“น้องเขย เจ้ายังอายุไม่ถึงยี่สิบสี่มิใช่หรือ? เจ้าคือปราชญ์ราชันย์จริงหรือ?”
คราวนี้พี่ชายคนอื่นๆล้วนแต่กำลังจ้องมองยังซย่าโหวฉิงเทียนด้วยแววตาเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งบวกกับนับถือเลื่อมใส บรรดาลุงป้าต่างก็ตกตะลึงไปตามๆกัน
น้องเขยที่เจ๋งสุดยอดดังทะลุฟ้า วรยุทธ์สูงส่งเหนือใครอีกด้วย!
เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของทุกคน ตี้อู่เจ๋อก็เชิดหน้าขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ
น้องเขยเก่งกาจยิ่งนัก! น้องสาวก็เก่งกาจ! หนุ่มหล่อสาวสวย ช่างเหมาะสมกันราวกับสวรรค์สร้างเลยทีเดียว!
ตี้อู่เจ๋อให้เกียรติตนเองถึงเพียงนี้ ซย่าโหวฉิงเทียนเองก็พยักหน้าน้อมรับ
ไม่เสียแรงที่ดีกับเจ้าทึ่มนั่นมาโดยตลอด ในช่วงเวลานี้เจ้าทึ่มจึงมีประโยชน์มากทีเดียว!
“ยายเฒ่าข้าชักจะรู้สึกเวียนศีรษะขึ้นมาเสียแล้วนะเนี่ย!” ตี้อู่เจ๋อกุมขมับ
“หัวใจของข้ากำลังเต้นระรัวเร็ว! ปราชญ์ราชันย์คนที่สามคือหลานเขยของข้า? ทั้งยังหนุ่มยังแน่นอีกด้วย? ข้ามิได้กำลังฝันไปใช่ไหม! เจ้าหยิกข้าทีสิ!”
ได้ยินคำของตี้อู่เจ๋อ จิ่งเหนียงจึงยื่นมือออกไปหยิกเข้าให้ที่เนื้อบริเวณเอวของตี้อู่เจ๋อเข้าให้
“โอ้ย!” ทำเอาตี้อู่เจ๋อถึงกับสะดุ้งโหยง
“เจ้าหยิกข้าจริงๆหรือนี่!”
“เจ้าเฒ่านี่ ก็เจ้าให้ข้าหยิกเจ้าเองนี่นา! ตอนนี้กลับมาว่าข้า!”
กล่าวจบจิ่งเหนียงก็ไม่ไปสนใจตี้อู่เจ๋ออีก นางมองไปยังซย่าโหวฉิงเทียนยิ้มๆ
“หลานเขยเอ๋ย มานี่สิ มาให้ยายได้ดูเจ้าชัดๆ!”
ใครๆต่างก็บอกว่าแม่ยายดูหน้าลูกเขย ยิ่งดูก็ยิ่งถูกใจ ตอนนี้ผู้เป้นยายกำลังดูหน้าหลานเขยด้วยอารมณ์เดียวกัน
ซย่าโหวฉิงเทียนเดิมทีไม่ชอบให้คนนอกเข้าใกล้ แต่เมื่อคิดถึงว่าอีกฝ่ายคือญาติผู้ใหญ่ ทั้งยังเรียกเขาว่า หลานเขย อีกด้วย นั่นก็แสดงว่ายอมรับในตัวเขาแล้ว ดังนั้นจึงเดินเข้าไปหยุดที่เบื้องหน้าของหญิงชรา
หลานสาวของข้าสายตาแหลมเสียจริง!
จิ่งเหนียงยื่นมือออกไปแตะตามร่างของซย่าโหวฉิงเทียน ทั้งยังบิดกล้ามเนื้อของเขาอีกด้วย
“แน่นดีจริงเชียว! ร่างกายกำยำแข็งแรง! หน้าตาก็หล่อเหลา! ลูกที่เกิดมาจะต้องน่ารักน่าชังมากเป็นแน่!”
ส่วนบรรดาสาวใหญ่ป้าๆของอวี้เฟยเยียนต่างก็ใช้สายตาแม่ยายมองดูลูกเขยมองดูซย่าโหวฉิงเทียน
“เสียดายที่ข้ามมีลูกสาว! หากข้ามีลูกสาวก็คงจะดี! จะได้หาลูกเขยดีๆเช่นนี้กลับมาบ้าง!”
ถูกห้อมล้อมโดยบรรดาสาวใหญ่ที่อายุมากกว่า ราวกับตนเองคือลูกชายของพวกนางอย่างไรอย่างนั้น นับเป็นเรื่องที่ซย่าโหวฉิงเทียนไม่เคยพบเจอมาก่อน ความอบอุ่นเอ็นดูจากบรรดาท่านตาท่านยาย ท่านลุงท่านป้าของอวี้เฟยเยียนทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนแก้มแดงเล็กน้อย เขาค่อยๆตอบคำถามของพวกนางทีละข้อ
“เจ้าชอบเสี่ยวเยียนของเราตรงไหนกัน?” ท่านป้าใหญ่ของอวี้เฟยเยียนเริ่มกล่าวถาม
“ชอบทุกอย่างที่เป็นนาง” ซย่าโหวฉิงเทียนใบหูแดงเล็กน้อย
อีกฝ่ายเป็นป้า ยังอบอุ่นเอื้ออาทรถึงเพียงนี้ หากว่าได้พบแม่บังเกิดเกล้าของอวี้เฟยเยียนตัวจริง ใครๆต่างก็บอกว่าแม่ยายเสมือนแม่คนที่สอง จะอบอุ่นกว่านี้ไหมนะ?
“แต่เจ้าต้องคอยปกป้องนางให้ดี! อย่าให้นางต้องได้รับความอนาทรทุกข์ร้อนใดๆเด็ดขาด!” ท่านป้ารองของอวี้เฟยเยียนกำชับ
“ข้ากำลังพยายาม” ซย่าโหวฉิงเทียนพยักหน้าอย่างจริงจัง
“หึๆ——”ความจริงใจของซย่าโหวฉิงเทียน ทำให้หญิงชราที่สุดชื่นชมไม่ขาดปาก
“ช่างเป็นเด็กที่ซื่อตรงมีความรับผิดชอบมากจริงๆ! เด็กดี! เสี่ยวเยียนของเราช่างมีวาสนาจริงเชียว!”
คิกๆ! เมื่อได้ยินคำวิจารณ์จากผู้เป็นย่าต่อซย่าโหวฉิงเทียน ทำเอาตี้อู่เฮ่ออี้เกือบจะหลุดหัวเราะออกมาทีเดียว
‘ซื่อตรง? รู้หน้าที่? ‘
‘ท่านย่านะท่านย่า ตาของท่านย่าจะต้องมีปัญหาเป็นแน่!
‘คำสองคำนี้ไม่เหมาะสมกับน้องเขยผู้เ**้ยมโหดดุดันผู้นี้เลยแม้แต่น้อยว่าไหมเล่า?’
ตี้อู่เฮ่ออี้มองซ้ายทีขวาทีก็ไม่พบว่าซย่าโหวฉิงเทียนจะมีพรสวรรค์ในการ แสดงละครแต่อย่างใดนี่นา แล้วเพราะอะไรต่อหน้าผู้ใหญ่เขาถึงดูเรียบร้อยได้ถึงเพียงนี้กันนะ?
หากว่าเขาเป็น ‘เด็กดี’ จริง เช่นนั้นสกุลหนานกงและสกุลสุ่ย ล่มสลายได้อย่างไรกันเล่า…
แม้ว่าทุกคนจะมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องการจะพูดคุยกับซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียน แต่เมื่อเห็นว่าดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า ทุกคนจึงเริ่มแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตนเอง ภายใต้การกำกับดูแลของของเหล่าไท่ไท่
ครั้นเมื่อสมาชิกชนเผ่าคนอื่นๆได้ยินว่าบุตรสาวของเทพธิดากลับมาแล้ว จึงทยอยกันเดินทางมายังบ้านเรือนไม้ไผ่ที่ใหญ่ที่สุด เพื่อมาดูหน้าตาของอวี้เฟยเยียน
“นี่มันเทพธิดากลับชาติมาเกิดชัดๆ!”
“จริงด้วย! ข้ามองไกลๆยังคิดว่าเทพธิดากลับมาแล้วเสียอีก!”
ชาวตันซ้ายมีนิสัยเป็นมิตรยิ่งนักทั้งยังเอื้ออาทร เหล่าไท่ไท่พาอวี้เฟยเยียนไปทำความรู้จักหนึ่งรอบใหญ่ๆ จนในที่สุดนางก็ได้รู้จักเครือญาติจนครบ
คนจำนวนกว่าร้อยคนนี้ล้วนแต่เป็นชาวตันสายตรงและลูกหลานชาวตันสายตรงทั้งสิ้น ทุกคนล้วนแต่แซ่ตี้อู่ ถ้าเป็นหญิงหลังแต่งงานจะเปลี่ยนเพียงชื่อเท่านั้น
แต่ก่อนทุกคนต่างก็เรียกขานตี้อู่เยียนเอ๋อร์ว่า ‘เสี่ยวเยียน’ ดังนั้นสำหรับอวี้เฟยเยียน พวกเขาจึงเรียกว่า ‘เยียนเอ๋อร์’
การมาถึงของซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนทำให้เผ่าตันครึกครื้นขึ้นมาในทันที พวกผู้หญิงต่างก็ช่วยกันทำอาหาร ส่วนพวกผู้ชายก้ช่วยกันผ่าฟืนล่าสัตว์เก็บดอกเก๊กฮวย ทุกคนเริ่มยุ่งกับการทำงานต่างๆ เหลือเพียงเหล่าไท่ไท่อยู่เป็นเพื่อนอวี้เฟยเยียนเพียงลำพัง
“เด็กดี หลายปีที่ผ่านมานี้พวกเจ้าใช้ชีวิตกันอย่างไร?” จิ่งเหนียงจับมืออวี้เฟยเยียนเอาไว้ตลอดเวลาไม่ยอมปล่อย
ลูกคือเลือดในอกของแม่!
ตี้อู่เยียนเอ๋อร์คือลูกคนสุดท้องของจิ่งเหนียง ทั้งยังเป็นลูกสาว ดังนั้นจิ่งเหนียงจึงรักนางมากเป็นพิเศษ หลังจากที่แม่ลูกต้องแยกจากกันสิบเจ็ดปี ทุกวันนางจะต้องคิดถึงลูกสาวคนเล็กของตนเอง
สำหรับท่านยายแล้ว อวี้เฟยเยียนไม่มีอะไรต้องปิดบัง
นางจึงเล่าเรื่องราวของตนเองว่าเติบโตมาอย่างไรบนแผ่นดินหลัวอวี่ พบซย่าโหวแงเทียนได้อย่างไร รวมทั้งเรื่องที่ได้รับน้ำอมฤทธิ์ไท่จี๋ทำให้ร่างกายของนางเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ สุดท้ายเรื่องที่นางร่ำเรียนวรยุทธ์และวิชาแพทย์ ต่อมามาถึงยังเมืองอู๋โยวตามหามารดาบังเกิดเกล้าออกไปให้กับผู้เป็นยายได้ฟังโดยละเอียดครบถ้วน
สำหรับเรื่องที่นางถูกฮูหยินหนานซานวางยา รังแก จนโง่เขลาปัญญาอ่อนไปหลายปีจนกระทั่งถูกรัชทายาทถอนหมั้น เรื่องราวทุกข์เข็ญเหล่านี้ อวี้เฟยเยียนเลือกที่จะมองข้ามไป ไม่ได้เล่าให้ผู้เป็นยายได้ฟังแต่อย่างใด
“พ่อของเจ้ายังมีชีวิตอยู่?”
ได้ยินดังนั้น จิ่งเหนียงจึงรีบผุดลุกขึ้น เดินเข้าไปด้านในห้องหาอะไรบางอย่างอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงค่อยหยิบหยกก้อนหนึ่งออกมา
“นี่คือหยกสถิตวิญญาณของแม่ของเจ้า แม่ของเจ้ายังไม่ตาย นางยังมีชีวิตอยู่!”
หยกสถิตวิญญาณของตี้อู่เยียนเอ๋อร์เหมือกันกับอวี้เชียนหานทุกอย่างแต่แสงสว่างช่างริบหรี่มืดดำเหลือเกิน แม้ว่าพวกเขาจะยังมีชีวิตอยู่ แต่คิดว่าสภาพการณ์ของพวกเขาในตอนนี้คงจะไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก
‘หากพวกเขายังอยู่ดี แล้วเพราะอะไรจึงขาดการติดต่อกับตันซ้ายไปตั้งหลายปี ทั้งยังไม่ติดต่อกลับมายังสกุลอวี้อีกด้วย!’
“ท่านยาย ขอท่านยายวางใจ ข้าจะต้องตามหาท่านแม่และท่านพ่อจนเจออย่างแน่นอน!”
อวี้เฟยเยียนมือกำหยกสถิตวิญญาณของตี้อู่เยียนเอ๋อร์เอาไว้ด้วยแววตาแน่วแน่