NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง – บทที่717 ทางเลือกที่ยากลำบาก

บทที่717 ทางเลือกที่ยากลำบาก

ข้อความนี้ส่งมาจากเบอร์แปลก

แมงป่องอ่านข้อความนั่น แล้วอยู่ในความเงียบสงบ

อย่างแรก เบอร์โทรนี้เป็นเบอร์ส่วนตัวของแมงป่อง มีไม่กี่คนที่รู้

นอกจากคนในครอบครัว ก็มีเพื่อนเก่าแก่ไม่กี่คน แม้แต่หยิ่นเจิ้งเองก็ยังไม่รู้

เพราะงั้นถึงได้พูดว่าเป็นเบอร์ส่วนตัวมากๆ

โดยปกติแล้วแทบจะไม่ค่อยมีใครติดต่อเขาผ่านเบอร์นี้

แต่ตอนนี้กลับมีเบอร์แปลกส่งข้อความเข้ามาบอกว่าหยิ่นเหล่ยซ่อนตัวตรงนั้น

วินาทีที่สมองตื้อไป ถึงกับลืมว่าต้องถามหยิ่นเจิ้ง แต่กลับหันไปพูดกับฉ่างจื่อว่า “ไปหมุนรูปปั้นสิงโตที่ตั้งอยู่บนโต๊ะนั่นที”

เมื่อได้ยินดังนั้น หยิ่นเจิ้งก็นลานขึ้นมา เขาลุกขึ้นแล้วรีบเดินเข้าไปขวางฉ่างจื่อ

“หยิ่นเจิ้ง!” แมงป่องมองหน้าหยิ่นเจิ้งด้วยสายตาเย็น “นายกลัวหรือไง?”

เมื่อกี๊ตอนที่เห็นข้อความนี้ เขายังไม่ได้เชื่อซะทีเดียวว่าเป็นเรื่องจริง

แต่วินาทีที่เห็นท่าทีลนลานของหยิ่นเจิ้ง เขาถึงได้เชื่อ ใต้รูปปั้นหัวสิงโตนี่จะต้องซ่อนคนที่เขากำลังตามหาไว้แน่ นั่นคือก็หยิ่นเหล่ย

“ไสหัวออกไป!” ฉ่างจื่อออกแรงผลักหยิ่นเจิ้งจนสุดแรง แต่หยิ่นเจิ้งแทบไม่ขยับ ยังคงยืนขวางหน้ารูปปั้นสิงโต

“หึๆ ไม่คิดเลยว่าขาของประธานหยิ่นจะแข็งแรงมั่นคงขนาดนี้”

เมื่อฉ่างจื่อพูดจบก็เป็นฝ่ายเข้าจู่โจม เขาทุ่มร่างของหยิ่นเจิ้งลงกับพื้น

แล้วหมุนรูปปั้นหัวสิงโต

ความมจริงหยิ่นเจิ้งจะขัดขืนอีกหน่อยก็ย่อมได้ แม้เขาจะไม่ได้มีฝีเท่ากับฉ่างจื่อ แต่ก็ไม่ถึงกับล้มลงบนพื้นทั้งๆที่พึ่งต่อสู้กันได้ไม่เท่าไหร่

แต่เพราะนี่เป็นวิธีรักษาชีวิตของหยิ่นเจิ้ง เขาไม่อยากเปิดเผยวิทยายุทธ์ของตัวเองก่อนเวลาอันควร

เมื่อรูปปั้นหัวสิงโตถูกบิด ที่ผนังก็เปิดออก ลิฟต์ที่อยู่ด้านในจึงปรากฏขึ้น

ลิฟต์ตัวนี้ถูกสร้างขึ้นอย่างแนบเนียน ถ้าไม่เพ่งมองดูดีๆก็มองไม่ออก

ตอนนี้ร่างของหยิ่นเหล่ยก็เผยตัวอยู่ต่อหน้าต่อตาของแมงป่อง

เดิมทีหยิ่นเหล่ยกำลังนั่งยองๆอยู่ในลิฟต์ เขาไม่รู้ว่าภายนอกเกิดอะไรขึ้น เขาไม่คิดเลยว่าจะมีคนอยู่กลไกนี้

กลไกนี้มีแค่สามคนที่รู้ คือพ่อของเขากับเลขาของพ่อเสี่ยวถิง

และลิฟต์ตัวนี้ หยิ่นเจิ้งยอมลงทุนให้วิศวะต่างชาติเป็นคนเข้ามาสร้าง เมื่อสร้างเสร็จพอกเขาก็ออกจากประเทศนี้ไปทันที

เพราะงั้นหยิ่นเจิ้งจึงไม่กังวลว่าความลับจะรั่วไหล

ต่อให้หยิ่นเจิ้งฝันก็ไม่เคยแม้แต่จะฝันว่าแมงป่องจะรู้ความลับนี้ จากนั้นแมงป่องก็เหลือบมองหยิ่นเหล่ยเล็กน้อยก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมา “เหอะๆ หลานที่น่ารักของฉัน คงซ่อนอยู่ในนั้นนานแล้วสินะ? รีบออกมาสิ ออกมาสูดอากาศ”

เวลานี้แมงป่องไม่รีบกลับอีกแล้ว ถึงแม้ว่าบนตัวจะมีเลือดไหลไม่หยุด

“มาเร็ว ออกมาคุยกับลุงหน่อย”

แมงป่องมองหน้าหยิ่นเหล่ยด้วยสายตาขุ่นมัว “ทำไมต้องแพร่ประกาศล่าหัวฉัน”

“เงินร้อยล้านเป็นของใคร? คุณชายหลี่จากเมืองเอกหรอ? แต่ทำไมฉันได้ข่าวว่าคุณชายหลี่มีความแค้นกับนายนะ ที่นายมีลูกไม่ได้ก็เพราะคุณชายหลี่เป็นคนทำร้ายนายนี่นา อะไรกัน ความแค้นขนาดนี้สามารถลบได้เป็นปลิดทิ้งเลยหรือไง? ฉันว่านะคุณชายหยิ่น นายใจกล้ากว่าพ่อนายเยอะเลยล่ะ”

คำพูดของแมงป่องมีความเสียดสีอยู่ในที

ใบหน้าของหยิ่นเหล่ยเต็มไปด้วยความหวาดกลัว แต่แน่นอนว่าในใจของเขาก็หวาดกลัวยิ่งกว่า

ในสายตาของหยิ่นเหล่ย แมงป่องไม่ต่างอะไรกับปีศาจร้ายที่ฆ่าคนได้โดยไม่กระพริบตา

คนแบบนี้ แม้แต่ความกล้าจะสบตากับเขาตรงๆหยิ่นเหล่ยก็ยังไม่กล้า

วินาทีนี้เขาอยากจะลงไปคุกเข่าขอโทษแมงป่อง ถ้าหากทำแบบนั้นแล้วแมงป่องจะยอมปล่อยเขาไป

สีหน้าของหยิ่นเจิ้งเคร่งขรึมยิ่งกว่าเดิม “เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับลูกชายผม ลูกพี่แมงป่อง คุณพูดเองไม่ใช่หรอว่ากรรมเกิดจากเหตุ มีเหตุย่อมมีผลตามมา? คนที่ชักใยเรื่องนี้ก็คือคุณชายหลี่ ลูกชายผมก็แค่ช่วยเป็นกระบอกเสียงให้เขาเท่านั้น”

“เหอะๆ งั้นหรอ? หยิ่นเจิ้ง พวกเราไม่ได้โง่ เพราะงั้นนายก็เลิกเอาคำพูดโง่เง่าของนายมาทำให้ฉันไขว้เขวได้แล้ว ฉันก็แค่อยากถามว่าถ้าไม่มีลูกชายนาย ไอ้เงินรางวัลนี่จะมีใครเชื่อไหม? แล้วมันจะแพร่ออกไปเร็วแบบนี้ไหม?”

แมงป่องขมวดคิ้ว “ไม่ว่าจะพูดยังไง ลูกชายนายก็อยากจะฆ่าฉันนั่นแหละ”

“ไม่ใช่หรือไง?” แมงป่องพูดน้ำเสียงเย็นชา

หยิ่นเจิ้งพูดไม่ออก

แมงป่องแสยะยิ้ม แล้วหันไปพูดกับฉ่างจื่อ “ให้หมอขึ้นมาทำแผลให้ฉันข้างบนนี้ ตอนนี้ฉันไปไม่ได้แล้ว” พูดจบ แมงป่องก็นั่งลงใหม่อีกครั้ง

จ้าวโหย่วฉายเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ก็ไม่ได้พูดอะไร

ความจริงเงินล่าหัวร้อยล้านนั่นจ้าวโหย่วฉายเองก็รู้ แต่ในเมื่อไม่มีใครมาแจ้งความอะไร เขาก็ไม่ค่อยอยากเข้ามายุ่ง

ถ้ามีคนสามารถกำจัดแมงป่องได้จริง จ้าวโหย่วฉายก็ย่อมยินดีไปด้วย

เพราะถึงยังไงหลายปีที่ผ่านมา จ้าวโหย่วฉายก็ไม่ค่อยชอบขี้หน้าแมงป่องอยู่แล้ว

แม่งป่องมองหยิ่นเหล่ยแล้วกวักมือ “คุณชายหยิ่น ถ้าไม่อยากสิ้นอายุขัยตั้งแต่ยังหนุ่มยังแน่น ฉันแนะนำว่าทางที่ดีนายหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วโทรไล่ทีละคน บอกให้คนทั้งอำเภอรู้ว่าเรื่องเงินล่าหนายก็แค่เมาแล้วพูดเล่นเท่านั้นไม่ใช่เรื่องจริง ไม่งั้นละก็…”

“หยิ่นเจิ้ง นายรู้ดีว่าเรื่องนี้มันร้ายแรงแค่ไหน บอกลูกชายนายซะสิ”

นับว่าแมงป่องไว้หน้าจ้าวโหย่วฉายอยู่ ถึงไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แต่เหลือบมองหยิ่นเจิ้ง “เรสองตระกูลยังพอมีทางออกสันติกันอยู่”

“แต่ถ้าลูกนายไม่ให้ความร่วมมือ งั้นก็คง…” แมงป่องพูดพร้อมกับส่ายหน้า

หากแมงป่องกับบหยิ่นเจิ้งก่อสงครามกันขึ้นมาจริงๆ งั้นอำเภอหลินก็คงครึกครื้นน่าดู

และหยิ่นเจิ้งในเวลานี้กำลังอยู่ในความเงียบสงบ

ถ้าเป็นเหตุการณ์ปกติ เมื่อหยิ่นเหล่ยถูกแมงป่องต้อนจนจนมุมแบบนี้ บางทีหยิ่นเจิ้งอาจจะให้ลูกตัวเองยอมทำตามที่แมงป่องพูด คือแก้ข่าวว่าเงินล่าหัวเป็นแค่เรื่องล้อเล่น

แต่ตอนนี้ภรรยาของเขากำลังอยู่ในกำมือของหลี่ฝาง

ถ้าตอนนี้เขาหักหลังตระกูลหลี่ งั้นภรรยาของเขาจะทำยังไง?

หยิ่นเหล่ยเองก็กำลังคิดถึงจุดนี้ ตระกูลหลี่จับตัวแม่ของเขาไป ตอนนี้เขาจะกล้าหักหลังหลี่ฝางหรอ?

เพราะงั้นเวลานี้สองพ่อลูกต่างก็กำลังคิดไม่ตก

ถ้าไม่หักหลังตระกูลหลี่ เวลานี้แมงป่องก็เท่ากับถูกต้อนอย่างจนมุมแล้ว

“พ่อครับ”

หยิ่นเหล่ยที่ไม่รู้จะทำยังไง ก็มองไปที่พ่อของตัวเองแล้วเรียกคำนึง

หยิ่นเหล่ยกำลังขอความเห็นจากผู้เป็นพ่อ ยังไงซะนี่ก็เป็นเรื่องใหญ่ เขาตัดสินใจไม่ไหว

หยิ่นเจิ้งหายใจเข้าลึก เขากำลังเผชิญหน้ากับการตัดสินใจครั้งใหญ่ อะไรสำคัญกว่าระหว่างภรรยากับอนาคตของตระกูลหยิ่น

ถ้าเขาเลือกจะปกป้องภรรยา งั้นตระกูลหยิ่นก็ต้องพบกับหายนะที่แมงป่องกำลังจะโยนมาให้

แมงป่องมีอำนาจอยู่ทุกหนทุกแห่งในอำเภอนี้ ถ้าเขาจะกัดกินตระกูลหยิ่น ก็ย่อมกัดลึกไปจนกระดูกแหลก

“ลูกพี่แมงป่อง ผมไม่รู้ว่าคุณกำลังพูดถึงอะไร เงินล่าหัวร้อยล้านอะไรนี่ มันเกิดอะไรขึ้น?”

หยิ่นเจิ้งแสร้งโง่แล้วมองหน้าลูกชาย “ลูกพี่แมงป่องนี่กำลังพูดเรื่องอะไร นายเข้าใจหรือเปล่า?”

หยิ่นเหล่ยมองพ่อตัวเอง ก็เข้าใจว่าเขากำลังต้องการอะไร จึงส่ายหน้า “ผมเองก็ไม่เข้าใจครับ”

ได้ยินดังนั้น แมงป่องก็ตบโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน “ดีไอ้สองพ่อลูกคู่นี้ พวกแกคิดว่าฉันทำอะไรพวกแกไม่ได้งั้นสิ?”

“ได้ได้ได้ คอยดูก็แล้วกัน” เขาพูดติดกันสามคำ เพลิงแค้นของแมงป่องกำลังลุกขึ้นมาท่วมหัว

ตอนนี้ เท่ากับว่าตระกูลหยิ่นกับแมงป่องได้เปิดศึกกันอย่างเป็นทางการ

แมงป่องแอบผิดคาดนิดหน่อย เขาไม่รู้ว่าหยิ่นเจิ้งที่มักจะอดทนอดสูมาตลอด ทำไมถึงได้ใจกล้าถึงขนาดนี้

แมงป่องไม่ได้รีบร้อนจะลงมืออย่างแรกเพราะจ้าวโหย่วฉายอยู่ที่นี่ และเรื่องของแมงป่องเองก็ยังคลุมเครืออยู่

ตอนนี้เองหมอก็เดินขึ้นมา แมงป่องหลับตาลง หลังจากที่หมอพันแผลให้เขาจนเสร็จ แมงป่องก็เตรียมจะกลับ

แต่ตอนที่กำลังจะเดินออกไป แมงป่องเม้มปากแล้วปรายตามองหยิ่นเจิ้ง “หวังว่านายจะไม่เสียใจ แล้วก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่านายจะไม่มาอ้อนวอนฉันทีหลัง”

ก่อนหน้านี้หยิ่นเจิ้งเป็นฝ่ายก้มหัวให้แมงป่องมาหลายครั้ง แต่ครั้งนี้ต่อให้จะก้มหัวอีก แมงป่องก็ไม่คิดจะอภัยให้

เมื่อแมงป่องจากไป หยิ่นเจิ้งก็ถอนหายใจ จู่ๆร่างกายก็ไร้เรี่ยวแรงขึ้นมา

หยิ่นเจิ้งเดินกลับไปนั่งที่โซฟา แล้วรินชาใส่แก้ว พยายามทำจิตใจให้สงบ

“ถ้าเมื่อกี๊แมงป่องดึงดันจะเอาเรื่องคำพูดในโทรศัพท์ ฉันคงไม่รู้จะทำยังไงจริงๆ เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งนานขนาดนั้น ฉันไม่ควรจะจับนาย แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินน่ะดีแล้ว” จ้าวโหย่วฉายพูด

หยิ่นเจิ้งส่ายหน้า แล้วรินชาให้จ้าวโหย่วฉาย “พี่จ้าว ถ้าผมบอกว่าผมโดนใส่ร้ายพี่จะเชื่อไหม?”

จ้าวโหย่วฉายพยักหน้า “หลายปีที่ผ่าน เราสองคนสนิทปรองดองกันมาตลอดเพราะไม่ว่าจะเรื่องอะไรนายก็ไม่เคยปิดบังฉัน แล้วก็ยิ่งไม่มีทางโกหก”

“และครั้งนี้ฉันก็เชื่อว่ามันก็เป็นแบบนั้น” จ้าวโหย่วฉายพูด

“คนที่ลงมือแทงเป็นพนักงานของผมจริง แต่ผมไม่ได้สั่ง ผมไม่ได้โง่ขนาดที่จะใช้ให้พนักงานตัวเองลงมือในบริษัทของตัวเอง”

หยิ่นเจิ้งพูดด้วยสีหน้ายุ่งเหยิง “แต่ผมสารภาพ ผมคิดจะฆ่าแมงป่องจริง อีกทั้งยังวางแผนไว้หมดแล้ว”

จ้าวโหย่วฉายดื่มชาไปแก้วนึง แล้วพูดขึ้น “ทำไมจู่ๆถึงคิดจะทำแบบนี้ ธุรกิจของตระกูลหยิ่นทำอยู่บนกฎหมาย แมงป่องเองก็ไม่ได้ทำอะไรที่ส่งผลกระทบกับธุรกิจนายขนาดนั้น ทำไมจู่ๆถึงคิดจะทำการใหญ่?”

จ้าวโหย่วฉายเหลือบมองหยิ่นเหล่ยแล้วว่า “ประกาศล่าหัวนั่นฉันก็ได้ยินแล้ว แถมเรื่องนี้ก็เป็นที่พูดถึงอย่างกว้างขวาง นายทำแบบนี้แมงป่องย่อมไม่ปล่อยนายง่ายๆ ถึงเวลานั้นฉันคงคุ้มกันนายไม่อยู่ นายเองก็เห็นแมงป่องมันบ้า เวลาคลุ้มคลั่งขึ้นมาแม้แต่ฉันมันก็ไม่สน ที่สำคัญ สิ่งที่นายต้องการตอนนี้ คือชีวิตมัน”

จ้าวโหย่วฉายถอนหายใจ “ต่อกรกับแมงป่องอย่างชัดเจนขนาดนี้ ไม่น่าจะใช่สไตล์นายเลยนะ”

“หรือนายไปโดนใครกระตุ้นมา?” จ้าวโหย่วฉายถาม

หยิ่นเจิ้งส่ายหน้า “ไม่ใช่แรงกระตุ้น แต่ผมโดนบีบให้ต้องทำแบบนี้”

“พี่จ้าว เรื่องวันนี้มันพิสดารมาก มากจนมันทำผมหลอนไปหมด ไอ้หน้าหนวดนั่นตกลงมันเรื่องอะไร? พี่คิดว่าเป็นคนที่แมงป่องส่งมาหรือเปล่า?”

“หลายปีนี้ผมประกาศสงครามกับแมงป่องโต้งๆ การที่แมงป่องส่งหนอนบ่อนไส้เข้ามาในบริษัทผมก็คงเป็นเรื่องปกติ พี่คิดว่าเหตุการณ์ลอบแทงเมื่อกี๊จะเป็นแผนเฉือนเนื้อตัวเองของแมงป่องหรือเปล่า เขาตั้งใจให้ไอ้หน้าหนวดทำแบบนั้น แล้วก็ใส่ความผมต่อหน้าพี่?”หยิ่นเจิ้งสงสัย

“ก็เป็นไปได้”

จ้าวโหย่วฉายพูด “แต่ฉันตะหงิดๆว่านี่ไม่น่าจะใช่ฝีมือของแมงป่อง นายเองก็เห็นมีดเล่มนั้นแทงเข้าไปในท้องของแมงป่อง ถ้าเป็แค่การแสดง ทำไมมันรุนแรงขนาดนั้น แล้วในคลิปนายก็เห็น ถ้าแมงป่องรู้สึกตัวไม่ทัน ไอ้หน้าหนวดนั่นคงได้ฆ่าเขาไปแล้ว”

“ถ้าเป็นแผนเฉือนเนื้อตัวเองจริง งั้นแมงป่องจะลงทุนเยอะไปหน่อยมั้ง?”

“อีกอย่างยังมีจุดสำคัญอีกอย่าง ถ้านี่เป็นแผนของแมงป่อง งั้นเป้าหมายของเขาก็คงเป็นการจับนายกับเสี่ยวถิงเข้าคุก แต่ทั้งที่มีหลักฐานหนาแน่นขนาดนี้ ทั้งบทสนทนาทั้งสองอันฉันก็ได้ยินอยู่โต้งๆ แมงป่องมีสิทธิให้ฉันจับพวกนายได้เลย และฉันก็ไม่สามารถปฏิเสธด้วย แต่เขากลับไม่ทำ”

จ้าวโหย่วฉายพูด “นายก็รู้ คนอย่างแมงป่องไม่มีทางขอให้ฉันช่วยอะไรอยู่แล้ว อีกอย่างความสัมพันธ์ระหว่างเราก็ไม่ดี เพราะงั้นเขาไม่มีทางใช้ฉันมาจัดการกับพวกนาย”

“เพราะงั้นพี่กำลังจะบอกว่า เรื่องนี้เป็นฝีมือคนอื่นที่ตั้งใจจะใส่ร้ายผมงั้นหรอ?” หยิ่นเจิ้งขมวดคิ้ว

“และก็มีความเป็นไปได้ที่คนๆนั้นอยากฆ่าแมงป่อง” จ้าวโหย่วฉายพยักหน้าพูด

“ใครกัน?”

หยิ่นเจิ้งอึ้งไป

NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง

NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง

ยามค่ำคืนดึกๆ ในหอพักแห่งหนึ่งที่ตงไห่

“หลี่ฝาง รีบเอาน้ำล้างเท้ามาให้ฉันเร็วๆ ”

ได้ยินเสียงตะโกนเรียก หลี่ฝางไม่รีรอเลยสักนิด รีบไปยกน้ำล้างเท้าของเจ้าอ้วนมาให้

“รอเดี๋ยว ถุงเท้าก็ช่วยซักด้วยเลย ไม่ซักมาหลายวันแล้ว เหม็นตายห่า” หลี่ฝางยกกะละมังล้างเท้าขึ้นมา เจ้าอ้วนก็พูดขึ้นมาอีกทันที

หยิบถุงเท้าที่เหม็นเน่าของเจ้าอ้วนแล้ว หลี่ฝางก็เดินเข้าไปในห้องน้ำของหอพัก จากนั้นเริ่มยุ่งๆ

เขาไม่เพียงแค่ซักถุงเท้าของเจ้าอ้วน ยังต้องซักเสื้อนักเรียนของเพื่อนร่วมห้องคนอื่นอีกด้วย รองเท้า กางเกงใน……

“เกาเสิ้ง ช่วงนี้นายยิ่งอยู่ยิ่งเกินไปแล้วนะ นายเห็นหลี่ฝางเป็นอะไร เขาเป็นเพื่อนร่วมห้องของนาย ไม่ใช่คนใช้นะ”

หัวหน้าห้องโจวหยางทนดูต่อไปไม่ไหว จึงว่าเจ้าอ้วนสองสามคำ

“หัวหน้า ผมกำลังช่วยเขา เขาขาดเงินไม่ใช่เหรอ? ผมจ่ายเงินให้เขาอยู่” เจ้าอ้วนยิ้มๆ ไม่สนใจ

“ใช่ไหม หลี่ฝาง? ” เจ้าอ้วนตะโกนถามหลี่ฝางไปทางห้องน้ำ

“ใช่ ขอบใจนายที่ช่วยอุดหนุนธุรกิจของผม เกาเสิ้ง” หลี่ฝางหันหน้ามายิ้ม ตอบหนึ่งคำด้วยความทราบซึ้งน้ำใจ

เห็นเป็นเช่นนี้ โจวหยางได้แต่ส่ายหัวและถอนหายใจ

หลังจากที่พ่อแม่หายตัวไป หลี่ฝางได้แค่พึ่งการซักเสื้อผ้าให้คนอื่น ทำการบ้าน ช่วยวิ่งซื้อของเป็นต้น เพื่อหารายได้มาเป็นค่าใช้จ่ายและจ่ายค่าเทอม

ไม่นาน โจวหยางเดินเข้าไปในห้องน้ำ: “หลี่ฝาง ถ้านายไม่มีเงินจริงๆ ผมยืมให้นายได้”

“ไม่ต้องหรอกครับ ขอบคุณนะ” หลี่ฝางไม่อยากใช้ชีวิตด้วยการพึ่งพาความช่วยเหลือจากคนอื่น อีกอย่าง เงินที่ยืมมา สุดท้ายก็ต้องคืนอยู่ดีไม่ใช่หรือ?

โจวหยางมองความคิดของหลี่ฝางออก: “ไม่เป็นไร ไม่ต้องรียคืนครับ รอให้นายเรียนจบก่อนค่อยคืนก็ได้ครับ”

หลี่ฝางหัวเราะขมขื่น: “หัวหน้า อีกนานกว่าจะเรียนจบเลยนะ”

โจวหยางส่ายหัวอีกครั้ง แล้วกลับไปบนที่นอนของตนเอง

“ผมว่านะ หัวหน้าอย่ากังวลไปเลย ไม่ใช่ไม่รู้ว่าหลี่ฝางตอนนี้มีสถานการณ์อย่างไร นายช่วยไหวเหรอ? ” จางเสี่ยวเฟิงคนที่อายุโตกว่าทุกคนในห้องยิ้มและพูด

“ใช่ ถ้าไม่มีพวกเรา เรื่องกินของเขายังมีปัญหาเลย” เกาเสิ้งพูดด้วยความภูมิใจ

พอหลี่ฝางทำงานเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว กำลังเตรียมจะเข้านอน จางเสี่ยวเฟิงก็พูดขึ้นมา: “หลี่ฝาง อาการอยากสูบบุหรี่กำเริบอีกแล้ว นายไปซื้อให้ฉันซองหนึ่งสิ เหมือนเดิม”

สีหน้าของหลี่ฝางรู้สึกลำบากใจ: “ตอนนี้ก็ห้าทุ่มแล้วนะ ประตูมหาวิทยาลัยก็ปิดแล้ว”

“อย่าพูดมาก กูเพิ่มเงินให้นายสิบหยวน ไปไม่ไป? ” จางเสี่ยวเฟิงโยนเงินลงบนพื้น พูดด้วยความโมโห

“งั้นผมปีนกำแพงออกไปซื้อให้”

หลี่ฝางเก็บเงินบนพื้นขึ้นมา แล้วเดินออกจากหอ

“หลี่ฝางคนนี้นี่ ขอแค่ให้เงินเท่านั้น แม้แต่ขี้ก็ยอมกิน” เพิ่งเดินออกจากห้อง หลี่ฝางก็ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะของเกาเสิ้ง

“ก็นั่นสิ? ถ้าผมเป็นเขา ไปตายเสียดีกว่า จะอยู่ให้อายคนอีกทำไม” จางเสี่ยวเฟิงก็พูดเห็นด้วย

หลี่ฝางได้ยินแล้วกำมือแน่นๆ ด้วยความโมโหอย่างมาก

แต่หลังจากนั้นสักพัก หลี่ฝางก็ค่อยๆ ปล่อยวาง คนอื่นเค้าก็พูดไม่ผิดอะไรนี่ ตนเองก็เป็นแค่คนจนๆ ที่ไม่มีศักดิ์ศรีอยู่แล้ว

ปีนกำแพงไปถึงซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่งที่เปิดตลอด24ชั่วโมง หลี่ฝางซื้อบุหรี่เสร็จและเตรียมตัวจะกลับหอ มีชายหญิงคู่หนึ่งเดินเข้ามาในซูเปอร์มาร์เก็ต

หญิงคนนี้เหลือบไปมองหน้าหลี่ฝางหนึ่งครั้ง สายตาเหมือนมีอะไรบางอย่าง ลำคอของเธอขยับ จากนั้นก็หันหน้าไปอีกข้าง แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นหลี่ฝางอย่างนั้น

ผู้หญิงคนนี้ชื่อเซี่ยลู่ เป็นเพื่อนบ้านของหลี่ฝาง ยังเป็นหนึ่งในดาวในโรงเรียนอีกด้วย

เมื่อก่อนสถานะทางบ้านของหลี่ฝางรวยมาก การเรียนก็ดี ตอนนั้นเซี่ยลู่วันๆ คอยตามหลังของเขาอยู่ทุกวัน ทั้งสองตระกูลเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ยังมีการสัญญาหมั้นให้ทั้งสองคนตั้งแต่เด็กอีกด้วย

ส่วนชายที่อยู่ข้างๆ เซี่ยลู่ คือเพื่อนนักเรียนในห้องของหลี่ฝาง ชื่อตู้เฟย เป็นลูกเศรษฐี หน้าประตูซูเปอร์มาร์เก็ตมีรถBMWจอดอยู่ นั่นก็คือรถของเขา

“เถ้าแก่ เอาถุงยางให้ผมหนึ่งกล่อง” ตู้เฟยตะโกนบอก

เซี่ยลู่หน้าแดงขึ้นมาทันที ต่อหน้าหลี่ฝางมีความรู้สึกอาย: “พี่เฟย ท้องของฉันไม่ค่อยสบายหน่อย เราเอาไว้วันหลังละกันนะ”

“วันหลังห่าอะไร เป็นเพราะนายคนนี้ใช่ไหม? ” ตู้เฟยหันหน้าไปชี้หลี่ฝางแล้วถาม

“อย่าคิดว่าผมไม่รู้เรื่องระหว่างเธอสองคนนะ แต่นั่นมันเป็นอดีตไปแล้ว” ตู้เฟยสีหน้าเข้มขรึม ซักถามเซี่ยลู่ตรงๆ : “ทำไม คุณยังไม่ลืมเขาเหรอ? ”

เซี่ยลู่ส่ายหัวและรีบปฏิเสธ: “หนุ่มจนๆ แบบนี้ ฉันจะลืมเขาไม่ลงได้ไง? ”

“ฉันไม่สบายท้องจริงๆ ”

“พูดแล้วก็น่าแปลกใจ เมื่อกี้ยังดีๆ อยู่ คงจะเป็นเพราะเจอใครบางคน ท้องถึงได้สะอิดสะเอียน” เพื่อที่จะเอาใจตู้เฟย เซี่ยลู่พูดอย่างโหดร้าย

“ฮาฮา ผมเห็นเขาแล้วก็รู้สึกอยากอ้วกเหมือนกัน”

ตู้เฟยหัวเราะดังๆ ยื่นมือไปตบหน้าหลี่ฝางหนึ่งที: “ยังไม่รีบไสหัวไปอีก ไม่ได้ยินเหรอ? ว่าแฟนฉันเห็นแกแล้วรู้สึกสะอิดสะเอียน? ”

หลี่ฝางกัดฟันแน่นๆ จ้องหน้าตู้เฟยอย่างเย็นชา

สีหน้าของตู้เฟยตะลึงสักพัก จากนั้นก็ถีบที่ท้องของหลี่ฝางอีกครั้ง: “ยังกล้าจ้องฉันอีกเหรอ? แกไม่พอใจอะไร? ”

“พี่เฟย อย่าตีอีกเลย” เซี่ยลู่เข้าไปห้าม

“ทำไม? เห็นอกเห็นใจมัน? ”

“ไม่หรอก? ฉันแค่รู้สึกว่าเราไม่ควรไปถือสาและยุ่งเกี่ยวกับคนจนๆ แบบนี้หรอก” เซี่ยลู่รีบส่ายหัว

ตู้เฟยทำเสียงฮึ่ม แล้วยื่นมือไปรับกล่องถุงยางจากเถ้าแก่ร้าน และพูดว่า: “เซี่ยลู่ คืนนี้ฉันไม่สนว่าเธอจะประจำเดือนมาหรือว่าปวดท้อง แต่ว่าเธอปลุกไฟราคะของฉัน อย่าคิดหนีนะ? ”

“หลี่ฝาง แกจำไว้ หลังจากวันนี้อยู่ห่างๆ เซี่ยลู่ไว้ ไม่อย่างนั้นเห็นนายครั้งหนึ่ง เตะครั้งหนึ่ง” ก่อนจะไป ตู้เฟยเตือนหลี่ฝางด้วยถ้อยคำที่โหดเหี้ยม

เช็ดๆ รอยเท้าบนเสื้อ หลี่ฝางปีนกำแพงกลับไปถึงหอพัก

หลี่ฝางกลับมาดึกเกิน ยังถูกจางเสี่ยวเฟิงด่าอีกชุดใหญ่

หลี่ฝางทนไม่ไหว กัดฟันและแอบร้องไห้อยู่ใต้ผ้าห่มทั้งคืน

เช้าวันถัดมาตื่นมา หมอนของหลี่ฝางยังเปียกชื้นอยู่เลย ขณะนั้น เขาสังเกตเห็นในมือถือมีสายที่ไม่ได้รับสามสิบกว่าสาย

“ทำไมเป็นสายจากต่างประเทศทั้งหมดเลย? ”

หลี่ฝางเปิดดูสักพัก สงสัยว่าเป็นพวกนักต้มตุ๋นมืออาชีพโทรมา

“ยังมีข้อความ เลขที่บัญชีลงท้ายด้วย 911มีเงินโอนเข้าจำนวน 1,000,000.00 หยวน ยอดเงินคงเหลือ 1,000,325.00 หยวน” หลี่ฝางอ่านหนึ่งรอบ คิดว่าต้องเจอพวกนักต้มตุ๋นแน่ๆ

ในตอนนี้ หลี่ฝางรีบถอนเงินในวีแชทที่ได้ออกมา

มือถือดังขึ้นตึ้ดหนึ่งเสียง หลี่ฝางรู้สึกมึนงง

“ธนาคารABC วันที่ 12 เดือน 11 ปี x เวลา 07:14 น. เลขที่บัญชีลงท้ายด้วย 911มีเงินโอนเข้าจำนวน 300.00 หยวน ยอดเงินคงเหลือ 1,000,625.00 หยวน”

ข้อความที่มีเงินโอนเข้าหนึ่งล้าน กับข้อความที่มีเงินโอนเข้าสามร้อย เลขเหมือนกัน?

ถ้าเป็นนักต้มตุ๋น เขาจะรู้ยอดเงินคงเหลือของหลี่ฝางได้ไง

นั่นก็คือ เงินหนึ่งล้านที่โอนเข้ามานี้เป็นเรื่องจริง

นึกถึงตรงนี้แล้ว หลี่ฝางรีบลุกขึ้นมาเหมือนคนบ้าและวิ่งออกจากโรงเรียน

ไปถึงตู้เอทีเอ็มของธนาคารแห่งหนึ่ง หลี่ฝางใส่บัตรเอทีเอ็มของตนเองเข้าไป นิ้วมือกดรหัสเอทีเอ็ม

“ผมกำลังฝันไปแน่ๆ ” เห็นมียอดเงินในบัญชีหนึ่งล้านกว่า หลี่ฝางส่ายหัว เขาไม่กล้าเชื่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

เบอร์โทรแปลกๆ นั่นโทรมาอีกครั้ง ครั้งนี้หลี่ฝางไม่ลังเลเลยสักนิด รีบรับสายโทรศัพท์นั้น

“เสี่ยวฝาง……” ในสายโทรศัพท์ทางโน้นเป็นเสียงที่คุ้นหูดังขึ้นมา

“พ่อ? ใช่พ่อ…..ใช่พ่อไหม? ” สองมือของหลี่ฝางสั่นแรงขึ้น

“ใช่ พ่อเอง ฉันกับแม่แกไม่อยู่ หลายปีมานี้แกสบายดีไหม? ต้องลำบากมากแน่ๆ ใช่ไหม? เมื่อกี้พ่อโอนเงินหนึ่งล้านเข้าบัญชีให้แล้ว ใช้ไปก่อนนะ ถ้าไม่พอพ่อจะโอนให้อีก ใช่สิ ไม่ได้เจอกันมาหลายปี แกคงคิดถึงพวกเรามากใช่ไหม? ” พ่อของหลี่ฝางถามไถ่ติดกันหลายประโยค

หลี่ฝางแน่ใจว่าเขาคือพ่อตนเองแล้ว น้ำตาก็ไหลและนั่งร้องไห้ลงกับพื้นทันที เขาพิงตู้เอทีเอ็มไว้ มือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์ มืออีกข้างก็เช็ดน้ำตาไปด้วย

“ผม……คิดถึง…..พวกท่านจะตายอยู่แล้ว”

“ดี ดีแล้วลูก หลายปีมานี้ลำบากแกมากพอแล้ว แต่ว่าอย่าเกลียดพ่อนะ ถ้าจะเกลียด ก็ไปเกลียดปู่ของแกโน่น เขาเป็นคนวางแผน……”

หลี่ฝางพูดแทรกขึ้นมา: “เดี๋ยว ปู่ของผมตายไปตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอครับ? ”

“ตายที่ไหน ตาเฒ่านั่น พ่อก็อยากให้ตายตั้งนานแล้ว พ่อแค่หลอกแกมาสามปี ตาเฒ่านั่นหลอกพ่อมานานสิบกว่าปี……สามปีก่อนตาเฒ่ามารับพ่อกลับบ้าน แล้วมาบอกพ่อว่าเขายังไม่ตาย ยังบอกกับพ่อว่าเขาเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุด แกว่าตาเฒ่าบ้านี่ยังมีคุณธรรมอยู่รึเปล่า หลอกว่าตัวเองตายแบบนี้ยังทำออกมาได้”

“มหาเศรษฐีที่รวยที่สุด? ”

“ไอ้ลูกอกตัญญู ว่าใครตาเฒ่า เดี๋ยวตีให้ตายเลย” ในโทรศัพท์ทางนั้นมีเสียงสั่นตะโกนมา แต่เสียงในนั้น หลี่ฝางได้ยินพ่อตนเองพูดคุยอยู่: หลี่เจียเฉิน ถ้าท่านยังกล้าตีผมอีก ผมจะตัดขาดความเป็นพ่อลูกกับท่าน

หลี่เจียเฉิน? เขาเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในภูมิภาคเอเชียไม่ใช่เหรอ?

เดี๋ยว! ปู่ของผมเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุด

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท