ยามดอกวสันต์ผลิบาน – ตอนที่ 224 แปรเปลี่ยน

ตอนที่ 224 แปรเปลี่ยน

เฉิงฉือยิ้มพลางพยักหน้ารับคำแล้วไปชงชา

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่

โจวเสาจิ่นรีบตามไป พลางกล่าวว่า “ท่านน้าฉือ ให้ข้าชงเถิดเจ้าค่ะ!”

“เจ้านั่งเถิด” เฉิงฉือยิ้มพลางรินน้ำแร่จงหลิงเฉวียนลงในกาโลหะ แล้วกล่าวว่า “หากข้าไม่ฟังคำของนางและชงชาให้พวกเจ้า ไม่รู้ว่าแม่ของข้าจะกลั่นแกล้งอะไรข้าอีก เจ้าอย่าสอดมือเข้ามาจะดีกว่า”

โจวเสาจิ่นจึงได้แต่นั่งลงไปข้างๆ ฮูหยินผู้เฒ่ากัว

การชงชาของเฉิงฉือต่างจากโจวเสาจิ่น ดูทะมัดทะแมง ท่วงท่าองอาจยิ่ง ทั้งยังเจือความปราดเปรียวและว่องไวบางอย่างที่อธิบายไม่ได้เอาไว้

โจวเสาจิ่นเห็นแล้วอึ้งงันไปชั่วขณะ หากว่าเฉิงฉือไม่พยักพเยิดให้นางลองชิมน้ำชา เกรงว่านางยังคงจ้องมือของเฉิงฉือค้างอยู่เป็นแน่

โชคดีที่ชาที่นางชงออกมารสชาติไม่ต่างจากชาของเฉิงฉือนัก

โจวเสาจิ่นพรูลมหายใจยาวออกมา

ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับจงใจหาข้อตำหนิ กล่าวว่า “ยังคงเป็นชาของโจวเสาจิ่นที่มีรสชาติดีกว่า ชาของเจ้าชงได้ฝาดเกินไป”

เฉิงฉือหัวเราะเริงร่า นัยน์ตาเปล่งประกายราวกับดวงดารากลางนภาในยามราตรีก็ไม่ปาน

แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด โจวเสาจิ่นกลับรู้สึกว่ารอยยิ้มของเขายิ้มแย้มเกินจริงอยู่บ้าง คล้ายกับกำลังปกปิดอะไรบางอย่างอยู่

หรือว่าเขาพักอยู่ที่บ้านของใต้เท้าเสิ่นแล้วไม่มีความสุขกันนะ

ขณะที่โจวเสาจิ่นคาดเดาอยู่นั้น ปี้อวี้ก็เข้ามาแจ้งว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า ฮูหยินซ่งมาขอพบเจ้าค่ะ”

เฉิงฉือลุกขึ้นมาจะกล่าวอำลา

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเอ่ยถามเขาด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “วันนี้เจ้ายังต้องไปค้างที่เรือนตระกูลเสิ่นอยู่หรือเปล่า”

เฉิงฉือส่ายศีรษะพลางกล่าวว่า “ท่านผู้เฒ่าซ่งจะรั้งอยู่ที่นั่น นายท่านเจ็ดของร้านตั๋วแลกเงินเว่ยจื้อเฮ่าเสียชีวิต ร้านตั๋วแลกเงินเว่ยจื้อเฮ่าไม่มีผู้ใดมาดูแลกิจการ เป็นไปได้ว่าจะเรียกนายท่านใหญ่ผู้ดูแลร้านตั๋วแลกเงินกลับมา เกรงว่าธุรกิจของร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่จะพลอยได้รับผลกระทบไปด้วย ข้าต้องรีบรุดกลับไปจินหลิงขอรับ”

เขาพูดอย่างเคร่งเครียด ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับไม่ได้ตระหนกแต่อย่างใด นางยิ้มพลางกล่าวกับบุตรชายซ้ำอีกว่า “เช่นนั้นตอนเย็นก็มารับมื้อเย็นที่นี่เถิด ข้าให้คนทำตีนห่านต้มสุราเอาไว้ น่าจะกินได้แล้ว”

เฉิงฉือยิ้มพลางตอบรับ แล้วเดินออกจากห้องไป

โจวเสาจิ่นกดเสียงลงถามฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างค่อนข้างเป็นกังวลว่า “ร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่จะไม่เป็นไรหรือเจ้าคะ”

“จะเป็นอะไรได้” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มตอบ “เป็นเพียงการค้าขายเท่านั้น เลวร้ายที่สุดก็เซ้งกิจการไม่ทำแล้ว ท่านน้าฉือของเจ้าจะได้มาอยู่เป็นเพื่อนข้าสักสองปี และได้ทำในสิ่งที่ตนเองชื่นชอบบ้างเสียที”

โจวเสาจิ่นไม่คาดคิดว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะมีความคิดเปิดกว้างเช่นนี้ อดถามไม่ได้ว่า “ถ้าหากว่าท่านน้าฉืออยากเป็นเหมือนท่านผู้เฒ่าซ่งเล่าเจ้าคะ”

“เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ “เลวร้ายที่สุดเขาก็ยังมียศจิ้นซื่ออยู่ อย่างไรก็ยังพอหาเลี้ยงปากท้องได้” ขณะที่นางกล่าว ก็ผ่อนลมหายใจ เอ่ยถ้อยคำที่ลึกซึ้งแต่แฝงความจริงใจกับนางว่า “เสาจิ่น เมื่ออายุเท่าข้าแล้ว ร่างกายร่วงโรย กินอะไรก็ไม่อร่อย สวมใส่อะไรก็ไม่อาจเทียบกับบรรดาดรุณีวัยสิบเจ็ดสิบแปดปีเหล่านั้นอีก ของเหล่านี้ล้วนไม่ดึงดูดความสนใจของพวกข้าแต่อย่างใด ถ้าหากจะกล่าวถึงสิ่งที่ปล่อยวางไม่ได้ นั่นก็คือบุตร ทั้งภาวนาให้พวกเขาล้วนแข็งแรงปลอดภัย และภาวนาให้พวกเขาได้พบเจอแต่สิ่งที่ดี พบเจอแต่ความสุข ทว่าสิ่งที่ยากที่สุดในโลกนี้กลับเป็น ‘ความสุข’ คำนี้ เมื่อสหายขุนนางได้เลื่อนตำแหน่ง แต่ไม่มีส่วนเกี่ยวกับข้า ก็ไม่มีความสุข เมื่อบุตรชายของสหายสอบผ่านได้ยศจิ้นซื่อ ทว่าบุตรชายของข้ากลับยังแขวนผมไว้กับขื่อและเอาเข็มทิ่มแทงขาให้ตื่นเพื่ออ่านตำราเตรียมสอบจวี่เหรินอยู่ ก็ไม่มีความสุข วันนี้ตระกูลอื่นเปลี่ยนลานบ้านเป็นลานใหญ่ แต่การเงินในกระเป๋าของข้ากลับฝืดเคือง ได้แต่อาศัยอยู่ในบ้านหลังเก่าที่อยู่มายี่สิบปีแล้ว ก็ไม่มีความสุข…”

สิ่งที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวมานั้นถูกต้องจริงๆ

โจวเสาจิ่นพยักหน้าไม่หยุด

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวคลี่ยิ้มพลางกล่าว “หาก ท่านน้าฉือของเจ้าอยากเป็นเหมือนท่านผู้เฒ่าซ่ง ไม่ขอมียศตำแหน่งหรือความร่ำรวย ไม่ขอมีศรีภรรยาหรือบุตรกตัญญู ขอเพียงได้ควบคุมแม่น้ำและทำทำนบกั้นน้ำก็เป็นสุขแล้ว ข้าจะไปห้ามเขาเพื่ออันใด ข้าเป็นมารดาของเขา ดูแลเขาได้เพียงช่วงระยะหนึ่งเท่านั้น จะควบคุมเขาทั้งชีวิตได้หรือ ไฉนต้องทำให้เขาไม่มีความสุขไปตลอดชีวิตเหตุเพราะข้าด้วยเล่า”

“ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านช่างดีจริงๆ เจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นอดชื่นชมไม่ได้ สายตาที่มองฮูหยินผู้เฒ่ากัวเปี่ยมไปด้วยความยกย่องเทิดทูน

เฉิงจิงและเฉิงเว่ยล้วนชอบช่วยเหลือผู้อื่น ส่วนเฉิงฉือก็ปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างดียิ่งเช่นกัน พวกเขาต้องซึมซับมาจากฮูหยินผู้เฒ่ากัวเป็นแน่

เหตุใดเฉิงสวี่ถึงไม่เหมือนพวกผู้ใหญ่หรือบรรพบุรุษของเขากันนะ

เพียงหวังว่าหลังจากที่เขาไปจิงเฉิงแล้วจะได้เรียนรู้การประพฤติปฏิบัติตัวต่อผู้อื่นกับท่านลุงใหญ่จิงมาบ้าง

โจวเสาจิ่นลอบส่ายศีรษะอยู่ในใจ

ฮูหยินซ่งจับมือของซ่งเซินเดินเข้ามาพร้อมกับสาวใช้เด็ก

นางมาอำลาฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับโจวเสาจิ่น

“พ่อสามีบอกว่าเขากับใต้เท้าเสิ่นยังมีเรื่องต้องหารือกัน พวกข้าจะพักอยู่ที่เจิ้นเจียงอีกครึ่งเดือนเจ้าค่ะ” นางกล่าวด้วยดวงหน้าที่เต็มได้ด้วยความเสียใจ “ทั้งยังขอยืมบ้านพักของญาติใต้เท้าเสิ่น ระหว่างนี้พวกข้าคงไม่ได้เดินทางขึ้นเหนือแล้วเจ้าค่ะ”

ผู้เฒ่าซ่งผู้นี้ ยังคงทำให้คนอื่นต้องปวดหัวจริงๆ นึกอยากจะออกเดินทางเมื่อใดก็ออกเมื่อนั้น

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวอย่างเห็นใจ “อีกสองวันพวกข้าก็จะเดินทางกลับจินหลิงแล้ว นั่งเรือจากเจิ้นเจียงถึงจินหลิงใช้เวลาเพียงหนึ่งวันหนึ่งคืนเท่านั้น หรือไม่ เจ้าไปเป็นแขกของข้าที่จินหลิงสักสองสามวันดีหรือไม่”

ฮูหยินซ่งได้ยินแล้วก็รู้สึกดีใจลิงโลดเป็นอย่างยิ่ง จนนั่งไม่ติดที่แล้ว ลุกขึ้นมาหมายจะกลับไปปรึกษากับผู้เฒ่าซ่ง

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ “ไม่ต้องรีบๆ ประเดี๋ยวข้าจะเขียนเทียบเชิญให้เจ้า เจ้านั่งลงมาลองชิมน้ำชาที่หลานรองของพวกข้าชงดู น้ำนี้เป็นน้ำแร่จงหลิงเฉวียนที่ตักขึ้นมาจากลำธารข้างวัดจินซาน!”

“ไอ้หยา มีเรื่องเช่นนี้อยู่ด้วยจริงๆ หรือ!” ฮูหยินซ่งอุทานอย่างอัศจรรย์ใจ “คราวก่อนที่ไปเที่ยววัดจินซานกับท่าน พอได้ยินพระผู้ให้การต้อนรับในวัดกล่าวแนะนำ ข้ายังคิดอยู่ว่าเขาคุยโวเสียอีก ไม่คาดคิดว่าข้าจะได้เห็นกับตา” ขณะที่นางกล่าวก็เดินไปดูน้ำที่บรรจุอยู่ในขวดใบเล็กนั้น “ดูเหมือนจะใสสะอาดกว่าน้ำอื่นๆ อยู่บ้างนะเจ้าคะ”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มพลางให้โจวเสาจิ่นชงชากาใหม่

หลังจากที่ฮูหยินซ่งจิบชาแล้วก็ชมไม่หยุดปาก ทว่าดีอย่างไรบ้างนั้น กลับอธิบายออกมาไม่ได้เหมือนกัน ทุกคนจึงไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วนางลิ้มรสเป็นหรือไม่ อย่างไรก็ตาม เมื่อนางกลับเมืองหลวงแล้วอย่างน้อยก็มีเรื่องให้โอ้อวดได้เรื่องหนึ่ง

ในทางกลับกัน ซ่งเซินแม้นอายุน้อยกลับเอ่ยขึ้นว่า “ชาของพี่สาวโจวดื่มแล้วหอมสดชื่น หอมสดชื่นกว่าชาเขียวหลงจิ่งที่ท่านปู่ชงเมื่อหลายวันก่อนอีกขอรับ”

จิบชาแล้วกล่าวคำว่า “หอมสดชื่น” คำหนึ่งออกมาได้ ย่อมต้องดื่มชาเป็นพอตัว

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ดี โจวเสาจิ่นก็ดี ต่างมองเด็กคนนี้ด้วยสายตาชื่นชมมากขึ้นอย่างอดไม่ได้

หลังจากดื่มชาเสร็จแล้ว และพูดคุยเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากัวสองสามประโยค ฮูหยินซ่งก็พาซ่งเซินขอตัวออกไป

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวให้โจวเสาจิ่นไปตรวจดูมื้อเย็นของวันนี้ที่ห้องครัว “ท่านน้าฉือของเจ้าไม่กินปลา บอกพวกเขาไม่ต้องนำปลามาขึ้นโต๊ะ”

โจวเสาจิ่นยิ้มพลางไปที่ห้องครัว

สื่อมามาเอ่ยถามขึ้นว่า “เรื่องของตระกูลเลี่ยว จะไม่บอกคุณหนูรองหรือเจ้าคะ”

“เรื่องนี้จะบอกไปเพื่ออันใด” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวสีหน้านิ่งไร้รอยกระเพื่อมใดๆ บนใบหน้า กล่าวว่า “ฟางซื่อเพียงปรารถนาให้คนของตระกูลเฉิงช่วยชี้แนะนายท่านใหญ่ของพวกเขาเรื่องการเขียนอรรถาธิบายจื้ออี้ในการสอบขุนนางช่วงวสันตฤดู[1] ต่อให้ข้าไม่รับปาก หากนางไปขอร้องหยวนซื่อ หยวนซื่อก็คงตกปากตกคำอยู่ดี ข้าก็เพียงพายเรือไปตามน้ำเท่านั้น”

แต่ถ้อยคำของท่านใช่ว่าฮูหยินหยวนจะเทียบเคียงได้

สื่อมามาก็ได้แต่เก็บฝังความคิดนี้เอาไว้ในใจ นางปฏิบัติต่อโจวเสาจิ่นอย่างเคารพนบนอบมากยิ่งขึ้น กระทั่งวันถัดมายามที่จงหมัวมัวมาขอพบโจวเสาจิ่น นางไม่รอให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวสั่งก็บอกให้สาวใช้เด็กไปแจ้งโจวเสาจิ่นแล้ว

จงหมัวมัวเห็นแล้ว คิดแล้วคิดอีก จากนั้นจึงมอบถุงเงินที่บรรจุเอาไว้จนเต็มที่ตระเตรียมมาให้สื่อมามาไป พลางกล่าวยิ้มๆ “เดิมทีฮูหยินใหญ่ของพวกข้าไม่รู้ว่าคุณหนูรองตระกูลโจวอยู่บนเรือด้วย ในเมื่อได้พบปะกันแล้ว จึงต้องมาเยี่ยมเยียนเป็นการเฉพาะสักครั้ง” นางกล่าวพลางชี้ไปที่ป้าข้างหลังที่ถือกล่องอาหารอยู่ “ด้วยเหตุนี้ ฮูหยินใหญ่จึงให้ในครัวทำอาหารเล็กๆ น้อยๆ ให้ข้านำมามอบให้”

ถ้อยคำนี้มีเหตุผล การกระทำก็เหมาะสมและรอบคอบยิ่ง

สื่อมามายิ้มพลางอยู่สนทนากับนาง กระทั่งชุนหว่านสาวใช้ข้างกายของโจวเสาจิ่นเดินออกมาต้อนรับอย่างแย้มยิ้มแล้ว นางถึงได้ออกไป

ด้วยเห็นแก่พี่สาว โจวเสาจิ่นจะไม่ทำตัวเย็นชากับจงหมัวมัวท่านนี้

นางชงชาเขียวหลงจิ่งให้จงหมัวมัวดื่ม

จงหมัวมัวรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก เอ่ยชมว่าเป็นชาดีไม่หยุด

ส่วนชุนหว่านตั้งใจเปิดศึกแข่งขันแทนโจวเสาจิ่น หมายจะปราบความอวดดีของหมัวมัวท่านนี้ให้ราบคาบ กล่าวยิ้มๆ ว่า “เมื่อวานคุณหนูรองของพวกข้าชงชาให้ฮูหยินผู้เฒ่ากับนายท่านสี่ ฮูหยินผู้เฒ่ากับนายท่านสี่ต่างเอ่ยชมไม่หยุด คุณหนูรองของพวกข้าคิดถึงหมัวมัวผู้เป็นหน้าเป็นตาของฮูหยินใหญ่ตระกูลเลี่ยวแล้ว เดิมทีอยากให้หมัวมัวได้ลองชิมดู แต่น่าเสียดายตอนที่ฮูหยินซ่งมารับแบบลายดอกไม้ ได้ทำชงชาจนหมดไปมากกว่าครึ่ง หลังจากรับมื้อเย็นกับฮูหยินผู้เฒ่า ตอนที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับนายท่านสี่เล่นหมากล้อมกันอยู่ คุณหนูรองของพวกข้าก็ชงชาให้อีกหนึ่งรอบ ทำให้ใช้น้ำแร่ที่เหลืออยู่ไปจนหมด…” ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความรู้สึกเสียดาย

ทว่าจงหมัวมัวกลับรู้ดีว่านี่เป็นเพียงถ้อยคำตามมารยาท พวกนางต้องการใช้เรื่องนี้มาพูดข่มนาง!

นางเหลือบมองโจวเสาจิ่นที่ตีหน้านิ่งครั้งหนึ่ง คิดว่าคุณหนูรองตระกูลโจวท่านนี้ไม่ได้อ่อนหวานไร้พิษสงเหมือนภายนอกของนางเช่นนั้น เกรงว่าจะเป็นผู้ที่ไม่ธรรมดาคนหนึ่งเช่นกัน นี่ทำให้นางต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากจึงจะพูดถึงจุดประสงค์ที่มาอย่างชัดเจนออกมาได้

โจวเสาจิ่นใจเต้นรัว

สายรองของตระกูลเลี่ยวเรืองอำนาจเหนือกว่าสายหลัก แต่ไม่ยอมแยกตระกูลออกไป ถึงแม้ว่าชาติที่แล้วพี่สาวจะเล่าแต่เรื่องน่ายินดีไม่ยอมเล่าเรื่องที่ทุกข์ใจก็ตาม แต่หากนางปรารถนาใคร่รู้ พี่สาวจะเก็บซ่อนจากนางได้อย่างไรเล่า

ชาติก่อน พี่เขยกับพี่สาวฝ่าฟันอุปสรรคมามากมายกว่าจะรักใคร่กลมเกลียวกันเช่นนั้น

หากฟางซื่อรักษาสัญญาของนางได้ตามที่กล่าว ให้พี่สาวไปอยู่ที่จิงเฉิงกับพี่เขย เช่นนั้นเรื่องที่พี่สาวจะถูกเหยียบย่ำรังแกก็จะน้อยลงไม่น้อย! นอกจากนี้ชาติที่แล้วพี่สาวกับพี่เขยยังรักใคร่ชอบพอกันดี หากว่าชีวิตนี้ได้รับพรจากผู้ใหญ่ ก็จะยิ่งสมบูรณ์ขึ้นมิใช่หรือ

โจวเสาจิ่นไม่รอให้จงหมัวมัวพูดให้จบก็วางแผนเอาไว้ในใจแล้วว่าจะไปขอร้องฮูหยินผู้เฒ่ากัวแทนเลี่ยวเส้าถังผู้เป็นพี่เขย

ชาติที่แล้ว พี่เขยทำเพื่อนางมากมายถึงเพียงนั้น ทว่านางกลับไม่เคยได้ตอบแทนเขาเลย หากชีวิตนี้นางทำอะไรเพื่อพี่เขยได้บ้าง แม้นต้องขึ้นเขาลงห้วยนางก็ต้องหาทางทำให้สำเร็จให้ได้

แต่นางรู้ดีว่าฟางซื่อแม่สามีของพี่สาวเป็นผู้ที่ร้ายกาจคนหนึ่งเช่นกัน หากนางรับปากง่ายเกินไป ไม่แน่ว่าฟางซื่ออาจจะคิดว่านางเป็นผู้ที่พูดคุยด้วยง่าย

นางรอให้จงหมัวมัวพูดให้เสร็จ แล้วเลียนแบบท่าทางของฮูหยินผู้เฒ่ากัว ยกจอกชาแล้วใช้ฝาปัดใบชาบนผิวน้ำเบาๆ ครู่หนึ่ง จิบชาคำหนึ่งเบาๆ วางจอกชาลง และใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดมุมปาก จากนั้นจึงเอ่ยอย่างไม่ช้าไม่เร็วว่า “เรื่องที่หมัวมัวกล่าวมานั้นข้าเข้าใจแล้ว เพียงแต่เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ไม่ใช่เรื่องที่ข้าผู้เป็นเด็กสาวคนหนึ่งจะตัดสินใจได้ เรื่องนี้ยังต้องรอให้ข้ากลับไปหารือกับพี่สาวและท่านพ่อของข้าก่อนถึงจะให้คำตอบแก่ฮูหยินได้ ท่านคิดว่าได้หรือไม่”

จงหมัวมัวเห็นท่าทางดื่มชาของโจวเสาจิ่นแล้ว ก็ยิ่งคิดว่าโจวเสาจิ่นไม่ใช่เพียงเด็กสาวธรรมดาผู้หนึ่ง นอกจากนี้ถ้อยคำวาจาของโจวเสาจิ่นยังทำให้นางสัมผัสได้ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่โจวเสาจิ่นทำไม่ได้ แต่ต้องพิจารณาความคิดเห็นของคนในครอบครัวก่อนจึงจะตัดสินใจว่าจะทำหรือไม่ทำ บวกกับท่าทีก่อนหน้าของสื่อมามา ทำให้นางสะดุดใจ ยามที่อยู่ต่อหน้าโจวเสาจิ่นจึงยิ่งรู้สึกเกรงกลัวเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งส่วน

นางก้มหน้าหลุบตาลงอย่างนอบน้อมเหมือนกับตอนอยู่ต่อหน้าฟางซื่อ พลางกล่าวเสียงเบาว่า “บ่าวก็เพียงนำความมาแจ้ง จะกล้าตอบถ้อยคำนี้ของคุณหนูได้อย่างไร ข้าจะกลับไปแจ้งฮูหยินใหญ่ของพวกข้าตามที่ท่านกล่าวมาเจ้าค่ะ”

โจวเสาจิ่นรู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อย

ชาติก่อน นางถูกจงหมัวมัวผู้นี้ใช้สายตาเย็นชาปรายตามองอยู่ไม่น้อย

นางจึงยิ่งรู้สึกเบาใจดั่งสายลมพัดพลิ้วดั่งเมฆาลอยล่อง ให้ชุนหว่านส่งแขกออกไป

…………………………………………..

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ในยามที่ โจวเสาจิ่น เด็กสาวจากตระกูลโจวผู้แสนอ่อนหวานและว่านอนสอนง่ายถูกชายคนรักที่นางไว้ใจหักหลังคร่าชีวิต นางได้แต่ภาวนาร้องขอโอกาสที่จะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

หากนางสามารถย้อนเวลากลับไปได้ นางจะหนีไปให้ห่างไกลจากบุรุษจอมเสแสร้งอย่างเขา นางจะไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกย่ำยีอย่างน่าอดสู จะไม่ทำให้ตระกูลต้องอับอายขายขี้หน้า ไม่มีวันทำให้พี่สาวผู้แสนอ่อนโยนหัวใจแตกสลาย ขอแค่โอกาสอีกเพียงสักครั้ง…

ดูเหมือนสวรรค์จะสดับฟังคำอธิษฐานก่อนสิ้นใจของนาง ท่ามกลางค่ำคืนอันแสนสงบปราศจากเค้าลางของพายุ โจวเสาจิ่นสะดุ้งตื่นขึ้นจากฝันร้ายและพบว่าตนได้ย้อนเวลากลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งราวปาฏิหาริย์ในร่างเดิมวัยสิบสองปี!

ด้วยประสบการณ์อันขื่นขมที่นางได้เผชิญมาในชาติก่อน หญิงสาวตั้งปณิธานว่าจะต้องหาทางแก้ไขชะตาชีวิตของตนเองและของตระกูลในชาตินี้ให้ได้ ไม่มีอีกแล้วเด็กสาวที่ขี้ขลาดและอ่อนแอ แม้แต่ดอกไม้ก็ยังไม่กล้าเด็ดคนนั้น ได้เวลาที่นางต้องยืนหยัดลุกขึ้นสู้เพื่อตัวเองแล้ว

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท