“ข้าไม่ได้ว่าอะไรนี่” เหลิ่งหลิงยวิ๋นยิ้มจางๆ และพูดอย่างผ่อนคลาย “แค่ถามดูเฉยๆ”
วัลโดตะลึงและหันหน้าไปมองท่าทีของเหลิ่งหลิงยวิ๋นด้วยความสงสัยว่าชายผู้นี้จะปล่อยไปเช่นนี้หรือ? ไม่คิดจะลงมือกับตนเองงั้นหรือ?
“ตัวตนในปัจจุบันของข้าคือสมาชิกของกลุ่มทหารรับจ้างหยวนเป่าและอาชีพของข้าคือผู้รักษา” เหลิ่งหลิงยวิ๋นมองแคลร์ด้วยรอยยิ้มและพูด “และเจ้าคือหัวหน้าของข้า นั่นคือทั้งหมด”
เมื่อคำพูดของเหลิ่งหลิงยวิ๋นจบลง สายตาของทุกคนก็ผ่อนคลายขึ้น วัลโดถอนหายใจอย่างโล่งอก แคลร์ไม่ได้พูดอะไร ไม่มีใครรู้ว่านางคิดอะไรอยู่ในตอนนี้
“เช่นนั้น นักเวทย์ผู้รักษาของกลุ่มเราก็ควรจะช่วยรักษา ข้า… ที่เป็นรองหัวหน้า ได้หรือไม่?” น้ำเสียงของคามิลล์ในเวลานี้ดูไม่สบายใจ “การบาดเจ็บของหัวหน้าคือการบาดเจ็บ แล้วของข้าไม่ใช่การบาดเจ็บหรือไง?”
สายตาของทุกคนมองไปเห็นมือของคามิลล์ที่เต็มไปด้วยเลือด จากนั้นพวกเขาก็จำได้ว่าเมื่อกี้คามิลล์เอื้อมมือออกไปสกัดกั้นการโจมตีให้แคลร์ ตอนนั้นมีเพียงเขาเท่านั้นที่มีปฏิกิริยาตอบสนองเช่นนั้น !หาก คามิลล์เป็นราชานักฆ่าเบอร์หนึ่งแล้ว หลี่เยว่เหวินก็คงเป็น นักฆ่าเบอร์สอง หากเวลานั้น คนที่ อยู่ข้างหลังแคลร์เป็นคนอื่นที่ไม่ใช่คามิลล์ แคลร์ก็คงจะตายไปแล้วในวันนี้
“ฮ่าๆ ลืมไปเลย” เหลิ่งหลิงยวิ๋นยิ้มเจื่อนแล้วรีบเดินไปรักษาคามิลล์ แต่รอยยิ้มเขินอายของเหลิ่งหลิงยวิ๋น ทำให้ทุกคนรู้สึกราวกับเห็นผี ทุกคนเคยเห็นเขายิ้มแบบนี้ในฐานะบุตรแห่งแสงเมื่อไหร่กันล่ะ? ในใจของทุกคน ผู้ชายคนนี้มักจะยิ้มแบบแสร้งทำ และมีท่าทางที่สง่างามชวนให้คนอึดอีดอยู่ เสมอ การแสดงออกในวันนี้นั้นเป็นเพราะเขา ผีเข้าหรือเปล่า?
ขณะที่เหลิ่งหลิงยวิ๋นกำลังรักษาคามิลล์อยู่นั้น คนอื่นๆ ก็มองหน้ากันก่อนจะคืน สติและเดินไป ถามอาการบาดเจ็บของแคลร์ ไป๋ตี้ยังนั่งยองอยู่บนไหล่ของหลี่หมิงหยู่และมองแคลร์ด้วยความกังวล
“ข้าไม่เป็นไรแล้ว” แคลร์พูดเบาๆ “ไปดู สิ ว่าที่ตัวพวกเขามีของดีๆอะไรบ้างหรือไม่?”
จินเหยียนเดินไปหาหลี่หมิงหยู่และ ยื่นมือออกไปรับ แคลร์อย่างเป็นธรรมชาติ จากนั้นเขาก็อุ้มแคลร์ไว้ในอ้อมแขน คนอื่นๆ เริ่มไปค้นหาของ ส่วนซัมเมอร์ยังหน้าซีดและซ่อนตัวรอคนอื่นๆ ศพเปื้อนเลือด ดูน่าขยะแขยงเกินไป
วัลโดคุกเข่าลงเพื่อหาของ แต่เขาเห็นว่าจิตวิญญาณธาตุดินระดับต่ำยังคงจับศพของฝาแฝดไว้อยู่
“ตงเฟิวโฮ่ว เจ้า โง่ เจ้ารีบบอกให้วิญญาณธาตุของเจ้าออกไปได้แล้ว!” วัลโดโกรธมากจนหันไปพูดกับตงเฟิงโฮ่วอย่างโกรธเกรี้ยว “เจ้านี่จริงๆ เลย โง่เหมือนหมู เมื่อถึงเวลาต้องทำอะไร เจ้าก็ไม่ทำ พอไม่ต้องการ เจ้ากลับลงมือ!”
ตงเฟิงโฮ่วบอกให้วิญญาณธาตุระดับต่ำกลับไป จากนั้นก็ยืนขึ้นและมองด้วยความงุนงงราวกับคิดว่าเขาควรทำอะไรจึงจะไม่เหมือนหมู
เหลิ่งหลิงยวิ๋นรีบรักษาคามิลล์ให้เสร็จและกลับไปรักษาแคลร์ต่อ แสงสีขาวเจิดจ้านั้นทำให้บาดแผลของแคลร์หายอย่างเร็วโดยไม่เหลือร่องรอย แคลร์โชคดีที่ครั้งนี้ไม่ได้ถูกแทงตรงหัวใจและได้เข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที
“อาฮ่าๆมีของดีๆ มากมายเลย” วัลโดตะโกนอย่างมีความสุข จากนั้นก็ตะโกนอีกครั้ง “นี่คือแหวนมิติใช่หรือไม่? ไม่มีทาง คนๆ นี้มีแหวนมิติอยู่กับตัว งั้นหรือ?”
“ให้ข้า ดูหน่อย” แคลร์ไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรงอีกต่อไปแล้ว แต่ยังคงเวียนหัวอยู่เล็กน้อย นาง ผละออกจากอ้อมแขนของจินเหยียนและ เดินไปข้างหลังวัลโดพร้อม พูดเบาๆ
“อื้อ” วัลโดถอดแหวนออกจากนิ้วของนักเวทย์แล้วส่งให้แคลร์ดูทันทีโดยไม่ทันคิดอะไร
แคลร์หยิบแหวน มาด้วยใบหน้าที่ว่างเปล่า จากนั้นก็หยิบกริชเล่มเล็กออกมาแล้วจิ้มที่นิ้วของนางเพื่อหยดเลือด ลงบนแหวน และพูดต่ออย่างไร้อารมณ์ “มันเป็นของข้าแล้ว”
“ให้ตายสิ ! มันเป็นแหวนมิติจริงๆ ด้วย!” วัลโดมองพฤติกรรมที่หน้าด้านของแคลร์แล้วกระโดดขึ้นอย่างโกรธแค้น “เจ้า บอกว่าจะดูเท่านั้นไม่ใช่หรือ แล้วเจ้าหยดเลือดเพื่อเป็นเจ้าของทำไมล่ะ? มากเกินไปแล้ว ไร้ยางอาย! เจ้าทำอะไรลงไป?” แหวนมิติจะรับเจ้าของหใม่ก็ต่อเมื่อ เจ้าของเดิมตายแล้ว เท่านั้น ยกเว้นแต่ เจ้าของเดิมจะยกเลิกการเป็นเจ้าของแหวน ตอนนี้ปีศาจน้อยกลายเป็นเจ้าของแหวนไปแล้วหรือ?นางจะยอมยกเลิกการเป็นเจ้าของหรือไม่ ฝันไปเหอะ ! ทุกคนมองไปที่แหวนมิติในมือของแคลร์ด้วยความอิจฉา แต่แคลร์ก็ไม่สนใจพวกเขา
“เอ่อ พื้นที่ไม่ได้ใหญ่มาก แค่ไม่กี่ลูกบาศก์เมตร แต่มีอะไรบางอย่างอยู่ข้างใน…” แคลร์ไม่สนใจคำทักท้วงของวัลโด แต่เริ่มตรวจสอบแหวนมิติดู แม้ว่าในนั้นจะมีพื้นที่เพียงเล็กน้อย แต่ก็มีของหายากและล้ำค่ามากเช่นกัน
ภายใต้ สายตาประหลาดใจของทุกคน แคลร์หยิบของ หายาก ออกมาจากข้างในชิ้นแล้วชิ้นเล่า แกนเวทย์ระดับเก้าหนึ่งอัน แกนเวทย์ระดับแปดห้าอัน แกนเวทย์ระดับเจ็ดอีกหลายสิบอัน คัมภีร์เวทย์มนตร์หลายเล่ม ยาสองสามขวด แร่และสมุนไพรหายากบางชนิด ทุกอย่างล้วน มีราคาแพงมากทั้งสิ้น
“รวยแล้ว…” วัลโดจ้องของที่แคลร์หยิบออกมาและพูด เขาหยิบยาขวดหนึ่งมา สังเกตดู จากนั้นเขาก็เปิดมันและ ดม “ยาเปลี่ยนเพศ! พระเจ้า คนพวกนี้เป็นใคร ทำไมพวกเขาจึงมีของมีค่าเช่นนี้ด้วย โอ้ นี่ด้วย! พระเจ้า สามารถแปลงร่างให้ เป็น ฮิฮิ… “วัลโดแสยะยิ้มอย่างน่าเกลียด จากนั้นเขาก็ ไม่ได้พูดอะไรต่อ
“แปลงร่างเป็นอะไร?” แคลร์หยิบยานั้นมาดู แต่ก็ไม่เห็นความแตกต่าง
“เปลี่ยนเป็น อีกคนที่แตกต่างจากเจ้าโดยสิ้นเชิงเลยล่ะ เจ้าจะเปลี่ยนเป็นสาวสวยสุดๆ หน้าอกใหญ่ เอวบาง บั้นท้ายใหญ่ ส่วน เจ้าในตอนนี้…” วัลโดถูกกำปั้นกระแทกก่อนที่เขาจะพูดจบ เขาล้มลงกับพื้นและกรีดร้องโวยวาย
แคลร์ดึงกำปั้นของนางกลับมาและมองขวดยาในมืออย่างสงสัยว่ามีอะไร วิเศษอยู่หรือไม่?
ในเวลานี้ มือขาวและเรียวยาวยื่นออกมา แคลร์เงยหน้าขึ้นและ สบตาเข้ากับดวงตาสีม่วงของเหลิ่งหลิงยวิ๋น นางจึงปล่อยมือและปล่อยให้เหลิ่งหลิงยวิ๋นจับยานั่นแทน
“มันเป็นยาที่ทำให้สวยงามขึ้นจริงๆ นั่นแหละ” เหลิ่งหลิงยวิ๋นพูดอย่างมั่นใจหลังจากดูแล้ว “ข้าเคยเห็น มาก่อน ไม่ว่าผู้หญิงจะน่าเกลียดแค่ไหนก็จะกลายเป็นคนสวยได้ ตราบเท่าที่ดื่มยา นี้ แต่สิ่งนี้ก็ขึ้นอยู่กับคนด้วยนะ ตัวอย่างเช่นหญิงขี้เหร่จะกลายเป็นหญิงงามแบบธรรมดาได้ถ้าดื่มเข้าไป แต่ถ้านางเป็นคนงามอยู่แล้ว นางจะกลายเป็นสาว งามที่ไม่มีใครเทียบได้เลยหากดื่มยานี้ แต่ยานี้ มีเวลาจำกัด หาก จิบเล็กน้อย จะอยู่ได้เป็นเวลาห้าหรือหกชั่วโมง ยิ่งดื่มมากเท่าไหร่ก็ยิ่งอยู่ได้นานขึ้นเท่านั้น”
วัลโดจ้องหนุ่มหน้าขาวแล้วไม่เข้าใจว่าเขารู้ข้อมูลได้อย่างไร การปลอมตัวเช่นนี้เป็นสิ่งที่คนชั้นสูงในวิหารดูถูก มากที่สุดไม่ใช่หรือ? แต่ชายผู้นี้บอกว่าเคยเห็นมัน จริงน่ะหรือ?
“ส่วนนี่คือยาแปลงร่าง การดื่มเพียงเล็กน้อยจะทำให้เพศดั้งเดิมเปลี่ยนไปในระยะเวลาห้าหรือหกชั่วโมง และจะอยู่ได้นานขึ้นเมื่อใช้ในปริมาณมาก” เหลิ่งหลิงยวิ๋นยังคงดูยาอื่นๆ พลางถอนหายใจ “สิ่งเหล่านี้ แท้จริงแล้วมีค่ามาก แต่พวกเขาเป็นใครกัน ทำไมจึงมีแหวนมิติและสิ่งล้ำค่าเหล่านี้ได้ “
แคลร์ใส่ยากลับเข้าไปอีกครั้งและพูด “ตอนนี้มันเป็นของข้าแล้ว”
ทุกคนหันไปมอง แต่พวกเขาล้วนคิดตามคำพูดของเหลิ่งหลิงยวิ๋น คนเหล่านี้เป็นใคร กันแน่?
“ข้ารู้ว่าพวกเขาเป็นใคร” เสียงของหลี่หมิงหยู่ดังขึ้น เขาถือป้ายขนาดเล็กที่ค้นพบจากศพไว้ในมือ ตราขนาดเล็กเป็นสีขาวและลวดลายบนนั้นก็เรียบง่ายมาก มันมีเพียงแค่สายฟ้า แต่สายฟ้านั้นมี สีดำตัดกับพื้นหลังสีขาวอย่างมาก
“นั่นมันสายฟ้าสีดำ…” ใบหน้าของเหลิ่งหลิงยวิ๋นเปลี่ยนไปเล็กน้อยและขมวดคิ้ว “สิ่งนี้สามารถอธิบายได้ว่าทำไมคนทั้งห้านี้ถึงมีพลังมากและทำไมพวกเขาถึงมีสิ่งล้ำค่าเหล่านี้ด้วย”
“สายฟ้าสี ดำ?” เฉียวฉู่ซินถามพร้อมกับกระพริบตาอย่างงงงวย
” สายฟ้าที่มีสีดำไง สายฟ้าสีดำ” ใบหน้าของหลี่หมิงหยู่ดูนิ่งไปเล็กน้อย “พวกเราได้เจอ กับคนที่ทรงพลังแล้วล่ะ”
“ทรงพลังหรือ? นี่ไม่ใช่การตายอย่างอนาถหรือ?” เฉียวฉู่ซินยิ่งงง ซากศพบนพื้นดินบอกทุกอย่างแล้วไม่ใช่หรือ? พวกเขาจะเก่งได้อย่างไร? พวกเขาตายไปหมดแล้ว
“พวกเขาเป็นเพียงคนระดับล่างๆ ในสายฟ้าสีดำ” หลี่หมิงหยู่พูดอย่างเย็นชาพลางบีบตราในมือ “หลังจากเก็บของแล้ว ทำลายศพโดยเร็วที่สุด ห้ามไม่ให้เหลือร่องรอยใดๆ เลยนะ ” อะไรนะ? ทุกคนตกใจ คนเก่งขนาด นี้ยังเป็นเพียงคนระดับล่างเอง หรือ? นักรบที่เก่งเทียบ เท่ากับจินเหยียน นักเวทย์ที่ใช้เวทมนตร์ได้ทันทีโดยไม่ต้องร่ายคาถา นักธนูที่มีธนูเวทย์ และหญิงสาวฝาแฝดที่สามารถควบคุมคนจากเงาได้ คนเหล่านี้เป็นเพียงคนระดับร่างเท่านั้น หรือ? คนที่เกือบทำให้พวกเขาแพ้นี่คนระดับล่างๆ เท่านั้น หรือ?!
“ทำตามที่เขาบอกซะ” เวลานี้ใบหน้าของคามิลล์ดูจริงจัง ดวงตาที่ลึกล้ำของเขาฉายแววบางอย่าง และพวกเขาก็รู้ว่า คามิลล์ต้องรู้เรื่องเกี่ยวกับสายฟ้าสีดำอย่างแน่นอน
คามิลล์ที่เคยยิ้มอย่างอ่อนโยนมาโดยตลอด ในตอนนี้เขามีใบหน้าที่จริงจังเช่นนี้ ทุกคนรู้ดีว่าสถานการณ์ในครั้งนี้ย่อม ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
“ตงเฟิงโฮ่ว มานี่” คามิลล์โบกมือให้ตงเฟิงโฮ่วซึ่งกำลังคิดว่าควรทำอย่างไรดีมาหา “ตอนนี้ข้าสามารถใช้งานเจ้าได้แล้ว” ตงเฟิงโจววิ่งมา ทุกคนเครียด ชายหนุ่มคนนี้พิสูจน์อีกครั้งแล้วว่าเขาโง่จริงๆ
“ไข่นั่นกำลังจะแตก” จู่ๆ หลี่เยว่เหวินก็กระซิบ
“รีบกำจัดศพเหล่านี้ก่อน จากนั้นก็ไปดูว่ามีอะไรอยู่ในไข่” คามิลล์พูดด้วยรอยยิ้มพร้อมลูบคางเนียนสวยของเขา
ตงเฟิงโฮ่ววิ่งตาม คามิลล์ที่กระดก นิ้วเรียก ตงเฟิงโฮ่ว วิ่งไปที่ด้านข้างของคามิลล์อย่างมีความสุขและรอฟังคำสั่ง
“เจ้าต้องอัญเชิญสิ่งมีชีวิตที่สามารถกินซากศพมนุษย์จากที่อื่นมา” คามิลล์สั่ง ทุกคนได้ยินเช่นนั้นก็คิดว่า วิธีนี้ดีจริงๆ ให้สิ่งมีชีวิตพวกนั้นกินศพให้เรียบ และอัญเชิญพวกมัน กลับไปที่อื่น ใครจะไปตรวจสอบเรื่องนี้ได้ล่ะ?