โจวเสาจิ่นพลันกระจ่างขึ้นมาในทันใด เอ่ยถามว่า “ฉะนั้นท่านน้าฉือก็เลยตั้งชื่อให้เจ้าว่า ‘จี๋อิ๋ง’ อย่างนั้นหรือ”
จี๋อิ๋งนิ่งเงียบไม่ตอบอะไร
เช่นนี้ก็ถือได้ว่านางยอมรับแล้ว
โจวเสาจิ่นนึกถึงท่าทางไม่ร่าเริงของนางเมื่อครู่ เดาว่าการที่ตนแนะนำว่านางเป็นญาติห่างๆ ของตระกูลเฉิงคงจะทำให้นางรู้สึกว่าศักดิ์ศรีของตัวเองถูกทำลายลงเป็นแน่ จึงกล่าวว่า “คุณหนูเหล่านั้นล้วนเป็นเพียงคนที่ไม่เกี่ยวข้องต่อกัน เหตุใดเจ้าจะต้องอธิบายให้พวกนางฟังอย่างละเอียดด้วยเล่า หากว่าเจ้าเดินบนถนนแล้วมีคนมาถามชื่อแซ่ของเจ้า เจ้าจะต้องตอบตามความเป็นจริงอย่างนั้นหรือ”
สีหน้าของจี๋อิ๋งผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย
โจวเสาจิ่นรู้สึกโล่งใจขึ้นมา ยิ้มพลางกล่าวว่า “แล้วเจ้ามาได้อย่างไร มาร่วมอวยพรวันเกิดฮูหยินผู้เฒ่ากัวหรือ เหตุใดถึงไม่เห็นพวกแม่นางหนานผิงและแม่นางหมิงเฮ่อเลย”
ตามหลักแล้ว บรรดาบ่าวรับใช้ของจวนหลักจะต้องมากล่าวอวยพรวันเกิดแด่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวด้วยเช่นกัน
“อื้อ!” จี๋อิ๋งตอบ “พวกนางคุยกับสื่อมามาและคนอื่นๆ อยู่ที่ห้องข้าง ข้าคร้านจะรอ ก็เลยมาดูว่าเจ้าอยู่หรือไม่”
โจวเสาจิ่นรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่จี๋อิ๋งจะมาโขกศีรษะให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวด้วย
จี๋อิ๋งกล่าวขึ้นว่า “ข้อพิพาทระหว่างท่านพ่อของข้ากับเฉิงจื่อชวนเป็นเรื่องของพวกเขา อีกทั้งฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ไม่เคยล่วงเกินข้า! นางเป็นผู้อาวุโส ยามเฉลิมฉลองวันเกิดข้าย่อมต้องมาโขกศีรษะให้นางสักครั้งอยู่แล้ว!”
โจวเสาจิ่นพยักหน้ารัวพลางยิ้มตาหยี และรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาก
หากว่าจี๋อิ๋งคิดเช่นนี้ แสดงว่าบิดาของนางกับท่านน้าฉือไม่ได้เป็นศัตรูที่เคียดแค้นกันขั้นจะเป็นจะตายแต่อย่างใด!
นางกล่าวขึ้นว่า “เมื่อครู่ข้าเพิ่งจะกล่าวคำอวยพรวันเกิดแด่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเสร็จ อีกสักครู่ก็คงจะถึงคราวของพวกเจ้าแล้ว”
รอยยิ้มของนางสงบและดูผ่อนคลาย ไม่เหมือนรอยยิ้มสุภาพที่ยิ้มตามมารยาทเช่นเมื่อครู่ตอนที่อยู่ในห้องรับแขกเลยสักนิด
จี๋อิ๋งอดถามไม่ได้ว่า “มีคนรังแกเจ้าหรือ ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าเจ้าดูไม่เบิกบานสักเท่าไร”
โจวเสาจิ่นครุ่นคิดแล้วก็ตอบไปอย่างสงบว่า “ข้าเพียงแค่ไม่คุ้นเคยกับถ้อยวาจาและพฤติกรรมของพวกนางเท่านั้นเอง”
นางเล่าทุกเรื่องที่พวกคุณหนูเหล่านั้นสนทนากันให้จี๋อิ๋งฟัง
จี๋อิ๋งฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ แล้วกล่าวขึ้นว่า “เมื่อครั้งที่ข้าเป็นเด็ก ท่านพ่อเคยเล่านิทานเรื่องหนึ่งให้ข้าฟัง เขาเล่าว่า มีตระกูลหนึ่งมีหญิงหม้ายสองคนอยู่ในตระกูล หญิงหม้ายคนหนึ่งแซ่หลี่ ส่วนหญิงหม้ายอีกคนแซ่หวัง พวกนางล้วนแต่พึ่งพาการเลี้ยงดูอุปถัมภ์จากคนในตระกูล หญิงหม้ายแซ่หลี่เกรงว่าภายหลังยามที่ตนแก่ชราลงจะไม่มีผู้ใดดูแล ดังนั้นหากว่าใครมีเรื่องทุกข์ร้อนอะไรนางก็ยินดีให้ความช่วยเหลืออย่างกระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่ง ทุกคนต่างชื่นชอบนางมาก มักจะแบ่งปันอาหารและของกินต่างๆ ให้กับนางอยู่เสมอ ชื่อเสียงของนางในตระกูลจึงดียิ่งนัก ทว่าหญิงหม้ายแซ่หวังผู้นั้นกลับแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง นอกจากรับการเลี้ยงดูอุปถัมภ์จากคนในตระกูลแล้ว นางยังปลูกผักบริเวณด้านหน้าและด้านหลังเรือนของนาง ทั้งยังเลี้ยงไก่ตัวน้อยเอาไว้ ยามที่นางอยากจะออกไปเที่ยวเล่นก็เข้าไปในเมือง ครั้นอยากจะทำตัวเกียจคร้านก็ไปซื้อซาลาเปาหรือหมั่นโถวสองลูกที่หมู่บ้านข้างๆ มากิน เวลาที่คนในตระกูลมีเรื่องอะไร หากว่าพวกเขาไม่เรียกหานาง นางก็จะไม่ปรากฏตัวออกมา หรือต่อให้ปรากฏตัวออกมา ก็ต้องดูก่อนว่าคนคน นั้นเป็นคนเช่นไร เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ทุกคนต่างกล่าวว่าหญิงหม้ายแซ่หวังผู้นี้เย็นชากับผู้อื่นยิ่งนัก ไม่รู้จักซาบซึ้งในบุญคุณ ทำให้ทุกคนชื่นชอบหญิงหม้ายแซ่หวังผู้นี้ไม่ลง เมื่อเวลาผ่านไป คนในตระกูลถึงกับเริ่มตีตัวออกห่างจากนาง…
…หญิงหม้ายแซ่หลี่ถามหญิงหม้ายแซ่หวังว่า เจ้าไม่สร้างความโปรดปรานจากคนในตระกูลเช่นนี้ ไม่กลัวหรือว่ายามที่ตนเองแก่ชราลงและต้องนอนติดเตียงแล้วจะไม่มีใครมาดูแลหรือ…
…หญิงหม้ายแซ่หวังตอบว่า เจ้าให้ข้าเสียเวลาหลายสิบปีประจบประแจงพวกเขา เพื่อให้พวกเขามาดูแลข้าในช่วงบั้นปลายชีวิตของข้าเพียงไม่กี่ปี ข้าคิดว่ามันไม่คุ้มค่า ข้าไม่เอาด้วยหรอก…
…หญิงหม้ายแซ่หลี่ได้แต่พยักหน้าแล้วเดินจากไป…
…จากนั้นหญิงหม้ายแซ่หลี่ก็ใช้ชีวิตอย่างลำบากตรากตรำทั้งชีวิต จนหลังโก่ง และผมหงอกไปทั้งศีรษะ ก่อนวาระสุดท้ายคนในตระกูลต่างผลัดกันมาดูแลนาง ทุกคนต่างไปเยี่ยมเยียนนาง ไม่กี่วัน นางก็จากไป คนในตระกูลต่างร้องไห้เสียใจยิ่งนัก…
…ส่วนหญิงหม้ายแซ่หวังกลับใช้ชีวิตอย่างอิสรเสรีตลอดทั้งชีวิต ก่อนวาระสุดท้ายมีเพียงคนในตระกูลสองคนที่ได้รับคำสั่งจากผู้นำตระกูลให้ไปดูแลนาง หนำซ้ำไม่มีผู้ใดมาเยี่ยมเยียนนางเลย ไม่กี่วัน นางก็จากไปเช่นเดียวกัน คนในตระกูลต่างลืมนางไปอย่างรวดเร็ว”
จี๋อิ๋งหวนรำลึกแล้วกล่าวว่า “ข้ายังจำได้ดี ตอนนั้นท่านพ่อถามข้าว่า จะเลือกเรียนรู้จากชีวิตของหญิงหม้ายแซ่หวังผู้นั้นที่อยู่อย่างอิสรเสรีตลอดทั้งชีวิตแล้วทนทุกข์เพียงไม่กี่วันในช่วงบั้นปลายของชีวิตหรือว่าจะเรียนรู้จากชีวิตของหญิงหม้ายแซ่หลี่ที่ตรากตรำทั้งชีวิตเพื่อมีความสุขเพียงไม่กี่วันในช่วงบั้นปลายของชีวิต” นางเงยหน้ามองโจวเสาจิ่น “ข้าตอบว่า ข้ายอมเป็นเหมือนหญิงหม้ายแซ่หวังยังจะดีเสียกว่า ยอมทนทุกข์เพียงไม่กี่วันในช่วงบั้นปลายชีวิตแต่มีความสุขตลอดทั้งชีวิต คุณหนูรอง หากว่าเจ้าต้องเลือก เจ้าจะเลือกเส้นทางใดหรือ”
โจวเสาจิ่นตกตะลึงเป็นอย่างมาก
ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครกล่าวเช่นนี้กับนางมาก่อน
ในคำสอนต่างๆ ที่นางเคยได้รับมา ล้วนเป็นการสอนนางว่าจะปฏิบัติตัวอย่างไรให้เป็นคนมีมารยาทสุภาพเรียบร้อย จะทำอย่างไรเพื่อเอาชนะใจผู้อื่นและได้รับความโปรดปรานจากผู้อื่น เรื่องที่ว่าใช้ชีวิตของตนเองให้มีความสุขและปล่อยให้ผู้อื่นพูดไปนั้น…นางไม่เคยคิดมาก่อนเลย
โจวเสาจิ่นมองจี๋อิ๋ง และกล่าวอะไรไม่ออกอยู่พักใหญ่
ทว่าจี๋อิ๋งกลับยิ้มพลางกล่าว “คุณหนูรอง ข้าอยากจะบอกเจ้าว่า เรื่องบางอย่าง ต่อให้เจ้าจะบังคับฝืนใจตนเอง ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้อื่นจะให้ความสำคัญกับความรู้สึกของเจ้า หรือจะซาบซึ้งในความอดทนของเจ้า”
โจวเสาจิ่นครุ่นคิดตาม
กาทองแดงที่ตั้งอยู่บนเตาไฟส่งเสียงดังฟู่ๆ
มีป้าแม่บ้านวิ่งเข้ามาอย่างเร่งรีบ
“ไอ้โหยว! คุณหนูรอง” นางลูบหน้าผาก พลางกล่าวว่า “เด็กรับใช้คนหนึ่งทำน้ำร้อนที่เพิ่งจะยกไปให้แม่นางปี้อวี้ทางด้านนั้นหกเจ้าค่ะ ข้าจึงต้องมาเอากาน้ำร้อนใหม่ไปให้ แต่กลัวว่าน้ำจะเดือดและล้นออกมารดเตาไฟจนเตาดับ…โชคดีที่ท่านอยู่ที่นี่…”
จี๋อิ๋งดันตัวโจวเสาจิ่น และกล่าวยิ้มๆ ว่า “ไปกันเถอะ! ประเดี๋ยวงานก็จะเริ่มแล้ว”
โจวเสาจิ่นเดินกลับไปที่ห้องโถงกับจี๋อิ๋งอย่างใจลอยเล็กน้อย
รอจนกระทั่งหลังจากที่จี๋อิ๋งและคนอื่นๆ อวยพรวันเกิดแด่ฮูหยินผู้เฒ่ากัว และมอบของขวัญวันเกิด พร้อมกับที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวตกรางวัลให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว บรรดาสาวใช้และป้าแม่บ้านก็ยกโต๊ะเข้ามา ทุกคนนั่งเรียงตามลำดับความอาวุโส ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวคำขอบคุณสองสามประโยค จากนั้นก็ยกจอกสุราขึ้นมา
งานเลี้ยงฉลองวันเกิดจึงเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
ทางด้านของบรรดาฮูหยินและสะใภ้นั้นมีฮูหยินหยวนคอยรินเหล้าให้ตามแต่ละโต๊ะ น้ำเสียงกระตือรือร้น ครึกครื้นยิ่งนัก ส่วนบรรดาคุณหนูทั้งหลายทางด้านนี้กลับสำรวมกิริยาของตน ทุกคนต่างนั่งตัวตรงอย่างเหมาะสม และรับประทานอาหารอย่างเรียบร้อย
โจวเสาจิ่นคิดถึงนิทานที่จี๋อิ๋งเล่าให้นางฟังเรื่องนั้น ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่ามีเหตุผล ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าบิดาของจี๋อิ๋งไม่ใช่คนธรรมดาสามัญทั่วไป
หากว่ามีโอกาส ต้องซักถามเกี่ยวกับตระกูลของจี๋อิ๋งสักหน่อยถึงจะถูก
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทุกคนต่างตามฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปชมงิ้ว
โจวเสาจิ่นถึงได้ค้นพบว่าแท้จริงแล้วไม่ไกลจากห้องโถงหลักมีเวทีงิ้วอยู่เวทีหนึ่ง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเลือกชมงิ้วองก์ที่ชื่อว่า ‘ลิ่วหลางตามหามารดา’ นักแสดงนำคือเกาฮุ่ยจูจากคณะฉางเกา
เสียงของเขาใสกังวานราวกับขวดเงินที่แตกกระจาย ท่วงท่างามสง่า ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่า ฮูหยิน สะใภ้และคุณหนูทั้งกลุ่มต่างส่งเสียงชื่นชมเขาอยู่เป็นพักๆ
ทว่าโจวเสาจิ่นกลับไม่ชอบเพราะเสียงดังเกินไป
นางฉวยโอกาสตอนที่เฉิงเจีย กูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้และคนอื่นๆ ไม่ทันสังเกตลอบปลีกตัวออกไปที่บริเวณนอกสุดของเวทีงิ้ว แล้วมองดูเรือนหานปี้ซานที่เขียวชอุ่มอย่างเต็มตา พลางถอนหายใจยาวออกมาครั้งหนึ่ง
มีคนกำลังสนทนาอยู่ที่ด้านหลังนาง
นางได้ยินฝ่ายตรงข้ามเอ่ยคำว่า ‘นายท่านสี่’ บ้าง ‘คุณชายใหญ่’ บ้าง
โจวเสาจิ่นจึงเงี่ยหูฟังอย่างอดไม่ได้
ทว่าเสียงฆ้องเสียงกลองจากเวทีงิ้วกลับดังกลบเสียงของอีกฝ่าย
โจวเสาจิ่นหมุนกายกลับไป เห็นว่าผู้ที่กำลังสนทนากันอยู่นั้นเป็นเด็กสาวสองคนที่นั่งถัดจากนางในงานเลี้ยงฉลองวันเกิดเมื่อครู่ แต่ชื่อแซ่อะไรบ้างนั้นกลับลืมไปเสียแล้ว
นางลอบขยับเข้าไปใกล้ๆ อย่างไร้สุ้มเสียง แล้วได้ยินคนหนึ่งกล่าวกับอีกคนหนึ่งว่า “…ข้าคิดว่านายท่านสี่ดีกว่า การสอบจิ้นซื่อในฤดูใบไม้ผลิก็สอบผ่านจนได้รับยศมาแล้ว ใครจะรู้ว่าในอนาคตจะก้าวหน้าอย่างไรอีกบ้าง ไม่เช่นนั้นน้องสาวของใต้เท้าหลิวจะคอยประจบเอาใจปรนนิบัติฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปเพื่ออะไร!”
ทว่าอีกคนกลับเชิดหน้าขึ้น พลางกล่าวว่า “หากเป็นข้า ข้ายอมร่วมทุกข์ร่วมสุขไปกับการสอบของคุณชายใหญ่สวี่ยังจะดีเสียกว่าต้องผ่านวันเวลาในเรือนที่เยียบเย็นไปอย่างเงียบเหงา เมื่อครู่ตอนที่นายท่านสี่ชายตามองมา ข้าตัวสั่นเทิ้มไปหมด ข้ามักจะรู้สึกว่าการที่เขายังไม่แต่งงานทั้งๆ ที่อายุก็มากขนาดนี้แล้ว จะต้องเป็นเพราะมีปัญหาอะไรสักอย่างเป็นแน่ ไม่เช่นนั้นเหตุใดฮูหยินผู้เฒ่ากัวถึงต้องวางแผนการเช่นนี้ด้วยเล่า”
โจวเสาจิ่นประหลาดใจเป็นอย่างมาก
ไม่คิดว่าในสายตาของผู้อื่นท่านน้าฉือจะมีภาพลักษณ์เช่นนี้!
นางยังอยากจะฟังเด็กสาวสองคนนั้นพูดคุยกันต่ออีก ทว่าทางด้านเวทีงิ้วกลับมีเสียงโห่ร้องชื่นชมดังสนั่นขึ้น นั่นหมายความว่างิ้วตอน ‘ลิ่วหลางตามหามารดา’ แสดงจบลงแล้ว
โจวเสาจิ่นโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง แล้วกลับไปนั่งอยู่ที่ระเบียงข้างๆ ทว่าหางตากลับเหลือบไปเห็นคุณหนูหลิวนั่งอยู่ข้างๆ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างสงบเสงี่ยม
สายตาของฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับนายหญิงผู้เฒ่าอีกสองสามคนล้วนไม่ค่อยดีนัก นางกำลังถือแผ่นรายการงิ้ว และอ่านชื่อแต่ละองก์อยู่ที่นั่น
คุณหนูสองท่านของตระกูลกัวก็นั่งอยู่อีกข้างหนึ่งของฮูหยินผู้เฒ่ากัว คนหนึ่งอายุราวสิบแปดถึงสิบเก้าปี ส่วนอีกคนหนึ่งอายุราวสิบหกถึงสิบเจ็ดปี ทั้งสองต่างงดงามเฉิดฉายยิ่งนัก
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวดูเหมือนจะตัดสินใจเลือกไม่ได้สักที จึงหันหน้าไปคุยกับคุณหนูสองท่านของตระกูลกัวสองสามประโยค คุณหนูที่อายุน้อยกว่าผู้นั้นนิ่งเงียบไม่กล่าวสิ่งใด ส่วนคุณหนูที่อายุมากกว่าผู้นั้นยิ้มพลางตอบฮูหยินผู้เฒ่ากัวด้วยสีหน้าอ่อนน้อมยิ่งนัก จากนั้นฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ยื่นแผ่นรายการงิ้วไปให้นายหญิงผู้เฒ่าของตระกูลกัวที่นั่งอยู่ข้างๆ
นายหญิงผู้เฒ่าของตระกูลกัวกล่าวตอบสองสามประโยค จากนั้นก็ยื่นแผ่นรายการงิ้วไปให้นายหญิงผู้เฒ่าถังของจวนรอง…
คุณหนูที่สิบเก้าของตระกูลหลิวที่นั่งอยู่ข้างๆ โจวเสาจิ่นอดรนทนไม่ได้ขึ้นมาเล็กน้อย กระซิบพึมพำว่า “นี่ยังล่าช้าไม่พออีกหรือ เหตุใดถึงไม่เลือกงิ้วที่จะแสดงให้เรียบร้อยเอาไว้ล่วงหน้า”
โจวเสาจิ่นยิ้มน้อยๆ
มีป้าแม่บ้านเดินเข้ามา รายงานว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าคะ นายท่านสี่มาเจ้าค่ะ”
ทุกคนต่างตกตะลึง
แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับนิ่งสงบราวกับน้ำที่ไร้คลื่นกระเพื่อม เอ่ยขึ้นว่า “ทุกคนต่างก็ไม่ใช่คนนอกที่ไหน แม้ว่าเขายังหนุ่ม แต่ก็นับว่าเป็นรุ่นผู้อาวุโส ให้เขาเข้ามาเถิด!”
คุณหนูหลายท่านที่เตรียมจะเลี่ยงออกไป จึงได้แต่นั่งลงใหม่ด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อ
ไม่นานนัก เฉิงฉือก็เดินเข้ามา
สีหน้าของเขาผ่อนคลายและไร้กังวล ภายใต้สายตาที่จับจ้องมาของทุกคน แต่เขากลับทำความเคารพฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้อย่างสุขุมและใจเย็น
โจวเสาจิ่นรู้สึกชื่นชมเป็นอย่างมาก
หากว่าเป็นตนเอง เกรงว่าขาทั้งสองข้างคงจะสั่นระริกไปนานแล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเรียกเฉิงฉือมาพูดคุยอยู่ข้างๆ
เนื่องจากนั่งอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย เสียงของทั้งสองคนจึงไม่ดังมากนัก โจวเสาจิ่นได้ยินไม่ชัดว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวคุยอะไรกับเฉิงฉือบ้าง เห็นเพียงคุณหนูตระกูลกัวผู้สง่างามต่างแสดงสีหน้าเขินอายออกมาหลายส่วน แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผู้ที่อยู่ข้างๆ อยากจะฟังให้ชัดว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวคุยอะไรกับเฉิงฉือ หรือเพราะอยากจะดูเรื่องน่าตื่นเต้น บ้างก็ลอบมองข้างกายฮูหยินผู้เฒ่ากัว บ้างก็เบียดเสียดไปทางฮูหยินผู้เฒ่ากัว
โจวเสาจิ่นเกือบจะถูกคนเดินชนเข้าให้เสียแล้ว
นางรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย จึงออกไปจากระเบียงเสีย
เฉิงเจียยังกระซิบกับกูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้อยู่ที่นั่นว่า “…ชิชะ ท่านอาฉือกลายเป็นเนื้อของพระถังซัมจั๋งไปเสียแล้ว”
โจวเสาจิ่นอดหัวเราะ ‘คิก’ ขึ้นมาไม่ได้ พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นจี๋อิ๋ง
“เจ้ามาได้อย่างไร” นางรีบสาวเท้าเดินไปหา
หลังจากที่สาวใช้ของเรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ยกล่าวอวยพรวันเกิดแด่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเสร็จก็กลับไปกันหมดแล้ว โชคดีที่ตอนนี้พวกโจวเสาจิ่นอยู่ในห้องรับแขก หากว่าถูกคุณหนูที่สิบเก้าของตระกูลหลิวเห็นเข้าล่ะก็ เกรงว่าคงจะมีเรื่องซุบซิบนินทาลือออกไปเป็นแน่
จี๋อิ๋งตอบว่า “ข้าตามท่านน้าฉือของเจ้ามา”
โจวเสาจิ่นเอ่ยถามว่า “เช่นนั้นทำไมเจ้าถึงมายืนอยู่ที่นี่เล่า”
จี๋อิ๋งยิ้มเยาะพลางกล่าว “ข้าเป็นเพียงสาวใช้ของท่านน้าฉือของเจ้า ซ้ำยังไม่ใช่องครักษ์ของเขา ฮูหยินผู้เฒ่ากัวต้องการให้เขามาชมงิ้วด้วย เขาคิดจะใช้ข้าเป็นโล่กำบังต้านลูกศรให้เขา! หากว่าข้าปกป้องเขาตอนนี้ ครั้นฮูหยินผู้เฒ่ากัวอยากจะเก็บกวาดข้าขึ้นมา ใครจะมาปกป้องข้ากันเล่า! ข้าไม่ทำเรื่องโง่ๆ เช่นนั้นหรอก!” แล้วกล่าวอีกว่า “ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่”
โจวเสาจิ่นตอบว่า “ก่อนหน้านี้ข้านอนไม่ค่อยหลับ เสียงเซ็งแซ่อื้ออึงของฆ้องและกลองนี้ ส่งเสียงหนวกหูจนรู้สึกปวดศีรษะเล็กน้อย”
จี๋อิ๋งกล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นพวกเราไปนั่งที่ห้องน้ำชาสักครู่ก็แล้วกัน ครั้งนี้เฉิงจื่อชวนไม่รีบกลับขนาดนั้นแล้ว”
………………………………………………………………….