หนังเล่นอะไร บุริศร์ไม่รู้ แต่ดวงตาสดใสและคำพูดของนรมนเมื่อครู่เขาได้ยินชัดเจน
“คิดอะไรอยู่คะ”
บุริศร์อึ้งไปได้แต่ฝืนยิ้ม
เขาผ่าตัดแล้ว จะมีลูกสาวสองคนได้ยังไง นรมนคงจะดูหนังจนอินเกินไปกระมัง
นรมนเห็นบุริศร์ตอบสนองอย่างนี้ ก็กล้ำกลืนเรื่องที่อยากจะพูดลงไป
เห็นสีหน้าของเขาเธอก็รู้ว่าเขาจะตัดสินใจอย่างไรแล้ว
เฮ้อ
อยากจะมีลูกสักคนทำไมยากขนาดนี้
เธอดูหนังไม่สนุกแล้ว
เห็นนรมนอารมณ์หดหู่ บุริศร์รู้สาเหตุ แต่คิดถึงสุขภาพของนรมน เขาจึงห้ามตัวเองไม่พูดอะไรทั้งนั้น
ในที่สุดนรมนก็ดูไม่รู้เรื่องแล้ว
“ไม่สนุกแล้ว ไปกันเถอะ กลับบ้านกันค่ะ”
“ครับ”
บุริศร์ไม่พูดอะไร ออกจากโรงหนังกับนรมน
ด้านนอกอากาศค่อนข้างเย็น
นรมนห่อตัว บุริศร์จึงหยิบเสื้อคลุมให้เธอ
ตอนเธอออกจากบ้านไม่ได้สวมเสื้อผ้าหนามาก ตอนที่บุริศร์ออกมาหาเธอจึงตั้งใจเตรียมเสื้อคลุมมาให้
นรมนเห็นบุริศร์ใส่ใจตัวเอง ที่จริงผู้ชายคนนี้ดีมากจริงๆ
เธอไม่อาจหาตำหนิเขาได้
บางทีห้าปีก่อนเขาไม่เข้าใจความรัก ไม่เข้าใจวิธีการแสดงออก แต่ห้าปีต่อมาเขาชดเชยทุกอย่างเต็มที่มาตลอด กระทั่งยกทุกอย่างที่ดีที่สุดที่ตัวเองมีให้พวกเขา
นรมนมองสีหน้าซีดเผือดของบุริศร์บนเก้าอี้นั่งรถเข็น ที่จริงเขาน่าจะยังไม่กินข้าวกลางวันก็ออกมาหาเธอ
บางทีตัวเองปิดเครื่องแล้ว เมื่อติดต่อไม่ได้ก็รีบออกมาโดยไม่ใส่ใจสุขภาพตัวเอง
ในใจนรมนรู้สึกอบอุ่น
ผู้ชายอย่างนี้ที่จริงเธอไม่ควรจะบังคับเขา แต่เธอตัดใจไม่ได้จริงๆ
ถ้าหากพวกเขาไม่วางแผนอะไรแล้วมีลูก นั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่ถูก แต่ตอนนี้บุริศร์ผ่าตัดแล้ว แต่เธอก็ยังท้อง อย่างนั้นพระเจ้ามอบของขวัญให้พวกเขาไม่ใช่หรือ
เธออยากจะเก็บลูกไว้จริงๆ
แต่ทัศนคติของบุริศร์แข็งอย่างนั้น นรมนรู้นิสัยเขาดี เรื่องเล็กๆ เธอจะโวยวายเอาแต่ใจอย่างไรก็ได้ แต่เรื่องสุขภาพของเธอ บุริศร์ไม่มีทางประนีประนอม
ฉะนั้นเธอจะต้องประนีประนอมมั้ย
จะต้องปล่อยเด็กคนนี้ไปมั้ย
คำตอบลึกๆ ในใจของนรมนคือไม่
เธอจะพูดกับบุริศร์อย่างไรดี จะเก็บเด็กคนนี้ไว้อย่างไรนรมนรู้สึกว่าต้องคิดอ่านหาวิธีอื่น
บุริศร์เห็นนรมนมองตัวเองไม่พูดจา สีหน้าก็เหมือนครุ่นคิด เหมือนกับอยากจะพูดอะไร ก็อดถามไม่ได้
“เป็นอะไรไปครับ”
นรมนอยากจะพูดเรื่องลูกจริงๆ แต่ก็ส่ายหน้า “คุณกินข้าวแล้วยังคะ”
“ยังครับ”
“งั้นกลับบ้านกันค่ะ ให้ป้าหวานทำอะไรอร่อยๆ ให้คุณกิน ตอนนี้สุขภาพคุณกินอาหารข้างนอกไม่ได้”
นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่บุริศร์ผ่าตัดที่นรมนพูดถึงสุขภาพของเขา เกือบจะทำให้บุริศร์ร้องไห้ซาบซึ้ง
ภรรยาดีกับเขาแล้วจริงๆ หรือ
“คุณไม่โกรธแล้วหรือครับ”
บุริศร์รู้ว่าตัวเองถามอย่างนี้ดูงี่เง่า แต่เขาก็ยังถามออกไป
นรมนพยักหน้า “คุณทำให้ฉันโกรธไม่ใช่แค่เรื่องเดียว ถ้าฉันโกรธทุกเรื่องนานละก็ ฉันคงโกรธตายไปนานแล้ว”
“มีไม่กี่เรื่องที่ทำให้คุณโกรธหรือเปล่า”
บุริศร์รู้สึกผิด
นรมนเบิกตานิดหนึ่ง
“แน่ใจหรือคะ ไม่งั้นเรามาลองนับดู”
“ช่างเถอะ ผมหิวแล้ว เรากลับบ้านไปกินข้าวกัน”
บุริศร์รีบเปลี่ยนหัวข้อ
ล้อเล่นน่า กว่าเขาจะง้อไม่ให้ภรรยาโกรธได้ จะพูดถึงเรื่องในอดีตไม่ได้
มุมปากของนรมนยิ้มนิดหนึ่ง แล้วดันตัวบุริศร์ขึ้นรถ
หลังจากสงครามเย็นผ่านไปจู่ๆ ก็ถูกภรรยาดูแล บุริศร์รู้สึกว่าตัวจะลอยแล้ว
“ที่รัก ผมอยากกินหมูทอดราดซอสเปรี้ยวหวาน”
“ค่ะ กลับไปให้ป้าหวานทำให้กิน”
นรมนไม่ปฏิเสธ
มุมปากของบุริศร์ยิ้มนิดๆ
มิลินเห็นเช่นนี้ แอบถอยไปข้างหลังเงียบๆ ทำตัวลีบเล็กเหมือนไม่อยู่ตรงนั้น
จริงๆ เลย เธอไม่อยากจะเป็นก้างขวางคอ แต่หลบไม่ได้
ตลอดทางนรมนอยากจะพูดหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็เลิกล้มไป
หลังกลับถึงบ้าน นรมนก็เข็นบุริศร์เข้าไปในห้องนอนใหญ่ จากนั้นก็ให้คนทำอาหารให้เขา แล้วจะเดินออกไปห้องนอนที่อยู่ติดกัน แต่ถูกบุริศร์ดึงไว้
“คุณไม่โกรธผมแล้ว ทำไปยังไม่ย้ายกลับมาอีกละครับ คุณคิดจะแยกกับผมนานเท่าไหร่”
นรมนมอง บุริศร์ กระแอมทีหนึ่ง “ตอนนี้สุขภาพคุณต้องพักผ่อน ฉันก็เหมือนกัน อยู่กับคุณฉันจะเป็นห่วงสุขภาพของคุณ เราแยกกันดีกว่าค่ะ”
เหตุผลอ้อมๆ แบบนี้มีแต่นรมนที่พูดออกมาได้
บุริศร์ถามน้อยใจ “งั้นอีกนานเท่าไหร่ถึงจะย้ายกลับมาครับ”
“ร่างกายคุณคล่องแคล่วแล้วฉันจะกลับมาค่ะ เอาล่ะ ก็ไม่ได้ไกลเท่าไหร่ แค่กำแพงกั้นเท่านั้นเอง
นรมนตบมือบุริศร์ “เป็นสามีภรรยากันแล้ว จะตัวติดกันตลอดไปทำไมกัน ไม่ต้องกลัวคนอื่นหัวเราะ จริงสิ พรุ่งนี้ไม่มีอะไรแล้วรับเด็กๆ กลับมาเถอะค่ะ ฉันคิดถึงพวกเขาแล้วค่ะ”
พูดจบนรมนก็เดินออกไปจากห้อง
บุริศร์มองหลังมือตัวเองที่ถูกตีแดงนิดหนึ่ง ก็อดไม่ได้ที่จะน้อยใจ
ภรรยาไม่รักเขาแล้วจริงๆ
ไม่เบามือสักหน่อยเลย
และยังจะรับเด็กๆ กลับมาทำไม มาเป็นกขคหรือไง
ตอนแรกคิดอยากจะรับพวกเขามาเพราะอยากให้บรรยากาศสงครามเย็นกับนรมนดีขึ้น ตอนนี้พวกเขาดีกันแล้ว กขคสามคนนั้นจะกลับมาทำไม
เขาไม่อยากให้พวกเขากลับมา
บุริศร์คิดอย่างนี้
นรมนกลับมาถึงห้องแล้วก็นอนบนเตียง เธอจำได้คุณหมอบอกอย่างไรบ้าง อีกทั้งยังแอบนำเอารูปอัลตราซาวด์ขึ้นมา ดูจุดเล็กๆ บนพื้นสีดำ ก็อดยิ้มไม่ได้
เธอจะเป็นแม่คนแล้ว
ความรู้สึกนี้ดีจัง
นรมนลูบท้องตัวเอง แอบสาบานจะต้องปกป้องเด็กคนนี้ให้ดี
แต่จะบอกพ่อของเด็กอย่างไรดี
นรมนรู้สึกลำบากใจ
เธอหยิบมือถือขึ้นมาอยากจะส่งข้อความไปหาโพนี่ แต่พอเปิดหน้าแชทกับโพนี่ แทบจะมีแต่รูปลูกชายของเธอ
นึกไม่ถึงลูกชายของโพนี่จะโตขนาดนี้แล้ว หน้าตาขาวๆ อ้วนๆ เหมือนโพนี่มากทีเดียว
ปวีราก็อยู่ในรูปด้วย กอดน้องชายอ่อนโยนมาก
นรมนใจจะละลายแล้ว
ไม่รู้เป็นเพราะตัวเองท้องหรือไม่ เธอชอบลูกชายของโพนี่มาก กระทั่งคิดว่าลูกของตัวเองจะหน้าตาเป็นอย่างไร
นรมนวิดีโอคอลไปหาโพนี่
ผ่านไปครู่หนึ่งอีกฝ่ายถึงรับสาย
“นรมนหรือ ทำไมมีเวลาวิดีโอคอลหาฉันล่ะ นึกว่าเธอยุ่งจนไม่มีเวลาติดต่อฉันเสียอีก”
โพนี่อ้วนขึ้นมาก ใบหน้าอ้วนท้วน แต่สภาพจิตใจดีมาก
นรมนยิ้มพลางเอ่ย “ตอนที่เธอคลอดลูกฉันไม่อยู่เมืองชลธี ไม่มีเวลาไปเยี่ยมเธอกับลูก ถ้าไม่วิดีโอคอลหาเธออีก จะยังเป็นเพื่อนกันอีกหรือ”
“พวกเธอไม่มา แต่มีของขวัญมา ขอบใจเธอกับพี่รองส่งของขวัญชิ้นใหญ่ขนาดนั้นให้ลูกชายฉันนะ”
คำพูดของโพนี่ทำให้นรมนชะงักนิดหนึ่ง
ตอนที่โพนี่คลอดลูกเธอกับบุริศร์อยู่ข้างนอก สถานการณ์เวลานั้นตึงเครียด นรมนไม่ทันเตรียมของให้พวกเขา ตอนนี้ได้ยินโพนี่พูดเช่นนี้ นรมนกลับค่อนข้างประหลาดใจ
“ของขวัญ?”
“เธออย่าบอกนะว่าไม่รู้! บุริศร์ของเธอส่งคฤหาสน์หรูหราให้ลูกชายฉันในนามของลูกชายฉัน ปีหน้าสร้างเสร็จเป็นทางการ ลูกชายฉันรวยแล้ว เห็นป้องบอกว่าราคาที่ตรงนั้นตั้งหลายร้อยล้านเชียวนะ”
โพนี่พูดเช่นนี้ทำให้นรมนอึ้งไป
เธอทราบเรื่องที่บุริศร์ซื้อที่ดินสร้างคฤหาสน์ที่เมืองN แต่คิดไม่ถึงเขาจะมอบที่ดินและคฤหาสน์ให้ลูกชายของป้องเป็นของขวัญครบเดือน
แต่นรมนก็ดีใจ โชคดีที่บุริศร์เตรียมของขวัญ ไม่อย่างนั้นคงจะเสียมารยาทจริงๆ
“เขาเคยพูดแล้ว แต่ฉันไม่นึกว่าจะให้พวกเธอเร็วขนาดนี้”
“เรื่องไม่ช้าก็เร็วน่ะ”
ดูออกว่าโพนี่ดีใจมาก
นรมนยิ้มแย้ม “บางทีอีกเก้าเดือน ป้องของเธออาจจะต้องเตรียมของขวัญให้ฉันบ้างนะ”
“หมายความว่าไง”
โพนี่งุนงง
ท้องงั้นหรือ
แต่ว่าบุริศร์ไม่ได้ผ่าตัดแล้วหรือ
นัยน์ตาของโพนี่เบิกโต มองนรมนสงสัย เห็นนรมนยิ้มที่มุมปากนิดๆ และยังฉีกยิ้มกว้างเรื่อยๆ ความสงสัยในใจยิ่งมากขึ้น
“ไม่ใช่มั้ง ใช่อย่างที่ฉันคิดใช่มั้ย”
“อึม อย่างที่เธอคิดนั่นแหละ ฉันถึงอยากจะถามเรื่องนี้กับป้องหน่อย การผ่าตัดตอนนั้น…”
นรมนไม่พูดต่อ ในเมื่ออยู่ห่างกันแค่กำแพงกัน แม้เธอจะปิดหน้าต่างแล้ว บุริศร์ก็ไม่แน่อาจจะได้ยิน
โพนี่ตกตะลึงพรึงเพริดแล้วรีบตอบสนอง
“การผ่าตัดใดๆ ในทางการแพทย์ไม่ใช่จะร้อยเปอร์เซ็นต์ นี่ไม่ใช่ปัญหาทางเทคนิค บางคนอาจจะมีหลอดนำอสุจิสองท่อ โอ้โห บุริศร์ของพวกเราช่าง…”
โพนี่ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี
นรมนก็ทำหน้าไม่ถูก
“คุณหมอคนนั้นก็พูดอย่างนี้ สถานการณ์แบบนี้มากมั้ย”
“ไม่พบบ่อย อาจจะพูดได้ว่าอัตราน้อยมาก แต่อัตราน้อยมากก็ยังเกิดกับพวกเธอ ฉันไม่รู้ว่าควรแสดงความยินดีกับพวกเธอหรือพูดอะไรดี”
โพนี่รู้สภาพร่างกายของนรมน พูดให้ชัดก็คือภายในสามปีพวกเขาไม่ควรมีลูก เพื่อให้นรมนฟื้นฟูร่างกาย แต่ตอนนี้คนกำหนดไม่สู้ฟ้ากำหนด พระเจ้าประทานเด็กให้พวกเขา นี่จะให้เธอพูดยังไงดี
“เธอคิดยังไงล่ะ”
“ฉันอยากเก็บเด็กไว้”
นรมนบอกความคิดของตัวเองกับโพนี่
“พี่รองรู้เรื่องนี้มั้ย”
“ฉันยังไม่ได้บอกเขา ยังกลุ้มใจไม่รู้จะพูดกับเขายังไงดี”
นรมนหน้าเครียด จากนั้นจู่ๆ ก็ยิ้มตาหยีมองโพนี่ “ไม่อย่างนั้นให้ป้องของเธอช่วยหน่อยได้มั้ย”
“เธอคิดว่าป้องจะสู้หมาป่าอย่างบุริศร์ได้หรือไง”
โพนี่พูดเช่นนี้ทำให้นรมนยังคงสบายใจมาก
“ไม่เป็นไร ไม่ได้ให้เขาสู้ซะหน่อย แค่บอกใบ้ก็พอแล้ว”
โพนี่รู้สึกกลุ้มใจ
“ลูกพี่ เธอคิดให้ดีนะ ป้องเป็นคนผ่าตัดเอง ให้เขาเป็นคนพูดเป็นนัย เธออยากให้พี่รองอัดเขาหรือไง ลูกชายฉันเพิ่งจะเกิดไม่กี่เดือนเองนะ ใจคอเธอทำได้ลงเหรอ”
ได้ยินโพนี่พูดอย่างนี้ นรมนก็ยิ้มเกรงใจ
“งั้นทำไงดี ฉันไม่กล้าบอกกับเขา เกิดเขาไม่ตกลง ฉันก็ต้องทำสงครามเย็นกับเขาอีก เธอไม่รู้หรอก ฉันเพิ่งเลิกสงครามเย็นกับเขาเอง”
คำพูดนี้ทำให้มุมปากโพนี่กระตุก