ตอนที่ 1066
ขณะเอเลน่าและลูกค้าคนอื่นผ่านประตูโลหะที่สลายเป็นฝุ่นผงเข้าไป แสงจากม่านพลังวิญญาณจึงสาดส่องพื้นที่ ทุกคนค่อยได้เห็นภาพที่ชัดเจนกันก็ตอนนี้
มันเป็นพื้นที่กว้างใหญ่ จากที่เห็นสมควรเป็นสถานที่สำหรับใช้หลบภัยในยามฉุกเฉิน ตามพื้นมีอุปกรณ์ที่ไม่ทราบว่าคืออะไรกระจัดกระจายอยู่ทั่ว
ตามผนังยังมีรอยแตกร้าวพร้อมพืชที่เติบโตแทรกผ่านรอยแยก รวมถึงยังมีดอกไม้สีน้ำเงินเย็นเยือกซึ่งเบ่งบานเต็มที่
พื้นรอบด้านยังปกคลุมด้วยผงสีน้ำเงินเย็นเยือกหนาทึบ คล้ายว่าจะเป็นร่องรอยการผลัดใบของดอกไม้
นี่เป็นครั้งแรกที่ได้พบเห็นสัญญาณชีวิตที่นี่
ขณะลูกค้าคนอื่นดื่มด่ำกับความงดงามของพืชพรรณเหล่านี้ ดวงตาของหยวนก่วยคล้ายเบิกกว้างเผยประกายแสงเจิดจ้า
มีพืชพรรณคงอยู่ ในที่สุดก็มีอะไรที่คุ้มค่ามาเยือน
“พืชงั้นหรือ?” อวี่เว่ยเกิดประหลาดใจ “พวกมันเติบโตในสถานที่เช่นนี้? อาศัยอะไรในการเอาชีวิตรอดกัน?”
“น่าจะเป็นโลหะทั้งหลาย” ชาวไซเรนชี้ไปยังผนังกำแพง รากสีขาวเงินได้แทรกตัวชอนไชไปมาบนผนัง
“เหลือเชื่อ” เหวินเทียนจีอุทาน “เหล่านักปรุงยาของหุบเขาโอสถจะต้องสนใจพืชพรรณพวกนี้ไม่ใช่น้อยแน่”
ใบของพืชพรรณที่เป็นดอกไม้สีน้ำเงินเย็นเยือกเบ่งบาน มันเผยให้เห็นถึงสีแดงอมม่วงที่ดูพิเศษ ทั้งยังมีพลังงานอันรุนแรงปรากฏ ทั้งหมดนี้ล้วนเข้าเงื่อนไขการถูกจัดเป็นยาวิเศษ
หรือนี่จะเป็นการค้นพบสายพันธุ์ใหม่? ลั่วฉวนที่รับชมการถ่ายทอดสดเกิดได้ข้อสรุปขึ้นมา แต่เขาก็รู้สึกว่ามันไม่น่าใช่
“ตอนนี้เพียงเพิ่งสำรวจส่วนเล็กน้อยในโบราณสถาน ถือเป็นเพียงผลการเก็บเกี่ยวแรก” อานเหวยหยาที่ไม่ทราบว่าเดินมาเมื่อใดกล่าวคำขึ้น ขณะเดียวกันนางก็ทานไอศกรีมไปพลางด้วย
“ส่วนเล็กน้อย?” ลั่วฉวนทวนคำ
“พื้นที่ภายในโบราณสถานกว้างใหญ่ แล้วยัง…” อานเหวยหยาเผยยิ้มบาง “แม้ว่าสิ่งปลูกสร้างนี้ใหญ่โต แต่มันไม่ใช่ใจกลางของโบราณสถาน”
ลั่วฉวนเริ่มคาดเดาถึงขนาดแท้จริงของโบราณสถาน เทียบกับครั้งก่อนที่ราชวงศ์สัตว์อสูรอัญเชิญมา มันต้องใช้เวลาเดินทางไม่น้อยกว่าจะถึงสถานที่ซึ่งต้นไม้โลกตั้งอยู่
ดังนั้นคำของอานเหวยหยาจึงไม่น่าผิด
“นั่นสินะ” ลั่วฉวนพยักหน้ารับ “กลุ่มที่เข้าไปสำรวจน่ะต้องใช้เวลากันอีกไม่น้อย”
ลั่วฉวนกำลังทบทวน ว่าอารยธรรมที่เห็นนั้นคืออะไรจากเศษซากที่หลงเหลือ
“ครั้งนี้โบราณสถานจะคงอยู่นานเพียงใด?” เหยาซือหยานที่อยู่ข้างกายเอ่ยคำถามขึ้นมา
โดยคร่าวแล้วโบราณสถานซึ่งปรากฏในทวีปเทียนหลันมักจะหายไปเมื่อผ่านไประยะเวลาหนึ่ง ตามที่ลั่วฉวนเข้าใจ การผสานกันระหว่างสองมิติเป็นผลเกี่ยวเนื่องทำให้มิติของโบราณสถานเกิดอ่อนแรงลงจนยุบตัวเลือนหาย
“ครั้งนี้ค่อนข้างพิเศษ บางทีอาจอยู่นานยิ่งกว่าครั้งใด” อานเหวยหยากัดไอศกรีมไปพลางตอบคำถามอย่างคลุมเครือ
เหยาซือหยานก็เพียงถาม เพราะโบราณสถานนี้คงอยู่นานหรือไม่ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับนาง
ตรงจุดนี้ก็เหมือนกับลั่วฉวน เพราะเขาไม่ค่อยสนใจรับชมเรื่องราวในอดีตสักเท่าไหร่
…..
หุบเขาโอสถ
ภายในถ้ำ เสียงของเหยาฮุบเฉินดังปรากฏ
“ควบคุมความร้อน อยู่ที่หุบเขาโอสถแห่งนี้มาก็นาน แค่นี้ทำไม่ได้หรือ?”
“อย่าเพิ่งทำอะไรเกินเลย รับรู้ถึงความงดงามของมัน”
“อะไรคือออร่าแห่งนักปรุงยา? ผู้อาวุโสใหญ่ไปแสดงให้เห็นหน่อย”
เหยาฮุยเฉินนั่งบนเก้าอี้สูดลมหายใจเข้าลึก ขวดสไปรท์พลันปรากฏในมือจากแหวนมิติ
หลังดื่มเข้าไป สไปรท์ที่เย็นซ่าจึงค่อยคลายอารมณ์ให้แก่เขาได้
“ผู้อาวุโสที่สาม เห็นเจ้าจับโทรศัพท์วิเศษเมื่อครู่ มีอะไรให้รับชมหรือ?” เหยาฮุยเฉินกล่าวถาม
“รับชมการถ่ายทอดสด” ผู้อาวุโสที่สามตอบกลับมา
“ถ่ายทอดสด? ถ่ายทอดสดอะไร?”
“โบราณสถาน”
“โบราณสถานที่ปรากฏอย่างกะทันหันใกล้เคียงนครจิ่วเหยาวันนี้?”
“ตามท่านว่า”
เหยาฮุยเฉินทราบเรื่องโบราณสถานปรากฏแม้อยู่ไกลห่างถึงหุบเขาโอสถ
การจับตาดูข่าวสารผ่านโทรศัพท์วิเศษ นั่นถือเป็นหน้าที่หลักของจ้าวสำนักหุบเขาโอสถเช่นเขา
“นี่มัน…” ผู้อาวุโสที่สามอุทานดังขึ้นมา
“มีอะไรกัน?” เหยาฮุยเฉินมองหน้าจอโทรศัพท์วิเศษในมือผู้อาวุโสที่สามด้วยความสงสัย จากนั้นสายตาเขาจึงจับจ้อง “พืชพรรณนี่…”
แม้ไม่เคยเห็นมาก่อน แต่จากสัญชาตญาณมันบ่งบอกว่าต้องวิเศษ
ทันใดนี้เองที่เขาลุกขึ้นพร้อมตะโกนบอกผู้อาวุโสใหญ่ที่กำลังสอนนักปรุงยา “ผู้อาวุโสใหญ่ มาทางด้านนี้ก่อน วันนี้พวกเราจะไปนครจิ่วเหยา”
แม้ผู้อาวุโสใหญ่สงสัยต่ออาการของผู้อาวุโสที่สามและเหยาฮุยเฉิน ทว่าเขาเลือกไม่ถามอะไรมาก เพียงแต่ตามทั้งสองออกไปจากถ้ำ
เมื่อเหยาฮุยเฉินและคณะผู้อาวุโสหุบเขาโอสถ พร้อมทั้งนักปรุงยาทั้งหลายออกมายังภายนอก เรื่องราวจึงแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว
อย่างไรแล้วโทรศัพท์วิเศษก็เป็นอุปกรณ์อำนวยความสะดวกในการเผยแพร่ข่าว
ทว่าลูกค้าส่วนใหญ่เวลานี้ต่างรับชมการถ่ายทอดสดกันอยู่ จำนวนโพสต์และคนในห้องแชทจึงน้อยลงอย่างถนัดตา
เพราะพลังงานอันชวนสะพรึงที่ตกค้างตรงทางเข้าโบราณสถาน มันลดทอนจำนวนผู้ที่คิดเข้าไปได้กว่าเก้าในสิบ
มีแต่ผู้ฝึกตนขอบเขตทดสอบเต๋าจึงสามารถเข้าไปได้ แม้จะยากลำบากไปบ้างสักเล็กน้อย
…..
พืชพรรณที่เติบโตบนผนังโลหะ พวกมันไม่ได้ถูกเก็บออกมาเพราะยังไม่ทราบว่าปลอดภัยหรือไม่
เอเลน่ารวบรวมผงที่อยู่บนพื้นพร้อมสร้างมวลธาตุน้ำขนาดเล็กในมือ
ด้วยการขึ้นโครงร่างเล็กน้อย มันเคลื่อนไหวได้ประหนึ่งมีชีวิต
“ธาตุน้ำระดับต่ำ ใช้เพื่อทดสอบดูว่ามีอันตรายใดหรือไม่” เอเลน่ากล่าวอธิบายเสียงเบา
ธาตุน้ำผสานรวมเข้ากับผงสีน้ำเงินเย็นเยือก เพราะร่างโปร่งแสงจึงทำให้สามารถง่ายพบเห็นความเปลี่ยนแปลงได้
แรกเริ่มทุกสิ่งยังดูปกติดี แต่หลังผ่านไปครู่ ตัวผงเริ่มกระจายตัวและเลือนหาย ผลลัพธ์จึงทำให้ร่างที่โปร่งแสงของธาตุน้ำกลับกลายเป็นปรากฏสีสันขึ้นมา
“ไม่มีอันตรายใด” เอเลน่าสลายมวลธาตุน้ำพร้อมหันมองทางดอกไม้ “แต่พืชพรรณพวกนั้นยังไม่ทราบ”
“ให้ข้าไปตรวจสอบ” หยวนก่วยเอ่ยคำขึ้น
ภายใต้สายตาทุกคนจับจ้อง เขาเดินไปยังดอกไม้ที่อยู่บนผนัง
พลังวิญญาณปกคลุมรอบฝ่ามือเขาพร้อมพยายามที่จะดึงมันออกมา ทว่าไม่อาจขยับ
หยวนก่วยต้องเผยสายตาประหลาดใจ “หยั่งรากไว้โดยสมบูรณ์กับโลหะงั้นหรือนี่? ไม่เคยเห็นอะไรเช่นนี้มาก่อน”
ในทวีปเทียนหลัน มันไม่มีตัวตนอะไรเช่นพืชพรรณที่เติบโตโดยอาศัยโลหะ
ตามปกติแล้ว ต่อหน้าผู้ฝึกตนขอบเขตราชันระดับสูงสุดเช่นหยวนก่วย ทุกสิ่งอย่างไม่น่ามีปัญหา
เพราะไม่อยากทำลายสภาพแวดล้อมของที่นี่ เขาจึงไม่คิดถอนราก เพียงแต่คิดตัดรากมันออก
ตอนนี้เองที่ได้ยินเสียงโลหะแตกกระจาย
รากสีขาวเงินที่ควรติดกับก้านสีแดงอมม่วง เมื่อถูกถอนออกมา รากที่เกิดช่องโหว่กลับผสานเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว
“ข้าขอถาม นี่ยังเรียกว่าพืชพรรณได้อยู่หรือ?” เหยาซือเย่ว์เข้าไปใกล้ด้วยความสงสัย นางมองพืชที่ถูกหยวนก่วยตัดรากไปแล้วพลางถาม
“ก็อาจจะยังเรียกได้อยู่” เหวินเทียนจีเผยสีหน้าครุ่นคิด “เพราะสภาพแวดล้อมพิเศษจึงทำให้เกิดรูปแบบชีวิตที่พิเศษขึ้นมา อย่างไรแล้วชีวิตก็ถือเป็นตัวตนพิเศษมาแต่ไหนแต่ไร”