ฮูหยินซ่งยื่นมือออกไปหมายจะคว้าตัวซ่งเซิน
ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับยิ้มพลางกล่าว “อย่าไปถือสาคำพูดเด็กน้อยเลย ฮูหยินซ่งไม่ต้องดุเขาหรอก”
ฮูหยินซ่งจึงได้แต่ปล่อยเขาไปอย่างอับอาย
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวส่งสื่อมามาไปดูว่าเฉิงฉือกับผู้เฒ่าซ่งกำลังทำอะไรอยู่ แล้วกล่าวยิ้มๆ ว่า “ไม่แน่ว่าเซินเกอเอ๋อร์อาจจะพูดถูกแล้วจริงๆ ก็เป็นได้!”
ซ่งเซินกล่าวอย่างมั่นใจ “ท่านปู่จะต้องคำนวณตัวเลขอยู่เป็นแน่ขอรับ”
โจวเสาจิ่นยิ้มพลางลูบศีรษะของเขา
ทุกคนจึงนั่งลงไปใหม่
สื่อมามากลับมาแล้วยิ้มพลางรายงานว่า “คุณชายน้อยซ่งพูดถูกแล้วจริงๆ เจ้าค่ะ นายท่านสี่กับท่านผู้เฒ่าซ่งกำลังนั่งล้อมโต๊ะเขียนหนังสือตัวใหญ่ ต่างคนต่างคำนวณตัวเลขกันอยู่ ฟังจากความคิดเห็นของท่านผู้เฒ่าซ่งแล้ว หากว่าปีหน้าแม่น้ำฟู่ชุนมีน้ำหลาก ปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงที่แม่น้ำเฉียนถังจะไม่รุนแรงเหมือนปีนี้อย่างแน่นอน…ท่านผู้เฒ่าซ่งยังชวนนายท่านสี่ไปสังเกตการณ์น้ำขึ้นน้ำลงที่กำแพงเมืองเฉียนในวันพรุ่งนี้อีกด้วยเจ้าค่ะ”
“ดีเจ้าค่ะๆ!” ฮูหยินซ่งกล่าวอย่างลิงโลด “เช่นนั้นต่อไปพวกเราสองตระกูลก็ยังได้พบกันอีกนะเจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มน้อยๆ พลางพยักหน้า
หากถึงยามโหย่วสือ[1]แล้วผู้เฒ่าซ่งและคนอื่นๆ ยังไม่กลับเข้าเมืองอีก ก็คงต้องค้างที่บ้านพักตระกูลจงอีกหนึ่งคืน เฉิงฉือกับผู้เฒ่าซ่งจึงออกมาจากห้องหนังสืออย่างไม่ค่อยยินดีนัก ผู้เฒ่าซ่งยังย้ำกำชับกับเฉิงฉือว่า “…เจ้าอย่าลืมหานาฬิกาพกเหมือนกับของเจ้าเรือนนั้นมาให้ข้าด้วย เวลาของมันเดินได้เที่ยงตรงจริงๆ”
เฉิงฉือยิ้มพลางรับปาก กล่าวกับผู้เฒ่าซ่งว่า “เรื่องที่ข้ากล่าวไป ท่านเองก็พิจารณาให้ถ้วนถี่ด้วยเถิด ทางราชสำนักไม่ได้ควบคุมการจัดการปัญหาอุทกภัยของเจียงหนานมานานนับสิบปีแล้ว แต่เมืองฉุนอันและพื้นที่อื่นๆ กลับประสบปัญหาอุทกภัยอยู่บ่อยครั้ง อย่างมากที่สุดในเวลาสองปี ทางราชสำนักจะต้องขุดลอกแม่น้ำเป็นแน่ เหตุใดท่านผู้เฒ่าถึงไม่เขียนบันทึกจากประสบการณ์ที่สั่งสมมาทั้งชีวิตของตนเผยแพร่ออกไป ให้คนรุ่นหลังได้รู้ว่าการป้องกันอุทกภัยนั้นต้องทำอย่างไร และการซ่อมแซมทำนบน้ำนั้นต้องทำอย่างไร”
ทว่าซ่งหมิ่นกลับมีสีหน้าหม่นหมองเล็กน้อย กล่าวว่า “เรื่องนี้เอาไว้ค่อยคุยกันวันหน้าก็แล้วกัน!”
อย่างไรเสียก็เป็นการพูดคุยเชิงลึกระหว่างคนไม่สนิทสนมกัน ถึงแม้เฉิงฉือจะรู้สึกเสียดาย แต่ก็เคารพการตัดสินใจของซ่งหมิ่น เขาส่งผู้เฒ่าซ่งออกจากบ้านพักด้วยตนเอง จากนั้นก็หมุนกายกลับไปที่ห้องหนังสือ คำนวณตัวเลขอยู่ในห้องหนังสือตามลำพังจนกระทั่งเสียงกลองตีบอกเวลาสองยาม ถึงได้เข้านอน
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกำชับทุกคนไม่ให้ปลุกเฉิงฉือ
ปรากฏว่าเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น ขณะที่ท้องฟ้ายังไม่สว่างดีนักเฉิงฉือก็ตื่นขึ้นมาแล้ว ไปเดินบนทำนบน้ำครึ่งรอบ แล้วจึงกลับมาที่บ้านพัก
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเอ่ยถามเขาว่า “เจอเรื่องลำบากใจอะไรมาหรือ อยากให้ข้าทักไปบอกพี่ชายของเจ้าสักหน่อยหรือไม่”
“ไม่ต้องให้พี่ชายช่วยออกหน้าจัดการให้หรอกขอรับ!” เฉิงฉือหลุดยิ้ม แล้วอยู่รับประทานมื้อเช้าเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากัว
โจวเสาจิ่นวางถ้วยและตะเกียบให้เขา จากนั้นจึงนั่งลง
เฉิงฉือมองโจวเสาจิ่นครั้งหนึ่ง กล่าวยิ้มๆ ว่า “น้ำชาและของว่างเมื่อวานเป็นเจ้าที่ส่งมาให้ใช่หรือไม่”
ฮููหยินผู้เฒ่ากัวถามอย่างสงสัย “ของว่างอะไรหรือ”
โจวเสาจิ่นเอ่ยตอบอย่างขัดเขินเล็กน้อยว่า “ข้าคิดว่าท่านน้าฉือกับท่านผู้เฒ่าซ่งจะต้องรู้สึกเบื่อยิ่งนักขณะที่นั่งอยู่บนเรือ จึงให้ในครัวทำของว่างไปให้เจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มพลางพยักหน้า กล่าวว่า “เมื่อวานข้ามัวแต่รับแขกจากตระกูลจง โชคดีที่มีเจ้าอยู่ข้างกายข้า ข้าเบาใจได้ไม่น้อยเลยทีเดียว”
โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างขัดเขินว่า “เป็นข้าที่ได้เรียนรู้เรื่องต่างๆ จากท่านถึงจะถูกเจ้าค่ะ”
“นั่นก็ต้องเป็นเพราะเจ้ายินยอมเรียนรู้ด้วยถึงจะได้ผล!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ “เจ้าไม่ต้องเกรงใจข้าหรอก ต่อไปหากข้าตกหล่นตรงที่ใด ก็ให้เจ้าช่วยข้าจดจำด้วยก็แล้วกัน”
นอกจากเรื่องเกี่ยวกับอาหารการกินแล้ว นางก็ไร้ซึ่งความสามารถที่จะช่วยฮูหยินผู้เฒ่ากัวจดจำเรื่องอื่นๆ ได้
โจวเสาจิ่นเม้มปากกลั้นยิ้ม
รับประทานมื้อเช้าเสร็จแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็รั้งเฉิงฉือให้อยู่พูดคุยด้วย
โจวเสาจิ่นคาดเดาว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวคงอยากจะถามเฉิงฉือว่าเมื่อวานเขากับผู้เฒ่าซ่งไปทำอะไรกันมาบ้างเป็นแน่ แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวคงไม่ต้องการให้นางอยู่ด้วย นางเองก็ไม่กล้านั่งฟังอยู่ที่นั่น จึงได้แต่ลุกขึ้นขอตัวออกมา
ด้านนอก ชิงเฟิงกับหลั่งเย่ว์กำลังยืนกระซิบกระซาบคุยกันอยู่ในลานบ้าน
โจวเสาจิ่นย่องผ่านไปแล้วได้ยินชิงเฟิงบ่นอย่างไม่พอใจว่า “ท่านผู้เฒ่าซ่งเป็นบิดาของขุนนางใหญ่ซ่ง นับเป็นโอกาสที่ดียิ่งนัก! ผู้เฒ่าซ่งปรารถนาจะขึ้นเหนือพร้อมกับพวกเรา เพียงแต่นายท่านสี่ของพวกเราเกรงว่าคุณหนูรองจะต้องลำบาก จึงไม่ตอบตกลง…”
นางตกใจสะดุ้งโหยง เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ชิงเฟิง นี่มันเรื่องอะไรกันหรือ”
ชิงเฟิงกับหลั่งเย่ว์หันหน้ามาอย่างตกใจกลัว รีบกล่าวว่า “ไม่มีอะไรขอรับๆ”
โจวเสาจิ่นกล่าว “หากเจ้าไม่บอกข้า ข้าจะไปถามท่านน้าฉือเอง”
“ท่านอย่าไปเลยขอรับ” ชิงเฟิงรีบกล่าว “ข้าจะบอกท่านก็ได้ ท่านผู้เฒ่าซ่งเป็นผู้รอบรู้ด้านภูมิศาสตร์ นายท่านสี่กับท่านผู้เฒ่าซ่งพูดคุยกันถูกคอ นายท่านสี่จึงชวนท่านผู้เฒ่าซ่งขึ้นเหนือไปด้วยกัน ท่านผู้เฒ่าซ่งตอบตกลงด้วยความยินดี แต่พอนายท่านสี่กลับมาแล้วได้ยินว่าคุณชายน้อยตระกูลซ่งผู้นั้นกระจองอแงกับฮูหยินผู้เฒ่ากัว ก็เลยเปลี่ยนใจ ให้พ่อบ้านฉินหาข้ออ้างไปบอกท่านผู้เฒ่าซ่ง พ่อบ้านฉินรู้สึกว่าน่าเสียดาย บอกว่านายท่านสี่ปฏิเสธการคัดเลือกเป็นขุนนางในตอนแรกไปแล้ว หากคิดจะเป็นขุนนางอีก แต่ถ้าไม่ได้รับการผลักดันจากขุนนางชั้นผู้ใหญ่ก็ไม่อาจเป็นขุนนางได้ แต่ต่อให้ได้รับการผลักดันจากขุนนางชั้นผู้ใหญ่ นั่นก็ยังต้องแบ่งระดับขั้นต่างๆ อีก…” เขากล่าวถึงตรงนี้ ก็ชำเลืองมองโจวเสาจิ่นทีหนึ่งอย่างระมัดระวัง กดเสียงต่ำลงกล่าวว่า “กล่าวกันว่าองค์ฮ่องเต้ยกย่องขุนนางใหญ่ซ่งมากขอรับ…”
โจวเสาจิ่นทราบดี
นอกจากองค์ฮ่องเต้รัชกาลนี้จะยกย่องขุนนางใหญ่ซ่งมากแล้ว องค์ฮ่องเต้รัชกาลต่อมาก็ยกย่องขุนนางใหญ่ซ่งด้วยเช่นกัน
พวกเขาคงปรารถนาจะให้เฉิงฉือเดินอยู่ในเส้นสายของซ่งจิ่งหรานกระมัง!
โจวเสาจิ่นกล่าวโดยไม่คิดว่า “ไม่ว่าเป็นความคิดของผู้ใด ข้าก็จะไปพูดกับนายท่านสี่ ข้าไม่อาจเป็นตัวถ่วงฉุดขาของนายท่านสี่ได้” พูดเสร็จก็กลับไปที่เรือนหลัก
ชิงเฟิงกับหลั่งเย่ว์มองหน้ากันอย่างหวาดผวา
หลั่งเย่ว์ตำหนิชิงเฟิงว่า “ข้าบอกแล้วมิใช่หรือว่าอย่าไปเล่นแง่มากเพียงนั้นกับคุณหนูรอง การที่นางเป็นคนอ่อนโยนไม่ได้หมายความว่านางโง่เขลา เห็นไหมว่าเจ้าทำให้คุณหนูรองขุ่นเคืองเสียแล้ว”
ชิงเฟิงยังไม่ยอมแพ้ เถียงกลับอย่างปากแข็ง “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าคุณหนูรองจะพูดง่ายถึงเพียงนี้ เรื่องที่พ่อบ้านฉินบอกพวกเราพวกเรายังไม่ทันพูดจบ คุณหนูรองก็ตัดสินใจไปโน้มน้าวนายท่านสี่แล้ว…”
“อย่างไรก็ตาม ต่อไปเจ้าห้ามปฏิบัติต่อคุณหนูรองเช่นนี้อีก” หลั่งเย่ว์กล่าว “นางเป็นคนดียิ่ง แต่ไม่ใช่เพราะเห็นว่านางเป็นคนดีเจ้าจะกระทำตัวสามหาวต่อหน้านางได้!”
“ข้ากระทำตัวสามหาวเมื่อไรกันหรือ” ชิงเฟิงย้อนคำ “ข้าเพียงไม่เหมือนกับเจ้าที่ชอบตีสนิทนางก็เท่านั้น!”
“เจ้าว่าอะไรนะ”
ทั้งสองคนโต้เถียงกันเสียงเบา
โจวเสาจิ่นที่ยืนอยู่ในห้องโถงบนเรือนได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ของฮูหยินผู้เฒ่ากัวจากทางตะวันตกของห้องรับแขกอยู่รางๆ
นางสูดหายใจเข้าลึก คิดแล้วคิดอีก จากนั้นจึงยิ้มพลางพยักพเยิดให้สาวใช้เด็กข้างๆ ที่อยู่เวรไปแจ้งฮูหยินผู้เฒ่ากัว
สาวใช้เด็กรีบพานางเข้าไปในห้องรับแขก
นางยิ้มพลางถามเฉิงฉือ “ท่านน้าฉือ พวกเรายังจะออกเดินทางตามกำหนดการเดิมหรือไม่เจ้าคะ เช่นนั้นพวกเราจะรอพวกฮูหยินซ่งที่ใดหรือ พวกเขาจะโดยสารบนเรือของพวกเรา หรือว่าพวกเราจะโดยสารบนเรือของพวกเขาเจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวประหลาดใจ เอ่ยถามว่า “นี่มันเรื่องอะไรกันหรือ”
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินฮูหยินซ่งกล่าวว่าอาจจะร่วมทางไปกับพวกเราเจ้าค่ะ แต่เมื่อสักครู่กลับได้ยินชิงเฟิงกล่าวว่าพวกเรากับคนของตระกูลซ่งจะแยกกันต่างคนต่างเดินทางของตัวเอง ข้าจึงอยากจะมาถามดู เผื่อจะได้ดูว่าต้องเก็บข้าวของตอนใดเจ้าค่ะ”
ขณะที่นางกล่าว ในใจก็สบถคำว่า “เหอะ” อย่างไม่พอใจ
ชิงเฟิงกล้าเล่นแง่กับนาง นางก็จะคิดบัญชีชิงเฟิงคืนสักหน่อยก็แล้วกัน ใครใช้ให้เขาคิดว่าตนเป็นลูกพลับเนื้ออ่อนที่รังแกได้ง่ายกัน!
แววตาของเฉิงฉือวูบลงเล็กน้อย เอ่ยขึ้นอย่างเนิบช้า “ท่านผู้เฒ่าซ่งกล่าวเอาไว้เช่นนั้น เพียงแต่ข้ากลัวว่าท่านแม่จะรู้สึกลำบากใจ จึงปฏิเสธไปอย่างสุภาพแล้วขอรับ”
เห็นได้ชัดว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็มีแผนการของตนเองอยู่แล้วเหมือนกัน นางยิ้มพลางกล่าวขึ้นว่า “เจ้าเด็กคนนี้ นานๆ ทีจะมีคนที่เจ้าพูดคุยได้ถูกคอสักคนหนึ่ง ฮูหยินซ่งเองก็สุภาพอ่อนโยนและจริงใจยิ่ง แม้ว่าคุณชายน้อยห้าของตระกูลซ่งจะซุกซนไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้เป็นเด็กที่ไม่ฟังเหตุผลเช่นนั้น มีพวกเขาร่วมเดินทางไปเป็นเพื่อนด้วย ก็คลายความเงียบเหงาในการเดินทางของพวกเราได้พอดี เจ้าปฏิเสธพวกเขาไปเพื่ออันใด” ขณะที่กล่าวก็ตะโกนเรียกสื่อมามาเข้ามา กล่าวว่า “เจ้านำป้ายชื่อของข้าไปให้ฮูหยินซ่ง ถามนางว่าอยากจะร่วมเดินทางไปกับพวกเราหรือไม่”
สื่อมามายิ้มพลางขานรับว่า “เจ้าค่ะ”
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “เรื่องนี้ท่านแม่อย่าใส่ใจเลยขอรับ ข้าไปบอกท่านผู้เฒ่าซ่งก็พอแล้ว”
“เช่นนั้นก็ดียิ่ง” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มพลางกล่าว “มีสหายเพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่งก็เท่ากับมีทางให้เดินเพิ่มขึ้นอีกสายหนึ่ง บางครั้งเจ้าก็เย็นชาเกินไป”
เฉิงฉือยิ้มน้อยๆ ไม่เอ่ยตอบคำใด ทว่าตอนที่เดินออกไปกลับปรายตามองโจวเสาจิ่นทีหนึ่ง ส่งสัญญาณให้นางตามตนออกมา
โจวเสาจิ่นไม่มีทางวิ่งไปให้เขาสั่งสอนในขณะที่เขากำลังโกรธเกรี้ยวอยู่เป็นแน่!
นางแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ แล้วใช้เวลาอยู่ในห้องของฮูหยินผู้เฒ่ากัวโดยตลอดจนกระทั่งฮูหยินผู้เฒ่ากัวงีบหลับถึงได้กลับห้อง วันถัดมาก็ไปปรนนิบัติอยู่ในห้องของฮูหยินผู้เฒ่ากัวตั้งแต่ท้องฟ้ายังไม่สาง
เฉิงฉือกุมหน้าผากพลางหัวเราะลั่น
ตกบ่าย พวกเขาออกเดินทางไปเมืองหังโจว พอตกกลางคืน คนของตระกูลซ่งก็ขึ้นเรือสำเภาของตระกูลเฉิง
โจวเสาจิ่นย้ายออกจากห้องโดยสารของตนเอง เข้าไปอยู่ในห้องของฮูหยินผู้เฒ่ากัว และเนื่องจากหวงอี๋จวินอยู่บนเรือด้วย จึงไม่กล้าไปเดินเพ่นพ่านบนดาดฟ้าเรือ นางใช้เวลาส่วนใหญ่นั่งทำงานเย็บปักอยู่ในห้อง ฟังฮูหยินซ่งกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวพูดคุยกันหรือไม่ก็เล่นกับซ่งเซินพักหนึ่ง ไหนเลยจะมีเวลาพักผ่อนหย่อนใจส่วนตัว
ยิ่งกว่านั้นหลังจากที่มาถึงเมืองซูโจว ความจริงโจวเสาจิ่นอยากจะไปชมเมืองเหลือเกิน แต่เฉิงฉือกับผู้เฒ่าซ่งกำลังง่วนอยู่กับการคำนวณตัวเลข ไม่สนใจที่จะลงจากเรือเลยแม้แต่น้อย โจวเสาจิ่นมองฝูงชนที่เดินพลุกพล่านบนท่าเรือ แล้วคิดว่าคงไม่ปลอดภัยนักหากเฉิงฉือไม่ตามมาด้วย จึงตัดสินใจทำงานเย็บปักอยู่ในห้องโดยสาร
ต่อให้เป็นเช่นนี้ นางก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจ
ยิ่งนางได้สัมผัสกับเฉิงฉือมากขึ้น ก็ยิ่งคิดว่าเฉิงฉือเก่งกาจยิ่งนัก นางคิดว่าด้วยความสามารถของเฉิงฉือ หากว่าเขาอยากจะเข้ารับราชการ ตระกูลเฉิงก็หยุดเขาไว้ไม่ได้ เหตุที่เขาไม่เข้ารับราชการ ส่วนใหญ่น่าจะเป็นเพราะการยับยั้งของคนในตระกูลมากกว่า
หากว่าเฉิงฉือเริ่มจากการเป็นผู้ช่วยของซ่งจิ่งหรานได้ ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้
ขอเพียงเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อเฉิงฉือ นางล้วนทำได้ทุกอย่าง
หาไม่แล้วจะตอบแทนบุญคุณของเฉิงฉือสักเรื่องสองเรื่องได้อย่างไร
ความจริงแล้วฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็เพียงตามพวกเด็กๆ ไปเดินเที่ยวเท่านั้น โจวเสาจิ่นไม่สนใจจะไปชมความคึกคักในเมือง นางเองยิ่งแล้วใหญ่ไม่ได้รู้สึกสนใจแต่อย่างใด ก่อนที่ฮูหยินซ่งจะไปเมืองหังโจวก็ได้เที่ยวชมเมืองซูโจวมาแล้ว พอนางเห็นว่าโจวเสาจิ่นกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวต่างไม่สนใจเข้าเมืองไปเที่ยวเล่น นางเป็นแขกต้องตามใจเจ้าบ้าน จึงรั้งอยู่บนเรือด้วย ด้วยเหตุนี้ ชุนหว่านและคนอื่นๆ ก็ต้องอยู่บนเรือเช่นกัน
ไม่นานอารมณ์ของทุกคนต่างก็หดหู่ลงมาเล็กน้อย โดยเฉพาะชุนหว่าน บ่นพึมพำเสียงเบาว่า “ไม่ใช่ว่าฮูหยินซ่งไม่มีเรือสักหน่อย ตามพวกเรามาเช่นนี้ พลอยทำให้พวกเราทุกคนรู้สึกไม่สะดวกตามไปด้วย”
สาวใช้เด็กสองสามคนพยักหน้าเห็นด้วย ท่าทีที่ปฏิบัติต่อคนของฮูหยินซ่งจึงค่อนข้างเย็นชาขึ้นมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ไม่นานเรื่องนี้ก็แพร่ไปเข้าหูของโจวเสาจิ่น นางตักเตือนพวกชุนหว่านว่า “ตอนที่ข้าคัดพระธรรมก็ไม่นึกไม่ฝันว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะพาข้าไปถวายธูปเทียนที่เขาผู่ถัวด้วย พอไปเขาผู่ถัวก็ไม่คิดว่านายท่านสี่จะให้คนพาพวกเราไปเที่ยวถนนย่านการค้า ทั้งยังตามใจซื้อของให้มากมาย วันนี้นายท่านสี่ไม่ว่าง ข้าก็ตระหนักได้ว่า คนเราไม่อาจคิดถึงแต่ตัวเอง โดยไม่คิดถึงผู้อื่นเลย ยามที่นายท่านสี่พาพวกเราไปกินและดื่มพวกเราต่างก็รู้สึกซาบซึ้งใจไปเสียทุกเรื่อง แต่พอนายท่านสี่ติดธุระดูแลพวกเราไม่ได้ พวกเรากลับบ่นว่าอย่างไม่พอใจไปเสียทุกเรื่อง นอกจากนี้นายท่านสี่ไม่ได้เป็นหนี้บุญคุณเราแต่อย่างใด การที่เขาให้พวกเราออกไปเที่ยว นั่นก็ถือเป็นความเมตตา การที่เขาไม่ให้พวกเราออกไปเที่ยว นั่นก็เป็นหน้าที่ส่วนของพวกเรา เหตุใดพอให้ทุกคนอยู่บนเรือกลับอดรนทนไม่ได้เล่า เห็นเช่นนี้แล้ว ต่อไปความเมตตาอะไรก็ไม่ต้องให้แล้ว จะได้ไม่เป็นการให้ไปให้มาแล้วกลายเป็นความเคืองแค้นไปเสีย!”
…………………………………………