ข้อความนี้ส่งมาจากเบอร์แปลก
แมงป่องอ่านข้อความนั่น แล้วอยู่ในความเงียบสงบ
อย่างแรก เบอร์โทรนี้เป็นเบอร์ส่วนตัวของแมงป่อง มีไม่กี่คนที่รู้
นอกจากคนในครอบครัว ก็มีเพื่อนเก่าแก่ไม่กี่คน แม้แต่หยิ่นเจิ้งเองก็ยังไม่รู้
เพราะงั้นถึงได้พูดว่าเป็นเบอร์ส่วนตัวมากๆ
โดยปกติแล้วแทบจะไม่ค่อยมีใครติดต่อเขาผ่านเบอร์นี้
แต่ตอนนี้กลับมีเบอร์แปลกส่งข้อความเข้ามาบอกว่าหยิ่นเหล่ยซ่อนตัวตรงนั้น
วินาทีที่สมองตื้อไป ถึงกับลืมว่าต้องถามหยิ่นเจิ้ง แต่กลับหันไปพูดกับฉ่างจื่อว่า “ไปหมุนรูปปั้นสิงโตที่ตั้งอยู่บนโต๊ะนั่นที”
เมื่อได้ยินดังนั้น หยิ่นเจิ้งก็นลานขึ้นมา เขาลุกขึ้นแล้วรีบเดินเข้าไปขวางฉ่างจื่อ
“หยิ่นเจิ้ง!” แมงป่องมองหน้าหยิ่นเจิ้งด้วยสายตาเย็น “นายกลัวหรือไง?”
เมื่อกี๊ตอนที่เห็นข้อความนี้ เขายังไม่ได้เชื่อซะทีเดียวว่าเป็นเรื่องจริง
แต่วินาทีที่เห็นท่าทีลนลานของหยิ่นเจิ้ง เขาถึงได้เชื่อ ใต้รูปปั้นหัวสิงโตนี่จะต้องซ่อนคนที่เขากำลังตามหาไว้แน่ นั่นคือก็หยิ่นเหล่ย
“ไสหัวออกไป!” ฉ่างจื่อออกแรงผลักหยิ่นเจิ้งจนสุดแรง แต่หยิ่นเจิ้งแทบไม่ขยับ ยังคงยืนขวางหน้ารูปปั้นสิงโต
“หึๆ ไม่คิดเลยว่าขาของประธานหยิ่นจะแข็งแรงมั่นคงขนาดนี้”
เมื่อฉ่างจื่อพูดจบก็เป็นฝ่ายเข้าจู่โจม เขาทุ่มร่างของหยิ่นเจิ้งลงกับพื้น
แล้วหมุนรูปปั้นหัวสิงโต
ความมจริงหยิ่นเจิ้งจะขัดขืนอีกหน่อยก็ย่อมได้ แม้เขาจะไม่ได้มีฝีเท่ากับฉ่างจื่อ แต่ก็ไม่ถึงกับล้มลงบนพื้นทั้งๆที่พึ่งต่อสู้กันได้ไม่เท่าไหร่
แต่เพราะนี่เป็นวิธีรักษาชีวิตของหยิ่นเจิ้ง เขาไม่อยากเปิดเผยวิทยายุทธ์ของตัวเองก่อนเวลาอันควร
เมื่อรูปปั้นหัวสิงโตถูกบิด ที่ผนังก็เปิดออก ลิฟต์ที่อยู่ด้านในจึงปรากฏขึ้น
ลิฟต์ตัวนี้ถูกสร้างขึ้นอย่างแนบเนียน ถ้าไม่เพ่งมองดูดีๆก็มองไม่ออก
ตอนนี้ร่างของหยิ่นเหล่ยก็เผยตัวอยู่ต่อหน้าต่อตาของแมงป่อง
เดิมทีหยิ่นเหล่ยกำลังนั่งยองๆอยู่ในลิฟต์ เขาไม่รู้ว่าภายนอกเกิดอะไรขึ้น เขาไม่คิดเลยว่าจะมีคนอยู่กลไกนี้
กลไกนี้มีแค่สามคนที่รู้ คือพ่อของเขากับเลขาของพ่อเสี่ยวถิง
และลิฟต์ตัวนี้ หยิ่นเจิ้งยอมลงทุนให้วิศวะต่างชาติเป็นคนเข้ามาสร้าง เมื่อสร้างเสร็จพอกเขาก็ออกจากประเทศนี้ไปทันที
เพราะงั้นหยิ่นเจิ้งจึงไม่กังวลว่าความลับจะรั่วไหล
ต่อให้หยิ่นเจิ้งฝันก็ไม่เคยแม้แต่จะฝันว่าแมงป่องจะรู้ความลับนี้ จากนั้นแมงป่องก็เหลือบมองหยิ่นเหล่ยเล็กน้อยก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมา “เหอะๆ หลานที่น่ารักของฉัน คงซ่อนอยู่ในนั้นนานแล้วสินะ? รีบออกมาสิ ออกมาสูดอากาศ”
เวลานี้แมงป่องไม่รีบกลับอีกแล้ว ถึงแม้ว่าบนตัวจะมีเลือดไหลไม่หยุด
“มาเร็ว ออกมาคุยกับลุงหน่อย”
แมงป่องมองหน้าหยิ่นเหล่ยด้วยสายตาขุ่นมัว “ทำไมต้องแพร่ประกาศล่าหัวฉัน”
“เงินร้อยล้านเป็นของใคร? คุณชายหลี่จากเมืองเอกหรอ? แต่ทำไมฉันได้ข่าวว่าคุณชายหลี่มีความแค้นกับนายนะ ที่นายมีลูกไม่ได้ก็เพราะคุณชายหลี่เป็นคนทำร้ายนายนี่นา อะไรกัน ความแค้นขนาดนี้สามารถลบได้เป็นปลิดทิ้งเลยหรือไง? ฉันว่านะคุณชายหยิ่น นายใจกล้ากว่าพ่อนายเยอะเลยล่ะ”
คำพูดของแมงป่องมีความเสียดสีอยู่ในที
ใบหน้าของหยิ่นเหล่ยเต็มไปด้วยความหวาดกลัว แต่แน่นอนว่าในใจของเขาก็หวาดกลัวยิ่งกว่า
ในสายตาของหยิ่นเหล่ย แมงป่องไม่ต่างอะไรกับปีศาจร้ายที่ฆ่าคนได้โดยไม่กระพริบตา
คนแบบนี้ แม้แต่ความกล้าจะสบตากับเขาตรงๆหยิ่นเหล่ยก็ยังไม่กล้า
วินาทีนี้เขาอยากจะลงไปคุกเข่าขอโทษแมงป่อง ถ้าหากทำแบบนั้นแล้วแมงป่องจะยอมปล่อยเขาไป
สีหน้าของหยิ่นเจิ้งเคร่งขรึมยิ่งกว่าเดิม “เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับลูกชายผม ลูกพี่แมงป่อง คุณพูดเองไม่ใช่หรอว่ากรรมเกิดจากเหตุ มีเหตุย่อมมีผลตามมา? คนที่ชักใยเรื่องนี้ก็คือคุณชายหลี่ ลูกชายผมก็แค่ช่วยเป็นกระบอกเสียงให้เขาเท่านั้น”
“เหอะๆ งั้นหรอ? หยิ่นเจิ้ง พวกเราไม่ได้โง่ เพราะงั้นนายก็เลิกเอาคำพูดโง่เง่าของนายมาทำให้ฉันไขว้เขวได้แล้ว ฉันก็แค่อยากถามว่าถ้าไม่มีลูกชายนาย ไอ้เงินรางวัลนี่จะมีใครเชื่อไหม? แล้วมันจะแพร่ออกไปเร็วแบบนี้ไหม?”
แมงป่องขมวดคิ้ว “ไม่ว่าจะพูดยังไง ลูกชายนายก็อยากจะฆ่าฉันนั่นแหละ”
“ไม่ใช่หรือไง?” แมงป่องพูดน้ำเสียงเย็นชา
หยิ่นเจิ้งพูดไม่ออก
แมงป่องแสยะยิ้ม แล้วหันไปพูดกับฉ่างจื่อ “ให้หมอขึ้นมาทำแผลให้ฉันข้างบนนี้ ตอนนี้ฉันไปไม่ได้แล้ว” พูดจบ แมงป่องก็นั่งลงใหม่อีกครั้ง
จ้าวโหย่วฉายเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ก็ไม่ได้พูดอะไร
ความจริงเงินล่าหัวร้อยล้านนั่นจ้าวโหย่วฉายเองก็รู้ แต่ในเมื่อไม่มีใครมาแจ้งความอะไร เขาก็ไม่ค่อยอยากเข้ามายุ่ง
ถ้ามีคนสามารถกำจัดแมงป่องได้จริง จ้าวโหย่วฉายก็ย่อมยินดีไปด้วย
เพราะถึงยังไงหลายปีที่ผ่านมา จ้าวโหย่วฉายก็ไม่ค่อยชอบขี้หน้าแมงป่องอยู่แล้ว
แม่งป่องมองหยิ่นเหล่ยแล้วกวักมือ “คุณชายหยิ่น ถ้าไม่อยากสิ้นอายุขัยตั้งแต่ยังหนุ่มยังแน่น ฉันแนะนำว่าทางที่ดีนายหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วโทรไล่ทีละคน บอกให้คนทั้งอำเภอรู้ว่าเรื่องเงินล่าหนายก็แค่เมาแล้วพูดเล่นเท่านั้นไม่ใช่เรื่องจริง ไม่งั้นละก็…”
“หยิ่นเจิ้ง นายรู้ดีว่าเรื่องนี้มันร้ายแรงแค่ไหน บอกลูกชายนายซะสิ”
นับว่าแมงป่องไว้หน้าจ้าวโหย่วฉายอยู่ ถึงไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แต่เหลือบมองหยิ่นเจิ้ง “เรสองตระกูลยังพอมีทางออกสันติกันอยู่”
“แต่ถ้าลูกนายไม่ให้ความร่วมมือ งั้นก็คง…” แมงป่องพูดพร้อมกับส่ายหน้า
หากแมงป่องกับบหยิ่นเจิ้งก่อสงครามกันขึ้นมาจริงๆ งั้นอำเภอหลินก็คงครึกครื้นน่าดู
และหยิ่นเจิ้งในเวลานี้กำลังอยู่ในความเงียบสงบ
ถ้าเป็นเหตุการณ์ปกติ เมื่อหยิ่นเหล่ยถูกแมงป่องต้อนจนจนมุมแบบนี้ บางทีหยิ่นเจิ้งอาจจะให้ลูกตัวเองยอมทำตามที่แมงป่องพูด คือแก้ข่าวว่าเงินล่าหัวเป็นแค่เรื่องล้อเล่น
แต่ตอนนี้ภรรยาของเขากำลังอยู่ในกำมือของหลี่ฝาง
ถ้าตอนนี้เขาหักหลังตระกูลหลี่ งั้นภรรยาของเขาจะทำยังไง?
หยิ่นเหล่ยเองก็กำลังคิดถึงจุดนี้ ตระกูลหลี่จับตัวแม่ของเขาไป ตอนนี้เขาจะกล้าหักหลังหลี่ฝางหรอ?
เพราะงั้นเวลานี้สองพ่อลูกต่างก็กำลังคิดไม่ตก
ถ้าไม่หักหลังตระกูลหลี่ เวลานี้แมงป่องก็เท่ากับถูกต้อนอย่างจนมุมแล้ว
“พ่อครับ”
หยิ่นเหล่ยที่ไม่รู้จะทำยังไง ก็มองไปที่พ่อของตัวเองแล้วเรียกคำนึง
หยิ่นเหล่ยกำลังขอความเห็นจากผู้เป็นพ่อ ยังไงซะนี่ก็เป็นเรื่องใหญ่ เขาตัดสินใจไม่ไหว
หยิ่นเจิ้งหายใจเข้าลึก เขากำลังเผชิญหน้ากับการตัดสินใจครั้งใหญ่ อะไรสำคัญกว่าระหว่างภรรยากับอนาคตของตระกูลหยิ่น
ถ้าเขาเลือกจะปกป้องภรรยา งั้นตระกูลหยิ่นก็ต้องพบกับหายนะที่แมงป่องกำลังจะโยนมาให้
แมงป่องมีอำนาจอยู่ทุกหนทุกแห่งในอำเภอนี้ ถ้าเขาจะกัดกินตระกูลหยิ่น ก็ย่อมกัดลึกไปจนกระดูกแหลก
“ลูกพี่แมงป่อง ผมไม่รู้ว่าคุณกำลังพูดถึงอะไร เงินล่าหัวร้อยล้านอะไรนี่ มันเกิดอะไรขึ้น?”
หยิ่นเจิ้งแสร้งโง่แล้วมองหน้าลูกชาย “ลูกพี่แมงป่องนี่กำลังพูดเรื่องอะไร นายเข้าใจหรือเปล่า?”
หยิ่นเหล่ยมองพ่อตัวเอง ก็เข้าใจว่าเขากำลังต้องการอะไร จึงส่ายหน้า “ผมเองก็ไม่เข้าใจครับ”
ได้ยินดังนั้น แมงป่องก็ตบโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน “ดีไอ้สองพ่อลูกคู่นี้ พวกแกคิดว่าฉันทำอะไรพวกแกไม่ได้งั้นสิ?”
“ได้ได้ได้ คอยดูก็แล้วกัน” เขาพูดติดกันสามคำ เพลิงแค้นของแมงป่องกำลังลุกขึ้นมาท่วมหัว
ตอนนี้ เท่ากับว่าตระกูลหยิ่นกับแมงป่องได้เปิดศึกกันอย่างเป็นทางการ
แมงป่องแอบผิดคาดนิดหน่อย เขาไม่รู้ว่าหยิ่นเจิ้งที่มักจะอดทนอดสูมาตลอด ทำไมถึงได้ใจกล้าถึงขนาดนี้
แมงป่องไม่ได้รีบร้อนจะลงมืออย่างแรกเพราะจ้าวโหย่วฉายอยู่ที่นี่ และเรื่องของแมงป่องเองก็ยังคลุมเครืออยู่
ตอนนี้เองหมอก็เดินขึ้นมา แมงป่องหลับตาลง หลังจากที่หมอพันแผลให้เขาจนเสร็จ แมงป่องก็เตรียมจะกลับ
แต่ตอนที่กำลังจะเดินออกไป แมงป่องเม้มปากแล้วปรายตามองหยิ่นเจิ้ง “หวังว่านายจะไม่เสียใจ แล้วก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่านายจะไม่มาอ้อนวอนฉันทีหลัง”
ก่อนหน้านี้หยิ่นเจิ้งเป็นฝ่ายก้มหัวให้แมงป่องมาหลายครั้ง แต่ครั้งนี้ต่อให้จะก้มหัวอีก แมงป่องก็ไม่คิดจะอภัยให้
เมื่อแมงป่องจากไป หยิ่นเจิ้งก็ถอนหายใจ จู่ๆร่างกายก็ไร้เรี่ยวแรงขึ้นมา
หยิ่นเจิ้งเดินกลับไปนั่งที่โซฟา แล้วรินชาใส่แก้ว พยายามทำจิตใจให้สงบ
“ถ้าเมื่อกี๊แมงป่องดึงดันจะเอาเรื่องคำพูดในโทรศัพท์ ฉันคงไม่รู้จะทำยังไงจริงๆ เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งนานขนาดนั้น ฉันไม่ควรจะจับนาย แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินน่ะดีแล้ว” จ้าวโหย่วฉายพูด
หยิ่นเจิ้งส่ายหน้า แล้วรินชาให้จ้าวโหย่วฉาย “พี่จ้าว ถ้าผมบอกว่าผมโดนใส่ร้ายพี่จะเชื่อไหม?”
จ้าวโหย่วฉายพยักหน้า “หลายปีที่ผ่าน เราสองคนสนิทปรองดองกันมาตลอดเพราะไม่ว่าจะเรื่องอะไรนายก็ไม่เคยปิดบังฉัน แล้วก็ยิ่งไม่มีทางโกหก”
“และครั้งนี้ฉันก็เชื่อว่ามันก็เป็นแบบนั้น” จ้าวโหย่วฉายพูด
“คนที่ลงมือแทงเป็นพนักงานของผมจริง แต่ผมไม่ได้สั่ง ผมไม่ได้โง่ขนาดที่จะใช้ให้พนักงานตัวเองลงมือในบริษัทของตัวเอง”
หยิ่นเจิ้งพูดด้วยสีหน้ายุ่งเหยิง “แต่ผมสารภาพ ผมคิดจะฆ่าแมงป่องจริง อีกทั้งยังวางแผนไว้หมดแล้ว”
จ้าวโหย่วฉายดื่มชาไปแก้วนึง แล้วพูดขึ้น “ทำไมจู่ๆถึงคิดจะทำแบบนี้ ธุรกิจของตระกูลหยิ่นทำอยู่บนกฎหมาย แมงป่องเองก็ไม่ได้ทำอะไรที่ส่งผลกระทบกับธุรกิจนายขนาดนั้น ทำไมจู่ๆถึงคิดจะทำการใหญ่?”
จ้าวโหย่วฉายเหลือบมองหยิ่นเหล่ยแล้วว่า “ประกาศล่าหัวนั่นฉันก็ได้ยินแล้ว แถมเรื่องนี้ก็เป็นที่พูดถึงอย่างกว้างขวาง นายทำแบบนี้แมงป่องย่อมไม่ปล่อยนายง่ายๆ ถึงเวลานั้นฉันคงคุ้มกันนายไม่อยู่ นายเองก็เห็นแมงป่องมันบ้า เวลาคลุ้มคลั่งขึ้นมาแม้แต่ฉันมันก็ไม่สน ที่สำคัญ สิ่งที่นายต้องการตอนนี้ คือชีวิตมัน”
จ้าวโหย่วฉายถอนหายใจ “ต่อกรกับแมงป่องอย่างชัดเจนขนาดนี้ ไม่น่าจะใช่สไตล์นายเลยนะ”
“หรือนายไปโดนใครกระตุ้นมา?” จ้าวโหย่วฉายถาม
หยิ่นเจิ้งส่ายหน้า “ไม่ใช่แรงกระตุ้น แต่ผมโดนบีบให้ต้องทำแบบนี้”
“พี่จ้าว เรื่องวันนี้มันพิสดารมาก มากจนมันทำผมหลอนไปหมด ไอ้หน้าหนวดนั่นตกลงมันเรื่องอะไร? พี่คิดว่าเป็นคนที่แมงป่องส่งมาหรือเปล่า?”
“หลายปีนี้ผมประกาศสงครามกับแมงป่องโต้งๆ การที่แมงป่องส่งหนอนบ่อนไส้เข้ามาในบริษัทผมก็คงเป็นเรื่องปกติ พี่คิดว่าเหตุการณ์ลอบแทงเมื่อกี๊จะเป็นแผนเฉือนเนื้อตัวเองของแมงป่องหรือเปล่า เขาตั้งใจให้ไอ้หน้าหนวดทำแบบนั้น แล้วก็ใส่ความผมต่อหน้าพี่?”หยิ่นเจิ้งสงสัย
“ก็เป็นไปได้”
จ้าวโหย่วฉายพูด “แต่ฉันตะหงิดๆว่านี่ไม่น่าจะใช่ฝีมือของแมงป่อง นายเองก็เห็นมีดเล่มนั้นแทงเข้าไปในท้องของแมงป่อง ถ้าเป็แค่การแสดง ทำไมมันรุนแรงขนาดนั้น แล้วในคลิปนายก็เห็น ถ้าแมงป่องรู้สึกตัวไม่ทัน ไอ้หน้าหนวดนั่นคงได้ฆ่าเขาไปแล้ว”
“ถ้าเป็นแผนเฉือนเนื้อตัวเองจริง งั้นแมงป่องจะลงทุนเยอะไปหน่อยมั้ง?”
“อีกอย่างยังมีจุดสำคัญอีกอย่าง ถ้านี่เป็นแผนของแมงป่อง งั้นเป้าหมายของเขาก็คงเป็นการจับนายกับเสี่ยวถิงเข้าคุก แต่ทั้งที่มีหลักฐานหนาแน่นขนาดนี้ ทั้งบทสนทนาทั้งสองอันฉันก็ได้ยินอยู่โต้งๆ แมงป่องมีสิทธิให้ฉันจับพวกนายได้เลย และฉันก็ไม่สามารถปฏิเสธด้วย แต่เขากลับไม่ทำ”
จ้าวโหย่วฉายพูด “นายก็รู้ คนอย่างแมงป่องไม่มีทางขอให้ฉันช่วยอะไรอยู่แล้ว อีกอย่างความสัมพันธ์ระหว่างเราก็ไม่ดี เพราะงั้นเขาไม่มีทางใช้ฉันมาจัดการกับพวกนาย”
“เพราะงั้นพี่กำลังจะบอกว่า เรื่องนี้เป็นฝีมือคนอื่นที่ตั้งใจจะใส่ร้ายผมงั้นหรอ?” หยิ่นเจิ้งขมวดคิ้ว
“และก็มีความเป็นไปได้ที่คนๆนั้นอยากฆ่าแมงป่อง” จ้าวโหย่วฉายพยักหน้าพูด
“ใครกัน?”
หยิ่นเจิ้งอึ้งไป