บทที่ 115
หยางเฟิงเฟิง
แม้ว่าเฉิงเทียนตงจ้าวสำนักอัคคีจะนิ่งเงียบ แต่ในใจของเขาก็คิดแบบเดียวกันกับอู๋เทียนและหลิวเหาหลาน ด้วยชื่อเสียงและอำนาจของมูหลงที่แผ่กระจายไปทั่วภูมิภาค ถึงแม้ หยางเฟิงเฟิงผู้เป็นศิษย์จะไม่ติดในรายชื่อมังกรสวรรค์แต่เขาก็ได้รับอานิสงส์จากผู้เป็นอาจารย์อยู่ไม่น้อย
ในขณะที่มู่หรงตู่เฟิงผู้เป็นถึง 1 ใน 3 ยักษาแห่งตะวันตกเฉียงใต้ แต่วรยุทธ์ของเขาอยู่ที่อันดับ 90 ก็เทียบกับปรมาจารย์ มูหลงที่อยู่อันดับ 72 อย่างไม่เห็นฝุ่น ชื่อเสียงของเขาเป็นที่กล่าวขานกันปากต่อปากไปทั่วภูมิภาค
ถึงแม้ตัวหยางเฟิงเฟิงผู้เป็นศิษย์จะไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก แต่จากแหล่งข่าวของอู๋เทียนก็ได้ทราบว่าเขาได้รับอาวุธมนตราที่มีอานุภาพร้ายแรงจากมูหลงผู้เป็นอาจารย์ และเย่เย่คงไม่ใช่คู่ปรับที่สมน้ำสมเนื้อกับเขา
หลังจากการเดินทางร่วมวัน ในที่สุดเย่เย่ก็เดินทางกลับมาถึงเมืองบ้านเกิดของเขา เย่เทียนผู้เป็นพ่อที่รอคอยการกลับมาของเขาอย่างใจจดใจจ่อ เขาที่ต้องรับแรงกดดันมหาศาลจาก หยางเฟิงเฟิงและเหล่าสำนักทั้งสาม ก็เผยให้เห็นรอยยิ้มออกมาเมื่อเห็นลูกชายปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
“ยินดีต้อนรับกลับเจ้าค่ะ / ขอรับ” เมื่อเย่เย่เดินผ่านทางเดินเหล่าคนใช้ที่เรียงแถวกันเป็นทางยาวต่างพูดทักทายเขาด้วยความสุภาพนอบน้อม
“ลูกเย่ ในที่สุดเจ้าก็กลับมา!” เย่เทียนลุกขึ้นจากบัลลังก์และโผกอดเย่เย่ด้วยความคิดถึง สมาชิกตระกูลเย่และเหล่าคนใช้ต่างมองมาที่เย่เย่ด้วยความปีติยินดี การกลับมาของเย่เย่ในครั้งนี้ช่วยบรรเทาความตึงเครียดของพวกเขาไปได้เปลาะหนึ่ง
เย่เย่ที่สังเกตเห็นรอยย่นที่เกิดจากความเครียดบนใบหน้าของผู้เป็นพ่อ เขาจึงพูดเรียกขวัญกำลังใจของเย่เทียนกลับมา “ท่านพ่อ ข้าอยู่นี่แล้ว ที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง!”
แม้ว่าเย่เย่จะทราบสาเหตุคร่าวๆของเหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวายในครั้งนี้ แต่เขากลับรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล และนัยแอบแฝง
“ท่านพ่อ ท่านคิดว่ามูหลงผู้นี้จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลมู่หรงแห่งจิ้นเฉิงหรือไม่?”
“อืมม…พวกเขาต้องรู้เห็นเป็นใจกันไม่ผิดแน่ แต่ข้าคิดไม่ถึงว่าทำไมพวกเขาถึงฉวยโอกาสนี้เล่นงานพวกเรา” เย่เทียนพยักหน้าอย่างช้าๆ สีหน้าที่ผ่อนคลายได้ชั่วครู่ก็กลับมาเคร่งเครียดอีกครั้ง
“อย่างไรซะสำนักจ้าววายุยังคงสนับสนุนพวกเราอยู่ หากไม่ได้พวกเขาพวกเราคงโดนโจมตีไปแล้ว…”
“สำนักจ้าววายุงั้นเหรอ?” เมื่อพูดถึงสำนักจ้าววายุ เย่เย่ก็อดนึกถึงใบหน้างามสง่าของแม่นาง
เหล่ยถิงไม่ได้ แม้ว่าการเคลื่อนไหวของอู๋เทียนและสำนักต่างๆจะอยู่ในการคำนวณของเขา แต่การตัดสินใจของสำนัก จ้าววายุนั้นเกินความคาดหมายของเขามาก นี่อาจเป็นเพราะความสัมพันธ์อันดีระหว่างเขาและแม่นางเหล่ยถิง ทำให้นางรบเร้าจ้าวสำนักสำเร็จจนได้
แต่เมื่อเย่เย่นึกถึงเสี่ยวหยูที่ยืนเท้าสะเอวและงอนแก้มป่องอยู่นั้น เขาจึงรีบสลัดใบหน้าของแม่นางเหล่ยถิงออกไปจากหัว ก่อนที่จะถามเย่เทียนถึงถิ่นที่อยู่ของหยางเฟิงเฟิง และรีบรุดหน้าไปยังที่นั่นพร้อมกับเฉินเจียนโปและพรรคพวก
ทันทีที่พวกเขาก้าวเท้าออกจากคฤหาสน์ตระกูลเย่ ข่าวของพวกเขาก็ไปถึงหูของสำนักคู่อริทั้งสามอย่างรวดเร็ว ทั้งสามส่งจอมยุทธ์มากฝีมือออกไปปิดล้อมคฤหาสน์ตระกูลเย่ พวกเขาต่างหวังความดีความชอบจากมูหลง ในขณะเดียวกันสำนัก จ้าววายุที่ทราบข่าวไม่ได้ช้าไปกว่าสามสำนักมากนักก็รีบส่งคนไปที่ตระกูลเย่เพื่อช่วยเหลือพันธมิตรของพวกเขาเช่นเดียวกัน พวกเขาได้แต่ภาวนาให้เย่เย่ให้เขาสร้างปาฏิหาริย์ขึ้นได้อีกครั้ง แม้ว่าศัตรูที่เขาต้องเผชิญจะเป็นถึงศิษย์ของมังกรสวรรค์ก็ตาม
เมื่อเย่เย่และพรรคพวกเดินทางมาถึงโรงเตี๊ยม พวกเขาก็ลงจากอานม้า และเดินเข้าไปภายในโรงเตี๊ยมเป็นหมู่คณะ เบื้องหน้าของเขาปรากฏให้เห็นชายอ่อนวัย รูปร่างหน้าตาหล่อเหลาไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาเลยแม้แต่น้อย หนุ่มน้อยผู้นั้นกำลังนั่งจิบเหล้าร้อนอย่างสบายใจเฉิบ
“เจ้าคือหยางเฟิงเฟิงสินะ?” เย่เย่ถามหนุ่มหน้าตาดีขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก ทันใดนั้นเองแขกคนอื่นๆ และแม้กระทั่งเจ้าของโรงเตี๊ยมที่สังเกตเห็นเย่เย่ พวกเขาต่างพากันวิ่งหนีเตลิดเปิดเปิงออกไปเพราะกลัวว่าจะโดนลูกหลง เหลือไว้เพียงแต่เย่เย่และพรรคพวก กับหยางเฟิงเฟิงที่ยังคงแข่งจ้องหน้ากันอย่างไม่มีท่าทีว่าจะเปิดฉากการโจมตีขึ้นเมื่อไหร่
“ท่านเย่ ท่านทำให้ข้ารอเสียนานเลยนะ” หยางเฟิงเฟิงเมื่อเห็นเหยื่อของเขาติดกับก็เก็บรอยยิ้มแสยะของเขาไว้ไม่อยู่
เป็นอย่างที่เย่เย่คิดมาโดยตลอด การข่มขู่ว่าจะกวาดล้างตระกูลเย่เป็นเพียงตัวล่อให้เย่เย่กลับมายังเฟิงเจิ้น แต่เขาก็กลับตัวไม่ทันเสียแล้ว
“มู่หรงตู่เฟิงเกี่ยวข้องอะไรกับมูหลงอาจารย์ของเจ้า? เขาส่งเจ้ามาเพื่ออะไร? เพื่อมาโดนข้าฆ่างั้นรึ!?”
ในสายตาของเย่เย่ หยางเฟิงเฟิงไม่ได้ต่างอะไรจากตัวหมากตัวหนึ่งที่ให้เขารีดเค้นข้อมูลด้วยยันต์สัจวาจาเลยแม้แต่น้อย แต่เขาก็ยังคงสงสัยว่าทำไมมูหลงถึงไม่มาจัดการกับเขาด้วยตัวเอง
“ทำไมข้าถึงถูกส่งมาจัดการท่านงั้นเหรอ? งั้นข้าจะบอกอะไรดีๆให้ฟังก็แล้วกัน ต่อให้ท่านเอาชนะโจวไท่ได้ แต่ท่านก็ยังไม่อยู่ในสายตาของอาจารย์ข้าอยู่ดี” หนุ่มหน้ามนพูดแทรกขึ้นมาราวกับอ่านความคิดของเย่เย่ออก เขาพูดตอกย้ำจุดยืนอันต่ำต้อยของเย่เย่
“หุบปากซะ! เจ้าเด็กเมื่อวานซืน อยากตายนักหรือไง?” เฉินเจียนโปพูดแทรกขึ้นพร้อมชี้หน้าชายหนุ่มที่เพิ่งบรรลุนิติภาวะได้ไม่นานด้วยความโกรธ
หยางเฟิงเฟิงมองหน้าเฉินเจียนโปด้วยสายตาเยือกเย็น ก่อนหันกลับมามองเย่เย่ ราวกับว่าเฉินเจียนโปเป็นอากาศธาตุ
“ท่านเย่ วันนี้คือวันตายของท่าน! ความมั่นใจนั่นน่ะเก็บไว้ใช้ชาติหน้าเถอะ!”
“แน่จริงก็เข้ามา!” เย่เย่กวักมือท้าทายชายหนุ่ม แม้ว่า หยางเฟิงเฟิงผู้นี้ฝีมือไม่ได้เก่งกาจเหมือนโจวไท่ แต่เขาเชื่อว่าภายใต้ความกล้าหาญนี้เขาต้องซุกซ่อนลูกไม้อะไรเอาไว้แน่ ด้วยแนวคิดเช่นนี้เย่เย่จึงไม่เคยประมาทศัตรูคนไหนมาก่อน
ทันทีที่เขากวักมือเรียกศัตรูของเขาก็พุ่งเข้าโจมตีด้วยความรวดเร็ว เย่เย่ไม่ได้ชักกระบี่เทพอัสนีออกมาแต่อย่างใด แต่เขาเลือกที่จะใช้สลาตันฟ้าคำรามที่ยังฝึกไม่สำเร็จออกมาใช้ หยั่งเชิง…