โจวเสาจิ่นคิดไม่ออกว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวมีเรื่องอะไรต้องการจะพูดคุยกับตน
นางไปเรือนหานปี้ซานด้วยจิตใจที่ไม่ค่อยสงบนัก
ที่เรือนหานปี้ซานกำลังทำความสะอาดกันอยู่ ไม่ว่าจะเป็นบนทางเดิน ใต้โถงทางเดิน บริเวณด้านหน้าของหน้าต่างล้วนมีสาวใช้และป้ารับใช้ถือผ้ากำลังเช็ดถูกันอยู่ รูปร่างหน้าตาไม่คุ้นหน้ายิ่งนัก
ปี้อวี้บอกนางยิ้มๆ ว่า “เป็นคนจากเรือนอวิ้นเจิน มาช่วยทำความสะอาดเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นขานรับว่า “อ่า” เสียงหนึ่ง
ปี้อวี้เดินนำนางไปยังห้องว่างที่อยู่ทางด้านหลังของเรือนหลัก
ที่นั่นเงียบเชียบ ไม่ค่อยมีคนสักเท่าไร ฮูหยินผู้เฒ่ากัวนั่งอยู่บนตั่งหลัวฮั่น กำลังเอนตัวคุยอะไรบางอย่างอยู่กับสื่อมามาที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเล็ก
พอเห็นโจวเสาจิ่นเดินเข้ามา ฮูหยินผู้เฒ่าก็หันมากวักมือเรียกนางด้วยใบหน้าโอบอ้อมอารี
โจวเสาจิ่นก้าวออกไปยอบตัวทำความเคารพฮูหยินผู้เฒ่า ปี้อวี้ยกเก้าอี้บุผ้าสักหลาดตัวหนึ่งมาวางลงตรงข้ามกับสื่อมามา
“ได้ยินมาว่าที่บ้านเจ้าเกิดเรื่องขึ้น” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวทำท่าทางบอกให้โจวเสาจิ่นนั่งลงเพื่อสนทนากัน จากนั้นถามขึ้นว่า “บิดาของเจ้าไม่อยู่จินหลิง เรื่องที่ต้องข้องเกี่ยวกับทางการ ต้องการให้ลุงใหญ่จิงของเจ้าช่วยออกหน้าไปสอบถามดูหรือไม่”
โจวเสาจิ่นประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวขึ้นชื่อเรื่องที่ว่าไม่ชอบยุ่งเรื่องของผู้อื่น กลับปฏิบัติกับนางเช่นนี้ ทำให้นางคิดไม่ถึงจริงๆ
นางรีบกล่าวขอบคุณฮูหยินผู้เฒ่ากัว “…ท่านลุงใหญ่เหมี่ยนได้ไปที่ศาลาว่าการเมืองมาแล้ว บ่าวหญิงทั้งสองคนก็ได้รับการจองจำเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”
หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ไม่ต้องการความช่วยเหลือของฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวย่นคิ้วขึ้น มองสื่อมามาครั้งหนึ่ง จากนั้นก็กล่าวยิ้มๆ ว่า “ช่างเป็นเด็กสาวที่ซื่อจริงๆ”
นี่เป็นคำชมหรือคำหลอกด่ากันนะ?
โจวเสาจิ่นไม่ค่อยแน่ใจนัก
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหยิบถุงใส่เงินสีแดงใบใหญ่ปักลายเมฆมงคลใบหนึ่งออกมาจากกล่องสีดำสลักลายเส้นสีทองที่อยู่ข้างกายแล้วยื่นให้นาง “รับเอาไว้ ให้เจ้าเอาไว้ใช้ในช่วงเทศกาลปีใหม่”
โจวเสาจิ่นตะลึงงัน
นี่ยังไม่ถึงเทศกาลปีใหม่เลยนี่นา!
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงหัวเราะขึ้นมา กล่าวขึ้นว่า “ส่วนของปีใหม่ก็ส่วนของปีใหม่ นี่ให้เจ้าเอาไว้ไปซื้อขนมขบเคี้ยว”
ผู้ใหญ่ให้ของ นางจึงไม่กล้าปฏิเสธ
โจวเสาจิ่นกล่าวขอบคุณไม่หยุด ตอนที่รับถุงเงินมาเกือบจะทำหลุดมือเนื่องด้วยความหนักของถุงเงินนั้น
กระทั่งพอเปิดออกมาดูยามกลับถึงเรือนหว่านเซียง ก็พบว่าในถุงเงินเต็มไปด้วยก้อนทองเม็ดถั่ว
โจวเสาจิ่นรู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้อยู่เล็กน้อย
เหตุใดฮูหยินผู้เฒ่ากัวถึงไม่ให้รางวัลนางเป็นเงินสักยี่สิบเหลี่ยงเหมือนท่านยายนะ?
หากเป็นเงินเวลาจะใช้ก็ไม่ต้องกังวลอะไร แต่ก้อนทองเม็ดถั่วพวกนี้จะให้นางนำไปใช้อย่างไรดีเล่า
หลังจากที่ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนทราบเรื่องแล้วก็จิ้มหน้าผากของโจวเสาจิ่นพลางกล่าว “เจ้านี่น้า ช่างเป็นอย่างที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวเอาไว้ยิ่งนัก เป็นเด็กสาวที่ซื่อเสียจริงๆ ชื่อเสียงของท่านลุงใหญ่เหมี่ยนของเจ้าจะเทียบได้กับชื่อเสียงของท่านลุงใหญ่จิงของเจ้าได้อย่างไร น้ำใจของฮูหยินผู้เฒ่ากัว เจ้ารับป้ายชื่อชิ้นนั้นเอาไว้ในมือก่อนก็ได้ ต่อให้ครั้งนี้ไม่ได้ใช้ ภายหน้ามีเรื่องอะไรก็ยังใช้ได้!”
“ป้ายชื่อนั้นนำไปใช้เช่นนั้นได้ด้วยหรือเจ้าคะ” โจวเสาจิ่นประหลาดใจอย่างยิ่ง
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนหัวเราะพลางกล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่ากวนว่า “ท่านฟังสิเจ้าคะๆ ว่ากล่าวอะไรออกมา เหตุใดถึงเลี้ยงนางให้เติบโตมาโดยไม่รู้เรื่องอะไรเลยเช่นนี้ไปได้!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนหัวเราะร่า สวมกอดโจวเสาจิ่นเอาไว้พลางกล่าวขึ้นว่า “อย่าไปฟังป้าของเจ้า เจ้าทำถูกต้องแล้ว ถึงแม้พวกเราจะเป็นสตรี แต่จะทำอะไรก็ต้องเปิดเผยและจริงใจ ไม่ว่าจะต้องแหงนหน้าขึ้นฟ้าหรือก้มลงมองพื้นดิน ก็จะได้ไม่ต้องรู้สึกละอายใจกับคำพูดหรือการกระทำของตัวเอง”
โจวเสาจิ่นพยักหน้าหงึกๆ
นางเองก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน
อะไรที่เป็นของข้าข้าก็จะไม่ปล่อยมือยอมแพ้ แต่อะไรที่ไม่ใช่ของข้าข้าก็ไม่คิดจะไปอยากได้มา เช่นนี้เวลานอนหลับก็หลับได้อย่างสงบสุข
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนได้ยินแล้วก็ประท้วงไม่ยินยอม กล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าพูดไปเพียงหนึ่งประโยค ท่านกลับตอบกลับข้ามาสิบประโยค นี่หากว่าข้าตำหนิเสาจิ่นต่อหน้าท่านไปสักครั้งหนึ่ง ไม่ใช่ว่าท่านจะสั่งลงโทษให้ข้าไปนั่งคุกเข่าสำนึกผิดที่ห้องบรรพชนแล้วหรือ ท่านช่างลำเอียงเกินไปแล้ว”
ผู้คนในห้องต่างก็หัวเราะขึ้นมา
โจวเสาจิ่นเองก็คล้องแขนของโจวชูจิ่นเอาไว้แล้วหัวเราะด้วยเช่นเดียวกัน
นัยน์ตาของนางมีน้ำตาเล็ดออกมาเล็กน้อย
นางชอบท่านยายและท่านป้าใหญ่ที่เป็นเช่นนี้
ทุกคนเหมือนกับเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน พูดคุยกันได้อย่างสบายๆ ไม่ต้องระแวดระวัง หัวเราะได้อย่างเบิกบานและอิ่มเอมใจ
เฉิงเหมี่ยนกับฮูหยินผู้เฒ่ากวนปรึกษากันถึงเรื่องของวันปีใหม่ขึ้นมา “…ตั้งแต่วันปีใหม่เล็กในวันที่ยี่สิบสี่เดือนสิบสองถึงวันที่สี่เดือนหนึ่งล้วนกระทำกันเช่นเดิม จากนั้นวันที่ห้าเกรงว่าเหอซื่อจะต้องพาคุณชายใหญ่กับคุณชายรองกลับผูโข่วสักครั้งหนึ่ง เห็นว่าปีนี้สะใภ้ใหญ่ของตระกูลเหอจวนสามพาหลานชายสองสามคนมาฉลองปีใหม่ที่ผูโข่วด้วย หลังจากที่ฉลองเทศกาลโคมไฟ[1]แล้วก็จะเดินทางกลับจิงเฉิงเลยขอรับ”
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนเป็นหญิงสาวจากตระกูลเหอที่ผูโข่ว เมื่อนานมาแล้วก็เป็นตระกูลที่รุ่งโรจน์ แต่ช่วงหลายปีมานี้นอกจากเหอเหมี่ยนจือผู้ดำรงตำแหน่งขุนนางฝ่ายซ้ายของสำนักสารบรรณกลางจากจวนสามแล้ว ก็ไม่มีบุคคลผู้มีความสามารถยอดเยี่ยมปรากฏขึ้นมาอีก ไม่ได้เจริญรุ่งเรืองเท่ากับเวลาในตอนนั้นอีก ส่วน ‘สะใภ้ใหญ่ของจวนสาม’ ที่เฉิงเหมี่ยนกล่าวถึงก็คือภรรยาของเหอเหมี่ยนจือนั่นเอง
ก่อนที่โจวเสาจิ่นจะย้อนเวลากลับมานั้น เหอเหมี่ยนจือได้เป็นถึงขุนผู้บัญชาการศาลต้าหลี่ ข่าวคราวเรื่องที่ตระกูลเฉิงจะถูกตรวจสอบ ก็เป็นเขาที่เป็นคนบอกพี่เขยให้ทราบ
นอกจากนี้นางยังรู้อีกว่า ที่ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนพาเฉิงเก้ากับเฉิงอี้ไปด้วยในครั้งนี้ ก็เพื่อไปสู่ขอเหอเฟิงผิงผู้เป็นบุตรสาวคนโตของเหอเหมี่ยนจือให้เฉิงเก้า
ชาติก่อน กว่านางจะทราบเรื่องนี้ก็เป็นตอนที่เฉิงเก้ากับเหอเฟิงผิงหมั้นหมายกันเรียบร้อยแล้ว
แต่ชาตินี้…นางมองไปที่เฉิงเก้าพลางกลั้นยิ้ม
เฉิงเก้างุนงง
เฉิงอี้กลับดึงแขนเสื้อของนาง กระซิบเสียงเบาว่า “น้องสาวรอง คนที่มาเป็นแขกที่เรือนของเจ้าในวันนั้นเป็นผู้ใดหรือ หน้าตางดงามยิ่งนัก! ใช่คุณหนูสิบเจ็ดของตระกูลกู้หรือไม่ ข้าได้ยินพี่สาวเจียกล่าวว่า พวกเจ้าเคยไปลอยโคมไฟลอยน้ำด้วยกันเมื่อคราวเทศกาลวันสารทจีน”
เขายังเฝ้าคิดถึงจี๋อิ๋งอยู่
โจวเสาจิ่นกล่าวขึ้นอย่างรู้สึกยินดีปรีดาในความโชคร้ายของผู้อื่นเล็กน้อยว่า “นางเป็นสาวใช้ใหญ่ของท่านน้าฉือ มีนามว่าจี๋อิ๋ง”
“เป็นไปไม่ได้!” เฉิงอี้กระโดดตัวโหยงขึ้นมา
เสียงดังจนแทบจะทำให้คนหูหนวก
เฉิงเหมี่ยนที่กำลังสนทนาอยู่กับฮูหยินผู้เฒ่ากวนและคนอื่นๆ ต่างหันมามอง เฉิงเหมี่ยนกล่าวขึ้นอย่างเคร่งขรึมว่า “เจ้าอายุเท่าไรแล้ว ยังควบคุมอารมณ์เช่นนี้ไม่ได้อีก! ไปคัดปกิณกคดีของข่งจื่อตอน ‘การเรียนรู้’ มาให้ข้าหนึ่งร้อยจบ”
เฉิงอี้ขานรับเสียงเบาว่า “ขอรับ” คำแก้ตัวสักประโยคก็ไม่มี ก้มหน้าลงอย่างเหงาหงอย ยืนเหม่อลอยอยู่ตรงนั้นเพียงผู้เดียว จนถึงตอนทุกคนจะแยกย้ายกันแล้ว เขาถึงได้เดินตามเฉิงเก้าออกจากเรือนเจียซู่ไปอย่างเงียบๆ
เป็นเพราะตนพูดแรงเกินไปอย่างนั้นหรือ
แต่ตนก็ไม่ได้พูดอะไรเลยนี่นา!
โจวเสาจิ่นกลับเรือนหว่านเซียงไปอย่างเป็นกังวล
ปรากฏว่าเช้าตรู่ในวันรุ่งขึ้น นางยังไม่ทันได้ลุกขึ้นมาจากเตียง เฉิงอี้ก็มาถึงแล้ว
เขาสวมชุดเผาจื่อสีม่วงอมแดงปักลายเมฆมงคลทรงกลมด้วยผ้าไหมเงาสีน้ำเงินตัวหนึ่ง ใบหน้าเปล่งปลั่งดูสุขภาพดี ยืนอกผายไหล่ผึ่งอยู่ในห้องโถงของนางพลางกล่าวกับนางว่า “น้องสาวรอง ข้าตัดสินใจแล้ว ต่อให้จี๋อิ๋งจะเป็นสาวใช้ใหญ่อยู่ในเรือนของท่านอาฉือแล้วอย่างไร ก็ไม่ใช่ว่าที่ผ่านมาจะไม่เคยมีคนรุ่นก่อนที่ยกสาวใช้ข้างกายของตนให้ไปเป็นภรรยาของคนรุ่นหลังเสียหน่อย” เขากลัวว่าโจวเสาจิ่นจะไม่เชื่อ จึงดึงเอาบันทึกประวัติของวงศ์ตระกูลฉบับคัดสำเนาที่ไม่รู้ว่าไปเอามาจากที่ใดออกมาเล่มหนึ่ง ชี้ไปที่หน้าหนึ่งในหนังสือพลางกล่าวขึ้นว่า “เจ้าดู มารดาแท้ๆ ของบุตรชายคนโตที่เกิดจากอนุในรุ่นเทียดของเทียด ก็เป็นของกำนัลที่ได้รับมาจากอาผู้เป็นหลานชายของน้องชายของทวด เช่นนั้นข้าก็ไปขอท่านอาฉือให้ยกจี๋อิ๋งให้ข้าได้”
เป็นอีกคนที่คิดว่าจี๋อิ๋งเป็นสาวใช้อุ่นเตียงของท่านน้าฉือ
โจวเสาจิ่นมองเฉิงอี้ด้วยความเห็นใจ
นางคิดว่าหากเฉิงอี้ไปพูดกับท่านน้าฉือเช่นนี้ ต่อให้ท่านน้าฉือไม่ว่าอะไร แต่จี๋อิ๋งก็คงจะจัดการเขาอย่างโหดเ**้ยมเป็นแน่
ก็เหมือนกับที่จี๋อิ๋งรู้จักเรื่อง ‘การจุดไฟเผา’ นั่นประไร
นางถามเฉิงอี้ “ท่านกะว่าจะไปเมื่อไรหรือ”
“อีกประเดี๋ยวข้าก็จะไปแล้ว” เฉิงอี้ถอยออกไปสองสามก้าว ชี้ที่เสื้อผ้าบนร่างกายของตนแล้วถามขึ้นว่า “เป็นอย่างไรบ้าง ข้าพอจะดูได้หรือไม่”
“เช่นนั้นท่านก็อยู่รับประทานมื้อเช้ากับข้าที่นี่ก่อนเถิดเจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นกล่าว “ท่านไปในเวลานี้ ไม่แน่ว่าจี๋อิ๋งอาจจะยังไม่ตื่นก็เป็นได้!”
“เป็นไปไม่ได้กระมัง” เฉิงอี้ถามขึ้นอย่างเคลือบแคลงสงสัย “ไม่ใช่ว่านางเป็นสาวใช้ใหญ่อยู่ในเรือนของท่านอาฉือหรอกหรือ”
“เป็นสาวใช้ใหญ่แล้วไม่ต้องอยู่เวรหรืออย่างไร” โจวเสาจิ่นถามเขาอย่างไม่อดทน
“จริงด้วย!” เฉิงอี้กลัวว่าเสื้อผ้าจะเกิดรอยยับย่น จึงนั่งลงบนเก้าอี้มีเท้าแขนที่อยู่ข้างๆ อย่างระมัดระวัง แล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้าให้สาวใช้นำโจ๊กข้าวขาวมาให้ข้าสักถ้วยก็พอ…ไม่สิ ให้นำเสี่ยวหลงเปามาด้วยอีกสักสองสามลูก เผื่อว่าอีกประเดี๋ยวข้าจะต้องไปเข้าห้องทางการ[2]”
พอโจวเสาจิ่นออกมาจากห้องแล้ว ก็กระซิบสั่งการซือเซียงให้รีบไปเรียกฮูหยินใหญ่เหมี่ยนมา จากนั้นให้สาวใช้นำอาหารเช้าไปขึ้นโต๊ะ นางถึงได้กลับไปที่ห้องโถง กล่าวกับเฉิงอี้อย่างไม่ให้สุ้มให้เสียงว่า “ท่านนั่งรอสักครู่หนึ่งก่อน ข้าเพิ่งจะหวีผมไปได้แค่ครึ่งหัวอยู่เลยเจ้าค่ะ!”
“ได้ๆๆ” เฉิงอี้กล่าวด้วยใบหน้ายินดีปรีดา “เจ้ารีบไปแต่งตัวเถิด ข้าอยู่คนเดียวได้”
โจวเสาจิ่นขาน อื้ม เสียงหนึ่งแล้วกลับเข้าไปยังห้องชั้นใน จากนั้นก็คอยเงี่ยหูฟังเสียงเคลื่อนไหวจากด้านนอก
ไม่นานฮูหยินใหญ่เหมี่ยนก็มาถึงอย่างรีบเร่ง ดึงหูของเฉิงอี้เอาไว้แล้วลากเขาออกจากห้องข้างของโจวเสาจิ่นไป
เฉิงอี้ร้อง “ไอโหยว” เสียงดังลั่น กล่าวคาดโทษโจวเสาจิ่นเสียงดังว่า “ในเมื่อเจ้าขายข้า เช่นนั้นต่อจากนี้ไปพวกเราสองคนถือว่าตัดขาดกัน ไม่ต้องติดต่อกันอีกตลอดชีวิต…”
“เจ้าพูดอะไร” ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนกล่าวขึ้นอย่างดุดันว่า “เจ้าจะตัดขาด จะไม่ติดต่อกับผู้ใดอีกตลอดชีวิตหรือ เจ้าก็ลองดู ว่าข้าจะไม่บอกบิดาของเจ้าให้เขาตัดขาของเจ้าเสีย…”
เฉิงอี้กับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนโต้เถียงกันไปจนออกจากเรือนหว่านเซียง
เมื่อเฉิงฉือได้ยินกลับหัวเราะเสียงดังลั่นขึ้นมา ถามขึ้นว่า “เฉิงอี้พูดจริงๆ หรือว่ามารดาแท้ๆ ของบุตรชายคนโตที่เกิดจากอนุในรุ่นเทียดของเทียดก็เป็นของกำนัลที่ได้รับมาจากอาผู้เป็นหลานชายของน้องชายของทวด”
***
ไหวซานตกใจกลัวจนตัวสั่น
ช่วงนี้นายท่านสี่อารมณ์ฉุนเฉียวง่ายยิ่งนัก เขาคงไม่อารมณ์เสียแล้วยกจี๋อิ๋งให้เฉิงอี้ไปจริงๆ หรอกกระมัง
เขาเม้มริมฝีปากอย่างอดไม่ได้ กล่าวขึ้นอย่างรอบคอบว่า “คำพูดที่บอกต่อๆ กันมา ก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จขอรับ”
เฉิงฉือชำเลืองมองเขาครั้งหนึ่งโดยไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ
ไหวซานเหงื่อตกไม่ขาดสาย
เฉิงฉือถามขึ้นว่า “สาวใช้สองคนนั้นทำร้ายจวงซื่อจนเสียชีวิตจริงๆ หรือ”
“จริงขอรับ” ไหวซานเห็นเขาเปลี่ยนหัวข้อสนทนาแล้ว ร่างกายจึงผ่อนคลายลง กล่าวว่า “หม่าฟู่ซานผู้เป็นพ่อบ้านของตระกูลโจวติดสินบนผู้คุมคุก ผู้คุมผู้นั้นจึงจัดให้ป้าที่เข้ามาด้วยคดีทารุณบุตรสะใภ้จนเสียชีวิตผู้หนึ่งไปอยู่กับสาวใช้ทั้งสองคน พอป้าผู้นั้นว่าเห็นว่าบ่าวหญิงทั้งสองนั้น คนหนึ่งก็ถูกตัดเอ็ดร้อยหวายไปแล้วครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกคนหนึ่งก็ผอมติดกระดูกราวกับต้นไผ่ที่ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ไม่ช้าก็เริ่มข่มเหงรังแกสาวใช้สองคนนั้น…เห็นว่า นี่เป็นสิ่งที่ป้าผู้นั้นสอบถามออกมาได้หลังจากที่สาวใช้ทั้งสองคนนั้นถูกข่มเหงจนหวาดกลัวขอรับ”
เฉิงฉือฟังแล้วก็ใช้ปลายนิ้วเคาะโต๊ะเบาๆ พลางกล่าวขึ้นว่า “นับตั้งแต่กลับบ้านเดิมช่วงเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่างเป็นต้นมา พวกนางสองพี่นางก็ออกไปข้างนอกอยู่เนืองๆ สุดท้ายถึงกับสืบหาจนพบสาเหตุการตายที่แท้จริงของมารดาผู้ให้กำเนิด ยังส่งคนไปลวงเอาตัวบ่าวหญิงผู้นั้นกลับมาได้…” เขาถามไหวซานว่า “เจ้าคิดว่า นี่เป็นเรื่องบังเอิญอย่างนั้นหรือ”
“ข้าไม่ทราบขอรับ” ไหวซานกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “ข้าเห็นว่าคุณหนูทั้งสองท่านของตระกูลโจวดูไม่เหมือนกับคนร้ายกาจเหลี่ยมจัดประเภทนั้นขอรับ”
“อย่างนั้นหรือ” เฉิงฉือกล่าวเรียบๆ ว่า “หากดูออกว่าเป็นคนร้ายกาจเหลี่ยมจัด เช่นนั้นก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นคนร้ายกาจเหลี่ยมจัด”
ไหวซานอยากกล่าวอะไรบางอย่างแต่ก็ยั้งเอาไว้
เฉิงฉือไม่เหลือบมองเขาเลยแม้สักนิด เปลี่ยนหัวข้อสนทนาเสีย ถามขึ้นว่า “ของที่จะมอบให้หลิวหย่งส่งไปถึงมือของเขาแล้วใช่หรือไม่”
“ถึงแล้วขอรับ” เมื่อเอ่ยถึงเรื่องที่เป็นทางการขึ้นมา ไหวซานก็สั่นสะท้าน กล่าวต่อว่า “หลิวหย่งฝากมาขอบคุณท่าน บอกว่าเมื่อไรที่ท่านได้เข้าเมืองหลวง อย่าลืมไปนั่งเล่นที่จวนของเขา ยังบอกด้วยว่า เรื่องของว่านถงนั้น ต้องขอให้ท่านช่วยอดกลั้นสักหน่อย เขาเพียงเป็นคนนิสัยเช่นนี้ก็เท่านั้น เจ้ามอบมะละกอให้ข้า ข้าตอบแทนเจ้าด้วยหยกน้ำงามล้ำค่า[3] ความเสียหายที่ท่านได้รับ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องชดใช้ให้ท่าน ให้ท่านวางใจขอรับ”
เฉิงฉือยกยิ้มที่มุมปาก กล่าวขึ้นว่า “ความเสียหายของข้า เขาจะชดใช้อย่างไรหรือ ก็คงไม่พ้นไปบอกตัวแทนขนส่งเกลือของแม่น้ำไหวทั้งสอง ให้มอบธนบัตรเกลือของปีนี้ทั้งหมดมาให้พวกเรา แต่เจียงหนานออกจะกว้างใหญ่ขนาดนี้ หากว่าพวกเรารับเอามาไว้ในมือทั้งหมด ผู้ให้คำปรึกษาในราชสำนักพวกนั้นจะไม่พ่นคำจนน้ำลายเหือดแห้งเลยหรือ เจ้าไปบอกเขาว่า ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยอะไรแล้ว ข้าต้องการเพียงตำแหน่งผิ่นขั้นสี่ตำแหน่งหนึ่งเท่านั้น”
………………………………………………………………….
[1] เทศกาลโคมไฟ ตรงกับวันที่ 15 เดือน 1 ตามปฏิทินจันทรคติของจีน มีกิจกรรมชมโคมไฟในคือพระจันทร์เต็มดวงครั้งแรกของปี
[2] ห้องทางการ คือห้องสุขา
[3] เจ้ามอบมะละกอให้ข้า ข้าตอบแทนเจ้าด้วยหยกน้ำงามล้ำค่า แสดงถึงการกระทำเพื่อหวังความสัมพันธ์อันดีในระยะยาว