จำนนรักชายาตัวร้าย – ตอนที่ 116-1 ปราสาทน้ำแข็งบนเขาหิมะ
ผลแห่งการดื่มสุราในครั้งนี้นั่นก็คือ ฮ่องเต้และอวี้จิงเหลยล้วนแต่เมามายสลบไสลไปตามๆ กัน ส่วนซย่าโหวฉิงเทียนยังปกติ สติสัมปชัญญะครบสมบูรณ์ทุกอย่างราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างไรอย่างนั้น หน้าหยกของเขานิ่งเรียบ คล้ายกับว่าเพิ่งดื่มน้ำเปล่าเข้าไปก็ไม่ปาน หาได้ใช่สุราไม่
“ท่านแม่ทัพอวี้! วันมงคล…ข้า ได้ให้คนดูฤกษ์เอาไว้แล้ว! วันที่แปดเดือนสิบสอง!”
ซย่าโหวจวินอวี่นอนราบลงบนโต๊ะ
“เราครอบครัวเดียวกัน! ไม่…ไม่ต้องเกรงใจ!”
อวี้จิงเหลยใบหน้าแดงก่ำ แววตาเลื่อนลอย มือทั้งสองข้างกอดไหสุราเอาไว้ แล้วเรอออกมาอย่างต่อเนื่อง
“ฝ่าบาทว่าอย่างไร หม่อมฉันก็ว่าตามนั้นพ่ะย่ะค่ะ!”
“เอิ้ก! เด็กๆ พอใจ…เอิ้ก…หม่อมฉันก็ดีใจ!”
“ฝ่าบาทอะไร หม่อมฉันอะไรกัน! รีบเรียกให้สนิทสนมกัน! เร็วเข้า! นี่เป็นคำสั่ง!”
“เอิ้ก! ครอบครัวเดียวกัน…”
อวี้จิงเหลยยังคงเรอออกมาไม่หยุด
“ฮ่าๆ! ถูก ถูกต้องแล้ว…”
ฮ่องเต้แย้มพระสรวลอย่างอารมณ์ดี
“ฮิๆ พระญาติของฮ่องเต้ ฮิๆ…” ฮ่องเต้ แย้มพระสรวลโดยไร้เหตุผล
อวี้จิงเหลยเองยิ้มออกมาโดยไม่รู้เรื่องรู้ราวเช่นกัน
เห็นสภาพของคนทั้งสองแล้ว อวี้เฟยเยียนก็พูดไม่ออก
เดิมทีอวี้จิงเหลยคิดที่จะทดสอบความคอแข็งของซย่าโหวฉิงเทียน ด้วยการมอมสุราเขา ซึ่งซย่าโหวจวินอวี่ก็เข้าร่วมวงด้วย
คราวนี้พอซย่าโหวจวินอวี่ยืนอยู่ฝ่ายเดียวกันกับอวี้จิงเหลย ก็พากันเล่นนอกกติกา สั่งให้คนยกชามใบใหญ่เข้ามาแล้วตั้งกติกาให้พวกเขาดื่มทีละชามเท่ากับซย่าโหวฉิงเทียนดื่มสองชาม สุดท้ายทั้งสองคนก็ถูกซย่าโหวฉิงเทียนมอมจนหมอบ สลบไสลกรนครอกเสียงราวกับฟ้าผ่า
“ทำไมเจ้าถึงได้คอแข็งเพียงนี้นะ”
อวี้เฟยเยียนเอนซบไหล่ซย่าโหวฉิงเทียน
“พวกเขาเมามายถึงเพียงนี้ จะทำอย่างไรดี”
“ไม่เป็นไรหรอก!”
ซย่าโหวฉิงเทียนก้มหน้าลงจุมพิตที่หน้าผากกลมมนของอวี้เฟยเยียนแผ่วเบา
“วันนี้นับเป็นวันดี พวกเขาดื่มมากหน่อยก็ไม่เป็นไร!”
ท่านปู่ตอบตกลงให้เขาแต่งงานกับแมวน้อยได้ จึงคู่ควรที่จะฉลองให้มากๆ!
“ท่านนี่นะ…”
อวี้เฟยเยียนกอดแขนซย่าโหวฉิงเทียนเอาไว้
“ท่านปู่ตอบตกตลงแล้ว แต่ข้ายังไม่ตอบตกลงนะ!”
“พี่รู้!”
ซย่าโหวฉิงเทียนอุ้มอวี้เฟยเยียนขึ้นมานั่งบนตัก ใช้สายตาลึกซึ้งจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของนาง
“แมวน้อย พี่ดีใจจริงๆ! ที่ได้รับคำอวยพรจากผู้ใหญ่ พี่ดีใจยิ่งนัก!”
ซย่าโหวฉิงเทียนนึกไม่ถึงเลยว่าอวี้จิงเหลยจะตอบตกลงรวดเร็วเพียงนี้
เดิมทีเขายังเตรียมแผนสำรองเอาไว้ตั้งมากมาย เตรียมตัวที่จะใช้คำพูดอ่อนหวานโน้มน้าวทั้งจะเกาะติดอวี้จิงเหลยให้แน่นจนกว่าเขาจะยอมรับปาก
ใครจะคาดคิดว่าออกไปต่อยตีกับอวี้จิงเหลยเพียงแค่ยกเดียว ไม่สิ กล่าวให้ถูกต้องนั่นก็คือ เขา ‘สั่งสอน’ ประมุขอวี้ไปแค่รอบเดียวเท่านั้น เรื่องนี้ก็สำเร็จลุล่วง
เหนือความคาดหมายของเขาจริงๆ!
“เด็กโง่!”
มองดูใบหน้าอันแสนเย่อหยิ่งของเขาแล้ว อวี้เฟยเยียนก็อดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกมาหยิกแก้มทั้งสองข้างของเขาอย่างมันเขี้ยว
“ท่านนี่จะกล้าหาญชาญชัยเกินไปแล้ว แกล้งท่านปู่ของข้าได้! นี่ดีนะที่ท่านปู่เป็นผู้ใหญ่ใจกว้าง ไม่ถือสาเรื่องนี้กับท่าน! มิเช่นนั้นละก็ ถ้าว่าท่านปู่ไม่ตกลงขึ้นมา ท่านจะทำอย่างไร”
“เช่นนั้นก็…”
ซย่าโหวฉิงเทียนเอียงศีรษะเล็กน้อยครุ่นคิดถึงไม้ตายสุดท้ายที่ซย่าโหวจวินอวี่ถ่ายทอดมาให้ ‘ได้ยินว่าใช้เมื่อไหร่ได้ผลทุกครั้ง เขาเรียกว่าอะไรนะ’
“ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุก!”
“พรวด…”
เซี่ยงจิ้นที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกถึงกับสำลักน้ำ
ท่านอ๋อง!
เคล็ดวิชาลับที่ฝ่าบาททรงถ่ายทอดให้กับท่านอ๋อง เหตุใดท่านอ๋องถึงได้บอกเขาไปหมดเช่นนั้นเล่าพ่ะย่ะค่ะ
เรื่องแบบนี้ ควรจะใช้ร่างกายและพละกำลังลงมือปฏิบัติจริงไปเลย มิใช่หรือ
“ท่านไปเรียนกับใครมา”
อวี้เฟยเยียนใบหน้าแดงระเรื่อ น้ำเสียงเริ่มเจือไว้ด้วยความดุดัน
คบคนพาล พาลพาไปหาผิดจริงๆ เลย!
“เสด็จพี่สอน!”
คราวนี้เซี่ยงจิ้นถึงกับเข่าอ่อน ทรุดลงที่หน้าประตูนั่นเอง
ท่านอ๋อง นี่ท่าน…เชือดพ่อบังเกิดเกล้าเพื่อเมีย!
ท่านอ๋องทำเช่นนี้ ไม่แล้งน้ำใจไปหน่อยหรือพ่ะย่ะค่ะ
ฮ่องเต้ยังคงนอนกรน ‘ครอกฟี่’ อยู่ในห้อง โดยไม่ได้ล่วงรู้เลยว่าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนนำพระองค์ไปขายเสียแล้ว
เซี่ยงจิ้นที่อยู่ด้านนอกห้อง ได้ยินเช่นนั้นเข้าก็ถึงกับน้ำตาไหลพราก
ฉับพลัน เซี่ยงจิ้นก็รู้สึกว่าได้ว่า สิ่งที่ซย่าโหวฉิงเทียนกล่าวมาในตอนแรก ที่ว่า’เด็กเปรตอะไรนั่นเป็นสิ่งที่น่ารำคาญที่สุด ช่างเป็นสัจธรรมที่ถูกต้องจริงๆ ’
‘ดูสิ’!
ฝ่าบาททรงอุตส่าห์ทุ่มเทแรงกายแรงใจมากมายเพื่อปูทางตระเตรียมทุกอย่างไว้ให้กับท่านอ๋อง แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือเมื่อท่านอ๋องอยู่ต่อหน้าหญิง ก็ทรงหลงลืมทุกอย่างไปจนหมดสิ้น!
เซี่ยงจิ้นสงสัยถึงกระทั่งว่า หากใต้เท้าอวี้หลัวช่าถามขึ้นมาว่า ฝ่าบาททรงฉลองพระองค์ชุดด้านในสีอะไร ท่านอ๋องจะต้องตอบไปอย่างใสซื่อว่า สีเหลือง อย่างแน่นอน
ได้เมียแล้วลืมพ่อชัดๆ!
เมื่อได้ยินว่าเป็นความคิดของฮ่องเต้ อวี้เฟยเยียนก็พอจะเข้าใจได้
เพราะความคิดความอ่านของซย่าโหวฉิงเทียนออกจะแตกต่างจากคนปกติทั่วไป เช่นนั้นฝ่าบาททรงจะต้องสอนชนิดลงรายละเอียดตั้งแต่เริ่มต้น…
เห็นทีฝ่าบาทต้องทรงถูกยกย่องให้เป็นคุณพ่อตัวอย่างยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้วละ
“พระองค์ดีกับท่านมากนะ!”
มองดูซย่าโหวจวินอวี่ที่นอนหมอบหมดสภาพอยู่บนโต๊ะ น้ำลายไหลย้อยทั้งยังกรนออกมาเสียงดัง ไม่เหลือคราบความเกรียงไกรแห่งความเป็นฮ่องเต้เอาไว้เลยเช่นนั้น อวี้เฟยเยียนก็อมยิ้ม
“ต่อไปพวกเราจะต้องกตัญญูต่อฝ่าบาทให้มากๆ!”
“อื้ม!”
เนื่องจากในตอนนี้เป็นเวลาดึกมากแล้ว ซย่าโหวจวินอวี่ก็ออกจากวังมาเป็นเวลานาน ดังนั้นซย่าโหวฉิงเทียนเทียนจึงตัดสินใจพาซย่าโหวจวินอวี่กลับวังก่อน ถึงแม้ว่าตนเองอยากที่จะอยู่ตามลำพังกับแมวน้อยอีกหน่อยก็ตามที
รอจนกระทั่งอวี้เฟยเยียนและเจ้ายักษ์พาอวี้จิงเหลยกลับห้องแล้ว ซย่าโหวฉิงเทียนจึงแบกซย่าโหวจวินอวี่ขึ้นบ่า
“ท่านอ๋อง นี่ท่านอ๋อง”
เซี่ยงจิ้นเห็นดังนั้น ก็เกิดอาการสับสนงงงวย
“ไม่ประทับรถม้าหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ละ! กลางคืนอากาศหนาว ข้าจะส่งเสด็จพี่กลับไปก่อน เจ้ารีบตามมาก็แล้วกัน!”
ในตอนที่เซี่ยงจิ้นกำลังรู้สึกใจคอไม่ค่อยดีราวกับกำลังจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นนั่นเอง ซย่าโหวฉิงเทียนก็กระโดดขึ้นบนท้องฟ้าทะยานออกไป มุ่งหน้ากลับวังหลวงทันที
“ท่านอ๋อง รอหม่อมฉันด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
เซี่ยงจิ้นอยากร้องไห้แต่ก็ไร้ซึ่งน้ำตา เขาขยับขาสั้นๆ ของตนเองติดตามไปด้านหลังอย่างเร่งรีบ
เพียงแต่ว่า เซี่ยงจิ้นไหนเลยจะตามซย่าโหวฉิงเทียนได้ทัน! ในเวลาเพียงชั่วพริบตา ซย่าโหวฉิงเทียนและฮ่องเต้ก็หายวับไปเสียแล้ว