“แล้วท่านตอบตกลงไปหรือไม่เจ้าคะ” โจวเสาจิ่นเอ่ยถาม
“ตอบตกลงไปแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนถอนหายใจ “ที่นางกล่าวมาก็มีเหตุผล การขยับไม่สู้อยู่นิ่งๆ เสียยังจะดีกว่า หากเปลี่ยนเจ้าเมืองจินหลิงคนใหม่ สำหรับจวนสี่แล้ว อาจไม่ได้ดีไปกว่าใต้เท้าอู๋ก็เป็นได้”
โจวเสาจิ่นเห็นด้วย
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกล่าวกับนางอีกสองสามประโยคอย่างเหม่อลอย แล้วให้นางกลับเรือนไป
หวังมามาเอ่ยถามอย่างลังเลว่า “ท่านจะไม่ให้คุณหนูรองไปเป็นเพื่อนท่านหรือเจ้าคะ”
“ยังไม่รู้เลยว่าจวนหลักคิดเห็นอย่างไร!” ใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ากวนเผยสีหน้าเหนื่อยล้าออกมาขณะที่กล่าว “อย่าเพิ่งลากเสาจิ่นเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยเลย”
หวังมามายิ้มพลางตอบว่า “เด็กคนนี้เป็นเด็กที่มีวาสนาดีผู้หนึ่งนะเจ้าคะ ได้รับความโปรดปรานจากท่าน!”
“นางได้รับความโปรดปรานจากข้านับว่าเป็นวาสนาอะไรได้!” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกล่าวอย่างถ่อมตน “การที่นางได้รับความโปรดปรานจากฮูหยินผู้เฒ่ากัวต่างหาก นั่นถึงจะนับว่ามีวาสนาดีจริงๆ!”
“การได้รับความโปรดปรานจากผู้อาวุโส ล้วนถือว่าเป็นวาสนาดีทั้งหมดเจ้าค่ะ!” หวังมามายิ้มน้อยๆ พลางกล่าวยกยอฮูหยินผู้เฒ่ากวนอีกสองสามประโยค
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนหัวเราะร่า แล้วกล่าวว่า “เจ้าช่วยนำบัตรเทียบขอเข้าพบไปส่งที่เรือนหานปี้ซานให้ข้าที!”
หวังมามายิ้มพลางขานรับ “เจ้าค่ะ” แล้วไปที่จวนหลัก
เฉิงฉือกำลังเอนกายอิงหมอนใบใหญ่อยู่บนตั่งหลัวฮั่นอย่างเกียจคร้านพลางอ่านบันทึกการเดินทางอย่างสนอกสนใจ ขณะรอรับประทานมื้อเย็น
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเดินเข้ามาพลางกล่าวอย่างเคืองๆ ว่า “นี่เป็นนิสัยเสียที่ได้มาจากที่ใดกัน เดินไปที่ใดก็นอนลงที่นั่น หากข้าไม่วางตั่งหลัวฮั่นตัวหนึ่งเอาไว้ในห้อง ข้าว่าเจ้าจะต้องนำเข้ามาวางเองสักตัวหนึ่งเป็นแน่!”
“ท่านกล่าวได้ถูกต้อง!” เฉิงฉือหัวเราะอย่างไม่ยี่หระ พลางวางบันทึกการเดินทางในมือลง แล้วเอ่ยถามยิ้มๆ ว่า “เย็นนี้รับประทานอะไรขอรับ”
“รับประทานขาแพะย่างที่เจ้าชอบ” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวคลี่ยิ้มตอบ “เจ้าอยากรับประทานอะไรเพิ่มอีกหรือไม่”
“ฉลองปีใหม่เสร็จแล้ว ก็ต้องเพลาๆ เรื่องอาหารการกินลงหน่อยนะขอรับ” เฉิงฉือตอบ “พรุ่งนี้ข้าจะไปเอาของที่เจ่าหยวนสักหน่อย พรุ่งนี้เย็นก็กลับมาแล้วขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินแล้วนัยน์ตาพลันฉายแววสงสัยสายหนึ่ง เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่เจือการหยั่งเชิงอยู่หลายส่วน “ปีก่อนๆ หลังวันที่สามเจ้าก็ออกไปทำธุระข้างนอกแล้ว ทำไมหรือ ปีนี้ว่างมากหรือ”
เฉิงฉือยิ้มพลางตอบ “ท่านช่างเอาใจยากจริงๆ! ข้าออกไปทำงาน ท่านก็บ่นว่าวันๆ ข้าไม่ยอมอยู่บ้าน พอข้าอยู่แต่ในบ้าน ท่านก็บ่นอีกว่าข้าไม่ไปทำงานหาเงินมาให้ท่านใช้ ข้าล่ะรู้สึกจะซ้ายก็ลำบากจะขวาก็ลำบากจริงๆ เลยขอรับ…”
“พูดจาเหลวไหล!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มพลางกล่าวอย่างเคืองๆ “ข้ากลัวว่าเจ้าอยู่บ้านแล้วจะรู้สึกเบื่อหน่ายก็เท่านั้นเอง!”
เฉิงฉือยกยิ้มแต่ไม่เอ่ยคำใด
มีสาวใช้เด็กคนหนึ่งวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าซีดเผือด เอ่ยรายงานว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า นายท่านสี่ มี…มีจดหมายส่งมาจากจิงเฉิงเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นท่าทางของสาวใช้เด็กคนนั้นแล้วในใจมีลางสังหรณ์บางอย่างรางๆ ครั้นเปิดจดหมายอ่านแล้ว ขาก็อ่อนแรง จนแทบล้มลงกับพื้น
เฉิงฉือตกใจเป็นอย่างมาก ลุกพรวดขึ้นมาประหนึ่งกระต่ายที่กระโจนตัวหนี ประคองฮูหยินผู้เฒ่ากัวเอาไว้อย่างมั่นคง พลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดว่า “เกิดอะไรขึ้นขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอ้ำๆ อึ้งๆ กล่าวอะไรไม่ออกแล้ว มือที่ถือจดหมายอยู่นั้นสั่นเทิ้มราวกับกำลังร่อนแกลบอยู่ก็ไม่ปาน
เฉิงฉือรับจดหมายจากมือของฮูหยินผู้เฒ่ากัวมา เพียงอ่านไปครั้งเดียว สีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างมาก
เฉิงเฝินบุตรชายคนเดียวของนายท่านผู้เฒ่ารองของจวนหลัก ล้มป่วยกะทันหันและจากไปเมื่อสิบหกวันก่อน
เฉิงฉือตัวสั่นสะท้านไปครั้งหนึ่ง
น้ำตาของฮูหยินผู้เฒ่ากัวไหลริน
“หรือว่าสวรรค์ต้องการล้มล้างตระกูลเฉิงของข้ากันแน่!” เพียงครู่เดียวนางราวกับแก่ชราลงไปอีกสิบปี สีหน้าไม่เหลือความเข้มแข็งเหมือนก่อนหน้าอีกแล้ว “เจ้าไม่ยอมแต่งงาน ชายใหญ่กับชายรองต่างก็มีบุตรชายเพียงคนเดียว หนำซ้ำตอนนี้ชายสามยังเสียชีวิตไปอีก…แม้พวกเจ้ามีความสามารถเพียงใด แต่สองมือหรือจะสู้สี่หมัด จะประสบความสำเร็จอะไรได้” นางกล่าวพลางจับเฉิงฉือไว้ “เจ้าต้องไปจิงเฉิงสักครั้งหนึ่ง ข้ากลัวว่าอารองของเจ้าอาจจะทนรับแรงกระแทกนี้ไม่ไหว”
แววตาเฉิงฉือดำดิ่งลงเล็กน้อย กล่าวว่า “ท่านแม่ ท่านวางใจเถิด ข้าจะรีบเร่งไปจิงเฉิงเดี๋ยวนี้ขอรับ”
สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ากัวถึงได้ผ่อนคลายลงมาเล็กน้อย แล้วให้เฉิงฉือประคองนางนั่งลงบนตั่งหลัวฮั่น
ภายในห้องเงียบกริบ สาวใช้ที่ปรนนิบัติอยู่ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจออกมาแรงๆ
เฉิงฉือรินน้ำชาให้มารดาจอกหนึ่ง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวค่อยๆ ดื่มน้ำชาจนหมดจอก แล้วจึงกล่าวอย่างช้าๆ ว่า “ชายสี่ ทางด้านของท่านผู้นำตระกูลจวนรอง เจ้าไปด้วยตัวเองสักครั้งหนึ่ง นำข่าวการจากไปของชายสามไปบอกเขา จากนั้นบอกเขาว่า ข้าต้องการพบเขา”
เฉิงฉือได้ยินแล้วก็ย่นคิ้วขึ้น พลางกล่าวว่า “ท่านแม่ หากท่านมีอะไรจะพูดก็ฝากข้าไปบอกเขาเถิด ท่านอายุมากแล้ว โมโหเกรี้ยวกราดมากจะไม่ดีต่อสุขภาพ ท่านต้องดูแลรักษาร่างกายให้ดีถึงจะถูกนะขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มเย็นพลางกล่าวว่า “การที่เขาให้เจ้ารับช่วงดูแลกิจการภายในของจวน ก็เท่ากับหักแขนข้างหนึ่งของจวนหลักของพวกเราแล้ว เจ้ายังจะไม่ให้ข้าโกรธแค้นเขาได้อยู่หรือ แม้แต่นักปราชญ์ผู้หนึ่งก็ยังทำไม่ได้ แล้วนับประสาอะไรกับข้า หากว่าเจ้าไม่บอกเขา เช่นนั้นข้าจะไปพูดกับเขาเอง”
“ท่านแม่!” เฉิงฉือกล่าวอย่างไม่ร้อนรนทว่าก็ไม่เย็นชาว่า “ไม่ว่าท่านจะว่าอย่างไรข้าก็ไม่ยอมให้ท่านไปพบหน้าเขา หากท่านไม่ให้ข้านำความไปแจ้ง ก็เก็บซ่อนถ้อยคำเหล่านั้นเอาไว้ในใจ ท่านเลือกเอาว่าจะทำอย่างไร”
“เจ้าลูกอกตัญญูคนนี้!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวโกรธขึ้ง แต่พอเห็นร่างสูงโปร่งงามสง่าของบุตรชายที่อยู่เบื้องหน้าแล้ว ก็โยนเพลิงโทสะนั้นทิ้งไปยังดินแดนแห่งเกาะชวาไปเสียอย่างช่วยไม่ได้ “ช่างเถอะ เจ้านำความไปแจ้งให้ข้าก็แล้วกัน เจ้าบอกเขาว่า ข้าอยากจะรับอวิ๋นเกอเอ๋อร์มาเป็นบุตรบุญธรรมในนามของหลานชายซวิ่นของเจ้า ข้าจะช่วยเลี้ยงดูเขาเอง”
เฉิงสือของจวนรองมีบุตรชายสองคน บุตรคนโตมีนามว่าเฉิงเกิง บุตรคนรองมีนามว่าเฉิงอวิ๋น ส่วนหลานชายซวิ่นที่ว่านั้นหมายถึงหลานชายของนายท่านผู้เฒ่ารองของจวนหลัก ซึ่งก็คือเฉิงซวิ่นผู้เป็นบุตรชายของเฉิงเฝิน
เฉิงฉือกล่าวขึ้นอย่างเสียไม่ได้ว่า “ท่านแม่ นี่มันเป็นไปไม่ได้ขอรับ…”
“มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้หรือ” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกระโดดพรวดขึ้นมาโดยพลัน พลางกล่าวว่า “ใต้หล้านี้ไม่มีสิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้! ในปีนั้นเขากล่าวอะไรเอาไว้บ้าง แม้เขาจะลืมไปแล้ว แต่ข้ายังจำได้ดี! ทำไมหรือ อยากกระทำตัวไร้ศีลธรรมอย่างโสเภณีด้วย และยังต้องการเรียกร้องสิทธิ์ให้บุตรชายไปด้วยอย่างนั้นหรือ ไหนเลยจะมีเรื่องที่ดีขนาดนั้นได้ เจ้าไปบอกเขาตามนี้ อย่าให้ตกหล่นแม้แต่คำเดียว ข้าอยากดูนักว่า เขาจะมีหน้าอะไรมากล่าวปฏิเสธคำว่า ‘ไม่’ กับข้า!”
เฉิงฉือเห็นดวงหน้าของมารดาขึ้นสีแดงก่ำไปทั้งหน้า ภายในใจเต้นตึกตักรัวๆ รีบเอ่ยขึ้นว่า “ท่านอย่าได้กังวล ข้าจะบอกเขาตามที่ท่านได้กล่าวมาก็แล้วกันขอรับ”
ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตก็ไม่มีทางที่เฉิงซวี่จะยกเหลนชายของตนให้จวนหลัก มารดาเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจ เพียงแค่ต้องการระบายโทสะออกมาเท่านั้นเอง
หลังจากที่เขาปลอบประโลมมารดาเสร็จแล้ว ก็ไม่มีอารมณ์จะรับประทานมื้อเย็นอีกต่อไป จึงไปรายงานเฉิงซวี่ที่เรือนชุนเจ๋อเสียเลย
ครั้นเดินออกประตูไป เฉิงฉือก็พบกับหวังมามาที่กำลังพูดคุยอยู่กับปี้อวี้อย่างกระตือรือร้นเข้าพอดี
หวังมามารีบก้าวไปคารวะเฉิงฉือ กล่าวอธิบายว่า “ข้าคือหวังซื่อ เป็นบ่าวข้างกายของนายหญิงผู้เฒ่ากวนจากจวนสี่ พรุ่งนี้เช้านายหญิงผู้เฒ่าของพวกข้าอยากมาขอพบฮูหยินผู้เฒ่ากัว จึงส่งข้ามาแจ้งเป็นการเฉพาะเจ้าค่ะ”
ภายในจวนเกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ ใครยังจะอดทนพอจะพบปะผู้อื่นได้
เดิมทีเฉิงฉืออยากจะห้ามปรามเอาไว้ แต่ฉุกคิดได้ว่าหลายปีมานี้มารดาสนิทสนมกับจวนสี่เพียงจวนเดียว แม้ผู้อื่นมองว่ามารดามีตำแหน่งที่สูงส่ง แต่ความจริงแล้วมารดาช่างโดดเดี่ยวเหลือเกิน ทันใดนั้นก็เปลี่ยนความคิด ตอบว่า “อืม” แล้วเดินออกจากเรือนหานปี้ซานไป
หวังมามาเหงื่อชุ่มหลัง
ปี้อวี้กล่าวยิ้มๆ ว่า “นายท่านสี่ของพวกข้าปฏิบัติกับผู้อื่นด้วยความสุภาพอ่อนโยนที่สุด มามาอย่าได้เกรงกลัวเลยนะเจ้าคะ”
หวังมามาคิดอยู่ในใจ นั่นเป็นเพราะพวกเจ้าอายุยังน้อย ไม่เคยเห็นยามที่นายท่านสี่คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มยามนั่งอยู่กับท่านผู้นำตระกูลจวนรองด้วยท่าทางที่ทัดเทียมกันในปีนั้น แต่เรื่องราวเหล่านี้ ไม่อาจกล่าวพล่อยๆ ออกไปได้
นางยิ้มตอบ “เป็นความขลาดกลัวของข้าเอง ปกติแล้วไม่ค่อยได้พบนายท่านสี่” แล้วก็เลิกพูดถึงเรื่องนี้ไปเสีย
ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากวนที่อยู่ในเรือนเจียซู่กลับนั่งอย่างไม่เป็นสุข
ตามหลักแล้วหวังมามาออกไปนานขนาดนี้ ก็น่าจะกลับมาได้แล้ว แต่จนบัดนี้ยังไม่เห็นแม้แต่เงา คงไม่ใช่ว่าพอเล่าเรื่องที่ฮูหยินอู๋มาขอความช่วยเหลือให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวฟังแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่คิดจะให้ความช่วยเหลือแต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ จึงยื้อหวังมามาเอาไว้จนถึงตอนนี้หรอกกระมัง
ความคิดสายหนึ่งวาบผ่านเข้ามา ทันใดนั้นนางก็รู้สึกว่าตนเองเคร่งเครียดเกินไป
แม้แต่ยามอยู่ต่อหน้าท่านผู้นำตระกูลจวนรอง ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยังกล้าที่จะกล่าวปฏิเสธคำว่า ‘ไม่’ ฉะนั้นจึงยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงนางเลย
นางส่ายศีรษะอย่างห้ามไม่อยู่
เมื่อไหร่จวนสี่จะเงยหน้าขึ้นอย่างทะนงได้บ้างสักครั้ง!
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนนึกถึงหลานชายสองคนที่ผูโข่ว สักพักก็ดำดิ่งสู่ห้วงความคิดของตัวเอง
แต่ในตอนนี้เองที่หวังมามากำลังรีบรุดกลับมา “ฮูหยินผู้เฒ่า แย่แล้วเจ้าค่ะๆ นายท่านสามผู้เป็นบุตรของนายท่านผู้เฒ่ารองของจวนหลัก ป่วยกะทันหันและเสียชีวิตจากไปแล้ว ตอนนี้ทางจวนหลักกำลังโศกเศร้าเสียใจกันอยู่เจ้าค่ะ”
“เกิดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนรู้สึกโง่งมไปอย่างสิ้นเชิง “นี่…นี่ไม่ใช่ว่านายท่านผู้เฒ่ารองของจวนหลักสูญเสียทายาทสืบสกุลไปแล้วหรอกหรือ!”
นางนึกถึงบุตรชายสองคนของเฉิงสือจากจวนรองขึ้นมาทันที
“เช่นนี้คงวุ่นวายเป็นแน่!” นางกล่าวพึมพำ
“จริงแท้ยิ่งนักเจ้าค่ะ!” ดวงหน้าของหวังมามาเปี่ยมด้วยความเศร้าโศก “แม้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะบอกว่าให้ท่านมาตามที่นัดเอาไว้ในวันพรุ่งนี้ได้ แต่ท่านจะพูดเรื่องนี้กับฮูหยินผู้เฒ่าในตอนนี้ได้อย่างไรเจ้าคะ!”
“เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องเล็ก” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกล่าวอย่างรู้สึกปวดศีรษะ “การที่นายท่านผู้เฒ่ารองของจวนหลักสูญเสียนายท่านสามไปต่างหากที่เป็นเรื่องใหญ่”
นางตัดสินใจแล้วว่าวันพรุ่งนี้จะไปที่เรือนหานปี้ซานเพื่อแสดงความเสียใจต่อการจากไปของเฉิงเฝินเท่านั้น เรื่องอื่นๆ นางจะไม่เอ่ยถึงทั้งสิ้น
แม้ว่าสีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ากัวดูอิดโรยเล็กน้อยแต่ก็ยังคงเห็นความกระปรี้กระเปร่าแต้มอยู่บ้าง ทว่านางกลับเอ่ยปากกล่าวอย่างตรงไปตรงมาราวกับมองเจตนาออกดั่งมองเห็นไฟก็ไม่ปาน “นี่ไม่ใช่ช่วงปีใหม่หรือเทศกาลแต่อย่างใด เจ้าเองก็เป็นหญิงหม้าย ย่อมไม่ออกมาขอพบโดยไม่มีเหตุจำเป็น วันนี้มาหาข้า ย่อมต้องมีเรื่องไหว้วานเป็นแน่ ข้ากับเจ้าเป็นพี่สะใภ้น้องสะใภ้กันมามากกว่าครึ่งค่อนชีวิต นิสัยใจคอของข้าเจ้าเองก็รู้ดี เจ้ามีเรื่องอะไรก็ขอให้บอกข้า ข้าจะพิจารณาดู หากช่วยได้ทันทีก็จะช่วยเลย หากช่วยไม่ได้ในตอนนี้ รอให้ผ่านพ้นการตั้งศพห้าสัปดาห์ของชายสามแล้ว พวกเราค่อยมาคุยเรื่องนี้กันอีกที”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนเห็นว่าไม่อาจปิดบังสิ่งใดจากฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ จึงกล่าวถึงเรื่องที่ฮูหยินอู๋ไหว้วานมาอย่างกระดากอายอยู่ในใจ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวประหลาดใจเล็กน้อย เอ่ยถามว่า “เจ้าแน่ใจหรือว่าจวนหลักของพวกข้าเป็นคนกล่าวคำเหล่านี้ออกมา”
“ข้าอยู่แต่ในเรือน จึงไม่อาจไปยืนยันจากที่ใดได้” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนตอบ “เพียงแต่ข้าเห็นพ้องกับสิ่งที่ฮูหยินอู๋กล่าวมา ดังนั้นจึงมาช่วยนางขอความเห็นใจ”
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังสนทนากันอยู่นั้น เฉิงฉือก็เดินเข้ามาเพื่อกล่าวอำลาฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเรียกเขาเข้ามา แล้วเล่าเรื่องของฮูหยินอู๋ให้เขาฟัง กล่าวว่า “ข้าก็คิดว่าที่ฮูหยินอู๋กล่าวมาไม่ผิดเช่นกัน ครั้งนี้เจ้าไปจิงเฉิงก็ลองถามพี่ใหญ่ของเจ้าดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หากไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร ก็อย่ายื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของเจ้าเมืองจินหลิงเลย ใต้หล้าแห่งนี้ไม่มีกำแพงใดที่ลมทะลวงไปไม่ได้ หากว่าเรื่องนี้ถูกแพร่ออกไป ชื่อเสียงของไต้เท้าอู๋จะเสื่อมเสีย หนำซ้ำผู้อื่นจะคิดว่าพวกเราใช้อำนาจบาตรใหญ่กดขี่ผู้อื่น เป็นการสร้างศัตรูเพิ่มโดยใช่เหตุ…ถือเป็นการทำร้ายผู้อื่นโดยที่ตนเองไม่ได้รับผลประโยชน์แต่อย่างใด! ไม่รู้ว่าใครเป็นคนกล่าวเรื่องเสียๆ หายๆ นี้ออกมา!” เมื่อกล่าวถึงประโยคสุดท้าย ก็รู้สึกทนไม่ได้เป็นอย่างยิ่ง
สีหน้าของเฉิงฉือเปลี่ยนเป็นประหลาดใจเล็กน้อย
เขาอยากได้ตำแหน่งเจ้าเมืองยศผิ่นขั้นสี่สักตำแหน่งในเจียงหนานให้เซียงจื้อหย่ง หรือว่าบรรดาขุนนางเหล่านั้นคิดว่าตนเองฉลาด ก็เลยจัดเตรียมให้เซียงจื้อหย่งย้ายมาที่จินหลิงอย่างนั้นหรือ
เฉิงฉือสบถอยู่ในใจประโยคหนึ่ง
เดิมทีเขาต้องการดึงเซียงจื้อหย่งออกมาจากไหวอัน หากว่าเซียงจื้อหย่งถูกโยกย้ายมาที่จินหลิงล่ะก็ นั่นจะไม่เท่ากับว่าเป็นการหนีเสือปะจระเข้หรอกหรือ
“เรื่องนี้ท่านอย่าได้ใส่ใจเลยขอรับ ข้าจะจัดการเอง” เขากล่าวเสียงเบา ตรงหว่างคิ้วเผยให้เห็นความมั่นใจที่เต็มเปี่ยมราวกับมีแผนการอยู่ในใจ
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนตะลึงงัน
นับตั้งแต่เฉิงฉืออายุสิบหกปีเป็นต้นมา หลังจากที่โน้มน้าวพวกเขาให้ร่วมหุ้นกับร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่ในปีนั้นแล้ว นางก็ได้เห็นเฉิงฉือจากไกลๆ เพียงไม่กี่ครั้งในช่วงกราบไหว้บรรพชนเท่านั้น
สำหรับนางแล้ว เฉิงฉือดูแปลกหน้ายิ่งกว่าพ่อบ้านในลานชั้นนอกของจวนสี่เสียอีก!
นางพลาดอะไรไปหรือเปล่า
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนรีบกล่าวยิ้มๆ ว่า “คุณชายสี่ฉือ เรื่องนี้คงต้องรบกวนเจ้าแล้ว!”
เฉิงฉือเพียงยกยิ้ม
ช่างเย็นชาเหลือเกิน!
…………………………………………….