NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง – บทที่ 1317 หินมีชีวิต

บทที่ 1317 หินมีชีวิต

กู่ยี่เทียนหันไปสบตากับส้าวส้วย จากนั้นจึงแบกหลี่ฝางขึ้นมาจากพื้นแล้วเดินตามสาวงามผู้นั้นเข้าไปในห้อง

“แม่สาวงาม ฉันมีเรื่องอยากถามสักหน่อย ท่านมหาเซียนท่านนี้อายุเท่าไหร่แล้วหรือ”

หลังจากกู่ยี่เทียนนำหลี่ฝางที่ไร้เรี่ยวแรงวางลงบนเตียงแล้ว เขาก็มองไปที่สาวงามชุดขาวแล้วเอ่ยถาม

สาวงามผู้นี้ไม่แม้แต่จะหันมามอง เมื่อพาพวกเขามาส่งถึงห้องแล้วก็หันตัวเดินออกไปทันที

ท่าทีสูงส่งเย็นชาเช่นนี้ทำให้กู่ยี่เทียนไร้คำจะพูดต่อ เขาเดินวนไปวนมาในห้องอย่างเบื่อหน่าย ห้องนี้เป็นห้องสไตล์แบบย้อนยุคเช่นเดียวกับในละครทีวีไม่มีผิดเพี้ยน

เขาคว้าแอปเปิ้ลขึ้นมาหนึ่งลูก แล้วเอามาเช็ดกับเสื้อผ้าแบบส่งๆ ก่อนจะกัดเข้าไปหนึ่งคำ

“ส้าวส้วย แกว่ามหาเซียนผู้นี้เป็นใครกันแน่ ดูจากท่าทางการพูดคุยกับเทพอ้านแล้ว สองคนนี้ท่าทางจะรู้จักกัน อีกอย่างเขายังพูดอีกว่าตัวเองเป็นเชียนอิสระ มันหมายความว่าอย่างไร แกเคยได้ยินหรือไม่”

ส้าวส้วยนั่งอยู่บนเก้าอี้และเหลือบมองเขาที่ทำท่าทางสบายใจอย่างหมดคำพูด แต่ก็ยังครุ่นคิดถึงคำถามที่กู่ยี่เทียนถามอย่างจริงจัง

เขาเองก็รู้สึกสงสัยใคร่รู้ในตัวมหาเซียนผู้นี้เช่นกัน ตอนที่มหาเซียนเพิ่งปรากฏตัวออกมา ดูจากท่าทางของเขาแล้ว กู่ยี่เทียนเดาว่าเขาน่าจะอายุหลายร้อยปีแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้เขาคิดไม่ถึงอย่างแน่นอนคือ มหาเซียนผู้นี้มีอายุมากกว่าที่เขาคาดการณ์เอาไว้มากนัก

เหมือนกับคำโบราณที่ว่า แก่แล้วไม่รู้จักยอมตาย

“ฉันไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามหาเซียนผู้นี้มีความเป็นมาอย่างไร แต่เมื่อดูจากวิธีการเบื้องหลังของเขา น่าจะยืนอยู่ข้างเดียวกับพวกเรา” หลังจากส้าวส้วยครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก็เอ่ยออกมา

กู่ยี่เทียนกัดแอปเปิ้ลส่งเสียงก็อบๆ แล้วเอ่ยว่า

“ฉันรู้สึกว่าคนบนเขาแห่งนี้พิลึกหน่อยๆ ชอบอุบเรื่องนู้นนี้เอาไว้ แถมมารยาทยังไม่ได้เรื่อง โดยเฉพาะไป๋เห้อนั่น คิดว่าตัวเองเก่งแค่ไหนกันเชียว เมื่อกี้ถ้ามหาเซียนไม่ได้ห้ามเอาไว้ ฉันจะต้องสั่งสอนเขาให้เข็ดหลาบสักยก!”

เมื่อคิดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ที่ไม่ทันได้สั่งสอนไป๋เห้อสักยกหนึ่ง กู่ยี่เทียนก็รู้สึกเจ็บใจ จากนั้นจึงกัดแอปเปิ้ลเข้าไปคำใหญ่

ดูจากสภาพการกินที่ดูไม่ได้ ส้าวส้วยก็ส่ายหน้าอย่างเหลืออด แล้วมองไปที่หลี่ฝางที่หมดสติอยู่บนเตียง

“ฉันขอออกไปสืบข่าวดูหน่อย แกอยู่ที่นี่เฝ้าหลี่ฝางก็แล้วกัน”

“ไปเถอะๆ” กู่ยี่เทียนไม่ได้ห้าม เพียงโบกมือให้เขาไป

หลังจากออกจากห้องมาแล้ว ส้าวส้วยก็ออกเดินเรื่อยเปื่อยไปทั่ว เขาเดินมายังลานกว้างที่ตนเข้ามาถึงในตอนแรก แล้วมองดูหินสลักสองก้อนอย่างละเอียด

“อย่าจับ!” ในขณะที่ส้าวส้วยเตรียมจะใช้มือสัมผัสหินสลักรูปมังกรอยู่นั้น ก็มีเสียงใสกังวานเอ่ยตำหนิเขาขึ้นมา

เมื่อหันหน้าไปมองจึงเห็นว่าสาวงามผู้นั้นไม่รู้ว่ามายืนอยู่ด้านหลังเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ ส้าวส้วยจึงเลิกคิ้ว “ทำไมถึงจับไม่ได้รึ”

สาวงามชุดขาวเม้มปากแน่นก่อนจะเดินมาหยุดตรงหน้าส้าวส้วยแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว “นี่ไม่ใช่หินธรรมดา แต่เป็นเทพมังกรกับเทพหงสาในสมัยโบราณ ทำให้หินนี้มีพลังงานแข็งแกร่ง หากสัมผัสอย่างน้อยอาจแค่ทำให้กระดูกหัก อย่างมากอาจทำให้ถึงตายได้”

สาวงามชุดขาวทำให้ส้าวส้วยตัวสั่นสะท้านอย่างไม่อาจควบคุม หินสลักสองก้อนนี้เกิดมาจากสัตว์เทพจริงๆ หรือ? เป็นไปไม่ได้แน่ๆ?

ส้าวส้วยคิดในใจแล้วอดไม่ได้ที่จะก้าวออกไปด้านหน้าครึ่งก้าวเพื่อจ้องดูมังกรตัวใหญ่นี้อย่างละเอียด

จะว่าไปแล้ว ยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกว่าหินสลักนี้คล้ายมังกรจริงๆ ขึ้นมา โดยเฉพาะดวงตาสองดวงนั้นที่เหมือนยังมีชีวิต ราวกับว่าวินาทีถัดไปมันจะกลับมาเคลื่อนไหวได้

ไหนจะยังมีหงสาข้างๆ นั่นอีก ขนที่อยู่บนตัวของมันยังคงเงางามเรียงเส้น เหลือบประกายสีแดง

“ของทุกอย่างบนเขาภูเขาหลินนี้ล้วนแปลกพิสดาร คิดไม่ถึงเลยว่าตั้งแต่กำเนิดโลกขึ้นมา สัตว์เทพสองตัวจะอยู่ที่นี่”

เมื่อหญิงงามชุดขาวได้ยินส้าวส้วยกล่าวเช่นนั้นก็ประหลาดใจ นางเองก็คงไม่คิดว่าส้าวส้วยจะรู้เรื่องสัตว์เทพด้วย ท่าทางแข็งกระด้างของนางจึงอ่อนโยนลง

“ที่เขาภูเขาหลินแห่งนี้เป็นสถานที่ที่เทพไท่จี๋ดับสลาย เทพมังกรกับเทพหงสาเป็นพาหนะของเทพไท่จี๋ หลังจากที่เทพไท่จี๋ดับสลายแล้ว พวกเขาได้เฝ้าอยู่ที่เขาภูเขาหลินเพื่อแสดงความจงรักภักดี เวลาผ่านไปนานเข้าจึงกลายมามีสภาพเช่นนี้”

ส้าวส้วยเองก็ไม่คิดเช่นกันว่าสาวงามชุดขาวจะยอมพูดกับตนมากมายเช่นนี้ เพราะเมื่อครู่ท่าทีของนางยังคงเย็นชา ราวกับไม่อยากที่จะข้องเกี่ยวกับพวกเขา

ครุ่นคิดสักพักก่อนจะเอ่ยออกมา “ผมชื่อส้าวส้วย คุณล่ะ ชื่อว่าอะไร”

สาวงามชุดขาวชะงักไปก่อนจะครุ่นคิดแล้วบอกชื่อของตัวเองกับส้าวส้วย “ไป๋หลิน”

“ไป๋หลิน เป็นชื่อที่เหมาะสมกับคุณมาก” ส้าวส้วยเอ่ยทวนชื่อของไป๋หลิน

ในตอนนั้นเอง ส้าวส้วยจึงยิ้มออกมา

“ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว คุณอย่าได้เดินเล่นมั่วๆ ล่ะ รีบพักผ่อนเถอะ” ไป๋หลินมองส้าวส้วยอย่างเกร็งๆ เมื่อกำชับเขาเช่นนี้แล้วก็รีบร้อนเดินจากไป

เมื่อเห็นนางเดินออกห่างไปแล้ว แววตาของส้าวส้วยก็ปรากฏความคิดบางอย่าง บนเขาภูเขาหลินมีคนทั้งหมดสามคน ไป๋เห้อผู้นั้นนิสัยหยาบเถื่อน อยากได้ข้อมูลอะไรจากปากเขาคงเป็นไปไม่ได้ มหาเซียนก็ยิ่งอย่าได้หวัง ดูท่าแล้วมีแต่ไป๋หลินเท่านั้นที่จะเข้าทางของเขา

NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง

NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง

ยามค่ำคืนดึกๆ ในหอพักแห่งหนึ่งที่ตงไห่

“หลี่ฝาง รีบเอาน้ำล้างเท้ามาให้ฉันเร็วๆ ”

ได้ยินเสียงตะโกนเรียก หลี่ฝางไม่รีรอเลยสักนิด รีบไปยกน้ำล้างเท้าของเจ้าอ้วนมาให้

“รอเดี๋ยว ถุงเท้าก็ช่วยซักด้วยเลย ไม่ซักมาหลายวันแล้ว เหม็นตายห่า” หลี่ฝางยกกะละมังล้างเท้าขึ้นมา เจ้าอ้วนก็พูดขึ้นมาอีกทันที

หยิบถุงเท้าที่เหม็นเน่าของเจ้าอ้วนแล้ว หลี่ฝางก็เดินเข้าไปในห้องน้ำของหอพัก จากนั้นเริ่มยุ่งๆ

เขาไม่เพียงแค่ซักถุงเท้าของเจ้าอ้วน ยังต้องซักเสื้อนักเรียนของเพื่อนร่วมห้องคนอื่นอีกด้วย รองเท้า กางเกงใน……

“เกาเสิ้ง ช่วงนี้นายยิ่งอยู่ยิ่งเกินไปแล้วนะ นายเห็นหลี่ฝางเป็นอะไร เขาเป็นเพื่อนร่วมห้องของนาย ไม่ใช่คนใช้นะ”

หัวหน้าห้องโจวหยางทนดูต่อไปไม่ไหว จึงว่าเจ้าอ้วนสองสามคำ

“หัวหน้า ผมกำลังช่วยเขา เขาขาดเงินไม่ใช่เหรอ? ผมจ่ายเงินให้เขาอยู่” เจ้าอ้วนยิ้มๆ ไม่สนใจ

“ใช่ไหม หลี่ฝาง? ” เจ้าอ้วนตะโกนถามหลี่ฝางไปทางห้องน้ำ

“ใช่ ขอบใจนายที่ช่วยอุดหนุนธุรกิจของผม เกาเสิ้ง” หลี่ฝางหันหน้ามายิ้ม ตอบหนึ่งคำด้วยความทราบซึ้งน้ำใจ

เห็นเป็นเช่นนี้ โจวหยางได้แต่ส่ายหัวและถอนหายใจ

หลังจากที่พ่อแม่หายตัวไป หลี่ฝางได้แค่พึ่งการซักเสื้อผ้าให้คนอื่น ทำการบ้าน ช่วยวิ่งซื้อของเป็นต้น เพื่อหารายได้มาเป็นค่าใช้จ่ายและจ่ายค่าเทอม

ไม่นาน โจวหยางเดินเข้าไปในห้องน้ำ: “หลี่ฝาง ถ้านายไม่มีเงินจริงๆ ผมยืมให้นายได้”

“ไม่ต้องหรอกครับ ขอบคุณนะ” หลี่ฝางไม่อยากใช้ชีวิตด้วยการพึ่งพาความช่วยเหลือจากคนอื่น อีกอย่าง เงินที่ยืมมา สุดท้ายก็ต้องคืนอยู่ดีไม่ใช่หรือ?

โจวหยางมองความคิดของหลี่ฝางออก: “ไม่เป็นไร ไม่ต้องรียคืนครับ รอให้นายเรียนจบก่อนค่อยคืนก็ได้ครับ”

หลี่ฝางหัวเราะขมขื่น: “หัวหน้า อีกนานกว่าจะเรียนจบเลยนะ”

โจวหยางส่ายหัวอีกครั้ง แล้วกลับไปบนที่นอนของตนเอง

“ผมว่านะ หัวหน้าอย่ากังวลไปเลย ไม่ใช่ไม่รู้ว่าหลี่ฝางตอนนี้มีสถานการณ์อย่างไร นายช่วยไหวเหรอ? ” จางเสี่ยวเฟิงคนที่อายุโตกว่าทุกคนในห้องยิ้มและพูด

“ใช่ ถ้าไม่มีพวกเรา เรื่องกินของเขายังมีปัญหาเลย” เกาเสิ้งพูดด้วยความภูมิใจ

พอหลี่ฝางทำงานเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว กำลังเตรียมจะเข้านอน จางเสี่ยวเฟิงก็พูดขึ้นมา: “หลี่ฝาง อาการอยากสูบบุหรี่กำเริบอีกแล้ว นายไปซื้อให้ฉันซองหนึ่งสิ เหมือนเดิม”

สีหน้าของหลี่ฝางรู้สึกลำบากใจ: “ตอนนี้ก็ห้าทุ่มแล้วนะ ประตูมหาวิทยาลัยก็ปิดแล้ว”

“อย่าพูดมาก กูเพิ่มเงินให้นายสิบหยวน ไปไม่ไป? ” จางเสี่ยวเฟิงโยนเงินลงบนพื้น พูดด้วยความโมโห

“งั้นผมปีนกำแพงออกไปซื้อให้”

หลี่ฝางเก็บเงินบนพื้นขึ้นมา แล้วเดินออกจากหอ

“หลี่ฝางคนนี้นี่ ขอแค่ให้เงินเท่านั้น แม้แต่ขี้ก็ยอมกิน” เพิ่งเดินออกจากห้อง หลี่ฝางก็ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะของเกาเสิ้ง

“ก็นั่นสิ? ถ้าผมเป็นเขา ไปตายเสียดีกว่า จะอยู่ให้อายคนอีกทำไม” จางเสี่ยวเฟิงก็พูดเห็นด้วย

หลี่ฝางได้ยินแล้วกำมือแน่นๆ ด้วยความโมโหอย่างมาก

แต่หลังจากนั้นสักพัก หลี่ฝางก็ค่อยๆ ปล่อยวาง คนอื่นเค้าก็พูดไม่ผิดอะไรนี่ ตนเองก็เป็นแค่คนจนๆ ที่ไม่มีศักดิ์ศรีอยู่แล้ว

ปีนกำแพงไปถึงซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่งที่เปิดตลอด24ชั่วโมง หลี่ฝางซื้อบุหรี่เสร็จและเตรียมตัวจะกลับหอ มีชายหญิงคู่หนึ่งเดินเข้ามาในซูเปอร์มาร์เก็ต

หญิงคนนี้เหลือบไปมองหน้าหลี่ฝางหนึ่งครั้ง สายตาเหมือนมีอะไรบางอย่าง ลำคอของเธอขยับ จากนั้นก็หันหน้าไปอีกข้าง แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นหลี่ฝางอย่างนั้น

ผู้หญิงคนนี้ชื่อเซี่ยลู่ เป็นเพื่อนบ้านของหลี่ฝาง ยังเป็นหนึ่งในดาวในโรงเรียนอีกด้วย

เมื่อก่อนสถานะทางบ้านของหลี่ฝางรวยมาก การเรียนก็ดี ตอนนั้นเซี่ยลู่วันๆ คอยตามหลังของเขาอยู่ทุกวัน ทั้งสองตระกูลเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ยังมีการสัญญาหมั้นให้ทั้งสองคนตั้งแต่เด็กอีกด้วย

ส่วนชายที่อยู่ข้างๆ เซี่ยลู่ คือเพื่อนนักเรียนในห้องของหลี่ฝาง ชื่อตู้เฟย เป็นลูกเศรษฐี หน้าประตูซูเปอร์มาร์เก็ตมีรถBMWจอดอยู่ นั่นก็คือรถของเขา

“เถ้าแก่ เอาถุงยางให้ผมหนึ่งกล่อง” ตู้เฟยตะโกนบอก

เซี่ยลู่หน้าแดงขึ้นมาทันที ต่อหน้าหลี่ฝางมีความรู้สึกอาย: “พี่เฟย ท้องของฉันไม่ค่อยสบายหน่อย เราเอาไว้วันหลังละกันนะ”

“วันหลังห่าอะไร เป็นเพราะนายคนนี้ใช่ไหม? ” ตู้เฟยหันหน้าไปชี้หลี่ฝางแล้วถาม

“อย่าคิดว่าผมไม่รู้เรื่องระหว่างเธอสองคนนะ แต่นั่นมันเป็นอดีตไปแล้ว” ตู้เฟยสีหน้าเข้มขรึม ซักถามเซี่ยลู่ตรงๆ : “ทำไม คุณยังไม่ลืมเขาเหรอ? ”

เซี่ยลู่ส่ายหัวและรีบปฏิเสธ: “หนุ่มจนๆ แบบนี้ ฉันจะลืมเขาไม่ลงได้ไง? ”

“ฉันไม่สบายท้องจริงๆ ”

“พูดแล้วก็น่าแปลกใจ เมื่อกี้ยังดีๆ อยู่ คงจะเป็นเพราะเจอใครบางคน ท้องถึงได้สะอิดสะเอียน” เพื่อที่จะเอาใจตู้เฟย เซี่ยลู่พูดอย่างโหดร้าย

“ฮาฮา ผมเห็นเขาแล้วก็รู้สึกอยากอ้วกเหมือนกัน”

ตู้เฟยหัวเราะดังๆ ยื่นมือไปตบหน้าหลี่ฝางหนึ่งที: “ยังไม่รีบไสหัวไปอีก ไม่ได้ยินเหรอ? ว่าแฟนฉันเห็นแกแล้วรู้สึกสะอิดสะเอียน? ”

หลี่ฝางกัดฟันแน่นๆ จ้องหน้าตู้เฟยอย่างเย็นชา

สีหน้าของตู้เฟยตะลึงสักพัก จากนั้นก็ถีบที่ท้องของหลี่ฝางอีกครั้ง: “ยังกล้าจ้องฉันอีกเหรอ? แกไม่พอใจอะไร? ”

“พี่เฟย อย่าตีอีกเลย” เซี่ยลู่เข้าไปห้าม

“ทำไม? เห็นอกเห็นใจมัน? ”

“ไม่หรอก? ฉันแค่รู้สึกว่าเราไม่ควรไปถือสาและยุ่งเกี่ยวกับคนจนๆ แบบนี้หรอก” เซี่ยลู่รีบส่ายหัว

ตู้เฟยทำเสียงฮึ่ม แล้วยื่นมือไปรับกล่องถุงยางจากเถ้าแก่ร้าน และพูดว่า: “เซี่ยลู่ คืนนี้ฉันไม่สนว่าเธอจะประจำเดือนมาหรือว่าปวดท้อง แต่ว่าเธอปลุกไฟราคะของฉัน อย่าคิดหนีนะ? ”

“หลี่ฝาง แกจำไว้ หลังจากวันนี้อยู่ห่างๆ เซี่ยลู่ไว้ ไม่อย่างนั้นเห็นนายครั้งหนึ่ง เตะครั้งหนึ่ง” ก่อนจะไป ตู้เฟยเตือนหลี่ฝางด้วยถ้อยคำที่โหดเหี้ยม

เช็ดๆ รอยเท้าบนเสื้อ หลี่ฝางปีนกำแพงกลับไปถึงหอพัก

หลี่ฝางกลับมาดึกเกิน ยังถูกจางเสี่ยวเฟิงด่าอีกชุดใหญ่

หลี่ฝางทนไม่ไหว กัดฟันและแอบร้องไห้อยู่ใต้ผ้าห่มทั้งคืน

เช้าวันถัดมาตื่นมา หมอนของหลี่ฝางยังเปียกชื้นอยู่เลย ขณะนั้น เขาสังเกตเห็นในมือถือมีสายที่ไม่ได้รับสามสิบกว่าสาย

“ทำไมเป็นสายจากต่างประเทศทั้งหมดเลย? ”

หลี่ฝางเปิดดูสักพัก สงสัยว่าเป็นพวกนักต้มตุ๋นมืออาชีพโทรมา

“ยังมีข้อความ เลขที่บัญชีลงท้ายด้วย 911มีเงินโอนเข้าจำนวน 1,000,000.00 หยวน ยอดเงินคงเหลือ 1,000,325.00 หยวน” หลี่ฝางอ่านหนึ่งรอบ คิดว่าต้องเจอพวกนักต้มตุ๋นแน่ๆ

ในตอนนี้ หลี่ฝางรีบถอนเงินในวีแชทที่ได้ออกมา

มือถือดังขึ้นตึ้ดหนึ่งเสียง หลี่ฝางรู้สึกมึนงง

“ธนาคารABC วันที่ 12 เดือน 11 ปี x เวลา 07:14 น. เลขที่บัญชีลงท้ายด้วย 911มีเงินโอนเข้าจำนวน 300.00 หยวน ยอดเงินคงเหลือ 1,000,625.00 หยวน”

ข้อความที่มีเงินโอนเข้าหนึ่งล้าน กับข้อความที่มีเงินโอนเข้าสามร้อย เลขเหมือนกัน?

ถ้าเป็นนักต้มตุ๋น เขาจะรู้ยอดเงินคงเหลือของหลี่ฝางได้ไง

นั่นก็คือ เงินหนึ่งล้านที่โอนเข้ามานี้เป็นเรื่องจริง

นึกถึงตรงนี้แล้ว หลี่ฝางรีบลุกขึ้นมาเหมือนคนบ้าและวิ่งออกจากโรงเรียน

ไปถึงตู้เอทีเอ็มของธนาคารแห่งหนึ่ง หลี่ฝางใส่บัตรเอทีเอ็มของตนเองเข้าไป นิ้วมือกดรหัสเอทีเอ็ม

“ผมกำลังฝันไปแน่ๆ ” เห็นมียอดเงินในบัญชีหนึ่งล้านกว่า หลี่ฝางส่ายหัว เขาไม่กล้าเชื่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

เบอร์โทรแปลกๆ นั่นโทรมาอีกครั้ง ครั้งนี้หลี่ฝางไม่ลังเลเลยสักนิด รีบรับสายโทรศัพท์นั้น

“เสี่ยวฝาง……” ในสายโทรศัพท์ทางโน้นเป็นเสียงที่คุ้นหูดังขึ้นมา

“พ่อ? ใช่พ่อ…..ใช่พ่อไหม? ” สองมือของหลี่ฝางสั่นแรงขึ้น

“ใช่ พ่อเอง ฉันกับแม่แกไม่อยู่ หลายปีมานี้แกสบายดีไหม? ต้องลำบากมากแน่ๆ ใช่ไหม? เมื่อกี้พ่อโอนเงินหนึ่งล้านเข้าบัญชีให้แล้ว ใช้ไปก่อนนะ ถ้าไม่พอพ่อจะโอนให้อีก ใช่สิ ไม่ได้เจอกันมาหลายปี แกคงคิดถึงพวกเรามากใช่ไหม? ” พ่อของหลี่ฝางถามไถ่ติดกันหลายประโยค

หลี่ฝางแน่ใจว่าเขาคือพ่อตนเองแล้ว น้ำตาก็ไหลและนั่งร้องไห้ลงกับพื้นทันที เขาพิงตู้เอทีเอ็มไว้ มือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์ มืออีกข้างก็เช็ดน้ำตาไปด้วย

“ผม……คิดถึง…..พวกท่านจะตายอยู่แล้ว”

“ดี ดีแล้วลูก หลายปีมานี้ลำบากแกมากพอแล้ว แต่ว่าอย่าเกลียดพ่อนะ ถ้าจะเกลียด ก็ไปเกลียดปู่ของแกโน่น เขาเป็นคนวางแผน……”

หลี่ฝางพูดแทรกขึ้นมา: “เดี๋ยว ปู่ของผมตายไปตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอครับ? ”

“ตายที่ไหน ตาเฒ่านั่น พ่อก็อยากให้ตายตั้งนานแล้ว พ่อแค่หลอกแกมาสามปี ตาเฒ่านั่นหลอกพ่อมานานสิบกว่าปี……สามปีก่อนตาเฒ่ามารับพ่อกลับบ้าน แล้วมาบอกพ่อว่าเขายังไม่ตาย ยังบอกกับพ่อว่าเขาเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุด แกว่าตาเฒ่าบ้านี่ยังมีคุณธรรมอยู่รึเปล่า หลอกว่าตัวเองตายแบบนี้ยังทำออกมาได้”

“มหาเศรษฐีที่รวยที่สุด? ”

“ไอ้ลูกอกตัญญู ว่าใครตาเฒ่า เดี๋ยวตีให้ตายเลย” ในโทรศัพท์ทางนั้นมีเสียงสั่นตะโกนมา แต่เสียงในนั้น หลี่ฝางได้ยินพ่อตนเองพูดคุยอยู่: หลี่เจียเฉิน ถ้าท่านยังกล้าตีผมอีก ผมจะตัดขาดความเป็นพ่อลูกกับท่าน

หลี่เจียเฉิน? เขาเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในภูมิภาคเอเชียไม่ใช่เหรอ?

เดี๋ยว! ปู่ของผมเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุด

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท