี้ และมีฟองน้ำลายออกมาจากปาก
และแม้ว่าหัวใจของเขายังคงเต้น อาจถึอได้ว่าหวังหมิงได้ตายไปแล้วจากสภาพของเขาในตอนนี้ อย่างไรก็ตามสิ่งที่สร้างความเจ็บปวดให้กับหวังหมิงมากที่สุดทั้งหมดนี้ก็คือ การที่ซูหยางไม่ได้หยุดหลังจากที่ทำลายลูกบอลสองลูกและยิ่งไปกว่านั้นคือการเฉือนทิ้งแท่งของเขา ทำลายความเป็นชายอย่างสมบูรณ์ ทั้งยังหัวเราะให้กับเขากับขนาดที่เล็กจ้อยหลังจากนั้น
“หืม” ซูหยางเลิกคิ้วเมื่อสังเกตเห็นว่าหัวใจของหวังหมิงได้หยุดเต้นสองสามอึดใจหลังจากนั้น
“ไอ้ย่า…แม้ว่าข้าได้พูดว่าข้ามิฆ่าเจ้า…ช่างน่าละอาย…” ซูหยางมองไปยังร่างไร้ชีวิตของหวังหมิงโดยไร้แววความรู้สึกในดวงตา เหมือนกับว่าเขาไม่ได้เห็นความเป็นมนุษย์จากร่างของหวังหมิงแต่เป็นเพียงแค่กองขยะเท่านั้น
สองสามวินาทีต่อจากนั้นซูหยางก็โบกชายเสื้อเพียงเล็กน้อย และไฟปรุงยาดวงเล็กก็ถูกเหวี่ยงลงไปบนร่างของหวังหมิง กลืนกินศพของเขาอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นไม่นานสิ่งที่หลงเหลืออยู่ของหวังหมิงก็คือเถ้าจากร่างของเขา
ครั้นเมื่อตัวตนของหวังหมิงถูกลบหายไปจากโลกนี้อย่างสมบูรณ์ ซูหยางก็ถอนค่ายกลและเดินอย่างสบายๆกลับไปยังบ้านของจางซิวยิง ราวกับว่าสองชั่วโมงที่ผ่านมาไม่เคยเกิดเรื่องอะไรขึ้น
“ซูหยาง…” จางซิวยิงผู้ซึ่งหลับอยู่ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ ลืมตาขึ้นช้าๆเมื่อซูหยางเข้าไปในห้อง
“ข้ามีปัญหาการนอนหลับดังนั้นข้าจึงออกไปเดินเล่น” เขาพูดด้วยเสียงนุ่มนวล
จางซิวยิงไม่ได้สังเกตเห็นว่าเขาออกไปจากห้องแม้แต่น้อย
“นั่นค่อนข้างอันตรายสำหรับท่านในการเตร็ดเตร่ไปทั่วนิกายในเวลานี้…ตามกฏนิกายท่านมิควรจะอยู่ที่นี่ตอนนี้ สุดท้าย…” เธอเตือนเขา
“มิมีใครสังเกตเห็นข้า ดังนั้นข้ายังคงสบายดี” ซูหยางกล่าวขณะที่เขาขึ้นไปบนเตียงที่จางซิวยิงกำลังนอนอยู่ ไม่แม้จะพูดถึงเรื่องที่หวังหมิงจะจู่โจมเธอคืนนี้
ซูหยางไม่ได้ลบหวังหมิงไปเพราะว่าเขาต้องการทำให้จางซิวยิงพอใจ หรือว่าเขาคาดหวังรางวัลจากเธอเพราะการกระทำของเขา เขาทำเช่นนี้เพราะว่าเขาเกลียดผู้คนแบบนั้นและต้องการให้อีกฝ่ายสูญหายไปอย่างแท้จริง ดังนั้นในใจของเขาจึงไม่จำเป็นที่จะต้องบอกจางซิวยิงเกี่ยวกับหวังหมิงแม้แต่น้อย ซึ่งในที่สุดเธอก็จะต้องพบเห็นไม่ช้าก็เร็ว
สองสามวินาทีต่อมายามเมื่อเขาอยู่ภายใต้ผ้าห่ม ซูหยางก็โอบกอดร่างของจางซิวยิงซึ่งเปลือยเปล่าอยู่ภายใต้ หลับไหลไปพร้อมกับความอบอุ่นของอีกฝ่ายอย่างช้าๆ
–
–
–
ยามเช้าวันถัดมาซูหยางจากที่พักของจางซิวยิงแต่เช้าและกลับไปยังห้องของหวังชูเหรินเพื่อดูว่าเธอก้าวหน้าไปมากน้อยเพียงใดในชั่วข้ามคืน
“ข้าแปลกใจเหลือเกินที่ท่านมิถูกจับยามเดินไปทั่วนิกายหลังจากเที่ยงคืน ท่านไปไหนรึ ท่านได้ออกจากนิกายไปหรือเปล่า” หวังชูเหรินกล่าวกับเขาเมื่อเธอไม่ได้ยินว่ามีความวุ่นวายใดคืนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอคาดหวังไว้
“นี่เป็นความลับ” ซูหยางตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม
“อย่างไรก็ตามแสดงความก้าวหน้าของเจ้าซิ”
หวังชูเหรินนำเอาขวดออกมาสองขวดเมื่อได้ยินคำพูดของเขา แต่ละขวดบรรจุโอสถมังกรเพลิงไว้หนึ่งเม็ด
“ไม่เลวเมื่อพิจารณาว่าเจ้ามีเวลาเพียงหนึ่งคืน” ซูหยางพยักหน้าเล็กน้อยหลังจากที่ตรวจสอบเม็ดยา
“อย่างไรก็ตามเจ้ายังคงห่างจากสิ่งที่ข้าคิดไว้ในใจ”
“…” หวังชูเหรินจนวาจา แค่ไหนกันสำหรับศาสตร์แห่งการปรุงยาที่เธอต้องก้าวหน้าไปก่อนที่เธอจะได้ปรุงยานั่น หรือว่ายาที่เขาต้องการให้เธอปรุงนั้นเป็นยาระดับเซียน นั่นคงเป็นเหตุผลที่เขาไม่ต้องการเปิดเผยรายละเอียดของยาให้กับเธอ เพราะว่ามันจะทำให้เธอสูญเสียความมุ่งมั่น
“อย่ากังวลข้าจักอยู่ที่นี่เพื่ออบรมเจ้าจนกว่าเจ้าจะไปถึงจุดนั้น ซึ่งไม่ไกลมากนักต่อไปภายหน้า” ซูหยางกล่าวต่อ
“ท่านคิดว่ามันต้องใช้เวลาเท่าไหร่” หวังชูเหรินอดถามไม่ได้
“ก่อนอาทิตย์ตกดิน” เขาตอบด้วยรอยยิ้มมั่นใจ
“ร-เร็วปานนั้นเลยรึ” หวังชูเหรินงงงัน
ไม่นานนักยามเมื่อหวังชูเหรินเปลี่ยนชุดสกปรกออกไปแล้ว ซูหยางเริ่มอธิบายเธออีกครั้ง
อย่างไรก็ตามซูหยางไม่ได้เพียงแค่ยืนพูดในคราวนี้ เขาสอนเธอในขณะที่เธอปรุงยาไปด้วย ทำให้เธอได้รับวิชารวดเร็วกว่าเดิม
ทุกความผิดพลาดที่เกิดขึ้นซูหยางจะพบเห็นมันได้ทันทีและชี้มันออกมาให้เธอเปลี่ยนแปลง
และหลังจากที่ถูกสอนโดยซูหยางไม่กี่ชั่วโมง หวังชูเหรินอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแย่ในฐานะผู้สอนเช่นกัน
แม้ว่าซูหยางดูเหมือนอธิบายเธออย่างง่ายๆ แต่นั่นกลับมีความแตกต่างกันราวฟ้ากับเหวระหว่างพวกเขาในเรื่องของความสามารถที่จะส่งผลกระทบให้กับผู้ที่พวกเขาสอน และนั่นทำให้หวังชูเหรินรู้สึกละอายใจในการอยู่เคียงข้างเขาในฐานะผู้สอน
เธอรู้ว่าไม่ว่าจะใช้เวลามากมายเท่าไหร่ในฐานะผู้สอน เธอจะไม่มีวันที่จะลอกเลียนสิ่งที่ซูหยางทำให้กับศิษย์ของเธอได้
“มันยากที่จะเชื่อถือในใบหน้าอ่อนเยาว์ของท่าน ในเมื่อท่านเชี่ยวชาญหลายอย่างเช่นนี้… ข้ามิประหลาดใจเลยถ้าท่านกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการแปลงโฉมมาแต่โบราณ” เธอกล่าวกับเขาด้วยท่าทางอยากรู้
ซูหยางแสดงท่าทางลึกลับให้กับคำพูดของเธอและกล่าวว่า “เจ้าต้องถูกหลอกลวงที่จะอ้างอิงรูปร่างหน้าตาของผู้คนในยุทธภพ และนั่นเป็นหนึ่งในความเข้าใจผิดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุทธภพ”
“ข้าสามารถที่ใช้คำก่อนหน้านั้นมายืนยันกับตัวเองตอนนี้ได้หรือไม่ที่ว่าท่านเป็นชายชราที่แปลงกายมา” หวังชูเหรินมองดูเขาพร้อมหรี่ตา
“นำสิ่งที่เจ้าต้องการไปจากคำพูดของข้า แต่อย่างไรก็ตามร่างกายของข้านี้อายุเพียงสิบหกปีแน่นอน”
“หือ ท่านอายุเพียงสิบหกปีเองรึ” หวังชูเหรินมองดูเขาด้วยตากลมโตและกรามร่วงลงสู่พื้น ท่าทางของเธอเต็มไปด้วยความไม่เชื่อและตระหนก ราวกับว่าเธอมองดูภูตผี
“ท-ทำไมเจ้าทำเช่นนี้ หรือเป็นเพราะว่าเธอจางซิวยิง เธอเป็นอะไรกับเจ้า” หวังหมิงร่ำร้องด้วยน้ำมูกและน้ำตา
ซูหยางมองไปที่ท่าทางน่าสมเพชของอีกฝ่ายโดยสีหน้าไร้อารมณ์ เขาพูดด้วยเสียงเย็นเยียบ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าสิ่งที่ข้าเกลียดมากกว่าคนที่ใช้กำลังข่มเหงผู้อื่นคืออะไร คนที่ใช้อิทธิพลกดดันผู้ที่ไม่อาจจะป้องกันตัวได้ คนแบบเจ้า”
ซูหยางเริ่มก้าวตรงไปยังหวังหมิงที่สั่นสะท้านอย่างช้าๆ
“ถึงแม้ว่าจางซิวยิงจะไม่ขอร้อง ข้าก็จักกำจัดเจ้าอยู่แล้วเพื่อที่โลกนี้จะได้มีผู้เคราะห์ร้ายน้อยลง”
สีหน้าของหวังหมิงซีดราวกับกระดาษในตอนนี้ ราวกับว่าไม่มีเลือดในกายเหมือนกับผีดิบ
“ด-ด-ได้โปรด…ข้าขอวิงวอน…อ-อย่าฆ่าข้า…” ใบหน้าหวังหมิงเต็มไปด้วยน้ำมูกน้ำตา ดูราวกับว่าเขาเพิ่งเห็นคนรักตายในอ้อมแขน ขาของเขาขยับอย่างไม่อาจควบคุมได้ ถอยหนึ่งก้าวยามซูหยางก้าวหนึ่งก้าว
“ฆ่าเจ้ารึ อย่ากังวล ข้ามิฆ่าเจ้าหรอก” ซูหยางกล่าวพร้อมรอยยิ้มลึกลับ
ดวงตาของหวังหมิงมีประกายขึ้นมาบ้างเมื่อได้ยินคำกล่าวนี้ รู้สึกมีความหวังขึ้นเล็กน้อย แต่ความรู้สึกนั้นคงอยู่เพียงไม่กี่วินาทีเมื่อซูหยางพูดต่อ
“ความตายช่างเบาบางในการลงโทษคนเช่นเจ้า ดังนั้นข้าจักให้เจ้าได้รับประสบการณ์ความเจ็บปวดที่เกินทนที่เจ้าจักร่ำร้องให้ข้าฆ่าเจ้าแทน”
“ด-ด-เดี๋ยว…ไม่…โปรด…” ใบหน้าหวังหมิงมีแต่ความหวาดกลัวเหนือกว่าทุกสิ่งที่เขาเคยได้ประสบมา
“ช-ช-ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย มีผู้บุกรุกพยายามฆ่าข้า”
หวังหมิงพลันเริ่มตะโกนร้องสุดเสียง ถ้าเขาไม่สามารถหยุดซูหยางได้ด้วยตนเอง ดังนั้นเขาจะต้องกระตุ้นคนทั้งนิกายและให้พวกเขาจัดการกับอีกฝ่ายแทนเขา
“ใครก็ได้ช่วยด้วย มีผู้บุกรุก เขาเป็นสายลับพยายามที่จะทำลายนิกายดอกบัวเพลิง”
หวังหมิงได้ตะโกนร้องต่อไปชั่วขณะ แต่ถึงจะร่ำร้องต่อไปอีกหลายนาที ก็ไม่มีใครที่จะมาช่วยเขา ไม่แม้เพียงเงา
“ก-เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงไม่มีใครมาเลย” หวังหมิงมองไปรอบๆด้วยท่าทางสับสน แน่นอนว่าบางคนต้องได้ยินเสียงเขาต่อให้ว่าพวกเขาหลับสนิท โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้อาวุโสนิกาย แต่ทำไมจึงยังไม่มีใครมาถึงทั้งที่เวลาผ่านไปเนิ่นนาน
“มีอะไรผิดพลาดไปรึ บางทีเจ้าอาจจะตะโกนเสียงไม่ดังพอ เช่นนั้นทำไมเจ้าไม่พยายามตะโกนให้นานกว่านี้อีกหน่อย” ซูหยางกล่าวกับอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มเย้ยหยันบนใบหน้าผ่อนคลายของเขา ราวกับว่าเขากำลังสนุกจากการมองดูหวังหมิงร่ำร้องอย่างสับสน
“จ-เจ้าทำอะไรลงไป นี่เป็นการกระทำของเจ้าใช่หรือไม่ จริงแล้วเจ้าเป็นใคร” หวังหมิงพูดด้วยเสียงแหบแห้งซึ่งเป็นเหตุมาจากการตะโกนร้อง
“ข้าคาดว่าเจ้าจะต้องทำอะไรเช่นนี้ ดังนั้นข้าจึงสร้างค่ายกลรอบสถานที่นี้ไว้ก่อนหน้า ค่ายกลที่ป้องกันเสียงเล็ดลอดออกไปไม่ว่าเจ้าจะกรีดร้องดังเพียงใด เจ้าควรขอบใจข้าในเมื่อเจ้ามิต้องกังวลว่าใครจะมารบกวนยามเมื่อเจ้ากรีดร้องเหมือนหมู…”
“ไม…ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ ไม่”
หวังหมิงไม่อาจมองเห็นว่านี่เป็นชายหนุ่มรูปหล่อยามเมื่อเขามองไปยังซูหยาง และเพียงสามารถเห็นปีศาจร้ายยืนอยู่ตรงนั้นโดยมีชีวิตของเขาอยู่ในกำมือของซูหยาง
ซูหยางรู้สึกเหมือนไม่ต้องการยืดให้ล่าช้าต่อไปอีก เขาตรงเข้าไปหาหวังหมิงอีกครั้งขณะที่พูดไปทุกก้าวว่า “ติดกับดัก…ช่วยไม่ได้…กลัว…หมดหวัง….สิ้นหวัง…ปวดร้าว…เกลียด…ไร้อำนาจ… ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความรู้สึกที่เจ้าทำกับเหยื่อของเจ้า และกรรมสนองย่อมเลวร้าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อข้าเป็นผู้จัดการ”
เมื่อหวังหมิงไม่คิดสูักับซูหยาง เขาหันหลังกลับวิ่งหนีทันทีแม้ว่าจะรู้ดีว่าเขาไม่สามารถหนีเงื้อมมือซูหยางได้
“ทำไมเจ้าจึงวิ่งหนี”
วูบ
ความกระหายเลือดพลันปรากฏขึ้นจากซูหยางทันทีที่เขาดึงกระบี่ออกมา และในชั่วเวลาไม่ถึงวินาที ซูหยางก็สะบัดกระบี่ ส่งประกายกระบี่วาดผ่านไปยังหวังหมิงที่วิ่งหนี
และเพราะว่ามันพุ่งตามหลังเขา หวังหมิงย่อมไม่รู้ความเป็นจริงอย่างสิ้นเชิงว่าเขาถูกไล่จู่โจมโดยกระบี่จากซูหยาง
และทันใดนั้นประกายกระบี่ที่สร้างขึ้นโดยซูหยางก็เข้าถึงตัวหวังหมิง เช่นเดียวกับการตัดกิ่งไม้สองกิ่งด้วยกระบี่ มันตัดผ่านขาสองข้างของหวังหมิง ยับยั้งความสามารถในการยืนของเขาอย่างสิ้นเชิง ยิ่งอย่ากล่าวถึงการวิ่งอีกต่อไป
“อาาาาาาาาาาาาาาา”
เมื่อถูกตัดขาออกอย่างฉับพลันและปราศจากความสามารถที่จะวิ่งอีกต่อไป หวังหมิงล้มหน้าทิ่มและร่ำร้องอย่างปวดร้าว เสียงแหบแห้งของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
ครั้นเมื่อหวังหมิงล้มลงบนพื้น ซูหยางก้าวมาหาเขาอย่างสบายๆพร้อมกับยกกระบี่สูงขึ้นไปบนฟ้า
“ด-ด-เดี๋ยว…” หวังหมิงพยายามต่อต้านความเจ็บปวดที่มีอยู่ทั่วไปยังร่างกายท่อนล่างเพื่อร้องขอความกรุณา
“ไม่” ซูหยางพูดเสียงเย็นเยียบขณะที่กระบี่ในมือตวัดฟาดลงไปยังหวังหมิง
ฉับ
หวังหมิงพลันรู้สึกว่าบอลสองลูกที่แขวนอยู่ช่วงล่างของร่างกายแตกระเบิดออกเป็นเลือดเนื้อเลอะเลือน
“?&@*#$^%&@!” เสียงกรีดร้องโหยหวนน่าหวาดกลัวออกมาจากหวังหมิงในวินาทีต่อไปซึ่งไม่คล้ายกับเสียงที่เกิดจากมนุษย์ แต่คล้ายกับเสียงหมูร้อง
และเพราะว่าความเจ็บปวดอย่างต่อเนื่องบนร่างของเขา หวังหมิงจึงหมดสติไป และตื่นขึ้นมาในสองสามวินาทีถัดไปจากความเจ็บปวดอันรุนแรงที่ยังคงกระแทกลึกเข้าไปในร่าง และความเจ็บปวดนั้นก็วนรอบซ้ำไปมาต่อไปอีกชั่วระยะเวลาหนึ่ง
และในเมื่อซูหยางไม่ต้องการให้หวังหมิงตกตายจากการเสียเลือดมากเกินไป เขาบังคับยาฟื้นฟูคุณภาพสูงเข้าไปในคอของหวังหมิงเพื่อที่จะทำให้ร่างกายของอีกฝ่ายสร้างเลือด เก็บชีวิตเขาให้ยังคงอยู่
“โปรด..เพียงฆ่าข้าก็พอ…” หวังหมิงรู้สึกหมดสิ้นเรี่ยวแรงจากการกรีดร้องทั้งหมดจนเขาไม่มีแรงที่จะร่ำร้องอีกต่อไป และดังที่ซูหยางได้กล่าวก่อนหน้านี้ หวังหมิงเริ่มอ้อนวอนให้ฆ่าเขาแทน
“เจ้าอาจจะพอแล้ว แต่ข้ายังไม่จบเรื่องกับเจ้า ค่ำคืนยังเพิ่งเริ่มต้น เช่นนั้นเรามาสนุกกันจนถึงที่สุด…” ซูหยางพูดด้วยท่าทางไม่รู้สึกรู้สา หรี่ตาบนใบหน้าหล่อเหลา สายตาเย็นชาจับจ้องตรงไปถึงจิตใจหวังหมิงที่ขณะนั้นได้เกือบพังทลายลงแล้ว
“นายท่าน…ได้โปรด…เมตตา…” หวังหมิงสิ้นสติไปอีกครั้งจากความตกใจเพียงเพื่อที่จะฟื้นคืนกลับมาในเพียงไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นเพราะว่าซูหยางได้เตะไปยังรอยแผลเปิดอย่างแผ่วเบา
ในอาคารหลังหนึ่งภายในนิกายดอกบัวเพลิง ชายหนุ่มทำลายข้าวของภายในห้องของตนเองขณะตะโกนออกมาอย่างโกรธแค้น “เจ้าดอกทองนั่น ไม่เพียงแต่ฟ้องป้าเรื่องข้า ทำให้เธอต้องดุด่าข้ามิรู้จบ แต่เจ้านั่นยังกล้าสนิทสนมกับชายอื่นจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย”
ผู้ที่โกรธเกรี้ยวอยู่นี้คือหวังหมิง ญาติของหวังชูเหริน เมื่อพฤติกรรมอันน่าอับอายของเขาถูกเปิดเผยต่อหวังชูเหรินโดยจางซิวยิงด้วยความช่วยเหลือของซูหยาง ถึงวิธีที่เขาละเมิดฐานะของตนเองภายในนิกายโดยการกดดันศิษย์หญิงที่ไม่มีเส้นสายให้หลับนอนกับเขา หวังชูเหรินจึงรายงานไปยังตระกูลหวังเพื่อให้ลงโทษเขาทันที
และครั้นเมื่อตระกูลหวังได้รับรู้เรื่องราวอันอื้อฉาวของเขา พวกเขาพลันเรียกตัวเขากลับไปยังตระกูลและลงโทษด้วยการทุบตีเขาจนกระทั่งเขาไม่อาจหลับลงเนื่องจากความเจ็บปวดไปทั่วร่าง
“เป็นเพราะว่าเจ้าดอกทองนั่นทำให้หน้าตาชื่อเสียงของข้าป่นปี้หมดสิ้น ตอนนี้ทุกคนในตระกูลเห็นข้าเป็นพวกเดียวกับโจรเด็ดดอกไม้” ดวงตาของหวังหมิงเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความโกรธ
หลังจากที่ใช้เวลาอีกสองสามนาทีในการเปลี่ยนห้องให้เป็นขยะหวังหมิงก็ค่อยสงบลงบ้างเล็กน้อย และก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในใจ
“ในเมื่อข้าถูกตราว่าเป็นโจรเด็ดดอกไม้ ข้าก็ควรจะเป็นเสียเลย และเพราะว่าเจ้าที่บีบข้าให้จนมุม ข้าจักไปหาเจ้าเป็นรายแรก จางซิวยิง” ในใจของเขาแผดเผาไปด้วยความคิดที่จะแก้แค้น และคนแรกในใจของเขาก็คือจางซิวยิง ผู้ที่เป็นต้นเหตุให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้
หวังหมิงจึงนำเอายาแปลงโฉมออกมากลืนกิน เปลี่ยนใบหน้าของตนเองเป็นคนแปลกหน้า ส่วนชุดของเขานั้น เพราะว่าเขายังอยู่ภายในนิกายดอกบัวเพลิงและอยู่ในช่วงหลังเที่ยงคืน เขาไม่อาจเสี่ยงที่จะเดินไปทั่วโดยใช้ชุดที่ไม่ใช่ชุดนิกาย เพิ่มโอกาสที่จะทำให้เขาถูกจับ
ครั้นเมื่อเขาเสร็จสิ้นการวางแผนการแก้แค้น หวังหมิงออกจากที่พักของตนเองและเริ่มตรงไปยังที่พักของจางซิวยิง
ภายในใจเขา เขากำลังคิดถึงสิ่งที่เขาจะทำกับจางซิวยิงยามเมื่อเธอตกอยู่ในมือเขา “ข้าโชคดี ตอนนี้เธอกลายเป็นศิษย์ใน ดังนั้นเธอจึงพักอยู่คนเดียว” เขาหัวเราะในใจ
“ข้าจักทำให้เธอเสียใจที่ฟ้องร้องข้า และยามเมื่อข้าได้สนุกกับเธอแล้ว ข้าจักทำลายหลักฐานทั้งหมดที่จะทำให้ข้าเสี่ยง รวมไปถึงตัวของจางซิวยิงด้วย”
ภายใต้ฟ้ายามค่ำคืนขณะที่ศิษย์ส่วนใหญ่กำลังหลับหรือไม่ก็ฝึกวิชาอยู่ภายในห้องของตนเอง หวังหมิงก็เดินทางไปยังที่พักของจางซิวยิงด้วยใจที่แผดเผาไปด้วยเพลิงตัณหาและความคิดแก้แค้น เขาอดรนทนไม่ไหวที่จะเริ่มทรมานจางซิวยิง
เวลาต่อจากนั้นยามเมื่อหวังหมิงสามารถเห็นที่พักของจางซิวยิง รอยแสยะยิ้มของเขาฉีกกว้างเต็มไปด้วยเจตนาชั่วร้าย
“แสงไฟปิด…หรือว่าเธอหลับแล้ว” หวังหมิงหวังว่าเธอหลับจริงๆไม่ใช่ไม่อยู่บ้าน ไม่เช่นนั้นเขาต้องหาศิษย์หญิงคนอื่นเพื่อปลดปล่อยความโกรธแค้น
อย่างไรก็ตามขณะที่หวังหมิงเริ่มตรงเข้าไปยังบ้านของจางซิวยิง เสียงที่เฉื่อยชาก็ดังขึ้นที่ข้างหู
“หลังจากที่นั่งที่นี่ตั้งนาน ข้าเริ่มสงสัยว่าเจ้าจักปรากฏตัวหรือไม่…”
“นั่นใคร” หวังหมิงรู้สึกจิตใจรุ่มร้อนเมื่อเขาได้ยินเสียงดังขึ้นมาอย่างกระทันหันและเริ่มสอดส่ายสายตาไปรอบๆด้วยหน้าตาแตกตื่น
ร่างหนึ่งค่อยปรากฏตัวต่อหน้าเขาไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น
“จ-จ-เจ้าคือ” ใจหวังหมิงสั่นสะท้านเมื่อใบหน้าของซูหยางปรากฏขึ้นต่อหน้า เหตุใดอีกฝ่ายจึงยังอยู่นี่ในเมื่อเลยเที่ยงคืนมาแล้ว แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด ทำไมอีกฝ่ายจึงอยู่ที่นี่ในตอนนี้ หรือว่าอีกฝ่ายรู้เกี่ยวกับแผนที่เขาจะจู่โจมจางซิวยิงคืนนี้ นั่นเป็นไปไม่ได้ ในใจของหวังหมิง นอกจากว่าอีกฝ่ายมีวิธีข้ามกาลเวลาจากอนาคต นั่นย่อมไม่มีทางเป็นไปได้ที่ซูหยางจะรู้แผนของเขาในเมื่อเขาเพิ่งคิดมันออกมา
“จ-เจ้าเป็นใคร ล-และ จ-เจ้ามาทำอะไรที่นี่ แขกมิได้รับอนุญาตให้อยู่ในนี้หลังเที่ยงคืน” หวังหมิงเริ่มทำท่าทางราวกับว่าเขาเป็นเพียงศิษย์ธรรมดา
ด้วยท่าทางที่ยังเฉยเมย ซูหยางกล่าวว่า “เจ้าคิดจริงๆหรือว่าข้ามิได้สังเกตเห็นเจ้าแอบติดตามพวกเราตั้งแต่ต้น แม้ว่าเจ้าจะปิดบังตัวตน แต่การจ้องมองอย่างน่ารังเกียจของเจ้าช่างชัดเจนราวกับกลางวัน”
“จ-เจ้าพูดถึงอะไรกัน” หวังหมิงยังทำท่าทางไม่รู้เรื่อง แต่มีสัญญาณชัดเจนบ่งบอกว่ามีเหงื่อไหลมากมายบนชุดคลุมของเขา
ซูหยางแอบส่ายหน้ากับการแสดงที่ไม่ได้เรื่องของหวังหมิง เขาได้สังเกตหวังหมิงติดตามพวกเขา โดยเฉพาะจางซิวยิง ก่อนที่พวกเขาจะโต้เถียงเล็กน้อยกับศิษย์ในสามคนและศิษย์หลักหนึ่งคน และนี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เขาตัดสินใจพบกับจางซิวยิงในเวลานี้ก็เพราะว่าเขาคาดว่าบางสิ่งเช่นนี้จะเกิดขึ้น และเขาต้องการที่จะทำให้มั่นใจว่าเธอปลอดภัย และถึงแม้ว่าหวังหมิงไม่ปรากฏตัวคืนนี้ เขาก็ยังคงจะทำให้มั่นใจว่าหวังหมิงจะไม่สามารถที่จะแก้แค้นได้หลังจากที่เขาจากไป
“เราทั้งคู่รู้ว่าทำไมเจ้าจึงอยู่ที่นี่ในตอนนี้ แต่ช่างเป็นโชคร้ายของเจ้าที่มันไม่เป็นไปตามแผน เจ้ามิคิดเช่นนั้นเหมือนกันรึ หวังหมิง”
สามารถมองเห็นได้ว่าหวังหมิงสั่นสะท้านอยู่ในตอนนี้ เขารู้เป็นอย่างดีกว่าซูหยางมีความสามารถอะไร เพราะว่าเขาก็อยู่ที่นั่นได้เห็นการทุบตีฝ่ายเดียวที่เมืองดอกบัว
“ด-ด-เดี๋ยว หยุดก่อน ม-มาพูดเรื่องนี้กันก่อน เจ้าต้องการอะไรจากข้า ข้าจักทำได้ทุกสิ่ง” รู้ว่าเขาไม่สามารถวิ่งหนีไปจากอีกฝ่ายได้ หวังหมิงทรุดตัวคุกเข่าลงไปบนพื้นเพื่อขอความเห็นใจ
“มิมีอะไรในตัวเจ้าที่ข้าต้องการ แม้กระทั่งเจ้าทำอะไร ข้าก็จักมิแตะต้องอะไรที่เจ้าได้สัมผัสในระยะสิบก้าว” ซูหยางกล่าวขณะหรี่ตา เสียงของเขาเยือกเย็นจนกระทั่งเกือบแช่แข็งดวงใจของหวังหมิงเมื่อได้ยิน
“ท่านคิดว่าอย่างไรกับยานี้เปรียบเทียบกับครั้งที่แล้ว” หวังชูเหรินถามซูหยางขณะที่เธอยื่นส่งโอสถมังกรเพลิงให้กับเขาอย่างง่ายๆ สิ่งที่นิกายดอกบัวเพลิงถือเป็นสมบัติล้ำค่า
ซูหยางเหลือบมองเม็ดยาเพียงสองวินาทีก่อนที่จะพูดว่า “ดีขึ้นเล็กน้อย แต่มันยังไม่ดีพอ”
“อย่างนั้นรึ…”
หวังชูเหรินรู้สึกมั่นใจในยาเม็ดใหม่นี้ แต่อนิจจา มันยังไม่เพียงพอที่จะทำให้เขายอมรับ แม้ว่าเธอไม่ได้แสดงออกมา หวังชูเหรินก็ต้องการที่จะช่วยเขาปรุงยานั้นอย่างแท้จริง เพราะนี่เป็นเพียงวิธีเดียวที่เธอสามารถตอบแทนเขาจากทุกสิ่งที่ได้มอบกับเธอ แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่เล็กน้อย
“อย่างไรก็ตาม ข้าสามารถบอกได้ว่าเจ้าได้เข้าใจการบรรยายของข้าได้จริง ดังนั้นเจ้าน่าจะถึงจุดนั้นได้หลังจากฝึกฝนต่อไปอีกสักหน่อย” ซูหยางกล่าวต่อ
“จริงรึ เช่นนั้นเราจะรออะไรอีก เรารีบอบรมต่อกันเถอะ” หวังชูเหรินไม่ได้รู้สึกกระตือรือล้นกับการอบรมมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว นี่เป็นความรู้สึกที่สดใหม่สำหรับเธอ
ซูหยางพยักหน้าและเริ่มบรรยายรอบใหม่ในทันที
สำหรับการบรรยายครั้งที่สอง ในเมื่อหวังชูเหรินได้รู้จุดอ่อนของตนเองแล้ว ซูหยางจึงเจาะลึกลงไปในวิชาของเธอ อธิบายความลับทั้งหมดของมันและวิธีนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์อย่างเหมาะสม สร้างความทึ่งให้กับหวังชูเหริน ซึ่งไม่เคยคิดว่าช่างมีเคล็ดลับมากมายในวิชาที่เธอคิดว่าได้มาถึงขีดจำกัดแล้ว
การบรรยายเพียงใช้เวลาไปสองชั่วโมงในครั้งนี้ แต่สิ่งที่หวังชูเหรินเรียนรู้จากสองชั่วโมงนี้ได้เกินกว่าสิ่งที่เธอได้เรียนรู้มาตลอดชีวิต
หลังจากบรรยาย ซูหยางได้กล่าวกับเธอ “เจ้าสามารถฝึกฝนต่อด้วยตัวเองในตอนนี้ ข้าจักกลับมาในวันพรุ่งนี้เพื่อดูความก้าวหน้าของเจ้า และหวังว่าข้าสามารถยอมรับให้เจ้าปรุงยานั้นโดยไม่กังวลว่าเจ้าจะล้มเหลว”
“ท่านจะไปไหน นี่ก็เกือบเที่ยงคืนแล้ว ดังนั้นท่านอาจจะถูกสั่งหยุดจากคนในนิกายถ้าพวกเขาพบท่านเดินเตร็ดเตร่ ถ้าท่านต้องการ ข้าสามารถจัดที่พักให้ท่านที่นี่” หวังชูเหรินกล่าวกับเขา
“ข้าไม่เป็นไรหรอก” เขาตอบกลับอย่างรวดเร็ว “และข้าก็มีที่จะไปในใจอยู่แล้ว”
“อย่างนั้นรึ… เช่นนั้นข้าก็มิรบกวนท่านต่อไปแล้ว”
ซูหยางออกจากที่พักของหวังชูเหริน ปล่อยให้เธอฝึกฝนวิชาต่อไปเพียงผู้เดียว
สองสามวินาทีต่อมา เขาก็สำแดงท่าร่างก้าวเก้าดาราและลับหายไปในยามค่ำคืน
–
–
–
ภายในที่พักของตนเอง จางซิวยิงนอนลงบนเตียงด้วยดวงตาเบิกโพลง สายตาเธอเหม่อมองไปนอกหน้าต่างไปยังดวงดาวเต็มฟ้าด้วยความรู้สึกสับสน
“เขาจำข้าได้จริงๆ…” เธอคิดถึงช่วงเวลาที่อยู่กับซูหยางภายในโรงประมูลดอกบัวเพลิง
เมื่อซูหยางจากไปวันนั้น เธอมั่นใจว่าเขาต้องลืมเธอหลังผ่านช่วงเวลาหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงท่าทางไม่แยแสต่อเธอในช่วงเวลานั้น
อย่างไรก็ตามความคาดหมายของเธอก็ยังคงเป็นเพียงแค่จินตนาการ เมื่อซูหยางกลายเป็นคนเข้าถึงง่าย เป็นมิตรมากกว่าเดิม เธอได้พบเขาอีกครั้งและยิ่งในรูปแบบนี้ซึ่งเกินกว่าสิ่งที่เธอเคยร้องขอ ดังนั้นจึงเป็นเหตุให้เธอยังคงตื่นตัวเพราะว่าตื่นเต้นเกินไป
“ข้าสงสัยว่าข้าจักได้พบกับเขาอีกหรือไม่”
เพียงแค่เธอพึมพัมคำพูดเหล่านั้น เธอก็ได้ยินใครบางคนเคาะประตูบ้านเธอ
“นั่นใคร”
จางซิวยิงตรงไปเปิดประตู
“ซ-ซูหยาง”
เมื่อเธอเห็นซูหยางยืนต่อหน้า เธอนิ่งอึ้งสิ้นเชิง
“ท-ท่านมาทำอะไรที่นี่ เกิดอะไรขึ้นกับผู้อาวุโสหวัง” เธอถามเขา
“ข้ากำลังรอให้เธอทำบางสิ่งให้เสร็จ ดังนั้นข้าจึงมาที่นี่เพื่อฆ่าเวลา ข้ามารบกวนหรือไม่” เขาพูด
“บ้าไปแล้ว ยิ่งกว่ายินดีต้อนรับสำหรับท่านที่นี่” จางซิวยิงยอมให้ซูหยางเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจกฏของนิกายเกี่ยวกับแขกหลังเที่ยงคืน
ครั้นเมื่อซูหยางอยู่ภายในบ้านของเธอแล้ว จางซิวยิงถอนใจ “โชคดีที่ข้าได้เป็นศิษย์ในและมีบ้านของตนเองในตอนนี้”
เธอนึกไม่ออกว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเพื่อนร่วมบ้านคนเก่าอยู่ที่นี่และเห็นเธอนำเอาชายอื่นเข้ามาในบ้านดึกดื่นเที่ยงคืน
“ว่าไปแล้ว อะไรพาท่านมาที่นี่ในเวลานี้” จางซิวยิงถามเขา หัวใจเธอเต้นเร็วกว่าปกติเล็กน้อย ราวกับว่าเธอคาดหวังในบางสิ่ง
“เจ้ายังจำได้หรือไม่ที่ข้าพูดกับเจ้าในเช้าวันนี้” เขากล่าวพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า
“ช-ช-ช-ช-เช้า ว-ว-ว-วันนี้” เห็นชัดว่าจางซิวยิงจำได้ แต่เธอคิดว่าเขาพูดถ้อยคำเหล่านั้นเพียงเพื่อยั่วยุศิษย์เหล่านั้นและไม่คิดว่าเขาจะหมายความอย่างนั้นจริงๆ
“ท-ท่านคงมิได้พูดเล่นใช่ไหม” เธอถามเขาด้วยหัวใจที่เต้นรัวแรงราวกับกลองศึก
“อะไรกัน เจ้าคิดว่าข้าเพียงพูดเล่นหรอกรึ”
จางซิวยิงพยักหน้าเชื่องช้า
ซูหยางยิ้มและเริ่มตรงเข้าไปหาเธอ
“เจ้ายังคงคิดว่าข้าพูดเล่นอยู่หรือไม่ตอนนี้” เขากระซิบข้างหูเธอครั้นเมื่อดึงเธอเข้ามาในอ้อมแขน
จางซิวยิงส่ายหน้าและพึมพัมด้วยเสียงเหนียมอายว่า “ข้าจักอยู่ในความดูแลของท่านอีกครั้ง…”
ไม่นานหลังจากนั้น ครั้นเมื่อจางซิวยิงและซูหยางอยู่ภายในห้องนอน พวกเขาทั้งคู่ปลดเปลื้องเสื้อผ้าและเริ่มสัมผัสความอบอุ่นจากร่างของอีกฝ่าย
อย่างไรก็ตามไม่เหมือนกับครั้งแรกที่พวกเขาอยู่ด้วยกันที่โรงประมูลดอกบัวเพลิงซึ่งเป็นเพียงการกระทำข้างเดียว ครั้งนี้ซูหยางกอดจางซิวยิงอย่างหลงไหลและเต็มใจ ปฏิบัติต่อเธอเหมือนกับเธอเป็นหญิงของเขาคนหนึ่ง
“อาา…แบบนั้น…”
จางซิวยิงเปี่ยมไปด้วยความสนุกสุขสมอย่างสมบูรณ์ขณะที่เธอรับรู้ถึงแท่งหนาของซูหยางเข้าไปในร่างของเธออีกครั้ง
ความรู้สึกว่าแท่งหนาของเขาแข็งแกร่งราวกับเหล็ก ความรู้สึกสุขสันต์ที่แผดเผาทำให้ร่างของเธอสั่นสะท้านไปด้วยความพึงพอใจ อีกทั้งกลิ่นเฉพาะจากร่างซูหยางทั้งหมดนี้ทำให้จางซิวยิงนึกถึงช่วงเวลาที่พวกเขาใช้ภายในห้องที่มีแสงริบหรี่ในโรงประมูลดอกบัวเพลิง
“ความรู้สึกนี้… ข้าไฝ่ฝันมานานสำหนับสิ่งเหล่านี้นับตั้งแต่วันนั้น…” จางซิวยิงคิดในใจขณะที่เธอครวญครางออกมาจากใจ
“ว่าไปแล้ว ยาประเภทไหนที่ข้าจักต้องทำ” หวังชูเหรินถามเขาหลังจากเปลี่ยนชุดชุ่มโชกออกไป ซึ่งนั่นทำให้เธอนึกขึ้นได้ว่าเขายังไม่ได้บอกเธอเลย
“ข้าคิดว่ามันคงดีที่สุดถ้าเจ้ามิรู้” ซูหยางกล่าวขณะที่เขาไม่ต้องการทำให้เธอหวาดกลัวกับยาที่เธอไม่เคยได้ยินมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งระดับที่สูงของมันซึ่งต้องทำให้เธอหวั่นเกรงอย่างแน่นอน
“ท้ายที่สุด โอสถแยกวิญญาณเป็นบางสิ่งที่กระทั่งนักปรุงยาที่มีระดับเหนือเธอยังไม่กล้าที่จะลอง อย่างไรก็ตามในเมื่อเธอมีวิชาระดับเซียนซึ่งถักร้อยเพื่อยาดังเช่นโอสถแยกวิญญาณ เธอย่อมมีโอกาสสูงกว่ามากที่จะปรุงยาสำเร็จ
“อย่างนั้นรึ…”
แม้ว่าหวังชูเหรินค่อนข้างมั่นใจในความสามารถของตนเอง เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกกระวนกระวายเกี่ยวกับยาที่เขาต้องการให้เธอทำ
“อย่างไรก็ตาม เรามาเริ่มกัน” ซูหยางกล่าว “ข้าได้มองดูเจ้านานพอที่จะพบความผิดพลาดในวิชาของเจ้า ดังนั้นข้าจักช่วยเจ้าแก้ไขปรับปรุงความผิดพลาดเหล่านั้นให้ดีขึ้น”
และก่อนที่หวังชูเหรินจะทันได้พยักหน้า ซูหยางก็กล่าวต่อว่า “ข้าต้องการให้เจ้ามีความสามารถพอที่จะปรุงยาภายในพรุ่งนี้”
“พ-พรุ่งนี้…”
ซูหยางพยักหน้าและกล่าวว่า “นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเราควรเริ่มกันแต่ตอนนี้”
หลังจากกล่าวคำเหล่านั้นแล้ว ซูหยางเริ่มอบรมหวังชูเหรินในเรื่องวิชาของเธอ เขาบอกข้อผิดพลาดที่เธอได้ทำระหว่างการปรุงยาก่อนนั้นและอธิบายวิธีการปรับปรุงวิชาให้ดีขึ้นในอนาคต
และหลังจากไม่กี่นาทีหลังจากฟังคำบรรยายของเขา หวังชูเหรินรู้สึกว่าความเข้าใจต่อศาสตร์การปรุงยาของเธอเพิ่มมากขึ้น ราวกับว่าเธออยู่ต่อหน้าเทพแห่งการปรุงยา ซึ่งเป็นบางคนผู้ซึ่งมีความสามารถกระทั่งในการเปลี่ยนนักปรุงยาที่อ่อนด้อยที่สุดให้กลายเป็นนักปรุงยาระดับสูงสุดได้ด้วยเพียงถ้อยคำไม่กี่คำ
เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนกับเธอที่จะพบว่าศาสตร์แห่งการปรุงยาของเธอเพิ่มพูดรวดเร็วจากเพียงแค่ฟังคำพูดของซูหยางไม่กี่คำ
ตอนแรกเธอสงสัยว่าการบรรยายประเภทไหนกันที่เขาจะให้ ตามจริงแล้วเธอไม่คาดหมายว่าการบรรยายของเขาช่างง่ายและตรงไปตรงมา ราวกับว่าเธอกำลังฟังเขาอ่านหนังสือเกี่ยวกับศาสตร์แห่งการปรุงยาให้เธอฟัง ซึ่งมีแต่สาระสำคัญในนั้นและกรองเอาสิ่งที่ไร้ประโยชน์ออกไป
ซูหยางพูดให้เธอฟังอย่างต่อเนื่องตลอดหลายชั่วโมง และหลังจากที่ผ่านไปสี่ชั่วโมงของการอธิบาย เขาตัดสินใจดูว่าเธอได้พัฒนาเพิ่มขึ้นมากน้อยเพียงใด
“ไปลองปรุงโอสถมังกรเพลิงอีกครั้ง” เขากล่าวกับเธอ
“ข้าจักต้องไปรวบรวมวัตถุดิบจากคลัง” เธอกล่าว
ซูหยางพยักหน้า
เมื่อหวังชูเหรินไปยังคลังเพื่อร้องขอวัตถุดิบสำหรับโอสถมังกรเพลิง นิกายไม่ได้ปฏิเสธคำร้องของเธอ ในเมื่อพวกเขาไม่ต้องการที่จะทำให้เธอโกรธ เพราะว่าโอสถสู่คัมภีร์ที่เธอปลอมแปลงเป็นโอสถดอกบัวเพลิง เจ้านิกายของนิกายดอกบัวเพลิงจึงให้ฐานะเธอภายในนิกายซึ่งมีตำแหน่งต่ำกว่าตัวเขาเองเพียงเล็กน้อย และในเมื่อหวังชูเหรินปฏิเสธที่จะแบ่งปันความลับในการปรุงโอสถสู่คัมภีร์ นิกายดอกบัวเพลิงจึงไม่มีทางเลือกได้แต่ดูแลเธอด้วยความนับถือมากยิ่งกว่าผู้อาวุโสนิกายคนอื่น
ครั้นเมื่อหวังชูเหรินได้รับวัตถุดิบแล้ว เธอก็ตรงกลับไปยังที่พักของเธอที่มีซูหยางรอคอยอยู่ เธอเริ่มปรุงยาทันทีไม่กี่วินาทีหลังจากที่เธอกลับมา
เมื่อเธอเสร็จสิ้นกระบวนการตรวจสอบและบด เธอพบว่าความเร็วของตนเองยังคงเท่าเดิม ราวกับว่าไม่มีการพัฒนาใดๆ อย่างไรก็ตามเธอไม่ได้ท้อแท้กับเรื่องนั้นและทำการปรุงยาต่อไป
และภายในเพียงไม่กี่นาทีหลังจากหวังชูเหรินเริ่มปรุงโอสถมังกรเพลิง สุดท้ายเธอก็ตระหนักถึงผลการอบรมของซูหยางที่มีต่อศาสตร์แห่งการปรุงยาของเธอ
ไม่เพียงแต่เธอรู้สึกว่าง่ายขึ้นในการควบคุมอุณหภูมิเตา แต่พละกำลังของเธอก็ถูกใช้ไปในอัตราที่น้อยกว่าก่อนการอบรมจากซูหยาง
หลังจากเพียงแค่อบรมจากซูหยางไปเพียงสี่ชั่วโมง ศาสตร์แห่งการปรุงยาของเธอได้ก้าวหน้าไปแบบก้าวกระโดด ถ้าเธอต้องศึกษาด้วยตนเองปราศจากความช่วยเหลือของเขา นั่นจะต้องใช้เวลาเธอเป็นเดือนเป็นปีเพื่อที่จะให้ถึงความก้าวหน้าระดับนั้น
“ชายผู้นี้เป็นใครกัน” หวังชูเหรินตื่นตระหนกเป็นอย่างมากในใจ
เธอรู้ว่าหน้าตาเด็กของซูหยางนั้นขัดแย้งกับความสามารถที่แท้จริงของเขาอย่างมาก แต่เธอยังคงไม่อาจเข้าใจเบื้องหลังที่แท้จริงของเขา
ในขณะที่เขาสวมชุดของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย สถานที่ที่ซึ่งไม่มีค่าให้ควรกล่าวถึงจากสำนักใหญ่หลายแห่ง ซูหยางกลับแสดงสิ่งที่เธอไม่เคยคาดคิดว่าจะได้มาแม้กระทั่งจากสำนักหรือตระกูลที่ทรงอำนาจที่สุดภายในภาคตะวันออก
เหตุใดเพียงแค่ศิษย์ธรรมดาของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจึงมีวิชาระดับเซียนซึ่งกระทั่งนิกายที่ร่ำรวยที่สุดในทวีปตะวันออกได้แต่ฝันจะได้มา
เหตุใดเพียงแค่ศิษย์ธรรมดาของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจึงมีประสบการณ์ในศาสตร์แห่งการปรุงยามากมายปานนี้
หวังชูเหรินย่อมไม่มีทางเชื่อ
“หยุดคิดเกี่ยวกับเรื่องไร้สาระและตั้งใจกับเตาปรุงยา” ซูหยางพลันกล่าวกับเธอ
หวังชูเหรินรู้สึกว่ามีความหนาวเยือกผ่านไขสันหลังจากความคมชัดของซูหยาง ราวกับว่าเขาสามารถอ่านใจเธอได้
“นิกายดอกบัวเพลิงต้องไม่ล่วงเกินเขาไม่ว่าในสถานการณ์ใดก็ตาม แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงคนคนเดียว นิกายไม่อาจล่วงเกินคนอย่างเขา” หวังชูเหรินสาบานกับตัวเองว่าเธอจะไม่ล่วงเกินซูหยางแม้ว่าเขาจะฆ่าครอบครัวของเธอต่อหน้า เขาเป็นคนที่น่าหวาดกลัวเกินไปในสายตาเธอ
หลังจากที่คิดเช่นนั้น หวังชูเหรินก็หยุดความคิดทุกอย่างที่ไม่จำเป็นออกไปจากใจและจดจ่อแต่เพียงเตาปรุงยาเบื้องหน้าเธอ
–
–
–
สองชั่วโมงต่อมา หวังชูเหรินก็นำเอาโอสถมังกรเพลิงออกมาจากเตาด้วยท่าทางสับสน
ไม่เพียงแต่เธอใช้เวลาปรุงยาแค่ครึ่งหนึ่งกว่าที่เธอใช้ในครั้งที่แล้ว กระทั่งร่างกายของเธอก็ยังเหงื่อไหลไม่มาก ศาสตร์แห่งการปรุงยาของเธอได้ก้าวหน้ามากเกินกว่าที่เธอได้คาดไว้
ปล: ผมได้ปรับปรุงเวลาจากต้นฉบับ ต้นฉบับบอกว่าเธอจะใช้เวลาปรุงยาสี่ชั่วโมง แต่เอาเข้าจริงสิบสองชั่วโมง และซูหยางอบรมอีกสี่ชั่วโมง รวมกับปรุงยาครั้งนี้อีกหกชั่วโมง รวมกันแล้วยี่สิบสองชั่วโมง เมื่อซูหยางมาถึงแปดโมงเช้ากว่าจะปรุงยาเม็ดนี้เสร็จก็หกโมงเช้าของอีกวัน
ผมได้ปรับปรุงเวลาจากสิบสองชั่วโมง เป็นสี่ชั่วโมงตามที่เธอบอก ซูหยางอบรมอีกสี่ชั่วโมง และปรุงยาเม็ดนี้อีกครึ่งหนึ่งตามที่ต้นฉบับบอก สองชั่วโมงไม่รวมตอนบด เป็นสิบสองชั่วโมง เป็นยี่สิบนาฬิกาสองทุ่มพอดีแบบไม่ต้องทำอะไรเลย ซึ่งก็น่าสมเหตุผลสอดคล้องกับตอนต่อไปพอสมควร จึงได้แจ้งให้ท่านผู้อ่านได้ทราบ
“ไม่เลว ข้ายอมรับว่าข้าประเมินเจ้าต่ำไป ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมเจ้าจึงไม่แสดงให้ข้าเห็นว่าอะไรคือความสามารถที่แท้จริงในการปรุงยาที่ดีที่สุดของเจ้า” ซูหยางกล่าวกับเธอ
หวังชูเหรินมั่นใจในความสามารถของตนเอง เธอพยักหน้า “เช่นนั้นข้าจักปรุงยาระดับสวรรค์ที่ได้รับการยกย่องอย่างสูง “โอสถมังกรเพลิง” ให้ท่าน มันเป็นยาที่มีมาพร้อมกับการก่อตั้งนิกายดอกบัวเพลิง”
“อ-อาจารย์ แล้วพวกผู้คนที่รออยู่ด้านนอกเหล่านี้ล่ะ พวกเขารอมาหลายชั่วโมงเพื่อโอสถดอกบัวเพลิง” เซียวยาเหวินถามเธอด้วยท่าทางเป็นกังวล
ถ้าหวังชูเหรินทำให้พวกเขาต้องรอนานเกินไป พวกเขาอาจจะเริ่มบ่น ถึงแม้ว่าพวกเขาเป็นนิกายดอกบัวเพลิง พวกเขาก็ไม่สามารถที่จะล่วงเกินกลุ่มอำนาจต่างๆได้มากมายในครั้งเดียว
“บอกพวกเขาว่าข้ามีธุระสำคัญที่จะต้องทำและจะกลับมาอาทิตย์หน้า ถ้าพวกเขามิสามารถรอได้ เช่นนั้นพวกเขาก็ลืมเรื่องโอสถดอกบัวเพลิงไปได้เลย ถ้าพวกเขายินดีที่จะรอ ข้าจักเพิ่มจำนวนโอสถดอกบัวเพลิงสำหรับแต่ละคนเป็นห้าเม็ด” หวังชูเหรินกล่าวสร้างความตื่นตระหนกให้กับเซียวยาเหวิน
“อ-อาจารย์…ท่านต้องการข้าไปบอกคนเหล่านี้ให้กลับมาทีหลังงั้นหรือ” เซียวยาเหวินอยากร้องไห้ แม้ว่าเธอจะเป็นศิษย์ในและเป็นศิษย์ตรงของหวังชูเหริน เธอไม่มีความสามารถที่จะบอกคนที่มีอำนาจและชื่อเสียงให้จากไปหลังจากที่พวกเขาได้รอเป็นเวลานาน
“พวกเขาคงกินข้าทั้งเป็น…” เธอพึมพัมพร้อมน้ำตาคลอเบ้า
หวังชูเหรืินส่ายหน้าหลังจากที่เห็นท่าทางน่าสงสารของเธอและออกไปด้วยตนเอง
“ข้าต้องขอโทษที่ต้องออกมาประกาศอย่างกระทันหัน ข้าเข้าใจดีว่าทุกท่านได้เฝ้ารอโอสถดอกบัวเพลิง แต่บางสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับข้าได้มาถึง ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถที่จะทำธุรกิจต่อได้ในวันนี้ เพื่อเป็นการขอโทษในวันนี้และขอบคุณต่อความเข้าใจของพวกท่าน ข้าจักเพิ่มจำนวนโอสถดอกบัวเพลิงที่แต่ละคนได้รับจากสามเป็นห้า และข้ายังลดราคาให้ทุกท่านที่มาวันนี้สิบเปอร์เซนต์เมื่อท่านกลับมาใหม่”
หวังชูเหรินพูด้ายท่าทางงดงามสง่าผ่าเผย เหมือนกับเมื่อตอนเธอทำงานที่โรงประมูลดอกบัวเพลิง เสียงของเธอก็มีประสิทธิภาพเช่นนี้ ซึ่งปกติแล้วไม่มีใครที่จะกล่าวโทษเธอหลังจากที่ได้ยินเสียงสดใสและเห็นใบหน้าซื่อสัตย์ของเธอ
“ช่วยไม่ได้ถ้าผู้อาวุโสหวังมีธุระ ข้าจักมาใหม่อย่างเร็วที่สุดเมื่อท่านสามารถขายโอสถดอกบัวเพลิงอีกครั้ง”
“ใช่แล้ว และไม่มีความจำเป็นสำหรับท่านผู้อาวุโสหวังจะต้องขอโทษ ข้ามั่นใจว่าตระกูลเฉิงต้องเข้าใจ”
“สำนักพันกระบี่ก็เข้าใจเช่นกัน”
แทนที่จะตำหนิเรื่องการบอกเลิกอย่างกระทันหัน ผู้คนเหล่านี้กลับเห็นอกเห็นใจหวังชูเหรินแม้ว่าจะไม่พอใจ ในเมื่อพวกเขาไม่กล้าที่จะล่วงเกินเธอและทำให้หมดโอกาสที่จะซื้อโอสถดอกบัวเพลิง บ้าไปแล้ว กระทั่งพวกเขายังตะโกนบอกชื่อของตนเองเสียงดัง หวังว่าหวังชูเหรินจะจดจำพวกเขาได้
แม้ว่ายาเองอาจดูไม่น่าประทับใจ แต่ผลของมันประกันว่าคนที่อยู่เขตปฐมวิญญาณสามารถเข้าถึงเขตคัมภีร์วิญญาณได้อย่างแน่นอนได้ช่วยหลือหลายสำนักและตระกูลได้เป็นอันมาก ซึ่งพวกเขาล้วนมีคนมากมายที่เขตปฐมวิญญาณซึ่งยากที่จะผ่านไปถึงเขตคัมภีร์วิญญาณ
โอสถดอกบัวเพลิงนี้สามารถเพิ่มพลังอำนาจของตระกูลและสำนักเหล่านั้นอย่างง่ายดายอย่างน้อยหนึ่งระดับ ถ้าพวกเขามียาพอเพียง ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลว่าไม่มีใครที่นั่นกล้าที่จะล่วงเกินหวังชูเหริน ผู้ที่เป็นเพียงคนเดียวในโลกนี้ที่สามารถปรุงยาเช่นนั้นในตอนนี้ เธอเป็นคนที่สำคัญที่สุดที่จะช่วยเหลือพวกเขา
ครั้นเมื่อพื้นที่นั้นว่างเปล่าแล้ว หวังชูเหรินก็กลับไปในบ้าน
“ง่ายๆแค่นั้นแหละ” เธอกล่าวกับเซียวยาเหวิน ผู้ที่เห็นชัดว่าหวาดหวั่นกับสิ่งที่อีกฝ่ายทำ
เธอหันกายมาหาซูหยางและกล่าวว่า “ไปที่ห้องปรุงยาของข้ากันเถอะ”
หลังจากนั้นไม่นานทั้งคู่ก็เข้าไปในห้องปรุงยา แต่ก่นที่จะเข้าไปหวังชูเหรินก็กล่าวกับเซียวยาเหวินว่า “ข้าจักไม่รับแขกหลายวันนี้”
ครั้นเมื่อพวกเขาอยู่ข้างในแล้ว หวังชูเหรินก็ถามซูหยางว่า “โอสถมังกรเพลิงจักใช้เวลาปรุงประมาณสี่ชั่วโมง หวังว่าท่านมิรังเกียจที่จะรอ”
ซูหยางนั่งลงอย่างเรียบง่ายที่มุมห้องและกล่าวว่า “ตามสบาย”
หวังซูเหรินพยักหน้าและไม่ชักช้าที่จะปรุงยาอีกต่อไป
สองสามวินาทีหลังจากนั้น หวังชูเหรินก็นำเอาสมุนไพรและตัวยาแตกต่างกันออกมาหลายสิบชนิดจากแหวนมิติและเริ่มตรวจสอบพวกมันทีละชิ้น
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง เธอก็เริ่มกระบวนการบดยา ซึ่งใช้เวลาไปอีกสองชั่วโมงจึงเสร็จสิ้น
แม้ว่าความเร็วของเธอถือว่าเร็วเมื่อเทียบกับนักปรุงยาระดับสุดยอดในทวีปตะวันออก เธอยังช้ามากเมื่อเทียบกับซูเมิ่งอี้ ผู้ซึ่งสามารถเบียดนักปรุงยาทุกคนในทวีปนี้ให้อับอายด้วยความเร็วอันบ้าคลั่งของเธอได้อย่างง่ายดาย
อย่างไรก็ตามแม้ว่าเธอจะช้า ซูหยางก็ได้วิเคราะห์ทุกการกระทำของเธออย่างระมัดระวัง เพื่อดูว่าเธอสามารถที่จะปรุงโอสถแยกวิญญาณด้วยความสามารถในปัจจุบันนี้ได้หรือยัง
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า
สี่ชั่วโมงหลังจากนั้น หวังชูเหรินก็เหงื่อท่วมตัว ราวกับว่าเธอเพิ่งขึ้นมาจากสระน้ำ เป็นเหตุให้เสื้อผ้าของเธอแนบชิดกับร่างและเปิดเผยถึงเรือนร่างอวบอิ่มและผิวผ่อง
จากบรรดาหญิงสาวที่เขาพบทั้งหมดในโลกนี้ หวังชูเหรินถือว่าเป็นจุดสุดยอดเนื่องมาจากมีเรือนร่างเย้ายวนมีเสน่ห์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแตงโมสอบใบบนอกของเธอ
และเมื่อซูหยางได้เข้าใจความสามารถทั้งหมดของเธอในตอนนี้ เขาก็ใช้เวลาที่เหลือในการบำรุงสายตากับเรือนร่างอันงดงามของเธอ
“ข-ข้าเสร็จแล้ว…” หวังชูเหรินกล่าวด้วยเสียงระโหยหลังจากที่ใช้เวลาอีกหนึ่งชั่วโมงในการสร้างเม็ดยา
ครั้นเมื่อเธอนำเอาเม็ดโอสถมังกรเพลิงออกมาจากเตา เธอก็นำมันใส่ไว้ในขวดยาและให้ซูหยางเพื่อตรวจสอบ
“ความบริสุทธิ์แปดสิบเปอร์เซนต์ ได้อย่างมากที่สุดก็คือคุณภาพระดับปานกลาง หึ” ซูหยางพูดหลังจากนั้นไม่นาน
“เช่นนั้นท่านคิดว่าเป็นอย่างไร ข้าสามารถที่จะปรุงยาของท่านได้หรือยัง” เธอถาม
ซูหยางส่ายหน้า “โชคร้าย เจ้ายังมิถึงระดับนั้น เจ้ามีโอกาสเพียงห้าสิบเปอร์เซนต์ในการที่จะปรุงออกมาให้สำเร็จในตอนนี้ แต่ข้ามีวัตถุดิบพอที่จะทำได้เพียงหนึ่งครั้ง”
“ถ้าเป็นเช่นนั้น….”
“ข้าจักสอนเจ้าจนกระทั่งข้ามั่นใจว่าเจ้าสามารถปรุงยาออกมาได้ร้อยเปอร์เซนต์”
“ข-เขากำลังจะสอนข้า” แม้ว่าหวังชูเหรินไม่ได้พูดอะไร ความตื่นเต้นใจในดวงตาเธอชัดเจนราวกับกลางวัน
“เจ้ากล้าทำโอสถดอกบัวเพลิงของอาจารย์ข้าเช่นนั้นได้อย่างไร อธิบายมา” ศิษย์หญิงสุดจะโกรธกับสิ่งที่ซูหยางทำกับยาของอาจารย์ของเธอ หวังชูเหริน ได้ปรุงขึ้น
แม้ว่าเธอได้แนะนำให้อย่าสนใจผู้คนที่พยายามสร้างปัญหาที่นี่ เธอกลับไม่อาจเพิกเฉยกับการกระทำของซูหยาง
“นี่เป็นยาขยะ ดังนั้นข้ามิได้ต้องการมันอีกต่อไป” ซูหยางให้คำอธิบายสั้นๆ
แต่นั่นเพียงทำให้เธอโกรธมากยิ่งขึ้น
“ข-ข-ขยะ เจ้ากล้าเรียกยาดอกบัวเพลิงเพียงหนึ่งเดียวที่มีผลถึงร้อยเปอร์เซนต์ในโลกนี้ว่าขยะ เจ้ายังมีความรู้เรื่องยาบ้างหรือไม่”
ซูหยางยักไหล่ด้วยท่าทางไม่ใส่ใจ “อย่างไรข้าก็มิได้มาที่นี่เพื่อยาของเจ้า ไปเรียกหวังชูเหรินออกมาให้ข้า ข้าต้องการพูดกับเธอ บอกเธอว่าซูหยางมาที่นี่เพื่อพบกับเธอ”
“ข้ามิสนใจว่าเจ้าเป็นซูหยางหรือซูหยิน เจ้ามิมีทางได้พูดกับอาจารย์ของข้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งมิมีทางกับสิ่งที่เจ้าทำ ถ้าเจ้ามิจากไปในตอนนี้ ข้าจักเรียกผู้อาวุโสนิกายของข้ามาช่วยเหลือเจ้า”
ในใจของเธอ ซูหยางช่างไร้สัมมาคารวะต่อยาที่ผลิตโดยหวังชูเหริน เห็นได้ชัดว่าเขามิได้มาที่นี่ฉันมิตร
“นี่ก็มีผู้อาวุโสนิกายอยู่คนหนึ่งในอาคารนี้ ทำไมเจ้ามิเข้าไปและเรียกหาเธอ ข้ามั่นใจว่าเธอต้องยินดีช่วยเหลือข้าแน่” ซูหยางชี้ไปยังอาคารที่พักของหวังชูเหรินพร้อมด้วยรอยยิ้ม
ศิษย์คนนี้เริ่มสั่นไปด้วยความโกรธ เธอไม่เคยพบใครที่บ้าบอดังเช่นซูหยางมาก่อน รูปโฉมอันสง่างามของเขาเพียงเป็นคราบปลอมแปลงของปีศาจที่สิงอยู่ในร่างของเขา
“เจ้าอยู่ไหน เซียวยาเหวิน ยาชุดต่อไปพร้อมแล้ว” เสียงหวังชุเหรินพลันดังมาจากภายในอาคาร
“ข-ข้ากำลังไป”
หลังจากที่ได้ยินเสียงของหวังชูเหริน ศิษย์ของเธอ เซียวยาเหวิน ไม่สนใจซูหยางอีกต่อไปและเดินกลับเข้าไปในบ้าน
อย่างไรก็ตามเธอต้องหยุดอยู่ที่ประตูเมื่อพบว่าซูหยางคนนั้นพยายามเข้ามาในบ้านตามหลังเธอ
“จ-เจ้า เจ้าคงต้องการตายในวันนี้จริงๆ เฮอะ” เธอชี้ไปที่เขา
ซูหยางแสดงรอยยิ้มเล็กน้อยก่อนที่จะก้าวเข้าไปในบ้านแม้ว่าเซียวยาเหวินยืนอยู่ตรงหน้าเขา
“จ-เจ้าคิดว่ากำลังจะไปไหน”
เมื่อเซียวยาเหวินพยายามที่จะหยุดซูหยางจากการเข้าไปในบ้าน เธอต้องตกตะลึงเมื่อพบว่าเธอไม่สามารถที่จะดันเขากลับออกไปได้แม้เพียงหนึ่งเซนติเมตรด้วยพลังการฝึกปรือระดับสูงสุดของเขตคัมภีร์วิิญญาณ รู้สึกกลับเหมือนว่าเธอพยายามที่จะเคลื่อนย้ายภูเขาด้วยมือเปล่า
“เจ้ายังไม่เสร็จรึ” ซูหยางหัวเราะหึขณะที่เขามองเธอดิ้นรนพยายามที่จะผลักเขาออกไปจากประตู
“ฝ่ามือดอกบัวเพลิง”
เซียวยาเหวินพลันยกมือขึ้นกระแทกไปที่อกซูหยางด้วยฝ่ามือดอกบัวเพลิง หนึ่งในวิชาประจำนิกาย
“อ-อ-อะไรกัน เป็นไปมิได้” เซียวยาเหวินแตกตื่นเป็นอย่างมากเมื่อซูหยางไม่สะดุ้งสะเทือนแม้ว่าจะโดนฝ่ามือดอกบัวเพลิงของเธอซัดเข้าไปเต็มอก
“ตัวเจ้าทำด้วยอะไรกัน เพชรรึ” เธอร้องลั่นขณะที่กุมมือที่เธอใช้โจมตีซูหยาง เช่นเดียวกับผู้อาวุโสเกาที่ด้านนอก เธอกลับทำให้ตัวเองบาดเจ็บแทนที่จะทำร้ายเขา
หลังจากที่พบว่าเธอไม่สามารถที่จะหยุดซูหยางได้ เซียวยาเหวินเริ่มตะโกนร้องเสียงดัง “อาจารย์ ระวัง มีผู้บุกรุกพยายามที่จะทำร้ายท่าน”
“ผู้บุกรุก เฮ้อ เช่นนั้นก็ได้ เจ้ามิได้พูดผิดทั้งหมด” ซูหยางไม่หยุด ยังคงเดินตรงไปยังห้องของหวังชูเหริน
“มีคนพยายามที่จะทำร้ายข้า ฮ่าฮ่าฮ่า มาดูกันว่าเป็นคนโง่คนไหนกัน–” หวังชูเหรินพลันออกมาจากห้องของเธอพร้อมหัวเราะ
“สักพักหนึ่งแล้วนะ หวังชูเหริน” ซูหยางทักเธอด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
“ฮ่าฮ่าฮ่า…ฮาฮา…ฮา.. เอ๋” เสียงหัวเราะของหวังชูเหรินเบาลงจนถึงกับหยุดชะงักเมื่อเธอเห็นใบหน้าหล่อเหลาของซูหยาง
“จ-จ-เจ้าคือ…” แม้ว่าเธอจะจดจำเขาไม่ได้ในทันที แต่สุดท้ายครั้นที่เธอนึกถึงหน้าเขาขึ้นมาได้ หวังชูเหรินก็เริ่มสั่นสะท้านไปด้วยความตื่นเต้น
“อาจารย์” หวังชูเหรินไม่สนใจว่าศิษย์ของเธอเองจะยืนอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่เมตร เธอคุกเข่าลงเพื่อคำนับซูหยาง
“ข้าจำมิได้ว่ายอมรับเจ้าเป็นศิษย์ตอนไหน” ซูหยางกล่าวกับเธอ
“อย่าเป็นเช่นนั้นสิ ซูหยาง…” หวังชูเหรินกล่าวพร้อมรอยยิ้มขื่นขม
ในเวลานั้น เซียวยาเหวินเหม่อมองอาจารย์ของเธอและซูหยางด้วยดวงตางงงัน ดูเหมือนว่ายอมรับไม่ได้
เธอไม่อยากเชื่อว่าทั้งคู่รู้จักกัน ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาดูเหมือนสนิทกัน
“ถ้าจะว่าไป ทำไมท่านมาทำอะไรที่นี่ ท่านต้องการสมบัติจากข้าใช่ไหม หรือจะเป็นยา” หวังชูเหรินสามารถคิดหาเหตุผลออกเพียงประการเดียวว่าทำไมเขาจึงมาปรากฏต่อหน้าเธอ
“เจ้าเข้าถึงประเด็นได้รวดเร็วเหมือนแต่ก่อน ข้าชอบ” ซูหยางยิ้ม “ถูกต้องแล้ว ข้าเคยต้องการให้เจ้าปรุงยาให้ แต่ว่า…”
“เคยต้องการ ทำไมถึงต้องเคย” เธอถามด้วยท่าทางสับสน
“หลังจากที่เห็นโอสถสู่คัมภีร์ที่เจ้าปรุง ข้ามิคิดว่าเจ้าจะสามารถจัดการสิ่งที่ข้าวางแผนให้เจ้าได้”
“เอ๋ ท่านหมายความว่าอย่างไรกับสิ่งนั้น”
มองเห็นว่าเธอยังดูท่าทางงุนงง ซูหยางส่ายหน้าและกล่าวว่า “ข้าซื้อยาของเจ้าไปสองสามเม็ดก่อนหน้านี้ และข้าต้องบอกว่าหลังจากที่เห็นคุณภาพของยา ข้ามิพึงพอใจถึงที่สุด”
“แต่ว่า…” ซูหยางพลันขยับหน้าเข้าไปใกล้กับหวังชูเหรินและเริ่มสูดดมช่วงคอที่เปิดอยู่ของเธอ “มีกลิ่นของโอสถสู่คัมภีร์คุณภาพสูงบนร่างของเจ้า..เจ้าสามารถอธิบายเรื่องนี้ให้แก่ข้าได้หรือไม่”
หวังชูเหรินหน้าแดงเมื่อซูหยางเข้าไปจนชิด เธอเริ่มหัวเราะหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเขา “โอนั่นรึ ฮ่าฮ่าฮ่า…”
เธอขยับริมฝีปากนุ่มของเธอเข้าไปใกล้หูของเขาและกระซิบว่า “ท่านเข้าใจไหม ข้าขายยาคุณภาพต่ำเหล่านั้นโดยเจตนา… ในเมื่อทั้งยาคุณภาพต่ำและยาคุณภาพสูงล้วนมีโอกาสร้อยเปอร์เซนต์ในการสนับสนุนให้ผู้ที่อยู่ในเขตปฐมวิญญาณให้เข้าสู่เขตคัมภีร์วิญญาณ ข้าจึงควรขายสิ่งที่เลวไปให้คนอื่นและเหลือแต่สิ่งที่ดีสำหรับนิกายของข้าใช่ไหม แม้กระทั่งศิษย์ของข้ายังมิรู้เรื่องนี้ โปรดเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ ตกลงไหม”
ครั้นเมื่อซูหยางรู้กลอุบายของเธอ เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเสียงดังออกมา เขามีความรู้สึกว่าควรจะเป็นเช่นนี้ เมื่อคิดว่าหวังชูเหรินก็เป็นคนหนึ่งที่ฉลาดเฉลียว
ผู้อาวุโสเการู้สึกสังหรณ์ใจว่าเขาควรจะเลิกสนใจศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยที่อยู่ต่อหน้านี้ แต่ความภาคภูมิใจในความเป็นผู้อาวุโสสั่งเขาให้ทำตรงข้าม สุดท้ายเขาจะมีหน้าเหลือได้อย่างไรถ้าเขาเดินจากไปอย่างขลาดเขลาหลังจากซูหยางยั่วยุ และนั่นก็มีคนมากมายที่มีอิทธิพลและชื่อเสียงมองดูเขาอยู่ตอนนี้ เขาคงกลายเป็นตัวตลกถ้าเดินหนีไปตอนนี้
“เจ้าเป็นคนกล้าแต่ในฐานะผู้อาวุโสกว่า ข้าจักให้โอกาสสุดท้ายแก่เจ้าที่จะถอยไป” ผู้อาวุโสเกากล่าว
ซูหยางไม่ได้พูดอะไรอีกและเริ่มหันตัว
เมื่อเห็นเขาหันตัว ผู้อาวุโสเการู้สึกโล่งอก แต่เมื่อพบว่าซูหยางไม่ได้หันตัวกลับแต่กลับเดินรอบตัวเขา ใบหน้าผู้อาวุโสเกาก็แดงขึ้นด้วยความโกรธ รู้สึกเหมือนว่าเขาเพิ่งถูกตบหน้าไม่เพียงแค่ครั้งเดียวแต่ถึงสองครั้งซ้อน
“เจ้าบีบให้ข้าลงมือ น้องชาย”
ผู้อาวุโสเกาพลันหันตัวและเหวี่ยงขาของเขาไปที่ขาซูหยางอย่างรวดเร็วเต็มกำลังของผู้มีฝีมือเขตสัมมาวิญญาณ
และก่อนที่ลูกเตะของเขาจะทันได้กระทบกับซูหยาง ผู้อาวุโสเกาได้จินตนาการว่าขาของซูหยางหักเป็นสองท่อนอย่างเหี้ยมโหดไปเรียบร้อยแล้ว
อย่างไรก็ตามสิ่งที่เกิดขึ้นถัดจากนั้นสร้างความแตกตื่นไม่เพียงแต่ผู้อาวุโสเกาแต่กับทุกคนที่เป็นพยานในที่นี้
เมื่อผู้อาวุโสเกาเตะขาซูหยาง เสียงกระดูกหักดังฟังชัด แต่ไม่ใช่ขาของซูหยางที่พิการ จริงแล้วเขายังคงยืนอยู่ที่นั่นด้วยท่าทางสุขสบายราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“อาาาา ขาข้า”
ผู้อาวุโสเกาไม่อาจยืนได้อีกต่อไป เขาล้มลงไปบนพื้นขณะที่กุมไปบนขาขวาของตนเองที่โค้งงอไปในมุมที่แปลกประหลาด เขาทำให้ขาตนเองข้างที่พยายามจะหักขาซูหยางหักไป
“เทพเจ้า…ขาของเขาทำด้วยอะไรกัน” ผู้คนอ้าปากค้างด้วยความตื่นตระหนกเมื่อเห็นซูหยางไม่แม้จะสะดุ้งหลังจากที่ถูกผู้อาวุโสเกาเตะ
ในสายตาของพวกเขา ราวกับว่าผู้อาวุโสเกาเตะเสาที่ทำมาจากเพชรแทนที่จะเป็นขามนุษย์
“หืม” ซูหยางหันไปมองรอบๆอย่างช้าๆ และทำท่าเหมือนกับว่าเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น “เกิดอะไรขึ้นกับขาของท่าน ข้าคิดว่ามันงอผิดทางนะ…” เขาถามอีกฝ่ายด้วยเสียงสบายๆ
ผู้อาวุโสเกาพลันกระอักโลหิตออกมาเต็มคำเมื่อได้ยินคำพูดลบหลู่ของซูหยาง และล้มหมดสติลงหลังจากคืบคลานเหมือนหนอนอยู่บนพื้นไม่นานหลังจากนั้น
ซูหยางส่ายหน้าและเริ่มเดินอีกครั้ง
ไม่มีใครกล้าที่จะกล่าวว่าเขาที่แซงแถวในครั้งนี้ อย่าว่าจะขวางทางเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาไม่สามารถเข้าใจในตัวซูหยาง
เขาเป็นเพียงแค่ศิษย์ในของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย แต่ว่าไม่มีใครในที่นั้นสามารถที่จะรู้ถึงพลังการฝึกปรือของเขา ทั้งที่มีผู้ฝึกวิชาเขตสัมมาวิญญาณมากมายภายในแถว
ครั้นเมื่อซูหยางไปถึงด้านหน้าสุด คนแรกในแถวก็ก้าวถอย ยอมให้เขาเคาะประตูบ้านหวังชูเหริน
“ท่านต้องการซื้อโอสถดอกบัวเพลิงมากเท่าไร จำกัดต่อคนซื้อได้สามเม็ด” เสียงดังด้านหลังประตูหลังจากที่ได้ยินเสียงเคาะของซูหยาง
เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของหวังชูเหริน และเป็นได้อย่างมากแค่เพียงผู้ช่วยของเธอคนหนึ่ง
“ข้ามิได้มาที่นี่เพื่อซื้อโอสถดอกบัวเพลิงของเจ้า ข้ามาเพื่อพูดกับหวังชูเหริน บอกเธอให้ข้าด้วย” ซูหยางพูดเสียงดัง
“…”
เสียงนั้นไม่ตอบกลับซูหยางแม้ว่าจะผ่านไปหลายนาที ราวกับว่าคนนั้นมีเจตนาเพิกเฉยต่อซูหยาง
“ท่านต้องการซื้อโอสถดอกบัวเพลิงมากเท่าไร จำกัดต่อคนซื้อได้สามเม็ด” เสียงนั้นพูดแบบเดิม
“ข้าต้องการซื้อสาม” ซูหยางตัดสินใจเล่นด้วย
หลังจากนั้นไม่นานประตูก็เปิดออกและศิษย์หญิงก็ปรากฏตัวแล้วยื่นส่งโอสถดอกบัวเพลิง “โอสถดอกบัวเพลิงมีราคาร้อยหินวิญญาณ”
ซูหยางไม่สนใจราคาที่แพงลิบและยื่นส่งหินวิญญาณร้อยก้อนแก่ศิษย์นั้น
ครั้นเมื่อศิษย์นั้นยืนยันว่าเป็นจำนวนที่ถูกต้อง เธอก็ยื่นส่งขวดยาสามขวดให้กับเขาก่อนที่จะปิดประตูอีกครั้ง
ซูหยางมองดูยาสามเม็ดในมือพร้อมกับเลิกคิ้ว
ตัวตนโอสถดอกบัวเพลิงที่แท้จริงก็คือโอสถสู่คัมภีร์ ตำรับยาที่เขาให้กับหวังซูเหรินไปพร้อมกับวิชาระดับเซียน อย่างไรก็ตามนั่นมีบางสิ่งที่เขาคาดหวัง
สิ่งที่ทำให้เขาเลิกคิ้วก็เพราะว่าคุณสมบัติอันต่ำต้อยของโอสถสู่คัมภีร์ ในขณะที่โอสถสู่คัมภีร์มีประสิทธิภาพร้อยเปอร์เซนต์ไม่ว่าจะด้วยคุณภาพระดับใดก็ตาม เพียงแต่ยาคุณภาพระดับสูงจะมีความปนเปื้อนน้อยกว่ายาคุณภาพระดับต่ำต่อผู้ฝึกวิขา
“ขอประทานโทษ ในเมื่อท่านได้โอสถดอกบัวเพลิงแล้ว ท่านพอจะจากไปได้แล้วหรือยัง” คนที่อยู่เบื้องหลังเขาถามด้วยเสียงนอบน้อม แน่นอนว่าเขาไม่กล้าที่จะล่วงเกินซูหยางฟังจากน้ำเสียงของเขา
อย่างไรก็ตามซูหยางไม่แม้จะมองกลับหลัง สายตาของเขายังคงจับจ้องขวดยาในมือ
“นี่คือสิ่งที่ดีที่สุดที่เธอสามารถทำได้แม้ว่าจะมีวิชาระดับเซียนรึ ช่างไร้ค่านัก” ซูหยางถอนใจ สงสัยว่าเขาทำผิดพลาดที่เลือกเธอ
ถ้าหยางซูเหรินไม่สามารถกระทั่งปรุงโอสถสู่คัมภีร์ในตอนนี้ เขาไม่คาดหวังว่าเธอจะสามารถปรุงโอสถแยกวิญญาณได้สำเร็จ
ครั้นเมื่อเขาเสร็จสิ้นการตรวจสอบโอสถสู่คัมภีร์แล้ว ซูหยางโยนขวดยาลงไปบนพื้นราวกับว่าพวกมันเป็นขยะ สร้างความงงงันให้กันทุกคนที่นั่น
ผู้คนไม่เชื่อสายตาตนเอง เขาเพิ่งใช้หินวิญญาณร้อยก้อนไปเพียงเพื่อโยนเม็ดยาลงบนพื้น ถ้านี่ไม่ใช่การตบหน้าหวังชูเหรินตรงๆแล้วพวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไรดี
“เขาบ้าไปแล้ว แสดงท่าทางไม่เคารพเช่นนั้นขณะยืนอยู่หน้าที่พักของเธอ ผู้อาวุโสหวังจักต้องไม่ขายยาอื่นให้กับเขาหรือว่าสำนักของเขาอีกต่อไปอย่างแน่นอน”
“เจ้าคิดว่าเจ้ากำลังทำอะไร” ศิษย์หญิงที่เพิ่งยื่นส่งยาให้กับเขากระทืบเท้าออกมาจากบ้านด้วยท่าทางโกรธ เธอได้เป็นพยานรับรู้การกระทำของซูหยางตอนนี้ได้อย่างชัดเจน สิ่งที่เธอเห็นชัดว่าไม่เคารพไม่เพียงแต่หวังชูเหริน แต่เป็นนิกายดอกบัวเพลิงทั้งหมดด้วย
ครั้นเมื่อพวกเขาเข้าไปในนิกายดอกบัวเพลิงแล้ว จางซิวยิงได้นำซูหยางไปลงทะเบียนชื่อของเขาในสมุดบันทึกชื่อแขก
“มีคนมากที่นี่ในวันนี้…” จางซิวยิงประหลาดใจหลังจากที่เห็นแขกจำนวนมากที่ลงชื่อในวันนี้ ซึ่งมากกว่าที่ควรเป็นตามปกติ
เมื่อผู้อาวุโสนิกายมองเห็นเสื้อผ้าของซูหยาง ท่าทางบนใบหน้าของเขาดูกระอักกระอ่วน ราวกับว่าเขาไม่รู้ว่าควรจะคิดอย่างไรกับสถานการณ์นี้
เขามองดูจางซิวยิงและแอบส่ายหน้า
เมื่อคิดว่าศิษย์ในของตนเองหน้าด้านพอที่จะพาคนจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเข้ามาในนิกายของตนเอง ผู้อาวุโสนิกายรู้สึกเสียใจอย่างมาก เพราะว่าในสายตาของเขา การกระทำของจางซิวยิงไม่ต่างจากการนำหญิงคณิกาเข้าบ้าน
“ห้ามผู้มาเยี่ยมอยู่ภายในนิกายดอกบัวเพลิงหลังเที่ยงคืน ดังนั้นเจ้าต้องออกไปก่อนหน้านั้น” ผู้อาวุโสนิกายพูดขณะยื่นส่งบัตรผู้มาเยี่ยมให้กับซูหยางด้วยท่าทางรังเกียจอยู่บ้าง
“ขอบคุณท่านผู้อาวุโส” จางซิวยิงกล่าว แน่นอนว่าไม่รู้ว่าเธอเพิ่งถูกกำหนดให้เป็นหญิงดอกทองโดยผู้อาวุโสนิกาย
“ไปกันเถอะ ซูหยาง ข้าจักพาเจ้าไปหาผู้อาวุโสหวัง” เธอกล่าวกับเขาครั้นเมื่อพวกเขาออกไปจากอาคารบริการแล้ว
ซูหยางพยักหน้าและเริ่มติดตามเธอเข้าไปในนิกาย
ระหว่างการเดินระยะสั้นๆนั้น มีศิษย์หลายคนที่หรี่ตามองดูซูหยาง ท่าทางของพวกเขาแสดงถึงความรังเกียจ ราวกัว่าพวกเขามองดูสัตว์ชั้นต่ำ
นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในภาคตะวันออกถึงวิธีการฝึกวิชาที่นอกคอก และในสายตาของผู้ฝึกวิชาปกติทั่วไปหลายคน พวกเขาไม่ต่างไปจากโสเภณีที่อาศัยการฝึกวิชามาเป็นข้ออ้างเพื่อหมกมุ่นกับกิจกรรมทางเพศ
อย่างไรก็ตามซูหยางคุ้นเคยกับการที่มีผู้คนมองดูเขาด้วยท่าทางไม่พึงใจ ดังนั้นเขาจึงเพิกเฉยคนเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย เหมือนกับเป่าฝุ่นผงออกจากไหล่
“ข้าขอโทษ…” จางซิวยิงขอโทษซูหยางหลังจากที่พบเห็นสถานการณ์รอบข้าง เธอรู้สึกต้องการขอโทษเขาเพราะว่าเธอก็เป็นศิษย์คนหนึ่งของนิกายดอกบัวเพลิง
“ทำไมเจ้าต้องขอโทษ นั่นมิจำเป็นต้องให้ความสนใจคนเหล่านั้น เพียงทำเหมือนกับว่าพวกนั้นเป็นแค่มด” ซูหยางกล่าวด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“ตกลง…” เธอพยักหน้า
สองสามนาทีต่อมา เมื่อพวกเขามองเห็นที่พักของผู้อาวุโสหวังจากระยะไกล จางซิวยิงเกือบร้องออกมากับฉากที่เห็นเมื่อเธอพบว่ามีคนมากมายมารวมตัวกันหน้าบ้านผู้อาวุโสหวัง ยิ่งไปกว่านั้น คนเกือบทั้งหมดนี้ไม่ใช่ศิษย์ของนิกายดอกบัวเพลิง ล้วนสวมเสื้อผ้าที่แสดงถึงสำนักและตระกูลต่างๆ
นั่นเป็นสายยาวเหยียดจากที่พวกเขายืนอยู่เรื่อยไปจนถึงบ้านหวังชูเหริน ทำให้สถานที่นี้เหมือนกับตลาดอันวุ่นวาย
“น-นี่ไม่ได้มีคนมากมายปานนี้ตอนที่ข้าออกไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน เกิดอะไรขึ้นในขณะที่ข้าไม่อยู่” จางซิวยิงอุทานเมื่อเธอนับได้อย่างต่ำกว่าสองร้อยคนในแถวด้วยสัมผัสวิญญาณของเธอ
“เจ้ามิได้ยินรึ ผู้อาวุโสหวังเพิ่งประกาศว่าเธอจะขายโอสถดอกบัวเพลิงที่มีประสิทธิภาพร้อยเปอร์เซนต์ชั่วขณะโดยมีจำนวนจำกัด ดังนั้นจึงมีคนมากมายตรงมาที่นี่เพื่อที่จะได้รับส่วนแบ่ง” คนสุดท้ายของแถวอธิบายหลังจากได้ยินเสียงร้องตกใจของเธอ “ยังมีคนมาอีกมากระหว่างที่เราพูดคุย”
หนึ่งในเหตุผลที่เป็นเหตุให้ฐานะของหวังชูเหรินพุ่งพรวดก็เพราะว่าเธอมีความสามารถในการปรุงโอสถดอกบัวเพลิงที่มีประสิทธิภาพสูงสุดร้อยเปอร์เซนต์ บางสิ่งที่สั่นสะเทือนตลาดยาเมื่อเธอประกาศตัวมันออกมาเป็นครั้งแรก
“เราควรทำอย่างไรดี ซูหยาง” จางซิวยิงถามเขา “ข้ามิคิดว่าเราจักสามารถพบตัวผู้อาวุโสหวังวันนี้”
แม้ว่าพวกเขาสามารถเข้าไปพบเธอในวันนี้ได้ หวังซูเหรินอาจจะไม่มีเวลามาฟังพวกเขา นี่คือความคิดของจางซิวยิง
“ทำไมเราต้องยืนเข้าแถวด้วย ข้ามิได้มาที่นี่เพื่อที่จะซื้อโอสถดอกบัวเพลิง” ซูหยางกล่าว
“แต่ว่าเราจะไปพบเธอได้อย่างไร เรามิอาจแซงทุกคนในแถวและ—”
“เจ้าอยู่ที่นี่ชั่วครู่” ซูหยางตัดบทเธอและเริ่มเดินออกไป
จางซิวยิงเหม่อมองดูซูหยางด้วยดวงตาเบิกกว้าง เมื่อเขาเพิกเฉยต่อแถวยาวเหยียดอย่างเยือกเย็น ตรงไปยังที่พักของหวังซูเหริน
ผู้คนในแถวตอนแรกก็ไม่สนใจเขา แต่ครั้นเมื่อพวกเขาพบว่าเขาไม่ใช่แค่เพียงเดินผ่าน พวกเขาพลันเริ่มก่นด่าเขาในทันใด
“เฮ้ เจ้าคิดว่ากำลังจะไปไหน แถวอยู่ด้านหลังโน่น”
เมื่อมีคนหนึ่งตะโกนก็เหมือนกับเกิดคลื่น คนอื่นๆอีกหลายคนก็เริ่มอ้าปากพูด ทำให้สถานที่นั้นเกิดความปั่นป่วนอย่างรวดเร็ว
“เจ้าหนุ่ม เจ้ารู้ไหมว่าคนมากมายเท่าไหร่ที่เจ้าล่วงเกินโดยการแซงนอกแถว ข้าสงสัยว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยของเจ้าต้องมีความสุขแน่ถ้าพวกเขาพบว่ามีผู้ทรงอิทธิพลต่างๆมากมายไปเคาะประตูหน้าบ้านหลังจากวันนี้เป็นต้นไป”
“ใช่แล้ว นิกายของเจ้าต้องทนรับผลจากการกระทำของเจ้า”
แม้ว่าคำข่มขู่เหล่านี้ทั้งหมดถูกโยนไปหาเขา ซูหยางยังคงเดินไปด้วยใบหน้าท่าทางไม่ใส่ใจ ราวกับว่าเขาไม่ได้ยินคำกล่าวเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งมีชายวัยกลางคนตัดสินใจก้าวออกมาจากแถวมายืนอยู่ตรงหน้า เพื่อขวางทางเขาไว้
“นั่นคือผู้อาวุโสเกาจากศาลาโอสถหยก”
ผู้คนจดจำชายวัยกลางคนได้อย่างรวดเร็ว เขาเป็นนักปรุงยาที่ได้รับความนับถือเป็นอย่างสูงในภาคตะวันออก
“มีอะไรให้ข้าช่วยรึ” ซูหยางถามเขาด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร
“ยังทำท่าโง่อีกรึ ข้ามิสนใจว่าเจ้าเป็นศิษย์ในของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ถ้าเจ้าก้าวมาอีกก้าว ข้าจักหักขาของเจ้า”
“เขตสัมมาวิญญาณระดับสาม หึ ไปให้พ้น พยายามที่จะหักขาข้า มิได้ผลหรอก” ซูหยางกล่าวพร้อมหรี่ตาสร้างความตื่นตะลึงให้กับทุกคนบริเวณนั้น
“…” ผู้อาวุโสเกาเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจเมื่อซูหยางบ่งบอกระดับพลังการฝึกปรือของเขาได้อย่างง่ายดายในขณะที่เขาไม่อาจรับรู้ว่าพลังการฝึกปรือของซูหยางเป็นอย่างไร
“ช่างเป็นคนที่อันตราย” ผู้อาวุโสเกาเริ่มหลั่งเหงื่อภายใต้เสื้อคลุมเมื่อสายตาของเขาพบกับสายตาคมกล้าของซูหยางที่ปลดปล่อยแรงกดดันไร้สภาพออกมา
“ท-ท่านจะไม่เป็นไรหรือ” จางซิวยิงถามซูหยางด้วยใบหน้าท่าทางเป็นกังวล หลังจากเดินมาได้สองสามนาที
“กับอะไร” ซูหยางกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
“ท-ท่านพูดว่า กับอะไร งั้นรึ” จางซิวยิงสับสนกับท่าทางไม่รับรู้อะไรของเขา ทั้งที่เพิ่งทุบตีศิษย์ของนิกายดอกบัวเพลิงไปสองสามคนขณะที่อยู่ในพื้นที่ของอีกฝ่าย
“ท-ท่านเพิ่งทำร้ายคนไม่เพียงแต่ศิษย์ในสามคนแต่ยังมีศิษย์หลักของนิกายดอกบัวเพลิงอีกหนึ่งคนด้วยขณะที่อยู่ในพื้นที่ของพวกเขา แต่ท่านยังคงกล้าเดินเล่นบนถนนกลางวันแสกๆ…ท่านมิกลัวว่านิกายดอกบัวเพลิงจะตามล่าท่านรึ”
ซูหยางยักไหล่ด้วยท่าทางไม่ใส่ใจและกล่าวว่า “ข้าไม่เป็นไร”
เขามั่นใจว่าเขาต้องสบายดีแม้ว่าต่อให้ทั้งนิกายดอกบัวเพลิงเข้ามาโจมตีเขาพร้อมกัน
หลังจากเงียบไปชั่วขณะ จางซิวยิงก็ถามเขาว่า “อะไรพาท่านมาที่นิกายดอกบัวเพลิง”
“ข้ามีธุระกับผู้อาวุโสนิกายของเจ้าคนหนึ่ง”
“หรือว่าผู้อาวุโสนิกายคนนั้นเป็นผู้อาวุโสหวัง” จางซิวยิงมีความรู้สึกที่ดีที่เขาตามหาเธอโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากสิ่งที่เกิดขึ้นที่โรงประมูลดอกบัวเพลิง
ซูหยางพยักหน้า กล่าวว่า “ใช่แล้ว เธอเป็นอย่างไรบ้างตอนนี้”
“ผู้อาวุโสหวัง…เธอเป็น…” จางซิวยิงดูท่าทางลังเลเล็กน้อยในตอนนั้น จนทำให้ซูหยางถึงกับเลิกคิ้ว
“เกิดอะไรขึ้นกับเธอรึ” เขาถาม
“ไม่ มิมีอะไรเกิดขึ้นกับผู้อาวุโสหวัง เพียงแต่ว่า…เมื่อเปรียบเทียบกับผู้อาวุโสหวังระหว่างที่อยู่โรงประมูลเมื่อสองสามอาทิตย์ก่อน เธอเหมือนกับเปลี่ยนเป็นคนละคน”
“โอ ทำไมเจ้ามิอธิบายรายละเอียดให้ข้าฟังมากกว่านี้ล่ะ”
“ผู้อาวุโสหวังได้ก้าวข้ามวิถีการปรุงยาของเธอเองเมื่อไม่นานมานี้ ทำให้สถานะของเธอภายในนิกายพุ่งพรวด ราวกับปลาคาร์ฟที่พุ่งผ่านประตูมังกร ตอนนี้เธออยู่เหนือนักปรุงยาคนอื่นภายในนิกายดอกบัวเพลิง กระทั่งเจ้านิกายเองยังต้องให้ความนับถือเธออย่างสูง ดังนั้นท่านอาจจะพบความยากลำบากในการเข้าถึงเธอ…”
“เป็นเช่นนั้นรึ” ซูหยางแอบดีใจที่หวังชูเหรินได้ฝึกวิชาระดับเซียนที่เขาให้เธอไป ไม่เช่นนั้นการเดินทางที่เขามาที่นี่คงเสียเที่ยวเปล่า
เจตนาที่เขามาเยือนนิกายดอกบัวเพลิงวันนี้ก็ไม่มีอะไรนอกจากว่าเขาต้องการให้หวังชูเหรินปรุงโอสถแยกวิญญาณ
แท้จริงแล้ว ซูหยางได้วางแผนที่จะให้หวังชูเหรินปรุงโอสถแยกวิญญาณตั้งแต่ก่อนที่เขาจะพบกับชิวเยวี่ย
แผนการแรกสุดนั้นก็คือให้หวังชูเหรินปรุงยาในเมื่อพลังการฝึกปรือของเขาตอนนั้นไม่เพียงพอ กระทั่งให้วิชาระดับเซียนกับเธอ อย่างไรก็ตามการที่เขาพบกับชิวเยวี่ยทำให้แผนการนี้เปลี่ยนแปลง เพราะว่าชิวเยวี่ยทำให้พลังการฝึกปรือของเขาก้าวหน้าเกินกว่าความคาดหมายของตนเอง
ถ้าเขาไม่ได้พบกับชิวเยวี่ย เขาต้องไม่มีโอกาสได้ฝึกปรือร่วมกับผู้ฝึกฝีมือเขตอัมพรวิญญาณถึงสองคน จนก้าวไปถึงจุดสูงสุดของเขตปฐพีวิญญาณและคงยังวนเวียนอยู่ในเขตสัมมาวิญญาณจนถึงตอนนี้
แน่นอนว่าเขาได้คิดที่จะปรุงโอสถแยกวิญญาณที่สถาบันสี่ฤดูและกระทั่งให้เจ้าสถาบันหญิงซูปรุงยา แต่อนิจจา เพราะว่าเจ้าสถาบันหญิงซูมีเจตนายืดการนัดหมายของเขาโดยเจตนา เขาจึงตัดสินใจกลับไปมายังทวีปตะวันออกเพื่อให้หวังชูเหรินปรุงยาแทน
สุดท้ายมันก็จะเป็นความพยายามที่สูญเปล่าถ้าเขาไม่ได้ใช้หวังชูเหรินเมื่อเขาได้เตรียมทุกสิ่งไว้แล้ว
“พูดถึงหวังชูเหรินแล้ว…” ซูหยางพลันมองดูเธอแล้วถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกับทางเจ้ารึ หรือเจ้าสุนักหวังนั่นยังคงก่อกวนเจ้า”
เมื่อซูหยางอ้างถึงหวังหมิง ญาติของหวังชูเหริน จางซิวยิงมีท่าทางขื่นขม
“แม้ว่าเขาได้หยุดสั่งข้าไปหาเขายังที่พักหลังจากที่ผู้อาวุโสหวังกล่าวกับเขาแล้วก็ตาม ข้ารู้สึกว่าเขายังวางแผนบางอย่างไว้… การที่เขาจ้องมองข้าอย่างเย็นชาเมื่อเราเดินผ่านกันภายในเขตศิษย์ในทำให้ข้าหนาวสันหลังเสมอ…นั่นทำให้ข้ากลัว…”
การพูดคุยระหว่างพวกเขาหยุดไปชั่วขณะก่อนที่ซูหยางจะเปิดปากพูดขึ้น “เจ้าต้องการให้ข้าจัดการเขาให้เด็ดขาดไปหรือไม่”
จางซิวยิงมองดูเขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง แม้ว่าจริงแล้วเธอต้องการที่จะรับข้อเสนอของเขา แต่เธอไม่ต้องการรบกวนเขาอีกต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากทุกสิ่งที่เขาได้ทำให้กับเธอ
“ข้าซาบซึ้งกับความคิดของท่านแต่ข้ามิอาจยอมรับข้อเสนอนั้น” เธอลังเลก่อนจะส่ายหน้าเพื่อปฏิเสธข้องเสนอของเขา “ท่านตัดสินใจช่วยข้าแม้ว่าแม้ว่าจะเป็นการกระทำที่บีบบังคับของข้า และข้าได้รับความกรุณาจากท่านมาพอแล้ว ข้ามิกล้าที่จะขอมากไปกว่านี้ ในเมื่อมันจักเพียงทำให้ข้ารู้สึกผิดกว่าเดิมเหมือนยามที่ข้าเอาเปรียบท่าน…”
ซูหยางหัวเราะหลังจากที่ได้ยินคำของเธอ “ถ้าข้าต้องการปฏิเสธเจ้าไปจริงตอนนั้น ข้าสามารถสลัดเจ้าออกไปอย่างง่ายๆ ดังนั้นมิต้องคิดว่ามันเป็นการบังคับที่เจ้าใช้กับข้า ในสายตาของข้าเจ้าเป็นเพียงเด็กหญิงก้าวร้าวและห้าวเล็กน้อยเท่านั้น และพูดอย่างซื่อสัตย์แล้ว ข้าชอบคนที่มีทัศนคติแบบนั้น”
เพราะว่าคนรักคนแรกของเขาก็เป็นคนประเภทที่ห้าวและก้าวร้าว ซูหยางจึงชื่นชอบคนที่มีคุณสมบัติคล้ายแบบนั้นเป็นพิเศษ
“จ-จริงรึ” จางซิวยิงพลันหน้าแดงเมื่อได้ยินคำพูดของเขา
“แต่ข้ายังมิอาจยกโทษให้ตนเอง…” เธอถอนใจหลังจากนั้นไม่นาน
แม้ว่าซูหยางไม่ได้ถือว่าการกระทำของเธอเป็นการบังคับแต่เป็นความห้าวหาญ นั่นก็ไม่ได้เปลี่ยนความจริงที่ว่าเธอได้สิ้นหวังในเวลานั้นและบีบให้เธอมีความปรารถนาต่อเขา คนแปลกหน้าโดยสิ้นเชิงในตอนนั้น และจางซิวยิงยังคงไม่อาจยกโทษให้ตนเองกับการกระทำของเธอในวันนั้นไม่ว่าเขาจะพูดอะไรก็ตาม
ซูหยางไม่ได้กล่าวอะไรหลังจากนั้นและปล่อยให้มันเป็นไปเช่นนั้น และทั้งคู่ก็เดินต่อไปในเมืองดอกบัว
หลังจากที่เดินไปอีกครึ่งชั่วโมง ในที่สุดพวกเขาก็ไปถึงนิกายดอกบัวเพลิง
“ศิษย์พี่หญิง”
“คารวะศิษย์พี่หญิง”
บรรดาศิษย์นอกที่เป็นยามให้กับนิกายดอกบัวเพลิงกล่าวทักทายจางซิวยิงเมื่อพวกเขาเข้าไปใกล้มากพอ
“ข้ามีแขกมากับข้าถ้าพวกเจ้ามิรังเกียจ”
“ตราบเท่าที่ศิษย์พี่หญิงได้บอกกล่าวกับผู้อาวุโสนิกายที่อาคารบริหารนั่นย่อมมิมีปัญหา”
“ตกลง”
ดังนั้นซูหยางจึงได้เข้าไปในนิกายดอกบัวเพลงโดยไม่พบกับอุปสรรคใด
“ซ-ซูหยาง ซูหยาง” จากซิวยิงเรียกเขาขณะที่ไล่ตามหลังร่างเขาที่ลับตาไป
“หืม” ซูหยางหยุดเดินหลังจากที่ได้ยินเสียงหวานคุ้นหูเรียกชื่อเขา
เมื่อหันกลับมา เขาก็เห็นหญิงสาวสวยสวมชุดแดงตรงมาหาเขาด้วยท่าทางตื่นเต้นบนใบหน้า
“โอ เจ้าคือ…” ซูหยางพลันจำหน้าตาน่ารักเธอได้ทันที โดยเฉพาะร่างแบบบางและยั่วยวนของเธอ เธอคือจางซิวยิง ศิษย์ของนิกายดอกบัวเพลิง เธอมอบแก่นหยินบริสุทธิ์ให้กับเขาที่โรงประมูลดอกบัวเพลิง
“ท-ท่านจำข้าได้หรือไม่ ซูหยาง ข้าคือ–”
“จางซิวยิง ใช่ไหม” ซูหยางกล่าวพร้อมรอยยิ้มนุ่มนวลบนใบหน้า
“ช-ใช่…” จางซิวยิงตอนแรกกล้วว่าเขาจะลืมเธอ แต่ไม่เพียงแต่เขาจดจำเธอได้ เธอยังคงค่อนข้างแปลกใจกับบรรยากาศอันอบอุ่นรอบกายซูหยาง เขาดูยิ่งเป็นกันเองและหล่อเหลากว่าเดิม และดูเป็นมิตรยิ่งขึ้น
“ท-ท่านมาทำอะไรที่นี่ที่เมืองดอกบัว” เธอถามเขา “ถ้าท่านมองหาสถานที่ ข้าสามารถพาท่านไปที่นั่นได้”
ซูหยางพยักหน้าและกล่าวว่า “ข้ามีธุระบางอย่างกับนิกายดอกบัวเพลิงอยู่จริง ดังนั้นถ้าเจ้าไม่รังเกียจที่จะพาข้าไปที่นั่น”
“ข้ายินดี” จางซิวยิงลืมเรื่องเกี่ยวกับเพื่อนศิษย์ไปจนหมดสิ้นในตอนนี้ เธอตกลงที่จะพาเขาไปที่นิกายดอกบัวเพลิง
“ศิษย์น้องหญิงจาง เจ้ากำลังจะไปไหน”
อย่างไรก็ตามก่อนที่เธอจะได้จากไป เพื่อนศิษย์ได้ตามเธอมาทัน
“เขาเป็นคนรู้จักของเจ้ารึ” ศิษย์คนหนึ่งถาม
“ใช่แล้ว ข้าต้องขออภัยที่ต้องไปกระทันหัน แต่ข้ามีธุระบางอย่างที่ต้องทำตอนนี้…”
เมื่อจางซิวยิงกล่าวถ้อยคำเหล่านั้น บรรดาศิษย์ที่นั่นล้วนหันไปมองดูซูหยางด้วยสายตาพิเคราะห์
เหล่าศิษย์หญิงต่างพากันตื่นตะลึงกับรูปโฉมอันหล่อเหลาและสง่างามของซหยาง และบางคนถึงกับหน้าแดงโดยไม่อาจควบคุม แต่สำหรับศิษย์ชายภายในกลุ่มพวกเขาล้วนมองดูซูหยางด้วยสายตาไม่เป็นมิตรและอิจฉา โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่คลั่งใคล้จางซิวยิงสายตาล้วนเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
“เจ้ามาจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยรึ” หนึ่งในศิษย์ชายจำชุดคลุมซูหยางได้
“อะไรกัน สถานที่น่าสะอิดสะเอียนที่เต็มไปด้วยโสเภณีและแมงดาสารเลวนั่นรึ”
“เฮ้ ระวังปากของพวกเจ้า” จางซิวยิงมีท่าทางโกรธเมื่อศิษย์ชายดูถูกซูหยาง
อย่างไรก็ตามการที่จางซิวยิงปกป้องซูหยางยิ่งทำให้บรรดาศิษย์เหล่านั้นโกรธยิ่งขึ้นไปอีกและรุ่มร้อนไปด้วยเพลิงริษยา
“ศิษย์น้องหญิงจาง ทำไมเจ้าไปเกี่ยวข้องกับคนจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย หรือเจ้าไม่รู้ว่าพวกเขามีภาพพจน์เลวร้ายเพียงใดในสายตาของสาธารณะชน คนจากสถานที่แห่งนั้นล้วนเป็นกลุ่มคนที่ต้องการแต่มีเพศสัมพันธ์โดยไร้ยางอายไม่ต่างจากพวกสัตว์ที่ติดสัด”
“กล้าดียังไง—”
ขณะที่จางซิวยิงกำลังจะระเบิดโทสะ ซูหยางพลันกอดคอเธอไว้หลวมๆด้วยท่าทางสนิทสนม จนทำให้จางซิวยิงร่างกายแข็งทื่อด้วยความตระหนก
“ซ-ซูหยาง” เธอมองดูเขาด้วยท่าทางตื่นตะลึง
“จ-เจ้าคิดว่าเจ้ากำลังทำอะไรกับหนึ่งในศิษย์ของพวกเรา”
“เอามือสกปรกของเจ้าออกไปให้พ้นจากเธอ”
การกระทำของซูหยางสร้างความโกรธแค้นให้กับเหล่าศิษย์ชายในทันที ดังที่เขาคาดการณ์ไว้
“นี่ก็ผ่านมาสักพักแล้วที่เราได้พูดคุยกัน ดังนั้นทำไมเราไม่หาที่ไหนสักแห่งที่เงียบสงบและเป็นส่วนตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้องของเจ้า” ซูหยางกล่าวด้วยเสียงปลอบโยนจนกระทั่งศิษย์หญิงที่ยืนห่างออกไปจากเขายังรู้สึกอยากพาเขาไปที่ห้องตนเอง
จางซิวยิงนึกถึงเวลาที่เธอใช้ร่วมกับเขาที่โรงประมูลดอกบัวเพลิงและพยักหน้าเบาๆด้วยท่าทางเอียงอาย ใบหน้าแดงก่ำ
“ส-สารเลว ช่างไร้ยางอาย”
“อย่าฟังเขา ศิษย์น้องหญิงจาง เขาเพียงหลอกใช้เจ้า”
การโต้เถียงของเขาได้กระตุ้นความสนใจของทุกคนที่นั่นมานานแล้ว แต่พวกเขาดูเหมือนไม่ได้สนใจเท่าไหร่นัก
“ไปกันเถอะ” ซูหยางกล่าวขณะที่เขาดึงจางซิวยิงไป ไม่สนใจศิษย์นิกายดอกบัวเพลิงเหล่านั้นตั้งแต่ต้น
“หยุดอยู่ตรงนั้น”
พลันนั้นเอง แรงกดดันทรงพลังที่ระดับสูงสุดของผู้ฝึกวิชาเขตสัมมาวิญญาณก็ถาโถมใส่ซูหยาง
อย่างไรก็ตามเพราะว่าซูหยางอยู่ในระดับสูงสุดของเขตปฐพีวิญญาณ ยากที่แรงกดดันนี้จะสะกิดเขาได้
“ศิษย์พี่ชายเชา”
เหล่าศิษย์ของนิกายดอกบัวเพลิงพลันสังเกตเห็นคนที่เพิ่งเข้ามา ซึ่งสวมชุดแดงและมีดอกบัวสีดำอยู่บนอก สิ่งที่บ่งบอกว่าเป็นศิษย์หลักของนิกายดอกบัวเพลิง
เมื่อศิษย์พี่ชายคนนี้เชามาถึง เขาก็ยืนต่อหน้าซูหยางและกล่าวด้วยใบหน้าท่าทางหยิ่งยะโส “ข้ามิสนใจว่าเจ้ามาจากไหน แต่เมื่อเจ้าอยู่ในพื้นที่ของเรา ข้าจักมิทนต่อการขาดความนับถือต่อเหล่าศิษย์ของนิกายดอกบัวเพลิงของข้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมื่อพวกเขาล้วนเป็นศิษย์ใน”
ซูหยางหยุดเพียงเสี้ยววินาทีเพื่อที่จะมองไปยังศิษย์นอกคนนี้ด้วยท่าทางไม่ใส่ใจก่อนที่จะเดินอ้อมเขาไป เพิกเฉยต่อตัวตนของอีกฝ่ายอย่างสิ้นเชิง
ศิษย์หลักนี้พลันสั่นสะท้านด้วยความโกรธเมื่อซูหยางไม่สนใจเขา
“เจ้ากล้าดียังไง–”
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ศิษย์หลักจะทันได้หันหน้า มือใหญ่ข้างหนึ่งก็ปรากฏต่อหน้าเขา
เพี๊ยะ
ซูหยางส่งศิษย์หลักนี้บินข้ามถนนด้วยการตบเพียงครั้งเดียว สร้างความตระหนกให้กับทุกคนที่นั่น
“ศ-ศิษย์พี่ชายเชา”
เหล่าศิษย์คนอื่นต่างพากันมีท่าทางหวาดกลัวหลังจากที่เห็นซูหยางจัดการศิษย์หลักของพวกเขาโดยแทบไม่ได้ใช้ความพยายามใดเลย
หลังจากจัดการกับศิษย์หลักแล้ว ซูหยางก็เหลือบมองไปยังเหล่าศิษย์เหล่านั้นอีกครั้งด้วยหางตา ทำให้พวกเขาสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว
เขาชี้มือไปยังพวกพวกเขาและทำท่ากวักมือเรียกเหล่าศิษย์ที่พ่นถ้อยคำขยะก่อนหน้านั้น
“ถ้าพวกเจ้ามิเข้ามา ข้าจักเข้าไปหาเอง และนั่นจักเจ็บเป็นสองเท่า” ซูหยางกล่าวกับพวกเขาด้วยท่าทางเฉยเมยหลังจากที่พวกเขายังคงยืนอยู่ตรงนั้น เห็นชัดว่าชะงักค้างด้วยความหวาดกลัว
“น-ในเมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว พวกเราคงต้องช่วยกันสู้กับเขา” หนึ่งในบรรดาศิษย์เหล่านั้นแนะนำ
ดังนั้นด้วยพลังการฝึกปรือเขตคัมภีร์วิญญาณ เหล่าศิษย์ต่างพากันพุ่งเข้าหาซูหยางผู้ที่อยู่จุดสูงสุดของเขาปฐพีวิญญาณ
สองสามวินาทีต่อมา ก็มีเสียงตบดังๆสามทีภายในเมืองดอกบัว และร่างอีกสามร่างก็เห็นปลิวข้ามถนนไป
“พวกตัวตลก” ซูหยางส่ายหน้า
เขาพลันกล่าวกับจางซิวยิงที่ยังตกตะลึง “ตอนนี้ขณะที่มิมีตัวกวนแล้ว เรารีบไปที่นิกายดอกบัวเพลิงกัน”
“ต-ตกลง…” เธอตอบพร้อมพยักหน้าช้าๆ
“เจ้านิกาย ตื่น เจ้านิกาย”
ผู้อาวุโสนิกายหลายคนพยายามที่จะปลุกโหลวหลานจีจากการหลับไหล แต่ไม่ว่าพวกเขาจะเขย่าตัวเธอเท่าไร เธอยังคงสลบไสล
นี่ทำให้ผู้อาวุโสนิกายเกิดความกลัว เกิดอะไรขึ้นกับเธอ เธอจะตื่นขึ้นอีกหรือไม่
และในเมื่อพวกเขาไม่ต้องการให้เธอหลับอยู่ในที่แจ้งอีกต่อไป พวกเขานำเธอกลับไปยังห้องของเธอเองและเริ่มตามหาหมอโดยหวังว่าจะหาสาเหตุได้
ในเวลานั้นหลังจากเดินทางไปไม่กี่นาที ซูหยางก็กลับไปถึงเมืองที่เขาได้แหวนมิติเป็นครั้งแรก
แท้จริงแล้ว เพื่อนเก่าที่เขาต้องการพบคือหวังซูเหริน นักปรุงยาฝึกหัดของนิกายดอกบัวเพลิง
อย่างไรก็ตามครั้นเมื่อเขาไปถึงโรงประมูลดอกบัวเพลิง เขาก็พบว่าทั้งสถานที่นั้นปิด
“หนุ่มน้อย โรงประมูลดอกบัวเพลิงเปิดเพียงปีละครั้ง และปีนี้การประมูลได้จบไปแล้ว”
คนผ่านทางที่ใจดีเตือนเขาเมื่อเห็นเขายืนอยู่หน้าโรงประมูลด้วยท่าทางงงงัน
“ท่านทราบหรือไม่ว่าข้าจะหาคนที่ดูแลสถานที่นี้ได้จากที่ไหน” ซูหยางถามคนผ่านทางนั้น
“ถ้าเจ้าพูดถึงศิษย์ของนิกายดอกบัวเพลิง เช่นนั้นเจ้าสามารถหาพวกเขาได้ที่เมืองดอกบัวใกล้กับชายแดนด้านใต้” คนผ่านทางกล่าวพร้อมกับชี้ไปทางใต้
ซูหยางพยักหน้า “ขอบคุณสำหรับข่าวสาร”
เขาพลันนำเอาหินวิญญาณห้าก้อนจากแหวนมิติส่งมันให้กับคนผ่านทางก่อนที่จะออกจากเมือง
“สวรรค์” เมื่อคนผ่านทางเห็นสิ่งที่ซูหยางส่งให้กับเขา เขาเกือบตกใจตาย
ว่าไปแล้ว หินวิญญาณหนึ่งก้อนสามารถขายได้เหรียญทองหลายเหรียญ ซึ่งเกินพอที่จะเลี้ยงดูครอบครัวปกติได้หลายปี อย่าว่าแต่หินวิญญาณห้าก้อน
ด้วยความกลัวว่าจะมีใครแอบเห็นหินวิญญาณและปล้นเขา คนผ่านทางรีบซ่อนหินวิญญาณในกระเป๋าและเริ่มวิ่งกลับบ้านเพื่อที่จะแจ้งข่าวให้กับครอบครัว
สองสามนาทีหลังจากที่เขาออกจากโรงประมูลดอกบัวเพลิง ซูหยางก็ตรงไปไปยังเมืองดอกบัว
“เจ้ารู้ไหมว่าข้าสามารถหานิกายดอกบัวเพลิงได้จากที่ไหน” ซูหยางถามทหารยามคนหนึ่งที่ยืนยามอยู่ด้านนอกเมืองดอกบัว
“นิกายดอกบัวเพลิง เจ้าเป็นใครกัน ทำไมเจ้าต้องหาพวกเขา” ทหารยามพลันสอบถามเขา
“ข้าเป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย และข้ามาที่นี่เพื่อพบเพื่อนเก่า” ซูหยางกล่าวพร้อมรอยยิ้มเป็นมิตร
“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย” ทหารยามตอนนี้นึกขึ้นได้ว่าเหตุใดเสื้อผ้าของซูหยางดูคุ้นเคย “เจ้ามีบัตรประจำตัวหรือไม่”
ทหารยามยืนยันตัวตนของเขาแล้วกล่าวว่า “เมืองดอกบัวก็คือนิกายดอกบัวเพลิง และนอกจากว่าเจ้ามาพร้อมกับศิษย์ของนิกายดอกบัวเพลิง มิฉะนั้นเจ้าต้องจ่ายสิบเหรียญทองแดงก่อนที่จะได้รับอนุญาตให้เข้าได้ ถึงแม้ว่าเจ้าจะมาเยี่ยมศิษย์คนใดก็ตาม”
“ทั้งเมืองเป็นนิกายดอกบัวเพลิง” ซูหยางค่อนข้างแปลกใจเล็กน้อย นิกายเช่นนี้ค่อนข้างหายากแม้กระทั่งในสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่
“เออ พูดให้ถูกต้องก็คือเมือถูกสร้างล้อมรอบนิกายดอกบัวเพลิง มันมีระบบงานเหมือนกับเมืองอื่นแต่เน้นในเรื่องของธุรกิจมากกว่าสิ่งอื่นใด และมันถูกควบคุมโดยนิกายดอกบัวเพลิง”
“เช่นนั้นนั่นเอง…”
เพราะว่าซูหยางไม่ได้มีเหรียญย่อยในตัว เขาจึงยื่นส่งหินวิญญาณให้ทหารยามทั้งก้อน
“อือ…” ทหารยามมองดูเขาด้วยตาเบิกกว้างและท่าทางงุนงง “ค-ค่าเข้าเมืองสิบเหรียญทองแดง…”
“ข้ามิมีเหรียญย่อย”
“ป-โปรดรอสักครู่ในระหว่างที่ข้าไปแลกเปลี่ยนให้กับเจ้า–”
“นั่นมิจำเป็น” ซูหยางไม่สนใจกับเพียงแค่หินวิญญาณก้อนเดียว
ดวงตาทหารยามเบิกกว้างกว่าเดิมเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้น
“เพื่อที่จะจ่ายค่าเข้าเมืองด้วยหินวิญญาณทั้งก้อน คนประหลาดนี้รวยมากแค่ไหนกัน” เขาอดไม่ได้ที่จะอิจฉาความร่ำรวยและพฤติกรรมที่ไว้ตัวของอีกฝ่าย
“ช-เช่นนั้นนี่คือใบผ่านทางพิเศษสำหรับท่าน… ตราบเท่าที่ท่านมีสิ่งนี้ ท่านสามารถเข้าออกเมืองดอกบัวได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องจ่ายอีกต่อไปในอนาคต” ทหารยามกล่าวพร้อมกับยื่นส่งป้ายสีทองให้กับซูหยาง
ซูหยางรับป้ายสีทองไว้แบบสบายๆและเข้าไปในเมืองดอกบัวเป็นครั้งแรก
“ท่านสามารถหานิกายดอกบัวเพลิงพบถ้าเดินไปตามทางนี้…” ทหารยามกล่าวกับเขาอีกครั้งครั้นเมื่อเขาเข้าไปในเมือง
ซูหยางพยักหน้าและเริ่มเดินไปตามทาง
และหลังจากเดินไปเพียงไม่กี่นาที ซูหยางก็เข้าใจสิ่งที่ทหารยามพูด เมื่ออีกฝ่ายพูดว่าเมืองดอกบัวเน้นหนักด้านธุรกิจ ในเมื่อสิ่งที่เขามองเห็นล้วนเป็นร้านค้าหรือไม่ก็ร้านอาหาร และผู้คนย่อมสามารถเข้าใจได้อย่างง่ายดายว่าเหตุใดนิกายดอกบัวเพลิงจึงร่ำรวยเมื่อเข้าเมืองนี้ ซึ่งประดับประดาไปด้วยสิ่งของและร้านค้าแพงๆ
–
–
–
สถานที่แห่งหนึ่งภายในเมืองดอกบัว สามารถมองเห็นเหล่าหญิงสาวและชายหนุ่มพูดคุยกันอย่างสนุกสนานภายในร้านอาหาร คนเหล่านี้ล้วนสวมเสื้อผ้าแบบเดียวกัน ชุดคลุมสีแดงปักสัญลักษณ์ดอกบัวสีเหลืองบนอก แสดงให้เห็นว่าพวกเขาล้วนเป็นศิษย์ของนิกายดอกบัวเพลิง
“ศิษย์น้องหญิงจาง อย่าขี้เหนียวนักจงบอกพวกเรามาเลยว่าเจ้ามีโชคพบกับสมบัติบางอย่างใช่หรือไม่” หนึ่งในศิษย์ที่นั่นถามหญิงสาวสวยที่นั่งอยู่ปลายสุดของโต๊ะ “เจ้าเพียงอยู่ที่ระดับเจ็ดของเขตปฐมวิญญาณไม่นานมานี้ แต่เจ้าสามารถไปถึงเขตคัมภีร์วิญญาณได้ภายในไม่กี่อาทิตย์ กลายเป็นศิษย์ใน ข้ามิเชื่อว่าเจ้าสามารถบรรลุได้เช่นนั้นโดยไม่พบกับโชคอะไรบางอย่าง”
ครั้นเมื่อหนึ่งในพวกเขาเริ่มหัวข้อเรื่อง ศิษย์คนอื่นก็เริ่มแสดงความคิดเห็นของตนเอง ซึ่งค่อนข้างกดดันศิษย์สกุลจางให้บอกพวกเขาอยู่บ้าง
“เอ้อ…แม้ว่าข้ามิได้พบกับสมบัติใด ข้าก็ถือได้ว่ามีโชคที่ได้พบกับคนคนหนึ่ง…” ศิษย์หญิงสกุลจางอธิบายอย่างคลุมเคลือ
“คนที่ว่านี้ เป็นชายหรือเป็นหญิง” เหล่าหญิงยิ่งพากันสนใจ
“เป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง…” หญิงสาวหน้าแดง
“โออออ บอกพวกเราเกี่ยวกับเขามากกว่านี้ เขามีผลต่อการฝึกวิชาของเจ้าอย่างไร”
ขณะที่ศิษย์หญิงพบว่าหัวข้อนี้ช่างน่าสนุกสนานยิ่งนัก แต่มันกลับเป็นตรงกันข้ามกับเหล่าศิษย์ชายที่หลงไหลหญิงสาวคนนี้
“เอ้อ….”
อย่างไรก็ตาม ขณะที่หญิงสาวเตรียมตัวพูดเกี่ยวกับแขกคนหนึ่งที่เธอพบที่โรงประมูลดอกบัวเพลิง สายตาเธอพลันปะทะเข้ากับร่างของชายหนุ่มหล่อคนหนึ่งที่เดินอยู่บนถนน
“ซ-ซ-ซ-ซูหยาง” หญิงสาวทะลึ่งพรวดลุกขึ้นยืนและวิ่งออกไปจากร้านอาหารเพื่อที่จะวิ่งไล่ตามเขา สร้างความงงงันให้กับทุกคนในที่นั้น
ครั้นเมื่อเขากลับไปถึงห้องแล้ว ซูหยางก็พูดกับสองสาวว่า “ข้าจักออกไปชั่วขณะเพื่อจัดการกับธุระบางอย่าง พวกเจ้าสามารถรอที่นี่ได้ในช่วงเวลานั้น”
“ท่านจะออกไปอีกแล้วรึ แล้วที่บอกว่าจะพักผ่อน” ชิวเยวี่ยถาม
“ข้าได้พักผ่อนเพียงพอแล้วระหว่างที่อยู่ที่สถาบันสี่ฤดู” เขากล่าว
“ท่านจะไปไหน”
“ไปพบเพื่อนเก่า” เขาตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม
“เพื่อนรึ..” ชิวเยวี่ยเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ซูหยางเป็นคนที่มีเพื่อนฝูง ต่อจากนั้นเธอก็นึกขึ้นได้ว่าคนที่ซูหยางถือว่าเป็น “เพื่อน” ของเขาล้วนเป็นหญิง
“อย่างนั้นรึ เช่นนั้นข้าขออวยพรให้ท่านสนุกกับเพื่อนของท่าน” เธอกล่าวด้วยเสียงประชดประชัน
ซูหยางยิ้มขมขื่นและกล่าวว่า “เจ้าเข้าใจผิดอะไรบางอย่างผิดไปเป็นแน่…”
อย่างไรก็ตามเมื่อเห็นชิวเยวี่ยหลับตาไม่สนใจเขาอีกต่อไป ซูหยางก็ไม่พยายามโน้มน้าวเธออีกต่อไป เขาหันไปมองดูเซียวลี่แทน
“เซียวลี่ เจ้าสามารถไปทำอะไรก็ได้ที่เจ้าต้องการจนกว่าข้ากลับ” เขากล่าวกับเธอ
เซียวลี่พยักหน้าและหายตัวไปจากห้องในทันที
“โอ ใช่แล้ว ชิวเยวี่ย ให้ข้ายืมยานบินของเจ้าหน่อยซิ เพียงแค่เรือไม้ก็พอแล้ว” เขากล่าวกับเธอ
ชิวเยวี่ยไม่ได้แม้กระทั่งจะลืมตาขึ้น เพียงโยนแหวนมิติของเธอไปให้ซูหยาง บอกเขาให้หาเอง
ซูหยางไม่สนใจพฤติกรรมของเธอและนำเอาเรือไม้ออกมาก่อนที่จะคืนแหวนมิติให้กับเธอ
“ข้าจักไปไม่นานนัก” เขากล่าวก่อนที่จะจากไป
สิ่งแรกที่เขาทำหลังจากที่ออกไปก็คือไปลงทะเบียนชิวเยวี่ยและเซียวลี่ในฐานะ “คนรับใช้” ของเขาที่สำนักบริหาร วิธีนี้พวกเธอก็จะไม่ถือว่าเป็นคนน่าสงสัยสำหรับนิกายเมื่อเขาไม่อยู่
หลังจากลงทะเบียนชื่อพวกเธอแล้ว ซูหยางก็ออกไปรับภารกิจใหม่
อย่างไรก็ตามในเมื่อเขาได้รับภารกิจก่อนหน้านี้เป็นข้ออ้างที่จะออกจากนิกาย ซูหยางต้องเพิกภารกิจนั้นและถือว่าเป็นภารกิจที่ล้มเหลว
และเพราะว่าภารกิจนั้นถือว่าแสนง่าย ผู้อาวุโสนิกายจึงมองซูหยางด้วยใบหน้าท่าทางที่แปลกประหลาด หลังจากที่รู้ว่าเขาล้มเหลวภารกิจที่แสนง่ายดายนั้น
“จเจ้าล้มเหลวภารกิจนี้ แม้ว่ามันจะใช้เวลาอยู่บ้างเพื่อให้สำเร็จ แต่ภารกิจนี้ไม่ได้ยากเลย…อีกทั้งเจ้าก็เป็นถึงศิษย์ใน…”
ซูหยางเพียงยักไหล่และกล่าวว่า “ทุกสิ่งเกิดขึ้นได้”
ผู้อาวุโสนิกายแอบส่ายหน้าและยอมรับภารกิจอื่นของเขา
ครั้นเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ซูหยางก็ออกไปจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและใช้ยานบินที่เขาได้จากชิวเยวี่ยทะยานไปบนท้องฟ้า
–
–
ภายในห้องของเธอ โหลวหลานจีครุ่นคิดหาวิธีที่จะ “ลงโทษ” ซูหยางที่ฝ่าฝืนกฏนิกาย ถ้าจะพูดไป เหตุผลที่แท้จริงที่เธอต้องการลงโทษซูหยางก็คือต้องการเอาคืนเขาเพราะว่าเธอถูกตะโกนด่าโดยตระกูลซูสำหรับความเลินเล่อของเธอ
“ตระกูลซูเลวนั่น ข้าจะทำหน้าที่ในฐานะเจ้าสำนักได้อย่างไรตั้งแต่แรก ถ้าข้าต้องเฝ้าคอยระวังเจ้าเด็กบ้านั่นทุกวินาที นั่นไร้เหตุผลที่สุด เพียงแค่เจ้าสนับสนุนทรัพยากรเพียงเล็กน้อยมิได้หมายความว่าเจ้าสามารถสั่งให้ข้าทำอะไรก็ได้”
ถ้าตระกูลซูไม่ได้เป็นหนึ่งในตระกูลใหญ่ทั้งสี่ที่มีพลังอำนาจมากมายเหนือกว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยของเธอ เธอคงไม่สิ้นท่าเช่นนี้
“จะว่าไปแล้ว ทำไมซูหยางจึงสามารถไปถึงภาคเหนือได้ตั้งแต่ต้น” เธอครุ่นคิด
“และแม้ว่าข้ากล่าวว่าจะลงโทษเขา อะไรจึงจะถือเป็นการลงโทษที่เหมาะสมสำหรับคนแบบเขา”
เพราะว่าการลงโทษศิษย์ในแตกต่างจากการลงโทษศิษย์นอกเมื่อพวกเขาฝ่าฝืนกฏนิกาย และในเมื่อซูหยางเป็นศิษย์ใน เธอต้องใช้เวลาครุ่นคิดอย่างจริงจังชั่วขณะ
ปกติแล้วเมื่อศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยฝ่าฝืนกฏนิกาย พวกเขาจะถูกห้ามฝึกวิชาคู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง และการลงโทษเช่นนั้นอาจจะเป็นวันจนถึงเป็นเดือน อย่างไรก็ตามในเมื่อซูหยางเป็นตัวตนที่พิเศษในใจของโหลวหลานจี เธอไม่อาจทำอะไรเขาได้เช่นเดียวกับศิษย์คนอื่น
หลังจากใช้เวลาหลายนาทีครุ่นคิด สุดท้ายโหลวหลานจีก็ได้ความคิดว่าอะไรที่ควรเป็นการลงโทษซูหยาง
“ใช่แล้ว ข้าสามารถบอกให้เขาทำเช่นนั้น”
โหลวหลานจีกลับไปยังที่พักซูหยางอย่างรวดเร็วเพื่อที่จะให้บทลงโทษเขา
ครั้นเมื่อเธอไปถึงที่พักของเขา โหลวหลานจีคาดหวังว่าซูหยางจะออกมาเมื่อเธอเรียกอยู่ข้างนอก แต่น่าเสียดายกลับเป็นชิวเยวี่ยที่ปรากฏตัวต่อหน้าเธอ
“ข-เขาไปข้างนอก” โหลวหลานจีมองดูอีกฝ่ายด้วยท่าทางงุนงงเมื่อรู้ว่าซูหยางออกไปแล้ว
“ไหนว่าจะพัก นี่ยังไม่ถึงชั่วโมงตั้งแต่ข้าปล่อยเขาไว้คนเดียว” เธอคิดในใจ
“เจ้ารู้ไหมว่าเขาไปไหน” เธอถามชิวเยวี่ย
ชิวเยวี่ยส่ายหน้า
“อ-อย่างนั้นรึ…”
ในเมื่อซูหยางไม่ได้อยู่ที่นี่ การลงโทษเขาก็จะต้องรอจนกระทั่งเขากลับมา
อย่างไรก็ตาม โหลวหลานจีไม่ได้จากไปในทันทีและเริ่มพูดกับชิวเยวี่ยแทน “เจ้าเป็นคนรับใช้ของเขาใช่ไหม เขาดูแลพวกเจ้าเป็นอย่างไร เจ้ามาจากภาคเหนือใช่หรือไม่” เธอถามอีกฝ่ายด้วยท่าทีใต่สวน ดูเหมือนว่าเธอสนใจในความสัมพันธ์ระหว่างพวกเธอกับเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเธอปรากฏขึ้นโดยไม่มีวี่แวว
“…”
ชิวเยวี่ยมองดูโหลวหลานจีด้วยท่าทางรำคาญ เธอไม่มีความตั้งใจที่จะมาพูดเล่นกับอีกฝ่ายและตัดสินใจที่จะหยุดการสนทนานี้
ชิวเยวี่ยพลันโบกชายเสื้อผ่านหน้าโหลวหลานจี และไม่กี่วินาทีต่อไป โหลวหลานจีก็ล้มลงไปนอนบนพื้นด้วยท่าทางเป็นสุข ดูเหมือนหลับลึก
และด้วยการโบกชายเสื้ออีกครั้ง ชิวเยวี่ยก็ย้ายโหลวหลานจีที่หลับอยู่ออกไปจากบ้านจนกระทั่งอีกฝ่ายอยู่ในสถานที่ที่ห่างไกลออกไปก่อนที่เธอจะกลับไปยังห้องของตนเอง
ในวันนั้นบรรดาศิษย์หลายคนของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและผู้อาวุโสนิกายต่าพากันตกตะลึงและงุนงงที่พบโหลวหลานจี เจ้าสำนักของพวกเขา นอนอยู่ท่ามกลางเขตศิษย์นอกราวกับคนเมาหลังจากกินเลี้ยงมาทั้งคืน
ในที่สุดกลุ่มซูหยางก็เดินทางมาถึงนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยหลังจากที่ใช้เวลาเกินหนึ่งชั่วโมงมาเล็กน้อยเหนือทะเลหยก
อย่างไรก็ตามก่อนที่ซูหยางจะทันได้เข้าไปในที่พักของตัวเองซึ่งตั้งอยู่ที่เขตศิษย์นอกแม้ว่าเขาจะเป็นศิษย์ในแล้วก็ตาม เขาก็เห็นร่างหนึ่งยืนอยู่หน้าประตูบ้าน ดูเหมือนกับว่าเธอได้ยืนอยู่ที่นั่นมาหลายวันแล้ว
“เจ้าแม่นิกาย” ซูหยางเรียกเธอ
โหลวหลานจี เจ้าสำนักของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย พลันหันกายมามองยังซูหยางที่ตรงเข้ามาหา
ใบหน้าเธอมีท่าทางโกรธเมื่อเห็นซูหยาง แต่ก็มีแววโล่งใจแฝงอยู่ภายในสายตาเธอ ราวกับว่าดีใจที่เห็นเขายังมีชีวิตอยู่
“ซูหยาง เจ้าไปไหนมาสองอาทิตย์ที่ผ่านมานี้” เธอพลันตั้งคำถามเขา
อย่างไรก็ตามซูหยางทำท่าเหมือนว่าไม่รู้เรื่องราวอะไรและกล่าวเพียงว่า “ที่ไหนรึ ข้าคิดว่าข้าได้ลงชื่อไว้กับผู้อาวุโสนิกายก่อนที่จะไปแล้ว ทั้งมีบันทึกว่าข้าจักออกไปทำภารกิจ”
โหลวหลานจีขมวดคิ้วและกล่าวเสียงดัง “ภารกิจบ้านะสิ อย่าคิดว่าเจ้าสามารถปิดเรื่องการออกไปผจญภัยเล็กน้อยที่ภาคเหนือจากข้าได้เพียงแค่พูดเป็นอย่างอื่น”
ซูหยางเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ ทำไมเธอจึงรู้เรื่องนี้ได้
เขาไม่รู้ว่าตระกูลซูได้ติดต่อเธอและตำหนิเรื่องปล่อยให้เขากลับไปยังภาคเหนือทั้งที่มีข้อตกลงกันอยู่
“เช่นนี้เป็นว่าเจ้ารู้แล้วสินะ เฮ้อ” ซูหยางยังคงเยือกเย็นและกล่าวว่า “แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ภาคเหนือ แต่เจ้ากลับทำเหมือนกับว่าห้ามไปที่นั่น ทำไมเป็นเช่นนั้น”
“…”
โหลวหลานจีไม่คาดคิดว่าเขาจะตั้งคำถามเธอจนทำให้เธอพูดไม่ออกไปชั่วขณะ เพราะว่าเธอมีข้อตกลงกับตระกูลซู ภายใต้สถานการณ์นั้น ทำให้เธอไม่สามารถบอกความจริงกับเขาได้ ดังนั้นเมื่อเขาตั้งคำถามกับเธอจึงทำให้เธอเงียบงันไปได้อย่างง่ายดาย
ยิ่งไปกว่านั้น เพราะว่าตระกูลซูตั้งใจเก็บซ่อนข้อมูลบางอย่างไว้ยามเมื่อตำหนิเธอ โหลวหลานจีจึงยังไม่รู้ว่าซูหยางได้กลับไปยังตระกูลซูเรียบร้อยแล้ว เธอรู้เพียงแค่ว่าเขากลับไปยังภาคเหนือด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง
“ศ-ศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยต้องขออนุญาตจากเจ้าสำนักก่อนที่พวกเขาจะได้รับอนุญาตให้เดินทางเกินกว่าระยะทางที่กำหนด และเจ้าไม่เพียงไปเกินระยะทางนั้น แต่เจ้ายังไปไกลถึงภูมิภาคอื่น แม้ว่าเจ้าจะเป็นศิษย์ใน เจ้าจักต้องถูกทำโทษที่ฝ่าฝืนกฏของนิกาย” สุดท้ายโหลวหลานจีก็พบข้อแก้ตัวสำหรับกล่าวอ้างกับเขา
“เป็นเช่นนั้นหรอกรึ…ข้าเข้าใจแล้ว” ซูหยางยอมรับชะตากรรมของตนเองอย่างไม่ใส่ใจ “ข้าจักยอมรับการลงโทษทุกอย่างที่เจ้าต้องการลงโทษข้า แต่ก่อนถึงตอนนั้น ข้าจักไปพักผ่อน”
“เดี๋ยว ข้ายังมิได้จบธุระกับเจ้า” โหลวหลานจีหยุดเขาไว้ก่อนที่เขาจะได้เข้าไปในที่พัก
“คราวนี้เป็นอะไรอีก” ซูหยางถอนใจ
บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าส่วนลึกในใจเธอคาดหวังต่อกลเม็ดระดับเทพของซูหยางไว้เป็นอย่างสูง หรือบางทีอาจจะเป็นแค่เรื่องปกติที่เธอคุ้นเคย ดังนั้นถึงแม้ว่าซูหยางจะมีท่าทางไมแยแสต่อเธอซึ่งเป็นเจ้าสำนัก โหลวหลานจีจึงไม่ได้แสดงท่าทีอันใด ยิ่งอย่าคิดว่าจะโกรธ
“การแข่งขันระดับภูมิภาค เหลือเพียงแค่ครึ่งปีก่อนที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยของเราจะเข้าร่วมกับกิจกรรมนี้ และข้ามาที่นี่เพื่อบอกเจ้าว่าเจ้าจักต้องเข้าร่วมกับกิจกรรมนี้พร้อมกับคนอื่นอีกสองสามคน” โหลวหลานจีพูดถึงการแข่งขันระดับภูมิภาคที่อยู่ไกลถึงสุดขอบฟ้า
“…ทำไมเจ้าต้องเลือกคนอย่างข้า และทำไมข้าต้องไปทำอะไรที่น่ารำคาญเช่นนั้นด้วย” ซูหยางกล่าวกับเธอแม้ว่าจะมีความสนใจในเหตุการณ์นี้อยู่แล้วนับตั้งแต่ผู้อาวุโสวูบอกเขาเรื่องนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเด็กสาวที่มีร่างร้อยพิษมิกรายจะเข้าร่วมด้วย
“เจ้าจักเข้าร่วมเพราะว่ามันเป็นความรับผิดชอบของเจ้าซึ่งในฐานะศิษย์ของนิกายแห่งนี้ที่จะต้องเป็นตัวแทนของนิกายเมื่อยามต้องการและเพราะว่าข้าเจ้าสำนักสั่งให้เจ้าเข้าร่วม นี่เป็นเหตุผลที่เพียงพอหรือไม่” โหลวหลานจีกล่าวด้วยใบหน้าจริงจัง บอกเขาว่าเธอถือเรื่องนี้สำคัญมาก
“ส่วนที่ว่าทำไมข้าจึงตัดสินใจเลือกคนอย่างเจ้า นั่นง่ายดายก็เพราะว่าข้าคิดว่าเจ้ามีสิ่งที่ควรจะได้เป็นศิษย์หลัก และหนึ่งในความต้องการนั้นก่อนที่จะเป็นศิษย์หลักก็คือการเข้าร่วมการแข่งขันระดับภูมิภาค”
“ข้าจักบอกเจ้าตามจริง ถึงแม้ว่าเจ้าจะพ่ายแพ้ยับเยินระหว่างการแข่งขัน ข้าก็ยังต้องการให้เจ้าเป็นศิษย์หลักหลังจากนั้น เพราะเพียงกลเม็ดของเจ้าอย่างเดียวก็มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะให้เจ้าเป็นหนึ่งในนั้น”
ท้ายที่สุดแล้วนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ยังเป็นสถานที่ที่ไม่เหมือนกับสำนักอื่น ให้คุณค่าต่อกลเม็ดทางด้านการกระตุ้นความรู้สึกมากกว่าพลังการฝึกปรือ
ซูหยางแอบยิ้มหลังจากที่ได้ยินเหตุผลของเธอที่เลือกเขาไปเข้าร่วมการแข่งขันระดับภูมิภาค ศิษย์หลักนั่นรึ ถ้าเขาต้องการจริงๆ เขาสามารถกลายเป็นเจ้านิกายของที่นี่ด้วยพลังการฝึกปรือเขตปฐพีวิญญาณระดับสูงสุดได้อย่างง่ายดาย อย่าว่าแต่เพียงแค่ศิษย์หลัก
อย่างไรก็ตาม เพราะว่าพลังการฝึกปรือของเขาตอนนี้เหนือกว่ากระทั่งโหลวหลานจีไปไกล เธอจึงไม่อาจรับรู้ถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขาได้ในตอนนี้
“ครึ่งปี หึ” ซูหยางยิ้าและกล่าวว่า “เจ้าสามารถคาดที่จะเห็นข้าที่นั่นได้ แต่ถ้าคาดให้ข้าแพ้ นั่นเจ้าจะพบกับประสบการณ์อันน่าตื่นตระหนก…”
โหลวหลานจีไม่ได้รบกวนเขาอีกต่อไปหลังจากที่ได้ยินว่าเขาจะเข้าร่วมการแข่งขันระดับภูมิภาค อย่างไรก็ตามนั่นก็ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เธอต้องการพูดถึงก่อนที่จะปล่อยเขาไป
“หญิงสาวสองคนที่มากับเจ้านี้เป็นใคร” เธอชี้ไปยังชิวเยวี่ยและเซียวลี่ที่ปลอมแปลงโฉมซึ่งติดตามมาเบื้องหลังเขาราวกับว่าเป็นคนรับใช้ของเขาด้วยท่าทางประหลาดบนใบหน้าของเธอ
“พวกเธอเป็นคนรับใช้ของข้า” ซูหยางแต่งเรื่องขึ้นมาอย่างง่ายๆ “ทำไมรึ อย่าบอกว่าข้ามิได้รับอนุญาตให้มีคนรับใช้ด้วย”
“ป-เปล่า..เจ้าได้รับอนุญาตให้มีคนรับใช้ได้ถึงสามคนในฐานะศิษย์ใน เพียงแค่ให้มั่นใจว่าเจ้าได้ลงทะเบียนชื่อของพวกเธอไว้ที่ฝ่ายบริหาร เพื่อที่นิกายจะได้รู้ว่าพวกเธอมีตัวตนและจะได้หลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดที่ไม่จำเป็น” โหลวหลานจีกล่าวกับเขาก่อนที่จะปล่อยเขาไปในที่สุด
“พวกเธอเป็น “คนรับใช้” ของเขางั้นรึ ช่างน่าอิจฉา…” โหลวหลานจีคิดในใจขณะที่เธอมองดูชิวเยวี่ยและเซียวลี่เดินตามซูหยางเข้าไปในบ้าน เข้าใจผิดกับเรื่องราวของพวกเธออย่างสมบูรณ์
แต่ความเข้าใจผิดเช่นนั้นไม่ได้เป็นเรื่องผิดปกติในสถานที่แบบนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ในเมื่อมีศิษย์จำนวนมากในที่นี้ที่ใช้คนรับใช้เป็นคู่ฝึกสำหรับการฝึกวิชาคู่
“น-นานเท่าไรแล้วที่ท่านรู้เรื่องนี้” ชิวเยวี่ยถามเขาด้วยเสียงสั่นสะท้าน ใบหน้าของเธอแดงก่ำด้วยความอับอาย
เธอนึกไม่ออกว่าเหตุใดซูหยางจึงสามารถรู้ความลับของเธอได้ ตามปกติแล้วพวกเขาแทบอยู่ด้วยกันตลอดเวลา ดังนั้นเขาสามารถพบเห็นโดยที่เธอไม่รู้ได้อย่างไร
ทันใดเธอก็นึกถึงซูเมิ่งอี้และตอนที่เธอปล่อยให้ซูหยางอยู่กับอีกฝ่ายตามลำพังสองสามวันได้ ชี้ให้เห็นถึงว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ร้ายได้ในทันที
“ต้องเป็นเธอแน่นอน” เธอเริ่มสาปแช่งซูเมิ่งอี้ในใจ
“เพียงสองสามวันก่อน” ซูหยางกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
แม้ว่าเขาไม่ได้วางแผนที่จะเปิดเผยตัวตนเธอเช่นนี้ แต่เขาก็ยังประสบผลตามที่มุ่งหวัง
“ซูเยวี่ย เหอ เป็นเสียงที่เพราะคล้องจองกันดี เจ้าคงคิดเช่นเดียวกันใช่ไหม” ซูหยางหัวเราะเสียงดัง จนทำให้ชิวเยวี่ยปิดหน้าด้วยมือทั้งสองข้างเพื่อซ่อนความอาย
“หยุดพูด ข้ายังเด็กและงี่เง่านักตอนนั้น ล-ล-และท่านก็ถือว่าได้ตายไปแล้ว มันเป็นสิ่งที่คล้ายกับสิ่งแทนตัว เข้าใจไหม” ชิวเยวี่ยเริ่มส่งเสียงแก้ตัวไม่หยุดด้วยความกระวนกระวาย
เซียวลี่มองดูพวกเขาสนทนากันด้วยท่าทางสับสน แม้ว่าเธอได้เรียนรู้วิธีการพูดและอ่าน แต่ความเข้าใจในการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้คนยังขาดอยู่บ้าง
“มีอะไรที่จะต้องอาย มันเป็นเพียงแค่นามแฝง” ซูหยางส่ายหน้า รู้สึกว่าชิวเยวี่ยกังวลเรื่องนี้เกินไป
เขากล่าวต่อว่า “ข้าเองก็มีนามแฝงอยู่บ้างเมื่ออยู่ในสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่เช่นเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้นคนที่โดดเดี่ยวเช่นเจ้าต้องเคยได้ยินชื่อเหล่านั้นไม่ต่ำกว่าหนึ่งชื่อแน่”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ชิวเยวี่ยก็ไม่ได้ปิดหน้าของเธอต่อไปและหันไปมองดูเขาด้วยความสนใจที่เพิ่มมากขึ้น เธอสงสัยว่าเป็นนามแฝงประเภทใดที่เป็นไปได้สำหรับคนแบบซูหยาง
“บอกข้ามา” เธอพลันกล่าว
“หือ”
“บอกนามแฝงหนึ่งในนั้นของท่านมา และข้าจะถือว่านี่เป็นการแลกเปลี่ยนที่ยุติธรรม” เธอกล่าว
ซูหยางส่ายหน้าอีกครั้งและกล่าวว่า “ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เราจะแลกเปลี่ยนนามแฝง มันเป็นความผิดของเจ้าเองที่ไม่ทำการปกปิดนามแฝงของเจ้าเองให้ดี”
ชิวเยวี่ยค่อนข้างไม่พอใจที่เธอไม่สามารถรู้แม้กระทั่งนามแฝงสักชื่อของเขา แต่เธอก็ไม่อาจปฏิเสธอคำพูดของเขาได้ ว่าไปแล้วมันเป็นความผิดของเธอเองทั้งหมดที่เธอสร้างนามแฝงเช่นนั้นตั้งแต่แรกโดยไม่สนใจใครหน้าไหน
หากจะมีสิ่งอื่นใด ก็คงเป็นที่เธอควรจะดีใจที่ซูหยางไม่ได้ใช้นามแฝงของเธอ ซูเยวี่ย มาเป็นเรื่องหยอกล้อเธอจนเธออยากจะตายเพราะความอาย และเพียงแต่ทำให้เธอน้ำตาเล็ดออกมาสองสามหยด
“แล้วนี่อะไรกัน เมื่อไรกันที่แมวโง่นี่จึงเรียนรู้ที่จะพูดได้ชัดเจนเช่นนี้” ชิวเยวี่ยมองดูเซียวลี่พร้อมขมวดคิ้ว ทัศนคติของเธอต่ออีกฝ่ายดูเหมือนเลวร้ายลงไปกว่าเดิม
เซียวลี่ก็ขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำเรียกว่าโง่ แม้ว่าเธอไม่ได้เข้าใจอีกฝ่ายอย่างแท้จริงมาก่อน หลังจากที่ได้เรียนภาษามนุษย์แล้ว ในที่สุดเซียวลี่ก็เข้าใจว่าชิวเยวี่ยได้ด่าเธอมาโดยตลอด
“เจ้าเรียกใครว่าแมวโง่ เจ้าเด็กน่าเกลียด” เซียวลี่โต้กลับไปยังชิวเยวี่ยอย่างไม่คาดคิด ซึ่งเธอถึงกับตกตะลึงกับการถูกด่ากลับ
“น-น่าเกลียด” ชิวเยวี่ยเกือบจะไม่เชื่อหูตัวเอง นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเคยได้ยินใครสักคนกล้าที่จะเรียกเธอว่าน่าเกลียด
“จ-เจ้าเป็นเพียงแค่แมว หุบปากและทำตัวเหมือนแมวซะ”
“ฮึ่ม” เซียวลี่แค่นเสียง โบกมือ ทำให้เรือบินสั่นสะท้านอย่างรุนแรงราวกับว่าพวกเขาพลันตกอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรที่มีคลื่นลมแรง
“จ-เจ้าทำอะไร หรือว่าเจ้าจะพยายามทำลายยานบินของข้า” ชิวเยวี่ยร้องลั่น เสียงเธอเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
เพราะว่าพลังการฝึกปรือของเซียวลี่เหนือกว่าตัวเธอ การควบคุมยานบินของชิวเยวี่ยจึงไม่เสถียร
ซูหยางถอนใจกับเด็กหญิงสองคนนี้ พวกเธอทำให้เขาคิดไปถึงไฟกับน้ำ สิ่งที่อยู่ตรงกันข้ามที่ไม่มีวันที่จะอยู่ร่วมกันได้นอกจากว่าจะมีปาฏิหาริย์บางอย่างเกิดขึ้น
“เซียวลี่ หยุดเขย่าเรือ มันทำให้ข้ารู้สึกไม่สบายเช่นกัน” เขากล่าวกับเธอ
แม้ว่าจะลังเลอยู่บ้าง เซียวลี่ก็หยุดยุ่งเกี่ยวกับชิวเยวี่ยและหันมาสนใจเรื่องของตนเองแทน
ชิวเยวี่ยจ้องมองเซียวลี่ด้วยท่าทางไม่พอใจ ไม่ว่าเธอต้องการที่จะเลิกสนใจเซียวลี่เท่าไรก็ตาม แต่ก็มีบางสิ่งเกี่ยวกับเซียวลี่ที่ทำให้เธอไม่พึงพอใจ บางทีนั่นอาจจะเป็นเพราะพลังการฝึกปรือของเซียวลี่ที่เหนือกว่าจึงทำให้เธอไม่สบายใจ หรืออาจจะเป็นเพราะเพียงว่าเธอไม่คุ้นเคยกับสัตว์อสูรที่ผิดธรรมดาดังเช่นเซียวลี่ บ้าไปแล้วแน่ๆ เธออาจจะเพียงอิจฉาความสัมพันธ์ของอีกฝ่ายกับซูหยางในฐานะสัตว์อสูรวิญญาณของซูหยางซึ่งในเมื่อสัตว์อสูรวิญญาณจะอยู่กับเจ้านายของตนเองตราบที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสิ้นชีพไป แต่ไม่ว่าจะทางใด เธอก็อดไม่ได้ที่จะไม่ชอบอีกฝ่าย
“เจ้าคงมิถึงกับไม่รู้เรื่องราวอะไรเลยใช่ไหม ชิวเยวี่ย” ซูหยางหันมาสนใจเธอ
“ฮึ่ม เป็นความผิดของเจ้าแมวนั่นที่เรียกข้าน่าเกลียด” เธอแค่นเสียงเย็นชา
“แล้วเจ้าเป็นอะไร เด็กน้อยงั้นรึ” ซูหยางแอบส่ายหน้า ดูเหมือนว่าไม่ว่าเธอจะเป็นผู้ใหญ่เพียงใด ก็ยังมีส่วนหนึ่งของเธอที่ยังคงเป็นเด็กเสมอ
หลังจากที่เธอทะเลาะกับเซียวลี่ไปเล็กน้อย ชิวเยวี่ยก็ไม่รู้สึกอายจากการที่นามแฝงของเธอถูกเปิดเผยจากซูหยางอีกต่อไป สุดท้ายแล้ว มันก็เป็นเพียงนามแฝงและไม่มีอะไรไปมากกว่านั้น
อย่างไรก็ตาม ซูหยางพลันกล่าวกับชิวเยวี่ยว่า “เกี่ยวกับนามแฝงของเจ้า…ถ้าเจ้าต้องการเช่นนั้นจริง เจ้าสามารถเก็บไว้ใช้ต่อไปได้ในอนาคต”
คำพูดของเขาทำให้เธอประหลาดใจ ชิวเยวี่ยจ้องมองเขาด้วยดวงตาเบิกกว้างที่เต็มไปด้วยความตระหนกและงงงัน
“ท-ท่านว่ากระไรไป พ-พูดให้ข้าฟังอีกครั้ง…ได้โปรด…” เธอขอร้องเขา เพียงแค่ในกรณีที่อาจจะเป็นแค่จินตนาการของเธอเอง
อย่างไรก็ตาม ซูหยางกลับไม่ฟังคำขอร้องของเธอและทำตัวนิ่งเฉยด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
“ข-เขายังคงล้อข้าเล่น” เธอร่ำร้องในใจ
และสำหรับเวลาที่เหลืออยู่ก่อนที่จะกลับไปถึงนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ชิวเยวี่ยก็ได้แต่พยายามที่จะให้ซูหยางพูดถ้อยคำเหล่านั้นอีกครั้ง น่าเสียดายซูหยางหลับตาลงและทำเหมือนกับว่าเขาไม่ได้ยินคำพูดเธอจนกระทั่งพวกเขาไปถึงจุดหมายปลายทางในที่สุด
“หยุดทำอืดอาดและก็บอกข้าได้แล้ว…” ชิวเยวี่ยกล่าวพร้อมขมวดคิ้วหลังจากที่ซูหยางทำเป็นจ้องมองเธอด้วยรอยยิ้มลึกลับบนใบหน้า
แม้ว่าเธอไม่สามารถคาดเดาได้ว่ามีอะไรในใจของเขา ใจเธอก็ยังเต็มไปด้วยลางร้าย มือของเธอกำแน่น
“กาลครั้งหนึ่ง หญิงสาวผู้ฝึกฝีมือคนหนึ่งตกหลุมรักกับผู้ฝึกวิชาที่มีอายุมากกว่า…” ซูหยางเริ่มเล่าเรื่องให้กับเธอ ชิวเยวี่ยจึงเริ่มเงียบลง
“ผู้ฝึกวิชาหญิงติดตามเขาเฉกเช่นคู่ร่วมเดินทางเพื่อที่จะหว่านเสน่ห์ต่อเขา ติดตามเขาไปจากเมืองสู่เมือง จากทวีปสู่ทวีป แม้จวบจนจากดวงดาวสู่ดวงดาว ผู้ฝึกวิชาหญิงนี้ได้ติดตามชายคนนี้หลายสิบปี อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะใช้เวลาร่วมกันเป็นระยะเวลานานกับเขา เธอก็ไม่สามารถที่จะทำให้เขาตกหลุมรักได้ เจ้าคิดว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร” ซูหยางมองดูชิวเยวี่ยแล้วก็ถามเธอ
“ข้าจะรู้ได้อย่างไร บางทีเธอคงจะหน้าตาแย่ หรืออาจจะไม่สวยพอที่จะดึงดูดใจ” ชิวเยวี่ยชื่นชมความตั้งใจของผู้ฝึกวิชาหญิงคนนี้ในใจทั้งที่เธอพูดออกไปแบบหยาบๆ
ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “ผู้ฝึกวิชาหญิงแน่นอนว่าเป็นสาวสวย อีกทั้งเป็นสุดยอดสาวสวย”
เขากล่าวเพิ่มขึ้นว่า “เป็นเรื่องธรรมดามากเลย ผู้ฝึกวิชาหญิงเชื่อว่าด้วยใบหน้าสะสวยของเธอ สิ่งที่เธอต้องทำก็เพียงแค่อยู่ข้างๆชายคนนี้เพื่อหว่านเสน่ห์ให้กับเขา และเพราะว่าความคิดเธอเป็นเช่นนี้ เธอจึงไม่เคยเปิดเผยความรู้สึกของเธอให้กับเขา”
“…” ชิวเยวี่ยจนคำพูด เป็นเช่นนี้เองหรือ
อย่างไรก็ตามหลังจากที่คิดถึงเรื่องนี้ชั่วขณะ ชิวเยวี่ยก็นึกขึ้นมาได้ว่าสถานการณ์ของเธอในอดีตก็คล้ายคลึงกับเรื่องราวของผู้ฝึกวิชาหญิงคนนี้
เพราะว่าเธอมั่นใจในความสวยงามไร้ที่ติ มันจึงเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำไมชิวเยวี่ยไม่สนใจที่จะร่วมแบ่งปันความรู้สึกของเธอกับซูหยาง และได้ทำเพียงแค่ติดตามเขาไปทั่วอย่างเงียบๆโดยหวังว่าเขาจะตกหลุมรักเธอ
ชิวเยวี่ยเริ่มหลั่งเหงื่อภายใต้ร่มผ้า หรือว่าซูหยางพยายามที่จะบอกเธอบางอย่างด้วยเรื่องนี้ ถ้าเธอไม่เปิดเผยความรู้สึกให้แก่เขาที่สถาบันสี่ฤดู เธอก็คงจะมีจุดจบเช่นเดียวกับผู้ฝึกวิชาหญิงในเรื่องนี้เช่นนั้นหรือ ท่องเที่ยวร่วมกับซูหยางต่อไปอีกหลายร้อยปีโดยไม่เปิดเผยความรู้สึกของเธอเพราะว่าความหยิ่งผยองของเธอเอง
ชิวเยวี่ยสั่นสะท้านกับความคิดเช่นนั้น
อย่างไรก็ตาม ซูหยางกล่าวต่อว่า “นี่ยังมีอีกเรื่อง…”
“คู่สามีภรรยาที่โด่งดังเดินทางท่องเที่ยวร่วมกัน พวกเขาท่องเที่ยวรอบโลกเพื่อค้นหาบางสิ่ง วันหนึ่งมีคนถามสามีว่า จริงแล้วเขาคิดอย่างไรกับภรรยาบ้าง เขากลับตอบคำถามนั้นว่า “ภรรยา เจ้าพูดถึงอะไรกัน ข้ามิได้มีภรรยาสักคน”
เมื่อชิวเยวี่ยได้ฟังเรื่องนี้ในตอนแรก เธอไม่ได้คิดมากมายอะไรนักเพราะว่าเรื่องแรกทำให้เธอลดความระมัดระวังลงไป
“เจ้าคิดอย่างไรกับที่สามีพูดว่าเขามิได้มีภรรยาในเมื่อทั้งโลกรู้จักว่าเขาทั้งคู่เป็นสามีภรรยากัน” ซูหยางถามเธอ
“เพราะว่าเขาขี้ลืมจึงจดจำมิได้ว่าเขามีภรรยาอยู่” ชิวเยวี่ยตอบไปอย่างไม่ได้คิดมากนักด้วยน้ำเสียงสงสัย
ซูหยางสามารถบอกได้ว่าชิวเยวี่ยยังไม่ได้ตระหนักถึงความมุ่งหมายของเขาจึงหัวเราะเล็กน้อย “นั่นเป็นการคาดเดาที่มีเหตุผล แต่นั่นยังไม่ถูกต้อง อีกครั้ง ลองเดาอย่างอื่น”
ชิวเยวี่ยขมวดคิ้วและเริ่มครุ่นคิด แต่เธอไม่ได้คิดถึงเรื่องราวนั้น กลับกันเธอพยายามที่จะขบคิดว่าทำไมซูหยางจึงเห็นว่าเรื่องราวเหล่านี้น่าสนใจ ในเมื่อเธอไม่เห็นว่าเขาเป็นคนที่จะเห็นเรื่องราวเหล่านี้สนุกสนานเพราะว่านี่น่าจะเป็นเรื่องราวสำหรับเด็กมากกว่า
“รอสักครู่…” ดวงตาชิวเยวี่ยพลันเบิกกว้าง ราวกับว่าเธอเพิ่งตระหนักรู้ ร่างกายของเธอสั่นสะท้าน
ถ้าเรื่องแรกหมายถึงสถานการณ์ของเธอก่อนหน้านี้ เช่นนั้นเรื่องราวที่สองนี้ก็ควรจะหมายถึงเรื่องราวของเธอ…
ชิวเยวี่ยกลืนน้ำลายอย่างยากเย็นและกล่าวด้วยเสียงสั่นสะท้าน “พ-เพราะว่าความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาของพวกเขา…ล้วนถูกสร้างขึ้นโดย…ภ-ภรร-ภรรยา”
ถึงตอนนี้รอยยิ้มของซูหยางพลันเปลี่ยนเป็นฉีกยิ้มกว้าง และเขาพูดด้วยเสียงลึกลับว่า “โอ นั่นค่อนข้างเป็นเหตุผลที่น่าสนใจ…ทำไมเจ้าจึงคิดว่าภรรยาจึงต้องทำเช่นนั้น”
“…”
ดูท่าทางของเขา ชิวเยวี่ยพลันรู้ว่าเขาทดสอบเธอและไม่ได้ตอบกลับไปในทันที เธอนิ่งเงียบไปชั่วขณะพร้อมกับก้มหน้าเล็กน้อย
ซูหยางไม่ได้เร่งรัดเธอและรอคอยอย่างอดทน อย่างไรก็ตามความเงียบกลับยิ่งทำให้ชิวเยวี่ยรู้สึกเลวร้ายลง
หลังจากเงียบไปชั่วขณะ ชิวเยวี่ยจึงค่อยเปิดปากพูด “พ-เพราะว่าภรรยาเหงาและต้องการ..ต้องการให้ความฝันของเธอเป็นจริง…”
แม้ว่าหน้าของชิวเยวี่ยยังก้มอยู่ ซูหยางสามารถบอกได้ว่าเธอมีท่าทางเหมือนจะร้องไห้
เขาแอบถอนใจ คิดสงสัยว่าเขาล้อเล่นมากเกินไปหรือไม่
“ทำไมเจ้าจึงต้องร้องไห้ มันเป็นเพียงแค่เรื่องเล่า” ซูหยางกล่าวสบายๆทำท่าเหมือนไร้เดียงสา
“หือ” ชิวเยวี่ยเงยหน้าจ้องมองเขาด้วยท่าทางงุนงง
“ข-เขามิรู้เรื่องหรอกรึ” เธอคิดสงสัยในใจ
ชิวเยวี่ยมีความมั่นใจว่าซูหยางได้รู้เห็นความลับของตัวตนของเธอในฐานะซูเยวี่ย ดังนั้นจึงเป็นเหตุให้เขาบอกเธอเรื่องราวเหล่านั้น แต่ดูเหมือนกับว่าเธอเพียงหวาดระแวงเกินไป
อย่างไรก็ตามในขณะที่ซูหยางเตรียมที่จะบอกความจริงให้กับชิวเยวี่ย เซียวลี่ผู้ซึ่งติดตามพวกเขามาอย่างเงียบๆด้านหลังพลันเปิดปากพูดขึ้นว่า “นายท่าน “ซูเยวี่ย” ที่ท่านครุ่นคิดถึงอยู่ตลอดมานี่คือใครกัน”
“…”
ทั้งชิวเยวี่ยและซูหยางหันไปมองเธอด้วยดวงตาเบิกกว้าง
“จ-เจ้าพูดถึงอะไรกัน” ซูหยางถามเธอ
แต่ก่อนที่เซียวลี่จะทันได้ตอบคำถามเขา ซูหยางก็จำได้ว่าเซียวลี่ในฐานะสัตว์วิญญาณประจำตัวเขา สามารถได้ยินความคิดของเขาได้ถ้าไม่ระมัดระวัง ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่หลายคนใช้สื่อสารความคิดกับสัตว์วิญญาณประจำตัวพวกเขา
และเซียวลี่ซึ่งเป็นผู้อยู่ในเขตตำนาน อีกทั้งเป็นสัตว์อสูรที่มีความเชี่ยวชาญด้านจิตใจ ความสามารถในการอ่านใจของเขายิ่งแกร่งกล้ายิ่งกว่าสัตว์อสูรใดๆ
ได้ยินคำถามของเขา เซียวลี่ก็มองดูเขาด้วยท่าทางงงงัน แน่นอนว่าเธอได้ยินชัดเจนจากเขา..หรือจะพูดให้ถูกต้องก็คือจากภายในใจของเขา
ซูหยางหันหน้าไปมองชิวเยวี่ยอย่างช้าๆ แน่นอนว่า เธอจ้องมองเขาด้วยแก้มป่องและท่าทางเป็นทุกข์ ใบหน้าของเธอแดงก่ำ อีกทั้งยังมีน้ำตาคลอเบ้า
“นี่เป็นว่าท่านรู้มาโดยตลอด” เธอร่ำร้องเสียงดัง
ขณะที่วูจินจิงกับซูเมิ่งอี้กำลังสาละวนอยู่กับอีกฝ่าย สำนักสุวรรณสิงห์ก็เริ่มสร้างใหม่อาคารสถานที่หลังจากที่เซียวลี่เกือบทำลายรากฐานกว่าพันปีของพวกเขาไป
อย่างไรก็ตามความเสียหายที่สำนักของพวกเขาได้รับนั้นปรากฏว่าเสียหายร้ายแรงมากกว่าที่เจ้าสำนักทองได้คาดคิดไว้ ในเมื่อทรัพย์สมบัติล้วนถูกเผาผลาญเป็นขี้เถ้าไปพร้อมกับทรัพยากรหลักส่วนใหญ่ของสำนักซึ่งอยู่ล้วนอยู่ภายในอาคาร
และเมื่อปราศจากทรัพยากรส่วนใหญ่ของพวกเขา สำนักสุวรรณสิงห์ก็ไม่สามารถที่จะฟื้นฟูตนเองได้ ส่งผลให้เจ้าสำนักทองจนมุม
“เชี่ย เชี่ย เชี่ย”
ภายในห้องของเขา เจ้าสำนักทองระบายความโกรธแค้นไปกับเครื่องเรือนรอบข้าง โยนพวกมันไปทั่วห้อง
“ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความผิดของเจ้าเด็กผมเงินนั่น ถ้าเจ้าเด็กนั่นมิได้เข้ามาสอดส่องต้องสงสัยในสำนักข้า สิ่งเหล่านี้ย่อมมิเกิดขึ้น” เจ้าสำนักทองโยนความผิดทั้งหมดไปให้เซียวลี่ โดยไม่สนใจพฤติกรรมของตนเอง
หลังจากทำลายข้าวของต่อไปอีกสองสามชิ้น สุดท้ายเจ้าสำนักทองก็หยุดอาละวาดและหันไปมองยังร่างสวมหน้ากากที่ยืนนิ่งอยู่ที่มุมห้อง
ร่างสวมหน้ากากเมื่อเห็นว่าในที่สุดเจ้าสำนักทองก็หันมาสนใจตนเอง จึงค่อยพูดออกมาด้วยเสียงอู้อี้ว่า “ถ้าผู้อาวุโสทองต้องการทรัพยากร พวกเราดาบแสงจันทร์สามารถช่วยท่านแก้ปัญหาได้”
ได้ยินคำพูดจากร่างสวมหน้ากาก เจ้าสำนักทองแค่นเสียงเย็นชา “อีกกี่ครั้งที่ข้าควรจักฆ่าคนของเจ้าก่อนที่พวกเจ้าจะเข้าใจคำตอบของข้า ข้าปฏิเสธทุกสิ่งที่เจ้านำเสนอ”
อย่างไรก็ตามคนสวมหน้ากากยังคงอยู่ภายในห้องและกล่าวว่า “ถ้าท่านช่วยเราทำลายตระกูลซี พวกเราจักยกความมั่งคั่งทุกอย่างของพวกเขาให้กับท่าน ซึ่งนั่นเป็นทรัพยากรที่นับว่าเพียงพอต่อการซ่อมแซมสำนักของท่านอย่างเหลือเฟือ ยิ่งไปกว่านั้น ท่านยังสามารถยึดตำแหน่งของพวกเขาและปกครองทวีปตะวันออกทั้งหมด”
เจ้าสำนักทองไม่ได้ตอบสนองในทันที และมีท่าทางครุ่นคิดอยู่บนใบหน้า
คนเหล่านี้ที่เรียกตนเองว่าดาบแสงจันทร์โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ในวันหนึ่งต่อหน้าเขาเมื่อสองเดือนก่อนและร้องขอให้เขาช่วยทำลายตระกูลซีนับแต่นั้น
ครั้งแรก เจ้าสำนักทองล้วนเพิกเฉยต่อพวกเขาอีกทั้งยังฆ่าคนส่งข่าวทุกคนที่พวกเขาส่งมา แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความสนใจที่เขามีต่อเป้าหมายของพวกเขาก็เพิ่มมากขึ้น และตอนนี้สำนักของเขาแขวนอยู่บนเส้นด้ายแห่งการล่มสลาย ข้อเสนอของพวกเขาพลันกลายเป็นสิ่งน่าพึงพอใจที่สุดในสายตาของเขา
อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้ตกลงทันทีในการช่วยพวกเขา เพราะว่าเขาไม่ต้องการให้คนพวกนี้เห็นว่าเขาเป็นคนที่ถูกจูงจมูกไปได้โดยง่าย
หลังจากนิ่งเงียบไปชั่วขณะ คนในหน้ากากก็กล่าวต่อว่า “ดาบแสงจันทร์ของพวกเราเพียงต้องการเจ้าหญิงของตระกูลซี ส่วนอื่นที่เหลือผู้อาวุโสทองสามารถตัดสินใจได้เลยว่าจะทำอะไรกับพวกมัน”
“มีอะไรกับเจ้าหญิงของตระกูลซีที่สำคัญต่อพวกเจ้ารึ คำตอบของข้าจักขึ้นอยู่กับเหตุผลของพวกเจ้า” เจ้าสำนักทองกล่าวต่อหลังจากนั้น
“ท่านผู้นำต้องการที่จะได้รับร่างสวรรค์ของเธอ ร่างร้อยพิษมิกราย”
คนสวมหน้ากากไม่ได้พยายามปกปิดความจริงจากเขาเพราะว่าผู้นำสั่งเขาให้ทำเช่นนั้น เนื่องเพราะว่าดาบแสงจันทร์ต้องการความช่วยเหลือจากเขาอย่างมากเพื่อที่จะให้บรรลุเป้าหมาย
“ร่างร้อยพิษมิกราย หึ” เจ้าสำนักทองแอบแลบลิ้นเลียริมฝีปาก
ร่างสวรรค์เป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งภายในทวีปศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นกระทั่งผู้ที่มีพลังอำนาจดังเช่นเจ้าสำนักทองก็ยังต้องการเป็นอย่างยิ่ง
“ถ้าข้าจำได้มิผิดพลาด พวกเจ้าสามารถข้ามทะเลหยกมายังทวีปศักดิ์สิทธิ์กลางโดยใช้สมบัตวิญญาณบางอย่าง แต่มันเพียงทำงานทางเดียวใช่หรือไม่”
“เป็นเช่นนั้น” คนสวมหน้ากากยืนยัน
“แต่เพื่อที่จะให้พวกเราข้ามทะเลหยกมาถึงที่นี่ มันจักใช้เวลาครึ่งปีเป็นอย่างน้อย”
“พวกเราจักรอท่านผู้อาวุโสทองไปถึงทันทีที่ท่านตกลงช่วยเหลือพวกเรา” ร่างนั้นกล่าว
เจ้าสำนักทองเงียบลงไปอีกครั้ง
หลังจากคิดไปอีกสองสามนาที เจ้าสำนักทองก็ฉีกยิ้มและกล่าวว่า “บอกผู้นำของเจ้าว่าข้าจักไปหาเขาโดยเร็วเท่าที่จะเป็นไปได้”
คนสวมหน้ากากพยักหน้าและหายไปในเงามืดอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงเจ้าสำนักทองอยู่ตรงนั้น
“ฮ่าฮ่าฮ่า…เจ้าพวกโง่เง่า…” เจ้าสำนักทองหัวเราะในใจ “พวกเจ้าคิดหรือว่าจะผ่านไปได้ง่ายๆ ทำไมข้าจักต้องฟังใครก็ไม่รู้จากสถานที่ที่ต่ำต้อยดังทวีปตะวันออก ทั้งยังต้องการแบ่งทรัพย์สมบัติกับข้า”
เขาคาดหวังที่จะได้รับร่างร้อยพิษมิกรายเป็นของตนเองอย่างเงียบๆ รู้สึกมั่นใจในความสามารถของตนเอง จินตนาการว่าเขาสามารถข้ามทะเลไปถึงได้อย่างราบรื่น
–
–
–
ในสถานที่เหนือทะเลหยก ชิวเยวี่ยหันกลับไปดูทวีปศักดิ์สิทธิ์กลางด้านหลังเธอด้วยรอยยิ้มโล่งอก
“ข้าสามารถเก็บซ่อนความลับของข้าจากเขาได้สำเร็จ” เธอชื่นชมในใจ
ตอนนี้เธอไม่คิดกังวลว่าเขาจะพบเธอในฐานะธิดาเทพเซียนซูเยวี่ยจนต้องอับอายปางตายอีกต่อไป
“เจ้าดูมีความสุขนะวันนี้” ซูหยางพลันกล่าวกับเธอด้วยรอยยิ้มลึกลับบนใบหน้า “มีอะไรดีๆเกิดขึ้นก่อนหน้านี้รึ”
“อาจจะหรืออาจจะไม่ ใครจะรู้” ชิวเยวี่ยตอบกลับด้วยน้ำเสียงทะเล้น
ซูหยางยังคงยิ้มลึกลับ “เจ้ารู้ไหม ข้าเรียนรู้หลายอย่างระหว่างที่อยู่ที่นั่นเพียงแค่สั้นๆ และนั่นทำให้การเดินทางครั้งนี้คุ้มค่ามากๆ”
“โห ท่านกระทั่งยังเรียนรู้หลายสิ่งจากที่นั่นด้วยรึ อะไรบ้างที่ท่านรู้” ชิวเยวี่ยสังเกตเห็นว่าท่าทางของเขาค่อนข้างแปลก แต่เธอไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะสนใจเกี่ยวกับเรื่องเล็กน้อยที่ประดุจฝุ่นละอองบนเสื้อผ้า
“มิใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร มันเป็นเพียงเรื่องราวน่าใจเล็กน้อยบางอย่างเท่านั้น”
“จริงรึ ทำไมท่านมิแบ่งปันให้กับข้าบ้าง” ชิวเยวี่ยพูดโดยไม่คิด
“เจ้ามั่นใจรึ เจ้าอาจจะพบว่ามันมิได้เป็นเรื่องสนุกอะไรเลยก็ได้” ซูหยางเตือนเธอแบบไม่ใส่ใจ
“มันก็เป็นเพียงแค่เรื่องเล่าขานใช่ไหม ไม่มีอะไรที่มั่นใจในเรื่องพวกนั้น”
ในตอนนี้ ท่าทางขี้เล่นบนใบหน้าของชิวเยวี่ยพลันเปลี่ยนเป็นท่าทางที่เต็มไปด้วยความสงสัย เธอเริ่มรู้สึกไม่สบายใจกับกลิ่นอายลึกลับที่อยู่รอบตัวซูหยาง
ส่วนสำหรับซูหยาง รอยยิ้มลึกลับบนใบหน้าของเขายิ่งชัดเจนขึ้นทุกขณะ เขาแทบรอไม่ได้ที่จะเห็นท่าทางชิวเยวี่ยที่จะเกิดขึ้นครั้นเมื่อเขาเริ่มพูดเกี่ยวกับเด็กหญิงที่ชื่อซูเยวี่ย
“พ-พี่จินจิง…ท-ท่านเอาจริงรึ” ซูเมิ่งอี้ต้องการยืนยันว่าอีกฝ่ายเอาจริงหรือว่าเพียงแค่ล้อเธอเล่นดังเหมือนทุกครั้ง
“ข-ข้ามิได้พูดเล่นกับเรื่องนี้” วูจินจิงรีบตอบด้วยใบหน้าแดงก่ำ
ห้องเงียบลงอย่างรวดเร็วหลังจากนั้น
หลังจากนั้นชั่วขณะซูเมิ่งอี้ก็กล่าวด้วยเสียงเอียงอายว่า “ถ-ถ้าเช่นนั้น…ถ้าพี่จินจิงมิถือทำเช่นนั้นกับคนเช่นข้า…ข-ข้าคิดว่าควรจะลองดูสักครั้ง…”
แม้ว่าจะไม่ได้หายากจนถึงขั้นไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย แต่การที่ผู้หญิงสนองความพึงใจตนเองโดยร่วมกับหญิงอื่นนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ปกติ แม้ว่าคนทั้งโลกจะไม่ได้เหยียดหยามผู้ที่ต้องการดื่มด่ำเพศรสกับเพศเดียวกัน แต่ก็ยังมีคนนอกเหนือจากนั้นที่ไม่ชอบการปฏิบัติเช่นนั้น ในเมื่อพวกเขาเชื่อว่าการทำเช่นนั้นคือการทำผิดบาปต่อสรวงสวรรค์
แต่โชคดีที่ทั้งซูเมิ่งอี้และวูจินจิงไม่เป็นคนกลุ่มนั้นที่ปฏิเสธความคิดที่แปลกแยก ที่เป็นเช่นนั้น เพราะว่าหลังจากที่พบกับซูหยาง พวกเธอก็เป็นคนที่เปิดใจยอมรับหลายสิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกล่าวถึง “การร่วมเรียง”
“เจ้ามั่นใจรึ เจ้ามิต้องตกลงกับความคิดแปลกประหลาดของข้า ถ้าเจ้ามิได้ต้องการมันจริงๆ”
“อย่ากังวลไปเลย พี่จินจิง ถ้าคิดว่าแนวคิดของเจ้านั้นแปลก เช่นนั้นเจ้าต้องเห็นสิ่งที่ข้ามีอยู่ในใจเมื่อข้าพยายามที่จะให้ซูหยางสนใจ…”
“ช-เช่นนั้นรึ..” วูจินจิงอดไม่ได้ที่จะยิ้มกับคำกล่าวของเธอ
“เช่นนั้น…เจ้าต้องการที่จะลองตอนนี้เลยไหม” เธอพลันถาม
“ต-ตอนนี้ ตอนนี้หรือ” ซูเมิ่งอี้ดูนิ่งขึง ในเมื่อเธอไม่ได้คาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้นในเร็วนี้
วูจินจิงพยักหน้าและกล่าวต่อว่า “กายข้ากระสับกระส่ายมาชั่วระยะหนึ่งแล้ว และข้าจักขอบคุณเป็นอย่างยิ่งถ้าเจ้าสามารถช่วยข้าได้ในตอนนี้…” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงเอียงอาย
“…”
หลังจากที่จ้องมองอีกฝ่ายอย่างเงียบเชียบเป็นเวลาชั่วขณะ ซูเมิ่งอี้ก็พยักหน้าเล็กน้อยตกลงกับข้อเรียกร้องของอีกฝ่าย
สองสามนาทีหลังจากนั้น ครั้นเมื่อพวกเธอเตรียมตัวพร้อมแล้ว ซูเมิ่งอี้และวูจินจิงก็ถอดเสื้อผ้าต่อหน้าอีกฝ่ายและนั่งลงบนเตียง
เพราะว่าพวกเธอล้วนเป็นหญิง พวกเธอไม่รู้สึกอายเท่ากับเมื่อพวกเธอเปิดเผยตัวให้กับซูหยาง อย่างไรก็ตามความกังวลใจก็ดูเหมือนว่าจะมีมากกว่าเมื่อตอนที่พวกเธออยู่กับซูหยาง ในเมื่อพวกเธอยังไม่กล้าสวมกอดอีกฝ่ายด้วยวิธีที่พวกเธอไม่เคยนึกมาก่อน
“…”
ซูเมิ่งอี้ถึงกับหมดคำพูดเมื่อเธอมองเห็นซาลาเปายัดใส้ใบใหญ่ของวูจินจิงเป็นครั้งแรก ตระหนักว่าความแตกต่างในความดึงดูดใจทางเพศในฐานะหญิงของพวกเธอช่างใหญ่หลวงนักเกินกว่าที่เธอเคยคิด
และเมื่อวูจินจิงสังเกตเห็นการจ้องมองอย่างอิจฉาของอีกฝ่าย เธอหัวเราะน้อยๆและกล่าวด้วยเสียงหยอกล้อว่า “เจ้าอิจฉารึ”
“ใครรู้สึกอิจฉากัน” ซูเมิ่งอี้พลันจับซาลาเปาของวูจินจิงพร้อมกับกล่าว เป็นเหตุให้พวกเธอสะดุ้ง
“อา” วูจินจิงไม่ได้คาดว่าซูเมิ่งอี้จะเป็นคนเริ่ม จึงเผลอส่งเสียงร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ
“โอ…ขอโทษ เจ็บไหม” ซูเมิ่งอี้รีบปล่อยมือ
วูจินจิงส่ายหน้าและกล่าวว่า “อย่ากังวล ข้าเพียงแค่ประหลาดใจ”
เธอพลันนอนลงบนเตียงและกล่าวต่อว่า “มาสิ…ทำต่อสิ่งที่เจ้าเพิ่งทำลงไป…”
ซูเมิ่งอี้กลืนน้ำลายและเอื้อมไปหาซาลาเปาของวูจินจิงอีกครั้ง ครานี้เธอไม่ได้ใช้แรงมากนักและค่อยนวดเปาทั้งคู่ด้วยนิ้วของเธอ ราวกัว่าเธอกำลังนวดแป้ง
เธอพยายามเลียนแบบการเคลื่อนไหวมือของซูหยางยามเมื่อเขานวดเธอ แต่อนิจจา เธอรู้ได้อย่างรวดเร็วว่าช่างเป็นความพยายามที่ล้มเหลว เธอจึงหันกลับมานวดวูจินจิงแบบปกติ
“อืม…” วูจินจิงถูกปลุกเร้าได้โดยง่าย เธอเริ่มครางขณะที่หอบหายใจเบาๆ
สองสามอึดใจถัดไป เมื่อความสุขในกายของวูจินจิงไปถึงจุดหนึ่ง เธอก็เริ่มเอื้อมมือไปยังดอกไม้ชุ่มฉ่ำของตัวเอง
“…”
ซูเมิ่งอี้เกือบไม่เชื่อสายตาตัวเองเมื่อวูจินจิงเริ่มช่วยตัวเองขณะที่เธอนวดอกของอีกฝ่าย และเมื่อเธอเห็นท่าทางวาบหวามของวูจินจิง ร่างกายของเธอก็เริ่มตื่นตัว และเริ่มใช้มือของตนเองช่วยตัวเองเช่นกัน
ดังนั้นเสียงหอบหายใจหนักสองเสียงก็เริ่มสร้างความสุขให้กับตนเองเคียงข้างกันในห้อง
สองสามนาทีภายหลัง เมื่อวูจินจิงเริ่มไม่พอใจกับการช่วยตัวเอง เธอก็กล่าวกับซูเมิ่งอี้ว่า “ดูเหมือนว่าบางสิ่งจะไม่ถูกต้อง… นี่มิได้ต่างกับการทำด้วยตนเอง…”
“เช่นนั้นเราควรทำเช่นไรต่อไป”
หลังจากคิดชั่วขณะ วูจินจิงก็กล่าวขึ้นขณะที่ชี้ไปยังเตียง “มานอนตรงนี้”
ซูเมิ่งอี้ไม่ได้ถามคำถามอะไรอีกและทำตามคำแนะนำของอีกฝ่าย
ครั้นเมื่อซูเมิ่งอี้เอนหลังลงไปบนเตียง วูจินจิงก็เริ่มเอนกายลงบนร่างของซูเมิ่งอี้อย่างนุ่มนวลโดยหันศีรษะของตนเองไปทางด้านทางเข้าด้านล่างของซูเมิ่งอี้ซึ่งทำให้ใบหน้าพวกเธอพบกับพื้นที่ลับของอีกฝ่าย
“จ-เจ้าวางแผนจะทำอะไรในท่านี้” ซูเมิ่งอี้ถามโดยมีดอกไม้สีชมพูของวูจินจิงเปิดเผยอยู่ด้านบนต่อหน้าเธอ
“เจ้าจักรู้ในบัดดล…”
ขณะที่เธอกล่าวคำเหล่านั้น วูจินจิงก็ลดศีรษะลงจนกระทั่งอยู่ระหว่างต้นขาของซูเมิ่งอี้และริมฝีปากก็เกือบสัมผัสกับดอกไม้ชุ่มฉ่ำของอีกฝ่าย
ซูเมิ่งอี้รู้ทันทีว่าอีกฝ่ายกำลังจะทำอะไรและร่ำร้องเสียงดัง “ย-อย่าบอกว่าเจ้าจะ—อาาาา”
วูจินจิงเพิกเฉยอีกฝ่ายและเริ่มโลมไล้กลีบดอกไม้ของอีกฝ่ายด้วยลิ้น
“พ-พี่จินจิง” ซูเมิ่งอี้เกือบปลดปล่อยออกมาจากการสัมผัสในบัดดลนั้น
“ช่างเป็นการตอบสนองที่น่ารัก” วูจินจิงคิดในใจและเริ่มใช้ชิวหาต่อไป ทำให้ร่างนุ่มนิ่งของซูเมิ่งอี้เริ่มสั่นสะท้าน
“อืมมม…เช่นนั้น…อาาา…” ซูเมิ่งอี้จมอยู่กับความสุขสมและเริ่มขยับสะโพก ทำราวกับว่าลิ้นของวูจินจิงคือแท่งของซูหยาง ถึงกระทั่งจินตนาการในใจ
สองสามนาทีถัดไปวูจินจิงก็หยุดการใช้ลิ้นและกล่าวว่า “เมิ่งอี้ นี่มิยุติธรรมเลยที่มีเพียงเจ้าสุขสมอยู่ฝ่ายเดียวที่นี่…รีบทำเช่นเดียวกันกับข้า…”
“อา…ข้าขอโทษ…” หลังจากที่ขอโทษอีกฝ่ายแล้ว ซูเมิ่งอี้ก็ดึงดอกไม้ของวูจินจิงเข้าไปยังใบหน้าของตนเองและเริ่มใช้ลิ้นของตนเองกับอีกฝ่าย
“อืมมม” วูจินจิงร่างสั่นสะท้านผ่านความรู้สึกจากปลายลิ้นของซูเมิ่งอี้ และความเครียดในร่างกายของเธอก็ค่อยจางหายไปทีละเล็กละน้อย
หลังจากใช้เวลาเนิ่นนานกับความเงียบอันน่ากระอักกระอ่วน ซูเมิ่งอี้พูดด้วยเสียงแข็งทื่อว่า “ช-เช่นนั้นเป็นว่าคู่ของเจ้าก็ชื่อซูหยางเช่นกันรึ…ช่างเป็นเรื่องบังเอิญ..”
เห็นชัดว่าซูเมิ่งอี้ต้องการปฏิเสธไม่อยากเชื่อว่าเธอร่วมเรียงกับชายคนเดียวที่ทำให้วูจินจิงเพื่อนสนิทเธอตั้งท้อง
อย่างไรก็ตาม วูจินจิงส่ายหน้าและกล่าวว่า “อย่าทำเป็นเหลวไหล ข้าสามารถบอกได้ว่ากระทั่งเจ้าเองก็ยังมิเชื่อคำพูดของตนเอง”
แม้ว่าวูจินจิงก็ไม่ต้องการที่จะยอมรับเช่นกันว่าเธอได้ร่วมเรียงกับชายคนเดียวกับที่ร่วมเรียงกับซูเมิ่งอี้ แต่ก็มีบางสิ่งในโลกที่ยอมรับดีกว่าเพิกเฉย
“ร-เราควรทำอย่างไรดีตอนนี้” ซูเมิ่งอี้ถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล “ร-เรากำลังอุ้มท้องลูกของชายคนเดียวกัน เจ้าก็รู้”
สิ่งที่เธอเป็นกังวลมากที่สุดในตอนนี้ก็คือความสัมพันธ์ระหว่างพวกเธอจะต้องสิ้นสุดหลังจากเหตุการณ์นี้
“เราควรจะทำอย่างไรต่อไปตอนนี้ อืม..” วูจินจิงพึมพัม
“ปกติแล้ว เมื่อหญิงสองคนอุ้มท้องจากชายคนเดียวกันโดยไม่รู้ตัว ชายจะเป็นคนเลือกคนหนึ่งให้เป็นภรรยาหลวงในขณะที่อีกคนจะกลายเป็นสนม อย่างไรก็ตามในกรณีนี้ในเมื่อผู้ชายไม่อยู่ เราต้องตัดสินใจด้วยตนเองว่าเราจะต้องทำอะไร”
วูจินจิงมองดูซูเมิ่งอี้ด้วยใบหน้าท่าทางจริงจังและถามว่า “เจ้าต้องการเป็นอะไร เมิ่งอี้”
หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ ซูเมิ่งอี้ก็กล่าวขึ้นว่า “ข-ข้าต้องการให้เรายังคงเป็นเหมือนเช่นที่เคยเป็น…เพื่อนสนิท แล้วเจ้าละเพื่อนจินจิง”
วูจินจิงส่ายหน้าและตอบว่า “นั่นเป็นไปไม่ได้ ข้ามิคิดว่าข้าจักสามารถมองดูเจ้าเป็นเช่นเดิมได้อีกต่อไป”
“ว-ว่ากระไร…” ซูเมิ่งอี้เบิกตากว้างด้วยความตระหนกเมื่อได้ยินคำกล่าวของอีกฝ่าย
วูจินจิงกล่าวต่อก่อนที่น้ำตาซูเมิ่งอี้จะไหลออกมา “เราทั้งคู่ล้วนรักชายคนเดียวกัน และมอบความบริสุทธิ์ให้กับเขา และเรายังจักอุ้มท้องลูกของชายคนนั้นในอนาคต ถ้าเจ้าถามข้า พวกเราผ่านเลยจุดที่ถือว่าเป็นเพื่อนไปแล้ว…”
“เจ้าคงมิได้หมายความว่า…” ซูเมิ่งอี้ยังคงตื่นตระหนกแต่ว่าด้วยเหตุผลที่ต่างออกไป
“ใช่แล้ว… เราทั้งคู่ตอนนี้เป็นครอบครัว “พี่น้อง” อย่างแท้จริง”
“พี่จินจิง” ซูเมิ่งอี้เริ่มร้องไห้โดยไม่อดรั้งได้อีกต่อไปและตรงเข้าไปกอดวูจินจิง
“ฮ่าาา…” วูจินจิงถอนใจหลังจากนั้นเมื่อซูเมิ่งอี้กอดเธอแน่น “ข้ารู้ว่าเขาเป็นคนที่ข้ามิอาจเก็บเขาไว้ข้างกาย แต่เมื่อคิดว่ากระทั่งเพื่อนสนิทของข้าก็ได้รับรู้รสชาติของเขา ช่างโชคร้ายนัก…”
“จ-เจ้าหมายความว่าอย่างไรจึงพูดเช่นนั้น” ซูเมิ่งอี้หยุดกอดอีกฝ่ายและมองดูด้วยดวงตาเบิกกว้าง
วูจินจิงหัวเราะเล็กน้อยและกล่าวว่า “หมายความว่าข้ามิอาจที่จะอวดเจ้าในเรื่องประสบการณ์อันเหนือโลกที่ข้าได้รับขณะที่อยู่กับเขาในเมื่อเจ้าเองก็ได้ลิ้มรสนั้นเช่นกัน”
ซูเมิ่งอี้เริ่มหน้าแดงเมื่ออีกฝ่ายนำเรื่องเช่นนี้มาพูด และเธอแน่นอนว่ามียิ่งกว่าแค่ได้ลิ้มลอง
“เจ้ามีประสบการณ์อย่างไร เจ้ารู้สึกเหมือนกับว่าถูกครอบงำด้วยปิศาจบ้ากามระหว่างที่เจ้าร่วมเรียงกับเขาหรือไม่” วูจินจิงเริ่มหยอกล้ออีกฝ่าย
ซูเมิ่งอี้พยายามปิดบังความอายบนใบหน้าของเธอเมื่อนึกถึงเวลาที่เธอใช้กับเขาภายในห้องปรุงยา คิดกลับไปยังเวลานั้น เธอยิ่งกว่าถูกสิงอย่างแน่นอน ถ้าจะเปรียบเธอก็คงกลายไปเป็นสัตว์ป่า
“หยุดหยอกข้าได้แล้วพี่จินจิง” ซูเมิ่งอี้ทำแก้มป่อง
“ฮ่าฮ่าฮ่า จากที่รู้จักเจ้ามา เมิ่งอี้ เจ้าคงจะทนได้ไม่กี่นาที” วูจินจิงระเบิดเสียงหัวเราะ
อย่างไรก็ตามคำพูดต่อไปที่ออกมาจากซูเมิ่งอี้สร้างความตระหนกให้กับวูจินจิงจนหัวเราะไม่ออก
“ฮึ่ม แม้ว่าข้าจะมิคุ้นเคยกับความรู้สึกนั้นในตอนแรก แต่หลังจากที่ใช้เวลาหลายวันร่วมกับเขา ข้าสามารถพูดด้วยความมั่นใจว่าข้าสามารถอยู่ได้ครึ่งวันโดยไม่หยุดพัก”
เพื่อให้ดูว่าถึกทน ซูเมิ่งอี้ตัดส่วนที่ต้องใช้ยาทนทานออกไปโดยเจตนา
วูจินจิงจ้องมองเธอด้วยดวงตาเบิกกว้างและกรามที่อ้าคลาย “จ-เจ้าว่ากระไร เจ้าใช้เวลาหลายวันอยู่กับเขารึ”
ซูเมิ่งอี้พยักหน้าและอธิบายให้อีกฝ่ายฟังถึงสาเหตุที่ซูหยางอาศัยอยู่ที่สถาบันสี่ฤดูหลายวันเนื่องมาจากกิจธุระบางอย่างที่เขามีที่นั่น
“ช-ใช้เวลามากเท่าไหร่ที่เจ้าได้..ร่วมเรียง…กับเขา” วูจินจิงถามอีกฝ่ายด้วยใบหน้าที่ก้มลงและเสียงสั่นสะท้าน
ซูเมิ่งอี้ยักไหล่และกล่าวว่า “ข้ามัวแต่มุ่งมั่นเกินไปจนลืมเวลา แต่ถ้าให้ข้าเดา อย่างน้อยก็ยี่สิบสี่ชั่วโมง ข้าคิดว่าเช่นนั้น…”
“ฮาา..ข้าหวังว่าจักได้นานกว่านั้น…” เธอถอนหายใจหลังจากนั้นชั่วขณะ
ได้ยินที่ซูเมิ่งอี้ทำให้ซูหยางอยู่กับตัวเองนานเกินยี่สิบสี่ชั่วโมงในขณะที่เธอเองมีเวลาเพียงแค่ชั่วโมงเดียวหรือกว่านั้น วูจินจิงจับแขนซูเมิ่งอี้และจ้องมองเธอด้วยสายตาอิจฉา
“พ-พี่จินจิง” ซูเมิ่งอี้กลับกลายเป็นหวาดกลัวกับการจ้องเขม็งของอีกฝ่าย
“เจ้าเด็กตัวเหม็น ข้าได้ร่วมเรียงกับเขาเกินชั่วโมงไปแค่นิดเดียวก่อนที่เขาจะจากไป” กลิ่นอายความเป็นผู้ใหญ่ที่วูจินจิงเปล่งออกมาไม่อาจพบได้ในเวลานั้น ในเมื่อเธอรู้สึกอิจฉามากเกินไปต่อซูเมิ่งอี้
“เอ๋…” ซูเมิ่งอี้งงงันไปกับคำกล่าวของอีกฝ่าย
“เจ้ารู้ไหมว่าช่างโชคดีแค่ไหนที่เจ้าได้ใช้เวลามากมายอยู่กับเขา และเจ้ายังบ่นเรื่องนั้น ข้าควรเป็นคนบ่นถึงจะถูกต้อง”
“ป-เป็นเช่นนั้นหรือ..” ซูเมิ่งอี้ไม่รู้สึกเลวร้ายเกี่ยวกับเวลาที่เธอได้ใช้กับเขาอีกต่อไป อีกทั้งยังสงสารวูจินจิง ว่าไปแล้วใครจะพึงพอใจได้หากได้ใช้เวลาเพียงแค่หนึ่งชั่วโมง
–
–
–
ชั่วขณะหลังจากนั้น ซูเมิ่งอี้พลันถามวูจินจิง “พี่จินจิง แม้ว่านี่อาจจะรู้สึกแปลกอยู่บ้าง ในเมื่อซูหยางไม่อยู่แล้ว ข้าจักทำให้ตัวเองพึงพอใจได้อย่างไร ข้ามิอาจคิดไปหาชายอื่นนอกจากซูหยาง แต่เมื่อไม่มีเขา ความปรารถนาความสุขที่เขาปลุกมันขึ้นมาภายในใจข้าก็ยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้น…”
วูจินจิงครุ่นคิดกับคำถามนั้นชั่วขณะ ในเมื่อเธอเองก็พยายามครุ่นคิดปัญหาเดียวกันนั้นมาเป็นเวลาหลายวัน
“ข-ข้าเคยได้ยินว่าในครอบครัวที่มีสนมมากมายและชายไม่สามารถตอบสนองกับทุกคนได้ ปกติสนมเหล่านั้นจักใช้อีกฝ่ายเพื่อทำให้สมความปรารถนาของตนเอง…” วูจินจิงกล่าวด้วยเสียงประหลาด
“จ-เจ้าคงมิได้หมายความว่า…” ซูเมิ่งอี้จ้องมองอีกฝ่ายด้วยดวงตาเบิกกว้างเต็มไปด้วยความแตกตื่น
วูจินจิงมองดูเธอและหน้าแดง “ถ-ถ้าเจ้ามิถือ เราสามารถลองดู…”
ซูเมิ่งอี้กรามร่วงลงไปถึงพื้นจากคำตอบที่ไม่คาดคิดต่อปัญหาของตัวเอง