เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ – ตอนที่ 126

ตอนที่ 126

เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ – บทที่ 126 หนึ่งในสี่สุดยอดคนงามแห่งพรรควรยุทธโบราณ
เย่เทียนเฉินเป็นเพียงวัยรุ่นอายุยี่สิบปีเท่านั้น หลงจากที่ปลดประจำการจากกองทัพและกลับมาที่เมือง ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปจนไม่เหมือนเดิม เขาไม่ใช่คุณชายเสเพลเย่เทียนเฉินคนนั้นอีกต่อไปแล้ว และไม่ใช่ตัวตลกของทั่วทั้งเมืองหลวง เขาในตอนนี้ไม่หาเรื่องใคร แต่ใครก็หาเรื่องเขาไม่ได้

ตอนที่เขาขี้เล่นขึ้นมาก็ทำให้ผู้คนอับจนคำพูด เหมือนพวกอันธพาลอะไรเทือกนั้น พอจริงจังขึ้นมา พูดจาเผด็จการ การกระทำเด็ดขาด กล้าหาญเด็ดเดี่ยว ขนาดหยางอี้ยังสั่นสะท้าน

หยางอี้มองเย่เทียนเฉิน เขามีงานที่จะให้เย่เทียนเฉินทำจริงๆ มิฉะนั้นคงไม่กล้าส่งชางหลางไปรับเขามายังที่ทำงานของตนหลังจากที่อีกฝ่ายเพิ่งก่อเรื่องใหญ่ขนาดนั้นมาหมาดๆ ซึ่งเป็นการบอกคนอื่นกลายๆ ว่าเขาหยางอี้คุ้มครองเย่เทียนเฉินอยู่

ต้องทราบว่าครั้งนี้เย่เทียนเฉินบุกเข้าไปก่อเรื่องที่ตระกูลฉินอย่างใหญ่โต ทำให้ฉินอี้และฉินเหิงตาย นี่เป็นเรื่องที่สามารถสั่นสะเทือนทั่วทั้งประเทศจีนได้เลย ต่อให้หยางอี้ที่เป็นระดับบิ๊กก็ยังไม่กล้า ไม่อาจก่อเรื่องติดๆ กันในเวลาอันสั้นแบบนี้ได้ เดิมทีก็ไม่มีใครที่ทำแบบนี้อยู่แล้วเพราะเป็นการตั้งตัวเป็นศัตรูกับตระกูลฉิน และเป็นการตั้งตัวเป็นศัตรูกับคนสนิทของฉินอี้ แม้ตำแหน่งของหยางอี้จะสูง แต่ก็ไม่อาจรับความเสี่ยงได้ เนื่องจากความผิดที่เย่เทียนเฉินก่อในครั้งนี้ใหญ่คับฟ้าจริงๆ

หากไม่ใช่เพราะภารกิจค่อนข้างเร่งด่วน หยางอี้คงไม่ทำแบบนี้ ที่สำคัญก็คือเมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วมีเพียงเย่เทียนเฉินคนเดียวที่เหมาะสมจะทำภารกิจนี้ที่สุด และยังไม่ดึงดูดความสงสัยของคนอื่นสักนิด

“ฉันรู้แล้วว่านายพิเศษ ชางหลางเองก็บอกว่านายแข็งแกร่งมาก ได้ยินมาว่านายได้รับฉายาใหม่ที่ประเทศM ซะด้วย ปีศาจตะวันออกใช่ไหม?”

“ผู้เฒ่าครับ ดูแล้วคุณคงเชื่อคำพูดของผมทุกอย่าง ส่งคนไปพิสูจน์ความจริงและตรวจสอบการกระทุกอย่างของผมที่ประเทศM แล้ว รู้ว่าผมทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติและประชาชนมากแค่ไหน เลื่อนขั้นให้พอผมสามขั้นแล้วรึยังครับ?” เย่เทียนเฉินยิ้ม กล่าวเรียกร้องอย่างไร้ยางอาย

“นายยังอยากช่วยพ่อของนายเลื่อนตำแหน่งราชการอีกหรือ? ครั้งนี้ก่อเรื่องตระกูลฉินจนใหญ่โต ไม่พัวพันไปถึงพ่อของนายจนสูญเสียตำแหน่งก็ไม่เลวแล้ว อย่าคิดให้มันมากเกินไป!” หยางอี้มองเย่เทียนเฉินอย่างจนใจพลางเอ่ยปากพูด

“งั้นก็ช่างเถอะ พวกเราไม่มีอะไรต้องคุยกันแล้ว บายๆ!”

เย่เทียนเฉินเป็นคนที่มีเอกลักษณ์มากจริงๆ ไม่เห็นว่าหยางอี้สำคัญเลยสักนิด ในสายตาของเขา หยางอี้ก็เหมือนกับญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง แน่นอนว่านับเป็นญาติผู้ใหญ่ที่ไม่เลวเลย ส่วนเรื่องตำแหน่งราชการอะไรนั่น เย่เทียนเฉินไม่ได้คิดมากขนาดนั้น เนื่องจากชาติก่อนของเขา ได้ไปถึงขั้นเกิดวิฤตการณ์ไปทั่วทั้งโลกแล้ว ไม่มีประเทศชาติ ไม่มีกองทัพ มีเพียงผู้แข็งแกร่งถึงจะสามารถรอดชีวิตต่อไปได้ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไร้ค่า การมีชีวิตรอดเป็นการพิสูจน์ความสามารถที่ดีที่สุด

“เห้อ นี่เป็นภารกิจที่ง่ายและสบายใจ ทั้งยังสามารถช่วยให้นายผ่านพ้นอุปสรรคไปได้อีกด้วย ที่สำคัญที่สุดก็คือช่วยทำให้ตระกูลของนายค่อยๆ รุ่งเรืองขึ้น มีคนมากมายที่พบแต่ก็ทำไม่ได้ ในเมื่อนายไม่ต้องการ งั้นฉันไปหาคนอื่นก็แล้วกัน…” หยางอี้มองเย่เทียนเฉินที่เตรียมจะเดินออกไปโดยไม่สนใจสักนิด ทำให้เขาโกรธจนกัดฟัน แต่ยังแสร้งทำเป็นเสียดายแล้วพูดออกมา

ผ่านไปครู่หนึ่ง เย่เทียนเฉินที่อยู่ตรงประตูห้องทำงานพลันพุ่งมาหน้าโต๊ะของพยางอี้ หัวเราะฮี่ๆ แล้วเอ่ยปากขึ้น “ผู้เฒ่าครับ นี่เป็นความผิดของคุณนะ มีเรื่องดีๆ แบบนี้ทำไมไม่พูดออกมาเร็วๆล่ะ? ผู้ใหญ่พูดจาช้าเกินไป บางครั้งก็จะทำให้ผู้เยาว์เข้าใจผิดได้ จำไว้นะครับว่าครั้งหน้าอย่าทำแบบนี้อีก พูดมาเถอะ เรื่องอะไร บางทีผมอาจจะยินดีช่วยคุณก็ได้?”

ตอนนี้นับว่าหยางอี้เข้าใจคำพูดของชางหลางแล้ว เย่เทียนเฉินคนนี้ เห็นว่าฝีมือของเขาแข็งแกร่ง ตอนจริงจังก็ราวกับเทพแห่งความตาย ยามปกติจะคำพูดจาหรือการกระทำล้วนไม่น่าเชื่อถือ หากจะไปคิดเล็กคิดน้อยกับเขา อาจจะถูกทำให้โมโหจนตายก็เป็นได้

หยางอี้จับจุดนิสัยเหล่านี้ของเย่เทียนเฉินได้แล้วเช่นกัน เบื้องหน้าดูเหมือนเย่เทียนเฉินจะเป็นคนไร้สมองคนหนึ่ง แต่ความจริงแล้วฉลาดมาก ฝีมือของเขาแข็งแกร่งมาก แต่ก็ไม่ใช่พวกบุ่มบ่ามอย่างเด็ดขาด คำพูดคำจาการกระทำไม่น่าเชื่อถือ แต่ก็ไม่ได้แสดงถึงสมองและแผนการของเขา เพียงแต่มีหลายอย่างที่เขาชอบใช้กำปั้นเข้าจัดการ นอกจากนี้เย่เทียนเฉินยังมีลักษณะพิเศษอีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือเกลียดชังการถูกคุกคาม หากมคนกล้าคุกคามเขาไม่ว่าเรื่องอะไร คุกคามญาติมิตรข้างกายเขา ต่อให้เป็นเทพเซียนก็ต้องถูกเขาฆ่าทิ้ง ยังดีที่คนคนนี้ไม่ใช่พวกเลือดเย็นที่ฆ่าคนบริสุทธิ์ มิฉะนั้นในฐานะที่เป็นบุคคลระดับสูงของประเทศ หยางอี้ก็จะไม่ทนยอมให้เย่เทียนเฉินก่อเรื่องมั่วซั่ว คงคิดหาทางฆ่าเขาไปนานแล้ว อย่างไรก็ตามในสายตาของพวกเขา ความปลอดภัยของประชาชนมาเป็นอันดับหนึ่ง

ดังนั้น คนฉลาดเช่นหยางอี้จึงรู้ว่ามีเพียงการพูดคุยกันเช่นนี้ มีเพียงการใช้การพูดคุยอย่างมีความสุขและสบายๆ มารับมือกับเย่เทียนเฉิน อีกทั้งเย่เทียนเฉินยังเป็นคนชอบเล่นสนุก กับคนแบบนี้ต้องใช้ภารกิจที่น่าสนุกมาดึงดูดเขา มิฉะนั้นใครก็ทำอะไรเขาไม่ได้

หากเรื่งนี้ถูกคนอื่นรู้ เกรงว่าจะต้องตกใจจนคางร่วง หยางอี้ที่เป็นผู้มีตำแหน่งใหญ่โตที่น่าเกรงขายังไม่อาจออกคำสั่งกับเย่เทียนเฉินได้ แล้วยังต้องใช้วิธีแบบนี้มา “ล่อลวง” เย่เทียนเฉินให้ยอมทำภารกิจ จะว่าไป เย่เทียนเฉินคนนี้ก็สมควรจะภาคภูมิใจในตัวเองจริงๆ

“ในเมื่อนายสนใจขนาดนี้ งั้นฉันก็จะพูดให้ฟังสักหน่อยแล้วกัน ที่มหาวิทยาลัยหลงเถิงมีดาวประจำมหาวิทยาคนหนึ่ง สวยขนาดไหนฉันไม่ขอบรรยาให้นายฟังก็แล้วกัน เดี๋ยวนายได้เห็นก็รู้เอง ภารกิจก็คือหาเธอให้เจอ คุ้มครองเธอ แค่นี้ก็พอแล้ว!” หยางอี้พูดพลางมองเย่เทียนเฉิน

“คุ้มครองดาวประจำมหาวิทยาลัย? ผู้เฒ่าครับ ภารกิจของคุณมันโบราณจริงๆ มีอะไรที่มันใหม่กว่านี้หน่อยไหม?” เย่ทียนเฉินถามแล้วเบ้ปาก ความจริงเขาไม่สนใจดาวอะไรทั้งนัน ไม่ใช่ว่าไม่มีดาวแล้วจะไม่มีผู้หญิงสักหน่อย ใช่ไหม?

“อืม โบราณไปจริงๆ ด้วย แต่เหมือนจะเคยได้ยินมาว่าดาวมหาวิทยาลัยคนนี้เป็นหนึ่งในสี่สุดยอดคนงามแห่งพรรควรยุทธโบราณ ไม่ใช่ผู้หญิงไม้ประดับที่ทำอะไรไม่เป็น ฝีมือแข็งแกร่งมาก ได้ยินมาว่าครั้งนี้ไม่เพียงแต่มามหาวิทยาลัยหลงเถิงเพื่อมาเรียนหนังสือ ดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับการวัดฝีมือกันระหว่างสี่สุดยอดคนงามแห่งพรรควรยุทธโบราณ…” หยางอี้กล่าวต่อไป

เมื่อได้ยินคำพูดของหยางอี้ เย่เทียนเฉินพลันสนใจขึ้นมาแล้ว ตอนแรกเขาก็ค่อนข้างสนใจในเรื่องวรยุทธ์ของพรรควรยทุธโบราณอยู่แล้ว คิดมาตลอดว่าจะนำพลังพิเศษและเคล็ดวิชาพลังภายในของพรรควรยุทธโบราณมารวมเข้าด้วยกัน เพื่อฝึกร่างกายให้แข็งแกร่ง แต่ไหนแค่ไรก็ไม่เคยได้ยินว่าพรรควรยุทธโบราณมีสี่ยอดคนงามด้วย อยากจะดูสักหน่อยจริงๆ ผู้หญิงทั้งสี่คนที่ฝีมือไม่ธรรมดาแล้วยังสวยขั้นสุด จะมีหน้าตายังไงกันแน่?

“การะประลองของสี่ยอดคนงาม? ที่เมืองหลวงเนี่ยนะ?” เย่เทียนเฉินถามอย่างสงสัย

“เรื่องนี้ฉันเองก็เพียงแค่ได้ยินมา ส่วนรายละเอียดเกรงว่าต้องรอให้นายไปตรวจสอบด้วยตัวเอง…” หยางอี้เห็นเย่เทียนเฉินสนใจก็กล่าวออกมายิ้มๆ

“ผมว่านะ คุณคงไม่หลอกผมหรอกมั้งครับ? คงไม่ใช่ว่าดาวมหาวิทยาลยอะไรนั่นเป็นป้าแก่ๆ คนหนึ่งหรอกนะ?” เย่เทียนเฉินถามออกมาอย่างไม่คิดอะไร

“ไอ้หนูนี่…ฉันบอกความจริงกับนายไปแล้ว ผู้หญิงคนนั้นเป็นดาวมหาวิทยาลัยหลงเถิงจริงๆ แล้วก็เป็นหนึ่งในสี่สุดยอดคนงามแห่งพรรควรยุทธโบราณจริงๆ นายพูดแบบนี้ถือเป็นการดูหมิ่นเธอนะ ไม่ต้องพูดถึงคนอื่นหรอก ขนาดคนแก่อย่างฉันก็ยังรับไม่ได้” หยางอี้ทำท่าทางโมโหออกมาแล้วตะโกนใส่เย่เทียนเฉิน

“ดีๆๆ ผมเชื่อ ผมเชื่อครับ พูดมาเถอะ ชื่ออะไรเหรอครับ?” เย่เทียนเฉินเอ่ยถาม

“ตงฟางเมิ่ง!”

“ตงฟางเมิ่ง? ยังมีแซ่ตงฟางอยู่อีกเหรอ?” เย่เทียนเฉินถามคำถามโง่ๆ ออกไป ทำให้หยางอี้โกรธจนแทบจะตกเก้าอี้

“ดูก็รู้ว่าไอ้หนูอย่างนายไม่ตั้งใจเรียน ไม่รู้จริงๆ เหรอ นายสอบเข้ามหาวิทยาลัยหลงเถิงที่เป็นมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งได้ไง คงไม่ใช่ว่าตระกูลเย่ของนายยัดใต้โต๊ะหรอกนะ? แซ่ขของชาวจีนก็ยิ่งใหญ่ลึกซึ้งเหมือนกับวัฒนธรรมนั่นแหละ แซ่ที่มีมากกว่าหนึ่งตัวอักษรก็มี เพียงแต่ค่อยๆ น้อยลงเรื่อยๆ ถูกคนส่วนใหญ่ลืมเลือนไปหมดแล้ว เห้อ ความไร้วัฒนธรรมช่างน่ากลัวจริงๆ!” หยางอี้กล่าว ทำท่าทางรับไม่ได้ออกมา

“พอได้ยินก็รู้สึกขัดๆ แล้วยังฟังดูแปลกๆ ต่อให้ผู้หญิงคนนี้จะสวยยังไงก็ต้องมีขีดจำกัดแน่นอน ผมจะลองไปพิจารณาดูสักหน่อยแล้วกัน…” เย่เทียนเฉินแสร้งทำเป็นพูดอย่างไม่สนใจ

“ไม่ นายไม่ต้องพิจารณาก็ได้ ฉันกำลังคิดว่ามีคนอื่นที่สามารถสำเร็จภารกิจนี้อีกไหม อย่างเช่นเถี่ยฉุย…” หยางอี้เข้าใจนิสัยของเย่เทียนเฉิน เขาพูดออกมาพลางทำท่าทางใคร่ครวญ

“ช่างเถอะ ผู้เฒ่า ผมจะรับปากคุณง่ายๆ เลยแล้วกัน ที่สำคัญคือผมคิดว่าเถียฉุยน่าเกลียดเกินไป หากไปมหาวิทยาลัยหลงเถิงจะต้องทำให้น้องสาวน้องชายตกใจแน่ นี่เป็นเรื่องไม่ควรเลย!”

เย่เทียนเฉินทำท่าทางราวับเป็นผู้กอบกู้โลก หยางอี้มองจนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา คนคนนี้ไม่เพียงแต่เป็นเทพแห่งความตาย เกรงว่าจะเป็นนักแสดงตลกด้วย ไม่ไปแสดงหนังตลอกก็จะเป็นการเสียดายความสามารถเปล่าๆ ไม่รู้ว่าหากเถี่ยฉุยได้ยินจะตามล่าเย่เทียนเฉินสุดชีวิตหรือเปล่า

เรียกได้ว่าเถี่ยฉุยนอนอยู่ดีๆ ก็โดนปืนจริงๆ ปากของเย่เทียนเฉินไม่ละเว้นใครเลย ตอนนี้เถี่ยฉุยจามสามครั้งติดๆ กัน ในใจคิดว่าใครกันที่มันนินทาตัวเองอยู่ อย่างไรก็ตาม เขาคงคิดไม่ถึงว่าจะเป็นเย่เทียนเฉินที่ดูเหลาะแหละคนนี้

“ในเมื่อตกลงแล้ว ฉันก็จะเชื่อว่านายสามารถทำได้ เรื่องตระกูลฉินฉันจะติดต่อกับผู้นำระดับสูงขั้นหนึ่งให้ พยายามทำให้เรื่องสงบลงให้ได้ ช่วงนี้นายก็อย่าไปก่อเรื่องอะไรอีก หยุดสักหน่อยเถอะ” หยางอี้มองเย่เทียนเฉินอย่างไม่สบอารมณ์

“คำพูดนี้คุณไม่ควรจะมาพูดกับผมนะครับ ควรจะไปพูดกับคนที่มาหาเรื่องผม บอกให้พวกเขาอย่ามาหาเรื่องผม ไม่งั้นผมจะควบคุมตัวเองไม่ได้ ควบคุมการเคลื่อนไหวของตัวเองไม่ได้…” สองหมัดของเย่เทยนเฉินกำแน่น ราวกับใกล้จะคุมไม่อยู่จนจะระเบิดออกมา

“เอาล่ะ วันนี้นายไม่ต้องกลับบ้านแล้ว ฉันกลัว่านายจะถูกยอดฝีมือลอบโจมตีระหว่างทางแล้วถูกฆ่า พักอยู่ที่คฤหาสน์ไม่ไกลจากที่นี่เถอะ ที่นั่นมีบอดี้การ์ดอยู่บ้าง คงจะปลอดภัย!” หยางอี้กล่าว

“งั้นก็ต้องขอบคุณมากครับ ความจริงผมง่วงนิดหน่อยแล้ว ไปก่อนนะครับ ตอนกลางคืนให้บอดี้การ์ดของคุณเอาปลาเอาเนื้อมาเสิร์ฟด้วยนะ ผมขี้เกียจออกไป…” เย่เทียนเฉินกล่าวแล้วหัวเราะฮี่ๆ

หยางอี้รู้สึกรับไม่ได้ ทำได้แต่เปล่งเสียงรอดไรฟันออกมาคำหนึ่ง ไสหัวไป…

……………….

บทที่ 30 เรื่องที่เกิดขึ้นตอนเช้าตรู่
Ink Stone_Fantasy
เช้าวันต่อมา เย่เทียนเฉินถูกปลุกด้วยเสียงเคาะประตูอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เย่เทียนเฉินไม่ได้ถูกน้องสาวของตนปลุกให้ตื่น คนที่มาเคาะประตูก็คือฉีหรูเสวี่ย

“นี่ เจ้าคนไม่มีมารยาทตื่นมากินข้าวได้แล้ว คุณป้ากับน้องสาวรอนายอยู่นะ” ฉีหรูเสวี่ยเคาะประตูพลางตะโกนไปพลาง

“ไม่ว่าง…”

“แดดส่องก้นหมดแล้ว รีบตื่นเร็ว”

“ไม่กิน…”

“ตื่น ตื่น ตื่น…”

“หยุดเคาะได้แล้ว!”

นี่คือบทสนทนาของเย่เทียนเฉินและฉีหรูเสวี่ยในตอนเช้าตรู่ คนหนึ่งอยู่นอกห้อง อีกคนอยู่ในห้อง ความจริงแล้ว ฉีหรูเสวี่ยไม่อยากมาปลุกเย่เทียนเฉิน แต่ตอนนี้หลัวเยี่ยนเชื่อคำพูดของเธอทั้งหมด คิดว่าฉีหรูเสวี่ยหลงรักลูกชายของตนเอง จึงคิดอยากให้ทั้งสองสนิทสนมกัน ซึ่งสิ่งแรกก็คือการปลุกให้มากินข้าว ภรรยาทำอาหารเช้าเรียบร้อยแล้วเรียกสามีลงมากิน นี่เป็นเรื่องที่อบอุ่นมาก เพียงแต่น่าเสียดายตรงที่เย่เทียนเฉินและฉีหรูเสวี่ยอยู่ ณ ตอนนี้มีแต่เรื่องน่าปวดหัว

“แม่ แม่ว่าพี่เขาเป็นอะไร พี่หรูเสวี่ยสวยออกขนาดนี้ เท่าที่หนูดูก็พอๆ กับหลิ่วหรูเหมยที่เป็นสาวงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวงเลย แต่พี่กลับไม่ชอบซะงั้น?” เย่เชี่ยนเหวินซึ่งกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร พอได้ยินบทสนทนาจากชั้นบน ก็ถามออกมาอย่างไม่เข้าใจ

“เบาๆ หน่อยสิลูก เมื่อคืนแม่ก็คิดมาทั้งคืนแล้ว ถ้าว่ากันตามเหตุผลพี่ชายของลูกไม่น่าจะไม่ชอบหรูเสวี่ย หรูเสวี่ยออกจะสวย ทั้งยังเกิดในตระกูลใหญ่ ต่อให้ตระกูลฉีจะถอนหมั้นกับตระกูลเย่ แต่ความรู้สึกของทั้งสองนั้นบริสุทธิ์ไร้เดียงสา แม่ถึงคิดได้ว่า ต้องเป็นเพราะว่าหรูเสวี่ยสวยเกินไปแน่ๆ ตอนที่พี่ชายลูกทำตัวเกเร แอบดูหลิ่วหรูเหมยอาบน้ำ แล้วต้องคุกเข่าอยู่หน้าประตูบ้านตระกูลหลิ่วอยู่ทั้งวัน เรื่องนี้คงทำร้ายจิตใจของเขามาก ดังนั้นเขาก็เลยมีความรู้สึกเกลียดชังผู้หญิงสวยๆ ลูกต้องจำไว้นะ ต่อไปนี้ห้ามพูดถึงหลิ่วหรูเหมย จำไว้!” หลัวเยี่ยนกล่าวออกมาอย่างเป็นกังวล

“แม่ งั้นแม่คิดว่าเรื่องของพี่ชายกับพี่หรูเสวี่ยจะเป็นไปได้ไหม?” เย่เชี่ยนเหวินถามพลางขมวดคิ้ว

“แม่ก็ไม่รู้เหมือนกัน แล้วแต่โชคชะตาเถอะ!”

ตอนนี้เอง ฉีหรูเสวี่ยที่อยู่บนชั้นสองของคฤหาสน์โกรธเย่เทียนเฉินจนทนไม่ไหว ตัวเองยืนอยู่ข้างนอกมาเกือบหนึ่งชั่วโมงแล้ว แถมยังเคาะประตูเสียงดังมาก เจ้าหมอนี่ก็ยังไม่ออกมา ถ้าหากว่าทำแบบนี้ต่อไป จะต้องขายหน้าต่อหน้าคุณป้าและน้องสาวแน่ๆ บวกกับนิสัยไม่ยอมแพ้ ฉีหรูเสวี่ยจึงเคาะประตูแรงขึ้นอีก

ทันใดนั้นเอง ฉีหรูเสวี่ยก็คิดวิธีการดีๆ ซึ่งสามารถทำให้เย่เทียนเฉินเปิดประตูออกมาได้อย่างแน่นอน จึงตะโกนขึ้นมาในทันทีว่า “นายไม่ออกมาก็ช่างเถอะ ฉันกินข้าวเช้าเสร็จก็จะกลับตระกูลฉี ไม่อยากจะสนใจนายแล้ว!”

พูดจบฉีหรูเสวี่ยก็แกล้งทำเสียงเดินลงบันไดไป เธอเพิ่งจะหมุนตัวก็ได้ยินเสียงดังแอ๊ดไล่หลังมา ประตูห้องนอนของเย่เทียนเฉินถูกเปิดออก ขณะเดียวกันนั้นก็ได้ยินเสียงของเย่เทียนเฉินว่า

“ก็ถูกแล้วไง ให้เธอค้างคืนหนึ่งก็ถือว่าไว้หน้าเธอมากแล้ว ตอนนี้เธอขาไม่เจ็บแข้งเจ็บขาแล้วก็รีบกลับบ้านไปเถอะ….”

“อร๊าย…คนบ้า คนไร้ยางอาย…”

ยังไม่ทันจะขาดเสียงแห่งความดีใจของเย่เทียนเฉิน ก็เห็นฉีหรูเสวี่ยร้องกรี๊ด แล้ววิ่งลงไปชั้นล่างด้วยใบหน้าแดงก่ำเพราะเขินอาย

“หือ? แย่ล่ะ เปลือยอยู่นี่หว่า…”

เย่เทียนเฉินที่ตอนแรกยังงงๆ ไม่รู้ว่าทำไมฉีหรูเสวี่ยถึงได้อายจนร้องเสียงดัง แถมยังรีบวิ่งลงไปข้างล่าง ก็มองซ้ายมองขวา ทันใดนั้นก็พบว่าตอนนี้ตนกำลังสวมแค่กางเกงขาสั้นตัวเดียว เผยให้เห็นความผงาดกร้าวแกร่งของผู้ชายในตอนเช้าอย่างชัดแจ้ง ส่วนนั้นชี้เด่ขึ้นมา มิน่าฉีหรูเสวี่ยจึงได้ตกใจจนร้องตะโกนออกมา

เย่เทียนเฉินรีบพุ่งเข้าไปสวมใส่เสื้อผ้าในห้อง แม้ว่าเย่เทียนเฉินจะไม่ได้มีความรู้สึกอะไรต่อฉีหรูเสวี่ย แต่จะอย่างไรเธอก็เป็นผู้หญิง ส่วนคุณเป็นผู้ชาย น้องชายของตัวเองตื่นขึ้นมาเคารพธงชาติต่อหน้าผู้หญิง เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยเหมาะสมนัก เป็นใครก็รู้สึกกระดากใจ

รอจนกระทั่งเย่เทียนเฉินลงไป ก็พบว่าหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่และเย่เชี่ยนเหวินผู้เป็นน้องต่างก็มองเขาและฉีหรูเสวี่ยด้วยความสงสัย ส่วนฉีหรูเสวี่ยอายจนหน้าแดง เอาแต่ก้มหน้าก้มตากินข้าวลูกเดียว

“เทียนเฉิน เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น? ไม่ใช่ว่าลูกรังแกหรูเสวี่ยหรอกนะ?” หลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น จึงกล่าวถาม

“ใช่แล้วพี่ พี่อย่ารังแกพี่หรูเสวี่ยนะ หนูกับแม่ไม่ยกโทษให้พี่แน่” เย่เชี่ยนเหวินยืนอยู่ข้างฉีหรูเสวี่ยไปแล้วโดยสิ้นเชิง

“เปล่า เปล่า กินข้าวเถอะ กินข้าวเถอะ!” เย่เทียนเฉินหัวเราะเสียงแห้งพลางนั่งลงกินข้าว

จนกระทั่งเวลาอาหารเช้าสิ้นสุดลง ใบหน้างามของฉีหรูเสวี่ยเป็นสีแดง ระหว่างนั้นก็ใช้เดวงตาอันงดงามถลึงมองเย่เทียนเฉินอย่างดุดันหลายครั้ง ราวกับว่าอยากจะจับชายคนนี้ตอน แม้ว่าฉีหรูเสวี่ยจะได้รับการศึกษาระดับสูงจากต่างประเทศ แต่เธอก็ยังไม่เคยมีแฟน ขนาดจูบกับผู้ชายก็ยังไม่เคยทำมาก่อน หากพูดเรื่องนี้ออกไปคงไม่มีใครเชื่อแน่ แต่ก็เป็นเรื่องจริง

หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เย่เทียนเฉินก็นอนอ่านหนังสืออยู่บนโซฟา เย่เชี่ยนเหวินไปโรงเรียน ส่วนแม่ไปล้างจ้านและซักเสื้อผ้า จริงๆ แล้วเป็นความตั้งใจที่จะให้เย่เทียนเฉินและฉีหรูเสวี่ยได้ใช้เวลาร่วมกันสองต่อสอง แต่ทันทีที่หลัวเยี่ยนหมุนตัวเดินเข้าห้องครัวไป เย่เทียนเฉินและฉีหรูเสวี่ยก็เริ่มเขม่นกันราวกับคู่รักคู่แค้น

“คนบ้า คนลามก คนชั่ว ไร้ยางอาย!” ใบหน้าอันงดงามของฉีหรูเสวี่ยบูดบึ้งยังเป็นสีแดงเรื่ออยู่เล็กน้อย เธอพูดพร้อมกับใช้ตางามถลึงมองใส่เย่เทียนเฉินอย่างดุร้าย

“นี่ เธอมาเห็นเอง เกี่ยวอะไรกับฉันด้วย” เย่เทียนเฉินมีท่าทีไม่สนใจ

“นาย…น่ารังเกียจไร้ยางอาย สกปรกชั่นต่ำ มีใครที่ไหนไม่ใส่เสื้อผ้าแล้วเดินออกมาเหมือนนายบ้าง?” ฉีหรูเสวี่ยแทบอยากจะกระโดดไปขย้ำเย่เทียนเฉิน คนๆ นี้มันจะเกินไปแล้ว

“ตอนนั้นฉันไม่ได้ใส่เสื้อผ้าเหรอ? ถึงยังไงก็ใส่กางเกงตัวหนึ่งนะ โดนเธอเห็นแขนล่ำๆของฉัน ฉันเสียหายมากจริงๆ….” เย่เทียนเฉินสั่นศีรษะพูดด้วยท่าทางเจ็บปวดใจมาก

“คนบ้า ฉันยังไม่จบกับนายนะ” ฉีหรูเสวี่ยขบฟัน ใช้กำปั้นขาวนวลทุบใส่เย่เทียนเฉิน

“เอาล่ะ เธอบอกว่ากินข้าวเช้าเสร็จก็จะกลับบ้านไม่ใช่เหรอ? ยังจะอยู่ทำอะไรที่นี่อีก? รีบไปเถอะ ถ้ายังไม่ไปจะไม่ทันขึ้นรถสายสองนะ!”

“นายอยากให้ฉันไปใช่ไหม? ฉันไม่ไป ดูซินายจะทำยังไง เชอะ!”

“ทำไมถึงได้หน้าด้านนักนะ? ฉันกับเธอไม่ได้เป็นอะไรกัน ถอนหมั้นกันไปแล้ว แม้ว่าวันนี้ตอนเช้าเธอจะเห็นเรือนร่างอันแข็งแกร่งงดงามของพี่ชายสุดหล่อคนนี้ แต่ดีที่ฉันเป็นคนใจกว้าง ไม่เอาเรื่องเธอ เธอไปได้แล้ว” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางมองฉีหรูเสวี่ยด้วยท่าทางจริงจัง

“นาย…คนอย่างนายควรจะถูกแจ้งความจับไปจริง ฉันจะแจ้งความตอนนี้เลย จะบอกว่านายทำตัวไร้ยางอาย…”

ในระหว่างที่ฉีหรูเสวี่ยพูด เธอก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาจริงๆ ขณะที่กำลังจะต่อสายไปหาตำรวจ ใครจะทราบว่าเธอยังไม่ทันได้กดเบอร์ เสียงไซเรนก็ดังขึ้นตำรวจนอกประตูคฤหาสน์ตระกูลเย่ ไม่ถึงครึ่งนาทีก็มีเสียงเคาะประตูดังตึงๆๆ

เย่เทียนเฉินมองฉีหรูเสวี่ยอย่างหดหู่แล้วกล่าวว่า “เธอที่ไม่ใช่แค่หน้าด้าน แต่ยังปากเป็นลางอีกด้วย”

“นายสิหน้าด้าน นายสิปากเป็นลาง อย่างนายเรียกว่ากรรมตามสนอง…” ฉีหรูเสวี่ยเองก็รู้สึกตกใจ คิดว่าตนคงไม่น่าจะปากเป็นลางจริงๆ หรอกมั้ง พูดอะไร ก็เป็นอย่างนั้นเหรอ?

พอได้ยินเสียงไซเรนตำรวจ หลัวเยี่ยนแม่ของเย่เทียนเฉินก็เดินออกมาจากห้องครัว เปิดประตูคฤหาสน์ เห็นตำรวจสองนายยืนอยู่ตรงประตูด้วยสีหน้าถมึงทึง ตำรวจนายหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า “ไม่ทราบว่าใครคือเย่เทียนเฉิน?”

“พวก พวกคุณมาหาลูกชายฉันมีเรื่องอะไรเหรอคะ?” หลัวเยี่ยนกล่าวถาม ในใจเกิดความกระวนกระวายเล็กน้อย

“พวกเราสงสัยว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรม เมื่อคืนนี้ จึงจะเชิญเขากลับไปสอบปากคำครับ” ตำรวจอีกนายหนึ่งกล่าวด้วยรอยยิ้มเย็นชา

“เป็นไปไม่ได้ ลูกชายของฉันไม่ฆ่าใครหรอกค่ะ ฉันคิดว่าพวกคุณเข้าใจผิดแล้ว” ลั่วเหยียนก็เป็นเหมือนคนเป็นแม่คนอื่นๆ ถึงอย่างไรก็ไม่เชื่อว่าลูกชายของตนฆ่าคน และไม่อยากให้ตำรวจสองนายนี้พาลูกชายของตนไป

“เรื่องนี้ยังต้องทำการตรวจสอบก่อนถึงจะสามารถยืนยันได้ครับ ตอนนี้ขอเชิญคุณเย่เทียนเฉินออกมา พวกเราต้องพาเขาไปให้ความร่วมมือในการสืบสวน” ตำรวจที่เป็นผู้กล่าวนำนั้นพูดจาด้วยท่าทีวางมาด

“ผมคือเย่เทียนเฉิน ไม่ทราบว่าที่พวกคุณสงสัยว่าผมฆ่าคน มีหลักฐานอะไรไหม?” เย่เทียนเฉินเดินออกมา มองตำรวจทั้งสองนายพลางกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม

“หลักฐาน? คำพูดของพวกเราก็คือหลักฐานไงล่ะ ขอเชิญคุณไปกับพวกเราด้วย”

เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าตำรวจสองนายนี้มาหาเรื่อง ไม่ทราบว่ากลุ่มอำนาจไหนที่ต้องการกำจัดตนเอง สุดท้ายก็พูดกับลั่วเหยียนผู้เป็นแม่ด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่เป็นไรครับ ผมไปแปปเดียวเดี๋ยวก็มา ไม่ต้องบอกพ่อกับน้องเรื่องนี้นะครับ”

“เทียนเฉิน…นี่…” ลั่วเหยียนรู้สึกกังวลมาก อย่างไรเสียก็การถูกตำรวจมาหาถึงที่บ้าน แล้วยังบอกว่าต้องพาลูกชายไปเพราะเรื่องฆ่าคนอีก คนเป็นแม่ที่ไหนจะไม่กังวลบ้าง

“ไม่เป็นไรครับ อีกเดี๋ยวผมก็กลับมาแล้ว” เย่เทียนเฉินกล่าวกับแม่ด้วยรอยยิ้ม

จริงๆ แล้วตำรวจสองนายนี้ ได้รับการแจ้งความจากลูกสมุนของหลี่เถีย ถึงได้มาจับตัวเย่เทียนเฉิน แม้ว่าจะไม่มีหลักฐาน แต่หลี่เถียมีอิทธิพลมากมายในกลุ่มอิทธิพลใต้ดินของเมืองหลวง และมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับกลุ่มอิทธิพลเบื้องหน้า ตอนที่ลูกสมุนไปแจ้งความ หลี่เถียก็ได้ฝากคำพูดไปถึงกรมตำรวจว่า หากสามารถทำให้เย่เทียนเฉินตายได้ก็ทำได้เลยไม่ต้องเกรงใจ ดังนั้นตำรวจสองนายนี้จึงปฏิบัติกับเย่เทียนเฉินเช่นนี้

ขณะมองดูเย่เทียนเฉินถูกตำรวจทั้งสองนายพาตัวไป ลั่วเหยียนก็รู้สึกกระวนกระวาย ฉีหรูเสวี่ยเองก็คิดไม่ถึงเลยว่าแค่ตนเองแค่พูดตามใจปาก เย่เทียนเฉินก็ถูกตำรวจจับตัวไปจริงๆ ในใจรู้สึกผิดอยู่บ้าง จึงเข้าไปปลอบลั่วเหยียน

ตอนที่เย่เทียนเฉินเดินไปกับตำรวจสองนายนั้นก็ได้กำชับกับลั่วเหยียนผู้เป็นแม่อีกครั้งว่าอย่าได้ให้พ่อกับน้องรู้เรื่องนี้ เนื่องจาก ข้อแรกเพราะเกรงว่าพวกเขาจะเป็นห่วง ข้อสองเพราะเกรงว่าเรื่องนี้จะส่งผลถึงตระกูลเย่ เพราะเห็นตำรวจทั้งสองนายก็รู้ทันทีว่าไม่ได้มาดีแน่ เย่เทียนเฉินจำเป็นต้องวางแผนรับมือเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ

“แม่งเอ้ย ไม่ได้กินข้าวเช้ามาเหรอไง? เดินเร็วๆ หน่อย พวกฉันต้องรีบกลับนะ” ตำรวจนายหนึ่งกล่าวกับเย่เทียนเฉินอย่างหยาบคาย

“เดินเร็วหน่อย เดี่ยวก็ตัดขาทิ้งซะหรอก” ตำรวจอีกนายหนึ่งชักสีหน้าใส่

แม้ว่าเย่เทียนเฉินจะทราบว่าตำรวจสองนายน้น่าจะถูกผู้อื่นซื้อตัวไปแล้ว และตั้งใจมาเพื่อสร้างความยุ่งยากให้กับตนเอง แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าสองคนนี่จะแสดงสันดานแย่ๆ ออกมาเร็วเช่นนี้ ไม่มีลักษณะของผู้รับใช้ประชาชนหรือผู้พิทักษ์สันติราษฎร์เลยแม้แต่นิดเดียว

ผัวะๆ!

เย่เทียนเฉินเผชิญหน้ากับตำรวจสองนายที่ร้องเอะอะโวยวายด้วยการต่อยหมัดสองหมัดใส่ จนตำรวจเลวทั้งสองใช้มือกุมท้อง คุกเข่าลงกับพื้น ลุกไม่ขึ้นไปครึ่งวัน

……………………………………………………

เย่เทียนเฉินเดินมาถึงหน้าตึกภาควิชาโบราณคดีโดยไม่รู้ตัวอีกครั้งหนึ่ง กระทั่งเขาเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น บางทีอาจเป็นเพราะความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับพลังพิเศษอันแข็งแกร่งลึกๆ ในใจที่มีก่อนหน้านี้ จึงเดินมาถึงที่นี่ในสภาพที่ไม่ได้สังเกตเห็น

ในตอนที่เย่เทียนเฉินเตรียมจะเดินเข้าไปนั้น ก็ได้ปะทะกับสาวงามสวมแว่นกันแดดสีดำและผ้าปิดปากสีขาวที่เดินออกมากระทันหัน ต่อให้ไม่เห็นใบหน้าของเธอ เย่เทียนเฉินก็กล้ามั่นใจว่า ผู้หญิงที่ปิดบังใบหน้าคนนี้จะต้องสวยมากอย่างแน่นอน ในช่วงยุคสิ้นโลกเย่เทียนเฉินมีหญิงงามจำนวนมาก พูดได้โดยไม่เกินจริงเลยว่า จะเป็นสาวงามหรือไม่แค่ดมดูก็รู้แล้ว

เป็นดังที่คาดไว้ ผู้หญิงที่ใช้แว่นกันแดดสีดำและผ้าปิดปากสีขาวปิดบังใบหน้าของตนเองคนนี้ หลังจากที่ชนกับเย่เทียนเฉินแล้วก็ทำแว่นกันแดดตกพื้นโดยไม่ทันได้ระวัง เย่เทียนเฉินจึงสามารถเห็นดวงตาของเธอได้ ดวงตาอันงดงามที่ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร สวยจนราวกับจะพูดออกมาได้ หลังจากที่ได้มาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ เย่เทียนเฉินพบว่ามีผู้หญิงเพียงคนเดียวที่สามารถเทียบกับเธอได้ นั่นก็คือหลิวหรูเหมย แน่นอนว่าระหว่างหลิวหรูเหมยที่เป็นสาวงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงคนนี้กับเย่เทียนเฉิน มีความเกี่ยวพันกันอย่างคลุมเครือ

ผู้หญิงคนนั้นรีบเดินจากไปอย่างกระวนกระวาย กระทั่งชื่อของเธอเย่เทียนเฉินก็ไม่รู้ แน่นอนว่าไม่ใช่จะถูกใจสาวงามคนนี้ แต่เป็นเพราะชั่วขณะที่ชนกันนั้น เย่เทียนเฉินรู้สึกว่ามีตรงไหนไม่ถูกต้อง ตกลงเป็นอะไรที่ไม่ถูกต้อง ในเวลาเพียงชั่วครู่ก็พูดไม่ได้

ในตอนที่เย่เทียนเฉินกำลังสงสัยอยู่นั้น เมื่อหมุนตัวมาก็พบกับฉินเหยาเยว่ที่ไม่รู้ว่ามาปรากฏตัวอยู่ด้านหลังของเขาอย่างไร้ซุ่มไร้เสียงเมื่อไหร่ นี่ทำให้เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง เขาเป็นยอดฝีมือผู้มีพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันแล้ว จะต้องไม่มีใครปรากฏตัวต่อหน้าของเขาอย่างไรซุ่มไร้เสียงได้โดยเด็ดขาด แต่ฉินเหยาเยว่สามารถทำได้ นี่ทำให้เย่เทียนเฉินยิ่งเกิดความสงสัยมากขึ้น ดูเหมือนว่าเขาจะสามารถแน่ใจได้ว่าฉินเหยาเยว่ไม่ใช่คนธรรมดาโดยเด็ดขาด

“งั้นให้ครูพาเธอไปดูสักหน่อยเป็นไง?” ฉินเหยาเยว่เองก็มองเย่เทียนเฉินอย่างล้ำลึก เอ่ยถามออกมาด้วยรอยยิ้ม

“จะกล้าลำบากอาจารย์ได้ยังไงครับ ผมเดินดูรอบๆ เองก็พอแล้ว!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างเกรงใจ

“พอดีว่าครูมีเวลา อีกอย่าง ความจริงแล้วอายุของพวกเราก็ใกล้เคียงกัน ไม่ต้องเกรงใจขนาดนี้หรอก ทุกคนต่างก็เป็นคนรุ่นเดียวกัน!”

“งั้น งั้นก็ได้ครับ!”

ตอนแรกเย่เทียนเฉินและฉินเหยาเยว่ต่างก็เดินเข้าไปในตึกภาควิชาโบราณคดีด้วยกัน ยิ่งนานเข้าเย่เทียนเฉินก็ยิ่งมีความสนใจต่ออาจารย์ที่ปรึกษาสาวสวยอย่างฉินเหยาเยว่คนนี้มากยิ่งขึ้น เธออายุเพียงยี่สิบสองปีเท่านั้น แถมยังหน้าตาสละสลวย ถึงกับสามารถกลายเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของภาควิชาโบราณคดีได้ และยังมีบรรยากาศลึกล้ำปรากฏออกมาทุกที่ ฉินเหยาเยว่คนนี้สร้างความประทับใจให้กับเย่เทียนเฉินอยู่สามคำนั่นก็คือ ไม่ธรรมดา

นี่ทำให้เย่เทียนเฉินยิ่งรู้สึกสนใจ ดูท่าแล้วในมหาวิทยาลัยหลงเถิงแห่งนี้ จะมีเรื่องน่าสนุกอยู่มากจริงๆ เริ่มด้วยเรื่องที่หยางอี้ไหว้วันตนเอง ตงฟางเมิ่งเป็นหนึ่งในสี่สุดยอดสาวงามแห่งพรรควรยุทธโบราณ ต่อมาเย่เทียนเฉินจึงได้รู้ว่า ตงฟางเมิ่งไม่เพียงแต่เป็นหนึ่งในสี่สุดยอดสาวงามแห่งพรรควรยุทธโบราณ แต่ยังมีอีกหนึ่งเรื่องที่ทุกคนก็รู้ นั่นคือเธอเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวที่ได้รับโหวตให้เป็นดาวมหาวิทยาลัยหลงเถิงในอันดับแรกติดต่อกัน อีกทั้งเมื่อคิดดูแล้วกระทั่งเย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอัศจรรย์ใจ อยากจะเห็นตงฟางเมิ่งสักหน่อยว่าผู้หญิงคนนี้หน้าตาอย่างไรกันแน่

เพียงแต่ในตอนนี้ ความคิดของเย่เทียนเฉินล้วนอยู่ที่อาการป่วยของแม่ของเสี้ยวหยา ดังนั้นการตามหาจอมแพทย์เทวะจึงเป็นเรื่องฉุกเฉินเร่งด่วน ตนเองได้นำข้อมูลในเรื่องนี้บอกกับเสี้ยวหยาไปแล้ว จึงไม่อยากจะทำให้เธอผิดหวัง หากเป็นเช่นนี้จะมีเป็นการทำร้ายเสี้ยวหยามากเกินไปจริงๆ

เย่เทียนเฉินเดินตามหลังฉินเหยาเยว่ ไม่ได้กางพลังพิเศษแห่งการรับรู้ออกมา และได้เก็บซ่อนพลังพิเศษทั้งหมดของตนเอาไว้ เขารู้ว่าในตึกภาควิชาโบราณคดีแห่งนี้ เป็นไปได้มากว่าจะมียอดฝีมือผู้มีพลังพิเศษคนหนึ่งซ่อนตัวอยู่ หากว่าเขากลางพลังพิเศษแห่งการรับรู้ออกไปตามใจ ไม่เพียงแต่จะหาอีกฝ่ายไม่เจอ และยังเป็นไปได้มากกว่าจะถูกอีกฝ่ายตามรอยตนเองได้

“ไม่รู้ว่าอาจารย์เป็นคนที่ไหน?” เย่เทียนเฉินเอ่ยถามเพื่อทำลายบรรยากาศอันกระอักกระอ่วน

“อ๋อ มณฑลชวน เธอล่ะ?” ฉินเหยาเยว่ที่เดินอยู่ด้านหน้า ดูเหมือนว่าจะเดินไปพลางคิดอะไรบางอย่างไปพลาง หลังจากที่ได้สติกลับมาก็เอ่ยถามกลับด้วยรอยยิ้ม

“คนเมืองหลวงครับ!” เย่เทียนเฉินเองก็พูดยิ้มๆ

แม้จะพูดว่าฉินเหยาเยว่พาเย่เทียนเฉินเดินชมเพื่อให้คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมของตึกภาควิชาโบราณคดี แต่ความจริงทั้งสองต่างก็มีความคิดเป็นของตนเอง เย่เทียนเฉินกำลังคิดจะดูสักหน่อยว่าฉินเหยาเยว่เป็นใครกันแน่? จะเป็นเหมือนกับที่ตนเองคาดเดาหรือไม่ ส่วนฉินเหยาเยว่กับคิดจะดูว่าเย่เทียนเฉินแข็งแกร่งขนาดไหนกันแน่ จะเหมือนกับที่ข้อมูลแสดงเอาไว้จริงๆ หรือไม่ แข็งแกร่งจนถึงขั้นคาดเดาไม่ได้ ควรค่าที่จะให้กลุ่มอำนาจในแต่ละด้านแอบตรวจสอบอย่างลับๆ

“ใช่แล้วครับอาจารย์ คุณสอนที่มหาวิทยาลัยหลงเถิงนานแค่ไหนแล้วครับ?” ทันใดนั้นเย่เทียนเฉินก็คิดถึงคำถามหนึ่งขึ้นมา

“สองปีแล้ว ตอนที่ไม่มีคนอื่นก็ไม่ต้องเรียกฉันว่าอาจารย์หรอก เรียกฉันว่าเหยาเยว่ก็พอแล้ว!” ฉินเหยาเยว่หันมามองเย่เทียนเฉิน พูดพลางยิ้มหวานให้

เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะชะงักไป เมื่อเห็นฉินเหยาเยว่มองตนเองด้วยท่าทางหยอกล้อแบบนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะคิดหยอกล้อขึ้นมา

“เรียกคุณอย่างสนิทสนมแบบนี้ จะทำให้ผมรู้สึกว่าเป็นคนโปรดจนลำบากใจนะครับ…”

“งั้นเหรอ? แต่ว่าฉันมีความสุขมาก!”

ทันใดนั้นนิสัยของฉินเหยาเยว่ก็เปลี่ยนไป เปลี่ยนไปเป็นมีเสน่ห์อย่างมาก เธอโถมกายเข้าหาเย่เทียนเฉิน หน้าอกอันตั้งตระหง่านคู่นั้นแกว่งไกวอยู่เบื้องหน้าเย่เทียนเฉิน ใกล้เพียงเอื้อมมือ โดยเฉพาะกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์บนร่างของผู้หญิง ทำให้เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นขึ้นมา สิ่งที่เป็นที่สุดก็คือ ฉินเหยาเยว่ไม่เพียงแต่โถมร่างมาใส่เย่เทียนเฉิน แต่ริมฝีปากแดงชุ่มฉ่ำอันเซ็กซี่นั้นก็ราวกับจะประทับเข้ามา

“ฉันอยากจะรู้มากเลยว่า นายแข็งแกร่งขนาดไหนกันแน่…” ฉินเหยาเยว่กระซิบข้างหูเย่เทียนเฉินด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม ราวกับมีเวทย์มนต์ ทำให้เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปาก

“หวา ใหญ่มาก จับเต็มมือ…”

ชั่วพริบตานั้น เย่เทียนเฉินตะโกนออกมาครั้งหนึ่ง มือทั้งสองจับไปยังหน้าอกของฉินเหยาเยว่โดยไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย เมื่อมองไปก็พบว่าอีกไม่ถึงครึ่งเซนติเมตรก็จะจับโดนแล้ว พริบตานั้นฉินเหยาเยว่ได้สติกลับมาจึงรีบถอยไปสองก้าว ดวงหน้างดงามแดงระเรื่อ ใช้ดวงตาคู่งามจ้องเย่เทียนเฉินอย่างดุดัน ในใจกลับรู้สึกประหลาดใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ เมื่อครู่นี้ตนเองเกือบจะทำสำเร็จแล้ว ทำให้เย่เทียนเฉินถูกตนเองควบคุม ขอเพียงเธอถามอะไร เย่เทียนเฉินก็จะตอบออกมาอย่างซื่อสัตย์ แต่ว่า ถึงกับถูกเย่เทียนเฉินทำลาย นี่ทำให้ฉินเหยาเยว่คิดไม่ถึงโดยสิ้นเชิง เนื่องจากแต่ไหนแต่ไรก็ไม่มีใครที่สามารถหนีจากการสะกดจิตของตนเองได้

“นาย…นายคิดจะทำอะไร?” ฉินเหยาเยว่มองเย่เทียนเฉินแล้วเอ่ยถามอย่างตึงเครียด

“เอ๋? ไม่มีอะไรครับ คุณเข้ามาใกล้แบบนี้ แล้วยังมีของทรงพลังขนาดนี้อีก ผมย่อมต้องช่วยนวดให้มันสักหน่อย!” เย่เทียนเฉินหัวเราะฮี่ๆ แล้วพูดขึ้นด้วยท่าทางอันธพาล

ฉินเหยาเยว่มองเย่เทียนเฉินครั้งหนึ่ง พยายามสงบจิตใจแล้วพูดขึ้นว่า “ไปเถอะ เธอก็คงจะคุ้นเคยกับตึกนี้พอประมาณแล้ว วันหน้ามาเข้าเรียนก็อย่ามาสายล่ะ!”

“เอ๋ ความจริงแล้วผมไม่ชอบเข้าเรียนเท่าไหร่นัก แต่ตอนนี้ มีอาจารย์สาวสวยแบบคุณอยู่ ผมจะไม่มาเข้าเรียนทุกวันได้ยังไงล่ะครับ!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยใบหน้าทะเล้น

“นี่เธอพูดแล้วนะ หากว่ามีคาบไหนที่ครูเห็นว่าเธอไม่มา จะไม่ปล่อยเธอไปแน่!” ฉินเหยาเยว่เองก็พูดหยอกล้อด้วยรอยยิ้ม

“งั้นพวกเราก็พูดคำไหนคำนั้น!”

เย่เทียนเฉินเดินออกมาจากตึกภาควิชาโบราณคดี เขาเดินตรงไปข้างหน้า ไปยังทิศทางของหอนักศึกษาหญิง ตลอดทางก็ไม่ได้หันกลับไป เพราะเขารู้ว่าฉินเหยาเยว่กำลังยืนมองเขาอยู่บนตึกภาควิชาโบราณคดี ดวงตาคู่นั้นที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณ รวมกับใบหน้างดงามไร้ที่ติ เพียงพอที่จะทำให้ผู้ชายคนใดก็ตามหลงใหล เมื่อครู่นี้เขาก็เกือบจะตกหลุมของฉินเหยาเยว่แล้ว

ถึงแม้ก่อและหลังช่วงเวลาที่ปะทะกันนั้น ทั้งสองจะมีท่าทางธรรมชาติอย่างมาก เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ว่าต่างก็ถูกทำให้ตกตะลึงไปแล้ว ฉินเหยาเยว่ไม่ต้องพูดถึง เคล็ดวิชาสะกดจิตของเธอ แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยล้มเหลวมาก่อน ครั้งนี้ถึงกับถูกเย่เทียนเฉินทำลาย ประหลาดใจจนทนไม่ไหวไปตั้งนานแล้ว คิดว่าไม่ผิดไปจากข่าวลือ เย่เทียนเฉินลึกล้ำเกินคาดเดา ไม่ใช่เย่เทียนเฉินที่เป็นตัวตลกของทั้งเมืองหลวงแล้ว คนคนนี้กลายเป็นจุดรวมสายตาของกลุ่มอำนาจอิทธิพลลับๆ ทั้งหลาย

ส่วนเย่เทียนเฉินเองก็ประหลาดใจมาก เมื่อคู่นี้เขาเกือบจะทนไม่ไหวจนต้องลงมือกับฉินเหยาเยว่ เพราะเขาคิดไม่ถึงว่าจะกะทันหันและคาดเดาไม่ได้แบบนี้ ในชั่วพริบตาที่ตนเองสบตากับฉินเหยาเยว่นั้น เธอก็ได้ใช้เคล็ดวิชาสะกดจิต ค่อยๆควบคุมเย่เทียนเฉิน เป็นเหตุให้ฉินเหยาเยว่เข้าไปใกล้ขนาดนั้น คิดจะใช้โอกาสนี้ถามความสามารถของเย่เทียนเฉิน อีกนิดเดียวก็จะสำเร็จแล้ว หากไม่ใช่ว่าในช่วงเวลาสำคัญ แก่นพลังในสมองของเย่เทียนเฉินเกิดการสั่นไหว ทำให้พลังพิเศษในร่างกายของเขาสับสนจนได้สติขึ้นมา เกรงว่าเย่เทียนเฉินจะต้องถูกครอบงำโดยฉินเหยาเยว่ไปแล้ว

“ดูท่าฉินเหยาเยว่จะไม่ใช่อาจารย์ที่ปรึกษาภาควิชาโบราณคดีง่ายๆ แบบนั้นอย่างแน่นอน เธอมาที่มหาวิทยาลัยหลงเถิงเพราะมีเป้าหมาย ถึงกับมีเคล็ดวิชาสะกดจิตที่แข็งแกร่งถึงขั้นนี้ ฉันอยากจะรู้จริงๆ ว่าเธอมีฐานะอะไรกันแน่…” ในใจของเย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะคิดอย่างประหลาดใจ

เมื่อครู่นี้ที่เย่เทียนเฉินไม่ได้ลงมือแต่อดกลั้นเอาไว้ ก็เพราะเขาไม่อยากจะแหวกหญ้าให้งูตื่น เขาต้องการรู้ว่าฉินเหยาเยว่เป็นใครกันแน่ ทำไมจึงต้องมาที่มหาวิทยาลัยหลงเถิง? อีกทั้งดูท่าทางแล้วฉินเหยาเยว่จะสนใจในตัวเขาเป็นอย่างมาก บางทีอาจจะเกี่ยวข้องกับตนเอง ดังนั้นเย่เทียนเฉินจึงอดกลั้นเอาไว้ มิเช่นนั้นคงจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องต่อสู้กับฉินเหยาเยว่

ฉินเหยาเยว่ ผู้หญิงที่ลึกลับคนนี้ ตกลงแล้วมีฐานะอะไรกันแน่ มาเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาภาควิชาโบราณคดีในมหาวิทยาลัยหลงเถิง มีเป้าหมายอะไรกันแน่?

เย่เทียนเฉินนำพาคำถามอันน่าสงสัยเช่นนี้เดินไปถึงใต้หอพักนักศึกษาหญิงแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง หยิบโทรศัพท์มือถือของตนออกมา กำลังจะโทรไปหาเสี้ยวหยา ทันใดนั้นก็เห็นเงาร่างร่างหนึ่ง ทำให้เย่เทียนเฉินหยุดการกระทำลง เพราะเหงาร่างที่เดินไปยังหอพักนักศึกษาหญิงนั้น เป็นผู้หญิงปิดบังใบหน้าที่เดินชนกับเย่เทียนเฉินที่หน้าประตูตึกภาควิชาโบราณคดี

ผู้หญิงคนนี้ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะตอนที่ชนกันนั้น เขารู้สึกเหมือนเห็นอะไรบางอย่าง ในใจรู้สึกสั่นสะท้านเป็นอย่างมาก แต่กลับไม่สามารถคิดออกได้ในเวลาเพียงชั่วครู่ ดูท่าแล้วในมหาวิทยาลัยหลงเถิงแห่งนี้จะมีเรื่องลึกลับไม่น้อยเลยทีเดียว!

……………………..

แต่บางเรื่องเราก็ไม่มีไฟล์แล้วเหมือนกัน

“กอดให้แน่นหน่อย ฉันจะออกรถแล้วนะ!” เย่เทียนเฉินหันมามองเสี้ยวหยาแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม

นี่เป็นครั้งแรกที่เสี้ยวหยากอดผู้ชาย และการนั่งแบบนี้ก็เหมือนกับคู่รัก ในใจของทุกคนมักจะมีจินตนาการสุดเจ๋งอยู่ รถมอเตอร์ไซค์สุดเท่ มีคนรักนั่งซ้อนท้าย โอบกอดเอวของคุณเอาไว้ บิดคันเร่งเต็มพิกัด เปิดเพลงเสียงดัง หล่อและเท่มาก!

“อืม!” ใบหน้าอันบริสุทธิ์ของเสี้ยวหยาแดงระเรื่อ กอดเย่เทียนเฉินเอาไว้เบาๆ

บรื้น!

กรี๊ด!

เมื่อเย่เทียนเฉินบิดคันเร่ง มอเตอร์ไซค์คันใหญ่ก็พุ่งทะยานออกไปในพริบตา หลิงอวี่สวิ๋นคิดไม่ถึงว่าอยู่ดีๆ จะเร็วถึงขนาดนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะกรีดร้องออกมาครั้งหนึ่ง ตกใจจนรีบใช้มือทั้งสองกอดเย่เทียนเฉินไว้แน่น ส่วนเย่เทียนเฉินกลับยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ บิดคันเร่งจนถึงขีดสุด ขับมุ่งไปยังมหาวิทยาลัยหลงเถิง

ทีละเล็กทีละน้อย เสี้ยวหยาค่อยๆ คุ้นเคยกับความรู้สึกนี้ ถึงแม้ว่ารถมอเตอร์ไซค์จะขับเร็ว แต่ด้วยฝีมือของเย่เทียนเฉินก็ปลอดภัยมาก ลมพัดผมของเสี้ยวหยา ทำให้ใบหน้างดงามบริสุทธิ์ปรากฏออกมา ชายเสื้อชุดเดรสสีขาวถูกลมพัดปลิวเล็กน้อยดูงดงาม โดยเฉพาะเสี้ยวหยาที่นั่งอยู่นั้นพิงหลังของเย่เทียนเฉินโดยไม่รู้ตัว อบอุ่นเป็นอย่างมาก ด้วยความสวยของเสี้ยวหยาและความเท่ของมอเตอร์ไซค์เย่เทียนเฉิน ทำให้ดึงดูดความสนใจของคนขับรถจำนวนไม่น้อยไปตลอดทาง ส่วนใหญ่จะเป็นคนขับรถผู้ชายที่อิจฉาริษยาจนถึงขั้นเกลียดชัง

ในใจของเย่เทียนเฉินก็รู้สึกอบอุ่น คิดไปถึงในยุคสิ้นโลก ผู้หญิงที่ตนรักที่สุดคนนั้น ทุกครั้งล้วนกอดตนเองเช่นนี้ ใช้ศรีษะซบลงบนหลังของเขา ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นและสบายใจ วันเวลาเหล่านั้นเป็นช่วงเวลาที่เย่เทียนเฉินมีความสุขที่สุด เพียงแต่น่าเสียดายที่ผู้หญิงที่เขารักอย่างลึกซึ้งในช่วงยุคสิ้นโลกคนนั้นไม่อยู่แล้ว กลายเป็นความเจ็บปวดในส่วนลึกของจิตใจของเย่เทียนเฉินไปตลอดกาล บางครั้งเขาก็คิดว่า ถ้าหากสามารถกลับไปในช่วงยุคสิ้นโลกได้ เช่นนั้นคงจะดีมาก และไม่รู้ว่าทางโลกนั้นเป็นอย่างไรบ้าง จะมีผู้แข็งแกร่งระดับไหนปรากฏตัวขึ้นมาอีก?

เวลาครึ่งชั่วโมง เย่เทียนเฉินก็ขับรถมอเตอร์ไซค์มาถึงหน้าประตูของมหาวิทยาลัยหลงเถิงแล้ว ในพริบตาที่ลงจากรถนั้น เย่เทียนเฉินรู้สึกได้ถึงสายตาอำมหิตคู่หนึ่งกำลังมองตนเองอยู่ เขาทำเพียงหันไปมองแวบนึง แล้วก็ไม่ได้สนใจ เดินเข้ามหาวิทยาลัยไปด้วยกันกับเสี้ยวหยา ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสามโมงกว่าแล้ว เสี้ยวหยาต้องรีบไปรายงานตัวกับอาจารย์ที่ปรึกษา และยังต้องไปหอพักเพื่อเก็บกวาดเตียงของตนเองอีก

“แม่งเอ๊ย ทำไมอาหู่ถึงยังไม่ส่งคนไปลงมืออีก!” เซวียนเยวี๋ยนอวี่ยืนอยู่ไม่ไกลมองเย่เทียนเฉินและเสี้ยวหยาเดินเข้าไปในมหาวิทยาลัยหลงเถิง บีบกระป๋องเครื่องดื่มในมืออย่างรุนแรงจนบุบบี้ จินตนาการได้เลยว่า ไอ้เด็กเมื่อวานซืนอายุสิบหกปีคนหนึ่งหัวรุนแรงขนาดนี้ แล้วโตไปจะเป็นอย่างไร? ไม่รู้ว่าทำร้ายคนธรรมดาไปมากเท่าไหร่แล้ว

“คุณชายน้อย ผะ ผมว่าพวกเราอย่าไปเร่งพี่หู่เลยครับ ในเมื่อพี่หู่บอกว่าเขาจะฆ่าเย่เทียนเฉิน งั้นก็จะต้องลงมือแน่!”

“ใช่แล้ว พวกเรารอหน่อยเถอะครับ พี่หู่บอกว่าคืนนี้ ก็จะต้องเป็นคืนนี้แน่ ไอ้ลูกเต่าเย่เทียนเฉินจะต้องตายแน่นอน!”

บอดี้การ์ดคนใหม่ล่าสุดทั้งสองคนที่อยู่ด้านหลังเซวียนเยวี๋ยนอวี่ย่อมรู้ว่าเมื่อคืนเซวียนเยวี๋ยนอวี่ไปทำให้อาหู่โมโห ด้วยจุดจบของบอดี้การ์ดคนก่อนหน้าพวกเขา พวกเขาจึงไม่อยากให้เซวียนเยวี๋ยนอวี่ไปหาเรื่องอาหู่อีก ถึงตอนนั้นพวกเขาก็จะต้องกลายเป็นแพะรับบาป แบบนั้นไม่ยุติธรรมมากจริงๆ!

“พวกแก…ไอ้พวกไร้ประโยชน์ มีแต่พวกไร้ประโยชน์ทั้งฝูง ฆ่าเย่เทียนเฉินก็ไม่ได้ อาหู่ก็เป็นแค่สุนัขใต้บัญชาของพี่ชายฉันเท่านั้น ในเมื่อกล้าไม่ฟังคำสั่งฉัน แล้วยังกล้าเล็งปืนมาที่หัวของฉัน รอให้พี่ชายฉันกลับมาก่อน จะต้องให้มันมาโขกหัวรับผิดแน่!” เซวียนเยวี๋ยนอวี่เปิดปากพูดอย่างดุดัน

เมื่อได้ยินคำพูดของเซวียนเยวี๋ยนอวี่ บอดี้การ์ดคนใหม่ทั้งสองคนที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาก็มองไปที่เซวียนเยวี๋ยนอวี่อย่างเหยียดหยาม แต่ไม่กล้าพูดอะไร ขนาดพวกเขาก็ยังดูถูกเซวียนเยวี๋ยนอวี่ หากไม่ใช่เพราะว่าอำนาจของตระกูลเซียนเยวี๋ยน ใครจะเต็มใจมาตามตูดไอ้เด็กเมื่อวานซืนนี่กัน เกรงว่าไม่ว่าจะเป็นใครก็ต้องรู้สึกไม่พอใจ อีกทั้งเรื่องที่เมื่อวานเซวียนเยวี๋ยนอวี่ถูกทำให้ตกใจจนฉี่ราดก็ได้แพร่ไปในหมู่ลูกน้องแล้ว ตอนนี้เห็นเขาบ้าขึ้นมาอีก ใครจะไม่ดูถูกคนแบบนี้กัน

“ใช่แล้ว คุณชายน้อยระงับความโกรธหน่อยนะครับ รอให้คุณชายใหญ่กลับมาก่อน ทุกอย่างจะต้องไม่มีปัญหาแน่!”

“เรื่องฆ่าเย่เทียนเฉินให้อาหู่ไปจัดการเถอะครับ นี่ก็เป็นคำสั่งของคุณชายใหญ่ หากว่าอาหู่ฆ่าเย่เทียนเฉินไม่ได้ ก็ดูว่าเขาจะไปรายงานคุณชายใหญ่ยังไง!”

“หึ เย่เทียนเฉินกล้ามาหาเรื่องฉันจะต้องตายแน่นอน อาหู่กล้าไม่เคารพฉัน ฉันก็จะไม่ปล่อยมันไว้แน่!” เซวียนเยวี๋ยนอวี่ยังอายุน้อย แต่กลับพูดได้อำมหิตยิ่ง

เย่เทียนเฉินและเสี้ยวหยาเดินทางไปยังตึกภาควิชาบริหารธุรกิจ เพราะเสี้ยวหยาลงทะเบียนเรียนเอกวิชาบริหารธุรกิจ เมื่อไปพบอาจารย์ที่ปรึกษาและรายงานตัวเรียบร้อยแล้ว เสี้ยวหยาก็ถือกุญแจห้องนอนแยกมา

“ตอนนี้เธอก็วางใจได้แล้วใช่ไหม รายงานตัวกับอาจารย์ที่ปรึกษาเรียบร้อยแล้ว ฉันว่าอาจารย์ที่ปรึกษาดูประทับใจเธอไม่น้อยเลย!” เย่เทียนเฉินพูดยิ้มๆ

“อืม ฉันจะต้องเรียนให้ดีๆแน่นอน หวังว่าจะสามารถเรียนรู้กับอาจารย์ที่ปรึกษาได้อีกหลายอย่าง!” เสี้ยวหยาพูดพลางพยักหน้า

เมื่อเดินไปถึงหน้าประตูหอพักนักศึกษาหญิง เย่เทียนเฉินก็หยุดฝีเท้าตรงนั้น พูดด้วยรอยยิ้มกระอักกระอ่วนว่า “ฉันไม่ขึ้นไปนะ รอเธออยู่ตรงนี้แหละ ไม่ค่อยสะดวก!”

“ถ้านายมีธุระก็ไปก่อนเถอะ ฉันขึ้นไปแล้วยังต้องไปเก็บกวาดเตียงอะไรอีก ได้ยินอาจารย์ที่ปรึกษาบอกว่าเพื่อนนักเรียนคนอื่นมารายงานตัวแล้ว แต่ว่าคืนนี้ทุกคนไม่ได้พักอยู่ที่มหาวิทยาลัย ฉันเลยคิดว่าจะทำความสะอาดห้องนอนสักหน่อย!” เสี้ยวหยามองเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

“ไม่มีปัญหา ฉันจะรอเธออยู่ข้างล่างนี่แหละ เดินเล่นไปเรื่อย ถึงเวลาอาหารเย็นพวกเราก็ไปกินข้าวด้วยกัน ไม่มีหลิงอวี่สวิ๋นมาโวยวาย กินข้าวเงียบๆ คงดีมาก!” เย่เทียนเฉินยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วพูดขึ้น

“ความจริงพี่อวี่สวิ๋นก็ดีกับนายมาก แต่ปากร้ายไปหน่อยเท่านั้นเอง งั้นฉันขึ้นไปก่อนนะ!” เสี้ยวหยายิ้มอย่างไร้เดียงสาแล้วพูดขึ้น

เมื่อเห็นว่าเสี้ยวหยาเดินเข้าไปในตึกหอพักนักศึกษาหญิงแล้ว เย่เทียนเฉินก็ควักโทรศัพท์ออกมาดู สี่โมงเย็นแล้ว ยังมีเวลาอีกสามชั่วโมงกว่าฟ้าถึงจะมืด และคาดว่าเสี้ยวหยาเองก็จะเก็บกวาดห้องถึงเวลานั้น เสี้ยวหยาเป็นผู้หญิงที่มีจิตใจดีงามจากก้นบึ้งของหัวใจ ถึงแม้ว่าดูแล้วจะอ่อนแอ กระทั่งดูท่าทางผอมกะหร่อง แต่เย่เทียนเฉินรู้ว่าเธอเป็นผู้หญิงที่มีหัวใจแน่วแน่คนหนึ่ง เธอมีจิตใจที่เคารพตัวเอง มีความพยายามมาตลอด คิดจะใช้ความพยายามของตนเพื่อเปิดทางสู่อนาคต

เย่เทียนเฉินบิดขี้เกียจครั้งหนึ่งแล้วออกไปจากหน้าประตูตึกหอพักนักศึกษาหญิง เขาเป็นผู้ชาย มายืนอยู่หน้าประตูหอพักนักศึกษาหญิง คนที่ไม่รู้คงคิดว่าจะเข้าไปทำเรื่องลามก

เย่เทียนเฉินไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนดี เพียงเดินอยู่ในเขตมหาวิทยาลัยหลงเถิงไปเรื่อย มหาวิทยาลัยหลงเถิงแห่งนี้เป็นสถานศึกษาชั้นหนึ่งของประเทศจีน ไม่เพียงแต่มีเนื้อที่กว้างขวาง ทิวทัศน์ก็ยังไม่เลวอีกด้วย โดยเฉพาะเมื่อถึงฤดูร้อน สาวสวยในมหาวิทยาลัยแต่ละคนต่างสวมชุดร้อนแรง คนนั้นสวมกระโปรงสั้นจนเห็นขางามๆ คนนี้สวมเสื้อลูกไม้บางจนเห็นอกภูเขา เย่เทียนเฉินมองจนรู้สึกตาพร่า มิน่าล่ะทุกคนถึงได้บอกว่า ทุกเวลาของมหาวิทยาลัยล้วนเป็นฤดูแห่งความรัก

โดยไม่รู้ตัว ตอนที่เย่เทียนเฉินเงยหน้าขึ้นมอง เขาพบว่าได้เดินมาถึงตึกภาควิชาโบราณคดีแล้ว ในตอนที่มากับหลิงอวี่สวิ๋น เขารู้สึกได้ถึงพลังพิเศษอันแข็งแกร่ง ทำให้เขารู้สึกสงสัยมาโดยตลอดว่าตกลงแล้วเป็นใครกันแน่ที่แข็งแกร่งถึงขนาดนี้ สามารถปล่อยพลังพิเศษออกมาครอบคลุมทั่วทั้งตัวตึกได้ กระทั่งเย่เทียนเฉินก็รู้สึกสั่นสะท้าน

คิดครู่หนึ่ง เย่เทียนเฉินก็รู้สึกว่า อาจจะเป็นไปได้มากว่าจิตใต้สำนึกของตนเองต้องการรู้ให้แน่ชัดว่าพลังพิเศษอันแข็งแกร่งนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไรกันแน่ ดังนั้นจึงเดินมาที่หน้าตึกภาควิชาโบราณคดีโดยไม่รู้ตัว ในเมื่อเดินมาถึงนี่แล้วก็เข้าไปดูสักหน่อยเถอะ คราวก่อนเป็นเพราะมีหลิงอวี่สวิ๋นมาด้วย เย่เทียนเฉินจึงไม่สะดวกที่จะตามหา และไม่สะดวกที่จะใช้พลังพิเศษแห่งการรับรู้ ตอนนี้เขาอยู่คนเดียว ไม่มีอะไรต้องสนใจ ต่อให้เจอกับอันตรายอะไร ก็เพียงพอที่จะรับมือได้

แต่ว่าในตอนที่เย่เทียนเฉินเพิ่งจะก้าวเดินไปและเตรียมที่จะเดินเข้าไปในตึกภาควิชาโบราณคดีนั้น ผู้หญิงคนหนึ่งมีรูปร่างสูงเพรียว สูงประมาณหนึ่งร้อยเจ็ดสิบสามเซนติเมตร สวมรองเท้าส้นสูงคู่หนึ่ง กางเกงหนังสีดำ เสื้อยืดสีดำ สวมแว่นตากันแดดสีดำอันใหญ่ กระทั่งปากก็สวมผ้าปิดปาก เธอเดินออกมาจากด้านใน ชนเข้ากับเย่เทียนเฉิน

“ขอโทษค่ะ!” ผู้หญิงคนนั้นกล่าวประโยคหนึ่งแล้วคิดที่จะจากไปอย่างรีบร้อน

“คนสวย แว่นของคุณตกแล้วครับ!” เย่เทียนเฉินเก็บแว่นของผู้หญิงคนนั้นขึ้นมาจากพื้น อดไม่ได้ที่จะตะโกนออกไปด้วยรอยยิ้ม

ผู้หญิงคนนั้นหันมา ถึงแม้ว่ายังคงสวมผ้าปิดปากอยู่บนหน้า แต่เย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะชะงักไป ดวงตางดงามคู่นั้นราวกับสามารถสื่อความออกมาได้ ให้ความรู้สึกมีเสน่ห์เป็นอย่างมาก รวมกับร่างกายของผู้หญิงคนนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่สะบึม แต่ก็สัดส่วนดี ให้ความรู้สึกอยากเข้าไปโอบกอด

“ขอบคุณค่ะ!” ผู้หญิงคนนั้นรับแว่นมาจากในมือเย่เทียนเฉิน หลังจากที่พูดขอบคุณก็รีบเดินไปด้วยความเร็ว

เย่เทียนเฉินมองแผ่นหลังของผู้หญิงคนนั้น รู้สึกราวกับว่ามีตรงไหนไม่ถูกต้อง ในเวลาเพียงชั่วคู่ก็คิดไม่ออก นั่นเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดมาก ในตอนที่เขาหันไปเตรียมจะเดินเข้าไปในตึกภาควิชาโบราณคดีต่อไปนั้น ก็เกือบจะชนเข้ากับคนข้างหลังเขาอีกครั้ง เกือบจะศีรษะชนกัน

“เป็นเธอนั่นเอง? มีธุระอะไรเหรอ?” ผู้หญิงที่ยืนอยู่ด้านหลังของเย่เทียนเฉิน มองเย่เทียนเฉินอย่างแปลกใจแล้วแล้วเอ่ยถามขึ้น

“อ๋อ อาจารย์ฉินนี่เอง ไม่มีธุระหรอกครับ แค่เดินไปเรื่อย ทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อม!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

คิดไม่ถึงว่าตอนที่เย่เทียนเฉินหมุนตัวไป ฉินเหยาเยว่จะยืนอยู่ด้านหลังเขา ส่วนเรื่องที่ว่าฉินเหยาเยว่ปรากฏตัวเมื่อไหร่นั้น เย่เทียนเฉินถึงกลับไม่ได้สังเกตเห็น ต้องทราบว่าเขาในตอนนี้เป็นยอดฝีมือที่มีพลังพิเศษขอบเขตจอมราชัน ในระยะไกลไม่ต้องพูดถึง แต่อย่างน้อยภายในขอบเขตหนึ่งพันเมตร ทุกเรื่องจะต้องสามารถรับรู้ได้ราวกับรู้ฝ่ามือของตน การปรากฏตัวอย่างกระทันหันของฉินเหยาเยว่ ทำให้เย่เทียนเฉินยิ่งรู้สึกสงสัยมากขึ้น

เพราะว่าคนธรรมดาคนหนึ่งจะไม่มีทางทำได้ถึงขั้นนี้อย่างเด็ดขาด หากต้องการปรากฏตัวด้านหลังเย่เทียนเฉินโดยที่ไร้ซุ่มไร้เสียง เชื่อว่าจะต้องถูกเขาพบนานแล้ว แต่ฉินเหยาเยว่ถึงกับทำได้ นี่ทำให้เย่เทียนเฉินสงสัยว่าเธอจะเป็น…

……………………..

“คุณน้าเกรงใจไปแล้วค่ะ พวกเราและเสี้ยวหยาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ช่วยเหลือเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ก็เป็นสิ่งที่สมควรแล้ว!” หลิงอวี่สวิ๋นพูดด้วยรอยยิ้มหวาน

“ใช่แล้ว พวกเธอรีบนั่งเถอะ อย่ายืนอยู่เลย!” แม่ของเสี้ยวหยาเห็นเย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋นยังยืนอยู่ จึงรีบเรียกให้พวกเขานั่งลง

“ไม่เป็นไรครับ คุณน้าอยากได้ขยับเลยครับ พวกเราจัดการตัวเองก็ใช้ได้แล้ว!” เย่เทียนเฉินพูดพลางพยักหน้า

ในตอนนี้ เสี้ยวหยาถูกเสียงดังรบกวนจนตื่น ลืมตาขึ้นมาอย่างมึนงง เมื่อเห็นเย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋นมาแล้วจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจ ลืมไปเสียสนิทว่าวันแรกเป็นวันลงทะเบียน วันที่สองเป็นวันรายงานตัวกับอาจารย์ที่ปรึกษา ทำแบบนี้หากว่าอยู่ในมหาวิทยาลัย อาจารย์ที่ปรึกษาก็จะดำเนินการจัดการได้ดี

“พี่อวี่สวิ๋น พวกพี่มาได้ยังไงคะ?” เสี้ยวหยาเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“ฮ่าๆ วันนี้เป็นวันรายงานตัวกับอาจารย์ที่ปรึกษา เธอลืมไปแล้วเหรอ?” หลิงอวี่สวิ๋นอดไม่ได้ที่จะถามด้วยรอยยิ้ม

“เอ๋? แย่แล้ว หนูถึงกับหลับไป ลืมไปรายงานตัวกับอาจารย์ที่ปรึกษาที่มหาวิทยาลัยเลย!”

เสี้ยวหยาพลันกระวนกระวายขึ้นมา ตั้งแต่เล็กจนโตเธอก็มีผลการเรียนที่ดีเลิศมาตลอด อีกทั้งยังเชื่อฟังคำพูดของอาจารย์และพ่อแม่เป็นอย่างมาก วันนี้เป็นวันรายงานตัวกับอาจารย์ที่ปรึกษาก็ควรจะไปสร้างความประทับใจให้อาจารย์บ้าง ตอนนี้เลยเวลาเที่ยงไปแล้ว ก็ยังไม่ได้ไปมหาวิทยาลัย จะต้องทำให้อาจารย์ที่ปรึกษาไม่พอใจอย่างแน่นอน

“งั้นทำยังไงดี หยาเอ๋อร์ ลูกรีบไปมหาวิทยาลัยเถอะ แม่อยู่ที่นี่ก็ไม่เป็นไรแล้ว!” แม่ของเสี้ยวหยาพูดขึ้นด้วยความกระวนกระวาย

“ไม่ต้องรีบร้อนไปหรอก รอให้กินข้าวกลางวันเสร็จก่อน ฉันจะไปส่งเธอเอง แปบเดียวก็เสร็จแล้ว!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

“งั้นก็ดีเลย พวกเราไปกินข้าวกันเถอะ ฉันรู้สึกหิวอยู่บ้างจริงๆ นายจะเลี้ยงอะไรสาวสวยอย่างพวกเราสองคนล่ะ?” หลิงอวี่สวิ๋นเอ่ยถามยิ้มๆ

“อะไรนะ? ไม่ได้บอกว่าเธอจะเลี้ยงเหรอ? ทำไมเป็นฉันอีกแล้วล่ะ?” เย่เทียนเฉินพูดพลางมองไปยังหลิงอวี่สวิ๋นอย่างจนใจ

“เรื่องของการเลี้ยงข้าวเนี่ย มีนายที่เป็นสุภาพบุรุษอยู่ จะมาถึงตาพวกเราทั้งสองคนที่เป็นผู้หญิงได้ยังไง เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว!” หลิงอวี่สวิ๋นยิ้มเจ้าเล่ห์ดูน่ารัก

ในตอนนี้เย่เทียนเฉินถึงจะพบว่า หลิงอวี่สวิ๋นบางครั้งก็เป็นคนเขี้ยวลากดิน และยังมีฝีมืออยู่บ้าง ทั้งๆที่ตอนเริ่มต้นตอบรับไปแล้วว่าวันนี้เธอจะเป็นคนเลี้ยง แต่เมื่อถึงเวลากินข้าว ก็ยังร้องเรียกให้ตนเองเป็นคนเลี้ยง เกินไปแล้วจริงๆ ดูท่าแล้ววันหน้าคำพูดของผู้หญิงคนนี้คงจะเชื่อถือได้น้อยแล้ว

“แม่คะ แม่อยากกินอะไร หนูจะไปซื้อมาให้แม่” เสี้ยวหยาเลยถามผู้เป็นแม่อย่างรู้ความ

“ไม่ต้องหรอกจ้ะ พวกลูกไปกินกันเถอะ อีกเดี๋ยวพ่อของลูกก็จะมาส่งอาหารแล้ว หลังจากกินข้าวลูกก็ไปรายงานตัวที่มหาวิทยาลัย สร้างความประทับดีๆ ใจให้อาจารย์ ตอนมืดมีพ่อของลูกอยู่ที่นี่ ไม่ต้องเป็นห่วงไป!” แม่ของเสี้ยวหยาพูดด้วยรอยยิ้ม

“ค่ะ!” เสี้ยวหยาพยักหน้า

เดินออกมาจากโรงพยาบาลแห่งเมืองหลวง เสี้ยวหยายังคงพะว้าพะวงอยู่ อย่างไรเสียอาการป่วยของแม่ก็รุนแรงมาก นอกจากนี้เมื่อเกิดเจ็บปวดขึ้นมา กระทั่งคำพูดก็ไม่สามารถเปล่งออกมาได้ ทำได้เพียงอาศัยยาแก้ปวดเพื่อระงับปวด

“หยาเอ๋อร์ เธอวางใจเถอะ แม่ของเธอจะต้องไม่เป็นอะไรแน่ จะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน!” หลิงอวี่สวิ๋นกุมมือเสี้ยวหยา เปิดปากพูดอย่างจริงจัง

“อืม!” เสี้ยวหยาพยักหน้าแต่ไม่กล่าวอะไร

เย่เทียนเฉินมองเสี้ยวหยา ความจริงแล้วเขาไม่อยากบอกเธอเรื่องของจอมแพทย์เทวะเร็วขนาดนี้ เพราะการจะหาตัวจอมแพทย์เทวะพบหรือไม่นั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้วหลายสิบปี บางทีจอมแพทย์เทวะอาจจะไม่ได้อยู่ในโลกมนุษย์แล้วก็เป็นได้ เขาไม่อยากให้ความหวังกับเสี้ยวหยาแล้วทำให้เธอผิดหวัง หากเป็นแบบนั้นจะเป็นการทำร้ายเธอมาเกินไป

แต่เมื่อเห็นท่าทางหดหู่ไม่มีความสุขของเสี้ยวหยาในตอนนี้แล้ว เย่เทียนเฉินก็รู้สึกปวดใจจริงๆ หญิงสาวที่น่ารักบริสุทธิ์คนหนึ่ง ควรจะได้มีชีวิตที่มีความสุข แต่ตอนนี้กลับต้องทรมานจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ นี่เป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น ไม่ว่าใครเห็นก็ต้องทนไม่ได้

นี่ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกกดดัน การตามหาจอมแพทย์เทวะเป็นเรื่องด่วนที่ต้องรีบจัดการ แม่ของเสี้ยวหยาสามารถยืนหยัดต่อไปได้อีกเพียงไม่กี่เดือน หากว่าในหลายเดือนนี้ไม่สามารถหาจอมแพทย์เทวะได้ แม่ของเสี้ยวหยาก็จะไม่มีทางช่วยได้แล้ว ส่วนเสี้ยวหยาก็จะต้องทนทุกข์ทรมานมาตลอด กังวลเรื่องอาการป่วยของแม่

“หยาเอ๋อร์ ความจริงแล้วเธอไม่ต้องกังวลจนเกินไปหรอก ฉันได้ยินว่ามีหมอคนหนึ่ง มีฝีมือทางการแพทย์สูงส่งมาก กระทั่งสามารถทำให้คนกลับมาจากความตายได้ หากว่าสามารถหาเขาเจอ เชื่อว่าจะต้องรักษาอาการป่วยของแม่ของเธอได้อย่างแน่นอน!” เย่เทียนเฉินคิดครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยปากขึ้น

“จริงเหรอ? เทียนเฉิน นายไม่ได้หลอกฉันใช่ไหม? ช่วยคนกลับมาจากความตาย…”

เสี้ยวหยามีท่าทางไม่เชื่อถือนัก ความจริงแล้วด้วยเทคโนโลยีในยุคนี้ ยังจะมีสักกี่คนที่จะเชื่อในเรื่องเล่าเหนือธรรมชาติอยู่อีก? กล่าวเกินจริงไปถึงขั้นทำให้คนฟื้นจากความตายได้ หากพูดออกไปเกรงว่าจะทำให้คนอื่นคิดว่าบ้า แต่เย่เทียนเฉินกลับเชื่อ เขาที่เป็นผู้มีพลังพิเศษระดับพระเจ้าที่กลับชาติมาเกิดจากในยุคสิ้นโลก ย่อมได้พบกับเรื่องเกินจริงเหนือธรรมชาติมามากมาย กระทั่งผู้มีชีวิตเป็นอมตะในช่วงยุคสิ้นโลกที่กล่าวได้ว่ามีชีวิตยืนยาวไม่มีวันตาย และยังมีคนที่สามารถใช้หมัดเดียวทลายความว่างเปล่าจนเป็นผุยผง ทรงพลังไม่มีที่เปรียบ

เรื่องราวเหล่านี้ล้มล้างความคิดของคนในยุคปัจจุบันไปโดยสิ้นเชิง ก็เหมือนกับย้อนไปสู่ยุคของภูติผีวิญญาณอีกครั้งหนึ่ง ความจริงนั้นเรียบง่ายมาก หากเทียบกับคนปัจจุบัน จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าบนโลกนี้จะมีผู้มีพลังพิเศษและยอดฝีมือพรรควรยุทธโบราณอยู่จริงๆ? คนเหล่านี้แข็งแกร่งจนถึงขั้นที่ไม่อาจจินตนาการได้ ไม่ถูกควบคุมโดยรัฐและกฎหมาย กระทำการต่างๆ ตามความชอบใจของตนเองโดยสิ้นเชิง สิ่งนี้น่าหวาดกลัวมากเพียงใดกัน? ช่วยไม่ได้ที่คุณจะไม่เชื่อในการมีอยู่ของคนเหล่านี้ คนธรรมดาไม่มีโอกาสและคุณสมบัติได้เจอพวกเขาไปตลอดชีวิตก็เท่านั้น เป็นคนที่ไม่ได้อยู่ในโลกเดียวกันโดยสิ้นเชิง

“จริงสิ ฉันไม่หลอกเธอหรอก ไม่เชื่อก็ถามอวี่สวิ๋นดู!” เย่เทียนเฉินพยักหน้าอย่างจริงจัง มองไปยังหลิงอวี่สวิ๋นแล้วพูดขึ้น

หลิงอวี่สวิ๋นอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง เรื่องนี้เย่เทียนเฉินไม่เคยถามเธอมาก่อน ไม่ต้องพูดถึงเสี้ยวหยาเลย ขนาดตัวเธอเองก็รู้สึกไม่เชื่ออยู่บ้าง บนโลกนี้ยังมีคนที่มีวิชาแพทย์เก่งกาจเกินพิกัดขนาดนี้ด้วยหรือ? ถึงกับสามารถทำให้คนตายกลับมามีชีวิตได้ นี่เกรงว่าจะไม่ใช่คนแล้ว แต่เป็นเทพมากกว่า?

แต่ว่าหลิงอวี่สวิ๋นก็เป็นผู้หญิงที่ฉลาดมากคนหนึ่ง เพียงมองเย่เทียนเฉินแวบหนึ่งและดูเหมือนเธอจะชะงักไปชั่วครู่จนดูไม่ออกจากนั้นจึงพยักหน้าพูดกับเสี้ยวหยาว่า “เทียนเฉินพูดถูกแล้ว บนโลกนี้มีผู้วิเศษท่านนี้อยู่จริงๆ หากว่าสามารถหาเขาเจอ อาการป่วยของแม่เธอก็จะรักษาได้แล้ว!”

“จริงเหรอคะ?” ครู่หนึ่งเสี้ยวหยาก็ตื่นเต้นขึ้นมา สายตาเต็มไปด้วยประกายแห่งความหวัง เธอย่อมหวังอย่างแน่นอนว่าผู้วิเศษท่านนี้จะมีตัวตนอยู่จริงๆ หากเป็นเช่นนั้นอาการป่วยของแม่เธอก็มีหวังแล้ว

“จริงสิ ขอเพียงแค่พวกเราหาคนคนนี้เจอ ก็สามารถรักษาอาการป่วยของแม่เธอได้แล้ว!” เย่เทียนเฉินพูดพลางมองเสี้ยวหยา

“งั้น งั้นพวกเรารีบไปหาผู้วิเศษท่านนี้กันเถอะ ไปขอร้องเขาให้ช่วยมารักษาแม่ของฉัน!”

“หยาเอ๋อร์ ผู้วิเศษท่านนี้ตอนนี้จะอยู่ที่ไหน พวกเราเองก็ยังไม่รู้ มีเพียงเบาะแสเล็กน้อยเท่านั้น แต่ว่าเธอวางใจเถอะ พวกเราจะต้องหาเขาให้เจอให้ได้อย่างแน่นอน เธอไม่ต้องกังวลจนเกินไป!” เย่เทียนเฉินรีบเปิดปากพูด

“ใช่แล้วหยาเอ๋อร์ ทุกวันเธอต้องไปเรียนและดูแลแม่ของเธอ ส่วนเรื่องตามหาผู้วิเศษท่านนี้ ก็ให้ฉันกลับเทียนเฉินไปจัดการเถอะ ยังไงซะพวกเราก็พอมีวิธีอยู่บ้าง จะมากจะน้อยก็ยังสามารถรวบรวมคนได้!” หลิงอวี่สวิ๋นยิ้มพลางกุมมือของเสี้ยวหยาแล้วพูดขึ้น

เสี้ยวหยาคิดครู่หนึ่ง มองไปทางเย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋นอย่างจริงจังแล้วพูดขึ้นว่า “งั้นก็ขอบคุณพวกเธอมากเลยนะ พวกเธอดีกับฉันมากจริงๆ!”

“เด็กโง่ เคยบอกแล้วไงว่าไม่ต้องเกรงใจ พวกเราเป็นเพื่อนกัน ไปเถอะ ไปกินข้าว!”

ในที่สุดก็ทำให้เสี้ยวหยามีความหวังขึ้นมาบ้าง ในใจของเธอไม่หดหู่ระทมทุกข์แบบนั้นอีกต่อไปแล้ว เธอเดินอยู่กับหลิงอวี่สวิ๋นข้างหน้าสุด พูดคุยกัน หัวเราะเป็นบางครั้ง เย่เทียนเฉินที่เห็นก็ดีใจมาก เพียงแต่เขารู้สึกว่าความกดดันของตัวเองเพิ่มขึ้นมาก ในเมื่อให้ความหวังเสี้ยวหยาไปแล้วก็ไม่สามารถทำให้เธอผิดหวังได้อีกครั้ง เกรงว่าเธอจะรับความกระทบกระเทือนเช่นนี้ไม่ไหว เรื่องของการตามหาจอมแพทย์เทวะผู้นี้เป็นเรื่องด่วน จำเป็นต้องดำเนินการให้เร็วที่สุด

ในตอนที่กินข้าวกลางวันกันนั้น เย่เทียนเฉินใจกว้างอย่างหาได้ยาก เลี้ยงหม้อไฟเสี้ยวหยาและหลิงอวี่สวิ๋น ทำให้หลิงอวี่สวิ๋นมองเย่เทียนเฉินเหมือนกับมองมนุษย์ต่างดาว ทำให้เขาโกรธอับจนคำพูด ทำเหมือนกับตัวเองไม่เคยเลี้ยงใครมาแปดชาติอย่างไรอย่างนั้นแหละ

หนึ่งชั่วโมงต่อมา เย่เทียนเฉิน เสี้ยวหยาและหลิงอวี่สวิ๋นก็เดินออกมาจากร้านหม้อไฟ ในตอนที่ทั้งสามกำลังจะเดินทางไปยังมหาวิทยาลัยนั้น โทรศัพท์มือถือของหลิงอวี่สวิ๋นก็ดังขึ้น เธอหยิบมือถือขึ้นมากดรับสาย

“ฮัลโหล คุณพ่อ มีอะไรเหรอคะ?”

“อะไรนะ? คนของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนจะเกินไปแล้ว พวกเขาทำแบบนี้ต้องการจะไล่กิจการของพวกเราเหรอ หนูจะกลับไปเดี๋ยวนี้!” หลิงอวี่สวิ๋นพูดด้วยความโมโห

“เป็นอะไรเหรอ สวิ๋นอวี่?” เย่เทียนเฉินรู้ว่าเกิดเรื่องแล้วจึงเอ่ยถามอย่างใส่ใจ

“ไม่มีอะไร ฉันคงไปมหาวิทยาลัยเป็นเพื่อนพวกเธอไม่ได้แล้ว นายใช้มอเตอร์ไซค์พาเสี้ยวหยาซ้อนไปเถอะ ฉันจะกลับบ้านสักหน่อย!” หลิงอวี่สวิ๋นเปิดปากพูด

“อืม ขับรถระวังหน่อย มีเรื่องอะไรก็โทรหาฉันนะ!” เย่เทียนเฉินพยักหน้าพลางกล่าว

“รู้แล้ว!”

เมื่อเห็นหลิงอวี่สวิ๋นขับรถสปอร์ตจากไป ในใจของเย่เทียนเฉินก็รู้สึกกังวล ถึงแม้ว่าทั้งสองจะทะเลาะกันบ่อย แต่มิตรภาพในวัยเด็กเขาจะลืมได้อย่างไร หลิงอวี่สวิ๋นเองก็เป็นผู้หญิงที่สวยงามและจิตใจดีคนหนึ่ง เพียงแต่นิสัยไม่เหมือนกับเสี้ยวหยา หากว่าหลิงอวี่สวิ๋นเกิดเรื่องอะไรขึ้น เย่เทียนเฉินย่อมไม่นิ่งดูดายอย่างแน่นอน

“ไปเถอะ หยาเอ๋อร์ พวกเราไปมหาวิทยาลัยกัน!” เย่เทียนเฉินมองไปยังเสี้ยวหยาด้วยรอยยิ้มแล้วพูดขึ้น

“อืม!” เสี้ยวหยามองเย่เทียนเฉินครู่หนึ่ง ทันใดนั้นคิดได้ถึงประโยคนั้นของแม่ขึ้นมา หากว่าลูกรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ไม่เลว ก็สามารถอยู่กับเขาได้

เย่เทียนเฉินสตาร์ทมอเตอร์ไซค์ เสี้ยวหยานั่งซ้อนท้ายเขา เธอที่นั่งรถมอเตอร์ไซค์เป็นครั้งแรกรู้สึกไม่ชินอยู่บ้าง ที่สำคัญก็คือรู้สึกกระอักกระอ่วน ไม่รู้ว่าจะเอามือทั้งสองวางไว้ตรงไหน ไม่มีที่ให้จับเลยสักที่ และรู้สึกไม่ปลอดภัย

“กอดฉันเอาไว้เถอะ แบบนี้ก็จะปลอดภัยหน่อย อีกอย่างฉันก็ขับรถเร็วมากด้วย!” เย่เทียนเฉินพูดกับเสี้ยวหยาด้วยรอยยิ้ม

เสี้ยวหยาชะงักไปครู่หนึ่ง ดวงหน้าเล็กๆ แดงระเรื่อ กัดปากกัดริมฝีปากล่างของตนเอง มือทั้งสองโอบเอวเย่เทียนเฉินช้าๆ…

……………………..

เมื่อเดินออกมาจากห้องทำงานของตึกภาควิชาโบราณคดีแล้ว เย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองตึกนี้ เพราะว่าเขามักจะรู้สึกได้ว่าตึกนี้มีพลังพิเศษอันแข็งแกร่งอยู่ โดยเฉพาะในตอนที่เขาเพิ่งจะเหยียบย่างมายืนอยู่หน้าตึกแห่งนี้ เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงพลังพิเศษอันแข็งแกร่งเกินพิกัด กระทั่งสามารถครอบคลุมไปทั่วทั้งตัวตึกได้ ช่างทำให้ผู้คนต้องสั่นสะท้านมากจริงๆ

อย่างไรก็ตาม เย่เทียนเฉินจูงมือหลิงอวี่สวิ๋น พุ่งทะยานเข้าไปด้วยความเร็ว ขึ้นไปยังชั้นสามด้วยความเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่พลังพิเศษอันแข็งแกร่งนั้นกลับเลือนหายไปในชั่วพริบตาโดยไม่เหลือร่องรอย นี่ยิ่งทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกสั่นไหว คนที่สามารถใช้พลังพิเศษที่แข็งแกร่งขนาดนี้ได้อย่างคล่องแคล่ว จะต้องเป็นยอดฝีมือในหมู่ยอดฝีมืออย่างแน่นอน

“เป็นอะไรไป? อาลัยอาวรณ์อาจารย์ที่ปรึกษาสาวสวยหรือไง?” หลิงอวี่สวิ๋นเห็นเย่เทียนเฉินหันกลับไปมองตึกภาควิชาโบราณคดีอยู่เป็นระยะ จึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นอย่างล้อเลียน

เย่เทียนเฉินได้สติกลับมา ทันใดนั้นเขาคิดว่าหลิงอวี่สวิ๋นไร้เดียงสาจริงๆ บางครั้งก็ไร้เดียงสาจนน่ารัก ไม่ใช่ว่าตนตั้งใจจะหลอกลวงอะไรเธอ เพียงแต่เรื่องนี้ยิ่งรู้น้อยก็จะยิ่งปลอดภัย อย่างไรเสียในโลกแห่งนี้ ผู้แข็งแกร่งพรรควรยุทธโบราณและยอดฝีมือแห่งโลกพลังพิเศษก็มีสถานะลึกลับเป็นอย่างมาก หากว่าคนธรรมดารับรู้เรื่องของพวกเขาก็จะไม่มีผลดีเลยแม้แต่น้อย และยังอาจจะดึงดูดอันตรายถึงชีวิตอีกด้วย

ดังนั้นในตอนเริ่มแรก เย่เทียนเฉินจึงแสร้งทำเป็นมีท่าทีลามก ทำเหมือนกับอดรนทนไม่ไหวที่จะไปพบอาจารย์ที่ปรึกษาสาวสวย คิดไม่ถึงว่าหลิงอวี่สวิ๋นก็ยังคงเชื่อ ตอนนี้ยังมีท่าทีเชื่อถืออยู่อีกด้วย

“ก็ใช่น่ะสิ อาจารย์ที่ปรึกษาสาวสวยที่สวยถึงขนาดนี้ ฉันเต็มใจที่จะเข้าเรียนทุกวันเลย!” เย่เทียนเฉินพูดขึ้นพลางหัวเราะฮี่ๆ

หลิงอวี่สวิ๋นมองค้อนใส่เย่เทียนเฉิน เดิมทีเธอคิดว่าเย่เทียนเฉินจะเปลี่ยนแปลงท่าทางเกเรในสมัยก่อนแล้ว คิดไม่ถึงว่าเจ้าหมอนี่ในตอนที่ไม่เอาไหนขึ้นมาก็เหมือนกับอันธพาลมากจริงๆ เปิดปากพูดออกไปอย่างดุดันว่า “ด้วยอีคิวแบบนี้ของนาย อาจารย์สาวสวยถูกใจนายก็แปลกแล้ว!”

“ประโยคนั้นไม่ถูกนะ ไม่แน่ว่าเสน่ห์ของฉันจะปะทุออกมาครั้งใหญ่ก็ได้ อาจจะทำบุญมาดีจนมีสาวงามมาหลงรักก็ได้นะ!” เย่เทียนเฉินยังคงพูดจาหยอกล้อหลิงอวี่สวิ๋นต่อไป

“หึ ฉันขี้เกียจจะสนใจนายแล้ว ไปเถอะพวกเราไปหาเสี้ยวหยากัน ไม่รู้ว่าตอนนี้แม่ของเธอเป็นยังไงบ้าง!” หลิงอวี่สวิ๋นยังคงใจดี จิตใจไม่เลวเลย ยังคงกังวลถึงเสี้ยวหยา

“อืม ตอนเที่ยงเธอคิดจะเลี้ยงอะไรฉัน?” เย่เทียนเฉินถามแล้วหัวเราะฮี่ๆ

“นาย…ผู้ชายมาดแมนอย่างนายไปกับผู้หญิงสวยๆ อย่างพวกฉันทั้งสองคน เอาแต่คิดจะให้พวกเราเลี้ยงข้าวนาย นายยังรู้สึกดีได้อีกหรือ?” หลิงอวี่สวิ๋นพูด รู้สึกหมดอาลัยตายอยากและอับจนคำพูดจริงๆ

“มีอะไรให้ไม่รู้สึกดีกัน ตอนเที่ยงฉันเลี้ยงอาหารทะเลพวกเธอ เมื่อคืนเสี้ยวหยาก็เลี้ยงก๋วยเตี๋ยว วันนี้ตอนเที่ยงก็ควรจะเป็นเธอที่เลี้ยง ควรจะเป็นเธอที่เลี้ยงแล้ว…” เย่เทียนเฉินพูดด้วยใบหน้าเคร่งขรึมจริงจัง

นาย…นาย…ไปตายซะ!” หลิงอวี่สวิ๋นถลึงตามองเย่เทียนเฉินแล้วสะบัดก้นเดินไป เสียงรองเท้าส้นสูงดังกังวาน เดินมุ่งไปยังประตูมหาวิทยาลัยด้วยความรวดเร็ว เธอไม่อยากจะเดินด้วยกันกับเจ้าหมอนี่จริงๆ

แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเจอผู้ชายที่ไม่มาดแมนไม่สุภาพบุรุษขนาดนี้มาก่อน ไม่ใช่ว่าหลิงอวี่สวิ๋นจะเลี้ยงข้าวไม่ได้ แต่ความขี้เหนียวของเย่เทียนเฉินทำให้คนอื่นรับไม่ไหว ผู้ชายคนหนึ่งทั้งไม่มี อีคิวทั้งขี้เหนียว มิน่าล่ะหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ของเย่เทียนเฉินถึงกังวลว่าลูกชายของตนจะแต่งเมียไม่ได้ จึงได้ร้อนรนขึ้นมาในตอนที่เย่เทียนเฉินเพิ่งจะอายุยี่สิบ นี่ต้องเป็นเหตุผลอย่างแน่นอน!

เย่เทียนเฉินหัวเราะฮี่ๆ พลางเดินตามหลังหลิงอวี่สวิ๋นไปยังบริเวณประตูมหาวิทยาลัยหลงเถิงด้วยกัน ตลอดทางนี้ย่อมดึงดูดสายตาของนักศึกษาชายหญิงเป็นจำนวนมาก ประการแรกก็เพราะว่าความโด่งดังของเย่เทียนเฉิน คนที่กล้าอัดน้องชายของเซวียนเยวี๋ยนเถิงในมหาวิทยาลัยหลงเถิงและยังสามารถมีชีวิตอยู่ถึงวันถัดมาได้ เกรงว่าจะมีเพียงเย่เทียนเฉินสุดเจ๋งเพียงคนเดียวเท่านั้น ประการที่สองก็เพราะหลิงอวี่สวิ๋น สาวสวยที่จะได้รับโหวตให้เป็นดอกไม้ทั้งสี่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงในรอบใหม่ ย่อมต้องมีแฟนคลับเป็นจำนวนมาก ในหน้าแฟนเพจของมหาวิทยาลัยหลงเถิงก็มีรูปของหลิงอวี่สวิ๋นอยู่เป็นจำนวนมาก ถูกนักศึกษาชายและเหล่าโอตาคุชายดาวน์โหลดและวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างบ้าคลั่ง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ชื่อเสียงของหลิงอวี่สวิ๋นโด่งดังเป็นอย่างมากในมหาวิทยาลัย

“นะ นั่นไม่ใช่หลิงอวี่สวิ๋นเหรอ? ทำไมดูเหมือนว่าจะโกรธเลยล่ะ?”

“ดอกไม้งามคนใหม่แห่งมหาวิทยาลัย ทั้งสวยและเซ็กซี่มากจริงๆ แล้วยังมีร่างกายนั่นอีก ทำให้น้ำลายไหลเลย!”

“พวกนายรีบดูสิ คะ คนที่ตามหลังมาคือเย่เทียนเฉินเหรอ?”

“พระเจ้า เป็นไอ้หมอนั่นจริงๆด้วย ไม่ใช่ว่าเขาเพิ่งจะอัดน้องชายของเซวียนเยวี๋ยนเถิงไปเหรอ? ทำไมยังมาอยู่กับหลิงอวี่สวิ๋นอีก?”

“นายน้อยเซวียนเยวี๋ยนเถิงต้องบ้าไปแล้วแน่เลย เย่เทียนเฉินอัดน้องชายของเขา ตอนนี้ก็มาจีบผู้หญิงของเขา ทั้งตบหน้าทั้งเล่นชู้ ผู้ชายคนไหนจะรับได้บ้าง!”

มีพวกสอดรู้สอดเห็นบางคนที่แสร้งทำใบหน้าโศกเศร้าขมขื่น ทำท่าเหมือนกำลังเห็นใจเย่เทียนเฉิน แต่ว่ามีหลายคนที่มาดูความคึกครื้น คิดอยากจะเห็นว่าเรื่องนี้จะมีจุดจบอย่างไร ในมหาวิทยาลัยหลงเถิงเซวียนเยวี๋ยนเถิงขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ที่หาเรื่องไม่ได้ ใครที่ไปหาเรื่องก็จะต้องตาย เมื่อก่อนมีลูกผู้อำนวยการ ลูกนายกเทศมนตรีอะไรต่างๆ ไปหาเรื่องเซวียนเยวี๋ยนเถิง ก็ต้องมีจุดจบที่ถูกหักแขนหักขา นี่ก็เพียงพอที่จะทำให้ทุกคนต้องสั่นสะท้านแล้ว

ดังนั้นโดยปกติ ความคิดของคนส่วนใหญ่ก็คือ กำลังรอดูว่าครั้งนี้เย่เทียนเฉินจะตายอย่างไร หากพูดถึงเรื่องหาเรื่องแล้ว เย่เทียนเฉินเป็นคนที่หาเรื่องเซวียนเยวี๋ยนเถิงได้อย่างโหดเหี้ยมที่สุดคนหนึ่ง อัดเซวียนเยวี๋ยนอวี่ซึ่งเป็นน้องชายของเซวียนเยวี๋ยนเถิง แล้วตอนนี้ยังมาเดินใกล้อยู่กับผู้หญิงที่เขาตามจีบมาตลอด เกรงว่าต้องทำให้เซวียนเยวี๋ยนเถิงโกรธจนแทบกระอักเลือด นายน้อยเซวียนเยวี๋ยนเถิงอย่างเขา มีอำนาจอิทธิพลที่ค่อนข้างแข็งแกร่งมาโดยตลอด มีใครกล้าหาเรื่องกับเขาแบบนี้บ้าง เขาจะเอาหน้าไปวางไว้ที่ไหน? ยังจะอยู่ในมหาวิทยาลัยหลงเถิงต่อไปได้อย่างไร?

เมื่อเดินมาถึงบริเวณประตูของมหาวิทยาลัยหลงเถิง หลิงอวี่สวิ๋นก็เดินขึ้นรถสปอร์ตของตนโดยไม่สนใจเย่เทียนเฉินอีก สตาร์ทรถแล้วขับไปยังทิศทางของโรงพยาบาลแห่งเมืองหลวง เย่เทียนเฉินขี่มอเตอร์ไซค์ของตน ใช้รองเท้าแตะสุดเจ๋งของตนสตาร์ทรถ ทำให้นักศึกษาจำนวนมากที่ดูอยู่บริเวณประตูมหาวิทยาลัยรู้สึกอับจนคำพูดเป็นอย่างมาก

ตลอดทาง เย่เทียนเฉินขับรถมอเตอร์ไซค์ของตนอยู่ข้างรถสปอร์ตของหลิงอวี่สวิ๋น คอยก่อกวนอยู่เป็นระยะ เขารู้ว่าหลิงอวี่สวิ๋นถูกตัวเองทำให้โกรธจนเคืองไปหมดแล้ว ดังนั้นจึงหยอกล้อด้วยใบหน้าทะเล้น หลิงอวี่สวิ๋นทำหน้ายู่ เบะปากเล็กๆของตน ดูน่ารักเป็นอย่างมาก ใช้ดวงตาอันสวยงามจองเย่เทียนเฉินเป็นระยะ ไม่พูดอะไรแม้แต่ประโยคเดียว

“ฮ่าๅ ตอนเด็กๆเธอโกรธก็มีท่าทางแบบนี้ ผ่านไปหลายปีแล้วยังไม่เปลี่ยนอีก?” เย่เทียนเฉินพูดยิ้มๆ

“หึ เจ้าบ้า เป็นนายที่เปลี่ยน เมื่อก่อนนายไม่มีท่าทีอันธพาลแบบนี้ น่ารังเกียจ…” หลิงอวี่สวิ๋นพูดอย่างไม่สบอารมณ์

“เมื่อก่อนเป็นเพราะว่าเธอยังเด็ก ตอนนี้ยิ่งโตก็ยิ่งสวย ผู้ชายคนไหนจะไม่ใจเต้นบ้าง? ฉันก็เป็นผู้ชาย ดังนั้นก็เลยหยอกล้อเธอ ก็เป็นเรื่องที่ปกติธรรมดาไม่ใช่เหรอ?” เย่เทียนเฉินพูดเสียงดัง

ได้ยินประโยคนี้ของเย่เทียนเฉิน หลิงอวี่สวิ๋นก็ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด ตนเองจึงไม่โกรธ หรือจะเป็นเพราะในส่วนลึกของจิตใจยังคงมีความรู้สึกดีๆ ต่อเย่เทียนเฉินในวัยเด็กหลงเหลืออยู่? ผู้หญิงคนหนึ่งมักจะจดจำเรื่องราวในสมัยเด็กได้โดยไม่ลืมเลือน เพราะในช่วงเวลานั้นเธอมีจิตใจที่บริสุทธิ์ที่สุด และใฝ่หาความรักที่บริสุทธิ์ที่สุด

เมื่อเห็นว่าใบหน้าของหลิงอวี่สวิ๋นแดงระเรื่อ เย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะในใจ ล้อเล่นอะไรกัน ในช่วงยุคสิ้นโลกข้างกายของเขาล้วนเป็นหญิงงามชั้นเลิศ หากต้องการจะแย่งชิงหัวใจของผู้หญิงคนหนึ่ง ถ้าไม่มีเทคนิคเลยแม้แต่น้อยจะได้รับความรักจากผู้หญิงมากมายขนาดนั้นได้อย่างไร

เพียงแต่หลังจากได้มาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ เย่เทียนเฉินต้องการใช้ชีวิตอย่างสงบธรรมดา ใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวของตนอย่างมีความสุขและเบิกบานใจ ส่วนเรื่องของชายหญิง กลับไม่ได้คิดอะไรมาก สรุปแล้ว เย่เทียนเฉินเป็นผู้ชายที่มีทั้งด้านอันธพาลและด้านที่เป็นดั่งเทพแห่งความตาย ไม่สามารถใช้ตรรกะปกติมาตัดสินได้ แล้วเพราะมีนิสัยแบบนี้ จึงทำให้คนจำนวนมากมองไม่ออกว่าเย่เทียนเฉินเป็นคนอย่างไร

“นับว่านายยังพูดจาภาษามนุษย์อยู่ ฉันจะทำเป็นให้อภัยนายก็แล้วกัน!” หลิงอวี่สวิ๋นพูดกับเย่เทียนเฉินแล้วยู่ปากเล็กๆ

“อะไรคือนับว่าฉันยังพูดจาภาษามนุษย์อยู่? ดูเหมือนว่าเธอจะคุยกับฉันมาตลอด หรือว่าเธอกำลังด่าตัวเอง?” เย่เทียนเฉินพูดพลางหัวเราะ

“ไอ้บ้า!”

บนทางด่วน เมื่อเจอกับเสียงตะโกนอันน่ารักของหลิงอวี่สวิ๋น เย่เทียนเฉินก็หัวเราะเสียงดัง ทั้งสองขับรถตรงไปยังโรงพยาบาลแห่งเมืองหลวงด้วยความเร็ว วันนี้เป็นวันรายงานตัววันแรก แต่เสี้ยวหยาไม่ได้ไปที่มหาวิทยาลัย นี่ทำให้เย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋นรู้สึกเป็นกังวลอยู่บ้าง คงจะไม่ใช่ว่าอาการป่วยของแม่ของเสี้ยวหยาแย่ลงหรอกนะ?

ยังเป็นรถมอเตอร์ไซค์ของเย่เทียนเฉินที่เร็วกว่า ที่สำคัญก็คือคนคนนี้ขับอยู่ข้างๆ และหยอกล้อหลิงอวี่สวิ๋นอยู่เป็นระยะ จึงทำให้หลิงอวี่สวิ๋นไม่มีสมาธิในการขับรถ ฝ่าไฟแดงไปหลายครั้ง โกรธจนทนไม่ไหว

เย่เทียนเฉินจอดรถมอเตอร์ไซค์สุดเจ๋งที่หน้าประตูโรงพยาบาลแห่งเมืองหลวง โดยมีรถสปอร์ตของหลิงอวี่สวิ๋นตามมาถึงติดๆ กัน ทั้งสอง คนหนึ่งนำหน้าคนหนึ่งตามหลัง เดินเข้าไปในห้องผู้ป่วยของแม่ของเสี้ยวหยา พบว่าเสี้ยวหยากำลังนอนหลับอยู่ที่เตียงข้างๆ แม่ของเสี้ยวหยากำลังลูบศีรษะเธอเบาๆ

เมื่อเห็นเย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋นเดินเข้ามา แม่ของเสี้ยวหยาก็ทำท่าทางจุ๊ๆ เป็นสัญญาณให้เย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋นอย่าส่งเสียงปลุกเสี้ยวหยา

“คุณน้าคะ ดีขึ้นบ้างหรือเปล่าคะ?” หลิงอวี่สวิ๋นเลยถามเสียงเบาอย่างใส่ใจ

“ดีขึ้นมากแล้วจ้ะ ขอบคุณเธอมาก เมื่อคืนหยาเอ๋อร์ไม่ได้นอนทั้งคืน คอยเฝ้าน้าตลอด กลัวว่าน้าจะอาการกำเริบ เพิ่งจะได้นอนเอง!” แม่ของเสี้ยวหยาพูดด้วยรอยยิ้ม

“วางใจเถอะครับคุณน้า อาการป่วยของคุณจะต้องดีขึ้นแน่นอน ผมคิดวิธีได้แล้ว!” เย่เทียนเฉินเอ่ยปาก

แม่ของเสี้ยวหยามองสำรวจเย่เทียนเฉินครู่หนึ่ง รู้สึกจากใจจริงว่าผู้ชายคนนี้ไม่เลวเลย ทุ่มเทกายใจเต็มที่เพื่อเรื่องของตน หากว่าเขาชอบเสี้ยวหยาจริงๆ เธอก็จะไม่ต่อต้านการคบหาระหว่างลูกสาวกับเย่เทียนเฉิน อย่างไรเสียเมื่อลูกสาวโตขึ้นแล้วก็จะต้องมีชีวิตเป็นของตนเอง มีเส้นทางเดินเป็นของตนเอง และมีครอบครัวเป็นของตนเอง พ่อแม่ที่คิดถึงลูกสาวจริงๆนั้น จะต้องไม่สร้างความลำบากให้แก่ลูกสาว ไม่กลายเป็นภาระและความลำบากของเธอ

“ขอบคุณเธอมาก น้าได้ยินหยาเอ๋อร์บอกว่าพวกเธอเพิ่งจะรู้จักกัน ลูกน้าสามารถรู้จักกับเพื่อนดีๆเหมือนพวกเธอทั้งสองคนได้ นับว่าเป็นบุญจริงๆ!” แม่ของเสี้ยวหยาพูดพลางพยักหน้า

หลิงอวี่สวิ๋นไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าทำไมเย่เทียนเฉินจึงได้เลือกเรียนภาควิชาโบราณคดี ใครๆ ก็รู้ว่าภาควิชาโบราณคดีเป็นเอกวิชาที่ไม่เป็นที่นิยม ยิ่งไปกว่านั้นสำหรับมหาวิทยาลัยหลงเถิงแล้ว ภาควิชาโบราณคดีเป็นวิชาที่ไม่นิยมเป็นอย่างมาก มีคนเพียงไม่กี่คน ทั้งภาควิชามีเราราวๆ สามสิบกว่าคนเท่านั้น ไม่ว่าใครก็สามารถคิดได้ว่า คนที่ศึกษาทางด้านโบราณคดีเป็นพวกไม่พูดไม่จา เป็นพวกหัวโบราณแข็งทื่อ เมื่อคิดว่าเย่เทียนเฉินจะกลายเป็นไอ้แว่นหัวโบราณ หลิงอวี่สวิ๋นก็รู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้

“ทำไมนายถึงได้เลือกเรียนเอกวิชาโบราณคดีล่ะ ทางภาควิชามีแค่หลายสิบคน เอกวิชานี้น่าเบื่อเกินไปหรือเปล่า?” หลิงอวี่สวิ๋นอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามเย่เทียนเฉิน

“คำตอบมีเพียงอย่างเดียว นั่นก็คืออาจารย์ที่ปรึกษาสาวสวย ฉันจำได้ว่าตอนที่เธอคุยกับเสี้ยวหยา เธอพูดว่าในมหาวิทยาลัยหลงเถิงมีอาจารย์ที่ปรึกษาที่สวยที่สุดอยู่ในภาควิชาโบราณคดี ดังนั้นฉันก็เลยลงทะเบียนเอกโบราณคดี เพื่อสาวสวยแล้วฉันยอมทนลำบากทุกอย่าง ต่อให้เป็นจูบแรกของฉันก็ไม่เสียดาย!” เย่เทียนเฉินพูดพลางทำท่าทางเพ้อฝัน

“ไปตายซะ ใครต้องการจูบแรกของนายกัน น่ารังเกียจ!” หลิงอวี่สวิ๋นรู้สึกอยากจะอ้วก

“ฮี่ๆ จูบแรกของฉันหวานหอมมากเลยทีเดียว ไม่งั้นจะลองสักหน่อยไหม…” จู่ๆ เย่เทียนเฉินก็หยอกล้อหลิงอวี่สวิ๋นขึ้นมา ตั้งใจทำปากจู๋เข้าไปใกล้อีกฝ่าย

“อา…ไอ้บ้า อย่าเข้ามา…” หลิงอวี่สวิ๋นเห็นเย่เทียนเฉินทำปากจู๋ขึ้นมาจริงๆ และทำท่าจะประทับลงมาที่ปากเล็กๆ ของตน จึงตกใจจนรีบวิ่งออกไป เย่เทียนเฉินเห็นว่าในที่สุดเธอก็รู้สึกกลัวแล้วจึงหัวเราะอย่างชั่วร้ายและวิ่งตามไป

ในยามเด็ก ในซอยเล็กๆ มีเพียงเย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋นสองคน พวกเขาเล่นกันหยอกล้อกันจนกระทั่งเรียนจบโรงเรียนประถม ตอนนี้เติบโตขึ้นแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่ได้พบกันหลายปี แต่ความรู้สึกในวัยเด็กยังคงอยู่ เพียงแต่ความรู้สึกของหลิงอวี่สวิ๋นไม่เหมือนกับความรู้สึกของเย่เทียนเฉิน กระทั่งตัวเธอเองก็ไม่สังเกตเห็นก็เท่านั้น

เย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋นหยอกล้อกันไปพลางวิ่งไปที่บริเวณรายงานตัวของภาควิชาโบราณคดีไปพลาง ตอนนี้เอง ชายฉกรรจ์สอง คนที่ยืนอยู่บริเวณไม่ไกลหยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นมา เมื่อสังเกตเห็นถึงทุกสิ่งทุกอย่างพลันมีท่าทางโหดเหี้ยมดุดันขึ้น

“หึ ไอ้หนูเย่เทียนเฉินยังกล้าออกมาจริงๆ ช่างไม่กลัวตายเอาซะเลย!” ชายฉกรรจ์ที่ถือกล้องส่องทางไกลพูดแล้วยิ้มออกมาอย่างโหดเหี้ยม

“คืนนี้มีความตายที่รอมันอยู่!” ชายฉกรรจ์อีกคนหนึ่งก็พูดอย่างดุร้าย

“ได้ยินว่าไอ้หนูนี่มีฝีมือไม่เลว พวกเราจำเป็นต้องคิดหาวิธีที่จะไม่มีข้อผิดพลาด อย่าให้มันหนีไปได้…”

“หนีไม่ได้หรอก กองกำลังถือมีดตัดฟืนสามร้อยกว่าคน ไม่ต้องพูดถึงฟันคนให้ตายเลย แค่ทำให้คนตกใจตายก็ยังได้ ต่อให้เย่เทียนเฉินจะร้ายกาจขนาดไหน ก็ต้องถูกฟันจนเละเป็นโจ๊ก!”

“อืม นายดูอยู่ที่นี่ ฉันจะไปรายงานพี่หู่!”

ชายฉกรรจ์ทั้งสองคนเป็นคนของอาหู่ อาหู่นั้นเพื่อที่จะสามารถจัดการเย่เทียนเฉินได้โดยไม่ให้มีข้อผิดพลาดใดๆ จึงส่งคนสนิทสองคนมาที่มหาวิทยาลัยหลงเถิง พอเย่เทียนเฉินปรากฏตัวก็ให้จับตามองอย่างเคร่งครัด ขอเพียงมีโอกาสลงมือ กองกำลังถือมีดตัดฟืนทั้งสามร้อย คนก็จะทะลักออกมากำจัดเย่เทียนเฉิน

นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่อาหู่จริงจังขนาดนี้ เมื่อก่อนที่เขาฆ่าคน กระทั่งคิ้วก็ไม่ขมวดเลยแม้แต่น้อย ส่งพี่น้องไปหาตัวต้นเรื่องโดยตรง แล้วใช้มีดตัดฟืนฆ่าให้ตายก็ใช้ได้แล้ว ส่วนเย่เทียนเฉินนั้นมีฝีมือแข็งแกร่งมาก รวมกับที่อาจจะมีอำนาจอยู่เบื้องหลัง อาหู่รู้ว่าหากไม่สามารถฆ่าเย่เทียนเฉินได้ในครั้งแรก ก็เป็นไปได้มากกว่าจะมีปัญหาใหญ่ที่สามารถจะทำให้ตนเองตายได้

ในตอนนี้ เย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋นทั้งสองคนเดินเข้าไปในตึกของภาควิชาโบราณคดี หากจะพูดว่าเป็นตึกใหญ่ก็ไม่ใหญ่นัก มีเพียงสามชั้นเท่านั้น เนื่องจากเดิมทีนักศึกษาภาควิชาโบราณคดีก็ไม่มาก อาจารย์เองก็มีไม่กี่คนเท่านั้น

“ห้องของอาจารย์ที่ปรึกษาคงจะอยู่ที่ชั้นสาม ไปเถอะ!” หลิงอวี่สวิ๋นที่ยืนอยู่หน้าตึกของภาควิชาโบราณคดีพูดขึ้น

“หือ?”

เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เมื่อครู่นี้เขายังไม่ได้รู้สึกถึงอะไร แต่เมื่อยืนอยู่หน้าตึกภาควิชาโบราณคดีความรู้สึกได้ถึงการฟุ้งกระจายของพลังพิเศษอันแข็งแกร่ง ราวกับครอบคลุมทั้งตึกอยู่ แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก กระทั่งเย่เทียนเฉินเองก็ต้องตกใจ ถึงกับมีผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งถึงขั้นนี้อยู่เชียวหรือ

แต่ว่า ความรู้สึกนี้ค่อยๆจางลง ปรากฏอยู่เพียงแค่ไม่ถึงสิบวินาทีเท่านั้นแล้วก็จางหายไป เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจและสั่นไหวเล็กน้อย ภายในตึกภาควิชาโบราณคดีแห่งนี้จะต้องมีผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งซ่อนตัวอยู่อย่างแน่นอน มิเช่นนั้นคงจะไม่สามารถปล่อยพลังพิเศษอันแข็งแกร่งขนาดนี้ออกมาได้ ดูแล้ว โลกแห่งนี้จะมียอดฝีมือซ่อนอยู่เบื้องหลังไม่ยอมออกมาไม่น้อยเลยทีเดียว

“ไปเถอะ พวกเราไปดูกัน!”

ในขณะที่พูด เย่เทียนเฉินก็จับมือหลิงอวี่สวิ๋นเอาไว้ แล้วเดินเข้าไปในตัวตึกด้วยความรวดเร็ว เขาทำเช่นนี้ก็เพื่อที่จะปิดบังจากหูตาผู้คนเท่านั้น ความจริงแล้วคิดอยากจะดูสักหน่อยว่าเป็นใครที่แข็งแกร่งถึงขั้นที่สามารถปล่อยพลังพิเศษออกมาครอบคลุมทั่วทั้งตัวตึกได้ เขามีความอยากรู้อยากเห็นและมีความประหลาดใจเล็กน้อย

หลิงอวี่สวิ๋นรู้สึกแปลกใจ อยู่ดีๆ เย่เทียนเฉินก็จับมือของเธอ ทำให้ใบหน้าเล็กๆ ของเธอแดงระเรื่อ ในตอนที่เย่เทียนเฉินจูงมือเธอ เธอมักจะคิดถึงช่วงเวลาในวัยเด็กโดยไม่รู้ตัว เป็นความรู้สึกที่ทั้งสองอยู่ด้วยกันในตอนเด็ก ทำให้เธอรู้สึกคิดถึงจริงๆ

เย่เทียนเฉินจูงมือหลิงอวี่สวิ๋นวิ่งเหยาะๆ ไปตลอดทางมุ่งขึ้นไปที่ชั้นสาม ในตอนที่เขาวิ่งไปถึงหน้าห้องที่มีป้ายอาจารย์ที่ปรึกษาติดอยู่นั้นจึงค่อยหยุดลง มองไปยังห้องนั้นด้วยสายตาลึกล้ำ ความจริงแล้วในตอนที่เขาเพิ่งจะเหยียบย่างเข้ามาสู่ตัวตึกแห่งนี้ ก็รู้สึกได้ถึงการปะทุของพลังพิเศษอันแข็งแกร่งในชั้นสาม เพียงแต่น่าเสียดายในตอนที่เขาวิ่งมาถึงชั้นสามพลังพิเศษก็หายไปทั้งหมดแล้ว ในชั้นสามมีห้องของอาจารย์ที่ปรึกษาอยู่หลายท่าน เย่เทียนเฉินไม่สามารถตัดสินได้ว่าพลังพิเศษนี้แพร่ออกมาจากไหน เพราะว่ามันได้เลือนหายไปทั้งหมดและถูกเก็บซ่อนเอาไว้แล้ว

“สามารถเก็บซ่อนพลังพิเศษได้ในพริบตา ถึงขนาดไม่มีซึมออกมาเลยสักหยด นี่ถึงจะเป็นยอดฝีมือในหมู่ยอดฝีมือ!” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะพึมพำกับตัวเองอย่างชื่นชมระคนประหลาดใจ

“นายพูดอะไรอยู่น่ะ?” หลิงอวี่สวิ๋นมองเย่เทียนเฉินอย่างประหลาดใจ ไม่รู้ว่าเขากำลังพึมพำพูดอะไรอยู่

“ไม่ ไม่มีอะไร!” เย่เทียนเฉินได้สติกลับมาจึงพูดด้วยรอยยิ้ม

“งั้นนายจูงฉันวิ่งมาเร็วขนาดนี้ทำไม มีหมาไล่นายอยู่หรือไง?” หลิงอวี่สวิ๋นตบหน้าอกของตนเบาๆ ปากเล็กๆ อ้ากว้างสูดหายใจเข้าไปแล้วพูดขึ้น

“ไม่มีหมาที่ไหนไล่หรอก ก็แค่อยากจะเจออาจารย์ที่ปรึกษาสาวสวยให้เร็วขึ้นหน่อยเท่านั้น เห็นสาวสวยก็วิ่งตามไง? ล้อเล่นที่ไหนกัน!” เย่เทียนเฉินพูดพลางหัวเราะฮี่ๆ

ในตอนนี้หลิงอวี่สวิ๋นขี้เกียจจะไปต่อล้อต่อเถียงกับเย่เทียนเฉินแล้ว ถูกเจ้าหมอนี่จูงมือวิ่งจนถึงชั้นสาม สาวสวยอย่างเธอรับไม่ได้จริงๆ หน้าอกอันตั้งตระหง่านกระเพื่อมไปตามลมหายใจอันหนักหน่วงของเธอ ขึ้นครั้งหนึ่งลงครั้งหนึ่ง ให้ความรู้สึกกระตุ้นเป็นอย่างมาก หากว่าผู้ชายธรรมดามาเห็นจะต้องคว้าจับเอาไว้อย่างบ้าคลั่งแน่นอน

ก๊อกๆ!

เย่เทียนเฉินเคาะประตูสองครั้ง ด้านในมีเสียงผู้หญิงดังแว่วออกมาอย่างเย็นชา มีความเป็นมิตรอยู่ไม่เท่าไหร่ เย่เทียนเฉินผลักประตูเดินเข้าไป หลิงอวี่สวิ๋นเองก็รีบตามเข้าไป

เมื่อเดินเข้าไปในห้องของอาจารย์ที่ปรึกษาภาควิชาโบราณคดี พบว่าทั้งห้องมีขนาดยี่สิบตารางเมตร ไม่ใหญ่ไม่เล็ก ตรงกลางมีโต๊ะยาวตัวหนึ่ง ทั้งสองฝั่งเป็นชั้นหนังสือ ล้อมรอบไปด้วยของที่เกี่ยวกับโบราณคดี เช่นพวกหินหรือฟอสซิลไดโนเสาร์อะไรจำพวกนี้

สิ่งที่ดึงดูดมากที่สุดก็คืออาจารย์ที่ปรึกษาสาวสวยที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงาน เป็นเหมือนกับที่หลิงอวี่สวิ๋นพูดจริงๆ มีอายุเพียงแค่ยี่สิบกว่าปีเท่านั้น ผมสีดำสลวยคลอเคลียอยู่บริเวณบ่า ตาโตงดงาม ปากเล็กๆ แดงระเรื่อชุ่มชื่น รวมกับดวงหน้างดงามและรูปร่างที่ทำให้ผู้คนหลงใหลก็มากพอที่จะทำให้ผู้ชายคนใดก็ตามต้องใจเต้น

“พวกเธอมีเรื่องอะไรหรือ?” อาจารย์ที่ปรึกษาสาวสวยมองเย่เทียนเฉินแล้วเอ่ยถาม

“อ๋อ อาจารย์ครับผมคือเย่เทียนเฉิน มารายงานตัวกับคุณครับ ปีนี้อายุยี่สิบปี สูงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบแปดเซนติเมตร ยังไม่แต่งงาน!” เย่เทียนเฉินกล่าวแนะนำตัว

ได้ยินเย่เทียนเฉินแนะนำตัว หลิงอวี่สวิ๋นก็อดไม่ได้ที่จะยิ้ม การแนะนำตัวเองกับอาจารย์เป็นเรื่องที่เข้มงวดจริงจังมาก แต่เจ้าหมอนี่ประโยคแรกยังดีๆ อยู่ แต่ประโยคหลังกลับบอกว่ายังไม่แต่งงาน นี่ไม่ใช่การดูตัวจะพูดละเอียดขนาดนี้ทำไมกัน

“เธอก็คือเย่เทียนเฉิน?” อาจารย์ที่ปรึกษาสาวสวยคนนั้นอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงไปเล็กน้อย ยืนขึ้นแล้วจ้องเย่เทียนเฉินพลางเอ่ยถาม

“ใช่แล้วครับ ดูเหมือนว่าสาวสวยจะให้ความสนใจกับผมมาก มีอะไรจะแนะนำหรือเปล่าครับ?” เย่เทียนเฉินเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

อาจารย์ที่ปรึกษาสาวสวยจ้องมองเย่เทียนเฉินโดยไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงมองสำรวจขึ้นลง ราวกับต้องการเห็นอะไรบางอย่าง เพียงแต่น่าเสียดายที่มองอยู่ครึ่งค่อนวันแล้วก็ยังไม่ได้รับผลอะไร สุดท้ายจึงพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม “ครูชื่อฉินเหยาเยว่ สวัสดี ได้ยินชื่อเสียงเธอมานานแล้ว!”

“ฮ่าๆ อาจารย์ล้อเล่นแล้ว คุณเคยได้ยินชื่อผมหรอครับ?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“แน่นอนว่าต้องเคยได้ยินมา เธอก็คือนายน้อยเย่เทียนเฉิน ตอนนี้เป็นคนใหญ่คนโตในเมืองหลวง ตั้งแต่ที่กลับมาที่เมือง เรื่องไหนที่ทำแล้วไม่สั่นสะท้านไปทั่วทั้งเมืองหลวงบ้าง ครูสนใจเรื่องของเธอมาก ถ้ามีเวลาพวกเราก็มาคุยกันสักหน่อยเป็นยังไง?” ฉินเหยาเยว่พูด

“ไม่มีปัญหาครับ แต่ว่าวันนี้ผมไม่มีเวลา มีธุระนะครับ ต้องไปก่อนแล้ว!” เย่เทียนเฉินพูดยิ้มๆ

หลิงอวี่สวิ๋นที่อยู่ข้างๆมองอย่างมึนงง จะอย่างไรเธอก็คิดไม่ถึงว่า เย่เทียนเฉินและฉินเหยาเยว่พบหน้ากันครั้งแรกก็สามารถพูดคุยกันได้อย่างเบิกบานใจขนาดนี้ ช่างอยู่เหนือความคาดหมายของหลิงอวี่สวิ๋นอยู่บ้างจริงๆ ที่สำคัญก็คือนักศึกษาคนหนึ่ง อาจารย์ที่ปรึกษาคนหนึ่ง ดูไม่มีความแตกต่างทางฐานะเลยแม้แต่น้อย ช่างน่าแปลกประหลาดจริงๆ

“ไปเถอะ!” เย่เทียนเฉินพูดกับหลิงอวี่สวิ๋น

“ได้ๆ ลาก่อนค่ะอาจารย์!” หลิงอวี่สวิ๋นได้สติกลับมาก็รีบพูดขึ้นยิ้มๆ

เมื่อเห็นว่าเย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋นไปจากห้องทำงานของตนแล้ว ฉินเหยาเยว่ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว จากนั้นจึงปรากฏรอยยิ้มขึ้นที่มุมปาก อดไม่ได้ที่จะพูดพึมพำกับตนเอง “เย่เทียนเฉิน เธอเป็นคนที่น่าสนใจจริงๆ มิน่าล่ะทุกภาคส่วนถึงได้แอบตรวจสอบเธออยู่ลับๆ ฉันก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าเธอแข็งแกร่งขนาดไหน!”

ฉินเหยาเยว่ จะกล่าวจบ เธอก็รู้สึกวิงเวียนศีรษะ จึงรีบนั่งลงที่เก้าอี้ ในใจอดไม่ได้ที่จะโมโห ดูท่าอาการบาดเจ็บที่ได้รับยังต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งจึงจะหายดี

เพื่อที่จะหาผู้มีพลังพิเศษในสายรักษามารักษาแม่ของเสี้ยวหยา เย่เทียนเฉินจึงพยายามคิดทุกวิถีทางเพื่อที่จะให้ชางหลางนำข้อมูลของผู้มีพลังพิเศษที่ประเทศจีนรวบรวมมาในหลายปีนี้ออกมาให้ แต่ว่า ดูเหมือนหลังจากที่อ่านข้อมูลเกี่ยวกับผู้มีพลังพิเศษทั้งหมดเสร็จแล้ว เย่เทียนเฉินจะยิ่งหมดหวัง เพราะว่าเขาไม่พบการบันทึกของผู้มีพลังพิเศษในสายรักษาใดๆ เลยแม้แต่น้อย

ในตอนที่เย่เทียนเฉินคิดว่าคงจะต้องหาวิธีอื่นนั้น เขาก็หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา บนกระดาษแผ่นนั้นมีตัวอักษรเขียนอยู่สี่ตัว แต่กลับเป็นตัวอักษรสี่ตัวที่สามารถทำให้เขาสั่นสะท้านได้ ‘จอมแพทย์เทวะ!’

เมื่อได้ยินชางหลางสาธยาย เย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะลอบตกตะลึง ดูเหมือนว่าจะมั่นใจได้ว่าจอมแพทย์เทวะก็คือผู้มีพลังพิเศษในสายรักษา และยังแข็งแกร่งมากอีกด้วย สามารถช่วยคนใกล้ตายคนหนึ่งยืดเวลาชีวิตออกไปอีกยี่สิบปี แล้วยังทิ้งท้ายไว้ด้วยว่ายี่สิบปีหลังจากนี้ จะไม่มีทางกลับมาอีก เมื่อคิดดูแล้วทำให้รู้สึกน่าหวาดหวั่นเป็นอย่างมาก

“จอมแพทย์เทวะทำได้ยังไงก็ไม่มีใครรู้ ในตอนนั้นได้ยินมาว่ามีแค่เขากับผู้นำระดับสูงสุดอยู่ภายในห้อง รอบด้านถูกคุ้มครองด้วยยอดฝีมือที่เป็นสุดยอดในหมู่หัวกะทิ!” ชางหลางคิดครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยขึ้น

“งั้นหลายปีมานี้ มีข่าวคราวเกี่ยวกับจอมแพทย์เทวะบ้างหรือเปล่าครับ?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

“ไม่มี ตั้งแต่ครั้งนั้นที่เขาช่วยยืดชีวิตของผู้นำสูงสุดก็หายไปไม่เหลือร่องรอย!” ชางหลางพูดแล้วจึงส่ายหน้า

เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว สามารถได้รับข่าวสารของจอมแพทย์เทวะเขาย่อมต้องดีใจมากอยู่แล้ว นี่แสดงให้เห็นว่าอย่างน้อยก็ยังมีความหวัง ยังมีความหวังที่จะช่วยแม่ของเสี้ยวหยา แต่ว่าไม่ได้มีข่าวของจอมแพทย์เทวะคนนี้มาสิบกว่าปีแล้ว ไม่รู้ว่ายังอยู่ในโลกมนุษย์หรือไม่ การจะหาเจอหรือไม่นั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม เย่เทียนเฉินมีลางสังหรณ์ว่าจอมแพทย์เทวะจะต้องยังอยู่ในโลกมนุษย์อย่างแน่นอน เพราะคนๆนี้เป็นคนที่ฉลาดมาก เพราะเหตุใดคนที่มีวิชาแพทย์ขั้นสูงและยังมีความสามารถด้านพลังพิเศษที่แข็งแกร่งถึงได้หายไปอย่างไม่เหลือร่องรอยหลังจากที่ช่วยให้ผู้นำระดับสูงสุดยืดอายุออกไปอีกยี่สิบปี?

เหตุผลนั้นง่ายมาก วิชาแพทย์ของเขาได้เกินกว่าระดับเขตแดนไปแล้ว ช่วยผู้นำระดับสูงสุดของประเทศยืดชีวิตออกไปอีกยี่สิบปีก็ทำให้ผู้คนต้องสั่นสะท้านเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าเขาจะกล่าวว่าหลังจากนี้อีกยี่สิบปีจะไม่กลับมาอีก แต่ประโยคนี้มีคนจำนวนมากที่ไม่เชื่อ ต่อให้เป็นเช่นนี้ ในตอนที่ผู้นำระดับสูงเจ็บป่วยอย่างรุนแรง ก็ยังตามหาเขา เมื่อถึงตอนนั้นจริงๆ เกรงว่าเขาที่เป็นจอมแพทย์เทวะไม่เพียงไม่ได้รับการยกย่อง แต่จะมีอันตรายถึงชีวิต

นี่ก็เหมือนกับว่า คนคนหนึ่งในช่วงเวลาใกล้ตาย ได้ถูกหมอผู้หนึ่งช่วยชีวิตเอาไว้ เขาก็จะเชื่อในฝีมือของหมอคนนั้นเป็นอย่างมาก เมื่อเขาใกล้จะตายอีกครั้ง ก็หวังว่าหมอคนนั้นจะสามารถช่วยเหลือเขาไว้ได้ แต่ถ้าหมอทำไม่ได้ ความหวาดกลัวในความตายเช่นนั้นก็จะทำให้คนๆนั้นบ้าคลั่ง กระทั่งสังหารผู้อื่นได้

ดังนั้นจอมแพทย์เทวะจึงเป็นคนที่ฉลาดมาก หลังจากที่ช่วยผู้นำระดับสูงสุดยืดชีวิตไปอีกยี่สิบปี ข่าวคราวก็หายไปไม่อย่างเหลือร่องรอยในทันที นี่ก็เพื่อหลีกเลี่ยงหายนะถึงชีวิตที่จะตามมาถึงในภายหลัง

“ดูท่าแล้วหากต้องการตามหาจอมแพทย์เทวะจะไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ!” เย่เทียนเฉินพูดพึมพำกับตัวเอง

“ยากมากแน่นอน เพราะได้ยินว่าวิชาปลอมแปลงของจอมแพทย์เทวะสูงส่งลึกล้ำมาก คนปกติไม่มีทางมองออกอย่างเด็ดขาด!” ชางหลางพูดพลางส่ายหน้า

“วิชาปลอมแปลง จอมแพทย์เทวะรู้วิชาปลอมแปลงด้วยเหรอ?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

“ใช่แล้ว จอมแพทย์เทวะเคยสอนทักษะนี้ให้กับหน่วยปฏิบัติการพิเศษแห่งชาติ ตอนนี้พวกเขาก็ยังคงใช้อยู่ และยังไม่เคยถูกเปิดโปงมาก่อน…” ชางหลางพยักหน้าแล้วพูดขึ้น

“ดี ผมมีเบาะแสแล้ว!” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะพูดด้วยรอยยิ้ม

“หือ? ไอ้หนูนายตามหาจอมแพทย์เทวะมีเป้าหมายอะไร? รักษาโรคเหรอ?”

ชางหลางอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง เดิมทีเขาคิดว่าเย่เทียนเฉินดูข้อมูลของผู้มีพลังพิเศษ เพียงเพราะอยากรู้อยากเห็นเท่านั้น ต้องการตามหาผู้แข็งแกร่งเพื่อมาประมือด้วยก็เท่านั้น เพราะว่าคนๆ นี้เหมือนกับพวกบ้าการต่อสู้ คิดไม่ถึงว่าเขาจะทำเพื่อหาจอมแพทย์เทวะ ในตอนนี้ชางหลางไม่เข้าใจจริงๆ เย่เทียนเฉินต้องการจะทำอะไรกันแน่?

“ใช่แล้วครับ ช่วยรักษาโรคนกเขาไม่ขันของคุณไง!” เย่เทียนเฉินพูดจาหยอกล้อด้วยรอยยิ้ม

“ไอ้หนู…หาเรื่องโดนอัดซะแล้ว!” ชางหลางหันไปมอง แต่เย่เทียนเฉินกระโดดลงรถไปเรียบร้อยแล้ว อดไม่ได้ที่ปรายตามองอีกฝ่ายด้วยความจนใจ

“ขอบคุณมากครับ ถ้ามีเวลาจะเลี้ยงข้าวคุณนะ เลี้ยงก๋วยเตี๋ยว…” เย่เทียนเฉินตะโกนบอกชางหลาง

เย่เทียนเฉินมองชางหลางขับรถจี๊ปทหารจากไป ในมือของเขายังถือกระดาษที่เขียนว่าจอมแพทย์เทวะเอาไว้ อดไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้นมา ในที่สุดก็หาผู้มีพลังพิเศษในสายรักษาพบแล้ว เช่นนี้ก็มีความหวังที่จะทำให้แม่ของเสี้ยวหยาอยู่ต่อไปได้แล้ว เพียงแต่หากคิดจะหาจอมแพทย์เทวะให้เจอเกรงว่าจะไม่ง่าย เมื่อปีนั้นทางรัฐจะต้องส่งคนและยอดฝีมือออกไปตามหาเป็นจำนวนมาก แต่ก็หาไม่พบ เห็นได้ว่าจอมแพทย์เทวะมีการเตรียมพร้อมอยู่นานแล้ว เย่เทียนเฉินหวังว่าผ่านไปหลายปีขนาดนี้ ความหวาดระแวงของจอมแพทย์เทวะจะผ่อนคลายลงมาก อีกทั้งตนเองยังมีการคาดเดาที่บ้าบิ่นอย่างหนึ่ง จะต้องถูกต้องอย่างแน่นอน

หลังจากกลับมาถึงบ้านแล้ว เย่เทียนเฉินก็นั่งลงบนโต๊ะกินข้าวแล้วเริ่มกินอาหารเช้า อาหารเช้าที่แม่ทำเป็นอาหารที่เย่เทียนเฉินชอบที่สุดอย่างไม่มีวันเปลี่ยนแปลง บะหมี่ผัดซอส ตั้งแต่เล็กจนโตก็เป็นสิ่งที่เย่เทียนเฉินชอบกิน ทุกครั้งต้องกินสองชามใหญ่ถึงจะหยุด

“แม่ครับ ยังมีอีกไหม เติมให้ผมหน่อย!” เย่เทียนเฉินกินไปพลางตะโกนไปทางห้องครัวไปพลาง

“ยังมีอีก รู้อยู่ว่าลูกกินเยอะ…” หลัวเยี่ยนหัวเราะ ยกหมี่ผัดซอสถ้วยเล็กเดินออกมาแล้วเติมลงในถ้วยของเย่เทียนเฉินด้วยรอยยิ้ม

“ใช่แล้วครับ หมี่ผัดซอสที่แม่ของผมทำ อร่อยกว่าข้างนอกเยอะเลย ต่อให้มีคนต่อแถวยาวเหยียดก็กินไม่ได้!” เย่เทียนเฉินพูดแล้วหัวเราะฮี่ๆ

“ลูกนี่…ใช่แล้ว เมื่อครู่นี้อวี่สวิ๋นโทรมาหาลูก บอกว่าให้ลูกรีบไปมหาวิทยาลัยหน่อย มีเรื่องด่วน!” หลัวเยี่ยนคิดถึงเรื่องที่หลิงอวี่สวิ๋นโทรมาเมื่อครู่นี้ได้จึงรีบเอ่ยปาก

“ครับ ได้ครับ ยัยคนนี้รบกวนคนอื่นตั้งแต่เช้าเชียว เมื่อคืนก็ถูกทำให้โกรธกลับไป วันนี้เช้ายังโทรมาอีก หน้าหนาจริงๆ…” เย่เทียนเฉินกินไปพลางบ่นไปพลาง

“ลูกพูดอะไร? เมื่อคืนลูกทำให้อวี่สวิ๋นโกรธหรือ?” หลัวเยี่ยนได้ยินเย่เทียนเฉินพึมพำกับตัวเองจึงเอ่ยถามขึ้นมาอย่างเข้มงวด

“เอ๋? ปะ เปล่าครับ แม่ฟังผิดแล้ว ผมจะไปทำให้อวี่สวิ๋นโกรธได้ยังไงล่ะ พวกเราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก ผมไม่ไปหาเรื่องเธอหรอก!” เย่เทียนเฉินเห็นสีหน้าของผู้เป็นแม่ก็รีบอธิบายออกมา

หลัวเยี่ยนส่ายหน้า ในใจเริ่มเป็นกังวลขึ้นมาบ้างจริงๆ แล้ว ลูกของตนคนนี้เมื่อก่อนก็เกเร ตอนนี้รู้ความแล้วก็ยังมีอีคิวต่ำมาตลอด กังวลจริงๆว่าในอนาคตจะแต่งเมียไม่ได้ แล้วตัวเองจะไม่ได้อุ้มหลาน

เพียงไม่นานเย่เทียนเฉินก็กินบะหมี่จนหมด อาบน้ำง่ายๆ ครู่หนึ่ง แล้วจึงสวมเสื้อยืดสีขาวของตน กางเกงชายหาด และรองเท้าแตะคู่หนึ่งออกจากบ้านไป หลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่เห็นก็ตะโกนเรียก คิดจะให้เย่เทียนเฉินกลับมาเปลี่ยนให้ดูดีขึ้น แต่เด็กคนนี้ก็ขี่รถมอเตอร์ไซค์ของตนออกไปแล้ว

บนถนน เย่เทียนเฉินบิดคันเร่งจนถึงขีดสุด เขาชอบความรู้สึกที่มีลมพัดเข้ามาปะทะนี้มาก ให้ความรู้สึกปลดปล่อย เขาขับรถมอเตอร์ไซค์มาจอดที่ประตูมหาวิทยาลัยหลงเถิง ดึงดูดสายตาของนักศึกษาชายหญิงจำนวนไม่น้อย

การที่ดึงดูดสายตาของนักศึกษาชายหญิงในครั้งนี้ ไม่ใช่เพราะเย่เทียนเฉินหล่อ แต่เป็นเพราะการแต่งตัวของเขาไม่เข้ากับมอเตอร์ไซค์สุดเท่คันนี้เลยจริงๆ มอเตอร์ไซค์คันนี้เป็นคันที่เย่เทียนเฉินขับมาตลอด อย่างน้อยที่สุดก็หลายแสน ดูเท่มาก แต่เขาสวมเสื้อผ้าแบบนี้ ดูแล้วช่างทำให้ผู้คนรู้สึกอับจนคำพูดจริงๆ

“ไอ้บ้านนอกนี่เป็นใคร น่าเสียดายรถมอเตอร์ไซค์ดีๆ แบบนี้ เสียของจริงๆ!”

“นาย…เบาเสียงหน่อย เขาก็คือคนที่อัดเซวียนเยวี๋ยนอวี่…”

“อะไรนะ? ไม่จริงน่ะ? นี่…”

“ได้ข่าวว่าหลี่อี้พายอดฝีมือเทควันโดไปก็ยังอัดเจ้าหมอนี่ไม่ได้ ช่างร้ายกาจจริงๆ…”

“เขาอัดเซวียนเยวี๋ยนอวี่ไปแล้วยังอยู่รอดถึงวันต่อไปได้อีก? จะเจ๋งเกินไปแล้ว!”

นักศึกษาสอดรู้สอดเห็นกลุ่มหนึ่งอดไม่ได้ที่จะวิพากษ์วิจารณ์กันเสียงเบาอยู่รอบข้าง ทันใดนั้นเย่เทียนเฉินเห็นหลิงอวี่สวิ๋นรอตนเองอยู่ที่นั่นนานแล้ว เธอกำลังยู่ปากเล็กๆ อันน่ารัก ใช้ดวงตางดงามจ้องไปยังเย่เทียนเฉิน ความโมโหเมื่อวานไม่มีแล้ว ตอนนี้ตนเองรออยู่ที่มหาวิทยาลัยหลงเถิงมาเกือบหนึ่งชั่วโมง เย่เทียนเฉินเพิ่งจะมา เธอกำหมัดอันขาวนวลแน่น เกิดความรู้สึกว่าต้องการจะอัดเจ้าหมอนี่ขึ้นมาจริงๆ

“ป่านนี้เพิ่งจะมาถึง ไม่รู้ว่ารึไงว่าคุณหนูอย่างฉันรอนายอยู่ที่นี่มาเกือบหนึ่งชั่วโมงแล้ว?” หลิงอวี่สวิ๋นมองเย่เทียนเฉินอย่างดุดันแล้วเอ่ยถาม

“เธออยากรอเองนี่ มันเรื่องอะไรของฉันล่ะ!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างไม่สบอารมณ์

“นาย…”

“ไปเถอะ ไปเถอะ มีเรื่องอะไรก็พูดมาตรงๆ…” เย่เทียนเฉินขัดคำพูดของหลิงอวี่สวิ๋น กล่าวจบก็เดินไปข้างในประตูมหาวิทยาลัย

หลิงอวี่สวิ๋นแทบจะถูกเย่เทียนเฉินทำให้โกรธจนบ้า ให้ผู้หญิงคนหนึ่งรอเกือบหนึ่งชั่วโมง ผู้ชายมาถึงก็ควรจะกล่าวอะไรสักหลายประโยค อย่างน้อยก็ไม่มีท่าทางเหมือนเย่เทียนเฉิน อีคิวเป็นศูนย์จริงๆ ไม่มีความรักหยกถนอมบุปผาที่ผู้ชายควรกระทำต่อผู้หญิงเลยแม้แต่น้อย

ถึงแม้ว่าหลิงอวี่สวิ๋นจะโกรธ แต่เธอก็ทำอะไรเย่เทียนเฉินไม่ได้ จึงกระทืบเท้าเล็กๆ อย่างรุนแรงแล้วค่อยเดินตามไปข้างหลังเย่เทียนเฉิน พูดว่า “วันนี้เป็นวันรายงานตัววันแรกนายก็มสายแล้ว จะต้องถูกอาจารย์ที่ปรึกษาตำหนิแน่ หึ!”

“อาจารย์ที่ปรึกษาเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง?” เย่เทียนเฉินเอียงคอถาม

“นายปีหนึ่ง ฉันปีสอง นายยังมาถามฉันว่าอาจารย์ที่ปรึกษาของนายเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงอีก?” หลิงอวี่สวิ๋นกล่าวด้วยความระอา

“ไม่รู้เหรอ ไม่รู้ก็ช่างเถอะ ดูแล้วเธอก็ไม่ได้คุ้นเคยกับมหาวิทยาลัยหลงเถิงเหมือนกัน!” เย่เทียนเฉินพูดพลางยักไหล่

“อาจารย์ที่ปรึกษาของพวกนายเป็นผู้หญิง เป็นผู้หญิงที่สวยมากๆ คนหนึ่ง เป็นผู้หญิงที่มีอายุแค่ยี่สิบสองปี!” หลิงอวี่สวิ๋นพูดอย่างไม่สบอารมณ์

“อายุยี่สิบสองก็เป็นที่ปรึกษาแล้วเหรอ? ดูท่าทางจะสวยมากจริงๆ ไปดูสักหน่อย…” เย่เทียนเฉินพูดพลางหัวเราะฮี่ๆ

เมื่อวานเป็นวันลงทะเบียน วันนี้เป็นวันรายงานตัวกับอาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อให้อาจารย์ที่ปรึกษาทราบจำนวนนักเรียนทั้งชั้นเรียน เย่เทียนเฉินรายงานตัวเรียนภาควิชาโบราณคดี นี่ยิ่งทำให้หลิงอวี่สวิ๋นรู้สึกจนใจจริงๆ

เย่เทียนเฉินวางแผนนับร้อยพัน คิดทุกวิถีทาง ไม่ง่ายเลยกว่าที่จะให้ชางหลางนำข้อมูลลับสุดยอดเกี่ยวกับผู้มีพลังพิเศษออกมา เพียงเพื่อที่จะหาผู้มีพลังพิเศษสายรักษาคนหนึ่ง หากว่ายังหาไม่เจออีกล่ะก็ เกรงว่าแม่ของเสี้ยวหยาจะช่วยไม่ได้แล้ว

ข้อมูลลับที่ชางหลางนำมาเป็นข้อมูลของผู้มีพลังพิเศษ ในช่วงห้าสิบปีมานี้ แม้ว่าข้อมูลของผู้มีพลังพิเศษทั้งในและต่างประเทศที่ทางรัฐจีนได้กุมเอาไว้จะไม่ได้ละเอียด แต่ก็ยังสามารถหาเงื่อนงำได้

เพียงแต่น่าเสียดาย หลังจากที่พลิกไปหลายสิบหน้า เย่เทียนเฉินก็ไม่พบผู้มีพลังพิเศษสายรักษาเลยแม้แต่คนเดียว กระทั่งเบาะแสสักนิดก็ไม่มี ข้อมูลมากมายภายในนี้ส่วนมากจะไม่มีรูปถ่ายของผู้มีพลังพิเศษ มีเพียงแค่ชื่อและคำแนะนำพลังพิเศษอย่างง่ายๆ เท่านั้น นอกจากนี้ในสายตาของเย่เทียนเฉิน คนเหล่านี้ต่างก็อ่อนแอเกินไป

ยิ่งอ่านก็ยิ่งต้องส่ายหน้า หลังจากที่เย่เทียนเฉินดูข้อมูลมากกว่าหนึ่งร้อยชุดนี้เสร็จก็รู้สึกผิดหวังมาก โยนซองหนังไปด้านข้าง ตอนแรกคิดว่าจะหาผู้มีพลังพิเศษสายรักษาออกมาได้ซักคนหนึ่งโดยใช้ข้อมูลที่รัฐควบคุมอยู่ในมือ หรือต่อให้หาเขาไม่เจอ อย่างน้อยก็หาเบาะแสให้พบบ้าง แบบนี้ตัวเองก็จะตามหาได้สะดวกยิ่งขึ้น ไหนเลยจะรู้ว่าเบาะแสสักนิดก็ไม่มี ส่วนใหญ่เป็นผู้มีพลังพิเศษธรรมดาๆ ความสามารถก็ไม่ได้แข็งแกร่งอะไร

“ทำให้ผมผิดหวังจริงๆ ในนี้ไม่มีผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งเลยสักคน มีแต่ปลาเล็กปลาน้อยทั้งนั้น คุ้มค่าที่จะทำให้เป็นความลับแบบนี้เหรอครับ เห้อ ไม่รู้จริงๆว่ารัฐบาลอย่างพวกคุณทำอะไรกัน เปลืองภาษีประชาชนจริงๆ!” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา โยนซองหนังไปข้างๆ แล้วพูดขึ้น

ชางหลางได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉินก็มีความรู้สึกอยากจะใช้เท้ายันเจ้าหมอนี่ให้ตกรถไปจริงๆ คนที่ดีแต่พูดมันไม่ได้มาลำบากด้วย ต้องทราบว่าหลายปีมานี้เพื่อที่ทางรัฐจะสามารถรวบรวมข้อมูลผู้มีพลังพิเศษเหล่านี้ได้ ต้องเปลืองแรงเป็นอย่างมาก กระทั่งมีการบาดเจ็บล้มตายเกิดขึ้น อย่างไรก็ตามมีผู้มีพลังพิเศษจำนวนหนึ่งที่ไม่ต้องการถูกคนอื่นค้นพบ และยังมีผู้มีพลังพิเศษอีกจำนวนหนึ่งที่อาศัยพลังพิเศษอันแข็งแกร่งของตนเองก่อเรื่องเลวร้ายไปทั่ว ฝ่าฝืนกฎหมาย ทำร้ายประชาชนธรรมดาทั่วไป เพื่อที่จะควบคุมพวกเขา รัฐบาลก็ได้คิดวิธีการมาหลายวิธี เพียงแต่คนภายนอกไม่รู้ก็เท่านั้น

“ไอ้หนู ตกลงนายดูข้อมูลพวกนี้เพื่อจะทำอะไรกันแน่?” ชางหลางอดไม่ได้ที่จะถามอย่างสงสัย

“คุณลองเดาดูสิ?” เย่เทียนเฉินพูดแล้วหัวเราะฮี่ๆ

“นายคงไม่คิดจะหาผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งเพื่อต่อสู้หรอกนะ? ฉันขอเตือนนายไว้ก่อนว่าอย่าได้รนหาที่ตาย ถึงแม้ในหมู่ผู้มีพลังพิเศษในข้อมูลที่ฉันให้นายเหล่านี้จะดูเหมือนไม่เก่ง แต่ประเทศจีนของพวกเราก็ยังมีผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแรงอยู่ด้วยเช่นกัน ไอ้หนูอย่างนายเอาแต่หาเรื่องทั้งวัน ถ้าเจอตอเข้าล่ะก็ ถึงตอนนั้นคงตายโดยไม่รู้ตัวว่าตายยังไง!” ชางหลางพูดอย่างไม่สบอารมณ์

เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะชะงักไป จากนั้นจึงยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ มองชางหลางแล้วพูดว่า

“คุณพี่ชางหลางครับ คุณว่าพวกเราสองคนนับว่าเป็นคนที่ไม่ต่อยตีกันก็ไม่รู้จักกันหรือเปล่าครับ? ตั้งแต่ที่ผมปลดประจำการออกมาจากกองทัพ ตอนนั้นคุณยังเป็นผู้บังคับบัญชาของผมอยู่เลย แล้วก็เป็นคนที่สั่งการด้วยตัวเอง นับได้ว่าเป็นโชคชะตา ผมรู้สึกว่าความหมายของคำพูดนี้ของคุณก็คือ รัฐยังมีข้อมูลของผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งอยู่ จะให้ผมดูสักหน่อยได้ไหมครับ?”

“ตอนนี้ฉันล่ะอยากรู้จริงๆ ว่าไอ้หนูอย่างนายต้องการข้อมูลของผู้มีพลังพิเศษเหล่านี้ไปเพื่ออะไรกันแน่?” ชางหลางจ้องเย่เทียนเฉินเขม็งแล้วเอ่ยถาม

“คุณเดาถูกแล้ว ช่วงนี้น่าเบื่อจริงๆ ผมคิดจะหาคนที่แข็งแกร่งสักหลายคนมาเล่นด้วยสักหน่อย วางใจเถอะครับ จะไม่ทำให้มันเกินไปหรอก จะไม่ให้มีอันตรายไปถึงความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนคนธรรมดาอย่างเด็ดขาด!” เย่เทียนเฉินพูดพลางหัวเราะฮี่ๆ

เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน ชางหลางก็รู้สึกจนใจเป็นอย่างมาก กรอกตาใส่เขาครั้งหนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า

“ฉันรู้สึกว่าไอ้หนูอย่างนายทำตัวเหมือนกับว่าต้องการความเงียบสงบ แต่ความจริงแล้วเป็นไอ้บ้าต่อสู้คนหนึ่ง มิน่าล่ะ ขนาดเรื่องประเภทที่ว่าจะให้โฮบาม่าเลี้ยงข้าวนายก็ยังคิดออกมาได้…”

“ช่วยไม่ได้ ตอนนั้นผมหิวเลยคิดขึ้นมาได้ พี่ชางหลางครับ จะไม่เอาข้อมูลที่เก็บซ่อนเอาไว้มาให้ผมดูหน่อยเหรอ?” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

ไม่กล่าวไม่ได้ว่า ในใจของชางหลางนับถือเย่เทียนเฉินมาก ไอ้หนูนี่ดูแล้วมีท่าทางไม่เอาไหน แต่ความจริงฉลาดมาก กระทั่งหยางอี้ก็บอกว่า ในตอนที่เขาติดเล่นขึ้นมาก็เหมือนกับอันธพาล พอจริงจังขึ้นมาก็เหมือนกับเทพแห่งความตาย หากว่าสามารถนำมาใช้งานเพื่อประเทศได้ ประเทศจีนอาจจะสามารถสั่นสะเทือนทั้งโลกได้เพราะเขา

แน่นอนว่าในตอนที่ชางหลางมาเขาได้หยิบซองหนังมาสองซอง อีกซองหนึ่งวางเอาไว้ด้านข้างอย่างโดดเดี่ยว เพราะข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลลับสุดยอดมากจริงๆ ทั่วทั้งประเทศจีนเกรงว่าจะมีคนที่รู้ไม่เกินห้าคน หากไม่ใช่ว่าเย่เทียนเฉินต้องการทำเพื่อประเทศชาติ ตีให้ตายก็ไม่นำข้อมูลเหล่านี้ออกมา

“ไม่มี ข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวกับผู้มีพลังพิเศษอยู่ที่นี่หมดแล้ว นายก็ดูไปแล้วนี่!” ชางหลางยังคิดจะยืดเวลาออกไปสักหน่อย เพราะของสิ่งนี้สำคัญมากจริงๆ

“งั้นเหรอ? งั้นผมดูหน่อยสิว่าในนี้มีอะไร…”

เย่เทียนเฉินยิ้มเจ้าเล่ห์ ในมือขวามีซองหนังอีกซองหนึ่งปรากฏขึ้น ด้านหน้าซองตรงกลางมีตัว “X” สีแดงอยู่เพียงตัวเดียว ดูแล้วเป็นของที่สำคัญอย่างมาก แม้กระทั่งในตอนที่เขาแตะถูกซองนั้นก็รู้สึกได้ถึงรสชาติของความหนักแน่น เหมือนว่าจะถูกปิดผนึกมาแล้วหลายปีและดูท่าทางจะเก่ากว่าห้าสิบปี

“นาย…ไอ้หนู นายรู้เมื่อไหร่? เอาไปได้ยังไง?”

ชางหลางอดไม่ได้ที่จะตกใจ ซองหนังที่โดดเดี่ยวนี้ถูกเขาวางเอาไว้บนร่างกายของตนเองและรักษาไว้ติดตัวตลอด เดิมทีเขาคิดว่าหากไม่ถึงเวลาจำเป็นจริงๆ จะไม่ยอมนำออกมาให้เย่เทียนเฉินดูเป็นอันขาด คิดไม่ถึงว่าในตอนที่ไม่รู้ตัว เย่เทียนเฉินจะขโมยไปจากเขาได้ ทำให้เขาสะท้อนใจจริงๆ

ด้วยฝีมือของชางหลางเกรงว่าจะไม่มีคนสามารถหยิบสิ่งของไปจากเขาได้โดยที่ไม่รู้ตัว แต่เย่เทียนเฉินคนนี้ทำได้แล้ว ช่างทำให้เขาตกตะลึงจริงๆ ไม่รู้ว่าหยิบไปจากเขาเมื่อไหร่

“พี่ชางหลาง คุณเป็นคนที่ซื่อตรงเปิดเผยคนหนึ่ง ทำไมถึงได้โกหกล่ะครับ นี่มันไม่ถูกต้องเลย…”

เย่เทียนเฉินยกยิ้มชั่วร้ายอย่างลำพองใจ ตบไหล่ชางหลางแล้วจึงเปิดซองหนังที่มีสัญลักษณ์นั้นออก อ่านอย่างตั้งใจ

ในซองหนังซองนั้นเย่เทียนเฉินได้ข้อมูลมาทั้งหมดสามชุด ในสามชุดนี้ไม่มีรูปภาพ มีเพียงชื่อและการแนะนำอย่างง่ายๆ ด้านในยังมีฝุ่นเกาะอยู่เป็นจำนวนมาก ดูแล้วท่าทางจะวางเอาไว้หลายปี

หลังจากที่อ่านข้อมูลเสร็จไปสองชุดเย่เทียนเฉินก็ส่ายศีรษะ ถึงแม้ว่าจะรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมากเนื่องจากตามการจดบันทึกของข้อมูล คนสองคนนี้แข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งจนถึงขั้นไม่สามารถหยุดยั้งได้ แต่ว่าเย่เทียนเฉินก็ยังผิดหวัง สาเหตุเป็นเพราะตามที่บันทึกไว้ คนสองคนนี้ไม่ใช่ผู้มีพลังพิเศษในสายรักษา

แต่ในตอนที่เย่เทียนเฉินหยิบข้อมูลชุดที่สามออกมาก็อดไม่ได้ที่จะชะงักไปทั้งร่าง บนกระดาษสีขาวแผ่นที่สามนี้มีตัวอักษรอยู่เพียงสี่ตัว ตัวอักษรทั้งสี่ตัวนี้สั่นสะเทือนจิตวิญญาณของเย่เทียนเฉินอย่างลึกล้ำ จากนั้นในสายตาของเขาก็ปรากฏประกายแห่งความคาดหวังออกมา

“จอมแพทย์เทวะ…”

เย่เทียนเฉินอ่านตัวอักษรทั้งสี่ตัวที่อยู่บนกระดาษสีขาวในมือออกมาด้วยรอยยิ้ม

ชางหลางได้ยินคำสี่คำนี้ก็อดไม่ได้ที่จะมองไป ในใจรู้สึกสั่นสะท้าน เขาเป็นคนในระดับสูงของประเทศ ดังนั้นสำหรับเรื่องที่เป็นความลับเหล่านี้แล้ว ย่อมต้องรู้มากกว่าเย่เทียนเฉินที่กลับมาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้มาก เขาคิดไม่ถึงเลยว่า ในข้อมูลที่เป็นความลับสุดยอดที่สุดสามชุดนี้จะถึงกับมีเรื่องของจอมแพทย์เทวะอยู่ด้วย

“จอมแพทย์เทวะ เป็นเขาหรือ?” ชางหลางอดไม่ได้ที่จะพูดพึมพำกับตนเอง

“พี่ชางหลาง คุณรู้เรื่องเกี่ยวกับคนคนนี้เหรอครับ?” เย่เทียนเฉินรีบถามออกมา

ชางหลางมองไปที่เย่เทียนเฉินแวบหนึ่ง สุดท้ายจึงเปิดปากพูด

“จอมแพทย์เทวะ ไม่รู้ว่าเป็นคนในยุคไหน ตอนนั้นได้ข่าวว่าคนคนนี้ร้ายกาจมาก และลึกลับมากด้วย มีน้อยคนที่ได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขา ที่รัฐมีบันทึกข้อมูลของเขาก็เพราะเมื่อปีนั้นเขาเคยรักษาให้ท่านผู้นำท่านหนึ่ง ช่วยยืดชีวิตให้เขาไปอีกยี่สิบปี…”

“ยืดชีวิตออกไปยี่สิบปี?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมาด้วยความประหลาดใจ

“ใช่แล้ว ความจริงตอนที่ท่านผู้นำอายุหกสิบปี ก็เริ่มป่วยจนหมดหนทางแล้ว และเป็นเพราะการปรากฏตัวของจอมแพทย์เทวะจึงสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ จากคำเล่าลือ หลังจากที่จอมแพทย์เทวะคนนี้รักษาให้ท่านผู้นำแล้วก็หายตัวไป ก่อนที่จะจากไปเค้าได้พูดไว้ประโยคหนึ่งว่า ยี่สิบปีหลังจากนี้จะไม่กลับมาอีก!”

ชางหลางทำเหมือนกับว่าเห็นเหตุการณ์เมื่อปีนั้นด้วยตัวเอง ท่าทางตื่นเต้นมากทีเดียว

เย่เทียนเฉินเองก็ขมวดคิ้ว ยืดอายุไปอีกยี่สิบปี ตามที่ทุกคนรู้ ต่อให้คนคนหนึ่งจะแข็งแกร่งมากเพียงใดก็ไม่สามารถมีชีวิตเป็นอมตะได้ โดยเฉพาะผู้ป่วยที่อาการสาหัส ต้องอยู่ต่อไปอีกยี่สิบปี พูดเหมือนง่าย แต่มีเพียงผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งและยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณเท่านั้นที่จะสามารถมีชีวิตอยู่ได้เกินหนึ่งร้อยปีเนื่องจากความพิเศษของพลังที่อยู่ภายในของพวกเขา แต่ไม่อาจมีชีวิตเป็นอมตะได้โดยเด็ดขาด

แน่นอนว่านี่ก็เป็นเพียงแค่ตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น ในช่วงยุคสิ้นโลก เย่เทียนเฉินได้ยินมาว่าผู้แข็งแกร่งขั้นสูงสุดในระดับเทพราชันสามารถมีชีวิตเป็นอมตะได้ อย่างน้อยก็สามารถอยู่ได้นานถึงพันปี หากใช้คำพูดง่ายๆ ก็คือ พวกเขาเป็นตัวตนที่เกินกว่าคนธรรมดาไปแล้ว และเหนือกว่าระดับพระเจ้า โดยปกติแล้วผู้มีพลังพิเศษจะมีอยู่ห้าธาตุ แต่ผู้ที่กลายเป็นผู้มีพลังพิเศษระดับเทพราชันขั้นสูงสุดได้นั้น ได้อยู่นอกเหนือธาตุทั้งห้าไปแล้ว และไม่ได้อยู่ในดินแดนทั้งสาม เรื่องนี้หากฟังไปแล้วจะรู้สึกเพ้อฝันเลื่อนลอย แต่ยังคงมีคนเชื่อ เพราะว่าต่อให้เป็นโลกปัจจุบันนี้ ก็มีเรื่องราวมากมายที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์ ตกลงแล้วมีวิธีการยืดอายุหรือไม่นั้นก็ยังไม่มีใครทราบ

“เขาสามารถช่วยยืดชีวิตให้คนได้จริงๆ เหรอครับ ดูท่าทางเขาจะเก่งมากจริงๆ คงไม่ใช่ทักษะการแพทย์ที่แข็งแกร่งเพียงอย่างเดียว แต่เป็นไปได้มากว่าจะใช้ร่วมกับเคล็ดวิชาพลังพิเศษ ไม่งั้นหากต้องการช่วยยืดอายุคนคนหนึ่งไปอีกยี่สิบปี หากสามารถทำได้ถึงจุดนี้แล้วล่ะก็ คนที่ยืดเวลาชีวิตได้คนนั้นก็เป็นตัวตนที่แปลกประหลาดเกินไปแล้ว!” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะพึมพำกับตัวเองด้วยความประหลาดใจ

เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน ชางหลางก็เกือบจะถูกทำให้โกรธจนคลั่ง คนคนนี้โทรมาหาเขาตอนตีสองก็เพราะต้องการที่จะดูข้อมูลของผู้มีพลังพิเศษทั้งหมดที่อยู่ในการดูแลของประเทศจีน แต่ข้อมูลเหล่านี้ได้กลายเป็นความลับสุดยอดระดับประเทศไปตั้งนานแล้ว ต่อให้เป็นเขาชางหลางก็ไม่สามารถนำมาได้ง่ายๆ นอกจากจะเป็นคนใหญ่คนโตเช่นหยางอี้อนุมัติด้วยตัวเอง และยังต้องรายงานไปยังกรมความปลอดภัยสาธารณะแห่งประเทศอีกด้วย ต้องผ่านการเห็นชอบหลายขั้นตอนถึงจะสามารถดูได้

แต่คำพูดของเย่เทียนเฉิน พูดเหมือนกับว่านี่เป็นที่สามารถทำได้ง่ายๆ อย่างไรอย่างนั้น ทำให้ชางหลางโกรธจนอับจนคำพูดเป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าหมอนี่ยังกล้าข่มขู่ตัวเอง พูดถึงเรื่องของหยางอี้ ทำให้เขาโกรธจนทนไม่ไหว

“ภารกิจของนายก็คือดูแลตงฟางเมิ่ง ไม่เกี่ยวกับว่าจะดูหรือไม่ดูข้อมูลของผู้มีพลังพิเศษเหล่านี้เลย ใช้ประโยชน์จากรัฐเพื่อประโยชน์ของตัวเอง ฉันไม่ทำ!” ชางหลางตะโกนออกมาอย่างทนไม่ไหวจริงๆ

“อย่าโกรธไปสิครับ อย่าโกรธเลย พี่ชางหลาง ผมก็แค่อยากรู้อยากเห็น อยากจะทำความเข้าใจสักหน่อย ยิ่งกว่านั้นผมคิดว่าตงฟางเมิ่งอาจจะเป็นผู้มีพลังพิเศษ แล้วดูเหมือนว่าจะมีอาจารย์ด้วย ผมก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นจึงอยากจะหาข้อมูลดูสักหน่อย นี่ไม่ใช่ว่าเพื่อจะทำภารกิจที่ท่านหยางอี้มอบหมายให้หรอกเหรอ? ไม่ได้ใช้ประโยชน์ของรัฐเพื่อประโยชน์ของตัวเองอะไรนั่นเลยสักนิดเดียว ผมเย่เทียนเฉินไม่ใช่คนแบบนั้นโดยเด็ดขาด!” เย่เทียนเฉินพูดแล้วหัวเราะฮี่ๆ

“นาย…”

คำพูดของชางหลางยังไม่ทันพูดออกมาจากปาก ก็ถูกเย่เทียนเฉินขัด เย่เทียนเฉินยังคงพูดโน้มน้าวต่อไป

“พูดอีกอย่างก็คือ คุณลองคิดดูสิ ผู้มีพลังพิเศษ ยอดฝีมือพรรควรยุทธโบราณ คนเหล่านี้หากว่าสามารถใช้ประโยชน์ให้ดีๆ ล่ะก็ อาจจะกลายเป็นกำลังสำคัญที่ยิ่งใหญ่ของประเทศก็เป็นได้ หากว่าใช้การได้ไม่ดี ก็จะกลายเป็นวิกฤต พวกเขาเหล่านี้ได้เกินขอบเขตของบุคคลธรรมดาไปนานแล้ว หากว่าทำเรื่องเลวร้ายอะไรขึ้นมา เกรงว่ารัฐก็ยากที่จะขวางทางพวกเขา เพราะว่าทางรัฐไม่สามารถเคลื่อนย้ายทั้งกองทัพเพื่อกำจัดคนคนเดียวได้หรอกใช่ไหม? ผมต้องการข้อมูลทางด้านนี้ก็เพื่อทำให้ประเทศชาติสงบสุข และเพื่อทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศไม่ใช่หรอครับ? แต่ว่า หากต้องการควบคุมข้อมูลมากเกินไป คุณไม่ให้ผมดูข้อมูลเมื่อก่อน ผมก็วิเคราะห์ไม่ได้นะครับ!”

“นาย…ไอ้หนู…”

“ถ้าหากว่าพรุ่งนี้ผมไม่ได้ดูข้อมูลแล้วก็ ผมก็จะไม่ไปมหาวิทยาลัย ยังไงซะผมก็จะทำภารกิจไม่สำเร็จ ไปก็เสียเที่ยวเปล่าๆ!”

ใช้ทั้งไม้แข็งและไม้อ่อน เย่เทียนเฉินไม่ให้โอกาสชางหลางได้พูดเลยแม้แต่น้อย ใช้ทั้งกำลังและผลประโยชน์ ทำทุกวิถีทาง ทำให้ชางหลางจนใจเป็นอย่างมาก ชะงักเงียบไปครึ่งวันถึงจะกัดฟันพูดออกมา “ได้ ไอ้หนูนายรอก่อน ฉันจะรายงานขึ้นไปหาท่านหยางอี้สักหน่อย!”

“ฮี่ๆ งั้นก็ขอบคุณพี่ชางหลางมากนะครับ ฝันดี บายบาย!”

“ฝันดีบ้านแกสิ นี่มันจะตีสามแล้ว!”

เย่เทียนเฉินตัดสายไป ไม่ว่าชางหลางที่อยู่อีกด้านหนึ่งของสายจะบ้าขนาดไหน จะโกรธจนพูดจาหยาบคายแค่ไหน เขาก็ยังดีใจเป็นอย่างมาก ด้วยความเข้าใจของเขาที่มีต่อชางหลาง พรุ่งนี้ตอนเที่ยง เขาก็คงได้ดูข้อมูลลับสุดยอดของผู้มีพลังพิเศษที่ประเทศจีนควบคุมอยู่ในมือทั้งหมด นี่ไม่ใช่สิ่งที่ไม่ว่าใครก็สามารถดูได้

ที่เย่เทียนเฉินต้องการดูข้อมูลของผู้มีพลังพิเศษเหล่านี้ ก็เพื่อหาผู้มีพลังพิเศษสายรักษาคนหนึ่ง อาการป่วยของแม่ของเสี้ยวหยา เย่เทียนเฉินยังคงเก็บไว้ในใจ หลังจากที่ใคร่ครวญแล้ว ในโลกแห่งนี้ก็ทำได้เพียงวิธีเดียว ถึงจะสามารถรักษาอาการป่วยของแม่ของเสี้ยวหยาได้ นั่นก็คือตามหาผู้มีพลังพิเศษในสายรักษา แต่ต้องเป็นคนที่มีเคล็ดวิชารักษาที่ค่อนข้างสูงส่ง ถึงจะมีวิธีที่จะรักษาอาการป่วยของแม่ของเสี้ยวหยาได้ ต่อให้ยาหรือเทคโนโลยีทั้งในและต่างประเทศดีขนาดไหน ด้วยระดับในปัจจุบันนี้ก็ไม่สามารถรักษาเธอได้

เพียงแต่ว่า เย่เทียนเฉินนั้นเข้าใจเป็นอย่างมาก ในช่วงยุคสิ้นโลก ผู้มีพลังพิเศษในสายรักษาที่แข็งแกร่งเช่นนี้ ต่างก็เป็นสิ่งล้ำค่าและหายาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงในโลกแห่งนี้เลย จะหาผู้มีพลังพิเศษแบบนี้ได้หรือไม่ก็เป็นเรื่องหนึ่ง ตอนนี้ขอบเขตพลังพิเศษของเย่เทียนเฉินได้ไปถึงระดับจอมราชันแล้ว หากต้องการจะทะลวงไปถึงระดับจักรพรรดิก็ไม่ใช่เรื่องง่ายดายเช่นนั้น พลังพิเศษแห่งการรับรู้มีข้อจำกัด ต้องการค้นหาด้วยตัวของเขาเอง เกรงว่าจะเสียเวลาไปหนึ่งปีก็ยังหาไม่เจอ

แต่ตามการวิเคราะห์ของผู้อำนวยการหลิน แม่ของเสี้ยวหยาจะสามารถยืนหยัดได้มากที่สุดแค่ไม่กี่เดือน ดังนั้นการตามหาผู้มีพลังพิเศษในสายรักษาจึงเป็นเรื่องเร่งด่วน

เสี้ยวหยา เป็นผู้หญิงคนแรกที่เขาต้องการจะปกป้องตั้งแต่ที่ได้มาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นเพราะเสี้ยวหยามีเงาของผู้หญิงที่เขารักที่สุดในช่วงยุคสิ้นโลก หรือจะเป็นเพราะเสี้ยวหยาทำให้เขารู้สึกถึงความน่ารักบริสุทธิ์จนอดไม่ได้ที่จะดูถนอมปกป้องก็ตาม สรุปแล้ว เย่เทียนเฉินจะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อปกป้องเสี้ยวหยา ไม่ให้เธอได้รับบาดเจ็บ และไม่ให้เธอต้องปวดใจ

หลังจากที่วางโทรศัพท์ไปแล้ว เย่เทียนเฉินก็นอนลงบนเตียง แล้วค่อยๆ หลับไป ในคืนนี้ เขาฝันหลายอย่างมาก ส่วนใหญ่จะฝันถึงเรื่องราวในช่วงยุคสิ้นโลกของตนเอง ฝันถึงผู้หญิงที่ร่วมต่อสู้และรักและซื่อสัตย์ต่อกันในช่วงหยุดสิ้นโลก แต่น่าเสียดายที่เธอตายไปแล้ว ถูกทับตายอยู่ภายใต้ซากปรักหักพัง เย่เทียนเฉินไล่ฆ่ามานับหมื่นลี้ คำรามลั่นฟ้า เขาที่ไม่ได้มีน้ำตาไหลแม้แต่หยดเดียวมาตลอดหลายปี ได้ร้องไห้ในวันนั้นเอง…

คนที่กล่าวว่าลูกผู้ชายร้องไห้ไม่ได้ก็แค่ไม่เคยเจอกับความเสียใจเท่านั้น ผู้ชายทุกคนต่างก็มีสิทธิ์ที่จะเหนื่อยล้า พวกเขาไม่ใช่เหล็กที่ถูกตีจนเป็นเหล็กกล้า

เช้าวันต่อมา เย่เทียนเฉินถูกเสียงโทรศัพท์มือถือปลุกให้ตื่น เมื่อหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู เป็นชางหลางที่โทรเข้ามา เย่เทียนเฉินลุกขึ้นจากเตียงในทันที มุมปากประดับไปด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ดูแล้วเขาคงจะเดาไม่ผิด ให้ชางหลางทำเรื่องนี้ จะต้องสามารถนำข้อมูลลับสุดยอดของผู้มีพลังพิเศษมาได้อย่างแน่นอน

“ฮัลโหล พี่ชางหลาง อรุณสวัสดิ์ครับ กินข้าวหรือยัง? มีเรื่องอะไรถึงโทรหาผม?” เย่เทียนเฉินพูดด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยเสียงหัวเราะ

“ไอ้หนูเล่นลิ้นกับฉันให้มันน้อยๆ หน่อย ฉันอยู่หน้าประตูบ้านนายแล้ว ลงมาซะ!” ชางหลางพูดอย่างไม่สบอารมณ์

“ครับๆ จะลงไปเดี๋ยวนี้ จะลงไปเดี๋ยวนี้!”

เย่เทียนเฉินวางโทรศัพท์ด้วยรอยยิ้ม พริบตาเดียวก็ลุกขึ้นจากเตียง ใส่เสื้อผ้า และไม่ทันได้อาบน้ำก็เปิดประตูห้องนอนออกไป หลัวเยี่ยนกำลังทำอาหารเช้าอยู่ ส่วนเย่เชี่ยนเหวิน ด้วยความที่ว่าใกล้จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้วจึงไปโรงเรียนตั้งแต่เช้า เป้าหมายของเด็กคนนี้ก็คือจะต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยหลงเถิงให้ได้ ต้องการที่จะเรียนที่เดียวกับพี่ชาย จึงตั้งใจเรียนเป็นอย่างมาก

“เทียนเฉิน เช้าขนาดนี้จะไปไหน? กินข้าวก่อนค่อยว่ากันเถอะ!” หลัวเยี่ยนเห็นว่าลูกชายเปิดประตูคฤหาสน์เดินออกไปข้างนอก จึงเอ่ยปากถาม

“ผมออกไปแป๊บเดียว เดี๋ยวก็กลับมา มีธุระด่วนครับ!”

เมื่อเดินออกไปนอกคฤหาสน์ เย่เทียนเฉินก็เห็นชางหลางขับรถจี๊ปทหารคันหนึ่งมาจอดไว้บนถนนหน้าคฤหาสน์ของตนเอง มองมาด้วยสายตาไม่พอใจ เย่เทียนเฉินกลับเดินเข้าไปพลางหัวเราะฮี่ๆ เขารู้ว่าชางหลางจะต้องนำข้อมูลลับสุดยอดของผู้มีพลังพิเศษมาด้วยอย่างแน่นอน มิเช่นนั้นเขาคงจะไม่ขับรถมาหาตนเองตั้งแต่เช้าขนาดนี้แน่ๆ

“พี่ชางหลาง อรุณสวัสดิ์ กินข้าวเช้าหรือยังครับ? ให้น้องชายเลี้ยงดีไหม?” เย่เทียนเฉินเอ่ยถามพลางมองชางหลางด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

ชางหลางมองเย่เทียนเฉินอย่างเหยียดหยาม คอยแต่หาเรื่องมาให้ตนทั้งวัน กวนทั้งเช้าเย็นจนเขาต้องรายงานหยางอี้ในตอนดึก บอกว่าเย่เทียนเฉินต้องการดูข้อมูลลับสุดยอดของผู้มีพลังพิเศษ หลังจากที่ผ่านการเจรจาต่อรองมาแล้ว หยางอี้ก็เห็นด้วย และโทรไปที่กรมความปลอดภัยสาธารณะ ชางหลางถึงได้ไปนำแฟ้มข้อมูลมาตั้งแต่เช้า คิดว่าเย่เทียนเฉินคนนี้ช่างใหญ่โตจริงๆ ทำเรื่องเหล่านี้ออกมาได้ แล้วยังเรียกตัวเองมาอีก ทำให้เขาคิดอยากจะอัดเจ้าหมอนี่สักสองทีจริงๆ

“ขึ้นรถมาสิ อย่ายืดเยื้อเวลาอีก เดี๋ยวฉันมีภารกิจจะต้องรีบกลับไป!” ชางหลางกรอกตาใส่เย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

“ก็ต้องเป็นแบบนั้นแหละ เวลาของผมแพงมาก ไม่ได้ว่างไปกว่าคุณหรอก!” เย่เทียนเฉินพูดพลางเดินขึ้นไปนั่งตรงที่นั่งข้างคนขับ ชางหลางมองเย่เทียนเฉินอย่างเหยียดหยามครั้งหนึ่ง สตาร์ทรถแล้วเหยียบคันเร่งออกไป

บนรถ ชางหลางส่งซองหนังซองหนึ่งให้เย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินเปิดออกดูพบว่าด้านในเป็นข้อมูลของผู้มีพลังพิเศษที่ประเทศจีนควบคุมเอาไว้ในมือในหลายปีมานี้ เมื่อดูแล้วก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง มีมากถึงร้อยกว่าคน เกรงว่ายังมีอีกมากที่ไม่ได้อยู่ในการดูแลของรัฐ ในโลกแห่งนี้มีคนที่แข็งแกร่งอยู่มากมายจริงๆ เพียงแต่มีน้อยคนที่จะรู้จักพวกเขาก็เท่านั้น

“ใส่ซองมาแบบนี้ไม่ปลอดภัยเลยนะครับ ทำไมถึงไม่เก็บใส่คอม ข้อมูลลับแบบนี้มีมาตรการการป้องกันให้มากสักหน่อยน่าจะดี ดูแล้วคนของกรมความปลอดภัยสาธารณะจะไม่เป็นงานเลย ควรจะสั่งสอนซะหน่อย!” เย่เทียนเฉินรับซองหนังมา พูดด้วยท่าทางเป็นการเป็นงาน

“ไอ้หนูอย่างนายไม่รู้เรื่องก็ไม่ต้องพูด ตอนนี้มีแฮกเกอร์อยู่ทั่วทั้งโลก โดยเฉพาะแฮกเกอร์ของประเทศ M ที่เก่งมาก มาตรการป้องกันอะไรก็ไม่มีประโยชน์ ต่างก็ถูกเจาะทำลายไปทั้งหมด ดังนั้นพวกเราจึงใช้วิธีดังเดิมแบบนี้ป้องกันข้อมูลสำคัญต่างๆ ยิ่งสำคัญก็ยิ่งมีทหารคุ้มครองอยู่ถึงจะสามารถทำให้ไม่มีข้อผิดพลาดได้!” ทหารพูดขึ้นแล้วมองไปยังเย่เทียนเฉินด้วยท่าทางจนใจ

“อ๋อ ที่แท้ก็เป็นแบบนี้…”

เย่เทียนเฉินพูดแล้วเปิดซองหนังออก เมื่อเห็นหนังกระดาษนี้ก็รู้ว่าข้อมูลข้างในจะต้องสะสมมาหลายปีแล้ว ข้อมูลเหล่านี้ดูเหมือนจะเก็บสะสมมานานไม่ต่ำกว่าห้าสิบปี ดูแล้วประเทศจีนจะเริ่มมีการควบคุมข้อมูลเหล่านี้มานานแล้ว

“นายดูให้มันเร็วๆ หน่อย ดูเสร็จแล้วฉันจะรีบนำกลับไป มีเวลาแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น!” ชางหลางพูดพลางมองเย่เทียนเฉิน

“ไม่จริงน่ะ ครึ่งชั่วโมง? ในนี้มีข้อมูลอยู่ร้อยกว่าคนเลยนะ ผมจะดูเสร็จเร็วขนาดนั้นได้ยังไง?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาเสียงดัง

“ไอ้หนูนายรู้ไหมว่า นี่เป็นข้อมูลที่พวกเราเก็บรวบรวมมาอย่างยากลำบาก นายจะดูหรือไม่ดู ถ้าไม่ดูฉันก็จะเก็บกลับไป นายก็ลงรถไปเถอะ!” ชางหลางพูดอย่างไม่สบอารมณ์

“ผมดู ผมดู…ขับช้าหน่อย!”

เย่เทียนเฉินนั่งอยู่บนรถจี๊บทหารของชางหลาง เปิดซองหนังที่ฝุ่นเกาะมาหลายปี ด้านในเป็นข้อมูลของผู้มีพลังพิเศษที่ประเทศจีนรวบรวมมาในช่วงห้าสิบมาปีนี้ เป็นความลับและมีค่าเป็นอย่างมาก หากไม่ใช่คำสั่งของหยางอี้ เกรงว่าเย่เทียนเฉินก็ไม่มีทางดูได้

เปิดซองหนังออก เย่เทียนเฉินพบว่ามีหลายคนที่มีเพียงแค่ชื่อและการแนะนำอย่างคร่าวๆ ไม่มีแม้กระทั่งรูปภาพ เขารีบหาข้อมูลที่เกี่ยวกับการแนะนำพลังพิเศษ ต้องการจะหาแฟ้มที่มีคำว่า “ผู้มีพลังพิเศษสายรักษา” แบบนั้นแม่ของเสี้ยวหยาก็จะนับว่าช่วยได้แล้ว เพียงแต่น่าเสียดายที่พลิกไปหลายสิบหน้าก็ยังหาไม่เจอ นี่ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะกระวนกระวายใจขึ้นมา

“พี่หู่ครับ ความหมายของพี่คือ?” ชายฉกรรจ์ที่เป็นลูกน้องซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าอาหู่เอ่ยถาม

อาหู่สูบซิการ์เฮือกหนึ่ง อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ครั้งนี้เรื่องของการฆ่าเย่เทียนเฉิน เขารู้ว่ามีเพียงต้องสำเร็จเท่านั้น ไม่สามารถล้มเหลวได้ ถ้าหากว่าล้มเหลว เกรงว่าเซวียนเยวี๋ยนเถิงก็จะเอาชีวิตเขา เพราะแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยมีใครที่ยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้หลังจากที่ถูกเซวียนเยวี๋ยนเถิงเห็นเป็นศัตรู

แต่ว่า จากการหาข้อมูลของอาหู่ ในใจของเขาก็ต้องสั่นสะท้านเป็นอย่างมาก เย่เทียนเฉิน บุคคลที่ในอดีตไม่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง หรือบางทีอาจจะบอกได้ว่ามีชื่อเสียง แต่ก็เป็นชื่อเสียงอันเหม็นเน่า เป็นชื่อที่ถูกผู้คนเยาะเย้ย ถึงกับเปลี่ยนเป็นคนที่ร้ายกาจขนาดนี้ได้ โดยเฉพาะการทำลายตระกูลเฉินและตระกูลลั่ว ฟังดูแล้วเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อเป็นอย่างมาก มากพอที่จะสั่นสะท้านทุกคน

แต่สิ่งที่ทำให้อาหู่หวาดกลัวมากที่สุดก็คือฝีมือของเย่เทียนเฉิน ทุกสิ่งทุกอย่างแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ฝีมือของเย่เทียนเฉินแข็งแกร่งจนถึงระดับที่ทำให้ผู้คนหวาดผวา อาศัยแค่คนไม่กี่คนหรือไม่กี่สิบคน ไม่สามารถฆ่าเขาได้โดยเด็ดขาด ดังนั้นครั้งนี้อาหู่จึงเตรียมจะใช้คนถึงสามร้อยคน

สามร้อยคน แค่เพียงทุกคนถมน้ำลายคนละครั้งก็สามารถทำให้เย่เทียนเฉินจมน้ำลายตายได้แล้ว ให้ทุกคนต่อยออกไปคนละหมัดก็สามารถต่อยเย่เทียนเฉินจนตายได้แล้ว แน่นอนว่านี่เป็นเพียงความคิดของอาหู่ก็เท่านั้น อย่างไรก็ตามเพื่อที่จะฆ่าเย่เทียนเฉินให้ได้โดยไม่มีข้อผิดพลาด เขาจึงได้แต่ทำเช่นนี้

หลังจากที่เกิดเรื่องของตระกูลฉินและตระกูลลั่ว เมืองหลวงก็ยังคงสงบไร้คลื่นลม คิดว่าคงจะมีข้าราชการระดับสูงบางคนและยังมีสื่อใหญ่ๆ บางสื่อ หลังจากที่หารือกันเรียบร้อยแล้วก็ปิดปากเงียบไม่พูดถึงสองเรื่องนี้อีก เป็นเหตุให้ประชาชนคนธรรมดาจำนวนมากไม่รู้ว่าในเมืองหลวงมีเรื่องใหญ่สะท้านฟ้าแบบนี้เกิดขึ้น

ขอเพียงเป็นคนที่พอมีสมองอยู่บ้าง ก็ไม่ยากเลยที่จะคิดได้ว่าเย่เทียนเฉินจะต้องมีคนระดับสูงในประเทศหนุนหลังอยู่อย่างแน่นอน หากว่าไม่มีคนระดับสูงของประเทศกดเรื่องนี้เอาไว้ เกรงว่าคงจะสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งประเทศแล้ว

“เรียกรวมตัวพี่น้องมือดีทั้งสามร้อยคนที่เป็นลูกน้องของพวกเรามารวมตัวกันทั้งหมด ให้ทุกคนลับมีดตัดฟืนให้คมสักหน่อย อย่าได้ใช้ปืน คืนพรุ่งนี้จะใช้มีดฟันเย่เทียนเฉินให้เละ!” อาหู่คิดครู่หนึ่งแล้วจึงพูดขึ้น

“พี่หู่ ไม่สู้ให้พี่น้องของพวกเราใช้ปืนดีกว่าหรือครับ แบบนี้ก็จะรับประกันได้บ้างนะครับ!”

“ไม่ ใช้ปืนกับใช้มีดในประเทศจีนแตกต่างกันอย่างมาก และอีกอย่างหนึ่งที่นี่มันเป็นเมืองหลวง หากว่าใช้ปืน เกรงว่าถึงตอนนั้นเซวียนเยวี๋ยนเถิงก็คงจะหนีความรับผิดชอบไม่พ้น หากว่าเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา เขาจะต้องให้พวกเราจะเป็นแพะรับบาปอย่างแน่นอน!” อาหู่ขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้น

จะพูดไปแล้วความสัมพันธ์ของอาหู่และเซวียนเยวี๋ยนเถิง เดิมทีก็เป็นการใช้ผลประโยชน์ซึ่งกันและกันอยู่แล้ว อาหู่พึ่งพาอำนาจของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนที่เป็นต้นไม้ใหญ่ ทำให้มีเพียงไม่กี่คนที่กล้ามาหาเรื่อง ส่วนสิ่งที่เซวียนเยวี๋ยนเถิงใช้ประโยชน์ก็คือความโหดเหี้ยมของอาหู่ ช่วยเขาทำเรื่องต่างๆ ช่วยเขาจัดการเรื่องบนถนนต่างๆ อย่างไรเสียตระกูลใหญ่แบบนี้ เบื้องหน้าก็ทำตัวได้ดี ความเมตตากรุณาอะไรต่างๆ ช่วยเหลือบริจาคให้พื้นที่ประสบภัย ดูแล้วก็เหมือนกับมีความรู้สึกที่กระทำเพื่อประเทศชาติเพื่อประชาชน ความจริงแล้วลับหลังไม่ไม่รู้ว่าทำเรื่องเลวร้ายไปมากน้อยเพียงใดแต่ไม่ให้คนอื่นรู้

ดังนั้นความสัมพันธ์ที่ใช้ประโยชน์ซึ่งกันและกันแบบนี้ พอฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งรู้สึกว่าคุณไม่มีค่าที่จะให้ใช้ประโยชน์ หรือเกิดเรื่องราวใหญ่โตอะไรขึ้นมา จะต้องคิดกำจัดคุณอย่างแน่นอน อาหู่ไม่ใช่คนโง่ หลายปีมานี้ขาช่วยเซวียนเยวี๋ยนเถิงกระทำเรื่องราวต่างๆ ก็กุมหลักฐานความผิดของเซวียนเยวี๋ยนเถิงไว้ไม่น้อย หากว่ามีสักวันหนึ่งที่เกิดพลิกผันขึ้นมา เซวียนเยวี๋ยนเถิงเกิดอยากจะหันหน้าหนีไม่สนใจคนขึ้นมา อาหู่ก็จะไม่เกรงใจ

“ทราบแล้วครับพี่หู่ ผมจะไปทำตามนี้!” ชายฉกรรจ์ที่เป็นลูกน้องเปิดปากพูด

“อืม ส่งคนไปยืนยันตัวเย่เทียนเฉินด้วย รอให้พี่น้องมารวมตัวกันทั้งหมดก่อน เตรียมรับคำสั่งได้ตลอดเวลา ขอเพียงมีโอกาสก็จัดการเย่เทียนเฉินได้เลย!” อาหู่พูดอย่างโหดเหี้ยม

“ครับ!”

เมื่อเห็นว่าลูกน้องของตนเดินออกไปจากห้องแล้ว อาหู่ก็นั่งพิงโซฟาสูบบุหรี่ ฆ่าเย่เทียนเฉิน นี่เป็นเรื่องที่ทำได้ยากที่สุดตั้งแต่ที่เขามีชีวิตอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ หากว่าเขาไม่ฆ่าเย่เทียนเฉิน เซวียนเยวี๋ยนเถิงก็จะไม่ปล่อยเขาไป แต่ว่าต้องการฆ่าเย่เทียนเฉินก็ไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น หากล้มเหลวเขาก็อาจจะตายได้

เมื่อลองคิดดูแล้ว อาหู่ก็โบกมือ ผู้หญิงเซ็กซี่ยั่วยวนที่ใส่ชุดแนบเนื้อสีดำทั้งสามคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง ก็รีบเดินเข้ามาข้างๆอาหู่ สองคนนวดให้อาหู่อยู่ซ้ายขวา คนที่สามอ้าขาทั้งสองข้างนั่งอยู่บนตักของอาหู่ ถูไถไม่หยุดทำให้อาหู่รู้สึกดี

ในตอนนี้เย่เทียนเฉินไม่ได้รับรู้ถึงวิกฤตถึงขั้นเป็นตายที่จะมาถึงในวันพรุ่งนี้เลย เขากำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง เริ่มฝึกฝนพลังพิเศษของตนเอง เขาไม่ได้ฝึกฝนมาหลายวันแล้ว จำเป็นจะต้องฝึกฝนเอาไว้ การบ่มเพาะกายเนื้อเป็นสิ่งที่เย่เทียนเฉินต้องการดำเนินการและเพิ่มความแข็งแกร่งมากที่สุด เพราะว่าขอบเขตของพลังพิเศษในปัจจุบันนี้ของเขาได้หยุดอยู่ที่ระดับจอมราชัน และยังไม่มีทางทะลวงไปได้ ต่อให้สามารถทะลวงไปได้ เขาก็ยังไม่กล้าทะลวง เพราะเขารู้ว่าขอบเขตจอมราชันและขอบเขตจักรพรรดิแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ไม่สามารถนำมาเทียบเคียงกันได้

พลังพิเศษ หากพูดถึงขอบเขตเพียงอย่างเดียว ทุกครั้งที่เพิ่มระดับไปหนึ่งขอบเขต ความสามารถที่เพิ่มขึ้นก็จะแตกต่างกันมาก เปรียบดังความแตกต่างระหว่างเด็กและผู้ใหญ่ โดยเฉพาะการทะลวงขอบเขตของพลังพิเศษ ซึ่งมีระดับราชัน ระดับจอมราชัน ระดับจักรพรรดิ ระดับพระเจ้า และระดับเทพราชัน เป็นขอบเขตใหญ่ๆ ที่สูงที่สุดทั้งห้าขอบเขต ต่อให้เป็นเพียงความแตกต่างระหว่างหนึ่งขอบเขตเล็กๆ ก็ไม่สามารถเทียบเคียงกันได้ ตัวอย่างเช่น ทุกหนึ่งขอบเขตใหญ่ๆ จะแบ่งเป็นสามขอบเขตเล็กๆ ขอบเขตจอมราชันระดับกลางก็จะสามารถฆ่าขอบเขตจอมราชันระดับต้นได้ในพริบตา

ในช่วงยุคสิ้นโลก ผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษในระดับพระเจ้าเหมือนกับเย่เทียนเฉินสมัยก่อน สามารถพูดได้ว่ามีความสามารถแข็งแกร่งเกินพิกัด หมัดเดียวก็สามารถระเบิดภูเขาได้ ฝ่ามือเดียวก็สามารถแยกทะเลได้ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับผู้แข่งแกร่งในระดับเทพราชัน ก็สามารถถูกฆ่าได้ด้วยนิ้วเดียว นี่เป็นคำพูดที่ไม่ได้กล่าวเกินจริงเลยแม้แต่น้อย ไม่ได้อยู่ในขอบเขตเดียวกันโดยสิ้นเชิง

เย่เทียนเฉินนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง ค่อยๆ กระตุ้นพลังพิเศษขอบเขตจอมราชันในร่างกายของตนเอง ทำการชักนำไปสู่ชีพจรและกระดูกทุกตารางนิ้วของร่างกายรอบแล้วรอบเล่า เพื่อทำให้มันมากยิ่งขึ้น นี่เป็นหนทางเดียวที่จะทำได้ในตอนนี้ แต่ไหนแต่ไรมา เย่เทียนเฉินก็อยากจะฝึกเคล็ดวิชาพลังภายในของพรรควรยุทธโบราณมาโดยตลอด ทำเช่นนั้นก็จะสามารถทำให้กล้ามเนื้อแข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ หากว่าสามารถเรียนรู้พลังภายในและพลังพิเศษจนทะลุปรุโปร่งได้จริงๆ ก็จะทำให้เขาแข็งแกร่งยิ่งกว่าในช่วงยุคสิ้นโลก

เดิมที หลังจากที่ได้มาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ เย่เทียนเฉินก็คิดว่าผู้มีพลังพิเศษและยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณในโลกนี้ ต่อให้แข็งแกร่งเพียงใดก็มีข้อจำกัด แต่เมื่อเดินบนเส้นทางนี้ ได้พบกับยอดฝีมือมากมาย โดยเฉพาะเมื่อได้พบกับเฮยเมี่ยนที่เป็นยอดฝีมือระดับทัพฟ้า เย่เทียนเฉินก็ค้นพบอย่างลึกซึ้งว่า ในโลกแห่งนี้ยังคงยอดฝีมือที่แข็งแกร่งอยู่มากมาย บนโลกนี้มีดำก็ต้องมีขาว ในเส้นทางเบื้องหน้ามียอดฝีมือเช่นนี้อยู่ ในเส้นทางเบื้องหลังก็ย่อมต้องมีด้วยเช่นกัน ดังนั้นเย่เทียนเฉินถึงต้องการทำให้ตนเองแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น

หากพูดถึงปัจจุบันนี้ ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดที่เย่เทียนเฉินได้พบก็คือเฮยเมี่ยน คนคนนี้เป็นยอดฝีมือในระดับทัพฟ้า ฝีมือแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ต่อให้ไม่เคยได้ประมือกับเฮยเมี่ยน แต่เย่เทียนเฉินก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่แผ่ออกมาจากร่างของเขา หากว่าต่อสู้กันอย่างสุดกำลังจริงๆ ก็ไม่แน่ว่าตนเองจะเป็นคู่มือของเฮยเมี่ยนได้ อย่างมากก็สู้เสมอกันเท่านั้น

ตอนนี้ปัญหาที่ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกยุ่งยากที่สุด นอกจากการบ่มเพาะกายเนื้อให้แข็งแกร่งแล้ว ก็คือการฝึกฝนพลังภายใน นอกจากนี้เขายังพบว่า ในตอนที่สู้กับศัตรูที่แข็งแกร่งก่อนหน้านี้นั้น พลังพิเศษในร่างกายของเขาจะเดือดพล่าน มีสัญญาณที่จะทะลวงขอบเขต แต่การต่อสู้หลายครั้งก่อนหน้านี้ เช่นการต่อสู้กับกูตู๋อ๋าง ความสามารถของกูตูอ๋างไม่นับว่าอ่อนแอ เย่เทียนเฉินลงมืออย่างเต็มที่แล้วก็สามารถทำให้เขาบาดเจ็บได้เท่านั้น สามารถพูดได้ว่าชนะกันเพียงครึ่งกระบวนท่า

การต่อสู้กับกูตู๋อ๋าง เย่เทียนเฉินพบว่าพลังพิเศษภายในร่างกายของตนเอง มีความผันผวนตามธรรมดาเท่านั้น ไม่ได้มีสัญญาณที่จะทะลวงไปได้ เขาคงจะใกล้ถึงจุดที่ยากที่สุดแล้ว หลังจากนี้หากคิดที่จะทะลวงขอบเขต แต่ละย่างก้าวก็คงจะยากลำบากเป็นอย่างมาก

เพราะเคยเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษในขอบเขตพระเจ้าในยุคสิ้นโลก เย่เทียนเฉินย่อมรู้ดีว่า มีคนจำนวนมากเมื่อมีพลังพิเศษถึงขอบเขตที่แน่นอนแล้ว หากต้องการที่จะก้าวต่อไป นอกจากการเพิ่มความแข็งแกร่งของพลังพิเศษในร่างกายแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดก็คือความเข้าใจ ความเข้าใจต่อธรรมชาติ ความเข้าใจต่อร่างกายของตัวเอง พูดไปแล้วนี่ก็เป็นสิ่งที่ลึกลับเป็นอย่างมาก ความเข้าใจของทุกคนนั้นไม่เหมือนกัน ดังนั้นความเร็วในการทะลวง และเคล็ดลับที่ใช้ย่อมไม่เหมือนกัน

“ดูท่าจะต้องหาโอกาสไปวัดเส้าหลินซักครั้งจริงๆ ไม่รู้ว่าคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นในโลกนี้ยังอยู่หรือเปล่า หากว่ายังอยู่จะต้องเอามาให้ได้!” เย่เทียนเฉินพูดกับตัวเองในใจ

ฝึกฝนอยู่สองชั่วโมงกว่า บนหน้าผากของเย่เทียนเฉินมีเหงื่อเย็นๆ ซึมออกมา ในชั่วขณะที่เขาลืมตาขึ้น ภายในดวงตาทั้งสองของเขาก็เปล่งประกายไปด้วยแสงสีฟ้า นี่เป็นพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชัน เป็นสีของพลังพิเศษที่อยู่ภายในร่างกาย

คิดอยู่ครู่หนึ่ง เย่เทียนเฉินก็คาดเดาว่าชางหลางคงจะยังไม่นอน จึงหยิบโทรศัพท์มือถือของตนเองขึ้นมา ต่อสายไปหาชางหลาง หลังจากที่ดังอยู่ประมาณสิบกว่าครั้งถึงจะรับสาย ดูท่าทางชางหลางคงจะนอนแล้วจริงๆ และถูกเย่เทียนเฉินปลุกขึ้นมา

“ฮัลโหล ใครครับ…” ชางหลางหาวครั้งหนึ่งแล้วพูดขึ้นในโทรศัพท์

“ผมเอง พี่ชางหลาง อย่าเพิ่งโกรธนะ ผมมีเรื่องสำคัญที่จะพูดกับคุณ…” เย่เทียนเฉินพูดใส่โทรศัพท์เสียงดัง

“ความคิดของไอ้หนูอย่างนายนี่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ มีเรื่องอะไรก็พูดมา!” ชางหลางพูดอย่างไม่สบอารมณ์

“เรื่องมันเป็นอย่างนี้ คุณก็รู้ว่าผมมีความสนใจในเรื่องผู้พลังพิเศษเป็นอย่างมาก ดังนั้น อยากจะให้คุณส่งข้อมูลผู้มีพลังพิเศษที่มีอยู่ในมือของคุณให้ผมดูสักหน่อย ไม่ว่าจะเป็นผู้มีพลังพิเศษในประเทศจีนของเราหรือว่าต่างประเทศ ผมต้องการดูทั้งหมด!” เย่เทียนเฉินรีบพูด

“นี่ไม่ได้หรอก นี่เป็นความลับระดับประเทศ ขนาดฉันก็ดูไม่ได้ ฉันจะให้นายได้ยังไงล่ะ!” ชางหลางพูดอย่างจนใจ

เย่เทียนเฉินก็รู้ว่า ผู้มีพลังพิเศษและยอดฝีมือพรรควรยุทธโบราณในโลกนี้แตกต่างจากคนทั่วไป กระทั่งมีคนธรรมดาจำนวนมากที่ไม่รู้ถึงการมีอยู่ของพวกเขา ดังนั้นข้อมูลเกี่ยวกับคนเหล่านี้ จะต้องเป็นความลับอย่างแน่นอน คนธรรมดาย่อมไม่สามารถดูได้ ดังนั้นเย่เทียนเฉินจึงพึ่งชางหลาง เขามีฐานะเป็นทหาร และเป็นลูกน้องของหยางอี้ หากต้องการข้อมูลเหล่านี้ จะมากจะน้อยก็คงมีวิธีมากกว่าตนเอง

“เอาอย่างนี้แล้วกันครับ ผมก็แค่โทรไปหาท่านหยางอี้ บอกว่าภารกิจที่ผมทำต้องการความร่วมมือ แต่พี่ชางหลางไม่ยอมให้ความร่วมมือ ภารกิจนี้ผมก็ไม่ทำแล้ว!” เย่เทียนเฉินจงใจแกล้งทำเป็นพูดด้วยท่าทางสิ้นหวัง

อาหู่ คนที่โหดเหี้ยมยิ่งกว่าหัวหน้าแห่งวงการใต้ดินของเมืองหลวงอย่างหลี่เถี่ย หากไม่ใช่ว่าถูกเซวียนเยวี๋ยนเถิงปราบ เกรงว่าคงจะก่อเรื่องสะเทือนฟ้าภายในเมืองหลวงไปนานแล้ว คงจะสู้กับหลี่เถี่ยให้ตายกันไปข้างหนึ่ง

เมื่อเห็นว่าเซวียนเยวี๋ยนอวี่เดินเข้ามา อาหู่ก็กล่าวทักทายด้วยใบหน้าที่ยังคงเจือไปด้วยรอยยิ้ม แต่ว่าไม่ได้ลุกขึ้นยืนเข้าไปต้อนรับด้วยความเคารพ นี่ทำให้เซวียนเยวี๋ยนอวี่ไม่พอใจอยู่บ้าง แต่ในความคิดของอาหู่ก็เป็นเรื่องปกติ เซวียนเยวี๋ยนอวี่แม้ว่าจะถูกเขาเรียกว่าเป็นคุณชายน้อย แต่ว่าเขาเป็นคนของเซวียนเยวี๋ยนเถิง ต่อให้พวกเขาจะเป็นพี่น้องกัน ต่อหน้าไอ้เด็กเมื่อวานซืนคนหนึ่ง เขาก็ไม่สามารถใช้ท่าทางเคารพนอบน้อมได้ อย่างไรเสียอาหู่ก็เป็นคนแบบนี้ ไม่ใช่คนที่มีท่าทางแบบสุนัขรับใช้ นับได้ว่าเป็นสุนัขรับใช้ขั้นสูง จะมากจะน้อยก็ยังมีความยโสอยู่

อย่างไรก็ตามในสายตาของเซวียนเยวี๋ยนอวี่ ไม่ว่าจะเป็นคนรับใช้ของตระกูลเซวียนเยวี๋ยน หรือว่าเป็นลูกน้องใต้บังคับบัญชาของเซวียนเยวี๋ยนเถิงผู้เป็นพี่ชาย ก็ล้วนต้องฟังตัวเองเหมือนกัน เขาบอกให้ไปขวาก็ไม่มีใครกล้าไปซ้าย ดังนั้นเมื่อเห็นท่าทางของอาหู่ที่ไม่สะทกสะท้าน เซวียนเยวี๋ยนอวี่ก็พลันโมโหขึ้นมา ไอ้เด็กเมื่อวานซืนอายุสิบหกปีคนหนึ่งโอหังบ้าอำนาจจนถึงขีดสุดจริงๆ

“คุณชายน้อยไม่ต้องรีบร้อนไป ผมได้ให้คนไปหาข้อมูลของไอ้ลูกหมาเย่เทียนเฉินมาแล้ว เรื่องเบื้องหลังอื่นๆ ยังไม่ต้องพูดถึง ตามความคาดเดาของผม แค่ความสามารถของเย่เทียนเฉิน ถ้าต้องการฆ่าไอ้ลูกหมานี่ในทันทีก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก ใช้คนแค่สองสามคนไม่มีทางกำจัดมันได้ เราต้องเตรียมตัวกันสักหน่อย!” อาหู่มองเซวียนเยวี๋ยนอวี่แล้วพูดขึ้น

“ยังต้องเตรียมตัวอะไรอีก ก็แค่ส่งคนไปฆ่าไอ้หนอนแมลงนั่นก็พอแล้ว!” เซวียนเยวี๋ยนอวี่พูดอย่างไม่สบอารมณ์

“คุณชายน้อย เรื่องมันไม่ง่ายเหมือนที่คุณคิดแบบนั้น ถ้าหากว่าทำแบบนี้แล้วสามารถฆ่าเย่เทียนเฉินได้ง่ายๆ ผมก็คิดว่าคุณคงลงมือไปนานแล้ว ด้วยบอดี้การ์ดใต้บังคับบัญชาของคุณ ฝีมือก็ไม่ได้ห่วยมาก ถ้าเก็บกวาดคนธรรมดาสักคนสองคนก็ไม่มีปัญหาอะไร เพียงแต่น่าเสียดายที่เย่เทียนเฉินไม่ใช่คนธรรมดา!” อาหู่พูดอย่างอดทน

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเซวียนเยวี๋ยนอวี่ ในใจของอาหู่ก็ต้องอดกลั้นความโกรธเอาไว้ จะอย่างไรบิดาก็เป็นคนที่ขลุกที่อยู่ในยุทธภพมาหลายปี มีดตัดฟืนเพียงเล่มเดียวก็สามารถฆ่าเปิดทางจนมีพี่น้องผู้ซื่อสัตย์ติดตามอยู่หลายร้อยคน นับว่าเป็นคนที่มีหน้ามีตาคนหนึ่ง ขนาดเซวียนเยวี๋ยนเถิงพี่ชายของคุณก็ไม่พูดกับผมด้วยท่าทางแบบนี้ คุณก็เป็นแค่ไอ้เด็กเมื่อวานซืนอายุสิบหกปีคนหนึ่ง กล้ามาตะโกนใส่ผมแบบนี้ แล้วยังพูดด้วยน้ำเสียงออกคำสั่งอีก ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้าพี่ชายของคุณ บิดาคงจะฟันไอ้ลูกเต่าอย่างคุณไปนานแล้ว

“ฉันไม่สนใจว่าเย่เทียนเฉินจะเป็นใคร ฉันรู้นะว่าพี่ชายของฉันส่งแกมา ก็จะให้แกไปฆ่าเย่เทียนเฉิน ถ้าฆ่ามันไม่ได้ภายในสองวันจะได้เห็นดีกัน!”

เซวียนเยวี๋ยนอวี่ตัวเล็กแต่อารมณ์ใหญ่โต เมื่อได้ยินคำพูดของอาหู่ ก็ลุกขึ้นยืนจากบนโซฟาในทันที ใช้ฝ่ามือตบลงไปบนโต๊ะกระจก มองอาหู่อย่างดุดัน ท่าทางเช่นนั้นราวกับว่าถ้าอาหู่ไม่ฟังคำสั่ง อาหู่ก็จะต้องตาย

“คุณชายน้อย ผมหวังว่าคุณจะใจเย็นลงบ้าง ท่าทางเหมือนคุณในตอนนี้จะช้าจะเร็วก็ต้องก่อเรื่องใหญ่เขาสักวัน!” อาหู่สีหน้ามืดครึ้มลง พูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์

“หึ อาหู่แกกล้าไม่ฟังคำสั่งของฉัน ท่าทางแกจะเบื่อชีวิตแล้วสินะ จับตัวมันมาให้ฉันซะ!” เซวียนเยวี๋ยนอวี่โอหังเป็นอย่างมาก ถึงกับสั่งให้บอดี้การ์ดที่อยู่ข้างหลังทั้งสองคนเข้าไปจับอาหู่มาให้ ช่างกบฏจริงๆ!

ไหนเลยจะรู้ว่า บอดี้การ์ดด้านหลังทั้งสองคน เพิ่งจะขยับ อาหู่ก็ดีดนิ้วครั้งหนึ่ง มีชายฉกรรจ์หลายคนพุ่งเข้ามาจากด้านนอกห้องส่วนตัว ทั้งหมดใช้ปืนเล็งไปที่หน้าผากของบอดี้การ์ดทั้งสองและเซวียนเยวี๋ยนอวี่ ทันใดนั้นเซวียนเยวี๋ยนอวี่พลันตกใจกลัว สั่นสะท้านไปทั้งร่าง ส่วนบอดี้การ์ดสองคนด้านหลังเขา ก็ตกใจจนไม่กล้าขยับ หากว่าอาหู่ออกคำสั่งให้ยิงปืนจริงๆ สมองของพวกเขาก็คงจะระเบิดเป็นรู

“คุณชายน้อย ในเมื่อคุณต้องการที่จะฉีกหน้าผม ถ้างั้นผมก็คงทำอะไรไม่ได้ คงได้แต่ฆ่าพวกคุณอย่างเดียว แล้วไปบอกคุณชายใหญ่ว่าพวกคุณถูกเย่เทียนเฉินฆ่า ผมเชื่อว่าคุณชายใหญ่จะต้องแก้แค้นให้พวกคุณแน่!” อาหู่ยิ้มเย็นชา สายตามีประกายความโหดเหี้ยม ไม่เหมือนกับกำลังล้อเล่น

พริบตานี้ เซวียนเยวี๋ยนอวี่จะนับเป็นอะไรได้ บนหน้าผากมีเหงื่อเย็นๆไหลซึมออกมา ในตอนแรกเขาถูกความโกรธทำให้สมองมึนงง ตอนนี้ถึงจะมีสติแจ่มชัดขึ้นมาบ้าง เขาพบว่าตนเองโกรธจนหาคู่มือผิดคนจริงๆ อาหู่เป็นใคร? ฆ่าคนได้โดยไม่กระพริบตา เป็นพวกโฉดชั่วที่ฆ่าคนจริงๆ เป็นคนที่ถ้าโกรธขึ้นมาขนาดพ่อแม่บังเกิดเกล้าก็กล้าฆ่า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเขาเลย

เซวียนเยวี๋ยนอวี่ยังจำตอนที่พี่ชายไปจากเมืองหลวงเพื่อไปทำธุระได้ เซวียนเยวี๋ยนเถิงเคยกำชับเขาไว้ว่า จะต้องปฏิบัติต่ออาหู่ให้ดีๆ อย่าได้ทำให้เกิดความขัดแย้งใดๆ มีเรื่องอะไรก็ให้ฟังอาหู่ อย่าได้ไม่ทันจะขยับก็แสดงมาดคุณชายน้อยของเขาออกมา

“อะ อาหู่ โทษที เมื่อกี้ฉันบุ่มบ่ามเกินไปหน่อย!” เซวียนเยวี๋ยนอวี่อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นด้วยเสียงอันสั่นเทา

“งั้นหรือ? แต่ว่าตอนนี้ผมโกรธขึ้นมาจริงๆแล้ว ต้องฆ่าคนถึงจะสงบความโกรธของผมลงได้!” อาหู่พูดด้วยรอยยิ้มเย็นเยียบ

“นี่…นี่…อาหู่ แกกล้าฆ่าฉันเหรอ? แกจะไปรายงานพี่ชายของฉันยังไง? แกเองก็จะตายเหมือนกัน” เซวียนเยวี๋ยนอวี่ตะโกนออกมาด้วยท่าทางโอหังอีกครั้ง

อาหู่มองเซวียนเยวี๋ยนอวี่ ลุกขึ้นยืนจากบนโซฟา มุมปากประดับไปด้วยรอยยิ้มโหดเหี้ยม เดินเข้าไปเบื้องหน้าเซวียนเยวี๋ยนอวี่ พูดด้วยเสียงแหลมเล็กว่า “คุณชายน้อย เมื่อกี้ผมก็พูดไปแล้ว ฆ่าคุณซะแล้วก็บอกว่าเย่เทียนเฉินเป็นคนฆ่า ถึงตอนนั้นคุณชายใหญ่จะต้องแก้แค้นให้พวกคุณแน่ ตายอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม!”

“แก…อะ อาหู่ หยะ อย่าฆ่าฉัน อย่าฆ่าฉัน…” เซวียนเยวี๋ยนอวี่ ไม่มีความโกรธเคืองแล้วโดยสิ้นเชิง เมื่อเจอกับมุมที่โหดเหี้ยมของอาหู่ตอนที่เขาโกรธขึ้นมา คนโฉดชั่วที่ไม่รู้จักระงับอารมณ์นี้ ทำให้เซวียนเยวี๋ยนอวี่เกรงกลัวขึ้นมาแล้วจริงๆ

“ไม่ได้หรอก หากว่าผมไม่ฆ่าคน ก็คงไม่มีทางสงบความโกรธของผมลงได้!” อาหู่พูดแล้วส่ายหน้า

พลั่ก!

พลั่ก!

บอดี้การ์ดสองคนที่ตามหลังเซวียนเยวี๋ยนอวี่มา ดูเหมือนว่าจะคุกเข่าลงบนพื้นในเวลาเดียวกัน ต่างก็พากันร้องขอชีวิตอาหู่ พวกเขาเองย่อมรู้ว่าอาหู่เป็นคนโฉดชั่วคนหนึ่ง หากจะฆ่าคนก็ไม่สนอีกฝ่ายจะเป็นใคร ตอนนี้ดูแล้วอาหู่ไม่ได้พูดเล่น ท่าทางจะเอาจริง ไหนเลยจะมีเหตุผลให้ไม่เกรงกลัว

ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ว่าเขาจะพูดได้ร้ายกาจขนาดไหน เมื่อถูกปืนเล็งไปที่สมองของพวกเขาจริงๆ ทุกคนก็ล้วนต้องกลัวจนตัวสั่น เสแสร้งแกล้งทำเป็นพูดจาใหญ่โตก็ไม่มีประโยชน์ ปืนนั้นไม่มีตา

“พะ พี่หู่ พวกเราไม่เกี่ยวด้วย อย่าฆ่าพวกเราเลยครับ!”

“พี่หู่ พวกเราเชื่อฟังคุณ คุณบอกว่าจะทำยังไงก็ทำอย่างนั้น”

เซวียนเยวี๋ยนอวี่เห็นบอดี้การ์ดทั้งสองคนที่ตามหลังตนเองมาคุกเข่าขอร้องอยู่บนพื้น ก็ยิ่งเกิดความหวาดกลัว แม้แต่พวกเขาก็มองออกว่าอาหู่ไม่ได้ล้อเล่น ต้องการลงมือฆ่าคนจริงๆ เขาที่เป็นไอ้เด็กเมื่อวานซืนอายุสิบหกปีคนหนึ่ง เมื่อก่อนก็โอหังบ้าอำนาจ คนข้างกายต่างก็ถอยให้เขา ไม่กล้าหาเรื่องเขา ทั้งหมดเป็นเพราะอำนาจของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนของเขา หากไม่ใช่เพราะจุดนี้ ก็ไม่ทราบว่าเขาเซวียนเยวี๋ยนอวี่จะตายไปแล้วกี่รอบ

“พี่หู่ ผม ผม…” เซวียนเยวี๋ยนอวี่เป็นแค่เด็กคนหนึ่ง ตกใจกลัวจนหน้าซีดไปหมดแล้ว น้ำเสียงก็สั่นไหว ขาทั้งสองกำลังสั่นจนพูดอะไรไม่ออก

อาหู่ยิ้มอย่างเย็นชา ส่งสายตาบอกใบ้ไปให้คนของตัวเอง ปัง ปัง เสียงปืนดังขึ้นสองครั้ง เซวียนเยวี๋ยนอวี่ตกใจจนคุกเข่าลงกับพื้นทันที คุกเข่าต่อหน้าของอาหู่ ส่วนบอดี้การ์ดสองคนข้างกายเขา ถูกลูกปืนเจาะทะลุเข้าไปในสมองเรียบร้อยแล้ว ล้มลงไปนอนจมกองเลือด ตายไปเช่นนี้

เมื่อเห็นฉากนี้ เซวียนเยวี๋ยนอวี่ก็ยิ่งร่างกายสั่นสะท้าน ตกใจจนเกือบเป็นลมไป รีบเข้าไปกอดขาอาหู่ ร้องไห้ทำหน้าเศร้าแล้วพูดออกมาว่า “พะ พี่หู่ หยะ อย่าฆ่าผม เห็นแก่พี่ชายของผม อย่าฆ่าผมเลย!”

“คุณชายน้อย ขอให้คุณจำเอาไว้ เป็นเด็กก็อย่ามายุ่งเรื่องของผู้ใหญ่ อย่ามากวนตีนแบบนั้น!” อาหู่กระซิบข้างหูเซวียนเยวี๋ยนอวี่อย่างเย็นยะเยือก

จากนั้นอาหู่ก็โบกมือ ลูกน้องของตนก็ลากเซวียนเยวี๋ยนอวี่และศพทั้งสองศพนั้นออกไป เขาไม่ได้ฆ่าเซวียนเยวี๋ยนอวี่ ก็เพราะเห็นแก่หน้าเซวียนเยวี๋ยนเถิงซึ่งเป็นพี่ชายของเขา นอกจากนี้เพราะอำนาจของตระกูลเซวียนเยวี๋ยน อาหู่อย่อมล่วงเกินไม่ได้

อาหู่นั่งพิงลงไปบนโซฟา ยังคงสูบซิการ์อยู่ ผู้หญิงเซ็กซี่สวยงามทั้งสามคนนั้นต่างก็ยืนอยู่ด้านหลังอาหู่ อาหู่ยังไม่ได้เอ่ยปากให้พวกเธอมาบริการ พวกเธอย่อมไม่กล้าทำมั่วๆ แม้แต่ผู้หญิงที่ถูกอาหู่ใช้ซิการ์จี้ก้นคนนั้น ก็อดทนเป็นอย่างมาก ไม่กล้าเคลื่อนไหวมั่วๆ

ไม่นาน ชายฉกรรจ์คนหนึ่งซึ่งเป็นลูกน้องของอาหู่ก็เปิดประตูห้องส่วนตัวแล้วเดินเข้ามา ยืนอยู่เบื้องหน้าของอาหู่แล้วพูดว่า “พี่หู่ครับ ศพจัดการเรียบร้อยแล้วครับ เซวียนเยวี๋ยนอวี่ก็ไปแล้ว!”

“อืม ไอ้ลูกเต่านี่ไม่สั่งสอนไม่ได้ โอหังเกินไปแล้ว!” อาหู่พูดอย่างเย็นชา

“พี่หู่ครับ ผมกังวลว่าคุณทำแบบนี้กับคุณชายน้อย คงจะอธิบายดีๆ ให้คุณชายใหญ่ไม่ได้นะครับ!” ชายฉกรรจ์ที่เป็นลูกน้องคนนั้นพูดอย่างกังวล

“หึ มีอะไรให้อธิบายไม่ได้กัน เซวียนเยวี๋ยนเถิงจะไม่ยอมผิดใจกับฉันเพราะว่าน้องชายของเขาหรอก เขายังต้องการใช้อำนาจอิทธิพลของฉันช่วยเขาทำเรื่องต่างๆ อยู่ แล้วฉันก็ไม่ได้ทำอะไรเซวียนเยวี๋ยนอวี่ ก็แค่ทำให้มันตกใจเท่านั้น!”

“งั้นพี่หู่ ต่อไปพวกเราจะทำยังไงกันดีครับ?” ชายฉกรรจ์เอ่ยถาม

“เรื่องที่พักการะเดินทางของเย่เทียนเฉินตรวจสอบแล้วหรือยัง?”

“ตรวจสอบเรียบร้อยแล้วครับ ไอ้หมอนี่ฝีมือแข็งแกร่งมาก พรุ่งนี้เป็นวันรายงานตัววันแรกของมหาวิทยาลัยหลงเถิง จะต้องไปที่มหาวิทยาลัยแน่นอน”

“งั้นก็ดี พวกเราเลือกลงมือตอนกลางคืน ฆ่าไอ้หมอนี่ซะ ฉันไม่อยากให้มีการประมาทเลินเล่อใดๆ เรียกรวมพี่น้องสามร้อยคนไปด้วย จะต้องฆ่าเย่เทียนเฉินให้ได้!” อาหู่พูดอย่างโหดเหี้ยม

ภารกิจที่เซวียนเยวี๋ยนเถิงมอบให้อาหู่ก็คือ ฆ่าเย่เทียนเฉิน แต่หลังจากที่อาหู่ทำการตรวจสอบแล้ว พบว่าฝีมือของเย่เทียนเฉินแข็งแกร่งมาก ถ้าอาศัยพลังของคนคนเดียว หรือหลายคนหลายสิบคน เกรงว่าจะฆ่าเย่เทียนเฉินไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจเรียกรวมตัวชายฉกรรจ์ที่เป็นลูกน้องของเขาสามร้อยคน เตรียมที่จะไปฆ่าเย่เทียนเฉินพรุ่งนี้โดยไม่ให้มีข้อผิดพลาด

ต้องฆ่าเย่เทียนเฉินถึงจะสามารถทำให้อาหู่ผ่อนคลายได้ เพราะครั้งนี้อาหู่ได้สั่งสอนเซวียนเยวี๋ยนอวี่ไป จะมากจะน้อยก็ทำให้ในใจของเซวียนเยวี๋ยนเถิงไม่พอใจ หากว่าฆ่าเย่เทียนเฉินได้สำเร็จ เซวียนเยวี๋ยนเถิงก็จะไม่พูดอะไร ดังนั้นในความคิดของอาหู่ การไปฆ่าเย่เทียนเฉินในคืนพรุ่งนี้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

เย่เทียนเฉินขอบคุณฟ้าดินอยู่ในใจ ในที่สุดก็สามารถหาข้ออ้างมั่วๆ เพื่อให้หลิงอวี่สวิ๋นหลุดออกจากการพักค้างคืนของหลัวเยี่ยนได้!

หากว่าให้อีกฝ่ายพักอยู่ที่นี่จริงๆ แล้วยังพักอยู่ในห้องที่ฉีหรูเสวี่ยเคยพัก นั่นมันก็จะตลกไปหน่อยแล้ว

คงจะไม่เป็นเหมือนที่เย่เทียนเฉินคิดเช่นนั้นจริงๆ ห้องว่างห้องนั้นของคฤหาสน์ตระกูลเย่ของตน ไม่แน่ว่าจะมีสาวสวยมากน้อยแค่ไหนมาเข้าพัก…

หลิงอวี่สวิ๋นและเย่เทียนเฉินเดินออกมาจากคฤหาสน์ตระกูลเย่ เย่เทียนเฉินจูงมือหลิงอวี่สวิ๋นเดินมาตลอดทาง เดินไปที่หน้ารถสปอร์ตอย่างรวดเร็ว ในตอนนี้เขารีบร้อนที่จะส่งหลิงอวี่สวิ๋นกลับไปจริงๆ

ในตอนนี้หลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่และน้องสาวเย่เชี่ยนเหวินเหมือนกับบ้าไปแล้วจริงๆ เมื่อเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง ขอเพียงแค่หน้าตาไม่เลวและถูกตัวเองพากลับมาที่บ้าน พวกเธอก็จะรีบคิดจะให้ผู้หญิงคนนี้คบหากับเขา หรือกระทั่งแต่งงานกัน แต่งเข้ามาที่ตระกูลเย่

ไม่รู้จริงๆ ว่าเหตุใดแม่และน้องสาวถึงได้คิดเรื่องพวกนี้ หรือว่าเมื่อก่อนตนเองจะไม่เอาไหนจริงๆ?

หลิงอวี่สวิ๋นถูกเย่เทียนเฉินจูงมือออกมาจากคฤหาสน์ตระกูลเย่เช่นนี้

จูงมือมาตลอดทางแบบนี้ ทำให้เธอเริ่มคิดถึงช่วงเวลาตอนเด็ก

ในตอนนั้นภายในซอยเล็กๆ มีเพียงเธอและเย่เทียนเฉินสองคน ถึงแม้ว่าเธอจะโตกว่าเย่เทียนเฉินหนึ่งปี แต่จะอย่างไรก็เป็นผู้หญิง ไม่มีทางสู้แรงเด็กผู้ชายได้

ดังนั้นทุกครั้ง ขอเพียงเพื่อนตัวน้อยข้างบ้านมารังแกเธอ เย่เทียนเฉินก็มักจะขวางเธอไว้ข้างหน้า และถ้าหากว่าสู้ไม่ได้ก็จะจูงมือหลิงอวี่สวิ๋นวิ่งหนี

ตอนนี้เย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋นทั้งสองคนล้วนเติบโตแล้ว เธอเป็นผู้หญิงที่สวยมากคนหนึ่ง จินตนาการได้เลยว่า ผู้หญิงที่สามารถได้รับการโหวตให้กลายเป็นหนึ่งในดาวมหาวิทยาลัยหลงเถิงได้ จะไม่สวยได้หรือ?

งดงามสะโอดสะอง จันทร์หลบโฉมสุดา มวลผกาละอายนาง ส่วนเย่เทียนเฉินก็เติบโตเป็นชายรูปงาม มีความเป็นลูกผู้ชาย อาศัยฝีมือในตอนนี้ ก็มีความสามารถที่จะปกป้องหลิงอวี่สวิ๋นได้แล้ว ให้ความรู้สึกปลอดภัยแก่เธอ

ดังนั้นนี่เป็นจุดที่แตกต่างกันระหว่างเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชาย!

บางทีความทรงจำในวัยเด็ก ในสมองของเด็กผู้ชายคนหนึ่งจะค่อยๆ เลือนหายไป จนกระทั่งจำไม่ได้เลย แต่ในจิตวิญญาณของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งกลับจำได้อย่างลึกซึ้ง กระทั่งไม่มีทางทำให้เธอลืมได้

ด้วยเหตุนี้เมื่อเติบโตแล้ว เด็กผู้หญิงคนนี้ก็ยังมีความคาดหวังว่าเด็กผู้ชายจะสามารถปกป้องตัวเองได้เหมือนตอนเด็กๆ

“เธอรีบเดินหน่อยสิ ฉันกลัวจริงๆ ว่าแม่จะถูกใจเธอ ถ้าเธอต้องมาเป็นสะใภ้จริงๆ ก็ซวยแล้ว…”

เย่เทียนเฉินจูงมือหลิงอวี่สวิ๋นเดินไปข้างหน้าพลางเปิดปากพูด

ทันใดนั้น เขารู้สึกว่าด้านหลังตัวเองมีไอสังหารแผ่ออกมา ตนเองจูงหลิงอวี่สวิ๋นอยู่แต่หลิงอวี่สวิ๋นก็ไม่เดินมากับเขา จึงอดไม่ได้ที่จะหันไปมอง เห็นว่าเธอกำลังใช้ดวงตาทั้งสองอันงดงามจ้องมองมายังตนเองอย่างดุดัน ท่าทางเช่นนั้นราวกับว่าสามารถกินคนได้ จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามอย่างสงสัย

“เธอ เธอเป็นอะไร?”

“หึ ไอ้บ้า นายคิดจะไล่ฉันไปจริงๆ สินะ? หากว่าคุณแม่ของนายให้ฉันแต่งให้นายจริงๆ นายไม่เต็มใจใช่ไหม?”

หลิงอวี่สวิ๋นอดไม่ได้ที่จะทำแก้มป่องอย่างน่ารัก ยู่ปากเล็กๆ อันเซ็กซี่ของเธอแล้วถามขึ้น

“นั่น ความหมายของเธอก็คืออยากจะแต่งให้ฉันหรือไง?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มหยอกล้อ

“ใคร ใครอยากจะแต่งให้นายกัน ฝันหวานไปแล้ว ฉันก็แค่ไม่ชินกับท่าทางแบบนี้ของนาย นายนั่นแหละที่มีปัญหา!” หลิงอวี่สวิ๋นชะงักไป พูดออกมาด้วยใบหน้าแดงระเรื่อง

“นั่นก็ถูกแล้วไง เธอก็ไม่อยากแต่งให้ฉัน แล้วไม่คิดที่จะทำตามคำสัญญาในตอนเด็ก งั้นก็ไม่มีอะไรจะต้องพูดกันแล้ว รีบไปเถอะ!” เย่เทียนเฉินพูดแล้วจึงเบะปาก

“นาย…ไอ้บ้า ฉันไม่สนใจนายแล้ว หลบไป…”

หลิงอวี่สวิ๋นถูกเย่เทียนเฉินทำให้โกรธจนทนไม่ไหวจริงๆแล้ว จึงผลักเย่เทียนเฉินออกไป โยนกระเป๋าถือเข้าไปในรถสปอร์ตด้วยความโกรธ จากนั้นจึงเปิดประตูรถ สตาร์ทรถแล้วขับจากไป ก่อนที่จะจากไปยังถลึงตามองและทำหน้าโหดใส่เย่เทียนเฉินครั้งหนึ่ง ทำให้เขาร้องไห้ไม่ออกหัวเราะไม่ได้

เย่เทียนเฉินมองหลิงอวี่สวิ๋นจากไป อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วส่ายหน้า หันตัวเดินกลับเข้าไปในบ้าน

“ไอ้บ้า ไอ้คนไม่มีอีคิว น่ารังเกียจ เป็นโสดไปชั่วชีวิตเลย…”

ระหว่างทางที่หลิงอวี่สวิ๋นขับรถกลับบ้าน ในใจก็อดไม่ได้ที่จะก่นด่าเย่เทียนเฉิน

ในตอนนี้ ภายในบาร์ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งนอกมหาวิทยาลัยหลงเถิง เต็มไปด้วยหญิงชายพี่เต้นอย่างบ้าคลั่งมัวเมา คนทุกอาชีพทุกประเภทล้วนมีทั้งหมด

ภายในห้องส่วนตัวชั้นสอง ผู้หญิงที่สวมชุดเซ็กซี่ยั่วยวนหลายคน ดูเหมือนว่าอีกไม่นานก็จะเปลือยเปล่า ต่างก็ถูไถอยู่บนร่างกายของผู้ชายคนหนึ่ง มือทั้งสองของผู้ชายคนนี้อ้ากว้างนอนอยู่บนโซฟา มีผู้หญิงเซ็กซี่สามคนนวดให้เขา กระทั่งใช้ปากบริการก็มี

ผู้ชายคนนี้ร่างกายสูงใหญ่บึกบึน โกนหัวเรียบ ด้านหน้ามีผมยาวหย่อมหนึ่งที่ย้อมสีแดง สิ่งที่โดดเด่นที่สุดก็คือบนใบหน้าของเขามีรอยมีดลึกอยู่รอยหนึ่ง ดูไปแล้วน่ากลัวเป็นอย่างมาก

รอยแผลเป็นลากยาวมาตั้งแต่หางตาซ้ายจนถึงกรามขวา ดูอัปลักษณ์ยิ่ง ดวงตาทั้งสองเต็มไปด้วยกลิ่นอายของการฆ่าฟัน แค่มองก็รู้ว่าไม่ใช่คนดีอะไร ไม่ต่างอะไรกับพวกมือสังหาร ในมือขวาของเขาถือซิการ์มวนหนึ่ง มุมปากระดับด้วยรอยยิ้มโหดเหี้ยม

เขาก็คืออาหู่ เป็นคนที่โหดเหี้ยมเป็นอย่างมาก ภายหลังจึงถูกพี่ชายของเซวียนเยวี๋ยนอวี่ซึ่งก็คือเซวียนเยวี๋ยนเถิงปราบ และกลายมาเป็นอันธพาลของเซวียนเยวี๋ยนเถิง ซึ่งมีฐานะเป็นหนึ่งในสามสุดยอดคุณชายแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง ในตอนที่เซวียนเยวี๋ยนเถิงไม่อยู่ในเมืองหลวง มีหลายครั้งที่อาหู่จัดการเรื่องต่างๆ แทนเขา

ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครที่ไม่เคยได้ยินชื่อของอาหู่ ต่อให้ตอนนั้นหลี่เถี่ยที่เป็นหัวหน้าของกลุ่มอิทธิพลใต้ดินแห่งเมืองหลวงยังอยู่ และยังไม่ถูกเย่เทียนเฉินฆ่าตายไป ก็ยังอดไม่ได้ที่จะนับถือความสามารถของอาหู่

หากไม่ใช่เพราะอาหู่ติดตามเซวียนเยวี๋ยนเถิงและเชื่อฟังคำสั่งทุกอย่างของเขา บางทีตำแหน่งเจ้าแห่งวงการใต้ดินของเมืองหลวงก็คงจะตกเป็นของอาหู่!

ครั้งนี้ อาหู่ก็ได้รับโทรศัพท์จากเซวียนเยวี๋ยนเถิง บอกว่าเซวียนเยวี๋ยนอวี่ถูกคนทำร้ายที่หน้าประตูมหาวิทยาลัยหลงเถิง หลี่อี้พานักศึกษาชายที่ฝึกฝนวิชาเทควันโด้ไปด้วยสองคนคิดจะไปเอาคืน แต่ก็ถูกอัดจนต้องไสหัวกลับมา นี่ทำให้เซวียนเยวี๋ยนเถิงรู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก

แต่ว่าเซวียนเยวี๋ยนเถิงมีธุระ ไม่อาจกลับมาที่เมืองหลวงได้ในทันที ดังนั้นจึงได้บอกอาหู่ เรื่องนี้ทำให้เขาโกรธมาก ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใครก็ตาม แต่กล้ามาลงมือกับน้องชายของเขา ก็ให้ฆ่าให้ตายก่อนแล้วค่อยว่ากัน เห็นได้เลยว่าอำนาจอิทธิพลของเขามากขนาดไหน

ดังนั้นคืนนี้อาหู่จึงมาที่บาร์แห่งนี้เป็นพิเศษ นี่ก็เป็นถิ่นของเขา เขามารอเซวียนเยวี๋ยนอวี่ที่นี่ คิดจะทำความเข้าใจสถานการณ์สักหน่อย เพียงแต่รออย่างน่าเบื่อขนาดนี้ แน่นอนว่าต้องหาผู้หญิงสักหลายคนมาเล่นด้วย

“อา!”

ทันใดนั้นผู้หญิงคนหนึ่งร้องขึ้นมาเสียงดัง บอกได้เลยว่าเป็นเสียงร้องที่ทรมาน เพราะว่าบนก้นของเธอถูกซิการ์จี้อย่างโหดเหี้ยม เจ็บจนทำให้ผู้หญิงคนนั้นกัดฟัน ท่าทางเจ็บปวดทรมานเป็นอย่างมาก อดทนอดกลั้นเป็นอย่างมาก

ซิการ์บนมือขวาของอาหู่ที่จี้ลงบนก้นของผู้หญิงคนนั้น ลวกจนกระโปรงสั้นจู๋อันเซ็กซี่จนเป็นรูใหญ่ จินตนาการได้เลยว่า ก้นขาวนิ่มของผู้หญิงคนนี้จะกลายเป็นอย่างไรไปแล้ว

ถึงแม้ว่าจะเป็นอย่างนี้ ผู้หญิงคนนั้นหลังจากที่กรีดร้องออกมา ก็อดทนเอาไว้อย่างมาก พยายามกัดฟันกัดริมฝีปากล่างปากของตนเอง

เป็นเพราะว่าเธอเคยปรนนิบัติรับใช้อาหู่มาหลายครั้ง จึงรู้ถึงความชอบอันวิปลาสของอาหู่ เขาชอบเห็นท่าทางจะเจ็บปวดทรมานของผู้หญิง โดยเฉพาะในตอนที่ผู้หญิงอดทนอดกลั้นเป็นอย่างมาก ก็จะกระตือรือร้นเป็นพิเศษ หากว่าผู้หญิงคนไหนกล้าตะโกนเสียงดังหรือว่ากล้าต่อต้าน เธอก็อาจจะสิ้นชีพในคืนนี้ได้

เคยมีผู้หญิงคนหนึ่ง ถูกอาหู่ใช้ซิการ์จี้ก้น ผู้หญิงคนนั้นรับไม่ไหวจริงๆ จึงคิดจะหนี ในคืนนั้นอาหู่ก็เรียกผู้ชายสิบกว่าคนไปกำจัดเธอ จนกระทั่งผู้หญิงคนนั้นถูกฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยม เมื่อคิดดูแล้วคิดทำให้ได้รู้ว่าอาหู่ไม่ใช่คน แต่เป็นปีศาจ เป็นปีศาจวิปลาส

อาหู่เห็นผู้หญิงตรงหน้าทนทรมานอย่างถึงที่สุด ท่าทางแบบนั้นทำให้เขารู้สึกพอใจอย่างหาที่เปรียบมิได้ จึงใช้มือฉีกเสื้อบริเวณหน้าอกของผู้หญิงคนนั้น ตามมาด้วยการตบตีอย่างโหดเหี้ยม ตีจนแทบจะตาย

ปังๆๆ ด้านนอกมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

อาหู่ปล่อยผู้หญิงตรงหน้าไปอย่างไม่พอใจ ผู้หญิงคนนั้นทรุดลงนั่งกับพื้น เจ็บจนน้ำตาไหลออกมา แต่กลับไม่กล้าโกรธออกมาเลยแม้แต่น้อย เพราะว่าเธอค่อนข้างจะเข้าใจอาหู่ คนคนนี้วิปลาจนถึงขั้นสุด หากว่าไม่ได้อย่างใจก็จะฆ่าคน ฆ่าคนจริงๆ ไม่ใช่ทำเล่นๆ

“เข้ามา!”

อาหู่สายตาบอกใบ้ให้ผู้หญิงทั้งสามคนที่บริการตนเอง ผู้หญิงสวยเซ็กซี่ทั้งสามคนนั้นรีบยืนขึ้นไปอยู่ด้านข้าง

ชายฉกรรจ์สวมเสื้อกล้ามสีดำสองคนผลักประตูห้องส่วนตัวเข้ามา แล้วไปยืนทางด้านหนึ่ง เซวียนเยวี๋ยนอวี่แม้มีร่างกายเล็กแต่กลับวางมาดใหญ่โต ด้านหลังมีบอดี้การ์ดตามมาด้วยสองคน เดินเข้ามาด้วยใบหน้าที่ไม่น่ามองอย่างยิ่ง

เดิมทีเซวียนเยวี๋ยนอวี่คิดว่าอาหู่จะลงมือกำจัดเย่เทียนเฉินคืนนี้ ไหนเลยจะรู้ว่า หลังจากที่อาหู่มาแล้วกลับมาเสพสุข แล้วยังให้เขามาถึงที่นี่ ช่างทำให้เขาไม่พอใจมากจริงๆ

“คุณชายน้อยมาแล้ว รีบมานั่งเถอะ!”

อาหู่มองเซวียนเยวี๋ยนอวี่แล้วพูดขึ้นยิ้มๆ

เซวียนเยวี๋ยนอวี่มองอาหู่อย่างไม่พอใจ นั่งไขว่ห้างลงบนโซฟาด้านข้าง บอดี้การ์ดด้านหลังรีบเข้ามาจุดซิการ์มวนหนึ่งให้เขา เขาจึงสูบเข้าไปอย่างมีมาด

สามารถคิดได้เลยว่า ไอ้เด็กเมื่อวานซืนอายุสิบหกปีคนหนึ่ง มีท่าทางราวกับคนใหญ่คนโตอยู่ตลอดเวลา ให้ความรู้สึกหยิ่งยโสโอหังไปทุกที่ หากว่าถูกเย่เทียนเฉินมาเห็นฉากนี้ เกรงว่าจะอดไม่ได้ที่จะตบหน้าเซวียนเยวี๋ยนอวี่คนนี้อีกครั้ง ช่างกวนประสาทจริงๆ

“อาหู่ ทำไมแกถึงไม่ลงมือ? หรือว่าแกจะมาเที่ยวเล่น?”

เซวียนเยวี๋ยนอวี่ตัวเล็ก แต่มาดอันยโสโอหังไม่อ่อนแอเลย เขามองอาหู่แล้วถามขึ้นยังไม่สบอารมณ์

แม้แต่ฝันเย่เทียนเฉินก็คิดไม่ถึงว่า หลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่และน้องสาวเย่เชี่ยนเหวิน จะถึงกับถูกใจหลิงอวี่สวิ๋น ต้องการให้เธอมาเป็นแฟนของตน ไม่รู้จริงๆว่าแม่และน้องสาวต้องการจะทำอะไร ทำไมถึงดูเหมือนเห็นผู้หญิงคนไหนก็คิดอยากจะให้มาเป็นแฟนของตนเอง? หรือจะกลัวว่าเขาจะเป็นโสดจริงๆ?

“ไม่จริงน่ะ? พวกเธอจะเวอร์เกินไปหรือเปล่า ปีนี้พี่ชายของเธอเพิ่งจะอายุยี่สิบ เป็นเวลาที่ควรจะกินดื่มเที่ยวเล่น ไหนเลยจะมีอารมณ์ไปหาแฟน หรือจะบอกว่า ด้วยเสน่ห์ของพี่ชายของเธอ คิดว่าจะหาแฟนได้ยากเหรอไง?” เย่เทียนเฉินเคาะลงบนศีรษะของเย่เชี่ยนเหวินเบาๆ ครั้งหนึ่งแล้วพูดขึ้น

“คนคนนี้นี่…หนูกับแม่ก็กังวลอยู่บ้านจริงๆ…” เย่เชี่ยนเหวินพูดฟังทำหน้าทะเล้นใส่เย่เทียนเฉิน แล้ววิ่งไปอีกฝั่งหนึ่ง ท่าทางน่ารักเป็นอย่างมาก

ช่างอับจนหนทางกับแม่และน้องสาวจริงๆ ตัวเองเพิ่งจะอายุยี่สิบปี ก็ดูเหมือนว่าพวกเธอจะรีบร้อนอยากให้เขาแต่งงานแล้ว ไม่รู้จริงๆว่าแม่และน้องคิดอย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นทั้งสองคนยังร่วมมือกันอย่างจริงจัง คิดแต่จะให้ตนเองแต่งงานอยู่ตลอดเวลา!

“เทียนเฉิน ลูกมานี่สิ มาคุยเป็นเพื่อนอวี่สวิ๋นหน่อย พวกลูกๆ ก็ไม่ได้เจอกันนานแล้ว คงจะมีอะไรพูดคุยกันเยอะแยะเลย!” หลัวเยี่ยนตั้งใจส่งสายตาบอกใบ้ไปให้เย่เทียนเฉิน ความหมายก็คือต้องการเรียกให้เย่เทียนเฉินเข้าไปตีสนิทกับหลิงอวี่สวิ๋น ทำความรู้สึกให้ใกล้ชิดกันสักหน่อย

เย่เทียนเฉินไหนเลยจะมองความคิดของแม่ไม่ออก เธอคิดว่าหลิงอวี่สวิ๋นกับตนเองเป็นเพื่อนสมัยเด็กที่เล่นมาด้วยกัน ทั้งสองเติบโตมาด้วยกันอย่างไม่ต้องสงสัย ต่อให้ไม่ได้เจอกันมาหลายปี แต่ก็ยังมีความรู้สึกในสมัยเด็กเป็นพื้นฐาน ไม่แน่ว่าจะสามารถอยู่ด้วยกันจริงๆ ก็เป็นได้ ขอเพียงแค่ตนเองมีแฟนเป็นตัวเป็นตน ต่อไปนี้ก็เกรงว่าจะเป็นเวลาที่จะถูกแม่บีบบังคับให้แต่งงาน

“พวกคุณแม่คุยกันไปเถอะครับ ผมดูโทรทัศน์สักครู่ กำลังสนุกเลย!” เย่เทียนเฉินพูดไปตามใจ

“เด็กคนนี้นี่ เรียกให้ลูกมาก็มาสิ จะต้องพูดจาไร้สาระที่ทำไมกัน” หลัวเยี่ยนถลึงตาใส่เย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

เมื่อเห็นท่าทางของหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ เย่เทียนเฉินก็รู้สึกกลัวขึ้นมาจริงๆ แล้ว ในโลกนี้มีผู้หญิงอยู่สองคนที่ไม่สามารถล่วงเกินได้โดยเด็ดขาด และก็เป็นคนที่เย่เทียนเฉินไม่กล้าล่วงเกินด้วย นั่นก็คือหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่และน้องสาวเย่เชี่ยนเหวิน พวกเธอเป็นคนใกล้ชิดที่สุดของเขา เขาย่อมทำดีกับพวกเธออย่างแน่นอน นี่เป็นครั้งแรกที่หลัวเยี่ยนตำหนิตัวเองเสียงดังเช่นนี้ ดูท่าทางจะให้ความสำคัญกับหลิงอวี่สวิ๋นมากจริงๆ

“อะไรครับแม่ มีเรื่องอะไรก็พูดมาเถอะ!” เย่เทียนเฉินเดินไปข้างหน้าหลัวเยี่ยนแล้วนั่งลง พูดขึ้นอย่างไม่พอใจ

“นั่งตรงนี้ ไม่อนุญาตให้ไปไหน คุยเป็นเพื่อนกับแม่และอวี่สวิ๋น!” หลัวเยี่ยนพูดอย่างเคร่งขรึมจริงจัง

“ครับๆ ผมรู้แล้ว ยัยหลิงขี้มูกโป่ง อยากกินแอปเปิ้ลหรือเปล่า ฉันจะไปปอกมาให้ลูกนึงเป็นไง?” เย่เทียนเฉินรู้สึกจนใจเป็นอย่างมาก มองไปทางหลิงอวี่สวิ๋นพลางกล่าว

“ไม่ต้องหรอก ขอบคุณมาก ฉันจะคุยเป็นเพื่อนคุณน้าสักหน่อยก็จะกลับแล้ว!” หลิงอวี่สวิ๋นกล่าวแล้วยิ้มให้หลัวเยี่ยน

“กลับ? อวี่สวิ๋น ดึกขนาดนี้แล้ว หนูเป็นผู้หญิงคนเดียวก็ไม่ปลอดภัย พักอยู่ที่บ้านตระกูลเย่ของพวกเราเถอะ ในบ้านมีห้องว่างอยู่ ไม่งั้นก็นอนกับเชี่ยนเหวินก็ได้ โทรไปบอกครอบครัวสักหน่อยเถอะจ้ะ!” เมื่อได้ยินว่าหลิงอวี่สวิ๋นจะกลับ หลัวเยี่ยนก็รีบเปิดปากพูด

ความจริงแล้ว หลัวเยี่ยนนั้นมีเจตนาดี เห็นว่าเวลาใกล้จะเที่ยงคืนแล้ว ผู้หญิงคนเดียวคงไม่ปลอดภัย ส่วนเย่เทียนเฉินที่ได้ยินคำพูดนั้น ก็คิดว่าแม่ต้องการให้หลิงอวี่สวิ๋นพักค้างคืนอยู่ที่บ้าน และถือโอกาสให้ตนเองพัฒนาความสัมพันธ์กับหลิงอวี่สวิ๋นเสียหน่อย

“เอ๋? คุณน้าคะ หนูมีรถค่ะ ถึงตอนนั้นหนูกลับบ้านไปก็พอแล้ว ไม่เป็นไรหรอกค่ะ!” หลิงอวี่สวิ๋นเองก็พูดด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง

“ดึกขนาดนี้แล้ว ไม่ต้องกลับไปหรอก มันไม่ปลอดภัย เชี่ยนเหวิน ลูกยังมัวอึ้งอะไรอยู่ รีบไปเก็บกวาดห้องที่ว่างสักหน่อย ให้พี่สาวอวี่สวิ๋นนอนที่นั่น!” หลัวเยี่ยนเปิดปากพูดด้วยรอยยิ้ม

“เอ๋? ได้ ได้ค่ะ…”

เย่เชี่ยนเหวินเองก็ตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าแม่จะถึงกับรั้งตัวหลิงอวี่สวิ๋นให้ค้างที่นี่ จากนั้นจึงยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ ในตอนที่อีกฝ่ายยังไม่ทันได้พูดอะไรก็วิ่งตึงตังขึ้นไปที่ชั้นสองของคฤหาสน์และเริ่มเก็บกวาดห้องแล้ว

เย่เทียนเฉินแทบทรุด แม่และน้องสาวสองคนนี้ บางทีก็มีความเป็นผู้ใหญ่ยิ่งกว่าตนเองมาก บางทีก็พึ่งพาไม่ได้ขึ้นมาเฉยๆ แม้แต่เขาก็ต่อต้านไม่ได้ และไม่กลัวว่าจะทำอะไรบุ่มบ่ามจนเกินไป รีบรั้งหลิงอวี่สวิ๋นไว้ให้ค้างคืน ที่สำคัญที่สุดก็คือ ตอนนี้ห้องที่น้องสาวขึ้นไปเก็บกวาด เป็นห้องที่ฉีหรูเสวี่ยเคยอยู่ นี่ไม่ใช่ว่าน่าตลกหรอกหรือ? ทำให้ร้องไห้ไม่ออกหัวเราะไม่ได้จริงๆ

นี่ทำให้เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะมีจินตนาการอันน่าหวาดกลัวขึ้นมา ห้องว่างห้องนี้ของคฤหาสน์ตระกูลเย่ของตน มีฉีหรูเสวี่ยที่เป็นสาวสวยเคยพักอยู่แล้ว ไม่ทันไรก็มีหลิงอวี่สวิ๋นเข้าไปพักอีก ไม่รู้ว่าจะมีหญิงงามสักกี่คนที่ได้เข้าไปพักถึงจะมีเจ้าของ?

ในตอนนี้ ไม่เพียงแต่เย่เทียนเฉินที่มองจนโง่งม ขนาดหลิงอวี่สวิ๋นก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี เดิมทีเธอถือโอกาสมาส่งเย่เทียนเฉินจึงถือโอกาสมาในคฤหาสน์เพื่อพบหลัวเยี่ยน เป็นมารยาทที่ควรกระทำกับผู้ใหญ่ ไม่ได้คิดว่าวันนี้จะค้างคืนอยู่ที่ตระกูลเย่อะไรเลย แต่เมื่อเห็นท่าทางอบอุ่นเช่นนี้ของหลัวเยี่ยนและเย่เชี่ยนเหวิน เธอก็รู้สึกไม่ดีที่จะปฏิเสธ

“อวี่สวิ๋น ไม่ได้พบกันมาหลายปีแล้ว คิดถึงตอนเด็กๆ เธอก็น่าเอ็นดูมาก พอโตมาแล้วก็ยิ่งสวย พักอยู่สักคืนเถอะ คุยเป็นเพื่อนน้าหน่อย!” หลัวเยี่ยนพูดด้วยรอยยิ้ม

“งั้น งั้นก็ได้ค่ะ ต้องรบกวนคุณน้าแล้ว!” หลิงอวี่สวิ๋นกล่าวยิ้มๆ

ก็เป็นเช่นนี้เอง หลิงอวี่สวิ๋นถูกหลัวเยี่ยนรั้งตัวให้พักอยู่ที่บ้านตระกูลเย่หนึ่งคืน เย่เทียนเฉินนอนลงบนโซฟาข้างๆ อย่างอับจนคำพูด ไม่ใช่ว่าไม่ต้อนรับหลิงอวี่สวิ๋นอะไร แต่หลัวเยี่ยนทำให้เขารู้สึกว่า ที่ต้องการรั้งตัวหลิงอวี่สวิ๋นให้พักค้างคืนก็เพื่อจะให้เขาและอีกฝ่ายได้มีโอกาสใกล้ชิดกันให้มาก นี่เป็นเพราะตนเองไม่มีแฟน จึงทำให้แม่มีความรู้สึกว่าต้องคิดวิธีและมองหาไปทั่ว!

“อวี่สวิ๋น มาถึงบ้านของน้าแล้วก็ทำเหมือนอยู่บ้านตัวเองเถอะ ไม่ต้องบอกว่ารบกวนหรือไม่รบกวนอะไรหรอก น้ายังจำได้ว่าตอนเด็กๆ พวกเธอสองคนชอบเล่นพ่อแม่ลูกกันบ่อยๆ แล้วยังพูดว่าโตขึ้นมาจะแต่งงานกัน ทำให้พวกเรามีความสุขมากจริงๆ!” หลัวเยี่ยนอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

เมื่อได้ยินคำพูดของหลัวเยี่ยน ใบหน้าอันงดงามของหลิงอวี่สวิ๋นก็พลันแดงระเรือ ส่วนเย่เทียนเฉินก็ลุกพรวดขึ้นมาจากโซฟา ในใจคิดว่าแม่นี่จริงๆ เลย เรื่องที่ทำให้เขากับหลิงอวี่สวิ๋นกระอักกระอ่วนเป็นที่สุดก็คือเรื่องแบบนี้ในตอนเด็กๆ ตอนนั้นทั้งสองเพิ่งจะกี่ขวบกัน เลียนแบบเรื่องในละครในโทรทัศน์ก็เป็นสิ่งปกติ ตอนนี้โตแล้วถูกยกขึ้นมาพูดก็รู้สึกกระอักกระอ่วนจริงๆ

“อะแฮ่ม แม่ครับ แม่ไปทำผลไม้มาให้อวี่สวิ๋นเขากินหน่อยเถอะ ผมจะคุยเป็นเพื่อนเธอเอง!” เย่เทียนเฉินพูดกับหลัวเยี่ยนเพื่อทำลายสถานการณ์กระอักกระอ่วน

“อ่าๆ ได้ๆ พวกเธอคุยกันไป แม่จะรีบกลับมา!”

หลัวเยี่ยนเองก็รู้สึกว่าหัวข้อที่ตนเองยกขึ้นมาพูดจะอ่อนไหวมาก ทำให้หลิงอวี่สวิ๋นอายจนหน้าแดง แต่เมื่อเห็นปฏิกิริยาของหลิงอวี่สวิ๋น หลัวเยี่ยนก็รู้สึกยินดีอยู่ในใจจริงๆ มีปฏิกิริยาก็แสดงว่ายังจำเรื่องในตอนเด็กๆ ได้ และยังคงมีความรู้สึกต่อเรื่องนี้อยู่

เมื่อเห็นว่าหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่เดินจากไปแล้ว เย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะรีบไปนั่งข้างหลิงอวี่สวิ๋น ทั้งสองคนเปิดปากพูดพร้อมกัน

“เธอ…”

“ฉัน…”

“เธอพูดก่อน!”

“นายพูดก่อน!”

“เธอคงจะไม่พักอยู่ที่บ้านฉันจริงๆ ใช่ไหม?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามอย่างร้อนใจ

“นี่ นายเข้าใจให้มันชัดเจนหน่อย เป็นแม่ของนายที่รั้งฉันเอาไว้ให้พักอยู่ เชี่ยนเหวินก็ขึ้นไปเก็บกวาดห้องแล้ว จะให้ฉันทำยังไงล่ะ?” หลิงอวี่สวิ๋นกรอกตาใส่เย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

“ที่สำคัญก็คือแม่ของฉันมีเป้าหมายอื่น เธอเข้าใจไหม?” เย่เทียนเฉินเอ่ยถามอย่างไม่สบอารมณ์

“ฉันดูออกแล้ว แม่ของนายกับน้องสาวกังวลว่านายจะหาแฟนไม่ได้ ดูแล้วที่พวกเธอกังวลก็ถูกต้องแล้ว ท่าทางของนายแบบนี้ ไม่ต้องพูดเรื่องหาแฟนเลย ขนาอีคิวสักนิดก็ไม่มี ใครจะอยากเป็นเพื่อนกับนายกัน ไม่ถูกนายทำจนโกรธตายก็แปลกแล้ว!” หลิงอวี่สวิ๋นสดไม่ได้ที่จะแอบหัวเราะออกมา มีท่าทางมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น

“นี่ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอ ที่สำคัญก็คือตอนนี้จะต้องไม่ให้แม่ของฉันเข้าใจความสัมพันธ์ของพวกเราผิด เข้าใจไหม? ถ้าหากเข้าใจผิดมากกว่าเดิม วันหน้าบอกว่าพวกเราไม่ใช่แฟนกัน ก็คงจะทำร้ายจิตใจของแม่มาก!”

“ดูไม่ออกเลยนะเนี่ยว่านายจะกตัญญู งั้นบอกมาซิว่าจะให้ทำยังไง?”

หลิงอวี่สวิ๋นในตอนนี้เปลี่ยนท่าทางไปแล้วโดยสิ้นเชิง ในตอนแรกเธอยังคงกังวลอยู่บ้าง ถ้าพักอยู่ที่บ้านตระกูลเย่จะอย่างไรก็คงไม่ดี ถึงแม้ว่าเมื่อก่อนความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลหลิงและตระกูลเย่จะไม่เลว อีกทั้งตอนนี้คุณน้าหลัวเยี่ยนก็ดีกับตนเองมาก แต่ว่าเรื่องอย่างการพักค้างคืน จะอย่างไรก็ไม่ค่อยดี ตอนนี้เห็นว่าเย่เทียนเฉินมีท่าทางร้อนรน เธอกลับรู้สึกผ่อนคลาย มีท่าทางรอดูเรื่องสนุก

“เธอรีบไปตอนนี้เลย ฉันจะบอกว่าเธอมีธุระด่วน แบบนี้แม่ของฉันก็จะพูดอะไรไม่ได้แล้ว!” เย่เทียนเฉินรีบเปิดปากพูด

“ได้…เอ๋? ไม่ถูกสิ นายทำแบบนี้เหมือนกับว่าไม่ยินดีต้อนรับให้ฉันมาเป็นแขกของบ้านนายเลย เหมือนกำลังไล่ฉันออกไปเลย!” จู่ๆหลิงอวี่สวิ๋นก็ทำท่าทางโกรธเคืองขึ้นมา จ้องเขม็งไปทางเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

“นี่…นี่มันสำคัญด้วยหรอ? ที่สำคัญก็คืออย่าให้แม่ของฉันเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราผิด เธอเองก็คงไม่อยากจะพูดไม่ชัดเจนใช่ไหม? รีบไปสิ!”

เย่เทียนเฉินพูดไปก็พยายามดึงอีกฝ่ายขึ้นจากโซฟาแล้วดันไปที่ประตูคฤหาสน์ หลิงอวี่สวิ๋นก็หยิบกระเป๋าของตนเองขึ้นมา เดินออกไปที่ประตูอย่างระมัดระวัง

ไหนเลยจะรู้ว่า ตอนที่เย่เทียนเฉินเพิ่งจะเปิดประตูคฤหาสน์ออกและเตรียมจะส่งหลิงอวี่สวิ๋นไปนั้น หลัวเยี่ยนก็เดินถือจานผลไม้จานหนึ่งออกมาจากครัว เมื่อเห็นเย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋นเดินออกไปนอกคฤหาสน์ ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามว่า “พวกเธอสองคนจะไปไหน?”

“อ้อ อวี่สวิ๋นเธอ ที่บ้านของเธอมีเรื่องเล็กน้อย เพิ่งจะโทรศัพท์มา ก็เลยต้องรีบกลับไปน่ะครับ” เย่เทียนเฉินพูดแล้วหัวเราะแหะๆ

“งั้นหรอ? เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” หลัวเยี่ยนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามอย่างใส่ใจ

“ก็ ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกค่ะ คุณน้าเดี๋ยวครั้งหน้าจะมาเล่นใหม่ ขอตัวก่อนนะคะ!” หลิงอวี่สวิ๋นพูดด้วยรอยยิ้ม

“งั้นก็ได้จ้ะ เดินทางระวังดีๆ เทียนเฉินไปส่งหนูอวี่สวิ๋นสิ!” หลัวเยี่ยนมองไปยังเย่เทียนเฉินผู้เป็นลูกแล้วพูดขึ้น

“ได้ครับ แม่รีบไปนอนก่อนเถอะ อีกเดี๋ยวผมจะเปิดประตูเอง!”

เย่เทียนเฉินพูดจบก็รีบลากหลิงอวี่สวิ๋นเดินออกไปนอกคฤหาสน์

เมื่อเห็นท่าทางขัดเขินของลูกสาว แม่ของเสี้ยวหยาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา ลูกสาวของเธอ เธอจะไม่เข้าใจได้อย่างไร?

ทุกคนล้วนเติบโตขึ้น ทุกคนต่างก็มีความฝันในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง ก็เหมือนกับที่โบราณกล่าวไว้ว่า ผู้ชายคนใดบ้างที่ไม่ตกหลุมรัก ผู้หญิงคนใดบ้างที่ไม่ถูกรัก เมื่อเติบโตมากขึ้น ก็จะคิดอยากมีคนๆ หนึ่งที่อยู่เป็นเพื่อนตนเอง คนที่ไม่สามารถเทียบได้กับพ่อแม่ ไม่สามารถเทียบได้กับเพื่อน คนที่สามารถให้ความรู้สึกปลอดภัยและอบอุ่นแก่คุณได้

“หยาเอ๋อร์ แม่ดูออกว่าผู้ชายคนนั้นมีความรักให้ลูก และความประทับใจที่ลูกมีต่อเขาก็ไม่แย่ หากว่าลูกรู้สึกว่าเขาดีจริงๆ ก็ให้โอกาสเขาอยู่ร่วมกัน ทำความเข้าใจกันและกัน บางทีอาจจะเป็นความรู้สึกที่ไม่เลวเลยก็ได้ จะต้องคว้าเอาไว้!” แม่ของเสี้ยวหยาพูดด้วยรอยยิ้ม

“แม่คะ หนูไม่พูดกับแม่แล้ว หนูไปเอาน้ำมาล้างหน้าให้แม่ดีกว่า!” เสี้ยวหยารีบเดินออกไป มีใบหน้าแดงเล็กน้อย

แม่ของเสี้ยวหยาเห็นลูกสาวของตนเดินออกไปจากห้องผู้ป่วย ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะอยู่ในใจ เธอรู้ว่าในใจของลูกมีความรู้สึกดีๆ ต่อผู้ชายที่ชื่อว่าเย่เทียนเฉินคนนั้นแล้ว เธอทำได้แต่ภาวนาอยู่ในใจ ภาวนาให้เย่เทียนเฉินมีความจริงใจต่อลูกสาวของตน ถ้าเป็นแบบนั้น ลูกก็จะสามารถมีครอบครัวที่ดีได้ ตัวเองก็จะตายตาหลับ

เสี้ยวหยาถืออ่างล้างหน้าเดินมาบริเวณทางเดินตรงระเบียงด้านนอก ใบหน้าอันบริสุทธิ์ยังคงแดงระเรื่อ หัวใจเต้นตึกตัก นี่เป็นครั้งแรกที่แม่พูดเรื่องแบบนี้กับเธอ อีกทั้งยังบอกอย่างชัดเจนว่า ตอนนี้เธอเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว สามารถมีแฟนได้แล้ว และเติบโตแล้ว นี่ทำให้เสี้ยวหยารู้สึกเหนือคาด ในขณะเดียวกันก็รู้สึกกังวล แม่คงรู้อาการป่วยของตนเองดีจึงได้พูดเช่นนี้

ความจริงแล้ว เสี้ยวหยาก็ยังไม่อาจพูดได้ว่าชอบเย่เทียนเฉิน เพียงแต่ในใจคิดว่าเขาเป็นคนที่ไม่เลวคนหนึ่ง เป็นคนดีคนหนึ่ง มีความรู้สึกดีๆ เล็กน้อย คนสองคนจะสามารถอยู่ด้วยกันได้หรือไม่ จะสามารถคบหากันได้หรือไม่ ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ยังคงเร็วเกินไปที่จะพูด

เวลาห้าทุ่ม หลิงอวี่สวิ๋นขับรถไปส่งเย่เทียนเฉินถึงประตูบ้าน และได้มาถึงประตูบ้านกันแล้ว หลิงอวี่สวิ๋นเป็นเพื่อนสมัยเด็กของเย่เทียนเฉิน ในตอนนั้นความสัมพันธ์ของทั้งสองตระกูลก็ไม่เลว ย่อมจะต้องเข้าไปนั่งสักหน่อย

“แม่ครับ น้อง ผมกลับมาแล้ว!” เย่เทียนเฉินผลักประตูคฤหาสน์ให้เปิดออกแล้วเดินเข้าไป หลิงอวี่สวิ๋นก็เดินตามหลังเขาไป

เมื่อเย่เทียนเฉินพาหลิงอวี่สวิ๋นเดินเข้าไปในคฤหาสน์ตระกูลเย่ ก็พบเพียงหลัวเยี่ยนและเย่เชี่ยนเหวินสองคนกำลังนั่งดูโทรทัศน์อยู่ในห้องโถงของคฤหาสน์ เมื่อเห็นว่าเย่เทียนเฉินกลับมาแล้ว พวกเธอก็ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจอะไรมากมาย แต่เมื่อเห็นหลิงอวี่สวิ๋นที่อยู่ข้างหลังเขา หลัวเยี่ยนและเย่เชี่ยนเหวินก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง พลันส่งสายตาให้กัน

“พี่คะ พี่กลับมาแล้ว พี่สาวคนสวยคนนี้คือ…” เย่เชี่ยนเหวินเดินไปหน้าเย่เทียนเฉิน แล้วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

ส่วนในใจของผู้เป็นแม่อย่างหลัวเยี่ยนอดไม่ได้ที่จะคิดว่า ลูกชายช่างมีความสามารถมากจริงๆ เพิ่งจะส่งฉีหรูเสวี่ยออกไป ก็พากลับมาอีกคนแล้ว แต่ว่า นี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่ดีอะไร ลูกหลานตระกูลเย่ของตนเอง จะต้องไม่ใช่คนหลงระเริงอย่างเด็ดขาด จะต้องมีความจริงใจต่อผู้อื่น ไม่อนุญาตให้เป็นคุณชายเสเพลเด็ดขาด

แต่ว่า ลูกสาวของบ้านอื่นก็มาถึงประตูแล้ว ในฐานะที่เป็นเจ้าบ้าน แม้ในใจของคุณจะไม่ยินดี ก็ไม่สามารถแสดงออกมาบนใบหน้าได้ ต้องต้อนรับทักทายดีๆ ถึงจะถูก

“อ้อ พี่ขอแนะนำให้รู้จักสักหน่อย เธอคือ…”

คำพูดของเย่เทียนเฉินยังไม่ทันจบ ก็ถูกหลิงอวี่สวิ๋นขัด เธอเดินเข้าไปเบื้องหน้าเย่เชี่ยนเหวิน ยิ้มหวานแล้วพูดขึ้นว่า “เธอคือน้องเชี่ยนเหวินสินะ โตมาสูงขนาดนี้เลย สวยขึ้นทุกวันเลยนะเนี่ย! ”

เมื่อได้ยินคำพูดของหลิงอวี่สวิ๋น เย่เชี่ยนเหวินก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ในใจพลันคิดว่า พี่สาวคนสวยตรงหน้านี้รู้จักตนเองด้วย? ถ้าอย่างนั้นทำไมตนเองถึงไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเธอเลยแม้แต่น้อย? หากว่าเป็นแฟนเก่าอะไรของพี่ชาย ก็ไม่มีเหตุผลที่เธอจะไม่รู้จัก ตกลงนี่มันเกิดเรื่องอะไรกันแน่?

ในตอนที่เย่เชี่ยนเหวินกำลังงงอยู่นั้น หลัวเยี่ยนก็เดินเข้ามา เธอเพียงรู้สึกว่าคุณหนูคนสวยตรงหน้านี้ดูคุ้นๆ แต่ว่าเป็นใครเธอก็จำไม่ได้ จึงเอ่ยถามอย่างช่วยไม่ได้ว่า “เธอคือ?”

“คุณน้าหลัวคะ น้าจำหนูไม่ได้เหรอคะ?” หลิงอวี่สวิ๋นถามด้วยรอยยิ้ม

“จำไม่ได้แล้วจริงๆ แค่รู้สึกว่าคุ้นหน้าคุณตาน่ะจ้ะ!” หลัวเยี่ยนพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“หนูเองค่ะ คุณน้าหลัว อวี่สวิ๋น หลิงอวี่สวิ๋น…”

“อ้อ เป็นเธอนี่เอง อวี่สวิ๋น ที่แท้ก็เป็นเธอ รีบมานั่งเร็ว ไม่ได้เจอกันหลายปีแล้ว อวี่สวิ๋นยิ่งโตก็ยิ่งสวย!” หลัวเยี่ยนคิดขึ้นได้ในที่สุด พูดออกมาด้วยรอยยิ้มดีใจ

“ที่ไหนกันคะ คุณน้า รบกวนพวกคุณแล้ว!” หลิงอวี่สวิ๋นพูดอย่างน่ารักน่าเอ็นดู

ในตอนนี้ ตระกูลเย่คึกคักขึ้นมาบ้าง เย่เชี่ยนเหวินเองก็จำหลิงอวี่สวิ๋นได้แล้ว คิดถึงตอนเด็กๆ ที่อยู่ในซอยเล็กๆ พี่ชายและพี่สาวอวี่สวิ๋นมักจะเล่นด้วยกัน แต่ตอนนั้นเธอยังเด็ก กระทั่งเดินก็ยังไม่ตรง แต่ก็มักจะวิ่งตามตูดพวกเขาอยู่เสมอ มีหลิงอวี่สวิ๋นและพี่ชายคอยพาเธอไปเล่น

หลัวเยี่ยนและเย่เชี่ยนเหวินคิดไม่ถึงว่าผู้หญิงที่เย่เทียนเฉินพากลับมาจะเป็นหลิงอวี่สวิ๋นไปได้ เมื่อก่อนความสัมพันธ์ของตระกูลหลิงและตระกูลเย่นั้นสามารถกล่าวได้ว่าดีมาก และเดิมทีก็เป็นเพื่อนบ้านกัน เพียงแต่ภายหลังตระกูลหลิงรุ่งเรืองขึ้น จึงย้ายออกไปจากซอยเล็กๆ หลังจากนั้นก็ไม่ได้มีการติดต่ออะไรกันอีก แต่ว่ามิตรภาพเมื่อปีนั้นยังคงอยู่

พริบตาเดียวหลิงอวี่สวิ๋นก็กลายเป็นแขก กระทั่งเย่เทียนเฉินก็ทำได้เพียงยืนอยู่ข้างๆ เพราะเย่เชี่ยนเหวินและหลัวเยี่ยนต่างก็นั่งอยู่ข้างกายหลิงอวี่สวิ๋น ถามไถ่กันอย่างใส่ใจ

เมื่อเห็นว่าหลิงอวี่สวิ๋นทำหน้าทะเล้นใส่ตนด้วยมีท่าทีลำพองใจเป็นอย่างมาก เขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างอับจนหนทาง แล้วไปอาบน้ำ ปล่อยให้พวกผู้หญิงทั้งสามคนคุยกันไปก่อนเถอะ ตนเองสอดปากไม่ได้เลย

“อวี่สวิ๋น พ่อแม่ของเธอสบายดีไหม? ได้ยินว่าเธอย้ายไปอยู่ต่างประเทศ กลับมาเมื่อไหร่เหรอจ้ะ?” หลัวเยี่ยนถามอย่างใส่ใจ

“อ๋อ พ่อแม่ของหนูสบายดีค่ะ ตอนนั้นครอบครัวของพวกเราทำธุรกิจแล้วกิจการเติบโตได้ค่อนข้างดีเลยย้ายไปต่างประเทศ แต่ว่าหลายปีนี้เราพบว่าที่ต่างประเทศไม่ได้ดีอย่างที่ทุกคนคิดขนาดนั้น โดยเฉพาะนโยบายของรัฐบาลต่างประเทศที่กีดกันนักธุรกิจจีนอย่างพวกเรา บีบบังคับให้ทุกคนทำงานอย่างยากลำบาก ดังนั้นคุณปู่ของหนูเขาโกรธก็เลยย้ายศูนย์กลางของธุรกิจครอบครัวมาอยู่ในประเทศ ต่อไปนี้พวกเราก็คงจะไม่จากไปอีกแล้ว!” หลิงอวี่สวิ๋นพูดด้วยรอยยิ้ม

“แบบนั้นก็ดี กลับมาก็ดีแล้ว อยู่ต่างประเทศไหนเลยจะเทียบได้กับในประเทศของพวกเรา ประเทศบ้านเกิดของตัวเองถึงจะดีที่สุด!” หลัวเยี่ยนเปิดปากพูด

สามสาวพูดคุยกันอย่างเบิกบานใจ สอบถามสถานการณ์ในช่วงนี้อยู่เป็นระยะ แล้วพูดคุยกันถึงหัวข้อที่ผู้หญิงในปัจจุบันนี้ค่อนข้างจะให้ความสนใจ จนกระทั่งเย่เทียนเฉินอาบน้ำเสร็จแล้วออกมา ก็เห็นว่าทั้งสามคนหัวเราะและพูดคุยกันอย่างมีความสุข เขาจึงเตรียมตัวที่จะขึ้นไปนอน ส่วนเรื่องที่จะส่งหลิงอวี่สวิ๋นกลับบ้านอะไรนั่น ตลอดมานี้ เรื่องแบบนี้เขาไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย

“นี่พี่ พี่จะทำอะไร? กลับมาคุยกันก่อน!” เย่เชี่ยนเหวินเห็นว่าพี่ชายเดินขึ้นไปข้างบนก็อดไม่ได้ที่จะตะโกนขึ้น

“พวกผู้หญิงสามคนอย่างเธอคุยกันไปเถอะ คุยกันออกรสถึงขนาดนี้ ก็ไม่มีเรื่องอะไรของพี่แล้ว พี่ก็ต้องขึ้นไปนอนแน่นอนอยู่แล้ว พรุ่งนี้เป็นวันเปิดเรียนวันแรก พี่ไม่ไปไม่ได้!” เย่เทียนเฉินพูดแล้วหาวขึ้นครั้งหนึ่ง

“มานี่ มาคุยเป็นเพื่อนอวี่สวิ๋นก่อน แล้ววันหลังขอเพียงแค่ที่มหาวิทยาลัยลัยมีเรียน ลูกก็ต้องไป ไม่อนุญาตให้โดดเรียน ถ้าแม่กับพ่อของลูกรู้เข้า จะไม่ปล่อยไว้แน่!”

ในฐานะที่เป็นแม่คนหนึ่ง หลัวเยี่ยนย่อมหวังว่าลูกชายของตนจะสามารถเรียนอะไรได้บ้าง แต่เมื่อมองท่าทางของเย่เทียนเฉินที่ดูเหมือนจะไม่ใช่คนประเภทชอบเรียนรู้ ดังนั้นไม่บังคับคงไม่ได้อย่างแน่นอน ถึงแม้ตอนนี้ลูกชายจะรู้ความขึ้นมามากแล้ว แต่ก็ยังคงให้ความสำคัญกับการเล่นอยู่มาก หลัวเยี่ยนย่อมต้องควบคุมสักหน่อย

คำพูดของหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ ในฐานะที่เย่เทียนเฉินเป็นลูกชายที่กตัญญูคนหนึ่งจึงไม่คิดที่จะขัด เดินไปในห้องโถงอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจเป็นอย่างมาก นั่งลงบนโซฟาแล้วหาวออกมาอีกครั้งหนึ่ง “คุยสิ คุยอะไรล่ะ?”

น้องสาวเย่เชี่ยนเหวินเห็นท่าทางเช่นนี้ของพี่ชาย ก็อดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไป นั่งลงข้างๆ เย่เทียนเฉินแล้วดูเหมือนจะดึงแขนเขาแต่ความจริงแล้วกำลังหยิกอย่างรุนแรง พูดเสียงเบาว่า “พี่คะ ทำไมพี่ไม่รู้เรื่องแบบนี้ หนูกับแม่พยายามพูดถึงพี่ดีๆ พี่ก็โตขนาดนี้แล้ว ควรจะมีแฟนได้แล้ว พี่สาวฉีหรูเสวี่ยถูกพี่ทำให้โกรธจนหนีไปแล้ว ตอนนี้พี่สาวอวี่สวิ๋นมาแล้ว พี่ไม่คิดว่าควรจะแสดงท่าทางดีๆสักหน่อยหรอ?”

“หา?”

เย่เทียนเฉินได้ยินคำพูดของเย่เชี่ยนเหวินก็แทบจะคางร่วงลงพื้น นี่จะเวอร์เกินไปหรือเปล่า หลิงอวี่สวิ๋นเป็นแค่เพื่อนสมัยเด็กของตนเอง ไม่ได้เจอกันมาหลายปีแล้ว เกรงว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่มาตระกูลเย่ ถึงกับถูกใจแม่และน้องสาวแล้ว แล้วยังพยายามพูดเรื่องดีๆ ของเขาอีก เหมือนกับต้องการเป็นแม่สื่อให้เขากับหลิงอวี่สวิ๋นอย่างไรอย่างนั้น

หลัวเยี่ยนและเย่เชี่ยนเหวินทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกว่า บางครั้งพวกเธอก็พึ่งพาไม่ได้ยิ่งกว่าตัวเองอีก ฉีหรูเสวี่ยมาที่ตระกูลเย่ พวกเธอก็รีบคิดว่าตนเองกับฉีหรูเสวี่ยต้องอยู่ด้วยกัน ตอนนี้เธอไปแล้ว หลิงอวี่สวิ๋นมาถึงบ้านเป็นครั้งแรก พวกเธอก็พากันคิดวางแผน เวอร์จริง จะหวั่นไหวกันง่ายเกินไปแล้ว ช่างทำให้เขาอับจนคำพูดจริงๆ

ทำเหมือนว่าตนเองจะโสดไปตลอดชีวิตอย่างนั้นแหละ ท่าทางใจร้อนขั้นสุดของแม่และน้องสาว โดยเฉพาะเย่เชี่ยนเหวินยิ่งเวอร์วัง ถึงกับพูดอวยตัวเองไปไม่น้อย ต้องทราบว่าปีนี้เย่เทียนเฉินเพิ่งจะอายุยี่สิบ แต่พูดเหมือนกับว่าแก่มากแล้วอย่างไรอย่างนั้น

ความจริงสิ่งที่เย่เทียนเฉินไม่ทราบก็คือ หลัวเยี่ยนและเย่เชี่ยนเหวินแอบปรึกษากันอย่างลับๆ มาหลายครั้ง สุดท้ายพวกเธอก็มีความคิดเช่นเดียวกัน นั่นก็คือหาแฟนให้เย่เทียนเฉินสักคนให้เร็วหน่อย ให้เขาแต่งงาน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เขาเอ้อระเหยและก่อเรื่องไปทั่ว สามัญสํานึกก็ไม่มี พูดให้ชัดก็คือ แม่และน้องสาวรู้สึกว่าเย่เทียนเฉินไม่เอาไหนเกินไป จึงกังวลเรื่องเขา

นี่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก เย่เทียนเฉินก็เหมือนกับคนที่ไม่มีอีคิวเลยแม้แต่ครึ่งสวน เป็นพวกไม่รู้ว่าจะทำให้ผู้หญิงมีความสุขได้อย่างไร และยังไม่รู้จักดูแลเอาอกเอาใจ ไม่ต่างจากพวกไม่มีตา ไม่เช่นนั้นจะสามารถทำให้ผู้หญิงข้างกายแต่ละคนโกรธจนคิดอยากจะอัดเขาแรงๆ ได้อย่างไร?

แม่ของเสี้ยวหยาเป็นโรคที่รักษาไม่ได้ ภายใต้เทคโนโลยีด้านการแพทย์ในปัจจุบันนี้ ยังไม่มีวิธีการรักษาโรคของเธอให้หายดี เย่เทียนเฉินเองก็คิดถึงวิธีการที่ดีกว่านี้ไม่ออก ทำได้เพียงให้ผู้อำนวยการหลินพูดโกหกกับเสี้ยวหยาดี นั่นก็คือให้บอกไปว่าหากว่าใช้วิธีการรักษาแบบดั้งเดิม แม่ของเธอก็จะสามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกสิบปีขึ้นไป ทำให้ในใจของเธอดีขึ้นบ้างเล็กน้อย

โรคมะเร็งในโลกปัจจุบันนี้รักษาได้ยากมาก แต่ในช่วงยุคสิ้นโลกกลับไม่ได้ยากเย็นขนาดนั้น วิธีการที่ง่ายและตรงจุดมากที่สุดก็คือ หาผู้มีพลังพิเศษสายรักษาคนหนึ่งที่มีวิชารักษาที่แข็งแกร่ง กำจัดเซลล์มะเร็งทั้งหมดโดยผ่านการใช้พลังพิเศษของพวกเขา ทำให้จุดที่เป็นโรคของผู้ป่วยสะอาดเหมือนใหม่ รักษาจนหายอย่างหมดจด

เพียงแต่น่าเสียดายที่ในโลกแห่งนี้ เย่เทียนเฉินยังไม่พบผู้มีพลังพิเศษที่มีความสามารถในการรักษาเลย ผู้มีพลังพิเศษประเภทนี้ในช่วงยุคสิ้นโลกก็นับเป็นสิ่งล้ำค่าแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงในโลกแห่งนี้เลย ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะปวดหัว ควรจะไปหาผู้มีพลังพิเศษที่มีความสามารถทางด้านการรักษาอันแข็งแกร่งนี้มาจากไหน?

เย่เทียนเฉินนั่งสูบบุหรี่พิงอยู่บนเบาะของรถสปอร์ต ไม่พูดอะไรแม้แต่ประโยคเดียว หลิงอวี่สวิ๋นเองก็ไม่ได้พูดอะไร ในตอนนี้อารมณ์ของทั้งสองดูเหมือนว่าจะหม่นหมอง ไม่ได้กลั่นแกล้งหรือหยอกล้อกันอีก ต่างก็ตกอยู่ในความเงียบงัน กำลังกังวลเรื่องของเสี้ยวหยา

ที่เย่เทียนเฉินพยายามช่วยเหลือเสี้ยวหยามากขนาดนี้ สาเหตุหนึ่งที่ง่ายและตรงประเด็นอย่างมากก็คือ เธอมีหน้าตาเหมือนกับผู้หญิงที่เขารักที่สุดในช่วงยุคสิ้นโลก และยังมีลักษณะนิสัยที่เหมือนกัน แต่ในช่วงยุคสิ้นโลกผู้หญิงที่เขารักอย่างลึกซึ้งคนนั้นได้ตายไปแล้ว กลายเป็นความเจ็บปวดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา เมื่อได้พบกับเสี้ยวหยาจึงอดไม่ได้ที่จะมีความรู้สึกคาดหวัง

ส่วนหลิงอวี่สวิ๋นช่วยเหลือเสี้ยวหยาก็เป็นเพราะเธอถูกชะตากับอีกฝ่าย ต่อให้เป็นการพบหน้ากันครั้งแรก แต่ก็รู้สึกราวกับเป็นเพื่อนเก่าที่ไม่ได้พบกันหลายปี เป็นเพื่อนประเภทที่สามารถพูดคุยความในใจกันได้ ความจริงแล้วหลิงอวี่สวิ๋นและเสี้ยวหยาต่างก็มีจิตใจดีและบริสุทธิ์ เพียงแต่นิสัยของหลิงอวี่สวิ๋นออกจะไม่ค่อยเรียบร้อย เป็นผู้หญิงที่นิสัยเปิดเผยคนหนึ่ง ส่วนเสี้ยวหยาเป็นผู้หญิงที่โดดเด่นประเภทจันทร์หลบโฉมสุดามวลผกาละอายนาง[1]ประมาณนั้น

“เทียนเฉิน กังวลเรื่องอาการป่วยของแม่ของเสี้ยวหยาเหรอ?” หลิงอวี่สวิ๋นมองเย่เทียนเฉินที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งข้างคนขับแล้วเอ่ยถาม

“อืม ความจริงมีเรื่องหนึ่งที่ฉันหลอกเสี้ยวหยา นั่นก็คือไม่ว่าจะเป็นวิธีการรักษาแบบดั้งเดิมหรือว่าจะผ่าตัด แม่ของเธอก็จะมีชีวิตอยู่ได้เพียงไม่กี่เดือน!” เย่เทียนเฉินสูบบุหรี่เฮือกหนึ่ง แล้วพูดขึ้นก่อนจะถอนหายใจออกมา

“นี่…งั้นจะทำยังไงดี หากว่าแม่ของเสี้ยวหยาจากไป เธอจะต้องเสียใจมากแน่ พวกเราควรจะช่วยเธอสักหน่อย!” หลิงอวี่สวิ๋นเองก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ พูดออกมาด้วยท่าทางที่เปลี่ยนไปเป็นร้อนใจ

ไหนเลยเย่เทียนเฉินจะไม่อยากช่วยเหลือเสี้ยวหยา หากว่านี่เป็นปัญหาที่สามารถใช้เงินแก้ไขได้ ทั้งหมดก็จะง่ายขึ้นมาก ตอนนี้สำหรับเย่เทียนเฉินที่เป็นประธานคณะกรรมการเครือไห่หวางแล้ว เงินไม่นับว่าเป็นอะไรได้ ต่อให้คนคนนี้จะขี้เหนียว แต่ในเรื่องแบบนี้เขาก็จะไม่ตระหนี่อย่างเด็ดขาด

เพียงแต่น่าเสียดาย ด้วยเทคโนโลยีทางด้านการแพทย์ในปัจจุบัน แม้ว่าจะจ่ายเงินมากเท่าไหร่ก็ไม่มีทางรักษาโรคมะเร็งให้หายดีได้ ตอนนี้เย่เทียนเฉินสามารถคิดได้ถึงวิธีเดียว นั่นก็คือหวังว่าจะสามารถตามหาผู้มีพลังพิเศษที่มีความสามารถในการรักษาอันแข็งแกร่งให้พบสักคนหนึ่ง และให้เขารักษาแม่ของเสี้ยวหยา ทำแบบนี้บางทีอาจจะยังมีความหวังในการมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่ว่าต้องการหาผู้มีพลังพิเศษที่มีพลังการรักษาอันแข็งแกร่งให้พบสักคนหนึ่งจะง่ายดายเชียวหรือ?

“ฉันรู้แล้ว แต่ว่าทำได้ยากมาก!” เย่เทียนเฉินขมวดคิ้วพูด

“ต่างประเทศล่ะ บางทีต่างประเทศอาจจะมีเทคโนโลยีด้านการแพทย์แบบนี้ ฉันได้ยินมาว่าที่ต่างประเทศมีวิธีการที่จะสามารถควบคุมโรคมะเร็งได้ดี ต่อให้ไม่มีทางรักษาให้หายได้ทั้งหมด แต่ก็สามารถเลื่อนระยะเวลาที่อาการป่วยจะกำเริบไปได้จริงๆ!” หลิงอวี่สวิ๋นเปิดปากพูด

“ไม่มีประโยชน์หรอก โรคมะเร็งของแม่ของเสี้ยวหยาได้ไปถึงระยะสุดท้ายแล้ว ไปต่างประเทศก็ไม่มีประโยชน์!” เย่เทียนเฉินพูดแล้วส่ายหน้า

“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ผู้หญิงที่จิตใจดีและบริสุทธิ์แบบหยาเอ๋อร์ ทำไมสวรรค์จึงทำกับเธอแบบนี้!” หลิงอวี่สวิ๋นอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาอย่างโศกเศร้า

เย่เทียนเฉินสูดหายใจเข้าลึกๆ เขาแอบสาบานอยู่ในใจว่าจะต้องรีบหาผู้มีพลังพิเศษที่มีความสามารถในการรักษาให้เจอให้ได้ ทำแบบนี้ถึงจะสามารถรักษาชีวิตของแม่ของเสี้ยวหยาเอาไว้ได้ ถึงจะสามารถทำให้เสี้ยวหยาไม่เจ็บปวดใจได้

ตอนนี้ ภายในห้องผู้ป่วยของแม่ของเสี้ยวหยา เสี้ยวหยานั่งอยู่ข้างเตียงผู้ป่วยของแม่ มองไปยังแม่ของเธอที่หลับไปแล้วอย่างเงียบๆ อดไม่ได้ที่จะคิดถึงตอนเด็กๆ แม่รักเธอมาก

คำพูดหนึ่งที่ทำให้คนอดไม่ได้ที่จะคิดขึ้นมาก็คือ ในตอนที่คุณยังเป็นเด็ก แม่ใช้เวลาไปมากเท่าไหร่ในการสอนคุณให้ใช้ช้อนใช้ตะเกียบ สอนคุณว่าจะกินข้าวอย่างไร…ในวันที่คุณค่อยๆ เติบโต แต่แม่กลับค่อยๆ แก่ชรา…วันหนึ่งที่เธอแก่จนยืนไม่มั่นคง เดินก็เดินไม่ได้…ขอให้คุณจับมือเธอเอาไว้ให้แน่น เดินเป็นเพื่อนเธอไปช้าๆ…เหมือนกับตอนนั้นที่แม่จูงมือคุณ…

“หยาเอ๋อร์ เป็นอะไรลูก อย่าร้องเลยลูก!” แม่ของเธอลืมตาขึ้นช้าๆ เมื่อเห็นว่าเธอน้ำตาไหลอยู่เงียบๆ จึงอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาอย่างปวดใจ

เธอรีบเช็ดน้ำตาที่หางตาออก ไม่กล้าบอกความจริงเรื่องอาการป่วยกับแม่ ดังนั้นจึงต้องฝืนยิ้มเอาไว้

“ไม่ หนูไม่ได้ร้องค่ะ แม่ เดี๋ยวหนูจะปอกแอปเปิ้ลให้แม่นะคะ!” เสี้ยวหยาพูด พยายามยิ้มออกมา

“ไม่ต้องหรอก แม่ไม่อยากกิน หยาเอ๋อร์มานั่งนี่สิลูก แม่มีอะไรที่อยากจะคุยกับลูก!” แม่ของเสี้ยวหยาพูดด้วยรอยยิ้มเมตตา

“ค่ะ! งั้นหนูจะคุยเป็นเพื่อนแม่เอง!” เสี้ยวหยาพยักหน้าแล้วพูดอย่างเชื่อฟังรู้ความ

แม่ของเสี้ยวหยามองเธอครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “หยาเอ๋อร์ เพื่อนผู้ชายของลูกคนนั้นชื่ออะไร ลูกรู้จักเขาดีหรือเปล่า?”

“แม่คะ ทำไมแม่ถึงถามแบบนี้ หมายความว่าไงคะ?” เสี้ยวหยาอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง รู้สึกกระเง้ากระงอดอยู่บ้าง

“แม่ว่าผู้ชายคนนี้ไม่เลวเลย ดีมาก ปฏิบัติต่อลูกก็ไม่เลวเลย ความเสียใจที่สุดในชีวิตนี้ของแม่ ก็คือไม่สามารถเห็นวันที่ลูกสาวของแม่เดินเข้าพิธีวิวาห์และไม่ได้เห็นลูกแต่งงานกับสามีอย่างเบิกบานใจ” แม่ของเสี้ยวหยาพูด มีความรู้สึกว่าน้ำตาจะไหล

“แม่คะ แม่พูดอะไร แม่จะต้องมีชีวิตยืนยาวเป็นร้อยปีแน่นอน ตอนนี้แม่ก็เป็นแค่โรคลำไส้อักเสบเท่านั้น อย่าได้คิดฟุ้งซ่านเลยค่ะ!” เสี้ยวหยารีบเปิดปากพูด

“ฮ่ะๆ หยาเอ๋อร์ ลูกอย่าหลอกแม่เลย ร่างกายของแม่ย่อมรู้ดีที่สุด ตอนนี้ความหวังที่ใหญ่ที่สุดของแม่ก็คือ สามารถได้เห็นหยาเอ๋อร์ของแม่แต่งออกไป มีชีวิตที่มีความสุข!” แม่ของเสี้ยวหยาพูดด้วยรอยยิ้ม

“แม่คะ แม่จะต้องไม่เป็นอะไรแน่นอน จะต้องไม่เป็นอะไรแน่!” เสี้ยวหยาโถมตัวเข้าไปในอ้อมกอดของมารดา พูดอย่างแน่วแน่

เมื่อเห็นลูกสาวของตนเอง บนใบหน้าของแม่ของเสี้ยวหยาก็ปรากฏรอยยิ้ม ตั้งแต่เล็กจนโตลูกของเธอรู้ความมาก ซักเสื้อผ้าทำกับข้าวอะไรต่างๆ ล้วนช่วยตนทำทัังหมด ยิ่งไปกว่านั้นการที่มีลูกสาวที่น่ารักและรู้ความแบบนี้ทำให้เธอรู้สึกภาคภูมิใจและชื่นชม เพียงแต่ตอนนี้ร่างกายของเธอเป็นอย่างไร ตัวเองรู้ดีที่สุด บางทีอาจจะมีเวลาเหลือไม่มากแล้ว ความคาดหวังในใจที่ใหญ่ที่สุดก็คือได้เห็นลูกสาวแต่งงานไป หรืออย่างน้อยในตอนนี้ก็สามารถมีแฟนที่รักเธอคนหนึ่ง

ในตอนที่เย่เทียนเฉินไปบ้านครอบครัวเสี้ยว ถึงแม้ว่าตอนนั้นแม่ของเสี้ยวหยาจะอาการกำเริบและเจ็บปวดเป็นอย่างมาก แต่เธอก็ยังสังเกตเย่เทียนเฉิน และรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ไม่เลวเลย การกระทำเรื่องราวต่างๆ ก็มีหลักการเป็นของตนเอง และดูเหมือนจะมีใจให้ลูกสาวของตน

นี่เป็นจิตใจของคนเป็นแม่ ไม่ว่าจะเวลาไหนต่างก็คิดเพื่อลูกของตน ต่อให้ป่วยจนแทบจะหมดสติ สิ่งแรกที่คิดก็คือเรื่องของลูกสาว ความรักของแม่ยิ่งใหญ่มากจริงๆ เพียงแต่นานแล้วที่ลูกๆ ไม่ใส่ใจ

“หยาเอ๋อร์ แม่คิดว่าเพื่อนชายคนนี้ของลูกไม่เลวเลย เขาใส่ใจลูกมาก หากว่าวันหลังแต่งงานกับเขา คงจะมีความสุขแน่!” แม่ของเสี้ยวหยาลูบหัวของเธอแล้วพูดขึ้นยิ้มๆ

“แม่คะ แม่ แม่พูดอะไร หนูเพิ่งจะเรียนมหาวิทยาลัยเอง!” เสี้ยวหยาพูดอย่างเขินอาย

ตั้งแต่เล็กจนโต เสี้ยวหยาก็เป็นผู้หญิงที่รู้ความมากและตั้งใจเรียนหนักมาก เติบโตมาเป็นคนที่เชื่อฟังและมีจิตใจบริสุทธิ์ ผู้ชายที่ตามจีบเธอย่อมมีไม่น้อย แต่ว่า แต่ไหนแต่ไรเธอก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้มาก่อน และอยากจะใช้ความพยายามของตนเองทำให้พ่อแม่มีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข รวมกับพี่หลายปีมานี้ด้วยอาการป่วยของแม่จึงทำให้ไม่สามารถทำงานบ้านได้ ส่วนพ่อก็ต้องออกไปหาเงิน ดังนั้นทุกวันพอเลิกเรียนเธอก็จะรีบกลับบ้านไปทันทีเพื่อช่วยแม่ทำงานบ้าน เพื่อที่จะคลายความกังวลของแม่ลงบ้าง ทั่วทั้งหมู่บ้านเล็กๆ นี้ ทุกครอบครัวทุกตระกูลต่างก็อิจฉา อิจฉาครอบครัวเสี้ยวพี่มีลูกสาวรู้ความเชื่อฟังและผลการเรียนดีเลิศแบบนี้

“เพิ่งจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัย แต่ลูกก็อายุสิบแปดปีแล้ว สามารถมีแฟนได้แล้ว จุดนี้แม่ไม่ใช่คนคร่ำครึ ลูกโตแล้วก็ควรจะมีชีวิตเป็นของตนเอง และด้วยอาการป่วยของแม่ในตอนนี้ หวังว่าจะเห็นลูกมีแฟนดีๆ สักคนให้เร็วหน่อย เพื่อนนักเรียนชายที่ชื่อเย่เทียนเฉินคนนั้น ก็ดูท่าทางไม่เลวเลย รูปร่างหน้าตาก็หล่อเหลา แล้วมีความสามารถที่จะปกป้องลูกด้วย!” แม่ของเสี้ยวหยาพูดยิ้มๆ

หากว่าไม่ใช่เพราะอาการป่วยของตน บางทีแม่ของเสี้ยวหยาคงไม่พูดแบบนี้ ที่เธอพูดกับลูกสาวแบบนี้เป็นเพราะเธอเป็นห่วงตนเอง เป็นห่วงว่าอยู่ดีๆสักวันหนึ่งตนเองจะไม่สามารถตื่นขึ้นมาได้อีก อยากเห็นลูกสาวมีครอบครัวที่ดี เด็กผู้หญิงคนหนึ่งแม้ว่าจะมีความสามารถอย่างไร ก็ต้องมีที่พึ่งพิง ต้องมีครอบครัวและชีวิตของตัวเอง

“แม่คะ แม่คิดมากไปแล้ว คนอื่นเขาก็แค่ใจดีมาช่วยเหลือพวกเรา ชอบไม่ชอบหนูก็ยังไม่แน่…” เสี้ยวหยาพูดเสียงเบาด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ

กล่าวตามจริงแล้ว เย่เทียนเฉินช่วยเหลือเสี้ยวหยามากเหลือเกิน มากจนน่าประหลาดและทำให้หวั่นไหว หากว่าผู้ชายเช่นนี้ไม่สามารถทำให้ผู้หญิงใจเต้นได้ ก็คงบอกได้เพียงว่าผู้หญิงคนนี้เป็นพวกรักร่วมเพศ ดังนั้นในส่วนลึกของจิตใจเธอ ยังคงหวั่นไหวอยู่บ้างเล็กน้อย อย่างไรเสียนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เธอเจอผู้ชายที่มีนิสัยแบบนี้

“ฮ่ะๆ หยาเอ๋อร์ของพวกเราหมายความว่า หากว่าผู้ชายที่ชื่อเย่เทียนเฉินคนนั้นตามจีบลูกละก็ ลูกก็จะลองพิจารณาคบหากับเขาใช่ไหม?” แม่ของเสี้ยวหยาจงใจเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

“มะ ไม่มีเรื่องแบบนั้นสักหน่อย แม่ แม่รักษาอาการป่วยไปดีๆก็พอแล้ว อย่ามานั่งกังวลทั้งวันเลย!” เสี้ยวหยาทำหน้าทะเล้นใส่มารดาของตน ยิ้มอย่างน่ารัก และมีท่าทางเขินอายเล็กน้อย

[1] จันทร์หลบโฉมสุดา มวลผกาละอายนาง เป็นบทกลอนท่อนหนึ่งที่ใช้บรรยาสี่ยอดพธู ซึ่งในท่อนนี้จะหมายถึงเตี้ยวเสี้ยนและหยางกุ้ยเฟย

ผู้อำนวยการโรงพยาบาลใหญ่แห่งเมืองหลวงมาถึงโรงพยาบาลในเวลาสี่ทุ่ม และยังเรียกศาสตราจารย์อาวุโสอีกเจ็ดแปดคนมาที่โรงพยาบาลด้วย ศาสตราจารย์อาวุโสเหล่านี้ล้วนแต่มีบารมีสูงส่งในด้านฝีมืออันโดดเด่นทางด้านเวชศาสตร์ โดยปกติแล้วคนธรรมดาจะไม่ได้พบพวกเขาโดยเด็ดขาด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการมาวินิจฉัยให้ผู้ป่วยคนหนึ่งถึงโรงพยาบาลในตอนกลางคืนเลย

ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ล้วนเป็นความดีความชอบของเย่เทียนเฉิน หากว่าเขาไม่ออกหน้า เกรงว่าครอบครัวของเสี้ยวหยาคงจะถูกไล่ออกจากโรงพยาบาลไปนานแล้ว ไหนเลยยังจะสามารถเข้าพักในห้องผู้ป่วย VIP ได้ และยังมีศาสตราจารย์อาวุโสที่มีอำนาจบารมีมาตรวจให้แม่ของเธออีก

“ถ้างั้นก็ลำบากผู้อำนวยการหลินแล้วนะครับ!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

“ที่ไหนกันครับ ได้ทำประโยชน์ให้นายน้อยเย่ก็เป็นเกียรติของผมแล้วครับ!” เหล่าหลินรีบพูดด้วยรอยยิ้ม

หลังจากที่พูดคุยกันง่ายๆ หลายประโยค เหล่าหลินก็รู้จักวางตัวเป็นอย่างมาก ไม่ได้คุยเล่นกับเย่เทียนเฉินต่อไปอีก แต่เดินไปด้านข้างศาสตราจารย์อาวุโสเหล่านั้น ร่วมทำการวินิจฉัยและหารือ วิเคราะห์อาการป่วยของแม่ของเสี้ยวหยา เสี้ยวหยาเฝ้ารออย่างร้อนใจ อาการปวดเอวของแม่เป็นมาหลายปีแล้ว ด้วยความที่ว่าครอบครัวจนมาก และต้องใช้จ่ายกับการเรียนหนังสือของตัวเอง ตลอดเวลาที่ผ่านมาคุณแม่จึงไม่เต็มใจที่จะมาตรวจที่โรงพยาบาล ยื้อเวลาไปกว่าห้าปีแล้ว แต่ในปีนี้ไป จู่ๆ อาการป่วยแม่ของเสี้ยวหยาก็ร้ายแรงขึ้นมาก ดูเหมือนว่าจะเจ็บเอวทุกวัน เจ็บอยู่นานจนไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ ความจริงแล้วในตอนที่ทนไม่ไหวก็จะกินยาระงับปวดไปบ้างเพื่อผ่อนคลายความเจ็บลง

เย่เทียนเฉินเห็นเสี้ยวหยาจับมือของหลิงอวี่สวิ๋นอย่างเคร่งเครียดก็อดไม่ได้ที่จะเดินไปข้างเธอ แล้วพูดขึ้นยิ้มๆ ว่า “หยาเอ๋อร์ วางใจเถอะ แม่ของเธอจะต้องไม่เป็นอะไรแน่ จะต้องดีขึ้นแน่!”

เสี้ยวหยาเงยหน้ามองเขา ทันใดนั้นเธอก็พบว่าผู้ชายที่ขี้เล่นคนนี้ ความจริงแล้วเป็นคนละเอียดอ่อนและจิตใจดีมาก เขาลงมือทำร้ายคน ก็ล้วนแต่เป็นคนเลว บางทีตระกูลอาจจะมีอำนาจอิทธิพล แต่ก็ไม่โอหังอวดดีเลยแม้แต่น้อย

“อืม!” เสี้ยวหยามองเย่เทียนเฉินแล้วพยักหน้าอย่างจริงจัง

ประมาณครึ่งชั่วโมงกว่า ศาสตราจารย์อาวุโสเหล่านั้นจึงเดินออกมาจากห้องผู้ป่วย พวกเขาได้บอกผลการวินิจฉัยแก่ผู้อำนวยการหลินเรียบร้อยแล้ว และย่อมมีเหล่าหลินมาบอกพวกเย่เทียนเฉิน

ผู้อำนวยการหลินเดินมาเบื้องหน้าทั้งสาม พูดเสียงเบาว่า “พวกเราออกไปพูดกันเถอะครับ อย่ารบกวนการพักผ่อนของผู้ป่วยเลย!”

เมื่อได้ฟังคำนี้ เสี้ยวหยาอดไม่ได้ที่จะกัดฟันตัวเอง ใครก็ดูออกว่าผลการวินิจฉัยอาจจะไม่ค่อยน่ายินดีนัก

เย่เทียนเฉินพยักหน้า ตบไหล่ของเสี้ยวหยาแล้วพูดขึ้นยิ้มๆ “พวกเราออกไปกันเถอะ ให้คุณน้าพักผ่อนเงียบๆ สักครู่เถอะ!”

เสี้ยวหยาเห็นเย่เทียนเฉินส่งสายตาให้เธอ จึงสงบอารมณ์ของตนเองเล็กน้อยและพยายามฝืนยิ้มออกมา เดินไปข้างเตียงผู้ป่วยแล้วพูดกับแม่ด้วยรอยยิ้มว่า “แม่คะ ผลการตรวจยังต้องใช้เวลาอีกสักครู่ถึงจะรู้ผล แม่พักก่อนนะคะ หนูจะออกไปส่งเพื่อนทั้งสองคน!”

“อืม ขอบคุณพวกเธอมากจ้ะ!” แม่ของเสี้ยวหยาเป็นผู้หญิงจิตใจดีและซื่อตรงคนหนึ่ง แม้ว่าสีหน้าจะขาวซีด แต่ก็ยังยิ้มอย่างมีความสุขให้เย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋น

“ไม่เป็นไรค่ะ คุณน้าพักผ่อนให้ดีๆ นะคะ!” หลิงอวี่สวิ๋นพูดด้วยรอยยิ้ม

“คุณน้าครับ พรุ่งนี้พวกเราจะมาเยี่ยมคุณใหม่นะครับ!” เย่เทียนเฉินเองก็พูดด้วยรอยยิ้ม

ทั้งสามคนเดินออกมาจากห้องผู้ป่วย VIP จนมาถึงห้องทำงานข้างๆ ห้องหนึ่ง ผู้อำนวยการหลินกำลังดูภาพเอกซเรย์อวัยวะภายในของแม่ของเสี้ยวหยาที่เพิ่งจะถ่ายเมื่อครู่ มีท่าทางเคร่งขรึมอยู่บ้าง

“ผู้อำนวยการหลินคะ อาการป่วยของแม่หนูเป็นยังไงบ้างคะ?” เสี้ยวหยาร้อนใจเป็นอย่างมาก เดินเข้าไปเอ่ยปากถามอย่างกระวนกระวาย

ผู้อำนวยการหลินมองเธอครู่หนึ่ง แล้วจึงมองไปยังเย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋น พูดด้วยท่าทางเข้มงวดว่า “นายน้อยเย่ พวกคุณนั่งก่อนครับ ผมจะอธิบายให้พวกคุณฟังสักหน่อย!”

“ผู้อำนวยการหลิน มีอะไรก็พูดมาตรงๆ เถอะครับ ควรจะรักษายังไง ต้องจ่ายเงินเท่าไหร่ก็ไม่มีปัญหา ที่สำคัญก็คือต้องรักษาให้หาย!” เย่เทียนเฉินเอ่ยปาก

“เอ้อ ได้ครับ…ผู้ป่วยเป็นมะเร็ง มะเร็งลำไส้ครับ พวกคุณลองดูนะครับ ลําไส้ตรงช่วงเอวส่วนนี้ กลายเป็นสีดำทั้งหมดแล้ว ทำให้ไม่สามารถย่อยอาหารและดูดซึมสารอาหารได้…” ผู้อำนวยการหลินพูดแล้วถอนหายใจ

เสี้ยวหยาได้ฟังคำพูดของผู้อำนวยการหลิน น้ำตาก็พลันไหลออกมา โรคมะเร็ง ในโลกปัจจุบันนี้ไม่ว่าใครต่างก็รู้ว่าจะเป็นโรคอะไรก็ได้แต่ต้องไม่เป็นโรคมะเร็ง เมื่อเป็นโรคมะเร็งแล้วก็จะมีเพียงความตายเพียงเส้นทางเดียวจริงๆ ไม่มีทางรอดอะไรแล้ว เป็นโรคหนึ่งที่รักษาไม่ได้ ถึงแม้ว่าในปัจจุบันนี้จะมีคนมากมายพูดว่าโรคมะเร็งสามารถควบคุมได้ สามารถรักษาได้ หรือกระทั่งมีผู้ป่วยที่หายดี นั่นก็เป็นเพียงการให้ความหวังผู้คนเท่านั้น เป็นการปลอบใจผู้ป่วยก็เท่านั้น ด้วยเทคโนโลยีในโลกปัจจุบันนี้ ยังไม่มีประเทศไหนที่สามารถรับมือกับโรคมะเร็งได้

หลิงอวี่สวิ๋นเองก็กอดเสี้ยวหยาด้วยน้ำตาคลอเบ้า เธอเองก็คิดไม่ถึงว่าคุณแม่ของเสี้ยวหยาเป็นโรคมะเร็ง ถึงแม้ว่าจะเพิ่งรู้จักกับอีกฝ่ายได้ไม่นาน แต่หลิงอวี่สวิ๋นก็รู้สึกว่าตนเองถูกชะตากับเด็กที่บริสุทธิ์คนนี้จริงๆ และยังพูดคุยกันถูกคอ ระหว่างทั้งสองไม่มีความห่างเหินเลยแม้แต่น้อย เหมือนกับเพื่อนที่คบกันมาหลายปี ดังนั้นเมื่อได้ยินว่าคุณแม่ของเธอป่วยเป็นโรคมะเร็ง หลิงอวี่สวิ๋นก็อดไม่ได้ที่จะน้ำตาไหล

เมื่อเห็นว่าเสี้ยวหยาร้องไห้สะอื้นอยู่ในอ้อมกอดของหลิงอวี่สวิ๋น และยังไม่กล้าร้องไห้เสียงดังจนเกินไป ด้วยกลัวว่าแม่ของเธอจะได้ยิน ส่วนหลิงอวี่สวิ๋นเองก็ดวงตาเปียกชื้น มีน้ำตาไหลออกมาเงียบๆ ในใจของเย่เทียนเฉินก็รู้สึกเศร้าใจ เสี้ยวหยาที่เขาคิดอยากจะปกป้อง คิดอยากจะทำให้เธอมีความสุข ย่อมคิดไม่ถึงว่าแม่ของเธอจะจากเธอไปในเวลานี้ เสี้ยวหยาเป็นผู้หญิงบริสุทธิ์ที่เข้าใจเรื่องราวคนหนึ่ง มีความรู้สึกรักลึกซึ้งต่อพ่อแม่มาโดยตลอดและกตัญญูเป็นอย่างมาก

“ตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่ครับ? ต่อไปจะรักษายังไง?” เย่เทียนเฉินสงบอารมณ์ของตนเองแล้วเอ่ยถาม

ผู้อำนวยการหลินมองเย่เทียนเฉิน แน่นอนว่าเขาไม่กล้าล่วงเกินอีกฝ่าย และจะต้องพยายามอย่างเต็มที่ นี่เป็นสิ่งที่ไม่ต้องคิดเลย ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเขาล่วงเกินเย่เทียนเฉินไม่ได้ ด้วยอำนาจของเย่เทียนเฉินในตอนนี้ เป็นไปได้มากว่าจะสามารถโผทะยานได้ในเมืองหลวง ตระกูลเย่เอ็งก็จะถูกเขาทำให้รุ่งเรืองอีกครั้งหนึ่ง เมื่อถึงตอนนั้นหากเขาสามารถผูกสัมพันธ์กับเย่เทียนเฉินได้ ก็จะมีคนจำนวนนับไม่ถ้วนอิจฉาริษยา

“นายน้อยเย่ครับ ผมไม่ขอปิดบัง เมื่อดูจากปฏิกิริยาในภาพเอกซเรย์ปัจจุบันนี้ ผู้ป่วยได้เป็นมะเร็งระยะสุดท้ายแล้วครับ ในตอนนี้มีวิธีการรักษาอยู่สองวิธี หนึ่งก็คือการรักษาแบบดั้งเดิม โดยการใช้ยาควบคุมเอาไว้ ทำให้อาการของโรคคงตัวแล้วจึงค่อยตัดสินใจอีกครั้ง วิธีที่สองก็คือการผ่าตัด ผ่าตัดเอาลำไส้ของผู้ป่วยออกทั้งหมด แต่ว่าดูจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้วดูเหมือนเซลล์มะเร็งจะมีแนวโน้มว่าได้กระจายตัวออกไปมากแล้ว ต่อให้ตัดลำไส้ออกก็ไม่สามารถทำให้ผู้ป่วยหายดีได้ แต่กลับจะเป็นการกระตุ้นให้เซลล์มะเร็งแพร่กระจายไปเร็วยิ่งขึ้น อันตรายเป็นอย่างมากครับ!” ผู้อำนวยการหลินวิเคราะห์อาการป่วยของแม่ของเสี้ยวหยาในตอนนี้ให้พวกเขาได้ฟังอย่างละเอียด

ความจริงหากพูดให้ชัดเจน วิธีการรักษาทั้งสองวิธีนี้ต่างก็เป็นการรอความตาย ไม่ว่าจะทำการผ่าตัดหรือไม่ แม่ของเสี้ยวหยาก็อยู่ได้ไม่นาน เซลล์มะเร็งได้แพร่กระจายไปแล้ว เท่ากับว่าภายในร่างกายของเธอมีระเบิดฝังอยู่ทุกที่ ขอระเบิดขึ้นมาผู้ป่วยก็จะเสียชีวิต อย่างน้อยที่สุดก็หลายเดือน อย่างมากที่สุดก็หลายปี

เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ถึงแม้เขาจะเคยคิดถึงสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน แต่ก็คิดไม่ถึงว่าจะร้ายแรงถึงเพียงนั้น ในช่วงยุคสิ้นโลก โรคมะเร็งไม่นับว่าเป็นอะไรได้ ต่อให้เป็นระยะสุดท้ายก็สามารถใช้ยารักษาได้ อีกทั้งเย่เทียนเฉินยังเคยเห็นด้วยตาของตนเองว่าผู้มีพลังพิเศษในสายรักษาได้ทำการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะสุดท้ายจนหายดี เพียงแต่น่าเสียดายที่ในช่วงยุคสิ้นโลกนั้นผู้มีพลังสายรักษาล้ำค่าและหายากมาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงโลกแห่งนี้เลย

เทคโนโลยีด้านการแพทย์ในโลกปัจจุบันนี้ ยังคงห่างไกลระดับนั้นมาก เย่เทียนเฉินทำได้เพียงคิดอยู่ในใจว่าจะสามารถหาผู้มีพลังพิเศษสายรักษามาสักคนและให้เขารักษาแม่ของเสี้ยวหยา รักษาโรคมะเร็งของเธอให้หายดีได้หรือไม่? ต่อให้ความเป็นไปได้นี้จะเลือนลางเป็นอย่างมาก แต่เย่เทียนเฉินก็ยังคิดที่จะลองพยายามอย่างเต็มที่ เพราะเขาไม่อยากเห็นเสี้ยวหยามีท่าทางปวดใจจนน้ำตาไหลเลยจริงๆ

ผู้มีพลังพิเศษสายรักษา อยู่ในการแบ่งประเภทของสายพิเศษ ผู้มีพลังพิเศษประเภทนี้ พลังพิเศษของพวกเขาอาจจะอ่อนแอมาก แต่ว่าผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งทุกคนล้วนต้องการที่จะคบหากับพวกเขา เนื่องจากผู้มีพลังพิเศษสายรักษาสามารถรักษาความเจ็บปวดให้หายดีได้อย่างรวดเร็ว กระทั่งลือกันว่าผู้มีพลังพิเศษสายรักษาที่แข็งแกร่งที่สุดสามารถฟื้นคืนชีพคนตายได้ นี่เป็นความสามารถที่พวกเขาครอบครอง

ดังนั้นกล่าวได้ว่า อย่าได้ดูเบาผู้มีพลังพิเศษสายใดๆ ก็ตาม ก็เหมือนกับที่ไม่ควรดูถูกใครก็ตาม เพราะทุกคนต่างก็มีจุดเด่นและจุดแข็งของตนเอง ทุกคนต่างก็มีจุดที่โดดเด่นกว่าผู้อื่น เมื่อจุดเด่นของคนคนนี้ปะทุออกมาทั้งหมด ก็จะทำให้ทุกคนต้องสั่นสะท้าน

“งั้นก็เอาแบบนี้แล้วกันครับ ทำการรักษาแบบดั้งเดิมไปก่อน ใช้ยาควบคุมอาการ พยายามป้องกันการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง!” เย่เทียนเฉินคิดครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยปาก

“ครับ!” ผู้อำนวยการหลินพยักหน้า

ในตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินหันกลับไปมองเสี้ยวหยาและหลิงอวี่สวิ๋นที่อยู่ข้างๆ พวกเธอต่างก็จมดิ่งอยู่ในความโศกเศร้า โดยเฉพาะเสี้ยวหยาพี่ร้องไห้เหมือนเด็กๆ ในใจรู้สึกเสียใจมากจริงๆ เขาถามผู้อำนวยการหลินเสียงเบาว่า “วิธีการรักษาแบบดั้งเดิม ผู้ป่วยจะมีเวลาอีกนานเท่าไหร่ครับ?”

“อย่างน้อยหนึ่งเดือน อย่างมากก็สามเดือนถึงครึ่งปีครับ!”

“รู้แล้วครับ เรื่องนี้อย่าได้บอกคนอื่น ตอนนี้สิ่งที่ผมต้องการให้คุณทำก็คือบอกพวกเธอว่า ผลลัพธ์ของการรักษาแบบดั้งเดิมจะดีมาก อย่างน้อยก็สามารถรับประกันได้ว่าผู้ป่วยจะมีชีวิตอยู่ได้สิบปีขึ้นไป!” เย่เทียนเฉินมองผู้อำนวยการหลินแล้วพูดเสียงเบา

ผู้อำนวยการหลินพยักหน้า แล้วจึงเรียกเสี้ยวหยาและหลิงอวี่สวิ๋นเข้ามาอธิบายอาการป่วยในปัจจุบันนี้ของแม่ของเสี้ยวหยา และยังนำคำพูดที่เย่เทียนเฉินต้องการให้เขาพูด พูดออกไปให้ทั้งสองคนฟัง นี่จึงทำให้ในใจของเสี้ยวหยาดีขึ้นบ้างเล็กน้อย อย่างน้อยก็มีเวลาสิบปี สิบปีนี้เธอจะกตัญญูต่อแม่ให้ดีๆ จะคอยอยู่ข้างกายเป็นเพื่อนเธอ

“หยาเอ๋อร์ วางใจเถอะ ฉันจะหาวิธีรักษาแม่ของเธอให้หายดี!” เย่เทียนเฉินพูดกับเสี้ยวหยาด้วยรอยยิ้ม

เสี้ยวหยาพยักหน้า เช็ดน้ำตาที่หางตา เธอเป็นผู้หญิงที่แน่วแน่เด็ดเดี่ยวคนหนึ่ง เธอจะไม่ให้แม่ได้เห็นท่าทางร้องไห้ของตนเองเด็ดขาด ท่าทางแบบนี้มีแต่จะทำให้แม่ต้องกังวลและเศร้าเสียใจ

เวลาห้าทุ่ม เย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋นออกมาจากโรงพยาบาลแห่งเมืองหลวง เสี้ยวหยายังคงอยู่ในโรงพยาบาล คอยดูแลแม่ของเธอ เมื่อนั่งอยู่ในรถสปอร์ตของหลิงอวี่สวิ๋น เย่เทียนเฉินไม่ได้พูดอะไรเลยแม้แต่ประโยคเดียว นั่งสูบบุหรี่พิงอยู่บนเบาะ เงยหน้าขึ้นมองไปยังท้องฟ้า…

ตงฟางเมิ่ง ชื่อนี้ยังคงมีความประทับใจอยู่ในสมองของเย่เทียนเฉินอยู่บ้าง ไม่ใช่เพราะหยางอี้มอบภารกิจให้เขา แต่เป็นเพราะเธอเป็นหนึ่งในสี่สุดยอดสาวงามแห่งพรรควรยุทธโบราณ ซึ่งชื่อนี้ดึงดูดเย่เทียนเฉินได้บ้างจริงๆ แน่นอนว่านอกจากสี่สุดยอดสาวงามแล้ว ที่สำคัญที่สุดก็คือพรรควรยุทธโบราณ

ในช่วงยุคสิ้นโลกเย่เทียนเฉินให้ความสนใจต่อเคล็ดวิชาของพรรควรยุทธโบราณเป็นอย่างมาก เนื่องจากในช่วงยุคสิ้นโลกผู้แข็งแกร่งแห่งพรรควรยุทธโบราณและยอดฝีมือผู้มีพลังพิเศษต่างก็ยืนเคียงข้างกัน ในหมู่คนทั้งสองประเภทนี้ ต่างก็ปรากฏยอดฝีมือเก่งกาจออกมามากมาย พวกเขาถึงขั้นครอบงำไปทั่วทั้งโลก รวมกับที่เย่เทียนเฉินต้องการรวมเคล็ดวิชาพรรควรยุทธโบราณและพลังพิเศษเข้าด้วยกันมาโดยตลอด เหมือนกับเซี่ยอวี่เหอที่แม้ว่าเดิมทีความสามารถที่แท้จริงของเธอจะไม่ได้แข็งแกร่ง แต่ว่าเมื่อนำพลังพิเศษรวมเข้ากับเคล็ดวิชาพรรควรยุทธโบราณแล้ว ความแข็งแกร่งของกระบวนท่าที่ปรากฏออกมาและพลังโจมตีต่างก็ยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก ซึ่งทำให้เย่เทียนเฉินอดทึ่งไม่ได้

ภารกิจที่หยางอี้มอบหมายให้เขาก็คือให้ดูแลผู้หญิงที่ชื่อตงฟางเมิ่งคนนี้ ไม่ใช่การคุ้มครองเธอ และไม่ใช่การทำร้ายเธอ คำพูดของหยางอี้พูดไว้อย่างชัดเจนว่าอย่าให้ผู้หญิงที่ชื่อตงฟางเมิ่งคนนี้ไปทำร้ายคนอื่น และไม่ให้คนอื่นมาทำร้ายเธอ เย่เทียนเฉินก็ไม่รู้ว่าพวกหยางอี้ต้องการจะทำอะไร แล้วไม่อยากจะรู้ด้วย สิ่งที่เขาสนใจมีเพียงพรรควรยุทธโบราณเท่านั้น ส่วนเรื่องที่ไปยั่วยุเซวียนเยวี๋ยนเถิงอะไรนั่นเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมาย เดิมทีเย่เทียนเฉินก็ไม่ใช่คนที่ชอบเข้าเรียนอยู่แล้ว วันเวลาที่มหาวิทยาลัยหลงเถิงจึงน่าเบื่อ เติมบทเพลงไปเล็กน้อยก็คงจะมีสีสันบ้าง!

เพียงแต่ว่าจะอย่างไรเย่เทียนเฉินก็คิดไม่ถึงว่า ตงฟางเมิ่งคนนี้จะถึงกับเป็นดาวมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของมหาวิทยาลัยหลงเถิงมาสามปีซ้อน เธอเป็นหนึ่งในสี่สุดยอดสาวงามแห่งพรรควรยุทธโบราณและเป็นดาวมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง นี่ทำให้เขาคิดไม่ถึงเลยจริงๆ และช่วยไม่ได้ที่จะทำให้เขารู้สึกสนใจต่อตงฟางเมิ่งคนนี้ขึ้นมาทีละนิดว่าตกลงแล้วเป็นผู้หญิงหน้าตาแบบไหนกันแน่? และมีนิสัยอย่างไรกันแน่?

หลิงอวี่สวิ๋นบอกว่าตงฟางเมิ่งเป็นภูเขาน้ำแข็ง จะมากจะน้อยก็สามารถวิเคราะห์ออกมาได้จุดหนึ่ง นั่นก็คือนิสัยของผู้หญิงคนนี้จะต้องเย็นชาอย่างแน่นอน ไม่ง่ายเลยที่จะเข้าใกล้

นอกจากนี้ยังมีอีกจุดหนึ่งซึ่งในตอนที่เย่เทียนเฉินตอบรับหยางอี้ก็พอจะมองออกแล้ว นั่นก็คือดูเหมือนว่าบุคคลระดับสูงของประเทศจะให้ความสนใจกับผู้หญิงที่ชื่อตงฟางเมิ่งคนนี้เป็นอย่างมาก คงจะไม่ใช่เพราะเธอเป็นหนึ่งในสี่สุดยอดสาวงามแห่งพรรควรยุทธโบราณหรือเป็นเพราะเธอเป็นดาวมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งมาสามปีซ้อน แต่คงจะมีเรื่องอะไรที่ปิดบังอยู่ ดูแล้วผู้หญิงที่ชื่อตงฟางเมิ่งคนนี้ จะมีฐานะไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

“ตงฟางเมิ่ง ชื่อนี้เพราะมากจริงๆ หนูคิดว่าพี่สาวคนนั้นจะต้องสวยมากแน่ๆเลยค่ะ!” เสี้ยวหยาอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

“สวยก็สวยอยู่หรอก แต่ว่าไม่มีใครที่สามารถสนิทสนมกับเธอได้เลย ได้ยินมาว่าเธอไม่มีเพื่อนเลยสักคน!” หลิงอวี่สวิ๋นพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสงสัยอย่างช่วยไม่ได้

คนที่ไม่มีเพื่อนเลยสักคนเดียว ประโยคนี้ทำให้เสี้ยวหยาและเย่เทียนเฉินต่างก็ตกตะลึง ทุกคนล้วนเข้าใจหลักการอย่างหนึ่งนั่นก็คือ ในชีวิตของคนๆ หนึ่งจำเป็นต้องมีเพื่อน และยิ่งจำเป็นต้องมีเพื่อนสนิทอยู่หลายคน ไม่ว่าจะสุขเศร้าเหงาซึมก็ต้องมีคนร่วมแบ่งปันกับคุณ มิเช่นนั้นชีวิตของคนๆ นี้ก็จะไม่สุขสมบูรณ์ และจะต้องโดดเดี่ยวเดียวดาย

ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงอย่างเด็ดขาดว่า ผู้หญิงคนหนึ่งที่มีใบหน้าโดดเด่นและสามารถได้ตำแหน่งดาวมหาวิทยาลัยหลงเถิงสามปีซ้อน จะเป็นคนที่ไม่มีเพื่อนเลยแม้แต่คนเดียว ต้องทราบว่า ข้างกายของผู้หญิงสวยๆ แบบนี้ จะต้องมีแฟนคลับและคนตามจีบจำนวนไม่น้อยอย่างแน่นอน หรือว่าไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ทำให้เธอใจเต้นได้?

“ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้คะ? พี่สาวคนนั้นไม่มีแม้กระทั่งเพื่อนสนิทที่เป็นผู้หญิงเลยเหรอ?” เสี้ยวหยาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถาม

“ไม่จริงน่ะ โลกนี้ยังมีผู้หญิงแบบนี้อยู่ด้วยเหรอ?” เย่เทียนเฉินเองก็พูดขึ้นแล้วส่ายหัวอย่างไม่เชื่อ

“นี่เป็นเรื่องจริง ข้างกายของตงฟางเมิ่งไม่มีเพื่อนผู้ชายแล้วก็ไม่มีเพื่อนผู้หญิง เพราะได้ยินมาว่าคนที่ใกล้ชิดกับเธอทั้งหมด สุดท้ายก็จะตายอย่างลึกลับ…” หลิงอวี่สวิ๋นพูดเสียงเบา บรรยากาศพลันเย็นยะเยือกถึงขีดสุด ราวกับกำลังเล่าเรื่องผีก็มิปาน

เมื่อได้ยินคำพูดของหลิงอวี่สวิ๋น เสี้ยวหยาก็ตกใจ ส่วนเย่เทียนเฉินกลับขมวดคิ้ว ดูเหมือนว่าเขาจะคิดถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เพียงแต่ไม่กล้าจะมั่นใจ นี่เกรงว่าจะต้องเข้าใกล้ตงฟางเมิ่งคนนั้นก่อน ถึงจะสามารถรู้ได้ว่าเป็นเหมือนที่คิดหรือไม่

“นี่…พี่สาวอวี่สวิ๋น มีคนแบบนี้อยู่ด้วยหรอคะ? ทำไมถึงเป็นแบบนี้ได้?” เสี้ยวหยาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

“เรื่องนี้ก็ไม่รู้เหมือนกัน ตั้งแต่นี้ไปก็ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เธออีก ดังนั้นเธอก็เลยอยู่คนเดียวมาตลอด สาวงามภูเขาน้ำแข็งที่ทำให้คนคาดหวังและถอยห่าง!” หลิงอวี่สวิ๋นพูดอย่างจริงจัง

จินตนาการได้เลยว่า ผู้หญิงที่สวยมากคนหนึ่ง เดิมทีก็ควรจะมีเพื่อนมากมาย มีคนตามจีบมากมาย ชีวิตก็ควรจะดีเลิศเป็นอย่างมาก แต่กลับเป็นดาวเพชฌฆาต ใครก็ตามที่เข้าไปใกล้เธอจะตายทุกคน เชื่อว่าในใจของผู้หญิงคนนี้คงจะรับไม่ได้เป็นอย่างมาก เธอคงโดดเดี่ยวมากนัก

ฝนตกพรำพรำ สถานที่เดิมแห่งนั้นมีต้นหญ้ารกขึ้นสูง ฉันได้ยินว่า เธอยังคงรออยู่อย่างเดียวดาย…

“น่าสนใจแฮะ ถ้ามีโอกาสฉันจะลองไปพบตงฟางเมิ่งคนนี้ดู จะไปดูสักหน่อยว่าเธอหน้าตาเป็นยังไงกันแน่!” เย่เทียนเฉินพูดแล้วหัวเราะฮี่ๆ

หลิงอวี่สวิ๋นกรอกตาใส่เย่เทียนเฉินครั้งหนึ่ง พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “นายไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่ไหม? ตามที่ฉันรู้มา หลายปีมานี้คนที่เดินใกล้ตงฟางเมิ่งทุกคน ต่างก็ตายไปอย่างฉับพลันโดยไร้สาเหตุ ทางตำรวจก็ไม่พบเงื่อนงำอะไร แปลกประหลาดจริงๆ ถ้านายคิดจะรนหาที่ตาย ฉันก็จะไม่ห้ามนายไป!”

“วางใจเถอะ ด้วยความสามารถของพี่ชาย ต่อหน้าเสน่ห์ของฉัน คำสาปทั้งหมดจะต้องถูกทำลาย!” เย่เทียนเฉินตบหน้าอกตนเองแล้วพูดอย่างมั่นใจ

หลังจากกินก๋วยเตี๋ยวเสร็จก็เป็นเวลาสามทุ่มแล้ว เย่เทียนเฉิน หลิงอวี่สวิ๋นและเสี้ยวหยาต่างก็กลับไปที่โรงพยาบาลแห่งเมืองหลวง จึงได้พบว่าในตอนนี้ภายในห้องผู้ป่วยของแม่ของเสี้ยวหยา มีหมอที่สวมชุดคลุมสีขาวยืนล้อมอยู่เต็มไปหมด ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนผมหงอก เมื่อเปรียบเทียบดูแล้วคนที่อายุน้อยที่สุดอย่างต่ำก็อายุห้าสิบหกสิบปี นี่ทำให้เสี้ยวหยาพลันกระวนกระวายขึ้นมา คิดว่าคุณแม่ของตนเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้ว บางทีอาจจะอาการกำเริบกะทันหัน

รอจนกระทั่งทั้งสามคนเดินเข้ามาภายในห้องผู้ป่วยจึงได้พบว่า นายแพทย์อาวุโสเจ็ดแปดคนนี้ล้วนเป็นศาสตราจารย์ของโรงพยาบาลใหญ่แห่งเมืองหลวง และมีหลายคนที่ไม่ได้ออกตรวจรักษานานแล้ว แต่ครั้งนี้ถึงกับถูกเชิญมากลางดึก

ท่ามกลางนายแพทย์อาวุโสเหล่านี้ ยังมีชายวัยกลางคนอายุประมาณห้าปีคนหนึ่ง สวมสูททั้งตัว รูปร่างค่อนข้างอ้วน เมื่อมองดูก็รู้ว่าเป็นพวกมีมาด เมื่อเห็นทั้งคนเดินเข้ามา ก็เดินมาหาเย่เทียนเฉินด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “คิดว่ากลุ่มนี้คงจะเป็นเย่เทียนเฉินสินะครับ นายน้อยเย่ ได้พบกับคุณเป็นเกียรติของผมจริงๆ ครับ!”

ถึงแม้ว่าจะไม่คุ้นหน้าชายวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้านี้ แต่ตามคำโบราณกล่าวไว้ว่า ไม่ตบหน้าคนที่ยิ้มให้ คนอื่นเขาพูดกับคุณด้วยรอยยิ้ม คุณก็ไม่สามารถตบหน้าเขาโดยไม่แยกแยะถูกผิดใช่ไหม?

เมื่อเห็นชายวัยกลางคนยื่นมือขวาออกมา เย่เทียนเฉินก็ยื่นมือขวาออกไปจับอย่างเป็นการเป็นงาน จากนั้นจึงพูดขึ้นยิ้มๆ “เกรงใจเกินไปแล้วครับ ไม่ทราบว่าคุณชื่ออะไร?”

“อ้อ เรียกผมว่าเหล่าหลินแล้วกันครับ ผมเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลแห่งเมืองหลวงแห่งนี้ครับ!” ชายวัยกลางคนรีบพูด

“ที่แท้ก็เป็นผู้อำนวยการหลินนี่เอง ยินดีที่ได้รู้จักครับ!” เย่เทียนเฉินกล่าว

เหล่าหลินเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลแห่งเมืองหลวงแห่งนี้ ปีนี้เพิ่งจะอายุห้สิบปี แต่ก็ได้เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลใหญ่แห่งเมืองหลวงแล้ว จินตนาการได้เลยว่ามีความสามารถสูงมาก และเป็นพวกมีสมองด้วย พอได้รับรายงานจากผู้ใต้บังคับบัญชาเรื่องของหวางจื้อลี่และเย่เทียนเฉิน ปฏิกิริยาแรกของเหล่าหลินก็คือ เย่เทียนเฉินคนนี้หาเรื่องไม่ได้ จำเป็นต้องต้อนรับเขาให้ดีๆ ถึงจะถูก

ไม่ว่าจะอย่างไร ก็นับว่าเห็นแก่หน้าเย่เทียนเฉิน เหล่าหลินจำเป็นต้องทำการเคลื่อนไหว จะอย่างไรก็ห้ามล่วงเกินเย่เทียนเฉินจะดีที่สุด ดังนั้นเขาจึงรีบโทรศัพท์ไปหาศาสตราจารย์อาวุโสหลายคนภายในโรงพยาบาล ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องเชิญพวกเขามาที่โรงพยาบาลใหญ่ถึงเมืองหลวงในตอนมืดให้ได้ ความจริงแล้วศาสตราจารย์อาวุโสที่อยู่ค่อนข้างไกลก็ยังส่งรถไปรับด้วยตัวเอง กระทั่งเหล่าหลินเอง หลังจากที่โทรศัพท์เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็รีบมาที่โรงพยาบาลแห่งเมืองหลวงทันที

การกระทำของเย่เทียนเฉิน ในฐานะที่เหล่าหลินเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลใหญ่แห่งเมืองหลวง และอาศัยอยู่ที่เมืองหลวงมานานหลายปี อีกทั้งตรวจรักษาให้กับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่จำนวนไม่น้อย จึงทำให้สามารถรู้ถึงเรื่องบางเรื่องได้ เรื่องของตระกูลฉินและตระกูลลั่วก็มากพอที่จะทำให้เขาสั่นสะท้าน หวางจื้อลี่คนนี้หยิ่งยโสมาโดยตลอด ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา ขนาดหลูเซิ่งต๋าที่เป็นผู้อำนวยการสำนักความปลอดภัยสาธารณะก็ยังเชิญมาแล้ว แต่กลับกลายเป็นการส่งตัวเองเข้าสำนักความปลอดภัยสาธารณะแทน นี่ก็เพียงพอที่จะเห็นได้ว่าเย่เทียนเฉินในวันนี้ได้ไปถึงจุดที่มีไม่กี่คนในเมืองหลวงที่จะกล้าหาเรื่องแล้ว

“นายน้อยเย่ครับ เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ผมได้ยินลูกน้องรายงานผมแล้วครับ ต้องตำหนิผมที่ไม่ได้จัดการลูกน้องให้ดี ผมต้องขอโทษคุณ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ ผมรับประกันว่าจะไล่หวางจื้อลี่ออกในทันที หมอขยะภายในโรงพยาบาลแห่งนี้ คนที่ไม่มีจรรยาบรรณแพทย์เลยแม้แต่น้อย ไม่สมควรที่จะได้เป็นรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลใหญ่แห่งเมืองหลวงหรอกครับ พวกเราจะเห็นคนเป็นสำคัญ จะช่วยชีวิตคนและรักษาโรค!” เหล่าหลินพูดด้วยท่าทางที่เป็นทางการอย่างมาก

“ครับ มีผู้อำนวยการหลินที่มีจรรยาบรรณแพทย์สูงส่งแบบนี้อยู่ ผมเชื่อว่าอาการป่วยของแม่ของเพื่อนผมจะต้องดีขึ้นในเร็ววันอย่างแน่นอน ไม่ทราบว่าวินิจฉัยโรคออกมาเป็นอย่างไรบ้างครับ?” เย่เทียนเฉินเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

“ยังต้องรออีกสักครู่นะครับ ศาสตราจารย์อาวุโสหลายท่านนี้กำลังวินิจฉัยอยู่!” เหล่าหลินพูดยิ้มๆ

เย่เทียนเฉินพยักหน้า ไม่ได้กล่าวอะไรอีก เสี้ยวหยาและหลิงอวี่สวิ๋นก็ยืนอยู่ด้านข้าง พวกเธอย่อมไม่อาจพูดอะไรได้ ไม่สามารถรบกวนศาสตราจารย์อาวุโสเหล่านั้นที่กำลังวินิจฉัยโรคให้แม่ของเสี้ยวหยา เย่เทียนเฉินได้ทำให้พวกเธอตกใจและยินดีมากเหลือเกิน คนคนนี้ช่างร้ายกาจมากจริงๆ หากเป็นคนธรรมดาทั่วไปไหนเลยจะมีความสามารถเช่นนี้ได้? สามารถทำให้ผู้อำนวยการโรงพยาบาลแห่งเมืองหลวงต่อสายไปหาศาสตราจารย์อาวุโสแต่ละท่านให้มาวินิจฉัยโรคที่โรงพยาบาล คนที่สามารถทำเรื่องแบบนี้ได้ จะต้องเป็นคนที่มีอำนาจมีอิทธิพล

ส่วนเย่เทียนเฉินดูเหมือนจะไม่มีอำนาจและอิทธิพลเลย มีเพียงสองหมัดที่ทำตามหลักการโดยไม่สนใจตัวคน ซึ่งเพียงพอที่จะทำให้ใครหลายคนต้องสั่นสะท้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ไม่มีคุณธรรมเหล่านั้น ต่อหน้าเย่เทียนเฉิน ความหน้าด้านไร้ยางอายทั้งหลาย สิ่งที่จะพบก็มีเพียงกำปั้นเท่านั้น

“ให้ตายสิ ก้นฉัน…ไอ้บ้า รนหาที่ตายซะแล้ว!” หลิงอวี่สวิ๋นลุกขึ้นจากบนพื้น เสี้ยวหยาพยุงเธอขึ้น มือขวาลูบอยู่บนแก้มก้นขวาของตนเอง ใบหน้าเล็กๆ แดงระเรือ ใช้สายตาที่ราวกับจะฆ่าคนจ้องมองไปยังเย่เทียนเฉิน

ส่วนเย่เทียนเฉิน หลังจากเสียงร้องที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันนี้ ก็รีบหลบไปทันที เขารู้ว่าด้วยนิสัยของหลิงอวี่สวิ๋น พอตนเองทำเช่นนี้ เจ๊ใหญ่อย่างนั้นจะต้องระเบิดอารมณ์แน่ หากไม่ได้หยิกเขาสักหลายๆ ทีเธอก็จะไม่พอใจ จิตใจที่ต้องการแก้แค้นของผู้หญิง ปกติแล้วจะแข็งแกร่งมาก จะพูดไปแล้วก็คือความใจแคบ บนโลกนี้มีผู้หญิงคนไหนที่ไม่ใจแคบด้วยเหรอ?

“ไอ้บ้า นายอย่าหนีนะ…” หลิงอวี่สวิ๋นโกรธจนใบหน้าเล็กๆ แดงก่ำ มองเย่เทียนเฉินอย่างโหดเหี้ยมพลางกล่าว

“ไม่ได้หรอก ผู้ชายดีๆ ไม่ทะเลาะกับผู้หญิง ถ้าฉันไม่วิ่งก็เจอกับหายนะสิ!” เย่เทียนเฉินยกยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วพูดขึ้น

เดิมทีแล้วเย่เทียนเฉินไม่ใช่คนที่เอาจริงเอาจังอะไร จะเอาจริงเอาจังหรือไม่ก็ต้องดูเวลา ต้องแบ่งเวลา เคยกล่าวไปนานแล้วว่านิสัยของเขาเหมือนกับอันธพาลและก็เหมือนกับเทพแห่งความตาย สำหรับหลิงอวี่สวิ๋นที่เดิมทีเป็นเพื่อนเล่นวัยเด็กของเขา แม้ว่าจะไม่ได้เจอกันนานหลายปีแล้ว แต่ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ไม่ได้ห่างเหินเลยแม้แต่นิดเดียว ได้เจอกับหลิงอวี่สวิ๋นเย่เทียนเฉิน ยินดีเป็นอย่างมาก

รวมกับเสี้ยวหยาอีกหนึ่งคน เสี้ยวหยาเหมือนกับผู้หญิงที่เขารักอย่างลึกซึ้งในช่วงยุคสิ้นโลกเป็นอย่างมาก ทำให้เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะมีจิตใจอยากปกป้องเสี้ยวหยา นี่เป็นเรื่องที่ควบคุมไม่ได้ เพราะเธอกังวลเรื่องอาการป่วยของแม่ของตน จึงทำให้ไม่มีความสุขมาโดยตลอด เย่เทียนเฉินเองก็อยากจะหยอกล้อเธอ ให้มีความสุข ดังนั้นเลยแกล้งหลิงอวี่สวิ๋น

หลิงอวี่สวิ๋นถูก้นอันเซ็กซี่ของตนเอง ช่วยไม่ได้ที่จะดึงดูดสายตาของผู้ชายข้างๆ มากมาย ถูกกระตุ้นกันจนน้ำลายไหลหมดแล้ว เดิมทีร่างกายของเธอก็สะบึมมาก ด้วยส่วนเว้าส่วนโค้งและก้นที่ตกกระแทกพื้นจนต้องใช้มือลูบเบาๆ ความรู้สึกนั้น ทำให้คนแทบจะเลือดกำเดาไหล

ในหมู่ผู้ชายที่อยู่ในร้านทุกคน คนเดียวที่ไม่เลือดกำเดาไหลก็คือเย่เทียนเฉิน เขาค่อยๆ กลับไปนั่งที่เดิมของตน เตรียมตัวป้องกันการลอบโจมตีของหลิงอวี่สวิ๋น ช่วงเวลาเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ ขอเพียงตนเองหาเรื่องหลิงอวี่สวิ๋น เธอสามารถจะเว้นระยะไปครึ่งเดือน แล้วจึงแก้แค้นเขาในเรื่องนั้นได้ ทำให้เขาอับจนคำพูดมากจนแบจะทนไม่ไหว ดังนั้นหากบอกว่าหลิงอวี่สวิ๋นไม่ใช่ผู้หญิงชั้นเลิศคนหนึ่ง ก็จะดูไม่สอดคล้องเป็นอย่างมาก

แต่ว่าจนกระทั่งก๋วยเตี๋ยวทั้งสามชามถูกยกมาเสิร์ฟ หลิงอวี่สวิ๋นก็ทำเพียงใช้ดวงตาอันงดงามมองเย่เทียนเฉินเป็นระยะ แล้วไม่ได้ใช้วิธีการแก้แค้นจริงจังอะไรเลย หลิงอวี่สวิ๋นกำลังพูดคุยกับเสี้ยวหยาอย่างเบิกบานใจ เล่าเรื่องต่างๆ ภายในมหาวิทยาลัยให้เสี้ยวหยาฟัง และยังมีกฎเกณฑ์และสถานการณ์ต่างๆทอีกด้วย

เสี้ยวหยาฟังอย่างตั้งใจ สอบถามอยู่เป็นระยะ มีเพียงเย่เทียนเฉินที่ ยังคงป้องกันหลิงอวี่สวิ๋น เขาไม่เชื่อเลยจริงๆ ว่าเธอจะปล่อยไปง่ายๆ แบบนี้

“อา…ไข่ต้มของฉัน อย่า…”

ในตอนที่เย่เทียนเฉินเตรียมจะกินไข่ต้มของตนเองนั้น ก็เกิดเรื่องแล้ว ไข่ต้มฟองใหญ่ภายในถ้วยของเขาถูกหลิงอวี่สวิ๋นแย่งชิงไปด้วยความเร็วและความกะทันหันจนตั้งตัวไม่ทัน ในตอนที่เย่เทียนเฉินมองไปก็ถูกหลิงอวี่สวิ๋นกัดไปคำใหญ่อย่างดุดัน ราวกับกำลังกัดลงบนร่างกายของเย่เทียนเฉิน ความรู้สึกเป็นเช่นนั้นจริงๆ

“ฮี่ๆ ไอ้บ้า นายติดกับแล้ว!” หลิงอวี่สวิ๋นคีบไข่ต้มที่ตนเองกัดไปคำใหญ่ขึ้นมาแล้วพูดกับเย่เทียนเฉินอย่างลำพองใจ

“เธอ…โถ่…ทำให้ฉันร้องไห้จะตายอยู่แล้ว”

เย่เทียนเฉินใกล้จะบ้าอยู่แล้ว เดิมทีในช่วงยุคสิ้นโลก ปริมาณการกินของเขาก็เยอะมาก ได้มาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ การกินก็เป็นความสุขที่ใหญ่ที่สุดของเขามาตลอด เดิมทีไข่ที่ถูกแบ่งเป็นสองซีกนี้ก็ไม่พออยู่แล้ว ตอนนี้ยังถูกหลิงอวี่สวิ๋นขโมยไปอีก เย่เทียนเฉินไม่รู้สึกอะไรสิแปลก

ส่วนหลิงอวี่สวิ๋นนั้นหัวเราะอย่างเบิกบานใจ หัวเราะจนตัวงอ สามารถแกล้งเย่เทียนเฉินได้ก็เป็นความสุขที่สุดของเธอแล้ว โดยเฉพาะท่าทางหดหู่ของอีกฝ่าย ยิ่งทำให้หลิงอวี่สวิ๋นรู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก

“เทียนเฉิน! กินของฉันเถอะ ของฉันยังไม่ได้กินเลย” เสี้ยวหยาคีบไข่ต้มในชามของตนเองไปใส่ใน ชามของเย่เทียนเฉินอย่างอ่อนโยน

ในตอนนี้เองทำเอาเย่เทียนเฉินรู้สึกไม่ดีอยู่บ้างจริงๆ ปรายตามองไปยังหลิงอวี่สวิ๋นแล้วพูดขึ้นว่า “ เธอดูสิว่าหยาเอ๋อร์ดีขนาดไหน ผู้หญิงถ้าไม่ทำแบบนี้ วันหน้าก็ระวังจะแต่งไม่ออก!”

“แต่งไม่ออกก็ไม่แต่งให้นายหรอก จะอยู่เป็นโสดอย่างแข็งแกร่งยิ่งกว่านายอีก!” หลิงอวี่สวิ๋น พูดด้วยรอยยิ้มลำพองใจ

เย่เทียนเฉินถูกหลิงอวี่สวิ๋นทำให้โมโหจนอับจนคำพูดจึงก้มหน้าลงมือกินก๋วยเตี๋ยว ส่วนไข่ต้มถ้าคีบไปคีบมาคงไม่ดี ที่สำคัญก็คือหลิงอวี่สวิ๋นนำไข่ต้มในจานของตนเอง คีบให้เสี้ยวหยา เธอแค่จะทำให้เย่เทียนเฉินโกรธสักหน่อย ไม่ได้อยากกินไข่ต้มเพิ่ม

ฉากนี้ทำให้เสี้ยวหยาหัวเราะ ในขณะเดียวกันก็รู้สึกได้ถึงสายสัมพันธ์ระหว่างทุกคน ทั้งสามคนพบกันโดยบังเอิญก็เท่านั้น แต่กลับเข้ากันได้ดี ไม่มีความรู้สึกแบ่งแยกเลยแม้แต่น้อย หรือว่าชาติที่แล้วจะทำอะไรร่วมกันมา? ทำให้รู้สึกถึงโชคชะตาจริงๆ เป็นสิ่งที่พูดได้ไม่ชัดเจน

“หยาเอ๋อร์ ในมหาวิทยาลัยหลงเถิงของพวกเรามี สุดยอดสามคุณชาย แล้วยังมีดอกไม้ทั้งสี่ด้วย แต่ละคนสวยมากเลยทีเดียว” หลิงอวี่สวิ๋นพูดยิ้มๆ

“ในหมู่ดอกไม้ทั้งสี่จะต้องมีพี่อวี่สวิ๋นอยู่ด้วยแน่นอน พี่สวยขนาดนี้จะต้องได้รับเลือกให้เป็นดาวแน่เลยค่ะ!” เสี้ยวหยาพูดด้วยรอยยิ้มจริงใจ

“ฮี่ๆ นี่หรือ ปีนี้ มีความหวังว่าจะะได้รับเลือก จริงๆ การโหวตในตอนนี้ก็ยังดีอยู่!” หลิงอวี่สวิ๋นพูดด้วยรอยยิ้มอย่างน่ารัก

พูดไม่ได้ว่าหลิงอวี่สวิ๋นต้องการได้รับฉายาดาวมหาวิทยาลัยเพราะมีจิตใจที่หลงไหลไปกับเกียรติอันจอมปลอม แต่เป็นเพราะหัวใจที่รักสวยรักงามล้วนมีอยู่ในตัวทุกคน โดยเฉพาะกับผู้หญิง คนไหนบ้างที่ไม่อยากให้คนอื่นชมว่าตัวเองสวย? ในทุกมหาวิทยาลัย ขอแค่เป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงอยู่บ้าง ทุกๆ ปีก็จะมีการคัดเลือกดาวมหาวิทยาลัยอะไรนี่ โดยเฉพาะหลายปีมานี้ หลังจากที่มีคำว่าเน็ตไอดอลปรากฏออกมา ก็ยิ่งบ้าคลั่งขึ้น วิธีการในการคัดเลือกดาวและเดือนมหาวิทยาลัยแต่ละที่ไม่เหมือนกัน อาจไม่ใช่ความเห็นของทุกคน แต่อย่างน้อยก็มีคนแปดสิบเปอร์เซ็นต์ที่ร่วมกัน โหวตคัดเลือก เช่นมหาวิทยาลัยหลงเถิง ในแต่ละปีจะทำการคัดเลือก ดอกไม้ทั้งสี่เป็นดาวมหาวิทยาลัย ดอกไม้ทั้งสี่นี้ไม่เพียงแต่ต้องหน้าตาสวยงาม แต่จะต้องมีครบทั้งด้านความงาม ความสามารถและคุณธรรมที่โดดเด่น วิธีการโหวตก็เรียบง่ายเป็นอย่างมาก คือสามารถโหวตได้ในในฟอรั่มของมหาวิทยาลัย จำกัดว่าหนึ่งไอพีสามารถโหวตเลือกได้หนึ่งครั้ง มีเวลาการโหวตหนึ่งเดือน คนที่ได้รับการโหวตสูงสุดทั้งหมดสี่คน ก็จะได้รับเลือกให้เป็นดอกไม้ทั้งสี่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง

เมื่อปีที่แล้วหลิงอวี่สวิ๋นเพิ่งจะเข้ามหาวิทยาลัย ยังไม่เป็นที่รู้จักของผู้คน ปีนี้ได้ถูกเลือกจนติดสี่อันดับแรกของมหาวิทยาลัยแล้ว เพียงแต่การการโหวต ยังไม่จบก็เท่านั้น เพิ่งจะเริ่มไปครึ่งเดือนเท่านั้น นี่สามารถพิสูจน์ประโยคนึงได้ว่า ทองก็มักจะเป็นประกาย ผู้หญิงสวยหลบซ่อนไม่ได้

“จะต้องได้รับเลือกแน่นอน พี่สาวอวี่สวิ๋นสวยขนาดนี้ แถมยังนิสัยดี จิตใจก็งดงาม จะต้องไม่มีปัญหาแน่ค่ะ” เสี้ยวหยาพูดด้วยรอยยิ้ม

“ใช่แล้ว แค่อารมณ์ร้ายไปหน่อย ทำให้ผู้ชายรับไม่ไหว!” เย่เทียนเฉินพูดประโยคนี้แทรกเข้ามา อย่างกะทันหัน!

“ไปตายซะ!” หลิงอวี่สวิ๋นมองเย่เทียนเฉินอย่างดุดันแล้วกล่าวขึ้น

หลังจากตะโกนใส่เย่เทียนเฉินแล้วหลิงอวี่สวิ๋นก็หันไปยิ้มให้เสี้ยวหยาแล้วพูดว่า “ด้วยความสามารถของน้องหยาเอ๋อร์ ปีหน้าจะต้องได้เป็นดาวมหาวิทยาลัยอย่างแน่นอน ไม่ต้องพูดถึงอันดับหนึ่งแต่อย่างน้อยสามอันดับแรกก็ไม่มีปัญหา!”

“ที่ไหนกันคะ หนูไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยค่ะ!” เสี้ยวหยาพูดแล้วส่ายหน้า

“หากหยาเอ๋อร์ต้องการก็สามารถเอาที่หนึ่งมาได้ สามอันดับแรกจะมีความหมายอะไร ไม่มีประโยชน์ เย่เทียนเฉินพูดแล้วเบะปาก

หลิงอวี่สวิ๋นกรอกตาใส่เย่เทียนเฉินครั้งหนึ่ง จากนั้นจึงยิ้มแล้วพูด ขึ้นเล่นๆ ว่า “ไม่ใช่ว่าพี่อวี่สวิ๋นไม่เชื่อใจเธอ แต่ในมหาวิทยาลัยหลงเถิง มีผู้หญิงคนหนึ่งที่มีความสามารถมาก ได้เป็นเบอร์หนึ่งของดาวมหาวิทยาลัยติดต่อกันมาสามปีแล้ว ปีนี้ก็เป็นไปได้มากว่าจะเป็นเธอน่ะ!”

เมื่อได้ยินคำพูดของหลิงอวี่สวิ๋น ไม่เพียงแต่เสี้ยวหยาที่ตกใจ กระทั่งเย่เทียนเฉินก็รู้สึกสั่นสะท้าน ได้รับเลือกเป็นดาวมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งติดต่อกันมาสามปี ช่างร้ายกาจมากจริงๆ มหาวิทยาลัยหลงเถิงเป็นมหาวิทยาลัยชั้นหนึ่งในประเทศ มีสาวสวยหนุ่มหล่อจำนวนนับไม่ถ้วน

ถ้าจะพูดถึงสาวงาม ผู้หญิงที่อาศัยหน้าตาอย่างเดียวมาดึงดูดเย่เทียนเฉิน นับว่าหาไม่ได้แล้ว ในช่วงยุคสิ้นโลก ข้ากายเย่เทียนเฉินมีสาวงามมากมาย หลังจากที่ได้มาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ ผู้หญิงที่พบคนไหนบ้างที่ไม่ใช่สาวงาม? หานเจี๋ย ฉีหรูเสวี่ย หลิ่วอวิ๋นเหมย ซูเฟยเฟย…แต่ละคนล้วนมีใบหน้าที่งดงามเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังคงไม่สามารถกระตุ้นความสนใจลึกๆภายในใจของเย่เทียนเฉินได้

แต่ไม่ว่าใครก็อยากจะเปิดหูเปิดตาดูสักหน่อยว่าผู้หญิงที่สามารถคลองตำแหน่งดาวมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของมหาวิทยาลัยชั้นหนึ่งในประเทศมาสามปีซ้อน ตกลงจะสวยแค่ไหนกันแน่? จะสวยจนทำให้หยุดหายใจหรือเปล่า?

“สุดยอดขนาดนี้เลยเหรอคะ พี่สาวคนนั้นจะต้องสวยมากแน่ๆ!” เสี้ยวหยาพูดขึ้นยิ้มๆ

“สวยมากจริงๆ แต่ก็เย็นชามากด้วย ก็เลยได้รับฉายาว่าสาวงามภูเขาน้ำแข็ง หลายปีมานี้ ต่อให้สามสุดยอดคุณชายแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงลงมือด้วยกัน ก็ยังไม่สามารถตามจีบเธอได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกผู้ชายที่ต่อแถวตามอยู่ข้างหลังหล่านั้นเลย ไม่มีใครสักคนที่ทำให้เธอรู้สึกใจเต้นได้!” หลิงอวี่สวิ๋นพูดถึงดาวมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งคนนี้ อดไม่ได้ที่จะถอนใจออกมาอย่างชื่นชม

“สาวงามภูเขาน้ำแข็ง? นั่นเป็นเพราะว่าพวกเธอไม่รู้จักเสน่ห์ของพี่ชาย ถ้าพี่ชายลงมือ สาวงามภูเขาน้ำแข็งอะไรนั่น หรือจะเป็นสาวงามใจเหล็ก ก็จะต้องละลาย แนบชิดอยู่ในอ้อมกอด!” เย่เทียนเฉินพูดพลางหัวเราะฮี่ๆ

เมื่อคำพูดนี้ของเย่เทียนเฉินพูดออกมา ก็ทำให้หลิงอวี่สวิ๋นกรอกตาใส่ครั้งใหญ่ มีเพียงเสี้ยวหยาที่ยิ้มน้อยๆ เธอรู้ว่าเย่เทียนเฉินล้อเล่นเท่านั้น

“พี่สาวคนนั้นชื่อว่าอะไรหรอคะ?” เสี้ยวหยาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามอย่างสงสัย

“ตงฟางเมิ่ง!” หลิงอวี่สวิ๋นพูดอย่างจริงจัง

เอ๋? ตงฟางเมิ่ง? เย่เทียนเฉินได้ยินชื่อสามคำนี้ก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ทำไมชื่อนี้ถึงได้คุ้นหูขนาดนี้ ทันใดนั้นก็คิดขึ้นมาได้ นี่ไม่ใช่ผู้หญิงที่ท่านหยางอี้ให้เขาไปอยู่ใกล้หรือ?

“ให้ตายเถอะ ผู้อำนวยการหลู คุณไม่เห็นเหรอครับ? ไอ้ลูกเต่านี่มันลงมือทำร้ายผม…” หวางจื้อลี่โกรธจนดิ้นพล่าน จะอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่า ต่อหน้าหลูเซิ่งต๋าที่เป็นผู้อำนวยการสำนักความปลอดภัยสาธารณะแห่งเมืองหลวง เย่เทียนเฉินจะยังกล้าลงมือทำร้ายตนเองอีก ทำให้โกรธจนแทบกระอักเลือด

แต่ว่า เขาใช้ดวงตาอันแดงก่ำทั้งสองจ้องมองเย่เทียนเฉิน คำพูดยังไม่ทันจะพูดจบ ก็ถูกเย่เทียนเฉินตบหน้าไปอีกครั้ง ครั้งนี้ยิ่งรุนแรงมากขึ้น ตบจนหัวชนกำแพงแตกมีเลือดไหลออกมาในทันที เขากรีดร้องอย่างอนาถและด่ากราด เหมือนกับหมูที่ถูกตี

“ผู้อำนวยการหลู ผมทำร้ายคนอีกแล้ว แล้วยังตบจนหัวแตกด้วย จับผมสิครับ?” เย่เทียนเฉินยิ้มมองหลูเซิ่งต๋าแล้วพูดขึ้น

“นี่…นี่…สหายเย่ล้อเล่นแล้ว สั่งสอนสวะแบบนี้ คุณไม่ต้องลงมือหรอกครับ ผมเองก็อดไม่ไหวอยากที่จะลงมือเหมือนกัน!” หลูเซิ่งต๋าพูดด้วยรอยยิ้มอันกระอักกระอ่วน

ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็มึนงง มองอย่างโง่งมไปแล้ว มองฉากนี้อย่างไม่อยากที่จะเชื่อสายตาตนเอง เดิมทีคิดว่าหวางจื้อลี่เชิญหลูเซิ่งต๋าที่เป็นผู้อำนวยการสำนักความปลอดภัยสาธารณะแห่งเมืองหลวงมา ต่อให้เย่เทียนเฉินจะร้ายกาจขนาดไหนก็จะต้องถูกจับไปและไม่กล้ามีปัญหากับหวางจื้อลี่อีก ไหนเลยจะรู้ว่า เย่เทียนเฉินจะตบหน้าหวางจื้อลี่อีกครั้งต่อหน้าหลูเซิ่งต๋า แล้วครั้งนี้ยังรุนแรงยิ่งกว่าการตบก่อนหน้านี้ ทำให้หวางจื้อลี่หัวแตกเลือดไหล

คนจำนวนมากคิดว่าเย่เทียนเฉินต้องจบสิ้นแล้ว จะต้องตายอย่างแน่นอน แม้ว่าหวางจื้อลี่กับหลูเซิ่งต๋าจะมีความสนิทสนมกันหรือไม่ แต่ทำร้ายคนอื่นต่อหน้าผู้อำนวยการสำนักความปลอดภัยสาธารณะ ต่อให้จะเป็นการแสร้งทำ ผู้อำนวยการสำนักความปลอดภัยสาธารณะคนนี้ก็จะต้องจับคนร้ายไป ไหนเลยจะรู้ว่า หลูเซิ่งต๋าไม่เพียงแต่ไม่จับเย่เทียนเฉินไป แต่ยังมีท่าทางเข้าข้างเย่เทียนเฉินอีกด้วย ทำให้คนที่อยู่ในเหตุการณ์เกาหัวอย่างงุนงง

“ผู้อำนวยการหลู ทำไมคุณไม่จับคนร้ายไปล่ะครับ?” หวางจื้อลี่ใช้มือซ้ายกุมหน้าผากของตนที่มีเลือดไหลออกมา เปิดปากพูดอย่างดุดัน

“หุบปาก หากคุณพูดจามั่วซั่วอีกประโยคเดียว ใครก็ช่วยคุณไม่ได้แล้ว!” หลูเซิ่งต๋าพูดกับหวางจื้อลี่เสียงขรึม

“ผู้อำนวยการหลู นี่คุณ…”

หวางจื้อลี่เองก็รู้สึกงุนงง หลูเซิ่งต๋าที่สมคบกับเขามาโดยตลอด วันนี้ทำไมถึงได้เหมือนกับเปลี่ยนไปเป็นอีกคนหนึ่งได้? ในยามปกติทั้งสองต่างก็ทำงานร่วมกัน ใช้อำนาจและผลประโยชน์จากหน้าที่การงานของแต่ละคนในการคอรัปชั่น เคยรู้จักกันเพราะแลกเปลี่ยนศึกษาด้านการเล่นไพ่ด้วยกัน สุดท้ายจึงกลายเป็นเพื่อนที่สนิทกันเหมือนพี่น้อง ขอเพียงแค่หวางจื้อลี่มีเรื่องอะไรที่จัดการไม่ได้ ก็จะไปหาหลูเซิ่งต๋า แน่นอนว่าค่าใช้จ่ายด้านผลประโยชน์นี้ก็ไม่น้อยเลยทีเดียว ใครก็รู้ถึงหลักการนี้ดี เมื่อตำรวจออกหน้าจะมีสักกี่คนที่ยังกล้าไม่ไว้หน้า ไม่ยอมถอยให้สักหลายส่วน?

ในครั้งนี้ไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง ก่อนจะมาหลูเซิ่งต๋าตอบรับเขาเต็มปาก ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใคร ก็จะจับไปที่สำนักงานความปลอดภัยสาธารณะก่อนค่อยว่ากัน นี่เป็นวิธีการจัดการที่เขาถนัด แต่คาดไม่ถึงว่า เมื่อหลูเซิ่งต๋าพบเย่เทียนเฉิน จะหงอลงโดยสิ้นเชิง กระทั่งคำพูดจาใหญ่โตก็ไม่กล้าพูดออกมาแม้แต่คำเดียว นี่ทำให้หวางจื้อลี่รู้สึกประหลาดใจจริงๆ จนถึงตอนนี้เขาถูกเย่เทียนเฉินตบหน้าไปแล้วสองครั้งจนสติแจ่มชัดขึ้นไม่น้อย อดไม่ได้ที่จะคาดเดาว่าชายหนุ่มตรงหน้าคนนี้ มีฐานะอะไรกันแน่? ขนาดหลูเซิ่งต๋าก็ยังหวาดกลัวแบบนี้ คงจะไม่ใช่ลูกหลานของข้าราชการระดับสูงหรอกนะ?

“รีบขอโทษสิครับ คุณรู้ไหมว่าเขาเป็นใคร?” หลูเซิ่งต๋ามองหวางจื้อลี่ปราดหนึ่ง จะอย่างไรเขาก็คิดจะช่วยหวางจื้อลี่ เขาทนมองหวางจื้อลี่หาเรื่องเย่เทียนเฉินแบบนี้อีกต่อไปไม่ได้แล้ว หากว่าอีกฝ่ายโกรธขึ้นมา คนคนนี้อาจจะต้องตายจริงๆ ก็เป็นได้

“ใคร?” หวางจื้อลี่อดไม่ได้ที่จะมองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วถามขึ้น

“เย่เทียนเฉิน คุณชายใหญ่เย่!” หลูเซิ่งต๋าพูดด้วยน้ำเสียงเคารพ

เมื่อได้ยินชื่อเย่เทียนเฉิน นอกจากสาวสวยทั้งสองอย่างเสี้ยวหยาและหลิงอวี่สวิ๋นที่ไม่รู้เรื่องราวจึงไม่มีปฏิกิริยาอะไรแล้ว แต่หวางจื้อลี่ตลอดจนหมอทั้งสองคนที่อยู่ในเหตุการณ์ และยังมีเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกสองนายที่ตามหลังหลูเซิ่งต๋ามาด้วย ทั้งหมดต่างก็สูดหายใจเย็นยะเยือก

ระยะนี้ หลังจากที่เย่เทียนเฉินปลดประจำการและกลับเมืองมา เรื่องทุกอย่างที่กระทำเรื่องไหนบ้างที่ไม่สั่นสะท้านไปทั่วทั้งเมืองหลวงหรือกระทั่งทั้งประเทศ? โดยเฉพาะภายในคืนเดียว สามารถทำให้ตระกูลฉินและตระกูลลั่วซึ่งเป็นตระกูลใหญ่ทั้งสองตระกูลนี้ตกต่ำลงได้ ดูเหมือนว่าเรื่องนี้เกือบจะเลือนหายไปจากผู้มีอิทธิพลในเมืองหลวง เรื่องแบบนี้เกรงว่าคนที่สามารถทำได้ ทั่วทั้งประเทศจีนจะมีเพียงไม่กี่คน

อัดฉินเทาหยวน ฆ่าฉินเหิง ทำให้ฉินอี้โมโหจนตาย ฆ่าล้างตระกูลลั่วทั้งตระกูล เรื่องเหล่านี้เย่เทียนเฉินยังกล้าทำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงรองผู้อำนวยการตัวเล็กๆ ของโรงพยาบาลแห่งเมืองหลวงแบบหวางจื้อลี่เลย? นี่ทำให้หลูเซิ่งต๋าแอบรู้สึกว่าหวางจื้อลี่โชคดีอยู่ในใจ หาเรื่องเย่เทียนเฉินแล้วยังไม่ถูกคนคนนี้ฆ่าตาย ยังสามารถพูดว่าไม่โชคดีได้อีกหรือ?

“ยะ เย่ คุณก็คือเย่เทียนเฉิน?” หวางจื้อลี่ตกใจจนสั่นไปทั้งร่าง เอ่ยถามอย่างตะกุกตะกัก

“ไม่ต้องเรียกฉันว่าปู่หรอกนะ เป็นปู่ของแกฉันรู้สึกเศร้าใจมาก!” เย่เทียนเฉินพูดหยอกล้อด้วยรอยยิ้ม

เสียงพลั่กดังขึ้น หวางจื้อลี่คุกเข่าอยู่บนพื้นในทันที โขกหัวให้เย่เทียนเฉินอย่างตกใจไม่หยุดพลางพูดขอโทษ “ขะ ขะ ขอโทษครับคุณชายใหญ่เย่ ผะ ผมไม่รู้จริงๆว่าเป็นคุณ ขอโทษครับ ขอโทษครับ…”

“ผู้อำนวยการหลู คนแบบนี้ถ้าไม่จับขังคุกสักหลายปี คงจะทำร้ายคนมากกว่านี้ คุณดูแล้วไปจัดการเถอะ!” เย่เทียนเฉินมองหลูเซิ่งต๋าปราดนึงแล้วพูดขึ้น

“ครับๆ พวกแกสองคนยังจะตะลึงอะไรกันอยู่ จับหวางจื้อลี่กลับไปให้ฉันซะ แล้วก็ยังมีหมอสองคนนี้ก็จับไปด้วย…” หลูเซิ่งต๋าได้สติกลับมา จึงตะโกนไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายที่ตามหลังมาด้วยเสียงอันดัง

เหตุการณ์นี้จะเหมือนละครเกินไปแล้ว เดิมทีหวางจื้อลี่คิดว่าเชิญหลูเซิ่งต๋าที่เป็นที่พึ่งของเขามา จะสามารถเก็บกวาดเย่เทียนเฉินได้ ไหนเลยจะรู้ว่าหลูเซิ่งต๋าจะไม่กล้าพูดอะไรต่อหน้าเย่เทียนเฉินเลยแม้แต่คำเดียว ทั้งยังทำตัวเคารพนอบน้อม สุดท้ายกลับเป็นหวางจื้อลี่เองที่ถูกจับไป ทำให้ผู้คนร้องไห้ไม่ออกหัวเราะไม่ได้มากจริงๆ

แน่นอนว่า หวางจื้อลี่ที่ถูกจับขึ้นรถตำรวจไป ในใจไม่เพียงไม่เกรงกลัว กลับผ่อนคลายลงมากด้วยซ้ำ ต้องทราบว่าเขาเองก็ได้ยินเรื่องของเย่เทียนเฉินมาก่อน คนคนนี้ทำตามหลักการโดยไม่สนใจตัวคน หากว่าโมโหขึ้นมาจริงๆ ต่อให้เขามีเก้าชีวิตก็ไม่พอ ตอนนี้ถูกจับไปที่สถานีตำรวจ จะมากจะน้อยก็นับว่ารักษาชีวิตเอาไว้ได้แล้ว

เมื่อเห็นว่าหวางจื้อลี่และหมออีกสองคนถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งเป็นลูกน้องของตนจับขึ้นรถตำรวจไปแล้ว หลูเซิ่งต๋าก็พูดกับเย่เทียนเฉินด้วยรอยยิ้มกระอักกระอ่วน “สหายเย่ ในเมื่อไม่มีเรื่องอะไรแล้วผมก็ขอตัวไปก่อนนะครับ ไม่รบกวนคุณแล้ว!”

“อืม ลำบากผู้อำนวยการหลูแล้ว หวังว่าวิธีการที่พวกเราจะได้เจอกันครั้งหน้าจะเป็นมิตรมากกว่านี้สักหน่อยนะครับ!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

“นี่…ขอโทษด้วยครับ ขอโทษครับๆ!”

หลูเซิ่งต๋าเองก็เดินหงอออกไป เกรงว่าจุดจบของหวางจื้อลี่และหมออีกสองคนจะไม่ดีสักเท่าไหร่ หลูเซิ่งต๋าไม่กล้าล่วงเกินเย่เทียนเฉินอย่างเด็ดขาด ต่อให้อีกฝ่ายจะไม่มีอำนาจอะไร อีกทั้งตระกูลเย่ก็ตกต่ำลงไปแล้ว แต่เมืองหลวงในตอนนี้ก็ไม่มีใครกล้าหาเรื่องตระกูลเย่ตามใจชอบ ไม่กล้าหาเรื่องเย่เทียนเฉินตามใจชอบอีก ขนาดเรื่องของตระกูลฉินและตระกูลลั่วที่ก่อเรื่องออกมาใหญ่หลวงขนาดนี้ สุดท้ายคลื่นลมอะไรแม้แต่นิดเดียวก็ไม่มี คนที่ฉลาดอยู่บ้างต่างก็สามารถวิเคราะห์อะไรบางอย่างออกมาได้ ไหนเลยจะกล้าบุ่มบ่ามกดขี่เย่เทียนเฉินอีก เป็นการรนหาที่ตายโดยสิ้นเชิง

“สาวสวยทั้งสองคนนี้ พวกเราไปกินข้าวกันเถอะ อย่าให้เวลายืดเยื้อออกไปอีกเลย!” เย่เทียนเฉินพูดยิ้มๆ มองหลิงอวี่สวิ๋นและเสี้ยวหยาที่กำลังจ้องมองมาทางตนเองอย่างตกตะลึงอยู่

“นาย…นายสนิทสนมกับผู้อำนวยการหลูเหรอ?” หลิงอวี่สวิ๋นอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมาอย่างตกใจในทันทีที่ได้สติกลับมา

“จะบอกว่าสนิทก็คงไม่สนิท จะบอกว่าไม่สนิทก็ไม่สนิท จะสนิทหรือไม่สนิทก็แบบนั้นแหละ!” เย่เทียนเฉินพูดแล้วยักไหล่

“นายนี่ ยังกล้ามาทำเป็นไก๋ต่อหน้าฉันอีก พูดลิ้นพันกันไปหมดแล้วล่ะสิ?” หลิงอวี่สวิ๋นใช้ดวงตาอันงดงามจ้องมองเย่เทียนเฉินอย่างดุดันแล้วพูดขึ้น

ไม่ว่าจะอย่างไร เย่เทียนเฉินก็ทำให้หลิงอวี่สวิ๋นและเสี้ยวหยาต้องตกตะลึงมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้เขามีความรู้สึกที่ทำให้คนอื่นมองไม่ออก ในตอนที่เหลาะแหละก็ทำตัวเหมือนอันธพาล ตอนที่เอาจริงเอาจังขึ้นมาก็มักจะทำให้ผู้คนรู้สึกถึงเสน่ห์อันมาดแมนของผู้ชาย เป็นความรู้สึกที่ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ไม่กล่าวไม่ได้ว่า เย่เทียนเฉินทำให้หลิงอวี่สวิ๋นรู้สึกใจเต้นอย่างรุนแรง

ส่วนเสี้ยวหยานั้น เธอไม่ได้มีความรู้สึกแบบนั้น แล้วก็ไม่สามารถพูดได้ว่าไม่มี เพียงแต่ในส่วนลึกของจิตใจของเธอ ได้ขีดเส้นแบ่งระหว่างเธอกับเย่เทียนเฉินเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว ทั้งสองคนเป็นคนที่อยู่กันคนละโลก เย่เทียนเฉินสามารถกระทำตัวเปิดเผยไปได้ทุกที่ แต่เธอเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง สามารถได้รับความช่วยเหลือจากเขาก็ซาบซึ้งใจมากแล้ว ไหนเลยจะยังกล้าคาดหวังว่าจะได้อยู่ด้วยกันกับเย่เทียนเฉินอีก!

ระหว่างทาง เย่เทียนเฉินถูกหลิงอวี่สวิ๋นทรมานจนทนไม่ไหว ผู้หญิงคนนี้ถามไปถามมา คิดจะถามถึงสาเหตุ ถามว่าทำไมตนเองถึงได้ร้ายกาจขนาดนี้ มีฝีมือเปลี่ยนไปเป็นเก่งขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ก่อกวนจนเย่เทียนเฉินแทบจะรำคาญใจจนตาย

ไม่ง่ายเลยกว่าที่จะเดินไปถึงร้านก๋วยเตี๋ยวแห่งหนึ่งได้ หลังจากที่สั่งอาหารมา เย่เทียนเฉินก็รีบวิ่งตรงไปยังห้องน้ำ หลีกเลี่ยงจากการไล่ถามของหลิงอวี่สวิ๋น เสี้ยวหยาก็หัวเราะออกมาเป็นระยะ เย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋นที่เป็นเพื่อนสมัยเด็กคู่นี้ ช่างน่าสนใจมากจริงๆ หากจะพูดถึงชาติตระกูล หลิงอวี่สวิ๋นเป็นคนที่มีชาติตระกูลดีที่สุดในหมู่พวกเขาทั้งสามคน เย่เทียนเฉินรองลงมาและหลิงอวี่สวิ๋นอยู่รั้งท้าย แต่เย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋นทั้งสองคนก็ไม่ได้วางมาดอะไรเลย ไม่ได้เป็นคุณหนูคุณชายที่หยิ่งยโสประเภทนั้น กลับกันในตอนที่ก่อกวนขึ้นมาก็สามารถทำให้รู้สึกใกล้ชิด นี่ทำให้เสี้ยวหยาถูกหลอมรวมไปไม่น้อย อารมณ์ก็ค่อยๆ ดีขึ้นมา

“น้องหยาเอ๋อร์ เธอต้องช่วยพี่จับเย่เทียนเฉินนะ จะเจ้าเล่ห์เกินไปแล้ว พวกเราสองคนต้องร่วมมือกันถึงจะสำเร็จ!” หลิงอวี่สวิ๋นพูดขึ้น ยู่ปากเล็กๆ แล้วมองไปยังทิศทางที่เย่เทียนเฉินเดินไปห้องน้ำ

“พี่อวี่สวิ๋น หนูคิดว่าความสัมพันธ์ของพี่กับเทียนเฉินไม่เลวเลยนะคะ ไม่ได้เจอกันหลายปีขนาดนี้ ก็ยังสามารถหยอกล้อกันได้เหมือนตอนเด็กๆ หาได้ยากมากจริงๆ เลยค่ะ!” เสี้ยวหยาพูดยิ้มๆ

“นั่นน่ะสิ น้องหยาเอ๋อร์ เธอไม่รู้ว่าเจ้าเย่เทียนเฉินคนนี้ ตอนเด็กๆ เคยฉี่รดที่นอน…”

หลิงอวี่สวิ๋นเล่าให้เสี้ยวหยาฟังอย่างเมามัน เล่าเรื่องน่าอายตอนเด็กๆ ของเย่เทียนเฉิน ยิ่งเล่าก็ยิ่งเบิกบานใจ เสี้ยวหยาได้ฟังก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา โดยที่ไม่รู้ตัวเย่เทียนเฉินก็ได้เดินมาถึงข้างหลังของพวกเธอแล้ว แต่หลิงอวี่สวิ๋นก็ยังเล่าเรื่องน่าอายของเย่เทียนเฉินอย่างออกรส เย่เทียนเฉินที่ยืนอยู่ข้างหลังของเธอได้ฟังก็ทำหน้าเอือมระอา

“หลิงอวี่สวิ๋น ยัยขี้มูกโป่ง ยังมีหน้ามาพูดถึงฉันอีก ตอนเด็กๆ ชอบเอาน้ำมูกไหลย้อยของเธอมาป้ายฉัน แอบป้ายอยู่ที่หลังของฉัน…” ทันใดนั้นเย่เทียนเฉินที่อยู่ด้านหลังของหลิงอวี่สวิ๋นพูดออกมาเสียงดัง

“อา!” เสียงดังปักเกิดขึ้น ก้นของหลิงอวี่สวิ๋นตกจากเก้าอี้กระแทกลงกับพื้นอย่างแรง ก้นงอนงามพลันเกิดความเจ็บปวดขึ้น…

ไม่ว่าจะเป็นคำขอร้องอะไรของเสี้ยวหยาและพ่อของเธอก็ล้วนแต่เป็นเพราะไม่มีเงิน ยังไม่สู้เย่เทียนเฉินที่มือไวเท้าไวอัดหวางจื้อลี่ที่เป็นรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลซึ่งมีนิสัยเห็นแก่ตัวจนต้องรีบไสก้นไปนำห้องผู้ป่วย VIP ออกมาให้ และยังต้องรีบโทรศัพท์ไปรวบรวมเหล่าผู้เชี่ยวชาญทางด้านอายุรศาสตร์และศัลยกรรมศาสตร์ของโรงพยาบาลแห่งเมืองหลวงมาวินิจฉัยโรคให้กับคุณแม่ของเสี้ยวหยา คนบางคนก็ชอบเล่นตัว หากไม่ใช้ไม้แข็งกับเขาสักหน่อย เขาก็จะไม่รู้จักดีชั่ว ต้องลงแรงอัดแรงๆ สักครั้งถึงจะซื่อสัตย์ขึ้นมาได้

หวางจื้อลี่และหมอทั้งสองคนที่ถูกเย่เทียนเฉินอัด เบื้องหน้าไม่กล้าต่อต้านอะไรอีก โทรศัพท์ไปให้เหล่าหมอผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางรีบมาในตอนกลางคืน แต่ความจริงแล้วหวางจื้อลี่ใช้ความสัมพันธ์ของตนเองกับสถานีตำรวจ ต่อสายไปหาผู้อำนวยการสำนักความปลอดภัยสาธารณะด้วยตัวเอง ให้เขาพาคนมาเก็บกวาดเย่เทียนเฉิน

“น้องเย่ครับ ผู้ป่วยไม่ได้มีอะไรสาหัสแล้วครับ ถึงแม้ว่าจะยังไม่รู้ว่าเป็นโรคอะไร แต่พวกเราก็ได้ให้น้ำเกลือกับผู้ป่วยแล้วครับ ผ่อนคลายความเจ็บปวดแล้ว เหลือแค่รอให้เหล่าผู้เชี่ยวชาญมาวินิจฉัยและรักษาไปตามโรคครับ!” หวางจื้อลี่ฉีกยิ้มจนเต็มใบหน้าพูดกับเย่เทียนเฉิน

“ผู้เชี่ยวชาญพวกนั้นจะมาได้เมื่อไหร่? คงไม่ต้องรอถึงพรุ่งนี้หรอกนะ?” เย่เทียนเฉินถามด้วยรอยยิ้ม

“ไม่ ไม่ต้องๆ ผมได้โทรหาพวกเขาเรียบร้อยแล้วครับ จะถึงในเร็วๆนี้ จะมาถึงในเร็วๆนี้ครับ…”

เมื่อได้เห็นใบหน้ายิ้มแย้มในตอนนี้ของเย่เทียนเฉิน หวางจื้อลี่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัวจนแผ่นหลังมีเหงื่อเย็นไหลซึมออกมา เพราะไม่ว่าตอนไหนเย่เทียนเฉินก็มักจะมีใบหน้ายิ้มแย้มแบบนี้ ดูไร้พิษภัย ทำให้ผู้คนต้องสั่นสะท้านทั้งๆ ที่อากาศไม่หนาว

“อีกไม่นานก็ถึงแล้ว งั้นพวกคุณออกไปก่อนเถอะ อย่ารบกวนการพักผ่อนของคนไข้เลย” เย่เทียนเฉินเปิดปากพูด

“ได้ ได้ครับ!”

เมื่อเห็นหวางจื้อลี่พาหมอทั้งสองคนออกไปจากห้องผู้ป่วย VIP แล้ว หลิงอวี่สวิ๋นก็อดไม่ได้ที่จะมองเย่เทียนเฉินยิ้มๆ แล้วพูดขึ้นว่า “นายนี้มีกึ๋นดีจริงๆ เลยนะ รองผู้อำนวยการที่น่าเกรงขามก็ยังถูกนายปราบจนอยู่หมัด เจ๋งจริงๆ!”

“คนแบบนี้มันกวนประสาท ไม่อัดไม่ได้!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

เสี้ยวหยาอยู่ข้างกายเป็นเพื่อนคุณแม่มาโดยตลอด เมื่อเห็นว่าความเจ็บปวดของคุณแม่ผ่อนคลายลงบ้างแล้วและค่อยๆหลับไป เสี้ยวหยาถึงจะวางใจลงไปมาก ส่วนพ่อของเธอนั้นได้กลับไปแล้วเพื่อไปจัดการเรื่องภายในบ้านแล้วค่อยมาอยู่เป็นเพื่อนแม่ของเธอที่โรงพยาบาล พรุ่งนี้เสี้ยวหยาก็เริ่มไปเรียนแล้ว ไม่สามารถเฝ้าอยู่ที่โรงพยาบาลได้ตลอด

“หยาเอ๋อร์ พวกเราไปกันเถอะ อย่าไปรบกวนการพักผ่อนของคุณป้าเลย!” เย่เทียนเฉินพูดกับเสี้ยวหยาด้วยเสียงอันเบา

“อืม!” เสี้ยวหยาพยักหน้า ห่มผ้าให้แม่ที่นอนหลับไปแล้ว จึงค่อยออกมาจากห้องผู้ป่วยกับเย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋น

เมื่อดูเวลา ก็เป็นเวลาสองทุ่มกว่าแล้ว เย่เทียนเฉิน เสี้ยวหยาและหลิงอวี่สวิ๋น นั่งอยู่บนโซฟาในห้องโถงชั้นหนึ่งของโรงพยาบาล เสี้ยวหยายังคงกังวลเกี่ยวกับอาการป่วยของแม่ของตน มองไปยังเย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋นแล้วกล่าวขึ้นว่า “ขอบคุณพวกเธอมาก!”

“หยาเอ๋อร์ เธออย่าพูดขอบคุณอะไรกับพวกเราอีกเลย พวกเราเป็นเพื่อนกัน ช่วยกันบ้างก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว!” หลิงอวี่สวิ๋นพูดด้วยรอยยิ้ม

“วันหน้าก็อย่าเห็นพวกเราเป็นคนนอกขนาดนี้เลย ฉันเข้าใจความคิดของเธอดี เงินก็ถือว่าพวกเราให้เธอยืมก็แล้วกัน วันหน้ามีก็ค่อยคืนให้พวกเรา เธอเป็นนักศึกษาที่มีความสามารถสูงของมหาวิทยาลัยหลงเถิง ฉันไม่กังวลหรอกว่าเธอจะคืนไม่ไหว!” เย่เทียนเฉินยิ้มให้เสี้ยวหยาแล้วพูดปลอบใจ

“อืม ขอบคุณมาก!” เสี้ยวหยาพยักหน้า เธอซาบซึ้งใจมากจริงๆ รู้สึกว่าตนเองโชคดีมากที่สามารถพบกับคนดีๆ สองคนอย่างเย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋น และยังได้ช่วยแม่ของตน นี่เป็นความเอาใจใส่ที่สวรรค์มีต่อเธอ

“ฮ่าๆ บอกแล้วไงว่าไม่ต้องพูดขอบคุณอะไรอีก ไปเถอะ ไปหาอะไรกินสักหน่อย!” เย่เทียนเฉินพูดยิ้มๆ

“ฉันไม่ไปหรอก พวกเธอไปกันเถอะ!” เสี้ยวหยาเอ่ยปาก

หลิงอวี่สวิ๋นมองเย่เทียนเฉินแวบหนึ่ง เขาส่งสายตาบอกใบ้มาให้เธอ พวกเขาทั้งสองย่อมสามารถเข้าใจอารมณ์ในตอนนี้ของเสี้ยวหยาได้ เธอเป็นห่วงเรื่องอาการป่วยของคุณแม่ ไหนเลยจะยังมีอารมณ์กินข้าวได้ลงอีก แต่ว่าคนคนนี้จะไม่กินข้าวได้อย่างไร ดูท่าทางแล้วคุณแม่ของเสี้ยวหยามีความเป็นไปได้มากว่าจะต้องแอดมิดทำการผ่าตัด นั่นเป็นสงครามที่ยืดเยื้อเป็นอย่างมาก ตอนที่เสี้ยวหยาไปเรียน ก็ยังมีคุณพ่อที่ดูแลคุณแม่ ในช่วงวันหยุดเธอก็จะมาดูแลแม่ที่โรงพยาบาล อาจจะต้องใช้เวลาหลายเดือน สุขภาพร่างกายย่อมเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

“หยาเอ๋อร์ ไปเถอะ พวกเราไปกินอะไรกันสักหน่อย เธอวางใจได้ มีไอ้บ้าอย่างเย่เทียนเฉินอยู่ทุกอย่างจะต้องไม่มีปัญหาแน่!” หลิงอวี่สวิ๋นยิ้มหวาน จูงมือเสี้ยวหยาแล้วพูดขึ้น

“นี่ เรียกชื่อของฉันสิ เรียกชื่อของฉัน ไม่ต้องเติมคำว่าไอ้บ้าทุกครั้งก็ได้ ทำลายภาพลักษณ์พี่ชายสุดหล่อของฉันเกินไปแล้ว!” เย่เทียนเฉินพูดแล้วจงใจแสร้งทำท่าทางไม่พอใจ

“ชิ นายยังจะมีภาพลักษณ์อะไรอีก ก็เป็นแค่ไอ้บ้าคนหนึ่งเท่านั้น หยาเอ๋อร์ พวกเราอย่าไปสนใจไอ้บ้านี่เลย ไปกินข้าวกันก่อนเถอะ!” หลิงอวี่สวิ๋นพูดแล้วหันไปทำหน้าทะเล้นใส่เย่เทียนเฉิน

เมื่อเห็นว่าเย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋นผลัดกันพูดจาหยอกล้อคนละประโยค เสี้ยวหยาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา ในขณะเดียวกันก็รู้สึกอิจฉาอยู่บ้าง อิจฉาทั้งสองคนที่ไม่มีความกังวลอะไร

เสี้ยวหยามองหลิงอวี่สวิ๋นและเย่เทียนเฉิน รู้ว่าหากตนเองไม่ไปกินข้าว พวกเขาเองก็จะไม่ไป เพื่อนที่ดีทั้งสองคนอย่างพวกเขายุ่งวุ่นวายมาตลอดจนถึงตอนนี้ก็เพื่อช่วยเรื่องคุณแม่ของตน กระทั่งข้าวเย็นก็ยังไม่ได้กิน ในใจจึงรู้สึกไม่ดี ถึงแม้ว่าจะเป็นห่วงเรื่องอาการป่วยของคุณแม่ แต่ก็ไม่อาจปล่อยให้เพื่อนที่ช่วยเธออย่างจริงใจทั้งสองคนนี้หิวได้

“ได้ ให้ฉันเลี้ยงพวกเธอทั้งสองเอง แต่ว่าแค่ก๋วยเตี๋ยวเท่านั้นนะ!” ในที่สุดเสี้ยวหยาก็พูดออกมาด้วยรอยยิ้มอันบริสุทธิ์

“ดี ก๋วยเตี๋ยวเป็นของดี ฉันชอบกินบะหมี่ผัดซอสที่แม่ของฉันทำที่สุด!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

“อืม ฉันค่อนข้างที่จะชอบกินก๋วยเตี๋ยวนะ ไปเถอะ!” หลิงอวี่สวิ๋นเองก็พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

เสี้ยวหยาจดจำบุญคุณที่เย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋นมีต่อเธอเอาไว้ในใจอย่างเงียบๆ ได้พบกับเพื่อนที่ดีทั้งสองคนแบบนี้ ในใจของเธอรู้สึกยินดีมากจริงๆ

สาวสวยทั้งสองคนอย่างหลิงอวี่สวิ๋นและเสี้ยวหยากำลังจูงมือกันเดินไปที่ประตูของโรงพยาบาล เตรียมจะไปหาอะไรกิน เย่เทียนเฉินตามอยู่ข้างหลัง ไหนเลยจะรู้ว่าเพิ่งจะเดินไปถึงประตูใหญ่ของโรงพยาบาล ก็พบกับหวางจื้อลี่และหมออีกสองคนเดินเข้ามา ครั้งนี้สายตาที่หวางจื้อลี่มองพวกเย่เทียนเฉินทั้งสามคน มีความหยิ่งยโสอย่างเห็นได้ชัด ยโสเป็นอย่างมาก เหมือนกับว่าผู้สนับสนุนได้มาถึงแล้วอย่างไรอย่างนั้น

“รองผู้อำนวยการหวาง เหล่าผู้เชี่ยวชาญมาถึงแล้วเหรอคะ?” เสี้ยวหยาถามเสียงเบา

“หึ ผู้เชี่ยวชาญ มีผู้ชี่ยวชาญอะไรกัน ผู้เชี่ยวชาญไม่ได้ทำงานตรวจโรคให้กับคนธรรมดาหรอก พวกแกรีบพาผู้ป่วยออกไปจากโรงพยาบาลซะ ไม่งั้นก็อย่ามาโทษที่ฉันไม่เกรงใจ!” หวางจื้อลี่แค่นเสียงเย็นครั้งหนึ่ง พูดขึ้นด้วยหน้าตาท่าทางที่เริ่มจะเปลี่ยนไปเป็นยโสโอหัง

“รองผู้อำนวยการหวางคะ ไม่ใช่คุณบอกว่าได้โทรศัพท์ไปหาผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นแล้วเหรอคะ?” เสี้ยวหยาอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง เอ่ยถามออกไปด้วยรู้สึกอัดอั้นตันใจ

“โทร? คนที่ฉันโทรเรียกมาไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญแต่เป็นตำรวจ กล้ามาก่อเรื่องในถิ่นของฉัน รนหาที่ตาย!”

หวางจื้อลี่ไม่ส่งอะไรออกไปแล้ว เพราะว่าเส้นสายของเขาได้มาถึงแล้ว คนของสำนักความปลอดภัยสาธารณะมาถึงแล้ว แล้วคนที่มาก็ยังเป็นผู้อำนวยการหลู เกรงว่าต่อให้เป็นคนที่โอหังยิ่งกว่านี้ ต่อหน้าตำรวจก็คงจะโอหังไม่ออก เขารู้สึกได้ว่าเอวของตนเองแข็งขึ้นไม่น้อย

“คุณ…คุณจะไร้ยางอายเกินไปแล้ว…” หลิงอวี่สวิ๋นทนไม่ไหว รู้สึกอยากจะอัดหวางจื้อลี่แรงๆ เช่นเดียวกัน นี่เป็นคนถ่อยที่หน้าด้านไร้ยางอายคนหนึ่งโดยสิ้นเชิง เป็นแบบฉบับของพวกที่ชอบรังแกคนอ่อนแอหวาดกลัวคนแข็งแกร่ง

“ตอนนี้พวกแกรีบไสหัวออกไปจากโรงพยาบาลให้ฉันซะ ไม่งั้นก็ไปนั่งในสถานีตำรวจสักหน่อยเถอะ!” หวางจื้อลี่พูดพลางมองเย่เทียนเฉินด้วยสายตาดุดัน

เย่เทียนเฉินเดินเข้าไปตรงหน้า มองหวางจื้อลี่แล้วพูดขึ้นด้วยท่าทางไม่สะทกสะท้าน “รีบไปหาผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นมาซะ ฉันไม่มีอารมณ์มาเล่นไร้สาระกับแก!”

“หึ ไอ้ลูกเต่า แกคิดว่าแกเป็นใคร ต่อหน้าผู้อำนวยการหลูก็ยังกล้าโอหัง รนหาที่ตาย!”

ในขณะที่พูดหวางจื้อลี่ก็หลบทางไปข้างๆ หลูเซิ่งต๋าก็พาเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกสองนายมาปรากฏตัวต่อหน้าเย่เทียนเฉิน หลูเซิ่งต๋าเป็นคนของสถานีตำรวจที่มีความสัมพันธ์กับหวางจื้อลี่ แถมยังเป็นความสัมพันธ์ที่ดีมากอีกด้วย เดิมทีเมื่อได้รับโทรศัพท์ของหวางจื้อลี่ ก็มาช่วยหวางจื้อลี่ด้วยความโกรธ แต่เมื่อเห็นเย่เทียนเฉิน ก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี ในใจรู้สึกอนาถเป็นอย่างมาก ในขณะเดียวกันก็รู้สึกอับจนคำพูด ลอบคิดว่าหวางจื้อลี่คนนี้ซวยจริงๆ มีคนมากมายไม่ไปหาเรื่อง แต่กลับมาหาเรื่องเย่เทียนเฉิน ไม่ใช่ว่ารนหาที่ตายหรอกหรือ?

“สะ สหายเย่ ที่แท้ก็เป็นคุณนี่เอง…” หลูเซิ่งต๋าพูดด้วยรอยยิ้มกระอักกระอ่วน

“ผู้อำนวยการหลูสวัสดีตอนเย็นครับ มีเรื่องอะไรเหรอครับ?” เย่เทียนเฉินกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม

“ไม่ ไม่มี ไม่มีเรื่องอะไรครับ!” หลูเซิ่งต๋าพูดอย่างตะกุกตะกัก

ฉากนี้ไม่เพียงแต่ทำให้หวางจื้อลี่รู้สึกประหลาดจนยากแก่ความเข้าใจ กระทั่งเสี้ยวหยาและหลิงอวี่สวิ๋นที่อยู่ข้างๆ ก็ยังตกใจ หลูเซิ่งต๋าเป็นใคร? ผู้อำนวยการสำนักความปลอดภัยสาธารณะแห่งเมืองหลวง เมื่อเปรียบเทียบกับผู้อำนวยการสำนักความปลอดภัยสาธารณะของเมืองอื่นๆ เกรงว่าตำแหน่งจะสูงกว่ามาก เดิมทียังรู้สึกกังวลว่าเย่เทียนเฉินจะถูกจับไปที่สํานักงานความปลอดภัยสาธารณะ ไหนเลยจะรู้ว่าหลูเซิ่งต๋าเห็นเย่เทียนเฉิน จะถึงกับเคารพนอบน้อม ทำให้ผู้คนอยากจะเชื่อจริงๆ ทำเอาหลิงอวี่สวิ๋นและเสี้ยวหยาทั้งสองคนมองเย่เทียนเฉินเหมือนกับมองมนุษย์ต่างดาว

“ผู้อำนวยการหลู เป็น เป็นไอ้ลูกเต่านี่มาก่อเรื่องครับ แล้วยังกล้าลงมือทำร้ายผู้อาวุโส จับเขาไปที่สถานีตำรวจสั่งสอนเขาแรงๆ สักหน่อยเถอะครับ!” หวางจื้อลี่เห็นหลูเซิ่งต๋าไม่ลงมือ จึงอดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไป มองเย่เทียนเฉินอย่างดุดันแล้วพูดขึ้น

หลูเซิ่งต๋าขมวดคิ้ว ยิ้มให้เย่เทียนเฉินด้วยความกระอักกระอ่วน แล้วสงสัยตาบอกใบ้ไปให้หวางจื้อลี่ ให้เขาไม่ต้องพูดอะไรอีก ให้เขารู้ตัวสักหน่อย ไหนเลยจะรู้ว่าหวางจื้อลี่จะไม่รู้ความขึ้นมา สิ่งสำคัญเป็นเพราะคนๆ นี้ยโสโอหังจนเคยตัว รวมกับที่หลูเซิ่งต๋าซึ่งเป็นผู้อำนวยการสำนักความปลอดภัยสาธารณะแห่งเมืองหลวงมาแล้ว ในใจของเขาจึงยิ่งมั่นใจมากขึ้น ดังนั้นจึงมองเย่เทียนเฉินแล้วพูดอย่างดุดันต่อไปว่า “ผู้อำนวยการหลูครับ ไอ้ลูกเต่านี่กล้าลงมือทำร้ายคน ทำไมไม่จับเขาไปล่ะครับ?”

ผัวะ!

ตบหน้าไปครั้งหนึ่ง เย่เทียนเฉินไม่ได้พูดอะไรมากก็ตบหวางจื้อลี่ไปครั้งหนึ่งแล้ว ตบจนหวางจื้อลี่มึงงง หลิงอวี่สวิ๋นและเสี้ยวหยาก็ตกใจจนอ้าปากเล็กๆ อันเซ็กซี่กว้าง มองฉากที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้อย่างไม่อยากจะเชื่อ ทำร้ายคนต่อหน้าผู้อำนวยการสำนักความปลอดภัยสาธารณะ เย่เทียนเฉินจะกล้าหาญเกินไปหรือเปล่า?

“ผู้อำนวยการหลู ผมทำร้ายคนแล้ว จับผมไปสิครับ?” เย่เทียนเฉินมองไปทางหลูเซิ่งต๋าแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม

พยาบาลสาวสวยกลุ่มใหญ่ยืนล้อมอยู่ในห้องโถงชั้นหนึ่งของโรงพยาบาลแห่งเมืองหลวง ทุกคนอ้าปากกว้าง ดวงตาอันงดงามเบิกกว้างมองไปทางเย่เทียนเฉิน จะอย่างไรพวกเธอก็คิดไม่ถึงว่าหวางจื้อลี่ที่ใช้อำนาจบาตรใหญ่มาโดยตลอด กระทั่งข้าราชการใหญ่หลายคนในเมืองหลวงก็ช่วยเหลือเขา วันนี้จะถึงกับถูกอัดได้ ถูกเย่เทียนเฉินใช้เท้าถีบเขาจนกระเด็นออกไป ในขณะเดียวกันพยาบาลเล็กๆ หลายคนก็ใช้ดวงตาทั้งสองที่เจือไปด้วยความรักมองไปยังเย่เทียนเฉิน รู้สึกว่าสุดหล่อที่อายุห่างจากพวกเธอไม่มากคนนี้ดูดีมีสไตล์มากจริงๆ ให้ความรู้สึกของลูกผู้ชายยิ่งนัก

เย่เทียนเฉินลงมือโดยไม่จำเป็นต้องกังวลให้มากเกินไป และไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลให้มากจนเกินไป เขาเป็นเพียงคนที่ทำตามหลักการโดยไม่สนใจตัวคน คุณมีเหตุผลเขาก็จะหลีกทางให้คุณอยู่สามส่วน คุณไม่มีเหตุผลแล้วยังกล้ามาโอหัง ก็จะได้รับเพียงฝ่าเท้าของเขาเท่านั้น โลกแห่งนี้เดิมทีก็เป็นโลกที่ไม่ยุติธรรมอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นในช่วงยุคสิ้นโลกหรือว่าเป็นโลกใบนี้ ก็ล้วนแต่เป็นโลกที่ปลาใหญ่กินปลาเล็ก หากอ่อนแอก็จะต้องถูกรังแก แต่ว่าหลักการของเย่เทียนเฉินนั้นตรงไปตรงมาและเรียบง่ายเป็นอย่างมาก เรื่องที่ไม่ยุติธรรมขอเพียงแค่ถูกเขาพบ ก็จะจัดการให้สักหน่อย

สำหรับเสี้ยวหยานั้น ในใจของเย่เทียนเฉินรู้สึกสงสารอยู่บ้างจริงๆ ผู้หญิงที่มีหน้าตาเหมือนกับผู้หญิงที่เขารักอย่างลึกซึ้งในช่วงยุคสิ้นโลกคนนี้ มีจิตใจที่อ่อนโยนดีงามเหมือนกัน มีความเหมือนกันมากจนเกินไป กระตุ้นความทรงจำของเย่เทียนเฉินมากเกินไป ไม่รู้วันนี้เป็นความบังเอิญหรือเป็นพรหมลิขิต ในช่วงยุคสิ้นโลกผู้หญิงที่เย่เทียนเฉินรักอย่างลึกซึ้งนั้นได้ตายไปแล้ว เมื่อได้มาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ ถึงกับได้พบกับเสี้ยวหยาที่มีความคล้ายคลึงกัน ทั้งหมดทั้งมวลนี้ดูเหมือนกับว่าจะเป็นสวรรค์ลิขิต

ไม่ว่าจะอย่างไรเย่เทียนเฉินก็ได้ตัดสินใจแล้วว่าจะปกป้องเสี้ยวหยา จะไม่อนุญาตให้ใครหน้าไหนก็ตามมาทำร้ายเธอเด็ดขาด!

“ไม่ ไม่มี ไอ้หนู ฉันขอเตือนแกให้รู้จักสถานการณ์ซะบ้าง ถึงตอนนั้นอาจจะเกิดความผิดพลาดอะไรโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัวขึ้นมาก็ได้!” แม้ว่าหวางจื้อลี่จะตกใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้กลัว คิดว่าตนเองเป็นถึงรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลแห่งเมืองหลวงที่น่าเกรงขามคนหนึ่ง ตลอดมาก็ล้วนมีคนอื่นคอยช่วยเหลือเขา กระทั่งข้าราชการระดับสูงบางคนในเมืองหลวงก็ยังต้องช่วยเขา นอกจากนี้เขายังมีความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับคนในสำนักความปลอดภัยสาธารณะ จุดนี้มีน้อยคนมากที่จะรู้

ดังนั้นเมื่อคิดถึงตรงนี้ ความกลัวที่เดิมทีมีอยู่ในใจของหวางจื้อลี่นิดหน่อยก็เลือนหายไปจนหมดสิ้น คิดว่าเย่เทียนเฉินกล้าลงมืออัดตนเองก็เพราะเขาเป็นคนมุทะลุคนหนึ่ง เป็นเด็กหนุ่มที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำก็เท่านั้น พอเขาใช้ความสัมพันธ์เหล่านี้เก็บกวาดชายหนุ่มตรงหน้า ก็จะไม่มีปัญหาเลยแม้แต่น้อย

ผัวะ!

เย่เทียนเฉินใช้เท้ากระทืบลงไปบนใบหน้าของหวางจื้อลี่โดยตรง เหยียบจนศีรษะของเขาแนบอยู่กับพื้นอย่างแรง แล้วพูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า “ฉันไม่มีความอดทนหรอกนะ ช่วยคนก็ต้องรีบเหมือนดับไฟ มีแค่สองเรื่องที่แกต้องทำ เรื่องแรกเอาห้องผู้ป่วย VIP ที่เหลือนั่นออกมาซะ เรื่องที่สองเรียกรวมตัวผู้เชี่ยวชาญทางด้านอายุรศาสตร์และศัลยศาสตร์ทั้งหมดที่มีในโรงพยาบาลมาวินิจฉัยโรค ทันที ตอนนี้ เดี๋ยวนี้ เข้าใจหรือยัง?”

“แก…แกก่อเรื่องทำร้ายผู้คนที่โรงพยาบาล จะต้องได้นั่งในคุกแน่!” หวางจื้อลี่ยังคงพูดออกมาอย่างไม่ยอมแพ้

“อ๊าก…”

พริบตาต่อมาหวางจื้อลี่พลันกรีดร้องขึ้น เย่เทียนเฉินไม่ให้เขาพูดอะไรเลยโดยสิ้นเชิง กับคนที่ความตายก็ไม่อาจทำให้เปลี่ยนแปลงได้แบบนี้ ไม่มีอะไรต้องพูดให้มากความ เย่เทียนเฉินเพิ่มความแรงของขาขวาที่เหยียบอยู่บนใบหน้าโดยตรง ออกแรงกดลงไปเล็กน้อย ใบหูของหวางจื้อลี่เสียดสีจนมีคราบเลือดออกมา เจ็บปวดจนต้องกรีดร้องราวกับหมูถูกเชือด น้องสาวพยาบาลตัวน้อยเหล่านั้นที่อยู่รอบๆ เห็นแล้วก็รู้สึกสั่นสะท้านอยู่ในใจ แต่ในใจของคนจำนวนมากก็ยังแอบร้องว่าดี หวางจื้อลี่คนนี้ไม่เพียงแต่ยโสโอหังใช้อำนาจบาตรใหญ่ เขายังคอรัปชั่นและเจ้าชู้เป็นอย่างมาก ชอบใช้ประโยชน์จากอำนาจหน้าที่ของตนเองหยอกล้อกับเหล่าพยาบาลอย่างพวกเธอ หากว่ามีใครที่ไม่เชื่อฟังก็จะถูกหักเงินเดือน กระทั่งถูกไล่ออกด้วยข้ออ้างต่างๆ นานา

วันนี้ในสังคมนี้ ทุกคนไม่ได้กำลังใช้ชีวิตแต่เป็นดำรงชีวิต หากต้องการกินข้าวหนึ่งถ้วยหรือหางานสักหนึ่งงานเป็นเรื่องยากมาก หลายคนที่ทำได้เพียงเลือกที่จะอดทนเอาไว้ โดยเฉพาะผู้หญิง ไม่ง่ายเลยที่จะใช้ชีวิตอยู่ในสังคมแบบนี้

“อย่า น้องชาย วะ ไว้ชีวิตด้วย…ผมทำ สองเรื่องนี้ ผมจะทำตามนั้น!”

คนอย่างหวางจื้อลี่ เดิมทีก็เป็นคนที่เห็นแก่ตัวอยู่แล้ว แต่คนประเภทนี้มีจุดใหญ่ๆ ที่ทำให้คนอื่นดูถูกเหยียดหยามอยู่ นั่นก็คือรังแกคนอ่อนแอหวาดกลัวผู้แข็งแกร่ง ถูกเย่เทียนเฉินเหยียบไปสองครั้งจน “กระดูกที่แข็งกร้าว” ของเขาหัก พริบตานั้นจึงรู้จักโอนอ่อนแล้วจึงรีบเอ่ยปากขอร้อง ทำให้น้องสาวพยาบาลที่ล้อมรอบดูความครึกครื้นอยู่นั้นอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา คนแบบนี้อยากจะให้ถูกเหยียบให้แบนตายไปเลยจริงๆ

เย่เทียนเฉินมองหวางจื้อลี่แวบหนึ่ง คลายเท้าที่เหยียบอยู่บนศีรษะของเขาออก ปล่อยให้หวางจื้อลี่ลุกขึ้นยืน พูดอย่างยิ้มแย้มว่า “ภายในครึ่งชั่วโมงสองเรื่องนี้จะต้องทำให้เสร็จ ไม่งั้นคืนนี้รองผู้อำนวยการหวางอย่างคุณจะมีปัญหาใหญ่แล้ว!”

ใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้มไร้พิษภัยได้กลายเป็นป้ายยี่ห้อของเย่เทียนเฉินไปแล้ว ไม่ว่าจะในเวลาปกติหรือตอนที่อัดคน หรือกระทั่งตอนที่ฆ่าคน โดยปกติแล้วเขาก็จะมีท่าทีเช่นนี้ ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้ม ทำให้คนมองไม่ออกว่าตกลงแล้วเขาโกรธหรือว่าไม่ได้โกรธกันแน่ แต่ว่าคนที่ถูกเย่เทียนเฉินสั่งสอนด้วยใบหน้าแบบนี้ ตอนที่พวกเขาเห็นรอยยิ้มของเย่เทียนเฉินล้วนไม่ได้รู้สึกถึงความอ่อนโยนเลยแม้แต่ครึ่งสวน กลับมองว่ามันเป็นรอยยิ้มของเทพแห่งความตาย ทำให้รู้สึกเหน็บหนาวอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ

“ระ รู้แล้วครับ ผมจะรีบไปจัดการเดี๋ยวนี้ ผมจะรีบไปจัดการเดี๋ยวนี้!” หวางจื้อลี่หัวเราะฮี่ๆ แล้วรีบไปจัดการโดยไม่สนใจบาดแผลบนใบหน้าของตนเอง

เมื่อเห็นหวางจื้อลี่พาหมอทั้งสองคนจากไป เย่เทียนเฉินก็ยิ้มเดินไปเบื้องหน้าของเสี้ยวหยาแล้วพูดว่า “หยาเอ๋อร์ พวกเราพาแม่ของเธอไปส่งที่ห้อง VIP ก่อนเถอะ แบบนี้จะได้สะดวกขึ้นสักหน่อย รอให้ผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นมาถึงก่อนแล้วค่อยให้พวกเขาวินิจฉัยโรคให้แม่ของเธอ แบบนี้เชื่อว่าไม่นานก็จะสามารถได้รับการรักษาตามปกติแล้ว!”

เสี้ยวหยาได้สติกลับมาก็มองไปยังเย่เทียนเฉิน เธอไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดีจริงๆ เธอก็แค่พบกับเย่เทียนเฉินโดยบังเอิญเท่านั้น แต่เขาก็ยังคอยช่วยเธออย่างจริงใจ หลิงอวี่สวิ๋นก็เช่นเดียวกัน ได้พบกับคนดีทั้งสองคนแบบนี้ เสี้ยวหยารู้สึกว่าการที่ตนเองได้เรียนที่มหาวิทยาลัยหลงเถิงเป็นตัวเลือกที่ถูกต้องแล้วจริงๆ

“ขอบคุณ ขอบคุณนายมาก!” เสี้ยวหยามองไปยังเย่เทียนเฉินดวงตาที่คลอไปด้วยน้ำตาแล้วพูดขึ้น

“ฮ่าๆ วันหลังก็ไม่ต้องพูดขอบคุณอะไรอีก เรียกฉันว่าเทียนเฉินก็พอแล้ว พวกเราเป็นเพื่อนกันไม่จำเป็นต้องเกรงใจแบบนี้หรอก!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

“อื้อ!” เสี้ยวหยาพยักหน้า จดจำบุญคุณครั้งนี้เอาไว้ในใจ

เย่เทียนเฉินมองพยาบาลสาวสวยรอบๆ ทุกคนต่างก็เบิกตาอันสวยงามจนกว้างจ้องมองมาทางตนเอง ราวกับว่าตนเองเป็นมนุษย์ต่างดาวอย่างไรอย่างนั้น ทำให้เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะหยอกล้อขึ้นมา!

“สาวสวยทุกท่านครับ วันนี้ผมคงไม่ไปจากที่นี่หรอก หากว่าสนใจล่ะก็ สามารถมาหาได้ ผมเป็นพวกเข้ากับคนง่ายนะครับ!” เย่เทียนเฉินมีท่าทางดุจหมาป่า มองพยาบาลสาวสวยกลุ่มนั้นด้วยรอยยิ้มน่าเกลียดแล้วพูดขึ้น

เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉินและได้เห็นท่าทางน่าเกลียดของคนคนนี้ พยาบาลสาวสวยหลายคนก็ได้สติกลับมา ต่างพากันกรอกตาใส่เขา รีบไปวุ่นวายกับเรื่องงานของตนเอง ผู้ป่วยภายในโรงพยาบาลแห่งเมืองหลวงเต็มอยู่ตลอดเวลา โรงพยาบาลใหญ่เช่นนี้ยังครึกครื้นเสียยิ่งกว่าตลาดสดมากนัก ดังนั้นน้องสาวพยาบาลเหล่านี้ต่างก็ยุ่งและลำบากมาก

แน่นอนว่าในหมู่คนเหล่านี้ก็มีคนที่ค่อนข้างจะใจกล้าอยู่ด้วย ส่งสายตาเจ้าชู้มาให้เย่เทียนเฉินโดยตรง ท่าทางเช่นนั้นราวกับจะกล่าวว่า ลูกแกะน้อย เดี๋ยวคืนนี้จะไปหานะจ๊ะ ทำเอาเย่เทียนเฉินตกใจจนตัวสั่น เหล่าสาวงามในปัจจุบันนี้มีความใจกล้าไม่น้อยเลยจริงๆ

ไม่นาน เย่เทียนเฉินก็ช่วยเหลือเสี้ยวหยาและพ่อของเธอพาคุณแม่ของเสี้ยวหยาไปส่งที่ห้องผู้ป่วย VIP หวางจื้อลี่ถูกเย่เทียนเฉินอัดไปยกหนึ่ง ถึงแม้ว่าในใจจะรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก แต่ต่อหน้าก็ยังไม่กล้าหาเรื่อง อย่างไรก็ตามเขาได้แจ้งกับผู้ที่เขามีความสัมพันธ์ด้วยในสำนักความปลอดภัยสาธารณะอย่างลับๆ แล้ว นี่เป็นความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งมาก คนของสำนักงานความปลอดภัยสาธารณะนั้นมาแล้ว แล้วยังเป็นคนตำแหน่งใหญ่โตพากองกำลังมาด้วยตัวเอง เห็นได้ชัดว่าความสัมพันธ์ของหวางจื้อลี่แข็งแกร่งขนาดไหน

“รองผู้อำนวยการหวาง คุณโทรหาสำนักความปลอดภัยสาธารณะแล้วใช่ไหมครับ?” หมอหนึ่งคนในนั้นที่ถูกอัดด้วยเช่นกันเอ่ยถามขึ้น

“หึ ฉันโทรไปแล้ว สำนักความปลอดภัยสาธารณะได้ส่งคนมาแล้ว ได้ลูกเต่านี่ ฉันจะต้องสั่งสอนมันแรงๆ อย่างแน่นอน!” หวางจื้อลี่แค่นเสียงเย็นครั้งหนึ่งแล้วพูดขึ้น

“แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่มีคนกล้าลงมือกับรองผู้อำนวยการหวางของพวกเรา จำเป็นต้องสั่งสอนมันให้ถึงตายถึงจะถูก!” หมออีกคนที่ถูกอัดเองก็พูดขึ้นมาอย่างดุดัน

“วางใจเถอะ พอไอ้ลูกเต๋านี่ถูกจับเข้าไปในสำนักความปลอดภัยสาธารณะ ก็อาศัยความสัมพันธ์ของฉันกับผู้อำนวยการหลู เพียงแค่หนึ่งประโยคก็สามารถทำให้ไอ้หนูนี่อยากอยู่ก็อยู่ไม่ได้อยากตายก็ตายไม่ได้!” หวางจื้อลี่พูดด้วยท่าทางมืดครึ้ม

“งั้นรองผู้อำนวยการหวางครับ ตอนนี้พวกเราจะทำยังไงดีครับ?”

“ทำตามที่ไอ้ลูกเต่านั้นพูดไปก่อน อย่าไปหาเรื่องมันชั่วคราว ไอ้หนูนี่ไม่เกรงกลัวฟ้าดิน ไม่จำเป็นที่จะต้องไปหาเรื่อง ทำให้มันเชื่อไปก่อน รอจนคนของสำนักความปลอดภัยสาธารณะมา ฉันก็จะมีวิธีเก็บกวาดชีวิตน้อยๆ ของไอ้หนูนี่!” หวางจื้อลี่กัดฟันพูด

แม่ของเสี้ยวหยาถูกส่งไปที่ห้องผู้ป่วย VIP ด้วยความรวดเร็ว แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องกังวลปัญหาด้านค่าใช้จ่ายทั้งหมด มีเย่เทียนเฉินที่เป็นประธานกรรมการของเครือไห่หวางอยู่ มีมหาเศรษฐีอยู่ด้วยทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไม่ใช่ปัญหา ตลอดทางเย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋นต่างก็อยู่เป็นเพื่อน อย่ามองเพียงแค่ว่าหลิงอวี่สวิ๋นมีท่าทางเปิดเผยเฮฮาแบบนั้นเพียงด้านเดียว เธอเป็นผู้หญิงที่ละเอียดอ่อนมากคนหนึ่ง จิตใจก็งดงามเป็นอย่างมาก ในตอนที่เสี้ยวหยาและเย่เทียนเฉินไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ หลิงอวี่สวิ๋นก็สอบถามสถานะการณ์กับคุณหมออยู่ตลอด

“ไม่ได้เจอกันหลายปีขนาดนี้ เธอก็ชอบช่วยเหลือผู้อื่นแบบนั้นด้วยหรอ!” เย่เทียนเฉินจงใจพูดจาหยอกล้อหลิงอวี่สวิ๋น

หลิงอวี่สวิ๋นกรอกตาใส่เย่เทียนเฉินครั้งหนึ่ง ยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์แล้วพูดขึ้นว่า “ฉันช่วยหยาเอ๋อร์เพราะว่าถูกชะตากับเธอ แล้วนายล่ะ? อยากจะจีบเธอใช่ไหม?”

“หา? ถูกเธอเดาออกแล้วหรอ? ไม่จริงน่า ดูท่าเธอจะเป็นกูรูด้านความรักสินะ!” เย่เทียนเฉินจงใจพูดออกมาด้วยท่าทางเกินจริง

เมื่อเห็นท่าทีเช่นนี้ของเย่เทียนเฉินและได้ยินคำพูดของเขา หลิงอวี่สวิ๋นก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ในใจมีความไม่สบายใจเล็กน้อยวาบผ่าน เธอเองก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ไม่นานก็สงบลง ใช้ดวงตาอันงดงามจ้องมองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น “ให้มันน้อยๆ หน่อย หยาเอ๋อร์เป็นผู้หญิงที่บริสุทธิ์จิตใจดีคนหนึ่ง นายอย่าไปหลอกลวงเธอเลย ไม่จริงใจ!”

“ฉันเนี่ยนะไม่จริงใจ? ตั้งแต่เล็กจนโตก็เป็นคนที่จริงใจที่สุดแล้ว เป็นเธอมากกว่าที่พูดจาไม่เป็นคำพูด บอกว่าโตแล้วจะแต่งให้ฉัน ตอนนี้ยังมาทำหน้าด้านอีก เห้อ ชีวิตฉันระทมทุกข์ดีแท้ ยังโสดมาจนถึงทุกวันนี้ ตอนกลางคืนก็ทำได้แค่เผชิญกับความทุกข์อย่างโดดเดี่ยว…” เย่เทียนเฉินพูดขึ้น แสร้งทำท่าทางน่าสงสาร

“ไอ้บ้า!”

“โอ๊ย!”

เย่เทียนเฉินถูกหลิงอวี่สวิ๋นหยิกเข้าที่แขนอีกแล้ว คนคนนี้ตอนเด็กก็ชอบใช้วิธีนี้มารับมือกับเย่เทียนเฉิน ตอนที่เขาทำตัวแย่ๆ กับเธอหลิงอวี่สวิ๋นก็จะใช้วิธีนี้ และทุกครั้งก็เหมือนกันกับตอนนี้ จะยิ้มหวานอย่างเบิกบาน ในใจมีความรู้สึกเป็นสุข!

ถึงแม้ว่าเย่เทียนเฉินจะเป็นคนที่ทำตามหลักการโดยไม่สนใจตัวคน แต่ว่าในหลายๆ เรื่องก็ยังเข้าใจกฎเกณฑ์ต่างๆ มากกว่าเสี้ยวหยา บางทีไม่อาจจะพูดได้ว่าเข้าใจกฎเกณฑ์มากกว่า แต่สามารถพูดได้ว่า ในยุคปัจจุบันนี้ นับวันก็ยิ่งกลายเป็นวัตถุนิยมมากขึ้น คำที่ว่ามีเงินก็สามารถใช้ผีโม่แป้งได้นั้นไม่เป็นที่นิยมแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่า ถ้าคุณมีเงินคุณก็สามารถใช้ที่โม่แป้งซัดผีได้ นี่ถึงจะเป็นหลักการที่ถูกต้อง หากว่ามีเงินเชื่อว่าเตียงผู้ป่วยหนึ่งเตียงก็สามารถหามาได้

“งั้น งั้นก็ได้ค่ะ ฉันจะช่วยคุณดูสักหน่อย ฉันจะช่วยคุณดู…” คุณพยาบาลพูดด้วยรอยยิ้ม

“อืม ขอบคุณมากนะครับ ผมไม่ขาดเงินหรอก!” เย่เทียนเฉินโบกบัตรสีทองในมือของตนเองไปมา

เสี้ยวหยามองจนตกใจ ไม่รู้ว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น เย่เทียนเฉินยิ้มแล้วส่งสายตาไปให้เธอ เสี้ยวหยาไร้เดียงสาจนเกินไป จิตใจดีงามจนเกินไป และผ่านประสบการณ์เช่นนี้น้อยมาก ในยามปกติก็ตั้งใจเรียน ใช้เวลาไปกับการเข้าเรียนและเลิกเรียน พอกลับถึงบ้านก็ยังต้องทำกับข้าวและดูแลคุณแม่ วิถีชีวิตของครอบครัวล้วนแต่พึ่งพ่อของเสี้ยวหยาคนเดียวคอยค้ำจุนเอาไว้ ดังนั้นเสี้ยวหยาจึงรู้ความมาก ดูเหมือนว่าพอเลิกเรียนก็จะกลับบ้านโดยที่ไม่ออกไปเล่นที่ไหน ต่อให้เพื่อนนักเรียนนัดเธอออกไปเดินช็อปปิ้งเธอก็ไม่ไป เพราะว่าถ้าทำแบบนี้ก็ต้องใช้เงิน

“มีอยู่ห้องหนึ่งค่ะ แต่ว่าไม่สามารถให้พวกคุณเข้าไปได้ ห้องนี้เป็นห้องผู้ป่วย VIP ของโรงพยาบาล ถูกท่านรองผู้อำนวยการจองเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ขอโทษมากจริงๆ ค่ะ!” คุณพยาบาลหาห้องว่างทางโทรศัพท์นานมาก แต่ก็ไม่อาจหาห้องผู้ป่วยที่ว่างได้จึงกล่าวขึ้น

“รองผู้อำนวยการ รองผู้อำนวยการของพวกคุณป่วยเหรอ?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถาม

“เอ่อ ไม่ได้ป่วยค่ะ แต่ว่าเดือนหน้าแม่ของท่านจะมาตรวจอาการป่วยที่โรงพยาบาลของพวกเรา ดังนั้นจึงต้องทำให้ห้องผู้ป่วย VIP ว่างเอาไว้ค่ะ!” คุณพยาบาลเอ่ยปากพูด

“เดือนหน้า? หากว่าผมจำไม่ผิด เดือนนี้ก็เพิ่งจะวันที่หนึ่ง แม่ของเขามาเดือนหน้า หากว่าจะครอบครองห้องผู้ป่วย VIP ไว้จะไม่เกินไปหน่อยเหรอครับ?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาด้วยรอยยิ้มเย็นชา

พยาบาลคนนั้นได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง เดิมทีเธอก็แค่พูดไปตามปากเท่านั้น แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะทำเป็นเรื่องจริงจัง ไม่ว่าใครก็ทราบได้ถึงเหตุผล รองผู้อำนวยการของโรงพยาบาลครอบครองห้องผู้ป่วยเอาไว้หนึ่งห้อง ยังจะมีใครกล้าพูดอะไรอีกแม้แต่ครึ่งคำ? คุณหมอและพยาบาลของโรงพยาบาลไม่มีแม้แต่คนเดียวที่กล้าพูด ผู้ป่วยตลอดจนครอบครัวของผู้ป่วยก็ไม่มีใครสักคนที่กล้าพูด ในสังคมปัจจุบันนี้ ขนาดหมอธรรมดาๆ ก็ไม่สามารถล่วงเกินได้ ยิ่งถ้าเป็นรองผู้อำนวยการล่ะ?

“นี่…ฮ่ะๆ เรื่องนี้พวกเราไม่มีความสามารถ…” คุณพยาบาลทำได้เพียงหัวเราะอย่างกระอักกระอ่วน ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี

“ช่างเถอะ ช่างมันเถอะค่ะ ให้แม่ของฉันพักอยู่ที่ตรงทางเดินหนึ่งคืนเถอะ ไม่เป็นไรหรอก!” เสี้ยวหยารีบเปิดปากพูด เธอรู้ว่าเย่เทียนเฉินอาจจะสามารถปปะทุความโกรธออกมาก็เป็นได้ ขอเพียงแค่เขาโกรธก็จะสามารถลงมือกับทุกคนได้โดยไม่สนว่าจะเป็นใคร เกรงว่าหากเขาโกรธขึ้นมาจริงๆ กระทั่งรองผู้อำนวยการก็คงจะลงมืออัดแรงๆ สักยกก็เป็นได้

“หยาเอ๋อร์ ตรงทางเดินลมพัดแรง ตอนนี้แม่ของเธอก็เพียงแค่เจ็บปวดน้อยลงนิดหน่อยก็เท่านั้น สรุปว่าอาการของโรคเป็นยังไงก็ยังไม่รู้ ถ้าหากว่าวันนี้อาการกำเริบสาหัสที่ทางเดินก็คงจะวุ่นวายมาก แล้วก็จะต้องรีบให้ผู้เชี่ยวชาญวินิจฉัยถึงจะถูก!” เย่เทียนเฉินมองเสี้ยวหยาแล้วพูดขึ้น

“ตะ แต่ว่าผู้เชี่ยวชาญก็เลิกงานกันหมดแล้ว แล้วก็ไม่มีเตียงแล้วด้วย ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาก็ยังต้องการเงินมาก…” เสี้ยวหยากัดริมฝีปากล่างของตนเองแน่น เธอเองก็รู้สิ่งเหล่านี้ที่เย่เทียนเฉินพูดดี เพียงแต่น่าเสียดายที่เธอไม่มีทางทำอะไรได้เลยแม้แต่น้อย นี่เป็นครอบครัวธรรมดาที่ไม่มีอำนาจไม่มีอิทธิพลครอบครัวหนึ่ง และยังไม่มีเงินจนต้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่นไปทั่ว รสชาติการขอร้องคนแบบนั้นช่างไม่ดีเลยจริงๆ

“ไม่เป็นไร มีฉันอยู่ไง ให้ฉันจัดการเถอะ เธอไม่ต้องพูดอะไรหรอก!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

เสี้ยวหยามองเย่เทียนเฉิน ทันใดนั้นก็พบว่า แม้บางครั้งเขาจะมีท่าทางเหลาะแหละไปบ้าง แต่เวลาที่เอาจริงเอาจังขึ้นมาก็สามารถทำให้เธอมีความรู้สึกปลอดภัยอย่างแรงกล้าได้ ผู้ชายที่ชอบพูดเรื่องตลกและมักจะมีใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้มคนนี้ ตั้งแต่ที่เธอได้เจอกับเขา ล้วนช่วยเหลือเธอ ช่วยเหลือเธอโดยที่ไม่เห็นแก่ตัวเลย ทำให้ในใจของเสี้ยวหยารู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมาก

“อืม ฉันจะฟังนาย!” เสี้ยวหยาพูดแล้วพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง

เย่เทียนเฉินยิ้มเล็กน้อย หันไปใช้ฝ่ามือตบลงบนเคาน์เตอร์ พูดอย่างเย็นชาว่า “พวกผมต้องการห้องผู้ป่วย VIP ห้องนั้น เงินไม่ใช่ปัญหา ส่วนรองผู้อำนวยการอะไรนั่น หากว่าเขาต้องการเล่นงานใคร ก็ให้มาหาผม”

“นะ นี่เกรงว่าจะไม่เหมาะสมนะคะ ฉันทำแบบนี้ไม่ได้ค่ะ!”พยาบาลคนนั้นพูดด้วยท่าทางกระอักกระอ่วน เธอไม่กล้าจะทำแบบนั้นจริงๆ หากว่าให้พวกเย่เทียนเฉินเข้าพักในห้อง VIP ที่รองผู้อำนวยการจองเอาไว้จริงๆ เกรงว่าไม่เพียงแต่จะถูกกฎเกณฑ์ลับๆ นั้นเล่นงานเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เป็นไปได้มากกว่ากระทั่งหน้าที่การงานก็อาจจะรักษาไว้ไม่ได้ รวมกับที่นิสัยของรองผู้อำนวยการหุนหันพลันแล่นเป็นอย่างมาก แล้วยังมีความสัมพันธ์กับข้าราชการในเมืองหลวงอีกหลายคน ต่อให้เป็นผู้อำนวยการก็ไม่กล้าล่วงเกินเขาง่ายๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพยาบาลตัวเล็กๆ อย่างเธอเลย

“มีเรื่องอะไรก็ให้รองผู้อำนวยการคนนั้นมาหาผมก็พอแล้ว ห้องผู้ป่วยที่ว่างอยู่ไม่ให้ผู้ป่วยคนอื่นเข้าไปพัก เขาทำแบบนี้เป็นการกระทำที่เห็นแก่ตัวมาก คนแบบเขาไม่สมควรที่จะได้เป็นผู้อำนวยการของโรงพยาบาลแห่งเมืองหลวงหรอก!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างเย็นชา

“หึ ผมไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลแห่งเมืองหลวง หรือคุณจะตัดสินได้หรือไง? พ่อหนุ่ม ผมขอเตือนให้คุณรีบขอโทษและสำนึกผิดกับผมซะดีกว่า ไม่อย่างนั้นผมคงทำได้เพียงให้พวกคุณทุกคนไสหัวออกไปจากโรงพยาบาล!”

ตอนนี้เอง ชายวัยกลางคนอ้วนเตี้ยลงพุงคนหนึ่งเดินเข้ามา ข้างหลังของเขายังมีคุณหมออีกสองคนตามมาด้วย คำพูดเมื่อครู่นี้ได้แสดงถึงฐานะของชายวัยกลางคนคนนี้แล้ว เขาก็คือรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลใหญ่แห่งเมืองหลวง สูงเพียงหนึ่งร้อยหกสิบเซนติเมตร แต่กลับวางท่าเป็นอย่างมาก จะเดินไปที่ไหนก็มีท่าทางของหัวหน้าอยู่ตลอดเวลา ข้างหลังยังมีหมอขี้ประจบติดตามอยู่อีกอยู่สองคน สายตาของเขาที่เย่เทียนเฉินและคนอื่นๆ เห็นให้ความรู้สึกราวกับว่าคำพูดของเขาสามารถตัดสินความเป็นความตายของผู้คนได้อย่างไรอย่างนั้น

ในยุคนี้ หมอล้วนมีฐานะสูงส่ง ไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่จะล่วงเกินได้ แล้วก็ไม่กล้าล่วงเกินด้วย เพราะว่าไม่ว่าใครก็สามารถที่จะป่วยได้ หมอก็เปรียบเหมือนพระผู้ช่วยโลกของมนุษย์ ทุกคนต่างก็หวงแหนชีวิต ย่อมต้องให้ความเคารพกับคนที่สามารถรักษาชีวิตของพวกเขาได้ เพียงแต่ความเคารพนี้ออกจะมากจนเกินไป จึงค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นความนอบน้อมไม่ใช่ความเคารพ

คนในระดับเช่นผู้อำนวยการนี้ จิตใจได้ดำมืดไปนานแล้ว และยังโลภมากอีกด้วย ไหนเลยจะยังเห็นชีวิตคนเป็นชีวิตคนอยู่อีก ดูแคลนเสียยิ่งกว่ามดตัวหนึ่งด้วยซ้ำ ตอนนี้รองผู้อำนวยการที่อ้วนเหมือนหมูพบว่า ถึงกับมีคนกล้ามาตำหนิตนเอง ครอบครัวของผู้ป่วยกล้าตำหนิตนเอง ช่างทำตัวกบฏจริงๆ

“คุณก็คือรองผู้อำนวยการที่เห็นแก่ตัวคนนั้นหรอครับ?” เย่เทียนเฉินเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

เมื่อเห็นว่าเย่เทียนเฉินมีรอยยิ้มปรากฏออกมา ในใจของรองผู้อำนวยการคนนี้ก็ยิ่งได้ใจ คิดว่าอีกฝ่ายก็รู้จักกลัวแล้ว แน่นอนว่าเขาไม่ใช่คนที่ใจกว้างคนหนึ่ง มิฉะนั้นคงไม่ทำเรื่องเห็นแก่ตัวแบบนี้ออกมา จุดด่างพร้อยจำเป็นต้องรายงาน เขามองสำรวจเย่เทียนเฉินด้วยความไม่พอใจ แล้วยังดูถูกเหยียดหยามมากยิ่งขึ้น เพราะท่อนบนของเย่เทียนเฉินสวมเสื้อยืด ส่วนชั้นล่างก็เป็นกางเกงชายหาด แล้วยังสวมรองเท้าแตะอีกด้วย เพียงแค่มองก็รู้ว่าไม่ใช่คนที่ออกมาจากตระกูลสูงหรือตระกูลร่ำรวยอะไร จึงไม่ต้องเกรงใจ สั่งสอนแรงๆ สักครั้งจะดีที่สุด

“ถูกต้อง ผมหวางจื้อลี่ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลแห่งเมืองหลวง เมื่อครู่นี้ผมพึ่งจะได้ยินคุณด่าผม ผมอยากจะฟังสักหน่อย คุณลองด่าอีกครั้งสิ?” หวางจื้อลี่ยื่นศีรษะอ้วนและใบหูใหญ่เข้ามาใกล้เย่เทียนเฉิน ยิ้มเย็นชาพลางพูดออกมาด้วยท่าทางหาเรื่องอยู่มาก

“ตอนนี้ผมไม่อยากด่าแล้วล่ะ!” เย่เทียนเฉินพูดแล้วส่ายหน้ายิ้มๆ

“รู้ตอบว่าไม่กล้าก็ดีแล้ว ไอ้ลูกเต่า รีบมาขอขมาฉันซะ ฉันอาจจะให้อภัย…”

ผัวะ!

หวางจื้อลี่ซึ่งเป็นรองผู้อำนวยการของโรงพยาบาลแห่งเมืองหลวงถูกเย่เทียนเฉินถีบจนกระเด็นออกไป ทั้งยังเป็นการยกขาสูงถีบลงไปบนหน้า ถีบจนกลิ้งลงไปบนพื้นหลายรอบ เหมือนกับลูกบอลเนื้ออย่างไรอย่างนั้น มือซ้ายกุมใบหน้าของตนเองแล้วกรีดร้องออกมา เปิดปากด่าเย่เทียนเฉินอย่างหยาบคาย

“ฉันบอกแล้วว่าฉันไม่อยากจะด่าแกแล้ว แต่ไม่ได้บอกว่าจะไม่อัดแก!” เย่เทียนเฉินยังคงพูดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มไร้พิษภัย

“แก…ดี รีบไล่พวกเขาออกไปจากโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้ โรงพยาบาลแห่งเมืองหลวงของพวกเราจะไม่ต้อนรับผู้ป่วยคนนั้นตลอดไป ให้มันไปตายซะเถอะ!” หวางจื้อลี่เอ่ยปากพูดออกมาอย่างโหดเหี้ยม

หมอสองคนที่จะอยู่ด้านหลังของหวางจื้อลี่ก็ตกตะลึงไปแล้ว มองเย่เทียนเฉินอย่างไม่อยากจะเชื่อ การกระทำเมื่อสักครู่นี้ก็ได้ดึงดูดพยาบาลสาวสวยที่เฝ้าเวรตอนกลางคืนจำนวนมากให้เดินเข้ามา ตอนที่พวกเธอเห็นหวางจื้อลี่ถูกอัด ทั้งหมดต่างก็เบิกตาอันงดงามจนกว้าง อ้าปากเล็กๆ จนกว้าง มีท่าทางไม่อยากจะเชื่อ

หวางจื้อลี่เป็นรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลแห่งเมืองหลวงแห่งนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ข้าราชการใหญ่อะไร แต่คนที่มีตำแหน่งเหมือนเขา ก็จะมีข้าราชการใหญ่จำนวนหนึ่งคอยช่วยเหลือ อย่างไรเสียทุกคนก็สามารถเจ็บป่วยได้ เงื่อนไขแรกที่จะมีอำนาจมีเงินได้ก็จะต้องมีชีวิตก่อน ดังนั้นเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ก็ยังมีเพียงไม่กี่คนที่กล้ามาล่วงเกินหวางจื้อลี่ ที่สำคัญก็คือตำแหน่งที่เขาครอบครองอยู่นั้นไม่ได้ทำให้เขามีอำนาจมีอิทธิพลที่แท้จริงขึ้นมา

“เชิญพวกคุณรีบออกไปจากโรงพยาบาลแห่งเมืองหลวงด้วยครับ พวกเราที่นี่ไม่รับผู้ป่วยคนนั้น!”

หมออีกสองคนที่เหลือเดินเข้ามาเบื้องหน้าเย่เทียนเฉิน ทำท่าทางราวกับว่าหากเย่เทียนเฉินไม่ยอมจากไปก็จะไล่พวกเขาออกไปอย่างรุนแรง

ผัวะ!

ผัวะ!

ไม่จำเป็นต้องมีความกังวลอะไร กับหมอสวะแบบนี้ คนที่ทำให้จรรยาบรรณแพทย์ต้องเสื่อมเสีย มีอะไรต้องพูดมากอีกหรือ? เย่เทียนเฉินยังคงยึดรูปแบบหนึ่งคนหนึ่งเท้า ถีบหมอที่เหลืออีกสองคนจนกระเด็นออกไป ทำให้ผู้หญิงสวยๆ กลุ่มนั้นที่อยู่ในเหตุการณ์ตกใจ จนถึงขั้นรู้สึกเกรงกลัวและรู้สึกตื่นเต้น เนื่องจากเย่เทียนเฉินดุดันเป็นอย่างมาก ผู้ชายที่ทั้งดุดันและฝีมือไม่ธรรมดาผู้หญิงคนไหนจะไม่ชอบบ้างล่ะ?

เย่เทียนเฉินไม่สนใจคนรอบๆ เดินไปทางหวางจื้อลี่ทีละก้าวๆ มุมปากประดับไปด้วยรอยยิ้มเย็นยะเยือก เขาอยากจะฆ่าคนคนนี้จริงๆ แต่ว่าเย่เทียนเฉินไม่อยากจะฆ่าคนต่อหน้าของเสี้ยวหยา ไม่อยากให้เสี้ยวหยาเห็นฉากนองเลือดแบบนี้เพราะจะเป็นการทำร้ายจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ของเธอ ยิ่งไปกว่านั้นอาการป่วยของแม่ของเสี้ยวหยาค่อนข้างสาหัส โรงพยาบาลแห่งเมืองหลวงนับว่าเป็นโรงพยาบาลอันดับต้นๆ ในประเทศ รักษาตัวที่นี่จะดีที่สุด ดังนั้นจึงไว้ชีวิตหวางจื้อลี่ชั่วคราว รอดูท่าทีของเขา

“แก แกต้องการจะทำอะไร! อย่า อย่าเข้ามา…” หวางจื้อลี่รู้สึกหวาดกลัว เขาพบว่าชายอายุน้อยตรงหน้าเหมือนกับปีศาจตัวหนึ่ง วันนี้ตนเองเจอตอแข็งเข้าแล้ว

“ฉันไม่อยากทำอะไร? อยากจะถามดูว่ายังมีห้องผู้ป่วยว่างอยู่หรือเปล่า? ผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นสามารถมาวินิจฉัยโรคที่โรงพยาบาลตอนกลางคืนได้ไหม?” เย่เทียนเฉินมองหวางจื้อลี่ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มไร้พิษสง แต่กลับทำให้หวางจื้อลี่ตกใจจนตัวสั่น บนหน้าผากมีเหงื่อเย็นๆ ซึมออกมา

ขยะสังคม สำหรับขยะสังคมที่รู้จักแต่สูบเลือดสูบเนื้อของคนอื่นประเภทนี้ เย่เทียนเฉินย่อมไม่พูดจาให้มากความ และจะไม่ประณีประนอม ถึงกับนำชีวิตคนอื่นมาล้อเล่น ถ้าไม่ให้เงินก็ไม่ให้ขึ้นรถ ถึงแม้เย่เทียนเฉินจะรู้ดีว่านี่เป็นกฎเกณฑ์ลับๆ ของรถพยาบาลส่วนใหญ่ แต่ว่าขอเพียงถูกเขาพบเข้าเขาก็จะไม่เกรงใจ ในสังคมแห่งนี้มีกฎเกณฑ์ลับๆ อยู่มากมาย และเป็นเพราะกฎเกณฑ์เหล่านี้ จึงทำให้คนจำนวนมากเปลี่ยนไปเหมือนไม่ใช่คน เปลี่ยนไปเป็นเลือดเย็น เปลี่ยนไปเป็นไร้มนุษยธรรม

“คุณ คุณคิดจะทำอะไรครับ? ไม่อยากให้พวกเราช่วยเธอแล้วใช่ไหม?” หมอชายอีกคนหนึ่งเห็นเย่เทียนเฉินถึงกับกล้าลงมือ จึงอดไม่ได้ที่จะใช้นิ้วชี้มือขวาชี้ไปยังเย่เทียนเฉินแล้วตะโกนขึ้น

คนเป็นหมอควรจะมีจิตใจของพ่อแม่ นั่นเป็นคำในยุคสมัยโบราณเพียงเท่านั้น ในยุคปัจจุบันนี้เป็นยุคของเงินตรา ไหนเลยจะยังมีหมอที่มีจิตใจของพ่อแม่อยู่ ท่ามกลางอาชีพการงานมากมาย โดยเฉพาะงานทางด้านการแพทย์ จะมีผู้ป่วยที่ไหนที่กล้าล่วงเกินหมอ? มีครอบครัวของผู้ป่วยคนใดกล้าล่วงเกินหมอ? เมื่อเห็นหมอก็เหมือนกับเห็นพ่อแม่ เนื่องจากพวกเขาสามารถรักษาชีวิตของคุณเอาไว้ได้ นี่จึงทำให้คนส่วนใหญ่มีความเคารพต่อหมอ กระทั่งส่งของขวัญมอบเงิน จึงเป็นเหตุให้หมอบางคนไม่เพียงแต่รับเงินสินบน แต่ยังทำให้หน้าที่ของคนเป็นหมอยุ่งเหยิง สูญเสียจรรยาบรรณแพทย์ อีกทั้งยังใช้อำนาจบาตรใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ หากว่าผู้ป่วยหรือว่าครอบครัวผู้ป่วยไม่ยอมให้ของขวัญ ก็จะไม่ยอมตรวจรักษาให้ดีๆ หลายครั้งที่ไม่ใช่การตรวจรักษา แต่เป็นการตรวจคน ตรวจเบื้องหลังครอบครัวของคนว่ามีเงินหรือไม่ หากไม่มีเงินก็จินตนาการได้เลยว่าจะเป็นอย่างไร

“ให้หมอขยะพวกแกช่วย ช่วยไปก็เสียเปล่า สู้ให้ฉันสั่งสอนพวกแกหน่อยจะดีกว่า!”

พลั่ก!

อีกครั้งหนึ่ง เย่เทียนเฉินเตะหมอชายคนนั้นจนปลิวออกไปแล้วตกลงบนพื้นอย่างรุนแรง เจ็บปวดจนร้องออกมาราวกับหมูถูกเชือด เดิมทีเขาก็ไม่คิดจะพูดอะไรให้มากความกับหมอขยะแบบนี้อยู่แล้ว หวังว่าจะให้พวกเขาช่วยเหลือ ไม่สู้หวังให้พวกเขาฆ่าคนเสียยังจะดีกว่า

ใครก็คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินไม่เพียงแต่ไม่ขอร้องหมอสามคนนี้ กลับยังลงมืออย่างเด็ดขาด อัดหมอชายทั้งสองคนจนหมอบลงกับพื้นและร้องโอดครวญออกมา เกรงว่าในสังคมปัจจุบันนี้ คนที่กล้าทำแบบนี้มีเพียงไม่กี่คน พวกหลิงอวี่สวิ๋นและเสี้ยวหยาก็ไม่รู้ว่าเย่เทียนเฉินกำลังทำอะไรอยู่ หากเป็นคนปกติทั่วไปจะต้องขอร้องหมอหลายคนนี้จึงจะถูก หรือบางทีอาจจะให้เงินพวกเขา เพื่อให้พวกเขาพาแม่ของเสี้ยวหยาไปส่งที่โรงพยาบาล แต่เย่เทียนเฉินกลับเลือกทางเดินที่ต่างออกไป

“คุณถึงกับกล้าลงมือทำร้ายคน หึ ฉันจะดูซิว่าคุณยังจะอยากให้พวกเราช่วยคนอยู่หรือเปล่า พวกเราไป!” พยาบาลหญิงวัยกลางคนที่เหลืออยู่คนนั้นพูดขึ้นมาอย่างโอหัง

ในตอนที่หมอทั้งสามคนอย่างพวกเขายังไม่ได้มีปฏิกิริยา ต่างก็กำลังจมอยู่กับความคิดเหมือนสมัยก่อนอยู่ ไม่มีผู้ป่วยและครอบครัวคนใดที่กล้าไม่เคารพพวกเขา เป็นเช่นนี้จริงๆ ในหมู่พวกเขาสามคนนี้มีคนที่เป็นหมอมาแล้วยี่สิบกว่าปี ยี่สิบกว่าปีมาแล้ว เมื่อเห็นผู้ป่วยเหล่านั้นและครอบครัวของผู้ป่วย ก็ล้วนแต่มีใบหน้ายิ้มแย้มออกมาต้อนรับ แล้วส่งซองแดงมาให้ ไหนเลยจะทำเหมือนเย่เทียนเฉิน ลงมือทำร้ายหมอ?

น่าเสียดายที่พวกเขาพลาดไปแล้ว เย่เทียนเฉินทำตามหลักการโดยไม่สนใจตัวคน ที่ทนมองไม่ได้ที่สุดก็คือพวกขยะที่มีนิสัยเลวทรามเห็นชีวิตคนเป็นผักปลาเช่นนี้ จินตนาการได้เลยว่า หากคนเป็นหมอล้วนไม่มีจิตใจเมตตาสงสาร ทุกๆ คนต่างก็สามารถป่วยได้ แล้วใครจะมาช่วยกันล่ะ?

“มนุษยธรรม เดิมทีผู้หญิงก็ควรจะมีความดีงามมากกว่าผู้ชาย แต่ว่ามีผู้หญิงที่เลวร้ายอย่างเธอโผล่ออกมา ฉันก็ไม่มีอะไรจะพูด!”

เพี๊ยะ!

ตบหน้าไปครั้งหนึ่ง พยาบาลหญิงวัยกลางคนคนนั้นถูกเย่เทียนเฉินใช้ฝ่ามือตบจนล้มลงไปกับพื้น ตกใจจนหวาดกลัวเป็นอย่างมาก กุมหน้าพลางมองไปยังเย่เทียนเฉิน สั่นสะท้านไปทั้งร่าง

“เทียนเฉิน…” หลิงอวี่สวิ๋นดึงแขนเสื้อของเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

“ฉันรู้แล้ว ตอนนี้พวกเราใช้รถของเธอพาแม่ของหยาเอ๋อร์ไปส่งที่โรงพยาบาลที่ดีที่สุดในเมืองหลวงเถอะ!” เย่เทียนเฉินเปิดปากพูดอย่างจริงจัง

“อืม!” หลิงอวี่สวิ๋นพยักหน้าตอบรับโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย

ในตอนนี้ จู่ๆ หลิงอวี่สวิ๋นก็พบว่าตอนที่เย่เทียนเฉินไม่ได้ทำตัวเหลาะแหละ จะมีกลิ่นอายของลูกผู้ชายมากขึ้น ให้ความรู้สึกที่มีเสน่ห์มากขึ้น แน่นอนว่านี่จำกัดอยู่เพียงแค่ตอนที่คนคนนี้กำลังทำเรื่องจริงจังเท่านั้น แต่เมื่อไม่ได้จริงจัง เย่เทียนเฉินก็จะฟื้นคืนสู่สภาพของอันธพาลอย่างรวดเร็ว ทำให้คนอื่นหดหู่อย่างหาที่เปรียบมิได้

“หยาเอ๋อร์ คุณลุงครับ พวกเรารีบพาคุณป้าไปโรงพยาบาลก่อนเถอะครับ ไม่อาจยืดเยื้อได้แล้ว!” เย่เทียนเฉินมองเสี้ยวหยาและพ่อแม่ของเธอพลางกล่าว

“ได้ ได้ครับ!” พ่อของเสี้ยวหยารีบเข้าไปประคองแม่ของเสี้ยวหยา

“ขะ ขอบคุณนายมาก!” เสี้ยวหยาพูด กัดริมฝีปากล่างของตนเอง มองเย่เทียนเฉินทั้งๆ ที่หางตายังมีน้ำตาคลออยู่

ในใจของเย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้า เสี้ยวหยาเป็นคนที่มีจิตใจดีงามและบริสุทธิ์ คุณธรรมจรรยาล้วนดีเลิศ ผู้หญิงแบบนี้ไม่ควรจะได้รับความลำบากเช่นนี้ โดยเฉพาะเมื่อเห็นท่าทางร้องไห้เสี้ยวหยา เย่เทียนเฉินก็คิดอยากจะปกป้องเธอเอาไว้ในอ้อมกอด ไม่อยากให้เธอถูกทำร้ายแม้แต่นิดเดียว นี่ทำให้เขาคิดไปถึงผู้หญิงที่เขารักที่สุดในช่วงยุคสิ้นโลก ความรู้สึกผสมปนเปกันไปหมด

“ไม่ ไม่เป็นไร พวกเราไปกันเถอะ!” เย่เทียนเฉินพูดยิ้มๆ

เสี้ยวหยาและพ่อของเธอพยุงแม่ของเสี้ยวหยาเดินไปขึ้นรถสปอร์ตของหลิงอวี่สวิ๋นที่อยู่ข้างนอก ส่วนเย่เทียนเฉินอยู่ด้านหลังโยนหมอทั้งสองและพยาบาลออกไป หมอขยะแบบนี้ หากหวังจะให้พวกเขาช่วยชีวิตคน คงเป็นฝันกลางวันโดยสิ้นเชิง

ยังคงมีหลิงอวี่สวิ๋นเป็นผู้ขับ เย่เทียนเฉินนั่งอยู่ตำแหน่งที่นั่งข้างคนขับ เสี้ยวหยาและพ่อแม่ของเธอนั่งอยู่ด้านหลัง มือทั้งสองของแม่ของเสี้ยวหยากุมอยู่บริเวณเอวของตนเอง ปวดจนใบหน้าซีดขาว กระทั่งยืดเอวตรงๆ ยังทำไม่ได้ เสี้ยวหยากอดแม่ของตนเองไว้อย่างกระวนกระวาย เจ็บปวดใจเป็นอย่างมาก

“อวี่สวิ๋น ขับช้าหน่อย!” เย่เทียนเฉินเอ่ยปาก

“อืม!” หลิงอวี่สวิ๋นพยักหน้าแล้วสตาร์ทรถ

เมื่อเย่เทียนเฉินและคนอื่นๆ ไปถึงโรงพยาบาลใหญ่ในเมืองหลวง ก็เป็นเวลาหกโมงกว่าแล้ว ฟ้าใกล้จะมืดแล้ว เมื่อไปถึงเคาน์เตอร์พยาบาล แม้ว่าจะมีห้องฉุกเฉินอยู่ แต่หมอเวรห้องฉุกเฉินส่วนใหญ่ล้วนมีฝีมือทางการแพทย์ต่ำ ไม่สามารถวินิจฉัยอาการป่วยของแม่ของเสี้ยวหยาออกมาได้ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อมาถึงเวลาในตอนนี้แล้ว แม่ของเสี้ยวหยาก็เป็นลมไป มีอาการป่วยถึงขั้นร้ายแรงแล้ว

“พี่สาวพยาบาลคะ ขอร้องล่ะค่ะ ช่วยหาหมอมาวินิจฉัยให้แม่ของหนูที ขอร้องล่ะค่ะ!” เสี้ยวหยาเดินไปที่เคาน์เตอร์พยาบาล พูดกับพยาบาลที่ทำหน้าที่เข้าเวร

“ไม่ได้หรอกค่ะ ตอนนี้เลยหกโมงไปแล้ว หมอดีๆ ที่ไหนจะไม่พักผ่อนเร็วๆ ล่ะคะ? ยิ่งไปกว่านั้นหากต้องการรักษาเฉพาะทาง จะต้องทำการนัดหมายก่อน อาการป่วยของแม่ของคุณถึงแม้ว่าจะรุนแรงสาหัส แต่หลังจากแช่น้ำก็จะอุ่นลงบ้าง เข้าพักก่อนเถอะค่ะ มีค่าใช้จ่ายสามพันห้าร้อยค่ะ!” พยาบาลตรงเคาน์เตอร์พูดพลางส่ายหัว

“แต่ว่า แต่ว่าแม่ของหนูปวดมาก แค่แช่น้ำก็จะไม่เป็นอะไรจริงเหรอคะ? ยิ่งไปกว่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นพวกเราไม่มีเงินมากขนาดนั้น…” เสี้ยวหยามองไปยังพยาบาลหญิงคนนั้นด้วยท่าทางลำบากใจ

พยาบาลหญิงที่อยู่ตรงเคาน์เตอร์บริการคนนี้ แม้ว่าจะไม่ได้พูดจารุนแรงแต่ก็มีท่าทางวางมาด มองเสี้ยวหยาแวบหนึ่งแล้วพูดขึ้น “น้องสาวคะ พี่ขอพูดกับหนูตรงๆ พักอยู่ที่นี่หนึ่งคืนก็ต้องใช้เงินสามพันห้าร้อย ดูจากอาการป่วยของแม่หนูแล้วก็ไม่ใช่เบาๆ เมื่อรวมกับค่าใช้จ่ายในการตรวจโรคพรุ่งนี้แล้ว และยังอาจจะต้องทำการผ่าตัด เงินพวกนี้ครอบครัวของหนูสามารถจ่ายไหวหรือเปล่าคะ?”

“นี่…”

เสี้ยวหยาได้ฟังคำพูดของพยาบาลคนนั้น อดไม่ได้ที่จะดวงตาแดงระเรื่อ น้ำตาไหลออกมาไม่หยุด หลายปีมานี้แม่ถูกความเจ็บปวดจากอาการป่วยทรมานมาตลอด ครอบครัวก็จ่ายเงินที่เก็บสะสมทั้งหมดออกไปแล้ว กระทั่งเงินสองร้อยหยวนที่ต้องให้รถพยาบาลก็จ่ายไม่ไหว ที่เธแสามารถเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยหลงเถิงได้ ทั้งหมดก็เป็นเพราะพึ่งพาทุนการศึกษา เดิมทีเสี้ยวหยาไม่ได้คิดที่จะเข้ามหาวิทยาลัย เธอต้องการใช้ทุนการศึกษามารักษาอาการป่วยให้แม่ จากนั้นจึงจะออกไปทำงานหาเงิน แต่ว่าแม่ไม่เห็นด้วยอย่างเด็ดขาด บอกว่าถ้าหากเสี้ยวหยาไม่เข้ามหาวิทยาลัย เธอยอมตายดีกว่า นี่เป็นความยิ่งใหญ่ของคนเป็นแม่ คิดเพื่อลูกของตนเองชั่วชีวิต

สองร้อยหยวนก็จ่ายไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเป็นสามพันห้าร้อย? เมื่อคิดถึงตัวเลขจำนวนมากนี้ เสี้ยวหยาก็ทำได้เพียงร้องไห้เงียบๆ หรือจะต้องมองแม่ทรมานจากโรคจนจากไป?

ปัง! บัตรธนาคารสีทองใบหนึ่งถูกวางลงบนเคาน์เตอร์อย่างแรง เย่เทียนเฉินมองพยาบาลคนนั้นแล้วพูดว่า “เงินในนี้ใช้ได้ตามใจ ใช้ยาที่ดีที่สุด นัดหมายหมอเฉพาะทางที่ดีที่สุด!”

“เย่เทียนเฉิน นาย…” เสี้ยวหยาคิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินตามตัวเองมา พูดออกไปอย่างประหลาดใจ

“วางใจเถอะ แม่ของเธอจะไม่เป็นอะไรแน่!” เย่เทียนเฉินพูด แล้วมองเธอยิ้มๆ

“แต่ว่า เงินของนาย ฉัน…”

“คิดซะว่าฉันให้เธอยืมก็แล้วกัน วันหลังเธอมีก็ค่อยคืนให้ฉัน!”

เย่เทียนเฉินรู้ว่าเสี้ยวหยาเป็นคนที่มีจิตใจเคารพตัวเองอย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเขาเพิ่งจะรู้จักกัน ตนเองก็ช่วยนางแบบนี้แล้ว ทำให้ในใจเสี้ยวหยาความรู้สึกไม่ดี เพื่อที่จะไม่ให้เธอรู้สึกผิด เย่เทียนเฉินจึงคิดวิธีนี้ขึ้นมา

“ขอบ ขอบคุณนายมาก!” เสี้ยวหยามองเย่เทียนเฉิน พูดออกมาอย่างซาบซึ้ง

“ไม่เป็นไร แม่ของเธอจะต้องดีขึ้นแน่นอน เธออย่าร้องไห้ไปเลย เห็นเธอร้องไห้แล้วแม่ของเธอก็คงจะรู้สึกไม่ดี!” เย่เทียนเฉินพูดยิ้มๆ

“อืม!” เสี้ยวหยาพยักหน้า เช็ดน้ำตาที่หางตา

“คุณผู้ชายท่านนี้ มั่นใจว่าจะให้ผู้ป่วยเข้าพักแล้วใช่ไหมคะ?” พยาบาลยิ้มพูดกับเย่เทียนเฉิน น้ำเสียงอ่อนนุ่มมาก เพราะว่าเมื่อสักครู่นี้ตอนที่เธอรูดบัตร ได้เห็นจำนวนเงินที่มีอยู่ในบัตรของเย่เทียนเฉิน ตกใจไปครึ่งวันถึงจะได้สติกลับมา คิดไม่ถึงโดยสิ้นเชิงว่าวัยรุ่นที่สวมชุดธรรมดาแบบนี้ จะถึงกับเป็นมหาเศรษฐีคนหนึ่ง

“ต้องเข้าพักแน่นอน ผมบอกแล้ว ใช้ยาที่ดีที่สุด นัดผู้เชี่ยวชาญที่ดีที่สุด พรุ่งนี้จะต้องวินิจฉัยให้ผู้ป่วย!” เย่เทียนเฉินเปิดปากพูด

“ค่ะ ได้ค่ะ แต่ว่า แต่ว่าพวกเราไม่มีเตียงแล้ว ทำได้เพียงลำบากให้ผู้ป่วยค้างคืนอยู่ที่ทางเดินหนึ่งคือ ดูว่าผู้ป่วยมีเตียงหรือไม่แล้วค่อยย้าย!” พยาบาลกล่าว

โรงพยาบาลใหญ่ของเมืองหลวง สามารถพูดได้ว่าเป็นโรงพยาบาลที่ดีที่สุดเป็นอันดับหนึ่งอันดับสองภายในประเทศ ย่อมต้องมีผู้ป่วยมากมายเข้ามา เตียงไม่พอเป็นเรื่องที่ปกติเป็นอย่างมาก แต่ว่าเย่เทียนเฉินมองสายตาของพยาบาลคนนั้นแล้วดูเหมือนจะมีเรื่องซ่อนเอาไว้ ในเมื่อเขาต้องการที่จะช่วยเสี้ยวหยา ก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด ต้องช่วยให้ดี!

“รบกวนคุณช่วยดูให้พวกเราอีกทีว่ายังมีห้องผู้ป่วยว่างอยู่หรือเปล่า แพงหน่อยก็ไม่เป็นไร คุณเองก็เข้าใจดี!” เย่เทียนเฉินพูดยิ้มๆ

เย่เทียนเฉินคนเดียว มือซ้ายถือกุ้งมังกร มือขวาถือเป๋าฮื้อ กัดกินคำใหญ่ ไม่สนใจภาพลักษณ์ของตนเองเลยแม้แต่น้อย และไม่สนใจว่าสาวสวยทั้งสองอย่างหลิงอวี่สวิ๋นและเสี้ยวหยาจะอยู่ด้วย สนใจแต่กินอย่างตะกละตะกลามเท่านั้น

“ความอยากอาหารนายไม่ดีเหรอ? ฉันดูนายแล้วรู้สึกว่าความอยากอาหารไม่ดีจริงๆ… ” หลิงอวี่สวิ๋นมองเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

“กินช้าๆ หน่อยเถอะ เดี๋ยวจะสำลักเอา!” เสี้ยวหยาพูดกับเย่เทียนเฉินด้วยรอยยิ้มหวาน

“พวกเธอสองคนก็กินสิ อย่าเอาแต่มองฉันกิน!” เย่เทียนเฉินกินเป๋าฮื้อไปคำใหญ่แล้วเอ่ยปาก

ได้มาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ เย่เทียนเฉินเองก็มีเพียงเรื่องกินที่พอจะทำให้เขาสนใจขึ้น ขนาดผู้หญิงสวยๆ ก็เกรงว่าจะไม่มีความยั่วยวนใจต่อเขามากเท่าไหร่นัก แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการเปรียบเทียบเท่านั้น ในช่วงยุคสิ้นโลก เย่เทียนเฉินที่มีผู้หญิงสวยๆ อยู่ข้างกายจำนวนนับไม่ถ้วน ความคาดหวังของตนเองย่อมมาก เพียงแต่ในโลกแห่งนี้ เขารู้สึกอยากจะเสพสุขแต่ไม่อยากเหน็ดเหนื่อย

“นายเอาอาหารทะเลบนโต๊ะทั้งหมดไปวางไว้ข้างหน้าตัวเอง แล้วจะให้พวกเรากินอะไรล่ะ? ให้กินโต๊ะเหรอไง?” หลิงอวี่สวิ๋นกรอกตาใส่เย่เทียนเฉิน

เมื่อได้ยินคำพูดของเธอ เย่เทียนเฉินเพิ่งจะพบว่าตนเองเอาอาหารทะเลหลายจานมาวางไว้เบื้องหน้าของตนทั้งหมดโดยไม่รู้ตัว เบื้องหน้าของสาวสวยทั้งสองอย่างหลิงอวี่สวิ๋นและเสี้ยวหยาไม่มีจานอาหารทะเลอยู่เลยแม้แต่จานเดียว มิน่าล่ะหลิงอวี่สวิ๋นถึงได้มีใบหน้าดำคล้ำ สายตาเคียดแค้นราวกับจะฆ่าเขาให้ได้

“ฮี่ๆ มาๆ สาวสวยทั้งสองรับประทานได้ เชิญทานได้เลย!” เย่เทียนเฉินยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนแล้วพูดขึ้น

“เห็นท่าทางของนายแบบนี้แล้ว จะหาแฟนได้ยังไงล่ะ วันหน้าคงแต่งเมียไม่ได้หรอก!” หลิงอวี่สวิ๋นกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์

“งั้นก็ไม่เป็นไร ตอนเด็กๆ ไม่ใช่ว่าเธอบอกว่าจะแต่งให้ฉันเหรอ ตอนนี้เวลาที่จะทำตามสัญญาที่เธอเคยให้ไว้ก็มาถึงแล้ว…” เย่เทียนเฉินพูดจาหยอกล้อไปตามปาก

หลิงอวี่สวิ๋นที่เดิมทีคิดอยากจะตีเย่เทียนเฉินแรงๆ สักครั้ง ทันทีที่ได้ฟังคำพูดนี้ของเขาก็อดไม่ได้ที่จะหน้าแดง ตัวเธอเองก็ไม่รู้ว่าทำไม ในตอนที่พูดถึงเรื่องสมัยเด็กจะต้องหน้าแดง หากพูดกันตามเหตุผล นี่ก็เป็นเรื่องที่ผ่านไปหลายปีแล้ว ควรจะไม่มีความรู้สึกอะไรถึงจะถูก แต่ความรู้สึกที่ได้อยู่กับเย่เทียนเฉินตอนเด็กๆ ยังคงประทับอยู่ในสมองของเธออย่างลึกซึ้ง ไม่มีทางลืมไปได้ ทุกครั้งที่คิดขึ้นมา ก็จะทำให้ยิ้มอย่างมีความสุขและอบอุ่น หรือว่าในเวลานั้น จิตใจของเธอได้ปลูกฝังความรู้สึกที่มีต่อเย่เทียนเฉินแล้ว?

“คะ ใครบอกว่าจะแต่งให้นายกัน นายเป็นแบบนี้ ให้ฟรีฉันก็ไม่เอาเหรอก!” หลิงอวี่สวิ๋นได้สติกลับมา มองเย่เทียนเฉินอย่างดุดันแวบหนึ่งแล้วกล่าวขึ้น

“ไม่จริงน่ะ เธอนี่พูดไม่เป็นคำพูดเลย ฉันจำได้ว่าตอนนั้นเธอบอกว่า ไม่ว่าจะยังไง หากว่าฉันแต่งเมียไม่ได้ ก็จะแต่งให้กับฉัน คิดจะกลับคำเหรอ?” เย่เทียนเฉินเห็นหลิงอวี่สวิ๋นมีใบหน้าแดงเล็กน้อย จึงตั้งใจแกล้งทำเป็นพูดขึ้นอย่างถูกต้องชอบธรรม

ตลอดทางมานี้ หลิงอวี่สวิ๋นล้วนพยายามทุกวิถีทางเพื่อกลั่นแกล้งตนเอง หยอกล้อตนเอง แน่นอนว่านี่เป็นวิธีการคุยเล่นของเพื่อนสนิทอย่างหนึ่ง เพียงแต่ตลอดมาเขาก็ยังไม่อาจหาโอกาสตอบโต้ได้ ตอนนี้เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายถึงกับรู้จักหน้าแดง จึงไม่ยอมปล่อยผ่านไปง่ายๆ รีบถือโอกาสนี้ไล่ต้อน พูดหยอกล้อเธอสักหลายประโยค

“ฉะ ฉันไม่เคยพูดมาก่อน นายลองให้น้องหยาเอ๋อร์บอกสิว่า ท่าทางแบบนายนี่ ตอนเด็กก็ไม่ได้ดูดีเท่าไหร่ ฉันจะถูกใจนายเหรอ?” หลิงอวี่สวิ๋นหน้าแดงไม่รู้จะทำอย่างไรดี จึงนำเสี้ยวหยามาเป็นเกราะป้องกัน

“ชิ พี่ชายออกจะหล่อเหลาใจกว้างขนาดนี้ แล้วยังแข็งแรง…”

คำพูดของเย่เทียนเฉินยังไม่ทันพูดจบ โทรศัพท์เสี้ยวหยาก็ดังขึ้น เมื่อหยิบออกมาพบว่าเป็นโทรศัพท์ยี่ห้อโนเกียรุ่นเก่า ราคาสามร้อยหยวนประเภทนั้น ไม่ใช่ว่าอยากจะพูดจาดูถูก แต่โทรศัพท์โนเกียรุ่นเก่าแบบนี้ มีคนใช้น้อยมากแล้ว โดยเฉพาะในยุคนี้ซึ่งเป็นยุคที่มีสมาร์ทโฟนใช้กันอย่างแพร่หลาย กระทั่งเด็กประถมก็ไม่ใช้โทรศัพท์รุ่นเก่าแบบนี้แล้ว เพราะว่าสมาร์ทโฟนที่ถูกที่สุดก็แค่สองสามร้อยหยวนเท่านั้น

“พ่อคะ หนูเอง เป็นอะไรเหรอคะ?” เสี้ยวหยาถามเสียงเบา

“ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้? ได้ค่ะ หนูจะรีบกลับไปเดี๋ยวนี้ หนูลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว ไม่เป็นไรค่ะ หนูจะไปถึงเร็วๆนี้!”

ตอนที่เสี้ยวหยาพูดประโยคที่สองเธอร้อนใจจนเกือบจะร้องไห้ เย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋น เห็นดังนั้นก็รู้สึกกระวนกระวาย คงจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้ว

เมื่อวางโทรศัพท์ไป เสี้ยวหยาก็มองพวกเขาทั้งสองแล้วพูดว่า “ขอโทษด้วยค่ะ ฉันมีธุระ ขอตัวก่อนนะคะ!”

“เป็นอะไรไป?” เย่เทียนเฉินเปิดปากถาม

“มะ ไม่มีอะไร พวกคุณกินกันไปเถอะ ขอบคุณมาก!” เสี้ยวหยาพูดด้วยท่าทางเร่งรีบ

“หยาเอ๋อร์ เธอจะกลับบ้านใช่หรือเปล่า ฉันมีรถ ให้ฉันไปส่งเธอเถอะ แบบนี้จะเร็วกว่า!” หลิงอวี่สวิ๋นเองก็เป็นผู้หญิงจิตใจดีคนหนึ่ง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีท่าทางร้อนใจเป็นอย่างมากก็รีบพูดขึ้น

“มะ ไม่ต้องเหรอกค่ะ ฉันนั่งรถไปเองก็ได้ค่ะ…”

“หยาเอ๋อร์ พวกเราเป็นเพื่อนกัน เรื่องเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้เธอไม่ต้องเกรงใจไปเหรอก!”

เย่เทียนเฉินมองออกว่าเสี้ยวหยาไม่ต้องการสร้างความยุ่งยากให้พวกเขา จิตใจดี น่ารัก และมีความเคารพในตัวเอง ผู้หญิงแบบนี้มีน้อยมากจริงๆ ดังนั้นเขาจึงคิดอยากจะช่วยเสี้ยวหยา อีกทั้งดูแล้วครอบครัวของเธอคงจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นเธอคงจะไม่รีบร้อนจนมีสภาพเป็นแบบนี้หรอก

“ใช่แล้ว หยาเอ๋อร์ พวกเราไปกันเถอะ!” หลิงอวี่สวิ๋นจับมือเสี้ยวหยาเดินไปข้างนอก ในตอนนี้เย่เทียนเฉิน ก็ไม่ได้เขินอายอะไรอีก เดินไปที่เคาน์เตอร์แล้วหยิบบัตรสีทองของตนออกมารูด หลังจากนั้นก็รีบเดินออกไปนอกร้านอาหารทะเล

เสี้ยวหยาขับรถสปอร์ตคันเล็กคันหนึ่ง เพียงมองก็คิดว่าคงจะเป็นรถที่มียี่ห้อ เพียงแต่สำหรับเย่เทียนเฉินที่เป็นคนไม่รู้จักเรื่องรถ จะเป็นยี่ห้ออะไรเขาก็ไม่รู้เหมือนกัน เพียงแต่เมื่อนั่งลงไปแล้วรู้สึกสบายเป็นอย่างมาก หลิงอวี่สวิ๋นขับรถ เสี้ยวหยานั่งอยู่ที่ตำแหน่งข้างคนขับคอยบอกทางให้หลิงอวี่สวิ๋น ส่วนเย่เทียนเฉินนั่งอยู่บนที่นั่งด้านหลัง

เสี้ยวหยามองหลิงอวี่สวิ๋นและเย่เทียนเฉิน ในใจก็รู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมาก ในขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าตนเองโชคดีที่ได้พบกับเพื่อนนักเรียนที่ดีขนาดนี้ในทันทีที่มาถึงมหาวิทยาลัย และสามารถคบหาจนเพื่อนสนิทกันได้ โดยเฉพาะเย่เทียนเฉินที่ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นใจ ก่อนหน้านี้ผู้ชายที่เข้ามาพัวพันกับตัวเองมักจะคิดไม่ดีต่อเธอ แต่เย่เทียนเฉินไม่ได้เป็นเช่นนั้น ทำให้เธอรู้สึกแตกต่าง

ประมาณสองชั่วโมงต่อมา นับได้ว่าหลิงอวี่สวิ๋นขับรถค่อนข้างเร็ว เนื่องจากเธอรู้ว่าเสี้ยวหยาร้อนใจเป็นอย่างมาก เพียงแค่มองท่าทางของเธอก็ทราบแล้ว ดังนั้นจึงไม่สนใจไฟเขียวไฟแดงขับตรงมาลูกเดียว กระทั่งขับออกมาจากเมืองหลวงจนถึงสถานที่ห่างไกลบริเวณชานเมือง และจอดลงที่ด้านนอกหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง

“ที่นี่ค่ะ พวกเรารีบไปกันเถอะ อาการป่วยของคุณแม่กำเริบ ต้องส่งโรงพยาบาล!” เสี้ยวหยาพูดอย่างร้อนใจ

“อืม เธอนำทางไปเลย พวกเราจะตามเธอ ไปไม่ต้องสนใจพวกเราหรอก!” เย่เทียนเฉินพูดพลางพยักหน้า

เสี้ยวหยามองเย่เทียนเฉินแวบหนึ่งพลันรู้สึกซาบซึ้งอยู่ในใจ จากนั้นจึงเดินเข้าไปในหมู่บ้านแห่งนั้น เมื่อครู่นี้ตอนที่อยู่หน้าหมู่บ้าน เย่เทียนเฉินเองก็เห็นรถพยาบาลคันหนึ่ง จึงรู้ว่าเรื่องราวจะต้องไม่เบาอย่างแน่นอน หากว่าแม่ของเสี้ยวหยาเป็นโรคที่ไม่ร้ายแรงอะไรคงจะไม่ต้องเรียกรถพยาบาล จะต้องมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน

เย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋นเดินตามหลังของเสี้ยวหยาไปภายในหมู่บ้านเล็กๆ เลี้ยวอยู่หลายครั้งจนหยุดลงที่หน้าประตูไม้บานใหญ่ที่ผุพังแห่งหนึ่ง เสี้ยวหยาผลักประตูเข้าไปก็พบลานบ้านที่ไม่ใหญ่นัก มีเรือนอยู่สี่เรือนที่ล้วนมีสภาพทรุดโทรมทั้งหมด ดูแล้วฐานะยากของครอบครัวเสี้ยวหยาจะเป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน

“พ่อคะ พ่อ หนูกลับมาแล้วแม่เป็นยังไงบ้างคะ?” เสี้ยวหยาวิ่งเข้าไปที่เรือนหลังหนึ่งแล้วพูดออกมาด้วยความกระวนกระวาย

ภายในห้องมีผู้หญิงอายุประมาณห้าสิบกว่าปีนอนอยู่บนเตียง ใบหน้าขาวซีด มีเหงื่อออกท่วมหัว ริมฝีปากเป็นสีม่วง มือทั้งสองกำนุ่นไว้แน่น ดูแล้วท่าทางจะปวดเป็นอย่างมากจนต้องกัดฟันแน่น ภายในห้องยังมีพ่อของเสี้ยวหยาอยู่ด้วย เป็นชาวนาที่มีท่าทางซื่อๆ ผมขาวไปไม่น้อยแล้ว ดูแล้วให้ความรู้สึกชราอยู่บ้าง นอกจากนี้ยังมีหมออยู่อีกสามคน เป็นผู้ชายสองคนและผู้หญิงหนึ่งคน

“แม่คะ แม่ แม่ไม่เป็นอะไรใช่ไหม แม่ตื่นสิคะหนูคือหยาเอ๋อร์ หนูคือหยาเอ๋อร์!” ในดวงตาของเสี้ยวหยาเต็มไปด้วยน้ำตา เดินเข้าไปข้างเตียง มือทั้งสองกุมมือของแม่แน่นแล้วพูดขึ้น

“หยาเอ๋อร์ ลูกกลับมาแล้ว เรื่องลงทะเบียนเป็นยังไงบ้าง?” ถึงแม้ว่าจะถูกความเจ็บปวดจากโรคทำให้ทรมานจนทนไม่ไหว แต่หญิงชราก็ยังคงพยายามฝืนยิ้มต้อนรับแล้วเอ่ยถาม

“จัดการขั้นตอนเข้าเรียนเรียบร้อยแล้วค่ะ แม่คะ แม่อย่าพูดอีกเลย หนูจะรีบส่งแม่ไปโรงพยาบาล!” เสี้ยวหยาพูดอย่างร้อนใจ

“คุณหมอครับ รบกวนพวกคุณรีบส่งภรรยาของผมไปโรงพยาบาลด้วยครับ เธอทรมานมาก ขอร้องล่ะครับ!” พ่อของเสี้ยวหยาที่อยู่ข้างๆ พูดขอร้องคุณหมอทั้งสามคน

คุณหมอทั้งสามคนนั้นกลับยืนอยู่ข้างๆ อย่างเย็นชาดู เหมือนว่าจะมีท่าทางไม่ยินดีอยู่เล็กน้อย ไม่เห็นคนปวดเป็นสำคัญเลยสักนิด ดูเหมือนว่ากำลังรออะไรบางอย่างอยู่

“ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่รีบส่งคนไปโรงพยาบาลนะครับ แต่ตามกฎแล้วรถพยาบาลจะต้องเก็บค่าใช้จ่ายสองร้อยหยวนถึงจะสามารถส่งคนป่วยไปได้ หากคุณไม่ชำระเงินสองร้อยหยวนนี้ พวกเราก็ไม่สามารถที่จะใช้รถพยาบาลส่งผู้ป่วยไปที่โรงพยาบาลได้ครับ!” ผู้ชายที่สวมชุดคลุมสีขาวทั้งตัวพูดด้วยท่าทางลำบากใจเป็นอย่างมาก

“นี่…ครอบครัวของพวกเราไม่มีเงินสองหยวนเหรอกครับ ให้พวกเราชำระส่วนที่ขาดให้พวกคุณภายหลังเถอะครับ จะต้องจ่ายให้พวกคุณแน่นอน!” พ่อของเสี้ยวหยาพูดอย่างกระวนกระวาย ขาดก็แค่ไม่ได้คุกเข่าขอร้องเท่านั้น

“ขอร้องพวกคุณเถอะ ส่งคุณแม่ของฉันไปที่โรงพยาบาลก่อนนะคะ ขอร้องล่ะค่ะ!” เสี้ยวหยาเองก็มีใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตา เห็นว่าแม่เจ็บปวดถึงขนาดนี้ในใจของเธอก็เจ็บปวดราวกับถูกมีดแทง

“ไม่ได้ครับ หากไม่ชำระค่าใช้จ่ายก็ไม่สามารถขึ้นรถได้!” หมออีกคนหนึ่งพูดด้วยท่าทางเย็นชาเป็นอย่างมาก

“ขอร้องพวกคุณเถอะครับ ช่วยภรรยาของผมด้วย ช่วยภรรยาของผมด้วย!” พ่อของเสี้ยวหยาถูกบีบบังคับจนไม่มีหนทาง พริบตานั้นจึงคุกเข่าลงบนพื้น ขอร้องคุณหมอทั้งสามคนให้ส่งภรรยาของเขาไปที่โรงพยาบาล ทั้งสองคนต่างประคับประคองกันมานานหลายปี ความรู้สึกย่อมไม่จำเป็นต้องพูด

“พวกคุณเป็นอย่างนี้กันได้ยังไง ช่วยคนก็เหมือนช่วยดับไฟ พวกคุณยังนับว่าเป็นเทวดาในชุดขาวอีกเหรอ? ต้องการเงินใช่ไหม ฉันให้พวกคุณเอง!” หลิงอวี่สวิ๋นทนมองต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ หยิบเงินออกมาจากกระเป๋าตังค์ปึกหนึ่ง เตรียมจะส่งไปให้คุณหมอทั้งสาม

ในตอนที่คุณหมอทั้งสามคนเห็นเงินปึกนั้น ดวงตาพลันเปล่งประกายราวกับแสงดาว ทันใดนั้นมีเสียงพลั่กดังขึ้น หมอหนึ่งคนในนั้นถูกเตะจนปลิวออกไป เย่เทียนเฉินเดินออกมา ใบหน้าเย็นชาเคร่งขรึมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน กล่าวว่า “สามคนนี้จะเป็นเทวดาในชุดขาวที่ไหนกัน เป็นปีศาจสามตัวสิไม่ว่า!”

เย่เทียนเฉิน หลิงอวี่สวิ๋น และเสี้ยวหยา ทั้งสามคนเดินออกไปนอกประตูมหาวิทยาลัยหลงเถิงแล้ว ระหว่างทางที่พวกเขาไปยังร้านอาหารทะเลที่มีชื่อเสียงด้านนอกมหาวิทยาลัยดึงดูดสายตาไม่น้อย ตอนแรกเริ่มทุกคนต่างก็กำลังวิพากษ์วิจารณ์กัน พูดคุยถึงเรื่องที่เย่เทียนเฉินลงมืออัดเซวียนเยวี๋ยนอวี่ สร้างความวุ่นวายอย่างใหญ่หลวง จากนั้นจึงพบว่ามีผู้ชายจำนวนมาก ต่างก็อิจฉาริษยาและโกรธแค้นตนเอง ทำเอาเขารู้สึกอับจนคำพูดเป็นอย่างมาก

“ฉันว่านะคนสวยทั้งสอง วันหลังฉันไม่เดินด้วยกันกับพวกเธอแล้วดีกว่า จะได้ไม่ถูกคนมองด้วยสายตาอยากจะฆ่าให้ตายแบบนี้ ไม่ยุติธรรมเลยจริงๆ!” เย่เทียนเฉินจงใจพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม

“ชิ มีสาวสวยทั้งสองอย่างพวกเราเดินกับนาย ตอนกลางคืนนายก็นอนหลับฝันดีแล้ว แอบดีใจอยู่สิท่า!” หลิงอวี่สวิ๋นพูดยิ้มๆ แล้วแลบลิ้นให้เย่เทียนเฉิน

ทั้งสามคนเดินเข้าไปสู่ร้านอาหารทะเลนอกมหาวิทยาลัยหลงเถิงด้วยกัน แต่กลับไม่รู้ว่าด้านหลังของพวกเขา มีสายตาโกรธแค้นคู่หนึ่งกำลังจ้องมองพวกเขาอยู่ตลอด สายตานั้นเคียดแค้นจนอยากจะฉีกเย่เทียนเฉินออกเป็นหมื่นชิ้น

“คุณชายน้อย คิดไม่ถึงว่าฝีมือของไอ้ลูกเต่าเย่เทียนเฉินจะแข็งแกร่งมาก ผม…” หลี่อี้มองเซวียนเยวี๋ยนอวี่ที่อยู่ข้างๆ ด้วยความกระอักกระอ่วนแล้วพูดขึ้น

“มานี่…” ใบหน้าของเซวียนเยวี๋ยนอวี่เขียวคล้ำ เมื่อคิดถึงตอนที่ถูกเย่เทียนเฉินเตะจนสลบไป ก็โกรธจนทนไม่ไหว

“อะไรเหรอครับ? หือ?”

หลี่อี้ได้ยินไม่ชัดเจน จึงก้มหน้าลงนำหูเข้าไปใกล้เบื้องหน้าของเซวียนเยวี๋ยนอวี่ ต้องการจะฟังให้กระจ่างชัด เพี๊ยะ ตบหน้าครั้งหนึ่ง ชายฉกรรจ์สองคนที่อยู่ข้างๆ ตกใจ เซวียนเยวี๋ยนอวี่ตบลงบนใบหน้าหลี่อี้อย่างรุนแรง ทำให้หลี่อี้ถูกตบจนแทบจะเดินเซ

ถูกเด็กเมื่อวานซืนอายุสิบหกปีคนหนึ่งตบหน้าแรงๆ ครั้งหนึ่ง หลี่อี้ไม่มีความโมโหแม้แต่นิดเดียว ความโมโหแม้แต่นิดเดียวก็ไม่กล้ามี นี่เป็นจุดจบสำหรับการเป็นสุนัขรับใช้ให้คนอื่น เจ้านายคิดอยากจะให้รางวัลก็ให้รางวัล คิดอยากจะตบก็ตบ คิดอยากจะด่าก็ด่า ถึงแม้ว่าเซวียนเยวี๋ยนอวี่จะไม่นับว่าเป็นเจ้านายของหลี่อี้ แต่ว่าเขาก็เป็นน้องชายแท้ๆ ของเซวียนเยวี๋ยนเถิง เป็นน้องชายของเจ้านาย เขาย่อมไม่อาจล่วงเกินได้

“ไอ้ตัวอะไรประโยชน์ มีแกอยู่จะมีประโยชน์อะไร เสียทีที่แกเป็นลูกน้องที่มีความสามารถของพี่ชายของฉัน แกอยากจะตายแล้วใช่ไหม?” เซวียนเยวี๋ยนอวี่ด่าหลี่อี้อย่างรุนแรง

“ขะ ขอโทษครับ คุณชายน้อย ผมเรียกพี่น้องจากชมรมเทควันโดไปด้วยสองคนแล้วครับ แต่พวกเขากลับไม่ใช่คู่มือของเย่เทียนเฉิน ไอ้ลูกเต่านั่นมีฝีมืออยู่บ้าง!” หลี่อี้ตกใจจนชะงักไป รีบเปิดปากพูด

เซวียนเยวี๋ยนเถิงเป็นบุคคลที่โหดเหี้ยมคนหนึ่ง เมื่อก่อนที่มหาวิทยาลัยหลงเถิง มีคนจำนวนไม่น้อยไปหาเรื่องเขา แต่จุดจบสุดท้ายของคนเหล่านี้ หากไม่ใช่ออกจากมหาวิทยาลัยไปด้วยอาการขาหักแขนหัก ก็ต้องคุกเข่าขออภัย กระทั่งมีบางคนที่หายสาบสูญไปโดยไร้สาเหตุ เห็นได้ชัดว่าเป็นเซวียนเยวี๋ยนเถิงส่งคนไปเก็บกวาดคนที่มาหาเรื่องตนเองเหล่านี้ แน่นอนว่าสำหรับลูกน้องที่ทำงานได้ไม่ดี เซวียนเยวี๋ยนเถิงก็จะลงมือโหดเหี้ยมด้วยเช่นกัน ดังนั้นสามคุณชายแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง เซวียนเยวี๋ยนเถิงนับว่าเป็นคุณชายคนหนึ่งที่มีจิตใจโหดเหี้ยมอย่างแน่นอน

“มีฝีมือมาอยู่บ้าง ต่อให้เขามีฝีมือมากกว่านี้ ฉันก็จะต้องฆ่าเขาให้ได้!” เซวียนเยวี๋ยนอวี่ไหนเลยจะเหมือนเด็กเมื่อวานซืนอายุสิบหกปีคนหนึ่ง เป็นคนที่โหดเหี้ยมโดยสิ้นเชิง ไม่ได้แตกต่างอะไรจากพี่ชายเลย กระทั่งยโสโอหังมากกว่าเล็กน้อยด้วยซ้ำ อายุเพียงเท่านี้ก็ใช้อำนาจบาตรใหญ่ขนาดนี้แล้ว โตไปจะไม่ยิ่งกว่านี้หรือ?

“คุณชายน้อยพูดได้ถูกต้องครับ จำเป็นต้องฆ่าไอ้ลูกเต๋าเย่เทียนเฉิน ผมจะต้องคิดหาวิธีฆ่ามันให้ตายให้ได้!” หลี่อี้พูดอย่างโหดเหี้ยม

“แก? อย่าทำให้พี่ชายของฉันต้องขายหน้าอีกเลย!” เซวียนเยวี๋ยนอวี่พูดขึ้น มองหลี่อี้อย่างไม่สบอารมณ์

“ครับ ครับ ถ้าอย่างนั้นคุณชายน้อยคิดว่าควรจะทำยังไงดีครับ?” หลี่อี้รีบเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

“หึ ฉันโทรไปหาพี่ชายของฉันแล้ว วันนี้เขามีธุระที่เซี่ยงไฮ้ อีกหลายวันเขาถึงจะกลับมาเมืองหลวง แต่ว่าเขาให้อาหู่มาช่วยฉันแล้ว ยังไงก็ตาม ใครกล้ามาหาเรื่องพี่ชายของฉัน มันก็รนหาที่ตายแล้ว!” เซวียนเยวี๋ยนอวี่ยิ้มเย็นชา พูดออกมาด้วยความมั่นใจ

“อาหู่? เขาลงมือได้แล้วเหรอครับ?”

หลี่อี้ได้ยินว่าเซวียนเยวี๋ยนเถิงส่งอาหู่ออกมาแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ ตอนนี้เขาถึงพบว่าตนเองมองการณ์ไกลเป็นอย่างมาก ในตอนที่ชเซวียนเยวี๋ยนเถิงไม่อยู่ที่มหาวิทยาลัยหลงเถิง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนต้องฟังน้องชายของเขาเซวียนเยวี๋ยนอวี่ ไม่เช่นนั้นเซวียนเยวี๋ยนเถิงโมโหขึ้นมา เป็นไปได้มากกว่ากระทั่งเขาเองก็ต้องตาย

อาหู่ เป็นลูกน้องของเซวียนเยวี๋ยนเถิง พูดให้ชัดเจนก็คือเป็นลูกพี่ใหญ่บนถนนหลายสายใกล้ๆ กับมหาวิทยาลัยหลงเถิง ในมือมีลูกน้องสี่ร้อยกว่าคน แต่ละคนพกมีดตัดฟืนคนละหนึ่งเล่ม ออกฆ่าคนอย่างโหดเหี้ยม เป็นผู้ติดตามที่ชั่วช้าคนหนึ่ง ผู้ติดตามที่กล้าฆ่าคนจริงๆ ครอบครองถนนหลายสายนอกมหาวิทยาลัยหลงเถิง มีพี่น้องอีกหลายร้อยคนเอ้อระเหยอยู่ข้างนอกนั่น

ภายหลังจึงถูกเซวียนเยวี๋ยนเถิงปราบและมาติดตามเขา กลายเป็นลูกน้องมือสังหารของเซวียนเยวี๋ยนเถิง โดยปกติแล้วหากมีเรื่องอะไรที่มหาวิทยาลัยหลงเถิง เซวียนเยวี๋ยนเถิงจะส่งอาหู่มาออกหน้าทำเรื่องให้เงียบ เพียงแต่ครั้งนี้ที่ทำให้หลี่อี้คิดไม่ถึงก็คือ เซวียนเยวี๋ยนเถิงไม่ทันไรก็ส่งอาหู่ออกมาแล้ว ทำให้เขาแปลกใจเป็นอย่างมาก เพราะทุกครั้งที่อาหู่ออกหน้าล้วนต้องมีคนตาย เป็นผู้ติดตามที่โหดเหี้ยมโฉดชั่วจนไม่น่าให้อภัย ดูท่าแล้วเซวียนเยวี๋ยนอวี่ต้องการที่จะฆ่าเย่เทียนเฉินจริงๆ

“พี่ชายของฉันพูดแล้วว่า ไม่ต้องพูดถึงเย่เทียนเฉินแค่คนเดียวหรอก ต่อให้มีอีกสิบเย่เทียนเฉิน ก็ต้องตายทั้งหมด!” เซวียนเยวี๋ยนอวี่พูดอย่างโหดร้าย ไม่เหมาะสมกับอายุของเขาเลยแม้แต่น้อย

“คุณชายน้อยครับ ช่วงนี้ในเมืองหลวงมีข่าวลือของเย่เทียนเฉิน ขนาดตระกูลฉินและตระกูลลั่วก็ถูกไอ้หมอนี่ฆ่าล้างไปแล้ว ผมคิดว่าควรจะระมัดระวังไว้สักหน่อยนะครับ!” ชายฉกรรจ์คนหนึ่งพูดอย่างเป็นกังวล

ในความจริงแล้ว ระยะนี้เย่เทียนเฉินกลายเป็นข่าวใหม่ที่โด่งดังที่สุดในเมืองหลวง โดยเฉพาะเรื่องที่แบกโลงศพไปที่ตระกูลฉิน วันต่อมาก็ฆ่าล้างตระกูลลั่วทั้งตระกูล เรื่องแล้วเรื่องเล่าที่ทำให้ผู้คนสั่นสะท้านมากขึ้นเรื่อยๆ ดูเหมือนคนที่มีเบื้องหลังและมีตำแหน่งฐานะจำนวนมากต่างก็เคยได้ยินเรื่องของเย่เทียนเฉินในเมืองหลวง แต่ที่คนแบบเสี้ยวหยาไม่รู้ก็เป็นเพราะเธอไม่ใช่คนที่มีตำแหน่งสูง ส่วนหลิงอวี่สวิ๋นแม้จะมีชาติตระกูลไม่ธรรมดา แต่หลายปีมานี้อยู่ที่ต่างประเทศ เดิมทีผู้หญิงเหล่านี้ก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องประเภทนี้เท่าไหร่อยู่แล้ว ปกติที่พวกเธอสนใจก็คือกินข้าวช้อปปิ้งแต่งหน้า ไม่รู้ก็ไม่แปลกอะไร

“ใช่แล้วครับ เรื่องของตระกูลฉินและตระกูลลั่ว ดูเหมือนถูกคนกดเอาไว้ และดูเหมือนว่าจะเป็นคนระดับสูงด้วย ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ต่อให้ตระกูลเย่จะตกต่ำ แต่การปรากฏตัวของเย่เทียนเฉิน ดูเหมือนจะมีความคิดฟื้นฟูตระกูลเย่ คุณชายน้อยครับ พวกเราควรจะระวังสักหน่อย ตระกูลฉินและตระกูลลั่วล้วนตกต่ำลงแล้ว!” หลี่อี้เองก็พูดอย่างเป็นกังวล

เมื่อคิดถึงการกระทำทุกอย่างหลังจากที่เย่เทียนเฉินกลับมาที่เมืองหลวงแล้ว ทำให้หลี่อี้อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น ทันใดนั้นเขาพบว่า ทำไมตนเองถึงได้มีความใจกล้าไปหาเรื่องเย่เทียนเฉินขนาดนั้นได้ นี่เกรงว่าจะไม่ใช่เย่เทียนเฉินที่รนหาที่ตายแต่เป็นตนเองต่างหากที่รนหาที่ตาย ตระกูลฉินและตระกูลลั่วจบสิ้นแล้ว แทบจะทุกคนในตระกูลล้วนถูกฆ่าตายทั้งหมด ตระกูลทั้งสองตระกูลนี้จะต้องตกต่ำอย่างแน่นอน ไม่มีชะตากรรมอื่นใดอีกต่อไปแล้ว เพียงแค่สองวันก็ทำให้ตระกูลที่มีอำนาจมีอิทธิพลในเมืองหลวงสองตระกูลตกต่ำลง ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ล้วนเป็นเพราะเย่เทียนเฉินปรากฏตัวขึ้น เพียงแค่คิดก็ทำให้ผู้คนหวาดกลัวแล้ว

“หึ ตระกูลฉิน? ตระกูลลั่ว? พวกมันนับเป็นอะไรได้ จะมาเทียบกับตระกูลเซวียนเยวี๋ยนของฉันได้ยังไง ต่อให้เย่เทียนเฉินร้ายกาจยิ่งกว่านี้ ก็เทียบไม่ได้กับหนึ่งในสิบของพี่ชายของฉันหรอก ครั้งนี้มันจะต้องตายอย่างแน่นอน!” เซวียนเยวี๋ยนอวี่พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาอย่างหยิ่งยโส

“งั้น งั้นคุณชายน้อยครับ ต่อไปพวกเราจะทำยังไงกันดี?” หลี่อี้เห็นว่าเซวียนเยวี๋ยนอวี่โกรธขนาดนี้จึงไม่กล้าพูดอะไรอีก ทำได้เพียงพูดออกมาตามคำพูดของเซวียนเยวี๋ยนอวี่

“แกไปหยุดเย่เทียนเฉินเอาไว้ รอให้อาหู่มาแล้วจะฆ่าเย่เทียนเฉินยังไงก็เป็นเรื่องของเขา ฉันไม่สนใจ ขอเพียงแค่ฉันได้ยินข่าวการตายของมันก็พอแล้ว!”

เซวียนเยวี๋ยนอวี่พูดจบก็ขึ้นรถจากไป เหลือไว้เพียงหลี่อี้ที่ยืนตกตะลึงอยู่กับที่ มองร้านอาหารทะเลฝั่งตรงข้ามอยู่ห่างๆ เย่เทียนเฉิน หลิงอวี่สวิ๋นและเสี้ยวหยา ทั้งสามต่างก็กินข้าวอยู่ที่นั่น เซวียนเยวี๋ยนเถิงส่งอาหู่ออกมาแล้ว ให้อันธพาลที่ฆ่าคนได้โดยตาไม่กระพริบมารับมือกับเย่เทียนเฉิน นานมากแล้วที่มหาวิทยาลัยหลงเถิงไม่ได้มีการแสดงโชว์นองเลือดแบบนี้ แต่เพราะการมาของเย่เทียนเฉิน จึงเริ่มขึ้นอีกครั้ง

เย่เทียนเฉิน ไม่รู้ว่าเซวียนเยวี๋ยนเถิงได้ส่งคนมารับมือกับตนเองแล้ว เขาไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ เพียงแต่กำลังสังเกตเสี้ยวหยา ตลอดทางพบว่าเธอพูดเพียงไม่กี่ประโยค มีเพียงเขาแล้วหลิงอวี่สวิ๋นที่พูดคุยหัวเราะกัน เขามองออกว่าเสี้ยวหยามีเรื่องในใจและอยากให้เธอพูดออกมา ผู้หญิงที่น่ารักและบริสุทธิ์แบบนี้ สวยงามจนไม่อาจสบประมาท เย่เทียนเฉินไม่อยากให้เธอไม่สบายใจเลยจริงๆ

“หยาเอ๋อร์ ทำไมดูแล้วเธอถึงได้มีท่าทางกลัดกลุ้มไม่สบายใจมาตลอดเลยล่ะ มีเรื่องอะไรในใจหรือเปล่า?” เย่เทียนเฉินเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

เสี้ยวหยาเงยหน้าขึ้นมองเย่เทียนเฉิน ยิ้มออกมาน้อยๆ แล้วส่ายหน้าพลางกล่าวว่า “ไม่ ไม่มี!”

เมื่อเห็นท่าทางไม่เต็มใจที่จะพูดของเธอ เย่เทียนเฉินก็ไม่ได้ฝืนใจ อย่างไรเสียทุกคนก็ล้วนมีความลำบากของตัวเอง ต่างก็มีความลับที่ไม่ต้องการให้คนอื่นรู้ เธอไม่เต็มใจที่จะพูด ย่อมเป็นความลำบากใจของตัวเธอเอง

หลิงอวี่สวิ๋นสั่งอาหารทะเลมามากมาย เช่นกุ้งมังกร เป๋าฮื้ออะไรจำพวกนี้ ทำเอาเย่เทียนเฉินใบหน้าเขียวคล้ำ มองหลิงอวี่สวิ๋นอย่างอับจนคำพูดโดยสิ้นเชิง ทั้งสามคนสั่งอาหารทะเลมามากมาย จะกินหมดได้อย่างไร แต่ตระกูลใหญ่เช่นหลิงอวี่สวิ๋น เกรงว่าสำหรับเธอแล้วอาหารทะเลจะไม่ได้เป็นสิ่งน่าแปลกประหลาด ไม่ได้แตกต่างกับอาหารที่กินยามปกติเลย

“น้องหยาเอ๋อร์ สั่งอาหารที่ชอบมาสิ!” หลิงอวี่สวิ๋นส่งเมนูให้เสี้ยวหยา แล้วพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

“ยะ เยอะมากแล้วค่ะ พวกเราสามคนกินไม่หมดหรอก สั่งให้น้อยลงสักหน่อยเถอะค่ะ ของพวกนี้แพงมากเลย!” เสี้ยวหยาเห็นราคาของอาหารทะเลเหล่านี้บนเมนู ก็อดไม่ได้ที่จะแสดงท่าทางทีว่าสุรุ่ยสุร่ายออกมา อาหารทะเลเหล่านี้หนึ่งจานอย่างต่ำก็เทียบได้กับค่าใช้จ่ายของเธอหลายเดือน เดิมทีครอบครัวของเธอก็อัตคัดขัดสน เสี้ยวหยาก็ไม่ใช่คนที่ใช้เงินเปลือง ย่อมมองแล้วรู้สึกปวดใจเป็นธรรมดา

“ก็ใช่น่ะสิ เธอดูสิว่าหยาเอ๋อร์รู้ความขนาดไหน มีแต่เธอนั่นแหละที่ต้องการปลอกลอกฉัน!” เย่เทียนเฉินมองหลิงอวี่สวิ๋นอย่างไม่สบอารมณ์แล้วพูดขึ้น

“แน่นอนอยู่แล้ว ความสัมพันธ์ตั้งแต่เล็กจนโตของพวกเรา นายเลี้ยวข้าวฉันก็เป็นสิ่งสมควรแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นมีสาวสวยสองคนอย่างพวกเรามากินข้าวเป็นเพื่อนนาย ความอยากอาหารของนายคงจะเพิ่มขึ้นไม่น้อย ควรจะขอบคุณพวกเราซะ!” หลิงอวี่สวิ๋นยิ้มอย่างซุกซน

“ครับ ครับ ผมขอขอบคุณคุณ ณ ที่นี้ด้วย พอใจหรือยัง! แต่ว่าความอยากอาหารของฉันในวันนี้ก็ไม่เท่าไหร่หรอก…” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะพูดออกมายิ้มๆ

หลังจากที่อาหารทะเลเสิร์ฟขึ้นโต๊ะแล้ว หลิงอวี่สวิ๋นและเสี้ยวหยาต่างก็เบิกตาอันสวยงามของเธอกว้าง อ้าปากเล็กๆ มองไปยังเย่เทียนเฉิน ตอนนี้พวกเธอรู้ซึ้งถึงคำว่า “ความอยากอาหารไม่ดี” ของอีกฝ่ายแล้ว เจ้าหมอนี่กินอย่างตะกละตะกลาม เกือบจะกินอาหารทะเลทั้งโต๊ะลงไปหมดแล้ว ความอยากอาหารไม่ดีมากเลยจริงๆ!

“แก แกกล้ามาล่วงเกินคุณชายเซวียนเยวี๋ยนเถิง จะต้องตายอย่างอนาถแน่!” หลี่อี้ถูกเย่เทียนเฉินเตะจนโง่งม รู้สึกไม่อยากจะเชื่อโดยสิ้นเชิง ในมหาวิทยาลัยหลงเถิงแห่งนี้ถึงกับมีคนกล้าไม่เห็นเซวียนเยวี๋ยนเถิงอยู่ในสายตา ทั้งๆ ที่พูดชื่อของเซวียนเยวี๋ยนเถิงแล้วแท้ๆ แต่ก็ยังกล้าลงมือ เย่เทียนเฉินคนนี้ช่างไม่กลัวฟ้ากลัวดินเลยจริงๆ

เมื่อเห็นเย่เทียนเฉินเตะหลี่อี้จนกระเด็นออกไป นักศึกษาชายร่างกำยำข้างๆ ทั้งสองคนที่ฝึกฝนวิชาเทควันโดก็พุ่งเข้าไป หลิงอวี่สวิ๋นและเสี้ยวหยาต่างก็ตกใจจนอดไม่ได้ที่จะถอยหลังไป การทะเลาะตบตีกันของผู้ชาย เป็นสถานการณ์ที่น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง ผู้หญิงทำได้เพียงคอยให้กำลังใจอยู่ข้างๆ

พลั่ก!

ผู้ชายหนึ่งในนั้นที่เรียนวิชาเทควันโด คิดว่าหมัดของตนแข็งแกร่งมากจึงปล่อยหมัดออกไปยังศีรษะของเย่เทียนเฉิน เพียงแต่น่าเสียดาย สิ่งที่ได้รับกลับมาก็คือกำปั้นของอีกฝ่าย

เสียงกรอบดังขึ้น ตามติดมาด้วยเสียงร้องอย่างอนาถ นักศึกษาชายที่ปล่อยหมัดออกไปยังศีรษะของเย่เทียนเฉินถูดกำปั้นของอีกฝ่ายปะทะเข้ามา ทำให้แขนขวาทั้งแขนถูกกระแทกจนหัก เขาไหนเลยจะคิดว่าเย่เทียนเฉินที่ดูผอมแห้ง หมัดของเขาจะแข็งขนาดนี้ พริบตาเดียวก็ลงไปนอนกองกับพื้น ร้องออกมาราวกับหมูถูกเชือด

นักศึกษาชายอีกคนใช้เท้าเตะไปช่วงเอวของเย่เทียนเฉิน เพียงแต่ในตอนที่เท้าของเขาเพิ่งจะยกเตะลอยกลางอากาศก็ถูกเย่เทียนเฉินเตะจนปลิวเสียก่อน คนทั้งคนกระแทกเข้ากับต้นไม้ด้านข้างแล้วลงไปนอนโอดครวญอยู่ที่พื้น ยืนไม่ขึ้นอีก

ภาพเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเร็วมาก และกระทันหันมาก ผู้หญิงทั้งสองคนอย่างหลิงอวี่สวิ๋นและเสี้ยวหยามองเย่เทียนเฉินราวกับมนุษย์ต่างดาวคนหนึ่ง พวกเธอต่างก็คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะร้ายกาจขนาดนี้ ชายกำยำทั้งสองคนที่ฝึกวิชาเทควันโด ถึงกับไม่สามารถแตะต้องเขาได้แม้แต่ชายเสื้อ ต่อหน้าเย่เทียนเฉิน พวกเขาทําได้เพียงถูกอัดโดยสิ้นเชิง

หลี่อี้ยิ่งตกใจจนมีเหงื่อเย็นๆ ไหลซึมออกมาบริเวณหน้าผาก เขาไหนเลยจะรู้ว่าเย่เทียนเฉินที่อยู่ตรงหน้า สวมใส่ชุดธรรมดาแค่กางเกงชายหาดและรองเท้าแตะ ฝีมือจะแข็งแกร่งถึงขนาดนี้ ตัวเองเรียกคนทั้งสองซึ่งต่างก็เป็นยอดฝีมือในวิชาเทควันโดนี้มา ภายในมหาวิทยาลัยหลงเถิง พวกเขานับว่ามีฝีมือแข็งแกร่งมากแล้ว แต่ถึงกับถูกหมัดถูกเท้าของเย่เทียนเฉินอัดจนหมอบราวกับเด็กน้อย

“ไอ้คนเห่อของนอกอย่างพวกแกสองคน รู้ถึงความร้ายกาจของศิลปะป้องกันตัวของประเทศจีนแล้วหรือยัง? เทควันโดเอย คาราเต้เอย ต่างก็อ่อนแอทั้งนั้น กากมาก!”เย่เทียนเฉินชี้นิ้วไปทางนักศึกษาชายทั้งสองคนที่ฝึกวิชาเทควันโด แล้วพูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์

“แก แกเป็นใครกันแน่?” หลี่อี้คลานขึ้นมาจากพื้น มองเย่เทียนเฉินอย่างดุดันแล้วเอ่ยถาม

“เรียกเซวียนเยวี๋ยนเถิงมาเถอะ แกก็เป็นแค่สุนัขตัวหนึ่งของเขา ไม่สมควรมารู้จักชื่อฉันหรอก!”

“หึ ไม่ได้เจอคนที่กล้าล่วงเกินคุณชายใหญ่เซวียนเยวี๋ยนเถิงนานแล้ว เพราะไอ้คนที่กล้าหาเรื่องเขาก่อนหน้านี้ต่างก็ตายกันไปหมดแล้ว แกจะเป็นรายต่อไป!” หลี่อี้แค่นเสียงเย็นครั้งหนึ่งแล้วพูดขึ้น

ผัวะ!

สิ่งที่ตอบกลับหลี่อี้ยังคงเป็นเท้าของเย่เทียนเฉินเท่านั้น สำหรับคนประเภทนี้ เย่เทียนเฉินไม่อยากจะพูดอะไรให้มากความ รู้สึกเพียงว่าสำหรับเขาแล้วการมาเรียนยังรับได้ยากยิ่งกว่านั่งอยู่ในคุกเสียอีก แต่ว่าหากไม่มาเรียน เกรงว่าพ่อแม่จะไม่เห็นด้วย รวมกับที่เขาได้ตอบรับผู้อาวุโสหยางอี้ไว้แล้ว บอกว่าจะมาอยู่ใกล้ๆ กับตงฟางเมิ่งอะไรนั่น คอยสังเกตการกระทำของเธอ ไม่ให้เธอก่อเรื่อง และไม่ให้เธอถูกคนอื่นทำร้าย ไม่รู้จริงๆ ว่าต้องการทำอะไร

เมื่อพูดแล้วก็ต้องทำให้ได้ นี่เป็นหลักการของเย่เทียนเฉิน ในเมื่อตอบรับไปแล้วก็ต้องทำให้ได้ ยิ่งไปกว่านั้น เย่เทียนเฉินที่ไม่ชอบเข้าเรียน รู้สึกอยากหาอะไรน่าสนุกทำที่มหาวิทยาลัยหลงเถิงเพื่อฆ่าเวลา จึงคิดว่าน่าสนใจไม่เลวเลย

“อย่ามาทำเป็นเก่งต่อมาหน้าบิดา เก่งนักก็ให้เซียนเยวี๋ยนเถิงปรากฏตัวต่อหน้าฉันซะ!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างไม่สบอารมณ์

“แก…แกรอก่อน แกรอก่อนเถอะ…”

“หลี่อี้ นายไปบอกเซวียนเยวี๋ยนเถิงว่าให้เขาปล่อยเรื่องนี้ไปเถอะ!” หลิงอวี่สวิ๋นกังวลแทนเย่เทียนเฉิน จึงรีบออกมาพูด

“ฮ่าๆๆๆ หลิงอวี่สวิ๋น ถึงแม้ว่าเซวียนเยวี๋ยนเถิงจะชอบเธอมาก และตามจีบเธอมาตลอด แต่ฉันคิดว่าเรื่องนี้เธอทำอะไรไม่ได้หรอก ไอ้หมอนี่ต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย!” หลี่อี้หัวเราะเสียงดังด้วยความโกรธแค้นแล้วพูดขึ้น

“นาย…” หลิงอวี่สวิ๋นโกรธจนพูดไม่ออก

“ไสหัวไป!”

เย่เทียนเฉินมองหลี่อี้อย่างเย็นยะเยือกแล้วตะโกนเสียงดัง หลี่อี้ตกใจจนตัวสั่น ปากก็พูดจาโหดเหี้ยมออกมาแล้ววิ่งไปกับนักศึกษาชายทั้งสองคนที่ฝึกวิชาเทควันโด

หลิงอวี่สวิ๋นและเสี้ยวหยารู้สึกใจเต้นตึกตัก เพราะเมื่อครู่นี้เย่เทียนเฉินช่างหล่อจริงๆ เดิมทีรูปร่างหน้าตาก็หล่อเหลามากอยู่แล้ว รวมกับที่ฝีมือที่แข็งแกร่งมาก คำพูดทรงอำนาจ สามารถใช้สองเท้าสามหมัดอัดพวกหลี่อี้ทั้งสามจนเผ่นแนบไปต่อหน้าสาวงามทั้งสองคน เท่สุดๆ ไปเลย ผู้หญิงคนไหนจะไม่ชอบบ้าง?

ผู้ชายคนหนึ่ง ทั้งหล่อทั้งต่อยตีเก่ง ตอนที่แสดงอำนาจขึ้นมาก็ทำให้ผู้หญิงหลายคนหลงใหล หากว่าผู้ชายคนนี้มีความสามารถทางด้านเศรษฐกิจการเงินอีกสักนิดล่ะก็ คงจะทำให้คนนับหมื่นหลงเสน่ห์

เพียงแต่หลิงอวี่สวิ๋นและเสี้ยวหยาอดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงเย่เทียนเฉินขึ้นมา ถึงอย่างไรคนที่เขาล่วงเกินก็คือเซวียนเยวี๋ยนเถิงหนึ่งในสามสุดยอดคุณชายแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง นอกจากนี้เขายังเป็นคนที่หยิ่งยโสและบ้าอำนาจมากที่สุดในหมู่สามคุณชาย เป็นคนที่มีแค้นต้องชำระ เย่เทียนเฉินอัดน้องชายแท้ๆ ของเขา เรื่องนี้เซวียนเยวี๋ยนเถิงไม่ยอมวางมือแน่

“นายบุ่มบ่ามเกินไปแล้ว เซวียนเยวี๋ยนเถิงมีอำนาจในมหาวิทยาลัยหลงเถิงมาก แล้วชาติตระกูลก็ไม่ใช่เล็กๆ นายอัดน้องชายของเขา เขาไม่ยอมเลิกราแน่ นายหาเรื่องเขาต่อหน้าสาธารณะ เขาเป็นคนจิตใจคับแคบ จะต้องแก้แค้นแน่ ไม่งั้นให้ฉันไปหาเซวียนเยวี๋ยนเถิง จัดการให้เรื่องนี้เงียบเป็นไง?” หลิงอวี่สวิ๋นพูดอย่างกังวล

“ไม่ต้อง ก็แค่เซวียนเยวี๋ยนเถิงคนเดียวไม่ใช่หรอ? ถ้าเขากล้ามา ฉันก็จะเตะเขาไปสักสองที ให้เขาได้สติสักหน่อย!” เย่เทียนเฉินพูดแล้วหัวเราะฮี่ๆ

หลิงอวี่สวิ๋นเห็นท่าทางเอ้อระเหยของเย่เทียนเฉิน ก็อดไม่ได้ที่จะโกรธเล็กน้อย หยิกลงไปที่แขนของเขาอย่างแรง ในใจก็คิดว่าเจ้าหมอนี่ไม่รู้จักดีชั่วเลยจริงๆ คนอื่นเขาเป็นห่วงคุณ คุณก็ยังทำเป็นเท่ พูดจาใหญ่โต ทั่วทั้งเมืองหลวงเขารู้กันหมดว่าตระกูลเย่ตกต่ำลงแล้ว หากว่าจะเทียบชาติตระกูลกับเซวียนเยวี๋ยนเถิง คงห่างไกลกันมากจนไม่อาจพูดได้ ดังนั้นหลิงอวี่สวิ๋นจึงคิดจะใช้ความสัมพันธ์ของตระกูลหลิงของตนช่วยเหลือเย่เทียนเฉินทำให้เรื่องนี้สงบ ถึงอย่างไรในวัยเด็กทั้งสองตระกูลก็เคยมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวต่อกัน ที่สำคัญที่สุดก็คือ ความทรงจำในวัยเด็กยังประทับอยู่ในสมองของหลิงอวี่สวิ๋นอย่างลึกล้ำ

เคยมีผู้เชี่ยวชาญด้านความรักอันยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งกล่าวไว้ว่า เด็กชายเด็กหญิงที่เล่นด้วยกันมาตั้งแต่เยาว์วัย ความทรงจำของทั้งสอง จะเป็นความรู้สึกที่บริสุทธิ์ที่สุดในส่วนลึกสองจิตใจเด็กผู้หญิง และไม่อาจสลัดออกไปได้ช่วยชีวิต เมื่อทั้งสองคนมีความรักต่อกันแม้เพียงนิด ไม่ว่าจะเกิดแก่เจ็บตาย ร่ำรวยยากจน เธอก็จะอยู่ข้างกายคุณ ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า ผู้หญิงทุกคนล้วนจินตนาการถึงความรักอันงดงามและบริสุทธิ์ นั่นเป็นความปรารถนาของพวกเธอ

“นายอย่าพูดจาใหญ่โตไปเลย ให้ฉันช่วยนายทำเรื่องนี้ให้สงบเถอะ!” หลิงอวี่สวิ๋นมองเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

“ไม่ต้องจริงๆ ตอนเด็กฉันเป็นพี่ชายของเธอ คอยปกป้องเธอบ่อยๆ เธอยังไม่เชื่อความสามารถของฉันหรออีก? ไม่ต้องให้เธอช่วยฉันจริงๆ!” เย่เทียนเฉินพูดยิ้มๆ

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายปฏิเสธ หลิงอวี่สวิ๋นก็ทำอะไรไม่ได้ แต่สิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกตกใจก็คือ ฝีมือของเย่เทียนเฉินถึงกับดีขนาดนี้เชียว กระทั่งสมาชิกของชมรมเทควันโดของมหาวิทยาลัยก็ไม่ใช่คู่มือของเขา ดูท่าหลายปีมานี้เจ้าหมอนี่จะฝึกฝนได้ไม่เลวเลย

“ขะ ขอโทษค่ะ เป็นฉันที่ไม่ดีเอง หะ ให้ฉันไปขอโทษเซียนเยวี๋ยนอวี่คนนั้นเถอะ เขาจะได้ไม่มาสร้างปัญหาอีก!” เสี้ยวหยามองเย่เทียนเฉินด้วยความรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก

เย่เทียนเฉินมองเสี้ยวหยา อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสะเทือนใจ ผู้หญิงคนนี้บริสุทธิ์และจิตใจดีขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นความผิดของคนอื่น แต่เธอก็มักจะโทษตัวเอง ไม่ใช่ว่ากลัวอะไร แต่เป็นเพราะจิตใจอันดีงาม ไม่คิดจะให้เกี่ยวพันไปถึงคนอื่น

“คนแบบเซียนเยวี๋ยนอวี่สมควรจะต้องสั่งสอน เด็กเมื่อวานซืนคนหนึ่งก็ยังกล้าหาญขนาดนี้ ภายภาคหน้าโตไปแล้วจะไม่ยิ่งกว่าเหรอ? หยาเอ๋อร์ เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของเธอ วางใจเถอะ ฉันจะแบกรับแทนเธอเอง!” เย่เทียนเฉินทำท่าทางที่สุภาพบุรุษออกมา พูดยิ้มๆ

หลิงอวี่สวิ๋นและเสี้ยวหยาถูกการกระทำนี้ของเขาทำให้หัวเราะ อารมณ์ก็ดีขึ้นไม่น้อย ทั้งสามคนเดินมุ่งหน้าไปยังนอกประตูมหาวิทยาลัยด้วยกัน เพียงแต่ดูเหมือนว่าเสี้ยวหยาจะรู้สึกผิด และมีท่าทางราวกับมีเรื่องในใจ จึงก้มหน้าพูดคุยน้อยมาก

“ฝีมือของนายแข็งแกร่งขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ หลายปีมานี้คงฝึกไปไม่น้อยเลยสินะ!” หลิงอวี่สวิ๋นมองรอยเย่เทียนเฉินแล้วพูดด้วยรอยยิ้มหวาน

“ใช่แล้ว วันๆ พี่ชายก็ฝึกฝนกล้ามเนื้อ ก็เพื่อจะปกป้องเหล่าสาวงามอย่างพวกเธอ ฉันเป็นคนที่เกิดมาเพื่อปกป้องสาวงามงาน เป็นเทพพิทักษ์สาวงาม!” เย่เทียนเฉินทำท่าทางเกินจริง จงใจพูดจาขบขันออกมา เพื่อหยอกล้อเสี้ยวเหยาที่อยู่ข้างๆ ให้หัวเราะ

“นายนี่นะ ให้มันน้อยๆ หน่อย หลายปีมานี้ฉันไปเรียนที่ต่างประเทศ ตอนนี้กลับมาเรียนในประเทศแล้ว วันหลังคงไม่ไปแล้ว!” หลิงอวี่สวิ๋นพูดยิ้มๆ

“หือ? เธอจะไม่ไปต่างประเทศแล้ว? ไม่ใช่ว่าวันหลังพี่ชายจะถูกเธอรังควานบ่อยๆ หรือไง? ชีวิตรันทด ชีวิตรันทด เศร้าจริง เศร้าจริง!” เย่เทียนเฉินพูดแล้วทำท่าทางร้องไห้ไร้น้ำตาออกมา

หลิงอวี่สวิ๋นโกรธจนทนไม่ไหว ยู่ปากเล็กๆ อันเซ็กซี่ขึ้น หยิกไปที่แขนของอีกฝ่ายอย่างแรง มองเขายังไม่พอใจแล้วพูดว่า “มีสาวงามอย่างฉันคอยรังควาน คงจะแอบดีใจสินะ ยังจะกล้ามาทำเป็นเศร้าอีก วันหลังพวกเราก็อยู่ในมหาวิทยาลัยเดียวกันแล้ว นี่เป็นเรื่องที่ดีมาก ฮี่ๆ!”

เมื่อเห็นรอยยิ้มชั่วร้ายของหลิงอวี่สวิ๋น เย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะทำเป็นกลัว แล้วพูดออกมาด้วยท่าทางหวาดกลัวว่า “ทำไมฉันรู้สึกว่าเธอเหมือนหมาป่า ส่วนชั้นเหมือนแกะล่ะ?”

“ก็ถูกแล้ว ฉันเป็นฮุยไท่หลาง นายก็เป็นสี่หยางหยาง ฮ่าๆ!” หลิงอวี่สวิ๋นพูดพลางยิ้มหวาน

ตลอดทางเสี้ยวหยาไม่พูดอะไรเลย เย่เทียนเฉินมองเสี้ยวหยา ไม่รู้ว่าเธอมีเรื่องอะไรในใจ ผู้หญิงคนนี้บริสุทธิ์มาก โดยเฉพาะการแต่งตัวแบบนี้ ใบหน้าสุกใสที่ไร้ซึ่งฝุ่นแป้ง ดูแล้วงดงามอยู่หลายส่วน รวมกับชุดเดรสสีขาวและรองเท้าผ้าใบสีขาว ดูแล้วยิ่งทำให้เย่เทียนเฉินหัวใจเต้นรัว

“หยาเอ๋อร์ เจ้าหมอนี่แย่มาก เห็นได้ชัดว่าตัวเองเป็นฮุยไท่หลาง แต่แกล้งทำเป็นสี่หยางหยาง เลวจริง!” หลิงอวี่สวิ๋นพูดพลางจูงมือเสี้ยวหยายิ้มๆ

เสี้ยวหยา มองเย่เทียนเฉินแล้วจึงยิ้มครั้งหนึ่ง แต่ไม่ได้พูดอะไรมาก เย่เทียนเฉินมองออกว่าเธอมีเรื่องในใจ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเขาจะสามารถช่วยเหลือเธอได้หรือไม่!

“เห็นไหม น้องเสี้ยวหยามีมารยาทขนาดไหน ทำไมนายไม่เรียกฉันว่าพี่สาวอีกล่ะ?”

หลิงอวี่สวิ๋นมองเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้นอย่างซุกซน เธออายุมากกว่าเย่เทียนเฉินหนึ่งปี เป็นนักศึกษาปีที่สองของมหาวิทยาลัยหลงเถิงแล้ว ดังนั้นย่อมมีคุณสมบัติที่จะให้เย่เทียนเฉินเรียกเธอว่าพี่สาว

“ฉันจำได้ว่าตอนเด็กๆ เธอเรียกฉันว่าพี่ชายนี่ ตอนนี้ทำไมไม่มีพี่มีน้องแล้ว อยากถูกตีก้นหรือไง?” เย่เทียนเฉินมองหลิงอวี่สวิ๋นแล้วพูดขึ้นอย่างหยอกล้อ

ในขณะที่พูด เย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะมองก้นของหลิงอวี่สวิ๋น เธอสวมกางเกงยีนส์ที่ค่อนข้างรัดรูปตัวหนึ่ง ทำให้ก้นที่งอนงามอยู่แล้วยิ่งถูกขับให้โดดเด่นมากขึ้น เดิมทีเย่เทียนเฉินก็ชอบผู้หญิงก้นใหญ่อยู่แล้ว เมื่อเห็นรูปร่างเช่นนั้นก็มีอารมณ์เป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นก้นใหญ่ๆ สามารถให้กำเนิดลูกชายได้!

“ไอ้บ้า ถ้ากล้าพูดจามั่วซั่วอีก ฉันจะอัดนายจริงๆ ด้วย! ” เธอพูด ใบหน้าของหลิงอวี่สวิ๋นอดไม่ได้ที่จะแดงระเรื่อ ถลึงดวงตาสวยๆ ของเธอใส่เย่เทียนเฉินแล้วจึงยู่ปากเล็กๆ อันเซ็กซี่

“ได้ ถือว่าฉันกลัวเธอก็แล้วกัน!”

เย่เทียนเฉินจำหลิงอวี่สวิ๋นซึ่งเป็นคู่หูที่เล่นกันตอนเด็กๆ คนนี้ได้แล้ว ในใจก็รู้สึกยินดีมาก คิดถึงเรื่องตอนเด็กๆ ได้มากมาย ในตอนนั้นเขาเคยฉี่รดที่นอน เลยถูกหลิงอวี่สวิ๋นเรียกว่าไอ้เย่ฉี่รดที่นอน ส่วนหลิงอวี่สวิ๋น เพราะว่าตอนเด็กๆ เป็นหวัดบ่อยๆ เลยมันจะมีน้ำมูกไหล จึงถูกเย่เทียนเฉินตั้งฉายาให้ว่ายัยหลิงขี้มูกโป่ง ในตอนเด็กๆทั้งสองคนมักจะเล่นพ่อแม่ลูกด้วยกันอย่างมีความสุขเป็นอย่างมาก ในตอนนี้ก็อายุยี่สิบปีไปแล้ว ทั้งสองล้วนเติบโตแล้ว แต่ความรู้สึกสนิทสนมในใจ ไม่ได้ลดลงเลย ยังคงมีความรู้สึกบริสุทธิ์เหมือนตอนเด็กอยู่

“รู้จักกลัวก็ดีแล้ว งั้นกลางวันนี้ก็เลี้ยงข้าวฉันกับหยาเอ๋อร์แล้วกัน ถือว่านายชดใช้คำขอโทษให้ฉัน!” หลิงอวี่สวิ๋นไม่เห็นเย่เทียนเฉินเป็นคนอื่นเลยสักนิด เดิมทีเมื่อก่อนความสัมพันธ์ของตระกูลหลิงและตระกูลเย่ก็ไม่เลว รวมกับความสนิทสนมในตอนเด็กของพวกเขาทั้งสอง แม้ว่าจะไม่ได้พบกันนานแล้ว แต่ความรู้สึกเหินห่างสักนิดก็ไม่มี

“ไม่เอาน่า? เลี้ยงข้าวเหรอ? ฉันจนมาก!” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะอ้าปากกว้างพูดจาด้วยท่าทางเกินจริง ท่าทางแบบนั้นราวกับจะสื่อว่า ถ้าให้เขาเลี้ยงข้าวก็เหมือนต้องการให้เขาตายอย่างไรอย่างนั้น

“ทำไม ได้เลี้ยงข้าวสาวสวยสุดยอดอย่างพวกเราทั้งสองคนก็เป็นบุญของนายแล้ว นายถึงกับทำท่าทางไม่เต็มใจแบบนี้ออกมา ฉันสบประมาทนายเกินไปแล้วจริงๆ!”หลิงอวี่สวิ๋นพูดแล้วมองเย่เทียนเฉินอย่างจนใจ

จะอย่างไรหลิงอวี่สวิ๋นก็คิดไม่ถึงว่า เย่เทียนเฉินที่ตอนเด็กๆ ขี้เหนียวมาก ตอนนั้นขนาดอมยิ้มราคาห้าเจี่ยวก็ไม่เต็มใจจะเลี้ยงตน ตอนนี้ผ่านไปหลายปีมากแล้ว ถึงกับยังคงความขี้เหนียวแบบนั้นเอาไว้ ไม่รู้จริงๆ ว่าวันหน้าเจ้าหมอนี่จะมีแฟนได้อย่างไร

เมื่อเจอกับเพื่อนสมัยเด็ก เย่เทียนเฉินก็ไม่มีอารมณ์แล้ว รวมกับที่เสี้ยวหยาซึ่งคล้ายคลึงกับผู้หญิงที่ตนมีความรักอย่างลึกซึ้งในช่วงยุคสิ้นโลกอยู่ตรงหน้า เย่เทียนเฉินจึงรู้สึกไม่ดีที่จะขี้เหนียวจนเกินไป จึงคิดครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า “งั้นก็ได้ ฉันเลี้ยงก๋วยเตี๋ยวพวกเธอก็แล้วกัน!”

“อะไรนะ? พวกเราพวกเราไม่ได้เจอกันนานกี่ปีแล้ว? สิบกว่าปีได้ ไม่ได้เจอกันนานขนาดนี้นายยังจะเลี้ยงแค่ก๋วยเตี๋ยวถ้วยเดียวอีกเหรอ? แล้วน้องหยาเอ๋อร์ก็น่ารักบริสุทธิ์ขนาดนี้ นายจะอดใจปล่อยให้เธอท้องหิวตอนกลางคืนได้เหรอไง? เย่เทียนเฉิน นายจะขี้เหนียวเกินไปแล้ว ไอ้ขี้งก” หลิงอวี่สวิ๋นพูด รู้สึกแทบจะหมดอาลัยตายอยาก

แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเห็นผู้ชายขี้เหนียวแบบเย่เทียนเฉินมาก่อน โดยเฉพาะหลิงอวี่สวิ๋นที่นับได้ว่าเป็นดาวของมหาวิทยาลัยหลงเถิง ถึงแม้ว่าจะไม่ได้รับเลือกให้เป็นดาวมหาวิทยาลัยจริงๆ แต่ผู้ชายที่ตามจีบก็สามารถรวมตัวกันได้เป็นกองร้อยใหญ่ๆ ไม่ทราบว่ามีผู้ชายกี่คนที่คิดอยากจะเลี้ยงข้าวเธอ แต่ก็ถูกปฏิเสธไปทั้งหมด เย่เทียนเฉินคนนี้ ตนเองเอ่ยปากขอให้เขาเลี้ยงข้าว ถึงกับชะงักไปครึ่งวันแล้วค่อยบอกว่าจะเลี้ยงก๋วยเตี๋ยว ช่างทำให้หมดอาลัยตายอยากจริงๆ

หากว่าสักวันหนึ่งซูเฟยเฟยเจอกับหลิงอวี่สวิ๋นและได้พูดคุยกันถึงเรื่องที่ให้เย่เทียนเฉินเลี้ยงข้าว เชื่อว่าท่าทางของสาวงามทั้งสองจะต้องทำให้คนอื่นตกใจแน่นอน สถานการณ์เช่นนั้นจะต้องน่าสนุกมาก คาดหวังจริงๆ

“งั้น งั้นเธอบอกมาว่าจะกินอะไร ฉันจะทำใจเลี้ยงพวกเธอสักมื้อ!” เย่เทียนเฉินถูกหลิงอวี่สวิ๋นพูดใส่เช่นนี้ต่อหน้าเสี้ยวหยาก็รู้สึกว่าขายหน้าอยู่บ้าง จึงกัดฟันพูดออกมาอย่างใจกว้าง

กินอาหารทะเล ฉันรู้มาว่าด้านนอกมีร้านอาหารทะเลที่ไม่เลวอยู่ร้านหนึ่ง วันนี้ตอนเที่ยงพวกเราไปกินที่นั่นกันเถอะ!” หลิงอวี่สวิ๋นเอ่ยปาก”

“ได้ งั้นฉันช่วยหยาเอ๋อร์ลากกระเป๋าเดินทางขึ้นไปก่อน เธอก็รอพวกเราอยู่ข้างล่างแล้วกัน!” เย่เทียนเฉินเปิดปากพูด

“ไม่ต้องหรอก นายวางไว้หน้าประตูหอพักหญิงก็พอแล้ว จะมีคุณน้าผู้จัดการโดยเฉพาะรับผิดชอบยกขึ้นไปให้ พวกเราไปกินข้าวกันเถอะ!” หลิงอวี่สวิ๋นยิ้มอย่างน่ารัก ดูเหมือนว่าเธอจะเข้าใจนิสัยของเย่เทียนเฉินเป็นอย่างดี จึงกลัวว่าคนคนนี้จะเปลี่ยนใจทีหลัง

“งั้นก็ได้ เดี๋ยวฉันกลับมา พวกเธอรอสักครู่!”

เย่เทียนเฉินรู้สึกกลัดกลุ้มเป็นอย่างมาก การได้เจอหลิงอวี่สวิ๋นที่เป็นเพื่อนในวัยเด็ก เดิมทีก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างมาก ไหนเลยจะรู้ว่าพูดจากันแค่ไม่กี่ประโยคก็ถูกหลอกกินเสียแล้ว แล้วยังเป็นต่อหน้าเสี้ยวหยาอีก หากเป็นผู้หญิงคนอื่น ต่อให้สวยขนาดไหนเย่เทียนเฉินก็จะไม่ใจกว้างอย่างแน่นอน ขนาดผู้หญิงที่สวยมากอย่างซูเฟยเฟยก็ยังถูกเย่เทียนเฉินเลี้ยงวุ้นเส้นต้มยำ คนๆ นี้ยังมีเรื่องขี้งกอะไรที่ทำไม่ได้อีกบ้าง

แต่ว่าเสี้ยวหยามีความคล้ายคลึงกับผู้หญิงที่เย่เทียนเฉินรักอย่างลึกซึ้งในช่วงยุคสิ้นโลก อีกทั้งในช่วงยุคสิ้นโลกผู้หญิงที่เขารักอย่างลึกซึ้งได้ตายไปแล้ว นี่ได้กลายเป็นความเจ็บปวดที่สุดในชีวิตของเขา ดังนั้นเมื่อเสี้ยวหยาปรากฏตัว จึงไม่ใช่ความสัมพันธ์ประเภทวีรบุรุษช่วยสาวงามอะไร แต่เป็นความรักอย่างหนึ่ง เป็นการสะท้อนและการแสดงออกให้เห็นถึงความรักอันเป็นนิรันดร์

ห้านาทีต่อมา เมื่อเย่เทียนเฉินกลับมาที่ถนนใหญ่ของมหาวิทยาลัยแล้ว จึงพบว่าหลิงอวี่สวิ๋นและเสี้ยวหยากำลังพูดคุยกันอย่างออกรส อาจจะเป็นสาเหตุของสาวงามก็เป็นได้ ระหว่างสาวงามมักจะมีความเห็นที่ค่อนข้างตรงกัน เมื่อเห็นเย่ทียนเฉินเดินเข้ามาก็พากันมองมาที่เขา

“ทำไม? ไม่เจอกันห้านาทีก็รู้สึกฉันหล่อขึ้นใช่ไหม?” เย่เทียนเฉินหัวเราะฮี่ๆ แล้วเอ่ยถาม

“พวกเรากำลังคุยกันถึงคนขี้เหนียวคนหนึ่งน่ะ!”หลิงอวี่สวิ๋นแลบลิ้นใส่เย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

“ไปเถอะ เลี้ยงอาหารทะเลเธอแล้วคราวหน้าก็อย่าหาว่าฉันขี้งกอีกล่ะ!” เย่เทียนเฉินมองไปยังหลิงอวี่สวิ๋นอย่างจนใจแล้วพูดขึ้น

เย่เทียนเฉินเดินอยู่ด้านซ้ายสุด เสี้ยวหยาอยู่ตรงกลาง หลิงอวี่สวิ๋นเดินทางด้านขวา ในตอนที่สาวงามทั้งสองกำลังพูดคุยกัน ต่างก็หัวเราะออกมาอย่างเบิกบานใจเป็นระยะๆ ส่วนเย่เทียนเฉิน ก็ทำเพียงยืนอยู่ข้างๆ

ไหนเลยจะรู้ว่า เพิ่งจะเดินไปข้างหน้าได้ไม่กี่ก้าว ก็เจอกับนักศึกษาชายสามคนเดินมา คนที่เดินอยู่ตรงกลางสวมสูททั้งตัว นักศึกษาชายอีกสองคนที่ยืนอยู่สองข้างสวมชุดสีขาวทั้งตัว คาดเข็มขัดผ้าสีดำ บนเสื้อยังปักคำว่าเทควันโดเอาไว้

“แกก็คือเย่เทียนเฉิน?” นักศึกษาชายสวมสูทที่อยู่ตรงกลางมองเย่เทียนเฉินอย่างวางมาดแล้วเอ่ยถาม

“มีอะไรเหรอ?” เย่เทียนเฉินรู้สึกได้ว่าผู้ที่มาไม่ได้มาดี จึงถามออกไปเรียบๆ

“ดี เป็นแกที่ทำร้ายคุณชายน้อยเซวียนเยวี๋ยนอวี่?” นักศึกษาชายที่สวมสูทสีดำพูดด้วยรอยยิ้มเย็นชา

“เซวียนเยวี๋ยนอวี่เป็นใคร? ฉันรู้แค่ว่าฉันสั่งสอนเดรัจฉานน้อยตัวหนึ่งที่ไม่มีคนสั่งสอนที่หน้าประตูมหาวิทยาลัยก็เท่านั้น!”

“ดี ดีมาก แกยอมรับก็ดีแล้ว กลัวก็แต่ว่าแกจะไม่ยอมรับ!”

นักศึกษาชายสวมสูทดำคนนี้ พาคนที่ฝึกวิชาเทควันโด้มาด้วยสองคน เห็นได้ชัดว่าต้องการสั่งสอนเย่เทียนเฉิน ช่วยกู้หย้าเซวียนเยวี๋ยนอวี่ แต่เย่เทียนเฉินไม่เก็บเรื่องของเขามาใส่ใจ ชายทั้งคนนี้ ตนเองสามารถเตะกระเด็นไปได้ด้วยการเตะแค่สามครั้ง

“หลี่อี้ นายคิดจะทำอะไร?” ตอนนี้ หลิงอวี่สวิ๋นเดินออกมาพูดกับนักศึกษาชายสวมสูทดำคนนั้นเสียงดุ

“หลิงอวี่สวิ๋น ฉันขอเตือนเธอว่าอย่าสอดดีจะกว่า ยอมเป็นแฟนของคุณชายเซวียนเยวี๋ยนเถิงของพวกเราดีๆ ไปก็พอแล้ว ไม่งั้นพอถึงเวลาแล้วพัวพันไปถึงเธอ ฉันก็ไม่รับผิดชอบ ถึงแม้ว่าคุณชายใหญ่เซวียนเยวี๋ยนอวี่จะตามจีบเธอมาตลอด แต่ครั้งนี้ไอ้ลูกเต่าเย่เทียนเฉินทำร้ายน้องชายของเขา ใครก็ปกป้องเย่เทียนเฉินไม่ได้ มันจะต้องตายอย่างแน่นอน!” หลี่อี้มองเย่เทียนเฉินยังไม่แยแสพลางกล่าว

“นาย…ระวังว่าฉันจะบอกเซวียนเยวี๋ยนเถิง ถึงตอนนั้นชีวิตของแกก็ไม่ดีแล้ว!” หลิงอวี่สวิ๋นเปิดปากพูด

“งั้นเหรอ? หลิงอวี่สวิ๋น เธอยังไม่ได้เป็นแฟนของคุณชายใหญ่เซวียนเยวี๋ยนเถิงเลย ไม่ใช่ว่าเธอไม่ตอบรับมาตลอดหรอกเหรอ? หรือว่าเธอยินดีตอบรับเพื่อไอ้หมอนี่?” หลี่อี้พูดด้วยน้ำเสียงแปลกๆ

หลิงอวี่สวิ๋นมองหลี่อี้ แล้วรีบดึงเย่เทียนเฉินไปด้านหนึ่ง พูดเบาๆ ว่า “นายรีบไปเถอะ ฉันจะขวางพวกเขาไว้ให้ หลี่อี้เป็นคนของเซวียนเยวี๋ยนเถิง จะต้องมาหาเรื่องนายแน่ เรื่องที่นายทำร้ายเซวียนเยวี๋ยนอวี่ดังไปทั่วทั้งมหาวิทยาลัยหลงเถิงแล้ว เซวียนเยวี๋ยนเถิงเพื่อที่จะกู้หน้า จะต้องไม่ปล่อยนายไปแน่ รีบไปเถอะ!”

เมื่อเห็นว่าเพื่อนสมัยเด็กคนนี้มีคุณธรรมน้ำใจ เย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาเบาๆ ส่ายหน้าแล้วเดินไปเบื้องหน้าหลี่อี้ กล่าวว่า “เซวียนเยวี๋ยนเถิงอยู่ที่ไหน?”

“หึ คุณชายใหญ่เซวียนเยวี๋ยนเถิงวันนี้มีธุระ มาไม่ได้ หากว่าแกอยากจะไปคุกเข่าขอโทษกับเขาแล้วล่ะก็ คงจะไม่มีโอกาสแล้ว!” หลี้อี้คิดว่าเย่เทียนเฉินกลัว จึงแค่นเสียงเย็นออกมา แล้วพูดจาโอหังมากยิ่งขึ้น

“อ๋อ งั้นแกก็โทรหาเขาสิ บอกเขาว่าวันนี้น้องชายเขาทำให้มือของฉันสกปรก ให้เขามาเลี้ยงข้าวฉันซะ ก็จะถือว่าเป็นของขวัญชดเชยแทนคำขอโทษแล้ว ส่วนเรื่องคุกเข่าขอร้องน่ะ ฉันจะลองพิจารณยกโทษให้เขาดู!” เย่เทียนเฉินพูดยิ้มๆ

ใครก็คิดไม่ถึงว่า เย่เทียนเฉินจะถึงกับพูดประโยคนี้ออกมา หลิงอวี่สวิ๋นและเสี้ยวหยาได้ยินก็ตกตะลึง ถึงกับต้องการให้เซวียนเยวี๋ยนเถิงเลี้ยงข้าวเพื่อชดเชยแทนคำขอโทษ มิฉะนั้นก็จะต้องคุกเข่าขออภัย? คนที่กล้าพูดคำนี้ออกมา ไม่ต้องพูดถึงขอบเขตใหญ่โต แค่ในมหาวิทยาลัยหลงเถิงก็เกรงว่าจะมีแต่เย่เทียนเฉินเท่านั้นที่กล้าพูด เซวียนเยวี๋ยนเถิงเป็นใคร? ไม่ต้องพูดถึงว่าตระกูลเซวียนเยวี๋ยนมีอำนาจยิ่งใหญ่ขนาดไหน แค่อาศัยชื่อของเซวียนเยวี๋ยนเถิงที่เป็นหนึ่งในสามสุดยอดคุณชายแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง ก็มีไม่กี่คนที่กล้าหาเรื่องแล้ว และมีไม่กี่คนที่หาเรื่องได้

หลี่อี้ได้ยินคำพูดนี้เย่เทียนเฉิน ก็โกรธจนหน้าเขียวคล้ำ เขาเป็นลูกน้องของเซวียนเยวี๋ยนเถิง แล้วอาจพูดได้ว่าเป็นสุนัขรับใช้ ยังต้องปกป้องเจ้านายอยู่แล้ว เซวียนเยวี๋ยนเถิงไม่อยู่ที่มหาวิทยาลัยแล้วถูกเย่เทียนเฉินด่าต่อหน้าเขาแบบนี้ เกรงว่าเซวียนเยวี๋ยนเถิงรู้เข้าจะฉีกหน้าเขาได้ เซวียนเยวี๋ยนเถิงนั้นเมื่อเทียบกับน้องชายของเขาแล้ว โอหังและบ้าอำนาจกว่ามากนัก

“ดี ดี ดี ดีมาก ฆ่ามันให้ฉัน…”

ผัวะ! คำพูดของหลี่อี้ยังไม่ทันจบ ก็ถูกขาของเย่เทียนเฉินเตะกระเด็นออกไป ตกลงสู่พื้นอย่างรุนแรง สีหน้าไม่น่ามองเป็นอย่างยิ่ง เขามองมายังเย่เทียนเฉินอย่างไม่อยากจะเชื่อ ส่วนเย่เทียนเฉินกลับมองหลี่อี้อย่างไม่สบอารมณ์แล้วพูดว่า “ดีน้องสาวแกสิ พูดตะกุกตะกักแบบนี้ยังกล้าออกมาอีก?”

สามครั้ง เย่เทียนเฉินถีบไปสามครั้งเท่านั้น ก็ทำให้เซวียนเยวี๋ยนอวี่และชายฉกรรจ์อีกสองคนที่เป็นลูกน้องของเขากระเด็นออกไป โดยเฉพาะเซวียนเยวี๋ยนอวี่ที่ไม่รู้ว่าเปราะบางจนเกินไปหรือว่าซวยจนเกินไป ในตอนที่ฝ่าเท้าสุดท้ายของเย่เทียนเฉินถีบเขาออกไปและตกมาบนพื้นถึงได้สลบไปเลย

ในตอนนี้เอง ที่ประตูของมหาวิทยาลัยหลงเถิง นักศึกษาชายหญิงที่มาลงทะเบียนจำนวนนับร้อยคน ต่างเห็นฉากนี้ด้วยตาของตัวเอง ทุกคนถูกเย่เทียนเฉินทำให้สั่นสะท้าน โดยเฉพาะนักศึกษาหญิงบ้าผู้ชายทั้งหลาย เมื่อเห็นสายตาของเย่เทียนเฉินก็ตกหลุมรัก ผู้ชายที่ฝีมือไม่ธรรมดาและหล่อเหลาขนาดนี้ ผู้หญิงคนไหนบ้างที่ไม่ชอบ?

“จะ จะหล่อไปแล้ว…”

“ไอ้หมอนี่โหดมาก ไม่พูดไม่จาก็ถีบเซวียนเยวี๋ยนอวี่จนกระเด็นออกไป เจ๋งจริงๆ!”

“เจ๋งเหรอ? ฉันว่าเขารนหาที่ตายมากกว่า เซวียนเยวี๋ยนเถิง พี่ชายแท้ๆ ของของเซวียนเยวี๋ยนอวี่ เป็นหนึ่งในสามสุดยอดคุณชายแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง มีแค่ไม่กี่คนที่ล่วงเกินเขาได้ เจ้าหมอนี่คงอยู่ได้ไม่กี่วันหรอก!”

“รู้ไหมว่านี่เรียกว่าอะไร?”

“เรียกว่าอะไร?”

“มีความสามารถแล้วทำเก่งถึงจะเรียกว่าเจ๋ง ไร้ความสามารถแต่ทำเป็นเก่งนั้นเรียกว่าโง่ ฉันดูแล้วเจ้าหมอนี่ก็เป็นแค่คนโง่คนหนึ่ง!”

เมื่อได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์ของนักศึกษารอบๆ จำนวนหนึ่ง หลายคนก็รู้สึกได้ถึงโศกนาฏกรรมที่รอเย่เทียนเฉินอยู่ ในขณะเดียวกันก็รู้สึกเสียใจ เซวียนเยวี๋ยนเถิงสามสุดยอดคุณชายแห่งหลงเถิงคนนี้ ภายในมหาวิทยาลัยหลงเถิงเขายโสโอหังเป็นอย่างมาก ทำตัวระรานไปทั่วทั้งวิทยาเขต รังแกนักศึกษาธรรมดาตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักศึกษาที่ทางบ้านไม่มีอำนาจอิทธิพล ทำได้เพียงยอมรับการรังแกจากเขาเท่านั้น กล้าโกรธแต่ไม่กล้าพูด ดังนั้นเมื่อมีคนเช่นเย่เทียนเฉินโผล่ออกมา ในใจของใครหลายคนต่างหวังว่าเขาจะสามารถเก็บกวาดสามคุณชายแห่งหลงเถิงได้ แต่ตอนนี้ดูแล้วคงจะเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากสามคุณชายแห่งหลงเถิงแต่ละคนมีชาติตระกูลที่โดดเด่น คนธรรมดาหาเรื่องไม่ได้โดยเด็ดขาด

เหล่านักศึกษาชายหญิงที่เดิมทีมองเย่เทียนเฉินในแง่ดี สุดท้ายก็ส่ายศีรษะอย่างเสียดาย ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง ทำอย่างกับตนเองจะต้องตายตั้งแต่อายุน้อยอย่างไรอย่างนั้น นักศึกษาเหล่านี้ก่อนหน้านี้ก็คิดว่าเย่เทียนเฉินเจ๋งมาก เพราะเขาลงมือตบเซวียนเยวี๋ยนอวี่โดยไม่สนใจอะไรเลยแม้แต่น้อย สุดท้ายเมื่อได้ยินคำวิจารณ์ของคนอื่น ก็มองเย่เทียนเฉินจนแทบทะลุ ดูไม่เหมือนกับคุณชายตระกูลสูงหรือคนที่มาจากครอบครัวที่ทรงอิทธิพลเลยสักนิด ดังนั้นจึงคิดว่าเขาต้องตายอย่างแน่นอน

“ฉันช่วยเธอถือกระเป๋าเดินทางแล้วกัน พวกเราเข้าไปที่มหาวิทยาลัยกันก่อนเถอะ!” เย่เทียนเฉินพูดกับเสี้ยวหยายิ้มๆ

“อืม! ขอบคุณนะ!” เสี้ยวหยาพยักหน้า

เย่เทียนเฉินรับกระเป๋าเดินทางในมือของเสี้ยวหยามา แล้วจึงเดินไปยังประตูของมหาวิทยาลัยหลงเถิง ในตอนที่กำลังจะไปจากสถานที่ลงทะเบียน เย่เทียนเฉินก็พูดกับอาจารย์หญิงที่ทำหน้าที่ลงทะเบียนด้วยเสียงอันเบาว่า “อาจารย์ครับ ช่วยผมทำเรื่องเข้าเรียนหน่อยนะครับ ผมชื่อเย่เทียนเฉิน!”

พูดจบ เย่เทียนเฉินก็ลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ของเสี้ยวหยาเดินเข้าไปยังประตูของมหาวิทยาลัยหลงเถิง เสี้ยวหยาเองก็เดินตามหลังเขาไป ใบหน้าเกลี้ยงเกลาแดงระเรือ เนื่องจากเมื่อครู่นี้เย่เทียนเฉินลงมือสั่งสอนเซวียนเยวี๋ยนอวี่ที่บริเวณประตูของมหาวิทยาลัยหลงเถิง จึงเป็นจุดสนใจของนักศึกษาชายหญิงทุกคน

เมื่อเดินเข้าไปในมหาวิทยาลัยหลงเถิงแล้ว เย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะถูกทิวทัศน์และบรรยากาศการศึกษาภายในมหาวิทยาลัยชัั้นหนึ่งของประเทศทำเอาหลงใหล สวยมากจริงๆ เมื่อก่อนได้ยินเย่เชี่ยนเหวินผู้เป็นน้องพูดถึงอยู่บ่อยๆ ความฝันของเธอก็คือสอบเข้ามหาวิทยาลัยหลงเถิงให้ได้ คิดดูแล้วก็เป็นมหาวิทยาลัยที่ควรค่าแกการมาจริงๆ

ในตอนเช้า เย่เทียนเฉินได้โทรกลับไปที่บ้านเพื่อบอกกับพ่อแม่แล้วว่าไม่มีปัญหาอะไร ถึงแม้ว่าเย่หงและหลัวเยี่ยนจะประหลาดใจมากก็ตาม เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้แต่ยังถูกทำให้สงบลง เรื่องประหลาดเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร แต่พวกเขาก็ไม่ได้ถามอะไรให้มากความ พวกเขาเชื่อมั่นในตัวลูกชาย ตั้งแต่ที่เย่เทียนเฉินกลับมา ก็ทำให้พวกเขาประหลาดใจและตกตะลึงอยู่หลายครั้ง ขอเพียงลูกชายยังอยู่ดีก็ดีมากแล้ว!

“ขอโทษด้วยนะ ทำให้นายลำบากแล้ว!” เสี้ยวหยามองเย่เทียนเฉิน พูดออกมาจากใจ

“ไม่เป็นไร คนแบบเซวียนเยวี๋ยนอวี่ ต่อให้ไม่เกิดเรื่องในวันนี้ก็ควรจะสั่งสอนแรงๆ สักหน่อย ไม่งั้นวันหน้าพอเข้ามหาวิทยาลัยหลงเถิงมาแล้ว ก็ไม่แน่ว่าจะทำร้ายนักศึกษาธรรมดามากแค่ไหน!” เย่เทียนเฉินพูดยิ้มๆ

“แต่ แต่ฉันได้ยินมาว่าอำนาจของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนยิ่งใหญ่มาก ครั้งนี้นายตบเซวียนเยวี๋ยนอวี่ไป พวกเขาจะต้องไม่ปล่อยนายไปแน่ นายรีบไปซะเถอะ!” เสี้ยวหยาพูดอย่างกระวนกระวาย

“งั้นเหรอ? แบบนั้นก็น่าสนุกดีๆ เกิดมาก็ฉันคนนี้ไม่ชอบเรียน ในมหาวิทยาลัยมีเรื่องให้เล่นสนุกก็ไม่เลวเลย มีอะไรให้ทำฆ่าเวลาแล้ว!”

เมื่อเห็นท่าทางผ่อนคลายของเย่เทียนเฉิน เสี้ยวหยาก็กังวลเป็นอย่างมาก นางไม่ได้เป็นห่วงความปลอดภัยของตัวเอง แต่เป็นห่วงว่าเย่เทียนเฉินจะถูกเซวียนเยวี๋ยนอวี่แก้แค้นเพราะตน หากเขาถูกคนของเซวียนเยวี๋ยนอวี่ทำร้ายจริงๆ ชั่วชีวิตนี้ของเธอคงไม่อาจอยู่ได้ดีๆ แล้ว อย่างไรเสียเย่เทียนเฉินก็หาเรื่องเซวียนเยวี๋ยนอวี่เพราะเธอ เมื่อมองจากตรงนี้แล้ว เสี้ยวหยาเป็นผู้หญิงที่มีจิตใจงดงามคนหนึ่ง

ในตอนที่เย่เทียนเฉินและเสี้ยวหยากำลังเดินไปที่หอพักหญิงไปพลางพูดคุยกันไปพลางอยู่นั้น จู่ๆ ได้ยินเสียงคนตะโกนเรียกจากข้างหลัง “ไอ้เย่ฉี่รดที่นอน!”

แรกเริ่มเดิมทีพวกเขาสองคนก็ไม่ได้สนใจ พวกเขาเป็นนักศึกษาใหม่ของชั้นปีที่หนึ่งของมหาวิทยาลัย ภายในมหาวิทยาลัยหลงเถิงก็ไม่รู้จักใครเลย เพื่อนร่วมห้องที่สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยชั้นหนึ่งแห่งนี้ได้ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มี ไหนเลยจะรู้ว่า เสียงตะโกนเรียก “ไอ้เย่ฉี่รดที่นอน”จากข้างหลังจะดังขึ้นเรื่อยๆ แล้วยังเป็นผู้หญิงสวยหยาดเยิ้มคนหนึ่ง ฟังจากเสียงของผู้หญิงคนนี้ก็รู้ได้ว่า ผู้หญิงคนนี้มีนิสัยเปิดเผยตรงไปตรงมาเป็นอย่างมาก ไม่เช่นนั้นคงไม่ตะโกนว่า “ไอ้เย่ฉี่รดที่นอน”หรอก แถมยังตะโกนดังขึ้นทุกที

เมื่อเย่เทียนเฉินหันไปมอง ก็พบว่าด้านหลังห่างจากตัวเองไม่ถึงสามเมตร มีผู้หญิงแต่งตัวตามแฟชั่นคนหนึ่งยืนอยู่ สวมแว่นกันแดดสีดำอันใหญ่ มือทั้งสองล้วงอยู่ในกระเป๋ากางเกง ให้ความรู้สึกเป็นเจ๊ใหญ่ เมื่อดูจากหน้าตาและรูปร่างของผู้หญิงคนนี้แล้ว สามารถเรียกได้ว่าเป็นสาวงามคนหนึ่ง เพียงแต่ในสมองของเย่เทียนเฉินไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้อยู่เลย เมื่อก่อนก็ดูเหมือนว่าจะไม่เคยเห็น

“ไอ้เย่ฉี่รดที่นอน เป็นนายจริงๆด้วย ไอ้เย่ฉี่รดที่นอน…” สาวงามตามแฟชั่นเดินเข้ามาตรงหน้าเย่เทียนเฉิน เมื่อเห็นว่าเป็นคนที่เธอรู้จักจริงๆ ก็อดไม่ได้ที่จะใช้มือทั้งสองจับแขนของเย่เทียนเฉิน ยิ้มอย่างเบิกบานใจแล้วพูดออกมา

“เธอคือ?” เย่เทียนเฉินเอ่ยถามอย่างสงสัย

“ฉันเหรอ นายไม่รู้จักฉันเหรอ? ดูสิว่าฉันเป็นใคร…”

สาวงามตามแฟชั่นแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ารู้จักเย่เทียนเฉิน เธอเบิกบานใจเป็นอย่างมาก และไม่ได้โกรธเพราะอีกฝ่ายจำตัวเองไม่ได้ กลับถอดแว่นกันแดดสีดำอันใหญ่ของตัวเองออกมา เผยใบหน้าอันสวยงามต่อหน้าเย่เทียนเฉิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งดวงตาอันงดงามทั้งสองดวง มองดูแล้วมีเสน่ห์น่าหลงใหลจริงๆ

“เธอ…เธอ…เธอ…” เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว

“นายจำฉันได้แล้วใช่ไหม ฉันรู้ว่านายลืมฉันไม่ลงหรอก!” สาวงามคนนั้นยิ้มอย่างเบิกบานแล้วพูดขึ้น

“จำไม่ได้!” เย่เทียนเฉินยังคงคิดไม่ออก

สาวแฟชั่นอดไม่ได้ที่จะใช้ดวงตาอันงดงามจ้องไปยังเย่เทียนเฉินอย่างดุดัน จากนั้นจึงใช้น้ำเสียงซุกซนพูดขึ้นว่า “นายคิดดูให้ดีๆ ตอนเด็กๆ ที่อาศัยอยู่ในตรอกใหญ่ พวกเราไปเรียนด้วยกันเลิกเรียนด้วยกัน เล่นพ่อแม่ลูกด้วยกันบ่อยๆ…”

เย่เทียนเฉินได้ยินคำพูดของสาวแฟชั่น ก็อดไม่ได้ที่จะไต่ตรองอยู่ในหัว คิดไปถึงความทรงจำสมัยก่อน ในตอนเด็กนี่มันเด็กขนาดไหนกัน? หรือว่าจะเป็นตอนที่เรียนโรงเรียนอนุบาล? เพราะเขาไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับสาวแฟชั่นตรงหน้านี้อยู่เลยโดยสิ้นเชิง ไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร

ทันใดนั้น เย่เทียนเฉินก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ใช้มือขวาจับผมของสาวแฟชั่นขึ้น ทำให้เสี้ยวหยาตกใจและอยากเข้าไปหยุดเขา นี่ไม่ใช่ว่าจะดูอันธพาลไปหน่อยหรอ? ไม่ถูกตบเข้าให้ก็บุญแล้ว ไหนเลยจะรู้ว่าสาวแฟชั่นไม่เหวี่ยงไม่โกรธ แต่กลับทำท่าทาง ‘ดูสิ’ออกมา หากว่าคุณยังจำฉันไม่ได้อีก ฉันก็จะโกรธจริงๆ แล้ว

“ที่แท้ก็เป็นเธอนี่เอง ยัยหลิงขี้มูกโป่ง ฮ่าๆๆๆ!” เย่เทียนเฉินพูด อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา

“ไอ้บ้า พอเจอหน้าฉันก็กล้าเรียกฉายาฉันเลยนะ เดี๋ยวก็จะจิ้มให้ตายซะเลย!” สาวแฟชั่นอดไม่ได้ที่จะทำหน้าเซ็ง จิ้มลงไปที่แขนของเย่เทียนเฉินอย่างแรงแล้วพูดขึ้น

เย่เทียนเฉินหัวเราะจนตัวโก่ง ตอนนี้เขาจำสาวงามตรงหน้าได้แล้วว่าเป็นใคร ผู้หญิงนี่เปลี่ยนไปเร็วจริงๆ เมื่อก่อนเป็นยัยอัปลักษณ์น้ำมูกไหล ตอนนี้กลายเป็นสาวงามคนหนึ่งไปแล้ว มีความแฟชั่นและมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก แต่ว่านิสัยไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย ยังมีท่าทางของเจ๊ใหญ่อยู่

“นี่ นี่ เธอทำแบบนี้ฉันก็แค่ตอบโต้เองนะ เธอตะโกนเรียกฉายาของฉันตอนเด็ก แล้วไม่ยอมให้ฉันเรียกฉายาของเธอหรอ?” เย่เทียนเฉินรู้สึกอยากหัวเราะ

“ไอ้บ้า นายท่าทางเหลาะแหละแบบนี้ ไม่ได้เปลี่ยนไปจากตอนเด็กๆ เลยสักนิด!” แม้ว่าคำพูดของสาวแฟชั่นจะดูโกรธเคืองอยู่บ้าง แต่ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มหวานหยาดเยิ้ม เนื่องจากสามารถพบเพื่อนสมัยเด็กอย่างเย่เทียนเฉินที่นี่ได้ เธอจึงมีความสุขมาก

“เธอมีความเปลี่ยนแปลงไปเยอะมากเลยนะ เปลี่ยนไปสวยขึ้นไม่น้อย ตอนนี้คงไม่มีน้ำมูกไหลตลอดเวลาแล้วมั้ง?” เย่เทียนเฉินพูดหยอกล้อแล้วยิ้มออกมา

“ตอนนี้นายยังฉี่รดที่นอนอยู่ไหมล่ะ?” สาวแฟชั่นถามอย่างโกรธเคือง

เย่เทียนเฉินยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน ในตอนที่ไม่คาดคิดก็ยังเจอเพื่อนสมัยเด็กที่นี่ได้ สาวแฟชั่นที่อยู่ตรงหน้านี้มีชื่อว่าหลิงอวี่สวิ๋น สมัยก่อนอยู่ในซอยเดียวกับเขา ทั้งซอยมีแค่เขาสองคนที่เป็นเด็ก เดิมทีทั้งสองบ้านก็มีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวต่อกัน ดังนั้นจึงเล่นมาด้วยกันตั้งแต่เล็กจนโต จนกระทั่งถึงสมัยประถม เย่เทียนเฉินก็ย้ายบ้าน จึงค่อยๆ ขาดการติดต่อกับหลิงอวี่สวิ๋นไป แน่นอนว่าฉายาของทั้งสองคนไม่มีทางลืมได้ ฉายาของเย่เทียนเฉินคือไอ้เย่ฉี่รดที่นอน ส่วนฉายาของหลิงอวี่สวิ๋นคือยัยหลิงขี้มูกโป่ง ตอนเด็กๆทั้งสองมักจะเรียกอีกฝ่ายแบบนี้

“คนนี้คือ…แฟนของนายเหรอ?” หลิงอวี่สวิ๋นมองเสี้ยวหยาที่อยู่ข้างๆ เย่เทียนเฉินแล้วถามขึ้น

“อ๋อ ไม่ ไม่ใช่ ฉันแนะนำให้พวกเธอรู้จักกันสักหน่อยแล้วกัน คนนี้คือเสี้ยวหยา ส่วนเธอชื่อว่าหลิงอวี่สวิ๋น หรือสามารถเรียกได้ว่ายัยหลิงขี้มูกโป่ง…” เย่เทียนเฉินแนะนำด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย

“นายสิไอ้เย่ฉี่รดที่นอน สวัสดี ฉันชื่อหลิงอวี่สวิ๋น ยินดีที่ได้รู้จัก อย่าไปฟังคำพูดมั่วซั่วของไอ้บ้านี่เลย ตั้งแต่เล็กจนโตก็ไว้ใจไม่ได้เลยจริงๆ!” หลิงอวี่สวิ๋นพูดกับเสี้ยวหยายิ้มๆ

“พี่อวี่สวิ๋นสวัสดีค่ะ ต่อไปก็เรียกหนูว่าหยาเอ๋อร์เถอะ!” เสี้ยวหยาเองก็พูดด้วยรอยยิ้ม

ตระกูลเซวียนเยวี๋ยน เป็นตระกูลใหญ่ที่หลบซ่อนจากสังคม ถึงแม้ว่าเย่เทียนเฉินจะไม่รู้จักตระกูลนี้ แต่ก็ได้ยินการวิพากษ์วิจารณ์ของนักศึกษาข้างๆ ที่พอจะรู้จักตระกูลนี้อยู่บ้าง จึงได้รู้ว่าตระกูลนี้ไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง เป็นไปได้มากกว่าเมื่อเทียบกับตระกูลใหญ่ในปัจจุบันของประเทศจีนแล้ว จะมีอำนาจมากกว่าอีก

เซวียนเยวี๋ยนอวี่ก็แค่อายุสิบหกปีเท่านั้น ยังเป็นแค่ไอ้เด็กเมื่อวานซืนคนหนึ่ง แต่คำพูดคำจากลับเหมือนนายท่านใหญ่อย่างไรอย่างนั้น ทรงอำนาจและโอหังเป็นอย่างมาก ชายฉกรรจ์ทั้งสองคนที่ตามหลังเขาอยู่ก็มีความหยิ่งยโสอยู่เต็มหน้า ทำตัวโหดเหี้ยมน่ากลัว ให้ความรู้สึกของสุนัขอิทธิพลเจ้านาย

“คำพูดของฉันเธอไม่ได้ยินหรือไง? ทำเรื่องลงทะเบียนเรียนให้ฉันก่อน!” คำพูดของเซวียนเยวี๋ยนอวี่มุทะลุมาก อายุยังน้อยก็ยโสโอหังถึงขนาดนี้แล้ว ทำเอาคนข้างๆ ตกตะลึง

อาจารย์หญิงที่กำลังทำเรื่องลงทะเบียนเรียนให้แก่เสี้ยวหยาอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างกระอักกระอ่วน ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี เดิมทีเซวียนเยวี๋ยนอวี่คนนี้ก็มาก่อเรื่อง หากเป็นคนธรรมดาคงถูกสั่งสอนไปนานแล้ว แต่ว่าคนๆ นี้เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนธรรมดา เด็กอายุสิบหกปีคนหนึ่งสามารถขับรถสปอร์ตบูกัตติเวย์รอนได้ รวมกับบอดี้การ์ดน่ากลัวสองคนที่ด้านหลัง เมื่อมองแล้วก็ให้ความรู้สึกของตระกูลที่มีอำนาจมีอิทธิพลออกมา หากไปหาเรื่องง่ายๆ ก็คงมีปัญหาหนักแล้ว

ปัง!

ชายฉกรรจ์หนึ่งในนั้นตบลงบนโต๊ะ ตะโกนเสียงดังว่า “คำพูดของคุณชายน้อยของพวกเรา แกฟังไม่ได้ยินหรือไง? ต้องการให้ฉันทำให้แกตายหรือเปล่า?”

อาจารย์หญิงคนนั้นถูกชายฉกรรจ์ทำให้ตกใจจนแทบจะทรุดลงไปนั่งบนเก้าอี้ ทำได้เพียงยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนแล้วพูดกับเสี้ยวหยาว่า “นักศึกษาคนนี้ ขอโทษด้วยค่ะ รออีกคู่หนึ่งเดี๋ยวครูจะทำเรื่องให้เธอนะ!”

“อาจารย์คะ หนูเองก็มีธุระเร่งด่วน อาจารย์ทำเรื่องให้หนูก่อนเถอะ ขอร้องล่ะค่ะ!” เสี้ยวหยามองไปยังอาจารย์หญิงอย่างกระวนกระวายแล้วพูดขึ้น

ในตอนนี้เอง ชายฉกรรจ์ที่ยืนอยู่ด้านหน้าของเซวียเยวี๋ยนอวี่ มองเสี้ยวหยาด้วยรอยยิ้มเย็นชาแล้วพูดว่า “แกมีธุระเร่งด่วน? ใครก็มีธุระเร่งด่วนทั้งนั้น อยู่ต่อหน้าคุณชายน้อยของพวกเราก็ต้องหลบทางไปข้างๆ ผู้หญิงอย่างแกไม่คุ้นเคยหรือไง? อยากตายเหรอ?”

“พวกคุณ พวกคุณแซงคิวยังเรียกว่ามีเหตุผลอีกเหรอคะ?” เสี้ยวหยาอดไม่ได้ที่จะพูดด้วยใบหน้าแดงก่ำ

“แซงคิว หึ อย่าพูดถึงเรื่องแซงคิวเลย ต่อให้แทงแกก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรแม้แต่ครึ่งคำ รีบไสหัวไปซะ ให้คุณชายของพวกเราทำเรื่องลงทะเบียนเรียน ไม่งั้นแกได้เห็นดีกันแน่!” คำพูดของชายฉกรรจ์อีกคนหนึ่งยิ่งไร้ยางอายและพาลเพโลเป็นอย่างมาก เมื่อมองเสี้ยวหยาที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง ดวงตาทั้งสองก็เปล่งประกายหื่นกระหายออกมา

“คุณ พวกคุณจะเกินไปแล้ว…” เสี้ยวหยาได้ยินชายฉกรรจ์อีกคนหนึ่งพูดจาดูถูกตนเอง ก็อดไม่ได้ที่จะกำหมัดอันขาวนวลจนแน่น แม้ว่าบ้านของเธอจะจนมากและไม่มีอำนาจอิทธิพลอะไร แต่ว่า เป็นมนุษย์ก็ยังต้องมีความเคารพในตัวเอง ความเคารพในตัวเองของทุกคนย่อมไม่ถูกคนอื่นเหยียบย่ำง่ายๆ

ตอนนี้เองเซวียนเยวี๋ยนอวี่อดไม่ได้ที่จะมองไปยังเสี้ยวหยาปราดหนึ่ง เด็กอายุสิบหกปีคนหนึ่ง ทำท่าทางเหมือนคนใหญ่คนโต มีความยโสโอหังถึงขั้นสุด พูดกับเสี้ยวหยาด้วยรอยยิ้มเย็นชา “ให้เธอทำเรื่องเข้าเรียนให้แกก่อน เธอกล้าหรือเปล่า?”

ส่งอำนาจมาก โอหังมาก แม่เห็นใครอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย คำพูดเหล่านี้กำลังทำลายจิตใจอันเคารพตัวเองที่อยู่ลึกๆ ในใจของคนอื่น ทำลายขีดจำกัดของพวกเขา เหยียบย่ำภาคภูมิใจในตัวเองของพวกเขา

“คุณ…”

“ฉะ ฉันจะจัดการให้คุณก่อนแล้วกันค่ะ นักศึกษาคนนี้เธอรอหน่อยนะ!”

เสี้ยวหยาโกรธจนพูดไม่ออก อีกทั้งเธอก็มีธุระสำคัญที่ต้องไปทำจริงๆ อาจารย์หญิงที่กำลังทำเรื่องเข้าเรียนคนนั้น ตกใจจนทนไม่ไหวแล้ว แน่นอนว่าเธอสามารถล่วงเกินเสี้ยวหยาได้ แต่ไม่กล้าล่วงเกินเซวียนเยวี๋ยนอวี่

บริเวณนั้นมีนักศึกษาอยู่มาก ต่างก็กล้าโมโหแต่ไม่กล้าพูด ในใจรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก ก็แค่ไอ้เด็กเมื่อวานซืนอายุสิบปีคนหนึ่งเท่านั้น ถึงกับกล้าวางอำนาจขนาดนี้ คำพูดคำจาก็มุทะลุถึงขั้นสุด ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา ทำเหมือนว่าใครเจอเขาก็ต้องหลีกทางให้อย่างไรอย่างนั้น

ไม่พอใจก็ส่วนไม่พอใจ แต่กลับไม่มีใครที่กล้าลุกขึ้นมาพูดอะไร ใครก็ไม่กล้าล่วงเกินเซวียนเยวี๋ยนอวี่ โดยเฉพาะหลังจากที่ได้ยินนักศึกษารอบข้างที่รู้จักเซียนเยวี๋ยนวิพากษ์วิจารณ์แล้ว ก็มีเพียงความประหลาดใจและสั่นสะท้าน ไม่มีความกล้าที่จะเข้าไปยุ่งเลยแม้แต่ครึ่งส่วน

“มาก่อนอยู่หน้ามาทีหลังอยู่ท้าย การต่อแถวเป็นคุณธรรมงดงามที่สืบทอดกันมาของประเทศจีน มีแต่สัตว์เดรัจฉานเท่านั้นแหละถึงจะแซงคิว!”

เมื่อเผชิญหน้ากับอำนาจของเซวียนเยวี๋ยนอวี่ ในตอนที่ทุกคนไม่กล้าพูดอะไรแม้แต่ครึ่งคำ แต่กลับมีเสียงเช่นนี้ดังขึ้น ทุกคนมองไปยังที่มาของเสียงด้วยอาการสั่นสะท้านอย่างหาที่เปรียบมิได้ ต่างก็ตกใจ ต่างก็สั่นไหว เป็นใครกันที่กล้าหาเรื่องเซวียนเยวี๋ยนอวี่ แล้วยังพูดว่าเซวียนเยวี๋ยนอวี่เป็นสัตว์เดรัจฉาน พี่ท่านจะโอหังเกินไปหน่อยหรือเปล่า!

เซวียนเยวี๋ยนอวี่โกรธจนใบหน้าเขียวคล้ำ ชายฉกรรจ์สองคนที่อยู่ข้างหลังเขาก็หาที่มาของเสียงไปทั่ว กำหมัดแน่นจนส่งเสียงดังกรอบแกรบ เตรียมที่จะลงมือสั่งสอนคนที่กล้าพูดเรื่องไม่สมควรออกมา

เมื่อมองเห็นเงาร่างร่างหนึ่งเดินมุ่งตรงมาทางด้านนี้ คนอื่นๆต่างก็มองด้วยอาการปากอ้าตาค้าง มีเพียงเสี้ยวหยาที่อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงอยู่ในใจ หัวใจพลันเต้นแรง เธอคิดไม่ถึงว่าจะเป็นเย่เทียนเฉิน นักศึกษาชายหล่อเหลาที่พบกันเมื่อครู่นี้

สิ่งที่เย่เทียนเฉินทนมองไม่ได้ที่สุดก็คือ การที่ทายาทตระกูลสูงเห็นตัวเองถูกตลอด ยโสโอหัง และชอบเหยียบย่ำความภาคภูมิใจของผู้อื่น ยิ่งไปกว่านั้นคนที่เซวียนเยวี๋ยนอวี่หาเรื่องไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นเสี้ยวหยา เสี้ยวหยาที่เจอกับเย่เทียนเฉินเมื่อครู่นี้เพียงพริบตาเดียวก็สามารถทำให้เขาคิดไปถึงผู้หญิงที่ตัวเองรักที่สุดในยุคสิ้นโลกขึ้นมาได้ เสี้ยวหยาและเธอมีหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกันมาก หรือสวรรค์จะต้องการให้โอกาสตนเองอีกครั้ง ให้โอกาสเขาได้ปกป้องทะนุถนอมนางหรือ? นี่ทำให้ในใจของเย่เทียนเฉินเกิดความรู้สึกอยากปกป้องเสี้ยวหยาเอ่อล้นอยู่ในใจ ไม่อนุญาตให้ใครหน้าไหนก็ตามมาหยามเธอ

“ไอ้ลูกเต่า แกรนหาที่ตายหรือไง?” ชายฉกรรจ์คนหนึ่งมองเย่เทียนเฉินอย่างโหดเหี้ยมแล้วพูดขึ้น

“มีอะไรต้องพูดมากอีก อัดมันให้เจียนตายแล้วค่อยว่ากัน แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีใครกล้าด่าฉันเซวียนเยวี๋ยนอวี่คนนี้มาก่อน!” เซวียนเยวี๋ยนอวี่มองเย่เทียนเฉินอย่างดุดันแล้วพูดขึ้น

จินตนาการได้เลยว่า คำพูดประโยคนี้ออกมาจากปากของเด็กเมื่อวานซืนอายุสิบหกปีคนหนึ่ง ล้วนทำให้ผู้คนอยากจะเข้าไปอัดเขาแรงๆ สักยก อยากเข้าไปสั่งสอนเขาอย่างโหดเหี้ยมแทนพ่อแม่ของเขา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนที่ตลอดมาก็สนใจแต่หลักการไม่สนใจตัวคนอย่างเย่เทียนเฉินเลย

เมื่อเห็นว่าเย่เทียนเฉินไม่พูดไม่จา ทำเพียงเดินเข้ามาหาตนเอง เซวียนเยวี๋ยนอวี่ก็โกรธจนสองตาแดงก่ำ ตั้งแต่เล็กจนโตเขาก็เป็นเหมือนดอกไม้ในเรือนกระจก แต่ไหนแต่ไรไม่เคยถูกคนดูหมิ่นขนาดนี้มาก่อน เมื่อก่อนใครเห็นเขาแล้วไม่เคารพนอบน้อมบ้าง? ต่อให้เป็นคนไม่รู้จักก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรไม่เข้าหู ได้แต่เงยหน้ามองเขาเท่านั้น

ชายฉกรรจ์สองคนได้ยินคำพูดของคุณชายเซวียนเยวี๋ยนอวี่ก็สบตากัน แล้วเดินไปหาเย่เทียนเฉินพร้อมๆ กัน กำหมัดแน่นจนส่งเสียงออกมา

“ไอ้เด็กระยำ ตอนนี้ก็คุกเข่าลงแล้วร้องขอชีวิตซะก็ยังทั…อ๊าก!”

เสียงกรีดร้องดังขึ้น ท่ามกลางสายตาตะลึงงันของทุกคน เย่เทียนเฉินใช้เท้าถีบชายฉกรรจ์คนหนึ่งจนกระเด็นออกไป ตกลงไปไกลหลายเมตร ชายฉกรรจ์คนนั้นแข็งแรงกำยำและยังสูงมากด้วย แต่กลับถูกเย่เทียนเฉินถีบจนลุกไม่ขึ้นในครั้งเดียว ทำเอานักศึกษาชายหญิงทุกคนที่อยู่ที่นี้ตกใจ มองเย่เทียนเฉินด้วยความตกตะลึง ใครก็คิดไม่ถึงว่านักศึกษาชายที่เป็นคนพูดจะร้ายกาจถึงขนาดนี้

“แกรนหาที่ตาย…อ๊าก!”

ชายฉกรรจ์คนที่สองเองก็ไม่ต้องมีชะตาไม่ต่างกันเลยแม้แต่น้อย ถูกเย่เทียนเฉินใช้เท้าถีบจนปลิว ชายฉกรรจ์ทั้งสองดูผิวเผินกำยำแข็งแรงเป็นอย่างมาก ฝีมือก็ไม่อ่อนแอ แต่กระทั่งโอกาสจะลงมือก็ยังไม่มี ถูกเย่เทียนเฉินถีบจนปลิวออกไป ไม่มีแรงที่จะโจมตีกลับอีก

ต่อหน้านักศึกษาชายหญิงนับร้อยคน สองมือของเย่เทียนเฉินล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ยืนอยู่กับที่ด้วยท่าทางหล่อเหลาเป็นอย่างมาก ชายฉกรรจ์ทั้งสองที่บุ่มบ่ามเข้าไปก็ถูกเขาอัดจนหมอบกับพื้นแบบนี้ กรีดร้องโอดครวญอย่างอนาถ ทำเอาทุกคนตกใจจนปากอ้าตาค้าง ในดวงตาของผู้หญิงหลายคนปรากฏร่องรอยความรักสีชมพูขึ้น เป็นฉากที่น่าชื่นชมมาก

เย่เทียนเฉินไม่สนใจชายฉกรรจ์ทั้งสองที่นอนหมอบอยู่บนพื้นอีก และไม่สนใจนักศึกษาชายหญิงรอบๆ ที่มีท่าทางตะลึงงัน บนใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้มไม่เป็นพิษเป็นภัย เดินเข้าไปเบื้องหน้าเซวียนเยวี๋ยนอวี่และเสี้ยวหยา แล้วพูดกับอาจารย์หญิงที่เป็นคนทำเรื่องเข้ารับการศึกษาด้วยรอยยิ้มว่า “อาจารย์ครับ คุณผู้หญิงคนนี้มาก่อน ก็ทำเรื่องเข้าเรียนให้ผู้หญิงคนนี้ก่อนเถอะครับ”

“แกเป็นใคร? รู้ไหมว่าฉันคือใคร? แก…” เซวียนเยวี๋ยนอวี่ได้สติกลับมา มองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างโหดเหี้ยมคิดจะโวยวายขึ้นมา ไหนเลยจะรู้ว่าคำพูดของเขายังไม่ทันพูดจบ ก็ต้องเจอกับการตบหน้าของเย่เทียนเฉิน

เพี๊ยะ!

ฝ่ามือตบลงบนใบหน้าของเซวียนเยวี๋ยนอวี่อย่างรุนแรง ตบจนเขาทรุดลงไปกับพื้น ยิ่งทำให้เขาโกรธและมองเย่เทียนเฉินอย่างหวาดกลัว เขาคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ผู้ชายแปลกหน้าคนนี้จะถึงกับกล้าตบตนเองเชียว? บนโลกนี้ยังมีคนที่กล้าตบกันเองอีกหรือ?

นักศึกษาที่อยู่รอบๆ เองก็ต้องสูดหายใจเย็นยะเยือก ไม่มีใครคิดว่าเย่เทียนเฉินจะไม่ยอมพูดกับเซวียนเยวี๋ยนอวี่ ก็ลงมือตบหน้าไปครั้งหนึ่งแล้ว สั่งสอนเซวียนเยวี๋ยนอวี่ต่อหน้านักศึกษาชายหญิงนับร้อยคน

“จบแล้ว ไอ้หมอนี่ถึงกับตบเซวียนเยวี๋ยนอวี่เลย”

“ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนก็ยังกล้าไปหาเรื่อง เบื่อชีวิตแล้วหรือไง?”

“ไอ้หมอนี่ต้องตายแน่ ดูจากฐานะของเขา อย่างมากที่บ้านก็คงเป็นแค่ชนชั้นกลางธรรมดา ด้วยอำนาจของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนก็สามารถเหยียบเขาให้ตายได้เหมือนกับเหยียบหมดตัวหนึ่ง!”

“วีรบุรุษช่วยสาวงาม ต้องการออกหน้าให้สาวงาม ก็ต้องดูแลตัวเองด้วยว่ามีความสามารถหรือเปล่า ฝืนไปก็อาจตายอย่างอนาถได้”

ได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์เบาๆ ของนักศึกษาเหล่านี้ เสี้ยวหยาก็เคร่งเครียดขึ้นมาบ้างแล้ว รีบดึงชายเสื้อของเย่เทียนเฉินแล้วพูดเสียงเบาว่า“นายรีบไปเถอะ อย่าหาเรื่องเลย ขอบคุณมาก!”

“ไม่เป็นไร ฉันคนนี้ไม่ชอบหาเรื่อง แต่พอเห็นทายาทตระกูลสูงปัญยาอ่อน ก็คิดอยากจะหาเรื่องขึ้นมาแล้ว!” เย่เทียนเฉินพูดยิ้มๆ

“แก…แกรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร? แกกล้าลงมือตบฉัน ฉันจะฆ่าล้างตระกูลของแกซะ!” เซวียนเยวี๋ยนอวี่ตะโกนด่า

เพี๊ยะ!

ตบไปอีกครั้งหนึ่งแล้ว ครั้งนี้เย่เทียนเฉินลงมือรุนแรงมากยิ่งขึ้น ตบจนมุมปากของอีกฝ่ายมีเลือดไหลออกมา ทำเอาคนที่เห็นเย็นสันหลังวาบ ในใจกำลังคิดว่าคนที่กล้าตบเซวียนเยวี๋ยนอวี่คนนี้เป็นใครกันแน่? หรือว่าเขาไม่รู้ว่าหากล่วงเกินเซวียนเยวี๋ยนอวี่ ไม่เพียงแต่ตนเองจะมีปัญหา แต่ยังจะเกี่ยวพันไปถึงคนในครอบครัวด้วย?

“แก ฉันจะต้องฆ่าแกหน้า ฆ่าครอบครัวแกทั้งหมดด้วย!” เซวียนเยวี๋ยนอวี่ลุกขึ้นมาจากพื้น เช็ดเลือดที่มุมปาก ตะโกนเสียงดังดุจสายฟ้าฟาด

เพี๊ยะ!

เส้นประสาทของทุกคนต่างตึงเครียดจนอาจเรียกได้ว่าแทบจะปริแตกแล้ว เย่เทียนเฉินไม่พูดแม้แต่ประโยคเดียว สุดท้ายในตอนนี้ ก็ใช้เท้าถีบอีกฝ่ายนึงจนกระเด็นออกไป พุ่งเป็นวงโค้งกลางอากาศแล้วตกลงมาที่พื้นอย่างรุนแรงจนสลบไป

วันต่อมา ในตอนที่คนที่พอมีตำแหน่งอยู่บ้างรู้ว่าจะมีเรื่องที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงเกิดขึ้นหลังจากนี้ คิดไม่ถึงว่าทั้งหมดจะเงียบสงบเช่นนั้น

เย่เทียนเฉินแบกโลงศพไปที่ตระกูลฉิน อัดฉินเทาหยวนอย่างแรง ฆ่าฉินเหิง ทำให้ฉินอี้โมโหจนตาย นี่ก็นับว่าเป็นเรื่องที่รุนแรงมากแล้ว แต่ตอนนี้ก็ยังฆ่าล้างตระกูลลั่วทั้งตระกูลอีก กล่าวได้ว่าเป็นเรื่องครึกโครมในหมู่เรื่องครึกโครม ครึกโครมเป็นอย่างมาก ข่าวนี้ควรจะสั่นสะเทือนไปทั่วประเทศ ไม่สามารถซาลงได้ไปเนิ่นนาน ไหนเลยจะรู้ว่าเรื่องใหญ่ทั้งสองเรื่องที่สั่นสะท้านขนาดนี้ เพียงพริบตาเดียวก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีข่าวออกมาอีก ไม่มีสื่อไหนรายงานออกมา และไม่มีการแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ เหมือนกับโยนหินลงมหาสมุทรอย่างไรอย่างนั้น

คนส่วนใหญ่ทำได้เพียงวิพากษ์วิจารณ์กันเบาๆ ลับหลังเท่านั้น ส่วนคนที่มีตำแหน่งอยู่บ้างกลับปิดปากเงียบ พวกเขารู้ว่าจะต้องมีคนระดับสูงกดสองเรื่องนี้ให้เงียบลงไป และคนที่สามารถกดเรื่องใหญ่สองเรื่องนี้ลงได้จะต้องไม่ใช่คนธรรมดาโดยเด็ดขาด เป็นไปได้มากกว่าจะเป็นท่านผู้นำระดับสูงหลายท่านนั้น ดังนั้นพวกเขาจึงไม่หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดอีกอย่างชาญฉลาด ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หากพูดอะไรมั่วๆ ออกไปก็เป็นไปได้มากว่าจะมีความผิดมาถึงตัวเอง

ในขณะเดียวกันคนจำนวนมากก็มีความคิดเกี่ยวกับตระกูลเย่ใหม่ เปลี่ยนมุมมองต่อเย่เทียนเฉินใหม่ ใครก็คิดไม่ถึงว่า เย่เทียนเฉินบุกไปตระกูลฉิน ฆ่าล้างตระกูลลั่ว ทำเรื่องราวที่ครึกโครมไปทั่วประเทศขนาดนี้ก็ยังไม่มีเรื่องอะไรเลยแม้แต่น้อย คนคนนี้จะต้องมีพวกอยู่เบื้องบนอย่างแน่นอน มิเช่นนั้นคงไม่อาจกดเรื่องนี้ลงไปได้ นี่ทำให้คนหลายคนสงสัยเป็นอย่างมาก คนที่เคยเป็นตัวตลกไปทั่วทั้งเมืองหลวง มีชื่อเสียงโด่งดังในฐานะตัวไร้ค่าและลูกหลานไม่เอาไหน ทำไมอยู่ดีๆ ถึงได้ร้ายกาจขึ้นมาแบบนี้ได้?

ตระกูลเย่ที่ตกต่ำไปนานแล้ว ตระกูลเย่ที่แม้แต่ผู้ทรงอิทธิพลใต้ดินแห่งเมืองหลวงยังกล้าที่มารังแกถึงประตูบ้าน ทำไมอยู่ดีๆ ถึงได้มีการสนับสนุนจากเบื้องบนได้?

เรื่องนี้ถูกท่านผู้นำสูงสุดและหยางอี้กดเอาไว้จริงๆ คนที่รู้เรื่องนี้อย่างน้อยต้องเป็นคนที่มีตำแหน่งอยู่บ้าง ส่วนประชาชนธรรมดาทั่วไปไม่สามารถรู้ได้ และไม่ได้ยินข่าวประเภทนี้เลย ส่วนข่าวเรื่องสามพ่อลูกตระกูลลั่วที่ก่อนหน้านี้เผยแพร่อยู่บนอินเทอร์เน็ต บ้างก็ถูกลบ บ้างก็ถูกปิดกั้น บ้างก็ถูกเว็บไซต์แก้ข่าวลือ ชาวเน็ตเองก็ไม่ได้มีอารมณ์ร่วมมากมายขนาดนั้น จึงค่อยๆ เงียบไป

ส่วนคนที่มีตำแหน่งสูงเหล่านั้น แต่ละคนล้วนฉลาดเป็นกรด ขอเพียงมีลมพัดต้นหญ้าเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยก็รู้ได้ว่าจะทำอย่างไร มีเพียงคนโง่เท่านั้นที่ในเวลาแบบนี้จะพูดจามั่วซั่วไปทุกที่

ในตอนที่ในใจของคนจำนวนมากกำลังสั่นสะท้านเพราะชื่อ‘เย่เทียนเฉิน’ อยู่นั้น เย่เทียนเฉินที่เป็นเจ้าของเรื่องกลับสวมเสื้อยืดสีขาว ส่วนล่างสวมกางเกงชายหาดลายดอกไม้ ที่เท้าก็สวมรองเท้าแตะคู่หนึ่ง ยืนอยู่ตรงประตูรั้วของมหาวิทยาลัยหลงเถิง หาวออกมาครั้งหนึ่ง คนที่มาลงทะเบียนเยอะเหมือนกับน้ำทะเล นักศึกษามหาวิทยาลัยปีที่หนึ่งเปิดเรียน โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงอันดับหนึ่งอย่างมหาวิทยาลัยหลงเถิง เป็นสถานที่ในฝันของเหล่านักศึกษา เมื่อมองดูนักเรียนใหม่ที่เดินผ่านไปผ่านมาแต่ละคนล้วนยิ้มอย่างภาคภูมิใจและมีความสุข

“นักศึกษาปีหนึ่งที่มาลงทะเบียนเชิญทางด้านนี้ ส่วนนักศึกษาคนอื่นๆ ไปรายงานตัวอีกด้านหนึ่ง!” อาจารย์อ้วนท้วนคนหนึ่งถือโทรโข่งพูดเสียงดัง

เย่เทียนเฉินมองไปทางซ้ายมือ ทั้งซ้ายและขวาของสถานที่นั้นมีแผ่นป้ายอันใหญ่อยู่ ด้านบนเขียนด้วยตัวอักษรสีแดงว่า ‘สถานที่ลงทะเบียนของนักศึกษาปีหนึ่ง’

ทั้งซ้ายทั้งขวาของสถานที่นั้นมีแถวยาวดั่งมังกร เย่เทียนเฉินมองแล้วจึงเดินไปยังท้ายแถว ไหนเลยจะรู้ว่าเพิ่งจะออกเดินก็ได้ยินเสียงร้องของผู้หญิงจากด้านหลัง เย่เทียนเฉินหันไปมอง พบผู้หญิงคนหนึ่งลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ เธอกำลังล้มลงไปบนพื้น อาจเป็นเพราะเธอผอมแห้งจนเกินไป พอมาลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ขนาดนี้จึงกินแรงไปไม่น้อย ทำให้จุดศูนย์ถ่วงไม่มั่นคง

สายตาเฉียบแหลมการกระทำว่องไว เย่เทียนเฉินใช้มือขวาประคองผู้หญิงคนนั้นเอาไว้ ส่วนมือขวาก็รับกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ของเธอ

“อา ขะ ขอบคุณนายมาก!” ผู้หญิงคนนั้นอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอับอาย ใบหน้าเล็กๆ แดงระเรื่อ มองไปยังเย่เทียนเฉินพลางกล่าว

เย่เทียนเฉินกำลังจะพูดว่าไม่ต้องขอบคุณ แต่ในตอนที่เขามองใบหน้าของผู้หญิงคนนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง หากจะกล่าวว่าผู้หญิงที่สวยมากๆ จะสามารถ ทำให้ผู้คนประทับใจได้ง่าย เช่นนั้นก็ยังมีผู้หญิงอีกประเภทหนึ่งที่ทำให้ผู้คนประทับใจได้ยิ่งกว่าผู้หญิงสวยๆ นั่นก็คือผู้หญิงที่ดูบริสุทธิ์ผุดผ่อง บนหน้าไม่มีความรู้สึกของการแต่งหน้าเลยแม้แต่น้อย ดูแล้วสดชื่นเป็นอย่างมาก พูดให้ชัดก็คือ ไม่ต้องผัดแป้งทาหน้าก็มีผิวเรียบเนียนกระจ่างใสได้ ไม่ต้องติดขนตาปลอม ก็มีดวงตาที่งดงามได้ เป็นความรู้สึกแบบนี้

ผู้หญิงตรงหน้าก็ให้ความรู้สึกสดชื่นบริสุทธิ์แบบนั้น มีใบหน้าที่จัดอยู่ในประเภทน่ารัก สูงประมาณหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตร รูปร่างดีเป็นอย่างมาก สวมชุดเดรสสีขาวที่ดูออกได้เลยว่าไม่ใช่ของแพง แต่นี่กลับไม่ได้มีผลกระทบต่อความโดดเด่นของเธอ สิ่งที่เย่เทียนเฉินรู้สึกมากที่สุดก็คือ ผู้หญิงคนนี้มีเงาของนางเอกจากเรื่องรักใต้ต้นซานจา[1]อยู่ และมีความคล้ายคลึงกับผู้หญิงที่ตนรักมากที่สุดในช่วงยุคสิ้นโลก

“มะ ไม่เป็นไร ฉันเชื่อเย่เทียนเฉิน เธอชื่ออะไรเหรอ?” เย่เทียนเฉินได้สติกลับมา เอ่ยถามไปด้วยรอยยิ้ม

“ฉันชื่อเสี้ยวหยา!” ผู้หญิงคนนั้นพูดด้วยรอยยิ้มหวาน

“หยาเอ๋อร์ เหมือนกับชื่อผู้หญิงที่ฉันรักลึกซึ้งในช่วงยุคสิ้นโลก…” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะจมลงสู่ความทรงจำ พูดพึมพำกับตัวเอง

“นะ นายพูดอะไรนะ?” เสี้ยวหยาได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ

“อา มะ ไม่มีอะไร…”

“ขะ ขอบคุณนายมากนะ ฉันไปต่อแถวก่อน…”

เมื่อเห็นเงาหลังของเสี้ยวหยาที่ค่อนข้างผอมบางแต่กลับลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่โต ทำให้ผู้คนมีความรู้สึกที่อยากจะปกป้อง โดยเฉพาะเสี้ยวหยาที่มีลักษณะบริสุทธิ์ ให้ความรู้สึกที่ไม่อาจฝืนสบประมาทได้ เธอมีความคล้ายคลึงกับผู้หญิงที่เย่เทียนเฉินรักอย่างลึกซึ้งในช่วงยุคสิ้นโลก ที่สำคัญที่สุดก็คือในชื่อของผู้หญิงที่เย่เทียนเฉินรักอย่างลึกซึ้งในช่วงยุคสิ้นโลกก็มีคำว่า ‘หยา’ อยู่เช่นเดียวกัน นี่คือความบังเอิญหรือเป็นพรหมลิขิต?

ได้มาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ เย่เทียนเฉินย่อมไม่มีทางได้พบกับสหายในช่วงเวลาเหล่านั้นอีกแล้ว และไม่อาจได้พบผู้หญิงที่ติดตามตนเองอีก แต่ในโลกนี้ถึงกับมีผู้หญิงที่คล้ายคลึงกับคนที่ตัวเองรักอย่างลึกซึ้งในช่วงยุดสิ้นโลก รูปร่างหน้าตาก็คล้ายคลึงกัน นี่ก็เพื่อตามหาการคุ้มครองของตนอีกครั้งหรือ?

“หยาเอ๋อร์ นี่เป็นเธอที่ข้ามโลกมาหรือเปล่า? หากว่ามีชีวิตมาที่โลกนี้จริงๆ ฉันก็ยังเต็มใจที่จะรักเธอไปตลอดชีวิต!” เย่เทียนเฉินพูดกับตัวเองในใจ

ในช่วงยุดสิ้นโลก ผู้หญิงที่เย่เทียนเฉินรักที่สุดได้ตายไปแล้ว ในตอนนั้นเขายังไม่มีความแข็งแกร่งมากพอ ยังคงอ่อนแอ หยาเอ๋อร์ คนที่ติดตามอยู่ข้างกายเขารวมฝ่าฟันความทุกข์ทรมานมาด้วยกัน ผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน เป็นความรู้สึกหนึ่งที่เย่เทียนเฉินจดจำไว้ไม่ลืมเลือน ต่อให้มาเกิดใหม่ที่โลกแห่งนี้เขาก็ไม่มีทางลืมว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่อว่าหยาเอ๋อร์ ไม่เคยทอดทิ้งไม่เคยยอมแพ้ต่อเขา สาบานว่าจะติดตามเขาไปจนตาย ในช่วงเวลาที่เขาอ่อนแอที่สุดก็ช่วยเหลือเขา ในช่วงเวลาที่เขาแข็งแกร่งก็ยังคงอรอยู่ข้างกายเขา

จนมาถึงการต่อสู้ครั้งหนึ่งกับผู้แข็งแกร่ง สู้กันจนบ้าคลั่ง สู้กันจนสั่นสะเทือน จนกระทั่งเย่เทียนเฉินกลับไป หยาเอ๋อร์ก็ได้ตายไปแล้ว ถูกฝังอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพัง คืนนั้นเย่เทียนเฉินแผดเสียงคำรามลั่นฟ้า โกรธแค้นจนแทบคลั่ง โศกเศร้าจนร่ำร้องต่อสวรรค์ หลั่งเลือดไกลนับหมื่นลี้ ระเบิดฆ่าสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งซึ่งล่วงล้ำเข้ามาในอาณาเขตของเผ่าพันธุ์มนุษย์กลางอากาศจนสิ้น ใช้เลือดสดๆ เซ่นไหว้ให้เหยาเอ๋อร์

“หลีกทางๆ ทุกคนหลีกทางให้ฉันซะ…”

ตอนนี้เอง ชายฉกรรจ์สองคนที่สวมเสื้อกล้ามสีดำ บนสองมือซ้ายขวามีรอยสักน่าเกรงขามอยู่ กำลังผลักกลุ่มคนรอบๆ ออก ราวกับมีคนใหญ่คนโตมาอย่างไรอย่างนั้น

หลายคนถูกชายฉกรรจ์ที่น่ากลัวสองคนนี้ผลักออก เย่เทียนเฉินเองก็ได้สติกลับมา มองไปยังทางของสองคนนี้ เห็นว่าเบื้องหน้าโต๊ะลงทะเบียนนักศึกษาปีหนึ่งที่เสี้ยวเหยาได้ไปต่อแถวนั้น ใกล้จะได้ลงทะเบียนแล้ว นี่ทำให้เย่เทียนเฉินวางใจไปไม่น้อย เธอเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ขนาดนั้น ไม่สะดวกเลยจริงๆ ไม่ว่าจะอย่างไร สำหรับผู้หญิงที่มีความคล้ายคลึงกับผู้หญิงที่เขารักอย่างลึกซึ้งในช่วงยุคสิ้นโลกคนนี้ เย่เทียนเฉินก็ยังมีความรู้สึกดีๆ อยู่บ้าง หากว่าเธอต้องการก็จะช่วยเธอแน่นอน นี่เป็นความซับซ้อนอย่างหนึ่งของผู้ชาย

ในตอนที่ทุกคนต่างตกใจไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นนั้น ต่างมองไปยังส่วนท้ายสุดของเส้นทาง ไม่นานก็มีรถสปอร์ตบูกัตติเวย์รอนที่หรูหราเป็นอย่างมากคันหนึ่งขับตรงมาถึงประตูมหาวิทยาลัยหลงเถิง และขับมาจนถึงส่วนลงทะเบียนสำหรับนักศึกษาปีหนึ่ง เมื่อรถหยุดลง ชายฉกรรจ์น่ากลัวทั้งสองคนก็รีบยิ้มแล้วเดินเข้าไปเปิดประตู

มีเด็กวัยรุ่นอายุประมาณสิบหกปีคนหนึ่งลงมาจากรถ สวมสูทแบรนด์เนมทั้งตัว ที่หูทั้งสองข้างใส่ตุ้มหู บนมือทั้งสองข้างสวมใส่แหวนบราคาแพง แค่มองก็รู้ว่าเป็นทายาทตระกูลร่ำรวยคนหนึ่ง เป็นคนที่ให้ความรู้สึกเหมือนตัวละครคุณชายชั้นสูงประเภทนั้น เพียงแต่ไม่มีใครสามารถเดาได้ว่าคนๆ นี้เป็นลูกหลานของตระกูลไหนกันแน่ ?

หลังจากที่เด็กคนนั้นลงมาจากรถก็มองไปยังผู้คนรอบๆ ด้วยสายตาไม่พอใจ ให้ความรู้สึกเหมือนนายน้อยนายท่าน เดินไปเบื้องหน้าโต๊ะลงทะเบียน ตบลงบนโต๊ะอย่างโอหังแล้วพูดว่า

“เซวียนเยวี๋ยนอวี่ ลงทะเบียนนักศึกษาปีหนึ่งของมหาวิทยาลัยหลงเถิง!”

ใครก็คิดไม่ถึงว่า คนที่ดูผิวเผินเหมือนเด็กอายุสิบหกปีคนนี้จะถึงกับเป็นนักศึกษาปีหนึ่งของมหาวิทยาลัยหลงเถิง แต่ในใจของคนจำนวนมากก็ทราบดีว่า ด้วยท่าทางโอหังอวดดีของเด็กคนนี้ คงจะไม่สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยหลงเถิงได้ บ้านของผู้อื่นเขามีเงิน ย่อมต้องมีปัญญาซื้ออย่างแน่นอน

“เซวียนเยวี๋ยนอวี่? เด็กคนนี้เป็นคนของตระกูลเซวียนเยวี๋ยน?”

“เป็นไปไม่ได้น่ะ ตระกูลนี้ดูเหมือนจะหายไปจากโลกเบื้องหน้านานแล้ว ทำไมถึงโผล่มาอีก?”

“ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนเคยกุมอำนาจทางการเศรษฐกิจภายในประเทศ ใครก็สั่นสะกิดไม่ได้ ขนาดรัฐก็ยังทำไม่ได้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไมสุดท้ายถึงได้หายไป”

“ตอนนี้ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนปรากฏสู่โลกแล้ว เป็นไปได้มากว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น พวกเราก็อยู่ห่างๆ สักหน่อย อย่าไปหาเรื่องคนๆนั้นจะดีกว่า!”

นักศึกษารอบๆ ที่พอมีความรู้อยู่บ้าง จะมากจะน้อยก็รู้จักตระกูลเซวียนเยวี๋ยน จึงอดไม่ได้ที่จะถอนใจอย่างประหลาดใจ นี่เป็นครั้งหนึ่งที่มีตระกูลดำรงอยู่ตั้งแต่สมัยโบราณของประเทศจีนจนถึงปัจจุบันนี้ เคยกุมอำนาจทางเศรษฐกิจที่เป็นชีพจรของประเทศ คิดได้เลยว่าจะทำให้ผู้คนต้องสะท้านขนาดไหน ต่อให้หลายปีมานี้ไม่ได้ปรากฏสู่โลก ก็เพียงพอที่จะทำให้หลายคนประหลาดใจจนทนไม่ไหวแล้ว

“รอสักครู่ หลังจากที่ครูจัดการขั้นตอนให้นักเรียนคนนี้เสร็จ ก็จะจัดการให้เธอ!” อาจารย์หญิงคนหนึ่งพูดกับเซวียนเยวี๋ยนอวี่ด้วยรอยยิ้ม

“หึ ขอโทษด้วย ฉันเซวียนเยวี๋ยนอวี่แต่ไหนแต่ไรก็ไม่ชอบรอ ฉันหวังว่าเธอจะรีบจัดการเรื่องเข้าเรียนให้ฉันซะ ไม่งั้นผลลัพธ์คงไม่ใช่อะไรที่เธอรับไหวแน่!”

เสียงของเซวียนเยวี๋ยนอวี่ไม่สูง แต่โอหังเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคำพูดนี้ออกมาจากปากของเด็กอายุสิบหกปีคนหนึ่ง จึงทำให้ผู้คนรู้สึกไม่ค่อยสบาย ช่างโอหางเกินไปแล้ว!

[1] รักใต้ต้นซานจา เป็นภาพยนตร์ที่ดัดแปลงมาจากนวนิยายขายดีของ “อ้ายหมี่” ว่าด้วยความรักแสนเศร้าระหว่างหนุ่มสาวคู่หนึ่งในห้วงแห่งการปฏิวัติวัฒนธรรม ซึ่งเข้าฉายในจีนเมื่อปลายปี 2010 และประสบความสำเร็จทำรายได้ถล่มทลาย ทุบสถิติตลอดกาลของภาพยนตร์จีนแผ่นดินใหญ่ที่ดัดแปลงจากวรรณกรรมทุกเรื่อง

ท่านผู้นำชราเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งที่มีความเมตตาแต่ก็ไม่สูญเสียลักษณะอันน่าเกรงขาม และไม่ได้เป็นคนยิ้มยากเหมือนกับที่คนส่วนใหญ่จินตนาการ เขาเป็นคนที่ไม่วางมาดขรึม ดูแล้วไม่เหมือนกับคนที่อยู่ในระดับสูง แต่กลับมีอำนาจที่ไม่แสดงออกแฝงอยู่ นี่เป็นบรรยากาศของบุคคลที่มาถึงจุดสูงสุด ไม่เหมือนกับคนมีตำแหน่งคนอื่นๆ ที่พอมีตำแหน่งขึ้นมาบ้างก็ทำตัวหยิ่งยโสโอหังไม่เห็นใครอยู่ในสายตา

ไม่ใช่แค่เพียงเฮยเมี่ยนและชางหลางที่มองจนกลุ้มใจเหลือคณา พูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว กระทั่งหยางอี้ที่เป็นคนระดับบิ๊กก็คิดไม่ถึงว่า เย่เทียนเฉินพบหน้าท่านผู้นำจะถึงกับทำตัวสบายๆ แบบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเย่เทียนเฉินเห็นท่านผู้นำเป็นเหมือนญาติผู้ใหญ่ในบ้านคนหนึ่ง ไม่มีความรู้สึกตึงเครียดที่ได้พบกับคนใหญ่คนโตเลยแม้แต่น้อย นี่เป็นสิ่งที่พวกหยางอี้คิดไม่ถึง แน่นอนว่าต้องขอบคุณที่ท่านผู้นำที่มีความอดทนเป็นเลิศ ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเจ้าหมอนี่

“ได้ยินว่าครั้งนี้นายก็เรื่องใหญ่ที่ตระกูลฉิน แล้วยังฆ่าล้างตระกูลลั่วอีก เป็นการกระทำของนายใช่ไหม?” ท่านผู้นำเอ่ยถาม

เย่เทียนเฉินได้ยินคำถามของท่านผู้นำ จึงเปลี่ยนท่าทีเป็นเคร่งขรึมมา อาศัยที่ผู้อาวุโสท่านนี้ทำเพื่อประเทศชาติเพื่อประชาชนก็ควรค่าแก่การเคารพของเขาแล้ว เย่เทียนเฉินเป็นคนที่ไม่สามารถใช้ตรรกะปกติมาประเมินได้ แต่อย่างน้อยก็ยังรู้จักเคารพผู้สูงอายุ ยิ่งไปกว่านั้นผู้สูงอายุเช่นท่านผู้นำ ควรค่าแก่การเคารพของทุกคน

เย่เทียนเฉินปล่อยมือท่านผู้นำแล้วกล่าวยิ้มๆ ว่า

“ผู้อาวุโสครับ เรื่องนี้มันเป็นแบบนี้ เริ่มจากคนตระกูลฉินมาหาเรื่องผมก่อน พวกเขาต้องการฆ่าผม ผมก็แค่ตอบโต้ไปเท่านั้น เป็นการป้องกันตัวตามปกติ ส่วนเรื่องของตระกูลลั่ว ตระกูลลั่วมีสุนัขสามตัวที่เป็นอันตรายต่อประชาชน ผมก็เลยยอมเสียสละทำเพื่อประชาชนครับ!”

เมื่อได้ฟังคำพูดของเย่เทียนเฉิน ท่านผู้นำอดไม่ได้ที่จะยิ้ม เฮยเมี่ยนที่อยู่ข้างๆมองเย่เทียนเฉินอย่างเหยียดหยาม ในใจคิดว่าเจ้าหมอนี่ไม่เพียงแต่มีฝีมือแข็งแกร่ง ฝีมือในการเล่นลิ้นก็ไม่เป็นรอง สามารถพูดจากขาวเป็นดำได้ เย่เทียนเฉินมีบุญคุณความแค้นกับตระกูลฉินและตระกูลลั่วเป็นความจริง สองตระกูลนี้ต้องการฆ่าเย่เทียนเฉินก็เป็นความจริง แต่เจ้าหมอนี่พูดเหมือนกับว่าตัวเองเป็นผู้นำความยุติธรรม ทำท่าทางเหมือนกับทำเรื่องที่ใครก็ต้องทำ ช่างทำให้คนอื่นรู้สึกอับจนคำพูดจริงๆ

“เรื่องของตระกูลฉินและตระกูลลั่ว ฉันได้ยินมาจากหยางอี้แล้ว ได้ข่าวว่าครั้งที่แล้วที่ประเทศM นายคิดจะให้โฮบาม่าเลี้ยงข้าวนายหรือ?” ท่านผู้นำเอ่ยถามยิ้มๆ

ความจริงไม่ว่าจะเป็นใคร เมื่อได้ยินเรื่องนี้ของเย่เทียนเฉินต่างก็ต้องตกตะลึงเป็นอย่างมาก ต้องการให้โฮบาม่าแห่งประเทศMเลี้ยงข้าวเขา แถมยังลงมืออัดคนไปตลอดทาง กวาดตามองไปทั่วทั้งโลกเกรงว่าจะมีไม่กี่คนที่สามารถทำได้ ความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวเช่นนี้เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนต้องสั่นสะท้านแล้ว

“เห้อ น่าเสียดายที่ไปถึงครึ่งทางก็มีโทมัสโผล่ออกมา ได้ยินว่าเป็นหัวหน้าหน่วยสืบราชการลับพลังพิเศษแห่งประเทศM ความสามารถแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ผมคิดว่าช่างมันเถอะ ถ้าต่อสู้กันจนบาดเจ็บทั้งสองฝ่ายจริงๆ ก็ไม่คุ้มเลย ผมคนนี้ไม่มีความคิดยิ่งใหญ่อะไร เสพสุขกับชีวิตให้ดีๆ ก็พอแล้ว!” เย่เทียนเฉินแสร้งทำเป็นถอนหายใจแล้วพูดขึ้น

ในตอนนี้เองหยางอี้ที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากขึ้น

“เย่เทียนเฉิน เรื่องของนายฉันได้พูดกับท่านผู้นำไปหมดแล้ว นายเป็นคนที่มีความสามารถคนหนึ่ง ประเทศชาติต้องการคนที่มีความสามารถอย่างนาย แต่ว่าครั้งนี้เรื่องที่นายก่อมันใหญ่เกินไปจริงๆ เรียกได้ว่าคลื่นลูกแรกยังไม่ทันสงบก็มีคลื่นลูกใหม่ซัดเข้ามา เรื่องของตระกูลฉินและตระกูลลั่ว ทั้งสองเรื่องรวมกันทำให้มีผลกระทบที่ค่อนข้างใหญ่ หากต้องการทำให้เรื่องนี้เงียบก็คงยากมาก ไอ้หนูอย่างนายคงจะได้รับโทษ…”

“ผู้อาวุโส ผู้เฒ่าหยางอี้ พวกคุณสองคนมีเรื่องอะไรก็พูดมาตรงๆ เถอะครับ ผมคิดว่าหากคุณต้องการจะทำโทษจริงๆ คงไม่ระดมคนพาตัวผมมาที่นี่หรอก ทุกคนต่างก็เป็นคนฉลาด มีอะไรก็พูดมาตรงๆ ถ้าเป็นเรื่องที่ผมทำได้และให้ประโยชน์กับผมบ้าง ผมก็คิดว่าผมจะลองไตร่ตรองดู!”เย่เทียนเฉินพูดแล้วหัวเราะฮี่ๆ

เฮยเมี่ยนและชางหลางทำได้เพียงยืนอยู่กับที่ด้วยความตกตะลึง สายตามองไปยังเย่เทียนเฉินที่พูดคุยกับท่านผู้นำอย่างหยอกล้อ พวกเขาสองคนล้วนเป็นคนที่มีตำแหน่งหน้าที่ทางการทหาร เมื่ออยู่ต่อหน้าท่านผู้นำจะต้องเข้มงวดจริงจังเป็นอย่างมาก ยืนตัวตรงเหมือนหอก มีแต่เย่เทียนเฉินที่ไม่มีระเบียบวินัยถึงจะทำท่าทางเหลาะแหละแบบนี้ได้

บนโลกนี้คนที่กล้าต่อรองเงื่อนไขกับท่านผู้นำและหยางอี้ในเวลาเดียวกัน เกรงว่าจะมีแต่เย่เทียนเฉินเพียงคนเดียว หากว่าเป็นเฮยเมี่ยนและชางหลาง ขอเพียงแค่ท่านผู้นำมีคำสั่งลงมา ต่อให้ต้องไปตายในทันทีพวกเขาก็จะเชื่อฟัง นี่เป็นลักษณะนิสัยของทหารในประเทศที่ยิ่งใหญ่อย่างประเทศจีน ทำเพื่อประเทศชาติเพื่อประชาชนตราบจนชีวิตจะหาไม่

หยางอี้และท่านผู้นำสบตากัน อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา ท่านผู้นำพยักหน้าให้หยางอี้ ความจริงแล้วก่อนที่เย่เทียนเฉินจะมาถึง พวกเขาได้ปรึกษากันเรียบร้อยแล้วว่าจะจัดการเรื่องตระกูลฉินและตระกูลลั่วอย่างไร ส่วนเรื่องเย่เทียนเฉินนั้น คนที่มีตำแหน่งอย่างพวกเขาย่อมไม่มีความคิดเหมือนกับคนธรรมดาทั่วไป ในสายตาของท่านผู้นำและหยางอี้ แม้ว่าเย่เทียนเฉินจะไม่น่าไว้ใจ ชอบพูดจาหยอกล้อและยังเป็นคนที่ไม่มีระเบียบวินัย แต่ว่าบางครั้งประเทศชาติก็ต้องการคนมีความสามารถเช่นนี้ และคนแบบเย่เทียนเฉินก็ปรากฏออกมาน้อยมาก

ประการแรก คนแบบเย่เทียนเฉินกระทำเรื่องราวอะไรจะไม่นับว่าเป็นตัวแทนของประเทศชาติ และทำให้คนอื่นจับจุดอ่อนไม่ได้ ประการที่สอง มีหลายเรื่องที่ไม่เหมือนกับจินตนาการของคนอื่นที่คิดว่าประเทศชาติต้องการให้เป็นอย่างไรก็ต้องเป็นอย่างนั้น แต่จะต้องคำนึงถึงความกดดันในเรื่องของผลกระทบและข้อวิพากษ์วิจารณ์ของประชาชนด้วย

หากให้ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็คือ อาชญากรจำนวนหนึ่งที่ทางรัฐโกรธเกลียดเป็นอย่างมาก เกลียดจนอยากฆ่าให้ตายโดยเร็ว แต่ว่าคนเหล่านี้มักจะใช้ช่องว่างทางกฎหมาย สุดท้ายจึงได้รับคำตัดสินในระดับที่ไม่ถึงความตาย และท้ายที่สุดก็สามารถหลุดพ้นจากบทลงโทษทางกฎหมายไปได้ หากว่าประเทศชาติตัดสินโทษตายอย่างแข็งกร้าว หรือลอบสังหารในทางลับ ก็จะทำให้อาชญากรคนอื่นๆ มีโอกาสโจมตี กระตุ้นความโกรธแค้นของประชาชนที่โง่เขาจำนวนหนึ่งให้ทำการประท้วงเป็นต้น ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อความมั่นคงของชาติเลย

ในตอนนี้จะต้องการคนที่สามารถฆ่าคนชั่วที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้ ฆ่าอย่างเงียบๆ กระทำการโดยที่ไม่เกี่ยวข้องกับประเทศอย่างเป็นทางการ เย่เทียนเฉินเป็นคนที่เหมาะสมกับการทำเช่นนี้พอดี

“ไอ้หนูยังนายกล้าเจรจาเงื่อนไขอีก งั้นก็ดี งั้นพวกเราก็มาพูดถึงเงื่อนไขกันเถอะ นายก่อเรื่องตระกูลฉินและตระกูลลั่ว นี่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่สองเรื่อง พวกเราจะคิดหาวิธีกดดันให้เรื่องเงียบไป ดังนั้นนายจะต้องช่วยพวกเราสองเรื่อง” หยางอี้พูดยิ้มๆ

“ผู้เฒ่าหยางครับ เรื่องตระกูลฉินผมได้ตอบรับไปแล้วว่าจะไปเรียนที่มหาวิทยาลัยหลงเถิงและช่วยคุณดูแลตงฟางเมิ่งอะไรนั่น ส่วนเรื่องตระกูลลั่ว นั่นก็เป็นแค่สุนัขหน้าไม่อายสามตัว ฆ่าก็ฆ่าไปแล้ว อย่าจริงจังขนาดนี้เลย?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะมองหยางอี้พลางกล่าว

“ในเมื่อไอ้หนูอย่างนายไม่ตกลงงั้นก็ช่างมันเถอะ เรื่องนี้ควรจะจัดการยังไงก็จัดการอย่างนั้น ถึงตอนนั้นเกี่ยวพันไปถึงตระกูลเย่ของนาย เกี่ยวพันไปถึงพ่อแม่และน้องสาวของนาย พวกเราก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว!” หยางอี้พูดอย่างไม่สะทกสะท้าน

“นี่ๆ พวกคุณนี่เปลี่ยนสีหน้ากันเร็วมากเลยนะ นี่ไม่ใช่ว่าข่มขู่กันหรอกเหรอ? ผมเกลียดการที่ถูกคนอื่นข่มขู่เป็นที่สุด!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างไม่สบอารมณ์

“ผิดแล้ว นี่ไม่ใช่การข่มขู่แต่เป็นการแลกเปลี่ยน พวกเราช่วยนายกดเรื่องตระกูลฉินและตระกูลลั่วสองเรื่อง นายก็ช่วยพวกฉันทำภารกิจสองเรื่อง ยุติธรรมที่สุดแล้ว!” หยางอี้พูดยิ้มๆ

“เอาเถอะ ลองพูดมาดูเถอะครับว่ายังมีเรื่องอะไรอีก…”

เย่เทียนเฉินทำอะไรไม่ได้แล้วจริงๆ เมื่อเผชิญหน้ากับคนใหญ่คนโตอย่างหยางอี้และท่านผู้นำ เขาก็รู้สึกไม่กล้าทำอะไรให้วุ่นวาย และไม่อยากทำอะไรมั่วซั่ว อย่างไรเสียผู้อาวุโสสองคนนี้ก็เป็นข้าราชการดีงามที่ทำเพื่อชาติเพื่อประชาชน

“ยังไม่ต้องไปคิดถึงมันชั่วคราว นายคิดทำเรื่องของตงฟางเมิ่งให้เสร็จก่อนแล้วค่อยพูดกันเถอะ” หยางอี้เอ่ย

“คุ้มครองดาวมหาวิทยาลัย? ตลอดมาผมก็ไม่สนใจว่าเรื่องนี้จะเป็นยังไง ให้ภารกิจที่มันสำคัญหน่อยจะดีกว่า!”

“ไม่ใช่ให้นายไปคุ้มครองเธอ แต่ให้นายไปอยู่ใกล้ๆ เธอ ไม่ให้เธอลงมือทำร้ายคนอื่น และไม่ให้คนอื่นทำร้ายเธอ สิ่งเดียวที่ฉันบอกกับนายได้ก็คือ ตงฟางเมิ่งไม่ได้เป็นเพียงสี่สุดยอดสาวงามแห่งพรรควรยุทธโบราณเท่านั้น ฐานะของเธอค่อนข้างพิเศษ เรื่องนี้นายต้องไปค้นหาด้วยตัวเองแล้ว!”

“เอาเถอะครับ ตกลงตามนี้ มีเรื่องอะไรก็แจ้งให้ผมทราบด้วย ท่านผู้อาวุโส ผมไปก่อนล่ะ!”

ท่านผู้นำสูงสุดพยักหน้า ถึงแม้ว่าจะสนทนากับเย่เทียนเฉินไม่มาก แต่ท่านผู้นำก็ค่อนข้างมองเย่เทียนเฉินในแง่ดี แม้ว่าเจ้าหนูคนนี้จะดูไม่เอาอ่าว แต่การกระทำเรื่องราวต่างๆ อย่างไรก็ยังทำให้คนรู้สึกวางใจเป็นอย่างมาก

เย่เทียนเฉิน เฮยเมี่ยนและชางหลางจากไปแล้ว ภายในห้องทำงานอันกว้างใหญ่เหลือเพียงท่านผู้นำและหยางอี้สองคน ท่านผู้นำยิ้มมองเงาหลังของเย่เทียนเฉินแล้วพยักหน้า เป็นเหมือนที่หยางอี้พูดจริงๆ ลูกหลานตระกูลเย่คนนี้มีความเป็นไปได้มากว่าจะฟื้นฟูตระกูลเย่ได้ และมีอนาคตไร้ขีดจํากัด เป็นบุคคลมีความสามารถที่ประเทศสามารถใช้งานได้

“ท่านผู้นำครับ เย่เทียนเฉินจะสามารถรับผิดชอบภารกิจที่สำคัญนี้ได้หรือไม่ ผมยังไม่ค่อยมั่นใจ…” หยางอี้มองท่านผู้นำแล้วพูดออกมาอย่างเป็นกังวล

“เรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้นใครก็คาดเดาไม่ได้ แต่ดูจากตอนนี้แล้ว เย่เทียนเฉินเหมาะสมที่สุด และเรื่องนั้นก็ยังไม่ได้มาถึงเร็วขนาดนี้ ไว้ค่อยดูกันอีกทีเถอะ!” ในตอนที่ท่านผู้นำกล่าวประโยคนี้ก็อดไม่ได้ที่จะกังวลขึ้นมา

เรื่องที่สามารถทำให้ท่านผู้นำกังวลจนขมวดคิ้วได้ ย่อมไม่ใช่เรื่องเล็กอะไรอย่างแน่นอน เรื่องที่เขาและหยางอี้ปรึกษากันสองคน เพียงพอที่จะสั่นสะท้านไปทั่วทั้งประเทศจีนหรือกระทั่งทั่วทั้งโลก ประเทศใหญ่ๆ หลายประเทศต่างติดตามอย่างใกล้ชิด เพียงแต่ว่ายังไม่ได้ปะทุออกมาเท่านั้น แต่มีสัญญาณต่างๆ แสดงออกมาให้เห็น เมื่อเรื่องนี้ปะทุออกมาเกรงว่าจะกลายเป็นวิกฤตการณ์ไปทั่วทั้งโลก ตอนนี้ยังอยู่ภายใต้การควบคุมอย่างหนัก

“ถ้าอย่างนั้นความหมายของท่านก็คือ…” หยางอี้อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

“ค่อยๆ เดินไปทีละก้าวเถอะ เมื่อถึงเวลาที่จำเป็นก็ให้เย่เทียนเฉินรับทำภารกิจนี้ โอกาสที่มีชีวิตรอดกลับมายังคงมีน้อยมาก แต่ด้วยความเดือดร้อนและการกระตุ้นที่แปลกประหลาด ฉันเชื่อว่าไอ้หนูคนนี้จะชอบแน่ๆ” ท่านผู้นำอดไม่ได้ที่จะพูดยิ้มๆ

“ครับ หวังว่าเรื่องนี้จะสามารถยืดเยื้อไปได้อีกหลายปี ไม่งั้นเมื่อถึงเวลาทั้งโลกจะตกอยู่ในความหวาดกลัว ไม่ใช่เรื่องที่ประเทศใดประเทศหนึ่งจะสามารถควบคุมเอาไว้ได้ จะกลายเป็นอันตรายต่อเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมด ถึงตอนนั้นหวังว่าจะมีคนสามารถป้องกันได้ ป้องกันเอาไว้ก่อน!” หยางอี้เองพูดแล้วถอนหายใจออกมา

เย่เทียนเฉินถูกชางหลางและเฮยเมี่ยนพาไปถึงด้านหน้าคฤหาสน์หลังหนึ่ง ในขณะที่ยังไม่เดินไปเข้าด้านหน้าของคฤหาสน์ เย่เทียนเฉินก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นไอของยอดฝีมือที่แข็งแกร่งหลายคน กระทั่งมีการผันผวนของพลังพิเศษที่แข็งแกร่งอยู่ด้วย ดูท่าแล้วรอบๆ คฤหาสน์หลังนี้คงมียอดฝีมือระดับสูงมากมายคุ้มครองอยู่ บุคคลใดๆ ก็ตามที่พยายามจะเข้ามาใกล้ล้วนถูกฆ่าโดยไม่ปราณี

เฮยเมี่ยนเดินอยู่ด้านหน้าสุด ถัดมาเป็นชางหลาง จากนั้นจึงเป็นเย่เทียนเฉิน ตอนที่พวกเขาเดินถึงหน้าประตูคฤหาสน์ บอดี้การ์ดสองคนที่สวมสูทสีดำ ดูเผินๆ เป็นบอดี้การ์ดธรรมดาไม่มีอะไรแตกต่าง แต่กลับทำให้เย่เทียนเฉินต้องเปลี่ยนความคิด เพราะเขารู้สึกได้ว่าบอดี้การ์ดสองคนนี้เป็นเพียงบอดี้การ์ดเฝ้าประตู แต่ล้วนเป็นยอดฝีมือในหมู่ยอดฝีมือ อย่างน้อยกองกำลังทหารหนึ่งกองร้อยไม่อาจเอาชนะสองคนนี้ได้โดยเด็ดขาด

บอดี้การ์ดทั้งสองตัวค้นของ เฮยเมี่ยน ชางหลางและเย่ทียนเฉินก่อน จากนั้นจึงใช้ของที่ดูเหมือนเครื่องตรวจจับสแกนบนร่างของทุกคน หลังจากที่มั่นใจว่าไม่มีข้อผิดพลาด จึงยืนสองด้านเป็นสัญญาณให้ทั้งสามเข้าไปได้

“สองคนนี้เป็นคู่เกย์ใช่ไหม? ถึงกับชอบลูบคลำบนร่างกายของคนอื่น หรือว่าจะกลัวมีดที่พี่ชายพกมาด้วย?” เย่เทียนเฉินพูดยิ้มๆ

ไหนเลยจะรู้ว่า คำพูดนี้ของเย่เทียนเฉินทำให้บอดี้การ์ดทั้งสองคนที่เดิมทียืนอยู่ทั้งสองฝั่งและอนุญาตให้พวกเขาเข้าไปแล้ว จะลงมือกับเย่เทียนเฉินในทันที รวดเร็วหาที่เปรียบ บุคคลที่อยู่ด้านซ้ายใช้พลังกงเล็บอินทรีย์คว้าจับเข้าที่ลำคอของเย่เทียนเฉิน ส่วนคนทางด้านขวาใช้วิชาหมัด ต่อยไปยังศีรษะของเย่เทียนเฉิน

ผัวะ!

ฉัวะ!

ใครก็คิดไม่ถึงว่าบอดี้การ์ดที่ยืนอยู่ตรงประตูทั้งสองคนจะลงมืออย่างกะทันหัน และยังโจมตีใส่เย่เทียนเฉินอย่างรุนแรง ตอนนี้เฮยเมี่ยนกับชางหลางได้เดินไปข้างหน้าสองก้าวแล้ว พวกเขาคิดอยากจะช่วยเย่เทียนเฉินก็ไม่สามารถทำได้ ต่างหันกลับมามองภาพนี้ด้วยความตกตะลึง

เย่เทียนเฉินเองก็คิดไม่ถึงว่าบอดี้การ์ดสูทดำสองคนนี้จะลงมือกะทันหัน นี่เป็นสิ่งที่เขาเองก็คาดไม่ถึง ดังนั้นเมื่อเผชิญกับการโจมตีของบอดี้การ์ดสูทดำทั้งสองคนนี้ สายตาของเย่เทียนเฉินพลันเย็นยะเยือก โจมตีตอบโต้อย่างรวดเร็ว ออกกระบวนท่าในเวลาชั่วพริบตา

ในตอนที่บอดี้การ์ดสูทดำทั้งสองคนและเย่เทียนเฉินหยุดลง เฮยเมี่ยนอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเย่เทียนเฉินจะสามารถป้องกันการโจมตีของบอดี้การ์ดสูทดำทั้งสองคนนี้ได้ และยังป้องกันพร้อมๆ กันด้วย ความสามารถของบอดี้การ์ดสูทดำทั้งสองคนนี้ ถึงแม้ว่าบางทีจะไม่ถึงระดับสูงแบบเฮยเมี่ยนแต่ก็ต่างกันไม่มาก โดยเฉพาะเมื่อทั้งสองลงมือพร้อมกัน ความสามารถจะเพิ่มขึ้นหลายเท่า ยากที่จะต้านทานได้

มือขวาของเย่เทียนเฉินต่อยออกไปเช่นเดียวกัน กระแทกจนบอดี้การ์ดสูทดำทางด้านขวามือกระเด็นออกไป ส่วนมือซ้ายก็คว้าแขนของบอดี้การ์ดสูทดำทางด้านซ้าย และสะบัดเขาไปทางด้านหลัง โยนออกไปอย่างรุนแรง

พริบตาเดียวก็สามารถสกัดกั้นการโจมตีของบอดี้การ์ดสูทดำทั้งสองคนได้ ทั้งยังเป็นการโจมตีกะทันหันอีกด้วย มุมปากของเย่เทียนเฉินปรากฏรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา ดูราวกับว่าต้องการจริงจังขึ้นมาแล้ว บอดี้การ์ดสูทดำเฝ้าประตูทั้งสองคนยังมีฝีมือแข็งแกร่งขนาดนี้จนแม้แต่เขาก็คิดไม่ถึง ดูเหมือนว่าในหมู่ยอดฝีมือที่คุ้มครองอยู่รอบๆ คฤหาสน์หลังนี้ จะมีบุคคลที่สุดยอดที่สุดอยู่ ความสามารถจะต้องลึกล้ำเกินหยั่งอย่างแน่นอน

บอดี้การ์ดสูทดำทั้งสองคนนั้นต่างตกตะลึง พวกเขาดูถูกเย่เทียนเฉินอยู่บ้างจริงๆ คิดไม่ถึงว่าวัยรุ่นที่เดินอยู่ด้านหลังสุด ดูท่าทางไม่เอาอ่าว พูดจาไม่จริงจังคนนี้ จะมีฝีมือแข็งแกร่งถึงขนาดนี้ สามารถสกัดกั้นการโจมตีของพวกเขาทั้งสองโดยที่ไม่กินแรงเลยแม้แต่น้อย ทำให้พวกเขายากจะเชื่อจริงๆ

“ท่าทางคนที่อยู่ในคฤหาสน์หลังนี้จะเป็นคนใหญ่คนโต ขนาดบอดี้การ์ดเฝ้าประตูยังแข็งแกร่งขนาดนี้…” เย่เทียนเฉินพูดด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้มไม่มีพิษมีภัย

“ไอ้หนูนายจะอยู่สงบๆ ให้ฉันหน่อยได้ไหม?” เฮยเมี่ยนเดินมา พูดพลางมองเย่เทียนเฉินด้วยใบหน้าเขียวคล้ำ

“ไม่ได้ ฉันก็คือฉัน เป็นดอกไม้ไฟที่มีสีไม่เหมือนกัน…” เย่เทียนเฉินพูดเรายิ้มอย่างยั่วยุ

เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน เฮยเมี่ยนรู้สึกทนไม่ไหวอยากที่จะพุ่งเข้าไปอัดเขาแรงๆ สักยก ที่นี่คือสถานที่แบบไหนกัน? เป็นสถานที่ที่แต่ไหนแต่ไรก็ไม่มีคนกล้ามากำเริบเสิบสาน ไม่ต้องพูดถึงกำเริบเสิบสานเลย ขนาดพูดเล่นยังไม่มีใครกล้า เย่เทียนเฉินคนนี้ มาครั้งแรกก็ตกอยู่ในสถานการณ์เคร่งเครียดขนาดนี้แล้ว แล้วยังมีอารมณ์มาหยอกล้ออยู่อีก นี่เป็นสถานที่ที่ไม่สามารถล้อเล่นได้โดยสิ้นเชิง ทำให้คนอื่นอับจนคำพูดจริงๆ ไอ้หนูนี่ไว้ใจไม่ได้เลย

“เย่เทียนเฉิน ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่จะมาล้อเล่นได้ เข้าไปกับพวกเราก่อนเถอะ!” ชางหลางรีบเดินเข้ามาพูดพลางส่งสายตาบอกใบ้ให้เย่เทียนเฉิน

เย่เทียนเฉินมองชางหลางปราดหนึ่ง พูดตามจริงความประทับใจที่เขามีต่อชางหลางไม่เลวเลยทีเดียว คิดอยากจะประลองฝีมือกับเขาตลอดเวลา แต่ชางหลางคนนี้ก็เป็นคนที่ตรงไปตรงมาเป็นอย่างมาก แล้วยังมีใจคิดช่วยเหลือเขา จะมากจะน้อยก็ต้องไว้หน้าเขาสักหน่อย มิฉะนั้นเย่เทียนเฉินคงลงมือกับเฮยเมี่ยนไปแล้ว เขาไม่สนใจว่าคุณจะเป็นยอดฝีมือระดับทัพฟ้าก็ดี จะเป็นยอดฝีมือระดับทัพดินก็ดี ตลอดมาเย่เทียนเฉินก็ไม่ใช่คนที่ไม่กล้าลงมือเพราะคู่ต่อสู้แข็งแกร่งจนเกินไป

ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง ลูกผู้ชายที่แท้จริง จะไม่ขาดเขลาเพราะศัตรูแข็งแกร่งจนเกินไปอย่างเด็ดขาด หากต้องเปรียบเทียบความสามารถของคู่ต่อสู้ให้แน่ใจว่าตนเองสามารถชนะได้แล้วค่อยลงมือ นี่ยังนับว่าเป็นยอดฝีมืออะไรอีก? สามารถเรียกได้ว่าเป็นการใช้ความแข็งแกร่งข่มเหงผู้น้อยก็เท่านั้น

“ช่างเถอะ อยากจะพบใครก็รีบพบหน่อย ผมไม่สนใจเลยจริงๆ!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างไม่สบอารมณ์

“แก…” เฮยเมี่ยนโกรธจนกัดฟันแน่น เย่เทียนเฉินคนนี้ เขาคิดว่าตนเองจะไปพบคนธรรมดาอะไรหรือไง? ต้องทราบว่าครั้งนี้คนที่ต้องการพบเย่เทียนเฉินเป็นคนใหญ่คนโต เป็นคนสำคัญอย่างมากคนหนึ่งในประเทศจีน

“เอาล่ะ พวกเราเข้าไปกันเถอะ!” ชางหลางกลัวว่าเฮยเมี่ยนกับเย่เทียนเฉินจะก่อเรื่องอีก จึงรีบพูดขัดขึ้นมา

ทั้งคฤหาสมีทั้งหมดสามชั้น ชั้นที่หนึ่งคือห้องโถง ชั้นที่สองให้ความรู้สึกเหมือนห้องประชุม ชั้นที่สามมีทางเดินยาวมากๆ ทางหนึ่ง ทุกชั้นจะมีบอดี้การ์ดคนหนึ่งยืนอยู่ห่างกันทุกๆ สามเมตร เป็นการจัดวางกองกำลังที่แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งบอดี้การ์ดสูทดำเหล่านี้ยังทำให้ความรู้สึกไม่แตกต่างจากบอดี้การ์ดสูทดำทั้งสองคนที่ยืนหน้าประตูนั้นเลย กระทั่งแข็งแกร่งกว่าด้วยซ้ำ แต่ผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริงก็คือคนที่ซ่อนตัวเพื่อคุ้มครองอยู่รอบๆ คฤหาสน์เหล่านั้น

เย่เทียนเฉินตามเฮยเมี่ยนและชางหลางไปจนถึงปลายทางเดินชั้นสาม ที่ปลายทางมีบอดี้การ์ดสูทดำสวมหูฟังไร้สายอยู่สองคน ดำเนินการค้นตัวของพวกเย่เทียนเฉินทั้งสาม ทุกกระบวนการเข้มงวดเป็นอย่างมาก ทำเอาเย่เทียนเฉินรู้สึกไม่สบอารมณ์

“พวกคุณเข้าไปได้แล้วครับ!” บอดี้การ์ดสูทดำคนหนึ่งเอ่ย

เฮยเมี่ยนพยักหน้า มองเย่เทียนเฉินและชางหลางปราดหนึ่ง ผลักประตูไม้หนานมู่ให้เปิดออกแล้วเดินเข้าไป ชางหลางและเย่เทียนเฉินตามไป ทั้งสามเดินเข้าไปในห้องด้วยกัน

ห้องนี้เป็นห้องที่ใหญ่มากๆ ดูเหมือนห้องสำนักงานที่ใหญ่มากห้องหนึ่ง ทางด้านขวามือมีห้องพักอยู่ห้องหนึ่ง ทั้งสองด้านมีต้นบอนไซอยู่ ด้านซ้ายมือมีโต๊ะทำงานตัวใหญ่ตัวหนึ่ง ทั้งสองด้านของโต๊ะมีโซฟาวางอยู่ เบื้องหน้าของโต๊ะทำงานมีชายชราคนหนึ่งนั่งอยู่ แม้ว่าเส้นผมจะไม่มีสีขาวเลยแม้แต่เส้นเดียว แต่เย่เทียนเฉินรู้ว่านี่คือผู้อาวุโสคน ในตอนที่เขาเบื่อๆ ก็ดูทีวีและเคยเห็นคนคนนี้

บริเวณโซฟาด้านข้างมีหยางอี้นั่งอยู่ เขากำลังสนทนากับผู้อาวุโส เมื่อเห็นเฮยเมี่ยน ชางหลางและเย่เทียนเฉินเดินเข้ามา ผู้อาวุโสก็ยิ้มมองเย่เทียนเฉิน ส่วนหยางอี้ก็หยุดพูด

“รายงานท่านผู้นำ เย่เทียนเฉินมาถึงแล้วครับ!” เฮยเมี่ยนเดินไปเบื้องหน้าผู้อาวุโส ทำวันทยาหัตถ์ด้วยความเคารพครั้งหนึ่งแล้วกล่าวขึ้น

“อืม!”

ผู้อาวุโสพยักหน้า เฮยเมี่ยนยืนอยู่ด้านข้าง ส่วนชางหลางก็ไปยืนอยู่ข้างหนึ่งโดยไม่พูดอะไร มีเพียงเย่เทียนเฉินที่ไม่รู้จะพูดอะไรดี เพราะผู้อาวุโสกำลังมองสำรวจเขาอยู่ ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มเมตตา หยางอี้ที่อยู่ข้างๆ เองก็ไม่พูดอะไร

เย่เทียนเฉินถูกผู้อาวุโสมองจนรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง ผู้อาวุโสตรงหน้านี้เขาเคยเห็นมาก่อน เมื่อก่อนเคยเห็นในทีวี เป็นผู้อาวุโสที่ดีงามคนหนึ่ง เป็นผู้อาวุโสที่ทำเพื่อชาติเพื่อประชาชน อุทิศตนเพื่อความรุ่งเรืองของประเทศชาติและสันติสุขของประชาชน อดทนต่อความลำบากและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ในใจของเย่เทียนเฉินก็รู้สึกเคารพเป็นอย่างมาก คนชราเช่นนี้ถึงควรค่าต่อการเคารพของผู้อื่น

“นั่นห็คือหลานของเย่หย่วนซาน เย่เทียนเฉิน?” ผู้อาวุโสเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

“ใช่แล้วครับผู้อาวุโส คุณรู้จักผม นับเป็นเกียรติของผมแล้ว ยินดีที่ได้พบครับ!” เย่เทียนเฉินเดินไปข้างหน้ายิ้มๆ แล้วจับมือกับผู้อาวุโส ทำเอาเฮยเมี่ยนกับชางหลางมองจนปากอ้าตาค้าง

“เย่เทียนเฉิน ไอ้หนูแกทำอะไร ออกห่างจากท่านผู้นำซะ!” เฮยเมี่ยนดุเสียงดัง

“นี่ เฮยเมี่ยน ฉันกับท่านผู้อาวุโสกำลังคุยเล่นกันอยู่ นายจะสอดปากทำไม? ไปยืนข้างๆ โน้น!” เย่เทียนเฉินมองเฮยเมี่ยนปราดหนึ่งแล้วพูดออกมาอย่างไม่พอใจ

เมื่อพูดจบก็ไม่รอให้เฮยเมี่ยนระบายความโกรธออกมา เย่เทียนเฉินจับมือผู้อาวุโสยิ้มๆ แล้วพูดต่อไปว่า “ผู้อาวุโสครับ ไอ้ดำนี่น่าเกลียดอยู่บ้าง แต่ฝีมือก็ไม่เลวเลย คุณก็อย่าไปตำหนิที่เขาไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยครับ ผมขอโทษแทนเขาด้วย!”

เฮยเมี่ยนแทบจะถูกคำพูดประโยคนี้ของเย่เทียนเฉินทำให้โกรธจนตาย ตนเองทำอะไรผิด? ถึงต้องให้ไอ้หมอนี่ขอโทษท่านผู้นำแทนตนเอง? แล้วยังพูดราวกับว่าเฮยเมี่ยนทำความอะไรผิดจริงๆ

“ฮ่าๆ ฉันว่าเด็กอย่างนายน่าสนใจมากจริงๆ ไม่เลว ไม่เลว!” ผู้อาวุโสพูดยิ้มๆ

“ใช่ครับ ใครเห็นใครก็รัก ดอกไม้เห็นก็เบ่งบาน รถเห็นก็ยางแบน ผีหน้าดำเห็นก็ต่อย…” เย่เทียนเฉินหัวเราะฮี่ๆ ในตอนที่พูดประโยคสุดท้ายยังไม่ลืมหันไปมองเฮยเมี่ยน

“แก ไอ้หนู แกปล่อยมือท่านผู้นำเดี๋ยวนี้…” เฮยเมี่ยนโกรธจนทนไม่ไหว ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ต่อหน้าท่านผู้นำ เขาเองก็ไม่กล้าลงมือสั่งสอนเย่เทียนเฉิน ทำได้เพียงตะโกนเท่านั้น

“นี่นายพูดผิดแล้ว ท่านผู้นำกับฉันพบกันครั้งแรกก็รู้สึกเหมือนญาติมิตร จิตใจสื่อถึง เป็นเขาที่จับมือฉันไม่ยอมปล่อย…” เย่เทียนเฉินหัวเราะฮี่ๆ แล้วพูดขึ้น

ท่านผู้นำ ใช่แล้ว คนที่เฮยเมี่ยนและชางหลางพาเย่เทียนเฉินมาพบเป็นผู้นำระดับหนึ่ง แม้ว่าปากของเย่เทียนเฉินจะพูดจาหยอกล้อ แต่ก็ไม่กล้าไม่เคารพท่านผู้นำเลยแม้แต่น้อย ไม่ใช่ว่ากลัวอะไร แต่เป็นเพราะรู้สึกเคารพ เป็นความเคารพที่มาจากส่วนลึกในใจ นี่เป็นผู้อาวุโสที่ทำเพื่อชาติเพื่อประชาชนคนหนึ่ง มีเมตตามีมิตรภาพ แต่ก็ไม่สูญเสียบรรยากาศดั่งราชา มีอำนาจที่ไม่เปิดเผยออกมา กระทั่งเย่เทียนเฉินก็รู้สึกสั่นสะท้าน

ขุนพลระดับทัพฟ้าทุกคนล้วนมีความสามารถไม่ธรรมดา เนื่องจากคนที่ไม่ผ่านการประเมินขุนพลระดับทัพฟ้าและไม่สามารถฝ่าด่านได้สำเร็จล้วนตายทั้งหมด นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น แต่มีคนตายจริงๆ

ยอดฝีมือทุกคนต่างคิดว่าตนเองสามารถฝ่าด่านขุนพลระดับทัพฟ้าได้ ก่อนที่จะเข้าสู่ด่านจะต้องเซ็นสัญญาเป็นตายก่อน บอกอย่างชัดเจนว่า หากฝ่าด่านล้มเหลวและตายอยู่ข้างในเป็นเพราะตัวเองหาเรื่องเองไม่เกี่ยวกับคนอื่น

เฮยเมี่ยนมีฐานะเป็นขุนพลระดับทัพฟ้า ความสามารถย่อมสูงส่งกว่าสามราชันนักรบแห่งประเทศจีน แม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนที่ร้ายกาจที่สุดในหมู่ขุนพลระดับทัพฟ้า แต่ก็ไม่มีใครกล้าดูถูกและท้าทายเขา เย่เทียนเฉินเป็นคนแรกที่กล้าสะกิดเขาอย่างเจ็บปวดด้วยการพูดว่าเขาดำ แล้วยังเป็นคนแรกที่ลงมือตรงๆ กับเฮยเมี่ยน

ในตอนที่เฮยเมี่ยนพบเย่เทียนเฉิน สิ่งเดียวที่เขาประหลาดใจก็คือ เย่เทียนเฉินถึงกับเป็นคนอายุยี่สิบกว่าปีคนหนึ่ง ดูผิวเผินเหมือนกับอันธพาล คนแบบนี้ก็คือคนที่ก็เรื่องใหญ่ในตระกูลฉินและฆ่าล้างตระกูลลั่วหรือ? นี่แตกต่างจากจินตนาการในสมองของเฮยเมี่ยนโดยสิ้นเชิง ก่อนหน้านั้นในตอนที่เขายังไม่ได้เห็นเย่เทียนเฉิน ยังคิดว่าจะเป็นชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่มีไอสังหารอยู่ทั่วร่างซะอีก มิฉะนั้นจะสามารถบุกเข้าไปในตระกูลฉินและตระกูลลั่วได้อย่างไร ตระกูลใหญ่ที่มีทหารยอดฝีมือคุ้มครองอย่างเข้มงวดแบบนี้ ยังสามารถกลับออกมาได้อย่างสมบูรณ์

ไหนเลยจะรู้ว่า เย่เทียนเฉินจะเป็นวัยรุ่นคนหนึ่ง ก่อนหน้านี้เฮยเมี่ยนที่เป็นขุนพลระดับทัพฟ้าย่อมไม่สนใจข่าวซุบซิบในเมืองหลวง ภารกิจของเขาล้วนเป็นความลับสูงสุด แต่เป็นภารกิจที่ต้องต่อสู้จนเลือดนอง ไหนเลยจะมีใจไปสนใจเรื่องซุบซิบเหล่านี้อีก

เมื่อเผชิญหน้ากับหมัดที่เย่เทียนเฉินต่อยออกมาทางตนเอง เฮยเมี่ยนก็ไม่กล้าลำพองใจ เนื่องจากเขารู้สึกได้ว่าหมัดที่ดูผิวเผินไม่เบานี้ของเย่เทียนเฉิน ความจริงแล้วแข็งแกร่งมาก หากดูถูกเกรงว่าวันนี้ตนเองต้องอับอายแล้ว

ผัวะ!

ในฐานะที่เป็นขุนพลระดับทัพฟ้า จะมีเหตุผลให้ถอยได้อย่างไร ต่อให้เป็นการต่อสู้ถึงตายก็ไม่ยอมถอยแม้แต่ครึ่งก้าว เฮยเมี่ยนนต่อยหมัดออกไปยังเย่เทียนเฉินเช่นเดียวกัน

ตู้ม!

เสียงดังสนั่น เย่เทียนดฉินและเฮยเมี่ยนยืนอยู่ที่เดิมโดยไม่ขยับเขยื้อน มองกันและกันด้วยใบหน้าเขียวคล้ำ กระเบื้องป้ายเท้าที่พวกเขายืนอยู่พังยับเยิน พลังของหมัดของพวกเขาทั้งสองคนแรงมากจริงๆ

ความจริงแล้วเย่เทียนเฉินประหลาดใจอยู่บ้าง ไอ้ดำนี่เก่งมากจริงๆ ตนเองกระตุ้นพลังพิเศษขอบเขตจอมราชันจนถึงขีดสุดและต่อยออกไปอย่างสุดแรงแล้ว ต่อให้ไม่ได้แพ้ ก็ควรจะทำให้เขาบาดเจ็บได้บ้าง ในตอนนี้เฮยเมี่ยนเป็นคนเดียวที่รับการโจมตีอันรุนแรงของเย่เทียนเฉินแล้วไม่ได้รับบาดเจ็บ กระทั่งไม่ถอยไปแม้แต่ครึ่งก้าว ช่างแข็งแกร่งจริงๆ

แต่ว่าคนที่ตกใจที่สุดคงไม่พ้นเฮยเมี่ยน เขาคิดไม่ถึงจริงๆว่า เย่เทียนเฉินที่อายุน้อยจะถึงกลับมีพลังต่อสู้อันแข็งแกร่งแบบนี้ ประหมัดกับตนเองอย่างรุนแรง ก็ยังไม่ถอยเลยแม้แต่น้อย เดิมทีคิดว่าหมัดนี้อย่างน้อยก็สามารถทำให้อีกฝ่ายกระเด็นไปได้ คิดไม่ถึงว่ากลับมีผลลัพธ์เช่นนี้ หรือจะบอกว่าเย่เทียนเฉินอายุน้อยขนาดนี้ก็มีความสามารถของขุนพลระดับทัพฟ้าแล้ว? เกรงว่าทั่วทั้งประเทศจีนคงหาออกมาได้เพียงไม่กี่คน ตอนนี้เฮยเมี่ยนเข้าใจบ้างแล้วว่าทำไมคนระดับบิ๊กอย่างหยางอี้ซึ่งได้ปกป้องเย่เทียนเฉิน ส่วนชางหลางก็ไม่ให้ตนเองลงมือกับเขา ดูแล้วความสามารถของอีกฝ่ายจะลึกล้ำเกินคาดเดาจริงๆ

ชางหลางที่ยืนอยู่ข้างหนึ่งเองก็อดที่จะสั่นสะท้านไม่ได้ เดิมทีเขาคิดว่าเย่เทียนเฉินจะแพ้ คิดว่าต่อให้เย่เทียนเฉินจะร้ายกาจ ก็ยังมีความสามารถที่ห่างชั้นจากเฮยเมี่ยน ไหนเลยจะรู้ว่าทั้งสองคนประหมัดกันอย่างสุดกำลัง จะถึงกับพอฟัดเหวี่ยงกัน ผลลัพธ์เช่นนี้ทำให้เขาคิดไม่ถึงเลยจริงๆ

“หยุดมือเถอะ เฮยเมี่ยน วันนี้คุณคงไม่ได้มาเพื่อทะเลาะหรอกนะครับ? เย่เทียนเฉิน ความผิดของไอ้หนูยังนายยังไม่มากพอยังไม่ใหญ่พออีกหรือไง?” ชางหลางเดินเข้าไปแล้วเอ่ยปากพูด

เฮยเมี่ยนมองชางหลางปราดหนึ่ง คิดว่าอีกฝ่ายพูดก็มีเหตุผลอยู่บ้าง ตนเองไม่ได้มาเพื่อทะเลาะ เพียงแต่ถูกเย่เทียนเฉินกระตุ้นความโกรธก็เท่านั้น แต่ไหนแต่ไรก็ไม่มีใครกล้าล่วงเกินเฮยเมี่ยน เย่เทียเนฉินเป็นคนแรก ความแค้นนี้เฮยเมี่ยนจดจำเอาไว้ในใจแล้ว จะช้าจะเร็วเขาก็ต้องมาคิดบัญชีกับอีกฝ่ายให้ได้ เพียงแต่ตอนนี้ไม่ค่อยเหมาะสมนัก

“เย่เทียนเฉิน ฉันเฉยเมี่ยนจดจำแกไว้แล้ว จะช้าจะเร็วฉันจะทำให้แกได้รู้ว่ารสชาติของหมัดกระทบหน้าเป็นยังไง!” เฮยเมี่ยนเก็บหมัดดำๆ ของตนเองกลับมา มองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดออกมาด้วยรอยยิ้มเย็นชา

“ไอ้ดำ พี่ชายสุดหล่อเย่อย่างฉันก็จดจำแกไว้แล้ว จะช้าจะเร็วจะต้องทำให้แกได้รู้ว่ารสชาติของเท้ากระทบก้นเป็นยังไง!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างไม่สบอารมณ์

“แก…”

“เอาล่ะ พวกเรารีบไปเถอะ ท่านผู้นำรอจนร้อนใจไปหมดแล้ว!” ชางหลางรีบพูดขัดคำพูดของพวกเขาทั้งสอง

เย่เทียนเฉินและเฮยเมี่ยนมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเหยียดหยาม เฮยเมี่ยนเดินออกไปจากประตูเป็นคนแรก จากนั้นชางหลางเป็นคนที่สอง เย่เทียนเฉินตามหลังไปติดๆ

“ไอ้หนูอย่าไปหาเรื่องเขาเลย หยุดสักหน่อยไม่ได้หรือไง?” ชางหลางพูดกับเย่เทียนเฉินเสียงเบา

“ไอ้ดำนี่มันเป็นใครกัน ความสามารถแข็งแกร่งมาก!” แม้ว่าเย่เทียนเฉินจะไม่พอใจเฮยเมี่ยน แต่ความสามารถของเฮยเมี่ยนก็ทำให้เขานับถือ แข็งแกร่งมากจริงๆ

“เขามีฉายาว่าเฮยเมี่ยน(หน้าดำ) เป็นยอดฝีมือระดับทัพฟ้า ความสามารถแข็งแกร่งห้าวหาญเป็นอย่างมาก ไอ้หนูอย่างนายนี่มันเจ๋งจริงๆ ถึงกับกล้าโจมตีเฮยเมี่ยน หากว่าข่าวแพร่ออกไป ไม่แน่ว่ายอดฝีมือระดับทัพฟ้าอีกกี่คนจะมาหาเรื่องสู้กับนาย!” ชางหลางพูดอย่างหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้

“ยอดฝีมือระดับทัพฟ้า?” ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้เรื่องของยอดฝีมือระดับทัพฟ้าจริงๆ ดังนั้นจึงสงสัยอยู่บ้าง

ก่อนที่จะขึ้นรถ ชางหลางอธิบายเรื่องของยอดฝีมือระดับทัพฟ้าให้เย่เทียนเฉินฟังอย่างง่ายๆ ช่างดึงดูดความสนใจของเย่เทียนเฉินจริงๆ เพราะว่าในหมู่ยอดฝีมือระดับทัพฟ้า ไม่เพียงแต่มีผู้แข็งแกร่งแห่งพรรควรยุทธโบราณ ทั้งยังมียอดฝีมือผู้มีพลังพิเศษอยู่ด้วยเช่นกัน ในประเทศจีนผู้มีพลังพิเศษมีไม่มากนัก ไม่เหมือนกับหน่วยสืบราชการลับพลังพิเศษของประเทศM ผู้มีพลังพิเศษในประเทศจีนส่วนใหญ่เป็นผู้มีพลังมาแต่กำเนิด ผู้ที่พลังตื่นขึ้นมาภายหลังมีน้อยมาก ผู้มีพลังพิเศษมาแต่กำเนิดนี้หลังจากที่ถูกประเทศค้นพบ ก็จะคุ้มครองและอบรมบ่มเพาะอย่างให้ความสำคัญ ภายหลังจึงกลายเป็นผู้มีพลังการสู้รบที่ไม่อาจดูเบาได้ ถวายชีวิตรับใช้ประเทศชาติ

ในช่วงยุคสิ้นโลก ผู้มีพลังพิเศษมาแต่กำเนิดทำให้คนอื่นต้องรู้สึกสั่นสะท้านจนถึงขั้นหวาดกลัว ผู้มีพลังพิเศษบางคนจะมีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งมาตั้งแต่เกิด กระทั่งเด็กน้อยอายุสามขวบคนหนึ่งก็เป็นยอดฝีมือระดับสูงได้ สามารถฆ่าคนโดยไม่รู้ตัวได้ นี่ไม่ใช่คำพูดที่กล่าวเกินจริงเลย ในช่วงยุคสิ้นโลกมีตัวอย่างแบบนี้อยู่จริงๆ น่าหวาดหวั่นเป็นอย่างมาก

“ต้องการจะเป็นยอดฝีมือระดับทัพฟ้า จะต้องผ่านด่านทดสอบ แต่ละด่านน่าหวาดกลัวมาก ฉันเคยคิดจะไปหลายครั้งแต่ก็ถูกห้ามเอาไว้ เพราะหากว่าผ่านไปไม่ได้มีเพียงตายเท่านั้น แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยได้ยินว่าคนที่ล้มเหลวจะมีชีวิตกลับมาได้!” ในตอนที่ชางหลางพูดมีความตื่นเต้นอยู่ในสายตาอย่างอดไม่อยู่

ผู้แข็งแกร่งที่เป็นผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงมีใครบ้างที่ไม่อยากจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น? เหมือนกับชางหลางที่เป็นหนึ่งในสามราชันนักรบแห่งประเทศจีน ก็นับว่าเป็นคนที่แข็งแกร่งมากแล้ว เขาจะยอมถูกคนรุ่นหลังทิ้งเอาไว้ด้านหลังหรือ? เขาเองก็อยากจะพิสูจน์ความสามารถของตน และการกลายเป็นยอดฝีมือระดับทัพฟ้ ก็เป็นสิ่งที่พิสูจน์โดยไม่ต้องสงสัยเลย

“น่าสนุกอยู่บ้างจริงๆ ถ้าว่างฉันก็จะไปเล่นดูสักหน่อย!” เย่เทียนเฉินพูดยิ้มๆ

“ฉันขอเตือนนายว่าอย่าทำอะไรบุ่มบ่ามจะดีกว่า ที่นั่นไม่ใช่เรื่องล้อเล่น สิบปีมานี้ไม่มีคนใหม่ๆที่สามารถเป็นยอดฝีมือระดับทัพฟ้าได้เลย มีหลายคนที่สงสัยว่าด่าพวกนั้นมีปัญหาเลยไม่มีคนกล้าไปฝ่าด่านอีก…” ชางหลางรีบพูด

“งั้นผมก็จะไปดูสักหน่อย ถ้าน่าสนุกก็จะเล่นด้วย!” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาอย่างจริงจัง

เมื่อคืนมานั่งบนรถ เฮยเมี่ยนนั่งอยู่ตำแหน่งข้างคนขับ เย่เทียนเฉินและชางหลางนั่งข้างหลัง ตลอดทางไม่มีคนพูดอะไรเลย เพราะเฮยเมี่ยนและเย่เทียนเฉินต่างก็ไม่พอใจกันและกัน พอพูดออกมาก็จะกระทบกระทั่ง พอกระทบกระทั่งก็จะลงมือ ด้วยเหตุนี้ชางหลางเลยไม่พูด เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้สองคนนี้สู้สุดชีวิตขึ้นมาอีกจนถึงขั้นที่ไม่อาจเก็บกวาดได้ แบบนั้นก็แย่แล้ว

เย่เทียนเฉินกลับมีความสุขอย่างมาก นั่งอยู่บนเบาะหาวออกมาครั้งหนึ่งแล้วนอนหลับไปจริงๆ แล้วยังกรนออกมา ทำให้ชางหลางและเฮยเมี่ยนรู้สึกอับจนคำพูด

เฮยเมี่ยนหันมาถลึงตาใส่เย่เทียนเฉิน มองชางหลางแล้วพูดขึ้นว่า “ฉันยอมรับว่าไอ้หนูนี่สิมือไม่เลวเลย แต่ท่านผู้นำต้องการให้เขาไปทำภารกิจ ฉันว่าก็ยังเป็นไปไม่ได้ ไม่มีระเบียบวินัยเลยแม้แต่น้อย ควบคุมไม่ได้ ยุ่งยากเกินไป!”

ชางหลางขมวดคิ้ว เย่เทียนเฉินเป็นคนที่ไม่อยู่กับร่องกับรอยจริงๆ ไม่เกรงกลัวฟ้าดิน ไม่เชื่อฟังคำสั่งเลยสักนิด เป็นพวกทำตามอำเภอใจโดยสิ้นเชิง ต้องการฆ่าใครก็ฆ่า ต่อให้คุณเป็นข้าราชการชั้นสูงก็ดี เป็นคนตระกูลสูงก็ดี ขอเพียงไปหาเรื่องเขา ก็โชคร้ายแล้ว โชคยังดีที่ในตอนนี้คนที่เขาฆ่าล้วนเป็นคนที่สมควรตาย แต่กลับเป็นคนที่ประเทศไม่กล้าแตะต้อง มิฉะนั้นเกรงว่าบุคคลระดับสูงคงจะส่งยอดฝีมือระดับสูงจำนวนมากมาล้อมฆ่าเย่เทียนเฉินไปแล้ว

“ไอ้หนูนี่ก็ไม่อยู่กับร่องกับรอยอยู่บ้างจริงๆ แต่นิสัยก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร พวกท่านผู้นำเองก็ไตร่ตรองแล้ว พวกเราอย่าไปสนใจเรื่องพวกนี้เลย!” ชางหลางพูดยิ้มๆ

“หึ ไอ้หนูนี่กล้าลงมือกับฉัน ฉันจะต้องให้มันรู้ถึงความร้ายกาจแน่นอน!” เฮยเมี่ยนแค่นเสียงเย็นครั้งหนึ่งแล้วพูดออกมา

เย่เทียนเฉิน ไม่รู้ว่าตนเองนอนหลับอยู่บนรถนานแค่ไหน ในตอนที่รถจอดลงและชางหลางปลุกเขาให้ตื่น เขาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู พบว่าเป็นเวลาตีสองกว่าแล้ว ไม่รู้ว่ารถขับมาถึงสถานที่ใด เห็นเพียงว่ารอบด้านมืดมาก คล้ายกับจะเป็นจุดชมวิวแห่งหนึ่ง มีคฤหาสน์แห่งหนึ่งที่ไฟยังคงสว่างอยู่ไม่ไกล

“ไปเถอะ ไอ้หนูอย่าได้มองไปทั่วล่ะ!” ชางหลางเอ่ยปาก

เย่เทียนเฉินตามหลังชางหลางและเฮยเมี่ยน เดินมุ่งหน้าไปสู่คฤหาสถ์ที่ไฟยังคงสว่างหลังนั้น ตลอดทางเย่เทียนเฉินรู้สึกได้ถึงพลังที่แข็งแกร่งหลายสาย ความสามารถของคนเหล่านี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าเฮยเมี่ยนเลย กระทั่งแข็งแกร่งกว่าด้วยซ้ำ เมื่อไปถึงประตูคฤหาสน์ก็เห็นบอดี้การ์ดสูทดำธรรมดายืนอยู่หน้าประตู ทำให้เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว หากว่าคุณมองบอดี้การ์ดเหล่านี้เป็นคนธรรมดาแล้วล่ะก็ เช่นนั้นก็พลาดอย่างใหญ่หลวงแล้ว มีผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งคุ้มครองอยู่รอบๆ จินตนาการได้เลยว่าคนเช่นไรที่จะมีการป้องกันอย่างนี้ได้

หลังจากที่เย่เทียนเฉินฆ่าลั่วเฉิงกวงแล้วก็นอนต่อ ถูกคนคนนี้รบกวนทำให้อารมณ์ไม่ดีเอามากๆ

แต่เขาเพิ่งจะนอนลงไป รถสีดำคันหนึ่งก็จอดอยู่หน้าประตูสำนักความปลอดภัยสาธารณะแห่งเมืองหลวง มีบุคคลสองคนลงมาจากรถ คนหนึ่งคือชางหลาง อีกคนหนึ่งเป็นผู้ชายร่างผอม ร่างกายค่อนข้างสูงใหญ่ หน้าตาธรรมดาเป็นอย่างมาก ผิวค่อนข้างดำ ท่าทางเข้มงวดจริงจัง มองผิวเผินเป็นคนประเภทยิ้มยาก

“เย่เทียนเฉินถูกขังอยู่ข้างในเหรอ?” ชายร่างผมมองชางหลางแล้วเอ่ยถาม

“ใช่ครับ เฮยเมี่่ยน(หน้าดำ) เดี๋ยวเข้าไปแล้วผมจะพูดกับไอ้หนูนี่ ให้เขาไปกับพวกเรา คุณอย่าลงมือเชียว” ชางหลางพูดด้วยน้ำเสียงขอร้อง

“หึ ชางหลาง เสียทีที่คุณเป็นถึงหนึ่งในสามนักรบราชันแห่งประเทศจีน ขนาดเด็กรุ่นหลังก็ยังเก็บกวาดไม่ได้ น่าขายหน้าจริงๆ ฉันเฮยเมี่ยนไม่ได้มีความใส่ใจและพิถีพิถันขนาดนั้นหรอก!”

เฮยเมี่ยนพูดจบก็ไม่สนใจชางหลางอีก เดินตรงเข้าไปยังประตูของกรมความมั่นคงสาธารณะแห่งเมืองหลวง ดูเหมือนว่าแม้แต่ตำแหน่งของชางหลาง เขาก็ไม่เห็นอยู่ในสายตาโดยสิ้นเชิง หากว่านี่ถูกคนอื่นเห็นเข้าจะต้องตกใจเป็นอย่างมาก จะต้องสงสัยว่าชายที่มีฉายาว่าเฮยเมี่ยนคนนี้เป็นใครกันแน่ ไม่เห็นสามราชันนักรบแห่งประเทศจีนอยู่ในสายตาเลย

ชางหลางเห็นเฮยเมี่ยนเดินเข้าไปก็รีบตามไป คนอื่นไม่รู้แต่เขารู้อย่างชัดเจน หากเฮยเที่ยนและเย่เทียนเฉินลงมือขึ้นมาจริงๆ เกรงว่าตึกสำนักความปลอดภัยสาธารณะแห่งเมืองหลวงคงพังพินาศ ยิ่งไปกว่านั้นมีความเป็นไปได้มากว่าเย่เทียเฉินจะถูกอัดจนบาดเจ็บสาหัส หรือกระทั่งถูกฆ่า นี่เป็นครั้งแรกที่ชางหลางมีความรู้สึกและความคิดเช่นนี้

หากว่าเป็นคนอื่น ชางหลางคงไม่มีความคิดแบบนี้ ฝีมือของเย่เทียนเฉินแข็งแกร่งมาก เพียงพอที่จะสู้กับตนเองได้ คนธรรมดาทำอะไรเย่เทียนเฉินไม่ได้อย่างแน่นอน แต่ตอนนี้คนที่ลงมือคือเฮยเมี่ยน ความสามารถของคนคนนี้นึกล้ำเกิดคาดเดา แม้ว่าความสามารถของเย่เทียนเฉินก็ลึกล้ำเกินคาดเดา แต่ในความคิดของชางหลาง ความสามารถของเย่เทียนเฉินคงจะสู้เฮยเมี่ยนไม่ได้

ในประเทศจีน คนส่วนใหญ่รู้จักแต่สามนักรบราชันแห่งประเทศจีน ดูเหมือนคนที่ตำแหน่งไม่สูงจะไม่รู้ว่าเหนือกว่าสามนักรบราชันแห่งประเทศจีน ยังมีความแตกต่างระหว่างทัพฟ้าแลพทัพดินอยู่ และไม่ได้เกินจริงเหมือนสามสิบหกทัพฟ้าเจ็ดสิบสองทัพดิน แต่ก็มีตัวตนที่แบ่งแยกเช่นนี้อยู่จริงๆ นักรบราชันเช่นชางหลาง เป็นระดับขุนพลของทัพดิน ส่วนเฮยเมี่ยนเป็นระดับขุนพลของทัพฟ้า ระดับทัพฟ้าย่อมเหนือกว่าระดับทัพดินแน่นอนอยู่แล้ว ต่อให้ตำแหน่งทางราชการของเฮยเมี่ยนไม่ได้สูงไปกว่าชางหลาง แต่ก็ไม่เห็นชางหลางอยู่ในสายตา สาเหตุที่สำคัญที่สุดสาเหตุหนึ่งก็คือ ขุนพลระดับทัพฟ้าล้วนปฏิบัติภารกิจที่เป็นความลับระดับสูงสุดของประเทศ คุ้มครองความปลอดภัยของผู้นำขั้นหนึ่งแห่งประเทศ จินตนาการได้เลยว่าร้ายกาจขนาดไหน

หากต้องการเป็นขุนพลระดับทัพฟ้าแล้ว มีระดับการคัดเลือกที่เคร่งครัดเป็นอย่างมาก จะมีด่านเฉพาะต่างๆ ให้คุณฝ่าเข้าไป หากฝ่าไปได้ก็จะเป็นขุนพลระดับทัพฟ้า หากผ่านไปไม่ได้จุดจบมีเพียงอย่างเดียวนั่นก็คือความตาย

ตามที่ชางหลางรู้ ทุกปีจะมียอดฝีมือจำนวนไม่น้อยต้องการกลายเป็นขุนพลระดับทัพฟ้า แต่ในสิบปีมานี้ ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ผ่านด่านไปได้ พวกเขาตกตายไปทั้งหมด ตายในระหว่างทางที่ฝ่าด่าน กระทั่งไม่มีคนเห็นว่าด่านสุดท้ายคืออะไร ดังนั้นจึงไม่มีคนได้เป็นขุนพลระดับทัพฟ้าแล้ว เรื่องที่เหล่าขุนพลประเทศจีนที่มีความแตกต่างระหว่างทัพฟ้าและทัพดิน ก็ถูกคนลืมเลือน

ชางหลางเคยคิดอยากจะฝ่าด่านหลายครั้ง คิดอยากจะเป็นขุนพลระดับทัพฟ้า ยกระดับความสามารถของตน ตอนนี้เขาเป็นหนึ่งในสามนักรบราชันแห่งประเทศจีน กล่าวได้ว่าเป็นตัวตนที่มีความสามารถแข็งแกร่งที่สุดในหมู่ทัพดิน ในฐานะพี่เป็นเกิดมาเป็นคนที่มีฝีมือต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างพวกเขา ใครบ้างที่ไม่คิดจะก้าวไปอีกขั้นแล้วไปถึงจุดสูงสุด? เพียงแต่น่าเสียดายทุกครั้งที่ชางหลางต้องการฝ่าด่าน จะถูกหยางอี้หยุดเอาไว้ เขาเป็นลูกน้องคนสนิทของหยางอี้ หยางอี้ยอมไม่อยากให้ชางหลางไปเสี่ยงอันตราย

การฝ่าด่านทัพฟ้า ย่อมไม่ใช่การฝ่าด่านเล่นๆ อย่างแน่นอน มีกฎเกณฑ์และลำดับชั้นที่เคร่งครัด พูดให้กระจ่างก็คือ ในกลุ่มของพวกเขาขุนพลระดับทัพฟ้า มีกฎเกณฑ์เป็นของตัวเอง คนนอกไม่อาจสอดมือเข้าไปได้ นอกจากระดับผู้นำขั้นหนึ่ง เนื่องจากผู้นำระดับขั้นหนึ่งมอบสิทธิ์ขาดให้พวกเขา ใครคิดจะฝ่าด่านเข้าไปเพื่อเป็นขุนพลระดับทัพฟ้า มีเพียงเหยียบย่างเข้าสู่ประตูด่านเท่านั้น นอกจากการฝ่าด่านให้สำเร็จแล้ว ที่เหลือก็มีเพียงทางเดียวเดียวนั่นก็คือความตาย ไม่มีใครสามารถสอดมือเข้าไปช่วยได้ ดังนั้นจึงไม่มีคนระดับนั้น การไปฝ่าด่านเพื่อคิดจะเป็นขุนพลทัพฟ้า คงเบื่อชีวิตแล้วจริงๆ

เฮยเมี่ยนเป็นขุนพลระดับทัพฟ้า ถึงแม้ว่าความสามารถของเขาอาจจะไม่นับว่าแข็งแกร่งที่สุดในหมู่ของทัพฟ้า แต่ก็เพียงพอที่จะภาคภูมิใจ สามารถเป็นขุนพลระดับทัพฟ้าได้ มีใครบ้างที่ไม่โดดเด่น? ย่อมไม่เห็นคนธรรมดาคนหนึ่งอยู่ในสายตาจริงๆ โดยเฉพาะได้ยินมาว่าเย่เทียนเฉินยังอายุน้อย ในสายตาของเฮยเมี่ยนย่อมไม่มีความสำคัญเลยแม้แต่น้อย

“ฉันมาพาตัวเย่เทียนเฉินไป นี่คือเอกสารดำเนินการ!” เฮยเมี่ยนพูดแล้วส่งกระดาษเอกสารแผ่นหนึ่งให้ตำรวจหน่วยรบพิเศษที่ยืนอยู่ตรงประตูทั้งสองคน

ตำรวจหน่วยรบพิเศษทั้งสองอ่านแล้วก็ทำความเคารพเฮยเมี่ยนอย่างเคร่งครัด จากนั้นจึงจากไป เฮยเมี่ยนเองก็ไม่เกรงใจ ใช้เท้าถีบประตูให้เปิดออก ในตอนที่เย่เทียนเฉินเพิ่งคิดจะนอน ก็ได้ยินเสียงคนถีบประตู ครั้งนี้เขาโกรธขึ้นจริงๆ แล้ว แม่งเอ๊ย จะให้คนนอนหรือเปล่าเนี่ย?

“เย่เทียนเฉิน ไปกับฉันซะ!” เฮยเมี่ยนเดินเข้าไปในห้อง มองเย่เทียนเฉินที่กำลังหลับอยู่บนเตียงแล้วพูดขึ้นอย่างเย็นชา

เย่เทียนเฉินลุกขึ้นจากเตียงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เขารู้สึกได้ถึงไอสังหาร เป็นไอสังหารที่เย็นยะเยือก ไอสังหารประเภทนี้ไม่ใช่ตนเองเป็นคนปล่อยออกมา แต่เป็นไอสังหารที่ต้องผ่านการฆ่าคนมานานหลายปีจึงจะก่อเกิดรูปลักษณ์ขึ้นมาได้ เย่เทียนเฉินสรุปได้ในทันทีว่า คนตรงหน้าที่รูปร่างเหมือนถ่านหินคนนี้จะต้องฆ่าคนบ่อยอย่างแน่นอน ดังนั้นบนร่างกายจึงมีกลิ่นอายเช่นนี้ระเบิดออกมา

“ตอนนี้ฉันจะนอน ไม่ว่าง!” เย่เทียนเฉินไม่พอใจเฮยเมี่ยน คนคนนี้ถีบประตูเข้ามาแล้วยังทำท่าทางราวกับจะกินคน คิดว่าจะทำให้เขาตกใจหรือไง? บิดาไม่ทำเช่นนั้นหรอก

เฮยเมี่ยนอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เขาก็ไม่ใช่คนดีอะไร แล้วก็ไม่ใช่คนที่ชอบพูดจาให้มากความ มีอะไรไม่ระมัดระวังนิดหน่อยก็จะลงมือ คนที่มาถึงตำแหน่งอย่างพวกเขาได้ย่อมไม่มีความอดทนที่จะพูดกับคนอื่นแล้ว อีกทั้งเย่เทียนเฉินยังเป็นแค่นักโทษที่ทำความผิดเท่านั้น ถึงกับการต่อต้านเลยหรือ?

“ฉันจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย ไปกับฉันซะ ไม่งั้นฉันจะหักขาทั้งสองของแก แล้วโยนแกขึ้นไปบนรถซะ!” เฮยเมี่ยนพูดเสียงเข้ม

“งั้นเหรอ? อาศัยแกเนี่ยนะ แกคิดว่าแกเกิดมาดำแล้วจะเจ๋งหรือไง? พี่ชายไม่ว่าง!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย

เย่เทียนเฉินไม่รู้ว่า คำพูดประโยคนี้ของเขาเกือบจะทำให้เฮยเมี่ยนโกรธจนตายอยู่แล้ว สิ่งที่เฮยเมี่ยนเกลียดที่สุดก็คือมีคนพูดว่าเขาดำ ต่อให้เขาดำจริงๆ ก็ไม่มีใครกล้าพูด ต่อให้เป็นในหมู่ขุนพลระดับทัพฟ้า ก็มีไม่กี่คนที่กล้าพูดคำนี้

“ไอ้หนูรนหาที่ซะแล้ว!”

กร๊อบๆๆ! กำปั้นของเฮยเมี่ยนกำแน่นจนเกิดเสียงดัง ในขณะที่จะลงมือ เย่เทียเฉินก็ลุกขึ้นจากเตียงในชั่วพริบตา เขารู้สึกได้ว่าไอ้ดำคนนี้ที่อยู่ตรงหน้าแข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งจนถึงขั้นวิปลาส ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าลำพองใจ

“หยุดมือ! เย่เทียนเฉิน ไปกับฉันซะ!” ชางหลางวิ่งเข้ามาขวางเอาไว้ตรงกลางระหว่างพวกเขาสองคนแล้วพูดขึ้น

เย่เทียนเฉินเห็นชางหลางเดินเข้ามาแล้วจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามอย่างสงสัย “ไอ้ดำนี่มันเป็นใคร? พวกเราจะไปไหน?”

“แก…” เฮยเมี่ยนโกรธจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน มองคนไม่รู้จักกาละเทศะอย่างเย่เทียนเฉินอย่างโหดเหี้ยม

“ไปกับพวกเราเถอะ เบื้องบนตัดสินใจจัดการเรื่องตระกูลฉินและตระกูลลั่วทั้งคืน ไอ้หนูครั้งนี้นายทำความผิดใหญ่หลวงจริงๆซะแล้ว…” ชางหลางพูดอดไม่ได้ที่จะถอนใจออกมา

“หือ? ไม่ใช่ต้องการยิงประหารผมอย่างลับๆ เหรอ?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามไปด้วยรอยยิ้ม

“ดูแล้วแกก็รู้จักตัวเหมือนกันสินะ หรือจะให้ฉันอัดหัวแกให้ระเบิดตอนนี้เลย?” เฮยเมี่ยนพูดแล้วหัวเราะเสียงเย็น

“ไสหัวไปซะ แกคิดว่าแกดำแล้วจะพูดจามั่วซั่วได้เหรอ? แกคิดว่าแกดำแล้วก็จะอัดฉันได้เหรอ? แกคิดว่าแกดำแล้วพี่ชายจะกลัวแกเหรอ?” เย่เทียนเฉินพูดอย่างไม่สบอารมณ์

ผัวะ!

เฮยเมี่ยนถูกเย่เทียนเฉินกระตุ้นความโกรธแล้วจริงๆ เขาปล่อยมันออกไปในระยะที่ห่างจากเย่เทียนเฉินเพียงสามเมตร เย่เทียนเฉินขยับวูบ หมัดของเฮยเมี่ยนปล่อยถูกอากาศ แต่กำแพงข้างหลังของเย่เทียนเฉิน ถูกซัดอย่างแรงจนเป็นรูหมัด เย่เทียนเฉินเห็นดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ปล่อยหมัดผ่านอากาศถึงกับมีพลังคุกคามรุนแรงขนาดนี้ ฝีมือของไอ้ดำนี่แข็งแกร่งจริงๆ คิดอยากจะสู้กับเขา อย่างน้อยต้องกระตุ้นพลังพิเศษเขตจอมราชันขั้นสูงสุดออกมาในตอนเริ่มต้น กระทั่งต้องทะลวงไปถึงระดับจักรพรรดิ ถึงจะสามารถเอาชนะเฮยเมี่ยนได้

“เฮยเมี่ยนอย่าลงมือ ฉันจะพูดกับเขาเอง!” ชางหลางรีบเข้ามาขวางเบื้องหน้าเฮยเมี่ยน เขากลัวว่าพวกเขาสองคนจะลงมือขึ้นมาจริงๆ แบบนั้นก็ซวยจริงๆ แล้ว

เย่เทียนเฉินมองเฮยเมี่ยนปราดหนึ่งแล้วลงมาจากเตียง สวมเสื้อผ้าของตนเอง เดินยิ้มไปยังเฮยเมี่ยน เฮยเมี่ยนกลับมองเย่เทียนเฉินอย่างเย็นชา ส่วนชางหลางรีบเข้ามาหยุดเย่เทียนเฉินเอาไว้แล้วพูดว่า “ไอ้หนูนายยังคิดจะหาเรื่องอีกเหรอ ไปกับฉันซะ อย่าสร้างปัญหาอีก!”

“ไม่ต้องรีบไป ผมคนนี้เป็นคนมีหลักการ นั่นก็คือหาคนอื่นต่อยผมหมัดหนึ่ง ผมก็จะคืนให้มัดหนึ่ง ไม่งั้นจะรู้สึกไม่สบอารมณ์!” เย่เทียนเฉินพูดพลางมองไปยังเอยเมี่ยนยิ้มๆ

“ไอ้หนูนาย…”

“รอให้ผมคืนหมัดให้เขาซะก่อนแล้วผมก็จะไปกับพวกคุณ!” เย่เทียนเฉินพูดขัดคำพูดของชางหลาง

“งั้นเหรอ? แกยังคิดจะต่อยฉันคืน? ไม่กลัวตายเลยจริงๆ!”

สำหรับท่าทางของเย่เทียนเฉินนั้นเป็นสิ่งที่เฮยเมี่ยนคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ชีวิตนี้ยังมีคนพูดว่าจะต่อยตนเองคืนหนึ่งหมัดอีก กล้ามาหาเรื่องตนเองอย่างไม่สบอารมณ์แบบนี้ ช่างเหนือความคาดหมายของเขาอยู่บ้างจริงๆ ไม่ต้องพูดถึงทั้งโลก แค่ภายในประเทศคนที่กล้าหาเรื่องคนระดับทัพฟ้า ก็สามารนับได้ด้วยมือข้างเดียว ตอนนี้กลับมีเย่เทียนเฉินเพิ่มขึ้นมาอีกคน

ตู้ม!

เย่เทียนเฉินไม่พูดอะไรมาก กำหนดขวาแน่น รีดเร้นพลังพิเศษขอบเขตจอมราชันขึ้นมาในพริบตา ต่อยออกไปยังเฮยเมี่ยน ไม่มีการลอบโจมตี และไม่มีกระบวนท่าใดๆ มีเพียงหมัดซึ่งหน้านี้เท่านั้น

เดิมทีเฮยเมี่ยนที่ไม่สนใจ เห็นเย่เทียนเฉินซัดหมัดที่รวดเร็วสายฟ้ามาทางตนเอง อย่างไรก็ตามเขารู้สึกได้ว่าพลังของหมัดนี้แข็งแกร่งขนาดไหน พลันตกตะลึง ในขณะเดียวกันก็ขมวดคิ้ว พร้อมทั้งปล่อยหมัดออกไปเช่นเดียวกัน…

เนื้ออ่อนกลิ่นหอม กระตุ้นอารมณ์ดั่งไฟแผดเผา บนศีรษะมีมีดอยู่หนึ่งเล่ม ผู้ชายมากมายล้วนตายภายใต้เรือนร่างของหญิงขายบริการโดยที่ไม่รู้ว่าตายอย่างไร เช่นนี้จะเป็นคนบ้ากามจริงๆ ดังนั้นต้องเป็นผู้ชายรักสนุกที่ไม่โง่

ลั่วเฉิงกวงเป็นน้องชายแท้ๆ ของลั่วซงเฉิง และนับว่าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลลั่วในตอนนี้ เขามีฐานะเป็นรองผู้อำนวยการสำนักความปลอดภัยสาธารณะแห่งเมืองหลวง สามารถมีตำแหน่งนี้ได้ จะมากจะน้อยก็เกี่ยวพันกับความช่วยเหลือของลั่วซงเฉิง ตอนที่ลั่วเฉิงกวงได้รู้ว่าบ้านตระกูลลั่วถูกคนบุกโจมตี พี่ชายของตนก็ถูกฆ่า ในตอนนั้นเขาตกใจจนอึ้ง ต่อมาจึงคิดว่าจะทำอย่างไรเพื่อแก้แค้นให้พี่ชาย

ในตอนที่เขารู้ว่าเรื่องนี้เย่เทียนเฉินเป็นคนทำ พลันสูดหายใจเย็นยะเยือก ทุกการกระทำของเย่เทียนเฉินตั้งแต่ที่กลับมายังเมืองหลวง เขาเคยได้ยินมาอย่างแน่นอน และรู้เรื่องบุญคุณความแค้นระหว่างเย่เทียนเฉินและตระกูลลั่วดี ตอนที่พี่ใหญ่ลั่วซงเฉิงยังอยู่ ลั่วซงเฉิงต้องจัดการอย่างแน่นอน ตัวเขาเองก็ไม่อาจช่วยอะไรได้ ไหนเลยจะรู้ว่า เย่เทียนเฉินจะถึงกับบุกเข้าไปยังตระกูลลั่วแล้วฆ่าจนเรียบ ช่างทำให้ผู้คนยากจะเชื่อจริงๆ

ถึงแม้ว่าในใจของลั่วเฉิงกวงจะโกรธแค้นเป็นอย่างมาก โกรธจนแทบระเบิด ทนไม่ไหวอยากจะไปฆ่าเย่เทียนเฉินในทันที แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่ไร้สมอง และไม่ใช่คนที่บุ่มบ่ามคนหนึ่ง หลังจากที่ได้รู้ว่าเย่เทียนเฉินถูกหลูเซิ่งต๋าจับตัวมา เขาก็เริ่มคิดแล้วว่าจะฆ่าเย่เทียนเฉินอย่างไรให้เงียบที่สุด และไม่ให้คนอื่นสืบสวนมาถึงตนเองได้ อย่างไรเสียตอนนี้ดูเหมือนว่าที่พึ่งพิงของเย่เทียนเฉินจะเป็นหยางอี้ คนปกติไม่สามารถล่วงเกินได้จริงๆ

สุดท้าย ลั่วเฉิงกวงจึงคิดจะใช้วิธีที่ใช้บ่อยที่สุด เมื่อก่อนก็เคยใช้วิธีเช่นนี้ฆ่าคนไปไม่น้อย และยังไม่มีใครสาวมาถึงตัวเองได้จนถึงทุกวันนี้ ทำให้ได้รับผลประโยชน์ส่วนตัวไปไม่น้อย

เสียงร้องอย่างเปรมปรีของผู้หญิงข้างในหยุดลงแล้ว ลั่วเฉิงกวงใช้เท้าถีบประตูให้เปิดออก เดินเข้าไปอย่างหยิ่งผยอง ในความคิดของเขา เย่เทียนเฉินต้องตายอย่างแน่นอน ไม่มีทางรอดชีวิตไปได้ ดูเหมือนทุกครั้งจะเป็นเช่นนี้ ขอเพียงเสียงร้องอย่างสุขสมของผู้หญิงหยุดลงก็หมายความว่าผู้หญิงคนนี้ทำสำเร็จแล้ว ฆ่าเป้าหมายได้แล้ว ย่อมไม่ต้องทำกิจกรรมเข้าจังหวะอย่างดุดันอีกต่อไป

เมื่อลั่วเฉิงกวงเดินเข้ามา เห็นเพียงผู้หญิงคนนั้นยังอยู่ในท่าควบม้า ควบขี่อยู่บนร่างกายของเย่เทียนเฉินโดยหันหลังให้ลั่วเฉิงกวง เปลือยกายทั้งร่างเผยแผ่นหลังเรียบเนียน ก้นกลมกลึงยังคงแนบสนิทอยู่กับระหว่างขาทั้งสองของเย่เทียนเฉิน

“หึ ก็แค่เด็กคนหนึ่ง กล้ามาล่วงเกินตระกูลลั่วของฉัน คิดว่าฉันจะไม่ให้แกตายด้วยสภาพศพเหลวแหลกเป็นหมื่นชิ้นหรือไง!” ลั่วเฉิงกวงแค่นเสียงเย็นครั้งหนึ่งแล้วพูดขึ้น

ตอนนี้เอง ลั่วเฉิงกวงรู้สึกว่าตนเองเดินเข้าไปแล้ว นักฆ่าหญิงคนนั้นที่ถูกตนเองจ้างวาน ถึงกับไม่มีความคิดที่จะลุกขึ้น จึงอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง รู้สึกถึงความแปลกประหลาด

บนเส้นทางสายมืด มีผู้หญิงเช่นนี้อยู่กลุ่มหนึ่ง พวกเธอเป็นหญิงบริการและก็เป็นนักฆ่า ในตอนที่ไม่มีเรื่องก็จะออกไปเป็นหญิงขายบริการ ในยามที่มีคนจ้างวันก็จะกลายเป็นนักฆ่า เป็นหญิงบริการที่เป็นนักฆ่า เส้นทางสายนี้มีคนจำนวนมากที่ทราบเรื่องนี้ และจ้างวานหญิงบริการไปฆ่าคน บางครั้งก็เป็นเรื่องที่ชัวร์และปลอดภัยที่สุด

หญิงขายบริการไม่มีที่มาที่ไป หลังจากจ้างวานให้ไปฆ่าคน ดูเหมือนจะสืบสวนไม่พบว่าเธอมาที่นี่ และมีคนจิตใจโหดเหี้ยมบางคนพี่ฆ่าหญิงบริการเพื่อปิดปาก นี่เป็นเรื่องที่ปกติเป็นอย่างมาก จะมีใครไปสอบสวนว่าหญิงขายบริการคนหนึ่งจะตายอย่างไรกัน?

ด้วยเหตุนี้หญิงขายบริการเหล่านี้จึงถูกเรียกว่าคุณหนูนักฆ่า เพราะฝีมือของพวกเธอส่วนใหญ่ไม่ดี และไม่มีกำลังที่แข็งแกร่งกว่าผู้ชาย หากฆ่าผู้ชายคนหนึ่งนับเป็นการรนหาที่ตายโดยสิ้นเชิง ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ มีเพียงการยั่วยวนเหมือนที่หญิงขายบริการทำกับเย่เทียนเฉินเท่านั้น ในตอนที่ผู้ชายกำลังจะถึงจุดสุดยอด ก็เป็นเวลาที่จะเข้าโจมตีประเคนมีดให้เขาในตอนที่ไม่รู้ตัว โดยปกติร้อยทั้งร้อยจะประสบความสำเร็จ

“เธอยังจะมัวอึ้งอะไรอยู่ รีบหั่นไอ้ลูกเต่านี่ให้เป็นชิ้นๆ ซะ!” ลั่วเฉิงกวงเห็นว่าคุณหนูนักฆ่าคนนั้นไม่ขยับ จึงตะโกนออกไป

เสียงดังพลั่ก คุณหนูนักฆ่าคนนั้นล้มลงไปกับพื้น บริเวณหน้าอกมีมีดเล่มหนึ่งปักอยู่ ส่วนเย่เทียนเฉินมองลั่วเฉิงกวงอย่างยินดีแล้วกล่าวว่า “คิดไม่ถึงเลยว่าตระกูลลั่วจะยังเหลือสุนัขอีกตัวหนึ่ง หากไม่ใช่เพราะแกส่งตัวเองมาถึงประตูคงจะเป็นปลาที่เล็ดลอดไปได้จริงๆ!”

“แก…” ลั่วเฉิงกวงตกตะลึง เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเย่เทียนเฉินถึงกับยังไม่ตาย แล้วเสียงร้องอย่างสุขสมของผู้หญิงที่ได้ยินตอนนั้นมันเป็นไปได้อย่างไรกัน?

“ฉัน? ทำไมฉันไม่ตายใช่ไหม? มีเรื่องหนึ่งที่นายพลาดไป สินค้าแบบนี้ไม่มีทางทำให้พี่ชายพอใจหรอก!” เย่เทียนเฉินพูดยิ้มๆ

“งะ งั้นเสียงที่ดังออกไปข้างนอกมันเกิดอะไรขึ้น?” ในขณะที่ลั่วเฉิกวงพูด ได้ถอยหลังไปแล้วหลายก้าว มือขวาคลำไปยังอาวุธที่เอว

“แกลืมไปแล้วเหรอ? บนโลกนี้มีของอยู่อย่างหนึ่งที่เรียกว่าโทรศัพท์มือถืออยู่!” เย่เทียนเฉินพูดพลางใช้มือขวาหยิบมือถือขึ้นมาโชว์ แกว่งไปทางลั่วเฉิงกวงสองครั้ง ด้านในบรรจุไปด้วยคลิปโป๊

ลั่วเฉิงกวงมองเย่เทียนเฉินอย่างดุดัน คิดไม่ถึงว่าตนเองจะล้มเหลวได้ เพื่อที่จะสามารถฆ่าเย่เทียนเฉินให้สำเร็จ เขาต้องจ่ายเงินออกไปมากถึงจะเชิญคุณหนูนักฆ่าที่ทั้งสวยและยั่วยวนมาได้ ไหนเลยจะรู้ว่าจะล้มเหลวไปได้ เหนือความคาดหมายเกินไปแล้ว

ความจริงตอนที่ผู้หญิงคนนี้เดินเข้ามา เย่เทียนเฉินก็สัมผัสได้ถึงไอสังหารแล้ว ล้อเล่นอะไรกันหรือเปล่า ตอนนี้เขาเป็นยอดฝีมือที่มีพลังพิเศษขอบเขตจอมราชัน แม้พลังพิเศษแห่งการรับรู้จะไม่แข็งแกร่งเทียบเท่าเมื่อก่อน แต่ยังคงสัมผัสได้ถึงความรู้สึกและไอสังหารในขอบเขตที่แน่นอน ในตอนที่ผู้หญิงคนนี้เดินเข้ามา เขาก็รู้ว่าลั่วเฉิงกวงยืนอยู่ที่นอกประตู รอให้ผู้หญิงคนนี้ลงมึงแล้วค่อยเข้ามาอย่างโอหัง

ตอนเริ่มต้น เย่เทียนเฉินเสพสุขอยู่บ้างจริงๆ รวมกับที่ผู้หญิงคนนี้จะใช้ปากน้อยๆ ปรนนิบัติให้เขา เขาเองก็ยอมรับ ของดีขนาดนี้หากไม่เสพสุขสักหน่อยก็เสียเปล่าแล้ว เพียงแต่ตอนที่ผู้หญิงคนนี้เตรียมจะเข้ามาบรรเลง เย่เทียนเฉินก็ลงมืออย่างรวดเร็วดุจสายฟ้า ดึงมีดออกมาจากข้างหลังของคุณหนูนักฆ่าคนนี้ แล้วปักทะลุหัวใจของเธอ ผู้หญิงนักฆ่าประเภทนี้ ไม่รู้ว่าฆ่ามาแล้วกี่คน สำหรับผู้หญิงวิธีฆ่าคนอย่างน่ารังเกียจเช่นนี้แล้ว เย่เทียนเฉินไม่เกรงใจอย่างแน่นอน

ต่อจากนั้นก็ง่ายมาก หยิบสมาร์ทโฟนออกมา ค้นหาคลิปโป๊แล้วเปิดก็ได้แล้ว เปิดไปจนได้เวลาก็ปิด นี่ทำให้ลั่วเฉิงกวงคิดว่าตนเองติดกับแล้ว และเดินเข้ามาอย่างโอหัง

“ไอ้เด็กเปรต ไปตายซะ!”

ปัง!

เสียงปืนดังขึ้น เป็นเสียงปืนที่เบามาก ลั่วเฉิงกวงนั้นมีการเตรียมตัวมาก่อน เขาได้ติดตั้งเครื่องเก็บเสียงลงบนอาวุธก่อนแล้ว เพื่อต้องการฆ่าเย่เทียนเฉินอย่างไร้เสียง

ลั่วเฉิงกวงเล็งไปยังสมองของเย่เทียนเฉินแล้วลั่นไกออกไป พริบตานั้นมุมปากปรากฏรอยยิ้มโหดเหี้ยมออกมา ระยะห่างแค่นี้ และตนเองก็ลงมืออย่างกะทันหัน ต่อให้เย่เทียนเฉินแข็งแกร่งก็ไม่สามารถหลบได้ ต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยเลย

สิ่งที่ทำให้ลั่วเฉิงกวงคิดไม่ถึงอย่างเด็ดขาดก็คือ ตนเองยิงปืนออกไปแล้ว เย่เทียนเฉินถึงกับไม่หลบไม่ซ่อน แล้วยังมองตนเองนิ่งๆ ยื่นมือขวาออกมาข้างหน้า ใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางคีบลูกปืนที่ลั่วเฉิงกวงยิ่งออกไปเอาไว้ ทำให้เขาตกใจจนก้นกระแทกพื้น

ใช้มือจับลูกปืน เป็นเรื่องที่เหนือจินตนาการโดยสิ้นเชิง เหมือนหนังเสียยิ่งกว่าพล็อตเรื่องในหนังเหล่านั้นอีก หากไม่ใช่ว่าเขาเห็นกับตาคงไม่มีวันเชื่ออย่างเด็ดขาด บนโลกนี้ยังมีคนที่ใช้มือหยุดลูกกระสุนปืนได้อีกหรือ?

ความจริงแล้วในพริบตาที่ลั่วเฉิงกวงเพิ่งจะควักอาวุธออกมา เย่เทียนเฉินได้กางโล่พลังพิเศษแล้ว กางออกมาในสภาพไร้ลักษณ์ กระทั่งลูกปืนก็ไม่อาจลอดผ่านมาได้ ตอนที่ลูกกระสุนปืนเข้าปะทะกับโล่พลังพิเศษ ก็ใช้นิ้วกลางกับนิ้วชี้หนีบเอาไว้

“คนตระกูลลั่วอย่างแกจะตาสว่างสักหน่อยไม่ได้รึไง?” เย่เทียนเฉินเอ่ยถามยิ้มๆ

“แก…ปีศาจ…แกเป็นปีศาจ…”

ลั่วเฉิงกวงตกใจจนร้องออกมาเสียงดัง หันไปคิดจะวิ่งออกไปจากห้อง เย่เทียนเฉินย่อมไม่ปล่อยให้เขามีโอกาสนี้แน่นอน จะถอนวัชพืชก็ต้องถอนให้ถึงราก คนตระกูลลั่วไม่มีดีสักคนเดียว สู้ฆ่าให้หมดเลยจะดีกว่า มีอะไรต้องลังเล

แกร๊ง!

นิ้วชี้และนิ้วกลางของมือขวาเย่เทียนเฉินคลายออก กระสุนปืนที่ถูกคีบอยู่ระหว่างนิ้วทั้งสองพุ่งออกไปในพริบตา เร็วกว่าลูกกระสุนที่ถูกยิงออกมาหลายเท่า นี่เป็นเพราะในตอนที่เย่เทียนเฉินดีดลูกปืนออกไป ได้ใช้พลังพิเศษขอบเขตจอมราชันแฝงเข้าไปเล็กน้อย

ปุ!

สมองของลั่วเฉิงกวงถูกกระสุนปืนเจาะทะลุ ระเบิดออกเป็นดอกไม้เลือด ลูกกระสุนเจาะทะลุจากศีรษะด้านหลังไปถึงหน้าผาก กระทั่งจะกรีดร้องก็ยังทำไม่ทัน ล้มลงไปบนพื้น

“นี่ คุณทั้งสองที่ประตู เข้ามาเอาศพออกไปได้ไหม? อย่าให้รบกวนการนอนของผมล่ะ!” เย่เทียนเฉินตะโกนเสียงดังไปยังตำรวจทั้งสองบริเวณประตู

ตำรวจเฝ้ายามทั้งสองคนที่ยืนอยู่ตรงประตูได้ยินเสียงตะโกนของเย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะเดินเข้ามา เมื่อพวกเขาเห็นลั่วเฉิงกวงที่นอนตายอยู่ในห้อง ต่างก็มีเหงื่อเย็นๆ ซึมออกมาบนหน้าผาก ไม่กล้าพูดอะไร รีบนำศพของคุณหนูนักฆ่าคนนั้นและลั่วเฉิงกวงออกไป โทรไปรายงานสถานการณ์ให้หลูเซิ่งต๋ารับทราบ เดิมทีคิดว่าเขาจะรีบมา ไหนเลยจะรู้ว่าคำพูดของเขาก็คือ “รู้แล้ว ใครก็อย่าไปหาเรื่องเย่เทียนเฉินล่ะ หากมีคนมาพาตัวเขาออกไปก็ให้เขาไป หากเขารู้แล้วต้องการไปก็ดี สรุปแล้วอย่าไปขวางเขา!”

หลูเซิ่งต๋าพี่กลับมาถึงบ้านตัวเองแล้ว จู่ๆ เพิ่งจะเข้าใจสิ่งหนึ่ง นั่นก็คือการจับตัวตัวหายนะอย่างเย่เทียนเฉินไว้ที่กรม เป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ ทำไมตนเองต้องหาเรื่องยุ่งยากขนาดนี้ด้วย? ถ้าไอ้หนูนี่ต้องการก่อเรื่องสะเทือนฟ้าอะไรขึ้นมาอีก เกรงว่าตัวเขาเองก็ต้องได้รับผลกระทบ ซวยถึงขีดสุดแล้ว

หากไม่ใช่เพราะเฉินเซิงโทรสั่งลงมาด้วยตัวเอง เขาจะไปเคลื่อนไหวเองได้อย่างไร การจับเย่เทียนเฉิน หากพูดตามจริงนับเป็นการทำเรื่องใหญ่เกินตัว หากไม่ใช่เพราะเฉินเซิงมีคำสั่งลงมา หลูเซิ่งต๋าจะไม่ยอมไปอย่างเด็ดขาด ต่อให้โทรศัพท์ในกรมมีสายเข้าจนระเบิด เขาก็จะทำเป็นไม่ได้ยิน แสร้งทำเป็นไม่รู้ เพราะไอ้ตัวหายนะอย่างเย่เทียนเฉินนี่ ในตอนนี้เป็นคนที่ไม่มีใครสามารถไปหาเรื่องได้จริงๆ แล้ว บางทีตระกูลเย่คงใกล้จะโผทะยานขึ้นมาแล้ว ทำไมจะต้องไปล่วงเกิน ไปหาเรื่องใส่ตัวด้วย?

หลูเซิ่งต๋า สามารถมาถึงตำแหน่งนี้ได้โดยใช้เส้นทางขาวสะอาดย่อมต้องไม่ใช่คนโง่อะไรโดยเด็ดขาด

ในตอนที่เย่เทียนเฉินทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาชั้นเลวสองคนหายสาบสูญไปต่อหน้าต่อตาเขา แล้วยังมีตอนที่อยู่ที่เป้ยเฟิงเซวียนที่เย่เทียนเฉินอัดฉินเหิงและฉินเทาหยวนอีก นี่ทำให้หลูเซิ่งต๋าเข้าใจกระจ่าง ต่อให้ตระกูลเย่ตกต่ำลงแล้ว แต่เย่เทียนเฉินมีแนวโน้มที่จะค่อยๆ โผทะยานขึ้นมา ไม่ใช่คนที่เขาจะหาเรื่องได้

จินตนาการได้เลยว่า เย่เทียนเฉินสามารถแบกโลงศพไปยังตระกูลฉินได้ นี่เป็นความโอหังระดับไหน

อัดฉินเทาหยวน ฆ่าฉินเหิง ทำให้ฉินอี้โมโหจนตาย นี่ก็เพียงพอที่จะสั่นสะท้านไปทั้งประเทศจีนแล้ว!

ในตอนนี้ เรื่องราวเพิ่งจะผ่านไปไม่ถึงสองวัน เย่เทียนเฉินได้ลงมืออย่างอหังการอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นการฆ่าล้างตระกูลลั่วทั้งตระกูล เพียงแค่คิดก็ทำให้หลูเซิ่งต๋าสั่นไปทั้งตัว เหงื่อเย็นเยียบไหลซึมออกมา

แต่หลูเซิ่งต๋าได้รับสายของหัวหน้าผู้บังคับบัญชาเฉินเซิง เขาทราบว่านี่เป็นเผือกร้อนลูกหนึ่ง เฉินเซิงเป็นผู้บังคับบัญชาของเขา เขาย่อมไม่กล้าไม่ฟังคำสั่ง

แม้ว่าดูผิวเผินแล้วเย่เทียนเฉินจะไม่มีอำนาจอิทธิพลอะไร แต่ในทางลับ คนทั่วทั้งเมืองหลวงดูเหมือนจะเข้าใจสิ่งหนึ่ง นั่นคือเย่เทียนเฉินหาเรื่องไม่ได้ ผู้ใดก็หาเรื่องไม่ได้

“ไม่มีปัญหา!” ชางหลางกลัวว่าเย่เทียนเฉินจะเกิดบ้าขึ้นมาอีกจึงรีบชิงตอบกลับไป

“ขอบคุณพี่ชางหลาง ขอบคุณน้องเย่!” หลูเซิ่งต๋านี่พูดด้วยรอยยิ้ม

ชางหลางและเย่เทียนเฉินขึ้นรถ หลูเซิ่งต๋านั่งอยู่บริเวณที่นั่งข้างคนขับ มีลูกน้องคนสนิทของเขาเป็นผู้ขับรถ

เรื่องนี้มีผลกระทบที่เกี่ยวพันมากมาย กล่าวได้ว่าช่วงหลายปีมานี้ ข่าวใหญ่ที่ครึกโครมไปทางประเทศ ทั้งยังเป็นข่าวใหม่ที่ปะทุขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า เกิดขึ้นเพราะคนคนเดียว นั่นก็คือเย่เทียนเฉิน

“หลูเซิ่งต๋า หลังจากที่ฉันไปถึงกรมแล้ว คงทำได้เพียงลงบันทึกให้นายเท่านั้น แล้วก็ต้องไปแล้ว!” ชางหลางคิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยปากออกมา

“ได้ ได้ครับ ขอบคุณพี่ชางหลาง!”

หากว่ากันตามเหตุผล ชางหลางเองก็เป็นหนึ่งในผู้พบเห็นการฆ่าล้างตระกูลลั่ว กระทั่งเป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์คนหนึ่ง แม้ว่าเขาจะไม่ได้ลงมือ แต่ก็มองดูเย่เทียนเฉินฆ่าลั่วซงเฉิงไปต่อหน้าต่อตา อีกทั้งเขายังมีเจตนาช่วยเหลือเย่เทียนเฉิน เรื่องนี้ไม่สามารถปล่อยไปได้

แต่ด้วยฐานะของเขา ต่อให้หลูเซิ่งต๋ามีความกล้ามากกว่านี้เป็นร้อยเท่า ก็ไม่กล้ารั้งตัวชางหลางเอาไว้ ต่อให้เป็นคำสั่งของเฉินเซิงก็ทำไม่ได้

“น้องเย่ คืนนี้จะ…จะลำบากคุณให้ค้างอยู่ที่กรมสักคืนได้ไหม ผมให้คนเก็บกวาดห้องที่หรูหราที่สุดเอาไว้แล้ว รับประกันได้เลยว่าพอๆ กับโรงแรมห้าดาว!” หลูเซิ่งต๋ารีบมองเย่เทียนเฉินแล้วพูดออกมาตามจริง

“ไม่มีปัญหา ผมเป็นพวกปรับตัวตามสถานการณ์ได้ แต่พอสว่างผมจะต้องไปแล้วนะครับ ผมยังต้องไปลงทะเบียนที่มหาวิทยาลัยหลงเถิง วันที่หนึ่งกันยายนก็เป็นวันเปิดเทอมแล้ว!” เย่เทียนเฉินพูดแล้วหาวออกมาครั้งหนึ่ง

“ได้ ได้สิ!”

หลูเซิ่งต๋าเช็ดเหงื่อเย็นๆ บนหน้าผาก กลัวว่าเย่เทียนเฉินจะไม่ยอมรับ

กล่าวตามจริง เขาไหนเลยจะมีวิธีการรับมือกับเย่เทียนเฉินได้ ทำได้เพียงใช้น้ำเสียงขอร้องแบบนี้เท่านั้น หากเย่เทียนเฉินโกรธขึ้นมาจริงๆ เขาย่อมรู้ดีว่าจะมีผลอย่างไร

เดิมทีเย่เทียนเฉินเป็นคนที่รู้จักปรับตัวไปตามสถานการณ์คนหนึ่ง ที่ตอบรับหลูเซิ่งต๋าว่าคืนนี้จะอยู่ที่กรมหนึ่งคืน เหตุผลสำคัญเป็นเพราะเขารู้ดีว่าหลังจากที่ฆ่าล้างตระกูลลั่วแล้ว จะต้องมีเรื่องทยอยเกิดขึ้นไม่ขาดสายแน่นอน!

เดิมทีเรื่องตระกูลฉินยังไม่ซาลงก็เกิดเรื่องตระกูลลั่วขึ้นอีก ไม่แน่ว่าจะทำให้เกิดความฮือฮามากขนาดไหน หากพักที่กรม อย่างน้อยคืนนี้ก็สามารถนอนหลับได้อย่างสงบ นี่เป็นความคิดอันเรียบง่ายตรงประเด็นที่สุดของเย่เทียนเฉิน

ประมาณหนึ่งชั่วโมงกว่า เย่เทียนเฉินและชางหลางก็มาถึงประตูกรม

หลังจากที่ชางหลางลงบันทึกอย่างง่ายๆแล้วก็จากไป โดยมีหลูเซิ่งต๋าติดตามทุกขั้นตอน หลังจากที่ลงบันทึกเสร็จแล้ว หน้าผากของพนักงานเล็กๆ ที่ทำหน้าที่บันทึกเต็มไปด้วยเหงื่อ ถูกทำให้ตกใจไปแล้วโดยสิ้นเชิง

ส่วนหลูเซิ่งต๋าเองก็มีสีหน้าขาวซีด เขาไม่ได้เข้าไปดูที่บ้านตระกูลลั่วว่าด้านในมีสภาพอย่างไร แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะฆ่าลั่วซงเฉิง ลั่วกวงฮุยและลั่วฉีจริงๆ ฆ่าล้างตระกูลลั่วทั้งตระกูล คนคนนี้มักจะทำให้จิตใจลึกๆ ของคนอื่นสั่นสะท้านถึงขีดสุดจริงๆ

ชางหลางออกมาจากกรมแล้วก็มุ่งหน้าไปหาหยางอี้ด้วยความกระวนกระวาย เนื่องจากเย่เทียนเฉินได้ก่อความผิดสนั่นฟ้าอีกแล้ว คนคนนี้ไม่ทำให้คนอื่นวางใจเลยจริงๆ

คราวนี้หยางอี้คิดจะส่งเย่เทียนเฉินไปคุ้มครองตงฟางเมิ่งที่มหาวิทยาลัยหลงเถิง ดังนั้นจึงเตรียมตัวที่จะกดให้เรื่องของตระกูลฉินซาลง!

ไหนเลยจะรู้ว่า เรื่องของตระกูลฉินยังไม่ทันได้จัดการ เจ้าหมอนี่ก็ฆ่าล้างตระกูลลั่วอีกแล้ว ดูแล้วหยางอี้คงไม่สามารถคุ้มครองเย่เทียนเฉินได้ อย่างไรก็ตามเรื่องนี้จำเป็นต้องแจ้งให้คนระดับบิ๊กอย่างหยางอี้ทราบในทันที

ส่วนเย่เทียนเฉินกลับ ไม่คิดว่าตนเองทำความผิดใหญ่หลวงอะไร ในสายตาของเขา ก็แค่ฆ่าสุนัขไปสามตัวเท่านั้น ทั้งยังเป็นสุนัขที่อันตรายต่อประชาชน หากว่าภายหลังจะมีความยุ่งยากอะไรแล้วล่ะก็ คงทำได้เพียงปรับวิธีการไปตามสถานการณ์เท่านั้น

หลูเซิ่งต๋าพาเย่เทียนเฉินไปส่งที่ห้องขังชั่วคราวอันหรูหราด้วยตัวเอง เป็นเหมือนที่เขากล่าวจริงๆ ห้องนี้เป็นห้องชุด ดีพอๆ กับโรงแรมห้าดาว สิ่งอำนวยความสะดวกที่ควรมีล้วนมีอย่างครบครัน

หากให้ผู้ที่ไม่อาจมีบ้านและไม่อาจซื้อบ้านมาอาศัยอยู่ จะต้องอยากอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิต แน่นอนว่ายังต้องอยู่ภายใต้การรับประกันความอิสระ

“น้องเย่ คืนนี้ลำบากคุณแล้ว หากไม่มีอะไรผมไปก่อนนะครับ!” หลูเซิ่งต๋าพูดยิ้มๆ

“ผู้อำนวยการหลูฝันดีครับ!” เย่เทียนเฉินเดินเข้าไปข้างในห้อง

บอกว่าเป็นห้องหรู แต่กลับยังมีรูปแบบของเรือนจำชั่วคราวอยู่!

ที่เห็นได้ชัดก็คือประตูทั้งสองเป็นประตูเหล็ก นอกจากนี้บนหน้าต่างภายในห้องล้วนเป็นลูกกรงทั้งหมด แล้วยังเป็นประเภทที่มีไฟฟ้าประเภทนั้น บริเวณประตูมีคนถือปืนยืนเฝ้าอยู่สองคน ใต้หน้าต่างก็มีคนติดอาวุธอยู่สองคน เพื่อป้องกันคนหลบหนี

เย่เทียนเฉินไม่สนใจสิ่งเหล่านี้ เขาเพียงแค่มาหาที่นอนสงบๆ เท่านั้น หลังจากที่เข้าไปแล้วก็เข้าไปอาบน้ำ เปลี่ยนเป็นชุดนอนชั่วคราว แล้วจึงขึ้นไปบนเตียงนอนกรนออกมาเสียงดัง

ไม่ทราบว่านอนไปนานแค่ไหน เย่เทียนเฉินรู้สึกว่าประตูห้องถูกคนเปิดออก เงาร่างงดงามร่างหนึ่งเดินเข้ามา!

เมื่อเย่เทียนเฉินลืมตาขึ้น เห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่หน้าตานับว่าไม่เลว แต่รูปร่างกลับสะบึมเป็นอย่างมาก ดวงตาทั้งสองอันน่าหลงใหลมองเขาอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งริมฝีปากแดงดุจผลเชอรี่ค่อยๆ อ้าออกดูเซ็กซี่เป็นอย่างมาก ขนาดเย่เทียนเฉินยังมองตาไม่กระพริบ

ที่สำคัญที่สุดคือผู้หญิงคนนี้ใส่ชุดสีดำลูกไม้ที่สามารถมองทะลุได้ทั้งร่าง ยั่วยวนใจเป็นอย่างมากจริงๆ

มีประโยคหนึ่งกล่าวไว้ว่า ไม่กลัวว่าผู้หญิงจะสวยเกินไป แต่กลัวว่าผู้หญิงจะไม่มีเสน่ห์แพรวพราว ผู้หญิงคนหนึ่งต่อให้สวยแค่ไหน แต่หากเธอยืนอยู่ตรงนั้น เยือกเย็นเหมือนน้ำแข็ง หยิ่งยโสถึงขีดสุด คุณยังจะเกิดอารมณ์อีกหรือ?

ดังนั้นพูดได้ว่า ผู้หญิงที่มีเสน่ห์แพรวพราว ผู้หญิงที่รู้จักดึงดูดจิตใจของผู้ชาย ถึงจะเป็นผู้หญิงที่ทำให้คนปรารถนามากที่สุด

หลังจากที่ได้เกิดใหม่ในโลกนี้ เย่เทียนเฉินยังไม่เคยพบผู้หญิงแบบนี้เลยจริงๆ!

ในช่วงยุคสิ้นโลก ข้างกายเขาติดตามไปด้วยผู้หญิงชั้นเลิศ ทุกคนล้วนแต่ยอดเยี่ยม จินตนาการได้เลยว่า ทุกค่ำคืนจะมีเหตุการณ์ที่ทำให้ผู้คนต้องเลือดลมพุ่งพล่านอย่างไรบ้าง

ผู้หญิงที่มีรูปร่างสะบึม สายตามีเสน่ห์ดึงดูด ก้าวเข้ามาหาตนเองทีละก้าว เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างลามก นอนอยู่บนเตียงอย่างเปรมปรี นอนกางแขนกางขา รอการจู่โจมและบริการของผู้หญิงคนนี้

“ไม่ต้องกลัวไปค่ะ ฉันมาช่วยคุณข้ามผ่านความเหงาในคืนนี้ หากว่าปรนนิบัติได้ดี ให้ทิปมากๆ หน่อยก็พอ!” ริมฝีปากแดงดุจผลเชอรี่ของผู้หญิงคนนั้นพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

“ไม่มีปัญหา ต้องดูฝีมือของเธอแล้วว่าเป็นยังไง!” เย่เทียนเฉินพูดแล้วยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์

“ทำให้คุณพอใจอย่างแน่นอน มีแต่เรื่องที่คุณจะคิดไม่ถึง ไม่มีอะไรที่ฉันทำไม่ได้หรอกค่ะ”

หลังจากที่ผู้หญิงคนนั้นพูดจบก็ดึงผ้าห่มออก ขึ้นไปบนเตียง พริบตาเดียวก็ขึ้นขี่อยู่บนร่างของเย่เทียนเฉิน…

ในตอนนี้เอง ชายอ้วนเตี้ยคนหนึ่งที่ยืนอยู่หน้าประตู ดวงตาทั้งสองมองไปยังประตูเหล็กของห้องอย่างโหดเหี้ยม ท่าทางเช่นนั้นราวกับอดไม่ได้ต้องการจะระเบิดห้องนี้ในทันที

ชายคนนี้ชื่อว่าลั่วเฉิงกวง เป็นน้องชายของลั่วซงเฉิง เมื่อครู่เขาเพิ่งได้รับรายงานจากคนสนิทของตนเองว่าบ้านตระกูลลั่วถูกคนบุกไปก่อเรื่อง ลั่วซงเฉิง ลั่วกวงฮุย ลั่วฉี ตายทั้งหมด ฆ่าล้างตระกูลอย่างอนาถ ลั่วกวงฮุยพลันกระโดดไปมาอย่างโกรธแค้น

สุดท้ายจึงได้รู้ว่าเป็นเย่เทียนเฉินที่ทำ เขาได้ถูกหลูเซิ่งต๋าขังอยู่ในห้องขังชั่วคราวของกรม ตอนนี้จุดประสงค์ที่ลั่วเฉิงกวงตามมามีเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือฆ่าเย่เทียนเฉินเพื่อล้างแค้น

ลั่วเฉิงกวงไม่ใช่คนที่ไร้สมอง เขารู้ว่าหลังจากที่เย่เทียนเฉินก่อเรื่องตระกูลฉิน ก็มีหยางอี้ที่เป็นบุคคลระดับสูงคุ้มครองเขาอยู่ หลังจากที่หลูเซิ่งต๋าจับเย่เทียนเฉิน ไม่เพียงไม่ทำการสอบสวน แต่ยังเชิญเขาเข้าพักในห้องขังชั่วคราวที่หรูหราที่สุดอีกด้วย นี่จะต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอน

หลังจากไตร่ตรองดู ลั่วเฉิงกวงก็ตัดสินใจใช้วิธีที่ใช้เป็นประจำ ส่งนักฆ่าหญิงเข้าไปคนหนึ่ง ถือโอกาสตอนที่เย่เทียนเฉินกำลังเสพสุขฆ่าเขาทิ้งซะ เมื่อถึงเวลาตนเองก็ต้องทำเพียงฆ่าผู้หญิงคนนี้เสีย ฆ่าคนปิดปากเพื่อไม่ให้มีปัญหาภายหลัง และไม่มีใครที่สามารถตรวจสอบมาถึงเขาได้

“อาๆๆ…”

ไม่นานภายในห้องของเย่เทียนเฉินก็มีเสียงผู้หญิงออกมา เพียงได้ฟังก็รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น พนักงานตำรวจที่ยืนอยู่หน้าประตูทั้งสองคนอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว รู้สึกทนฟังต่อไม่ไหวแล้ว!

ล้วนเป็นผู้ชาย ไหนเลยจะทนกับเสียงกระตุ้นเช่นนี้ได้ โดยเฉพาะเสียงผู้หญิงที่ยั่วยวนเช่นนี้

มีเพียงลั่วเฉิกวงเท่านั้นที่รอยยิ้มมืดครึ้มบนใบหน้าเคร่งขรึมขึ้นเรื่อยๆ เขารู้ว่าเย่เทียนเฉินต้องตายอย่างแน่นอน เพราะผู้หญิงคนนั้นจะลงมือได้แน่

จินตนาการได้เลยว่า ผู้ชายคนหนึ่งกำลังทำกิจกรรมเข้าจังหวะกับผู้หญิงอยู่ ช่วงเวลานี้หากผู้หญิงประเคนมีดให้ เขาจะมีใจป้องกันอีกหรือ?

ชั่วขณะที่เสียงผู้หญิงหยุดลง ลั่วเฉิงกวงใช้เท้าถีบประตูเราเดินเข้าไปอย่างโอหัง เขามีฐานะเป็นรองหัวหน้าภายในกรม พนักงานตำรวจสองคนตรงประตูย่อมไม่กล้าขวางเขา…

ลั่วเฉิงกวงมั่นใจว่าแผนการของตนประสบความสำเร็จแล้ว เขาได้ตอนนี้เดินเข้าไปในห้องก็เพราะต้องการเห็นท่าทางการตายอย่างอนาถเย่เทียนเฉินด้วยตาของตน!

หนึ่งฝ่ามือ ฝ่ามือนี้เย่เทียนเฉินใช้พลังพิเศษขอบเขตจอมราชันโจมตีเต็มกำลัง ดูเหมือนจะกระตุ้นความสามารถของพลังพิเศษในปัจจุบันของตนเองออกมาทั้งหมด

การต่อสู้กันตัวต่อตัวของยอดฝีมือ เมื่อลงมือก็จะออกแรงเต็มกำลัง จะไม่มีความลังเลโดยเด็ดขาด เพราะว่าใครก็ไม่กล้าลำพองใจ ไม่มีใครมีความมั่นใจอย่างเด็ดขาดว่าจะสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ที่มีความสามารถพอๆ กับตนได้

ดังเช่นยอดฝีมืออย่างชางหลางที่ถูกยกให้เป็นผู้แข็งแกร่งหนึ่งในสามราชันนักรบแห่งประเทศจีน เมื่อเห็นเย่เทียนเฉินซัดฝ่ามือใส่กูตูอ๋างกลางอากาศ ส่วนอีกฝ่ายก็ไม่หลบซัดฝ่ามือเข้าไปปะทะ ก็ยังถูกทำให้สั่นสะท้านอย่างล้ำลึก เขาสามารถรู้สึกได้ว่าสองคนนี้ลงมือเต็มที่แล้ว ฝ่ามือนี้จะตัดสินแพ้ชนะ

ตู้ม!

เสียงดังสนั่นหวั่นไหว เย่เทียนเฉินและกูตู๋อ๋างปะทะฝ่ามือกัน ทั้งสองล้วนลงมือเต็มที่ ทำให้บริเวณสิบเมตรรอบด้านถูกแรงสั่นสะเทือนจนฝุ่นฟุ้ง สาเหตุก็คือฝ่ามือกลางอากาศของเย่เทียนเฉินทำให้ก้อนอิฐรอบบริเวณที่กูตู๋อ๋างยืนอยู่ถูกทำลายจนแตกเป็นเสี่ยงๆ กระทั่งสองขาของกูตู๋อ๋างที่ยืนอยู่บนพื้นก็ถูกทำให้จมลงไปสิบเซนติเมตร จินตนาการได้เลยว่าพลังฝ่ามือนี้มากมายขนาดไหน

ตู้ม!

เย่เทียนเฉินพุ่งออกมาท่ามกลางฝุ่นในทันที หมุนตัวกลางอากาศครั้งหนึ่งแล้วลงมายืนอย่างมั่นคง ระหว่างงามนิ้วในมือขวาของเขามีเลือดไหลออกมา ดูท่าทางฝ่ามือนี้ของกูตู๋อ๋างก็ลงมือสุดกำลังเช่นเดียวกัน พลังทำลายล้างไม่น้อยเลย

“ไอ้หนูถึงกับรอดมาได้เลยหรือ?” ชางหลางมองเย่เทียนเฉินอย่างไม่อยากจะเชื่อแล้วพูดขึ้น

“กูตู๋อ๋างแข็งแกร่งมากจริงๆ มิน่าล่ะถึงอยากจะแย่งตำแหน่งสามราชันนักรบแห่งประเทศจีนกับคุณ ว่าแต่ทำไมคุณถึงพูดแบบนี้?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะถามอย่างแปลกใจ

ชางหลางมองปากแผลที่มีเลือดไหลออกมาบริเวณมือขวาของเย่เทียนเฉิน ในใจอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง รู้สึกว่าเย่เทียนเฉินลึกล้ำไม่อาจคาดเดาได้ ต้องทราบว่าเมื่อปีนั้นเขาได้สู้กับกูตู๋อ๋างมาก่อน ตอนนั้นความสามารถของกูตู๋อ๋างไม่ได้แข็งแกร่งเท่าไหร่นัก ต่อให้เป็นแบบนี้ กว่าที่เขาจะโจมตีให้อีกฝ่ายพ่ายแพ้ได้ก็ต้องแลกมาด้วยค่าตอบแทนใหญ่หลวง แต่กลับไม่คิดเลยว่าเย่เทียนเฉินและกูตู๋อ๋างปะทะฝ่ามือกันอย่างเต็มกำลังจะเพียงแค่บาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น

“นายเข้าใจวิถีหมัดของกูตู๋อ๋างหรือเปล่า?” ชางหลางไม่ได้ตอบเย่เทียนเฉินตรงๆ จ้องเขม็งไปยังบริเวณที่มีฝุ่นฟุ้งกระจายแล้วเอ่ยถามขึ้น

“ไม่เข้าใจหรอกครับ แปลกมาก ระหว่างที่ออกหมัดมามีประกายสีทองด้วย” เย่เทียนเฉินพูดอย่างสงสัย

แน่นอนว่าในช่วงยุดสิ้นโลกมีผู้แข็งแกร่งแห่งพรรควรยุทธโบราณ มียอดฝีมือแห่งโลกผู้มีพลังพิเศษ แล้วยังมีมนุษย์กลายพันธุ์และสัตว์ประหลาด เรื่องแปลกประหลาดทั้งหลายล้วนมีทุกอย่าง ส่วนโลกแห่งนี้ อย่างน้อยเมื่อดูจากตอนนี้แล้ว นอกจากยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณ ก็ยังมีผู้มีพลังพิเศษ นอกจากนั้นก็ไม่มีการปรากฏตัวของสิ่งอื่น

ดังนั้นกูตู๋อ๋างไม่ใช่ผู้มีพลังพิเศษแน่นอน ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้เย่เทียนเฉินไม่ได้รู้สึกว่าบนร่างกายของอีกฝ่ายมีการเคลื่อนไหวของพลังพิเศษ ดังนั้นการที่เขาสามารถมีพลังการต่อสู้แบบนี้ได้ ก็คงเป็นยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณ ภายในพรรควรยุทธโบราณ คนที่จะสามารถกลายเป็นผู้แข็งแกร่งได้จำเป็นต้องฝึกฝนเคล็ดวิชาของพรรควรยุทธโบราณ จะเป็นวิชาหมัดก็ดี วิชากระบี่ก็ดี หรือจะเป็นวิชาฝ่ามือต่างๆ นานาก็ตาม แล้วยังมีวิชามีดบินเหมือนเซี่ยอวี่เหอและศิษย์พี่ของนางเจียงอั้นอีกด้วย

กูตู๋อ๋างฝึกวิชาหมัด ผสมผสานกับพลังภายในอันแข็งแกร่ง จึงสามารถแสดงพลังการต่อสู้ที่ทำให้ผู้คนตะลึงออกมาได้ แต่พลังภายในที่อยู่ภายในหมัดที่ปล่อยออกไป ถึงกับมีแสงสีทองเป็นประกายเล็กน้อย นี่เป็นสิ่งที่เย่เทียนเฉินเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก และไม่แน่ใจชัดเจนว่าเคล็ดวิชาพรรควรยุทธโบราณวิชาใดที่กูตู๋อ๋างฝึกฝนมา ร้ายกาจถึงเพียงนี้ ใกล้จะถึงขั้นเท็จเป็นจริงแล้ว

“หมัดวชิระสยบมาร!” ชางหลางกล่าวเสียงเข้ม

“อะไรนะ? เป็นหมัดนี้เลยหรือ?”

เย่เทียนเฉินได้ยินคำพูดของชางหลางก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง หมัดวชิระสยบมาร วิชาหมัดประเภทนี้ในช่วงยุคสิ้นโลก สามารถกล่าวได้ว่าทำให้ผู้คนต้องสั่นสะท้านเป็นอย่างมาก วิชาขุ้นสูงสุดของหมัดนี้ ล่ำลือกันว่าหากฝึกถึงสภาวะขั้นสุดยอด ผสมผสานกับพลังภายในที่แข็งแกร่ง หนึ่งหมัดสามารถล้มมังกรได้ สองหมัดสามารถสยบพยัคฆ์ได้ สามหมัดสามารถปราบมารได้ จะเป็นคำพูดเกินจริงหรือไม่เขาก็ไม่ทราบ เพราะในช่วงยุคสิ้นโลกที่เขาอยู่ไม่เคยสู้ประมือกับยอดฝีมือขั้นสูงที่ใช้วิชาหมัดวชิระสยบมาร คิดไม่ถึงว่าในโลกนี้กูตู๋อ๋างจะเป็นผู้ฝึกฝนวิชาหมัดนี้ ต่อให้ยังไม่ถึงขั้นสุดยอด แต่กลับมีพลังอยู่หลายส่วน

“ถูกต้อง หมัดวชิระสยบมาร คิดว่านายก็คงเคยได้ยินมาบ้าง นายสามารถรอดมาได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว!” ชางหลางพูดอย่างจริงจัง

หากจะบอกว่าไม่รู้สึกอะไรก็เป็นการโกหกแล้ว เย่เทียนเฉินเองก็ดีใจมาก ในตอนแรก เขาไม่ได้ดูแคลนกูตู๋อ๋าง เมื่อลงมือก็กระตุ้นความสามารถขั้นสุดยอดของพลังพิเศษขอบเขตจอมราชัน ฝ่ามือกลางอากาศเมื่อครู่นี้ ไม่เพียงแต่มีแรงเฉื่อย อีกทั้งยังแฝงไปด้วยมีการโจมตีที่แข็งแกร่งสุดที่เขาสามารถใช้ออกมาได้ในปัจจุบันนี้

ฝุ่นควันค่อยๆ เลือนราง เห็นเพียงกูตู๋อ๋างที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม ก้อนหินรอบตัวเขาในบริเวณหลายเมตรถูกคลื่นกระแทกจนกลายเป็นเสี่ยงๆ ขาทั้งสองจมลงไปประมาณสิบเซ็นติเมตร ดูแล้วทำให้ผู้คนตกใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะมือขวาของกูตู๋อ๋าง ที่นิ้วมือทั้งห้าบิดงอเปลี่ยนรูปไปแล้ว กระดูกของนิ้วมือทั้งห้านิ้วหักทั้งหมด เลือดสดๆ ไหลออกมา กูตู๋อ๋างยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน ค่อยๆ มองไปยังเย่เทียนเฉิน

ฝ่ามือเมื่อครู่นี้ กูตู๋อ๋างมีความมั่นใจเป็นอย่างมาก คิดว่าฝ่ามือนี้ของตนเองจะต้องซัดเย่เทียนเฉินจนปลิวได้อย่างแน่นอน เพราะหลายปีมานี้ เขาฝึกอย่างยากลำบากทุกวันคืนเพื่อที่จะเอาชนะชางหลางและแย่งชิงฉายาหนึ่งในสามราชันนักรบแห่งประเทศจีนมาให้ได้ ดังนั้นขอบเขตของหมัดวชิระสยบมารของเขาในตอนนี้ คนละระดับกับเมื่อก่อนโดยสิ้นเชิง พลังทำลายล้างเพิ่มมากขึ้นไม่รู้กี่เท่า ในความคิดของกูตู๋อ๋าง ต่อให้เย่เทียนเฉินร้ายกาจเพียงใด ก็ไม่สามารถหยุดฝ่ามือนี้ของตนได้

ไหนเลยจะรู้ว่า เมื่อฝ่ามือทั้งสองปะทะกัน กูตู๋อ๋างจะพลันรู้สึกได้ในทันทีว่าฝ่ามือของตนราวกับปะทะเข้ากับภูเขาเหล็กกล้าลูกหนึ่ง ส่วนเย่เทียนเฉินนั้นเคลื่อนไหวโจมตีกระแทกเขาลงไปโดยตรง เขามองเย่เทียนเฉินอย่างยากที่จะเชื่อ ต่อให้กระดูกนิ้วมือขวาทั้งห้านิ้วถูกกระแทกจนหักหมด กูตู๋อ๋างก็ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด ในใจของเขาถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกตกตะลึงโดยสิ้นเชิง

เย่เทียนเฉินอายุเพียงยี่สิบปีเท่านั้น ในสายตาของกูตู๋อ๋าง ต่อให้เย่เทียนเฉินจะแข็งแกร่งเพียงใด จะสามารถแข็งแกร่งได้ถึงขนาดไหนกันเชียว? คงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตนเองโดยเด็ดขาด ยิ่งไปกว่านั้นนี่เป็นฝ่ามือที่เขาออกแรงทั้งหมดแล้วงั้นหรือ? แต่ว่า ความจริงมักจะยากจะคาดเดา ความสามารถของเย่เทียนเฉินห่างไกลจากจินตนาการของเขาไปมาก

“ฉันแพ้แล้ว เอาไปเถอะ!” กูตู๋อ๋างขยับขาทั้งสอง เดินออกจากรอยประทับลึกสิบเซนติเมตรบริเวณขา มือซ้ายหยิบกระเป๋าตังค์ออกมา โยนไปให้เย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

“กลับไปฝึกให้มากๆ อีกสักหลายปีเถอะ ด้วยความสามารถของนาย เชื่อว่าจะกลายเป็นสามราชันนักรบของประเทศจีนได้ไม่ยาก!” เย่เทียนเฉินพูดยิ้มๆ

เย่เทียนเฉินไม่ได้มีความแค้นความเกลียดชังอะไรกลับกูตู๋อ๋าง เพียงแค่มีการกระทบกระทั่งกันเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนกูตู๋อ๋างก็เป็นคนที่มีความสามารถอย่างแท้จริง แพ้แล้วก็พูดจริงทำจริง นับว่าเป็นลูกผู้ชายคนหนึ่ง คนประเภทนี้เย่เทียนเฉินนับถือเป็นอย่างมาก จะพูดไปแล้วเขาก็เป็นคนมีความสามารถคนหนึ่ง ด้วยฝีมือของเขาหากต้องการเป็นหนึ่งในสามราชันนักรบแห่งประเทศจีนย่อมไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ตามการคาดเดาของเย่เทียนเฉิน ฝีมือของชางหลางเหนือกว่ากูตู๋อ๋าง ส่วนเรื่องการต่อสู้อย่างสุดความสามารถระหว่างเขากับชางหลาง เป็นเรื่องที่จะช้าจะเร็วก็ต้องเกิดขึ้น

กูตู๋อ๋างมองเย่เทียนเฉิน แล้วมองชางหลาง “หนึ่งปีหลังจากนี้ ฉันจะเอาชนะไอ้หนูนี่ให้ได้ ชางหลาง ถึงตอนนั้น ฉายาราชันนักรบของนายก็จะเป็นของฉัน!”

“ไม่มีปัญหา หนึ่งปีหลังจากนี้ ฉันจะสู้กับนายอีกครั้ง!” เย่เทียนฉินพูดยิ้มๆ

“ดี ถึงตอนนั้นก็ตัดสินแพ้ชนะกันได้จริงๆ!” ชางหลางพูดอย่างจริงจัง

เมื่อเห็นกูตู๋อ๋างจากไป ชางหลางก็ผ่อนลมหายใจ การต่อสู้ของเย่เทียนเฉินและกูตู๋อ๋างสามารถสิ้นสุดลงแบบนี้ได้ก็นับว่าเป็นผลที่ดีมากแล้ว ถ้าทั้งสองสู้กันถึงขั้นเป็นตายจริงๆ เกรงว่าบ้านตระกูลลั่วคงจะถูกทำลายจนหมดสิ้น

“เย่เทียนเฉิน ไอ้หนู นายอย่าทำอะไรบุ่มบ่ามแบบนี้ได้ไหม ตอนนี้นายฆ่าล้างตระกูลลั่วไปแล้ว ฉันจะดูว่านายจะเก็บกวาดยังไง!” ชางหลางได้สติกลับมา จึงอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกไปอย่างโกรธเคือง

“อย่าตะโกนสิ อย่าตะโกน ไม่ใช่ว่ามีคุณแล้วก็มีท่านหยางเหรอ? ผมเชื่อว่าพวกคุณจะสามารถทำให้เรื่องตระกูลฉินและตระกูลลั่วสงบลงได้ หรือพูดให้ถูกก็คือ ผมได้ตอบรับท่านหยางไปแล้ว ตอนที่ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยหลงเถิง จะถือโอกาสคุ้มครองดาวมหาวิทยาลัยอะไรนั่นสักหน่อย พวกคุณคิดดูสิ ถ้าผมเกิดเรื่องอะไรขึ้น ใครจะทำภารกิจล่ะ?” เย่เทียนเฉินยิ้มแล้วพูดออกมาอย่างไร้ยางอาย

“นาย…”

“ผมว่าพวกเราไปกันเถอะ เชื่อว่าอีกไม่นานพวกคนรับใช้ของตระกูลลั่วก็จะไปแจ้งตำรวจแล้ว พอตำรวจมาถึงเห็นท่านนายพลชางหลางอย่างคุณอยู่ที่นี่ เรื่องก็คงจะรุนแรงมากขึ้น คนตัวเล็กๆ ไร้ความสำคัญอย่างผมถูกพบก็ไม่เป็นไรหรอก” เย่เทียนเฉินพูดแล้วหัวเราะฮี่ๆ

ชางหลางถูกเย่เทียนเฉินทำให้โกรธจนพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว หมุนตัวเดินไปยังประตูของบ้านตระกูลลั่ว เย่เทียนเฉินเดินตามไปด้วยรอยยิ้มไร้ยางอาย ในตอนที่เพิ่งจะเดินไปถึงประตูบ้านตระกูลลั่ว ตำรวจหน่วยรบพิเศษติดอาวุธเกินหนึ่งร้อยคนเล็งปากกระบอกปืนมาทางเย่เทียนเฉินและชางหลาง การวางกำลังรบแข็งแกร่งมั่นคงมาก

“นี่คงจะเป็นคนของหลูเซิ่งต๋า ดูท่าต้องสั่งสอนเล็กน้อย คนๆ นี้ไม่รู้เรื่องเลย!” เย่เทียนเฉินแล้วกำหมัดแน่น

“ไอ้หนูเพลาๆ ลงบ้างได้ไหม อย่าทำอะไรบุ่มบ่าม ปล่อยให้ปู่อย่างฉันช่วยนายได้ไหม…” ชางหลางมองเย่เทียนเฉิน พูดด้วยเสียงอันเบา กลัวว่าเจ้าหมอนี่จะทำเป็นเล่น ลงมืออัดตำรวจหน่วยรบพิเศษหลายร้อยคนนี้จนหมอบเข้าจริงๆ ถ้าเป็นแบบนั้นก็จะยิ่งเป็นเรื่องใหญ่ ไม่มีทางเก็บกวาดได้แล้ว

“เห้อ งั้นพวกเราก็รอถูกจับเถอะ!” เย่เทียนเฉินถอนใจครั้งหนึ่งแล้วพูดออกมา

“ท่านหยางจะคิดวิธีได้แน่นอน ขอแค่ไอ้หนูอย่างนายเพลาๆ ลงบ้าง” ชางหลางกล่าวเสียงเข้ม

ในตอนนี้เอง หลูเซิ่งต๋าเดินออกมาท่ามกลางกลุ่มคน เย่เทียนเฉินพูดยิ้มๆ “ที่แท้ก็ท่านผู้อำนวยการหลูนี่เอง กองกำลังยิ่งใหญ่ดีจริงๆ มาจับผมเหรอ?”

“นี่…สะ สหายเย่ ผมเองก็ทำตามคำสั่ง คุณก็อย่าทำให้ผมลำบากใจเลย พี่ชางหลาง ท่านผู้บัญชาการเฉินส่งหมายจับมาด้วยตัวเอง เชิญพวกคุณสองคนไปกับผมหน่อยนะครับ!” หลูเซิ่งต๋าพูดอย่างเกรงอกเกรงใจ แล้วยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน

ตั้งแต่เรื่องที่เป้ยเฟิงเซวียนในครั้งนั้น หลังจากที่หลูเซิ่งต๋าเห็นกับตาว่าเย่เทียนเฉินอัดฉินเหิงและฉินเทาหยวนสองพ่อลูก เขาก็เข้าใจอย่างลึกซึ้ง อาศัยเขาคงไม่มีทางไปหาเรื่องกับเย่เทียนเฉินได้ เย่เทียนเฉินไม่สร้างปัญหาให้เขาก็ไม่เลวแล้ว จึง ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการกรมรักษาความมั่นคงสาธารณะของเมืองหลวงไปอย่างซื่อสัตย์ คนที่กล้าหาเรื่องแม้กระทั่งตระกูลฉิน เขาหลูเซิ่งต๋าจะกล้าหาเรื่องได้อย่างไร ความสูงส่งของเย่เทียนเฉิน ค่อยๆ ไปถึงระดับที่เขาแตะต้องไม่ได้แล้ว

“วางใจเถอะ ฆ่าสุนัขแก่ตัวนี้ ฉันจะไม่ทำให้มือตัวเองสกปรก!” กิ่งไม้เล็กๆ ในมือขวาของเย่เทียนเฉินค้ำอยู่ที่หลอดลมของลั่วซงเฉิง ขอเพียงเขาออกแรงที่มือขวา ก็จะแทงทะลุไปอย่างง่ายดาย

ชางหลางสูดหายใจเย็นยะเยือก แผ่นหลังมีเหงื่อเย็นซึมออกมา ในฐานะที่เป็นหนึ่งในสามราชันนักรบแห่งประเทศจีน ว่ากันตามเหตุผลแล้ว ชางหลางเห็นโลกมามากมาย มีเหตุการณ์น้อยมากที่จะทำให้เขาสั่นสะท้านแบบนี้ เย่เทียนเฉินคนนี้โหดเหี้ยมจริงๆ ฆ่าคนตระกูลลั่วเหมือนกับฆ่าหมูฆ่าหมา ไม่สนใจอำนาจใดๆ ของตระกูลลั่วเลยแม้แต่น้อย

กูตู๋อ๋างเอ็งก็ถูกภาพตรงหน้าทำให้ตกใจ บริเวณใจกลางกลางของบ้านตระกูลลั่วมีทหารหลายสิบคนนอนร้องโอดโอยอย่างอนาถ บนพื้นยังมีปืนตกกระจายไปทั่ว เพียงแต่น่าเสียดายที่กระสุนปืนในปืนเหล่านี้ถูกยิงออกไปหมดแล้ว ศพของลั่วฉีและลั่วกวงฮุยก็อยู่ทางด้านหนึ่ง ดวงตาทั้งสองเบิกกว้าง ตายตาไม่หลับ ดูเหมือนจะอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่า บนโลกใบนี้จะยังมีคนกล้าฆ่าพวกเขา ทั้งยังฆ่าอย่างง่ายดายเหมือนกับเหยียบมดให้ตายตัวหนึ่ง

“เย่เทียนเฉิน หยุดมือ นายต้องรู้ตัวว่านายกำลังทำอะไรอยู่!” ชางหลางมองเย่เทียนเฉิน พูดอย่างเคร่งเครียด

“เห้อ ฉันบอกแล้วว่าอย่าเข้ามา นายก็ไม่ฟัง ตอนนี้ถ้านายมองฉันฆ่า ลั่วซงเฉิงไปต่อหน้า เรื่องนี้นายก็คงจะหนีความผิดไม่พ้น ฉันเย่เทียนเฉิน ตลอดมาก็ทำคนเดียวรับคนเดียว ไม่อยากให้เกี่ยวพันไปถึงคนอื่น!” เย่เทียนเฉินมองชางหลาง ส่ายหัวพลางกล่าว

“ปล่อยลั่วซงเฉิงซะ อย่าทำให้กลายเป็นความผิดใหญ่!” ชางหลางพูดเตือนเย่เทียนเฉิน

“แบบนั้นไม่ได้หรอก ลูกสุนัขสองตัวตัวก็ตายไปแล้ว พ่อสุนัขก็เอาไว้ไม่ได้!”

“นาย นายต้องรู้ว่านี่ไม่เหมือนกัน…” ชางหลางมองเย่เทียนเฉินแล้วพูดอย่างร้อนรน

“ในสายตาของฉันไม่มีอะไรไม่เหมือนกัน ลูกสุนัขพ่อสุนัขฆ่าไปด้วยกันเลย!”

ในตอนนี้ กูตู๋อ๋างที่ยืนอยู่ข้างหนึ่งไม่ได้พูดอะไรเลยตั้งแต่ต้นจนกระทั่งตอนนี้ สถานการณ์เช่นในปัจจุบันนี้ เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี พูดตามเหตุผลแล้ว เขามีฐานะเป็นรองผู้บัญชาการกรมความมั่นคงสาธารณะ เห็นเย่เทียนเฉินลงมือฆ่าคนอย่างโหดเหี้ยม ก็ควรจะลงมือหยุดยั้งถึงจะถูก แต่ตอนนี้ไอสังหารของเย่เทียนเฉินรุนแรงมาก รุนแรงจนกูตู๋อ๋างไม่กล้าลงมือง่ายๆ

“รองผู้บัญชาการกูตู๋ ช่วย ช่วยด้วย…” ลั่วซงเฉิงรู้สึกได้ถึงความหวาดกลัว รู้สึกได้ถึงไอสังหารบนร่างกายของเย่เทียนเฉิน คนๆ นี้ไม่ได้ล้อเล่น แต่กล้าฆ่าเขาจริงๆ

“ไอ้สุนัขแก่ อย่าเห่าสิ รองผู้บัญชาการกูตู๋ช่วยแกไม่ได้หรอก เขาพังประตูบ้านของฉัน ฉันยังไม่ได้ให้เขาชดใช้เลย ตอนนี้ถ้าเขาออกหน้าช่วยเหลือแก่ แบบนั้นไม่ใช่ว่าล่วงเกินฉันเย่เทียนเฉินรึไง?” เย่เทียนเฉินมองไปยังกูตู๋อ๋างด้วยรอยยิ้มเย็นชาแล้วพูดขึ้น

ท้าทาย เย่เทียนเฉินพูดคำนี้ก็คือกำลังท้าทายกูตู๋อ๋าง ว่ากันตามจริง เย่เทียนเฉินไม่พอใจกูตู๋อ๋างอยู่บ้าง คนคนนี้หยิ่งยโสเกินไป แล้วยังผิดที่ถีบประตูคฤหาสน์ตระกูลเย่ของตนจนพัง จำเป็นต้องให้เขาชดใช้

“แก…เย่เทียนเฉิน ฉันให้โอกาสแกปล่อยนายพลลั่วไป ไม่งั้น…” กูตู๋อ๋าง ถูกประโยคนี้ของเย่เทียนเฉินทำให้โกรธ มองไปยังเย่เทียนเฉินด้วยสายตาโหดเหี้ยมแล้วพูดขึ้น

“ไม่งั้นจะเป็นยังไง? ฆ่าฉันเหรอ? ฉันว่านายไม่มีความสามารถแบบนั้นหรอก!” เย่เทียนเฉินพูดพลางยิ้มเย็น

“แก ดี แกปล่อยนายพลลั่วไป แล้วแกกับฉันมาสู้กันตัวต่อตัวเป็นไง?”

กูตู๋อ๋างกำหมัดแน่น นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาโดนคนอื่นดูถูก ครั้งที่แล้วที่จับเย่เทียนเฉินไม่ได้ ส่วนสำคัญเป็นเพราะการมาถึงของชางหลาง ไม่ใช่เพราะกูตู๋อ๋างกลัวชางหลาง แต่ชางหลางเป็นเหมือนตัวแทนของท่านหยางอี้ เขากูตู๋อ๋างย่อมไม่อาจมีปัญหากับหยางอี้ได้ มิฉะนั้นด้วยความสามารถของตนเอง ก็นับว่ามีมากกว่าเย่เทียนเฉินแล้ว ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาโดยเด็ดขาด

“นี่ไม่เรียกว่าสู้กันตัวต่อตัว ควรจะพูดว่าฉันอัดนาย!” เย่เทียนเฉินพูดยิ้มๆ

“หากแกรนหาที่ตาย ฉันก็จะทำให้แกสมปรารถนา!” กูตู๋อ๋างกัดฟันแน่น ทนไม่ได้ที่จะอัดเย่เทียนเฉินสุดแรงจนลงไปกองกับพื้น

“เอาสิ แต่ว่าก่อนหน้านั้น…”

“อย่า!”

ฉึก!

คำพูดของเย่เทียนเฉินยังไม่ทันจบก็ออกแรงที่มือขวา กิ่งไม้ในมือแทงทะลุไปไหนลำคอของลั่วงซงเฉิง ลั่วซงเฉิงสองตาเบิกกว้าง รู้สึกว่าตนเองหายใจไม่ได้ เลือดสดๆไหลออกมาตามกิ่งไม้ มือทั้งสองของเขากุมอยู่ที่หลอดลมของตน ส่งเสียงออกมาครั้งหนึ่งแล้วล้มลงไปบนพื้น

ชางหลางเห็นเย่เทียนเฉินจะลงมือฆ่าลั่วซงเฉิงจริงๆ ก็คิดจะลงมือห้าม แต่ก็ไม่มีโอกาสเช่นนั้น เย่เทียนเฉินลงมือเร็วเกินไป เขาทำได้เพียงตะโกนคำเดียว น่าเสียดายที่การตะโกนของเขาไม่อาจหยุดยั้งเย่เทียนเฉินไม่ให้ฆ่าสุนัขถ่อยไร้ยางอายเช่นลั่วซงเฉิงได้

“นาย…”

“แก…”

กูตู๋อ๋างและชางหลางเห็นเย่เทียนเฉินลงมือฆ่าลั่วซงเฉิงจริงๆ แม้ในใจจะเตรียมใจไว้แล้วแต่ก็ยังถูกทำให้ตะลึง ลั่วซงเฉิงเป็นนายพล ในกองทัพก็มีตำแหน่งที่สูงมาก เขาถึงกับถูกคนฆ่าไปแล้ว ถูกเย่เทียนเฉินฆ่าไปแล้ว ครั้งนี้ไม่เหมือนกับตอนที่ฉินอี้ตายโดยสิ้นเชิง เรื่องฉินอี้อาจพูดได้ว่าถูกเย่เทียนเฉินทำให้โกรธจนตาย แตกต่างกับการถูกเย่เทียนเฉินฆ่าโดยตรงแน่นอน อย่างน้อยก็นับว่าในทางกฎหมายหากสอบสวนลงมาความผิดของเย่เทียนเฉินก็ไม่รุนแรงขนาดนั้น

ส่วนครั้งนี้ เย่เทียนเฉินฆ่า ลั่วซงเฉิงด้วยมือของตน ตอนนี้ตระกูลลั่วถูกฆ่าล้างไปหมดแล้ว เรื่องตระกูลฉิน เรื่องตระกูลลั่ว เกิดขึ้นติดต่อกัน แล้วยังน่าสั่นสะท้านขึ้นเรื่อยๆ เย่เทียนเฉินทำให้ความหวาดกลัวในจิตใจของทุกคนถูกโจมตีจนพังทลาย สำหรับคนที่ชอบซุบซิบนินทาก็เกรงว่าจะถูกทำให้พังทลายไปแล้ว เป็นสถานการณ์ที่ยากจะเชื่อโดยสิ้นเชิง

“ตอนนี้ก็เงียบแล้ว กูตู๋อ๋าง นายจะชดใช้เรื่องประตูของฉันใช่ไหม? หรือจะให้ฉันอัดนายจนเละเป็นโจ๊ก?” เย่เทียนเฉินมองไปยังกูตู๋อ๋างแล้วพูดอย่างเรียบเฉย

“แก ไอ้หนู…ยังไงแกก็จะต้องตายอย่างแน่นอน งั้นให้ฉันจับแกด้วยมือแล้วกัน!” กูตู๋อ๋างยังคงอยู่ในความตกตะลึง ตั้งแต่ที่เขาได้เป็นรองผู้บัญชาการกรมความมั่นคงสาธารณะแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นคนบ้าบิ่นอย่างเย่เทียนเฉิน

“ไม่ต้องพูดจาไร้สาระพวกนั้นกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าครั้งที่แล้วนายจับฉันไม่ได้ ก็เลยไม่พอใจ ความจริงนายก็ถีบประตูบ้านของฉันพัง ฉันก็ไม่พอใจเหมือนกัน การต่อสู้ระหว่างพวกเราสองคนไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ มาเถอะ ถ้าฉันแพ้ก็จะไปกระทรวงความมั่นคงสาธารณะกับนาย ถ้านายแพ้ก็ชดใช้ค่าประตูคฤหาสน์ของบ้านฉันมาหนึ่งพันแปดร้อยหยวนก็พอแล้ว!” เย่เทียนเฉินพูดยิ้มๆ มองไปยังกูตู๋อ๋าง

“พวกนายสองคนหยุดนะ!” ชางหลางมองกูตู๋อ๋างและเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

“หึ ไอ้หนูนี่รนหาที่ตาย ฉันก็จะทำให้มันสมปรารถนา หรือนายกลัวว่าฉันจะฆ่ามัน?” กูตู๋อ๋างแค่นเสียงเย็นครั้งหนึ่ง มองไปยังชางหลางแล้วพูดขึ้น

ชางหลางไม่สนใจกูตู๋อ๋าง เดินไปเบื้องหน้าเย่เทียนเฉินแล้วพูดว่า “นายบุ่มบ่ามเกินไปแล้ว ฆ่าล้างตระกูลลั่วจนหมด เมื่อเทียบกับเรื่องตระกูลฉินแล้วยังน่ากลัวกว่า นายยังมีกะจิตกะใจไปประลองกับกูตู๋อ๋างอีกเหรอ? ไปเถอะ ไปหาท่านหยาง”

“สามพ่อลูกตระกูลลั่วนี้ ก็คือสุนัขสามตัว ถ้าปล่อยสุนัข น่ารังเกียจพวกนี้ไว้ คงจะผิดต่อชาวบ้านธรรมดามากยิ่งกว่า ฉันผดุงความยุติธรรมแทนฟ้า ส่วนเรื่องประตูคฤหาสน์ของบ้านฉัน จำเป็นต้องชดใช้มาถึงจะถูก” เย่เทียนเฉินส่ายหัวแล้วพูดยิ้มๆ

“นาย คำพูดนายก็พูดได้ไม่ผิด แต่นายต้องคิดถึงอำนาจของตระกูลลั่วด้วย แล้วยังมีอิทธิพลอีก นายทำให้ฉินอี้โมโหจนตาย บุคคลระดับสูงของประเทศไม่ปล่อยนายไปแน่ ครั้งนี้นายฆ่าลั่วซงเฉิง คนระดับสูงก็จะออกหน้าให้ลั่วซงเฉิง ไอ้หนูอย่างนายอยากตายจริงๆ หรือไง?” ชางหลางโกรธจนทนไม่ไหว พูดออกมาอย่างดุดัน

“เห้อ คุณพี่ชางหลางครับ ดูท่าหลายปีมานี้นายจะเป็นข้าราชการจนไม่มีความเป็นลูกผู้ชายเลยสักนิด ฉันเสียใจมาก อย่ามาขวางฉันเลย ฉันจะอัดกูตูอ๋างให้เละเป็นโจ๊ก!”

เย่เทียนเฉินทำท่าทางเสียใจเป็นอย่างมาก ตบไหล่ชางหลาง จากนั้นจึงเดินไปยังกูตู๋อ๋าง ชางหลางเกือบจะถูกทำให้โมโหจนแทบตายอยู่แล้ว เย่เทียนเฉินคนนี้ช่างทำให้เขาอับจนคำพูดจริงๆ ไม่รู้จริงๆ ว่าจะพูดอะไรดี ถึงกับกล้าบอกว่าตัวเองที่เป็นยอดฝีมือหนึ่งในสามราชันนักรบแห่งประเทศจีนไม่มีความเป็นลูกผู้ชายเลยเหรอ? ทุกคนจะต้องคิดเหมือนกับไอ้หนูอย่างนาย ทำให้ผู้มีอำนาจของตระกูลชั้นหนึ่งในเมืองหลวงโมโหจนตายทั้งเป็น แล้วบุกเข้าไปฆ่าล้างตระกูลใหญ่อย่างตระกูลลั่ว แบบนี้ถึงจะเรียกว่ามีความเป็นลูกผู้ชายงั้น หรือ? ชางหลางอดไม่ได้พี่จะคิดอยู่ในใจ

ผัวะ!

ครั้งนี้ เย่เทียนเฉินไม่ได้พูดอะไรมาก คำพูดเมื่อครู่พูดไปเยอะแล้ว ตอนนี้ก็ใช้การกระทำที่แท้จริงมาพิสูจน์ ปล่อยหมัดออกไปยังกูตู๋อ๋าง

เมื่อเผชิญหน้ากับหมัดอันรุนแรงเช่นนี้ของเย่เทียนเฉิน กูตู๋อ๋างอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง เพราะเย่เทียนเฉินดูเหมือนจะปล่อยหมัดออกมาง่ายๆ แต่กลับทำให้เขารู้สึกว่าไม่มีทางหลบได้ ราวกับหมัดนี้ของเขา ได้ปิดทางที่เขาคิดจะหนีไปเรียบร้อยแล้ว ช่างเป็นหมัดที่ร้ายกาจมากจริงๆ

ตู้ม!

ในเมื่อหลบไม่ได้ กูตู๋อ๋างก็ทำได้เพียงเข้าปะทะ ปล่อยหมัดออกไปถูกหมัดของเย่เทียนเฉิน เขาถูกกระแทกจนถอยออกมาสามก้าว เย่เทียนเฉินเองก็ถูกกระแทกถอยออกไปสามก้าวเช่นกัน นี่ไม่ได้ทำให้เย่เทียนเฉินตกใจอะไร กูตูอ๋างเป็นคนมีความสามารถ มีความสามารถพอๆ กับชางหลางที่เป็นหนึ่งในสามราชันนักรบแห่งประเทศจีน หากถูกเขาทำให้แพ้ง่ายๆแบบนี้ ก็ผิดต่อฟ้าดินแล้ว

เย่เทียนเฉินและกูตู๋อ๋างต่างก็จ้องมองอีกฝ่าย ไปก็ไม่กล้าลำพองใจ พวกเขารู้สึกได้ถึงความสามารถอันแข็งแกร่งของอีกฝ่าย หากประเมินต่ำไป คนที่แพ้ก็คือตนเอง การต่อสู้นี้ ไม่ว่าใครก็แพ้ไม่ได้จำเป็นต้องลงมือเต็มที่

“อ๊าก!”

ทันใดนั้นกูตู๋อ๋างตะโกนออกมา ในมือขวามีแสงสีทองปรากฏเล็กน้อย ออกหมัดพุ่งไปยังเย่เทียนเฉิน อีกฝ่ายขมวดคิ้ว ไม่กล้าเข้าปะทะอย่างรุนแรง เดินไปข้างหน้าหลายก้าว หมุนตัวพลิกกลางอากาศหลบหมัดของกูตู๋อ๋าง เเล้วจึงส่งฝ่ามือออกไปยังกูตู๋อ๋างกลางอากาศ ฝ่ามือนี้แฝงไปด้วยพลังพิเศษขอบเขตจอมราชัน

ตู้ม! หมัดของกูตู๋อ๋างอยู่กลางอากาศตกลงบนหินก้อนหนึ่งกลางบ้านตระกูลลั่วจนแตกเป็นเสี่ยงๆ เห็นได้ว่าหมัดนี้แฝงไปด้วยพลังภายในอันแข็งแกร่ง ซึ่งเป็นสีทอง

เสียงดังสนั่นฟ้า ชางหลางอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เห็นเย่เทียนเฉินตบฝ่สมือไปทางกูตู๋อ๋างกลางอากาศ กูตู๋อ๋างยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน ปล่อยฝ่ามือปะทะเข้าไปเช่นเดียวกัน ฝ่ามือทั้งสองปะทะกันจนฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่ว ก้อนหินบริเวณรอบตัวกูตู๋อ๋างหนึ่งเมตรล้วนแตกเป็นเสี่ยงๆ ขาทั้งสองของเขาจมลงไปลึกสิบเซนติเมตร…

……

การฆ่าคน แต่ไหนแต่ไรเย่เทียนเฉินก็ไม่เคยฆ่าคนแบบหลบๆ ซ่อนๆ และไม่เคยปิดบัง นั่นไม่ใช่นิสัยของเย่เทียนเฉิน ในจุดนี้เขาเหมือนกับอู๋เสวี่ยที่เป็นนักฆ่าอันดับหนึ่งของเมืองหลวง ก่อนฆ่าคนจะต้องประกาศให้อีกฝ่ายรู้ ให้จัดเตรียมเรื่องราวหลังจากนี้ให้ดี จากนั้นค่อยฆ่า การกระทำเปิดเผยตรงไปตรงมาเป็นวิสัยของยอดฝีมือ

เย่เทียนเฉินยืนอยู่ใจกลางของบ้านตระกูลลั่ว มองไปยังคฤหาสน์ฝั่งตรงข้ามที่อยู่ไม่ไกลที่ยังคงมีแสงไฟสว่างอยู่ เขาย่อมรู้แน่นอนอยู่แล้วว่าลั่วซงเฉิง ลั่วกวงฮุยและลั่วฉี สามพ่อลูกอยู่ที่นั่น ตอนนี้เย่เทียนเฉินที่พลังพิเศษไปถึงขอบเขตจอมราชันเรียบร้อยแล้ว พลังพิเศษแห่งการรับรู้ ไม่ทราบว่าแข็งแกร่งมากกว่าเดิมกี่เท่า เขาไม่ได้พุ่งเข้าไปฆ่าสามพ่อลูกนี้โดยตรง เพราะในสายตาของเขา สุนัขถ่อยสามตัวนี้ ในเมื่อเป็นสุนัขก็ต้องโผล่ออกมารับความตายด้วยตัวเอง มีใครบ้างที่ฆ่าสุนัขตัวหนึ่งแล้วยังต้องเปลืองเท้าให้มากมายอีก?

เดิมทีสามพ่อลูกตระกูลลั่วนี้กำลังกินดื่มอยู่ในห้องโถงของคฤหาสน์ เมื่อได้ยินเสียงปืนก็ตกใจจนอดรนทนไม่ไหว คิดว่าทำไมถึงได้มีเสียงปืนกัน? หรือว่ามีคนกล้าบุกเข้ามาที่บ้านตระกูลลั่วของเขาด้วย?

ไหนเลยจะรู้ว่า ในตอนที่สามพ่อลูกกำลังวางแก้วเหล้าลงและออกไปดู ก็ได้ยินเสียงของเย่เทียนเฉิน ทันใดนั้นทั้งสามมีสีหน้าซีดเทาราวคนตาย มีท่าทางไม่อยากจะเชื่อโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะลั่วกวงฮุยที่เดิมทีใจกล้าเป็นอย่างมาก ตอนนี้เมื่อได้ยินเสียงของเย่เทียนเฉิน ตกใจจนก้นกระแทกลงบนโซฟา

“มะ มะ ไม่ดีแล้ว เย่เทียนเฉิน มะ มาแล้ว…” ลั่วกวงฮุยตกใจจนพูดติดอ่าง

“ไม่ เป็นไปไม่ได้ ไอ้ลูกเต่านั่นทำความผิดร้ายแรงขนาดนี้ แล้วจะยังกล้าปรากฏตัวได้ยังไง ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วเหรอ?” ลั่วฉีเองก็พูดอย่างตกใจ

สีหน้าของลั่วซงเฉิงไม่น่าดูเป็นอย่างมาก ในใจของเขามีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี เป็นเย่เทียนเฉินมาจริงๆ เย่เทียนเฉินมาฆ่าพวกเขาสามพ่อลูกแล้ว นี่มันคือปีศาจ เป็นอะไรที่ไม่สามารถคาดเดาได้จากเหตุผลปกติ เป็นเทพแห่งความตายที่ไม่สามารถใช้กฎหมายและอำนาจไปบังคับควบคุมได้ เป็นคนที่ทำตามหลักการโดยไม่สนใจตัวคน

“พวกแกจะตกใจอะไรกัน เป็นไอ้เลวเย่เทียนเฉินนั้นไปไม่ได้หรอก ต่อให้เป็นมัน ฉันก็จะดูซิว่ามันจะทำอะไรได้ ฉันจะคอยดู ว่ามันจะกล้าฆ่าฉันจริงๆ หรือเปล่า!” เสียงของลั่วซงเฉิงไม่เบานัก

ความจริงแล้วในใจของลั่วซงเฉิงก็สั่นไหวเป็นอย่างมาก เขาในตอนนี้คิดไม่ตกว่า เย่เทียนเฉิน คนนี้เป็นเทพแห่งความตายหรือเป็นปีศาจกันแน่ เพิ่งจะก่อความผิดใหญ่หลวงไป แล้วยังเป็นตระกูลฉินซึ่งเป็นตระกูลชั้นหนึ่งของเมืองหลวง ไม่ยอมหลบอยู่ใต้หยางอี้ดีๆ ยังถึงกับกล้าปรากฏตัวออกมา แล้วยังกล้ามาก่อเรื่องที่ตระกูลลั่วของเขาอีก ไม่กลัวตายเลยหรือไง?

นอกจากนี้ในสายตาของลั่วซงเฉิง ต่อให้เย่เทียนเฉินมาแล้วเป็นอย่างไร หรือเขาจะยังกล้าฆ่าตนเองสามพ่อลูกจริงๆ? กล่าวตามจริง ลั่วซงเฉิงไม่เชื่อ เขาไม่เชื่อว่าเย่เทียนเฉินจะมีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวขนาดนี้ ต่อให้เป็นตอนที่เขาบุกตระกูลฉิน ก็กล้าฆ่าแค่ฉินเหิงและอัดฉินเทาหยวนอย่างแรงเท่านั้น ส่วนฉินอี้เขาไม่กล้าลงมือ คิดๆ ดูแล้วคนที่ซวยที่สุดก็คือฉินอี้ ถึงกับถูกเย่เทียนเฉินทำให้โกรธจนโรคหัวใจกำเริบตาย คราวซวยมาถึงตัวจริงๆ

“ลั่วซงเฉิง ลั่วกวงฮุย ลั่วฉี สุนัขสามตัวอย่างพวกแกยังไม่ออกมาอีก? ถ้ารอให้ฉันเข้าไป คงไม่ทำให้พวกแกตายสบายขนาดนั้นแล้ว!” เย่เทียนเฉินหาวครั้งหนึ่ง จุดบุหรี่ขึ้นสูบมวนหนึ่ง จากนั้นจึงตะโกนต่อไป

ทั่วทั้งบ้านตระกูลลั่ว ถูกเขตแดนปิดกั้นของเย่เทียนเฉินคลุมไว้หมดแล้ว ด้วยเหตุนี้กูตู๋อ๋างและชางหลางที่อยู่ด้านนอกจึงรู้สึกแปลกใจมาก เพราะหากพูดตามเหตุผลแล้ว เย่เทียนเฉินบุกเข้าไปในตระกูลลั่ว จะต้องมีเสียงต่อสู้ ต้องมีเสียงปืนถึงจะถูก ตอนนี้พวกเขาอยู่ด้านนอกราวๆ สิบนาทีแล้ว ถึงกับไม่ได้ยินเสียงจากด้านในของบ้านตระกูลลั่วแม้แต่น้อย นี่ทำให้รู้สึกสงสัยมากจริงๆ

“ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” ชางหลางอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว

“ฮ่าๆ ดูท่าเย่เทียนเฉินจะโง่จริงๆ ลูกน้องคนสนิทของลั่วซงเฉิงพวกนั้น ในมือของทุกคนล้วนมีอาวุธอยู่ เขาเข้าไปแบบนี้จะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย นายไม่ต้องคิดหรอก เขาฆ่าหลานทั้งสองของตระกูลลั่ว ลั่วซงเฉิงจะปล่อยเขาไปหรือไง? เย่เทียนเฉินต้องตายแน่นอน!”กูตู๋อ๋างพูดพลางยิ้มเย็นชา

ชางหลางมองกูตู๋อ๋าง ไม่ได้พูดอะไรออกไป แต่ยืนขึ้นมา วิ่งไปทางบ้านตระกูลรั่วอย่างรวดเร็ว เขาไม่ได้กังวลว่าเย่เทียนเฉินจะตาย เพราะความสามารถของคนๆ นี้กระทั่งเขาก็ยังมองไม่ออก สิ่งที่เขากังวลที่สุดก็คือเย่เทียนเฉินจะเปิดฉากฆ่าครั้งใหญ่จริงๆ จะฆ่าล้างตระกูลลั่ว เช่นนั้นก็จะครึกโครมขึ้นมาจริงๆแล้ว

เมื่อเห็นชางหลางวิ่งไปยังบ้านตระกูลลั่วด้วยความเร็ว กูตู๋อ๋างก็ชะงักไปครู่หนึ่งแล้วรีบตามไป เขาอยากจะเอาชนะชางหลาง แล้วอยากจะสั่งสอนเย่เทียนเฉินสักหน่อย จะยอมล้าหลังได้อย่างไร

ในตอนนี้ ลั่วซงเฉิง ลั่วกวงฮุยและลั่วฉี สามพ่อลูกเดินออกมาจากห้องโถงของคฤหาสน์ มาถึงบริเวณส่วนกลางของบ้านตระกูลลั่ว เห็นเย่เทียนเฉินนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง สูบบุหรี่อย่างสบายใจ ฮัมเพลงเป็นระยะ สบายอกสบายใจเป็นอย่างมาก ไม่เหมือนกับว่าจะมาฆ่าคนเลยสักนิด รอบด้านเต็มไปด้วยทหารที่นอนร้องโอดโอยอยู่บนพื้น สามพ่อลูกมองจนปากอ้าตาค้าง

“เย่เทียนเฉิน แกก็มาก่อเรื่องที่ตระกูลลั่วของฉัน ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่ไหม?” ลั่วซงเฉิงมองเย่เทียนเฉิน พูดอย่างโหดเหี้ยม

“คนที่จะตายคือพวกแกไม่ใช่ฉัน!” เย่เทียนเฉินพูด มองไปยังลั่วซงเฉิงอย่างเย็นชา

“แก…แกไม่คิดว่าตัวเองจะโอหังเกินไปหน่อยเหรอ เรื่องตระกูลฉินยังไม่ทันแก้ไข ก็กล้ามาก่อนเรื่องที่ตระกูลลั่วของฉัน แกคิดว่าไม่มีใครก็ทำอะไรแกจริงๆ งั้นหรือ?”

“ความจริงฉันคิดว่าตัวเองไม่ได้โอหังเลยสักนิด กลับออกจากถ่อมตัวด้วยซ้ำ เพียงแค่มาฆ่าสุนัขสามตัวก็เท่านั้น จะต้องตะโกนแบบนี้เลยเหรอ? เห้อ ต้องโทษฉัน ดูท่าทางฉันจะเด็กเกินไป!” เย่เทียนเฉินส่ายหัวซึ่งทำท่าเสียใจจนน้ำตาไหลแล้วพูดออกมา

“แก แกว่าใครเป็นสุนัข แกพูดอีกทีซิ?” ลั่วกวงฮุยเดินไปเบื้องหน้าเย่เทียนเฉิน ใช้นิ้วชี้มือขวาชี้ไปที่เย่เทียนเฉินแล้วตะโกนออกมา

เย่เทียนเฉินมองลั่วกวงฮุยอย่างไม่พอใจ ค่อยๆ ยืนขึ้น บิดขี้เกียจครั้งหนึ่ง แล้วตบลงไปบนหน้าขอลั่วกวงฮุยจนตัวสะบัด เกือบจะล้มลงไปบนพื้นอยู่แล้ว

การกระทำนี้ทำให้ลั่วซงเฉิงและลั่วฉีไม่กล้าเชื่อ โดยเฉพาะลั่วซงเฉิง เขาอดรนทนไม่ไหวที่จะฉีกศพเย่เทียนเฉินออกเป็นหมื่นชิ้น จะอย่างไรตนเองก็เป็นผู้ที่อาวุโสกว่า เย่เทียนเฉินเป็นเด็กรุ่นหลัง มาตบหน้าลูกชายของตนต่อหน้าต่อตาตนเอง นี่ไม่ใช่ว่าเป็นการตบหน้าเขาต่อหน้าผู้คนหรือ? ยังเห็นตนอยู่ในสายตาบ้างหรือเปล่า?

อย่างไรก็ตาม ลั่วซงเฉิงกลับไม่รู้ว่า เย่เทียนเฉินไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาจริงๆ เพียงแต่เห็นเขาเป็นสุนัขตัวแก่หนึ่งที่นนิสัยถถ่อสถุลไร้ยางอายไม่ควรเคารพก็เท่านั้น

“แก…แกคิดจะก่อกบฏหรือไง?”

ลั่วซงเฉิงโกรธจนดวงตาทั้งสองแดงก่ำ หน้าผากปรากฏเส้นเลือดสีเขียว เขาในตอนนี้เพิ่งจะเข้าใจว่า ทำไมฉินอี้ถึงได้ถูกทำให้โมโหจนตาย เป็นเพราะเมื่ออยู่ต่อหน้าเย่เทียนเฉิน ต่อให้คุณวางมาดยิ่งใหญ่แค่ไหน ใช้อำนาจคุกคามแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ เขาไม่เห็นคุณอยู่ในสายตาเลย คิดอยากจะตีคุณก็ตี โดยไม่สนใจว่าคุณจะเป็นใคร แค่ไปหาเรื่องเขาเท่านั้น

กรอบ!

เมื่อเจอกับเสียงเห่าหอนของสุนัขแก่อย่างลั่วซงเฉิง เย่เทียนเฉินก็ไม่พูดอะไรมาก ตรงเข้าไปบีบคอลั่วฉีจนได้ยินเสียงดังกรอบขึ้นครั้งหนึ่ง ดวงตาทั้งสองของลั่วฉีเบิกกว้าง กระอักเลือดออกมา ทั้งร่างกายล้มลงไปชักกระตุกอยู่บนพื้น

“ แก…ไม่กลัวกฎหมายไม่กลัวสวรรค์จริงๆ…” ลั่วซงเฉิงเห็นลูกชายคนที่สองของตนถูกเย่เทียนเฉินฆ่าตายไปแบบนี้ ทำท่าทางเรากับจะพุ่งเข้าไปสู้กับเย่เทียนเฉินสุดชีวิต

“อย่าตะโกนสิ รออีกเดี๋ยวค่อยเก็บกวาดสุนัขชราอย่างแก” เย่เทียนเฉินไม่มองลั่วซงเฉิงเลยแม้แต่น้อย พูดไปพลางเดินเข้าไปหาลั่วกวงฮุย

เมื่อกล่าวจบ เย่เทียนเฉินก็เดินเข้าไปหาลั่วกวงฮุย ไม่สนใจสายตาที่ราวกับจะกินคนของลั่วซงเฉิงเลยสักนิด เดิมทีเขาก็มาเพื่อฆ่าสุนัขสามตัวนี้อยู่แล้ว ในเมื่อสุนัขสามตัวออกมาแล้วก็เริ่มฆ่าเลยเถอะ มีอะไรให้ต้องลังเลกัน? หากปล่อยสุนัขแบบนี้ไว้ก็จะไปทำร้ายคนอีกมากมาย

“แก แกคิดจะทำอะไร?” ลั่วงกวงฮุยถูกเย่เทียนเฉินทำให้ตกใจจนหน้าเขียว บนหน้าผากมีเหงื่อเย็นๆ ซึมออกมา เดินถอยหลังไปทีละก้าวทีละก้าว พูดออกมาอย่างติดๆ ขัดๆ

“ทำอะไร? ลูกชายของแกสองคนบอกว่าไม่มีไพ่พิชิตแลนด์ลอร์ด ตะโกนบอกให้ฉันส่งไปให้ละมั้ง…” เย่เทียนเฉินพูดยิ้มๆ

“แก…”

“หยุดนะ!” ลั่วซงเฉิงรีบตะโกน ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว เย่เทียนเฉินเป็นคนที่ขวางไม่ได้ ต่อให้เป็นเทพเซียนก็อับจนหนทางกับเขา

ตู้ม!

เพียงครั้งเดียว เย่เทียนเฉินเพียงใช้ขาถีบลั่วกวงฮุยจนกระเด็น กระดูกหน้าอกทั้งหมดหักอย่างรุนแรง กระทั่งหัวใจก็ถูกถีบจนแหลก ล้มลงบนผืน โอกาสที่จะกรีดร้องออกมาก็ไม่มี ดับลมหายใจไปแล้ว

“แก แก…” ลั่วซงเฉิงโกรธจนพูดอะไรไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว ฉากนี้กะทันหันเกินไป ลูกชายของตนทั้งสองตายไปต่อหน้าต่อตาเขาแบบนี้ ทำร้ายจิตใจของเขามากเกินไปจริงๆ

หลังจากที่เย่เทียนเฉินฆ่าลั่วฉีและลัวกวงฮุย ก็เดินไปยังลั่วซงเฉิง ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มไม่เป็นพิษเป็นภัย พูดขึ้นมาว่า

“รู้ไหมว่าทำไมถึงเหลือชีวิตสุนัขของแก? เพราะฉันต้องการให้แกได้เห็นว่าถ่าเลี้ยงลูกแบบไม่สั่งสอนจะมีผลอะไร ใช้อิทธิพลรังแกคนอื่น ใช้อำนาจบาตรใหญ่รังแกคนอ่อนแอจะต้องได้รับผลตอบแทน แกคิดว่าอำนาจของตระกูลลั่วยิ่งใหญ่มากเลยรังแกคนได้ตามใจงั้นหรือ? แกคิดว่าคนตระกูลลั่วของแกยิ่งใหญ่นักเลยไม่สนใจอะไรงั้นเหรอ? ฉันจะบอกแกให้ ความจริงแล้วกระทั่งมดบนพื้นแกก็ไม่ควรไปหาเรื่อง ซึ่งฉันก็คือมดตัวนั้นในสายตาของแก…”

“แก ฉะ ฉะ ฉันจะต้องฆ่าแกแน่ ไอ้เดรัจฉาน!” ลั่วซงเฉิงตระกูลเสียงดังราวกับฟ้า

“ฉันตายไม่ได้ คนที่จะตายคือแก คือสุนัขสามตัวของตระกูลลั่วอย่างพวกแก จะดูซิว่าลูกชายทั้งสองของแกก็ตายไปหมดแล้ว แกอยู่ต่อไปก็ไม่มีความหมายอะไร ลงไปอยู่เป็นเพื่อนพวกเขาเถอะ!”

“แก…”

ลั่วซงเฉิงพูดอะไรไม่ออก คอของเขาถูกเย่เทียนเฉินใช้กิ่งไม้เล็กๆ ค้ำเอาไว้ ขอเพียงเย่เทียนเฉินใช้แรงเบาๆ ลั่วซงเฉิงก็สิ้นชีพ

“หยุดมือ เย่เทียนเฉิน หยุดเดี๋ยวนี้!” ตอนนี้เองชางหลางพุ่งเข้ามา เห็นศพของลั่วกวงฮุยและลั่วฉี จึงสูดหายใจเย็นยะเยือกโดยพลัน มองไปยังเย่เทียนเฉินที่ต้องการฆ่าลั่วซงเฉิงจริงๆ จึงรีบตะโกนออกมาเสียงดัง

……….

เกรงว่าใครหลายคนจะคิดไม่ถึงหรือกระทั่งไม่กล้าคิด ต่อให้คิดก็ไม่กล้าเชื่อว่าจะเป็นจริง เย่เทียนเฉินเพิ่งจะก่อเรื่องที่ตระกูลฉิน ฆ่าฉินเหิง ทำให้ฉินอี้โมโหจนตาย ก่อเรื่องที่เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่คับฟ้า เป็นไปได้มากกว่าจะตายโดยไม่มีที่ฝัง ไม่ต้องพูดถึงเรื่องจะทำอะไรอีกเลย กระทั่งหน้าก็ไม่ควรจะเสนอออกมาถึงจะถูก ใครจะไปคิดว่าคืนนี้ เย่เทียนเฉินจะถึงกับไปฆ่าคนอีกครั้ง

หลังจากคลื่นลูกหนึ่งก็จะมีคลื่นอีกลูกหนึ่งเกิดขึ้น ในเมื่อก่อเรื่องไปแล้วไม่สู้ก่อเรื่องให้มันยิ่งใหญ่คับฟ้าไปเลย กำจัดปัญหาเรื้อรังเหล่านี้ให้หมดสิ้นไป ฆ่าหนึ่งคนเพื่อเตือนร้อยคน เย่เทียนเฉินไม่ใช่คนที่ทำอะไรอืดอาดยืดยาด หากเป็นเรื่องที่ตัดสินใจไปแล้วก็จะทำ วันนี้สามพ่อลูกตระกูลลั่วถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องรอความตาย

เย่เทียนเฉินเดินทอดน่องไปบนถนน มุมปากคาบบุหรี่เอาไว้มวนหนึ่ง สองมือล้วงอยู่ในกระเป๋า อยู่ในลักษณะท่าทางอันเป็นเอกลักษณ์ของเขา เขาชอบความรู้สึกแบบนี้มาก เดินตรงไปยังบ้านตระกูลลั่วทีละก้าวทีละก้าว

ในตอนนี้ ภายในห้องโถงของคฤหาสน์บ้านตระกูลลั่ว สามพ่อลูกตระกูลลั่วอันได้แก่ ลั่วซงเฉิง ลั่วกวงฮุยและลั่วฉี ไม่ได้ฉลองกันอย่างสนุกสนานอีกต่อไป เพราะวันนี้พวกเขาได้รับผลประโยชน์มาก ทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะนำเรื่องที่เย่เทียนเฉินบุกเข้าไปฆ่าคนในตระกูลฉินและทำร้ายฉินอี้ ประกาศออกไปแก่สาธารณชนทั้งหมด

แน่นอนว่าสามพ่อลูกตระกูลลั่วบรรยายเย่เทียนเฉินจนเป็นอันธพาลคนหนึ่ง เป็นคนบ้าคนหนึ่งโดยสิ้นเชิง ฆ่าคนโดยไม่สนใจถูกผิด อีกทั้งยังเรียกร้องให้ประชาชนเกลียดชังเย่เทียนเฉิน เพื่อให้ประเทศลงโทษเขาตามกฎหมาย พยายามให้สาธารณชนกดดันเย่เทียนเฉินทุกอย่าง

“พ่อ วันนี้ผมส่งคนออกไปแล้ว ประกาศออกไปทั่วทุกถนนหนทาง ทำให้ความโกรธแค้นของผู้คนระเบิดออกมาก่อน!” ลั่วกวงฮุยเอ่ยปากอย่างโหดเหี้ยม

“ผมเองก็ประกาศออกไปผ่านทางสื่อและอินเทอร์เน็ต ในอินเตอร์เน็ตมีคนด่าเย่เทียนเฉินเป็นจำนวนมากแล้ว นอกจากนี้ยังเรียกร้องให้เบื้องบนลงโทษเขาอย่างแรงด้วย!”ลั่วฉีเองก็กล่างพลางหัวเราะอย่างโหดเหี้ยม

“ดีมาก ตอนนี้พวกเราก็ต้องสร้างเรื่องต่อไป ฉันไม่เชื่อว่าหยางอี้จะคุ้มกันเย่เทียนเฉินที่ทำเรื่องไม่ดีมาโดยไม่สนใจคนรอบข้าง!” ลั่วซงเฉิงพูดเสียงเข้ม

“ฉันจะต้องทำให้เย่เทียนเฉินมันตายให้ได้ ต้องแก้แค้นเหลยเอ๋อร์และเทาเอ๋อร์!” ลั่วซงเฉิงพูดพลางกําหมัดแน่น

“พี่ พี่วางใจเถอะ พรุ่งนี้เย่เทียนเฉินจะต้องตายแน่ ต่อให้มีปีกก็บินหนีไปไม่ได้” ลั่วฉีพูดพลางมองไปยังลั่วกวงฮุย

“ทำให้เกิดความกดดันของสาธารณชนซะก่อน ตอนนั้นพวกเราค่อยติดต่อเฉินเซิง ให้เขาส่งคนไปจับกุมเย่เทียนเฉิน แล้วก็ให้ฆ่าเขาโดยตรง จากนั้นเราบอกว่าเย่เทียนเฉินถูกขังอยู่ ก็แก้ปัญหาทั้งหมดได้แล้ว!” ลั่วซงเฉิงพูดอย่างโหดเหี้ยม

“ดี!”

“ดี!”

สามพ่อลูกตระกูลลั่ว เริ่มชนแก้วเหล้ากัน รู้สึกยินดีมาก เพราะว่าพวกเขาหาวิธีทำลายเย่เทียนเฉินอย่างลับๆ ได้แล้ว คิดว่าทำแบบนี้จะสามารถกำจัดเข้าไปได้ จะไม่ให้กระตือรือร้นได้อย่างไร แต่ว่าพวกเขากลับไม่รู้ว่าเย่เทียนเฉินมาเยือนแล้ว คืนนี้พวกเขาสามพ่อลูกถูกกำหนดให้ตาย

ไม่ไกลจากบ้านตระกูลลั่ว เย่เทียนเฉินสูบบุหรี่ มุมปากประดับไปด้วยรอยยิ้ม นั่งอยู่บนก้อนหินก้อนหนึ่ง มองไปยังคฤหาสน์ตระกูลลั่วที่ยังคงสว่างไสวไปด้วยแสงไฟ เขาได้กางพลังพิเศษแห่งการรับรู้ของเขานานแล้ว สามารถสัมผัสได้ถึงสามพ่อลูกที่กำลังดื่มเหล้าพูดคุยกันอยู่ในคฤหาสน์ ดูท่าทางอารมณ์ของพวกเขาจะไม่เลวนะ

ฟู่!

บุหรี่ในมือขวาของเย่เทียนเฉินถูกดีดออกไป เขายืนขึ้นเตรียมจะทำการเคลื่อนไหว เขารู้ว่าบ้านตระกูลลั่วมีบอดี้การ์ดคุ้มกันอยู่ ทั้งหมดเป็นบอดี้การ์ดติดอาวุธ แต่ถ้าเขาต้องการจะฆ่าคนก็เกรงว่าใครก็หยุดเขาไม่ได้ โดยเฉพาะคนถ่อยอย่างสามพ่อลูกนี้ หากไม่ฆ่าก็ไม่สามารถทำให้ความโกรธของตนสงบลงได้

ไหนเลยจะรู้ว่า เย่เทียนเฉินเพิ่งจะยืนขึ้นเตรียมเดินไปยังบ้านตระกูลลั่ว เงาร่างสายหนึ่งพุ่งออกมาจากข้างๆ ความจริงแล้วเขารับรู้ได้ว่ามีคนล้อมตนเองอยู่นานแล้ว ทั้งยังมียอดฝีมืออยู่คนหนึ่งอีกด้วย เพียงแต่เย่เทียนเฉิน ไม่อาจสัมผัสได้ถึงไอสังหารบนร่างของยอดฝีมือคนนั้น

“เย่เทียนเฉิน นายจะทำอะไร?” เงาร่างที่พุ่งออกมาขวางหน้าเย่เทียนเฉินแล้วกล่าวถาม

“ชางหลาง เรื่องนี้นายไม่ต้องสนใจหรอก ฉันจัดการสามพ่อลูกตระกูลลั่วแล้วก็จะออกมา”เย่เเทียเฉินพูดอย่างเรียบเฉย

“อะไรนะ? นายจะฆ่าสามพ่อลูกตระกูลลั่ว?”

ชางหลางไม่กล้าจะเชื่อหูตัวตนเองเลยจริงๆ เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเย่เทียนเฉินจะมาเพื่อฆ่าสามพ่อลูกตระกูลลั่ว หยางอี้ส่งชางหลางติดตามเย่เทียนเฉินมา ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ไปก่อเรื่องอะไรอีก จนกระทั่งเย่เทียนเฉินเดินมุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์ตระกูลลั่ว ชางหลางจึงรู้สึกว่ามีอะไรไม่ถูกต้อง จึงปรากฏตัวออกมาหยุดเอาไว้ จะอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะถึงกับมีใจคิดจะฆ่า ต้องการกำจัดสามพ่อลูกตระกูลลั่ว เรื่องนี้ช่างทำให้ผู้คนต้องสั่นสะท้านจริงๆ

“นาย นายรู้ไหมว่ากำลังพูดอะไรอยู่ จะทำอะไร?” ชางหลางเลยถามอย่างตกตะลึง

“รู้สิ ก็ไอ้สุนัขถ่อยสามตัวนั้นไง สุนัขแบบนี้จะไปฆ่ามันซะ เมื่อก่อนที่ฉันไม่อยากฆ่าก็เพราะรู้สึกว่าฆ่าไม่ลง ตอนนี้ดูแล้วไม่ฆ่าไม่ได้!”เย่เทียนเฉินยังคงเปิดปากพูดอย่างเย็นชา

“เย่เทียนเฉิน มีสติหน่อย แม้ว่าอำนาจอิทธิพลของลั่วจะยิ่งใหญ่สู้ตระกูลฉินไม่ได้ แต่ก็ไม่อาจฆ่าได้ตามใจชอบ ตำแหน่งฐานะของลั่วซงเฉิงไม่ได้ต่ำต้อยเลย หากว่านายฆ่าเขา…นาย หากเป็นคนธรรมดานายก็จะถูกจับไปแล้ว อีกอย่าง…อีกอย่างนายเพิ่งจะก่อเรื่องใหญ่ที่ตระกูลฉินไป ยังไม่ทันสงบลง นายก็จะก่อเรื่องอีกแล้ว จะไปถึงจุดที่คนอื่นรับไม่ได้เอา นายจะพอใจเหรอ?”

เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน ชางหลางก็แทบจะทรุด ไม่รู้จริงๆว่าจะพูดอะไรดี เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเย่เทียนเฉินจะถึงกับต้องการฆ่าสามพ่อลูกตระกูลลั่วในตอนนี้ ช่างทำให้ผู้คนคิดไม่ถึงเลยจริงๆ

จินตนาการได้เลยว่า เย่เทียนเฉินนเพิ่งจะไปก่อเรื่องที่ตระกูลฉิน ซึ่งดูเหมือนจะเป็นความผิดใหญ่ที่อยากจะทำให้สงบลงได้ ตอนนี้เขาก็ต้องการฆ่าสามพ่อลูกตระกูลลั่วอีกแล้ว นี่ไม่ใช่ว่าหาเรื่องตายเหรอไง? จะกระโดดเข้ากองไฟด้วยตัวเองเลยหรือ? เกรงว่าในโลกนี้คนที่ทำเรื่องแบบนี้คงมีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นแล้ว กระทั่งทำให้ชางหลางเกิดความสงสัยว่า เย่เทียนเฉินคนที่ถูกเรียกว่าเป็นตัวตลกของทั่วทั้งเมืองหลวงคนนั้น และคนงี่เง่าไม่เอาไหนของตระกูลเย่คนนั้น กลับมาอีกครั้งแล้วใช่หรือไม่?

ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามหากไปก่อเรื่องที่ตระกูลฉิน หลังจากที่ทำความผิดคับฟ้านี้แล้ว หากว่ากันตามเหตุผล จะต้องหนีไปจากเมืองหลวง หลบซ่อน หรือไม่ก็หนีออกนอกประเทศ อย่างน้อยก็หายตัวไปสักพักไม่ใช่เหรอ?

มีเพียงเย่เทียนเฉินคนเดียว ไม่เพียงไม่อยู่เงียบๆ กลับยังก่อเรื่องต่อไปอีก ก่อเรื่องใหญ่ต่อไปอีก ชางหลางไม่เข้าใจเลยจริงๆ ทำไมบนโลกใบนี้ถึงมีคนอย่างเย่เทียนเฉินอยู่ด้วย ไม่รู้ว่าจะบอกว่าเจ้าโง่นี่หาเรื่องตาย หรือบอกว่าใจกล้าเด็ดเดี่ยวดี

“นายพูดผิดแล้ว หากคนธรรมดา ฉันไม่สนใจหรอก ยังไงซะพวกเขาก็ใช้ชีวิตอยู่ไม่ง่ายเลย แต่สามพ่อลูกนี้ หากคนแบบนี้มีชีวิตอยู่บนโลกนี้ต่อไป ไม่รู้ว่าจะทำลายคนธรรมดามากน้อยแค่ไหน นี่เป็นเหตุผลที่ฉันจะฆ่าพวกเขา แน่นอนว่า ฉันเองก็มีความคิดเล็กน้อยเป็นของตัวเอง สามพ่อลูกตระกูลลั่วก็เหมือนกับงูพิษ ตอนที่ตีมัน มันก็มุดรูหนี แต่ถ้าไม่ตี ก็ไม่แน่ว่าจะกัดนาย ยุ่งยากเหลือเกิน ดังนั้นถึงต้องฆ่าซะ!” เย่เทียนเฉินส่ายหน้ามองไปชางหลางแล้วพูดขึ้น

“ไม่ได้ แล้วทำแบบนี้ไม่ได้ หากว่านายฆ่าสามพ่อลูกนี้อีกล่ะก็ จะเป็นการรนหาที่ตายอย่างแท้จริง!” ชางหลางกางแขนทั้งสองขวางเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

“ช่วยไม่ได้ เรื่องที่ฉันตัดสินใจไปแล้วใครก็เปลี่ยนไม่ได้ หากนายไม่หลีกทางให้ พวกเราก็คงต้องสู้กันเท่านั้น หากหยุดฉัันไว้ได้ วันนี้ฉันก็จะไม่ฆ่าสามพ่อลูกนั่น…” เย่เทียนเฉินพูด มุมปากปรากฏรอยยิ้ม

สู้กับชางหลางเป็นสิ่งที่เขารอคอยมาตลอด เขาสามารถรู้สึกได้ว่าพลังต่อสู้ของตนเองในปัจจุบันนี้ หากต้องการชนะชางหลางนั้นไม่ง่ายเลย อย่างมากทั้งสองก็ทำได้เพียงสู้เสมอกันเท่านั้น คนคนนี้ไม่เสียทีที่เป็นหนึ่งในสามราชันนักรบแห่งประเทศจีน หากต้องการชนะเขาไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย

“ได้ ฉันจะสู้กับนาย!”

ชางหลางมึงจะพูดจบ มือขวากำแน่น ซัดหมัดโจมตีไปยังเย่เทียนเฉินด้วยความเร็วอย่างหาที่เปรียบมิได้ มีพลังรุนแรงเป็นอย่างมาก สั่นสะเทือนไปถึงต้นหญ้าบริเวณขา

ตู้ม!

หมัดชางหลางต่อยถูกต้นไม้ใหญ่ด้านหลังเย่เทียนเฉิน ทำให้ลำต้นของต้นไม้ใหญ่นั้นทะลุ แต่ที่เดิมที่เย่เทียนเฉินอยู่เหลือทิ้งไว้เพียงแค่เงา พุ่งเข้าไปยังบ้านตระกูลลั่วด้วยความเร็วสูง จากนั้นชางหลางได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน

“ไม่ต้องตามมา หากนายอยู่ที่บ้านตระกูลลั่ว แล้วฉันฆ่าสามพ่อลูกนั่น นายก็หนีความผิดไม่พ้น ฉันคิดว่านายคงไม่อยากทิ้งอนาคตของตัวเองเพราะฉันหรอกใช่ไหม?”

ชะงักไปครู่หนึ่ง ชางหลางคิดจะพุ่งเข้าไปหยุดเย่เทียนเฉิน หากว่าสามพ่อลูกตระกูลลั่วถูกฆ่าในตอนที่เรื่องของตระกูลฉินยังไม่สงบจริงๆ จะเป็นการโยนระเบิดลงไปอีกลูก จะต้องทำให้คนจำนวนมากรู้สึกหวาดผวาแน่นอน จะสะเทือนใจเกินไปแล้ว คงจะมีผลกระทบที่ไม่อาจจินตนาการได้

ในตอนที่ชางหลางเตรียมจะตามไปหยุดเย่เทียนเฉิน ทันใดนั้นเขาก็ต้องชะงักไปในทันที เนื่องจากเขารู้สึกได้ว่าบนต้นไม้ทางด้านขวามีคนอยู่คนหนึ่ง จึงอดไม่ได้ที่จะมองไปพลางขมวดคิ้ว

“ทำไมเป็นนายไปได้?” ชางหลางถามอย่างสงสัย

“เย่เทียนเฉินพูดไว้ไม่ผิด หากนายตามไปล่ะก็ จะต้องถูกลากเข้าไปพัวพันแน่ ถึงตอนนั้นนายก็จะถูกไล่ออก ตำแหน่งหัวหน้ากององครักษ์ก็คงกลายเป็นของฉันแล้ว!” สายที่อยู่บนต้นไม้หัวเราะเสียงเย็น มองไปยังชางหลางเราพูดขึ้น

“กูตู๋อ๋าง งั้นนายปรากฏตัวออกมาที่นี่ทำไม?” ชางหลางถามเสียงเข้ม

“ก็ไม่ทำไม ฉันจะดูว่าเย่เทียนเฉินจะฆ่าสามพ่อลูกตระกูลลั่วยังไง อีกอย่างก็มาดูกระบวนท่าของไอ้หนูนี่ นายกลัวเขาแต่ว่าฉันไม่กลัว ครั้งที่แล้วเขากล้าปฏิเสธการจับกุม สร้างปัญหาให้กับฉัน ฉันจะต้องสั่งสอนไอ้หนูนี่!” กูตู๋อ๋างพูดยังไม่พอใจเป็นอย่างมาก

“หึ งั้นเหรอ? ฉันขอเตือนนายว่าอย่าไปหาเรื่องเขาจะดีกว่า ความสามารถของเขาไม่เหมือนกับที่นายคิด เป็นไปได้ว่าจะถูกอัดจนจมูกหัก ถึงตอนนั้นนายขายหน้าก็คงดูไม่ดีเท่าไหร่!” ชางหลางแค่นเสียงเย็น พูดกับกูตู๋อ๋าง

กูตู๋อ๋างมองชางหลาง กำปั้นขวากำจนกดเสียงดัง พูดอย่างเย็นชาว่า

“สามปีแล้ว ระหว่างนายกับฉันควรจะหาผู้แพ้ผู้ชนะได้แล้วล่ะมั้ง?”

……

ทิวทัศน์ยามค่ำคืนของเมืองหลวงงดงามมากจริงๆ ณ ร้านค้าข้างทาง รถสปอร์ตเฟอร์รารี่คันหนึ่งจอดอยู่ข้างถนน กลางดึกผู้คนเงียบสงบแล้ว เย่เทียนเฉินและซูเฟยเฟยก็เป็นเช่นนี้ กินวุ้นเส้นต้มยำไป คุยเล่นไป แม้ว่าซูเฟยเฟยจะเผ็ดจนน้ำตาไหลก็ตาม เธอไม่ใช่คนที่สามารถกินเผ็ดได้ แต่เธอก็มีความสุข ตั้งแต่กลับมา เป็นครั้งแรกที่มีความสุขแบบนี้ ตัวเองก็ไม่รู้ว่าทำไม ว่ากันตามเหตุผลแล้ว เย่เทียนเฉินผู้ที่ไม่มีอีคิวคนนี้ ไม่น่าจะเข้ากับตนเองได้ ไหนเลยจะรู้ว่า ความรู้สึกตอนที่อยู่ด้วยกันกับเย่เทียนเฉินจะผ่อนคลายมาก การพูดจาการกระทำล้วนตามสบาย ทำให้รู้สึกมีความสุขจากหัวใจ

เย่เทียนเฉินไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย ในตอนที่คุยเล่นกับซูเฟยเฟย วุ้นเส้นต้มยำถ้วยหนึ่งก็กินหมดไปนานแล้ว จากนั้นก็เริ่มสูบบุหรี่ สูบบุหรี่ต่อหน้าผู้หญิง โดยเฉพาะผู้หญิงที่สวยมากคนหนึ่ง ซูเฟยเฟยกรอกตาใส่เขาไปหลายครั้ง คนๆนี้ก็ยังไม่รู้ตัว

“นี่ นายจะดับบุหรี่ได้ไหม? เหม็นจริงๆเลย!” ซูเฟยเฟยพูดแล้วมุ่ยปากเล็กๆ อันน่ารัก

“เฮ้อ วุ้นเส้นต้มยำของฉันก็กินหมดแล้ว ไม่มีอะไรทำ ก็ได้แต่สูบบุหรี่ไปคุยกับเธอไป” เย่เทียนเฉินพูดแล้วจงใจมองไปอย่างวุ้นเส้นต้มยำตรงหน้าซูเฟยเฟย

เมื่อรู้ตัว ซูเฟยเฟยก็รีบดึงถ้วยวุ้นเส้นต้มยำของตนมาข้างหน้า แล้วกินด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่จะทำได้ ต่อให้เผ็ดจนน้ำตาไหลเธอก็ไม่สนใจ เนื่องจากเห็นสายตาเย่เทียนเฉินดูเหมือนอยากกินวุ้นเส้นต้มยำถ้วยนี้ของเธอมาก

เมื่อเห็นซูเฟยเฟยถึงกับกินวุ้นเส้นต้มยำถ้วยหนึ่งเร็วขนาดนี้ เย่เทียนเฉิน ก็เบะปากอย่างจนคำพูด กล่าวตามจริงเขายังกินไม่อิ่มเลยจริงๆ ด้วยความจุของเขาเกรงว่าวุ้นเส้นต้มยำธรรมดาถ้วยหนึ่งจะไม่พอสำหรับเขา เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าซูเฟยเฟยจะมีชีวิตชีวาขึ้นมา และยังน่ารักมากอีกด้วย

“แค่กๆ…เผ็ดจัง เผ็ดมาก…” ซูเฟยเฟยตะโกนว่าเผ็ดไปพลางรีบเปิดกระเป๋าถือของตนไปพลาง หยิบน้ำแร่ขวดเล็กออกมาจากด้านในแล้วดื่ม เย่เทียนเฉินเห็นดังนั้นก็ทนไม่ไหว อยากที่จะหัวเราะออกมา

“ไม่มีใครแย่งเธอกินหรอก ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้” เย่เทียนเฉินพูดแล้วมองไปยังซูเฟยเฟยอย่างจนใจ

“งั้น แค่กๆ…งั้นก็ไม่ได้สิ ใครจะรู้ว่าเจ้าบ้าอย่างนายจะทำอะไรที่ขายหน้าออกมาอีกหรือเปล่า ถ้าแย่งวุ้นเส้นต้มยำของฉันแล้วกินจนหมด ไม่ใช่ว่าคืนนี้ฉันต้องหิวหรอกเหรอ?” ซูเฟยเฟยพูดแล้วมุ่ยปากเล็กๆ อันน่ารัก

“ตระกูลซูของเธอมีอาหารอะไรบ้างที่ไม่มี เธอชอบบะหมี่วุ้นเส้นถ้วยนี้ที่ฉันเลี้ยงเธอเหรอ?” เย่เทียนเฉินพูดยิ้มยิ้มพลางส่ายหน้า

“ก็ใช่น่ะสิ ผู้ชายงานดีที่ขี้งกขั้นสุดเหมือนนาย ฉันคิดว่าในโลกนี้จะหาคนที่สองก็ยากแล้ว ดังนั้นฉันจึงต้องคว้าโอกาสที่นายเลี้ยงข้าวฉันเอาไว้!” ซูเฟยเฟยยิ้มหวาน

เย่เทียนเฉินรู้สึกอับจนคำพูดโดยสิ้นเชิง รู้สึกว่าตอนนี้ในสายตาของซูเฟยเฟย ตนเองเป็นผู้ชายที่ขี้เหนียว เป็นไก่ขนเหล็กที่ไม่ยอมให้ถอนขนแม้แต่เส้นเดียว งั้นเหรอ? งั้นเหรอ?

ตอนนี้เอง โทรศัพท์มือถือของเย่เทียนเฉินดังขึ้น เมื่อหยิบออกมาดู คนที่โทรมามีเพียงคำว่าไม่ทราบสองคำเท่านั้น จึงทำให้เย่เทียนเฉินรับโทรศัพท์ด้วยความสงสัย

“ฮัลโหล โทรหาใครครับ พี่ชายสุดหล่อชื่อเย่เทียนเฉิน” เย่เทียนเฉินพูดหยอกล้อแล้วหัวเราะ

แหวะ!

ซูเฟยเฟยได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉินก็เกือบจะสำลักน้ำที่ดื่มเข้าไปในปากออกมา คนๆ นี้จะหลงตัวเองเกินไปหรือเปล่า? แม้ว่าเย่เทียนเฉินจะหน้าตาไม่เลว และไม่ใช่คนประเภทที่หล่อจนมากเกินไป แต่ก็ยังค่อนข้างทนมองได้อยู่

“นายไม่ต้องสนใจหรอกว่าฉันเป็นใครที่นายต้องรู้ก็คือตอนนี้นายมีเรื่องแล้ว…” อีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์มีเสียงผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้น

“งั้นเหรอ? มีเรื่องอะไรก็มาเถอะ ฉันกำลังว่างจนเบื่ออยู่เลย!”เย่เทียนเฉินพูดเรียบๆ

ผู้ชายอีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์ได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน ก็อดไม่ได้ที่จะชะงักไปครู่หนึ่ง เขาคิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะเฉยขนาดนี้ ต่อให้มีหยางอี้พี่เป็นคนระดับหัวหน้าหนุนหลังอยู่ แต่เรื่องที่เขาบุกไปที่ฆ่าฉินเหิงตระกูลฉินและทำให้ฉินอี้โมโหจนตาย เกรงว่าไม่อาจจบดีๆได้ ต่อให้ไม่ตายก็ต้องถูกจำคุกหลายปี คนคนนี้ถึงกับเฉยเมยช่างทำให้คนคิดไม่ถึงจริงๆ

“ตระกูลลั่ว สามพ่อลูกตระกูลลั่วกำลังโยนหินลงบ่อ พวกเขาใช้ความคิดของประชาชนมากดดัน เมื่อประชาชนกดดันไปถึงนาย คนระดับสูงของประเทศก็ปกป้องนายไม่ได้…”

“ใช่แล้ว มีเหตุผล สุนัขสามตัวของตระกูลลั่วนี้ ออกมากัดคนบ่อยมากจริงๆ เป็นเรื่องที่วุ่นวายมาก ฉันรู้แล้ว ขอบคุณนายมาก ถ้าว่างจะเลี้ยงกาแฟนายนะ!”

หลังจากที่วางโทรศัพท์ไป เย่เทียนเฉินไม่รู้ว่าใครเป็นผู้โทรมา อย่างไรก็ตามเขาเชื่อว่าข่าวนี้ไม่ใช่ข่าวลวง นี่เป็นสาเหตุที่เขาสงสัยก่อนมาหน้านี้แล้ว บุญคุณความแค้นของตนเองกับตระกูลลั่วมีมานาน ครั้งนี้เขาลงมือโจมตีตระกูลลั่วอย่างรุนแรง ก่อความผิดใหญ่หลวงขนาดนี้ คนตระกูลลั่วถึงกับไม่มีการเคลื่อนไหวสักนิดเลยหรือ? ที่แท้สามพ่อลูกนี้ก็มีแผนการเลวร้ายอยู่ ลอบวางแผนร้ายเบื้องหลัง ต้องการฆ่าตนเองโดยการยืมมือของทุกคน ใช้การกดดันโดยประชาชน ดูท่าแล้วสามพ่อลูกตระกูลลั่วจะเอาไว้ไม่ได้แล้ว ปัญหาในอดีตยากจะจบลงด้วยดีจริงๆ

เย่เทียนเฉินไม่ใช่คนที่คลั่งไคล้ในการฆ่า แต่เมื่อมีคนคิดจะบีบบังคับให้เขาต้องเดินบนเส้นทางนี้ ถ้าอย่างนั้นเขาก็จะไม่เกรงใจ โดยเฉพาะเวลาเช่นตอนนี้ หากไม่กำจัดคนถ่อยเหล่านี้ วันหน้าก็จะเกิดปัญหาไม่จบสิ้น ออย่างเช่สามพ่อลูกตระกูลลั่ว แม้ว่าเย่เทีนเฉินไม่กลัวพวกเขาหาเรื่อง แต่คอยวางแผนลับหลังคุณอยู่ตลอด จะมากน้อยก็ยังมีผลกระทบ ที่สำคัญคือยุ่งยากมาก ทำให้เขารำคาญ

“เป็นอะไรไป?” ซูเฟยเฟยเห็นสีหน้าของเย่เทียนเฉินเปลี่ยนไปเป็นคมกริบจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถาม

“ไม่มีอะไร เธอกินเสร็จแล้วใช่ไหม งั้นไปส่งฉันหน่อยเป็นไง?” เย่เทียนเฉิน

“ได้!”

หลังจากที่นับเงินในมือส่งให้เถ้าแก่ร้านขายวุ้นเส้นต้มยำแล้ว เย่เทียนเฉินเข้าไปนั่งในรถสปอร์ตเฟอร์รารี่สีแดงของซูเฟยเฟย นั่งที่ตำแหน่งข้างคนขับ เมื่อมองไปยังซูเฟยเฟยที่กำลังสตาร์ทรถ จู่ๆ ก็รู้สึกว่าเธอสวยมาก โดยเฉพาะหลังจากที่กินวุ้นเส้นต้มยำแล้วริมฝีปากอันเซ็กซี่แดงระเรือ เมื่อมองแล้วยิ่งทำให้ มีความรู้สึกอยากพุ่งเข้าไปจูบอย่างเร่าร้อน

“มองฉันทำไม? ไม่เคยเห็นคนสวยเหรอ?”ซูเฟยเฟยกรอกตาใส่เขาแล้วเอ่ยปากถาม

“เคยเห็นแล้ว เพียงแต่ไม่เคยเห็นผู้หญิงสวยๆที่มีริมฝีปากเซ็กซี่ขนาดนี้…” เย่เทียนเฉินพูดแล้วยิ้มอย่างหยอกล้อ

ซูเฟยเฟยหน้าแดง หยิกไปที่ต้นแขนของเย่เที่ยนเฉินอย่างรุนแรง ถลึงตาใส่แล้วสตาร์ทรถ

“ไม่หรอกมั้ง ประโยคเดียวก็หน้าแดงแล้ว? ท่าทางคุณซูคนสวยดูท่าทางมีประสบการณ์มากขนาดนี้ คงไม่ใช่สาวบริสุทธิ์หรอกนะ?” เย่เทียนเฉินเอ่ยปากถามอย่างน่าเกลียด

เมื่อประโยคนี้ถูกกล่าวออกมา ใบหน้างดงามของซูเฟยเฟยก็ยิ่งแดง กรอกตาใส่เย่เทียนเฉินไปหลายตลบ หากไม่ใช่ว่ากำลังขับรถอยู่ มือทั้งสองที่สวยงามเหมือนหยกจะต้องหยิกเย่เทียนเฉินไปแล้ว เนื่องจากเขาพูดได้ถูกต้อง รวมกับที่ผู้ชายที่จีบเธอเหล่านั้น ไม่มีแม้แต่คนเดียวพี่ทำให้เธอใจเต้นได้ พูดออกไปก็กลัวว่าจะไม่มีคนเชื่อ เธอไม่เพียงแต่เป็นสาวบริสุทธิ์ กระทั่งจูบแรกก็ยังไม่เคย

“ถ้าหน่อยพูดจามั่วๆอีก ฉันจะโยนนายลงไป!” ซูเฟยเฟยพูดอย่างดุดันมุ่ยปาก

“ได้ ได้ ฉันไม่พูด ฉันไม่พูดแล้ว บ้านตระกูลลั่วอยู่ทางซ้ายใช่ไหม?” เย่เทียนเฉินไม่ค่อยคุ้นเคยกับเมืองหลวงจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถาม

“ใช่มั้ง? ทำไมเหรอ?”

“อ๋อ งั้นเธอให้ฉันลงรถตรงแยกด้านหน้านั่น เธอกลับไปเองแล้วกันนะ!” เย่เทียนเฉินพูดยิ้มๆ

“นาย…คิดจะทำอะไร?” ซูเฟยเฟยอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ถามออกไปอย่างแปลกใจ

เย่เทียนเฉินมองซูเฟยเฟย ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มลามกออกมา พูดอย่างสับปลับว่า “เธอดูสิกลางดึกคนเงียบมาก ฉันก็เป็นคนโสด ผู้ชายต้องการผู้หญิงเป็นเรื่องธรรมดาใช่ไหม?อีกทั้งฉันได้ยินมาว่าสาวงามของเมืองหลวงงามที่สุดในประเทศ ตัวหอมเนื้ออ่อน ฉันนอนหนาวเปล่าเปลี่ยวตอนกลางคืนมานานแล้ว อยากจะเสพสุขสักหน่อย…”

“นาย…อันธพาล ลามก ไร้ยางอาย น่ารังเกียจ!”: ซูเฟยเฟยก่นด่าเย่เทียนเฉินรุนแรง

“ฉันเองก็ไม่อยากไปเหมือนกัน แต่ว่าฉันไม่มีแฟน ไม่งั้น ไม่งั้นวันนี้เธอจะมาทำให้ฉันพึงพอใจหน่อยเถอะ ฉันรับรองว่าจะให้ทิปเธอสองร้อยหยวน!” เย่เทียนเฉินทำท่าทางลามก ทั้งยังทำท่าสูดน้ำลายมองไปยังซูเฟยเฟย

“นาย…คนบ้า ไปตายซะ…”

ซูเฟยเฟย โกรธจนหน้าแดง จอดรถข้างถนนแล้วเปิดประตูรถออก ขาดก็แต่ไม่ได้ใช้รองเท้าส้นสูงถีบเย่เทียนเฉินออกไป คนคนนี้เห็นตัวเองเป็นผู้หญิงแบบนั้น แล้วยังบอกว่าจะให้เงินพิเศษสองร้อยหยวนอีกด้วย? ช่างน่ารังเกียจจริงๆ

“เดินทางปลอดภัยล่ะ ฝันดี!” เย่เทียนเฉินลงรถ หัวเราะฮี่ๆ มองไปทางซูเฟยเฟยแล้วกล่าวออกมา

“ฝันดีบ้านนายสิ!”

เมื่อเห็นซูเฟยเฟยขับรถสปอร์ตเฟอร์รารี่สีแดงจากไปอย่างโกรธเคือง เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวยิ้มๆ ไม่คิดเลยว่าผู้หญิงที่มีไอคิวสูงคนนี้ จะมีมุมที่ไร้เดียงสาแบบนี้ด้วย เขาก็แค่ล้อเล่น แกล้งเธอให้ตกใจสักหน่อย เธอก็ยังเห็นเป็นจริงเป็นจังไปได้

เย่เทียนเฉินควักบุหรี่ออกมามวนหนึ่ง มองไปยังทิศทางของบ้านตระกูลลั่ว จากนั้นจึงจุดบุหรี่ขึ้นสูบ มือทั้งสองล้วงเข้าไปในกระเป๋า เดินยังไปยังทิศทางของบ้านตระกูลลั่วทีละก้าวทีละก้าว ตอนนี้เขาเริ่มหงุดหงิดบ้างแล้ว ไม่พอใจบ้างแล้ว สามพ่อลูกตระกูลลั่วชั่วร้ายเกินไปแล้ว รู้จักเพียงใช้มีดแทงข้างหลัง เดิมทีเย่เทียนเฉินไม่อยากสนใจคนประเภทนี้ แต่สามพ่อลูกตระกูลลั่วมักจะหาเรื่องเย่เทียนเฉินบ่อยๆ เห็นได้ว่าเย่เทียนเฉินเห็นพวกเขาอยู่ในสายตาเล็กน้อย ทั้งยังเหลือทางรอดชีวิตไว้ให้พวกเขาเส้นทางหนึ่ง แต่ตอนนี้ดูแล้ว คงไม่จำเป็น

คืนนี้ เย่เทียนเฉินจะไปที่ตระกูลลั่ว ความรู้สึกในครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งตระกูลฉินที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิง จุดประสงค์ของเขาชัดเจนมาก เขาจะไปฆ่าคน ไปฆ่าสามพ่อลูกตระกูลลั่ว เพราะเขาไม่อยากจะหลงเหลือสิ่งที่อาจเป็นอันตรายในอนาคตเอาไว้ โดยเฉพาะอันตรายจากคนถ่อยเหล่านี้ เมื่อรับมือกับศัตรูที่มีความเป็นสุภาพบุรุษ ก็สามารถเป็นศัตรูกันไปได้ชั่วชีวิต หากรับมือกับคนถ่อย ก็ไม่มีอะไรต้องพูดกันอีก ตรงเข้าไปฆ่าซะ กำจัดวัชพืชต้องกำจัดให้ถึงราก

…………

เย็นวันนั้น เย่เทียนเฉินคิดจะเบี้ยวนัดตั้งหลายครั้งแต่ก็หนีไปไม่พ้น ซูเฟยเฟยเป็นคนที่ฉลาดมาก ไม่ใช่ผู้หญิงที่เป็นดั่งไม้ประดับที่ทำอะไรไม่ได้ สำหรับเย่เทียนเฉินที่มีนิสัยอันธพาลเช่นนี้ เธอหาทางป้องกันไว้นานแล้ว กระทั่งตอนที่เย่เทียนเฉินไปเข้าห้องน้ำเธอก็ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู ทำให้เย่เทียนเฉินอับจนคำพูดจริงๆ

เวลาสองทุ่มโดยประมาณ เย่เทียนเฉินและซูเฟยเฟยนั่งอยู่ที่ร้านข้างทางแห่งหนึ่ง สั่งวุ้นเส้นต้มยำพิเศษมาสองที่ ดึงดูดสายตาแปลกๆ ของแขกข้างๆ หลายคนรวมไปถึงเถ้าแก่ขายวุ้นเส้นต้มยำ เนื่องจากซูเฟยเฟยขับรถเฟอร์รารี่ของตัวเองพาเย่เทียนเฉินมา รวมกับที่ซูเฟยเฟยสวยเลิศขนาดนี้ ไปที่ไหนก็ย่อมดึงดูดสายตาของคนรอบๆ

เย่เทียนเฉินทำแบบนี้ออกมาได้จริงๆ จะอย่างไรซูเฟยเฟยก็เป็นคุณหนูสูงศักดิ์แห่งตระกูลซู อีกทั้งยังเป็นผู้หญิงที่มีหน้าตางดงาม ถึงกับขับรถสปอร์ตเฟอร์รารี่มากินบะหมี่ข้างทางเลย? เกรงว่าบนโลกนี้คนที่ทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้ก็มีเพียงเย่เทียนเฉินเท่านั้น

“เถ้าแก่ วุ้นเส้นต้มยำสองถ้วย!” เย่เทียนเฉินยิ้มพลางตะโกนกับเถ้าแก่

“ได้เลย ต้องการอะไรอีกไหม?” เถ้าแก่เจ้าของร้านวุ้นเส้นต้มยำเปิดปากถาม

“ไม่เอาแล้วครับ กินอย่างอื่นไม่ลงแล้ว!” เย่เทียนเฉินพูดแล้วหัวเราะฮี่ๆ

“ฉันว่านายไม่ได้กินอย่างอื่นไม่ลงหรอก แต่เป็นเพราะขี้งกล่ะสิ คนขี้เหนียว!” ซูเฟยเฟยพูดแล้วจ้องเย่เทียนเฉินอย่างดุดัน

เย่เทียนเฉินมองซูเฟยเฟย คิดอยากจะแซวสาวงามคนนี้เล่นสักหน่อย จะอย่างไรก็ว่างอยู่ จึงยืนขึ้น สองมือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วจับกระเป๋ากางเกงให้พลิกออกมา ปรากฏว่าทั้งหมดว่างเปล่า เขาทำท่าทางเหมือนคนไม่มีเงินแล้วพูดว่า “เห็นหรือเปล่า แม้แต่เหรียญเดียวก็ไม่มี…”

“นาย…งั้น งั้นอีกเดี๋ยวนายจะจ่ายเงินยังไง?” ซูเฟยเฟยเกือบจะถูกเย่เทียนเฉินทำให้โมโหจนตายอยู่แล้ว เธอคิดว่าไม่ง่ายเลยที่จะให้คนขี้งกอย่างเย่เทียนเฉินเลี้ยงวุ้นเส้นต้มยำตนเองถ้วยหนึ่งได้ หมอนี่คงไม่ชักดาบหรอกนะ? หรือจะบอกว่าสุดท้ายจะให้ตนเองที่เป็นผู้หญิงคนหนึ่งเป็นคนจ่ายเงิน?

เห็นท่าทางร้องไห้ไม่ออกของซูเฟยเฟย เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะแอบหัวเราะในใจ เขาพยายามกลั้นเอาไว้ จากนั้นใช้มือขวาล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ นำเหรียญกำหนึ่งวางไว้บนโต๊ะเล็กๆข้างหน้า แล้วเริ่มนับเหรียญอย่างจริงจัง

“หนึ่งหยวน…”

“สองหยวน…”

“สองหยวนห้า…”

“สามหยวน…”

ซูเฟยเฟยเห็นดังนั้นก็รู้สึกอยากร้องไห้ เนื่องจากคนรอบๆ หลายคนมองมาทางพวกเขา แต่เย่เทียนเฉินก็ยังนับเหรียญอยู่ข้างๆ ต่อไปโดยไม่กลัวว่าจะเสียหน้าเลยสักนิด ตอนที่เขานับเสร็จก็ยังมองไปยังเถ้าแก่ที่กำลังทำวุ้นเส้นต้มยำแล้วถามว่า “เถ้าแก่ วุ้นเส้นต้มยำพิเศษของคุณเท่าไหร่?”

“สิบหยวน!”

เขาชะงักไปครู่หนึ่งแล้วมองไปอย่างเหรียญในมือ ตะโกนไปยังเถ้าแก่อย่างหน้าไม่อายว่า “เถ้าแก่ เปลี่ยนเป็นแบบธรรมดาให้พวกเราสองที่!”

ทรุดเลยทีเดียวแล้ว ไม่เพียงแต่ซูเฟยเฟยที่ทรุดแล้ว กระทั่งเถ้าแก่ที่ขายวุ้นเส้นต้มยำและลูกค้ารอบๆ เหล่านั้นก็ทรุดลงไปแล้ว ไม่ใช่ว่าพวกเขาดูถูกคนจน แต่ใครจะไปเชื่อว่าคนที่ขับรถเฟอร์รารี่จะกินวุ้นเส้นต้มยำพิเศษถ้วยหนึ่งไม่ไหว? อีกทั้งเมื่อมองบนตัวของเย่เทียนเฉินก็เป็นสูทแบรนด์เนม จะกินวุ้นเส้นต้มยำถ้วยละสิบหยวนไม่ไหวเชียวหรือ? เหตุผลเดียวก็คือ ผู้ชายคนนี้เป็นสุดยอดของคนขี้งกไปแล้ว งกเสียยิ่งกว่างก

“นายอย่าทำให้ขายหน้าคนอื่นได้ไหม!” ซูเฟยเฟยโกรธจนกำมือขาวๆ แน่น กัดฟันพูดออกมาเสียงต่ำ

ซูเฟยเฟย ไม่ใช่ผู้หญิงที่ทนลำบากไม่ได้หรือทนความเหนื่อยล้าไม่ได้ และเธอก็ไม่มีความคิดแบ่งแยกคนจนคนรวยโดยเด็ดขาด เพียงแต่คนที่ทำได้อย่างเย่เทียนเฉินเรียกได้ว่าสุดยอดจริงๆ เลี้ยงข้าวสาวงามคนหนึ่งก็กินวุ้นเส้นต้มยำข้างทาง ทั้งสองคนสั่งพิเศษมา สุดท้ายพอนับเหรียญที่มีก็ยังตะโกนเปลี่ยนเป็นธรรมดาอีก กระทั่งคนผ่านทางไปมาก็ยังคิดอยากจะพุ่งเข้ามาต่อยเย่เทียนเฉินสักยก

ความจริงแล้วเย่ทียนเฉินจงใจทำแบบนี้เพื่อแกล้งซูเฟยเฟย ด้วยตำแหน่งประธานคณะกรรมการเครือไห่หวางของเขา ต่อให้เลวร้ายอย่างไรก็สามารถนำเงินหนึ่งล้านแปดแสนออกมาได้ตลอดเวลา เพียงแต่ไม่ใช่เงินสดแต่เป็นบัตรเครดิต

“ดูสิ เงินแค่นี้เอง ไม่มีทางเลือกแล้ว เธอก็ทนลำบากหน่อย ยังไงซะตระกูลซูของเธอก็มีเนื้อมีปลามากมาย ไม่แย่กว่าที่ฉันเลี้ยงมื้อนี้หรอก!” เย่เทียนเฉินพูดแล้วเบะปากแล้วทำท่าทางไร้เดียงสา

“ยังไม่นั่งลงอีก คิดอะไรอยู่? จะขายหน้าคนต่อไปเหรอ?” ซูเฟยเฟยถูกเย่เทียนเฉินทำให้โกรธจนไม่มีอารมณ์แล้ว ใช้ดวงตาอันสวยงามจ้องมองไปยังเย่เทียนเฉินพลางกล่าว

เย่เทียนเฉินยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์แล้วนั่งตรงข้ามซูเฟยเฟย ร้านข้างทางล้วนเป็นโต๊ะและเก้าอี้เตี้ยเล็ก เมื่อนั่งด้วยกันจึงค่อนข้างใกล้ชิด

“นี่ ฉันว่าครั้งนี้นายก่อเรื่องใหญ่ที่ตระกูลฉินเลยนะ เรื่องคงจะดีได้ยากแล้ว ต้องการให้ฉันช่วยสักหน่อยไหม?” ซูเฟยเฟยมองเย่เทียนเฉินอย่างจริงจังแล้วถามออกมา

“ไม่ต้องหรอก ฉันกำลังคอยดูอยู่ว่ายังมีขั้วอำนาจไหนที่จะเป็นศัตรูกับตระกูลเย่ของฉันอีก แล้วจะกำจัดให้หมด เพื่อจะได้ไม่ต้องรำคาญใจ” เย่เทียนเฉินพูดยิ้มๆ

ความจริงแล้วความประทับใจที่เย่เทียนเฉินมีต่อซูเฟยเฟยนั้นไม่เลวนัก หลังจากที่ตนเองช่วยธอ เธอก็ลงมือช่วยเขาหลายครั้ง รู้จักตอบแทนบุญคุณ นี่เป็นผู้หญิงที่นิสัยไม่เลวคนหนึ่ง เพียงแต่หลังจากได้มาเกิดใหม่ในโลกนี้ เย่เทียนเฉินไม่ค่อยอยากสนิทสนมกับผู้หญิงที่สวยเกินไปเท่าไหร่นัก เนื่องจากผู้หญิงที่สวยจนเกินไปมักจะทำให้ผู้ชายถอนตัวไม่ขึ้น

เมื่อคิดอย่างละเอียด ตั้งแต่ชั่วขณะที่เขาได้มาเกิดใหม่ในโลกนี้ ก็พัวพันกับหญิงงามมากมาย หานเจี๋ย ฉีหรูเสวี่ย ซูเฟยเฟย หลิ่วหรูเหมย เซี่ยอวี่เหอ… คนไหนบ้างที่ไม่สวยราวกับเทพสวรรค์ คนไหนบ้างที่ไม่สวยถึงขั้นมัจฉาจมวารีปักษีตกนภา? อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ได้ทำให้เขาดีใจ กลับทำให้เขายิ่งเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น ในช่วงยุคสิ้นโลก ข้างกายของเขามีผู้หญิงมากมาย มีผู้หญิงชั้นเลิศจำนวนมาก ทำให้เมื่อพบกับการต่อสู้ครั้งใหญ่จะเกิดความรู้สึกพะวงหน้าพะวงหลัง นี่ทำให้เขาเข้าใจเหตุผลอย่างหนึ่ง นั่นคือ ผู้ชายหลายคนมักจะอิจฉาชีวิตแบบสามภรรยาสี่อนุ แต่ความจริงนั้นไม่ถูก บางครั้งการที่มีสาวงามล้อมรอบมากเกินไป ก็ไม่ใช่ชะตาดอกท้อ แต่เป็นภัยพิบัติดอกท้อ

“ไม่ต้องการให้ช่วยจริงๆ เหรอ? ตระกูลฉินเป็นตระกูลชั้นหนึ่งในเมืองหลวง ยากมากที่จะมีคนโค่นล้มได้ ต่อให้เป็นท่านหยางอี้ก็เกรงว่าจะต้องเปลืองมือเปลืองเท้าแล้ว!” ซูเฟยเฟยยิ้มแล้วพูดเยาะเย้ยเย่เทียนเฉิน

“เหอะ ข่าวของเธอว่องไวดีจริง ดูท่าอำนาจของตระกูลซูของเธอจะยิ่งใหญ่มาก ใช่แล้ว ถ้ามีโอกาสก็มาร่วมมือทำโครงการกับเครือไห่หวางของพวกเราสักหน่อยสิ ให้พี่ชายหาเงินให้ได้มากๆ วันหน้าจะได้เลี้ยงภรรยาได้ดีๆ!” เย่เทียนเฉินพูดแล้วยิ้มอย่างสบายๆ

“ด้วยฐานะของนายตอนนี้ จะเลี้ยงภรรยาก็ไม่ใช่ปัญหาแล้ว จะต้องการเงินมากมายขนาดนั้นไปทำไม ไม่ใช่ว่าผู้หญิงทุกคนจะชอบเงินสักหน่อย นายอย่าได้เหมารวมไป!” ซูเฟยเฟยพูดแล้วมองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างดูถูก

“ถ้าภรรยาคนเดียวเงินเหล่านี้ก็คงพอแล้ว แต่ถ้ามีสองสามคนหรือสี่ห้าคนล่ะ?” เย่เทียนเฉินพูดแล้วยิ้มออกมาอย่างน่าเกลียด

ซูเฟยเฟยกรอกตาใส่เย่เทียนเฉินอย่างดุดัน นี่มันยุคอะไรแล้ว ถึงกับอยากมีสามภรรยาสี่อนุ นั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้โดยสิ้นเชิง ทุกวันนี้ในยุคนี้ ได้เปลี่ยนไปเป็นยุคที่ผู้หญิงเรืองอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ จุดสำคัญเป็นเพราะผู้ชายกลัวเมียทั้งหลายทำให้เกิดขึ้น รวมกับที่ในปัจจุบันนี้มีผู้หญิงน้อยลงทุกวัน ผู้ชายหลายคนเพื่อจะแย่งภรรยาถึงขั้นยอมคุกเข่าโขกหัวโดยไม่เสียดาย ทำให้ผู้หญิงเหล่านี้ยิ่งหยิ่งยโสมากขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นว่าเรื่องอะไรก็ล้วนฟังพวกเธอทั้งหมด หากคุณไม่ฟังพวกเธอก็จะใช้วิธีไม่อนุญาตให้ขึ้นเตียงหรือไม่อยู่ด้วยกันกับคุณมาข่มขู่ ผู้ชายหลายคนรับไม่ได้กับการขู่เช่นนี้ จึงทำได้เพียงเชื่อฟัง กระทั่งศักดิ์ศรีอันน้อยนิดของผู้ชายก็ไม่มีแล้ว

“คิดได้ดี!” ซูเฟยเฟยมองเย่เทียนเฉินอย่างเหยียดหยาม

เมืองหลวง ทิวทัศน์ยามค่ำคืน ร้านอาหารข้างทาง เย่เทียนเฉินและซูเฟยเฟยพูดคุยกันอย่างผ่อนคลายเช่นนี้ แม้ว่าเขาจะค่อนข้างขี้งก แต่ซูเฟยเฟยพบว่าคนคนนี้มีความโดดเด่นอยู่บ้าง เช่นมีอารมณ์ขัน และไม่ใช่ประเภทยอดฝีมือเย็นชาหรือมีท่าทางไม่สนใจโลกแบบนั้น ทั้งยังเป็นกันเองมาก ไม่กลายเป็นคนที่ดูถูกคนจนเพราะตนเองเป็นถึงประธานคณะกรรมการเครือไห่หวางที่สามารถใช้เงินมากกว่าหนึ่งร้อยล้านได้ตามใจ ดูได้จากการกระทำอันขี้งกของคนคนนี้ก็แสดงให้เห็นชัดเจนว่าเขาไม่ใช่คนแบบนั้น

เย่เทียนเฉินพบว่าการคุยเล่นกับซูเฟยเฟยทำให้ตนผ่อนคลายอย่างมาก เธอไม่ใช่ผู้หญิงประเภทไม้ประดับที่ทำอะไรไม่เป็น กลับกัน เธอไม่เพียงแต่สวยทว่ายังมีความรู้อีกด้วย ไม่ว่าจะคุยเรื่องเศรษฐกิจ คุยเรื่องการเมือง หรือคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ ก็ไม่มีอะไรที่ไม่รู้ คิดดูแล้วก็ใช่ หลานสาวที่ตระกูลใหญ่อย่างตระกูลซูเลี้ยงดูอบรมออกมา จะต้องไม่แย่อย่างแน่นอน

เย่เทียนเฉินเองก็เคยได้ยินเรื่องตระกูลซูมาบ้าง นี่เป็นตระกูลที่ใหญ่มากตระกูลหนึ่ง แต่ตระกูลของพวกเขาไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับโลกของการเมืองและในตระกูลก็ไม่มีข้าราชการอยู่ แต่ว่าในระดับสูงของส่วนกลางจะได้เห็นคนจากตระกูลซูอยู่ทุกๆ ปี เนื่องจากตระกูลซูกุมอำนาจทางเศรษฐกิจของประเทศถึงหกสิบเปอร์เซ็น มีเพียงงานด้านเศรษฐกิจเท่านั้นที่ตระกูลซูจะเข้าไปทำ ยิ่งทำก็ยิ่งใหญ่ ใหญ่จนถึงระดับที่สามารถกล่าวได้ว่าตระกูลซูกระทืบเท้าก็สามารถสั่นสะเทือนเศรษฐกิจในประเทศได้ นี่ไม่ใช่คำพูดที่มากเกินไปเลย

แน่นอนว่าผู้อาวุโสตระกูลซูซึ่งก็คือปู่ขอซูเฟยเฟย เป็นคนที่มีวิสัยทัศน์คนหนึ่ง สามปีแรกที่เริ่มต้น เขาสั่งให้ลูกหลานของตัวเองเริ่มลดทอนการควบคุมเศรษฐกิจในประเทศของตระกูลซูลง ไม่อนุญาตให้ขยายมากเกินไป ต่อให้เล็กลงมาบ้างหรือได้เงินน้อยลงมามากก็ไม่สนใจ พยายามให้เศรษฐกิจของตระกูลซูพัฒนาไปในต่างประเทศ เพื่อดึงดูดการลงทุนจำนวนมากกลับมาที่ประเทศ

ผู้อาวุโสซูทำเช่นนี้ ในสายตาของลูกหลานตระกูลซูรู้สึกว่าไม่เข้าใจเป็นอย่างมาก ส่วนในสายตาของคนนอกก็รู้สึกสงสัย เนื่องจากธุรกิจมีแต่ยิ่งทำยิ่งใหญ่ มีการหยุดนิ่งที่ไหนกัน? นี่ไม่ใช่ว่าทำให้ธุรกิจตระกูลของตัวเองถูกบีบตายหรอกเหรอ?

แต่ว่าในสายตาของบุคคลระดับบิ๊กทั้งหลายในโลกของธุรกิจกลับรู้สึกนับถือจนแทบจะคารวะ ผู้อาวุโสซูทำเช่นนี้ ไม่เสียทีที่ตระกูลซูเป็นตระกูลใหญ่อันดับหนึ่งในด้านเศรษฐกิจในประเทศเลยจริงๆ

ร่ำรวยจนสามารถคุกคามประเทศได้ คำพูดนี้คนส่วนใหญ่ชอบมาก และยังเป็นเป้าหมายของตระกูลจำนวนมากอีกด้วย แต่หลายคนมักจะไม่เข้าใจ เมื่อคุณสามารถมั่งคั่งร่ำรวยจนคุกคามประเทศได้ เช่นนั้นตระกูลของคุณก็จบสิ้นแล้ว เนื่องจากคุณสามารถทำลายประเทศได้ ประเทศก็จะลงมือกำจัดคุณ หรือคิดว่าคุณจะร่ำรวยจนถึงขั้นคุกคามประเทศได้จริงๆ? นั่นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด จะมีการคิดทุกวิถีทางเพื่อเก็บกวาดตระกูลเช่นนี้ ดังนั้นคำคำนี้เมื่อคิดดูแล้ว ต่อให้วันหน้าสามารถไปถึงระดันี้ได้แต่ก็ไม่สามารถทำเช่นนี้ได้

……….

เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ – บทที่ 132 ชายคนนี้ขี้งกเหรอ?
ครั้งแรกที่เย่เทียนเฉินปลดประจำการกลับมา ก็ได้ช่วยซูเฟยเฟยเอาไว้ในซอยเล็กๆ แห่งหนึ่ง ตอนนั้นเย่เทียนเฉินไม่ได้คิดจะทำตัวเป็นวีรบุรุษช่วยสาวงามอะไรเลย เพียงแต่เพราะหัวหน้าของคนเหล่านั้นปัดเต้าหู้ในมือของตนจนพลิกคว่ำ จึงลงมือในสถานการณ์ที่โกรธเคืองเล็กน้อย พริบตาเดียวก็ก็อัดบอดี้การ์ดสิบกว่าคนอย่างเท่าเทียม ทำให้ซูเฟยเฟยตกใจจนอ้าปากค้างอย่างเซ็กซี่

หลังจากที่เย่เทียนเฉินอัดบอดี้การ์ดสิบกว่าคนจนคว่ำก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกับซูเฟยเฟย หรือพยายามตีสนิทกับสาวงามอะไรแบบนั้น เขาทำเพียงถอนใจให้กับเต้าหู้ของตนที่ถูกปัดจนพลิกตกลงพื้นแล้วจากไป ทำให้ซูเฟยเฟยซึ่งเป็นสาวงามคนหนึ่งรู้สึกอับจนคำพูดเป็นอย่างมาก หรือว่าตนจะสู้เต้าหู้ถ้วยเดียวไม่ได้?

เรื่องนี้ติดอยู่ในใจของซูเฟยเฟยมาโดยตลอด ภายหลังเย่เทียนเฉินถูกจับตัวไปที่กระทรวงความมั่นคงสาธารณะ ซูเฟยเฟยต้องการตอบแทนไมตรีให้กับคนคนนี้จึงได้ขอร้องให้คุณปู่ออกหน้าให้ โทรไปหาเฉินเซิงเพื่อจัดการเรื่องให้เงียบ ไหนเลยจะรู้ว่าตนเองขับรถเฟอร์รารี่ไปรอเย่เทียนเฉินที่หน้าประตูกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ แต่เขากลับจำตนเองไม่ได้แล้ว? ผลสุดท้ายยังกินอาหารทะเลของตนเองไปหนึ่งมื้อแล้วสะบัดก้นจากไป

แต่ไหนแต่ไรซูเฟยเฟยก็ไม่เคยพบคนเช่นเย่เทียนเฉินมาก่อน ไม่เห็นตนเองที่เป็นสาวงามคนหนึ่งอยู่ในสายตาเลย นี่ทำให้ความภาคภูมิใจและความหยิ่งทะนงของเธอได้รับความเสียหายอยู่บ้าง ตั้งแต่เล็กจนโตไม่รู้ว่ามีผู้ชายกี่คนที่บ้าคลั่งเพื่อตน ไม่มีผู้ชายคนไหนที่ได้พบตนเองแล้วจะหลีกเลี่ยงเหมือนกับเจอตัวเชื้อโรค มีเพียงเย่เทียนเฉินคนเดียวที่ไม่มีอีคิวเลยแม้แต่น้อย

หลังจากตรวจสอบแล้วซูเฟยเฟยจึงได้รู้ว่า เมื่อก่อนเย่เทียนเฉินถึงกับเป็นตัวตลกไปทั่วทั้งเมืองหลวง เป็นคุณชายเสเพลและคนไม่เอาไหนที่โด่งดัง ตอนนี้เปลี่ยนไปเป็นคนร้ายกาจขนาดนี้ได้ ช่างทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจจริงๆ ครั้งนี้เธอได้มาทำงานที่เครือไห่หวางโดยผ่านการจัดการมาระยะหนึ่ง เพื่อจะดูว่าเย่เทียนเฉินคนนี้พิเศษขนาดไหน

เวลาครึ่งชั่วโมงกว่า เย่เทียนเฉินก็มาถึงประตูของเครือไห่หวาง เมื่อลงรถก็ถูกกองกำลังตรงหน้าทำเอาตกใจ รอบๆ ตึกของเครือไห่หวางทั้งนอกทั้งในมีบอดี้การ์ดสวมสูทดำอย่างน้อยไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันคนล้อมเอาไว้ ดูยิ่งใหญ่อลังการเป็นอย่างมาก และทำให้ผู้คนหวาดกลัวมากด้วย คิดว่าต่อให้มีคนระดับผู้นำประเทศปรากฏตัวก็คงไม่โอ้อวดถึงขนาดนี้ แน่นอนว่าคนระดับผู้นำทั้งหลายของประเทศจีนล้วนไม่เลวเลย ไม่ชอบฟุ่มเฟือยสิ้นเปลือง เป็นคนเรียบง่ายอย่างมาก

“หยุดก่อนครับ คุณเป็นใคร? พนักงานข้างในเหรอ? งั้นก็เชิญคุณแสดงบัตรพนักงานด้วย ไม่งั้นไม่อนุญาตให้เข้าไป!”เย่เทียนเฉินเพิ่งจะเดินไปถึงประตูตึกของเครือไห่หวางก็ถูกบอดี้การ์ดสวมสูทดำคนหนึ่งหยุดเอาไว้

เย่เทียนเฉินรู้สึกอับจนคำพูดเป็นอย่างมาก ตนเองเป็นประธานคณะกรรมการของเครือไห่หวาง จะเข้าไปในตึกเครือไห่หวางยังต้องแสดงบัตรพนักงานอีกหรือ? ก็เหมือนกับคนๆ หนึ่งกลับบ้านตัวเองแล้วยังต้องแสดงบัตรประชาชนอย่างไรอย่างนั้น ใครจะไปรับได้กัน

“ฉันขอเตือนให้พวกนายรีบหลบทางให้ฉันซะ ช่วงนี้อารมณ์ของฉันไม่ดี อย่ามาทำลายอารมณ์ของฉัน!” เย่เทียนเฉินขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน พูดอย่างโมโหจนทนไม่ไหว

“ขอโทษด้วย เพื่อความปลอดภัยของคุณหนูของพวกเรา พวกเราจำเป็นต้องตรวจสอบทุกคนที่เข้ามาอย่างเข้มงวด หากคุณไม่แสดงบัตรพนักงานออกมา พวกเราก็ไม่สามารถปล่อยให้คุณเข้าไปได้!” บอดี้การ์ดสวมสูทดำอีกคนหนึ่งกล่าวอย่างเข้มงวด

“คุ้มครองความปลอดภัยของคุณหนูของพวกนายงั้นหรือ? คุณหนูของพวกนายเป็นใคร? คงจะไม่ใช่นายกรัฐมนตรีหญิงของประเทศYหรอกนะ?”เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง เอ่ยถามอย่างสงสัย

“ไม่ว่าจะยังไง โปรดแสดงบัตรพนักงานของคุณด้วย ไม่งั้นพวกเราไม่สามารถปล่อยให้คุณเข้าไปได้”

“ฉัน ฉันคือเย่เทียนเฉินประธานคณะกรรมการของเครือไห่หวาง ที่นี่เป็นเขตของฉัน พวกนายก็จะไม่ปล่อยฉันเข้าไป?” เย่เทียนเฉินตะโกนเสียงดัง

“ไม่ได้ คุณหนูของพวกเราบอกว่า ต้องแสดงบัตรพนักงาน!”

พลั่ก!

เย่เฉินลงมือแล้ว ใช้เท้าถีบบอดี้การ์ดสวมสูทดำคนหนึ่งจนกระเด็นออกไป แล้วจึงก้าวยาวๆ ไปยังประตูของตึกเครือไห่หวาง

เขาหมดคำที่จะพูดแล้วและไม่จำเป็นต้องพูดกันอีก สู้ให้ตนเองลงมือไปเลยดีกว่า นิสัยของเย่เทียนเฉินไม่ใช่คนที่ทำอะไรหลบๆ ซ่อนๆ บอดี้การ์ดสวมสูทดำหลายคนนี้ถึงกับกล้าขวางตนเอง ดูจากสถานการณ์แล้วก็คงไม่ยอมให้ตนเองเข้าไปแน่ เช่นนั้นก็ทำได้เพียงวิธีเดียว ซัดให้เละแล้วเข้าไปซะ

เมื่อเห็นเย่เทียนเฉินลงมือแล้ว บอดี้การ์ดสวมสูทดำรอบๆ ทั้งหมดล้วนกรูกันเข้ามา พวกเขาต่างก็เป็นบอดี้การ์ดของตระกูลซู ฝีมือย่อมไม่อ่อนแอแน่นอน ที่สำคัญก็คือที่นี่พวกเขามีกันเกือบหนึ่งพันคน ต่อให้ตำรวจมาก็ต้องตกใจจนฉี่ราด ไหนเลยจะคิดว่าจะมีคนกล้าลงมือจริงๆ ทันใดนั้นทั้งหมดพุ่งเข้าใส่เย่เทียนเฉิน เตรียมจะลงมืออัดเย่เทียนเฉินให้หมอบแล้วค่อยว่ากัน

ผัวะๆๆ …

ไม่นาน พวกเขาพบว่าตนเองคิดผิดไปแล้ว ชายวัยรุ่นคนที่บุกเข้ามานี้แข็งแกร่งมาก พวกเขาไม่ใช่คู่มือของเย่เทียนเฉินเลยโดยสิ้นเชิง บอดี้การ์ดที่กล้าลงมือกับเย่เทียนเฉินล้วนมีจุดจบเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือถูกอัดจนกระเด็นออกไปแล้วตกลงสู่พื้นอย่างรุนแรง พริบตาเดียวก็ยืนไม่ขึ้นอีก

เย่เทียนเฉินในตอนนี้ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว เมื่อครู่นี้ท่านปู่ใช้เหตุผลกับพวกคุณแต่พวกคุณก็ฟังไม่เข้าหู ตอนนี้ไม่มีทางอื่นแล้ว ทำได้เพียงใช้หมัดอธิบายให้พวกคุณเท่านั้น

อัดเข้าไปตลอดทาง เมื่อเย่เทียนเฉินสาวเท้าเดินเข้าไปที่ประตูใหญ่ของเครือไห่หวาง บนพื้นก็มีบอดี้การ์ดสวมสูทดำสิบกว่าคนนอนโอดครวญอยู่ ทั้งหมดเป็นคนที่กล้าลงมือกับเย่เทียนเฉินและถูกอัดจนหน้าทิ่มดิน ทำให้บอดี้การ์ดคนอื่นๆ ตกใจ ไม่กล้าลงมือง่ายๆ อีก เมื่อเผชิญหน้ากับเย่เทียนเฉินที่สาวเท้าเข้ามา พวกเขาทำได้เพียงถอยหลังไม่หยุดเท่านั้น

ตอนนี้ ซูเฟยเฟยที่ดื่มกาแฟอย่างว่างงานในออฟฟิศ ได้ยินแม่บ้านหญิงข้างกายของตนรายงาน มุมปากอันเซ็กซี่ก็อดไม่ได้ที่จะปรากฏรอยยิ้มออกมา พูดอย่างน่ารักและซุกซนว่า “คิดไม่ถึงเลยว่าเย่เทียนเฉินจะมาเร็วขนาดนี้!”

“คุณหนูคะ หากปล่อยให้เขาอัดคนเข้ามาแบบนี้ เกรงว่าบอดี้การ์ดตระกูลซูของพวกเราจะเกิดการสูญเสียอยู่บ้าง”

“งั้นก็ดี พวกเราไปเจอเย่เทียนเฉินสักหน่อยเถอะ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้คนๆ นี้เกิดบ้าขึ้นมา!”

ซูเฟยเฟยยืนขึ้น สวมสูททำงานทั้งร่าง ดูแล้วไม่ได้บดบังความงามของเธอเลย กลับดูเป็นมืออาชีพอย่างมาก ให้ความรู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น

เย่เทียนเฉินอัดคนเดินเข้าไปในห้องโถงของตึกเครือไห่หวาง ฉีย่ากวงรออยู่ที่นี่นานแล้ว เมื่อเห็นเย่เทียนเฉินใช้วิธีนี้เข้ามาก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง รีบวิ่งเข้าไปแล้วกล่าวยิ้มๆว่า “ประธานเย่ คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”

“ตกลงนี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?” เย่เทียนเฉินมองบอดี้การ์ดที่ยืนอัดแน่นกันอยู่รอบๆ รู้สึกได้ถึงปัญหาน่าปวดหัว

“ครับ เป็นพนักงานเล็กๆ คนหนึ่งของบริษัทพวกเรา บอดี้การ์ดเหล่านี้มาเพื่อคุ้มครองเธอ!” ฉีย่ากวงเปิดปากพูด

“โอ้อวดขนาดนี้ยังเป็นพนักงานเล็กๆ อีก ฉันอยากจะเห็นพนักงานเล็กๆ คนนี้จริงๆ ว่าจะเล็กขนาดไหน…” เย่เทียนเฉินเปิดปากพูดอย่างนึกสนุก

“นายสิเล็ก พูดจาร้ายๆ ลับหลังคุณหนูใหญ่อย่างฉันอีกแล้ว จะเกินไปหรือเปล่า?”

เมื่อได้ยินเสียงคุ้นหูนี้ เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะมองไปยังทางเข้าตึกชั้นสอง เห็นซูเฟยเฟยกำลังมองตัวเองพลางมุ่ยปากน่ารักๆ ทำให้เย่ทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง เขายังคงมีความสงสัยอยู่บ้าง เหตุใดซูเฟยเฟยถึงมาอยู่ที่นี่ได้?

“เป็นเธอ? เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”เย่เทียนเฉินถามอย่างสงสัย

เมื่อเห็นท่าทางประหลาดใจของเย่เทียนเฉิน ซูเฟยเฟยก็มีความสุขมาก ประสบผลสำเร็จอย่างที่ตนคาดคิด เธอเดาว่าการปรากฏตัวของตนจะต้องทำให้เย่เทียนเฉินแปลกใจมาก ตอนนี้เองจึงยืนอย่างซุกซนแล้วพูดว่า “ทำไมฉันจะมาไม่ได้ล่ะ? ฉันมาทำงานให้เถ้าแก่ใหญ่เย่ไง”

เย่เทียนเฉินมองรอยยิ้มเจ้าเล่ห์อันน่ารักของซูเฟยเฟย รวมกับคำพูดหยอกล้อตนเองของผู้หญิงคนนี้ ทันใดนั้นก็เข้าใจขึ้นมา ชัดเจนมากว่าสองครั้งก่อนหน้านี้ตนเองไม่สนใจซูเฟยเฟย ทำให้สาวงามคนนี้โกรธแค้นอยู่ในใจและจงใจมาแก้แค้นตนเองที่เครือไห่หวาง จิตใจของผู้หญิงคนนี้คับแคบขนาดนี้เลย? จิตใจที่อยากจะแก้แค้นแข็งแกร่งขนาดนี้เลย?

“เธอเหมือนมาทำงานหรือไง? เธอมาทำลายเครือไห่หวางมากกว่า?” เย่เทียนเฉินพูดอย่างไม่สบอารมณ์

“นี่นายปรักปรำฉันแล้ว ฉันซื่อสัตย์ทุ่มเทให้กับบริษัทมาก หากไม่เชื่อนายก็ถามผู้จัดการฉีได้…” ซูเฟยเฟยพูดแล้วมองฉีย่ากวง

“ใช่ครับ ก่อนหน้านี้หลายวันเพิ่งจะชมเธอไปเอง!” ฉีย่ากวงพูดอย่างกระอักกระอ่วน

“งั้นเธอพาบอดี้การ์ดมากมายขนาดนี้มาทำอะไร? อย่าบอกว่าประธานาธิบดีโฮบาม่าต้องการลอบฆ่าเธอนะ” เย่เทียนเฉินพูดอย่างจนใจ

“นี่ล้วนเป็นความจงรักภักดีที่พวกเขามีต่อฉัน ฉันเองก็จนปัญญา” ซูเฟยเฟยพูดพลางทำท่าทางจนใจ

จนปัญญากับผู้หญิงคนนี้จริงๆ เมื่อผู้หญิงคนหนึ่งทำตัวเหมือนอันธพาล เกรงว่าผู้ชายที่นิสัยอันธพาลยิ่งกว่านี้ก็คงซ่าไม่ออก ตอนนี้เย่เทียนเฉินเดินไปเบื้องหน้าของซูเฟยเฟย พูดเสียงเบาว่า “ให้บอดี้การ์ดของเธอถอนกำลังไปก่อน ทำให้การทำงานตามปกติของบริษัทฟื้นฟูคืนมา”

“ไม่ได้!” ซูเฟยเฟยพูดแล้วทำหน้าทะเล้นใส่เย่เทียนเฉิน

“หากเธอไม่ให้บอดี้การ์ดกลับไปตอนนี้ งั้นก็อย่ามาโทษที่ฉันไม่เกรงใจ ฉันจะอัดพวกเขาให้เรียงตัว ถึงตอนนั้นเธอกลับไปที่ตระกูลซูก็รายงานผลดีๆ ไม่ได้แล้ว!” เย่เทียนเฉินข่มขู่ซูเฟยเฟย

“ให้พวกเขาถอนกำลังออกไปได้ แต่นายต้องเลี้ยงข้าวฉัน!”

“เลี้ยงข้าวเธอ? ทำไม? ฉันไม่ได้ติดหนี้เลี้ยงข้าวเธอสักหน่อย”เย่เทียนเฉินพูดด้วยความขี้งก

“นาย…ให้นายเลี้ยงข้าวฉัน นายจะลำบากมากเลยเหรอ? ไม่เคยเจอผู้ชายที่ขี้งกขนาดนายมาก่อนเลย” ซูเฟยเฟยพูดด้วยความโกรธจนใบหน้าแดงก่ำ

“ฉันจนมาก แต่ในฐานะที่ฉันกับเธอรู้จักกัน ก็เลี้ยงบะหมี่ต้มยำให้เธอได้หนึ่งถ้วย!” เย่เทียนเฉินพูดออกมาด้วยท่าทางใจกว้าง

“นาย…ได้ คำไหนคำนั้น!” สุดท้ายซูเฟยเฟยก็ตอบรับ เธอรู้ว่าไม่สามารถบีบบังคับเย่เทียนเฉินมากเกินไปได้ บีบบังคับมากไปคนๆ นี้อาจจะอัดบอดี้การ์ดของตนจนหมอบ ถึงตอนนั้นก็ยุ่งยากมากแล้ว

ซูเฟยเฟยให้บอดี้การ์ดตระกูลซูของตนเองกลับไป ความจริงจุดประสงค์ที่เธอทำเช่นนี้มีเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือบังคับให้เย่เทียนเฉินปรากฏตัว ตอนนี้เย่เทียนเฉินได้ปรากฏตัวขึ้นแล้ว จุดประสงค์ของเธอสำเร็จแล้ว ดังนั้นจึงสามารถให้บอดี้การ์ดกลับไปได้ ส่วนเรื่องที่เย่เทียนเฉินจะเลี้ยงบะหมี่ต้มยำตัวเองนั้น คนคนนี้ก็หนีไม่ได้แน่ เธอไม่เชื่อว่าเขากล้าจะผิดคำพูดที่พูดต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้

………………………………

เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ – บทที่ 131 ซูเฟยเฟยลงมือแล้ว
กูตู๋อ๋างยืนอยู่เบื้องหน้าเฉินเซิง ในใจรู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก และไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี เขารู้ว่าเฉินเซิงโกรธและรู้ ว่า การที่จับกุม เย่เทียนเฉินไม่ได้ในครั้งนี้ เป็นการ ขาย หน้า กระทรวงความมั่นคงสาธารณะ ของพวกเขาอย่างรุนแรง นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้น มา ก่อน

เฉินเซิงออกคำสั่งจับกุม คน ด้วยตัวเอง ไม่ต้อง พูดถึง ลูกหลาน ตระกูลเย่ซึ่งเป็นตระกูลที่ตกต่ำเลย ต่อให้ เป็น คน ตระกูล ฉินเขาก็ยังกล้าจับกุม เพียงแต่เขาจะทำหรือไม่ก็เท่านั้น แค่เพียงสั่งลงไปเท่านั้น แต่ว่ามีสิ่งหนึ่งที่สามารถแน่ใจได้ นั่นคือเฉินเซิงมีอำนาจเช่นนี้ มีความสามารถเช่นนี้จริงๆ

ครั้งนี้เฉินเซิงส่งกูตู๋อ๋างไปจับเย่เทียนเฉินด้วยตัวเองก็เพราะไม่ต้องการให้มีข้อผิดพลาด เรื่องตระกูลฉินในครั้งนี้ใหญ่โตมาก อีกทั้ง ยัง เกี่ยวพันไปถึงผลประโยชน์มากมาย

รวมกับที่ลั่วซงเฉิงโทรหาเขาด้วยตัวเองจึงต้องใส่ใจยิ่งขึ้น ดังนั้นถึงได้ส่งกูตู๋อ๋างไปปฏิบัติการด้วยตัวเองและให้พาบอดี้การ์ดสิบกว่าคนไปจับเย่เทียนเฉินเพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดใดๆ ขึ้น เนื่องจากแต่ไหนแต่ไรกูตู๋อ๋างไม่เคยลงมือพลาดมาก่อน ฝีมือของคนคนนี้แข็งแกร่งมาก

เฉินเซิงมองกูตู๋อ๋างที่ไม่พูดไม่จาในใจก็ยิ่งโมโห เดิมทีหากสามารถจับกุมเย่เทียนเฉินได้ก็จะมีประโยชน์กับเขามาก ต้องทราบว่าครั้งนี้ตระกูลที่เย่เทียนเฉินล่วงเกินก็คือตระกูลฉิน กระทั่งฉินอี้ก็ตายไปแล้ว เรื่องราวยากที่จะกลายเป็นดีไปได้

ในเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นขั้วอำนาจที่ปกป้องเย่เทียนเฉินก็ดี ขั้วอำนาจที่ต้องการถือโอกาสนี้ฆ่าแย่เทียนเฉินก็ดี ทั้งหมดต่างก็มาขอร้องเขา เขาจึงต้อนรับขับสู้ทั้งซ้ายขวาและฉกฉวยผลประโยชน์มากมาย เพียงแค่รอเวลาดูว่าสุดท้ายขั้วอำนาจไหนจะแข็งแกร่งที่สุดแล้วค่อยเลือกเข้าพวก สำหรับเขาแล้วความเป็นความตายของเย่เทียนเฉินไม่ได้สลักสำคัญอะไรขนาดนั้น

ไหนเลยจะรู้ว่า กูตู๋อ๋างไปด้วยตัวเองแล้วก็ยังไม่อาจจับตัวเย่เทียนเฉินกลับมาได้ นี่อยู่นอกเหนือการคาดเดาของเฉินเซิงไปมาก ทั้งยังทำลายแผนการอันงดงามทั้งหมดในใจของเขาอีกด้วย จะไม่ให้โกรธได้อย่างไร?

ตรงนี้ไม่พูดไม่ได้ว่า เรื่องเหล่านี้ในวงการของข้าราชการห้ามคิดตื้นเกินไปอย่างเด็ดขาด ต่อให้เป็นคำพูดแค่ประโยคเดียวก็สามารถแฝงไปด้วยผลประโยชน์ได้ สามารถทำให้คุณบินขึ้นสูงและสามารถทำให้คุณตกต่ำจนไม่อาจฟื้นฟูได้

“ถ้าหากนายไม่สามารถให้คำอธิบายที่สมเหตุสมผลกับฉันได้ ฉันก็ทำได้เพียงพักงานนาย ให้นายไปพักผ่อนซะ!” เฉินเซิงพูดแล้วมองกูตู๋อ๋าง

“ฝีมือของเย่เทียนเฉินแข็งแกร่งมากครับ” กูตู๋อ๋างไม่พูดอะไรมาก กล่าวเพียงประโยคนี้เท่านั้น

“แข็งแกร่งมาก? งั้นบอดี้การ์ดสิบกว่าคนที่นายพาไปอ่อนแอหรือไง? นายที่สามารถสู้กับชางหลางได้อ่อนแอหรือไง? ฉันคิดว่าต่อให้เย่เทียนเฉินแข็งแกร่งขนาดไหนก็คงไม่สามารถติดปีกบินหนีไปได้หรอกใช่ไหม?”เฉินเซิงตะโกนใส่กูตูอ๋างอย่างไม่สบอารมณ์

“ตอนที่ผมกำลังจะจับกุมเย่เทียนเฉิน ชางหลางก็ปรากฏตัวออกมา… ”กูตู๋อ๋างพูดแล้วมองไปยังเฉินเซิง

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของกูตูอ๋าง เฉินเซิงอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง เขาคิดไม่ถึงเลยว่าชางหลางเองก็ไปด้วย ชางหลางเป็นใคร? เป็นคนของหยางอี้ เขาไปด้วยตัวเองเช่นนี้กว่าครึ่งย่อมต้องเป็นคำสั่งของหยางอี้ หากว่ากันด้วยเรื่องตำแหน่ง เขาเฉินเซิงไม่อาจเทียบได้กับ หยางอี้ได้โดยสิ้นเชิง การที่หยางอี้สอดมือเข้ามายุ่งเรื่องนี้ ย่อมไม่อาจละเลยได้

“เป็นคำสั่งของหยางอี้ ที่สั่งให้ชางหลางพาตัวเย่เทียนเฉินไปเหรอ?” เฉินเซิงถาม อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว

“ถึงชางหลางจะไม่ได้พูด แต่ผมรู้สึกได้ว่าเป็นคำสั่งของหยางอี้ ไม่งั้นชางหลางคงไม่มาคนเดียวหรอกครับ! ”

“งั้นนายออกไปก่อนเถอะ เรื่องนี้อย่าเพิ่งลงมือชั่วคราว ให้ฉันคิดสักหน่อย” เฉินเซิงมองกูตู๋อ๋างพลางกล่าว

กูตู๋อ๋างไม่พูดอะไร หันกายเดินออกไปจากห้องทำงานของเฉินเซิง เหลือไว้เพียงเฉินเซิงที่นั่งสูบบุหรี่อยู่บนเก้าอี้ทำงาน เขาคิดไม่ถึงเลยว่าหยางอี้จะสอดมือเข้ามายุ่ง หยางอี้เป็นคนระดับบิ๊ก เขาสอดมือเข้ามาแล้วเกรงว่าภารกิจนี้ของตนคงยากที่จะชักนำไปถึงจุดนั้นได้ นี่ทำให้เฉินเซิงสงสัยมากว่า เย่เทียน เฉินเป็นคนอย่างไรกันแน่?

เมื่อก่อนเย่เทียนเฉินเป็นตัวตลกไปทั่วทั้งเมืองหลวง เป็นคุณชายเสเพลและคนไม่เอาไหนที่โด่งดังแห่งตระกูลเย่ แต่ว่าตั้งแต่กลับเมืองมาเขาก็เปลี่ยนเป็นเฉียบคมขึ้นมา คนที่กล้าไปหาเรื่องเขาและคนที่กล้าไปหาเรื่องตระกูลเย่ของเขา ต่างมีจุดจบที่ไม่ดี ต่อให้เป็นตระกูลชั้หนึ่งอย่างตระกูลฉิน เย่เทียนเเฉินก็ไม่หวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย ยังลงมือโจมตีอย่างรุนแรงและยังกล้าฆ่าฉินเหิง ทำให้ฉินอี้โมโหจนตาย คนคนนี้กล้าหาญเด็ดเดี่ยวมาก ทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะนับถือ

ตอนแรกที่เย่เทียนเฉินถูกจับตัวไปที่สถานีตำรวจ ผู้อาวุโสตระกูลซูโทรมาหาเขาด้วยตัวเอง ให้เขาปกป้องเย่เทียนเฉิน มิฉะนั้นเฉินเซิงจะโทรไปหาหลูเซิ่งต๋าด้วยตนเองและให้เขาปล่อยให้เรื่องทุกอย่างเงียบลงได้อย่างไร หากข่าวลือแพร่ออกไปก็มากพอที่จะสั่นสะเทือนไปทั่วประเทศ ตอนนั้นเฉินเซิงก็สงสัยมาก เพียงแต่ไม่ได้คิดอะไร อย่างไรเสียตระกูลซูก็ไม่อาจล่วงเกินได้ จึงได้แต่ทำตามเท่านั้น

เมื่อลองคิดดู เฉินเซิงก็ยิ่งรู้สึกว่าเย่เทียนเฉินไม่ธรรมดา ดูเผินๆ เหมือนจะเป็นวัยรุ่นคนหนึ่งที่ไม่มีเบื้องหลังใดๆ แต่กลับมีขั้วอำนาจใหญ่มาช่วยค้ำจุนในทุกครั้งหลังจากที่ก่อเรื่องราวใหญ่โต คิดคิดดูแล้วก็ทำให้ผู้คนรู้สึกเหลือเชื่อ ดูท่าอย่าเลือกฝั่งมั่วๆจะดีกว่า ต่อให้ลั่วซงเฉิงเป็นเพื่อนสนิทของตนมาหลายปี แต่ตอนนี้ดูแล้ว หากว่าเลือกยืนผิดฝั่ง ไม่เพียงแต่จะรักษาตำแหน่งไว้ไม่ได้ แต่ยังอาจจะรักษาชีวิตไว้ไม่ได้อีกด้วย

เฉินเซิงชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะหยิบโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานขึ้นมา ต่อสายไปยังเลขาแล้วกล่าวว่า

“สองสามวันนี้หากมีใครมาหาฉัน ก็บอกไปว่าฉันป่วย กำลังพักผ่อนอยู่!”

เช้าวันต่อมาเย่เทียนเฉินถูกเสียงโทรศัพท์ปลุกขึ้น เมื่อยกหูโทรศัพท์ขึ้นจึงพบว่าเป็นฉีย่ากวงโทรมา เขาเป็นพี่ชายของฉีหรูเสวี่ย และยังเป็นผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดคนหนึ่งในเครือไห่หวางนอกเหนือจากเย่เทียนเฉิน เดิมทีเขารู้สึกไม่พอใจเย่เทียนเฉินมาโดยตลอด แต่ว่า ตั้งแต่เกิดเรื่องตระกูลฉิน ไม่เพียงแต่ฉีย่ากวง กระทั่งตระกูลฉีทุกคนต่างก็เปลี่ยนมุมมองที่มีต่อเย่เทียนเฉิน กระทั่งในใจของใครหลายคนต่างรอคอยให้ฉีหรูเสวี่ยมีการหมั้นหมายกับเย่เทียนเฉินจริงๆ เพราะการกระทำของเย่เทียนเฉินในช่วงนี้ ทำให้ทุกคนพูดได้เพียงแค่ว่า สุดยอด!

“ฮัลโหล ใครครับ มีธุระอะไร?”

แน่นอนว่าเย่เทียนเฉินไม่ได้บันทึกเบอร์โทรศัพท์ของฉีย่ากวงเอาไว้ ตอนแรกที่เขาเพิ่งมาถึงเครือไห่หวัง ฉีย่ากวงใช้วิธีชั่วร้ายขวางทางเขา ต่อมาเย่เทียนเฉินได้เป็นประธานคณะกรรมการของเครือไห่หวาง ซึ่งก็เป็นเพียงแค่ชื่อเรียกเท่านั้น ไม่ได้เข้ามาสนใจเรื่องเหลวไหล งานทั้งหมดล้วนให้ลูกน้องผู้ถือหุ้นไปทำ เกรงว่าเขาจะเป็นประธานคณะกรรมการที่ว่างที่สุดแล้ว

“ประธานเย่ ผมเอง ฉีย่ากวง!” ฉีย่ากวงที่อยู่อีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์พูดยิ้มยิ้ม

“ฉีย่ากวง? ฉีย่ากวงไหน?” เย่เทียนเฉินที่สะลึมสะลือกล่าวถาม

“อ่า ฮ่าๆ ผมเองฉีย่ากวง พี่ชายของฉีหรูเสวี่ย…” ฉีย่ากวงหัวเราะอย่างกระอักกระอ่วน

“อ๋อ นายนี่เอง มีธุระอะไรเหรอ?” เย่เทียนเฉินถาม

“ประธานเย่ เกิดเรื่องแล้วแล้วคับ บริษัทถูกคนจำนวนมากล้อมไว้จนน้ำสักหยดก็ผ่านไปไม่ได้ ส่งผลกระทบไปถึงการทำงานตามปกติของพนักงาน…” ฉีย่ากวงพูดอย่างร้อนรน

“เรื่องแบบนี้ก็ต้องโทรมาหาฉันด้วยเหรอ? ไปแจ้งตำรวจสิ้นเรื่องแล้ว!”เย่เทียนเฉินพูดอย่างไม่สบอารมณ์

“แต่ว่าประธานเย่ คนเหล่านี้ไม่ได้ก่อเรื่อง พวกเขาเพียงแค่ปกป้องพนักงานคนหนึ่งของบริษัทพวกเรา…”

“งั้นก็ไล่พนักงานคนนี้ออกซะ…”

“พนักงานคนนี้ทำงานอย่างขยันมาตลอด ทั้งยังไม่เคยทำผิดพลาดอะไร เมื่อวานก็ได้รับคำชื่นชม หากไล่เขาออก จะส่งผลไปถึงพนักงานคนอื่นในบริษัท…” ฉีย่ากวงพูดอย่างกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง

“นาย… ได้ ฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้!”

เย่เทียนเฉินรู้สึกอับจนคำพูดโดยสิ้นเชิง เรื่องเล็กเพียงเท่านี้พวกฉีย่ากวง ก็จัดการไม่ได้ แล้วยังต้องให้ตนเองที่เป็นประธานคณะกรรมการไปที่บริษัทด้วยตัวเองอีก คิดคิดดูแล้วก็โมโห แต่คนคนนี้กลับไม่คิดสักนิดว่า ตั้งแต่ตนไปที่เครือไห่หวางครั้งหนึ่งซึ่งครั้งนั้นได้พบกับฉีหรูเสวี่ย แล้วก็ไม่ได้ไปอีกเลย นี่เป็นครั้งแรกที่ฉีย่ากวงโทรหาเขา มีประธานคณะกรรมการแบบเขาที่ไหนกัน

หลังจากที่ลุกจากเตียง เย่เทียนเฉินก็ล้างหน้าล้างตาอย่างง่ายๆ แล้วให้รถที่รถประจำตำปหน่งของหยางอี้ไปส่งตัวเองที่ประตูเครือไห่หวาง ชางหลางมาถึงทีหลังโกรธมาก อยากจะซัดเจ้าหมอนี่สักยกจริงๆ เขานำรถไปแล้ว ตนเองจะเอาอะไรไปรับท่านหยางอี้เล่า? บางทีตอนที่เย่เทียนเฉินทำเป็นเล่นขึ้นมาก็มีบรรยากาศที่ทำให้คนอยากจะฆ่าเขาให้ตายจริงๆ

ตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินกลับไม่รู้ว่ามีสาวงามคนหนึ่งกำลังรอเขาอยู่ที่เครือไห่หวาง ความโกรธเคืองที่สาวงามคนนี้มีต่อเย่เทียนเฉินไม่ใช่น้อยๆ อีกครั้งยังรู้สึกแปลกใจต่อเย่เทียนเฉินมาก อยากจะเห็นสักหน่อยว่าคนที่เคยปัญญาอ่อนคนหนึ่งจะกลายเป็นผู้ชายงานดีเช่นตอนนี้ไปได้อย่างไร คนคนนี้ก็คือซูเฟยเฟย

ซูเฟยเฟยเข้ามาทำงานที่เครือไห่หวางนานแล้ว ตำแหน่งงานเป็นเพียงพนักงานเล็กๆ เท่านั้น ด้วยความสามารถอันเก่งกาจของเธอที่เป็นหัวกะทิทางด้านงานไอที หากเครือไห่หวางทราบ เกรงว่าจะมาเชิญนานแล้ว อย่างน้อยก็ต้องให้ตำแหน่งผู้จัดการทั่วไป แต่ซูเฟยเฟยกลับไม่ได้ทำเช่นนั้น เธอต้องการสังเกตเย่เทียนเนอยู่ข้างๆ อยากเห็นว่าคนๆ นี้มีอะไรที่เหนือกว่าคนอื่นกันแน่

ที่สำคัญก็คือ ท่าทางที่เย่เทียนเฉินมีต่อตนเองทำให้ซูเฟยเฟยรู้สึกโกรธอ แต่ไหนแต่ไรก็ไม่มีผู้ชายแม้แต่คนเดียวที่กล้าไม่สนใจตนแบบนี้ เย่เทียนเฉินเป็นคนแรก ซูเฟยเฟยอยากจะเห็นสักหน่อยว่า ตกลงแล้วคนคนนี้เป็นผู้ชายปกติหรือไม่

สองวันแรกได้ยินว่าเย่เทียนเฉินกลับมาจากประเทศMแล้ว ไม่นึกว่าตลอดมาจะไม่ได้พบคนคนนี้มาที่บริษัทเลย ซูเฟยเฟยรู้สึกสงสัย จนกระทั่งเมื่อวานตอนที่ได้ข่าวว่าเย่เทียนเฉินไปก่อเรื่องใหญ่ที่ตระกูลฉิน ทำให้เธอตกใจจริงๆ ดังนั้นวันนี้เธอจึงคิดวิธีเช่นนี้ขึ้นมาเพื่อบังคับให้เขามาเจอตน

ตอนเช้าตรู่ บอดี้การ์ดสูทดำเกือบพันคนล้อมตึกของเครือไห่หวางเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นประตูรั้วหรือประตูตึกล้วนมีบอดี้การ์ดสวมสูทดำยืนอยู่ พวกเขามาเพื่อคุ้มครองคนคนหนึ่ง นั่นก็คือซูเฟยเฟย ส่วนเหล่ายามของเครือไห่หวางตกใจจนฉี่ราดกางเกงไม่กล้าปรากฏตัวออกมาแล้ว พวกเขาจะเป็นคู่ต่อสู้ของบอดี้การ์ดร่างยักษ์เหล่านี้ได้ที่ไหนกัน

ซูเฟยเฟยทำเพียงนำคนเหล่านี้มาคุ้มครองตนเอง ส่วนเธอเข้างานตามปกติ ทำงานตามปกติ ไม่ได้ทำลายระเบียบการทำงานของบริษัท เพียงแต่ทำให้พนักงานจำนวนมากไม่มีกะจิตกะใจจะทำงาน กระทั่งฉีย่ากวที่เป็นผู้ถือหุ้นก็ยังรู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ นี่จึงทำให้เขาคิดจะโทรหาเย่เทียนเฉิน

………………….

เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ – บทที่ 130 รายชื่อของสี่สุดยอดสาวงามแห่งพรรควรยุทธโบราณ
การประลองระหว่างพรรควรยุทธโบราณ มีมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันไม่เคยหยุด ต่อให้มาถึงปัจจุบันนี้ ทุกหลายปีจะมีการประลองครั้งหนึ่ง ซึ่งมีสาเหตุอยู่สองประการ ประการแรก เพื่อศึกษาแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน เพิ่มพูนประสบการณ์การต่อสู้จริง ยกระดับตนเองและเปิดหูเปิดตาให้มากขึ้น ประการที่สอง เพื่อพัฒนาความสามารถของสำนักตนเอง เพื่อความรุ่งโรจน์ของสำนักตนเอง ให้สำนักอื่นในพรรควรยุทธโบราณรู้ว่า เคล็ดวิชาของสำนักของตนแข็งแกร่งมาก อย่าได้มาหาเรื่องโดยเด็ดขาด

ในสาเหตุสองประการนี้ สาเหตุที่สองมีความสำคัญมากกว่า โดยเฉพาะสำนักทั้งหลายที่ชอบต่อสู้ หรือคนที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาของพรรควรยุทธโบราณแล้วคิดว่าความสามารถของตนแข็งแกรง อยากจะวางท่าเป็นหนึ่งในใต้หล้า ดังนั้นการประลองของพรรควรยุทธโบราณทุกครั้งมักมีการบาดเจ็บล้มตาย นี่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

อีกทั้งในหมู่พรรควรยุทธโบราณ สำนักที่มีบุญคุณความแค้นต่อกันมีมากมาย ก็เหมือนกับความสัมพันธ์ของระหว่างประเทศต่างๆ บางสำนักมักจะคิดว่าสำนักของตนแข็งแกร่งมาก สามารถกดสำนักอื่นๆ เอาไว้ได้ ย่อมกลับมายั่วยุ สองสำนักจึงเกิดการนองเลือด ทำให้บุญคุณความแค้นยิ่งสะสมยิ่งลึกล้ำ จนถึงขั้นที่ไม่สามารถแก้ไขได้ สรุปคือ ระหว่าสำนักต่างๆ ในพรรควรยุทธโบราณก็มีความซับซ้อนมาก

เหตุผลนี้เรียบง่ายมาก ในหมู่ศิษย์พรรควรยุทธโบราณส่วนใหญ่ล้วนฝึกฝนเคล็ดวิชาของสำนักตัวเอง ในหมู่นั้นมีคนส่วนหนึ่งที่โหดเหี้ยมทำตามอำเภอใจ คนคนหนึ่งหลังจากแข็งแกร่งแล้ว มักจะดูถูกคนอื่น กระทั่งยั่วยุคนอื่น ทำให้เกิดการพูดจาเสียดสีถามถางกันมากขึ้น มีบางสำนักในพรรควรยุทธโบราณที่มีความแค้นกันยาวนานถึงร้อยปี จนถึงปัจจุบันก็ยังคงวางอุบายใส่กันจนเกิดเรื่องนองเลือด

เซี่ยอวี่เหอเป็นหนึ่งในสี่สุดยอดสาวงามแห่งพรรควรยุทธโบราณ ในส่วนนี้เย่เทียนเฉินเองก็เคยได้ยินหยางอี้พูดมาแล้ว ทั้งยังมีผู้หญิงอีกคนหนึ่งชื่อตงฟางเมิ่ง ผู้หญิงคนนี้เป็นนักศึกษาใหม่ในชั้นปีที่หนึ่งของมหาวิทยาลัยหลงเถิง งดงามสมตำแหน่งดาวมหาวิทยาลัย ดูเหมือนจะมีน้อยคนที่รู้ว่า ตงฟางเมิ่งที่ดูภายนอกงดงามราวเซียนสวรรค์จะเป็นถึงยอดฝีมือพรรควรยุทธโบราณที่มีผฝีมือไม่ธรรมดา เหล่าพี่ชายทั้งหลายที่กล้าเข้ามาหยอกล้อ คงจะต้องลำบากแล้ว

ครั้งนี้ อาจารย์ของสำนักที่เซี่ยอวี่เหออยู่ ได้รับจดหมายเชิญที่อีกสำนักหนึ่งส่งมา โดยสรุปก็คือสี่สุดยอมสาวงามแห่งพรรควรยุทธโบราณจะต้องทำการประลองฝีมือจัดอันดับ แลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน แม้จะบอกว่าเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ แต่ความจริงคือมีบางสำนักต้องการท้าทาย ต้องการพิสูจน์ความแข็งแกร่งของสำนักของพวกเขาว่าเคล็ดวิชาร้ายกาจที่สุด อีกทั้งยังใช้โอกาสนี้ฆ่าศิษย์ของสำนักอื่น เพื่อลดอ่อนอำนาจให้อ่อนแอลง

จากการคาดเดาของอาจารย์ของเซี่ยอวี่เหอ คิดว่าเซี่ยอวี่เหอนั้นแม้จะเก่งกาจ เป็นยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณที่เป็นผู้มีพลังพิเศษ แม้ความสามารถส่วนตัวจะไม่ได้แข็งแกร่งมากขนาดนั้น แต่ก็สามารถผสมผสานเคล็ดวิชาของพรรควรยุทธโบราณเข้ากับเคล็ดวิชาพลังพิเศษได้ ความสามารถในการโจมตีเปลี่ยนแปลงทางอากาศแข็งแกร่ง แต่ในครั้งนี้ ศิษย์หญิงที่มาจากสำนักอื่นอีกสามสำนัก ก็ไม่ได้อ่อนหัด ในหมู่พวกเธอมีสองคนที่ความสามารถเหนือกว่าเซี่ยอวี่เหอโดยสิ้นเชิง เธอไม่มีโอกาสชนะ อาจารย์ของเซี่ยอวี่เหอกังวลเธอจะมีอันตรายถึงชีวิต จึงต้องการปฎิเสธจดหมายเชิญฉบับนั้นไป ไม่ให้เซี่ยอวี่เหอเข้าร่วม

กล่าวตามจริง การะประชันฝีมือระหว่างพรรควรยุทธโบราณมีมาตลอด ทั้งยังดูเหมือนว่าจะไม่มีสำนักไหนแสดงความขี้ขลาดในตอนที่อีกสำนักหนึ่งท้าทาย เพราะจะทำให้สำนักในเส้นทางเดียวกันหัวเราะเยาะเอาได้ แล้วจะยังสามารถยืนอยู่บนเส้นทางนี้ต่อไปได้อย่างไร? โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผ่านการเปลี่ยนแปลงมาหลายปีขนาดนี้ เวลาถึงห้าพันปี สำนักที่สามารถเป็นที่เลื่องลือมาจนถึงปัจจุบันได้ล้วนแข็งแกร่งมาก ใครมีใครอ่อนแอกว่ามากเท่าไหร่นัก

นี่เป็นสาเหตุว่าทำไม ในยุคสมัยปัจจุจบัน เมื่อมีศิษย์พรรควรยุทธโบราณที่โผล่ออกมาจากเขา จำเป็นต้องเป็นยอดฝีมือ

หลังจากที่เซี่ยอวี่เหอรู้เรื่องนี้ เธอก็รู้ว่าอาจารย์คิดเพื่อความปลอดภัยของตน แต่ในฐานะศิษย์จองพรรวรยุทธโบราณ หากไม่กล้าเข้าร่วมการประลอง ก็จะได้ชื่อว่าเป็นไอ้ขี้แพ้แห่งพรรควรยุทธโบราณ จะถูกคนอื่นดูถูก กระทั่งเกี่ยวพันไปถึงชื่อเสียงของอาจารย์ได้

ตั้งแต่เล็กจนโต เซี่ยอวี่เหอล้วนอยู่กับอาจารย์ ฝึกฝนเคล็ดวิชาของสำนัก จึงรู้ดีว่าชื่อเสียงสำคัญกับสำนักในพรรควรยุทธโบราณสำนักหนึ่งมากขนาดไหน เธอเองก็มีความเคารพและความรู้สึกรับผิดชอบ จะไม่ให้อาจารย์ต้องขายหน้าเด็ดขาด จะไม่ทำให้สำนักต้องได้รับความอับอายเด็ดขาด กังนั้นเธอจึงขโมยจดหมายเชิญฉบับนั้นและหนีมาเมืองหลวง การประลองระหว่างสี่สุดยอดสาวงามแห่งพรรควรยุทธโบราณในครั้งนี้ สถานที่ได้ถูกกำหนดให้จัดขึ้นที่เมืองหลวง ไม่ใช่สถานที่จำพวกป่าเขาอะไร

“ฉันรู้ ฉันรู้ว่าความเป็นความตายขึ้นอยู่กับลิขิตฟ้า แต่ว่านะศิษย์พี่ใหญ่ ฉันเป็นศิษย์คนหนึ่งขของสำนัก หากไม่ไปเข้าร่วมเพราะกลัวตาย จะต้องเกี่ยวพันไปถึงสำนัก ถูกสำนักอื่นเยาะเย้ยถากถาง ดังนั้นต่อให้ฉันต้องตาย ก็ให้สำนักได้รับความอัปยศเด็ดขาด!” เซี่ยอวี่เหอพูดพลางมองศิษย์พี่ใหญ่อย่างจริงจัง

เจี้ยงอันอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง จู่ๆ เขาก็พบว่าตนเองยังเด็ดเดี่ยวได้ไม่เท่าศิษย์น้องเล็ก เธอเป็นผู้หญิงคนหนึ่งยังรู้จักสละชีวิตเพื่อสำนัก มาถึงเมืองหลวงโดยไม่เกรงกลัวความตาย ต่อให้มีข่าวลือว่าศิษย์อีกสองสำนักแข็งแกร่งเป็นประวัติการณ์ แข็งแกร่งจนถถึงขั้นไม่อาจจินตนาการได้ ศิษย์น้องเล็กก็ยังมาอย่างกล้าหาญโดยไม่หันหลังกลับ เพื่อความรุ่งเรืองของสำนัก เธอจะเข้าร่วมการประลองในครั้งนี้

“ศิษย์น้องเล็ก เธอต้องรู้ว่าครั้งนี้ยอกจากตงฟางเมิ่งที่แข็งแกร่งแล้ว เทียนซวงเอ๋อร์ก็ไม่อ่อนแอ ที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือชิงเฉิงเยว่ โดยเฉพาะชิงเฉิงเยว่ที่ลือกันว่าสามารถสามารถต่อสู้กับอาจารย์ของตัวเธอเองได้สิบกระบวนท่าโดยไม่เพรี้ยงพล้ำ ความสามารถในการต่อสู้นี้เกรงว่าในพรรควรยุทธโบราณเองก็หาออกมาได้ไม่กี่คน หากศิษย์น้องต้องเจอกับเธอ คงจะตายอย่างไม่ต้องสงสัยเลย!” แม้เจียงอั้นจะนับถือในความกล้าของศิษย์น้องเล็ก แต่ความจริงมันวางกองอยู่จรงหน้า ในหมู่สี่สุดยอดสาวงามแห่งพรรวรยุทธโบราณ เซี่ยอวี่เหอไม่ได้แข็งแกร่งที่สุด หากไปร่วมประลองจะต้องอันตรายถึงชีวิตแน่

ในการประกองของพรรควรยุทธโบราณ มีกฏเกณฑ์ลับๆ อยู่ เมื่อผู้ได้รับเชิญตอบรับคำเชิญก็เท่ากับเป็นการเซ็นสัญญาแห่งความเป็นความตาย ต้องรับผิดชอบชีวิตของตัวเอง กล่าวคือ ต่อให้คุณถูกฆ่า ก็ เป็นสิ่งสมควร สำนักของคุณก็ไม่สามารถแก้แค้นอีกสำนักได้

หลายปีมานี้ พรรควรยุทธโบราณที่สามารถดำรงอยู่มาตลอดหลายพันปีล้วนมีอำนาจแข็งแกร่ง ล้วนผ่านการชำระล้างมาไปตามยุคสมัย ผู้ที่อยู่รอดคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด ดังนั้นจึงไม่มีพรรควรยทุธ์โบราณพรรคไหนที่กล้าไปโมตีหรือกำจัดพรรควรยุทธโบราณอีกสำนักหนึ่งตามอำเภอใจ ส่วนการประลองนั้นเป็นวิธีการที่ดีที่สุดของเหล่าสำนักที่มีความทะเยอทะยานในการใช้ลดทอนอำนาจของสำนักอื่นๆ ทั้งยังเป็นวิธีที่กล้าหาญที่สุด ไม่เพียงแต่สามารถตรวจสอพลังอำนาจเคล็ดวิชาของสำนักนั้นๆ ได้ ทั้งยังสามารถฆ่าคนที่มาประลองเพื่อลดทอนความสามารถของสำนักนั้นๆ ได้อีกด้วย

จินตนาการได้เลยว่า เมื่อสำนักหนึ่งจงใจส่งจดหมายเชิญมาเพื่อยั่วยุ บอกว่าต้องการประลองกับศิษย์สำนักคุณสักหน่อย แลกเปลี่ยนความรู้กัน คุณจะไม่ตอบรับได้หรือ? ถ้าคุณไม่ตอบรับก็จะเป็นการพิสูจน์ว่าคุณขี้ขลาดคนอื่นส่งจดหมายเชิญมาเพื่อต้องการประลอง ความหมายอื่นนอกเหนือจากนี้ก็คือ ดูถูกสำนักของคุณ เป็นพรรควรยุทธโบราณเหมือนกัน คนอื่นมาตบหน้าถึงที่ คุณยังสามารถทำเป็นมองไม่เห็น ไม่รับคำท้าได้หรือ? นี่ไม่ได้เกี่ยวพันเรื่องของเกียรติ์ส่วนบุคคล แต่เกี่ยวพันถึงเกียรติ์ของทั้งสำนัก

ก็เหมือนกับตอนที่พวกต่างชาตมาแย่งชิงเกาะของพวกเราไปอย่างหน้าไม่อาย คนอื่นเขามารังแกถึงที่ พวกเราจะไม่ลงมือได้หรือ? เกรงว่าขอแค่เป็นคนที่มีนิสัยเลือดร้อนเล็กน้อย ก็ล้วนต่อต้านสุดชีวิต ต่อให้ต้องสิ้นชีพก็ตาม

เซี่ยอวี่เหอรู้ว่าเจียงอั้นเป็นห่วงเธอ อาจารย์ที่ไม่อยากให้เธอเข้าร่วมการประลองก็เพราะเป็นห่วงเธอ ความจริงนี่ทำให้ภาระในใจเธอหนักหนายิ่งขึ้น ตั้งแต่เล็กจนโต ท่านอาจารย์และศิษย์พี่ใหญ่ต่างรักและปกป้องตนมาก ดูเหมือนว่าแต่ไหนแต่ไรจะไม่เคยให้นางทำภารกิจอะไรที่อันตรายเลย หลายปีมานี้ ตนอาศัยอยู่ในสำนัก ไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้อาจารย์ ตอนนี้มีคนมาท้าท้ายถึงหน้าประตู ระบุชัดเจนว่าจ้องการให้เธอเข้าร่วมการประลอง กังนั้นเธอจึงมาเมืองหลวงโดยไม่คิดจะหันหลังกลับ

“ศิษย์พี่ใหญ่ จะรุนแรงเหมือนที่พี่สูงที่ไหนกัน นี่เป็นแค่การประลองเท่านั้น พูดอีกอย่างก็คือ ตงฟางเมิ่งและเทียนซวงเอ๋อร์ร้ายกาจมากจริงๆ แต่อย่างน้อยฉันก็สามารถสู้เสมอกับพวกเขาได้ใช่ไหม? ส่วนชิงเฉิงเยว่ เธอร้ายกาจมากจริงๆ สามารถพูดได้ว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ของพรรควรยุทธโบราณที่หาได้ยากในหลายปีมานี้ อย่างไรก็ตามจากการคาดเดาของฉันต่อให้ฉันไม่ชนะก็ยังสามารถหนีได้” เซี่ยอวี่เหอกล่าวพลางยิ้มอย่างน่ารัก

“แต่ว่าศิษย์น้องเล็ก ฝีมือของชิงเฉิงเยว่เป็นที่กล่าวขานมานานในพรรควรยุทธโบราณ กระทั่งมีคนบอกว่าผ่านไปอีกไม่กี่ปีเธอจะได้เป็นเจ้าสำนักแทนท่านอาจารย์ของเธอ ครั้งนี้เป็นท่านอาจารย์ของเธอที่ส่งเธอมาหาประสบการณ์พระสร้างบารมีชื่อเสียง มีความมั่นใจว่าจะชนะอย่างแน่นอน กระทั่งฉันก็เกรงว่าไม่ใช่คู่มือของชิงเฉิงเยว่ เธอ…” เจียงอั้นไม่วางใจเลยจริงๆ ยังคิดจะชักจูงศิษย์น้องเล็กให้กลับไปที่สำนัก อย่าไปร่วมการประลองในครั้งนี้ อันตรายมากจริงๆ

“ศิษย์พี่ใหญ่ พี่จะดูถูกฉันไปหรือเปล่า? ไม่งั้นตอนนี้พวกเราสองคนมาประลองกันดูสักหน่อยไหม?”เซี่ยอวี่เหอกําหมัด พูดพลางยิ้มอย่างน่ารัก

“ศิษย์น้องเล็ก…”

”ศิษย์พี่ใหญ่ พี่อย่าพูดอีกเลย พี่กลับไปก่อนเถอะ บอกท่านอาจารย์ด้วยว่า รอให้ฉันชนะ ฉันก็จะกลับไปสำนัก!” เซี่ยอวี่เหอกล่าวขัดคำพูดของเจียงอั้น

เจียงอั้นเห็นเซี่ยอวี่เหอตัดสินใจแล้ว ดูถ้าไม่ว่าตนจะพูดอย่างไร ก็ไม่มีทางชักจูงให้เธอกลับไปได้ จึงทำได้เพียงถอนหายใจครั้งหนึ่ง อธิษฐานในใจว่าขอให้ครั้งนี้ชิงเฉิงเยว่มาไม่ได้ หากมาก็อย่าได้ลงมือฆ่า ส่วนตงฟางเมิ่งและเทียนซวงเอ๋อร์ แม้จะแข็งแกร่งมาก แต่ศิษย์น้องเล็กคงจะสามารถสู้กับพวกเธอได้ ไม่ถึงกับอันตรายเกินไป ที่อันตรายที่สุดมาจากชิงเฉิงเย่ว ผู้หญิงคนนี้ที่สวยจนสวรรค์ยังต้องอิจฉา กลับเป็นยอดฝีมือ ที่ทำให้ผักวรยุทธโบราณต้องสั่นสะท้าน ทำให้ผู้อื่นไม่มั่นใจเลยจริงๆ

ในตอนนี้ ณ อาคารบริหารแห่งกระทรวงความมั่นคงสาธารณะในเมืองหลวงได้เกิดเรื่องบางอย่างขึ้น เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเย่เทียนเฉิน ส่วนคนคนนี้นอนกรนเสียงดังอยู่บนเตียงหลังใหญ่นานแล้ว ราวกับเขาไม่ร้อนใจเรื่องตระกูลฉินที่เขาก่อเลยแม้แต่น้อย

“ฉันอยากจะรู้ว่า ทำไมนายพายอดทหารไปสิบกว่าคน ก็ยังไม่สามารถจับเย่เทียนเฉินได้? แล้วฉันก็อยากจะรู้ว่า ด้วยฝีมือของนายจะยังจับเย่เทียนเฉินไม่ได้เลยหรือ? เย่เทียนเฉินแข็งแกร่งขนาดนั้นจริงๆหรือ?ฉันหวังว่าเรื่องนี้นายจะสามารถให้คำอธิบายที่สมเหตุสมผลกับฉันได้ ไม่งั้นฉันคงทําได้เพียงลงโทษที่นายทำงานไม่สำเร็จ!” เฉินเซิงผู้บัญชาการกรมความมั่นคงสาธารณะ ตบลงบนโต๊ะอย่างแรง มองไปยังกูตู๋อ๋างอย่างดุดัน แล้วตะโกนออกมา

……………………….

เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ – บทที่ 129 ที่แท้ก็เป็นพวกเธอ!
คนชุดดำแข็งแกร่งมาก เย่เทียนเฉินไม่เพียงแต่สู้กับเขาด้วยพละกำลังล้วนๆ สุดท้ายยังใช้พลังพิเศษขอบเขตจอมราชันต่อสู้กับพลังภายในอันแข็งแกร่งดุดันของคนชุดดำ ทั้งสองถูกแรงปะทะจนถอยไป แผ่นหินสีเขียวในสวนดอกไม้ทั้งหมดแตกเป็นเสี่ยงๆ จินตนาการได้เลยว่าน่ากลัวขนาดไหน แขนทั้งสองข้างของเย่เทียนเฉินชาเล็กน้อย ส่วนคนชุดดำดูเหมือนจะไม่เป็นอะไรเลย

ตั้งแต่ได้มาเกิดใหม่จากช่วงยุคสิ้นโลก นี่เป็นครั้งแรกที่เย่เทียนเฉินต่อสู้กับยอดฝีมือเช่นนี้ ไม่ได้ใช้กระบวนท่าพลังพิเศษ และไม่ปรากฏเคล็ดวิชาอันแข็งแกร่งของพรรควรยุทธโบราณ ทั้งสองคนใช้ความสามารถอันแข็งแกร่งของตนทั้งหมด หากไม่ระวังก็สามารถตายอย่างไร้ที่ฝังได้

เย่เทียนเฉินยืนอยู่ตรงประตูสวนดอกไม้ของคฤหาสน์ มองคนชุดดำและคนอีกคนหายไปท่ามกลางความมืด เขามักจะรู้สึกว่าเสียงของคนที่ปรากฏตัวออกมาสุดท้ายนั้นคุ้นเคยมาก ในเวลาสั้นๆ กลับไม่สามารถคิดออกมาได้ว่าเป็นใคร เขาหาวออกมาครั้งหนึ่ง มองสมาชิกกองกำลังคมมีดทั้งแปดที่ยืนอยู่ข้างหลัง พูดยิ้มๆ ว่า “พวกคุณไม่ต้องเครียดขนาดนั้นหรอก ไม่มีคนมาลอบโจมตีแล้ว ทุกคนพักผ่อนเถอะ!”

พูดจบ เย่เทียนเฉินก็หันกายเดินกลับไปในห้องนอนของคฤหาสน์แล้วเริ่มนอนต่อ ส่วนสมาชิกกองกำลังคมมีดทั้งแปดยืนอยู่ที่ตำแหน่งทั้งแปดในคฤหาสน์อย่างระมัดระวังมากขึ้น กระทั่งไม่กะพริบตาเลยสักนิด นี่เป็นความสามารถของพวกเขา และเป็นสิ่งที่พวกเขาได้รับการอบรมฝึกฝนมา การโจมตีของคนชุดดำเมื่อครู่นี้ได้ทำให้พวกเขารู้สึกกดดัน ตอนนี้จะไม่เพิ่มความระมัดระวังรอบคอบให้มากขึ้นได้อย่างไร

ความแข็งแกร่งของคนชุดดำเป็นเรื่องที่ไม่ต้องสงสัยเลยแม้แต่น้อย ภายใต้การลงมือเต็มกำลังของเย่เทียนเฉินก็ยังไม่อาจทำให้เขาพ่ายแพ้ได้ การต่อสู้ระหว่างคนชุดดำและเย่เทียนเฉินสามารถกล่าวได้ว่าไม่อาจแบ่งแยกแพ้ชนะ ตั้งแต่ได้มาเกิดใหม่ นี่เป็นครั้งแรกที่เย่เทียนเฉินสู้กับคนอื่นแล้วไม่รู้ผลแพ้ชนะ สามารถเห็นได้เลยว่าคนชุดดำแข็งแกร่งมากจริงๆ

ต้องกล่าวว่าเย่เทียนเฉินมีนิสัยอันธพาลอยู่บ้าง และมีความน่ากลัวดุจเทพแห่งความตาย ประโยคนี้กล่าวได้ไม่ผิดพลาดเลยจริงๆ เพิ่งจะประสบกับการต่อสู้รุนแรงกับยอดฝีมือเช่นคนชุดดำมา ก็ยังสามารถนอนหลับได้ ล้มตัวลงบนเตียงก็นอนกรนออกมาเสียงดังแล้ว ความเงียบสงบยามค่ำคืนค่อยๆ ฟื้นคืนมาอีกครั้ง สมาชิกกองกำลังคมมีดทั้งแปดที่ยืนอยู่ด้านล่างคฤหาสน์ได้ยินเสียงกรนของเย่เทียนเฉิน ต่างรู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ ทั้งยังรู้สึกนับถือนิสัยดั่งขุนพลใหญ่อย่างเย่เทียนเฉิน ต่อให้อีกฝ่ายเป็นคู่ต่อสู้ที่ร้ายกาจแค่ไหน เขาก็กล้าเผชิญหน้า ไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย!

ตอนนี้เอง ณ พงหญ้าอันหนาแน่นผืนหนึ่ง คนชุดดำทั้งสองประคองกันเดินไปข้างหน้า คนชุดดำที่ถูกประคองก็คือคนที่สู้กับเย่เทียนเฉินเมื่อครู่นี้ ส่วนคนที่เป็นผู้ประคองเขาเป็นคนชุดดำที่ร่างกายเล็กน่ารักซึ่งเอาผ้าคลุมหน้าสีดำออกนานแล้ว หากเย่เทียนเฉินได้เห็นจะต้องประหลาดใจมากอย่างแน่นอน เนื่องจากเงาร่างที่ช่วยคนชุดดำหนีออกมาไม่ใช่คนอื่นแต่เป็นเซี่ยอวี่เหอ

ตอนนี้ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า คนที่ต่อสู้กับเย่เทียนเฉินไปหลายสิบกระบวนท่าก็ยังไม่แพ้ ทั้งยังทำให้แผ่นหินสีเขียวในสวนดอกไม้แตกกระจุยก็คือเจียงอั้นศิษย์พี่ใหญ่ของเซี่ยอวี่เหอ

“แค่กๆ…”

เจียงอั้นกุมหน้าอกของตน ไม่ทันไรก็ทรุดลงไปกับพื้นไอออกมาอย่างรุนแรง เซี่ยอวี่เหอร้อนใจมาก รีบนั่งลงประคองเจียงอั้นแล้วเอ่ยถามว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่ใหญ่ พี่ไม่เป็นไรใช่ไหม?”

“มะ ไม่เป็นไร ข้างหน้ามีบ้านร้างอยู่ พยุงฉันไปพักสักหน่อย…” ใบหน้าของเจียงอั้นซีดขาวอยู่บ้าง แต่ยังคงพยายามฝืนยิ้มออกมา เขาไม่อยากให้ศิษย์น้องเล็กกังวล

“อืม!”

เซี่ยอวี่เหอไม่รู้ว่าศิษย์พี่ใหญ่เป็นอะไรไป เมื่อครู่ยังดีดีอยู่ แต่ไม่ทันไรก็ใช้มือขวากุมหน้าอกของตน เหมือนกับได้รับบาดเจ็บรุนแรง เธอรู้สึกร้อนใจมาก แล้วก็ปวดใจมากด้วย ตั้งแต่เล็กจนโต ศิษย์พี่ใหญ่เจียงอั้นดูแลเธอมาตลอด อีกทั้งฝีมือของเจียงอั้นแข็งแกร่งมาก คอยปกป้องเธอมาตลอด เซี่ยอวี่เหอไม่เคยเห็นศิษย์พี่ใหญ่ได้รับบาดเจ็บมาก่อน แล้วยังบาดเจ็บสาหัสถึงขนาดนี้ มิตรภาพตั้งแต่เล็กจนโต ต่อให้ไม่ใช่ความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง เธอก็ยังร้อนใจจนเกือบจะร้องไห้

เจียงอั้นถูกเซี่ยอวี่เหอประคองเดินไปข้างหน้าราวๆ เกือบหนึ่งร้อยเมตร นั่งลงที่ข้างๆ บ้านร้างแห่งหนึ่ง มือขวาของเจียงอั้นกุมหน้าอกของตน ใบหน้าซีดขาว เหงื่อไหลออกมาจากหน้าผากไม่หยุด แค่มองก็รู้ว่าเป็นท่าทางของคนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส

“ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่ใหญ่ พี่เป็นอะไร…” เซี่ยอวี่เหอร้อนใจจนดวงตาทั้งสองแดงระเรื่อเกือบจะร้องไห้ออกมา

“ไม่…”

อั่ก!

ยังไม่ทันพูดจบ เจียงอั้นก็กระอักเลือดออกมา เซี่ยอวี่เหอตกใจจนใบหน้าสวยๆ ซีดขาว เธอเป็นนักฆ่าคนหนึ่ง แต่สำหรับเจียงอั้นแล้ว จุดอ่อนที่สุดของเซี่ยอวี่เหอก็คือความใจดี เธอใจดีเกินไป ไม่มีทางเป็นนักฆ่าที่แท้จริงได้ เธอไม่กล้าฆ่าคน มีความไร้เดียงสาเหมือนเด็กผู้หญิง นี่เป็นสาเหตุที่ว่าทำไม ทุกครั้งที่ท่านอาจารย์มีภารกิจอะไรจะสั่ง เจียงอั้นจะยืนขึ้นขัดขวางเซี่ยอวี่เหอ เขากลัวว่าศิษย์น้องเล็กจะทำภารกิจไม่สำเร็จแล้วจะถูกท่านอาจารย์ลงโทษ เขารักศิษย์น้องเล็กมากจริงๆ

“ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่ใหญ่…”

ชั่วขณะนั้นเซี่ยอวี่เหอร้องไห้ออกมา เธอคิดไม่ถึงว่าเจียงอั้นจะบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ ถึงกับกระอั่กเลือดออกมาจากปาก จะต้องได้รับบาดเจ็บภายในแน่นอน คนที่ฝึกฝนวรยุทธต่างทราบดี บาดแผลภายนอกรักษาง่ายหายง่าย แต่บาดเจ็บภายในจัดการยากเป็นที่สุด อย่างเบาที่สุดคือไม่หายปกติไปตลอดชีวิต อย่างหนักก็จะสิ้นใจในเวลาอันรวดเร็ว

“มะ ไม่เป็นไร รู้สึกดีขึ้นเยอะแล้ว เมื่อกี้เลือดเสียอุดตันอยู่ที่หน้าอก แย่จริงๆ…” เจียงอั้นใช้แขนเสื้อเช็ดเลือดที่มุมปาก กล่าวพลางฝืนยิ้ม

“ศิษย์พี่ใหญ่…” เซี่ยอวี่เหอมองเจียงอั้นด้วยสภาพน้ำตาคลอดเบ้า

“ฮ่ะๆ ฉันประเมินเย่เทียนเฉินต่ำเกินไป เขาแข็งแกร่งมากจริงๆ ฉันออกแรงเต็มที่แล้วก็ยังฆ่าหรือกระทั่งทำร้ายเขาไม่ได้ คนคนนี้แข็งแกร่งจนน่ากลัว!” เจียงอั้นกล่าวด้วยแววตาที่เจือไปด้วยความโกรธแค้นและความไม่พอใจ

“ศิษย์พี่ใหญ่ ทำไมพี่ทำอะไรโง่ๆ แบบนี้ บุกเข้าไปคนเดียว มันอันตรายมากนะ…” เซี่ยอวี่เหอตำหนิ

“ศิษย์น้องเล็ก ฉันอยากช่วยเธอฆ่าเย่เทียนเฉิน เธอจะได้กลับสำนักไปกับฉัน ไม่งั้นถ้าท่านอาจารย์โกรธจริงๆ แม้แต่เธอก็ถูกทำโทษได้!” เจียงอั้นมองศิษย์น้องเล็กอย่างจริงจังพลางกล่าว

“ศิษย์พี่ใหญ่ พี่ พี่ไม่ควรเสี่ยงอันตรายแบบนี้ อันตรายเกินไปแล้ว เย่เทียนเฉินแข็งแกร่งมาก อีกทั้งยังเป็นยอดฝีมือที่คาดเดาได้ยากเหมือนเมฆหมอก หากพี่เป็นอะไรขึ้นมา ฉันคงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต!” เซี่ยอวี่เหอพูดอย่างกระวนกระวายใจ

“ศิษย์น้องเล็ก ตั้งแต่เล็กจนโตล้วนเป็นศิษย์พี่ใหญ่ที่ปกป้องเธอ มีเรื่องอะไรก็ช่วยออกหน้า ใครกล้ารังแกเธอ ฉันก็จะฆ่ามัน!” เจียงอั้นอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา

“ศิษย์พี่ใหญ่ พี่ใช้พลังภายในฟื้นฟูสักหน่อยเถอะ ฉันจะคุ้มครองพี่เอง!” เซี่ยอวี่เหอเห็นว่าเจียงอั้นบาดเจ็บไม่น้อยจึงกล่าวขึ้น

“อืม!”

เจียงอั้นพยักหน้าแล้วไม่พูดอะไรอีก ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะพูดอะไรมาก เมื่อครู่เขาสู้กับเย่เทียนเฉิน โดยเฉพาะกระบวนท่าสุดท้ายนั้นได้ออกแรงไปทั้งหมด ใช้พลังภายในที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา เดิมทียังคิดว่าจะสามารถฆ่าเย่เทียนเฉินได้ ไหนเลยจะรู้ว่าตอนที่หมัดทั้งสองของเขาปะทะเข้ากับหมัดของเย่เทียนเฉิน จะรู้สึกราวกับชกใส่ภูเขาสูงใหญ่ที่ไม่อาจเขยื้อน พละกำลังที่ซัดออกมาทำให้ในใจของเขาสั่นสะท้านจริงๆ

กระบวนท่าสุดท้าย เจียงอั้นลงมือเต็มที่ เย่เทียนเฉินเองก็ระเบิดพลังพิเศษขอบเขตจอมราชันออกมา มิฉะนั้นคงไม่สามารถปะทะจนเจียงอั้นถอยร่นออกไปได้ และยังเป็นไปได้ว่าตนเองจะได้รับบาดเจ็บหนัก ตอนนี้เย่เทียนเฉินรู้สึกได้ว่าสองหมัดของตัวเองปวดจนเกือบจะชา ส่วนเจียงอั้นที่ยืนอยู่ที่นั้นก็ไม่ได้เคลื่อนไหว แสดงท่าทางไม่เป็นอะไรออกมา ความจริงพลังอันมหาศาลทั้งสองสายปะทะกัน แรงปะทะนั้นได้ทำร้ายอวัยวะภายในของเขาแล้ว เพียงแต่ในสถานการณ์นั้นเขาฝืนทนอดกลั้นเอาไว้ มิฉะนั้นด้วยฝีมือของเย่เทียนเฉิน เมื่อเขาไม่สามารถต่อต้านได้จะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยเลย

หนึ่งชั่วโมงต่อมา เจียงอั้นลืมตาขึ้น เซี่ยอวี่เหอคุ้มครองอยู่ข้างกายเขามาตลอดด้วยกลัวว่าจะถูกเย่เทียนเฉินตามมาโจมตี โชคดีที่เย่เทียนเฉินไม่ได้ตามมา เวลาหนึ่งชั่วโมงนี้ เจียงอั้นโคจรพลังภายในในร่างกายของตนเองเพื่อทำการรักษาอาการบาดเจ็บ ความจริงหลายคนคิดว่าการโคจรพลังเพื่อรักษาของผู้ฝึกวรยุทธเป็นสิ่งลึกลับ จริงแล้วไม่ได้เป็นข่าวลือที่ไม่มีมูลเช่นนั้น คนที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาของพรรควนยุทธ์โบราณทั้งหมด ขอเพียงเพ่งสัมผัสอย่างจริงจังก็จะรับรู้ได้ว่าในร่างกายมีพลังอบอุ่นสายหนึ่งหมุนวนอยู่ เมื่อใช้ความคิดชักนำความอบอุ่นนี้ไปยังจุดที่ได้รับบาดเจ็บและทำการฟื้นฟู ไม่นานเลือดก็จะหยุดไหล ตำแหน่งที่ได้รับบาดเจ็บก็จะดีขึ้นมาก

เมื่อเห็นว่าสีหน้าของศิษย์พี่ใหญ่ไม่ซีดขาวขนาดนั้นแล้ว มุมปากก็ไม่มีเลือดไหลออกมา เซี่ยอวี่เหอจึงวางใจลงไม่น้อย เธอกลัวจริงๆ ว่าเจียงอั้นจะมีอันตรายอะไรถึงชีวิตเพราะตนเอง เช่นนั้นชั่วชีวิตนี้เธอคงไม่อาจสงบใจได้ อย่างไรเสียศิษย์พี่ใหญ่ก็รักและปกป้องเธอมาตั้งแต่เล็กจนโต เหมือนพี่ชายแท้ๆ ของตัวเอง มิตรภาพระหว่างทั้งสองลึกล้ำมาก

“ศิษย์พี่ใหญ่ พี่ไม่เป็นไรแล้วใช่ไหม?” เซี่ยอวี่เหอถามอย่างใส่ใจ

“ไม่เป็นไรแล้ว ศิษย์น้องเล็ก เย่เทียนเฉินคนนี้แข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งจนไม่กล้าคิด ฉันว่าพวกเราฆ่าเขาในเวลาสั้นๆ ไม่ได้แน่ กลับไปสำนักก่อนเถอะ!” เจียงอั้นพูดแล้วฝืนยิ้มออกมา

“ศิษย์พี่ใหญ่ ฉันไม่อยากกลับไปเร็วขนาดนี้ ฉันจะอยู่เล่นที่เมืองหลวงสักหน่อย” เซี่ยอวี่เหอมุ่ยปากน่ารักๆ พลางกล่าว

“ศาย์น้องเล็ก นี่เป็นคำสั่งของท่านอาจารย์ ถ้าเธอไม่กลับไป เกรงว่าจะถูกอาจารย์ตำหนิเอา” เจียงอั้นพูดอย่างร้อนรน

เซี่ยอวี่เหอชะงักไปครู่หนึ่ง เธอเองก็ทราบดีว่าแม้ท่านอาจารย์จะรักและตามใจเธอมาก แต่คำสั่งของอาจารย์ไม่อาจฝ่าฝืน นี่เป็นเรื่องจำเป็น มิฉะนั้นอาจารย์จะดูแลลูกศิษย์คนอื่นๆ ได้อย่างไร? แต่ครั้งนี้เธออยากจะอยู่เมืองหลวงอีกสักพักจริงๆ ไม่เพียงแต่เพราะอยากสั่งสอนเย่เทียนเฉิน แต่ยังเป็นเพราะการประลองสี่สุดยอดสาวงามแห่งพรรควรยุทธโบราณใกล้จะเริ่มแล้ว เท่าที่นางรู้ นอกจากนางก็มีตงฟางเมิ่งที่มาถึงเมืองหลวงแล้ว หลังจากที่อีกสองคนที่เหลือมาถึง พวกเธอก็จะกำหนดสถานที่ ประลองฝีมือกัน ไม่เพียงแต่เพื่อชิงตำแหน่งอันดับหนึ่ง ที่สำคัญคือเพื่อความรุ่งโรจน์ของสำนักตนเอง

“ศิษย์พี่ใหญ่ พี่บอกท่านอาจารย์หน่อยว่า ผ่านการประลองครั้งนี้ไปแล้วฉันจะกลับไป ฉันจะต้องชนะให้ได้ เพื่อความรุ่งโรจน์ของสำนัก!” เซี่ยอวี่เหอมองศิษย์พี่ใหญ่อย่างจริงจัง

“ศิษย์น้องเล็ก ท่านอาจารย์เป็นห่วงว่าครั้งนี้เธอจะแพ้ถึงไม่ให้ไป ครั้งนี้พวกเธอบอกว่าไปประลอง ความจริงก็คือการเอาชีวิตกัน อันตรายมาก…”

………………………………

เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ – บทที่ 128 คนชุดดำคือใครกันแน่?
เย่เทียนเฉินยืนอยู่ริมหน้าต่างบนชั้นสองของคฤหาสน์ มองลงไปยังชายชุดดำอย่างไม่พอใจ เมื่อครู่ตนเองถูกการปรากฏตัวของคนชุดดำทำเอาตื่นขึ้นมาจริงๆ จนถึงตอนนี้ในหัวของเขาก็ยังมึนๆ อยู่

คนชุดดำที่ยืนอยู่ด้านล่างและสมาชิกกองกำลังคมมีดทั้งสี่คนนั้นตกตะลึงเป็นอย่างมาก พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าเย่เทียนเฉินจะยังไม่ตาย มีดบินทั้งหกเล่มล้วนปักทะลุผ้าห่มจมลึกเข้าไปสามส่วน ทั้งหมดนี่ฆ่าเย่เทียนเฉินไม่ได้เลยเหรอ?

ความจริง ตอนที่คนชุดดำพุ่งเข้ามา เย่เทียนเฉินยังคงนอนหลับอย่างมึนๆ อยู่ แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่รู้ตัว เพียงแต่หากจะให้ใช้คำมาบรรยายตนเองก็คือ เขาขี้เซามาก ขี้เกียจลงมือ เพียงแต่ตอนที่มีดบินทั้งหกเล่มจู่มโจมเข้ามา เขาได้หลบลงไปใต้เตียงแล้วนอนต่อ

“แกไม่ตายเหรอ?” คนชุดดำมองเย่เทียนเฉินอย่างโหดเหี้ยมพลางกล่าวถาม

“ฉันว่านักฆ่าไม่เหมาะกับแกหรอก มีดบินหลายเล่มนี้พอขว้างไปก็ไม่สนใจซะแล้ว จะมั่นใจได้ยังไงว่าเป้าหมายตายหรือยัง?” เย่เทียนฉินมองคนชุดดำ ทำเหมือนตัวเองเป็นนักฆ่ามืออาชีพกำลังสั่งสอนคนชุดดำที่ไม่มีความเป็นมืออาชีพคนหนึ่ง

“รนหาที่ตาย!”

คนชุดดำพูดเสียงขรึม เท้าทั้งสองเหยียบลงบนพื้นส่งตัวกระโดดทะยานขึ้นสูงสองเมตรกว่า เป็นวิชาตัวเบาเหมือนกับที่เล่าขานกันมา ทำให้ร่างกายเบาดุจขนนก ในสายตาของคนนอก เกรงว่าจะตกตะลึงจนหน้าถอดสี แต่สำหรับพวกเย่เทียนเฉินกลับธรรมดามาก ในโลกนี้มีการดำรงอยู่ของพรรควรยุทธโบราณ วิชาตัวเบาที่เล่าต่อๆ กันมาหรือข่าวลือต่างๆ ล้วนมีต้นสายปลายเหตุ ไม่ต้องพูดถึงการทะยานตัวได้ในพริบตาเลย การจะกระโดดให้สูงสามสี่เมตรก็ไม่ใช่ปัญหา

ผัวะ!

คนชุดดำกระโดดครั้งเดียวก็มาถึงเบื้องหน้าของเย่เทียนเฉิน พลันซัดหมัดออกไปใส่หน้าเย่เทียนเฉินอย่างรุนแรง เย่เทียนเฉินไม่หลบ เขาไม่ใช่คนที่ชอบหลบหนีอยู่แล้ว ซัดกันตัวต่อตัวถึงจะยิ่งสะใจ อีกอย่างฝีมือของคนชุดดำคนนี้ก็แข็งแกร่งมาก สามารถต่อสู้กับสมาชิกกองกำลังคมมีดทั้งสี่คนได้โดยไม่ตกเป็นรองเลยสักนิด แค่จุดนี้ เย่เทียนเฉินก็ไม่กล้าดูเบา กำหมัดขวาจนแน่นแล้วซัดออกไปปะทะ

พลั่ก!

เสียงเบาๆ เสียงหนึ่งดังขึ้น คนชุดดำถูกซัดกลางอากาศจนกระเด็นออกไป พุ่งตกลงไปที่พื้นอย่างรวดเร็ว เย่เทียนเฉินเองก็กระโดดลงมาจากชั้นสองของคฤหาสน์ พลิกตัวกลางอากาศครั้งหนึ่งก่อนจะลงมายืนบนพื้นอย่างมั่นคง มองไปยังคนชุดดำที่ตกมาถึงพื้นก่อนเขาก้าวหนึ่ง ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้ม

ตอนนี้เอง สมาชิกกองกำลังคมมีดทั้งแปดต่างมารวมตัวกันทั้งหมด เย่เทียนเฉินมองสมาชิกกองกำลังคมมีดทั้งแปดแล้วกล่าวยิ้มๆ ว่า “สหายทั้งแปดลำบากแล้ว ต่อไปได้เวลาแสดงของผมแล้ว พวกคุณไปพักสักหน่อยเถอะ!”

สมาชิกกอกงกำลังคมมีดทั้งแปดมองตากัน ขยายวงล้อมออกไปให้ใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว เหลือพื้นที่ว่างไว้ให้เย่เทียนเฉินและคนชุดดำได้แสดงพลังอย่างเต็มที่ ส่วนพวกเขายืนอยู่ในตำแหน่งต่างกันโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว

“แกแข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งมากจริงๆ!” คุนชุดดำมองไปยังเย่เทียนเฉินพลางกล่าวออกมาอย่างจริงจัง

“ตอนนี้ฉันอยากรู้จริงๆ ว่าใครส่งแกมาฆ่าฉัน ฉินเทาหยวนแห่งตระกูลฉินเหรอ? หรือจะเป็นลั่วซงเฉิงแห่งตระกูลลั่ว? หรือศัตรูคู่แค้นสมัยก่อนของตระกูลเย่? หรืออาจจะเป็นคนที่ฉวยโอกาสซ้ำเติม?” เย่เทียนเฉินคาดเดา กล่าวตามจริง เขาเองก็ไม่ทราบที่มาที่ไปของคนชุดดำคนนี้ เพียงรู้สึกประหลาดใจว่าเป็นขั้วอำนาจไหนกันแน่ที่สามารถเชิญยอดฝีมือแบบนี้มาลอบฆ่าตนเองภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงเท่านี้ได้?

“หึ ดูแล้วศัตรูที่แกสร้างเอาไว้ก็มีไม่น้อยเลย…” คนชุดดำแค่นเสียงเย็นแล้วกล่าวออกมา

“ผิดแล้ว ไม่ใช่ว่าฉันสร้างศัตรูไปไม่น้อย แต่โลกนี้มีคนใช้อำนาจอิทธิพลรังแกคนอื่นและคนที่ชอบหาเรื่องเยอะเกินไปต่างหาก ฉันคนนี้ก็ไม่ชอบทำอะไรอ้อมค้อม ทำได้แค่ประเคนกำปั้นให้พวกเขาไปยกหนึ่งเท่านั้นเอง” เย่เทียนเฉินส่ายหน้า

“ไม่ว่าจะพูอยังไง คืนนี้ฉันก็จะต้องฆ่าแก จะไม่ยอมให้ศิษย์น้องหญิงมีอันตรายแน่!” คนชุดดำเปิดปากกล่าวอย่างโหดเหี้ยม

“ศิษย์น้องหญิง? ทำไมฉันถึงไม่เข้าใจว่าแกพูดอะไรอยู่นะ?” เย่เทียนเฉินเกาหัวอย่างสงสัย เอ่ยถามออกไป

“แกไม่ต้องรู้หรอก แกแค่ต้องตาย!”

คำพูดของคนชุดดำเพิ่งจะออกจากปาก พริบตาต่อมาก็พุ่งเข้าไปหาเย่เทียนเฉินด้วยความรวดเร็วดุจสายฟ้า เมื่อถึงตำแหน่งที่ห่างจากเย่เทียนเฉินหนึ่งเมตรก็ปล่อยหมัดออกไป หมัดทั้งสองซัดโจมตีใส่กัน ในอากาศเกิดเสียงระเบิดออกมา

“บุกได้ดี!”

เย่เทียนเฉินตะโกนออกมา ตอนนี้เขารู้สึกกระตือรือร้นบ้างแล้ว แอลกอฮอล์ในร่างกายยังคงไม่หายไปหมด รวมกับได้เจอยอดฝีมือเช่นนี้ ย่อมทำให้เลือดร้อนๆ ในกายปะทุขึ้นมา เขากางแขนทั้งสองออกเข้าปะทะ

ตู้มๆๆ…

ภายในสวนดอกไม้ เสียงต่อสู้ดังขึ้นอย่างรุนแรง เย่เทียนเฉินและคนชุดดำไม่ได้ใช้กระบวนท่าที่มากเกินจำเป็น ทั้งหมดเป็นการสู้ในระยะประชิด คุณหนึ่งหมัด ผมหนึ่งเท้า สู้กันได้อย่างมีสีสันยิ่งนัก สมาชิกกองกำลังคมมีดทั้งแปดมองจนอึ้ง หากพูดถึงฝีมือของพวกเขาก็นับว่าไม่อ่อนแอ แต่ตอนนี้เมื่อเห็นการต่อสู้อย่างดุเดือดรุนแรงของเย่เทียนเฉินและคนชุดดำกลับเลี่ยงไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน โชคดีที่เมื่อครู่พวกเขาสี่คนร่วมมือกันล้อมโจมตีคนชุดดำ มิฉะนั้นหากสู้ด้วยตัวคนเดียว เกรงว่าในหมู่พวกเขาจะไม่มีแม้แต่คนเดียวที่เป็นคู่มือของคนชุดดำได้ ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่แข็งแกร่งพอ แต่เป็นเพราะคนชุดดำเก่งเกินไป

“ย้าก!”

“อ๊าก!

เย่เทียนเฉินและคนชุดดำดูเหมือนจะตะโกนออกมาพร้อมกัน คนชุดดำซัดหมัดออกไป เย่เทียนเฉินก็ซัดหมัดออกไป กำปั้นของทั้งสองปะทะกัน ใครก็ไม่ยอมถอยแม้แต่ครึ่งก้าว แต่แผ่นหินใต้เท้าของพวกเขาสองคนถูกแรงกระแทกจนแตกเป็นเสี่ยงๆ ทั้งหมด ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าการปะทะกันของทั้งสองมีพลังมหาศาลเพียงใด ทำเอาสมาชิกกองกำลังคมมีดทั้งแปดตกตะลึงจนต้องสูดหายใจเย็นวาบ

คนชุดดำอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักเช่นตนเป็นคนที่มีฝีมือแข็งแกร่งห้าวหาญมากที่สุดในสำนัก เขาเข้าสำนักมาเป็นคนแรกสุด พลังที่ฝึกฝนคือพลังภายในอันแข็งแกร่งห้าวหาญ หนึ่งหมัดสามารถฆ่าหมีได้ การต่อสู้ในหลายปีมานี้ แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีใครสามารถเอาชนะเขาในด้านพละกำลังได้เลย ยิ่งคนที่กล้าประลองพละกำลังกับเขาล้วนถูกซัดปลิวไปทุกคน ต่อมาเมื่อพบยอดฝีมือก็มีน้อยคนที่จะโง่ไปประลองกำลังกับเขา

แต่เย่เทียนเฉินนั้น ตั้งแต่เริ่มต้นก็ต่อสู้กับต้นด้วยพละกำลังแล้ว เขาไม่ได้ใช้พลังภายในที่แข็งแกร่งเพราะเขามั่นใจในพละกำลังของกายเนื้อล้วนๆ ของตน แต่เขาเองก็ไม่ได้รู้สึกว่าเย่เทียนเฉินจะใช้พลังภายในเช่นกัน ถึงกับใช้พลังกายล้วนๆ มาต่อต้านเขาได้ ตลอดการประลองพละกำลังมาจนถึงตอนนี้ก็ไม่ตกเป็นรองเลยแม้แต่น้อย นี่ทำให้เขาต้องประหลาดใจ

ส่วนเย่เทียนเฉินหากไม่ประปลาดใจนั่นย่อมเป็นไปไม่ได้ ตั้งแต่ที่เขากลับมาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ นี่เป็นคนที่มีพละกำลังแข็งแกร่งที่สุดที่เขาเคยได้เจอในปัจจุบัน หากนำซิลลี่ที่ได้ชื่อว่าเป็นราชันแห่งความโหดเหี้ยมมาเทียบพละกำลังกับคนชุดดำ ซิลลี่ด้อยกว่าอย่างสิ้นเชิง หมัดเมื่อครู่เย่เทียนเฉินเองก็ออกแรงเต็มกำลังแล้ว เป็นพลังที่มากที่สุดเท่าที่กายเนื้อในปัจจุบันสามารถแสดงออกมาได้ แม้ว่าความแข็งแกร่งของกายเนื้อจะยังไม่มากพอ แต่ก็ไม่ได้อ่อนแอ ถึงกับถูกคนชุดดำต้านเอาไว้ได้โดยสิ้นเชิง เย่เทียนเฉินรู้สึกนับถือความแกร่งกร้าวของคนคนนี้จริงๆ

“แกเก่งมากจริงๆ มิน่าล่ะแก่ถึงกล้าบุกเข้าไปฆ่าคนที่ตระกูลฉิน” คนชุดดำกล่าวเสียงขรึม

“แกผิดแล้ว ไม่ใช่เพราะฉันเก่งถึงไปฆ่าคนที่ตระกูลฉิน แต่เป็นเพราะพวกคนตระกูลฉินสมควรตายต่างหาก” เย่เทียนเฉินเอ่ยยิ้มๆ

“ไม่ว่าคนตระกูลฉินจะสมควรตายหรือไม่ เพื่อศิษย์น้องหญิงคนเล็กของฉัน ฉันจะต้องฆ่าแก!”

“ศิษย์น้องหญิงคนเล็ก? ฉันอยากจะรู้จริงๆ ว่าศิษย์น้องเล็กของแกเป็นใคร? ดูเหมือนช่วงนี้ในหมู่ผู้หญิงที่ฉันพบ ไม่มีใครชื่อศิษย์น้องหญิงคนเล็กเลยนะ?” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางยิ้มอย่างสนุกสนาน

คนชุดดำมองเย่เทียนเฉินอย่างดุดัน ในเวลาแบบนี้เจ้าหมอนี่ยังมีใจมาหยอกเย้าตนเองอีก นี่เป็นการดูหมิ่นความสามารถของตนอย่างหนึ่ง ส่วนสมาชิกกองกำลังคมมีดทั้งแปดคนนั้นเข้าใจเป็นอย่างดี เย่เทียนเฉินคนนี้พอเวลาที่จะเอาแต่ใจขึ้นมา กระทั่งหยางอี้ก็กล้าหยอกล้อเล่นหัว ทั้งยังลากชางหลางมาดื่มเหล้าโดยไม่เคารพวินัยของกองทัพ ทำให้ผู้อื่นรู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้

“แกไม่จำเป็นต้องรู้ จะยังไงแกก็ต้องตาย…ย้าก!”

ทันใดนั้นคนชุดดำชักมือกลับมา หมัดทั้งสองกำแน่น ใช้พละกำลังที่แฝงไปด้วยพลังภายในอันแข็งแกร่งซัดไปยังหน้าอกของเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินตกตะลึง รีบถอยหลังไปสองก้าว มือทั้งสองกำเป็นหมัด พลังพิเศษขอบเขตจอมราชันระเบิดออกมา ปะทะเข้ากับหมัดทั้งสองของคนชุดดำ

ตู้ม!

สนั่นหวั่นไหวถึงชั้นฟ้า ทำลายความสงบของยามคำคืนไปโดยสิ้นเชิง เดิมทีก็ไม่ใช่สวนที่ใหญ่มากอยู่แล้ว เป็นเพราะการโจมตีใส่กันแบบเต็มกำลังของเย่เทียนเฉินและคนชุดดำ ทำให้แผ่นหินสีเขียวบนพื้นแตกกระจุยทั้งหมดราวกับถูกระเบิด เย่เทียนเนถูกแรงปะทะจนถอยไปหลายก้าว มือทั้งสองรู้สึกเจ็บจนชา ส่วนคนชุดดำก็ถอยไปหลายก้าว แล้วยืนอยู่ที่นั่นโดยไม่ขยับเขยื้อน

การโจมตีครั้งนี้คนชุดดำได้ใช้พลังภายในอันดุดันรุนแรงของตนเองแล้ว เย่เทียนเฉินก็กระตุ้นพลังพิเศษขอบเขตจอมราชันด้วยเช่นกัน ดูเหมือนฝีมือของทั้งสองจะพอฟัดพอเหวี่ยง สั่นสะเทือนจนสมาชิกกองกำลังคมมีดทั้งแปดแทบจะหลบไม่ได้

“ดูท่าทางหากฉันต้องการฆ่าแกคงจะเสียเวลาจริงๆ!” คนชุดดำเอ่ยเสียงเย็น

“งั้นก็ให้ฉันฆ่าแกแล้วกัน!”

เย่เทียนเฉินสามารถคาดคะเนความสามารถคร่าวๆ ของคนชุดดำได้จากจากต่อสู้เมื่อครู่นี้ บางทีตนเองจำเป็นต้องลงมือเต็มที่ กระทั่งลงมือเต็มที่ก็ยังต้องใช้เวลาสักหน่อย อาจจะต้องเผชิญกับความอันตรายที่จะได้รับบาดเจ็บถึงจะสามารภฆ่าคนชุดดำนี้ได้ เนื่องจากคนคนนี้แข็งแกร่งมากจริงๆ แต่เขาก็ยังต้องลงมือ เพราะเขาไม่ยอมอ่อนข้อให้กับศัตรูโดยเด็ดขาด โดยเฉพาะศัตรูที่มีไอสังหารอันเข้มข้นอยู่บนร่าง คนประเภทนี้หากปล่อยเอาไว้ก็จะเป็นปัญหาทีหลัง อันตรายเป็นอย่างมาก

“มาเถอะ พวกเรามาสู้ตายกันไปเลย!” คนชุดดำกัดฟันกล่าวออกมา

เย่เทียนเฉินเตรียมจะลงมือเต็มที่ ลอบกระตุ้นพลังพิเศษขอบเขตจอมราชัน ต่อให้ต้องแลกกับการได้รับบาดเจ็บก็ต้องฆ่าคนชุดให้ได้ ตอนนั้นเอง เสียงดังสนั่นสองเสียงดังขึ้นในสวนดอกไม้ ฝุ่นควันฟุ้งกระจาย เงาร่างของคนอีกคนหนึ่งพุ่งเข้ามาด้านหน้าคนชุดดำแล้วกล่าวว่า

“ศิษย์พี่ใหญ่ พวกเราไปกันเถอะ!”

รอจนกระทั่งหมอกควันจางลง เย่เทียนเฉินและสมาชิกกองกำลังคมมีดทั้งแปดวิ่งไปถึงกลางสนาม คนชุดดำและเงาร่างที่ปรากฏตัวทีหลังก็หายไปแล้ว เย่เทียนเฉินยืนอยู่กับที่อย่างตกตะลึง เกาหัวพลางพูดกับตัวเอง

“ทำไมเสียงนี้ถึงได้คุ้นหูจัง? เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน…”

……………………………………..

เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ – บทที่ 125 การช่วยเหลือที่มีเงื่อนไข
“ฉินอี้ตายแล้ว นี่เป็นจุดสำคัญของปัญหา ภายในกลุ่มพวกระดับสูง มีคนส่วนหนึ่งที่เข้าข้างฉินอี้ พวกเขาจะต้องถือโอกาสซ้ำเติมแน่ สิ่งที่พ่อกังวลที่สุดไม่ใช่เรื่องที่ว่าจะมีใครมีซ้ำเติม แต่เป็นเรื่องที่จะมีคนใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ไปทำบทความ ไม่เพียงต้องการฆ่าเย่เทียนเฉินแต่ยังกำจัดตระกูลเย่ของพวกเราได้อีกด้วย” เย่หย่วนซานกล่าวพลางขมวดคิ้ว

เย่หงได้ยินคำพูดของเย่หย่วนซานก็ตกตะลึง เขารู้ว่าเรื่องที่พ่อกังวลไม่ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล ในเมืองหลวง ตระกูลและกลุ่มผู้ทรงอิทธิพลที่สามารถอยู่รอดได้ ไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็กล้วนจำเป็นต้องมีเพื่อน และต้องมีศัตรู เช่นตระกูลเย่ ผู้อาวุโสตระกูลเย่ เย่หย่วนซานเคยเป็นผู้ตำรงดำแหน่งระดับสูงมาก่อน ด้วยเหตุนี้จึงจำต้องล่วงเกินคนไปไม่น้อย เพื่อตำแหน่งราชการ หากไม่ล่วงเกินคนอื่นนั้นเป็นไปไม่ได้ ศัตรูเหล่านี้อาจจะมีทั้งต่อหน้าและลับหลัง ศัตรูที่แอบอยู่เบื้องหลังทำให้มองได้ยากที่สุด ไม่รู้ว่าจะจะโผล่ออกมามอบความตายให้เมื่อไหร่

“เฉินเซิงผู้บัญชาการว่าการกระทรวงความมั่นคงสอบถามเรื่องนี้ด้วยตัวเอง พอลงมือก็ส่งกูตู๋อ๋างไปจับเทียนเฉิน ผมคิดว่าเรื่องนี้จะต้องมีลับลมคมในแน่” เย่หงอดไม่ได้ที่จะใคร่ครวญครู่หนึ่งแล้วเอ่ยออกมา

“เฉินเซิงใกล้ชิดกับตระกูลลั่วมาก พ่อคิดว่ามีสาเหตุมาจากลั่วซงเฉิง!” เย่หย่วนซานเป็นคนจากรุ่นก่อน แม้จะชราแล้วแต่ก็ไม่ถึงขั้นเลอะเลือน พริบตาเดียวก็มองเรื่องนี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

“พ่อคะ ลูกได้ยินว่าเมื่อก่อนเฉินเซิงและลั่วซงเฉิงเป็นเพื่อร่วมรบกัน ความสัมพันธ์ของทั้งสองดีมาตลอด เรื่องของตระกูลลั่ว แม้จะถูกหยางอี้กดดัน แต่ครอบครัวลั่วซงเฉิงจะต้องโกรธแค้นอยู่ในใจแน่นอน พวกเขาจะต้องใช้ประโยชน์จากโอกาสในครั้งนี้จัดการเทียนเฉินให้ตายแน่ค่ะ” หลัวเยี่ยนกล่าวอย่างรอนใจ

“เรื่องนี้ตระกูลลั่วจะต้องแอบฉวยโอกาสซ้ำเติมแน่นอน ส่วนพวกเขาจะร่วมมือกับเฉินเซิงหรือไม่นั้นก็ไม่รู้ ยังไงซะก็เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้แล้ว เฉินเซิงที่มีฐานะเป็นผู้บัญชาการว่าการกะทรวงความมั่นคงจะต้องออกหน้าแน่ เวลาแบบนี้พวกเราเดามั่วๆ ไม่ได้ การมีศัตรูเพิ่มขึ้นมาอีกคนจะยิ่งไม่เป็นผลดีกับพวกเรา” เย่หย่วนซานเอ่ย

“ครับ ดูท่าตอนนี้พวกเราทำได้เพียงเดินไปทีละก้าว รอดูก่อนว่าท่านหยางจะพูดยังไง หากเขาสามารถกดเรื่องนี้ไว้ได้ก็จะดีที่สุด” เย่หงกล่าวแล้วพยักหน้า

“พ่อติดต่อคนรู้จักสมัยก่อนแล้ว หวังว่าจะผลักดันเรื่องนี้ไปถึงผู้นำสูงสุดได้ พยายามให้จัดการเรื่องของเทียนเฉินอย่างเบาที่สุด”

เย่หย่วนซานเองก็ไม่อาจมั่นใจได้ หลังจากที่เย่เทียนเฉินหลานชายของตนกลับมาที่เมืองหลวงก็ก่อเรื่องมาติดๆ กัน ทั้งยังเป็นเรื่องที่ครึกโครมมากด้วย นี่ทำให้เย่หย่วนซานเปลี่ยนมุมมอที่มีต่อเย่เทียนเฉิน กระทั่งมอบความหวังในเรื่องความรุ่งเรืองของตระกูลเย่ไว้กับเย่เทียนเฉิน ครั้งนี้เย่เทียนเฉินไปก่อนเรื่องใหญ่ที่ตระกูลฉิน ฆ่าฉินเหิง ทำให้ฉินอี้โมโหจนตาย ทั้งสะเทือนเลื่อนลั่นและยังส่งผลกระทบมากมาย จนดูเหมือนจะปิดเอาไว้ไม่อยู่ ยุ่งยากมาก

เดิมทีในใจเย่หย่วนซานก็เห็นด้วยกับการกระทำของเย่เทียนเฉินในสมัยก่อน หากต้องการยืนในเมืองหลวงที่มีผู้ทรงอิทธิพลและตระกูลใหญ่จำนวนมากให้ได้อย่างมั่นคง จะไม่มีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวนั้นไม่ได้อย่างแน่นนอน มีผู้ทรงอิทธิพลมากมายที่เดินอยู่บนเส้นทางแห่งการฆ่า ฆ่าคนทั้งเป็นเพื่อเปิดเส้นทางสายเลือด ฆ่าผู้ทรงอิทธิพลและตระกูลใหญ่อื่นๆ จนคนอื่นไม่กล้าหาเรื่องง่ายๆ ถึงจะยืนอยู่ในเมืองหลวงได้

แต่ครั้งนี้เขารู้สึกว่าเย่เทียนเฉินใจร้อนเกินไป ตระกูลฉินเป็นตระกูลชั้นหนึ่ง มีอิทธิพลในเมืองหลวงมาก รวมกับที่ฉินอี้กำลังดำรงตำแหน่งเป็นรองผู้นำระดับชาติ อิทธิพลก็ยิ่งมากขึ้นไปอีก ต่อให้อยากแตะต้องตระกูลฉินก็ควรจะรอไปก่อน รอโอกาสให้สุกงอมสักหน่อย รอให้ตัวเองแข็งแกร่งกว่านี้อีกนิด แตะต้องตระกูลฉินตอนนี้ยังเร็วเกินไป

ตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินและชางหลางได้มาถึงสถานที่ตั้งของห้องทำงานของหยางอี้แล้ว ครั้งนี้เย่เทียนเฉินตามชางหลางเข้าไปได้อย่างสบายๆ ไม่มีทหารคนไหนมาขวางเย่เทียนเฉิน มีแค่สายตาสงสัยเท่านั้น ครั้งนี้เรื่องตระกูลฉินใหญ่โตมาก ดูเหมือนว่าจะรู้กันไปทั่วเมืองหลวงแล้ว ทุกคนกำลังดูอยู่ ทุกคนกำลังจับจ้องเย่เทียนเฉินอยู่ ต้องการเห็นว่าจะมีจุดจบอย่างไร เย่เทียนเฉินจะตายอย่างอนาถหรือไม่

เมื่อเดินเข้าไปในห้องทำงานของหยางอี้กำลังเซ็นอนุมัติเอกสารอยู่ เย่เทียนเฉินยังคงทำเหมือนครั้งที่แล้ว นอนลงบนโซฟายาวข้างๆ ท่าทางสบายอกสบายใจเป็นอย่างมาก ชางหลางจ้องเจ้าคนไร้มารยาทอย่างดุดัน ก่อนจะเดินไปเบื้องหน้าหยางอี้ กล่าวรายงานอย่างเคารพ “หัวหน้าครับ ผมพาเย่เทียนเฉินมาแล้วครับ!”

“ทางด้านอื่นมีข่าวอะไรมารึเปล่า?” หยางอี้ถามออกมาโดยไม่เงยหน้าขึ้นมอ ยังคงเซ็นเอกสารต่อไป

“เฉินเซิงส่งกูตู๋อ๋างไปจับไอ้หนูนี่ โชคดีที่ผมไปทันเวลา ส่วนตระกูลลั่วเหมือนจะมีการเคลื่อนไหวเล็กน้อย เหมือนกับว่าเตรียมทำให้เรื่องมันใหญ่ขึ้น!” ชางหลางพูด

“อืม คุณออกไปเถอะ มีข่าวอะไรก็ให้มารายงายผม อย่าลืมส่งพวงหรีดไปให้ตระกูลฉินด้วย”

“ครับ!”

ชางหลางออกไปจากห้องทำงาน เย่เทียนเฉินก็ไม่ได้สนทนากับหยางอี้ในทันที ส่วนหยางอี้ยังคงเซ็นเอกสารต่อไป ราวกับว่าทั้งคู่กำลังรอ รอว่าใครจะเอ่ยปากก่อน

เย่เทียนเฉินไม่ใช่คนโง่ ตอนที่ชางหลางมาช่วยแล้วพูดออกมาว่าหยางอี้อยากจะช่วยเขา เขาก็รู้สึกได้เลยว่ามีเรื่องแล้ว ถึงเขาจะเจอหยางอี้แค่ครั้งเดียว สนทานากันครั้งเดียว แต่ก็ยังรู้สึกนับถือชายชราคนนี้มากจริงๆ ตอนที่จริงจังก็ให้ความรู้สึกน่าเกรงขามจนไม่อาจล่วงเกินได้ พอขี้เล่นขึ้นมาก็ทำให้เขาช็อกได้เลย

หยางอี้เปิดเอกสารอ่านอยู่ตลอด ทั้งยังไม่ทักทายเย่เทียนเฉิน คนคนนี้ไม่ต้องการให้ตนทักทาย แต่ละคนดื่มน้ำที่อยู่ข้างๆ หยิบผลไม้กินเป็นระยะๆ เกรงว่าคนที่อยู่ต่อหน้าท่านหยางแล้วยังสบายใจเช่นนี้ได้โดยไม่อึดอัดเลยสักนิด คงจะมีแต่ครอบครัวของเขาและเย่เทียนเฉินเท่านั้น

เย่เทียนเฉินนอนบนโซฟาจนหลับไปโดยไม่รู้ตัว ทั้งยังกรนออกมาอีกต่างหาก หยางอี้เห็นแล้วก็รู้สึกอับจนคำพูด ขนาดเขายังอยากพุ่งเข้าไปอัดเย่เทียนเฉินแรงๆ สักยก ในใจคิดว่าไอ้หนูนี่ยังสงบได้อยู่อีก ก่อเรื่องใหญ่ขนาดนั้นยังกินได้นอนได้ แล้วยังถึงกับมาหลับบนโซฟาในห้องทำงานของตน กรนออกมาเสียงดัง ทำให้ผู้อื่นอับจนคำพูดจริงๆ

ความจริงหยางอี้คิดจะรอให้เย่เทียนเฉินเอ่ยปากก่อน แบบนี้เขาก็จะเป็นฝ่ายคุมเกมได้ ถึงตอนนั้นต้องการให้เย่เทียนฉินทำอะไร ไอ้หนูนี่ก็จะปฏิเสธไม่ได้ นี่สำหรับเย่เทียนเฉินเท่านั้น หากเป็นคนอื่นแค่อาศัยคำพูดของหยางอี้ประโยคเดียว ใครจะกล้าไม่รับคำสั่งอย่างนอบน้อมกัน? เนื่องจากนิสัยของเย่เทียนเฉินทำให้คนมองไม่ออก ตอนที่จริงจังขึ้นมาก็เป็นดั่งเทพแห่งความตาย ตอนขี้เล่นขึ้นมาก็เป็นดั่งอันธพาล ขนาดหยางอี้ก็รู้สึกหมดหนทางกับไอ้หนูนี่ ทำได้เพียงใช้วิธีการแบบนี้ทำให้เย่เทียนเฉิน “อ้อนวอน” ออกมาเอง

“ไอ้หนูอย่างนายคงไม่คิดจะนอนยันสว่างหรอกนะ?” หยางอี้เดินไปเบื้องหน้าเย่เทียนเฉิน มองไปด้วยใบน้ามืดครึ้มพลางกล่าวถาม

“ฮี่ๆ ท่านผู้เฒ่า คุณไม่สนใจผม ผมก็ทำได้แค่นอนแล้วล่ะครับ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?” เย่เทียนเฉินลืมตา หัวเราะฮี่ๆ ออกมา

หยางอี้มองเย่เทียนเฉินแวบหนึ่งแล้วจึงเดินไปนั่งบนเก้าอี้ทำงานของตน มองเย่เทียนเฉินพลางกล่าว “ไอ้หนู ครั้งนี้ก่อเรื่องใหญ่เลยเชียวนะ ขนาดฉินอี้ก็ตายไปแล้ว ฉันจะดูสิว่านายจะหยุดมันยังไง…”

“เห้อ ผมเองก็ไม่คิดว่าร่างกายคนแก่จะบอบบางขนาดนี้ ถึงกับโมโหจนโรคหัวใจกำเริบตาย นี่จะโทษผมไม่ได้นะครับ ต้องโทษตัวเขาเองที่อ่อนแอเกินไป!” เย่เทียนเฉินส่ายหัว พูดด้วยท่าทางไม่เกี่ยวกับตน

ได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน หยางอี้รู้สึกอยากจะเขวี้ยงถ้วยชาในมือออกไปซัดหน้าเย่เทียนเฉินให้ตาเขียวสักหน่อยค่อยพูดกันต่อ เห็นชัดๆ ว่าเขาทำให้ฉินอี้ตกใจจนตายทั้งเป็น ยังกล้ามาทำท่าทางว่าไม่เกี่ยวกับตนเองอีก เดิมทีฉินอี้ก็มีนิสัยฉุนเฉียวง่ายอยู่แล้ว รวมกับที่อายุมาก พอเห็นลูกชายตัวเองถูกทำร้าย เห็นหลานถูกเย่เทียนเฉินโยนเข้าไปในโลงศพ ไม่โกรธจนกระอักเลือดออกมาสิแปลก เขามีฐานะเป็นรองผู้นำระดับชาติ เป็นครั้งแรกที่ได้รับความอัปยศถึงขนาดนี้ ต่อให้เป็นคนอื่นก็เกรงว่าจะรับไม่ไหว

“งั้นนายคิดจะทำยังไงต่อไป? เฉินเซิงก็ลงมือแล้ว เรื่องตระกูลฉินก็ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ฉันเดาได้เลยว่าไอ้หนูอย่างนายต้องตายแน่นอน!” หยางอี้มองเย่เทียนเฉินพลางกล่าว

“ไม่มั้งครับ? ร้ายแรงถึงขั้นตายแน่นอนเลยเหรอ? ผมคิดว่าไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้นหรอก อีกอย่าง ผมไม่สนว่ามันจะร้ายแรงขนาดไหน ไม่ใช่ว่ายังมีผู้เฒ่าคุ้มครองอยู่หรือครับ? คุณจะต้องไม่นั่งมองโดยไม่สนใจแน่ คุณเป็นทัพหน้าผู้มีความยุติธรรม คงไม่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฏหมายหรอกนะครับ” เย่เทียนเฉินมองหยางอี้พลางกล่าว

หยางอี้มองเย่เทียนเฉินแวบหนึ่ง อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างสนุกสนานที่มุมปาก จากนั้นจึงเอ่ยขึ้น “นี่น่ะหรือ ก็ต้องดูท่าทีของนายด้วย ความจริงเรื่องนี้ฉันก็กดเรื่องให้เงียบได้ยากอยู่ ยังไงซะเบื้องบนก็ยังมีคนอยู่ข้างฉินอี้ พวกเขาจะต้องหาทางทำให้นายตายแน่นอน!”

“ผู้เฒ่าครับ ผมก็เดาได้ว่าคุณมีภารกิจอยู่นะครับ ผมก็คิดว่าทำไมคุณถึงได้มีเจตนดีที่จะช่วยเหลือผมขนาดนี้ ที่แท้ก็มีเรื่องรอผมอยู่นี่เอง…” เย่เทียนเฉินกล่าวแล้วเบ้ปาก

“รู้ดีจังเลยนะ ก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้ไม่ใช่ว่าจะจัดการได้ง่ายๆ ด้วยการพูดจาสองสามคำ แล้วก็ไม่ใช่ว่านายจำคุกหลายปีก็จะสามารถผ่านไปได้ นายต้องรู้ว่าครั้งนี้ไปหาเรื่องตระกูลอะไร คนที่ตายเป็นใคร พูดมาคำเดียว จะทำหรือไม่ทำ หากไม่ทำก็เดินออกไปตอนนี้เลย ฉันเชื่อว่าด้านนอกมีคนจำนวนมากรอจับนายอยู่” หยางอี้ทำท่าทางขี้เกียจจะเล่นด้วยแล้ว เข้ามาสู่กับดักของฉันอย่างเชื่อฟังซะเถอะ

“บีบเป็ดให้ทำเรื่องที่ไม่ถนัดจริงๆ เสียดายที่ผมไม่ใช่เป็ด ขอโทษด้วยครับท่านผู้เฒ่า คนที่จะจับผมด้านนอกพวกนั้น จะจับผมได้หรือเปล่ายังต้องรอดูกันไป…” เย่เทียนเฉินลุกขึ้น เป็นตัวของตัวเองจริงๆ ถึงกับไม่ไว้หน้าหยางอี้เลย เดินมุ่งหน้าไปยังนอกประตู

“รู้ว่านายมีฝีมือแข็งแกร่ง แต่พ่อแม่นายล่ะ น้องสาวนายล่ะจะทำยังไง? จะต้องมีนักฆ่ามากมายตามไปฆ่าแน่ เป็นไปได้มากว่านายไม่อาจอยู่ในเมืองหลวงหรือกระทั่งในประเทศได้อีกต่อไป พอนายจากไป พ่อแม่และน้องสาวของนายก็จะถูกดึงเข้าไปพัวพัน ถึงตอนนั้น…” หยางอี้กล่าวเสียงเรียบ

“ใครกล้าแตะต้องครอบครัวผม ต่อให้เป็นเทพเซียนผมก็จะฆ่า!” เย่เทียนเฉินกล่าวอย่างไม่ลังเลโดยฉับพลัน

หยางอี้อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ความบ้าอำนาจและบุคลิกของเขาไม่อ่อนแอแน่นอน แต่กลับถูกกลิ่นอายอำนาจที่แผ่ออกมาจาตัวเย่เทียนเฉินทำให้ตกใจ ไอ้หนูนี่มีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวมากจริงๆ กล้าเสียจนใครก็ขวางไม่ได้

…………………………..

เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ – บทที่ 124 จิตใจของพ่อแม่ที่น่าสงสารที่สุดในโลก
สามพ่อลูกที่เมื่อครู่นี้ยังกระตือรือร้น พอได้ยินบอดี้การ์ดรายงานก็เปรียบเสมือนตกสวรรค์ไปลงนรกในพริบตา ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองโดยสิ้นเชิง

ครั้งนี้เย่เทียนเฉินก่อเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ กล่าวได้ว่าในสายตาของคนส่วนใหญ่ต่างคิดว่าไม่มีทางจบสวยแน่นอน ถึงขนาดคิดว่าต้องตายแน่แล้ว ต้องทราบว่าตระกูลฉินเป็นตระกูลที่ได้ชื่อว่าตระกูลชั้นหนึ่งในเมืองหลวง หน้าที่การงานของฉินอี้ก็เป็นรองผู้นำระดับชาติ ถูกเย่เทียนเฉินทำให้โกรธจนตายทั้งเป็น เรื่องนี้ยังไม่ต้องพูดถึงพวกที่ใกล้ชิดตระกูลฉินที่ไม่ยอมจบง่ายๆ แม้แต่ผู้นำระดับสูงของประเทศก็ไม่อาจทำเป็นมองไม่เห็นได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เขย่าประเทศให้สั่นสะเทือนได้เลย

กูตู๋อ๋างลงสนามไปจับเย่เทียนเฉินด้วยตัวเอง เมื่อสามพ่อลูกลั่วซงเฉิงได้ยินข่าวนี้ก็ดีใจจนแทบทนไม่ไหว ต้องเปิดเหล้าฉลองกันในห้องโถงของคฤหาสน์ เนื่องจากกูตู๋อ๋างเป็นรองผู้บัญชาการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ สามารถนำคทหารไปจับคนด้วยตนเองได้ นี่เองก็นับว่าเป็นเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่ง การจับคนไม่ได้จึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้โดยเด็ดขาด ยิ่งไปกว่านั้นกูตู๋อ๋างยังเคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของชางหลาง ฝีมือไม่ด้อยไปกว่าชางหลาง เรื่องนี้คนจำนวนมากรับรู้ และสามพ่อลูกลั่วซงเฉิงคิดว่าต่อให้เย่เทียนเฉินมีปีกก็หนีไปไหนไม่ได้

ไหนเลยจะรู้ว่าเรื่องราวอยู่นอกเหนือความคาดหมายของเขาไปโดยสิ้นเชิง กูตูอ๋างผู้เป็นรองผู้บัญชาการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะคนนี้ลงมือด้วยตัวเองก็ยังไม่สามารถจับเย่เทียนเฉินได้ แล้วยังถูกชางหลางพาคนไปอีก แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าชางหลางเป็นคนของหยางอี้ พวกเขามีการเตรียมการที่จะช่วยเย่เทียนเฉิน ตอนนี้ทำให้สามพ่อลูกได้แต่มองอย่างโง่งม

“พ่อ ตอนนี้พวกเราจะทำยังไงดี? เย่เทียนเฉินถูกชางหลางพาตัวไปแล้ว พวกเราจะไปหือกับอย่างอี้ก็ไม่ได้!” ลั่วกวงฮุยที่ไม่มีความคิดดีๆ พูดออกมาอย่างกระวนกระวาย

ลั่วซงเฉิงนอนอยู่บนโซฟา สายตามีความสิ้นหวังอยู่ ตอนแรกยังคิดว่าเย่เทียนเฉินจะต้องตายแน่แล้ว แต่กลับคิดไม่ถึงว่าในช่วงเวลาสำคัญจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาได้ ตอนนี้เขาคิดจะฆ่าเย่เทียนเฉินโดยผ่านทางเฉินเซิงก็เป็นเรื่องที่ทำไม่ได้แล้ว ยิ่งกว่านั้นเขายังไม่อยู่ในระดับที่สามารถไปแตะต้องหยางอี้ได้

“พ่อครับ ผมคิดว่าเรื่องนี้พวกเรายังไม่ต้องรีบร้อนไป แพร่ข่าวออกไปก่อน ให้คนรู้เรื่องที่เย่เทียนเฉินบุกไปฆ่าคนที่ตระกูลฉินให้เยอะกว่านี้ พอถึงเวลาที่เบื้องบนต้องจัดการเรื่องนี้เย่เทียนเฉินก็ใช้เส้นไม่ได้แล้ว” ลั่วฉีคิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยปาก

“ฉีเอ๋อร์พูดได้ถูกแล้ว เย่เทียนเฉินฆ่าฉินเหิง ทำให้ฉินอี้โกรธจนตาย ยังไงซะเขาก็หนีเรื่องนี้ไม่พ้น ที่พวกเราต้องทำก็คือทำให้เรื่องนี้มีผลกระทบในวงกว้าง ให้เป็นเรื่องใหญ่จนใครก็ไม่อาจตัดสินใจได้ด้วยคนเพียงคนเดียว ถ้ามีแรงกดดันจากประชาชน เบื้องบนก็ต้องยิงประหารเย่เทียนเฉิน!” ลั่วซงเฉิงรีบพูดขึ้นด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย

“รู้แล้วครับ ผมจะไปจัดการเอง!” ลั่วฉีเองก็พูดด้วยรอยยิ้มเย็นชา

ตอนนี้ ซึ่งเป็นตอนที่เย่เทียนเฉินและชางหลางกำลังมุ่งหน้าไปยังห้องทำงานของหยางอี้ พ่อของเขาเย่หงได้รีบกลับมาที่บ้านแล้วพาภรรยาไปที่บ้านเดิมตระกูลเย่ ครั้งนี้เกิดเรื่องใหญ่มากจริงๆ เย่หงคิดถึงผู้อาวุโสเย่หย่วนซานเป็นคนแรก เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ด้วยตำแหน่งของเขาที่เป็นเพียงเลขาธิการเมืองH ไม่มีทางทำอะไรได้เลย ต่อให้พ่อของเขาเย่หย่วนซานจะเกษียณออกมาแล้ว แต่ก็ยังมีพี่น้องเพื่อนพ้องเมื่อก่อนที่ยังอยู่ในตำแหน่ง บางทีอาจจะสามารถคิดหาวิธีการผ่านทางพวกเขาได้

“ต้าหง คุณจะต้องคิดหาวิธีนะคะ พวกเรามีลูกชายคนเดียว จะเสียเขาไปไม่ได้!”

น่าสงสารจิตใจของพ่อแม่ในโลกนี้ ไม่ว่าลูกจะทำผิดมากมายแค่ไหน จะทำไม่ถูกอีกเท่าไร ต่อให้ทั้งโลกเป็นศัตรูกับเขา พ่อแม่ก็ยังยืนข้างลูกขอตนไม่เปลี่ยนแปลง นี่คือความรักของคนเป็นพ่อเป็นแม่ หลัวเยี่ยนแม่ของเย่เทียนเฉินนั่งร้องไห้อยู่บนรถ เธอเป็นคนที่มาจากตระกูลใหญ่ย่อมเข้าใจดีว่าครั้งนี้ลูกชายก่อเรื่องใหญ่หลวง เกรงว่าใครก็ปกป้องเขาไม่ได้

“วางใจเถอะ ผมจะต้องขอให้ผู้อาวุโสออกหน้าให้ ไม่ว่าจะยังไงเทียนเฉินก็เป็นลูกชายของพวกเรา ผมไม่ปล่อยให้เขาตายหรอก!” เย่หงพูดอย่างกังวลใจ

ตั้งแต่เย่เทียนเฉินปลดประจำการจากกองทัพและกลับมาที่เมืองก็เปลี่ยนไปรู้ความขึ้นมากทั้งยังเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ไม่ทำให้พ่อแม่กังวลใจอีก ในหลายครั้งที่เย่หงและหลัวเยี่ยนพูดถึงลูกชายก็จะรู้สึกปลื้มใจ ไม่ว่าใครก็ไม่คาดคิดว่าครั้งนี้เย่เทียนเฉินจะก่อความผิดใหญ่หลวงขนาดนี้

หลัวเยี่ยนกุมมือเย่หงผู้เป็นสามีแน่น ตอนนี้สามีเป็นเสาหลักของเธอ เธอกังวลใจและร้อนใจมากจริงๆ แม้ว่าลูกชายจะถูกชางหลางพาตัวไปแล้ว แต่ก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้ใครก็ไม่อาจรับประกันได้ว่า ชางหลางที่พาลูกชายไป จะคิดลงมือโหดเหี้ยมหรือไม่?

“ไม่ได้ ผู้อาวุโสเกษียณออกมานานแล้ว ต่อให้ยังมีความสัมพันธ์กับคนอยู่บ้าง แต่ก็คงใช้อะไรไม่ได้ คุ้มครองเทียนเฉินไม่ได้!” หลัวเยี่ยนร้อนใจมาก น้ำตาไหลลงมาอย่างไม่อาจอดกลั้นไว้ได้ เมื่อคิดว่าลูกชายจะถูกจับตัวไป หรือกระทั่งจะถูกประหาร เธอก็ควบคุมอารมณ์เศร้าโศกของตนเองไม่ได้

“ผมคิดว่าผู้อาวุโสจะพยายามแต็มที่ ไม่ว่าจะยังไงเทียนเฉินก็เป็นหลานของเขา ครั้งนี้ต้องป้องกันไว้ก่อน!” ตอนที่เย่หงเอ่ยคำนี้ เขาไม่มั่นใจเลย ใครก็ไม่อาจมั่นใจได้ว่าจะสามารถทำให้เย่เทียนเฉินปลอดภัยไร้อันตราย เรื่องนี้หนักหนามาก ความผิดก็มากด้วย

“ถ้างั้น ให้ฉันกลับบ้านเถอะค่ะ อาจจะมีแต่พวกเขาที่สามารถปกป้องเทียนเฉินได้…” จู่ๆ หลัวเยี่ยนก็คิดขึ้นมาได้จึงเอ่ยปากออกไป

“เยี่ยนเอ๋อร์ เมื่อปีนั้นคุณแต่งงานกับผมโดยไม่สนใจอะไร ตัดความสัมพันธ์กับครอบครัวไปนานแล้ว พูดสาบานว่าคุณจะตัดความสัมพันธ์กับพ่อของคุณ หากกลับไปตอนนี้พวกเขาคงเอาแต่หัวเราะเยาะ…” เย่หงกล่าวพลางปรายตามองหลัวเยี่ยน

หลัวเยี่ยนชะงักไปครู่หนึ่งแล้วส่ายหัว เมื่อคิดถึงบ้านเดิมของตัวเอง คิดถึงคนตระกูลหลัว เธอเองก็ไม่อยากจะกลับไปขอร้องพวกเขา เพียงแต่เย่เทียนเฉินผู้เป็นลูกทำความผิดใหญ่หลวงมากนัก หลัวเยี่ยนร้อนใจจนไม่มีหนทาง หากไม่ใช่เพราะสิ้นไร้หนทางจริงๆ ให้ตายหลัวเยี่ยนก็ไม่อยากกลับไปที่ตระกูลหลัวและต้องเจอหน้าคนเหล่านั้นอีก

เมื่อปีนั้นเพื่อที่หลัวเยี่ยนจะสามารถแต่งงานกับเย่หงพ่อของเย่เทียนเฉินได้ ก็ต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย ปฏิเสธการแต่งงานของครอบครัว กระทั่งสาบานกับพ่อว่าจะตัดสัมพันธ์พ่อลูกอย่างไม่เสียดาย จะอย่างไรก็ต้องการแต่งให้เย่หง นี่ต้องแลกมาด้วยค่าตอบแทนที่เจ็บปวด ตอนนั้นหลัวเยี่ยนและเย่หงคบกันอย่างอิสระ แต่หลัวเยี่ยนนั้นสวยมาก ทำให้ลูกหลานตระกูลข้าราชการใหญ่ทั้งหลายมาสู่ขอ อย่างไรก็ตามคนเหล่านี้ไม่อาจทำให้หลัวเยี่ยนใจเต้นได้ นางรักเย่หงผู้เป็นพ่อของเย่เทียนเฉินเพียงคนเดียว สุดท้ายจึงแต่งงานกับเย่หงโดยไม่สนเสียงคัดค้านใดๆ จากตระกูลหลัวมาอย่างเด็ดขาดแน่วแน่ หลายสิบปีมานี้ก็ไม่เคยกลับไป แต่ทุกครั้งที่ถึงวันเกิดของคุณย่าถึงจะโทรกลับไปครั้งหนึ่ง

“ช่างมันเถอะค่ะ พวกเราคิดหาวิธีกันเองแล้วกัน เทียนเฉินจะต้องไม่เป็นอะไรแน่!” หลัวเยี่ยนกล่าวอย่างแน่วแน่

เย่หงพยักหน้า ขับรถไปยังบ้านเดิมตระกูลเย่อย่างรวดเร็ว เขาหวังว่าผู้อาวุโสเย่หย่วนซานจะสามารถคิดหาวิธีได้บ้าง สามารถหาความสัมพันธ์สมัยก่อนได้บ้าง พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะทำให้เรื่องนี้เบาลง ขอแค่ลูกชายไม่ถูกตัดสินโทษตาย ต่อให้ถูกจำคุกหลายสิบปีก็ยังมีความหวังที่จะได้พบหน้ากัน นี่เป็นแผนการเลวร้ายที่สุดที่เย่หงคิดได้

เมื่อเย่หงจอดรถหน้าประตูบ้านเดิมตระกูลเย่ เขากับหลัวเยี่ยนก็รีบลงรถเดินไปในคฤหาสน์ ทั้งสองเห็นบอดี้การ์ดสองคนยืนปกป้องคฤหาสน์อยู่ เมื่อพวกเขาเห็นเย่หงและคุณนายมาก็รีบเปิดทางให้ ทั้งยังต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอย่างหาได้ยาก เมื่อก่อนบอดี้การ์ดสองคนนี้เป็นบ่าวสุนัข กล้าชักสีหน้าใส่เย่หงและหลัวเยี่ยน เพียงแต่เย่หงไม่เคยคิดเล็กคิดน้อย เขาอยากให้ครอบครัวสมัครสมานสามัคคีกัน ดูท่าแล้วครั้งนั้นที่เย่เทียนเฉินระเบิดความโกรธออกมาจะมีประโยชน์จริงๆ

เย่หงผลักประตูห้องโถงของคฤหาสน์เข้าไป พบเย่หย่วนซาน เย่มู่ไป๋และเย่เฮ่อหั๋วกำลังนั่งทานข้าวด้วยกัน เขารีบเดินเข้าไปกล่าวอย่างกระวนกระวายว่า “พ่อครับ พ่อได้ยินเรื่องตระกูลฉินมาแล้วใช่ไหมครับ? ต้องคิดหาทางช่วยเทียนเฉินด้วยนะครับ! ”

ไหนเลยจะรู้ว่า เย่หย่วนซานยังไม่ได้เอ่ยปาก เย่มู่ไป๋ก็ชิงพูดขึ้นด้วยท่าทางเย็นชา “เมื่อก่อนไอ้เดรัจฉานนี่ทำความผิดก็ยังไม่มากอะไร แต่ครั้งนี้ทำผิดครั้งใหญ่จนสะเทือนไปถึงฟ้า ต่อให้นำพวกเราทั้งตระกูลเย่ไปชดใช้ก็คงจะช่วยออกมาไม่ได้!”

“น้องสาม พี่เคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่านายสั่งสอนลูกได้ไม่ดี พวกเราบอกให้นายดูแลไอ้เด็กเวรนี่ดีดี แล้วตอนนี้เป็นไง? ทำความผิดใหญ่เลยใช่ไหม? ใครจะไปช่วยเขาได้!” เย่เฮ่อกั๋วพูดอย่างเกินจริง ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มเย็นชา

“พี่ใหญ่ พี่รอง เมื่อก่อนเทียนเฉินเสียมารยาทต่อพวกพี่ไปบ้าง แต่จะยังไงเขาก็เป็นลูกชายคนหนึ่ง อย่าไปคิดเล็กคิดน้อยกับเขาเลยได้ไหมครับ? ยังไงพวกเราก็เป็นครอบครัวเดียวกัน!” เย่หงพูดอย่างร้อนใจ

“ครอบครัวเดียวกัน เขาเคยเห็นลุงใหญ่อย่างฉันอยู่ในสายตาด้วยรึไง?” เย่มู่ไป๋กล่าวกลับกันโดยสิ้นเชิง

“เขาก็ไม่เห็นลุงรองอย่างฉันอยู่ในสายตาเหมือนกัน ไอ้หลานคนนี้…”

“พวกแกสองคนไสหัวออกไปให้ฉันเดี๋ยวนี้ ไสหัวไป!” เย่หย่วนซานเอ่ยขัดคำพูดของลูกชายคนที่สองของเขา ตะโกนออกมาอย่างโมโห

เย่มู่ไป๋และเย่เฮ่อกั๋วได้ฟังก็ตกใจจนเบลอ ไม่รู้ว่าทำไมอยู่ดีๆ พ่อถึงได้เข้าข้างน้องสามแบบนี้ ในใจรู้สึกไม่พอใจแต่กลับไม่กล้ายั่วโมโหเย่หย่วนซานผู้เป็นพ่อ ออกไปจากห้องโถงของคฤหาสน์อย่างหวาดกลัว

“หงเอ๋อร์ เสี่ยวเยี่ยน พวกลูกสองคนไม่ต้องร้อนใจไป นั่งลงก่อนค่อยพูดเถอะ!” เย่หย่วนซานเรียกให้เย่หงและหลัวเยี่ยนมานั่ง

ความจริงแล้วตั้งแต่ครั้งนั้นที่เย่หย่วนซานเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อเย่เทียนเฉินและพูดคุยกับเย่หงจนเข้าใจกันมากขึ้น ระหว่างพ่อลูกก็มีความเงียบงัน ทุกอย่างยังคงเหมือนปกติ แต่เมื่อไม่มีคนอื่นอยู่ สองพ่อลูกก็จะคุยกันอย่างจริงใจ ที่ไม่ให้เย่มู่ไป๋และเย่เฮ่อกั๋วรู้เรื่องนี้เป็นเพราะพวกเขาสองคนมีจิตใจคับแคบ จะทำให้ครอบครัวไม่มีความกลมเกลียวกันได้

“พ่อครับ เทียนเฉินเขา…”

“พ่อรู้แล้ว หลังจากที่พ่อได้ยินเรื่องนี้ก็สอบถามไปยังคนที่มีความสัมพันธ์เมื่อก่อน ค่อนข้างร้ายแรงมากจริงๆ ฉินอี้ตายแล้ว นี่เป็นปัญหาที่ร้ายแรงที่สุด แต่ตอนนี้เย่เทียนเฉินปลอดภัยแล้ว ดูเหมือนหยางอี้จะมีใจช่วยเหลือเทียนเฉิน!” เย่หย่วนซานเอ่ยปาก

“พ่อครับ ต่อให้หยางอี้มีใจช่วยเหลือเทียนเฉิน แต่ผมกลัวว่าพรรคพวกของฉินอี้จะถือโอกาสไล่ต้อนพวกเรา ถึงตอนนั้นเย่เทียนเฉินก็…” ทันใดนั้นเย่หงพลันนึกถึงจุดสำคัญของปัญหาขึ้นมาได้

…………………………….

เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ – บทที่ 123 แผนการร้ายของสามพ่อลูกตระกูลลั่ว
เรื่องซุบซิบระหว่างกูตู๋อ๋างและชางหลางทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกสนใจมาก หากจะพูดด้วยความหมายทั่วไปก็คือ ชีวิตน่าเบื่อเกินจึงหาเรื่องซุบซิบฟังสักหน่อยก็ไม่เลวนัก ที่สำคัญก็คือกูตู๋อ๋างคนนี้แข็งแกร่งจริงๆ ทั้งยังยโสมาก เป็นคนที่หยิ่งยโสไปถึงกระดูก ให้ความรู้สึกว่าไม่เห็นใครอยู่ในสายตา รวมกับที่คนคนนี้ถีบประตูบ้านของตนจนพังยับ เย่เทียนเฉินจึงคิดจะไปให้เขาชดใช้…

“จะพูดแบบนี้ก็ไม่ได้ เขามีความสามารถจริงๆ แข็งแกร่งมาก!” ชางหลางเอ่ยราวกับคิดอะไรขึ้นมาได้

“ดูแล้วพวกคุณสองคนก็เคยสู้กันมาก่อน ผลเป็นยังไง?” เย่เทียนเฉินถามยิ้มๆ

“ฉันชนะไปแค่กระบวนท่าเดียว…”

เมื่อได้ยินคำนี้ของชางหลาง เย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจเล็กน้อย แม้เขาจะรู้ว่ากูอตู๋อ๋างแข็งแกร่งมาก บางทีอาจจะแข็งแกร่งกว่าชางหลาง แต่เขาไม่คิดว่ากูตู๋อ๋างจะแพ้ชางหลางแค่กระบวนท่าเดียว ฝีมือการต่อสู้เช่นนี้ต้องกล่าวว่าแข็งแกร่งห้าวหาญมาก อีกทั้งยังเป็นเรื่องเมื่อหลายปีก่อน กูตู๋อ๋างอายุน้อยกว่าชางหลางหลายปี หลายปีต่อจากนี้เขาจะต้องแข็งแกร่งมากขึ้นอย่างแน่นอน บางทีอาจจะไม่แพ้ชางหลางกระบวนท่าเดียวแล้ว คนคนนี้มีค่าพอให้โอหังจริงๆ

“อืม ดูแล้วตอนที่ผมไปทวงหนี้ค่าประตูบ้านกับเขาจะต้องระวังหน่อยแล้ว!” เย่เทียนเฉินพูดยิ้มๆ

“เขามีความสามารถที่จะเป็นราชันนักรบของจีนจริงๆ เพียงแต่น่าเสียดายที่เขาหยิ่งเกินไป สักวันหนึ่งจะต้องลำบากแน่”

เย่เทียนเฉินฟังออกว่าในน้ำเสียงของชางหลางจะมากจะน้อยก็ยังมีความห่วงใยกูตูอ๋างอยู่บ้าง ดูจะใส่ใจคนที่เคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขามาก ชอบผู้มีความสามารถคนนี้ อยากจะให้กูตู๋อ๋างกำจัดความยโสออกไปและกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง เพียงแต่น่าเสียดายที่กูตู๋อ๋างโอหังจนถึงขีดสุด ขนาดชางหลางที่เคยเป็นผู้บังคัญบัญชาของเขาก็ยังไม่เห็นอยู่ในสายตา

“ตามใจเถอะ เขาถีบประตูบ้านผมพังยังไงก็ต้องชดใช้ ไม่งั้นผมจะไม่ปล่อยเขาไปแน่!” เย่เทียนเฉินบิดขี้เกียจแล้วเอ่ยออกมา

“ไอ้หนู พวกเราไปหาท่านหยางก่อน ดูว่าต่อจากนี้ไปจะจัดการเรื่องของตระกูฉินยังไง…”

ชางหลางรู้สึกนับถือไอ้หนูนี่ขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ก่อเรื่องใหญ่มายังไม่กลัวสักนิด ยังมีใจคิดจะฟังเรื่องซุบซิบอีก ยิ่งกว่านั้นยังพูดว่าจะให้กูตู๋อ๋างชดใช้ที่ทำประตูบ้านเขาเสียหาย ต้องทราบว่ากูตู๋อ๋างในตอนนี้ไม่เพียงแค่มีฝีมือร้ายกาจ แต่ยังเป็นหัวหน้าระดับสูงอีกด้วย คิดได้เลยว่า จะมีใครกล้าบอกให้ชดใช้ค่าเสียหายให้ตนเองกัน?

“ก็ดี ไปหาลูกพี่หยางก่อน ให้เขาจัดการสักหน่อย ผมต้องการพบผู้นำสูงสุด” เย่เทียนเฉินสูบบุหรี่เฮือกหนึ่งแล้วเอ่ยออกมา

“ไอ้หนู นายจะไม่สนใจเรื่องการใช้คำหน่อยหรือไง? ตอนนี้เรื่องที่พวกเราต้องกังวลที่สุดก็คืออิทธิพลของตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง บางทีอาจมีบุคคลระดับสูงคนอื่นๆ ในประเทศตีไข่ใส่สีให้เรื่องนี้จะไม่เป็นผลดีกับนาย…” นายชางพูดพลางมองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างไม่สบอารมณ์

“ตามใจเถอะ มีคนอยากเล่นผมก็จะเล่นด้วยถึงที่สุด!”

ณ เวลานี้ ภายในคฤหาสน์ตระกูลลั่วในเมืองหลวง ลั่วซงเฉิง ลั่วกวงฮุยและลั่วฉี สามพ่อลูกต่างดื่มเหล้ากันอย่างยินดี ได้ยินเพลงแว่วมาเบาๆ ดูสบายอารมณ์และมีความสุขมากเป็นพิเศษ เนื่องจากเมื่อครู่พวกเขารู้มาว่าเฉินเซิง ผู้บัญชาการกระทรวงความมั่นคงแห่งประเทศ ได้ออกคำสั่งโดยตรงให้กูตู๋อ๋างลงมือจับเย่เทียนเฉินด้วยตัวเอง แน่นอนว่าเรื่องนี้มีตระกูลลั่วของพวกเขาคอยผลักดันอยู่ข้างใน

“พ่อ ครั้งน้ำอ้ลูกเต่าเย่เทียนเฉินจะต้องตายแน่นอน ตายอย่างไม่ต้องสงสัย!” ลั่วกวงฮุยพูดอย่างโหดเหี้ยม

“กูตู๋อ๋างลงสนามไปจับคนด้วยตัวเองยังถือว่าเป็นการไว้หน้าไอ้ชั่วเย่เทียนเฉินแล้ว ครั้งนี้มันต้องตายในคุกแน่นอน!” ลั่วฉีพูดอด้วยรอยยิ้มเย็นชา

ลั่วซงเฉิงมองลูกชายทั้งสอง ครั้งนี้เย่เทียนเฉินมีเรื่องกับตระกูลฉินทำให้ฉินเหิงตาย แม้แต่ฉินอี้ก็ตายไปแล้ว ตอนที่พวกเขาได้ยินข่าวนี้ต่างรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ จากนั้นจึงได้ส่งคนไปตรวจสอบถึงพิสูจน์ความจริงได้ ตอนที่ฉินเหิงและฉีหรูเสวี่ยจัดงานหมั้น เย่เทียนเฉินแบกโลงศพไปที่ตระกูลฉิน ลงมืออย่างโหดเหี้ยมเผด็จการจนทำให้เกิดสถานการณ์ในตอนนี้ขึ้น

หลังจากพิสูจน์ได้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงแล้ว ลั่วซงเฉิง ลั่วกวงฮุยและลั่วฉีสามพ่อลูกดีใจจนแทบคลั่ง ขาดก็แต่ไม่ได้ตะโกนให้ทั่วโลกได้รับรู้ เนื่องจากพวกเขารู้ดีว่าเย่เทียนเฉินจะต้องตายแน่นอน ถึงกับกล้ามาหาเรื่องตระกูลฉิน ทั้งยังก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้อีก แม้แต่เฉินอี้ก็ถูกเขาทำให้โมโหใจจนตาย ครั้งนี้เทพเซียนองค์ใดก็คุ้มครองเขาไม่ได้

บุญคุณความแค้นระหว่างเย่เทียนเฉินและตระกูลฉินมีมานานแล้ว สุดท้ายเขาให้อู๋เสวี่ยไปฆ่าหลานทั้งสองของตระกูลลั่ว ทำให้ลั่วซงเฉิงที่วางอำนาจบาตรใหญ่นำทหารไปปิดล้อมตระกูลเย่ไว้ด้วยตนเองเตรียมจะเปิดฉากฆ่า หากไม่ใช่เพราะชางหลางตามมาในช่วงเวลาสำคัญ นำคำสั่งของหยางอี้มา เกรงว่าลั่วซงเฉิงเองก็คงถูกเย่เทียนเฉินฆ่าตายไปแล้ว จะรอดมาได้จนถึงทุกวันนี้ที่ไหนกัน?

ระยะนี้ลั่วซงเฉิงคิดจะลงมือนับครั้งไม่ถ้วนเพื่อแก้แค้นให้หลานทั้งสองที่ตายไปของตน เพียงแต่น่าเสียดายที่ไม่มีโอกาสลงมือ ทั้งยังคิดถึงว่าใกล้จะถึงการเลือกตั้งทั่วไปแล้ว ต้องอดทนสักหน่อย ขอแค่ตนสามารถเข้าไปในคณะกรรมาธิการทหารและได้เป็นสมาชิก อำนาจของตระกูลลั่วก็จะยิ่งใหญ่มากขึ้น ถึงตอนนั้นอยากจะเก็บกวาดเย่เทียนเฉินก็เป็นเรื่องง่ายๆ แล้ว

“หากต้องการผลักให้เย่เทียนเฉินตกลงสู่ความตาย พวกเรายังต้องใส่ไฟเพิ่มสักหน่อย ฉันได้ยินมาว่าหยางอี้ต้องการคุ้มครองตระกูลเย่ อาจจะมีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้!” ลั่วซงเฉิงกล่าวพลางขมวดคิ้ว

“อะไรนะ? หยางอี้สอดมือเข้ามายุ่งแล้วเหรอ?”

“ไอ้เลวเย่เทียนเฉิน ทำไมมันถึงได้มีความสัมพันธ์กับคนระดับบิ๊กอย่างหยางอี้ได้?”

ลั่วกวงฮุยและลั่วฉีแปลกใจ ในสายตาของพวกเขา เย่เทียนเฉินกล้าก่อเรื่องที่ตระกูลฉิน ทำให้ฉินอี้และฉินเหิงตาย ทำความผิดร้ายแรงขนาดนี้จะต้องตายแน่นอนยู่แล้ว ตอนนี้กลับมีคนระดับบิ๊กอย่างหยางอี้ออกหน้า แสดงเจตนาจะปกป้องเย่เทียนเฉิน หยางอี้เป็นคนระดับไหน พวกลั่วซงเฉิงต่างรู้ดี หากเขาคุ้มครองเย่เทียนเฉินอย่างสุดความสามารถจริงๆ เป็นไปได้ว่าจะช่วยเย่เทียนเฉินให้ผ่านพ้นเรื่องนี้ไปได้ ถึงตอนนั้นความคิดทุกอย่างของพวกเขาก็ต้องหายไปกับอากาศแล้ว

สิ่งสำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ เย่เทียนเฉินมีผู้อาวุโสหยางอี้ให้พึ่ง พวกเขาตระกูลลั่วอยากจะแตะเย่เทียนเฉินก็คงยากยิ่งขึ้น ต้องการฆ่าเย่เทียนเฉินก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

“หึ ฉันไม่สนว่าใครจะช่วยไอ้เลวนี่หรอก ครั้งนี้จะต้องทำให้มันตายให้ได้!” ลั่วซงเฉิงกล่าวเสียงเข้ม

“พ่อ ความหมายของพ่อคือ…” ลั่วฉีเอ่ยถาม

“ทำให้แรงกดดันจากสาธารณะรุนแรงมากขึ้น ถึงตอนนั้นต่อให้เป็นหยางอี้ก็ช่วยไม่ได้ พูดอีกอย่างก็คือ ตระกูลลั่วก็มีคนอยู่เบื้องบน จะต้องคิดวิธีทำให้เย่เทียนเฉินตายแน่ๆ ต่อให้มีคนคิดจะปกป้องเย่เทียนเฉินถึงที่สุดก็เกรงว่าจะไม่กล้าต้านทานเสียงของประชาชน!” ลั่วซงเฉิงกล่าวพลางยิ้มอย่างเย็นชา

“ผมเข้าใจความหมายของพ่อ พวกเราคิดหาวิธีแพร่กระจายเรื่องนี้ออกไป บอกว่าเย่เทียนเฉินบุกไปฆ่าคนที่ตระกูลฉิน ทำลายงานหมั้นของฉินเหิงและฉีหรูเสวี่ย ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา โอหังจนเกินเยียวยา ยังไงซะหลายปีมานี้ประชาชนก็เกลียดพวกคนรุ่นหลังของตระกูลใหญ่อยู่แล้ว พอเรื่องนี้แพร่ออกไปเกรงว่าคนจำนวนมากจะต้องเรียกร้องให้ลงโทษเย่เทียนเฉินอย่างหนัก ถึงตอนนั้นใครก็ช่วยเขาไม่ได้!” ลั่วกวงฮุยพูดแล้วหัวเราะฮี่ๆ

“เป็นวิธีที่ดี ผมจะรีบส่งคนไป พยายามให้เรื่องนี้แพร่ออกไปให้เร็วที่สุด ให้เป็นที่ฮือฮาไปทั่วระเทศเลยยิ่งดี!” ลั่วฉีเองก็กล่าวอย่างโหดเหี้ยม

“พวกเราสามารถยืมมีดฆ่าคนได้ ยังไงซะเรื่องราวของเรื่องนี้ก็ชัดเจน ไม่อาจแปดเปื้อนมาถึงตระกูลลั่วของพวกเราง่ายๆ…” ลั่วซงเฉิงกล่าวด้วยท่าทางขบคิดอย่างรอบคอบ

“ยืมมีดฆ่าคน?” ลั่วกวงฮุยถามอย่างสงสัย

“แน่นอนว่าต้องเป็นเฉินเซิง” ลั่วฉีต่อคำให้

“ใช่ ในฐานะเป็นรัฐมตรี เฉินเซิงจะต้องวางเฉยต่อเรื่องนี้ไม่ได้แน่นอน เมืองหลวงเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ เขาไม่อาจหนีความรับผิดชอบไปได้ หากไม่ลงโทษเย่เทียนนเฉินอย่างรุนแรง เกรงว่าตำแหน่งผู้บัญชาการของเขาก็เป็นต่อไม่ได้แล้ว”

ตั้งแต่แรกเริ่มลั่วซงเฉิงก็คิดจะใช้ประโยชน์จากเฉินเซิงแล้ว บวกกับที่เขาและเฉินเซิงมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาหลายปี ดังนั้นสิ่งที่ที่เขาทำหลังจากพิสูจน์ความจริงของเรื่องราวก็คือโทรหาเฉินเซิง ทั้งยังพูดเหมือนไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร แต่ความจริงกลับกำลังบอกเฉินเซิงว่า ถ้าหากไม่ลงโทษเย่เทียนเฉินอย่างรุนแรง ตำแหน่งของเขาก็คงจะรักษาไว้ไม่ได้

สำหรับพวกลั่วซงเฉิงแล้ว การจะฆ่าเย่เทียนเฉินในครั้งนี้เป็นโอกาสที่หาได้ยาก และเป็นโอกาสที่ดีที่ดีสุดที่จะลงมือซ้ำแผล หากพลาดไปก็คงไม่มีโอกาสเช่นนี้อีกแล้ว ฝีมือของเย่เทียนเฉินนั้นแข็งแกร่งมาก หากต้องการส่งนักฆ่าไปกำจัดเขาคงยาก ยืมมือประชาชนถึงจะเป็นแผนที่ดีที่สุด อย่างไรเสียความสามารถของคนๆ เดียวต่อให้แข็งแกร่งขนาดไหนก็ไม่อาจต่อต้านคนทั้งประเทศได้

“พ่อ พวกเราต้องไปทักทายผู้บัญชาการเฉินอีกรึเปล่า มอบผลประโยชน์ดีๆ ให้เขาสักหน่อย บอกเขาว่าหลังจากที่เขาจับเย่เทียนเฉินไปแล้วก็ให้รีบฆ่าซะ แล้วประกาศว่าเย่เทียนเฉินฆ่าตัวตายเพราะกลัวความผิด?” ลั่วฉีเป็นลูกชายที่ฉลาดที่สุดของลั่วซงเฉิง แล้วก็โหดเหี้ยมที่สุดด้วย

“เรื่องนี้ฉันจะโทรคุยกับเฉินเซิงเอง ตั้งแต่นี้ไป พวกแกก็อย่าสร้างเรื่องไปทั่ว ช่วยฉันจับตาดูเรื่องนี้ซะ ฉันจะต้องฆ่าเย่เทียนเฉินให้ได้!” ลั่วซงเฉิงเอยเสียงเข้ม

ปังๆๆ!

ตอนนี้เอง ด้านนอกประตูคฤหาส์มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ลั่วซงเฉิง ลั่วกวงฮุยและลั่วฉีสามพ่อลูกมองกันแวบหนึ่ง ลั่วกวงฮุยส่งเสียงตอบออกไป บอดี้การ์ดนายหนึ่งของคฤหาสน์ตระกูลลั่วเดินเข้ามากลางห้องโถงอย่างเคารพแล้วพูดว่า “ผู้อาวุโสครับ เพิ่งมีข่าวมาว่ากูตู๋อ๋างจับเย่เทียนเฉินไม่ได้ ชางหลางพาตัวเย่เทียนเฉินไปแล้วครับ!”

“อะไรนะ?” ลั่วซงเฉิงยืนขึ้นทันที เขาพูดด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ

“เป็นไปไม่ได้ จากข่าวของพวกเรา กูตู๋อ๋างไปก่อนชางหลางก้าวหนึ่ง แล้วยังพาทหารชั้นยอดพร้อมอาวุธปืนไปอีกสิบกว่าคน จะจับเย่เทียนเฉินไม่ได้เลยหรือไง?” ลั่วฉีเองก็ถามออกไปอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“ปะ เป็นความจริงครับ คนของพวกเราเพิ่งกลับมา บอกว่ากูตู๋อ๋างไปถึงคฤหาสน์ตระกูลเย่ก่อนจริงๆ และจะจับกุมเย่เทียนเฉิน แต่เย่เทียนเฉินกลับปฏิเสธ กูตู๋อ๋างเลยลงมือสู้กับเย่เทียนเฉิน สุดท้ายชางหลางก็ตามไปหยุดเรื่องนี้ กูตู๋อ๋างพาคนจากไปแล้ว!” บอดี้การ์ดคนนั้นเล่าอย่างร้อนรน

“นี่…เย่เทียนเฉินแข็งแกร่งขนาดนี้จริงๆ เหรอ? ขนาดท่านรองฯ กูตู๋อ๋างไปเองก็ยังจับไม่ได้?” ลั่วซงเฉิงรู้สึกเหมือนอยู่ดีๆ ก็ตกจากสรรค์ลงไปถึงนรก ทรุดตัวนั่งลงบนโซฟา เอ่ยออกมาด้วยแววตาสิ้นหวัง

…………………………………

เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ – บทที่ 122 ผู้บริสุทธ์ยังต้องมีเหตุผลด้วย?
“ช่วยผมเหรอ? งั้นก็ต้องขอบคุณแล้ว แต่ยังไงผมก็ไม่สนใจหรอก เรื่องตระกูลฉินเป็นพวกเขาที่มาหาเรื่องผมเอง ผมเป็นพวกรู้จักแต่ทำตามหลักการ เรื่องอื่นไม่สนใจ ถ้าใครมาหาเรื่อง ผมจะรอต้อนรับเลย!” เย่เทียนเฉินนั่งบนก้อนหินก้อนหนึ่งในสนามหญ้า พูดอย่างไม่แยแส

ชางหลางมองเย่เทียนเฉินแวบหนึ่ง ตอนนี้เขาเองก็เริ่มไม่แน่ใจนิสัยของเจ้าหมอนี่แล้ว ตอนที่ไม่มีเรื่อง ก็ยังก่อเรื่องวิวาทสนุกสนาน แล้วยังพูดหยอกล้อให้เจ็บใจได้อีกหลายประโยค พอเอาจริงขึ้นมา ใครไปยั่วยุนิดหน่อยก็ไม่ได้ หากคิดจะใช้กำลัง สิ่งที่จะได้รับก็มีเพียงกำปั้นของเขา

เมื่อครู่กูตู๋อ๋างและเย่เทียนเฉินต่างลงมือ ชางหลางรู้สึกโชคดีที่ตนมาทันเวลาและหยุดการต่อสู้ถึงขั้นเป็นตายของเจ้าสองคนนี้ไว้ได้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่ากูตู๋อ๋างและเย่เทียนฉินใครแกร่งใครอ่อน แค่พูดถึงฐานะปัจจุบันของกูตู๋อ๋างก็สูงถึงระดับผู้นำแล้ว ต่อให้เป็นตำแหน่งนายพลของตนในสมัยก่อนก็เทียบไม่ได้ หากเขาสู้กับเย่เทียนเฉินจริงๆ แล้วได้รับบาดเจ็บหรือถูกเย่เทียนเฉินฆ่า ปัญหาเก่ายังไม่ทันได้สะสางก็คงเกิดปัญหาใหม่ขึ้นมาจริงๆ

เรื่องตระกูลฉินเรียกได้ว่าสั่นสะท้านไปทั้งเมืองหลวง ขนาดบุคคลระดับสูงของประเทศยังต้องให้ความสนใจ หากว่ากันตามจริง ชางหลางรู้สึกนับถือไอ้หนูเย่เทียนเฉินนี่จริงๆ ถึงกับแบกโลงศพไปที่ตระกูลฉิน อัดฉินเทาหยวนและฉินเหิงสองพ่อลูกจนเละ ขนาดฉินอี้ก็ยังถูกเขาทำให้โกรธจนตาย ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ตระกูลฉินก็ถูกกำหนดให้ตกต่ำลงแน่แล้ว เพียงแต่จะจัดการเรื่องนี้อย่างไรก็ยังไม่ทราบ เกรงว่าบุคคลระดับสูงของประเทศจะยื่นมือเข้ามายุ่ง ถึงอย่าไรฉินอี้ก็เป็นบุคคลระดับรองผู้นำแห่งชาติ เขาโกรธจนจายไปแบบนี้จึงมีผลกระทบในวงกว้าง

แต่เย่เทียนเฉินก็ไม่ใช่คนที่จะหาเรื่องได้ง่ายๆ ตั้งแต่ปลดประจำจากจากกองทัพกลับมา ทั่วทั้งเมืองหลวงก็เต็มไปด้วยหัวข้อสนทนาของเขา ประโยคคที่คนอื่นมักจะพูดติดปากก็คือ วันนี้เย่เทียนเฉินคุณชายเสเพลแห่งตระกูลเย่ได้ถอดรกเปลี่ยนกระดูกไปแล้ว รู้จักแต่ทำตามหลักโดยไม่สนว่าอีกฝ่ายจะเป็นใคร ใครหาเรื่องเขา เทพเซียนก็รับผิดชอบไม่ไหว

“เย่เทียนเฉิน ฉันรู้ว่านายเก่ง จะเมื่อไหร่ก็ปกป้องตัวเองได้ แต่นายคิดไหมว่า พ่อแม่นาย น้องสาวนาย แล้วยังมีคนอื่นๆ ในตระกูลเย่อีก? หากคนระดับสูงในประเทศโกรธขึ้นมาจริงๆ จนต้องการกำจัดตระกูลเย่เพื่อทำให้เรื่องตระกูลฉินในครั้งนี้เงียบลง เกรงว่านายคงขวางได้ยาก” ชางหลางคิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยปากอย่างจริงจัง

“หากบุคคลระดับสูงของประเทศสายตาแย่ขนาดนี้จริงๆ ผมก็ไม่รังเกียจที่จะไปก่อเรื่องที่ตึกสำนักงานกลางเหมือนที่เคยทำที่ทำเนียบขาวหรอกนะครับ…” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยแววตาที่เปลี่ยนไป

เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน ชางหลางรู้สึกลมหายใจเย็นเยียบขึ้นมาจริงๆ ในใจคิดว่าไอ้หนูเย่เทียนเฉินนี่จะต้องทำตามที่พูดได้แน่ เขากล้ากระทั่งไปก่อเรื่องที่ทำเนียบขาวแห่งประเทศM มาแล้ว หากไม่ใช่ว่าโทมัสซึ่งเป็นหัวหน้าหน่วยสืบราชการลับพลังพิเศษแห่งประเทศM ปรากฏตัวขึ้นในช่วงเวลาสำคัญ เกรงว่าโฮบาม่าต้องเชิญเขากินข้าวจริงๆ แล้ว หากครั้งนี้บุคคลสำคัญของประเทศต้องการกำจัดตระกูลเย่เพื่อทำให้เรื่องตระกูลฉินเงียบลงไปจริงๆ ด้วยนิสัยของเย่เทียนเฉินคงเป็นไปได้มากว่าจะก่อเรื่องใหญ่ขั้นพลิกฟ้าพลิกปฐพี

“ผู้นำของบุคคลระดับสูงของประเทศจะต้องยุติธรรมอยู่แล้ว แต่นายเคยคิดไหมว่า อำนาจอิทธิพลของตระกูลฉินยิ่งใหญ่มาก ฉินอี้เองก็มีตำแหน่งเป็นถึงรองผู้นำระดับชาติ คนที่อยู่ฝั่งเขามีไม่น้อย ครั้งนี้นายก่อเรื่องที่ตระกูลฉินซะใหญ่โตจนทำให้มีผลกระทบตามมาอย่างรุนแรง พวกคนที่อยู่ฝั่งตระกูลฉินจะต้องไม่ปล่อยนายไปแน่ พวกเขาปลุกปั่นสร้างข่าวลือได้ พวกเขาประชาสัมพันธ์ได้ ตอนที่ความกดดันทั้งหมดไปตกอยู่กับทางฝั่งนาย ต่อให้ผู้นำระดับสูงอยากปกป้องก็ทำไม่ได้” ชางหลางกล่าวอย่างร้อนใจ

เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยคิดถึงจุดนี้ แต่ไม่คิดว่าปัญหามันจะรุนแรงขนาดนี้ เป็นเหมือนที่ชางหลางพูดจริงๆ หากเขาคนเดียวยังสามารถเคลื่อนไหวได้สะดวก อยากมาก็มา อยากไปก็ไป ใครกล้ามาหาเรื่องก็ฆ่าให้หมดก็พอ

แต่พ่อแม่จะทำอย่างไร? น้องสาวจะทำอย่างไร? ตนไม่สามารถปกป้องคุ้มครองอยู่ข้างกายพวกเขาได้ทั้งวัน นอกจากนี้หากบุคคลระดับสูงของประเทศมีความคิดแบบนี้ขึ้นมาจริงๆ เกรงว่าอาศัยแค่ความสามารถของเขาในตอนนี้ก็คงยากที่จะรับมือกับศัตรูจำนวนมาก ถึงอย่างไรประเทศจีนในชาตินี้ของเขายังคงมีผู้แข็งแกร่งแห่งพรรควรยุทธโบราณและยอดฝีมือผู้มีพลังพิเศษอยู่มาก บางทีคนธรรมดาอาจจะไม่มีทางใช้งานพวกเขา แต่บุคคลระดับสูงของประเทศจะต้องมีความสามารถและทรัพยากรมากพอที่จะทำเช่นนี้

“ผมต้องการเจอบุคคลระดับสูงของประเทศ!” เย่เทียนเฉินคิดครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยปาก

“ไปหาท่านหยางกับฉันก่อน เรื่องนี้เขาจัดการได้ ถึงยังไงนายอยู่บ้านก็อันตรายอยู่แล้ว หากมีนักฆ่ามาลอบโจมตี คงส่งผลไปถึงครอบครัวนาย” ชายหลางกล่าวแล้วพยักหน้า

“ผมต้องการพบผู้นำระดับสูงที่สุด” เย่เทียนเฉินกล่าวต่อไปอย่างจริงจังโดยไม่สนใจชางหลาง

“ไม่ใช่ว่านายอยากพบก็สามารถพบได้ ยังต้องเตรียมการก่อน”

“ถ้าผมไปแล้วมีคนมาสร้างความลำบากให้ครอบครัวผมจะทำยังไง?” เย่เทียนเฉินเอ่ยถาม

“จุดนี้วางใจได้ ฉันจะส่งหัวกะทิของหน่วยมังกรฟ้ามาคุ้มครองครอบครัวของนายตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง แล้วยังเป็นคำสั่งของท่านหยางด้วย ฉันคิดว่าคนธรรมดาไม่กล้าทำอะไรเป็นอันขาด”

“ดี ผมจะไปกับคุณ แต่มีอย่างหนึ่งที่ผมต้องบอกก่อน หากใครกล้าแตะต้องครอบครัวผม ผมจะฆ่าไม่ให้เหลือสักตัว” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางขมวดคิ้ว

ชางหลางรัปปากทุกอย่าง เขามาเพื่อช่วยเย่เทียนเฉินจริงๆ นี่เป็นน้ำใจของลูกพี่ใหญ่ของหยางอี้ เหตุผลสำคัญก็มาจากผลงานที่เย่เทียนเฉินทำที่ประเทศM ซึ่งทำให้คนอื่นเปลี่ยนมุมมองต่อเขาไปจริงๆ คนคนเดียววิ่งไปได้ทั่วทั้งวอชิงตัน แล้วยังกล้าเข้าไปก่อเรื่องในทำเนียบขาวจะไปให้โฮบาม่าเลี้ยงข้าว ทั้งโลกจะหาคนแบบนี้ออกมาได้สักกี่คนกัน? จะหาคนที่มีความสามารถถึงขั้นนี้ได้สักกี่คนกัน? บุคคลผู้มีความสามารถทั้งหมดย่อมถูกหัวเรือใหญ่อย่างพวกหยางอี้เก็บเอาไว้ใช้งานเอง

เย่เทียนเฉินทักทายหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่และอธิบายเรื่องราวต่างๆ เมื่อรวมเข้ากับการรับประกันของชางหลางที่เป็นคนรักษาความสงบในเมืองหลวง หลัวเยี่ยนถึงจะวางใจลงได้บ้าง มองเย่เทียนเฉินนั่งรถจี๊ปทหารของชางหลางออกจากประตูไป

เย่เทียนเฉินที่นั่งอยู่ภายในรถจี๊ปทหารของชางหลางพบว่าครั้งนี้ชางหลางไม่ได้นำลูกน้องคนอื่นๆ มาด้วย มีแค่เขาคนเดียวที่ขับรถจี๊ปทหารมา คงจะไม่อยากดึงดูดความสนใจจากคนอื่น ถึงอย่างไรครั้งนี้เย่เทียนเฉินก็ก่อเรื่องใหญ่โตจนเกินไป คงไม่มีใครกล้าแสดงท่าทางชัดเจนอย่างรวดเร็วแบบนี้

“พวกเราไปหาท่านหยางกันก่อน เชื่อว่าเรื่องนี้จะต้องมีวิธีการจัดการในเร็วๆ นี้ เฉินเซิงสอดมือเข้ามายุ่งแล้ว เขาถึงกับให้กูตูอ๋างมาจับนายด้วยตัวเอง ท่าทางจะมีคนอยู่เบื้องหลังที่อยากจะให้นายตาย!” ชางหลางขับรถไปพลางพูดไปพลาง

“ปัญหาจิ๊บๆ น่า ตอนนี้ผมอยากเจอผู้นำระดับสูงสุดสักหน่อย พูดคุยกับเขาสักนิด เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ผมไม่สนใจ ใครกล้าหาเรื่องคนนั้นก็ซวยไป” เย่เทียนเฉินหยิบบุหรี่ออกมาจากบริเวณอกอย่างเป็นธรรมชาติ สูบเข้าไปเฮือกหนึ่งแล้วกล่าวออกมา

“ไอ้หนู นายยังทำใจเย็นได้อยู่อีก ไม่รู้จริงๆ ว่านายไม่รู้ว่าตัวเองก่อเรื่องใหญ่ขนาดไหน หรือนายไม่เห็นตระกูลฉินอยู่ในนายตากันแน่?”

ชางหลายอดไม่ได้ที่จะนับถือเย่เทียนเฉินขึ้นมา คนคนนี้ไม่ว่าจะเวลาไหนก็มีท่าทางสงบเยือกเย็น ไม่มีความกระวนกระวายจนเสียมาดเลยสักนิด จิตใจแข็งแกร่งเช่นนี้ทำให้ชางหลางรู้สึกประหลาดใจ

“จริงสิ เมื่อก่อนกูตูอ๋างเป็นลูกน้องของคุณ ความสัมพันธ์ของพวกคุณควรจะไม่เลวถึงจะถูก ทำไมกลายเป็นคู่แค้นไปได้ หรือระหว่างพวกคุณเคยมีความสัมพันธ์ลับๆ อะไรกัน?” เย่เทียนเฉินพูดซุบซิบแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์

“ไอ้หนูนี่ ทำไมชอบทำให้คนอยากกระทืบนายให้แบนแบบนี้นะ?” ชางหลางมองเย่เทียนเฉินอย่างจนใจพลางกล่าว

“คุณพี่ชางหลางครับ เรื่องนี้คุณเป็นคนผิดนะ ยุคนี้เป็นยุคที่เปิดกว้าง เรื่องความรักก็ไม่แบ่งแยก เรื่องเกย์ก็ยอมรับได้!” เย่เทียนเฉินตบบ่าชางหลาง ทำราวกับว่าชางหลางและกูตู๋อ๋างมีอะไรต่อกันแล้วกลัวว่าจะถูกเปิดเผยต่อสายตาชาวโลกจนตนเองต้องเข้ามาแนะนำ

“ฉันว่าไอ้หนูอย่างนายมันไม่รู้จักดีชั่วจริงๆ การต่อสู้ระหว่างฉันกับนายในครั้งนี้ไม่ต้องให้นายพูดฉันก็จะลงมือเองแล้ว!” ชางหลางกรอกตาใส่เย่เทียนเฉิน

เย่เทียนเฉินหัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่ ชางหลางเป็นคนที่ล้อเล่นไม่ได้จริงๆ ทุกการกระทำล้วนจริงจังอย่างมาก ถูกตนเองหยอกล้อไปไม่กี่คำก็รับไม่ได้ซะแล้ว สนุกดีจริงๆ

“เห้อ จะว่าไปผมก็ชอบเรื่องซุบซิบมาก พูดมาเถอะ ระหว่างคุณกับกูตู๋อ๋างเกิดอะไรขึ้น?” เย่เทียนเฉินถอนใจก่อนจะเอ่ยถามออกมาด้วยรอยยิ้ม

“ฉันล่ะกลัวไอ้หนูอย่างนายจริงๆ ถ้าวันนี้ฉันไม่บอกนายก็คงเที่ยวพูดเรื่องฉันกับกูตู๋อ๋างเป็นเกย์ไปทั่วแน่ๆ…”

“เรื่องนี้ผมก็รับประกันไม่ได้ พอปากของผมพูดอะไรขึ้นมาก็จะกระจายไปทั่ว…”

เห็นว่าเย่เทียนเฉินมีท่าทางชั่วร้ายเช่นนี้ ชางหลางนับถือไอ้หนูนี่จริงๆ ก่อเรื่องใหญ่ขนาดนั้นแล้วยังมีใจมาซุบซิบอะไรอีก ถ้าเป็นคนอื่นคงกังวลจนแทบจะร้องไห้ไปแล้ว มีแต่เขาที่จะสงบอยู่แบบนี้ได้

“เรื่องนี้จะว่าไปก็เป็นเรื่องเมื่อห้าปีก่อน ตอนนั้นฉันเพิ่งจะได้เป็นหนึ่งในสามราชันนักรบของประเทศจีน ความจริงชื่อนี้ก็เป็นคนอื่นที่เรียกกันเอง ไม่ได้วัดกันด้านฝีมือเลย ขนาดฉันกับเหยียนหลงใครเก่งกว่าใครก็ยังพูดไม่ได้ ตอนนั้น ฉันยังไม่ได้เข้าร่วมเป็นคณะกรรมาธิการทหาร เป็นแค่หัวหน้าหน่วยมังกรฟ้าเท่านั้น กูตู๋อ๋างเป็นคนที่โยกย้ายจากกองทัพมากับฉัน และกลายเป็นทหารที่มีความสามารถของฉัน” ชางหลางเล่าด้วยท่าทางราวกับกำลังหวนคิด

หยุดไปครู่หนึ่งชางหลางจึงเล่าต่อไป “ความสามารถของกูตู๋อ๋างยอดเยี่ยมมากจริงๆ คนคนนี้โยกย้ายจากกองทัพมาสู่หน่วยมังกรฟ้าก็เพราะตอนนั้นเขานับได้ว่าเป็นราชันนักรบในกองทัพแล้ว ไม่มีใครเทียบเขาได้ ผลงานโดดเด่นมาก มีความยโสทะนงตนจนซึมลึกถึงกระดูก พอได้มาเป็นผู้ใต้บัญชาของฉัน ฉันเลยคิดว่าจะกำจัดความยโสโอหังนี้และให้เขากลายเป็นราชันนักรบที่แท้จริง น่าเสียดายที่สันดานเปลี่ยนยาก นอกจากจะไม่เชื่อคำพูดของฉันแล้วยังคิดจะท้าทายชื่อสามราชันนักรบกับฉัน…สุดท้ายเลยย้ายไปฝ่ายรักษาความปลอดภัยสาธารณะ ไม่นานก็ได้เป็นรองผู้บัญชาการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ”

“อ๋อ ที่แท้กูตู๋อ๋างไม่ยอมรับคุณ คิดว่าคุณก็ไม่ได้เจ๋งไปกว่าเขาเท่าไหร่ แต่คุณกลับได้เป็นหนึ่งในสามราชันนักรบของจีนส่วนเขาไม่ได้เป็น เลยไม่พอใจคุณมากตลอด…” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม

………………………

เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ – บทที่ 121 กูตู๋อ๋างคนนี้
กูตู๋อ๋างเป็นยอดฝีมือคนหนึ่งที่ไม่อาจดูเบาได้ อายุน้อยกว่าชางหลางหลายปี เมื่อก่อนก็เคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของชางหลาง เมื่อยามที่มีเขาอยู่ เถี่ยฉุยไม่มีทางเป็นทหารเบอร์หนึ่งข้างกายชางหลางได้เลย

สั่งสมประสบการณ์หลายปี ความสามารถของกูตู๋อ๋างค่อยๆ ไล่หลังชางหลางได้ นี่เป็นสาเหตุที่เขาได้กระโดดไปเป็นรองผู้ว่ากรมตำรวจ ตอนที่เขาปรากฏตัวออกมาเย่เทียนเฉินก็ได้ทำการประเมินเรียบร้อยแล้วว่า บนร่างของชายคนนี้มีกลิ่นไอความยุติธรรมอยู่ และมีกลิ่นไอของความหยิ่งทะนงในตัวเอง ทั้งยังมีความเผด็จการที่แข็งแกร่งอยู่ด้วย

เมื่อเจอกับการทำเป็นเล่นของเย่เทียนเฉิน ไม่เห็นตนเองอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย อย่างไรกูตู๋อ๋างก็ย่อมโกรธอยู่บ้าง ครั้งนี้เขาที่มีฐานะเป็นผู้นำระดับสูง เนื่องด้วยเรื่องตระกูลฉินที่เป็นเรื่องใหญ่และสำคัญมาก จึงได้มาจับเย่เทียนเฉินด้วยตัวเอง และยังนำทหารฝีมือดีพร้อมด้วยอาวุธปืนสิบกว่าคนมาด้วย ไหนเลยจะรู้ว่าเย่เทียนเฉินคนนี้ไม่เคารพกันเลยสักนิด ทั้งไม่ยอมไปกับตนเอง ดังนั้นกูตู๋อ๋างที่พลันโกรธขึ้นมา จึงใช้เท้าถีบประตูคฤหาสน์ตระกูลเย่จนปลิว

เย่เทียนเฉินย่อมไม่ยอมไปกับกูตูอ๋างต่อหน้าหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่แน่ เพราะเรื่องราวในครั้งนี้ร้ายแรงกว่าครั้งที่แล้วที่มีตำรวจเลวสองคนมาจับเขามากนัก จิตนาการได้เลยว่า กูตู๋อ๋างลงมือปฏิบัติการจับคนด้วยตัวเองนั้น อัตราความเป็นไปได้ที่จะเกิดเรื่องเช่นนี้เกรงว่าจะต่ำมาก หากไม่ใช่ว่าตระกูลฉินมีอิทธิพลยิ่งใหญ่ในเมืองหลวง ย่อมไม่อาจทำให้กูตู๋หลางลงสนามด้วยตัวเองได้โดยเด็ดขาด

เพื่อที่จะไม่ให้แม่ต้องเป็นกังวล ดังนั้นเย่เทียนเฉินจึงไม่สนใจคนของกูตู๋อ๋างกลุ่มนี้ ไหนเลยจะรู้ว่ากูตู๋อ๋างจะเป็นพวกอารมณ์ร้อนคนหนึ่ง ใช้เท้าถีบประตูคฤหาสน์ตระกูลเย่จนปลิว มีแนวโน้มว่าจะลงมือเพื่อจับเย่เทียนเฉินไปด้วยสูงมาก

“ฉันจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย ไปกับพวกฉันซะ!” กูตู๋อ๋างจ้องเย่เทียนเฉินอย่างดุดันแล้วเอ่ยขึ้น

“ฉันก็จะพูดอีกครั้ง รีบควักแบงค์ออกมาสักหลายร้อยหยวนซะ ชดใช้ค่าประตูบ้านฉันมา” เย่เทียนเฉินพูดอย่างมีเอกลักษณ์

ได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน กูตู๋อ๋างก็ขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดแล้วว่าเย่เทียนเฉินคนนี้กำลังล้อตนเองเล่น ทั้งยังมีอารมณ์ของการดูถูกอยู่ด้วย ตนเองที่เป็นผู้นำระดับสูงมาจับเขาด้วยตนเอง คนคนนี้ไม่เพียงไม่ให้ความร่วมมือ กลับจะให้ตนเองชดใช้ค่าเสียหายที่ถีบประตูพัง นี่ไม่ใช่ว่าจงใจหาเรื่องหรอกหรือ?

“ในเมื่อนายต่อต้าน งั้นฉันก็ทำได้แค่ใช้กำลังแล้ว!”

ในขณะที่พูด กูตู๋อ๋างก็กำหมัดแน่น ปรากฏรอยยิ้มมั่นใจบนใบหน้า ช่วงนี้เย่เทียนเฉินก่อเรื่องจนเมืองหลวงโกลาหลไปหมด เรื่องราวเกี่ยวกับเย่เทียนเฉิน เขาเองก็ได้ยินมาบ้าง ล้วนแต่กล่าวกันว่าลูกหลานไม่เอาไหนของตระกูลเย่ผู้นี้ มาวันนี้ได้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ฝีมือและความสามารถก็เพิ่มขึ้นมาก กระทั่งอู๋เสวี่ยนักฆ่าอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงก็ไม่ใช่คู่มือของเย่เทียนเฉิน จะอย่างไรนี่ก็ทำให้กูตูอ๋างไม่พอใจอยู่บ้าง

ไม่ต้องพูดถึงทั่วทั้งประเทศจีน สำหรับสังคมเมืองหลวงแห่งนี้ ความสามารถของกูตูอ๋างนับว่าอยู่ลำดับต้นๆ สามารถเทียบเคียงได้กับชางหลางที่เป็นหนึ่งในสามนักรบราชันแห่งประเทศจีน จิตนาการได้เลยว่าแข็งแกร่งขนาดไหน การต่อสู้ของเย่เทียนเฉินกับชางหลางยังไม่ทันได้สู้ ตกลงว่าชางหลางแข็งแกร่งขนาดไหน จะสามารถเอาชนะเย่เทียนเฉินได้หรือไม่นั้น ก็ยังไม่อาจรู้ได้ เพียงแต่จากการประเมินของเย่เทียนเฉิน ชางหลางนั้นแข็งแกร่งมากอย่างแน่นอน แข็งแกร่งจนถึงขั้นที่กระทั่งเขาก็ไม่อาจมองออก

“งั้นก็ต้องดูว่านายจะเก่งพอรึเปล่า…” เย่เทียนเฉินเองก็พูดขึ้นอย่างจริงจัง

“โอหัง!”

คำพูดของกูตู๋อ๋างเพิ่งออกจากปาก หมัดก็ต่อยไปยังเย่เทียนเฉินแล้ว เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว ไม่ได้รับเข้าไปตรงๆ แต่เอี้ยวตัวหลบครั้งหนึ่ง ในขณะเดียวกันก็ใช้เท้าขวาเตะกวาดออกไปตามแนวขวาง บังคับให้กูตู๋อ๋างออกไปนอกประตูคฤหาสน์ แล้วพุ่งออกไปทั้งตัว

สำหรับเรื่องที่กูตูอ๋างใช้เท้าถีบประตูจนพัง และเคาะประตูบ้านอย่างรุนแรงนั้น เย่เทียนเฉินเองก็รู้สึกโกรธอยู่ในใจ เมื่อก่อนอาจจะมีคนที่กล้าทำเช่นนี้ แต่ตอนนี้เขากลับมาแล้ว มีเขาอยู่ย่อมไม่อนุญาตให้ใครก็ตามมารังแกตระกูลเย่ ยิ่งไม่อนุญาตให้ใครก็ตามมาดูหมิ่นคนในครอบครัว ดังนั้นเขาจึงบังคับให้กูตูอ๋างออกไปนอกคฤหาสน์ก่อน เพราะกลัวว่าถ้าสู้กันข้างในต่อไปจะทำให้ข้าวของเสียหาย

เงาคนทั้งสองสายอุบัติขึ้น กูตู๋อ๋างถอยออกมานอกคฤหาสน์ตระกูลเย่จนมาถึงบนสนามหญ้า เย่เทียนเฉินก็ตามไปติดๆ ในเมื่อกูตูอ๋างต้องการใช้กำลังจับเขาไป เย่เทียนเฉินก็จะไม่เกรงใจ มาเตะประตูบ้านจนพัง นี่ไม่เพียเป็นปัญหาเรื่องการชดใช้ แต่ยังเป็นการทำลายความน่าเกรงขามของตระกูลเย่อีกด้วย ความเป็นธรรมนี้เย่เทียนเฉินจะเอากลับมาแน่นอน

ทหารฝีมือดีพร้อมด้วยอาวุธปืนสิบกว่าคนที่ยืนอยู่บนถนนข้างคฤหาสน์เห็นดังนั้นก็รู้สึกตะลึง พวกเขาไม่คิดเลยว่าไอ้หนูตระกูลเย่ เย่เทียนเฉินคนนี้ จะถึงกับกล้าลงมือกับกูตู๋อ๋าง นอกจากนี้ดูไปแล้วก็ไม่ได้เสียเปรียบเสียด้วย พริบตาเดียวก็สู้กับกูตู๋อ๋างอย่างดุเดือดไปหลายกระบวนท่า

ผัวะ!

กูตู๋อ๋างและเย่เทียนเฉินปะทะหมัดกันหนึ่งหมัด ทั้งสองต่างก็ถูกแรงกระแทกจนถอยไปหลายก้าว ยามนี้ในใจของกู๋อ๋างสั่นสะท้านเป็นอย่างมาก ฝีมือของเย่เทียนเฉินถึงกับแข็งแกร่งระดับนี้เชียว ไม่ด้อยไปกว่าตนที่ลงมืออย่างดุเดือดเต็มกำลังเลยแม้แต่น้อย การประมือกันระหว่างพวกกเขาสองคนเมื่อสักครู่นี้ ล้วนเป็นการปะทะด้วยกำลัง ไม่ได้มีการเคลื่อนไหวที่พลิกแพลงอะไรมากมาย นี่เป็นการสู้กันโดยอาศัยเพียงความสามารถที่แท้จริงของตน

ส่วนเย่เทียนเฉินนั้นในใจก็มีการตัดสินอย่างลึกล้ำมากขึ้น ความสามารถของกูตู๋อ๋างไม่ด้อยไปกว่าชางหลางแน่นอน คนคนนี้ยังไม่ได้ใช้พลังจำพวกพลังภายใน ในส่วนของการเร่งเร้าพละกำลังและความเร็วนั้น ความสมดุลของกายเนื้อเพียงอย่างเดียวของตนในตอนนี้ ยังด้อยกว่าเขานิดหน่อย

“ข่าวลือในเมืองหลวงที่ว่า เย่เทียนเฉินลูกหลานไม่เอาไหนของตระกูลเย่ ได้เปลี่ยนไปเป็นคนละคน กลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีฝีมือไม่ธรรมดาคนหนึ่ง ท่าทางข่าวลือจะไม่ได้โกหก!” กูตู๋อ๋างมองเย่เทียนเฉินอย่างเย็นชาแล้วเอ่ยขึ้น

“นายเคยเป็นทหารของชางหลาง ช่างไม่ยุติธรรมกับนายเลยจริงๆ หรือพูดได้ว่า ด้วยเวาลาไม่กี่ปีมานี้นายก็ได้กลายเป็นหัวหน้านับว่ารวดเร็วมาก แต่ด้วยสิ่งที่นายแสดงมาในตอนนี้ ยังไม่พอที่จะพาฉันไปหรอกนะ ลงมือเต็มที่มาเถอะ” เย่เทียนเฉินพูดยิ้มๆ

กูตูอ๋างขมวดคิ้ว เมื่อครู่นี้เขาไม่ได้ลงมือเต็มที่จริงๆ เมื่อก่อนเขาเป็นทหารคนสำคัญของชางหลาง ตอนนี้ก็กลายเป็นผู้นำระดับสูงแล้ว ความสามารถของเขาในช่วงเวลาสั้นๆ ไม่กี่ปีนี้ มีการพัฒนาขึ้นมากจริงๆ ความสามารถของเขาแข็งแกร่งกว่านี้มาก หากต้องเร่งเร้าออกมาจริงๆ ไม่ต้องพูดถึงที่ไหนไกล ต่อใหเป็นทั่วทั้งเมืองหลวง เกรงว่าคนที่จะสู้กับเขาได้คงมีเพียงไม่กี่คน

“ฉันไม่อยากลงมือเต็มกำลัง แต่ถ้านายกล้าต่อต้านการจับกุมจริงๆ ฉันก็จะลองคิดดู” กูตู๋อ๋างกล่าวอย่างเย็นชา

“ฉันปฏิเสธการจับกุมนี่ ลงมือเต็มกำลังมาเถอะ!” เย่เทียนเฉินเอ่ยด้วยรอยยิ้มแล้วยักไหล่

ได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน สองตาของกูตู๋อ๋างก็กลายเป็นแดงก่ำราวเลือดอยู่บ้าง เริ่มรู้สึกโกรธขึ้นมาแล้ว ตอนที่เขาเป็นลูกน้องของชางหลาง ตอนที่เป็นทหารคนสำคัญ เดิมทีก็เป็นคนที่คลั่งการต่อสู้คนหนึ่ง หลังจากที่ได้โยกย้ายไประดับสูง ก็มีโอกาสลงมือน้อยมาก สำหรับคนบ้าการต่อสู้อย่างเขา การที่ไม่มีการต่อสู้ที่ดุเดือดเลือดพล่าน ทำให้เขาแทบบ้า ดังนั้นกูตู๋อ๋างจึงหาทางออกด้วยการวิ่งรอบสนามทุกวัน

ตอนนี้เย่เทียนเฉินดูหมิ่นตนเอง รวมกับฝีมือของเย่เทียนเฉินก็ไม่แย่ เมื่อสักครู่ที่ประมือกันอย่างดุเดือด ตนเองก็ไม่ได้ได้เปรียบเลยแม้แต่น้อย นี่ทำให้จิตวิญญาณการต่อสู้ในกายของกูตู๋อ๋างคึกคะนองขึ้นมาบ้างแล้ว วันนี้ในเมื่อเย่เทียนเฉินปฏิเสธการจับกุม เช่นนั้นเขาก็มีเหตุผลมากพอที่จะลงมือ

พลันนั้น เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะมองกูตู๋อ๋างระมัดระวัง เพราะบรรยากาศของคนคนนี้เปลี่ยนไปแล้วโดยสิ้นเชิง เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน ราวกับเป็นสัตว์ร้ายยุคดึกดำบรรพ์ตัวหนึ่งฟื้นคืนชีพขึ้นมา บนร่างแผ่บรรยากาศดุร้าย สั่นสะเทือนจนหญ้าบริเวณเท้าของเขาโบกสะบัดทั้งๆ ที่ไม่มีลมพัดผ่าน นี่เป็นการเร่งเร้าพลังภายในที่แข็งแกร่งอย่างหนึ่ง จึงสามารถสร้างปรากฏการเช่นนี้ได้ กระทั่งเย่เทียนเฉินก็ต้องถอนใจด้วยความตะลึง กูตู๋อ๋างคนคนนี้ช่างแข็งแกร่งดั่งคาด

เย่เทียนเฉินถอยหลังไปก้าวหนึ่ง มือซ้ายแม้จะยังล้วงอยู่ในกระเป๋ากางเกง แต่หมัดขวานั้นกำจนแน่นไปแล้ว กูตู๋อ๋างรีดเร้นพลังอันแข็งแกร่งออกมาขนาดนี้ เขาไม่กล้าลำพองใจ ไม่รู้ว่ากระบวนท่านี้ของกูตู๋อ๋างจะมีอำนาจแข็งแกร่งขนาดไหน จำเป็นต้องป้องกันสุดกำลัง

“หยุดมือ!”

ในตอนที่กูตู๋อ๋างเตรียมจะลงมือเต็มที่ เย่เทียนเฉินเองก็เตรียมสู้กับกูตู๋อ๋างเต็มกำลังนั้นเอง มีรถจี๊ปทหารคันหนึ่งจอดรถข้างถนน ชางหลางรีบลงจากรถเพื่อหยุดเย่เทียนเฉินและกูตู๋อ๋าง

“คุณมาทำไม?” กูตู๋อ๋างเห็นชางหลางมา ก็เก็บท่าทางการโจมตีกลับไปแล้วถามด้วยเสียงที่ค่อนข้างเย็นชา

“ฉันรู้ว่านายต้องการมาพาเย่เทียนเฉินไป แต่ท่านหยางมีคำสั่งลงมาแล้วว่าเรื่องของตระกูลฉินให้ฉันเป็นคนจัดการ เย่เทียนเฉินไปกับฉันซะ!” ชางหลางเองก็มองกูตู๋อ๋างแวบหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจแล้วเอ่ยขึ้น

เมื่อเห็นการสนทนาของกูตู๋อ๋างและชางหลาง เย่เทียนเฉินก็รู้สึกแปลกๆ เมื่อก่อนพวกเราสองคนเคยเป็นหัวหน้าลูกน้องมาก่อน กูตู๋อ๋างเป็นทหารคนสำคัญใต้บังคัญบัญชาของชางหลาง ความสัมพันธ์ของทั้งสองควรจะไม่เลวถึงจะถูก ทำไมถึงมีความรู้สึกเหมือนศัตรูคู่อาฆาตมาเจอกันล่ะ? นี่มันมีอะไรไม่ถูกต้องรึเปล่า!

กูตู๋อ๋างมองชางหลางแวบหนึ่ง แล้วก็มองเย่เทียนเฉินอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง จึงค่อยเดินไปยังถนนด้านข้าง การจับกุมเย่เทียนเฉินครั้งนี้เป็นเฉินเซิงสั่งลงมาด้วยตัวเอง แต่ว่าด้วยตำแหน่งของเฉินเซิงไม่อาจสู้หยางอี้ที่เป็นระดับหัวหน้าได้ หรืออาจกล่าวได้ว่า ไม่ว่าตำแหน่งของเฉินเซิงหรือหยางอี้ก็ไม่คุ้มจะต่อต้าน เป็นข้าราชการในประเทศจีน ไม่อาจทำการล่วงเกินกันเช่นนี้ได้ ไม่มีความจำเป็นเลยแม้แต่น้อย

“ชางหลาง ได้ยินว่าเย่เทียนเฉินท้าทายคุณ ถ้าผมเป็นคุณ จะต่อยเขาเขาให้น่วมเลย” กูตู๋อ๋างยิ้มเย็น พูดขึ้นข้างหูชางหลาง

“ฝีมือของเย่เทียนเฉินไม่ได้แย่อย่างที่นายคิด ฉันเตือนนายไว้ดีกว่าว่าอย่าไปหาเรื่องเขาง่ายๆ” ชางหลางมองกูตู๋อ๋างแวบหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น

“เฮอะ งั้นเหรอครับ? คุณกลัวรึไง? ผมไม่กลัวหรอก ถ้าหากว่าคุณกลัว ก็เอาฉายาหนึ่งในสามราชันนักรบแห่งประเทศจีนมาให้ผมเถอะ!” กูตู๋อ๋างแค่นเสียงเย็นแล้วพูดขึ้น

เมื่อเห็นว่ากูตู๋อ๋างเดินจากไปแล้ว ชางหลางก็ถอนใจครั้งหนึ่ง มองไปยังเย่เทียนเฉินที่สูบบุหรี่อยู่ไม่ไกลแล้วจึงเดินเข้าไป โชคดีที่เขารีบมา มิฉะนั้นกูตู๋อ๋างและเย่เทียนเฉินสู้กันขึ้นมาจริงๆ เกรงว่าทั้งเมืองหลวงจะต้องมีข่าวใหญ่อีกครั้งแน่นอน

“ไปกับฉันเถอะ ท่านหยางต้องการพบนาย!” ชางหลางมองเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

“ต้องการพบผมอีกแล้ว ไม่ใช่ว่าเพิ่งจะพบไปเหรอ? ผมอยากนอนอยู่บ้าน!” เย่เทียนเฉินเอ่ยแล้วหาวออกมา

“ไอ้หนูเรื่องคราวนี้ทำไว้ใหญ่โตมากเลยนะ ขนาดฉินอี้ก็ตายไปแล้ว นายต้องรู้ว่ามันร้ายแรงขนาดไหน ตอนนี้กระทั่งพวกระดับสูงในประเทศก็ช็อคกันหมดแล้ว เกรงว่าคราวนี้จะจบดีๆ ได้ยาก พวกเราอยากจะช่วยนาย!” ชางหลางพูดกับเย่เทียนเฉินเสียงเบา

…………………………………………..

เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ – บทที่ 120 กูตู๋อ๋าง
เสียงประตูถูกเคาะดังขึ้น ได้ยินเสียงของแม่จากด้านนอกเย่เทียนเฉินก็รู้ว่าเรื่องนี้ปิดไม่อยู่แล้ว จะช้าจะเร็วก็ต้องถูกพ่อแม่และน้องสาวล่วงรู้ สาเหตุที่ตอนที่เขากลับมาไม่ได้พูดไปนั้น เพียงเพื่อจะไม่ให้แม่และน้องสาวรู้สึกรับไม่ได้ในเวลากะทันหัน ด้วยวิธีการเช่นนี้ บางทีพวกเธออาจจะไม่รู้สึกสั่นประสาทขนาดนั้นก็เป็นไป

ความรวดเร็วในการแพร่ขยายของเรื่องนี้เร็วเป็นอย่างยิ่ง ในเวลาไม่ถึงสองชั่วโมง ทั่วทุกถนนซอกซอยของเมืองหลวงล้วนพูดคุยถกกันเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นคนทำงานระดับล่างก็ดี หรือจะเป็นกลุ่มอำนาจอิทธิพลใหญ่และตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงก็ดี ทั้งหมดต่างก็พูดคุยกันถึงเรื่องตระกูลฉินในครั้งนี้ สาเหตุสำคัญที่สุดนั้นเป็นเพราะตระกูลฉินมีอิทธพลในเมืองหลวงไม่น้อย ถึงจะไม่ใช่สามตระกูลใหญ่แห่งประเทศจีน แต่ก็ได้ชื่อว่าเป็นตระกูลชั้นหนึ่งจริงๆ

ฉินอี้เลื่องชื่อว่าโอหังและถือหางพรรคพวก ทำให้ไม่มีใครกล้าตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขาต่อหน้า และยิ่งไม่มีใครกล้าก่อเรื่องอะไรกับตระกูลฉิน ครั้งนี้เย่เทียนเฉินไม่เพียงก่อเรื่องกับตระกูลฉิน แต่ยังก่อเรื่องเสียจนพลิกฟ้าสะเทือนดินเสียด้วย

เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เย่เทียนเฉินคิดไม่ถึงก็คือ ฉินอี้ถึงกับโกรธจนตาย ฉินเหิงเองก็ตาย มีเพียงฉินเทาหยวน ซึ่งตอนนี้สูญเสียพ่อและยังสูญเสียลูกชายไปแล้ว

เย่เทียนเฉินเปิดประตู หลัวเยี่ยนก็ดึงเขาไปยังนอกประตูอย่างตึงเครียด ท่าทางราวกับร้อนใจเป็นอย่างมาก

“แม่ครับ เป็นอะไรไปครับ? มีเรื่องอะไรถึงได้รีบร้อนขนาดนี้?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม

“ลูก ลูกเดินเร็วๆ หน่อย ออกไปนอกประเทศซะ ถ้าหากเรื่องนี้ไม่ซาลง ก็ไม่ต้องกลับมาอีก…” หลัวเยี่ยนดึงเย่เทียนเฉินไปยังทิศทางของประตูคฤหาสน์พลางพูดอย่างกังวลใจ

“เฮอๆ แม่ครับ เรื่องอะไรกันครับ? ไม่ร้ายแรงขนาดที่ต้องให้ผมออกนอกประเทศแล้วไม่ต้องกลับมาหรอกมั้งครับ?”

“เทียนเฉิน เรื่องตระกูลฉินไม่ว่าจะเป็นลูกที่ทำหรือไม่ เพียงแค่ตกเป็นประเด็นก็อาจตายได้แล้ว คราวนี้ฉินอี้ตายแล้ว ฉินเหิงก็ตายแล้ว สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งเมืองหลวง ฉินอี้สามารถยืนอยู่ในตำแหน่งเช่นนั้นได้ ถ้าจะบอกว่าไม่มีเพื่อนระดับบนๆ ไม่มีคนของเขา นั่นเป็นไปไม่ได้แน่นอน คนของเขาจะต้องไม่ยอมจบง่ายๆ แน่ ต่อให้ลูกไม่ได้ทำ พวกเขาก็ไม่ปล่อยลูกไปแน่ ตระกูลเย่ตกต่ำลงไปนานแล้ว พ่อของลูกที่เป็นเลขาธิการเมืองๆ หนึ่งก็ไม่สามารถปกป้องลูกได้ ตอนนี้มีเพียงวิธีเดียวคือออกนอกประเทศไปแล้วไม่ต้องกลับมาอีก!” หลัวเยี่ยนเอ่ยอย่างร้อนรน ออกแรงดันเย่เทียนเฉินไปที่ประตูคฤหาสน์

ตอนนี้เย่เทียนเฉินถึงจะเข้าใจขึ้นมา ในใจก็รู้สึกซาบซึ้งมาก น่าสงสารหัวใจของพ่อแม่ทุกคนในใต้หล้า ผู้เป็นแม่ต่างก็รักลูกของตนตลอดไป ไม่ว่าลูกจะกระทำสิ่งที่ผิดขนาดไหนก็ตาม ในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด พ่อแม่มักจะอยู่ข้างลูก และมีเพียงผู้เป็นแม่คนหนึ่ง ที่จะคิดถึงเรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งแรก คิดถึงเรื่องที่จะเป็นภัยต่อลูกของตน และจะทำทุกวิถีทาง พยายามเพื่อไม่อยากให้ลูกของตนเกิดเรื่องอย่างสุดกำลัง

“แม่ แม่ แม่! แม่อย่าดันผมสิครับ ไม่มีเรื่องอะไรหรอก วางใจเถอะ!” เย่เทียนเฉินกล่าวกับหลัวเยี่ยนด้วยรอยยิ้ม

“ลูก ฟังคำแม่นะ ออกนอกประเทศ หลบเลี่ยงการเป็นจุดสนใจสักหน่อย ถ้าหากตระกูลฉินมีแค่ฉินเหิงที่ตาย บางทีอาจจะไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้น แต่ฉินอี้เป็นใครกัน? หน้าที่การงานก็เป็นถึงรองผู้นำระดับชาติ การตายของเขาจะต้องทำให้เกิดความครึกโครมแน่ ตอนแรกเริ่มลูกก็ล่วงเกินตระกูลฉิน ตอนนี้จะต้องมีคนคิดใส่ร้ายลูกแน่ ถึงได้เอาความผิดมาโยนใส่ลูกแบบนี้ ด้วยอำนาจตระกูลของตระกูลเย่ที่ตกต่ำไปแล้ว ไม่มีทางช่วยลูกได้เลย ลูกจำเป็นต้องไป!” หลัวเยี่ยนกังวลจนน้ำตาแทบจะไหลอยู่รอมร่อ ออกแรงดันลูกชายไปข้างหน้า

“แม่ครับ แม่วางใจได้เป็นร้อยๆ ใจเลยครับ ไม่มีเรื่งอะไรแน่นอน ผมไม่ออกนอกประเทศหรอก!” เย่เทียนเฉินเอ่ย มองไปยังหลัวเยี่ยนอย่างจริงจัง

“เทียนเฉิน แม่ยอมให้พวกเขาฆ่าผิดเป็นร้อยคน แต่ไม่ยอมปล่อยลูกไปเด็ดขาด แม่มีลูกเป็นลูกชายคนเดียว ถ้าหากลูกมีอันตรายถึงชีวิต แม่จะอยู่ต่อไปได้อย่างไร…”

หลัวเยี่ยนพูดๆ ไปก็ร้องไห้ออกมา ตั้งแต่เล็กจนโต เย่เทียนเฉินก็เกเรมากและไม่เชื่อฟัง แม้ว่าจะก่อปัญหามากมาย แต่นิสัยดั้งเดิมของเขาก็ไม่ได้เลวร้าย ถึงจะเป็นเช่นนี้ หลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่คนหนึ่งก็ยังวิตกกังวลทั้งวัน กลัวว่าลูกชายจะสร้างปัญญาร้ายแรงจนเกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไรขึ้น ถึงอย่างไรเย่เทียนเฉินเมื่อก่อนก็ล่วงเกินคนไปไม่น้อย รวมกับที่อำนาจของตระกูลเย่ตกต่ำลงทุกวัน หลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ก็ยิ่งกังวล

ไม่ง่ายเลยกว่าที่เย่เทียนเฉินจะค่อยๆ รู้เรื่องรู้ราว ไปเป็นทหาร สุดท้ายก็กลับมา และเปลี่ยนไปไม่เกเรไปทั่วอีกแล้ว หลัวเยี่ยนจึงวางใจได้บ้าง แต่เรื่องในครั้งนี้ร้ายแรงเหลือเกิน เกรงว่าจะไม่มีใครรับผิดชอบไหว ต่อให้เป็นตระกูลใหญ่บางตระกูลในเมืองหลวงก็รับผิดชอบไม่ไหว จินตาการได้เลยว่า รองผู้นำระดับประเทศคนหนึ่งตายไป เป็นเรื่องใหญ่มากแค่ไหน อำนาจอิทธิพลของตระกูลฉินเองก็ยิ่งใหญ่ หากจะเอาเรื่องขึ้นมาจริงๆ ไม่ใช่อะไรที่คนธรรมดาและตระกูลธรรมดาจะรับผิดชอบไหว

เมื่อเห็นว่าหลัวเยี่ยนร้องไห้ออกมาจริงๆ ในใจเย่เทียนเฉินเฉินก็เป็นทุกข์ ตั้งแต่มาเกิดใหม่ ความหวังสูงสุดของเขาก็คือใช้ชีวิตอยู่กับพ่อแม่และน้องสาวอย่างมีความสุข ไม่ทำให้คนในครอบครัวต้องเป็นกังวลอีก ไม่ทำให้พวกเขาเศร้าเสียใจอีก แต่มีบางเรื่องที่ไม่มีใครควบคุมได้ เรื่องตระกูลฉินในครั้งนี้ก่อเรื่องจนใหญ่โตเกินไป ทำให้ปิดไว้ไม่อยู่ ต้องแก้ไขถึงจะดี เพื่อกำจัดภัยอันตรายที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง

“แม่ครับ ความจริงแล้วเรื่องนี้…”

ตอนที่เย่เทียนเฉินคิดจะอธิบายเรื่องนี้ให้แม่เข้าใจ เพื่อให้เธอไม่ต้องกังวลอีกต่อไป รถจี๊ปทหารสามคันก็มาจอดที่หน้าประตูคฤหาสน์ตระกูลเย่ มีทหารถือปืนเก้าคนลงมาจากรถ ทั้งหมดต่างสวมชุมทหารลายพราง ท่าท่าเข้มงวดเป็นอย่างมาก ราวกับกำลังปฏิบัติภารกิจยิ่งใหญ่อะไรอยู่

ทหารที่เป็นหัวหน้า คือทหารหน้าเหลี่ยมคนหนึ่ง ดูแล้วให้ความรู้สึกถึงความยุติธรรม สูงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซ็นติเมตร หน้าตาธรรมดา ร่างกายกำยำแข็งแรง เขาเดินตรงเข้าไปหาเย่เทียนเฉิน มองเขาแวบหนึ่งแล้วเอ่ยถามว่า “คุณก็คือเย่เทียนเฉิน?”

เย่เทียนเฉินตบบ่าหลัวเยี่ยน หลัวเยี่ยนเองก็ปรับอารมณ์ตัวเองให้มั่นคง เธอเป็นผู้หญิงที่ฉลาดมากคนหนึ่ง ตลอดมาก็เป็นภรรยาที่ดีของเย่หงพ่อของเย่เทียนเฉิน ย่อมรู้ดีว่าไม่ควรเสียมารยาทต่อหน้าคนนอก

“ใช่ครับ มาหาผมมีธุระอะไรครับ?” เย่เทียนเฉินถามยิ้มๆ

“ผมคือกูตู๋อ๋าง เคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของนายพลชาง ตอนนี้ขึ้นตรงต่อท่านผู้นำเฉินเซิง พวกเราสงสัยว่าคุณจะมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องตระกูลฉิน ตอนนี้มาจับกุมคุณ!” กูตู๋อ๋างพูดด้วยใบหน้าไร้อารมณ์

เย่เทียนเฉินประเมินกูตู๋อ๋าง เขารู้สึกได้ว่าบนร่างกยของชายคนนี้มีกลิ่นไออันแข็งแกร่งอยู่ เป็นพลังด้านบวกสายหนึ่ง แกร่งกร้าวเป็นอย่างมาก เขากล่าวว่าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของชางหลาง เย่เทียนเฉินยังไม่ค่อยจะเชื่อนัก เขาพูดว่าเคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของชางหลาง นี่ยังพอฝืนยอมรับได้ เพราะจาการที่เย่เทียนเฉินประเมินความสามารถของกูตู๋อ๋างนั้น เขาไม่ด้อยไปกว่าชางหลางอย่างแน่นอน ความสามารถของคนคนหนึ่งสามารถเพิ่มขึ้นตามอายุ บางทีก่อนหน้านี้หลายปีความสามารถของกูตู๋อ๋างอาจจะไม่เท่าชางหลาง อย่างไรก็ตามด้วยการเพิ่มพูนประสบการณ์ เพิ่มพูนความสามารถ ก็ไม่สามารถเป็นลูกน้องชางหลางได้อีกต่อไป ไม่ทันไรก็กลายเป็นหัวหน้ากระทรวงความมั่นคงสาธารณะแล้ว ดูเบาไม่ได้เลยจริงๆ

ความจริงเย่เทียนเฉินคิดดูแล้ว ชางหลาง เหยียนหลง และบุคคลลึกลับอีกคนหนึ่ง ถูกยกเป็นสามราชันนักรบแห่งประเทศจีน นี่ก็เป็นเรื่องเมื่อห้าปีก่อน แผ่นดินปรากฏผู้มีความสามารถอยู่ตลอด บางทีตอนที่พิจารณาสามราชันนักรบนี้ การแข่งขันของพวกชางหลางทั้งสามคงยิ่งใหญ่เป็นประวัติการณ์ขึ้นมาแล้ว แต่อย่างไรเสียคนรุ่นหลังหลายคนก็เติบโตขึ้นมาก

นี่ก็ไม่นับว่าเป็นการขายหน้าอะไร คนคนหนึ่งไม่สามารถเป็นหนึ่งในใต้หล้าได้ชั่วชีวิต มีการแก่ตัวลงทุกวัน ในหมู่คนรุ่นหลังก็ปรากฏบุคคลที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าออกมามากมาย นี่ล้วนเป็นเรื่องปกติธรรมดามาก

ที่กูตู๋อ๋างพูดถึงชางหลาง เย่เทียนเฉินเองก็เข้าใจ เพราะตนเองกับชางหลางเคยติดต่อกันมาก่อน กูตู๋อ๋างก็ควรจะเคยได้ยินมา ส่วนที่พูดฐานะของตัวเขาเองออกมานั้น ความหมายก็ชัดเจนมาก ก็คือ เตือนเย่เทียนเฉินว่าไม่ให้ต่อต้านและอย่าได้ทำเป็นเล่น

“โทษที ตอนนี้ผมง่วงมาก ไม่อยากไปกับพวกคุณหรอก รอผมหลับสักตื่นคุณค่อยมาใหม่แล้วกัน แล้วเจอกัน!” เย่เทียนเฉินพูดจบก็หมุนตัวเดินเข้าไปในคฤหาสน์ เขาไม่ยอมไปกับพวกกูตู๋อ๋าง เพราะเขารู้ว่าการทำแบบนั้นแม่และน้องจะเป็นห่วงและร้อนใจมาก

“เย่เทียนเฉิน ผมไม่สนว่าคุณเป็นใคร หรือจะเปลี่ยนไปแข็งแกร่งขนาดไหน คุณต้องรู้ว่าใครกำลังหาตัวคุณอยู่ หากไม่ไปล่ะก็ ผลที่ตามมาตระกูลเย่ของคุณรับผิดชอบไม่ไหวแน่!” กูตู๋อ๋างขมวดคิ้ว พูดกับเย่เทียนเฉินเสียงดัง

ปัง!

เย่เทียนเฉินรู้ว่ากูตู๋อ๋างแข็งแกร่งมาก ฝีมือไม่ด้อยไปกว่าชางหลาง อีกทั้งยังอายุน้อยกว่าชางหลางหลายปี พลังกายและพลังการต่อสู้ควรจะยิ่งเต็มเปี่ยม แต่ว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ เขาก็ไม่ไว้หน้ากูตู๋อ๋างเลยแม้แต่น้อย ต่อให้เป็นการหักหน้ากระทรวงความมั่นคงสาธารณะก็ไม่สนใจ เขาไม่ยอมจากไปต่อหน้าหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ ไม่อยากเห็นแม่เป็นห่วงและกังวลใจจนร้องไห้ นี่คือจิตใจที่กตัญญูของเขา ใครก็ไม่มีทางมาเปลี่ยนแปลงได้

เย่เทียนเฉินปิดประตูอย่างรุนแรงไม่สนใจพวกกูตู๋อ๋างที่ยืนอยู่ด้านนอกโดยสิ้นเชิง มองไปยังหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ด้วยรอยยิ้มแล้วพูดว่า “แม่ครับ แม่สบายใจได้เลย ไม่มีปัญหาแน่นอน ต่อให้ฟ้าทลายลงมา ก็มีลูกคนนี้ค้ำยัน!”

พลันนั้น เย่เทียนเฉินรู้สึกได้ถึงบรรยากาศอันหนักอึ้งพุ่งเข้ามาด้วยความรวดเร็ว เขาอดไม่ได้ที่จะกำหมัดแน่น ประคองหลัวเยี่ยนไปนั่งบนโซฟาด้านข้าง เพิ่งจะหันกายมาก็มีเสียงหนึ่งดังสนั่น ประตูคฤหาสน์ถูกถีบจนเปิดออก กูตูอ๋างยืนอยู่ตรงประตู เมื่อสักครู่เป็นเขาที่ถีบประตูบ้านของเย่เทียนเฉินจนปลิว ช่างแกร่งกร้าวและทรงอำนาจยิ่งนัก

“ถ้าหากนายไม่ไปกับฉัน ก็อย่ามาโทษถ้าฉันจะลงมือ!” กูตู๋อ๋างกล่าวอย่างเย็นชา

“ลงมือ? ไม่ใช่ว่านายลงเท้าไปแล้วรึไง? ถีบประตูบ้านฉันพัง ไม่ใช่ว่าควรจะชดใช้หรอกเหรอ?” เย่เทียนเฉินถามด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม

“ขอเพียงนายไปกับฉัน ประตูบานนี้ฉัน กูตูอ๋างจะชดใช้เอง!”

“ไม่ได้ นายต้องชดใช้มาตอนนี้เลย!” เย่เทียนเฉินจ้องตากูตูอ๋างเขม็งแล้วพูดขึ้น

กูตูอ๋างขมวดคิ้ว เดิมทีเขาต้องมาจับเย่เทียนเฉินด้วยตัวเอง ในใจก็โกรธอยู่บ้างแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องตระกูลฉินครั้งนี้สำคัญมากเกินไป เขาที่เป็นผู้นำคนหนึ่งคงไม่มาปฏิบัติการด้วยตัวเองโดยเด็ดขาด เย่เทียนเฉินคนนี้ถึงกับทำตัวไม่เคารพกันเลยสักนิด ทำเป็นเล่นอยู่ตลอดเวลา นี่ทำให้กูตู๋อ๋างไม่พอใจมาก

“ฉันขอเตือนนายไว้ก่อน มาร่วมมือกันดีๆ จะดีกว่า ไม่งั้นฉันจะลงมือจริงๆ ต่อให้แขนขาหักฉันก็จะไม่ชดใช้” กูตู๋อ๋างกำหมัดทั้งสองแน่นส่งเสียงลั่นออกมาแล้วพูดขึ้น

“งั้นฉันขอเตือนนายไว้ว่าให้รีบชดใช้ประตูบ้านฉันซะ ไม่งั้นถึงเวลาฉันจะต่อยนายให้ตาเขียว หน้านายเดิมทีก็ไม่หล่ออยู่แล้ว เกรงว่าจะยิ่งแย่เข้าไปใหญ่!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างไม่ยอมลงให้แม้แต่น้อย

…………………………………..

บทที่ 119 เจียงอั้น ศิษย์พี่ของเซี่ยอวี่เหอ
Ink Stone_Fantasy
วันนี้ ยังไม่ทันถึงช่วงกลางคืนก็ครึกโครมไปทั่วทั้งเมืองหลวงแล้ว ต่างพูดคุยกันอย่างคึกคัก ทั้งถนนใหญ่และตรอกซอกซอยต่างก็พูดคุยถกเถียงกันถึงเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือเรื่องของตระกูลฉิน ที่ฉินอี้ ฉินเทาหยวน ฉินเหิง ทั้งสามถูกส่งตัวไปโรงพยาบาล เรื่องที่มีคนไปก่อเรื่องกับตระกูลฉิน ทั้งหมดต่างก็กล่าวถึงชื่อๆ หนึ่งนั่นคือ เย่เทียนเฉิน

“นายได้ข่าวแล้วรึยัง? มีคนไปก่อเรื่องใหญ่โตกับตระกูลฉินถึงที่!”

“ไม่จริงน่า? ใครมันโหดขนาดนั้น ขนาดตระกูลฉินยังกล้าไปหาเรื่องด้วย ไม่กลัวตายรึไง?”

“เย่เทียนเฉิน เคยได้ยินมารึเปล่า คนที่เคยเป็นตัวตลกไปทั่วทั้งเมืองหลวง คนตระกูลเย่ที่ได้ชื่อว่าเป็นเศษสวะไม่เอาไหนคนนั้นไง”

“เจ้าหมอนี่มันเก่งขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน? ดูเหมือนช่วงนี้จะมีแต่ข่าวของเขานะ!”

“ชิ พวกนายไม่รู้หรอกใช่ไหม เย่เทียนเฉินแบกโลงศพไปตระกูลฉิน ตอนแรกก็ถีบฉินเทาหยวนจนกระเด็น ต่อมาก็อัดฉินเหิงอย่างหนักจนร้องอย่างอนาถ แล้วจับยัดเขาไปในโลง ส่วนฉินอี้ก็โกรธจนส่งผลต่อหัวใจแล้วสลบไป…”

“เจ๋งโคตร พี่ชายคนนี้เจ๋งจริง นี่มันตัวละครลับชัดๆ…นับถือ!”

มีเสียงพูดคุยอยู่ทั่วทุกสารทิศ มีการบอกเล่าทุกรูปแบบ เพียงเพราะเย่เทียนเฉินไปก่อเรื่องกับตระกูลฉิน ในสายตาของชาวเมืองหลวงคนหนึ่ง ไม่มีใครกล้าที่จะไปหาเรื่องตระกูลฉินถึงที่โดเด็ดขาด แต่เย่เทียนเฉิน ในเวลาสั้นๆ เพียงแค่ครึ่งชั่วโมง กลับจัดการสามพ่อลูกปู่แห่งตระกูลฉินจนต้องเข้าโรงพยาบาล เพียงได้ฟังก็ทำให้ผู้คนทึ่งแล้ว

ณ เวลานี้ ภายในร้านกาแฟที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในเมืองหลวง หญิงคนหนึ่งแต่งตัวตามแฟชั่น ท่อนบนสวมเสื้อยืดกีฬาตัวหนึ่ง ท่อนล่างสวมกางเกงยีนส์ที่สั้นมากตัวหนึ่ง รวมกับหมวกที่ทันสมัยและสะโพกโค้งงอนเป็นที่น่าประทับใจ จึงเป็นที่ดึงดูดสายตาอันเร่าร้อนของชายหลายคน

หากเย่เทียนเฉินพบกับหญิงที่กระปรี้กระเปร่าเป็นและหน้าตางดงามหยาดย้อยคนนี้ จะต้องประหลาดใจครั้งใหญ่แน่นอน เพราะเธอไม่ใช่คนอื่นคนไกล เป็นเซี่ยอวี่เหอนั่นเอง ตรงข้ามเซี่ยอวี่เหอมีชายรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งนั่งอยู่ สูงราวหนึ่งร้อยแปดสิบเซ็นติเมตร สวมสูทตัวใหญ่ ดูไม่เข้ากันอย่างยิ่ง รูปร่างกำยำแข็งแรงมาก เป็นประเภทที่แค่มองก็รู้สึกว่าล่ำบึ้กประเภทนั้น โกนหัวจนราบเรียบ ใบหน้าเข้มงวดจริงจัง มองดูแล้วทำให้ผู้คนต้องตกใจจริงๆ

“ศิษย์น้อง อาจารย์ให้ฉันมาตามเธอกลับไป!” ชายร่างกำยำเอ่ยขึ้น มองไปยังเซี่ยอวี่เหอ

“ไม่ ฉันไม่กลับ ฉันต้องหาเจ้าบ้านั่นให้เจอ จะสั่งสอนเขาแรงๆ สักยก ไม่งั้นฉันทนไม่ได้!” เซี่ยอวี่เหอเปิดปากพูดแล้วห่อปากอันน่ารักของเธอ

หลังจากเซี่ยอวี่เหอสู้กับเย่เทียนเฉินก็ไม่ได้ไปจากเมืองหลวง แต่เข้ามาในเขตเมืองและเริ่มตรวจสอบและค้นหาตัวเย่เทียนเฉิน ด้วยนิสัยราวเด็กหญิงของเซี่ยอวี่เหอ เย่เทียนเฉินคนนี้กล้ามาพูดจาแทะโลมตนเอง ที่น่ารังเกียจที่สุดคือมาจูบตนเอง ความแค้นนี้เซี่ยอวี่เหอจะต้องชำระกับเขาแน่ ดังนั้นเธอจึงไม่เชื่อฟังคำสั่งของอาจารย์ อยากจะอยู่ในเมืองหลวงต่อไป

ชายร่างกำยำคนนี้คือเจียงอั้น ศิษย์พี่ของเซี่ยอวี่เหอ แม้จะมีรูปร่างสูงใหญ่เทอะทะ แต่กลับมีความฉลาดเฉียบแหลม เพียงแต่ความรู้สึกของคนที่เห็นเขา ก็ไม่ได้รู้สึกว่าฉลาดขนาดนั้น ทั้งฝีมือของเขายังเหนือกว่าเซี่ยอวี่เหออีกด้วย เป็นชายที่เมื่อได้ลงมือก็จะมีบรรยากาศของความดุร้ายแผ่ออกมา ในหมู่พรรควรยุทธโบราณ ก็นับว่าเป็นคนในระดับยอดฝีมืออย่างแน่นอน

“ศิษย์น้องเล็ก เธอต้องรู้ว่าคำสั่งของอาจารย์ไม่อาจฝ่าฝืนได้ ถ้าอาจารย์โกรธขึ้นมาล่ะก็ซวยแน่!” เจียงอั้นพูดด้วยความกังวลอยู่บ้าง

เจียงอั้นเป็นเด็กกำพร้ามาตั้งแต่เล็กเช่นเดียวกับเซี่ยอวี่เหอ เขาอายุมากกว่าเธอสองปี และเข้าสำนักก่อนเซี่ยอวี่เหอ ดังนั้นตั้งแต่เล็กจนโตเจียงอั้นก็คอยดูแลเซี่ยอวี่เหอตลอด คอยรักถนอมศิษย์น้องเล็ก จนเซี่ยอวี่เหอค่อยๆ เติบโตเป็นหญิงสาว เป็นสาวที่สวยและร่าเริง ภายในสำนักก็มีศิษย์พี่ศิษย์น้องคนอื่นตามจีบ เซี่ยอวี่เหอจึงเป็นเหมือนองค์หญิงน้อยคนหนึ่งที่ได้รับความรักจากทุกคน

ความจริงหลายปีมานี้ เจียงอั้นก็รักเซี่ยอวี่เหอศิษย์น้องเล็กของเขามาตลอด เพียงแต่เขารู้สึกเป็นทุกข์อยู่บ้าง แม้เขาจะหล่อและมีนิสัยร่าเริง ไม่เหมือนศิษย์พี่คนอื่นๆ ที่หล่อนิดหน่อยก็ใช้ใบหน้าของตนล่อลวงหญิงงามไปทั่ว เจียงอั้นไม่ใช่คนเช่นนี้ หลายปีมานี้ เขารักศิษย์น้องเล็กมาโดยตลอด คอยดูแลศิษย์น้องเล็กอย่างลับๆ ทุกครั้งที่มีภารกิจอันตรายอะไร เขาก็จะขวางอยู่เบื้องหน้าของเธอ ไม่ให้เธอมีอันตรายถึงชีวิต

เนื่องจากเจียงอั้นไม่เก่งในการพูดคุย ไม่เก่งเรื่องการเอาอกเอาใจ ดังนั้นตลอดเวลาจนถึงตอนนี้เซี่ยอวี้เหอจึงไม่รู้ว่าศิษย์พี่ใหญ่เจียงอั้นรักตนเองอย่างลึกล้ำ เธอคิดแค่ว่าการดูแลของศิษย์พี่ใหญ่ที่มีต่อเธอ ก็เหมือนกับความสัมพันธ์ระหว่างพี่ชายน้องสาวเช่นนั้น

มีคำกล่าวคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า ความรักที่ฝังอยู่ในใจ นั่นจึงจะเป็นรักที่แท้จริง ความรักที่เจียงอั้นมีต่อเซี่ยอวี่เหอ ไม่ได้มีเรื่องจอมปลอมสกปรกเลยแม้แต่ครึ่งส่วน

เนื่องจากเจียงอั้นเป็นศิษย์พี่ใหญ่ เขาจึงเข้าใจอารมณ์ของอาจารย์มากกว่าคนอื่นๆ แม้ว่าเซี่ยอวี่เหอศิษย์น้องเล็กจะได้รับความรักจากอาจารย์เป็นอย่างมาก แต่ว่ามีบางเรื่องของอาจารย์ที่ไม่อาจแตะต้องได้ เช่นการไม่เชื่อฟังคำสั่ง จุดนี้เป็นจุดที่ไม่มีใครกล้าไปแตะต้องง่ายๆ ใครที่กล้าฝ่าฝืนคำสั่งของอาจารย์ อย่างน้อยก็ต้องแขนหักขาหัก อย่างหนักก็ถูกทำลายวรยุทธ์และไล่ออกจากสำนัก

“สามวัน ฉันต้องการเวลาแค่สามวัน ฉันจะต้องหาเจ้าบ้านั่นออกมาให้ได้ จะสั่งสอนมันหนักๆ สักครั้ง ให้มันรู้ถึงความร้ายกาจของฉัน!” เมื่อเซี่ยอวี่เหอคิดถึงท่าทีที่เย่เทียนเฉินพูดจาแทะโลมตนเอง ก็โกรธจนขบฟันแน่น ขาดก็แต่ไม่ได้ไปกัดเย่เทียนเฉินให้ตายเท่านั้น

“เจ้าบ้า? เจ้าบ้าไหน เธอพูดถึงเย่เทียนเฉินเหรอ?” เจียงอั้นอดไม่ได้ที่จะเปิดปากถาม

เรื่องที่ว่าครั้งนี้ศิษย์น้องเล็กเซี่ยอวี่เหอตอบรับฉินเหิงให้ไปฆ่าเย่เทียนเฉิน เจียงอั้นเองก็รู้ดี เดิมทีเขาก็ต้องการอยู่กับศิษย์น้องเล็กทุกย่างก้าว และไปลงมือฆ่าเย่เทียนเฉินด้วยตัวเอง แต่เพราะมีบางเรื่องที่ทำให้เสียเวลา ตอนนี้ดูท่าแล้วศิษย์น้องเล็กจะฆ่าเย่เทียนเฉินไม่สำเร็จ และดูเหมือนจะได้รับความอยุติธรรมอะไรบางอย่าง พอพูดถึงเย่เทียนเฉินถึงได้โกรธจนหน้าแดง มันจะต้องมีอะไรเกิดขึ้นระหว่างนั้นเป็นแน่

“อย่าพูดถึงเจ้าบ้านี่เลย ฉันจะต้องฆ่าเขาแน่!” เซี่ยอวี่เหอเอ่ย รู้สึกโกรธจนเข็ดฟันไปหมด

“ศิษย์น้องเล็ก ถึงจะบอกว่าเธอเป็นนักฆ่าคนหนึ่ง แต่ความจริงก็ไม่เคยฆ่าใครสักคนเดียว หากพูดเรื่องนี้ออกไปจะต้องไม่มีใครเชื่อแน่ หากเธอต้องการฆ่าเย่เทียนเฉินจริงๆ เธอคงลงมือไม่ได้หรอก เธอใจดีเกินไป งั้นให้ฉันช่วยเธอฆ่าเย่เทียนเฉินดีกว่า!” เจียงอั้นมองไปยังเซี่ยอวี่เหอแล้วเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม

เซี่ยอวี่เหอถลึงตาใส่เจียงอั้นอย่างดุดันแวบหนึ่ง ยู่ปากอันน่ารักแล้วพูดขึ้นว่า “ใครบอกว่าฉันไม่กล้าฆ่าคน? ฉันเป็นนักฆ่าคนหนึ่ง ฉันจะเริ่มจากการฆ่าเจ้าบ้าเย่เทียนเฉินนี่ ใครให้เขากล้า เขากล้า…เฮอะ!”

เจียงอั้นมองเซี่ยอวี่เหอแวบหนึ่ง คบค้าสมาคมกันมานานหลายปีขนาดนี้ อีกทั้งยังรักศิษย์น้องเล็กอย่างลึกซึ้ง เจียงอั้นย่อมเข้าใจนิสัยของเธอเป็นอย่างดี พูดก็เก่ง ฝีมือก็แข็งแกร่ง แต่ความจริงไม่กล้าแม้กระทั่งฆ่าไก่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฆ่าคนเลย นี่เป็นจุดอ่อนร้ายแรงที่สุดของเซี่ยอวี่เหอ มีฐานะเป็นนักฆ่าคนหนึ่งแต่กลับไม่กล้าฆ่าคน นักฆ่าคนนี้นับว่าใช้การไม่ได้ ตอนนั้นที่อยู่ในป่าไผ่ ที่เย่เทียนเฉินไม่ได้ลงมือสังหารเซี่ยอวี่เหอก็เป็นเพราะสาเหตุนี้ เป็นเพราะเขาไม่อาจรับรู้ได้ถึงไอสังหารบนร่างของเธอ

หากว่าเซี่ยอวี่เหอเป็นนักฆ่าที่เลือดเย็นไร้หัวใจ ไม่มีความเป็นมนุษย์จริงๆ เย่เทียนเฉินก็ไม่สนใจว่าเธอจะสวยขนาดไหน หรือจะน่าหลงใหลขนาดไหน จะลงมือฆ่าเธอโดยตรง เขาไม่ใช่คนที่เห็นผู้หญิงแล้วทำอะไรไม่ถูก และไม่ใช่คนที่รักหยกถนอมบุปผา [1]มิฉะนั้นหลังจากที่มาเกิดใหม่ในโลกนี้ ผู้หญิงทั้งหลายที่ได้พบ คงไม่ได้ทะเลาะถกเถียงกับเขาแค่ครั้งสองครั้ง แต่ทะเลาะโต้เถียงกับเป็นประจำ

“ให้ฉันช่วยเธอลงมือดีกว่า หลังจากฆ่าเย่เทียนเฉินแล้วพวกเราก็รีบกลับสำนักทันที อาจารย์จะได้ไม่โกรธ!” เจียงอั้นกลัวว่าเซี่ยอวี่เหอจะมีอันตรายจึงเอ่ยด้วยความใส่ใจ

เจียงอั้นเองก็เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับเย่เทียนเฉินมาก่อน ลูกผู้ดีมีเงินคนนี้เคยเป็นตักตลกของทั่วทั้งเมืองหลวง วันนี้ดูเหมือนจะกลายเป็นคนที่พิเศษไม่เหมือนใคร เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ แม้ว่าเจียงอั้นจะไม่เคยได้ประมือกับเย่เทียนเฉิน แต่ก็เคยได้ยินวีรกรรมของเขามาบ้าง สามารถวิเคราะห์ฝีมือการต่อสู้ของเย่เทียนเฉินได้จากเรื่องเหล่านี้ โดยเฉพาะเรื่องที่เซี่ยอวี่เหอเคยสู้กับเย่เทียนเฉินมาแล้ว และถึงกับเอาชนะไม่ได้ ดูเหมือนจะเสียเปรียบอีกด้วย ในส่วนนี้สามารถเห็นได้ว่า ฝีมือของเย่เทียนเฉินแข็งแกร่งจริงๆ

พลังการต่อสู้ของเซี่ยอวี่เหอแข็งแกร่งขนาดไหน เจียงอั้นรู้ดี แม้ว่าความสามารถที่แท้จริงของศิษย์น้องเล็กจะอ่อนด้อยไปบ้าง แต่จุดที่แข็งแกร่งของเซี่ยอวี่เหอก็คือ เธอเป็นผู้มีพลังพิเศษและเป็ยอดฝีมือพรรควรยุทธโบราณในคราวเดียวกัน เมื่อรวมสองสิ่งนี้เข้าด้วยกัน อานุภาพของกระบวนท่าที่ใช้ออกมาจะแข็งแกร่งอย่างยิ่งยวด บางครั้งที่ทำการประลองกัน กระทั่งเจียงอั้นก็ยังรู้สึกปวดหัว

“ไม่เอา ศิษย์พี่ใหญ่ เรื่องนี้ฉันจะขอพูดกับนายให้เข้าใจไปเลย ไม่อนุญาตให้สอดมือเข้ามายุ่ง ฉันจะต้องสั่งสอนเจ้าบ้านี่ด้วยตัวเองแน่” เซี่ยอวี่เหอพูดอย่างเคร่งขรึมจริงจัง ดูท่าเย่เทียนเฉินจะทำให้เธอโกรธไม่เบา

“ศิษย์น้องเล็ก น้องเคยสู้กับเย่เทียนเฉินไปแล้วครั้งหนึ่ง ดูแล้วฝีมือของเขาจะเหนือกว่าเธอ ให้ฉันลงมือเถอะ ฆ่าเขาซะ แล้วพวกเราก็รีบกลับสำนักทันที” เจียงอั้นกล่าวอย่างกังวลใจ

“ไม่ใช่สักหน่อย ถึงฉันจะฆ่าเขาไม่ได้ แต่เจ้าคนนี้เลวร้ายเกินไป จะต้องทำให้เขาได้รับความเจ็บปวดมากๆ หน่อย!” เซี่ยอวี่เหอพูดไป ปากก็ยิ้มชั่วร้ายไปด้วย ช่างน่ารักจริงๆ

“ศิษย์น้องเล็ก…”

“ศิษย์พี่ใหญ่ นายอย่าพูดเลย ไม่ง่ายเลยที่จะมาเมืองหลวงสักครั้ง คืนนี้ฉันจะเลี้ยงข้าวพี่เป็นไง? ฉันเพิ่งจะได้ค่าตอบแทนมา ไม่น้อยเลยล่ะ ฮี่ๆ !” เซี่ยอวี่เหอเอ่ยขัดคำพูดของเจียงอั้นด้วยรอยยิ้ม

เจียงอั้นเห็นว่าเซี่ยอวี่เหอได้ตัดสินใจแล้วก็ไม่พูดอะไรออกไปอีก แต่ว่าในใจของเขารักศิษย์น้องเล็กอย่างลึกซึ้ง ย่อมไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายเธอได้อย่างเด็ดขาด ดังนั้นในใจของเจียงอั้นก็ตัดสินใจแล้วว่า จะไปฆ่าเย่เทียนเฉินลับหลังศิษย์น้องเล็ก เขาเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเซี่ยอวี่เหอแห่งพรรควรยุทธโบราณนี้ ความสามารถย่อมไม่อาจนำเซี่ยอวี่เหอมาเทียบเคียงได้ เจียงอั้นเป็นยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณคนหนึ่ง ยามที่เขาทำภารกิจ ไม่เคยมีประวัติล้มเหลวมาก่อน

ปังๆๆ

นอกประตูห้องเย่เทียนเฉินมีเสียงเคาะประตูอันรุนแรงดังขึ้น ครั้งนี้เป็นหลัวเยี่ยนมาเคาะ เย่เทียนเฉินตื่นขึ้น ได้ยินแม่ตะโกนอย่างร้อนรนว่า “เทียนเฉิน รีบตื่นเร็วเข้า ในเมืองหลวงมีคนใส่ความลูกว่าไปก่อเรื่องที่ตระกูลฉิน ตอนนี้ฉินอี้และฉินเหิง สองตาหลานตระกูลลฉินตายที่โรงพยาบาลแล้ว เกิดเรื่องใหญ่แล้ว…”

………………………………………..

[1] รักหยกถนอมบุปผา เป็นสำนวนจีน หมายถึงการอ่อนโยนต่อผู้หญิง

บทที่ 118 คำสาปแช่งที่มาจากน้องสาว
Ink Stone_Fantasy
ช่วงสิ้นโลก เป็นช่วงที่ผู้มีพลังพิเศษกำเริบเสิบสานไปทั่วโลก ยอดฝีมือพรรควรยุทธโบราณแกร่งกล้าจนไม่อาจขวาง และยังมีมนุษย์กลายพันธุ์และสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งดำรงอยู่ เป็นยุคที่คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือดอย่างแท้จริง มีเพียงคุณเท่านั้นที่คิดไม่ถึง เป็นโลกอัศจรรย์ที่ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้

เย่เทียนเฉินเคยเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษระดับพระเจ้า ในช่วงสิ้นโลกแม้ว่าจะไม่นับว่าแข็งแกร่งที่สุด แต่ก็เพียงพอจะปกป้องตนเอง ในช่วงเวลานั้น เขาก็ได้ปกป้องคุ้มครองความสงบสุขของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เนื่องจากตอนนั้น มีผู้มีพลังพิเศษที่ชั่วร้าย มียอดฝีมือพรรควรยุทธโบราณที่วิปริต และมีมนุษย์กลายพันธุ์และสัตว์อสูรที่กินคนอยู่ด้วย ศักยภาพของเผ่าพันธุ์มนุษย์น้อยนิด ไม่ใช่โลกที่มีมนุษย์ปกครองไปนานแล้ว ปรากฏผู้มีพลังแข็งแกร่งขึ้นมากมาย ตั้งแต่สามารถเคลื่อนภูผาพลิกมหาสมุทรได้ จนถึงขั้นถล่มฟ้าทลายดิน ทำลายฟ้าดินจนแตกเป็นเสี่ยงๆ นี่เป็นคำกล่าวที่ไม่เกินจริงเลยแม้แต่น้อย

และก็เป็นช่วงเวลานั้นที่เย่เทียนเฉินคุ้มครองความปลอดภัยของเผ่ามนุษย์ ต่อสู้กับผู้แข็งแกร่งมากมาย ไม่ว่าจะเป็ผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งเช่นเดียวกัน หรือจะเป็นมนุษย์กลายพันธุ์และสัตว์อสูร หรือยอดฝีมือพรรควรยุทธโบราณ การต่อสู้เป็นตายนับครั้งไม่ถ้วน ทำให้เย่เทียนเฉินแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ขอบเขตพลังก็ก้าวหน้าทะลวงไปถึงระดับพระเจ้า

ในช่วงยุคสิ้นโลก ก็มีผู้แข็งแกร่งที่ฝึกฝนวิชาพรรควรยุทธโบราณและเคล็ดวิชาพลังพิเศษควบคู่กันอยู่ กล่าวง่ายๆ ก็คือ ผู้มีพลังพิเศษที่เดิมทีก็แข็งแกร่งมากอยู่แล้ว ไปฝึกฝนวิชาของพรรควรยุทธโบราณอีก สองสิ่งผสมผสานเข้าด้วยกันทำให้แข็งแกร่งถึงขีดสุด

ก็เหมือนกับเซี่ยอวี่เหอ หากพูดถึงความสามารถที่แท้จริง เธอก็ไม่ได้แข็งแกร่งเช่นนั้น ที่สามารถบีบบังคับเย่เทียนเฉินจนถึงขั้นนี้ได้ ก็เป็นเพราะเดิมทีเธอก็เป็นผู้มีพลังพิเศษคนหนึ่ง รวมกับที่ได้ฝึกวิชาพรรควรยุทธโบราณ เมื่อสองสิ่งผสมผสานเข้าด้วยกัน กระบวนท่าที่ใช้ออกมาทั้งหมดจะมีพลังทำลายล้างเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว

ดังนั้นในช่วงสิ้นโลก ผู้มีพลังพิเศษหลายคนที่เดิมทีก็แข็งแกร่งมากอยู่แล้ว จึงอยากจะไปเรียนวิชาของพรรควรยุทธโบราณ สาเหตุสำคัญที่สุดก็คือ พวกเขาอยากจะเพิ่มความแข็งแกร่งให้ร่างกายของตน เพิ่มความแข็งแกร่งให้กายเนื้อของตน พลังพิเศษที่อยู่ในร่างกายผู้คนนั้นล้วนอยู่ในกายเนื้อ ในหยาดเลือด ชีพจรและกระดูก ไม่ว่าจะเป็นพลังพิเศษก็ดี หรือพลังภายในที่แข็งแกร่งก็ดี ล้วนแต่อยู่ภายในร่างกายทั้งสิ้น เมื่อต้องการใช้ก็จะกระตุ้นออกมาในพริบตา เพิ่มพูนพลังโจมตีและพลังทำลายล้าง

ผู้มีพลังพิเศษหลายคนไม่ได้แข็งแกร่งขึ้นตามการทะลวงและยกระดับของขอบเขตพลังพิเศษ สิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งก็คือ การบ่มเพาะระดับพลังของกายเนื้อไม่เพียงพอ ร่างกายไม่อาจรองรับพลังพิเศษอันมหาศาลได้ เมื่อฝืนใช้ จุดจบมีเพียงอย่างเดียวคือ ร่างกายระเบิดจนตาย

นี่เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมหลังจากที่เย่เทียนเฉินมาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ล้วนทำการฝึกฝนบ่มเพาะกายเนื้อของตนด้วยวิธีเรียบง่ายทุกคืน เขารู้ว่า ถึงแม้ว่าขอบเขตพลังจะเพิ่มขึ้น แต่หากกายเนื้อไม่อาจรองรับได้ เป็นการไม่สมควรอย่างยิ่ง ไม่เพียงแต่ไม่มีประโยชน์กับตนเอง กลับจะมีโทษอีกต่างหาก

วิชาของพรรควรยุทธโบราณสามารถชดเชยข้อบกพร่องที่กายเนื้อของผู้มีพลังพิเศษไม่แข็งแกร่งมากพอได้อย่างพอดิบพอดี เนื่องจากวิชาของแต่ละพรรคล้วนมีพลังภายในที่เหมาะสม พลังภายในที่กล่าวมานี้ไม่ได้ลึกลับอย่างที่คนธรรมดาจินตนาการเช่นนั้น กล่าวคือ เป็นวิธีการฝึกฝนพลังภายในประเภทหนึ่ง เมื่อพลังภายในสะสมในร่างกายเพียงพอแล้ว ร่างกายของคุณก็จะกำยำแข็งแรงขึ้นเป็นพิเศษ ถ้าพัฒนาไปอีกขั้น เพียงโบกหมัดออกไปตามใจ ก็จะปรากฏพลังภายในที่แข็งแกร่งออกมา ทำให้เก่งกว่าคนธรรมดาขึ้นมา

ดังนั้นในช่วงยุคสิ้นโลก ผู้มีพลังพิเศษหลายคนล้วนปราถนาที่จะได้วิชาพรรควรยุทธโบราณมา ไม่เพียงแค่กระบวนท่าที่ลึกซึ้งเหล่านั้นเท่านั้น ที่สำคัญกว่าก็คือวิธีฝึกฝนพลังภายในที่ลึกลับเหล่านั้น ในหมู่คนเหล่านั้นเย่เทียนเฉินเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ทุกคนย่อมหวังว่าตนเองจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ประจวบกับอยู่ในยุคสิ้นโลกเช่นนั้น เป็นโลกที่ถ้าคุณไม่แข็งแกร่งมากพอก็จะถูกกิน คนที่คาดหวังว่าจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้นจึงมีมากตามไปด้วย

ตามความเข้าใจของเย่เทียนเฉิน วิธีฝึกฝนพลังภายในที่แข็งแกร่งที่สุดคือคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นของเส้าหลิน เช่นเดียวกับวิชาพรรควรยุทธโบราณอื่นๆ อาทิ มวยไท้เก็กแปดทิศ มวยสิงอี้ เพลงกระบี่บู๊ตึ้ง เพลงกระบี่หัวซาน เป็นต้น วิชาเหล่านี้ถึงจะแข็งแกร่งมากก็ตาม แต่ล้วนเป็นการฝึกฝนกระบวนท่าคู่กับพลังภายใน ภายนอกดูแล้วก็สามารถทำให้ผู้คนแข็งแกร่งขึ้นได้ แต่ความจริงแล้วมีคุณก็มีโทษ คือไม่สามารถทำให้พลังภายในบริสุทธิ์เพื่อใช้เพิ่มความแข็งแกร่งให้กายเนื้อได้

แต่ทว่า คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นของเส้าหลินไม่เหมือนกัน วิชานี้มีเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้ร่างกาย ตัวยาก็ยิ่งทำให้วิธีฝึกฝนพลังภายในแข็งแกร่งมาก ไม่มีกระบวนท่าใดที่ฝึกไม่ได้ เป็นวิธีการฝึกพลังภายในที่สมบูรณ์แบบ เพียงแต่น่าเสียดายที่ในช่วงสิ้นโลก วิชานี้ได้ถูกทำลายไปแล้ว ต่อให้ยังมีอยู่ เช่นนั้นก็คงอยู่ในตระกูลใหญ่ทรงอำนาจสักตระกูลหนึ่ง เหลือไว้เพียงเล็กนน้อยเท่านั้น หากเป็นเช่นนี้ คนของกลุ่มอำนาจและตระกูลเหล่านี้ที่ได้รับไป และนำไปผสานใช้กับพลังพิเศษ ก็เพียงพอที่จะไปได้ทั่วทุกสารทิศในยุคสิ้นโได

“คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นของเส้าหลินในช่วงสิ้นโลกถูกทำลายไปแล้ว ถ้างั้นโลกนี้ยังมีอยู่รึเปล่านะ? ถ้ามีโอกาสควรจะไปวัดเส้าหลินสักครั้ง บางทีอาจจะหาเจอก็ได้” เย่เทียนเฉินกล่วกับตนเองในใจ

ตอนที่เย่เทียนเฉินกลับมาถึงบ้าน เย่เชี่ยนเหวินผู้เป็นน้องกำลังเล่นคอมพิวเตอร์อยู่ที่ห้องโถง หลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ก็ดูโทรทัศน์อยู่ในห้องโถง เมื่อเห็นว่าเย่เทียนเฉินกลับมาแล้ว ทั้งสองก็ตกใจและประหลาดใจ พวกเขารู้ว่าเย่เทียนเฉินไปตระกูลฉิน เพียงแต่ไม่รู้ว่าฉีหรูเสวี่ยเป็นอย่างไรบ้างแล้ว

“พี่คะ พี่กลับมาแล้วเหรอ ได้เจอพี่สาวหรูเสวี่ยรึเปล่า?” เย่เชี่ยนเหวินรีบเปิดปากพูด

“เทียนเฉิน หรูเสวี่ยเป็นยังไงบ้าง?” หลัวเยี่ยนเองก็เปิดปากถาม

เย่เทียนเฉินมองหลัวเยี่ยนและเย่เชี่ยนเหวินแวบหนึ่ง เดินเข้าไปด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วนั่งลงบนโซฟา หยิบแอปเปิ้ลที่ถูกปลอกอย่างดีขึ้นมากินลูกหนึ่ง กินไปต่อๆ กันสามคำใหญ่แล้วจึงพูดยิ้มๆ ว่า “พวกเธอสองคนวางใจเถอะ ถึงฉีหรูเสวี่ยจะเป็นยัยทึ่ม แต่โชคของยัยทึ่มคนนี้ก็ไม่เลวเลย พิธีหมั้นของเธอกับฉินเหิงล้มเหลวไปแล้ว ตามการคาดการณ์ของพี่ หลังจากนี้เธอก็ไม่ต้องแต่งให้ตระกูลฉินแล้วล่ะ ตระกูลฉินจบเห่แล้ว!”

ได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน หลัวเยี่ยนและเย่เชี่ยนเหวินต่างก็มองเย่เทียนเฉินอย่าเหลือเชื่อ ไม่รู้ว่าเขากำลังพูดอะไรอยู่ เพียงแต่รู้ว่าตื่นตะลึงกับคำพูดของเขา ต่อไปนี้ฉีหรูเสวี่ยไม่ต้องแต่งให้ตระกูลฉินแล้ว? ตระกูลฉินจบเห่แล้ว? นี่มันหมายความว่าอย่างไร? ใครที่มีความสามารถขนาดนี้ ถึงกับสามารถเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของตระกูลฉินกับตระกูลฉีได้?

“ลูก ความหมายของลูกคือ…ตระกูลฉินและตระกูลฉีเปลี่ยนใจแล้ว ไม่ให้หรูเสวี่ยหมั้นกับฉินเหิงแล้ว?” หลัวเยี่ยนได้สติกลับมาก็ถามด้วยความแปลกใจ

“พี่ชาย พี่บอกว่าตระกูลฉินจบเห่แล้ว นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่คะ?” เย่เชี่ยนเหวินเองก็กล่าวถามอย่างร้อนใจ

“ความลับสรรค์ไม่อาจแพร่งพราย!” เย่เทียนเฉินกล่าวยิ้มๆ จงใจกระตุ้นให้อยากรู้

เย่เชี่ยนเหวินจ้องเย่เทียนเฉินผู้เป็นพี่ชายใหญ่อย่างดุดัน เดินเข้าไปแล้วใช้มือเล็กๆ หยิกเอวเย่เทียนเฉิน เอ่ยขึ้นว่า “พี่คะ ถ้าพี่ยังกล้ามาพูดให้อยากรู้อยู่อีก หนูจะลงมือให้หนักเชียว!”

“เทียนเฉิน ตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” หลัวเยี่ยนนเองก็ถามด้วยความกังวล

ชั่วชีวิตนี้ต้องบอกว่าคนที่เย่เทียนเฉินกลัวที่สุดก็คือหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่และเย่เชี่ยนเฉินน้องสาว ถ้าหากเป็นผู้หญิงแบบคนอื่นๆ อะไรนั่น เขาก็ไม่สนใจ หยอกล้อบ้างเป็นครั้งคราวก็เพื่อเติมความสุขให้ชีวิต มีเพียงหลัวเยี่ยนและเย่เชี่ยนเหวินที่ไม่อาจทำผิดด้วยได้ ครอบครัว มีความสุขความผูกพันธ์อยู่ข้างใน

“เรื่องมันเป็นแบบนี้ ตอนที่ผมตามไปถึง ฉินเหิงกับฉินเทาหยวนสองพ่อลูกก็ลุกไม่ขึ้นแล้ว ส่วนฉินอี้ผู้เฒ่าคนนี้ ก็โกรธจนสลบไป แขกรับเชิญทั้งหมดของตระกูลฉินก็หนีไปหมดแล้ว ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น…”

เย่เทียนเฉินย่อมไม่อาจบอกเรื่องที่ตนเองไปก่อเรื่องที่ตระกูลฉินให้แม่กับน้องสาวฟังได้ ถ้านี่ยังไม่ทำให่พวกเธอตกใจสิแปลก คำที่พูดให้พวกเธอฟัง เพียงจะทำให้พวกเธอกังวลใจเป็นอย่างมาก หรือกระทั่งอกสั่นขวัญหาย อำนาจของตระกูลเย่ไม่อาจสู้ตระกูลฉินได้โดยสิ้นเชิง ครั้งนี้เย่เทียนเฉินไปก่อเรื่องที่ตระกูลฉิน เท้าถีบฉินเทาหยวน หมัดอัดฉินเหิง นำเขาใส่เข้าไปในโลงศพ แล้วยังทำให้ฉินอี้ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญของประเทศและเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่โกรธจนลุกไม่ขึ้น ตรงที่เกิดเหตุก็มีผู้คนจำนวนมากเห็น เกรงว่าคราวนี้ไม่เพียงแต่สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งเมืองหลวง แต่จะสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งประเทศ

ยังไม่รู้ว่าเรื่องคราวนี้จะสามารถจบดีๆ ได้หรือไม่ จะพัวพันมาถึงตระกูลเย่หรือไม่ แต่อย่างไร เย่เทียนเฉินก็ไม่ได้คิดมากขนาดนั้น ทหารมาใช้ขุนพลต้านรับ ม้ามาใช้น้ำต้านรับ นี่คือนิสัยของเขา หากใครกล้ามาแตะต้องครอบครัวของเขา ต่อให้เป็นเทพสวรรค์ ก็จะไม่ยอม

“ไม่จริงมั้ง? มีเรื่องแบบนี้เลยเหรอ?

“มีคนก่อเรื่องที่ตระกูลฉิน?”

“ใครที่ร้ายกาจขนาดนี้ ถึงกับกล้าไปก่อเรื่องถึงตระกูลฉิน?”

“คงไม่ใช่คนที่ตามจีบพี่สาวหรูเสวี่ยหรอกนะ จะหล่อเกินไปแล้ว!”

ต่อให้เย่เทียนเฉินไม่ได้บอกเรื่องที่ตนเองไปก่อเรื่องที่ตระฉินกับแม่และน้อง ก็ยังทำให้พวกเธอตกตะลึงจนตื่นเต้นไม่หยุด พวกเธอย่อมไม่หวังให้ฉีหรูเสวี่ยแต่งไปยังตระกูลฉินแน่อยู่แล้ว เพราะฉีหรูเสวี่ยไม่ได้ชอบฉินเหิงอะไรนั่นเลย แต่งเข้าไปก็จะทุกข์ทรมาณไปชั่วชีวิต ตอนนี้ได้ยินเรื่องเหล่านี้ของตระกูลฉิน นอกจากจะยินดีแล้วก็มีเพียงความประหลาดใจเท่านั้น แปลกใจว่าใครที่ร้ายกาจขนาดนี้ ถึงกับกล้าไปก่อเรื่องที่ตระกูลฉิน

“ฉีหรูเสวี่ยทึ่มแบบนั้น ไม่มีคนตามจีบเยอะขนาดนั้นหรอก ก็คงแค่โชคดีเท่านั้นแหละ!” เย่เทียนเฉินกล่าวอย่างไม่พอใจ

“ฮี่ๆ พี่ชาย ไม่ว่าจะเป็นคนที่ตามจีบพี่สาวหรูเสวี่ยหรือไม่ สรุปแล้วพี่สาวหรูเสวี่ยไม่ต้องแต่งให้ฉินเหิงเจ้าคนชั่วนั่นแล้ว นั่นก็คุ้มค่าที่จะดีใจแล้ว ส่วนคนโชคร้ายคนนั้น คนใจร้อนที่ก่อเรื่องกับตระกูลฉินจะต้องเจอกับความทุกข์ยากอะไร ก็ไม่เกี่ยวกับพวกเราแล้ว พวกเราทำได้แค่อวยพรเขาเงียบๆ ในใจ ให้หนีการแก้แค้นของตระกูลฉินให้ได้!”

เย่เทียนเฉินได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉินก็เอือมระอาขึ้นมา เด็กคนนี้นี่ ยังไม่รู้ว่าตนเองคือคนที่ไปก่อเรื่องใหญ่โตที่ตระกูลฉิน นี่ไม่ใช่ว่าเป็นการสาปแช่งพี่ชายตัวเองหรือ?

“พวกเธอก็ดีใจกันไปเถอะ พี่จะไปนอนสักพัก ตอนกลางคืนถึงเวลากินข้าวก็ค่อยเรียกพี่!” เย่เทียนเฉินเคาะเบาๆ ที่หัวของเย่เชี่ยนเหวินแล้วเดินตรงไปยังชั้นสองของคฤหาสน์

หลัวเยี่ยนและเย่เชี่ยนเหวินสองแม่ลูกต่างมองกันแล้วหัวเราะ ไม่ว่าจะอย่างไร พวกเธอก็ชอบฉีหรูเสวี่ยมาก เพราะช่วงเวลาที่ฉีหรูเสวี่ยอาศัยอยู่ที่บ้านตระกูลเย่นี้ พวกเธอสามคนเข้ากันได้ดีมาก ครั้งนี้ฉีหรูเสวี่ยไม่มีเรื่องอะไร พวกเธอจะไม่ดีใจได้อย่างไรกันล่ะ? เพียงแต่ที่ไม่รู้ก็คือ พี่ชายสุดหล่อที่กล้าไปก่อเรื่องถึงตระกูลฉินที่พวกเธอคิดคนนั้น จะเป็นเย่เทียนเฉินไปได้!

………………………………..

บทที่ 117 นักฆ่าหญิง
Ink Stone_Fantasy
เซี่ยอวี่เหอ นักฆ่าหญิงที่มีชื่ออันเป็นเอกลักษณ์ ความสามารถแข็งแกร่ง ทั้งยังมีความพิเศษของเด็กผู้หญิงเล็กน้อย เมื่อจริงจังก็แกร่งกร้าวราวจักรพรรดิหญิง นี่คือความประทับใจที่เย่เทียนเฉินมีต่อเธอ

การต่อสู้กันเพียงชั่วเวลาสั้นๆ ทำให้เย่เทียนเฉินไม่อาจดูเบาเซี่ยอวี่เหอได้เลยแม้แต่น้อย นี่คือยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณคนหนึ่ง ขณะเดียวกันก็เป็นผู้มีพลังพิเศษ ความสามารถทั้งสองรวมเข้าด้วยกัน ช่างแข็งแกร่งมากจริงๆ หากไม่ใช่ว่าตนเองมีการป้องกันไว้นานแล้ว ขอบเขตพลังพิเศษก็ไปถึงระดับจอมราชันแล้ว คงไม่มีทางต่อต้านกระบวนท่าสังหารของเซี่ยอวี่เหอได้อย่างแน่นอน

หากกล่าวถึงพลังพิเศษ เซี่ยอวี่เหอเป็นผู้มีพลังสายพิเศษ ผู้มีพลังประเภทนี้ไม่สามารถจัดเข้ากับประเภทอื่นๆ ได้อย่างชัดเจน ความสามารถก็มีมากมายเหลือคณา ผู้มีพลังที่แข็งแกร่งที่สุดและอ่อนแอที่สุดมักจะปรากฏในสายนี้ อีกทั้งสายพลังนี้ยังทำให้ผู้คนได้เปิดหูเปิดตาว่าอะไรที่เรียกว่าพลังพิเศษ อะไรที่เรียกว่าทำได้ทุกสิ่ง

จาการวิเคราะห์ของเย่เทียนเฉิน เซี่ยอวี่เหอเป็นผู้มีพลังสายพิเศษประเภทย่อยสลาย สามารถย่อยสลายวัตถุใดๆ ให้แตกร้าวได้ในฉับพลัน สามารถลงมือทำให้ศัตรูบาดเจ็บได้ในยามที่คาดไม่ถึง ช่างทำให้ผู้อื่นป้องกันไม่ได้เลยจริงๆ โชคดีที่ในช่วงยุคสิ้นโลกเย่เทียนเฉินเคยสู้กับผู้มีพลังประเภทย่อยสลายมาก่อน จึงรู้จักป้องกันทุกตำแหน่งอย่างระมัดระวัง มิฉะนั้นเมื่อสักครู่นี้ที่มีดเล่มนั้นระเบิดออกในระยะใกล้เช่นนั้น ก็เป็นไปได้มากว่าจะเอาชีวิตเขาไปแล้ว

“ตอนนี้ฉันอยากรู้จริงๆ ว่าเธอเป็นผู้สืบทอดของพรรควรยุทธโบราณพรรคไหนกันแน่ ฝีมือการใช้มีดบินยอดเยี่ยมน่าอัศจรรย์ หรือว่าเธอเป็นผู้สืบทอดมีดบินของหลี่น้อย[1]?” เย่เทียนเฉินถามยิ้มๆ ด้วยความสนใจ

“ฉันไม่สามารถบอกนายเรื่องนี้ได้ แล้วก็ไม่จำเป็นต้องบอกนายด้วย สิ่งที่ฉันสนใจในตอนนี้ก็คือ ตอนที่ทุกคนรู้ว่าเย่เทียนเฉินลูกหลานตระกูลเย่ ความจริงแล้วเป็นผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งมากคนหนึ่ง ทุกคนจะมีปฏิกริยายังไง?” เซี่ยอวี่เหอกล่าวด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

“คุณผู้หญิง ฐานะของฉันลึกลับมาโดยตลอด ถ้าเธออยากจะป่าวประกาศออกไปล่ะก็ ฉันก็คงทำได้แค่ฆ่าเธอแล้ว!” เย่เทียนเฉินเอ่ยอย่างไม่แยแส

ได้ยินคำพูดนี้ของเย่เทียนเฉิน เซี่ยอวี่เหอก็ถอยหลังไปหลายก้าวด้วยสัญชาตญาณ เธอสามารถรับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งของเย่เทียนเฉิน ตั้งแต่เมื่อสักครู่จนถึงตอนนี้ เป็นเธอที่โจมตีมาตลอด เย่เทียนเฉินทำแค่เพียงป้องกันเท่านั้น หากกล่าวถึงการป้องกัน การโจมตีของเธอก็ถูกเย่เทียนเฉินสกัดกั้นเอาไว้ได้ทั้งหมด หากว่าเย่เทียนเฉินลงมือโจมตีเพื่อฆ่าเธอ ก็ไม่รู้ว่าเธอจะสามารถป้องกันไว้ได้หรือไม่

เย่เทียนเฉินไม่ได้ล้อเล่น เรื่องที่เขาเป็นผู้มีพลังพิเศษระดับพระเจ้าในช่วงสิ้นโลกกลับชาติมาเกิดใหม่นี้ ไม่สามารถให้สังคมภายนอกรับรู้ได้โดยเด็ดขาด เพราะหากเป็นเช่นนี้ เกรงว่าจะทำให้เกิดความฮือฮา ต่อให้เป็นฐานะผู้มีพลังพิเศษ เขาก็ไม่อยากให้แพร่ออกไป ไม่อยากให้พ่อแม่และน้องสาวของตนรู้สึกไม่คุ้นเคย อยากจะใช้ชีวิตร่วมกับพวกเขาอย่างมีความสุขเพียงเท่านั้น

“งั้นเหรอ? นายอยากจะฆ่าฉัน เกรงว่าคงไม่ง่ายหรอกนะ?” เซี่ยอวี่เหอปรากฏรอยยิ้มที่มุมปาก ดูแล้วทั้งมีชีวิตชีวาและน่ารัก พบกับนักฆ่าหญิงเช่นนี้ เย่เทียนเฉินรู้สึกสนุกมาก หากว่าเปลี่ยนเป็นนักฆ่าคนอื่น เกรงว่าคงพุ่งเข้าไปจัดการเขานานแล้ว ไหนเลยจะมัวเล่นมาจนถึงตอนนี้ได้

โครม!

สายตาของเย่เทียนเฉินเปลี่ยนไป ต่อยหมัดออกไปยังเซี่ยอวี่เหอด้วยความเร็วสูง ทั้งพลังทำลายล้างก็ร้ายแรงมาก พริบตาเดียวก็ถึงเบื้องหน้าเซี่ยอวี่เหอ ทำให้เธอตกใจจนอดไม่ได้ที่จะชะงักไปแวบหนึ่ง และรีบถอยหลังไป แต่กำปั้นของเย่เทียนเฉินเร็วกว่านิดหน่อย ไล่ตามเธอไปติดๆ ตามจนแทบติดปลายจมูกของเธอ เป็นไปได้ว่าจะโจมตีถูกได้ทุกเมื่อ

ผัวะ!

ไม่กล่าวไม่ได้ว่า เซี่ยอวี่เหอไม่เสียทีที่เป็นนักฆ่าที่เกิดจากการรวมพรรควรยุทธโบราณและผู้มีพลังพิเศษเข้าด้วยกัน ในช่วงเวลาสำคัญก็ยกขาสวยๆ ขึ้นเตะไปยังขากรรไกรของเย่เทียนเฉิน แต่เธอที่เดิมทีคิดว่าสามารถเตะเย่เทียนเฉินออกไปได้ และทำให้หมัดขวาของเขาไม่อาจตามติดตนเองจนเฉียดปลายจมูกอย่างน่าหวาดผวาขนาดนั้นได้แล้ว ไหนเลยจะรู้ว่าเย่เทียนเฉินจะใช้หมัดซ้ายจับขาของตนไว้ ทำให้ร่างกายของเซี่ยอวี่เหอสูญเสียความสมดุลไป

“อ๊า!”

เสียงกรีดร้องดังขึ้น เซี่ยอวี่เหอทิ้งตัวลงกับพื้น ส่วนหมัดขวาของเย่เทียนเฉินต่อยวืดไปในอากาศ มือซ้ายจับขาอันงดงามของเซี่ยอวี่เหอ ทำให้ล้มลงไปตามท่าทางของเซี่ยอวี่เหอ สูญเสียความสมดุลจนต้องโถมตัวขึ้นไป

นี่เป็นฉากที่เห็นได้บ่อยในละคร เย่เทียนเฉินและเซี่ยอวี่เหอต่างก็เป็นยอดฝีมือ ดังนั้นใครก็ไม่คิดว่า ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อจะเกิดสถาการณ์เช่นนี้ได้ จนกระทั่งทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามบทบาท ปากของเย่เทียนเฉินประกบลงบนริมฝีปากของเซี่ยอวี่เหอ ทั้งสองมองอีกฝ่ายอย่างตกตะลึง ล้วนถูกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ทำให้โง่งมไปแล้ว นี่ช่างเหนือความคาดหมายของผู้คนไปมากจริงๆ พลันไม่รู้จะทำอย่างไรดี

จินตนาการได้เลยว่า นักฆ่าหญิงคนหนึ่ง ศัตรูที่จะถูกฆ่าคนหนึ่ง สองคนที่เป็นศัตรูคู่อาฆาตกันโดยสิ้นเชิง หากไม่ใช่คุณฆ่าฉัน ก็เป็นฉันฆ่าคุณ ตอนนี้ถึงกับกอดกัน และยังจูบกันอีกด้วย นี่เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้คนไร้ซึ่งคำพูดทั้งยังน่าขบขันขนาดไหนกัน?

“ไปตายซะ!”

เซี่ยอวี่เหออายจนใบหน้าแดงก่ำ บนใบหน้าอันงดงามเต็มไปด้วยเลือดฝาด ดูเหมือนจะยิ่งเพิ่มความน่ารักมากขึ้น เธอใช้เท้าถีบไปยังหน้าอกของเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินจึงได้สติกลับมา สองมือดันพื้น ขณะเดียวกันร่างกายก็เคลื่อนไปข้างหลัง หลบลูกถีบของเซี่ยอวี่เหอ

“ฉันจะฆ่านาย!” เซี่ยอวี่เหอเองก็ลุกขึ้นจากพื้น ตะโกนขึ้นพร้อมทั้งวาดมือทั้งสอง ปรากฏแผนภูมิไท้เก็กแปดทิศออกมาเบื้องหน้าด้วยความเร็วสูง ภายในแผนภูมิก็ปรากฏมีดบินจำนวนมาก ดูแล้วช่างน่าพรั่นพรึ่งและเขย่าขวัญผู้คนยิ่งนัก

ซู่ม!

แผนภูมิไท้เก็กแปดทิศเคลื่อนไปยังเย่เทียนเฉินที่อยู่บนอากาศ มีดบินจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งมาด้วยความเร็วสูง แต่เย่เทียนเฉินรู้ดีว่า ในช่วงเวลาจวนตัว มีดบินเหล่านี้จะต้องระเบิดออกมาแน่นอน เกรงว่าทั่วทั้งป่าไผ่จะเต็มไปด้วยเศษของมีดบินเหล่านี้จนไม่มีที่ให้หลบโดยสิ้นเชิง

เย่เทียนเฉินในตอนนี้อยู่ในตำแหน่งอยู่กลางอากาศ หากคิดจะกระตุ้นพลังพิเศษระดับจอมราชันออกมาในชั่วพริบตา และเปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นโล่พลังพิเศษแห่งแสงนั้นยากมาก เผชิญหน้ากับมีดบินที่พุ่งเข้ามามากมายขนาดนี้ แล้วยังต้องพบกับอันตรายจากการระเบิดในเวลาจวนตัว เย่เทียนเฉินรู้สึกผวาอยู่บ้างจริงๆ นี่เป็นครั้งแรกที่พบกับสถานการณ์อันตรายเช่นนี้

ความจริงหากว่ากันด้วยความสามารถแล้ว เซี่ยอวี่เหอแม้ว่าจะแข็งแกร่งมาก และแข็งแกร่งพอๆ กับหย่งชุนไท่ แต่เนื่องจากเธอเป็นผู้มีพลังพิเศษ ทั้งยังฝึกฝนวรยุทธ์จากพรรควรยุทธโบราณและกลายเป็นยอดฝีมือพรรควรยุทธโบราณ เมื่อสองสิ่งนี้มารวมกัน และใช้กระบวนท่าออกมา พลังทำลายล้างจึงสูงมาก ทำให้ผู้คนไม่อาจป้องกันได้

ตู้มๆๆ…

เสียงระเบิดดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั่วทั้งป่าไผ่เกิดฝุ่นควันขึ้น มีดบินที่พุ่งเข้าใส่เย่เทียนเฉินเหล่านั้นล้วนระเบิดออกมาในเวลาจวนตัวตามที่เขาคาดและโจมตีไปทั่วทั้งสี่ทิศ เมื่อเศษมีดไปโดนก้อนหินก็ทำให้ก้อนหินแตกกระจุย ไปโดนพื้นทำให้เกิดบ่อหลุม และบางชิ้นที่ไปถูกต้นไผ่ ก็ตัดผ่าต้นไผ่ลำใหญ่อย่างแรงจนกลายเป็นสองเสี่ยง ใบมีดที่เล็กละเอียดเช่นนั้น ถึงกับมีอานุภาพขนาดนี้ ความสามารถของเซี่ยอวี่เหอช่างแข็งแกร่งมากจริงๆ

ยามเมื่อเศษฝุ่นสร่างซา เซี่ยอวี่เหอพบว่าเย่เทียนเฉินไม่อยู่แล้ว ในใจก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง หรือว่าคนคนนี้ไม่ได้ถูกตนเองฆ่า? เมื่อสักครู่นี้ตนใช้พลังทั้งหมด อีกทั้งขอบเขตพลังทำลายล้างของมีดบินที่ระเบิดออก กล่าวได้ว่าปกคลุมไปทั่วทั้งป่าไผ่ ไม่มีทางป้องกันได้โดยสิ้นเชิง เย่เทียนเฉินถึงกับหนีไปได้ ช่างทำให้เซี่ยอวี่เหอตกตะลึงจริงๆ

ความจริงแล้ว ที่เซี่ยอวี่เหอสามารถแกร่งกร้าวเช่นนี้ได้ เป็นเพราะเธอเป็นผู้มีพลังพิเศษ และยังเป็นผู้มีพลังสายพิเศษประเภทย่อยสลายอีกด้วย ทั้งยังได้ฝึกฝนวิชาของพรรควรยุทธโบราณ เมื่อสองสิ่งนนี้เข้าคู่กัน ก็กลายเป็นความแข็งแกร่งอย่างยิ่งยวด หากหยิบยกเหตุการณ์ทั้งหมดเมื่อครู่นี้ที่เธอโกรธมาอธิบายก็คือ แผนภูมิไท้เก๊กแปดทิศก่อเกิดจากพลังภายในแห่งพรรควรยุทธโบราณอันสูงส่งลึกล้ำ พลังภายในที่แข็งแกร่งทำให้มีดบินจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกไป ไม่ว่าจะเป็นความเร็วหรือความแรงก็ล้วนทำให้ผู้คนพรั่นพรึง พลังทำลายล้างรุนแรง และในชั่วพริบตาที่มีดบินเข้าใกล้ศัตรูก็ระเบิดออก ยิ่งเพิ่มความเร็วและความแรงมากขึ้น ทั้งยังทวีพลังทำลายล้างขึ้นเป็นเท่าตัว นี่คือการรวมกันระหว่างพลังภายในอันลึกล้ำของพรรควรยุทธโบราณและความสามารถอันแข็งแกร่งของตัวผู้มีพลังพิเศษ ดังนั้นจึงแสดงพลังการต่อสู้อันไม่ธรรมดาออกมาให้เห็นได้

จนกระทั่งเซี่ยอวี่เหอเดินเข้าไป ก็พบว่าภายในป่าไผ่ไม่มีเงาร่างของเย่เทียนเฉินอยู่แล้ว บนพื้นมีตัวอักษณเขียนไว้แถวหนึ่ง เซี่ยอวี่เหอเห็นก็หน้าแดงหูแดงไปหมด ขณะเดียวกันก็โกรธจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เย่เทียนเฉินเขียนไว้บนพื้นว่า “ปากของเธอนุ่มมากเลย แต่อารมณ์ฉุนเฉียวไปสักหน่อย ผู้หญิงร้ายกาจ แล้วเจอกัน!”

“เย่เทียนเฉิน ฉันจะต้องฆ่านายแน่นอน!” เซี่ยอวี่เหอโกรธจนใช้เท้าขยี้ตัวอักษรบนพื้นเหล่านั้นพลางตะโกนออกมาอย่างโมโห

เย่เทียนเฉินไม่ได้ฆ่าเซี่ยอวี่เหอ ยังคงเป็นเช่นประโยคที่ว่า เขาไม่ใช่คนที่เสพติดการฆ่า นอกจากนี้ระหว่างตนเองและเซี่ยอวี่เหอก็ไม่ได้มีความแค้นอะไรต่อกัน ที่สำคัญที่สุดก็คือเซี่ยอวี่เหอ นักฆ่าหญิงคนนี้ทำให้เขารู้สึกพิเศษ ทั้งฝีมือแข็งแกร่ง และมีความน่ารักดังเด็กสาว ไม่เหมือนกับนักฆ่าเลือดเย็นประเภทนั้นที่ไม่มีความเป็นมนุษย์เลยแม้แต่ครึ่งส่วน รวมกับที่ไปจูบเธออย่างไม่ระมัดระวังไปแล้ว หากว่ายังจะฆ่าอีกล่ะก็ คงจะไม่ค่อยดีหรอกใช่ไหม?

เกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ เป็นครั้งที่สองที่เย่เทียนเฉินจูบปากผู้หญิง หากว่ากันด้วยความสวย เซี่ยอวี่เหอไม่อาจเทียบฉีหรูเสวี่ยและหลิ่วหรูเหมยได้ แต่เซี่ยอวี่เหอเป็นคนที่มีรูปโฉมน่ารัก ผู้หญิงประเภทนี้ดูเหมือนจะสามารถทำให้เย่เทียนเฉินใจเต้นได้มากกว่า

เย่เทียนเฉินที่เดินออกมาจากป่าไผ่ถอนหายใจยาวๆ ครั้งหนึ่ง เหตุการณ์เมื่อสักครู่ช่างหวาดเสียวเหลือเกิน หากไม่ใช่ว่าในช่วงสำคัญตนเองล้มตัวลงกับพื้นด้วยความเร็วสูงและใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษสายพสุธามาป้องกันด้านหน้าไว้ เกรงว่าคงถูกมีดบินจำนวนนับไม่ถ้วนที่ระเบิดออกมาเหล่านั้นปักจนหลายเป็นเม่นไปแล้ว

ตัวอักษรที่เขียนทิ้งไว้ก็เพื่อจะหยอกล้อเซี่ยอวี่เหอนักฆ่าหญิงที่น่ารักคนนี้ และยั่วยุเธอให้โกรธ เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เย่เทียนเฉินคาดไม่ถึงก็คือ หลังจากนี้ข้างกายของเขา จะมีผู้หญิงที่อ่อนโยนนุ่มนวลดั่งสายน้ำเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่ง ทำให้คุณมีความสุขจนแทบตาย แต่ถ้าบ้าระห่ำขึ้นมา ก็จะสามารถใช้มีดฆ่าคุณได้ แน่นอนว่านี่เป็นคำพูดในภายหลัง ความมีสีสันที่มากขึ้น ความเลือดร้อนและตื่นเต้นที่มากขึ้น ยังต้องให้เย่เทียนเฉินค่อยๆ ไปสัมผัส

เย่เทียนเฉินเดินมาถึงถนนหลักก็ถือโอกาสโบกรถแท็กซี่คันหนึ่ง เขาไม่ได้ไม่ได้คิดมากเรื่องที่ตนเองพูดจาแทะโลมเซี่ยอวี่เหอ บางครั้งผู้ชายก็เล่นสนุก หยอกล้อผู้หญิงเป็นครั้งเป็นคราว นั่นก็เป็นการใช้ชีวิตที่ไม่เลว เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือ ในโลกแห่งนี้ ถึงกับมีผู้มีพลังพิเศษที่ฝึกฝนวิชาของพรรควรยุทธโบราณ และนำมันมารวมเข้าด้วยกันทำให้แข็งแกร่งเป็นประวัติการณ์ คนที่นำสองสิ่งนี้มารวมกันได้ย่อมไม่หยุดอยู่แค่เซี่ยอวี่เหอเพียงคนเดียวอย่างแน่นอน จะต้องมีคนที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าอยู่เป็นแน่

“คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นของเส้าหลิน เป็นการฝึกพลังภายในที่ลึกล้ำที่สุดของพรรควรยุทธโบราณมาโดยตลอด ถ้าหากว่าได้มาก็คงดี!” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะกล่าวกับตนเองในใจ

………………………………………

[1] มีดบินของหลี่น้อย หมายถึงวิชามีดบินของลี้คิมฮวงจากนวนิยายเรื่องฤทธิ์มีดสั้นของโกวเล้ง

บทที่ 116 มือสังหารหญิง เซี่ยอวี่เหอ
Ink Stone_Fantasy
เย่เทียนเฉินเพิ่งจะเดินเข้าไปท่ามกลางป่าไผ่ มีดบินเล่มหนึ่งก็ถูกเขวี้ยงเข้ามาพร้อมเสียงแหวกอากาศ แฝงไปด้วยพลังลมปราณภายในอันแข็งกร้าว นี่จะต้องมาจากยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณคนหนึ่งอย่างแน่นอน บอดี้การ์ดธรรมดาๆ ไม่มีฝีมือและความสามารถเช่นนี้

ฉึก!

เสียงหนึ่งดังขึ้นเบาๆ เย่เทียนเฉินดีดก้นบุหรี่ในมือขวาของตนซึ่งภายในคละเคล้าไปด้วยพลังพิเศษขอบเขตจอมราชันออกไป จนไปปะทะเข้ากับมีดบินเล่มนั้น ทำให้มีดบินเบี่ยงทิศทางออก เกิดเป็นเสียงมีดปักเข้าที่ต้นไผ่ข้างๆ ผ่าต้นไผ่แก่อันใหญ่โตต้นหนึ่งเป็นสองเสี่ยงอย่างรุนแรง แสดงให้เห็นว่าพละกำลังมากมายขนาดไหน

ฉึกๆๆ!

ไหนเลยจะรู้ว่า เย่เทียนเฉินเพิ่งจะใช้ก้นบุหรี่โจมตีเปลี่ยนทิศทางมีดบินที่ถูกขว้างเข้ามาเล่มนั้น ก็มีมีดบินอีกสามเล่มพุ่งเข้ามาต้อนรับ คราวนี้เย่เทียนเฉินไม่เอี้ยวตัวหลบ และไม่ได้ใช้วัตถุอื่นต้านทาน และยิ่งไม่ได้ใช้โล่พลังพิเศษแห่งแสงด้วย มือขวาที่อัดแน่นไปด้วยพลังพิเศษขอบเขตจอมราชันกำแน่น ตอนที่มีดบินทั้งสามเล่มนั้นยังพุ่งมาไม่ถึงเบื้องหน้าตน ก็ต่อยหมัดออกไปอย่างรุนแรง

หมัดที่รุนแรงทั้งยังอัดแน่นไปด้วยพลังพิเศษขอบเขตจอมราชันถูกต่อยออกไป อากาศบริเวณที่สายลมอันเกิดจากหมัดต่อยผ่านราวกับจะถูกฉีกขาด มีดบินทั้งสามเล่มแตกกระจุย ทั้งรุนแรงและน่าหวาดผวา

“ออกมาเถอะ นายก็เป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง หรือไม่กล้าสู้กับฉันต่อหน้า?” เย่เทียนเฉินสองมือล้วงกระเป๋ากางเกง มองไปเบื้องหน้ายิ้มๆ แล้วเอ่ยขึ้น

เพิ่งจะพูดจบ บริเวณเบื้องหน้าซึ่งห่างจากเย่เทียนเฉินไปสิบเมตรก็มีผู้หญิงคนหนึ่งปรากฏตัวออกมา เป็นผู้หญิงที่ดูพิเศษมากคนหนึ่ง รูปลักษณ์ภายนอกก็นับว่างดงาม แน่นอนว่าไม่อาจเทียบได้กับหลิ่วหรูเหมยและฉีหรูเสวี่ยได้ แต่บนร่างของผู้หญิงคนนี้มีความพิเศษที่หญิงงามเช่นหลิ่วหรูเหมยและฉีหรูเสวี่ยไม่มี นั่นคือไอสังหารอันเย็นเยียบ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่สามารถเสแสร้งออกมาได้ แต่ต้องสั่งสมมานานหลายปีจึงจะสามารถมีได้

เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะประเมินผู้หญิงคนนี้สักหน่อย สูงร้อยหกสิบแปดเซ็นติเมตร สวมชุดแนบเนื้อสีดำทั้งร่าง หน้าอกหน้าใจใหญ่โตสมบูรณ์ สะโพกผายกลมกลึง เอวคดโค้งเพรียวบาง รวมเข้ากับใบหน้าที่งดงามอยู่แล้ว เผยให้เห็นความพิเศษเฉพาะของผู้หญิงที่เติบโตเต็มที่ เพียงแค่มองก็ทำให้ผู้ชายเกิดความปราถนาประเภทนั้นได้

แต่สิ่งที่ทำให้เย่เทียนเฉินคิดไม่ถึงก็คือ คนที่ลอบติดตามตนมาเพื่อสังหารจะเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ทั้งยังเป็นผู้หญิงที่ฝีมือแข็งแกร่งขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าเย่เทียนเฉินจะดูถูกผู้หญิง ในช่วงยุคสิ้นโลก ผู้หญิงหลายคนแข็งแกร่งกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีพลังพิเศษแข็งแกร่งเกินพิกัดเหล่านั้น รูปร่างงดงามหยดย้อย แต่เมื่อได้ลงมือกลับร้ายกาจถึงขั้นเคลื่อนภูผาพลิกมหาสมุทร ทำให้ผู้คนต้องตกตะลึงอย่างยิ่ง

ที่เย่เทียนเฉินไม่คาดคิด ก็เพราะพลังที่แฝงอยู่ในมีดบินแข็งกร้าวเป็นอย่างมาก ไม่เหมือนกับอะไรที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะขว้างออกมาได้ ทั้งยังเป็นผู้หญิงที่สวยงามคนหนึ่งเสียพอดิบพอดี นี่แสดงให้เห็นได้อย่างชชัดเจนว่าผู้หญิงคนนี้แข็งแกร่งมากจริงๆ มีความสามารถมาก

“อดีตตัวตลกแห่งเมืองหลวง ลูกหลานตระกูลเย่ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ เย่เทียนเฉิน ไม่คิดเลยว่าจะแกร่งถึงขั้นนี้แล้ว ดูท่าฉินเหิงหาเรื่องนาย จะเป็นคราวซวยของเขาจริงๆ!” หญิงงามที่ยืนอยู่เยื้องหน้าเย่เทียนเฉิน มองเขาด้วยรอยยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น

“ดูท่าคงเป็นฉินเหิงเชิญสินะ คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะมีความสามารถเชิญสาวสวยแบบเธอมาได้ ทั้งยังเป็นยอดฝีมือคนหนึ่งด้วย ฉันล่ะรู้สึกหมดคำพูดจริงๆ!” เย่เทียนเฉินเองก็พูดยิ้มๆ

หญิงงามผู้นั้น มองเย่เทียนเฉินแวบหนึ่ง กล่าวตามจริงแล้ว ในใจของเธอก็รู้สึกประหลาดใจ ตนเองไม่ได้เป็นยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณธรรมดาทั่วไปเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้มีพลังพิเศษอีกด้วย เพียงแต่เก็บซ่อนไว้ไม่แสดงออกมาเท่านั้น มีดบินหลายเล่มเมื่อสักครู่นี้ เป็นการประเมินฝีมือของเย่เทียนเฉินไปในตัว และก็เป็นการวางกับดักด้วย ที่ทำให้เธอยินดีก็คือ เย่เทียนเฉินดูเหมือนจะยังไม่รู้ตัว

“นายผิดแล้ว อาศัยแค่ฉินเหิงยังไม่พอที่จะเชิญฉันมาหรอก ฉันเพียงแต่ได้ยินเรื่องของเย่เทียนเฉินมา เลยอยากจะดูสักหน่อยว่าตกลงแล้วนายเป็นคนยังไงกันแน่ พอดีกับที่ฉินเหิงยอมจ่ายหนักเพื่อต้องการหัวของนาย ฉันเลยถือโอกาสทำให้สำเร็จไปเลย”

“งั้นตอนนี้เธอคิดว่าเป็นคนยังไงล่ะ? หล่อพอรึเปล่า?” เย่เทียนเฉินถามยิ้มๆ

“ก็ไม่เลว หล่อพอได้อยู่ เหมือนไอ้พวกผู้ชายหน้าขาวนิดหน่อย เพียงแต่ใครก็ไม่คิดว่ารูปร่างหน้าตาแบบนาย จะมีฝีมือแข็งแกร่งเหี้ยมหาญขนาดนี้ เกินความคาดหมายของผู้อื่นจริงๆ!”

“ในเมื่อเธอรู้ชื่อฉันอยู่แล้ว งั้นฉันขอรู้ชื่อเธอบ้างได้รึเปล่า?”

เย่เทียนเฉินรู้สึกสนใจผู้หญิงที่มีฝีมือไม่ธรรมดาคนนี้ขึ้นบ้างแล้วจริงๆ หน้าตางดงาม ฝีมือก็ไม่ธรรมดา อีกทั้งระหว่างการสนทนายังแผ่บรรยากาศบางอย่างออกมา ซึ่งไม่ใช่อะไรที่นักฆ่าธรรมดาๆ จะมีได้ ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดา

“เซี่ยอวี่เหอ” นักฆ่าหญิงผู้นั้นกล่าวยิ้มๆ

“ไม่จริงน่า? ชื่อจริงหรือชื่อปลอม? หรือว่า หรือว่าเธอก็คือเซี่ยอวี่เหอ[1]ริมทะเลสาบต้าหมิงหูคนนั้น?” เย่เทียนเฉินจงใจพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มสนุกสนาน

“ชื่อเซี่ย(谢)อวี่เหอ ไม่ใช่เซี่ย(夏)อวี่เหอ!” เซี่ยอวี่เหอพลันรู้สึกเอือมระอา จ้องเขม็งไปยังเย่เทียนเฉินแวบหนึ่งแล้วพูดขึ้น

เห็นว่าเซี่ยอวี่เหอถึงกับใช้ดวงตาอันงดงามจ้องตนเองเขม็ง เย่เทียนเฉินก็เกือบหลุดหัวเราะออกมา ในใจคิดว่านักฆ่าสาวคนนี้ช่างมีเอกลักษณ์จริงๆ หากเป็นนักฆ่าธรรมดาทั่วไปไหนเลยจะมาพูดจามากมาย พุ่งเข้ามาก็ลงมือฆ่าทันที นี่ยังใช้ดวงตางามๆ มาจ้องมองผู้อื่น ในความดุดันเข้มงวดนั้นนับว่ามีความน่ารักอยู่บ้าง

“เซี่ยอวี่เหอ? หรือว่าจะเป็น ขอบคุณเธอที่หลายปีมานี้ยังคิดถึงเซี่ยอวี่เหอแห่งทะเลสาบต้าหมิงหู?” เย่เทียนเฉินยังคงยิงมุกถามออกไปด้วยรอยยิ้ม

“ไปตายซะ!”

ตู้ม!

เซี่ยอวี่เหอลงมือแล้ว แม้ว่าเธอจะเป็นหนึ่งในนักฆ่าระดับต้นๆ ของประเทศ แต่ก็ยังเป็นเพียงหญิงสาวอายุยี่สิบกว่าปี นิสัยแบบเด็กผู้หญิงยังคงมีอยู่ เธอไม่เหมือนกับที่หลายคนคาดคิดเช่นนั้น ที่ว่าแต่ไหนแต่ไรก็ได้รับการฝึกฝนที่โหดเหี้ยมและเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด ความจริงไม่มีเรื่องเช่นนั้น กลับกัน ตั้งแต่เด็กเธอก็อยู่ข้างกายอาจารย์ ฝึกฝนวรยุทธ์ขั้นสูงของพรรควรยุทธโบราณ และค่อยๆ ผสมผสานความสามารถด้านพลังพิเศษเข้าไปจนแข็งแกร่งถึงขีดสุด ส่วนอาจารย์ก็ปฏิบัติกับเธอราวกับมีความสัมพันธ์กันแบบคุณยายกับหลานสาว นี่เป็นสาเหตุที่ว่า ทำไมนักฆ่าหญิงที่งดงามเช่นเซี่ยอวี่เหอที่ควรจะเย็นชาไร้อารมณ์ กลับน่ารักมีชีวิตชีวาอยู่บ้าง

ข้างๆ เย่เทียนเฉินเกิดเสียงระเบิดขึ้นในวินาทีที่เซี่ยอวี่เหอตะโกนออกมาอย่างโกรธเคือง มีดบินเล่มหนึ่งที่ถูกปาเข้าใส่เย่เทียนเฉินและปักลงบนต้นไผ่ข้างๆ ระเบิดออก เศษใบมีดนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าใส่เย่เทียนเฉิน ด้วยระยะห่างที่ใกล้มากเช่นนี้ ไม่มีทางหลบได้อย่างเด็ดขาด แล้วก็หลบไม่ทันด้วย เคล็ดวิชานี้ไม่เพียงแต่พลังทำลายล้างสูง ยังกินขอบเขตขว้างขวางอีกด้วย กระทั่งเย่เทียนเฉินก็อดที่จะสะพรึงไม่ได้

ฉึกๆๆ!

ในช่วงเวลาสำคัญ เย่เทียนเฉินทำได้เพียงประกบมือทั้งสองเข้าด้วยกัน กระตุ้นพลังพิเศษขอบเขตจอมราชันในร่างกายด้วยความเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แปลงรูปลักษณ์เป็นโล่พลังพิเศษแห่งแสงคลุมตัวเองไว้ เศษมีดบินทั้งหมดต่างถูกโล่พลังสกัดกั้นเอาไว้ ไม่อาจโจมตีทะลุเข้ามาทำร้ายเย่เทียนเฉินได้

เมื่อเห็นเย่เทียนเฉินถูกโล่พลังชั้นหนึ่งปกคลุมโดยไม่คาดคิด เซี่ยอวี่เหอพลันขมวดคิ้ว เธอไมคิดเลยว่าเย่เทียนเฉินจะเป็นผู้มีพลังพิเศษคนหนึ่ง มิน่าล่ะตนลอบติดตามเขามาอย่างระมัดระวังก็ยังถูกพบ

ตอนที่มีดบินระเบิดออกและเศษมีดจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าใส่เย่เทียนเฉิน มือขวาของเซี่ยอวี่เหอก็ปรากฏมีดขึ้นเล่มหนึ่ง เขวี้ยงเข้าใส่เย่เทียนเฉินเร็วดั่งฟ้าแลบ การเป็นนักฆ่าย่อมไม่อาจลำพองใจกับคู่มือคนใดก็ตาม ต่อให้อีกฝ่ายอ่อนแอมาก ก็ต้องลงมือฆ่าเขาอย่างสุดความสามารถ นี่คือวิธีการที่ลดทอนความผิดพลาดไปได้สูง

เซี่ยอวี่เหอคิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะเป็นผู้มีพลังพิเศษคนหนึ่ง และยังเป็นผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งอีกด้วย คาดว่าความสามารถไม่ด้อยไปกว่าตนเองเลย เมื่อสักครู่นี้มีดในมือขวาของตนก็ได้ถูกเคลือบไปด้วยพลังพิเศษแบบเฉพาะของตนเช่นกัน เนื่องจากเย่เทียนเฉินสามารถคลุมตัวเองด้วยโล่พลังได้ในเวลาเพียงหนึ่งวินาที ความสามารถเช่นนี้เพียงพอที่จะทำให้เซี่ยอวี่เหอระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งได้

ฉัวะ!

มีดพุ่งไปราวแสงกะพริบ เย่เทียนเฉินยังไม่ทันได้หันหน้ามา ก็เห็นมีดเล่มหนึ่งแทงเข้ามายังศีรษะของตน ในใจก็รู้สึกตกตะลึง คิดว่าผู้หญิงคนนี้ร้ายกาจจริงๆ หน้าตางดงาม ฝีมือแข็งแกร่ง ดูเหมือนจะเหมาะกับคำพูดประโยคนี้พอดี ผู้หญิงก็คือเสือ พอได้แสดงอำนาจออกมาก็จะกลายเป็นแม่เสือ

เย่เทียนเฉินไม่คิดเลยว่าการเคลื่อนไหวของเซี่ยอวี่เหอจะคล่องแคล่วว่องไวเช่นนี้ ตนเองเพิ่งจะใช้โล่พลังพิเศษแห่งแสงสกัดกั้นเศษมีดจากใบมีดที่ถูกระเบิดออก เธอก็พุ่งเข้ามาจากบริเวณที่ห่างไปสิยแมตรแล้ว

นึกว่าจะช้า แต่กลับเร็กว่าที่คิด เย่เทียนเฉินใช้มือซ้ายสกัดเอาไว้ และถือโอกาสจับเข้าที่ข้อมือขวาของเซี่ยอวี่เหอ มือขวาก็สะบัดไปทางด้านหลัง โยนเซี่นอวี่เหอไปกลางอากาศ

ฉึก!

ฝีมือของเซี่ยอวี่เหอก็ไม่ใช่ธรรมดา ตัวเธอเป็นถึงยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณ ทั้งยังเป็นผู้มีพลังพิเศษอีกด้วย เมื่อฐานะอันแข็งแกร่งทั้งสองรวมเข้าด้วยกัน ย่อมไม่ใช่อะไรที่คนธรรมดาจะรับมือได้ ตอนที่เย่เทียนเฉินจับเธอโยนออกไป มีดในมือขวาของเธอก็ถูกเขวี้ยงเข้าใส่เย่เทียนเฉินแล้ว

การเคลื่อนไหวทั้งรวดเร็วและต่อเนื่อง เย่เทียนเฉินไม่ได้หลบ แต่กลับต่อยหมัดออกไปอย่างรุนแรงเช่นนั้น เมื่อหมัดกับมีดปะทะกัน มีดเล่มนั้นก็ระเบิดออก

เผชิญหน้ากับใบมีดที่พุ่งเข้ามา เย่เทียนเฉินล้มลงนอนกลิ้งพลิกไปมาอยู่บนพื้น ส่วนเซี่ยอวี่เหอพลิกตัวกลางอากาศกลับมายืนขึ้นได้ ช่างสวยและงดงามมากจริงๆ

“เฮอะ กล้ามาพูดจาแทะโลมฉันคนนี้ จะให้นายตายอย่างอนาถเลย!” เซี่ยอวี่เหอพูดแล้วห่อปากอันน่ารักของเธอ

หากพูดถึงบุญคุณความแค้นแล้ว เซี่ยอวี่เหอและเย่เทียนเฉินก็ไม่ได้มีบุญคุณความแค้นอะไรต่อกัน แล้วก็ไม่ใช่ศัตรูคู่อาฆาตอะไรด้วย ก็เป็นดั่งเช่นที่เธอพูด เธอได้ยินข่าวของเย่เทียนเฉินในเมืองหลวง พอดีกับที่ฉินเหิงหาเธอพบโดยผ่านคนอื่น และเรียกให้เธอไปฆ่าเย่เทียนเฉินด้วยเงินจำนวนมาก ดังนั้นเซี่ยอวี่เหอจึงตามเย่เทียนเฉินมา

เพียงแต่ยามที่เซี่ยอวี่เหอตามมาถึง ก็พบเย่เทียนเฉินเดินออกจากประตูใหญ่บ้านตระกูลฉินแล้ว ดังนั้นจึงตามมาตลอดทางจนกระทั่งถึงป่าไผ่

“เจ้าบ้า คอยดูเถอะต่อไปนี้นายยังจะกล้ามาพูดจาแย่ๆ อีกไหม…”

“ท่าทางเธอจะเป็นผู้มีพลังสายพิเศษสินะ สามารถสังเคราะห์สสารของวัตถุด้วยความเร็วสูง แล้วทำให้วัตถุระเบิดออกมาทำร้ายศัตรู ร้ายกาจมากจริงๆ เพียงแต่น่าเสียดายที่ต้องมาเจอกับฉัน เย่เทียนเฉินผู้หล่อล้ำไม่มีใครเกินคนนี้!”

เย่เทียนเฉินลุกขึ้นจากพื้น ในปากอมเศษมีดอยู่หลายชิ้น และคายออกมาทั้งหมด เมื่อสักครู่นี้ใกล้เกินไปจริงๆ เขาไม่สามารถใช้โล่พลังได้ ทำได้เพียงรับด้วยความสามารถของตนเอง

เซี่ยอวี่เหออดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ใบหน้าอันงดงามถอดสี เธอคิดไม่ถึงเลยว่ามีดที่ระเบิดออกในระยะใกล้ขนาดนั้น ภายใต้สถานการณ์ที่เย่เทียนเฉินไม่สามารถใช้โล่พลังพิเศษแห่งแสงได้ เขาจะยังสามารถรับกระบวนท่าสังหารของตนได้ คนคนนี้ช่างร้ายกาจจนทำให้ผู้คนไม่กล้าเชื่อเลยจริงๆ

……………………………………..

[1] เซี่ยอวี่เหอ (夏雨荷) เป็นตัวละครตัวหนึ่งในละครจีนเรื่อง องค์หญิงกำมะลอ ได้รู้จักและพบรักกับฮ่องเต้เฉียนหลงที่ริมทะเลสาบต้าหมิงหู

บทที่ 115 เข้าไปในโลงสิ!
Ink Stone_Fantasy
การปรากฏตัวของเย่เทียนเฉินทำให้พิธีหมั้นของฉีหรูเสวี่ยและฉินเหิงถูกยุติลงโดยตรง เริ่มจากยอดบอดี้การ์ดถือปืนทั้งยี่สิบกว่าคนที่ฉินเหิงดักซุ่มไว้ ถูกเย่เทียนเฉินเตะกระเด็นเรียงตัว ตามมาติดๆ ด้วยฉินเทาหยวนพ่อของฉินเหิงที่ถูกเย่เทียนเฉินถีบจนปลิว ส่วนตัวฉินเหิงเองก็ถูกเย่เทียนเฉินทำร้ายจนหัวแตกเลือดไหล บาดแผลเก่ายังไม่แทนหายก็มีแผลใหม่เพิ่มขึ้น นี่คือคำเตือนของเย่เทียนเฉินที่มีต่อเขา ต่อให้แผลหายก็จงอย่าได้ลืมความเจ็บปวด

ฉินเหิงและฉินเทาหยวนสองพ่อลูกต่างก็นอนหมอบอยู่กับพื้นอย่างลุกไม่ขึ้น ส่วนฉินอี้เมื่อเห็นว่าลูกชายและหลานชายถูกอัดจนร้องอย่างอนาถเกินจะทนไหว เย่เทียนเฉินคนนอกคนเดียวบุกเข้าตระกูลฉินของตน ลงมืออย่างกำเริบเสิบสาน พลันรู้สึกรับไม่ได้ โกรธจนส่งผลต่อหัวใจจึงสลบไสลลงไปบนพื้น

ตอนนี้คนที่ยังยืนอยู่ นอกจากเย่เทียนเฉินแล้วก็เหลือเพียงฉีหรูเสวี่ย ฉีชางเซิ่งและฉีหรูไห่ พวกเขาสามคนต่างมองเย่เทียนเฉินด้วยความตกตะลึง กระทั่งฉีหรูไห่ก็ไม่เว้น เขาไม่คิดเลยว่าเย่เทียนเฉิน ลูกหลานตระกูลเย่คนนี้จะกล้าหาญเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ คนที่กล้าก่อเรื่องใหญ่โตในตระกูลฉินเช่นนี้เกรงว่าจะมีแค่เขาเพียงคนเดียวเท่านั้น

ตำแหน่งของฉีหรูไห่ก็ไม่แย่ หากต้องการเปรียบเทียบจริงๆ แล้วล่ะก็ ต่ำกว่าฉินอี้นิดหน่อยเท่านั้น และก็นับว่าเป็นคนรุ่นเก่าที่อยู่มานาน เรื่องของเย่เทียนเฉินเขาเองก็เคยได้ยิน เพียงแต่ไม่เคยใส่ใจ กล่าวคือ คนที่มีตำแหน่งฐานะเช่นพวกเขา ข่าวสารหลายอย่างเพียงแค่ฟังก็พอไม่ต้องสนใจ และไม่จำเป็นต้องใส่ใจ บางครั้งก็ฟังเพื่อความสนุก อย่างไรเสียอำนาจอิทธิพลใหญ่ๆ ในเมืองหลวงก็มีมากมาย ตระกูลใหญ่เองก็มีไม่น้อย บางครั้งก็ปรากฏลูกท่านหลานเธอที่ค่อนข้างโง่งมอยู่หลายคน ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

การหมั้นหมายของเย่เทียนเฉินและฉีหรูเสวี่ยเมื่อปีนั้น ก็เป็นการตัดสินใจของฉีหรูไห่และเย่หย่วนซาน จุดประสงค์ก็เพื่อให้ตระกูลเย่และตระกูลฉีเกี่ยวดองกันอย่างแน่นแฟ้น แต่ด้วยความที่ว่าตระกูลเย่ตกต่ำลงทุกวัน ฉีหรูไห่จึงนึกเสียใจอยู่บ้าง บางครั้งการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างตระกูลก็สำคัญมาก หากเชื่อมสัมพันธ์ได้ดีก็สามารถทำให้อำนาจอิทธิพลของตระกูยกระดับขึ้นมาก หากเชื่อมสัมพันธ์ได้แย่ ก็อาจจะทำให้ตระกูลของตนตกต่ำไปด้วย

ในตอนที่ฉีหรูไห่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ฉินเหิงแห่งตระกูลฉินก็เกิดต้องตาต้องใจ อยากได้คนงามอย่างฉีหรูเสวี่ยจนน้ำลายยืด จึงขอร้องให้ฉินอี้ปู่ของตนไปคุยกับตระกูลฉี ฉินเหิงทำเช่นนี้นับว่าไม่เห็นเย่เทียนเฉินอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย จึงแย่งชิงความรักจากเขา ฉินอี้เองก็ไม่เห็นตระกูลเย่ที่ตกต่ำอยู่ในสายตาเช่นกัน หากตระกูลเย่เป็นตระกูลใหญ่ ตระกูลฉินจะกล้าแกว่งเท้าหาเสี้ยนหรือ?

ฉินอี้โทรกริ๊งเดียวก็นัดหมายกับฉีหรูไห่ออกมาได้ ชายชราสองคนกำหนดการหมั้นหมายระหว่างฉีหรูเสวี่ยและฉินเหิงลงมา นี่ทำให้ภายหลังเกิดเหตุการณ์ที่ฉีชางเซิ่งไปบ้านเดิมตระกูลเย่เพื่อขอถอนหมั้นด้วยตัวเอง

ตอนนี้ เย่เทียนเฉินทำให้ฉีหรูไห่เปลี่ยนมุมมองจริงๆ ไม่ว่าจะมีผลร้ายอะไรก็ตาม เจ้าหนุ่มคนนี้ก็ยังกล้าลงมือ กล้าบุกตระกูลฉิน ความกล้าหาญเช่นนี้ล้วนทำให้ผู้คนต่างรู้สึกนับถือ

“แก…แกจะทำอะไร?” ฉินเหิงเลือดท่วมหัว เจ็บจนเจียนตาย เมื่อเห็นว่าเย่เทียนเฉินเดินมาหาตนเองก็ตกใจสติแจ่มชัดขึ้นมากว่าครึ่ง ขยับก้นถอยหลังพลางเอ่ยถามด้วยความหวาดกลัว

“ไม่ทำอะไรหรอก โลงศะหลังนี้มันว่าง ยังไงแกก็เข้าไปนอนสักหน่อย จะได้ใช้ประโยชน์ของมันบ้างดีไหม?” เย่เทียนเฉินพูดกับฉินเหิงด้วยรอยยิ้ม

“ไม่ ไม่ สะ…สหายเย่ พี่เย่ ผม ผมผิดไปแล้ว ผมไม่กล้าหาเรื่องคุณแล้ว คุณปล่อยผมไปเถอะ…”

ฉินเหิงตกใจจนโง่งมไปแล้ว เขารู้ดีว่าเย่เทียนเฉินเป็นพวกพูดจริงทำจริง จะต้องโยนเขาเข้าไปในโลงศพแน่นอน ตนเองยังมีชีวิตอยู่ สามารถจินตนาการเหตุการณ์นั้นได้เลย ยามเมื่อคุณยังเป็นคนที่มีชีวิตอยู่ และมีคนต้องการยัดคุณเข้าไปในโลงศพสีดำทั้งโลงที่เป็นสิ่งนำพาโชคร้าย นั่นจะเป็นสถานการณ์แบบไหนกัน? เพียงแค่คิดก้ทำให้ผู้คนต้องชาวาบไปถึงหัว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องถูกใส่เข้าไปเลย

“สายไปแล้ว ฉันพูดคำไหนคำนั้นมาตลอด ต่อให้ในเป็นฝันก็พูดคำไหนคำนั้น” ตอนที่เย่เทียนเฉินเอ่ย ก็คว้าเข้าที่ไหล่ของฉินเหิง หิ้วเขาขึ้นมาราวกับหิ้วไก่ตัวหนึ่ง เดินมุ่งไปยังโลงศพสีดำหลังใหญ่ทีละก้าวทีละก้าว

“อย่า สหายเย่ ไว้ชีวิตด้วยเถอะ ไว้ชีวิตด้วย…” ฉินเหิงดิ้นสุดกำลัง น่าเสียดายที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงเรื่องที่ว่าตนเองจะถูกจับยัดเข้าไปในโลงศพได้เลยแม้แต่น้อย ร่างกายของเย่เทียนเฉินในตอนนี้แม้ว่าจะยังไม่แข็งแกร่งพอ แต่ก็ไม่ได้มีปัญหากับการรับมือคนธรรมดาเลยแม้แต่น้อย

ปัง!

เย่เทียนเฉินใช้เท้าถีบฝาของโลงศพสีดำให้เปิดออก ฉินเหิงเห็นดังนั้นก็หน้าซีด รวมกับที่เขามีเลือดท่วมหัว ก็ยิ่งดูน่าอนาถ กลัวจนน้ำตาเกือบจะไหลออกมา เขาในตอนนี้รู้สึกเสียใจขึ้นมาจริงๆ แล้ว ไม่กล้าหาไปหาเรื่องเย่เทียนเฉิน ไม่ควรท้าทายเย่เทียนเฉินเลย เย่เทียนเฉินเป็นมารร้ายตนหนึ่ง แถมยังเป็นมารร้ายที่ไม่เกรงกลัวฟ้าดิน ไปหาเรื่องเขาก็เป็นการรนหาที่ตายโดยสิ้นเชิง

“พี่เย่ สหายเย่ ผมผิดไปแล้ว ผมไม่กล้าท้าทายคุณอีกแล้ว ปล่อยผมไปเถอะ ผม ผม ผมไม่หมั้นกับฉีหรูเสวี่ยแล้ว ผมยกเธอให้คุณ ยกให้คุณ…” ฉินเหิงหวาดกลัวจนคิดทุกวิถีทางเพื่อร้องขอชีวิต

ตุ้บ!

ฉินเหิงถูกโยนเข้าไปในโลงศพสีดำ ศีรษะกระแทกบนไม้โลงจนรู้สึกหน้ามืดจวนจะเป็นลม เย่เทียนเฉินใช้มือขวาหยิบฝาโลงขึ้นมาแล้วเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ถึงยัยบ๊องนั่นจะน่าเกลียด แถมยังเกเรมาก แต่แกก็ไม่คู่ควรกับเธอ!”

ฉินเหิงที่น่าสงสาร ถูกเย่เทียนเฉินโยนเข้าไปในโลงศพ แล้วยังถูกฝาโลงปิดขังเอาไว้อีก เขาเสียใจอย่างสุดซึ้ง ไม่สมควรเลย ไม่สมควรอย่างยิ่ง ไม่สมควรที่จะไปหาเรื่องเย่เทียนเฉินมารร้ายตนนี้เลย เย่เทียนเฉินคือมัจจุราช หากคิดได้สักหน่อยก็จะรู้ว่าใครก็ไม่อาจหาเรื่องมัจจุราชไม่ได้

เย่เทียนเฉินบิดขี้เกียจครั้งหนึ่ง หันตัวเดินมุ่งไปยังประตูใหญ่ของบ้านตระกูลเฉินโดยไม่ได้พูดอะไรกับฉีหรูเสวี่ย และไม่สนใจฉีหรูไห่และฉีชางเซิ่งด้วย สิ่งที่เขาควรจะทำก็ทำไปแล้ว สั่งสอนฉินเหิง ปลดปล่อยฉีหรูเสวี่ยให้พ้นทุกข์ มันก็ง่ายๆ แค่นี้เอง ส่วนคนอื่นจะมองอย่างไร จะคิดอย่างไร นั่นก็เป็นเรื่องของคนอื่นแล้ว

ต่อให้มาถึงขั้นนี้แล้ว แขกเหรื่อใจกล้าก็ยังคงยืนชมอยู่ไม่ไกล ตอนที่พวกเขาเห็นเย่เทียนเฉินนำฉินเหิงใส่เข้าไปในโลงศพ ก็ตกใจจนคางแทบหลุด เย่เทียนเฉินเองก็ไม่ได้สนใจ ยังคงเป็นเช่นเดิมคือ ขอเพียงผู้อื่นไม่มาหาเรื่องเขา เขาก็จะไม่ลงมือมั่วซั่วเหมือนคนบ้า

“นี่ นาย นายจะไปไหน?” ฉีหรูเสวี่ยเห็นเย่เทียนเฉินจะเดินไปก็มีปฏิกริยากลับมาจึงรีบตะโกน

“กลับบ้านไง ไม่มีอะไรให้เล่นแล้ว ถ้าไม่กลับบ้านจะให้อยู่กินข้าวรึไง?” เย่เทียนเฉินหันมามองฉีหรูเสี่ยแล้วเอ่ยขึ้นยิ้มๆ

“นาย ฉัน ฉันจะกลับไปกับนาย” ฉีหรูเสวี่ยพูด ใบหน้าเล็กๆ ของเธอแดงระเรื่อ

“หา? อย่าดีกว่า ฉันไม่ชอบให้มียัยทึ่มคอยตามฉันไปหรอกนะ” เย่เทียนเฉินพูดแล้วส่ายหน้าเบาๆ

“นาย…” ฉีหรูเสวี่ยโกรธจนทำให้ใบหน้าอันน่ารักของเธอดูดุดัน กำหมัดอันขาวผ่องแน่น อยากจะอัดเย่เทียนเฉินสักหลายๆ หมัด เจ้าหมอนี่น่ารังเกียจจริงๆ ตัวเองสวยดั่งนางฟ้านางสวรรค์ ถึงกับกล้ามาว่าตนเองเป็นยัยทึ่ม หักหน้ากันจริงๆ

“บายบาย อย่าตามฉันมาล่ะ ฉันไม่ชอบอยู่กับคนน่าเกลียด!”

พูดจบ เย่เทียนเฉินก็เดินจากไปโดยไม่กลับมาอีก ฉีหรูเสวี่ยโกรธจนกระทืบเท้า กำหมัดขาวๆ แน่น คนคนนี้ไร้อีคิวสิ้นดี ทำให้ผู้คนโกรธแทบตายจริงๆ

ฉีชางเซิ่งเห็นเงาหลังของเย่เทียนเฉินจากไป ก็อดคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาไม่ได้ จากนนั้นจึงถามฉีหรูไห่ผู้เป็นพ่อด้วยเสียงเบาว่า “พ่อครับ ตอนนี้พวกเราจะทำยังไงกันดี?”

“ไปเถอะ การหมั้นของหรูเสวี่ยกับฉินเฉิงก็จบลงแค่นี้แล้ว” ฉีหรูไห่เองก็มองเงาหลังของเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

“รู้แล้วครับ!” ฉีชางเซิ่งพยักหน้ากล่าว

“จริงสิ ปัญญาเรื่องความรู้สึกของหรูเสวี่ย พวกเราก็อย่าไปยุ่งอีก หากว่าเธอสามารถอยู่กับเย่เทียนเฉินได้จริงๆ บางทีคงไม่เลวนัก…” ฉีหรูไห่กล่าวด้วยรอยยิ้ม

ได้ยินคำพูดของฉีหรูไห่ผู้เป็นพ่อ ฉีชางเซิ่งก็อดไม่ได้ที่จะชะงักไป เขาไม่คิดเลยว่าฉีหรูไห่จะถึงกับเปลี่ยนความคิด ต้องทราบว่าฉีชางเซิ่งเข้าใจฉีหรูไห่ผู้เป็นพ่ออย่างมาก ปกติเรื่องที่เขาตัดสินใจแล้วจะไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้ ก็เหมือนกับครั้งนี้ที่ฉีหรูไห่ตัดสินใจยกเลิกการหมั้นกับตระกูลเย่ แล้วมาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลฉิน แม้ว่าบางครั้งฉีชางเซิ่งจะเจ็บปวดใจแทนลูกสาว และเคยเลียบๆ เคียงๆ ให้พ่อเปลี่ยนใจ แต่ก็ไมเคยได้ผล

ดูแล้วฉีหรูไห่ผู้เป็นพ่อจะมองเย่เทียนเฉินในแง่ดีเข้าแล้วจริงๆ เย่เทียนเฉินปรากฏตัวที่คฤหาสน์ตระกูลฉินอย่างมีสีสันเช่นนี้ เกรงว่าจะทำให้หลายๆ คนได้เปิดหูเปิดตา ใครก็คิดไม่คิดว่าบุคคลที่เคยเป็นตัวตลกของทั่วทั้งเมืองหลวง ตอนนี้จะร้ายกาจเช่นนี้ ดูเหมือนจะมีแววรุ่งเรืองขึ้นทีละน้อย นี่ทำให้กลุ่มอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่อื่นๆ รู้สึกอันตราย การที่ตระกูลหนึ่งๆ รุ่งเรืองขึ้นมา ย่อมส่งผลกระทบต่ออำนาจของพวกเขา โดยเฉพาะเหล่าผู้ทรงอิทธิพลที่โหดเหี้ยม พวกเขาไม่ปล่อยให้เย่เทียนเฉินพัฒนาไปมากกว่านี้แน่…

เย่เทียนเฉินไปจากคฤหาสน์ตระกูลฉินแล้ว ในตอนที่เดินออกไปไม่มีใครกล้าขวางเขาแม้แต่คนเดียว กระทั่งฉินเหิงและฉินเทาหยวนก็ยังกล้าทำร้าย และยังทำให้ฉินอี้โกรธจนล้มลงกับพื้น ชายที่ห้ามหาญขนาดนี้ คนธรรมกาก็กล้าไปหาเรื่องที่ไหนกัน

ฉีหรูเสวี่ยถูกฉีชางเซิ่งและฉีหรูไห่พาตัวไป ไม่ทันไรมีก็รถตำรวจและรถพยาบาลมาถึง ฉินอี้ ฉินเทาหยวนและฉินเหิง ทั้งสามถูกหามขึ้นรถพยาบาล นายตำรวจที่ซวยที่สุดสองนาย ไม่ง่ายเลยกว่าจะเปิดฝาโลงและช่วยฉินเหิงออกมาได้ ฉินเหิงตาเหลือก น้ำลายฟูมปาก ดูแล้วเป็นอาการตกใจจนผวา รวมกับศีรษะได้รับการโจมตีอย่างรุนแรง สิ้นท่าไปแล้วโดยสิ้นเชิง

ยามนี้ เย่เทียนเฉินเดินออกมาจากคฤหาสน์ตระกูลฉิน เดินทอดน่องอยู่บนถนนที่โอบล้อมไปด้วยป่าไผ่ เขาเดินช้ามาก และไม่ได้จากไปเร็วนัก เพราะชั่วพริบตาที่เขาเดินออกมาจากคฤหาสน์ตระกูลฉิน เขาก็รู้สึกได้ถึงการผันแปรของพลังงานอันรุนแรงกำลังตามเขามา ราวกับพร้อมที่จะลงมือฆ่าตนเองได้ทุกเมื่อ

เย่เทียนเฉินหยุดยืนอยู่บนถนนเล็กๆ ท่ามกลางป่าไผ่ หยิบบุหรี่ออกมามวนหนึ่งแล้วสูบเข้าไป จากนั้นจึงเปลี่ยนทิศทาง เดินเข้าไปในป่าไผ่ข้างๆ เขาอยากจะเห็นสักหน่อยว่าตกลงแล้วเป็นใครที่ถึงกับสามารถสะกดรอยตามตนเองมาได้

เพิ่งจะเดินเข้าไปถึงส่วนลึกของป่าไผ่ ก็มีเสียงฟิ้วดังขึ้น มีดบินเล่มหนึ่งพุ่งมายังศีรษะของเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว เขารู้สึกได้ว่าพลังของมีดบินที่ถูกเขวี้ยงเข้ามาแข็งแกร่งมาก อย่างน้อยก็สามารถทะลุไผ่สิบต้นติดๆ กันได้โดยไม่มีปัญหา ผู้ที่มาย่อมเป็นยอดฝีมือคนหนึ่งอย่างแน่นอน ทั้งยังเป็นไปได้ว่าจะเป็นยอดฝีมือด้านอาวุธลับคนหนึ่ง

บทที่ 114 ลงมืออย่างแกร่งกร้าว
Ink Stone_Fantasy
แบกโลงศพไปตระกูลฉิน เย่เทียนเฉินช่างเผด็จการเหลือเกิน บุกเข้าไปในถ้ำเสือด้วยตัวคนเดียว ต่อให้เดาได้ว่าฉินเหิงจะวางกับดักเพื่อฆ่าตน เย่เทียนเฉินก็ยังมา บางทีอาจเป็นเพราะนิสัยของเขาที่แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เกรงกลัวปัญหา บางทีอาจเป็นเพราะเขาเตรียมจะฆ่าฉินเหิงอย่างจริงจัง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้มาหาเรื่องตนเองบ่อยๆ จนคุกคามไปถึงครอบครัวของตน และอาจเป็นเพราะความต้องการเล็กๆ ที่อยากจะช่วยฉีหรูเสวี่ย เพราะอย่างไรก็นับว่าเป็นเพื่อน

อย่างไรก็ตามเย่เทียนเฉินก็มาแล้ว มาในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด ทำให้ผู้คนที่อยู่ ณ ที่นี้ตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง แบกโลงศพมา นี่ก็คือวิธีการเปิดตัวของเย่เทียนเฉิน

ปืนในมือทั้งหมดของบอดี้การ์ดฝีมือดียี่สิบกว่าคนแห่งตระกูลฉินต่างก็ไร้ประโยชน์ ไม่อาจลั่นไกได้โดยสิ้นเชิง ท่ามกลางเสียงตะโกนของฉินเหิง บอดี้การ์ดเหล่านี้ก็ได้สติขึ้นมา ทั้งหมดจึงกำหมัดพุ่งเข้าใส่เย่เทียนเฉิน

เย่เทียนเฉินยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน สองมือล้วงกระเป๋ากางเกง บนใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มไร้พิษภัยไม่เสื่อมคลาย มองบอดี้การ์ดเหล่านี้พุ่งขึ้นมา พลันกระตุกยิ้ม

พลั่ก!

พลั่ก!

พลั่ก…

คนที่เหลืออยู่ที่นี่ รวมไปถึงฉินอี้และฉินเทาหยวนผู้เป็นปู่และพ่อของฉินเหิง และยังมีฉีหรูไห่ปู่ของฉีหรูเสวี่ยและฉีชางเซิ่งผู้เป็นพ่อ ทั้งหมดต่างก็มองเหตุการณ์นี้ด้วยความตกตะลึง เห็นเพียงสองเท้าของเย่เทียนเฉินเตะออกไปไม่หยุด บอดี้การ์ดฝีมือดีที่พุ่งเข้าไปยี่สิบกว่าคนนี้เข้าใกล้ตัวเขาไม่ได้เลย แต่ละคนถูกเย่เทียนเฉินเตะกระเด็นออกไปจนต้องร้องโอดโอย ตกกระแทกพื้นอย่างแรงจนลุกไม่ขึ้น

ไม่ถึงสามนาที บอดี้การ์ดฝีมือดียี่สิบกว่าคนล้วนนอนหมอบอยู่บนพื้น กรีดร้องอย่างอนาถ ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ลุกขึ้นมาได้ ส่วนเย่เทียนเฉินไม่มีการหอบหายใจเลยสักนิด ยังคงมองพวกฉินเหิงด้วยรอยยิ้ม

“แก…แกจะไปจากตระกูลฉินของฉันไม่ได้แน่ จะต้องตายแน่นอน!” ฉินเหิงตกใจจนชะงัก เปิดปากกล่าวอย่างโหดเหี้ยม

“คุณชายฉิน ดูเหมือนแกจะประเมินความสามารถของตัวเองสูงเกินไปหน่อยรึเปล่า? ยังคิดว่าแกสามารถกำหนดความเป็นความตายของผู้อื่นได้ตามใจงั้นเหรอ? แกเนี่ยนะ?” เย่เทียนเฉินเอ่ยโดยไม่มองฉินเหิงแม้แต่หางตา

“ไอ้หนุ่ม แกก็จะโอหังเกินไปรึเปล่า? ที่นี่เป็นถิ่นของตระกูลฉินของฉัน ต่อให้เป็นเย่หย่วนซานปู่ของแกมา ก็ต้องเกรงอกเกรงใจ ตอนนี้แกจะคุกเข่ารับความผิดก็ยังไม่สาย!”

ฉินอี้ที่ยืนเงียบๆ อยู่ด้านข้างมาตลอดเอ่ยปากขึ้น ในใจของเขาตกตะลึงเป็นอย่างมาก เย่เทียนเฉินลูกหลานตระกูลเย่คนนี้ช่างมีความพิเศษไม่เหมือนใครจริงๆ ในทุกคำพูดและการกระทำล้วนมีความเผด็จการอยู่ เขาฉินอี้สามารถมาถึงตำแหน่งเช่นนี้ได้ ก็นับว่าได้อ่านผู้คนมาไม่น้อย แต่คนหนุ่มเช่นเย่เทียนเฉินนี้ก็เพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก

หากไม่ใช่ว่าเย่เทียนเฉินทำร้ายหลานชายของตนและมาก่อเรื่องที่ตระกูลฉิน บางทีฉินอี้อาจจะต้องการรับเย่เทียนเฉินมาเป็นลูกน้อง เพียงแต่ตอนนี้ดูแล้วคงเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นเขาย่อมต้องปกป้องหลานของตน เดิมทีในเมืองหลวง ฉินอี้ก็เลื่องชื่อเรื่องปกป้องพรรคพวกอยู่แล้ว เย่เทียนเฉินกล้าบุกมาที่ตระกูลฉิน แถมยังแบกโลงศพมาด้วย ทำให้ฉินอี้ตัดสินใจแล้วว่าจะฆ่าเย่เทียนเฉินซะ ใครก็ปกป้องเขาไม่ได้แล้ว ต่อให้เย่หย่วนซานปู่ของเย่เทียนเฉินมาเองกับตัวก็มิอาจห้ามได้

“ไอ้แก่ แกต้องการปกป้องคนของแกก็พูดมาตรงๆ อย่ามาพูดจาอ้อมโลก ฉันไม่สนใจเล่นเป็นเพื่อนแกหรอกนะ” เย่เทียนเฉินมองฉินอี้อย่างไม่สบอารมณ์แวบหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น

เมื่อคำพูดนี้พูดออกมา ฉินอี้ ฉินเทาหยวนและฉินเหิง ทั้งสามต่างก็โกรธจนแทบกระอักเลือด ส่วนฉีหรูไห่และฉีชางเซิ่งแห่งตระกูลฉีก็ตกตะลึงจนต้องสูดลมหายใจเย็นเยียบ พวกเขาไม่กล้าเชื่อสิ่งที่ตัวเองได้ยินเลยจริงๆ เย่เทียนเฉินเปิดปากมาด่าฉินอี้ว่า “ไอ้แก่” หากสองคำนี้แพร่ออกไป เกรงว่าจะต้องฮือฮากันทั่วทั้งแผ่นดินจีน

ตำแหน่งฐานะของฉินอี้เทียบเคียงได้กับหยางอี้ที่เป็นระดับหัวหน้าใหญ่ เพียงแต่ไม่ได้มีอำนาจเท่าหยางอี้ก็เท่านั้น แต่ว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ ระดับอันสูงส่งของเขาก็ไม่ใช่อะไรที่คนธรรมจะมาแตะต้องได้ มีประโยคหนึ่งที่ฉินอี้พูดได้โดยไม่เกินจริงเลย นั่นก็คือ ต่อให้เย่หย่วนซานปู่ของเย่เทียนเฉินอยู่ที่นี่ ก็ต้องเกรงอกเกรงใจเขา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเย่เทียนเฉิน

ไหนเลยจะรู้ว่า เย่เทียนเฉินไม่สนใจโดยสิ้นเชิง บิดาไม่สนว่าตำแหน่งของคุณจะสูงแค่ไหน คนชราที่ไม่รู้จักทำตัวให้น่าเคารพ ผมก็ได้แต่เรียกคุณว่าไอ้แก่

“แก…ดี ดี ดี เย่หย่วนซานสั่งสอนหลานชายออกมาได้ดีจริงๆ ฉันจะหักขาแกทั้งสองข้างก่อนแล้วค่อยส่งแกกลับตระกูลเย่ ดูสิว่าเย่หย่วนซานจะตอบแทนอะไรให้ฉัน” ฉินอี้โกรธจนสั่นไปทั้งตัว แทบจะกระอักเลือดอยู่รอมร่อ ตนเองที่อยู่ต่อหน้าเย่เทียนเฉินเป็นถึงคนรุ่นปู่ รวมไปถึงตำแหน่งที่ครอบครอง ต่อให้เป็นทั่วทั้งประเทศจีนก็ไม่มีใครกล้าด่าตนเองด้วยคำๆ นี้ ตอนนี้ถูกเย่เทียนเฉินที่เป็นคนรุ่นหลังด่า ฉินอี้ไหนเลยจะรับไหว

“ไอ้คนไม่รู้จักที่ตาย คิดว่าพวกเราตระกูลฉินจะจัดการแกไม่ได้รึไง?” ฉินเทาหยวนขึ้นมาด้านบน ชี้จมูกเย่เทียนเฉินแล้วด่าอย่างเหี้ยมเกรียม

ผัวะ!

น่าเสียดายที่เย่เทียนเฉินไม่อยากคุยกับพ่อลูกสวะคู่นี้ จึงใช้เท้าเตะฉินเทาหยวนจนกระเด็นออกไปและตกลงบนพื้น ร้องอออกมาราวกับหมูถูกเชือด

ฉินอี้คิดไม่ถึงเลยว่า เย่เทียนเฉินจะถึงกับกล้าเตะฉินเทาหยวนจนกระเด็นทั้งๆ ที่อยู่ต่อหน้าตนเอง เขาโกรธจนตะโกนลั่นดั่งเสียงฟ้าผ่าว่า “ไอ้ลูกเต่า วันนี้ฉันจะไม่ยอมให้แกไปจากตระกูลฉินแบบเป็นๆ แน่!”

“ไอ้แก่อันธพาล อย่ามาตะโกนใส่ฉันสิ ฉันรู้ว่าอำนาจอิทธิพลขของตระกูลฉินของแกไม่ใช่เล่นๆ แต่ฉันก็อยากจะบอกแกว่า ตระกูลเย่ของฉันไม่ได้รังแกกันง่ายๆ ต่อให้ตระกูลเย่ของฉันตกต่ำลงก็ไม่มีตระกูลไหนหาเรื่องได้” เย่เทียเนฉินกล่าวเสียงเย็น

ตระกูลเย่นั้นตั้งแต่ที่เย่หย่วนซานผู้อาวุโสตระกูลเย่ลงจากตำแหน่ง ก็เริ่มเดินบนเส้นทางที่ยากลำบาก เนื่องจากสามพี่น้องเย่หงไม่มีสักคนเดียวสามารถค้ำจุนตระกูลได้ รวมทั้งเย่มู่ไป๋และเย่เฮ่อกั๋ววันๆ รู้จักแต่วางแผนแย่งชิงทรัพย์สมบัติ ทำให้ตระกูลเย่ยิ่งเสื่อมโทรม กระทั่งอันธพาเล็กๆ ในโลกใต้ดินของเมืองหลวงก็กล้าหาเรื่องตระกูลเย่ และกล้ารังแกตระกูลเย่ หากไม่ทำให้คนพวกนี้หวาดกลัวสักหน่อยล่ะก็ เกรงว่าต่อไปไม่ว่าใครก็คงกล้ามาขี้บนหัวตระกูลเย่เป็นแน่

เย่เทียนเฉินไม่ได้คิดถึงเรื่องอะไรที่จะส่งเสริมหรือไม่ส่งเสริมตระกูลเย่ แต่คิดถึงพ่อแม่และน้องสาวของตน จะอย่างไรก็นับว่าเป็นคนของตระกูลเย่ หากว่าสักวันหนึ่งตระกูลเย่ตกต่ำถึงขีดสุดจริงๆ เกรงว่าพวกเขาจะต้องได้รับผลกระทบไปด้วย ดังนั้นมีเพียงตระกูลเย่รุ่งเรื่องจึงจะสามารถทำให้ตัวตลกพวกนี้ไม่กล้ามาหาเรื่องพวกเขาอีก

“ใครก็ได้ ใครก็ได้ ฆ่าไอ้ขยะนี่ให้ฉันซะ!” ฉินอี้ตะโกน

ความจริงแล้วคนที่อยู่ในตำแหน่งเช่นฉินอี้ ไม่ได้โกรธเคืองง่ายๆ จะยินดีหรือจะโกรธก็ไม่แสดงสีหน้าออกมา แต่เดิมทีฉินอี้ก็เป็นคนโอหังมากคนหนึ่ง ต่อให้ตำแหน่งและอายุมาถึงเท่านี้แล้วก็ยังเป็นเช่นเดิมไม่เปลี่ยน รวมทั้งเขามีนิสัยปกป้องพรรคพวกถึงขีดสุด ครั้งที่แล้วหลานชายถูกทำร้าย ครั้งนี้ลูกชายของตนก็ถูกเย่เทียนเฉินเตะกระเด็นไปต่อหน้าต่อตา ที่สำคัญที่สุดคือเย่เทียนเฉินแบกโลงศพมาที่ตระกูลฉิน นี่เป็นการดูหมิ่นและเหยียดหยามตระกูลฉินอย่างหนึ่ง ฉินอี้ยอมรับไม่ได้อย่างแน่นอน หากไม่ฆ่าเย่เทียนเฉิน เกรงว่าตระกูลฉินของตนจะต้องกลายเป็นเรื่องขบขันที่สุดในเมืองหลวงแล้ว

เพียงแต่น่าเสียดาย เสียงตะโกนของฉินอี้ไม่อาจเรียกคนมาได้ ยอดบอดี้การ์ดถือปืนทั้งยี่สิบกว่าคนนี้นับเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดของตระกูลฉินแล้ว ตอนนี้ถูกเย่เทียนเฉินเตะจนหมอบอยู่กับพื้นลุกไม่ขึ้น ไหนเลยจะมีแรงต่อสู้อยู่อีก ทำได้เพียงกุมส่วนที่เจ็บปวดและกรีดร้อง

เย่เทียนเฉินไม่สนใจไอ้แก่หัวยุ่งคนนี้อีกต่อไป เขาเดินไปยังฉีหรูเสวี่ยที่อยู่บนเวทีสำหรับพีธีหมั้น ตอนนี้ฉีหรูเสวี่ยน้ำตาไหลเต็มหน้าไปนานแล้ว จะอย่างไรเธอก็คิดไม่ถึงว่า ความเพ้อฝันในใจของเธอจะเป็นจริง เย่เทียนเฉินมาแล้วจริงๆ

ที่ผ่านมาถูกคนในครอบครัวบีบบังคับให้แต่งกับคนที่ตนเองไม่ชอบ ต้องแต่งกับไอ้สวะฉินเหิงคนนี้ ในใจของฉีหรูเสวี่ยรู้สึกอยุติธรรมและเจ็บปวดอย่างยิ่ง เดิมทีคิดว่าชะตาชีวิตของตนเองใกล้จะถูกทำพังทลายไปแล้ว แต่ไม่คิดเลยวาการปรากฏตัวของเย่เทียนเฉินจะเปลี่ยนมันไป ดังนั้นความรู้สึกอยุติธรรมและความเจ็บปวดต่างก็ระเบิดออกมา ฉีหรูเสวี่ยร้องไห้ราวกับเด็กน้อย

“แกยังไม่ไสหัวไปอีก อยากเข้ามานอนในโลงรึไง?” เย่เทียนเฉินมองฉินเหิงอย่างเย็นชาแล้วกล่าวถาม

ฉินเหิงตกใจจนชะงักไป เขาเป็นคู่ต่อสู้ของเย่เทียนเฉินได้ที่ไหนกัน ที่ตอนนี้ยังพอมีความมั่นใจอยู่บ้างก็เพราะเขาจ้างยอดฝีมือไว้คนหนึ่ง ยอดฝีมือที่กล่าวได้ว่าเป็นอันดับต้นๆ ในประเทศจีน เพียงแต่ว่าทำไมคนคนนี้ถึงยังไม่ถึงอีก? หรือว่าถึงแล้ว และถูกฝีมือของเย่เทียนเฉินทำให้กลัวจนไม่กล้าโผล่ออกมาแล้ว?

“แก…เย่เทียนเฉิน ที่นี่คือตระกูลฉินของฉัน แกอย่าโอหังให้มากนักนะ!” ฉินอี้ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ครึ่งค่อนวันกว่าจะพูดประโยคนี้ออกมาได้

“โอหัง? ฉันจะไปโอหังกว่าคุณชายตระกูลฉินของแกได้ที่ไหนกัน แต่ขอโทษเถอะ วันนี้ฉันจะมาโอหังที่ตระกูลฉิน แกคิดจะทำยังไงล่ะ?” เย่เทียนเฉินพูดกับฉินเหิงยิ้มๆ

“เย่เทียนเฉิน แกคิดถึงผลลัพธ์ให้ดีๆ ไปซะตอนนี้ก็ยังไม่สาย ไม่งั้นตระกูลเย่จะต้องถูกฆ่าล้างแน่” ฉินอี้กล่าวอย่างเหี้ยมโหด

“งั้นเหรอ? แต่ฉันอยากจะดูสักหน่อยว่าไอ้ฆ่าล้างตระกูลนี่มันเป็นยังไง…”

ระหว่างที่เย่เทียนเฉินพูด ก็จับผมของฉินเหิง ดึงกระชากลงด้านล่างอย่างโหดเหี้ยม ศีรษะของฉินเหิงกระแทกเข้ากับลูกบอลคริสตัลอย่างรุนแรง เลือดสดๆ พุ่งกระฉูดออกมา เดิมทีฉินเหิงที่ใกล้จะหายเป็นปกติแล้ว ตอนนี้รู้สึกได้ว่าบาดแผลบนศีรษะและใบหน้าของตนฉีกขาด ล้มลงกับพื้นกรีดร้องออกมาแทบจะขาดใจ ทำให้พวกฉีหรูเสวี่ยตกใจจนทำอะไรไม่ถูก

นี่มันยังไม่พอ เย่เทียนเฉินหิ้วฉินเหิงขึ้นมาราวกับหิ้วไก่ โยนลงไปบนโต๊ะอาหารตัวยาวที่มีจานผลไม้อยู่เต็มโต๊ะจนโต๊ะที่ยาวสิบเมตรถูกกระแทกจนพลิก

ฉินเหิงที่เมื่อสักครู่ยังแหกปากตะโกนด่า ฉินเหิงที่ยโสโอหัง ฉินเหิงที่ยังมีความมั่นใจอันน้อยนิด ตอนนี้คว่ำลงกับพื้น ครึ่งเป็นครึ่งตาย เลือดไหลออกมาเต็มหัว เย่เทียนเฉินไม่ลงมือก็แล้วไปเถอะ แต่เมื่อลงมือก็จะทำให้คุณประทับใจอย่างลึกล้ำ เขาก็เป็นคนเช่นนี้เอง

ฉีหรูเสวี่ย ฉีหรูไห่ ฉีชางเซิ่ง ทั้งสามต่างก็ถูกเหตุการณ์นี้ทำให้อึ้งไปแล้ว พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าเย่เทียนเฉินจะลงมือโหดเหี้ยม ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะมีฐานะอะไรหรือจะมีผลร้ายอย่างไร ก็เตะฉินเทาหยวนกระเด็นไปก่อน ตอนนี้ก็ยังอัดฉินเหิงอย่างแรง ไม่ใช่ว่าอีกสักครู่เขาจะอัดกระทั่งฉินอี้หรอกนะ? เช่นนั้นก็จะครึกโครมเกินไปแล้ว

“แก…แก…”

ฉินอี้โกรธจนปากสั่น จะอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่า ตนเองยโสโอหังมาชั่วชีวิต ไม่มีใครกล้ามาหาเรื่อง ตอนนี้อายุมากแล้ว ตำแหน่งก็ยิ่งสูง แต่กลับต้องมาเจอเย่เทียนเฉินที่โอหังยิ่งกว่า อัดหลานชายและลูกชายของตนจนร้องอย่างอนาถ ช่างทำให้เขารับไม่ไหวเหลือเกิน

พลันนั้นเขาเจ็บปวดไปถึงขั้วหัวใจ รับไม่ได้กับฉากที่ลูกชายและหลานชายถูกอัดจนจนเลือดอาบ เบื้องหน้าของฉินอี้พลันดำมืด หมดสติล้มลงไปกับพื้น…

……………………………………..

บทที่ 113 แบกโลงศพไปบ้านตระกูลฉิน
Ink Stone_Fantasy
กล่าวตามจริงแล้ว ยามนี้ฉีหรูเสวี่ยเองก็ไม่ทราบว่าเพราะอะไร เธอจึงต้องการเจอเย่เทียนเฉิน ต้องการเจอเจ้าคนบ้าในใจของเธอ เธอรู้ว่าตนเองหวังมากเกินไป เย่เทียนเฉินเย็นชากับตนมาตลอด อีกทั้งฉินเหิงและเย่เทียนเฉินก็มีความแค้นต่อกัน เย่เทียนเฉินจะมาได้อย่างไร? หรือถ้ามา ไม่ใช่ว่าเป็นการรนหาที่ตายหรอกหรือ?

แต่ฉีหรูเสวี่ยไม่อาจควบคุมความคิดเช่นนี้ในใจของตนได้ เธอยังคงเฝ้ารอการปรากฏตัวของเย่เทียนเฉิน ต่อให้คนคนนี้มามองเธอแค่แวบเดียวก็ตาม ทีละเล็กทีละน้อย ในขณะที่ฉีหรูเสวี่ยไม่รู้ตัว ในใจของเธอก็มีเงาของเจ้าบ้านี่ประทับอยู่ สลัดอย่างไรก็ไม่หลุด

คำพูดของฉินเหิงทำให้ฉีหรูเสวี่ยชะงัก อดไม่ได้ที่จะมองฉินเหิงอย่างดุดันแวบหนึ่ง สำหรับคนต่ำช้าไร้ยางอาย และจิตใจเริ่มวิปริตเล็กน้อยนั้น ฉีหรูเสวี่ยไม่อยากจะสนใจ

“ไม่ต้องรอแล้ว เย่เทียนเฉินไม่มาหรอก แต่ก็นะ ฉันล่ะอยากให้มันมาจริงๆ เธอดูรอบๆ สิว่ามีใครอยู่บ้าง…” ฉินเหิงกระซิบข้างหูฉีหรูเสวี่ยอย่างโหดเหี้ยม

ฉีหรูเสวี่ยมองลงไปด้านล่าง พบว่าทั่วทุกสารทิศของสวนตระกูลฉิน ดูเหมือนในระยะห่างทุกๆ สิบเมตรจะมีบอดี้การ์ดถือปืนอยู่หนึ่งคน ที่แท้ฉินเหิงก็มีการเตรียมการไว้นานแล้ว

ต้องบอกว่าฉินเหิงโง่มาก นี่มันไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงโดยสิ้นเชิง เมื่อเกิดมาในตระกูลชั้นหนึ่งเช่นนี้ ต่อให้โง่ก็ยังมีความคิดจะฆ่าคนอยู่มาก ที่ฉินเหิงบอกให้ฉินอี้ผู้เป็นปู่ไปยังตระกูลฉีเพื่อเลื่อนพิธีหมั้นหมายระหว่างเขากับฉีหรูเสวี่ยให้เร็วขึ้นขนาดนี้ จุดประสงค์ก็คือ จิตใจอันวิปริตของเขาต้องการแก้แค้นเย่เทียนเฉิน ทั้งยังทิ้งคำพูดไว้ในหนังสือพิมพ์ซุบซิบรายใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงอีกด้วยว่า ผู้หญิงที่มีความสัมพันธ์กับเย่เทียนเฉิน เขาจะลากขึ้นเตียงให้หมด ให้เย่เทียนเฉินถูกสวมเขา ดูสิว่าเย่เทียนเฉินจะทำอะไรเขาได้ นี่เป็นการท้าทายอย่างเห็นได้ชัด เขาต้องการยั่วยุเย่เทียนเฉิน

เย่เทียนเฉินที่เคยเป็นตัวตลกที่สุดในเมืองหลวง ตั้งแต่กลับเมืองมาก็ทำให้อำนาจอิทธิพลมากมายในเมืองหลวงต้องสั่นครอน สามารถอธิบายนิสัยของเย่เทียนเฉินในปัจจุบันนี้ได้ด้วยหนึ่งประโยคก็คือ พี่ชายไม่เคยหาเรื่อง แต่ก็ไม่กลัวมีเรื่อง!

ฉินเหิงต้องการใช้ประโยชน์จากนิสัยเช่นนี้ของเย่เทียนเฉิน ถ้ายั่วยุให้เย่เทียนเฉินมาก่อความวุ่นวายในพิธีแต่งงานของตนได้ก็ยิ่งดี เขาได้ออกคำสั่งกับยอดบอดี้การ์ดถือปืนเหล่านั้นไว้แล้ว ขอเพียงเย่เทียนเฉินกล้าปรากฏตัวก็ให้ฆ่าเขาก่อนได้เลย นอกจากนี้ฉินเหิงยังได้ว่าจ้างยอดฝีมือคนหนึ่งไว้ เตรียมที่จะลงมือสังหารเย่เทียนเฉินอยู่ตลอดเวลา ยอดฝีมือคนนั้นแฝงตัวอยู่ในหมู่แขก แฝงตัวได้อย่างดียิ่ง

“เธอไม่ต้องหวังลมๆ แล้งๆ แล้ว เย่เทียนเฉินไม่มาหรอก ฉันกับเขาไม่มีความสัมพันธ์อะไรกัน ไม่นับว่าเป็นแม้กระทั่งเพื่อน!” ฉีหรูเสวี่ยมองฉินเหิงแล้วเอ่ยขึ้น

“ฮ่า กังวลแล้วรึไง? ดูท่าเธอจะรักเย่เทียนเฉินจริงๆ สินะ ดี ดีมาก ตอนนี้ฉันอยากให้มันปรากฏตัวมากขึ้นไปทุกทีแล้ว ฉันจะฆ่ามันกับมือต่อหน้าเธอ แบบนี้ตื่นเต้นพอรึเปล่า?” ฉินเหิงพูดกับฉีหรูเสวี่ย แล้วหัวเราะเสียงเย็น

“แก…ไอ้หมาบ้า แกมันไอ้หมาบ้าตัวหนึ่ง…” ฉีหรูเสวี่ยด่าออกไปอย่างดุดัน

“ถูกต้อง ฉันเป็นไอ้หมาบ้า ฉันฉินเหิงคนนี้เป็นไอ้หมาบ้าตัวหนึ่งที่ใครก็หาเรื่องไม่ได้ เย่เทียนเฉินกล้ามาหาเรื่องฉัน ฉันก็จะกัดมันให้ตาย!” ฉินเหิงถูกเย่เทียนเฉินอัดจนโง่งมไปแล้วโดยสิ้นเชิง คิดแค่เพียงต้องการจะแก้แค้นเท่านั้น

พิธีกรพยายามแก้สถานการณ์บนเวทีไม่หยุดหย่อน แขกรับเชิญด้านล่างเวทีก็รู้สึกวางตัวไม่ถูก โดยเฉพาะคนตระกูลฉินที่ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว ใครก็คิดไม่ถึงว่าฉีหรูเสวี่ยจะพูดว่าไม่เต็มใจสามคำนี้ออกมา

“ณ เวลานี้ เป็นเวลาที่คุณฉินเหิงและคุณฉีหรูเสวี่ยจะต้องแลกแหวนหมั้นกันแล้ว ผมจะขอถามตามธรรมเนียมอีกสักครั้ง มีใครคัดค้านการหมั้นของพวกเขาไหมครับ?”

“มีไหมครับ? ผมเชื่อว่าคงจะไม่มีแน่นอน คุณฉิงเหิงและคุณฉีหรูเสวี่ยช่างเป็นคู่ที่เหมาะสมกับจริงๆ เป็นคู่ฟ้าประทานโดยแท้ เช่นนั้นต่อไปขอให้พวกเราปรบมือดังๆ ให้พวกเขาทั้งสอง…”

“ผมขอคัดค้าน!”

เสียงของเย่เทียนเฉินดังขึ้น ทุกคนมองไปยังประตูใหญ่ของสวนตระกูลฉินอย่างตกตะลึง เห็นเย่เทียนเฉินแบกโลงศพสีดำหลังหนึ่งไว้บนไหล่ซ้าย บนใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่มีพิษมีภัย เดินตรงไปยังเวทีแต่งงาน ทำให้คนที่อยู่ ณ ที่นี้ทั้งหมดตกตะลึงจนคางแทบจะหลุดจากปาก

หลายคนเคยได้ยินชื่อเย่เทียนเฉิน แต่กลับไม่เคยเห็นตัวเย่เทียนเฉิน ต่างก็คิดว่า คนคนนี้เป็นใครกัน? จะเผด็จการเกินไปรึเปล่า พิธีหมั้นของผู้อื่น ไม่เพียงแต่ส่งเสียงคัดค้านออกมา แล้วยังแบกโลงศพมาอีกด้วย ช่างเป็นคราวซวยของตระกูลฉินโดยแท้ ความกล้าหาญน่าครุ่นคิดเช่นนี้ทำให้ผู้คนรู้สึกแปลกหูแปลกตาจริงๆ

“ไอ้…ไอ้หมอนี่เป็นใครน่ะ? แบกโลงศพมา เบื่อชีวิตแล้วรึไง?”

“คิดว่าบ้านตระกูลฉินกลายเป็นสถานที่อะไรไปแล้ว ถึงกับกล้าแบกโลงมา ทั้งยังเป็นในพิธีหมั้นของฉินเหิงกับฉีหรูเสวี่ย คงรอดออกไปไม่ได้แน่”

“ตายแน่ กล้ามาก่อเรื่องที่ตระกูลฉิน สงสัยจะมีชีวิตอยู่นานเกินไปจนเบื่อ ไม่รู้ว่าไอ้หมอนี่เป็นใคร…”

“เขา เขาคือเย่เทียนเฉิน คิดไม่ถึงว่าเขาจะมาจริงๆ”

“อะไรนะ? เขาคือเย่เทียนเฉิน? นี่…”

เมื่อมีผู้รู้พูดชื่อเย่เทียนเฉินออกมา หลายคนอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าเย่เทียนเฉินจะมาจริงๆ กล้ามาจริงๆ ด้วย ทั้งยังแบกโลงศพหลังหนึ่งมาอย่างเผด็จการ ความกล้าหาญและเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ ช่างทำให้ผู้คนนับถือจนแทบจะก้มกราบเลยทีเดียว

มือขวาล้วงกระเป๋ากางเกง มือซ้ายแบกโลงศพสีดำหลังใหญ่ ใบหน้าของเย่เทียนเฉินประดับด้วยรอยยิ้ม เดินไปยังเวทีสำหรับงานหมั้นด้วยอาการเช่นนี้เอง หลายคนยังไม่อาจตอบสนองกลับมาได้ ตกอยู่ในอาการตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง กระทั่งคนตระกูลฉินทั้งหลายต่างก็อึ้งจนแข็งเป็นหิน ไม่กล้าเชื่อเลยว่าจะมีคนกล้าบุกเข้ามาก่อเรื่องในตระกูลฉิน แถมยังแบกโลงศพพาซวยนั่นมาอีก

ฉีหรูเสวี่ยที่ยืนอยู่บนเวทีสำหรับพีธีหมั้นพลันน้ำตาไหลลงมา เธอไม่คิดเลยว่าเย่เทียนเฉินจะมาจริงๆ รู้ทั้งรู้ว่ามาก่อเรื่องที่นี่จะต้องมีปัญหา จะต้องเป็นอันตรายต่อชีวิต แต่ว่าเขาก็ยังมา มาเพื่อเธอ

ตู้ม!

เย่เทียนเฉินโยนโลงศพสีดำลงบนพื้น ทำให้หลายคนได้สติกลับมา ตอนนี้เย่เทียนเฉินพูดกับฉีหรูเสวี่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า “ยัยบ๊องเอ๊ย ฉันจะถามเธอแค่ประโยคเดียว แล้วก็สามารถพาเธอไปได้ด้วย ตกลงเธอเต็มใจหมั้นกับฉินเหิงรึเปล่า?”

ประโยคเดียวที่เรียบง่ายและตรงประเด็น ทั้งเผด็จการทั้งธรรมดา แต่กลับทำให้ในใจของใครหลายคนต้องสั่นประสาท เย่เทียนเฉิน ลูกหลานตระกูลเย่คนนี้ ช่างห้าวหาญเหลือเกิน คนที่นั่งอยู่บริเวณที่นั่งของแขกรับเชิญเหล่านี้ ล้วนเห็นหมดแล้ว เห็นน้ำตาของฉีหรูเสวี่ยแล้ว นั่นช่างน่าซาบซึ้งและชื่นชม แม้ว่าเย่เทียนเฉินจะว่าเธอว่าเป็นยัยบ๊อง แต่ตอนนี้เธอกลับรู้สึกหวานช่ำ ทั้งสองต่างก็ป่วนประสาทกันมาตลอด ทนเห็นกันไม่ได้ ดูเหมือนว่าวันๆ ล้วนแต่ทะเลาะกัน แต่เมื่อถึงเวลาสำคัญที่สุดเช่นนี้ คนที่มาช่วยตนเองออกจากกองไฟ ไม่ใช่คุณชายที่เอาแต่พูดว่ารักเธอเหล่านั้น และไม่ใช่พวกทายาทเศรษฐีพวกนั้น กลับเป็นชายคนนี้ที่ทะเลาะกับเธอมาตลอด ชายผู้เปรียบดั่งคู่กัด เขามาแล้ว มาพาเธอไป มิตรภาพเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องพูดก็สัมผัสได้

“ฉันต้องไม่เต็มใจแน่อยู่แล้ว ฉันอยากไปกับนาย!” ฉีหรูเสวี่ยพยักหน้า เอ่ยด้วยความเด็ดเดี่ยว

“ดี ฉันจะพาเธอไป ใครกล้าขวาง โลงศพหลังนี้ก็ให้มันเอาไปใช้” เย่เทียนเฉินพูดอย่างเย็นเยียบ

“โอหัง ตระกูลฉินใช่ที่ที่แกจะมากำเริบเสิบสานได้เรอะ ใครก็ได้มาโยนมันออกไปซะ!” ฉินเทาหยวนได้สติก็พูดออกมาด้วยความโกรธแค้นเป็นอย่างมาก

“ไม่ต้องแล้ว เย่เทียนเฉิน ไม่คิดเลยจริงๆว่าขยะอย่างแกจะกล้ามา กล้ามาหาความตาย ฉันนับถือความกล้าของแกจริงๆ วันนี้ไม่ใช่วันหมั้นของฉันกับฉีหรูเสวี่ยแล้ว แต่เป็นวันที่ฉันจะเตรียมงานศพให้แก!” ฉินเหิงกล่าว ดวงตาทั้งสองอันแดงก่ำมองไปยังเย่เทียนเฉิน

ตอนนี้ ฉินเหิงได้ให้เหล่าบอดี้การ์ดถือปืนที่ดักซุ่มรอบๆ อยู่นานแล้วขนาบล้อมเข้ามา ปืนพกหลายสิบกระบอกเล็งตรงไปยังศีรษะของเย่เทียนเฉิน ขอเพียงฉินเหิงออกคำสั่งมาคำเดียว คนเหล่านี้ก็จะเปิดฉากยิงใส่เย่เทียนเฉิน

เหล่าแขกรับเชิญด้านล่างที่มาร่วมพิธีหมั้นต่างขวัญหนีดีฟ่อ หลายคนรีบวิ่งหนีไปจากสวนตระกูลฉิน หวาดกลัวลูกปืนที่ไม่มีตาจะมาทำร้ายตนเอง ไม่ถึงห้านาที ทั่วทั้งสวนตระกูลฉิน นอกจากเย่เทียนเฉินแล้ว ก็เหลือเพียงคนตระกูลฉีและคนตระกูลฉิน

เผชิญหน้ากับปืนหลายสิบกระบอกที่เล็งมายังศีรษะของตน เย่เทียนเฉินก็ยังคงไม่แยแส ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มไร้พิษภัย ทำให้ฉินเหิงโกรธจนกัดฟันแน่น เดิมทีเขาคิดว่าเย่เทียนเฉินจะคุกเข่าขอความเมตตา จากนั้นตนเองก็จะเหยียบหน้าเขาอย่างเหี้ยมโหด แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินเจอกับปืนหลายสิบกระบอกก็ยังคงไม่มีท่าทางหวาดกลัวเลยสักนิด

“เจ้าบ้า นายมาทำไม มาเพราะอะไร ไปซะ!” ฉีหรูเสวี่ยที่น้ำตาคลอเบ้าตะโกนใส่เย่เทียนเฉิน

“เธอคิดว่าฉันมาช่วยเธอออกไปจากกองไฟใช่ไหม? ไม่ใช่หรอกนะ ฉันได้ข่าวว่าตระกูลฉินรวยมา ที่นี่มีของให้กินฟรีดื่มฟรี ฉันก็เลยมากินดื่มนี่ไง” เย่เทียนเฉินพูดยิ้มๆ

“นาย…คนบ้า นายไปซะ ไม่งั้นนายจะตายเอาได้…” ฉีหรูเสวี่ยร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมา เธอรู้ว่าเย่เทียนเฉินปากก็บอกว่าไม่ได้มาเพราะเธอ แต่ความจริงหากไม่ใช่เพราะตน เขาจะมาเสี่ยงอันตรายขนาดนี้ทำไม

“เย่เทียนเฉิน แกคุกเข่าขอร้องกับฉันซะสิ บางทีฉันอาจจะไว้ชีวิตสุนัขของแกก็ได้!” ฉินเหิงมองเย่เทียนเฉินอย่างเหี้ยมเกรียมแล้วพูดขึ้น

เย่เทียนเฉินมองฉินเหิงแวบหนึ่ง เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ครั้งที่แล้วก็แค่สั่งสอนแกเล็กๆ น้อยๆ คราวนี้ฉันแบกโลงศพมาเพราะกลัวว่าตระกูลฉินของแกจะไม่มีปัญญาซื้อโลงดีๆ ขนาดนี้ แล้วพอแกตายจะไม่มีที่ให้ศพแกอยู่ โลงศัพหลังนี้แพงมาก เหมาะกับร่างแกพอดีเลย สองร้อยกว่าหยวนเลยนะ…ฉันนี่ดีกับแกจริงๆ!”

“แก…แม่งเอ๊ย พวกแกมัวแต่อึ้งอะไรกันอยู่ ยิงไอ้ลูกเต่านี่ให้ฉันสิวะ!” ฉินเหิงตะโกนสั่งไปยังบอดี้การ์ดหลายสิบคนนั้น

บอดี้การ์ดเหล่านี้ที่เล็งปืนไปยังศีรษะของเย่เทียนเฉินได้สติกลับมาก็รีบลั่นไกปืน แต่กลับไม่ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น ทุกคนต่างสงสัยเป็นอย่างมาก รีบตรวจสอบปืนในมือของตน ทำไมจู่ๆ ก็เกิดปัญหาขึ้นมาได้ล่ะ?

ความจริงตอนที่เย่เทียนเฉินมา ด้วยพลังพิเศษแห่งการรับรู้ของเขาก็รู้แล้วว่ารอบๆ พิธีหมั้นมีบอดี้การ์ดฝีมือดีพร้อมด้วยอาวุธปืนหลายสิบคนดักซุ่มอยู่ ฉินเหิงคาดการณ์ว่าตนจะมา จึงได้เตรียมการเพื่อจะฆ่าตนไว้ตั้งนานแล้ว ดังนั้นตอนที่ยอดบอดี้การ์ดถือปืนหลายสิบคนนี้ล้อมกรอบเข้ามา เย่เทียนเฉินก็ใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษสายพสุธาทำให้ปืนของพวกบอดี้การ์ดติดขัด ส่วนที่แข็งแกร่งที่สุดของเคล็ดวิชาพลังพิเศษสายพสุธาก็คือ สามารถใช้ได้กระทั่งฝุ่นในอากาศ เย่เทียนเฉินใช้ฝุ่นผงในอากาศพวกนี้จึงสามารถทำให้ปืนในมือของบอดี้การ์ดหลายสิบคนติดขัดได้

“อึ้งทำบ้าอะไร บุกขึ้นไปฆ่ามันซะ!” ฉินเหิงเห็นว่าปืนในมือของบอดี้การ์ดติดขัดก็รีบตะโกนออกมาโดยพลัน

บทที่ 112 บ้าไปแล้ว ฉินเหิงบ้าไปแล้ว!
Ink Stone_Fantasy
“ฉีหรูเสวี่ย ฉันได้ยินมาว่าความสัมพันธ์ของเธอกับเย่เทียนเฉินไม่เลวเลยนี่ ไม่รู้ว่าตอนที่เขาได้ยินข่าวการหมั้นของเธอกับฉันจะมีปฏิกริยายังไง?” ฉินเหิงนั่งอยู่ในรถสุดหรู มองไปยังฉีหรูเสวี่ยที่นั่งอยู่ด้านข้างด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ แล้วเอ่ยขึ้นทั้งยิ้มอย่างลำพองใจ

ฉีหรูเสวี่ยมองฉินเหิงอย่างรังเกียจ เธอเจ็บใจและเสียใจเป็นอย่างมาก เดิมทีตนเองอยู่ที่บ้านตระกูลเย่เพราะอยากจะหลบเลี่ยงการหมั้นกับฉินเหิง แต่ด้วยอำนาจอิทธิพลของตระกูลฉีการจะหาเธอนั้นง่ายมาก หลังจากที่ฉีชางเซิ่งผู้เป็นพ่อหาฉีหรูเสวี่ยพบ ก็พูดกับเธอเพียงประโยคเดียวว่า ถ้าไม่กลับตระกูลฉี ก็ตัดพ่อตัดลูกกันไปเลย ตระกูลฉีไม่อาจอดทนกับเธอได้อีกต่อไป ยังมีอีกอย่างก็คือ หากว่าเธออาศัยอยู่ที่ตระกูลเย่ และทำให้การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างตระกูลฉีและตระกูลฉินไม่สำเร็จ เกรงว่าคนตระกูลเย่จะต้องเข้ามาพัวพันและถูกแก้แค้นไปด้วย

วันเวลาที่ได้อยู่ร่วมกันกับแม่และน้องสาวของเย่เทียนเฉินเหล่านี้ ฉีหรูเสวี่ยมีความสุขมาก พวกเธอเห็นตนเองเป็นดั่งคนในครอบครัว ได้คุยเล่นกันและไปช้อปปิ้งด้วยกันกับพวกเธอ ทำให้รู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก ไม่มีความรู้สึกฝืนใจเลยแม้แต่น้อย นี่ถึงจะเป็นชีวิตที่ฉีหรูเสวี่ยต้องการ

ดังนั้น ฉีหรูเสวี่ยรู้ดีว่าพ่อของตนพูดได้ก็ทำได้ ถ้าหากตนเองไม่ยอมกลับบ้านจริงๆ แม่และน้องสาวของเย่เทียนเฉินจะต้องมีอันตรายแน่นอน อำนาจอิทธิพลของตระกูลฉียิ่งใหญ่กว่าตระกูลเย่ ตระกูลเย่ไม่มีทางต่อต้านได้ เมื่อความเป็นจริงมากองเรียงอยู่ตรงหน้า เธอก็จำเป็นต้องทำตาม

สุดท้ายฉีหรูเสวี่ยจึงเลือกที่จะกลับไป เพื่อปกป้องแม่และน้องของเย่เทียนเฉิน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลฉี เธอไม่อาจเห็นแก่ตัวจนมากเกินไปได้ ตระกูลฉินโอหังและใช้อำนาจบาตรใหญ่มาโดยตลอด สองพ่อลูกฉินเหิงยิ่งเป็นสวะในหมู่สวะ หากตนเองดื้อดึงไม่ยอมหมั้นกับตระกูลฉิน ตระกูลฉินจะต้องแก้แค้นตระกูลฉีเป็นแน่

ฉีหรูเสวี่ยไม่ใช่ผู้หญิงที่มีดีแต่ความสวย เธอมีสมองอันชาญฉลาด เธอต้องการพยายามให้ได้มาซึ่งความสุขของตนเอง ขอเพียงแค่มีโอกาสจะต้องพยายามแน่ เธอคิดแล้วว่า หากไม่สามารถเป็นจริงได้ ก็จะแต่งให้กับตระกูลฉิน แต่เธอจะไม่ยอมให้สวะอย่างฉินเหิงแตะต้องตนเองโดยเด็ดขาด ต่อให้เธอต้องตายก็ตาม!

“หน้าด้าน!” ฉีหรูเสวี่ยตอบฉินเหิงกลับไปเพียงสองคำนี้เท่านั้น รู้สึกหยามเหยียดฉินเหิงจากใจ

“เฮอะ หน้าด้าน? ฉันจะทำให้เธอรู้ว่าอะไรที่เรียกว่าหน้าด้าน เธอหมั้นกับเย่เทียนเฉินมาก่อน ไม่ว่าจะยังไงก็นับว่าเป็นว่าที่เจ้าสาวของเขา ถ้าหากเธอขึ้นเตียงกับฉัน เขาจะรู้สึกว่าถูกสวมเขารึเปล่า? ถ้าหากฉันอัดคลิปที่เราสองคนกำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันส่งให้เขา เขาจะดูอย่างพออกพอใจรึเปล่า?” ฉินเหิงเอ่ยด้วยรอยยิ้มอัปลักษณ์

“บ้าไปแล้ว แกมันบ้าไปแล้ว!” ฉีหรูเสวี่ยโกรธจนอยากจะตบหน้าฉินเหิงสักหลายที

“ฉันบ้าไปแล้ว ส่วนเธอสองคนเป็นพวกไม่รู้จักกลัวตาย เมืองหลวงไม่มีใครกล้าเป็นศัตรูกับฉันฉินเหิง ฉันหมั้นกับเธอ เธอกลับมาดูถูกฉัน? ไอ้ลูกเต่าเย่เทียนเฉินถึงกับกล้ามาอัดฉัน? วันนี้ฉันจะตอบแทนมันอย่างสาสม!”

ฉินเหิงชี้ไปที่ใบหน้าของตน ใบหน้าของเขาเปลี่ยนรูปร่างไปแล้วโดยสิ้นเชิง กระดูกทุกท่อนภายในล้วนถูกเย่เทียนเฉินกระทืบจนแตกหัก ยังดีที่ไม่กระทืบจนมันสมองระเบิดออกมา มิฉะนั้นเขาคงตายไปแล้ว ทั่วทั้งใบหน้าพันด้วยผ้าพันแผล มีเพียงดวงตาที่ปรากฏออกมาราวกับมัมมี่ ฉีหรูเสวี่ยเห็นก็รู้สึกสะอิดสะเอียน

“แก ตกลงแกต้องการอะไรกันแน่?”

“ต้องการอะไร? ฉันต้องการแก้แค้นเย่เทียนเฉิน ฉันต้องการฆ่ามัน ฉันต้องการให้มันรู้ว่าฉันฉินเหิงไม่อาจล่วงเกินได้ ฉันต้องการให้มันรู้ว่า ผู้หญิงของมันกำลังถูกฉันจัดการ ฉันต้องการให้มันรู้สึกว่ารสชาติของการถูกสวมเขามันเป็นยังไง…”

เพียะ!

เสียงตบหน้าดังขึ้น ฉีหรูเสวี่ยตบหน้าฉินเหิงอย่างแรง กับคนที่ไร้สามัญสำนึก ไร้การอบรมสั่งสอน และไร้ซึ่งกริยาอันดีงาม จนมิอาจเรียกว่าเป็นผู้ชายได้นี้ ฉีหรูเสวี่ยไม่อยากจะเสวนาด้วย ตบหน้าไปทีหนึ่งก็พอแล้ว

“ดี ดี ตบได้ตี ตบได้ดี เย่เทียนเฉินกล้าอัดฉัน แกก็กล้าตบฉัน จะช้าจะเร็วฉันก็จะทำให้ชายหญิงชาติหมาอย่างพวกแกรู้ถึงความร้ายกาจของฉันฉินเหิง!” ฉินเหิงหัวเราะอย่างโกรธแค้น สองตาอันแดงก่ำราวเลือดจ้องไปยังฉีหรูเสวี่ยแล้วตะโกนขึ้น

ฉีหรูเสวี่ยขี้เกียจจะสนใจคนพรรค์นี้จึงหันหน้าไปอีกฝั่งมองไปนอกหน้าต่าง ในใจรู้สึกโศกเศร้า ตนเองจะต้องแต่งให้กับตระกูลฉินจริงๆ หรือ? จะไม่มีโอกาสให้ไขว่คว้าความสุขของตนเองสักนิดเลยหรือ?

ตอนนี้ ฉีหรูเสวี่ยอดคิดถึงเย่เทียนเฉินไม่ได้ คนคนนี้แม้จะน่ารังเกียจ แต่ก็แข็งแกร่งกว่าคนบ้าคลั่งอย่างฉินเหิงคนนี้มาก คิดถึงช่วงเวลาที่ตนเองอาศัยอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลเย่ แม้จะทะเลาะกับเย่เทียนเฉินบ่อยๆ แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นตนที่ไปกวนประสาทเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินเอะอะโวยวายว่าจะแก้แค้นตนเอง แต่ก็ไม่ได้ลงมือจริงจังอะไร อีกทั้งตอนที่ไปประเทศMก็ยังแปะโน๊ตไว้ให้แผ่นหนึ่งด้วย เมื่อคิดว่าเย่เทียนเฉินเอะอะโวยวายใหญ่โตแต่ไม่ได้ทำอะไรจริงจัง นับว่าเป็นสุภาพบุรุษจริงๆ

ฉินเหิงบ้าไปแล้วโดยสิ้นเชิง หลังจากที่ความทะนงตนอันเปราะบางของเขาถูกเย่เทียนเฉินทำลายไปก็ยิ่งทวีความบ้าคลั่งจนกลายเป็นคนวิปริตโดยสมบูรณ์ ในใจรับไม่ได้เรื่องที่มีคนกล้าทำร้ายคุณชายตระกูลฉินอย่างเขา

แต่ไหนแต่ไร ตัวเขาฉินเหิงก็ยโสโอหังและใช้อำนาจบาตรใหญ่อยู่ในเมืองหลวงมาตลอด ต่อให้ตระกูลฉินไม่ได้เป็นสามตระกูลใหญ่แห่งประเทศจีน แต่ก็ไม่มีใครกล้าทำอะไรเขา รวมทั้งเขาเคยกระทำความผิดฐานข่มขืนในเมืองหลวง ก็เพียงไปนั่งในคุกอยู่ไม่กี่ปีก็ได้ออกมาเป็นคุณชายตระกูลฉินที่ยโสโองหังต่อไปได้ แล้วจะยังมีใครกล้ามาทำอะไรเขาอีกล่ะ?

ไหนเลยจะรู้ว่าจะต้องมาพบกับเย่เทียนเฉิน ตนนำคนไปยังบ้านตระกูลเย่โดยไม่แยแสสิ่งใด เพื่อต้องการไปสั่งสอนอีกฝ่ายถึงประตูบ้าน ให้เขาได้รับความอัปยศอดสู แต่คาดไม่ถึงว่าตนจะถูกเย่เทียนเฉินหยุดไว้ที่เป้ยเฟิงเซวียนแล้วอัดคุณชายตระกูลฉีผู้นี้จนหน้าทิ่มดิน อัดจนหน้าตาไม่เหลือเค้าเดิม ขายตาต่อหน้าประชาชี กระทั่งฉินเทาหยวนพ่อของตนก็ถูกเย่เทียนเฉินตบหน้า สำหรับตระกูลฉินแล้วนี่เป็นความอัปยศที่ไม่อาจทนรับได้

ถ้าไม่ใช่ว่าผู้อาวุโสฉินอี้สั่งเอาไว้อย่างเด็ดขาดว่า ไม่อนุญาตให้บุ่มบ่ามไปสร้างความวุ่นวายให้กับเย่เทียนเฉิน ด้วยนิสัยโอหังและกำเริบเสิบสานของฉินเหิง คงว่าจ้างนักฆ่าไปฆ่าเย่เทียนเฉินทั้งครอบครัวแล้ว แม้ว่าจะไม่กล้าลงมือ แต่กลับทำให้ฉินเหิงคิดถึงวิธีที่จะแก้แค้นเย่เทียนเฉินวิธีนี้ขึ้นมาได้ จิตใจของเขาวิปริตไปแล้วโดยสิ้นเชิง

“คืนนี้ฉันจะทำให้แกอยู่ไม่สู้ตาย จะทำให้เย่เทียนเฉินได้ยินเสียงร้องครวญครางของแก” ฉินเหิงยิ้มอย่างอัปลักษณ์ มองฉีหรูเสวี่ยแล้วเอ่ยขึ้น

“ฉันไม่ยอมให้แกทำเรื่องชั่วๆ ได้แน่ ต่อให้ตายก็ไม่ยอม!” ฉีหรูเสวี่ยเอ่ยอย่างแข็งกร้าว

ไม่นานรถที่ฉินเหิงและฉีหรูเสวี่ยนั่งก็มาถึงประตูคฤหาสน์ตระกูลฉิน ข้างหลังตามมาด้วยรถสีดำสิบกว่าคัน คนที่ลงมาจากบนรถล้วนแต่เป็นบอดี้การ์ดของตระกูลฉินทั้งหมด ตั้งแต่ที่ฉินเหิงถูกเย่เทียนเฉินทำร้าย ข้างกายเขาก็มีบอดี้การ์ดฝีมือดีมากยิ่งขึ้น หากมีไม่มากพอ เขาก็จะยิ่งรู้สึกไม่ปลอดภัย

ฉีหรูเสวี่ยหมั้นกับฉินเหิง คนตระกูลฉีเองก็มากันเยอะ รวมไปถึงฉีหรูไห่ซึ่งเป็นผู้อาวุโสตระกูลฉี ฉีชางเซิ่งพ่อของฉีหรูเสวี่ย และฉีย่ากวงพี่ชายของเธอ ทุกคนมาถึงกันนานแล้ว ตอนนี้กำลังพูดคุยกับเหล่าบุคคลสำคัญอย่างยินดี พวกเขาลืมไปแล้ว ลืมฉีหรูเสวี่ยที่กำลังร้องไห้และเจ็บปวดใจไปแล้ว เอาแต่ดีใจไม่หยุดกับการที่อำนาจอิทธพลของตระกูลฉีสามารถยกระดับขึ้นไปได้อีกขั้น

“สวัสดีครับทุกท่าน ขอบพระคุณทุกท่านที่สละเวลาอันมีค่า มาร่วมพิธีหมั้นหมายระหว่างคุณชายฉินเหิงและคุณหนูฉีหรูเสวี่ย ตอนนี้ผมขอเป็นตัวแทนตระกูลฉินกล่าวอวยพร ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จและสมปราถนาทุกประการ!”

แม้ว่าคำพูดของพิธีกรจะล้าสมัย แต่ก็ยังคงใช้ได้ดี เดิมทีคนเหล่านี้ที่มาร่วมพิธีหมั้นหมายของฉินเหิงและฉีหรูเสวี่ยในครั้งนี้ มีเพียงไม่กี่คนที่มาเพื่อดูพิธีหมั้น กล่าวให้ชัดเจนก็คือ มาเพราะปัจจัยสองอย่าง หนึ่ง ถ้าไม่มาก็แสดงว่าล่วงเกินตระกูลฉิน จึงไม่มาไม่มา สอง คนที่มาส่วนใหญ่เป็นบุคคลที่มีหน้ามีตาทั้งในและต่างประเทศ ถ้ามาก็ได้ทำความรู้จักคนในแวดวงสังคม มีประโยชน์และคุ้มค่าเป็นอย่างมาก

“ลำดับต่อไปพวกเราขอเชิญผู้อาวุโสตระกูลฉิน ท่านฉินอี้ มากล่าวปราศรัย ทุกท่านโปรดต้อนรับ!”

หลังจากเสียงปรบมือดั่งกระหึ่มหยุดลง ฉินอี้เดินขึ้นมาบนเวที หยิบไมโครโฟนแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมพิธีหมั้นของฉินเหิงหลานชายของผม ขอบคุณทุกท่านสำหรับการสนับสนุนตระกูลฉิน หากมีส่วนไหนที่รับรองได้ไม่ดีก็ขออภัยด้วยนะครับ!”

ฉินอี้กล่าวปราศรัยง่ายๆ ไม่กี่ประโยค เขาเป็นหัวหน้าตระกูลฉิน มีตำแหน่งที่สำคัญในประเทศ กล่าวได้ว่าที่คนเหล่านี้มาก็เพราะเห็นแก่หน้าเขา อาศัยแค่ฉินเทาหยวนและฉินเหิง ต่อให้เป็นงานแต่งงานก็เกรงว่าจะเชิญคนพวกนี้มาไม่ได้

“ผมขอประกาศว่า พิธีหมั้นของคุณฉินเหิงและคุณฉีหรูเสวี่ย เริ่มขึ้น ณ บัดนี้!” พิธีกรพูดเสียงดัง

ทุกคนต่างนั่งอยู่บนที่นั่งด้านล่าง มองฉินเหิงและฉีหรูเสวี่ยเดินขึ้นเวที ฉีหรูเสวี่ยสวมชุดเจ้าสาวอันงดงาม ทั้งยังไร้การแต่งแต้มใดๆ แต่ก็ไม่อาจซ่อนเอกลักษณ์อันงดงามตรึงใจผู้คนได้ หลายคนเห็นก็อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง และมีหลายคนที่แอบรู้สึกเสียดาย สาวงามเลิศล้ำคนหนึ่ง ต้องมาหมั้นกับเศษสวะอย่างฉินเหิง สวรรค์ช่างไม่มีตาเลยจริงๆ

กระทั่งมีหลายคนคิดว่า หากฉีหรูเสวี่ยหมั้นกับเย่เทียนเฉินคงจะดีกว่ารึเปล่า? ดีกว่าต้องแต่งให้เศษสวะอย่างฉินเหิงเสียอีก!

“ตอนนี้ผมจะขอถามตามพิธีหน่อยนะครับ คุณฉินเหิง คุณเต็มใจที่จะแต่งคุณฉีหรูเสวี่ยเป็นภรรยาหรือไม่?” พิธีกรถามยิ้มๆ

“ผมเต็มใจ!” ฉินเหิงยิ้มเย็นชา มองไปยังฉีหรูเสวี่ยแล้วเอ่ยตอบ

“เช่นนั้นคุณฉีหรูเสวี่ย คุณเต็มใจที่จะแต่งให้กับคุณฉินเหิงหรือไม่?” พิธีกรถามต่อไปด้วยรอยยิ้ม

“ไม่เต็มใจ!” ฉีหรูเสวี่ยเอ่ยอย่างเย็นชา

พิธีกรพลันชะงักค้างทำตัวไม่ถูก ส่วนเหล่าแขกรับเชิญที่มาก็ส่งเสียงฮือฮา เดิมทีนี่เป็นพิธีหมั้นหมาย ไม่ควรจะถามเหมือนพิธีแต่งงาน แต่พิธีกรถามเช่นนี้ ก็เพราะอยากจะบอกทุกคนว่า เรื่องของฉินเหิงและฉีหรูเสวี่ยถูกกำหนดเป็นที่แน่นอนแล้ว ไหนเลยจะรู้ว่าฉีหรูเสวี่ยจะพูดสามคำนี้ออกมา

“เอ่อ ฮ่ะๆ ทั้งสองอย่าได้แกล้งกันเลยครับ จะต้องแกล้งกันแน่ๆ โบราณกล่าวไว้ว่า สามีภรรยาทะเลาะกันคืนดีกันได้อย่างรวดเร็ว เรื่องระหว่างสามีภรรยา ไม่อาจหลีกเลี่ยงการกระทบกระทั่งกันได้ อีกสักครู่เข้าห้องหอก็ดีกันแล้ว!” พิธีกรรีบพูดให้จบลงด้วยดี

ฉีหรูเสวี่ยหันหน้าไปด้านหนึ่ง มองแขกรับเชิญด้านล่าง ในสายตาของเธอมีความคาดหวังอย่างหนึ่ง เป็นเพราะเธอได้ข่าวว่าเย่เทียนเฉินกลับมาแล้ว และไม่รู้ว่าทำไม ตอนนี้ฉีหรูเสวี่ยถึงอยากเจอเจ้าคนบ้านี่นัก อยากเจอมากๆ อยากเจอสุดๆ แบบนั้นเลย ราวกับว่าเป็นฟางเส้นสุดท้ายของเธอ

“เฮอะ ไม่ต้องมองไปข้างล่างแล้ว เธอคิดว่าเย่เทียนเฉินกล้ามารึไง? ต่อให้มา ฉันก็รับประกันได้เลยว่า มันจะเดินออกไปจากตระกูลฉินของฉันไม่ได้ จะต้องตายอย่างอนาถ!” ฉินเหิงกระซิบกับฉีหรูเสวี่ยอย่างโหดเหี้ยม

…………………………………………………….

บทที่ 111 ฉินเหิงผู้บ้าคลั่ง
Ink Stone_Fantasy
ตอนกลางคืน หลังจากที่ทานอาหารเย็นแล้ว เย่เทียนเฉินก็ไปอาบน้ำ จนกระทั่งตอนที่เขาออกมา พบว่าหลัวเยี่ยนและเย่เชี่ยนเหวินนั่งดูโทรทัศน์อยู่บนโซฟาห้องรับแขก บรรยากาศดูจะไม่ค่อยปกติเท่าไรนัก

“ว้าว สาวสวยทั้งสองคืนนี้ไม่หลับไม่นอน จะดูทีวีโต้รุ่งกันเลยเหรอ?” เย่เทียนเฉินใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมตนเองพลางถามยิ้มๆ

“พี่คะ มานี่!” เย่เชี่ยนเหวินมองเย่เทียนเฉินผู้เป็นพี่เขม็ง พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่งการ

“ยัยเด็กแก่แดด นี่มันน้ำเสียงอะไรกัน? ถึงกับกล้าสั่งพี่เชียว? ไปกินรังแตนที่ไหนมา?”

“เทียนเฉิน มานี่!” หลัวเยี่ยนเองก็พูดขึ้นด้วยใบหน้าจริงจัง

คราวนี้เย่เทียนเฉินรู้สึกห่อเหี่ยวจริงๆ แล้ว คำพูดของแม่นี้ไม่ฟังไม่ได้ เย่เทียนนเฉินมองเย่เชี่ยนเหวินที่กำลังแอบหัวเราะอยู่อย่างดุดัน แล้วจึงเดินไปนั่งบนโซฟาตรงข้ามกับแม่และน้องสาว

หลัวเยี่ยนมองเย่เทียนเฉินแวบหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นว่า “พรุ่งนี้ฉีหรูเสวี่ยก็จะต้องหมั้นกับฉินเหิงแล้ว สถานที่ที่ทำการหมั้นหมายก็คือในสวนของบ้านตระกูลฉิน วันนี้แม่กับน้องไปเดินซื้อของกันนานมาก แล้วได้เลือกของขวัญให้หรูเสวี่ยมาแล้วชิ้นหนึ่ง พวกเราไม่อาจช่วยให้เธอไล่ตามความสุขได้ ถ้างั้นก็ทำได้แค่ส่งอำอวยพรไปให้แล้ว!”

“อ่า นี่เป็นเรื่องดีนะครับ ให้ของขวัญก็เป็นเรื่องที่สมควรทำ” เย่เทียนเฉินเอ่ยยิ้มๆ

“คนใจร้าย โชคร้ายจริงๆ ที่พี่หรูเสวี่ยรักพี่ เชอะ!” เย่เชี่ยนเหวินได้ยินพี่ชายพูดเช่นนี้ก็พูดอย่างไม่ไว้หน้าเลยสักนิด

“คุณน้องครับ พี่จะบอกอีกครั้งนะ ระหว่างพี่กับฉีหรูเสวี่ยไม่มีอะไรกันเลย อย่างมากที่สุดก็เป็นแค่เพื่อนธรรมดาเท่านั้น อีกอย่างสิ่งที่คนคนนี้พูด มันก็เป็นคำพูดหลอกลวงน้องกับแม่ทั้งนั้น ทำไมพวกเธอสองคนไม่สงสัยกันสักนิดนะ?” เย่เทียนเฉินพูดอย่างเอือมระอา

“พี่คะ หนูผิดหวังกับพี่มากจริงๆ เลย พี่รู้ไหม? ตอนที่พี่ไปประเทศM พี่หรูเสวี่ยเป็นห่วงพี่ทั้งวัน พี่รู้ไหมว่ากุ้งมังกรที่พี่กินตอนกลางวันใครเป็นคนทำให้? เป็นพี่สาวหรูเสวี่ยทำให้พี่ตอนที่ต้องจากไป พี่รู้ไหมว่าตอนที่พี่สาวหรูเสวี่ยไปเธอร้องไห้เสียใจหนักขนาดไหน? พี่รู้ไหมว่าในใจของเธอเจ็บปวดแค่ไหน?” เย่เชี่ยนเหวินพูด ดวงตาแดงก่ำ เกือบจะร้องไห้อยู่ร่อมร่อ

“นี่ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับพี่นี่ ทุกคนต่างก็มีสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ใช่ไหม?”

“เทียนเฉิน แม่ไม่สนว่าลูกจะคิดยังไง แล้วก็ไม่สนว่าลูกจะทำยังไง อย่างไรเสียพรุ่งนี้ตอนเที่ยง หรูเสวี่ยก็ต้องหมั้นกับฉินเหิงแล้ว ขอเพียงการหมั้นสำเร็จ ชีวิตนี้ของหรูเสวี่ยก็คงจบสิ้นแล้ว นี่เป็นของขวัญที่แม่กับน้องเลือกให้เธอ ลูกเอาไปให้เธอเถอะ!” หลัวเยี่ยนกล่าว มองเย่เทียนเฉินแวบหนึ่ง

“ไม่จริงน่า? ให้ผมเอาไปให้เนี่ยนะ? แล้วผมว่ามันมีอะไรไม่ถูกต้องนะครับ ไม่ใช่ว่าการหมั้นระหว่างเธอกับฉินเหิงอะไรนั่นมีเดือนหน้าเหรอ? ทำไมถึงจัดก่อนเวลาขนาดนี้?” เย่เทียนเฉินถามอย่างสงสัย

“ก็เพราะพี่ไงล่ะ พวกเราได้ยินมาว่าเพราะพี่ไปอัดฉินเหิง ฉินเหิงอยากแก้แค้น เลยใช้ผลประโยชน์เข้าหลอกล่อตระกูลฉีเพื่อให้พี่สาวหรูเสวี่ยหมั้นกับเขาเร็วขึ้น!” เย่เชี่ยนเฉินกล่าวหน้ายู่

“พี่? ไอ้หมอนี่แก้แค้นพี่?” เย่เทียนเฉินยิ่งไม่เข้าใจเข้าไปใหญ่ ตนเองกับฉีหรูเสวี่ยไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกันมากมาย แล้วหล่อนก็ไม่ใช่แฟนสาวของตัวเองด้วย ฉินเหิงเร่งรัดการหมั้นกับฉีหรูเสวี่ย จะเป็นการแก้แค้นเขาได้อย่างไรล่ะ?

“เทียนเฉิน ความจริงเมืองหลวงลือกันแบบนี้ ฉินเหิงต้องการเร่งรัดการหมั้นกับฉีหรูเสวี่ยก็เพื่อจะแก้แค้นลูก เพราะก่อนหน้านี้ลูกหมั้นกับหรูเสวี่ยมาก่อน ถึงตอนหลังจะถอนหมั้นแล้วก็เถอะ…” หลัวเยี่ยนมองเย่เทียนเฉินผู้เป็นลูกแล้วเอ่ยขึ้น

“ไม่จริงน่า? ไอ้หมอนี่จิตใจไม่ปกติหรือไง? ถึงกับคิดวิธีแบบนี้มาแก้แค้นผม เก่งนักก็มาสู้กันตัวตัวกับผมสิ” เย่เทียนเฉินเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์

ฉินเหิงถึงกับใช้การหมั้นหมายกับฉีหรูเสวี่ยมาแก้แค้นตนเอง นี่เป็นสิ่งที่เย่เทียนเฉินคิดไม่ถึง ทั้งยังเหยียดหยามเป็นอย่างมาก เกิดเป็นลูกผู้ชาย ไม่กล้าสู้กับอีกฝ่ายอย่างตรงไปตรงมา แถมยังใช้ผู้หญิงมาแก้แค้นศัตรู ช่างเสียชาติเกิดเสียจริง

“ผมรู้แล้วครับ เรื่องนี้ผมจัดการเอง!”

เย่เทียนเฉินพูดจบก็เดินขึ้นไปชั้นสอง เข้าไปภายในห้องของตนเอง เขาตัดสินใจแล้วว่าพรุ่งนี้จะไปบ้านตระกูลฉินสักครั้ง ไม่ว่าจะเพื่อฉีหรูเสวี่ยก็ดี หรือจะเพื่อสั่งสอนฉินเหิงไม่ให้เขาทำตัวต่ำช้าไร้อางอายขนาดนั้นก็ตาม อย่างไรเสียเย่เทียนเฉินก็เตรียมลงมือแล้ว

เย่เทียนเฉินนั่งขัดสมาธิบนเตียง เข้าสู่สภาวะสมาธิ ตอนสุดท้ายที่สู้กับโทมัส เขาได้ใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษสายพสุธาออกไป ตั้งแต่ที่เขาได้มาเกิดใหม่ในเมือง นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ใช้เคล็ดวิชาในสายที่แตกต่างกัน หากไม่ใช่ว่าถูกบีบบังคับเขาจะไม่ยอมใช้อย่างเด็ดขาด เพราะการที่ผู้มีพลังพิเศษคนหนึ่งสามารถใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษในสายที่แตกต่างกันได้ แสดงให้เห็นว่าในร่างกายของเขามีพลังพิเศษสายที่ไม่เหมือนกันดำรงอยู่

เมื่อมีคุณย่อมมีโทษ ถึงการใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษในสายที่แตกต่างกันได้จะแข็งแกร่งมาก และยังอยู่นอกเหนือการคาดการณ์ของผู้คน แต่การมีพลังพิเศษในสายที่แตกต่างกันอยู่ในร่างกายร่างหนึ่ง พลังพิเศษสายที่แตกต่างนั่นก็จะกดข่มธาตุอื่นเป็นทอดๆ ซึ่งอันตรายเป็นอย่างมาก ถ้าหากควบคุมไม่ดี จุดจบก็มีเพียงอย่างเดียวคือ ร่างกายของตนเองจะระเบิดจนตาย

ดังนั้นหากไม่จำเป็นจริงๆ เย่เทียนเฉินจะไม่ใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษในสายที่แตกต่างกัน แต่โทมัสแกร่งกร้าวมากจริงๆ ถึงกับสามารถใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษสายวารีที่แข็งแกร่งเช่นนั้นออกมาได้ หากตอนนั้นเย่เทียนเฉินไม่ใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษสายพสุธามาควบคุมเอาไว้ล่ะก็ ตอนนี้เขาคงไม่มีชีวิตอยู่แล้ว

หลังจากเข้าสู่สภาวะสมาธิ เย่เทียนเฉินก็สามารถมองเห็นสภาพในร่างกายและสมองของตนเองได้อย่างแจ่มชัด โดยปกติแล้วพลังพิเศษจะอาศัยอยู่ในหยาดเลือดและชีพจร โดยมีแก่นพลังพิเศษในสมองคอยควบคุม เมื่อก่อนเย่เทียนเฉินไม่ได้กลั่นพลังพิเศษสายพสุธาออกมา เพื่อไม่ให้มีพลังพิแศษสองสายดำรงอยู่ในร่างกายจนมีการปะทะกันและเกิดความไม่สมดุลขึ้น

แต่การต่อสู้กับโทมัสทำให้จำเป็นต้องใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษสายพสุธาออกไป ตอนนี้ในร่างกายของเย่เทียนเฉินจึงมีพลังพิเศษอยู่สองสายคือพลังพิเศษสายอสุนีและสายพสุธา อีกทั้งสภาพภายในร่างกายก็ย่ำแย่ หากมองด้วยสายตาย่อมไม่เห็น มีเพียงยามที่เย่เทียนเฉินมองเข้าไปยังภายในจึงจะสามารถค้นพบว่าในชีพจรและเส้นเลือดฝอยภายในร่างกายของเขาเกิดการปริแตก หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเกรงว่าจะรักษาชีวิตไว้ไม่ได้

“ท่าทางร่างกายนี้จะยังรับไม่ได้ ขอบเขตพลังพิเศษยังไม่ถึงระดับพระเจ้า แล้วมีพลังพิเศษที่แตกต่างกันในร่างกายหลายสาย ยังไงก็เป็นเรื่องที่อันตรายมาก!” เย่เทียนเฉินลืมตา เอ่ยกับตนเอง

ในช่วงยุคสิ้นโลก เย่เทียนเฉินเคยมีสถาณการณ์ที่มีพลังพิเศษหลายสายในร่างกายมาแล้ว แต่ตอนนั้นขอบเขตพลังพิเศษของเขาอยู่ในระดับพระเจ้าแล้ว แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง รวมกับที่ตัวเขาได้ทำการบ่มเพาะกายเนื้อจนร้ายกาจ ดังนั้นจึงสามารถนำพลังพิเศษที่แตกต่างกันหลายสายแบ่งไปเก็บไว้ในอวัยวะต่างๆ ที่แตกต่างกันได้ นี่เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมในช่วงสิ้นโลก เย่เทียนเฉินสามารถกดข่มผู้มีพลังพิเศษระดับเดียวกันได้ กระทั่งสามารถสู้กับผู้มีพลังพิเศษในระดับที่เหนือกว่าตนเองได้

เช้าวันต่อมา เย่เทียนเฉินถูกเสียงเคาะประตูปลุกให้ตื่น ฉีหรูเสวี่ยไปจากบ้านตระกูลเย่แล้ว ปกติหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ก็ไม่มาเคาะประตู ดังนั้นต่อให้เย่เทียนเฉินหลับตาก็ยังรู้ว่าคนที่มาเคาะประตูจะต้องเป็นน้องสาวของเขาเย่เชี่ยนเหวินอย่างแน่นอน

“พี่คะ เปิดประตูเร็วพี่ เกิดเรื่องแล้ว เกี่ยวกับพี่ด้วย…พี่คะ!” เย่เชี่ยนเหวินที่อยู่ด้านนอกเคาะประตูอย่างแรงพลางตะโกน

“พี่รู้อยู่แล้วล่ะว่าต้องเป็นเธอ จะมีเรื่องใหญ่อะไรกัน? อย่ามากวนพี่นอนสิ พี่จะลุกจากเตียงตอนสิบเอ็ดโมง” เย่เทียนเฉินนอนอยู่บนเตียง พูดออกมาอย่างเอื่อยเฉื่อย

“นี่ พี่คะ เกิดเรื่องใหญ่จริงๆ นะ เกิดเรื่องใหญ่จริงๆ…ฉินเหิงให้สัมภาษณ์ในหนังสือพิมพ์ซุบซิบที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงว่าขอเพียงเป็นผู้หญิงที่อยู่ข้างกายพี่ ผู้หญิงที่มีความสัมพันธ์กับพี่ เขาจะทำให้มาอยู่ในกำมือทั้งหมด…”

เย่เทียนเฉินลุกขึ้นจากเตียง ในใจไม่สบอารมณ์ยิ่งนัก ฉินเหิงนี่ไม่รู้จักเข็ดหลาบเลยจริงๆ ครั้งที่แล้วตนเองอัดเขายังรู้สึกไม่ค่อยสะใจเท่าไร ครั้งนี้ยังมาแส่หาเรื่องอีก คนตระกูลฉินนี่ยโสโอหังจนเคยตัวเสียแล้ว ไม่กำจัดคงไม่ได้ ภายหลังไม่แน่ว่าจะมาสร้างความวุ่นวายให้ตระกูลเย่ของตนทุกสองวันสามวันก็เป็นได้

“พี่รู้แล้ว ตอนเที่ยงพี่จะไปบ้านตระกูลฉินสักหน่อย บอกแม่ด้วยว่าไม่ต้องหุงข้าวเผื่อพี่แล้ว!” เย่เทียนเฉินเปิดปากพูด

เวลาประมาณสิบเอ็ดนาฬิกา เย่เทียนเฉินสวมสูทเรียกริบ ส่องกระจกดูก็รู้สึกว่าหล่อสุดๆ แล้วเดินออกไปจากคฤหาสน์ด้วยความมั่นใจ ขี่มอเตอร์ไซด์สุดเท่ของตนที่อยู่ในโรงรถขนาดเล็กด้านข้างออกมา จัดทรงผมของตัวเองกับกระจกเล็กน้อย จากนั้นจึงขับมอเตอร์ไซด์จากไป

หากมีคนเห็นเย่เทียนเฉิน เกรงว่าจะต้องคิดว่าเย่เทียนเฉินแห่งตระกูลเย่คนนี้ ทำไมถึงได้ปัญญาอ่อนเช่นนี้หนอ สวมสูทขับมอเตอร์ไซด์ ช่างเป็นการจับคู่ที่ไม่เข้ากันเสียเลย แต่เย่เทียนเฉินเองรู้สึกว่าก็ไม่เลวเลยทีเดียว บางทีคนคนนี้ก็ทำให้ผู้คนรู้สึกอับจนคำพูด

ณ ตระกูลฉิน ภายในสวนหย่อมขนาดใหญ่ของบ้านตระกูลฉินนั้นได้มีแขกเหรื่อมากันเต็มไปหมดแล้ว ฉินอี้ผู้อาวุโสตระกูลฉินและฉินเทาหยวนพ่อของฉินเหิงต่างกำลังทักทายแขกผู้มีเกียรติ์ ตระกูลชั้นหนึ่งดั่งเช่นตระกูลฉินมีเรื่องราวเช่นนี้ คนที่มาร่วมพิธีหมั้นล้วนเป็นคนใหญ่คนโตที่มีหน้ามีตาทั้งในและต่างประเทศ ส่วนฉินเหิงนั้นไปรับตัวฉีหรูเสวี่ยที่บ้านตระกูลฉีตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว งานหมั้นงานหนึ่งจัดราวกับงานแต่ง สิ่งที่ฉินเหิงต้องการคือผลลัพธ์นี้ กล่าวด้วยคำพูดของเขาก็คือ หากต้องการจะแก้แค้นเย่เทียนเฉิน เขาก็ต้องนอนกับผู้หญิงที่มีความสัมพันธ์กับเย่เทียนเฉิน ดูสิว่าเย่เทียนเฉินจะทำอะไรเขาได้

เดิมทีครั้งนี้ที่ฉินเหิงถูกทำร้าย เขาคิดว่าพ่อของเขาฉินเทาหยวนจะสามารถออกหน้าให้ตนได้ เขารู้ว่าเย่เทียนเฉินกล้าทำร้ายแม้กระทั่งฉินเทาหยวน พอปู่ของเขาฉินอี้ออกหน้ากลับถูกหยางอี้ขัดขวาง ฉินเหิงต้องกล้ำกลืนความโกรธจนเต็มท้องไม่มีที่ระบาย ตั้งแต่เล็กจนโตตนเองก็โอหังอวดดีไปทั่วทั้งเมืองหลวง ยังไม่เคยถูกใครรังแกเช่นนี้มาก่อน เย่เทียนเฉินเป็นคนแรกที่กล้าทำร้ายเขา และเป็นคนที่ทำร้ายตนเองแล้วยังอยู่ดีได้ จะอย่างไรฉินเหิงก็รับไม่ได้อย่างเด็ดขาด

หลังจากที่อาการบาดเจ็บของฉินเหิงดีขึ้นเล็กน้อย ก็เตรียมจะทำการซื้อตัวมือสังหารและกระทั่งทหารรับจ้างที่แข็งแกร่งให้ไปกำจัดเย่เทียนเฉิน แต่กลับถูกผู้อาวุโสฉินอี้ตำหนิ ไม่อนุญาตให้เขาทำอะไรบุ่มบ่ามในช่วงนี้ จะอย่างไรก็ต้องรอหลังการเลือกตั้ง มิฉะนั้นแล้ว ด้วยนิสัยหยิ่งผยองและชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่เช่นนี้ของฉินเหิงจะทนมาจนถึงตอนนี้ได้อย่างไร

“เย่เทียนเฉิน ฉันอยากจะเห็นจริงๆ ฉีหรูเสวี่ยเป็นอดีตคู่หมั้นของแก ตอนนี้ถ้าฉันพาเธอขึ้นเตียง แกยังจะทนได้อีกไหม!”

………………………………………….

บทที่ 110 ฉีหรูเสวี่ยไปจากบ้านตระกูลเย่แล้ว
Ink Stone_Fantasy
“เมื่อกี้ไม่ใช่ว่านายยุ่งมาก ไม่อยากจะคุยกับฉันไม่ใช่เหรอ? ทำไมยังไม่ไปปอีก? ฉันยุ่งนะ!” หยางอี้พูด มองเย่เทียนเฉิน จงใจทำท่าทางอยากให้เขารีบๆ ไปซะ

เย่เทียนเฉินรู้สึกหมดคำพูดเหลือเกิน จะอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่า ลูกพี่หยางอี้ที่สง่าผ่าเผยคนนี้ บทจะหน้าด้านขึ้นมาจะร้ายกาจกว่าตนเองสิบเท่า ขิงยิงแก่ก็ยิ่งเผ็ดจริงๆ

“เมื่อกี้ผมรีบเพราะผมปวดฉี่หรอก ตอนนี้อั้ดไว้แล้ว ไม่รีบแล้วครับ เลื่อนขั้นให้พ่อผมสามขั้นเป็นไง?” เย่เทียนเฉินพยายามสุดความสามารถเพื่อความสุขของพ่อ หยางอี้เป็นคนใหญ่คนโต ถ้าหากเขาพูดสักประโยค การที่เย่หงจะเลื่อนขั้นต่อๆ กันสามก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

เรื่องบางเรื่องเย่เทียนเฉินสามารถทำเองได้ เรื่องบางเรื่องต้องให้ผู้อื่นช่วย ดังเช่นเรื่องการเลื่อนตำแหน่งทางราชการของพ่อของตน ต้องให้หยางอี้เอ่ยปากจึงจะทำได้ แต่จากสถานการณ์ในตอนนี้ ดูเหมือนว่าผู้เฒ่าคนนี้จะแกล้งเขาเล่น ไม่ยอมรับปากง่ายๆ แน่

“ปีนี้พ่อของนายก็จะเข้ามหาวิทยาลัยพรรคคอมมิวนิสต์แล้ว ถึงตอนนั้นก็มีหวังว่าจะได้เข้ามารับราชการในเมือง ในส่วนนี้นายวางใจได้ ชางหลางรับปากเงื่อนไขนี้ไปแล้ว แล้วก็ทำได้แล้วด้วย!” หยางอี้กล่าวยิ้มๆ

“ผมพูดถึงเรื่องเลื่อนขั้นให้พ่อของผมสามขั้น…” เย่เทียนเฉินเอ่ยอย่างอับจนคำพูด

“เรื่องนี้น่ะเหรอ ต้องรอให้ฉันตรวจสอบดูก่อนว่าที่นายพูดเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แล้วค่อยตบรางวัลตามผลงาน…”

“ไม่สนุก ไม่สนุกเลย ไปล่ะ…”

เย่เทียนเฉินหิ้วกระเป๋าของตนเดินมุ่งหน้าไปยังประตู หยางอี้อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าเย่เทียนเฉินช่างมีความพิเศษจริงๆ นิสัยของคนคนนี้เหมาะแก่การทำเรื่องต่างๆ ที่บุคลากรในระบบของประเทศไม่สามารถทำได้ ที่สำคัญก็คือเขาไม่ได้เป็นตัวแทนของประเทศ ฝีมือก็แข็งแกร่ง ยากมากที่ประเทศจีนจะมีผู้มีพรสวรรค์เช่นนี้เกิดขึ้น ต่อไปนี้จะต้องใช้เขาให้ดีดี

“จริงสิ เจ้าหนูวันๆ หัดก่อเรื่องในเมืองหลวงให้น้อยๆ หน่อยนะ ได้ข่าวว่าอีกไม่กี่วันฉีหรูเสวี่ยก็จะหมั้นกับฉินเหิงแล้ว…” หยางคิดนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้จึงกล่าวเตือนเย่เทียนเฉินที่กำลังเปิดประตู

“อย่ายุ่งกับผม!”

เย่เทียนเฉินกล่าวสี่คำนี้ทิ้งท้ายแล้วเดินออกไปจากห้องทำงานของหยางอี้ เมื่อเห็นชางหลางด้านล่างตึก ก็เดินไปข้างนอกด้วยความไม่พอใจ โดยที่ไม่ได้พูดเรื่องที่จะสู้กับชางหลางขึ้นมาเลย ตอนนี้จิตใจของเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ แล้วก็ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ฉีหรูเสวี่ย ผู้หญิงคนนี้น่ารำคาญมาก ตนเองไม่ได้มีความรู้สึกดีๆต่อเธอเลยสักนิด

เพียงแต่เมื่อได้ยินว่าฉีหรูเสวี่ยต้องหมั้นกับฉินเหิง เย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงวันเวลาที่ฉีหรูเสวี่ยอาศัยอยู่ที่บ้านของตน ได้ยินเธอพูดกับหลัวเยี่ยนและเย่เชี่ยนเหวินว่าเธอต้องการไล่ตามความสุขของตนเอง ไม่อยากกลายเป็นเครื่องมือแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระหว่างตระกูล มีความฝันและเป้าหมายเป็นของตัวเอง ในสังคมปัจจุบันยากที่จะหาผู้หญิงเช่นนี้ได้ ดังนั้นเย่เทียนเฉินค่อนข้างที่จะนับถือความกล้าหาญของฉีหรูเสวี่ยในระดับหนึ่ง

“ไอ้หนูไม่อยากสู้กับฉันเหรอ? พวกเราไปสนามฝึกกันตอนนี้เลยเป็นไง? คนอย่างฉันคำไหนคำนั้น” ชางหลางเอ่ย มองไปยังเย่เทียนเฉิน

“ไม่ว่าง ผมยุ่งมาก คุณไปเล่นคนเดียวเถอะ ผมกลับบ้านก่อนล่ะ!” เย่เทียนเฉินเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์

ชางหลางได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะชะงักไป เขารู้ว่าคนคนนี้อยากจะสู้กับตนมาตลอด แล้วครั้งนี้ชางหลางเองก็จริงจังมาก ตัดสินใจแล้วว่าจะลงมือสั่งสอนเย่เทียนเฉินสักหน่อย ที่ไหนได้ไอ้หนูนี่กลับไม่สนใจ ทำให้ชางหลางรู้สึกสงสัยจริงๆ

“กลับบ้าน งั้นการต่อสู้ของพวกเราจะต้องรอถึงเมื่อไร? หรือว่านายกลัวแพ้?” ชางหลางจงใจพูดจายั่วยุเย่เทียนเฉิน

เย่เทียนเฉินมองชางหลาง สรุปก็ไม่รู้ว่าทำไมตอนนี้ในใจของตนรู้สึกไม่ดี คิดเพียงอยากจะกลับบ้านเร็วๆ ไม่มีความปราถนาที่จะสู้กับชางหลางเลย

เมื่อเห็นว่าเย่เทียนเฉินหิ้วกระเป๋าเป้เดินมุ่งหน้าตรงไป ชางหลางกอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ไอ้หนูนี่กินยากินยาผิดมารึไง? ไม่นึกเลยว่าจะไม่อยากสู้กับฉันแล้ว?”

เย่เทียนเฉินโบกรถแท็กซี่คันหนึ่งที่ด้านนอก แล้วตรงกลับบ้าน หาวออกมาครั้งหนึ่ง นั่งสูบบุหรี่อยู่บนที่นั่งของรถแท็กซี่ ในหัวปรากฏภาพของฉีหรูเสวี่ย ตั้งแต่ที่ได้พบกับผู้หญิงคนนี้จนถึงตอนที่เธอเข้ามาอยู่ในบ้านของตนและสร้างวุ่นวายไม่หยุดหย่อน ทั้งสองไม่ถูกกัน ไม่คุ้นเคยกับอีกฝ่าย สิ่งต่างๆ เหล่านี้ปรากฏอยู่ในหัวของเย่เทียนเฉินไม่ขาดสาย

“ยัยบ๊องเอ๊ย ไม่มีความสามารถแล้วยังจะมาไล่ตามความสุขอะไรนั่นของตัวเองอีก เห้อ…” เย่เทียนเฉินเอ่ยแล้วทอดถอนใจ

ครึ่งชั่วโมงต่อมา เย่เทียนเฉินมาถึงหน้าประตูบ้านแล้ว เขาหิ้วกระเป๋าเป้ของตน เปิดประตูออกด้วยรอยยิ้ม แม้ว่าเรื่องของฉีหรูเสวี่ยจะทำให้เขารู้สึกรำคาญใจอยู่บ้าง แต่ไม่ได้เจอหน้าแม่และน้องสาตั้งหลายวัน จึงรู้สึกคิดถึงอยู่ในใจ

“แม่ น้อง ผมกลับมาแล้ว!” เย่เทียนเฉินตะโกน

เย่เทียนเฉินเดินเข้าประตูบ้านถึงได้พบว่าในคฤหาสน์ไม่มีคน ไม่รู้ว่าน้องและแม่ไปไหน วันนี้เป็นวันเสาร์ อาจจะออกไปช้อปปิ้งก็เป็นได้ เย่เทียนเฉินโยนกระเป๋าเป้ไว้บนโซฟา หยิบโคล่ากระเป๋าหนึ่งออกมาจากตู้เย็น ดื่มอึกๆ อักๆ เข้าไปหลายคำ แล้วจึงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาโทรหาแม่

“ฮัลโหล แม่อยู่ไหนกันครับ? ผมกลับมาแล้ว!” เมื่อต่อสายติดเย่เทียนเฉินก็เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

“แม่กับน้องสาวลูกกำลังช้อปปิ้งกันอยู่ อีกเดี๋ยวก็จะกลับแล้ว ถ้าลูกหิว ในตู้เย็นชั้นล่างสุดมีของกินอยู่ ลูกจัดการเองเลยนะ!”

เมื่อวางสายไป เย่เทียนเฉินก็หิวนิดหน่อยจริงๆ ตู้เย็นบ้านเขามีสามชั้น แม่บอกว่าของกินอยู่ชั้นล่างสุด น่าจะเป็นช่องแช่แข็ง จึงดึงช่องแช่แข็งออกมาดู เห็นว่าด้านในมีกุ้งมังกรตัวใหญ่ตัวหนึ่งแช่แข็งอยู่ ซึ่งยังไม่ถูกใครกินไปเลยสักนิด ราวกับอยู่ข้างล่างมาโดยตลอด

เย่เทียนเฉินหยิบกุ้งมังกรออกมา หุงข้าว นำกุ้งมังกรไปอุ่นในไมโครเวฟแล้วกินเข้าไป บอกได้เลยว่ารสชาติกุ้งมังกรตัวนี้อร่อยมาก เย่เทียนเฉินกินข้าวไปห้าชามติด แล้วค่อยเรอออกมาด้วยความพึงพอใจ จากนั้นก็ขึ้นไปนอนบนโซฟาแล้วหลับไปโดยไม่ได้เก็บถ้วยเก็บตะเกียบ การเดินทางไปประเทศMในครั้งนี้เหนื่อยอยู่บ้างจริงๆ ตั้งแต่เฮลิคอปเตอร์ถึงวอชิงตันก็ไม่ได้พักผ่อนดีๆ เลยสักนิด โดยเฉพาะตอนที่สู้กับโทมัส ทำให้เย่เทียนเฉินสูญเสียพลังพิเศษไปเยอะมาก

ครั้งนี้เย่เทียนเฉินใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษที่ไม่เหมือนกันสองสายซึ่งใช้พลังเยอะมาก แรกเริ่มใช้เคล็ดวิชาพลังสายอสุนี จนเมื่อโทมัสใช้เคล็ดวิชามังกรวารีออกมา เขาจึงไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงใช้เคล็ดวิชาสายพสุธาเข้าต่อต้าน มิฉะนั้นจะต้องตายเป็นแน่

เย่เทียนเฉินหลับไปโดยไม่รู้ตัว และไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหน เมื่อเขาลืมตาตื่น แม่กับน้องก็กลับมาแล้ว

“พี่ พี่ตื่นแล้วเหรอ จะงกไปรึเปล่า? ซื้อสร้อยเพชรมาให้น้องสาวแค่อันเดียวเนี่ยนะ?” เย่เชี่ยนเหวินชี้ไม้ชี้มือไปยังสร้อยเพชรบริเวณลำคออย่างลำพองใจ เอ่ยขึ้นแล้วมองเย่เทียนเฉินอย่างไม่พอใจ

“โลภจริง นี่มันสร้อยเพชรเลยนะ ดูดีๆ ราคาตั้งห้าหมื่นกว่า” เย่เทียนเฉินรู้สึกไร้คำพูดโดยสิ้นเชิง เขาเอ่ยขึ้น มองเย่เชี่ยนเหวินผู้เป็นน้องอย่างไม่สบอารมณ์

“ไม่จริงน่า? ห้าหมื่นกว่าเหรอ? ฮี่ๆ พี่ชาย พี่ดีกับหนูมากจริงๆ!” เย่เชี่ยนเหวินได้ยินพี่ชายบอกราคาสร้อยเพชรก็พลันเปลี่ยนสีหน้าทันที เธอพูดแล้วหัวเราะฮี่ๆ

เย่เทียนเฉินยืนขึ้น บิดขี้เกียจครั้งหนึ่ง มือซ้ายหยิบกำไลข้อมือเลี่ยมเพชรคู่หนึ่งไว้ในมือ มือขวาเคาะศีรษะเย่เชี่ยนเหวินเบาๆแล้วพูดว่า “ไปไกลๆ เลยยัยเด็กเห็นแก่เงิน ว่าแต่แม่อยู่ไหน?”

“พี่ยังจะถามอีกนะ กินข้าวเสร็จแล้วจานก็ไม่ล้าง แม่กำลังล้างจานอยู่ในครัว” เย่เชี่ยนเหวินทำปากยู่แล้วเอ่ยขึ้น

เย่เทียนเฉินหยิบกำไลข้อมือเลี่ยมเพชรเดินเข้าไปในครัว เห็นหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่กำลังล้างจานอยู่ เย่เทียนเฉินหัวเราะฮี่ๆ แล้วพูดว่า “แม่ครับ ดูสิครับว่าคราวนี้ลูกซื้ออะไรกลับมาให้แม่?””

หลัวเยี่ยนเห็นกำไลเพชรในมือลูกชายก็ดีใจเป็นอย่างมาก เพียงแต่เธอมีเรื่องในใจ คิดอยู่ตลอดว่าควรจะทำอย่างไรดี ตกลงว่าควรจะบอกลูกชายเช่นนี้หรือไม่

“แม่ครับ แม่เป็นอะไร? มีเรื่องไม่สบายใจเหรอครับ?” เย่เทียนเฉินเอ่ยยิ้มๆ

“ใช่แล้ว ลูก เรื่องการหมั้นของหรูเสวี่ยกับฉินเหิงลูกได้ข่าวรึยัง?” หลัวเยี่ยนมองเย่เทียนเฉิน แล้วจึงเปิดปากถาม

“ครับ ได้ยินมาแล้วครับ เธอหมั้นกับฉินเหิงก็เป็นเรื่องที่ดีนะครับ ตระกูลฉินมีอำนาจอิทธิพลยิ่งใหญ่ หากเกี่ยวดองกับตระกูลไฉีอย่างแน่นแฟ้นได้ก็ไม่เลวเลยนะครับ!” เย่เทียนเฉินเปิดปากพูด

“ลูก ลูกก็รู้ว่าหรูเสวี่ยไม่อยากแต่งให้กับฉินเหิง เธอไม่ได้ชอบฉินเหิง แม่รู้ว่าเรื่องนี้แม่ไม่ควรพูดอะไรมาก แต่ในฐานะที่เป็นผู้หญิงเหมือนกัน แม่คิดว่าหรูเสวี่ยเธอน่าสงสาร ผู้หญิงที่ดีขนาดนี้ ไม่ได้พบความสุขที่ตนเองต้องการ แม่เสียใจจริงๆ” หลัวเยี่ยนเอ่ยด้วยท่าทีโศกเศร้า

เย่เทียนเฉินเองก็เข้าใจดี วันเวลาที่ฉีหรูเสวี่ยเข้ามาอยู่ในบ้านนั้นเธอเข้ากับแม่และน้องสาวได้เป็นอย่างดี ทุกคนล้วนมีความสุข แล้วหลัวเยี่ยนก็ชอบใจฉีหรูเสวี่ยมาตลอด ตามที่เธอพูด ยุคสมัยนี้ หากต้องการหาผู้หญิงคนหนึ่งที่ทั้งสวย ทั้งสามารถออกหน้ารับแขกและลงครัวทำอาหารได้นั้น ช่างยากเหลือเกิน ไม่ง่ายเลยจริงๆ

“แม่ครับ แม่คงไม่ได้คิดจะให้ลูกชายไปทำลายงานแต่งหรอกนะครับ? ทำแบบนี้มันจะวุ่นวายเกินไปสักหน่อย ถึงตอนนั้นตระกูลเย่ของพวกเรา ตระกูลฉีและตระกูลเหิง จะต้องอับอายขายหน้ากันหมด ไม่ดีหรอกครับ…” เย่เทียนเฉินคิดอะไรขึ้นได้จึงรีบเปิดปากพูด

“ต่อให้เป็นเพื่อนธรรมดา แม่ก็ไม่อยากเห็นหรูเสวี่ยกระโดดเข้าไปในกองไฟ อยากจะช่วยเธอ น่าเสียดายที่แม่ช่วยอะไรไม่ได้ วันที่เธอไป กอดแม่แล้วร้องไห้อยู่นาน เหมือนกับลูกสาวของแม่ที่กำลังจะแต่งงานออกไปเลย แม่เสียใจจริงๆ ลูกคิดว่าคนตระกูลฉีพวกนั้นจะคิดยังไง ต่อให้ใช้การแต่งงานของลูกๆ เพื่อยกระดับอิทธิพลครอบครัว ก็คงไม่ทำเกินไปหรอกใช่ไหม? หรูเสวี่ยเป็นผู้หญิงที่ดีขนาดนี้ ควรจะมีความสุขเป็นของตัวเอง” หลัวเยี่ยนเอ่ยแล้วเดินออกจากห้องครัว รู้สึกเสียใจกับฉีหรูเสวี่ยจริงๆ

เห็นท่าทางเสียใจของหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ เย่เทียนเฉินก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี อย่างไรเสียเขากับฉีหรูเสวี่ยก็ชอบทะเลาะกัน ที่คิดไม่ถึงก็คือ ฉีหรูเสวี่ยมาอาศัยที่บ้านของตนไม่กี่วัน ก็ถึงกับมีความผูกพันธ์อย่างลึกล้ำกับแม่และน้องขนาดนี้แล้ว หรือผู้หญิงคนนี้จะมีเสน่ห์เฉพาะตัวมากจริงๆ?

………………………………….

บทที่ 109 ผมเป็นคนที่มีผลงานนะ!
Ink Stone_Fantasy
เย่เทียนเฉินแบกกระเป๋าเป้ของตนเดินตามหลังชางหลางไป ไหนเลยจะรู้ว่าชางหลางเดินเข้าไปได้อย่างราบรื่น แต่เขากลับถูกทหารถือปืนสองคนขวางเอาไว้

“ตามกฎข้อบังคับ ไม่อนุญาตให้นำสิ่งของใดๆ เข้าไป กรุณาวางกระเป๋าลงด้วยครับ ยกมือทั้งสองขึ้นด้วย พวกเราจะทำการค้นตัว!” ทหารคนหนึ่งที่ถือปืนกลอยู่ในมือมองเย่เทียนเฉินและกล่าวอย่างสำรวม

“ค้นตัว? ถ้าถูกพวกคุณรู้เข้าว่าผมไม่ใส่กางเกงในจะทำยังไงล่ะ? ไม่เอาด้วยหรอก!” เย่เทียนเฉินเอ่ยด้วยรอยยิ้มหยอกเย้า

“ขอให้คุณปฏิบัติตามด้วยครับ ไม่งั้นพวกเราคงให้คุณเข้าไปไม่ได้” ทหารอีกคนหนึ่งมองเย่เทียนเฉินเขม็งแล้วพูดขึ้น

เย่เทียนเฉินมองนายทหารถือปืนทั้งสองคนแวบหนึ่ง เขาไม่ได้อยากจะทำให้พวกเขาลำบากใจ แต่ว่าในกระเป๋าเป้ใบนี้มีของฝากสำหรับพ่อแม่ที่นำกลับมาจากประเทศMอยู่ หากว่าหายไปหรือเสียหายขึ้นมา เย่เทียนเฉินจะต้องปวดใจมาก ดังนั้นเขาไม่ยอมวางกระเป๋าลงแน่ ส่วนเรื่องที่ให้เขายกมือทั้งสองขึ้นและยอมรับการตรวจค้นนั้น เย่เทียนเฉินยิ่งไม่มีทางทำท่าทางที่ดูเหมือนการยอมแพ้เช่นนี้ออกมาแน่

ชายผู้มีจิตใจแข็งแกร่ง ซื่อตรงไม่เกรงกลัว นี่คือนิสัยและคำพรรณาของเย่เทียนเฉินในช่วงสิ้นโลก ต่อให้อยู่ในช่วงสิ้นโลก ในช่วงที่เย่เทียนเฉินยังคงอ่อนแออยู่ เมื่อเจอกับยอดฝีมือที่มีความสามารถแกร่งกร้าวเหี้ยมหาญยิ่งกว่าเขา เขาก็สู้สุดชีวิต หาหนทางมีชีวิตต่อไปให้ได้ นี่เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมเขาถึงกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษระดับพระเจ้าได้อย่างรวดเร็ว ทุกครั้งที่ผ่านประสบการณ์ต่อสู้เป็นตาย จะยิ่งทำให้เขามีความรู้ลึกล้ำในเคล็ดวิชาพลังพิเศษมากขึ้น มีความเข้าใจมากขึ้น

“นี่ ชางหลาง ไม่เห็นเหรอครับว่าทหารของคุณไม่ยอมให้ผมเข้าไป? ทำไมคุณยังไม่คิดหาวิธีอีกล่ะ?” เย่เทียนเฉินตะโกนบอกกับชางหลางที่เดินอยู่ข้างหน้า

ชางหลางหันมามองเย่เทียนเฉินแวบหนึ่ง ตอนนี้เขาโกรธขึ้นมาบ้างแล้วจริงๆ ตัดสินใจแน่แล้วว่าหลังจากที่เย่เทียนเฉินเข้าพบรองประธานหยางอี้แล้ว จะลงมือเต็มกำลัง สั่งสอนไอ้หนูนี่อย่างโหดเหี้ยมสักหน่อย เพื่อหลีกเลี่ยงว่าในวันหนึ่งเขาจะเอ้อระเหยลอยชายจนไม่เห็นตนเองอยู่ในสายตา คอยหาเรื่องตลอดเวลา

“นายก็เข้ามาตามกฎไม่ได้รึไง? วางกระเป๋านายลงซะ ยอมรับการตรวจค้น แล้วเข้าไปกับฉัน” ชางหลางพูด มองเย่เทียนเฉินอย่างไม่สบอารมณ์

“แบบนั้นไม่ได้หรอก ในกระเป๋าของผมมีของรักของหวงอยู่ ผมวางไม่ได้” เย่เทียนเฉินทำท่าทางยอมตายไม่ยอมรักษากฎออกมา มองชางหลางแล้วพูดขึ้น

“นาย…นายคิดว่านายจะไปพบใคร? เป็นท่านหยาง วางกระเป๋านายลงเดี๋ยวนี้ เข้าไปกับฉัน” ชางหลางตะโกรธใส่เย่เทียนเฉินด้วยความโกรธ

เย่เทียนเฉินมองชางหลางแวบหนึ่ง เขาไม่อยากเข้าพบคนใหญ่คนโตอะไรนี่เลยจริงๆ เนื่องจากเดิมทีเขาก็ไม่ได้สนใจอยู่แล้ว หากไม่ใช่ว่าอยากจะลองทดสอบฝีมือของชางหลางที่เป็นหนึ่งในสามราชันนักรบแห่งประเทศจีน เขาคงไม่มาแน่นอน ตอนนี้ในเมื่อกฎข้อบังคับเข้มงวดขนาดนี้ เช่นนั้นก็ช่างมันเถอะ

คิดถึงตรงนี้ เย่เทียนเฉินก็สะพายกระเป๋าเป้แล้วหมุนตัวเดินมุ่งไปด้านนอก ทำให้ชางหลางร้อนใจจนอยากกระอักเลือด มาถึงหน้าประตูแล้วแท้ๆ ทั้งยังกินเวลาไปมาก หยางอี้คงจะรออยู่นานแล้ว มาถึงขั้นนี้แล้วเย่เทียนเฉินถึงกับไม่เข้าไป ไม่ใช่ว่าต้องการให้ความพยายามของตนก่อนหน้านี้เสียเปล่าหรอกหรือ?

“ไอ้หนูหยุด หยุดก่อน นายสะพานเป้นายเข้าไปก็ได้แล้วใช่ไหม?” ชางหลางไม่มีทางเลือกจึงยอมประณีประนอม

“แบบนี้ค่อยโอเคหน่อย ลุงชางหลาง เห็นสีหน้าคุณอนาถขนาดนี้ ผมจะไว้หน้าคุณหน่อยก็ได้ ไปเถอะ!” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้มร้ายกาจ

ที่ไหนได้ ทหารถือปืนทั้งสองที่ยืนอารักขาอยู่ปากทางเข้ากลับไม่ยอมให้เย่เทียนเฉินเข้าไป ไม่ยอมแม้แต่จะไว้หน้าชางหลาง พูดแต่ว่า ถ้าไม่วางเป้ลง ไม่ยอมรับการตรวจค้นร่างกายก็เข้าไปไม่ได้

“นายพลชางครับ เรื่องนี้พวกผมไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ เป็นคำสั่งสูงสุด” นายทหารคนหนึ่งกล่าวอย่างจริงจัง

“โอ้โห ลุงชางหลาง ดูเหมือนว่าหน้าของคุณจะใหญ่ไม่พอซะแล้ว…” เย่เทียนเฉินจงใจพูดด้วยรอยยิ้มยั่วเย้า

“ไอ้หนูพูดจาใส่ร้ายฉันให้มันน้อยๆ หน่อย ไม่ใช่เป็นเพราะนายไม่ทำตามกฎรึไง” ชางหลางพูดอย่างไม่สบอารมณ์

“นายพลชางครับ ผ่อนผันไม่ได้จริงๆ ครับ ถ้าหากต้องการจะแหกกฎให้ได้ ท่านต้องโทรไปหารองประธานหยางให้ช่วยสั่งการ…” ทหารอีกคนหนึ่งเปิดปากพูด

ชางหลางคิดครู่หนึ่ง ไม่อาจว่ากล่าวนายทหารที่ยืนรักษาการณ์สองคนนี้ได้จริงๆ ต้องดูแลความปลอดภัยของท่านหยาง ถ้าไม่มีกฎระเบียบที่เข้มงวดก็คงไม่ได้ เย่เทียนเฉินคนนี้ช่างเรื่องเยอะเสียจริง อยากจะอัดไอ้หนูนี่สักหมัดเหลือเกิน

หลังจากที่ชางหลายต่อสายไปหาหยางอี้และพูดไม่กี่ประโยคก็ได้รับความเห็นชอบ จึงจะสามารถพาเย่เทียนเฉินเข้าไปได้อย่างราบรื่น

เย่เทียนเฉินเดินตามหลังชางหลางเข้าไปในอาคารเล็กๆ สูงสามชั้น แม้จะรับรู้ได้ว่ามียอดฝีมืออยู่ที่นี่ แต่ก็ยังอดประหลาดใจไม่ได้ ภายในทั่วทั้งตึก ทุกๆ ระยะห้าเมตรจะมีทหารสวมชุดลายพรางอยู่สองคน ไม่รู้ว่ามาจากกองกำลังไหน ทั้งหมดล้วนยืนอยู่ที่นั่นราวรูปสลักไม่ขยับเขยื้อน เย่เทียนเฉินสังเกตเห็นว่าคนเหล่านี้ไม่ธรรมดาได้จากการใช้พลังพิเศษแห่งการรับรู้ แต่ละคนล้วนเป็นยอดฝีมือ พลังภายในอันแข็งแกร่งในร่างกายแผ่กระจายออกมา ทั่วทั้งสามชั้น มีคนเช่นนี้ไม่ต่ำกว่าร้อยคน

ก๊อกๆๆ!

ชางหลางเดินขึ้นไปยังชั้นสาม เคาะประตูที่อยู่ลึกที่สุด เมื่อเสียงของหยางอี้ดังออกมาจากด้านใน ชางหลางจึงเปิดประตูออก พาเย่เทียนเฉินเดินเข้าไป

“หัวหน้าครับ พาตัวเย่เทียนเฉินมาถึงแล้วครับ!” ชางหลางยืนอยู่เบื้องหน้าหยางอี้ เปิดปากกล่าวด้วยความเคารพ

“อืม คุณลงไปก่อนเถอะ!” หยางอี้มองชางหลางแวบหนึ่งแล้วพูดขึ้น

ชางหลางมองเย่เทียนเฉินแล้วขยิบตาให้เขา เย่เทียนเฉินเห็นก็เข้าใจความหมายของชางหลาง นั่นคือไม่ให้เขาทำตัวกำเริบเสิบสาน แน่นอนว่าเย่เทียนเฉินย่อมไม่ใส่ใจ

เย่เทียนเฉินมองไปรอบๆ จนไปเห็นตู้กดน้ำก็รู้สึกว่ากระหายน้ำจริงๆ จึงเดินไปข้างตู้กดน้ำโดยไม่สนใจว่าคนใหญ่คนโตเช่นหยางอี้อยู่ตรงนี้ด้วย หยิบแก้วกระดาษขึ้นมาแล้วกดน้ำให้ตนเองแก้วหนึ่ง ดื่มอึกอักลงไปทั้งหมด

“นายก็คือเย่เทียนเฉิน?” หยางอี้มองเย่เทียนเฉินแวบหนึ่งแล้วเอ่ยถาม

“ใช่แล้ว ไม่ทราบว่าท่านข้าราชการใหญ่มีอะไรจะสั่งครับ?” เย่เทียนเฉินเริ่มกดน้ำอีกครั้ง เอ่ยถามไปด้วยรอยยิ้ม

“นายไม่คิดว่าตัวเองจะโอหังไปหน่อยหรือ? นายรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร?” หยางอี้ถามเสียงเข้ม

“ก็ต้องรู้อยู่แล้ว คนแก่คนเฒ่าที่งานยุ่งมากคนหนึ่งไง บางครั้งผมก็เห็นคุณในทีวี คุณดูจะหนุ่มกว่าในทีวีอีกนะครับ ท่าทางตอนขึ้นกล้อง ช่างแต่งหน้าคงไม่ค่อยดีเท่าไร เปลี่ยนคนจะดีกว่านะครับ! ”

เย่เทียนเฉินพูดจาตามใจ ราวกับไม่ได้กังวลในฐานะของหยางอี้เลยแม้แต่น้อย หากคนอื่นมาเห็นหรือได้ยินเข้า จะต้องตกตะลึงอย่างแน่นอน หยางอี้เป็นคนใหญ่คนโต นี่เป็นฐานะระดับไหน คนทั่วไปแค่คิดก็ตัวสั่น หากได้เจอเขาเข้าจริงๆ หลายคนต้องขาอ่อนเป็นแน่ แต่เย่เทียนเฉินแสดงออกได้อย่างผ่อนคลายและปกติเป็นอย่างมาก ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ

“ฉันได้ยืนเรื่องของนายมาแล้ว ดูท่าตระกูลเย่ที่มีลูกหลานที่ไม่เลวเลย เย่หย่วนซานจะต้องดีใจแน่” หยางอี้พูดยิ้มๆ

“คนแก่อย่างเขาจะดีใจหรือไม่ผมไม่รู้หรอก ผมรู้แค่ว่าตอนนี้ผมยินดีที่จะกลับบ้าน ถ้ารองประธานหยางไม่มีอะไร ผมว่าผมขอตัวก่อนดีกว่า” เย่เทียนเฉินดื่มน้ำไปอีกแก้วหนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นพลางเกาหัว

“นายยุ่งมากเหรอ? ฉันยังอยากจะให้นายบอกเรื่องการเดินทางไปประเทศMในครั้งนี้สักหน่อย…” หยางอี้คิดครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยถาม

“ก็ยุ่งนิดหน่อย!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างไม่เกรงใจ

“งั้นก็เอาเถอะ นายไปก่อนก็ได้ ตอนแรกฉันอยากจะคุยกับนายเรื่องที่จะให้พ่อของนายเลื่อนขั้นสักหลายขั้นเสียหน่อย แต่ดูแล้วนายคงไม่สนใจ ฉันจะเรียกให้ชางหลางส่งนายออกไปแล้วกัน” หยางอี้กล่าวแล้วจึงถอนหายใจ

เดิมทีเย่เทียนเฉินพูดจบก็จะเดินไปแล้ว เมื่อได้ฟังคำพูดประโยคนี้ของหยางอี้ก็พลันหยุดเดิน หันมากล่าวกับหยางอี้ด้วยท่าทางกล่าวโทษว่า “ท่านรองประธานหยาง ผมว่าคุณทำไม่ถูกเลยนะครับ เรื่องแบบนี้ทำไม่ไม่พูดออกมาเร็วๆ ผมสนใจมาก ความสามารถอื่นๆ ของผมน่ะไม่มีหรอกครับ จะมีก็แค่รักชาติรักประชาชน คราวนี้ผมทำผลงานยอดเยี่ยมเพื่อประเทศชาติ จะอย่างไรก็ต้องได้รับรางวัลสักหน่อยใช่ไหมครับ? เงินสิบล้านนั่นทมไม่ต้องการแล้วครับ แต่พ่อของผมเป็นข้าราชการมาหลายปี ทำงานด้วยความระมัดระวังและรับผิดชอบมาโดยตลอด ไม่โกงกินไม่ธุจริต ควรจะเลื่อนขั้นแล้วนะครับ!”

เกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ ความหวังสูงสุดของเย่เทียนเฉินก็คือ อยากให้พ่อแม่และน้องสาวใช้ชีวิตอย่างมีความสุข คอยช่วยให้ความฝันในใจของพวกเขาเป็นจริง เย่หงเป็นพ่อของเย่เทียนเฉิน รับราชการมาตลอด เพียงแต่หลายปีมานี้ตระกูลเย่ตกต่ำลง จึงไม่สามารถช่วยอะไรเย่หงได้ เป็นข้าราชการในตะวันออก เบื้องหน้าไม่มีคนไม่ได้ กล่าวให้ชัดเจนก็คือ ต่อให้ผลงานของคุณดีแค่ไหน ถ้าไม่มีคนช่วยพูด บุคคลระดับสูงก็จะไม่เห็น ผลประโยชน์ก็ไม่มี ดังนั้นแม้ว่าเย่หงพ่อของเย่เทียนเฉินจะพยายามมาก แต่กลับไต่เต่าขึ้นไปไม่ได้ ครั้งที่แล้วไม่ง่ายเลยที่จะใช้เรื่องการถอนหมั้นของตระกูลฉีมาทำให้เย่หงกลายเป็นเลขาธิการคณะกรรมการแห่งเมืองHได้ หากยังต้องการไต่เต่าขึ้นไปอีกเกรงว่าจะเป็นการยาก

“นานทำประโยชน์ให้ประเทศงั้นเหรอ? ทำไมฉันไม่รู้เลยล่ะ?” หยางอี้จถาม จงใจทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร

“ไม่หรอกมั้ง? ผู้อาวุโสอย่างคุณคงไม่แกล้งผมแบบนี้หรอกนะครับ ผมทำประโยชน์เยอะแยะเลย ครั้งนี้ถ้าไม่ใช่เพราะผม คงไม่อาจทำภารกิจให้สำเร็จได้แน่ จากตอนที่เครื่องบินถึงวอชิงตัน…”

เย่เทียนเฉินพูดจนน้ำไหลไฟดับ เพียงอึดใจเดียวก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นตอนไปถึงวอชิงตันออกมาทั้งหมด จนถึงเรื่องที่ตนเองกลับมา เข้ามาดื่มน้ำสองแก้วในห้องทำงานของหยางอี้ ก็ล้วนเล่าออกมาทั้งหมดรอบหนึ่งถึงจะนั่งลง รินน้ำแล้วดื่มไปจนหมด

หยางอี้มองเย่เทียนเฉิน ในใจรู้สึกช็อคมาก เย่เทียนเฉินอายุยังไม่เกินยี่สิบปี ถึงกับมีฝีมือเช่นนี้ได้ อีกทั้งครั้งนี้ไปก่อเรื่องที่วอชิงตัน เกือบจะบุกเข้าไปถึงทำเนียบขาวเพื่อให้โฮบาม่าเลี้ยงข้าว ช่างมีเอกลักษณ์จริงๆ ยังดีที่คนคนนี้คิดได้ ถึงกับจะให้โฮบาม่าเลี้ยงข้าวเขาเลยหรือ? ถ้าหากว่าถูกคนอื่นรู้เข้า ต้องแย่แน่ๆ

“เป็นไงครับ? จะให้พ่อผมเลื่อนขั้นสักสามขั้นรึเปล่า?” เย่เทียนเฉินมองหยางอี้แล้วกล่าวถาม

“อืม ก็พอมีคุณงามความดีอยู่บ้างจริงๆ ฉันจะพิจารณาดูแล้วกัน นายกลับไปก่อนเถอะ!” หยางอี้มองเย่เทียนเฉินแล้วเอ่ยขึ้น

“ท่านผู้อาวุโส อย่าเล่นแบบนี้สิครับ? นี่แกล้งผมใช่ไหม? ไม่ได้ๆ จะยังไงคุณก็ต้องรับปากมาก่อนว่าจะเลื่อนขั้นให้พ่อผมสามขั้น ไม่งั้นต่อไปใครจะกล้าทำงานให้คุณ ผมต้องผ่านอันตรายมากมายกว่าจะรอดกลับมาได้ ยังไงก็นับว่าเป็นบุคคลที่มีผลงานคนหนึ่ง คุณจะทำให้หัวใจของผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างพวกเราต้องผิดหวังไม่ได้นะครับ? มิน่าล่ะชางหลางถึงได้ทำหน้าตาอมทุกข์ตลอดเวลา เห้อ…”

เย่เทียนเฉินพูดพลางแสร้งทำเป็นเห็นใจชางหลาง หยางอี้เห็นก็รู้สึกไร้ซึ่งคำพูด

……………………………..

บทที่ 108 ประหมัดกับชางหลาง
Ink Stone_Fantasy
“ผมพูดจริง ผมไม่สนใจไปพบหยางอี้อะไรนั่นหรอก ตอนนี้ผมอยากกลับบ้านไปกินบะหมี่ผัดซอสที่แม่ทำสักจานแล้ว!” เย่เทียนเฉินมองชางหลาง พูดด้วยท่าทางจริงใจ

“วันนี้นายจะต้องไปกับฉัน เรื่องนี้นายไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ”

ชางหลางย่อมไม่ปล่อยเย่เทียนเฉินไปแน่ หยางอี้ต้องการพบเขา หากชางหลางไม่มีปัญญาพาเย่เทียนเฉินไปพบก็จะมีปัญหา ไม่ใช่เรื่องเสียหน้า แต่จะเป็นปัญหาเรื่องการปฏิบัติตามคำสั่ง

เย่เทียนเฉินคนนี้ช่างน่าตลกจริงๆ หยางอี้เป็นคนระดับไหน? สำหรับทั่วทั้งประเทศแล้ว นับเป็นบุคคลที่มีความสำคัญอย่างมาก ไม่ทราบว่ามีกี่คนที่อยากจะพบแต่ไม่ได้พบ ส่วนเย่เทียนเฉินนั้นกลับกัน หยางอี้ต้องการพบเขา แต่เขากลับไม่อยากพบ ความเอาแน่เอานอนไม่ได้นี่มันจะมีมากเกินไปรึเปล่า?

“นี่ คุณอย่ามาตื้อเลยน่า ผมไม่เอาด้วยหรอก คุณตอบรับว่าจะช่วยผมเรื่องนั้น ส่วนผมก็ช่วยคุณไปทำภารกิจที่ประเทศMให้สำเร็จ พวกเราสองคนไม่ติดค้างอะไรกันแล้ว ถ้าคุณยังจะจับผมอีกก็อย่ามาหาว่าผมไม่เกรงใจ” เย่เทียนเฉินมองชางหลางแวบหนึ่ง พูดออกมาอย่างไม่พอใจนัก

“ไม่เกรงใจ? ฉันอยากจะดูสักหน่อยว่านายจะไม่เกรงใจกันขนาดไหน!” ชางหลางยกยิ้มเย็นชา จ้องเขม็งไปยังดวงตาเย่เทียนเฉินพลางเอ่ย

มันคือความกระหายการต่อสู้ เย่เทียนเฉินเห็นได้ถึงความกระหายการต่อสู้ในสายตาของชางหลาง เขาชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงยิ้มแล้วพูดว่า “ในที่สุดคุณก็ทนไมไหว อยากจะสู้กับผมแล้วใช่ไหม?”

เย่เทียนเฉินตอบรับชางหลาง หลังจากช่วยเขาคุ้มครองหลิ่วหรูเหมยไปยังประเทศMเพื่อปฏิบัติภารกิจแลกเปลี่ยนข้อมูลลับจนสำเร็จ และกลับมาถึงประเทศ เขาก็ต้องการให้ชางหลางต่อสู้กับเขาอย่างสุดกำลังสักครั้ง เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าชางหลางจะมีความคิดที่จะต่อสู้กับตนเองเร็วขนาดนี้ หนึ่งในสามราชันนักรบแห่งประเทศจีนเกิดความกระหายการต่อสู้ ช่างทำให้ผู้คนหวาดหวั่นเหลือเกิน มีความน่าเกรงขามที่ไม่อาจดูหมิ่นได้

“ไปพบท่านหยางกับฉันก่อน แล้วฉันจะสู้กับนาย และจะทำให้นายแพ้อย่างราบคาบ!” ชางหลางเอ่ย มองเย่เทียนเฉินอย่างจริงจัง

เห็นท่าทางเอ้อระเหยลอยชายอย่างเสมอต้นเสมอปลายของเย่เทียนเฉินคนนี้ กระทั่งกล้าไม่ไปพบหยางอี้ ชางหลางก็โกรธเข้าแล้วจริงๆ เขาเป็นลูกน้องของหยางอี้ หากว่าเรื่องเล็กๆ แค่นี้ก็ยังทำไม่ได้ ไม่ใช่ว่าจะถูกผู้คนหัวเราะเยาะเอาหรือ?

สิ่งที่ทำให้ชางหลางไม่พอใจเป็นอย่างมากก็คือ เย่เทียนเฉินเคยเป็นทหารหน่วยรบพิเศษมาก่อน ในตอนนั้นก็ยังได้รับปลดประจำการจากลูกน้องของเขา ถึงอย่างไรตนเองก็นับว่าเป็นผู้บังคัญบัญชาเก่า นี่ถึงกับไม่ไว้หน้าตนเลยสักนิด อดีตทหารหน่วยรบพิเศษคนหนึ่ง ตอนนี้กลับไร้สังกัดไร้กฏเกณฑ์ ทำให้ชางหลางนายทหารเก่าแก่คนนี้ทนมองไม่ได้จริงๆ

“แพ้? ผมเอาหนังสือให้คุณเล่มหนึ่งก่อนดีกว่า…” เย่เทียนเฉินส่งนิตยาสารเล่มหนึ่งให้ชางหลาง เอ่ยด้วยยิ้มยั่วเย้า

ผัวะ!

ชางหลางต่อยไปยังบริเวณศีรษะของเย่เทียนเฉิน คนคนนี้จะทำเป็นเล่นมากไปแล้ว ไม่ให้ความสำคัญต่อการไปพบท่านหยางเลยสักนิด ชางหลางอดกลั้นไว้ไม่ได้อีกต่อไป รับไม่ได้โดยสิ้นเชิง จึงได้ลงมือเพื่อต้องการสั่งสอนเย่เทียนเฉิน

ตู้ม!

เย่เทียนเฉินไม่ได้เอี้ยวตัวหลบ เขาอยากจะสู้กับชางหลางมานานแล้ว จึงได้ต่อยออกไปปะทะหมัดหนึ่ง ทั้งสองถอยหลังกันไปคนละสามก้าว มองอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจ

คนหนึ่งคือผู้มีพลังพิเศษระดับพระเจ้าจากช่วงสิ้นโลกมาเกิดใหม่ ซึ่งขอบเขตพลังพิเศษในตอนนี้ได้ไปถึงระดับจอมราชันแล้ว อีกคนหนึ่งก็เป็นหนึ่งในสามราชันนักรบแห่งประเทศจีน หลายปีมาแล้วที่ไม่มีใครควรค่าแก่การลงมือของเขา ครั้งนี้ชางหลางรับไม่ได้แล้วจริงๆ และอยากจะจับตัวเย่เทียนเฉินไปพบหยางอี้ให้ได้ มิฉะนั้นคงยังไม่ลงมือ ซึ่งสาเหตุที่เขาไม่ลงมือมีอย่างน้อยสองข้อ ข้อแรก ไม่มีคนที่ควรค่าให้เขาลงมือ ไม่ได้เจอกับคู่ต่อสู้ที่คู่ควรในการลงมือ ข้อที่สอง ชางหลางได้เข้าเป็นคณะกรรมาธิการทหารนานแล้ว หากยังลงมืออีกก็ไม่เหมาะสมกับฐานะของเขา

สิ่งที่ทำให้ชางหลางคิดไม่ถึงก็คือ ตนเองต่อยออกไปหมัดหนึ่ง เย่เทียนเฉินถึงกับไม่หลบแถมยังต่อยหมัดมาปะทะกับหมัดของตนเอง จนทั้งคู่ถูกแรงกระแทกกระเด็นออกไป จากการคาดการณ์ของชางหลาง ตนเองปล่อยหมัดออกไป ต่อให้เย่เทียนเฉินหลบได้ก็คงไม่กล้าปะทะกับตน หรือหากว่ากล้าปะทะ มือของเขาจะต้องหักอย่างแน่นอน

ไม่ใช่ว่าชางหลางจะอวดดี ยอดฝีมือที่มาถึงระดับเช่นเขา โดยปกติย่อมไม่มีทางไม่เห็นผู้อื่นอยู่ในสายตา จะมีท่าทีอยู่เพียงสองอย่างก์คือ ถ้าไม่รับมือคู่ต่อสู้อย่างจริงจัง ก็ดูถูกคู่ต่อสู้อย่างถึงที่สุด เพียงแต่ชางหลางมีฐานะเป็นหนึ่งในสามราชันนักรบแห่งประเทศจีน ทั้งยังเป็นสามราชันนักรบผู้เลื่องชื่อว่าเป็น “หมัดเหล็ก” ทั่วทั้งจีนมีเพียงไม่กี่คนที่กล้าปะทะกำปั้นกับเขา

ชางหลางรู้ดีว่าฝีมือของเย่เทียนเฉินแข็งแกร่งมาก แต่เขากลับไม่คาดคิดว่าเย่เทียนเฉินจะแข็งแกร่งถึงขั้นสามารถปะทะหมัดกับเขาได้ ดูท่าตนเองจะดูเบาเจ้าหนุ่มคนนี้เกินไปจริงๆ

ส่วนเย่เทียนเฉินเองก็มองชางหลางอย่างแปลกใจ เขารู้สึกว่ามือขวาของตนชามาก ชาจนเจ็บ เจ็บยิ่งกว่าตอนสู้กับซิลลี่ผู้มีฉายาว่า “ราชันแห่งความโหดเหี้ยม” ที่เมืองชีคเสียอีก ไม่เสียทีที่ชางหลางเป็นถึงหนึ่งในสามราชันนักรบแห่งประเทศจีน สมคำร่ำลือจริงๆ

สามราชันนักรบแห่งประเทศจีนมีชื่อเสียงโด่งดังมากในระดับนานาชาติ ดังนั้นตอนที่เย่เทียนเฉินก่อเรื่องที่วอชิงตัน ฝ่ายต่างๆ ของประเทศMต่างก็เดาว่า เป็นไปได้ไหมว่าหนึ่งในสามนักรบราชันแห่งประเทศจีนมาถึงแล้ว แม้ว่าในหมู่สามราชันนักรบจะไม่มียอดฝีมือผู้มีพลังพิเศษอันแข็งแกร่งอะไรอยู่เลยก็ตาม แต่สำหรับชางหลางและเหยียนหลง พวกเขาเป็นยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณ กระทั่งได้เป็นถึงระดับปรมาจารย์แห่งยุคไปแล้ว ซึ่งพลังภายในอันแข็งกร้าวก็คือจุดเด่นของชางหลาง ดังนั้นเย่เทียนเฉินสามารถประหมัดกับเขาได้ เขาถึงได้ประหลาดใจเช่นนั้น

“กำปั้นแข็งจริงๆ มาต่อกันสักหลายกระบวนหน่อยเป็นไง?” เลือดนักสู้ในกายเย่เทียนเฉินเดือดพล่านขึ้นมาแล้ว เขากล่ามถามด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

แต่ตอนนี้เอง ชางหลางกลับหยุดลง สองมือไขว้ไว้ด้านหลัง เอ่ยเรียบๆ ว่า “ไปหาท่านหยางกับฉันซะ แล้วรับรองว่าฉันจะอัดนายให้เละเลย”

“ได้ ตกลงตามนั้น!”

คราวนี้ เย่เทียนเฉินรับคำชางหลางด้วยความชื่นมื่นเป็นอย่างยิ่ง ขึ้นไปนั่งบนรถจี๊ปทหารที่ชางหลางขับมา เขาอยากจะสู้กับชางหลางมากจริงๆ อยากทดสอบความสามารถของหนึ่งในสามราชันนักรบแห่งประเทศจีนที่ร่ำลือ จากหมัดเมื่อครู่ เขาพอจะประเมินได้ว่า ฝีมือของชางหลางเหนือกว่าซิลลี่มาก กระทั่งอาจจะพอๆ กับโทมัส หากตนอยากจะเอาชนะชางหลาง คงเป็นเรื่องยาก

ตอนที่สู้กับโทมัสซึ่งเป็นผู้มีพลังพิเศษสายวารีที่แข็งแกร่ง หากไม่ใช่เพราะเย่เทียนเฉินสามารถใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษสายพสุธาได้ เกรงว่าตอนนี้คงตายไปแล้ว เช่นเดียวกัน หากเย่เทียนเฉินต้องการฆ่าโทมัส ต่อให้ไม่ตายก็ต้องเจ็บหนัก ด้วยขอบเขตพลังพิเศษระดับจอมราชันของเขาในตอนนี้ การที่จะจำกัดโทมัสอย่างสบายๆ นั้นเป็นไปไม่ได้เลย ขอบเขตพลังพิเศษของโทมัสเองก็เป็นไปได้มากว่าจะอยู่ราวๆ ระดับจอมราชัน

เย่เทียนเฉินนั่งอยู่ในรถ ถือโคล่ากระป๋องหนึ่งและขนมปังอีกก้อนหนึ่ง กินดื่มเข้าไปคำใหญ่ ชางหลางที่ขับรถอยู่เห็นดังนั้นก็รู้สึกอับจนคำพูด รถจี๊ปทหารขับร่อนอยู่ภายในเขตเมืองของเมืองปักกิ่ง เย่เทียนเฉินก็ยังสามารถหาความสุขได้ มีชางหลางผู้เป็นหนึ่งในสามราชันนักรบของจีนมาขับรถให้เขา แล้วยังกินขนมปังดื่มโคล่าในรถอีก ถ้าไม่ใช่เพราะท่านหยางพูดเองกับปากว่าอยากจะพบเย่เทียนเฉิน ชางหลางจะมารับเจ้าหมอนี่ได้อย่างไรกัน

“ฉันขอเตือนนายไว้ก่อน อีกสักครู่พอพบท่านหยาง ก็ทำตัวดีๆ ให้ฉันสักหน่อย อย่าทำเป็นเล่นไป” ชางหลางพูด มองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างจริงจัง

“นี่มันเรื่องของผม ก่อนหน้านี้คุณก็ทำหน้าที่ขับรถของคุณไปดีๆ ส่วนหลังจากนี้ก็แสดงพลังในการต่อสู้ของคุณมาสู้กับผมให้เต็มที่ ให้ผมได้เปิดหูเปิดตาหน่อยเถอะว่า หนึ่งในสามนักรบราชันแห่งประเทศจีนจะแน่สักแค่ไหน!” เย่เทียนเฉินพูดพลางมองชางหลางอย่างไม่ใส่ใจนัก

“กลัวก็แต่ว่าไอ้หนูอย่างนายจะเปิดหูเปิดตาไม่ไหว เพิ่งกลับประเทศก็ถูกอัดเละเป็นโจ๊ก กลับไปหาพ่อแม่แบบนี้คงไม่ค่อยดีหรอกมั้ง?” ชางหลางพูดด้วยรอยยิ้มโหดเหี้ยม

“กลัวอะไร อย่าพูดเรื่องถูกอัดเละโจ๊กเลย ต่อให้พี่ชายเละเป็นโจ๊ก ก็หล่อกว่าคุณอยู่ดี!” เย่เทียนเฉินกล่าว มองชางหลางอย่างเอือมระอา

ความจริงแล้วชางหลางไม่ใช่คนพูดมาก ตอนที่อยู่ในกองทัพและตอนทำงานจะเคร่งครึมจริงจังเป็นอย่างยิ่ง ต่อให้เป็นตอนที่ใช้ชีวิตตามปกติก็พูดจาน้อยมาก เพียงแต่เย่เทียนเฉินทำให้เขารู้สึกประหลาดใจ ตอนที่อยู่ในกองทัพ เถี่ยฉุยบอกว่าคนคนนี้แข็งแกร่งมาก หานเจี๋ยก็บอกว่าเย่เทียนเฉินคนเดียวฆ่าล้างสมาชิกระดับหัวกะทิทั้งหมดของกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิต ซึ่งตอนนั้นทำให้ชางหลางรู้สึกเหลือเชื่อมาก

อีกทั้งหลังจากที่พวกหลิ่วหรูเหมยกลับถึงประเทศก็ได้รายงานท่านหยางเกี่ยวกับเรื่องการไปแลกเปลี่ยนข้อมูลลับที่ประเทศMในครั้งนี้ทันที ชางหลางเองก็ทราบแล้ว ตั้งแต่ลงจากเฮลิคอปเตอร์ที่ชานเมืองวอชิงตันจนกระทั่งพวกหลิ่วหรูเหมยทำภารกิจสำเร็จกลับประเทศ เย่เทียนเฉินยังคงก่อเรื่องใหญ่โตที่วอชิงตันต่อไป มุ่งหน้าไปยังทำเนียบขาวเพื่อจะให้โฮบาม่าเลี้ยงข้าวเขา เรื่องทั้งหมดนี้ หลิ่วหรูเหมยรายงานแก่หยางอี้อย่างละเอียดทั้งหมด

เย่เทียนเฉินทำลายกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิตด้วยตัวคนเดียว กระทั่งฆ่าคนของหน่วยสืบราชการลับพลังพิเศษแห่งประเทศMไปเก้าคน ฆ่าซิลลี่ที่เป็นรองหัวหน้า แล้วยังไปก่อเรื่องที่ทำเนียบขาว ไม่ว่าเรื่องใดในนี้ถูกพูดออกไป จะต้องช็อคโลกแน่นอน ทั้งยังแสดงให้เห็นถึงพลังการต่อสู้ที่ไม่ธรรมดาของเย่เทียนเฉินอีกด้วย นี่ทำให้ชางหลางอยากจะทดสอบดูสักหน่อยว่าเย่เทียนเฉินแข็งแกร่งขนาดไหนกันแน่

ไม่กล่าวไม่ได้ว่าทางหลวงของเมืองหลวงรถติดมาก หนึ่งชั่วโมงต่อมา เย่เทียนเฉินเกือบจะหลับอยู่แล้ว เพิ่งจะถึงสถานที่ทำงานของหยางอี้ เย่เทียนเฉินลงรถ มองไปยังอาคารสามชั้นเบื้องหน้า มันไม่ได้เป็นตึกที่หรูหรามากนัก ด้านหน้าสุดมีทหารถือปืนยืนอยู่สี่คน รอบๆ อาคารมีทหารสวมชุดลายพรางอยู่ สิ่งแรกที่เย่เทียนเฉินตัดสินทหารเหล่านี้ก็คือ ยอดฝีมือ ทั้งหมดล้วนเป็นยอดฝีมือชั้นหนึ่ง

“เดินสิ มัวมองอะไรอยู่? กลัวรึไง?” ชางหลางเห็นว่าเย่เทียนเฉินยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อนก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถาม

“เปล่า ผมแค่กำลังคิดว่า การป้องกันหละหลวมขนาดนี้ ถ้าหากว่ายอดฝีมือที่แข็งแกร่งหลายคนจากฝั่งประเทศMมา ที่นี่คงปกป้องไว้ไม่ได้ การทำงานของพวกคุณทำให้วางใจไม่ได้เลย!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างจริงจัง ท่าทางราวกับกำลังตำหนิพวกชางหลาง

“ไอ้หนู…นายรอฉันก่อน รอออกมาก่อน ฉันจะซัดนายให้ตาเขียวเลย!”

ชางหลางโกรธจนทนไม่ไหว ไร้ซึ่งคำพูดกับเย่เทียนเฉินโดยสิ้นเชิง เดินนำหน้าเข้าไปในตึกโดยไม่สนใจเขาอีกต่อไป

………………………………………………

บทที่ 107 อลิซ
Ink Stone_Fantasy
เห็นท่าทีกระทันหันของโทมัส โฮบาม่าก็โกรธจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ประธานาธิบดีแห่งประเทศMที่น่าเกรงขามเฉกเช่นตนเอง จะหาเรื่องชาวตะวันออกคนหนึ่งไม่ได้เชียวหรือ? หากพูดออกไปคงจะขายหน้ามากเหลือเกิน เขารับไม่ได้โดยเด็ดขาด เพียงแต่น่าเสียดายที่วอชิงตัน ณ ตอนนี้ คนที่สามารถขวางเย่เทียนเฉินได้มีเพียงโทมัสเท่านั้น ตอนนี้เขาละทิ้งหน้าที่ไม่ยอมทำแล้ว ตนที่เป็นประธานาบดีประเทศMก็ทำอะไรเย่เทียนเฉินไม่ได้ อย่างน้อยก็ทำอะไรไม่ได้ชั่วคราว

อย่างไรก็ตาม ในใจของโฮบาม่าไม่พอใจโทมัสอย่างยิ่ง คนคนนี้ดูเหมือนจะมีความสามารถในการเอาชนะเย่เทียนเฉินได้ หรือต่อให้เอาชนะไม่ได้ ก็ยังสามารถทำให้เจ็บหนักทั้งสองฝ่าย ถึงตอนนั้นยอดทหารของกองกำลังเขตสิบห้าก็จะเข้ามา ซึ่งคงเพียงพอที่จะฆ่าเย่เทียนเฉินได้แล้ว แต่โทมัสกลับไม่ได้ทำเช่นนั้น ทั้งยังพูดจาน่าโมโห บอกให้ตนเองไปออกคำสั่งเอากับคนอื่น

ยอดฝีมืออันดับหนึ่งที่อยู่ในวอชิงตัน ณ ตอนนี้ก็คือโทมัส แม้ว่าโทมัสจะเป็นหัวหน้าหน่วยสืบราชการลับพลังพิเศษก็ใช่ว่าจะเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในประเทศM แต่ถ้าต้องการตามหาคนอื่นๆ ออกและออกคำสั่งกับพวกเขาเหล่านั้น โฮบาม่าก็ทำได้ยาก ไม่ต้องพูดถึงว่าการหาตัวพวกเขานั้นลำบากขนาดไหน ต่อให้อยากจะออกคำสั่งกับพวกเขาเหล่านี้ เกรงว่าเขาที่เป็นประธานาธิบดีก็ยังทำไม่ได้

ในปัจจุบันยังคงมียอดฝีมือที่มีเคล็ดวิชาพลังพิเศษอันแข็งแกร่งและยังคงมีผู้แข็งแกร่งที่เร้นกายของพรรควรยุทธโบราณดำรงอยู่ เมื่อคนคนหนึ่งกลายเป็นยอดฝีมือที่แท้จริง เขาก็จะอยู่เหนือการควบคุมของประเทศ และอยู่เหนือกฎหมาย หากเผชิญหน้ากับคนเช่นนี้ ใครต้องการออกคำสั่งกับเขา เกรงว่าจะลำบากมาก พวกเขากระทำเรื่องต่างๆ ตามใจตนเอง นี่ก็คือโลกของยอดฝีมือ

“ท่านประธานาธิบดีครับ ตอนนี้พวกเราจะทำยังไงกันดี?” บีชถามเสียงเบาอย่างวางตัวไม่ถูก

โฮบาม่ามองบีชอย่างดุดันแวบหนึ่ง เขาอยากจะปลดนายพลแห่งกองกำลังเขตสิบห้าคนนี้จริงๆ ช่างทำให้ตนเสียหน้าเหลือเกิน เคลื่อนกำลังพลของทหารเขตสิบห้าแล้วก็ยังไม่อาจหยุดชาวตะวันออกคนเดียวได้ หากไม่ใช่ว่าโทมัสขวางเย่เทียนเฉินเอาไว้ได้ เกรงว่าเขาที่เป็นประธานาธิบดีแห่งประเทศM จะต้องได้รับความอัปยศอย่างแน่นอน

“ถอนทหารทั้งหมดซะ ปล่อยให้ชายชาวตะวันออกคนนี้จากไป แล้วก็ให้อลิซมาพบผมด้วย!” โฮบาม่าพูดจบก็เดินมุ่งไปยังอาคารบริหารของทำเนียบขาว เขาต้องการไปเขวี้ยงแก้ว…เฮอๆ!

เย่เทียนเฉินไปจากทำเนียบขาวแล้ว เขาหิวจนท้องร้องโครกคราก ตอนแรกคิดว่าจะให้โฮบาม่าเลี้ยงข้าวตนเองจริงๆ แต่สุดท้ายคิดไปคิดมาก็ช่างมันเถอะ ตนเองมาเกิดใหม่จากช่วงสิ้นโลก แม้จะไม่มีความรู้สึกชาตินิยมอะไร แต่หากว่าการที่เขากินข้าวกับโฮบาม่ามื้อหนึ่งแล้วทำให้ประเทศMและตะวันออกเกิดสงครามขึ้นล่ะก็ เช่นนั้นก็ดูจะไร้ความรับผิดชอบเกินไป

มองไหล่ซ้ายของตนเองพบว่าเพียงแค่ถูกแทงเฉียดผิวหนังไปเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้ร้ายแรงอะไร เย่เทียนเฉินเดินตรงเข้าไปในร้านสเต็กแห่งหนึ่งโดยที่ไม่ได้สนใจบาดแผล เหล่าทหารอาวุธครบมือบนถนนต่างก็ค่อยๆ ถอนกำลังไปแล้ว ดูเหมือนว่าชาวเมืองวอชิงตันส่วนใหญ่จะไม่ทราบว่าเมื่อสักครู่ โฮบาม่าผู้เป็นประธานาธิบดีแห่งประเทศMของพวกเขา เกือบจะต้องกินข้าวเย็นกับเย่เทียนเฉินไปแล้ว

แม้จะเป็นเวลาเช้ามืดแล้ว แต่เมืองอันคึกคักเฉกเช่นวอชิงตันนี้มีสถานที่ให้กินดื่มเที่ยวเล่นตลอดคืน ไม่ทันไรเย่เทียนเฉินก็สั่งสเต็กเนื้อไปแล้วห้าที่จนพนักงานเสิร์ฟตะลึง เขาทำงานที่ร้านสเต็กมาหลายปีขนาดนี้แล้ว เป็นครั้งแรกที่เห็นคนบ้าระห่ำที่สามารถกินสเต็กได้ถึงห้าที่

ในตอนที่เย่เทียนเฉินกำลังกินสเต็กและดื่มด่ำกับบรรยากาศยามค่ำคืนของวอชิงตันอยู่นั้น ในห้องทำงานของประธานาธิบดีโฮบาม่า สาวสวยผมบรอนด์คนหนึ่ง สวมชุดทหาร อายุราวๆ ยี่สิบปี สูงประมาณร้อยเจ็ดสิบสามเซ็นติเมตร กำลังยืนอยู่เบื้องหน้าโฮบาม่าอย่างเคร่งครึมจริงจัง

โฮบาม่ามองผู้หญิงที่งดงามยิ่งกว่าดาราใหญ่หลายคนในประเทศMแวบหนึ่ง รู้สึกคึกคักนิดหน่อย แต่โฮบาม่ารู้ดีว่า ผู้หญิงคนนี้ต่อให้เป็นเขาก็ไม่อาจล่วงเกินได้ แม้ว่าเขาจะมีฐานะเป็นประธานาธิบดีแห่งประเทศM ซึ่งกล่าวได้ว่ามีอำนาจมากล้นอยู่ในมือ แต่หากว่าเบื้องหลังขาดแรงสนับสนุน เช่นนั้นก็เป็นได้แค่หัวหน้าที่ไร้ลูกน้องคนหนึ่ง

“ท่านประธานาธิบดีคะ มีอะไรจะสั่งไหมคะ?” สาวสวยผมบรอนด์กล่าวถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่มีความนอบน้อมอยู่เลย

“อลิซ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ช่วงนี้สบายดีใช่ไหม?” โฮบาม่าถามด้วยรอยยิ้ม

“ก็โอเคอยู่ค่ะ เรื่องที่สามเหลี่ยมทองคำ ดิฉันได้ส่งคนไปจัดการแล้ว เชื่อว่าจะสามารถคลี่คลายได้ในเร็วๆ นี้!”

“เรื่องที่สามเหลี่ยมทองคำนั้นละมือไว้ก่อนก็ได้ ก็แค่พ่อค้ายากลุ่มหนึ่ง ตอนนี้ผมมีเรื่องสำคัญมากเรื่องหนึ่งที่ต้องการให้คุณไปจัดการด้วยตัวเองสักหน่อย”

“เชิญท่านประธานาธิบดีออกคำสั่ง”

“อืม คุณเป็นหัวหน้าหน่วยข่าวกรองพิเศษแห่งประเทศMของพวกเรา มีเทคนิคการสืบสวนสอบสวนที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก และเป็นบุคลากรที่มีความสามารถเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศMของพวกเรา ดังนั้นครั้งนี้ผมต้องการให้คุณไปที่ตะวันออก ช่วยผมสืบเรื่องคนคนหนึ่ง” เมื่อโฮบาม่านึกถึงเย่เทียนเฉินก็โกรธแค้นจนปวดฟันไปหมด เขารับเรื่องนี้ไม่ได้จริงๆ

“สืบเรื่องใครคะ?” อลิซยังคงกล่าวถามอย่างเย็นชา

“ชายชาวตะวันออกที่มาสร้างความวุ่นวายครั้งใหญ่ในวอชิงตัน คิดว่าคุณเองก็คงได้ข่าวมาแล้ว ผมไม่ต้องการให้เขามีชีวิตอยู่อีกต่อไป คุณไปที่ตะวันออก ถ้ามีโอกาสก็ฆ่าเขาซะ” โฮบาม่าพูดอย่างโหดเหี้ยม

“รับทราบค่ะ งั้นเดี๋ยวดิฉันจะกลับไปเตรียมตัวสักหน่อย แล้วจะรีบออกเดินทางไปตะวันออกทันที” อลิซพยักหน้าเอ่ย

“ไปเถอะ อย่าลืมทักทายพ่อแม่ของคุณแทนผมด้วย” โฮบาม่าเอ่ยยิ้มๆ

อลิซหมุนตัวจากไป เธอมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าหน่วยข่าวกรองพิเศษแห่งประเทศM พ่อแม่เป็นนายพลที่กุมกำลังสำคัญทาการทหาร ฐานะไม่ธรรมดาเป็นอย่างมาก คนจำนวนมากไม่ทราบเรื่องคราวนี้ที่เย่เทียนเฉินสร้างเรื่องใหญ่โตในวอชิงตัน และเกือบจะบุกเข้าไปกินข้าวกับโฮบาม่าในทำเนียบขาว กระทั่งบุคคลระดับสูงบางคนของประเทศMก็ยังไม่ทราบ แต่อลิซผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าหน่วยข่าวกรองพิเศษกลับเข้าใจเรื่องราวอยู่บ้าง ทั้งยังรู้สึกสนใจกับปีศาจตะวันออกผู้นี้อยู่ในใจ และอยากจะไปเจอชายคนนี้สักครั้ง อยากดูสักหน่อยว่าเขารูปร่างหน้าตาอย่างไร มีความสามารถอย่างไร

สามวันต่อมา เย่เทียนเฉินล้วนกินดื่มเที่ยวเล่นอยู่ในวอชิงตัน เขารู้ว่ามีคนสะกดรอยตามเขาอยู่ แต่ก็ไม่ได้ลงมือ ความจริงเป็นเพราะในวอชิตันแห่งนี้มีของอร่อยๆ และเรื่องสนุกๆ เยอะแยะ ส่วนเรื่องจีบสาวผมบรอนด์นั้น เย่เทียนเฉินอย่างมากก็แค่พูดจาแทะโลมนิดหน่อย แต่ไม่ได้ลิ้มลอง จุดสำคัญเป็นเพราะในช่วงสิ้นโลกเขาได้บ่มเพาะนิสัยอย่างหนึ่ง นั่นก็คือไม่ชอบของมือสอง

วันที่สี่ เย่เทียนเฉินได้รับโทรศัพท์จากเบอร์ที่ไม่รู้จัก เป็นชางหลางที่โทรมานั่นเอง พูดประมาณว่าให้เขาไปยังบริเวณชานเมืองของวอชิงตัน ที่นั่นมีเฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งเตรียมไว้แล้ว เป็นเครื่องลำพิเศษสำหรับเขาคนเดียว ต้องการให้เขากลับประเทศ

“รู้สึกไม่ดีเลยจริงๆ ผมเที่ยวเล่นอยู่ที่นี่กำลังสนุกเลย ว่าจะเที่ยวเล่นอีกสักหลายๆ วัน!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างไม่ไว้หน้าชางหลางเลยสักนิด

“ไอ้หนู เฮลิคอปเตอร์กำลังรอนายอยู่ นายรู้ไหมว่าการตรวจสอบและอนุมัติเฮลิคอปเตอร์สำหรับบินข้ามชาติมันยากขนาดไหน?” ชางหลางตะโกน เขาโกรธจนอยากจะอัดเย่เทียนเฉินแรงๆ สักยก

“งั้นคุณก็ให้บินกลับไปเถอะ ผมเที่ยวอีกสักหลายวันเดี๋ยวก็กลับไปเอง” เย่เทียนเฉิพูดอย่างไม่พอใจ

“นาย…”

“เย่เทียนเฉิน ฉันขอสั่งให้นายกลับประเทศมาเดี๋ยวนี้” คราวนี้ โทรศัพท์อีกฝากหนึ่งมีเสียงของผู้สูงวัยที่ฟังดูน่าเกรงขามคนหนึ่งดังออกมา

“หา คุณเป็นใคร อารมณ์เสียรึไง?” เย่เทียนเฉินชะงักไปครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้น

“ฉันคือหยางอี้ นายรีบกลับประเทศมาให้ฉันเดี๋ยวนี้!” หยางอี้แย่งโทรศัพท์จากชางหลางแล้วพูดขึ้นเสียงดัง

“โอเค โอเค พวกคุณนี่วุ่นวายจริงๆ ผมไปซื้อของฝากสักหน่อยก็กลับแล้ว ให้เฮลิคอปเตอร์รอไปก่อน”

วางโทรศัพท์ไปแล้ว ในใจของเย่เทียนเฉินก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก แต่ชื่อหยางอี้นี้ คล้ายว่าจะเคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน เหมือนเคยได้ยินชื่อนี้จากในโทรทัศน์ รู้สึกว่าจะเป็นคนที่มีตำแหน่งทางราชการใหญ่โตมาก ทั้งยังเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ ไว้หน้าเขาสักหน่อยก็แล้วกัน!

หากว่าหยางอี้รู้ถึงความคิดในใจของเย่เทียนเฉิน จะต้องโกรธจนเดือดพล่านแน่ๆ ตนเองเป็นคนใหญ่คนโตในคณะกรรมาธิการทหาร เดิมทีออกคำสั่งกับเย่เทียนเฉินโดยตรงว่าให้กลับประเทศ คนคนนี้กลับคิดไว้หน้าเขาในใจ มิฉะนั้นก็ยังไม่กลับ ช่างทำให้ผู้คนสิ้นไร้คำพูดจริงๆ

“ไอ้หนูเย่เทียนเฉินนี่เอาแน่เอานอนไม่ได้เลย!” หยางอี้พูด มองชางหลางอย่างไม่สบอารมณ์นัก

“หัวหน้า คุณอย่าโกรธไปเลย ไอ้หนูนี่ใช้ชีวิตอิสระไร้ระเบียบจนเคยตัว ไม่มีสังกัดไม่มีกฏเกณฑ์ แต่ครั้งนี้สามารถทำภารกิจให้สำเร็จได้อย่างราบรื่น ก็เพราะอาศัยเขาทั้งหมดจริงๆ” ชางหลางรีบเปิดปากพูด

“ฉันได้ข่าวว่าไอ้หนูนี่ยังไปก่อเรื่องในวอชิงตันซะใหญ่โต ไปเอะอะโวยวายว่าจะให้โฮบาม่าเลี้ยงข้าว?” หยางอี้คิดถึงวิธีที่เย่เทียนเฉินกระทำเรื่องราวต่างๆ ก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวถามยิ้มๆ

“อย่าไปพูดถึงเลยครับ คนคนนี้เกือบจะบุกเข้าไปในอาคารบริหารของทำเนียบขาวอยู่แล้ว หากว่าเป็นแบบนั้นจริงๆ เกรงว่าทั้งโลกต้องฮือฮาแน่…” ชางหลางเองก็รู้สึกว่าบนหน้าผากเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็นๆ ในใจคิดว่าเย่เทียนเฉินช่างกล้าพูดกล้าทำเสียจริง

“เฮอๆ ช่างมีเอกลักษณ์ดีจริง ฉันอยากจะเจอเจ้าหนูนี่สักหน่อยซะแล้ว ไม่คิดเลยว่าตระกูลเย่จะมีบุคลากรที่มีความสามารถเช่นนี้ ดูท่าจะรุ่งเรื่องขึ้นได้จริงๆ แล้วล่ะ!” หยางอี้อดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม

เวลาประมาณบ่ายโมงของวันที่ห้า เฮลิคอปเตอร์นานาชาติลำหนึ่งลดระดับลงจอดที่สนามบินแห่งเมืองหลวง เย่เทียนเฉินสวมรองเท้าแตะ กางเกงชายหาดและเสื้อกล้าม ถือกระเป๋าเล็กๆ ใบหนึ่งเดินออกมา มองชางหลางที่ขับรถมารับเขาด้วยความเอือมระอา คนเช่นนี้นั่งเฮลิคอปเตอร์นานาชาติ ช่างเสียของจริงๆ

“ไอ้หนูนายจะเก็บกวาดหน่อยไม่ได้รึไง? ขายหน้าจากต่างประเทศกลับมาอีกแล้ว?” ชางหลางมองเย่เทียนเฉินอย่างไม่พอใจ

“พูดจาไร้สาระให้มันน้อยๆ หน่อย คราวนี้ผมทำภารกิจสำเร็จแล้ว เรื่องที่คุณรับปากผมไว้ทำได้หรือยัง?” เย่เทียนฉินมองชางหลางพลางกล่าวถาม

“ฉันชางหลางพูดคำไหนคำนั้น ทำเสร็จไปตั้งนานแล้ว ขึ้นรถเถอะ” ชางหลางมองเย่เทียนเฉินเอือมๆ

“ขึ้นรถไปไหนเหรอครับ?” เย่เทียนเฉินถามด้วยความสงสัย

“ท่านหยางต้องการพบนาย ฉันได้รับคำสั่งให้มารับนาย”

“ไม่เอาอ่ะ ผมเหนื่อย อยากกลับไปนอน ผมเจ็ทแล็คอย่างหนักเลย!” เย่เทียนเฉินส่ายหน้ากล่าว

“นาย…ไอ้หนูนายต้องการให้ฉันลักพาตัวนายไปใช่ไหม? วันนี้นายต้องไปกับฉัน”

ชางหลางได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉินก็โกรธจนหน้ามืด หยางอี้อยู่ในตำแหน่งเช่นไร จินตาการได้เลยว่ามีใครหลายคนที่อยากจะพบเขา แต่ต่อให้ไปขอร้องใครก็ยังพบไม่ได้ ตอนนี้หยางอี้ที่เป็นคนใหญ่คนโตต้องการพบเย่เทียนเฉินด้วยตัวเอง เย่เทียนเฉินกลับโยนโอกาสทิ้ง ไม่เต็มใจไป ช่างทำให้เกิดความรู้สึกอยากจะอัดเขาแรงๆ สักยกเสียจริง

………………………………………………..

บทที่ 106 พลังพิเศษสายพสุธาแสดงความสามารถ
Ink Stone_Fantasy
ฉึก!

เลือดสดๆ สาดกระเซ็น ใครก็ไม่คิดว่าในไม้เท้าที่โทมัสใช้จะมีอาวุธอยู่เล่มหนึ่ง สิ่งนี้ไม่ใช่ของจำพวกมีดดาบธรรมดาๆ เนื่องจากวัสดุที่ใช้สร้างอาวุธเล่มนี้ ไม่ใช่วัสดุโลหะธรรมดาๆ ที่มีอยู่บนโลก แต่เป็นวัสดุที่มาจากอวกาศ เกรงว่ามีเพียงยอดฝีมือระดับโทมัสเท่านั้นจึงจะสามารถครอบครองอาวุธที่ไม่ธรรมดาเช่นนี้ได้

กล่าวได้ว่าอาวุธที่ซ่อนอยู่ในไม้เท้าของโทมัสเป็นดาบเล่มหนึ่ง และก็กล่าวได้ว่ามันเป็น “เข็ม” ที่ค่อนข้างใหญ่มากเล่มหนึ่งเช่นกัน มันก็เป็นอาวุธเช่นนี้เอง แต่กลับสามารถแทงทะลุสสารใดๆ ก็ตามบนโลกนี้ได้

โทมัสเป็นผู้มีพลังพิเศษสายวารี เขาใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษสายวารีที่แข็งแกร่งที่สุดที่ตนเองสามารถควบคุมได้กับเย่เทียนเฉินไปแล้ว นั่นก็คือพลังมังกรวารี เคล็ดวิชาอันทรงพลังนี้มีพลังทำลายล้างที่รุนแรงเป็นอย่างมาก เนื่องจากภายในน้ำทุกหยดล้วนแฝงไปด้วยพลังพิเศษที่แข็งแกร่ง พลังพิเศษเหล่านี้ก็เหมือนกับใบมีด สามารถเฉือนทำลายกล้ามเนื้อและผิวหนังของมนุษย์จนลึกเข้าไปถึงอวัยวะภายในและไขกระดูก เดิมทีน้ำก็เป็นสิ่งที่สามารถแทรกตัวเข้าไปในทุกสิ่งได้อยู่แล้ว ขอเพียงแค่มีรอยรั่วก็สามารถทะลวงเข้าไปได้ เคล็ดวิชานี้สามารถเปลี่ยนคนเป็นๆ ให้กลายเป็นฝนเลือดได้ เท่ากับว่าสามารถป่นมนุษย์ตั้งแต่หัวจรดเท้า ช่างน่าเกรงกลัวและทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง

เดิมทีเมื่อเห็นว่ามังกรวารีระเบิดออกและโอบล้อมเย่เทียนเฉินเอาไว้ เย่เทียนเฉินย่อมต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย โทมัสเองก็นึกว่าเขาตายแน่แล้ว เพราะชั่วชีวิตนี้ เขาก็เพิ่งจะใช้พลังมังกรวารีไปเพียงสองครั้งเท่านั้น การใช้สองครั้งแรกล้วนเป็นเพราะเจอกับสุดยอดฝีมือ แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็สามารถใช้พลังมังกรวารีกำจัดอีกฝ่ายไปได้

ตามที่โทมัสวิเคราะห์จากการต่อสู้กับเย่เทียนเฉินนั้นพบว่าอีกฝ่ายเก่งมาก แต่ดูเหมือนความสามารถจะพอๆ กับศัตรูตัวฉกาจที่เขาพบทั้งสองครั้งแรก ดังนั้นเมื่อเห็นว่าพลังมังกรวารีระเบิดออก กำแพงวารีแต่ละชั้นก็ปกคลุมเย่เทียนเฉินและบีบอัดเข้าไปไม่หยุด เขาจึงนึกว่าเย่เทียนเฉินตายแน่แล้ว

ไหนเลยจะรู้ว่า ในตอนที่เขาหันหลังเตรียมจะจากมา จู่ๆ ก็มีเสียงหยอกเย้าของเย่เทียนเฉินดังขึ้นมาท่ามกลางกำแพงวารี คนคนนี้ถึงกับไม่เป็นอะไรเลยงั้นหรือ? ความเป็นจริงทำให้โทมัสสั่นสะท้าน แต่โทมัสก็ไม่ใช่ผู้มีพลังพิเศษธรรมดาๆ ไม่ว่าจะเป็นความสามารถหรือประสบการณ์ หรือจะเป็นความเข้มแข็งของจิตใจ ล้วนแต่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่ายอดฝีมือทั่วไปมากนัก เพียงพริบตาเดียวก็ยิงอาวุธในไม้เท้าไปยังเย่เทียนเฉิน

ภายในน้ำปรากฏเลือดสดๆ พุ่งออกมา อาวุธที่ดูเหมือน “เข็ม” เล่มนั้นทะลุผ่านกำแพงวารีต่ละชั้น ปักเข้าไปยังรูปสลักทองแดงจนเกิดเสียงดังฉึก กระทั่งรูปสลักทองแดงที่หนาหลายเมตรก็ยังถูกปักจนทะลุ เห็นได้ชัดถึงอานุภาพของมัน

“ไอ้โง่ ไอ้หนุ่มตะวันออกแกว่งเท้าหาเสี้ยน มันต้องตายแน่นอน!” บีชเอ่ยอย่างโหดเหี้ยม

“โทมัสไม่ทำให้ผมผิดหวังเลยจริงๆ…” ประธานาธิบดีโฮบาม่าพูดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม

ในตอนที่โฮบาม่าและบีชคิดว่าคราวนี้เย่เทียนเฉินจะต้องตายอย่างแน่นอนแล้วนั้น โทมัสกลับจ้องมองกำแพงวารีแต่ละชั้นอย่างไม่ละสายตา เขาขมวดคิ้วแน่น เหมือนจะมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี เพราะเขาไม่รู้สึกถึงกลิ่นอายแห่งความตายเลย แม้ว่าบนอาวุธที่ขว้างออกไปจะมีเลือดปรากฏอยู่ก็ตามที

“พสุธา…ทลาย…ดิน…แยก!”

เสียงของเย่เทียนเฉินแจ่มชัดยิ่ง ตัวอักษรก็อ่านออกมาอย่างเชื่องช้าและชัดเจน ทำให้โฮบาม่าและบีชตกใจจนชาวาบไปถึงหัว รู้สึกสิ้นหวังโดยสิ้นเชิง เพราะเย่เทียนเฉินเหมือนกับแมลงสาบที่ฆ่าไม่ตาย โทมัสลงมือเต็มที่แล้วก็ยังไม่อาจกำจัดคนคนนี้ได้ ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ

ตู้ม!

เสียงหนึ่งดังสนั่นหวั่นไหว กำแพงวารีที่ระเบิดออกมาจากพลังมังกรวารีของโทมัสถูกแรงสั่นสะเทือนจนแหวกออก สองตาของโทมัสต้องเขม็งไปยังบริเวณใจกลาง ดวงตาเต็มไปด้วยความตกตะลึง

พบว่าเย่เทียนเฉินถูกสิ่งที่ดูคล้ายมนุษย์โคลนห่อหุ้มเอาไว้ อีกทั้งเขายังสามารถเคลื่อนไหวไปพร้อมกับมนุษย์โคลนที่ห่อหุ้มเขาอยู่ได้อีกด้วย เมื่อสักครู่นี้เย่เทียนเฉินกางแขนทั้งสองออก มนุษย์โคลนก็กางแขนทั้งสองออก และทำลายพลังมังกรวารีของโทมัสไป

“สายพสุธา คุณ…เมื่อกี้นี้ไม่ใช่ว่าคุณใช้พลังสายอัสนีเหรอ? หรือว่าคุณ…” โทมัสตกตะลึงไปครึ่งค่อนวันก็ยังพูดไม่ออก ราวกับว่าเขาคิดอะไรได้ แต่กลับไม่กล้ายืนยัน

ในหมู่ผู้มีพลังพิเศษ กล่าวได้ว่าสายพลังธาตุมีเยอะที่สุดจากทั้งหมด แบ่งเป็น วาโย(ลม) อัคคี(ไฟฉ อัสนี(สายฟ้า) วารี(น้ำ) พสุธา(ดิน) ไม้ แสง ทั้งหมดเจ็ดสายย่อย และสามารถพบเห็นได้มากที่สุดในหมู่ผู้มีพลังพิเศษ ผู้ที่พลังตื่นแล้วจำนวนมากต่างก็จัดอยู่ในสายนี้

อย่างไรก็ตามในเจ็ดสายย่อยนี้ ยังมีกฏเกณฑ์ในการควบคุมซึ่งกันและกันอยู่ แน่นอนว่าการควบคุมเช่นนี้จำกัดอยู่เพียงผู้มีพลังพิเศษที่มีขอบเขตพลังในระดับเดียวกัน เช่นไม้ควบคุมดิน ผู้มีพลังพิเศษสายไม้ขอบเขตพลังระดับราชันคนหนึ่ง สามารถควบคุมผู้มีพลังพิเศษสายดินที่อยู่ในระดับราชันได้ ถ้าหากต้องการควบคุมระดับจอมราชัน หรือกระทั่งระดับจักรพรรดิ นั่นดูเหมือนว่าจะเป็นไปไม่ได้ ทั้งยังทำให้เกิดผลกระทบ เมื่ออยู่ต่อหน้าความสามารถอันเด็ดขาดก็ไม่สามารถใช้การอะไรได้เลย

“อาวุธลับของคุณร้ายกาจมาก เกือบเอาชีวิตผมได้เลย!”

ไหล่ซ้ายของเย่เทียนเฉินถูกอาวุธของโทมัสจนบาดเจ็บ แต่เป็นเพียงการแฉลบถูกผิวหนังไปนิดหน่อยเท่านั้น เมื่อสักครู่ภายใต้สถานการณ์ที่ถูกกำแพงวารีแต่ละชั้นห่อหุ้ม เย่เทียนเฉินต้องต้านทานการบีบอัดของกำแพงวารีแต่ละชั้นเหล่านี้ ทั้งยังต้องหลบอาวุธปลิดชีพที่มองไม่เห็นอีกด้วย ต้องเสี่ยงเป็นอย่างมากถึงจะหลบพ้น เกือบจะถูกอาวุธที่คล้ายกับ “เข็มยักษ์” นี้แทงทะลุสมองไปแล้ว

โทมัสมองเย่เทียนเฉิน ดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัยและไม่เข้าใจ ทั้งยังไม่กล้ายืนยันการคาดเดาของตน เมื่อสักครู่นี้ตอนที่สู้กับเย่เทียนเฉิน เขารู้สึกได้ว่าภายในหมัดอันคมกริบของเย่เทียนเฉินคละเคล้าไปด้วยพลังพิเศษที่มีคุณสมบัติแห่งสายฟ้า ทำให้สามารถรู้ได้อย่างหนึ่ง นั่นก็คือเย่เทียนเฉินเป็นผู้มีพลังพิเศษในสายอัสสนี ดังนั้นโทมัสจึงมีความมั่นใจในพลังมังกรวารีของตนเองมากยิ่งขึ้น น้ำสามารถชักนำกระแสไฟฟ้าได้ เมื่อตนเองใช้พลังมังกรวารีโจมตีเย่เทียนเฉิน เช่นนั้นพลังพิเศษสายอัสนีของเย่เทียนเฉินก็ไม่อาจใช้ออกมาได้ และต้องตายอย่างแน่นอน

ไหนเลยจะรู้ว่าจะใช้ดินควบคุมน้ำ ในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดเย่เทียนเฉินใช้เคล็ดวิชาสายพสุธาออกมา ทำลายพลังมังกรวารีของโทมัสไปได้อย่างสิ้นเชิง นี่ทำให้เขามองไม่ออกว่าตกลงแล้วเย่เทียนเฉินเป็นผู้มีพลังพิเศษที่มีคุณสมบัติใดกันแน่ ในใจเขามีความคิดที่บ้าบิ่นมากอยู่อย่างหนึ่ง แต่ไม่กล้าที่จะมั่นใจ เนื่องจากผู้มีพลังพิเศษประเภทนี้มีอยู่เพียงในตำนานเท่านั้น

“ผมบอกไปแล้ว ถ้าคุณรับพลังมังกรวารีของผมได้ ผมจะไม่ยุ่งกับเรื่องนี้อีก แล้วก็ยุ่งไม่ได้ด้วย…” โทมัสมองเย่เทียนเฉินพลางกล่าว

“ช่างเถอะ คุณไม่เล่นแล้วก็ไม่สนุกเอาซะเลย ผมไปหาที่กินข้าวดีกว่า!” เย่เทียนเฉินพูดแล้วหาวออกมาครั้งหนึ่ง

ความจริงแล้ว การที่เย่เทียนเฉินมาประเทศM ก็เพราะอยากจะมาเปิดหูเปิดตาดูความแข็งแกร่งของหน่วยสืบราชการลับพลังพิเศษแห่งประเทศสักหน่อย อยากจะเห็นว่าตกลงแล้วภายในหน่วยมียอดฝีมือสายไหนอยู่บ้าง ตอนที่ได้พบกับซิลลี่ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นราชาแห่งความโหดเหี้ยม เย่เทียนเฉินก็รู้สึกว่า ความสามารถของหน่วยสืบราชการลับพลังพิเศษแห่งประเทศMไม่ได้โอ้อวดเกินจริงเลย พอมีฝีมืออยู่บ้างจริงๆ อย่างน้อยทหารธรรมดาๆ ที่แข็งแกร่งของประเทศจีนก็ไม่อาจต่อกรได้จริงๆ

อย่างไรก็หลังจากที่ได้ประมือกับโทมัส ในที่สุดเย่เทียนเฉินก็สามารถปลุกอารมณ์เลือดร้อนให้พลุ่งพล่านขึ้นมาได้ นานแล้วที่ไม่ได้ใช้พลังพิเศษสองสายร่วมกัน คราวนี้เผชิญกับพลังมังกรวารีอันร้ายกาจของโทมัสจึงจำเป็นต้องใช้พลังสายพสุธา มิฉะนั้นก็จะมีอันตรายถึงชีวิต

ท้องหิวมากแล้วจริงๆ อย่างไรก็ตามโทมัสยังขวางอยู่ข้างหน้า หากตนเองต้องการบุกเข้าไปให้โฮบาม่าเลี้ยงข้าวจริงๆ เกรงว่าชายชราคนนี้คงตามล่าตนเองอย่างสุดกำลัง ตัวเย่เทียนเฉินนั้นมาก็เพื่อซ้อมมือ เขาไม่ได้คิดอะไรมาก แล้วก็ไม่ได้มีบุญคุณความแค้นอะไรกับโฮบาม่า อย่างมากที่สุดการที่บุกมายังทำเนียบขาวก็เพื่อให้คนคนนี้รู้ว่า อย่าได้หยิ่งผยองจนเกินไป อย่าคิดว่าการทหารของตนแข็งแกร่งแล้วจะสามารถรังแกคนอื่นได้ ประเทศจีนของเราไม่ได้รังแกกันง่ายๆ ให้รู้จักพอประมาณ มากเกินไปมันก็ไม่ค่อยดี

“ฝันดี บายบาย!”

เย่เทียนเฉินยิ้มพลางกล่าวกับโทมัส จากนั้นจึงหันตัวเดินจากไป ตอนที่เขาจากไปไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่กล้าขัดขวางเขา ทั้งหมดล้วนแต่ถอยหลังเปิดทาง มองเย่เทียนเฉินราวกับเห็นสัตว์ประหลาดอย่างไรอย่างนั้น ชายคนนี้ที่แม้แต่โทมัสซึ่งเป็นหัวหน้าหน่วยสืบราชการลับพลังพิเศษแห่งประเทศMก็ยังจนปัญญา ทหารธรรมดาๆ อย่างพวกเขาไหนเลยจะกล้าขวาง ต่อให้มือปืนอยู่ในมือก็ตามที

โทมัสยืนอยู่บริเวณสวนดอกไม้ที่มุ่งไปยังทำเนียบขาว มองดูเย่เทียนเฉินจากไป ในสายตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ เขาอยู่มาหลายสิบปี สามารถเป็นหัวหน้าหน่วยสืบราชการลับพลังพิเศษแห่งประเทศMได้ สามารถพัฒนาฝีมือจนถึงระดับนี้ได้ นั่นก็เป็นส้นทางแห่งการฆ่าฟัน แต่การต่อสู้กับเย่เทียนเฉินชายชาวตะวันออกคนนี้ ทำให้เขาประหลาดใจมากจริงๆ อายุไม่ถึงยี่สิบปีก็มีความสามารถเช่นนี้แล้ว ช่างทำให้ผู้คนตกตะลึงเหลือเกิน

“คุณโทมัส ทำไมคุณไม่ฆ่าไอ้ระยำนั่น?” โฮบาม่าเดินมายังเบื้องหน้าของโทมัส เอ่ยถามด้วยความไม่พอใจ

“นั่นสิครับ ความสามารถของคุณไม่ด้อยกว่าไอ้เด็กนั่น ถ้าสู้สุดตัว จะต้องฆ่ามันได้แน่” บีชเองก็กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์

โทมัสมองบีชอย่างหยามหยัน ต่อให้บีชมีฐานะเป็นนายพลแห่งกองกำลังเขตสิบห้าที่คอยอารักขาวอชิงตัน เขาก็ไม่เห็นอีกฝ่ายอยู่ในสายตา จึงกล่าวไปอย่างเย็นชาว่า “นายพลบีช ดูเหมือนเรื่องของผมจะยังไม่ถึงคราวที่คุณจะมาวุ่นวายได้นะครับ? ถ้าหากคุณอยากจะฆ่าเด็กคนนั้น ผมก็ไม่ใส่ใจถ้าคุณจะลงมือด้วยตัวเอง ผมเชื่อว่าถ้านายพลบีชลงมือ จะต้องกำจัดเขาได้แน่!”

เวลานี้ เดิมทีในใจของโทมัสก็ไม่พอใจอยู่บ้างแล้ว กำลังคิดว่าเย่เทียนเฉินเป็นผู้มีพลังพิเศษประเภทอะไร แต่กลับถูกโฮบาม่ากับบีชมาขัด แม้ว่าโทมัสจะโอหังและถือดี แต่โฮบาม่าเป็นประธานาธิบดี อย่างไรก็ต้องไว้หน้าสักหลายส่วน ส่วนบีชน่ะหรือ เขาไม่แยแสถ้าจะทำให้ต้องอับอาย

“คุณ…” บีชโกรธจนทนไม่ไหว อยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ถูกโฮบาม่าปรามเอาไว้ด้วยสายตา

โฮบาม่าเป็นคนที่ฉลาดมากคนหนึ่ง มิฉะนั้นจะได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งประเทศMติดต่อกันได้อย่างไร แม้ว่าเขาจะโกรธโทมัสที่ปล่อยเย่เทียนเฉินไป แต่ครั้งนี้หากไม่ใช่เพราะโทมัส ก็ไม่แน่ว่าเย่เทียนเฉินจะบุกเข้ามาหาเขาต่อหน้า แล้วสถานการ์จะเป็นอย่างไร ไม่แน่ว่าตนเองอาจจะขายหน้าไปตั้งนานแล้วก็เป็นได้

อีกทั้งหากพูดถึงวอชิงตันในตอนนี้ คนที่สามารถต่อกรกับเย่เทียนเฉินได้ก็มีเพียงโทมัส เย่เทียนเฉินไปจากทำเนียบขาวแล้ว แต่ก็ไม่แน่ว่าจะไปจากวอชิงตัน สถานการณ์ยังคงไม่คลี่คลาย ยังจำเป็นต้องใช้โทมัสอยู่

“คุณโทมัส เรื่องนี้ยังจำเป็นต้องให้คุณลงมือนะครับ!”

“ท่านประธานาธิบดีครับ เรื่องนี้ผมเองก็จนปัญญา เจ้าหนุ่มชาวตะวันออกคนนี้เก่งมาก ผมฆ่าเขาไม่ได้ อีกอย่างในประเทศMของพวกเรา ผมก็ไม่ได้แข็งแกร่งที่สุด คุณสามารถออกคำสั่งไปยังพวกเขาได้ แล้วผมมีบางเรื่องที่อยากจะเตือนคุณไว้ซะก่อน ปล่อยให้เจ้าหนุ่มตะวันออกคนนี้ไปจากวอชิงตันซะเถอะ อย่าไปหาเรื่องเขาอีกเลย…” หลังจากที่โทมัสกล่าวประโยคนี้จบ ก็เดินจากไปเองโดยไม่สนใจโฮบาม่าและบีชอีก

……………………………………………………….

บทที่ 105 ปะทะโทมัส (ส่วนที่สอง)
Ink Stone_Fantasy
เมื่อลงมือก็ออกแรงปล่อยหมัดที่แฝงไว้ด้วยพลังพิเศษขอบเขตจอมราชันไปยังโทมัส ยังไม่ทันถึงเบื้องหน้าของโทมัส ก็รู้สึกได้ถึงอากาศที่ถูกแรงสั่นสะเทือนจนเกิดการสั่นไหว ทำให้โทมัสตกตะลึง

ตู้ม!

โทมัสหลบหมัดของเย่เทียนเฉินที่ต่อยผ่านอากาศมาได้ หมัดที่มีพลังพิเศษอันมหาศาลทะลวงผ่านอากาศไปโดนบ่อน้ำด้านหลังโทมัส พลันเกิดเป็นหยาดน้ำสาดกระเซ็นเต็มท้องฟ้า

มือขวาของโทมัสคว้าหยาดน้ำที่ร่วงหล่นดั่งสายฝน ค่อยๆ กระตุ้นพลังพิเศษในร่างกายไปยังกลางฝ่ามือ เปลี่ยนหยาดน้ำเป็นแท่งน้ำแข็งอันแหลมคม ยิงพุ่งไปยังเย่เทียนเฉิน

ฉึกๆๆ!

แท่งน้ำแข็งที่ดูราวกับมีดปลายแหลมล้วนปักลงไปยังม่านพลังแห่งแสงที่เย่เทียนเฉินกางออกมา ในช่วงยุคสิ้นโลก เย่เทียนเฉินให้ความสำคัญกับการป้องกันมาก ยอดฝีมือที่แท้จริงคนหนึ่ง ไม่เพียงจะต้องมีพลังโจมตีที่รุนแรง แต่ยังต้องมีพลังป้องกันที่แข็งแกร่งด้วย มิฉะนั้นหากเผชิญหน้ากับยอดฝีมือแห่งยุคที่แท้จริงคงไม่มีทางรอดชีวิต

ฉัวะ!

ฉัวะ!

เย่เทียนเฉินโต้กลับ สองมือแผ่ออก พลังพิเศษก่อร่างเป็นมีดเล่มใหญ่สองเล่มฟันไปยังโทมัส โทมัสไม่กล้าฝืนรับ ทำได้เพียงเอนตัวไปข้างหลังเพื่อหลบมีดเล่มใหญ่ทั้งสอง ในขณะเดียวกันก็พุ่งไปยังเย่เทียนเฉินด้วยความเร็วสูง

ณ เวลานี้ โทมัสไม่มีตรงไหนที่เหมือนกับชายชราวัยเจ็ดสิบเลย การเคลื่อนไหวยังคล่องแคล่วปราดเปรียวซะยิ่งกว่าชายอายุยี่สิบกว่าโดยสิ้นเชิง หลบไม่กี่ครั้งก็ใกล้ถึงตัวเย่เทียนเฉิน โดยไม่มีการเคลื่อนไหวที่เกินความจำเป็นสักนิด สองมือต่อยออกไปไม่หยุด มุ่งโจมตีไปยังเย่เทียนเฉิน หมัดมีพลังที่เกิดจากความแข็งแกร่งและความนุ่มนวลที่ผสานกันอย่างลงตัว เป็นหมัดที่พิสดาลเป็นอย่างมาก บีบให้เย่เทียนเฉินทำได้เพียงแค่ตั้งรับจนถอยหลัง ไร้ทางตอบโต้

“หึ โทมัสไม่เสียทีที่เป็นหัวหน้าหน่วยสืบราชการลับพลังพิเศษแห่งประเทศM ชายชาวตะวันออกคนนี้ไม่ใช่คู่มือของเขา ต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยเลย” โฮบาม่ามองเหตุการณ์ด้านล่างตึก พูดพลางยิ้มเย็นชา

“ท่านประธานาธิบดีครับ ท่านวางใจได้ โทมัสจะต้องฆ่าเขาได้แน่นอน ปีศาจตะวันออกจะไม่มีทางได้ไปจากวอชิงตันโดยเด็ดขาด” บีชพูดด้วยความมั่นใจ

ในความเป็นจริงนั้น โฮบาม่าและบีชต่างเห็นเพียงสถานการณ์ภายนอกเท่านั้น ไม่ได้เห็นถึงปัญหาที่แท้จริง เกรงว่าคนที่สามารถมองได้ถึงความตื้นลึกหนาบางของสถานการณ์จะมีแค่โทมัสคนเดียวเท่านั้น เขาลงมือเต็มกำลังแล้ว ใช้ทั้งพลังและความเร็วสูงสุดโจมตีเย่เทียนเฉิน แม้จะยับยั้งเย่เทียนเฉินไว้ได้จนทำให้เขาไม่อาจโต้ตอบ แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ไม่สามารถทำให้เย่เทียนเฉินบาดเจ็บได้เลย ทำให้โทมัสรู้สึกหวาดหวั่นอยู่บ้าง

โทมัสไม่ใช่คนหลงระเริง อยู่มาจนถึงอายุปูนนี้แล้ว ผ่านช่วงเวลาแห่งความหลงระเริงไปตั้งนานแล้ว ด้านฝีมือของตนเอง เขายังได้จัดอันดับไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วย ในประเทศM หลายคนคิดว่าเขาผู้ซึ่งมีฐานะเป็นหัวหน้าหน่วยสืบราชการลับพลังพิเศษแห่งประเทศM อย่างน้อยฝีมือก็สามารถจัดอยู่ในสามอันดับแรกได้ แต่ความจริงโทมัสคาดการ์ว่าอย่างมากที่สุดตนก็สามารถเข้าสู่ห้าอันดับแรกได้เพียงเท่านั้น

แต่ต่อให้ฝีมือของตนเองไม่ได้แข็งแกร่งที่สุดในประเทศM ก็มีน้อยคนที่จะสามารถประมือกับตนได้ โดยเฉพาะคนหนุ่มเช่นชาวตะวันออกตรงหน้านี้ ไม่รู้ว่าฝีมือของเขาแข็งแกร่งขนาดไหน นี่เป็นคนหนุ่มที่ลึกล้ำไม่อาจหยั่งคนหนึ่ง โทมัสได้แต่วินิจฉัยไปเช่นนี้

ตู้มๆ!

สองหมัดปะทะกัน เย่เทียนเฉินถูกซัดจนถอยหลังไม่หยุด ในใจของเขาตื่นเต้นเป็นอย่างมาก รู้สึกนับถือในฝีมือของชายชราคนนี้ ตนเองไม่ได้ดูเบาโทมัสและไม่ได้ลำพองใจ เมื่อลงมือก็รีดเร้นความสามารถทั้งหมดของขอบเขตจอมราชันออกมา แต่ก็ยังไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่ได้เปรียบ ทั้งยังถูกโทมัสโจมตีกดดันจนต้องถอย ความสามารถของชายชราคนนี้อย่างน้อยก็ต้องอยู่ในขอบเขตจอมราชัน มิฉะนั้นคงไม่มีอานุภาพเช่นนี้

เมื่อถอยจนถอยต่อไปไม่ได้ เย่เทียนเฉินก็ทำได้เพียงใช้สองหมัดโจมตี ปะทะกับหมัดทั้งสองของโทมัสอย่างรุนแรง ทั้งสองต่างถอยไปคนละสามก้าว มองอีกฝ่ายอย่างจริงจัง ต่างมีรู้สึกว่าได้เจอศัตรูตัวฉกาจเข้าให้แล้ว

“พ่อหนุ่ม คุณเก่งมาก” จู่ๆ โทมัสก็ผ่อนคลายลง กล่าวพลางมองเย่เทียนเฉินด้วยรอยยิ้ม

“ไม่เสียทีที่เป็นหัวหน้าหน่วยสืบราชการลับแห่งประเทศM โฮบาม่าช่างโชคดีจริงๆ เลย!” เย่เทียนเฉินพูดยิ้มๆ

โทมัสมองเย่เทียนเฉินแวบหนึ่ง ชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะหันไปหยิบไม้เท้าที่วางไว้ข้างๆ เขายืนข้างบ่อน้ำแล้วพูดว่า “แก่แล้ว ไม่มีประโยชน์ซะแล้ว ผมยังมีอีกกระบวนท่าหนึ่ง ถ้าหากคุณสามารถรับได้ เรื่องนี้ผมจะไม่ยุ่งอีก แล้วก็ยุ่งไม่ได้ด้วย!”

“ไม่จริงมั้ง ยังเหลือกระบวนท่าอีกเหรอ?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความประหลาดใจ

“ลองดูหน่อยถอะ ด้วยความสามารถของคุณคงจะรับไว้ได้” โทมัสพูดยิ้มๆ

“แล้วถ้ารับไม่ได้ล่ะ?” เย่เทียนเฉินถามด้วยรอยยิ้มยั่วเย้า

“งั้นก็จะกลายเป็นฝนเลือดกองหนึ่ง…”

การต่อสู้ระหว่างยอดฝีมือไม่ได้เป็นการต่อสู้ถึงขั้นเป็นตายหรือต้องพูดจารุนแรงใส่กันอย่างที่ใครหลายคนจินตนาการ มันไม่ใช่สิ่งจำเป็น คนที่ไปถึงขอบเขตนั้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นความสามารถหรือจิตใจต่างก็ไม่ใช่อะไรที่คนธรรมดาจะเข้าใจได้ กล่าวให้ชัดเจนก็คือ การต่อสู้ถึงขั้นเป็นตายจริงๆ นั้นไม่มีใครได้ประโยชน์ หลายครั้งที่ไม่จำเป็นต้องถึงขั้นนั้น หลังจากที่รู้แพ้รู้ชนะแล้ว ผู้แพ้ย่อมรู้ดีว่าควรจะทำอย่างไร

เย่เทียนเฉินไม่ตอบ แต่กลับรวบรวมสมาธิทั้งหมด เพราะโทมัสเพิ่งจะพูดจบก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว เขายืนอยู่ข้างบ่อน้ำ ใช้ไม้เท้าในมือขวาวาดวงแสงกลางอากาศราวกับเป็นไม้คทา โทมัสวางไม้เท้าไว้ด้านหนึ่ง มือทั้งสองประกบเข้าด้วยกันแล้วประทับไปยังวงแสง

ครืน!

พื้นดินสั่นไหวไปทั่วทั้งสวนดอกไม้ อากาศก็ราวกับถูกสั่นสะเทือน เย่เทียนเฉินรู้สึกว่าตนเองแทบจะยืนไม่อยู่ การผันผวนของพลังพิเศษอันรุนแรงปกคลุมไปทั่วทั้งสวน เย่เทียนเฉินเห็นดังนั้นก็ตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง ขอบเขตพลังพิเศษของชายชราโทมัสคนนี้อยู่ราวๆ ระดับจอมราชันแน่นอน และใกล้จะทะลวงไปถึงระดับจักรพรรดิแล้วด้วย มิฉะนั้นคงไม่อาจปลดปล่อยพลังพิเศษออกมามากมายเช่นนี้ได้

โทมัสขมวดคิ้วแน่น ไม่ได้มองเย่เทียนเฉินด้วยรอยยิ้มอันเปี่ยมไปด้ววยความอ่อนโยนตั้งนานแล้ว ตัวเขาราวกับมังกรยักษ์ที่แก่ชราตัวหนึ่ง แต่ละย่างก้าวไม่อาจจะฟื้นคืนได้ตลอดไป กลิ่นอายความโหดเหี้ยมบนร่างคละคลุ้งออกมา น้ำที่อยู่ภายในบ่อน้ำข้างกายของเขาสั่นสะเทือนไม่หยุด ส่วนน้ำพุนั้นถูกระเบิดไปตั้งนานแล้วในตอนที่เย่เทียนเฉินและโทมัสสู้กัน ดูเหมือนว่าโทมัสจะใช้วงแสงนั้นในการควบคุมน้ำในบ่อ

เมื่อโฮบาม่าและบีชที่ยืนอยู่บนอาคารของทำเนียบขาวได้เห็นฉากนี้ก็ทั้งตกตะลึงทั้งยินดี ตกตะลึงที่โทมัสผู้เป็นหัวหน้าหน่วยสืบราชการลับพลังพิเศษแห่งประเทศM นับเป็นยอดฝีมือแห่งยุคที่แท้จริง วิธีการของผู้มีพลังพิเศษทำให้ผู้คนไม่กล้าจินตนาการ ที่ยินดีก็คือ เคล็ดวิชาพลังพิเศษที่แข็งแกร่งเช่นนี้ เย่เทียนเฉินปีศาจตะวันออกคนนี้จะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยเลย

เดิมทีเมื่อสักครู่นี้เห็นว่าการโหมโจมตีอันเหนือกว่าของโทมัส ซัดจนเย่เทียนเฉินต้องล่าถอยอย่างต่อเนื่อง กระทั่งไม่มีเรี่ยวแรงที่จะโจมตีกลับ โฮบาม่าและบีชก็คิดว่าเย่เทียนเฉินจะต้องตายอย่างแน่นอน ไหนเลยจะรู้ว่าเย่เทียนเฉินจะโจมตีโต้ตอบไปได้อย่างแข็งกร้าว ปะทะกับหมัดทั้งสองของโทมัสอย่างรุนแรง นี่ทำให้โฮบาม่าและบีชสิ้นหวัง โกรธจนปวดฟันไปหมด

“บีช ให้คนไปจัดเตรียมอาหารเย็นหรูๆ ให้เต็มโต๊ะทันที ผมจะรับรองคุณโทมัสดีๆ สักหน่อย อย่าลืมเปิดเหล้าที่ดีที่สุดมาด้วยขวดหนึ่ง…” โฮบาม่ากล่าวด้วยรอยยิ้มลำพองใจ

“ครับ ผมจะไปเตรียมการทันที จะให้เรียกสาวผมบรอนด์มาเป็นเพื่อนสักหน่อยไหมครับ?” บีชพูดพลางยิ้มอย่างหื่นกระหาย

เป็นสิ่งที่ผู้คนไม่ทราบอีกเช่นกันว่า สิ่งที่โฮบาม่าผู้เป็นประธานาธิบดีประเทศMผู้นี้ชอบที่สุดก็คือสาวผมบรอนด์ ดูเหมือนว่าทุกคืนจะต้องหาสาวผมบรอนด์ชั้นยอดมานอนเป็นเพื่อน แน่นอนว่าเรื่องนี้ คนธรรมดาจะไปรู้ที่ไหนกัน? ขนาดบุคคลระดับสูงหลายคนในประเทศMก็ไม่แน่ว่าจะรู้ นี่นับเป็นความลับในหมู่ความลับอย่างแท้จริง

“แน่นอน เพียงแต่ไม่รู้ว่าคุณโทมัสจะชอบรึเปล่า!” โฮบาม่าเองก็ยิ้มอย่างหื่นกระหายขึ้นมาบ้าง

ซู่ม!

ทันใดนั้น จู่ๆ ก็ปรากฏเสียงร้องของมังกรขึ้น ดังสนั่นจนหูของทุกคนแทบจะสูญเสียการได้ยิน สองมือของเย่เทียนเฉินปิดหูของตน เขาถูกปรากฏการณ์ตรงหน้าทำให้อึ้งไปแล้ว น้ำในบ่อน้ำข้างกายของโทมัสกลายสภาพเป็นเสาน้ำขนาดมหึมาเสาหนึ่งพุ่งทะลุผ่านวงแสงในอากาศ ปรากฏเป็นมังกรวารีตัวเขื่องขึ้นมาตัวหนึ่ง คำรามใส่เย่เทียนเฉินจนอากาศสั่นไหว

“ที่แท้คุณก็เป็นผู้มีพลังสายวารีนี่เอง!” เย่เทียนเฉินมองมังกรวารีในอากาศแวบหนึ่ง แล้วจึงพูดออกมาทั้งยังจ้องมองโทมัสอย่างจริงจัง

“ให้ผมดูความสามารถทั้งหมดของคุณหน่อยเถอะ ผมรู้ว่าคุณยังไม่ได้ลงมือเต็มที่” โทมัสเอ่ยอย่างรู้สึกชื่นชมเย่เทียนเฉิน

สองหมัดของเย่เทียนเฉินกำแน่น พลังความสามารถทั้งหมดในขอบเขตจอมราชันพลันพลุ่งพล่านขึ้นมา เมื่อต้องเผชิญหน้ากับมังกรวารีที่โทมัสใช้พลังพิเศษอันมหาศาลสร้างขึ้นมาตัวนี้ เขาไม่กล้าลำพองใจเลยแม้แต่น้อย จากการต่อสู้เมื่อสักครู่ ขอบเขตพลังของโทมัสไม่ด้อยไปกว่าเขาอย่างแน่นอน เมื่อมังกรวารีตัวนี้เริ่มเคลื่อนไหวเข้าโจมตี เป็นไปได้ว่าจะมีพลานุภาพถึงขั้นทลายฟ้า ต้องระมัดระวังไว้ให้ดี

โฮก!

มังกรวารีพุ่งเข้าจู่โจมเย่เทียนเฉินโดยตรง เย่เทียนเฉินถอยหลังไปสองก้าว ในมือขวาปรากฏดาบแสงขึ้นเล่มหนึ่ง เขาพุ่งสุดตัว ใช้ดาบฟันลงไปที่ศีรษะของมังกรวารี

ซ่า!

หยาดน้ำสาดกระเซ็น ศีรษะอันมหึมาของมังกรวารีถูกเย่เทียนเฉินตัดในดาบเดียว แต่ก็ก่อตัวเป็นหัวมังกรอันใหม่ในพริบตา และยังคงพุ่งเข้าหาเย่เทียนเฉินโดยที่อานุภาพอันรุนแรงไม่ลดลงเลย

ตู้ม!

มังกรวารีกลืนเย่เทียนเฉินลงไป จากนั้นมังกรวารีทั้งตัวก็ระเบิดออก ละอองน้ำอันหนาแน่นปกคลุมเย่เทียนเฉิน มุมปากของโทมัสปรากฏรอยยิ้มออกมา นี่เป็นเคล็ดวิชาพลังพิเศษที่รุนแรงที่สุดที่เขาผู้ซึ่งเป็นผู้มีพลังพิเศษสายวารีสามารถใช้ได้ในปัจจุบัน ใช้มังกรวารีกลืนคู่ต่อสู้เข้าไปทั้งเป็น และใช้น้ำทุกหยดที่แฝงไปด้วยพลังพิเศษอันแข็งแกร่งบดขยี้เลือดเนื้อและกระดูกของศัตรู ทำให้กลายเป็นฝนเลือด

“น่าเสียดายผู้มีพรสวรรค์ ผมไม่อยากจะฆ่าคุณเลยจริงๆ…” โทมัสพูดพลางส่ายหน้า

เมื่อกล่าวจบ โทมัสก็หมุนตัวเดินไป เขาใช้เคล็ดวิชามังกรวารีอันแข็งแกร่งออกไปแล้ว มันสำเร็จแล้ว แต่ไหนแต่ไรมา คนที่โดนท่านี้เข้าไปไม่เคยมีใครรอดชีวิตมาได้ ชั่วชีวิตนี้โทมัสใช้วิชานี้ไปเพียงสองครั้งเท่านั้น รวมกับครั้งนี้ที่ใช้กับเย่เทียนเฉินก็เป็นครั้งที่สาม

“โทมัส วิชามังกรวารีของคุณยังฆ่าผมไม่ได้หรอก!” เสียงของเย่เทียนเฉินที่เต็มไปด้วยความเคร่งขรึมดังขึ้นท่ามกลางกำแพงวารี

“ท่าทางคุณจะเก่งมากจริงๆ!”

ขณะที่โทมัสกล่าว เปลือกไม้ภายนอกของไม้เท้าในมือขวาก็ปริแตก เผยให้เห็นดาบยาวอันคมกริบขึ้นเล่มหนึ่ง เป็นดาบที่บางมาก บางพอๆ กับดาบที่ใช้ในการแข่งขันฟันดาบ

คิดไม่ถึงว่าภายในไม้เท้าจะมีอาวุธอยู่ นี่เป็นอาวุธสังหารอย่างสุดท้ายของโทมัส แทบจะทันทีที่ดาบปรากฏ เขาก็พุ่งเข้าใส่เย่เทียนเฉินที่ถูกปกคลุมไว้ด้วยกำแพงวารี ด้วยต้องการจะแทงทะลุเขาให้ตาย

………………………..

บทที่ 104 ปะทะโทมัส(ส่วนที่หนึ่ง)
Ink Stone_Fantasy
เย่เทียนเฉินบุกเข้าสู่ทำเนียบขาว กองหำลังทหารเขตสิบห้ากลุ่มนี้ไม่สามารถขัดขวางเขาไว้ได้ ยามเมื่อผู้มีพลังพิเศษขอบเขตจอมราชันคนหนึ่งระเบิดพลังเต็มที่ คนธรรมดาไม่อาจจะขัดขวางได้

บนเก้าอี้เอนของสวนหย่อมภายนอกทำเนียบขาว มีชายชราคนหนึ่งกำลังใช้ไม้เท้าพยุงตัว อายุราวเจ็ดสิบปี กำลังมองเย่เทียนเฉินด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม มองไม่ออกถึงความเป็นปรปักษ์เลยแม้แต่น้อย

แต่เย่เทียนเฉินก็ไม่ได้ดูเบาชายชราผู้นี้เลยสักนิด เนื่องจากเขาไม่อาจรู้สึกได้ถึงการผันผวนของพลังงานอันแข็งแกร่งบนร่างกายของชายชรา นี่ถึงจะเป็นยอดฝีมือที่แท้จริง

ไม่ว่าจะในปัจจุบันหรือในช่วงสิ้นโลก ไม่ว่าจะเป็นผู้แข็งแกร่งแห่งพรรควรยุทธโบราณหรือยอดฝีมือผู้มีเคล็ดพลังพิเศษที่แข็งแกร่ง เมื่อขอบเขตของพวกเขาถึงขั้นสุดยอด ตอนที่ไม่ลงมือก็จะดูเหมือนคนธรรมดาไม่มีฝีมืออะไร เมื่อลงมือ ภายในร่างกายก็ราวกับซ่อนมังกรตัวใหญ่ไว้ตัวหนึ่ง เปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาล แข็งแกร่งหาที่เปรียบ

“เย่เทียนเฉิน!” เย่เทียนเฉินได้สติกลับมาก็พูดไปด้วยรอยยิ้ม

“ดวงดาวบนฟากฟ้า จะต้องเป็นดาวที่เปล่งประกายแน่ เป็นชื่อที่ดี” โทมัสเอ่ยพลางยิ้มอย่างมีนัยยะ

“ไม่คิดว่าคุณจะพูดภาษาตะวันออกของพวกเราได้ พูดได้คล่องมากด้วย!”

พูดไป เย่เทียนเฉินก็นั่งลงที่เก้าอี้เอนตรงข้ามโทมัส เขารู้ว่าชายชราตรงหน้าไม่ธรรมดา อาจจะเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดที่เขาได้พบในโลกที่เขามาเกิดใหม่แห่งนี้ แม้แต่เขาเองก็ไม่มั่นใจว่าจะชนะชายชราคนนี้ได้ ท่าทางโลกแห่งนี้จะยังคงมียอดฝีมือที่ซ่อนเร้นอยู่

“เฮอๆ ประเทศตะวันออกที่ยิ่งใหญ่ได้รุ่งเรืองขึ้นแล้ว รุ่งเรืองอย่างยากที่จะต้านทานได้ รู้ภาษาของประเทศของพวกคุณก็เป็นเรื่องธรรมดา” โทมัสกล่าวอย่างจริงจัง

“ผมว่าผู้สูงอายุอย่างคุณนี่ใจกล้าไม่เลวเลยนะครับ กล้าพูดจายกยอประเทศตะวันออกอันยิ่งใหญ่ของผมอย่างโจ่งแจ้งในสถานที่อย่างทำเนียบขาวเช่นนี้ เบื่อชีวิตแล้วเหรอครับ?”

ในเมื่อมองไม่ออกว่าชายชราคนนี้แข็งแกร่งแค่ไหน งั้นคุยเล่นกับเขาอย่างผ่อนคลายสักหน่อยเลยดีกว่า ถึงจะรู้ว่านี่อาจจะเป็นศัตรูที่สุดจะแข็งแกร่ง แต่เย่เทียนเฉินเป็นคนประเภทดีมาดีกลับ ไม่ลงมืออย่างสะเพร่า และปรับตัวไปตามสถานการณ์

โทมัสได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะยิ้ม อยู่มาจนอายุปูนนี้ ทั้งยังแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ย่อมมองเรื่องราวต่างๆ ในโลกนี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่งนานแล้ว หลายเรื่องเป็เพียงนเรื่องง่ายๆ ในสายตาของเขา ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ ไม่มีอะไรที่พูดไม่ได้ ขอเพียงตนเองมีความสุขก็พอ

“พูดตามตรง ผมไม่ชอบวิธีการทำเรื่องราวต่างๆ ของรัฐบาลประเทศMเอาซะเลย ถ้าหากผมได้เป็นประธานาธิบดี ผมจะไล่โฮบาม่าลงไปซะเลย” โทมัสเอ่ยยิ้มๆ

“ผู้เฒ่าครับ ตอนนี้ผมนับถือคุณมากเลยนะครับ คุณนี่กล้าพูดจริงๆ ด้วย!” เย่เทียนเฉินเอ่ย อดไม่ได้ที่จะแปลกใจอยู่บ้าง

ณ เวลานี้ เย่เทียนเฉินและโทมัสไม่เหมือนกับศัตรูตัวฉกาจปะทะกัน แต่กลับดูเหมือนสหายต่างวัยกำลังคุยเล่นกันอยู่ ทำให้โฮบาม่าที่ยืนอยู่บนอาคารบริหารรู้สึกกังวล ยังมีบีชที่ร้อนใจดั่งมดที่อยู่บนกะทะร้อน ไม่รู้ว่าสองคนนี้กำลังทำอะไรอยู่

เย่เทียนเฉินคนเดียวก่อเรื่องใหญ่โตในวอชิงตัน ทั้งยังบุกเดี่ยวเข้ามายังทำเนียบขาวที่ถูกอารักขาอย่างเข้มงวดโดยยอดทหาร พริบตาเดียวก็ใกล้จะถึงเบื้องหน้าของโฮบาม่าแล้ว จะไม่ให้เขากังวลและตรึงเครียดได้อย่างไร

ชาวตะวันตกคนหนึ่ง หากมาถึงเบื้องหน้าของตนเองเช่นนี้จริงๆ ตนที่เป็นถึงประธานาธิบดีแห่งประเทศMจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน? ประเทศมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกอย่างประเทศMของตนจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน? ดังนั้นตอนนี้โฮบาม่าจึงมีเพียงความคิดเดียว นั่นก็คือให้โทมัสลงมือฆ่าเย่เทียนเฉินในทันที เพื่อเป็นการเตือนประเทศอื่นๆ บนโลกว่า ประเทศMหาเรื่องไม่ได้ ตำแหน่งมหาอำนาจของพวกเขาแข็งแกร่งยากจะล้มล้าง

“ไอ้เวรเอ๊ย ไอ้เวรโทมัสมันทำอะไรอยู่? ให้เขาลงมือซะ ให้เขาลงมือฆ่าชายชาวตะวันออกคนนั้นเดี๋ยวนี้” โฮบาม่าตะโกนด้วยความโกรธ

“ท่านประธานาธิบดีครับ ท่านระงับความโกรธไว้ก่อนนะครับ พวกเรารอดูก่อนเถอะครับ…” บีชพูดด้วยท่าทีลำบากใจ

“รอดูก่อน? ทำไมต้องรอดูก่อน หรือคำสั่งของประธานาธิบดีอย่างผม ยังมีคนกล้าไม่ฟังอยู่อีก?” โฮบาม่าได้ยินคำพูดของบีชก็ยิ่งโกรธมากขึ้นไปอีก

ใครก็คิดไม่ถึงว่า ประธานาธิบดีโฮบาม่าที่เมื่ออยู่ต่อหน้าสื่อต่างๆ และอยู่ต่อหน้าสายตาของชาวโลก มักจะมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าตลอดเวลาทั้งยังมีความเมตตาอบอุ่น จริงๆ แล้วจะเป็นคนจิตใจร้อนรุ่มมากคนหนึ่ง พอมีคน ไปสัมผัสถูผลประโยชน์ของเขา เขาก็จะฆ่าโดยไม่สนวิธีการ

ที่จริงแล้วยังมีสาเหตุสำคัญอีกสาเหตุหนึ่ง นั่นก็คือ เป็นครั้งแรกที่มีคนก่อเรื่องวุ่นวายใหญ่โตที่วอชิงตันซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศM และยังบุกเดี่ยวเข้ามายังทำเนียบขาว นี่เป็นการโจมตีโฮบาม่าที่ร้ายแรงมากจริงๆ เขาไม่มีทางรับความจริงนี้ได้ ไม่มีทางยอมรับว่าชาวตะวันออกคนหนึ่งสามารถเที่ยวมาระรานในถิ่นของตนโดยที่ไม่สามารถหยุดยั้งได้ ก่อเรื่องออกมาจนสถานการณ์เป็นเช่นนี้ หากมากันอีกหลายๆ คน ไม่ใช่ว่าตำแหน่งประธานาธิบดีของเขาจะต้องสิ้นสุดลงทันทีหรอกหรือ?

“ท่านประธานาธิบดีครับ ท่าน ท่านลืมที่ได้สัญญาไว้กับโทมัสแล้วหรือครับ? อีกอย่างนิสัยของโทมัสแปลกประหลาดมาก ถ้าหากเขาล้มเลิกไม่ยอมทำแล้ว พวกเราที่นี่เกรงว่า…เกรงว่าไม่มีใครสามารถขัดขวางปีศาจตะวันออกได้เลย…” บีชกล่าวด้วยน้ำเสียงอันเบา

โฮบาม่ากำหมัดแน่น โกรธจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เขาไม่กล้าเดิมพันจริงๆ โทมัสคนนี้ไม่เชื่อฟังคำสั่งเหมือนกับคนอื่นๆ เป็นยอดฝีมือที่มีบุคลิกเฉพาะตัว ตอนที่โทมัสตอบรับว่าจะลงมือก็ได้พูดกับโฮบาม่าไว้แล้วว่า เขาจะขวางเย่เทียนเฉิน ปีศาจตะวันออกคนนี้ไว้ให้ ส่วนจะทำอย่างไรนั้น โทมัสหวังว่าจะไม่มีใครมาสอดมือ

กองกำลังเขตสิบห้าทั้งหมด กระทั่งRPGและรถหุ้มเกราะก็ล้วนนำออกมาใช้ ก็ยังคงไม่สามารถขัดขวางเย่เทียนเฉินไว้ได้ คนที่สามารถสู้กับเย่เทียนเฉินได้ ณ ที่นี้ตอนนี้ ก็เหลือเพีงแค่โทมัสจริงๆ ดังนั้นแม้โฮบาม่าจะโกรธมาก ทั้งยังไม่พอใจเหตุการณ์ที่โทมัสคุยเล่นกับเย่เทียนเฉิน แต่กลับทำได้เพียงอดทน ถ้าไม่ทนจะทำอย่างไรได้อีกล่ะ?

นี่อดไม่ได้ที่จะทำให้คนคิดถึงประโยคประโยคหนึ่งว่า เป็นประธานาธิบดีแล้วอย่างไร? ตอนที่ควรจะยอมรับการถูกกดขี่ก็ต้องยอมรับ

“ให้คนเตรียมขีปนาวุธ ผมจะต้องกำจัดคนคนนี้ให้ได้!” สุดท้ายโฮบาม่าก็เอ่ยขึ้นอย่างโหดเหี้ยม

“ครับ!” บีชพยักหน้า

ตอนที่โทมัสตอบรับว่าจะลงมือ โฮบาม่าก็คิดแล้วว่า ไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่อาจปล่อยให้ปีศาจตะวันออกคนนี้จากไปอย่างเป็นๆ ถ้าหากโทมัสไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา เขาก็ไม่ถือสาที่จะใช้ขีปนาวุธกำจัดเย่เทียนเฉิน ทั้งในปัจจุบันนี้ขีปนาวุธติดตามที่ล้ำสมัยที่สุดของประเทศM มีพลังทำลายล้างมหาศาล ต่อให้สิ่งปลูกสร้างของวอชิงตันถูกทำลายไปด้วยเหตุนี้ หรือจะเป็นการทำร้ายประชาชนทั่วไปก็ไม่เสียดาย

โฮบาม่าเองก็เป็นคนที่โหดเหี้ยมคนหนึ่ง เขาไม่ยอมให้ใครมาท้าทายบารมีชื่อเสียงของเขาเด็ดขาด เขาได้เตรียมใจไว้ตั้งนานแล้วว่า จะฆ่าเย่เทียนเฉินโดยที่ไม่สนใจว่าจะต้องแลกกับอะไร

ตอนนี้ เย่เทียนเฉินและโทมัสพูดคุยแลกเปลี่ยนกันอย่างคึกคัก ท่าทีไม่เหมือนกับจะลงมือโดยสิ้นเชิง กลับเหมือนเพื่อนสองคนมากกว่า ขาดก็แต่การจับเข่าคุยกันเท่านั้น

“คุณรู้ไหมว่าผมปรากฏตัวที่นี่เพราะอะไร?” โทมัสมองเย่เทียนเฉินด้วยรอยยิ้มพลางเอ่ยถาม

“ไม่รู้สิครับ เดาว่าคงมานั่งเก้าอี้เอนนี่ล่ะมั้ง!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างนึกสนุก

“รัฐบาลประเทศMพวกนี้ต่างเป็นพวกไร้ประโยชน์ พวกเขาฆ่าคุณไม่ได้ เลยเรียกผมมาฆ่า!” โทมัสกล่าว จ้องมองไปยังดวงตาของเย่เทียนเฉิน

เย่เทียนเฉินชะงัก ถามออกไปอย่างผ่อนคลายว่า “งั้นคุณรู้ไหมว่าผมมาทำอะไรที่นี่?”

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน บางทีคุณคงมาดูน้ำพุล่ะมั้ง?” โทมัสเองก็พูดติดตลก

“จริงๆ ผมหิวมากเลยน่ะครับ เที่ยวเตร่อยู่ในเขตเมืองวอชิงตันอยู่ตั้งนาน อยากจะให้โฮบาม่าเจ้าถิ่นของที่นี่เลี้ยงข้าวผมสักหน่อย” เย่เทียนเฉินยักไหล่ เอ่ยด้วยท่าทางจนปัญญา

โทมัสพยักหน้า เขารู้สึกว่าชายวัยรุ่นตรงหน้ามีกลิ่นไอของราชัน เผชิญหน้ากับตนโดยไม่มีความเกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย บางทีเขาอาจจะมีความสามารถที่ต่อกรกับตนเองได้ สิบปีแล้ว เป็นเวลาสิบปีแล้ว สิบปีที่โทมัสไม่ได้ลงมือ ในสิบปีนี้ก็ไม่เจอศัตรูที่คู่ควรให้เขาลงมือ แต่วันนี้เขามีลางสังหรณ์ว่า ตนเองจะมีการต่อสู้ครั้งใหญ่

“ดูสิ พวกเราคุยกันมานานขนาดนี้แล้ว ใครหลายคนคงรอจนร้อนใจหมดแล้ว ถ้ายังไงมาออกกำลังยืดเส้นยืดสายกันหน่อยเป็นไง?” โทมัสพูดแล้วพยุงไม้เท้าขึ้นยืน

เมื่อเห็นโทมัสยืนขึ้น เย่เทียนเฉินก็คาบบุหรี่ไว้ที่ปากแล้วสูบเข้าไปเฮือกใหญ่ เขาจริงจังขึ้นมาแล้ว ตั้งแต่เกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ เป็นครั้งแรกที่มีความรู้สึกว่าได้เผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ โทมัส ชายชราตรงหน้าคนนี้ ไม่อาจดูเบาได้เป็นอันขาด

“ถึงคุณจะอายุน้อย ผมเองก็ไม่อยากทำลายผู้มีพรสวรรค์ แต่บางทีก็ยากจะหลีกเลี่ยงการพลาดพลั้งไปได้ ระวังตัวด้วย…” โทมัสกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“แต่ไหนแต่ไหนผมไม่ต่อยตีกับคนชรา แต่บางที่ก็ฆ่า…” เย่เทียนเฉินเอ่ยพลางยิ้มอย่างไม่ใส่ใจนัก

เย่เทียนเฉินและโทมัส ทั้งสองต่างก็มีรอยยิ้มที่ดูไม่มีพิษมีภัยอยู่บนใบหน้า ราวกับไม่อาจทำลายความสงบสุขของโลกได้อย่างไรอย่างนั้น แต่ทั้งสองต่างก็มองอีกฝ่ายด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากพวกเขามองไม่ออกถึงความตื้นลึกหนาบางของอีกฝ่าย เมื่อลงมือ เป็นไปได้ว่าจะทำให้ผู้คนต้องประหลาดใจ

ฉัวะ!

โทมัสลงมือก่อน ไม่มีการกระทำที่สูญเปล่าอยู่เลย เขาใช้มือซ้ายถือไม้เท้า นิ้วกลางและนิ้วชี้ข้างขวาชิดกัน ชี้ไปยังเย่เทียนเฉิน

ตู้ม!

เย่เทียนเฉินแฉลบตัวหลบกระบวนท่าของโทมัส ลมปราณสองสายพุ่งปะทะบนตัวรูปปั้นเหล็กที่อยู่ด้านหลังเก้าอี้เอนจนรูปปั้นทะลุในพริบตา ปรากฏรูเท่านิ้วขึ้นสองรู

ฟิ้วๆๆ…

เมื่อเห็นเย่เทียนเฉินหลบดัชนีลมปราณของตนได้อย่างง่ายดาย ในใจของโทมัสก็ตกตะลึง เขาดูออกว่าเย่เทียนเฉินไม่ธรรมดา แต่กลับไม่รู้ว่าชายวัยรุ่นชาวตะวันออกคนนี้จะร้ายกาจถึงขั้นนี้ ดังนั้นจึงปล่อยดัชนีลมปราณออกไปด้วยความรวดเร็วเอีกสิบกว่าครั้ง นี่เป็นหนึ่งในเคล็ดวิชาพลังพิเศษที่แข็งแกร่งของเขา

คราวนี้เมื่อเผชิญหน้ากับดัชนีลมปราณของโทมัสอีกสิบกว่าสายที่ปล่อยออกมาติดๆ กัน เย่เทียนเฉินไม่ได้เอี้ยวตัวหลบ แต่ใช้มือทั้งสองรวบรวมพลังพิเศษแล้วปล่อยโล่พลังแห่งแสงออกมา ดูราวกับจานสองใบปรากฏอยู่กลางมือ ต้านทานดัชนีลมปราณแต่ละสายจนสะท้อนออกไป

ตู้ม!

ตู้ม!

ตู้ม!

ดัชนีลมปราณที่โทมัสปล่อยออกมาต่างถูกเย่เทียนเฉินสะท้อนออกไปหมด อีกทั้งตอนที่เย่เทียนเฉินสะท้อนดัชนีลมปราณก็ได้พุ่งตัวเข้าไปหาโทมัส จนกระทั่งยามเมื่อโทมัสเกิดการตอบสนองกลับมา เย่เทียนเฉินก็ต่อยมาหนึ่งหมัดแล้ว รุนแรงจนอากาศสั่นสะเทือน

…………………………………………………

บทที่ 103 โทมัสปรากฏตัว
Ink Stone_Fantasy
โทมัส หัวหน้าหน่วยสืบราชการลับพลังพิเศษแห่งประเทศM ไม่มีใครรู้ว่าเขาหน้าตาเป็นอย่างไร จะสูงเตี้ยอ้วนผอม จะแก่หรือเด็ก ล้วนไม่มีใครทราบ ช่างลึกลับเป็นที่สุด

สมาชิกทั้งหมดของหน่วยสืบราชการลับพลังพิเศษแห่งประเทศM รู้เพียงว่าพวกเขามีหัวหน้าคนหนึ่งชื่อโทมัส แต่ไม่มีใครเคยพบเขามาก่อน กระทั่งซิลลี่ที่เป็นรองหัวหน้าก็ไม่เคยพบกับโทมัส ดังนั้นซิลลี่ถึงได้อยากจะเป็นหัวหน้ามาโดยตลอด น่าเสียดายที่เขาต้องมาเจอกับเย่เทียนเฉินทำให้ไม่มีโอกาสได้เป็นไปตลอดกาล

ในที่สุดคราวนี้โฮบาม่าก็ตัดสินใจส่งโทมัสไปปฏิบัติการ โทมัสอาจไม่ใช่ยอดฝีมืออันดับหนึ่งในประเทศM แต่อย่างน้อยก็เป็นผู้แข็งแกร่งในสามอันดับแรก นิสัยของคนคนนี้ออกจะแปลกประหลาดอยู่บ้าง เขาชอบอยู่อย่างสันโดด ไม่ชอบสถานที่ที่มีคนมากมายครื้นเครง โฮบาม่าเคยส่งคนไปหาเขามาก่อน แต่กลับได้รับมาเพียงคำพูดประโยคหนึ่งของเขาว่า ให้มั่นใจก่อนว่าเป็นตอนที่สำคัญจริงๆ แล้วค่อยติดต่อเขา ตำแหน่งผู้บังคับบัญชาหน่วยสืบราชการลับพลังพิเศษแห่งประเทศM เขาไม่อยากจะเป็นเลย!

หากเป็นคนปกติทั่วไป ใครจะกล้าพูดเช่นนี้กับประธานาธิบดีประเทศMกัน? นั่นเป็นการรนหาที่ตายโดยสิ้นเชิง เกรงว่าจะมีเพียงโทมัสที่มีนิสัยเช่นนี้ ไม่เห็นประธานาธิบดีโฮบาม่าอยู่ในสายตา ทั้งยังไม่หลงใหลในตำแหน่งผู้บัญชาการหน่วยสืบราชการลับพลังพิเศษแห่งประเทศM ที่ผู้คนนับไม่ถ้วนล้วนอยากจะเป็น เมื่อมองเช่นนี้ก็จะพบว่า นิสัยของโทมัสช่างแปลกประหลาดจริงๆ

ความจริงสามารถรู้อะไรได้หลายอย่างจากคำพูดประโยคนั้นที่เขาพูดกับโฮบาม่า อย่างแรก เขาไม่ใช่คนที่ถูกตำแหน่งทางราชการควบคุม และรักชีวิตที่อิสระเสรี คนประเภทนี้มักจะเป็นยอดฝีมือที่แท้จริง ยิ่งเป็นคนที่แข็งแกร่ง ก็ยิ่งชอบกระทำการอย่างอิสระไม่ถูกบังคับ อย่างที่สอง โทมัสกล้าพูดแบบนี้โดยที่ไม่กลัวว่าจะเป็นการล่วงเกินประธานาธิบดีประเทศM แสดงให้เห็นว่าเขามีความมั่นใจในตนเองสูง

ยามนี้ เย่เทียนเฉินขับรถมอเตอร์ไซด์มุ่งมายังทำเนียบขาวด้วยความเร็วสูง ความเร็วของรถหุ้มเกราะที่ตามมาด้านหลังก็ไม่ใช่ช้าๆ ต้องนับถืออาวุธของประเทศชั้นนำอย่างประเทศM ที่มีความก้าวหน้าทันสมัย อาวุธใหญ่ยักษ์ขนาดนี้ ยังสามารถวิ่งได้เร็ว ทั้งยังสามารถนำขีปนาวุธมากับรถอีกด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะอยู่ในเขตเมืองของวอชิงตัน กลัวว่าจะไปทำร้ายชาวเมืองบริสุทธิ์และทำลายสิ่งปลูกสร้างต่างๆ คงยิงใส่เย่เทียนเฉินไปนานแล้ว

เย่เทียนเฉินเงยหน้ามองข้างหน้า เหลือระยะทางอีกไม่ถึงหนึ่งพันเมตรก็จะถึงประตูทำเนียบขาวแล้ว ทั่วทั้งทำเนียบขาวล้อมไว้ด้วยทหารอาวุธครบมือ ทุกคนต่างถือโล่กำบังล้อมไว้อย่างแน่นหนาจนแม้แต่น้ำสักหยดก็ผ่านไปไม่ได้ หากถูกเย่เทียนเฉินบุกเข้าไปก่อเรื่องที่ทำเนียบขาวเข้าจริงๆ คงเป็นข่าวใหญ่ที่สุดในโลก และต้องทำให้เกิดความครึกโครมอย่างแน่นอน

ชาวตะวันออกคนหนึ่ง เผชิญหน้ากับกองกำลังอันแข็งแกร่งเหี้ยมหาญกองหนึ่ง แต่กลับบุกเข้าไปในทำเนียบขาวราวกับเข้าสู่สถานที่อันไร้ผู้คน พบปะกับประธานาธิบดีโฮบาม่า ทั้งยังเสวนากันรอบหนึ่ง นี่จะเป็นความน่าทึ่งระดับไหนกัน? นี่ไม่ใช่เป็นการแสดงให้เห็นว่าประเทศMไร้ความสามารถ กองกำลังประเทศMก็ยิ่งไร้ความสามารถหรอกหรือ? กระทั่งชาวตะวันออกคนเดียวก็หยุดไม่อยู่ ประเทศMที่ร้องตะโกนว่าตนเป็นประเทศมหาอำนาจ เกรงว่าจะใช้อำนาตบาตรใหญ่ไม่ออกอีกต่อไป นี่เป็นความอัปยศอย่างหนึ่ง

ดังนั้นบีชจึงได้เรียกยอดทหารทั้งหมดของเขตสิบห้ากลับมาป้องกัน ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องหยุดเย่เทียนเฉินให้ได้ อย่าให้เขาบุกเข้าทำเนียบขาวได้โดดเด็ดขาด ประเทศMไม่อาจรับความอัปยศเช่นนี้ได้

ปังๆๆ!

สิ่งที่ยิงออกมาต้อนรับก็คือห่ากระสุน เย่เทียนเฉินขับรถมอเตอร์ไซด์พุ่งเข้าไปโดยไม่เกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย เขากางโล่พลังแห่งแสงตั้งนานแล้ว แต่คนนอกมองไม่เห็น ดังนั้นลูกกระสุนเหล่านี้จึงไม่สามารถสร้างความบาดเจ็บให้แก่เขาได้เลย เมื่อยิงถูกร่างกายก็มีเพียงเสียงโลหะปะทะกันเท่านั้น แล้วลูกปืนทั้งหมดก็ล่วงลงสู่พื้น

ซู่มๆๆ!

เสียงดังขึ้นสามครั้ง ลูกปืนหัวจรวดสามลูกยิงไปยังเย่เทียนเฉินด้วยความเร็ว หากว่าถูกยิงเข้า จะต้องตายอย่างแน่นอน ต่อให้เย่เทียนเฉินมีฐานะเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษขอบเขตจอมราชันก็ไม่ไหว

เย่เทียนเฉินยืนขึ้นบนรถมอเตอร์ไซด์เพื่อเผชิญหน้ากับปืนใหญ่หัวจรวดทั้งสามลูกที่ยิงเข้ามา หากต้องการป้องกันด้วยโล่พลังแห่งแสงเพียงอย่างเดียวนั้นจะมีความยากลำบากมาก ไม่ใช่ว่ากันไว้ไม่ได้ แต่ต่อให้กันไว้ได้ก็ยังต้องใช้พลังพิเศษจำนวนมหาศาล มองดูกองกำลังทหารอันเกรียงไกรจำนวนมากที่ปกป้องทำเนียบขาวอีกครั้ง ถ้าไม่รักษาแรงไว้คงเข้าไม่ได้แน่ๆ

ตู้มๆๆ!

เสียงดังสนั่นสามเสียงดังขึ้นอีกครั้ง รถมอเตอร์ไซด์ของเย่เทียนเฉินถูกระเบิดจนปลิวแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ตำแหน่งที่เขาอยู่ปกคลุมไปด้วยกลุ่มควัน บนพื้นปรากฏหลุมบ่อขนาดใหญ่สามหลุม บนใบหน้าของทหารที่ยิงปืนใหญ่หัวจรวดทั้งสามลูกปรากฏรอยยิ้มลำพองใจ เนื่องจากลูกปืนทั้งสามล้วนยิงถูกเย่เทียนเฉิน ต่อให้ชายชาวตะวันออกคนนี้จะร้ายกาจก็เกรงว่าจะถูกระเบิดจนกลายเป็นฝุ่นไปแล้ว

บีชที่ยืนอยู่บนอาคารสูงของทำเนียบขาวกำลังใช้กล้องส่องทางไกลมองเหตุการณ์นี้อยู่ มุมปากปรากฏรอยยิ้มเย็น ในที่สุดก็กำจัดชายชาวตะวันออกคนนี้ได้แล้ว หากว่าปล่อยให้เขาบุกเข้ามาในทำเนียบขาวได้จริงๆ ผลลัพท์คงเลวร้ายจนไม่กล้าคิด ทั้งยังทำให้ประเทศMกลายเป็นตัวตลกของโลกอีกด้วย

“ตายแล้ว ชายชาวตะวันออกคนนี้ในที่สุกก็ถูกพวกเราฆ่าแล้ว!”

“ถึงกับกล้าบุกทำเนียบขาว รนหาที่ตายจริงๆ”

“ก็แค่ชาวตะวันออกคนเดียว แค่ไอ้เอเชียขี้โรคก็แค่นั้น กล้ามาท้าทายประเทศMของพวกเรา ต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย”

“ถ้าปล่อยข่าวนี้ออกไป จะต้องสั่นสะเทือนไปทั่วโลกแน่ แน่นอนว่าจตะต้องปล่อยไปแค่ข่าวที่ว่าชายชาวตะวันออกที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำคนนี้ถูกพวกเราฆ่าตายยังไง”

“ให้ทั้งโลกรู้ถึงความแข็งแกร่งของประเทศMของเรา ทุกประเทศจะต้องเชื่อฟังพวกเรา”

ไม่รู้ว่าทหารของประเทศMกลุ่มนี้โอหังมาตลอด หรือเป็นเพราะเย่เทียนเฉินก่อเรื่องใหญ่โตในวอชิงตัน ทำให้พวกเขาหน้าชา ตอนนี้เห็นเย่เทียนเฉินถูกฆ่าจึงผ่อนคลายไปได้ ดังนั้นถึงได้กลายเป็นเย่อหยิ่งทะนงตนจนลืมกระทั่งหน้าที่ไป

“บอกให้พวกแกใช้ระเบิดปรมาณู พวกแกก็ไม่ฟัง อานุภาพของRPGมันแรงไม่พอหรอก!”

ในตอนที่ทหารของประเทศMกลุ่มนี้กำลังกู่ตะโกนด้วยความยินดี ก็มีเสียงเย่เทียนเฉินดังขึ้นมาจากภายในกลุ่มควัน ทำให้คนทั้งหมดตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง กระทั่งสูดลมหายใจเย็นยะเยือก มองไปยังเงาร่างที่เดินออกมาท่ามกลางหมอกควันอย่างยากที่จะเชื่อ ในใจคิดว่า คนคนนี้ยังเป็นคนอยู่หรือไม่? เป็นสัตว์ประหลาดหรือ? โดนปืนใหญ่หัวจรวดสามลูกเข้าไปก็ยังไม่ตาย? ช่างทำให้ผู้คนตกตะลึงเหลือเกิน

ชาวตะวันออกต่างถูกเรียกขานว่าเป็นเอเชียขี้โรคในต่างประเทศมาโดยตลอด แม้จะผ่านไปร้อยปีแล้ว ประเทศจีนของพวกเราก็รุ่งเรืองขึ้นและกลายเป็นประเทศที่แข็งแกร่งระดับโลกตั้งนานแล้ว แต่ภายในใจของคนในประเทศที่เป็นปรปักษ์ ประชาชนชาวจีนของพวกเราก็ยังคงเป็นเอเชียขี้โรค ดังนั้นเย่เทียนเฉิน ชาวตะวันออกผู้ห้าวหาญคนนี้ ได้สั่นสะเทือนส่วนลึกของจิตใจคนประเทศMกลุ่มนี้ ทำให้ในใจลึกๆ ของพวกเขารู้สึกว่า ชาวจีนเหมือนกับว่าจะยิ่งใหญ่ขึ้นมาแล้วจริงๆ ไม่อาจดูถูกพวกเขาได้อีกต่อไป

เย่เทียนเฉินเดินออกมา ปัดฝุ่นบนร่าง เมื่อสักครู่นี้ลูกปืนหัวจรวดจู่มโจมเข้ามา แม้ว่าเขาจะกางโล่พลังแห่งแสงเอาไว้แล้ว แต่ก็ไม่กล้าลำพองใจ จึงไม่ได้รับเข้าไปตรงๆ ตอนที่ลูกปืนหัวจรวดลูกแรกระเบิด เขาก็หลบออกไปไกลแล้ว

“ให้ฉันเข้าไปเถอะ ฉันแค่อยากให้ประธานาธิบดีโฮบาม่าเลี้ยงข้าวก็เท่านั้น ไม่ทำอะไรเขาหรอก…” เย่เทียนเฉินมองทหารกลุ่มนี้ที่ขวางอยู่เบื้องหน้าด้วยรอยยิ้มพลางกล่าว

ครืน!

รถหุ้มเกราะด้านหลังพุ่งเข้ามาต่อหน้าทหารประเทศMหลายพันคน บดล้อไปยังเย่เทียนเฉิน นี่เป็นรถที่หนักหลายตัน ไม่ใช่สิ่งที่พลกำลังของมนุษย์สามารถขวางไว้ได้อย่างแน่นอน

ไหนเลยจะรู้ว่า เย่เทียนเฉินจะยืนอยู่ที่ตำแหน่งเดิมไม่เคลื่อนไหว เขาอยากจะจัดการรถหุ้มเกราะคันนี้ตั้งนานแล้ว ให้ตายเถอะ เมื่อสักครู่นี้ตอนที่ตนกำลังซิ่งรถอยู่ก็ส่งเสียงดังรบกวนอยู่ด้านหลังไม่หยุด ตอนนี้หยุดแล้ว จัดการเจ้ารถคันใหญ่นี่ก่อนค่อยว่ากัน

ตึง!

รถหุ้มเกราะหยุดลง เกิดเป็นฉากที่ทำให้ผู้คนต้องตะลึงจนแข็งเป็นหิน เนื่องจากรถหุ้มเกราะที่หนักหลายตันวิ่งบดล้อไปยังเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินเพียงใช้มือหยุดเอาไว้ โดยที่เขายังยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเลยสักนิด ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

ด้วยระดับความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อของเย่เทียนเฉินในปัจจุบัน ย่อมไม่มีทางต่อต้านรถหุ้มเกราะที่หนักหลายตันนี้ได้อย่างแน่นอน จุดสำคัญคือร่างกายนี้ยังฝึกฝนมาไม่พอ หากอยู่ในช่วงวันสิ้นโลก ในฐานะผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษขอบเขตจอมราชัน ไม่ต้องพูดถึงรถหุ้มเกราะหนักไม่กี่ตันนี่หรอก กล่าวอย่างไม่เกินจริงได้เลยว่า ต่อให้เป็นภูเขาก็สามารถใช้เพียงกล้ามเนื้อทลายเป็นผุยผงได้

ตอนนี้เย่เทียนเฉินต้องใช้พลังพิเศษระดับจอมราชันถึงจะสามารถหยุดรถหุ้มเกราะเอาไว้ได้ อย่างไรก็ตาม ล้อขนาดใหญ่ของรถหุ้มเกราะเสียดสีกับพื้นจนเกิดประกายไฟขึ้น ไม่อาจรุดหน้าไปได้แม้เพียงนิด

ตู้ม!

มือขวาของเย่เทียนเฉินออกแรงเบาๆ พลังพิเศษที่ปะปนไปด้วยพลังสายฟ้าเล็กน้อยสาดกระจายไปทั่วทั้งคันรถ ทำให้ล้ออันใหญ่มหึมาทั้งหกของรถหุ้มเกราะพลันแตกกระจายไปในพริบตา ระเบิดจนแตกไปทั้งหมด อยากจะไปก็ไปไม่ได้แล้ว

“ดูแล้วของที่ประเทศMของพวกแกสร้าง ก็ไม่เห็นจะเท่าไหร่เลย?” เย่เทียนเฉินปัดฝุ่นบนมือ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“ยะ…ยิงพร้อมกัน ฆ่าไอ้หมอนี่…”

ทหารบางคนที่ตอบสนองกลับมาตะโกนอย่างตะกุกตะกัก เพียงแต่ตอนที่พวกเขายังไม่ได้ยิงปืนออกไป เย่เทียนเฉินก็เร่งความเร็วถึงขีดสุด พุ่งเข้าไปในพริบตา กระโดดขึ้นสูงสิบกว่าเมตร ทำให้ผู้คนตกตะลึงและรู้สึกเหนือสามัญสำนึกเป็นอย่างมาก ราวกับกำลังโบยบินอยู่อย่างไรอย่างนั้น พลันพุ่งเข้าไปยังภายในของทำเนียบขาว

บีชยืนอยู่บนอาคารสูง เมื่อเห็นฉากนี้ก็ตกตะลึงจนชะงัก เดิมทีเขาคิดว่าชายวันรุ่นชาวตะวันออกคนนี้ จะเป็นคนที่มีฝีมือแข็งแกร่งใกล้เคียงกับราชันนักรบแห่งประเทศจีน ตอนนี้ได้เห็นความสามารถของเย่เทียนเฉิน เขาถึงได้ปฏิเสธความคิดของตนเอง เห็นได้ชัดว่า เย่เทียนเฉินเกินขอบเขตของทหารที่เก่งกาจทั่วๆ ไปแล้ว เป็นไปได้มากว่าจะเกินระดับความสามารถของมนุษย์ไปแล้ว มิน่าล่ะประธานาธิบดีโฮบาม่าจึงสั่งให้โทมัสลงมือให้ได้

ตลอดทางทางที่เย่เทียนเฉินพุ่งไปเข้าไปในทำเนียบขาวไม่พบกับการขัดขางใดๆ เลย นี่ทำให้เขารู้สึกแปลกๆ เมื่อเขามาถึงสถานที่ที่มีน้ำพุอันใหญ่โตที่ทั้งงดงามและเปล่งประกายบริเวณด้านบนของอาคารบริหารของทำเนียบขาว ก็พบกับชายชราคนหนึ่งถือไม้เท้าอยู่ในมือ กำลังมองมายังเขาด้วยรอยยิ้ม

ชายชราผู้นั้นอายุราวเจ็ดสิบปี ผมและเคราล้วนเป็นสีขาวหมดแล้ว ในมือขวาถือไม้เท้าอยู่ด้ามหนึ่ง รอยยิ้มบนใบหน้ามีความเมตตาอ่อนโยน มองไม่ออกถึงความโหดร้ายใดๆ

แต่เย่เทียนเฉินกลับยืนอยู่ในตำแหน่งที่ห่างจากชายชราคนนี้สิบเมตร และมองไปด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า เย่เทียนเฉินรู้สึกได้ถึงความผันผวนของพลังงานที่ทำให้ผู้คนต้องสั่นสะท้านบนร่างของชายชรา เดิมทีสถานที่เฉกเช่นทำเนียบขาว ทั้งตัวเองก็ก่อเรื่องเข้ามาซะใหญ่โตเช่นนี้ ถ้าบอกว่ายังมีชายชราธรรมดาๆ คนหนึ่งอยู่ที่นี่ แม้แต่คนโง่ก็คงไม่เชื่อ

“ผมชื่อโทมัส ไม่ทราบว่าปีศาจตะวันออกคนนี้มีชื่อว่าอะไร?” ชายชรามองเย่เทียนเฉินด้วยรอยยิ้มแล้วกล่าวถาม

……………………………………………..

บทที่ 102 โฮบาม่าโกรธจนเขวี้ยงแก้ว
Ink Stone_Fantasy
รถจี๊ปทหารหกคันต้องการขนาบโจมตีรถเวย์รอนของเย่เทียนเฉิน น่าเสียดายที่ล้มเหลว พวกเขาประเมินฝีมือการขับรถของเย่เทียนเฉินต่ำไป การขับรถไต่กำแพงด้วยสองล้อถือเป็นเรื่องเล็กสำหรับเขา

เย่เทียนเฉินที่คาบบุหรี่อยู่ในปากหันไปมองรถหกคันที่ไฟลุกท่วมฟ้าอยู่ด้านหลัง ก่อนจะขับรถมุ่งไปยังทิศทางของทำเนียบขาวอย่างพึงพอใจ แม้นี่จะเป็นครั้งแรกที่เขามาวอชิงตัน แต่ดีที่ในรถมีจีพีเอสอยู่ ไม่รู้ทางก็ไม่เป็นไร

ยามนี้ทั่วทั้งวอชิงตันตลบอบอวลไปด้วยบรรยากาศอันตึงเครียด ประชาชนทั่วไปรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างแปลกๆ เนื่องจากคืนนี้ท้องฟ้าของวอชิงตันมีเครื่องบินทหารบินไปบินมา บนถนนก็ปรากฏทหารอยู่เป็นจำนวนมาก ทหารอาวุธครบมือทั้งหมดเฝ้าปากทางแต่ละแห่งไว้อย่างเคร่งครัด ราวกับว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น

แต่เมื่อพวกเขาดูโทรทัศน์หรือฟังวิทยุ คำตอบที่รัฐบาลประเทศMมีให้แก่พวกเขาคือ นี่เป็นเพียงการฝึกซ้อมของกองทัพเขตสิบห้าซึ่งมีหน้าที่อารักขาวอชิงตันเท่านั้น ขอให้ทุกคนอย่าได้ตื่ตระหนก

เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ปีศาจตะวันออกอย่างเย่เทียนเฉินผู้นี้ก็ยังคงเตร่ไปมาในวอชิงตัน อีกทั้งกองกำลังเขตสิบห้ากลุ่มใหญ่ก็ได้ออกปฏิบัติการแล้ว ทางฝั่งรัฐบาลประเทศMอยากจะปิดก็ปิดไม่มิดอีกต่อไป สู้บอกประชาชนไปเลยดีกว่าว่านี่เป็นการฝึกซ้อม พวกเขาจะได้ไม่ต้องตื่นตระหนกและวางใจมากยิ่งขึ้น

“ให้ตายสิ ไอ้พวกไร้ประโยชน์ ไอ้พวกโง่ เอารถลำเลียงพลหุ้มเกราะออกไป เอารถลำเลียงพลหุ้มเกราะออกปฏิบัติการ…” บีชกล่าวด่าอย่างดุดัน

เมื่อสักครู่บีชเพิ่งจะได้ข่าวว่า เย่เทียนเฉินขับรถเวย์รอนหลบหลีกการขนาบโจมตีของรถจี๊ปทหารหกคันและหนีไปได้ ทั้งยังทำลายรถทั้งหกคันจนเสียหายจนเกิดเป็นระเบิดขนาดใหญ่ขึ้นกลางเมืองวอชิงตัน โชคดีที่ไม่มีพลเรือนได้รับบาดเจ็บ

“ครับ!” ทหารที่ยืนอยู่หลังบีชรีบขานรับ

บีชขมวดคิ้วอย่างโหดเหี้ยม คิดไม่ถึงเลยจริงๆ แค่ชาวตะวันออกคนเดียว ไม่นึกว่าจะร้ายกาจขนาดนี้ ทำลายกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิต ฆ่าคนของหน่วยสืบราชการลับพลังพิเศษเก้าคน ตอนนี้ยังกล้าขับรถเล่นในตัวเมืองวอชิงตันอีก ไม่เห็นรัฐบาลประเทศMอยู่ในสายตาเลย ทั้งยังไม่เห็นประธานาธิบดีโฮบาม่าอยู่ในสายตาด้วย หากปล่อยให้คนคนนี้หนีไปได้ ไม่ใช่แค่ตำแหน่งนายพล แต่กระทั่งศีรษะของตัวเองก็คงรักษาไว้ไม่ได้

คิดถึงตรงนี้ บีชรู้สึกว่าตนควรจะเตรียมการให้รอบคอบ ถึงอย่างไรจนกระทั่งตอนนี้ ปีศาจตะวันออกที่น่าชิงชังก็ได้ทำสิ่งที่เขาไม่คาดคิดไปหลายเรื่อง ไม่รู้ว่าคนคนนี้มีเป้าหมายอะไรกันแน่ เหตุใดจึงยังไม่ไปจากวอชิงตัน หรือว่าเขายังมีเรื่องสำคัญอะไรที่ยังทำไม่สำเร็จ?

“รีบเตรียมรถเดี๋ยวนี้ ผมจะไปดูท่านประธานาธิบดี!” บีชยกหูโทรศัพท์บนโต๊ะเบื้องหน้าขึ้นกล่าว เมื่อกล่าวจบก็วางสายไป

เย่เทียนเฉินขับรถเวย์รอน มือซ้ายคีบบุหรี่ มือขวาบังคับพวงมาลัย ยกบุหรี่ขึ้นสูบเป็นครั้งเป็นคราวและฮัมเพลงเล็กๆ เมื่อสักครู่ได้กินมันฝรั่งทอดและโคล่าไปบ้างจึงไม่รู้สึกหิวมากนัก แต่ก็ไม่ได้อิ่ม ดังนั้นความคิดที่ว่าจะให้ประธานาธิบดีโฮบาม่าเลี้ยงข้าวตนเองจึงยังไม่หายไป

ซู่ม!

นี่คือเสียงที่ทำให้คนที่ได้ยินต้องชาไปทั้งตัว เย่เทียนเฉินเพิ่งจะใช้RPG[1]ไปไม่นาน ย่อมฟังออกว่านี่เสียงจรวดที่ถูกยิงออกมา เมื่อหันกลับไปมองก็พบกับจรวดกำลังยิงไล่หลังรถเวย์รอนของตนด้วยความเร็วสูง พริบตาเดียวก็ใกล้จะตามทันแล้ว

เย่เทียนเฉินเหยียบคันเร่งสุดแรงจนความเร็วของรถเวย์รอนขึ้นไปถึงขีดสุด เขาขับพุ่งไปด้านหน้าด้วยความเร็วสูง ขับไปได้เพียงไม่ถึงหนึ่งร้อยเมตรก็พบว่าด้านหน้ามีทหารถือโล่กลุ่มหนึ่งขวางอยู่ ในมือถือปืนกล เมื่อเห็นเย่เทียนเฉินก็เปิดฉากยิงเต็มกำลัง

เบื้องหน้าคือห่ากระสุน เบื้องหลังคือจรวดที่อานุภาพร้ายแรง เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว คิดในใจว่าครั้งนี้เพื่อที่จะกำจัดตน รัฐบาลประเทศMถึงกับยอมลงทุนมากมาย ตอนนี้ทุกถนนของวอชิงตันคงจะถูกทหารชั้นยอดของเขตสิบห้าปิดกั้นไว้หมดแล้ว ขอเพียงเขาปรากฏตัว ก็จะถูกกระหน่ำยิงอย่างบ้าคลั่ง

“แม่งเอ๊ย จะทำลายพวกแกให้ยับเลย!” เย่เทียนเฉินยิ้มเจ้าเล่ห์ รถเวย์รอนที่เดิมทีกำลังจอดอยู่ถูกเร่งเครื่องจนสุดอีกครั้ง ขับพุ่งเข้าไปยังทหารหลายสิบคนที่ขวางอยู่เบื้องหน้า

ไม่มีใครคาดคิดว่าเย่เทียนเฉินจะไม่กลัวตายเช่นนี้ เผชิญหน้ากับทหารหลายสิบคนที่อาศัยรถบรรทุกลำเลียงพลกำบังพลางใช้ปืนกลยิงสกัดเขาอย่างบ้าคลั่ง เขาไม่เพียงไม่หลบ กลับพุ่งเข้าไปอีกต่างหาก ทุกคนตะลึงงัน ถึงกับมีทหารหลายคนหยุดยิงไป

“หลีกทาง หลีกทาง…”

ทหารที่ได้สติกลับมาร้องตะโกนเสียงดัง น่าเสียดายที่ทุกอย่างสายไปแล้ว ตอนที่รถเวย์รอนใกล้จะชนกับรถบรรทุกลำเลียงพล เย่เทียนเฉินค่อยๆ เปิดประตู หลบออกจากตำแหน่งที่นั่งคนขับมายืนข้างถนน ยิ้มร่าพลางโบกมือให้กับทหารกลุ่มนั้น

ตู้ม!

รถเวย์รอยชนเข้ากับรถบรรทุกลำเลียงพล ตามมาด้วยจรวดที่ถูกยิงมาติดๆ ระเบิดทหารหลายสิบนายจนกรีดร้องออกมาไม่หยุด เปลวไฟลุกท่วม เสียงระเบิดในครั้งนี้ทั้งดังและรุนแรงยิ่งกว่ารถบรรทุกลำเลียงพลทั้งหกชนกันเองเมื่อสักครู่นี้เสียอีก ทำลายความสงบสุขของวอชิงตันไปโดยสิ้นเชิง

“โธ่เอ๊ย RPG ไม่ได้เรื่องเลย สู้โยนระเบิดปรมาณูมาไม่ได้จริงๆ!” เย่เทียนเฉินส่ายหน้ากล่าว

ครืน!

เย่เทียนเฉินรู้สึกว่าพื้นสั่นไม่หยุดจนทำให้ทรงตัวแทบไม่อยู่ เหมือนกับมีอะไรบางอย่างพุ่งเข้ามาจากด้านหลัง เมื่อหันไปมองก็ต้องประหลาดใจ เนื่องจากมีรถหุ้มเกราะคันใหญ่คันหนึ่งกำลังบดล้อขับตรงมาทางเขา ถ้าถูกทับเข้า ไม่ต้องหวังเลยว่าจะรอดไปได้ ตลอดเส้นทางที่รถหุ้มเกราะคันนี้ขับผ่านมา อิฐถนนที่แข็งแกร่งของวอชิงตันล้วนถูกบดจนแตกละเอียด เห็นได้ว่ามีพละกำลังมากมายขนาดใหญ่

“ไม่เอาน่า? คันใหญ่ขนาดนี้ ฉันเล่นคนเดียวไม่ไหวหรอก ให้ประธานาธิบดีโฮบาม่ามาเล่นด้วยกันดีกว่า!”

พูดจบ มุมปากของเย่เทียนเฉินก็ปรากฏรอยยิ้มแปลกประหลาด เขาวิ่งไปยังรถมอเตอร์ไซด์ที่คว่ำอยู่บนพื้นบริเวณด้านข้างคันหนึ่งอย่างรวดเร็ว ประคองมอเตอร์ไซด์ให้ตั้งขึ้นมา ดึงสายไฟออกมาสองเส้นด้วยความว่องไว ทันทีที่นำสายไฟมาประกบกันเครื่องก็ติด จากนั้นจึงขับฝ่าบริเวณที่มีไฟลุกท่วมฟ้า มุ่งหน้าไปยังทิศทางของทำเนียบขาว

ยามนี้ บีชมาถึงทำเนียบขาวแล้ว และกำลังรับคำต่อว่าอยู่ภายในห้องทำงานของประธานาธิบดีโฮบาม่าด้วยสีหน้าย่ำแย่ เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นประธานาธิบดีโฮบาม่าเขวี้ยงแก้วไปติดๆ กันสิบกว่าใบ โชคดีที่ด้านข้างมีแก้วเตรียมไว้มากพอ

หลายคนไม่ทราบว่า ประธานาธิบดีโฮบาม่ามีนิสัยชอบเขวี้ยงแก้วเมื่อเขาโกรธ ดังนั้นในห้องทำงานของเขาจึงมีชั้นวางของสำหรับวางแก้วโดยเฉพาะอยู่หลังหนึ่ง เพื่อให้เขาเอาไว้เขวี้ยง ฟุ่มเฟือยพอไหม? เฮอๆ!

“ไม่ได้เรื่อง ไอ้พวกไร้ประโยชน์ เป็นแค่ชาวตะวันออก ยังกล้ามาก่อเรื่องในวอชิงตัน นี่ไม่ใช่การตบหน้ารัฐบาลประเทศMของพวกเรารึไง?” ประธานาธิบดีโฮบาม่าตะโกนพลางปาแก้วไปอีกใบหนึ่งอย่างรุนแรง

“ท่านประธานาธิบดีครับ ชาวตะวันออกคนนี้ร้ายกาจมาก อาจจะเป็นหนึ่งในสามนักรบราชันแห่งประเทศจีน…” บีชต้องการหาข้ออ้างให้ตนเองพ้นจากความรับผิดชอบจึงพูดเช่นนี้

“ไร้สาระ ผมให้คนไปตรวจสอบตั้งนานแล้ว สามราชันนักรบแห่งประเทศจีน ไม่มีใครรูปร่างหน้าตาแบบนี้เลย ทั้งหน้าตา อายุ หรือส่วนสูง ไม่สอดคล้องกับชายที่กำลังก่อเรื่องอยู่ที่นี่ ดังนั้นเขาไม่ใช่ราชันนักรบของประเทศจีนแน่นอน ผมไม่รู้ว่าคุณทำงานยังไง ทำไมถึงได้ปล่อยให้ชาวตะวันออกที่น่ารังเกียจนี่มาก่อเรื่องไม่หยุดหย่อน!” ประธานาธิบดีโฮบาม่ากล่าวพลางจ้องบีชอย่างดุดัน

“นี่…ท่านประธานาธิบดีครับ ผมได้สั่งให้ทหารชั้นยอดทั้งหมดของเขตสิบห้าปิดล้อมวอชิงตันไว้หมดแล้ว เส้นทางสำคัญแต่ละแห่งก็มีคนของเราอยู่…” บีชกล่าวอย่างร้อนตัว

“บีช ที่ผมต้องการคือผลลัพธ์ ไม่ใช่ขั้นตอน ผมไม่สนใจว่าคุณจะทำยังไง สุดท้ายจะต้องควบคุมชายชาวตะวันออกคนนี้ให้ได้ในทันที นำหัวของเขามาให้ผมที่นี่” ประธานาธิบดีโฮบาม่าเอ่ยขัดคำพูดของบีชอย่างโหดเหี้ยม

“ครับ ท่านประธานาธิบดี ผมสั่งการให้ใช้RPG และได้ส่งรถหุ้มเกราะออกไปแล้ว ต่อให้ชายชาวตะวันออกคนนี้จะร้ายกาจขนาดไหน ก็ต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยเลย” บีชพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ

“ดี ผมรอฟังข่าวดีของคุณอยู่” ประธานาธิบดีโฮบาม่ายังคงค่อนข้างเชื่อใจบีช อย่างไรเสียเขาก็เป็นคนควบคุมกำลังทหารของเขตสิบห้าทั้งหมด คอยปกป้องดูแลวอชิงตันที่เป็นเมืองหลวงของประเทศM ย่อมต้องมีส่วนที่เหนือกว่าผู้อื่นแน่นอน

การสนทนาระหว่างประธานาธิบดีโฮบาม่าและบีชเพิ่งจบลง ด้านนอกก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น บีชจึงรีบไปยืนด้านข้าง เมื่อประตูถูกเปิดออก ทหารสวมเครื่องแบบคนหนึ่งก็เดินเข้ามายังเบื้องหน้าของโฮบาม่าและบีช แสดงความเคารพด้วยการทำวันทยาหัตถ์ครั้งหนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวรายงานว่า “การจู่โจมด้วยRPGของพวกเราล้มเหลวไปแล้วครับ ตอนนี้รถหุ้มเกราะกำลังไล่ตามชายชาวตะวันออกคนนั้นอยู่ครับ แต่ทิศทางที่ชายคนนั้นมาคือทำเนียบขาว!”

“อะไรนะ? เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้!” บีชโกรธด้วยไม่อาจยอมรับเรื่องนี้ได้โดยสิ้นเชิง ตนเองยอมใช้กระทั่งRPG ซึ่งเป็นการแบกรับความรับผิดชอบอันใหญ่หลวง ถ้าหากชาวเมืองที่ไม่มีความผิดได้รับบาดเจ็บ เขาก็ไม่มีทางหลีกหนีจากความรับผิดชอบไปได้ แม้จะเป็นเช่นนี้ เขาก็เต็มใจเสี่ยงเพื่อที่จะฆ่าเย่เทียนเฉินให้ได้

แต่อย่างไรก็คิดไม่ถึงว่า ถึงเขาจะยอมเสี่ยงก็ยังฆ่าเย่เทียนเฉินไม่ได้ จะไม่ให้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ไม่ให้ทุกข์ใจได้อย่างไร

“ดี ให้ทหารเขตสิบห้าทั้งหมดหยุดปฏิบัติการซะ!” ประธานาธิบดีโฮบาม่ากล่าวด้วยใบหน้ามืดครึ้ม

“ท่านประธานาธิบดีครับ ให้เวลาผมอีกนิด จะต้องฆ่าชายชาวตะวันออกคนนี้ได้แน่” บีชรีบพูด

“ไม่ต้องแล้ว ผมไม่อยากให้วุ่นวายจนถึงขั้นแก้ไขไม่ได้และกระทบต่อประชาชน จะส่งผลร้ายต่อการรับตำแหน่งต่อเนื่องในสมัยหน้าของผมได้ อีกอย่างผมคิดว่าทหารทั่วไปไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา!” โฮบาม่าเอ่ยพลางส่ายหน้า

“ท่านประธานาธิบดีครับ ความหมายของท่านคือ?” บีชชะงักไปครู่หนึ่ง กล่าวถามราวกับคิดอะไรขึ้นมาได้

“ให้ทหารใต้บังคัญบัญชาของคุณหยุดการโจมตีเขาซะ แล้วรีบไปหาโทมัส ให้เขามาพบผม บอกไปว่าถึงเวลาที่เขาควรจะลงมือแล้ว!” โฮบาม่าชะงักไปครู่หนึ่งแล้วพูดออกมา

…………………………………………………………..

[1] RPG ย่อมาจาก rocket-propelled-grenade หมายถึงระเบิดซึ่งขับเคลื่อนด้วยจรวด ศัพท์ทางการทหารเรียกว่าเครื่องยิงจรวด เป็รระบบอาวุธต่อต้านรถถังซึ่งประกอบด้วยอุปกรณ์ยิงประทับบ่า มีปล้องสำหรับยิงจรวดซึ่งที่หัวติดวัตถุระเบิดไว้

บทที่ 101 กินข้าวกับประธานาธิบดีโฮบาม่า
Ink Stone_Fantasy
“ธนูสายฟ้า” ความจริงก็คือพลังพิเศษอันแข็งแกร่งที่เย่เทียนเฉินสะท้อนออกมาเป็นรูปร่างตามจินตนาการ เนื่องจากตอนนั้นในชาติก่อน เขาอยู่ภายใต้การปกคลลุมของสายฟ้าที่ผ่าลงมา ทำให้ทะลวงพลังไปขอบเขตจักรพรรดิได้ ดังนั้นจึงได้คิดค้นเคล็ดวิชานี้ออกมา หนึ่งคันศร สะเทือนฟ้าสะท้านดิน มีพลานุภาพประดุจอัสนีบาต ด้วยเหตุนี้จึงตั้งชื่อเช่นนี้ขึ้นมา

เย่เทียนเฉินใช้ธนูสายฟ้ายิงลูกธนูออกไป ทำให้เครื่องบิรทหารลำที่สองของฝ่ายตรงข้ามระเบิด จนทหารที่ขับเครื่องบินอีกสองลำที่เหลือตกใจกลัว รีบนำเครื่องบินถอยกลับไป ไม่กล้าเข้าใกล้อีก และกล้ากล้ายิงเข้ามาอีก

พวกหลิวอวี่ที่อยู่ในเฮลิคอปเตอร์ ไม่สามารถมองเห็นเหตุการณ์ถายนอกได้ รู้เพียงแต่ว่าเครื่องบินทหารทั้งลองลำของอีกฝ่ายโจมตีอย่างรุนแรง แต่หลังจากที่เย่เทียนเฉินลงมือไม่ถึงสองนาทีก็ระเบิดไป

เย่เทียนเฉินในตอนนี้ รู้สึกได้ว่าภายในร่างกายวูบโหวงไปบ้าง มีการรั่วไหลของพลังพิเศษจำนวนมาก บนหน้าผากมีเหงื่อเย็นๆ ผุดออกมา “ธนูสายฟ้า” เป็นวิชาพลังพิเศษอันแข็งแกร่งที่เขาคิดค้นขึ้นมาจากการที่เขาสามารถทะลวงเข้าสู่ขอบเขตพลังระดับจักรพรรดิได้ ตอนนี้ขอบเขตพลังของเขาเป็นเพียงแค่ระดับจอมราชัน เมื่อฝืนใช้ออกไป ผลที่ตามมาก็คือพลังไม่เพียงพอ ยากจะยืนหยัดต่อไปได้ มีความรู้สึกคล้ายกับว่ากายเนื้อกำลังทรุดโทรมลง

ตึงตึงตึง!

เครื่องบินที่เหลืออีกสองลำบินผ่านหัวเย่เทียนเฉินไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาไม่อยากจะโจมตีอีกต่อไป แต่เลือกหนทางที่จะหนี ความแข็งแกร่งของเย่เทียนเฉิน ธนูและลูกธนูในมือ ดูๆ ไปแล้วช่างแปลกประหลาดเหลือเกิน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการที่ต้องต่อสู้กับคนเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเข้าใจถึงการปรากฏตัวของผู้มีพลังพิเศษ ก็เหมือนกับที่ในโลกแห่งนี้ ยอดฝีมือจากพรรควรยุทธโบราณก็ยังคงเป็นตัวตนที่เป็นดั่งเสือหมอบมังกรซ่อน ผู้มีพลังพิเศษก็เช่นกัน คนธรรมดาจะรับรู้ได้อย่างไรกันล่ะ?

“ยิงได้อีกครั้งถึงจะถึงขีดจำกัด!” เย่เทียนเฉินกล่าวเสียงต่ำ มือขวาพยายามรวบรวมพลังออกมาเป็นลูกธนูแสงดอกหนึ่ง ขณะเดียวกันก็รั้งสายธนู

ซู่ม!

ลูกธนูทำให้เกิดเสียงเวลากรีดผ่านอากาซ ยิงพุ่งไปยังเครื่องบินทหารหนึ่งลำในนั้น ไม่ผิดจากที่คาด เครื่องบินลำที่สามก็ถูกยิงจนระเบิก ไม่อาจหนีพ้นจากโชคชะตาที่ต้องถูกลูกธนูยิงทะลุ จุดนี้เย่เทียนเฉินมั่นใจเป็นอย่างมาก

ลูกธนูสายฟ้าที่ยิงออกจากคันธนูสายฟ้า ไม่ต้องพูดถึงเปลือกนอกของเครื่องบินทหารในโลกนี้เลย กระทั่งในชาติก่อน เย่เทียนเฉินสู้กับสัตว์กลายพันธุ์ที่แข็งแกร่ง ลูกธนูสายฟ้าสามารถโจมตีทะลุหนังของสัตว์กลายพันธุ์ที่แข็งแกร่งได้ เนื่องจากภายในลูกธนูสายฟ้าที่เย่เทียนเฉินคิดค้นไม่เพียงแต่มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งอยู่ แต่ห่อหุ้มไปด้วยพลังสายฟ้าเล็กน้อย อานุภาพย่อมแตกต่างกันอย่างแน่นอน

เมื่อยิงออกไปอีกครั้ง ธนูในมือขวาของเย่เทียนเฉิน และลูกธนูที่อยู่ในมือซ้ายก็สลายหายไป ตัวเขาเองก็ยังมิอาจประคองโล่พลังได้อีกต่อไป หอบหายใจอย่างรุนแรง เพื่อที่จะรับมือกับเครื่องบินทหารสี่ลำที่พกจรวดนำวิถีมาด้วย เย่เทียนเฉินจึงต้องใช้ธนูสายฟ้าที่เกินระดับตัวเอง พลังพิเศษในร่างกายที่สูญเสียไปจึงค่อนข้างมาก

เย่เทียนเฉินกลับมายังตำแหน่งที่นั่งสำหรับผู้ช่วยนักบินในเฮลิคอปเตอร์ หลิวอวี่มองเขาราวกับมองสัตว์ประหลาด ไม่เพียงแค่หลิวอวี่ กระทั่งหย่งชุนไท่ หลิ่วหรูเหมย เฟยอวิ๋นและเจียงเหมิง ทั้งสี่คนต่างก็มองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา

คนคนเดียวเผชิญหน้ากับเครื่องบินทหารที่ติดตั้งอาวุที่มีประสิทธิภาพการทำลายล้างสูงทั้งสี่ลำ ไม่คิดว่าในเวลาเพียงสั้นๆ ขนาดนี้จะสามารถระเบิดไปได้สามลำ หากไม่ใช่ว่าเห็นกับตา พูดออกมาก็คงไม่มีใครเชื่อ นี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้โดยสิ้นเชิง

“รีบไปกันเถอะ ไปจากที่นี่ ผมไม่ไปกับพวกคุณแล้ว!” เย่เทียนเฉินมองพวกหลิวอวี่พลางกล่าว

“นาย…นายต้องการจะไปไหน?” หลิวอวี่ได้สติกลับมาก็กลาวถามออกไปด้วยความประหลาดใจ

“ใช่แล้ว ตอนนี้ทั่วทั้งวอชิงตันถูกปิดหมดแล้ว นี่เป็นโอกาสเดียวที่พวกเราจะจากไปได้ ถ้ายังไม่ไปอีกก็ไม่ทันแล้ว นายยังคิดจะทำอะไรอีก?” หลิ่วหรูเหมยกล่าวด้วยท่าทางร้อนใจ

“พวกเธอไปกันก่อนเถอะ ฉันยังมีธุระนิดหน่อยต้องทำ!” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางยกยิ้มชั่วร้าย

“นายนี่นะ จะยั่วโมโหให้ตายเลยใช่ไหม? อันตรายขนาดนี้ ยังจะไปทำธุระอะไรอีก ไปด้วยกันซะ ฉันขอสั่งนาย!” หลิ่วหรูเหมยรีบกล่าวออกมาเสียงดัง

“NO! ก่อนมาฉันก็บอกไว้ก่อนแล้วว่าฉันไม่ใช่ลูกน้องของเธอ เธอไม่มีสิทธิ์มาสั่งฉัน ตอนนี้ภารกิจก็เสร็จสิ้นไปแล้ว เธอก็เอาข้อมูลลับไปได้แล้ว ส่วนฉันอยากจะทำอะไรก็ไม่เกี่ยวกับเธอ ลาก่อน!”

เย่เทียนเฉินพูดจบ ก็กระโดดลงไปจากเฮลิคอปเตอร์โดยตรง ทำให้พวกพลิวอวี่ตกใจจนชะงักไป ระดับความสูงนี่สูงหลายพันเมตร ถ้าตกลงไปจะต้องร่ายกายแหลกเหลวอย่างแน่นอน แต่ว่ามองอีกที ไม่รู้ว่าเมื่อไร เย่เทียนเฉินสะพานร่มชูชีพไว้บนหลังแล้ว ทำให้ทุกคนตึงเครียดไปตามๆ กันชั่วขณะหนึ่ง

“นี่ เย่เทียนเฉิน เจ้าคนชั่ว กลับมานะ!” หลิ่วหรูเหมยยังคงกังวลใจอยู่บ้าง จึงตะโกนกล่าวกับเย่เทียนเฉินเสียงดัง

“รีบไปเถอะ ฉันหิวแล้ว จะไปกินข้าวกับประธานาธิบดีโฮบาม่า…”

ได้ยินตำพูดประโยคนี้ของเย่เทียนเฉิน พวกหลิวหรูเหมยทั้งหมดต่างก็อับจนคำพูด ตกลงคนคนนี้มีนิสัยอย่างไรกันแน่? ประธานาธิบดีโฮบาม่าเป็นตันตนแบบไหนกัน? เขาถึงกับจะให้ประธานาธิบดีโฮบาม่าเลี้ยงข้าว? คงไม่ใช่ว่าไข้ขึ้นหรอกนะ?

“เจ้าโง่ เชื่อถือไม่ได้เลย…” หลิ่วหรูเหมยโกรธจนทำปากจู๋

“ไปเถอะ ด้วยฝีมือที่แข็งแกร่งของเขา ไม่เป็นไรแน่!”

หลิวอวี่ขับเฮลิคอปเตอร์พาหย่งชุนไท่ หลิ่วหรูเหมย เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นจากไป ใครก็ไม่อาจคาดคิดได้ว่า เปิดเส้นทางไปจากวอชิงตันอย่างยากลำบาห แต่เย่เทียนเฉินกลับอยู่ต่อ เขาต้องการให้ประธานาธิบดีโฮบาม่าเลี้ยงข้าวเขา นี่ไม่ใช่การพูดเล่น แต่เขาคิดเช่นนี้จริงๆ ตั้งแต่กลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิตบุกโจมตีคฤหาสน์ตระกูลหลิ่วเป็นต้นมา เย่เทียนเฉินก็ต่อสู้มาตลอดทั้งคืน รวมทั้งเพิ่งจะฝืนใช้ “ธนูสายฟ้า” ไปเมื่อสักครู่นี้ หิวจนท้องร้องโครกครากแล้ว

ตอนนี้เอง ภายในเขตทหารเขตที่สิบห้าใจกลางรัฐวอชิงตัน บีชได้ฟังรายงานจากทหารใต้บังคัญบัญชาเกี่ยวกับสถานการณ์การตามล่าพวกเย่เทียนเฉินก็โกรธจนปัดแก้วชาตกแตกไปเจ็ดใบ จะอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่า ตนเองเคลื่อนไหวกองกำลังชั้นยอดจากเขตสิบห้า ทั้งยังส่งเครื่องบินรบไปอีกสี่ลำ ปิดล็อคทั่วทั้งรัฐวอชิงตัน แต่ก็ยังปล่อยให้ชาวตะวันออกไม่กี่คนหนีไปได้ ช่างขายหน้าเหลือเกิน ช่างอัปยศเหลือเกิน ช่างทำให้เขาโกรธจนทนไม่ไหวจริงๆ

“ไอ้โง่ ไอ้พวกโง่ ไม่ได้บอกว่าล้อมพวกชาวตะวันออกไว้ได้แล้วเรอะ? ทำไมพวกมันถึงหนีไปได้?” บีชตวาดด่าทหารที่เข้ามารายงานเสียงดัง

“รายงานท่านนายพล เดิมทีพวกชาวตะวันออกไม่กี่คนนั้นต้องตายแน่นอน แต่ไม่คิดเลยว่าในช่วงเวลาสำคัญ ปีศาจตะวันออกจะปรากฏตัวออกมา…ฆ่าคนของเราทั้งหมด…” ทหารที่ยืนอยู่เบื้องหน้าบีชกล่าวด้วยน้ำเสียงอันสั่นเทาเล็กน้อย

“ปีศาจตะวันออก เป็นไอ้ปีศาจตะวันออกนี่อีกแล้ว ฉันจะต้องฆ่ามันแน่ จะต้องหั่นศพของมันเป็นหมื่นๆ ชิ้น…” บีชทุบลงบนโต๊ะทำงานพลางตะโกนออกมา

“รายงาน!” ตอนนี้ ข้างนอกมีทหารมาอีกนายหนึ่ง ดูเหมือนจะมารายงานสถานการณ์อะไรบางอย่าง

“เข้ามา!” บีชสงบสติอารมณ์ของตนเองพลางกล่าว

ทหารนายหนึ่งเดินเข้ามาจากข้างนอก ยืนทำความเคารพเบื้องหน้าบีชแล้วกล่าวรายงานว่า “ท่านนายพลครับ เมื่อสักครู่เพิ่งได้รับข่าวมา เครื่องบินรบสี่ลำที่พวกเราส่งไป ถูกทำลายไปแล้วสามลำ…”

บีชถูกข่าวนี้ทำให้โกรธจนแทบกระอักเลือด เครื่องบินทหารสี่ลำ ศักยภาพในการสู้รบนับว่าแข็งแกร่งเกินพิกัด อีกทั้งการส่งเครื่องบินรบออกไปรบ เขาต้องกล้ารับผิดชอบ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเครื่องบินหนึ่งลำมีค่าเท่าไร กระทั่งทหารอากาศที่มีพรสวรรค์เช่นนั้นคนหนึ่ง ก็รับไม่ไหวแล้ว ตอนนี้ถึงกับถูกทำลายไปสามลำ ตำแหย่งนายพลเขตสิบห้าของเขา เกรงว่าจะรักษาไว้ไม่ได้แล้ว

“อะไรนะ? แม่งเอ๊ย ใครทำ? ใครแม่งเป็นคนทำ” บีชโกรธจนด่าคำหยาบคายออกมา

“เป็น เป็นปีศาจตะวันออก…” ทหารที่เพิ่งจะเข้ามานายนั้นตกใจจนรีบเปิดปากกล่าง

“เป็นไอ้ปีศาจตะวันออกนี่อีกแล้ว เป็นมันอีกแล้ว ฉันจะต้องฆ่ามันให้ได้” บีชที่โกรธจนสั่นไปทั้งตัวตะโกนลั่น

“ท่านนายพลครับ ตามรายงานล่าสุด ดูเหมือนว่าปีศาจตะวันออกกำลังตามไปโจมตีเครื่องบินลำที่สี่ ไม่ได้ไปจากวอชิงตัน”

ข่าวที่เย่เทียนเฉินยังไม่ได้ออกจากวอชิงตัน ทำให้บีชพลันรู้สึกราวกับเลือดไหลกลับเข้าไปในกาย สองตาเปล่งประกาย กล่าวว่า “จริงเหรอ? ไอ้โง่นั่นยังไม่ไปจากวอชิงตัน?”

“ครับผม ปีศาจตะวันออกกำลังไล่โจมตีเครื่องบินลำที่สี่ของพวกเรา เพื่อที่จะทำลาย…”

“ดี สั่งลงไป ให้กองกำลังทหารเขตสิบห้าหนึ่งกองพันเคลื่อนไหวอีกครั้ง ปิดรัฐวอชิงตันทั้งรัฐ พร้อมส่งเครื่องบินทหารทั้งหมดที่มีออกไป เป้าหมายมีอย่างเดียวคือฆ่าปีศาจตะวันออก ให้มันมาได้กลับไม่ได้!” บีชกล่าวอย่างโหดเหี้ยม

“นี่…ท่านนายพลคครับ ถ้าหากเกิดสถานการณ์ไม่คาดคิดอะไรขึ้น เกรงว่าพวกเรา…”

“คุณหรือผมที่เป็นนายกัน? ทำตามที่ผมสั่ง!” บีชตะโกนเสียงดัง

“ครับผม!”

บีชถูกเย่เทียนเฉินทำให้โกรธจนบ้าไปแล้วโดยสิ้นเชิง ในสายตาของเขา ชาวตะวันออกแค่คนเดียว ก็แค่ชาวตะวันออกคนเดียวเท่านั้นก มาก่อเรื่องจนทำให้เมืองหลวงของประเทศMเดือดร้อนไปทั่ว ใช้ความรุนแรงกระทำเรื่องชั่วช้า ทำให้รัฐบาลประเทศMต้องขายหน้า กระทั่งประธานาธิบดีโฮบาม่าก็โกรธจัด เขาเป็นนายพลเขตสิบห้าที่คอยคุ้มครองความปลอดภัยของรัฐวอชิงตัน ก็ขายหน้ามากเช่นกัน

ตอนที่บีชสั่งการให้ส่งกองกำลังออกไปให้ดำเนินการไล่ล่าเย่เทียนเฉินอีกครั้งนั้น เย่เทียนเฉินก็ขับรถเวย์รอนสีน้ำเงินคันหนึ่งตามเครื่องบินลำที่เหลือไปติดๆ ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากทำลาย แต่ตอนนี้พลังพิเศษภายในร่างกายยังไม่ฟื้นฟูดี หากใช้ธนูสายฟ้าอีกครั้ง เกรงว่าถึงตอนนั้นคงจะหมดแรงจนล้มไปกองกับพื้น นั่นเรียกได้ว่าเป็นลูกไก่ในกกำมือผู้อื่นอย่างแท้จริง

ขับรถเวย์รอน กินมันฝรั่งทอด ดื่มโค้ก เย่เทียนเฉินไล่ตามเครื่องบินลำนั้นไปด้วยสภาพเช่นนี้ ค่อยๆ เล่นสนุกไป ยังมีเวลาอีกสี่ถึงห้าชั่วโมงกว่าฟ้าจะสว่าง ช่วงเวลานี้สามารถใช้เล่นสนุกได้ ดังนั้นเย่เทียนเฉินไม่รีบ

เย่เทียนเฉินขับรถเวย์รอน เพิ่งจะถึงตัวเมืองวอชิงตัน ก็มีรถจี๊ปทหารพุ่งออกมาต้อยรับสามคัน รวดเร็วเป็นอย่างมาก มีแนวโน้มว่าจะชนเขาจนปลิว จึงรีบกลับรถ ไหนเลยจะรู้ว่าข้างหลังก็มีรถจี๊ปทหารพุ่งเข้ามาอีกสามคัน นี่เตรียมมาเพื่อบีบเขาให้ตาย

มองซ้ายมองขวาพบว่าไม่มีซอยที่สามารถเลี้ยวเข้าไปได้เลย ดูท่าทางอีกฝ่ายรอเขาอยู่นานแล้ว เย่เทียนเฉินจึงถือโอกาสจอดรถเวย์รอนลง

หน้าหลังมีรถจี๊ปทหารสามคันวิ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูง เย่เทียนเฉินยังคงกินมันฝรั่งทอดพลางดื่มโค้กอย่างสบายอกสบายใจ ตอนที่รกจี๊ปทหารหกคันนั้นห่างจากรถเวย์รอนของตนไม่ถึงสิบเมตร ทันใดนั้นเย่เทียนเฉินก็พลันเหยียบคันเร่งพลางหมุนพวกมาลัยอย่างรวดเร็ว รถเวย์รอนที่เขาบังคับ ล้อทั้งสองไต่กำแพงข้างถนนขึ้นไป หลบรถจี๊ปทหารทั้งหกคันที่พุ่งเข้ามาโจมตี

ตู้ม!

รถจี๊ปทหารทั้งหกคันเดิมทีก็หลบไม่ทันอยู่แล้ว ระยะใกล้ขนาดนี้ยิ่งไม่มีทางหลบพ้น ชนกันเองอย่างรุนแรง ทำให้เกิดระเบิดครั้งใหญ่ แสงไฟพุ่งสู่ท้องฟ้า ส่วนเย่เทียนเฉินมองดูอยู่ข้างถนนอย่าสง่างาม เคาะลงบนกระจกบนเวย์รอนแล้วจากไปอย่างสบายใจ เขาต้องการไปทำเนียบขาว ไปกินข้าวกับประธานาธิบดีโฮบาม่า มันฝรั่งทอดและโคล่าไม่พอรองท้องเลยจริงๆ!

…………………………………………………………

บทที่100 วิชาแห่งพลังพิเศษที่แข็งแกร่ง (ธนูสายฟ้า)
Ink Stone_Fantasy
“ทำอะไร? อยากจะตีฉันเหรอ? ฉันจะตอบโต้แน่ๆ อย่าคิดว่าเป็นผู้หญิงแล้วฉันจะเธอกลัวนะ!” เย่เทียนเฉินมองหลิ่วหรูเหมยอย่างไม่พอใจพลางกล่าว

“นาย…ไอ้คนสมองหมู ในสมองไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่บ้าง” หลิ่วหรูเหมยเองก็ก็โกรธจนทำหน้ายับปากยู่

“ถ้าฉันเป็นหมู งั้นเธอก็เป็นเหมือนฉันนั่นแหละ เพราะตอนนี้เธอกำลังคุยภาษาหมูๆ อยู่เหมือนกัน ถ้าแบ่งตามเพศ ฉันเป็นหมูตัวผู้ ส่วนเธอก็เป็นหมูตัว…ฮ่าๆๆๆ!”

“ฉันจะฆ่านาย!”

เมื่อเห็นว่าเย่เทียนเฉินและหลิ่วหรูเหมยเริ่มก่อเรื่องกันขึ้นมาอีก หย่งชุนไท่ หลิวอวี่ เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋น ทั้งสี่ต่างก็มองอย่างอับจนคำพูด ขอเพียงสองคนนี้เจอหน้ากัน จะต้องทะเลาะกันไม่รู้จักจบจักสิ้นราวกับศัตรูคู่อาฆาต โดยเฉพาะในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อที่เป็นอันตรายถึงความเป็นความตายเช่นนี้ ทั้งสองก็ยังมีกะจิตกะใจทะเลาะกันอีก นับถือพวกเขาจริงๆ

เมื่อสักครู่หลิ่วหรูเหมยยังอดที่จะเป็นห่วงเย่เทียนเฉินไม่ได้ แต่เมื่อได้พบคนคนนี้ โดยเฉพาะท่าทางไร้เหตุผลของเขา รวมกับปากที่พูดจาไม่มีหูรูดของเขา ทำให้ไฟแห่งความโกรธของเธอลุกโชน อยากจะอัดเจ้าหมอนี่แรงๆ สักยก น่าเสียดายที่ฝีมือของตัวเองอ่อนกว่าเขา

“เอาล่ะ พวกเรารีบไปจากที่นี่กันเถอะ เวลาเหลือไม่มากแล้ว” หย่งชุนไท่เปิดปากกล่าว

“อืม ผมเดาว่าทั้งรัฐวอชิงตันคงถูกปิดล็อดไว้หมดแล้ว บนอากาศก็มีเครื่องบินทหารบินวนไปวนมา จะสามารถออกไปจากเขตรัฐวอชิงตันได้หรือไม่ ล้วนเป็นปัญหานี้” เย่เทียนเฉินขมวดคิ้วพลางกล่าว

“ไปเถอะ จะเสียเวลาไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว!” หลิวอวี่กล่าว

ทุกคนพยักหน้า ต่างรู้ดีว่าสถานการณ์คับขันเป็นอย่างมมาก ใครก็คิดไม่ถึงว่า รัฐบาลประเทศMจะไม่สนใจหน้าตาตัวเองเช่นนี้ ส่งกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิตมาซุ่มโจมตีก่อน แล้วส่งหน่วยสืบราชการลับพลังพิเศษมาปฏิบัติการ ตอนนี้กระทั่งกองทัพแห่งวอชิงตันก็ยังส่งออกมาแล้ว

หากกล่าวถึงกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิตและหน่วยสืบราชการลับพลังพิเศาแห่งประเทศM อย่างมากความสามารถส่วนบุคคลของพวกเขาก็แข็งแกร่ง แต่ตอนนี้ที่พวกเย่เทียนเฉินต้องเจอก็คือ กองกำลังทั้งหมดของวอชิงตัน ความสามัคคีก็คือพลัง คนคนเดียวต่อให้เก่งกาจ สามารถสู้คนร้อยคนได้ สู้คนหนึ่งพันคนได้ เช่นนั้นจะสามารถสู้กับคนหนึ่งหมื่นคนได้หรือ? ยิ่งไปกว่านั้นศัตรูนับหมื่นนับพันที่ต้องเจอ เป็นทหารที่ได้รับการฝึกฝนอย่างเข้มงวดอีกทั้งยังมีอาวุธพร้อมสรรพ

เมื่อพวกเย่เทียนเฉินมาถึงสถานที่ที่จอดเฮลิคอปเตอร์ไว้ พบว่าคนขับถูกคนอื่นฆ่าตายไปแล้ว ยังดีที่หลิวอวี่ขับเครื่องบินเลิคอปเตอร์เป็น จึงให้เขารับหน้าที่เป็นคนขับ หลังจากเห็นว่าหย่งชุนไท่ หลิ่วหรูเหมย และเฟยอวิ๋นที่พยุงเจียงเหมิงไว้ ขึ้นเครื่องกันไปเรียบร้อยแล้ว เย่เทียนเฉินก็นั่งลงตรงตำแหน่งผู้ช่วยคนขับ

“เอาเครื่องขึ้นเถอะ อีกสักครู่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คุณไม่ต้องสนใจ คุณแค่ต้องมุ่งตรงไปข้างหน้า ออกจากเขตรัฐวอชิงตันไปให้ได้ก็พอ เรื่องอื่นผมจัดการเอง!” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางมองหลิวอวี่อย่างจริงจัง

“อืม!” ตอนนี้หลิวอวี่เชื่อมั่นในตัวเย่เทียนเฉินเป็นอย่างมาก ระหว่างพวกเขาสองคนไม่มีบุญคุณความแค้นอะไรอีกแล้ว อย่างมากก็มีเพียงแค่ความต้องการแข่งขันกันระหว่างผู้แข็งแกร่งเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งนั่นก็ไม่ได้มีผลกระทบต่ออารมณ์ของทั้งสองแต่อย่างใด

หลายครั้งหลายครา เริ่มตั้แต่มาถึงวอชิงตันจนกระทั่งตอนนี้ หากไม่ใช่เพราะการลงมือของเย่เทียนเฉิน พวกเขาจะสามารถคุ้มครองหลิ่วหรูเหมยทำภารกิจจนสำเร็จได้อย่างไร ดังนั้น ความเข้าใจผิดที่พวกเขา หลิวอวี่ เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋น มีต่อเย่เทียนเฉินก็ค่อยๆ คลี่คลายลง ส่วนหย่งชุนไท่เดิมทีก็มองเย่เทียนเฉินในแง่ดีอยู่แล้ว ทางด้านหลิ่วหรูเหมยนั้น ไม่รู้ว่าทั้งสองยังจะต้องทำสงครามปากกันไปอีกกี่ครั้ง

หลิวอวี่ขับเครื่องบินขึ้นมุ่งตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ที่นั้นนับว่าเป็นสถานที่ที่มีกองกำลังรักษาการณ์อ่อนแอที่สุดในวอชิงตัน ก่อนมาพวกเขาได้ทำการค้นคว้ามาอย่างดี หย่งชุนไท่และหลิ่วหรูเหมยนั่งพักผ่อนอยู่บนที่นั่ง เฟยอวิ๋นกำลังพันแผลให้เจียงเหมิง ส่วนเย่เทียนเฉินหลังจากที่นั่งในเครื่องก็หลับตาพักผ่อนร่างกาย

สิบนาทีผ่านไป พวกเย่เทียนเฉินมาถึงทิศตะวันออกเฉียงใต้ของวอชิงตันแล้ว ที่นั่นมีภูเขาสูงอยู่แห่งหนึ่ง ขอเพียงบินผ่านภูเขาลูกนั้นไปได้ก็จะออกจากเขตรัฐวอชิงตันแล้วและโดยปกติจะถือว่าปลอดภัย ใบหน้าของหลิวอวี่อบอุ่นขึ้นเล็กน้อย พวกหย่งชุนไท่และหลิ่วหรูเหมยก็ผ่อนลมหายใจ เดิมทีคิดว่าการที่เครื่องบินจะออกไปจากเขตรัฐวอชิงตันได้นั้นจะเป็นเรื่องยาก เมื่อสักครู่เย่เทียนเฉินก็ยังพูดว่าทั้งรัฐวอชิงตันถูกกองกำลังทหารปิดไว้หมดแล้ว พวกเขาคงไม่ถึงกับคิดไม่ถึงเรื่องการปิดน่านฟ้า

“ถ้านี่ผ่านไปด้วยดี พวกเราก็จะบินออกจากอาณาเขตรัฐวอชิงตันแล้ว” หลิวอวี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ภารกิจประสบความสำเร็จอย่างราบรื่น” เฟยอวิ๋นเปิดปากกล่าว

ทันใดนั้นเอง เย่เทียนเฉินลืมตาทั้งสองมองไปยังเบื้องหน้าอย่างเคร่งขรึมพลางกล่าวว่า “มาแล้ว เลี้ยวขวา!”

“มาแล้ว? อะไรมา?” หลิวอวี่กล่าวถามออกไปอย่างงงงวย

เสียงบึ้มบึ้มบึ้มดังขึ้น เบื้องหน้าเฮลิคอปเตอร์ที่พวกหลิวอวี่โดยสารอยู่ปรากฏเครื่องบินทหารสองลำ ไม่รอให้พวกเขาได้ทันตอบสนอง ด้านหลังก็ปรากฏเครื่องบินทหารขึ้นอีกสองลำ บินเข้ามาล้อมพวกเขาไว้

“เลี้ยวขวา ที่เหลือผมจัดการเอง!” เย่เทียนเฉินกล่าวเสียงเข้ม

หลิวอวี่ได้สติกลับมาก็รีบพาเครื่องหักขวา ไม่กล้าขับไปข้างหน้าอีก บนเครื่องบินทหารทั้งสี่ลำนี้ต่างก็ติดอาวุธหนักเอาไว้ มีกระทั่งจรวดนำวิถี พวกเขาที่ไม่มีทั้งปืนหรือระเบิดหากขับพุ่งเข้าไป ไม่ใช่ว่าจะเป็นการประเคนเป้าให้ผู้อื่นหรอกหรือ?

เย่เทียนเฉินหันไปมองหลิ่วหรูเหมยพลางกล่าวว่า “พวกเธอไปก่อนเลยไม่ต้องสนใจฉัน ฉันจะไปจัดการเครื่องบินสี่ลำนี่ก่อน”

“นี่…นาย…”

ไม่รอให้หลิ่วหรูเหมยพูดออกมา เย่เทียนเฉินก็เปิดประตูเครื่องบิน ใช้ฝ่ามือซ้ายประทับลงบนประตูลงร่างขึ้นมาบนเฮลิคอปเตอร์ มองเครื่องบินสี่ลำที่แบ่งเป็นหน้าหลังฝั่งละสองบินพุ่งเข้ามา เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว หากต้องการจะเก็บกวาดเครื่องบินทั้งสี่ลำนี้ จำเป็นจะต้องใช่เคล็ดวิชาพลังพิเศษที่มีความสามารถโจมตีรุนแรงในระยะไกล

สำหรับตอนนี้ ขอบเขตพลังพิเศษของเย่เทียนเฉินถึงระดับจอมราชันแล้ว แม้สำหรับชาติก่อนจะนับว่าอ่อนแอ แต่สำหรับโลกแห่งนี้นับว่าเป็นผู้แข็งแกร่งมากคนหนึ่ง เพียงแต่มีเคล็ดวิชาบางอย่างที่ใช้ปริมาณพลังพิเศษค่อนข้างมากและทำให้พลังค่อยๆ หมดไป โดยปกติแล้วเย่เทียนเฉินมิอาจใช้ได้ เพราะจะส่งผลกระทบต่อการทะลวงขอบเขตพลังของเขาในภายภาคหน้า ที่สำคัญที่สุดก็คือร่างกายนี้ยังไม่อาจรองรับเคล็ดวิชาพลังพิเศษที่ยิ่งใหญ่ เพราะต้องฝึกฝนกล้ามเนื้อร่างกายให้แข็งแกร่งกว่านี้เสียก่อน

ปังปังปัง!

บนเครื่องบินทั้งสี่ลำต่างก็ติดตั้งปืนกลเอาไว้ ยิงกวาดมายังเฮลิคอปเตอร์ของพวกเย่เทียนเฉิน เป็นไปได้มากว่าจะยิงเครื่องบินเฮลิคอปเตอน์จนระเบิด และมีแนวโน้มว่าจะสามารถสกัดกั้นการหนีของพวกเย่เทียนเฉินได้

เพียงแต่น่าเสียดายที่ลูกกระสุนเหล่านั้นเมื่อยิงมาบนเฮลิคอปเตอร์ก็เกิดเพียงเสียงโลหะกระทบกันดังขึ้นเท่านั้น ไม่ได้ทะลุและไม่ได้ระเบิด ส่วนเย่เทียนเฉินยืนอยู่บนเฮลิคอเตอร์อย่างสงบ ทั่วทั้งร่างปกคลุมไปด้วยแสงสว่างอ่อนๆ ชั้นหนึ่ง หากถูกพวกหลิ่วหณุเหมยเห็นเข้าล่ะก็จะต้องตกใจจนกระโดดเป็นแน่ เนื่องจากพวกเขาไม่ทราบว่าเย่เทียนเฉินเป็นผู้มีพลังพิเศษ แถมยังเป็นผู้แข็งแกร่งที่ชอบเชตพลังพิเศษไปถึงระดับจอมราชันแล้วด้วย

“ดูท่ายังต้องฝึกฝนกล้ามเนื้อให้แข็งแกร่งกว่านี้ โล่พลังจะได้แข็งแกร่งกว่านี้หน่อย รู้สึกประคองไม่อยู่แล้วแฮะ!” เย่เทียนเฉินมองรอยแตกในมือซ้าย มีรอยเลือดไหลออกมาเล็กน้อย จึงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา

ตอนที่เครื่องบินหน้าหลังทั้งสี่ลำยิงปืนอยู่นั้น เย่เทียนเฉินก็ใช้หนึ่งในเคล็ดวิชาพลังพิเศษที่เขาใช้ได้และเป็นวิชาพลังพิเศษที่มีพลังป้องกันสูงที่สุด ซึ่งก็คือ “โล่พลัง” มิฉะนั้นลูกปืนเหล่านั้นคงยิงเฮลิคอปเตอร์จนระเบิดไปนานแล้ว

ซู่ม!

เบื้องหน้ามีเครื่องบินทหารลำหนึ่งบินเข้ามายิงจรวดนำวิถีเข้าใส่ เย่เทียนเฉินตกใจจนชะงักไปครู่หนึ่ง ในใจคิดว่า พวกสัตว์ประหลาดประเทศMกลุ่มนี้โหดเหี้ยมจริงๆ เพื่อที่จะฆ่าคนไม่กี่คน กระทั่งเครื่องบินรบของทหารก็นำออกมาใช้ ทั้งยังติดตั้งจรวดนำวิถีไว้อีก โหดเหี้ยมเกินไปแล้ว ดูท่าตนเองจะต้องไปคุยกับประธานาธิบดีโฮบาม่าสักหน่อยจริงๆ เสียแล้ว มิฉะนั้นมันอัดอั้นตันใจ

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับจรวดนำวิถีที่ยิงมา เย่เทียนเฉินก็ไม่ได้หลบ แต่ในเวลาชั่วพริบตานั้น ใช้ฝ่ามือที่แฝงไปด้วยพลังพิเศษปัดออกไป ทำให้จรวดนำวิถีเปลี่ยนทิศทางกลับไปยังเครื่องบินทหารที่ยิงจวรดออกมา

ทหารคนที่ยิงจรวดนำวิถีออกมา เมื่อเห็นว่าจรวดที่ตนยิงเปลี่ยนทิศทางเป็นยิงพุ่งมาทางเครื่องบินของพวกเขา ก็ตกใจจนหน้าซีด หลบไม่ทันแล้ว เสียงกรีดร้องดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น เครื่องบินระเบิดแล้ว ระเบิดกลางอากาศจนแตกเป็นเสี่ยงๆ ระเบิดเป็นดอกไม้ไฟอันสวยงาม

ตอนนี้เอง เครื่องบินที่เหลืออีกสามลำก็ถูกฉากน้ำทำเอาตกตะลึงจนนิ่งอึ้งไป พวกเขาเป็นทหารอากาศที่ปกป้องวอชิงตัน สามารถพูดได้อย่างไม่เกินจริงเลยว่า ต่อให้มีจรวดนำวิถีโจมตีมา ขอเพียงระยะห่างไม่ใกล้จนเกินไปพวกเขาก็สามารถขับเครื่องบินหักหลบได้ นี่คือความสามารถของทหารอากาศแห่งประเทศM แต่ตอนนี้ หนึ่งในทหารอากาศอันเยี่ยมยอดของพวกเขา กลับไม่สามารถหลบจรวดนำวิถีจากระยะไกลได้ ทั้งคนทั้งเครื่องบินถูกระเบิดเป็นจุล จะไม่ให้สั่นสะท้านได้อย่างไร?

แต่พวกเขาไม่มีโอกาสได้หวาดหวั่นอีกต่อไป บนมือซ้ายของเย่เทียนเฉินปรากฏธนูขึ้นหนึ่งอัน มือขวาปรากฏลูกศรหนึ่งดอก นี่เป็นสิ่งที่สร้างสรรค์ขึ้นมาจากพลังพิเศษของเขา หากต้องการรับมือกับเครื่องบินอีกสามลำก็จำเป็นต้องมีอาวุธที่สามารถฆ่าจากระยะไกลได้

หนึ่งธนูหนึ่งลูกธนู ขนานนามว่า “ธนูสายฟ้า” เย่เทียนเฉินในชาติก่อน ในค่ำคืนที่ลมและฝนกระหน่ำ มีเสียงฟ้าร้องโครมคราม เย่เทียนเฉินนั่งขัดสมาธิอยู่บนยอดเขารกร้างแห่งหนึ่ง คืนนั้นเขาเตรียมจะทลวงไปสู่ขอบเขตระดับจักรพรรดิ ตอนที่ทะลวงอยู่นั้นได้ถูดสายฟ้าผ่าลงมาจู่โจมจนเกือบตาย จากพลังของสายฟ้านี้ ทำให้เย่เทียนเฉินคิดเคล็ดวิชาพลังพิเศษวิชานี้ขึ้นมาได้

ซู่ว!

ลูกธนูแสงดอกหนึ่งถูกยิงออกไปด้วยความเร็ว เย่เทียนเฉินปล่อยสายธนูสายฟ้าทำการโจมตีออกไปแล้วครั้งหนึ่ง เขารู้สึกว่าตนเองเวียนหัวเล็กน้อย การใช้ธนูสายฟ้านี้ช่างสิ้นเปลืองพลังพิเศษเหลือเกินและเย่เทียนเฉินก็เพิ่งจะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตพลังระดับจอมราชันได้ไม่นาน ระดับความแข็งแกร่งของร่างกายยังไม่เพียงพอ ดังนั้นจึงกินแรงอยู่บ้าง หากไม่ใช่เพราะเป็นช่วงเวลาวิกฤต เขาก็จะไม่ใช้เคล็ดวิชานี้แน่นอน

แม้ว่าจะใช้พลังพิเศษทำให้จรวดนำวิถีเปลี่ยนทิศทาง จนสามารถระเบิดเครื่องบินไปได้หนึ่งลำ แต่ก็ยังเหลืออีกสามลำ หากว่าเครื่องบินทั้งสามลำนี้ยิงจรวดนำวิถีมาพร้อมกัน เย่เทียนเฉินก็ไม่กล้ารับประกันว่าตนเองจะสามารถเปลี่ยนทิศทางจรวดทั้งสามลูกได้พร้อมกัน ดังนั้นจึงใช้ธนูสายฟ้าชิงลงมือก่อน

ตู้ม!

เสียงดังสนั่นดังขึ้นอีกครั้ง เครื่องบินทหารลำที่สองระเบิดขึ้นกลางอากาศ ศรสายฟ้าที่ธนูสายฟ้ายิงออกไป มีความเร็วถึงขีดสุด โดยปกติไม่อาจหลบได้

ตอนนี้ไม่ใช่เพียงทหารของเครื่องบินอีกสองลำที่เหลือที่มองอย่างโง่งม กระทั่งหลิวอวี่ หย่งชุนไท่ หลิ่วหรูเหมย เฟยอวิ๋นและเจียงเหมิง ทั้งห้าที่อยู่ในเฮลิคอปเตอร์ก็ตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง พวกเขาเห็นเพียงลำแสงกระพริบ เครื่องบินสองลำของอีกฝ่ายก็ระเบิดไปแล้ว ไม่รู้จริงๆ ว่าเย่เทียนเฉินทำได้อย่างไร

……………………………………………………………

บทที่ 99 ชายผู้แบกปืนRPG
Ink Stone_Fantasy
“เย่เทียนเฉินคงไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจริงๆ หรอกใช่ไหม?”

หลิ่วหรูเหมยที่นั่งอยู่ในรถ อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองข้างหลัง เธอไม่อาจยับยั้งจิตใจที่เป็นห่วงเย่เทียนเฉินของตนเองได้เลย และไม่รู้ว่าทำไม หากกล่าวตามเหตุผลแล้วทั้งสองเป็นศัตรูคู่แค้นกัน ชั่วชีวิตนี้ไม่อาจมองอีกฝ่ายได้อย่างสบายตา แต่ตอนนี้ เธอถึงกับเป็นห่วงเจ้าคนชั่วนั่น โลกนี้ช่างมีแต่เรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นจริงๆ

ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม หากไม่ใช่เพราะเย่เทียนเฉิน ก็ไม้รู้ว่าเธอหลิ่วหรูเหมยจะตายไปแล้วกี่ครั้ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนนี้ที่นำข้อมูลลับของเทคโนโลยีนิวเคลียร์กลับไป

“วางใจเถอะ ความสามารถของเจ้าเด็กนั่นลึกล้ำเกินคาดเดา พวกเราดูแลตัวเองให้ดีๆ ก็พอแล้ว!” หย่งชุนไท่กล่าวด้วยรอยยิ้ม

หลิ่วหรูเหมยพยักหน้า ในใจอดไม่ได้ที่จะร้อนรน หวังว่าเย่เทียนเฉินจะไม่เป็นอะไร

หลิวอวี่กำลังขับรถมุ่งหน้าไปสู่สถานที่ที่มีเฮลิคอปเตอร์ระหว่างประเทศจัดเตรียมไว้นานแล้ว ขอเพียงไปให้ถึงที่นั่นและขึ้นเครื่องได้สำเร็จ ก็จะสามารถกลับประเทศจีนได้แล้ว ภารกิจในครั้งนี้ก็นับว่าประสบความสำเร็จอย่างสมบูรณ์

ขับรถอย่างบ้าคลั่งมาตลอดทางราวหนึ่งชั่วโมง หลิวอวี่จึงจอดรถในที่สุด สามารถพบป่าแห่งที่บริเวณชานเมืองวอชิงตัน นี่คือการเตรียมการล่วงหน้าที่เตรียมพร้อมไว้นานแล้ว

“คุณหนู พวกเราลงรถกันเถอะครับ คุ้มครองคุณขึ้นเครื่องไปก่อน พวกเราจะดูหลังให้เอง” หลิวอวี่หันไปกล่าวกับหลิ่วหรูเหมย

“อืม!” หลิ่วหรูเหมยพยักหน้า

“ทุกคนระวังตัวด้วย ฉันรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง ให้เตรียมตัวรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา” หย่งชุนไท่มองรอบด้านที่เงียบสงัดพลางกล่าว

หลิวอวี่ เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นลงรถ ยืนอยู่รอบๆ อย่างระมัดระวัง ทั้งหมดต่างถือปืนไว้ในมือ นี่ถึงช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดแล้ว จะต้องรับประกันให้ได้ว่าจะไม่มีความผิดพลาดใดๆ

หลังจากนั้นหย่งชุนไท่เปิดประตูรถแล้วเดินออกมาก่อน หลิ่วหรูเหมยตามมาทีหลัง ไหนเลยจะรู้ว่าหลิ่วหรูเหมยเพิ่งจะลงจากรถ รอบด้านก็ปรากฏแสงไฟสปอร์ตไลท์สว่างจ้า ตามมาด้วยเสียงปืนราวห่าฝน พวกเขาถูกซุ่มโจมตีแล้ว

หย่งชุนไท่สายตาเฉียบแหลมมือเท้าว่องไว คุ้มครองหลิ่วหรูเหมยไปข้างหลังรถ ตอนนี้ หลิวอวี่ เจียงเหมิง และเฟยอวิ๋น ทั้งสามได้เริ่มต้นโจมตีตอบโต้แล้ว เพียงแต่น่าเสียดายที่อีกฝ่ายมีคนเยอะมาก พลังโจมตีก็รุนแรง พวกเขาไม่อาจฝ่าออกไปได้ในทันที

“ขึ้นรถ ไปจากที่นี่ก่อน” หย่งชุนไท่ตะโกนเสียงดัง

เมื่อเผชิญหน้ากับการซุ่มโจมตีอันโหดเหี้ยมของอีกฝ่ายเช่นนี้ ทุกที่เต็มไปด้วยทหารที่ถือปืนกลมือ พวกหลิ่วหรูเหมยต้องการขึ้นเฮลิคอปเตอร์ ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้โดยสิ้นเชิง ถ้าหากไม่รีบไปจากที่นี่ ไม่ต้องพูดเรื่องขึ้นเครื่องหรอก กระทั่งชีวิตก็เก็บไว้ไม่ได้

ไม่กล่าวไม่ได้ว่า หย่งชุนไท่ หลิวอวี่ เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋น ทั้งสี่คนนี้แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก เจอกับการล้อมฆ่าของทหารที่ถือปืนกลมือนับร้อยคนก็ยังสามารถฆ่าเปิดทางไปได้อย่างดุดัน จากนั้นจึงขับรถทะลวงลึกเขาไปในป่า

“ตามไป แล้วก็รายงานนายพลบีชทันที บอกว่าพวกเราพบชาวตะวันออกพวกนี้แล้ว ตอนนี้กำลังตามไปฆ่า!” ชายวัยกลางคนชาวประเทศMผู้หนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นผู้บังคับบัญชากล่าวอย่างโหดเหี้ยม

รถบรรทุกลำเลียงทางการทหารหลายคัน ไล่ตามหลังรถของพวกหลิ่วหรูเหมยไปติดๆ พวกเขามิอาจสลัดทิ้งไปได้ในเวลาสั้นๆ จำนวนคนของอีกฝ่ายเยอะกว่าพวกเขามาก อีกทั้งพลังทำลายล้างก็รุนแรงกว่าพวกเขาหลายเท่า สามารถฆ่าเปิดทางหนีออกมาได้ก็ไม่ง่ายแล้ว

เอี๊ยด!

หลิวอวี่เหยียบเบรกครั้งหนึ่งจนรถหยุดลง บนหน้าผากมีเหงื่อเย็นๆ ผุดออกมา เมื่อสักครู่เกือบจะได้ฆ่าตัวตายเสียแล้ว เพราะด้านหน้ารถเป็นภูเขาสูงลูกหนึ่ง หากว่าขับชนเข้าไปด้วยความเร็วเช่นนี้ จะต้องมีจุดจบที่รถพังคนตายเป็นแน่ นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่มีทางให้ถอยแล้ว

“ลงรถ!” หย่งชุนไท่ตัดสินใจอย่างรวดเร็วพลางเปิดประตูรถ

หลิวอวี่ เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นก็รีบลงรถ ดูเหมือนว่าพริบตาที่พวกเขาลงจากรถ ทหารถือปืนนับร้อยที่ไล่ตามหลังพวกเขามาก็ตามมาถึงแล้ว ทั้งหมดต่างถือปืนกลมือเล็งมายังพวกเขา

“วางอาวุธของพวกแกแล้วยอมจำนนซะ ไม่มีใครสามารถต่อต้านประเทศMของพวกเราได้” ชายวัยกลางคนที่เป็นผู้บังคับบัญชาตะโกนไปทางพวกหลิ่วหรูเหมยเสียงดัง

“ฆ่าสิ ต่อให้ต้องสู้จนตาย ก็ไม่ยอมเป็นเชลย!” หย่งชุนไท่กล่าวอย่างเย็นชา

ได้ยินคำพูดของหย่งชุนไท่ พวกหลิวอวี่ก็พยักหน้า พวกเขาต่างก็รู้สถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างดี หากต้องการบุกออกไป ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ มีเพียงต้องสู้สุดชีวิตเท่านั้น

การต่อสู้อันดุเดือดดำเนินไปราวครึ่งชั่วโมง หลิวอวี่ เจียงเหมิง เฟยอวิ๋ยและหย่งชุนไท่ รวมทั้งหลิ่วหรูเหมยเข้าร่วมการต่อสู้ ลูกกระสุนปืนทั้งหมดต่างยิงถูกอากาศ เหล่าทหารที่ล้อมโจมตีพวกเขาก็บาดเจ็บล้มตายไปมาก ส่วนพวกเขาห้าคนจะมากจะน้อยก็ได้รับบาดเจ็บอยู่บ้าง ในหมู่พวกเขาเจียงเหมิงบาดเจ็บหนักที่สุด ถูกปืนยิงที่ไหล่ซ้าย ทะลุไปถึงปอด เลือดสดๆ ไหลออกมาไม่ขาดสาย พริบตาก็เปียกชุ่มเสื้อผ้าเขาไปหมด

“เจียงเหมิง เจียงเหมิง นายไม่เป็นไรใช่ไหม?” เฟยอวิ๋นยิงปืนตอบโต้ไปพลางตะโกนถามเจียงเหมิงไปพลาง

“ยังไม่ตาย ทุกคนระวังตัวให้ดี มีสไนเปอร์” เจียงเหมิงใบหน้าซีดขาว พยายามอดกลั้นความเจ็บปวดอย่างเต็มที่

เมื่อสักครู่นี้เจียงเหมิงถูกปืนยิงเข้าโดยไม่คาดคิด อีกฝ่ายมีสไนเปอร์หลบอยู่ในที่ลับ เมื่อมีโอกาสก็จะลั่นไกยิงหัวพวกเขา ต้องการที่จะฆ่าพวกเขาให้ได้ ไม่ปล่อยให้พวกเขากลับปะเทศ

หลิ่วหรูเหมยมองทุกอย่างด้วยความร้อนใจ พวกเขาถูกล้อมไว้แล้ว ดูเหมือนว่าจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะฝ่าออกไป ต้องเผชิญกับยอดทหารจำนวนมากขนาดนี้ ทำได้เพียงสู้ตายเท่านั้น ไม่มีทางฝ่าทะลวงไปได้ หรือว่าครั้งนี้พวกเขาจะต้องตายอยู่ที่นี่จริงๆ?

อีกด้านหนึ่ง นายพลบีชแห่งเขตสิบห้าของวอชิงตันก็ได้รับรายงานของลูกน้องแล้ว บอกว่าพบชาวตะวันออกที่มาแลกเปลี่ยนข้อมูลหลายคนนั้นแล้ว ทั้งลูกน้องของตนยังส่งคนไปล้อมพวกเขาไปและกำลังไล่ฆ่าอยู่

“ฆ่าซะ ฆ่าพวกเขาให้หมด จะให้พวกชาวตะวันออกเหล่านี้กลับประเทศไปไม่ได้เด็ดขาด ประกาศให้ประเทศอื่นๆ ในโลกรู้ว่าอย่าเป็นศัตรูกับประเทศMของพวกเรา” บีชกล่าวอย่างโอหัง

“ครับท่านนายพล!” ทหารที่ยืนอยู่ข้างๆ กล่าวอย่างเคารพ

“ใช่แล้ว เจ้าปีศาจตะวันออกนั่นก็ถูกล้อมไว้แล้วใช่ไหม?” บีชคิดถึงเย่เทียนเฉิน นี่เป็นสิ่งที่เขากังวลมากที่สุด ดังนั้นจึงได้กล่าวถามออกไป

“นี่…ตะ ตามที่ปรากฏในรายงาน ไม่มีร่องรอยของปีศาจตะวันออกคนนั้นครับ…” ทหารคนนั้นกล่าวเสียงเบา

“ไอ้โง่เอ๊ย ปีศาจตะวันออกถึงจะเป็นคนที่เราต้องฆ่าอย่างแท้จริง รีบตามหาให้ผมเดี๋ยวนี้ ฆ่าเขาให้ได้” บีชโกรธจนตะโกนด่าออกมา

“ครับ!”

ตอนนี้ เย่เทียนเฉินกำลังขี่มอเตอร์ไซด์ไล่ตามพวกหลิ่วหรูเหมยไปยังสถานที่ที่เตรียมเฮลิคอปเตอร์อย่างรวดเร็ว เขาเงยหน้ามองไปบนหัวพบว่าข้างบนมีเครื่องบินทหารบินมา จึงอดไม่ได้ที่จะคิดในใจ เห็นทีเรื่องครั้งนี้คงทำเสียยิ่งใหญ่เกินไปหน่อย ทำให้กระทั่งกองทัพประเทศMก็ออกมาเคลื่อนไหวแล้ว ต่อจากนี้คงจะสนุกแน่ๆ

ในขณะเดียวกันพวกหลิ่วหรูเหมยทั้งห้าคนอยู่ในสภาพที่เริ่มหมดแรงกันแล้วและยังไม่มีหนทางให้ถอย แม้ว่าจะฆ่าทหารที่ล้อมโจมตีพวกเขาไปมาก แต่จำนวนของอีกฝ่ายก็เยอะมากจริงๆ และทุกคนยังใช้ปืนกลมืออีกด้วย นอกจากนี้ยังมีสไนเปอร์ซุ่มอยู่ในที่ลับ ทำให้พวกเขาแสดงตัวออกไปไม่ได้ ทำได้เพียงถอยหลังไปเรื่อยๆ จนตอนนี้ไม่มีที่ให้ถอยแล้ว

“พวกเราทำยังไงกันดี?” เฟยอวิ๋นประคองเจียงเหมิงที่ได้รับบาดเจ็บ มองไปยังหลิวอวี่พลางกล่าวถาม

“ต่อให้พวกเราต้องตาย ก็ไม่อาจปล่อยให้ถูกจับไปเป็นเชลยของประเทสMได้ ภารกิจครั้งนี้ไม่มีทางสำเร็จ คงได้แต่ขอโทษต่อประเทศชาติและประชาชนแล้ว ถ้าหากยังถูกคนประเทศMพวกนี้จับตัวไปอีก ก็ยิ่งทำให้พวกเราไม่อาจเงยหน้าเงยตาในประเทศจีนได้เลย” หลิวหรูเหมยกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว

“คุณหนูพูดถูก ต่อให้ตายก็ไม่ยอมเป็นเชลย” หย่งชุนไท่กล่าวพลางพยักหน้า

“ดี งั้นพวกเราบุกออกไปฆ่าให้สะใจ ฆ่าได้มากขึ้นคนเดียวก็คนเดียว” หลิวอวี่กำหมัดแน่น

ซู่ม!

ตอนที่พวกหลิวอวี่ทั้งหมดเตรียมตัวจะพุ่งออกไปโดยไม่เกรงกลัวว่าจะถูกลูกปืนยิงจนพรุนแต่ไม่ยอมเป็นเชลย แสงสว่างสายหนึ่งก็ทำลายความมืดมิดในท้องฟ้า

ตู้ม!

เสียงดังสนั่นหวั่นไหวเสียดฟ้า รถบรรทุกลำเลียงของทหารถูกระเบิดจนปลิว ทหารประเทศMสิบกว่าคนถูกระเบิดจนกระจาย ทุกคนตกใจจนชะงักไปครู่หนึ่ง ใครกันที่โหดเหี้ยมเช่นนี้ กระทั่งลูกปืนหัวจรวดก็เอามาใช้

ทุกคนต่างมองไปยังทิศทางที่ลูกปืนหัวจรวดถูกยิงมา เห็นเพียงเงาคนร่างหนึ่ง มือซ้ายล้วงอยู่ในกระเป๋ากางเกง มือขวาแบกปืนRPG เดินเข้ามาช้าๆ จุดที่ดึงดูดความสนใจของผู้คนมากที่สุดก็คือ บุหรี่ที่เขาคาบอยู่ในปากมวนนั้น ท่าทางการแสดงออกทั้งหมดเผด็จการเป็นอย่างมาก เท่ถึงขีดสุด

“เย่เทียนเฉิน!” หลิ่วหรูเหมยอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมา

“ปะ ปีศาจตะวันออก…ฆ่าเขาซะ!” คนที่เป็นผู้บังคับบัญชาตอบสนอง ส่งสัญญาณมือเพื่อออกคำสั่งให้ทหารยิงปืนไปทางเย่เทียนเฉิน

เพียงแต่น่าเสียดายที่ทหารเหล่านั้นยังไม่ทันได้สติกลับมาจากอาการช็อค ก็มีเสียงดังสนั่นดังขึ้นอีกครั้ง การยิงครั้งที่สองของเย่เทียนเฉินตรงไปยังทหารวัยกลางคนที่เป็นหัวหน้าก่อนที่จะระเบิดจนปลิว เหลือไว้เพียงฝนเลือดกลางอากาศ ทั้งรุนแรงทั้งเผด็จการ

คนที่อยู่ในสถานที่เกิดเหตุทั้งหมดช็อคจนนิ่งไปแล้ว ทหารถือปืนที่เหลืออีกหลายสิบคนก็สั่นไปทั้งตัว พวกเขาเป็นทหาร การฆ่าคนสำหรับพวกเขาแล้วไม่นับเป็นอะไรได้ แต่ว่านี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นการฆ่าคนอย่างโหดเหี้ยมเช่นเย่เทียนเฉิน คนคนนี้ถือปืนRPGที่มีลูกปืนหัวจรวดบรรจุอยู่ ฝีมือก็แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ยิงออกมาหนึ่งนัดสามารถระเบิดคนของพวกเขาได้เป็นแถบๆ ต้องเจอกับอาวุธหนักเช่นนี้และยังมีชายที่ถูกเรียกว่าปีศาจตะวันออกอีก ความกล้าของพวกเขาเริ่มจะหายไปแล้ว

“พวกแกยังไม่ไปอีก รอฉันยิงปืนRPGนี่เหรอไง? อย่ามาสละชีพโง่ๆ เพื่อประเทศMเลย กลับบ้านไปกอดเมียให้มีความสุขเถอะ!” เย่เทียนเฉินกล่าวกับทหารที่เหลือด้วยรอยยิ้ม

ไม่รู้ว่าใครที่โยนปืนในมือทิ้งและจากไปคนแรก แต่ขอเพียงมีผู้นำ คนที่เหลือเหล่านี้ต่างก็ทิ้งปืนวิ่งหนีไปตามๆ กัน จะมีใครบ้างที่ไม่กลัวตาย

“แม่งเอ๊ย เจ๋งไปเลย ฉันเอาลูกปืนหัวจรวดมาได้แค่สองลูกนี่แหละ!” เย่เทียนเฉินโยนปืนRPGลงพื้น ถอนหายใจออกมายาวๆ พลางกล่าว

“นายมักจะตามมาช่วยตลอดเลย ขอบคุณนะ!” หลิวอวี่เดินไปเบื้องหน้าของเย่เทียนเฉินพลางกล่าวอย่างจริงจัง

เย่เทียนเฉินมองเจียงเหมิงครู่หนึ่ง แล้วมองไปยังหย่งชุนไท่และเฟยอวิ๋น ทราบดีว่าพวกเขาผ่านการต่อสู้อันโหดร้ายมา จะมากจะน้อยก็ได้รับบาดเจ็บ นอกจากนี้อีกไม่นานจะต้องมีทหารบุกมาอีกกลุ่มใหญ่ๆ ถึงตอนนั้นอยากจะไปก็ไปไม่ได้แล้ว

“รีบไปเถอะ ขึ้นเครื่องแล้วค่อยว่ากัน!” เย่เทียนเฉินเปิดปากกล่าว

“เย่เทียนเฉิน…” หลิ่วหรูเหมยมองเย่เทียนเฉินยิ้มๆ อยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่กลับถูกเย่เทียนเฉินกล่าวขัด

“ไปเถอะ คำพูดไร้สาระของผู้หญิงไม่ต้องพูดให้มากนัก ส่วนมากก็เหมือนกับน้ำนั่นแหละ ไหลไปทั่ว…”

“ไปตายซะ!”

……………………………………………………

บทที่ 98 ประธานาธิบดีโฮบ่ามาโกรธเกรี้ยว
Ink Stone_Fantasy
สู้กันอย่างดุเดือดมากว่าครึ่งชั่วโมง เย่เทียนเฉินและซิลลี่ต่างก็ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยไม่ร้ายแรงอะไร ทั้งสองโจมตีกันอย่างรุนแรง ทั้งหมัดทั้งเท้าแลกเปลี่ยนกันอุตลุด ฆ่าฟันสู้รบกันอย่างร้ายกาจ

ตอนที่พวกเขาทั้งสองหยุดมือ คฤหาสน์สองฝากฝั่งของเมืองชีคไม่มีหลังไหนเลยที่จะอยู่ในสภาพดี หากไม่ใช่ถูกคมมีดสายลมของซิลลี่ฟันจนแยก ก็ถูกเย่เทียนเฉินซัดจนพัง เมืองชีคที่เพิ่งจะได้รับการพัฒนานับว่าพังทลายลงแล้ว

“ไม่นึกเลยว่าแกจะร้ายกาจขนาดนี้ ฉันดูถูกชาวตะวันออกอย่างพวกแกเกินไปจริงๆ” ซิลลี่กล่าวยิ้มๆ มีอาการหอบอยู่บ้าง มองไปยังเย่เทียนเฉินพลางเช็ดเลือดที่มุมปาก

เย่เทียนเฉินไม่ได้รับคำ ทำเพียงหยิบบุหรี่มวนหนึ่งออกมาจากบริเวณอก โยนไปให้ซิลลี่ แล้วจุดขึ้นให้ตนเองมวนหนึ่ง คาบไว้ในปากพลางสูบเข้าไปก่อนจะกล่าวอย่างไม่แยแสว่า “เดิมทีฉันคิดว่าหน่วยสืบราชการลับพลังพิเศษแห่งประเทศMจะมียอดฝีมืออยู่ ไม่คิดเลยว่าจะทำให้ฉันผิดหวัง!”

ซิลลี่ได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะชะงักไปชั่วครู่ พลันโกรธจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน คิดว่าเย่เทียนเฉินคนนี้พูดจาใหญ่โตโอหัง เพราะการต่อสู้อันดุเดือดเมื่อสักครู่นี้ เย่เทียนเฉินก็ไม่ได้ได้เปรียบตนเอง ไหล่ซ้ายของเขาก็ถูกตนต่อยไปหมัดหนึ่ง กล่าวได้ว่าการต่อสู้เมื่อสักครู่นี้แสดงให้เห็นถึงพลังการสู้รบ ทั้งคู่ต่างมีฝีมือพอๆ กัน

“คนหนุ่มพูดจาใหญ่โต ระวังจะตายอย่างอนาถ” ซิลลี่กล่าวอย่างโหดเหี้ยม

“ลงมือเต็มที่มาเถอะ ฉันรู้ว่าแกยังออมแรงไว้…” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ดูท่าทางแกจะเก่งจริงๆ สินะ งั้นฉันจะทำให้แกได้เห็นถึงความสามารถที่แท้จริงของราชาแห่งความโหดเหี้ยมอย่างฉัน”

ได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน ซิลลี่ก็ค่อนข้างตกใจ เนื่องจากตั้งแต่เริ้มเขาก็ไม่ได้ลงมือเต็มที่จริงๆ ยังปิดซ่อนความสามารถเอาไว้สองส่วน ทั้งนี้ก็เพื่ออยากจะชั่งน้ำหนักดูเสียหน่อยว่าเย่เทียนเฉินแข็งแกร่งขนาดไหน จึงเหลือพลังสุดท้ายเอาไว้ใช้กำจัดเย่เทียนเฉิน คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะมองออก

“แบบนี้แหละดีที่สุดแล้ว แต่ฉันขอบอกแกไว้หน่อยว่า ฉันเองก็ไม่ได้ลงมือเต็มที่…” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“อะไรนะ? แกก็ไม่ได้ลงมือเต็มที่? ฮ่าๆๆๆ อย่ามาทำให้ฉันขำตายน่ะ แกไม่ใช่คู่มือของฉัน”

“มาเถอะ ให้พวกเรารู้กันไปให้ชัดๆเลยว่าแกที่เป็นราชาแห่งความโหดเหี้ยมของประเทศM หรือฉันที่เป็นปีศาจตะวันออก ใครจะแข็งแกร่งกว่ากัน”

ลงมืออีกครั้ง ซิลลี่ก็ไม่ได้ออมแรงแม้แต่น้อย ทั้งกำลังและความเร็วเพิ่มขึ้นจนถึงบีดจำกัด พุ่งเข้าใส่เย่เทียนเฉิน ส่วนเย่เทียนเฉินนั้น หมัดทั้งสองปกคลุมไปด้วยพลังของผู้มีพลังพิเศษระดับจอมราชัน เตรียมจะจัดการซิลลี่ เนื่องจากพวกหลิ่วหรูเหมยไปจากเมืองชีคเกือยหนึ่งชั่วโมงแล้ว หากระหว่างทางเจอการซุ่มโจมตีอะไรขึ้นมา เกรงว่าแค่พวกหย่งชุนไท่ไม่กี่คนจะไม่อาจคุ้มครองหลิ่วหรูเหมยขึ้นเฮลิคอปเตอร์ได้อย่างราบรื่น

ฝ่ามือทั้งสี่ปะทะกัน แย่เทียนเฉินและซิลลี่ต่างก็จับฝีมือของอีกฝ่ายแน่น กลายเป็นการวัดกำลังไปแล้ว ทันใดนั้น ดวงตาทั้งสองของซิลลี่ก็กลายเป็นสีแดงเลือด เกิดเป็นลำแสงสีเลือดพุ่งออกมาสองสายเข้าใส่ศีรษะของเย่เทียนเฉิน แกนพลังพิเศษในสมองของเย่เทียนเฉินหมุนวนด้วยความเร็วสูง สร้างเป็นโล่พลังบริเวณศีรษะ มีชื่อว่าโล่พลังพิเศษ เป็นวิชาพลังพิเศษทีมีพลังป้องกันอันแข็งแกร่งวิชาหนึ่ง เพื่อป้องกันการโจมตีที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน

ซิลลี่นึกว่าการโจมตีอย่างฉับพลันจะสามารถฆ่าเย่เทียนเฉินได้ คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะสามารถป้องกันลำแสงสีแดงแปลกๆ ที่ปล่อยออกจากดวงตาทั้งสองของเขาได้ ขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกว่าตนเองราวกับกำลังบินอยู่ก็มิปาน

“ฮ่า!” เย่เทียนเฉินตะเบ็งเสียงดัง โยนซิลลี่ที่หนักกว่าเขาหลายสิบจินกระเด็นออกไปในอากาศสูงเกือบเมตร

ฉัวะ!

หมัดลอยไปในอากาศ เย่เทียนเฉินโจมตีไปยังบริเวณท้องของซิลลี่ ซิลลี่ที่อยู่กลางอากาศไม่มีทางหลบได้ ทำได้เพียงรับหมัดนี้ไปเต็มๆ ยังไม่ทันให้เขาได้ตอบสนองอะไร เย่เทียนเฉินก็พุ่งขึ้นไป สองหมัดที่คละเคล้าไปด้วยพลังพิเศษอันเข้มข้นโจมตีออกไปไม่ขาดตอน เพียงพริบตาก็ต่อยออกไปหนึ่งร้อยสามสิบแปดหมัด หมัดสุดท้ายต่อยเข้าที่หน้าผากของซิลลี่จนกระดูกคอหัก ตัวคนถูกต่อยจนกระเด็นออกไป

ตกลงมาแน่นิ่งกับพื้น เย่เทียนเฉินมองซิลลี่ที่ถูกต่อยจนตาย อดไม่ได้ที่จะนับถือความแข็งแกร่งของคนคนนี้อยู่ในใจ ตั้งแต่ที่ขอบเขตพลังของเขายกระดับไปถึงระดับจอมราชัน นี่เป็นครั้งแรกที่ลงมือเต็มที่ ขาดก็แต่ไม่ได้ใช้เคล็ดวิชาออกไป

เย่เทียนเฉินไม่ได้หยุดนิ่ง ด้วยกังวลว่าพวกหลิ่วหรูเหมยจะพบกับความยุ่งยากจึงรีบขี่มอเตอร์ไซด์ไปจากเมืองชีคด้วยความเร็วสูง หลังจากที่เขาจากไปแล้ว ผู้มีพลังพิเศษทั้งหมดภายในเมืองชีค รวมไปถึงซิลลี่ที่เป็นรองหัวหน้าหน่วยสืบราชการลับพลังพิเศษแห่งประเทศM ทั้งหมดเก้าคนล้วนถูกฆ่าตาย

ณ เวลานี้ ที่อาคารบริหารในรัฐวอชิงตันท่ามกลางทำเนียบขาว ประธานาธิบดีโฮบาม่านั่งอยู่ในห้องทำงานด้วยใบหน้ามืดครึ้ม เนื่องจากเมื่อสักครู่นี้เขาเพิ่งได้รับรายงานว่าภารกิจของหน่วยสืบราชการลับพลังพิเศษล้มเหลวแล้ว ผู้มีพลังพิเศษแปดคนถูกฆ่าตายทั้งหมด

“เศษสวะ ปัญญาอ่อน ไอ้พวกโง่ ซิลลี่ยังคิดอยากจะเป็นหัวหน้าอีก ตอนนี้แม้แต่ชีวิตก็หายไปแล้ว อัปยศ นี่คือความอัปยศสูงสุดที่ประเทศMของฉันได้รับจากการประมือกับตะวันออกในช่วงหลายปีมานี้!” ประธานาธิบดีโฮบาม่าตะโกนลั่นพลางปัดสิ่งของบนโต๊ะอย่างแรง

“ท่านประธานาธิบดี นายพลจากเขตสิบห้ามาถึงแล้ว!” เลขาที่ยืนอยู่ข้างๆ เพิ่งจะเคยเห็นประธานาธิบดีโฮบาม่าโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนนี้

“ให้เขาเข้ามา!” ประธานาธิบดีโฮบาม่าสงบสติอารมณ์เล็กน้อยพลางกล่าว

ไม่นาน นายพลหัวล้านคนหนึ่ง อายุประมาณห้าสิบกว่าปี ใบหน้าเข้มขรึมจริงจังเดินเข้ามา เมื่อเดินมาถึงเบื้องหน้าของประธานาธิบดีโฮบาม่าก็ทำวันธยาหัตย์ครั้งหนึ่ง แล้วจึงกล่าวเสียงดังว่า “ท่านประธานาธิบดี มีคำสั่งอะไรครับ?”

“บีช เรื่องราวในครั้งนี้ ผมเชื่อว่าคุณเองก็ได้ยินมาแล้ว พวกเราทำการแลกเปลี่ยนข้อมูลลับกัยตะวันออก ไม่คิดว่าพวกจะมันหนีไปได้ เพิ่งจะได้รับข่าวมาว่า หน่วยสืบราชการลับพลังพิเศษพ่ายแพ้ เก้าคนรวมซิลลี่แล้ว ถูกฆ่าตายกันหมด!” ตอนที่โฮบาม่ากล่าว ต่างก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน โกรธเกรี้ยวจนปวดฟันไปหมด

บีชเป็นนายพลเขตสิบห้าของประเทศM เป็นผู้บัญชาการกองทัพชั้นยอดขตสิบห้า บางทีทหารของกองทัพชั้นยอดเหล่านี้ ความสามารถแต่คนละอาจจะไม่สามารถสู้สมาชิกหน่วยสืบราชการลับพลังพิเศษได้ แต่พวกเขามีระเบียบวินัยและความเป็นระบบที่เข้มงวด ที่สำคัญที่สุดคือมีอาวุธหนักที่มีอานุภาพร้ายแรง

ก่อนมาบีชก็รู้ถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้แล้ว ดังนั้นจึงวางภารกิจทางการทหารในมือทั้งหมดไว้แล้วรีบมาในทันที ครั้งนี้ประเทศMและประเทศจีนได้ทำการแลกเปลี่ยนข้อมูลลับกัน เบื้องหน้าดูเหมือนทั้งสองฝ่ายจะไม่ได้ให้ความสำคัญมากนัก วางตัวเรียบเฉยเป็นอย่างมาก แต่ความจริงตรึงเครียดยิ่งนัก กล่าวให้ชัดเจนก็คือ ต่างก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายได้รับข้อมูลลับที่แท้จริงไป และให้ฝ่ายตัวเองได้ข้อมูลมา ดังนั้นในทางลับประธานาธิบดีโฮบาม่าก็ไม่ได้ใจดี สั่งให้ลูกน้องไปว่าจ้างกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิต ไหนเลยจะรู้ว่าทหารของกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิตทั้งหมดจะย่อยยับ กระทั่งหน่วยสืบราชการลับพลังพิเศษก็พ่ายแพ้ นี่ทำให้เขาคิดไม่ถึงจริงๆ จึงโกรธถึงขีดสุด

“ผมได้ข่าวมาแล้วครับ ทั้งเป็นเป็นฝีมือของชายคนหนึ่งที่ถูกเรียกว่าปีศาจตะวันออก ผมจะหาเขาออกมาให้ได้ จะฉีกศพออกเป็นชิ้นๆ” บีชกล่าวอย่างโหดเหี้ยม

“ชายตะวันออกคนนี้ยังไงก็ต้องฆ่าให้ได้ อย่าปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไป เขามีชีวิตไปหนึ่งวัน ก็จะทำให้รัฐบาลประเทศMของผมต้องอับอายไปหนึ่งวัน ที่สำคัญก็คือนำข้อมูลเทคโนโลยีนิวเคลียร์กลับมาให้ได้ ตะวันออกในตอนนี้รุ่งเรืองขึ้นแล้ว หากให้พวกเยาได้รับข้อมูลเทคโนโลยีนิวเคลียร์ที่สำคัญไปอีก อาวุธนิวเคลียร์ของพวกเขาก็จะยิ่งล้ำหน้า ถึงตอนนั้นประเทศMของเราก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่คับฟ้าอีกแล้ว!” ประธานาธิบดีโฮบาม่ากล่าวพลางกำหมัดแน่น

“ครับ!” บีชกล่าวรับคำสั่ง

“อีกอย่าง เรื่องนี้ต้องทำเงียบๆ ไม่ต้องเผยแพร่ออกไป ผมจะยอมเสียหน้าไม่ได้” โฮบาม่าถอนหายใจพลางกล่าว

บีชพยักหน้า ออกไปจากทำเนียบขาวด้วยท่าทางเข้มงวดเช่นเดิม เขารู้ว่าเรื่องนี้ร้ายแรงมาก มิฉะนั้นประธานาธิบดีโฮบาม่าที่ดูสุภาพอ่อนโยนมาโดยตลอดคงไม่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนนี้

จินตนาการได้เลยว่า ชายชาวตะวันออกคนหนึ่ง มาถึงรัฐวอชิงตันประเทศM ทำลายกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิต ฆ่าคนของหน่วยสืบราชการลับพลังพิเศษไปเกือบสิบคนซึ่งในนั้นมีซิลลี่ที่เป็นรองหัวหน้าอยู่ด้วย นี่คือความอัปยศของประเทศM นับว่าเป็นการโจมตีอันร้ายแรงต่อรัฐบาลประเทศM ที่สำคัญก็คือความรู้ของพวกเขาไม่สมดุลแล้ว ตลอดมาล้วนมีเพียงประเทศMที่รังแกประเทศอื่น แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีใครกล้ารังแกพวกเขาเช่นนี้

ถูกชายตะวันออกคนหนึ่งบุกมาสร้างเรื่องถึงรัฐวอชิงตัน นี่แสดงให้เห็นถึงความไร้สามารถของรัฐบาลประเทศM โฮบาม่าจะไม่โกรธได้อย่างไร? ส่วนบีชเป็นนายพลเขตสิบห้า มีหน้าที่คุ้มครองรักษาความสงบเรียบร้อยของรัฐวอชิงตัน ใบหน้าของเขาก็ไร้ซึ่งราศี ที่สำคัญก็คือถ้ายังปล่อยให้เย่เทียนเฉินก่อเรื่องในวอชิงตันต่อไป จะต้องส่งผลต่อความนิยมในใจของประชาชนที่มีต่อประธานาธิบดีโฮบาม่า หากว่าได้รับผลกระทบเช่นนี้จริงๆ เกรงว่าประธานาธิบดีโฮบาม่าจะเป็นคนแรกที่ลงมีดกับเขา

เดินออกมาจากทำเนียบขาว บีชก็มองกองกำลังทหารที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเขา คนเหล่านี้ต่างก็เป็นลูกน้องชั้นยอดทั้งหมด เขาเองก็ต้องใจร้าย ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องฆ่าเย่เทียนเฉิน ไม่อาจปล่อยให้พวกหลิ่วหรูเหมยนำข้อมูลลับของเทคโนโลยีนิวเคลียร์กลับไปได้ ต่อให้ต้องปิดวอชิงตันก็ต้องหาเย่เทียนเฉินให้พบและหยุดพวกหลิ่วหรูเหมยไว้ให้ได้

“ตอนนี้ ผมขอสั่งให้กองกำลังชั้นยอดของเขตสิบห้าทั้งหมดออกเคลื่อนไหว ปิดวอชิงตันทั้งรัฐ หาชายชาวตะวันออกคนนั้นออกมาให้ได้ และฆ่าเขาซะ นอกจากนี้จะต้องหยุดคนตะวันออกกลุ่มนั้นที่มาทำการแลกเปลี่ยนข้อมูลไว้ หากพวกเขากล้าต่อต้าน ก็ฆ่าให้ตายทั้งหมด!” บีชกล่าวเสียงเข้ม

“ครับผม!”

“เรื่องนี้ให้ปฏิบัติอย่างเงียบๆ ให้ทุกคนเปลี่ยนไปสวมชุดลายพรางธรรมดาทั่วไป เพื่อไม่ให้ประชาชนตื่นตระหนก”

บีชคิดครู่หนึ่ง ประธานาธิบดีโฮบาม่ากำชับมาเป็นพิเศษว่าจะต้องปฏิบัติการอย่างเป็นความลับ เพื่อไม่ให้ข่าวลือกระขายออกไป และหลีกเลี่ยงการถูกผู้คนเยาะเย้ยจนส่งผลกระทบต่อบารมีของประธานาธิบดีโฮบาม่า ดังนั้นจึงให้ทหารใต้บังคัญบัญชาของตนทุกคนเปลี่ยนไปสวมชุดทหารลายพรางทั่วไป ไม่ให้ผู้คนมองออก

นอกจากนี้หากว่าถูกประชาชนพบเห็นว่าทหารเขตสิบห้าทั้งหมดออกปฏิบัติการ ปิดล็อคทั้งรัฐวอชิงตัน จะต้องก่อให้เกิดความวุ่นวายอย่างแน่นอน และจะถูกสื่อต่างชาติให้ความสนใจ ถึงตอนนั้นรัฐบาลประเทศMต้องปวดหัวเป็นแน่

ตอนนี้ เย่เทียนเฉินยังคงขับมอเตอร์ไซด์ตามไปยังสถานที่ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ที่พวกหลิ่วหรูเหมยจะไป เขามักจะมีลางสังกรณ์ไม่ค่อยดีนัก ครั้งนี้หากต้องการให้หลิ่วหรูเหมยนำข้อมูลลับกลับประเทศไปอย่างราบรื่น เกรงว่าจะต้องจ่ายค่าตอบแทนออกไป แน่นอนว่า เขายังมีอีกเรื่องที่อยากไปทำ นั่นก็คือไปพบประธานาธิบดีโฮบาม่าที่ทำเนียบขาว พูดคุบปรึกษากับเขาสักเรื่อง!

……………………………………………………….

บทที่ 97 ปีศาจตะวันออก VS ราชันแห่งความโหดเหี้ยม
Ink Stone_Fantasy
“กลับมา อย่าลงมือมั่วๆ!”

ผู้มีพลังพิเศษสายเสริมพลังที่เป็นหัวหน้าคนนั้น เมื่อเห็นว่าผู้มีพลังสายฟ้ากระตุ้นพลังสายฟ้าทั่วทั้งร่าง หมัดสายฟ้าทั้งสองถาโถมไปด้วยพลังพลางพุ่งเข้าใส่เย่เทียนเฉิน ก็รีบหยุดยั้ง

น่าเสียดายที่ทุกอย่างสายไปแล้ว ตอนที่มือของผู้มีพลังสายฟ้าเกิดสายฟ้าห่อหุ้ม เตรียมพุ่งเข้าไปโจมตีเย่เทียนเฉินด้วยสายฟ้าหวังฆ่าให้ตาย เย่เทียนเฉินก็เริ่มเคลื่อนไหว ตอนทีอีกฝ่ายเพิ่งจะกางแขนทั้งสองออก เย่เทียนเฉินก็พุ่งเข้าไปด้วยความเร็วเกือบสูงสุด ใช้หมัดที่แฝงไปด้วยพลังขอบเขตจอมราชันต่อยไปเข้ายังหน้าอกของเขา

พลั่ก!

ผู้มีพลังสายฟ้ากระอักเลือดสดๆ ออกมา ไม่ได้ถูดอัดจนกระเด็น จากนั้นจึงหัวเราะขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง ตะโกนเสียงดังว่า “ปีศาจตะวันออกอะไรกัน ไม่เอาไหน แกถูกหลอกแล้ว!”

คำพูดเพิ่งจะออกจากปาก ทั่วทั้งร่างของผู้มีพลังพิเศษคนนั้นก็เต็มไปด้วยพลังสายฟ้า กำปั้นของเย่เทียนเฉินยังคงกระทบอยู่บนอกของเขา ย่อมถูกพลังสายฟ้าอันรุนแรงเล่นงานเป็นธรรมดา เดิมทีเข้าจงใจให้เย่เทียนเฉินเข้ามาโจมตีตนเอง ก็เพื่อจะใช้พลังสายฟ้าโจมตีร่างกายเย่เทียนเฉิน ให้เขาถูกไฟฟ้าช็อตตายทั้งเป็น

“งั้นเรอะ? ทำไมฉันรู้สึกเหมือนโดนมดกัดเลย มีความรู้สึกคันยิบๆ ไปทั้งตัวเลยล่ะ?” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“แก…แก…”

ผู้มีพลังสายฟ้าคนนั้นตื่นตระหนกไปแล้วโดยสิ้นเชิง เขาคิดไม่ถึงเลยว่าตนเองระเบิดพลังสายฟ้าทั้งร่างออกมาแล้ว ต่อให้ฆ่าเย่เทียนเฉินไม่ได้ก็ต้องทำให้เขาถูกไฟซ็อตจนหมดสติ เช่นนั้นก็จะไม่มีปัญหาเลยสักนิด แต่ไหนเลยจะรู้ว่า ตนเองลงมือเต็มกำลังแล้ว เย่เทียนเฉินก็ยังยืนเบื้องหน้าตนอย่างไม่สะทกสะท้าน ไม่มีการแสดงออกถึงความเจ็บปวดที่เกิดจากการถูกไฟฟ้าเข้าจู่โจมเลยสักนิด

“ไฟฟ้าเล็กๆ น้อยๆ ของแก ถ้าทำให้หลอดไฟสว่างก็พอได้อยู่หรอก ปิดไฟซะ!”

ตอนที่เย่เทียนเฉินกล่าวก็ค่อยๆ ออกแรงที่มือขวา ใช้พลังพิเศษอันแข็งแกร่งโจมตีพุ่งเข้าไป ทำลายหัวใจของผู้มีพลังสายฟ้าคนนั้นโดยตรงจนแหลกเหลว

เสียงพลั่กดังขึ้น ผู้มีพลังสายฟ้าล้มลงไปกองกับพื้น ยังคงมีกระแสไฟฟ้าวิ่งอยู่ทั่วร่าง สายตาเต็มไปด้วยความหวาดผวาและความไม่อยากจะเชื่อ เขาคิดไม่ถึงเลยว่า ตนเองลงมือเต็มกำลังแล้วก็ยังถูกเย่เทียนเฉินใช้หมัดซัดจนตายได้

ฆ่าผู้มีพลังสายฟ้าไปแล้ว เย่เทียนเฉินยังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่เคลื่อนไหว เขาไม่ได้มองผู้มีพลังพิเศษสายเสริมพลังผู้นั้น มิใช่ว่าเป็นเพราะเขาไม่เก่ง คนคนนี้แข็งแกร่งที่สุดในหมู่ผู้มีพลังพิเศษทั้งสี่ เพียงแต่น่าเสียดายที่เย่เทียนเฉินรู้สึกได้ถึงผู้ที่แข็งแกร่งกว่า กลิ่นไปโหดร้ายอันแข็งแกร่งสายนั้น ซึมซาบไปทั่วทั้งเมืองชีคในฉับพลัน มีศัตรูที่เก่งกาจกำลังเดินมาทางนี้ ไม่อาจตอบสนองอย่างไม่ระมัดระวังได้

ผู้มีพลังพิเศษสายเสริมพลังคนนั้น เป็นหัวหน้าในการปฏิบัติการครั้งนี้ นอกจากเขาและซิลลี่ ผู้มีพลังพิเศษคนอื่นต่างก็ถูกเย่เทียนเฉินกำจัดไปหมดแล้ว เป็นตัวตนที่ไม่อาจรับมือได้โดยสิ้นเชิง สิ่งนี้สำหรับเขาแล้วทำให้รู้สึกสั่นสะท้านเป็นอย่างมาก

หน่วยสืบราชการลับพลังพิเศษแห่งประเทศM เป็นตัวแทนของพลังอันแข็งแกร่ง แต่ไหนแต่ไรก็ไม่มีใครสามารถฆ่าผู้มีพลังพิเศษทั้งเจ็ดคนอย่างพวกเขาได้ นี่นับเป็นความสูญเสียอย่างร้ายแรงสำหรับหน่วยสืบราชการลับพลังพิเศษแห่งประเทศM

“ปีศาจตะวันออก แกร้ายกาจจริงๆ ไม่คิดเลยว่าจะอายุน้อยขนาดนี้” ผู้มีพลังพิเศษสายเสริมพลังมองเย่เทียนเฉินอย่างเย็นชาพลางกล่าว

“ลงมือเถอะ ฉันไม่มีเวลามามัวเล่นกับแกหรอก!” เย่เทียนเฉินไม่มองเขาเลยแม้แต่น้อย สองตาจ้องเขม็งไปทางด้านหน้า กลิ่นไอโหดร้ายอันแข็งแกร่งสายนั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แล้ว นี่ถึงจะเป็นศัตรูที่แท้จริงของเขา

ผู้มีพลังพิเศษสายเสริมพลังที่เป็นหัวหน้าเห็นว่าเย่เทียนเฉินไม่เห็นตัวเองอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย ก็พลันรู้สึกโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ไม่ว่าจะพูดอย่างไน ตนเองก็เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่คนพวกนี้ ทั้งยังมีตำแหน่งสำคัญในหน่วยสืบราชการลับพลังพิเศษแห่งประเทศM ไม่เคบถูกใครดูถูกขนาดนี้มาก่อน

“ไปตายซะ!”

เสียงตะโกนลั่นดังขึ้น มีดทหารในมือของผู้มีพลังพิเศษสายเสริมพลังพลันยาวขึ้นเกือบเมตร นอกจากส่วนด้ามจับ ตัวดาบก็ปากฏหนามเหล็กผุดขึ้นมา ฟันกวาดไปยังเย่เทียนเฉิน

ปัง!

เย่เทียนเฉินโค้งเอวหลบมีดทหารที่มีหนามเหล็กที่ฟันกวาดเข้ามา อีกฝ่ายโจมตีวืดไปถูกกำแพงที่ล้อมอยู่ด้านข้าง ทันใดนั้นกำแพงกำแพงที่สูงเกือบเมตรก็ถูกกระแทกจนแตกเป็นผุยผง อานุภาพทำลายล้างร้ายกาจเป็นอย่างยิ่ง

ไม่กล่าวไม่ได้ว่า ฝีมือของผู้มีพลังพิเศษสายเสริมพลังแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก กวัดแกว่งดาบที่มีดทหารหนามเหล็กที่ยาวเกือบห้าเมตรโดนไม่มีท่าทีเหน็ดเหนื่อยเลยสักนิด พุ่งเข้าไปฟันเย่เทียนเฉินไม่หยุด จนกระทั่งกำแพงของคฤหาสน์รอบๆ เกิดรูขนาดใหญ่จำนวนมาก บนพื้นก็ถูกหนามเหล็กจนเกิดหลุดตะปุ่มตะป่ำ ดูแล้วทำให้ผู้คนหวาดผวายิ่งนัก

หลังจากหลบไปหลายครั้ง เย่เทียนเฉินก็ลงมือ เขาเองก็ไม่มีทางเลือก แม้ว่าผู้มีพลังพิเศษสายเสริมพลังคนนี้จะร้ายกาจมาก แต่ก็ยังมีศัตรูที่ร้ายกาจกว่ากำลังเดินมาทางนี้ หากไม่กำจัดอีกฝ่าย และตนเองถูกศัตรูที่แข็งแกร่งอีกคนตรึงไว้ล่ะก็ พวกหลิ่วหรูเหมยจะมีถูกตามฆ่าอย่างแน่นอน

เคร้ง!

เสียงเบาๆ เสียงหนึ่งดังขึ้น มีดทหารหนามเหล็กในมือของผู้มีพลังพิเศษสายเสริมพลังถูกซัดจนหัก ในมือขวาของเย่เทียนเฉินปรากฏดาบแสงออกมาเล่มหนึ่ง นี่คือความสามารถของขอบเขตพลังระดับจอมราชันที่เขารวบรวมจนเกิดเป็นรูปลักษณ์ แข็งแกร่งและทนทานยิ่งกว่ามีดทหารหนามเหล็กเป็นร้อยเท่า

“แก…” อีกฝ่ายตะลึงจนหน้าซีด มีดเล่มนี้ทำจากเหล็กหล้าบริสุทธิ์ สามารถตัดเหล็กได้ราวกับตัดโคลน เย่เทียนเฉินถึงกับใช้ดาบแสงที่เกิดจากการรวมพลังพิเศษตัดจนขาดได้ จะไม่ให้สั่นสะท้านได้อย่างไร

น่าเสียดายที่เขาไม่มีโอกาสให้สั่นสะท้านอีกต่อไป เพราะเย่เทียนเฉินมาถึงเบื้องหน้าของเขาแล้ว พลันใช้ดาบฟันศีรษะของเขา ผู้มีพลังพิเศษสายเสริมพลังตกใจ รีบยกมีดทหารหนามเหล็กขึ้นมากัน แม้ว่าจะกับดาบไว้ได้ แต่ถูกเท้าของเย่เทียนเฉินเตะจนปลิวตกลงห่างออกไปนับสิบเมตร มุมปากมีเลือดไหลออกมา

“ปีศาจตะวันออกที่ชั่วร้าย ฉันจะต้องฆ่า…”

เขายังไม่ทันได้พูดจบ ก็ถูกหักคอไปแล้ว คนที่หักคอเขาไม่ใช่เย่เทียนเฉิน แต่เป็นซิลลี่ที่ปรากฏกายออกมาเบื้องหลังเขา

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในฉับพลันนี้ทำให้เย่เทียนเฉินตกตะลึง เขาคิดไม่ถึงเลยว่าซิลลี่จะจิตใจเหี้ยมโหดขนาดนี้ ฆ่าลูกน้องของตนราวกับฆ่าได้ฆ่าหมาอย่างไรอย่างนั้น

ซิลลี่มองเย่เทียนเฉินอย่างโหดเหี้ยม โยนศพของผู้มีพลังพิเศษสายเสริมพลังไปด้านหนึ่งราวกับโยนสุนับตาย แล้วจึงกล่าวออกมาอย่างไร้มนุษยธรรมว่า “เศษสวะ ใช้พวกแกไปจะมีประโยชน์อะไร? สู้ให้ฉันลงมือเองดีกว่า!”

จบชีวิตผู้มีพลังพิเศษสายเสริมพลังลงด้วยมือของตน ทั่วทั้งร่างของซิลลี่เต็มไปด้วยกลิ่นไออันโหดเหี้ยม เขาโกรธขึ้นมาจริงๆ แล้ว เดิมทีตนเองคิดว่าการฆ่าชาวตะวันออกไม่กี่คนนี้เป็นเรื่องง่ายๆ แต่กลับไม่คาดคิดว่าเย่เทียนเฉินจะปรากฏตัวออกมา ทำให้หน่วยสืบราชการลับพลังพิเศษเสียหายอย่างน่าอเนจอนาจเช่นนี้ เขาวางแผนว่าจะขึ้นเป็นหัวหน้า เกรงว่าจะต้องคว้าน้ำเหลวเสียแล้ว

“แกก็คือปีศาจตะวันออก?” ซิลลี่มองเย่เทียนเฉินพลางกล่าวถามเสียงเย็น

“อย่าเรียกฉันแบบนี่เลย ฉันก็แค่หล่อกว่าแกนิดหน่อยเท่านั้นเอง” เย่เทียนเฉินยังคงมีอารมณ์พูดเล่น แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาดูถูกซิลลี่ กลับจริงจังเสียมากกว่า เพราะการผันผวนของพลังพิเศษบนร่างของคนคนนี้แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แข็งแกร่งเกินกว่าผู้มีพลังพิเศษที่ตนเองฆ่าไปเมื่อสักครู่นี้หลายขุม

“เฮอะ แกก็คือปีศาจตะวันออก รู้ไหมว่าฉันเป็นใคร?” ซิลลี่ยังคงมองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างเหยียดหยามพลางกล่าว

“บิดาไม่สนใจว่าแกเป็นใคร ถ้าไม่อยากตายก็ไสหัวไปซะ” เย่เทียนเฉินกล่าวอย่างไม่พอใจ

ซิลลี่ขมวดคิ้วอย่างดุดัน โกรธจนหัวเราะแล้วกล่าวว่า “ชาวตะวันออกที่ไม่รู้จักความตาย ฉันจะทำให้แกรู้ถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของหน่วยสืบราชการลับพลังพิเศษแห่งประเทศM แกปีศาจตะวันออก ไม่รู้สินะว่าฉันคือราชาแห่งความโหดเหี้ยม”

“งั้นก็แสดงให้ฉันดูหน่อยเถอะว่าแกจะโหดเหี้ยมแค่ไหน” เย่เทียนเฉินเองก็จริงจังขึ้นมาแล้ว ซิลลี่มีฐานะเป็นรองหัวหน้าหน่วยสืบราชการลับพลังพิเศษแห่งประเทศM ความสามารถย่อมแข็งแกร่ง ไม่อาจดูเบาได้

“ฉันจะหักคอแกซะ ให้แกต้องเสียใจที่มาประเทศMครั้งนี้”

“ฉันจะเตะไข่แกให้แตก ให้แกเสียใจที่เกิดเป็นผู้ชาย”

เย่เทียนเฉินไม่ได้ดูถูกซิลลี่ เพราะบนร่างกายของคนคนนี้มีกลิ่นไออันโหดเหี้ยมไหลเวียนอยู่ นั่นเป็นสิ่งที่ไม่อาจเสแสร้งได้ เป็นสิ่งที่เกิดจากการฆ่าคนมาเป็นเวลาหลายปี อีกอย่างคนผู้นี้ใจคอโหดเหี้ยมฆ่าลูกน้องของตนได้โดยไม่ขมวดคิ้วแม้แต่น้อย

ส่วนซิลลี่นั้นก็รู้สึกสั่นสะท้านอยู่ในใจเป็นอย่างมาก เขาได้ยินชื่อ “ปีศาจตะวันออก” มาตลอด เดิมทีคิดว่าอย่างน้อยคงต้องเป็นชายวัยกลางคน คิดไม่ถึงว่าจะอายุน้อยเช่นนี้ เมื่อสักครู่ตอนที่เย่เทียนเฉินลงมือฆ่าผู้มีพลังพิเศษทั้งหลาย ซิลลี่ก็เห็น ทำให้รู้สึกหวั่นใจอยู่บ้างจริงๆ ต่อให้เป็นเขาก็เกรงว่าจะไม่สามารถทำได้ง่ายๆ เช่นนั้น

ทั้งเมืองชีคเงียบงันไม่มีแม้แต่ลมหายใจของผู้คน นอกจากศพของเหล่าผู้มีพลังพิเศษแล้ว ก็มีเพียงเย่เทียนเฉินและซิลลี่ยืนอยู่กลางถนน ต่างก็มองไปยังอีกฝ่าย ไม่มีใครลงมือก่อน

ฉัวะ!

คมมีดสายลมพุ่งผ่าเข้าไปยังเย่เทียนเฉิน ในที่สุดซิลที่ก็เป็นฝ่ายทนไม่ไหวและเริ่มลงมือก่อน มือทั้งสองแผ่ออก เกิดเสียงคำรามกรีดร้องของสายลมอันบ้าคลั่ง เย่เทียนเฉินหลับคมมีดสายลมโดยพลัน

ตู้ม!

เสียงดังสะท้านฟ้า คมมีดสายลมที่ซิลลี่ปล่อยออกไปถึงกับแยกคฤหาสน์หลังหนึ่งออกเป็นสองส่วนหากว่าถูกคนเข้าล่ะก็ ร่างจะต้องแยกเป็นชิ้นๆ อย่างแน่นอน คนคนนี้เป็นผู้มีพลังพิเศษสายวายุ ทั้งยังไปถึงขอบเขตที่แน่นอนแล้วด้วย ทุกท่วงท่าที่ขยับสามารถเอาชีวิตผู้อื่นได้

เย่เทียนเฉินหลบคมมีดสายลม ในขณะเดียวกันก็รู้ว่าซิลลี่คือผู้มีพลังพิเศษสายวายุ มิน่าล่ะคนคนนี้ถึงถูกเรียกว่าราชาแห่งความโหดเหี้ยม ขยับข้อมือครั้งหนึ่งก็สามารถทำให้ตึกใหญ่พังทลายได้ พลังพิเศษเช่นนี้ในโลกใบนี้นับว่าแข็งแกร่งมากแล้ว

เมื่อซิลลี่เห็นว่าคมมีดสายลมที่รวดเร็วจนหาที่เปรียบมิได้ของตนมิอาจทำร้ายเย่เทียนเฉินได้ ก็พลันตกตะลึง พุ่งเข้าใส่เย่เทียนเฉินอย่างรวดเร็ว สองมือกำแน่นจนกล้ามเนื้อปูดบวมจนแทบระเบิด แค่มองก็รู้ว่ามีกำลังมหาศาล

ต่อยออกไปหนึ่งหมัด เย่เทียนเฉินไม่ยอมถอยกลับพุ่งเข้าหา การต่อสู้กับยอดฝีมือ ข้อห้ามร้ายแรงก็คือการหลบ สู้เข้าไปแลกหมัดกันให้ตายไปข้างจะดีกว่า เพราะหากว่าถอยหลัง พลังอำนาจของคุณก็จะอ่อนแอ เมื่อพลังอำนาจอ่อนแอ เช่นนั้นก็ย่อมต้องตายอย่างแน่นอน!

ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!

ทั้งสองสู้กันอย่างรุนแรง ไม่ได้ใช้วิชาของพลังพิเศษอะไรเลย ใช้เพียงพลังกล้ามเนื้อล้วนๆ คุณหนึ่งหมัดผมหนึ่งหมัด โจมตีกันและกัน ด้วยระยะที่ใกล้ขนาดนี้ต่อให้มีวิชาพลังพิเศษที่แข็งแกร่งก็ไม่อาจใช้ได้ หากสมาธิหลุดไปแม้เพียงนิดก็จะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบและถูกทำร้าย

ปัง! ปัง!

หมัดทั้งสี่ของเย่เทียนเฉินและซิลลี่ปะทะกัน ทั้งสองต่างก็รู้สึกว่าง่ามนิ้วชา ข้อมือถูกกระแทกจนเจ็บปวด ขณะเดียวกันก็ถอยหลังเพื่อรักษาระยะห่างจากอีกฝ่าย ทั้งสองต่างรู้ว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่ง ไม่กล้าลำพองใจ

………………………………………………………………

บทที่ 96 จะสอนให้ว่าจะสู้กับผู้มีพลังพิเศษอย่างไร
Ink Stone_Fantasy
เย่เทียนเฉินใช้หมัดต่อยทำลายม่านพลังที่ผู้มีพลังสายป้องกันกางเอาไว้จนแตกเป็นเสี่ยงๆ ทั้งยังกระเทือนไปยังผู้ใช้ทั้งหมดจนตาย หมัดนี้ถูกเขาตั้งชื่อว่า “หมัดพี่ชายสุดหล่อ” หลิ่วหรูเหมยที่ได้ยินก็แทบอยากจะอ้วก ในใจคิดว่าแย่จริงๆ ที่ไอ้คนไม่น่าพึ่งพาได้อย่างเย่เทียนเฉินสามารถคิดออกมาได้

ทำลายม่านพลังไปแล้ว เย่เทียนเฉินก็หาวออกมาครั้งหนึ่ง เดินไปยังใจกลางของถนนช้าๆ ณ เวลานี้ หย่งชุนไท่ หลิวอวี่ เจียงเหมิง และเฟยอวิ๋น กำลังคลุกคลีต่อสู้อยู่กับผู้มีพลังพิเศษทั้งสี่คนนั้น และยังคงเสียเปรียบอยู่ เย่เทียนเฉินเห็นดังนั้นก็ส่ายหน้า

ในความคิดของเย่เทียนเฉิน ความสามารถของพวกเขาสี่คนเหนือกว่าผู้มีพลังพิเศษสี่คนนั้นเสียอีก เพียงแต่พวกเขาไม่เคยมีประสบการณ์สู้กับผู้มีพลังพิเศษมาก่อน จึงถูกวิชาอันแปลกประหลาดของผู้มีพลังพิเศษหลายคนนี้กดข่ม มิฉะนั้นแล้วหากสู้กับด้วยฝีมือล้วนๆ ผู้มีพลังทั้งสี่คงถูกกำจัดไปนานแล้ว จะมาถูกต่อยจนอนาถาขนาดนี้ที่ไหนกัน

“นี่ ทำไมนายเพิ่งจะมาเอาป่านนี้ นี่มันเวลาไหนแล้วยังจะมาหาวอีก รีบไปสู้กับศัตรูสิ!” หลิ่วหรูเหมยเห็นเย่เทียนเฉินที่มีท่าทางว่างงาน ก็ร้อนใจจนอยากจะต่อยเขาสักหมัด

“อ่า…คุณหนู รบกวนดูด้วยขอรับว่าตอนนี้มันกี่โมงกี่ยามแล้ว เลยเที่ยงคืนมาแล้ว คนปกติเขานอนกันไปตั้งนานแล้ว ผู้ชายปกติคงนอนกอดเมียหลับสบายไปแล้ว มีแต่ฉันที่ต้องมาระหกระเหินอยู่ข้างนอกอย่างยากลำบาก…” เย่เทียนเฉินหาวอีกครั้ง พลางยกนาฬิกาที่สวมอยู่บนมือให้หลิ่วหรูเหมยดู

หลิ่วหรูเหมยเห็นว่าเย่เทียนเฉินคนนี้ยังมีกะจิตกะใจมาล้อเล่นอยู่ ก็ร้อนใจจนหยิกแขนเขาไปครั้งหนึ่งแล้วกล่าวว่า “พวกเราเจอกับผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่ง นายไม่เห็นหรือไง? ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป พวกเราทั้งหมดได้ตายอยู่ที่นี่แน่!”

“นี่ อย่ามาทำเป็นว่าฉันกับเธอสนิทกันให้มากนักนะ ถ้าไม่ใช่ว่าเห็นเธอเป็นผู้หญิง ฉันตอบโต้ไปแล้ว!” เย่เทียนเฉินกล่าวกับหลิ่วหรูเหมยอย่างไม่พอใจ

“นาย…ทำไมนายเป็นคนแบบนี้ เสียทีที่ผู้อื่นเขาเป็นห่วง” หลิ่วหรูเหมยโกรธจนทำปากยู่อย่างน่ารัก พลางกัดฟันกล่าว

“เป็นห่วงฉัน? เธอใจดีขนาดนั้นเลยเหรอ? ฉันว่าเธอห่วงว่าฉันจะกลับมาอย่างราบลื่นซะมากกว่า!” เย่เทียนเฉินกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์

“นายจะเกินไปแล้ว หมาไม่รู้จักดีชั่วกัดได้กระทั่งมือที่ยื่นอาหารให้! เฮอะ” หลิ่วหรูเหมยใช้ดวงตาอันงดงามจ้องมองไปยังเย่เทียนเฉิน

เย่เทียนเฉินเบ้ปากครั้งหนึ่งแล้วก็ไม่สนใจหลิ่วหรูเหมยอีก เดินตรงไปด้านหน้า เห็นเจียงเหมิงกับเฟยอวิ๋นถูกต่อยจนถอยหลังหลายก้าว กระทั่งโอกาสโจมตีตอบโต้ก็ไม่มี พลันรู้สึกหดหู่ขึ้นมา ก่อนจะตะโกนออกไปในบัดดลว่า “ไอ้โง่อย่างพวกนายสองคนมัวแต่กลัวอะไรอยู่? คนประเทศMมันก็แค่เสือกระดาษ ผู้มีพลังพิเศษประเทศMมันก็แค่เสือกระดาษ อย่าถูกวิชาที่ดีแต่ท่าสวยของเจ้าสี่คนนี้ข่มเอาสิ!”

ได้ยินเสียงด่าของเย่เทียนเฉิน เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นก็ตกตะลึง แต่ก็ยังไม่กล้าเชื่อคำพูดของเขา เนื่องจากข้อแรกก็คือ ผู้มีพลังพิเศษที่พวกเขาเผชิญหน้าด้วย คนหนึ่งคือสายว่างเปล่า คนหนึ่งสือสายแสงสว่าง เหตุผลข้อสองก็คือ นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาทั้งคู่สู้กับผู้มีพลังพิเศษ จะมากน้อยในใจก็ยังคงหวาดกลัวความแปลกประหลาดและความไม่รู้ต่อวิชาที่น่าอัศจรรย์เหล่านั้น

ผู้มีพลังพิเศษทั้งสองที่สู้อยู่กับเจียงเหมิงและเฟยอวิ๋ยก็ได้ยินที่เย่เทียนเฉินพูด พวกเขาชะงักไปเพียงชั่วครู่ จากนั้นก็เข้าไปโจมตีเจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นต่อ

ผู้มีพลังแสงสว่างใช้หมัดที่ส่องแสงสว่างโชติช่วงต่อยไปยังศีรษะของเฟยอวิ๋น เนื่องจากเฟยอวิ๋นกำลังตะลึงอยู่ ในวินาทีที่หันกลับมาก็พบว่าหมัดของผู้มีพลังแสงสว่างมาพบเบื้องหน้าแล้ว จะหลบก็ไม่ทันเสียแล้ว ทันใดนั้นก็เกิดตื่นตระหนกขึ้นมา

ตู้ม!

เสียงหมัดดังขึ้น คนที่ถูกต่อยจนกระเด็นกลับไม่ใช่เฟยอวิ๋น แต่เป็นผู้มีพลังแสงสว่างคนนั้น จนกระทั่งเฟยอวิ๋นจ้องมอง จึงพบว่าเย่เทียนเฉินยืนอยู่เบื้องหน้าเขาแล้ว ช่วยเขาออกหมัดซัดผู้มีพลังแสงสว่างจนปลิว

“ฉันจะสอนพวกนายสู้กับผู้มีพลังพิเศษสักหน่อยก็แล้วกัน เห็นรึเปล่า? ถึงฉันจะหล่อกว่านาย แต่หมัดก็ไม่ได้หนักไปกว่านายสักเท่าไร นายอย่าไปถูกหมัดส่องแสงของหมอนี่ต้มเอาสิ มันทำร้ายนายไม่ได้หรอก วางใจเถอะ!” เย่เทียนเฉินตบบ่าเฟยอวิ๋น กล่าวพลางทำท่าทีควาดหวังว่าเขาจะมีพัฒนาการที่ดียิ่งขึ้น

เฟยอวิ๋นอดหู่ไม่ได้ อยากจะโต้แย้งกลับไปสักหลายๆ ประโยค แต่ที่เย่เทียนเฉินพูดมานั้นถูกต้องทั้งหมด อีกอย่างหากไม่ใช่เพราะเขา ตนเองคงได้รับบาดเจ็บสาหัสไปแล้ว

เย่เทียนเฉินใช้หมัดเดียวซัดผู้มีพลังพิเศษสายแสงสว่างผู้นั้นจนปลิวตกลงกระแทกพื้นอย่างแรง แต่คนคนนั้นก็แข็งแกร่งมากจริงๆ แปบเดียวก็พลิกตัวลุกขึ้นมาได้ มองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างโหดเหี้ยม เป็นครั้งแรกที่เขาถูกต่อยจนกระเด็น สำหรับผู้มีพลังพิเศษที่ถือว่าแข็งแกร่งมากในโลกแห่งนี้แล้ว นี่นับว่าเป็ยความอัปยศของเขา

ผู้มีพลังพิเศษที่เป็นหัวหน้าและผู้มีพลังแห่งความว่างเปล่าได้ยินก็มองไปยังชายวัยรุ่นชาวตะวันออกผู้นั้นอย่างตกใจ จินตนาการไม่ออกเลยจริงๆ อายุน้อยเช่นนี้ ท่าทางไม่เอาไหนเช่นนี้ แต่ฝีมือกลับแข็งแกร่งถึงเพียงนี้เชียว

“ดูสิ อย่าไปกลัวถูกอัดหน้า หน้าของนายยังไปทำศัลยกรรมได้น่า อีกฝ่ายหายตัวไปแล้วนายจะกลัวอะไร เตะมันออกไปก็สิ้นเรื่อง” เย่เทียนเฉินมองเจียงเหมิงพลางกล่าวราวกำลังสั่งสอนลูกของตนอยู่ก็มิปาน

ใบหน้าของเจียงเหมิงถูกอัดไปหลายหมัด ย่อมมีอาการบวมช้ำอยู่บ้าง เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉินก็ยิ่งกลายเป็นอัปลักษณ์ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เพราะเย่เทียนนเฉินใช้การปฏิบัติจริงพิสูจน์ให้พวกเขาเห็น ผู้มีพลังพิเศษทั้งสองอ่อนแอกว่าพวกเขา พวกเขาเพียงแค่ถูกพลังพิเศษของเจ้าสองคนนั่นหลอกจนลายตา

ตอนที่เย่เทียนเฉินเดินเข้ามา ท่าทางภายนอกของเขาดูเอ้อระเหยไม่สนใจ แต่ความจริงเขาได้ใช้พลังพิเศษแห่งการรับรู้วิเคราะก์ความสามารถของผู้มีพลังพิเศษทั้งสี่ที่ต่อสู้อยู่กับพวกหย่งชุนไท่แล้ว คนที่สู้อยู่กับหย่งชุนไท่แข็งแกร่งที่สุด คนผู้นี้เป็นสายเสริมพลัง ไม่ว่าจะหยิบอะไรขึ้นมาก็สามารถเพิ่มพูนอานุภาพได้ในพริบตา ไม่การป้องกันได้ อันดับสองก็คือผู้มีพลังสายฟ้าที่สู้อยู่กับหลิวอวี่ ฝ่ามือสายฟ้าของคนคนนี้ฝึกฝนจนถึงขั้นฆ่าคนได้แล้ว ไม่เพียงแต่พลานุภาพของหมัดที่รุนแรง ยังมีการทำร้ายจากพลังสายฟ้าอีกด้วย หากว่าถูกโจมตีจะต้องเป็นอันตรายถึงชีวิตแน่นอน

สำหรับผู้มีพลังทั้งสองที่สู้กับเจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นนั้นไม่มีอะไรมาก พลังพิเศษของพวกเขายังไม่ถึงขั้นพลังสังหาร หากกล่าวถึงพลังแห่งความว่างเปล่าของผู้มีพลังพิเศษคนนั้น แม้ว่าจะสามารถหายไปในความว่างเปล่าได้ในชั่วพริบตา แต่ระยะทางก็ไม่ได้ไกลมากนัก เพียงแค่แกว่งหมัดเหวี่ยงเท้าไปสักหลายๆ ครั้ง จะต้องโจมตีถูกคนๆ นั้นได้อย่างแน่นอน ส่วนผู้มีพลังพิเศษสายแสงสว่างคนนั้น หมัดที่ส่องแสงสว่างของเขา นอกจากจะทำให้คู่ต่อสู้แสบตา ก็ไม่ได้มีพลังในการสังหารอะไรเลย ด้วยความสามารถของเฟยอวิ๋น หากสู้กับคู่ต่อสู้เช่นนี้ หลับตาลงก็ยังสามารถหาตำแหน่งของอีกฝ่ายได้ ต่อยเขาไปสักหมัดก็หมอบแล้ว

ผู้มีพลังพิเศษทั้งสองที่สู้กับเจียงเหมิงและเฟยอวิ๋น หากกล่าวถึงความสามารถทางร่างกาย ก็อาจจะสามารถสู้กับพวกเขาทั้งสองได้สักตั้ง แต่ก็ไม่ใช่คู่มือของพวกเฟยอวิ๋นอยู่ดี พลังพิเศษของพวกเขายังไม่ถึงระดับที่จะใช้ฆ่าคนได้

“เย่เทียนเฉิน นายคุ้มครองคุณหนูหนีไปซะ พวกเราสี่คนจะระวังหลังให้เอง!” หลิวอวี่รีบกล่าวกับเย่เทียนเฉิน

เย่เทียนเฉินมองหลิวอวี่ครู่หนึ่ง แม้ว่าเมื่อก่อจะมีการเข้าใจผิดกันเล็กน้อย แต่ฝีมือของหลิวอวี่และความภักที่ที่ทุ่มเทให้กับตระกูลหลิ่วของเขา ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกนับถือ

ทันใดนั้น เย่เทียนเฉินก็ขมวดคิ้ว เขารู้สึกได้ถึงการผันผวนของพลังพิเศษอันแข็งแกร่งสายหนึ่ง ผู้มาใหม่ย่อมไม่ใช่ผู้มีพลังพิเศษธรรมดาๆ แน่ แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก

“ไม่ทันแล้วล่ะ พวกนายรีบไปเถอะ ฉันจะหยุดคนพวกนี้เอง” สายตาของเย่เทียนเฉินจ้องมองไปเบื้องหน้า พลางเปิดปากกล่าวเสียงเรียบ

“แต่…”

“บอกให้ไปก็ไปสิ ไม่ต้องพูดจาไร้สาระให้มากความ ฉันจะไปรวมตัวกับพวกนายแน่นอน ไม่ต้องกังวล” เย่เทียนเฉินกล่าวขัดคำพูดของหลิวอวี่เสียงเข้ม

พวกหย่งชุนไท่ทั้งหลายต่างก็ตกตะลึง และรู้สึกได้ว่าเรื่องราวชักจะไม่สวย ตลอดทางเย่เทียนเฉินคนนี้ต่างก็มีท่าทางเอ้อระเหยลอยชาย ไม่เคยมีท่าทีจริงจังเช่นนี้มาก่อน หากไม่ได้เป็นเพราะมีศัตรูที่แข็งแกร่งมาโจมตี เย่เทียนเฉินคงไม่เป็นเช่นนี้ กล่าวตามจริง หากมีศัตรูที่แข็งแกร่งโผล่มาอีก พวกเขาอยู่ที่นี่ก็ช่วยอะไรเย่เทียนเฉินไม่ได้ กลับจะไปถ่วงการต่อสู้ของเย่เทียนเฉินเสียมากกว่า

“ไปเถอะ!” หย่งชุนไท่เปิดปากกล่าว

หลิวอวี่ เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋น ทั้งสามต่างก็รีบล่าถอยไปคุ้มครองอยู่ข้างกายหลิ่วหรูเหมยเพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เหลือเพียงเย่เทียนเฉินคนเดียวที่ยังคงยืนประจันหน้ากับผู้มีพลังพิเศษทั้งสี่โดยไม่ขยับเขยื้อน

“คุณหนูพวกเราไปกันเถอะ!” หย่งชุนไท่ที่เห็นท่าทางเป็นกังวลของหลิ่วหรูเหมยกล่าวขึ้น

หลิ่วหรูเหมยพยักหน้า มองเงาหลังของเย่เทียนเฉิน ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าชายไม่เอาไหนคนนี้ ในเวลาเช่นนี้กลับยิ่งใหญ่ถึงเพียงนั้น ยิ่งใหญ่ค้ำฟ้า ช่างมีเสน่ห์และอำนาจที่อธบายไม่ถูก

“เย่เทียนเฉิน นายระวังตัวด้วย พวกเราจะรอ!” หลิ่วหรูเหมยอดไม่ได้ที่จะตะโกนไปยังเย่เทียนเฉิน

เย่เทียนเฉินไม่ได้พูดอะไร และไม่ได้หันกลับไป ทำเพียงโบกมือไปมาเท่านั้น

หย่งชุนไท่ หลิวอวี่ เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นสี่คน คุ้มครองหลิ่วหรูเหมยจากไป ส่วนเย่เทียนเฉินยืนขวางอยู่ด้านหน้าของผู้มีพลังพิเศษทั้งสี่ สายตาของเขาไม่ได้มองทั้งสี่คนนี้ แต่รับรู้ได้ถึวความผันผวนของพลังพิเศษที่แข็งแกร่สายหนึ่งงที่ปรากฏออกมาในพริบตาเมื่อครู่ เขารู้ดีว่านี่เป็นยอดฝีมือที่แท้จจริงแห่งหน่วยสืบราชการลับพลังพิเศษแห่งประเทศM คนที่ควรค่าในการต่อสู้กับตนเองอย่างแท้จริง

“จะไปงั้นเหรอ? เกรงว่าจะไม่ง่ายอย่างนั้น!”

ผู้มีพลังพิเศษแห่งความว่างเปล่าเป็นคนแรกที่ขยับ คิดอยากจะหายไปในอากาศเพื่อตามไปฆ่าพวกหลิ่วหรูเหมย เพียงแต่น่าเสียดาย เขาเพิ่งจะหายไปในอากาศ เย่เทียนเฉินก็ใช้เท้าซ้ายเตะออกไป พลันมีเสียงกรีดร้องดังขึ้น ผู้มีพลังพิเศษแห่งความว่างเปล่าปรากฏตัวออกมา สองมือกุมอยู่ที่เป้ากางเกง ล้มลงไปกองกับพื้น นอนตายน้ำลายฟูมตาย เนื่องจากเป้าของเขาถูกเย่เทียนเฉินเตะแตกไปแล้ว

ผู้มีพลังพิเศษที่เป็นหัวหน้าจ้องมองเย่เทียนเฉินเขม็ง เหลือเพียงเขากับผู้มีพลังสายฟ้าที่ไม่ได้ลงมือ ส่วนผู้มีพลังพิเศษแห่งความส่างเปล่าและผู้มีพลังพิเศษสายแสงสว่างล้วนถูกเย่เทียนเฉินอัดจนแพ้ไปแล้ว ต่อให้บุกเข้าไปอีก ก็มีแต่ตายกับตาย

“หรือว่า…หรือว่าแกก็คือปีศาจตะวันออก?” ผู้เป็นหัวหน้ากล่าวถามด้วยน้ำเสียงอันสั่นเทา

“คนประเทศMอย่างพวกแกชอบตั้งฉายาให้คนอื่นเหรอ? แต่ฉายาปีศาจตะวันออกนี่ฟังดูไม่เลวเลย ดูทรงอำนาจดี ฉันชอบ!” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ไม่ว่าแกจะเป็นใคร ฆ่าก่อนค่อยว่ากัน!”

ผู้มีพลังสายฟ้ากล่าวเสียงเย็น พลังสายฟ้าภายในหมัดทั้งสองซัดสาด เขากระตุ้นพลังสายฟ้าทั่วทั้งร่างของตน พุ่งเข้าไปยังเย่เทียนเฉิน แม้เขาจะตกใจกับฝีมือของเย่เทียนเฉิน แต่ก็ยังคงมั่นใจในตัวเอง เพราะความสามารถของเขาเหนือกว่าผู้มีพลังพิเศษแห่งความว่างเปล่าและผู้มีพลังพิเศษสายแสงสว่าง

……………………………………………..

บทที่ 95 อานุภาพแห่ง “หมัดพี่ชายสุดหล่อ”
Ink Stone_Fantasy
“หย่งชุนไท่ คุณคุณครองคุณหนูไป พวกเราจะหยุดคนพวกนี้เอง”

หลิวอวี่กล่าวพลางพุ่งเข้าไปเป็นคนแรก เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นก็ขยับตัวพร้อมกัน เข้าไปขวางผู้มีพลังพิเศษทั้งสามที่พุ่งเข้ามา

ฉัวะ!

สายฟ้าสายหนึ่งผ่าตรงไปยังหัวของหลิวอวี่ ผู้มีพลังพิเศษที่เขาต่อสู้ด้วยคือผู้มีพลังสายฟ้า มือทั้งสองปรากฏสายฟ้าออกมา คนที่โดนหมัดที่คละเคล้าไปด้วยพลังสายฟ้านี้จะมีอันตรายถึงขั้นร่างแยกออกจากกัน เขาพุ่งเข้าโจมตีไปยังหลิวอวี่ไม่หยุด หลิวอวี่ทำได้เพียงหลบหลีกด้วยอาการตกตะลึง ไม่เพียงแต่ต้องหลบพลังสายฟ้าของอีกฝ่าย แต่ยังต้องคอยหลบหมัดของเขาอีกด้วย ทำอะไรไม่ได้ไปช่วงหนึ่ง

ฟิ้ว!

เจียงเหมิงเพิ่งจะพุ่งเข้าไปเบื้องหน้าของคนทางซ้าย กำปั้นที่แข็งแกร่งดังเหล็กกล้าโจมตีเข้าใจ สายตามองไปยังคู่ต่อสู้ แต่เมื่อหมัดถูกปล่อยออกไป คนที่รอต้อนรับเขาเบื้องหน้ากลับสลายไปในอากาศ พริบตาต่อมาจึงปรากฏข้างกายของเจียงเหมิง ใช้มีดแทงเข้าไปยังเสื้อกล้ามของเจียงเหมิง หากไม่ใช่ว่าเขามีปฏิกริยารวดเร็วและหลบได้ทัน เกรงว่าต้องสิ้นชีพไปแล้ว ผู้มีพลังที่เขาประชันคือผู้มีพลังสายความว่างเปล่า ความพิเศษของผู้มีพลังประเภทนี้คือการเคลื่อนไหวอันแปลกประหลาด ทำให้อีกฝ่ายเดาไม่ออกว่าเขาจะไปโผล่ตรงไหน

เฟยอวิ๋นเจอกับผู้มีพลังพิเศษสายแสงสว่าง หมัดทั้งสองปรากฏแสงสว่างโชติช่วง ทำให้ดวงตาของศัตรูมิอาจลืมขึ้นได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการโจมตีตอบโต้ ทำได้เพียงถอยหลังไปครั้งแล้วครั้งเล่า อีกทั้งในหมัดแสงของผู้มีพลังพิเศษสายแสงสว่างผู้นี้ดูเหมือนจะแฝงไปด้วยพลังความร้อน คล้ายกับเป็นการผสมผลาสระหว่างสายแสงสว่างและไฟ เพียงแต่ไม่ได้แข็งแกร่งมากมายอะไร มิฉะนั้นหากต้องพบกับผู้มีพลังเช่นนี้ อย่าว่าแต่เฟยอวิ๋นเลย กระทั่งเย่เทียนเฉินเองก็ต้องเปลืองแรง

หยุ่งชุนไท่คุ้มครองอบยู่ด้านหลังของหลิ่วหรูเหมย เธอขมวดคิ้ว ดูก็รู้ว่าสภาพการณ์ไม่ดีแล้ว หลิวอวี่ เจียงเหมิง เฟยอวิ๋น ความสามารถของสามคนนี้แข็งแกร่งมาก หากกล่าวตามหลักเหตุผลทั่วไป ย่อมแข็งแกร่งกว่าผู้มีพลังพิเศษสามคนนั้นเสียอีก แต่ว่าพวกเขาสามคนไม่เคยมีประสบการณ์การต่อสู้กับผู้มีพลังพิเศษมาก่อน อีกทั้งวิธีการของอีกฝ่ายก็ค่อนข้างแปลกประหลาด ทำให้พวกหลิวอวี่ทั้งสามคนมือเท้าพันกันไม่อาจทำอะไรได้ ทำได้เพียงหลบและถอยหลังไม่หยุดเท่านั้น หากเป็นเช่นนี้ต่อไปจะต้องอันตรายถึงชีวิตเป็นแน่

ทันใดนั้น ใบมีดถูกแสงกระทบวูบหนึ่งพุ่งเข้ามา หย่งชุนไท่ที่มีสายตาเฉียบคมมือเท้าว่องไวรีบใช้มือซ้ายดันหลิ่วหรูเหมยไปด้านหนึ่ง ในขณะเดียวกันก็หันมาใช้มือขวาจับข้อมือของผู้ที่จมตีเข้ามาแน่น

ไม่รู้ว่าเมื่อไร ชายชุดดำที่ยืนอยู่ตรงกลางเข้าประชิดถึงข้างหลังหลิ่วหรูเหมย ไม่มีท่าทางรักหยกถนอมบุษผาเลยแม้แต่น้อง ใช้มีดทหารอันใหญ่โตมหึมาฟันลงไปยังหลิ่วหรูเหมย หากไม่ใช่ว่าหย่งชุนไท่มีความระมัดระวังตัวสูง เกรงว่าเธอคงตายไปแล้ว

“ไม่คิดเลยว่าหญิงแก่ๆ อย่างเธอจะเก่งแบบนี้” ชายผู้เป็นหัวหน้าสบถเสียงเย็น

“อย่าดูถูกคนแก่สิ เดี๋ยวจะลำบากนะ”

“ไปตายซะเถอะ!”

คนที่เป็นหัวหัวจู่ๆ ก็ตะโกนลั่น มีดทหารในมือขวาของเขาปรากฏหนามเหล็กขึ้นเป็นจำนวนมาก หย่งชุนไท่รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่มือขวาจึงรีบปล่อยมือที่กำมีดทหารนั้นออก พลันเตะเข้าไปยังบริเวณหน้าอกของอีกฝ่าย

แก๊ง!

หย่งชุนไท่เตะลงไปบนมีดทหาร หนามเหล็กแท่งหนึ่งแทงทะลุรองเท้าผ้าของเธอ เลือดสดๆ พลันไหลออกมาในบันดล แต่หย่งชุนไท่ก็ไม่ได้หยุดมือ เพลงยุทธที่แฝงไปด้วยพลังภายในของหย่งชุนไท่โจมตีออกไปอย่างไม่หยุดยั้ง ไม่สนใจอาการบาดเจ็บที่ท้า เพียงเพื่อจะยับยั้งการลงมือของอีกฝ่าย

ผู้เป็นหัวหน้าที่หย่งชุนไท่ปะทะด้วยนี้เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่ผู้มีพลังพิเศษทั้งสี่ เขามีพลังของการเสริมพลังให้อาวุธ กล่าวง่ายๆ คือ ปืนกระบอกหนึ่งหากมาอยู่ในมือเขา สามารถแสดงพลังของปืนใหญ่ออกมาได้ นี่คือความน่ากลัวของผู้มีพลังสายเสริมพลัง

หลิ่วหรูเหมยอยู่อยู่ด้านข้าง รู้สึกร้อนรน ไม่ใช่เพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของตัวเอง แต่เป็นเพราะตอนนี้หย่งชุนไท่ หลิวอวี่ เจียงเหมิง และเฟยอวิ๋น ต่างก็ถูกขัดขวาง ทำให้แผนการเดิมรวนไปหมด ถ้าหากไม่สามารนำข้อมูลลับของแทคโนโลยีนิวเคลียร์กลับไปได้ ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าจะต้องเกิดผลร้ายแรงเช่นใด

ตอนนี้เองซิลลี่ที่อยยู่ในคฤหาสน์หลังสุดท้าย กำลังดื่มด่ำกับเหล้าและสูบซิการ์มองดูทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความพึงพอใจ เขาไม่ได้รีบร้อนลงมือ คืนนี้ดวงจันทร์งดงามและน่าเบื่อ ไม่สู้คอยดูเกมสนุกๆ สักเกมจะดีกว่า อีกทั้งผู้มีพลังพิเศษทั้งสี่คนของตนก็กำลังได้เปรียบ การจะโจมตีพวกหย่งชุนไท่ให้พ่ายแพ้ก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น

“เกมมันๆ เริ่มขึ้นแล้ว ให้พวกเขากางม่านพลังซะ ฉันไม่อยากให้มีคนมากวนอามรมณ์ฉันดูเกม” ซิลลี่กล่าวกับผู้มีพลังพิเศษข้างๆ

“ครับ!”

“ใช่แล้ว ผู้หญิงตะวันออกคนนั้นไม่เลวเลย ฉันไม่เคยเจอผู้หญิงที่สวยงามขนาดนี้มาก่อน สั่งลงไป ไม่ต้องฆ่าเธอ ฉันต้องการจะลิ้มรสสักหน่อย!” ซิลลี่มองหลิ่วหรูเหมย กล่าวพลางยิ้มออกมาอย่างหื่นกระหาย

ผู้มีพลังพิเศษที่ยื่นข้างกายเขาพยักหน้าแล้วจากไป คราวนี้ซิลลี่ไม่ได้พาผู้มีพลังพิเศษมามากมายนัก รวมเขาแล้วก็มีเพียงแปดคนเท่านั้น นอกจากผู้มีพลังพิเศษทั้งสี่ที่ไปสู้กับพวกหย่งชุนไท่ หนึ่งคนคือผู้ติดตามของเขา แล้วยังมีอีกสามคนที่เป็นผู้มีพลังพอเศษสายป้องกัน

แม้ว่าซิลลี่จะไม่เห็นพวกหย่งชุนไท่อยู่ในสายตา แต่เพื่อไม่ให้มีอะไรผิดพลาด ในขณะที่ผู้มีพลังพิเศษของตนกำลังสู้อยู่กับพวกหย่งชุนไท่ จึงให้ผู้มีพลังอีกสี่คนที่เหลือไปกางม่านพลังคลุมทั้งเมืองชีคไว้ ม่านพลังป้องกันนี้แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก เกรงว่าแม้แต่ระเบิดก็มิอาจโจมตีเข้ามาได้ เป้าหมายนั้นชัดเจนมาก นั่นก็คือเพื่อจะสามารถฆ่าพวกหลิ่วหรูเหมยทั้งหมดได้

แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าซิลลี่เปลี่ยนความคิดแล้ว หย่งชุนไท่ หลิวอวี่ เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋น สี่คนนี้ต้องตาย ส่วนหลิ่วหรูเหมยนั้นสวยงามมากจริงๆ ต่อให้เป็นซิลลี่ที่ร่วมรักกับดาราหญิงสวยๆ ชาวประเทศMมากมายก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ ต้องการที่จะดอมดม มิฉะนั้นตามกฏของหน่วยสืบราชการลับพลังพิเศษ ขอเพียงเป็นศัตรูไม่ว่าจะใครก็ตามล้วนต้องฆ่าไม่เว้น

เพียงไม่นานทั่วทั้งเมืองชีคถูกม่านพลังหนาๆ ชั้นหนึ่งปกคลุม ม่านพลังหนาๆ นี้มิอาจดูเบาได้โดยเด็ดขาด คนธรรมดาทั่วไปย่อมไม่อาจโจมตีเข้ามาได้ ต่อให้เป็นระเบิดมือก็ไม่แน่ว่าจะทำได้ ถนนทั้งต้นสายและปลายสาย แต่ละจุดมีผู้มีพลังพิเศษสายป้องกันที่แข็งแกร่งอยู่สองคน เช่นนี้จึงจะสามารถกางม่านพลังได้ ต่อให้พวกหลิ่วหรูเหมยติดปีกก็หนีไม่รอด

ฟู่!

ไหล่ซ้ายของหลิวอวี่ถูกผู้มีพลังสายฟ้าโจมตีเฉียดๆ ทันใดนั้นก็เกิดควันสีดำผุดขึ้น เสื้อผ้าบริเวณไหล่ซ้ายทั้งแทบถูกเผาไหม้ อีกทั้งเขายังรู้สึกได้ว่าไหล่ซ้ายของตนเกิดอาการชา รีดเร้นพลังออกมาไม่ค่อยได้ นี่แค่ถูกโจมตีเฉียดๆ เท่านั้น ถ้าหากถูกหมัดต่อยเข้าเต็มๆ ล่ะก็ เกรงว่าจะถูกทำลายไปทั้งร่างเป็นแน่

ส่วนทางด้านของเจียงเหมิงและเฟยอวิ๋น ต่างก็ได้รับบาดเจ็บ แม้ว่าจะไม่ได้หนักหนาอะไรแค่ก็ยิ่งทำให้ตอบโต้ไม่ได้ ส่วนหย่งชุนไท่ถูกหัวหน้าผู้มีพลังพิเศษคนนั้นพัวพัน อานุภาพของมีดทหารที่ถูกเสริมพลังร้ายกาจเป็นอย่างมาก กระทั่งหย่งชุนไท่ก็ยังต้องป้องกันอย่างระมัดระวังไม่กล้าได้ใจ อีกทั้งมือขวาก็ยังถูกหนามเหล็กแทงทะลุ ส่งผลต่อฝีมือไม่มากก็น้อย พลังการต่อสู้เริ่มแย่ลงเรื่อยๆ

หลิ่วหรูเหมยที่เห็นทุกอย่างกำลังร้อนใจเป็นอย่างมาก หากเป็นเช่นนี้ต่อไป หย่งชุนไท่ หลิวอวี่ เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋น ทั้งสี่จะต้องตายหมดอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นก็เหลือแต่ผู้หญิงที่รู้วิชามวยหย่งชุนเล็กๆ น้อยๆ เพียงคนเดียว จะไปเป็นคู่มือของเหล่าผู้มีพลังพิเศษที่แปลกประหลาดกลุ่มนี้ไปได้อย่างไร?

“เย่เทียนเฉิน เจ้าคนชั่ว ไปมุดหัวอยู่ที่ไหน ทำไมยังไม่มาอีก!” หลิ่วหรูเหมยมองไปยังปากทาง ตอนนี้เธอทำได้แต่ฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่ตัวเย่เทียนเฉิน

“ฉันมาแล้วววววววว…”

คำพูดของหลิ่วหรูเหมยเพิ่งหลุดออกจากปาก ก็ได้ยินเสียงตะโกนลั่นของเย่เทียนเฉิน ทันใดนั้นบนศีรษะของหลิ่วหรูเหมยก็ปรากฏเส้นขีดสีดำ อยากจะพุ่งเข้าไปอัดเจ้าหมอนี่สักยกจริงๆ นี่มันเวลาอะไรแล้ว ยังจะมาตะโกนโหวกเหวกอยู่อีก ไม่ใช่ว่ามีเป้าหมายจะเปิดตัวอย่างอลังงการหรอกนะ?

มีที่ไหนกัน กำลังจะฆ่าคนแต่ยังร้องบอกศัตรูว่าฉันมาแล้ว? โดยเฉพาะเมื่อต้องเจอกับผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งเหล่านี้ เจ้าหมอนี่บางที่ก็ไม่น่าพึ่งพาเอาเสียเลย

เย่เทียนเฉินขี่มอเตอร์ไซด์คันหนึ่งมายังเมืองชีค เมื่อมาถึง เย่เทียนเฉินที่ชาติก่อนเป็นผู้มีพลังพิเศษระดับพระเจ้า ก็ดูออกว่าทั่วทั้งเมืองชีคถูกม่านพลังที่แข็งแกร่งปกคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง หากไม่ใช่ว่าขอบเขตพลังของตนไปถึงระดับจอมราชันแล้วคงยากที่จะบุกเข้าไป ที่เขาตะโกนโหวกเหวกเสียงดังนั้นก็เพื่อจะรบกวนผู้มีพลังพิเศษที่กำลังกางม่านพลังอยู่ และใช้โอกาสนี้ทำลายม่านพลังของพวกเขา

หลิ่วหรูเหมยยังไม่ทันได้หดหู่จนเสร็จ ก็ได้ยินเสียงสิ่งที่ทำให้เธอยิ่งหดหู่ยิ่งขึ้น เสียงของเย่เทียนเฉิน ในค่ำคืนอันมืดมิด ในเมืองชีคอันว่างเปล่า ค่อนข้างที่จะดังเป็นพิเศษเลยทีเดียว

“หมัดพี่ชายสุดหล่อ!”

ก่อนที่จะตะโกนออกมา เย่เทียนเฉินกระโดขึ้นสูงสามเมตรกว่า ประจันหน้าเข้าสู้ปากทางเข้าเมืองชีค แล้วจึงระเบิดพลังตะโกนขึ้นอีกครั้งหนึ่ง รวบรวมพลังขอบเขตจอมราชันที่หมัดขวา ต่อยลงไปบนม่านพลังที่ส่องแสงสีฟ้าเล็กน้อย

ตู้ม!

เสียงดังสนั่นหวั่นไหว ม่านพลังที่ปกคลุมทั่วทั้งเมืองชีคถูกเย่เทียนเฉินทำลายเป็นผุยผงด้วยหมัดเดียว ผู้มีพลังพิเศษทั้งสี่ที่อยู่บริเวณต้นทางและปลายทาง กระอักเอือกล้มลงสิ้นชีพพร้อมๆ กัน เนื่องจากจิตใจทั้งหมดของพวกเขาล้วนอยู่ที่ม่านพลัง มีเพียงการทำเช่นนี้จึงจะสามารถประคองม่านพลังไม่ให้สูญสลายไปได้ พลังหมัดอันแข็งแกร่งของเย่เทียนเฉินต่อยทำลายม่านพลังไป แก่นพลังในสมองของพวกเขาทั้งสี่จึงถูกทำลายจนแตกซ่าน ภายในสมองก็ไม่มีมันสมองอีกต่อไป เพราะเหลวแหลกกลายเป็นของเหลวข้นๆ ไปแล้ว

ทุกคนต่างก็ตกตะลึง โดยเฉพาะผู้มีพลังพิเศษทั้งสี่ที่กำลังได้เปรียบ จะอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าอยู่ดีๆ จะมีคนโผล่เข้ามาแทรกได้ ทั้งยังใช้เพียงหนึ่งหมัดก็สามารถต่อยทำลายม่ายพลังไปได้ ลังเลไปเพียงชั่วครู พวกเขาก็เริ่มโจมตีอย่างบ้าคลั่งยิ่งขึ้น รู้ดีว่ามียอดฝีมือเข้ามาแทรกจึงต้องการจะฆ่าพวกหย่งชุนไท่ทั้งสี่ก่อนไปสู้กับยอดฝีมือผู้นั้น

ตอนนี้เอง ซิลลี่ที่กำลังนั่งชื่นชมทุกอย่างอยู่ในคฤหาสน์หลังสุดท้ายของถนนก็ตวาดพลันลุกขึ้น เขานั่งไม่ลงอีกต่อไปแล้ว เดิมทีคิดว่าชาวตะวันออกเหล่านี้ยังพอมีฝีมืออยู่บ้าง แต่ก็ไม่ใช่คู่มือของเหล่าลูกน้องผู้มีพลังพิเศษของตนโดยเด็ดขาด ไม่ต้องให้ตนเองลงมือก็จัดการได้ ตอนนี้ดูท่าจะไม่ได้เสียแล้ว นี่มันความสามารถระดับไหนกัน?

นอกจากนี้ตอนที่ม่านพลังถูกทำลายเป็นเสี่ยงๆ แก้วเหล้าในมือขวาของซิลลี่ก็แตกเป็นเสี่ยงๆ เช่นกันอานุภาพของ “หมัดพี่ชายสุดหล่อ” ช่างร้ายกาจยิ่งนัก

“ฉันไม่ได้ลงมือมาห้าปีแล้ว ทุกคนคงจะลืมไปแล้วว่าฉันเป็นราชันแห่งความโหดเหี้ยม ถ้างั้น ก็ให้ฉันฆ่าไอ้เศษขยะที่มันสอดมือเข้ามาก็แล้วกัน เรียกคืนฉายานี้สักหน่อย!”

มุมปากของซิลลี่ปรากฏรอยยิ้มโฉดชั่วขึ้นสายหนึ่ง โกรธจนตาทั้งสองมีประกายมีแดงเลือดส่องสว่างออกมา ช่าง้ข่าขวัญผู้คนเสียจริง!

………………………………..

บทที่ 94 เมืองชีค เริ่มต้นการแลกเปลี่ยน
Ink Stone_Fantasy
เย่เทียนเฉินได้ล้างแค้นให้สหายศึกที่ตายไปที่ป่าหมอกดำแล้ว นับว่าทำตามคำสาบานที่เขาได้ให้ไว้ในใจกับสหายร่วมรบจนสำเร็จ ภายในตึกใหญ่ที่เป็นรังของกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิต กลายเป็นสนามแห่งความตาย จนถึงตอนที่เย่เทียนเฉินจากไปอย่างไม่แยแส ก็ยังไม่มีใครพบว่าคนในตึกแห่งนี้ตายไปหมดแล้ว

ตอนนี้หลิ่วหรูเหมย หย่งชุนไท่ หลิวอวี่ เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋น ทั้งหมดห้าคน กำลังนั่งอยู่ในรถลีมูซีนคันหนึ่ง มุ่งไปยังสถานที่แลกเปลี่ยน ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งซึ่งอยู่รอบนอกของรัฐวอชิงตัน

พวกเขาไม่ได้นำคนไปมากนัก นอกจากหลิ่วหรูเหมยที่ไม่มีฝีมือในการต่อสู้ ก็มีแค่หย่งชุนไท่ หลิวอวี่ เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นสี่ยอดฝีมือ การเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายในครั้งนี้เป็นไปได้ว่าจะต้องเจอกับผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่ง บอดี้การ์ดธรรมดาทั่วไปไม่อาจทำอะไรได้เลย แล้วเหตุใดจะต้องให้คนเหล่านี้ตามไปสละชีพด้วยล่ะ

“คุณหนู เตรียมเฮลิคอปเตอร์เรียบร้อยแล้ว พอได้รับข้อมูลที่แท้จริงมา ก็ให้พวกเรารีบไปโดยทันที พวกเราจะคุ้มครองคุณกลับไปด้วยชีวิต” หลิวอวี่มองหลิ่วหรูเหมยพลางกล่าวอย่างจริงจัง

หลิ่วหรูเหมยหยักหน้า เธอรู้ว่าคราวนี้ไม่ใช่การล้อเล่น และไม่ใช่เวลาที่จะมาใช้อารมณ์ ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลลับครั้งนี้ เรื่องใดก็ตาม ชีวิตของใครก็ตาม รวมถึงตัวเธอเอง ล้วนไม่นับเป็นอะไรได้ ขอเพียงสามารแลกเปลี่ยนได้ข้อมูลลับที่แท้จริงมาและนำกลับไปยังประเทศจีนได้ ก็จะสามารถทำให้ศักยภาพทางการทหารของจีนพัฒนาขึ้นอีกขั้น จินตนาการได้เลยว่าสำคัญมากขนาดไหน

คำพูดของหลิวอวี่กล่าวไว้ได้ชัดเจนมาก นั่นคือพอแลกเปลี่ยนข้อมูลมาได้ พวกเขาสี่คนจะคุ้มครองเธอสุดชีวิตเพื่อให้เธอจากไป ต่อให้ทั้งหมดต้องสละชีวิตอยู่ที่นี่ก็ไม่มีอะไรต้องเสียดาย เพื่อสามารถคุ้มครองหลิ่วหรูเหมยขึ้นเครื่องไปได้ เพื่อรับประกันว่าข้อมูลลับจะถูกส่งกลับไปยังประเทศโดยราบรื่น

“อืม ไม่รู้ว่าเย่เทียนเฉินจะตามมาได้อย่างราบรื่นรึเปล่า!” หลิ่วหรูเหมยกล่าวออกมาอย่างกังวล

เย่เทียนเฉินตามไปฆ่าโกสต์และชาโดว์ แต่ความหมายเช่นนั้นราวกับต้องการถอนรากถอนโคนกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิตก็มิปาน เข้าถ้ำเสือเช่นนี้อันตรายยิ่งนัก ช่วยไม่ได้ที่หลิ่วหรูเหมยจะเป็นห่วง แม้แต่ตัวเธอเองก็ไม่รู้ว่า ความสัมพันธ์ของเธอกับเย่เทียนเฉินเริ่มตั้งแต่ที่เขาแอบดูเธออาบน้ำ ก็ล่วงเลยมาปีกว่าแล้ว ตอนที่ทั้งสองได้พบกันอีกครั้งต่างก็ไม่มีใครยอมใคร ทะเลาะกันไม่ขาด แต่ตอนนี้เธอค่อยๆ เป็นห่วงเจ้าคนชั่วนั่นบ้างแล้ว บางทีนี่คงเป็นโชคชะตาสินะ

“คุณหนูหลิ่ว คุณไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าหนูนั่นหรอก เขาต้องไม่เป็นไรแน่” เจียงเหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ใช่แล้ว ฝีมือของเขายังเหนือผมไปมาก จะต้องกำจัดกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิตได้แน่” เปยอวิ๋นเปิดปากกล่าว

หลิ่วหรูเหมยพยักหน้า ถึงช่วงเวลาอันสำคัญแล้ว หลายครั้งที่ผ่านมานี้หากไม่ได้เย่เทียนเฉิน เธอคงตายไปนานแล้ว จะมาพูดถึงเรื่องสำเร็จภารกิจได้อย่างไร? ดังนั้นในใจของหลิ่วหรูเหมยจึงไม่ต้องการให้เย่เทียนเฉินเกิดเรื่อง ไม่ว่าจะด้วยความใส่ใจต่อเพื่อนร่วมงาน หรือจะเพราะในใจของหลิ่วหรูเหมยเริ่มมีความรักอันน้อยนิดต่อเย่เทียนเฉิน สิ่งนี้ก็ล้วนไม่สำคัญ สิ่งสำคัญก็คือทุกคนสามารถมีชีวิตรอดกลับไปได้ นี่เป็นความคิดที่แท้จริงในใจของหลิ่วหรูเหมย

“พวกเรามาทวนแผนกันอีกรอบดีกว่า เพื่อให้แน่ใจว่าการแลกเปลี่ยนครั้งนี้จะประสบความสำเร็จ ส่วนไอ้หนูเย่เทียนเฉิน จะห่วงใครก็ได้แต่ไม่ต้องไปห่วงเขา!” หย่งชุนไท่กล่าวด้วยรอยยิ้ม

จากแผนการที่พวกหย่งชุนไท่คิดวิเคราะก์มา เมื่อรถไปถึงเมือง ยังไม่ต้องเข้าไป ให้รออยู่ด้านนอกก่อน เมื่อถึงเวลาแลกเปลี่ยนจึงค่อยตรงไปยังสถานที่แลกเปลี่ยน เมื่อการแลกเปลี่ยนสำเร็จหย่งชุนไท่จะคุ้มครองหลิ่วหรูเหมยออกไป ส่วนหลิวอวี่ เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นอยู่รั้งท้าย เพื่อให้ความอันตรายที่สุดตกอยู่ที่ตัวพวกเขาทั้งสาม

“หย่งชุนไท่ ผมไม่มีข้อโต้แย้งอะไรต่อแผนการในครั้งนี้ครับ” หลิวอวี่กล่าวอย่างหนักแน่น

หย่งชุนไท่พยักหน้า หลายปีมานี้ ความภักดีที่หลิวอวี่มีต่อตระกูลหลิ่ว ทุกคนล้วนมองเห็น ทุกครั้งที่ปฏิภารกิน เขาล้วนแต่อยู่ด้านหน้าสุด ครั้งนี้ก็ไม่เว้น

“ฉันตัดสินใจว่าจะเปลี่ยนแปลงสักเล็กน้อย รอให้คุณหนูได้รับข้อมูลมาก่อน แล้วให้เสี่ยวเจียงกับเสี่ยวอวิ๋นคุ้มครองคุณหนูขึ้นเฮลิคอปเตอร์ ฉันกับหลิวอวี่จะรั้งท้ายเอง” หย่งชุนไท่กล่าวพลางมองเจียงเหมิงและเฟยอวิ๋น

“หย่งชุนไท่ พวกเราไม่กลัวตาย นี่คือภารกิจของพวกเรา ทำตามแผนเดิมเถอะครับ” เจียงเหมิงรีบกล่าว

“ใช่แล้วครับ หย่งชุนไท่ คุณอย่าได้ดูเบากองทัพเหยี่ยวของเราเราไป ความตายนับเป็นอะไรได้ จะต้องฆ่าผู้มีพลังพิเศษให้ได้สักหลายคนหน่อย” เฟยอวิ๋นกล่าวด้วยรอยยิ้ม

เห็นความแน่วแน่ของพวกเขา หย่งชุนไท่ก็ไม่ได้กล่าวอะไร อย่างไรเสียก็ต้องคุ้มครองหลิ่วหรูเหมยขึ้นเครื่องด้วยแรงทั้งหมดที่มี มิฉะนั้นความยากลำบากทั้งหมดจะต้องสูญเปล่า

เวลาเที่ยงคืน พวกหลิ่วหรูเหมยได้มาถึงเมืองเล็กๆ ที่ชื่อว่าเมืองชีคแล้ว ก่อนหน้านี้พวกเขาจอดรถไว้ด้านนอกไม่ได้เข้าไป คอยสังเกตการณ์ทุกการเคลื่อนไหวภายในเมือง

เมืองชีค แท้จริงแล้วเป็นเขตพัฒนาแห่งหนึ่งบริเวณชายขอบของรัฐวอชิงตัน ทั้งเมืองมีถนนสายเดียว สองข้างทางมีคฤหาสน์เล็กๆ วางเรียงราย ถนนยาวประมาณหลายหมื่นเมตร กลางถนนมีความกว้างห้าเมตร เป็นเมืองที่ค่อนข้างพิเศษ

“ไม่ได้การแล้ว ทำไมเมืองนี้ถึงไม่มีคนอยู่เลย ขนาดไฟในคฤหาสน์ก็ยังไม่มี?” หลิวอวี่ขมวดคิ้วกล่าวออกมาอย่างกังวล

“ที่นี่เดิมทีก็ไม่มีคนอาศัยอยู่ เพิ่งจะเข้ามาพัฒนาได้ไม่นาน เห็นได้ชัดว่ามีการซุ่มโจมตีของอีกฝ่ายแน่นอน ทุกคนระวังตัวไว้ด้วย” หลิ่วหรูเหมยเปิดปากกล่าว

สามารถใช้วลีที่ว่า “รู้ทั้งรู้ว่าในภูเขามีเสือก็ยังเต็มใจเข้าไป” มาอธิบายการมาประเทศMเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลลับของพวกหลิ่วหรูเหมยได้ ไม่มีคำไหนเหมาะไปกว่านี้อีกแล้ว รู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายจะซุ่มโจมตี จะมีผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งปรากฏตัวออกมา แต่พวกเขาก็ยังต้องมา เหตุผลหนึ่งก็คือประเทศจจีนต้องการข้อมูลลับนี้เป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังรู้ดีว่าถอยหลังกลับไม่ได้แล้ว มันไม่ใช่วิสัยของชาวจีนอย่างพวกเรา

“ไปเถอะ ได้เวลาแล้ว!” หย่งชุนไท่มองนาฬิกาแล้วกล่าวออกมา

หลิ่วหรูเหมย หลิวอวี่ เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นต่างพยักหน้า หย่งชุนไท่เดินนำไป ส่วนพวกเขาเดินตามหลัง เข้าไปยังเมืองชีค

ระหว่างทางมาพบผู้คนเลย กล่าวได้ว่านี่เป็นเมืองร้างแห่งหนึ่งที่สร้างได้อย่างงดงาม คฤหาสน์ทั้งสองข้างทางทั้งหมดต่างก็ออกแบบตามบ้านสไตล์ฝรั่งเศส

ในวินาทีที่พวกหย่งชุนไท่เหยียบย่างเข้าสู่เมืองชีคนั้น ภายในคฤหาสน์หลังสุดท้าย ชายชาวต่างชาติคนหนึ่งลืมตาขึ้น คนคนนี้ก็คือซิลลี่ มุมปากของเขาปรากฏรอยยิ้มชั่วร้ายสายหนึ่ง กล่าวออกมาอย่างเย็นชาว่า “ไม่คิดว่าไอ้ตะวันออกไม่กลัวตายกลุ่มนี้มันจะกล้ามา ทำตามแผนซะ พอได้ข้อมูลมาก็ฆ่าพวกมันให้หมด”

“ครับ!”

เมื่อเห็นผู้มีพลังพิเศษข้างกายจากไป ซิลลี่ก็ยกแก้วเหล้าขึ้นมาอย่างพึงพอใจ นั่งไขว่ห้างพิงอยู่บนโซฟา เขาแข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งมากจริงๆ ตอนที่พวกหยุ่งชุนไท่ทั้งห้าคนเดินเข้ามาก็รับรู้ได้แล้ว ทั้งยังสามารถวิเคราะห์ความสามารถของพวกเขาได้จากพลังที่ผันผวนบนร่างกายของพวกเขาทั้งห้า แม้ว่าในหมู่พวกเขา หย่งชุนไท่ หลิวอวี่ เจียงเหมิงและเปยอวิ๋น ทั้งสี่คนนี้จะแข็งแกร่งมาก แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นที่จะให้เขาลงมือ นี่ทำให้ซิลลี่วางใจ ดูท่า “ปีศาจตะวันออก” ในข่าวลือคนนั้นก็ไม่ได้แข็งแกร่งอะไรปานนั้น แต่สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือ เย่เทียนเฉินยังมาไม่ถึง

เมื่อพวกเขาทั้งห้าเดินมาถึงใจกลางเมืองก็มีคนสามคนเดินเข้ามาเบื้องหน้า หนึ่งในนั้นคือด็อกเตอร์พีน่าซึ่งรับผิดชอบการแลกเปลี่ยนข้อมูลจากทางฝั่งประเทศM สองคนด้านข้างเป็นชายฉกรรจ์สวมสูทสีดำ ไม่รู้ว่าเป็นบอดี้การ์ดหรือเป็นผู้มีพลังพิเศษ

“ด็อกเตอร์พีน่า ฉันคือหลิ่วหรูเหมยเจากประเทศจีย รับผิดชอบกการแลกเปลี่ยนข้อมูลในครั้งนี้” หลิวหรูเหมยเดินขึ้นหน้าไปพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“แหม ผู้หญิงตะวันออกช่างสวยจริงๆ เลยนะครับ” ด็อกเตอร์พีน่าอายุเจ็ดสิบกว่าปีแล้ว ผมร่งจนหมดหัวแล้ว แต่ยังคงมองหลิ่วหรูเหมยด้วยดวงตาอันเปล่งประกาย

“ขอบคุณสำหรับคำชมค่ะ ภาษาจีนของคุณไม่เลวเลยสามารถไปศึกษาได้ที่ประเทศจีนของพวกเรา” หลิ่วหรูเหมยกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ถ้ามีโอกาสจะไปแน่นอนครับ งั้นพวกเรามาเริ่มแลกเปลี่ยนกันเถอะ” ด็อกเตอร์พีน่าเปิดปากกล่าว

หลิ่วหรูเหมยพยักหน้า หยิบแผ่นชิปขนาดเล็กมากๆ แผ่นหนึ่งออกมาจากเสื้อผ้ารัดรูปของเธอ ภายในชิปมีข้อมูลเกี่ยวกับการวิจัยและพัฒนาอาวุธหนักชนิดหนึ่งของจีนบรรจุอยู่ ส่วนด็อกเตอร์พีน่าก็หยิบชิปออกมาแผ่นหนึ่ง นี่คือข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยีนิวเคลียร์ที่แข็งแกร่งของประเทศM แม้ว่าจะเป็นเพียงส่วนเล็กๆ แต่สำหรับประเทศจีนแล้วนับว่าเป็นส่วนที่ขาดไปจึงสำคัญเป็นอย่างมาก

เมื่อรับชิปที่ด็อกเตอร์พีน่าส่งมาแล้ว หลิ่วหรูเหมยก็หยิบคอมพิวเตอร์ขนาดพกพาออกมาทันที รีบเสียบชิปเข้าไปและอ่านข้อมูลลับของเทคโนโลยีนิวเคลียร์ที่อยู่ข้างในพลางกลั่นกรองข้อมูลไม่หยุด พวกหย่งชุนไท่เห็นดังนั้นก็รู้สึกตึงเครียด สุดท้ายหลิ่วหรูเหมยพยักหน้า ยืนยันว่าไม่มีปัญหา ทุกคนถึงสามารถวางใจลงได้บ้าง ต่อไปก็ต้องดูกันว่าจะสามารถถอยกลับไปได้อย่างครบสามสิบสองหรือไม่

“ได้พบกับสาวตะวันออกสวยๆ อย่างคุณ ทำให้ผมรู้สึกเป็นเกียรติ์มากสนใจไปดื่มกันสักแก้วไหมครับ?” สองตาของด็อกเตอร์พีน่ายังคงเปล่งประกาย ใช้ภาษาจีนที่ไม่ค่อยดีกล่ามถามด้วยรอยยิ้ม

“ขอบคุณสำหรับคำชมค่ะด็อกเตอร์ แต่ดิฉันยังมีธุระ คงต้องขอตัวไปก่อน ยินดีที่ได้ทำงานร่วมกันค่ะ” หลิ่วหรูเหมยกล่าวยิ้มๆ

“งั้นก็ได้ครับ หวังว่าครั้งหน้าพวกเราจะยังได้เจอกันอีก”

การแลกเปลี่ยนนับว่าประสบความสำเร็จ ไม่ได้มีสถานการณ์ไม่คาดคิดอะไรเกิดขึ้น แต่นี่ก็ไม่ได้ทำให้พวกหยุ่งชุนไท่วางใจ กลับทำให้ระวังตัวมากขึ้นไปอีก นี่เป็นข้อมูลลับสุดยอดของเทคโนโลยีนิวเคลียร์ ไม่ใช่อะไรที่จะแลกได้ด้วยเงิน อีกฝ่ายกลับไม่ลงมือตอนที่ทำการแลกเปลี่ยน แสดงว่าต้องมั่นใจเป็นอย่างมากว่าพวกเขาจะเอาข้อมูลเทคโลโนยีนิวเคลียร์กลับไปไม่ได้

“ทำตามแผน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม คุ้มครองคุณหนูไปก่อน” หย่งชุนไท่กล่าวเสียงเข้ม

“ครับ!” หลิวอวี่ เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นตอบเสียงเบาพลางพยักหน้า

หย่งชุนไท่เดินไปคุ้มครองหลิ่วหรูเหมยด้านหน้าสุด เพิ่งจะเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ข้างหน้าของพวกเขาก็ปรากฏเงาคนสี่คนออกมาจากอากาศ ทั้งสี่สวมชุดสำหรับปฏิการตอนกลางคืนสีดำ มีเพียงดวงตาที่โผล่ออกมาจ้องมองพวกเขา

“ฆ่า!”

หนึ่งในนั้นส่งสัญญาณมือ อีกสามคนข้างๆ ก็พุ่งเข้าไปยังพวกหย่งชุนไท่ ทั้งคล่องแคล่วและเด็ดขาด ไม่มีการเคลื่อนไหวส่วนเกินเลยแม้แต่น้อย เพื่อที่จะฆ่าพวกหลิ่วหรูเหมยและทำให้พวกเขาไม่มีทางกลับประเทศจีนไปได้

…………………………………………………….

บทที่ 93 ล้างแค้นให้สหายศึก
Ink Stone_Fantasy
“หยุด ที่นี่ไม่อนุญาตให้ใครเข้าไป…”

ชายฉกรรจ์สองคนที่ยืนอยู่หน้าประตูตึกที่เป็นรังของกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิต เห็นชายชาวตะวันออกคนหนึ่งเดินเข้ามา ก็ตะโกนใส่เย่เทียนเฉินทันที

เย่เทียนเฉินไม่ได้ตอบ มุมปากประดับไปด้วยรอยยิ้มสายหนึ่ง ในตอนที่อยู่ห่างจากชายฉกรรจ์เฝ้าประตูทั้งสองราวสองเมตร ก็วิ่งพุ่งเข้าไปอย่างฉับพลัน เพียงพริบตาก็ถึงเบื้องหน้าชายฉกรรจ์ทั้งสองแล้ว น่าเสียดายที่ชายทั้งสองไม่มีโอกาสแม้แต่จะส่งเสียงตะโกนก็ถูกเย่เทียนเฉินหักคอไปแล้ว

ราวกับเข้าไปสู่ดินแดนรกร้างก็มิปาน เย่เทียนเฉินเดินเข้าไปในตึก ฆ่าฟันไปตลอดทั้งเส้นทาง ในช่วงเวลาที่เหยียบย่างเข้าสู่ตึกแห่งนี้ เย่เทียนเฉินก็ได้แผ่พลังเขตแดนปิดกั้นออกไปเรียบร้อยแล้ว เขาจะไม่อนุญาตให้ใครก็ตามมารบกวนตอนที่เขาฆ่าคนทั้งหมดในตึกนี้โดยเด็ดขาด

หากกล่าวถึงการฆ่าแล้ว เย่เทียนเฉินไม่ใช่คนที่เสพติดการฆ่า แต่การตายของสหายศึกที่ป่าหมอกดำได้กระตุ้นเย่เทียนเฉินอย่างลึกล้ำ เขาต้องการแก้แค้นให้คนเหล่านั้น ต้องการถอนรากถอนโคนกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิต นี่คือคำสาบานที่มีต่อสหายร่วมรบที่ตายไป เป็นสิ่งที่ชายชาตรีเลือดร้อนคนหนึ่งสมควรกระทำ

ในตอนนี้เอง โกสต์และชาโดว์มาถึงชั้นบนสุดของตึกแล้ว ตึกนี้ไม่สูง มีเพียงสามชั้นเท่านั้น เส้นทางสำคัญของแต่ละชั้นล้วนมีหัวกะทิของกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิตเฝ้าอยู่นี่เป็นสิ่งที่แมคเคียร์จัดวางเพราะกลัวจะมีคนมาลอบสังหาร

แมคเคียร์กำลังนอนหลับอยู่บนโซฟา เมื่อสักครู่เพิ่งจะเสร็จศึกบนเตียงไปอีกยกหนึ่งจึงรู้สึกเหนื่อยอยู่บ้าง อย่างไรก็อายุห้าสิบกว่าปีแล้ว ผู้หญิงนั้นเป็นของชั้นยอด แต่ก็เป็นของที่ไม่ควรใช้งานบ่อยๆ มิฉะนั้นจะถูกรีดเร้นจนแห้ง

ปังปังปัง!

ด้านนอกมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น แมคเคียร์ลุกขึ้นนั่งบนโซฟา จับไปที่ปืนด้านข้างด้วยจิตใต้สำนึก คืนนี้แมคเคียร์มีความรู้สึกไม่ค่อยดีที่อธิบายไม่ถูก ดังนั้นจึงได้ระมัดระวังตัวขึ้นหลายส่วน

“เข้ามา!” แมคเคียร์ตอบออกไป

โกสต์และชาโดว์ผลักประตูเดินเข้ามา ทั้งสองต่างก็มีใบหน้ามืดครึ้ม สิบปีศาจเป็นหัวใจสำคัญของกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิต แต่กลับย่อยยับทั้งหมดในคืนเดียว กระทั่งบลัดที่เป็นน้องชายแท้ๆ ของเขาก็ตาย หากไม่ใช่เพราะว่าพวกเขาสองคนวิ่งได้เร็ว คงถูกเย่เทียนเฉินฆ่าไปนานแล้ว ดังนั้นอารมณ์ของพวกเขาสองคนย่อมไม่อาจจะดีขึ้นมาได้

“เป็นพวกนายนี่เอง ดูท่าทางเรื่องราวคงสำเร็จได้อย่างราบรื่นสินะ ฆ่าพวกชาวตะวันออกนั่นไปหมดแล้วใช่ไหม?”แมคเคียร์เห็นโกสต์และชาโดว์เดินเข้ามา ใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้น เนื่องจากทุกครั้งที่โกสต์ช่วยเขาเรื่องเรื่องหนึ่งให้สำเร็จ ก็จะมาเอาเงินกับเขา นี่ถือเป็นรางวัลสำหรับสมาชิกสิบปีศาจ

“พวกเราแพ้ สมาชิกสิบปีศาจเหลือกลับมาแค่ฉันกับชาโดว์ คนอื่นๆ รวมทั้งแซนเบเกอร์ตายไปหมดแล้ว!”โกสต์มองแมคเคียร์ครู่หนึ่งก่อนจะกัดฟันพูดออกมา

เดิมทีแมคเคียร์ผ่อนคลายเป็นอย่างมาก นั่งไขว่อย่างพิงโซฟา คิดว่าหลักจากที่ฆ่าชาวตะวันออกที่มาแลกเปลี่ยนข้อมูลลับครั้งนี้หมดแล้ว จะสามารถได้รับผลประโยชน์มากมายจากทางรัฐบาลประเทศM เขาจึงมีความยินดีราวได้ขึ้นสวรรค์ ไหนเลยจะรู้ว่าคำพูดของโกสต์จะทำให้แมคเคียร์ถูกถีบลงมาสู่นรกโดยพลัน ทั้งยังเป็นการตกมาโดยหน้ากระแทกพื้นอีกต่างหาก

“นาย นายกำลังล้อเล่นอยู่ใช่ไหม?” ใบหน้าของแมคเคียร์พลันขมขื่น มองไปยังโกสต์อย่างตกตะลึงพลางกล่าวถาม

กล่าวตามจริง หากไม่ใช่ว่าโกสต์และชาโดว์ประสบมากับตัวเองโดยตรง แต่ได้ยินมาจากคนอื่น ก็คงไม่เชื่อโดยเด็ดขาด แม้ว่ากลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิตจะไม่ได้เป็นองค์กรทหารรับจ้างระดับบนๆ ของโลก แต่ก็ไม่เคยพ่ายแพ้อย่างอนาถขนาดนี้ เริ่มจากรองหัวหน้าร็อคกี้แบร์ไปซุ่มโจมตีแล้วพ่ายแพ้จนตาย ตอนนี้แซนเบเกอร์ก็ยังมาตายไปอีก กระทั่งสมาชิกสิบปีศาจก็ตาย เหลือแค่โกสต์กับชาโดว์ ถ้าหากข่าวนี้แพร่ออกไป ตัวเขาแมคเคียร์ก็ไม่จำเป็นต้องฆ่าตัวตายแล้ว แต่จะถูกผู้คนหัวเราะจนตายแทน

“เปล่า ครั้งนี้กลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิตของพวกเราพ่ายแพ้ พ่ายแพ้อย่างอนาถ แพ้โดยสิ้นเชิง” โกสต์กล่าวพลางถอนหายใจ

“ใครเป็นคนทำ? ใช่ไอ้ชายวันรุ่นชาวตะวันออกอายุยี่สิบปีคนนั้นไหม?” แมคเคียร์โกรธจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพลางตะโกนออกมา

“คนนั้นแข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งจนพวกเราไม่อาจต่อต้านได้” ชาโดว์นึกย้อนกลับไปยังช่วงเวลาที่เย่เทียนเฉินลงมือแล้วจึงกล่าวออกมาจากใจ

“เป็นไปไม่ได้ ต่อให้ไอ้ชาวตะวันออกนั่นมันเก่ง ก็คงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกนายสองคนหรอกใช่ไหม? พวกเรากลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิต แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยพ่ายแพ้แบบนี้ ไม่เคยอนาถขนาดนี้ พวกเราต้องไปฆ่าไอ้หมอนั่นให้ได้” แมคเคียร์ตะโกนเสียงดั่งราวฟ้าผ่า

ตู้ม!

ประตูไม้ของห้องที่แมคเคียร์ โกสต์ และชาโดว์อยู่ถูกถีบจนปลิว เย่เทียนเฉินเดินเข้ามา ในปากคาบบุหรี่อยู่มวนหนึ่ง ใบหน้ายังคงประดับไปด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่มีพิษมีภัย กล่าวออกมาเรียบๆ ว่า “ไม่ต้องให้แกไปตามหาฉันหรอก ฉันมาหาแกด้วยตัวเองแล้ว”

“ปะ…ปีศาจตะวันออก!” ชาโดว์ตกใจจนถอยหลังไปสองก้าว กล่าวออกมาอย่างตื่นตระหนก

โกสต์เองก็รีบถอยหลัง แมคเคีย์ดูสถานการณ์ก็รู้ว่าไม่สู้ดีจึงกำปืนในมือแน่น พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่า ทั่วทั้งตึกมีทหารป้องกันอย่างแน่นหนา ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นหัวกะทิพร้อมอาวุธปืนของกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิต ทั้งยังมีไม่ต่ำกว่าห้าสิบคน แต่เย่เทียนเฉินกลับสามารถมาโผล่ต่อหน้าพวกเขาได้ ก่อนหน้านี้ กระทั่งเสียงต่อสู้ เสียงร้องหรือเสียงปืนพวกเขาล้วนไม่ได้ยินเลย ความสามารถเช่นนี้จะไม่ให้พวกเขารู้สึกหนาวเหน็บอยู่ในใจได้อย่างไร

“แก แกเข้ามาได้ไง? ฉันมีลูกน้องเก่งๆ ห้าสิบกว่าคนเฝ้าอยู่ข้างล่าง” ท่ามกลางความตื่นตระหนก แมคเคียร์ยังกล่าวถามออกมาอย่างสงสัย

“แกพูดถึงลูกกะจ๊อกพวกนั้นเหรอ? อ๋อ พวกมันยืนยามให้แกจนเหนื่อยก็เลยหลับไปหมดแล้ว” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม

หน้าผากของแมคเคียร์มีเหงื่อเย็นๆ ผุดออกมา เขาไม่อาจจินตนาการได้เลยว่า ลูกน้องระดับหัวกะทิพร้อมอาวุธปืนทั้งห้าสิบกว่าคนของตน เฝ้าคุ้มครองเส้นทางสำคัญของแต่ละชั้นไว้ทั้งหมด เย่เทียนเฉินจะมาปรากฎตัวอย่างไร้ซุ่มไร้เสียงได้อย่างไร

“แกตั้งใจปล่อยพวกเรามาเรอะ?” โกสต์จ้องเย่เทียนเฉินเขม็งพลางกล่าวถาม

“ใช่ ไม่งั้นพวกแกคงไม่รอดกลับมาหรอก คนของกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิตถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องตาย” ยามที่เย่เทียนเฉินกล่าว ก็พลันเลื่อนระดับพลังขอบเขตจอมราชันออกมา เขาไม่อยากยืดเยื้อ อยากจะสู้ให้เร็วจบให้ไว ตอนนี้พวกหลิ่วหรูเหมยเดินทางไปยังสถานที่แลกเปลี่ยนแล้ว ที่นั่นมีผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งของประเทศMอยู่ ถ้าอาศัยเพียงพวกหย่งชุนไท่ไม่กี่คน เกรงว่าจะยากที่จะรับมือ

“ไอ้โง่สองตัวจะมัวยืนอึ้งอยู่ทำไม ฆ่ามันซะ” แมคเคียร์ตอบได้สติกลับมาก็ตะโดนเสียงดัง

ความจริงแล้วตอนที่แมคเคียร์ยังไม่พูด โกสต์และชาโดว์ก็พุ่งเข้าใส่เย่เทียนเฉินแล้ว พวกเขาไม่ได้โง่ รู้ว่าเย่เทียนเฉินตามมาถึงที่นี่ก็เพราะอยากจะฆ่าคนของกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิตทั้งหมด หรืออาจถึงขั้นถอนรากถอนโคน ดังนั้นจึงทำได้เพียงต่อสู้ หากว่าแพ้ พวกเขาทั้งสามล้วนต้องตาย

เมื่อเผชิญกับโกสต์และชาโดว์ที่พุ่งเข้ามา เย่เทียนเฉินก็ไม่กล้าลำพองใจ ความสามารถของสองคนนี้แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิต โดยเฉพาะโกสต์ที่สามารถสู้กับหลิวอวี่ได้อย่างสูสี นี่ก็อธิบายถึงความแข็งแกร่งของเขาได้แล้ว ทั้งยังมีชาโดว์อยู่อีกคนหนึ่ง จะรับมืออย่างไม่ระวังไม่ได้

ฉัวะ!

โกสต์ปล่อยหมัดไปยังศีรษะของเย่เทียนเฉิน ส่วนชาโดว์ก็เข้าขากันได้เป็นอย่างดี เขาใช้ขาเตะไปยังบริเวณหน้าอก เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว ไม่ได้รับโจมตีอย่างรุนแรงของพวกเขา ในตอนที่หลบการโจมตี ก็มีดาบแสงเล่มหนึ่งปรากฏในมือขวา ซึ่งเป็นดาบที่เกิดจากการขับเคลื่อนพลังพลังพิเศษ นับว่าเป็นการเปลี่ยนสภาพจากเท็จเป็นจริงประเภทหนึ่ง เพียงแต่ด้วยขอบเขตพลังระดับจอมราชันของเย่เทียนเฉินในตอนนี้ ยังไม่ชำนาญในการใช้กลังพิเศษประเภทนี้

ซู่!

เลือดสดๆ พุ่งกระฉูด ตอนที่ดาบแสงปรากฏในมือขวาของเย่เทียนเฉินเขาก็ได้แทงเข้าไปยังกะโหลกของชาโดว์แล้ว แมคเคียร์เห็นดังนั้นก็ตกใจจนหน้าซีด แทบจะไม่เหลือเสียงให้กรีดร้อง เนื่องจากเขาไม่เคยเห็นผู้มีพลังพิเศษมาก่อน ทั้งยังไม่เคยเห็นวิชาพลังพิเศษที่แข็งแกร่งเช่นเย่เทียนเฉิน

โกสต์มองชาโดว์ล้มลงไปนอนจมกองเลือดด้วยความตกตะลึง นัยน์ตาเต็มไปด้วยความหวั่นเกรงต่อความตาย อดไม่ได้ที่จะมองไปยังเย่เทียนเฉิน กล่าวตามจริง ในตอนแรกเริ่มเขาคิดว่าหากตนเองลงมือเต็มกำลัง บางทีอาจจะสามารถสู้กับปีศาจตะวันออกคนนี้ได้สักครั้ง ตอนนี้ดูแล้ว เขาไม่มีคุณสมบัตินั้นโดยสิ้นเชิง เพราะตอนที่เย่เทียนเฉินลงมือเต็มที่ ก็มีเพียงความตายที่รอคอยเขาอยู่

“แก แกเป็นผู้มีพลังพิเศษ?” โกสต์มองเย่เทียนเฉินกล่าวถาม

“ฝีมือแกไม่เลวเลย นับได้ว่าเป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง ดังนั้นฉันจะให้โอกาสแกฆ่าตัวตาย” เย่เทียนเฉินมองโกสต์พลางกล่าวออกมาอย่างไม่แยแส

“ปีศาจตะวันออก ตะวันออกมียอดฝีมืออย่างแก บางทีอาจจะไม่มีทางหยุดยั้งความรุ่งเรืองขึ้นมาจริงๆ ก็ได้”

กล่าวจบ มือขวาของโกสต์ก็ปรากฏกริชด้ามหนึ่ง พลันแทงลงไปยังหน้าอกของตนเอง นี่เป็นความตายที่ชายชาตรีสมควรได้รับ และเป็นการแสดงความเคารพต่อยอดฝีมือของเย่เทียนเฉิน

แมคเคียร์ที่อยู่อีกด้านหนึ่งตกใจกลัวจนหน้าซีดขาวไปนานแล้ว จะอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าชาโดว์จะไม่ได้ความเช่นนี้ ส่วนโกสต์ที่เป็นลูกน้องที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาก็ฆ่าตัวตาย ทิ้งกระทั่งโอกาสในการต่อสู้เอาชีวิตรอด ชายชาวตะวันออกอายุยี่สิบปีเบื้องหน้าคนนี้ แข็งแกร่งมากจริงๆ

“ตอนนี้ถึงตาแกแล้ว!” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางหันมามองแมคเคียร์ด้วยรอยยิ้มเย็นชา

“พวกเราไม่ได้มีความโกรธแค้นยิ่งใหญ่อะไรต่อกัย ทั้งหมดนี้เป็นรัฐบาลประเทศMที่ให้สั่งฉันทำ…” แมคเคียร์ขายรัฐบาลประเทศMออกไปโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย ต้องการให้เย่เทียนละเว้น

“งั้นเหรอ? ฉันล่ะเศร้าใจแทนรัฐบาลประเทศMของพวกแกจริงๆ ตอนที่ไม่มีเรื่องก็มีแต่คนคล้อยตาม พอเกิดเรื่อง คนหักหลังก็เยอะ ดูท่าแล้วประธานาธบดีประเทศMช่างล้มเหลวจริงๆ” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“แกพูดถูก รัฐบาลประเทศMเป็นพวกโฉดชั่ว ฉันเองก็ถูกใช้ประโยชน์เหมือนกัน” แมคเคียร์รีบเปิดปากพูด

“โทษที เพื่อสหายศึกที่ตายไปของฉัน คนของกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิตของพวกแกต้องตายทุกคน”

“นี่ แกไปหารัฐบาลประเทศMได้ ทั้งหมดเป็นพวกเขาบงการ”

ซู่!

คอหอยของแมคเคียร์ถูกตัดขาดอย่างรวดเร็ว เร็วจนกระทั่งเขาไม่มีแม้แต่โอกาสลั่นไก ดาบแสงในมือขวาของเย่เทียนเฉินสลายไป เยขามองไปยังแมคเคียร์ที่ล้มลงไปนอนดิ้นอยู่บนพื้นพลางกล่าวอย่างไม่แยแสว่า “วางใจเถอะ ฉันไม่ได้มาที่นี่ง่ายๆ รัฐบาลประเทศMฉันก็ว่าจะไปเยี่ยมเยียนสักหน่อยเหมือนกัน”

เย่เทียนเฉินฆ่าคนในรังของกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิตทั้งหมด นี่เป็นเพียงน้ำจิ้มเท่านั้น ตอนที่เขามาไร้ซุ่มไร้เสียง ตอนที่เดินก็ยังไร้ซุ่มไร้เสียง ดูเวลาก็ใกล้จะเที่ยงคืน การแลกเปลี่ยนใกล้จะเริ่มแล้ว เขาตั้งตารอคอยเป็นอย่างมาก รอคอยการปรากฏตัวของผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งของหน่วยสืบราชการลับพลังพิเศษ รอคอยที่จะได้สู้อย่างถึงใจ เปิดหูเปิดตาความเก่งกาจของผู้มีพลังพิเศษในโลกนี้เสียหน่อย

………………………………………………………….

บทที่ 92 หน่วยสืบราชการลับพลังพิเศษแห่งประเทศM
Ink Stone_Fantasy
เย่เทียนเฉินไล่ตามโกสต์และชาโดว์ไป ไม่ใช่ว่าเขามีความสามารถไม่พอที่จะฆ่าทั้งสอง แต่เป็นการการหว่านแหดักปลา เขาวางแผนจะถอนรากถอนโคนกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิต เพื่อล้างแค้นให้กับสหายศึกของตนที่ตายไปในป่าหมอกดำ นี่เป็นคำสาบานที่เย่เทียนเฉินให้ไว้ในใจต่อเหล่าสหายศึกที่ตายไป

ส่วนเรื่องรัฐบาลประเทศM เย่เทียนเฉินคิดไว้แล้วว่า พอถึงเวลาจะต้องไปสร้างความครึกโครมเสียหน่อย เพื่อให้พวกจักรวรรดินิยมได้รู้ไว้สักหน่อยว่า โลกแห่งนี้ยังไม่ถึงคราวที่พวกเขาจะยิ่งใหญ่แต่เพียงผู้เดียว

ในตอนที่เย่เทียนเฉินใช้พลังพิเศษแห่งการรับรู้ล็อคเป้าลมปราณของโกสต์และชาโดว์แล้วตามออกไปจากคฤหาสน์ตระกูลหลิ่วเงียบๆ นั้น ที่ตึกโมเดิร์นในวอชิงตัน ชั้นบนสุดของตึกที่สุดถึงสามสิบสามชั้น ชายคนหนึ่งสวมเสื้อหนังกางหนังและรองเท้าบูทหนังสีดำทั้งหมด ใบหน้าปรากฏกลิ่นอายชั่วร้ายสายหนึ่ง หากมีคนเห็นเขาจะต้องสั่นสะท้านเป็นแน่ เพราะชายคนนี้กำลังลอยอยู่ในอากาศ กำลังอ้าปากกว้าง เบื้องหน้าของเขามีเหล้าอยู่ขวดหนึ่ง กำลังไหลออกปากขวด ค่อยๆ เข้าไปในปากของชายผู้นั้น เป็นฉากที่น่าอัศจรรย์อย่างมาก

ชายคนนี้กฌคือซิลลี่(Silly) รองหัวหน้าหน่วยสืบราชการลับพลังพิเศษ และอาจกล่าวได้ว่าเป็นหัวหน้าหน่วยสืบราชการลับพลังพิเศษ เนื่องจากโทมัสที่เป็นหัวหน้าหน่วยสิบราชการลับพลังพิเศษ เป็นเพียงคนที่ถูกรัฐบาลประเทศMแต่งตั้ง แต่ก็ไม่เคยเข้ามาทำหน้าที่ ดังนั้นกระทั่งซิลลี่ที่เป็นรองหัวหน้าก็ยังไม่เคยเห็นหน้าโทมัส ไม่รู้ว่าเขาเป็นคนหนุ่มหรือคนแก่ หรือว่ามีหน้าตาอย่างไร

เสียงฟิ้วดังขึ้นสองครั้ง เงาคนสองคนปรากฏขึ้นข้างหลังซิลลี่ ต่างก็คุกเข่าลงข้างหนึ่ง มีท่าทีเคารพอย่างสูงสุด หนึ่งคนในนั้นกล่าวรายงานว่า “รองหัวหน้า ผู้มีพลังล่องหนที่เราส่งไปถูกแล้วตายแลว”

“อะไรนะ? ผู้มีพลังล่องหนที่เราส่งไปแม้ขอบเขตพลังจะไม่แข็งแกร่ง แต่ก็เป็นพลังสายพิเศษประเภทหนึ่ง ต่อให้เป็นฉัน ตอนที่เขาล่องหนก็ยากที่จะเจอ ทำไมถึงถูกฆ่าได้?” ซิลลี่ขมวดคิ้ว กล่าวถามอย่างไม่เชื่อ

“เป็นเช่นนี้จริงๆครับ พวกเราเพิ่งจะได้ข่าว ครั้งนี้พวกชาวตะวันออกมียอดฝีมือมาด้วยคนหนึ่ง” อีกคนหนึ่งเปิดปากพูด

“ตะวันออกมันจะไปมียอดฝีมืออะไรกัน? ต่อให้มีผู้แข็งแกร่งพรรควรยุทธโบราณ แต่ก็ไม่ใช่คู่มือของผู้มีพลังพิเศษอย่างพวกเรา ไอ้หมอนั่นมันชื่ออะไร?”

ใบหน้าของซิลลี่มืดครึ้ม เขาคิดไม่ถึงเลยว่าตะวันออกจะถึงกับมียอดฝีมือเช่นนี้ปรากฏตัวออกมา ครั้งนี้ทางฝั่งรัฐบาลประเทศM แม้จะไม่ได้มีคำสั่งลงมาโดยตรง แต่ก็ให้พวกเขาหน่วยสืบราชการลับพลังพิเศษทำการเตรียมพร้อมที่จะลงมือให้ดี ตอนนั้นซิลลี่ก็ไม่ได้เก็บมาส่ใจ เพียงแต่ส่งผู้มีพลังล่องหนคนหนึ่งในองค์กรไปยังคฤหาสน์ตระกูลหลิ่ว ถ้าเป็นไปได้ก็ให้ฆ่าหลิ่วหรูเหมยก็เท่านั้น เพราะซิลลี่รู้ว่าครั้งนี้รัฐบาลประเทศMได้ว่าจ้างกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิต ถ้าหากพวกเขาลงมือ ก็จะดูเป็นการลดระดับตัวเองเกินไป

ต้องทราบว่า หน่วยสืบราชการลับพลังพิเศษเป็นกำลังสำคัญที่แข็งแกร่งที่สุดของประเทศM ภารกิจที่สำเร็จไปมากมายต่างก็อาศัยความสามารถของหน่วยสืบราชการลับพลังพิเศษ พวกเขาคนละระดับกับองค์กรทหารรับจ้างทั่วๆ ไปโดยสิ้นเชิง

ผู้มีพลังล่องหนที่ตนเองส่งไปถูกฆ่า นี่เป็นสิ่งที่ซิลลี่คิดไม่ถึงจริงๆ ดังนั้นจะมากจะน้อยเขาก็ยังรู้สึกหวั่นเกรง

“ปีศาจตะวันออก” ผู้มีพลังพิเศษที่กล่าวขึ้นก่อนมีเสียงสั่นเล็กน้อย

“ปีศาจตะวันออก?” ซิลลี่ขมวดคิ้วถาม

“ครับ เวลานั้นผู้มีพลังล่องหนที่พวกเราส่งไป ตอนที่กำลังจะตายตะโกนเรียกอีกฝ่ายด้วยชื่อนี้”

“เฮอะ ฉันไม่สนว่ามันจะเป็นปีศาจตะวันออก หรือจะเป็นตัวอะไร พวกเราหน่วยสืบราชการลับพลังพิเศษไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อน ตอนนี้ก็ไม่อนุญาตให้แพ้ ต่อจากนี้ก็ไม่อนุญาต ดังนั้นฉันขอสั่งพวกแก จงฆ่าชาวตะวันออกที่มาทำการแลกเปลี่ยนในครั้งนี้ให้หมดทุกคน” ซิลลี่เปิดปากกล่าวอย่างโหดเหี้ยม

“ครับ!”

ผู้มีพลังพิเศษทั้งสองที่มารายงานในขณะที่ตอบรับก็ค่อยๆ สลายไป นี่สะท้อนให้เห็นถึงพลังพิเศษของพวกเขา ส่วนซิลลี่ที่ลอยอยู่ในอากาศ หลังจากที่ลูกน้องทั้งสองของตนสลายตัวไปแล้ว ในดวงตาของเขาก็ปรากฏแสงสีแดงเลือดออกมา พลันจ้องมองไปยังขวดเหล้าตรงหน้า เกิดเสียงโครมขึ้นเบาๆ ทันใดนั้นชวดเหล้าก็ระเบิดออกกลายเป็นผุยผง

ตอนนี้เองก็มีผู้มีพลังพิเศษอีกคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น ทั้งตัวถูกผ้าคลุมสีดำปกคลุมอยู่ มีเพียงดวงตาอันเยือกเย็นทั้งสองข้างที่โผล่ออกมาให้เห็น เขาปรากฏเบื้องหน้าของซิลลี่โดยตรง พยักหน้าเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “เมื่อสักครู่นี้เลขาฯท่านประธานาธิบดีโทรมา บอกให้พวกเราลงมือปฎิบัติการ และไปเข้าร่วมการแลกเปลี่ยนด้วยตัวเอง คำสั่งมีเพียงอย่างเดียว ฆ่าชาวตะวันออกที่มาทำการแลกเปลี่ยนให้หมด ทำให้สำเร็จและไม่เหลือร่องรอย”

“รู้แล้ว!” ซิลลี่เปิดปากกล่าวเรียบๆ

ซิลลี่ได้รับทั้งรายงานและคำสั่ง ในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยไฟแห่งความโกรธ สิ่งนี้สำหรับหน่วยสืบราชการลับพลังพิเศษแล้วนับว่าเป็นความอัปยศอย่างหนึ่ง และสำหรับเขาที่เป็นรองหัวหน้า นี่ก็นับเป็นการโจมตีอย่างหนึ่ง เดิมทีทำหน้าที่นี้มาหลายปี เขามีแนวโน้มว่าจะได้กลายเป็นหัวหน้าทีละนิด ส่วนหัวหน้าโทมัสที่แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยโผล่หัวออกมานั้น คนระดับสูงของรัฐบาลประเทศM ยิ่งไม่พอในเขามากขึ้นทุกวัน

แต่การเสียชีวิตของผู้มีพลังล่องหนในครั้งนี้มาจากการจ่อสู้กับปีศาจตะวันออก ทำให้ซิลลี่โกรธเป็นอย่างมาก เขาตัดสินใจแล้วว่าจะลงมือฆ่าคนคนนั้นด้วยตัวเองเพื่อระงับความโกรธเกลียดในหัว เขาที่ไม่ได้ลงมือมาเกือบสิบปี รู้สึกคิดถึงวันคืนแห่งการฆ่าเมื่อแรกเริ่มเสียจริง

ณ เวลานี้ ศีรษะของโกสต์และชาโดว์เต็มไปด้วยเหงื่อเย็นๆ ขณะเดียวกันก็แสดงถึงความโกรธอย่างหาที่เปรียบมิได้ ทั้งสองนั่งอยู่บนรถโดยมีโกสต์เป็นคนขับ ส่วนชาโดว์นั่งอยู่ตรงที่นั่งข้างคนขับ ขับฝ่าไฟแดงอย่างบ้าคลั่งมาตลอดทางโดยไม่สนใจเรื่องอื่นใดแล้ว รู้เพียงว่าต้องหนีเอาตัวรอด

สิ่งที่ทำให้โกสต์และชาโดว์คิดไม่ถึงก็คือ เย่เทียนเฉินกำลังนอนหลับอย่างสบายอกสบายใจอยู่ยนหลังคารถของพวกเขาอย่างเงียบงัน ควบคุมพวกเขาอยู่ในกำมือโดยสิ้นเชิง รอเพียงให้ถึงรังของกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิตค่อยฆ่าพวกเขาทั้งหมด

“พี่ใหญ่ ทำไมไม่ให้ผมฆ่าชายตะวันออกคนนั้น ล้างแค้นให้น้องสาม” ชาโดว์กล่าวอย่างโกรธแค้น

“แกแน่ใจนะว่าแกเป็นคู่มือของมันได้?” โกสต์เปิดปากกล่าวอย่างเย็นชา

ชาโดว์ชะงัก เมื่อย้อนคิดไปถึงฉากที่น้องสามถูกฆ่าก็สั่นสะท้านไปทั่วทั้งสมอง ถูกต้องมิอาจปฏิเสธได้ หากเป็นเขาที่พุ่งเข้าไปก็จะต้องมีจุดจบเช่นเดียวกับน้องสาม ถูกเย่เทียนเฉินฆ่า จะอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าคนจีนที่เป็นไอ้เอเชียขี้โรคในสายตาของชาวต่างชาติมานับร้อยปีจะมียอดฝีมือเช่นนี้ปรากฏตัวออกมา

“ต่อให้ผมคนเดียวฆ่าไอ้ชายตะวันออกจอมโฉดนั่นไม่ได้ แต่ถ้าผมกับพี่ร่วมมือกัน จะไม่มีทางกำจัดมันได้เลยเหรอ? ทำไมพวกเราต้องหนีด้วย?” ชาโดว์ยังคงกล่าวอย่างไม่พอใจ

“ฉันจะขอบอกนายให้ชัดเจนไปเลย ต่อให้ฉันกับนายร่วมมือกัน ก็ไม่ใช่คู่มือของชายชาวตะวันออกคนนั้น มีแต่ตะจบแบบน้องสาม” โกสต์กล่าว

“นี่…จะเป็นไปได้ไง พวกเราสิบปีศาจเป็นกำลังสำคัญของกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิต แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยพ่ายแพ้ คราวนี้ถึงกับมาแพ้ด้วยน้ำมือของชายชาวตะวันออกคนหนึ่ง แล้วก็…แล้วทหารทั้งหมดก็ย่อยยับโดยสิ้นเชิง…” ชาโดว์กล่าวอย่างไม่ยินยอม

โกสต์มองชาโดว์ครู่หนึ่ง แต่ไม่ได้พูดอะไร ในใจของเขาเองก็เกลียดชังและไม่ยินยอม แต่จะทำอะไรได้อีกล่ะ? พวกเขาสิบปีศาจ มีฐานะเป็นหัวใจหลักของกลุ่มทการรับจ้างมารโลหิต กล่าวได้ว่าค้ำยันทั้งกลุ่ม กระทั่งไม่จำเป็นต้องฟังคำสั่งหัวหน้าแมคเคียร์ก็ได้ เขามีฐานะเป็นหัวหน้าสิบปีศาจ มีหน้ามีตาแค่ไหนกัน?

ครั้งนี้ เดิมทีนึกว่าแมคเคียร์ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ก่อนจะมาโกสต์ยังได้โต้เถียงกับแมคเคียร์เพราะคิดว่าคนคนนี้ให้ตนไปจัดการด้วยตนเอง จะระวังระวังเกินเหตุไปแล้ว เดิมทีคิดว่าเพียงแค่ฆ่าชาวตะวันออกไม่กี่คนเท่านั้น เป็นแค่เรื่องง่ายๆ เมื่อก่อนตอนที่เขาลงมือก็ฆ่าชาวตะวันออกไปไม่น้อย ชาวตะวันออกเหล่านั้นมีทั้งทหารหน่วยรบพิเศษมีทั้งสายลับ ล้วนแต่เป็นพวกไม่เอาไหน นี่ทำให้สมาชิกของสิบปีศาจดูแคลนชาวตะวันออกมากขึ้นทุกคน เอเชียขี้โรคสี่คำนี้ ยังคงไม่อาจลบออกไปจาเราชาวจีนได้

แต่หลังจากที่แซนเบเกอร์นำสิบปีศาจไปถึงคฤหาสน์ตระกูลหลิ่ว บุกฝ่าประตูเข้าไปอย่างรุนแรง และโกสต์ ชาโดว์ และบลัด สามพี่น้องได้พบกับหลิวอวี่ เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋น ทำให้รู้สึกว่าชาวตะวันออกที่มาครั้งนี้มียอดฝีมืออยู่จริงๆ นอกจากนี้หลังจากที่เย่เทียนเฉินลงมือ สามพี่น้องก็อดที่จะสั่นสะท้านไม่ได้ สุดท้ายบลัดถูกฆ่า โกสต์พาชาโดว์หนีโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย เขารู้ว่าหากปะทะกับชายวัยรุ่รชาวตะวันออกคนนี้ จะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยเลย

“ชายชาวตะวันออกคนนี้ ดูเหมือนง่าย แต่จริงๆ กลับลึกล้ำเกินหยั่ง หากพวกเราพุ่งเข้าไป ก็เอาชีวิตไปทิ้งเสียเปล่าๆ สู้หลังจากนี้ พวกเราหาโอกาสแก้แค้นให้น้องสามจะดีกว่า!” โกสต์กล่าวเสียงเรียบ

ไม่รู้จะกล่าวว่าโกสต์พูดจามีเหตุผลดี หรือจะกล่าว่าเลือดเย็นไรเความรู้สึกดี น้องชายแท้ๆ ของตนเองถูกฆ่า หัวขาดออกจากตัว ยังสามารถนิ่งเฉยเช่นนี้ได้ ดูท่าแล้วคนของประเทศM บางทีก็ไร้มนุษยธรรมเช่นนั้น

เย่เทียนเฉินนอนหลับอยู่บนหลังคารถ ฟังบทสนทนาของโกสต์และชาโดว์ด้วยรอยยิ้ม เจ้าสองคนนี้เห็นชัดๆ ว่าหนีเพราะรักตัวกลัวตาย ยังมาทำเป็นพูดจาเคร่งครัดอีก แสร้งทำเป็นเสียอกเสียใจกับการตายของน้องสาม ช่างปลอมเปลือกเสียจริง

ในขณะเดียวกันเมื่อได้เห็นฝีมือของโกสต์และชาโดว์ ก็ยิ่งทำให้เย่เทียนเฉินตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะต้องถอนรากถอนโคนกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิต ความสามารถของโกสต์และชาโดว์ ทหารหน่วยรบพิเศษและสายลับธรรมดาๆ ไม่อาจรับมือได้ หากไม่ฆ่าสองคนนี้ ภายภาคหน้าจะต้องคุกคามไปถึงพี่น้องชาวจีนแน่นอน

โกสต์ขับรถอย่างบ้าคลั่งราวๆ หนึ่งชั่วโมง รถก็หยุดลงที่ถนนอาชญากรรมในวอชิงตัน ที่เรียกว่าถนนอาชญากรรมก็เพราะที่นี่ทั้งปล้นฆ่าข่มขืน อาชญากรรมทุกอย่างล้วนเกิดทั้งหมด แต่ตำรวจของรัฐบาลประเทศMไม่กล้าสอดมือเข้ามาจัดการ เพราะที่นี่มีกลุ่มทหารรับจ้างที่แข็งแกร่งอยู่ และยังมีแก๊งมาเฟียอันดับหนึ่งแห่งวอชิงตันอยู่อีกด้วย จึงทำได้เพียงปล่อยให้เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้น

เมื่อนำรถจอดไว้ด้านหน้าตึกที่มีไฟสลัวๆ โกสต์และชาโดว์ก็รีบลงจากรถ นี่เป็นรังของกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิต แมคเคียร์ยังคงรอรายงานสถาการณ์จากพวกเขาอยู่ที่ชั้นบนสุดของตึก ไม่รู้ว่าหากข่าวที่ทหารทั้งหมดของสิบปีศาจตายไปหมดสิ้นถูกรายงานไปยังแมคเคียร์ เขาจะมีปฏิกริยาอย่างไร

เย่เทียนเฉินลงจากรถ มองตึกที่มีไฟสลัวตึกนี้ครู่หนึ่ง หน้าประตูมีชายผิวดำตัวใหญ่สองคนยืนอยู่ เย่เทียนเฉินมองครู่หนึ่ง เขาราวกับได้ยินลมหายใจแห่งความตาย หยิบบุหรี่มวนหนึ่งออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วจุบขึ้นสูบ สองมือล้วงกระป๋า เดินไปยังตึกแห่งนั้นโดยไม่หลบซ่อน…

……………………………………………………………

บทที่ 91 ความโกรธครั้งแรก
Ink Stone_Fantasy
“อ๊าก…”

เสียงกรีดร้องดังขึ้น เย่เทียนเฉินยังคงยืนอยู่ที่เดิม ส่วนบลัดกรีดร้องออกมาพลางกระเด็นออกไปแล้วตกลงสู่พื้นอย่างแรง มือขวาของเขาบิดจนเปลี่ยนรูป เลือดสดๆ ไหลออกมาไม่ขาดสาย เกรงว่าแม้แต่กระดูกก็แหลกจนใช้การไม่ได้ ใบหน้าของเขาขาวซีดไปทั้งหน้า เจ็บจนแยกเขี้ยวพลางลุกขึ้นมาจากพื้น มองไปทางเย่เทียนเฉินอย่างโหดดหี้ยม ในดวงตาเต็มไปด้วยความสั่นสะท้าน

หนึ่งหมัด เพียงแค่หนึ่งหมัดเท่านั้น หมัดนี้ของบลัดใช้แรงเต็มกำลัง ส่วนเย่เทียนเฉินเพียงแค่ยกหมัดขึ้นมาต้อนรับตามใจ ก็ทำให้เขาถูกต่อยจนกระเด็น มือขวาแหลกเหลวกระดูกหัก เกรงว่าชั่วชีวิตมือขวานี้คงไม่อาจใช้การได้ พิการไปแล้วโดยสิ้นเชิง

เฟยอวิ๋นที่อยุ่อีกด้านหนึ่งก็ตกใจจนคางแทบร่วง บลัดเป็นคนที่เขารับมือ เมื่อสักครูทั้งสองสู้กันอย่างรุนแรงไปครึ่งชั่วโมงกว่า เขาย่อมเข้าใจความสามารถของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี ตามฝีมือแล้ว บลัดนับว่าอ่อนแอที่สุดในหมู่สามคนนี้ แต่จุดที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาเพียงจุดเดียวก็คือพลังกาย พลังกายที่แข็งแกร่งมาก หนึ่งหมัดมีพลังถึงหนึ่งพันจวิน(ประมาณหนึ่งหมื่นห้าพันกิโลกรัม) เมื่อสักครู่เฟยอวิ๋นเองก็โดนไปหลายหมัดจนเลือดแทบพุ่งกระฉูด

ตอนนี้ เย่เทียนเฉินเองก็สะบัดหมัดไปมา ท่าทางราวกับไม่ได้ใช้แรงมากมายอะไร แต่กลับซัดบลัดจนกระเด็นออกไปและมือขวาหักงอจนเลือดสดๆ หยดออกมา

“แก…” โกสต์กัดฟันลุกขึ้นยืน มือซ้ายกุมไหล่ขวาของตน มือขวาของเขาสูญเสียความรู้สึกไปแล้ว กระทั่งความรู้สึกเจ็บปวดก็ไม่มี นี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่ดีเลย

“ดูแล้วกำปั้นของแกจะแข็งไม่พอ” เย่เทียนเฉินยังคงกล่าวกับโกสต์ด้วยรอยยิ้ม

“ไอ้เอเชียขี้โรคเอ๊ย สมควรตายให้หมด!” บลัดตะโกนออกมาอย่างเกรียวกราด

เย่เทียนเฉินใบหน้ามืดครึ้ม ทันใดนั้นก็เหลือทิ้งไว้เพียงเงารางๆ ที่จุดเดิม ความเร็วเกือบจะถึงระดับสุดยอด เขาเองก็เริ่มโกรธบ้างแล้ว ไม่คิดเลยว่าในโลกแห่งนี้ ผ่านไปหลายปีขนาดนนี้แล้ว คำว่าไอ้เอเชียขี้โรค ประชาชนชาวจีนลืมเลือนกันไปนานแล้ว แต่ยังคงหยั่งรากลึกอยู่ในใจของชาวต่างชาติ พวกเขาดูถูกชาวจีนอย่างพวกเราจากก้นบึ้งของหัวใจ ผ่านหลายร้อยปีแล้ว ก็ยังคงเล่าลือกันรุ่นสู่รุ่นว่าพวกเราชาวจีนเป็นไอ้เอเชียขี้โรค

ซู่!

เลือดสดๆ สาดกระเซ็น ความเร็วของเย่เทียนเฉินเกือบจะถึงขีดสุด ดูเหมือนว่าคนทั้งหมดต่างก็เห็นไม่ชัดเจนว่าเขาลงมืออย่างไร จึงใช้มีดฟันหัวบลัดขาดได้ ตอนนี้บนร่างของเย่เทียนเฉินอัดแน่นไปด้วยบรรยากาศแห่งความดุร้ายจนโกสต์และชาโดว์ตกใจ แม้จะเห็นน้องสามถูกฆ่าก็ยังอดไม่ได้ที่จะก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ไม่กล้าเข้าไปใกล้

“เอเชียขี้โรค? ฉันว่าคนประเทศMของพวกแกสิขี้โรค ต่อไปนี้ใครกล้าพูดคำนี้อีก แล้วถูกฉันเย่เทียนเฉินได้ยิน จะเป็นเหมือนไอ้หมอนี่!”

เมื่อกล่าวจบ เย่เทียนเฉินก็พลันโยนศีรษะของโกสต์ไปบนอากาศดังฟิ้ว ก่อนจะตกลงมาบนฟื้นอย่างแรง เขาโกรธขึ้นมาจริงๆ แล้ว ไม่ว่าจะอย่างไร ในฐานะของลูกหลานชาวจีน ในชาติก่อนก็เคยต่อสู้ทั้งวันทั้งคืน ปกป้องมนุษยชาติจากภัยอันตราย เขาไม่ได้แบ่งแยกชาติพันธุ์ เพราะว่าในชาติก่อนไม่มีประเทศอะไรอยู่เลย ไม่มีชนเผ่า มีเพียงแค่คุณอ่อนแอก็ถูกรังแกหรือถูกกิน นั่นเป็นโลกที่คนกินคนโดยแท้จริง มันก็ง่ายๆ เท่านี้เอง

แม้ว่าจะไม่มีการแบ่งแยกชาติพันธุ์ แต่เย่เทียนเฉินก็ยังเป็นลูกหลานชาวจีน ดังนั้นเขาจึงไม่อนุญาตให้ใครพูดจาดูถูกเผ่าพันธุ์ของตนเอง นี่คือความนับถือในชาติพันธุ์ สูงส่งเกินกว่าขอบเขตของปัจเจกบุคคลไปแล้ว

“น้องสาม ไอ้หมูตะวันออกสมควรตาย ฉันจะฆ่าแก…” ชาโดว์ได้สติกลับมาก็ตะโกนเสียงดังลั่นพลางพุ่งเข้าใส่เย่เทียนเฉิน

“ไป!”

โกสต์ลากชาโดว์ที่ต้องการพุ่งเข้าไปสู้แลกชีวิตกับเย่เทียนเฉิน เขารู้ดีว่าหากชาโดว์พุ่งเข้าไปจะต้องมีจุดจบเช่นเดียวกับน้องสามบลัดอย่างแน่นอน ชายวัยรุ่นชาวตะวันออกที่ยืนอยู่เบื้องหน้าพวกเขาโกรธขึ้นมาจริงๆ แล้ว ไม่รู้ว่าทำไม ความเข้มข้นของกลิ่นไอแห่งความโหดเหี้ยมบนร่างจึงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับสัตว์ร้ายที่โมโห ใครกล้าเข้าใกล้ จะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย กระทั่งโกสต์ก็ไม่ปฏิเสธโอกาสในการสู้กับเย่เทียนเฉิน ดังนั้นจึงลากน้องสองชาโดว์หนีไป

“ตามไป จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ไม่ได้!” หลิวอวี่ได้สติกลับมาก็เรียกเจียงเหมิงแบะเฟยอวิ๋น เตรียมตามไปฆ่าโกสต์และชาโดว์

“ไม่จำเป็น ให้ฉันไปเถอะ พวกนายกลับไปคุ้มครองหลิ่วหรูเหมย” เย่เทียนเฉินเปิดปากกล่าว

“สหายเย่ ถ้าหากแดม่อนโกสต์กับชาโดว์หนีไปได้ อาจจะมีเรื่องยุ่งยากตามมามาก” ทัศนคติในใจของหลิวอวี่ที่มีต่อเย่เทียนเฉินเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ดังนั้นคำเรียกก็ไม่เหมือนเดิม เขารู้ว่าบางทีเมื่อก่อนตนอาจจะเข้าใจเย่เทียนเฉินผิดไป คนหนุ่มที่มีฝีมือแข็งแกร่งอย่างมากคนนี้ ไม่เพียงแต่ไม่มีความยโสเลยแม้แต่น้อย กลับมีคุณธรรมน้ำใจเป็นอย่างมา

“ผมรู้ครับ ดังนั้นผมต้องตามไปโจมตี แล้วก็ถือโอกาสทำลายรังของพวกกลุ่มทหารารับจ้างมารโลหิต พอถึงเวลาพวกคุณก็ไปทำการแลกเปลี่ยนก่อน ผมจะตามไปให้เร็วที่สุด” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางพยักหน้า

เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นมองกันครู่หนึ่ง พวกเขาไม่ใช่คนที่ไม่ฟังเหตุผลอะไร เพียงแต่ตอนเริ่มแรกยังไม่มีความมั่นใจในตัวเย่เทียนเฉินก็เท่านั้น ก็แค่อายุยี่สิบปี ถึงกับมีฝีมืออันเก่งกาจเช่นนี้ รวมกับการเยาะเย้ยถากถางของเย่เทียนเฉินบนเฮลิคอปเตอร์ ทำให้พวกเขาไม่พอใจเป็นอย่างมาก แต่ตอนนี้ดูแล้วคำพูดเหล่านั้นของเย่เทียนเฉินเตือนสติพวกเขา ศัตรูครั้งนี้แข็งแกร่งมาก ไม่อาจลำพองใจได้ ไม่อาจดูแคลน และไม่อาจคิดไปเองได้

“สหายเย่ เรื่องราวที่ผ่านมาต้องขอโทษด้วย” เจียงเหมิงกล่าวอย่างจริงใจ

“ฉัน นายถูกพูด หองทัพเหยี่ยวเป็นกองทหารปัจเจกที่แข็งแกร่งที่สุดในประเทศ แต่ที่ต่างประเทศยังมีองค์กรที่แข็งแกร่งกว่าอยู่…”

เย่เทียนเฉินมองเจียงเหมิงและฟยอวิ๋น ความจริงแล้วเย่เทียนเฉินค่อนข้างชื่นชมพวกเขาทั้งสอง เพียงแต่เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นโอหังเกินไป โอหังซึมลึกไปถึงกระดูก คิดว่ากองทัพเหยี่ยวไร้คู่ต่อกรในใต้หล้า นี่ช่างย่ำแย่เหลือเกิน เพราะเย่เทียนเฉินเข้าใจดีกว่า ในโลกนี้มีผู้แข็งแกร่งขากพรรควรุทธโบราณอยู่เช่นกัน และมีผู้มีพลังพิเศษที่พลังแข็งแกร่งอยู่ด้วย คนธรรมดาต่อให้เก่งกาจเพียงใด หากต้องปะทะกับคนเหล่านี้ ก็มีเพียงเส้นทางแห่งความตายให้ก้าวเดิน

“พวกนายสามคนไปรักษาอาการบาดเจ็บให้ดีดีเถอะ ปฏิบัติการแลกเปลี่ยนในคืนนี้ อย่ามาถ่วงขาพี่ชายก็แล้วกัน!” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม จากนั้นจึงไล่ตามโกสต์และชาโดว์ไป

ครั้งนี้ เมื่อได้ยินคำพูดไม่น่าเชื่อถือเช่นนี้ของเย่เทียนเฉิน หลิวอวี่ เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นต่างไม่โกรธ กลับรู้สึกว่าคนคนนี้ ในตอนที่จริงจังก็ยังแสดงนิสัยอันธพาลออกมาเล็กน้อย แม้ว่าจะดูเหมือนลูกผู้ดีเสเพลอยู่บ้าง แต่ก็มีความจริงใจต่อพวกพ้องเพื่อนฝูง

เย่เทียนเฉินพุ่งออกไปจากคฤหาสน์ตระกูลหลิ่ว เขาติดตามโกสต์และชาโดว์ไป ตอนที่สิบปีศาจแห่งกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิตบุกโจมตีเข้ามา เย่เทียนเฉินก็มีแผนการอยู่แล้วว่าจะไม่ฆ่าทั้งหมด จะต้องเหลือไว้คนสองคน เพราะเขาจะใช้โอกาสนี้หารังของกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิต และจัดการกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิต ถอนรากถนอโคนองค์กรนี้ซะ มีเพียงเช่นนี้ถึงจะนับว่าได้แก้แค้นให้แกสหายศึกที่พลีชีพไปที่ป่าหมอกดำอย่างแม้จริง

เกิดเป็นอัจฉริยะ ตายไปก็เป็นผีวีรบุรุษ เกิดเป็นผู้ชาย หากไม่สามารถแก้แค้นให้พี่น้องของตนที่ตายไป ไม่สามารถคุ้มครองคนของตนได้และทำให้พวกเขาต้องพบกับความอัปยศ อยู่ไปจะมีความหมายอะไร?

“เย่เทียนเฉินล่ะ?” หลิ่วหรูเหมยกล่าวถามด้วยความร้อนใจ

หลิ่วหรูเหมยและหย่งชุนไท่ตามมา หย่งชุนไท่เพียงได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร หลิวอวี่ เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นต่างก็อยู่ที่นี่ มีเพียงเย่เทียนเฉินที่ไม่เจอ

“เขาตามไปฆ่าโกสต์และชาโดว์ครับ” หลิวอวี่กล่าวรายงาน

“เจ้าหมอนี่ทำไมบ้าบิ่นขนาดนี้ ไม่รู้รึไงว่าอย่าต้อนสุนัขให้จนตรอก?” ใบหน้าอันงดงามของหลิ่วหรูเหมยบูดบึ้ง กล่าวออกมาอย่างโกรธเคือง

“เขาบอกว่าถ้าถึงเวลาแล้ว ให้พวกเราไปทำการแลกเปลี่ยนก่อน เขาจะตามมาแน่” เจียงเหมิงกล่าว

“เจ้าโง่นี่ ช่างทำให้คนโกรธจนตายได้จริงๆ เลย” หลิ่วหรูเหมยปากก็ด่าเย่เทียนเฉิน แต่น้ำเสียงที่ได้ยินนั้นเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ให้อารมณ์ของภรรยาบ่นสามี

“เฮอๆ ไอ้หนูเย่เทียนเฉิน ถึงจะไม่ค่อยน่าเชื่อถือ แต่เมื่อกระทำใดๆ ก็รู้จักหนักเบา การต่อสู้ในครั้งนี้ยอดบอดี้การ์ดของคฤหาสน์ตระกูลหลิ่วตายกับเกือบหมด สูญเสียอย่างใหญ่หลวง ต่อไปอาจจะต้องเผชิญหน้ากับผู้มีพลังพิเศษ ก็ยิ่งอันตราย หวังว่าทุกคนจัเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ถึงขั้นเป็นตาย” หย่งชุนไท่กล่าวยิ้มๆ

“ครับ!” พวกหลิวอวี่ทั้งสามตอบรับพร้อมกัน

หลิวอวี่ เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋น ทั้สามเรียกรวมบอดร้การ์ดที่ยังไม่ตายและพอเคลื่อนไหวได้ให้เก็บกวาดคฤหาสน์ตระกูลหลิ่วที่พินาศย่อยยับ กระทั่งมีศพอยู่เต็มพื้น มีทั้งศพไร้หัว และพื้นที่เต็มไปด้วยเลือดสดๆ มองดูแล้วทำให้ผู้คนรู้สึกตื่นกลัว

“ไปเถอะคุณหนู เจ้าหนูนั่นไม่เป็นอะไรหรอก อย่าได้เป็นห่วงไปเลย!” หย่งชุนไท่เห็นหลิ่วหรูเหมยยืนอยู่กับพี่ มองไปยังประตูรั้วของคฤหาสน์ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวล จึงได้หล่าวขึ้น

“ใคร ใครเป็นห่วงเขากันคะ หนูก็แค่กลัวว่าถ้าเจ้าคนชั่วนั่นตายไป จะกระทบกับปฎิบัติการครั้งนี้” หลิ่วหรูเหมยได้สติกลับมาก็กล่าวด้วยใบหน้าแดงก่ำ แต่สายตากลับยังมีเจือแววกังวลที่มิอาจลบออกไปได้

หากจะกล่าวว่าหลิ่วหรูเหมยหลงรักเย่เทียนเฉินเข้าแล้ว ก็ดูจะเร็วเกินไป รวมกับเรื่องที่ถูกใส่ร้ายเมื่อก่อน ทำให้เป็นไปไม่ได้โดยสิ้นเชิง แต่ว่าโดยที่ไม่รู้ตัว ในใจของเธอก็ได้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่อเย่เทียนเฉิน เปลี่ยนแปลงทัศนคติ เนื่องจากหากไม่ใช่เพราะเจ้าคนชั่วนั่น เธอก็เกือบจะตายไปแล้วถึงสองครั้ง เมื่อก่อนทั้งคู่มีความสัมพันธ์ที่ต้องพัวพันกันอุตลุด พบหน้สกันอย่างอึดอัดใจ แต่ตอนนี้ความสัมพันธ์ของทั้งสองกำลังเกิดความเปลี่ยนแปลงช้าๆ ไม่ว่าเย่เทียนเฉินจะมีความรู้สึกต่อเธอหรือไม่ ในใจของหลิ่วหรูเหมยก็เป็นเช่นนี้ไปเสียแล้ว

หย่งชุนไท่เห็นทุกสิ่งเหล่านี้ในสายตา หลิ่วหรูเหมยก็เป็นดั่งหลานสาวแท้ๆ ของเธอ ถ้าหากหลิ่วหรูเหมยสามารถแต่งให้กับสามีที่แข็งแกร่งเช่นเย่เทียนเฉิน ก็นับว่าไม่เลวเลยทีเดียว เพียงแต่ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสตระกูลหลิ่วและผู้อาวุโสตระกูลเย่จะเห็นด้วยหรือไม่? หรืออาจกล่าวได้ว่าด้วยนิสัยของเย่เทียนเฉิน หากถึงจุดนี้เข้าจริงๆ ผู้อาวุโสทั้งสองคงไม่หวังอะไรกับเขาแล้ว

เย่เทียนเฉินไม่รู้ว่าหลิ่วหรูเหมยเป็นห่วงเขา หากว่ารู้ เกรงว่าจะต้องเกิดสงครามปากครั้งใหญ่กับเธออีกครั้งเป็นแน่ ตอนนี้เขาตามการผันผวนของพลังของโกสต์และชาโดว์ไป ตามไปเงียบๆ ตลอดทาง เพื่อจะไปถอนรากถอนโคนกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิต

โกสต์และชาโดว์คิดว่าพวกตนหนีมาได้แล้ว แต่กลับไม่รู้ว่าถูกเย่เทียนเฉินใช้พลังพิเศษแห่งการรับรู้ล็อคเป้าเอาไว้นานแล้ว ความผันผวนของพลังงานภายในร่างกายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เมื่อสักครู่ที่ฆ่าบลัด เย่เทียนเฉินก็ใช้พลังพิเศษแห่งการรับรู้ล็อคเป้าไปยังพลังภายในร่างกายของโกสต์และชาโดว์ ต่อให้พวกเขาวิ่หนีไปไกลเพียงใด ใช้วิธีไหนในการหนี ล้วนไม่มีประโยชน์ จะต้องถูกเย่เทียนเฉินติดตามไปได้อย่างแน่นอน

………………………………………………………………………..

บทที่ 90 อำนาจที่แผ่ออกมา
Ink Stone_Fantasy
แซนเบเกอร์ต้องการสละชีพของสมาชิกสิบปีศาจทั้งสามคนเพื่อขวางเย่เทียนเฉินให้ได้ชั่วครู ให้ตนเองมีโอกาสหนีเอาชีวิตรอดแต่กลับไม่รู้ว่าเย่เทียนเฉินใช้พลังพิเศษแห่งการรับรู้ไปตั้งนานแล้ว และรู้เหตุการณ์ทุกอย่างภายในคฤหาสน์ตระกูลหลิ่วดั่งฝ่ามือของตน จะอย่างไรเขาก็หนีไม่พ้น

ตอนนี้แซนเบเกอร์เจอโกสต์ เขาถอนใจออกมาครั้งหนึ่ง เนื่องจากในหมู่สมาชิกสิบปีศาจ หัวหน้าอย่างโกสต์มีความสามารถแข็งแกร่งที่สุด กล่าวได้ว่าเป็นคนที่มีฝีมือเก่งกาจที่สุดในกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิต ดังนั้นเขาจึงคิดว่าขอเพียงตนเองเจอโกสต์ ต่อให้เย่เทียนเฉินจะเก่งกาจ แต่ก็คงสามารถหยุดเขาไว้ได้ใช่ไหม?

ไหนเลยจะรู้ว่า แซนเบเกอร์เพิ่งจะตะโกนเรียโกสต์ เย่เทียนเฉินก็ตามมาถึงแล้ว ณ บริเวณห่างออกไปสิบเมตรกว่า มือขวารวบรวมพลังพิเศษฟันออกไปในแนวนอนไปยังศีรษะของแซนเบเกอร์ ราวกับใบมีดลายลมก็มิปาน จนทำให้ศีรษะของแซนเบเกอร์ถูกฟันขาด

แซนเบเกอร์ที่น่าสงสาร เดิมทีคิดว่าการขายพวกพ้องอีกครั้ง การเจอโกสต์ จะสามารถทำให้มีชีวิตรอดไปได้ แต่กลับไม่รู้ว่าเย่เทียนเฉินพูดออกมาแล้วว่าจะฆ่าเขา ก็ย่อมไม่ให้เขารอดออกไปจากคฤหาสน์ตระกูลหลิ่วโดยเด็ดขาด

“นี่ถึงจะเป็นการล้างแค้นให้เหล่าพี่น้องที่ตายไปที่ป่าหมอกดำอย่างแท้จริง!” เย่เทียนเฉินกล่าวออกมาอย่างเย็นชา ก้าวออกมาทีละก้าวปรากฏตัวเบื้องหน้าพวกโกสต์

พี่น้องยิ่งใหญ่ สั่นไหวดินฟ้า ใครกล้าทำลาย ข้าจักคืนสนอง! นี่คือศรัทธาของเย่เทียนเฉิน และเป็นสิ่งที่เขามอบให้แก่วิญญาณของเหล่าสหายศึกที่ตายไป ณ ป่าหมอกดำ

ตอนนี้ หลิวอวี่ เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นสามคน โกสต์และสมาชิกสิบปีศาจอีกสองคน ซึ่งก็คือชาโดว์และบลัด ต่างก็หยุดการโจมตีฆ่าฟันอีกฝ่ายและมองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างตกตะลึง ไม่เพียงแต่โกสต์ที่สั่นสะท้าน กระทั่งพวกหลิวอวี่ทั้งสามก็ยังขมวดคิ้ว โดยเฉพาะหลิวอวี่ เขาเคยประมือกับเย่เทียนเฉินมาก่อน ตอนนั้นเย่เทียนเฉินก็ได้กระตุ้นความสามารถขอบเขตจอมราชันเช่นกัน ทำให้เขาพ่ายแพ้ เพียงแต่เขาไม่รู้ก็เท่านั้น

แต่ตอนนี้ เย่เทียนเฉินเค้นพลังขอบเขตจอมราชันไปจนถึงขีดสุด นี่เป็นความสามารถที่ก้าวข้ามขอบเขตเล็กๆ จนไม่อาจนำมาเทียบกันได้ ดังนั้นหลิวอวี่จึงยิ่งสั่นสะท้าน หากว่าตนเองในตอนนี้ไปหาเรื่องเย่เทียนเฉิน…ไม่อยากจะคิดเลย

“แกเป็นใคร?” โกสต์รู้สึกถึงกลิ่นอายอำนาจบนร่างกายเย่เทียนเฉินที่ราวกับกลับไปเป็นสัตว์ป่าก็มิปาน พอได้เริ่มลงมือโจมตี จะต้องทำให้ผู้คนสั่นสะท้านอยู่ในใจ

“คนที่จะมาฆ่าพวกแกไง” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม

โกสต์ขมวดคิ้ว แม้ว่าเขาจะตื่นตกใจกับความสามารถของเย่เทียนเฉินอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เชื่อว่า ตนเอง ชาโดว์ และบลัด หากมีสามพี่น้องนี้อยู่ ต่อให้อีกฝ่ายฝีมือแข็งแกร่งก็ไม่อาจฆ่าพวกเขาได้แน่นอน

เนื่องจากพวกเขาทั้งสาม เป็นพี่น้องแท้ๆ และเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน ไม่เพียงเป็นสามคนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่สิบปีศาจ ในเวลาต่อสู้ยังสามารถเชื่อมต่อจิตวิญญาณถึงกันได้ สู้กับทั้งสามเช่นนี้ ก็เท่ากับหนึ่งคนเผชิญหน้าสามยอดฝีมือ ทั้งยังเป็นสามยอดฝีมือที่เข้าขากันอีกด้วย ที่ผ่านมายังไม่เคยพ่ายแพ้ โกสต์มีความมั่นใจในตนเองเช่นนี้

“เฮอะ พูดมาได้ไม่อายปาก ต่อให้ฝั่งตะวันออกของแกส่งราชาปีศาจมา ฉันก็จะฆ่าไม่เลี้ยง” โกสต์สบถอย่างเย็นชา

เย่เทียนเฉินได้ยินคำพูดของโกสต์ก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป สองมือล้วงกระเป๋ากางเกง เดินมาด้วยท่าทางอันธพาลและหล่อเหลา เขาไม่ได้ดูเบาโกสต์ รู้ดีว่าคนคนนี้แข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งจนสามารถสู้ตอบโต้กับหลิวอวี่ร้อยกระบวนก็ยังไม่แพ้ และสามารถทำให้หลิวอวี่บาดเจ็บได้ รวมทั้งยังมีชาโดว์และบลัดอยู่ หากต้องการฆ่าสามพี่น้อง ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แน่

“เย่เทียนเฉิน แกอย่าลำพองใจไป สามคนนี้ฝีมือแข็งแกร่งมาก” หลิวอวี่เห็นเย่เทียนเฉินเดินมาทางโกสต์เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็รีบเปิดปากกล่าว

แม้ว่าหลิวอวี่และเย่เทียนเฉินจะเคยมีปัญหาถึงขั้นลงมือลงไม้กันมาก่อน จนหลิวอวี่ถูกอีกฝ่ายต่อยกลายเป็นหมีแพนด้า แต่ตอนนี้กำลังเผชิญหน้าอยู่กับคนนอก หลิวอวี่ย่อมยืนอยู่ข้างเดียวกับเย่เทียนเฉิน ทั้งทัศนคติในใจของหลิวอวี่ที่มีต่ออีกฝ่ายก็ได้เปลี่ยนไปบ้างแล้ว คิดว่าเมื่อก่อนตนเองเข้าใจเย่เทียนเฉินผิดไป นี่ไม่ใช่คนบ้า ไม่ใช่วัยรุ่นที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ แต่เป็นคนที่มีสมองเป็นอย่างยิ่ง กระทำการเรียบร้อยว่องไว ฝีมือแข็งแกร่ง ทั้งยังเหนือกว่าตนเอง

“ไม่มีปัญหาหรอก ผมไม่เป็นเหมือนคุณหรอกน่า จะอัดพวกมันให้เป็นหมีแพนด้าเลย” เย่เทียนเฉินหัวเราะฮี่ๆ พลางกล่าวกับหลิวอวี่

“ไอ้เด็กนี่…” หลิวอวี่หัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้โดยสิ้นเชิง เดิมทีตนเองเตือนเย่เทียนเฉินด้วยความหวังดี แต่คนคนนี้กลับมาล้อเขาเล่น อย่างไรก็ตามหลิวอวี่ยังคงรู้สึกนับถือเย่เทียนเฉิน ดูเหมือนว่าคนคนนี้ไม่ว่าจะเวลาใด ต่อให้เป็นช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อที่อยู่ในวิกฤตการณ์ถึงขั้นเป็นตาย ก็มักจะยังคงรักษาสมองอันปลอดโปร่งไว้ได้ ทั้งยังสามารถพูดเล่นได้อีกด้วย

เย่เทียนเฉินมองเจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นที่ยืนอยู่ด้านหนึ่ง พวกเขาเป็นสมาชิกหัวกะทิของกองทัพเหยี่ยว ฝีมือย่อมไม่อ่อนแอ แต่ตอนนี้ก็ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย เพียงพอที่จะเห็นได้ถึงความสามารถอันแข็งแกร่งของชาโดว์และบลัด มิฉะนั้นด้วยฝีมือของเจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นคงฆ่าพวกเขาได้ไปตั้งนานแล้ว ไหนเลยจะมัวมาสู้กันจนถึงตอนนี้

“พวกนายสองคนยังจะอึ้งอยู่ทำไม ไปยืนข้างๆ นู้น รอดูพี่ชายใหญ่อย่างฉันว่าจะเก็บกวาดพวกเขาอย่างไร” เย่เทียนเฉินกล่าวกับเจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นพลางหัวเราะ

ได้ยินคำพูดนี้ของเย่เทียนเฉิน เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นก็ทั้งโกรธทั้งร้อนรน ทั้งหน้าแดงก่ำ พวกเขาทั้งสองต่างก็อายุมากกว่าเย่เทียนเฉิน แต่เจ้าหมอนี่กลับมองพวกเขาเป็นน้องชายตัวน้อย อีกทั้งสู้กับชาโดว์และบลัดมานานขนาดนี้ก็ยังไม่อาจฆ่าพวกเขาได้ ตัวพวกเขาทั้งสองก็ได้รับบาดเจ็บ พลันนั้นก็โกรธจนสองมือกำแน่น อยากจะพุ่งเข้าไปสู้สุดชีวิตต่อไป

“นี่นี่ ทำอะไร? เจ้าสามหน่อนี่ฉันจะฆ่าเอง พวกนายไปดูอยู่ข้างๆ เถอะ ดูจากสภาพพวกนายตอนนี้แล้ว ต้องสักผ่อนสักหน่อยถึงจะดี!” เย่เทียนเฉินเห็นว่าเจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นตั้งท่าจะเข้าไปสู้ต่อ ก็รีบตะโกนหยุดพวกเขาไว้

“ไอ้หนูนี่ ตกลงจะให้พวกเราทำยังไงกันแน่?” เจียงเหมิงอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมา

“อย่าคิดว่ามีแต่แกคนเดียวที่สามารถฆ่าศัตรูได้นะ” เฟยอวิ๋นเองก็โกรธจนต้องพูดออกมา

“เฮ้อ พวกนายสองคนนี่ ฝีมือแข็งแกร่งพอ แต่ว่าหุนหันพลันแล่นเกินไป ถ้าหากฉันเป็นศัตรูพูดจากระตุ้นแค่ไม่กี่ประโยค พวกนายก็พุ่งเข้าไปสู้สุดชีวิตแล้ว ไม่ใช่ว่าตกหลุมพลางเอาง่ายๆ เหรอไง? อีกอย่างด้วยสภาพของพวกนายตอนนี้ ใช้พลังกายไปจนเกินขีดจำกัดแล้ว หากเข้าไปสู้อีก จะต้องตายอย่างไม่ต้องสสัยเลย” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางส่ายหัว

“แก…ไม่ต้องให้แกมาสนใจหรอก พวกเราไม่กลัวตาย”

“ใช่ ต่อให้พวกเราสู้จนตาย ก็เป็นการสู้เพื่อเกียรติยศ ตายเพื่อความรุ่งเรืองของประเทศจีน” เฟยอวิ๋นมองเย่เทียนเฉินอย่างดุดันพลางกล่าว

“ผิดแล้ว พวกนายสองคนเป็นสมาชิกระดับหัวกะทิของกองทัพเหยี่ยว เป็นตัวแทนองประเทศออกไปสู้ ถ้าหากพวกนายตาย ฉันคิดว่าพวกชาวต่างชาติจะต้องลือกันออกไปอย่างบ้าคลั่ง บอกว่าสมาชิกหัวกะทิของกองทัพปัจเจกที่แข็งแกร่งที่สุดของจีนอะไรนั่น ที่ประเทศMสู้ได้ไม่เอาไหน ถึงตอนนั้นคงเสียหน้าครั้งยิ่งใหญ่ เกรงว่าจะไม่มีเกียรติยศอะไรเลย…” เย่เทียนเฉินถอนหายใจ

เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นชะงักไปชั่วครู่ พวกเขาไม่คิดเลยว่า เย่เทียนเฉินที่ทำเป็นเล่นมาตลอด ทั้งยังดูเหมือนอันธพาล ในเวลาเช่นนี้จะสามารถพูดคำพูดแบบนี้ออกมาได้ ทั้งยังพูดได้มีเหตุผลเป็นอย่างมาก การที่พวกเขาสองคนตายด้วยน้ำมือของกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิต สำรับกองทัพเหยี่ยวของจีนแล้ว เป็นการโจมตีที่ร้ายแรงที่สุด กระทั่งอาจส่งผลกระทบต่อเกียรติ์และศักดิ์ศรีของกองทัพเหยี่ยว ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของจีน

“พวกแกคุยกันเสร็จรึยัง ชื่อเสียงของพวกชาวเอเชียตะวันออกป่วยๆ อย่างพวกแกถึงตอนนี้ก็ยังโด่งดังในระดับนานาชาติอยู่ อย่าเถียงกันเลย ยังไงก็ต้องตายทุกคน!” บลัดมองเย่เทียนเฉินอย่างเหยียดหยามพลางกล่าว

“งั้นแกก็เข้ามาลองดูก็ได้ อย่ามาทำให้พี่ชายเสียเวลานอนสิ” เย่เทียนเฉินหาวออกมาครั้งหนึ่ง ไม่มองบลัดแม้แต่น้อย ทั้งยังไม่เอาอย่างบลัดที่พูดจาอวดเก่ง

สองมือของบลัดกำแน่นจนส่งเสียงออกมา แต่ไหนแต่ไรไม่เคยเจอคนที่กล้าดูถูกตนเองเช่นนี้มาก่อน ทันใดนั้นก็พุ่งเข้าไปหาเย่เทียนเฉินโดยไม่สนใจอะไร เตรียมจะฆ่าเขาทิ้งซะ

“ฉันจะให้แกได้ลิ้มรสชาติของการถูกหมัดต่อยจนแหลก” บลัดพุ่งเข้าไปหาเย่เทียนเฉินพลางกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มเย็น มั่นใจในตัวเองอย่างเต็มที่

“กลัวก็แต่ว่าหมัดของแกจะไม่แข็งพอ”

เผชิญหน้ากับการจู่โจมอันแข็งกร้าวของบลัด เย่เทียนเฉินก็ยังคงยืนอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อน ทำเพียงเลื่อนมือขวาของตนออกจากกระเป๋ากางเกง เตรียมตัวตอบโต้ เมื่อสักครู่ต้องการจะจบการต่อสู้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นเมื่อเย่เทียนเฉินลงมือ ก็กระตุ้นพลังของขอบเขตจอมราชันในร่างกายออกมา ฆ่าแซนเบเกอร์รวมทั้งสมาชิกสิบปีศาจทั้งสี่คนในพริบตา ตอนนี้มองดูบลัดพุ่งเข้ามา แม้เย่เทียนเฉินจะกระตุ้นพลังขอบเขตจอมราชัน แต่ก็ไม่อยากใช้พลังพิเศษ อยากใช้เพียงร่างกายล้วนๆ และความสามารถของร่างกายตนเองในการสู้กับบลัด

ชาติก่อนเย่เทียนเฉินมักจะไม่ใช้พลังพิเศษในการต่อสู้กับผู้แข็งแกร่ง เป็นเพราะเย่เทียนเฉินที่ก้าวไปถึงผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษระดับพระเจ้านั้น เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า ผู้มีพลังพิเศษคนหนึ่งหากต้องการแข็งแกร่งยิ่งขึ้น หากต้องการทะลวงเข้าสู่ขอบเขตที่สูงยิ่งขึ้น จนกระทั่งไปถึงระดับของผู้แข็งแกร่งที่มีพลังจอมเทพราชัน นอกจากการหล่อหลอมพลังพิเศษในร่างกายของตนและการซึมซับพลังธรรมชาติเข้าสู่ร่างกายแล้ว ยังต้องพัฒนาความแข็งแกร่งของกายเนื้ออีกด้วย

ก็แค่หลักการง่ายๆ หลักการหนึ่ง แม้ว่าการทะลวงขอบเขตของพลังพิเศษจะทำให้พลังพิเศษที่แฝงอยู่ในร่างกายของผู้มีพลังแข็งแกร่งยิ่งขึ้น แต่ถ้ากายเนื้อไม่แข็งแกร่งงพอ เส้นเอ็นและกระกระดูกไม่แข็งแกร่งพอ เช่นนั้นจุดจบก็มีเพียงอย่างเดียว ก็คือร่างกายระเบิดจนตาย เพราะพลังพิเศษในร่างกายอัดแน่นจนระเบิด

“น้องสาม กลับมา!” โกสต์ตกตะลึงไปชั่วครูแล้วจึงรีบตะโกนออกมา

โกสต์คือคนที่ฝีมือแข็งแกร่งที่สุดในหมู่สิบปีศาจ กระทั่งหลิวอวี่ก็มีแนวโน้มรางๆ ว่าจะไม่ใช่คู่มือของเขา เพียงแต่ถ้าเขาต้องการเอาชนะหลิวอวี่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ชาโดว์และบลัดเป็นอันดับสองและสาม ฝีมือไม่อาจสู้ตนเองได้ ทั้งยังหุนหันพลันแล่นเกินไป ย่อมมองไม่ออกว่าชายวัยรุ่นชาวตะวันออกที่ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มตลอดเวลา ที่กำลังยืนยืนเบื้องหน้าพวกเขาคนนี้ แข็งแกร่งเพียงใด

แม้ว่าโกสต์จะไม่รู้ว่าเย่เทียนเฉินแข็งแกร่งขนาดไหน แต่ก็สามารถฟันธงได้ว่า ชาโดว์และบลัดไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเย่เทียนเฉิน กระทั่งตนเองก็ไม่อาจล้มชายวัยรุ่นชาวตะวันออกคนนี้ได้ง่ายๆ

“พี่ใหญ่ ให้ผมอัดสมองเจ้าหมอนี่ให้เละสักหมัด ให้เห็นได้เห็นมันสมองของตัวเองสาดกระจาย…” บลัดไม่ฟังคำสั่ง หัวเราะอย่างชั่วร้ายใส่เย่เทียนเฉินพลางปล่อยหมัดออกไป

ฉัวะ!

ร่างกายของบลัดนับว่าค่อนข้างใหญ่โต เดิมทีชาวต่างชาติก็มีร่างกายกำยำอยู่แล้ว เย่เทียนเฉินยืนเบื้องหน้าเขาจึงให้ความรู้สึกเตี้ยเล็กอยู่บ้าง ดังนั้นบลัดจึงซัดหมัดไปยังศีรษะของเย่เทียนเฉินด้วยความมั่นใจ ทั้งในปากก็ยังตะโกนก้องว่า “ให้แกได้ลิ้มรสชาติของหมัดที่ใหญ่ดั่งกระสอบทรายนี่กระทบสมองสักหน่อย…”

“งั้นมาดูกันว่าหมัดใครจะแข็งกว่ากัน!”

เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม ไม่ได้ออกกระบวนท่าอะไรมากมาย มีเพียงกำปั้นขวาเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่เตรียมปะทะกับกำปั้นอันใหญ่โตราวกระสอบทรายของบลัด…

………………………………………………………..

บทที่ 89 ปีศาจแห่งแดนตะวันออก
Ink Stone_Fantasy
ไม่ลงมือก็ว่าไปอย่าง พอลงมือก็ทำให้ผู้คนตกตะลึง เย่เทียนเฉินใช้หนึ่งหมัดโจมตีผู้มีพลังล่องหนคนนั้นจนตาย และได้รับข้อมูลตำแหน่งที่ตั้งของสำนักงานใหญ่แห่งหน่วยสืบราชการลับพลังพิเศษของประเทศM เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

ตอนที่แซนเบเกอร์เห็นเย่เทียนเฉินก็พลันตกใจจนหน้าซีด แม้ในฝันเขาก็คิดไม่ถึงว่าภายในคฤหาสน์ตระกูลหลิ่วแห่งนี้จะได้พบกับเย่เทียนเฉินอีกครั้ง วันนั้นที่ป่าหมอกดำ เย่เทียนเฉินเข้าโจมตีตอบโต้ ฆ่าล้างสมาชิกชั้นยอดของกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิตของพวกเขา หากไม่ใช่ว่าตัวเขาแซนเบเกอร์ฉลาด เห็นความผิดปกติได้ก่อน เกรงว่าคงกลายเป็นศพไปนานแล้ว

หย่งชุนไท่ได้รับบาดเจ็บจากมีดอยู่หลายแผล แต่กลับโจมตีต่อสู้กับสมาชิกแห่งสิบปีศาจทั้งสามคนต่อไป ตอนนี้เหล่าคนที่เผชิญหน้ากับเย่เทียนเฉินนอกจากแซนเบเกอร์แล้ว ยังมีสมาชิกสิบปีศาจอีกสี่คน เรื่องน่าเศร้าก็คือ เจ้าคนนั้นที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ คิดว่าชายวัยรุ่นชาวตะวันออกร่างผอมบางคนนี้แค่ทำเป็นเก่งไปอย่างนั้น จึงพุ่งเข้าไปหาเย่เทียนเฉินอย่างรวดเร็ว และถูกฆ่าตายไปแล้ว ตายโดยที่ตาทั้งสองเบิกกว้าง มีฐานะเป็นถึงกองกำลังสิบปีศาจที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิต แต่กลับถูกผู้อื่นฆ่า นี่เป็นเรื่องที่ไม่อาจคาดคิดได้ไปตลอดกาล

เมื่อนำศพของสมาชิกหนึ่งในสิบปีศาจโยนลงพื้นไปตามใจแล้ว เย่เทียนเฉินก็เดินไปยังสี่คนที่เหลือด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม ไม่ปรากฏร่องรอยแห่งความโกรธอยู่เลย มีเพียงบรรยากาศกดดันที่ทำให้ผู้คนรู้สึกแทบจะแหลกสลาย หย่งชุนไท่ที่เห็นฉากนี้ ในใจก็อดที่จะรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้ เมื่อสักครู่เธอเข้าใจเย่เทียนเฉินผิด หากไม่ใช่เพราะคำพูดของเย่เทียนเฉิน เธอคงตายไปแล้ว ตอนนี้เย่เทียนเฉินฆ่าสมาชิกของสิบปีศาจไปคนหนึ่ง จะไม่ให้สั่นสะท้านได้อย่างไร

ความสามารถของหย่งชุนไท่กล่าวได้ว่าอยู่ในห้าอันดับแรกของจีน อย่างน้อยในหมู่พรรควรยุทธโบราณก็นับว่าเป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง กระทั่งเป็นถึงคนระดับปรมาจารย์ เธอถูกเจ็ดในสิบปีศาจรมถึงแซนเบเกอร์ล้อมโจมตี แม้ว่าจะสามารถ ใช้ฝีมืออันเยี่ยมยอด ถึงกับฆ่าไปได้สามคน ไม่อาจเรียกได้ว่าไม่แข็งแกร่ง แต่ก็ยังคงถูกมีดฟันจนได้รับบาดเจ็บ หากต้องการฆ่าสมาชิกของสิบปีศาจอย่างสบายๆ เช่นเย่เทียนเฉิน เกรงว่ากระทั่งหย่งชุนไท่ก็ไม่แน่ว่าจะทำได้

“ทำไม ทำไมเป็นแก?” แซนเบเกอร์เห็นเย่เทียนเฉินเดินเข้ามาก็ก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง พลางกล่าวถามออกไปอย่างตะกุกตะกัก

“แซนเบเกอร์ ครั้งที่แล้วแกหนีไปได้ ครั้งนี้หนีไม่ได้แน่ เพราะว่าสหายรบที่ตายไปของฉัน ต้องการให้ฉันล้างแค้นแทนพวกเขา” เย่เทียนเฉินกล่าวเสียงเรียบ เดินเข้าไปหาแซนเบเกอร์ช้าๆ

แซนเบเกอร์เป็นคนเดียวในที่นี้ที่เคยพบเย่เทียนเฉินมาก่อน และรู้ถึงความสามารถของอีกฝ่ายดี ตอนนั้นที่ป่าหมอกดำ เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเย่เทียนเฉิน ไม่ได้เจอกันสองเดือนกว่า เขาก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งของอีกฝ่าย แข็งแกร่งจนถึงระดับที่ไม่อาจประเมินได้ สามารถใช้คำว่าล้ำลึกเกินหยั่งถึงมาอธิบายได้เท่านั้น

“มาช่วยกันฆ่าเขาก่อน ไม่งั้นพวกเราตายแน่” แซนเบเกอร์ได้สติกลับมา เขาตกใจจนหน้าผากปรากฏเหงื่อนเย็นๆ พลางตะโกนบอกกับสิบปีศาจอีกสามคนที่เหลือ

อีกสามคนที่เหลือแม้ว่าจะไม่จำเป็นต้องเชื่อฟังคำสั่งของแซนเบเกอร์ แต่ว่าพวกเขาก็มองออกว่าชายวัยรุ่นชาวตะวันออกผู้นี้แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ถึงกับสามารถฆ่าเพื่อนของตนได้ ทำให้พวกเขารู้สึกขนลุกอยู่ในใจ ถ้าหากว่าพวกตนบุกเข้าไปสู้กับชายชาวตะวันออกคนนี้เดี่ยวๆ จะมีจุดจบที่การถูกฆ่าตายเช่นกันหรือไม่?

ท้ายที่สุดสิบปีศาจที่เหลืออีกสามคนก็มองหน้ากันครู่หนึ่ง เลิกล้มการล้อมโจมตีหย่งชุนไท่พลันพุ่งเข้าไปยังเย่เทียนเฉินจากสามทิศทางราวสายฟ้าฟาด พวกเขาเตรียมจะร่วมมือกันฆ่าเย่เทียนเฉิน เห็นได้ชัดว่ามองอีกฝ่ายเป็นศัตรูตัวฉกาจที่มาจากจีนในครั้งนี้

ตอนที่สามคนที่เหลือพุ่งเข้าไปฆ่าเย่เทียนเฉินอย่างเต็มกำลังอยู่นั้น แซนเบเกอร์ก็เลือกหนทางละทิ้งพวกพ้องอีกครั้งหนึ่ง หมุนกายวิ่งไปยังประตูคฤหาสน์ตระกูลหลิ่วโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย แนวป้องกันในใจของเขาได้พังทลายลงแล้ว คิดว่าตนเองไม่ใช่คู่มือของเย่เทียนเฉินโดยสิ้นเชิง หากไม่หนีก็มีเพียงเส้นทางแห่งความตายให้ก้าวเดิน

“ไม่จริงมั้ง แซนเบเกอร์ แกนี่มันไร้น้ำใจขนาดนี้อีกแล้ว ส่งเพื่อนร่วมทีมไปตายแล้วตัวเองหนี?” เย่เทียนเฉินเห็นแซนเบเกอร์หันตัววิ่งหนีก็กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม

“เฮอะ แกไม่มีทางรอดออกไปจากประเทศMได้แน่ คอยดูแล้วกัน…” แซนเบเกอร์กล่าวคำพูดทิ้งท้ายไว้ประโยคหนึ่ง พลันหนีไปดั่งกระต่ายที่ถูกนายพรานไล่ล่า พริบตาก็พุ่งเขาไปในความมืด

เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว เขาไม่ยอมให้แซนเบเกอร์หนีไปแน่ เพียงแต่ตอนนี้จำเป็นต้องจัดการสามคนที่เหลือนี้ก่อน

ฉัวะ!

ใบมีดฟันลงมายังศีรษะของเย่เทียนเฉินหวังตัดหัวเขาให้ขาด สายตาเย่เทียนเฉินเย็นเยียบ ตอนนี้เขาระเบิดพลังในขอบเขตจอมราชันออกมาทั้งหมดและเข้าสู่โหมดต่อสู้ขั้นสูงสุด เมื่อเผชิญหน้ากับมีดที่ฟันลงมาที่ศีรษะของตน ร่างกายของเย่เทียนเฉินก็กระพริบวูบ จับข้อมือขวาของสิบปีศาจคนหนึ่งที่ลงมือกับตนเองเป็นคนแรกสุด

เปรี๊ยะ!

เย่เทียนเฉินหักข้อมือขวาของเขาอย่างรุนแรง ในขณะเเดียวกันยามที่คนผู้นั้นยังไม่ทันได้มีปฏิกริยาอะไร ก็ใช้มีดของอีกฝ่ายเองแทงลงไปยังหัวใจของเขา ทะลุจากหน้าอกไปถึงหลัง สิบปีศาจอีกสองคนที่เหลือต่างก็ตกใจจนหาที่เปรียบที่มิได้ แต่ก็ยังไม่ได้ทิ้งมีดในมือแล้ววิ่งหนีไป พวกเขาล้วนเป็นยอดฝีมือ ต่างก็รู้ดีถึงหลักการอย่างหนึ่ง นั่นคือหากเผชิญหน้ากับยอดฝีมือเช่นเย่เทียนเฉินไม่มีโอกาสให้หนีอย่างเด็ดขาด หากไม่ล้มเขาให้ได้ พวกตนจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นจึงตะเบ็งเสียงออกมาคำหนึ่ง พลันเข้าโจมตีจุดสำคัญของเย่เทียนเฉินอย่างเต็มกำลัง

เมื่อลงมือเย่เทียนเฉินก็ไม่คิดจะออมมือ เข้าสู่โหมดสังหารตั้งนานแล้ว กระทั่งเตรียมฆ่าคนของกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิตทั้งหมด เนื่องจากเขามิอาจลืมความตายของสหายร่วมรบได้ มิอาจลืมหลิวเหว่ยที่ล้มลงเบื้องหน้าตน มีเพียงการฆ่าคนของกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิตทั้งหมดเท่านั้น ถึงจะล้างแค้นให้เหล่าสหายรบของตนได้

มือขวาจับมีดทหารไว้แน่น แทงทะลุไปยังหน้าอกของคนที่พุ่งมาลงมือกับตนด้านหน้าสุด พลางนำศพของเขาไปต้อนรับอีกสองคนที่เหลือ หนึ่งในนั้นกระโดดขึ้นสูงเมตรกว่า มีดทหารในมือส่องประกายเย็นเยียบพุ่งไปยังหน้าอกของเย่เทียนเฉิน พลังพิเศษระดับจอมราชันในร่างกายของเย่เทียนเฉินเอ่อล้นไปตามแนวที่มองไม่เห็น พลันกลายเป็นรูปลักษณ์ของฝ่ามือมหึมา จับคนที่กระโดดขึ้นไปในอากาศไว้แน่น ทำให้เขาตกใจจนหน้าซีด

หย่งชุนไท่และหลิ่วหรูเหมยเองก็มองฉากนี้อย่างเหลือเชื่อ พวกเธอย่อมมองไม่เห็นพลังพิเศษที่รวมกลุ่มเป็นรูปลักษณ์ฝ่ามืออันมหึมานั้นแน่นอน เห็นเพียงแต่ว่าคนที่กระโดดขึ้นไปในอากาศและต้องการลงมือฆ่าเย่เทียนเฉินคนนั้น จู่ๆ ก็หยุดนิ่ง และถูกเขาแทงทะลุอกเช่นเดียวกันศพของคนแรกที่ถูกเย่เทียนเฉินนำมา

ตอนนี้ บนมีดทหารที่เย่เทียนเฉินถืออยู่ในมือมีศพของสมาชิกสิบปีศาจอยู่สองศพแล้ว คนที่เหลือคนสุดท้ายพลันหน้าซีด เหงื่อออกท่วมหัว กลุ่มสิบปีศาจเป็นตัวตนที่มีความสามารถแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิต สมาชิกทั้งสามร่วมมือกันโจมตี แต่ก็ยังดูเหมือนว่าจะไม่มีใครหนีพ้นจากชะตาแห่งความตายไปได้ ความสามารถเช่นนี้ต่อให้เป็นหย่งชุนไท่ที่เป็นถึงปรมาจารย์แห่งพรรควรยุทธโบราณก็ไม่มี

แต่เบื้องหน้าเย่เทียนเฉิน พวกเขาสมาชิกทั้งสามแห่งสิบปีศาจ ราวกับมดปะทะช้าง ไม่สามารถทำอะไรได้โดยสิ้นเชิง ขอเพียงเย่เทียนเฉินโจมตีกลับก็จะต้องมีคนตาย

“รีบเข้ามาเร็วๆ เถอะ ฉันยังต้องตามไปฆ่าแซนเบเกอร์อีก ไม่อาจปล่อยให้เจ้าหมอนั่นหนีรอดไปได้หรอกนะ” เย่เทียนเฉินกล่าวกับคนที่เหลือด้วยรอยยิ้ม

คนคนนั้นรู้สึกพังทลายโดยสิ้นเชิง จะอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่า ชายอายุน้อยที่มักจะมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า ให้ความรู้สึกไม่เป็นภัยอันตราย แต่ยามเมื่อเขาโกรธ ยามเมื่อเขาโมโห ยามเมื่อเขาลงมือ กลับฆ่าคนราวผักปลา นี่เป็นชายที่ถูกมัจจุราชสิงสู่โดยสิ้นเชิง กล่าวได้ว่าตัวเขาก็คือมัจจุราช

“ปีศาจ แก แกมันเป็นปีศาจแห่งแดนตะวันออก…” คนที่เหลือคนนั้นกล่าวด้วยร่างกายอันสั่นเทา

สำหรับผู้ที่มีฝีมือแข็งแกร่ง และยิ่งสำหรับผู้ที่ผ่านการฆ่าคนมากนับไม่ถ้วนแล้ว ความตายนั้นไม่น่ากลัว แต่ว่ายามเมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากับยอดฝีมือที่ทำให้เขาไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะตอบโต้ ทำได้เพียงรอคอยการถูกฆ่า ความสิ้นหวังและความไม่ยินยอมพร้อมใจเช่นนั้น ถึงจะทำให้ผู้คนหวาดกลัว

“ฉันไม่ใช่ปีศาจ ความจริงฉันคนนี้เป็นมิตรมากเลยทีเดียว ก็แค่คนของประเทศMอย่างพวกแกมีอคติก็เท่านั้น” เย่เทียนเฉินกล่าวอย่างสบายๆ ใบหน้ายังคงประดับไปด้วยรอยยิ้มไม่เสื่อมคลาย

“ไอ้ปีศาจตะวันออก แกคือปีศาจตะวันออก…” คนที่เหลือตะโกนลั่น พลางพุ่งเข้าไปทางเย่เทียนเฉิน เพียงแต่น่าเสียดายที่จุดจบของเขาก็เหมือนเดิม ไม่อาจเป็นคู่มือของเย่เทียนเฉินที่ใช้พลังสู้รบขั้นสูงสุดของขอบเขตพลังระดับจอมราชัน ถูกเย่เทียนเฉินใช้มีดทหารในมือขวาแทงทะลุไปเช่นเดียวกัน

สมาชิกสิบปีศาจทั้งสามคนของกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิตถูกเย่เทียนเฉินฆ่าตาย แม้กล่าวไปแล้วจะดูยืดเยื้อซับซ้อน แต่ความจริงใช้เวลาไปเพียงไม่ถึงหนึ่งนาที นี่ไม่ใช่เพราะว่าพวกเขาไม่แข็งแกร่งพอ แต่เป็นเพราะเย่เทียนเฉินโกรธจึงลงมืออย่างเต็มกำลัง โดยใช้ความสามารถระดับสูงสุดของขอบเขตพลังระดับจอมราชัน ต่อให้เป็นเป็นพวกเขาสิบปีศาจก็ยังยากจะขวาง ทั้งสามถูกเสียบราวพรวนน้ำเต้า เมื่อเย่เทียนเฉินปล่อยมือขวา ทั้งสามก็ยังคงยืนอยู่บนพื้นไม่ล้มลง มองแล้วทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดผวายิ่งนัก

หลิ่วหรูเหมยนิ่งอึ้งอยู่กับที่ กระทั่งยอดฝีมือเช่นหย่งชุนไท่ก็ยังถูกฉากนี้ทำให้ตกใจจนนิ่งไป เย่เทียนเฉินคนนี้เป็นอันธพาลหรือมัจจุราชกันนแน่ ยามได้ลงมือ มักจะทำให้วิญญาณของผู้คนต้องสั่นสะท้าน

“หย่งชุนไท่ไปพักผ่อนสักหน่อยเถอะครับ ยัยสมองหมูก็อยู่ที่นี่อย่าขยับไปไหนล่ะ ฉันไปแปบเดียวเดี๋ยวก็กลับ!”

เย่เทียนเฉินกล่าวจบ ก็พุ่งทะยานไปยังทิศทางที่แซนเบเกอร์หนีไปเพื่อตามไปโจมตี อีกฝ่ายไม่มีทางออกไปจากคฤหาสน์ตระกูลหลิ่วได้อย่างเด็ดขาด เนื่องด้วยพลังพิเศษแห่งการรับรู้ของเย่เทียนเฉินได้ปิดล็อคไปทั่วทั้งคฤหาสน์นานแล้ว ใครก็ไม่อาจหนีไปได้

ณ ตอนนี้แซนเบเกอร์วิ่งไปยังคฤหาสน์ตระกูลหลิ่วอย่างบ้าคลั่ง เขาไม่อยากตาย ไม่อยากถูกเย่เทียนเฉินฆ่าเหมือนกับสิบปีศาจ เหมือนกับมดที่โดนบี้ตาย ในขณะเดียวกันก็สั่นสะท้านในใจไม่หยุด เวลาที่ไม่ได้เจอกันประมาณสองเดือน เย่เทียนเฉินก็แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ฆ่าสมาชิกสิบปีศาจราวกับหั่นผัก นี่มันพลังการสู้รบระดับใดกัน ต่อให้มีเขาแซนเบเกอร์อีกสิบคน ก็ยังต้องตาย

“โกสต์ ช่วยฉันด้วย!” แซนเบเกอร์วิ่งไปยังประตูของคฤหาสน์ตระกูลหลิ่ว เจอโกสต์และสมาชิกสิบปีศาจอีกสองคนกำลังสู้กับหลิวอวี่ เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นอยู่ ก็พลันถอนหายใจออกมาแล้วตะโกนออกไปด้วยเสียงอันดัง

โกสต์ชะงักไปครู่หนึ่ง ปล่อยหมัดใส่หลิวอวี่บังคับให้เขาถอยหลังไปหลายก้าว ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นเมื่อไร ทำไมแซนเบเกอร์ถึงได้วิ่งกลับมาคนเดียวราวกับเจอมัจจุราชไปได้?

“เกิดอะไรขึ้น ทำไมแก…”

โพละ!

ศีระษะและร่างกายของแซนเบเกอร์ถูกแยกออก คำพูดของโกสต์ยังไม่ทันจบ แซนเบเกอร์ก็กลายเป็นศพไร้หัว โกสต์ตกตะลึง อดไม่ได้ที่จะมองไปยังฝั่งตรงข้าม พบเพียงเงาคนรางๆ เงาหนึ่ง เดินมาทางด้านนี้ช้าๆ แผ่กระจายบรรยากาศทรงอำนาจออกมาจนผู้คนสั่นสะท้าน

……………………………………………………………..

บทที่ 88 ชายคนนี้ไม่อาจหาเรื่องได้
Ink Stone_Fantasy
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด ทำให้ผู้คนตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก เย่เทียนเฉินปล่อยหมัดไปในอากาศ แต่กลับต่อยถูกคนคนหนึ่งจนปลิวออกไปได้ นี่ช่างทำให้หลิ่วหรูเหมยที่เห็นชัดๆ ด้วยตาของตนเองถึงกับยืนอึ้งอยู่กับที่ ไม่รู้จะพูดอะไรดี หรือไม่ก็อยากจะพูดแต่ก็พูดอะไรไม่ออก

นี่เป็นฉากที่น่าเหลือเชื่อฉากหนึ่ง ถึงกับสามารถปล่อยหมัดใส่อากาศ กลับไปซัดโดนคนคนหนึ่งเข้าได้ คนคนนี้เป็นใคร มาถึงที่นี่ตั้งแต่เมื่อไร ไม่มีใครมองเห็นเลยสักคน ทั้งยังไม่ได้ยินเสียงใดๆ เลย หรือว่านี่คือมนุษย์ล่องหน?

“อย่าขยับมั่วๆสิ ฉันจะไปช่วยหย่งชุนไม่เอง” เย่เทียนเฉินพูดกับหลิ่วหรูเหมยประโยคหนึ่ง จากนั้นจึงพุ่งไปทางฝั่งหย่งชุนไท่ หากว่าให้หย่งชุนไท่รับมือกับยอดฝีมือทั้งแปดตัวคนเดียวค่อนข้างจะกินแรงอยู่บ้างจริงๆ

“เย่เทียนเฉิน…” หลิ่วหรูเหมยได้สติกลับมาก็อดไม่ได้ที่จะตะโกนออกไป

“หือ? มีอะไร?” เย่เทยนเฉินหันมาถาม

หลิ่วหรูเหมยชะงักอยู่กับที่ มองไปยังเย่เทียนเฉิน พลันนั้นก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี เมื่อสักครู่นี้ตนเองเพิ่งด่าผู้อื่นไป แต่ผ่านไปเพียงพริบตา เย่เทียนเฉินก็ลงมือช่วยชีวิตเธอ ทำให้เธอดูเหมือนจะรู้สึกผิดอยู่บ้าง

“ระวังตัวด้วย” หยุดชะงักไปครึ่งวัน หลิ่วหรูเหมยเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี จึงกล่าวคำเหล่านี้ออกมาเสียงแข็ง

“อย่าตกหลุมรักฉันซะล่ะ พวกเราสองคนไม่เหมาะสมกัน” เย่เทียนเฉินยกยิ้มเจ้าเล่ห์

“ไปตายซะ!” หลิวหรูเหมยกรอกตาใส่เย่เทียนเฉินพลางด่าออกไปอย่างโหดร้าย

เย่เทียนเฉินพยักหน้ายิ้มๆ เขาเพียงแค่อยากจะทำลายบรรยากาศอันเคร่งเครียดในตอนนี้ลงสักหน่อยก็เท่านั้น ไม่ได้มีความหมายอื่น จากนั้นจึงพุ่งเข้าไปยังชายชุดดำที่ถูกตนเองอัดใส่กลางอากาศ

ความจริงแล้ว ตอนที่พวกแซนเบเกอร์ขับรถบัสพุ่งเข้ามา เย่เทียนเฉินก็รู้สึกได้ถึงกระแสพลังของพลังพิเศษสายหนึ่ง เดี๋ยวมีเดี๋ยวไม่มี ทำให้เขาหยุดคิดไม่ได้ สิ่งที่เขาสามารถแน่ใจได้ก็คือมีคนแอบเข้ามา เพียงแต่ใช้วิธีการใดก็ไม่อาจคิดออกได้ในเวลาเพียงชั่วครู่

ดังนั้น ตอนที่สิบปีศาจบุกทะลวงเข้ามา เย่เทียนเฉินจึงยังไม่ลงมือ ยังคงนอนกินผลไม้อย่างสบายใจบนเก้าอี้หวาย ความจริงเขาได้ขับเคลื่อนพลังพิเศษแห่งการรับรู้ไว้เรียบร้อยแล้ว และคอยสังเกตการเคลื่อนไหวทุกอย่างในคฤหาสน์ตระกูลหลิ่ว เขาเดาว่าจะต้องมีผู้มีพลังพิเศษแอบเข้ามาเพื่อรอเวลาทำการบางอย่าง และเป้าหมายก็คือหลิ่วหรูเหมย

ผู้ที่เป็นหัวใจสำคัญในการแลกเปลี่ยนข้อมูลลับในครั้งนี้ก็คือหลิ่วหรูเหมย มีเพียงเธอที่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลที่อีกฝ่ายนำมาได้ว่าเป็นของจริงหรือไม่ ดังนั้นเป้าหมายที่ศัตรูต้องการลงมือย่อมต้องเป็นหลิ่วหรูเหมยแน่นอน

ด้วยเหตุนี้ ต่อให้เสียงตะโกนฆ่าฟันรอบด้านจะดังเพียงใด เย่เทียนเฉินก็ยังคงนอนบนเก้าอี้หวายไม่เคลื่อนไหว ควบคุมพลังพิเศษแห่งการรับรู้อยู่เงียบๆ เพื่อสำรวจบริเวณรอบๆ ทั้งหมด กระทั่งหลิ่วหรูเหมยร้อนใจจนด่าว่าตนเองก็ยังคงไม่ลงมือ จนกระทั่งชั่วเวลาเมื่อสักครู่นี้ เขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังงานเบื้องหน้าหลิ่วหรูเหมย มีคนต้องการลงมือฆ่าเธอ ดังนั้นเขาจึงกระโดดจากเก้าอี้หวายแล้วปล่อยหมัดโจมตีออกไป

กล่าวได้ว่าเป็นวิกฤตการณ์ที่อันตรายอย่างยิ่งยวด ความสามารถของผู้มีพลังพิเศษที่ลอบเข้ามาโจมตีผู้นั้นไม่อ่อนแอเลย เข้ามาถึงเบื้องหน้าของหลิ่วหรูเหมยอย่างไร้ซุ่มไร้เสียง จากนั้นใช้กริชอันคมกริบเล่มหนึ่งแทงไปยังหัวใจของเธอ แต่ในช่วงที่ผู้มีพลังพิเศษคนนั้นกำลังยินดีก็ถูกเย่เทียนเฉินซัดเข้าที่หน้าอกจนกระเด็นออกไป สูญเสียการควบคุมและคุ้มครองจากพลังพิเศษและปรากฏตัวออกมาเบื้องหน้า

ผู้มีพลังพิเศษที่ถูกเย่เทียนเฉินอัดปลิวคนนั้น เป็นชายชาวต่างชาติร่างเตี้ยที่ผอมบางคนหนึ่ง ทั้งร่างถูกปกคลุมไปด้วยชุดของผู้ทำงานสายมืด ดำมืดไปทั้งตัว กระทั่งดวงตาของเขาก็เป็นสีดำทั้งหมด ไม่มีลูกตาขาว ไม่ทราบว่าทำได้อย่างไร หลังจากที่ถูกเย่เทียนเฉินซัดจนกระเด็นตกไปไกลสิบกว่าเมตร ก็เพียงพอแล้วที่จะเห็นได้ถึงความแข็งแกร่งของหมัดของเขา ผู้มีพลังพิเศษคนนั้นพยายามดิ้นรนเพื่อลุกขึ้นมา แต่กลับมีเลือดพุ่งออกมาจากปาก มองไปยังเย่เทียนเฉินด้วยความอาฆาต รู้สึกทั้งตกตะลึงและไม่ยินยอมพร้อมใจ

เย่เทียนเฉินเดินไปเบื้องหน้าของชายต่างชาติร่างเตี้ย เขาเดาได้บ้างแล้วว่าคนคนนี้อาจจะเป็นคนของหน่วยสืบราชการลับพลังพิเศษที่มาเพื่อลอบโจมตีและสำรวจสถานการณ์

“ฉันถามอะไรแก แกก็ตอบมา จะได้ไม่ต้องเจ็บตัว” เย่เทียนเฉินกล่าว

“NO ไอ้หมูตะวันออก ครั้งนี้พวกแกต้องตายกันหมด” ผู้มีพลังพิเศษร่างเตี้ยตัวเล็กคนนั้นมองเย่เทียนเฉินอย่างโหดเหี้ยมชั่วร้ายพลางกล่าว

“อย่ามองฉันแบบนี้สิ สายตามันฆ่าคนไม่ได้หรอก…”

คำพูดเพิ่งออกจากปาก เย่เทียนเฉินก็ยกเท้าถีบลงไปยังมือซ้ายของเขา พลันนั้นก็เกิดเสียงเสียงดังขึ้น จนกระทั่งเย่เทียนเฉินยกเท้าออกไป มือซ้ายของเขาก็เหยียบจนใช้การไม่ได้ เลือดเนื้อผสมปนเปจนพร่ามัว ราวกับถูกเหยียบจนกลายเป็นแผ่นเนื้อเละๆ ก็มิปาน

“อ๊าก…มือฉัน…” ผู้มีพลังพิเศษร่างเตี้ยกรีดร้องออกมา มองไปยังมือของตนที่ถูกเย่เทียนเฉินเหยียบจนกระดูกแหลก เจ็บจนร้องออกมาอย่างไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป

“ตอบคำถามฉันมาดีๆ จะดีที่สุดน่า…” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“เป็นไปไม่ได้ พวกแกมันไอ้เชื้อโรคจากเอเชียตะวันออก ไม่มีทางรุ่งโรจน์ขึ้นมาได้ตลอดกาล ไม่มีทางตลอดกาล…อ๊าก!”

ครั้งที่สอง เย่เทียนเฉินเหยียบมือขวาของผู้มีพลังพิเศษร่างเตี้ยจนกระดูกแหลกเป็นผุยผง น่าสงสารผู้มีพลังพิเศษคนนั้นที่ต้องมาเจอกับเย่เทียนเฉิน คนคนนี้ยามได้เล่นสนุกก็เป็นดั่งอันธพาล ยามเข้มงวดก็เป็นดั่งมัจจุราช พอได้จริงจังขึ้นมาก็ไร้ซึ่งความเกรงกลัวใดๆ จัดการคุณจนสาสม พูดมากก็ไม่ได้มีประโยชน์แม้แต่ครึ่งส่วน วิธีแห่งหมัดและเหล็กกล้าจึงจะเป็นเส้นทางของราชัน

ไม่รอให้ผู้มีพลังพิเศษร่างเตี้ยเล็กผู้คนร่ำไห้เสร็จ เย่เทียนเฉินก็ยกเท้าขวาขึ้น คราวนี้เป้าหมายอยู่ที่ศีรษะของเขา ความหมายก็ชัดเจนมาก หากว่ายังกล้าไม่ตอบคำถามตามจริง เท้านี้จะกระทืบลงไปที่หัวของเขาจนมีสภาพกลายเป็นดั่งแขนทั้งสอง น่าอนาถเกินทน มันสมองและเลือดสดๆ จะต้องกระจายออกมา

“ถ้ายังไม่พูดอีด ก็ไม่มีโอกาสแล้ว” เย่เทียนเฉินยังคงกล่าวกับผู้มีพลังพิเศษร่างเตี้ยคนนั้นด้วยรอยยิ้ม

“ไม่ ไม่ ผมพูด พูดแล้ว”

ในที่สุดผู้มีพลังพิเศษร่างเตี้ยตัวเล็กก็หวาดกลัว แม้ว่าเขาจะไม่กลัวตาย แต่ก็ไม่อยากให้หัวของตนถูกกระทบจนแตกกระจายดั่งแตงโม แบบนั้นมันจะอนาถเกินไปแล้ว เขาไม่มีวันคิดถึงเลยจริงๆ ว่าชายวัยรุ่นชาวตะวันออกตรงหน้า จะไม่เพียงแต่มีฝีมือแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ทั้งยังนิยมิถีแห่งหมัดและเหล็กกล้า คืนนี้นับว่าเจอตอเข้าเสียแล้ว ต้องทุกข์ทนอย่างแสนสาหัส

“นี่สิถึงจะถูกต้อง ปกติแล้วฉันก็ไม่ได้ชอบเหยียบหัวผู้อื่นจนเละหรอกนะ แบบนั้นมันออกจะโหดร้ายไปหน่อย ใช่ไหม?”

เย่เทีนเฉินกล่าวพลางมองไปยังหย่งชุนไท่ที่กำลังหลั่งเลือดสู้รบอยู่ไม่ไกล อดไม่ได้ที่จะนับถือหญิงชราคนนี้ขึ้นมา อายุก็หกสิบกว่าแล้ว ต่อให้เป็นยอดฝีมือจากพรรควรยุทธโบราณก็มีคนที่แข็งแกร่งเช่นเธอน้อยมาก โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญหน้ากับหัวกะทิทั้งแปดจากกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิต สิบปีศาจทั้งเจ็ดคน ยังสามารถต่อสู้ต่อไปได้ แม้ว่าจะได้รับบาดเจ็บอยู่บ้างแต่ก็ไม่ร้ายแรงอะไร ไม่ถึงสิบนาทีก็โจมตีจนตายไปแล้วสาม ความสามารถเช่นนี้ แม้แต่เย่เทียนเฉินก็ต้องนับถือจากใจ

“แกเป็นคนของหน่วยสืบราชการลับพลังพิเศษของประเทศM ใช่ไหม?” เย่เทียนเฉินกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม

“ใช่”

“รังของพวกแกอยู่ที่ไหน?”

“อยู่ อยู่ใต้ดินของตึกโมเดิร์น” ผู้มีพลังพิเศษร่างเล็กไม่อยากพูด นี่ไม่ต่างกับการเปิดโปงฐานของหน่วยสืบราชการลับพลังพิเศษของประเทศM หากมีผู้แข็งแกร่งไปโจมตี จะทำให้พวกเขาต้องสูญเสียอย่างมหาศาล แต่ว่าเมื่อเผชิญหน้ากับชายผู้เป็นดั่งเทพแห่งความตาย เขาก็ไม่กล้าไม่พูดความจริง เมื่อสักครู่ที่เย่เทียนเฉินลงมือย่างโหดเหี้ยมก็ทำให้เขายอมสยบแล้ว

“ดีมาก ถ้าฉันเดาไม่ผิด แกเป็นผู้มีพลังพิเศษสายปิดซ่อนร่างกายสินะ” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ไม่ ไม่ผิด นาย นายรู้ได้ไง…” ผู้มีพลังพิเศษร่างเตี้ยตัวเล็กอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเย่เทียนเฉินไม่เพียงแต่จะมองออกว่าตนเองเป็นผู้มีพลังพิเศษ ทั้งยังรู้ว่าตนเองเป็นสายปิดซ่อนร่างกาย นี่มันเหลือเชื่อเกินไปแล้ว

“นี่แกไม่จำเป็นต้องรู้ เดี๋ยวจะส่งแกไปสบายให้ก็แล้วกัน”

คำพูดของเย่เทียนเฉินเพิ่งออกจากปาก ผู้มีพลังพิเศษร่างเตี้ยคนนั้นก็รู้สึกว่าบริเวณหัวใจเกิดรูโหวงขึ้นรูหนึ่ง เขาถูกกริชในมือขวาของตนแทงจนทะลุ

เมื่อฆ่าผู้มีพลังพิเศษคนนี้แล้ว เย่เทียนเฉินก็เข้าใจข้อมูลข่าวสารต่างๆ มากขึ้น ดูท่าแล้วรัฐบาลประเทศM แม้จะว่าจ้างกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิตมา แต่ก็ไม่เชื่อใจนัก หรืออาจกล่าวได้ว่าเพื่อไม่ให้มีข้อผิดพลาด จึงได้ออกคำสั่งไปยังหน่วยสืบราชการลับพลังพิเศษ

ตอนนี้หมัดทั้งสองของเย่เทียนเฉินกำแน่น กระตุ้นพลังการสู้รบในขอบเขตพลังพิเศษระดับจอมราชันออกมาจนถึงขีดสุด ก้าวเดินไปช้าๆ ทีละก้าวทีละก้าว ไปยังกลุ่มคนที่ล้อมโจมจีหย่งชุนไท่ ในขณะเดียวกันก็กล่าวเสียงดังด้วยความสนุกว่า “คนประเทศMอย่างพวกแกไม่ได้รับการสั่งสอนกันหรือ? ถึงกับลงไม้ลงมือรังแกคนแก่ ฉันจะลงทัณฑ์พวกแกแทนสวรรค์เอง”

เมื่อได้ยินคำพูดที่ดูไม่น่าเชื่อถือของเย่เทียนเฉิน หลิ่วหรูเหมยก็มีเส้นขีดสีดำขึ้นเต็มหัว ความจริงเธอค่อนข้างนับถือนิสัยของคนคนนี้ ที่ดูราวกับว่าไม่ว่าจะอยู่ในช่วงเวลาวิกฤตขนาดไหน เขาก็สามารถทำเป็นเล่นได้ทั้งนั้น

เจ็ดปีศาจและแซนเบเกอร์ที่ล้อมโจมตีหย่งชุนไท่ มีหลายคนที่หยุดการโจมตีแล้วมองไปยังเย่เทียนเฉิน เมื่อแซนเบเกอร์เห็นเย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะหน้าชา กล่าวออกมาด้วยเสียงขาดๆ หายๆ ว่า “ทะ ทำไมเป็นแก…”

“ทำไม่จะไม่ใช่ฉันล่ะ ตอนที่อยู่ที่ป่าหมอกดำแกวิ่งหนีไป คืนนี้ฉันจะขออะไรขากแกแค่อย่างเดียวก็พอ” เย่เทียนเฉินกล่าวกับแซนเบเกอร์ด้วยรอยยิ้ม

“ขออะไร?” หน้าผากของแซนเบเกอร์ปรากฏเหงื่อเย็นๆ ออกมาพลางกล่าวถามออกไปอย่างโง่งม

“ชีวิตแกไง!” ใบหน้าของเย่เทียนเฉินประดับไปด้วยรอยยิ้มอยู่ตลอด แต่ยามเขากล่าวประโยคนี้ออกมา แซนเบเกอร์ก็หน้าซีดราวกับศพ

“มาให้ส่งวิญญาณอีกคนแล้ว พอดีเลย”

มีคนในสิบปีศาจอยู่ด้วย ทำให้ไม่เห็นเย่เทียนเฉินอยู่ในสายตาโดยสิ้นเชิง กล่าวได้ว่าตอนนี้พวกเขามีกำลังเหนือกว่า คฤหาสน์ตระกูลหลิ่วถูกโจมตีในฉับพลัน นอกจากหลิวอวี่ เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋น บอดี้การ์ดถือปืนคนอื่นๆ ล้วนแต่ไม่ใช่คู่มือของพวกเขา ทั้งหมดถูกพวกเขาฆ่าไปแล้ว เพียงแค่ต้องมาเจอหญิงชราที่แข็งแกร่งอยู่บ้างเท่านั้น แต่จะอย่างไรก็ไม่อาจขวางพวกเขาไว้ได้นาน ดังนั้นคนที่จู่ๆ ก็โผล่มาอย่างเย่เทียนเฉิน ก็ไม่แยแสโดยสิ้นเชิง

ฟิ้ว!

มีคนพุ่งเข้าไปหาเย่เทียนเฉิน ต้องการจะฆ่าเขาด้วยการโจมตีครั้งเดียว แซนเบเกอร์เห็นก็ตกใจแทบสิ้นสติรีบตะโกนออกมาว่า “กลับมา อย่าไปหาเรื่องเขา…”

เพียงแต่น่าเสียดาย คำพูดของแซนเบเกอร์ยังไม่ทันจบ คนที่พุ่งเข้าไปหาเย่เทียนเฉินก็ถูกหักคอไปเรียบร้อยแล้ว ตายราวกับสุนัขที่ถูกรถลาก ถูกเย่เทียนเฉินโยนลงไปที่พื้นอย่างไม่ใส่ใจ หวาดกลัวจนสองตาเบิกกว้าง จะอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าตนเองที่เป็นหนึ่งในสิบปีศาจแห่งกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิตจะมิอาจรับการโจมตีได้แม้แต่ครั้งเดียวเช่นนี้ กระทั่งถูกชายวัยรุ่ยชาวตะวันออกฆ่าตาย

……………………………………………………………

บทที่ 87 สิบปีศาจบุกโจมตี
Ink Stone_Fantasy
ตอนที่ทุกคนไม่เชื่อคำพูดของเย่เทียนเฉิน คิดว่าเขาเกิดเป็นบ้าจนพูดจามั่วๆ เสียงดังสนั่นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น ทำลายความเงียบสงบของคฤหาสน์ตระกูลหลิ่ว ประตูรั้วเหล็กทั้งบานปลิวกระเด็น ยอดบอดี้การ์ดถือปืนสองคนที่อยู่เฝ้าอยู่หน้าประตูโดนระเบิดจนปลิว ตกลงมาจมกองเลือด สิ้นชีพไปโดยไม่มีแม้แต่โอกาสให้ร้อง

หลิวอวี่ขมวดคิ้ว มองเย่เทียนเฉินเงียบๆ ในใจรู้สึกนับถือประสาทสัมผัสอันเฉียบแหลมของเขา โบกมือครั้งหนึ่ง แล้วจึงนำเจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นพุ่งตรงไปยังประตูใหญ่ของคฤหาสน์ตระกูลหลิ่วอย่างรวดเร็ว ถ้าหากถูกศัตรูโจมตีเข้ามาได้ จะทำให้สูญเสียการป้องกันไปเส้นทางหนึ่ง คฤหาสน์ตระกูลหลิ่วจะต้องพบกับวิกฤตอันร้ายแรง

เย่เทียนเฉินไม่ได้คาดคิดว่ากลุ่มคนที่บุกมาถึงที่กลุ่มนี้จะแข็งแกร่งเช่นนี้ ทั้งยังกล่าวได้ว่ารุนแรงถึงขั้นสุด เป็นไปได้สูงว่าจะสามารถทำลายคฤหาสน์ตระกูลหลิ่วได้ ตอนที่พวกเขามาถึงนอกประตูคฤหาสน์ เย่เทียนเฉินก็รับรู้ถึงพวกเขาแล้ว เขารู้สึกได้ถึงการผันแปรของพลังงานของคนทั้งสิบเอ็ดคน หนึ่งในนั้นมีความคุ้นเคยเป็นอย่างมาก เพียงแต่ยังคิดไม่ออกในตอนนี้

คนทั้งสิบเอ็ดคนฝีมือแข็งแกร่งเป็นพิเศษ ขับรถบัสคันใหญ่มาคันหนึ่ง ใช้คลัสเตอร์บอมบ์เพื่อทำให้ประตูรั้วของคฤหาสน์ตระกูลหลิ่วถูกระเบิดจนปลิว แล้วขับรถบัสพุ่งเข้ามา

ตอนนี้ คนที่ขับรถบัสพุ่งเข้ามายังคฤหาสน์ตระกูลหลิ่วก็คือแซนเบเกอร์ แม้ว่าเขาจะเป็นรองหัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิต แต่ความสามารถกลับไม่อาจเทียบใครในสิบปีศาจได้แม้แต่คนเดียว แม้ว่าสิบปีศาจจะฟังคำเรียกรวมพลของเขา แต่กลับไม่ฟังคำสั่งของเขา ถ้าหากไปทำให้สิบปีศาจโกรธ เขาเซนเบเกอร์ก็อาจสิ้นชีพได้

รถบัสขับพุ่งตรงเข้าไปยังคฤหาสน์ตระกูลหลิ่ว บนหลังคารถมีชายฉกรรจ์ผมสีเงินคนหนึ่งยืนอยู่ ใบหน้าดำราวถ่านหิน คนคนนี้ก็คือหัวหน้าของสิบปีศาจ ฉายา “โกสต์” และเป็นคนที่มีความสามารถแข็งแกร่งที่สุดในหมู่สิบปีศาจ

“แซนเบเกอร์ จอดรถไว้หน้าประตู ไม่ต้องขับเข้าไปแล้ว” โกสต์ที่ยืนอยู่บนหลังคารถบัสกล่าวกับแซนเบเกอร์ที่อยู่ข้างล่างเสียงเข้ม

“โกสต์ พวกเราเข้าไปให้ถึงใจกลางของคฤหาสน์ตระกูลหลิ่วก่อนค่อยว่ากันเถอะ” แซนเบเกอร์ยังคงต้องการขับไปข้างหน้าต่อ ไม่อยากให้มีการพลาดพลั้งอะไรเกิดขึ้น

“ไม่ต้องแล้ว ฆ่าเข้าไปตลอดทางก็พอ พวกเราสิบปีศาจมีชื่อเสียงด้วยการสังหารมาตลอด ไม่ได้ปฏิบัติการร่วมกันมาห้าปีแล้ว คราวนี้จะขอฆ่าให้พอใจสักหน่อย” โกสต์กล่าวอย่างโหดเหี้ยม

แซนเบเกอร์คิดครู่หนึ่ง เขาไม่อยากหาเรื่องให้โกสต์โกรธ คนคนนี้ขึ้นชื่อในการฆ่าคนราวกับปีศาจที่ชั่วร้าย หากไม่พอใจขึ้นมาจริงๆ ล่ะก็ เป็นไปได้ว่าตนเองคงจะถูกเขาฆ่า ฝีมือของเขาแม้ว่าจะแข็งแกร่งในหมู่กลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิต แต่หากเทียบกับโกสต์แล้วคนละระดับกันโดยสิ้นเชิง

รถบัสเพิ่งจะหยุดลง มือขวาโกสต์ก็โบกมือส่งสัญญาณครั้งหนึ่ง คนสวมชุดดำเก้าคนก็พุ่งออกมาจากรถบัสด้วยความรวดเร็ว นอกจากโกสต์ ทั้งเก้าต่างก็สวมชุดดำดั่งผู้ที่ทำงานด้านมืด ทั้งยังสวมผ้าคลุมหน้าสีดำ ยากแก่การถูกผู้คนพบเห็น นี่เป็นการแต่งกายที่กลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิตจัดเตรียมไว้ให้สิบปีศาจโดยเฉพาะ เพื่อไม่ให้กำลังสำคัญถูกเปิดเผย

“ฆ่าคนทั้งหมดในคฤหาสน์แห่งนี้ซะ อย่าให้เหลือแม้แต่สุนัขสักตัว” โกสต์กล่าวพลางหัวเราะอย่างเลือดเย็น

คนชุดดำอีกเก้าคนได้ยินคำพูดของโกสต์ก็พยักหน้า ดวงตาเต็มไปด้วยประกายแห่งการฆ่า พากันพุ่งเข้าไปยังคฤหาสน์ตระกูลหลิ่ว ในมือของทุกคนปรากฏมีดทหารอันคมกริบอยู่คนละด้าม บนร่างกายของสิบปีศาจไม่ได้พกปืน เป็นเพราะพวกเขามีความมั่นใจในฝีมือของตนเป็นอย่างมาก และพึงพอใจกับการฆ่าด้วยมือเพียงเท่านั้น

โกสต์เพิ่งจะออกคำสั่งอีกเก้าคนให้เริ่มปฏิบัติการฆ่าล้างทุกคนในคฤหาสน์ตระกูลหลิ่ว หลิวอวี่ก็นำเจียงเหมิง เฟยอวิ๋น และยังมียอดบอดี้การ์ดอีกสิบกว่าคนที่ตามมา เผชิญหน้ากับการโจมตีของศัตรูที่แข็งแกร่ง ไม่มีอะไรต้องพูดกันแล้ว หลิวอวี่เป็นบุรุษที่แข็งกร้าว ในสถาการณ์เช่นนี้ ไม่ต้องพูดอะไรให้มากความ เพียงสั่งออกไปคำหนึ่ง

“ฆ่า!”

การตะลุมบอนเริ่มขึ้น ไม่ถึงสิบนาที รูปการณ์ก็เป็นไปในทิศทางเดียว ฝั่งของหลิวอวี่นอกจากตัวเขา เจียงเหมิง และเฟยอวิ๋น ยอดบอดี้การ์ดอีกสิบกว่าคนที่เหลือแม้ว่าในมือจะมีปืน แต่ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสิบปีศาจ ฝีมือของสิบปีศาจนั้นไม่เพียงแค่แข็งแกร่ง ที่สำคัญก็คือความเร็วของพวกเขารวดเร็วเป็นอย่างมาก พุ่งเข้าไปเบื้องหน้าต่อสู้ระยะประชิด มีดทหารในมือเฉียบคมหาที่เปรียบ สามารถตัดหินก้อนใหญ่ได้อย่างง่ายดาย ต่อให้มียอดบอดี้การ์ดกี่คนก็ถูกพวกเขาตัดศีรษะอย่างโหดร้าย

หลิวอวี่ขวางโกสต์เอาไว้ ทั้งสองต่อสู้ติดพัน เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นเองก็แยกออกไปขวางสิบปีศาจสองคนไว้ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับฝีมือการต่อสู้อันแข็งแกร่งของสิบปีศาจแห่งกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิต หลิวอวี่ เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นสามารถแยกกันไปรับมือได้เพียงสามคน ที่เหลืออีกเจ็ดคนถูกแซนเบเกอร์นำเข้าไปยังบริเวณที่หลิ่วหรูเหมยอยู่

“แย่แล้ว คุณหนูหลิ่วมีอันตราย”

เฟยอวิ๋นตะโกนพลางแยกตัวออกมาเตรียมจะกลับไปทางฝั่งหลิ่วหรูเหมย ภารกิจของเขาและเจียงเหมิงก็คือคุ้มครองความปลอดภัยของหลิ่วหรูเหมย ถ้าหากเธอมีอันตรายอะไร พวกเขาสองคนก็ไม้รู้ว่าจะกลับไปรายงานหัวหน้าเหยียนหลงอย่างไร

การไขว้เขวครั้งนี้ทำให้เฟยอวิ๋นถูกต่อยไปสองหมัด แถมยังถูกเตะไปอีกครั้งหนึ่งจนกระเด็นตกลงกระแทกพื้นอย่างแรง สิบปีศาจที่สู้อยู่กับเขาทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้วฟันมีดลงมา ดีที่หลิวอวี่สายตาเฉียบแหลมการเคลื่อนไหวว่องไวจึงเตะหินก้อนใหญ่ออกไป สิบปีศาจผู้คนที่อยู่กลางอากาศจึงจำต้องใช้มีดฟันลบนก้อนกินจนแตกเป็นเสี่ยงๆ เฟยอวิ๋นอาศัยจังหวะนี้หลบมีด ตอนนี้เขาเกือบจะถูกตัดหัวไปเสียแล้ว

สิบปีศาจแห่งกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิตเป็นสิบคนที่แข็งแกร่งที่สุด เป็นคำกล่าวที่ไม่ได้กล่าวเกินจริงเลยแม้แต่น้อย หลิวอวี่ เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นไม่ว่าจะสู้กับใครก็ตามในหมู่พวกเขา ล้วนแต่ต้องสู้โดยทุ่มเทสมาธิทั้งหมด หากไม่ระวังแม้เพียงนิดก็อาจตายได้

“ไอ้หนูไม่ต้องคิดมาก ที่นั่นมีหย่งชุนไท่อยู่ เธอสามารถคุ้มครองคุณหนูหลิ่วได้” เจียงเหมิงตะโกนบอกเฟยอวิ๋นเสียงดัง

เมื่อได้สติกลับมา เฟยอวิ๋นก็ควักกริชเล่มหนึ่งออกมาจากบริเวณด้านข้างของขาขวา สกัดมีดทหารของสิบปีศาจคนนั้นที่พุ่งตรงเข้ามาหาเขาจนเสียงมีดกระทบกันดังลั่น ทั้งสองดูเหมือนจะออกตัวพร้อมกันพลันเตะอีกฝ่ายจนกระเด็นออกไป

“แต่หย่งชุนไท่คนเดียวเกรงว่าจะไม่ใช่คู่มือของยอดฝีมือเจ็ดคนที่เหลือ…” เฟยอวิ๋นยังอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาอย่างกังวล

“ฉันเชื่อมั่นในไอ้เด็กเย่เทียนเฉินนั่น” หลิวอวี่ที่อยู่ด้านหนึ่ง ส่งหมัดออกไปปะทะกับโกสต์ พลันรู้สึกได้ว่าข้อมือขวาของตนเกิดอาการชา ถอยหลังไปสามก้าวถึงจะยืนได้อย่างมั่นคง แล้วจึงมองไปยังโกสต์ด้วยความแปลกใจ

เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง พวกเขาคิดไม่ถึงว่าหลิวอวี่จะเป็นคนที่มีมุมมองที่ดีต่อเย่เทียนเฉินถึงขนาดนั้น ตอนนี้ยังถึงกับเชื่อมั่นในตัวเย่เทียนเฉินเช่นนี้อีกต่างหาก

ต้องทราบว่าหลิวอวี่และเย่เทียนเฉินทะเลาะกันยกหนึ่ง โดยที่หลิวอวี่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ถูกเย่เทียนเฉินต่อยจนกลาบเป็นหมีแพนด้า ในใจย่อมต้องมองเย่เทียนเฉินในแง่ดียิ่งขึ้นอย่างแน่นอน แต่กลับไม่คิดเลยว่าในช่วงเวลาสำคัญ เขาจะฝากความหวังไว้ที่เย่เทียนเฉิน

“ให้ตายเถอะ พวกนายไม่ต้องมองซ้ายมองขวาแล้ว ตั้งใจสู้เต็มที่ซะ รีบๆ ฆ่าไอ้เดรัจฉานสามตัวนี่เถอะ ต้องรีบกลับไปช่วยอีก” ตอนนี้เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นงุนงงอยู่บ้าง หลิวอวี่ตะโกนเสียงดังพลางพุ่งเข้าใส่โกสต์ โจมตีเต็มกำลัง

เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นได้พลันได้สติกลับมาก็ไม่ได้กังวลอะไรอีก หันไปลงมือเต็มกำลังเช่นเดียวกันเพื่อขวางสามในสิบปีศาจไว้

ความหวังสุดท้ายของหลิวอวี่ เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นต่างอยู่ที่เย่เทียนเฉินทั้งหมด ถ้าหากตอนนี้พวกเขาเห็นว่าเย่เทียนเฉินกำลังทำอะไรอยู่ จะต้องโกรธจนกระอักเลือดเป็นแน่

เย่เทียนเฉินมือซ้ายถือจานผลไม้ นอนเอนหลังอยู่บนเก้าอี้หวายอย่างสบายๆ บางทีก็กินองุ่นเข้าไป หลับตาซึมซับความอร่อย พออกพอใจอย่างหาที่เปรียบมิได้ เสียงตะโกนฆ่าฟันจากบริเวณไม่ไกลเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาโดยสิ้นเชิง ต่อให้เห็นคนทั้งแปดที่พุ่งเข้ามาพร้อมด้วยรังสีฆ่าฟันอย่างรุนแรงก็ไม่ขยับเขยื้อน

หย่งชุนไท่คอยคุ้มครองอยู่ข้างกายหลิ่วหรูเหมยมาโดยตลอดเห็นเงาคนทั้งแปดพุ่งเข้ามา ในมือของแต่ละคนยังถือมีดทหารอันคมเฉียบเอาไว้คนละด้าม ราวกับว่าต้องการฆ่าล้างทุกคนในคฤหาสน์ตระกูลหลิ่วอย่างไรอย่างนั้น

หย่งชุนไท่รีบเข้าไปรับมือโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย ไม่เสียทีที่เป็นหัวหน้าพรรคมวยหย่งชุนคนที่เก้าสิบสอง หนึ่งฝ่ามือสังหารหนึ่งคนที่พุ่งเข้ามาก่อน ทำให้สิบปีศาจที่เหลืออีกเจ็ดคนและแซนเบเกอร์ตกตะลึงจนชะงักไปชั่วครู่ แต่พวกเขาล้วนเป็นคนที่บ้าคลั่งจนไม่สนใจชีวิต การตายของคู่หูเพียงคนเดียวจะทำให้พวกเขาถอยกลับได้อย่างไรกัน ทั้งหมดต่างพุ่งเข้าไปยังหย่งชุนไท่

“นาย นายยังจะมานอนทำอะไรอยู่ที่นี่อีก? ยังไม่ไปช่วยหย่งชุนไท่อีกล่ะ” หลิ่วหรูเหมยเดินไปเบื้องหน้าเย่เทียนเฉินพลางกล่าวด่าออกมาอย่างร้อนใจ

หลิ่วหรูเหมยเป็นผู้หญิงที่จิตใจดีงามคนหนึ่ง แม้ว่าหย่งชุนไท่จะเป็นลูกน้องของหลิ่วหรูเหมย คอยคุ้มครองความปลอดภัยให้เธอมาตลอด แต่เธอก็ไม่เคยปฏิบัติกับหย่งชุนไท่ดังคนที่ต่ำกว่าเลยสักครั้ง กลับมองเธอเป็นดั่งญาติของตนเอง ดังนั้นเมื่อเห็นว่าหย่งชุนไท่ถูกยอดฝีมือทั้งแปดรุมโจมตี หลิวหรูเหมยก็พลันร้อนใจขึ้นมา กลัวว่าหย่งชุนไท่จะได้รับบาดเจ็บ ต่อให้เธอจะแข็งแกร่งแต่อายุก็มากแล้ว

“ไม่จำเป็น หย่งชุนไท่คนเดียวรับมือได้” เย่เทียนเฉินกล่าวอย่างไม่สนใจโดยสิ้นเชิง

“นาย…ช่างไม่มีน้ำใจเลยจริงๆ” เมื่อหลิ่วหรูเหมยเห็นเย่เทียนเฉินทำราวกับว่าเห็นคนจะตายแล้วไม่ยอมช่วยก็กล่าวออกมาอย่างดุดัน

หลิ่วหรูเหมยเตรียมจะพุ่งเข้าไปช่วยหย่งชุนไท่ เย่เทียนเฉินเห็นดังนั้นก็ทำเพียงแค่กล่าวประโยคหนึ่งเรียบๆ ว่า “ฉันเตือนเธอว่าอย่าเข้าไปจะดีกว่า ด้วยฝีมือของเธอแค่นี้ นอกจากจะช่วยหย่งชุนไท่ไม่ได้แล้วยังจะเป็นการทำร้ายเธออีกด้วย”

“ต่อให้ฉันต้องตาย ก็ไม่อาจมองคนที่เปรียบเสมือนญาติมิตรได้รับบาดเจ็บได้หรอก” หลิ่วหรูเหมยกล่าวอย่างแข็งกร้าว

ตอนนี้เอง บนข้อมือของหย่งชุนไท่ถูกมีดฟันไปแล้วสองแผล ต่อให้เธอมีความสามารถที่แข็งแกร่งเช่นนี้ แต่ก็ไม่อาจหยุดการร่วมโจมตีของเจ็ดปีศาจได้ เย่เทียนเฉินเห็นดังนั้นก็ไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย ต่อให้หย่งชุนไท่จะเกือบตายไปหลายรอบ เขาก็ไม่ลงมือ ไม่รู้ว่าเขากำลังรออะไรอยู่

“เดิมทีฉันคิดว่านายเอ้อระเหยลอยชายแบบนี้ก็น่ามีน้ำใจอยู่บ้าง คิดไม่ถึงเลยว่าน้ำใจสักนิดนายก็ไม่มี” ดวงตาอันงดงามของหลิ่วหรูเหมยคลอไปด้วยหยาดน้ำตา เมื่อพูดจบก็เตรียมที่จะวิ่งเข้าไปทางหย่งชุนไท่ เธอไม่มีทางทนเห็นหย่งชุนไท่บาดเจ็บต่อหน้าต่อตาหรือกระทั่งตายไปได้ เธอจะต้องช่วยหย่งชุนไท่

“อย่าขยับ”

ทันใดทั้นเอง เย่เทียนเฉินตะโกนเสียงดัง พลางกระโดดขึ้นจากเก้าอี้หวายไปข้างกายของหลิ่วหรูเหมยแล้วปล่อยหมัดออกไปในอากาศ

ตู้ม!

หลังจากเสียงดังสนั่นเสียงหนึ่งดังขึ้น ตามมาติดๆ ด้วยเสียงร้องโอดครวญ ที่เย่เทียนเฉินปล่อยหมัดออกไปกลางอากาศไม่ใช่เพราะเขาบ้า แต่เป็นเพราะต่อยคนคนหนึ่งจนปลิวไปจริงๆ เป็นการซัดคนในอากาศ หลิ่วหรูเหมยตกตะลึงจนปากอ้าตาค้างยืนนิ่งอยู่กับที่ พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว

…………………………………………………………………

บทที่ 86 ศัตรูมาหาถึงประตูแล้ว
Ink Stone_Fantasy
“ฉันจะรอแกอยู่ข้างห้องฟิตเนส อย่าลืมเตรียมแว่นตากับผ้าปิดปากซะล่ะ เดี๋ยวจะไม่มีหน้าออกไปเจอผู้คน”

หลิวอวี่หัวเราะเสียงเย็น กล่าวกับเย่เทียนเฉินจบก็เดินออกไปจากห้องโถงด้วยตนเอง เดินมุ่งไปยังบริเวณด้านข้างของห้องฟิตเนสด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความมั่นใจ จะอย่างไรเขาก็ไม่คิดว่าเด็กรุ่นหลังที่อายุไม่เกินยี่สิบปีคนหนึ่ง ต่อให้ฝีมือแข็งแกร่งกว่านี้ แล้วจะสามารถแข็งแกร่งแกว่าตนเองได้เชียวหรือ? ต่อให้เย่เทียนเฉินฆ่าร็อคกี้แบร์ ทำให้คนอื่นๆ ตกตะลึง แต่ในสายตาของหลิวอวี่ นั่นเป็นการลอบฆ่าและความโชคดีเท่านั้น

เย่เทียนเฉินรู้ดีว่าเหตุใดหลิวอวี่จึงยั่วยุตน นั่นก็เพราะเขาลำพองใจในตัวเอง คิดว่าตนเป็นหัวหน้าบอดี้การ์ดของคฤหาสน์จระกูลหลิ่ว ทั้งยังเคยเป็นหัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างสังหาร ถูกยกย่องว่าเป็นยอดฝีมือที่สามารถเป็นราชันนักรบคนที่สี่ของจีนได้ ดังนั้นเมื่อเห็นว่าเย่เทียนเฉินไม่ฟังคำสั่ง ปฏิบัติกับเขาอย่างไม่แยแส ก็รู้สึกทนไม่ได้เป็นอย่างมาก อยากจะลงมือสั่งสอนสักหน่อย

เย่เทียนเฉินกัดน่องไก่ไปคำหนึ่ง นำกระดูกไก่ทิ้งไว้บนโต๊ะอาหาร แล้วจึงดื่มเหล้าแดงตรงหน้ารวดเดียวหมดแก้ว เรอออกมาอย่างสบายใจ จากนั้นจึงลุกขึ้น ในปากคาบบุหรี่มวนหนึ่งเดินมุ่งหน้าไปยังด้านข้างของห้องฟิตเนส ในเมื่อหลิวอวี่คนนี้ยั่วยุตน หากไม่ได้ตามต้องการก็ไม่ยอมหยุด เช่นนั้นยังจะมีอะไรต้องพูดอีก สู้กันสักตั้งก็แล้วกัน

เบื้องหน้าหลิวอวี่เดินเข้าไปข้างห้องฟิตเนส ด้านหลังเย่เทียนเฉินสองมือล้วงกระเป๋ากางเกง ปากคาบบุหรี่มวนหนึ่งเดินตามไป ยามนี้ เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นมาเห็นฉากนี้เข้าพอดี ทั้งสองพลันคิดออกว่าเกิดอะไรขึ้น จึงรีบตามไปเงียบๆ

แต่เมื่อเย่เทียนเฉินเดินเข้าไปในห้องฟิตเนส หลิวอวี่ก็ปิดประตู เจียงเหมิงกับเฟยอวิ๋นจึงมิอาจมองเห็นสถานการณ์ภายในได้

“แม่งเอ๊ย มองไม่เห็น ไปเถอะ!” เฟยอวิ๋นกล่าวออกมาอย่างไม่พอใจ

“อย่าเพิ่งสิ รอก่อน พวกเรารอดูกันเถอะว่าเย่เทียนเฉินจะถูกอัดจนเละขนาดไหน…” เจียงเหมิงหัวเราะอย่างชั่วร้ายพลางกล่าว

เฟยอวิ๋นพยักหน้า เดิมทีเขาก็อยากจะลงมือกับเย่เทียนเฉินเพื่อสั่งสอนที่มาดูหมิ่นกองทัพเหยี่ยว แต่หลิวอวี่ยอดฝีมือคนนี้ลงมือ ฝีมือของเขาแข็งแกร่งกว่าตนเอง ดังนั้นจะต้องสามารถอัดเย่เทียนเฉินจนโง่งมได้แน่นอน

“ดี พวกเรารออยู่ตรงนี้ พอถึงเวลาจะได้พูดฉีกหน้าเจ้าคนโอหังนี่สักหน่อย” เฟยอวิ๋นเปิดปากกล่าวอย่างโหดเหี้ยม

เจียงเหมิงยิ้มอยู่กับเฟยอวิ๋นกันสองคน นั่งลงบนเก้าอี้เอนไม่ไกลเพื่อรอเย่เทียนเฉินถูกอัดจนโง่งม รอชมเรื่องน่าหัวเราะของเจ้าหมอนี่

ไม่ถึงห้านาที ประตูห้องฟิตเนสถูกเปิดออก เจียงเหมิงกับเฟยอวิ๋นรีบยืนขึ้นแล้วมองไป เห็นเพียงเย่เทียนเฉินยังคงไม่มีการบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย ในปากคาบบุหรี่ สองมือล้วงกระเป๋ากางเกง เดินฮัมเพลงออกมา เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นเห็นดังนั้นก็อึ้งจนปากอ้าตาค้าง ตกใจจนคางแทบหลุด

“นี่…”

“เกิดอะไรขึ้น? หรือว่าหลิวอวี่แพ้?”

เฟยอวิ๋นและเจียงเหมิงอดไม่ได้จะพึมพำกับตัวเอง จะอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นนี้ ฝีมือของหลิวอวี่ยังเหนือกว่าพวกเขา ถ้าหากกระทั่งเขายังไม่ใช่คู่มือของเย่เทียนเฉิน ก็อธิบายได้อย่างเดียวว่าความสามารถของเย่เทียนเฉินลึกล้ำเกินหยั่งถึงจริงๆ คำพูดของหัวหน้าเหยียนหลงเดาได้ไม่ผิดเลยจริงๆ

เย่เทียนเฉินที่รู้ว่าเจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นกำลังรอดูเรื่องสนุกอยู่ ก็ไม่ได้สนใจพวกเขาสองคน กินดื่มจนอิ่มหนำ ทั้งยังได้ออกกำลังกายเล็กน้อย ตอนนี้รู้สึกง่วงแล้ว เตรียมจะไปพักผ่อนให้ดีๆ เสียหน่อย ตอนที่เกิดการซุ่มโจมตีเมื่อสักครู่เป็นการอุ่นเครื่อง การต่อสู้ตอนกลางคืนถึงจะเป็นการต่อสู้อันนองเลือดและยากลำบากอย่างแท้จริง

หลังจากที่เย่เทียนเฉินเดินไปไม่นาน ก็เห็นหลิวอวี่สวมแว่นตาและผ้าปิดปากเดินออกมาจากห้องฟิตเนสด้วยความโกรธจนกำหมัดทั้งสองแน่น จากไปด้วยร่างกายอันสั่นเทาเล็กน้อย

เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นชะงักไปชั่วครู่ ผลลัพท์เห็นได้อย่างชัดเจนแล้วว่าหลิวอวี่แพ้ คำพูดโหดร้ายต่างๆ นานาที่เขาพูด ทั้งหมดต่างประทับอยู่บนร่างกายของเขา เพียงแต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาไม่กล้าจินตนาการถึงก็คือ ด้วยความสามารถของหลิวอวี่ เวลาเพียงไม่ถึงห้านาทีก็ถูกเย่เทียนเฉินอัดจนแพ้ ตกลงแล้วไอ้หนูนี่แข็งแกร่งขนาดไหนกันแน่?

เย่เทียนเฉินเดินเข้าไปยังห้องนอนที่เตรียมไว้ให้ตนเอง หาวครั้งหนึ่งแล้วจึงล้มตัวลงนอนบนเตียง ขยับข้อมือขวาของตนเองเบาๆ เมื่อสักครู่เขาก็ถูกหลิวอวี่ต่อยเข้าที่ไหล่ขวาเช่นกัน ก็เพราะจ่ายค่าตอบแทนเช่นนี้ออกไปถึงจะอัดหลิวอวี่จนจมูกเขียวหน้าบวมได้ ตาเขียวทั้งสองข้างตามที่เคยกล่าวไว้

นี่ทำให้เย่เทียนเฉินอยากสู้กับชางหลางมากยิ่งขึ้น แม้ว่าเขาจะชนะหลิวอวี่แต่ก็อดหวั่นอยู่ในใจไม่ได้ หลิวอวี่ที่เคยได้รับการยกย่องว่ามีความสามารถเป็นราชันนักรบคนที่สี่ของจีนได้ ย่อมไม่ได้ชื่อเสียงมาเสียเปล่า ภายในห้องฟิตเนส คนอื่นอาจไม่รู้ แต่เย่เทียนเฉินนั้นเข้าใจกระจ่างเป็นอย่างมาก ตนเองใช้เวลาในการต่อสู้อย่างรวดเร็ว พอเริ่มลงมือก็สำแดงความสามารถของพลังพิเศษระดับจอมราชันออกมาและลงมือโจมตี ทั้งยังใช้เวลาไปห้านาทีถึงจะสามารถล้มหลิวอวี่ได้ แถมไหล่ขวายังถูกหลิวอวี่ซัดไปหนึ่งหมัด ดังนั้นความสามารถของหลิวอวี่ย่อมไม่อ่อนแอ กระทั่งเย่เทียนเฉินยังนับถืออยู่ในใจ

หลิวอวี่สวมแว่นกันแดดและผ้าปิดปาก ในใจทั้งโกรธทั้งอายถึงขีดสุด ตนเองพูดจาร้ายกาจกับเย่เทียนเฉิน บอกให้เขาเตรียมแว่นกันแดดและผ้าปิดปากไปให้ดี ตอนนี้ทั้งหมดถูกใช้กับตนเอง โกรธจนปอดแทบจะระเบิดอยู่แล้ว

เมื่อสักครู่ตอนที่อยู่ในห้องฟิตเนส ตัวหลิวอวี่เองคิดจะสั่งสอนเย่เทียนเฉินให้หนักๆ สักหน่อย คิดว่าต่อให้เจ้าเด็กนี่จะร้ายกาจมากกว่านี้ก็ไม่ใช่คู่มือของตนเอง ไม่ว่าจะอย่างไร อย่างมากขอแค่ตนเองลงมือเต็มที่ก็สามารถเก็บกวาดเย่เทียนเฉินได้แน่นอน ไหนเลยจะรู้ว่า พอเข้าไปในห้องฟิตเนส เจ้าเด็กเย่เทียนเฉินนี่ไม่พูดพร่ำทำเพลง พุ่งเข้ามาหาตนเองราวสายฟ้าฟาด สองหมัดโจมตีมาไม่หยุด บีบให้เขาต้องถอยหลัง กระทั่งโอกาสที่จะโจมตีกลับก็ยังไม่มี

ไม่ง่ายเลยกว่าที่จะต่อยโดนไหล่ของเย่เทียนเฉินอย่างเต็มกำลัง แต่ก็นี่ทำให้ตนเองถูกโจมตีติดๆ กันห้าหมัดจนจมูกเขียวหน้าบวมไปหมด หากไม่สวมแว่นกันแดดและผ้าปิดปากออกไปคงไม่มีหน้าไปพบผู้คน ย่ำแย่เป็นที่สุด

“แม่งเอ๊ย ไอ้เด็กนี่ลงมือหนักจริงๆ” หลิวอวี่คลึงสันจมูกของตนที่เกือบจะหักอยู่ร่อมร่อพลางกล่าวด่า

“พี่หลิว นี่…มันเกิดอะไรขึ้นครับ?” เฟยอวิ๋นเดินออกไปด้วยความตกตะลึง มองไปยังหลิวอวี่พลางกล่าวถาม

หลิวอวี่มองเฟยอวิ๋นครู่หนึ่ง รู้ดีว่าคนคนนี้เองก็อยากจะสั่งสอนเย่เทียนเฉิน จากนั้นจึงส่ายหัวและกล่าวทิ้งไว้เพียงประโยคเดียวก่อนเดินจากไป

“ไอ้เด็กเย่เทียนเฉินแข็งแกร่งราวสัตว์ประหลาด ฉันขอเตือนพวกนายว่าอย่าไปหาเรื่องเขาจะดีกว่า”

เฟยอวิ๋นยืนมองหลิวอวี่เดินจากไปด้วยความตะลึงงันอยู่ที่เดิม พูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว ตอนที่อยู่บนเครื่องบิน ตนเองโวยวายว่าจะสั่งสอนเย่เทียนเฉิน ตอนนี้เห็นจุดจบของหลิวอวี่ที่ไปยั่วยุเย่เทียนเฉินแล้วจึงรู้ได้ว่าตนเองช่างคุยโวโอ้อวดเสียเหลือเกิน ทั้งยังประเมินความสามารถของเย่เทียนเฉินต่ำไปมาก ถ้าหากคนที่เข้าไปในห้องฟิตเนสคือเขาเองล่ะก็ เกรงว่าจะต้องคลานออกมาสิไม่ว่า

“ไปเถอะ ภารกิจของพวกเราคือคุ้มครองคุณหนูหลิ่ว ส่วนเย่เทียนเฉินคงต้องให้หัวหน้าลงมือด้วยตัวเอง” เจียงเหมิงกล่าวพลางตบบ่าเฟยอวิ๋น

เฟยอวิ๋นทำได้เพียงพยักหน้า เขาเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วว่าตนเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเย่เทียนเฉินโดยเด็ดขาด คำพูดที่พูดบนเฮลิคอปเตอร์เหล่านั้นล้วนแต่โอหังอวดดี หากว่าตอนนั้นเย่เทียนเฉินลงมือกับตน คงเละเป็นโจ๊กไปแล้ว

ตอนที่เย่เทียนเฉินตื่นฟ้าก็มืดแล้ว เขาเดินออกไปจากห้องนอน ไปยังบิรเวณบ่อน้ำใหญ่ของคฤหาสน์ เห็นว่าพวกหลิ่วหรูเหมย หย่งชุนไท่ เจียงเหมิง เฟยอวิ๋น และหลิวอวี่ที่สวมแว่นกันแดดและผ้าปิกปาก กำลังปรึกษากันอยู่ที่นี่นานแล้ว การแลกเปลี่ยนข้อมูลลับในคืนนี้อีกฝ่ายจะต้องส่งยอดฝีมือมาโจมตีแน่นอน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องหาแผนการรับมือที่แน่ใจว่าจะไม่พลาด

“ว้าว พี่หลิว เป็นอะไรไปน่ะครับ? เล่นเป็นหน้ากากโซโรเหรอครับ?” เย่เทียนเฉินจงใจเดินไปเบื้องหน้าหลิวอวี่แล้วแส้รงทำเป็นถามด้วยความประหลาดใจ

“แก…” หลิวอวี่โกรธจนปวดฟัน ไอ้เจ้าเย่เทียนเฉินนี่มันตั้งใจยั่วโมโหตนเองชัดๆ

“นี่ หลิ่วหรูเหมย นี่เป็นวิธีรับแขกของเธอเหรอ? มืดแล้ว ยังไม่เตรียมอาหารเย็นให้กินอีก?” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางมองหลิ่วหรูเหมยอย่างไม่สบอารมณ์

“นายเป็นตือโป๊ยก่ายกลับชาติมาเกิดรึไง อาหารกลางวันเต็มโต๊ะถูกนายกินหมดคนเดียว ไม่ท้องแตกตายก็บุญแล้ว” หลิ่วหรูเหมยใช้ดวงตาอันงดงามมองไปยังเย่เทียนเฉินพลางกล่าว

“แค่อาหารเล็กๆ น้อยๆ พวกนั้นยังไม่พออุดฟันเลย อย่าบอกนะว่าตระกูลหลิ่วไม่มีปัญญาเลี้ยงอาหาร น่าขายหน้าเกินไปแล้ว” เย่เทียนเฉินพูดออกมาอย่างเหยียดหยาม

“ฉันขี้เกียจสนใจนายแล้ว เฮอะ!” หลิ่วหรูเหมยโกรธจนกระทืบเท้า เดินไปยังด้านหนึ่งโดยไม่สนใจเย่เทียนเฉิน

หย่งชุนไท่มองเย่เทียนเฉิน ในใจก็ยิ่งมองหนุ่มคนดีในแง่ดีมากยิ่งขึ้น การะประลองของหลิวอวี่และเย่เทียนเฉินนั้นเธอเองก็ทราบดี ทำให้ยิ่งเชื่อมั่นว่า หากต้องการสำเร็จภารกิจในครั้งนี้จะขาดเย่เทียนเฉินไปไม่ได้

“เทียนเฉิน ที่นี่มีผลไม้อยู่ เอาไปกินเถอะ เธอไม่ร่วมประชุมก็ช่างเถอะ ไปฟังพวกเราปรึกษาแผนการอยู่ข้างๆ ก็ได้” หย่งชุนไท่กล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ขอบคุณครับหย่งชุนไท่”

เย่เทียนเฉินรับจานผลไม้ที่หย่งชุนไท่ส่งมา หันไปทำหน้าทะเล้นใส่หลิ่วหรูเหมยครั้งหนึ่งก่อนจะเดินไปยังเก้าอี้หวายที่อยู่ไม่ไกล นอนเอนอย่างสบายอารมณ์พลางกินผลไม้อย่างพออกพอใจ

“เจ้าหมอนี่…” หลิ่วหรูเหมยโกรธจนกำมือแน่น หากไม่ใช่ว่าใกล้จะปฏิบัติการแล้ว ก็อยากจะอัดหมอนี่สักหลายหมัดจริงๆ

หลิวอวี่ เจียงหมิงและเฟยอิ๋น ทั้งสามแม้จะไม่พอใจกับท่าทีลอยชายของเย่เทียนเฉินเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่กล้าเข้าไปหาเรื่องอีก หลิวอวี่ถูกเย่เทียนเฉินอัดจนแพ้ เขาย่อมรู้ดีว่าเย่เทียนเฉินร้ายกาจขนาดไหน คนคนนี้ดูท่าทางลูกคุณหนู แต่ฝีมือกลับล้ำลึกเกินหยั่ง ส่วนเจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นยิ่งไม่กล้าไปหาเรื่องเข้าไปใหญ่ ขนาดหลิวอวี่ยังไม่ใช่คู่มือของเย่เทียนเฉิน หากพวกเขาเข้าไปยั่วโมโหไม่ใช่ว่าเป็นการรนหาที่ตายหรอกหรือ?

“เอาล่ะ แผนการในครั้งนี้ก็คือ เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นอยู่ปกป้องคฤหาสน์ เพื่อป้องกันศัตรูมาลอบโจมตีที่นี่จนส่งผลให้พวกเราไม่มีที่ให้กลับ ฉันกับหลิวอวี่จะออกไปก่อนเพื่อเปิดทางพวกที่ซุ่มโจมตีด้านนอก ส่วนเย่เทียนเฉินก็พาคุณหนูไปยังสถานที่แลกเปลี่ยน” หย่งชุนไท่เปิดปากกล่าวอย่างจริงจัง

“แผนพวกนี้ไม่จำเป็นแล้วล่ะครับ เพราะผู้อื่นเขามาหาถึงประตูแล้ว!” เย่เทียนเฉินโยนองุ่นเม็ดหนึ่งเข้าปากแล้วกล่าวเรียบๆ

“เฮอะ คิดว่าตัวเองเป็นหมอดูผู้ยิ่งใหญ่จริงๆ รึไง? ถ้ามีคนมาหาถึงที่พวกเราจะไม่รู้ได้ไง” เจียงเหมิงกล่าวเสียงเย็น

“อย่านึกว่าตนเองมีความสามารถแล้วจะมาอวดเบ่งอะไรก็ได้นะ” เฟยอวิ๋นกล่าวอย่างไม่เชื่อ

หย่งชุนไท่ หลิ่วหรูเหมยและหลิวอวี่ ทั้งสามเองก็มองไปยังรอบๆ คฤหาสน์ด้วยความสงสัย สุดท้ายจึงมองไปยังเทียนเฉิน คิดว่าคนคนนี้เป็นบ้าอะไรขึ้นมาอีก เนื่องจากทั้งนอกและในคฤหาสน์มีแต่ความเงียบสงัด เย่เทียนเฉินบอกว่าศัตรูมาหาถึงที่แล้ว ทำไมถึงไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เลยแม้แต่น้อย?

“สาม…”

“สอง…”

“หนึ่ง…”

ตู้ม!

เย่เทียนเฉินนับถอยหลัง คำวาหนึ่งยังไม่ทันกล่าวจบก็เกิดเสียงดังสนั่น ประตูรั้วเหล็กของคฤหาสน์ตระกูลหลิ่วกระเด็นออกไป…

………………………………………………

บทที่ 85 หลิวอวี่ยั่วยุ
Ink Stone_Fantasy
แมคเคียร์ซึ่งเป็นหัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิต ใช้ปืนยิงหัวของผู้หญิงที่เพิ่งจะบริการตนเองโดยคิ้วไม่ขมวดเลยสักนิด ราวกับเหยียบแมลงตายไปตัวหนึ่งก็มิปาน เย็นชาไร้หัวใจ ไร้ความเป็นมนุษย์โดยสิ้นเชิง

แปะแปะ! แมคเคียร์ตบมือสองครั้ง ลูกน้องที่เป็นชายวัยกลางคนสองคนก็เดินเข้ามาจากด้านนอก ลากศพของผู้หญิงผมทองที่ถูกฆ่าออกไป ภายในห้องเหลือเพียงแมคเคียร์และแซนเบเกอร์สองคน

ต่อให้แซนเบเกอร์อยู่ข้างกายแมคเคียร์มาเกือบสิบปี ทั้งยังมีตำแหน่งเป็นถึงรองหัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิต การฆ่าคนก็ฆ่ามาแล้วนับไม่ถ้วน ย่อมไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร แต่ว่าการไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์เช่นแมคเคียร์ ที่ไม่พอใจก็ยิงปืนฆ่าคน ก็ยังคงทำให้แซนเบเกอร์รู้สึกเกรงกลัว ไม่แน่ว่าหากวันใดที่พูดอะไรไม่เข้าหู แมคเคียร์ก็อาจจะยิงเขาตายก็เป็นได้ นั่นเป็นการตายที่อยุติธรรมสิ้นดี

“มีเรื่องอะไร?” แมคเคียร์รินไวน์แก้วหนึ่ง ดื่มเข้าไปอึกใหญ่แล้วจึงกล่าวถาม

“คือ เมื่อสักครู่ได้ข่าวมาว่า การซุ่มโจมตีของร็อคกี้แบร์ล้มเหลว พวกเราสูญเสียสมาชิกชั้นยอดไปเกือบสามสิบคน ร็อคกี้แบร์เองก็ถูกคนหักคอไปแล้ว…” แซนเบเกอร์ได้สติหลับมาก็กล่าวรายงานออกไปเสียงเบา

“อะไรนะ?”

แมคเคียร์ได้ฟังที่แซนเบเกอร์พูด ก็ตกใจจนลุกจากที่นั่งโดยพลัน นัยน์ตาทั้งสองเต็มไปด้วยความโกรธแค้นและประกายแห่งความอยากฆ่าคน เขาไม่เชื่อในสิ่งที่ตนได้ยินกับหูโดยเด็ดขาด ร็อคกี้แบร์ลูกน้องของตนถูกผู้อื่นฆ่าไปแล้ว?

“เป็นไปไม่ได้ ครั้งนี้ร็อคกี้แบร์นำสมาชิกชั้นยอดไปเกือบร้อยคน บอกว่าจะไปทำการซุ่มโจมตีเพื่อหยั่งเชิงดูก่อน ความจริงฉันเคยสั่งเขาไปตั้งนานแล้วว่า ขอเพียงมีความเป็นไปได้แม้เพียงเล็กน้อย ก็ให้ฆ่าคนที่ทางตะวันออกส่งมาซะให้หมด” แมคเคียร์ใช้หมัดทุบลงไปบนจอคอมพิวเตอร์ด้านหน้า ทำให้คอมพิวเตอร์จอแอลซีดีถูกทุบจนเกิดรูขนาดใหญ่รูหนึ่ง

“พี่ใหญ่ เป็น…เป็นความจริงครับ จากคำรายงานของลูกน้องที่หนีกลับมาได้ คราวนี้ทางฝั่งตะวันออกส่งยอดฝีมือมาหลายคน โดยเฉพาะชายที่อายุไม่ถึงยี่สิบปีคนหนึ่ง ฝีมือแข็งแกร่งมาก เป็นเขาที่ฆ่าร็อคกี้แบร์ด้วยกระบวนท่าเดียว…” แซนเบเกอร์กล่าวด้วยน้ำเสียงไม่อยากจะเชื่อเช่นเดียวกัน

กล่าวตามจริงแล้ว หากไม่ใช่เพราะลูกน้องที่หนีรอดกลับมาได้ ล้วนพูดเช่นนี้กันหมด แซนเบเกอร์เองก็คงไม่เชื่อโดยเด็ดขาด ร็อคกี้แบร์ฝีมือไม่ด้อยไปกว่าเขาเลย แล้วคราวนี้ยังพาสมาชิกที่เก่งกาจไปอีกเกือบร้อยคน เพียงพอที่จะต่อกรกับทหารหนึ่งกองร้อยได้เลยทีเดียว ส่วนคนที่มาจากฝั่งตะวันออกมีจำนวนน้อยนิดเท่านั้น ถึงกับฆ่าร็อคกี้แบร์และยังฆ่าสมาชิกชั้นยอดจำนวนเกือบร้อยจนพ่ายแพ้กลับมา เรื่องเช่นนี้ทำให้ผู้คนไม่กล้าเชื่อเลยจริงๆ

“ชายคนหนึ่งที่อายุไม่ถึงยี่สิบปี? จะเป็นไปได้ยังไง? ตะวันออกมีคนที่เก่งกาจขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? นอกจากจะเป็นหนึ่งในสามราชันนักรบของจีนจะมาถึงแล้ว” แมคเคียร์ขมวดคิ้ว สงบสติอารมณ์โกรธของตนลงครู่หนึ่งพลางกล่าวออกมา

แซนเบเกอร์ได้ยินคำพูดของพี่ใหญ่แมคเคียร์ก็เกิดความสงสัยขึ้นมา ความจริงเขาเองก็คิดไม่ถึงว่าชายอายุราวยี่สิบปีคนหนึ่งจะสามารถแข็งแกร่งถึงขั้นฆ่าร็อคกี้แบร์ได้ ช่างทำให้ผู้คนสั่นสะท้านจริงๆ นอกจากคิดเหมือนแมคเคียร์ว่าหนึ่งในสามราชันนักรบของจีนมาถึงแล้ว ก็คิดไม่ออกว่าจะมีใครที่เก่งกาจเช่นนี้อยู่อีก

แต่ว่าจากคำรายงานของลูกน้อง พวกเขาทุกคนล้วนเห็นเย่เทียนเฉิน บรรยาลักษณะของชายที่ฆ่าร็อคกี้แบร์คนนี้ออกมาแล้ว ไม่สอดคล้องกับหนึ่งในสามราชันนักรบของจีนเลย เพราะชางหลางและเหยียนหลงอายุสามสิบกว่าปีแล้ว ลักษณะเช่นนั้นย่อมไม่ใช่ลักษณะของคนอายุยี่สิบปีอย่างแน่นอน ความเป็นไปได้อย่างเดียวก็คือราชันนักรบที่ลึกลับเป็นอย่างมากคนนั้น มิอาจพูดได้ว่าผู้คนในระดับนานาชาติมีความเข้าใจต่อคนคนนี้น้อย เพราะขนาดในประเทศจีนเองคนที่รู้ก็มีไม่มาก

“พี่ใหญ่ ไม่ว่าจะยังไง การซุ่มโจมตีของพวกเราครั้งนี้ก็ล้มเหลวแล้ว สูญเสียอย่างร้ายแรง ต้องรีบใช้มาตรการรับมือ ไม่งั้นทางฝั่งรัฐบาลประเทศMจะต้องบีบบังคับพวกเราแน่…” แซนเบเกอร์ด้วยความกังวล

แมคเคียร์มองแซนเบเกอร์ครู่หนึ่ง ด้วยความที่เขามีฐานะเป็นหัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิต จึงต้องควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดด้วยความโหดเหี้ยมมาโดยตลอด เดิมทีเมื่อได้รับเรียกตัวและว่าจ้างอย่างลับๆ จากรัฐบาลประเทศMในครั้งนี้ แมคเคียร์ก็ได้ยื่นเงื่อนไขแก่รัฐบาลประเทศMไปด้วย นั่นคือหลังจากที่จัดการเรื่องคนที่มาแลกเปลี่ยนข้อมูลลับจากฝั่งตะวันออกได้ รัฐบาลประเทศMรับรองสถานะของกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิตของพวกเขาให้ถูกกฎหมาย หลังจากนั้นหัวหน้ากลุ่มอย่างเขาก็จะสามารถใช้ชีวิตท่ามกลางแสงสว่างได้ ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ อีกต่อไป

อีกทั้งทางฝั่งรัฐบาลประเทศMก็ได้พูดไว้อย่างชัดเจนแล้วว่า ถ้าหากแมคเคียร์ไม่สามารถทำภารกิจครั้งนี้ให้สำเร็จได้ กลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิตจะต้องถูกไล่ออกไปจากประเทศM และยังเป็นไปได้ว่าจะถูกโจมตีอีกด้วย ดังนั้นแมคเคียร์จึงให้ความสำคัญกับงานว่าจ้างในครั้งนี้มาก พอลงมือก็ส่งร็อคกี้แบร์ที่เป็นรองหัวหน้ากลุ่มออกไป ทั้งยังให้เขานำสมาชิกชั้นยอดไปอีกเกือบร้อยคน เพื่อหวังว่าจะสามารถฆ่าคนจากฝั่งตะวันออกได้ทั้งหมด ไหนเลยจะรู้ว่าสถานการณ์จะกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ ช่างทำให้ผู้คนต้องช็อคจริงๆ

“ไอ้โง่ร็อคกี้แบร์ ตายไปก็สมควรแล้ว ดูท่าครั้งนี้ในหมู่คนที่ตะวันออกส่งมา จะมียอดฝีมือที่มีความสามารถเก่งกาจอยู่ แต่ก็ไม่มีประโยชน์หรอก ถ้าฉันแมคเคียร์ต้องการจะฆ่าคน ไม่ว่าใครก็หนีไม่รอด แกไปเรียกรวมพล “สิบปีศาจ” มาเดี๋ยวนี้ บอกไปว่าคืนนี้มีปฏิบัติการสำคัญ…” แมคเคียร์คิดครู่หนึ่งก่อนเปิดปากกล่าว

“พี่ใหญ่ พวกเราต้องใช้พลังของสิบปีศาจจริงๆ เหรอครับ? ถ้าหากว่ารัฐบาลประเทศMใช้มาตรการถอนรากถอนโคนกับพวกเรา ความสามารถในการปกป้องตนเองเพียงอย่างเดียวของพวกเราจะหายไปเลยนะครับ”

แซนเบเกอร์ไม่คิดว่าแมคเคียร์จะให้ตนเรียกรวมพลสมาชิกของสิบปีศาจ ภายในกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิตมีกลุ่มที่มีสมาชิกสิบคนอยู่กลุ่มหนึ่งที่มีฝีมือแข็งแกร่งมาก คนทั้งสิบนี้เป็นหัวกะทิในหมู่หัวกะทิ เป็นกำลังสำคัญของกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิต ในยามปกติ คนทั้งสิบจะกระจายตัวอยู่ในหมู่สมาชิก คนธรรมดาไม่สามารถรับรู้ได้ มีเพียงแมคเคียร์ แซนเบเกอร์ และร็อคกี้แบร์สามคนที่รู้ว่าจะเรียกรวมพลสมาชิกสิบปีศาจได้อย่างไร

สิบปีศาจเป็นกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดของกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิต ไม่ได้เคลื่อนไหวมาแล้วเป็นเวลาราวห้าปี คราวนี้เพื่อที่จะทำงานว่าจ้างให้สำเร็จและทำให้รัฐบาลประเทศMรับรองฐานะอย่างถูกกฎหมาย แมคเคียร์จึงเตรียมที่จะใช้ไพ่ตายใบสุดท้ายใบนี้

“ไปเถอะ ฉันจะรอฟังข่าวดีจากแกอยู่ที่นี่ ถ้าหากยังล้มเหลวอีกล่ะก็ แกก็อย่ามีชีวิตกลับมาเลย” แมคเคียร์กล่าวอย่างเย็นชา

“ครับ!” แซนเบเกอร์ตกตะลึงไปชั่วครู่ ก่อนจะถอยออกไปจากห้อง มีเพียงแมคเคียร์ที่มองออกไปนอกหน้าต่างด้วยใบหน้าโหดเหี้ยม การสู้รบกับยอดฝีมือประเทศจีนก็ไม่ใช่ว่าเพิ่งจะสู้กันครั้สองครั้ง กองทหารรับจ้างมารโลหิตของเขาไม่มีสักครั้งที่สูญเสียอย่างสาหัสเช่นครั้งนี้ แมคเคียร์ไม่เพียงแต่อยากจะทำภารกิจให้สำเร็จ ทั้งยังไม่อาจอดกลั้นเรื่องนี้ได้

ในยามนี้ ภายในคฤหาสน์ใหญ่ของตระกูลหลิ่ว เย่เทียนเฉินเป็นเพียงคนเดียวที่อยู่ในห้องโถงของเรือนกลาง มือซ้ายมีไก่ตัวหนึ่ง มือขวามีเป็ดตัวหนึ่ง ตรงกลางยังมีเหล้าแดงแก้วหนึ่งวางไว้ นั่งไขว่ห้างเสพสุขอย่างสบายอกสบายใจหาที่เปรียบ ทั้งกินทั้งดื่ม สบายอุรายิ่ง

ทันใดนั้น เย่เทียนเฉินก็ขมวดคิ้ว เขารู้สึกได้ถึงไอสังหารสายหนึ่งใกล้ๆ ตน ตอนที่กำลังคิดว่าเป็นผู้ใดนั้น ประตูห้องโถงก็ถูกเปิดออก พบเพียงหลิวอวี่มองมายังตนเอง เดินเข้ามาด้วยใบหน้าเข้มงวดจริงจัง

“ที่แท้ก็เป็นหัวหน้าหลิวนี่เอง มีเรื่องอะไรรึเปล่า?” เย่เทียนเฉินที่เดาออกว่าหลิวอวี่มาเพื่ออะไร จงใจแสร้งทำเป็นถามอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว

หลิวอวี่มองเย่เทียนเฉินครู่หนึ่ง มุมปากปรากฏรอยยิ้ม นั่งลงด้านข้างพลางกล่าวว่า “คนหนุ่ม แม้พอมีฝีมืออยู่หลายส่วน แต่ไม่ควรโอหัง ถ้าไม่รู้จักเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ ก็จะต้องถูกสั่งสอน”

“หัวหน้าหลิวมีอะไรก็พูดมาตรงๆ เถอะ ผมง่วงอยากนอนแล้ว” เย่เทียนเฉินหาวออกมาครั้งหนึ่ง

“แกไม่คิดว่าตัวเองโอหังไปหน่อยเรอะ? ที่คฤหาสน์ตระกูลหลิ่วแห่งนี้คำพูดฉันถือเป็นที่สุด ถ้าหากไม่ฟังคำสั่งฉันล่ะก็ อย่าหาว่าฉันไม่เกรงใจก็แล้วกัน” หลิวอวี่ตบลงบนโต๊ะอาหาร มองเย่เทียนเฉินอย่างโหดเหี้ยมพลางกล่าว

ได้ยินคำพูดของหลิวอวี่ เย่เทียนเฉินที่เดิมทีไม่คิดเล็กคิดน้อยอะไรก็เกิดโมโหขึ้นมาบ้างแล้ว เห็นได้ชัดว่าหลิวอวี่มาหาเรื่อง ทนเห็นตนเองไม่ได้ ต้องการใช้โอกาสนี้สร้างปัญหา

“หัวหน้าหลิวช่างน่าเกรงขามดีจริงๆ คุณไม่อยากเกรงใจ ผมก็อยากจะดูสักหน่อยว่าไม่เกรงใจยังไง” เย่เทียนเฉินกล่าวเสียงเรียบ อารมณ์ของเขาก็เป็นเช่นนี้เอง คุณหาเรื่องผมหนึ่งคืบ ผมคืนให้คุณหนึ่งศอก คุณมอบหมัดให้ผมหนึ่งมัด ผมก็จะอัดคุณให้เละเป็นโจ๊ก

“ดี ดี ดี นี่แกพูดเองนะ ฉันไม่อยากจะรังแกผู้น้อย พวกเราประมือกันสักสองสามกระบวนท่าเป็นไง?” หลิวอวี่กล่าวด้วยรอยยิ้มเย็น คิดว่าเย่เทียนเฉินติดกับเข้าแล้ว เขารอคำพูดนี้ของเย่เทียนเฉินอยู่นั่นเอง

หากจะลงมือกับเย่เทียนเฉิน หลิวอวี่จำเป็นต้องมีเหตุผล มิฉะนั้นจะถูกผู้อื่นครหาว่าผู้ใหญ่รังแกเด็ก รังแกผู้น้อย หากกล่าวถึงชื่อเสียง หลิวอวี่โด่งดังมาก่อนเย่เทียนเฉินสิบกว่าปี ตอนนั้นกลุ่มทหารรับจ้างสังหารกำลังเดินเข้าสู่ระดับกลุ่มทหารรับจ้างระดับนานาชาติ ส่วนหลิวอวี่ที่เป็นหัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างสังหารก็มีชื่อเสียงอยู่ภายนอก

“ประมือกันสองสามกระบวนท่า? ผมว่าช่างมันเถอะ ถึงตอนนั้นคงมีคนหาว่าผมลงมือกับคนแก่ แบบนั้นไม่ดีแน่!” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางส่ายหน้า

“ถ้าหากว่าแกกลัวแพ้ กลัวถูกอัด งั้นก็ช่างเถอะ แต่ว่าเรื่องหลังจากนี้ ฉันมีแผนยังไง แกก็ต้องทำอย่างนั้น อย่ามาทำตัวไม่รู้จักถูกผิดอีก” หลิวอวี่นึกว่าเย่เทียนเฉินกลัว ไม่กล้าประมือกับตน ก็กล่าวพลางหัวเราะเยาะขึ้นมาโดยพลัน

เย่เทียนเฉินมองหลิวอวี่ รู้ดีว่าฝีมือของเขาแข็งแกร่งมาก ตอนที่เจอกับการซุ่มโจมตี หลิวอวี่ลงมือฆ่าศัตรู ดูเหมือนจะยิงหนึ่งนัดระเบิดหนึ่งหัว เย่เทียนเฉินมองเห็นทั้งหมด บุคคลที่เกือบจะได้เป็นราชันนักรบคนที่สี่ของจีน ความสามารถย่อมไม่อ่อนแอ เดิมทีเย่เทียนเฉินไม่ต้องการต่อสู้กับหลิวอวี่ ใจของเขาล้วนอยู่ที่หน่วยสืบราชการลับพลังพิเศษของประเทศM อยากจะลงมืออย่างเต็มกำลังเพื่อขุดยอดฝีมือแห่งหน่วยสืบราชการลับพลังพิเศษของประเทศMออกมา และสู้กับเขาสักตั้ง ไหนเลยจะรู้ว่าหลิวอวี่จะถึงกับมาบีบบังคับตน เช่นนั้นก็ไม่มีทางแล้ว สู้ก็สู้เถอะ แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยกลัว

“ไปเถอะ ในเมื่อคุณหาเรื่องโดนอัด มีความชอบพิเศษอย่างการโดนอัด ผมก็จะเติมเต็มให้คุณเอง ไม่งั้นจะหาว่าไม่ไว้หน้าคุณ บอกไว้ก่อนนะครับ ผมจะต่อยให้ตาทั้งสองของคุณเขียวเท่านั้น แล้วก็จะหยุดมือ ผมง่วงมากแล้ว หลับลึกมากด้วย ไไม่มีเวลามาเล่นกับคุณหรอก” เย่เทียนเฉินหาวอีกครั้งหนึ่งพลางกล่าวกับหลิวอวี่

…………………………………………………………………….

บทที่ 84 แมคเคียร์ผู้เลือดเย็น
Ink Stone_Fantasy
หากกล่าวว่าเจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นเห็นถึงฝีมืออันแข็งแกร่งของเย่เทียนเฉินแล้วในใจรู้สึกสั่นสะท้าน เช่นนั้นหลิวอวี่ก็รู้สึกตื่นเต้น

ที่ตื่นเต้นนั้นเป็นเพราะเขามีความมั่นใจในฝีมือของตนเองมาก เขาที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นราชันนักรบคนที่สี่ของจีนได้เมื่อปีนั้น ย่อมไม่ได้รับชื่อเสียงมาเสียเปล่าแน่นอน

ในใจของหลิวอวี่ไม่พอใจเย่เทียนเฉิน กล่าวคือ ทนเห็นท่าทางอิสระเสรีของเย่เทียนเฉินไม่ได้

โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อาวุโสกว่าอย่างเขา เย่เทียนเฉินกลับเมินเฉย ทำให้หลิวอวี่รู้สึกว่าเขาช่างโอหังเสียเหลือเกิน จะต้องสั่งสอนให้รู้สำนึกเสียบ้าง

แน่นอนว่า เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นที่ได้ยินหลิวอวี่กล่าวว่าจะสั่งสอนเย่เทียนเฉินย่อมรู้สึกยินดีอยู่ในใจเป็นอย่างมาก

พวกเขาสองคนอยากจะลงมือแต่ติดที่ฐานะสมาชิกกองทัพเหยี่ยวของพวกเขา ทำให้ต้องสนใจเรื่องระเบียบวินัย ต่อให้อัดเย่เทียนเฉินจนแพ้ยับ ก็ต้องถูกเบื้องบนสอบสวนลงมา ย่อมไม่ดีเป็นแน่

ส่วนหลิวอวี่ ผู้อาวุโสที่ฝีมือแข็งแกร่งกว่าพวกเขาหลายขั้นคนนี้ หากลงมือย่อมสามารถอัดเย่เทียนเฉินให้เละเป็นสมองหมูได้อย่างแน่นอน

เย่เทียนเฉินขับรถลีมูซีนสีดำที่มีหลิ่วหรูเหมยและหย่งชุนไท่โดยสารอยู่ เหยียบคันเร่งสูงสุดไปตามการนำทางของจีพีเอส มุ่งไปยังคฤหาสน์ตระกูลหลิ่ว การขับรถของเขาพูดได้คำเดียวว่า หวาดเสียวแต่ปราศจากอันตราย

“นี่ นาย…นายขับให้มันช้าๆ หน่อยได้ไหม จะรีบไปเกิดใหม่หรือไง?” หลิ่วหรูเหมยที่ทนความโคลงเคลงไม่ไหวตะโกนใส่เย่เทียนเฉิน

“ขับช้าลงหน่อยเถอะ คนแก่อย่างฉันทนกลิ้งไปกลิ้งมาไม่ไหวแล้ว” หย่งชุนไท่เองก็กล่าวอย่างอดไม่อยู่

“งั้นก็แย่หน่อยนะครับ พวกคุณขึ้นรถผม ก็ต้องฟังคำของผม รถที่ผมขับเมื่อก่อนคือบิ๊กไบค์…” เย่เทียนเฉินยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์เล็กน้อยทั้งยังขับพุ่งตรงไปข้างหน้าโดยไม่ลดความเร็วลงเลยสักนิด

ขับบิ๊กไบค์ คำพูดประโยคนี้เย่เทียนเฉินไม่ได้กล่าวมั่วๆ

ชาติก่อน เขามีมอเตอร์ไซด์ที่ทั้งเท่ทั้งยอดเยี่ยมอยู่คันหนึ่ง ด้านหน้าสุดประดับด้วยหัวมังหรอันใหญ่ที่ทำจากโลหะผสมไทเทเนี่ยม มีชื่อว่า “มอเตอร์ไซด์เศียรมังกร”

ทุกครั้งที่ออกปฏิบัติการ เย่เทียนเฉินล้วนแต่ขี่มอเตอร์ไซด์เศียรมังกรคันนี้ ทั้งยังสวมชุดหนังสีดำทั้งตัว ไม่ทราบว่าทำให้หญิงสาวหลงใหลไปมากน้อยแค่ไหน

ประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อมา รถที่เย่เทียนเฉินขับก็จอดอยู่นอกประตูคฤหาสน์

หลิ่วหรูเหมยและหย่งชุนไท่ ทั้งสองต่างก็รู้สึกมึนหัวตาลายจนอยากอาเจียน

เย่เทียนเฉินทำตัวราวกับผีหิวตายที่ต้องการพุ่งใส่ขนมปังมาตลอดทาง ไม่มีการหยุดรถเลยสักวินาทีเดียว ฝ่าไฟแดงมานับไม่ถ้วย หลบเลี่ยงอันตรายจากการปะทะกับรถคันอื่นหลายครั้ง ในที่สุดก็ถึงเป้าหมาย

“ลงรถเถอะ ในที่สุดก็ถึงที่ๆ กินข้าวได้สักที” เย่เทียนเฉินหัวเราะฮี่ๆ พลางหันมากล่าวกับหลิ่วหรูเหมยและหย่งชุนไท่

“ไอ้คนชั่วร้ายคนนี้นี่ คุณหนูคนนี้ คุณหนูคนนี้ไม่จบกับนายแน่…” หลิ่วหรูเหมยที่ถูกความโคลงเคลงโจมตีจนหน้าซีดมองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างโหดเหี้ยมพลางกล่าว

“ครั้งหน้าถ้าเธอขับอีก ฉันไม่นั่งด้วยแล้ว”

หย่งชุนไท่ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าพอเย่เทียนเฉินแสดงนิสัยอันธพาลออกมาจะไม่น่าเชื่อถือขนาดนี้ รู้สึกรับไม่ได้อยู่บ้าง

เย่เทียนเฉินยิ้มเจ้าเล่ห์ พลางเปิดประตูรถแล้วเดินลงไป

ตอนนี้เอง ประตูใหญ่ของคฤหาสน์ตระกูลหลิ่วก็เปิดออก มียอดบอดี้การ์ดสูทดำยี่สิบคนวิ่งออกมาจากข้างใน ซ้ายขวาด้านละสิบ ทั้งหมดต่างพกพาอาวุธ แต่ละคนถูกฝึกฝนมาอย่างดี หลังจากที่วิ่งออกมาแล้วก็ยืนอยู่สองฝั่งซ้ายขวาอย่างเป็นระเบียบ ไม่มีการพูดคุยกันมั่วซั่ว เรียงแถวอย่างเป็นระเบียบ

“คุณหนูใหญ่!”

บอดีการ์ดสูทกำทั้งยี่สิบคน มองหลิ่วหรูเหมยที่ก้าวลงมาจากรถด้วยความเคารพพลางตะโกนเสียงดัง

หลิ่วหรูเหมยยืนค้ำประตูรถ มีความรู้สึกอยากอาเจียน ใช้ดวงตาอันงดงามจ้องไปยังเย่เทียนเฉินอย่างดุดัน

คนคนนี้ขับรถเร็วมากเหลือเกิน ทำให้ผู้อื่นรู้สึกราวกับว่าอวัยวะภายในโคลงเคลงเคลงออกมาอย่างไรอย่างนั้น เกรงว่าตนเองจะต้องขายหน้าต่อหน้าลูกน้องบอดี้การ์ดเหล่านี้ของบ้านตระกูลหลิ่วเสียแล้ว ช่างทำให้รู้สึกอยากจะกัดเย่เทียนเฉินให้ตายจริงๆ

“อืม!”

หลิ่วหรูเหมยเพียงพยักหน้า ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา พยายามอดกลั้นอาการคลื่นไส้อย่างเต็มที่ แล้วจึงเดินเข้าไปภายในคฤหาสน์

หย่งชุนไท่เดินตามหลังหลิ่วหรูเหมยไป

ส่วนเย่เทียนเฉินถูกหลิ่วหรูเหมยปฏิบัติด้วยอย่างเย็นชาโดยสิ้นเชิง แต่ก็ไม่ใส่ใจอะไร ถึงอย่างไรเขาก็มาเที่ยวเล่น ตอนนี้ปัญหาสำคัญก็คือกินอาหารดีๆ สักมื้อ สองมือล้วงกระเป๋ากางเกงพลางก้าวเดินเข้าไปราวกับเป็นเจ้าของคฤหาสน์ตระกูลหลิ่วหลังนี้ก็มิปาน

เย่เทียนเฉิน หลิ่วหรูเหมย และหย่งชุนไท่ ทั้งสามเพิ่งจะเดินเข้ามา พวกเจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นก็ตามมาถึงแล้ว

ฝีมือการขับรถของเย่เทียนเฉินดีมาก แถมยังขับรถเร็วมาก ทำให้พวกหลิวอวี่ตามไม่ทัน จึงรู้สึกโกรธเกลียดอยู่ในใจจนปวดฟันไปหมด

“พี่อวี่!”

เมื่อเห็นหลิวอวี่ลงรถมา บอดี้การ์ดที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดก็เปิดปากตะโกนลั่น

“คุณหนูกับหย่งชุนไท่เข้าไปแล้วใช่ไหม?” หลิวอวี่รีบกล่าวถาม

“เพิ่งเข้าไปครับ”

หลิวอวี่หยักหน้า นำเจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นเดินตามเข้าไปอย่างรวดเร็ว

ตอนนี้ในใจหลิวอวี่แทบจะทนไม่ไหว เมื่อได้คุ้มครองหนูหลิ่วหรูเหมยกลับมาถึงคฤหาสน์ตระกูลหลิ่วอย่างปลอดภัย เขาก็ผ่อนคลายลงมาก ดังนั้นตอนนี้ในใจของเขามีความคิดอยู่อย่างเดียวก็คือ สั่งสอนเย่เทียนเฉิน

เย่เทียนเฉินตามหลังหลิ่วหรูเหมยและหย่งชุนไท่เข้าไปยังห้องโถงของคฤหาสน์ตระกูลหลิ่ว

ยามที่เย่เทียนเฉินเหยียบย่างเข้ามาในคฤหาสน์ตระกูลหลิ่ว เขาก็ใช้พลังพิเศษแห่งการรับรู้สแกนคฤหาสน์ตระกูลหลิ่วทั้งหมดไปแล้วรอบหนึ่ง

พื้นที่ของคฤหาสน์ตระกูลหลิ่วทั้งหมดประมาณห้าร้อยตารางเมตร ไม่ใช่คฤหาสน์ที่ใหญ่โตมากนัก ตรงกลางมีเรือนประชุมอยู่เรือนหนึ่ง สองฝั่งซ้ายขวาเป็นเรือนพักเล็กๆ ในนั้นมีสวนดอกไม้เล็กๆ อยู่แห่งหนึ่ง จากนั้นจึงเป็นพื้นที่สำหรับจอดรถ

เมื่อหย่งชุนไท่ผลักประตูใหญ่เรือนกลางเข้าไป เย่เทียนเฉินเป็นคนแรกที่พุ่งเข้าไปอย่างตื่นเต้นจนหลิ่วหรูเหมยและหย่งชุนไท่ไร้ซึ่งคำพูดใดๆ

เนื่องจากภายในห้องโถง มีการจัดเตรียมอาหารไว้เต็มโต๊ะ นี่เป็นสิ่งที่หลิวอวี่ผู้รักษาการณ์แห่งคฤหาสน์ตระกูลหลิ่วได้เตรียมไว้สำหรับต้อนรับหลิ่วหรูเหมยและหย่งชุนไท่ที่เดินทางมาไกล

เย่เทียนเฉินนั่งลงข้างๆ โต๊ะอาหาร แล้วลงมือกินอย่างตะกละตะกลามราวกับผีที่หิวตายอย่างไรอย่างนั้น ทั้งยังไม่รักษาภาพพจน์และไม่สนใจหลิ่วหรูเหมยสาวสวยงามเลิศคนนี้โดยสิ้นเชิง

“เจ้าหมอนี่…”

“ช่างเถอะคุณหนู ครั้งนี้หากไม่ใช่เพราะเขา พวกเราอาจจะไม่รอดกลับมาแล้วก็ได้” หย่งชุนไท่กล่าวด้วยรอยยิ้ม

หลิ่วหรูเหมยกัดฟันแน่น อดไม่ได้ที่จะสาบานอยู่นใจว่า รอให้การแลกเปลี่ยนข้อมูลลับครั้งนี้สำเร็จและกลับประเทศไปก่อนเถอะ จะต้องสั่งสอนเจ้าหมอนี่ให้ได้อย่างแน่นอน

คนคนนี้ช่างชั่วร้ายเหลือเกิน ไม่เพียงแสดงออกถึงการเหยียดหยามตนเอง ยังพูดจาโจมตีเธออีกต่างหาก

“อืม ไม่เลวเลย หอยเป๋าฮื้อนี่ไม่เลวเลย…”

“ให้ตายเถอะ กุ้งมังกรผัดนี่ทำมาอย่างกับกุ้งน้ำ ล้มเหลวจริง…”

“ไม่มั้ง ในไส้หมูยังมีตะกอนอยู่เลย…ล้มเหลวในล้มเหลว…”

เย่เทียนเฉินกินไปพลางบ่นพึมพำกับตัวเองไปพลาง หลิ่วหรูเหมยได้ยินดังนั้นก็เกิดเส้นขีดสีดำขึ้นบนหน้าผาก เดินออกไปด้วยความโกรธเคือง

นั่งเครื่องบินมาหนึ่งวันหนึ่งคืน ทั้งยังถูกเย่เทียนเฉินขับรถฉวัดเฉวียนอีกหนึ่งชั่วโมงกว่า ถ้าไม่พักผ่อนสักหน่อยเกรงว่าคืนนี้หลังเที่ยงคืนคงไม่มีปัญญาไปแลกเปลี่ยนข้อมูลลับเป็นแน่

เมื่อเห็นว่าหลิ่วหรูเหมยและหย่งชุนไท่เดินจากไป เหลือเพียงตนเองคนเดียวที่ทานอาหารอยู่ในห้องโถงแห่งนี้ เย่เทียนเฉินก็รู้สึกสบายเป็นอย่างมาก

จุดบุหรี่มวนหนึ่งขึ้นสูบ จากนั้นถึงถอดรองเท้าออกไปวางไว้บนม้านั่งด้านข้าง บิดขี้เกียจครั้งหนึ่ง จากนั้นจึงใช้มือซ้ายคีบบุหรี่ มือขวาหยิบหอยเป๋าฮื้อ สูบบุหรี่เฮือกหนึ่ง แทะเป๋าฮื้อคำหนึ่ง ช่างสุขอุราราวเทพเซียนเสียจริง

ตอนนี้เอง ที่ถนนอาชญากรรมที่มีชื่อเสียงในHSD ภายในตึกใหญ่ที่มีแสงไฟสลัวๆ แห่งหนึ่ง ชายชราหัวล้านที่ดูท่าทางอายุราวๆ ห้าสิบกว่าปี กำลังสูบซิการ์อยู่

เบื้องหน้าของเขามีคนผู้หนึ่งยืนอยู่ หากว่าเย่เทียนเฉินได้มาเห็นล่ะก็ จะต้องรู้จักอย่างแน่นอน เขาก็คือแซนเบเกอร์

ชายชราหัวล้านคือแมคเคียร์ หัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิต ฉายาปีศาจกระหายเลือด ที่ได้รับสมญานามเช่นนี้เป็นเพราะทุกครั้งที่แมคเคียร์ฆ่าคน จะต้องดื่มเลือดของศัตรูหนึ่งแก้วทุกครั้ง วิปลาสถึงขีดสุด ดังนั้นจึงได้รับสมญานามเช่นนี้

เมื่อสักครู่นรี้ แซนเบเกอร์ได้รับรายงานจากลูกน้องว่า ร็อคกี้แบร์ที่มีฐานะเป็นรองหัวหน้ากลุ่มเช่นเดียวกับตน นำคนไปซุ่มโจมตีสมาชิกที่เดินทางมาของฝั่งตะวันออกแล้วล้มเหลว ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง กระทั่งร็อคกี้แบร์เองก็ถูกหักคอตายตายไปแล้ว

เดิมทีเมื่อแซนเบเกอร์ได้พบแมคเคียร์ก็อยากจะกล่าวรายงานออกไปทันที แต่เห็นว่าแมคเคียร์สำหรับเสพสุขอยู่ จึงไม่กล้าส่งเสียง ต่อให้เขาเป็นรองหัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิต ก็เข้าใจดีว่า ขอเพียงแมคเคียร์ไม่พอใจแม้เพียงนิด ตัวเขาเองก็ต้องตายเช่นเดียวกัน

แมคเคียร์ก็เป็นคนเลือดเย็นเช่นนี้เอง ฆ่าคนได้โดยไม่ขมวดคิ้ว ต่อให้เป็นหญิงสาวที่ทำให้เขาขึ้นสวรรค์อยู่ ณ ตอนนี้ เขาก็สามารถลั่นไกปืนระเบิดสมองได้ในทันที

ตึกที่แมคเคียร์อยู่ตั้งแต่ชั้นล่างสุดถึงชั้นบนสุด มีทั้งหมดสี่ชั้น แต่ละชั้นล้วนมีโจรที่ถืออาวุธทันสมัยอยู่ในมือหลายสิบคนคุ้มครองอยู่

คนเหล่านี้เป็นทั้งสมาชิกชั้นยอดของกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิต และเป็นทั้งคนสนิทของแมคเคียร์ ต่อให้เป็นแซนเบเกอร์และร็อคกี้แบร์ หากเข้ามาข้างในโดยไม่ได้รับอนุญาตก็ต้องถูกฆ่าตาย

“พี่ใหญ่ พวกร็อคกี้แบร์เขา…”

“ปัง…”

แซนเบเกอร์ยังไม่ทันพูดจบ ก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น แม่สาวผมทองที่เพิ่งจะบริการแมคเคียร์เมื่อสักครู่นี้ ถูกยิงจนสมองแหลกกระจาย เลือดสดๆ ไหลออกมาเต็มพื้น ดวงตาทั้งสองเบิกกว้าง ล้มลงไปจมกองเลือด

“กัดฉันซะเจ็บเชียว แม่งสมควรตาย!”

แมคเคียร์เป่าปากกระบอกปืนในมือขวาเบาๆ พลางกล่าวออกมาอย่างเลือดเย็น

……………………………………………………………

บทที่ 83 นี่มัน…ไม่ใช่เรื่องผิด!
Ink Stone_Fantasy
เย่เทียนเฉินเองก็ไม่คิดว่ากลุ่มทหารรับจ้างที่รัฐบาลประเทศMจ้างมาจะเป็นกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิต เมื่อวันนั้นที่ป่าหมอกดำ เย่เทียนเฉินฆ่าล้างคนทั้งหมด มีเพียงแซนเบเกอร์รองหัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิตที่หนีไปได้ นั่นเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ยามนั้นเย่เทียนเฉินเพิ่งจะลืมตาตื่นจากการมาเกิดใหม่ ร่างกายใหม่ยังไม่คุ้นเคยกับการกระตุ้นพลังพิเศษ มิฉะนั้นแซนเบเกอร์คจะหนีไปได้ที่ไหนกัน

ร็อคกี้แบร์เป็นรองหัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิตเช่นเดียวกัน ถูกหัวหน้าของเขาส่งมารับผิดชอบเป็นกองหน้าในการจู่โจมครั้งนี้ นำนักฆ่าชั้นยอดจากกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิตกลุ่มหนึ่งมายังรัฐวอชิงตันประเทศM ทำการซุ่มโจมตีพวกหลิ่วหรูเหมยที่มาทำการแลกเปลี่ยนข้อมูลลับและหยั่งเชิงความสามารถของตะวันออก ดูว่าส่งยอดฝีมือมามากน้อยแค่ไหนกันแน่

การประลองฝีมือระหว่างประเทศนั้นเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ไม่อาจฉีกหน้าอีกฝ่ายหนึ่งก่อนได้ ยิ่งสำหรับประเทศที่แข็งแกร่ง การฉีกหน้ากันไม่มีผลดีต่อใครทั้งสิ้น แต่การประลองฝีมือถึงขั้นเป็นตายแบบลับๆ ย่อมมิอาจถูกโลกภายนอกรับรู้ ต่อให้ฝ่ายไหนพ่ายแพ้ ก็ทำได้เพียงกล้ำกลืนอยู่ในใจ

ดังเช่นคราวนี้ รัฐบาลประเทศจีนและประเทศMทำการแลกเปลี่ยนข้อมูลลับกัน ทั้งสองฝ่ายดูภายนอกต่างก็บริสุทธิ์ใจเป็นอย่างมาก แต่เบื้องหลังกลับขัดขวางอีกฝ่าย โดยเฉพาะรัฐบาลประเทศMที่ทำการลักษณะนี้บ่อยๆ ใช้กองกำลังทางการทหารของรัฐบาลตนเองโดยมิชอบด้วยกฏหมาย ทั้งยังว่าจ้างกลุ่มทหารรับจ้างมาทำเรื่องต่ำช้าไร้ยางอาย

สำหรับต่างประเทศกลุ่มทหารรับจ้างเรียกได้ว่าพบเห็นได้ทั่วไป ไม่เหมือนทางฝั่งของจีนที่หากมีการรวบกลุ่มเป็นองค์กรแม้เพียงน้อย ก็จะต้องเจอกับการตรวจสอบและโจมตี นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่กลุ่มทหารรับจ้างสังหารของหลิวอวี่สลายตัวไปเมื่อปีนั้น ส่วนรัฐบาลประเทศMมีทั้งการใช้งานและการโจมตีกลุ่มทหารรับจ้าง ดังเช่นปัจจุบันที่ว่าจ้างกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิตมากระทำการบางอย่างเพื่อพวกเขา

ร็อคกี้แบร์แม้ในฝันก็คาดไม่ถึงว่าชายร่างผอมดูอ่อนแอตรงหน้าจะแข็งแกร่งขนาดนี้ โดยเฉพาะในตอนที่เขาลงมืออย่างฉับพลัน ใช้กริชทั้งสองแทงไปยังเย่เทียนเฉิน กลับมีเพียงเงาเรือนรางที่เหลือทิ้งไว้เบื้องหน้า และบีบคอเขาไว้แน่น

เสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างชัดเจน เป็นเสียงคอที่ถูกบิดจนหัก เย่เทียนเฉินลงมือฆ่านับตั้งแต่วินาทีที่มือขวาของเขาบีบไปยังคอของร็อคกี้แบร์แล้ว เมื่อรู้แน่ชัดถึงความเป็นมาของอีกฝ่ายแล้วว่า กลุ่มทหารรับจ้างที่รัฐบาลประเทศMว่าจ้างมาในครั้งนี้ก็คือกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิตที่เป็นศัตรูเก่าของตนเอง แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

ปัง!

เย่เทียนเฉินหิ้วศพของร็อคกี้แบร์ที่หนักเกือบสองร้อยจิน ใช้เท้าถีบไปยังบริเวณที่มีแสงสว่าง ทันใดนั้นทุกคนต่างก็ตกใจจนหยุดการโจมตี โดยเฉพาะเหล่ายอดนักฆ่าของกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิตกลุ่มนั้นที่กำลังกราดยิงอย่างบ้าคลั่ง ต่างก็ตกตะลึงจนตาค้าง ปืนในมือก็หยุดยิงราวกับไม่รู้จักวิธีลั่นไก

“พระเจ้า รองหัวหน้าร็อคกี้ ตาย ตายแล้ว?”

“ยอดฝีมือตะวันออกที่มาคราวนี้ ช่าง ช่างร้ายกาจเกินไปแล้ว…”

“ถอยเถอะ ไม่งั้นพวกเราได้ตายอยู่ที่นี่กันหมดแน่”

ยอดฝีมือนักฆ่าของกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิตหลายคนสติแตกซ่านในชั่วพริบตา นี่ไม่ใช่เพราะว่าพวกเขาไม่มีความกล้าหรือฝีมือไม่แข็งแกร่งพอ แต่เป็นเพราะร็อคกี้แบร์ที่เป็นรองหัวหน้ากลุ่มทั้งยังเป็นหัวใจสำคัญของการปฏิบัติภารกิจในครั้งนี้ตายไปแล้ว แล้วยังจะให้คนที่เหลือพุ่งเข้าไปฆ่าต่ออีกหรือ? สิ่งที่ทำให้สะเทือนใจที่สุดก็คือ ฝีมือของร็อคกี้แบร์จัดอยู่ในสามอันดับแรกของกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิต เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดนอกเหนือจากหัวหน้ากลุ่มและรองหัวหน้าอีกคนที่ชื่อแซนเบเกอร์ ไม่คิดว่าจะถูกผู้อื่นหักคอเอาง่ายๆ จะไม่ให้ยอดนักฆ่าของกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิตที่เหลือสิ้นหวังได้อย่างไร

หลิวอวี่ เจียงเหมิง เฟยอวิ๋น รวมไปถึงหย่งชุนไท่ที่พุ่งออกไปเพื่อค้นหาและฆ่าผู้เป็นหัวหน้า และยังมีหลิ่วหรูเหมยที่หลบอยู่หลังรถและมองเหตุการณ์นี้ด้วยความตกใจ พวกเขาทั้งหมดต่างก็ตกตะลึงจนนิ่ง มองเย่เทียนเฉินเดินออกมาจากเงามืด เป็นเขาที่ฆ่าร็อคกี้แบร์ และดูเหมือนจะสบายๆ ไม่เปลืองแรงอะไรเลยแม้แต่น้อย

“ฉันหิวมากเลย รีบฆ่าคนพวกนี้แล้วกลับไปกินข้าวกันเถอะ!” เย่เทียนเฉินกล่าวกับพวกหลิวอวี่เรียบๆ

เรื่องราวที่เหลือก็ง่ายดายเป็นอย่างมาก พอร็อคกี้แบร์ตาย เหล่ายอดนักฆ่าจากกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิตกลุ่มนี้ก็สูญเสียแกนนำไป รีบวิ่งหนีกันอุตลุดแต่ฝีมือของพวกหลิวอวี่ เจียงเหมิง เฟยอวิ๋น ก็ไม่ใช่อ่อนแอ ไล่ตามโจมตีไประยะหนึ่งก็เหลือฆ่านักฆ่ารอดชีวิตเพียงสิบกว่าคน

เย่เทียนเฉินหาวออกมาครั้งหนึ่ง ที่เขาควรจะลงมือก็ลงมือไปแล้ว ที่เขาควรทำก็ทำไปแล้ว ต่อจากนี้ก็เหลือเพียงรอให้ไปถึงคฤหาสน์ของตระกูลหลิ่วและกินดื่มสักมื้อใหญ่ๆ ดังนั้นจึงเดินเข้าไปนั่งที่รถคันหน้าสุด เนื่องจากรถที่เขาและหลิ่วหรูเหมยนั่งมาก่อนหน้านี้ถูกระเบิดแหลกเป็นจุลไปแล้ว น่าสงสารคนขับรถผู้นั้นที่ต้องสละชีพไป เพราะยามนั้นเย่เทียนเฉินช่วยทันเพียงหลิ่วหรูเหมยคนเดียว

หลิ่วหรูเหมยที่ยังมีอาการช็อคเล็กน้อยก็เข้าไปนั่งในรถ ส่วนหย่งชุนไท่กลับยิ้มออกมา เธอมองไม่ผิดจริงๆ หากมีเย่เทียนเฉินร่วมทางไปด้วย ภารกิจในครั้งนี้ต้องสำเร็จแน่นอน เมื่อสักครู่เธอพุ่งออกไปก็เพราะอยากจะหาร็อคกี้แบร์และฆ่าทิ้งซะ เพื่อทำให้หลุดพ้นจากวิกฤตการณ์ที่ถูกล้อมอยู่นี้

แต่หย่งชุนไท่หาไปแล้วหลายที่ก็ยังหาลาดเลาของร็อคกี้แบร์ไม่เจอ พอเย่เทียนเฉินลงมือ ไม่เพียงแต่หาร็อคกี้แบร์เจอ แถมยังฆ่าเขาได้อีกด้วย ความสามารถเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรให้มากความ

“นี่ เจ้าคนชั่ว ทำไมนายถึงหาเจ้าหมอนั่นในสภาพมืดๆ แบบนี้ได้ แล้วยังฆ่าเขาได้อีก?” หลิ่วหรูเหมยมองเย่เทียนเฉินที่นั่งอยู่บริเวณที่นั่งคนขับพลางกล่าวถาม

“ยามกลางคืนมอบดวงตาอันมืดมิดให้แก่ฉัน ฉันใช้มันตามหาแสงสว่าง…” เย่เทียนเฉินตอบไม่ตรงคำถาม ทั้งยังยกคำกล่าวในคัมภีร์ธรรมมาพูดอีกต่างหาก

“นาย…ฉันอยากจะอัดนายจริงๆ” หลิ่วหรูเหมยโกรธจนกำหมัดขาวๆ ของเธอแน่นกล่าวออกมาเสียงเข้ม

“ฉันรู้น่า เป็นเพราะฉันบอกว่าก้นเธอเล็ก เธอเลยแค้นเคืองอยู่ในใจใช่ไหม จริงๆ เธอไม่ต้องไปใส่ใจหรอก เล็กก็เล็กไปสิ ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร แล้วก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีใครต้องการ…” เย่เทียนเฉินจงใจพูดแหย่หลิ่วหรูเหมย พวกเขาสองคนเป็นดั่งน้ำกับไฟจริงๆ

“ใครเล็กกัน นายสิเล็ก นายมันเล็ก ของนายเล็กล่ะสิ…” หลิ่วหรูเหมยโกรธพลางพูดออกมาอย่างแง่งอน

“ของฉันใหญ่มาก แต่เธอไม่เคยเห็น…”

ได้ยินคำพูดของหลิ่วหรูเหมย เย่เทียนเฉินก็ยิ้มออกมา ตอนนี้อารมณ์เขาไม่เลวนัก อย่างน้อยการปฏิบัติการของประเทศMในครั้งนี้ก็ไม่ได้ทำให้เขาผิดหวัง กลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิตที่รัฐบาลประเทศMว่าจ้างมา ต่อให้ไม่นับว่าเป็นกลุ่มทหารรับจ้างอันดับหนึ่งในระดับโลก แต่ก็มีชื่อเสียงโดดเด่น ทั้งยังเคยฆ่าสหายร่วมรบของเขา คราวนี้เย่เทียนเฉินตั้งใจแน่วแน่ว่าจะถอนรากถอนโคนกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิตซะ เพื่อล้างแค้นให้สหายร่วมรบที่ตายไปที่ป่าหมอกดำ

หลิ่วหรูเหมยมองรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของเย่เทียนเฉินทำให้คิดได้ว่าเขาตั้งใจพูดคำเหล่านี้ รู้ว่าตนเองหลงกลเข้าให้แล้ว ทั้งยังถูกชายคนนี้หยอกล้อจนหน้าแดงโดยพลัน พริบตาต่อมาจึงลุกขึ้นจากที่นั่ง ชูหมัดขึ้นพลางตะโกนว่า “เย่เทียนเฉิน คุณหนูคนนี้จะสั่งสอนนายซะ…”

“อยู่เฉยๆ น่า ผู้ชายที่ดีไม่ทะเลาะกับผู้หญิง โดยเฉพาะผู้หญิงสมองหมูแบบเธอ” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางส่ายหน้า

“ฉันจะฆ่านาย”

หลิ่วหรูเหมยรับคำพูดถากถางของเย่เทียนเฉินไม่ได้จริงๆ ตั้งแต่เล็กจนโต ไม่เคยมีใครพูดว่าตนเองสมองหมูมาก่อนเลย คนที่สามารถทำให้สาวงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวงกลายเป็นคนสมองหมูได้ เกรงว่าจะมีแต่เย่เทียนเฉิน ไม่รู้จริงๆ ว่าคนคนนี้ปัญญาอ่อนหรือนิสัยมีปัญหา ต่อให้เคยมีเรื่องกับหลิ่วหรูเหมยมา แต่จะอย่างไรคนเขาก็เป็นหญิงงามเลิศคนหนึ่ง

หลลิ่วหรูเหมยถูกเย่เทียนเฉินทำให้โกรธจนยกหมัดแป้งของเธอขึ้นเตรียมจะต่อยออกไป ตอนนี้ หย่งชุนไท่ก็เปิดประตูรถเข้ามานั่ง กล่าวยิ้มๆ ว่า “เทียนเฉิน ครั้งนี้ต้องขอบคุณเธอจริงๆ ถ้าไม่ใช่ว่าเธอฆ่าร็อคกี้แบร์ก็ไม่รู้ว่าพวกเราจะเจอกับการโจมตีอะไรบ้าง คงหลุดพ้นจากอันตรายไปได้ยาก”

“แค่เรื่องเล็กน้อยครับ รอให้ถึงคฤหาสน์ตระกูลหลิ่วก็เลี้ยงข้าวผมสักมื้อก็พอแล้วครับ” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางยิ้มเรียบๆ

“นายมันจอมตะกละ น้ำสักแก้วก็จะไม่ให้ดื่ม ปล่อยให้หิวน้ำตายไปเลย เฮอะ!” หลิ่วหรูเหมยทำหน้าดุราวเสือด้วยความเคือง แต่ดูแล้วยังคงไม่มีผลกับใบหน้างามๆของเธอ กลับเพิ่มความน่ารักขึ้นอีกหลายส่วน

“พวกไม่รู้จักบุญคุณ รู้อย่างนี้ปล่อยให้ถูกบาซูก้าระเบิดตายไปเลยดีกว่า” เย่เทียนเฉินกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์

“นาย เข้าใจซะให้ชัดเจนด้วย นายมาเพื่อคุ้มครองฉัน นี่เป็นสิ่งที่นายควรจะทำ เมื่อกี้นายไม่เคารพฉัน ขอโทษมาซะ” ใบหน้าของหลิ่วหรูเหมยแดงก่ำ จ้องมองเย่เทียนเฉินอย่างโกรธเคืองพลางกล่าว

เพียงคิดถึงว่าเมื่อสักครูนี้เย่เทียนเฉินกดเธอลงกับพื้น สองมือจับหน้าอกของตนเอง หลิ่วหรูเหมยก็อยากจะฟันมือทั้งสองข้างนั้นทิ้ง เมื่อหนึ่งปีก่อน เย่เทียนเฉินแอบมองตนเองอาบน้ำ นั่นก็เพียงแค่มองด้วยตาเท่านั้น พอได้เจอคนคนนี้อีกครั้ง ไม่ถึงสองวันถึงกับสัมผัสหน้าอกของเธอ เจ้าหมอนี่เป็นดาวข่มของเธอโดยแท้จริง หลิ่วหรูเหมยไม่อยากจะคิดเลยว่าหากร่วมทางกับเย่เทียนเฉินต่อไปจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกบ้าง…

“ขี้เกียจสนใจเธอแล้ว!”

เย่เทียนเฉินกล่าวประโยคนี้กับหลิ่วหรูเหมยเสร็จก็สตาร์ทรถ เหยียบคันเร่งจนมิด ขับพุ่งไปตามถนน ส่วนหินก้อนใหญ่เบื้องหน้าถูกพวกเจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นย้ายออกไปก่อนแล้ว

การที่เย่เทียนรับหน้าที่เป็นสารถีด้วยตัวเอง เป็นเพราะเขาหิวมากแล้วจริงๆ เกรงว่าในถนนเช่นนี้หากรอให้คนของหลิวอวี่ขับไปถึงคฤหาสน์ ตนเองคงต้องนอนหมดแรงอยู่บนรถแน่

เมื่อเห็นว่าเย่เทียนเฉินขับรถพุ่งออกไป สายตาของเจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ เมื่อสักครู่พวกเขาไปดูศพของร็อคกี้แบร์มาแล้ว เป็นการตายด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว อีกฝ่ายไม่มีโอกาสได้โต้ตอบก็ถูกหักคอตาย นี่ช่างเหนือความคาดหมายของพวกเขาไปมากจริงๆ ร็อคกี้แบร์เป็นถึงรองหัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิต ซึ่งกลุ่มนี้มีชื่อเสียงโดดเด่นในระดับนานาชาติ ดังนั้นฝีมือของร็อคกี้แบร์ย่อมไม่อ่อนแอ อย่างน้อยก็สามารถสู้กับพวกเขาได้ ไม่นึกว่าจะถูกเย่เทียนเฉินฆ่าตายในกระบวนท่าเดียว จะให้พวกเขาทั้งสองไม่ตกใจจนคางแทบหลุดได้อย่างไร

“เฮอะ น่าสนใจดีนี่ น่าสนใจจริงๆ ถ้าเจ้าเด็กเย่เทียนเฉินไม่มีฝีมือขนาดนี้ ก็ไม่ควรค่าให้ฉันต้องลงมือสั่งสอน มันมีฝีมืออยู่บ้างก็นับว่าดี ฉันจะทำให้มันรู้ถึงจุดจบที่ไม่เชื่อฟังคำสั่ง…” ตอนนี้เองหลิวอวี่ที่นั่งอยู่ด้านข้างก็พูดพึมพำกับตนเองด้วยรอยยิ้มเย็นชา

………………………………………………………..

บทที่ 82 ลงมือฆ่าคน!
Ink Stone_Fantasy
ไม่มีใครคาดคิดว่าการเตรียมการที่หลิวอวี่และคนอื่นๆ มั่นใจเต็มร้อย จะถูกซุ่มโจมตี เพิ่งเริ่มก็ถูกปิดกั้นทางถอยไว้ทั้งหน้าหลัง ตกลงสู่สถานการณ์วิกฤตถึงชีวิต

หย่งชุนไท่เพิ่งจะออกคำสั่งถอย เจียงเหมิงกับเฟยอวิ๋นก็เตรียมนำรถของพวกเขาขับถอยไปก่อนเพื่อเปิดทาง อย่างน้อยเพื่อไม่ให้ถูกขนาบโจมตีจากทั้งหน้าและหลัง ในขณะที่ตกอยู่ในสถานการณ์เป็นรอง เย่เทียนเฉินกล่าวออกมาเพียงหนึ่งประโยคว่า “ไม่ทันแล้ว” ตอนที่เจียงเหมิงกับเฟยอวิ๋นยังไม่ทันได้มีปฏิกริยา ก็เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ถนนหลังรถของพวกเขาก็ถูกหินก้อนใหญ่ที่ถูกระเบิดกระเด็นลงมาปิดทางไว้

“คุ้มครองคุณหนู!” หย่งชุนไท่มองเย่เทียนเฉิน เมื่อกล่าวจบก็เปิดประตูรถพุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว ท่าทางคล่องแคล่วว่องไวจนผู้คนคิดไม่ถึงว่าหย่งชุนไท่จะอายุหกสิบกว่าแล้ว

ทุนหนทุกแห่งเต็มไปด้วยเสียงปืน ลูกปืนนับไม่ถ้วนพุ่งไปยังรถที่เย่เทียนเฉินและหลิ่วหรูเหมยโดยสารอยู่ หากไม่ใช่ว่าตัวรถเป็นแบบกันกระสุนทั้งคันคงถูกยิงจนเป็นรูพรุนไปแล้ว หลิวอวี่นำลูกน้องใช้ตัวรถเป็นเกราะกำบังพลางโจมตีสวนกลับ ส่วนเจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นรีบหนีออกมา พลางมองกันครู่หนึ่ง จากนั้นแต่ละคนพลันพุ่งไปยังภูเขาสูงทั้งสองฝั่ง

หลิ่วหรูเหมยมองทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความเคร่งเครียด แม้ว่าเธอจะไม่ใช่ผู้หญิงที่เป็นดั่งแจกันดอกไม้ประเภทนั้น แต่ก็ไม่เคยประสบกับเหตุการณ์อันน่าสั่นสะท้านเช่นนี้มาก่อน ก่อนมาปฏิบัติภารกิจแลกเปลี่ยนข้อมูลลับที่ประเทศM หลิวหรูเหมยทราบดีว่าจะต้องมีอันตราย แต่คิดไม่ถึงว่าจะอันตรายถึงเพียงนี้ เพิ่งจะถึงรัฐวอชิงตัน ยังไม่ทันได้ไปยังสถานที่แลกเปลี่ยน ก็ต้องพบกับการซุ่มโจมตีที่เต็มไปด้วยห่ากระสุน จะสามารถมีชีวิตรอดไปทำภารกิจให้สำเร็จได้หรือไม่ จะสามารถมีชีวิตรอดกลับประเทศได้หรือไม่ เธอไม่มั่นใจจริงๆ

ในยามที่หลิวหรูเหมยเคร่งเครียดถึงขีดสุด เธอมองไปยังเย่เทียนเฉินที่นั่งอยู่บริเวณที่นั่งข้างคนขับ ในยามที่กลัดกลุ้มถึงขีดสุด เห็นเพียงเย่เทียนเฉินนั่งไขว่ห้าง ในปากคาบบุหรี่มวนหนึ่ง ฮัมเพลงเป็นบางครั้ง ไม่สนใจการต่อสู้เลือดสาดภายนอกโดยสิ้นเชิง

“นี่ นายยังมีอารมณ์มาสูบบุหรี่อีก? พวกเราถูกคนซุ่มโจมตี จะตายกันอยู่แล้ว” หลิ่วหรูเหมยอดไม่ได้ที่จะตะโกนใส่เย่เทียนนเฉิน

เย่เทียนเฉินหันมามองหลิ่วหรูเหมยครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหันกลับมาสูบบุหรี่ต่อไปโดยไม่ตอบหลิ่วหรูเหมยเลย ทั้งยังทำราวกับว่าไม่ได้ยินเสียงปืนเสียงกระสุนด้านนอก

เห็นว่าเย่เทียนเฉินไม่สนใจตน หลิ่วหรูเหมยก็โกรธจนกัดริมปีฝากอันเซ็กซี่ ความจริงผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างเธอ ไม่เคยเจอกับเหตุการณ์อันน่าสั่นสะท้านเช่นนี้ ด้านนอกมีเสียงกรีดร้องดังเข้ามา กระสุนปืนไม่มีตา คราวนี้ไม่ทราบว่าตายกันไปกี่คนแล้ว

“เจ้าคนชั่ว นายบอกมา พวกเราจะทำยังไงกันดี?” หลิ่วหรูเหมยถามอย่างร้อนใจ

“รอดูสถานการณ์” เย่เทียนเฉินพูดอย่างสบายอารมณ์

“นาย…นายคงไม่รอความตายอยู่ในรถแบบนี้หรอกใช่ไหม?”

“ตอนนี้อยู่ในรถปลอดภัยที่สุดแล้วคุณหนู!” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางมองหลิ่วหรูเหมยอย่างเหยียดหยาม

หลิ่วหรูเหมยเห็นเย่เทียนเฉินมีท่าทางเช่นนี้กับตนก็โกรธถึงขีดสุด มือเล็กๆ อันงดงามทั้งสองกำแน่นกลายเป็นหมัด ชายคนนี้ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษ ทั้งยังไม่รู้จักรักหยกถนอมบุบผาเอาเสียเลย เมื่อปีนั้นแอบดูตนอาบน้ำ ตนก็ไม่ได้สืบสาวราวเรื่องให้เขารับผิดชอบ ตอนนี้ยังมาทำเช่นนี้กับตนอีก จะอย่างไรตนก็เป็นสาวงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวง จะเคยไม่อยู่ในสายตาของผู้ชายที่ไหนกัน?

เมื่อเจอกับการแสดงออกและน้ำเสียงการพูดของเย่เทียนเฉินที่รำคาญตนเสียเหลือเกิน ราวกับไม่อยากจะพูดกับตนอย่างไรอย่างนั้น หลิ่วหรูเหมยจะไม่โกรธได้อย่างไร

“งั้นนายออกไปช่วยหลิวอวี่กับหย่งชุนไท่เถอะ ไล่พวกศัตรูไปเร็วๆ หน่อย” หลิ่วหรูเหมยคิดครู่หนึ่งพลางกล่าวออกมา

“ถ้าฉันไปจากที่นี่ แล้วคนสมองหมูบางคนไม่มีใครคุ้มครอง คงตกใจจนร้องไห้ขี้มูกโป่ง!” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางมองหลิ่วหรูเหมย

“นาย นายสิสมองหมู สมองหมูตัวพ่อ สุดยอดสมองหมู” หลิ่วหรูเหมยโกรธจนเบะปากอันน่ารัก พูดออกมาอย่างตะกุกตะกักเล็กน้อย

เย่เทียนเฉินขี้เกียจสนใจหลิ่วหรูเหมยอีกต่อไป แม้จะดูเหมือนว่าเขาไม่สนใจสถานการณ์การสู้รบอย่างดุเดือดท่ามกลางห่ากระสุนภายนอก แต่ความจริงได้แผ่ขยายพลังพิเศษแห่งการรับรู้ออกไปนานแล้ว รู้ถึงสถานการณ์ทั้งหมดราวกับฝ่ามือของตน

สิ่งที่ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกแปลกใจก็คือ ภายในกลุ่มคนที่จู่โจมพวกเขาในครั้งนี้กลับไม่มีทหารรับจ้างที่เก่งกาจอยู่เลย ทั้งยังไม่มีผู้ใช้พลังพิเศษที่มีพลังแข็งแกร่งด้วย มีเพียงนักฆ่ากลุ่มหนึ่งที่พอมีความสามารถอยู่บ้าง ดูแล้วอีกฝ่ายต้องการโจมตีหยั่งเชิงเพื่อดูว่าครั้งนี้คณะของหลิ่วหรูเหมยที่มาแลกเปลี่ยนมียอดฝีมือเท่าไรกันแน่

“ฝีมือของสองคนนั้นไม่อ่อนแอจริงๆ ความสามารถของกองทัพเหยี่ยวไม่อาจดูเบาได้เลย ต้องหาโอกาสเรียนรู้แลกเปลี่ยนฝีมือกับเหยียนหลงหัวหน้าของพวกเขาซะแล้ว” เย่เทียนเฉินมองไปยังเจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นที่พุ่งไปยังสองฝั่งของภูเขาด้วยความรวดเร็วพลางกล่าวกับตนเอง

ฝีมือของเจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นในกองทัพเหยี่ยวไม่นับว่าอ่อนแอ พวกเขาเป็นสมาชิกชั้นยอดของกองทัพ มิฉะนั้นคงไม่ถูกเหยียนหลงส่งมาปฏิบัติภารกิจในครั้งนี้ พวกเขาทั้งสองต่างก็กำกริชอยู่ในมือคนละด้าม พุ่งตัวขึ้นไปยังยอดเขาด้วยความเร็วสูง พลางหลบห่ากระสุนที่ซัดสาดเหล่านั้น ทุกครั้งที่กวัดแกว่งกริชจะต้องมีนักฆ่าล้มลงคนหนึ่ง

ส่วนอีกด้านหนึ่ง หลิวอวี่ไม่เสียทีที่เคยเป็นหัวหน้ากองทหารรับจ้างสังหารและถูกยกย่องให้เป็นนักรบราชันคนที่สี่ของจีน พุ่งออกไปไม่ถึงห้านาทีก็สังหารนักฆ่าไปแล้วหกคน ยิงปืนเข้าหัวทุกนัด ทำให้เหล่านักฆ่าคนอื่นๆ ตกใจกลัวจนไม่กล้าพุ่งลงมา

ส่วนหย่งชุนไท่ตั้งแต่ลงรถไปก็ไม่เห็นแล้ว ดูเหมือนว่ากำลังหาผู้ที่เป็นหัวหน้าการซุ่มโจมตีในครั้งนี้ จับโจรต้องจับหัวหน้า หากไม่ฆ่าคนที่เป็นผู้นำ นักฆ่าเหล่านั้นจะต้องพุ่งลงมาสู่ความตาย สำหรับพวกเขาก็ยังคงเป็นวิกฤตการณ์อยู่เช่นเดิม

ซู่ม!

เสียงเสียดแทรกเสียงหนึ่งดังขึ้น ลำแสงสายหนึ่งพุ่งไปยังรถที่เย่เทียนเฉินและหลิ่วหรูเหมยอยู่ ตอนที่คนอื่นๆ ไม่ทันได้มีปฏิกริยา เย่เทียนเฉินก็เปิดประตูออกไป อุ้มหลิ่วหรูเหมยที่ตกตะลึงจนตาค้างขึ้นมา พุ่งออกไปไกลหลายสิบเมตรพลางโถมตัวลงกับพื้น

ตู้ม!

เสียงดังสนั่นเสียดฟ้า รถที่พวกหลิวอวี่จัดเตรียมมาซึ่งเป็นรถกันกระสุนทั้งคันก็ยังปลิวพลิกออกไป เกิดเป็นแสงไฟพุ่งขึ้นไปบนฟ้า รถที่เย่เทียนเฉินและหลิ่วหรูเหมยนั่งถูกระเบิดเป็นจุล หากไม่ใช่เพราะเย่เทียนเฉินรับรู้ถึงอันตรายจึงรีบเปิดประตูรถและช่วยหลิ่วหรูเหมยออกมา เกรงว่าตอนนี้สาวงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงท่านนี้คงตายไปแล้ว

“อ๊ะ เจ้าคนชั่ว นายทำอะไร…”

หลิ่วหหรูเหมยได้สติกลับมาจากอาการตกใจกลัวถึงพบว่าเย่เทียนเฉินคร่อมอยู่บนร่างของตนเอง สองมืออยู่บริเวณหน้าอกของตน ศีรษะของเขาซุกอยู่ที่ซอกคอของตน สภาพเช่นนี้ไม่ต้องบอกเลยว่าอึดอัดแค่ไหน

“ถ้าไม่อยากตายก็อยู่ตรงนี้ อย่าขยับ!” เย่เทียนเฉินเด้งตัวขึ้นมา ไม่สนใจหลิ่วหรูเหมยอีก ทิ้งคำพูดประโยคนี้ไว้แล้ววิ่งออกไป เขารู้สึกได้ว่าทหารรับจ้างที่แข็งแกร่งคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นที่บริเวณเศษซากหินฝั่งตรงข้าม คนผู้นี้น่าจะเป็นหัวหน้า หากไม่ฆ่าเขาเสียก็ไม่ทราบว่าจะมีนักฆ่าโผล่มาอีกมากแค่ไหน

ยามนี้ ชายร่างกายกำยำล่ำสันยืนอยู่ในเงามืดบริเวณเศษซากหินฝั่งตรงข้ามรถของพวกเย่เทียนเฉินพอดี กำลังมองสถานการณ์นี้ด้วยใบหน้าอันเต็มไปด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย เขาหลบอยู่ในเงามืดคอยมองทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ไม่ได้ลงมือ หลังจากที่ได้รับการว่าจ้างจากรัฐบาลประเทศM พวกเขากลุ่มทหารรับจ้างก็ได้เตรียมการไว้แล้ว เขามีสถานะเป็นหนึ่งในรองหัวหน้า หัวหน้าส่งเขามาแสดงความสามารถเล็กๆ น้อยๆ ทดสอบดูเสียหน่อยว่าคราวนี้ฝั่งจีนมียอดฝีมือมากน้อยแค่ไหน

เมื่อเริ่มต้นการซุ่มโจมตีของพวกเขาก็ได้เปรียบ สามารถล้อมรถลีมูซีนสีดำทั้งสามคันเอาไว้ได้ จนเป็นดั่งเต่าที่อยู่ในไห คิดไม่ถึงว่าในหมู่คนจากทางฝั่งจีนที่มาแลกเปลี่ยนในคราวนี้จะมียอดฝีมืออยู่หลายคน ชั่วพริบตาก็ฆ่าคนของตนไปหลายสิบคนแล้ว โดยเฉพาะบุคคลสามคนในหมู่คนกลุ่มนั้น มีฝีแข็งแกร่งเป็นที่สุด ดูเหมือนว่าลูกน้องของตนจะไม่มีสักคนเดียวที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเขาได้

“เฮอะ ชาวตะวันออกกล้ามาแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ประเทศM ช่างไม่รู้จักที่ตายจริงๆ” ชายร่างกำยำผู้ยืนอยู่ในเงามืดกล่าวเสียงเย็นด้วยภาษาจีนอันคล่องแคล่ว

ทันใดนั้น ชายร่างกำยำเห็นเงาร่างหนึ่งพุ่งมาทางตนเองราวกับสายฟ้า เร็วจนมิอาจจินตนาการได้ เขาตกใจจนหน้าซีดโดยพลัน ตนเองหลบอยู่ในเงามืด อยู่ในสภาพที่ไม่มีใครค้นพบได้โดยเด็ดขาด นึกไม่ถึงว่าจู่ๆ จะมีคนพุ่งเข้ามาหาตนเองได้

ชายร่างกำยำแม้จะตกใจ แต่เขาก็เป็นถึงรองหัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้าง ย่อมไม่ใช่สัตว์กินพืช ฝีมือก็ไม่อ่อนแอ หยิบปืนอินทรีทะเลทราย [1]ออกมากระบอกหนึ่งด้วยสัญชาตญาณ เพื่อลั่นไกไปยังเงาคนที่พุ่งเข้ามา ไหนเลยจะรู้ว่า พริบตาที่เขาหยิบปืนพกออกมา เงาคนเงานั้นก็พุ่งมาถึงเบื้องหน้าของตนแล้ว มั้งยังใช้ขาเตะกวาดในแนวขวางครั้งหนึ่ง

ไม่มีทางให้หนี ชายร่างกำยำทำได้เพียงใช้สองมือกันเอาไว้ พริบตาต่อมาร่างทั้งร่างของเขาก็ถูกเตะกระเด็นออกไป ล้มลงกระแทกพื้นอย่างแรง เขากัดฟันลุกขึ้นมาอย่างเจ็บปวด ในดวงตาเต็มไปด้วยความตกตะลึงและโกรธแค้น ปืนอินทรีทะเลทรายของเขาก็กระเด็นไปตกอยู่ในมุมมืด ไม่ทราบแน่ชัดว่าอยู่ตรงไหน ส่วนตัวเขากำลังมองไปยังชายร่างผอมดูท่าทางอ่อนแอที่ยืนห่างตนไม่ถึงสองเมตรอย่างไม่อยากเชื่อสายตา ตนมีร่างกายที่หนักเกือบสองร้อยจิน(ประมาณ100กิโลกรัม) ทั้งความสามารถของตนก็ไม่ได้อ่อนแอ ไม่เคยมีใครสามารถเตะเขาจนปลิวได้มาก่อน ยิ่งชายชาวตะวันออกที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ดูท่าทางไม่ได้แข็งแกร่งมากมายนัก

“แกเป็นใคร? กล้ามาลงมือกับฉัน ร็อคกี้แบร์ ฉันจะเฉือนเนื้อแกออกมาซะ” ชายร่างกำยำตะโกนออกมาเสียงดังสนั่น

“อย่าตะโกนออกมามั่วๆ สิ ใครส่งแกมา พวกแกมากันกี่คน?” เย่เทียนเฉินมองร็อคกี้แบร์ดั่งมองคนตาย กล่าวออกมาอย่างเย็นชา

“เฮอะ ไม่นึกว่าคราวนี้ตะวันออกจะส่งยอดฝีมือที่พอไปวัดไปวาได้มาหลายคน แต่ก็ไร้ประโยชน์ พวกเรากลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิตเป็นกลุ่มทหารรับจ้างที่เก่งกาจที่สุดในโลก เจอกับพวกเรา มีเพียงเส้นทางแห่งความตายที่พวกแกจะเดินไปได้” ร็อคกี้แบร์สบถเสียงเย็น มองเย่เทียนเฉินอย่างเหยียดหยามพลางกล่าว

“แหม โลกนี้มันกลมจริงๆ ดีเลยจะได้ฆ่าพวกแกให้หมด” เย่เทียนเฉินคิดถึงแซนเบเกอร์ ชายคนนี้ไม่ใช่ว่าเป็นรองหัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิตหรอกหรือ? ไม่นึกว่าคราวนี้รัฐบาลประเทศMจะแอบว่าจ้างคนของกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิต

“แก ไปตายซะ…”

ทันใดนั้นร็อคกี้แบร์ตะโกนดังลั่น สองมือควักกริชสองเล่มออกมาจากด้านหลัง แทงไปยังหน้าอกของเย่เทียนเฉินด้วยความรวดเร็ว น่าเสียดายที่กริชทั้งสองของเขาแทงได้แต่อากาศ ส่วนเย่เทียนเฉินใช้พลังเทเลพอร์ตไปยังด้านหน้าของร็อคกี้แบร์ มือขวาบีบลำคอเขาไว้แน่น ส่งรอยยิ้มแห่งความตายไปให้ก่อนจะหักคอของเขา

……………………………………………………..

[1] ปืนอินทรีทะเลทรายหรือ DESERT EAGLE เป็นปืนพกประเภทหนึ่งที่เหมาะสำหรับไว้ใช้สู้รบในสมรภูมิที่มีเเต่ทะเลทรายที่มีฝุ่นมากๆ เเละไร้ซึ่งกำเเพงเเละที่กำบังในการหลบ ปืนนี้สามารถกันฝุ่นได้ เเต่กันน้ำไม่ได้ เพราะระบบปฏิบัติการยิงเป็นเเก็สโอเปอเรด จึงโดนน้ำไม่ได้ ปืนนี้ถูกผลิตใน 2 ประเทศ คือ อเมริกาเเละอิสราเอล

บทที่ 81 ก้นของหลิ่วหรูเหมยเล็ก?
Ink Stone_Fantasy
เย่เทียนนเฉินเดิมทีไม่ได้สนใจหลิ่วหรูเหมยและคนอื่นๆ เดินไปด้านหน้าสุดด้วยตัวเอง พลางเข้าไปข้างในรถซีดานสีดำคันหนึ่ง เขาไม่อยากนอนแล้วเนืองจากนอนบนเฮลิคอปเตอร์มาสิบกว่าชั่วโมง นอนจนพอไปตั้งนานแล้ว ตอนนี้เขาหิวแล้ว

“หย่งชุนไท่ คุณหนู!” ชายวัยกลางคนผู้มีรอยแผลเป็นจากมีดตำโกนทำความเคาร

“อืม หลิวอวี่ ลำบากพวกนายแล้ว พวกเรากลับคฤหาสน์กันก่อนเถอะ การเดินทางทั้งหมดจัดการเรียบร้อยแล้วใช่ไหม?” หลิ่วหรูเหมยกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“จัดการเรียบร้อยหมแล้วครับ คุณหนูโปรดวางใจ ไม่มีปัญหาแน่นอนครับ!” หลิวอวี่พยักหน้ากล่า

หย่งชุนไท่มองไปรอบๆ ทุกที่มีแต่หญ้า เมื่อมีลมหนาวพัดมา ก็สามารถกวาดลู่ไปลงได้ ที่เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นกังวลนั้นไม่ใช่ว่ามีเหตุผล ถ้าหากว่ามีศัตรูสะกดรอยตามมาถึงที่นี่และซุ่มโจมตีจริงๆ จะไม่มีแม้กระทั่งสถานที่ให้หลบ ต่อให้คุณแข็งแกร่งมากกว่านี้ ก็ถูกยิงจนพรุนได้

ตอนนี้เอง เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นที่ตามหลังหยงชุนไท่และหลิ่วหรูเหมย ตอนที่พวกเขาได้เห็นหลิวอวี่ก็ตกตะลึงใจใน ตอนที่ได้ยินชื่อ “หลิวอวี่” นี้ ก็ยิ่งตะลึงจนลิ้นแข็ง

เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นมีฐานะเป็นสมาชิกหัวกะทิของกองทัพเหยี่ยว แน่นอนว่าย่อมรู้เรื่องที่เป็นความลับซึ่งคนทั่วไปไม่รู้มากมาย ในประเทศจีนมีองค์กรทหารรับจ้างน้อยมาก องค์กรทหารรับจ้างเพียงหนึ่งเดียวที่เคยปรากฏมีชื่อว่า “สังหาร” ผู้ก่อตั้งก็คือคนที่ชื่อว่าหลิวอวี่ เคยเป็นที่ครึกโครมไม่น้อยในทั้งโลกเบื้องหน้าและโลกเบื้องหลังของจีนกระทั่งทำให้เหยียนหลงและชางหลางสองราชันนักรบของจีนต้องตระหนกมาแล้ว จนพวกเขาเกือบจะลงมือทำลายล้างกลุ่มทหารรับจ้างสังหาร

ภายหลัง ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด กลุ่มทหารรับจ้างสังหารจึงแตก สุดท้ายหัวหน้าของกลุ่มพวกเขาหลิวอวี่ ยอดฝีมือซึ่งมีข่าวลือว่ามีฝีมือแข็งแกร่งเพียงพอที่จะต่อกรกับเหยียนหลงและชางหลางก็ไม่ปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณะอีก หลายปีผ่านไปมีอำนาจใหญ่บางกลุ่ม ต้องการหาตัวหลิวอวี่และพยายามดึงมาเป็นพวกโดยการใช้ทุกวิถีทาง แต่ก็มิอาจตามหาข่าวคราวของเขาได้

ตามที่เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นทราบมา หลิวอวี่เป็นชายชาวจีนที่มีรูปร่างสูงใหญ่ เมื่อก่อนเป็นศิษย์เส้าหลิน มีพลังภายในค่อนข้างแข็งแกร่ง หลังจากที่เข้ากองทัพ ไม่อาจทนกับการคอรัปชั่นของผู้บังคัญบัญชาได้ จึงลงมือกับเขา อาชีพทหารของหลิวอวี่จึงเดินมาถึงจุดสิ้นสุด ตอนนี้นหน่วยมังกรฟ้าและกองทัพเหยี่ยวต่างก็เสนอมิตรภาพให้แก่หลิวอวี่ แต่กลับถูกหลิวอวี่ปฏิเสธ เขาสร้างกลุ่มทหารรับจ้างสังหารของตัวเอง รวบรวมทหารหน่วยรบพิเศษที่ปลดประจำการ โลดแล่นอยู่ในโลกเบื้องหน้าเบื้องหลัง มีชื่อเสียงชั่วระยะเวลาหนึ่ง

เอกลักษณ์ที่โดดเด่นที่สุดของหลิวอวี่ก็คือรอยแผลเป็นจากมีดบนใบหน้ารอยนั้นที่พาดจากหางตาซ้ายลงมาถึงขากรรไกร นี่เปรียบดังเครื่องบ่งบอกตัวตนของเขา

“คุณ คุณก็คือหลิวอวี่?” เจียงเหมิงถามอย่างตกใจและเคาร

“ฮ่าๆ ไม่ผิด” หลิวอวี่กล่าวด้วยรอยยิ้

“คุณ…คุณคือหลิวอวี่คนนั้นที่ก่อตั้งกลุ่มทหารรับจ้างสังหารเมื่อปี่นั้นและหายไปหรือครับ?” เฟยอวิ๋นเองก็ถามอย่างตกตะลึง

“นั่นมันเรื่องที่ผ่านมาแล้วทั้งนั้น ได้ยินว่าพวกคุณสองคนมาจากกองทัพเหยี่ยว มียอดฝีมืออย่างพวกคุณสองคนคอยคุ้มครอง เชื่อว่าคุณหนูจะต้องทำภารกิจสำเร็จได้อย่างราบรื่นแน่นอน” หลิวอวี่เปิดปากกล่าว

แม้ว่าหลิวอวี่จะไม่ได้ยอมรับตรงๆ แต่ว่าก็ไม่ต่างอะไรกับการยอมรับ คำตอบของเขา ทำให้เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง ชื่อหลิวอวี่นี้เป็นดั่งลายเส้นที่เข้มข้นหลากสีสันในโลกเบื้องหน้าและเบื้องหลังของประเทศจียโดยสิ้นเชิง จิตนาการได้เลยว่า บุคคลที่เกือบจะทำให้เหยียนหลงและชางหลงลงมือจัดการ จะแข็งแกร่งมากเพียงใด หากไม่ใช่ว่าเมื่อปีนั้นหลิวอวี่สลายกองทหารรับจ้างสังหารและหายไปจากจีน ไม่แน่ว่าเขาอาจจะสู้กับเหยียนหลงและชางหลาง กระทั่งมีความเป็นไปได้ว่าจะกลายเป็นนักรบราชันคนที่สีของจี

“ผู้อาวุโสหลิวอวี่ ได้เจอคุณนับเป็นเกียรติ์ของผมแล้ว” เฟยอวิ๋นกล่าวอย่างตื่นเต้นเล็กน้อย

“คิดไม่ถึงเลยว่าคุณจะอยู่ที่นี่ ต่อสู้เพื่อชาติเพื่อประชาชนเช่นกัน นับถือๆ” เจียงเหมิงได้สติกลับมาก็กล่าวอย่างตกตะลึง

“อ่าๆ ขึ้นรถเถอะ ล้วนเป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้วทั้งนั้น ภารกิจครั้งนี้ยากลำบากมาก หวังว่าพวกเราจะสามารถพยายามทำให้สำเร็จไปด้วยกัน” หลิวอวี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ครับ!” เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นพยักหน้า พวกเขานับถือทหารรับจ้างที่แข็งแกร่งผู้นี้เป็นอย่างมาก ยังไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ว่าฝีมือของหลิวอวี่แข็งแกร่งขนาดไหน เพียงแค่การกระทำอันยอดเยี่ยมที่เขาเคยทำไว้ในโลกเบื้องหน้าเบื้องหลังของจีน ก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนเคารพเลื่อมใส

“ฉันว่าพวกนายสามคนพูดกันไม่จบไม่สิ้นสักที ชอบไม้ป่าเดียวกันรึไง? บิดาหิวมากแล้ว รีบไปเร็วเข้าเถอะ!” เย่เทียนเฉินยื่นศีรษะออกมาจากรถซีดานกล่าวพลางมองพวกเจียงเหมิงทั้งสามอย่างไม่สบอารมณ์

“ไอ้หนูนี่…”

“จะช้าจะเร็วก็ต้องมีสักวันที่จะทำให้มันได้ลิ้มรสชาติของกำปั้น

เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นถูกเย่เทียนเฉินทำให้โกรธเข้าจริงๆ แล้ว ทุกครั้งที่พสกตนทั้งสองกำลังตื่นเต้นฮึกเหิม เย่เทียนเฉินล้วนพูดจาก่อกวน ช่างทำให้ผู้คนอยากอัดเขาจริงๆ

“ไอ้หนูนี่เป็นใคร?” หลิวอวี่เองก็ถามออกมาอย่างไม่พอใจ

“พี่หลิว พี่คงไม่ทราบ คนคนนนี้ชื่อเย่เทียนเฉิน ฝีมือก็งั้นๆ แต่ชอบพูดจาใหญ่โต ครั้งนี้ก็ถูกส่งมาคุ้มครองคุณหนูหลิ่วหรูเหมยเพื่อทำภารกิจให้สำเร็จ” เฟยอวิ๋นสบถครั้งหนึ่งพลางกล่าว

“คนหนุ่มสาวมีฝีมือ ก็ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำซะแล้ว คฤหาสน์ตระกูลหลิ่วไม่ให้คนทำตามอำเภอใจ ต้องเชื่อฟังคำสั่ง”หลิวอวี่ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม พูดเพียงประโยคนี้เท่านั้น แต่ก็ทำให้เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นแอบดีใจขึ้นมา เนื่องจากหลิวอวี่ไม่พอใจเย่เทียนเฉินตามคาด ถ้าหากสามารถทำให้หลิวอวี่ซึ่งลือกันว่าเป็นนักรบราชันคนที่สี่ลงมือกับเย่เทียนเฉินได้ เกรงว่าต่อให้เย่เทียนเฉินร้ายกาจกว่านี้ก็ต้องถูกอัดจนเละเป็นโจ๊ก ถึงตอนนั้นพวกเขาสองคนก็สามารถชมเรื่องน่าขันของเย่เทียนเฉินได้แล้ว ประหยัดคำพูดที่คนคนนี้ใช้โจมตีถากถางพวกเขา

ความจริงแล้ว เมื่อสักครู่ที่เย่เทียนเฉินเดินผ่านหลิ่วหรูเหมยและหยงชุนไท่ เข้าเข้าไปในรถซีดานโดยตรง ก็ทำให้หลิวอวี่ไม่พอใจแล้ว รวมกับมาขัดบทสนทนาของเขาและเจียงเหมิงกับเฟยอวิ๋น ยิ่งทำให้หลิวอวี่ระเบิดอารมณ์โกรธจนอยากจะลงมือสั่งสอนเย่เทียนเฉิน หากไม่ใช่ว่าหลิ่วหรูเหมยและหยงชุนไท่อยู่ตรงนี้ด้วย หลิวอวี่อาจลงมือไปแล้วก็เป็นได้

“ขึ้นรถเถอะ พวกเราไปจากที่นี่ กลับคฤหาสน์ตระกูลหลิ่ว” หย่งชุนไท่ออกคำสั่ง

รถลีมูซีนสีดำสามคัน หลิวอวี่และลูกน้องที่มีความสามารถหลายคนนั่งอยู่คันหน้าสุด เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นนั่งบนรถคันหลังสุด ส่วนเย่เทียนเฉิน หลิ่วหรูเหมย และหย่งชุนไท่สามคนนั่งรถลีมูซีนคันกลาง ทำให้เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นรู้สึกเหยียดหยามขึ้นมาทันที

โดยปกติการคุ้มครองบุคคลสำคัญ ผู้คุ้มกันต่างก็เลือกใช้กลยุทธ์เช่นนี้ คือมีรถคันหนึ่งอยู่หน้าสุด และอีกคันหนึ่งอยู่หลังสุด ส่วนบุคคลที่ได้รับการคุ้มครองจะนั่งรถคันกลาง เย่เทียนเฉินคนคนนี้เป็นผู้ที่มาคุ้มครองหลิ่วหรูเหมยให้สำเร็จภารกิจแท้ๆ แต่กลับนั่งในรถที่ได้รับการคุ้มครอง ช่างทำให้ผู้คนอับจนคำพูดจริง

“ออกรถเถอะ ออกรถ ฉันหิวจนทนไม่ไหวแล้ว หย่งชุนไท่ครับ คฤหาสน์ตระกูลหลิ่วมีพวกกุ้งมังกร เป๋าฮื้อ พวกนี้รึเปล่าครับ ยังไงก็เอามาให้ผมเติมเต็มกระเพาะสักหน่อยเถอะ หิวจนทนไม่ไหวแล้ว” เย่เทียนเฉินที่นั่งตรงตำแหน่งข้างคนขับกล่าวโวยวาย

“นายมันไอ้แมลงขี้เซา เป็นผีที่หิวตายกลับชาติมาเกิด พวกเรามาทำภารกิจกันนะ ไม่ได้มากินมาเที่ยวเล่น” หลิ่วหรูเหมยโกรธจนทนไม่ไหวจริงๆ ในช่วงเวลาเคร่งเครียขนาดนี้ เย่เทียนเฉินเจ้าหมอนี่ก็ยังไม่จริงจัง จะกินจะนอนลูกเดียว จะไม่ให้เธอดกรธอย่างไรไห

เย่เทียนเฉินกรอกตาใส่หลิ่วหรูเหมย เดิมทีทั้งสองก็ไม่ลงรอยกันอยู่แล้ว ทั้งยังมีปมในใจ ย่อมไม่ไว้หน้าอีกฝ่ายอย่างแน่นอนอยู่แล้ว ต่อให้หลิ่วหรูเหมยสวยราวเทพเซียนก็เถอะ เย่เทียนเฉินก็ไม่คิดเกินเลยแม้แต่น้อย ผู้หญิงคนนี้ถูกตนเองเอาไปวางไว้นอดเส้นความรู้สึกของเขาแล้ว หลังจากจบภารกิจนี้ ก็ไม่คบค้าสมาคมกันอีก นี่เป็นความคิดของเย่เทียนเฉินที่คิดไว้นานแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะสามารถสมปรารถนาหรือไม่

“จากที่เธอพูดจะบอกว่า ภารกิจสำคัญ พวกเราก็ไม่ต้องกินนอนเข้าห้องน้ำแล้ว? ไม่กินข้าวให้อิ่ม จะเอาแรงที่ไหนไปทำงาน? หรือว่าพอถึงเวลาเธออยากให้ฉันแบกเธอไปแลกเปลี่ยนข้อมูลลับ? ฉันจะบอกเธอไว้หน่อย ฉันคนนี้มีนิสัยอย่างหนึ่ง นั่นก็คือจะไม่แบกผู้หญิงที่ก้นไม่ใหญ่” เย่เทียนเฉินก็กล่าวถากถางโจมตีหลิ่วหรูเหมยกลับไป

หลิ่วหรูเหมยโกรธจนหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวขาว เย่เทียนเฉินเปิดเผยจุดอ่อนของตัวเธอเอง และยังต่อต้านตนเองอีกด้วย ไม่ฟังคำสั่งก็ช่างมันเถอะ เพียงแค่ตอนเองพูดกับเขาสักประโยค เขาก็จะต้องพูดโต้กลับมา แล้วยังพูดถึงจุดอ่อนของเธออีก พูดจนตนเองหน้าแดงหูแดงไปหมดแล้ว แทบอยากจะพุ่งเข้าไปกัดชายคนนี้สักหลายคำ

“นาย…” หลิ่วหรูเหมยทั้งโกรธทั้งอาย ใช้ดวงตาอันงดงามจ้องไปยังเย่เทียนเฉิ

“เอาล่ะ เอาล่ะ ฉันไม่มีแรงมาพูดจาไร้สาระกับเธอหรอก ก้นเล็กก็เล็กไปเถอะ ไม่ใช่เรื่องน่าขายหน้าอะไรสักหน่อย จำไว้ว่าต่อไปนี้ซ่อนไว้ให้ดีๆ ก็พอ!” เย่เทียนเฉินกล่าวโจมตีหลิ่วหรูเหมยต่อไป

ความจริงแล้ว ในความทรงจำของเย่เทียนเฉิน บั้นท้ายของหลิ่วหรูเหมยไม่นับว่าเล็ก เพียงแต่งอนมาก งอนเสียจนทำให้ผู้ความปรารถนาของผู้ชายตื่นตัว บั้นท้ายขาวๆ และความโค้งงอนกลมกลึง ยักย้ายไปมาช้าๆ ทำให้ผู้ชายนับไม่ถ้วนอดกลั้นไม่ไหวแน่นอน

“เย่เทียนเฉิน ฉันไม่จบกับนายแน่” หลิ่วหรูเหมยอนทนไม่ไหว ลุกขึ้นยืนพลางใช้หมัดขาวนวลราวผงแป้งของเธอต่อยไปทางเย่เทียนเฉิ

ตู้ม!

ตู้ม!

เสียงดังสนั่นหวั่นไหวดังขึ้นสองครั้ง เสียงระเบิดบังคับให้รถลีมูซันสามคันที่คุ้มครองหลิ่วหรูเหมยโดยตรงต้องหยุดลง เบื้องหน้าเป็นถนนอันคับแคบสายหนึ่ง สองข้างทางเป็นภูเขาที่ถูกแบ่งออกจากกัน เสียงระเบือดเมื่อสักครู่นี้ ทำให้หินก้อนใหญ่ตกลงมาปิดกั้นถนนเบื้องหน้า เห็นได้ชัดว่ามีคนวางระเบิดไว้ล่วงหน้าให้ระเบิดตอนที่รถของพวกเย่เทียนเฉินผ่านมา

“มีคนซุ่มโจมตี!”หลิวอวี่ตะโกนอกมา เป็นคนแรกที่เปิดประตูรถพุ่งออกไป ปืนในมือกระหน่ำยิงไม่หยุด

ส่วนผู้คุ้มกันหลายคนที่เป็ฯลูกน้องของหลิวอวี่ ก็ไม่ใช่พวกอ่อนแอ ทั้งหมดต่างเปิดประตูรถออกมา พลันเปิดฉากโจมตีกลับ ตอนนี้เองมีมือสังหารหลายสิบคนพุ่งลงมาจากสองฝั่งบนภูเขา ทุกคนสวมชุดลายพราง ยิงปืนไปยังรถคันกลางที่พวกเย่เทียนเฉินนั่งอยู่คันนั้น หากรถลีมูซีนทั้งสามคันไม่ใช่รถกันกระสุนคงถูกยิงจนพรุนไปนานแล้ว

“สั่งลงไป ให้รถถอยหลัง กลับรถออกไป…” หลงชุนไท่สั่งกับคนขับรถ

“ไม่ทันแล้ว รถถอยหลังไม่ได้แล้ว”

คำพูดของเย่เทียนเฉินเพิ่งออกจากปาก กระโปรงรถด้านหลังของรถที่เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นอยู่ ก็ส่งเสียงดังสนั่นออกมา หินก้อนใหญ่มหึมาก้อนหนึ่งกลิ้งลงมา ทำให้รถทั้งสามคันถูกล้อมไว้ตรงกลาง กลายเป็นการปิดประตูตีแมว วิกฤตเป็นอย่างยิ่ง

…………………………………………………………………….

บทที่ 80 ถึงวอชิงตัน
Ink Stone_Fantasy
เย่เทียนเฉินเดิมทีก็เป็นคนที่ไม่ชอบถูกผูกมัด ไม่ว่าจะเป็นชีวิตนี้หรือชีวิตก่อน เขาก็มีนิสัยเช่นนี้ เขาชอบชีวิตที่อยากจะมาก็มาอยากจะไปก็ไป ครั้งนี้ถ้าหากไม่ใช่ว่าอยากจะไปเปิดหูเปิดตาดูทหารรับจ้างที่แข็งแกร่งของต่างชาติและผู้มีพลังพิเศษที่มิอาจคาดเดาได้ เย่เทียนเฉินก็จะไม่ตอบรับคำขอของชางหลางโดยเด็ดขาด

เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกคิดไม่ถึงก็คือ คนที่เขาต้องคุ้มครองจะเป็นหลิ่วหรูเหมย ผู้หญิงที่เคยถูกตนเองแอบดูเรือนร่าง ในความทรงจำอันเรือนลาง เย่เทียนเฉินยังสามารถย้อนคิดกลับไปถึงเอวบางอันงดงามราวหยกของหลิ่วหรูเหมยได้ โดยเฉพาะก้นที่ทั้งขาวทั้งใหญ่นั้น เห็นแล้วทำให้ความปรารถนาผู้คนเพิ่มพูนเสียจริง

เดิมทีเย่เทียนเฉินไม่อยากจะคบค้าสมาคมอะไรกับหลิ่วหรูเหมยอีกอย่างเด็ดขาด อย่างไรเสียทั้งคู่ก็มีชื่อเสียงที่ไม่ค่อยดีเพราะเรื่องนั้น แต่ว่า คำพูดนั้นของหลิ่วหรูเหมยทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึซาบซึ้งและนับถือ

หลิ่วหรูเหมยที่เป็นสาวงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง อยากจะเสพสุขกับชีวิตที่หรูหราฟุ่มเฟือย ก็ง่ายเพียงแค่สะบัดเท่านั้น แต่ผู้หญิงของนี้ไม่ใช่แจกันประดับ เธอมีแรงขับเคลื่อนเฉกเช่นหญิงแกร่ง ครั้งนี้เพื่อที่จะสามารถทำการซื้อขายข้อมูลลับให้สำเร็จ และสามารถยกระดับศักยภาพทางการทหารของจีน หลิ่วหรูเหมยเสี่ยงอันตรายมาทำการซื้อขายข้อมูลลับยังประเทศ M โดยไม่เสียดาย บุคลิกและคุณธรรมของผู้หญิงคนนี้ควรค่าแก่การนับถือ

คำพูดของหลิ่วหรูเหมยมีเหตุผลมาก และพูดถึงจุดที่เย่เทียนเฉินสงสัย เรื่องเมื่อปีนั้น มีความเป็นไปได้สูงว่าจะถูกผู้อื่นวางแผน ตกลงแล้วเป็นใครกันแน่ที่ต้องการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ทำให้ชื่อเสียงของเย่เทียนเฉินและหลิ่วหรูเหมยต้องเหม็นเน่า? หรือตกลงแล้วใครกันแน่ที่ต้องการต่อต้านตระกูลหลิ่วและตระกูลเย่ในเวลาเดียวกัน?

สุดท้าย เย่เทียนเฉินก็ตัดสินใจไปที่ประเทศ M สักครั้ง ที่นั่นมีของที่เขาต้องการอยู่ ต้องการยกระดับขอบเขตพลังพิเศษ และประสบการณ์ต่อสู้อันโหดร้ายมากยิ่งขึ้น

หลังจากตักเตือนเฟยอวิ๋นไปยกหนึ่ง เย่เทียนเฉินก็ทิ้งตัวลงบนที่นั่งของตนเองเริ่มนอนหลับต่ออีก ทำให้เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นโกรธจนแทบอดไม่ได้ที่จะลงมือ ตนเองทั้งสองคนเป็นสมาชิกหัวกะทิของกองทัพเหยี่ยวอันสง่าผ่าเผย กลับถูกเย่เทียนเฉินมองว่าไร้ค่า ทำให้รุ้สึกโกรธแค้นอยู่ในใจ

“คุณหนู พวกเราไปดื่มกาแฟตรงโน้นกันเถอะ!” หย่งชุนไท่เห็นว่าหลิ่วหรูเหมยเองก็โกรธจนหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวขาวจึงพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม

“เจ้าอันธพาลนี่ ฉันอยากจะแทงเขาให้ตายจริงๆ เลย!” หลิ่วหรูเหมยโกรธจนกระทืบเท้าที่สวมรองเท้าส้นสูงสีแดงแรงๆ ครั้งหนึ่งพลางจ้องไปยังเย่เทียนเฉินที่กำลังนอนหลับอย่างสบายอยู่ฝั่งหนึ่ง แทบอดไม่ได้ที่จะพุ่งไปตบเจ้าหมอนี่แรงๆ สักยก

หย่งชุนไท่ยกยิ้มพลางส่ายหัว จากนั้นจึงเดินไปยังโต๊ะอาหารข้างๆ แล้วดื่มกาแฟต่อไป หลิ่วหรูเหมยเองก็ยู่ปากเล็กๆ อันเซ็กซี่ด้วยความโกรธอย่างหมดหนทางพลางเดินไปเช่นกัน

ส่วนเจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นนั้นโกรธจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันไปตั้งนานแล้ว หากไม่ใช่ว่าคำนึงถึงภารกิจในครั้งนี้ จะต้องลงมือกับเย่เทียนเฉินไปแล้วเป็นแน่

“ไอ้หนูนี่ฉันจะต้องสั่งสอนมันอย่างโหดเหี้ยมแน่นอน จะอัดมันให้โง่เป็นหมูไปเลย” เฟยอวิ๋นเปิดปากกล่าวอย่างโหดเหี้ยม

“โอกาสมีเยอะแยะ ทำภารกิจให้สำเร็จสำคัญกว่า” เจียงเหมิงกล่าวยิ้มๆ

หลิ่วหรูเหมยเดินไปข้างโต๊ะอาหาร นั่งลงด้วยความโมโห หย่งชุนไท่ส่งกาแฟให้เธอแก้วหนึ่ง กล่าวยิ้มๆ ว่า “คุณหนูไม่ต้องโกรธไป ทำภารกิจให้สำเร็จสำคัญกว่า”

“หย่งชุนไท่คะ หนูไม่ทราบจริงๆว่าทำไมชางหลางถึงหาตัวเจ้าหมอนี่มา คนอย่างเขาที่ไม่ทำตามแผนการ ไม่ฟังคำแนะนำ พอเราเจอการโจมตีการศัตรูที่แข็งแกร่ง ยากที่จะถอยกลับมาอย่างครบสามสิบสอง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องทำการซื้อขายข้อมูลลับให้สำเร็จเลย” หลิ่วหรูเหมยกล่าวอย่างเป็นกังวล

หย่งชุนไท่แย้มยิ้ม ดื่มกาแฟอึกหนึ่ง เธออยู่ข้างกายของหลิ่วหรูเหมย คุ้มครองหลิ่วหรูเหมยสิบกว่าปีแล้ว กล่าวได้ว่าเห็นการเติบโตของหลิ่วหรูเหมย มองหลิ่วหรูเหมยเป็นเหมือนหลานสาวแท้ๆของตนเองไปแล้ว ดังนั้นจึงได้สั่งสอนแก่นสำคัญของมวยหย่งชุนไปด้วย

สำหรับเรื่องที่หลิ่วหรูเหมยและเย่เทียนเฉินที่ทนเห็นกันไม่ได้นั้นเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว ต่อให้เย่เทียนเฉินแอบดูหลิ่วหรูเหมยอาบน้ำจะเป็นการถูกผู้อื่นวางแผนใส่ ไม่ใช่เป็นการจงใจ ก็ไม่สามารถแก้ไขความเข้าใจผิดและปมในใจของทั้งสองได้ในทันที สามารถจินตนาการได้เลยว่า ผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้หญิงที่สวยเลิศล้ำคนหนึ่ง ถูกผู้ชายคนหนึ่งแอบมองเรือนร่าง ถ้าเธอไม่ได้มีความสัมพันธ์ดังเช่นคู่รักกับชายคนนั้น จะเผชิญหน้าอย่างไร?

“คุณหนู จากความคิดของฉัน ครั้งนี้ถ้าพวกเราต้องการแลกเปลี่ยนข้อมูลลับให้สำเร็จ จะต้องพึ่งพาเย่เทียนเฉิน!” หย่งชุนไท่กล่าวเสียงเบาพลางมองหลิ่วหรูเหมยอย่างจริงจัง

“นี่…หย่งชุนไท่ คุณมองเจ้าหมอนี่ดีขนาดนั้นจริงๆ เหรอคะ? เขาดูไม่น่าเชื่อถือมากเลยจริงๆ ดูไม่น่าเชื่อถือเหมือนเมื่อปีนั้น…” หลิ่วหรูเหมยกล่าวถามด้วยใบหน้าแดงเรื่อ

“คุณหนู เย่เทียนเฉินคนนี้แม้ว่าจะดูเหยาะแหยะไปบ้าง บางทีอาจจะทำให้คนอื่นมองว่าไม่จริงจังไม่น่าเชื่อถือ แต่ว่าพอเขาจริงจังขึ้นมา จะต้องเป็นปิศาจร้ายที่ไม่สามารถหยุดยั้งได้แน่นอน การเดินทางไปประเทศ M ครั้งนี้ของพวกเรา กล่าวได้ว่าเป็นกรเข้าถ้ำเสือ เพื่อที่จะสามารถเอาข้อมูลลับนั้นมาให้ได้ หากต้องการประสบความสำเร็จ จำเป็นต้องพึ่งเย่เทียนเฉิน” หย่งชุนไท่กล่าวอย่างเข้มงวด

หลิ่วหรูเหมยชะงักไปชั่วครู่ หย่งชุนไท่อยู่ข้างกายเธอมาโดยตลอด ปกป้องคุ้มครงเธอมาสิบกว่าปีแล้ว แม้ว่าภายนอกจะมีความสัมพันธ์แบบเจ้านายกับลูกจ้าง แต่ว่าหลิ่วหรูเหมยเห็นหย่งชุนไท่เป็นคุณยายของตนเองมาโดยตลอด เห็นเป็นญาติของตนเอง ไม่ได้มองเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาเลยแม้แต่น้อย

ได้ยินคำพูดเหล่านี้ของหย่งชุนไท่ หลิ่วหรูเหมยรู้ดีว่าหย่งชุนไท่ประเมินเย่เทียนเฉินไว้สูง กระทั่งเดิมพันว่าภารกิจครั้งนี้จะสำเร็จหรือไม่ล้วนขึ้นอยู่กับเย่เทียนเฉิน

“หย่งชุนไท่คะ ต่อให้ฝีมือของเย่เทียนเฉินจะแข็งแกร่งมาก หนูก็คือว่าคงจะไม่ร้ายกาจกว่าคุณหรอกค่ะ หนูเชื่อว่ามีคุณอยู่ข้างกาย จะต้องสำเร็จภารกิจได้แน่นอน” หลิ่วหรูเหมยกล่าวด้วยรอยยิ้ม

หย่งชุนไท่มองหลิ่วหรูเหมยครู่หนึ่ง กล่าวพลางส่ายหัวว่า “คุณหนู ถึงแม้เมื่อครู่นี้ฉันกับเย่เทียนเฉินจะประมือกันกระบวนท่าหนึ่ง ดูเหมือนฝีมือจะไม่ต่างกันมาก แต่นั่นฉันลอบโจมตี กล่าวตามจริง ฉันรู้สึกได้ถึงพลังงานอันแข็งแกร่งที่ซ่อนอยู่ในร่างกายของเย่เทียนเฉิน ราวกับซ่อนมังกรยิ่งใหญ่ที่หลับใหลไว้ตัวหนึ่ง เมื่อมันตื่นขึ้นมา ไม่มีใครที่ขวางมันได้ ถ้าฉันใช้พลังเต็มที่อาจจะสู้กับเขาได้ แต่ไม่มีทางทำให้เขาได้อย่างเด็ดขาด”

“หย่งชุนไท่ คุณจะถ่อมตัวไปหรือเปล่าคะ ด้วยฝีมือของคุณ ในจีนมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถสู้กับคุณได้ ต่อให้เย่เทียนเฉินร้ายกาจขนาดไหน ก็ไม่มีทางเอาชนะคุณได้อย่างแน่นอน” หลิ่วหรูเหมยแย้มยิ้มพลางกล่าวอย่างไม่เชื่อ

“คุณหนู ฉันจะพูดตามจริงสักประโยค ความสามารถของเย่เทียนเฉินยังเหนือกว่าฉันขึ้นไปอีก” หย่งชุนไท่มองหลิ่วหรูเหมยอย่างจริงจังพลางพยักหน้า

หลิ่วหรูเหมยสั่นสะท้านไปทั้งตัว มองหย่งชุนไท่ด้วยอาการปากอ้าตาค้าง ตั้งแต่เล็กจนโต หย่งชุนไท่ต่างก็ปกป้องคุ้มครองเธอ เธอย่อมรู้ดีว่าหย่งชุนไท่ร้ายกาจขนาดไหน แม้ไม่ใช่ยอดฝีมืออันดับหนึ่งของจีน แต่เกรงว่าการเข้าสู่ห้าอันดับแรกก็ไม่ใช่ปัญหา

แต่ว่า ได้ยินหย่งชุนไท่กล่าวว่าความสามารถสู้อีกฝ่ายไม่ได้ คำประเภทนี้เป็นครั้งแรกที่หลิ่วหรูเหมยได้ยิน ต้องทราบว่าหย่งชุนไท่เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของเพลงหมัดหย่งชุนจากพรรควรยุทธโบราณ เป็นหัวหน้าพรรครุ่นที่เก้าสิบสอง ความสามารถของเธอลึกล้ำเกินคาดเดา ฝึกฝนมวยหย่งชุนมาเกือบครึ่งศตวรรษ ในช่วงเวลาสิบกว่าปีที่ปกป้องคุ้มครองหลิ่วหรูเหมยนี้ หาคู่ต่อสู้ที่มีฝีมือทัดเทียมกันได้ยากมาก ดังนั้นตอนที่เธอพูดประโยคที่ว่าฝีมือไม่อาจเทียบเย่เทียนเฉินได้ หลิ่วหรูเหมยจะไม่สั่นสะท้านได้อย่างไร?

“นี่…” หลิ่วหรูเหมยจู่ๆ ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี อดไม่ได้ที่จะหันไปมองเย่เทียนเฉินที่หลับอยู่บนที่ของตนเองด้วยใบหน้าท่าทางอัปลักษณ์ คิดว่าภารกิจครั้งนี้ต้องพึ่งพาเจ้าคนชั่วนี่จริงๆ หรือ?

“คุหนูไม่ต้องกังวลไป จากที่ฉันเห็นในเมื่อเย่เทียนเฉินตอบรับว่าจะอยู่ต่อแล้ว ภารกิจครั้งนี้จะต้องสำเร็จได้แน่นอน” หย่งชุนไท่กล่าว

“หย่งชุนไท่คะ คุณเชื่อมั่นในตัวเขาขนาดนี้จริงๆ เหรอคะ?” หลิ่วหรูเหมยรูกสึกแปลกใจเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่หย่งชุนไท่เจอหน้าเย่เทียนเฉิน ทั้งคู่เพียงสู้กันหนึ่งกระบวนท่าเท่านั้น ถึงกับทำให้หย่งชุนไท่เชื่อถือในตัวเย่เทียนเฉินเช่นนี้ ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าเย่เทียนเฉินคนนี้มีอะไรพิเศษ

“ไม่ใช่ความเชื่อ แต่เป็นศักยภาพ เขามีศักยภาพเช่นนี้!” หย่งชุนไท่มองเย่เทียนเฉินที่หลับอุตุอยู่ทางด้านหนึ่งพลางเปิดปากกล่าว

บทสนทนาของหย่งชุนไท่และหลิ่วหรูเหมย ทำให้หลิ่วหรูเหมยตกตะลึง และทำให้สายตาสงสัยที่มองไปยังเย่เทียนเฉินหายไป แน่นอนว่าเจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นไม่ได้ยิน

เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นเป็นสมาชิกหัวกะทิของกองทัพเหยี่ยว ฝีมือความสามารถก็แข็งแกร่งเป็นอย่างมากเช่นกัน และครั้งนี้หัวหน้ากองทัพอย่างเหยียนหลงส่งพวกเขามาปกป้องคุ้มครองหลิ่วหรูเหมย ส่วนเย่เทียนเฉินเป็นชางหลางที่เชิญมา เหยียนหลงและชางหลางเป็นคู่แข่งที่ไม่ลงรอยกัน ดังนั้นเจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นจึงมีความรู้สึกเป็นศัตรูกับเย่เทียนเฉินเป็นอย่างมาก เย่เทียนเฉินก็ไม่พอใจพวกเขาสองคน สมดุลภายในนี้ยังต้องหาทางรับมือ ไม่อาจให้มีผลกระทบไปถึงกับภารกิจครั้งนี้

เวลาเจ็ดโมงเช้ากว่าๆ เฮลิคอปเตอร์ที่พวกเย่เทียนเฉินโดยสารมา ลงจอดที่ชานเมืองวอชิงตัน เมื่อเย่เทียนเฉิน หลิ่วหรูเหมย หย่งชุนไท่ เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นลงจากเครื่องบิน ก็มีรถลีมูซีนสีดำสามคันจอดอยู่ที่สนามหญ้าแล้ว รอการมาถึงของพวกเขา

คนที่เป็นหัวหน้าเป็นชายชาวจีนวัยกลางคน บนใบหน้ามีรอยแผลเป็นจากดาบที่ลึกมากรอยหนึ่งพาดจากหางตาซ้ายไปถึงขากรรไกรล่าง หากว่าขยับใกล้อีกเพียงนิดเดียว ตาซ้ายของเขาคงจะเสียไปแล้ว

หย่งชุนไท่และหลิ่วหรูเหมยเดินนำหน้าสุด เย่เทียนเฉินเดินตามไปเป็นอันดับสอง เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นกลับมองไปรอบข้างอย่างระมัดระวัง เพื่อป้องกันการลอบโจมตีอย่างกะทันหัน

ผู้คุ้มกันสามคน เย่เทียนเฉิน เจียงเหมิง และเฟยอวิ๋น ไม่นับรวมหย่งชุนไท่ เพราะเธอคุ้มครองความปลอดภัยของหลิ่วหรูเหมยตลอด ในหมู่คนเหล่านี้มีเพียงเจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นที่มีระเบียบวินัย คอยระมัดระอยู่ข้างหลัง มองไปยังรอบด้านตลอดเวลา สถานที่ที่มีหญ้าขึ้นเชียวชะอุ่มเช่นนี้ ถ้าหากมีคนลอบโจมตีจะไม่มีแม้กระทั่งที่กำบัง เป็นเป้าที่มีชีวิตโดยสิ้นเชิง

“พวกสมองหมูทั้งสองคนอย่างมองไปทั่วสิ ไม่มีคนซุ่มโจมตี คนกลุ่มนี้ของคฤหาสน์ตระกูลหลิ่วที่ตกทอดกันมาในวอชิงตันประเทศ M ดูท่าแล้วก็ไม่ใช่พวกกินหญ้า ไม่ถูกอีกฝ่ายลอบติดตามหรอก” เย่เทียนเฉินหันไปมองเจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นพลางกล่าว

“เฮอะ แกคิดว่าแกเป็นใครกัน? เป็นผู้วิเศษรึไง? แกบอกว่าไม่มีก็ไม่มีงั้นเรอะ?” เฟยอวิ๋นกล่าวอย่างเหยียดหยาม

“อย่าพูดจาใหญ่โตนักนะ ถึงตอนนั้นเจอเข้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งแล้วตกใจจนฉี่ราดคงไม่ดีแน่” เจียงเหมิงพูดฉีกหน้าเย่เทียนเฉิน

“คนโง่สองคน เก็บแรงไว้ดีกว่านะ คืนนี้จะมีการต่อสู้ครั้งใหญ่แน่นอน”

เย่เทียนเฉินขี้เกียจสนใจเจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นทั้งสองแล้ว เมื่อสักครู้ตอนที่ลงจากเครื่อง พลังพิเศษแห่งการรับรู้ของเขาก็แผ่ขยายไปสำรวจมาแล้ว สรรพสิ่งรอบด้านภายในหนึ่งพันเมตร ล้วนแต่รับรู้ทุกซอกทุกมุม รู้นานแล้วว่าใกล้ๆ ไม่มีคนซุ่มโจมตี ปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็น

…………………………………………..

บทที่ 79 อารมณ์ขันของพี่ชาย พวกนายไม่เข้าใจ
Ink Stone_Fantasy
ขึ้นเครื่องบิน สามคำนี้ถูกเย่เทียนเฉินพูดออกมาได้เน้นมาก ทั้งยังปะปนไปด้วยน้ำเสียงแปลกๆ ทำให้หลิ่วหรูเหมยที่อยู่ข้างๆ หน้าแดง ดวงตาอันงดงามทั้งสองมีความโกรธเจืออยู่ เพียงพอที่จะฆ่าเย่เทียนเฉินได้เลย เห็นได้ชัดว่าเจ้าหมอนี่ตั้งใจ ตั้งใจพูดคำเหล่านี้ออกมา ทำให้คนเองรับไม่ได้จนหน้าแดง

ส่วนเจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นที่อยู่อีกด้านหนึ่ง ยิ่งโกรธจนแทบจะลงมืออัดเย่เทียนเฉินแรงๆ สักยก พวกเขาต่างก็เป็นชายหนุ่มที่บริสุทธ์ผุดผ่อง รวมกับบนเครื่องยังมีหลิ่วหรูเหมยสาวงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงอยู่ด้วย เกรงว่าจะมีแค่เย่เทียนเฉินคนเดียวที่หน้าด้านถึงขั้นนี้ ไม่คิดถึงภาพลักษณ์ของตนเอง พูดคำว่า ‘ขึ้นเครื่องบิน’ สามคำที่ทำให้คนคนคิดลึก ออกมาได้

“เจ้าคนลามก ไร้ยางอาย สกปรก!” หลิ่วหรูเหมยจ้องเย่เทียนเฉินแล้วกล่าวด้วยความโมโห

“แกนี่นะ ช่วยรักษาภาพลักษณ์ของผู้ชายหน่อยจะได้ไหม?”

“ไม่น่านั่งเครื่องลำเดียวกับแกเลยจริงๆ”

เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นก็รู้สึกรับเย่เทียนเฉินไม่ได้ เจ้าหมอนี่ทำไมถึงได้ไม่มีความพิถีพิถันเอาเวียเลย จะบอกว่าเย่เทียนเฉินเหลาะแหละน่ะหรือ เจ้าหมอนี้พอจริงจังขึ้นมาก็ราวกับเทพแห่งความตายที่ไม่มีใครกล้าหาเรื่อง จะบอกว่าเข้มงวดจริงจังน่ะหรือ เจ้าหมอนี่พอนึกสนุกขึ้นมา ก็ทำให้คนหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้

“ฉันว่าความคิดของพวกนายหลายคนนี้ทำไมมันถึงสกปรกขนาดนี้นะ? ทำไมไม่เหมือนกับฉันที่บริสุทธิ์ขาวสะอาดราวกระดาษ? ความหมายของฉันก็คือ ตอนนี้พวกเราควรจะเข้าเขตประเทศ M แล้ว จะมีคนแอบขึ้นเครื่องบินมาโจมตีหรือเปล่า โจมตีให้เครื่องบินของพวกเราตก ถึงตอนนั้นไม่มีร่มชูชีพ ตกลงไปต้องร่างกายแหลกเป็นผุยผงแน่เลย!” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางแสดงท่าทางอับจนคนพูดต่อหน้าคนอื่นๆ

“เจ้าคนอันธพาล นายจะหุบปากได้ไหม? ปากเสียจริงๆ” หลิ่วหรูเหมยถูกเย่เทียนเฉินทำให้โมโหจนทนไม่ไหว อยากจะตีคนคนนี้แรงๆ สักยก

“ช่างเถอะ ท้องฉันหิวแล้ว ไม่คุยกับพวกความคิดสกปรกอย่างพวกเธอแล้ว”

เย่เทียนเฉินแสดงออกราวกับคนอื่นๆ ความคิดสกปรก มีเพียงเขาคนเดียวที่บริสุทธิ์ที่สุด เดินไปข้างฌต๊ะอาหารเล็ก นั่งลงตรงข้ามหย่งชุนไท่ กับหญิชายคนนี้ ความประทับใจของเย่เทียนเฉินนับว่าไม่เลวเลย ไม่ว่าจะอย่างไรก็เป็นคนชรา ยังต้องให้ความเคารพ อีกทั้งหย่งชุนไท่เป็นหัวหน้าพรรคหมัดหย่งชุนคนที่เก้าสิบสอง เป็นยอดฝีมือพรรควรยุทธโบราณ ไม่อาจมองเธอเป็นหญิงชราทั่วๆ ไปได้

“ดื่มกาแฟหรือเครื่องดื่ม?” หย่งชุนไท่กล่าวถามด้วยรอยยิ้ม

“กาแฟแล้วกันครับ จะได้ไม่ง่วงอีก ผมกลัวว่าจะถูกผู้อื่นลอบกัด” ตอนที่เย่เทียนเฉินกล่าวได้มองไปทางหลิ่วหรูเหมย ทำให้หลิ่วหรูเหมยโกรธจนแทบอยากจะพุ่งไปกัดเจ้าหมอนี่สักหลายๆ ครั้ง

หย่งชุนไท่ส่งกาแกที่ชงเสร็จแล้วแก้วหนึ่งให้เย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินรับมาแล้วจิบไปหนึ่งอึกพลางกล่าวว่า “ขมกำลังดี เลื่อนให้เป็นของตัวอย่างเลย”

“นายยังไม่ได้ตอบคำถามฉันเลย…” หย่งชุนไท่กล่าวพลางมองเย่เทียนเฉิน

“คำถามอะไรครับ?” เย่เทียนเฉินถามอย่างสงสัย

“นายเป็นศิษย์ของพรรคไหน?” หย่งชุนไท่ถามต่อ

ตอนที่หย่งชุนไท่ลอบโจมตีเย่เทียนเฉินอย่างฉับพลับ เย่เทียนเฉินตอบโต้กลับอย่างดุเดือดรุนแรง หนึ่งหมัดซัดไปกลางฝ่ามือของหย่งชุนไท่ ทำให้หย่งชุนไท่ที่ฝึกฝนหมัดหย่งชุนมาหลายสิบปีถูกซัดจนถอยกลังไปหลายก้าวจึงจะยืนอย่างมั่นคงได้ ส่วนเย่เทียนเฉินกลับยืนอยู่ที่เดิมโดยไม่สะทกสะท้าน นี่ทำให้หย่งชุนไท่ตกตะลึงเป็นอย่างมาก พลันสงสัยว่าเย่เทียนเฉินอาจจะเป็นศิษย์ผู้สืบทอดของพรรควรยุทธโบราณพรรคหนึ่งก็เป็นได้

ยิ่งเย่เทียนเฉินอายุไม่ถึงยี่สิบปี ก็ถึงกับสามารถสู้กับหย่งชุนไท่ได้ พลังต่อสู้ระดับนี้เพียงพอที่จะทำให้ใครก็ตามต้องสั่นสะท้าน และทำให้หย่งชุนไท่รู้สึกแปลกใจมาก พรรควรยุทธโบราณพรรคไหนกันที่ถึงกับสอนศิษที่แข็งแกร่งระดับเย่เทียนเฉินออกมาได้ เส้าหลิน? บู๊ตึ๊ง? หรือจะเป็นหัวซาน?

“ผมไม่มีอาจารย์ เรียนรู้ด้วยตัวเอง” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางยิ้มอย่างหลอกล้อ

“คนหนุ่มสาวในจีนเหมือนนายที่มีพลังการต่อสู้ในระดับนี้มีน้อยมากเหลือเกิน ควรจะอุทิศตนทำเพื่อประเทศให้มากเสียหน่อย” หย่งชุนไท่กล่าวด้วยรอยยิ้ม

“โธ่ ผมก็แค่อยากจะเสพสุขกับชีวิตอันสงบสุขก็เท่านั้น จนใจที่เกิดมาหล่อเกินไป เลยทำให้ผู้คนสนใจ ผมไม่สนใจเรื่องยุทธภพตั้งนานแล้ว แต่ยุทธภพยังคงต้องการตำนานของผม…” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางแสดงท่าทีจนใจ

“แหวะ…” เจียงเหมิงและเฟยอววิ๋นที่อยู่ข้างๆ แทบจะอ้วก รู้สึกนับถือความหน้าหนาของเย่เทียนเฉินจริงๆ ไม่รู้จักอับอายเลยสักนิด

หย่งชุนไท่กลับมองเย่เทียนเฉินยิ้มๆ เธอมีฐานะเป็นยอดฝีมือที่มีวิชาของพรรควรยุทธโบราณ อ่านคนมานับไม่ถ้วน และยิ่งกว่านั้นยังเคยเห็นผู้แข็งแกร่งที่มีนิสัยแปลกประหลาดมาบ้าง เพียงแต่น้อยนักที่จะพบคนที่อายุน้อยและฝีมือแข็งแกร่งเช่นเย่เทียนเฉิน ดังนั้น ตอนที่เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นหรือกระทั่งหลิ่วหรูเหมย ใช้สายตาที่ไม่สามารถอธิบายได้หรือกระทั่งสายตาเหยียดหยามเล็กน้อยมองเย่เทียนเฉิน คิดว่าเย่เทียนเฉินก็แค่คนที่ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษและเป็นคนที่ทำอะไรตามแต่ใจ หย่งชุนไท่กลับรู้สึกว่าเย่เทียนเฉินไม่ธรรมดา

“คราวนี้พวกที่เราต้องเจอนอกจากองค์กรทหารรับจ้างที่แข็งแกร่งจากประเทศ M แล้ว มีความเป็นไปได้ว่าจะยังมียอดฝีมือจากหน่วยพลังพิเศษเฉพาะกิจอีกด้วย เรื่องผู้มีพลังพิเศษคิดว่าเธอคงเข้าใจดี ความสามารถเช่นนั้น แข็งแกร่งจนทำให้คนสิ้นหวัง” หย่งชุนไท่กล่าวพลางมองเย่เทียนเฉินอย่างจริงจัง

เย่เทียนเฉินดื่มกาแฟไปอึกหนึ่ง ในใจคิดว่า หย่งชุนไท่คนนี้ไม่เลวเลยจริงๆ อย่างน้อยก็มีจิตใจรักชาติ ในยุคนี้คนที่มีความสามารถมีไม่น้อย แต่ว่าคนที่มีจิตใจรักชาติไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนนั้นมีน้อยมากเหลือเกิน ไม่ว่าจะพูดอย่างไร หย่งชุนไท่ตรงหน้าคนนี้ควรค่าแก่การเคารพนับถือจริงๆ

“คุณยายครับ พวกคุณสนใจแค่เรื่องธุรกิจก็พอแล้ว ส่วนเรื่องทหารรับจ้างกับผู้มีพลังพอเศษพวกนั้น ให้ผมจัดการเอง” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้มพลางลูบผม

“ไอ้หนูแกไม่คิดว่าตัวเองพูดจาอวดดี้เกินไปหน่อยเรอะ?” เฟยอวิ๋นที่อยู่ด้านข้างได้ยินเย่เทียนเฉินก็กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์

“ให้ตายสิ ถ้าไม่ฟังกัน แกก็ไปหยุดทหารรับจ้างกับผู้มีพลังพิเศษพวกนั้น ฉันไปซื้อขายข้อมูลลับเอง” เย่เทียนเฉินกรอกตาใส่เฟยอวิ๋นพลางกล่าว

“เฮอะ ไปก็ไปสิวะ ฉันจะทำให้แกรู้ถึงความร้ายกาจของกองทัพเหยี่ยวของพวกเรา” เฟยอวิ๋นสบถ

“พวกนายอย่าเถียงกันเลย ครั้งนี้พวกเรามีแผนการตั้งนานแล้ว ประมาณแปดโมงเช้า เฮลิคอปเตอร์ของพวกเราจะลงจอดที่วอชิงตัน ที่นั่นมีคฤหาสน์ใหญ่ของตระกูลหลิ่วของพวกเราอยู่หลังหนึ่ง จะใช้เป็นที่พักของพวกเราชั่วคราว วันนั้นพวกเราไม่สามารถทำการแลกเปลี่ยนได้ ต้องรอถึงเที่ยงคืนถึงจะไปยังสถานที่ที่จะทำการแลกเปลี่ยน พวกเราเชื่อว่าระหว่างทางก่อนถึงจุดแลกเปลี่ยน จะต้องมีคนลอบโจมตีพวกเรา ถึงตอนนั้นจะมีการต่อสู้รุนแรงเกิดขึ้นแน่” หลิ่วหรูเหมยมองเย่เทียนนเฉิน เปิดปากกล่าวอย่างจริงจัง

“งั้นหย่งชุนไท่ คุณหนูหลิ่ว พวกคุณมีแผนอะไรไหมครับ? พวกเราจะปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด” เจียงเหมิงหยักหน้ากล่าว

“โทษที ไม่ต้องจัดวางหน้าที่อะไรให้ฉันนะ ฉันตั้งแต่เกิดก็เป็นพวกไม่ชอบการผูกมัดอะไร คนอื่นตั้งอายาให้ฉันว่า หล่อเดียวดายหนึ่งหมื่นลี้!” เย่เทียนเฉินรีบกล่าว

“นาย…”

“เทียนเฉิน กำหนดการของพวกเราเป็นเช่นนี้ หลังจากที่ถึงวอชิงตันแล้ว พวกเราจะอยู่ในคฤหาสน์ของตระกูลหลิ่วทั้งวัน คอยระวังการเปลี่ยนแปลงให้ดี นอกจากพวกเราหลายคนแล้ว ยังมียอดบอดี้การ์ดของตระกูลหลิ่วอยู่อีกกลุ่มหนึ่งด้วย เชื่อว่าสามารถรับประกันความปลอดภัยเธอได้ไม่ยาก หลังจากที่ถึงตอนกลางคืน มีฉัน เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นสามคนบุกทะลวงเข้าไปก่อน เพื่อเปิดทางจากการลอบโจมตีของทหารรับจ้างและผู้มีพลังพิเศษ ส่วนนายคุ้มครองคุณหนูไปซื้อขายข้อมูลลับ” หย่งชุนไท่เปิดปากกล่าว

“ไม่เอาน่า? หย่งชุนไท่ หน้าที่ความรับผิดชอบที่ใหญ่ที่สุดของพวกคุณเอามาให้ผมเถอะ แนวโน้มที่ระหว่างทางจะมีการลอบโจมตีสูงมาก แต่ไปทำการซื้อขายข้อมูลอันตรายที่สุด ที่นั่นต้องมีศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุดรออยู่แน่ๆ ถ้าหากหลิ่วหรูเหมยมีแขนขาน้อยลงไปสักข้างล่ะก็ อย่ามาถามหาความความรับผิดชอบจากผมนะครับ” เย่เทียนเฉินแสร้งทำเป็นตกใจพลางกล่าว

“ถ้าหากนายคิดนายไม่มีฝีมือ ก็ไปยืนอยู่ข้างๆ ซะ ให้ฉันคุ้มครองคุณหนูหลิ่วไปซื้อขายเอง” เฟยอวิ๋นกล่าวกับเย่เทียนเฉินอย่างตรงไปตรงมา

“ยืนอยู่ข้างๆ เด็กน้อยเล่นขายของรำไง มาสร้างความวุ่นวายอะไร ไม่ต้องการชีวิตแล้วหรือ?” เย่เทียนเฉินเห็นเฟยอวิ๋นเป็นเด็กน้อยไปแล้วโดยสิ้นเชิง

เฟยอวิ๋นโกรธจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน หากไม่ใช่ว่าคิดถึงงานใหญ่และคิดถึงว่าตอนนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญ ไม่อาจฝ่าฝืนวินัยได้ เขาคงลงมือกับเย่เทียนเฉินไปนานแล้ว เพียงแต่น่าเสียดาย เขาไม่รู้ว่า เมื่อลงมือ เขาที่เป็นสมาชิกหัวกะทิของกองทัพเหยี่ยวจะต้องเจอกับการตอบโต้ที่ไม่เคยเจอมาก่อน

“พวกเราเชื่อมือนาย ไม่มีปัญหาแน่นอน” หย่งชุนไท่มองเย่เทียนเฉินพลางกล่าว

“แต่ว่าผมคนนี้ไม่ชอบทำตามกฏข้อบังคับ ถ้าต้องเดินตามกำหนดการของพวกคุณ ใช้วิธนั้นดำนอนการ ผมว่าผมรู้สึกไม่พอใจ ถึงตอนนั้นจะกระทบกับความสามารถของผมนะครับ” เย่เทียนเฉินส่ายหัว

หย่งชุนไท่คิดครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเปิดปากกล่าวว่า “ถ้าเป็นเช่นนี้ ตอนกลางคืนการดำเนินการพาคุณหนูไปทำการซื้อขาย นายสามารถทำตามใจตัวเองได้เลย ฉันหวังว่านายสามารถพิจารณาถึงสิ่งสำคัญได้ สามารถพาคุณหนูสำเร็จภารกิจได้ และไม่ถูกคนต่างชาติพวกนี้ดูถูกเอานะ”

เย่เทียนเฉินย่อมรู้สึกได้ถึงความเชื่อมั่นที่หย่งชุนไท่มีต่อตนเอง ในสายตาของเขา หย่งชุนไท่เป็นหญิงชราที่ไม่เลวคนหนึ่ง เพียงแต่เขาคนนี้ไม่ชอบทำให้เรื่องมันเครียดจนเกินไป ยิ่งเรื่องที่ทำให้ผู้คนเครียดมากขึ้น เขาก็ยิ่งชอบผ่อนคลายมากขึ้น มีเพียงการผ่อนคลาย จึงจะทำให้คนใจเย็น คิดวิธีการที่ดียิ่งขึ้นออกมาได้ แสดงความสามารถที่แท้จริงออกมาได้

ชาติก่อน เย่เทียนเฉินมีความเคยชินอย่างหนึ่ง ทุกครั้งก่อนที่จะเจอกับศัตรูตัวฉกาจและมีการต่อสู้ถึงขั้นเป็นตาย เขาจะดื่มเหล้าบ้าง กินข้าวบ้าง ร้องเพลงบ้าง ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือหาสถานที่ที่ไม่มีร่องรอยของผู้คน ไม่ว่าจะเป็นภูเขาสูงก็ดี แม่น้ำก็ดี หรือกระทั่งสนามรบที่กลายเป็นซากปรักหักพัง ขอเพียงเงียบสงัด มีสถานที่สงบเงียบผืนหนึ่ง ก็ล้วนแต่เป็นตัวเลือกของเย่เทียนเฉิน เขาจะหาสถานที่เช่นนี้และไม่คิดอะไ นอนตามสบายอยู่บนพื้น รับรู้ถึงแดนสุขาวดีอันสุขสงบในส่วนลึกในใจ ทำให้เขาสามารถผ่อนคลายร่างกายและจิตใจอันเหนื่อยล้าจากการปกป้องเผ่าพันมนุษย์และการต่อสู้ตลอดเวลา

“ถ้าเป็นแบบนี้ จะฝืนใจยอมรับไปแล้วกัน เพียงแต่ว่าถ้าหากใครบางคนไม่ฟังคำแนะนำของผม มีแขนขาน้อยลงไปบ้าง หรือทำให้ภารกิจไม่สำเร็จล่ะก็ อย่ามาโทษผมก็แล้วกัน!” เย่เทียนเฉินตั้งใจมองไปยังหลิ่วหรูเหมยพลางกล่าว

“นาย…เจ้าคนชั่ว นายคิดว่านายเจ๋งนักรึไง คิดว่าดูเบาไม่ได้มากเรอะ? ฉันไม่เชื่อหรอกว่าถ้าไม่มีนาย ฉันจะทำภารกิจไม่สำเร็จ” หลิ่วหรูเหมยยู่ปากเล็กๆ อันน่ารัก เปิดปากกล่าวอย่างดื้นรั้น

“ตามใจเถอะ อย่างไรฉันก็มาเที่ยว ทำภารกิจไม่สำเร็จ สำหรับฉันไม่มีความหมายมากมายหรอก ถึงตอนนั้นใครบางคน อย่าร้องไห้ขี้มูกโป่งก็พอ…ใช่แล้ว ยังมีพวกนายสองคนอีก อย่าคิดว่าเป็นสมาชิกกองทัพเหยี่ยว แล้วจะคิดว่าตัวเองเจ๋งนะ ทหารรับจ้างของประเทศ M โดยเฉพาะผู้มีพลังพิเศษ แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ถึงตอนนั้นถูกอัดเหมือนหมู อย่ามาขอให้ฉันแก้แค้นแทนพวกนายก็แล้วกัน!”

เย่เทียนเฉินมองหลิ่วหรูมอง เจียงเหมิง และเฟยอวิ๋น กล่าวคำเหล่านี้จบก็ไม่สนใจสายตาที่ราวกับจะกินคนของพวกเขาทั้งสาม ทิ้งตัวลงบนที่นั่งของตน นอนหลับอย่างสบายอกสบายใจ

…………………………………………………………..

บทที่ 78 ขึ้นเครื่องบิน?
Ink Stone_Fantasy
สุดท้ายเย่เทียนเฉินก็ตัดสินใจไปยังประเทศ M ไม่ใช่ว่าเขาประนีประนอม และไม่ใช่ว่าถูกบีบบังคับ แต่เป็นเพราะเขารู้สึกว่าตนเองจำเป็นต้องไปประเทศmสักครั้งหนึ่ง บางทีที่นั่นอาจจะเกิดอะไรหลายๆ อย่างขึ้น บางทีที่นั่นอาจสามารถทำให้ขอบเขตพลังของตนเองก้าวหน้าหรือทะลวงไปได้อีกครั้ง

“คำไหนคำนั้น ช่วงที่ทำภารกิจที่ประเทศm นายต้องฟังฉัน ไม่อนุฐาตให้เคลื่อนไหวโดยพลการ” หลิ่วหรูเหมยมองเย่เทียนเฉิน กล่าวพลางยักคิ้ว

“ไม่ได้หรอก เรื่องของฉันฉันตัดสินใจเอง พวกเธอก็ทำเรื่องของพวกเธอไป ฉันจะไปเดินเล่นให้ทั่วๆ สักหน่อย” เย่เทียนเฉินที่ไม่ยอมลงให้แม้แต่น้อยกล่าวขึ้นทันที

“พวกเราไม่ได้ไปเที่ยวเล่นกันนะ แต่ไปแลกเปลี่ยนเอกสารลับ ฝั่งตรงข้ามมียอดฝีมือมากมาย ถ้าไม่ระวังพวกเราต้องตายกันหมด” หลิ่วหรูเหมยกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์

“ยอดฝีมือเยอะๆ ก็ดีน่ะสิ แบบนั้นถึงจะเร้าใจพอ ไม่งั้นก็ไม่สนุก” เย่เทียนเฉินหาวครั้งหนึ่งพลางกล่าว

หลิ่วหรูเหมยเห็นท่าทางเช่นนี้ของเย่เทียนเฉิน ไม่มีวินัยเลยสักนิด เหมือนคนที่มากจากกองทัพที่ไหนกัน เธอโกรธจนแทบทนไม่ไหว ตอนที่ชางหลางบอกเธอว่าครั้งนี้คนที่จะคุ้มครองเธอคือเย่เทียนเฉิน ตอนแรกหลิ่วหรูเหมยก็ต่อต้านเป็นอย่างมาก แม้ว่าเธอคาดเดาว่าเรื่องเมื่อปีนั้นเย่เทียนเฉินถูกผู้อื่นใส่ร้ายแต่ก็ไม่อยากเข้าไปพัวพันกับเย่เทียนเฉินอีก ถึงอย่างไรชื่อเสียงของทั้งคู่ก็ไม่ค่อยดีเพราะเรื่องเมื่อปีนั้น หากยังมีการคบค้าสมาคมกันอีก ก็ไม่แน่ว่าจะถูกผู้คนเล่าลือไปอย่างไร

แต่ว่า ชางหลางรับประกันอีกครั้ง บอกว่าเย่เทียนเฉินเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด การแลกเปลี่ยนเอกสารลับในครั้งนี้ เกี่ยวพันถึงการยกระดับศักยภาพทางการทหารของทั้งประเทศจีน กระทั่งมีผลต่อการพัฒนาในระยะยาว ดังนั้นจึงหวังว่าหลิ่วหรูเหมยจะสามารถปล่อยวางบุญคุณความแค้นส่วนตัวลงชั่วคราว ให้เย่เทียนเฉินคุ้มครองเธอไปทำการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ประเทศm

อีกทั้งช่วงนี้ หลังจากที่เย่เทียนเฉินกลับมาที่เมือง แม้ว่าหลิ่วหรูเหมยจะไม่ได้คบค้าสมาคมกับเย่เทียนเฉินหลายปีแล้ว แต่ว่าช่วงนี้ทั่วทั้งเมืองหลวงต่างก็มีหัวข้อสนทนาเกี่ยวกับเย่เทียนเฉิน เธอเองก็ได้ยินมาบ้างไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะเมื่อสักครู่นี้ที่เย่เทียนเฉินแลกหมัดกับหย่งชุนไท่ ถึงกับไม่เป็นรองเลยแม้แต่น้อย ยิ่งทำให้หลิ่วหรูเหมยประหลาดใจเป็นอย่างมาก สองปีนี้เย่เทียนเฉินไปเจออะไรมากันแน่ ทำมฝีมือถึงได้กลายเป็นแข็งแกร่งเช่นนี้ ช่างทำให้ผู้คนสงสัยเสียจริง

ดังเช่นที่ฉีหณูเสวี่ยรู้ ที่ตระกูลหลิ่วสามารถกลายเป็นตระกูลชั้นหนึ่งในเมืองหลวงได้นั้นไม่เหมือนกับตระกูลอื่นๆ ที่มีคนที่มิอาจดูเบาได้รับราชการอยู่ในแวดวงทหารหรือแวดวงการเมือง แต่คนตระกูลหลิ่วปรากฏนักวิทยาศาสตร์ที่มิอาจดูเบาได้ในทุกรุ่น บางทีคนจำนวนมากอาจไม่รู้เรื่องนี้ ต่างก็ไม่เคยได้ยินนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงมีแซ่หลิ่วมาก่อน นี่เป็นเพราะรัฐต้องการปกป้องตระกูลหลิ่วจึงแนะนำให้ไม่เผยแพร่ออกไป

นักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งมีความสำคัญต่อประเทศชาติอย่างไรเป็นสิ่งที่สามารถจินตนาการได้ ในช่วงสงครามโลก ประเทศmไม่ต้องการสิ่งใดนอกจากคน ต้องการเพียงมีนักวิทยาศาสตร์ที่มีความสามารถ นี่จึงทำให้ประเทศmกลายเป็นประเทศชั้นนำของโลก กลายเป็นประเทศมหาอำนาจที่แข็งแกร่ง มิฉะนั้นจะมีทุกวันนี้ที่ไหนกัน

ตระกูลหลิ่วทุกรุ่นล้สนแต่เกิดนักวิทยาศาสตร์ที่ไม่ธรรมดาขึ้นมา มีน้อยคนนักที่จะรู้ หลิ่วหรูเหมยเป็นบุคคลากรที่มีความสามารถทางด้ายวิทยาศาสตร์ระดับสูงของรุ่นที่อายุน้อบที่สุดของตระกูลหลิ่ว เข้าร่วร่วมในค้นคว้าและวิจัยเทคโนโลยีนิวเคลียร์ นี่ก็เป็นสาเหยุที่ว่าทำไมครั้งนี้หลิ่วหรูเหมยจึงสามารถไปดำเนินการแลกเปลี่ยนข้อมูลลับที่ประเทศmได้ กล่าวได้ว่าการคุ้มครองที่รัฐใต่อตระกูลหลิ่วเกินตระกูลที่มีภูมิหลังธรรมดาๆ ไปแล้ว และเป็นสาเหตุที่ตระกูลเก่าแก่ร่ำรวยที่รับข้อเท็จจริงนี้มากมายไม่กล้าหาเรื่องตระกูลหลิ่ว

“เอาล่ะ เอาล่ะ เครื่องจะขึ้นบินแล้ว พวกเราก็ไม่ควรกดดันจนเกินไป เชื่อว่าจะสามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัย” หย่งชุนไท่กล่าวด้วยรอยยิ้ม

เย่เทียนเฉินและหลิ่วหรูเหมยมองกันอย่างเหยียดหยามครั้งหนึ่ง แต่ละคนไปนั่งในตำแหน่งห่างกัน ไม่ยอมอยู่ด้วยกันเด็ดขาด

หลิ่วหรูเหมยไม่ได้ทำเพื่อตระกูลหลิ่ว แต่ทำเพื่อการอุทิศตนในหลายปีมานี้ของตระกูลหลิ่วที่มีต่อประเทศชาติ ความเพียรพยามยามในการวิจัยและพัฒนาในหลายปีมานี้มิอาจสูญเปล่าได้ และไม่อาจให้เย่เทียนเฉินคนนี้คุ้มคริงตนเองอย่างอยุติธรรมได้

ส่วนเย่เทียนเฉิน หากไม่ใช่เพราะคิดว่าเรื่องเมื่อปีนั้นไม่เกี่ยวข้องกับหลิ่วหรูเหมยจริงๆ ถ้าหากไม่ใช่เพราะอยากไปทดสอบความแข็งแกร่งของทหารรับจ้างและความสามารถของหน่วยพลังพิเศษเฉพาะกิจที่ประเทศmแล้วล่ะก็คงไม่ขึ้นมาบนเครื่องบินแน่

ตอนนี้เอง เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นเดินขึ้นมาข้างบน พวกเขาต่างก็มองเย่เทียนเฉินครู่หนึ่ง จากนั้นจึงแลกเปลี่ยนสายตากันเอง แล้วจึงเดินไปเบื้องหน้าหลิ่วหรูเหมยและหย่งชุนไท่ กล่าวอย่างเคารพว่า “คุณหนูหลิ่ว หย่งชุนไท่!”

“อืม คนก็มาถึงหมดแล้ว ออกเดินทางได้!” หย่งชุนไท่เปิดปากกล่าว

เจียงเหมืองและอวิ๋นเฟยพยักหน้า เดินไปนั่งข้างเย่เทียเนฉิน แม้จะรู้ว่าฝีมือของเย่เทียนเฉินแข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งจนมิอาจหยั่งได้ แต่ว่าในสายตาของเจียงเหมิงและเฟยอวิ๋น พวกเขายังมีฝีมือการต่อสู้มากกว่าเย่เทียนเฉิน กระทั่งลงมือเต็มที่จะทำให้เขาแพ้ได้ อีกอย่างหัวหน้าเหยียนหลงมีคำสั่งมาแล้วว่า ถ้ามีโอกาสให้สั่งสอนเย่เทียนเฉินสักหน่อย

“สวัสดีครับ ผมคือเจียงเหมิงแห่งกองทัพเหยี่ยว!” เจียงเหมิองกล่าวกับเย่เทียนเฉินยิ้มๆ

“ดี ผมนอนก่อนนะ อรุนสวัส”

เย่เทียนเฉินหาวครั้วหนึ่ง เตรียมจะนอนหลับบนเก้าอี้ ทำให้เจียงเหมิงรู้สึกทำอะไรไม่ถูก ต่อให้ไม่พอใจไอ้เด็กนี่อยู่บ้าง อย่างน้อยตอนนี้ก็ไม่อาจทำให้ความสัมพันธ์ไม่ลงรอยกันได้ จะอย่างไรทุกคนต่างก็ไปปฏิบัตรภารกิจ ไหนเลยจะรู้ว่าเย่เทียนเฉินคนนี้ไม่แปลกใจเลยสักนิด

ถ้าหากเป็นคนที่รู้ความสักหน่อย ได้ยินคำว่ากองทัพเหยี่ยว ต่างก็ต้องตกใจเป็นอย่างมาก กระทั่งปรากฏแววเคารพนับถือออกมา แต่เย่เทียนเฉินกลับไม่รู้ร้อนรู้หนาว ทำให้ในใจของเจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นไม่พอใจอย่างยิ่ง

“เย่เทียนเฉิน ถ้ามีโอกาสพวกเรามาแลกเปลี่ยนฝีมือกันสักหน่อยเป็นไง?” เฟยอวิ๋นตรงไปตรงมายิ่งกว่า เดิมทีก็อารมณ์ไม่ดีอยู่แล้ว พลันจ้องเย่เทียนเฉินพลางกล่าว

เมื่อได้ยินคำพูดของเฟยอวิ๋น เย่เทียนเฉินก็ลืมตามองเฟยอวิ๋นครู่หนึ่ง ความจริงแล้วตอนที่เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นเข้ามาในเฮลิคอปเตอร์ เขาก็รู้สึกได้ว่าสองคนนี้แข็งแกร่งมาก บนร่างมีการผันแปรของพลังภายในอันแข็งแกร่งเช่นเดียวกัน จะต้องเป็นยอดฝีมือที่เคยฝึกวิชาของพรรควรยุทธโบราณแน่นอน ดูแล้วกองทัพเหยี่ยวเป็นกองกำลังรายบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดในจีน สมคำร่ำลือจริงๆ

เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นทั้งสองแม้ว่าไม่ได้แข็งแกร่งเท่ากับหย่งชุนไท่ แต่ก๋ไม่ได้อ่อนแอ ทั้งสองคนต่างก็ยังอายุน้อย อายุไม่เกินสามสิบปีเท่านั้น สามารถมีฝีมือเช่นนี้ ในทั่วทั้งแผ่นดินจีนก็เพียงพอที่จะภาคภูมิใจ ดังนั้นเฟยอวิ๋นเห็นเย่เทียนเฉินราวกับไม่ให้ความเคารพต่อกองทัพเหยี่ยว ในใจก็ไม่พอใจมาก

“แลกเปลี่ยนฝีมือกันเกรงว่าคุณจะทำลายชื่อเสียงของกองทัพเหยี่ยวให้เหยียนหลงหัวหน้าของพวกคุณมาเองเถอะ!” เย่เทียนเฉินมองเฟยอวิ๋นครู่หนึ่ง ตั้งใตพูดยั่วยุออกไป

“แก…ถ้าแกรนหาที่ตาย พวกเราสองคนที่จัดให้แกได้!” เฟยอวิ๋นโกรธจนทนไม่ไหว หากไม่ใช่เจียงเหมิงขวางเขาไว้ เกรงว่าเขาคงลงมือกับเย่เทียนเฉินไปแล้ว

“อย่าเอะอะก็พูดคำว่าตาย อย่าเอะอะก็คิดว่ากองทัพเหยี่ยวเจ๋งสิ ระเบิดพลังที่เก็บไว้ออกมา ถึงจะเป็นการพิสูจน์ที่ดีที่สุด” เย่เทียนเฉินกล่าวอย่างไม่แยแส

ความจริงแล้วไม่ใช่ว่าเย่เทียนเฉินโอหัง และไม่ใช่ว่าเขาดูถูกกองทัพเหยี่ยว แต่เป็นเพราะเขาสามารถรู้สึกได้ถึงกระแสความทะนงตนองเจียงเหมิงและเฟยอวิ๋น ภารกิจการไปแลกเปลี่ยนเอกสารลับที่ประเทศmในครั้งนี้ หากกล่าวอย่างไม่หลอกตัวเอง ทหารรับจ้างของทางฝั่งประเทศmแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ในนั้นไม่ขาดแคลนยอดฝีมือประเภทจ้าวแห่งความรุนแรง แล้วยังมีปิศาจหน่วยพลังพิเศษเฉพาะกิจที่มิอาจหยั่งถึงอีกด้วย จินตนาการได้เลยว่า ทั่วทั้งโลกมีเพียงประเทศmที่ก่อตั้งหน่วยพลังพิเศษเฉพาะกิจขึ้นมา แข็งแกร่งขนาดไหน กระทั่งเย่เทียนเฉินก็ไม่กล้าลำพองใจ

ถ้าสมมติว่าเจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นไปประเทศmพร้อมความทะนงในฐานะสมาชิกอันเก่งกาจของกองทัพเหยี่ยว เมื่อเจอกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง พวกเขาจะต้องพบกับหายนะเป็นแน่ กระทั่งอาจไม่มีชีวิตรอดกลับประเทศ

แม้ว่าเย่เทียนเฉินไม่อยากยุ่งเรื่องพวกนี้ แต่ทุกคนก็เป็นลูกหลานชาวจีนเหมือนกัน ไม่อยากให้เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นเอาชีวิตไปทั้งที่ประเทศm และทำให้ประเทศจีนขายหน้า

“ดี เย่เทียนเฉิน ฉันจะทำให้แกรู้ถึงความร้ายกาจของกองทัพเหนี่ยวแน่นอน” เฟยอวิ๋นโกรธจนกำหมัดแน่นพลางคำรามเสียงต่ำ

“คุณน่ะไม่ไหวหรอก ให้เหยียนหลงมาบางทีอาจจะสนุกบ้างก็ได้”

“เฮอะ แกโอหังเกินไปแล้ว”

“บิดาจะโอหังขนาดนี้ แกจะเห่าใส่ฉันรึไง? เย่เทียนเฉินกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์”

เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นต่างก็ถูกเย่เทียนเฉินทำให้โกรธจนทนไม่ไหว เดินทีพอขึ้นเครื่อง เจียงเหมิงพูดออกมาว่าพวกเขาเป็นสมาชิกหัวกะทิของกองทัพเหยี่ยว คิดว่าจะทำให้เย่เทียนเฉินเกิดความหวาดกลัว ไหนเลยจะรู้ว่าเย่เทียนเฉินจะไม่เป็นไปตามที่คิด ดูราวกับไม่เห็นกองทัพเหยี่ยวอยู่ในสายตาโดยสิ้นเชิง จะไม่ให้พวกเขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟได้อย่างไร

“พวกคุณสามคนเลิกทะเลาะกันได้แล้ว หลังจากถึงประเทศm ยังต้องสามัคคัเป็นหนึ่งเดียวกัน มีเรื่องอะไรกลับประเทศไปค่อยว่ากันเถอะ!” หย่งชุนไท่กลัวว่าเย่เทียนเฉินและเจียงเหมิงกับเฟยอวิ๋นที่ทะเลาะกันจนไม่อาจจัดการได้ จึงรีบพูดประนีประนอม

“ฝากไว้ก่อนเถอะ ฉันจะให้แกได้รับรู้ถึงรสชาติของหมัด” เฟยอวิ๋นมองเย่เทียนเฉินอย่างโหดเหี้ยมพลางกล่าว

“สาวน้อยถ้าไม่ยอมรับ ลงเครื่องไปพวกเราก็สู้สักสักหน่อยไหม?” เย่เทียนเฉินไม่ไว้หน้าเฟยอวิ๋นเลยแม้แต่น้อย

เฟยอวิ๋นโกรธจนทนไม่ไหว แต่กลับถูกเจียงเหมิงลากไปให้นั่งลง เจียงเหมิงยังคงสุขุมอยู่บ้าง เฟยอวิ๋นพูดน้อง แต่ความทะนงตนฝังลึกไปถึงกระดูด กล่าวได้ว่าสมาชิกกองทัพเหยี่ยวทุกคน ต่างก็มีความทะนงตนและความมั่นใจในตัวเงอยู่ เนื่องจากกองทัพเหยี่ยวเป็นกองกำลังรายบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดในจีน พวกเขาสามารถเข้าไปได้ ย่อมเป็นหัวกะทิหนึ่งในหมื่น ควรค่าที่จะทะนงตน ทำให้ผู้คนรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจจนลืมไปว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนมียอดคน

เย่เทียนเฉินกล่าวจบ ก็ไม่สนใจเจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นอีก และไม่สนใจใยดีหลิ่วหรูเหมยสาวงามเกรดพรีเมี่ยมคนนี้เลย นอนพิงอยู่บนด้านหนึ่งของโซฟาและหลับไป มาถึงสนามบินนานาชาติตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า ตอนนี้ความง่วงเข้าจู่โจมเสียแล้ว

ไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหน ตอนที่เย่เทียนเฉินลืมตาขึ้น ข้างนอกก็มืดไปนานแล้ว มองไปยังเจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นที่อยู่ข้างๆ ต่างก็นั่งตัวตรงอยู่ในตำแหน่ง เป็นดั่งทหารพลปืนตัวอย่าง ส่วนหลิ่วหรูเหมยและหย่งชุนไท่กำลังดื่มกาแฟอยู่ทางด้านหนึ่ง สิ่งอำนวยความสะดวงของเฮลิคอปเตอร์ลำนี้ไม่น้อยเลย ยังมีโต๊ะอาหารเล็กๆ อยู่ภายในอีกด้วย

“ฉันหิวแล้ว มีอะไรกินไหม?” นี่คือประโยคแรกของเย่เทียนเฉินตั้งแต่ลืมตาขึ้นมา

“นายเป็นหมูรึไง นอนไปเต็มๆ สิบกว่าชั่วโมง ไม่นึกว่าจะยังรู้สึกหิวด้วย ดูแล้วนายยังมีความรู้สึกอยู่สินะ” หลิ่วหรูเหมยมองเย่เทียนเฉินอย่างเหยียดหยามพลางกล่าว

“คำพูดไร้สาระก็พูดน้อยๆ หน่อยเถอะ เธอยังต้องการการคุ้มครองของฉันอยู่รึเปล่า? ถ้าไม่ต้องการ ฉันสามารถลงเครื่องระหว่างทางได้” เย่เทียนนเฉินกล่าวกับหลิ่วหรูเหมยอย่างไม่พอใจ

“ลงเครื่อง? ตอนนี้เฮลิคอปเตอร์ของพวกเราอยู่เหนือพื้นหลายหมื่นเมตร ถ้านายอยากตาย ก็กระโดดลงไปได้เลย” หลิ่วหรูเหมยมองเย่เทียนเฉินอย่างอับจนคำพูด

เย่เทียนเฉินมองข้างนอก ฟ้ามือไปแล้วโดยสิ้นเชิง การไหลเวียนของอากาศอย่างรุนแรงปะทะเข้ามา เป็นเวลากลางดึกแล้ว ทั้งยังอยู่กลางอากาศสูง ข้างนอกต้องเย็นลึกถึงกระดูกแน่นอน อากาศกระทั่งสามารถตัดแผ่นเหล็กได้เลย ทันใดนั้น เย่เทียนเฉินคิดถึงมุขตลกร้ายมุขหนึ่ง จึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวด้วยร้อยยิ้มเจ้าเล่ห์ว่า

“จากตำแหน่งที่เราอยู่ตอนนี้ จะมีคนขึ้นเครื่องบิน[1]ไหมนะ?”

……………………………………………….

[1] คำแสลงหมายถึงช่วยตัวเอง

บทที่ 77 พระเจ้า เป็นหลิ่วหรูเหมยไปได้!
Ink Stone_Fantasy
ผู้หญิงที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเย่เทียนเฉิน สวยสุดยอด สวยจนถึงขั้นมิอาจบรรยายได้ สวยล่มบ้านล่มเมือง มัจฉาจมวารีปักษีตกนภา ใช้คำเหล่านี้มาบรรยายเธอก็ล้วนแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง

จากความคิดเห็นอันยอดเยี่ยมของเย่เทียนเฉินที่มีต่อผู้หญิงคนนี้ ไม่อาจไม่ยอมรับความสวยงามของเธอ ดวงตากระจ่างใส ร่างกายไร้ไขมันส่วนเกิน คิ้วงามดั่งใบหลิว เอวคอดงูน้ำ ดั่งนางฟ้าลงจากสวรรค์ บริสุทธิ์ดั่งหยกงาม สดใสจนผู้คนหลงใหล

พัดในมือเจ้าถือไว้ในหัตถ์

คอยโบกพัดดูประหนึ่งกล้วยไม้ขาว

สายรัดหยกคล้องเอวดูพร่างพราว

อาภรณ์เจ้าดุจว่ามาจากสวรรค์

ยลนวลนางพรางคิดให้ฉงน

หรืออัปสรร่วงหล่นมาจากสรวงนั่น

ยลปรางนวลแย้มสรวลให้งงงัน

งามกว่าดาวทั้งสวรรค์ก็มิปาน

“ฉันกันเธอเราสองคนไม่มีอะไรต้องพูดกัน ฉันเย่เทียนเฉินไม่ใช่คนยิ่งใหญ่อะไร ขอโทษที ฉันลาออก!” เย่เทียนเฉินกล่าวจบก็เดินตรงไปยังด้านนอกของเครื่องบิน

“หยุดนะ เย่เทียนเฉิน นายมันขี้ขลาด เรื่องเมื่อปีนั้น ฉันก็ไม่ได้ตั้งใจ และไม่อยากให้นายได้รับความอัปยศเช่นนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะฉันไปขอความเมตตาจากพ่อกับแม่ นายตายไปนานแล้ว”

ขอบคุณสำหรับความเมตตาของเธอ งั้นพวกฉันหายกัน บายบาย!”

เย่เทียนเฉินยังคงไม่อยากมองผู้หญิงคนนี้ให้มากขึ้นแม้เพียงสักนาที แม้ว่าผู้หญิงคนนี้จะสวยจนทำให้ผู้คนต้องหายใจติดขัด สวยจนกระทั่งำหรับเขาในชาติก่อนที่เป็นชายที่ขึ้นเตียงหับหญิงงามนับไม่ถ้วน ก็ต้องชมเชย และเขายังคงไม่อยากจะมีความสัมพันธ์ใดๆ ก็ตามกับผู้หญิงคนนี้ ความอัปยศที่ย่ำแย่ที่สุดมาจากเธอ เรื่องเมื่อปีนั้นยังปรากฏชัดเจนในสมอง ต่อให้เย่เทียนเฉินในตอนนี้ไม่ใช่เย่เทียนเฉินเมื่อปีนั้น แต่เขาที่ได้มาเกิดใหม่อีกครั้ง ถือว่าเรื่องพวกนี้ทั้งหมดกลายเป็นเรื่องของตนเองไปนานแล้ว ครอบครัวของตน คนในครอบครัวของตน เขาปกป้องด้วยชีวิต

ตอนที่เย่เทียนเฉินเพิ่งจะเดินไปถึงประตูของเฮลิคอปเตอร์ เงาร่างคนหลังค่อมคนหนึ่งก็โผล่ออกมา สะบัดมือโจมตีไปยังลำคอของเย่เทียนเฉิน การเคลื่อนไหวรวดเร็วเป็นอย่างมาก เร็วดั่งสายฟ้า พลังก็รุนแรงมาก

เมื่อรู้สึกถึงไอสังหารอันคมกริบสายหนึ่ง นัยน์ตาของเย่เทียนเฉินก็เย็นวาบ ยืนอยู่ตรงประตูไม่ขยับเขยื้อน รอจนกระบวนท่าโจมตีกล่องเสียงนั้นมาถึงก็พลิกตัวทั้งตัว ปล่อยหมัดออกไปหนึ่งหมัก

ตู้ม!

เสียงหนึ่งดังสนั่น เย่เทียนเฉินรู้สึกว่าหมัดของตนเองราวกับต่อยลงบนแผ่นเหล็กก็มิปาน นี่เป็นการแลกหมัดครั้งแรกตั้งแต่ที่เขาได้มาเกิดใหม่ในเมือง มีความรู้สึกว่าคนที่โจมตีเขาอย่างกระทันหันคนนี้แข็งแกร่งมาก

เงาร่างนั้นที่ถูกเย่เทียนเฉินปล่อยหมัดโจมตีออกไป ถอยหลังไปสองก้าวจึงจะหยุดอย่างมั่นคง ใช้ดวงตาที่ประหลาดใจเป็นอย่างมากมองไปยังเย่เทียนเฉิน เธอเองก็คิดไม่ถึงเลยว่า ฝีมือของชายวัยรุ่นคนนี้จะร้ายกาจขนาดนี้ เมื่อคืนชางหลางบอกว่าจะมีวัยรุ่นคนหนึ่งที่แข็งแกร่งมากมาคุ้มครองคุณหนูไปยังประเทศmเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลลับ ตอนที่ชางหลางบอกว่าวัยรุ่นคนนี้เพิ่งจะอายุยี่สิบปี เธอยังพูดกับชางหลางอย่างไม่สะทกสะท้านไปหลายประโยค วันนี้ดูท่าแล้ว เด็กที่ชางหลางส่งมาคนนี้ ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเขาราวกับมีเรื่องบางอย่างกับคุณหนูอย่างไรอย่างนั้น

“อายุน้อยอยู่แต่ฝีมือไม่เลวเลย เป็นคนของสำนักไหนกัน?” หญิงชรายืนที่ลอบโจมตีเย่เทียนเฉินไม่สำเร็จอยู่ตรงข้ามกับเย่เทียนเฉิน กล่าวถามด้วยรอยยิ้ม

เย่เทียนเฉินเองก็รู้สึกประหลาดใจ คนที่ลอบโจมตีเขาถึงกับเป็นหญิงชราคนหนึ่ง ดูๆ แล้วอายุอย่างน้อยก็ประมาณหกสิบกว่าปี ร่างกายงองุ้มเล็กน้อย แต่กลับมีฝีมือที่ทำให้ผู้คนต้องประหลาดใจ อีกทั้งหมัดเมื่อสักครู่นี้ต่อยลงบนกลางฝ่ามือของหญิงชรา เย่เทียนเฉินรู้สึกถึงพลังภายในอันแข็งแกร่งที่แอบซ่อนอยู่ ต่อให้ตอนนี้หญิงชราคนนี้ยืนอยู่ด้านหน้าตนโดยไม่ขยับเขยื้อน กระทั่งลมหายใจก็เหมือนคนปกติ แต่เย่เทียนเฉินกลับรู้สึกได้ถึงพลังลมปราณอันแข็งแกร่งที่ไหลเวียนอยู่บนร่างกายของเธอ

“ดูแล้วคุณคงเป็นยอดฝีมือของพรรควรยุทธโบราณ อย่าขวางผมเลย ผมไม่ทำร้ายคนแก่” เย่เทียนเฉินกล่าวเสียงเรียบ

“เย่เทียนเฉิน ท่านนี้คือหย่งชุนไท่ หัวหน้าพรรคคนที่เก้าสิบสองของหมัดหย่งชุน”

“มียอมฝีมือคุ้มครองเธอแล้วนี่ ก็ยิ่งไม่ต้องการฉันแล้วล่ะ ฉันกับเธอไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกัน ลาก่อน!”

“เด็กน้อยเอ๋ย ไม่ว่าระหว่างนายกับคุณหนูจะมีความเข้าใจผิดอะไรกัน ฉันก็หวังว่าจะมองเรื่องของประเทศชาติเป็นสำคัญ วางบุญคุณความแค้นส่วนตัวลงก่อน รอให้สำเร็จภารกิจค่อยแก้ไขกัน ได้ไหม?” หย่งชุนไท่กล่าวกับเย่เทียนเฉินด้วยรอยยิ้ม

เย่เทียนเฉินมองหย่งชุนไท่ครู่หนึ่ง เขาเป็นคนที่ค่อนข้างให้ความเคารพผู้อาวุโส เพียงแต่ผู้หญิงตรงหน้าคนนี้ ทำให้เขาคบค้าสมาคมด้วยไม่ลงจริงๆ ความอัปยศที่สุดในชีวิตมาจากเธอ ตอนนี้ถึงกับจะให้ตนเองไปคุ้มครองเธอ มิน่าล่ะเมื่อวานไม่ว่าจะอย่างไรชางหลางก็ไม่ยอมบอกว่าคนที่ต้องคุ้มครองเป็นใคร ที่แท้ก็คือหลิ่วหรูเหมย นี่จะให้เย่เทียนเฉินไปต่อได้อย่างไร

“ขอโทษด้วยครับ ผมไม่สนใจเรื่องสำคัญของประเทศชาติ” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางยักไหล่

ตอนนี้เอง หลิ่วหรูเหมยเดินมาเบื้องหน้าเย่เทียนเฉิน คลายคิ้วอันงดงามของตนเองพลางขยับริมฝีปากอันเซ็กซี่ช้าๆ ร่างกายสูงร้อยเจ็ดสิบหกเซ็นติเมตรที่มีส่วนเว้าโค้ง เมื่อสวมใส่รองเท้าส้นสูงสีแดงดูเซ็กซี่คู่หนึ่ง โชว์ข้อเท้างามขาวนวล ก็สูงพอๆ กับเย่เทียนเฉินพอดี

“นายคิดว่าฉันอยากมางั้นหรือ? นายคิดว่าฉันไม่อยากอยู่บ้านว่างๆ เสพสุขกับชีวิตงั้นหรือ? ครั้งนี้เกี่ยวพันถึงความปลอดภัยของจีนทั้งประเทศ เกี่ยวพันถึงการยะระดับศักยภาพทางการทหารของจียทั้งหมด เกือบร้อยปีมานี้ ประเทศจีนของเราพัฒนาขึ้นท่ามกลางการกดขี่รังแก ได้รับความทุกข์ยากลำบากมาเท่าไร ชนรุ่นก่อนสละชีพไปมากน้อยเท่าไร นายรู้บ้างรึเปล่า?” หลิ่วหรูเหมยจ้องเย่เทียนเฉินเขม็ง ดูเหมือนจะใช้สัจธรรมเรื่องชนชาติมากล่อมเกลาเย่เทียนเฉิน

“นี่เป็นเรื่องของพวกเธอ ไม่เกี่ยวกับฉัน ฉันบอกแล้ว ฉันใช่คนยิ่งใหญ่อะไร”

ถูกผู้หญิงคนหนึ่งสั่งสอน ในใจเย่เทียนเฉินรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเป็นผู้หญิงคนนี้ที่พูดราวกับว่าเขาไม่มีความรักในชนชาติอย่างไรอย่างนั้น ต้องทรายว่าในชาติก่อน เผ่าพันธุ์มนุษย์อ่อนแอ สัตว์อสูรกลายพันธุ์อาละวาดไปทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นซอมบี้หรือสัตว์ประหลาด กระทั่งผู้บำเพ็ญตบะ ต่างก็ปรากฏตัวออกมาไม่น้อย ที่นั้นไม่มีคุณธรรมในเรื่องชาติพันธุ์อะไร และยิ่งไม่มีปัญหาระหว่างประเทศ แต่เป็นปัญหาเรื่องความเป็นความเป็นความตายของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เย่เทียนเฉินที่ในชาติก่อนเป็นผู้มีพลังพิเศษระดับพระเจ้าก็ได้ปกป้องความปลอดภัยของเผ่าพันธุ์มนุษย์ มิอาจนำมาเทียบได้กับคุณธรรมเรื่องชาติพันธุ์ระหว่างประเทศได้โดยเด็ดขาด

“นาย…เย่เทียนเฉิน เรื่องเมื่อปีนั้นฉันก็ไม่ได้สืบสวนต่อแล้ว ทำไมนายถึงยังพะวงใจอยู่ตลอดด้วย อีกอย่างเรื่องนี้มีจุดน่าสงสัยมากมาย หลายปีมาน้ฉันทำการค้นหามาตลอด ค้นหาคนร้ายที่ใส่ร้ายนายกับฉัน…” หลิ่วหรูเหมยมองเย่เทียนเฉินอย่างโหดเหี้ยมพลางกล่าว

ได้ยินประโยคนี้ของหลิ่วหรูเหมย เย่เทียนเฉินก็ชะงักไปชั่วครู่ เขาไม่ใช่คนที่ไม่เข้าใจหลักการเหตุผล เพียงแต่ไม่อยากเกี่ยวกับกับหลิ่วหรูเหมยให้มากมาย จะว่าอย่างไรดี ผู้หญิงคนนี้ที่เคยนำความอัปยศมาสู่เขา ผู้หญิงที่เคยทำให้ตระกูลเย่มิอาจเงยหน้ามองผู้คนในเมืองหลวง เขาไม่อยากมีความสัมพันธ์อะไรกับเธออีกต่อไปแล้วจริงๆ

แต่ว่า คำพูดสุดท้ายของหลิ่วหรูเหมย พูดถึงจุดสำคัญ เมื่อคืนหลังจากที่เย่เทียนเฉินได้ยินการวิพากษ์วิจารณ์ของเย่เฉี่ยนเหวิน ก็รู้สึกว่าเรื่องที่ตนเองแอบดูหลิ่วหรูเหมยอาบน้ำเมื่อปีนั้นมีลับลมคมใน มีจุดน่าสงสัยมากมาย เหมือนกับถูกคนใส่ร้ายจริงๆ หลิ่วหรูเหมยถุงกับตรวจสอบเรื่องเช่นนี้ บางทีวันนั้นที่ถูกเหยียดหยามที่ตระกูลหลิ่ว อาจจะไม่ใช่ความตั้งใจของเธอจริงๆ ก็เป็นได้

“เมื่อปีนั้นไม่ใช่ฉันที่ให้คุณปู่ไปกดดันตระกูลเย่ของนาย อีกอย่างถ้าหากไม่ใช่ว่าฉันขอความเมตตาจากคุณปู่ล่ะก็ นายคงตายไปแล้ว ฉันจำได้ว่าวันนั้นหลังจากที่นายจากไป ฉันยังกลับไม่ถึงบ้าน เรื่องที่นายเข้ามาในห้องอาบน้ำของฉัน ก็ถูกคนอื่นบอกกับที่บ้านแล้ว นายคิดว่ามีแต่นายที่ได้รับความอัปยศหรือไง? ชื่อเสียงของผู้หญิงอย่างฉันไม่ต้องการแล้วหรือ?” หลิ่วหรูเหมยกล่าว ดวงตาอันงดงามของเธอแฝงไปด้วยหยาดน้ำตา

เย่เทียนเฉินมองหลิ่วหรูเหมยครู่หนึ่ง แม้ว่าจะอยากอยู่ให้ไกลจากผู้หญิงคนนี้ แต่ว่าเธอพูดด้วยความจริงใจ พูดอย่างมีเหตุผล โดยเฉพาะเมื่อเห็นท่าทางน้ำตาคลอของเธอ ทำให้รู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง ผู้ชายคนนี้ก็เป็นเช่นนี้ จะมองผู้หญิงออกได้ที่ไหนกัน โดยเฉพาะผู้หญิงที่สวยจนทำให้ลมหายใจสะดุด ใครก็ไม่อาจเห็นท่าทางร้องไห้น้ำตาไหลของเธอได้

หลายปีมานี้ หลังจากที่ระหว่างเย่เทียนเฉินและหลิ่วหรูเหมยเกิดเรื่องนั้นขึ้น เย่เทียนเฉินก็กลายเป็นตัวตลกของทั่วทั้งเมืองหลวง และกลายเป็นเศษสวะและลูกหลานไม่เอาไหนที่มีชื่อเสียง นำมาซึ่งความอัปยศที่ไม่อาจลบล้างแก่ตระกูลเย่ ส่วนหลิ่วหณุเหมย หญิงงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวงคนนี้ ก็ได้รับเสียงซุบซิบนินทามากมาย เดิมทีผู้ชายที่ตามจีบเธอนับอย่างไรก็นับไม่หมด ตั้งแต่เรื่องนั้นเกิดขึ้น คนเหล่านี้ก็ตีตัวออกห่าง ต่อให้คิดอยากจะใกล้ชิดอีกครั้ง ก็ไม่กล้าเข้าใกล้ คำพูดของคนช่างน่ากลัวอย่างแท้จริง บางครั้งการซุบซิบนินทายังน่ากลัวเยิ่งกว่าการใช้มีดฆ่าคนเสียอีก

“งั้นเธอตรวจสอบถึงไหนแล้ว?” เย่เทียนเฉินกล่าวมถามออกมาทันที

เห็นว่าในที่สุดเย่เทียนเฉินก็ไม่จากไป หลิ่วหรูเหมยก็มีสีหน้าอ่อนโยนขึ้นมา ถอนหายใจครั้งหนึ่งพลางกล่าวว่า “ตอนนี้เพียงแค่สงสัย ยังไม่มีหลักฐานที่เป็นรูปธรรม ฉันรู้สึกว่านายกับฉันสองคน ต่างก็ถูกผู้อื่นใช้เป็นหมาก ถูกคนอื่นวางแผน ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมคนอื่นถึงต้องการวางแผนทำร้ายเราสองคน ก็ยังไม่รู้”

“เพิ่งเคยเจอเธอตรวจสอบมานานขนาดนี้ ยังตรวจสบไม่พบอะไรเลยสักอย่าง ไม่รู้ว่าเธอไม่เต็มที่ หรือเป็นคนของเธอหลิ่วหรูเหมยที่ไม่มีความสามารถ” เย่เทียนเฉินกล่าวอย่างอับจนคำพูด

“นาย…ฉันดีกว่านายแล้วกัน ผู้ชายตัวโตๆ คนหนึ่ง สมงสมองไม่มีเลยสักนิด ถูกคนใส่ร้ายก็ไม่รู้ แล้วยังมาเล่นตัวกับฉันอีก ฉันไม่ได้สอบสวนเรื่องที่นายแอบดูฉันอาบน้ำก็ไม่เลวแล้ว” หลิ่วหรูเหมยคำรามใส่เย่เทียนเฉินอย่างไม่สบอารมณ์

“ชิ ใครอยากมองกัน ไม่ใช่ว่าก็เหมือนกันหมดรึไง? แล้วก็ไม่เห็นว่าก้นของเธอจะใหญ่กว่าผู้หญิงอื่นสักเท่าไรเลย เย่เทียนเฉินกล่าวอย่างไม่พอใจ”

กล่าวตามจริงแล้ว ระหว่างเย่เทียนเฉินและหลิ่วหรูเหมยไม่ได้มีความขัดแย้งอะไรกันใหญ่โต เพียงแต่เมื่อปีนั้นเย่เทียนเฉินมองหลิ่วหรูเหมยอาบน้ำโดยไม่ตั้งใจ จึงเห็นร่างเปลือยกายของเธอ นี่จึงทำให้เมืองหลวงเกิดความครึกโครมและเกิดเรื่องขึ้นมาหลายเรื่อง อีกอย่างหากมองจากตอนนี้ พวกเขาทั้งสองคนเป็นไปได้มากว่าจะถูกคนใส่ร้าย มีคนใช้แผนยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ใช้กลอุบายกับพวกเขา เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นใคร และทำอย่างนี้ทำไม

“นาย เย่เทียนเฉินไอ้คนลามก ฉันไม่จบกับนายแน่”

หลิ่วหรูเหมยอายจนหน้าแดง หยิกแขนเย่เทียนเฉินอย่างรุนแรง คนคนนี้ถึงกับพูดถึงขนาดก้นของเธอตรงๆ นี่ทำให้เธออายมากเลยนะ

“หลังจากที่สำเร็จภารกิจนี้แล้ว พวกเราตระกูลหลิ่วก็เตรียมจะตรวจสอบเรื่องนี้ให้ชัดเจน แม้ว่าตระกูลหลิ่วจะอยู่เงียบๆ มาตลอด แต่ก็ใช่ว่าใครก็สามารถมารังแกได้ โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวพันถึงชื่อเสียงของคุณหนู ส่วนนาย อยากจะตรวจสอบให้ชัดเจนเพื่อคืนความถูกต้องให้ตัวเองหรือไม่ ก็แล้วแต่เถอะ!” ในตอนนี้เองหย่งชุนไท่ก็เปิดปากกล่าว

“ยายแก่ คำพูดนี้ของคุณผมฟังไม่เข้าหูจริงๆ หมายความว่าไง? มีแต่คุณหนูตระกูลคุณที่มีชื่อเสียงมีเกียรติ์มีศักดิ์ศรี ผมเย่เทียนเฉินไม่มีมีรึไง? ดี ผมจะไปประเทศ M เป็นเพื่อนพวกคุณสักครั้ง หลังจากกลับมาจะจับคนร้ายนั่น จะดูแลมันเป็นอย่างดี!” เย่เทียนเฉินกล่าวอย่างไม่พอใจ

……………………………………………………..

บทที่ 76 คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเธอ?
Ink Stone_Fantasy
“แม่ ผมไปต่างประเทศ ไปเที่ยวที่ปะเทศmนะครับ ไม่ต้องเป็นห่วง กลับมาจะเอาของขวัญมาฝากแม่นะครับ” เย่เทียนเฉินนำกระดาษโน๊ตที่เขียนคำเหล่านี้แปะไว้ที่ประตูห้องนอนของหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่

“เฉี่ยนเหวิน อย่าเอาแต่ขลุกอยู่กับยัยผู้หญิงคนนั้นทั้งวัน ตั้งใจเรียนให้ดี อนาคตจะได้ก้าวไกล ส่วนเรื่องความรักที่โรงเรียนของน้อง พี่ชายตรวจสอบอย่างใกล้ชิด ระวังไว้ล่ะพี่จะฟ้องแม่ ฮ่าๆๆๆ…” กระดาษโน๊ตแผ่นนี้ ติดไว้ที่ประตูห้องนอนของเย่เฉี่ยนเหวิน เย่เทียนเฉินจากมาด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

ตอนที่เย่เทียนเฉินถือถังน้ำ ในมือถือกระดาษโน๊ตแผ่นที่เหลือเดินไปยังประตูห้องนอนของฉีหรูเสวี่ย เขาก็ยิ้มจนหุบไม่ลง ก่อนจะไปต่างประเทศ นี่คือการแก้แค้นฉีหรูเสวี่ยที่ทำให้ตนต้องท้องเสียทั้งวันทั้งคืน

เขานำถังน้ำไปวางไว้เหนือประตูห้องที่ฉีหรูเสวี่ยอาศัยอยู่ ขอเพียงฉีหรูเสวี่ยเปิดประตูออกมา ก็จะถูกน้ำจนเปียกเป็นลูกหมาตกน้ำ ในขณะเดียวกันก็นำกระดาษน๊ตนั้นแปะไว้ที่ประตูห้องของเธอ เนื้อหาข้างบนเรียบง่ายมาก “ฉีหรูเสวี่ย ลูกหมาตกน้ำ รู้ไว้ซะว่าพี่ชายสุดหล่อคนนี้ก็ไม่ได้รังแกง่ายๆ…”

นอกจากเขียนประโยคนี้ให้ฉีหรูเสวี่ยแล้ว ที่ส่วนท้ายของกระดาษโน๊ต ยังมีรูปหน้าแลบลิ้นปริ้นตาอยู่รูปหนึ่งด้วย แสดงให้เห็นว่าแม้ตนเองเย่เทียนเฉินจะออกนอกประเทศไปแล้ว แต่เขาก็คล้ายกับเห็นฉีหรูเสวี่ยถูกน้ำจนเปียกเป็นลูกหมาตกน้ำ และกำลังหัวเราะเยาะเธออยู่

ก็เหมือนกับที่ชางหลางพูด เย่เทียนเฉินเป็นผู้ชายที่นิสัยเหมือนกับเทพแห่งความตาย และก็เหมือนกับอันธพาล เป็นคนประเภทที่ตอนจริงจังก็พาลเพโลหาที่เปรียบ กล้าหาญโหดเหี้ยม ตอนนี้นึกสนุกขึ้นมา ก็สามารถเอะอะกลั่นแกล้งเล่นงานได้ แน่นอนว่านี่ต้องดูด้วยว่าใคร กับศัตรู เย่เทียนเฉินย่อมปราบปรามอย่างโหดเหี้ยม สำหรับญาติมิตร เขาก็จะหยอกล้อบ้างเป็นบางครั้ง ชีวิตคนเราต้องปรับไปได้ทุกด้าน

หลังจากทำเรื่องพวกนี้เสร็จแล้ว เย่เทียนเฉินเปิดประตูใหญ่ของคฤหาสน์ บิดขี้เกียจครั้งหนึ่งแล้วจึงจากไป หลังจากเดินออกจากเขตคฤหาสน์แล้วก็เรียกรถแท็กซี่คันหนึ่ง มุ่งหน้าไปยังสนามบินนานาชาติแห่เมืองหลวง ดูเวลาก็เกือบจะเจ็ดโมงแล้ว ไม่รู้ว่าครั้งนี้คนที่ชางหลางให้คุ้มครองไปประเทศmเพื่อทำการแลกเปลี่ยนข้อมูลลับจะเป็นใคร?

ตอนที่เย่เทียนเฉินไปถึงสนามบินนานาชาติแห่งเมืองหลวง พบว่าภายในสนามบินมีคนมากมายราวคลื่นมนุษย์แล้ว หยิบบัตรผ่านที่ชางหลางให้ตนไว้ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ เย่เทียนเฉินเดินมุ่งหน้าตรงไปยังทางผ่านพิเศษของสนามบิน

“คุณผู้ชายครับ ตรงนี้ไม่สามารถเข้าไปได้ รบกวนคุณ…” ชายผู้เป็นพนักงานต้อนรับในสนามบินคนหนึ่งขวางเย่เทียนเฉินไว้ เพียงแต่น่าเสียดายที่คำพูดของเขายังไม่ทันพูดจบก็ต้องหุบปากลง ไปยืนอยู่ข้างหนึ่ง ผายมือทำท่าเชิญให้เข้าไป

“ของเล่นชิ้นนี้เจ๋งจริง!

เย่เทียนเฉินมองบัตรผ่านสีแดงในมือใบนั้น กล่าวไปพลางเดินผ่านทางพิเศษไปพลางอย่างรวดเร็ว

เฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งที่มีใบอนุญาตบินระหว่างประเทศจอดอยู่ภายในสนามบินอันกว้างใหญ่ เย่เทียนเฉินมองครู่หนึ่งแล้วจึงเดินไปทางนั้น เขาคิดไม่ถึงว่าการคุ้มครองคนไปยังประเทศmครั้งนี้ จะถึงกับมีเฮลิคอปเตอร์พิเศษให้นั่ง การรับรองนี้ช่างไม่ธรรมดาเลยจริงๆ

เพิ่งจะเดินไปถึงบริเวณที่ห่างจากเฮลิคอปเตอร์ไม่ถึงสองเมตร ปากกระบอกปืนของปืนกลมือของกระบอกก็เล็กมาทางเย่เทียนเฉิน นายทหารสองคนที่สวมชุดทหารอย่างเรียบร้อยสองคน ใบหน้าเข้มวดและตื่นตัวมองมาทางเย่เทียนเฉินพลางเดินเข้ามา

“หยุด กรุณาหยุดเดินด้วยครับ ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่คุณจะมาได้” นายทหารถือปืนคนหนึ่งเปิดปากกล่าว

“นี่ สหายทั้งสอง ผมเป็นคนสำคัญในครั้งนี้เชียวนะครับ ถ้าไม่มีผม เกรงว่าเฮลิคอปเตอร์ของพวกคุณคงไม่ได้ขึ้นบินแน่ๆ” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ขออภัยครับ นี่คือเครื่องบินพิเศษ บุคคลไม่เกี่ยวข้องไม่อนุญาตให้ขึ้นเครื่อง” นายทหารอีกคนหนึ่งก็กล่าวอย่างเข้มงวด

เย่เทียนเฉินอับจนคำพูดจริงๆ ตนเองมาเพื่อคุ้มครองบุคคลากรทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่จะไปยังประเทศm ชางหลางตอบรับเงื่อไขสามข้อของตนอย่างไม่เสียดาย แล้วยังให้เงินตนเองมาสิบล้าน นี่ถึงทำให้เขาตอบตกลง เดิมทียังคิดว่าในเมื่อตอบรับชางหลางแล้ว ไม่ว่าจะอย่างไนก็ต้องสำเร็จภารกิจให้ได้ ไหนเลยจะรู้ว่ากระทั่งการขึ้นเครื่องก็ยังถูกสกัดกั้น ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกไม่พอใจไม่มากก็น้อย

“ให้เข้าเข้ามาเถอะ!”

ตอนที่เย่เทียนเฉินเตรียมตัวที่จะเจรจากับนายทหารสองคนนี้ ก็มีเสียงของผู้หญิงหวานๆ เสียงหนึ่งดังขึ้นจากในเครื่อง นายทหารสองคนได้ยินเสียงของผู้หญิงในเครื่อง ก็เก็บปืนกลับไป แล้วยืนตรงอยู่สองฝั่

“ถูกแล้วล่ะ ผมจะบอกหัวหน้าของพวกคุณให้ขึ้นเงินเดือนให้พวกคุณสองคนนะ” เย่เทียนเฉินกล่าวยิ้มๆ พลางเข้าไปในเฮลิคอปเตอร์

เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ของเย่เทียนเฉิน นายทหารถือปืนสองคนก็พลันสีหน้ามือครึ้มขึ้นมา ในใจคิดว่าเจ้าคนเหลาะแหละไม่จริงจังคนนี้เป็นใครกัน? คงไม่ใช่ว่าเป็นไพ่ใบสำคัญที่เล่าลือกันว่าจะมาคุ้มครองบุคลลากรไปแลกเปลี่ยนข้อมูลลับที่ประเทศmในครั้งนี้หรอกนะ? ช่างทำให้ผู้คนไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ

ณ เวลานี้ เย่เทียนเฉินขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไป บริเวณไม่ไกลกันนั้น มีรถจี๊ปทหารจอดอยู่ตรงนั้นคันหนึ่ง คนที่นั่งอยู่ที่นั่งด้านหลังของรถจี๊ปทหาร ก็คือเหนียนหลงซึ่งเป็นหัวหน้ากองทัพเหยี่ยวที่แข็งแกร่งที่สุดในจีน ที่ยืนอยู่ข้างรถของเขาก็คือเจียงเหมิงและเฟยอวิ๋น

“หัวหน้าเหยียน นายพลชางให้เย่เทียนเฉินมาเป็นกำลังสำคัญในครั้งนี้จริงๆ ไม่ผิดจากที่คุณคาดเดาเลยนะครับ!” เจียงเหมิงมองเงาหลังของเย่เทียนเฉินพลางกล่าว

“คนคนนี้เป็นคนที่ช่วงนี้เป็นข่าวมาก ขนาดฉินเหิงก็ยังกล้าไปอัด โหดจริงๆ!” เฟยอวิ๋นเองก็กล่าวด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ

หลังจากที่เย่เทียนเฉินกลับมาที่เมือง ทุกเรื่องที่ทำ ล้วนแต่สั่นสะเทือนเมืองหลวงจนมาถึงหูของคนกลุ่มนี้ ดังนั้นหัวข้อสนทนาของทั่วทั้งเมืองหลวงต่างก็เกี่ยวกับเขา เศษสวะและลูกหลานไม่เอาไหนของตระกูลเย่ที่เคยเป็นเรื่องขำขันไปทั่วทั้งเมืองหลวง ดูเหมือนทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความรู้สึกหนึ่งที่โผล่ขึ้นมาอย่างฉับพลัน มีความรู้สึกกดข่มตระกูลใหญ่และอำนาจใหญ่ในเมืองหลวงจนหายใจไม่สะดวก

“เฮอะ ชางหลางวางเดิมพันหมดหน้าตักไปที่เย่เทียนเฉิน เพียงแต่ไม่รู้ว่าเจ้าหนูนี่จะมีชีวิตกลับมาไหม” เหยียนหลงสบบถครั้งหนึ่งพลางกล่าว

เหยียนหลงไม่ได้มีความไม่พอใจต่อเย่เทียนเฉินมากมายอะไร เพียงแต่ว่าแต่ไหนแต่ไรเขากับชางหลางก็เป็นดั่งศัตรูคู่แข่งกัน ชางหลางควบคุมหน่วยมังกรฟ้า เป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงของกองทหารองครักษ์แห่งเมืองหลวง ส่วนเขาเหยียนหลงควบคุมกองทหารที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองหลวง ทั้งคู่ต่างก็เป็นหนึ่งในสามนักรบราชันของจีน แข่งขันกันมาร่วมสิบปีแล้ว ถ้าหากทั้งคู่ไม่พิจารณาถึงตำแหน่งฐานะของแต่ละคน เกรงว่าจะสู้กันไปนานแล้ว เพื่อหาว่าใครเก่งกว่ากัน

ยังมีสาเหตุสำคัญอีกหนึ่งอย่างที่ทำให้ชางหลางกับเหยียนหลงไม่ได้ต่อสู้กัน นั่นก็คือนักรบราชันคนที่สาม คนคนนี้ลึกลับเป็นอย่างยิ่ง ขนาดเหยียนหลงและชางหลางก็เพียงแค่เคยได้ยืชินชื่อของเขามาเท่านั้น ไม่เคยพบตัวคน อีกทั้งตามคำบอกเล่า อายุของนักรบราชันคนที่สามก็เพียงยี่สิบกว่าปีเท่านั้น อายุอ่อนกว่าชางหลางและเหยียนหลงไม่น้อย นี่ก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนต้องสั่นสะท้าน

จินตนาการได้เลยว่า วัยรุ่นอายุยี่สิบกว่าปีคนหนึ่ง ได้กลายเป็นหนึ่งในสามราชันนักรบของจีน ความสามารถของเขาเพียงพอที่จะนำมาพูดได้พร้อมๆ กับชางหลางและเหยียนหลง นี่ทำให้ผู้คนต้องตกตะลึงมากมายขนาดไหนกัน อีกอย่างความลึกลับของนับรบราชันคนที่สามนั้นเถึงขั้นสุดไปแล้วโดยสิ้นเชิง ตกลงเป็นใครกันแน่ ไม่มีใครที่รู้ เขาหายไปหลายปี ไม่รู้ว่าไปที่ไหน

“หัวหน้าเหยียน ครั้งนี้ได้ยินว่าทางรัฐบาลของประเทศm แอบว่าจ้างกลุ่มทหารรับจ้าง ถึงขั้นอาจจะมียอดฝีมือของหน่วยพลังพิเศษเฉพาะกิจลงมือ กลัวก็แต่ว่าแค่พวกเราสามคน จะรับประกันไม่ได้ว่าจะสำเร็จภารกิจ” เจียงเหมิงกล่าวอย่างกังวล

“นี่ไม่ต้องให้พวกนายมาเป็นห่วงหรอก พวกเรากองทัพเหยี่ยวครั้งนี้เบื้องบนแนะนำมาว่า แค่ช่วยเย่เทียนเฉินให้สำเร็จภารกิจก็พอแล้ว ภาระหน้าที่ที่สำคัญอยู่ที่เย่เทียนเฉิน เกิดปัญหาอะไรก็ให้ชางหลางรับผิดชอบ แต่ที่ฉันอยากจะบอกพวกนายสองคนก็คือ อย่าทำให้กองทัพเหยี่ยวของพวกเราต้องขายหน้า ถ้าหากพวกนายสามารถทำภารกิจให้สำเร็จได้ ฉันอยากจะเห็นจริงๆ ว่าชางหลางจะพูดอะไร” เหยียนหลงกล่าวเสียงเข้ม

พอคิดถึงวันนั้นต่อหนน้าผู้นำระดับสูง ชางหลางกับตนเองแย่งกันเป็นผู้รับผิดชอบหลักของภารกิจในครั้งนี้ สุดท้านผู้นำให้อำนาจรับผิดชอบแก่ชางหลาง ท่าทางลำพองใจของชางหลางนั้น ทำให้เหยียนหลงโกรธจนหูดับตับไหม้

เกี่ยวกับภารกิจลับในครั้งนี้ เหยียนหลงและชางหลางแย่งชิงกันมานานแล้ว เนื่องจากเกี่ยวพันว่าจะสามารถยกระดับกำลังทางการทหารทั้งหมดของจีนได้หรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นเพราะความรู้สึกเป็นเกียรติ์ หรือว่าผลงานใหญ่ หรือเป็นเพราะเหยียนหลงและชางหลางทนดูกันไม่ได้ ล้วนไม่อยากให้อีกฝ่ายผ่านไปได้ด้วยดี แต่ทั้งคู่กลับใส่ใจภารกิจลับในครั้งนี้เป็นอย่างมาก

“ครับหัวหน้าเหยียน พวกเราจะพยายามสำเร็จภารกิจนี้ให้ได้อย่างแน่นอน” เฟยอวิ๋นกล่าวอย่างจริงจัง

เหยียนหลงพยักหน้าสุดท้ายจึงมองไปยังเฮลิคอปเตอร์ที่อยู่ไม่ไกลแล้วกล่าวว่า “พวกนายรีบไปเถอะ ใกล้จะขึ้นบินแล้ว อีกอย่างถ้าหากว่ามีโอกาส ก็ทดสอบความสามารถของเย่เทียนเฉินดูสักหน่อย ฉันรู้สึกว่าคนคนนี้นับวันยิ่งไม่อาจคาดเดาได้”

“ครับผม!”

ท่ามกลางความประหลาดใจ เจียงเหมิองและเฟยอวิ๋นก็เดินไปยังเฮลิคอปเตอร์นานาชาติ ในใจของพวกเขาตกตะลึงอยู่บ้าง และรู้สึกไม่ยอมรับ เย่เทียนเฉินปีนี้อายุไม่ถึงยี่สิบปี ยังเด็กกว่าพวกเขาสองคนเล็กน้อย ถึงกับมีความสามารถเช่นนี้ กระทั่งหัวหน้าเหยียนหลงที่เป็นหนึ่งในสามราชันนักรบของจีนก็มองเย่เทียนเฉินในมุมมองใหม่ที่ดี บอกว่าความสามารถของเขาลึกล้ำมิอาจหยั่ง

ต้องทราบว่า ต่อให้กับชางหลาง เหยียนหลงก็ไม่เคยเก็บมาใส่ใจ ได้ยินเหยียนหลงประเมินคนคนหนึ่งเช่นนี้ เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นเพิ่งจะเคยได้ยินเป็นครั้งแรก

อีกทั้งในใจของเจียงเหมิงและเฟยอวิ๋น แม้ว่าจะประหลาดใจกับฝีมือของเย่เทียนเฉินอยู่บ้าง แต่ในความคิดของพวกเขา ต่อให้เย่เทียนเฉินร้ายกาจยิ่งกว่านี้ เกรงว่าก็ไม่ใช่คู่มือของพวกเขา อย่างน้อยในหมู่พวกเขาสองคน ใครสักคนลงมือเต็มกำลัง ล้วนเพียงพอที่จะโจมตีเย่เทียนเฉินจนพ่ายแพ้ หากมีโอกาส พวกเขาก็จะไม่เกรงใจ จะต้องลงมือแน่นอน ทำให้เย่เทียนเฉินรูถึงความร้ายกาจของกองทัพเหยี่ยว

ในขณะเดียวกัน เย่เทียนเฉินที่เข้าไปถึงด้านในของเฮลิคอปเตอร์นานาชาติแล้วก็พลันตกตะลึงและมองผู้หญิงด้านหน้าอย่างอับจนคำพูด เกิดความรู้สึกอยากอัดชางหลางแรงๆ สักยกปะทุขึ้นมา เกรงว่าในโลกแห่งนี้ ผู้หญิงที่สามารถทำให้เย่เทียนเฉินโกรธได้ จะมีเพียงเธอเท่านั้น อีกทั้งสิ่งที่ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงก็คือ ผู้หญิงที่เย่เทียนเฉินต้องปกป้องถึงกับเป็นเธอ

“โทษที ฉันขึ้นเครื่องผิด!” เย่เทียนเฉินกล่าวอย่างเย็นชาพลันเดินไปยังประตูเครื่อง

“หยุดนะ! เย่เทียนเฉิน นายเจ้าคนชั่ว เจ้าผู้ชายที่กล้าทำไม่กล้ารับ แอบดูฉันอาบน้ำ ฉันยังไม่คิดเล็กคิดน้อยกับนายก็แล้วไปเถอะ ครั้งนี้ถ้าหากไม่ใช่ว่าทำเพื่อชาติ ฉันก็ไม่อยากเจอหน้านายหรอก กระทั่งความรับผิดชอบในหน้าที่นายก็ไม่มีรึไง?” หญิงคนนั้นยืนขึ้น มองเย่เทียนเฉินอย่างโกรธเคืองพลางคำรามออกมา

…………………………………………………..

บทที่ 75 เรื่องเมื่อปีนั้นมีลับลมคมใน!
Ink Stone_Fantasy
ความลังเลของฉีหรูเสวี่ย ทำให้เย่เทียนเฉินมองเห็นความหวัง บางทีเมื่อก่อนพี่สาวหรูเสวี่ยอาจเป็นดั่งที่พี่ชายพูดจริงๆ เพียงต่อสู้ดิ้นรนเพื่อความอิสระของตนเอง เพียงเพราะไม่อยากหมั้นกับตระกูลฉิน จึงจำเป็นต้องหนีมาอยู่ในบ้านของตน

แต่ว่าเมื่อสักครู่นี้ ตอนที่ตนเองถามเธออย่างจริงจังว่าตกลงแล้วมีความรู้สึกต่อเย่เทียนเฉินหรือไม่ ฉีหรูเสวี่ยที่มีนิสัยเปิดเผยตรงไปตรงมามาโดยตลอด ก็พูดไม่ออกเป็นครั้งแรก บางทีโดยที่ไม่รู้ตัว ในใจของฉีหรูเสวี่ยก็มีเงาของเย่เทียนเฉินเรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะดีหรือร้าย เธอก็ไม่สามารถลบออกไปได้

“เฮ้อ พี่ชายหนช่างโชคดีจริงๆ มีหญิงงามอย่างพี่สาวหรูเสวี่ยมารักเขา ช่างโชคดีเหลือเกิน!” เย่เฉี่ยนเหวินหลบไปพลางกล่าวพร้อมหัวเราะฮี่ๆ ไปพลาง

“ใคร ใครรักเขากัน เขาเป็นเจ้าคนชั่ว ยัยเด็กตัวแสบ พูดจามั่วซั่ว คอยดูเถอะว่าพี่จะจัดการดธอยังไง…” ฉีหรูเสวี่ยไล่ตามเย่เฉี่ยนเหวิน ทั้งสองเอะอะคึกคักกันขึ้นมา

“ฮี่ๆ หนูไม่ได้พูด หนูไม่ได้พูด…”

เย่เฉี่ยนเหวินและฉีหรู่เสวี่ยทะเลาะเอะอะกันอยู่ที่ห้องข้างๆ เย่เทียนเฉินที่เดิมทีเอนตัวลงนอนหลับบนเตียงไปแล้ว ถูกเสียงรบกวนจนนอนไม่หลับ เขาไม่ได้ฟังบทสนทนาของทั้งสองและเขาก็ไม่อยากฟังด้วย ฉีหรูเสวี่ยคิดที่จะเล่นงานตนเองไปทุกหนทุกแห่ง ส่วนน้องสาวก็กลายเป็นกบฏไปตั้งนานแล้ว คงไม่ได้พูดถึงอะไรดีๆ ของตนเองแน่!

เดิมทีไม่อยากลุกขึ้นมา แต่จนใจที่เย่เฉี่ยนเหวินและฉีหรูเสวี่ยเอะอะอยู่ห้องข้างๆ บางครั้งมีเสียงหัวเราะเฮฮาดังแว่วมา ทำให้เย่เทียนเฉินนอนไม่หลับ ลุกขึ้นจากเตียงด้วยความโกรธ เตรียมจะบุกไปตะโกนใส่ทั้งสองด้วยความโมโหสักยก ไหนเลยจะรู้ว่าเพิ่งจะเปิดประตูห้องนอนและเดินไปถึงข้างประตูห้องนอนของฉีหรูเสวี่ย ก็ได้ยินเสียงพูดคุยกันของเย่เฉี่ยนเหวินและฉีหรูเสวี่ย

“หนูผิดไปแล้ว หนูผิดไปแล้ว พี่สาวหรูเสวี่ย อย่าจี้อีกเลย!” เย่เฉี่ยนเหวิทิ้งตัวลงบนเตียง หัวเราะออกมาเสียงดังพลางกล่าว

“ยัยเด็กตัวแสบ ถ้ายังกล้ามาเติมคำพูดของพี่สาวเธออีกล่ะก็ คอยดูเถอะว่าพี่จะจัดการเธอยังไง” ฉีหรูเสวี่ยจั๊กจี้เย่เฉี่ยนเหวินพลางกล่าว

“หยุดเถอะ หยุด พี่วาวหรูเสวี่ย หนูคิดว่าพี่พูดได้ถูกต้อง เรื่องนั้นของพี่ชายหนูมีลับลมคมใน บางทีเป็นไปได้ว่าอาจจะถูกคนอื่นใส่ร้าย…” เย่เฉี่ยนเหวินรีบขอให้ยกโทษให้แล้วจึงกลาวด้วยท่าทีจริงจัง

ฉีหรูเสวี่ยได้ยินคำพูดของเย่เฉี่ยนเหวินก็ไม่ได้เอะอะอีกต่อไป ล้มตัวนอนลงบนเตียงด้วยชุดนอนเช่นเดียวกัน ขมวดคิ้วอันงดงาม ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ เธอเป็นผู้หญิงไอคิวสูงคนหนึ่งที่เดินอยู่แนวหน้าของยุคสมัย ไม่ใช่คุณหนูสูงศักดิ์ที่เป็นดั่งแจกันประดับประเภทนั้น ประโยคที่ว่าหน้าอกใหญ่ไร้สมองสำหรับฉีกรูเสวี่ยแล้ว มีเพียงสองคำด้านหน้าเท่านั้นที่ถูกต้อง สองคำหลังนั้นผิดอย่างแท้จริง

“เฉี่ยนเหวิน เรื่องนี้พี่คิดว่าควรจะต้องตรวบสอบดูสักหน่อย ขั้นแรก มีอย่างน้อยสองจุดที่น่าสงสัย จุดแรก พี่ชายของเธอรู้สถานที่อาบน้ำของหลิ่วหรูเหมยได้ยังไง? จุดที่สอง เขาเข้าไปสถานที่ที่หลิ่วหรูเหมยอาบน้ำได้อย่างง่ายดายได้ยังไง?” ฉีหรูเสวี่ยเองก็เปิดปากถามกล่าวจริงจัง

เย่เฉี่ยนเหวินชะงักไปครู่หนึ่ง ตอนแรกเริ่มที่ฉีหรูเสวี่ยพูดถึงเรื่องนี้ เธอไม่ได้มีความสงสัยขึ้นมา ในตอนนั้นเธอเองก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เพียงแต่ทั่วทั้งเมืองหลวงกำลังลือกันว่าเย่เทียนเฉินผู้เป็นพี่ แอบดูหลิ่วหรูเหมยที่เป็นสาวงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงอาบน้ำ สร้างความหายนะครั้งใหญ่ ต่อมาเป็นพ่อและแม่ที่พาเย่เทียนเฉินไปรับโทษด้วยตัวเองที่ตระกูลหลิ่ว เรื่องราวก็เป็นเช่นนี้…

“พี่สาวหรูเสวี่ย พอพี่พูดแบบนี้ก็ทำให้รู้สึกว่ามีจุดที่น่าสงสัยจริงๆ เมื่อก่อนพี่ชายหนูแม้ว่าจะเสเพลเล็กน้อย เที่ยวเล่นว่างงาน แต่ว่านิสัยเขาไม่ได้แย่ คงไม่ทำเรื่องสกปรกโสมมเช่นนั้นแน่…” เย่เฉี่ยนเหวินเองก็กล่าวพลางขมวดคิ้ว

“พี่ชายเธอตอนนี้ดูไปก็ไม่เสเพลแล้ว แต่เรื่องนิสัยนี่แย่มาก…” ฉีหรูเสวี่ยพูดอย่างไม่สบอารมณ์

“ฮี่ๆ พี่สาวหรูเสวี่ย พี่ก็อย่าโกรธพี่ชายหนูไปเลย เขาเปลี่ยนไปก็เป็นเรื่องดี เพียงแต่เมื่อก่อนกับผู้หญิงเขาอาจจะอะไรแบบนั้น ดังนั้นก็อะไรแบบนั้นล่ะ…” เย่เฉี่ยนเหวินหัวเราะฮี่ๆ เพลางกล่าว

“เด็กคนนี้นี่ ดูท่าแล้วจะยืนอยู่ฝั่งพี่ชายเธอสินะ ช่างเถอะ รีบไปนอนเถอะ พรุ่งนี้เธอต้องไปเรียนนะ” ฉีหรูเสวี่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“งั้นหนูไปก่อนนะคะ พี่สาวหรูเสวี่ย ฝันดีค่ะ!” เย่เฉี่ยนเหวินกล่าวพลางหัวเราะ

ได้ยินเสียงฝีเท้าของเย่เฉี่ยนเหวินผู้เป็นน้อง เย่เทียนเฉินก็รีบเดินกลับในที่ห้องนอนของตนเองพลางปิดประตูอย่างไร้ซุ่มไร้เสียง มีสีหน้าสงสัยอย่างหนักขึ้นมา หากไม่ใช่ว่าฉีหรูเสวี่ยยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด เย่เทียนเฉินก็คิดไม่ออกเลยจริงๆ ถึงอย่างไรตั้งแต่ได้กลับมาเกิดใหม่ ใจของเขาก็คิดเพียงแต่จะเสพสุขกับชีวิต หลายเรื่องที่ไม่ได้คิดให้มากๆ

อย่างไรก็ตาม ในชีวิตของเย่เทียนเฉินมีจุดด่างพร้อยอันร้ายแรงอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือการแอบดูหลิ่วหรูเหมยสาวงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงอาบน้ำ แม้ว่าจะเป็นความสุขทางตา ทำให้ชายนับไม่ถ้วนอิจฉาริษยา แต่ว่านี่ก็ทำให้เย่เทียนเฉินต้องไปคุกเข่าที่หน้าประตูบ้านตระกูลหลิ่วหนึ่งวันหนึ่งคืน และกลายเป็นเรื่องขำขันของคนทั้งเมืองหลวง นำมาซึ่งความอัปยศอดสูอย่างใหญ่หลวงแก่พ่อแม่และตระกูลเย่ นี่ทำให้เขารับไม่ได้ยิ่งกว่าการฆ่าเขาให้ตายเสียอีก และนี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมเย่เทียนเฉินคนก่อนจึงยืนกรานจะพักการเรียนที่มหาวิทยาลัยหลงเถิงและไปเป็นทหาร

“ให้ตายสิ สหาย ความแค้นนี้ฉันจะสะสางให้นายเองในเมื่อถูกผู้คนใส่ร้ายจนเกิดความอัปยศอดสูขนาดนี้ จะไม่ตอบโต้คืนไปได้อย่างไร” เย่เทียนเฉินพึมพำกับตนเอง เอนตัวนอนลงบนเตียงแล้วทำสมาธิ

ชาติก่อนเย่เทียนเฉินไม่ใช่คนที่ชอบหาเรื่องใส่ตัว แม้ว่านิสัยของเขาจะเหมือนกับเทพแห่งความตายอยู่บ้าง และเหมือนกับอันธพาล แต่ในฐานะที่เป็นผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษระดับพระเจ้า ในโลกที่สับสนวุ่นวาย สัคว์อสูรกลายพันธุ์ไล่กินผู้คน เขาเองก็ได้ปกป้องความสงบสุขของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ด้วยลักษณะอันน่าเกรงขามของเขาที่เป็นผู้มีพลังพิเศษระดับพระเจ้า ยิ่มไม่อนุญาติให้ใครมาดูหมิ่น ต่อให้มาเกิดใหม่ในชีวิตนี้ เขาก็ไม่ยอมให้ชีวิตของตนเองต้องมีจุดด่างพร้อยเช่นนี้อย่างเด็ดขาด ไม่ยอมให้พ่อแม่ต้องอับอายและเจ็บปวดใจ

ทำสมาธิไปครู่หนึ่ง เย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะลืมตาขึ้นอย่างกลัมกลุ้ม ความทรงจำในสมองของเขา จำได้เพียงว่าเมื่อก่อนเย่เทียนเฉินคนนั้น วันที่แอบดูหลิ่วหรูเหมยอาบน้ำ ตัวคนได้แต่เดินไปยังสถานที่อาบน้ำของหลิ่วหรูเหมยอย่างมึนๆ เบลอๆ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ราวกับถูกคนควบคุมสมองอยู่อย่างไรอย่างนั้น

แม้ว่าเย่เทียนเฉินจะรู้สึกกลุ้มใจอยู่บ้างเนื่องระลึกเรื่องต่างๆ ได้ไม่มาก แต่ว่าในความทรงจำกลับมีชื่อของคนคนหนึ่งชื่อว่าไป๋อู่ จากความทรงจำไป๋อู่คนนี้เป็นลูกหลานตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวง ตระกูลไป๋ไม่ใช่ตระกูลใหญ่ที่มีพื้นเพยิ่งใหญ่อะไร พื้นเพของตระกูลอาจจะพอๆ กับตระกูลเย่ เย่เทียนเฉินนก่อนเสเพลเป็นอย่างมาก เที่ยวเล่นว่างงาน เพื่อนฝูงเกเรเกตุงก็มีไม่น้อย แต่ไป๋อู่คนนี้ เป็นเพื่อนเสเพลที่ใกล้ชิดเย่เทียนเฉินที่สุดคนหนึ่ง

ตอนสายของวันที่เย่เทียนเฉินแอบดูหลิ่วหรูเหมยอาบน้ำ เย่เทียนเฉินได้รับโทรศัพท์ของไป๋อู่ บอกให้ออกไปซิ่งรถ จนกระทั่งตอนที่เย่เทียนเฉินขับรถตามไปถึง ไป๋อู่ก็บอกให้ดื่มกาแฟก่อนสักหน่อย หลังจากที่ดิ่มกาแฟแล้ว เย่เทียนเฉินก็มีอาการมึนๆ เบลอๆ

“ท่าทางจะต้องเริ่มจากไป๋อู่คนนี้ซะแล้ว เรื่องนี้ต้องตรวจสอบให้ชัดเจน”

เย่เทียนเฉินพูดจาพึมพำกับตนเอง หากไม่ใช่ว่าพรุ่งนี้เช้าต้องไปยังสนามบินนานาชาติ คุ้มครองคนอะไรนั่นไปแลกเปลี่ยนข้อมูลลับที่ปะเทศm คืนนี้เขาคงเคลื่อนไหวไปแล้ว นิสัยของเขาก็รวดเร็วเฉียบขาดเช่นนี้ ไม่ยืดเยื้ออืดอาจเลยแม้แต่น้อย

อีกอย่างยังมีส่วนที่สำคัญมากอีกจุกหนึ่ง นั่นก็คือภายในความทรงจำของเย่เทียนเฉิน ตอนที่ดิ่มกาแฟแก้วนั้น ตัวคนก็ดูเหมือนถูกคนควบคุมสมองก็มิปาน การกระทำทั้งหมดถูกผู้อื่นควบคุมไว้โดยสิ้นเชิง นี่ไม่ใช่สิ่งที่ยาจะสามารถทำได้อย่างเด็ดขาด เหมือนกับเทคนิคการควบคุมซึ่งเป็นพลังพิเศษด้านจิตวิญญาณมาก

ตอนนี้ขอบเขตพลังของเย่เทียนเฉินไปถึงระดับจอมราชันแล้ว รวมกับก่อนจะได้มาเกิดใหม่ก็เป็นผู้มีพลังพิเศษระดับพระเจ้า ความเข้าใจในเทคนิคพลังพิเศษย่อมละเอียดลึกซึ้ง

เทคนิคการควบคุมชองพลังพิเศษด้านพลังจิตวิญญาณ เป็นพลังที่ร้ายกาจมากประเภทหนึ่ง สามารถทำให้คนถูกควบคุมโดยไม่รู้ตัว ทำเรื่องที่ตนเองไม่รู้ สามารถสร้างผลกระทบต่อกระแสไฟฟ้าในสมองขอมนุษย์ เป็นความสามารถที่น่ากลัวที่สุดในหมู่สายพลังพิเศษที่มี ฆ่าคนได้โดยไร้ร่องรอย สามารถควบคุมหรือกระทั่งทำลายพลังจิตวิญญาณของผู้อื่นได้ เมื่อประทับตราจิตวิญญาณของตนลงไป ก็จะควบคุมคนคนนั้นได้ชั่วชีวิต ดูเหมือนในด้านระดับความแข็งแกร่งของสายพลังพิเศษทั้งหมดที่มี ล้วนแต่เกิดผลกระทบต่อสายจิตวิญญาณ มีกระทั่งกำหนดระดับความแข็งแกร่ง ระดัขั้น และศักยภาพได้โดยตรง ไม่ต้องคิดก็รู้ได้ว่าผู้มีพลังพิเศษสายพลังจิตวิญญาณนั้นน่ากลัวแค่ไหน แต่ผู้มีพลังพิเศษสายนี้ผู้ที่รู้ตัวน้อยมาก ผู้มีพลังพิเศษอันแข็งแกร่งที่เป็นสายจิตวิญญาณโดยกำเนิดจะมีไม่ถึงหนึ่งในพันล้าน

ถ้าหากในโลกแห่งนี้มีการคงอยู่ของผู้มีพลังพิเศษสายจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งอยู่ดั่งที่เย่เทียนเฉินคาดเดาจริงๆ ถ้าหากคนคนนี้ใช้พลังพิเศษจิตวิญญาณแห่งการควบคุม อันน่าเกรงขามของเขาทำเรื่องเลวๆ ล่ะก็ เกรงว่ายากที่จะมีคนหยุดเขาได้

ดังนั้น ยิ่งทำให้เย่เทียนเฉินตั้งใจแน่วแน่ว่าจะตัดสินใจจรวจสอบเรื่องนี้ให้ชัดเจน ถ้าหากมีคนว่าจ้างผู้มีพลังพิเศษสายจิตวิญญาณให้มาควบคุมตนเองจริงๆ เช่นนั้นก็อธิบายได้ว่ายังคงมีแผนการใหญ่กว่านี้อีก การมีอยู่ของคนเช่นนี้ จะต้องสร้างหายนะอันร้ายแรงให้แก่ตระกูลเย่ของตนในภายภาคหน้าเป็นแน่ จะต้องฆ่าและกำจัดวิกฤตที่หลบซ่อนอยู่นี้ให้ได้

วันต่อมาตอนเช้าตรู่ เย่เทียนเฉินลุกจากเตียง จากการนัดหมายครั้งล่าสุดของตนเองและชางหลาง เขาต้องตามไปที่สนามบินนานาชาติแห่งเมืองหลวงตอนเวลาเจ็ดโมงเช้า เพื่อปกป้องบุคลากรไปยังประเทศm และแลกเปลี่ยนข้อมูลลับให้สำเร็จ เพียงแต่เย่เทียนเฉินไม่แน่ใจว่าตกลงแล้วคนที่ชางหลางจะให้คุ้มครองนั้นเป็นใครกันแน่ ตรงจุดนี้เย่เทียนเฉินไมได้สนใจ ความคิดของเขาล้วนอยู่ที่การต่อสู้กับกลุ่มทหารรับจ้างอันแข็งแกร่งของประเทศmและหน่วยพลังพิเศษเฉพาะกิจ หวังว่าการไปประเทศmในครั้งนี้จะไม่ทำให้เขาต้องผิดหวัง

หลังจากที่เย่เทียนเฉินตื่นนอน ก็สวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ท่อนบนสวมเสื้อเชิ้ตเรียบง่ายกับเสื้อนอกสีดำตัวหนึ่ง ท่อนล่างสวมกางเกงลำลองตัวหนึ่ง ที่เท้าสวมใส่รองเท้ากีฬาคู่หนึ่ง ปล่อยวางความคิดมุ่งสู้สนามรบ เย่เทียนเฉินไม่แม้แต่จะเก็บสัมภาระ นำไปเพียงบัตรที่ชางหลางให้ตนเองไว้ จะอย่างไรในนั้นก็มีเงินอยู่สิบล้าน เพียงพอที่จะใช้ตามใจในต่างประเทศ ส่วนเครือไห่หวางน่ะหรือ แม้ว่าเย่เทียนเฉินจะเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องของเขาไปเสียทุกเรื่อง หลังจากที่ไปด้วยตนเองมาแล้วครั้งหนึ่ง เขาก็ไม่ได้ไปอีกเลย เขาเชื่อว่าผู้ถือหุ้นรายย่อยคนอื่นๆ จะทำงานอย่างเต็มที่ เนื่องจากเขารู้ดีว่า หากเครือไห่หวางล้มลง จะเป็นความเสียหายอย่างรุนแรงต่อพวกเขา

เดินออกไปนอกประตูห้อง ในมือเย่เทียนเฉินถือกระดาษโน๊ตไว้สามใบ นี่เป็นสิ่งที่เขาเตรียมไว้อย่างดีตั้งแต่เมื่อคืนเพราะไม่อยากรบกวนฝันหวานๆ ของแม่และน้องสาว ส่วนฉีหรูเสวี่ยน่ะหรือ จะต้องได้รับการเล่นงานเมื่อภัยมาถึงตนเอง เพื่อแก้แค้นที่ทำให้เขาต้องท้องเสียทั้งคืน เขาเชื่อว่าตอนที่ฉีหรูเสวี่ยเห็นกระดาษโน๊ตที่เขาเขียนถึงเธอโดยเฉพาะ จะต้องโกรธจนหน้าแดงและขบฟันอันดุร้ายของเธออย่างรุนแรงแน่นอน

…………………………………………….

บทที่ 74 รักหรือไม่รัก?
Ink Stone_Fantasy
เย่เฉี่ยนเหวินเห็นท่าทางอยู่ในภวังค์ของฉีหรูเสวี่ย ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะฮี่ๆ ออกมา เธอรู้ว่าช่วงนี้พี่ชายไม่อ่อนโยนเลยสักนิด จะมากจะน้อยก็โจมตีฉีหรูเสวี่ย ในฐานะที่เป็นสาวงามเช่นเดียวกับฉีหรูเสวี่ย เธอย่อมรู้จิตใจของฉีหรูเสวี่ยดี เมื่อผู้หญิงคนหนึ่งสวยมากๆ มีคนมาจีบนับไม่ถ้วน ดูเหมือนว่าชายหนุ่มทุกคนที่พบเธอจะตกหลุรักเธออย่างบ้าคลั่ง จู่ๆ ก็มีผู้ชายคนหนึ่งที่ทำตัวเฉยๆ กับเธอ ถึงขั้นทะเลาะถกเถียงกับเธอโผล่ขึ้นมา นิสัยดื้อรั้นหัวแข็งโดยกำเนิดของผู้หญิงก็จะระเบิดออกมา อยากได้รับการยอมรับจากชายคนนี้โดยไม่รู้ตัว อยากเอาชนะชายคนนี้

“ถ้าหากพี่สวยขนาดนั้นจริงๆ ทำไมพี่ชายของเธอถึงได้…” ฉีหรูเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาพลางกล่าว

ไม่ว่าฉีหรูเสวี่ยจะมีความรู้สึกดีๆ ต่อเย่เทียนเฉินหรือไม่ จะชอบจริงๆ หรือไม่ บางทีเมื่อก่อนอาจจะไม่ชอบ แต่ตอนนี้เป็นไปได้หรือไม่ว่า บางทีแม้แต่ตัวเธอเองก็ยังไม่ชัดเจน

ตั้งแต่ช่วงนี้เป็นต้นมา ตั้งแต่เข้ามาอาศัยอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลเย่ ฉีหรูเสวี่ยวันๆ เอาแต่จัดการกับเย่เทียนเฉิน แม้ว่าทั้งสองจะทะเลาะถกเถียงกันทันทีที่เจอหน้า ไม่ยอมลงให้กัน แต่นี่ก็ทำให้สมองของฉีหรูเสวี่ย คิดถึงแต่เย่เทียนเฉินทุกวัน คิดว่าจะเก็บกวาดเจ้าคนชั่วนี่อย่างไร กลั่นแกล้งเจ้าคนชั่วนี้ ทำให้ในความคิดของเธอมีแต่เขา

“ฮี่ๆ พี่สาวหรูเสวี่ย พี่ชายของหนูคนนี้น่ะ ตลอดมาก็ไม่มีอีคิวเอาเสียเลย หนูไม่ขอปิงบังพี่แล้วกัน ในปีนั้นเขาเห็นหลิ่วหรูเหมยอายน้ำโดยไม่ตั้งใจ หลังจากที่ไปยอมรับผิดที่ตระกูลหลิ่วแล้ว เขาก็เปลี่ยนไป ดังนั้นบางทีกับผู้หญิงเขาอาจจะ…” เย่เฉี่ยนเหวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม

จากคำพูดประโยคนั้นที่ฉีหรูเสวี่ยพูดพึมพำกับตนเองเมื่อสักครู่นี้ ดูเหมือนจะมีความหวังว่าอยากจะให้เย่เทียนเฉินใส่ใจตนเองอยู่รางๆ ราวกับไม่อยากให้เย็นชายอย่างไรอย่างนั้น บางทีในขณะที่ไม่รู้ตัว ในใจลึกๆ ของเธอได้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นแล้ว มีความรู้สึกดีๆต่อเย่เทียนเฉินแล้ว เพียงแต่กระทั่งตัวเธอเองก็ยังไม่รู้เท่านั้น เพียงแต่คิดว่าอยากจะ “แก้แค้น” เย่เทียนเฉินที่ดูหมิ่นตนเอง

“เรื่องนี้หลังจากที่พี่กลับประเทศมาก็ได้ยินมาเหมือนกัน กล่าวตามจริง แม้ว่าพี่จะทะเลาะกับพี่ชายของเธอทั้งวัน แต่ก็ไม่มีบุญคุญความแค้นอะไร จากการสังเกตของพี่ เขาไม่เหมือนกับคนที่จะแอบดูผู้หญิงอาบน้ำเลย อีกอย่างเรื่องนี้ก็มีลับลมคมใน ในเมืองหลวงตระกูลหลิ่วเป็นตระกูลชั้นหนึ่ง หลิ่วหรูเหมยก็เป็นสาวงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวง เธออาบน้ำ จะถูกแอบดูได้หรือ? เป็นไปได้อย่างไร?” ฉีหรูเสวี่ยเปิดปากถามอย่างสงสัย

ฉีหรูเสวี่ยเป็นนักเรียนดีเด่น และเป็นผู้หญิงที่ฉลาดเป็นอย่างมาก ไม่ได้เป็นเฉกเช่นแจกันประดับอันไร้เดียงสา หลังจากที่เธอได้ยินเรื่องนี่ของเย่เทียนเฉิน ก็รู้สึกแปลกๆ อยู่บ้าง เพียงแต่ที่ผ่านมาไม่ได้พูดออกมาก็เท่านั้น เธอไม่อยากเป็นเหมือนลูกหลานผู้ลาภมากดีหรือคุณหนูสูงศักดิ์ที่โง่งมคนอื่นๆ ที่รู้จักแต่หัวเราะเยาะผู้คน เธอเป็นผู้หญิงที่สามารถคิดพิจารณาเรื่องราวได้อย่างจริงจัง

ที่ฉีหรูเสวี่ยรู้สึกแปลกๆ และพูดออกมากับเย่เฉี่ยนเหวินในตอนนี้ เป็นเพราะตระกูลฉีของเธอก็ใกล้ชิดกับตระกูลชั้นหนึ่ง เธอสามารถเข้าใจได้ ตระกูลหลิ่วระดับสูงแม้จะไม่มีคนใหญ่โตอะไร แต่การสนับสนุนประเทศชาติของตระกูลของพวกเขากลับมากที่สุด ดังนั้นคนระดับสูงของประเทศเคารพตระกูลของพวกเขาเป็นอย่างมาก นี่คือสาเหตุที่ทำให้ตระกูลหลิ่วสามารถกลายเป็นตระกูลชั้นหนึ่ง

ส่วนหลิ่วหรูเหมย เป็นที่รู้จักในนามของสาวงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงมาโดยตลอด สถานที่ที่เธออาบน้ำ จะมีสักกี่คนกันเชียวที่รู้? ต่อให้รู้ ก็ต้องมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนาแน่นอน ตอนนั้นเย่เทียนเฉินที่เป็นลูกหลานของตระกูลชั้นสามคนหนึ่ง พูดถึงอำนาจก็ไม่มีอำนาจ พูดถึงฝีมือก็ไม่มีฝีมือ 0tสามารถเข้าไปถึงสถานที่ที่หลิ่วหรูเหมยอาบน้ำได้หรือ? คิดถึงสิ่งเหล่านี้ ก็รู้สึกว่ามีลับลมคมในจริงๆ

“เรื่องนี้ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หนูเองก็ไม่รู้ หฯและพ่อแม่เพื่อที่จะไม่ให้พี่ชายต้องเสียใจ ต่างก็ตัดสินใจว่าจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก” เย่เฉี่ยนเหวินกล่าวพลันรู้สึกหนักอึ้งในใจ

“ไม่ใช่ว่าไม่พูดถึง แต่รู้สึกว่ามันแปลกๆ ถ้าหากมีคนใส่ร้ายพี่ชายเธอล่ะ? ช่างทำให้ผู้คนสงสัยจริงๆ เลย…” ฉีหรูเสวี่ยพูดความคิดเห็นของตนเองออกมาพลางขมวดคิ้ว

เมื่อฉีหรูเสวี่ยพูดเช่นนี้ เย่เฉี่ยนเหวินก็ยังรู้สึกว่าแปลกจริงๆ เมื่อปีนั้นตอนที่เกิดเรื่องนี้ ตนเองยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลายปีหนึ่ง ได้ยินเพียงพ่อและแม่พูดว่าพี่ชายก่อปัญหาใหญ่เข้าแล้ว ต้องไปขอรับโทษที่ตระกูลหลิ่ว หลังจากที่กลับบ้านมา พี่ชายก็เงียบขรึมลง สุดท้ายเรียนหนังสือที่มหาวิทยาลับหลงเถิงไม่ถึงหนึ่งเดือน ก็ยืนกรานว่าจะไปเป็นทหาร และจากไปเช่นนี้เอง

“ช่างเถอะ ไม่ต้องไปสนใจเขาหรอก พี่สาวหรูเสวี่ย หนูคิดว่าพี่กับพี่ชายหนูแม้ว่าจะทะเลาะกัน แต่พวกพี่สองคนก็เข้ากันมากเลยนะ?” เย่เฉี่ยนเหวินกล่าวทำลายบรรยากาศจริงจังพลางยิ้ม

“เข้ากันมากเหรอ? พี่ไม่ได้มีความรู้สึกอะไรกับพี่ชายเธอเลย คนคนนี้รู้จักแต่รังแกพี่ พี่จะต้องตอบโต้อย่างโหดเหี้ยมแน่นอน!” ฉีหรูเสวี่ยเมื่อคิดถึงการกลั่นแกล้งเย่เทียนเฉิน ก็รู้สึกคึกตักขึ้นมาบ้าง เธอกล่าวออกมาพลางทำปากจู๋

เย่เฉี่ยนเหวินมองฉีหรูเสวี่ยครู่หนึ่ง รู้สึกว่าได้เวลาแล้ว ควรจะถามคำถามนี้กับฉีหรูเสวี่ยอย่างจริงจังได้แล้ว แม่พูดได้ถูกต้อง ทำให้ชัดเจนไปเลยว่าตกลงแล้วฉีหรูเสวี่ยมีความรู้สึกต่อเย่เทียนเฉินหรือไม่ นี่เป็นสิ่งสำคัญมาก มิฉะนั้นแบบนี้ล้วนไม่ยุติธรรมต่อเย่เทียนเฉินและพี่สาวหรูเสวี่ยเป็นอย่างมาก

“พี่สาวหรูเสวี่ย หนูขอถามพี่จากใจจริงสักคำถามหนึ่งได้ไหม? ที่นี่มีเพียงพี่กับหนูแค่สองคน พี่ต้องพูดความจริงนะคะ!” เย่เฉี่ยนเหวินยิ้มอย่างงดงามพลางกล่าว

“เด็กคนนี้นี่ พวกเราเป็นเพื่อนซี้กัน มีอะไรเธอก็ถามมาเถอะ เห็นแก่ฐานะที่ว่าหลายวันมานี้เธอช่วยพี่ต่อต้านพี่ชายของเธอ พี่จะตอบคำถามอย่างจริงจังสักคำถามหนึ่ง” ฉีหรูเสวี่ยกล่าวพลางยิ้มหวาน

“อื้อ พี่สาวหรูเสวี่ย พี่ช่วยคิดอย่างจริงจังสักหน่อยนะคะว่าตกลงแล้วพี่มีความรู้สึกต่อพี่ชายของหนูหรือไม่ ตกลงแล้วพี่รักเขาหรือเปล่า…” เย่เฉี่ยนเหวินกล่าวถามพลางจ้องไปยังดวงตาของฉีหรูเสวี่ยเขม็ง

ถ้าหากเปลี่ยนเป็นก่อนหน้านี้หนึ่งวัน ฉีหรูเสวี่ยจะตอบคำถามนี้ของเย่เฉี่ยนเหวินโดยไม่ต้องคิดพิจารณาเลยสักนิดอย่างแน่นอน มีเพียงสามคำคือ “ไม่รู้สึก”

แต่ว่า เมื่อสักครู่นี้ตอนที่ที่ฉีหรูเสวี่ยเตรียมจะพูดคำสามคำนี้ออกมา ในสมองของเธอ ก็ปรากฏภาพที่จูบกับเย่เทียนเฉินแวบขึ้นมา

นั่นเป็นจูบที่เกิดจากอุบัติเหตุ และนั่นก็เป็นจูบแรกของฉีหรูเสวี่ย และถูกเย่เทียนเฉินศัตรูคู่แค้นขโมยไปเช่นนี้ เธอเม้มปากเล็กๆ อันเซ็กซี่ ความรู้สึกเช่นนั้นยังทำให้เธอรู้สึกแปลกประหลาดจนถึงตอนนี้ เปรี้ยวนิดหน่อย หวานเล็กน้อย และยังฝาดเฝื่อน ทำให้เธอรู้สึกโมโหและขบคิดอยู่บ้าง

ดังนั้น คำพูดจึงติดอยู่ที่ปาก ฉีหรูเสวี่ยสูบหายใจเข้าแรงๆ ตอนนี้เธอไม่รู้จริงๆ ว่าจะอธิบายอารมณ์ของตนเองอย่างไร อยากจะพูดว่ามามีความรู้สึกต่อเจ้าคนชั่วเย่เทียนเฉิน แม้สักนิดก็ไม่รู้สึก แต่ว่าพอคิดถึงภาพจูบนั้น เธอก็ลังเล ความคิดสับสนวุ่นวายไปหมด

ความจริงผู้หญิงก็เป็นเช่นนี้เอง ยามเมื่อเธออยู่ด้วยกันกับผู้ชายที่ไม่สนใจ เรื่องราวใดๆ ก็ไม่เกิดขึ้น เป็นธรรมดาที่เธอจะไม่เห็นชายคนนั้นอยู่ในสายตา แต่ว่าถ้าหากจับมือแล้ว กอดแล้ว กระทั่งจูบไปแล้ว ในใจของผู้หญิงคนนั้นก็จะเกิดความเปลี่ยนแปลงโดยไม่รู้ตัว

ผู้หญิงก็เป็นสัตว์ที่มีความรู้สึกเช่นนี้เอง เมื่อตกหลุมรัก เมื่อมีความรู้สึกแม้เพียงนิด ก็ไม่มีทางควบคุมตัวเองได้ และถูกคว้าไปอย่างง่ายดาย ดังนั้นผู้หญิงทุกคนล้วนแต่ควรค่าที่จะถูกรักและถนอม

เย่เฉี่ยนเหวินเห็นฉีหรูเสวี่ยนชะงักอยู่ที่เดิม ขมวดคิ้วแน่นเป็นปม มีท่าทางราวกับไม่สามารถตัดสินใจได้ ก็อดไม่ได้ที่จะยินดีอยู่ในใจ เช่นนี้ก็อธิบายได้ว่าพี่ชายของตนยังมีหวัง อธิบายได้ว่าในใจของพี่สาวหรูเสวี่ยยังมีพื้นที่ของพี่ชายเย่เทียนเฉิน เพียงแต่ทั้งสองมักจะทะเลาะโต้เถียงกันบ่อยๆ จนถูกกลบฝังไปก็เท่านั้น

กล่าวตามจริง เย่เฉี่ยนเหวินอยากมีพี่สะใภ้เหมือนฉีหรูเสวี่ยสักคน ความสัมพันธ์ในช่วงเวลานี้ เธอกับฉีหรูเสวี่ยได้กลายเป็นเพื่อนซี้ที่คุยกันได้ทุกเรื่องไปตั้งนานแล้ว สนิทยิ่งกว่าพี่สาวน้องสาวแท้ๆ เสียอีก หรือว่านี่ก็คือโชคชะตา?

“ฮี่ๆ พี่สาวหรูเสวี่ย พี่เงียบก็แสดงให้เห็นแล้วว่าพี่รู้สึกดีๆ กับพี่ชายหนูใช่ไหม? ไม่ใช่ว่าตกหลุมรักเขาเข้าแล้วเหรอ?” เย่เฉี่ยนเหวินกล่าวพลางยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์

“มะ มีที่ไหนกันล่ะ เด็กคนนี้นี่กล้ามาเติมคำพูดให้ความเงียบของพี่เหรอ คอยดูเถอะพี่ไม่เก็บเธอไว้แน่!” ฉีหรูเสวี่ยได้สติกลับมาก็กล่าวขึ้นด้วยใบหน้าแดงก่ำพลางใช้มือจี้ไปยังเย่เฉี่ยนเหวิน

เย่เฉี่ยนเหวินรีบหลบ นี่นับว่าเธอทำงานที่แม่มอบหลายให้หมดแล้ว ในใจก็ยินดีเป็นอย่างมาก ขอเพียงพี่สาวหรูเสวี่ยมีความรู้สึกต่อพี่ชายเย่เทียนเฉิน เช่นนั้นก็ยังมีหวังที่จะกลายเป็นพี่สะใภ้ของตนได้ ที่เหลือก็คือการโน้มน้าวพี่ชายเย่เทียนเฉิน เวลาที่จะตามจีบอย่างบ้าคลั่งมาถึงแล้ว

ตอนนี้เอง ภายในคฤหาสน์ตระกูลฉิน ฉินอี้ใบหน้ามืดครึ้ม นั่งอยู่ตรงกลางห้องโถงใหญ่ ด้านล่างมีลูกชายของเขาฉินเทาหยวนยืนอยู่ และยังมีอีกคนหนึ่งที่ทั้งร่างถูกห่อราวมันมี่ ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าต้องเป็นฉินเหิงแน่นอน

ฉินเหิงในตอนนี้น่าเวทนาเกินกว่าจะทนดูได้ ใบหน้าไม่เหลือเค้าเดิม หากไม่ใช่เพราะเย่เทียนเฉินยั้งเท้าเอาไว้ ชายคนนี้จะยังสามารถนั่งอยู่ที่นี่ได้ที่ไหนกัน คงไปนอนเป็นศพอยู่ในโรงพยาบาลตั้งนานแล้ว แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่กระดูกบนใบหน้าก็หักทั้งหมด ต้องทำการผ่าตัดเย็บเข้าด้วยกัน ต่อให้หายเป็นปกติ ก็ยังทิ้งรอยแผลเป็นไว้ น่าเกลียดจนทำให้ผู้คนตกใจกลัว

“พ่อครับ เหิงเอ๋อร์ถูกทำร้ายจนมีสภาพแบบนี้ เรื่องเลวร้ายแบบนี้ผมยอมไม่ได้ จะต้องแยกไอ้เจ้าเย่เทียนเฉินเป็นชิ้นๆ ให้ได้แน่นอน” ฉินเทาหยวนมองฉินเหิงที่ไม่อาจกล่าวคำพูดออกมาได้ ก็โกรธจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

“อา อา…” ฉินเหิงเองก็ราวกับมีไฟแห่งความโกรธแค้นลุกโชนอยู่ในสองตา สั่นไปทั้งตัว อยากจะเปิดปากด่า แต่ก็อ้าปากไม่ออก พออ้าปากก็เจ็บไปถึงอวัยวะภายใน ฟันทั้งปากล้วนถูกเย่เทียนเฉินกระทืบไปสามครั้งจนร่วงหมดแล้ว

ฉินอี้กำหมัดแน่น หากกล่าวตามเหตุผลแล้ว เขาก็ประมาณอายุเจ็บสิบปีแล้ว ในด้านตำแหน่งฐานะก็นับว่าค่อนข้างสูง ย่อมโมโหโกรธเคืองง่ายๆ เพราะเรื่องใดๆ ก็ตามอย่างแน่นอน และก็ไม่อาจดีใจจนใบหน้าพริ้มพรายไปด้วยความปลื้มปิติ

แต่ว่าครั้งนี้หลานที่รักและถนอมอย่างฉินเหิงถูกทำร้ายจนหน้าไม่เหลือเค้าเดิม ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ คนที่ลงมือคือเย่เทียนเฉินที่เคยเป็นตัวตลกของคนทั้งเมืองหลวง เป็นลูกหลานไม่เอาไหนและเศษสวะที่มีชื่อเสียง ฉินเหิงถูกเย่เทียนเฉินทำร้าย ไม่ใช่จะบอกว่าฉินเหิงปัญญาอ่อนและไร้ค่ายิ่งกว่าเย่เทียนเฉินอีกงั้นหรือ? นี่จะให้ตระกูลฉินของตนเอาหน้าไปไว่ที่ไหน หน้าแก่ๆ หน้านี้ของตัวเขาฉินอี้จะเอาไปวางไว้ที่ไหน?

“เรื่องนี้ฉันไม่ยอมจบง่ายๆ แน่ แต่ว่าต้องระวัดระวังสักหน่อย ใกล้จะเลือกตั้งแล้ว ข้างในมีปัจจัยหลายอย่างที่ต้องพิจารณา ถ้าหากว่าฉันสามารถก้าวไปได้อีกก้าว ก็เป็นการยกระดับสำหรับตระกูลฉินทั้งตระกูล ความสัมพันธ์สำคัญมาก ดังนั้นไว้หลังการเลือกตั้งค่อยว่ากันอีกทีเถอะ อดทนไปก่อน” ในที่สุดฉินอี้ก็คลายหมัดที่กำแน่นออก ราวกับอดกลั้นไปชั่วคราว รอให้ได้เลื่อนตำแหน่งก่อน ค่อยทำลายตระกูลเย่

………………………………………………………

บทที่ 73 ตำนานของผู้แข็งแกร่งในชาติก่อน
Ink Stone_Fantasy
“แม่ พี่นี่ขี้งกเกินไปแล้ว เป็นถึงประธานกรรมการเครือไห่หวางที่ผ่าเผย ไม่คิดเลยว่าแค่เงินสองร้อยหยวนจะตัดใจให้หนูไม่ได้ หนูถึงไม่อยากช่วยพี่ไปหยั่งเชิงไงล่ะ…” เย่เฉี่ยนเหวินยู่ปากอันน่ารัก กล่าวด้วยความโมโหเล็กน้อย

หลัวเยี่ยนมองเย่เฉี่ยนเหวินผู้เป็นลูกสาวครู่หนึ่งแล้วจึงยิ้มออกมา เธอรู้ว่าเย่เทียนเฉินตระหนี่ถี่เหนียวกับเย่เฉี่ยนเหวินมาโดยตลอด ตั้งแต่เล็กจนโตก็ไม่เคยให้ค่าขนมอะไรแก่น้องสาวเลย ต่อให้เป็นเย่เทียนเฉินในตอนนี้ที่ไม่ได้เป็นตัวตลกของเมืองหลวง ไม่ใช่เศษสวะไม่เอาไหวของตระกกูลเย่อีกต่อไปแล้ว ก็ยังคงขี้งกเช่นนั้น จุดนี้กระทั่งเธอที่เป็นแม่ก็อับจนคำพูด

“เฉี่ยนเหวิน ไปถามพี่สาวหรูเสวียของลูกหน่อยเถอะ ดูสิว่าตกลงแล้วเธอรู้สึกดีๆ กับพี่ชายของลูกหรือไม่ ถ้าหากว่ารู้สึก ถ้างั้นก็เป็นปัญหาของพี่ชายลูกแล้วล่ะ ถ้าหากว่าไม่ พวกเราก็ไม่อาจไปถ่วงผู้อื่นได้” หลัวเยี่ยนเก็บถ้วยเก็บตะเกียบไปพลางเปิดปากกล่าวไปพลาง

ความจริงแล้ว ในใจของหลัวเยี่ยน อย่างน้อยก็มีเก้าสิบเปอร์เซ็นที่หวังเป็นอย่างยิ่งว่าฉีหรูเสวี่ยจะสามารถกลายเป็นลูกสะใภ้ของตนได้ ถึงอย่างไรในสังคมปัจจุบัน หากต้องการหาลูกสะใภ้ที่งดงามทั้งยังไม่เปราะบาง เบื้องหน้ารับแขก เบื้องหลังเข้าครัว ช่างหาได้ยากจริงๆ อีกทั้งฉีหรูเสวี่ยเป็นหญิงที่ใกล้ชิดเย่เทียนเฉินที่สุดในปัจจุบันนี้ ตั้งแต่เมื่อปีนั้นที่เย่เทียนเฉินแอบดูหลิ่วหรูเหมยอาบน้ำ เขาก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง กลายเป็นไม่คบค้าสมาคมกับผู้หญิงข้างนอก นี่ทำให้หลัวเยี่ยนกังวลใจว่าผู้หญิงจะกลายเป็นปมในใจของลูกชายหรือไม่ ถึงตอนนั้นอาจจะส่งผลกระทบต่อการสืบสกุลของตระกูลเย่ได้

ดังนั้น หลัวเยี่ยนยังคิดอยู่ว่า ถามฉีหรูเสวี่ยก่อนสักหน่อย ดูว่าตกลงแล้วเธอมีความรู้สึกรักใคร่ต่อเย่เทียนเฉินหรือไม่ ถ้าหากว่ามีจริงๆ ตนเองจะลองโน้มนาวลูกชายดูสักหน่อย ผู้หญิงเช่นฉีหรูเสวี่ยนี้เป็นลูกสะใภ้ที่ดี เป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง

“ไม่ไป พี่ชายขี้งก หนูจะไม่ช่วยอะไรเขาอีกแล้ว เฮอะ!” เย่เฉี่ยนเหวินเบะปากด้วยความโกรธพลางสะบัดหน้าไปอีกด้าน

“เด็กคนนี้นี่ คิดว่าแม่ไม่รู้เหรอว่าลูกกำลังคิดอะไรอยู่? เอาไป ใช้จ่ายประหยัดๆ หน่อยล่ะ ที่สำคัญต้องให้ความสำคัญกับการอดออม” หลัวเยี่ยนหยิบธนบัตรสองร้อยหยวนออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ส่งให้เย่เฉี่ยนเหวินผู้เป็นลูกสาวพลางกล่าว

หากกล่าวถึงฐานะทางบ้านของเย่เทียนเฉินในเมืองหลวงก็ไม่นับว่าดีที่สุด แต่ว่าก็ไม่ได้ขาดแคลนอาหารเสื้อผ้า อย่างไรก็ตามหลัวเยี่ยนสองสามีภรรยาสั่งสอนเย่เทียนเฉินและเย่เฉี่ยนเหวินทั้งสองคนให้ประหยัดมาตั้งแต่เด็กๆ ไม่ให้ใช้เงินฟุ่มเฟือย เมื่อก่อนเย่เทียนเฉินไม่ได้ซึบซับความเคยชินที่ดีเช่นนี้ แต่เย่เฉี่ยนเหวินกลับรู้ มิฉะนั้นเย่เฉี่ยนเหวินที่เป็นนักเรียนมัธยมปลายปีสาม ค่าใช้จ่ายทุกเดือนซึ่งรวมค่าข้าวเช้าและข้าวกลางวันด้วยแล้วคงไม่ใช่แค่สี่ร้อยหยวน

“แม่ดีที่สุดเลยค่า งั้นแม่ล้างจานนะคะ หนูจะไปลองถามดูสักหน่อย”

เย่เฉี่ยนเหวินคว้าค่าขนมสองร้อยหยวน แล้วใส่ลงไปในกระเป๋าเสื้อ กล่าวพลางหัวเราะลั่นแล้ววิ่งไปยังชั้นสองของคฤหาสน์ เมื่อมีค่าเหนื่อย ก็ทำให้การทำเรื่องนี้อย่างมีความกระตือรือล้น

เย่เทียนเฉินนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง พรุ่งนี้ก็ต้องออกเดินทางไปยังประเทศm เพื่อคุ้มครองบุคคลากรที่จะไปทำการแลกเปลี่ยนข้อมูลลับ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เย่เทียนเฉินให้ความสำคัญที่สุด สิ่งที่เขาเฝ้ารอก็คือองค์กรทหารรับจ้างของทางฝั่งประเทศm และยังมีหน่วยพลังพิเศษเฉพาะกิจที่แข็งแกร่งอีก เขาหวังว่าจะสามารถยืมมือกลุ่มตัวประหลาดต่างชาติเหล่านี้ได้ ไม่ต้องพูดเรื่องทะลวงขอบเขตพลังพิเศษระดับจอมราชันของตนให้ทะลวงไปอีกขั้น อย่างน้อยก็ต้องฝึกฝนขอบเขตพลังพิเศษระดับจอมราชันให้มีเสถียรภาพได้

เข้าสู่สภาวะของสมาธิ เย่เทียนเฉินรับรู้ถึงพลังพิเศษทุกเส้นสายภายในร่างกายและเลือดเนื้อทุกซอกทุกมุม หลังจากทะลวงถึงระดับจอมราชัน พลังพิเศษในร่างกายก็กลายเป็นสีน้ำเงินตั้งนานแล้ว ทั้งยังค่อยๆ เข้มขึ้น นี่คือกระบวนการการเปลี่ยนสภาพไปทีละก้าว ขอเพียงกระตุ้นพลังพิเศษในร่างกายอย่างไม่หยุดหย่อน ชักนำแก่นพลังพิเศษในสมอง ถฝจึงจะสามารถทำให้ตนเองใช้พลังพิเศษของร่างกายตนเองออกมาได้อย่างคล่องแคล่วมากยิ่งขึ้น

ส่วนการดึงดูดพลังพิเศษอันแข็งแกร่งในธรรมชาติมาเปลี่ยนเป็นพลังของตนเพื่อใช้งานนั้น เกรงว่ายังต้องยกระดับขอบเขตพลังถึงระดับจักรพรรดิเสียก่อนจึงจะทำได้ ต่อให้จะรับรู้และนำมาพลิกแพลงใช้ได้ก่อน อย่างน้อยก็ต้องอยู่ในขอบเขตพลังระดับจอมราชันขั้นสูงสุด เนื่องจากชาติก่อนเย่เทียนเฉินเคยเป็นผู้แข็งแกร่งที่ขอบเขตพลังไปถึงระดับพระเจ้าแล้ว จึงมีประสบการณ์อย่างลึกซึ้งในเรื่องการรับรู้พลังธรรมชาติและการพลิกแพลงใช้งาน

ถ้าหากบอกว่าผู้มีพลังพิเศษที่มีขอบเขตพลังระดับพระเจ้าหรือกระทั่งระดับเทพราชันคนหนึ่งมีความสามารถถล่มสวรรค์ทลายปฐพี เช่นนั้นหากเปรียบเทียบกับพลังที่แฝงอยู่ในธรรมชาติ ก็ยังด้อยกว่า ในธรรมชาติ ต้นไม้ต้นหญ้าทุกต้น ภูเขาก้อนหินทุกลูก ทุกสิ่งล้วนแต่แฝงไปด้วยพลังงานอันแข็งแกร่ง ถ้าหากสามารถนำมาใช้ได้จริงๆ จะสามารถทำให้ขอบเขตพลังของคนคนหนึ่งแข็งแกร่งขึ้นจนน่าหวาดกลัว

“โลกแห่งนี้ จะมีผู้มีพลังพิเศษที่ขอบเขตพลังถึงระดับเทพราชันไหมนะ? ชาติก่อนฉันเองก็แค่เคยได้ยินการดำรงอยู่ของผู้แข็งแกร่งระดับเทพราชันมาเท่านั้น…หลี่ไป๋!”

เย่เทียนเฉินรับรู้ถึงลมหายใจของเย่เฉี่ยนเหวินน้องสาวที่ขึ้นมาชั้นบนจึงลืมตาขึ้น แล้วกล่าวพึมพำประโยคนี้กับตนเอง เขามาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ แม้ว่าจะรู้สึกคาดหวังถึงการมีอยู่ของยอดฝีมือที่แข็งแกร่งเกินพิกัดในโลกนี้อยู่บ้าง แต่เขาก็มีความทรงจำของชาติก่อนอยู่ แม้ว่าชาติก่อนจะเป็นโลกที่โหดร้ายและเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด แต่ที่นั่นก็มีเพื่อนของเย่เทียนเฉินอยู่เช่นกัน ความทรงจำของเย่เทียนเฉินตั้งแต่เล็กจนโต หากว่ามีโอกาสก็อยากจะกลับไปนึกดูสักหน่อย

หลี่ไป๋ เย่เทียนเฉินพึมพำถึงชื่อนี้กับตนเอง เนื่องจากชาติก่อนในโลกที่เต็มไปด้วยสงครามนี้ เขาที่ได้เป็นผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษระดับพระเจ้า ย่อมมีจิตใจอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับพลังระดับที่สูงยิ่งขึ้นอย่างระดับเทพราชัน พลังระดับเทพราชันมิอาจนำมาพูดรวมกันกับพลังระดับพระเจ้าได้ เพราะมีความต่างกันราวฟ้ากับเหว ในชาติก่อน ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครเคยพบผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษในขอบเขตระดับเทพราชันมาก่อนเลย ต่อให้เป็นตำนานเล่าขานของพวกเขาก็อยู่มีน้อยมากๆ จะอย่างไรก็ตามเมื่อแข็งแกร่งไปถึงระดับหนึ่งแล้ว สิ่งที่พวกเขาคิดและทำย่อมไม่เหมือนกัน หลี่ไป๋ ในชาติก่อนชื่อนี้สั่นสะเทือนใต้หล้า เขาคือผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษระดับเทพราชันเพียงคนเดียวที่มีเสียงเล่าลือถึงชื่อของเขาในหลายปีนี้

“เดิมทียังคิดว่ามีโอกาสพบกับหลี่ไป๋ ดันมาเกิดใหม่ในโลกนี้ หากไม่มีโอกาสกลับไปที่โลกเดิม ทั้งหมดก็สูญเปล่า…”

พูดไป เย่เทียนเฉินก็ลงจากเตียง ตอนที่เขากำลังทำสมาธิขับเคลื่อนพลังพิเศษในร่างกายอยู่ ก็รู้สึกถึงลมหายใจของเย่เฉี่ยนเหวินน้องสาวที่ขึ้นมาข้างบน นี่ไม่ใช่ว่าเขาแผ่พลังพิเศาแห่งการรับรู้ออกมา เย่เทียนเฉินไม่ทำเช่นนั้นในบ้านของตนเอง นี่เป็นการดูหิ่นและไม่เคารพคนในครอบครัว เพียงแต่หลังจากที่ขอบเขตพลังถึงระดับจอมราชันแล้ว ในสภาพสมาธิ แม้แต่เสียงเข็มหล่นใกล้ๆ ก็ได้ยินอย่างชัดเจน

ปังปังปัง!

ข้างนอกมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น เย่เฉี่ยนเหวินเดินมาหถึงประตูห้องนอนที่ฉีหรูเสวี่ยอาศัยอสู่ ก็เคาะประตูอย่างแรง ทั้งยังตะโกนเสียงดังว่า “พี่สาวหรูเสวี่ย เปิดประตูหน่อยค่ะ หนูเองเฉี่ยนเหวิน ไม่ใช่พี่ชายแย่ๆ คนนั้น”

“ยัยเด็กแสบคนนี้นี่ คอยดูเถอะว่าหลังจากนี้พี่ชายจะจัดการกับเธอยังไง” เย่เทียนเฉินได้ยินประโยคนี้ของเย่เฉี่ยนเหวินผู้เป็นน้อง ก็มีสีเส้นสีดำผุดขึ้นบริเวณศีรษะ เด็กคนนี้นับวันก็ยิ่งไม่รู้จักระดับอาวุโส เห็นตนเองที่เป็นพี่ชายอยู่ในสายตาที่ไหนกัน

“พี่สาวหรูเสวี่ย เป็นหนูเองจริงๆ ไม่มีเจ้าพี่ชายแย่ๆ คนนั้น พี่สาวเปิดประตูหน่อยนะคะ หนูมีธุระกับพี่” เมื่อเห็นว่าฉีหรูเสวี่ไม่เปิดประตู เย่เฉี่ยนเหวินจึงตะโกนต่อไป

ตอนนี้เอง ฉีหรูเสวี่ยที่แอบอยู่ในผ้าห่มบนเตียง ยังคงมีใบหน้าแดงก่ำ ในสมองยังมิอาจสลัดภาพที่ตนเองจูบกับเย่เทียนเฉินไปได้ แม้เธอจะพยายามควบคุมตนเองไม่ให้คิดถึงฉากนั้นเช่นไร ก็ยังปรากฏอยู่ในสมอง ยิ่งไม่อยากคิดถึงเท่าไร ก็ยิ่งปรากฏในสมองมากขึ้นเท่านั้น เธอโกรธจนขบฟันแน่น เกลียดเจ้าคนชั่วเย่เทียนเฉินจะตายอยู่แล้ว

ได้ยินเสียงของเย่เฉี่ยนเหวิน ฉีหรูเสวี่ยชะงักไปชั่วครู่ แล้วจึงลุกขึ้นจากเตียง ตอนนี้เธออึดอัดจนทนไม่ไหว อยากจะหาใครสักคนคุยด้วย ช่วงนี้การคบหากับเย่เฉี่ยนเหวินและคุณป้าหลัวเยี่ยนทำให้ฉีหรูเสวี่ยรู้สึกสบายใจ หากไม่ใช่ว่าเย่เทียนเฉินอยู่ที่นี่และคิดอยากจะไล่ตนเองไป ฉีหรูเสวี่ยก็อยากจะอาศัยอยู่ที่นี่จริงๆ

เกิดเสียงดังเอี๊ยดขึ้น ฉีหรูเสวี่ยเปิดประตูห้องนอน มองเย่เฉี่ยนเหวิยิ้มเจ้าเล่ห์มองมาทางตน อดไม่ได้ที่จะหน้าแดงขึ้นไปอีก มองเย่เฉี่ยนเหวินครู่หนึ่งพลางกล่าวว่า “น้องสาวยังเด็กไม่หลับไม่นอน มาหาพี่สาวทำไม?”

“ฮี่ๆ พี่สาวหรูเสวี่ย หนูรู้ว่าตอนนี้พี่อยากมีคนคุยเป็นเพื่อน ดังนั้นหนูก็เลยมา พี่วางใจเถอะ หนูอยู่ข้างพี่สาวแน่นอน ส่วนพี่ชายของหนู คนขี้งกขนาดนั้น หนูไม่อยากสนใจเขาแล้ว เขาก็แค่คนทึ่มที่ไม่รู้จักความรักของหนุ่มสาว”

เพื่อที่จะสามารถใกล้ชิดกับฉีหรูเสวี่ยให้มากๆ เพื่อจะสามารถได้รับความเชื่อมั่นจากฉีหรูเสวี่ย เพื่อที่จะได้ถามความจริงในใจภายหลัง เย่เฉี่ยนเหวินนำเย่เทียนเฉินผู้เป็นพี่ชายออกมาขายอย่างตามใจ ไม่เพียงแต่พูดว่าเย่เทียนเฉินเป็นเจ้าคนชั่ว ยังบอกว่าเขาเป็นไอ้ทึ่มอีก เย่เทียนเฉินที่อยู่บริเวณประตูของตนได้ยิน แทบอยากจะพุ่งออกไปแจกมะเหงกให้เย่เฉี่ยนเหวินสักสองที

“ใครบอกว่าพี่ต้องการคนคุยแก้กลุ้มกัน เด็กแก่แดด รีบเข้ามาเถอะ!”ฉีหรูเสวี่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม

เย่เฉี่ยนเหวินยิ้มหวานพลางเข้าไปในห้องนอนของฉีหรูเสวี่ย หญิงสาวสองคนปิดประตูห้อง เริ่มพูดคุยกันอยู่ภายใน เย่เทียนเฉินคิดสักครู่ จึงคิดว่าช่างมันเถอะ จะไปสนว่าพวกเธอคุยกันทำไม คงไม่ใช่พูดถึงตนเองดีๆ แน่นอนอยู่แล้ว ตอนนี้กระทั่งน้องสาวแท้ๆ ก็กลายเป็นกบฏ ทำให้ตนเองหดหู่จริงๆ เข้านอนเร็วหน่อย พรุ่งนี้เช้ายังต้องรีบไปสนามบินนานาชาติแห่งเมืองหลวงเพื่อไปประเทศm

“พี่สาวหรูเสวี่ย ชุดนอนพี่สวยจัง ชุดนอนเซ็กซี่ขนาดนี้ รวมกับร่างกายที่เพอร์เฟ็คขของพี่ ถ้าหนูเป็นผู้ชาย จะต้องรักพี่แน่ๆ” เย่เฉี่ยนเหวินยิ้มพลางกล่าวหยอกล้อ

“ปากหวานจริงๆ เลยนะ วันๆ ไม่รู้จักตั้งใจเรียน รู้แต่เรื่องพวกนี้ ไม่ใช่มีคนที่สนใจอยู่แล้วนะ?” ฉีหรูเสวี่ยกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม

“มีที่ไหนกัน ทำไมพี่สาวถึงพูดเหมือนพี่ชายหนู พี่สองคนเข้าใจกันดีจริง” เย่เฉี่ยนเหวินกล่าวด้วบใบหน้าแดงก่ำ

“ไม่หรอกมั้ง พี่กับเจ้าคนชั่วนั่นเข้าใจกัน ช่างซวยจริงๆ แต่ยังไงพวกเราก็มาพูดกันตรงๆ เถอะ เธอมีแฟนแล้วใช่ไหม?” ฉีหรุเสวี่ยกล่าวเย้าเย่เฉี่ยนเหวินต่อไป

“หยุดเถอะ เรื่องของพี่กับพี่ชายหนู อย่าลากเข้ามาเรื่องของหนูสิ ใช่แล้วพี่สาวหรูเสวี่ย พี่ว่าพี่สวยขนาดนี้ หุ่นดีขนาดนี้ เซ็กซี่ขนาดนี้ ทำไมถึงยังไม่มีแฟนล่ะ?” เย่เฉี่ยนเหวินถามอย่างต้องการหยั่งเชิง

“พี่สวยเหรอ? เซ็กซี่เหรอ? ทำไมพี่ไม่รู้สึกล่ะ?” ฉีหรูเสวี่ยกล่าวถามอย่างสงสัย

ฉีหรูเสวี่ยที่เดิมทีมีความมั่นใจในตัวเองมาโดยตลอด ตั้งแต่พบกับเย่เทียนเฉิน คนคนนี้แต่ไหนแต่ไรก็ทะเลาะกับเธอ ไม่มีความโอนโยนเลยแม้แต่น้อย นี่ทำให้ฉีหรูเสวี่ยค่อยๆ รู้สึกไม่มั่นใจในตัวเอง ถ้าหากว่าตนเองสวยและเซ็กซี่ขนาดนั้นจริงๆ ทำไมเย่เทียนเฉินคนนี้ถึงไม่เคยใจเต้นเลย ไม่รู้จักยอมลงให้ตนเองที่เป็นสาวสวยคนหนึ่งเลย?

…………………………………………….

บทที่ 72 ฉีหรูเสวี่ยเสียจูบแรกไปแล้ว
Ink Stone_Fantasy
วันนั้นตอนกลางคืน บนโต๊ะอาหารมีเพียงเย่เทียนเฉิน เย่เฉี่ยนเหวินและหลัวเยี่ยนสามคนกินข้าวกัน ส่วนฉีหรูเสวี่ยเพราะว่าเขินอายจึงหลบอยู่ในห้องนอนของตนเองไม่ออกมา หลัวเยี่ยนและเย่เฉี่ยนเหวินต่างก็เข้าไปดูมาแล้ว พบว่าฉีหรูเสวี่ยกำลังนอนหลับอยู่บนเตียง

ตอนนี้เอง ฉีหรูเสวี่ยที่อยู่บนเตียงในห้องนอน ใบหน้ายังคงแดงระเรื่อ แม้ว่าเวลาจะผ่านไปหลายชั่วโมงแล้ว และก็เป็นเพียงการจูบเบาๆ เท่านั้น ในสายตาของคนจำนวนมากในยุคปัจจุบัน ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรเลย เป็นสิ่งที่ไม่ควรค่าแก่การกล่าวถึงด้วยซ้ำ แต่กลับทำให้หัวใจของฉีหรูเสวี่ยเต้นตึกตักไม่หยุด เนื่องจากนั่นเป็นจูบแรกของเธอ ถูกเย่เทียนเฉินขโมยไปเช่นนี้ จะไม่ให้ฉีหรูเสวี่ยใจเต้นหน้าแดงได้อย่างไร ถึงขนาดโกรธเคืองเล็กน้อยอีกด้วย

ฉีหรูเสวี่ยเติบโตมาในต่างประเทศโดยตลอด จนถึงปีนี้ที่เรียนที่ต่างประเทศจนจบการศึกษาถึงได้กลับประเทศมา รวมกับการหมั้นหมายของเย่เทียนเฉินในสมัยก่อน พวกนี้ล้วนแต่เป็นตระกูลที่ตัดสินใจตามอำเภอใจ ไม่ได้ผ่านฉีหรูเสวี่ยเลย ดังนั้นจึงเกิดเหตุการณ์ที่ฉีหรูเสวี่ยเจอหน้าเย่เทียนเฉินที่เครือไห่หวางและไม่ยอมถอนหมั้นขึ้น เธอไม่ใช่ว่าจะเกิดรักแรกพบกับเย่เทียนเฉิน แต่เพราะไม่อยากถูกตระกูลผูกมัด อยากจะพิสูจน์ว่าเรื่องของตัวเองก็จะทำด้วยตัวเอง ต่อสู้ดิ้นรนเพื่อความสุขชั่วชีวิตของตน

ตอนที่อยู่ต่างประเทศ ก็มีหนุ่มหล่อมากมาย หรือกระทั่งลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์มาตามจีบตนเอง แต่ว่าในนี้ไม่มีสักคนเดียวที่จะทำให้ฉีหรูเสวี่ยใจเต้น เนื่องจากคนที่ตามจีบตนเองเหล่านี้ หากไม่อวดอ้างบารมีภูมิหลังของตระกูล หรือยะโสโอหัง ก็มองแต่ความงดงามของตนเอง อยากจะขึ้นเตียงกับเธอฉีหรูเสวี่ยก็เท่านั้น สำหรับผู้หญิงคนหนึ่ง โดยเฉพาะผู้หญิงที่สวยงามคนหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องที่ควรค่าแก่การยินดีอะไร แต่เป็นการดูถูกอย่างหนึ่ง นี่เป็นสาเหตุที่ฉีหรูเสวี่ยกลับประเทศมา

เป็นเพราะเหล่าคุณชายที่มาตามจีบตนเอง ไม่เข้าตาฉีหรูเสวี่ยสักคนเดียว ดังนั้นจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครได้สัมผัสเธอในระยะใกล้เลย กระทั่งหอมแก้มหรือจับมือก็ยังไม่เคย ที่ทำให้เธอแม้ตายก็คิดไม่ถึงก็คือ จูบแรกของเธอจะถูกเย่เทียนเฉินเจ้าคนชั่วเกินพิกัดคนนี้ขโมยไป ช่างทำให้ผู้คนหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้จริงๆ

“เย่เทียนเฉิน เจ้าคนชั่ว ไอ้บ้ากาม ไอ้กุ๊ยสมควรตาย ฉันฉีหรูเสวี่ยไม่ปล่อยนายไปง่ายๆ แน่ กล้าขโมยจูบแรกของคุณหนูใหญ่อย่างฉัน จะต้องให้นายจ่ายราคาแห่งความเจ็บปวดแน่นอน!” ฉีหรูเสวี่ยกัดฟันพูดด้วยความโกรธ

เย่เทียนเฉินกำลังกินข้าวอยู่ในห้องโถงชั้นหนึ่ง พลันรู้สึกหูของตนเองเห่อร้อน จึงเงยหน้ามองไปที่ชั้นสองครู่หนึ่ง ในใจคิดว่าต้องเป็นฉีหรูเสวี่ยกำลังด่าตนเองอยู่แน่ๆ เดิมทีต้องการที่จะแอบกระตุ้นพลังพิเศษแห่งการรับรู้ คิดไปคิดมาว่าอยู่ในบ้านตัวเองก็เลยช่างมันเถอะ ไม่ได้มีความหมายอะไรมากมาย และก็ไม่อยากมีปัญหากับผู้หญิงอัปลักษณ์ป่าเถื่อนอย่างฉีหรูเสวี่ยด้วย

“พี่ชาย มีอะไรเหรอ? กลัวว่าพี่สาวหรูเสวี่ยจะหิวเหรอ อยากขึ้นไปส่งข้าวด้วยตัวเองเหรอ?” เย่เฉี่ยนเหวินเห็นเย่เทียนเฉินผู้เป็นพี่มองไปยังชั้นสองของคฤหาสน์ก็พูดอย่างสนอกสนใจ

“ยัยตัวแสบ วันๆ ไม่เล่าเรียนให้ดีๆ ทำไมเอาแต่ขลุกอยู่กับเรื่องพวกนี้นะ? พูดมา มีแฟนอยู่ที่โรงเรียนใช่ไหม? สารภาพมาซะดีๆ ไม่งั้นถูกพี่กับแม่รู้เข้า น้องแย่แน่” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางยิ้มร้าย

“มะ…มีที่ไหนกันล่ะ หนูไปเรียนตรงเวลาทุกวัน กลับบ้านก็ตรงเวลา จะไปเหมือนพี่ที่ไหนกัน กลับบ้านดึกมาหลายวันแล้ว” เย่เฉี่ยนเหวินได้ยินคำพูดของพี่ชาย ใบหน้าก็แดงระเรื่อ รีบกล่าวออดมาพลางทำหน้ายู่

“งั้นเหรอ? จริงหรือหลอก? พรุ่งนี้พี่ไปถามที่โรงเรียนน้องก็รู้แล้วล่ะ…” เย่เทียนเฉินถามอย่างบีบบังคับพลางแย้มยิ้มชั่วร้าย

“แม่ แม่ดูพี่สิคะ เขารังแกคนอื่น!” เย่เฉี่ยนเหวินคิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะมาไม้นี้ จึงรีบหาแม่มาช่วย

เห็นว่าในที่สุดเย่เฉี่ยนเหวินผู้เป็นน้องก็รู้จักหวาดกลัว เย่เทียนเฉินยิ่งหัวเราะอย่างสะใจมากขึ้น แสร้งทำเป็นกล่าวอย่างอับจนคำพูดว่า “ไม่หรอกมั้ง ดูเหมือนน้องกำลังรังแกพี่อยู่เลย? ตอนนี้ถึงกับให้แม่มาช่วย ดูท่าแล้วต้องมีข่าวของน้องที่โรงเรียนแน่ๆ”

“ไม่มี เห็นชัดๆว่าพวกเรากำลังพูดถึงเรื่องของพี่กับพี่สาวหรูเสวี่ย แต่พี่ดึงหัวข้อมาเป็นเรื่องของหนู นี่ก็เป็นการรังแกคน เฮอะ ไม่สนใจพี่แล้ว!” เย่เฉี่ยนเหวินทำปากยู่ สะบัดหัวไปอีกทางหนึ่งพลางกล่าว

“งั้นเหรอ? ตอนนี้พี่ชายใหญ่อย่างพี่สนใจเรื่องภายในโรงเรียนของน้องมาก…” เย่เทียนเฉินหัวเราะฮี่ๆ พลางกล่าวต่อไป

“แม่ แม่ดูพี่สิเขา…” ใบหน้าของเย่เฉี่ยนเหวินมีอาการอายจนแดงเล็กน้อย รีบดึงแขนของหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่พลางกล่าว

“เอาล่ะ เอาล่ะ เทียนเฉิน แม่อยากจะถามลูกมาตลอด ตกลงแล้วลูกมีความรู้สึกต่อหรูเสวี่ยรึเปล่า? ถ้าหากว่ามี งั้นก็จีบเถอะ หรูเสวี่ยเด็กคนนี้ไม่เลวเลย ไม่ต้องคิดให้มากจนเกินไป หากว่าไม่มี ก็รีบทำให้ชัดเจนแต่เนิ่นๆ การที่หรูเสวี่ยอาศัยอยู่ในบ้านของพวกเรา ไม่ใช่ว่าจะเป็นวิธีเดียว ในเมื่อผู้อื่นเขายังเป็นหญิงสาวที่ยังไม่ได้ออกเรือน และถ้าตระกูลฉีมาถามหาคนถึงที่บ้าน พวกเราต้องส่งคืนไปไม่ใช่หรือ?” หลัวเยี่ยนกล่าวถามพลางมองเย่เทียนเฉินอย่างจริงจัง

“ไม่มีครับ ไม่มีอย่างแน่นอน แม่ครับ คำถามนี้ของแม่นับว่าถามได้ถูกจุดแล้ว ผมบอกแม่กับน้องไปนานแล้วว่าผมไม่ได้มีความรู้สึกต่อฉีหรูเสวี่ยแม้แต่น้อย อีกอย่างหญิงคนนี้ก็หลอกลวงพวกคุณแม่ เธอก็แค่ไม่อยากกลับบ้าน ไม่อยากหมั้นกับตระกูลฉิน ไม่งั้นจะมาอยู่ที่บ้านพวกเราได้ไง!” เย่เทียนเฉินเห็นว่าหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่กล่าวถามออกมาอย่างจริงจัง ก็รีบเปิดปากพูด

หลัวเยี่ยนคิดครู่หนึ่ง กล่าวตามจริง ในใจลึกๆ เธอยังมีความหวังว่าฉีหรูเสวี่ยจะสามารถมาเป็นลูกสะใภ้ของเธอได้ ได้ผ่านการใช้เวลาอยู่ร่วมกันช่วงระยะหนึ่ง หลัวเยี่ยนพบว่า ฉีหรูเสวี่ยไม่ได้มีท่าทีเฉกเช่นคุณหนูสูงศักดิ์ ไม่ว่าจะการทำการพูด ล้วนแต่สบายๆ อีกทั้งยังเป็นผู้หญิงที่ละเอียดอ่อน เบื้องหน้ารับแขก เบื้องหลังเข้าครัว รวมกับโตมาอย่างงดงามขนาดนั้น เป็นหญิงดีงามที่หาได้ยากจริงๆ

แต่ว่า ช่วงนี้หลัวเยี่ยนก็พบว่าเย่เทียนเฉินผู้เป็นลูก ดูราวกับว่าไม่มีความรู้สึกใดๆ ต่อฉีหรูเสวี่ยจริงๆ นี่ทำให้เธอสงสัยอยู่บ้าง

หากว่าฉีหรูเสวี่ยเป็นเด็กจากครอบครัวธรรมดา มีหลายเรื่องที่พูดกันได้ แต่เธอกลับเป็นคุณหนูสูงศักดิ์จากตระกูลฉี เคยหมั้นกับเย่เทียนเฉินและเคยถอนหมั้นอีกด้วย ตอนนี้ก็ยังอาศัยอยู่ในบ้านของตน ความสัมพันธ์เหล่านี้นับวันก็ยิ่งซับซ้อน นับวันก็ยิ่งกล่าวได้ไม่ชัดเจน ภูมิหลังครอบครัวของฉีหรูเสวี่ยยิ่งใหญ่กว่าตระกูลเย่มาก ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นเพราะฉีหรูเสวี่ยมาอยู่ที่ตระกูลเย่จริงๆ ทำให้ชื่อเสียงของเธอเสียหาย ตระกูลฉีย่อมไม่ยอมจบง่ายๆ แน่ ถึงตอนนั้นอาจจะเกิดปัญหาใหญ่ก็เป็นได้

ดังนั้นหลังจากผ่านการพิจารณาครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งยังปรึกษาเย่หงผู้เป็นสามีแล้วนั้น ก็เตรียมที่จะถามเย่เทียนเฉินให้ชัดเจน ถ้าหากเขาชอบจริงๆ เช่นนั้นก็จะสนับสนุนลูกชายอย่างเต็มที่ ถ้าหากว่าไม่ได้ชอบ เช่นนั้นก็ให้ฉีหรูเสวี่ยกลับบ้านไปตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อหลีกเลี่ยงข่าวลือไม่ดีในภายหลังจนสร้างความขัดแย้งระหว่างตระกูลฉีและตระกูลเย่

“ถ้าเป็นเช่นนี้จริงๆ งั้นลูกก็ไปพูดกับฉีหรูเสวี่ยให้ชัดเจน ให้เธอกลับบ้าน อย่าทำให้ชื่อเสียงของฝ่ายหญิงต้องด่างพร้อย” หลัวเยี่ยนเปิดปากกล่าว

“นี่…แม่ครับ นี่ให้แม่ไปพูดเถอะครับ ผมไม่อยากสนใจผู้หญิงป่าเถื่อนคนนั้นแล้ว!” เย่เทียนเฉินยังคงรู้สึกว่าใบหน้าฝั่งซ้ายเห่อร้อนจนปวด การตบของฉีหรูเสวี่ยนั้นช่างรุนแรงจริงๆ

“แม่เองก็ไม่สะดวกที่จะพูด จะอย่างไรผู้มาก็เป็นแขก จะให้บอกใบ้ให้กลับไป ก็ทำไม่ลงจริงๆ” หลัวเยี่ยนกล่าวอย่างลำบากใจ

ตอนนี้เอง เย่เฉี่ยนเหวินที่ฟังอยู่ด้านหนึ่ง หัวเราะฮี่ๆ มองเย่เทียนเฉินผู้เป็นพี่อย่างร้ายกาจพลางกล่าวถามว่า “พี่ชาย พี่พี่อยากให้พี่สาวหรูเสวี่ยจากไปมากๆ เลยใช่ไหม?”

“แน่นอนว่าอยากอยู่แล้ว มีวิธีอะไรดีๆ แล้วเหรอ?” เย่เทียนเฉินรีบกล่าวถาม

“ฮี่ๆ นี่ก็ต้องดูการแสดงออกของพี่แล้ว…” เย่เฉี่ยนเหวินกล่าวพลางยื่นมือขวาออกไป ทำท่าทางบอกใบ้ว่าต้องการธนบัตร

เย่เทียนเฉินมองเย่เฉี่ยนเหวินผู้เป็นน้องอย่างหดหู่ กล่าวอย่างอับจนคำพูดว่า “ผิดหรือเปล่า กระทั่งพี่ชายตัวเองก็ยังรีดไถอีก?”

“นี่เป็นปกติที่หนูสมควรได้รับจากการลงแรง พี่ไม่อยากฟังก็ช่างมันเถอะ” เย่เฉี่ยนเหวินกล่าวออกมาอย่างชาญฉลาด

เย่เทียนเฉินไม่รู้จะทำอย่างไรกับน้องสาวจริงๆ ทำได้เพียงหยิบธนบัตรออกมาใบหนึ่งจากบริเวณบั้นท้ายด้านหลัง ตบเบาๆ ลงบนมือของเย่เฉี่ยนเหวินผู้เป็นน้องพลางกล่าวว่า “รีบพูดมาเถอะ กลัวก็แต่ว่าน้องจะเอาค่าเหนื่อยไปแล้วไม่มีวิธีดีๆ”

เย่เฉี่ยนเหวินเดิมทีก็ดีใจมากอยู่แล้ว ในที่สุดก็ไถเงินพี่ชายได้ ไหนเลยจะรู้ว่า เมื่อมองไปที่ธนบัตรบนฝ่ามือก็แทบจะร้องไห้ เป็นธนบัตรมูลค่าห้าเหมา(ประมาณ2บาท) ตนเองไม่ใช่xxxนะ พี่ชายจะขี้เหนียวไปรึเปล่า?

“ไม่จริงน่ะ? ห้าเหมา? พี่ชาย จะยังไงพี่ก็เป็นประธานกรรมการของเครือไห่หวาง นั่งอยู่บนทรัพย์สินนับร้อยล้าน เอาเงินออกมาจากตัวแค่ห้าเหมา ไม่อายคนเขาเหรอ?” เย่เฉี่ยนเหวินกรอกตาใส่พี่ชายอย่างอับจนคำพูด

“จะเอาไม่เอา ไม่เอาก็ยกเลิก ไม่แน่ความคิดของน้องอาจไม่คุ่มค่าห้าเหมานี่ด้วยซ้ำ” เย่เทียนเฉินจงใจใช้วิธีการรุนแรงพูดกับเย่เฉี่ยนเหวินน้องสาว

“ใครบอกว่าหนูไม่มีวิธีดีๆ? ถ้าหากว่าความคิดของหนูไม่เลว พี่ให้หนูสองร้อยโอเคไหม?” เย่เฉี่ยนเหวินทำหน้ายู่พลางกล่าว

“ไม่มีปัญหา” เย่เทียนเฉินตอบอย่างตรงไปตรงมา

“ในเมื่อพี่กับแม่ รู้สึกไม่ดีที่จะต้องไปปพูดกับพี่สาวหรูเสวี่ย ถ้างั้นก็ให้หนูไป หนูกับพี่สาวหรูเสวี่ยเป็นเพื่อนที่คุยกันได้ทุกเรื่อง อีกอย่างพวกเราก็เป็นคนวัยเดียวกัน หลายๆ เรื่องพูดกันได้สะดวกกว่าพวกพี่” เย่เฉี่ยนเหวินกล่าวอย่างลำพองใจ

“ความคิดนี้ไม่เลวเลย เฉี่ยนเหวินสามารถไปลองเชิงหรูเสวี่ยดูก่อน ถามความรู้สึกของเธอ หากมีโอกาส ก็เผยปัญหาเหล่านี้กับเธอ ดูว่าเธอจะทำยังไง พวกเราเองก็ไม่อาจไล่คนอื่นไปได้หรอกใช่ไหม” หลัวเยี่ยนพยักหน้ากล่าว

“ขอเพียงแค่น้องสามารถทำให้ฉีหรูเสวี่ยไปจากบ้านเราได้ พี่ชายก็จะให้น้องสองร้อย!” เย่เทียนเฉินกล่าวอย่างแสนดี

“พี่ชาย พี่หน้าไม่อายจริง พูดอยู่ชัดๆ ว่าถ้าความคิดหนูดีจะให้สองร้อย” เย่เฉี่ยนเหวินเห็นว่าเย่เทียนเฉินผู้เป็นพี่ตีเนียนก็รีบพูดเสียงดัง

“นั่นน้องได้ยินไปเองแล้ว ถ้าทำเรื่องนี้ได้ดี พี่จะให้รางวัลสองร้อยหยวน บายบาย ฝันดี!”

เย่เทียนเฉินกล่าวจบ ไม่รอให้น้องสาวโมโหใส่ก็วิ่งหายขึ้นไปชั้นสองราวกับควันแล้วปิดประตูห้องนอน พรุ่งนี้เช้ายังต้องรีบไปที่สนามบิน เดิมทีต้องการจะพูดกับแม่และน้องสักหน่อยว่าตนเองจะไปต่างประเทศสักหลายวัน ตอนนี้ดูแล้วถึงเวลาค่อยโทรบอกก็พอ

เข้ามาถึงภายในห้องนอน เย่เทียนเฉินก็นั่งขัดสมาธิ เริ่มรับรู้ถึงพลังพิเศษทุกหยดภายในชีพจรในร่างกาย ตั้งแต่ขอบเขตพลังพิเศษยกระดับไปถึงระดับจอมราชัน เขาก็ยังไม่ได้ฝึกฝนดีๆ เลย การไปประเทศmคราวนี้ ที่นั่นมีหน่วยพลังพิเศษเฉพาะกิจอยู่ ภายในมียอดฝีมือเยอะราวฝูงเมฆ เป็นไปได้มากว่าจะเจอกับการต่อสู้ที่เต็มไปด้วยความยากลำบากและกลิ่นคาวเลือด ฝีมือไม่แข็งแกร่งไม่ได้ อีกอย่างเย่เทียนเฉินก็เฝ้ารอการต่อสู้กับชางหลางอีกด้วย

………………………………………………..

บทที่ 71 ริมฝีปากของสาวงามไม่น่าจูบเลย!
Ink Stone_Fantasy
ภายในคฤหาสน์ตระกูลเย่ เย่เทียนเฉินและฉีหรูเสวี่ยกำลังยืนอยู่กลางห้องโถง ตอนนี้เย่เทียนเฉินยังคงไว้ด้วยท่าทางถอยหลังเล็กน้อย ส่วนฉีหรูเสวี่ยกลับเอนตัวไปข้างหน้า สองมือจับที่แขนซ้ายขวาของเย่เทียนเฉินตามลำดับ ริมฝีปากประทับลงบนริมฝีปากของอีกฝ่าย ทั้งคู่ยืนอยู่ที่เดิมอย่างตื่นตระหนกไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกระทันหันเกินไป แถมยังเกิดต่อหน้าหลัวเยี่ยนและเย่เฉี่ยนเหวิน ทั้งหมดต่างก็ทำอะไรไม่ถูก

เวลาราวกับจะหยุดนิ่ง เย่เทียนเฉินและฉีหรูเสวี่ยต่างก็จ้องตากัน หลัวเยี่ยนและเย่เฉี่ยนเหวินอ้าปากค้างทั้งดวงตาเบิกกว้าง มองเหตุการณ์นี้อย่างตกใจ ใครก็คิดไม่ถึงว่า ณ เวลานี้ เย่เทียนเฉินจะจูบกับฉีหรูเสวี่ย คู่รักคู่แค้นคู่นี้ อาจจะเป็นเป็นฟ้าลิขิตจริงๆ ก็ได้!

เพี๊ยะ!

เสียงตบหน้าเสียงหนึ่งดังขึ้น ทำให้เย่เทียนเฉิน หลัวเยี่ยน และเย่เฉี่ยนเหวินสามคนถูกลากกลับมายังความเป็นจริง เห็นเพียงใบหน้าอันงดงามของฉีหรูเสวี่ยแดงก่ำด้วยความเขินอาย รวมกับท่าทางงามล่มเมืองอีกหลายส่วน ดูแล้วยิ่งสวยเตะตาผู้คน

“ไอ้…ไอ้คนชั่ว นายจะมากไปแล้ว!” ฉีหรูเสวี่ยอายจนใบหน้าเล็กๆ แดงก่ำ ใช้สายตาอันโกรธเคืองจ้องมองไปยังเย่เทียนเฉินพลางคำรามลั่น

“ฉัน…ฉันเกินไปแล้ว?” เย่เทียนเฉินที่ยังคงดูไม่มีสติกล่าวถามอย่างตะกุกตะกัก

“ไปตายซะ…”

“อ๊ะ!”

ถูกฉีหรูเสวี่ยเหยียบขาอย่างโหดเหี้ยมครั้งหนึ่ง เย่เทียนเฉินเจ็บจนแยกเขี้ยว รองเท้าส้นสูงของผู้หญิง เป็นเครื่องมือที่มีพลังทำลายล้างสูงมาก รอจนเย่เทียนเฉินได้สติกลับมา ฉีหรูเสวี่ยก็อายจนวิ่งขึ้นไปชั้นสองแล้ว พุ่งเข้าไปในห้องนอนพลางปิดประตูห้องของตัวเองเสร็จสรรพ

“เฮ้ย เป็น เป็นเธอที่โถมตัวเข้ามาจูบฉันเอง โอเคไหม? ฉันยังถูกเธอตบถูกเธอเหยียบอีก เธอจำเป็นต้องอยุติธรรมแบบนี้ด้วยเรอะ?” เย่เทียนเฉินได้สติกลับมาก็ตะโกนเสียงดังลั่นไปยังชั้นสอง

หากจะบอกว่าในใจเย่เทียนเฉินไม่ตื่นเต้นก็คงจะเป็นไปไม่ได้ ในชาติก่อนแม้ว่าข้างกายเย่เทียนเฉินมีหญิงงามชั้นเลิศอยู่มาก สำหรับผู้หญิงแล้ว เย่เทียนเฉินก็ใช่ว่าจะไม่เคยเจอ หญิงที่งามหยดย้อยก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยร่วมหลับนอนกันมาก่อน เพียงแต่ในโลกนี้ เย่เทียนเฉินยังไม่เคยคิดถึงปัญหาเรื่องผู้หญิงมาก่อน

แม้ว่าตอนนี้เขาจะพบผู้หญิงหลายคน ทุกคนต่างก็ไม่เลว ต่างก็เป็นหญิงเกรดพรีเมี่ยม แต่ว่าเย่เทียนเฉินนั้นไม่มีความรู้สึกอะไรแม้แต่น้อย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีความรู้สึกอะไรเลย ตั้งแต่เขากลับมาเกิดใหม่ในโลกนี้ ก็คิดเพียงปกป้องญาติมิตรของตนเอง และเสพสุขไปกับชีวิตดีๆ อย่างน้อยจนปัจจุบันนี้ก็ไม่เคยคิดที่จะมีแฟนมาก่อน

ที่เย่เทียนเฉินตื่นเต้นจนไร้สติไปครึ่งค่อนวันนั้น เป็นเพราะจะอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่า ตนเองจะถึงกับจูบกับฉีหรูเสวี่ยไปได้ ตั้งแต่ที่เจอหน้ากับฉีหรูเสวี่ยที่เครือไห่หวาง ก็ราวกับว่าจะมีความสัมพันธ์ที่แยกกันไม่ได้กับคุณหนูใหญ่ผู้ป่าเถื่อนคนนี้ ทั้งสองเพียงแค่เจอหน้าก็ต้องทะเลาะถกเถียง ทนเห็นอีกฝ่ายไม่ได้ จะต้องเหน็บแนมกัน

ตอนนี้คิดไม่ถึงว่าทั้งสองคนจะจูบกัน ต่อไปนี้จะเข้าหน้ากันอย่างไร? เจอยามเจอหน้าจะยังทะเลาะกันดั่งคู่รักคู่แค้นหรือไม่? เกรงว่าจะมีความกระอักกระอ่วนใจอยู่น่ะสิ?

หลัวเยี่ยนเห็นเย่เทียนเฉินผู้เป็นลูกชายตกตะลึงจนอ้าปากค้างอยู่ที่เดิม เธอก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ในใจนั้นหัวเราะขึ้นมาแล้ว จูบครั้งนี้ ภายหน้าไม่แน่ว่าจะทำให้ความสัมพันธ์ของเย่เทียนเฉินผู้เป็นลูกและฉีหรูเสวี่ยใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น

เย่เทียนเฉินและฉีหรูเสวี่ยจะมีพัฒนาการอย่างไรกันแน่ นี่ทำให้ผู้คนเฝ้ารอเหลือเกิน ยอดเยี่ยมเสียจนไม่อาจพลาดได้โดยเด็ดขาด!

“ลูก ร้ายกาจมาก จับไว้ให้ดีๆ หรูเสวี่ยหญิงคนนี้ไม่เลวเลยจริงๆ” หลัวเยี่ยนยิ้มพลางตบบ่าเย่เทียนเฉิน

“พี่ชาย หนูดูไม่ออกเลยจริงๆ ที่แท้พี่ก็เปิดเผยตรงไปตรงมาขนาดนี้เลย ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ ร้ายจริงๆ ทำเอาน้องสาวอย่างหนูที่ดูอยู่ข้างๆ หน้าแดงไปหมดเลย!” เย่เฉี่ยนเหวินเองก็หัวเราะฮี่ๆ พลางกล่าว

“แม่ น้อง ผมนี่…ไม่ใช่ผมนะ น้อง ไม่ใช่เป็นว่าเธอที่ตะโกนว่ามีแมลงสาบเหรอ? บอกมา ยัยตัวแสบตั้งใจใช่ไหม?” เย่เทียนเฉินเพิ่งจะคิดออก ตอนที่เขากับฉีหรูเสวี่ยไม่มีใครยอมถอย เป็นเย่เฉี่ยนเหวินน้องสาวที่ตะโกนเสียงดังว่ามีแมลงสาบ จึงทำให้ฉีหรูเสวี่ยตกใจจนโถมตัวเข้าหาเขา จึงทำให้ทั้งคู่จูบกัน

“ฮี่ๆ พี่ชาย ยังไม่ต้องพูดว่ามันจริงไม่จริง พี่ต้องขอบคุณน้องสาวคนนี้ไม่ใช่เหรอ หากไม่ใช่เพราะหนูตะโกนประโยคนั้น พี่จะจะได้ดอมดมกลิ่นหอมนั้นได้ยังไง? หนูว่าพี่ควรจะต้องให้ค่าขนมหนูแล้วล่ะ” เย่เฉี่ยนเหวินยิ้มอย่างดงามพลางกล่าว

เย่เทียนเฉินมองเย่เฉี่ยนเหวินผู้เป็นน้องอย่างไม่สบอารมณ์ เป็นไปได้มากว่าเจ้าเด็กตัวแสบคนนี้จะจงใจ จึงเคาะลงไปบนหัวของเธอเบาๆ พลางกล่าวว่า “ยังจะมาทวงค่าขนมอีก เด็กน้อยกล้ามายุ่งเรื่องของผู้ใหญ่อย่างพวกเรา ไม่รู้จักลำดับอาวุโส แม่ ผมแนะนำให้หักค่าขนมของน้องสาวครึ่งหนึ่ง”

“พี่ชาย พี่อย่าล้อเล่นแบบนี้สิ หนูช่วยพี่ไว้นะ พี่นี่ไม่รู้จักบุญคุณเอาซะเลย…” เย่เฉี่ยนเหวินกล่าวอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม

หลัวเยี่ยนเห็นว่าเย่เทียนเฉินสองพี่น้องทะเลาะกันขึ้นมา ก็กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “อาหารเย็นคืนนี้แม่ทำไว้แล้ว เนื่องจากเมื่อกี้เฉี่ยนเหวินมีความดีความชอบที่ตะโกนออกมา ทุกคนเดือนจะให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นสองร้อยหยวน ถือว่าเป็นรางวัล”

“โอ้แจ๋วไปเลย คุณแม่เยี่ยมที่สุดเลย พี่ชายขี้งกที่สุด ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษสักนิด…” เย่เฉี่ยนเหวินโห่ร้องออกมา พลางทำหน้าทะเล้นใส่พี่ใหญ่เย่เทียนเฉิน

เจอกับหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่และเย่เฉี่ยนเหวินผู้เป็นน้องทั้งสองคนนี้ ดูพวกท่าทางเช่นนี้ของพวกเธอ เย่เทียนเฉินก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจะพูดอะไรดี เดิมทีพวกเธอก็เข้าใจผิดเรื่องความสัมพันธ์ของตนและฉีหรูเสวี่ย ตอนนี้จูบนี้ยังอาจนำปัญหามาอีก แม้ว่าข้างกายตนเองจะมีหญิงงามโคจรอยู่ แต่นั่นก็ยังเป็นการอยู่คนเดียวเพียงลำพัง มีอิสระเสรีคนเดียว อยากไปก็ไป อยากอยู่ก็อยู่ มีความสุขมาก การแต่งงานก็เหมือนกับหลุมฝังศพ ตรงจุดนี้ต่อให้เป็นเย่เทียนเฉินที่มาจากชาติที่แล้วก็กระจ่างชัด

เย่เทียนเฉินถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง นั่งลงดูทีวีบนโซฟาที่ห้องโถง ส่วนแม่และน้องสาวทั้งสองคนกลับเริ่มยุ่งวุ่นวายอยู่ในครัว ถึงอย่างไรก็ยังมีอาหารเย็นที่ต้องกิน

เพิ่งจะนั่งลงแทะเมล็ดแตงไปไม่กี่เม็ด โทรศัพท์บ้านภายในห้องโถงก็ดังขึ้น เย่เทียนเฉินยกหูโทรศัพท์ขึ้นพลางกล่าวว่า “ต้องการพูดกับใครครับ?”

“เทียนเฉิน นี่ปู่เอง!” เสียงของเย่หย่วนซานดังออกมาตามสาย

“โอ้ ผู้อาวุโสนี่เอง มีเรื่องอะไรหรือครับ?” แม้ว่าเย่เทียนเฉินจะไม่ได้มีความรู้สึกอะไรมากมายกับเย่หย่วนซาน แต่เย่หย่วนซานจะอย่างไรก็เป็นเจ้าของตระกูลเย่ ดีร้ายอย่างไรก็เป็นผู้อาวุโสในบ้าน ยังคงต้องให้ความเคารพ หากเป็นเย่มู่ไป๋และเย่เฮ่อกั๋วเจ้าสองคนนั้นโทรมา เช่นนั้นเย่เทียนเฉินคงจะไม่สบอารมณ์

“ปู่ได้ยินมาว่าหลานทำร้ายฉินเหิงจากตระกูลฉินเหรอ?” เย่หย่วนซานเปิดปากถาม

“ใช่ครับ ผู้อาวุโส เรื่องนี้ปู่วางใจได้ ผมจะจัดการด้วยตัวเอง จะไม่ให้เกี่ยวพันมาถึงคนในตระกูลเย่หรอกครับ” เย่เทียนเฉินกล่าวเสียงเรียบ

“ฮ่าๆ เทียนเฉิน ปู่ไม่ได้หมายความอย่างนั้น ปู่แค่อยากจะบอกหลานว่า หลานจะทำอย่างไร ปู่ก็จะสนับสนุนหลาน แม้ว่าหลายปีมานี้ปู่จะใส่ใจครอบครัวของหลานไม่มากพอ แต่ว่าเป็นลูกหลานตระกูลเย่เหมือนกัน เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ ปู่เองก็อยากจะเห็นหลานทำให้ตระกูลเย่รุ่งเรือง ทำให้เต็มที่เถอะ!” เย่หย่วนซานพูดพลางหัวเราะผ่านทางโทรศัพท์

เย่เทียนเฉินชะงักไปชั่วครู่ เขาคิดไม่ถึงว่าผู้อาวุโสเย่หย่วนซานจะถึงกับกล่าวคำนี้ ทั้งทำให้เขาตกใจและซาบซึ้งในเวลาเดียวกัน โดยเฉพาะประโยคที่ว่า “เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ” ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็เป็นครอบครัวเดียวกัน ทั้งเย่หย่วนซานยังเป็นผู้ใหญ่ เป็นผู้อาวุโส เขาสามารถพูดคำนี้ออกมาได้ ก็พิสูจน์ให้เห็นว่ามีความรู้สึกต่อครอบครัวของตนจริงๆ

“วางใจเถอะครับผู้อาวุโส ทำให้ตระกูลเย่รุ่งเรืองนั้นผมไม่กล้าพูด แต่ผมจะไม่ยอมให้ตระกูลเย่เสียหน้า” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ดี งั้นก็ดีแล้ว พวกเราตระกูลเย่จะได้ไม่ตกต่ำ ถูกคนดูถูก และถูกผู้คนสบประมาทแล้ว ปู่ก็แก่แล้ว ไม่มีอะไรสำคัญ แต่ตระกูลเย่ของพวกเรา เคยเป็นตระกูลใหญ่ที่มีอำนาจเรียกลมฝน แต่ไหนแต่ไรก็ไม่ได้อ่อนแอกว่าตระกูลอื่นๆ จะมากจะน้อยก็ทำให้คนแก่อย่างปู่ไม่เต็มใจอยู่บ้าง…” เย่หย่วนซานเปิดปากกกล่าความในใจออกมา

“ฮี่ๆ ผู้อาวุโส พักผ่อนเร็วหน่อยนะครับ อายุมากแล้ว ต้องใส่ใจสุขภาพให้มาก อย่าคิดอะไรมากนะครับ ผมรู้สึกได้ลางๆ ว่าดวงชะตาของตระกูลเย่กำลังเปลี่ยนไปดีขึ้นแล้ว จะต้องรุ่งเรืองรุ่งโรจน์แน่นอน!” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ดี ดี เทียนเฉิน หลานลงมือให้เต็มที่เถอะ ปู่สนับสนุนหลาน!” เย่หย่วนซานกล่าวอย่างตื่นเต้น

“ครับผม ผู้อาวุโส แล้วเจอกันนะครับ ฝันดีครับ!”

หลังจากที่วางโทรศัพท์ไป มุมปากของเย่เทียนเฉินก็ปรากฏรอยยิ้มสายหนึ่ง ไม่ใช่ว่าเขาพูดคุยกับผู้อาวุโสเย่หย่วนซานอย่างมีความสุขมากมายอะไร แต่เป็นเพราะคิดถึงเย่หงผู้เป็นบิดา หากรู้ว่าตอนนี้ผู้อาวุโสเอาใจใส่ลูกชายทั้งสามคนขนาดนี้ จะต้องดีใจมากแน่

ความจริงแล้วคนเรามีชีวิตหนึ่งชีวิตนี้ เพื่ออะไรกัน? ไม่ใช่เพื่ออยู่ด้วยกันกับครอบครัวอย่างเบิกบานใจ ทำให้ครอบครัวมีความสุขหรอกหรือ? ไม่ว่าจะเพื่อชื่อเสียง หรือเพื่อเป็นข้าราชการที่ร่ำรวย ทั้งหมดก็เพื่อผ่านวันเวลาไปให้ดียิ่งขึ้น เพื่อใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ดังนั้นสามารถเห็นพ่อแม่และน้องสาวยิ้มอย่างมีความสุขได้ ก็เป็นเรื่องของเย่เทียนเฉิน

“เทียนเฉิน ใครโทรมาหรือ?” หลัวเยี่ยนถือตับหมูทอดจานหนึ่งออกมาจากห้องครัว วางไว้บนโต๊ะอาหารพลางกล่าวถาม

“เป็นผู้อาวุโสครับ ผมคุยกับเขาหลายประโยค ใช้เวลาไปสักพักแล้ว!” เย่เทียนเฉินกล่าวตามสบาย

“ผู้อาวุโส? ลูกคุยกับเขาหลายประโยค?”

หลัวเยี่ยนไได้ยนคำพูดของเย่เทียนเฉินก็ยิ่งตกใจ แต่ไหนแต่ไรผู้อาวุโสเย่หย่วนซานไม่เคยโทรมาหา คืนนี้นึกไม่ถึงว่าจะโทรมา ทั้งยังคุยกับหลานชายอย่างเย่เทียนเฉินไปหลายประโยค ดูจากท่าทางของเย่เทียนเฉิน เหมือนว่าจะคุยกันได้ไม่เลวเลย นี่ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ต้องทราบว่าเมื่อก่อนผู้อาวุโสเย่หย่วนซาน แต่ไหนแต่ไรก็ไม่ใส่ใจใยดีครอบครัวนี้ของตนเองเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแสดงความใส่ใจด้วยตัวเอง พระอาทิตย์คงไม่ขึ้นทางทิศตะวันตกหรอกนะ?

“ใช่ครับ รู้สึกไม่เลวเลย กินข้าวกันเถอะ ท้องผมหิวไปหมดแล้ว ตับหมูทอดนี่ต้องอร่อยแน่ๆ!”

เย่เทียนเฉินหัวเราะฮี่ๆ พลางเดินไปข้างโต๊ะอาหาร หยิบตะเกียบขึ้นมาเตรียมลงมือกิน แต่กลับถูกแม่ตีมือครั้งหนึ่งพลางกล่าวว่า “ลูกก็รู้แต่กินอย่างเดียว รีบไปเรียกหรูเสวี่ยลงมาสิ”

“ไม่เรียก อยากเรียนแม่กับน้องก็ไปเรียกสิครับ ผมขี้เกียจสนใจเธอ” เย่เทียนเฉินปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมา

ตั้งแต่จูบเมื่อสักครู่ หลังจากฉีหรูเสวี่ยทั้งตบทั้งเหยียบตนเองก็พุ่งไปที่ห้องนอนของตนเองบริเวณชั้นสอง ปิดประตูสนิท ไม่ได้ออกมาอีกเลย นี่ทำให้เย่เทียนเฉินกลัดกลุ้มมาตลอด เป็นฉีหรูเสวี่ยที่กลัวแมลงสาบเองแท้ๆ ถึงได้โถมตัวเข้ามา ทำให้จูบกัน แล้วยังตบตนเหยียบตนเอง ยังมีความยุติธรรมอยู่หรือไม่?

แม้ว่าชายที่ดีไม่ทะเลาะกับผู้หญิง ไม่หาเรื่องคุณหนูป่าเถื่อนอย่างฉีหรูเสวี่ย แต่เย่เทียนเฉินก็ไม่อยากจะพูดกับผู้หญิงคนนี้อีกแล้ว ผู้หญิงป่าเถื่อนมิอาจหาเรื่องได้

…………………………………………………………

บทที่ 70 เย่เทียนเฉินและฉีหรูเสวี่ยจูบกันแล้ว!
Ink Stone_Fantasy
หลังจากที่หยางอี้วางโทรศัพท์ก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ยังคงรู้สึกไม่วางใจอยู่บ้าง ฉินอี้ขึ้นชื่อว่ามีอำนาจแข็งแกร่ง มิฉะนั้นคงไม่มีลูกหลานโอหังเช่นนี้หรอก ในเมื่อชางหลางรับประกันกับเขาโดยใช้ฐานะทหารของเขาเป็นสิ่งประกันแล้ว เย่เทียนเฉินจะต้องสามารถสำเร็จภารกิจได้แน่นอน เช่นนั้นในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ ตนเองก็ควรจะทำอะไรบ้าง อย่างน้อยก็ไม่ให้เรื่องของตระกูลเย่และตระกูลฉินกลายเป็นปัญหาใหญ่และส่งผลกระทบต่อเย่เทียนเฉิน กระทบต่อการทำภารกิจอันสำคัญยิ่งครั้งนี้

คิดอยู่ครู่หนึ่ง หยางอี้ก็ยกโทรศัพท์ต่อสายไปยังอีกสายหนึ่ง กล่าวเพียงว่า “ประกาศให้ผู้นำทุกคนทราบ ทำการเรียกประชุมรวม บอกว่าเกี่ยวกับปัญหาการยกระดับกำลังทหารทุกภาคส่วนในครั้งนี้”

ตามการคาดเดาของหยางอี้ ฉินอี้ต้องไปที่บ้านหลักตระกูลเย่แน่นอน เพื่อไปกดดันตระกูลเย่ ให้ตระกูลเย่ส่งตัวเย่เทียนเฉินออกมาให้เขาลงโทษตามใจ ดังนั้นเขาจึงโทรศัพท์ไปยังแผนกการประชุมให้ประกาศเรียกคนอื่นๆ มาประชุม เช่นนี้ก็จะสามารถถ่วงเวลาฉินอี้ไปได้ ส่วนเรื่องเย่เทียนเฉินและตระกูลฉินเขาไม่คิดจะสอดมือเข้าไปยุ่ง รอให้เย่เทียนเฉินทำภารกิจสำเร็จและกลับมาจากประเทศmก่อนค่อยว่ากันอีกที

ตอนที่รถของฉินอี้ใกล้จะขับไปถึงบ้านหลักตระกูลเย่ ก็ได้รับโทรศัพท์จากแผนกการประชุม บอกว่ามีการเปิดประชุมด่วน แม้ว่าฉินอี้คาดเดาได้ว่านี่จะต้องมีคนชักใยอยู่เบื้องหลัง แต่ก็ยังให้รถขับผ่านประตูบ้านหลักตระกูลเย่ไป ในสายตาของเขา ต้องการเก็บกวาดตระกูลเย่ ไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก ภายหน้ายังมีโอกาสอีกมาก มันไม่คุ้มที่ตนเองที่ดื้อดึงเช่นนี้ อีกอย่างก็ใกล้จะมีการเลือกตั้งแล้ว ถ้าหากเขาสามารถก้าวหน้าไปได้อีกขั้น หยางอี้ที่เป็นรองประธานคณะกรรมาธิการทหารก็เกรงว่าจะต้องยืนอยู่ในจุดที่เท่าเทียมกับตน

เย่เทียนเฉินในตอนนี้กำลังหาว ถือถุงพลาสติกอยู่ถุงหนึ่ง ข้างในมีกุ้งมังกรตัวใหญ่สองตัว เปิดประตูบ้านอย่างสบายใจ ไม่รู้ว่าหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่และเย่เฉี่ยนเหวินน้องสาวจะกลับมาจากช้อปปิ้งหรือยัง กุ้งมังกรสองตัวนี้ว่าจะให้พวกเธอกิน

“แม่ครับ น้อง ผมกลับมาแล้ว!” เย่เทียนเฉินผลักประตูใหญ่ เดินเข้าไปพลางตะโกนเสียงดัง

จนกระทั่งเย่เทียนเฉินเดินเข้าไปถึงห้องโถง ก็พลันต้องตกตะลึง พบเพียงหญิงสามคนเอนกายเปลือยเท้าอยู่บนโซฟาทั้งสามด้าน ด้านละคน ทั้งหมดต่างก็นอนหมดแรงอยู่บนโซฟา ในมือของแต่ละคนถือเครื่องดื่มดื่มกันคนละขวด บริเวณตรงกลางห้องโถงมีถุงช้อปปิ้งน้อยใหญ่วางกองไว้หลายสิบถุง เย่เทียนเฉินเห็นดังนั้นก็ตกตะลึงไปแล้ว

โบราณว่า ผู้หญิงหนึ่งคนไม่บ้าคลั่ง แต่พวกหล่อนจะบ้าคลั่งยามได้ช้อปปิ้ง เพราะว่าผู้หญิงบ้าการช้อปปิ้งโดยกำเนิด จนถึงตอนนี้ เย่เทียนเฉินเพิ่งจะเข้าใจถึงแก่นแท้ของคำโบราณประโยคนี้ ถุงช้อปปิ้งน้อยใหญ่หลายขนาดหลายสิบถุงเบื้องหน้านี้เป็นหลักฐานอย่างดีที่สุด

“พวกเธอย้ายห้างฯกลับมาไว้ที่บ้านแล้วเหรอ?”

“พี่ชาย ทำอาหารให้หน่อย หนูหิวแล้ว” เย่เฉี่ยนเหวินเรียกใช้เย่เทียนเฉิน

“อะไรกัน? เฉี่ยนเหวิน น้องถึงกับกล้าใช้พี่ชายตัวเองไปทำอาหารเชียวเหรอ ช่างไม่มีลำดับความอาวุโสเอาซะเลย อยากถูกตีก้นใช่ไหม?” เย่เทียนเฉินมองเย่เฉี่ยนเหวินน้องสาวอย่างอับจนคำพูด

“ใช่ วันนี้ผู้หญิงอย่างพวกเราสามคนเหนื่อยกันหมดแล้ว ควรให้ผู้ชายว่างๆ ทำอาหาร” ฉีหรูเสวี่ยเองก็กล่าวตามน้ำ

“เธอเป็นใครน่ะ? ที่นี่ไม่มีเรื่องอะไรของเธอ พวกเราเก็บเธอไว้ก็ดีแล้ว ยังกล้ามาชี้นิ้วสั่งฉันทำนู้นทำนี่อีก ไม่อยากอยู่ที่นี่แล้วใช่ไหม?” เย่เทียนเฉินมองฉีหรูเสวี่ยอย่างไม่สบอารมณ์

“พี่คะ เป็นพี่ที่ทำไม่ถูกนะคะ หนูกับแม่และพี่สาวหรูเสวี่ย เดินช้อปทั้งวันเต็มๆ เดินจนขาแทบหัก พี่ทำตัวเป็นสุภาพบุรุษสักหน่อยเถอะ เช่นทำข้าวเย็นให้กินอะไรแบบนี้?” เย่เฉี่ยนเหวินยู่ปากน่ารักๆ ของเธอ มองเย่เทียนเฉินผู้เป็นพี่ชายพลางยกยิ้มเจ้าเล่ห์

เย่เทียนเฉินกรอกตาใส่เย่เฉี่ยนเหวินน้องสาว ความคิดของเด็กคนนี้นี่ เขาจะไม่รู้ได้อย่างไร เมื่อก่อนอาหารเย็นก็ล้วนเป็นแม่และน้องสาวที่ทำ ถ้าหากคืนนี้ตนเองตอบตกลงว่าจะทำอาหารเย็น เย่เฉี่ยนเหวินก็นับว่าเป็นอิสระแล้ว

“นั่นไม่ได้หรอก พี่กินมาจากข้างนอกแล้ว!” เย่เทียนเฉินยักไหล่ กล่าวด้วยท่าทางช่วยไม่ได้

“ไม่จริงมั้ง? พี่ชาย ตอนนี้เพิ่งจะห้าโมงเย็น พี่กินข้าวเย็นไปแล้วเหรอ? ไม่อยากทำกับข้าวก็บอกมาตรงๆ สิ หาข้ออ้างมากมายไปทำไม” เย่เฉี่ยนเหวินยู่ปากน่ารักๆ ใส่เย่เทียนเฉิน

“เฉี่ยนเหวิน ใครบางคนไม่อยากทำตัวเป็นสุภาพบุรุษจึงคิดหาข้ออ้าง อย่าไปสนใจคนแบบนี้เลย ตอนมืดเดี๋ยวพี่สาวจะทำกุ้งมังกรตัวใหญ่ที่เราชอบที่สุดให้กินนะ” ฉีหรูเสวี่ยกล่าวพลางยิ้มหวานให้เย่เฉี่ยนเหวิน

“ยังเป็นพี่สาวหรูเสวี่ยที่ดีที่สุด เฮ้อ พี่ชาย หนูไม่รู้จริงๆ ว่าพี่มีดีอะไร ถึงได้ใจพี่หรูเสวี่ยไปได้ พี่สาวหรูเสวี่ยตาบอดจริงๆ…” เย่เฉี่ยนเหวินกล่าวพลางส่ายหัว ท่าทางเช่นนั้นราวกับเห็นดอกไม้งามอย่างฉีหรูเสวี่ยปักอยู่บนขี้ควายอย่างเย่เทียนเฉินจึงเกิดความรู้สึกเสียใจและปวดใจ

“ยัยเด็กคนนี้นี่ พี่เป็นพี่ชายเธอนะ มีใครเขาพูดกับพี่ชายเหมือนเธอบ้าง?” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางมองเย่เฉี่ยนเหวินน้องสาวอย่างอับจนคำพูด

เย่เฉี่ยนเหวินทำหน้าทะเล้นใส่เย่เทียนเฉิน ฉีหรูเสวี่ยที่อยู่ข้างๆ ก็แอบยิ้ม แม้ว่าเย่เทียนเฉินจะจ้องฉีหรูเสวี่ยอย่างดุดัน แต่เขาก็ไม่อาจไม่ยอมรับว่า ผู้หญิงคนนี้งดงามจริงๆ กระทั่งตอนที่ยกยิ้มชั่วร้ายก็ยังมีเสน่ห์เช่นนั้น หากไม่คิดถึงอารมณ์ของคุณหนูใหญ่อย่างฉีหรูเสวี่ยคนนี้ ความไม่น่าเชื่อถือ และความเป็นคุณหนูสูงศักดิ์แห่งตระกูลฉี เย่เทียนเฉินก็อาจจะตกหลุมรักเธอเข้าจริงๆ ก็ได้

“เธอยิ้มอะไรของเธอ กินข้าวบ้านฉัน อาศัยอยู่ที่บ้านฉัน รีบไปทำอาหารเร็วเข้า” เย่เทียนเฉินมองฉีหรูเสวี่ยครู่หนึ่งพลางกล่าว

ฉีหรูเสวี่ยเองก็ไม่รู้ว่าทำไม ทุกครั้งที่เป็นท่าทางกลัดกลุ้มหาที่เปรียบของเย่เทียนเฉิน เธอถึงได้รู้สึกดีมาก ขอเพียงสามารถแกล้งเจ้าคนชั่วนี่ได้ เธอก็เบิกบานใจมากกว่าอะไรทั้งนั้น ตอนนี้ได้ยินคำพูดของเย่เทียนนฉิน เธอไม่เพียงไม่โกรธ แต่กลับเม้มริมฝีปากอย่างเซ็กซี่ เปิดปากกล่าวอย่างมีชีวิตชีวาว่า “งั้นก็ต้องขอโทษด้วยแล้วกัน ถ้าหากว่าฉันทำอาหาร ก็ไม่มีส่วนของนาย ไม่ใช่ว่านายไม่ชอบอาหารที่ฉันทำหรอกเหรอ? ฉันจำได้ ไม่รู้ว่าใครที่แอบกินกุ้งมังกรที่ฉันทำ แล้วก็ไม่รู้ว่าใครแอบกินผลไม้ในตู้เย็น วิ่งเข้าห้องน้ำทั้งคืน…”

“ฉีหรูเสวี่ย เธอกล้าวางแผนใส่ฉัน ฉันจะเอาคืนแน่” เย่เทียนเฉินคำรามด้วยความโมโหเล็กน้อย

“ชิ ด้วยไอคิวของนายนี่ จะทำได้เหรอ?” ฉีหรูเสวี่ยแลบลิ้นใส่เย่เทียนเฉิน ใช้สายตาเหยียดหยามอย่างยิ่งมองเย่เทียนเฉินพลางกล่าว

“พอแล้ว พอแล้ว ลูกสองคนอย่าเถียงกันอีกเลย พักสักหน่อยค่อยทำอาหารเถอะ ยังไงก็ไม่รีบ”

หลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่เห็นเย่เทียนเฉินลูกชายและฉีหรูเสวี่ยเถียงกันไปมาคนละหนึ่งประโยค ไม่มีใครยอมลงให้กัน ราวกับคู่รักคู่ศัตรูก็มิปาน นี่เป็นการมองอยู่ที่ตา สุขอยู่ที่ใจ อีกทั้งแต่ไหนแต่ไรมา การกระทำของฉีหรูเสวี่ยตอนที่อยู่บ้านตระกูลเย่ก็ล้วนแต่ไม่เลวเลย เบื้องหน้ารับแขก เบื้องหลังเข้าครัว หญิงสาวที่ดีงามเช่นนี้ หายากมากในสังคมปัจจุบัน อีกทั้งฉีหรูเสวี่ยยังเป็นคุณหนูสูงศักดิ์ สามารถทำได้ถึงระดับนี้ จะมากน้อยก็ทำให้หลัวเยี่ยนรู้สึกซาบซึ้งแล้ว คิดว่หากลูกชายของตนเย่เทียนเฉิน สามารถแต่งฉีหรูเสวี่ยเข้าบ้านได้จริงๆ ก็นับว่าเป็นศิริมงคงแล้ว

“นั่นมันเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว แม่ครับ น้องครับ นี่เป็นกุ้งมังกรที่วันนี้พี่ชายสั่งกลับมาให้ ยังร้อนๆ อยู่เลย กินตอนนี้เลยเถอะ รีบๆ กินให้อร่อยเถอะ!” เย่เทียนเฉินกรอกตาใส่ฉีหรูเสวี่ย ชูถุงพลาสติกในมือขึ้นพลางกล่าว

“ว้าว กุ้งมังกร ดูท่าทางไม่เลวเลย พี่ชาย เอามาให้หนูตัวหนึ่ง หนูจะกินตอนนี้เลย…” เย่เฉี่ยนเหวินหิวจนท้องร้องโครกครากตั้งนานแล้ว เห็นกุ้งมังกรในถุงพลาสติกที่เย่เทียนเฉินผู้เป็นพี่ถือมา ก็รีบยื่นมือไปคว้า ไหนเลยจะรู้ว่าเย่เทียนเฉินจะรีบเอาไปหลบ ไม่ยอมให้เย่เฉี่ยนเหวิน

เย่เทียนเฉินยกยิ้มชั่วร้าย มองเย่เฉี่ยนเหวินผู้เป็นน้องพลางกล่าวว่า “ยัยคนทรยศ พี่เป็นพี่ชายของเธอ นี่แค่ไม่กี่วัน ก็รวมหัวกับคนนอกต่อต้านพี่ชายซะแล้ว ยังคิดจะกินกุ้งมังกรอีก ไม่ได้หรอกนะ”

“ไอหยา คุณพี่ชาย หนูหิวมากจริงๆ นะคะ พี่อย่าขี้งกเลย โอเคไหม อย่าคิดเล็กคิดน้อยกับน้องสาวเลยน่า” เย่เฉี่ยนเหวินกล่าวพลางหัวเราะฮี่ๆ

“เฉี่ยนเหวิน เดี๋ยวพี่สาวจะทำอาหารอร่อยกว่านี้ให้กิน อร่อยกว่ากุ้งมังกรอีก เธอทนหหน่อยนะ อย่าไปขอร้องเจ้าคนชั่วนั่นเลย” ฉีหรูเสวี่ยรู้ว่าเย่เทียนเฉินกำลังพูดถึงตนเองก็กล่าวออกมาพลางจจ้อไปยังเย่เทียนเฉิน

“งั้นเหรอ? กุ้งมังกรนี่ทำโดยร้านอาหารทะเลที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง รสชาตินั้น สัมผัสในปากนั้น เป็นชั้นหนึ่งในจีนอย่างแท้จริง กลัวก็แต่ว่าต่อให้ฝีมือทำครัวของใครบางคนดียิ่งกว่านี้ ก็คงทำออกมาไม่ได้หรอก” เย่เทียนเฉินมองฉีหรูเสวี่ยอย่างไม่แยแสพลางกล่าว

“เย่เทียนเฉิน นายแอบกินกุ้งมังกรที่ฉันทำ แล้วยังแอบกินผลไม้ในจานที่ฉันใส่ไว้ในตู้เย็นอีก คุณหนูคนนี้ยังไม่ได้คิดบัญชีกับนายเลย…” ฉีหรูเสวี่ยยู่ปากอันน่ารัก คำรามใส่เย่เทียนเฉินด้วยเสียงอันดัง

พอพูดถึงผลไม้จานนั้นที่ทำให้เย่เทียนเฉินท้องเสียทั้งวันทั้งคืน เย่เทียนเฉินก็พลันจุดไฟแห่งความโกรธขึ้น โยนถุงพลาสติกที่ใส่กุ้งมังกรสองตัวลงไปบนโต๊ะชา เย่เทียนเฉินเดินไปเบื้องหน้าฉีหรูเสวี่ย กล่าวอย่างดุดันว่า “เธอใส่ผงสลอดเอาไว้ในผลไม้จานนั้น แอบวางแผนร้ายใส่พี่ชายสุดหล่อคนนี้ พี่ชายสุดหล่อยังไม่ได้คิดบัญชีกับเธอเลย นับว่าเกรงใจเธอแล้ว เธอยังจะคิดบัญชีกับฉฉัอีก มีตรรกะแบบนี้ที่ไหนกัน?”

เห็นเย่เทียนเฉินพุ่งเข้ามาเบื้องหน้าของตนเองด้วยท่าทางดุดันพลางมองลงมาจากมุมสูง ฉีหรูเสวี่ยก็รีบลุกขึ้นจากโซฟา เรียวขาอันงดงามพลันโผล่ออกมาให้เห็น โดยเฉพาะยอดเขาทั้งสองอันตั้งตระหง่าน ราวกับกระต่ายขาวตัวน้อยสองตัวโผล่ออกมาทักทาย กระเพื่อมขึ้นลงไปตามจังหวะการหายใจ

“ตลกน่า นั่นมันนายที่หาเรื่องใส่ตัวเอง แอบกินอาหารที่ฉันทำเป็นเหตุ ไม่เกี่ยวกับฉันเลยสักนิด ฉันไม่ให้นายชดใช้กุ้งมังกรและผลไม้ในจานก็ดีแล้ว อีกอย่างกล้ามาดูถูกคุณหนูคนนี้ มีความผิดใหญ่หลวง”

ฉีหรูเสวี่ยเองก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้ แม้ว่าเธอจะไม่ได้สูงไปกว่าเย่เทียนเฉิน แต่ก็มีร่างกายอันงดงามที่สูงถึงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าเซ็นติเมตรโดยประมาณ เธอเขย่งเท้าอย่างน่ารักพลางเงยหน้ามองเย่เทียนเฉินด้วยความโมโห

โดยที่ไม่รู้ตัว ระยะห่างระหว่างเย่เทียนเฉินและฉีหรูเสวี่ยก็ใกล้เข้ามา ทั้งสองต่างก็ไม่ได้รู้สึกตัว ริมฝีปากของทั้งสองห่างกันไม่ถึงห้าเซ็นติเมตร ขอเพียงแค่มีใครสักคนเดินหน้าหนึ่งก้าวก็จะสัมผัสกันแล้ว

ไม่รู้จริงๆ ว่าเย่เฉี่ยนเหวินจงใจ หรือเป็นชะตาลิขิต ในตอนนี้เองเธอก็ตะโกนออกมาว่า “มีแมลงสาบ!”

“อ๊ะ…”

ฉีหรูเสวี่ยกรีดร้องออกมาด้วยใบหน้าซีดขาว พลันโถมตัวเข้าหาเย่เทียนเฉิน ริมฝีปากของทั้งสองจึงสัมผัสกัน…

……………………………………………………….

บทที่ 69 ชายผู้เปรียบเสมือนมัจจุราชและอันธพาล
Ink Stone_Fantasy
บทสนทนาของฉินอี้ผู้เป็นผู้อาวุโสตระกูลฉินและหยางอี้รองประธานคณะกรรมาธิการทหาร ดูเหมือนว่าจะไม่มีปัญหาสลักสำคัญอะไร เพียงแค่พูดขึ้นมาเล็กน้อย ก็สิ้นสุดลงแล้ว

คนที่อยู่ในตำแหน่งเช่นพวกเขา ไม่ใช่พูดแล้วเหลือไว้สามส่วน แต่เป็นพูดแล้วเหลือไว้ห้าส่วน พูดเพียงครึ่งเดียวก็พอแล้ว ทุกคนต่างก็เป็นคนฉลาด ย่อมเข้าใจถึงความร้ายกาจของความสัมพันธ์ มีเพียงฉินเทาหยวนและฉินเหิงสองพ่อลูกโง่เง่าคู่นี้ที่จะมีท่าทางราวกับว่าพ่อข้าใหญ่ที่สุดในแผ่นดิน คนที่กุมอำนาจไว้ในมืออย่างแท้จริง ต่างก็ไม่อวดอ้าง ต้อนรับผู้คนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

สุดท้ายฉินอี้ทำได้เพียงกล่าวกับหยางอี้ประโยคหนึ่งว่า “ถ้าหากคนของคุณพาตัวคนร้ายไป หวังว่าจะส่งมาให้ผมลงโทษ อันธพาลคนนี้ ถ้าไม่ยิงประหาร จะยังมีกฏหมายบ้านเมืองที่ไหนอยู่อีก ส่วนตระกูลเย่ ผมจะโทรไปหาเอง”

หยางอี้ทำเพียงพยักหน้ายิ้มๆ ไม่ได้รับคำ ประโยคนี้ไม่จำเป็นต้องรับ และไม่รับจะดีเสียกว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่เขาสามารถแน่ใจได้ก็คือ ต้องเป็นชางหลางที่พาตัวเย่เทียนเฉินไปแน่นอน เพื่อทำภารกิจปกป้องและส่งคนไปแลกเปลี่ยนเอกสารลับที่ประเทศmให้สำเร็จ

แต่ในคำพูดประโยคนี้ของฉินอี้ก็สามารถรู้อะไรหลายๆ อย่าง หวังว่าเขาหยางอี้จะไม่สอดมือเข้าไปยุ่ง ไม่ปกป้องเย่เทียนเฉิน มิฉะนั้นเขาฉินอี้จะไม่ยอมจบง่ายๆ อีกอย่างก็คือ ตระกูลฉินเดิมทีก็ไม่ได้เห็นตระกูลเย่อยู่ในสายตา ต้องการจับเย่เทียนเฉิน ต้องการฆ่าเย่เทียนเฉิน ก็ทำแค่โทรไปสักหน่อยก็เท่านั้น

หยางอี้มองฉินอี้เดินออกไปจากออฟฟิศของตนเองพลางขมวดคิ้ว ครุ่นคิดเล็กน้อย จากนั้นจึงต่อสายไปหาชางหลาง ไม่ใช่ว่าหยางอี้จะกลัวอะไรฉินอี้ ตำแหน่งของทั้งคู่ล้วนไปถึงระดับที่แน่นอนแล้ว ไม่มีใครกลัวใคร เพียงแต่หลายๆ เรื่องจำเป็นต้องมีทางหนีทีไล่

ชางหลาง ณ เวลานี้เพิ่งจะจ่ายเงินออกมาจากร้านอาหารทะเล โกรธจนหน้าเขียว เย่เทียนเฉินเจ้าหมอนี่คนเดียวกินไปหลายพันหยวน ก่อนจากมายังสั่งกุ้งมังกรตัวใหญ่ห่อกลับบ้านไปอีก ช่างทำให้ผู้อื่นเกิดอารมณ์อยากอัดไอ้หมอนี่แรงๆ สักยกเสียจริง

เถี่ยฉุยกำลังขับรถอยู่ ส่วนชาหลางนั่งอยู่ตรงที่นั่งด้านหลัง ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกกระสับกระส่ายเสียแล้ว เขาเลือกเย่เทียนเฉินให้ทำภารกิจในครั้งนี้ เพราะคนคนนี้ไม่ได้เป็นทหารแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีข้อผูกมัดของทหาร การกระทำพูดจาล้วนแต่ตามใจ และเพราะเขาเหมาะสมกับเงื่อนไขนี้พอดี ต่อให้ไปก่อเรื่องที่ประเทศm รัฐบาลของประเทศmก็มิอาจประณามรัฐบาลจีนได้ มิฉะนั้นเขาก็คงไม่ตอบรับเงื่อนไขสามข้อของเย่เทียน และยังช่วยเขาขวางการแก้แค้นของตระกูลลั่วและตระกูลฉินในช่วงนี้อีกด้วย เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำเช่นนี้จะคุ้มค่าหรือไม่

“นายพลชาง เย่เทียนเฉินคนนี้เอ้อระเหยจริงๆ ผมกังวลว่าเขาจะเชื่อถือไม่ได้ ถ้าหากทำภารกิจไม่สำเร็จจะทำยังไงดีครับ?” เถี่ยฉุยกล่าวถามอย่างกังวล

“ไม่หรอก ฉันเชื่อสายตาของตัวเอง หลายปีมานี้ ทหารที่เข้าตาฉัน คนไหนบ้างที่ไม่กลายเป็นคนโดดเด่น เย่เทียนเฉินแม้จะมีนิสัยอันธพาลอยู่บ้าง แต่ก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการทำภารกิจครั้งนี้ให้สำเร็จ” ชางหลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ผมกลัวว่าเย่เทียนเฉินคนนี้ จะติดเล่นจนเกินไป เอาแต่ผลประโยชน์ไม่ยอมทำงาน ถึงตอนนั้นก็ซวยแน่ คุณเคยรับประกันกับรองประธานหยางเอาไว้ ถ้าหากเย่เทียนเฉินทำภารกิจนี้ไม่สำเร็จ คุณจะออกจากการเป็นทหาร…” เถี่ยฉุยกล่าวอย่างร้อนใจ

ความจริงแล้ว ตั้งแต่ที่พบเย่เทียนเฉินที่เป้ยเฟิงเซวียน การแสดงออกบนเส้นทางนี้ของเขา ล้วนแต่ไม่น่าเชื่อถือ เอ้อระเหยลอยชาย ติดเล่นไม่สนโลก เหมือนคนที่จะสามารถไปทำภารกิจที่ประเทศmได้ที่ไหนกัน

เถี่ยฉุยติดตามเป็นลูกน้องชางหลางทำเรื่องราวต่างๆ ไม่ใช่แค่วันสองวันทั้งสองคนมีความสัมพันธ์แบบหัวหน้าลูกน้อง ตอนที่ไม่มีคนอื่นอยู่ก็เป็นดั่งพี่น้อง ดังนั้นเรื่องการปกป้องบุคคลากรไปประเทศmเพื่อดำเนินการแลกเปลี่ยนข้อมูลลับสำคัญขนาดไหน เถี่ยฉุยเองก็ทราบ ถ้าหากเย่เทียนเอาเงินไปโดยไม่ทำงานจริงๆ หรือสละชีพอยู่ที่ประเทศmและทำภารกิจไม่สำเร็จ ถึงตอนนั้นชางหลางจะต้องถูกทำโทษอย่างแน่นอน

“เถี่ยฉุย นายรู้แค่ว่าเย่เทียนเฉินแข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งจนมิอาจหยั่งถึง แต่กลับไม่เข้าใจชายที่เป็นดั่งมัจจุราชและอันธพาลคนนี้ ตอนที่เขาจริงจังขึ้นมา ใครก็ขวางการก้าวเดินของเขาไว้ไม่ได้”

ตอนที่ชางหลางกล่าวคำพูดนี้ ในดวงตาก็สว่างวาบขึ้นมาครู่หนึ่ง กระทั่งเลือดอันร้อนรุ่มในกายของเขาก็เดือดพล่านขึ้นมา ชางหลางที่มีฐานะเป็นหนึ่งในสามราชันนักรบของจีนและได้เข้าสู่คณะกรรมาธิการทหารไปแล้ว โอกาสที่จะลงมือด้วยตนเองน้อยจนน่าสงสาร การลงมือสู้ตัวต่อตัวกลายเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมกับฐานะของเขาไปแล้ว

แต่ว่าชางหลางเป็นขุนศึกคนหนึ่ง มีความปราถนาในการต่อสู้อันดุเดือดบ้าคลั่งเช่นกัน ตอนที่เย่เทียนเฉินเสนอออกมาว่า ถ้าหากสำเร็จภารกิจกลับมา ก็จะต่อสู้กับตน เลือดอันร้อนลุ่มในการต่อสู้ของชางหลางก็ถูกปลุกขึ้น เพราะเขาสามารถรู้สึกได้ถึงความสามารถในการต่อสู้ที่ลึกล้ำสุดหยั่งของเย่เทียนเฉิน ทั้งอยากจะลองทดสอบดูสักหน่อยว่าไอ้หนูคนนี้แข็งแกร่งขนาดไหนกันแน่

“กลัวว่าคนคนนี้จะเชื่อถือไม่ได้น่ะสิครับ ถ้าหากมีเส้นประสาทเส้นไหนผิดปกติขึ้นมาก็แย่แน่ แล้วพรุ่งนี้เช้าเขาไปถึงสนามบินและเจอคนที่ต้องปกป้องคุ้มครองแล้ว เกรงว่าจะรีบกระโดดหนีไม่ยอมทำแล้วน่ะสิ…” เมื่อเถี่ยฉุยคิดถึงคนที่เย่เทียนเฉินต้องคุ้มครอง ไม่ต้องพูดมาก หากเปลี่ยนเป็นตัวเขาเอง ก็จะไม่ทำเด็ดขาด ดังนั้นการที่ชางหลางเลือกเย่เทียนเฉินไปทำภารกิจที่ประเทศm มีความเสี่ยงมากมายจริงๆ

“เรื่องนี้วางใจเถอะ เย่เทียนเฉินเป็นคนที่พูดคำไหนคำนั้น เมื่อสักครู่นี้เขารับประกันกับฉันแล้วว่า ไม่ว่าจะอย่างไรก็จะทำภารกิจให้สำเร็จ” ชางหลางคิดถึงเมื่อสักครู่ที่ตนเองหลอกให้เย่เทียนเฉินรับปาก ก็รู้สึกว่าในที่สุดก็หลอกล่อเจ้าหมอนี่ได้ครั้งหนึ่ง

“งั้นพวกเราต้องส่งคนไปกับเย่เทียนเฉินไหมครับ เผื่อในกรณีที่…” เถี่ยฉุยคิดครู่หนึ่งก่อนกล่าวออกมา

“ไม่ต้องหรอก เหยียนหลงจะส่งคนสนิทสองคนไปกับเย่เทียนเฉิน พวกเราไม่ต้องส่งคนไป” ชางหลางกล่าวพลางส่ายหัว

“เหยียนหลง? กองทัพเหยี่ยวก็ต้องการแทรกแซงหรือครับ?”

เถี่ยฉุยคิดไม่ถึงเลยว่า ภารกิจปกป้องบุคลากรไปส่งที่ประเทศmเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลลับในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่มีหน่วยมังกรฟ้าของพวกเขารับผิดชอบ กระทั่งกองทัพเหยี่ยวเองก็แทรกแซงเข้ามาด้วย ดูแล้วเรื่องราวครั้งนี้มีความสำคัญมากจริงๆ

“นี่ก็เป็นแค่กลยุทธ์ที่ทำให้พอใจทั้งสองฝ่ายของเบื้องบนก็เท่านั้น ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเรา ขอเพียงเย่เทียนเฉินทำภารกิจให้สำเร็จ ฉันก็นับว่าส่งงานต่อให้รองประธานหยางได้แล้ว” ชางหลางเปิดปากกล่าว

ในตอนนี้เอง โทรศัพท์มือถือของชางหลางก็ดังขึ้น เพลง ”คนเป็นทหาร” นี้ เป็นเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือของชางหลางมาโดยตลอด มีฐานะเป็นทหารคนหนึ่ง เป็นทหารมาหลายสิบปี มีอารมณ์ที่มิอาจตัดแบ่งจากกองทัพได้ตั้งนานแล้ว หากว่าชางหลางต้องเลิกเป็นทหารจริงๆ บางทีเขาอาจจะว่างเปล่าอย่างมากก็เป็นได้

“หัวหน้าครับ มีคำสั่งอะไรครับ?” ชางหลางรับโทรศัพท์ เปิกปากถามด้วยความเคารพ

“นายพาเย่เทียนเฉินไปจากเป้ยเฟิงเซวียนใช่ไหม?”

“ใช่ครับ”

“สถานการณ์เป็นยังไงกัน? บอกฉันหน่อยสิ” หยางอี้กล่าวถามเสียงเรียบ

“เย่เทียนเฉินอยู่ในเป้ยเฟิงเซวียน ทำร้ายฉินเหิงอย่างรุนแรง อัดเขาจนหน้าตาไม่เหลือเค้าเดิม จากนั้นหลูเซิ่งต๋าได้พาคนมาล้อมเป้ยเฟิงเซวียนฉินเทาหยวนก็มาด้วย ผมพาตัวเย่เทียนเฉินไปเนื่องจากพรุ่งนี้ก็จะต้องไปที่ประเทศmแล้ว ไม่อาจปล่อยให้ชายคนี้ถูกจับไปได้” ชางหลางกล่าวรายงาน

“ฉินอี้มาหาฉันด้วยตัวเอง บอกว่าให้นายส่งตัวเย่เทียนเฉินไปให้เขา ฉันไม่ได้แสดงความคิดเห็นไป แต่ว่าด้วยนิสัยของฉินอี้ จะต้องไม่จบดีๆ แน่”

“หัวหน้า บุญคุณความแค้นระหว่างเย่เทียนเฉินกับฉินเหิง พวกเราไม่ได้สอดมือเข้าไปยุ่ง แต่ว่าพรุ่งนี้ก็ต้องไปประเทศmแล้ว ช่วงนี้พวกเราจำเป็นต้องรับรองความปลอดภัยของเย่เทียนเฉิน ความแค้นระหว่างเขากับตระกูลฉิน รอให้เขาทำภารกิจสำเร็จกลับมาก่อนก็จะจัดการด้วยตัวเอง” ชางหลางกล่าวเสนอความเห็น

“อืม ฉันไม่มีความเห็นอะไร เรื่องราวก็จัดการตามนี้ไปก่อนชั่วคราวเถอะ”

“ครับหัวหน้า”

หลังจากที่วางโทรศัพท์ไป ชางหลางก็หยิบบุหรี่ขึ้นมามวนหนึ่ง จุดบุหรี่แล้วจึงสูบเข้าไปเฮือกหนึ่ง แม้ว่าเขาจะเชื่อว่าเย่เทียนเฉินเป็นยึดมั่นใจสัจจะวาจา แต่ไม่รู้ว่าเย่เทียนเฉินแข็งแกร่งขนาดไหนกันแน่ จากข้อมูลข่าวกรองที่รวบรวมมาในหลายปีนี้ ภายในหน่วยพลังพิเศษเฉพาะกิจของประเทศm มียอดฝีมือมากมายเหลือเกิน อีกทั้งข่าวกรองที่แม่นยำในครั้งนี้ก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า รัฐบาลประเทศmได้แอบว่าจ้างกองทหารรับจ้างที่แข็งแกร่ง เพื่อใช้วิธีนอกกฏหมายและฮุบเอาข้อมุลลับของทางฝั่งจีนไป

หลายคนอาจคิดว่า ในเมื่ออีกฝ่ายใช้วิธีสกปรกส่งยอดฝีมือมามากมายขนาดนี้ เตรียมใช้วิธีการนอกกฏหมายเพื่อจัดการอีกฝ่าย ทำไมฝั่งจีนจึงไม่ใช้แอบส่งยอดฝีมือไปบ้างเล่า? หรือจำเป็นต้องแลกเปลี่ยนข้อมูลลับกับทางฝั่งประเทศmด้วยหรือ?

ปัญหานี้ ชางหลางเคยเข้าร่วมการประชุมสูงสุดของคณะกรรมาธิการทหารและทำการอภิปรายเป็นเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน การแลกเปลี่ยนข้อมูลลับในครั้งนี้ ไม่ทำไม่ได้ ถ้าหากว่าสามารถเอาข้อมูลมาได้ จะสามารถยกระดับการทหารของจีนได้มาก ในขณะเดียวกันหากทางจีนส่งยอดฝีมือไปด้วยเป็นจำนวนมาก ก็จะถูกผู้คนครหาว่าขี้ขลาดเอาได้ และจะทำให้ผู้ที่ทำการแลกเปลี่ยนของทางฝั่งประเทศmตื่นตระหนกและถึงขั้นไม่ทำการแลกเปลี่ยนอีกต่อไป ดังนั้นจากข้อสรุปในการอภิปราย จึงตัดสินใจส่งยอดฝีมือที่ไม่มีฐานะทางกองทัพไปด้วย เพื่อไปทำภารกิจให้สำเร็จ ชางหลางย่อมคิดถึงเย่เทียนเฉินเป็นคนแรก

ณ เวลานี้เอง ภายในรถลีมูซีนสีดำคันหนึ่ง ฉินอี้และฉินเทาหยวนสองพ่อลูกนั่งอยู่บริเวณที่นั่งด้านหลัง มีรถทหารหน่วยรบพิเศษแห่งทัพองครักษ์คุ้มครองหน้าหลัง นี่ก็เพื่อความปลอดภัยโดยสิ้นเชิง

“พ่อครับ เมื่อสักครู่นี้ทำไมไม่ให้ผมพูดให้จบล่ะครับ ชางหลางเป็นลูกน้องของหยางอี้ เขาพาตัวเย่เทียนเฉินไป หยางอี้จะไม่รู้ได้อย่างไร คนคนนี้กำลังปัดความรับผิดชอบ…” ฉินเทาหยวนกล่าวอย่างไม่สบายใจ

ฉินอี้มองฉินเทาหยวนครู่หนึ่งแล้วจึงถอนหายใจครั้งหนึ่ง พูดพลางส่ายหน้าว่า “เทาหยวน นิสัยของแกหุนหันพลันแล่นเกินไปจริงๆ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเรื่องนี้มีเกี่ยวข้องกับหยางอี้หรือไม่ ต่อให้เกี่ยวข้อง แล้วจะทำอะไรเขาได้ล่ะ?”

“พ่อครับ ตระกูลฉินของพวกเราไม่มีใครกล้ามารังแก มีแต่พวกเรารังแกคนอื่น หรือจะต้องจบแค่นี้?” ฉินเทาหยวนกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์

หากต้องกล่าวว่าฉินเทาหยวนไร้สติปัญญาและความสุขุมนั้นย่อมมิใช่แน่นอน เพียงแต่หลายปีมานี้ อำนาจของตระกูลฉินยิ่งใหญ่ขึ้นทุกวัน แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีใครกล้าท้าทายความน่ากลัวของตระกูลฉินมาก่อน ดังนั้นทำให้ลูกหลานตระกูลฉินทุกคนค่อยๆ โอหังขึ้นมาทีละน้อย อีกทั้งคราวนี้ฉินเหิงถูกทำร้ายจนหน้าตาไม่เหลือเค้าเดิม ต่อให้เก็บชีวิตกลับมาได้ ก็ไม่อาจออกไปพบผู้คนได้อีก ฉินเทาหยวนมีฉินเหิงเป็นลูกชายคนเดียว จะไม่เจ็บปวดใจได้อย่างไร จะไม่โกรธแค้นจนต้องขบเขี้ยวเคี้ยวฟันได้อย่างไร

“ฉันเชื่อว่าหยางอี้เข้าใจความหมายในคำพูดของฉัน และจะไม่สอดมือเข้ามา ตระกูลเย่และเย่เทียนเฉินเล็กๆ ยังกล้ามาลงมือกับลูกหลานของฉันฉินอี้ เห็นว่าฉันแก่จนใช้การไม่ได้รึไง? ฉันอยากจะดูสักหน่อยว่าเย่หย่วนซานจะแลกเปลี่ยนอะไรกับฉัน ฉันไม่ได้ไล่ไปง่ายๆ เหมือนลั่วซงเฉิงหรอกนะ” ฉินอี้กล่าวด้วยความโกรธ

“พ่อครับ งั้นตอนนี้พวกเราทำยังไงดี?” ฉินเทาหยวนเปิดปากถาม

“ไปบ้านตระกูลเย่ ฉันต้องการให้เย่หย่วนซานหักขาทั้งสองข้างของเย่เทียนเฉินไอ้หลานตัวการของมันต่อหน้าฝูงชน เพื่อเป็นการลงโทษ!” ฉินอี้กล่าวอย่างเย็นชา

…………………………………………..

บทที่ 68 ทำตัวตามใจ
Ink Stone_Fantasy
เย่เทียนเฉินถืออว่าได้ตอบรับชางหลางแล้ว การปกป้องคุ้มครองคนของฝั่งจีนไปยังประเทศm เพื่อดำเนินการแลกเปลี่ยนข้อมูลลับ นี่ไม่นับว่าเป็นการรับภารกิจ และไม่มีภารกิจใดที่สามารถผูกมัดเย่เทียนเฉินได้ เขาเพียงได้ยินชางหลางบอกว่าประเทศmมีหน่วยพลังพิเศษเฉพาะกิจอยู่หน่วยหนึ่งโดยเฉพาะ ภายในมียอดฝีมือมากมาย ทำให้เขารู้สึกสนใจและกระตือรือร้นขึ้นมา มาเกิด ใหม่ในโลกแห่งนี้ ดีร้ายอย่างไรก็นับว่าเป็นชายเลือดร้อนชาวจีน ไม่ไปลองมือของเหล่ายอดฝีมือที่ต่างประเทศและสั่งสอนยอดฝีมือพวกนั้นสักหน่อย เดี๋ยวจะนึกว่าชาวจีนรังแกได้ง่ายๆ วันนี้มายืมเงินยืมอาหาร พรุ่งนี้ก็อยากจะมายึดเกาะยึดแผ่นดิน ช่างไร้ยางอายจริงๆ

เมื่อพบกับเงื่อนไขสามข้อที่เย่เทียนเฉินกล่าว ชางหลางพิจารณาสักครู่ก่อนจะตอบรับอย่างพออกพอใจ ที่ต้องให้เย่หงพ่อของเย่เทียนเฉินไปเรียนที่โรงเรียนพรรคคอมมิวนิสต์แห่งเมืองหลวงก็เพื่อเป็นการเตรียมตัวเลื่อนขั้นในภายภาคหน้า ข้าราชการคนใดก็ตามที่สามารถเข้าเมืองไปเรียนเพิ่มเติมที่โรงเรียนพรรคคอมมิวนิสต์ได้ ภายภาคหน้าจะสามารถเป็นผู้กุมอำนาจในประเทศได้อย่างแน่นอนอย่างไม่มีข้อยกเว้น ข้อนี้ทำได้ง่ายมาก ด้วยอำนาจของหยางอี้ที่เป็นรองประธานคณะกรรมาธิการทหาร สามารถจัดการได้ด้วยคำพูดเพียงประโยคเดียว เย่เทียนเฉินต้องการให้ปล่อยหยางไห่ที่ถูกจำคุกตลอดชีวิจออกมาจากคุก เรื่องนี้สำหรับชางหลางแล้วก็เป็นเรื่องที่ง่ายและสามารถทำได้ สำหรับการที่เย่เทียนเฉินต้องการสู้กับตนเองหลังจากที่ทำภารกิจสำเร็จและกลับประเทศมาแล้ว ชางหลางปราถนาเป็นอย่างยิ่ง ทำไมงั้นหรือ? ก็เพราะเย่เทียนเฉินคนนี้มีความโอหัง ถึงกับกล้าท้าทายตนเอง หากไม่สั่งสอนเขาสักหน่อย เขาจะคิดว่าฉายาหนึ่งในสามราชันนักรบของจีนของตนเองจะได้มาอย่างเสียเปล่าแล้ว

เงื่อนไขข้อแรก เย่เทียนเฉินทำเพื่อเย่หงพ่อของตน เงื่อนไขที่สองเย่เทียนเฉินทำเพื่อรักษาคำพูดที่ให้ไว้กับอู๋เสวี่ย เขาฆ่าลั่วเหลยและลั่วเทา เย่เทียนเฉินก็จะช่วยหยางไห่บิดาของเขาออกมา ตอนนี้เขาทำได้แล้ว ส่วนเรื่องที่สาม เย่เทียนเฉินต้องการให้ตนเองสนุกล้วนๆ เขารู้สึกได้ว่าชางหลางแข็งแกร่งมาก เป็นไปได้ว่าจะแข็งแกร่งถึงขั้นมิอาจจินตนาการได้ การประมือระหว่างยอดฝีมือช่างเร้าใจและทำให้ผู้คนเลือดลมพุ่งพล่านเป็นที่สุด ดังนั้นเย่เทียนเฉินจึงตั้งตารอคอยที่จะได้สู้กับชางหลาง

“แต่ว่า คำพูดไม่น่าฟังของฉันจะต้องพูดไว้ก่อน เงื่อนไขสามข้อของนายฉันตกลงทั้งหมด และฉันก็มีเงื่อนไขเพียงข้อเดียว ไม่รู้ว่านายจะตกลงไหม?” ชางหลางมองเย่เทียนเฉินครู่หนึ่งพลางกล่าวถาม

“เงื่อนไขอะไร?” เย่เทียนเฉินยังคงไม่ใส่ใจ

“ไม่ว่าจะยังไงก็ต้องทำภารกิจให้สำเร็จ ไม่ว่านายจะอยากไปเล่นสนุกสักครั้ง หรืออยากจะอะไร ก็ต้องทำภารกิจให้สำเร็จ เพราะนี่เกี่ยวพันถึงความรุ่งเรืองของทั่วทั้งประเทศจีนและกระทั่งความปลอดภัยของประชาชนทั้งหมด” ชางหลางเปิดปากกล่าวอย่างจริงจัง

“วางใจเถอะครับ ไม่มีปัญหา ตอนนี้เอามาได้แล้ว…”

เย่เทียนเฉินยังคิดว่าชางหลางจะพูดอะไร ก็เพียงแค่ต้องทำภารกิจให้สำเร็จก็เท่านั้น คำพูดประเภทที่ว่าแม้ตายก็ต้องสำเร็จภารกิจให้ได้ จุดนี้เย่เทียนเฉินกลับไม่ได้คิดอะไรมาก เขาเพียงต้องการอยากไปลองฝีมือของเหล่ายอดฝีมือแห่งหน่วยพลังพิเศษเฉพาะกิจของประเทศmดูสักหน่อย เลยถือโอกาสปกป้องคุ้มครองบุคคลากรทั้งหมดให้ทำการแลกเปลี่ยนข้อมูลลับสำเร็จ

“เอาอะไร?” เห็นว่าเย่เทียนเฉินยื่นมือขวามาทางตนเหมือนต้องการของบางอย่าง ชางหลางจึงถามอย่างไม่เข้าใจ

“นายพลชางครับ คุณท่านไม่เคยเดินทางไปต่างประเทศหรือไงครับ? หรือว่าการเดินทางครั้งนี้ไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายเหรอครับ? พวกคุณเชิญผมมาทำงาน หรือค่าใช้จ่ายก็ยังต้องให้ผมออกเองด้วย?” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางมองชางหลางอย่างอับจนคำพูด

“ฮ่าๆ ไอ้หนูนายนี่มันจริงๆ เลย ถึงกับแบมือขอเงินฉัน ได้ๆ ต้องการเท่าไร?” ชางหลางนับวันยิ่งรู้สึกว่าเย่เทียนเฉินน่าสนใจ กล่าวถามออกไปด้วยรอยยิ้ม

“เอามาใช้สักสิบล้านก่อนก็แล้วกัน ถึงเวลาถ้าไม่พอผมค่อยโทรหาคุณ” เย่เทียนเฉินกล่าวตามใจ

“ไอ้หนูเห็นฉันเป็นธนาคารรึไง อ้าปากมาก็บอกว่าจะเอาสิบล้าน ฉันจะไปหาเงินมากขนาดนี้ได้จากไหน”

พอคำพูดไม่ได้ความของเย่เทียนเฉินพูดออกมา ชางหลางก็พลันร้อนใจทันที อ้าปากปุบก็ขอสิบล้านปับ เห็นตนเองเป็นเครื่องพิมพ์ธนบัตรจริงๆ

“เย่เทียนเฉิน นายอย่าลืมว่าภารกิจและหน้าที่ของตนเอง ไม่ใช่ไปท่องภูเขาเล่นน้ำนะ” เถี่ยฉุยกัดฟันพูดออกมาด้วยความโมโห

“ไม่หรอกมั้ง งั้นก็ไม่ได้นะครับ ไม่มีค่าใช้จ่ายทำกิจกรรม ผมจะไปประเทศmได้ไง จะไปทำภารกิจได้ไง? จะทำภารกิจให้สำเร็จได้ไง? จะ….”

“ได้ๆ สิบล้านก็สิล้าน ไอ้หนู ถ้านายทำภารกิจไม่สำเร็จ กลับมาฉันจะคิดบัญชีกับนายอีกครั้ง” ชางหลางกัดฟันพูด

“นี่สิถึงจะถูกต้อง สบายใจ นายพลชาง คุณว่าตอนนี้ใกล้ถึงเวลากินข้าวเย็นรึยังครับ พวกเราไปกินอาหารทะเลอะไรกันหน่อยดีไหมครับ?” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้มอย่างหน้าด้านไร้ยางอาย

ชางหลางมองเย่เทียนเฉินอย่างอับจนคำพูด คนคนนี้เป็นคนประหลาดที่ทำให้ผู้คนอ่านไม่ออกเสียจริง ตอนที่เอาจริงก็ราวกับเทพแห่งความตาย ตอนสบายๆ ก็ราวกับอันธพาล ตอนนี้ก็ราวกับนักกินตัวยง แล้วยังเป็นครั้งแรกที่มีคนกล้ามาขู่เอาเงินของตน และขอให้ตนเลี้ยงข้าวอย่างหน้าด้านๆ

“นายดูนาฬิกาไม่เป็นเรอะไอ้หนู เพิ่งจะผ่านบ่ายโมง ตอนนี้แค่บ่ายสองโมง เคยเห็นข้าวเย็นที่ไหนกินตอนบ่ายสองโมงเรอะ?” ชางหลางกล่าวเสียงดังอย่างไม่สบอารมณ์

“คนเปรียบดังเหล็ก อาหารเปรีบดังแท่นตีเหล็ก ไม่กินหนึ่งมื้อหิวจนเป็นบ้าได้ ต้องเติมอาหารสักหน่อย เถี่ยฉุยขับไปร้านอาหารทะเลที่ใกล้ที่สุดเถอะ พวกเรากินกันสักมื้อใหญ่ๆ นายพลชางเลี้ยงเอง” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางหัวเราะฮี่ๆ

เกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ ความสนใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเย่เทียนเฉิน นอกจากการหายอดฝีมือแต่ละเส้นทางมาต่อสู้ด้วยแล้ว ที่เหลือก็คือเรื่องกิน ในชาติก่อน อาหารเลิศรสดีๆ กินสักหนึ่งมื้อ ต่อให้ใช้ทองคำท่วมหัวก็แลกมาไม่ได้ นั่นเป็นยุคแห่งความโหดร้ายและเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด คนจำนวนมากมีความสามารถแข็งแกร่ง มีการฆ่าฟันมากมายไม่หยุดหย่อน การต่อสู้ระหว่างประเทศต่างๆ ไม่มีอีกต่อไป มีเพียงองค์กรชั่วร้ายและองค์กรยุติธรรมที่ต่อต้านกัน มนุษยชาติในชาติก่อนเกือบจะถูกฆ่าล้างจนสูญพันธุ์ มีพวกไม่กลัวตายโผล่ออกมาเป็นจำนวนมาก เพื่อจะปกป้องดวงไฟดวงสุดท้ายของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ต้องผ่านประสบการณ์อันขื่นขมนับพันนับหมื่น ทำสงครามใหญ่กับพวกสัตว์กลายพันธุ์ หยุดยั้งอำนาจชั่วร้าย

อาหารมื้อนี้ เป็นมื้อที่ชางหลางและเถี่ยฉุยมองเย่เทียนเฉินกินโดยสิ้นเชิง ชายคนนี้ไม่มีความเกรงใจแม้แต่น้อย เป๋าฮื้อเอย กุ้งมังกรเอย ปูทะเลเอย สั่งมาจนเต็มโต๊ะ สองมือหยิบอาหารใส่ปากไม่มีหยุด ทั้งยังคอยเรียกชางหลางและเถี่ยฉุยให้กินด้วยปากอันเต็มไปด้วยคราบน้ำมัน พวกชางหลางทั้งสองเห็นดังนั้นหน้าผากก็เต็มไปด้วยขีดสีดำ คิดไม่ถึงเลยจริงๆ เย่เทียนเฉินชายผู้สามารถกลายเป็นดั่งเทพแห่งความตายได้ทุกเวลา จะถึงกับทำตัวตามใจคิดได้ขนาดนี้

เวลานี้ ชางหลางและเถี่ยฉุยกลับไม่รู้ว่า ภายในออฟฟิศของหยางอี้ผู้เป็นรองประธานคณะกรรมาธิการทหาร กำลังเกิดสงครามน้ำลายครั้งใหญ่ขึ้น หัวข้อก็โคจรอยู่รรอบๆ เย่เทียนเฉินนั่นเอง

ภายในออฟฟิศของหยางอี้ ฉินเทาหยวนยืนอยู่ข้างโซฟา บนโซฟามีชายชราที่ผมและเคราล้วนขาวโพลนนั่งอยู่คนหนึ่ง ดูไปแล้วก็อายุเกือบเจ็ดสิบปี อีกไม่กี่ปีก็จะเกษียณแล้ว แต่ก็ยังมีโอกาสเลื่อนขึ้นไปอีกขั้นจากการเลือกใหม่ในครั้งนี้ สามารถส่องแสงโชติช่วงในช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์ในช่วงสุดท้ายแห่งการกุมอำนาจ และผลักดันตระกูลฉินไปสู่ระดับที่สูงยิ่งขึ้น คนคนนี้ก็คือฉินอี้บิดาของฉินเทาหยวน และเป็นปู่ของฉินเหิง เป็นผู้อาวุโสแห่งตระกูลฉิน

“ผู้อาวุโสฉิน ลมอะไรพัดท่านมากันครับ เชิญดื่มชาก่อน” หยางอี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม

หากพูดตามตำแหน่งแล้ว หยางอี้เป็นรองประธานคณะกรรมาธิการทหาร ตำแหน่งย่อมไม่ได้ต่ำไปกว่าฉินอี้ แต่เขาอายุน้อยกว่าฉินอี้เล็กน้อย จะอย่างไรฉินอี้ก็ยังเป็นุร่นพี่ หยางอี้สามารถมีตำแหน่งเป็นรองประธานคณะกรรมาธิการทหารได้ ย่อมรู้ดีว่าเบื้องบนของแวดวงข้าราชการชุดนี้ เรื่องราวเบื้องหน้าต้องทำให้เรียบร้อย เพื่อหลีกเลี่ยงการตกเป็นขี้ปากชาวบ้าน หลายเรื่องใช้อารมณ์โกรธเคืองในการแก้ปัญหาไม่ได้ สู้ค่อยเป็นค่อยไปจะดีกว่า

“รองประธานหยาง ผมจะไม่ขออ้อมค้อม คุณกับผมต่างก็ยุ่งด้วยกันทั้งคู่ พูดกันตรงๆ เลยก็แล้วกันนะครับ หลานของผมฉินเหิงถูกคนทำร้ายจนหน้าตาไม่เหลือเค้าเดิม ผมหวังว่าคุณจะสามารถส่งตัวคนร้ายมาให้ผมลงโทษได้ อำนวยความสะดวกให้ผม” ฉินอี้กล่าวด้วยสีหน้าที่ไม่ดีนัก

ฉินอี้ปกป้องฉินเหิงผู้เป็นหลานอย่างมาก มิฉะนั้นฉินเหิงคงไม่ยะโสโอหังจนถึงขั้นนี้ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพราะเขาได้รับโทรศัพท์จากฉินเทาหยวนผู้เป็นลูก บอกว่าฉินเหิงหลานชายถูกจนทำร้ายบาดเจ็บสาหัส หลังจากเข้าใจเรื่องราวที่ผ่านมาคร่าวๆ ฉินอี้ก็นั่งรถที่จัดขึ้นเฉพาะไปยังเขตทหารเมืองหลวง ไปหาหยางอี้เพื่อหารือ

“พี่ฉิน พี่พูดแบบนี้ผมไม่ค่อยเข้าใจนะครับ ผมดูเหมือนปกป้องคนร้ายที่ทำร้ายหลานชายของพี่เหรอครับ? ตกลงนี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” หยางอี้กล่าวถามด้วยรอยยิ้มอย่างสงสัย

“พี่หยาง ลูกชายของผมฉินเหิงถูกคนทำร้ายที่เป้ยเฟิงเซวียนจนบาดเจ็บสาหัส คนที่ทำร้ายก็คือเย่เทียนเฉินไอ้เศษสวะของเมืองหลวง ตอนที่ผมกับหลูเซิ่งต๋าผู้อำนวยการสำนักความมั่นคงสาธารณะกำลังจะไปจับคน นายพลชางหลางลูกน้องของพี่ก็ปรากฏตัวออกมา บอกว่าต้องการพาตัวเย่เทียนเฉินไป ช่างมีความกล้าหาญมากมายซะเหลือเกิน พาตัวคนร้ายที่ทำร้ายลูกชายผมไปอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่าอวดอ้างความยิ่งใหญ่ของใครกัน” ฉินเทาหยวนพูดจาแฝงความนัยพลางมองหยางอี้

ได้ยินคำพูดของฉินเทาหยวน หยางอี้ก็ขมวดคิ้วอย่างดุดัน หากไม่ใช่ว่าฉินอี้อยู่ที่นี่ เกรงว่าเขาคงให้ตำรวจองครักษ์ไล่ฉินเทาหยวนออกไปโดยตรงแล้ว ตนเองเป็นรองประธานคณะกรรมาธิการทหารที่สง่าผ่าเผย ด้วยตำแหน่งของฉินเทาหยวนจะสามารถมาพูดคุยกับเขาได้หรือ? ต่อให้เป็นฉินอี้ ก็สามารถพูดได้แค่ว่ามีเรื่องจะปรึกษาเขาสักหน่อย ไม่กล้ามาออกคำสั่งอะไรกับเขาโดยเด็ดขาด

“งั้นเหรอครับ? ความหมายของคุณก็คือผมตั้งใจต่อต้านตระกูลฉินของคุณและช่วยเย่เทียนเฉิน?” หยางอี้เปิดปากถามอย่างเย็นชา

“ผมจะ…”

“หุบปาก ไสหัวออกไปซะ ที่นี่มีที่ให้แกสอดปากที่ไหนกัน” ฉินเทาหยวนยังอยากจะพูดอะไรอยู่อีก แต่ถูดบิดาฉินอี้กล่าวขัดและด่าอย่างรุนแรงไปยกหนึ่ง

“พ่อ…”

“ไปหัวไป!” ฉินอี้คำรามเสียงดัง

ฉินเทาหยวนโกรธจนทนไม่ไหว ทำได้เพียงเปิดประตูเดินออกไปจากออฟฟิศของหยางอี้ ส่วนฉินอี้ปรากฏรอยยิ้มสายหนึ่งออกมาให้เห็นพลางมองไปยังหยางอี้กล่าวว่า “น้องหยาง คุณกับผมก็เป็นคนที่เจอหน้ากันในด้านการเมืองบ่อยๆ ช่วยเหลือซึ่งกันและกันเป็นเรื่องที่สมควรทำ ลูกชายของผมไม่รู้ความ หวังว่าคุณจะไม่ถือสาหาความอะไร”

“ฮ่าๆ พี่ฉินพูดอะไรกัน ส่วนเรื่องที่หลานรักถูกทำร้าย ผมไม่รู้เรื่องจริงๆ ไม่งั้นตอนนี้ผมโทรหาชางหลาง ถามความสักหน่อยดีไหมครับ?” หยางอี้เป็นคนที่ฉลาดมากคนหนึ่ง แม้ว่าเขาจะรู้ว่าจริงๆ แล้วมันเกิดอะไรขึ้น แต่ก็เข้าใจว่า ชางหลางช่วยเย่เทียนเฉิน ก็เพื่อทำภารกิจปกป้องบุคลากรไปแลกเปลี่ยนข้อมูลลับให้สำเร็จ ส่วนตระกูลฉินน่ะหรือ อวดอ้างอำนาจของฉินอี้ ยะโสโอหังจนเคยตัวไปเสียแล้ว

“ไม่ต้องหรอกครับ แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ผมสามารถจัดการได้ เพียงแค่มาบอกน้องหยางไว้สักหน่อย หากว่าเป็นลูกน้องของคุณพาตัวคนร้ายไปจริงๆ หวังว่าจะส่งมาให้ตระกูลฉินของผม อันธพาลเช่นนี้ กล้าทำเรื่องแบบนี้ในเมืองหลวง ไม่แน่ว่าภายภาคหน้าจะทำความผิดร้ายแรงอะไรอีก จำเป็นต้องลงโทษให้รุนแรงนะครับ” ฉินอี้ยืนขึ้นพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม

……………………………………………..

บทที่ 67 นัดต่อสู้กับชางหลาง
Ink Stone_Fantasy
เย่เทียนเฉินอยากจะหายอดฝีมือของโลกนี้เพื่อต่อสู้ด้วยมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นยอดฝีมือพรรควรยุทธโบราณก็ดี หรือผู้แข็งแกร่งจากโลกพลังพิเศษก็ดี ที่สำคัญคือต้องการใช้การต่อสู้ระหว่างพวกเขากระตุ้นพลังพิเศษในร่างกายของตนเอง กระตุ้นแก่นพลังในสมองให้ตื่น และทะลวงไปสู่ขอบเขตพลังพิเศษที่สูงยิ่งขึ้น

การต่อสู้อันบ้าคลั่งกับอู๋เสวี่ยที่เป็นนักฆ่าอันดับหนึ่งของเมืองหลวงทำให้ขอบเขตพลังพิเศษของเย่เทียนเฉินสามารถยกระดับจากระดับราชันขึ้นไปสู่ระดับจอมราชัน หากไม่ใช่เพราะเหตุนี้ การที่เย่เทียนเฉินจะเอาชนะอู๋เสวี่ยและเถี่ยฉุยก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เช่นนั้น อย่างไรก็ตามต่อมาเย่เทียนเฉินพบว่า หากต้องการที่จะยกระดับขอบเขตพลังพิเศษอีกครั้ง ไม่สามารถอาศัยเพียงการต่อสู้อันดุเดือดระหว่างหนึ่งคนสองคนได้อีกต่อไป หากต้องการยกระดับขอบเขตพลังพิเศษขึ้นทุกหนึ่งขั้น สิ่งที่จำเป็นนอกเหนือไปจากการใช้แก่นพลังในสมองที่ถูกกระตุ้นและพลังพิเศษที่รวบรวมจากชีพจรในร่างกายทุกนิ้วมาทำการทะลวงแล้ว ผู้มีพลังพิเศษยังต้องมีความเข้าใจร่างกายของตนและธรรมชาติอย่างลึกซึ้งมากพอจึงจะทำได้

ตอนที่เย่เทียนเฉินต่อสู้กับเถี่ยฉุยที่บ้านตระกูลเย่ ต้องใช้ความสามารถของขอบเขตพลังระดับจอมราชันถึงจะทำให้เถี่ยฉุยถอยได้ ตอนนั้นเย่เทียนเฉินรู้สึกได้ถึงพลังพิเศษในร่างกายของตนที่แม้จะเดือดพล่านขึ้นมา แต่ก็ยังห่างไกลกับแนวโน้มที่จะปะทุจนทะลวงไปสู่อีกขอบเขตหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงเข้าใจดีว่า หากต้องการที่จะทะลวงอีกครั้งหนึ่ง จำเป็นต้องต่อสู้ให้บ้าคลั่งและดุเดือดยิ่งขึ้น

อีกทั้งตั้งแต่ชาติก่อนที่เป็นยุคสมัยอันดำมืดและเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด เป็นยุคที่คนกินคน ต้องต่อสู้อยู่ตลอดเวลา ทำให้ในสมองและโลหิตของเย่เทียนเฉินเต็มไปด้วยเซลล์แห่งการต่อสู้ตั้งนานแล้ว ชีวิตในเมืองที่น่าเบื่อนี้ หากมีการต่อสู้ดุเดือดบ้าคลั่งบ้างเป็นบางครั้งก็นับว่าไม่เลวทีเดียว

“อะไรนะ? สนใจขึ้นมาแล้วเหรอ?” ชางหลางเห็นว่าในที่สุดเย่เทียนเฉินก็กระตือรือล้นขึ้นมาจึงกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม

“สนใจนิดหน่อย เพียงแต่ไม่รู้ว่าคนต่างชาติพวกนั้นฝีมือเป็นยังไง”

“นอกเหนือจากนี้ฉันก็ไม่รู้ แต่ว่าดูจากข่าวกรองในช่วงหลายปีมานี้ของประเทศจีนของพวกเรา ประเทศmมีหน่วยพลังพิเศษเฉพาะกิจอยู่ทีมหนึ่ง คนพวกนั้นทุกคนต่างก็แข็งแกร่ง ความสามารถด้านพลังพิเศษก็ร้ายกาจเป็นอย่างมาก อีกทั้งหลายปีมานี้ หน่วยพลังพิเศษเฉพาะกิจของประเทศm มีสมาชิกเพิ่มขึ้นไม่ขาด พวกเราสงสัยว่าจะมีคนกำลังทดลองเบิกแก่นพลังพิเศษในสมองของมนุษย์…” ชางหลางกล่าวต่อเนื่อง

เย่เทียนเฉินชะงักไปครู่หนึ่ง เขาคิดไม่ถึงเลยว่าโลกแห่งนี้จะมีคนเริ่มการทดลองเบิกแก่นพลังพิเศษในสมองของมนุษย์แล้ว อีกอย่างจากคำพูดของชางหลาง เห็นได้ชัดว่าเทคโนโลยีทางด้านนี้ของต่างประเทศพัฒนาไปไกลกว่าประเทศจีนมาก ที่ประเทศจีนนั้นยังไม่มีนักวิทยาศาสตร์ที่สามารถทำการเบิกแก่นพลังพิเศษในสมองของคนธรรมดาได้ ดังนั้นผู้มีพลังพิเศษทางฝั่งนี้ล้วนมีพลังมาแต่กำเนิด

ผู้มีพลังพิเศษแบ่งเป็นผู้มีพลังมาแต่กำเนิดและผู้ที่มีพลังภายหลัง จุดนี้เย่เทียนเฉินรู้นานแล้ว ในชาติก่อนก็มีองค์กรที่เบิกแก่นพลังพิเศษในสมองของคนธรรมดาเช่นกัน เนื่องจากภายในสมองของมนุษย์ทุกคน ล้วนมีส่วนที่ลี้ลับอยู่ ภายในสมองส่วนนี้ จะมีสิ่งหนึ่งที่มีขนาดใหญ่เท่ากับนิ้วโป้ง ลักษณะคล้ายถั่วลิสง นั่นก็คือแก่นพลังพิเศษ เมื่อถูกกระตุ้นก็จะทำให้ผู้คนสามารถมีพลังพิเศษขึ้นมาได้ เพียงแต่โอกาสเช่นนั้นมีน้อยมาก หลายคนที่ชั่วชีวิตไม่สามารถถูกกระตุ้นแก่นพลังพิเศษจนมีพลังพิเศษขึ้นมาได้ นี่ก็คือผู้ที่มีพลังพิเศษภายหลัง

ผู้มีพลังพิเศษแต่กำเนิด ก็มีความหมายตามชื่อเรียก นั่นก็คือพอเกิดมาก็มีพลังพิเศษอยู่แล้ว คนประเภทนี้ถูกเรียกว่าอัจฉริยะ ชาติก่อนเย่เทียนเฉินเคยพบกับผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งมากคนหนึ่ง เป็นเด็กอายุสิบสามปี แข็งแกร่งหาที่เปรียบ และชั่วร้ายหาที่เปรียบ เด็กชายคนนี้เป็นผู้มีพลังพิเศษมาแต่กำเนิด เกิดมาก็มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมากแล้ว ความอภิรมย์ที่สุดของเขาก็คือจับคนมีเจาะเปิดรูที่หัวทั้งๆ ที่ยังมีชีวิต ขุดมันสมองข้างในออกมา ทำให้เหยื่อหวาดกลัวจนตาย

ในปีนั้น เย่เทียนเฉินได้สู้กับเด็กชายวัยสิบสามปีคนนี้จนสั่นสะเทือนไปทั่วโลกของผู้มีพลังพิเศษ การต่อสู้ครั้งนั้นเป็นการต่อสู้ครั้งเดียวที่เย่เทียนเฉินกระตุ้นพลังพิเศษระดับพระเจ้าภายในร่างกายออกมาทั้งหมดและไปสัมผัสกับขอบเขตต้องห้าม เนื่องจากเด็กชายผู้ชั่วร้ายคนนี้ไม่เพียงแต่มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งเกินพิกัด แต่ยังเป็นยอดฝีมือที่ครอบครองพลังสายธาตุสายฟ้าอีกด้วย การขยับทุกท่วงท่าต่างก็มีสายฟ้าปะทุออกมา เขามีกระทั่งพลังในการเคลื่อนสายฟ้าที่อยู่บนท้องฟ้าได้ มีอำนาจสั่งการสายฟ้า นั่นเป็นการต่อสู้ที่เย่เทียนเฉินลำบากที่สุด และทำให้เขารู้ว่า ผู้มีพลังพิเศษทุกระดับและทุกสาย ต่างก็ไม่อาจดูเบาได้ ขอเพียงยกระดับพลังในสายนั้นนั้นให้ถึงระดับสุดยอด ก็จะมีอำนาจถล่มสวรรค์ทลายปฐพี

การต่อสู้ครั้งนั้น เย่เทียนเฉินไม่สามารถฆ่าเด็กชายวัยสิบสามปีผู้ชั่วร้ายคนนั้นได้ แต่ก็ทำให้เขาบาดเจ็บสาหัสและทำลายพลังพิเศษในร่างกายของเด็กชายคนนั้น ทำให้เขายากที่จะทะลวงไปได้ นับว่าเป็นการทำความดีแก่คนธรรมดาในชาติก่อนที่เอาตัวรอดไปวันๆ

“ผมก็สนใจไปเที่ยวต่างประเทศสักรอบนะครับ เพียงแต่ผมไม่อาจวางใจเรื่องพ่อแม่และน้องสาวของผมได้ ถ้าตระกูลลั่วและตระกูลฉินลงมือกับพวกเขาจะทำยังไง?” เย่เทีนยเฉินถอนหายใจ

“นายวางใจได้ ช่วงที่นายไปทำภารกิจ ฉันชางหลางขอรับประกันกับนายด้วยเกียรติ์ของทหาร หากมีใครกล้าแตะต้องคนของตระกูลนายแม้แต่น้อย ฉันจะรับผิดชอบเองทั้งหมด” ชางหลางกล่าวอย่างจริงจัง

ชางหลางเองก็เข้าใจดีว่า ถ้าต้องให้เย่เทียนเฉินคนนี้ไปทำภารกิจอย่างเต็มใจและยินดี ก็จำเป็นต้องจัดการกับความกังวลใจของเขา เพียงแต่เมื่อคิดว่าคนคนนี้เพิ่งจะปลดประจำการจากกองทัพกลับไป ก็ไปหาเรื่องยุ่งยากขนานใหญ่มาเสียแล้ว ชางหลางอยากจะอัดชายคนนี้สักหลายๆ ครั้ง ตอนนี้ก็ต้องให้เขาไปตามเช็ดก้นให้เย่เทียนเฉินแล้ว

เพียงแต่ชางหลางจนถึงตอนนี้ก็ไม่มีหนทางอื่นอีก เขารับรองกับกับหัวหน้าของเขาหยางอี้ซึ่งเป็นรองประธานคณะกรรมาธิการทหารไปแล้วว่าเย่เทียนเฉินสามารถทำภารกิจนี้ให้สำเร็จได้ ชายคนนี้เป็นคนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมในการปฏิบัติภารกิจนี้มากที่สุดในหมู่คนที่เขารู้จัก ชางหลางจึงทำได้เพียงเดิมพันข้างเย่เทียนเฉิน

“งั้นผมมีข้อเรียกร้องสามข้อ” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ข้อเรียกร้องสามข้อ? นายนี่ได้คืบจะเอาศอกใช่ไหม? นายเป็นใครกัน? เป็นพ่อค้าใชไหม? นี่เป็นภารกิจ เป็นคำสั่ง เข้าใจรึเปล่า?” เถี่ยฉุยโกรธจนหันมาคำรามลั่น

“จะตกลงหรือไม่ก็แล้วแต่พวกคุณ ผมจะไปหรือไม่ไปก็ได้ทั้งนั้น ถึงผมจะอยากไปลองฝีมือของยอดฝีมือที่ต่างประเทศพวกนั้นนิดหน่อย แต่เมื่อเทียบกับชีวิตเอ้อระเหยอิสระในประเทศ ก็ยังรู้สึกทุกข์ใจอยู่บ้าง” เย่เทียนเฉินยักไหล่ พูดอย่างไม่ใส่ใจนัก

“ไอ้หนูนายอย่าเรียกร้องอะไรให้มันเกินไปนัก นายล่วงเกินตระกูลฉิน เมื่อกี้หากไม่ใช่เพราะฉัน เกรงว่านายคงเดินออกมาไม่ได้แล้ว ถือว่าช่วยชีวิตนายไว้ครั้งหนึ่ง คนเราต้องรู้จักตอบแทนบุญคุณ” ชางหลางรีบเปิดปากพูด

เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา แม้ว่าเขาจะเป็นคนเข้มงวดคนหนึ่ง แต่ก็เป็นคนไม่สนโลกเช่นกัน การใช้ชีวิตก็ควรจะเป็นเช่นนี้ เวลาที่ควรจริงจังก็ต้องจริงจัง เวลาที่ควรเล่นก็เล่น โดยเฉพาะประโยคเมื่อสักครู่นี้ ทำให้ชางหลางที่เป็นคนไม่มีอารมณ์ขันมาโดยตลอดลนลานขึ้นมา นี่ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกน่าขำอยู่บ้าง

“ไม่จำเป็น เรื่องของตระกูลฉินผมสามารถจัดการเองได้ คุณเข้ามาวุ่นวายพอดี ทำให้แผนของผมยุ่งไปหมดเลย” เย่เทียนเฉินกล่าวอย่างไม่รู้จักดีชั่ว

“ไอ้หนูนาย…”

“หนึ่งเรื่องแลกหนึ่งเรื่อง จะต้องแยกให้ชัดเจน บอกมาเถอะ จะตอบรับข้อเรียกร้องทั้งสามข้อของผมไหม?” เย่เทียนเฉินกล่าวขัดคำพูดของชางหลาง

ครั้งนี้ชางหลงมาหาตนเองเพื่อที่จะมอบหมายภารกิจปกป้องข้อมูลลับ ชางหลางเป็นใคร มีสถานะอย่างไร เย่เทียนเฉินทราบเป็นทราบดี ดังนั้นเขาจึงอยากจะยื่นข้อเรียกร้องสักหน่อย แม้ว่าตนเองจะไม่มีอะไรที่ต้องการ แต่ก็สามารถช่วงชิงมาให้พ่อแม่และน้องสาวได้สักหน่อยไม่ใช่หรือ

“ลองพูดมาสิ?” เจอกับเย่เทียนเฉิน ทำให้ชางหลางรู้สึกมึนๆ เบลอๆ เสียจริง จึงกล่าวถามออกมาอย่างระมัดระวัง

ในสายตาของชางหลาง เย่เทียนเฉินเป็นประหลาดคนหนึ่ง ชายคนนี้เวลาที่จริงจังก็ฆ่าคนราวผักปลา ราวกับเทพแห่งความตายก็มิปาน ใครก็ไม่อาจขวางกั้นการก้าวเดินของเขาได้ ในยามเล่นสนุก ก็ไม่ต่างอะไรจากคุณชายเสเพลไร้การศึกษาเลย ความชั่วช้ามานย์ก็ยังคงมีในตัวเขา ช่างทำให้ผู้คนอับจนคำพูดจริงๆ

“ข้อแรก พ่อของผมเป็นเลาขาธิการอยู่ที่เมืองh ให้เปลี่ยนมาเรียนที่โรงเรียนพรรคคอมมิวนิสต์ได้ไหมครับ? ข้อสอง ผมอยากจะปล่อยคนคนหนึ่งออกมาจากคุกของเมืองหลวง ชื่อของเขาคือหยางไห่ ข้อสาม หลังจากที่ผมกลับมา ผมอยากประลองกับคุณสักครั้ง และความว่าคุณจะลงมือเต็มที่” เย่เทียนเฉินกล่าวกับชางหลางด้วยรอยยิ้ม

เงื่อนไขสองข้อแรกของเย่เทียนเฉิน อาจจะยังอยู่ในความคาดหมายของชางหลาง แต่เงื่อนไขข้อที่สามของเขา ไม่คิดเลยว่าจะเป็นการประลองกับตนเอง ทำให้เขารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย

“เย่เทียนเฉิน ไอ้หนูอย่างนายจะไม่โอหังไปหน่อยเรอะ ถึงกับกล้าบอกว่าจะสู้กับนายพลชาง เบื่อชีวิตแล้วใช่ไหม?” เถี่ยฉุยที่ขับรถอยู่ เมื่อได้ยินเงื่อนไขทั้งสามข้อที่เย่เทียนเฉินพูดขึ้นมา ก็พลันกล่าวออกมาอย่างโมโห

เถี่ยฉุยมีชางหลางเป็นแบบอย่างในใจ เป็นบุคคลที่ไม่อาจดูหมิ่นได้ มีฐานะเป็นหนึ่งในสามราชันนักรบของจีน ฝีมือแข็งแกร่งเป็นออย่างมากดูเหมือนจะไม่มีใครรู้และไม่มีใครกล้าท้าทายฝีมือชางหลาย เย่เทียนเฉินถึงกับกล้าเอ่ยปากว่าต้องการสู้กับชางหลาง ในความถึงของเถี่ยฉุยเป็นการไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ต่อให้เย่เทียนเฉินจะพอมีฝีมือ ก็ไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของชางหลางได้โดยสิ้นเชิง นี่คือความคิดของเถี่ยฉุย

“เงียบน่า ขับรถของคุณไปดีๆ เถอะ ระวังว่าขับรถไม่ดีผาดโผนไปมา จะถูกเปลี่ยนตัวเอาได้” เย่เทียนเฉินพูดกับเถี่ยฉุย

ตอนนี้เอง ชางหลางที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็จริงจังขึ้นมาพลางมองเย่เทียนเฉินอย่างพิจารณา แม้ว่าเขาจะมองความสามารถของเย่เทียนเฉินไม่ออก แต่เขารู้ว่าฝีมือของเย่เทียนเฉินไม่อ่อนแอ ทั้งเถี่ยฉุยก็บอกเขาว่าได้ต่อสู้อย่างเต็มกำลังกับเย่เทียนเฉินและไม่อาจเอาชนะได้ นี่ทำให้ชางหลางอดไม่ได้ที่จะตกใจ เถี่ยฉุยเป็นลูกน้องหมายเลขหนึ่งของเขา ฝีมือไล่ตามตนเองที่เป็นสามนักรบราชันของจีนได้ ถึงขนาดลงมือเต็มที่แล้วยังไม่สามารถทำให้เย่เทียนเฉินพ่ายแพ้ได้ ทำให้เขาไม่กล้าที่จะเชื่อ

“นายแน่ใจนะว่าอยากจะสู้กับฉัน?” ชางหลางกล่าวถามเสียงเข้ม

“ใช่ครับ ผมรู้ว่าคุณแข็งแกร่งมาก เลยอยากจะลองดูสักหน่อยว่าตกลงแล้วคุณแข็งแกร่งขนาดไหน ถ้าเป็นไปได้ คุณอาจจะอัดผมจนจมูกเขียวหน้าช้ำได้ แต่ก็เป็นไปได้ว่าผมอาจจะอัดคุณจนตาเขียว…” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้มสบายๆ

หากตอนนี้มีคนนอกได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉินจะต้องงตกใจจนคางหลุดเป็นแน่ คนที่กล้าพูดกับชางหลางซึ่งเป็นผู้แข็งแกร่งหนึ่งในสามนักรบราชันของจีนว่าจะอัดให้ตาเขียว มีเพียงเย่เทียนเฉินคนเดียวเท่านั้นที่กล้าพูดคำนี้ออกมา

“ฮ่ะๆ ดี ผู้กล้าน้อย ถ้าหากนายสามารถสำเร็จภารกิจและมีชีวิตรอดกลับมาได้ ฉันจะสู้กับนาย” ชางหลางพลันกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มกว้าง

“คำไหนคำนั้น ถ้าแพ้ก็อย่าร้องไห้ขี้มูกโป่งแล้วกัน!”

ได้ยินคำพูดยั่วเย้าของเย่เทียนเฉิน ชางหลางก็อยากจะอัดได้หนุ่มนี่แรงๆ สักยก ตนเองเป็นใคร? เป็นทหาร เป็นหนึ่งในสามราชันนักรบของจีน เป็นชายชาตรีที่หลั่งเลือดไม่หลั่งน้ำตามาตั้งนานแล้ว เย่เทียนเฉินถึงกับพูดคำว่าร้องไห้ขี้มูกโป่งออกมา ทำให้ชางหลางอยากจะพุ่งไปประเคนหมัดให้เย่เทียนเฉินสักหลายๆ หมัดจริงๆ

…………………………………………..

บทที่ 66 ภารกิจที่สนใจ
Ink Stone_Fantasy
“ชางหลาง คุณก็คิดจะล่วงเกินตระกูลฉินของผมงั้นเหรอ?” ฉินเทาหยวนมองชางหลางอย่างโหดเหี้ยมพลางกล่าว

“ผมไม่ต้องการล่วงเกินตระกูลฉินของคุณ เพียงแต่มันเป็นเรื่องของงานหลวงก็เท่านั้น ตอนนี้ผมต้องพาตัวเย่เทียนเฉินไป ส่วนเรื่องบุญคุณความแค้นระหว่างตระกูลฉินของคุณกับเขา พวกคุณค่อยมาจัดการกันทีหลัง” ชางหลางกล่าวโดยหน้าไม่เปลี่ยนสี

“ดี ดี ชางหลาง ถ้างั้นพวกผมจะรอดู” ฉินเทาหยวนคำรามออกมาอย่างโกรธเคือง

ชางหลางไม่สนใจฉินเทาหยวน เขาไม่ใช่ไม่กล้าล่วงเกินตระกูลฉิน แค่มันไม่จำเป็น เขาเป็นคนของคณะกรรมาธิการทหาร รู้ดีว่าอำนาจของตระกูลฉินในเมืองหลวงมีไม่น้อย หากตนเองออกหน้าล่วงเกินตระกูลฉินแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน ย่อมต้องมีผลกระทบตามมาไม่น้อย ถึงตอนนั้นหากว่าไม่จบ ก็ให้เย่เทียนเฉินคนนี้ไปเสีย จะอย่างไรเขาก็เป็นคนพาลที่ไม่กลัวฟ้ากลัวดินอยู่แล้ว

“เย่เทียนเฉิน นายยังจะมัวนิ่งอยู่ทำไม ขึ้นรถสิ มีเรื่องจะคุยกับนาย” ชางหลางมองเย่เทียนเฉินที่ยืนสูบบุหรี่อยู่ข้างๆ พลางกล่าวด้วยท่าทางที่ไม่ดีนัก

“ไม่สนใจอ่ะ ผมจะกลับบ้านไปนอนแล้ว ลาก่อน ฝันดี!” เย่เทียนเฉินกล่าวอย่างเอ้อระเหย พลางโบกมือให้ชางหลางแล้วหันตัวเดินจากไป

ไหนเลยจะรู้ว่า เย่เทียนเฉินเพิ่งจะหันตัวเตรียมจะเดินจากไป เถี่ยฉุยก็มาขวางเขาไว้จากข้างหลัง ทั้งยังมีท่าทางดุดันเอาเรื่อง ราวกับจะบอกว่าหากแกเย่เทียนเฉินไม่ขึ้นรถ พวกเราก็จะคุยกันด้วยปืน

“ว้าว? ที่แท้พวกคุณก็จะมาลักพาตัวผมเหรอ?” เย่เทียนเฉินแสร้งทำท่าทีหวาดกลัว ยิ้มออกมาอย่างสนุกสนานพลางหันไปพูดกับชางหลาง

“เย่เทียนเฉิน ที่มาหานายครั้งนี้เพราะมีเรื่องสำคัญมาก ไปกับฉันสักครั้งเถอะ” เถี่ยฉุยมองเย่เทียนเฉินพลางกล่าวอย่างจริงจัง

“เถี่ยฉุย ฝีมือของคุณก็ไม่ได้อ่อนแอ แค่คุณเป็นคนที่ไม่รู้จักพลิกแพลง ไม่เห็นเหรอว่าผมไม่เต็มใจที่จะหาเรื่องใส่ตัวให้มากมาย? อย่ามาทำให้ผมลำบากใจเลยดีไหม? ผมเป็นคนตรงไปตรงมานะครับ”

หากไม่ตีกันก็ไม่รู้จักกัน เย่เทียนเฉินนับถือฝีมือของเถี่ยฉุยมาก หลังจากที่เขากลับชาติมาเกิดในเมือง นอกจากนักฆ่าอู๋เสวี่ยแล้ว ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดทั้งหมดที่ได้พบในขณะนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าขอบเขตพลังพิเศษของตนเองทะลวงไปถึงระดับจอมราชัน ต้องการเอาชนะเถี่ยฉุยเกรงว่าจะต้องเปลืองแรงอยู่บ้าง

ดังนั้นเย่เทียนเฉินมีความประทับใจที่ดีต่อเถี่ยฉุยเป็นอย่างมาก นอกจากเขาจะมีฝีมือที่แข็งแกร่ง ยังเป็นคนที่ตรงไปตรงมากับผู้อื่นอีกด้วย ในเมืองหลวงแห่งนี้ที่มีกลุ่มอำนาจผสมปนเปกันไปหมดหากต้องการหาคนที่ตรงไปตรงมาออกมาสักหลายคนเป็นเรื่องที่ยากจริงๆ นี่จึงทำให้เย่เทียนเฉินอยากจะหยอกล้อเถี่ยฉุย ทั้งหมดก็เพื่อให้เขาเป็นเพื่อน

“ไปกับพวกเราเถอะ มีเรื่องเฉพาะสำหรับนาย!” เถี่ยฉุยมองเย่เทียนเฉินครู่หนึ่งพลางกล่าว

“ไม่สนใจอ่ะ ผมไม่สนใจจริงๆ บายบาย!”

เย่เทียนเฉินโบกมือให้เถี่ยฉุยและชางหลาง สูบบุหรี่เฮือกหนึ่งแล้วหมุนตัวจากไป ทันใดนั้นเอง เย่เทียนเฉินก็รู้สึกได้ถึงไอสังหารสายหนึ่ง รุนแรงเป็นอย่างมาก ไม่ใช่ไอสังหารที่คนธรรมดาๆ จะปล่อยออกมาได้แน่ จ้องมองไปพบว่า ชางหลางที่อยู่ห่างออกไปกว่าร้อยเมตรมายืนอยู่เบื้องหน้าของตนเองเมื่อไรก็ไม่ทราบ กำลังมองเขาด้วยแววตาจริงจัง

“ต่อให้นายไม่คิดถึงตัวเอง ก็ต้องคิดถึงพ่อแม่และน้องสาวของนาย และก็ต้องคิดถึงตระกูลเย่ที่ตกต่ำไปแล้วของพวกนายบ้าง นายอยากให้พ่อแม่น้องสาวของนายถูกผู้คนดูถูกไปชั่วชีวิต อยากให้ตระกูลเย่ตกต่ำต่อไปและได้รับคำพูดเย็นชาจากผู้คนอื่นงั้นหรือ?” ชางหลางกล่าวพลางมองเย่เทียนเฉิน

ได้ยินคำพูดของชางหลาง เย่เทียนเฉินก็ขมวดคิ้ว ความจริงแล้วไม่ใช่คำพูดของชางหลางที่ทำให้เขาสั่นสะท้าน แต่เป็นฝีมือของเขาต่างหาก เมื่อสักครู่ชางหลางอยู่ห่างจากตนเองร้อยเมตรกว่า กลับสามารถมาถึงเบื้องหน้าของตนได้ภายในเวลาไม่ถึงสองวินาที อีกทั้งบนร่างของชางหลางยังมีไอสังหารแผ่ออกมาอีกด้วย กระทั่งเย่เทียนเฉินรู้สึกได้ถึงความเดือดดาล คล้ายกับสัตว์ร้ายจำศีลตัวหนึ่ง พอได้ลงมือจะต้องสะท้านฟ้าสะเทือนดินอย่างแน่นอน

ชางหลางเป็นหนึ่งในสามนักรบราชันของจีน ความสามารถที่แท้จริงของเขาเป็นอย่างไรไม่มีใครรู้ เนื่องจากคนที่เห็นเขาลงมือมีน้อยมาก ในเมื่อเป็นหนึ่งในสามนักรบราชัน เช่นนั้นในกองทัพ ฝีมือของชางหลางย่อมอยู่ในสามอันดับแรกแน่นอน แต่อันดับอย่างละเอียดนั้นไม่ทราบแน่ชัด เนื่องจากชางหลาง เหยียนหลง และบุคคลลึกลับอีกคนหนึ่ง แม้จะถูกเรียกว่าเป็นสามนักรบราชัน แต่ในหมู่สามนักรบราชันนี้ไม่ได้มีการต่อสู้กันจริงๆ ย่อมมิอาจรู้ว่าใครแข็งแกร่งกว่าใคร

แต่เมื่อสักครู่ที่ชางหลางพุ่งมาเบื้องหน้าของตนเองด้วยความเร็วสูง ปรากฏกลิ่นอายความโหดเหี้ยมแพร่กระจายอยู่บนร่างกายสายหนึ่ง ทำให้เย่เทียนเฉินรู้ว่า หนึ่งในสามนักรบราชันของจีน ฉายานี้ได้มาอย่างไม่เสียเปล่าเลยจริงๆ คำที่เขาจะใช้ประเมินชางหลางได้มีเพียงคำว่า “แข็งแกร่งมาก” เท่านั้น

นี่ทำให้เย่เทียนเฉินต้องการสู้กับชางหลางเป็นอย่างมาก เพราะไม่เพียงแต่จะเป็นการฝึกฝนเท่านั้น บางทีอาจจะสามารถกระตุ้นพลังพิเศษภายในร่างกายให้สามารถยกระดับขึ้นไปอีกขั้นด้วย ตั้งแต่ที่ขอบเขตพลังพิเศษขึ้นไปถึงระดับจอมราชัน เย่เทียนเฉินพบว่าการยกระดับความสามารถมีความยากลำบากมากขึ้นกว่าเดิม ไม่ใช่เพียงอาศัยการต่อสู้อันยากลำบากเพียงอย่างเดียว ก็สามารถกระตุ้นพลังพิเศษได้อีกต่อไปแล้ว แต่ยังต้องการการหล่อหลอมร่างกายของตนควบคู่ไปกับการต่อสู้ภายนอกเข้าช่วยเหลือ

หากมองไปทั่วทั้งประเทศจีน จะหายอดฝีมือที่แข็งแกร่งกว่าชางหลางได้นั้นยากมาก ไม่ใช่ว่าจะไม่มี เพียงแต่หาได้ยากมากเท่านั้น ผู้แข็งแกร่งจากพรรควรยุทธโบราณ ยอดฝีมือจากโลกของผู้มีพลังพิเศษ คนเหล่านี้ต่างล่องลอยไม่มีหลักแหล่งที่แน่นอน หากต้องการหาสักคนมาฝึกมือ เกรงว่าจะไม่ง่าย

“ถ้างั้นแสดงว่าพวกคุณมาหาผมเพราะมีธุระสินะครับ? แล้วผมจะได้ประโยชน์อะไร?” เย่เทียนเฉินชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม

“ขึ้นรถสิ พวกเราขึ้นไปคุยกันบนรถ” ชางหลางกรอกตาใส่เย่เทียนเฉินพลางกล่าว

เย่เทียนเฉินหัวเราะฮี่ๆ เดินตามชางหลางไปอย่างเชื่อฟัง ชางหลางกล่าวได้ไม่ผิด ตัวเย่เทียนเฉินเองนับว่าไม่มีอะไรที่ต้องการ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพ่อแม่และน้องสาวจะไม่ต้องการ พ่อยังต้องการปืนป่ายขึ้นไปให้สูงกว่านี้อีกสักหน่อย น้องสาวเองก็ต้องการเข้ามหาวิทยาลัยหลงเถิง ส่วนแม่นั้นต้องการเปิดร้านเสริมสวยเป็นของตนเองมาโดยตลอด ถึงอย่างไรชางหลางก็มีเรื่องให้ตนช่วย เช่นนั้นทำทั้งสามเรื่องนี้ไปด้วยเลยไม่ดีหรือ?

คิดถึงตรงนี้ เย่เทียนเฉินก็ยิ้มออกมาอย่างอัปลักษณ์ คิดถึงตอนที่ตนเองยกสามเรื่องนี้ขึ้นมา ชางหลางจะโกรธจนหน้าเขียวหรือไม่ จะเกิดอาการอยากอัดตนเองแรงๆ สักหน่อยหรือไม่?

เย่เทียนเฉินเข้าไปนั่งบนที่นั่งด้านหลังของรถจี๊ปทหารกับชางหลาง เถี่ยฉุยเป็นคนขับรถ ส่วนรถจี๊ปทหารอีกหลายคันที่มีทหารติดอาวุธอยู่ก็ขับตามพวกเขามาด้านหลัง คอยคุ้มครองอยู่ตลอดเวลา นับว่าฟุ่มเฟือยเป็นอย่างมาก

ฉินเทาหยวนมองชางหลางพาตัวเย่เทียนเฉินไป โกรธเสียจนกัดฟันกรอด แทบอยากจะฆ่าชางหลางและเย่เทียนเฉินให้ตายไปด้วยกันเสียเลย แต่รู้ดีว่าชางหลางพาเย่เทียนเฉินไป เรื่องราวย่อมไม่เรียบง่ายแน่นอน เขาทำได้เพียงขอให้พ่อออกหน้าให้ เนื่องจากผู้บังคัญบัญชาของชางหลางคือหยางอี้ซึ่งเป็นรองประธาณคณะกรรมาธิการทหาร เขาฉินหยวนเทายังไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะไปพูดคุยด้วยได้

“นายก็ออกมาตั้งนานขนาดนี้แล้ว ยังจะทำตัวเหลาะแหละเหมือนตอนอยู่ในกองทัพอยู่อีก” ชางหลางมองเย่เทียนเฉินที่สูบบุหรี่อยู่ด้านข้างพลางกล่าว

“พอเถอะ มีอะไรก็พูดมาเถอะครับ ผมไม่ใช่คนที่ชอบพูดจาอ้อมค้อม” เย่เทียนเฉินรู้ว่าชางหลางมาหาตนจะต้องมีธุระแน่นอน คงไม่ได้จัดกำลังทหารมาเต็มซะขนาดนี้เพื่อมาเชิญตนเขาดื่มชาหรอก!

ชางหลางมองเย่เทียนเฉินครู่หนึ่ง กล่าวตามจริง ในตอนนี้เขาประหลาดใจในตัวเย่เทียนเฉินมากขึ้นทุกวัน คนที่เคยเป็นเศษสวะไร้ค่า จู่ๆ ก็ลุกขึ้นมาตอบโต้ ขนาดฉินเทาหยวนก็ยังกล้าตบ ช่างเด็ดเดี่ยวกล้าหาญจริงๆ

“งั้นก็เอาตามที่พูดเถอะ มีภารกิจชิ้นหนึ่งที่จะให้นายไปทำให้สำเร็จ” ชางหลางเปิดปากกล่าว

“ภารกิจ? ภารกิจอะไร? ก่อนอื่นมีสามอย่างที่ผมต้องอธิบายเสียก่อน ภารกิจที่ต้องขลุกอยู่กับผู้หญิง ผมไม่รับ ผู้หญิงช่างวุ่นวายซะเหลือเกิน โดยเฉพาะผู้หญิงสวยๆ อีกอย่าง ภารกิจที่ไม่ตื่นเต้นเร้าใจ ผมก็ไม่รับนะครับ แล้วผมก็มีเงื่อนไขของผม ถ้าไม่ตกลง ผมก็ไม่ทำ”

“มีแต่คนพูดว่าเย่เทียนเฉินที่เป็นตัวตลกอันดับหนึ่งของเมืองหลวง ไม่เพียงแต่เป็นคนไม่เอาไหน แต่ยังเป็นเศษสวะอีกด้วย แต่ฉันมองว่านายฉลาดกว่าคนอื่นๆ ซะอีก” ชางหลางอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาด้วยรอยิ้ม

“พูดมาเถอะครับ ภารกิจอะไร ถ้าผมสนใจก็ยินดีกับคุณด้วย ถ้าไม่สนใจ งั้นก็คงทำใด้เพียงขอให้พวกคุณไปเชิญคนอื่นมาทำแล้ว!” เย่เทียนเฉินกล่าวอบ่างไม่ใส่ใจ

เมื่อเถี่ยฉุยที่ขับรถอยู่ข้างหน้าได้ยินคำพูดเหล่านี้ของเย่เทียนเฉินก็อยากจะอัดเขาเต็มแก่ การเป็นทหาร คำสั่งอยู่เหนือทุกสิ่ง ขอเพียงเบื้องบนมีคำสั่งลงมา ต่อให้ต้องใช้ชีวิตเข้าแลก ก็ต้องเชื่อฟังอย่างไม่มีเงื่อนไข เย่เทียนเฉินเคยเป็นทหารคนหนึ่ง แม้ว่าจะออกจากกองทัพมาแล้ว แต่ก็ควรมีอารมณ์ความรู้สึกเฉกเช่นทหาร ตอนนี้เจ้าหมอนี่มีตรงไหนกันที่เหมือนกับทหารผู้มีความเที่ยงธรรมน่าเลื่อมใส กลับกลายเป็นคนถ่อยที่วางแผนเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนไปแล้วโดยสิ้นเชิง และยังเป็นคนประเภทชั่วช้าสามานย์เกินพิกัดอีกต่างหาก

“เรื่องนี้รับรองว่านายต้องสนใจแน่ ฉันรับประกันกับนายเลยว่าภารกิจครั้งนี้มีสาวงาม แต่ไม่ใช่ต้องไปขลุกอยู่กับเธอ แล้วก็ตื่นเต้นเร้าใจมากๆ ด้วย รับรองว่าเหมาะกับไอ้หนุ่มเลือดร้อนอย่างนาย ส่วนเงื่อนไขของนายก็บอกมาเถอะ ฉันจะลองพิจารณาดูว่าเหมาะสมหรือไม่” ชางหลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“คุณลองพูดมาก่อนเถอะ”

“ได้ ครั้งนี้พวกเรามีข้อมูลลับอย่างหนึ่งที่ต้องเอาไปแลกเปลี่ยนที่ประเทศm คนที่แลกเปลี่ยนข้อมูลกับพวกเราก็เป็นคนในกองทัพของประเทศm แม้ว่าเบื้องหน้าทุกคนจะดูกลมเกลียวสามัคคีกันดี ไม่พายอดฝีมือไปด้วย ถึงกับเซ็นสนธิสัญญาแลกเปลี่ยนสันติภาพกัน แต่พวกเราตรวจสอบพบว่า คราวนี้กองทัพประเทศm ต้องการฆ่าบุคคลที่เราส่งไปแลกเปลี่ยน และนำข้อมูลของทางฝั่งพวกเราไป” ชางหลางพยักหน้าพลางกล่าว

“ที่แท้ก็ก็อันธพาลแย่งชิงผลประโยชน์กันนี่เอง ไม่คิดเลยว่าระหว่างประเทศเองก็มีแผนชั่วแบบนี้ด้วย เบื้องหน้าผู้นำของสองประเทศจับมือพูดคุยกันอย่างยิ้มแย้ม เบื้องหลังไม่รู้ว่าฆ่าคนของประเทศผู้อื่นไปแล้วมากน้อยแค่ไหน ดำมืด ดำมืดจริงๆ เลย!” เย่เทียนเฉินกล่าวพลาแสร้งทำท่าทางประหลาดใจ

“นายมาแล้วก็ถือว่าเป็นทหารหน่วยรบพิเศษ ฉันอยากจะพูดกับนายให้เข้าใจว่า ทั้งหมดนี้ก็เพื่อความรุ่งเรื่องของประเทศชาติ เพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนให้ปลอดภัย” ชางหลางกล่าวอย่างจริงจัง

“อย่า อย่าพูดจาสูงส่งยิ่งใหญ่แบบนั้น ผมเย่เทียนเฉินเดิมทีก็ไม่ใช่คนยิ่งใหญ่อะไร บอกตามตรง ผมไม่สนใจ ลาก่อนนะครับ” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางลุกขึ้นยืน เตรียมกระโดดลงรถไป

“เย่เทียนเฉิน นายเข้าใจไว้ซะด้วย นี่คือคำสั่ง คือภารกิจ นายเลี่ยงไม่ได้” เถี่ยฉุยมองเย่เทียนเฉินอย่างดุดันพลางกล่าว

“อยากเล่นพวกคุณก็เล่นกันไปเถอะ ผมไม่เล่นด้วย บายบาย!”

“ฉันได้ยินมาว่าครั้งนี้ประเทศmอาจจะมีสมาชิกของกองทหารรับจ้างที่แข็งแกร่งมาลงมือ มีกระทั่งผู้มีพลังพิเศษ ฉันคิดว่าถึงตอนนั้นการต่อสู้จะต้องดุเดือดแน่นอน ทุกคนต่างก็เป็นยอดฝีมือทั้งนั้น ฉันยังอยากจะไปสู้สักครั้ง เพียงแต่น่าเสียดายที่ไม่มีโอกาสนี้…” ตอนที่เย่เทียนเฉินเตรียมจะกระโดดลงจากรถ ชางหลางก็กล่าวออกมาเสียงเรียบพลางส่ายหัว

“นายพลชางผมว่านี่มันไม่ถูกต้องนะครับ มีเรื่องแบบนี้ทำไมไม่พูดออกมาเร็วๆ ล่ะ? พูดชัดๆ เลยว่าเรื่องมันเป็นยังไง ผมบอกเลยแล้วกันผมเลือกที่จะช่วยพวกคุณ ช่วงนี้ผมกำลังว่างอยู่พอดี” เย่เทียนเฉินกลับมานั่งข้างชางหลางใหม่ภายในพริบตา หัวเราะฮี่ๆ พลางกล่าวออกมา

…………………………………………………………

บทที่ 65 ชางหลางมาถึงแล้ว
Ink Stone_Fantasy
ฉินเทาหยวนถูกเย่เทียนเฉินตบหน้าจนโง่งม จะอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินถึงกับกล้าลงมือตบตนเอง นอกเหนือจากเรื่องตำแหน่งฐานะของตนในเมืองหลวงและอำนาจของตระกูลฉินในประเทศจีน ก็ยังมีเรื่องความแตกต่างระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ เขามีอาวุโสมากกว่าเย่เทียนเฉิน ไม่ต้องพูดถึงเย่เทียนเฉินหรอก ต่อให้เป็นเย่หงบิดาของเย่เทียนเฉิน ฉินเทาหยวนก็ไม่เห็นอยู่ในสายตา อำนาจของตระกูลฉินนั้นยิ่งใหญ่กว่าตระกูลเย่มากนัก

ไม่ใช่แค่ฉินเทาหยวนที่ถูกเย่เทียนเฉินตบจนโง่งมและเงียบไป กระทั่งหลูเซิ่งต๋า หลูวั่ง และคุณชายคนอื่นๆ ที่อยู่ในที่เกิดเหตุรอดูความคึดคัก ทุกคนต่างก็สูดหายใจเย็นยะเยือก ตะลึงจนแข็งเป็นหิน วิธีการอันโหดร้ายของเย่เทียนเฉิน ทำให้ทุกคนหน้าชาจริงๆ

“เย่เทียนเฉิน แก…” ฉินเทาหยวนโกรธจนปอดแทบระเบิด พูดอะไรไม่ออกไปครึ่งค่อนวัน

“อย่าตะโกนสุ่มสี่สุ่มห้าสิ การตบครั้งนี่เป็นการลงโทษที่แกเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่น่าเคารพ” เย่เทียนเฉินมองฉินเทาหยวนอย่างไม่ใส่ใจ

“ดี ดีมาก ดีจริงๆ ผู้อำนายการหลู คุณยังจะมัวอึ้งอยู่ทำไม คนร้ายแบบนี้มันต้องใช้วิธีวิสามัญฆาตรกรรมแล้ว” ฉินเทาหยวนคำรามใส่หลูเซิ่งต๋าด้วยความโกรธจนแทบเต้น

หลูเซิ่งต๋าได้สติกลับมาจากการช็อกแล้วจึงเช็ดเหงื่อเย็นๆบนหน้าผากครั้งหนึ่ง ตอนนี้เขาไม่รู้แล้วจริงๆ ว่าจะยืนอยู่ข้างไหนดี อำนาจอิทธิพลของตระกูลฉินยิ่งใหญ่มาก เรื่องนี้คงไม่ต้องพูดกันแล้ว เดิมทีคิดว่าการมาถึงของฉินเทาหยวนจะสามารถเก็บกวาดเย่เทียนเฉินได้ ไหนเลยจะรู้ว่า เย่เทียนเฉินจะกล้าตบแม้กระทั่งฉินเทาหยวน ช่างเป็นคนที่ไม่เกรงกลัวฟ้าดินเลยจริงๆ ไม่ว่าคุณจะมีตำแหน่งฐานะอะไร ไม่ว่าคุณจะมีภูมิหลังอย่างไร ขอเพียงไปหาเรื่องเขา ก็จะต้องโดนอัด

“พี่เทาหยวน นี่…” หลูเซิ่งต๋ามองเย่เทียนเฉินครู่หนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็พบว่าเด็กหนุ่มคนนี้เป็นคนที่หาเรื่องไม่ได้เลยจริงๆ มองไม่ออก ทั้งยังแตะต้องไม่ได้

“หลูเซิ่งต๋า ไม่ใช่ว่าคุณที่เป็นผู้อำนวยการสำนักงานความมั่นคงสาธารณะแห่งเมืองหลวงจะไม่อยากทำหรอกนะ? ถ้าไม่อยากทำก็ไสหัวไปซะ ตระกูลฉินของผมจะสนับสนุนใครสักคนให้เป็นผู้อำนวยการสำนักงานความมั่นคงสาธารณะก็เป็นเรื่องง่ายๆ” ฉินเทาหยวนเห็นว่าจู่ๆ หลู่เซิ่งต๋าก็ไม่กล้าแตะต้องเย่เทียนเฉิน ก็ยิ่งโกรธขึ้นอีกจนเปิดปากพูดออกมาอย่างโหดเหี้ยม

“เด็กๆ มา มาจัดการเย่เทียนเฉิน…”

“ผู้อำนวยการหลู ผมขอเตือนคุณว่าอย่าออกคำสั่งจะดีกว่า ตำรวจสวะตายไปสองคนไม่สำคัญอะไรหรอก ถ้าหากคราวนี้ตำรจที่คุณพามาตายทั้งหมด ไม่เพียงแต่รักษาตำแหน่งของคุณไว้ไม่ได้ แม้แต่ชีวิตก็อาจจจะหายไปด้วยก็ได้” เย่เทียนเฉินมองหลูเซิ่งต๋ายิ้มๆ พลางกล่าว

ได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน หลูเซิ่งต๋าก็นิ่งอึ้งไปทั้งตัว มองเย่เทียนเฉินด้วยอาการสั่นสะท้าน คิดย้อนไปถึงวันนั้นที่สำนักงานความมั่นคงสาธารณะ เย่เทียนเฉินฆ่าตำรวจเลวใต้บังคับบัญชาสองคนต่อหน้าตนเอง ใช้วิธีการโหดเหี้ยมรุนแรงให้เห็นอยู่เต็มสองตา ไม่ว่าเย่เทียนเฉินจะมีฝีมือพอที่จะฆ่าตำรวจติดอาวุธหลายสิบนายหรือไม่ หลูเซิ่งต๋าก็ไม่กล้าเสี่ยง หากว่าเกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ภายใต้สายตาของประชาชนจริงๆ เบื้องบนจะต้องสืบสวนลงมาแน่นอน เขาหลูเซิ่งต๋าที่เป็นผู้อำนวยการสำนักงานความมั่นคงสาธารณะแห่งเมืองหลวงก็มิอาจหลุดพ้นความรับผิดชอบไปได้

ฉินเทาหยวนเห็นหลูเซิ่งต๋าถูกคำพูดประโยคเดียวของเย่เทียนเฉินทำให้ช็อกจนนิ่งไป ยืนอยู่กับที่ไม่กล้าลงมือทำอะไรอีก ก็โกรธจนใบหน้าเขียวคล้ำ เดิมทีเขาคิดว่าตนเองมา ทั้งมีอยู่เซิ่งต๋าอยู่ คงไม่กล้าไม่ฟังคำของตนเอง ตอนนี้เขารู้สึกเสียใจขึ้นมาบ้างแล้ว ถ้าหากนำบอดี้การ์ดฝีมือเยี่ยมของตระกูลฉินมาด้วย ตนก็สามารถออกคำสั่งเก็บกวาดเย่เทียนเฉินได้ ต่อให้จะฆ่าเย่เทียนเฉินตายคาที่ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไร

“หลูเซิ่งต๋า ผมว่าผู้อำนวยการสำนักงานความมั่นคงสาธารณะอย่างคุณคงไม่คิดลงมือแล้วล่ะ!” ฉินเทาหยวนมองหลูเซิ่งต๋าอย่างโหดเหี้ยม

“พี่เทาหยวน เรื่องนี้ยังต้องปรึกษากันให้ดีๆ ไม่อาจเคลื่อนไหวบุ่มบ่ามได้!” หลูเซิ่งต๋ากล่าวเสียงเบา

“มีอะไรต้องปรึกษาให้ดีๆ อีก ตอนนี้ผมสั่งให้คุณยิงเย่เทียนเฉินให้ตาย ผลลัพธ์ที่ตามมาทั้งหมดย่อมมีตระกูลฉินของผมรับผิดชอบ” ฉินเทาหยวนคำรามอย่างถือดี

“ว้าว! ตระกูลฉินของแกช่างวางท่าใหญ่โตดีจริงๆ ถึงกับกล้าออกคำสั่งผู้อำนวยการสำนักงานความมั่นคงสาธารณะ อยากฆ่าคนก็ฆ่า ไม่เห็นกฏหมายบ้านเมืองอยู่ในสายตา ช่างยอดเยี่ยมเหลือเกิน!” เย่เทียนเฉินจงใจกล่าวอย่างเย้ยหยัน

“เฮอะ ตระกูลฉินของฉันต้องการฆ่าคน ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรแม้แต่ครึ่งคำ แกต้องตาย คนตระกูลเย่ทั้งหมดของแกก็ต้องตาย” ฉินเทาหยวนที่ถูกเย่เทียนเฉินทำให้โกรธไปแล้วโดยสิ้นเชิง กล่าวด่าออกมาเสียงดัง

เย่เทียนเฉินมองฉินเทาหยวนครู่หนึ่ง แล้วก็มองหลูเซิ่งตาครู่หนึ่ง ก่อนจะหาวออกมาแล้วเปิดปากกล่าวว่า “ไสหัวไปซะ ฉันเพิ่งจะกินข้าว อยากจะดื่มชาสักหน่อย พวกแกอยู่ที่นี่ ฉันรู้สึกสะอิดสะเอียน”

“เย่เทียนเฉิน แกอย่ามาโอหังให้มากนักนะ แกล่วงเกินตระกูลฉินของฉัน ต่อให่เย่หย่วนซานมาขอโทษถึงที่ เรื่องนี้ก็ไม่มีทางจบดีๆ แน่!”

“ใครบอกว่าต้องการจบดีๆ? ฉันเคยบอกว่าอยากจะจบดีๆ กับตระกูลฉินของแกรึไง? ว่างๆ ฉันจะไปที่ตระกูลฉิน แกก็ไม่ต้องมาคุยเป็นเพื่อนฉัน ให้ผู้อาวุโสตระกูลฉินมาพูดกับฉันโดยตรงเถอะ” เย่เทียนเฉินยกขาขึ้นไขว่ห้างพลางกล่าวอย่างวางมาด

เมื่อคำพูดนี้พูดออกมา ก็ยิ่งทำให้ทุกคนไม่อยากจะเชื่อหู ที่ตระกูลฉินเป็นตระกูลชั้นหนึ่งของเมืองหลวง ส่วนสำคัญที่สุดก็เป็นเพราะผู้อาวุโสตระกูลฉินยังคงกุมอำนาจอยู่ ต่อให้ไม่ได้เป็นผู้นำระดับภูมิภาค ก็เกรงว่าจะต่างกันไม่มากเท่าไรนัก โดนเฉพาะในครั้งนี้ที่มีโอกาสจะก้าวหน้าไปอีกขั้น ถึงตอนนั้น ตระกูลฉินของเขาก็ยิ่งไม่มีใครกล้าหาเรื่อง ไม่ต้องพูดถึงเย่เทียนเฉิน ต่อให้เป็นผู้อาวุโสตระกูลเย่ เย่หย่วนซาน หากต้องการจะพบผู้อาวุโสตระกูลฉินก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่กลับถูกเย่เทียนเฉินกล่าวอย่างสบายๆ เช่นนี้ ไม่อยู่ในสายตาสักนิด ทำไมผู้คนจะไม่ตกใจได้เล่า

“แก…”

ตอนนี้เอง ตำรวจติดอาวุธนายหนึ่งรีบวิ่งขึ้นมาที่ชั้นสอง กล่าวเสียงเบาข้างหูหลูเซิ่งต๋าหลายประโยค ทำให้หลูเซิ่งต๋าที่เดิมทีหน้าขาวซีดอยู่แล้วก็ยิ่งสั่นสะท้าน มองเย่เทียนเฉินด้วยสายตาตกตะลึง

“พี่เทาหยวน ชางหลางมาแล้ว บอกว่าจะพาตัวเย่เทียนเฉินไป” หลูเซิ่งต๋าพูดข้างหูฉินเทาหยวนเสียงเบา

“เฮอะ ชางหลางมาได้เวลาพอดีเลย เมื่อก่อนเย่เทียนเฉินก็เป็นทหารของเขา ผมจะไปถามเขาสักหน่อยว่าสั่งสอนกันมายังไง”

ฉินเทาหยวนยังคงวางอำนาจ กระทั่งชางหลางที่ได้เข้าเป็นคณะกรรมาธิการทหารก็ยังไม่เห็นอยู่ในสายตา อีกทั้งชางหลางยังเป็นผู้รับผิดชอบสูงสุดของหน่วยมังกรฟ้า เป็นหัวหน้าของเถี่ยฉุย ตำแหน่งใหญ่โตอำนาจสูงส่ง แต่ก็ยังไม่อยู่ในสายตาของฉินเทาหยวน สิ่งสำคัญเป็นเพราะอำนาจของตระกูลฉินยิ่งใหญ่เหลือคณา และหลายปีมานี้ก็โอหังเหิมเกริมจนเคยตัว

เห็นว่าฉินเทาหวนโดนลงไปชั้นล่างด้วยความเดือดพล่าน หลูเซิ่งต๋าก็รีบให้ตำรวจใต้บังคับบัญชาข้างๆ นำตัวฉินเหิงที่สลบเป็นตายไปส่งโรงพยาบาล ส่วนตัวเองเดินไปยังเบื้องหน้าเย่เทียนเฉิน ฝืนยิ้มออกมาพลางกล่าวว่า “สหายเย่ เรื่องนี้เข้าใจผิดกันนิดหน่อย ผมเองก็บังคับไม่ได้ นายพลชางหลางต้องการพบคุณ ตอนนี้อยู่ด้านนอก พวกเราไปกันเลยไหมครับ?”

“ชางหลางต้องการพบผม? ไม่สนใจ รบกวนคุณไปบอกเขาให้ด้วย บอกว่าผมยุ่งมาก กำลังจิบชาอยู่ ไม่ว่าง” เย่เทียนเฉินพูดโพล่งออกมา

“นี่…นายพลชางบอกว่า เขามาหาคุณเพราะเรื่องการโยกย้ายตำแหน่งของพ่อคุณ การเรียนของน้องสาวคุณ แล้วก็เรื่องการพัฒนาตระกูลเย่ทั้งหมด…” หลูเซิ่งต๋ากล่าวต่อไป

“คนคนนี้ช่างยุ่งเรื่องชาวบ้านจริงๆ…”

เย่เทียนเฉินพูดพลางเดินลงไปจากชั้นสอง มีเพียงหลูวั่งและคนอื่นๆ ที่จ้องมองแผ่นหลังของเย่เทียนเฉินด้วยความตกตะลึงจนตาค้าง ตอนนี้พวกเขาราวกับว่าเข้าใจกระจ่างขึ้นมาบ้างแล้ว เย่เทียนเฉินที่เคยเป็นตัวตลกของเมืองหลวงคนนั้น มาวันนี้ทิ้งพวกเขาไปไกลอย่างไม่เห็นฝุ่นแล้ว คนที่กล้าลงมือทำร้ายคนตระกูลฉิน คนที่กล้าไม่พบนายพลชางหลางแถมยังพูดว่าชางหลางยุ่งเรื่องชาวบ้าน เกรงว่ามีแต่เย่เทียนเฉินเท่านั้นที่มีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวเช่นนี้

หลูเซิ่งต๋าก็รีบตามไปด้านหลัง หากกล่าวถึงตอนแรกเริ่ม เขายืนอยู่ฝั่งตระกูลฉินอย่างแน่นอน เพราะต้องการพึ่งพาอำนาจตระกูลฉินเพื่อเลื่อนขั้น เป็นธรรมดาที่จะกดดันเย่เทียนเฉิน แต่ตอนนี้หลูเซิ่งต๋าเริ่มไม่แน่ใจแล้ว ตกลงเย่เทียนเฉินเก่งขนาดไหนกันแน่?

วันนั้นตอนที่อยู่ภายในสำนักงานความมั่นคงสาธารณะ เฉินเซิ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงโทรมาปกป้องเย่เทียนเฉินด้วยตัวเอง ตอนนี้เย่เทียนเฉินล่วงเกินตระกูลฉิน กระทั่งกล้าตบหน้าฉินเทาหยวน ในตอนที่เกือบจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยแน่แล้วนั้น ชางหลางก็โผล่มาอีก หรือเย่เทียนเฉินมีความสามารถเหนือเมฆจริงๆ?

ตอนที่เย่เทียนเฉินออกมาจากเป้ยเฟิงเซวียนถึงจะเห็นว่าด้านนอกมีรถจี๊ปทหารจอดอยู่สี่คัน มีชางหลางยืนอยู่ด้านหน้าสุด ข้างตัวเขามีคนสวมชุดทหารถือปืนอยู่ ส่วนตำรวจหลายสิบนายที่ล้อมเป้ยเฟิงเซวียนตกใจจนหลบไปข้างๆ ตั้งนานแล้ว

ฉินเทาหยวนเดินมาถึงเบื้องหน้าของชางหลางแล้ว เขารู้จักกับชางหลาง ถึงจะไม่สนิทสนมกันแต่ก็มีความเข้าใจในอีกฝ่ายอยู่บ้าง ชางหลางเป็นคนในคณะกรรมาธิการทหาร และเป็นหัวหน้าผู้บังคับบัญชาหน่วยมังกรฟ้า ในเมืองหลวงดูเหมือนว่าจะไม่มีใครที่ไม่รู้จักเขา ส่วนฉินเทาหยวน อำนาจตระกูลฉินยิ่งใหญ่คับฟ้า สมกับเป็นตระกูลชั้นหนึ่งในเมืองหลวง เขาเองก็ไม่มีใครที่ไม่รู้จักเช่นกัน

“นายพลชาง คุณมาได้เวลาพอดี ที่นี่มีผู้ต้องหาทำร้ายร่างกายอยู่คนหนึ่ง จับกุมเขาไปยิงประหารเถอะ” ฉินเทาหยวนมองชางหลางพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม

ชางหลางมองฉินเทาหยวนครู่หนึ่ง แล้วชำเลืองมองเย่เทียนเฉินที่อยู่ไม่ไกลครู่หนึ่งพลางกล่าวออกมาอย่างจริงจังว่า “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับผม คุณควรจะไปแจ้งความกับหลูเซิ่งต๋า ให้เขาจัดการ ผมมาที่นี่เพื่อพาตัวเย่เทียนเฉินไป”

ฉินเทาหยวนขมวดคิ้ว เขาคิดไม่ถึงว่าชางหลางจะไม่ไว้หน้าตนเอง ต่อให้เขาเป็นคนของคณะกรรมาธิการทหาร ก็ไม่อาจมองข้ามอำนาจของผู้อาวุโสตระกูลฉินไปได้ กล่าวตามหลักแล้วชางหลางไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักกาลเทศะ ตนเองพูดออกมาเช่นนี้ก็ชัดเจนแล้วว่าต้องการให้เขาช่วยฆ่าเย่เทียนเฉิน แต่คำตอบของชางหลางก็ชัดเจนว่าเป็นการปฏิเสธ แถมยังมีท่าทางปกป้องเย่เทียนเฉินเล็กน้อยอีกด้วย

“พี่ชางหลาง เย่เทียนเฉินทำร้ายฉินเหิงลูกชายของผมจนครึ่งเป็นครึ่งตาย ตระกูลฉินของผมย่อมไปปล่อยไปง่ายๆ แน่ หากว่าพี่ชางหลางสามารถช่วยเหลือในเรื่องนี้ได้ ผมก็จะแสดงความขอบคุณ” ฉินเทาหยวนกล่าวชักจูงด้วยรอยยิ้ม

“นี่เป็นเรื่องของตระกูลฉินของคุณ ผมรู้แค่ว่าผมต้องพาตัวเย่เทียนเฉินไป หากมีบุญคุณความแค้นอะไรกันพวกคุณสามารถไปจัดการกันทีหลังได้” ชางหลางยังคงกล่าวอย่างไม่ไว้หน้า

“คุณ…ชางหลาง คุณคงจะรู้ว่าหากช่วยเย่เทียนเฉิน ล่วงเกินตระกูลฉินจะมีผลอย่างไร ต่อให้คุณได้เข้าเป็นคณะกรรมาธิการทหาร ตระกูลฉินของผมก็สามารถดึงคุณลงมาได้” ฉินเทาหยวนแสดงสันดานเดิมที่ร้ายกาจออกมา หากหลอกล่อชางหลางด้วยผลประโยชน์ไม่ได้ผล ก็ต้องบีบบังคับกันแล้ว

“ฉินเทาหยวน โปรดระวังคำพูดของคุณด้วย ตระกูลฉินของคุณยังไม่อยู่ในฐานะที่ใช้หนึ่งมือปิดแผ่นฟ้าได้ อีกอย่างผมอยากจะบอกคุณสักหน่อยว่า ฉินเหิงลูกชายของคุณทำเรื่องเลวๆ มามาก อย่าบีบบังคับให้ผมต้องออกคำสั่งตรวจสอบ…” ชางหลางกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ดูโกรธเคืองอยู่บ้าง

ฉินเทาหยวนโกรธเสียจนแทบกระอักเลือด มองเย่เทียนเฉินด้วยความโกรธจนต้องขบฟันแน่น เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆ ตั้งแต่เย่เทียนเฉินกลับมาที่เมือง เรื่องต่างๆ ก็เปลี่ยนแปลงไปมาก ราวกับทั่วทั้งเมืองหลวงจะโคจรอยู่รอบตัวเย่เทียนเฉินก็มิปาน ตอนนี้ขนาดนายพลชางหลาง คนที่ได้เข้าเป็นคณะกรรมาธิการทหารก็ยังมาหาเย่เทียนเฉินด้วยตัวเอง ไม่รู้จริงๆ ว่าเกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นกับชายคนนี้กันแน่

……………………………………………………………..

บทที่ 64 พ่อลูกโดนด้วยกัน!
Ink Stone_Fantasy
ร้านเป้ยเฟิงเซวียนถูกตำรวจติดอาวุธหลายสิบนายล้อมไว้อย่างแน่นหนา ไม่ให้เข้าออกได้แม้แต่คนเดียว นี่เป็นคำสั่งขั้นเด็ดขาดที่หลูเซิ่งต๋าสั่งผู้ใต้บัญชาของเขา

ฉินเหิงถูกทำร้ายจนสภาพครึ่งเป็นครึ่งตาย ไม่เหลือเค้าเดิม หลูเซิ่งต๋าย่อมรู้ถึงน้ำหนักความสัมพันธ์ของที่นี้ เมื่อหลูวั่งลูกชายของตนแอบส่งข้อความให้เขา หลูเซิ่งต๋าก็รีบนำทหารติดอาวุธหลายสิบนายมาควบคุมสถานที่เกิดเหตุในทันที

หลูเซิ่งต๋าเข้าใจแจ่มแจ้งว่าฐานะของตระกูลฉินในเมืองหลวงเป็นอย่างไร ต่อให้มิอาจเทียบได้กับสามตระกูลใหญ่ที่อยู่บนจุดสูงสุดของจีน แต่ก็มีฐานะเป็นตระกูลชั้นหนึ่ง น้อยคนที่กล้าแตะต้องตระกูลฉิน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการทำร้ายฉินเหิงที่โอหังเหิมเกริมมาตลอดจนต้องร้องออกมาอย่างอนาถราวกับหมูถูกเชือด

ดังนั้นหลูเซิ่งต๋าคิดว่าอย่างไรก็ไม่อาจปล่อยให้เย่เทียนเฉินจากไปได้โดดเด็ดขาด ต่อให้เย่เทียนเฉินมีความสัมพันธ์กับเฉินเซิงซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคง ก็เกรงว่าจะไม่สามารถหาเรื่องตระกูลฉินได้ รวมกับที่เดิมทีหลูเซิ่งต๋าก็ไม่ชอบใจเย่เทียนฉินอยู่แล้ว ก็แค่ตัวตลกของเมืองหลวง ลูกหลานไม่เอาไหนของตระกูลที่ตกต่ำก็เท่านั้น ครั้งที่แล้วยังกล้าฆ่าคนของตนในสำนักงานความมั่นคงสาธารณะ ไม่เห็นเขาที่เป็นผู้อำนวยการสำนักงานความมั่นคงสาธารณะอยู่ในสายตาเลย หลูเซิ่งต๋าคับแค้นชิงชังอยู่ในใจ ต้องการหาโอกาสเก็บกวาดเย่เทียนเฉิน

ตอนนี้หลูเซิ่งต๋าคิดว่าโอกาสมาถึงแล้ว เย่เทียนเฉินทำร้ายฉินเหิงจนมีสภาพเช่นนี้ ย่อมมิอาจรอดชีวิตไปได้แน่ ส่วนตนเองที่นำคนมาจับตัวเย่เทียนเฉินและส่งไปให้ตระกูลฉินลงโทษ ย่อมสามารถผูกสัมพันธ์อันดีกับตระกูลฉินได้ ถึงตอนนั้นอาจจะสามารถปืนป่ายกิ่งไม้ใหญ่อย่างตระกูลฉินได้ ทำให้อิทธิพลของตระกูลหลูของตนยกระดับไปอีกขั้น ส่วนเรื่องที่หลูวั่งลูกชายของตนถูกฉินเหิงทำร้ายนั้นก็ช่างมันเถิด

“เย่เทียนเฉิน คุณไม่คิดว่าตัวเองโอหังเกินไปหรือ?” หลูเซิ่งต๋ามองเย่เทียนเฉินอย่างโหดเหี้ยมพลางกล่าว

“โอหัง? ผมนั่งกินข้าวอยู่ที่นี่ ไม่ได้กวนใคร ไม่ได้หาเรื่องใคร ลูกชายคุณสิมาซุบซิบนินทาอยู่ที่นี่ ต่อหน้าทำอย่างลับหลังทำอีกอย่าง ใส่ร้ายป้ายสีให้ผมได้รับความเสียหาย ส่วนฉินเหิงยิ่งแล้วใหญ่ พาลูกน้องนักสู้คิดจะมาหาเรื่องผมถึงที่ ผมก็แค่ตอบโต้เล็กๆ น้อยๆ ก็แค่นั้น ผมอยากจะถามผู้อำนวยการหลูสักหน่อย ตกลงแล้วใครกันแน่ที่โอหัง?”

“เฮอะ คุณไม่คิดว่าคำพูดของตัวเองจะเกินไปหน่อยเหรอ? คุณคิดจริงๆ หรือว่าตัวเองจะเทียบกับฉินเหิงได้ ตระกูลเย่ของคุณสามารถยกขึ้นมาพูดพร้อมๆ ตระกูลฉินได้หรือ?” หลูเซิ่งต๋ากล่าวด้วยรอยยิ้มหยัน

เย่เทียนเฉินมองหลูเซิ่งต๋าครู่หนึ่ง เขารู้ว่าหลูเซิ่งต๋ายืนอยู่ฝั่งของตระกูลฉิน มิฉะนั้นคงไม่รีบนำกำลังตำรวจติดอาวุธมาอย่างรีบร้อนเช่นนี้ สำหรับเรื่องกระบวนการทางราชการของคนเหล่านี้ เย่เทียนเฉินเข้าใจหมดเปลือก ผู้อาวุโสตระกูลเย่เคยกุมอำนาจมาก่อน ส่วนเย่หงบิดาของเย่เทียนเฉินก็เป็นข้าราชการมาโดยตลอด คนในวงการราชการ สามารถเชื่อถือได้แค่สามส่วน ไม่อาจเชื่อถืออีกสี่ส่วน หันหางเสือไปตามทิศทางลมเป็นเรื่องที่ทุกคนต่างก็ทำเป็น

วันนี้เย่เทียนเฉินอัดฉินเหิงจนครึ่งเป็นครึ่งตาย หลูเซิ่งต๋าและหลูวั่งสองพ่อลูกก็แอบยินดีอยู่ในใจ แต่ไม่แสดงออกมาทางสีหน้า ทั้งยังหันปากกระบอกปืนเข้าช่วยตระกูลฉิน ในเมืองหลวงที่เป็นสถานที่ที่เป็นดั่งรังเสือรังมังกร จะหน้าด้านก็ไม่เป็นไร จะทำตัวต่ำช้าไร้ยางอางก็ไม่เป็นไร ที่สำคัญก็คือต้องมีชีวิตรอดต่อไปและสามารถปีนป่ายขึ้นไปได้

“หลูเซิ่งต๋า ถ้าหากเป็นผมถูกฉินเหิงอัดจนนอนกองอยู่ที่นี่ ผมคิดว่าคุณคงไม่มาหรอกใช่ไหม? ผมมีคำบางคำที่จะบอกให้คุณฟัง เป็นสุนัขของตระกูลฉินไม่ดีแน่ โบราณกล่าวไว้ว่า ตีสุนัขยังต้องดูเจ้าของ แล้วตีเจ้าของต้องดูสุนัขด้วยหรือ?” เย่เทียนเฉินกล่าวเรียบๆ

“แก…เย่เทียนเฉิน ไปกับพวกเราซะดีๆ ไม่งั้นหามาโทษที่ฉันต้องจับกุมแก” หลูเซิ่งต๋าถูกเย่เทียนเฉินทำให้โมโหจนแทบกระอักเลือด คำรามใส่เย่เทียนเฉินด้วยท่าทีโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ไม่มีมาดของผู้อำนวยการสำนักงานความมั่นคงสาธารณะแม้แต่ครึ่งส่วน

“ฉันแนะนำให้แกพาลูกชายสุนัขของแกไสหัวไปซะ ไม่งั้นอย่ามาโทษที่ฉันจะลงมือ”

เย่เทียนเฉินโกรธขึ้นมาจริงๆ แล้ว ชาติก่อนเขาเป็นคนที่อืดอาดยืดยาดคนหนึ่ง แม้ว่าจะไม่ได้เสพติดการฆ่าและไม่โอ้อวด แต่สำหรับคนถ่อยต่ำทรามและคนที่ชอบแส่หาเรื่อง แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่เคยกลัว

หลูเซิ่งต๋าและหลูวั่งสองพ่อลูกคู่นี้เป็นพวกหน้าไหว้หลังหลอก เป็นคนต่อหน้าทำอย่างหนึ่งลับหลังทำอีกอย่างหนึ่ง มีฝีมือในการหันหางเสือตามกระแสลมเป็นอย่างมาก เพียงแต่เมื่อก่อนคนเช่นพวกเขาไม่ได้หาเรื่องมาถึงตนเอง มิฉะนั้นเย่เทียนเฉินคงลงมือไปนานแล้ว

“เป็นสุนัขของตระกูลฉินของฉัน ก็เป็นสุนัขเทพ ไม่รู้ว่ามีกี่คนอยากจะเป็นสุนัขให้ตระกูลฉินของฉัน ใครกล้าหาเรื่องตระกูลฉินของฉัน อย่าคิดว่าจะมีชีวิตรอดไปเห็นพระอาทิตย์ของวันพรุ่งนี้ได้อีกเลย”

ตอนที่เย่เทียนเฉินและหลูเซิ่งต๋ากำลังปะทะฝีปากกันอยู่นั้น ท่ามกลางทางเดินก็มีเสียงที่ยะโสโอหังเป็นอย่างมากดังขึ้น ฟังดูก็รู้ว่าเป็นคนของตระกูลฉินที่ไล่ตามมา เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นใครในตระกูลฉิน

หลูเซิ่งตามองเย่เทียนเฉินอย่างโหดเหี้ยมครู่หนึ่ง แล้วจึงเดินไปยังทางเดินในตัวตึก ตอนนี้เอง ก็มีชายวัยกลางคนคนหนึ่งขึ้นมาจากชั้นหนึ่งด้านล่าง ท่าทางอายุประมาณห้าสิบปี ใบหน้ามืดครึ้ม ราวกับว่าใครเห็นเขาก็ต้องเกรงกลัวอย่างไรอย่างนั้น คนคนนี้ก็คือฉินเทาหยวนบิดาของฉินเหิง

หลังจากที่ฉินเทาหยวนได้รับแจ้งจากคนรับใช้ของตระกูลฉิน ก็รีบตามมายังเป้ยเฟิงเซวียนด้วยความรวดเร็ว เนื่องจากเขาเดาได้ว่าฉินเหิงลูกชายของตนอาจจะไปสร้างความยุ่งยากให้เย่เทียนเฉิน เพียงแต่เขาคิดไม่ถึงว่า ตกลงแล้วใครกันแน่ ที่มีความกล้าหาญเช่นนี้ กล้ามาลงมือทำร้ายลูกชายของตนอย่างโหดเหี้ยม สงสัยคงจะเบื่อชีวิตแล้วจริงๆ สินะ

“พี่เทาหยวน ในที่สุดพี่ก็มาแล้ว ผมจับตัวผู้ต้องหาไว้แล้วครับ พี่เทาหยวน พี่ว่าจะทำอย่างไรดี?” หลูเซิ่งต๋าเห็นฉินเทาหยวนเดินขึ้นมา ก็รีบยิ้มเข้าไปต้อนรับขึ้นมาพลางกล่าว

“งั้นเหรอ? งั้นก็ดี ฉันอยากจะดูสักหน่อยว่าไอ้ลูกเต่าตัวไหนที่สายตามือบอด กล้าลงมือกับลูกชายของฉัน คงเบื่อชีวิตแล้วสินะ!” เทาหยวนคำรามอย่างวางอำนาจเต็มที่

ได้ยินคำพูดของฉินเทาหยวน หลูเซิ่งต๋าก็แอบยิ้มกับตัวเอง เขารู้ว่าฉินเทาหยวนและฉินเหิงเป็นคนประเภทเดียวกัน พ่อลูกคู่นี้ต่างก็เย่อหยิ่งและอวดดี ตอนนี้ฉินเหิงถูกทำร้ายจนมีสภาพเช่นนี้ ฉินเทาหยวนมาเองกับตัว ส่วนตัวเขาเองก็ขวางเย่เทียนเฉินไว้ที่เป้ยเฟิงเซวียนแห่งนี้ ต่อจากนี้ไปมีเกมสนุกๆ ให้ดูแน่แล้ว อย่างน้อยสถานการณ์ก็มีประโยชน์ต่อตระกูลหลูของตน ทั้งยังไม่มีข้อเสียอีกต่างหาก

ความจริงแล้ว หลูเซิ่งต๋าไม่รู้ว่า ไม่ใช่เพราะตนเองนำตำรวจติดอาวุธหลายสิบคนมาทำให้เย่เทียนเฉินหนีไปไม่ได้ แต่เป็นเพราะเย่เทียนเฉินกำลังรอคนของตระกูลฉินมาต่างหาก ถ้าเย่เทียนเฉินต้องการจากไป ด้วยขอบเขตพลังพิเศษระดับจอมราชันของเขาในตอนนี้ ตำรวจติดอาวุธหลายสิบนายขวางเขาไว้ไม่ได้อย่างแน่นอน

“พี่เทาหยวน เป็นเย่เทียนเฉินที่ทำร้ายหลาน จะลงโทษอย่างไรดี เอาตามที่พี่พูดเลยครับ!” หลูเซิ่งต๋าชี้ไปที่เย่เทียนเฉินพลางกล่าว

ฉินเทาหยวนเดินมาเบื้องหน้า เห็นเย่เทียนนเฉินที่กำลังนั่งสูบบุหรี่อย่างสบายอกสบายใจอยู่บนโซฟาก็ขมวดคิ้วอย่างโหดเหี้ยม นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเจอเย่เทียนเฉิน แม้ว่าเคยได้ยินชื่อเย่เทียนเฉินที่เป็นตัวตลกอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง แต่ก็ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน ส่วนตระกูลเย่โดยเฉพาะบิดาของเย่เทียนเฉินที่แข่งขันกับเขาในงานราชการทุกด้าน ก็ทำให้ฉินเทาหยวนไม่พอใจเป็นอย่างมาก เพียงแต่อย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่า คนที่ลงมือทำร้ายลูกชายอย่างรุนแรงจะเป็นเย่เทียนเฉินไปได้

เห็นเย่เทียนเฉินสูบบุหรี่อย่างสบายอกสบายใจโดยไม่มองมาทางตนเองเลยสักนิด ไฟโกรธในใจของฉินเทาหยวนก็พลันโหมกระหน่ำ สิ่งสำคัญก็คือตัวเขาเองอวดเบ่งตัวเอง คิดว่าตระกูลฉินของตนเป็นตระกูลชั้นหนึ่ง ตัวฉินเทาหยวนเองก็เป็นบุคคลที่มีหน้ามีตาในเมืองหลวง ไม่ต้องพูดถึงเย่เทียนเฉินที่เป็นผู้น้อย เมื่อพบตนเองจะต้องเคารพนอบน้อมและต้องมีสีหน้าที่โอนอ่อนเชื่อฟัง ไหนเลยจะมีใครที่กล้าทำเหมือนเย่เทียนเฉินเช่นนี้ ซ้อมลูกชายของตนแล้วยังนั่งจิบชาอย่างสบายอกสบายใจอยู่อีก

“แกก็คือเย่เทียนเฉิน?” ฉินเทาหยวนที่เดินมาข้างๆ เย่เทียนเฉินกล่าวถามเสียงเย็น

“ถูกต้อง คุณเป็นใคร? มาหาผมมีเรื่องอะไรรึเปล่า? ผมยุ่งมาก กำลังรอคนอยู่” เย่เทียนเฉินกล่าวตอบโดยที่ยังคงไม่เงยหน้าขึ้นมองฉินหยวนเทา

“เฮอะ คนหนุ่มสาวเก่งนำหน้าคนรุ่นก่อนจริงๆ แกรู้ไหมว่าแกจะตายเร็วๆ นี้แล้ว? แกรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร?” ฉินเทาหยวนเปิดปากถามอย่างโหดเหี้ยม

“ไม่รู้ ผมไม่สนใจจะรู้ด้วย ผมบอกแล้ว ผมกำลังรอคนอยู่ ถ้าคุณไม่มีธุระก็ไปดื่มชาด้านโน้นเถอะ อย่ามากวนผม วันนี้อารมณ์ผมค่อนข้างดีทีเดียว!”

หลังจากที่ฉินเทาหยวนมาถึงแล้วเหล่าคุณชายที่อยู่ในสถานที่เกิดเหตุต่างก็พากันยืนอยู่ด้านหนึ่ง ยืนสังเกตอยู่ข้างๆ ไม่มีใครพูดออกมาสักคนเดียว เหล่าคุณชายเสเพลที่ชอบซุบซิบมาตลอด ตอนนี้ต่างก็รู้ถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ หากพูดไปหนึ่งประโยค เกรงว่าฉินเทาหยวนคงถลกหนังพวกเขาแน่ พวกเขามิอาจหาเรื่องได้

ใครก็คิดไม่ถึงว่า การปรากฏตัวของฉินเทาหยวนก็ไม่อาจเปลี่ยนนแปลงท่าทีของเย่เทียนเฉินได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่จะให้เย่เทียนเฉินโอนอ่อนผ่อนตาม กระทั่งสายตาของเย่เทียนเฉินก็ไม่ได้มองไปที่ฉินเทาหยวนเลยแม้แต่น้อย ทำให้หลายคนตกใจจนคางแทบหลุด ไม่รู้จริงๆ ว่าเย่เทียนเฉินคนนี้เจ๋งจริงๆ หรือว่าทำเป็นเจ๋ง

“ดี ดี ดี งั้นฉันจะบอกแกให้ ฉันชื่อฉินเทาหยวน เป็นพ่อของฉินเหิง แกกล้าลงมือกับฉินเหิง มีแต่เส้นทางแห่งความตายเท่านั้นที่แกจะไปได้” ฉินเทาหยวนโกรธจนหัวเราะออกมาพลางกล่าว

มุมปากของเย่เทียนเฉินปรากฏรอยยิ้มไม่แยแสสายหนึ่ง แล้วจึงลุกขึ้นมา หมุนตัวไปมองฉินเทาหยวนพลางกล่าวว่า “ที่แท้แกก็เป็นพ่อของไอ้เศษขยะนี่นี่เอง โตมาเหมือนแกจริงๆ ฉันกำลังคิดว่าแกจะเป็นโคตรขยะรึเปล่า?”

“แก…”

“ลูกชายแกอยู่ตรงโน้น กำลังนอนหลับอยู่บนพื้น ฉันว่าแกไปดูกับตาสักหน่อยจะดีกว่า มีเลือดอยู่เต็มหน้า อย่าทำให้เสียโฉมซะล่ะ” เย่เทียนเฉินขัดฉินเทาหยวนที่โกรธจนพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว

ตอนนี้ฉินเทาหยวนถึงมองไปยังฉินเหิงที่อยู่ที่พื้น เห็นเพียงฉินเหิงที่สลบเป็นตายไปนานแล้ว มีเลือดเต็มหน้า ใบหน้าก็เปลี่ยนรูปร่างไปบ้าง แล้วยังมีรอยรองเท้าประทับอยู่ เห็นได้ชัดว่าถูกคนกระทืบไปหลายครั้ง กระทืบจนกระดูกบนใบหน้าหัก เป็นเย่เทียนเฉินที่ทำ

“ไอ้ลูกเต่า วันนี้ใครก็ช่วยแกไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงพ่อของแกเย่หงเลย ต่อให้ไอ้แก่เย่หย่วนซานมาเอง ฉันก็จะให้มันดูให้ดีๆ ว่าฉันจะฆ่าตระกูลเย่แก…”

เพี๊ยะ!

น่าสงสารที่คำพูดของฉินเทาหยวนยังไม่ทันจบ ก็ถูกเย่เทียนเฉินตบจนหน้าสะบัด พวกหลูเซิ่งต๋าตกตะลึงจนสูดหายใจเย็นยะเยือก กล่าวได้ว่าการที่เย่เทียนเฉินอัดฉินเหิง อย่างไรพวกเขาก็เป็นคนรุ่นเดียวกัน ผลที่ตามมาแม้จะหนักหนา แต่ก็อยู่ในระดับที่ควบคุมได้ แต่ว่าเย่เทียนเฉินถึงกับกล้าลงมือกับฉินเทาหยวน ทำให้ผู้คนใกล้ตกใจจนอกจะแตกตายอยู่แล้ว ฉินเทาหยวนเป็นใคร? เป็นลูกชายคนโตของตระกูลฉิน เป็นคนกุมหางเสือของตระกูลฉินในปัจจุบันนี้ หากกวาดสายตาดูทั่วทั้งประจีน คนที่กล้าลงมือตบหน้าฉินเทาหยวน เกรงว่าจะมีแค่เย่เทียนเฉิน

“ลูกของแกพูดมาก แกก็เสือกพูดมากอีก คนตระกูลฉินของแกพูดมากซะเหลือเกิน อย่างกับแมลงวัน ทำให้ผู้คนรำคาญจริงเชียว ฉันคงทำได้แค่ตบสักหน่อย เพียงแต่น่าเสียดายที่ไม่มีไม้ตีแมลงวัน…” เย่เทียนเฉินยักไหล่ ส่ายหัวมองฉินเทาหยวนที่ถูกตนเองตบหน้าจนลงไปกองกับพื้นพลางกล่าว

…………………………………….

บทที่ 63 เหยียบหน้า
Ink Stone_Fantasy
“อ๊าก…หน้าฉัน…”

สองมือของฉินเหิงกุมอยู่ที่ใบหน้าของตน เมื่อครู่นี้เย่เทียนเฉินใช้เท้าเหยียบลงบนจมูกเขาอย่างรุนแรง ทำให้จมูกของเขาถูกเหยีบจนหัก เลือดสดๆ ไหลออกมาจากจมูกและปาก ดูแล้วน่าอนาถอยู่บ้าง แล้วก็ทำให้ผู้คนต้องตกใจอยู่บ้าง

เห็นว่าเย่เทียนเฉินอัดฉินเหิงอย่างหนักโดยที่ไม่พะว้าพะวงเลยสักนิด ถึงกับจะอัดให้ตาย เหล่าคุณชายที่อยู่ที่นี่ต่างก็อึ้งจนนิ่งไปแล้ว พวกเขาต่างก็เป็นที่พอมีฐานะหน้าตา เบื้องหลังก็มีอำนาจเล็กน้อย ย่อมเข้าใจว่าคนเช่นฉินเหิงนั้นเป็นเช่นไร ตระกูลฉินเป็นตระกูลชั้นหนึ่ง ดังนั้นอำนาจอิทธิพลที่ต่ำกว่าตระกูลชั้นหนึ่งลงมา หรือกระทั่งอำนาจอิทธิพลที่ทัดเทียมกับตระกูลฉิน เกรงว่าจะไม่กล้าลงมือกับฉินเหิงอย่างโหดร้าย

พอเย่เทียนเฉินปรากฏตัว ก็อัดฉินเหิงที่หยิ่งยะโสจนหัวร้างข้างแตก เหตุการณ์นี้ทำให้ผู้คนทั้งหมดต้องสั่นสะท้าน หลายคนกำลังคิดว่า เย่เทียนเฉินทำร้ายฉินเหิงสาหัสเช่นนี้ ไม่กลัวเจอปัญหาใหญ่หรือ? ไม่กลัวตระกูลเย่ต้องเจอกับวิกฤตฆ่าล้างตระกูลจริงๆ หรือ? ต้องทราบว่าตระกูลฉินมิอาจนำไปเทียบกับตระกูลลั่วได้ หน้าตาฐานะแตกต่างกับโดยสิ้นเชิง

“เย่เทียนเฉิน แกไอ้ขยะ ไอ้ลูกเต่า กล้าอัดฉัน ฉันจะทำให้ตระกูลเย่ของแกไม่เหลือแม้แต่ไก่สักตัวเดียว…” ฉินเหิงถูกอัดจนโกรธ ตอนแรกคิดจะโอนอ่อนผ่อนตามไปก่อน ขอแค่ทำให้เย่เทียนเฉินปล่อยตนเองไปได้ ภายหลังยังมีวิธีเก็บกวาดฝ่ายตรงข้าม ไหนเลยจะรู้ว่าเย่เทียนเฉินไม่ใช่คนที่จะรังแกได้ง่ายๆ ใครกล้าหาเรื่องเขา ก็ต้องโดนอัดสักตั้ง

ปัง ปัง ปัง!

เผชิญกับคำด่าต่อเนื่องของฉินเหิง เย่เทียนเฉินไม่พูดอะไรสักคำ แค่ใช้เท้ากระทืบหน้าของฉินเหิงสามครั้งต่อเนื่อง ถ้าหากไม่ใช่ว่าคิดจะเก็บกวาดตระกูลฉินเป็นลำดับต่อไป เย่เทียนเฉินคงไม่ยั้งแรงกระทืบไว้ ครั้งเดียวก็คงส่งฉินเหิงไปสู่ความตายตั้งนานแล้ว

ฉินเหิงสลบคาพื้น ทั่วทั้งใบหน้าเต็มไปด้วยเลือดสดๆ สันจมูก สันกราม กระดูกบนใบหน้า และฟัน ล้วนถูกเย่เทียนเฉินกระทืบจนหัก ถูกกระทืบจนใบหน้าพิการ ดูแล้วน่าอนาถเป็นอย่างยิ่ง

เย่เทียนเฉินปัดฝุ่นบนมือ เดินไปยังที่นั่งของตนเองโดยไม่มองฉินเหิงสักนิด แล้วเริ่มต้นกินข้าวต่อไป ทำให้เหล่าคุณชายทั้งหลายที่อยู่ที่นี่ตกตะลึงจนคางแทบล่วง

เย่เทียนเฉินทำร้ายฉินเหิงอย่างรุนแรง อัดเขาจนสลบไป เดิมทีก็เป็นปัญหาใหญ่ ว่ากันตามปกติแล้วจะต้องรีบหนีไปจากสถานที่เกิดเหตุและซ่อนตัว กระทั่งไม่กล้าใช้ชีวิตอยู่ในประเทศ จะอย่างไรอำนาจของตระกูลฉินก็ยิ่งใหญ่มาก ส่วนสำคัญที่สุดก็คือผู้อาวุโสตระกูลฉินยังคงกุมอำนาจอยู่ในมือ นี่เป็นความแตกต่างอันยิ่งใหญ่ ตำแหน่งของผู้กุมอำนาจคนหนึ่ง ต่อให้เป็นผู้ไม่มีอำนาจที่มีตำแหน่งเดียวกัน ผู้กุมอำนาจก็ยังอยู่เหนือกว่าผู้ไม่มีอำนาจมาก

“สะ…สหายเย่ คุณ คุณรีบไปเถอะ ตระกูลฉินจะส่งคนมาเร็วๆ นี้แน่…” หลูวั่งเดินมาเบื้องหน้าเย่เทียนเฉิน เปิดปากพูดเสียงเบา

พลั่ก!

หลูวั่งถูกเย่เทียนเฉินตบจบตัวลอย เพิ่งจะถูกฉินเหิงตบไปอย่างกำเริบเสิบสาน ตอนนี้ก็มาถูกเย่เทียนเฉินตบโดยที่หน้าไม่เปลี่ยนสีอีก คนอื่นๆ ที่เหลือเห็นดังนั้นก็ไม่รู้ว่าทำไม? หรือว่าเย่เทียนเฉินจะหยิ่งยะโสเช่นเดียวกับฉินเหิง บางทีอาจกล่าวได้ว่าไม่รู้จักดีชั่ว? ผู้อื่นเตือนคุณด้วยความหวังดี ทำดีกับคุณ คุณกลับลงมือตบคนโดยไม่สนใจกาลเทศะ คนเช่นนี้ช่างทำให้ผู้คนโมโหและอับจนคำพูดโดยสิ้นเชิง

ตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินก็ลุกขึ้น กินพริกหยวกเข้าไปคำหนึ่ง ก่อนจะหันมามองหลูวั่งที่ล้มลงกับพื้นและมีใบหน้างงงวยอย่างเย็นชาพลางกล่าวว่า “เป็นคนไม่ควรจะฉลาดจนเกินไป โดยเฉพาะการอวดว่าตนเองฉลาด คนที่ตีสองหน้า มักจะตายอย่างอนาถ แกคิดว่าที่แกแอบบอกกับตระกูลฉินเมื่อกี้นี้ฉันจะไม่รู้รึไง?”

ได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน คนที่เหลือก็ใช้สายตามองไปยังหลูวั่ง ส่วนหลูวั่งทั้งโกรธทั้งอายจนใบหน้าแดงก่ำ เมื่อสักครู่นี้เขาแอบโทรแจ้งกับตระกูลฉินจริงๆ แจ้งให้ตระกูลฉินรับรู้ บอกว่าฉินเหิงถูกเย่เทียนเฉินทำร้าย ให้ตระกูลฉินส่งคนมา

ที่หลูวั่งทำเช่นนี้นั้นทั้งเรียบง่ายและเห็นได้ชัดเป็นอย่างมาก แม้ว่าเขาจะถูกฉินเหิงตบ และเคียดแค้นชิงชังฉินเหิงมาก แต่เขาก็ไม่กล้าฟันธงว่าจะสามารถเก็บกวาดฉินเหิงได้หรือไม่ กล่าวอีกอย่างก็คือ เย่เทียนเฉินเป็นคู่ต่อสู้ของฉินเหิงได้หรือไม่ ยังไม่ทราบแน่ชัด

ครั้งนี้ฉินเหิงถูกทำร้ายจนยับเยินเช่นนี้ หากว่าตระกูลฉินสืบหาขึ้นมา เขาหลูวั่งก็ไม่อาจหลุดพ้นจากความรับผิดชอบได้ หากว่าเย่เทียนเฉินไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉินเหิง หลูวั่งก็อาจจะตายได้ ตระกูลฉินก็มีอำนาจแข็งแกร่งและใช้อำนาจบาตรใหญ่เช่นนี้ ร้ายกาจเสียยิ่งกว่าจระกูลลั่ว เพื่อที่จะป้องกันตัวเอง เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ต่อให้หลูวั่งถูกฉินเหิงตบ ก็ยังทำตัวเป็นสุนัขคอยส่งข่าวให้ตระกูลฉิน

“ยะ…เย่เทียนเฉิน คุณอย่าไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี อีกสักครู่คนของตระกูลฉินก็จะมาแล้ว หากคุณไม่ไปตอนนี้ก็ไปไม่ได้แล้ว!” หลูวั่งมองเย่เทียนเฉินพลางเปิดปากกล่าวอย่างดุดัน

“นั่นมันเรื่องของฉัน แกเป็นคนปลิ้นปล้อนอย่างนี้ เชื่อว่าตอนที่คนของตระกูลฉินมาถึง แกคงจะรู้ว่าควรพูดยังไง” เย่เทียนเฉินมองหลูวั่งอย่างเย็นชาพลางกล่าว

เดิมทีเย่เทียนเฉินเกลียดชังคนประเภทหลูวั่งมาก กล่าวอย่างตรงไปตรงมาหน่อยก็คือ คนอย่างหลูวั่งเลวทรามต่ำช้าจนเกินไป ถูกฉินเหิงตบไปหลายครั้ง โกรธแค้นชิงชังอยู่ในใจ ตอนที่ตนเองสั่งสอนฉินเหิง หลูวั่งก็แอบยินดีกับตัวเอง หลังจากที่สั่งสอนเรียบร้อยแล้ว ก็ยังกลัวจะเกี่ยวพันมาถึงตัวเขาเอง จึงรีบขายเย่เทียนเฉินทันทีโดยส่งข่าวให้ตระกูลฉิน หากคนอย่างหลูวั่งได้รับอำนาจล่ะก็ คงผิดต่อสวรรค์แล้ว

“แกทำได้แสบนักนะ ฝากไว้ก่อนเถอะ…” หลูวั่งถือโอกาสฉีกกระดาษทิชชู่หลายแผ่น เช็ดคราบเลือดที่มุมปากพลางกล่าว

เย่เทียนเฉินยักไหล่ท่าทางไม่สนใจ แล้วนั่งลงกินข้าวต่อไป แต่ทั่วทั้งเป้ยเฟิงเซวียนนั้นเกิดความโกลาหลเรียบร้อยแล้ว เหล่าคุณชายที่มาพูดคุยซุบซิบกันที่นี่ ทุกคนต่างก็ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ส่วนเหล่าพนักงานของเป้ยเฟิงเซวียนหลายคนก็หาข้ออ้างปลีกตัวออกไป กระทั่งเถ้าแก่ร้านของเป้ยเฟิงเซวียนก็รีบขับรถออกไปจากเมืองหลวง

ฉินเหิงแห่งตระกูลฉิน ถูกทำร้ายจนอาการครึ่งเป็นครึ่งตายที่เป้ยเฟิงเซวียน เรื่องนี้จะต้องสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งเมืองหลวงอย่างแน่นอน ทำให้ผู้คนช็อกยิ่งกว่าเรื่องลั่วเหลยและลั่วเทาแห่งตระกูลลั่วถูกฆ่าตายเสียอีก จะอย่างไรตำหน่งฐานะของตระกูลฉินก็ไม่เหมือนกัน เป็นตระกูลชั้นหนึ่งของเมืองหลวงอย่างแท้จริง หากเกิดโทสะขึ้นมา เมืองหลวงก็จะต้องสั่นสะท้าน

คุณชายหลายคนต่างก็เลือกที่จะอยู่ต่อ คิดอยากจะดูความคึกคักสักหน่อย ตกลงแล้วฉินเหิงที่หยิ่งยะโสและใช้อำนาจบาตรใหญ่มาตลอดจะชนะ หรือเย่เทียนเฉินที่เป็นตัวตลกของเมืองหลวงและขึ้นชื่อว่าเป็นเศษสวะไม่เอาไหนจะตอบโต้กลับไปได้ ช่างเป็นฉากอันยอดเยี่ยมฉากหนึ่งที่ทำให้ผู้คนรอคอยจริงๆ เป็นธรรมดาที่จะไม่มีคนตัดใจจากไป

ฉินเหิงกับบอดี้การ์ดผู้ติดตามทั้งสองของเขาต่างสลบเป็นตายอยู่ที่พื้น ไม่มีใครกล้าไปขยับพวกเขา ที่นี่นอกจากเย่เทียนเฉินก็ไม่มีใครกล้าสัมผัสฉินเหิงอีก หากใครไปแตะต้องฉินเหิงที่มีสภาพครึ่งเป็นครึ่งตายแล้วตระกูลฉินสืบสวนลงมา ทุกคนคงมิอาจรับจุดจบจากการแส่หาเรื่องนี้ได้

“พนักงาน…ขอซุปมะเขือเทศไข่ไก่ที่หนึ่ง…” หลังจากที่เย่เทียนเฉินสำลักข้าวแห้งๆ ไปคำหนึ่งก็ตะโกนไปยังชั้นล่างเสียงดัง

“ไอ้…ไอ้หมอนี่บ้าไปแล้วเหรอ นี่มันเวลาอะไรแล้ว ยังมีกะจิตกะใจดื่มซุปไข่อีก…”

“ไม่นึกว่าจะยังไม่หนีไปอีก รอจนคนของตระกูลฉินมา เกรงว่าต้องดื่มซุปที่ทำจากสมองเขาแทนแล้ว”

“นี่ช่างเป็นการรอความตายที่สมกับชื่อเสียงจริงๆ”

“เย่เทียนเฉินกล้าทำร้ายฉินเหิง ก็มิอาจดูถูกได้แล้ว เพียงแต่น่าเสียดายที่เขาต้องตายแน่นอน เฮ้อ น่าเสียดาย!”

คุณชายหลายคนวิพากษ์วิจารณ์กันเสียงเบา แม้ว่าเย่เทียนเฉินจะอัดฉินเหิงอย่างรุนแรง ทำให้พวกเขารู้สึกยินดีอยู่ในใจ แอบร้องว่าดีกับตัวเอง แต่ว่าต่อจากนั้นก็ไม่มีใครมองเย่เทียนเฉินดีๆ สักคนเดียว พวกเขาคิดว่าเย่เทียนเฉินต้องตายแน่นอน รอจนคนของตระกูลฉินไล่ตามมาถึง คนที่จะถูกอัดจนครึ่งเป็นครึ่งตายหรือกระทั่งตายโดยศพไม่สมบูรณ์ต้องเป็นเย่เทียนเฉินอย่างแน่นอน

“พนักงาน… เอาซุปมะเขือเทศไข่ไก่เพิ่มอีกที่ ยกขึ้นมา…” เย่เทียนเฉินไม่สนใจการวิพากษ์วิจารณ์ของเหล่าคุณชายรอบๆ ตะโกนลงไปยังชั้นล่างต่อไป

พนักงานทั้งหมดในเป้ยเฟิงเซวียนหนีไปตั้งนานแล้ว ไหนเลยจะมีคนกล้าเสิร์ฟซุปมะเขือเทศไข่ไก่ขึ้นไปให้เย่เทียนเฉินอีก และตอนนี้ก็มีเพียงเย่เทียนเฉินที่มีกะจิตกะใจตะโกนและดื่มซุปมะเขือเทศไข่ไก่

เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ด้านนอกของเป้ยเฟิงเซวียนก็มีเสียงไซเรนตำรวจดังขึ้น รถตำรวจหลายคันจอดอยู่หน้าประตูของร้านเป้ยเฟิงเซวียน ตำรวจพร้อมด้วยอาวุธและกระสุนปืนหลายสิบนายลงมาจากรถ ผู้นำก็คือหลูเซิ่งต๋าบิดาของหลูวั่ง คนที่แจ้งตำรวจก็คือหลูวั่งนั่นเอง เขาคิดว่าหากบิดาของตนสามารถพาตัวเย่เทียนเฉินไปได้ ถึงตอนนั้นไม่เพียงแต่ตระกูลฉินจะไม่สืบสาหาความกับตนเรื่องที่ฉินเหิงถูกทำร้าย ทั้งยังอาจจะมีสัมพันธ์อันดีกับตระกูลหลูของตนอีกด้วย นี่เป็นโอกาสที่จะได้เลื่อนขั้นครั้งหนึ่ง

เสียงไซเรนรถตำรวจทำให้เหล่าคุณชายที่อยู่ในที่เกิดเหตุตกใจจจนสะดุ้ง หลายคนลงไปดูที่ชั้นล่าง พบว่ามีตำรวจติดอาวุธอยู่เต็มไปหมด ทุกคนเกิดความรู้สึกงงงวยอยู่บ้าง หลายคนควักโทรศัพท์ออกมาโทรหาที่บ้าน ต้องการจะทำเป็นไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ฉินเหิงถูกทำร้ายเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกผลกระทบไปด้วย

เย่เทียนเฉินไม่สนใจตำรวจติดอาวุธที่บุกทะลวงขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย ยังคงนั่งไขว่ข้างและบริการจุดบุหรี่ขึ้นสูบด้วยตัวเอง หลูวั่งมองเย่เทียนเฉินแล้วจึงเดินเข้าไป มุมปากประดับไปด้วยรอยยิ้มลำพองใจพลางกล่าวว่า “อีกสักพักพวกเราไปกันเถอะ คนอื่นจะได้ไม่มองเราไม่ดี”

“ไสหัวไป!” เย่เทียนเฉินกล่าวเสียงเข้ม

“เฮอะ เย่เทียนเฉิน แกอัดฉินเหิงจนมีสภาพแบบนี้ ตระกูลฉินไม่ปล่อยแกไปแน่ พ่อของฉันพาคนมาจับตัวแก ทางที่ดีแกรู้จักวางตัวดีๆ สักหน่อย ไม่งั้นอย่ามาหาว่าฉันไม่เกรงใจ!” หลูวั่งเห็นว่าจนถึงตอนนี้เย่เทียนเฉินก็ไม่ยอมโอนอ่อนผ่อนตาม ในใจก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้างจึงกล่าวออกมา

ไหนเลยจะรู้ว่า คำพูดของหลูวั่งเพิ่งจะออกจากปาก เขาก็รู้สึกได้ถึงความอึดอัดบริเวณคอหอย มือขวาของเย่เทียนเฉินบีบอยู่ที่ลำคอของเขาในพริบตา กับคนถ่อยหน้าเนื้อใจเสือเช่นหลูวั่งที่รู้จักแต่แทงข้างหลัง ยังชั่วร้ายเสียยิ่งกว่าฉินเหิง ดังนั้นเย่เทียนเฉินย่อมไม่อาจปล่อยไปแน่

“ปล่อยวั่งเอ๋อร์ซะ ไม่งั้นผมยิงแน่!” ตอนนี้เอง หลูเซิ่งต๋าวิ่งขึ้นมาจากชั้นหนึ่ง เห็นเย่เทียนเฉินลงมือกับหลูวั่งลูกชายของตน ก็รีบยกปืนเล็งไปที่หัวของเย่เทียนเฉินทันที

เย่เทียนเฉินมองหลูเซิ่งต๋าครู่หนึ่ง จึงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “วางใจเถอะ ผมไม่ฆ่าลูกชายของคุณหรอก เขายังมีประโยชน์อยู่”

“คุณ…เย่เทียนเฉิน ตอนนี้ผมขอจับคุณในข้อหาจงใจทำร้ายร่างกาย คุณมีสิทธิ์ที่จะไม่พูด ทุกสิ่งที่คุณพูดจะใช้เป็นหลักฐานในชั้นศาล!” หลูเซิ่งต๋าใบหน้ามืดครึ้ม มองเย่เทียนเฉินอย่างโหดเหี้ยมพลางกล่าว

“วางปืนของคุณลงซะ ผู้อำนวยการหลู ผมรู้ว่าคุณรอคนของตระกูลฉินมา แสดงท่าทางให้มันดีดีสักหน่อย ลงมือกับผมตอนนี้ คนของตระกูลฉินคงจะไม่เห็น…”

เย่เทียเนฉินโยนหลูวั่งไปทางด้านหนึ่งแล้วนั่งลง ไม่สนใจหลูเซิ่งต๋าที่ใช่ปืนจ่อหัวตนเองอยู่ บริการสูบบุหรี่ดื่มชาด้วยตัวเอง

……………………………………………….

บทที่ 62 อัดแกมันต้องอัดที่หน้าโดยเฉพาะ
Ink Stone_Fantasy
เมื่อเจอกับฉินเหิงที่มาสร้างความยุ่งยากและหาเรื่องตนเอง เย่เทียนเฉินก็ไม่เกรงใจ ถ้าหากปล่อยให้คนคนนี้โอหังอวดดีต่อไป ไม่ใช่ว่าจะเป็นการรบกวนชีวิตอันสงบสุขของคนในครอบครัวตนเองหรอกหรือ? ดังนั้นจึงต้อนรับฉินเหิงด้วยตะเกียบข้างหนึ่ง ชิงหักขาซ้ายของเขาก่อนเพื่อเป็นการสั่งสอน หากว่ายังกล้าโอหังอีกล่ะก็ เกรงว่าขาขวาของเขาก็คงจะรักษาไว้ไม่ได้แล้ว

คำพูดของหลูวั่งทำให้นายน้อยจอมเสเพลทุกคนที่นี่มองเย่เทียนเฉินด้วยความตกตะลึงตาค้าง พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าชายวัยรุ่นที่นั่งกินข้าวอยู่ข้างๆ โดยไม่พูดไม่จามาโดยตลอด ที่แท้ก็เป็นอดีตตัวตลกของทั่วทั้งเมืองหลวง ชายที่ทุกวันนี้เป็นตำนานอันจับต้องได้ของทั่วทั้งเมืองหลวง

“อะไรนะ? ไอ้หมอนั่นก็คือเย่เทียนเฉิน?”

“เป็นไปไม่ได้ ดูไปแล้วไม่เห็นโง่เลย!”

“ไอ้หมอนี่บ้าไปแล้ว กล้าลงมือกับฉินเหิงต้องตายแน่ๆ”

“ท่าทางไอ้หมอนี่คงปัญญาอ่อน ไม่คิดว่าจะกล้าลงมือกับฉินเหิง ไม่ใช่แค่เขารนหาที่ตาย เกรงว่าตระกูลเย่ทั้งตระกูลก็จบเห่แล้ว”

เหล่าคุณชายที่อยู่ ณ ที่นี้ต่างก็พากันวิพากษ์วิจารณ์เสียงเบา ไม่มีสักคนที่จะมองเย่เทียนเฉินในแง่ดี แม้ว่าการปรากฏตัวของเย่เทียนเฉินจะทำให้พวกเขารู้สึกแปลกใจไม่มากก็น้อย แต่ว่าพวกเขาไม่เชื่อโดยเด็ดขาดว่าเย่เทียนเฉินจะเป็นคู่ต่อสู้ของฉินเหิงได้

“แกก็คือเย่เทียนเฉิน?” ใบหน้าของฉินเหิงปรากฏรอยยิ้มน่าเกลียด มองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างโหดเหี้ยมพลางกล่าวออกมา

“ฉันจำเป็นต้องบอกแกด้วยเหรอ? ทำไมต้องบอกแกด้วยล่ะ? แกอาศัยอะไรมาสอดรู้มิทราบ?” เย่เทียนเฉินไม่แยแสฉินเหิงโดยสิ้นเชิง ใช้น้ำเสียงสนุกสนานกล่าวไป

“แก…ดี กล้าดี วันนี้บิดาจะทำให้แกรู้ว่าคำว่าตายเขียนยังไง…” ฉินเหิงคำรามด้วยความโกรธ

เย่เทียนเฉินยังคงนั่งอยู่บนโซฟา หาวออกมาครั้งหนึ่ง มือขวาหยิบตะเกียบข้างที่เหลือมาเล่น มองหลูวั่งครู่หนึ่งพลางกล่าวว่า “ทำคุณบูชาโทษแท้ๆ แต่ก็ต้องโทษแกด้วยที่ฉลาดเกินไป อยากให้คนอื่นเห็นว่าเป็นคนดี แต่กลับทำเรื่องเลวๆ…”

หลูวั่งมองเย่เทียนเฉิน ไม่กล้าพูดอะไรให้มากความ ที่เทียนซ่างเหรินเจียน ฉากที่เย่เทียนเฉินอัดลั่วเหลยอย่างรุนแรงฉากนั้น เขายังจำได้ฝังใจ ส่วนเรื่องที่เย่เทียนเฉินจะเป็นคู่ต่อสู้ของฉินเหิงได้หรือไม่นั้น เขาหลูวั่งไม่กล้ายืนยัน ดังนั้นตอนนี้ไม่ว่าจะยืนอยู่ฝั่งไหนก็ไม่ดีทั้งนั้น

ฉินเหิงใช้อำนาจบาตรใหญ่ หยิ่งผยอง หาเรื่องไม่ได้เป็นที่แน่นอนอยู่แล้ว แต่เย่เทียนเฉินที่กลับมาที่เมืองแล้วก็ไม่ใช่สัตว์กินหญ้า อย่างน้อยจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยเสียเปรียบมาก่อน นี่ก็ทำให้ผู้คนตื่นเต้นและแปลกใจเป็นอย่างมากเช่นกัน

ฉินเหิงอีกด้านหนึ่ง สองมือกุมอยู่บริเวณต้นขาของตนเอง เจ็บเสียจนขบฟันแน่น เขาไม่คิดเลยว่าเย่เทียนเฉินจะปรากฏตัวที่นี่ อีกทั้งมาถึงก็หักขาซ้ายของเขา ยิ่งตอนที่ตนเองพูดกับเขา เย่เทียนเฉินดูถูกเหยียดหยามเป็นอย่างมาก เขาฉินเหิงไม่เคยได้รับการดูถูกเช่นนี้มาก่อน ทำให้ยิ่งเพิ่มพูนความโกรธเข้าไปอีก

“ยังมัวอึ้งอะไรกันอยู่ ฆ่าไอ้ลูกเต่านี่ให้ฉันสิวะ ฆ่ามันซะ!” ฉินเหิงคำรามใส่บอดี้การ์ดสองคนที่ติดตามอยู่ข้างหลังเขา

บอดี้การ์ดสองคนนั้นเป็นลูกน้องของฉินเหิง และเป็นสมุนนักสู้ของตระกูลฉิน ความสามารถย่อมไม่อ่อนแอ บอดี้การ์ดทั้งสองเป็นคนที่ฉินเทาหยวนบิดาของฉินเหิงส่งมาคุ้มครองฉินเหิงด้วยตัวเอง เขารู้ว่าฉินเหิงวันๆ เอาแต่สร้างปัญหาอยู่ข้างนอก คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะเจอตอเข้าสักวัน ดังนั้นจึงส่งบอดี้การ์ดสองคนนี้มาซึ่งล้วนแต่เป็นยอดฝีมือที่ผ่านการต่อสู้มานับร้อย

ได้ยินคำสั่งของฉินเหิง บอดี้การ์ดทั้งสองแลกเปลี่ยนสายตากันครู่หนึ่ง แล้วพุ่งเข้าไปหาเย่เทียนเฉินแทบจะพร้อมๆ กัน บอดี้การ์ดที่พุ่งเข้าไปด้านหน้าสุดปล่อยหมัดซัดไปยังบริเวณศีรษะของเย่เทียนเฉิน

เย่เทียนเฉินที่นั่งอยู่บนโซฟา เมื่อต้องเผชิญกับหมัดของบอดี้การ์ดที่พุ่งเข้ามาหน้าสุด ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ในใจคิดว่าสมแล้วที่ตระกูลฉินเป็นตระกูลชั้นหนึ่งในเมืองหลวง เห็นได้จากบอดี้การ์ดทั้งสองที่ติดตามข้างกายฉินเหิงมานี้ เนื่องจากบนร่างกายของบอดี้การ์ดสองคนมีการผันแปรของพลังยุทธ์อันแข็งแกร่ง คนธรรมดาย่อมมิอาจสังเกตเห็นได้ แต่เย่เทียนเฉินนั้นรู้ผ่านพลังพิเศษแห่งการรับรู้ตั้งนานแล้ว

ปัง!

ลงมือที่หลังแต่จัดการได้ก่อน ตอนที่หมัดของยอดบอดี้การ์ดผู้นั้นยังต่อยไปไม่ทันถึงศีรษะ ขาขวาของเย่เทียนเฉินก็เตะกวาดไปในแนวนอน เตะถูกบริเวณท้องของบอดี้การ์ดที่พุ่งเข้ามาก่อนอย่างรุนแรงจนกระเด็นออกไป ในขณะเดียวกันตัวเขาก็กระโดดขึ้นสุดตัว เนื่องจากในมือขวาของบอดี้การ์ดที่เหลืออีกคนหนึ่งปรากฏกริชขึ้นมาหนึ่งเล่ม ทั้งยังแทงตรงเข้ามายังหน้าอกของเขา

ในขณะที่บอดี้การ์ดที่ถูกเย่เทียนเฉินเตะกระเด็น ล้มลงกับพื้นอย่างรุนแรง เหล่าคุณชายบริเวณนั้นถึงจะมีปฏิกริยาขึ้นมา ทุกคนมองปรากฏการณ์เบื้องหน้าด้วยความตกตะลึงจนตัวแข็งเป็นหิน หลังจากที่เย่เทียนเฉินกระโดดส่งตัวบินขึ้นไปก็ไม่ได้เคลื่อนไหวอีก เขาหันหลังให้บอดี้การ์ดที่เหลืออีกคนหนึ่ง

เห็นเพียงเย่เทียนเฉินหันหลังให้กับบอดี้การ์ดคนที่เหลือ แต่ตะเกียบในมือของเขากลับพุ่งไปยังลำคอของบอดี้การ์ดที่เหลือคนนั้น ส่วนกริชในมือบอดี้การ์ดคนนั้นยังคงอยู่ในท่าแทงไปด้านหน้า เหงื่อเย็นบนหน้าผากไหลออกมาเป็นสาย ใบหน้าซีดขาว เขาคิดไม่ถึงเลยว่ายอดบอดี้การ์ดทั้งสองคนอย่างตน ฝีมือไม่นับว่าอ่อนแอ กลับไม่มีโอกาสรับมือกับเย่เทียนเฉินแม้แต่กระบวนท่าเดียว ต่อให้ทั้งสองคนลงมือพร้อมกัน ก็ไม่อาจสร้างรอยขีดข่วนให้เย่เทียนเฉินได้

บอดี้การ์ดที่ถูกเย่เทียนเฉินเตะกระเด็นไปนั้นดิ้นอยู่บนพื้นครู่หนึ่ง แล้ว็ไม่ลุกขึ้นมาอีก ทำให้หลูวั่งและกลุ่มคุณชายรีบถอยหลังไป มองเย่เทียนเฉินอย่างไม่อยากเชื่อ เพียงลูกเตะเดียวเท่านั้นก็สามารถทำให้ยอดบอดี้การ์ดสลบไปได้ คนคนนี้ยังเป็นตัวตลกของเมืองหลวง ยังเป็นไอ้คนไม่เอาไหนและเศษสวะที่เลื่องชื่อหรือไม่? เกรงว่าตอนนี้จะไม่มีสักคนกล้าที่จะเชื่อ

“ฉินเหิง ดูท่าลูกน้องบอดี้การ์ดของแกก็ไม่เห็นจะเท่าไหร่ คุ้มครองแกไม่เห็นจะได้!” เย่เทียนเฉินมองฉินเหิงพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม

ฉินเหิงในตอนนี้ตกใจจนตัวสั่นไปตั้งนานแล้ว เขาอยู่กับบอดี้การ์ดข้างกายไม่ใช่แค่วันสองวัน ฝีมือของพวกเขาแข็งแกร่งขนาดไหนฉินเหิงรู้เป็นอย่างดี คนธรรมดาไม่สามารถเข้าใกล้ตัวเขาได้เลย ต่อให้เจอกับคนที่ร้ายกาจก็ยังมีฝีมือพอที่จะปกป้อง แต่ต่อหน้าเย่เทียนเฉิน ยอดบอร์ดี้การ์ดสองคนของตนเองกลับอ่อนแอไร้ทางสู้เช่นนี้ ทำให้การป้องกันที่เป็นไพ่ตายในใจของเขาพังทลายสิ้น

“แก…”

“อย่าพูดเชียว แกพูดคำหนึ่ง ฉันก็เกิดมีความคิดว่าอยากจะเตะแกขึ้นมาหนึ่งครั้ง” เย่เทียนเฉินกล่าวขัดคำพูดของฉินเหิงด้วยรอยยิ้มเช่นเดิม

ฉินเหิงตกใจจนถอยหลังไม่หยุด ณ เวลานี้ เขาไม่สนใจอาการบาดเจ็บที่ขาขวาของตนแล้ว แทบอยากจะออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้ ในใจเขารู้สึกเสียใจเป็นอย่างมากที่ตนเองลำพองใจเกินไป ไม่เห็นเย่เทียนเฉินอยู่ในสายตาจนเกินไป ไม่คิดว่าฝีมือของเย่เทียนเฉินจะแข็งแกร่งขนาดนี้ ขอเพียงแค่ตนเองหนีไปได้ เช่นนั้นแล้วด้วยศักยภาพของตระกูลฉิน ไม่ว่าจะเป็นยอดฝีมือพรรควรยุทธ์โบราณก็ดี ผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษก็ดี ล้วนสามารถเชิญมาได้ ถึงตอนนั้นค่อยเชิญยอดฝีมือมาเก็บกวาดเย่เทียนเฉินก็เรียบร้อยแล้ว เพียงแต่น่าเสียดายดูท่าทางแล้ว เย่เทียนเฉินเหมือนจะไม่คิดปล่อยตนเองไปง่ายๆ

เสียงฟิ้วดังขึ้น บอดี้การ์ดคนที่เหลือก็ล้มลงไปกับพื้น แต่เย่เทียนเฉินไม่ได้ฆ่าเขา ยังคงกล่าวได้ดังเดิมว่า เย่เทียนเฉินไม่ใช่ผู้ที่เสพติดการฆ่า ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องฆ่าบอดี้การ์ดทั้งสองคนนี้ ดังนั้นเย่เทียนเฉินจึงปล่อยหมัดใส่บอดี้การ์ดคนนั้นทำให้เขาสลบสติลงกับพื้น

เย่เทียนเฉินสองมือล้วงอยู่ในกระเป๋ากางเกง ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มตลอดเวลา มองไม่เห็นถึงเจตนาร้ายแม้เพียงครึ่งส่วน เดินยิ้มไปยังฉินเหิง ฉินเหิงตกใจจนเดินเซ หากไม่ใช่เพราะใช้มือยันโซฟาเอาไว้คงจะล้มลงกับพื้นราวสุนัขกินขี้ไปแล้ว

ตอนที่ฉินเหิงหมุนตัว เย่เทียนเฉินก็เดินมาถึงด้านหน้าเขาแล้ว ทำเพียงยิ้มมองเขาอยู่เช่นนั้นไม่ได้ลงมือลงไม้อะไร ทำเพียงแค่จ้องมองเช่นนั้น

“แก…แกคิดจะทำอะไร?” ฉินเหิงตกใจจนกล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงอันสั่นเทิ้ม

“ประโยคนี้ฉันควรจะถามแกมากกว่ารึเปล่า? นายน้อยฉิน แกหาฉันมีธุระอะไร?” เย่เทียนเฉินกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม

“ผม…ผมก็แค่ได้ยินชื่อเสียงของพี่เย่มานาน อยากจะรู้จักสักหน่อยก็แค่นั้น…”

พูดประโยคนี้จบ ฉินเหิงเองทั้งโกรธทั้งอาย ใบหน้าแดงก่ำ แทบอยากจะมุดหน้าเข้าไปในดิน ส่วนเหล่าคุณชายที่อยู่ตรงนี้ ต่างก็อยากจะถ่มน้ำลายใส่ฉินเหิงให้จมน้ำลายตาย เมื่อสักครู่นี้เจ้าหมอนี่ยะโสโอหังขนาดไหน ตบหลูวั่งครั้งแล้วครั้งเล่า ข้างๆ มีคนพูดถึงความเป็นธรรม ก็เตะไม่เลี้ยง แถมยังประกาศศักดาว่าใครกล้าหาเรื่องเขาฉินเหิง ก็ต้องถูกหักขาสุนัข ทั้งหมดทั้งมวลล้วนไม่เห็นคนทั้งหมดที่นี่อยู่ในสายตาเลย กล่าวได้ว่าเหิมเกริมเกินพิกัด อวดเบ่งตัวเองขั้นสุด

แต่ว่าฉินเหิงที่เมื่อสักครู่ยังหยิ่งผยองไม่มีใครเกินและประกาศว่าจะบุกไปที่บ้านของเย่เทียนเฉินเพื่อไปหักขาทั้งสองของเย่เทียนเฉิน ตอนนี้กลับเปลี่ยนสีหน้าไปโดยสิ้นเชิง ต่อหน้าเย่เทียนเฉิน ยังเทียบไม่ได้กับหนูในท่อน้ำเน่าเหม็น ใบหน้าราวกับไม่ได้ถ่ายมาหลายวัน สีหน้าอัปลักษณ์เป็นอย่างมาก

“ไม่หรอกมั้ง เมื่อกี้ฉันก็อยู่ที่นี่ตลอด คำพูดของพวกแกทุกคนฉันได้ยินหมด แกบอกว่าจะหักขาสุนัขของฉัน ฉันคิดว่าฉันไม่ยินไม่ผิดหรอกใช่ไหม? แกผิดคำพูดของตัวเองแบบนี้ ช่างไม่รักษาหน้าตัวเองเลยจริงๆ ไม่เห็นหน้าตาตระกูลฉินสำคัญอะไรเลย…” เย่เทียนเฉินส่ายหัวพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม

ฉินเหิงได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉินก็ขมวดคิ้วอย่างโหดเหี้ยม เดิมทีเขามาเพื่อจะสั่งสอนเย่เทียนเฉิน ไหนเลยจะรู้ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นนี้ ในความคิดของเขา ขอเพียงเขาฉินเหิงลงมือ เย่เทียนเฉินจะต้องรีบคุกเข่าขอชีวิตทันที จะฆ่าเย่เทียนเฉินหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของเขาฉินเหิง แต่คิดไม่ถึงว่าทั้งหมดทั้งมวลนี้จะไม่เกิดขึ้นจริง ตอนนี้ชีวิตของเขาถูกกุมอยู่ในมือของเย่เทียนเฉิน ความเป็นความตายไม่ได้ขึ้นอยู่กับเขาแล้ว

“แก…เฮอะ เย่เทียนเฉิน แกนับเป็นตัวอะไรได้ ตระกูลเย่ของแกนับเป็นอะไรได้ แกกล้าลงมือกับฉันไหม? กล้าล่วงเกินตระกูลฉินของพวกเราไหม? แกต้องคิดถึงผลลัพธ์ให้ดีๆ!” ฉินเหิงไม่ใช่ว่าเพราะมีความเคารพในตัวเอง ไม่ใช่ว่าเพราะได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉินแล้วโกรธขึ้นมา แต่เป็นเพราะแต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีใครกล้าพูดกับเขาหรือกล้ามองข้ามตระกูลฉินของพวกเขาเช่นนี้มาก่อน ความหยิ่งผยองในใจของเขาจนถึงตอนนี้ก็ไม่ลดลงไปเลย

ปัง!

เย่เทียนเฉินตอบฉินเหิงด้วยหมัดเพียงหนึ่งหมัด ซัดเข้าไปที่ใบหน้าของฉินเหิง ซัดจนฉินเหิงลงไปนอนร้องโอดครวญกับพื้น สองมือกุมปากของตนเอง กระอักเลือดสดๆ และฟันออกมา ไม่รอให้ความเจ็บปวดของฉินเหิงลดลง เย่เทียนเฉินก็ใช้เท้าที่สวมรองเท้าหนังเหยียบลงไปบนใบหน้าของฉินเหิงโดยตรง เหยียบเขาลงกับพื้น พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “นายน้อยฉิน โบราณกล่าวว่า ตีคนไม่ตีหน้า แต่ว่าคนอย่างแก ไม่ตีที่หน้าก็ไม่จำ ดังนั้นฉันก็ทำได้แต่อัดหน้าแกโดยเฉพาะแล้ว!”

……………………………………………..

บทที่ 61 เลือกหักขาสุนัขของแกมาซะ
Ink Stone_Fantasy
ฉินเหิงมีอำนาจแข็งแกร่งและวางท่าทางใหญ่โตเป็นอย่างมาก ตบลงไปที่ใบหน้าของหลูวั่งครั้งหนึ่งจนมุมปากมีเลือดไหลออกมา แต่หลูวั่งกลับยืนอยู่ที่เดิมไม่กล้ากลับแม้เพียงนิด เขารู้ว่าตนเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉินเหิง ตระกูลหลูของตนเองก็ยิ่งไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตระกูลเหิง กล่าวให้ชัดเจนก็คือ หากฉินเหิงบันดาลโทสะ เพียงนิ้วเดียวก็สามารถทำลายตระกูลหลูของตนได้ พ่อของเขาที่เป็นผู้อำนวยการสำนักงานความมั่นคงสาธารณะก็นับว่าจบสิ้นแล้ว

โลกนี้ เดิมทีก็เป็นโลกที่ผู้อ่อนแอเป็นอาหารของผู้แข็งแกร่ง คุณอ่อนแอ ก็จะได้รับความอยุติธรรม ต่อให้ถูกอัด ก็เป็นเรื่องที่ทำอะไรไม่ได้ สถานที่ใดที่มีคนก็จะมีการแข่งขันและการกดขี่ข่มเหง

“ขะ…ขอโทษครับ นายน้อยฉิน ผมไม่รู้จริงๆ ว่าเป็นคุณ ผมต้องขอโทษคุณด้วยครับ!” หลูวั่งถูกตบหน้าไปหนึ่งครั้ง จนมุมปากมีเลือดสดๆ ไหลออกมา แต่กลับรีบกล่าวขอโทษฉินเหิง

ปัง!

ฉินเหิงใช้ขาเตะเข้าไปที่ท้องของหลูวั่ง ทำให้เขากระเด็นไปไกลหลายเมตร หลูวั่งเจ็บจนใช้มือทั้งสองกุมท้องไว้แน่นพลางกัดฟันกรอด แต่ยังคงกล่าวด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มขมขื่นว่า “นายน้อยฉิน ผม…ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ…ขอ…ขอโทษครับ!”

“ขอโทษ? ขอโทษคำเดียวนับเป็นอะไรได้? กล้ามาวิจารณ์ตระกูลฉินของฉัน วันนี้บิดาจะหักขาแกข้างหนึ่งก่อนค่อยว่ากัน” ฉินเหิงยังไม่ยอมจบง่ายๆ ตะโกนออกมาอย่างโอหังเต็มที่

“นายน้อยฉิน น้องหลูไม่ได้ตั้งใจ ทุกคนก็แค่คุยเล่นกันเท่านั้น อย่าใส่ใจเลยนะครับ”

เพียะ!

ชายคนหนึ่งที่ต้องการช่วยหลูวั่งพูดสักหลายประโยค คำพูดเพิ่งออกจากปาก ก็ถูกฉินเหิงตบไปทีหนึ่ง ถูกตบจนล้มลงกับพื้น เจ็บจนกัดฟันแน่น

เหล่าคุณชายทั้งหลายที่อยู่ ณ ที่นี้ ต่างก็คิดไม่ถึงว่าฉินเหิงจะป่าเถื่อนจะหยิ่งผยองถึงขั้นนี้ ทุกคนเพียงแค่คุยเล่นกันเท่านั้น อีกอย่างฉินเหิงก็ไม่ได้พูดอะไรร้ายๆ เกี่ยวกับตระกูลฉิน เพียงแค่กล่าวถึงตระกูลฉินเท่านั้นเอง ฉินเหิงกลับใช้อำนาจภูมิหลังของตระกูลลงมือทำร้ายคน ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา ช่างยะโสโอหังจริงๆ

“แกนับเป็นตัวอะไรถึงกล้ามาพูดกับบิดา พวกแกที่นี่หลายคนก็แค่ตระกูลเล็กๆ ตระกูลเหิงของฉันทำลายพวกแกได้ตามใจ!” ฉินเหิงต้องการกระตุ้นความโกรธของผู้คนที่นี่ ไม่ว่าใครก็ไม่อยู่ในสายตาทั้งนั้น เขาเหิมเกริมขึ้นขั้นไม่เห็นใครอยู่ในสายตาเพราะคิดว่าไม่มีใครที่สามารถหาล่วงเกินตระกูลเหิงของเขาได้ ราวกับว่าใครเจอเขาจะต้องหลบไปยืนอยู่ด้านข้างอย่างไรอย่างนั้น

“คุณ…ฉินเหิง คุณจะเอาแต่ใจเกินไปรึเปล่าครับ ต่อให้ตระกูลฉินของคุณจะเป็นตระกูลที่โดดเด่นก็เถอะ ทำไมต้องใช้อำนาจบาตรใหญ่ ดูถูกคนอื่นเช่นนี้ด้วยล่ะครับ?”

“ใช่แล้ว ถึงตระกูลฉินของคุณเป็นตระกูลชั้นหนึ่ง แต่ก็ใช่ว่าจะอยู่จุดสูงสุดสักหน่อย ยังมีสามตระกูลใหญ่ที่อยู่บนจุดสูงของจีน ตระกูลฉินของคุณเองก็เทียบไม่ได้”

“พี่ฉิน ทุกคนต่างก็ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้ ทำไม่ต้องใช้อำนาจรังแกผู้อื่นอย่างนี้ด้วยล่ะ?”

คนอื่นๆ ต่างก็รู้สึกทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว ถึงแม้ว่าพวกเขาต่างก็เป็นคนจากตระกูลที่มีภูมิหลังทั้งยังหยิ่งผยองอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับขั้นไม่เห็นใครอยู่ในสายตา ถึงอย่างไรเป็นมนุษย์ก็ต้องมีขีดจำกัด อีกทั้งในเมืองหลวงที่เป็นสถานที่ที่มีเสือหมอบมังกรซ่อน หากกำเริบเสิบสานจนเกินไปย่อมไม่ดีแน่!

แต่ฉินเหิงคนนี้โอหังอวดดี จองหองพองขนจนถึงขั้นไม่เห็นใครอยู่ในสายตา ความเย่อหยิ่งอวดดีเช่นนั้นราวกับว่าทั่วทั้งเมืองหลวงต้องฟังคำพูดของตระกูลฉิน ราวกับประเทศจีนมีตระกูลฉินของเขาควบคุมอยู่ก็มิปาน

“แม่งเอ๊ย พวกแกก็ไม่ดูฐานะของตัวเองบ้างล่ะ กล้ามาพูดกับบิดาเช่นนี้ อยากจะถูกหักขากันใช่ไหม?” ฉินเหิงตะโกนออกมาเสียงดังด้วยความหยิ่งผยอง

ได้ยินคำพูดของฉินเหิง หลายคนก็สงบปากสงบคำ พวกเขาต่างก็เป็นลูกหลานเสเพล แต่ก็มีชาติตระกูล ในยามปกติย่อมไม่ยอมแพ้แน่นอน แต่จะอย่างไรตระกูลฉินเป็นตระกูลชั้นหนึ่งของเมืองหลวง ในหมู่คน ณ ที่แห่งนี้ ไม่มีใครที่ชาติตระกูลจะเทียบได้เลยสักคน จึงมิอาจหาเรื่องได้

สมมติว่าพวกเขาสามารถลงมือกับฉินเหิงได้ ถึงอย่างไรก็อาจจะลำบากไปถึงตระกูลของตนเอง ดังนั้นจะต้องคิดใคร่ครวญให้ดีๆ สถานที่อย่างเมืองหลวงแห่งนี้ ตระกูลบางตระกูลสามารถดำรงอยู่ได้ก็เป็นเรื่องที่ยากมากแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตระกูลเล็กๆ อย่างตระกูลชั้นสามชั้นสี่

“ไอหยา พี่ฉิน อย่าได้โมโหเลยครับ อย่าโมโหเลย ใจเย็นๆ นะครับ ใจเย็นๆ ไม่ทราบว่าลมอะไรพัดพี่ฉินมา ทำให้เป้ยเฟิงเซวียนเล็กๆ ของพวกเรามีหน้ามีตาจริงๆ!” คุณชายที่ชอบเลียแข้งเลียขาคนหนึ่งรีบพูดไกล่เกลี่ย

ฉินเหิงมองทุกคนอย่างเหยียดหยาม เปิดปากกล่าวออกมาอย่างเผด็จการว่า “ต่อไปนี้ฉันไม่อนุญาตให้พวกแกมาซุบซิบนินทากันที่นี่อีก ได้ยินรึยัง?”

“ฉินเหิง คุณจะเอาแต่ใจเกินไปรึเปล่า? ที่นี่เป็นที่สาธารณะ ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะมาที่นี่ คุณอาศัยอะไรมาห้ามไม่ให้พวกเรามา?” ยังคงมีคนที่ไม่อาจทนได้กับคำพูดอันร้ายกาจเช่นนี้ ฉินเหิงช่างเอาแต่ใจเหลือเกิน ถึงกับไม่สนใจเหตุผล หยิ่งยะโสจริงๆ

“มึงแม่งกวนตีนใช่ไหม? เชื่อไหมว่าบิดาสามารถซื้อเป้ยเฟิงเซวียนได้ทันทีเลย? เชื่อไหมว่าบิดาสามารถเอาชีวิตมึงได้ตอนนี้เลย?” ฉินเหิงคำรามใส่ชายที่พูดออกมาด้วยความโกรธ

เจอกับความเอาแต่ใจและความวางท่ากดข่มผู้อื่นของฉินเหิง คุณชายหลายคนในที่นี้ต่างก็เหม่อลอย คนคนนี้เหมือนกับหมาบ้า แถมยังเป็นหมาบ้าที่มีเบื้องหลังยิ่งใหญ่อีกต่างหาก ไม่ใช่คนที่พวกเขาจะล่วงเกินได้ หลายคนได้แต่กักเก็บความโกรธไว้ในใจไม่กล้าพูดออกมา ท่าทีอันไร้ยางอายไม่เห็นใครอยู่สายตาของฉินเหิง คิดว่าไม่มีใครในเมืองหลวงที่จะรักษาเขาได้เลยจริงๆ

“จะขอบอกพวกแกให้ชัดเจนไปเลย วันนี้บิดามาที่นี่ ก็เพราะอยากจะถามอะไรพวกแกสักหน่อย รู้ไหมว่าไอ้ลูกเต่าเย่เทียนเฉินมันอาศัยอยู่ที่ไหน?” ฉินเหิงเปิดปากกล่าวอย่างโหดเหี้ยม

ได้ยินคำพูดของฉินเหิง หลายคนก็ตกตะลึงอยู่ในใจ แม้จะตกใจแต่ก็สามารถเข้าใจได้ ที่แท้ฉินเหิงมาปรากฏตัวที่นี่อย่างกะทันหัน ก็เพราะจะต้องการจะไปหาเรื่องเย่เทียนเฉิน ช่างใช้อำนาจเที่ยวระรานชาวบ้านจริงๆ

หลายคนทราบว่าบุญคุณความแค้นของเย่เทียนเฉินและฉินเหิงอาจจะเป็นเพราะฉีหรูเสวี่ยแห่งตระกูลฉี ผู้หญิงคนนี้ที่ได้รับการกล่าวขานว่าสวยทัดเทียมกับหลิ่วหรูเหมยสาวงานอันดับหนึ่งแห่งเมือหลวง ใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศมาโดยตลอด น้อยคนที่จะเคยเห็นรูปร่างหน้าตาจริงๆ ของเธอ ดังนั้นดูเหมือนว่าจะไม่มีใครรู้ว่า ฉินเหิงหาเรื่องสั่งสอนเย่เทียนเฉินเป็นเพราะการตายของหลี่เถี่ยสุนัขรับใช้ของตระกูลฉิน ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ เทปบันทึกเสียงทั้งสามกล่องในมมือหลี่เถี่ยที่ไม่ทราบว่าไปอยู่ที่ไหนแล้ว

อีกทั้งบิดาของเขาฉินเทาหยวนสงสัยว่าอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับเย่เทียนเฉิน ฉินเหิงจึงนำผู้คุ้มกันติดตัวมาสองคนเพื่อมาหาเย่เทียนเฉิน หากว่าจำเป็นเขาก็จะฆ่าเย่เทียนเฉินซะ กล่าวอย่างชัดเจนก็คือ ฉินเหิงไม่เห็นเย่เทียนเฉินอยู่ในสายตาเลยจะไปหาเรื่องเย่เทียนเฉิน ความหยิ่งผยองและความโอหังช่างเหิมเหริมเป็นอย่างยิ่ง

“พี่ฉินนี่พี่จะ…”

“เฮอะ บอกพวกแกตามตรง วันนี้ฉันฉินเหิงมาเพื่อสั่งสอนเย่เทียนเฉินโดยเฉพาะ ฉันจะทำให้เย่เทียนเฉินคุกเข่าร้องขอชีวิตกับฉันต่อหน้าพวกแกทุกคนที่อยู่ที่นี่ ถ้ามันกล้าพูดอะไรแม้แต่ครึ่งคำ ฉันจะหักขาสุนัขของมันซะ!” ฉินเหิงสบถเสียงเย็นพลางกล่าวออกมา

“พะ…พี่ฉิน ไอ้เด็กเย่เทียนเฉินคนนั้นฝีมือไม่อ่อนแอ ตอนแรกก็อัดลั่วเหลยที่เทียนซ่างเหรินเจียนจนไม่มีเรี่ยวแรงจะโต้ตอบ พี่ก็ระวังหน่อยนะครับ” หลูวั่งที่กุมใบหน้าครึ่งหนึ่งของตนเองไว้แสดงความหวังดีต่อฉินเหิง ต่อให้ฉินเหิงหักขาของเขา เขาก็ไม่กล้าพูดจาไร้มารยาทกลับไป นี่เป็นเพราะเบื้องหลังและศักยภาพขงอตระกูล จึงจำเป็นต้องโอนอ่อนผ่อนตาม

ปัง!

คำพูดของหลูวั่งเพิ่งออกจากปาก ฉินเหิงก็เตะไปอีกครั้งหนึ่ง คนคนนี้เป็นไอ้บ้าคนหนึ่งจริงๆ เป็นหมาบ้าตัวหนึ่ง เป็นหมาที่ไร้มนุษยธรรม ผู้อื่นเตือนคุณด้วยความหวังดี คุณกลับลงมือทำร้ายคน ช่างไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีเอาเสียเลย ช่างเหลือเกินจริงๆ

“ลั่วเหลย? มันนับเป็นตัวอะไรได้? ความสามารถของมันเทียบได้กับลูกน้องของฉันรึไง? ด้วยบอดี้การ์ดที่แข็งแกร่งสองคนที่อยู่ข้างหลังฉัน ไม่ต้องพูดถึงเย่เทียนเฉินแค่คนเดียว ต่อให้เย่เทียนเฉินสิบคนก็ต้องมาคุกเข่าต่อหน้าบิดาที่นี่และก้มหัวร้องขอชีวิต” ฉินเหิงยิ่งพูดก็ยิ่งบ้า บ้าจนไม่มีขอบเขต

“งั้นก็ดีครับ งั้นด็ดีครับ!” หลูวั่งมองฉินเหิงพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มขมขื่น

“เย่เทียนเฉิน บิดาไม่สนใจว่ามันจะร้ายกาจแค่ไหนหรือจะมีฝีมือแค่ไหน เจอฉันฉินเหิงก็ต้องคุกเข่า กล้าหาเรื่องคนตระกูลฉินของฉันก็ต้องตาย ถ้าหากตอนนี้มันปรากฏตัวต่อหน้าฉัน ฉันจะหักขาสุนัขของมันทันที…อ๊าก!”

ฉินเหิงเพิ่งจะพูดจบก็ส่งเสียงกรีดร้องออกมา ขาซ้ายทรุดลงแตะพื้นในท่าคุกเข่า เลือดสดๆ ไหลออกมาเป็นสาย ตะเกียบอันหนึ่งแทงทะลุออกมาจากต้นขาของเขา ฉินเหิงเจ็บเสียจนร้องออกมาราวกับหมูถูดเชือด

ทุกคนในที่นี้ต่างก็ตกใจจนนิ่งอึ้งไปแล้ว มองฉากที่เกิดขึ้นกะทันหันอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร ไม่นึกเลยว่าจะมีคนลงมือกับฉินเหิงที่กำเริบเสิบสาน ไม่รู้หรือว่านี่จะเป็นการล่วงเกินฉินเหิงและหาเรื่องใส่ตัว?

มีคนมองไปยังทิศทางที่เย่เทียนเฉินอยู่ ต่างก็มองไปยังชายคนที่นั่งกินข้าวอยู่ไม่ไกลมาโดยตลอดอย่างประหลาดใจ ดูเหมือนเขาจะนั่งกินข้าวอยู่ข้างๆ มาตลอด ไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมภายในนี้เลย ไม่มีใครรู้จักเขา ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร รู้แค่ว่าตะเกียบที่ใช้กินข้าวของเขาหายไปอันหนึ่ง ทุกคนต่างก็มองออกว่าคนที่ลงมือก็คือชายวัยรุ่นอายุราวยี่สิบปีคนนี้

“มึง มึงแม่งเป็นใคร? กล้าลงมือกับบิดา รนหาที่ตาย!” สองมือของฉินเหิงกุมอยู่ที่ขาซ้ายของตนตรงที่มีเลือดสดๆ ไหลออกมาไม่หยุดพลางตะโกนอย่างเหิมเกริม

“แกอยากจะหักขาคนอื่น แต่กลับไม่รู้ว่าขาสุนัขของตัวเองไม่แข็งแรงเลยสักนิดรึไง?” เย่เทียนเฉินยักไหล่ มองไปยังฉินเหิงอย่างไม่สนใจพลางกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม

เหล่าคุณชายที่อยู่ ณ ที่นี้ต่างก็มองเย่เทียนเฉินอย่างตกตะลึงจนตาค้าง ทุกคนไม่รู้จักไอ้หนุ่มคนนี้ ถึงแม้ว่าชื่อเสียงของเย่เทียนเฉินที่เป็นเรื่องขบขันในเมืองหลวงจะโด่งดัง แต่ทุกคนก็แค่มองเขาเป็นเรื่องขบขันเท่านั้น ไม่มีใครอยากจะไปดูลูกหลานไม่เอาไหนคนหนึ่งของตระกูลชั้นสามว่าหน้าตาเป็นอย่างไร เป็นแค่เรื่องตลกหลังอาหารก็แค่นั้น

“จบแล้ว ไอ้หมอนี่ตายแน่ ไม่คิดว่าจะกล้าลงมือกับฉินเหิง”

“ถึงฉินเหิงจะน่ารังเกียจ แต่ก็ไม่ใช่คนที่พวกเราจะหาเรื่องได้ สหายคนนี้มีความกล้าหาญ แต่กลับไม่คิดว่าจะมีผลอะไรตามมา”

“ที่นี่ต้องมีการฆ่ากันแน่ๆ ไอ้หนุ่มนั่นต้องตายแน่ พวกเรารีบไปกันก่อนดีกว่า อย่าถูกลากเข้าไปเกี่ยวด้วยเลย”

คุณชายหลายคนวิพากษ์วิจารณ์เสียงเบา ไม่มีสักคนเดียวที่จะมองเย่เทียนเฉินในแง่ดี ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อมั่นในตัวเย่เทียนเฉิน แต่เบื้องหลังครอบครัวของทุกคนไม่ยิ่งใหญ่ลึกล้ำเท่าฉินเหิง จึงเป็นธรรมดาที่จะไม่คิดว่าชายหนุ่มที่ไม่โดดเด่นอย่างเย่เทียนเฉินคนนี้จะร้ายกาจอะไรมากมาย หากจะกล่าวว่าเขาสามารถรับมือกับฉินเหิงได้ ไม่มีสักคนในที่นี้ที่จะเชื่อ

ตอนนี้เอง หลูวั่งที่อยู่ด้านหนึ่ง ตอนที่เขาเห็นเย่เทียนเฉินก็รู้สึกไม่เชื่อสายตาอยู่บ้าง อดไม่ได้ที่จะกล่าวด้วยน้ำเสียงตกตะลึงว่า “เย่ เย่เทียนเฉิน…”

……………………………………………

บทที่ 60 สั่นสะเทือนจิงตู
Ink Stone_Fantasy
เย่เทียนเฉินนอนกางแขนกางขาอยู่บนโซฟา เมื่อคืนท้องเสียตลอดคืน วิ่งเข้าห้องน้ำสิบกว่ารอบ ตอนนี้ถึงรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย หากไม่มีพลังพิเศษระดับจอมราชัน เย่เทียนเฉินก็คงรับไม่ไหว สองตาเขียวคล้ำเล็กน้อย แทบอดไม่ได้ที่จะไล่ยัยคุณหนูจอมเกเรฉีหรูเสวี่ยออกไปจากบ้านในทันที

แต่ทว่า ฉีหรูเสวี่ยอยู่ด้านนอกตรงประตู เคาะประตูพูดไปกลั้นหัวเราะไปพลาง เธอสามารถจิตนาการได้เลยว่า เมื่อคืนเจ้าคนชั่วเย่เทียนเฉินถูกแผนการของตนเองเล่นงาน หลังากกินผลไม้ในจานที่ใส่ผงสลอดไว้ลงไปแล้วจะมีปฏกริยาเช่นไร ดังนั้นเช้าตรู่เธอจึงเสร้งทำมาเคาะประตู ตะโกนเรียนกเย่เทียนเฉินไปกินข้าว ความจรงคือมาดูเรื่องตลกของเย่เทียนเฉิน

“เฮ้อ เมื่อคืนทำผลไม้จานหนึ่งอย่างยากลำบาก วางไว้ในตู้เย็น ตอนเช้าตื่นมาดูก็ถูกคนกินไปหมดแล้ว ขนาดจานก็ไม่เห็น…. คิดๆ ดูแล้วเมื่อคืนได้ยินเสียงฝีเท้าไปๆ มาๆ ตรงทางเดิน หรือว่าจะมีคนท้องเสียกันนะ?” มุมปากของฉีหรูเสวี่ยปรากฏรอยยิ้วชั่วร้ายอันเซ็กซี่ จงใจพูดคำยั่วโมโหเย่เทียนเฉินเหล่านี้

“ฉีหรูเสวี่ย ฉันไม่จบกับเธอแน่…”

ท่ามกลางเสียงคำรามของเย่เทียนเฉิน ฉีหรูเสวี่ยบิดก้นน้อยๆ อันมีเสน่ห์ หัวเราะอย่างลำพองใจเดินลงไปชั้นสอง ตอนนี้อารมณ์ของฉีหรูเสวี่ยดีมากๆ ตั้งแต่ได้พบเจ้าคนชั่วเย่เทียนเฉินเป็นต้นมา คนๆ นี้ก็แสดงออกถึงการเมินเฉยต่อตนเอง จะอย่างไรตนก็เป็นสาวงามคนหนึ่ง มีผู้ชายตั้งเท่าไหร่ที่ต่อแถวตามจีบเธอ เย่เทียนเฉินกล้าเมินใส่เธอ ช่างทำลายจิตใจอันเคารพในตนเองของเธอเหลือเกิน ดังนั้นฉีหรูเสวี่ยจึงคิดวิธีการว่าจะทำโทษเย่เทียนเฉินอย่างไรมาตลอด วันนี้ในที่สุดก็ทำเร็จ เธอจะไม่เบิกบานใจได้อย่างไร

นอนไปตลอดเวลาเช้าเต็มๆ พลังกายของเย่เทียนเฉินฟื้นคืนกลับมาเล็กน้อย จนกระทั่งตอนที่เขาเดินออกมาจากห้องนอนก็เป็นเวลาประมาณเที่ยงแล้ว หลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ เย่เฉี่ยนเหวินน้องสาว และยังมีคนที่ทำให้เขาต้องท้องเสียตลอดคืนฉีหรูเสวี่ยคนนั้น ผู้หญิงทั้งสามคนไม่อยู่ คิดดูแล้วตอนเช้าตอนที่หลัวเยี่ยนมาเคาะประตูบอกว่าออกไปช็อปปิ้งกับเย่เฉี่ยนเหวินและฉีหรูเสวี่ย กลางคืนถึงจะกลับมาถึงบ้าน ให้เย่เทียนเฉินหาข้าวหลางวันกินเอง

ท้องไปเสียหนึ่งวันเต็มๆ เย่เทียนเฉินจึงรู้สึกหิวจริงๆ สะบัดมือเท้าออกกำลังเล็กน้อย ฟื้นฟูกำลังกายมาบ้างแล้ว จึงเริ่มหาของกิน ในครัวไม่มีอะไรเลย มีแต่เส้นหมี่ฮ่องกง เย่เทียนเฉินเองก็ขี้เกียจลงมือทำด้วยตัวเอง จึงเปิดตู้เย็นดู ตอนที่เขาเห็นว่าในตู้เย็นมีซุปไส้หมูอยู่ ก็ดีใจมาก ของสิ่งนี้เป็นอาหารรสเลิศ ในโลกเดิมเขาไม่มีปัญญากิน

เพิ่งจะเตรียมยกซุปไส้หมูออกมา จากนั้นหุงข้าวสักหน่อยก็สามารถกินข้าวได้อย่างเอร็ดอร่อยมื้อหนึ่งแล้ว ทันใดนั้นเย่เทียนเฉินก็สะดุ้งโหยง ตอนที่แม่ไปได้พูดตรงด้านนอกประตูว่า ให้ตนเองหาอะไรกิน ไม่ได้เตรียมอะไรไว้ให้ตนเอง ตอนนี้ในตู้เย็นมีซุปไว้หมูถ้วยใหญ่อยู่ นี่มันเกิดอะไรขึ้น? หรือว่าเป็นฉีหรูเสวี่ยยัยผู้หญิงป่าเถื่อน ต้องการใช้แผนการเดิมทำร้ายตัวเอง?

“เฮอะ ฉันไม่ตกพลุมพลางเธออีกเด็ดขาด ฉีหรูเสวี่ย หากพี่ไม่เห็นว่าเธอเป็นผู้หญิงล่ะก็ จะต้องแก้แค้นแน่นอน…”

เย่เทียนเฉินกล่าวอย่างโหดเหี้ยมพลางปิดประตูตู้เย็น หลังจากที่สวมเสื้อนอกแล้วก็เดินออกไปจากคฤหาสน์ เขาเตรียมจะไปเป้ยเฟิงเซวียนสั่งอาหารมาสักหน่อย ดื่มเหล้าเล็กน้อย เสพสุขกับแสงแดดอันเจิดจ้าข้างนอกสักหน่อย

ตอนที่เข้าไปในเป้ยเฟิงเซวียน เย่เทียนเฉินพบว่าข้างในมีเหล่าคุณชายมารวมตัวกันไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ละคนต่างก็พูดคุยเรื่องซุบซิบ คัยกันอย่างคึกคักเป็นอย่างมาก เขาหาที่นั่งตามใจโดยที่ครั้งนี้ไม่ได้หลบซ่อน อยู่ที่บริเวณโถงใหญ่ สั่งกับข้าวมาสองจาน กับข้าวสวยหนึ่งถ้วยกินเข้าไป

“พวกนายได้ยินไหม? เมื่อคืนลั่วซงเฉิงพาทหารไปปิดล้อมบ้านตระกูลเย่”

“ใช่ๆ ได้ยินว่าเป็นเพราะเย่เทียนเฉินฆ่าหลานชายทั้งสองของเขา ลั่วซงเฉิงไปแก้แค้น อยากจะฆ่าคนที่บ้านตระกูลเย่”

“สุดท้ายเป็นยังไง?”

“ได้ยินว่าเย่เทียนเฉินปรากฏตัวออกมา ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ลั่วซงเฉิงอยู่ดีๆ ก็ถอนตัวออกไป”

“ไม่ใช่มั้ง ลั่วซงเฉิงที่ทำตัวเผด็จการมาตลอด ถึงกับไม่แก้แค้นให้หลานชายทั้งสองของตนเองเชียวเหรอ?”

“แม่งเอ้ย ตกลงมันเกิดอะไรกับเย่เทียนเฉินคนนี้กันแน่? เมื่อก่อนเป็นเศษสวะไม่เอาไหน หลังจากปลดประจำการกลับมา เหมือนกับว่าเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ทุกสิ่งที่ทำช่างโอหัง ช่างทำให้ผู้คนต้องแปลกใจเหลือเกิน!”

“ที่สำคัญก็คือ ช่วงนี้จิงตูมีปัญหาซุบซิบที่ใหญ่ที่สุดในจิงตู ต่างก็โคจรอยู่รอบตัวเย่เทียนเฉิน พูดได้ว่าคนๆ นี้ในเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วัน ก็ทำให้จิงตูสั่นสะเทือน ฉันอยากจะเห็นคนๆ นี้จริงๆ อยากจะเห็นว่าเขาเป็นคนยังไง…”

ได้ยินเหล่าคุณชายเสเพลพูดคุยกันแบบฉันประโยคหนึ่งนายประโยคหนึ่งขึ้นมา มุมปากของเย่เทียนเฉินก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นสายหนึ่ง สนใจเพียงก้มหน้ากินข้าวอยู่ข้างๆ ที่ทำให้เขาคิดไม่คิดก็คือ เหล่าคุณชายที่รวมตัวกันอยู่ในเป้ยเฟิงเซวียนแห่งนี้ ข่าวสารช่างไวจริงๆ

“ชิ พวกนายจะไปรู้อะไรมากมาย มีเพรยงข่าวของนายน้อยหลูเร็วที่สุดและมีประโยชน์ที่สุดแล้ว” ชายตัวผอมร่างเตี้ยคนหนึ่งกล่าวพลางส่ายหน้า

ตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินเงยหน้าขึ้นมองฝั่งตรงข้าม เห็นหลูวั่งนั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟา ก็มีความรู้สึกเหมือนมีอะไรอยู่ในใจ หลู่วั่งคนๆ นี้ตอนที่อยู่ที่เทียนซ่างเหรินเจียน ตอนที่ตนเองอัดลั่วเหลยนั้น เขายืนอยู่ข้าๆง ตั้งแต่ต้นจนจบ คอยสังเกตโดยที่ไม่พูดอะไรสักคำเดียว ความฉลาดเฉลียวของคนๆ นี้ลึกล้ำกว่าลั่วเหลยมากนัก

“พี่หลู ได้ยินว่าวันนั้นตอนที่เย่เทียนเฉินไปอัดลั่วเหลย พี่ก็อยู่ในที่เกิดเหตุด้วย เล่าให้พวกเราฟังหน่อยได้ไหม?” มีผู้สอดรู้กล่าวกับหลูวั่งยิ้มๆ

หลูวั่งมองคนเหล่านี้ กล่าวยิ้มๆ ว่า “ฉันบอกพวกนายได้แค่ว่า เย่เทียนเฉิน เศษสวะของจิงตูคนนี้ปืนป่ายขึ้นมาแล้ว อย่าได้ไปหาเรื่องเขาง่ายๆ”

“ผมว่าคำพูดนี้ของพี่หลูจะเกินไปหน่อยรึเปล่า? เย่เทียนเฉินต่อให้เจ๋งกว่านี้ก็เถอะ จะเป็นคู่ต่อสู้ของตระกูลฉินได้หรือ? พี่ไม่ได้พูดถึงตระกูลฉินกับตระกูลลั่วพร้อมๆ กันใช่ไหม?” มีคนไม่เห็นด้วยกับคำพูดของหลูวั่งพูดโต้แย้งออกมา

ความจริงแล้วตอนที่ได้ยินคำพูดนี้ของหลูวั่ง เหล่าคุณชายเสเพลที่อยู่ที่นั่นต่างก็มีท่าทางไม่เชื่อถือ เนื่องจากพวกเขามิอาจรับได้ว่า คนๆ หนึ่งที่เคยเป็น เศษสวะ คนไม่เอาไหน ตัวตลก จะสามารถปืนป่ายขึ้นมาได้ถึงจุดที่เหนือกว่าพวกเขา แล้วหลังจากนี้พวกเขาจะยังหัวเราะเยาะใคร? จะรังแกใคร?

“ตระกูลลั่ว? ลั่วซงเฉิงปิดล้อมบ้านตระกูลเย่ด้วยท่าทีโมโหดุดัน อยากจะแก้แค้น สุดท้ายวิ่งคอตกหลับไป นี่ก็อธิบายปัญหาได้แล้ว ส่วนตระกูลฉิน เย่เทียนเฉินจะเป็นคู่ต่อสู้ของตระกูลฉินได้ไหมฉันไม่รู้ ฉันเพียงแต่ได้ยนมาว่าเมื่อคืน เย่เทียนเฉินต่อสู้กับเถี่ยฉุย และไม่ได้แพ้…” พ่อของหลูวั่งเป็นผู้อำนวยการสำนักความปลอดภัยสาธารณะแห่งจิงตู แม้ว่าสำหรับจิงตูจะถือว่าตำแหน่งไม่สูง แต่ว่าเป็นฝ่ายรักษาความปลอดภัยสาธารณะ ข่าวกรองมาถึงมือเป็นคนแรกๆ มิฉะนั้นจะสามารถรักษาความสงบสุขได้อย่างไร

“อะไรนะ? สู้กับเถี่ยฉุยและไม่ได้แพ้?”

“จะเป็นไปได้ไง เถี่ยฉุยเป็นหัวหน้าหน่วยมังกรฟ้า เป็นผู้รับผิดชอบกงอทหารองครักษ์ของจิงตู เย่เทียนเฉินสามารถเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้?”

“เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด ความสามารถของเถี่ยฉุยไล่ตามสามราชันนักรบของจีนไปติดๆ ทั่วทั้งจิงตูหาคู่ต่อสู้ไม่ได้ นายต้องโม้แน่ๆ!”

คำพูดนี้ของหลูวั่งออกจากปาก ก็ยิ่งทำให้ผู้คนไม่พอใจ และยิ่งทำให้ไม่เชื่อถือ เถี่ยฉุยเป็นผู้รับผิดชอบกองทหารองครักษ์ของจิงตู และเป็นหัวหน้าหน่วยมังกรฟ้า พลังการต่อสู้ไม่อาจไม่แข็งแกร่ง เย่เทียนเฉินเพิ่งจะอายุยี่สิบปีเท่านั้น และยังเคยเป็นเศษสวะไม่เอาไหน ถึงกับสามารถต่อสู้กับเถี่ยฉุยได้ ช่างทำให้ผู้คนมิอาจยอมรับและเชื่อถือได้เลยจริงๆ

เย่เทียนเฉินนั่งกินข้าวอยู่ด้านข้าง คำพูดของหลูวั่งเขาเองก็ได้ยินแล้ว เขารู้ว่าทำไมคุณชายพวกนี้ไม่เชื่อว่าตนเอสามารถสู้กับเถี่ยฉุยได้ ฝีมือของเถี่ยฉุยแข็งแกร่งมากจริงๆ ยังเหนื่อกว่าอู๋เสวี่ยนักฆ่าอันดับหนึ่งแห่งจจิงตูเสียอีก หากไม่ใช่ว่าขอบเขตพลังพิเศษของตนเองขึ้นไปถึงระดับจอมราชันแล้ว ตอนที่เถี่ยฉุยใช้อาวุธลับออกมา ต้องกระตุ้นพลังพิเศษระดับจอมราชันในร่างกายทั้งหมดออกมา ถึงจะสามารถกันไว้ได้ ปะทะจนเถี่ยฉุยถอยหลังไป

สุดท้ายแล้วจากการประเมินของเย่เทียนเฉิน ตนเองสามารถสู้ชนะเถี่ยฉุยได้ แต่ต้องใช่พลังพิเศษระดับจอมราชัน อีกทั้งยังจะเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบากมากอีกด้วย โอกาสที่จะเอาชนะเถี่ยฉุยได้ก็มีเพียงห้าสิบเปอร์เซ็นเท่านั้น ทำให้เย่เทียนเฉินอยากลองดูหน่วยว่า ฝีมือของสามราชันนักรบของจีนจะแข็งแกร่งขนาดไหน ชางหลาง เหยียนหลง และบุคคลลึกลับอีกคน สามคนนี้ถูกยกย่องให้เป็นสามราชันนักรบของจีน ก็นับว่าเป็นยอดฝีมือสูงสุดของจันแล้วใช่หรือไม่ เกรงว่าคงประมาณนี้แหละมั้ง? ช่างทำให้ผู้คนรู้สึกเฝ้ารอจริงๆ เย่เทียนเฉินเองก็เฝ้ารอที่จะได้สู้กับพวกเขาสักตั้ง

“เฮอะ หลูวั่ง ถ้าแกกล้าพูดมั่วๆ กับฉันอีกประโยคเดียวล่ะก็ เชื่อไหมว่าบิดาจะหักขาสุนัขของแกซะ”

ตอนนี้เอง เสียงที่ทั่งหยิ่งทั้งยะโสเป็นอย่างมากเสียงหนึ่งดังขึ้น คนทั้งหมดต่างก็ชะงักไปชั่วครู่ ได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านบน ทุกคนจึงมองไป พวกเขาต่างก็อยากรู้ว่าเป็นใครที่กล้าพูดคำพูดโอหังเช่นนี้ออกมาจากปาก กล่าวด่าหลูวั่งต่อหน้าผู้คนมากมาย

หลูวั่งเป็นลูกชายของหลูเซิ่งต๋าผู้อำนวยการสำนักความปลอดภัยสาธารณะแห่งจิงตู แม้ว่าในจิงตูที่เป็นสถานที่ที่มีเสือหมอบมังกรซ่อนและมีอำนาจใหญ่ตระกูลใหญ่มากมาย ตระกูลหลูไม่นับว่าเป็นอะไรได้ แต่ว่าหลูเซิ่งต๋าสามารถเป็นผู้อำนวยการสำนักความปลอดภัยสาธารณะได้ ก็ย่อมไม่ใช่สัตว์กินพืช คนที่กล้าพูดโอหังว่าจะหักขาของหลูวั่ง เกรงว่าจะมีเพียงไม่กี่คน

“ใครที่แม่งเบื่อชีวิตแล้ววะ ไสหัวออกมาหาบิดาซะ…” หลูวั่งโกรธจนหน้าเขียว ต่อให้ความเฉลียวฉลาดของเขาลึกล้ำยิ่งกว่านี้ ความสามารถในการอดทนดีกว่านี้ ก็ไม่อาจทนการถูกคนด่าต่อหน้าผู้คนมากมายได้

ชายร่างผอมคนหนึ่ง สูงประมาณร้อยเจ็ดสิบห้าเซ็นติเมตร สวมชุดแบรนด์เนมทั้งตัว สวมนาฬิกาโรเล็กซ์ ที่ปากคาบซิการ์อยู่มวนหนึ่ง ข้างหลังมีบอร์ดี้การ์ดร่างใหญ่ตามมาสองคน แค่มองก็รู้ว่ามีฐานะสูงกว่าเหล่าคุณชายที่นั่งอยู่ที่นี่ไม่น้อย

หลูวั่งที่เดิมทีโกรธเป็นอย่างมากนั้น เมื่อเห็นชายคนนี้ก็ตะลึงจนตาค้างไปในทันที กล่าวอย่างวางตัวไม่ถูกว่า “นะ…นายน้อยฉิน ทำไมเป็นคูรไปได้ ขอโทษครับ ผมไม่ทราบว่าเป็นคุณ ก็เลย…”

ใครก็คิดไม่ถึงว่า คนที่มาที่เป้ยเฟิงเซวียนกะทันหัน จะเป็นฉินเหิง ตระกูลฉินเป็นตระกูลชั้นหนึ่งในจิงตู ผู้อาวุโสตระกูลฉินยังคงกุมอำนาจอยู่จนถึงทุกวันนี้ นี่ทำให้ผู้คนรู้สึกยำเกรง ผู้กุมอำนาจและผู้ลงจากตำแหน่งนั้นมีฐานะแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว มิฉะนั้นตระกูลเย่คงไม่ตกไปเป็นตระกูลชั่นสามหลังจากที่ผู้อาวุโสลงจากตำแหน่งหรอก

ฉินเหิงยิ้มเย็น เดินไปตรงหน้าหลูวั่ง ตบหน้าของหลูวั่งครั้งหนึ่ง กล่าวด่าอย่างโอหังโหดเหี้ยมว่า “แม่มันเถอะ ใครไม่รู้บ้างว่าทั้งจิงตูถ้าเห็นฉันฉินเหิงต้องหลีกทางให้ แกกล้าวิจารณ์ตระกูลเย่ของฉัน อยู่มานานจนเบื่อชีวิตแล้วรึไง?”

………………………………………………………..

บทที่ 59 ผู้หญิงไม่ได้หาเรื่องง่ายๆ หรอกนะ!
Ink Stone_Fantasy
ในโลกก่อน ที่ผู้มีพลังพิเศษสามารถแข็งแกร่งถึงขั้นสามารถครอบครองทั้งโลกได้ ก็เป็นเพราะผู้มีพลังพิเศษบางคน ไม่เพียงมีพลังพิเศษในร่างกายที่แข็งแกร่งไร้ที่เปรียบ และยังสามารถดึงดูดพลังพิเศษภายในธรรมชาติมาใช้ได้อีกด้วย

ในธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ล้วนแต่มีพลังงานอยู่ ขอเพียงเป็นผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งพอก็สามารถดึงดูดมาใช้ได้ ต้นไม้ใบหญ้า ดอกไม้สายน้ำ ภายในสิ่งที่ดูเหมือนไม่น่าสนใจพวกนี้ล้วนแต่มีพลังงานที่ทำให้ผู้คนมิอาจจินตนาการได้ดำรงอยู่ เคยมีบันทึกไว้ว่า ผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษระดับเทพราชันถึงกับสามารถชักนำพลังของแสงดาวบนท้องฟ้า ฉีกกระชากความว่างเปล่า และท่องไปภายในอวกาศได้

ในขณะเดียวกันก็มีบันทึกอยู่ว่า ยอดฝีมือพรรควรยุทธโบราณนั้น จุดสูงสุดของการฝึกฝนวรยุทธก็คือหนึ่งหมัดทลายฟ้าเช่นเดียวกัน เกินจินตนาการของมนุษย์ธรรมดาไปมาก

ในโลกปัจจุบัน เรื่องเหล่านี้ไม่เป็นที่รับรู้ของผู้คน กระทั่งไม่ถูกคนยอมรับแล้ว คนหลายคนไม่รู้ว่าแต่ละสถานที่ในโลกนี้เกิดเรื่องที่ไม่อาจจินตนาการได้และไม่อาจใช้วิทยาศาสตร์มาอธิบายได้เหล่านั้น แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกัน ในเรื่องนี้มีความเกี่ยวพันกับยอดฝีมือพรรควรยุทธโบราณและผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งเกินพิกัดอยู่

เย่เทียนเฉินเคยเป็นผู้มีพลังพิเศษระดับพระเจ้า ความสามารถของตนเดิมทีก็แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แน่นอนว่าย่อมรู้จักการใช้พลังธรรมชาติ หากผู้มีพลังพิเศษคนหนึ่งต้องการอาศัยพลังงานจากร่างกายให้ถึงขั้นเคลื่อนภูเขาพลิกมหาสมุทร ป่นภูผาแยกฟ้า นั่นเป็นเรื่องที่ยากมาก แต่ว่าพลังที่แฝงอยู่ในธรรมชาตินั้นไม่มีจำกัด และไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าหากสามารถคว้าเอาไว้และใช้พลังงานภายในธรรมชาติได้ เช่นนั้นคนๆ หนึ่งจามารถแข็งแกร่งได้ถึงขั้นไหนกัน? ช่างมิอาจจินตนาการได้จริงๆ นี่เป็นเรื่องที่ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน กระทั่งในโลกก่อน เย่เทียนเฉินก็ไม่เคยพบบันทึกเกี่ยวกับผู้มีพลังพิเศษระดับเทพราชันเลย ที่มีก็เป็นเพียงแค่ตำนาน

พลันนั้นเอง ในตอนที่เย่เทียนเฉินคิดถึงเรื่องราวของตนเองในโลกก่อนนั้น เขาก็รู้สึกว่าท้องของตัวเองปวดขึ้นมาอย่างรุนแรง ขณะเดียวกันก็มีเสียงดังโครกครากออกมา มีความรู้สึกต้องการพุ่งเข้าห้องน้ำทำธุระอย่างรุนแรง เกือบจะอั้นไม่ไหวอยู่แล้ว เย่เทียนเฉินรีบเด้งตัวขึ้นจากเตียง กำลังจะวิ่งออกไปจากห้องและพุ่งตรงไปยังห้องน้ำ แต่กลับพบว่าบริเวณก้นจานผลไม้มีกระดาษแผ่นหนึ่งอยู่ กำกางเกงไปพลางหยิบกระดาษขึ้นอ่านไปพลาง ทันใดนั้นเย่เทียนเฉินก็โกรธจนหน้าเขียว

“เจ้าคนชั่ว รู้ซึ้งถึงความร้ายกาจของคุณหนูใหญ่อย่างฉันหรือยัง? ก็รู้อยู่หรอกว่านายจะต้องแอบกิน เลยใส่ผงสลอดไว้ในผลไม้พวกนี้ เห็นผลทันทีเลยใช่ไหม? ฮี่ๆ ผู้หญิงไม่ได้หาเรื่องด้วยง่ายๆ โดยเฉพาะฉันฉีหรูเสวี่ย…”

“ฉีหรูเสวี่ย ฉันไม่จบกับเธอแน่ ช่างชั่วร้ายเหลือเกิน วางแผนใส่ฉัน…อา…”

เย่เทียนเฉินที่โกรธจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน พุ่งเข้าไปในห้องนำพร้อมกับคำสาปแช่งฉีหรูเสวี่ย ส่วนฉีหรูเสวี่ยนที่หลับฝันหวานอยู่ก็หัวเราะจรตื่นขึ้นมา เธอรู้ว่าคืนนี้เย่เทียนเฉินจะต้องใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำแน่นอน

เพื่อให้เจ้าคนชั่วเย่เทียนเฉินคนนี้ได้รู้ถึงจุดจบที่ทำให้ตนเองไม่พอใจ ฉีหรูเสวี่ยจึงคิดวิธีขึ้นมาอย่างเต็มที่ สุดท้ายจึงแสดงฝีมือบนความตะกละของเย่เทียนเฉิน ทำอยู่ทั้งคืน ถึงเตรียมจานผลไม้นี้เสร็จ ใส่ผงสลอดลงไปอย่างไร้ซุ่มเสียง แล้วเอาไปวางไว้ในตู้เย็นแช่ไว้คืนหนึ่ง กล่าวได้ว่าเป็นการวางยาบนยาพิษ เป็นการจับคู่กันระหว่างท้องร่องกับท้องร้อง

คืนนั้นย่เทียนเฉินวิ่งเข้าห้องน้ำสิบกว่ารอบ วิ่งจนขาแข้งอ่อน เกรงว่าหากไม่ใช่เพราะการสนับสนุนของพลังพิเศษในร่างกายเขาคงทรุดไปนานแล้ว ฉีหรูเสวี่ยยัยผู้หญิงป่าเถื่อน พยามยามทุกวิถีทางเพื่อแก้แค้นเย่เทียนเฉินที่เหยียดหยามตน ส่วนเย่เทียนเฉินท้องร่วงอยู่ในห้องน้ำกลับไม่รู้ว่ายังมีผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ที่ตอนนี้กำลังศึกษาข้อมูลของเขา สนใจในตัวเขาเป็นอย่างมาก

ชานเมืองของจิงตู ภายในคฤหาสน์หลังหนึ่งที่อยู่ติดทะเลสาบแห่งหนึ่ง หญิงงามคนหนึ่งร่างกายสูงเพรียว สวมชุดแฟชั่น เพิ่จะอาบน้ำออกมา สวมกระโกรงรัดรูป นั่งบนเก้าอี้อย่างเซ็กซี่ มืองามดั่งหยกหยิบข้อมูลมาชุดหนึ่ง กำลังอ่านอย่างมีสมาธิ ตอนที่เธออ่านข้อมูลชุดนี้จบ มุมปากก็ปรากฏรอยยิ้มที่ทั้งแปลกใจและเซ็กซี่ขึ้นสายหนึ่ง

“เย่เทียนเฉิน นายเป็นเศษสวะไม่เอาไหนคนหนึ่งจริงๆ หรือ? แต่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่นายทำตั้งแต่กลับถึงเมือง มีความเป็นลูกผู้ชายมากเลย หรือว่านายจะระเบิดศักยภาพขึ้นมาได้จริงๆ?” ซูเฟยเฟยเปิดริมฝีปากแดง กล่าวกับตนเองอย่างเซ็กซี่หาที่เปรียบ

ก๊อกๆๆ ด้านนอกมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ซูเฟยเฟยตอบรับไป ก็มีหญิงสาวสวมชุดทำงานคนหนึ่งเดินเข้ามาจากข้างนอก นี่คือเลขาขอซูเฟยเฟย และก็เป็นแม่บ้านส่วนตัวของซูเฟยเฟยด้วย ชื่อว่าอาหมิ่น เดินมาถึงเบื้องหน้าของซูเฟยเฟยก็กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “คุณหนู มีเรื่องอะไรรึเปล่าคะ?”

“เรื่องเกี่ยวกับเย่เทียนเฉินที่ฉันให้เธอไปตรวจสอบ ตอนนี้ผลเป็นยังไงบ้าง?” ซูเฟยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“คุณหนู เย่เทียนเฉินเป็นลูกชายของเย่หงแห่งตระกูลเย่ ขึ้นชื่อว่าเป็นเศษสวะไม่เอาไหน เคยทำให้จิงตูต้องสั่นสะเทือนเพราะเรื่องหนึ่ง และกลายเป็นเรื่องน่าขบขันที่สุดในจิงตู ถูกคนหัวเราะเยาะและดูถูกมาโดยตลอด” อาหมิ่นยืนพูดเยื้องหน้าซูเฟยเฟย

“เรื่องน่าขบขันที่สุดในจิงตู?” ซูเฟยเฟยกล่าวถามด้วยความสงสัย

“ใช่แล้วค่ะ เย่เทียนเฉินเคบแอบดูหญิงสกุลหลิ่วอาบน้ำ ซึ่งก็คือหลิ่วหรูเหมย ผู้อาวุโสตระกูลหลิ่วโกรธมาก พ่อแม่ของเย่เทียนเฉินต้องไปขอโทษที่ตระกูลหลิ่วด้วยตัวเอง ส่วนเย่เทียนเฉินคุกเข่าอยู่ตรงประตูของบ้านตระกูลหลิ่วหนึ่งวันหนึ่งคืน…”

“มีเรื่องนี่ด้วย? ในข้อมูลที่ฉันได้มาทำไมไม่มี?”

ซูเฟยเฟยรู้สึกแปลกใจ ข้อมูลชุดนี้เธอเพิ่งได้รับมา อาศัยฐานะตระกูลซู อยากจะหานักสืบคนหนึ่งไปสืบข้อมูลเย่เทียนเฉินนั้นง่ายดายมาก เพียงแต่ว่าเรื่องใหญ่เช่นนี้ เธอกลับไม่รู้ ในข้อมูลชุดนี้ที่เธอได้มานั้นบอกว่าก่อนที่เย่เทียนเฉินจะอายุยี่สิบ เป็นคนไม่เล่าเรียนหนังสือมาตลอด ทั้งวันก็เป็นคนไม่เอาไหนที่รู้จักแต่ต่อยตีกับกกหญิง จากนั้นจึงไปเป็นทหาร และได้เป็นทหารหน่วยรบพิเศษ หลังจากที่ปลดประจำการกลับมา ตัวคนก็มีท่าทีเปลี่ยนแปลงไปมาก สำหรับเรื่องที่ว่าเวลาหนึ่งปีที่อยู่ในกองทัพ เย่เทียนเฉินเกิดอะไรขึ้นกันแน่นั้น กลับไม่รู้

“คุณหนูคะ คุณยุ่งอยู่กับกิจการของตระกูลมาตลอด อยู่ที่จิงตูน้อยมาก แน่นอนว่าต้องไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่วันทุกวันนี้เย่เทียนเฉินดูราวกับว่าถอดหนังเปลื่อนกระดูก หลังจากที่กลับมาที่เมือง ก็ทำเรื่องที่สั่นสะท้านใตคนติดๆ กัน คิดว่าคุณหนูคงจะราบแล้ว!” อาหมิ่นกล่าวรายงานต่อไป

“ฉันก็ได้ยินมาเหมือนกัน ถอนหมั้นกับตระกูลฉี อักลั่วเหลยและลั่วเทาแห่งตระกูลลั่ว ดูเหมือนเรื่องที่หลี่เถี่ยที่เป็นหัวหน้ากลุ่มอิทธิพลใต้ดินของจิงตูถูกกำจัดก็มีความเกี่ยวข้องกับเขา…” ซูเฟยเฟยก็ได้ยินเรื่องเกี่ยวกับเย่เทียนเฉินมาจริงๆ เพียงแต่จะอย่างไรเธอก็คิดไม่ถึง คนไม่เอาไหนคนหนึ่ง เศษสวะคนหนึ่งที่เคยถูกคนทั้งจิงตูหัวเราะเยาะ วันนี้กลายเป็นแข็งแกร่งเช่นนี้ ตกลงเขาผ่านอะไรมากันแน่? ชายคนนี้เหตุใดจึงเปลี่ยนไปกะทันหันเช่นนี้?

“ทำให้ผู้คนรู้สึกสงสัยจริงๆ” อาหมิ่นเองก็กล่าวออกมาพลางขมวดคิ้วงาม

ซูเฟยเฟยชะงักไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นที่มุมปากก็ปรากฏรอบบิ้มอันเซ็กซี่ขึ้นสายหนึ่ง ดูแล้วงดงามเป็นอย่างมาก อาหมิ่นเห็นดังนั้นจึงกล่าวด้วยร้อยยิ้มว่า “ฉันได้ยินมาว่าตอนนี้เย่เทียนเฉินเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของเครื่อไห่หวางแล้ว ถือหุ้นอยู่ห้าสิบเปอร์เซ็น คิดหาทางให้ฉันเข้าไปทำงานที่เครือไห่หวางให้ได้!”

“อะไรนะคะ? คุณหนูจะไปทำงานที่เครือไห่หวาง? หากว่าถูกผู้อาวุโสรู้เข้าล่ะก็ เกรงว่า…” อาหมิ่นดูเหมือนจะมีท่าทางกังวลใจเป็นอย่างมาก

“เรื่องนี้ฉันรับมือได้ เธอไปจัดการก็พอแล้ว” ซูเฟยเฟยกล่าวขัดคำพูดของอาหมิ่น

“งั้น งั้นคุณหนูคะ คุณจะไปเป็นผู้จัดการทั่วไปของเครือไห่หว่างหรือว่า…” อาหมิ่นเปิดปากถาม

“ไม่ต้อง แค่พนักงานเล็กๆ สักตำแหน่งก็พอแล้ว ฉันแอยากจะไปดูสักหน่อยว่าตกลงแล้วเย่เทียนเฉินเป็นคนยังไงกันแน่…” ซูเฟยเฟยกล่าวพลางยิ้มอย่างชั่วร้ายและน่ารัก

“ทราบแล้วค่ะคุณหนู ฉันจะไปจัดการตามนี้”

เห็นอาหมิ่นออกไปจากห้องของตนแล้ว ซูเฟยเฟยก็ยิ้ม สวยมากถึงขั้นสวยล่มบ้านล่มเมือง มีลักษณะใบหน้าที่ทำให้ฝูงชนต้องพลิกคว่ำ แต่ตอนนี้ในใจของเธอ มีเพียงเงาของเย่เทียนเฉินชายที่ชวนหาเรื่องให้ผู้คนเกลียด

“เย่เทียนเฉิน นายเจ้าคนชั่ว กล้ามาดูหมิ่นคุณหนูใหญ่คนนี้ ฉันจะทำให้นายรู้ว่าเสน่ห์ของคุณหนูใหญ่อย่างฉันต้านทานไม่ได้ คอยดูเถอะ ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับนายฉันจะขุดออกมาให้หมด ฉันไม่เชื่อหรอกว่า ด้วยเสน่ห์ของฉัน จะเอาชนะนายไม่ได้!” ซูเฟยเฟยเปิดริมฝีปากอันเซ็กซี่ของตนเองกล่าวออกมา

เพราะซูเฟยเฟยมีความอยากรู้อยากเห็นต่อเย่เทียนเฉินก็ดี หรือจะบอกว่าเย่เทียนเฉินดูหมิ่นเธอ ทำให้หญิงงามเกินพิกัดจนนี้ จิตใจอยู่ไม่สุขก็ดี สรุปว่าเธฮเคลื่อนไหวแล้ว เตรียมเข้าสู้เครือไห่หวาง ไปยังสถายที่ที่ใกล้กับเย่เทียนเฉิน ทำความเข้าใจและเอาชนะผู้ชายคนนี้อย่างถี่ถ้วน ไม่ว่าเธอจะชอบผู้ชายคนนี้หรือไม่

ผู้หญิง บางทีก็มีนิสัยเช่นนี้ ขอเพียงโมโหขึ้นมาก็ไม่สนใจไม่ดูแลอะไรทั้งนั้น ดังนั้นคำโบราณก็พูดไว้ถูกแล้ว ยอมล่วงเกินผู้ชายสิบคน ก็ไม่ขอล่วงเกินผู้หญิงคนเดียว ผู้หญิงมิอาจหาเรื่องได้ โดยเฉพาะผู้หญิงที่สวย

เย่เทียนเฉินถูกฉีหรูเสวี่ยผู้หญิงที่สวยและป่าเถื่อนคนนี้พลิกเกมจนครึ่งเป็นครึ่งตาย ท้องเสียไปหนึ่งคืนเต็มๆ ขารู้สึกอ่อนแรง หากไม่ใช่เพราะมีการสนับสนุนจากพลังพิเศษ คงทรุดตัวลงบนเตียงขยับไปไหนไม่ได้ไปตั้งนานแล้ว ป้องกันไม่ได้เลยจริงๆ ใครจะคิดว่าฉีหรูเสวียจะใส่ผงสลอดในผลไม้

เพราะว่าฉีหณุเสวี่ย “ลอบทำร้าย” ตนเอง เย่เทียนเฉินที่กำลังพบกับความทุกข์ทรมานไม่สิ้นสุด กระทั่งในฝันก็มิอาจคิดได้ว่า ยังไม่ทันกำจัดยัยเล็กพริกขี้หนูอย่างฉีหรูเสวี่ย ก็ต้องต้อนรับเจ้าหญิงจอมเกเรอย่างซูเฟยเฟย ชีวิตในภายภาคหน้าของเขาต้องอดกลั้นแล้ว

วันต่อมา เย่เทียนเฉินนอนอยู่บนเตียง สองขาอ่อนแรง สีหน้าซีดขาว เพราะท้องเสียไปหนึ่งคืน ถูกเสียงเคาะประตูเสียงหนึ่งปลุกให้ตื่น ก็โกรธจนอยากจะด่าคน เนื่องงจากไม่ต้องคิดเขาก็รู้ว่า ต้องเป็นฉีหรูเสวี่ยมาดูเรื่องตลกของเขาแน่ๆ ยัยผู้หญิงคนนี้จะต้องตั้งใจแน่ๆ ตอนนี้ถึงได้มายินดีในความโชคร้ายของผู้อื่น

“นี่ เจ้าคนชั่ว เปิดประตูหน่อย ทำไม? ลุกไม่ขึ้นเหรอไง?” ฉีหรูเสวี่ยยิ้มชั่วร้ายอยู่หน้าประตู ใช้แรงเคาะประตูไปพลางตะโกนเสียงดังไปพลาง

“ตอนนี้พี่ชายรู้สึกดีมาก นอนหลับสบายมาก อย่ามารบกวน” เย่เทียนเฉินโกรธจนพูดหยาบคายออกมา กล่าวไปทางประตูห้องนอน

“งั้นเหรอ? งั้นนายออกมาหน่อยสิ ให้ฉันดูหน่อยว่านายสบายดีไหม…” ฉีหรูเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะเม้มปาก แอบหัวเราะพลางกล่าว

“เชอะ ความหล่อของพี่ชายเธออยากจะเห็นก็สามารถเห็นได้รึไง? อย่าคิดว่าตัวเองสำคัญไปหน่อยเลย” เย่เทียนเฉินกล่าวเสียงเย็นพลางลูบท้องตนเอง แม่งเอ้ย ท้องเสียไปแล้วคืนหนึ่ง ยังปวดอยู่นิดหน่อยอีก รู้สึกอยากพุ่งเข้าไปในห้องน้ำ

…………………………………………………

บทที่ 58 พลังพิเศษมีการแบ่งสี
Ink Stone_Fantasy
ตอนที่ครอบครัวเย่เทียนเฉินจากบ้านหลักตระกูลเย่ไป ก็เป็นเวลาประมาณห้าทุ่มแล้ว ตอนที่เห็นเย่หงผู้เป็นพ่อออกมาจากห้องหนังสือของผู้อาวุโสเย่หย่วนซาน ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มอันเจิดจ้า หลัวเยี่ยนดีใจ เย่เฉี่ยนเหวินก็ดีใจ ถึงแม้ว่พวกเขาไม่รู้ว่าผู้อาวุโสกับเย่หงคุยอะไรกัน แต่ดูท่าทางแล้วมีความสุขมาก

สำหรับเย่หงที่เป็นลูกกตัญญูคนหนึ่ง สามารถพูดคุยกับบิดาอย่างมีความสุขได้ ก็เป็นเรื่องที่ทำให้เขาสุขที่สุดแล้ว โดยเฉพาะหลายปีมานี้ เย่หย่วนซานผู้เป็นพ่อทำไม่ดีกับตนเอง ทำให้เย่หงรู้สึกไม่ยุติธรรมและรู้สึกเสียใจอยู่บ้าง แต่ทั้งหมดนี้มันผ่านไปแล้ว นอกจากนี้สาเหตุที่ทำให้เขาคาดไม่ถึงก็คือเย่เทียนเฉินผู้เป็นลูก

ตอนที่เดินออกมาจากห้องหนังสือ คำพูดประโยคนั้นของบิดา ทำให้เย่หงรู้สึกว่ามีความหมายลึกซึ้งกระตุ้นให้เกิดความสนใจ และวนเวียนอยู่ในสมอง อดไม่ได้ที่จะมองเย่เทียนเฉินอย่างละเอียด ดังเช่นที่เย่หย่วนซานผู้เป็นบิดากล่าวไว้ว่า “เย่เทียนเฉินในตอนนี้ ไม่สามารถใช้สายตาเหมือนเมื่อก่อนมองเขาได้อีกแล้ว บางทีเขาอาจจะมีชื่อเสียงสั่นสะท้านจิงตู หรือกระทั่งชื่อเสียงสั่นสะท้านจีน การยกระดับของตระกูลเย่บางทีอาจจะต้องพึ่งพาเขาแล้ว…”

นั่งอยู่ในรถเก๋ง ผู้อาวุโสเย่หย่วนซานให้คนขับรถของบ้านหลักใช้รถส่วนตัวของเขาไปส่งครอบครัวเย่เทียนเฉินกลับ ตลอดทางหลัวเยี่ยนและเย่เฉี่ยนเหวินต่างก็มีความสุขเป็นอย่างมาก หลายปีมาแล้ว ในที่สุดผู้อาวุก็สปล่อยวางจากพวกเขาแล้ว ครอบครัวใหญ่สามารถใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุขข จึงจะเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

เย่หงมองเย่เทียนเฉินผู้เป็นลูก กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เทียนเฉิน ยี่สิบปีแล้ว ในที่สุดลูกก็เติบโตแล้ว พ่อปลื้มใจมาก หวังว่าภายภาคหน้าลูกจะสามารถแบกรับภาระสำคัญได้!”

“พ่อครับ คำพูดนี้ของพ่อเหมือนจะมีความหมายซ่อนอยู่ มีอะไรก็พูดมาตรงๆ เถอะครับ พวกเราพ่อลูกไม่จำเป็นต้องเกรงใจกันเช่นนี้หรอกใช่ไหมครับ?” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม

เย่เทียนเฉินที่ได้ยินเนื้อหาการสนทนาของเย่หงและเย่หย่วนซานผ่านทางพลังพิเศษแห่งการรับรู้ตั้งนานแล้ว ก็เดาออกว่าบิดาจะพูดอะไร ดังนั้นจึงถามอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้

“ฮ่าๆ ลูกนี่นับวันก็ยิ่งฉลาดขึ้นจริงๆ งั้นพ่อก็ทำได้แต่พูดแล้วล่ะ เห็นว่าลูกเปลี่ยนแปลงไป พ่อก็ดีใจ แต่พ่อยังหวังว่าลูกจะทำเรื่องที่สามารถกระทำได้ จิงตูมีอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่มากมาย มีเสือหมอบมังกรซ่อน มีบางคนที่พวกเราตระกูลเย่ไม่สามารถไปหาเรื่องได้อย่างเด็ดขาด ดังนั้นพ่อหวังว่าลูกจะระมัดระวังสักหน่อย” เย่หงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

เย่เทียนเฉินรู้ว่าที่เย่หงผู้เป็นพ่อกล่าวคำเหล่านี้ ไม่ใช่เพื่อบอกให้ตนเองระมัดระวังจนทำอะไรก็วิตกกังวลเกินไป แต่เพื่อให้ใช้สมองให้มากๆ ถึงจะสามารถระมัดระวังทุกย่างก้าวได้ ให้ก้าวเดินไปโดยใช้กำลังและยุทธศาสตร์ ความต้องการจะพัฒนาตระกูลให้รุ่งเรืองนั้นไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ชั่วเวลาเพียงข้ามคืน หมัดและความสามารถจึงสำคัญมาก แต่ว่าสมองที่ชาญฉลาดก็สำคัญมากเช่นเดียวกัน

“วางใจเถอะครับพ่อ ที่สามารถใช้กำลังเอาชนะได้ ผมก็จะให้หมัดไปตรงๆ สักยก ที่ไม่สามารถใช้กำลังเอาชนะได้ ผมก็จะสร้างโอกาสให้เอาชนะให้ได้ ไม่ใช่ว่ามีคำพูดโบราณที่พูดไว้แล้วเหรอครับ? มีโอกาสให้พวกเราคว้าไว้ ไม่มีโอกาสให้พวกเราสร้างมันขึ้นมา!” เย่เทียนเฉินกล่าวหยอกล้อพลางยิ้มอย่างสบายๆ

“เจ้าเด็กคนนี้นี่ ยังมีลุงใหญ่กับลุงสองของลูก จะอย่างไรก็เป็นผู้ใหญ่ แล้วก็เป็นพี่ชายของพ่อ ต่อให้พวกเขาผิดต่อพ่อ ก็ไม่อาจผิดต่อพวกเขา ต่อไปหากไม่มีเรื่องอะไรสำคัญ ก็อย่าพุ่งเป้าไปที่พวกเขา อย่างไรก็เป็นผู้ใหญ่!” เย่หงเปิดปากพูด

“พ่อครับ เรื่องนี้ผมไม่อาจรับประกันกับพ่อได้ ถ้าหากพวกเขาสองคนทำตัวเป็นผู้ใหญ่ดีๆ ผมย่อมเคารพผู้ใหญ่ ถ้าหากทำตัวเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่ดี งั้นก็มาโทษผมไม่ได้นะครับ!” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางส่ายหน้า

จากมุมมองของเย่เทียนเฉิน ลุงใหญ่เย่มู่ไป๋และลุงสองเย่เฮ่อกั๋ว ต่างก็เบียดเบียนเย่หงพ่อของตนมาโดยตลอด เพื่อที่จะแย่งชิงทรัพย์สมบัติของตระกูลให้ได้มากยิ่งขึ้น ถึงขั้นบีบบังคับครอบครัวเย่เทียนเฉิน ทำให้ต้องจากที่อยู่ที่บ้านหลักตระกูลเย่มา นี่ไม่ใช่สิ่งที่เย่เทียนเฉินกังวลที่สุด เรื่องที่เขากังวลที่สุดก็คือวันหนึ่งเมื่อผู้อาวุโสเย่หย่วนซานแก่ตัวลง ถึงตอนนั้นก็บอกไม่ได้ว่าเย่มู่ไป๋และเย่เฮ่อกั๋วปฏิบัติต่อเย่หงเช่นนี้ แน่นอนว่ามีเย่เทียนเฉินอยู่ ใครก็ไม่อาจมายุ่งย่ามกับคนใกล้ชิดของเขาได้ เพียงแต่ว่าเขารู้ดีว่าเวลานั้น พี่น้องกลายเป็นศัตรู แตกหักกันถึงที่สุด เย่หงผู้เป็นบิดาย่อมต้องเสียใจเป็นอย่างมากแน่นอน

“เทียนเฉิน…”

“ลูก พ่อ แม่คิดว่าลูกพูดได้ถูกต้อง คุณอดทนมาหลายปีเพื่อให้ครอบครัวใหญ่พร้อมหน้า นี่เป็นเวลาที่จะคืนสนองแล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไปตลอด ต้องมีสักวันหนึ่ง อาจจะไม่ใช่ง่ายๆ เพียงแค่พี่น้องกลายเป็นศัตรูกันเท่านั้น…” หลัวเยี่ยนแม้จะเป็นแม่บ้านคนหนึ่ง แต่ก็เป็นผู้หญิงที่ฉลาดมาก เธอเข้าใจความคิดของเย่หงผู้เป็นสามี ตอนนี้เธอเห็นด้วยกับคำพูดของเย่เทียนเฉินลูกชาย

“เฮ้อ ผมก็รู้ว่าที่พวกคุณพูดถูก แต่ว่าถ้าสามารถกลมเกลียวกันได้ก็กลมเกลียวกันสักหน่อยเถอะ!” เย่หงกล่าวพลางถอนใจออกมาครั้งหนึ่ง

“พ่อครับ พ่อก็ทำงานเลขาธิการคณะกรรการของพ่อให้ดี เรื่องเล็กๆ พวกนี้ก็ให้ผมจัดการ ผมลำดับความสำคัญได้น่า!” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม

กลับถึงคฤหาสน์ตระกูลเย่ ก็เป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว ฉีหรูเสวี่ยเข้านอนไปนานแล้ว บนโต๊ะอาหารมีอาหารอยู่ หลัวเยี่ยนและเย่เฉี่ยนเหวินเห็นก็รู้สึกซาบซึ้งใจ เดิมทีพวกเขานึกว่าฉีหรูเสวี่ยเป็นคุณหนูใหญ่สูงศักดิ์ของตระกูลฉี ตั้งแต่เด็กก็ได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างดี ไหนเลยจะรู้ว่าฉีหรูเสวี่ยสามารถทำหน้าที่แม่บ้านได้เป็นอย่างดี หน้าตาก็งดงาม ทั้งยังเข้าใจเรื่องราวต่างๆ หลัวเยี่ยนอดไม่ได้ที่จะคิดว่า มีผู้หญิงเช่นนี้มาเป็นลูกสะใภ้ของตนเอง ช่างโชคดีเหลือเกิน ส่วนเย่เฉี่ยนเหวินกลับคิดว่า มีพี่สาวหรูเสวี่ยเป็นพี่สะใภ้ ไม่เพียงแต่ได้รับการดูแลอย่างดีแต่ยังได้หน้าอีกด้วย!

“เป็นเด็กดีจริงๆ เทียนเฉิน เด็กตัวเหม็นอย่างลูกก็ยังไม่ชอบ ไม่ใช่ว่าสมองมีปัญหาแล้วเหรอ?” หลัวเยี่ยนมองอาหารเต็มโต๊ะ แล้วจึงกล่าวกับเย่เทียนเฉินพลางใช้สายตาเหยียดหยามมองเย่เทียนเฉิน

“พี่ หนูคิดว่าพี่โชคดีแต่ไม่รับรู้ถึงความโชคดีนี้เสียเลย พี่หรูเสวี่ยหลงรักพี่ ช่างตาบอดจริงๆ ให้ความจริงใจไป ได้ความเย็นชาของพี่ตอบแทน คงจะเสียใจมากเลย แต่ว่าพี่หรูเสวี่ยก็ยังยืดหยัดมาโดยตลอด นี่ก็เพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ว่าเธอรักพี่แค่ไหน พี่หรูเสวี่ยที่น่าสงสาร…ฮือๆ!” เย่เฉี่ยนเหวินน้องสาวกล่าวพลางแสร้งทำท่าทางร้องไห้โฮอย่างเวอร์วัง

“คุณแม่ครับ คุณน้องครับ ผมไม่รู้จริงๆ ว่าฉีหรูเสวี่ยมีอะไรดี พวกแม่ถูกเธอวางยาแล้ว ทั้งยังเป็นยาแรงอีกด้วย เฮ้อ!” เย่เทียนเฉินกล่าวอย่างร้องไห้ไม่ออกหัวเราะไม่ได้

“คนโง่!” แม่และน้องสาวตะโกนใส่เย่เทียนเฉินพร้อมกัน

เย่เทียนเฉินส่ายหัวอย่างไร้คำพูด ทำได้เพียงนั่งลงบนโซฟา มองดูหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่และเย่เฉี่ยนเหวินน้องสาวกินมื้อเย็นของฉีหรูเสวี่ยต่อไปอย่างมีความสุข และก็เป็นอาหารมื้อดึกด้วย ส่วนเย่หงผู้เป็นพ่อกลับชงชาแก้วหนึ่ง นั่งข้างเย่เทียนเฉิน

“เทียนเฉิน เกี่ยวกับเรื่องของฉีหรูเสวี่ย แม่ของลูกพูดกับพ่อเรียบร้อยแล้ว ถ้าหากคนเขามีความรู้สึกกับลูกจริงๆ แล้วลูกก็ชอบเธอล่ะก็ ไม่ต้องไปกังวลอะไรมาก…” เย่หงกล่าวพลางมองเย่เทียนเฉิน

“พ่อ มันไม่ใช่อย่างที่พ่อคิดแบบนั้นจริงๆ นะครับ ผมไม่มีความรู้สึกอะไรกับฉีหรูเสวี่ย ส่วนฉีหรูเสวี่ยก็ไม่ได้ชอบผมเลยสักนิด เธอหลอกพวกพ่อแล้ว ก็แค่ไม่อยากกลับบ้านเลยมาอยู่ที่ตระกูลเย่ของพวกเราก็เท่านั้นแหละ” เย่เทียนเฉินเปิดปากพูดอย่างจริงจัง

“ไม่ว่าจะยังไง คนที่มาก็เป็นแขก อีกอย่างก็คำนึงถึงฐานะของฉีหรูเสวี่ยด้วย ช่วงที่เธออยู่ที่ตระกูลเย่ของพวกเรา จะต้องปฏิบัติต่อเธอดีๆ อย่างน้อยภายหลังหากตระกูลฉีมาถามหาคนกับพวกเรา พวกเราก็สามารถส่งคืนฉีหรูเสวี่ยได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ อย่าไปล่วงเกินตระกูฉีถึงจะดี สถานที่เช่นจิงตูนี้ มีเพื่อนมากขึ้นคนหนึ่ง ย่อมดีกว่ามีศัตรูมากขึ้นคนหนึ่งแน่นอน” เย่หงกล่าว

“รู้แล้วครับพ่อ!”

เข้ามาในห้องอาบน้ำ เย่เทียนเฉินก็อาบน้ำรอบหนึ่ง ตอนที่ออกมา พ่อแม่และน้องสาวก็กลับไปนอนที่ห้องของตนเองกันแล้ว ส่วนบนโต๊ะอาหารนั้นไม่มีอาหารเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย ทำให้เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะนับถือความกินจุของแม่และน้องสาว ลูบท้องที่ร้องโครกครากแล้วก็รู้สึกว่ายังหิวอยู่บ้างจริงๆ จึงเปิดตู้เย็นดูก็พบกับความแปลกใจ มีจานผลไม้อยู่จานหนึ่ง ข้างในมีแอปเปิ้ลและสาลี่ที่หั่นไว้อย่างดี มีส้มที่ปอกไว้แล้ว และยังมีเชอร์รี่และสตรเบอร์รี่ที่ล้างไว้แล้ว มองดูแล้วก็ทำให้ผู้คนรู้สึกอยากอาหารมากขึ้น ต่อให้เย่เทียนเฉินใช้หัวแม่เท้าคิดก็คิดได้ว่าต้องเป็นฉีหรูเสวี่ยทำไว้แน่ๆ แช่ไว้ในตู้เย็น เตรียมไว้กินพรุ่งนี้

“อาหารที่ดีขนาดนี้ ไม่กินก็น่าเสียดาย ข้ามวันไปก็ไม่อร่อยแล้ว อย่าโทษฉันก็แล้วกัน…”เย่เทียนเฉินยกยิ้มชั่วร้ายพลางยกจานผลไม้นั้นออกมาจากตู้เย็น ตรงกลับไปยังห้องนอนของตัวเอง

เย่เทียนเฉินปิดประตู นำจานผลไม้วางไว้บนเตียง ส่วนตัวเองก็นั่งขัดสมาธิบนเตียงแล้วหลับตาลง สัมผัสถึงพลังพิเศษในชีพจรภายในร่างทุกๆ นิ้วอย่างช้าๆ ขณะเดียวกันก็ขับเคลื่อนแก่นพลังในสมองเพื่อดำเนินการหล่อหลอมพลังพิเศษ

ความจริง ทุกสิ่งในโลก พลังงานทุกปนะเภท ต่างก็ใช้ความคิดในการควบคุม ไม่ว่าจะเป็นผู้มีพลังพิเศษกระตุ้นพลังพิเศษในร่างกาย หรือจะเป็นยอดฝีมือพรรควรยุทธโบราณรวบรวมลมปราณในชีพจร ต่างก็ควบคุมผ่านจิตใจทั้งนั้น และวิธีการฝึกฝนจิตใจที่เป็นพื้นฐานที่สุดก็คือการทำสมาธิ

เย่เทียนเฉินเข้าสู่ห้วงสมาธิอย่างช้าๆ รับรู้ถึงพลังพิเศษในร่างกายของตน พลังพิเศษระดับจอมราชันแข็งแกร่งกว่าระดับราชันไม่น้อย ตอนที่เย่เทียนเฉินเข้าสู่ห้วงสมาธิ ถึงกับสามารถมองเห็นพลังงานภายในชีพจรกำลังกะพริบแสงสีน้ำเงินออกมาน้อยๆ เย่เทียนเฉินไม่รู้สึกว่าแปลก เขาเคยเป็นผู้มีพลังพิเศษระดับพระเจ้า รู้ว่าเมื่อขอบเขตพลังถึงระดับพระเจ้าแล้ว พลังพิเศษที่ระเบิดออกมาจะกลายเป็นสีเงิน สำหรับผู้มีพลังพิเศษระดับเทพราชัน เมื่อกระตุ้นพลังพิเศษออกมาแล้วจะเป็นสีอะไรนั้น เย่เทียนเฉินก็ไม่ทราบ เพียงแต่เคยได้ยินมาว่า จะเป็นสีทองที่เป็นสัญลักษณ์ของเทพราชันไร้พ่าย

สตรอเบอร์รี่ลูกหนึ่งค่อยๆ ลอยขึ้นจากจากผลไม้เย่เทียนเฉินยังคงหลับตาทั้งสองข้าง ทำเพียงแค่อ้าปากอย่างเดียว สตรอเบอร์รี่ลูกนั้นพลันถูกเย่เทียนเฉินกินเข้าปากไปในพริบตา นี่ต่างก็เป็นการใช้พลังพิเศษควบคุม ฝึกฝนอยู่ในคฤหาสน์ เย่เทียนเฉินไม่อยากเคลื่อนไหวอะไรมากมายเพราะจะรบกวนการนอนของพ่อแม่ การฝึกฝนเล็กๆ ก็ยังคงสามารถฝึกร่วมกับการควบคุมพลังพิเศษได้

ประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อมา เย่เทียนเฉินลืมตาขึ้น ผลไม้ภายในจานผลไม้ข้างๆ ทั้งหมดล้วนลงท้องไปแล้ว ภายในดวงตาทั้งสองของเขามีพลังพิเศษสีฟ้ารวบรวมอยู่ส่วนหนึ่ง ดูไปแล้วก็น่าอัศจรรย์มาก

“ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะสามารถควบคุมพลังธรรมชาติได้ พลังงานในร่างกายของผู้มีพลังพิเศษมันมีจำกัดจริงๆ ช่างไกลจากพลังงานอันยิ่งใหญ่ที่แฝงอยู่ในธรรมชาติมาก” เย่เทียนเฉินพึมพำกับตนเอง

…………………………………………………

บทที่ 57 จะพัฒนาตระกูลเย่ให้รุ่งเรืองต้องอาศัยเย่เทียนเฉิน?
Ink Stone_Fantasy
หลังจากที่เย่เทียนเฉินทานอาหารเย็นที่บ้านหลักตระกูลเย่เสร็จแล้ว ก็นั่งดื่มชาตากอากาศอยู่ที่ลานบ้าน คุยเล่นกับหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่และเย่เฉี่ยนเหวินผู้เป็นน้องสาว เสพสุขกับชีวิตอันเงียบสงบ

กล่าวตามจริง ชีวิตอันเงียบสงบที่เย่เทียนเฉินต้องการลิ้มรสนั้น ไม่ใช่เขาเองใช้ชีวิตเรียบง่ายไปวันๆ แต่อยากจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและสงบร่มเย็นตอนที่อยู่ด้วยกันกับพ่อแม่และน้องสาว ไม่ถูกผู้อื่นรบกวน หากมีใครกล้าทำตัวไม่ดี งั้นก็ต้องขอโทษด้วยที่ต้องมอบหมัดให้คุณสักยก

เป็นผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษระดับพระเจ้ามาเกิดใหม่ในเมือง เย่เทียนเฉินในโลกก่อนเดิมทีก็เป็นคนบ้าการต่อสู้ อยู่ท่ามกลางการต่อสู้อันดุเดือดเลือดพล่านตลอดเวลา โลหิตของเขาต่างก็ถูกเผาไหม้ไปกับการต่อสู้ ชีวิตในเมืองบางครั้งก็น่าเบื่อ ดังนั้นเย่เทียนเฉินจึงไม่ถือสาที่จะหาอะไรสนุกๆ ทำ ดั่งเช่นหาเหล่าผู้มีพลังพิเศษและยอดฝีมือพรรควรยุทธโบราณมาประมือด้วยสักหน่อย และถือโอกาสยกระดับพลังพิเศษของตนไปด้วย

“พี่ชาย พี่ว่าคุณปู่เรียกพ่อไป คุยอะไรเหรอ?” เย่เฉี่ยนเหวินกล่ามถามอย่างแปลกใจ

“ไม่ค่อยรู้หรอก คงรำพึงรำพันตามประสาพ่อลูกล่ะมั้ง พ่อกับผู้อาวุโสไม่ได้เชื่อมสัมพันธ์กันนานมากแล้ว!” เย่เทียนเฉินมองแสงดาวบนฟากฟ้าพลางกล่าวอย่างไม่ใส่ใจนัก

“หลายปีมานี้ ดูเหมือนว่าปู่ของลูกมีอคติต่อพ่อของลูกมาโดยตลอด แล้วก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพวกเราไปซื้อบ้านลงหลักปักฐานกันอยู่ข้างนอก หรือเป็นเพราะลุงใหญ่กับลุงสองของลูกยุยงอยู่ภายใน หวังว่าคราวนี้พวกเขาสองพ่อลูกจะเข้ากันได้ดี” หลัวเยี่ยนกล่าวอย่างเป็นกังวลอยู่บ้าง

“แม่ครับ แม่อย่าคิดมากขนาดนั้นเลยครับ ดื่มชาเถอะ ดูฟ้ายามค่ำคืนสิว่าสวยขนาดไหน ผมคิดว่าพ่อคงคุยอย่างมีความสุขแน่ครับ!” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม

สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่เย่หงผู้เป็นพ่อและเย่หย่วนซานที่เป็นผู้อาวุโสคุยยกันยู่ภายในห้องหนังสือตระกูลเย่นั้น เย่เทียนเฉินรู้ดีราวกับรู้ฝ่ามือตนเอง ความสามารถของผู้มีพลังพิเศษระดับจอมราชัน หากพูดถึงเมืองในปัจจุบันนี้ แม้ว่าไม่ได้แข็งแกร่งที่สุด แต่ก็เพียงพอที่จะโอหังเหิมเกริมได้ไปครึ่งประเทศจีน โดยเฉพาะพลังพิเศษแห่งการรับรู้ที่ทะลวงไปถึงขอบเขตที่แน่นอน ดังนั้นเย่เทียนเฉินเปิดใช้พลังพิเศษแห่งการรับรู้ไปตั้งนานแล้ว จึงรู้ทุกย่างของบ้านหลักตระกูลเย่เป็นอย่างดี

ในโลกเดิม ผู้มีพลังพิเศษแบ่งเป็นระดับตั้งแต่ระดับหนึ่งถึงเก้า เหนือกว่าระดับเก้าก็คือระดับราชัน ระดับจอมราชัน ระดับจักรพรรดิ ระดับพระเจ้า และระดับเทพราชัน ยิ่งเป็นระดับพลังที่ยิ่งใหญ่ พลังพิเศษก็ยิ่งแข็งแกร่งและร้ายกาจ แน่นอนไม่ใช่ว่าความสามารถของผู้มีพลังพิเศษที่อยู่ในขอบเขตพลังระดับหนึ่งถึงระดับเก้าจะอ่อนแอ ต้องทราบว่า พลังพิเศษนั้นนอกจากจะมีการแบ่งระดับแล้ว ยังมีการแบ่งตามสายอีกด้วย

กล่าวโดยรวมก็คือ สายพลังของพลังพิเศษแบ่งออกเป็นห้าสายคือ

สายพลังธาตุ ได้แก่ ลม ไฟ สายฟ้า น้ำ ดิน ไม้ แสง ทั้งหมดเจ็ดสายย่อย เป็นพลังพิเศษที่เห็นได้บ่อยที่สุด ผู้ที่รู้ตัวว่ามีพลังพิเศษแล้วส่วนใหญ่ก็ล้วนอยู่ในสายนี้

สายเสริมพลัง ได้แก่ การเพิ่มความแข็งแกร่งหรือเปลี่ยนแปลงความสามารถหนึ่งๆ ของร่างกาย ผู้ที่แข็งแกร่งมากๆ ถึงขั้นสามารถเสริมความแข็งแกร่งของวัตถุพิเศษบางอย่าง เช่น อาวุธ ดินปืน โลหะ รวมถึงประเภทพิเศษบางอย่าง

สายจิตวิญญาณ สามารถสร้างผลกระทบต่อสมองของมนุษย์ได้ เป็นความสามารถที่น่าเกรงขามที่สุดจากทุกสาย สามารถฆ่าคนโดยใช้การควบคุมที่มองไม่เห็น กระทั่งสามารถทำลายผู้อื่นด้วยการประทับรอยประทับจิตวิญญาณของตนเองลงไปได้ ดูเหมือนว่าระดับความแข็งแกร่งของพลังพิเศษสายอื่นๆ ต่างก็มีผลต่อสายจิตวิญญาณ บางคนกระทั่งสามารถตัดสินความแข็งแกร่ง ระดับ และศักยภาพได้โดยตรง ผู้ที่รู้ตัวว่าเป็นผู้มีพลังพิเศษประเภทนี้ค่อนข้างน้อย จำนวนของผู้ที่เป็นรูปแบบจิตวิญญาณโดยกำเนิดก็คือหนึ่งในร้อยล้าน

สายเขตแดน รวมถึงความสามารถรูปแบบป้องกันต่างๆ ที่แสดงรูปลักษณ์คล้ายๆ กัน คือผู้มีพลังพิเศษในขอบเขตพื้นที่ที่แน่นอน ภายในเขตแดนของเขาเกือบจะไร้ผู้ต่อกร แน่นอนว่าใช้ได้เพียงระดับที่ความแตกต่างระหว่างระดับพลังเท่ากันหรือต่างกับไม่มากเท่านั้น ประเภทนี้มีความต้องการพลังจิตวิญญาณค่อนข้างมาก ผู้ที่รู้ตัวค่อนข้างน้อย

สายพิเศษ สายที่ไม่สามารถแบ่งเข้าสายอื่นๆ ได้อย่างชัดเจนก็จะจัดอยู่ในสายนี้ ความสามารถแปลกประหลาด มีไม่มากนัก ที่แข็งแกร่งที่สุดและอ่อนแอที่สุดหลายคนต่างก็อยู่ในสายนี้ แต่สายนี้ทำให้ผู้คนรู้ได้ว่าอะไรที่เรียกว่าพลังพิเศษ อะไรที่เรียกว่ามีทุกอย่าง

ดังนั้นผู้มีพลังพิเศษที่อยู่ในสายหนึ่งๆ แม้ว่าพลังพิเศษของพวกเขาจะไม่แข็งแกร่งเช่นนั้น แต่ก็มีความสามารถที่พิเศษเป็นอย่างมาก ความสามารถเช่นนี้พอได้ใช้ ต่อให้เป็นผู้มีพลังพิเศษที่มีระดับตั้งแต่ระดับราชันขึ้นไปก็ต้องถูกบีบให้พ่ายแพ้ ตัวอย่างง่ายๆ ก็คือ ถ้าหากผู้มีพลังพิเศษสายเขตแดนทำให้พลังเขตแดนแสดงผลการจำกัด และใช้ท่า “เนรเทศชั่วนิรันดร์” เพื่อเนรเทศผู้คนไปสู่ความมืดมิดไม่มีที่สิ้นสุด เป็นใครก็ทำอะไรไม่ถูก

ตอนที่พบเสี่ยวฉิงใช้พลังพิเศษเป็นครั้งแรก เย่เทียนเฉินก็รู้ว่า ในเมืองของโลกแห่งนี้ จะต้องมียอดฝีมือพรรควรยุทธโบราณอยู่แน่นอน และก็มีผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งอยู่ด้วย เพียงแต่ไม่รู้ว่าผู้มีพลังพิเศษสายต่างๆ มีอยู่หรือไม่ แล้วจะเก่งกาจขั้นระดับใดกัน? ทำให้ผู้คนรู้สึกตั้งตารออยู่บ้างจริงๆ

ตอนนี้ เย่เทียนเฉินนอนอยู่บนเก้านี้หวาย มองดาวบนท้องฟ้าไปพลาง รับรูถึงสถานการณ์ทั้งหมดในบ้านหลักตระกูลเย่ไปพลาง และก็ได้ยินคำพูดของเย่หงผู้เป็นพ่อและผู้อาวุโสเย่หย่วนซานด้วย ทำให้พอรู้เรื่องบ้างแล้ว

“หงเอ๋อร์ หลายปีมานี้พ่อมีอคติต่อลูกอยู่บ้าง ลูกมีอะไรจะบ่นพ่อบ้างไหม?” เย่หย่วนซานนั่งอยู่หน้าโต๊ะหนังสือในห้องหนังสือ ส่วนเย่หงนั่งอยู่บนโซฟา

“พ่อครับ ผมทราบว่าพ่อมีความยากลำบากเหมือนกัน หากครอบครัวรักใคร่ปรองดอง ทุกสิ่งก็จะเจริญ ผมล้วนกระจ่างแจ้ง!” เย่หงพยักหน้าพลางกล่าว

เย่หย่วนซานมองเย่หงด้วยรอยยิ้ม พูดตามจริงแล้ว ในหมู่ลูกชายทั้งสามคน คนที่รู้เรื่องที่สุดและกตัญญูที่สุดก็คือลูกสามเย่หง เพียงแต่หลายปีมานี้เปลือกนอกเขาปฏิบัติตัวไม่ดีต่อเย่หงอยู่บ้าง และดูเหมือนจะมีการพุ่งเป้าอยู่บ้าง นี่ทำให้คนมากมายไม่เข้าใจว่าทำไม ไม่มีเหตุผผเอาเสียเลย ทำไมเขาถึงปฏิบัติกับลูกสามไม่ดี

“อืม ลูกจะคิดแบบนี้ก็ได้ พ่ออย่างฉันนี่มันจริงๆ เลย บอกลูกตามตรง หลายปีมานนี้ ที่ทำไม่ดีกับลูก ทุกอย่างเป็นความตั้งใจของพ่อเอง” เย่หย่วนซานมองเย่หงหลางกล่าว

“พ่อครับ พ่อ…” เย่หงตกใจอยู่บ้าง เดิมทีเขาคิดว่าเป็นพี่ชายทั้งสองของเขาที่มักจะพูดถึงตนเองไม่ดีต่อหน้าพ่อ ถึงทำให้พ่อค่อยๆ ห่างเหินกับตนเอง ไหนเลยจะรู้ว่าที่แท้ก็เป็นเขาจงใจทำ ได้ยินคำพูดเช่นนี้ของเย่หย่วนซานผู้เป็นพ่อทำให้เย่หงรู้สึกไม่เข้าใจ

“เย่หง ลูกฟังพ่อพูดนะ ตั้งแต่พ่อเกษียณออกมา ในหมู่พี่น้องสามคน ไม่มีสักคนเลยที่จะเป็นเสาหลักได้ พี่ชายสองคนของลูกก็ไม่ต้องพูดเลย ทั้งวันรู้จักแต่วางอุบายแย่งชิงทรัพย์สมบัติตระกูล ไม่เหมือนกับคนที่จะพัฒนาตระกูลให้รุ่งเรืองไปได้เลยสักนิด มีแค่ลูกถึงจะมีโอกาสอยู่บ้าง แต่ว่าหลังจากที่พ่อวางมือ ลูกที่สามารถแย่งชิงและรักษาตำแหน่งรองผู้ว่าการเมืองhได้ก็ไม่เลวแล้ว อยากจะก้าวไปอีกก้าวก็ยากนัก อีกทั้งหลายปีมานี้ พ่อค้นพบเรื่องๆ หนึ่ง นั่นก็คือเบื้องบนดูเหมือนจะมีคนพุ่งเป้ามาที่ตระกูลเย่ของพวกเรา ไม่งั้นเพื่อไม่ให้ลูกต้องเหนื่อย ก็คงอาศัยความสัมพันธ์แต่เก่าก่อนของพ่อย้ายตำแหน่งให้ลูกไปตั้งนานแล้ว ดังนั้นพ่อจึงเริ่มห่างเหินกับลูก แสดงออกว่าทำไม่ดีกับลูก เพื่อจะได้ไม่มีผลกระทบต่ออนาคตของลูก ทำให้ตระกูลเย่ของพวกเราไม่ถึงกับตกต่ำจนถึงจุดที่ไม่มีชื่อเสียงเลย…” เย่หย่วนซานกล่าวอย่างจริงใจ

ได้ยินคำพูดของเย่หย่วนซานผู้เป็นพ่อ เย่หงก็ตกตะลึง และกระจ่างแจ้งขึ้นมาโดยพลัน มิน่าเล่าหลายปีมานี้บิดาห่างเหินกับตนอย่างกะทันหัน กลายเป็นไม่ต้อนรับตนเอง กระทั่งมีหลายครั้งที่ไล่เขาออกจากบ้านหลักตระกูลเย่ ที่แท้ก็เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นนี่เอง ดูแล้วเย่หย่วนซานผู้เป็นพ่อก็วางแผนลึกซึ้ง คิดเพื่อทั้งตระกูล

“พ่อ ผมเข้าใจแล้วครับ ผมจะพยายาม!” เย่หงมองบิดาของตนเอง เขาก็เป็นส่วนหนึ่งของตระกูลเย่ ในตอนที่เย่หย่วนซานยังไม่ลงจากตำแหน่ง จะอย่างไรตระกูลเย่ก็เป็นตระกูลชั้นหนึ่งในจิงตูทั้งยังนับว่ายิ่งใหญ่เป็นอย่างมากด้วย แต่ว่าตั้งแต่ที่เย่หย่วนซานเกษียณออกมา ในหมู่ลูกหลานตระกูลเย่ก็ไม่มีสักคนที่ปืนป่ายไปถึงระดับบนได้ ตระกูลเย่ก็ค่อยๆ ตกต่ำลงทุกวัน เย่หงทำไมจะไม่ร้อนใจ ไม่เจ็บใจ

“ผิดแล้ว หงเอ๋อร์ ครั้งนี้ที่พ่อเรียกลูกมาและเล่าเรื่องราวให้ลูกฟัง ไม่ใช่จะให้ลูกพยายามปืนป่ายไปสู่เบื้องบน แต่เพราะจะบอกลูกว่า ความหวังที่จะพัฒนาตระกูลเย่อยู่ที่เย่เทียนเฉิน” ตอนนี้เย่หย่วนซานพูดถึงเย่เทียนเฉินหลานชายคนนี้ มุมปากก็ปรากฏรอยยิ้มสายหนึ่ง เขาเคยอยู่ในตำแหน่งสูงมาก่อน และอ่านคนมานับไม่ถ้วน เชื่อว่าตนเองคงมองไม่ผิดแน่ หลานที่เคยเสเพลคนนี้เปลี่ยนไปแล้ว กลายเป็นคนที่กล้าหาญและพาลเกินคน ทั้งยังมีฝีมือแข็งแกร่ง บางทีอาจจะสามารถทำให้ตระกูลเย่ยกระดับขึ้นอีกครั้ง ทำให้ชื่อเสียงสะท้านจิงตู!

“พ่อครับ เทียนเฉินเจ้าลูกคนนี้ เมื่อก่อนล้วนถูกผมทำให้เสียคนแล้ว หาเรื่องยุ่งยากวุ่นวายมาให้ตระกูลไม่น้อย แม้ว่าช่วงนี้เขาจะเปลี่ยนไป แต่ต้องพึ่งเขาฟื้นฟูตระกูลเย่ มันจะเป็นไปได้เหรอครับ?” เย่พูดกล่าวพลางหัวเราะอย่างไม่เชื่ออยู่บ้าง

เย่หงทราบดี เย่เทียนเฉินผู้เป็นลูก ตั้งแต่ปลดประจำการจากกองทัพกลับมา ก็เปลี่ยนความเสเพลเมื่อก่อน ถึงแม้ว่าบางครั้งจะยังคงทำอะไรไม่จริงจังและมีกลิ่นอายของนักเลงอยู่อย่างเข้มข้น แต่ว่าเขาก็รู้สึกได้ว่า ลูกชายไม่เหมือนกับเมื่อก่อนแล้ว ท่าทีวิธีการที่เขากระทำเรื่องราวและอุบายที่แข็งกร้าว ขนาดเขาที่เป็นคนที่โตขึ้นมาในตระกูลใหญ่ ก็ต้องตกตะลึง ถึงกับกล้าลงมือกับลั่วซงเฉิง เรียกขานลั่วซงเฉิงว่าไอ้แก่ ความกล้าหาญนี้ มีเพียงไม่กี่คนในจิงตูที่กล้าทำ

แต่ว่า ต่อให้เย่เทียนเฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย บางทีอาจสามารถปกป้องครอบครัวได้ แต่ว่าจะอาศัยเขาพัฒนาตระกูลเย่ให้รุ่งเรือง เย่หงยังไม่ค่อยเชื่อถือเท่าไหร่ เพราะเขาเข้าใจดี หากต้องพัฒนาตระกูลๆ หนึ่งให้รุ่งเรืองนั้นยากแค่ไหน โดยเฉพาะในจิงตูที่เป็นสถานที่ที่มีเสือหมอบมังกรซ่อน เป็นเมืองที่มีอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่อยู่เต็มไปหมด เกรงว่าจะไม่ใช่แค่ตบตีฆ่าฟันก็สามารถสำเร็จได้ การชิงไหวชิงพริบเป็นสิ่งสำคัญมาก อาศัยแค่กำลังของคนๆ เดียวพัฒนาตระกูลหนึ่งให้รุ่งเรืองนั้นเป็นไปไม่ได้ กระทั่งทั่วทั้งจีน หลายร้อยปีมานี้ยังไม่มีตัวอย่างปรากฏออกมาให้เห็น

“ฮ่าๆ หงเอ๋อร์ ดูแล้วลูกยังไม่ค่อยเข้าใจลูกชายของลูก ลูกลองคิดถึงเรื่องทั้งหมดที่เขาทำตั้งแต่กลับมาจากกองทัพดู… ยกเลิกการแต่งงานกับตระกูลฉีอย่างง่ายดาย ทำให้ลูกกลายเป็นเลขาธิการคณะกรรมการเมืองh เลื่อนขั้นขึ้นถึงสองระดับ เผชิญหน้ากับคำยั่วยุของตระกูลลั่ว ให้วิธีการอันแข็งกร้าวฆ่าคนโดยตรง สั่นสะเทือนไปทั่วจิงตู อาจกล่าวได้ว่าเขานั้นบ้าบิ่น และอาจกล่าวได้ว่าเขากล้าหาญ กล้าทำกล้ารับ… ฉันคิดว่าเขาทำได้!” เย่หย่วนซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“พ่อ งั้นความหมายของพ่อคือ…” เย่หงชะงักไปชั่วครู่จึงเปิดปากกล่าว

“พ่อจะคิดหาวิธี ใช้ความสัมพันธ์แต่เก่าก่อน ทำให้เขามีอาชีพการงาน ไม่ว่าจะด้านการเมืองหรือการทหาร อย่างน้อยก็ต้องเข้าไปสักตำแหน่ง ถึงตอนนั้นค่อยพัฒนาไปช้าๆ” เย่หย่วนซานกล่าวอย่างจริงจัง

“พ่อ แต่เทียนเฉินยังเป็นนักศึกษาปีหนึ่งขอมหาวิทยาลัยหลงเถิง ยังมีเวลาอีกประมาณสองเดือน ก็ต้องไปรายงานตัวแล้ว!” เย่หงเปิดปากกล่าว

“ไม่เป็นไร ทั้งสองด้านสามารถไปด้วยกันได้ ใครบอกว่านักศึกษาไม่สามารถเป็นข้าราชการได้? ขอเพียงมีความสามารถพอที่จะทำ…” มุมปากของเย่หย่วนซานประดับไปด้วยรอยยิ้ยพลางกล่าว

………………………………………..

บทที่ 56 มีภารกิจลับ?
Ink Stone_Fantasy
ที่ชางหลางเลือกเย่เทียนเฉินและรับประกันต่อรองประธานคณะกรรมาธิการทหารหยางอี้ ให้เย่เทียนเฉินรับผิดชอบภารกิจในครั้งนี้นั้น ก็มีสาเหตุ ซึ่งมีอยู่สองปัจจัย มีเพียงเย่เทียนเฉินที่มีพร้อม สามารถพูดได้ว่าเหมาะสมทุกอย่าง

หนึ่ง เย่เทียนเฉินเคยเป็นทหารหน่วยรบพิเศษ ตอนนี้ปลดประจำการไปแล้ว เป็นเพียงประชาชนจีนคนหนึ่ง การกระทำทั้งหมดของเขาไม่ได้มีความหมายว่าเป็นตัวแทนประเทศ

สอง ฝีมือของเย่เทียนเฉินแข็งแกร่งมากพอ กล่าวได้ว่าลึกล้ำมิอาจหยั่ง อีกทั้งคนๆ นี้เป็นคนที่มีแนวโน้มของความรุนแรงคนหนึ่ง เขาไม่หาเรื่อง แต่ก็ไม่กลัวมีเรื่อง ใครหาเรื่องเขา แม้แต่เทพเซียนก็ต้องเอาหมัดไปกิน

สำหรับเย่เทียนเฉิน บางครั้งชางหลางก็ยังอิจฉาเด็กคนนี้ อยากด่าก็ด่า อยากต่อยก็ต่อย แต่ไหนแต่ไรไม่เคยหาเรื่องก่อน แต่ใครต้องการหาเรื่องเขา เขาก็ไม่กลัวความยุ่งยาก มอบหมัดเหล็กทุบคุณให้หมอบก็พอ

หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ไหนเลยจะอิสระได้เช่นนี้ ทุกคำพูดทุกการกระทำล้วนมีลักษณะเป็นตัวแทนของประเทศ ไม่กล้ามามั่วๆ โดยเด็ดขาด การที่จะเหมาะสมกับภารกิจในครั้งนี้นั้นก็คือ เบื้องหน้ากลมเกลียว เบื้องหลังแข่งขัน กระทั่งมีสถานการณ์หลั่งเลือดเสียสละ

ความจริงแล้วไม่ว่าจะเวลาไหน การประลองระหว่างประเทศก็ไม่เคยหยุดหย่อน จะอย่างไรก็มิอาจมองแต่เพียงเบื้องหน้าได้ ประธานาธิบดีของประเทศหนึ่งกับอีกประเทศหนึ่งมักจะผูกสัมพันธ์กันอย่างดี สองคนสนิทสนมกลมเกลียว พูดคุยกันด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม

สถานการณ์จริงๆ กลับเป็นหน่วยงานลับของสองประเทศเปิดฉากยิงถล่มกัน แต่ละประเทศบาดเจ็บล้มตายไปไม่รู้เท่าไหร่ ทหารหน่วยรบพิเศษของทั้งสองประเทศสู้รบกันบริเวณชายแดน ตายไปนับไม่ถ้วน สถานการณ์จริงเหล่านี้ ประชาชนธรรมดาทั่วไปไหนเลยจะรู้ ทุกเวลามีผู้เสียสละเลือดเนื้อเพื่อประเทศชาติอยู่

โดยเฉพาะหลายปีมานี้ เนื่องด้วยความแข็งแกร่งของจีนเพิ่มมากขึ้น ทำให้ประเทศมหาอำนาจบางประเทศในโลกอยู่ไม่สุข เบื้องหน้าไม่กล้าลงมือต่อจีน แต่เบื้องหลังหลับส่งยอดฝีมือจำนวนมากเข้ามาทำลายความมั่นคงของชาติ สอดแนมข้อมูลอันเป็นความลับสูงสุดของประเทศ เพื่อกุมความก้าวหน้าที่แท้จริงของจีน นี่จึงต้องการยอดฝีมือชาวจีนที่มีความสามารถและมีความเลือดร้อน ทำการต่อสู้เป็นตายกับพวกเขา และปกป้องคุ้มครองประเทศชาติ

ทุกๆ ปี ไม่ทราบว่ามีชายเลือดร้อนชาวจีนจำนวนเท่าไหร่ที่หลังเลือดสละชีพเพื่อปกป้องประเทศ ไม่มีใครรู้ชื่อของพวกเขา กระทั่งป้ายหลุมศพพวกเขาก็ยังไม่มีสักแห่ง เพียงได้รับการบันทึกไว้ในหอจดหมายเหตุอันเป็นความลับสูงสุดของจีนเท่านั้น แต่พวกเขาก็ยังคงไม่รู้สึกเสียใจ นี่คือความยึดมั่นในศักดิ์ศรีและคุณธรรมของประชาชนอันเป็นลูกหลานของบรรพบุรุษชาวจีน

“หัวหน้า พูดถึงจีนในปัจจุบันแล้ว คนที่เหมาะสมที่จะทำภารกิจให้สำเร็จที่สุด ก็มีแต่เย่เทียนเฉิน ในเมื่อคุณมอบหมายภารกิจนี้ให้กับผม ผมก็ทำได้แค่เดิมพันสักครั้ง ขอวางเดิมพันข้างเขาแล้วกัน” ชางหลางมองหยางอี้ กล่าวอย่างจริงจังพลางพยักหน้าเล็กน้อย

“งั้นก็ดี เรื่องก็มอบหมายให้นายไปจัดการ มีอะไรลำบากก็ให้มาบอกฉัน อีกอย่างบางเรื่องฉันจำเป็นต้องพูดออกมาก่อน ภารกิจครั้งนี้ต้องสำเร็จเท่านั้น หากว่าล้มเหลว นายก็ไม่ใช่ทหารอีกต่อไป” หยางอี้กล่าวพลางมองชางหลางอย่างจริงจัง

ชางหลางตกตะลึงไปทั้งตัว สำหรับคนที่ได้เข้ามาเป็นคณะกรรมาธิการทหารแล้วนั้น การได้เป็นคณะกรรมาธิการทหารเป็นความภาคภูมิใจชั่วชีวิตของเขา และเป็นภารกิจชีวิตของเขา หากว่าทำให้เขาไม่ได้เป็นทหารอีกต่อไปแล้วจริงๆ เขาคิดไม่ออกเลยว่าชีวิตเช่นนั้นจะเป็นอย่างไร ต้องอยู่ไม่สู้ตายอย่างแน่นอน เขาคิดไม่ถึงว่า ภารกิจครั้งนี้จะสำคัญขนาดนี้ มิฉะนั้นหยางอี้ซึ่งเป็นรองประธานคณะกรรมาธิการทหารคงไม่มาซักถามด้วยตัวเอง และยิ่งไม่พูดกับตนเองอย่างชัดเจนขนาดนี้

“ผมทราบแล้วครับ หัวหน้าคุณโปรดวางใจ ต่อให้ตายก็ต้องสำเร็จภารกิจให้ได้” ชางหลางกล่าวพลางทำวันทยาหัตถ์แสดงความเคารพอย่างทหาร

ออกมาจากออฟฟิศของหยางอี้แล้ว ชางหลางก็เช็ดเหงื่อเย็นๆ บนหน้าผาก ในความเป็นจริงภารกิจคืออะไร แม้แต่เขาก็ไม่ชัดเจนนัก เพียงแต่ไม่คิดว่าผลลัพท์จะร้ายแรงเช่นนี้ อดไม่ได้ที่จะด่าอยู่ในใจว่า ‘เย่เทียนเฉิน ไอ้หนูอย่างแกอย่าทำให้ฉันต้องผิดหวังเชียว หากภารกิจล้มเหลวล่ะก็ บิดาต้องทุกข์ทรมานแน่ แต่ฉันก็จะใช้ชุดทหารบนร่างรับประกันเพื่อนาย’

ตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินที่ยังกินข้าวอยู่ที่บ้านหลักตระกูลเย่ ไม่รู้เลยว่าชางหลางจะมาหาตนเองเร็วมาก และยังนำคำพูดของรองประธานคณะกรรมาธิการทหารมาออกคำสั่งกับตนเอง ส่วนเรื่องที่ว่าจะรับภารกิจนี้หรือไม่ เย่เทียนเฉินเองก็ไม่ทราบ ตั้งแต่ตายจนได้มาเกิดใหม่เป็นต้นมา โลกเดิมมีเพียงผู้แข็งแกร่งที่ได้รับความเคารพ ความสามารถคือทุกสิ่งทุกอย่าง จะประธานไม่ประธานนั้นเป็นเรื่องรอง ดังนั้น เย่เทียนเฉินจะรับคำสั่งของรองประธานคณะกรรมาธิการทหารหยางอี้คนนี้หรือไม่ ก็ยังคงไม่มีข้อสรุป

ภายในห้องโถงบ้านหลักตระกูลเย่ เมื่อก่อนเป็นเย่มู่ไป๋กับเย่เฮ่อกั๋วสองคนที่จะรับประทานอาหารเป็นเพื่อนเย่หย่วนซานผู้เป็นบิดา แต่วันนี้ไม่เหมือนเดิมอยู่บ้าง พวกเขาสองคนยืนอยู่ด้านข้าง หน้าตาเศร้าซึม อึดอัดวางตัวไม่ถูก ทำได้เพียงมองครอบครัวเย่หงกินข้าวกับบิดา

“พ่อครับ พ่อกินเนื้อย่างนี่หสักน่อย ไม่เลวเลยครับ” เย่หงเป็นลูกกตัญญูคนหนึ่ง คีบอาหารให้เย่หย่วนซานผู้เป็นบิดา

เย่หย่วนซานพยักหน้า มองเย่เทียนเฉินที่สักแต่กินข้าวอย่างเดียวมาตลอด ลักษณะท่าทางการกินของเขาดูไม่ได้เลยจริงๆ พออาหารขึ้นโต๊ะ ก็กินอย่างตะกละตะกลาม ยึดอาหารหลายจานไว้ที่เบื้องหน้าของตน กินไม่หยุด กินอาหารไม่หยุด ดื่มเหล้าไม่หยุด มีน้ำมันเปื้อนเต็มปาก เย่หย่วนซานเห็นก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้ายิ้มๆ

ท่ามกลางเหล่าตระกูลในจิงตู ไม่ว่าจะตระกูลเล็กหรือตระกูลใหญ่ ขอเพียงเป็นตระกูลที่มีหน้ามีตาสักเล็กน้อย ต่างก็มีกฏบ้านที่กำหนดแน่นอน หากไร้ซึ่งกฏบ้านก็มิอาจประสบความสำเร็จได้ เรื่องตำแหน่งในการนั่งกินข้าวหรือควรจะกินอย่างไรนั้นก็ล้วนมีอยู่ในข้อกำหนดทั้งหมด นี่เป็นการปฏิบัติของตระกูลที่มีระดับ อย่างน้อยก็ไม่กินข้าวด้วยท่าทางเช่นนี้เหมือนเย่เทียนเฉิน ไม่ทำตามข้อกำหนดเลยสักนิด คนที่เห็นทุกคนต่างก็อับจนคำพูด

“เทียนเฉิน เด็กอย่างลูกมีมารยาทกับเขาบ้างไหม?” เย่หงเห็นเย่หย่วนซานผู้เป็นบิดามองเย่เทียนเฉินด้วยรอยยิ้ม ก็นึกว่าบิดาโกรธ จึงรีบตำหนิเย่เทียนเฉินเสียงเข้ม

เย่เทียนเฉินเงยหน้าขึ้นมองเย่หงผู้เป็นพ่อ ยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ตนเองก็กินได้ถูกต้อง ไม่ได้ตั้งใจแกล้งแสดงออกเช่นนี้เลยสักนิด แต่เป็นเพราะรู้สึกว่าอาหารของบ้านหลักตระกูลเย่นี่ทำได้ไม่เลวเลย เมื่อเห็นสายตาที่บิดามองมาทางตนเอง จะอย่างไรก็เข้าใจขึ้นมาเล็กน้อย

“คุณปู่ กินเนื้อปูนี่หน่อยนะครับ รสชาติล้ำเลิศ ไม่เลวเลย…” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางส่งจานเนื้อปูผัดไปด้านหน้าเย่หย่วนซาน

“เจ้าลูกคนนี้…”

“พี่คะ…”

เย่หง หลัวเยี่ยนและเย่เฉี่ยนเหวิน ทั้งสามไม่คิดเลยว่าเย่เทียนเฉินจะพูดกับเย่หย่วนซานผู้เป็นปู่อย่างเป็นกันเองเช่นนี้ แม้ว่าจะเป็นครอบครัวเดียวกัน แต่เย่หย่วนซานเป็นผู้อาสุโสในบ้าน และเป็นเสาหลักของตระกูล ตระกูลเย่ไม่มีใครกล้าพูดเช่นนี้กับผู้อาวุโส เย่เทียนเฉินเป็นคนแรก

ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ผู้อาวุโสเย่หย่วนซานคนนี้ ในดวงตาและจิตใจของคนตระกูลเย่ ต่างก็อยู่สูงจนต้องเงยหน้าขึ้นมอง และเกิดความเคารพอยู่ในใจ ไม่มีใครกล้าพูดกับเขาอย่างเป็นกันเองเช่นนี้

“เย่เทียนเฉิน ในสายตาของแกยังมีผู้อาวุโสอยู่ไหม ไร้มารยาทสิ้นดี” เย่มู่ไป๋ถือโอกาสกล่าวอย่างดุดัน

“ไม่เคารพผู้อาวุโสเลยสักนิด อกตัญญูจริงๆ” เย่เฮ่อกั๋วก็รีบสุมไฟกล่าว

เย่เทียนเฉินได้ยินคำพูดของเย่มู่ไป๋และเย่เฮ่อกั๋ว ก็รู้ว่าสองคนนี้คับแค้นตนเองอยู่ในใจ จึงต้องการจะแก้แค้น ตอนนี้จับหางได้เล็กน้อยก็คิดอยากที่จะใช้แรงแกว่ง อยากที่จะแกว่งให้ตนเองตายทั้งเป็น

“การเคารพไม่ได้อยู่ที่ปากแต่อยู่ที่ใจ ผมไม่เหมือนใครสองคน ที่ปากบอกว่าเคารพ ความจริงกลับทำเรื่องบางอย่างที่ทำให้ผู้อาวุโสโมโหแทบตาย ผมว่าผู้อาวุโสกินให้เยอะขึ้นอีกหน่อย ดูแลรักษาสุขภาพไว้เป็นดีที่สุด!” เย่เทียนเฉินกล่าวกับเย่หย่วนซานด้วยรอยยิ้ม

“พ่อครับ ไอ้หลานอกตัญญูมันบ้าไปแล้ว…”

“ไม่ใช้กฏบ้านลงโทษไม่ได้นะครับ…”

“หุบปากซะ ถ้าพวกแกสองคนกล้าพูดมากอีกคำเดียว ก็ไสหัวออกไปจากบ้านหลักตระกูลเย่ซะ!” เย่หย่วนซานหันมามองลูกชายคนโตเย่มู่ไป๋กับลูกชายคนที่สองเย่เฮ่อกั๋วอย่างดุดันพลางตะโกนออกมา

เย่มู่ไป๋กับเย่เฮ่อกั๋ว ทั้งสองต่างก็ตกใจจนชะงักไป ไม่กล้าพูดอะไรมากอีก ตอนนี้ผู้อาวุโสเย่หย่วนซานยืนอยู่ฝั่งน้องสามเย่หงโดยสิ้นเชิง ตำแหน่งฐานะของพวกเขาสองคนยิ่งตกต่ำลงทุกวัน

“พ่อคะ เทียนเฉินลูกคนนี้ก็เป็นแบบนี้ ถูกพวกเราทำให้นิสัยเสียแล้ว พ่ออย่าได้ตำหนิเลยนะคะ!” หลัวเยี่ยนรีบเปิดปากพูด

“ฮ่าๆ หงเอ๋อร์ เสี่ยวเยี่ยน พวกเราล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน ครอบครัวเดียวกันกินข้าวกันทำไมจะต้องเกรงอกเกรงใจเช่นนั้น พ่อคิดว่าท่าทางเช่นนี้ของเย่เทียนเฉินก็ดีมาก ให้ความรู้สึกของครอบครัว พ่อไม่ได้เป็นเช่นนี้มานานแล้ว” เย่หย่วนซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“พ่อ…” เย่หงรู้สึกซาบซึ้งใจ หลายปีมานี้ บิดาเฉยเมยกับเขามาโดยตลอด เขาไม่รู้ว่าเพราะอะไร ในใจก็รู้สึกไม่สบาย ตอนนี้เห็นบิดาหัวเราะอย่างหาได้ยากแล้ว ก็ดีใจมาก ความตกต่ำของตระกูลเย่นั้นเป็นที่กล่าวขานกันไปทั่ว คิดว่าในใจของเย่หย่วนซานคงรับไม่ได้เป็นที่สุด

“ผู้อาวุโส แบบนี้ก็ถูกแล้วแหละ พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน แม้ว่าเมื่อก่อนความสัมพันธ์จะไม่ได้ดีเด่อะไร แต่ว่าผมคิดว่าคุณก็ยังอยู่ร่วมกันได้ดี ผู้อาวุโสก็ควรจะกินดื่มเที่ยวเล่นให้ดีๆ มีความสุขกับความผูกพันธ์ของครอบครัวให้มากๆ!” เย่เทียนเฉินกินก้ามปูอันใหญ่ไปพลาง เปิดปากพูดไปพลาง

“พูดได้ถูกต้อง พูดได้ถูกต้อง หงเอ๋อร์ เทียนเฉิน มาดื่มเป็นเพื่อนฉันสักแก้ว!” เย่หย่วนซานยิ้มพลางยกแก้วเหล้าขึ้นมา

เย่หงรีบยกแก้วขึ้น ส่วนเย่เทียนเฉินนั้นมือซ้ายมีก้ามปูอันใหญ่ มือขวายกแก้วเหล้าขึ้นตามใจ ชนแก้วครู่เดียวก็ดื่มจนแห้งเหือด

ข้าวเย็นมื้อหนึ่งกินกันไปแล้ว ก็เป็นเวลาสี่ทุ่ม เย่มู่ไป๋และเย่เฮ่อกั๋วทั้งสองคนนั้นยืนข้างโต๊ะอาหารมาสามชั่วโมงกว่า ทั้งสองหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ ทั้งยังไม่กล้าไปไหนและไม่กล้านั่ง กลัวว่าจะถูกผู้อาวุโสลงโทษ ทำได้เพียงมองครอบครัวน้องสามเย่หงกินดื่มอย่างมีความสุข ความคับแค้นใจก็ยิ่งลึกล้ำมากขึ้น

อาหารมื้อนี้ มีเพียงเย่เทียนเฉินที่กินได้อย่างพึงพอใจมากที่สุด กินได้อย่างมีความสุขที่สุด ตั้งแต่อาหารขึ้นโต๊ะจนอาหารลงโต๊ะก็กินไม่หยุด ส่วนเย่หย่วนซานกลับคอยสังเกตหลานคนนี้อยู่ตลอด เขาราวกับเห็นความหวังอันรุ่งโรจน์ของตระกูลเย่จริงๆ หลังจากที่ตนเองลงจากตำแหน่ง เขาก็คิดว่าจะทำอย่างไรให้ตระกูลเย่รุ่งเรืองขึ้นมาใหม่ ลูกชายทั้งสามต่างก็ฉลาดไม่พอ และไม่มีโชคมากพอ อยากจะทำให้ตระกูลเย่เจริญรุ่งเรืองนั้นยากมาก เย่เทียนเฉินในวันนี้แม้จะมีกลิ่นไอนักเลงอยู่บนร่าง แต่ก็มีความกล้าหาญ บางทีอาจจะยังคงมีโอกาสนั้นอยู่ก็ได้

“หงเอ๋อร์ อีกสักรู่มาที่ห้องหนังสือของพ่อสักหน่อย มีเรื่องจะคุยกับลูก!” เย่หย่วนซานมองเย่เทียนเฉินด้วยรอยยิ้มพลางกล่าว แล้วจึงไปจากโต๊ะอาหาร

………………………………………………………….

บทที่ 55 พวกแกปัญญาอ่อนกันทั้งครอบครัว
Ink Stone_Fantasy
ลั่วซงเฉิงคุยโวโอ้อวด อยากจะทำการกดดันตระกูลเย่ กระทั่งแผนการฆ่า หลังจากที่เย่เทียนเฉินปรากฏตัว ก็ถูกทำให้รวน โดยเฉพาะการต่อสู้ของเย่เทียนเฉินกับเถี่ยฉุย ทำให้เกิดเหตุการณ์ที่เถี่ยฉุยจากไป ทำให้ลั่วซงเฉิงคิดชั่วขณะว่า ทหารคนสนิทหลายสิบคนที่ตนเองนำมา อาจจะยังไม่พอ!

แม้ว่าขาจะถูกยิง ก็ไม่เป็นอุปสรรคใหญ่หลวง จะอย่างไรลั่วซงเฉิงก็เป็นทหารคนหนึ่ง สามารถเป็นรองผู้บัญชาการทหารระดับเขตได้ ความอดทนก็ต้องมากกว่าคนธรรม เขาเพียงแต่แปลกใจ แต่ไม่ได้ถูกทำให้ตกใจ เพียงแค่คิดไม่ถึงว่า เย่เทียนเฉินที่เป็นตัวตลกของทั่วทั้งจิงตูคนนี้ และยังเป็นเศษสวะไม่เอาไหน จะมีฝีมือแข็งแกร่งเช่นนี้ แข็งแกร่ขนาดดเถี่ยฉุยที่เป็นหัวหน้าหน่วยมังกรฟ้า ก็ยังไม่มีทางชนะเขาได้ ช่างทำให้ผู้คนรู้เหลือเชื่อจริงๆ

ได้ยินคำกล่าวของลั่วซงเฉิง เย่หย่วนซานก็ขมวดคิ้ว เขาไม่ใช่คนที่ไม่รอบคอบ ตอนที่ได้รู้ว่าลั่วซงเฉิงนำคนมาล้อมตระกูลเย่ เขาก็เคยคิดว่าจะไม่ให้ครอบครัวของลูกสามกลับมา ให้ลูกคนโตเย่มู่ไป๋กับลูกคนที่สองเย่เฮ่อกั๋วออกไปซ่อนให้หมด

แต่ว่านี่ล้วนแต่ไม่ได้ผล ตระกูลเย่ตกต่ำลง ตกเป็นตระกูลชั้นสาม จิงตูเป็นสถานที่ที่มีอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่อยู่นับไม่ถ้วน ตระกูลชั้นสามตระกูลหนึ่งไม่สามารถสร้างคลื่นลมยิ่งใหญ่ได้ ต่อให้ผู้อาวุโสเย่ยังมีความสัมพันธ์เก่าก่อนอยู่บ้าง แต่ว่าข้าราชการของจีนต่างก็กระจ่างชัด คนเราเมื่อออกจากต่ำแหน่งก็ไร้ซึ่งคนเคารพ คุณไม่อยู่ในตำแหน่งแล้ว ใครจะคิดบัญชีให้คุณกันเล่า?

หากว่าเย่หย่วนซานให้ลูกชายทั้งสามออกจากบ้านเพื่อหลบวิกฤต เช่นนั้นก็จะทำให้คนทั่วทั้งจิงตูคิดว่าเย่เทียนเฉินฆ่าลั่วเหลยและลั่วเทา ความรับผิดชอบของเรื่องทั้งหมดนี้ต่างก็ตกอยู่ที่ตระกูลเย่ รวมกับที่ลั่วซงเฉิงเดิมทีก็เป็นคนที่ปกป้องและถือหางพรรคพวกเป็นอย่างมากคนหนึ่ง นำทหารคนสนิทของตนเองมาหลายสิบคน ต้องการกระทำการรุนแรงที่ตระกูลเย่ ถ้าหากว่าถูกเขารู้สถานการณ์นี้ก็เป็นไปได้ว่าจะถูกเขาตามฆ่าคนตระกูลเย่ของตน ยิ่งมีข้ออ้างและเหตุผลที่จะยิงปืนฆ่าคนมากขึ้นไปอีก ดังนั้นคิดไปคิดมา เย่หย่วนซานจึงเลือกตัดสินใจนำคนในตระกูลมารวมตัวกัน เช่นนี้นจะมากน้อยก็ยังสามารถปกป้องพวกเขาได้

“เรื่องนี้ไม่สามารถด่วนสรุปได้ แค่อาศัยคำพูดเดียว ก็ตัดสินว่าเย่เทียนเฉินหลานของผมเป็นคนทำ จะสะเพร่าเกินไปแล้ว!” เย่หย่วนซานหลายปีมานี้ แม้ว่าจะไม่ค่อยดีกับครอบครัวของลูกสาม แต่ว่าในช่วงเวลาสำคัญก็มักจะยืนอยู่ข้างเดียวกัน จะอย่างไรก็เป็นญาตใกล้ชิดกัน

“ใช่แล้ว พี่ลั่ว ต่อให้ลูกชายผมโง่งมกว่านี้ ก็คงไม่โง่ถึงขนาดว่าหลังจากฆ่าคนแล้ว ยังทิ้งข้อความเอาไว้ที่สถานที่เกิดเหตุหรอกครับ? นี่ไม่ใช่ว่าเป็นการบอกให้คนทั่วทั้งจิงตูรู้ว่าเป็นเขาที่ฆ่าหรอกเหรอ?” เย่หงรีบเปิดปากพูด

ลั่วซงเฉิงมองเย่เทียนเฉิน สบถเสียงเย็นออกมาครั้งหนึ่ง เปิดปากกล่าวอย่างดุดันว่า “ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าตระกูลเย่ของพวกแกให้กำเนิดเศษสวะไม่เอาไหนออกมาคนหนึ่ง ฉันดูแล้วเขาไม่เพียงแค่เป็นเศษสวะ แต่ยังปัญญาอ่อนอีกด้วย ไอ้ปัญญาอ่อนที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ…”

“ใครปัญญาอ่อน? ฉันว่าแกนั่นแหละปัญญาอ่อน ทั้งตระกูลแกสิปัญญาอ่อน!” เย่เทียนเฉินพูดด่ากลับคำเดิม ไม่ไว้หน้าลั่วซงเฉิงเลยแม้แต่น้อย

“แก…” ลั่วซงเฉิงโกรธจนหน้าเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวม่วง คนตระกูลเย่พวกนี้ มีเพียงเย่เทียนเฉินคนเดียวที่ไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา กล้าที่จะหาเรื่อง กลัวการข่มขู่ของเขาซึ่งเป็นรองผู้บัญชาการทหารระดับเขตซะที่ไหน

“แกอะไร? ไอ้แก่ ฉันเคารพที่แกเป็นผู้ใหญ่ ถึงจะเตือนแกสักคำ อย่าอาศัยที่ว่าตัวเองแก่แล้วมาสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น ฉันรับไม่ได้” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางมองลั่วซงเฉิงอย่างไม่แยแส

“ดี ดี ดี ผู้อาวุโสเย่ ในเมื่อหลานของคุณโอหังเช่นนี้ ก็อย่ามาโทษว่าผมไม่เกรงใจแล้วกัน!”

ลั่วซงเฉิงโกรธจนแทบจะเต้นเร่าๆ ถึงขั้นพูดคำว่าดีสามครั้ง และเตรียมที่จะใช้ปืน เขาไม่เชื่อว่า ทหารคนสนิทพร้อมด้วยอาวุธปืนหลายสิบคน ซึ่งได้ปิดล้อมบ้านตระกูลเย่ไว้แล้ว จะไม่สามารถทำให้เย่เทียนเฉินคุกเข่าร้องขอชีวิตได้

ในตอนที่ลั่วซงเฉิงกำลังจะออกคำสั่งให้ทหารคนสนิทหลายสิบคนที่ล้อมตระกูลเย่อยู่นั้นให้เปิดฉากยิง โทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น ตอนนี้เอง ลั่วซงเฉิงที่เดิมทีมีท่าทีโกรธจัด ไม่แม้แต่จะมองเบอร์ที่ปรากฏบนหน้าจอ ก็รับโทรศัพท์แล้วตะโกนด้วยเสียงอันดังว่า “ใคร? มีอะไรก็รีบพูดมา มีลมก็รีบผาย…”

ประโยคหนึ่งยังไม่ทันพูดจบ สีหน้าของลั่วซงเฉิงก็เปลี่ยนไป คำพูดก็เปลี่ยนท่าทีไปแปดส่วน มุมปากมีร้อยยิ้มขมขื่นประดับอยู่พลางกล่าวว่า “พี่ชาง ท่านบอกว่า ท่านบอกว่า…”

“ทราบแล้วครับ ทราบแล้วครับ รบกวนท่านบอกต่อรองประธานาหยางด้วยนะครับ ผม ผมเองก็หุนหันไปหน่อย…”

หลังจากที่วางโทรศัพท์ไป ลั่วซงเฉิงก็มองเย่เทียนเฉินด้วยใบหน้าเขียวคล้ำ รู้สึกไม่เต็มใจเป็นอย่างมาก แต่เขาก็จนใจ จะอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่า ชางหลางจะโทรมาหาตนเอง หากกล่าวถึงชางหลางแล้ว ตำแหน่งของเขาสูงกว่าตนเองไม่เท่าไหร่ ยังไม่มีอำนาจสั่งการตนเอง แต่ว่าในคำที่ชางหลางกล่าวตอนสุดท้ายนั้น บอกเขาอย่างชัดเจนว่า นี่คือ “น้ำใจของรองประธานหยาง” นี่ทำให้ลั่วซงเฉิงสั่นสะท้าน ไม่อาจไม่ชั่งน้ำหนักความสำคัญของเรื่องนี้

รองประธานหยาง คือรองประธาน คณะกรรมาธิการทหาร เป็นตำแหน่งเช่นไรนั้น ลั่วซงเฉิงย่อมกระจ่างแจ้งดี สำหรับคำสั่งของเขา ตนเองไม่กล้าที่จะไม่ฟัง ขนาดในฝันก็ยังคิดไม่ถึงว่ารองประธานหยางจะถึงกับช่วยพูดให้เย่เทียนเฉิน ยืนอยู่ข้างเย่เทียนเฉิน นี่ตกลงแล้วมันเพื่ออะไรกัน? เมื่อไหร่กันที่ตระกูลเย่ผูกสัมพันธ์กับรองประธานหยาง?

“เย่หย่วนซาน เรื่องนี้ผมไม่ยอมแพ้แค่นี้แน่ คอยดูพวกเราก็แล้วกัน!”

ลั่วซงเฉิงทิ้งคำพูดอันน่ากลัวไว้ประโยคหนึ่ง แล้วนำทหารคนสนิทพร้อมด้วยอาวุธปืนหลายสิบคนของตนเองถอนกำลังออกจากบ้านหลักตระกูลแย่ไป นี่ทำให้เย่หย่วนซานและคนอื่นๆ ไม่ค่อยเข้าใจนัก ลั่วซงเฉิงที่มาด้วยท่าทีดุดันโหดเหี้ยม ท่าทีฮึกเหิมที่ไม่ลังเลเลยว่าจะฆ่าล้างคนที่บ้านหลักตระกูลเย่ ไหนเลยจะรู้ว่า ในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด กลับถอนกำลังจากไป ตกลงนี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?

“เทียนเฉิน นี่…” เย่หงมองเย่เทียนเฉินผู้เป็นลูกพลางคิดว่าเขาน่าจะรู้ว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นจึงใช้น้ำเสียงที่สื่อถึงการถาม

“ลูก นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” หลัวเยี่ยนเองก็กล่าวถามอย่างร้อนรน

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ในเมื่อลั่วซงเฉิงไปแล้ว งั้นก็อธิบายได้ว่าตระกูลเย่ของพวกเราไม่มีอันตรายอะไรแล้ว พ่อแม่ พวกเรากลับบ้านกันเถอะ ท้องผมหิวหมดแล้ว!” เย่เทียนเฉินหาวครั้งหนึ่ง กล่าวอย่างไม่ใส่ใจนัก

กล่าวตามจริง เย่เทียนเฉินเองก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เดิมทีเขาคิดว่าลั่วซงเฉิงจะออกคำสั่งให้ทหารพวกนั้นเปิดฉากยิง ตนเองก็จะหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะใช้พลังพิเศษ จัดการทหารถือปืนหลายสิบคนนี้ให้ราบคาบ ไหนเลยจะรู้ว่าในช่วงเวลาสำคัญ โทรศัพท์สายหนึ่ง ก็ทำให้ลั่วซงเฉิงที่เดิมทีวางอำนาจท่าทางใหญ่โต พลันกลายเป็นมะเขือที่ถูกน้ำค้าง มึนงงไม่รู้ทิศทางไปแล้ว!

แต่ว่าเย่เทียนเฉินไม่ได้คิดอะไรมาก ตอนนี้ก็แตกหักกับตระกูลลั่วไปโดยสิ้นเชิงแล้ว ตนเองให้อู๋เสวี่ยไปฆ่าลั่วเหลยกับลั่วเทา เรืองนี้ย่อมไม่มีทางดีไปได้ จะให้ลั่วซงเฉิงที่โองหังเหิมเกริมมาตลอดไม่คิดแก้แค้น ก็เป็นเรื่องที่ยากมาก ต้องใช้แรงปะทะแรง อาศัยที่ตนเองทำร้ายลั่วเหลยและลั่วเทา ไอ้แก่ลั่วซงเฉิงก็ข่มขู่แกมบังคับใช้ผลประโยชน์เข้าแลกให้อู๋เสวี่ยมาฆ่าตนเอง เห็นได้ว่าเฒ่าชราคนนี้มีนิสัยโหดเหี้ยม หากไม่กำจัด อันตรายที่มีต่อตระกูลเย่ในภายหลังก็จะไม่จบไม่สิ้น

“เย่หง ครอบครัวของแกคืนนี้ไม่ต้องไปแล้ว เรียกเฉี่ยนเหวินมาเถอะ พวกเราครอบครัวมากินข้าวด้วยกัน” เย่หย่วนซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ปู่ครับ พวกเรายุ่งมาก…” เย่เทียนเฉินไม่อยากจะอยู่ที่บ้านตระกูลเย่แม้แต่นาทีเดียว สถานที่แห่งนี้ไม่ได้ให้ความรู้สึกดีๆ แก่เขาเลยแม้แต่น้อย เมื่อก่อนเขาอยู่ที่นี่ก็มักจะได้รับโทษตามกฏบ้าน ถูกลุงใหญ่และลุงสองด่าว่าเป็นเด็กไม่เอาไหน เป็นเศษสวะ ต่อหน้าคนมากมาย ทำให้พ่อแม่ขายหน้า ดังนั้นสถานที่แห่งนี้ สำหรับครอบครัวของพวกเขาแล้วไม่มีค่าพอให้โหยหาเลยแม้แต่น้อย

“พ่อครับ งั้นก็ดีเลย คืนนี้พวกเราก็กินข้าวกันที่นี่ มีความสุขกับครอบครัวสักหน่อย!” เย่หงกล่าวขัดคำพูดของเย่เทียนเฉินผู้เป็นลูก กล่าวกับเย่หย่วยซานผู้เป็นพ่อด้วยรอยยิ้ม

เย่หย่วนซานพยักหน้า มองเย่เทียนเฉินครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เขาเองไม่ได้ถือสาที่หลานคนนี้ไม่เคารพตนเอง หลายปีมานี้ ตนรู้สึกขอโทษต่อครอบครัวลูกสามจริงๆ สำหรับหลานคนนี้ก็รู้สึกผิดอยู่บ้าง ดังนั้นในใจเย่เทียนเฉินไม่มีความสุขก็เป็นเรื่องธรรมดา

แต่ว่า ตั้งแต่ที่เย่เทียนเฉินพุ่งเข้าไปตำหนิลุงใหญ่กับลุงสองของเขาเพราะหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ได้รับความอยุติธรรม จนถึงตอนนี้ พอปรากฏตัวขึ้นมาก็ทำให้ลั่วซงเฉิงที่โอหังเหิมเหริมหาที่เปรียบกลัวจนขาอ่อน สุดท้ายลั่วซงเฉิงก็จากไปอย่างจนใจ ไม่ว่าเขาจะใช้วิธีอะไร ต่างก็ดูกถูกไม่ได้ อย่างน้อยตอนนี้ตระกูลเย่ทั้งตระกูลที่สามารถทำตรงส่วนนี้ได้ ก็มีเพียงเย่เทียนเฉิน บางทีหลานที่เคยเป็นเศษสวะไม่เอาไหนคนนี้ อาจเป็นความหวังที่จะสามารถทำให้ตระกูลเย่รุ่งเรืองจริงๆ ก็ได้

ตอนนี้เอง ภายในจิงตู ณ ภูมิภาคทางใต้ บนชั้นบนสุดของอาคารสำนักงานแห่งหนึ่ง หลังจากที่ชางหลางโทรหาลั่วซงเฉิงแล้ว ก็ยืนด้วยความเคารพอยู่หน้าประตูพลางเคาะประตูขึ้น เมื่อได้ยินเสียงตอบรับจากภายใน จึงเดินเข้าไป ยืนตรงอยู่กลางออฟฟิศขนาดหนึ่งร้อยกว่าตราางเมตร กล่าวรายงานด้วยเสียงดังกังวานว่า “หัวหน้าครับ ผมให้ลั่วซงเฉิงถอนทหารแล้วครับ อีกอย่างได้บอกเขาไปอย่างชัดเจนแล้วว่าเป็นน้ำใจของคุณ”

บริเวณส่วนหน้าของสำนักงานอันกว้างไหญ่ มีชายชราอายุประมาณหกสิบปีคนหนึ่งนั่งอยู่ สวมชุดทหาร ปรากฏแววยุติธรรมสายหนึ่งอยู่ระหว่างคิ้ว ทั้งยังมีลักษณะอันน่าเกรงขามที่ทำให้ผู้คนไม่กล้าลบหลู่ นี่ก็คือหยางอี้ผู้เป็นรองประธาณคณะกรรมาธิการทหารแห่งชาติ เป็นเขาที่ให้ชางหลางโทรไปหาลั่วซงเฉิงละสั่งให้ลั่วซงเฉิงถอนทหาร

“เกี่ยวกับเรื่องตระกูลลั่วกับตระกูลเย่ วันหลังค่อยว่ากัน ข่าวกรองที่นายได้รับเป็นเรื่องจริงหรือ? ที่ฉันอยากจะรู้ก็คือ เด็กคนนี้จะมีความสามารถพอที่จะรับภารกิจครั้งนี้ได้หรือไม่” หลางอี้มองชางหลางพลางกล่าว

“หัวหน้า เกี่ยวกับเรื่องที่เขาจะสามารถทำภารกิจครั้งนี้สำเร็จหรือไม่ ผมไม่กล้ารับประกัน รู้แต่ว่าเด็กคนนี้แข็งแกร่งมาก เถี่ยฉุยไม่ใช่คู่มือของเขา” ชางหลางเปิดปากพูด

หยางอี้ขมวดคิ้ว จากนั้นจึงมองชางหลางพลางกล่าวว่า “นายต้องเข้าใจว่า ภารกิจครั้งนี้เป็นภารกิจพิเศษไม่เหมือนภารกิจทั่วไป ระหว่างทางไปยังประเทศเขา ไม่รู้ว่าจะพบกับยอดฝีมืออะไรบ้าง หากว่าเด็กคนนี้ไม่สามารถเอาชนะยอดฝีมือทั้งหมด ไม่สามารถปกป้องคนตระกูลหลิ่ว และไม่สามารถไปทำภารกิจให้สำเร็จได้ จะมีความสูญเสียต่อประเทศจีนของพวกเราเป็นอย่างมาก คนก็เป็นนายที่แนะนำมา ดังนั้นนายก็รับผิดชอบไป…”

ชางหลางชะงักไปชั่วครู่ เขาเข้าใจความหมายของรองประธานหยางอี้ มีตำแหน่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของรองประธานคณะกรรมาธิการทหารมาสิบกว่าปี ชางหลางย่อมเข้าใจว่าหยางอี้เป็นคนเช่นไร ถึงแม้ว่าทั้งสองจะมีความสัมพันธ์แบบลูกน้องหัวหน้าที่เคร่งครัด แต่ก็พูดได้ว่าเป็นความสัมพันธ์แบบเพื่อนและเพื่อนร่วมงานด้วย ดังนั้นชางหลางจึงเรียกหยางอี้ว่า “หัวหน้า” อย่างสนิทสนม แต่ก็เข้าใจดีถึงความสาหัสของภารกิจครั้งนี้ หากว่าเกิดความผิดพลาดแม้เพียงครึ่งส่วน ใครก็มิอาจแบกรับความรับผิดชอบนี้ไหว

……………………………………………………………….

บทที่ 54 ผู้ใหญ่ก็ควรมีท่าทางเช่นผู้ใหญ่!
Ink Stone_Fantasy
การต่อสู้อันดุเดือดของเย่เทียนเฉินและเถี่ยฉุยนั้นกล่าวได้ว่าน่าใจหายใจคว่ำ เกินจินตนาการของคนเช่นลั่วซงเฉิงไปแล้ว และก็ทำให้พวกเขาเหล่านี้ที่เคยได้ยินเรื่องวรยุทธของพรรควรยุทธโบราณเพิ่งจะเข้าใจ ศิลปะการต่อสู้ของจีนและวัฒนธรรมนั้นกว้างขวางลึกล้ำเช่นเดียวกัน การต่อสู้ระหว่างพวกเขายังคงโหดเหี้ยมดุดัน การประมือระหว่างพวกเขามีอำนาจถล่มฟ้าทลายดิน

ความจริงแล้ว วรยุทธของพรรควรยุทธโบราณล่วงเลยมาถึงปัจจุบัน ก็ค่อยๆ ลางเลือนไปจากสายตาผู้คน กระทั่งถูกผู้คนจำนวนมากลืมเลือน ส่วนใหญ่ต่างก็ไม่รู้ การต่อสู้ของยอดฝีมือศิลปะการต่อสู้ที่แท้จริงห่างไกลจากการต่อสู้ในหนังในละครมาก ทำให้ผู้คนสั่นสะท้านยิ่งกว่า ทั้งยังมีความครึกโครมมากกว่า

“ไอ้หนูนายแข็งแกร่งจริงๆ” เถี่ยฉุยมองเย่เทียนเฉินพลางกล่าว

“หัวหน้าหน่วยมังกรฟ้าอย่างคุณก็ร้ายกาจมาก ผมคิดจะสู้ต่อไป ก็คงยากที่จะตัดสินแพ้ชนะ ไม่สู้ทิ้งความคลุมเครือไว้ ภายหลังค่อยสู้กันอีกเป็นไง?” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางมองเถี่ยฉุยด้วยรอยยิ้ม

เมื่อสักครู่นี้เถี่ยฉุยใช้พลังเต็มที่แล้ว สองมือกลายเป็นฝ่ามือคล้ายกับคมดาบสองเล่ม ปกคลุมด้วยพลังลมปราณอันแข็งแกร่ง ฟันไปยังไหล่ทั้งสองของเย่เทียนเฉินโดยตรง ส่วนเย่เทียนเฉินก็ไม่อาจไม่กระตุ้นพลังพิเศษระดับจอมราชันภายในร่างเพื่อต่อต้าน หลังจากการปะทะสุดท้าย เถี่ยฉุยถอยหลังไปเกือบสิบก้าว เสื้อผ้าบริเวณไหล่ทั้งสองของเย่เทียนเฉินถูกฟันขาด พลังภายในสองสายที่ก่อตัวเป็นคมดาบนั้นไม่ได้ทำร้ายร่างกายของเย่เทียนเฉิน เพราะถูกเย่เทียนเฉินใช้พลังพิเศษระดับจอมราชันเปลี่ยนรูปเป็นม่านพลังและป้องกันไว้ด้านนอก แต่ยังคงถูกฟันจนเสื้อผ้าบริเวณไหล่ทั้งสองขาด แสดงให้เห็นว่าคมดาบอันก่อรูปจากพลังภายในของเถี่ยฉุยนั้นแข็งแกร่งขนาดไหน

เถี่ยฉุยมองเย่เทียนเฉิน เขารู้ว่าเย่เทียนเฉินยังไม่ได้ใช้พลังเต็มที่ ในใจก็สั่นสะท้าน ตอนนี้กระทั่งเขาก็มองไม่ออกแล้ว ไม่รู้ว่าเย่เทียนเฉินคนนี้แข็งแกร่งขนาดไหนกันแน่ เมื่อก่อนเขายังสงสัยอยู่บ้างว่าตกลงแล้วใช่เย่เทียนเฉินที่ฆ่าคนของกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิตทั้งหมดหรือไม่ ตอนนี้ดูแล้ว ก็มีความสามารถเช่นนั้นจริงๆ

ในสายตาของคนที่ดูการต่อสู้อยู่ด้านข้าง ฝีมือของเย่เทียนเฉินและเถี่ยฉุยนั้นประโคมกันอย่างเท่าเทียม ใครอยากจะเอาชนะใครล้วนแต่ยากลำบาก ส่วนใครจะแข็งแกร่งกว่ากันแน่นั้น มีเพียงในใจของพวกเขาทั้งสองคนที่กระจ่างชัด

“ฉันไม่ได้ชนะนาย ดังนั้นนนับฝตามคำพูดของฉัน เรื่องนี้ฉันจะไม่ยุ่งแล้ว แต่ว่า ฉันอยากจะเตือนนาย อย่าให้มันเกินไปนักล่ะ ไม่งั้นจบไม่สวยแน่!” เถี่ยฉุยกล่วเตือนด้วยความหวังดี

เย่เทียนเฉิน แม้ว่าคนๆ นี้จะพูดจาโอหัง และทำอะไรไม่จริงจังอยู่บ้าง แต่ความประทับใจที่เถี่ยฉุยมีต่อเย่เทียนเฉินก็ไม่ได้เลวร้ายมากนัก เนื่องจากอย่างน้อยเย่เทียนเฉินก็ดีกว่าไอ้เฒ่าชราลั่วซงเฉิงไม่น้อย

“ขอบคุณ เดินดีๆ นะครับ ไม่ส่งนะ!” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้มพลางโบกมือ

เห็นเถี่ยฉุยหมุนตัวเดินจากไป ไม่ได้พูดอะไรสักคำ ลั่วซงเฉิงก็พลันร้อนรนขึ้นมา เขาตกใจจนปากอ้าตาค้างไปตั้งนานแล้ว ตอนที่เย่เทียนเฉินกล้าออกปากท้าทายเถี่ยฉุย เขาหวังว่าเถี่ยฉุยจะสามารถสั่งสอนเย่เทียนเฉินอย่างโหดเหี้ยมได้ จากนั้นก็จับเขาไป ขอเพียงนำตัวเย่เทียนเฉินไปได้ ตนเองก็สามารถทำให้เย่เทียนเฉินอยู่ไม่สู้ตาย

ไหนเลยจะรู้ว่าเย่เทียนเฉินจะต่อสู้กับเถี่ยฉุย และสู้จนเอาชนะหัวหน้าหน่วยมังกรฟ้าอย่างเถี่ยฉุยไปได้อย่างไม่ชัดเจนนัก ทำให้หน้าผากของลั่วซงเฉิงปรากฏเหงื่อเย็นออกมา หากกล่าวถึงอายุ ปประสบการณและโลกที่พบเห็น ล้วนแต่มากกว่าเย่เทียนเฉินมากทั้งนั้น เรื่องที่จะทำให้เขาต้องสั่นสะท้านจนนิ่งอึ้งได้ย่อมไม่ใช่เรื่องธรรมดาๆ แน่นอน

แต่ว่า การต่อสู้ของเถี่ยฉุยและเย่เทียนเฉิน ทำให้ในใจของลั่วซงเฉิงสั่นสะท้าน ถึงขั้นสั่นไหว

เถี่ยฉุย หัวหน้าหน่วยมังกรฟ้า ผู้รับผิดชอบทหารองครักษ์แห่งจิงตู ฝีมือไล่ตามสามราชันนักรบที่ความสามารถแข็งแกร่งที่สุดในจีนไปติดๆ ถ้าหากมีคนบอกว่าฝีมือของเถี่ยฉุยไม่แข็งแกร่ง เช่นนั้นก็คงจะถูกผู้คนหัวเราะเยาะจนฟันร่วง

ส่วนการต่อสู้ของเย่เทียนเฉินกับเถี่ยฉุย นึกไม่ถึงว่าจะไม่แพ้ และยังมีแนวโน้มที่จะชนะเถี่ยฉุยออยูลางๆ นี่จะทำให้ลั่วซงเฉิงไม่ตกใจได้อย่างไร ณ ช่วงเวลานี้ เขามีความรู้สึกอย่างหนึ่งจริงๆ นั่นเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจบหรือบางทีเรื่องนี้ ตนเองไม่ควรจะถือหางพวกพ้องจริงๆ และก็ไม่ควรส่งนักฆ่าอู๋เสวี่ยไปลอบสังหารเย่เทียนเฉิน มิฉะนั้นคงไม่ทำให้หลานชายทั้งสองของตนถูกฆ่า จนเกิดเป็นสภาพการณ์ปัจจุบันนี้

“เถี่ยฉุย ทำไมคุณไม่จับไอ้ขยะนี่? อย่าลืมหน้าที่ของตัวเองสิ!” ลั่วซงเฉิงกล่าวพลางมองเถี่ยฉุยอย่างดุดัน

เถี่ยฉุยชะงักไปชั่วครู่ หันกลับมามองลั่วซงเฉิง ความประทับใจที่เขามีต่อลั่วซงเฉิงนั้นไม่ดีเลย แต่ว่าคิดถึงความรับผิดชอบของตนเอง ก็ยังไม่หวังให้ตระกูลลั่วกับตระกูลเย่ปะทะกัน ถึงตอนนั้นต่างก็จัดการไม่ง่ายเลย อีกอย่างเย่เทียนเฉินเป็นคนที่ทำให้ผู้คนมองไม่ออกคาดเดาไม่ได้ หากลั่วซงเฉิงต้องการใช้อำนาจบาตรใหญ่จริงๆ มีความเป็นไปได้มากว่าที่จะพบกับวิกฤตก็คือตระกูลลั่ว ไม่ใช่ตระกูลเย่ที่ตกต่ำจนกลายเป็นตระกูลชั้นสาม

“ช่างมันเถอะ เรื่องนี้เป็นตระกูลลั่วของคุณที่ทำไม่ถูกก่อน หากว่าต้องแก้แค้นล่ะก็ คุณก็ลงมือเอง พวกเราจะทำตามกฏระเบียบปกติ!” เถี่ยฉุยกล่าวอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว

“คุณ…เถี่ยฉุย…”

จะอย่างไรลั่วซงเฉิงก็คิดไม่ถึงว่า เถี่ยฉุยจะไม่อยู่ ข้างตนเอง เดิมทีลั่วซงเฉิงเรียกตัวเถี่ยฉุยมา ก็เป็นเพราะอยากยืมอำนาจของเถี่ยฉุย เขาคิดว่า ไม่ว่าจะอย่างไร อำนาจของตระกูลลั่วของตนก็ทิ้งห่างตระกูลเย่มาก ต่อให้เป็นคนโง่ก็ดูออก เรื่องนี้ไม่ว่าจะอย่างไร เถี่ยฉุยควรจะเข้าข้างตนเอง ไหนเลยจะรู้ว่า เถี่ยฉุยจะต้องการจากไปในตอนนี้ ไม่ช่วยตนเองกล่าวสักประโยคเลย ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะการปรากฏตัวของเย่เทียนเฉิน ทำให้แผนการของเขารวนไปหมด ทำให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นฝ่ายถูกกระทำโดยสิ้นเชิง

ความจริงแล้วที่เถี่ยฉุยมา ก็เพราะภาระหน้าที่ของตนเอง ตระกูลลั่วและตระกูลเย่ต่างก็เป็นตระกูลในจิงตู ลั่วซงเฉิงก็ใช้อำนาจบาตรใหญ่และถือหางพรรคพวกเป็นอย่างมาก หากเกิดการบาดเจ็บล้มตายของใครเข้าล่ะก็ เขาก็หนีไม่พ้นความรับผิดชอบ จะอย่างไรก็ไม่อยากไปยืนอยู่ฝั่งไหนเลย ตอนนี้เห็นเย่เทียนเฉินออกมา เขาก็รู้ว่าลั่วซงเฉิงคุกคามอะไรตระกูลเย่ไม่ได้อีกแล้ว ขอเพียงแค่เย่เทียนเฉินไม่ลงมือจนลั่วซงเฉิงตายก็จะดีมาก

“อย่าตะโกนเลย ลั่วซงเฉิง เอาทหารถือปืนของนายไปซะ อย่าบังคับให้ฉันต้องลงมือต่อยคนแก่” เย่เทียนเฉินกล่าวประโยคนั้น กลับทำให้ลั่วซงเฉิงโหรธจนกระอักเลือด

อัดคนแก่? เขาลั่วซงเฉิงเป็นใคร?รองผู้บัญชาการทหารระดับเขต และมีความหวังว่าจะได้เข้าเป็นคณะกรรมาธิการทหาร เย่เทียนเฉินปฏิบัติราวกับเป็นคนแก่ธรรมดาๆ สิ่งนี้สำหรับเขาถือเป็นการดูถูกและเหยียดหยามอย่างหนึ่ง

“เย่เทียนเฉิน ฉันไม่ปล่อยแกไปแน่ ไม่ปล่อยคนตระกูลเย่ของแกทุกๆ คน หลานชายของฉันจะต้องไม่ตายเปล่า จะต้องให้ตระกูลเย่ของแกชดใช้ด้วยเลือด!” ลั่วซงเฉิงโกรธจนสองตาแดงก่ำ เปิดปากกล่าวออกมาอย่างดุดัน

เย่เทียนเฉินไม่สนใจการข่มขู่จองลั่วซงเฉิง วันนี้ก็แตกหักกับอีกฝ่ายแล้ว ขอเพียงลั่วซงเฉิงกล้าลงมือกับตระกูลเย่ เขาเย่เทียนเฉินก็จะไปฆ่าคนที่ตระกูลลั่วจริงๆ ตอบแทนสิ่งที่ได้รับกลับไปเช่นเดียวกับที่เขาทำ จัดการกับคนเช่นลั่วซงเฉิง ใช้เหตุผล ใช้กฏหมาย นั้นล้วนไม่ได้ผล มีเพียงใช้วิธีการของเหล็กและเลือดเท่านั้นถึงจะปราบปรามเฒ่าชราคนนี้ได้

“อย่างนี้แล้วกัน หลานสองคนของแกไม่ใช่ว่าตายไปแล้วเหรอ? คนอื่นๆในตระกูลเย่ของฉัน แกห้ามยุ่งเด็ดขาด ไม่งั้อาจจะมีคนตระกูลลั่วของแกตายเพื่อชดใช้ ถ้าหากแกอยากระบายสักหน่อยล่ะก็ ฆ่าสองคนนั้นก็ได้ ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับฉัน…” เย่เทียนเฉินมองลุงใหญ่เย่มู่ไป๋และลุงสองเย่เฮ่อกั๋วพลางกล่าว พวกเขาสร้างปัญหาให้ครอบครัวของตน ในช่วงเวลาสำคัญที่สุดและวิกฤตที่สุด ไม่เพียงแต่ไม่คิดช่วยเหลือ กลับทำให้เรื่องแย่ลงไปอีก คนประเภทนี้ไม่จัดการไม่ได้

ได้ยินคำกล่าวของเย่เทียนเฉิน ใบหน้าของเย่มู่ไป๋และเย่เฮ่อกั๋วห็พลันเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำและซีดเซียวเล็กน้อย ตกใจจนสั่นไปทั้งร่าง สภาพการณ์ในวันนี้ ใครต่างก็มองออกว่า คนที่อยู่ที่นี่ ต่อให้เป็นผู้อาวุโสเย่หย่วนซาน เกรงว่าก็ไม่สามารถหยุดลั่วซงเฉิงได้ คนๆ นี้เดิมทีก็ต้องการฆ่าฟันที่บ้านหลักตระกูลเย่ หากไม่ใช่เพราะการปรากฏตัวของเย่เทียนเเฉินและใช้วิธีการรุนแรงแข็งกร้าว เกรงว่าตอนนี้บ้านหลักตระกูลเย่ก็คงจะมีคนตายไปนานแล้ว แต่เย่เทียนเฉินพูดเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าบอกให้เย่มู่ไป๋และเย่เฮ่อกั๋วไปตายหรอกหรือ? ทั้งสองคนพลันตกใจจนสีหน้าซีดขาวแล้ว

“แก…เย่เทียนเฉิน แกมันหลานอกตัญญูของตระกูลเย่ของพวกเรา แกกล้าไม่เคารพผู้ใหญ่เรอะ?” เย่มู่ไป๋คำรามเสียงดังอย่างโกรธแค้น

“น้องสาม ดูลูกชายแกคนนี้สิ ดื้อรั้นขนาดไหน ตระกูลเย่ของพวกเรามีคนไม่เอาไหนเช่นนี้ อัปยศจริงๆ!” เย่เฮ่อกั๋วเองก็รับกล่าวพลางมองเย่เทียนเฉินอย่างโหดร้าย

เย่เทียนเฉินสบถออกมาครั้งหนึ่ง ในเมื่อพวกคุณไม่เป็นลุงใหญ่ลุงสองดีๆ แล้วก็ไม่เห็นผมเป็นหลานของพวกคุณ ทำไมผมจะต้องเกรงใจพวกคุณด้วยเล่า? ทุกทีก็พุ่งเป้าไปที่พ่อผม ตอนนี้ก็พุ่งเป้าที่ผม ถ้ผมไม่ตอบโต้ พวกคุณจะไม่ทำให้ผมและครอบครัวเดือดร้อนหรอกหรือ?

ผู้ใหญ่แน่นอนว่าควรเคารพ แต่ว่าสำหรับคนแก่ที่เกะกะระรานเช่นนั้น กระทั่งพวกที่แก่แต่ไร้คุณธรรม แล้วยังใช้อำนาจบาตรใหญ่ บางทีก็ต้องต่อต้านบ้าง มิฉะนั้นนับวันพวกเขาจะยิ่งรู้สึกว่าตนเองนั้น “เป็นผู้ใหญ่”

“ไม่เคารพผู้ใหญ่? พวกคุณสมควรเป็นผู้ใหญ่ของผมงั้นหรือ? ทำตัวเป็นผู้ใหญ่ที่ดีแล้วรึยัง? หากว่าตระกูลเย่ของเราจะต้องอัปยศ พวกคุณสองคนก็เป็นคนผิดของตระกูลเย่ พุ่งเป้ามาที่พ่อของผมทุกที่ บีบคั้นเขา ตำหนิเขา พ่อของผมนิสัยดี ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับพวกคุณ แต่ว่าผมเย่เทียนเฉิน หัวใจและสมองไม่ได้กว้างขวางขนาดนั้น สรุปแล้วพวกคุณไม่เห็นผมเป็นญาติ ผมก็ไม่จำเป็นต้องมองพวกคุณเป็นครอบครัว!” เย่เทียนเฉินไม่รอให้เย่หงพ่อของตนได้เปิดปากกล่าวก็ชิงกล่าวปะทะไปก่อน

เพียงแค่ประโยคง่ายๆ ไม่กี่ประโยคเท่านั้น เพียงแค่ประโยคถามกลับง่ายๆ ไม่กี่ประโยคเท่านั้น ก็ทำให้เย่มู่ไป๋และเย่เฮ่อกั๋วพูดอะไรไม่ออก อับอายจนใบหน้าแดงก่ำ ในเวลาปกติพวกเขาสองคนตำหนิและบีบคั้นน้องสามเย่หง ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไร ส่วนผู้อาวุโสเย่หย่วนซานก็ลืมตาข้างปิดตาข้าง ไม่อยากให้ครอบครัวไม่กลมเกลียว และก็ไม่ได้สนใจ ตอนนี้เย่เทียนเฉินเปิดโปง กล่าวออกมาทั้งหมด ช่วงขณะนั้นทั้งโกรธทั้งอาย

“ผู้อาวุโส พ่อดู นี่คือหลานของตระกูลเย่…”

“พ่อ ไม่ช้าก็เร็วหลานคนนี้นำพาความเสียหายมาให้ตระกูลเย่ของพวกเรา ไม่ลงโทษตามกฏบ้านไม่ได้นะครับ”

เย่มู่ไป๋และเย่เฮ่อกั๋วถูกทำให้โกรธจนอับจนหนทาง ทำได้เพียงพึ่งพาเย่หย่วนซานผู้เป็นบิดาให้ลงโทษเย่เทียนเฉิน

“หุบปาก ไสหัวไปซะ พวกแกสองคนยังทำให้ตระกูลเย่ของฉันขายหน้าไม่พออีกเหรอ?” เย่หย่วนซานคำรามพลางมองลูกชายใหญ่และลูกชายคนที่สองของตนเองอย่างโหดร้าย

เย่มู่ไป๋และเย่เฮ่อกั๋วตกใจจนชะงักงัน พวกเขาคิดไม่ถึงว่าเย่หย่วนซานผู้เป็นบิดาที่ไม่โกรธมากนาน ครั้งนี้จะโกรธรุนแรงถึงเพียงนี้ เย่เทียนเฉินฆ่าหลานทั้งสองของตระกูลลั่ว ลั่วซงเฉิงนำทหารมาล้อมบ้านหลักตระกูลเย่ด้วยตัวเอง มีความเป็นไปได้ที่จะเปิดศึกฆ่าฟัน กล่าวได้ว่าเย่เทียนเฉินนำพาภัยพิบัติอันเลวร้ายมาสู้ตระกูลเย่ แต่ว่า ผู้อาวุโสเย่หย่วนซานไม่กล่าวโทษเย่เทียนเฉิน กลับตะโกนด่าพวกเขาทั้งสอง ทำให้พวกเขาสองคนโง่งมจนคลำสมองไม่เจอ

“ผู้อาวุโสเย่ หลานชายทั้งสองของผมไม่อาจตายเปล่าได้ ไม่ว่าอย่างไรวันนี้ผมจะทวงคืนความยุติธรรม ไม่งั้นผมทำได้เพียงฆ่าคนที่บ้านหลักตระกูลเย่แล้ว อย่ามาโทษผมก็แล้วกัน!” ลั่วซงเฉิงแม้ว่าจะไม่มั่นใจ แต่กลับกล่าวออกมาย่างแสดงอำนาจ

…………………………………………………………………

บทที่ 53 เย่เทียนเฉินสู้รบกับเถี่ยฉุยอย่างดุเดือด
Ink Stone_Fantasy
ความประทับใจที่เย่เทียนเฉินมีต่อเถี่ยฉุยนั้นไม่เลว การกล่าวคำพูดที่ดูราวกับว่าตนเองอวดดีและดูถูกเถี่ยฉุยเหล่านี้นั้น ก็เป็นเพราะเพื่อที่จะกระตุ้นให้เถี่ยฉุยโกรธ ให้เขาใช้พลังทั้งหมด

เกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ เย่เทียนเฉินรู้ว่าในสังคมปัจจุบันนั้นก็มียอดฝีมือดำรงอยู่เช่นกัน เพียงแต่ไม่รู้ว่ายอดฝีมือพรรควรยุทธโบราณและผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษในแห่งโลกแห่งนี้ร้ายกาจขนาดไหนกันแน่ อีกทั้งเย่เทียนเฉินต้องการฟื้นคืนพลังของขอบเขตพลังระดับพระเจ้า ก็ยังต้องการการต่อสู้ดุเดือดเลือดพล่านอีกมากมาย ต้องการต่อสู้กับยอดฝีมืออีกมากมาย เถี่ยฉุยก็เป็นหนึ่งในหมู่ยอดฝีมือ ดังนั้นเย่เทียนเฉินจึงคิดจะให้เถี่ยฉุยต่อสู้กับตนโดยใช้พลังทั้งหมด

สำหรับลั่วซงเฉิง จะฆ่าหรือไม่ฆ่าไม่ใช่เรื่องสำคัญขนาดนั้น อย่างไรก็ตามมีหลักการอยู่ข้อเดียว ถ้าหากลั่วซงเฉิงกล้าลงมือกับพ่อแม่และน้องสาวของตน เย่เทียนเฉินก็ไม่ถือสาที่จะบุกไปที่ตระกูลลั่วเปิดฉากฆ่าครั้งใหญ่

“ถ้าใช้พลังทั้งหมด ฉันกลัวว่านายจะรับไม่ไหว!” เถี่ยฉุยกล่าวพลางมองเย่เทียนเฉินอย่างเย็นชา

เถี่ยฉุยคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าฝีมือของเย่เทียนเฉินจะแข็งแกร่งเช่นนี้ เดิมทีคิดว่าเย่เทียนเฉินก็นับว่ามีฝีมืออยู่บ้าง แต่ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตนเองแน่นอน ไหนเลยจะรู้ว่า ชายคนนี้จะหลบการโจมตีของตนเองได้ง่ายๆ ทั้งยังโต้กลับมาอีกหนึ่งกระบวนท่า ทำให้ตนเองกระเด็นออกไป แม้ว่าเขาเถี่ยฉุยจะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่ก็รู้สึกได้ว่าพลังการเตะของเย่เทียนเฉินนั้นรุนแรงมาก

แน่นอนว่าเถี่ยฉุยมีความมั่นใจในฝีมือของตนเองมาก เขาไม่ได้ใช้พลังทั้งหมด เพราะตอนที่เขาเถี่ยฉุยใช้พลังทั้งหมดก็จะแตกต่างราวกับเป็นคนละคน พลังการสู้รบก็แตกต่างกับก่อนหน้านี้ราวฟ้ากับเหว

“หนูกลัวจังเลย กลัวจริงจริงเลย รบกวนช่วยใช้พลังทั้งหมดด้วยเถอะ รีบใช้พลังทั้งหมดมาอัดหนู…กลั๊วกลัว!” เย่เทียนเฉินตั้งใจใช้ท่าทีราวผู้หญิงพลางกล่าวอย่างเต็มไปด้วยรสชาติของการยั่วยุ

“แม่มันเถอะ ไอ้หนูนี่กวนตีนจริง!”

เถี่ยฉุยโกรธจนทนไม่ไหว พูดออกมาเสียงดัง สายตาเปลี่ยนเป็นแดงก่ำราวเลือด พลังที่แผ่ออกมาจากตัวก็เปลี่ยนไป มีระยะห่างสามเมตรเป็นช่องว่างกั้นไว้ ก็ใช้หมัดต่อยไปในอากาศว่างเปล่านั้น เย่เทียนเฉินตกตะลึงไปทั้งตัว พลิกตัวหลบไปด้านซ้าย หลบหมัดของเถี่ยฉุย

ตู้ม!

ฉากที่ทำให้ผู้คนต้องสั่นสะท้านเกิดขึ้นแล้ว เถี่ยฉุยเพียงต่อยไปยังเย่เทียนเฉินโดยผ่านช่องว่างที่กั้นไว้ ทั้งยังไม่ใช่การสู้ในระยะใกล้ แต่ว่าตอนที่เย่เทียนเฉินหลับหมัด แจกันด้านหลังของเขาถูซัดจนแตกเป็นเสี่ยงๆ กระเบื้องและดินตกลงมาจากกลางอากาศ เห็นแล้วทำให้ผู้คนต้องขวัญกระเจิงอยู่ในใจ ถ้าหากว่าเป็นคนที่ถูกหมัดนี้เข้าไปล่ะก็ สามารถถูกต่อยจนทะลุได้เลย

“ว้าว คุณเอาจริงเหรอ?” เย่เทียนเฉินตั้งใจกล่าวแซวเถี่ยฉุยด้วยรอยยิ้ม

“เฮอะ ไอ้หนูอย่างนายอยากเอาจริง ฉันก็จะใช้พลังทั้งหมดเล่นเป็นเพื่อนนาย ระวังตายซะล่ะ” เถี่ยฉุยกล่าวพลางมองเย่เทียนเฉินอย่างโหดร้าย

ในหมัดของเถี่ยฉุยเมื่อสักครู่นี้ แฝงไปด้วยพลังยุทธอันแข็งแกร่ง เมื่อเทียบกับอู๋เสวี่ยก็ยังเหนือกว่าเล็กน้อย มวยสิงอี้ของอู๋เสวี่ยนั้น กระบวนท่าที่แกร่งที่สุดก็คือมวยสิงอี้แปดทิศ และมีเพียงการกระตุ้นพลังยุทธในกล้ามเนื้ออย่างเต็มที่ถึงจะสามารถออกกระบวนท่าฆ่าฟันอันแข็งแกร่งนี้ได้ ไม่เหมือนกับเถี่ยฉุยซึ่งถึงขั้นที่เหวี่ยงหมัดง่ายๆ ก็มีพลังยุทธอันแข็งแกร่งแฝงไปด้วยแล้ว ต่อให้โจมตีไม่โดนเป้าหมาย ก็ยังมีพลังทำลายล้างอันแข็งแกร่ง

“มาเถอะ ที่ต้องการก็คือใช้พลังเต็มที่นี่แหละ แบบนี้ถึงจะสนุก!” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ฉันว่าไอ้หนูอย่างนายไม่ใช่แค่กวนตีน แต่ยังปากดีอีกด้วย ต้องสั่งสอนสักหน่อยแล้ว”

เถี่ยฉุยจู่ๆ ก็รู้สึกว่าเย่เทียนเฉินคนนี้มีความพิเศษจริงๆ ตอนที่โกรธก็สามารถทำให้ผู้คนคิดว่าคนๆ นี้เป็นคนที่ใครก็หยุดการย่างก้าวของเทพแห่งความตายอย่างเขาไม่ได้ ตอนที่ผ่อนคลาย เมื่อพูดอะไรออกมาก็ให้ความรู้สึกไม่จริงจัง ดูเหมือนว่าจะกลับไปเหมือนเมื่อตอนที่เขาที่มีท่าทางของคุณชายเสเพลไม่เอาไหน

“ที่กวนตีนคือไอ้แก่นั้น ไม่ใช่ผม ผมคนนี้เป็นคนที่รักพวกพ้องมาก” เย่เทียนเฉินมองลั่วซงเฉิงพลางกล่าวออกมาอย่างไม่ละอาย

“แก…เถี่ยฉุย เย่เทียนเฉินไม่เพียงแต่ฆ่าหลานชายทั้งสองคนของตระกูลลั่วของผม แถมยังไม่เห็นคุณอยู่ในสายตาอีก คนแบบนี้ หรือว่าคุณจะไม่จับกลับไปลงโทษงั้นเรอะ?”

ลั่วซงเฉิงโกรธจนปอดแทบระเบิด นำทหารคนสนิทมาหลายสิบคน ต้องการมาที่บ้านหลักตระกูลเย่เพื่อฆ่าล้างครั้งใหญ่ ไหนเลยจะรู้ว่าการปรากฏตัวของเย่เทียนเฉินจะทำให้แผนการของเขายุ่งเหยิงไปหมด ตอนนี้เขาก็ได้รับบาดเจ็บจากปืน อยากจะใช้อำนาจก็ใช้ไม่ได้แล้ว ที่สำคัญก็คือเย่เทียนเฉิน คนๆ นี้มองไม่ออกเลยจริงๆ ดูเหมือนว่า คุณจะเป็นผู้อาวุโสหรือไม่ อำนาจของตระกูลจะยิ่งใหญ่แค่ไหน จะทำให้ตระกูลเย่ต้องเจอกับผลลัพธ์ร้ายแรงอะไร เขาไม่สนใจแม้แต่น้อย อาศัยเพียงความคิดของตัวเองกระทำเรื่องราว คนเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกจนปัญญาอยู่บ้างจริงๆ

หากว่าเป็นคนธรรมดา สามารถข่มขูบังคับหรือใช้ผลประโยชน์ชักจูงได้ แต่ว่าเย่เทียนเฉินไม่ใส่ใจตรงนี้เลยแม้แต่น้อย ทำตามหลักการของตน ไม่สนใจตัวคน!

“นายระวังไว้ให้ดี ต่อไปฉันจะลงมือโดยใช้พลังเต็มที่แล้ว นายอาจจะตายก็เป็นไปได้” เถี่ยฉุยกล่าวพลางมองเย่เทียนเฉินอย่างเย็นชา

“มาเถอะ มาเถอะ คุณไม่ใช้พลังเต็มที่ ก็ไม่สนุกเลยสักนิด…” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางทำท่าทางไม่ใส่ใจนัก

เถี่ยฉุยขมวดคิ้วอย่างโหดเหี้ยม สองมือกำแน่น เพียงพริบตาพลังยุทธในร่างกายก็ถูกรวมเข้าไปภายในหมัด พลังที่แผ่ออกมาทั้งร่างนั้นไม่เหมือนเดิมโดยสิ้นเชิง พุ่งเข้าไปหาเย่เทียนเฉินอย่างรวดเร็ว ทิ้งเอาไว้เพียงเงาเบลอๆ ที่ตำแหน่งเดิม เมื่อสักครู่นี้ที่เขาลงมือไม่สามารถเอาชนะเย่เทียนเฉินได้ จึงทำให้รู้ว่าคนๆ นี้ฝีมือไม่อ่อนแอ และยังไม่ได้ใช้พลังเต็มที่อย่างแน่นอน ดังนั้นตอนนี้ที่เขาใช้พลังเต็มที่ ก็เพราะอยากที่จะทดสอบดูว่าเย่เทียนเฉินแข็งแกร่งขนาดไหนกันแน่

นี่นับเป็นประบวนท่าที่สอง เพียงแต่การต่อสู้นั้นยกระดับขึ้นแล้วโดยสิ้นเชิง ภายในขอบเขตที่เถี่ยฉุยและเย่เทียนเฉินต่อสู้กันเต็มไปด้วยลมปราณอันแข็งแกร่ง ทุกการเคลื่อนไหวของพวกเขาทั้งสองคนสามารถได้ยินเสียงกรีดร้องของอากาศ เห็นได้ชัดว่าพลังของกระบวนท่าที่พวกเขาแสดงออกมานั้นแข็งแกร่งขนาดไหน แม้แต่ อากาศก็ถูกทำให้สั่นสะเทือน

เผชิญหน้ากับการบุกเข้าโจมตีของเถี่ยฉุยในครั้งนี้ เย่เทียนเฉินไม่กล้าลำพองใจเลยแม้แต่น้อย ความสามารถของเถี่ยฉุยแข็งแกร่งตามคาด เหนือกว่าอู๋เสวี่ยที่เป็นนักฆ่าอันดับหนึ่งของจิงตูโดยสิ้นเชิง มิน่าถึงกล่าวว่าความสามารถของเถี่ยฉุยสามารถไล่ตามสามราชันนักรบของจีนได้ นี่เลี่ยงไม่ได้ที่จะทำให้ผู้คนจินตนาการว่า หากเป็นสามราชันนักรบของจีนเช่นชางหลางและเหยียนหลง และอีกคนหนึ่งที่ยังเป็นความลับไม่ปรากฏตัวออกมา พลังการสู้รบของพวกเขาทั้งสามคนจะแข็งแกร่งขนาดไหนกัน? จะต้องทำให้ผู้คนตกตะลึงแน่นอน

ตู้มตู้มตู้ม!

เถี่ยฉุยใช้พลังเต็มที่ ทุกครั้งที่ออกกระบวนท่าต่างก็โจมตีไปยังจุดสำคัญของเย่เทียนเฉินทั้งยังมีความผันแปรของพลังยุทธอันแข็งแกร่ง เกรงว่าการโจมตีที่ไม่ถูกเป้าหมาย ก็ยังสามารถรู้สึกถึงลมปราณที่ทำให้ผิวฉีกขาดได้

เย่เทียนเฉินไม่กล้าลำพองใจแม้แต่น้อย ต่อสู้อย่างเต็มกำลัง เพียงแต่ตอนนี้เขาไม่ได้ใช้ความสามารถของพลังพิเศษระดับจอมราชัน ไม่ใช่ว่าเขาอวดดี เขารู้ว่าหากตนเองไม่ใช้พลังพิเศษก็ไม่สามารถเอาชนะเถี่ยฉุยได้แน่นอน เพียงแต่เขาอยากจะดูว่าตนจะสามารถยืนหยัดไปได้ถึงไหน มีเพียงช่วงเวลาวิกฤตเท่านั้น ศักยภาพภายในร่างกายของมนุษย์จึงจะสามารถระเบิดออกมาได้ เขาอยากจะหยิบยืมส่วนนี้ไปขับเคลื่อนแก่นพลังในสมองของตน

ไม่ถึงสิบนาที ภายในขอบเขตหนึ่งร้อยแมตรที่เย่เทียนเฉินและเถี่ยฉุยทำการต่อสู้กัน ก็กลายเป็นพื้นที่ระเกะระกะผืนหนึ่ง กระทั่งบนพื้นก็ปรากฏหลุดบ่อมากมาย ทุกที่ล้วนมีเศษหินหรือกระทั่งฝุ่นควัน พวกเย่หงหลายคนที่เห็นการต่อสู้ ทั้งหมดนั้นนึ่งอึ้งราวกับรูปสลักไปนานแล้ว การต่อสู้ของเถี่ยฉุยและเย่เทียนเฉินทั้งสอง เกินกว่าที่จนธรรมดาจะจิตนาการได้ไปแล้ว มีสีสันมากกว่าบทบู๊ในละครและในหนังเป็นร้อยเท่า

“ไม่คิดเลยว่าไอ้หนูอย่างนายจะแข็งแกร่ง!” เถี่ยฉุยมองไปยังเย่เทียนเฉินพลางกัดฟันพูด เขารัวหมัดต่อเนื่องนับพัน ทุกครั้งต่างก็ทำให้เกิดการผันแปรลมปราณอย่างรุนแรง เริ่มจะหอบหายใจเล็กน้อย บนใบหน้าของเขาปรากฏรอยหมัดของเย่เทียนเฉินสามรอย หน้าบวมฉึ่งไปครึ่งหน้า

“ฝีมือของคุณก็ไม่แย่ ยังไง หยุดมือแล้วมาประมือวัดดวงกันครั้งสุดท้ายไหม?” เย่เทียนเฉินกล่าวถาม ตาซ้ายมีรอยหมัดอยู่หนึ่งรอย ถูกต่อยจนตาเขียว

“รับคำท้า หากว่าแกทนการโจมตีครั้งนี้ของฉันได้ ก็ถือว่าแกชนะ!” เถี่ยฉุยกล่าวอย่างมั่นใจในตนเอง

“ลองดูสักหน่อยสิ!” ใบหน้าหน้าของเย่เทียนเฉินยังคงประดับด้วยรอยยิ้ม ได้ต่อสู้กับเถี่ยฉุย อย่างถึงอกถึงใจ เกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ไม่เคยจะลงมือได้อย่างถึงใจเช่นนี้มาก่อน

พริบตาต่อมา เถี่ยฉุยก็ดูสงบขึ้นมา ภายในดวงตาทั้งสองเปร่งประกาย เขาเป็นหัวหน้าหน่วยมังกรฟ้า มีโอกาสได้ลงมือน้อยมาก เนื่องจากไม่เหมาะสมกับฐานะของเขาเถี่ยฉุย มีเรื่องอะไรก็ส่งคนภายใต้หน่วยมังกรฟ้าไปจัดการให้สำเร็จ ในช่วงหลายปีมานี้เย่เทียนเฉินเป็นคนแรกที่บีบบังคับให้เขาลงมือได้ เหตุผลก็คือ หนึ่ง เย่เทียนเฉินใช้คำพูดยั่วยุ สอง เขารู้ว่าหากตนเองไม่ลงมือในที่นี้ก็ไม่มีใครหยุดเย่เทียนเฉินได้อีก ถ้าหากลั่วซงเฉิงให้ทหารพร้อมอาวุธปืนที่เป็นลูกน้องของตนเองลงมือ เป็นไปได้ว่าจะทำให้ทหารเหล่านี้ต้องตาย สิ่งสำคัญก็คือไม่ว่าจะเป็นลั่วซงเฉิงถูกฆ่าหรือตระกูลเย่ถูกฆ่า เขาที่เป็นผู้รับผิดชอบความปลอดภัยของจิงตูล้วนหนีไม่พ้นความรับผิดชอบ สู้ลงมือด้วยตัวเอง เอาชนะเย่เทียนเฉิน กดดันลั่วซงเฉิงให้อยู่แล้วค่อยว่ากันอีกทีจะดีกว่า

สายลมพัดมา เศษหินบนพื้นสั่นไหว เศษฝุ่นที่เดิมทีจะร่วงลงมาก็ถูกกระตุ้นให้ขึ้นไปสูงจนใกล้จะกลายเป็นกรงหมอกที่ห้อมล้อมเย่เทียนเฉินและเถี่ยฉุยเอาไว้

“ทำไมอยู่ดีๆ ก็มีลมพัดมาได้ล่ะ?” หลัวเยี่ยนกล่าวถามพลางมองสถานการณ์การต่อสู้เบื้องหน้าอย่างตึงเครียด

“ฉันก็ไม่รู้ รอก่อนเถอะ พวกเขาอาจจะใกล้รู้แพ้รู้ชนะกันแล้ว!” เย่หงจับมือหลัวเยี่ยนผู้เป็นภรรยาแน่น และเป็นห่วงเย่เทียนเฉินผู้เป็นลูกชายเช่นกัน

เถี่ยฉุยเคลื่อนไหวแล้ว แต่ร่างกายกลับไม่ได้ขยับ มีเพียงสองหมัดที่คลายออกกลายเป็นฝ่ามือ บนฝ่ามือทั้งสองปรากฏแสงสีฟ้าออกมาอ่อนๆ นั่นคือการแสดงออกของลมปราณอันแข็งแกร่งที่ถูกรวบรวมไว้ เย่เทียนเฉินเห็นก็ตกตะลึง เห็นทีหากไม่ใช้ความสามารถพลังพิเศษระดับจอมราชันจะไม่ได้แล้ว เนื่องจากเขาสัมผัสได้ถึงไอสังหารอันรุนแรง เถี่ยฉุยต้องออกกระบวนท่าแน่แล้ว

ฉัวะ!

ฉัวะ!

คมดาบลมปราณอันแข็งแกร่งสองสายพุ่งไปทางเย่เทียนเฉิน กระทั่งฝุ่นยังถูกตัดขาด อากาศบริเวณที่ลมปราณเคลื่อนผ่านต่างกำลังกรีดร้อง พลังอำนาจยิ่งใหญ่รุนแรง พุ่งตรงไปยังศีรษะของเย่เทียนเฉิน

“เปิด!”

เย่เทียนเฉินตะโกนขึ้น แก่นพลังในสมองสั่นไหว พลังพิเศษในชีพจรระเบิดออกมา ความสามารถของพลังพิเศษระดับจอมราชันปรากฏขึ้นเป็นม่านพลังผืนหนึ่งห่อหุ้มเย่เทียนเฉินเอาไว้

ตู้ม!

เสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างรุนแรง ฝ่ามือทั้งสองของเถี่ยฉุยที่นำลมปราณมาห่อหุ้มจนเป็นรูปลักษณ์ของใบดาบอันแข็งแกร่งทั้งสองฟันไปบนม่านพลังบริเวณหัวของเย่เทียนเฉิน เกิดระเบิดอันรุนแรงปกคลุกเย่เทียนเฉิน ส่วนเถี่ยฉุยถูกแรงปะทะอันรุนแรงจนถอยหลังไปเกือบสิบก้าว ไม่ง่ายเลยที่จะอยู่ในท่าทางมั่นคงได้ สองมือเท้าไว้เบื้องหลัง มองไปยังเบื้องอย่างตาไม่กะพริบ

“เทียนเฉิน…” เย่หงตกตะลึง เมื่อได้สติกลับมาก็ตะโกนออกไป

“ลูก…”

หลัวเยี่ยนตกตะลึงยิ่งกว่า เสียงระเบิดรุนแรงขนาดนี้ ลูกชายจะตายหรือไม่? เพิ่งจะคิดว่าจะวิ่งเข้าไปดู เธอก็เห็นเงาร่างหนึ่งเดินแหวกฝุ่นควันออกมาช้าๆ สองมือยังคงล้วงอยู่ในกระป๋ากางเกง ในขณะเดียวกัน เธอก็ได้ยินเสียงของเย่เทียนเฉินผู้เป็นลูก

“ไม่ต้องมาครับแม่ ผมไม่เป็นไร!”

………………………………………………………………………………

บทที่ 52 ยั่วโมโหเถี่ยฉุยให้ลงมือ
Ink Stone_Fantasy
“พอแล้วเย่เทียนเฉิน!” เถี่ยฉุยขวางเบื้อหน้าเย่เทียนเฉินพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงดุดัน

“คุณบอกว่าพอก็ต้องพองั้นเหรอครับ? ผมคิดว่ายังไม่พอ!” เย่เทียนเฉินมองเถี่ยฉุยพลางกล่าวอย่างไม่ยอมถอยสักก้าว

“นาย…นายต้องรู้ด้วยว่านี่จะมีผลร้ายอะไร ทำเรื่องร้ายแรงเช่นนี้ ตระกูลเย่คุ้มครองนายไม่ได้แน่!”

เถี่ยฉุยคิดไม่ถึงเลยว่าเย่เทียนเฉินจะแข็งกร้าวเช่นนี้ ลงมือหนึ่งครั้ง ก็มีแนวโน้มว่าจะหยุดไม่ได้ พลังที่ปล่อยออกมารุนแรงเป็นอย่างมาก ขนาดเขาก็ยังรู้สึกได้ว่าบนร่างกายของเย่เทียนเฉินแผ่กลิ่นอายอำนาจราวจักรพรรดิออกมา จึงอดตกตะลึงอยู่ในใจไม่ได้ ตกลงชายคนนี้แข็งแกร่งขนาดไหนกันแน่?

“ผลลัพธ์เดี๋ยวผมรับผิดชอบเองทั้งหมด ลั่วซงเฉิงต้องการฆ่าผมก่อน ผมก็แค่โต้ตอบเท่านั้น ผมเย่เทียนเฉินต่ไหนแต่ไรไม่เคยหาเรื่อง แต่ก็ไม่กลัวมีเรื่อง” เย่เทียนเฉินกล่าวเสียงเข้ม

“ถ้าหากว่านายกล้าลงมือกับลั่วซงเฉิงจริงๆ เกรงว่าตระกูลเย่ทั้งตระกูลจะต้องถูกฆ่าทั้งตระกูลแน่” เถี่ยฉุยกล่าวเสียงเย็น

“งั้นเหรอ? ผมลงมือกับลั่วซงเฉิงก็จะถูกฆ่าทั้งตระกูล ลั่วซงเฉิงลงมือกับตระกูลเย่ของผม แล้วไม่ต้องถูกฆ่าทั้งตระกูลหรือไงกัน? นี่มันตรรกะ อะไรกัน? ในเมื่อพูดด้วยเหตุผลไม่ได้ งั้นก็ได้แต่ใช้หมัดอธิบายเหตุผลแล้ว!” เย่เทียนเฉินกล่าวสบถอย่างเย็นชา

ตอนนี้เอง ลั่วซงเฉิงที่ถูกบังไว้ด้านหลังเถี่ยฉุย โกรธจนหน้าเขียวคล้ำ แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีใครกล้ามาดูถูกเขาเช่นนี้ พลันมองเย่เทียนเฉินอย่างไม่แยแสแล้วกล่าวว่า “แกนับเป็นตัวอะไรได้ ขนาดปู่แกเย่หย่วนซานยังไม่กล้าพูดกับฉันแบบนี้ ในเมื่อตระกูลเย่หาเรื่องตาย งั้นก็อย่ามาโทษฉันแล้วกัน ฉันจะให้ทหารพร้อมอาวุธปืนของฉัน เก็บกวาดที่นี่ให้ราบคาบ!”

“ไอ้แก่ ฉันเตือนแกว่าอย่าเคลื่อนไหวมั่วๆ จะดีกว่า แม้ว่าฉันจะไม่ต่อยไม่ฆ่าคนแก่ แต่กับคนแก่ที่ไร้เกียรติ์อย่างแก ฉันไม่อ่อนข้อให้แน่” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางมองลั่วซงเฉิงอย่างไม่แยแส

เถี่ยฉุยขมวดคิ้ว เขาคาดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินลงมือครั้งหนึ่ง จะมีพลังแข็งแกร่งเช่นนี้ ในเวลาที่ไม่ชัดเจนย่อมมิอาจขวางได้ แต่เย่เทียนเฉินดูเหมือนว่าจะเป็นคนที่ทำตามหลักการโดยที่ไม่สนใจตัวคน ใครที่มันกล้าหาเรื่องเขาก็ซวยแน่ แต่ว่าเขาเถี่ยฉุยเป็นหัวหน้าหน่วยมังกรฟ้า เป็นผู้รับผิดชอบทหารองครักษ์แห่งจิงตู หากมองลั่วซงเฉิงถูกเย่เทียนเฉินฆ่าไปโดยไม่ทำอะไร เกรงว่าเขาคงหนีไม่พ้นความรับผิดชอบที่เบื้องบนสืบสวนลงมา อีกอย่างเย่เทียนเฉินไม่ไว้หน้าตนเอง ต่อจากนี้เขาเถี่ยฉุยจะอยู่อย่างไรได้?

คิดถึงตรงนี้ เถี่ยฉุยก็เดินหน้าไปหนึ่งก้าว ขวางอยู่เบื้องหน้าของเย่เทียนเฉิน มองตาทั้งสองของเย่เทียนเฉินเขม็งพลางกล่าวว่า “ฉันหวังว่านายจะใจเย็นลงสักหน่อย อำนาจของตระกูลลั่วยิ่งใหญ่กว่าตระกูลเย่ หากว่าลั่วซงเฉิงตาย เกรงว่าตระกูลเย่จะต้องถูกฆ่าล้างจริงๆ แน่ เมื่อเบื้องบนสืบสวนหาความรับผิดชอบลงมา ใครก็แบกรับไม่ไหว”

“ใจเย็นลงหน่อย? เมื่อกี้ตอนที่ลั่วซงเฉิงยิงปืนเตรียมจะฆ่าพ่อของผม ทำไมคุณไม่บอกให้เขาใจเย็นลงหน่อย? เถี่ยฉุย เดิมทีผมคิดว่าคุณเป็นลูกผู้ชายคนหนึ่ง ดูท่าแล้วคจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางหัวเราะเสียงเย็น

ใช่แล้ว ในวันที่เย่เทียนเฉินแบกหานเจี๋ยกลับมายังค่ายทหาร ครั้งแรกที่ได้พบกับเถี่ยฉุย เขาคิดว่าคนที่เป็นหัวหน้าหน่วยมังกรฟ้าคนนี้พอใช้ได้ ฝีมือแข็งแกร่ง ปรากฏกลิ่นอายความยุติธรรมอยู่บนใบหน้า ดังนั้นความประทับใจที่เขามีต่อเถี่ยฉุยนั้นจึงไม่เลวเลย ไหนเลยจะรู้ว่าเถี่ยฉุยตอนนี้ไม่แบ่งแยกถูกผิด ยืนอยู่ข้างลั่วซงเฉิง ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกเหยียดหยาม

“นาย…นายทำไมไม่รู้จักดีชั่ว ฉันไม่อาจมองพ่อนายถูกฆ่าได้หรอก ไม่ให้นายลงมือก็เพราะไม่อยากให้ตระกูลเย่เจอเรื่องยุ่งยากที่เก็บกวาดไม่ได้!” เถี่ยฉุยกล่าวพลางกำหมัดแน่น

“ความหวังดีของคุณผมรับไว้ในใจแล้ว ผมเย่เทียนเฉินหาเรื่องยุ่งยากเอง ก็รับผิดชอบเอง ไม่เกี่ยวกับตระกูลเย่ หลีกไป!”

เย่เทียนเฉินโกรธเข้าแล้ว ในเมื่อไอ้แก่ลั่วซงเฉิงอยากจะสั่งให้ทหารที่เป็นลูกน้องของตนยิงปืนฆ่าล้างตระกูลเย่ เขาย่อมไม่นั่งมองเฉยๆ แน่ พ่อกับแม่ต่างก็อยู่ที่นี่ เพื่อความปลอดภัยของพวกเขา เย่เทียนเฉินไม่ลังเลเลยที่จะฆ่าลั่วซงเฉิง ชายชราคนนี้โอหังใช้อำนาจบาตรใหญ่อยู่ในจิงตูมานานหลายปี เรื่องเลวๆ ก็ทำไว้ไม่น้อย จะอย่างไรก็สมควรตาย

“นายคิดจริงๆ หรือว่าฉันจะขวางนายไว้ไม่ได้?” เถี่ยฉุยถูกทำให้โกรธเข้าแล้ว ตนเองเป็นหัวหน้าหน่วยมังกรฟ้าที่สง่าผ่าเผย รับผิดชอบความปลอดภัยทั้งจิงตู ฝีมือย่อมไม่อ่อนแอ เย่เทียนเฉินกลับไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา ทำให้เถี่ยฉุยโกรธอยู่บ้าง

“งั้นคุณก็ลองดูหน่อยสิ!” พลันมุมปากของเย่เทียนเฉินก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นสายหนึ่ง แล้วกล่าวออกมา

ในตอนที่พบเถี่ยฉุยเป็นครั้งแรก เย่เทียนนเฉินรู้สึกว่าเถี่ยฉุยแข็งแกร่งมาก ตัวเย่เทียนเฉินในโลกก่อนเป็นผู้มีพลังพิเศษระดับพระเจ้า ภายในร่างกายมีเลือดอันร้อนรุ่มไหลเวียนอยู่ ย่อมกระหายที่จะต่อสู้กับผู้แข็งแกร่งในโลกนี้เป็นธรรมดา โดยเฉพาะหลังจากที่เขาพบว่าขอบเขตพลังพิเศษของตนลดลง มีเพียงการต่อสู้ครั้งใหญ่กับผู้แข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะกระตุ้นพลังพิเศษภายในร่างและขับเคลื่อนแก่นพลังในสมองได้

วันที่ต่อสู้กับอู๋เสวี่ย ทำให้ขอบเขตพลังของตนเพิ่มขึ้นไปถึงระดับจอมราชัน ความสามารถย่อมก้าวกระโดดราวฟ้ากับเหว มิฉะนั้นหากต้องการฆ่าหลี่เถี่ยและลูกน้องพร้อมด้วยอาวุธปืนหลายสิบคนอย่างเงียบๆ ในคฤหาสน์ ก็เป็นสิ่งที่ยากมาก

ส่วนฝีมือของเถี่ยฉุยนั้นย่อมไม่อ่อนแอไปกว่าอู๋เสวี่ยแน่นอน อาจถึงกับเหนือกว่าอู๋เสวี่ยเสียอีก ไม่ต้องคิดก็รู้ว่า เถี่ยฉุยเป็นหัวหน้าหน่วยมังกรฟ้า หน่วยมังกรฟ้านั้นเดิมทีก็เป็นกองทัพที่แข็งแกร่งห้าวหาญ สมาชิกภายในทุกคนต่างก็ถูกคักเลือกมาอย่างดี ฝีมือล้วนแข็งแกร่ง แล้วเถี่ยฉุยหัวหน้าหน่วยมังกรฟ้าคนนี้ ฝีมือจะอ่อนแอได้งั้นหรือ? ต่อให้ไม่ได้เป็นหนึ่งในสามราชันนักรบแห่งจีน ก็เกรงว่ามีความสามารถพอที่จะไล่ตามราชันนักรบทั้งสามคนนี้ได้

“งั้นก็ดี หากว่าฉันแพ้ ฉันจะไปจากที่นี่ ไม่สอดมือเข้ามายุ่งเรื่องนี้อีก หากนายแพ้ ก็ขอให้นายกลับไปยอมรับการตรวจสอบกับฉัน แน่นอนว่าฉันสามารถรับรองความปลอดภัยของคนตระกูลเย่ได้!” เถี่ยฉุยคิดครู่หนึ่งก่อนจะเปิดปากกล่าว

“ไม่มีปัญหา ที่จริงแล้วจะฆ่าหรือไม่ฆ่าไอ้แก่นี่ สำหรับผมมันก็ไม่ได้สำคัญอะไร เพียงแต่ว่าใครกล้ามาลงมือกับคนในครอบครัวของผม ต่อให้เป็นเทพเซียนก็ต้องตาย!” เย่เฉินเฉินกล่าวเสียงเย็นพลางมองลั่วซงเฉิง

ลั่วซงเฉิงถูกทำให้โกรธจนแทบทนไม่ไหว เดิมทีตนเองนำทหารคนสนิทมาปิดล้อมบ้านหลักตระกูลเย่ แล้วยังเรียกเถี่ยฉุยมา อำนาจสั่งการทั้งหมดต่างก็อยู่ในกำมือของเขา ไหนเลยจะรู้ว่า การปรากฏตัวของเย่เทียนเฉินที่เป็นผู้เกี่ยวข้องโดยตรง จะทำให้ทุกอย่างกลับตาลปัต เขายังถูกยิงไปแล้วครั้งหนึ่งด้วย ช่างน่าขายหน้าจริงๆ

“พี่ลั่ว เรื่องนี้เกรงว่าพี่อยากจะดึงดันทำตามใจตัวเองก็ทำไม่ได้แล้ว ดังนั้นผมคิดว่าพี่อย่าทำอะไรบุ่มบ่ามจะดีกว่า!” เถี่ยฉุยกล่าวพลางมองลั่วซงเฉิง

ความประทับใจที่เถี่ยฉุยมีต่อลั่วซงเฉิงคนนี้ก็ไม่ได้ดีเด่อะไร เป็นเพัยงผู้มีอายุก็เท่านั้น แถมยังเข้าข้างและปกป้องพรรคพวกเป็นอย่างมาก ไม่เพียงแต่ปกป้องพรรคพวกเท่านั้น แต่ยังเหิมเหริมใช้อำนาจบาตรใหญ่อีกต่างหาก ไม่มีระดับของความเป็นผู้อาวุโสเลยแม้แต่น้อย ติดที่ว่าเขามีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของจิงตู และลั่วซงเฉิงมีอำนาจ เขาจึงไม่อาจล่วงเกินได้ จะให้ตายก็ไม่ได้

“เฮอะ!” ลั่วซงเฉิงสบถเสียงเย็นออกมาคำหนึ่ง เขาคาดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะร้ายกาจเช่นนี้ ไม่อยากเชื่อว่าแม้แต่ตนเองก็กินเขาไม่ลง

ประตูห้องโถงสำหรับรับแขกของบ้านหลักตระกูลเย่ถูกเปิดออก เย่เทียนเฉินกับเถี่ยฉุยเดินออกมา การประมือครั้งนี้ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ มิฉะนั้นไม่ทราบว่าจะมีจุบจบเช่นไร

เย่หย่วนซาน เย่มู่ป๋ เย่เฮ่อกั๋ว แย่หงและหลัวเยี่ยนภรรยา ต่างก็รีบเดินออกมาเช่นกัน คำพูดของเถี่ยฉุยกล่าวได้ชัดเจนมาก การประมือของคนสองคน หากเย่เทียนเฉินแพ้ ก็จะถูกพาตัวไป เกรงว่าเรื่องนี้คงยากที่จะดีได้ ไม่เพียงแต่เย่เทียนเฉินจะมีอันตรายถึงชีวิต ตระกูลเย่ยังต้องพบกับความลำบากมากอีกด้วย

“เย่เทียนเฉินฉันรู้ว่าเด็กอย่างนายฝีมือไม่อ่อนแอ แต่นายไม่คู่ต่อสู้ของฉัน ไปกับฉันเถอะ หากว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับนายจริงๆ ฉันจะไม่ทำให้นายลำบากใจ และก็จะไม่ให้คนอื่นทำให้นายลำบากใจด้วย” เถี่ยฉุยกล่าวพลางมองเย่เทียนเฉิน

“พูดจาไร้สาระให้มันน้อยๆ หน่อย ลงมือเถอะ คอยดู ผมจะอัดจนหัวหน้าหน่วยมังกรฟ้าอย่างคุณต้องคุกเข่า!” เย่เทียนเฉินกล่าวอย่างไม่รู้สึกซาบซึ้ง

“แม่งเอ้ย ไอ้หนูอย่างนายมันไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี กวนตีน!” เถี่ยฉุยโกรธจนทนไม่ไหว เดิมทีตนเองก็มีความปราถนาดี คิดอยากจะช่วยเย่เทียนเฉินสักครั้ง ไหนเลยจะรู้ว่าเจ้าหมอนี่จะทำตัวไม่รู้จักดีชั่วเหมือนกับสุนัขที่กัดเจ้าของ ช่างน่ารังเกียจเหลือเกิน

เย่เทียนเฉินคิดมาตลอดว่าเถี่ยฉุยคนนี้ไม่เลวเลย ฝีมือแข็งแกร่ง และยังมีความยุติธรรมอีกด้วย ไม่เหมือนกับผู้กุมอำนาจคนอื่นๆ ในสังคมปัจจุบัน ที่ไม่มีความยุติธรรมเลยแม้แต่ครึ่งส่วน ใช้อำนาจรังแกผู้คน หยิ่งผยองเหิมเหริม ฉ้อราษฎร์บังหลวง ไม่มีเรื่องชั่วร้ายอะไรที่ไม่ทำ เป็นเพราะฝีมมือของเถี่ยฉุยแข็งแกร่ง เย่เทียนเฉินจึงอยากสู้กับเขาสักครั้งหนึ่ง เพื่อทดสอบสังคมในปัจจุบันและทดสอบความสามารถของทหารผู้แข็งแกร่งในกองทัพ อีกทั้งยังเพื่อฝึกฝนพลังพิเศษภายในร่างกายของตนเองอีกด้วย

ใช้คำพูดยั่วยุนั้นก็เพื่อให้เถี่ยฉุยลงมือเต็มกำลัง แสดงความสามารถในการต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของตนออกมาอย่างเต็มที่ เพื่อไม่ให้เก็บซ่อนเอาไว้และไม่ยอมสู้กันอย่างตรงไปตรงมา

“ผมกวนตีน คุณมีตีนก็มาหาผมนี่!” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางหัวเราะฮี่ๆ

เถี่ยฉุยจ้องมองเย่เทียนเฉินอย่างโหดร้าย มือขวากำหมัดแน่น จนส่งเสียงดังกรอบแกรบออกมา พลันสายตาก็เปลี่ยนไป พุ่งเข้าหาเย่เทียนเฉินอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า

เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว ความสามารถของเถี่ยฉุยนั้นไม่ได้ปิดบังไว้เลยจริงๆ เพียงพริบตาก็ถึงด้านหน้าเย่เทียนเฉิน ต่อยหมัดออกไปยังเบื้องหน้าของเขา การออกหมัดทำได้อย่างรวดเร็วมาก พลังก็รุนแรงไม่น้อย

ปัง!

ตอนที่หมัดของเถี่ยฉุยกำลังจะต่อยถูกเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินก็เอนตัวหลบหมัดอันรวดเร็วนี้ ในขณะเดียวกันมือขวาก็จับข้อมือของเถี่ยฉุย ส่งเท้าไปยังใบหน้าของเถี่ยถุย

ตู้ม!

เจอกับเท้าอันรวดเร็วของเย่เทียนเฉิน ทั้งระยะยังใกล้ขนาดนี้ เถี่ยฉุยทำได้เพียงใช้มือซ้ายป้องกันไว้ แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ก็ยังถูกขาของเย่เทียนเฉินเตะจนปลิวออกไป กระเด็นไปอย่างรุนแรง ทำให้เถี่ยฉุยที่ถอยหลังไปสองเมตรกว่ามองเย่เทียนเฉินด้วยความตกตะลึงเต็มใบหน้า

ในเรื่องการคาดเดาพลังการสู้รบของเย่เทียนเฉินนั้น เถี่ยฉุยรู้ว่าคนๆ นี้แข็งแกร่งมาก แต่ไม่คาดคิดว่าเย่เทียนเฉินจะแข็งแกร่งถึงระดับนี้ แม้ตนเองจะไม่ได้ใช้พลังทั้งหมด แต่พลังทำลายล้างของหมัดๆ นั้นก็เยอะมาก ทั้งยังรวดเร็วมาก คนธรรมดาหลบไม่ได้แน่นอน เย่เทียนเฉินไม่เพียงหลบได้ แถมยังตอบโต้กลับอย่างรวดเร็วอีกด้วย เกือบจะเตะถูกตนเองอยู่แล้ว

สามีภรรยาเย่หงที่เห็นฉากๆ นี้ก็ตกตะลึงเช่นกัน พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าลูกชายของตนเองจะเปลี่ยนไปร้ายกาจขนาดนี้ กระทั่งภายในสองตาของผู้อาวุโสเย่เองก็เปร่งประกายชื่นชม ส่วนลั่วซงเฉิงที่อยู่อีกด้านก็ตกใจจนปากอ้าตาค้าง เถี่ยฉุยเป็นใครกัน มีพลังการสู้รบเช่นไร เขาย่อมเข้าใจชัดเจนดี จะอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะถึงกับสามารถต่อกรกับเถี่ยฉุยได้ แถมยังไม่ตกเป็นรองอีกด้วย ช่างทำให้ผู้คนต้องตกตะลึงเหลือเกิน

“ดูท่าทางความสามารถของหัวหน้าหน่วยมังกรฟ้าอย่างคุณก็ไม่เห็นจะเท่าไหร่ อยากจะรับมือผม ไม่ใช้พลังทั้งหมดไม่ไหวแน่!” เย่เทียนเฉินแสร้งทำท่าทีครุ่นคิดคาดเดาเพื่ออยากที่จะกระตุ้นให้เถี่ยฉุยใช้พลังทั้งหมด

…………………………………………………….

บทที่ 51 ไอ้แก่ อย่าบังคับให้ฉันต้องอัดแก
Ink Stone_Fantasy
เสียงปืนดังขึ้นแล้ว ปากกระบอกปืนของลั่วซงเฉิงถูกเล็งไปที่เย่หง เมื่อได้ยินเสียงปืน เย่หย่วนซานและเถี่ยฉุยที่อยู่ที่นั่นก็ตกตะลึง ส่วนเย่มู่ไป๋และเย่เฮ่อกั๋วตกใจกลัวจนสั่นไปทั้งตัว เกิดความกลัวว่าลั่วซงเฉิงจะเล็งปากกระบอกปืนมาที่พวกเขา

“อ้าก…ขาฉัน…”

เสียงกรีดร้องดังขึ้น เย่หงที่หลับตารอความตายนั้นไม่ได้รู้สึกถึงความตายที่มาหา แต่กลับได้ยินเสียงของลั่วซงเฉิงแทน เมื่อเขาลืมตาขึ้นมอง เห็นเพียงลั่วซงเฉิงนอนกองอยู่บนพื้น สองมือกุทขาที่เต็มไปด้วยเลือดสดๆ ของตน ส่งเสียงร้องออกมาราวกับหมูถูกเชือด

ในตอนที่ทุกคนไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เย่เทียนเฉินก็พาหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ผลักประตูเดินเข้ามาจากด้านนอก มองลั่วซงเฉิงอย่างเย็นชาพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ครึกครื้นดีจริงๆ เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

เห็นเย่เทียนเฉินเดินเข้ามา ทุกคนก็ตกตะลึง พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าเย่เทียนเฉินจะกล้ามาจริงๆ ลั่วซงเฉิงไม่ลังเลที่จะยิงปืนเลย เห็นได้ถึงความคิดอันเลือดเย็นของเขาที่จะทำลายตระกูลเย่ หลานชายทั้งสองของตนเองตายด้วยน้ำมือของเย่เทียนเฉิน เขาย่อมเกลียดเย่เทียนเฉินลึกถึงกระดูกดำ

ใครก็คิดไม่ถึงว่า เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ เย่เทียนเฉินไม่เพียงแต่ไม่หลบซ่อน กลับกล้าปรากฏตัวออกมาต่อหน้าลั่วซงเฉิง นี่ทำให้ผู้คนต้องสั่นสะท้านไม่มากก็น้อย การทำเรื่องราวต่างๆ ของคนๆ นี้ช่างไม่เหมือนใครจริงๆ

เย่หย่วนซานและคนอื่นๆ ต่างก็แปลกใจ เห็นชัดๆ ว่าปากปืนของลั่วซงเฉิงเล็งไปทางเย่หง ยิงจากระยะใกล้ขนาดนั้น กลับยิงไม่ถูกเย่หง คนที้ถูกปืนยิงกลับกลายเป็นลั่วซงเฉิงแทน ทำให้ผู้คนรู้สึกเหลือเชื่อจริงๆ ณ สถานที่นั้นมีเพียงคนเดียวที่ดูเหมือนจะมองออกอยู่บ้าง ซึ่งก็คือเถี่ยฉุย เดิมทีเถี่ยฉุยก็เป็นทหารที่เก่งกาจห้าวหาญคนหนึ่ง สามารถเป็นหัวหน้าหน่วยมังกรฟ้าได้ฝีมือย่อมแข็งแกร่ง นอกจากนี้เถี่ยฉุยยังมีความเข้าใจเกี่ยวกับผู้มีพลังพิเศษและยอดฝีมือพรรควรยุทธโบราณด้วย

เพียงแต่ว่า สิ่งที่แม้แต่เถี่ยฉุยยังต้องตกตะลึงเป็นอย่างมากก็คือ ระยะทางใกล้ขนาดนี้ เย่เทียนเฉินยังไม่ได้เข้ามาในห้องโถงก็สามารถเปลี่ยนวิถีกระสุนได้ ช่างร้ายกาจมากจริงๆ

ความจริงแล้ว ตอนที่เย่เทียนเฉินพาหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่เดินมาถึงด้านนอกบริเวณประตูห้องโถงก็ได้ยินคำสนทนาเหล่านั้นแล้ว เย่เทียนเฉินที่พลังพิเศษทะลวงถึงระดับจอมราชันแล้วนั้น สามารถรับรู้ได้ถึงทุกสิ่งทุกอย่างภายในห้องโถง ตอนที่ลั่วซงเฉิงยิงปืน เขาก็ได้กระตุ้นพลังพิเศษอันแข็งแกร่งเพื่อเปลี่ยนวิถีกระสุนในเวลาชั่วพริบตา จนยิงถูกตัวลั่วซงเฉิงเอง

“แก…เย่เทียนเฉิน ไอ้ลูกเต่า กล้าฆ่าหลานชายทั้งสองของฉัน ฉันจะให้แกชดใช้ด้วยชีวิต จะให้ตระกูลเย่ทุกคนถูกฝังลงไปพร้อมกับแก!”

ต้นขาซ้ายของลั่วซงเฉิงถูกปืนยิง แต่ไม่ได้รับบาดเจ็บตรงจุดสำคัญ จึงกัดฟันลุกขึ้น มองเย่เทียนเฉินอย่างโหดเหี้ยม คิดอยากจะใช้ปืนยิงเขาให้ตาย เพียงแต่น่าเสียดาย ตอนที่เขาล้มลงนั้น ปืนตกลงไปที่พื้นบริเวณที่ห่างกับเขามาก

เย่เทียนเฉินไม่มองลั่วซงเฉิงแม้แต่น้อย แต่กลับเดินไปเบื้องหน้าเย่หงผู้เป็นพ่อ กล่าวอย่างห่วงใยว่า “พ่อ พ่อไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ?”

“ไม่เป็นไร เทียนเฉิน ตกลงมันเรื่องอะไรกันแน่ ตกลงลูกเป็นคนทำรึเปล่า?” เย่หงกล่าวถามอย่างร้อนใจ

ไม่ว่าจะพูดอย่างไร อำนาจของตระกูลลั่วก็ยิ่งใหญ่กว่าตระกูลเย่มาก ลั่วซงเฉิงเป็นรองผู้บัญชาการทหารระดับเขตแห่งหนึ่ง ครั้งนี้ยังมีความเป็นไปได้มากว่าจะสามารถเข้าเป็นคณะกรรมาธิการทหารได้ เดิมทีในจิงตูนั้น ลั่วซงเฉิงก็ขึ้นชื่อเรื่องการใช้อำนาจบาตรใหญ่และการปกป้องเข้าข้างพรรคพวก ถ้าหากเป็นเย่เทียนเฉินที่ฆ่าหลานชายทั้งสองของเขาจริงๆ เกรงว่าเรื่องนี้ยากที่จะดีขึ้นได้ อาจถึงขั้นนำมาซึ่งวิกฤตและภัยพิบัติสู่ตระกูลเย่ทั้งหมด

“พ่อครับ เรื่องนี้ไว้ผมจะบอกพ่อทีหลัง ตอนนี้ผมกับลั่วซงเฉิงมีหลายอย่างต้องคุยกันสักหน่อย” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางตบบ่าของเย่หงผู้เป็นพ่อด้วยรอยยิ้ม

เย่หงชะงักไปชั่วครู่ เขาทราบว่าลูกชายของตนเปลี่ยนไปแล้ว มีจิตวิญญาณของลูกผู้ชายขึ้นมาแล้ว แต่ว่าเขาก็ไม่ค่อยอยากจะเชื่อว่าเย่เทียนเฉินลูกชายจะสามารถจัดการตระกูลเย่ได้ดี กล่าวตามจริงแล้ว ถ้าพูดกันด้วยตำแหน่งฐานะ คนที่สามารถคุยกับลั่วซงเฉิงโดยตรงได้ เกรงว่าจะมีเพียงเย่หย่วนซานซึ่งเป็นผู้อาวุโสตระกูลเย่เท่านั้น เย่เทียนเฉินยังเป็นผู้น้อย ระดับฐานะยังไม่เพียงพอ

เย่เทียนเฉินพูดจบ ไม่ทันรอให้คนอื่นๆ มีปฏิกริยา ก็เดินเข้าไปหาลั่วซงเฉิงอย่างไม่รีบไม่ร้อน มุมปากยังคงประดับไปด้วยรอยยิ้มสายหนึ่ง

ลั่วซงเฉิงจ้องมองเย่เทียนเฉินด้วยสายตาเหี้ยมโหด เขาคิดไม่ถึงว่าจะมามีปัญหาที่บ้านหลักตระกูลเย่ เดิมทีทั้งหมดก็เป็นตนเองที่ใช้กำลังเอง ไหนเลยจะรู้ว่ากลับถูกปืนอันแปลกประหลาดของตนเองยิงจนได้รับบาดเจ็บ อยากจะพาลก็พาลไม่ออก แต่เขายังมีความมั่นใจมากเพราะนำทหารคนสนิทของตนเองมาหลายสิบคน ถ้าหากว่าเป็นเรื่องขึ้นมา เขาก็ไม่ลังเลเลยที่จะฆ่าล้างครั้งใหญ่ ฆ่าตระกูลเย่ทั้งครอบครัว

“ผู้อาวุโสเย่ เรื่องนี้ผมหวังว่าคุณจะสามารถชี้แจงได้ ไม่งั้นอย่ามาหาว่าผมไม่เกรงใจ ทหารพร้อมด้วยอาวุธปืนด้านนอก ล้วนแต่เป็นคนสนิทของผม ผลลัพท์ร้ายแรงมากนะครับ…” ลั่วซงเฉิงกล่าวพลางมองเย่หย่วนซานอย่างโหดร้าย

ได้ยินคำพูดข่มขู่ของลั่วซงเฉิง เย่หย่วนซานก็รู้สึกโกรธขึ้นมาบ้าง จะดีจะร้ายในปีนั้นตนเองก็มีตำแหน่ง ตอนนี้ถึงกับถูกคนนำทหารมาปิดล้อมบ้าน เป็นครั้งแรกที่ได้รับความอัปยศอดสู เช่นนี้ หากไม่ใช่เพราะกังวลว่าลั่วซงเฉิงจะคุ้มคลั่งแล้วทำร้ายครอบครัว เย่หย่วนซานจะไม่อนุญาตให้ลั่วซงเฉิงเหิมเกริมเช่นนี้อย่างแน่นอน

ไหนเลยจะรู้ว่า เย่หย่วนซานยังไม่ทันได้กล่าวอะไร เย่มู่ไป๋และเย่เฮ่อกั๋วที่อยู่ด้านข้างก็ตกใจจนเปิดปาก เดิมที่พวกเขาก็ขี้ขลาดอยู่แล้ว ใช้ชีวิตอย่างมีเกียรติ์และมั่งคั่งมาชั่วชีวิต วันๆ รู้จักแต่ต่อสู้แย่งชิงทรัพย์สินของครอบครัว เคยพบกับศึกใหญ่เช่นนี้ที่ไหนกัน มีคนใช้มีดจ่อบนคอพวกเขาครั้งหนึ่งพวกเขาก็ไม่ได้คิดถึงตระกูลเลยแม้แต่น้อย หวาดกลัวจนฉี่แทบราด คุกเข่าขอความเมตตา

“พะ..พี่ลั่ว เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับผมเลยสักนิด ไอ้คนไม่เอาไหนเย่เทียนเฉินเป็นคววามอัปยศของตระกูลเย่ของพวกเรา หากว่าเขาฆ่าหลานชายทั้งสองของพี่จริงๆ จะฆ่าก็ฆ่าเขาเถอะ จะจัดการอย่างไรก็แล้วแต่พี่เลย!” เย่มู่ไป๋รีบเปิดปากพูด

“น้องสาม แกยังจะมัวตะลึงอะไรอยู่ รีบส่งไอ้เด็กอกตัญญูนี่ให้พี่ลั่วเร็วเข้า อย่าให้เหนื่อยมาถึงพวกเรา” เย่เฮ่อกั๋วก็พูดตาม

“ในเมื่อลุงสามกับลุงสองพูดเช่นนี้ งั้นฉันก็เข้าใจ หลานสองคนของแกถูกฉันฆ่า ไม่เกี่ยวข้องกับคนอื่นๆ ในตระกูลเย่ของพวกเรา อยากจะแก้แค้นก็มาหาฉันนี่” เย่เทียนเฉินกล่าวกับลั่วซงเฉิงด้วยรอยยิ้ม

“ดี ดี ดี แกกล้ามาก! ผู้อาวุโสเย่ คุณควรจะรู้ไว้นะว่ามีหลายนเช่นนี้ เย่หง แกมีลูกชายแบบนี้เกรงว่าจะตื่นขึ้นมาหัวเราะกลางดึกเลยล่ะสิท่า!” ลั่วซงเฉิงโกรธจนปอดแทบระเบิด กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มมืดครึ้มจากความโกรธ

“พี่ลั่ว อย่าได้โกรธไป เรื่องนี้ผมคิดว่ามีความเข้าใจผิด…” เย่หงเห็นว่าลั่วซงเฉิงมีท่าทีแปลกประหลาด ก็รีบเปิดปากพูด

“เข้าใจผิด? ยังจะมาเข้าใจผิดอะไรอีก ลูกชายของแกยอมรับเองกับปาก ตระกูลเย่ของพวกแกช่างเหิมเหริมจริงๆ ดูท่าทางอยากจะปืนป่ายขึ้นมาล่ะสิ วันนี้ฉันจะไม่ใช้เหตุผลอะไรแล้ว ฆ่าคนก่อนค่อยว่ากัน ฉันจะไปบอกกับผู้ว่าการรัฐที่หนึ่ง ใครก็ไม่กล้าว่าฉันแน่!” ลั่วซงเฉิงตะโกนออกมาเสียงดัง

คำพูดนี้ของลั่วซงเฉิงถูกพูดออกมา เย่หง เย่หย่วนซาน เย่มู่ไป๋ เย่เฮ่อกั๋ว หลัวเยี่ยน เถี่ยฉุย ทั้งหกคนต่างก็ตกใจจนหน้าซีด ลั่วซงเฉิงเดิมทีก็เป็นคนที่ปกป้องพวกพ้องเป็นอย่างมาก ตอนนี้หลานชายทั้งสองล้วนถูกเย่เทียนเฉินฆ่าตาย รวมกับเขาถูกปืนยิง ย่อมไม่อาจปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ แน่ มีความเป็นไปได้สูงว่าจะสั่งการไปยังทหารคนสนิทที่เป็นลูกน้องของตนเหล่านั้นให้ฆ่าล้างตระกูลเย่

ตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินเดินไปด้านหน้าของลั่วซงเฉิง กล่าวออกมาโดยที่ยังคงยิ้มอยู่ว่า “มีคนสองประเภทที่ฉันจะไม่ลงมือ หนึ่งคือผู้หญิง สองคือคนแก่ แกอย่าได้บีบบังคับฉันเลย เพราะสำหรับคนแก่ที่ใช้ความแก่ของตนเที่ยวระรานผู้อื่น คนแก่ที่ไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควรกับผู้หญิงชั้นต่ำที่ชอบยั่วยวน ฉันก็ไม่ลังเลที่จะลงมือหรอก!”

คำพูดนี้ของเย่เทียนเฉิน เถี่ยฉุยได้ฟังก็ถึงกับต้องสูดหายใจด้วยความตกตะลึง ลั่วซงเฉิงเป็นใคร เป็นรองผู้บัญชาการเขตแห่งหนึ่ง พูดได้ว่าตำแหน่งสูงส่งอำนาจใหญ่โต ครั้งนี้ก็มีโอกาสได้เข้าเป็นคณะกรรมาธิการทหาร ตำแหน่งในจิงตูก็ไม่ถือว่าต่ำ เกรงว่าในจีนคนที่จะพูดว่าจะลงมืออัดลั่วซงเฉิงนั้นคงหาได้เพียงไม่กี่คน

“ปากดีนักนะ ตระกูลเย่มีคนโอหังขนาดนี้ ช่างเป็นบุญของตระกูลเสียจริง กลัวก็แต่ว่าตระกูลเย่ของพวกแกจะต้องถูกฆ่าล้างวันนี้แล้ว!” ลั่วซงเฉิงกล่าวพลางมองเย่เทียนเฉินอย่างโหดเหี้ยม

ปัง!

สิ่งที่ตอบรับลั่วซงเฉิงมีเพียงขาหนึ่งข้างเท่านั้น เย่เทียนเฉินไม่อยากจะลงมือกับลั่วซงเฉิง เพราะว่าเขาเป็นคนให้ความเคารพผู้อาวุโส น่าเสียดายที่คนแก่ที่ระรานคนผู้ไปทั่วเช่นนี้ คนแก่ที่ใช้อำนาจบาตรใหญ่ เย่เทียนเฉินไม่ลงมือไม่ได้ เขาไม่สามารถมองลั่วซงเฉิงมาทำตัวป่าเถื่อนอย่างการสั่งให้ลูกน้องลงมือเปิดฉากยิงที่ตระกูลเย่ได้หรอก!

“อ้าก…ไอ้ลูกเต่าแกกล้า…”

ลั่วซงเฉิงถูกเย่เทียนเฉินเตะตรงปากแผลที่ถูกปืนยิงจนเดินเป๋ไปมาและเกือบจะล้มลงบนพื้น จะอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะถึงขนาดกล้าลงมือกับเขาได้ แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีใครกล้าลงมืออักเขาลั่วซงเฉิงมาก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้น้อยคนหนึ่งอย่างเย่เทียนเฉินเลย

“ฉันจะกล้าหรือไม่ก็เรื่องของฉัน ฉันแค่อยากจะบอกแกว่า คนที่โอหังและตาต่ำมันคนตระกูลลั่วของแก ไม่ใช่ตระกูลเย่ของฉัน…” เย่เทียนเฉินกล่าวเสียงเย็น

“เฮอะ แกฆ่าหลานชายสองคนของฉัน ต่อให้ฟ้าถล่มแกก็หนีไม่พ้น ต้องตายแน่นอน!” ลั่วซงเฉิงสบถพลางกล่าวออกมาอย่างโหดร้าย

“ในเมื่อแกพูดถึงเหตุผล งั้นฉันก็จะบอกเหตุผลกับแกสักหน่อย ฉันกับหลานของแกลั่วเหลยไม่มีบุญคุณความแค้นต่อกัน แต่เขากลับซื้อตัวหนังสือพิมพ์ซุบซิบของจิงตู ให้เขียนข่าวทำลายชื่อเสียงของฉัน ฉันก็เลยสั่งสอนลั่วเหลยกับลั่วเทาไปนิดหน่อย เพื่อให้พวกมันตาสว่าง ที่ไหนได้แกลั่วซงเฉิงยิ่งปกป้องคนของตน ถึงกับส่งอู๋เสวี่ยนักฆ่าอันดับหนึ่งของจิงตูมาฆ่าฉัน ไม่สนใจตำแหน่งฐานะทางทหารของตัวเองเลย รู้กฏหมายแต่ก็ยังกระทำผิด ใช้หนึ่งฝ่ามือปิดแผ่นฟ้า การตายของลั่วเหลยและลั่วเทา ก็เป็นเพราะการกระทำของตระกูลลั่วของแกเองทั้งนั้น” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางขมวดคิ้ว

“แก…ต่อให้เป็นอย่งนี้แล้วจะทำไม แกกล้าฆ่าหลานชายทั้งสองของฉัน ใครก็ปกป้องแกไม่ได้ หัวหน้าหน่วยเถี่ยฉุย คุณเป็นผู้รักษาความสงบเรียบร้อยในจิงตู ตอนนี้ฆาตรกรฆ่าคนอยู่ตรงหน้าแล้ว ยังไม่รีบจับไปอีก?” ลั่วซงเฉิงโกรธจนทนไม่ไหว เขาย่อมรู้ข้อเท็จจริงของเรื่องราว เป็นลั่วเหลยที่ไปหาเรื่องเย่เทียนเฉินก่อนจริงๆ แต่ว่าด้วยอำนาจของเขาลั่วซงเฉิง ต่อให้ตระกูลลั่วของตนเองเป็นฝ่ายผิด ก็จะแก้แค้นให้หลานชายทั้งสอง

เถี่ยฉุยขมวดคิ้ว เขากับเย่เทียนเฉินเคยเจอกันมาก่อน และก็รู้สาเหตุที่ลั่วซงเฉิงเรียกตนเองมาในครั้งนี้ นั่นก็เพื่อนแสดงถึงความยุติธรรมบังหน้า แต่ความจริงเป็นการแก้แค้นส่วนตัว เห็นเย่เทียนเฉินลงมือ เถี่ยฉุยก็เข้าใจกระจ่าง เขาไม่สามารถยืนมองลั่วซงเฉิงถูกเย่เทียนเฉินจัดการไปเฉยๆ ได้ หากว่าเป็นเช่นนั้นก็คงจะเกิดเรื่องใหญ่จริงๆ แล้ว ลั่วซงเฉิงเป็นรองผู้บัญชาการเขตทหาร หากรองผู้บัญชาการเขตทหารคนหนึ่งถูกฆ่า ผลลัพธ์ย่อมร้ายแรงอย่างไม่อาจจินตนาการได้

ดังนั้นเมื่อคิดถึงตรงนี้ เถี่ยฉุยก็มองลั่วซงเฉิง ก่อนจะยืนขึ้นขวางเบื้องหน้าเย่เทียนเฉิน

………………………………………………………………..

บทที่ 50 อำนาจแข็งแกร่งและการใช้อำนาจบาตรใหญ่ของลั่วซงเฉิง
Ink Stone_Fantasy
กองทหารองครักษ์แห่งจิงตูก็คือหน่วยมังกรฟ้าที่มีเถี่ยฉุยเป็นผู้นำ คอยรักษาความมั่นคงปลอดภัยของจิงตู เนื่องจากในจิงตูมีกลุ่มอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่อยู่มากมาย ฝ่ายรักษาความปลอดภัยสารธารณะธรรมดาๆ มิอาจล่วงเกินได้ ดังนั้นเพื่อควบคุมเหล่าผู้มีอำนาจและตระกูลใหญ่ต่างๆ ที่ไม่เห็นกฏหมายอยู่ในสายตา คนระดับสูงของประเทศจึงตัดสินใจส่งหน่วยมังกรฟ้ามาเพื่อรักษากฏหมายและความสงบเรียบร้อยในจิงตู

หลานชายสองคนของลั่วซงเฉิง ลั่วเทาและลั่วเหลยถูกอู๋เสวี่ยฆ่าตายไปจริงๆ ลั่วซงเฉิงที่มีนิสัยปกป้องและถือหางพรรคพวก อีกทั้งจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต ย่อมไม่ยอมปล่อยเย่เทียนเฉินไปแน่ ลั่วซงเฉิงที่โกรธขั้นสุดก็คิดอย่างรวดเร็วว่า ครั้งนี้เขาไม่เพียงแต่ต้องฆ่าเย่เทียนเฉิน แต่ยังต้องทำลายตระกูลเย่ด้วย ดังนั้นจึงนำกองทหารคนสนิท และยังเรียกเถี่ยฉุยจากหน่วยมังกรฟ้ามา เพื่อที่จะบุกทะลวงไปยังบ้านหลักตระกูลเย่และจะฆ่าคนตระกูลเย่ก่อนโดยไม่สนใจถึงความถูกต้องเหมาะสมใดๆ รวมกับมีเถี่ยฉุยอยู่ด้วย ถึงตอนนั้นเชื่อว่าเบื้องบนของประเทศคงไม่ว่าอะไรเขาแน่ มีความโหดเหี้ยมอยู่เต็มร้อย

เสียงเตะดังปัง เย่เทียนเฉินไม่สนใจพวกนี้ และไม่กลัวว่าทหารสองนายนี้มีปืน พวกเขากล้ามาขวางตนเองที่จะเข้าไปในบ้านหลัก แค่เตะก็ปลิวไปหนึ่งคน ส่วนทหารถือปืนที่เหลืออีกคนหนึ่ง ในตอนที่เตรียมใช้ปืนเล็งไปยังศีรษะของเย่เทียนเฉินก็ถูกเตะจนปลิวไปเช่นกัน

ที่เย่เทียนเฉินรีบร้อนฝ่าเข้าไปเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าเพื่อจะช่วยคนอื่นๆ ในบ้านหลักตระกูลเย่ แต่เป็นเพราะว่าเย่หงพ่อของตนอยู่ข้างใน ในความคิดของทุกคน ลั่วเหลยและลั่วเทาถูกตนเองฆ่าตาย ลั่วซงเฉิงย่อมนำบัญชีความแค้นนี้มาลงกับตนเอง ตอนนี้ตนเองไม่ได้อยู่ที่บ้านหลักตระกูลเย่ แต่เย่หงผู้เป็นบิดานั้นอยู่ ลั่วซงเฉิงย่อมไม่อาจปล่อยเย่หงผู้เป็นพ่อไปแน่นอน ด้วยเหตุนี้เย่เทียนเฉินจึงทะลวงเข้าไปข้างในอย่างรีบร้อนเช่นนั้น

ไม่รอให้หลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ได้สติกลับมา เย่เทียนเฉินก็ใช้ขาเตะนายทหารถือปืนทั้งสองจนปลิวไป จากนั้นจึงจูงเธอเดินเข้าไปยังห้องโถงสำหรับรับแขกของบ้านหลักตระกูลเย่

หนึ่งในทหารสองนายที่ถูกเย่เทียนเฉินเตะจนปลิวพยุงปืนกลขึ้นมา เล็งไปที่บริเวณหลังของเย่เทียนเฉินและเตรียมที่จะยิงออกไป แต่กลับถูกนายทหารอีกคนหนึ่งขวางเอาไว้

“อย่าวุ่นวายไป ถ้าหากยิงเย่เทียนเฉินตายไปจริงๆ เกรงว่าเรื่องนี้จะเป็นพวกเราที่ต้องแบกรับความผิด”

นายทหารที่ยกปืนกลขึ้นมาผู้นั้น กัดฟันอย่างดุร้าย สุดท้ายก็วางปืนกลลง สหายร่วมรบข้างกายเขาพูดได้ไม่ผิด ไม่ว่าจะพูดอย่างไรตระกูลเย่ก็เป็นตระกูลที่ยังพอมีหน้ามีตาในจิงตู อย่างไรเสียเย่หย่วนซานผู้อาวุโสตระกูลเย่ก็เคยกุมอำนาจอยู่ในมือ ลั่วซงเฉิงฆ่าเย่เทียนเฉินตายอาจจะไม่ร้ายแรง แต่หากพวกเขาที่ฐานะแตกต่างกับลั่วซงเฉิงราวฟ้ากับเหวลั่นไกยิงเย่เทียนเฉินตาย ถึงตอนนั้นเบื้องบนสอบสวนลงมา ต้องยัดความผิดมาให้พวกเขาแน่ เช่นนั้นคงต้องตายโดยไม่ได้รับความเป็นธรรม

ตอนนี้เอง เมื่อเย่เทียนเฉินไปรวมตัวในห้องโถงรับแขกของบ้านหลักตระกูลเย่ ลั่วซงเฉิง เถี่ยฉุย ผู้อาวุโสตระกูลเย่เย่หย่วนซาน เย่หวง เย่มู๋ไป๋และเย่เฮ่อกั๋ว ทั้งหกคนต่างก็มองหน้ากันด้วยสีหน้ามืดครึ้ม ภายในห้องโถงมีบรรยากาศขัดแย้งรุนแรงปะทุออกมาอย่างเข้มข้น ลั่วซงเฉิงมองเย่หงอย่างโหดเหี้ยม อยากที่จะฆ่าเย่หงให้ตายแล้วค่อยไปฆ่าเย่เทียนเฉิน

ปัง!

ลั่วซงเฉิงใช้มือตบลงบนโต๊ะน้ำชา ลุกขึ้นยืนแล้วพูดอย่างโหดเหี้ยมว่า “ผู้อาสุโสเย่ ผมจะไม่อ้อมค้อม หลานสองคนของผมลั่วเหลยและลั่วเทา ตายด้วยน้ำมือของเย่เทียนเฉินหลานของคุณ ตอนนี้ผมไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ส่งเย่เทียนเฉินมา ใช้ชีวิตแลกชีวิต ไม่งั้นอย่าหาว่าผมไม่เกรงใจ!”

ได้ยินคำพูดของลั่วซงเฉิง เย่หย่วนซานก็ขมวดคิ้ว ในปีนั้นตอนที่ตนยังอยู่ในตำแหน่ง ตำแหน่งสูงกว่าลั่วซงเฉิงไม่น้อย ตอนนี้ตนเองเกษียณแล้วก็ไม่มีผู้ใดเคารพเลยจริงๆ กล่าวไปแล้วลั่วซงเฉิงก็ถือว่าเป็นผู้น้อยของตนเอง แต่กลับกล้าใช้คำพูดเช่นนี้กับตน หากว่าเป็นเมื่อก่อน เกรงว่าลั่วซงเฉิงสิบคนก็ไม่พอให้ชายตาแล ดูท่าคนเราสังขารโรยราขึ้นทุกวันจริงๆ!

“รองผู้บัญชาการลั่ว เรื่องนี้ผมเห็นว่ายังต้องหาหลักฐาน ผมเชื่อว่าหลานของผมไม่ทำเรื่องเช่นนั้นแน่นอน” เย่หย่วนซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ไม่ทำแน่? ผู้อาวุโสเย่ เรื่องนี้หลักฐานแน่นหนา ผมพูดได้ตรงนี้เลยว่า ถ้าหากวันนี้ตระกูลเย่ไม่ส่งเย่เทียนเฉินออกมา ผมก็ทำได้แต่ฆ่าหลานชายตระกูลเย่ของคุณเพื่อล้างแค้นให้หลานชายทั้งสองของผม!” ลั่วซงเฉิงกล่าวเสียงดังอย่างจองหองอวดดี

“คุณ…ลั่วซงเฉิง คุณนี่ช่างไม่เจียมตัวบ้างเลย คนแก่อย่างผมต่อให้ลงจากตำแหน่งแล้ว แต่หากกล้าลั่นไกในตระกูลเย่ของผมล่ะก็ เกรงว่าตระกูลลั่วของคุณเองก็ไม่ได้อยู่ดีแน่!”

เย่หย่วนซานเองก็ถูกทำให้โกรธเสียแล้ว ต่อให้ตระกูลเย่จะตกต่ำกว่านี้ ก็ไม่มีใครกล้ามาอวดดีที่ตระกูลเย่ขนาดนี้ ไม่เห็นตนเองอยู่ในสายตาเลย ตอนนี้ลั่วซงเฉิงไม่เพียงแต่นำทหารพร้อมด้วยอาวุธปืนมาล้อมตระกูลเย่ทั้งหมด แล้วยังจะฆ่าปิดปากคนตระกูลเย่อีกด้วย ต่อให้เป็นคนที่สุขุมกว่านี้ก็เกรงว่าจะทนไม่ไหว

“เฮอะ ผู้อาวุโสเย่ หากไม่ใช่เพราะผมเห็นว่าคุณเป็นผู้อาวุโส ผมคงไม่มาพูดจามากความกับคุณหรอก ผมลั่วซงเฉิงไม่ใช่จะล่วงเกินกันง่ายๆ เย่เทียนเฉินไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ กล้าฆ่าหลานชายทั้งสองของผม ต่อให้เป็นเทพเทวดาก็ช่วยเขาไม่ได้แล้ว วันนี้เขาต้องตายแน่นอน!” ในที่สุดลั่วซงเฉิงก็คำราม พูดจาแตกหักออกมาอย่างเปิดเผย

“พี่ซงเฉิง ผมคิดว่าเรื่องนี้มีการเข้าใจผิด เทียนเฉินแม้จะเสเพลไปบ้าง แต่เกรงว่าไม่กล้าลงมือฆ่าหลานชายทั้งสองของพี่แน่ ผมคิดว่าเรื่องนี้ยังต้องตรวจสอบอีก!” เย่หงกล่าวอย่างไม่เชื่ออยู่อีกด้านหนึ่ง

ไม่ว่าจะเป็นเย่เทียนเฉินผู้เป็นลูกทำหรือไม่ เย่หงก็ล้วนแต่ไม่เชื่อ นั่นเป็นลูกชายของตนเอง คนเป็นพ่อ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ย่อมยืนอยู่ข้างลูกชายของตนแน่นอน หากว่าพิสูจน์และยืนยันแล้วว่าเย่เทียนเฉินลูกชายของตนฆ่าหลานชายทั้งสองของลั่วซงเฉิงจริงๆ เช่นนั้นก็นับว่าเย่เทียนเฉินเดินอยู่บนเส้นทางแห่งความตายไปแล้ว เย่หงย่อมไม่อาจทนเห็นฉากนี้ได้

ลั่วซงเฉิงมองเย่หง ทันใดนั้นก็ควักปืนพกกระบอกหนึ่งออกมา ชี้ไปยังหัวของเย่หง พลางเปิดปากกล่าวอย่างโหดเหี้ยมว่า “เย่หง แกสอนลูกได้ไม่ดี ในเมื่อเย่เทียนเฉินไม่กล้าปรากฏตัว ฉันก็ทำได้แต่ลงมีดที่แกก่อนแล้ว ฆ่าแกก่อน ฉันจะทำให้เย่เทียนเฉินได้ลิ้มรสความทุกข์ที่ต้องสูญเสียญาติมิตรไป”

ใครก็คิดไม่ถึงว่าลั่วซงเฉิงจะโหดร้ายและใช้อำนาจบาตรใหญ่เช่นนี้ กล้านำปืนออกมาจริงๆ ท่าทางเช่นนั้นราวกับว่ากล้าลั่นไกยิงเย่หงให้ตาย เมื่อพบกับฉากนี้ เย่หย่วนซานก็ตกตะลึง ส่วนเย่มู่ไป๋และเย่เฮ่อกั๋ว ทั้งสองก็ยิ่งตกใจจนหน้าถอดสี ไม่กล้าพูดอะไรสักคำ เถี่ยฉุยที่อยู่อีกด้านและไม่พูดอะไรมาโดยตลอดก็ตกตะลึงเช่นกัน เขาคาดคิดไม่ถึงว่าลั่วซงเฉิงจะดูราวกับว่ากล้าฆ่าคนในตระกูลเย่จริงๆ

“พี่ลั่ว เรื่องนี้ยังต้องตรวจสอบอีก อย่างไรเสียเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องใหญ่ ถ้าหากว่าเย่เทียนเฉินไม่ได้เป็นคนทำ งั้นก็เป็นเรื่องแน่!” เถี่ยฉุยรีบกล่าวเตือนลั่วซงเฉิง

“เฮอะ มีทั้งพยานทั้งหลักฐาน บนกำแพงห้องที่เหลยเอ๋อร์กับเทาเอ๋อร์ตายยังมีข้อความที่เย่เทียนเฉินทิ้งไว้ มันดิ้นไม่หลุดแน่ ฉันฆ่าเย่หงก่อนแล้วค่อยฆ่าเย่เทียนเฉินเพื่อแก้แค้นให้หลานชายทั้งสองของฉัน” ลั่วซงเฉิงสบถเสียงเย็น

“ช้าก่อน ลั่วซงเฉิง คณะกรรมาธิการทหารใกล้จะจัดการเลือกตั้งแล้ว ถ้าหากคุณลั่นไกฆ่าคนในตระกูลเย่ของผม ต่อให้คุณมีเหตุผล ก็เกรงว่าจะกระทบต่อหน้าที่การงานของคุณแน่ คุณต้องคิดให้ดี!” เย่หย่วนซานกล่าวเสียงเข้ม

ลั่วซงเฉิงขมวดคิ้ว ความจริงแล้วตอนที่เขากำลังมาเขาก็คิดดีแล้ว ต้องอาศัยตอนที่คนระดับบนยังไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ฆ่าคนของตระกูลเย่ด้วยตนเองซะ ถึงตอนนั้นก็บอกไปว่าตนเองหุนหันชั่ววูบเพราะความเสียใจจากการสูญเสียหลายชายที่รักทั้งสอง รวมกับมีเถี่ยฉุยหัวหน้าหน่วยมังกรฟ้าเป็นพยานอยู่ด้านข้าง เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ หากว่าเถี่ยฉุยไม่พูดเข้าข้างตนเอง ก็เกรงว่าเขาเองก็หนีไม่พ้นความผิด นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ลั่วซงเฉิงระดมคนมากมายและให้เถี่ยฉุยส่งหัวกะทิของหน่วยมังกรฟ้ามา

แต่ว่าที่เย่หย่วนซานพูดก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล ต่อให้ตนเองสูญเสียหลายชายทั้งสองไป แต่ก็ยังมีคนรุ่นหลังคนอื่นๆ อยู่อีก มิใช่มีเพียงแค่ลั่วเหลยและลั่วเทาสองพี่น้อง ด้วยอำนาจของตนเอง ต้องการจะจัดการตระกูลเย่นั้นก็เกินพอแล้ว แต่ว่าการเลือกตั้งคณะกรรมาธิการทหารในครั้งนี้ เกรงว่าจะเป็นโอกาสครั้งสุดท้ายของตนที่จะได้เข้าสู่คณะกรรมาธิการทหาร หากไม่ฉวยโอกาสนี้ไว้ให้ดี ต้องการทำให้ตระกูลลั่วยกระดับขึ้นอีกขั้นก็เป็นเรื่องยากแล้ว

“ผมจะนับถึงสาม ถ้าหากพวกคุณไม่ส่งเย่เทียนเฉินมาล่ะก็ ก็อย่ามาโทษที่ปืนในมือผมไม่มีตาแล้วกัน…”

“หนึ่ง!” ลั่วซงเฉิงนับเสียงดัง

“พะ…พี่ลั่ว เรื่องนี้พวกผมสองคนไม่เกี่ยว เป็นเย่เทียนเฉินทำทั้งหมด พี่ต้องการแก้แค้นให้หลานชายของตัวเองก็ไปหาเขาเถอะ!” เย่มู่ไป๋ตกใจกลัวจนรีบเปิดปากพูด

“สอง!”

“นะ…น้องสาม นายสอนลูกได้ไม่ดี เย่เทียนเฉินถึงได้ทำตัวกบฏแบบนี้ นายยังจะปกป้องเขาไปทำไมอีก ส่งเขาให้พี่ลั่วลงโทษซะ จะได้ไม่ทำให้พี่ลั่วต้องโกรธ…” เย่เฮ่อกั๋วรีบเปิดปากกล่าวตำหนิเย่หง

เย่หงได้ยินคำพูดของพี่ชายทั้งสองก็รู้สึกโกรธ ในยามปกติพวกเขาทั้งสองก็มักจะตำหนิและบีบคั้นตนเอง แต่เพราะเห็นแก่หน้าของเย่หย่วนซานผู้เป็นบิดาบวกกับเย่หงต้องการให้ครอบครัวมีความสมัครสมานสามัคคี จึงไม่คิดเล็กคิดน้อยกับพวกเขา จะอย่างไรก็เป็นครอบครัวเดียวกัน เลือดย่อมข้นกว่าน้ำมิใช่หรือ?

ที่ไหนได้เย่มู่ไป๋และเย่เฮ่อกั๋วกลับไม่คำนึงถึงสถานภาพนี้ จะดีร้ายตระกูลเย่ของตนก็เคยรุ่งโรจน์มาก่อน ตอนนี้ถึงกับถูกคนบุกมาถึงประตู ปิดล้อมทั้งตระกูลเย่ บีบบังคับให้พวกเขาส่งคน ถ้าไม่ส่งคนก็ต้องตาย นี่ช่างไร้ศักดิ์ศรีสิ้นดี

“พี่ยิงเถอะ ไม่ว่าจะเป็นลูกชายของผมทำหรือไม่ ผมขอรับผิดชอบทุกอย่างเอง!” เย่หงกล่าวพลางมองลั่วซงเฉิงอย่างดุดัน

“ดี ดี เย่หง ฉันจะฆ่าแกก่อน แล้วค่อยไปฆ่าไอ้ลูกเต่าเย่เทียนเฉิน…”

คำพูดของลั่วซงเฉิงเพิงออกจากปาก นิ้วชี้ขวาของเขาก็ขยับไปที่ไกปืนช้าๆ เดิมทีเขาก็มาด้วยใจที่ต้องการฆ่าฟันอยู่แล้ว สาบานว่าจะทำลายตระกูลเย่ เตรียมที่จะฆ่าคนของตระกูลเย่ทั้งหมด ให้อำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่ในจิงตูทั้งหมดได้รู้ว่าอย่ามาหาเรื่องเขาลั่วซงเฉิง และแสดงให้เห็นว่าอำนาจตระกูลลั่วของเขาแข็งแกร่งขนาดไหน

เย่หงหลับตา รอเวลาที่ลูกกระสุนปืนจะเจาะทะลุหัวใจ เขาไม่ทราบว่าเรื่องการฆ่าหลานชายทั้งสองของตระกูลลั่วนั้น ตกลงเย่เทียนเฉินผู้เป็นลูกได้ทำหรือไม่ แต่ว่าสิ่งเดียวที่เขาคิดอยู่ในใจ ณ ตอนนี้นั้นไม่ใช่ความปลอดภัยของตนเอง แต่เป็นการอธิฐานไม่ให้ลูกชายของตนปรากฏตัว จะอย่างไรก็อย่าปรากฏตัวออกมาเด็ดขาด บางทีนี่คงเป็นความรักอันยิ่งใหญ่ของผู้เป็นพ่อที่ซ่อนอยู่ภายในใจ

ครั้งนี้ใครก็ดูออก เดิมทีลั่วเหลยและลั่วเทาเป็นฝ่ายไปหาเรื่องเย่เทียนเฉินก่อนจึงถูกเย่เทียนเฉินลงมือสั่งสอนและฆ่าตายไป แต่ลั่วซงเฉิงกลับเข้าข้างพวกพ้องตนเอง ไม่ว่าจะเหตุผลอะไรก็ตาม ต่อให้ตระกูลลั่วของเขาเป็นฝ่ายผิด ก็จะฆ่าเย่เทียนเฉินเพื่อล้างแค้นให้กับหลานชายทั้งสอง เหตุที่นำทหารคนสนิทพร้อมด้วยอาวุธปืนหลายสิบคนของตนมาปิดล้อมบ้านหลักตระกูลเย่ ก็เพื่อที่จะฆ่าล้างตระกูลเย่ ให้เถี่ยฉุยหัวหน้าหน่วยมังกรฟ้ามาก็เพราะไม่อยากให้คนระดับบนตรวจสอบ มีเหตุผลให้พ้นจากความผิด ลากเถี่ยฉุยลงน้ำด้วยกัน

ปัง!

เสียงปืนดังขึ้นแล้ว…

…………………………………………………………….

บทที่ 49 บ้านหลักตระกูลเย่เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!
Ink Stone_Fantasy
ฆ่าคนแล้วทิ้งข้อความไว้ นี่มันความหยิ่งผยองระดับใดกัน!

เย่เทียนเฉินเองก็คิดไม่ถึงว่าอู๋เสวี่ยจะมีความกล้าหาญเช่นนี้ ไปฆ่าลั่วเหลยและลั่วเทาจริงๆ ด้วย แล้วยังทิ้งข้อความเอาไว้ที่สถานที่เกิดเหตุอีก มิน่าเล่าสมกับที่เป็นนักฆ่าอันดับหนึ่งแห่งจิงตู กล้าทำกล้ารับ!

“แม่งเอ้ยนายพูดมานะ เจ้าเย่เทียนเฉินนั่นมันทิ้งข้อความอะไรไว้กันแน่?”

“ก็ใช่น่ะสิ อย่ามาอมพะนำ ตกลงเป็นข้อความอะไรกันแน่?”

คุณชายเหล่านี้เดิมทีก็เบื่อมากอยู่แล้ว วันๆ รู้จักแต่กินดื่มเที่ยวเล่น พูดคุยเรื่องซุบซิบ มีสัมพันธ์กับผู้หญิง ในจิงตูที่เป็นดั่งสถานที่ๆ รวบรวมกลุ่มอำนาจต่างๆ ไว้มากมายนั้นมีข่าวต่างๆ อยู่มากมายเหลือคณา แต่ข่าวที่สะเทือนเลื่อนลั่นนั้นน้อยมาก การตายของลั่วเหลยและลั่วเทาในครั้งนี้ จะต้องเป็นข่าวใหญ่ที่สุดในรอบหลายปีของจิงตูแน่นอน ถึงขั้นที่สามารถทำให้เกิดความโกลาหลได้เลยทีเดียว

คนที่พอมีตำแหน่งฐานะอยู่บ้างก็จะรู้ว่า แม้ว่าตระกูลลั่วจะไม่ใช่ตระกูลชั้นหนึ่งของจิงตู แต่ลั่วซงเฉิงตาเฒ่าคนนี้ปกป้องถือหางพรรคพวกเป็นอย่างมากมาโดยตลอด อีกอย่างหลายปีมานี้ การพัฒนาของตระกูลลั่วทำให้มีอำนาจเพิ่มพูนขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะการเลือกตั้งคณะกรรมาธิการทหารในครั้งนี้ ลั่วซงเฉิงมีโอกาสสูงที่จะได้เข้าไปเป็นคณะกรรมาธิการทหาร ถึงตอนนั้นตระกูลลั่วมีความเป็นไปได้ว่าจะสามารถยกระดับเป็นตระกูลชั้นหนึ่งของจิงตูได้ เมื่อถึงตอนนั้นก็จะเป็นอะไรที่ตระกูลเย่มิอาจหาเรื่องได้

คนจำนวนมากต่างก็รู้ว่า ตระกูลเย่นั้นหลังจากที่ผู้อาวุโสเย่หย่วนซานเกษียณ อำนาจของตระกูลก็ไม่สู้วันวาน ลูกชายสามคนล้วนมิอาจเป็นผู้นำได้ ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตระกูลลั่วโดยสิ้นเชิง หากว่าคราวนี้ลั่วซงเฉิงสามารถเข้าสู่คณะกรรมาธิการทหารได้จริงๆ เกรงว่าตระกูลเย่ต้องพบกับภัยพิบัติอันใหญ่หลวง หากว่าเย่เทียนเฉินฆ่าลั่วเหลยและลั่วเทาจริงๆ เกรงว่าเรื่องราวจะยิ่งหนักหนาสาหัสขึ้น

แน่นอนว่าเหล่าคุณชายพวกนี้ต่างก็มีท่าทีกอดอกมองดูความครื้นเครง อำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่ในจิงตูนั้นไม่น้อยเลยจริงๆ การแข่งขันนองเลือดมีมาก มีเกมดีๆ มากมายให้ดู คนจำนวนมากต่างก็เอนเอียงไปทางตระกูลลั่ว เนื่องจากอำนาจของตระกูลเย่นั้นสู้ตระกูลลั่วไม่ได้จริงๆ

ชายร่างอ้วนมองคนทั้งหมดที่นั่งอยู่ จิบชาอึกหนึ่ง ถึงจะลุกขึ้นยืนพลางเปิดปากกล่าวว่า “ถ้าหากว่าเป็นเย่เทียนเฉินที่ฆ่าลั่วเหลยและลั่วเทาจริงๆ ฉันคิดว่าไอ้เศษสวะไม่เอาไหนของตระกูลเย่นี่ มีความเป็นไปได้มากว่าจะเข้มแข็งขึ้นจริงๆ คำพูดประโยคนั้นของเขาทำให้คนต้องสั่นสะท้าน เย็นสันหลังวาบ!”

“นายนี่ต้องให้ฉันอัดสักยกก่อนใช่ไหมถึงจะพูด?”

“อย่ามายั่วน้ำลายคนอื่นเขาสิ รีบพูดมา!”

“คำพูดประโยคนั้นก็คือ หาเรื่องตระกูลเย่ของฉัน ลบหลู่ญาติมิตรของฉัน ตาย! จากเย่เทียนเฉิน!” ตอนที่ชายร่างอ้วนพูดนั้นมีความตื่นเต้นราวกับว่าตนเองที่เป็นผู้กระทำเรื่องราวใหญ่โตเช่นนี้

เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวอย่างหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ อู๋เสวี่ยคนนี้มีความเข้าใจตนเองเชียวหรือ คำพูดประโยคนี้ช่างเหมาะสมกับนิสัยและหลักการของตนเองพอดี หากว่าเขาไปฆ่าลั่วเหลยและลั่วเทาด้วยตนเอง เกรงว่าก็คงจะเขียนประโยคนี้เช่นกัน

“นี่…ไอ้หมอนี่หาที่ตายรึไง? กล้าพูดจาใหญ่โตเช่นนี้”

“ฆ่าลั่วเหลยกับลั่วเทา แถมยังทิ้งข้อความกับชื่อไว้ ช่าง…ช่างกล้าเกินไปแล้ว!”

“อำนาจของตระกูลเย่ไม่อาจสู้ตระกูลลั่วได้ ในสถานการณ์เช่นนี้หากตระกูลลั่วลงมือใช้อำนาจทำลายตระกูลเย่ เกรงว่ากระทั่งคนระดับบนของประเทศก็ไม่กล้าพูดอะไรมากมายหรอก!”

“เย่เทียนเฉินหาเรื่องตายจริงๆ เขาจะทำให้ทั้งตระกูลเย่ต้องตาย”

เมื่อเหล่าคุณชายพวกนี้ได้ยินคำพูดของชายร่างอ้วน บอกว่าอู๋เสวี่ยฆ่าคนแล้วทิ้งข้อความไว้ ทั้งหมดต่างก็สูดหายใจด้วยความตกใจ พวกเขาแต่ละตระกูลแม้ไม่ได้มีอำนาจมากมายในจิงตู แต่ว่าจะมากจะน้อยก็ยังเข้าใจเรื่องราวระดับบนอยู่บ้าง ลั่วซงเฉิงมีอำนาจยิ่งใหญ่เป็นอย่างมากมาโดยตลอด ส่วนอำนาจของตระกูลเย่นั้นตกต่ำลงจนกลายเป็นเพียงตระกูลชั้นสามหากพูดถึงอำนาจของตระกูลแล้ว มิใช่คู่ต่อสู้ของตระกูลลั่วโดยสิ้นเชิง ถ้าจะกล่าวว่าเย่เทียนเฉินคนเดียวสามารถต่อกรทั้งตระกูลลั่วทั้งตระกูลและเปลี่ยนสถานการณ์ของตระกูลเย่ได้ นั่นย่อมมีไม่กี่คนที่จะเชื่อ

“ฉันกลับคิดว่าเจ้าเย่เทียนเฉินคนนี้ดีมาก เป็นตัวตลกของทั่วทั้งจิงตู หลังจากที่กลับมาที่เมือง ทุกสิ่งที่อย่างที่ทำก็ล้วนแต่โอหัง หากเขาสามารถจัดการตระกูลลั่วได้จริงๆ งั้นก็น่าสนุกมาก…” ชายร่างอ้วนหัวเราะฮี่ๆ พลางกล่าว

เย่เทียนเฉินเดินออกจากเป้ยเฟิงเซวียน คิดว่าจะทำอย่างไรจึงจะช่วยหยางไห่พ่อบุญธรรมของอู๋เสวี่ยออกมาได้ เมื่อพูดไปแล้วก็ต้องทำตามคำพูด ในเมื่อตอบรับอู๋เสวี่ยแล้วว่า ขอเพียงแค่เขาฆ่าลั่วเหลยกับลั่วเทาก็จะช่วยพ่อบุญธรรมของเขาออกมา เช่นนั้นเย่เทียนเฉินก็ย่อมต้องคิดหาวิธี

เพิ่งจะเดินออกมาจากเป้ยเฟิงเซวียน เสียงโทรศัพท์มือถือของเย่เทียนเฉินก็ดังขึ้น เมื่อดูก็พบว่าเป็นเบอร์ที่ไม่ปรากฏเบอร์โทรศัพท์โทรเข้ามา จึงกดปุ่มรับสายด้วยความสงสัย

“ฮัลโหล คุณจะคุยกับใครครับ?” เย่เทียนเฉินเปิดปากกล่าวถาม

“ฉันเอง นายลองดูหน่อยว่าตอนนี้รอบๆ มีคนตามนายรึเปล่า หรือไม่ก็อาจจะถูกคนแอบดักฟังหรือเปล่า” อีกฝั่งของโทรศัพท์มีเสียงผู้ชายตอบกลับมา

เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว รีบมองไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว ด้วยพลังพิเศษแห่งการรับรู้ พบว่าไม่มีคนที่น่าสงสัยอะไร จึงเปิดปากกล่าวว่า “อู๋เสวี่ย นายช่วยฉันฆ่าลั่วเหลยกับลั่วเทาแล้ว ฉันจะทำตามคำสัญญาของฉัน จะช่วยพ่อบุญธรรมนายออกมา!”

ที่แท้คนที่โทรเข้ามาก็คืออู๋เสวี่ยนั่นเอง คนๆ นี้เมื่อคืนไปฆ่าลั่วเหลยกับลั่วเทาจริงๆ แล้วยังทิ้งข้อความเอาไว้ตามคำพูดของเย่เทียนเฉินอีกด้วย ทำให้คนตระกูลลั่วรู้ว่าคนที่ฆ่าลั่วเหลยกับลั่วเทาไม่ใช่เขาอู๋เสวี่ยแต่เป็นเย่เทียนเฉิน

“เรื่องนี้ยืดเวลาออกไปก่อนได้ ไม่รีบ ที่ฉันโทรมาหานายเพราะมีเรื่องจะบอกนาย ตระกูลเย่ของนายต้องเจอกับวิกฤตแล้ว รีบเตรียมตัวให้ดีๆ เถอะ!” คำพูดของอู๋เสวี่ยไม่ได้ร้อนรนและก็ไม่ได้ใจเย็น แต่กลับมีบรรยากาศที่ทำให้คนต้องสั่นสะท้าน

“ลั่วซงเฉิงเตรียมจะลงมือแล้วเหรอ?” เย่เทียนเฉินกล่าวมถามอย่างไม่ใส่ใจ

“ไม่ผิด ที่ลั่วซงเฉิงปิดข่าวก็เพราะเตรียมจะโจมทีกะทันหัน ทำลายตระกูลเย่ของนาย ตอนนี้เขาได้รวบรวบกองทหารองครักษ์แห่งจิงตูแล้ว เป็นไปได้ว่าจะไปที่ตระกูลเย่ของนายเร็วๆ นี้ เตรียมจัดการก่อนค่อยรายงานทีหลัง!” อู๋เสวี่ยเปิดปากกล่าว

“กองทหารองครักษ์แห่งจิงตู? นายหมายถึงหน่วยมังกรฟ้าเหรอ?”

พูดถึงหน่วยมังกรฟ้า เย่เทียนเฉินอดคิดถึงเถี่ยฉุยไม่ได้ คนๆ นี้เป็นหัวหน้าหน่วยมังกรฟ้า วันนั้นตนเองแบกหานเจี๋ยกลับมาก็เป็นเขาที่มาสนับสนุน ตลอดมาได้ยินมาว่าหน่วยมังกรฟ้าไม่เพียงแต่เป็นกองทัพที่แข็งแกร่งและกล้าหาญ ขึ้นตรงต่อผู้บัญชาการเขต ทั้งยังมีหน้าที่ปกป้องจิงตู เนื่องจากจิงตูมีกลุ่มอำนาจและตระกูลใหญ่มากมาย ปัญหาเรื่องความสงบเรียบร้อยภายในก็ยุ่งเหยิงและยากที่จะจัดการ เรื่องบางเรื่องเกี่ยวพันถึงอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่ ฝ่ายรักษาความปลอดภัยสาธารณะเกรงว่าจะจัดการไม่ได้ จึงจำเป็นต้องให้หน่วยมังกรฟ้าออกหน้า รับผิดชอบโดยตรงต่อผู้นำสูงสุดระดับประเทศและระดับเขตหลายคน มีหลายคนที่ไม่อาจขายหน้าได้ ดังนั้นหน่วยมังกรฟ้าจึงถูกยกให้เป็นกองทหารองครักษ์แห่งจิงตู

“ใช่แล้ว หัวหน้าหน่วยของพวกเขาก็คือเถี่ยฉุย ฝีมือแข็งแกร่งห้าวหาญมาก เหนือกว่าฉันแน่นอน แม้ว่าเขาจะไม่ได้ออกคำสั่งให้ทำอะไรกับตระกูลเย่ แต่ว่าเป็นไปได้ว่าลั่วซงเฉิงจะส่งคนไปลงมืออย่างลับๆ…” อู๋เสวี่ยเตือนเย่เทียนเฉิน

เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว เขาไม่คิดเลยว่าไอ้แก่ลั่วซงเฉิงจะโหดเหี้ยมขนาดนี้ ถึงกับใช้คนของหน่วยมังกรฟ้าเพื่อจัดการกับตระกูลเย่ของตนเอง ต้องทราบว่าสมาชิกทุกคนในหน่วยมังกรฟ้าล้วนแต่ผ่านศึกมานับร้อย ในตอนนั้นครั้งแรกที่เย่เทียนเฉินเห็นเถี่ยฉุยก็รู้ได้ทันทีว่าคนๆ นี้เป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง และยังเป็นยอดฝีมือในหมู่ยอดฝีมือ หากว่าเป็นเถี่ยฉุยที่ลั่วซงเฉินบอกให้ไปจับคนที่ตระกูลเย่ รวมกับการกระตุ้นของไอ้แก่ลั่วซงเฉิง เป็นไปได้มากว่าจะต้องมีการปะทะถึงขั้นนองเลือดเกิดขึ้น

“ฉันรู้แล้ว ขอบคุณนายมาก!” เย่เทียนเฉินกล่าวเมื่อได้สติกลับมา

“ไม่ต้อง นายปล่อยฉันไปไม่ฆ่าฉัน ฉันบอกข่าวนี้กับนาย พวกเราหายกันแล้ว!” อู๋เสวี่ยเปิดปากกล่าว

“หลังจากจัดการเรื่องนี้เสร็จแล้ว ฉันจะช่วยพ่อบุญธรรมนายออกมาแน่นอน!”

วางโทรศัพท์ไปแล้วเย่เทียนเฉินก็ไม่รอช้า รีบกลับบ้านทันที เขาต้องการที่จะไปคุยกับแม่สักหน่อย ให้แม่และน้องสาวหาสถานที่ปลอดภัยชั่วคราว ลั่วซงเฉิงแห่งตระกูลลั่วจะต้องลงมืออย่างเลือดเย็นแน่นอน ช่วงที่ยังแก้ปัญหาไอ้แก่นี่ไม่ได้ ก็ไม่อาจให้แม่กับน้องสาวมีอันตรายแม้เพียงครึ่งส่วน

ไหนเลยจะรู้ว่า เย่เทียนเฉินเพิ่งจะกลับถึงบ้าน ยังไม่ทันได้แต่งเรื่องให้แม่กับน้องสาวออกไปเที่ยวสักหลายวัน แม่ก็ลากเขาตรงไปข้างนอกแล้ว

“แม่ เรื่องอะไรกันครับ?”

“เกิดเรื่องใหญ่แล้ว บ้านหลักตระกูลเย่ถูกคนนำทหารมาล้อมไว้แล้ว ผู้อาวุโสโทรมาให้แม่ไปหา พ่อของลูกก็ไปถึงแล้ว!” หลัวเยี่ยนพูดอย่างร้อนใจ

“อะไรนะ? พ่อไปถึงในบ้านหลักตระกูลเย่แล้ว?” เย่เทียนเฉินกล่าวถามอย่างคาดไม่ถึง

“ใช่แล้ว พวกเรารีบไปกันเถอะ!”

จะอย่างไรเย่เทียนเฉินก็คิดไม่ถึงว่าเย่หงผู้เป็นพ่อถึงกับอยู่ในบ้านหลักตระกูลเย่แล้ว บ้านหลักตระกูลเย่ถูกคนนำทหารมาปิดล้อม จะต้องเป็นลั่วซงเฉิงทำแน่ๆ เดิมทีเย่เทียนเฉินยังคิดว่า จะไปที่ตระกูลลั่วเพื่อไปหยุดไอ้แก่ลั่วซงเฉิงด้วยตัวเอง คิดไม่ถึงว่าไอ้แก่นี่จะเคลื่อนไหวรวดเร็วขนาดนี้

“แม่ เดี๋ยวพอไปถึงบ้านหลักตระกูลเย่แล้ว ไม่ว่าผมจะทำอะไร แม่อย่าเพิ่งถาม ไม่งั้นชีวิตของพ่อต้องมีอันตรายแน่นอน” เย่เทียนเฉินคิดครู่หนึ่งจึงกล่าวออกด้วยสายตาเด็ดเดี่ยว

“แม่…แม่รู้แล้ว…” หลัวเยี่ยนแม้จะไม่รู้ว่าทำไมเย่เทียนเฉินลูกชายของตนจึงพูดเช่นนี้ แต่เห็นการแสดงออกที่เข้มงวดจริงจังของเขาก็รู้ได้ว่าเหตุการณ์ไม่ได้เรียบง่าย หลังจากที่ลูกชายกลับมาก็ทำให้เธอต้องแปลกใจมากมาย เธอค่อยๆ เชื่อว่าลูกชายของตนเติบโตขึ้นแล้วจริงๆ เป็นชายชาตรีที่สามารถแบกฟ้าค้ำพสุธาได้คนหนึ่ง

ตอนที่เย่เทียนเฉินกับหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ไปถึงบ้านหลักตระกูลเย่นั้น พบว่าบ้านหลักตระกูลเย่ทั้งหมดถูกทหารพร้อมด้วยอาวุธปืนล้อมเอาไว้ ดูท่าทางสถานการณ์จะรุนแรงจริงๆ ไอ้แก่ลั่วซงเฉิงถึงกับกล้านำทหารพร้อมอาวุธปืนมาปิดล้อมบ้านหลักตระกูลเย่ ท่าทางอยากจะฉีกหน้าจริงๆ และต้องการฆ่าคน ทำลายตระกูลเย่

“ลูก นี่…นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” หลัวเยี่ยนเห็นว่ามีทหารถือปืนเต็มไปหมดทุกที่ก็กล่าวถามออกมาอย่างร้อนรน

“อ๋อ แม่ ไม่มีอะไรครับ อาจเป็นผู้นำคนสำคัญมามั้งครับ แม่อย่ากลัว มีลูกอยู่ทั้งคน พวกเราเข้าไปกันเถอะ!” เย่เทียนเฉินกล่าวกับหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ด้วยรอยยิ้ม

เย่เทียนเฉินกับหลัวเยี่ยนเพิ่งจะเดินถึงประตูใหญ่ของบ้านหลักตระกูลเย่ ก็ถูกทหารถือปืนสองคนขวางเอาไว้ นายทหารถือปืนหนึ่งในนั้นกล่าวเสียงเย็นว่า “พวกคุณเป็นใคร? ที่นี่ไม่อนุญาตให้เข้าไปได้ตามอำเภอใจ!”

“ผมกลับบ้านตัวเองก็ต้องให้พวกคุณอนุญาตด้วยเหรอ?” เย่เทียนเฉินกล่าวเสียงเย็น

“คุณ…คุณคือ?” นายทหารอีกคนหนึ่งชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะกล่าวถามออกมา

“เย่เทียนเฉิน”

ทหารถือปืนทั้งสองนายที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูได้ยินเย่เทียนเฉินพูดชื่อออกมาต่างก็ตกใจจนหน้าถอดสี พวกเขาต่างก็เป็นคนของลั่วซงเฉิง ย่อมรู้ถึงสาเหตุที่คราวนี้ลั่วซงเฉิงยกคนมาปิดล้อมบ้านหลักตระกูลเย่ นั้นก็คือเพื่อมาเอาผิด หากไม่สามารถจับเย่เทียนเฉินไปได้ ลั่วซงเฉิงก็เตรียมที่จะฆ่าปิดปาก ใครก็คิดไม่ถึงว่าในตอนนี้ เย่เทียนเฉินถึงกับกล้ามาจริงๆ นี่ไม่ใช่ว่ากระโดดเข้ามาสู่กับดักแห่งความตายด้วยตัวเองหรอกหรือ?

“อะไรนะ? แกก็คือเย่เทียนเฉิน? แกกล้ามาจริงๆ!” ทหารถือปืนนายหนึ่งได้สติกลับมาก็ลูบปืนในมือพลางกล่าวออกมาอย่างเย็นชา

“ทำไมฉันจะไม่กล้ามา ไสหัวไปซะ ฉันจะไปหาไอ้แก่ลั่วซงเฉิง!”

เย่เทียนเฉินเตะนายทหารถือปืนเบื้องหน้าคนนั้นพลางจูงหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่เดินเข้าไป

…………………………………………………………………….

บทที่ 48 ฆ่าคน ทิ้งข้อความ!
Ink Stone_Fantasy
เมื่อคืน หลังจากที่เย่เทียนเฉินฆ่าพวกหลี่เถี่ยแล้ว ก็กินบาร์บีคิวและดื่มเบียร์กับหูหลงที่ร้านบาร์บีคิวข้างทางข้างนอก กลับมาถึงบ้านก็รู้สึกว่าท้องยังหิวอยู่ จึงกินเป๋าฮื้อและกุ้งมังกรที่ฉีหรูเสวี่ยใส่ตู้เย็น ทั้งหมดถูกปล้นและจัดการจนสะอาดไม่เหลือ

เย่เทียนเฉินหาวก่อนเปิดประตูห้องนอน เดินออกไปโดยสวมกางเกงขาสั้นและเสื้อกล้าม เพิ่งจะลงไปชั้นล่างก็เห็นฉีหรูเสวี่ยทำหน้าบึ้งตึง จ้องมายังตนเองอย่างโหดร้าย ท่าทีเช่นนั้นราวกับแม่เสือสาว เพียงแต่เป็นแม่เสือที่งดงามเพียงอย่างเดียว

“เย่เทียนเฉิน เจ้าหัวขโมย บอกมา นายแอบกินเป๋าฮื้อกับกุ้งมังกรของฉันใช่ไหม?” ฉีหรูเสวี่ยกล่าวถามพลางใช้ดวงตาอันงดงามจ้องเย่เทียนเฉินอย่างโหดร้าย

“ไม่ใช่สักหน่อย เมื่อคืนฉันกลับมาก็นอนเลย จะมีเวลาว่างไปกินอาหารขยะพวกนี้ที่ไหนเล่า!” เย่เทียนเฉินพูดพลางกรอกตาใส่ฉีหรูเสวี่ย

เมื่อเห็นว่าเย่เทียนเฉินไม่ยอมรับ และเดินไปล้างมือในห้องน้ำด้วยตัวเองแล้ว ฉีหรูเสวี่ยก็โกรธจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน อยากจะใช้ฟันเล็กๆ กัดเย่เทียนเฉินสักหลายคำ รีบใช้สายตาเหยียดหยามมองไปยังเย่เทียนเฉินพลางกล่าวว่า “ถ้าไม่ใช่ว่านายแอบกินแล้วยังจะมีใครอีก คุณป้ากับน้องสาวไม่ทำเรื่องแบบนี้แน่ ต้องเป็นนายแน่นอน ชั่วร้ายมาก ยังจะมาบอกว่าไม่ได้กินของที่ผู้อื่นทำ แอบกินตอนดึกแน่ๆ!”

“ใครแอบกินกัน? อย่าพูดว่าฉันแอบกิน ต้องพูดว่าฉันกินไปแล้ว นั่นเป็นการกินที่เที่ยงธรรมและบริสุทธิ์ใจ เธออย่าลืมว่านี่เป็นบ้านของฉัน ไม่ใช่บ้านของเธอ ไม่ใช่ว่าเธอจะไปแล้วเหรอ? ทำไมยังไม่ไปอีกล่ะ? จะอยู่ถึงเมื่อไร?” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางมองฉีหรูเสวี่ยอย่างอับจนคำพูด

ได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน ฉีหรูเสวี่ยก็รู้สึกว่าจิตใจได้รับการทำร้ายอย่างแรง หากไม่ใช่เพราะตนเองพยายามช่วงชิงความสุขอันอิสระเสรี เหตุใดจะต้องมาอยู่ที่ตระกูลเย่และไม่ยอมจากไปด้วย? จะดีจะร้ายตนเองก็เป็นคุณหนูสูงศักดิ์ เป็นคนมีชื่อเสียงพอๆ กับหลิ่วหรูเหมยที่เป็นสาวงามอันดับหนึ่งแห่งจิงตู ยังจะคิดจริงๆ หรือว่าตนเองอยากจะใส่ร้ายเย่เทียนเฉิน?

คิดถึงตรงนี้ ฉีหรูเสวี่ยก็อยากจะออกจากตระกูลเย่ทันที แต่ว่าเห็นท่าทีพออกพอใจของเย่เทียนเฉินที่ดูราวกับว่าอยากไล่ให้ตนเองจากไป ใบหน้าที่เดิมทีโกรธเคืองเป็นอย่างมากของฉีหรูเสวี่ย ก็พลันปรากฏรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีใครกล้าทำกับเธอฉีหรูเสวี่ยเช่นนี้ ไม่มีชายใดไม่สนใจเธอเช่นนี้ ทำให้ฉีหรูเสวี่ยแอบสาบานในใจอย่างลับๆว่า ‘เย่เทียนเฉิน ไอ้คนไม่มีอีคิว ไม่รู้จักรักหยกถนอมบุบผาสักนิด งั้นก็ดี ฉันจะทำให้นายหลงรักคุณหนูใหญ่อย่างฉัน จากนั้นก็ทิ้งนายซะ ให้นายรู้ถึงความร้ายกาจของคุณหนูอย่างฉัน!’

“เฮอะ นายสนใจฉันเมื่อไรกัน ฉันอยากจะอยู่นานแค่ไหนก็จะอยู่นานเท่านั้น!” ฉีหรูเสวี่ยกล่าวพลางมองเย่เทียนเฉินอย่างเหยียดหยาม มุมปากประดับไปด้วยรอยยิ้มยั่วยุ

“ไม่ได้สิ เธอจะเห็นที่นี่เป็นบ้านของเธอจริงๆ หรือไง? รู้ไว้ด้วยว่านี่คือบ้านฉัน ไม่ใช่บ้านเธอ!” เย่เทียนเฉินรู้สึกเลื่อมใสใบหน้าหนาๆ ของฉีหรูเสวี่ยจริงๆ ไล่ไม่ไปจริงๆ เลย!

“งั้นเหรอ? งั้นนายไปถามความเห็นของคุณป้ากับน้องสาวก่อนเถอะ มีแค่นายคนเดียวที่อยากไล่ฉัน แบบนั้นไม่ได้หรอกนะ” ฉีหรูเสวี่ยพูดพลางทำหน้าทะเล้นอย่างน่ารักใส่เย่เทียนเฉิน

เย่เทียนเฉินมองฉีหรูเสวี่ยอย่างอับจนคำพูด และยังรู้สึกเลื่อมผู้หญิงคนนี้ด้วยใจจริง สวย เซ็กซี่ แต่กลับดุร้ายป่าเถื่อน ไม่เหมือนกับหญิงชั้นสูงคนอื่นๆ ทนไม่ได้กับความอยุติธรรมแม้เพียงครึ่งส่วน โดยเฉพาะปากที่หลอกลวงแม่และน้องสาวจนอยู่หมัด ทำให้ตอนนี้ตำแหน่งฐานะของตนเองในบ้านด้อยลงทุกวัน ทั้งหมดล้วนแต่เป็นฉีหรูเสวี่ยทำ

“ฉันขี้เกียจสนใจเธอแล้ว ตอนนี้ฉันจะถ่ายหนัก เธอจะเข้าไปกับฉันไหม?” เย่เทียนเฉินกล่าว จงใจทำให้ฉีหรูเสวี่ยรู้สึกรังเกียจ

“นาย…น่ารังเกียจ หยาบคาย ไอ้คนชั้นต่ำ ฉันจะแจ้งความจับนายเดี๋ยวนี้เลย ในเมื่อนายไม่ต้อนรับฉันให้เข้ามาอยู่ งั้นก็อย่ากินอาหารที่ฉันทำ ถ้ากล้าแอบกินอีกล่ะก็ นายก็ไปเป็นหมาซะ!” ฉีหรูเสวี่ยกล่าวอย่างโหดร้าย

ปัง!

เย่เทียนเฉินไม่โต้เถียงกับฉีหรูเสวี่ยอีก ฝีปากของผู้หญิงคนนี้แข็งแกร่งมาก คนธรรมดาไม่อาจต่อกรด้วยได้ จึงเดินเข้าไปในห้องน้ำและปิดประตู ตอนนี้เขากำลังคิดอยู่ว่า ตนเองได้ฆ่าหลี่เถี่ยที่เป็นหัวหน้ากลุ่มอิทธพลใต้ดินไปแล้ว ตระกูลฉินควรจะมีปฏิกริยาอย่างไร? เทปบันทึกเสียงทั้งสามกล่องนั้น ไม่ทราบว่าข้างในมีเนื้อหาอะไรอยู่ รอหลังจากที่กินข้าวเช้าเสร็จ จะลองไปฟังดูสักหน่อย

ตอนที่กินข้าวเช้า เย่เทียนเฉินย่อมพบกับการปฏิบัติที่ไม่ยุติธรรม ไข่เจียวที่ฉีหรูเสวี่ยทำมีแค่สองฟอง ไม่มีส่วนของเย่เทียนเฉิน ทำให้เย่เทียนเฉินโกรธจนแทบจะคว่ำจาน นี่มันเกินไปแล้ว เดิมทีตนเองเป็นคนกินเยอะอยู่แล้ว ตอนที่ฉีหรูเสวี่ยยังไม่มา แม่ก็ทำอาหารอร่อยทุกวันทุกมื้อ หลังฉีหรูเสวี่ยมา ส่วนใหญ่ก็มีเธอเป็นคนทำอาหาร เนื่องด้วยเย่เทียนเฉินผิดใจกับฉีหรูเสวี่ย ดังนั้นเขาย่อมถูกรังแกในเรื่องอาหารแน่นอน

สุดท้ายก็เป็นหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ที่นำส่วนของตนเองให้เย่เทียนเฉิน ถึงทำให้เย่เทียนเฉินกับฉีหรูเสวี่ยหยุดการปะทะฝีปากกันได้ แต่เย่เทียนเฉินจะกินส่วนของแม่อย่างสบายใจได้ที่ไหนกัน จึงเดินออกไปจากคฤหาสน์ เตรียมไปซื้ออาหารเช้าข้างนอกกิน

ซื้อปาท่องโก๋มาสองตัว รวมกับน้ำเต้าหู้หนึ่งแก้ว เย่เทียนเฉินกินไปพลางเดินเล่นในเขตคฤหาสน์ไปพลาง เดินไปจนถึงด้านนอกประตูของร้านเป้ยเฟิงเซวียนโดยไม่รู้ตัว คิดว่าไม่มีเรื่องอะไร จึงเดินเข้าไปข้างใน เห็นว่าข้างในมีคุณชายอยู่ไม่น้อย กำลังถกกันถึงประเด็นโด่งดังสองประเด็นที่เพิ่งจะเกิดขึ้นในจิงตู ประเด็นร้อนสองประเด็นนี้ต่างก็มีความเกี่ยวข้องกับเย่เทียนเฉินทั้งสิ้น

เย่เทียนเฉินหาตำแหน่งที่ไม่มีใครพบเช่นเดิมก่อนจะนั่งลง กินปาท่องโก๋ไปพลางดื่มน้ำเต้าหู้ไปพลาง ฟังคำสนทนาของคุณชายที่อยู่ในเขตคฤหาสน์เหล่านี้ เขาพบว่าที่นี่สามารถได้ยินข่าวสารที่มีค่าไม่น้อยเลยจริงๆ ดูแล้วภายหลังคงต้องมาบ่อยๆ

“พวกนายได้ข่าวไหม? เมื่อคืนนี้หลี่เถี่ยที่เป็นหัวหน้ากลุ่มอิทธิพลใต้ดินของจิงตู ถูกคนฆ่าตายไปแล้ว!”

“ถูกคนฆ่าตาย? ใครเป็นคนทำ? จะร้ายกาจเกินไปรึเปล่า?”

“ร้ายกาจแค่ไหนงั้นเหรอ ได้ยินว่าข้างในคฤหาสน์ที่หลี่เถี่ยอาศัยอยู่ รวมหลี่เถี่ยแล้ว ที่ตายไปก็มีสามสิบกว่าคน พวกนั้นทั้งหมดเป็นนักฆ่าอัจฉริยะ ทุกคนพกปืน ฝีมือแข็งแกร่ง ไม่คิดเลยว่าทั้งหมดจะถูกคนฆ่าไปแล้ว!”

“ส่วนที่ทำให้ผู้คนต้องตกตะลึงไม่ใช่ตรงนั้น แต่เป็นหลี่เถี่ยกับลูกน้องสามสิบกว่าคนของเขา ทั้งหมดถูกฆ่าตายภายในคฤหาสน์ คิดไม่ถึงว่ารอบๆ กลับไม่มีใครได้ยินเสียงปืนและเสียงต่อสู้เลยสักคนเดียว ช่างแปลกประหลาดเหลือเกิน!”

การถกกันของคุณชายเหล่านี้ เย่เทียนเฉินได้ยินทั้งหมด มุมปากปรากฏรอยยิ้มสายหนึ่ง ดูท่าแล้วหลังจากที่พลังพิเศษของตนทะลวงไปถึงระดับจอมราชันแล้ว พลังเขตแดนปิดกั้นที่ใช้ก็ถึงระดับที่สามารถปิดล้อมได้อย่างแน่นหนาแล้ว แม้ว่าขอบเขตจะยังไม่มาก แต่ในขอบเขตที่มีผลก็สามารถปิดกั้นเสียงทั้งหมดที่เอ่อล้นออกมาได้ หากว่าสามารถทะลวงขอบเขตพลังได้อีกครั้ง ก็จะสามารถขยายขอบเขตให้ใหญ่มากยิ่งขึ้น

“ข่าวนี้ไม่ถือว่าเป็นข่าวใหญ่ ฉันยังมีอีกข่าวหนึ่งที่น่าตกตะลึงกว่าอีก พวกนายจะฟังไหม?” ตอนนี้ ชายวันรุ่นตัวอ้วนตุ๊ต๊ะคนหนึ่งกล่าวถามพลางยิ้ม

“อะไรน่าตกตะลึง?”

“นายโม้รึเปล่า ยังที่ข่าวที่ครึกโครมยิ่งกว่าหลี่เถี่ยหัวหน้ากลุ่มอิทธิพลใต้ดินของจิงตูถูกฆ่าอีกเหรอ?” มีคนกล่าวถามอย่างไม่เชื่อ

ชายร่างอ้วนยิ้มอย่างจองหอง มองคุณชายคนอื่นๆ หลายคนที่นั่งอยู่แล้วกล่าวว่า “ข่าวพวกนี้ของพวกนาย จริงๆ มันล้าหลังไปแล้ว หลี่เถี่ยเป็นสุนัขรับใช้ของตระกูลฉินนั้นไม่ผิด แต่ว่าคนที่มีความแค้นกับหลี่เถี่ยนั้นมีเยอะ ถูกฆ่าไปก็ไม่แปลก ไม่แน่ว่าจะเป็นเหมือนที่พวกนายคิดหรอก ที่ว่ามีคนต้องการต่อต้านตระกูลฉิน”

“งั้นนายพูดมาสักหน่อยสิ ข่าวของนายที่ชวนตกตะลึงมันคืออะไรกันแน่?”

“ฉันคิดว่าเป็นไปไม่ได้หรอก ข่าวของกลุ่มพวกเราไม่นับว่าล้าหลังแล้ว จิงตูมีเรื่องอะไร พวกเราจะไม่รู้เหรอ?”

“ชิ ข่าวนี้ของพวกนาย มันไม่มีประเด็นอะไรให้พูดแล้ว ฉันจะบอกพวกนายตามจริง เมื่อคืนนี้ลั่วเทากับลั่วเหลยถูกคนฆ่าตาย อีกอย่างคนลงมือยังทิ้งข้อความไว้ที่สถานที่เกิดเหตุแถวหนึ่ง พวกนายเดาดูสิว่าเป็นใคร?” ชายร่างอ้วนกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“อะไรนะ? ไม่จริงใช่ไหม ลั่วเหลยกับลั่วเทาถูกคนฆ่าแล้ว?”

“พระเจ้า ใครกล้าฆ่าคนตระกูลลั่ว ลั่วซงเฉิงไม่ใช่คนเคี้ยวง่าย นี่จะต้องทำให้เกิดความโกลาหลแน่!”

“เป็นไปไม่ได้หรอกมั้ง ข่าวใหญ่ระเบิดขนาดนี้ ทำไมพวกเราไม่เคยได้ยิน?”

เย่เทียนเฉินได้ยินข่าวนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงไปชั่วครู่ เขาไม่ได้คาดการณ์ว่าอู๋เสวี่ยจะฆ่าลั่วเหลยและลั่วเทาจริงๆ เดิมทีคิดว่าอู๋เสวี่ยไม่กล้าไป บางทีอาจจะต้องพิจารณาดูสักหน่อย คิดไม่ถึงว่าจิตใจของคนๆ นี้จะกล้าหาญ และยังแข็งแกร่งมากอีกด้วย ตอนนี้เกรงว่าตนเองต้องพิจารณาสักหน่อยว่าจะช่วยหยางไห่พ่อบุญธรรมของอู๋เสวี่ยออกมาจากคุกได้อย่างไร ไม่สามารถผิดคำพูดกับผู้อื่นได้!

“เรื่องนี้ถูกตระกูลลั่วปิดไว้ เพราะคนที่ฆ่าลั่วเทากับลั่วเหลย แม้ว่าอำนาจอิทธิพลในจิงตูจะไม่มาก หรืออาจพูดได้ว่าเบื้องหลังครอบครัวไม่ยิ่งใหญ่ แต่ว่าการกลับมาของคนๆ นี้ ทำให้กลุ่มอำนาจต่างๆ ตรวจสอบเขาอย่างลับๆ แล้ว พวกนายสามารถเดาได้ว่าคนๆ นี้เป็นใคร…” ชายร่างอ้วนยิ้มพลางกล่าวอย่างสบายๆ ไม่รีบร้อน

“คนๆ นี้จะรุนแรงเกินไปรึเปล่า ถึงกับกล้าฆ่าลั่วเหลยกับลั่วเทา ลั่วซงเฉิงขึ้นชื่อเรื่องถือหางพรรคพวกของตัวเอง จะต้องฆ่าคนๆ นี้เพื่อแก้แค้นหลายชายของเขาแน่!”

“คนๆ นี้เป็นใครกันแน่? กล้าทำเรื่องที่สั่นสะเทือนไปทั้งจิงตู ต้องไม่ธรรมดาแน่!”

“หรือว่าจะเป็น…เป็นเย่เทียนเฉิน?”

ในที่ก็มีคนฉลาดเดาว่าเป็นเย่เทียนเฉิน เนื่องจากหลังจากที่เย่เทียนเฉินกลับมายังจิงตู เรื่องราวมากมายกลายเป็นเรื่องที่ไม่สามารถจินตนาการได้ขึ้นมา โดยเฉพาะใครๆ ก็รู้ถึงความบาดหมางของเย่เทียนเฉินกับตระกูลลั่ว ไปอัดลั่วเหลยที่เทียนซ่างเหรินเจียนด้วยตัวเอง ทำให้ผู้คนต้องรู้สึกตกใจจนแทบจะกลืนลิ้น หากกล่าวว่าเป็นเย่เทียนเฉินที่ฆ่าลั่วเหลยกับลั่วเทาจริงๆ ถ้าเช่นนั้นที่พึ่งของเขาคืออะไร? เบื้องหลังคือใคร? คงไม่สามารถคิดว่าฆ่าหลานสองคนของตระกูลลั่วแล้วก็ช่างมันหรอกนะ!

“เป็นไปไม่ได้ ต่อให้เย่เทียนเฉินร้ายกาจกว่านี้ และกล้าฆ่าลั่วเหลยและลั่วเทา อำนาจของตระกูลลั่วก็ยิ่งใหญ่กว่าตระกูลเย่ไม่น้อย หากว่าเย่เทียนเฉินทำจริงๆ เกรงก็แต่ว่าตระกูลเย่ต้องพบกับภัยพิบัติแล้ว!” มีคนสูดหายใจเข้าพลางกล่าวออกมา

“ก็ไม่แน่หรอก มีข่าวลือมาตลอดว่าหลังจากที่เย่เทียนเฉินกลับมาก็เปลี่ยนไป เริ่มจากที่เขายกเลิกการหมั้นและทำร้ายลั่วเหลยกับลั่วเทา ก็สามารถเห็นได้ชัดแล้ว หรือว่าบางทีอาจเป็นเขาทำจริงๆ…”

“ตกลงเย่เทียนเฉินเป็นคนทำหรือไม เรื่องนี้ยังไม่สามารถตัดสินได้ แต่ข้อความที่เย่เทียนเฉินทิ้งไว้ที่สถานที่เกิดเหตุนั้น ประโยคนั้นช่างจองหองสิ้นดี” ชายร่างอ้วนกล่าวดึงความอยากรู้อยากเห็นของทุกคน

“ข้อความอะไร?”

“เจ้าหมอนี่ฆ่าคนแล้วยังทิ้งข้อความไว้ด้วยเหรอ?”

“พระเจ้า หะ…โหดเกินไปแล้ว”

“แม่งเอ้ย นายรีบพูดมาเร็ว มันทิ้งข้อความอะไรไว้?”

คนทั้งกลุ่มถูกชายร่างอ้วนยั่วยวนความอยากรู้อยากเห็น ขนาดเย่เทียนเฉินก็รู้สึกแปลกใจ หลังจากที่อู๋เสวี่ยฆ่าลั่วเหลยกับลั่วเทาแล้วทิ้งข้อความอะไรไว้กันแน่?

………………………………………………..

บทที่ 47 สองพ่อลูกคู่นี้ล้วนไร้มนุษยธรรม
Ink Stone_Fantasy
ในจิงตูนั้นฉินเหิงขึ้นชื่อเรื่องความไร้มนุษยธรรม เพียงเพราะว่าอำนาจของตระกูลฉินนั้นไม่น้อย จึงมีน้อยคนที่จะกล้าวิจารณ์ตระกูลฉิน ไม่เหมือนกับตระกูลเย่ที่ตกต่ำ ขนาดหัวหน้ากลุ่มอิทธิพลใต้ดินคนหนึ่งก็ยังกล้ามารังแก เย่เทียนเฉินก็กลายเป็นเศษสวะและคนไม่เอาไหนที่โด่งดังในจิงตู

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ก็ดี ยังไงซะผมกับฉีหรูเสวี่ยนั่นก็ไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อน แค่เคยได้ยินมาว่าเธอสวยมาก เล่นด้วยสักหน่อยก็แล้วกัน ถึงตอนนั้นพวกเราก็ใช้ความสัมพันธ์กับตระกูลฉีเพื่อให้ได้รับประโยชน์มากที่สุดในการเลือกตั้งครั้งนี้ พ่อแค่บอกผมสักหน่อย ผมก็จะเปลี่ยนเป้าหมายแล้ว!” ฉินเหิงกล่าวอย่างเบื่อหน่าย

ฉินเทาหยวนมองลูกชายหัวดื้อคนนี้ อยากที่จะใช้มือตีเขาให้ตาย แต่ว่าเขามีลูกชายคนนี้เพียงคนเดียว ตระกูลฉินเองก็เป็นตระกูลใหญ่ ผู้อาวุโสตระกูลฉินก็ต้องยกให้เขาดูแลตระกูลฉิน นี่เป็นอำนาจที่ได้มาไม่ง่ายเลย แน่นอนว่าฉินเทาหยวนต้องการที่จะกุมไว้ ไม่ให้พี่น้องคนอื่น อีกทั้งท้ายที่สุดก็อยากจะส่งต่อให้ฉินเหิงลูกชายของตนเอง ไหนเลยจะรู้ว่าฉินเหิงจะเป็นเศษสวะที่โง่เง่าเช่นนี้ ทำให้ฉินเทาหยวนโกรธจนแทบกระอักเลือด

“สรุปแล้วช่วงนี้แกอย่าสร้างปัญหาให้กับฉัน ถ้าหากว่าทำเรื่องอะไรแล้วถูกตระกูลฉีรับรู้ คงไม่ดีแน่ อีกอย่างหาคนไปตรวจสอบเรื่องการตายของหลี่เถี่ยสักหน่อย ฉันรู้สึกว่ามันไม่ง่ายแน่!” ฉินเทาหยวนกล่าวพลางขมวดคิ้ว

“รู้แล้ว แม่สาวพราวเสน่ห์เสี่ยวฉิงคนนั้นไปไหนแล้ว?” ฉินเหิงจู่ๆ ก็คิดถึงเสี่ยวฉิงขึ้นมาจึงเปิดปากถาม

เมื่อเห็นว่าฉินเหิงลูกชายของตนดูปกติขึ้นเล็กน้อย ฉินเทาหยวนจึงนั่งลง ถอนหายใจครั้งหนึ่งพลางกล่าวว่า “ฉันให้คนไปทำความเข้าใจเรื่องราวคร่าวๆ แล้ว หลี่เถี่ยกับลูกน้องที่เก่งกาจของเขาทั้งสองคนซึ่งก็คือซานจีและซานซยง รวมถึงผู้คุ้มกันถือปืนที่เก่งกาจทั้งสามสิบกว่าคน ทั้งหมดตายอยู่ในคฤหาสน์ ส่วนเสี่ยวฉิงยัยผู้หญิงชั้นต่ำนั่นไม่รู้ว่าไปไหน…”

“นี่…พ่อ ในมือหลี่เถี่ยมีเสียงบันทึกการสนทนาของพวกเรากับมันอยู่ ถ้าหากว่าตกไปอยู่ในมือของคนอื่น ผลลัพธ์คงเเลวร้าจนไม่อยากจะคิด…”

ฉินเหิงนับว่ารู้จักหวาดกลัวแล้ว ช่วงนี้ตระกูลฉินที่ติดต่อกับหลี่เถี่ยล้วนแต่เป็นเขา หากว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นจริงๆ เขาฉินเหิงเป็นคนแรกที่หนีไม่รอด แม้ว่าการอยู่ในคุกห้าปีมานี้จะไม่ทำให้ฉินเหิงต้องลำบากมากนัก แต่เขาก็กลัววันเวลาที่ต้องถูกขังอยู่ในคุก สำหรับคนประเภทที่ต้องสูดผงและเล่นสนุกกับผู้หญิงแล้ว วันเวลาเหล่านั้นเทียบกับความตายยังน้อยไป

“ยัยผู้หญิงชั้นต่ำนั้นไม่รู้ว่าหนีไปไหนแล้ว ฉันสงสัยว่าการตายของหลี่เถี่ยและลูกน้องของมัน มีความเกี่ยวข้องกับผู้หญิงคนนี้ เทปบันทึกเสียงพวกนั้นก็เป็นไปได้มากว่าจะตกไปอยู่ในมือของเธอแล้ว ในเมื่อผู้หญิงคนนี้ไม่กลับมารายงานที่ตระกูลฉินของพวกเรา ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าอยากจะใช้เทปบันทึกเสียงพวกนั้นมาข่มขู่ พวกเรา!” ฉินเทาหยวนกล่าวคาดเดาออกมา

“แม่มันเถอะ นังคนไร้ค่า ถ้าหากว่าถูกฉันจับได้ล่ะก็ ฉันจะทำให้มันตายให้ดู จะหาผู้ชายสักร้อนคนมาข่มขืนหญิงสารเลวนี่จนตาย ในเมื่อกล้ามาทรยศตระกูลฉินของพวกเรา ต้องทำให้เธอตายแน่นอน!” ฉินเหิงกล่าวโดยที่มุมปากประดับไปด้วยรอยยิ้มโหดเหี้ยม

เป็นเช่นเดียวกับที่เย่เทียนเฉินคาดเดา หากว่าเสี่ยวฉิงกลับไปที่ตระกูลฉิน ต่อให้เรื่องพวกนี้เธอไม่ได้เป็นผู้กระทำจริงๆ ต่อให้เธอมีสิบปากก็เกรงว่าฉินเทาหยวนสองพ่อลูกคู่นี้ที่มีจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตก็จะไม่ปล่อยเธอไปแน่นอน ขอเพียงแค่เธอกล้ากลับไปที่ตระกูลฉิน จุดจบมีเพียงความตาย

ที่สำคัญก็คือสองพ่อลูกคู่นี้มีหลักการอันโหดร้ายมาโดยตลอด นั่นก็คือต่อให้ฆ่าคนผิดร้อยคน ก็ดีกว่าปล่อยคนผิดไปหนึ่งคน!

“อย่าทำอะไรบุ่มบ่าม เสี่ยวฉิงยัยหญิงสารเลวนี่เป็นผู้มีพลังพิเศษ การจัดการกับเธอนั้นไม่ง่ายเช่นนั้น ส่งคนออกไปตามหาเธอให้เจอก่อนค่อยว่ากันอีกที!” ฉินเทาหยวนคิดครู่หนึ่งก่อนกล่าว

“เฮอะ ผู้มีพลังพิเศษ? ก็แค่พลังพิเศษใช้อวดเบ่งเล็กน้อยของเธอ ไม่พอให้สนใจหรอก ด้วยอำนาจของพวกเราตระกูลฉิน หากต้องการเชิญยอดฝีมือพรรควรยุทธโบราณและผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งก็ไม่มีปัญหาอะไรเลย ยังไงก็ต้องฆ่ายัยผู้หญิงคนนี้ซะ!” ฉินเหิงสบถออกมาอย่างถือดี

เรื่องที่บนโลกมีผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งและยอดฝีมือพรรควรยุทธโบราณอยู่นั้นได้เลือนหายไปจากคนธรรมดาจนกระทั่งคนทั่วไปไม่รับรู้ แต่สำหรับตระกูลใหญ่ดังเช่นตระกูลฉินแล้วนั้นย่อมรับรู้ได้ และในเวลาจำเป็นหรือเหตุการณ์พิเศษบางอย่าง ก็ย่อมต้องใช้งานคนเหล่านี้ ซึ่งเสี่ยวฉิงก็เป็นหนึ่งในนั้น

เมื่อหนึ่งปีก่อน ฉินเทาหยวนรู้สึกได้ว่าหลี่เถี่ยนับวันก็ยิ่งควบคุมไม่ได้ ส่วนหลี่เถี่ยก็อยากจะหลุดพ้นจากการควบคุมของตระกูลฉินและกลายเป็นหัวหน้ากลุ่มอิทธิพลใต้ดินอย่างแท้จริง ไม่มีใครอยากจะถูกคนอื่นจูงจมูกไปตลอดจนกลายเป็นหุ่นเชิด นั่นเป็นชีวิตที่ไม่มีทั้งความเคารพในตัวเองและเกียรต์ศักดิ์ศรี เชื่อว่าไม่มีใครอยากจะได้รับแน่นอน

ฉินเทาหยวนและฉินเหิงสองพ่อลูกได้ส่งยอดฝีมือออกไปหลายครั้งเพื่อติดตามหลี่เถี่ยและแอบเข้าไปในที่อยู่อาศัยของหลี่เถี่ยเป็นต้น ต้องการที่จะหาเทปบันทึกเสียงที่หลี่เถี่ยซ่อนไว้ให้เจอ ขอเพียงหาเทปบันทึกเสียงเจอ ก็จะสามารถฆ่าหลี่เถี่ยที่ไม่เชื่อฟังทิ้งได้ แต่ว่าหลี่เถี่ยคนนี้ก็ไม่ใช่จะเคี้ยวง่ายๆ ระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก นำเทปไปซ่อนไว้เป็นอย่างดี ยอดฝีมือที่ส่งไปก่อนหน้านี้ต่างก็หาไม่เจอ ฉินเทาหยวนสองพ่อลูกก็ไม่กล้าฆ่าหลี่เถี่ย หากเจ้าหมอนี่มีผู้อยู่เบื้องหลัง เทปบันทึกเสียงถูกส่งไปในมือของคนระดับสูงในประเทศ เกรงว่าตระกูลฉินต้องพบกับภัยพิบัติเป็นแน่

ดังนั้นจึงมีการออกโรงของเสี่ยวฉิง เมื่อหนึ่งปีก่อนได้กลายเป็นภรรยาน้อยของหลี่เถี่ย ใช้กลเม็ดอันแพรวพราวและเรือนร่างเพื่ออยู่ข้างกายของหลี่เถี่ย แต่ก็ไม่สามารถค้นหาเทปบันทึกเสียงได้ หากไม่ใช่ว่าผู้มีฝีมือแข็งแกร่งและเลือดร้อนเช่นเย่เทียนเฉินลงมือ เกรงว่าคงไม่มีคนรู้ว่าหลี่เถี่ยเอาเทปบันทึกเสียงไปไว้ที่ไหน

“ผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งและยอดฝีมือพรรควรยุทธโบราณ ทั้งในและต่างประเทศก็มีอยู่บ้าง แต่ว่าคนพวกนี้เชิญตัวมายาก ต้องจ่ายค่าตอบแทน อีกอย่างไม่ว่าเสี่ยวฉิงจะทำหรือไม่ ก็ยังต้องตรวจสอบ ฉันสงสัยว่าเรื่องนี้อาจจะมีความเกี่ยวข้องกับเย่เทียนเฉินไอ้คนไม่เอาไหนของตระกูลเย่!”

ขิงยิ่งแก่ก็ยิ่งเผ็ดจริงๆ แม้ว่าฉินเทาหยวนจะสงสัยว่าเสี่ยวฉิงทรยศตระกูลฉิน แต่สามารถจัดการหลี่เถี่ยและนักฆ่ายอดมือปืนสามสิบกว่าคนทั้งหมดได้ เกรงว่าไม่ใช่อะไรที่เสี่ยวฉิงจะทำได้ สิ่งที่เขารู้ทั้งหมดก็คือ อำนาจในมือของหลี่เถี่ยในช่วงนี้เย่เทียนเฉินมีส่วนในการปะทะ ตั้งแต่ที่เย่เทียนเฉินกลับมาที่จิงตู เรื่องราวและประเด็นมากมายต่างก็โคจรอยู่รอบๆ เย่เทียนเฉิน ความรู้สึกที่ทุกคนมีให้ก็คือ ตัวตลกของจิงตู เศษสวะและคนไม่เอาไหนของตระกูลเย่ เย่เทีนเฉิน ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว ต้องการที่จะมีเรื่องกับเขายังต้องชั่งน้ำหนักดูเสียก่อน

“ฮ่าๆๆๆ พ่อ ผมว่าพ่อตกใจจนกลัวไปแล้วล่ะ? เย่เทียนเฉิน? ก็แค่เศษสวะ? ผมแค่กระดิกนิ้วก็สามารถเหยียบมันให้ตายได้แล้ว ไม่งั้นตอนนี้ผมไปหาไอ้เศษสวะนั่น เหยียบมันให้ตายเป็นไง?” ฉินเหิงได้ยินบิดาของตนพูดถึงเย่เทียนเฉิน ก็กล่าวออกมาพลางหัวเราะอย่างอวดดี

หากว่าเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อนย่อมเป็นเช่นนี้แน่นอน อำนาจของตระกูลเย่มิอาจเทียบกับตระกูลฉินได้เลย ในจิงตูฉินเหิงได้รับการยอมรับมากกว่าเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินในจิงตูนั้นเป็นได้เพียงตัวตลกของเหล่ามหาอำนาจและตระกูลใหญ่ต่างๆ ก็เท่านั้น ไม่มีใครเห็นเขาอยู่ในสายตา หากฉินเหิงต้องการเหยียบย่ำเย่เทียนเฉินก็เป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก แต่นั่นก็จำกัดอยู่แค่เย่เทียนเฉินในอดีต เย่เทียนเฉินในตอนนี้เกรงว่าหากฉินเหิงกล้าใช้เท้าไปเหยียบเขาล่ะก็ เขาต้องใช้เท้าเหยียบย่ำตระกูลฉินทั้งตระกูลแน่ เย่เทียนเฉินไม่หาเรื่อง แต่จะอย่างไรก็ไม่กลัวมีเรื่อง!

“อย่าทำอะไรบุ่มบ่าม เรื่องนี้ต้องตรวจสอบให้ดีๆ ดำเนินการเงียบๆ หากเป็นเรื่องขึ้นมาจะไม่เป็นผลดีต่อตระกูลฉินของพวกเรา!” ฉินเทาหยวนกล่าวเตือนฉินเหิง

“ตามใจเถอะ ผมไปนอนแล้ว คืนนี้มีสาวงามคนหนึ่งมาจากฮ่องกง ตอนนี้คงนอนรอผมอยู่บนเตียงแล้วล่ะ!” ฉินเหิงอยู่ต่อหน้าบิดาของตนก็ยังพูดจาต่ำช้าออกมา

ฉินเทาหยวนมองฉินเหิง จนใจกับฉินเหิงจริงๆ จึงโบกมือให้ฉินเหิงจากไป นั่งอยู่บนโซฟาเพียงลำพัง คิดพลางขมวดคิ้ว ไม่ว่าจะอย่างไร ช่วงนี้ก็ไม่อาจปล่อยให้เกิดความผิดพลาดใดๆ ได้ ขอเพียงรอจนถึงเวลาที่ผู้อาวุโสกลายเป็นรองผู้นำระดับชาติ ก็จะสามารถทำให้อำนาจของตระกูลฉินยิ่งใหญ่ขึ้น เรื่องพวกนี้ก็จะกลายเป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่ว่าตระกูลฉินของตนจะทำเรื่องเลวร้ายอย่างไร หรือจะกำจัดตระกูลเย่ ก็จะไม่ถูกวิพากษ์วิจารณ์

คิดครู่หนึ่ง ฉินเทาหยวนก็ยกโทรศัพท์ต่อสายไปยังเบอร์ๆ หนึ่ง หลังจากที่โทรศัพท์ถูกรับแล้วจึงเปิดปากกล่าวว่า “เลขาธิการคณะกรรมการเมืองh ให้เย่หงเป็นไปเถอะ ฉันไม่แข่งกับเขาแล้ว!”

วางโทรศัพท์ไป ฉินเทาหยวนแม้ว่าจะไม่ยินดี แต่ก็ไม่มีวิธี เรื่องราวทั้งหมดต้องยกให้การเลือกตั้งใหม่ในครั้งนี้เป็นสำคัญ หากว่าตาเฒ่าไม่ได้เป็นรองผู้นำระดับชาติ ต่อให้ตนเองได้เป็นเลขาธิการคณะกรรมการเมืองhก็เปล่าประโยชน์ นี่เป็นตรรกกะที่ว่าหากไม่มีคนของตนอยู่ในราชสำนัก ก็ไร้ค่าที่จะเป็นขุนนาง

“เย่หง รอก่อนเถอะ ฉันจะต้องคิดบัญชีความแค้นทั้งเก่าและใหม่กับแกแน่!” ฉินเทาหยวนเปิดปากกล่าวอย่างโหดร้ายพลางยิ้มอย่างเย็นชา

เวลานี้ เย่เทียนเฉินกับหูหลงที่กินบาร์บีคิวและดื่มเบียร์เสร็จแล้ว ก็ออกจากร้านบาร์บีคิวมา ตอนที่ออกมานั้น เย่เทียนเฉินยังกล่าวกับหูหลงหนึ่งประโยคว่า

“ฝีมือไม่แข็งแกร่งนั้นไม่เป็นไร สามารถฝึกฝนกันได้ ผู้นำกดขี่เป็นเรื่องธรรมชาติ ถ้าหากว่าไม่มีการใช้อำนาจบาตรใหญ่เช่นนี้ นายก็ยากที่จะยืนอยู่ในตำแหน่งที่สูงยิ่งขึ้น!”

หูหลงจากไปแล้ว กลับไปยังบ้านเกิดในคืนนั้นเลย รอคำสั่งของพี่ใหญ่เย่เทียนเฉินจึงจะกลับมาจิงตู ส่วนเย่เทียนเฉินนั่งรถกลับไปบ้านของตน กลับไปถึงในบ้านก็เป็นเวลาตีสองกว่าแล้ว พ่อแม่ น้องสาวและฉีหรูเสวี่ย ทั้งสามคนเข้านอนไปนานแล้ว

เย่เทียนเฉินอาบน้ำไปครั้งหนึ่ง ดื่มน้ำไปแก้วหนึ่ง พบว่าเมื่อสักครู่นี้กินอิ่มอยู่เพียงเล็กน้อยจริงๆ ปริมาณการกินของตนเองนี้ในโลกเดิมนั้นก็เยอะมาก บาร์บีคิวไม่กี่ไม้ เบียร์ไม่กี่ขวด ไม่ทำให้กินอิ่มได้ จึงคิดจะหาอะไรในตู้เย็นกินสักหน่อย เปิดตู้เย็นดูก็พบเพียงแค่เป๋าฮื้อและกุ้งมังกรที่ฉีหรูเสวี่ยทำไว้มื้อเย็นที่ยังไม่ถูกกิน เย่เทียนนเฉินไม่สนใจอะไรมาก นำเป๋าฮื้อและกุ้งมังกรออกมาทั้งหมด และยังทำน้ำผลไม้อีกแก้วหนึ่ง รับประทานเป๋าฮื้อและกุ้งมังกรอย่างสบายอกสบายใจ จนกระทั่งกินเสร็จก็เป็นเวลาตีสามแล้ว เย่เทียนเฉินกลับไปยังห้องของตนเอง ล้มตัวลงนอน ไม่ได้ฝึกฝนพลังพิเศษ

เช้าวันต่อมา ไม่ทราบว่าเป็นเวลากี่โมงแล้ว เย่เทียนเฉินถูกเสียงคำรามด้วยความไม่พอใจปลุกจนตื่น

“เย่เทียนเฉิน เจ้าคนชั่ว หัวขโมย ไสหัวออกมาให้ฉันซะ…”

“เย่เทียนเฉิน นายทำเกินไปแล้ว ถึงกับขโมยอาหารเช้าของผู้อื่น ยังมีความเป็นมนุษย์หลงเหลืออยู่ไหม?”

“เย่เทียนเฉิน คืนเป๋าฮื้อกับกุ้งมังกรของฉันมานะ…”

…………………………………………………………….

บทที่ 46 ตระกูลฉิน สองพ่อลูกฉินเหิง
Ink Stone_Fantasy
“พี่ใหญ่ ผมรู้ว่าฝีมือของผมไม่แข็งเกร่ง อาจจะเป็นตัวถ่วงของพี่ ตระกูลฉินกับตระกูลลั่วผมคนเดียวสู้ไม่ได้ ช่วยอะไรพี่ไม่ได้เลย…”

หูหลงรู้สึกละอายใจอยู่บ้าง เขาคิดว่าฝีมือของตนเองไม่แข็งแกร่งพอ ช่วยอะไรพี่ใหญ่เย่เทียนเฉินไม่ได้เลย อำนาจอิทธิพลของตระกูลใหญ่เหล่านั้น ยังไม่ทันมีเรื่องอะไรก็ส่งอู๋เสวี่ยนักฆ่าอันดับหนึ่งของจิงตูมาแล้ว เกรงว่าภายภาคหน้าจะมีคนที่แข็งแกร่งยิ่งกว่านี้ปรากฏ ตัวออกมา ด้วยฝีมือของหูหลงในตอนนี้ยังไม่มีประโยชน์อะไรมากมายนัก

เย่เทียนเฉินมองหูหลง เขาชื่นชมจิตวิญญาณลูกผู้ชายของหูหลง ต่อให้พ่อแม่ตายไปหมดแล้ว เขาในฐานะพี่ชายก็สาบานว่าจะปกป้องน้องสาวด้วยชีวิต บุคคลิกอันกล้าหาญของผู้ชายที่มีเลือดอันเร่าร้อนเช่นนี้ช่างทำให้ผู้คนอยู่ไม่สุขจริงๆ แต่ว่าหูหลงยังขาดความบ้าเลือดและความโหดเหี้ยม มิฉะนั้นด้วยฝีมือของเขา คนหลายคนที่หลี่เถี่ยส่งมาในวันนั้นย่อมไม่ใช่คู่มือของเขา จะได้รับบาดเจ็บที่ไหนกัน

“เสี่ยวหลง ในเมื่อฉันตอบรับให้นายติดตามฉัน ฉันก็จะเห็นนายเป็นพี่น้อง มีบางเรื่องที่ฉันไม่อยากปิดบังนาย ครั้งนี้ที่ฉันได้ล่วงเกินก็คือตระกูลใหญ่ของจิงตูสองตระกูล ตระกูลฉินและตระกูลลั่ว โดยเฉพาะตระกูลฉินที่มีแนวโน้มว่าจะได้กลายเป็นตระกูลชั้นหนึ่ง ไม่ใช่อะไรที่คนธรรมดาจะไปหาเรื่องได้ ส่วนตระกูลลั่วก็มีอิทธิพลเข้มแข็ง ดังนั้นตระกูลใหญ่สองตระกูลนี้จะไม่ปล่อยฉันไปแน่นอน ต่อไปนี้จะมีเรื่องอันตรายมากมาย ฉันไม่รู้ แล้วก็ไม่อาจคาดการณ์ได้ แต่อย่างไรก็หลีกเลี่ยงการนองเลือดไม่ได้ พวกเราเป็นพี่น้อง แน่นอนว่าฉันไม่อยากให้นายต้องเสี่ยงอันตราย แล้วก็ไม่ได้ดดูถกนายหรือคิดว่านายเป็นภาระ!” เย่เทียนเฉินมองหูหลงอย่างจริงจังพลางกล่าว

“พี่ใหญ่ ผมไม่กลัวตาย ผมเต็มใจจะติดตามพี่ ขอเพียงสามารถช่วยพี่ได้ ต่อให้ตายผมหูหลงก็ไม่แม้แต่จะขมวดคิ้ว!” หูหลงกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว

หูหลงเป็นชายเลือดร้อนคนหนึ่ง รู้จักตอบแทนบุญคุณความแค้น ตั้งแต่ตอนที่เย่เทียนเฉินช่วยชีวิตพวกเขาพี่ชายน้องสาว เขาก็ได้สาบานอยู่ในใจว่าจะตอบแทนเย่เทียนเฉิน อีกทั้งเขายังถูกฝีมืออันแข็งแกร่งทำให้สั่นสะท้าน ขนาดอู๋เสวี่ยที่เป็นนักฆ่าอันดับหนึ่งแห่งจิงตูก็ถูกเย่เทียนเฉินทำให้พ่ายแพ้มาแล้ว หูหลงจะไม่ตื่นเต้นฮึกเหิมได้ที่ไหนกัน ติดตามพี่ใหญ่เช่นนี้ต้องมีอนาคตอย่างแน่นอน

แน่นอนว่าสิ่งที่หูหลไม่ทราบก็คือ ตอนที่เย่เทียนเฉินต่อสู้กับอู๋เสวี่ยนั้น พลังพิเศษได้ทะลวงไปถึงระดับจอมราชันแล้ว พริบตาเดียวก็กระโดดไปถึงหนึ่งขอบเขตพลัง ความสามารถย่อมไม่เหมือนเดิม มิฉะนั้นหากต้องการเอาชนะอู๋เสวี่ยก็ยังมีความยากลำบากอยู่บ้างจริงๆ

“ฉันรู้ว่านายไม่กลัวตาย แต่ว่าพี่ใหญ่ไม่อยากให้นายเอาชีวิตไปทิ้งเปล่าๆ รอให้ฉันมีเวลาว่างสอนนายสักหลายกระบวนท่า จนฝีมือแข็งแกร่งพอแล้ว ฉันจะให้นายช่วยงานฉันแน่นอน อีกอย่างนายยังมีน้องสาวต้องดูแล ชีวิตคนเรามีห่วงมากขึ้นหนึ่งห่วง ก็จะมีความกังวลในเรื่องต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะตอนที่เผชิญหน้ากับคู่ต้อสู้ที่แข็งแกร่ง จำเป็นต้องคิดให้รอบคอบ ไม่สามารถใช้เส้นทางแห่งการฆ่าแก้ปัญหาได้”

เย่เทียนเฉินกล่าวคำพูดประโยคนี้ราวกับพูดให้หูหลงฟัง และก็ราวกับพูกให้ตนเองฟังด้วย ก็เหมือนกับตนเองที่ตอนนี้เผชิญหน้ากับการคุกคามของอำนาจจากตระกูลลั่วและตระกูลฉินซึ่งเป็นสองตระกูลใหญ่ หากเขาเดินบนเส้นทางแห่งการฆ่าฟันสุดโต่งและฆ่าคนของตระกูลลั่วและตระกูลฉินทั้งหมด เกรงว่าคงจะสั่นสะเทือนทั่วทั้งจีน ถึงตอนนั้นชีวิตแต่ละวันของตระกูลเย่คงไม่ได้ผ่านไปด้วยดีแน่ ถึงอย่างไรตระกูลลั่วและตระกูลฉินยังมีคนในระดับสูงอยู่ด้วย ส่วนเย่เทียนเฉินต่อให้ตอนนี้แข็งแกร่งมาก แต่ก็ยังไม่ได้แข็งแกร่งที่สุด เขาได้เกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ ยังไม่ทราบว่าในหมู่พรรควรยุทธโบราณและผู้มีพลังพิเศษ จะมีผู้แข็งแกร่งเช่นไรปรากฏตัวอยู่

หากว่าเขาทำการฆ่าตระกูลลั่วและตระกูลฉินครั้งใหญ่จริงๆ แล้วเวลานั้นปรากฏคนที่ร้ายกาจยิ่งกว่านี้จะทำอย่างไร? บางทีเขาอาจจะสามารถปกป้องตนเองได้ หรืออาจถึงกับฆ่าคู่ต่อสู้ทั้งหมดได้ แต่ทวนเปิดเผยหลบหลีกง่าย เกาทัณฑ์ลับยากระวัง พ่อแม่และน้องสาวก็เกรงว่าจะไม่มีโชคขนาดนั้น เย่เทียนเฉินเป็นผู้แข็งแกร่งคนหนึ่ง เป็นคนที่ทำอะไรเด็ดขาด หลักการของเขาคือกระทำตามหลักการมิสนใจตัวคน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่มีสมอง ไม่ว่าจะเวลาใด ยอดฝีมือที่ไม่มีสมองก็ถูกเรียกได้แค่เพียงชายมุทะลุเท่านั้น คนฝีมือแข็งแกร่งและรู้จักใช้สมองยามเผชิญเรื่องต่างๆ ถึงจะเป็นผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง

“พี่ใหญ่ ผมรู้แล้ว ผมจะไม่ทำให้พี่ต้องผิดหวัง!” หูหลงกล่าวพลางพยักหน้า

“อืม พรุ่งนี้นายก็ออกเดินทางจากจิงตูไปเถอะ ไม่ได้รับโทรศัพท์ของฉันก็ไม่ต้องกลับมา เพราะช่วงนี้ฉันคงมีการต่อสู้จริงๆ กับตระกูลลั่วและตระกูลฉิน รอให้ถึงตอนที่จวนจะจัดการเรื่องต่างๆ ได้แล้ว ฉันจะบอกให้กลับมาที่จิงตู” เย่เทียนเฉินกล่าวกับหูหลงด้วยรอยยิ้ม

“ครับพี่ใหญ่!”

เย่เทียนเฉินและหูหลงทั้งสองดื่มเบียร์กินบาร์บีคิวอยู่ที่ร้านบาบีคิวข้างทาง พูดคุยกันถึงเรื่องราวในจิงตู อีกทั้งในส่วนของหูหลงยังขอให้เย่เทียนเฉินชี้แนะเกี่ยวกับปัญหาว่าทำอย่างไรจึงจะเพิ่มความแข็งแกร่งได้อย่างสะดวก เย่เทียนเฉินก็ไม่ได้ตระหนี่ แม้ว่าเขาจะเป็นผู้มีพลังพิเศษ ถนัดการยกระดับพลังพิเศษมากกว่า แต่ไหนแต่ไรก็ใช้กระบวนท่าพลังพิเศษอันแข็งแกร่ง แต่ไม่ว่าจะเป็นการยกระดับความสามารถแบบใด สุดท้ายก็เป็นการทำเพื่อให้ร่างกายของตนแข็งแกร่ง ผู้มีพลังพิเศษก็ดี ยอดฝีมือพรรควรยุทธโบราณก็ใช่ ต่างก็สามารถหล่อหลอมร่างกายตนเองได้ กล่าวให้ชัดเจนก็คือ ผู้มีพลังพิเศษสามารถขับเคลื่อนพลังธรรมชาติมาหล่อหลอม ยอดฝีมือพรรควรยุทธโบราณก็ฝึกฝนพลังภายในและวรยุทธเพื่อหล่อหลอม ทั้งสองต่างกันแต่ก็มีบางสิ่งบางอย่างคล้ายกัน ดังนั้น เย่เทียนเฉินจึงนำวิธีการฝึกฝนร่างกายให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นสอนให้หูหลงไป

ในเวลานี้ ท่ามกลางเขตคฤหาสน์ที่พิเศษมากเขตหนึ่ง คฤหาสน์หลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ในบริเวณภายศูนย์กลางยังคงมีแสงไฟสว่างจ้า นั่นก็คือบ้านหลักตระกูลฉิน

ที่บอกว่านี่เป็นเขตคฤหาสน์ที่พิเศษมากเขตหนึ่ง ก็เพราะผู้ที่อาศัยอยู่ภายในเขตคฤหาสน์นี้ หากไม่ใช่บุคคลสำคัญของจิงตูก็เป็นเหล่าผู้มีอำนาจอิทธิพลและตระกูลใหญ่ต่างๆ และมีเพียงพวกเขาเท่านั้นถึงจะได้เสพสุขกับการปฏิบัติเช่นนี้ เกรงว่าแม้แต่ตระกูลลั่วก็ไม่สามารถมีได้ ตระกูลเย่ที่ตกต่ำก็ยิ่งสัมผัสไม่ได้

บริเวณบ้านหลักตระกูลฉิน ภายในคฤหาสน์ที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ชายวันกลางคนคนหนึ่งมองไปเบื้องหน้าด้วยใบหน้าชั่วร้ายพลางขมวดคิ้ว ดูราวกับว่ากำลังคิดอะไรอยู่ เบื้องล่างยังมีชายวัยรุ่นคนหนึ่งสวมชุดแบรนด์เนมทั้งตัว พวกเขาทั้งสองมีความสัมพันธ์เป็นพ่อลูกกัน ชายวัยกลางคนชื่อฉินเทาหยวน ชายวัยรุ่นนชื่อฉินเหิง สองพ่อลูกคู่นี้เพิ่งจะได้รับข่าวว่า หลี่เถี่ยสมุนที่เป็นสุนัขรับใช้ถูกคนฆ่าตายไปแล้ว

“ลูกเหิง เรื่องนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ไอ้เศษสวะหลี่เถี่ยทำไมจู่ๆ ก็ถูกคนฆ่าตายได้ล่ะ?” ฉินเทาหยวนมองฉินเหิงลูกชายของคนพลางกล่าวถาม

“พ่อ เรื่องนี้ ผม ผมก็ไม่ทราบแน่ชัด กะ…ก็ได้ยินคนข้างล่างรายงานขึ้นมาเหมือนกัน…” ทุกครั้งที่ฉินเหิงกล่าวจมูกของเขาจะกระตุกเล็กน้อย ราวกับเพิ่งจะเสพกัญชามาก็มิปาน

เพียะ!

ฉินเทาหยวนใช้ฝ่ามือตบลงบนโต๊ะ กล่าวด่าอย่างโหดร้ายว่า “ไอ้ลูกคนนี้ทั้งวันรู้จักแต่เสพของเล่นพวกนั้นกับเล่นดาราหญิง ไม่ก้าวหน้าขึ้นมาบ้าง คิดถึงอนาคตในภายภาคหน้าบ้างไหม?”

ฉินเหิงเห็นว่าบิดาของตนโกรธเช่นนั้น ก็ราวกับชินไปตั้งนานแล้ว นั่งลงบนโซฟา ขาทั้งสองไขว่ห้าง หยิบซิการ์ออกมามวนหนึ่ง ในซิการ์มวนนี้ใส่ของบางอย่างที่ทำให้คนล่องลอยได้เอาไว้ เขาควบคุมอาการลงแดงของตนเองไม่ได้อีกแล้ว ต้องอัพยาสักหน่อยถึงจะดีขึ้น

เห็นท่าทางเช่นนี้ของลูกชาย ฉินเทาหยวนโกรธจนทนไม่ไหว เดินเข้าไปใช้มือตบซิการ์ในมือฉินเหิงจนร่วง ใช้เท้าเหยียบลงบนโซฟาอย่างรุนแรงพลางกล่าวด่าต่อไปว่า “แกตื่นสักหน่อยได้ไหม? ตอนนี้มันเวลาอะไรแล้ว แกอยากจะให้ชีวิตทั้งชีวิตของแกถูกไอ้ของนี่ทำลายรึไง?”

“พ่อ ทำไมต้องโกรธขนาดนี้ด้วย ตอนนี้ตระกูลฉินของพวกเรามีพ่อเป็นผู้นำ พ่อมีผมเป็นลูกชายคนเดียว พอถึงเวลาก็ต้องส่งต่อตระกูลให้ผมแน่นอนอยู่แล้ว ด้วยอำนาจของตระกูลฉินของพวกเรา ใครจะกล้ามาหาเรื่อง? ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารเสื้อผ้าไปชั่วชีวิต ทำไมต้องกังวลขนาดนี้ด้วย สู้เล่นของ เล่นหญิง มีความสุขจะตาย!” ฉินเหิงหยิบซิการ์ออกมาจากบริเวณอกอีกมวนขึ้น คราวนี้ไม่รอให้ฉินเทาหยวนได้ห้ามก็จุดขึ้นสูบเข้าไปแล้ว

“แก…แกรู้ไหม เดือนหน้าแกก็จะต้องหมั้นกับฉีหรูเสวี่ยแห่งตระกูลฉีแล้ว ถ้าหากว่าถูกตระกูลฉีเห็นท่าทางแบบนี้ของแก เกรงว่าเรื่องการหมั้นครั้งนี้จะยากซะแล้ว!” ฉินเทาหยวนคำรามเสียงดังด้วยความโกรธ

“ตระกูลฉี? พ่อ อำนาจของตระกูลฉีสู้ตระกูลฉินของพวกเราไม่ได้ ถ้าหากไม่เป็นเพราะได้ยินมาว่าความงามของฉีหรูเสวี่ยไม่เป็นรองหลิ่วหรูเหมยสาวงามอันดับหนึ่งแห่งจิงตู ผมก็คงไม่เต็มใจที่จะหมั้นกับตระกูลฉีหรอก แต่ก็ดี ลิ้มลองรสชาติของฉีหรูเสวี่ยคนนี้สักหน่อยว่าเป็นไง ถ้าหากว่าเป็นไปได้ล่ะก็ ทำให้หลิ่วหรูเหมยมาอยู่ในมือด้วยก็ยิ่งดี!”

ฉินเหิงยิ่งพูดก็ยิ่งลามก ยิ่งพูดก็ยิ่งอุกอาจ ขอเพียงพูดถึงเรื่องผู้หญิง เขาก็จะตาเป็นประกาย ภายในพื้นที่ของจิงตูแห่งนี้ อำนาจของตระกูลฉินมิอาจกล่าวได้ว่ายิ่งใหญ่มากมาย แต่ก็ไม่นับว่าเล็ก ฉินเหิงที่มีนิสัยลามกโดยกำเนิด ไม่ทราบว่ากระทำชำเราผู้หญิงในครอบครัวที่ดีไปแล้วกี่คน ในที่สุดก็มีครั้งหนึ่ง ที่เดรัจฉานคนนี้ข่มขืนเด็กหญิงที่เพิ่งจะอายุสิบแปดปีจนเจ็บปวดถึงแก่ความตาย ทำให้ชาวบ้านไม่พอใจเป็นอย่างมาก รัฐถึงได้จับฉินเหิงเข้าคุก ตัดสินจำคุกห้าปี

ฉินเหิงที่ออกมาจากคุกแล้ว ไม่เพียงแต่ไม่มีความสำนึกผิด แต่กลับกลายเป็นแย่ลงกว่าเดิม ขอเพียงแค่เป็นผู้หญิงที่ถูกใจเขา ก็จะคิดทุกวิถีทางเพื่อทำให้มาอยู่ในมือให้ได้ ต่อให้เป็นการบีบบังคับจูงใจก็ดี หรือจะเป็นมอมยาลักพาตัวก็ดี ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องได้ในสิ่งที่ต้องการ ไม่มีมนุษยธรรมเลยแม้แต่ครึ่งส่วน

ฉินเทาหยวนตบลงบนใบหน้าของฉินเหิงครั้งหนึ่ง ทำให้ฉินเหิงที่กำลังสูบซิการ์พลันถูกตบจนมึนงง ยังไม่ทันได้มีปฏิกริยาอะไรก็ถูกฉินเทาหยวนด่าอย่างรุนแรง

“แกบ้าไปแล้วรึไง? อยากทำร้ายตระกูลฉินให้ตายใช่ไหม? ตระกูลหลิ่วมีสถานนะยังไง? ผู้อาวุโสตระกูลหลิ่วเป็นถึงรองผู้นำระดับชาติ บิดาจะขอเตือนแกไว้ตอนนี้เลย อย่าไปสนใจหลิ่วหรูเหมย ไม่งั้นใครก็ช่วยแกไม่ได้!” ฉินเทาหยวนเปิดปากด่าอย่างโหดร้าย

ได้ยินคำพูดของฉินเทาหยวนผู้เป็นบิดา ฉินเหิงก็ยู่ปาก กล่าวตามจริงแล้วเขาอยากจะใกล้ชิดกับหลิ่วหรูเหมย สาวงามอันดับหนึ่งแห่งจิงตู ชายใดบ้างที่จะไม่อยากรักใคร่ลึกซึ้งกับเธอ? หากไม่ใช่ว่าอำนาจที่ปกป้องหลิ่วหรูเหมยนั้นยิ่งใหญ่เกินไป เกรงว่าคนที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำอย่างฉินเหิงก็คงกล้าลงมือกับหลิ่วหรูเหมยไปแล้ว

“หลิ่วหรูเหมยผมไม่กล้าไปสนใจหรอก แต่แม่งอยู่ดีๆ ก็ถูกไอ้เศษสวะไม่เอาไหนของตระกูลเย่แอบดู บิดาอยากจะฆ่าไอ้ลูกเต่าเย่เทียนเฉินให้ตายด้วยตัวเองจริงๆ แต่ที่ผมไม่เข้าก็คือ อำนาจของตระกูลฉีไม่อาจเทียบตระกูลฉินของพวกเรา ทำไมต้องหมั้นกับตระกูลฉีด้วย…” ฉินเหิงกล่าวอย่างไม่สบายใจอยู่บ้าง

“วันๆ แกไม่ยอมศึกษาเล่าเรียน จะไปรู้เรื่องอะไร? อำนาจของตระกูลฉีไม่อาจเทียบตระกูลฉินของพวกเรา แต่ว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ ผู้อาสุโสตระกูลฉีมีคนอยู่ระดับบนๆ มีความเป็นได้ว่าจะช่วยตระกูลฉินของพวกเราได้ แกเข้าใจไหม?” ฉินเทาหยวนคำรามใส่ฉินเหิงผู้เป็นลูกด้วยความโกรธจนไม่รู้จะทำอย่างไร

…………………………………………………………………..

บทที่ 45 ความแข็งแกร่งที่ซ่อนเร้นของพรรควรยุทธโบราณ
Ink Stone_Fantasy
ยังคงเป็นร้านข้างทางเช่นเดิม ยังคงเป็นร้านบาร์บีคิวเช่นเดิม เย่เทียนเฉินเป็นคนหนึ่งที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ได้ดีและพอใจในสถานการณ์ที่เป็นอยู่ ซึ่งแตกต่างจากสังคมจริงที่มีหลายคนพูดจาใหญ่โต พูดจาโอ้อวด มีท่าทางที่อยากจะแสดงความเหนือกว่าผู้อื่นของตนเองในทุกๆ ที่ อดไม่ได้ที่จะทำตัวหยาบคาย!

หากไม่ใช่เป็นเพราะวิกฤตของตระกูลเย่ เย่เทียนเฉินจะไม่ลงมือฆ่าคนโดยเด็ดขาด ได้เกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ เขาคิดเพียงแค่อยากจะใช้ชีวิตอย่างไร้กังวล อ่านหนังสือ อ่านหนังสือพิมพ์ ศึกษาหาความรู้สักเล็กน้อย หากเป็นไปได้ก็จะเป็นอักษรศาสตร์มหาบัณฑิต ใช้ชีวิตกับครอบครัวอย่างมีความสุข

เนื่องจากในโลกเดิมนั้น ตั้งแต่เย่เทียนเฉินอายุสิบขวบก็ใช้เวลาไปกับการต่อสู้อันโหดร้าย เขาเป็นลูกชายคนเดียว ถูกคนรับมาเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ พลังพิเศษตื่นขึ้น ก็เดินอยู่บนเส้นทางแห่งการฆ่าฟันจนไปถึงขอบเขตระดับพระเจ้า ความสามารถแข็งแกร่ง หาคนต่อกรได้ด้วยยาก แต่ในโลกก่อนเป็นโลกที่คนกินคนอย่างแท้จริง มลภาวะทางสิ่งแวดล้อมสาหัส ขาดแคลนอาหารและน้ำ ผู้มีพลังพิเศษอาละวาดไปทั่วโลก ผู้แข็งแกร่งจากพรรควรยุทธโบราณเคลื่อนไหว ทั้งยังมีมนุษย์และสัตว์กลายพันธุ์ มีกระทั่งซอมบี้ พวกเขาใช้มนุษย์เป็นอาหาร นองเลือดอย่างโหดร้าย ไม่ทราบว่ามีกี่คนที่ถูกกินทั้งเป็น

ส่วนในหมู่ของผู้มีพลังพิเศษและผู้แข็งแกร่งจากพรรควรยุทธโบราณต่างก็มีทั้งดีชั่วเช่นเดียวกัน บางคนช่วยชีวิตคนใกล้ตายรักษาคนเจ็บและปกป้องมนุษยชาติ ต่อสู้จนตัวตาย แต่บางคนกลับใช้ฝีมืออันแข็งแกร่งของตนแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน ฆ่าฟันคนกันเอง ทำลายมนุษยชาติ

ดังนั้นเย่เทียนเฉินจึงเหนื่อยกับชีวิตที่ต้องรบราฆ่าฟัน ต้องการเพียงความสงบ เต่ว่าไม่ว่าจะยุคใดก็ตาม ขอเพียงมีมนุษย์ ก็จะมีความขัดแย้งอยู่ คุณไม่ฆ่าเขาเขาก็ฆ่าคุณ เป็นสัจธรรมที่เรียบง่ายมาก เพื่อปกป้องทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนเองมีในตอนนี้ เพื่อให้สามารถปกป้องครอบครัวของตนเองได้ เย่เทียนเฉินไม่อาจไม่กำหมัดอีกสักครั้ง แม้ว่าเขาจะไม่อยากลงมือฆ่าคน แต่หากใครกล้ามารุกราน ก็ต้องขอโทษด้วยที่ต้องลงมือ!

“พี่ใหญ่ ครั้งนี้พี่ฆ่าหลี่เถี่ย เกรงว่าตระกูลฉินจะสะเทือนมาก ถ้าหากพวกเขารู้ว่าพี่เป็นคนทำ เป็นไปได้มากว่าจะส่งยอดฝีมือมาฆ่าพี่!” หูหลงกล่าวอย่างเป็นกังวล

“เรื่องนี้เด็กอย่างนายไม่ต้องกังวลไปหรอก กินเยอะๆ หน่อยเถอะ!” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม

ความประทับใจที่เย่เทียนเฉินมีต่อหูหลงดีมาก แม้ว่าฝีมือของหูหลงจะไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้น แต่กลับมีหัวใจเร่าร้อน เป็นชายชตรีคนหนึ่ง นี่ถึงจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ฝีมือไม่ดียังสามารถฝึกฝนได้ ฝึกไปสิบปีแปดปีก็จะชำนาญแล้ว แต่ว่านิสัยดั้งเดิมแต่กำเนิดนั้นไม่มีวันที่จะเปลี่ยนได้ คนบางคนถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะต้องเป็นคนชั่วไปตลอดชีวิต คนบางคนถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะเป็นคนดีไปชั่วชีวิต นี่เป็นคำที่กล่าวกันมาแต่โบราณ สันดอนขุดง่าย สันดานขุดยาก!

“พี่ใหญ่ ผมรู้ดีว่าฝีมือผมอ่อนแอ ช่วยอะไรไม่ได้ เพียงแค่อยากจะติดตามพี่ ต่อให้ช่วยพี่ได้แค่เล็กๆ น้อยๆ ก็ยังดี!” หูหลงมองเย่เทียนเฉินอย่างจริงจังพลางกล่าว

“น้ำใจของนายฉันเข้าใจดี ในเมื่อฉันรับนายให้ติดตาม ฉันก็จะนำนายไปสู่ตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่ แต่นี่เป็นสิ่งที่นายต้องพยายามด้วยตัวเอง ถ้าหากนายไม่เหมาะสมล่ะก็ ฉันจะให้นายจากไป” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม

สำหรับหูหลง เย่เทียนเฉินต้องการช่วยเขาจริงๆ นี่เป็นพี่น้องคู่หนึ่งที่มีชีวิตขมขื่น พ่อแม่ก็ตายไปแล้ว มีเพียงสองพี่น้องที่ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ที่ผ่านมาก็ไม่ได้ดีขนาดนั้น แต่หูหลงมีเลือดอันร้อนรุ่ม เพียงแต่น่าเสียดายที่ไม่มีหนทางที่จะเลื่อนตำแหน่ง ดังนั้นเย่เทียนเฉินจึงคิดที่จะช่วยเขาสักหน่อย แน่นอนว่านี่ต้องดูความสามารถของหูหลงด้วย

“ผมจะพยายามครับพี่ใหญ่!” หูหลงกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว

“ใช่แล้ว นายเคยได้ยินเรื่องอู๋เสวี่ยรึเปล่า?” เย่เทียนเฉินนึกถึงอู๋เสวี่ย อยากจะทำความเข้าใจอู๋เสวี่ยสักเล็กน้อย เนื่องจากเขาคิดว่าอู๋เสวี่ยเองก็ไม่ใช่นักฆ่าที่ชั่วร้าย มิฉะนั้นคงไม่ต่อสู้แตกหักกับตนเองอย่างเปิดเผยเช่นนั้น ทั้งยังไม่ลอบโจมตีอีกด้วย

ตัวเย่เทียนเฉินเองก็เป็นคนที่เปิดเผยตรงไปตรงมาคนหนึ่ง เป็นคนกล้าทำกล้ารับ นิสัยโดยกำเนิดก็เป็นเช่นนี้ ย่อมที่จะชื่นชมคนเช่นนี้ เขาให้อู๋เสวี่ยไปฆ่าลั่วเหลยกับลั่วเทา ไม่รู้ว่าอู๋เสวี่ยจะขายตนเองหรือจะไปฆ่าคนที่ตระกูลลั่วจริงๆ

“อู๋เสวี่ย? พี่ใหญ่ พูดถึงอู๋เสวี่ยที่เป็นนักฆ่าอันดับหนึ่งของจิงตูใช่ไหมครับ?” หูหลงมองเย่เทียนเฉินอย่างแปลกใจเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าเขาจะถามเรื่องอู๋เสวี่ยขึ้นมา

“ใช่แล้ว รู้เรื่องเกี่ยวกับเขาไหม?” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางดื่มเบียร์ไปอึกหนึ่ง

หูหลงแม้จะไม่ทราบว่าเหตุใดพี่ใหญ่เย่เทียนเฉินจู่ๆ ถึงได้ถามเรื่องเกี่ยวกับอู๋เสวี่ยที่เป็นนักฆ่าอันดับหนึ่งของจิงตูขึ้นมา แต่เรื่องของอู๋เสวี่ยนั้นเขาเคยได้ยินมาบ้าง หูหลงใช้ชีวิตอยู่ที่จิงตูไม่ใช่แค่วันสองวัน จะอย่างไรก็นับเป็นคนที่อยู่บนเส้นทางนี้ไปครึ่งตัว ดังนั้นช่องทางข่าวการก็ยังมีอยู่บ้าง

“รู้อยู่บ้างครับ อู๋เสวี่ยเป็นนักฆ่าอันดับหนึ่งของจิงตู ได้ยินว่าเป็นคนที่ผ่านการฝึกฝนจากพรรควรยุทธโบราณด้วย ตั้งแต่เด็กก็เป็นลูกชายคนเดียว ถูกชายเก็บขยะเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ จนอู๋เสวี่ยอายุได้สิบสองปี พ่อบุญธรรมของเขาก็อายุห้าสิบแล้ว เพราะฆ่าข่มขืนเลยโดนจับเข้าคุก จำคุกตลอดชีวิตอู๋เสวี่ยต้องการช่วยพ่อบุญธรรมของเขาออกมาโดยตลอด ดังนั้นจึงคอยช่วยกลุ่มอิทธิพลใหญ่และตระกูลใหญ่กระทำเรื่องราวต่างๆ ไม่งั้นด้วยฝีมือของเขา ไม่จำเป็นต้องทำให้ตนเองไม่ได้รับความยุติธรรมเช่นนี้!” หูหลงเปิดปาดพูด

“อืม พูดแบบนี้อู๋เสวี่ยเองก็เป็นคนเลือดร้อนคนหนึ่ง หากไม่ใช่เพราะต้องการช่วยพ่อบุญธรรมของตนเองออกมา ก็จะไม่ช่วยพวกกลุ่มอิทธิพลใหญ่และตระกูลใหญ่ทำเรื่องต่างๆ สินะ”

“ใช่แล้วครับพี่ใหญ่ ผมได้ยินมาว่าอู๋เสวี่ยไม่ถือว่าตนเองเป็นพวกอิทธิพลใหญ่และตระกูลใหญ่พวกนี้ หากไม่ใช่เพราะจะช่วยพ่อบุญธรรมของตน ก็คงไม่ต้องกล้ำกลืนฝืนทน อีกอย่างผมได้ยินว่าทุกครั้งที่เขาฆ่าคน ก็ล้วนแต่ไปอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา และยังทำให้ความปราถนาของคนที่ถูกฆ่าสำเร็จอีกด้วย ช่างเป็นคนที่พิเศษจริงๆ!” หูหลงกล่าวพลางคิดว่าน่าเหลือเชื่อจนอยากหัวเราะอยู่บ้าง

“เป็นเช่นนี้จริงๆ ตอนที่เขามาฆ่าฉัน ก็ใช้วิธีการเช่นนี้” เย่เทียนเฉินกล่าวหลางพยักหน้า

“อะไรนะ? พะ…พี่ใหญ่ อู๋เสวี่ยมาฆ่าพี่? เป็นตระกูลฉินส่งมาเหรอครับ?”

ได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน หูหลงก็มองเย่เทียนเฉินด้วยความสั่นสะท้านเป็นอย่างยิ่ง อู๋เสวี่ยเป็นนักฆ่าอันดับหนึ่งแห่งจิงตู ต่อให้เป็นฝีมือของพี่ใหญ่เย่เทียนเฉินก็เกรงว่าหากต่อสู้กับอู๋เสวี่ยก็ต้องมีการต่อสู้ใหญ่ที่โหดร้าย ดังนั้นหูหลงอดไม่ได้ที่จะกังวลเกี่ยวกับพี่ใหญ่เย่เทียนเฉิน

“ไม่ใช่ตระกูลฉินที่ส่งเขามาหรอก ฝีมือของอู๋เสวี่ยแข็งแกร่งมากจริงๆ แล้วเขาก็เป็นผู้ได้รับการถ่ายทอดวิชามวยสิงอี้ของพรรควรยุทธโบราณด้วย ฉันเองก็ไม่ง่ายเลยที่จะเอาชนะเขามาได้ แต่เกี่ยวกับเขาคนนี้ออกจะแปลกๆ อยู่บ้าง นักฆ่าทั่วๆ ไปพอได้รับภารกิจมาก็ไปฆ่าคนเท่านั้น แต่เขากลับบอกคนที่จะถูกฆ่าว่าจะทำให้ความปราถนาของคนๆ นั้นสำเร็จและให้ทิ้งคำพูดสุดท้ายไว้ นี่ก็แปลกๆ อีกย่างดูท่าทางแล้วเขาไม่ต้องการฆ่าคนมั่วๆ ดังนั้นฉันก็เลยถามดูสักหน่อย!” เย่เทียนเฉินอธิบาย

“พี่ใหญ่ พะ…พี่ร้ายกาจจริงๆ ขนาดอู๋เสวี่ยก็ไม่ใช่คู่มือของพี่ ต่อจากนี้พี่ก็เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของจิงตูแล้ว!” หูหลงกล่าวอย่างชื่นชม

“นายนี่นะ จะมายอดฝีมืออันดับหนึ่งไม่อันดับหนึ่งอะไรกัน ล้วนแต่เป็นชื่อเสียงจอมปลอม ฉันเชื่อว่าในโลกใบนี้ยังมีคนแข็งแกร่งอยู่มากมาย ฉันหวังว่าจะได้พบกับพวกเขา ไม่งั้นชีวิตนี้คงน่าเบื่อไม่มากก็น้อย!” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางส่ายหัว

ในโลกก่อนนั้น ต่อให้เย่เทียนเฉินมีฐานะเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษระดับพระเจ้า ความสามารถแข็งแกร่งมาก แต่ก็ไม่ใช่คนที่หลงระเริงอวดดี ถึงอย่างไรในสิ่งต่างๆ ก็มีเรื่องให้เรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด เหนือกว่าผู้มีพลังพิเศษระดับพระเจ้ายังมีผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษระดับเทพราชันอยู่ เป็นความสามารถที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว กระทั่งเย่เทียนเฉินยังต้องเงยหน้ามอง อีกทั้งในหมู่พรรควรยุทธโบราณ มนุษย์กลายพันธุ์ สัตว์กลายพันธุ์ และยังมีซอมบี้ กระทั่งสัตว์ประหลาดที่ไม่รู้จักชื่อ ก็ยังมีตัวตนที่แข็งแกร่งเกินพิกัดดำรงอยู่ เหนือมนุษย์ยังมีมนุษย์ เหนือฟ้ายังมีฟ้า ประโยคนี้ไม่ว่าจะที่ไหนก็สามารถใช้ได้

“พี่ใหญ่ สะ…สอนผมสักหลายกระบวนท่าหน่อยได้ไหมครับ ผมรู้วาฝีมือของตัวเองยังอ่อนด้อย แต่ผมก็อยากจะพัฒนา ไม่อยากให้ตอนที่มีเรื่องอะไรก็เป็นตัวถ่วงของพี่ใหญ่…” หูหลงกล่าวพลางมองเย่เทียนเฉินอย่างวางตัวไม่ถูก

“ฮี่ๆ ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว แต่เพลงหมัดของฉันไม่เหมาะกับนาย รอคืนนี้ฉันกลับไป จะคิดเคล็ดวิชาวรยุทธโบราณที่เหมาะกับนายให้ จากนั้นค่อยมาสอนนาย!” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ขอบคุณครับพี่ใหญ่!”

หูหลงกล่าวอย่างซาบซึ้ง เขาไม่คิดเลยว่าพี่ใหญ่เย่เทียนเฉินจะใจกว้างเช่นนี้ ตอบรับคำขอร้องของตนเอง สำหรับพลังอำนาจของพี่ใหญ่เย่เทียนเฉินนั้น หูหลงอยากที่จะไปให้ถึงจุดนั้นมากจริงๆ ขนาดอู๋เสวี่ยที่เป็นนักฆ่าอันดับหนึ่งของจิงตูก็ยังไม่ใช่คู่มือของเย่เทียนเฉิน จินตนาการได้เลยว่าเย่เทียนเฉินร้ายกาจขนาดไหน

สิ่งที่เย่เทียนเฉินกล่าวนั้นเป็นความจริง เขาเป็นผู้มีพลังพิเศษ ไม่ใช่ยอดฝีมือของพรรควรยุทธโบราณ ดังนั้นจึงไม่เคยฝึกฝนเคล็ดวิชาของพรรควรยุทธโบราณมาก่อน ส่วนหูหลงนั้นเป็นคนธรรมดา ไม่ใช่ผู้มีพลังพิเศษ ดังนั้นมีหลายกระบวนท่าที่ไม่มีประโยชน์สำหรับเขา มีเพียงเคล็ดวิชาของพรรควรยุทธโบราณของจีนที่สืบทอดกันมาหลายพันปีจึงจะเหมาะสมกับหูหลง อีกทั้งฝีมือของหูหลงแต่เดิมก็ไม่ได้อ่อนแอมากนัก หากว่าสามารถมีเคล็ดวิชาของพรรควรยุทธโบราณที่เหมาะสมให้เขาฝึกฝน รวมกับการฝึกฝนพลังภายในแล้วล่ะก็ เชื่อว่าฝีมือของหูหลงในภายภาคหน้าจะต้องถูกเรียกว่าเป็นชั้นหนึ่งอย่างแน่นอน

ในโลกก่อนนั้น เย่เทียนเฉินได้ประมือกับยอดฝีมือที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาของพรรควรยุทธโบราณหลายครั้ง แม้ว่าจะไม่เคยฝึกฝนเคล็ดวิชาของพรรควรยุทธโบราณ แต่ก็ได้พบและเรียนรู้เคล็ดวิชาวรยุทธโบราณมาไม่น้อย เป็นวิชาที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก หลายครั้งที่แม้กระทั่งเขาก็เกือบจะตาย ดังนั้นศิลปะการต่อสู้ของจีนกว้างขวางและลึกซึ้งมาตั้งแต่สมัยโบราณ ถูกถ่ายทอดและสืบสานกันมาจนเป็นอมตะวิชา เป็นสิ่งที่มีหลักการแน่นอน มาถึงวันนี้ หลายคนคิดว่าพรรควรยุทธโบราณเลือนหายไปแล้ว ไร้การสืบทอด ความจริงไม่เป็นเช่นนั้น พวกเขายังดำรงอยู่โดยอาศัยวิธีการที่แข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิม

ดังนั้นหลังจากที่กลับไปแล้ว เย่เทียนเฉินก็เตรียมที่จะย้อนคิดถึงความทรงจำดูสักหน่อยว่าในสมองของตนมีเคล็ดวิชาของพรรควรยุทธโบราณที่ล้ำลึกอยู่บ้างหรือไม่ อย่างน้อยคิดให้ได้สักหนึ่งถึงสองกระบวนท่าที่แข็งแกร่ง ไปสอนให้หูหลง แล้วยังมีปัญหาอยู่อีกข้อหนึ่ง นั่นก็คือหากไม่มีการสนับสนุนจากพลังภายใน พลังยุทธที่ฝึกฝนออกมาจะต้องลึกล้ำและหนาแน่นมากพอ ตอนที่ลงมือ โจมตีจุดตายครั้งเดียวก็มั่นใจได้ว่าจะสำเร็จ คิดไปคิดมาก็เป็นคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นของพรรคเส้าหลินแห่งเขาไท่ซานที่ร้ายกาจเป็นอย่างมาก ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นเคล็ดวิชาบำเพ็ญเพียรภายในที่แข็งแกร่งที่สุดตั้งแต่สมัยโบราณ

ในปีนั้นที่โลกเดิม เย่เทียนเฉินก็เคยคิดอยากจะบำเพ็ญพลังยุทธ แม้ว่าเขาจะเป็นผู้มีพลังพิเศษ แต่หากว่าสามารถบำเพ็ญพลังยุทธให้แข็งแกร่ง ทำให้ร่างกายเข้มแข็ง รวมกับพลังพิเศษอันแข็งแกร่งของตนเองที่เป็นผู้มีพลังพิเศษอยู่แล้ว บางทีอาจจะสามารถพัฒนาขึ้นอีกขั้นก็เป็นได้ เพียงแต่น่าเสียดายที่ไม่ว่าจะเป็นโลกนี้หรือโลกก่อน คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นของเส้าหลินยากที่จะถูกคนภายนอกลอบเรียนรู้สอดแนม ต่อให้เป็นคนที่แข็งแกร่ง อยากจะแอบดูคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นของเส้าหลิน ก็ยังยากเสียยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์

“ช่วงนี้นายกลับบ้านเก่าไปก่อนเถอะ ไม่ต้องตามฉันแล้ว” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“นี่…พี่ใหญ่ พี่ไม่ต้องการให้ผมติดตามพี่แล้ว?” หูหลงกล่าวอย่างตึงเครียด

“เปล่า ช่วงนี้ฉันมีเรื่องต้องไปจัดการ นายติดตามฉันตอนนี้คงไม่ค่อยสะดวกนัก รอให้ฉันแก้ไขปัญหาเบื้องหน้าหลายๆ อย่างได้ก่อน ก็จะเรียกตัวนายกลับมา” เย่เทียนเฉินเปิดปากพูด

………………………………………………….

บทที่ 44 เสี่ยวฉิงก็เป็นผู้มีพลังพิเศษงั้นหรือ!
Ink Stone_Fantasy
ร่างกายเปลือยเปล่างดงามดั่งหยก ยามเมื่อหญิงผู้มากไปด้วยเสน่ห์เปลือยกายอยู่เบื้องหน้าของคุณพลางกรีดกายยั่วยวน คุณยังจะสามารถควบคุมอามรมณ์ได้อีกหรือ? โดยเฉพาะยอดหยกอันตั้งตระหง่านคู่นั้นของเธอ เอวคอดกิ่วราวงูน้ำ รวมกับหมู่ป่าหนาแน่นสีดำ และบั้นท้ายงอนงามที่ทำให้คุณต้องเลือดลมสูบฉีด โดยเฉพาะชายโสด เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความดึงดูดของร่างกายอันเปลือยเปล่าเช่นนี้ จะมีผู้ชายสักกี่คนที่จะอดทนได้กัน?

เย่เทียนเฉินมองเสี่ยวฉิงผู้เป็นภรรยาน้อยของหลี่เถี่ยที่เปลือยกายยักย้ายส่ายสะโพกอยู่เบื้องหน้าของตน บางครั้งก็แลบลิ้นออกมาอย่างยั่วยวน เขามองทั้งหมดนี้อย่างไม่แยแส เขาไม่ใช่คนที่ทำอะไรไม่ถูกยามเห็นหญิงงาม ผู้หญิง โดยเฉพาะผู้หญิงที่สวยเซ็กซี่ ชายใดบ้างที่ไม่อยากจะขึ้นเตียงด้วย?

อาจเพราะในโลกก่อนมียอดหญิงงามงานดีอยู่ข้างกายเป็นจำนวนมากเกินไป ในโลกนี้เย่เทียนเฉินจึงไม่อยากจะปกป้องดูแลหญิงงามอีก และไม่อยากมีชีวิตที่ต้องถูกหญิงงามพัวพัน เขาเพียงต้องการใช้ชีวิตอย่างสงบ กินอาหารอร่อยๆ ดื่มเครื่องดื่มอร่อยๆ ใช้ชีวิตในแต่ละวันกับครอบครัวในโลกนี้อย่างมีความสุข แต่เขาพบว่าตอนนี้ ความปราถนาอันเล็กน้อยนี่ยากที่จะเป็นจริงอยู่บ้าง ไม่ว่าจะในโลกไหนๆ ขอเพียงเป็นสถานที่ที่มีผู้คนอยู่ ก็จะมีความขัดแย้งและความยุ่งยากที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่ แต่เย่เทีนเฉินก็เคยชินมาตั้งแต่โลกก่อนแล้ว จะจัดการความยุ่งยาก ทุบด้วยกำปั้นก็ใช้ได้แล้ว จะใช้เหตุผลคุยกันมันไม่มีหรอก

“ขอเพียงนายตกลงให้ฉันเอาเทปบันทึกเสียงทั้งสามกล่องนี้ไป ฉันไม่เพียงสามารถรับรองได้ว่านายจะได้เป็นผู้นำกลุ่มอิทธิพลใต้ดินของจิงตู และยังจะได้ชมเชยร่างกายของฉันอีกด้วย นายเชื่อเถอะ ด้วยฝีมือบนเตียงของฉัน จะส่งนายไปถึงสวรรค์ชั้นเจ็ดแน่นอน” เสี่ยวฉิงกล่าวพลางบิดส่ายร่างกาย สายตาที่มองไปยังเย่เทียนเฉินราวกับมีกระแสไฟฟ้าออกมา

“รีบไสหัวไปซะ ฉันไม่อยากจะลงมืออัดผู้หญิงเลยจริงๆ โดยเฉพาะผู้หญิงที่ไม่ใส่เสื้อผ้า!” เย่เทียนเฉินกล่าวอย่างเหลือทน

เสี่ยวฉิงขมวดคิ้วอย่างดุร้าย เธอคิดไม่ถึงเลยว่าด้วยความงดงามของตนเอง เย่เทียนเฉินก็ยังคงไม่แยแส อีกอย่างชายคนนี้ก็อายุอานามไม่เกินยี่สิบปี กำลังเป็นช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์ของวัยรุ่นพอดี ควรจะต้องมีความปราถนาในผู้หญิงจึงจะถูกต้อง แต่กลับกลายเป็นว่าแรงกระตุ้นจากสัญชาตญาณดั้งเดิมสักนิดก็ไม่มี หรือเจ้าหมอนี่จะเป็นพระอิฐพระปูนกัน?

“อย่ารีบร้อนไป นายมองฉันอีกสักหน่อย…” เสี่ยวฉิงกล่าวด้วยเสียงยั่วยวน

ทันใดนั้น เย่เทียนเฉินรู้สึกได้ถึงกลิ่นหอมแปลกๆ สายหนึ่งตลบอบอวลไปทั่ว ทำให้สมองของผู้คนรู้สึกงงงวย ภาพเบื้องหน้าก็ค่อยๆ เบลอขึ้นทีละน้อย จนกระทั่งเย่เทียนเฉินตั้งใจมองจึงพบว่าผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของตนเองนั้นไม่ใช่เสี่ยวฉิง กลับกลายเป็นฉีหรูเสวี่ย ไม่รอให้เย่เทียนเฉินมีปฏิกริยา หญิงตรงหน้าก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง กลายเป็นหานเจี๋ย ช่างแปลกประหลาดเหลือเกิน

ฉัวะ!

พริบตานั้น เสี่ยวฉิงก็พุ่งเข้าใส่เย่เทียนเฉินด้วยร่างกายเปลือยเปล่าเช่นนั้น มือซ้ายกำเทปสามกล่องไว้แน่น มือขวาใช้กริชที่ยังคงมีเลือดสดๆ หยดอยู่ปักตรงเข้าไปยังบริเวณหน้าอกของเย่เทียนเฉิน

ปัง!

ในตอนที่ใบหน้าของเสี่ยวฉิงปรากฏรอยยิ้มชั่วร้าย มองกริชในมือขวาของตนใกล้จะแทงเข้าไปที่หน้าอกของเย่เทียนเฉินนั้น เธอก็ถูกเย่เทียนเฉินใช้เท้าเตะจนปลิวออกไปทั้งตัว เพียงแต่ลูกเตะเดียวเท่านั้นก็เตะจนเสี่ยวฉิงกระแทกกับชั้นหนังสือ และร่วงลงด้านล่าง ลุกไม่ขึ้นไปครึ่งวัน

“อา…นาย นึกไม่ถึงว่านายจะสามารถมองพลังภาพมายาของฉันออก…” เสี่ยวฉิงกล่าวพลางมองเย่เทียนเฉินอย่างหวาดกลัว

“ไม่คิดเลยว่าเธอจะเป็นผู้มีพลังพิเศษ แล้วยังเป็นประเภทภาพมายา เพียงแต่ภาพมายาของเธอมีผลกับคนธรรมดา แต่กับฉันมันไม่มีผลอะไรเลย…”

เย่เทียนเฉินกล่าวอย่างไม่แยแส เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเสี่ยวฉิงจะเป็นผู้มีพลังพิเศษ ในโลกนี้ยอดฝีมือของพรรควรยุทธโบราณและผู้มีพลังพิเศษต่างก็เป็นความลับเช่นเดียวกัน ได้เกิดใหม่ในโลกนี้ ก็เป็นครั้งแรกที่เย่เทียนเฉินได้พบกับผู้มีพลังพิเศษ อีกอย่างพลังพิเศษที่เสี่ยวฉิงใช้ นับว่าเป็นเป็นพลังที่จัดอยู่ในประเภทพิเศษ นี่ทำให้เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกใจ ตกลงแล้วยอดฝีมือสูงสุดของพรรควรยุทธโบราณในโลกแห่งนี้แข็งแกร่งขนาดไหนกันแน่ ผู้มีพลังพิเศษมีความร้ายกาจเท่าใดกัน จะมีผู้มีพลังพิเศษระดับเทพราชันอยู่หรือไม่?

หากว่าโลกแห่งนี้มีผู้มีพลังพิเศษระดับเทพราชันอยู่จริงๆ เช่นนั้นก็ช่างน่ากริ่งเกรงเหลือเกิน หากกล่าวโดยไม่เกินจริง ผู้มีพลังพิเศษระดับพระเจ้าสามารถเคลื่อนภูเขาพลิกมหาสมุทร แยกภูผาป่นหินได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้แข็งแกร่งระดับเทพราชันที่อยู่เหนือกว่าระดับพระเจ้า ต่อให้เป็นในโลกก่อนเย่เทียนเฉินก็เพียงแต่เคยได้ยินมาเท่านั้น ไม่เคยพบเจอผู้แข็งแกร่งระดับเทพราชันเลย แต่เขาที่เป็นผู้มีพลังพิเศษระดับพระเจ้าก็สามารถจินตนาการได้ถึงความน่ากลัวของผู้มีพลังพิเศษระดับเทพราชัน เกรงว่าสามารถไปได้ทั่วทั้งใต้หล้าอันกว้างใหญ่นี้โดยที่ไม่มีใครหน้าไหนสามารถหยุดยั้งได้!

“นาย…หรือว่านายก็เป็นผู้มีพลังพิเศษงั้นหรือ?” เสี่ยวฉิงตื่นตระหรก เธอเองก็เป็นผู้มีพลังพิเศษ แม้ว่าพลังพิเศษจะไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้น แต่ก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนของกระแสพลังบนร่างกายของเย่เทียนเฉิน

“เธอไม่จำเป็นต้องรู้ ฉันอยากจะถามเธอสักหน่อย ที่ไหนมีผู้มีพลังพิเศษที่ค่อนข้างแข็งแกร่งอยู่?” เย่เทียนเฉินคิดว่าตนเองไม่คุ้นเคยกับผู้มีพลังพิเศษในโลกแห่งนี้ เสี่ยวฉิงเป็นผู้มีพลังที่จัดอยู่ในประเภทพิเศษ บางทีอาจจะรู้ก็เป็นได้

“นะ…นายจะทำอะไร?” เสี่ยวฉิงกล่าวถามอย่างตกใจ

“แน่นอนว่าต้องไปเรียนรู้แลกเปลี่ยนกับผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่ง ไม่งั้นชีวิตก็น่าเบื่อแย่ ต้องหาเรื่องบ้างเพื่อให้ผ่านช่วงเวลาน่าเบื่อนี่ไป!” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“เฮอะ อาศัยความสามารถของนาย บางทีอาจจะต่อกรกับคนธรรมดาพอได้ หากต้องการจะเจอกับยอดฝีมือผู้มีพลังพิเศษจริงๆ ล่ะก็ ต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยเลย ในทุกๆ ประเทศต่างก็มีองค์กรพลังพิเศษอยู่ นั่นเป็นการแสดงถึงความสามารถในด้านการสู้รบอันสูงสุดของประเทศๆ หนึ่ง” เสี่ยวฉิงกล่าวพลางสบถออกมา

“งั้นเหรอ? งั้นก็ดีเลย ท่าทางน่าสนุก” เย่เทียนเฉินกล่าว

กล่าวจบ เย่เทียนเฉินก็เดินไปเบื้องหน้าเสี่ยวฉิง หยิบเทปบันทึกเสียงทั้งสามกล่องมาจากมือซ้ายของเสี่ยวฉิงแล้วหมุนตัวเตรียมเดินจากไป เขาไม่อยากจะฆ่าผู้หญิง ไม่ว่าจะเป็นโลกก่อนหรือโลกนี้ ต่างก็มีหลักการที่ตนเองยึดถืออยู่ ผู้ชายที่ฆ่าผู้หญิงนั้นไม่ใช่สุภาพบุรุษ แน่นอนว่าในโลกก่อนนั้นมีผู้แข็งแกร่งที่เป็นผู้หญิงอยู่มาก เย่เทียนเฉินเองก็มีประสบการณ์การต่อสู้เป็นตายมาก่อน แต่เขาก็ไม่เคยฆ่าผู้หญิงคนไหนเลย เกิดเป็นคนย่อมต้องมีหลักการและบรรทัดฐานของตนเอง

“นายไม่ฆ่าฉันเหรอ?” เสี่ยวฉิงตกตะลึงไปชั่วครู่ มองเงาหลังของเย่เทียนเฉินพลางกล่าวถาม

“ฉันกับเธอไม่มีบุญคุณความแค้นต่อกัน ทำไมต้องฆ่าเธอด้วย?” เย่เทียนเฉินถามกลับ

“ฉันเป็นคนของตระกูลฉิน นายไม่ฆ่าฉันวันนี้ ตระกูลฉินก็จะรู้เรื่องของนายอย่างรวดเร็ว บางทีอาจจะเชิญผู้แข็งแกร่งกว่านี้มาฆ่านายก็ได้!” เสี่ยวฉิงเปิดปากพูด

“งั้นก็มาเถอะ แต่ฉันคิดว่าเทปบันทึกเสียงทั้งสามกล่องนี้ถูกหลี่เถี่ยซ่อนเอาไว้เป็นดั่งฟางช่วยชีวิต เนื้อหาข้างในคงจะไม่เลวเลยทีเดียว หากตระกูลฉินไม่กลัวละก็คงลงมือฆ่าหลี่เถี่ยไปตั้งนานแล้ว” เย่เทียนเฉินกล่าวอย่างไม่แยแส

“เทปบันทึกเสียงสามกล่องนี้ บางทีอาจจะสามารถคุกคามตระกูลฉินได้สักวันหนึ่ง แต่มันทำให้นายหรือกระทั่งตระกูลเย่ทั้งตระกูลต้องเจอกับการฆ่าปิดปาก ตระกูลฉินแข็งแกร่งมาก ยากที่จะโค่นลงได้!”

“นี่เป็นเรื่องของฉัน ลาก่อน!” เย่เทียนเฉินโบกมือ หมุนตัวเตรียมเดินจากไป

“เดี๋ยวก่อน นายไม่ฆ่าฉัน ฉันเสี่ยวฉิงเป็นหนี้นายหนึ่งครั้ง ฉันคนนี้แต่ไหนแต่ไรก็ไม่อยากจะเป็นหนี้คนอื่น ดังนั้นฉันจะบอกนายเรื่องหนึ่ง เป็นสิ่งตอบแทนหนี้ครั้งนี้” เสี่ยวฉิงกล่าวพลางมองเย่เทียนเฉิน

“พูดมาเถอะ!”

“เร็วๆ นี้ตระกูลฉินจะทำการใหญ่ ส่วนรายละเอียดว่าเป็นเรื่องอะไรนั้น ฉันก็ไม่รู้!” เสี่ยวฉิงกล่าวอย่างจริงจัง

เย่เทียนเฉินพยักหน้า เขามีความรู้สึกว่าจริงๆ แล้วเสี่ยวฉิงคนนี้ก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่โหดร้ายเช่นนั้น บางทีอาจเป็นเพียงเพราะถูกบีบบังคับจากการใช้ชีวิตก็ได้ ชีวิตคนเราในโลกแห่งนี้นั้นมักจะมีความจนใจเช่นนั้นเช่นนี้อยู่มากมาย ไม่ใช่ว่าคุณอยากจะทำอะไรก็สามารถทำเช่นนั้นได้

“ฉันคิดว่าเธอเองก็ไม่ต้องกลับไปที่ตระกูลฉินหรอก คราวนี้หลี่เถี่ยตายแล้ว เทปบันทึกเสียงทั้งสามกล่องก็ถูกฉันเอาไป เธอกลับไปที่ตระกูลฉินก็คงไม่รอดแน่ อีกอย่างพลังพิเศษของเธอดูเหมือนว่าจะยังไม่ได้พัฒนาอย่างเต็มที่ ไม่งั้นคงไม่อ่อนแอขนาดนั้น”

ได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน เสี่ยวฉิงก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง เธอพบว่าผู้ชายตรงหน้านี่เป็นคนที่พิเศษ เย็นชา จิตใจเด็ดเดี่ยว แต่กลับมีความไม่ใส่ใจโลกหล้าอยู่บ้าง เขาไม่ใช่คนที่มีนิสัยโหดร้ายประเภทที่ว่าหยิ่งยะโสคิดว่าตนยิ่งใหญ่และถือว่าตนเองมีฝีมือเก่งกาจจนเที่ยวไล่ฆ่าคนไปทั่ว แต่กลับมีท่าทางที่ทำให้หลายคนไม่กล้าตอแยด้วย ผมไม่หาเรื่องคุณ คุณก็อย่ามาหาเรื่องผม คุณหาเรื่องผม ถ้าเช่นนั้นก็ต้องขออภัยที่ต้องเอาชีวิตคุณ ก็ง่ายๆ เพียงเท่านี้

หลังจากที่เดินออกมาจากคฤหาสน์ที่หลี่เถี่ยอาศัยอยู่ นอกจากเสี่ยวฉิงที่เป็นผู้หญิงเย่เทียนเฉินจึงไม่ได้ฆ่า หลี่เถี่ย ซานจี ซานซยง รวมทั้งลูกน้องบอดี้การ์ด ถือปืนสามสิบกว่าคน ล้วนถูกเย่เทียนเฉินฆ่าเกลี้ยง ต่อให้ภายในคฤหาสน์มีเสียงปืนดังลั่นหรือเสียงกรีดร้องแทบขาดใจ โลกภายนอกก็ไม่ได้ยินโดยสิ้นเชิง

พลังพิเศษของเย่เทียนเฉินทะลวงไปถึงระดับจอมราชันแล้ว ใช้พลังเขตแดนปิดกั้นเพื่อป้องกันได้อย่างแน่นหนา กล่าวได้ว่าเป็นการปิดประตูฆ่าคน มิอาจมีใครจากภายนอกที่จะสามารถได้ยินเสียงอะไรที่เกิดขึ้นได้เลย ขนาดหูหลงที่อยู่ด้านนอกของคฤหาสน์ก็ยังเกิดความสงสัยเป็นอย่างมาก เย่เทียนเฉินเข้าไปเกือบครึ่งชั่วโมงกว่าแล้ว ข้างในกลับไม่มีเสียงเลยแม้แต่น้อย ไม่ได้ยินเสียงฆ่าฟันหรือเสียงปืนเลย เขาอยากจะพุ่งเข้าไปดูสถานการณ์สักหน่อย แต่ก็คิดถึงคำสั่งของพี่ใหญ่อย่างเย่เทียนเฉิน จึงทำได้เพียงรออยู่ด้านนอกอย่างกระวนกระวาย

เมื่อเห็นเย่เทียนเฉินเดินออกมา หูหลงก็รีบวิ่งเข้าไปหา กล่าวออกมาด้วยความสงสัยและกังวลใจว่า “พี่ใหญ่ พี่ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ?”

“ไม่เป็นไร เสี่ยวหลง หลี่เถี่ยไม่ระวังตัวเลยถูกคนฆ่าตายไปแล้ว ฉันรักษาสัญญาที่บอกว่าจะให้นายฆ่าหลี่เถี่ยเองกับมือไม่ได้แล้ว ยังไงนายเข้าไปดูสักหน่อยเถอะว่าบนศพมีรอยมีดอยู่กี่รอย?” เย่เทียนเฉินกล่าวล้อเล่นอย่างมีอารมณ์ขัน

หูหลงชะงักไปชั่วครู่ ในสายตาของเขา เคยพบกับเย่เทียนเฉินเพียงสองครั้ง สองครั้งนี้เย่เทียนเฉินล้วนแต่เข้มงวดจริงจังเป็นอย่างมาก ไม่พูดจาหยอกล้อ ให้อารมณ์เย็นชาสายหนึ่ง ไม่คิดเลยว่ายังมีด้านอามรมณ์ขันอยู่ด้วย

“ไม่ต้องแล้วล่ะครับพี่ใหญ่ หลี่เถี่ยตายแล้ว ผมก็ถือว่าสามารถปลอบประโลมดวงวิญญาณของพ่อและแม่บนสวรรค์ได้แล้ว!” หูหลงกล่าวพลางมองท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยดวงดารา

“นั่นก็จริง ไปกันเถอะ พวกเราไปดื่มกันสักสองแก้ว นายรอฉันอยู่ที่นี่มาหลายวันแล้ว คงจะไม่ได้กินดื่มอะไรดีๆ เลยสินะ?” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ขอแค่ได้ติดตามพี่ใหญ่ ผมหูหลงยินดีเป็นวัวเป็นม้า!” หูหลงกล่าวพลางมองเย่เทียนเฉินอย่างจริงจัง

เย่เทียนเฉินพยักหน้า นำเทปบันทึกเสียงทั้งสามกล่องใส่ลงไปในกระเป๋าเสื้อ เนื้อหาภายในนี้ย่อมต้องรอให้กลับถึงบ้านก่อนค่อยฟัง ไม่รู้ว่าอู๋เสวี่ยเดินทางไปที่ตระกูลลั่วแล้วหรือยัง การตายของหลี่เถี่ยต้องทำให้ตระกูลฉินสั่นสะเทือนอย่างแน่นอน ส่วนหลานชายทั้งสองของตระกูลลั่ว การตายของลั่วเทาและลั่วเหลย จะทำให้ทั่วทั้งจิงตูต้องสั่นสะเทือน

หากใช้คำพูดของเย่เทียนเฉินมากล่าวก็คือ พี่ชายไม่ใช่คนที่ชอบหาเรื่องใส่ตัว แต่ในเมื่อมีคนอยากจะเล่นด้วย ถ้างั้นฉันก็ทำได้เพียงไปให้สุดทาง!

……………………………………………………………

บทที่ 43 ฐานะของภรรยาน้อยหลี่เถี่ย
Ink Stone_Fantasy
“ชะ…ใช่แล้ว เรื่องทั้งหมดเป็นตระกูลฉินสั่งให้ฉันทำ ฉันเองก็ถูกบังคับ!”

หลี่เถี่ยกลัวเข้าแล้ว เขาหวาดผวาแล้วจริงๆ มีฐานะเป็นหัวโจกของอิทธิพลใต้ดินแห่งจิงตู ทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลังก็นับว่าเป็นคนที่มีบทบาทคนหนึ่ง พบกับลมฝนอุปสรรคมาก็ไม่น้อย แต่ว่า แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่เคยพบคนเฉกเช่นเย่เทียนเฉินมาก่อน บุกเข้าถ้ำเสือด้วยตัวเปล่า คนๆ เดียวฆ่ายอดบอดี้การ์ดถือปืนทั้งสามสิบกว่าคนตายเรียบ ตั้งแต่ต้นจนจบอารมณ์ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย มีรอยยิ้มไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อสัตว์โลกประดับอยู่บนใบหน้าตลอด กระทั่งคำพูดก็ไม่มีการโอ้อวดเลยสักนิด ราวกับกำลังล้อเล่นอยู่ก็มิปาน

แต่เมื่อเผชิญหน้ากับชายเบื้องหน้าที่เป็นดั่งเทพแห่งความตาย เกรงว่าจะไม่มีใครกล้ากล้าเอาคำพูดของเขาเป็นเรื่องล้อเล่น

“ตระกูลฉินเป็นบอสของแกใช่ไหม?” เย่เทียนเฉินถามต่อไปด้วยรอยยิ้ม

“ชะ…ใช่แล้ว!”

“ตามที่ฉันรู้มา ตระกูลฉินเป็นตระกูลใหญ่ทางการเมือง ไม่ว่าจะด้านการทหาร ด้านการเมือง ด้านการค้า ก็ล้วนแต่มีคนในตระกูลพวกเขาอยู่ อีกทั้งยังปะปนได้ไม่เลว ไม่คิดว่าแกจะไม่ใช่คนในตระกูลฉิน ทำให้ผู้คนต้องแปลกใจจริงๆ” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยความสงสัยเล็กน้อย

ความจริงก็เป็นดังเช่นที่เย่เทียนเฉินพูด หลี่เถี่ยเองก็เข้าใจควาหมายที่เย่เทียนเฉินกล่าวเช่นนี้ ตนเองเป็นเพียงคนๆ หนึ่งที่แฝงตัวเข้ามาในโลกแห่งการต่อสู้เท่านั้น ต่อให้เจ๋งกว่านี้ก็มิอาจมีความสัมพันธ์กับตระกูลใหญ่เช่นนี้ได้ กล่าวให้ชัดเจนก็คือ ฐานะไม่เพียงพอ ยังมีคุณสมบัติไม่พอ

“นี่ยังมีสิ่งที่นายไม่รู้อยู่อีก ตระกูลฉินมีความทะเยอทะยานสูง อยากที่จะขึ้นไปสู่อีกระดับหนึ่ง จิงตูมีพยัคฆ์หมอบมังกรซ่อน อำนาจอิทธิพลต่างๆ ก็มากมาย มีการต่อสู้นองเลือดอยู่ตลอดเวลา แต่ว่ามีหลายเรื่องที่ตระกูลฉินไม่อาจกระทำซึ่งหน้า ดังนั้นจึงสนับสนุนให้ฉันหลี่เถี่ยกลายเป็นหัวโจกของอิทธิพลใต้ดินแห่งจิงตู อิทธิพลเบื้องหน้าของตระกูลฉินนั้นยิ่งใหญ่อยู่แล้ว ส่วนโลกใต้ดินก็มีฉันคอยช่วยตระกูลฉินทำเรื่องต่างๆ อำนาจของตระกูลฉินมีอยู่ทั่วทั้งจิงตู!” หลี่เถี่ยมองออกถึงความสงสัยของเย่เทียนเฉิน ก็รีบเปิดปากพูด

“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง ขอบคุณแกมาก ฉันจะทำให้แกไปสบายก็แล้วกัน” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ยะ…อย่าฆ่าผม นะ…นายน้อยเย่ อย่าฆ่าผม ขอแค่คุณไม่ฆ่าผม ผมสามารถเอาหลักฐานการกระทำผิดของตระกูลฉินมาให้คุณได้…” หลี่เถี่ยเห็นว่าเย่เทียนเฉินต้องการฆ่าตนเอง ก็หวาดกลัวจนรีบเปิดปากพูดออกมา

“โทษที ฉันไม่ต้องการของพรรคนี้ กฏหมายมีไว้ใช้รังแกคนโง่ หมัดสิถึงจะเป็นสัจธรรมที่แท้จริง” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางส่ายหัว

คำพูดของเย่เทียนเฉินกล่าวได้ไม่ผิด กฏหมายในยุคปัจจุบันนั้นใช้เพื่อรังแกชาวบ้านธรรมดาทั่วไป กฏหมายยุติธรรมที่แท้จริงนั้นไม่มีอยู่ หากฐานะ ภูมิหลังและอำนาจ ไม่มากพอ ความจริงก็สามารถเปลี่ยนเป็นไม่จริงได้ หากมีเงินและอำนาจมากพอ ทุกสิ่งทุกอย่างก็คือความจริง

“นี่…นายน้อยเย่ ผมรู้ว่าคุณเก่ง สามารถกำจัดตระกูลฉินได้ แต่ว่าคุณคิดหรือเปล่าว่า คุณใช้หมัดเก็บกวาดตระกูลฉิน คุณย่อมไม่เกิดเรื่องอะไร แต่ตระกูลเย่ของคุณล่ะ? อำนาจของตระกูลฉินในจิงตู กระทั่งในจีนก็มีมาก หากว่าลงมือกับตระกูลฉินโดยไม่มีหลักฐาน ถึงตอนนั้นก็ยากที่จะได้รับการยอมรับจากประชาชน ตระกูลเย่ของคุณก็จะกลายเป็นเป้าของประชาชน ความคิดของมวลชนสามารถบีบบังคับให้คนตายได้” หลี่เถี่ยรีบเปิดปากพูด

ได้ยินคำพูดของหลี่เถี่ย เย่เทียนเฉินก็ชะงักไปชั่วครู่ เจ้าหมอนี่พูดไม่ผิด ด้วยความสามารถของตนเองในตอนนี้ หากฆ่าตระกูลฉิน ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่สามารถเก็บกวาดคนตระกูลฉินได้ แต่ทำเช่นนั้นจะต้องเกิดความวุ่นวายแน่นอน ถึงตอนนั้นเมื่อไม่มีหลักฐาน ทั้งตนเองก็เป็นคนของตระกูลเย่ บัญชีนี้ย่อมตนไปอยู่บนหัวของตระกูลเย่ ถึงเวลานั้นต่อให้ตนเองหนีไปได้ก็เกรงว่าพ่อแม่และน้องสาวจะหนีไม่ได้ กระทั่งต้องเหน็ดเหนื่อยกันทั้งตระกูลเย่ เรื่องเช่นนี้เย่เทียนเฉินมิอาจกระทำได้ แม้ว่าลุงใหญ่เย่มู่ไป๋และลุงสองเย่เฮ่อกั๋วจะเป็นพวกสารเลว แต่จะอย่างไรพวกเขาก็มีสายเลือดเดียวกับเย่หงพ่อของตน จากนิสัยของเย่หงผู้เป็นพ่อ ต่อให้พี่ชายทั้งสองทำไม่ดีกับเขา ตอนที่พวกเขาเกิดวิกฤต ก็ย่อมจะลงมือช่วยเหลือเป็นแน่

“ในเมื่อแกพูดเช่นนี้ ฉันเย่เทียนเฉินเองก็เป็นคนตรงไปตรงมา เอาหลักฐานการกระทำผิดของตระกูลฉินมา ฉันจะไม่ฆ่าแก ตัดขาแกทั้งสองข้าง กลับบ้านนอกไปทำนาเสียเถอะ!” เย่เทียนเฉินมองหลี่เถี่ยพลางกล่าว

หลี่เถี่ยพยักหน้า สามารถมีชีวิตรอดจากเงื้อมือของชายที่เป็นดั่งเทพแห่งความได้คนนี้ได้ ก็นับว่ายากมากแล้ว เทียบกับความตาย ตัดขาไปสองข้างจะนับเป็นอะไรได้? สิ่งที่เขาหลี่เถี่ยมีก็คือเงิน ขาขาดไป ก็ยังสามารถใช้ชีวิตอย่างสุขสำราญได้

“ได้ครับ ผมหลี่เถี่ยยอมรับความพ่ายแพ้ในมือคุณ ผมคิดว่าคนตระกูลฉินคิดไม่ถึงแน่นอนว่า การกลับมาของนายน้อยเย่ จะสามารถเปลี่ยนแบบแผนอำนาจอิทธิพลของจิงตูได้ ถูกลิขิตไว้แล้วว่าจะประสบความสำเร็จ” หลี่เถี่ยกัดฟันพูด

“ไปเถอะ เรื่องพวกนี้ฉันไม่เคยคิดมาก่อน ฉันแค่คิดว่าใครมันกล้ามาจัดการคนในครอบครัวของฉัน ฉันจะใช้วิธีตาต่อตาฟันต่อฟัน” เย่เทียนเฉินกล่าวอย่างไม่แยแส

ตอนนี้ หลี่เถี่ยลุกขึ้น เดินไปยังชั้นหนังสือด้านหลัง บิดแจกันดอกไม้บริเวณนั้นอันหนึ่ง พบว่ามีลิ้นชักลับปรากฏออกมาด้านข้างของชั้นหนังสือ ด้านในมีเทปบันทึกเสียงอยู่สามกล่อง หลี่เถี่ยหยิบทั้งหมดขึ้นมาส่งให้เย่เทียนเฉินพลางกล่าวว่า

“พวกนี้เป็นเทปบันทึกเสียงเรื่องเลวๆ ที่ตะกูลฉินให้ผมทำ คนที่เกี่ยวข้องกับผมก็คือหลานของตระกูลฉิน ฉินเหิง มีเสียงของเขาอยู่ด้วย ตระกูลฉินหนีไม่รอดแน่!”

ตอนที่เย่เทียนเฉินกำลังยื่นมือออกไปรับเทปบันทึกเสียงทั้งสามกล่องที่หลี่เถี่ยส่งมาให้ ก็เกิดเสียงดังฉึก ด้านหลังบริเวณตำแหน่งหัวใจของหลี่เถี่ยถูกกริชเล่มหนึ่งแทงทะลุ เลือดสดๆ พุ่งออกมา หลี่เถี่ยหันไปอย่างยากที่จะเชื่อ พบเพียงเสี่ยวฉิงภรรยาน้อยของเขา มุมปากประดับด้วยรอยยิ้มโหดเหี้ยม ในมือขวากำกริชอยู่เล่มหนึ่ง เป็นกริชที่เสี่ยวฉิงใช้พลากชีวิตของเขา

“เธอ…เธอ…” หลี่เถี่ยมองเสี่ยวฉิงภรรยาน้อยอย่างตายตาไม่หลับ ไม่รู้ว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น

“เฮอะ ฉันหาเทปบันทึกเสียงสามกล่องนี้มาหลายปี ตอนนี้หาเจอแล้ว แกก็ไม่มีค่าให้ใช้ประโยชน์ ย่อมต้องฆ่าทิ้งซะ!” เสี่ยวฉิงส่งเสียงเฮอะออกมาครั้งหนึ่ง ทันใดนั้นก็ดึงกริชออกมา ไม่มองหลี่เถี่ยที่ล้มลงนอนจมกองเลือดเลยสักนิด ราวกับว่าไม่มีความรู้สึกต่อผู้ชายคนนี้ที่ขึ้นเตียงกับเธอมาหนึ่งปีกว่าเลยแม้แต่ครึ่งส่วน

เสี่ยวฉิงหยิบเทปบันทึกเสียงสามกล่องนั้น มองเย่เทียนเฉินอย่างเย็นเยียบ ตอนนี้ไม่มีตรงไหนเลยที่ดูเหมือนกับผู้หญิงที่ไม่มีแม้แต่แรงจะฆ่าไก่ เป็นนักฆ่าชั้นยอดคนหนึ่งโดยสมบูรณ์แบบ สายตาเต็มไปด้วยไอสังหารอันโหดเหี้ยม

“เย่เทียนเฉิน ไม่คิดเลยว่านายจะร้ายกาจขนาดนี้ แต่นายต้องผิดหวังซะแล้ว ฉันเพิ่งจะหาเทปบันทึกเสียงทั้งสามกล่องนี้เจอ สำเร็จภารกิจ” เสี่ยวฉิงกล่าวพลางมองเย่เทียนด้วยรอยยิ้มเย็น

“ดูแล้วเธอเป็นคนของตระกูลฉินสินะ ตระกูลฉินส่งเธอมาฆ่าหลี่เถี่ยและเอาเทปบันทึกเสียงทั้งสามกล่องนี้ใช่ไหม?” เย่เทียนเฉินกล่าวถามพลางมองเสี่ยวฉิง

เสี่ยวฉิงตะลึงไปชั่วครู่ ไม่คิดว่าเย่เทียนเฉินไม่เพียงฝีมือแข็งแกร่ง แต่ยังฉลาดเช่นนี้อีกด้วย มองปราดเดียวก็ทราบถึงปัญหาที่มี เพียงแต่เธอก็ไม่ได้หวาดกลัวอะไร เนื่องจากเธอมั่นใจในตนเองว่ามีฝีมือเหนือกว่าซานจี แค่เธอไม่เคยแสดงฝีมือมาก่อนก็เท่านั้น

“ไม่ผิด หลายปีมานี้อำนาจของหลี่เถี่ยค่อยๆ ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และเริ่มมีแนวโน้มที่จะไม่เชื่อฟังคำสั่งของตระกูลฉิน อีกอย่างหลี่เถี่ยยังมีการไปมาหาสู่กับตระกูลฉิน ตลอดจนหลักฐานที่ตระกูลฉินให้เขาไปทำเรื่องต่างๆ สำหรับตระกูลฉินแล้วนี่เป็นการคุกคามอย่างใหญ่หลวง ดังนั้นตระกูลฉินจึงได้มีความคิดที่จะกำจัดหลี่เถี่ยตั้งนานแล้ว เพียงแต่หลี่เถี่ยเจ้าเล่ห์เป็นอย่างมาก ซ่อนเทปบันทึกเสียงสนทนาที่ตระกูลฉินติดต่อกับเขาไว้เป็นอย่างดี ตระกูลฉินส่งมือดีแอบมาหาหลายครั้งแต่ก็ไม่พบอะไรเลย ดังนั้นหนึ่งปีก่อน ฉันก็กลายมาเป็นภรรยาน้อยของหลี่เถี่ย…” มุมปากของเสี่ยวฉิงปรากฏรอบยิ้มเซ็กซี่ กล่าวกับเย่เทียนเฉินราวกับกำลังคุยเล่นอยู่ก็มิปาน

“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เธอเตรียมจะทำอะไร? เทปทั้งสามกล่องเธอเอาไปไม่ได้หรอก แต่ฉันเย่เทียนเฉินไม่ฆ่าผู้หญิง!” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางหาวออกมา

“เย่เทียนเฉิน หลายคนคิดว่านายเป็นคนไม่เอาไหน เป็นเศษสวะ เป็นเรื่องขบขันของทุกคน ฉันเห็นว่าไม่ใช่ นายเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในจิงตู ดังนั้นคนฉลาดๆ ย่อมทำแต่เรื่องฉลาดๆ หลี่เถี่ยตายแล้ว กลุ่มอำนาจใต้ดินของจิงตูก็ไม่มีผู้นำ หากว่านายสามารถแทนที่ตำแหน่งของหลี่เถี่ยได้ ถ้างั้นก็มีหนทางที่จะทำให้ตระกูลเย่ของนายรุ่งเรืองขึ้นมาแล้ว ฉันเชื่อว่าตระกูลฉินจะดูแลนายเป็นอย่างดี” เสี่ยวฉิงพูดจาหว่านล้อมเย่เทียนเฉิน

“ตระกูลฉิน? ฉันเคยพูดว่าจะไปที่ตระกูลฉินคุยกันสักหน่อย แต่พักนี้ยุ่งๆ รอฉันมีเวลาว่างจะไปแน่นอน เอาแทปบันทึกเสียงทิ้งไว้ซะ เธอไปได้แล้ว!”

เย่เทียนเฉินไม่มีความสนใจตำแหน่งผู้นำอิทธิพลใต้ดินของจิงตูเลยโดยสิ้นเชิง ยิ่งไปกว่านั้นตระกูลฉินอยากจะกำจัดตระกูลเย่มาโดยตลอด ยังคิดจะให้ตนเองทำงานให้ตระกูลฉินอีก นี่มันหลักการบ้าบออะไรกัน? ไม่ว่าจะในชีวิตก่อนหรือชีวิตนี้ หลักการในการเป็นมนุษย์ที่เย่เทียนเฉินยึดถือนั้นชัดเจนมาก ไม่เอาเปรียบ ไม่ใช้อำนาจบาตรใหญ่ เสพสุขกับชีวิตไปอย่างเงียบๆ แต่ถ้าหากมีคนกล้ามาหาเรื่อง เย่เทียนเฉินก็ไม่รังเกียจที่จะแสดงฝีมือ

“เฮอะ นายคิดว่านาวมีความสามารถนักรึไงถึงได้กล้ามาหาเรื่องตระกูลฉิน? ตระกูลเย่ของนายมันตกต่ำไปนานแล้ว ต่อให้นายอยากจะทะยานขึ้นมา เกรงว่าตระกูลใหญ่ที่มีอำอาจอิทธิพลจำนวนนับไม่ถ้วนต้องคอยขัดขวางแน่ พวกเขาไม่อาจมองอำนาจอื่นยิ่งใหญ่ขึ้นมาและกลายมาเป็นอุปสรรคของพวกเขาได้หรอก”

เสี่ยวฉิงต้องการที่จะโน้มน้าวเย่เทียนเฉินต่อไป แม้ว่าเธอจะมีความมั่นใจในฝีมือของตนเอง แต่เมื่อได้เห็นเย่เทียนเฉินลงมืออัดซานจีเสียจนไม่มีเรี่ยวแรงจะโต้กลับและตายไป อาศัยแค่พลังเช่นนี้ หากตนเองต้องการฆ่าเย่เทียนเฉินก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ สามารถหยุดยั้งเย่เทียนเฉินและให้เธอสามารถนำเทปบันทึกเสียงทั้งสามกล่องไปได้ก่อน แล้วค่อยให้ตระกูลฉินส่งยอดฝีมือมาเก็บกวาดเย่เทียนเฉิน นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายราวพลิกฝ่ามือหรอกหรือ?

“ไม่ต้องพูดไร้สาระ ทิ้งเทปไว้ซะ อย่าบังคับให้ฉันต้องลงมืออัดผู้หญิงเลย!” เย่เทียนเฉินแสร้งทำท่าทางอดรนทนไม่ไหวพลางกล่าวออกมาอย่างสนุกสนาน

“งั้นเหรอคะ? ฉันเป็นผู้หญิงนะคะ คุณจะทำใจลงมือได้เชียวเหรอ…”

ทันใดนั้น เสี่ยวฉิงก็เปลี่ยนท่าที ชุดนอนที่ใส่ที่เดิมทีก็บางมากอยู่แล้วค่อยๆ หลุดไหลลง เผยอริมฝีปากแดงบาง หายใจรวยระริน เมื่อชุดนอนหลุดลงทั้งหมด หน้าอกอันตั้งตระหง่าน เอวโค้งเว้างดงาม อีกทั้งก้นอันกลมกลึงนั้นก็สามารถดึงดูดความสนใจเพศชายได้เป็นอย่างดี

“หน้าอกยังเล็กไปหน่อย เอวหนาไปนิด ส่วนก้น…ก็ถือว่าตรงตามความชอบของฉันเลยทีเดียว ทั้งใหญ่และขาว!” เมื่อเห็นเสี่ยวฉิงที่เปลือยกายอยู่เบื้องหน้าอย่างต้องการจะยั่วยวนตนเองนั้น เย่เทียนเฉินก็วิพากษ์วิจารณ์ไปเรื่อย ไม่หวั่นไหวกับภาพอันงดงามเลยแม้แต่น้อย

หากว่าเปลี่ยนเป็นผู้ชายคนอื่น บางทีอาจจะเกิดกิจกรรมระหว่างชายหญิงไปเรียบร้อยแล้ว แต่เย่เทียนเฉินเป็นผู้มีพลังพิเศษระดับพระเจ้าที่มาเกิดใหม่ ในโลกก่อนนั้นมีสัมพันธ์กับหญิงงามจำนวนนับไม่ถ้วน หากว่าร่างกายเปลือยเปล่าของผู้หญิงทำให้เย่เทียนเฉินควบคุมตนเองไม่อยู่ล่ะก็ เกรงว่าในโลกก่อนเขาที่เป็นผู้แข็งแกร่งที่มีพลังระดับพระเจ้าคงตายไปนานแล้ว

………………………………………………………

บทที่ 42 เส้นทางแห่งการฆ่า
Ink Stone_Fantasy
ยอดนักฆ่าถือปืนสิบกว่าคนบริเวณชั้นหนึ่งถูกเย่เทียนเฉินฆ่าเรียบภายในเวลาไม่ถึงห้านาที พวกเขาดูเหมือนจะไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะยกปืนขึ้นด้วยซ้ำ ต่อให้มีเสียงปืนดังขึ้น ก็จะไม่ถูกบุคคลภายนอกได้ยินแน่นอน เนื่องจากเย่เทียนเฉินใช้พลังเขตแดนปิดกั้น ทำให้เสียงทั้งหมดที่เกิดขึ้นภายในคฤหาสน์ที่หลี่เถี่ยอยู่อาศัยแห่งนี้ถูกปิดกั้นโดยสิ้นเชิง

ตอนนี้เอง หลี่เถี่ยที่อยู่ชั้นสองของคฤหาสน์ นั่งอยู่หน้าโต๊ะหนังสือ มือขวาถือปืนไรเฟิล เขาเป็นคนที่ระมัดระวังคนหนึ่ง ย่อมไม่ยอมให้อันตรายใดๆ แม้เพียงเล็กน้อยตกอยู่กับตนเองแน่ เสี่ยวฉิงภรรยาน้อยนั้นยืนอยู่ข้างๆ เขาตลอด ใบหน้าไม่ปรากฏอารมณ์ใดๆ มองไม่ออกเลยว่ามีความหวาดกลัวและความตึงเครียดใดๆ อยู่แม้เพียงสักนิด

“แม่มันเถอะ ไอ้ขยะเย่เทียนเฉินมันยังกล้ามาจริงๆ ฉันว่ามันมาไม่ถึงชั้นสองก็ต้องตายแล้วล่ะ” ซานจีมีท่าทางไม่สบายเล็กน้อย เมื่อสักครู่นี้เขากำลังดูหนังโป๊ช่วยตัวเองอยู่ คิดว่าอีกสักครู่จะออกไปหาหญิงขายบริการสักหน่อย ที่ไหนได้กลับถูกซานซยงเรียกตัวให้ไปที่ห้องหนังสือของหลี่เถี่ย

“จะประมาทไม่ได้ ทั่วทั้งในและนอกคฤหาสน์มีลูกน้องพร้อมด้วยอาวุธปืนอยู่เต็มไปหมด เย่เทียนเฉินสามารถบุกเข้ามาได้ ก็เป็นที่ชัดเจนแล้วว่ามีฝีมืออยู่บ้าง ฉันไม่ต้องการให้มันขึ้นมาชั้นสอง ดังนั้นแกไปจัดการมันที่ชั้นหนึ่งซะ” หลี่เถี่ยมองซานจีครู่หนึ่ง รู้ดีว่าคนๆ นี้หยิ่งยะโส พลางพูดออกมาด้วยใบหน้าเข้มงวดจริงจัง

ซานจีเห็นท่าทางของหลี่เถี่ยก็ไม่พูดอะไรมาก แม้ว่าฝีมือของเขาจะแข็งแกร่งมาก แกร่งที่สุดในหมู่คนของหลี่เถี่ย แต่ว่าเป็นหลี่เถี่ยเป็นพี่ใหญ่ ไม่ใช่เขาซานจี ความหยิ่งก็ต้องมีระดับ มิฉะนั้นหากไปทำให้หลี่เถี่ยโกรธ เขาซานจีคงไม่ได้มีชีวิตที่ดีแน่

“พี่ใหญ่ หรือจะให้ผมเฝ้าอยู่ที่นี่ ซานซยงถึงฝีมือมันจะกาก แต่ยังไงก็ยังมีพี่น้องมือปืนอีกหลายสิบคน ต่อให้เย่เทียนเฉินร้ายกาจกว่านี้ ก็ทะลวงมาไม่ได้แน่” ซานจีไม่อยากจะลงมือ ถึงอย่างไรเขาก็ไม่เห็นเย่เทียนเฉินอยู่ในสายตา คิดว่าฝีมือของตนแข็งแกร่งขนาดนี้ ถ้าลงมือมั่วๆ ก็รู้สึกว่าเป็นการลดระดับตนเองอยู่บ้าง

หลี่เถี่ยกำลังจะด่ากราดซานจี ยังไม่ทันได้เปิดปาก ประตูห้องหนังสือก็ถูกคนผลักเขามาด้วยความตื่นตระหนก ซานซยงตัวสั่นไปทั้งตัว วิ่งเข้ามาอย่างทุลักทุเลพลางกล่าวว่า “มะ…ไม่ดีแล้ว อะ…ไอ้ลูกเต่าเย่เทียนเฉิน มัน มันฆ่าถึงชั้นสองแล้ว!”

“อะไรนะ?”

“เป็นไปไม่ได้ พี่น้องที่เฝ้าชั้นหนึ่งและชั้นสองมีสามสิบคน ทุกคนเป็นยอดฝีมือที่พกปืน ต่อให้เย่เทียนเฉินร้ายกาจกว่านี้ ก็ไม่สามารถฆ่าจนขึ้นมาข้างบนได้แน่” ซานจีกล่าวพลางส่ายหัวอย่างไม่เชื่อโดยสิ้นเชิง

***“ปะ…เป็นความจริง ไอ้หมอนั่น…มันเก่งเหลือเกิน เหล่าพี่น้องไม่มีโอกาสได้ลงมือก็ถูกมันฆ่าตายแล้ว!”

ซานซยงนั้นเห็นเย่เทียนเฉินลงมือชัดเจนเต็มสองตา ตอนนี้ตกใจกลัวเสียจนใบหน้าขาวซีด บนหน้าผากมีเหงื่อเย็นไหลออกมาราวกับหยาดฝน โดยเฉพาะฉากที่เย่เทียนเฉินลงมือหนึ่งครั้งก็มีนักฆ่าต้องจบชีวิตไปหนึ่งคน ปรากฏวูบวาบเบื้องหน้าซานซยงไม่หยุด แม้ว่าเย่เทียนเฉินจะมีรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา แต่นั่นก็ราวกับรอยยิ้มของมัจจุราชก็มิปาน ใครที่ได้เห็น ผู้นั้นต้องตาย

“เย่เทียนเฉินพาคนมาเท่าไหร่ถึงได้ร้ายกาจขนาดนี้?” หลี่เถี่ยถามพลางขมวดคิ้ว

“กะ…ก็มีมันคนเดียว…” ซานซยงกล่าวตะกุกตะกัก

“คนเดียว? เป็นไปได้ไง?” ชั่วขณะนี้เอง กระทั่งซานจีก็ต้องกล่าวถามออกมาอย่างตกตะลึง

เดิมทีเมื่อได้ยินคำพูดของซานซยง ซานจีไม่ค่อยจะเชื่อเท่าไหร่นัก เนื่องจากการที่เย่เทียนเฉินคนเดียวสามารถฆ่านักฆ่ามือปืนอัจริยะสามสิบกว่าคนได้นั้น ตนเองฟังดูแล้วก็เห็นว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ต่อให้เป็นเขาซานจีก็ไม่สามารถทำได้อย่างเด็ดขาด เหตุผลเดียวที่จะทำให้ซานจีเชื่อก็คือการที่เย่เทียนเฉินพาคนมาด้วยหลายคน ใครจะรู้ว่าซานซยงกลับกล่าวอย่างหนักแน่นว่า เป็นเย่เทียนเฉินคนเดียวที่ฆ่าขึ้นมาถึงชั้นบน ทำให้ซานซยงและหลี่เถี่ยช็อกเป็นอย่างยิ่ง

“ซานจี เวลาที่แกควรจะลงมือมาถึงแล้ว จะต้องฆ่าเย่เทียนเฉินให้ได้!” หลี่เถี่ยกล่าวเสียงเข้ม

“วางใจเถอะ ความสามารถอย่างไอ้ลูกเต่านี่ ฉันใช้หมัดเดียวก็จัดการมันได้แล้ว!” ซานจีได้สติกลับมา แม้ว่าจะรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง แต่ก็ยังคงหยิ่งผยองเป็นอย่างมาก หลายปีมานี้ เขาซานจีไม่ได้เจอศัตรูหลายคนนัก ต่อให้เจอก็ไม่ใช่คู่มือของเขา เขาย่อมหยิ่งผยองมากขึ้นทุกวัน

พูดจบ ซานจีก็หมุนตัวเพื่อจะเปิดประตูห้องหนังสือเดินออกไป เพิ่งจจะเดินถึงหน้าประตู ก็เกิดเสียงดังปัง ประตูห้องหนังสือก็ถูกเย่เทียนเฉินใช้เท้าถีบเสียจนปลิว ซานซยงที่เดิมทียืนอยู่ตรงประตูถูกเย่เทียนเฉินซัดปลิว กระทั่งจะร้องก็ไม่ทันได้ร้องสักแอะ หัวกระแทกกำแพงอย่างรุนแรง เลือดสดๆ ไหลออกมาอย่างบ้าคลั่ง จบชีวิตลงโดยพลัน

หลี่เถี่ยประคองปืนไรเฟิลขึ้นทันที เตรียมจะยิงไปยังเย่เทียนเฉิน แต่ในตอนนี้เอง คำพูดประโยคหนึ่งของเย่เทียนเฉินก็ทำให้เขาตกใจจนนิ่ง

“ฉันเตือนแกว่าอย่ายิงปืนจะดีกว่า ปืนยิงออกมาเร็ว คนที่ตายไม่ใช่ฉัน แต่เป็นแก!” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางมองหลี่เถี่ยอย่างเย็นชา

“แกก็คือเย่เทียนเฉิน?” ซานจีกล่าวออกมาอย่างเหยียดหยาม แม้จะแปลกใจเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่ได้เห็นเย่เทียนเฉินอยู่ในสายตา

เย่เทียนเฉินไม่เหลือบมองซานจีสักนิด เขาฆ่าคนขึ้นมาตลอดทาง เดิมทีก็ไม่อยากจะเสียเวลา ถ้าไม่ใช่ว่ามีหลายอย่างที่อยากจะถามหลี่เถี่ย ก็คงลงมือฆ่าไปตั้งนานแล้ว เย่เทียนเฉินไม่ยอมอ่อนข้อให้กับคนที่เป็นอันตรายต่อคนใกล้ชิดของตนเด็ดขาด

“หลี่เถี่ย ผู้ที่อยู่เบื้องหลังแกคือตระกูลฉินใช่ไหม?” เย่เทียนเฉินเดินมายังเบื้องหน้าของหลี่เถี่ย กล่าวถามออกมาอย่างไม่สนใจปืนไรเฟิลในมือเขา

“เฮอะ ฉันจำเป็นต้องบอกแกด้วยเหรอไง?”

หลี่เถี่ยกำปืนไรเฟิลในมือแน่น จะอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าลูกน้องของตนสามสิบกว่าคนที่เป็นยอดนักฆ่าพร้อมด้วยอาวุธปืนและทุกคนต่างก็มีฝีมือไม่อ่อนแอ จะถูกเย่เทียนเฉินคนเดียวฆ่าตายทั้งหมดในเวลาเพียงแวบเดียว คนๆ นี้เป็นปีศาจอย่างแท้จริง กล่าวตามจริง ตอนนี้หลี่เถี่ยเริ่มรู้สึกเสียใจขึ้นมาบ้างแล้ว เสียใจที่ไปหาเรื่องตระกูลเย่และดูถูกความสามารถของเย่เทียนเฉิน

“นี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่แกจะได้พูด หวังว่าแกจะคว้าโอกาสนี่ไว้!” เย่เทียนเฉินกล่าวอย่างไม่แยแส

“แม่งเอ้ย ไอ้ขยะ แกรนหาที่ตายซะแล้ว บิดาใช้หมัดเดียวก็อัดแกจนหน้าทิ่มดินได้แล้ว!”

ซานจีถูกการเมินของเย่เทียนเฉินทำให้โกรธจึงกล่าวถ้อยคำหยาบคายออกมาทันที คำพูดเพิ่งจะออกจากปาก ก็ซัดหมัดไปยังใบหน้าของเย่เทียนเฉิน

ไม่กล่าวไม่ได้ว่าฝีมือของซานจีนั้นไม่อ่อนแอเลย ไม่แปลกที่จะมีข่าวลือว่าเขาเทียบได้กับอู๋เสวี่ยที่เป็นนักฆ่าอันดับหนึ่งของจิงตู ภายในหมัดแฝงไปด้วยจิตวิญญาณของวรยุทธเส้าหลินสายใน

หากว่าตอนนี้เย่เทียนเฉินยังคงเป็นผู้มีพลังพิเศษระดับราชัน อยากจะเอาชนะซานจีก็ยังจำเป็นต้องเปลืองมือเปลืองเท้าอยู่บ้าง แต่การต่อสู้กับอู๋เสวี่ยทำให้เย่เทียนเฉินทะลวงไปยังระดับจอมราชันได้แล้ว ความสามารถไม่เหมือนในวันวานอีกต่อไป แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ดังนั้นเผชิญหน้ากับหมัดของซานจีที่แฝงไปด้วยจิตวิญญาณของวรยุทธเส้าหลินสายใน เย่เทียนเฉินไม่ขยับสักนิด ปล่อยให้หมัดๆ นั้นต่อยเข้ามา

ปัง!

ซานจีซัดหมัดออกไป ไม่ได้ถูกเย่เทียนเฉินจนหน้าทิ่มดิน แต่กลับเป็นเขาเองที่หน้าทิ่มดิน เนื่องจากตอนที่หมัดของเขาใกล้จะถูกหน้าเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินก็ใช้มือขวาคว้าจับข้อมือข้างที่เขาออกหมัดเอาไว้ พลันเปลี่ยนทิศทางหมัดของซานจี หมัดของซานจีจึงต่อยลงไปบนใบหน้าของตนเอง เขาทรุดลงกับพื้น เจ็บเสียจนกัดฟันกรอด กระอักเลือดออกมาจากปาก และยังมีฟันหลายซี่ปนออกมาด้วย

ฉากนี้ทำให้หลี่เถี่ยและภรรยาน้อยของเขาเสี่ยวฉิงที่ได้เห็นต้องตกตะลึง พวกเขารู้ฝีมือของซานจีดี ไม่ต้องกล่าวถึงว่าพลังภายในที่ซานจีได้ฝึกฝนนั้นร้ายกาจขนาดไหน แค่พลังของหมัดๆ นี้ คนธรรมดาก็ไม่สามารถรับได้แล้ว

การที่ผู้ที่เคยฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ของพรรควรยุทธโบราณแข็งแกร่งกว่านักสู้และบอดีการ์ดธรรมดามากนั้น เป็นเพราะว่าท่วงท่าในการต่อสู้ของพวกเขายืดหยุ่นไม่ตายตัว ทำให้คนอื่นป้องกันไม่ได้ สิ่งที่เป็นส่วนสำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือทักษะวิชาวรยุทธโบราณเหล่านี้ล้วนแต่เหมาะสมในการใช้คู่กับพลังภายในที่สอดคล้องกัน พลานุภาพของหนึ่งหมัดรุนแรงมาก กล่าวให้ชัดเจนก็คือ หากคนธรรมดาต่อยเขาหนึ่งร้อยหมัด ทำได้แค่เจ็บๆ คันๆ เท่านั้น เขาต่อยคุณหนึ่งหมัด คุณก็ตายเสียแล้ว นี่คือความแตกต่าง

“อา…แม่งเอ้ย บิดาจะเอาชีวิตแกซะ!” ซานจีพุ่งตัวไปด้วยความโกรธ สองหมัดกำแน่นจนส่งเสียงดังกรอบ อยากจะโจมตีด้วยความรวดเร็ว คว่ำเย่เทียนเฉินลงให้ได้

ตอนแรกนั้นซานจีกล่าวออกมาเป็นชุดเพื่อสำแดงว่าตนเองเจ๋งขนาดไหน คิดไม่ถึงว่าพอลงมือก็ถูกเย่เทียนเฉินซัดจนฟันร่วงไปหลายซี่ นี่เป็นเหตุการณ์ที่แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติการต่อสู้ของเขาซานจี เป็นความอัปยศอย่างยิ่ง ดังนั้นซานจีจึงต้องการใช้พลังทั้งหมดเพื่อฆ่าเย่เทียนเฉิน

แต่ว่า ซานจีเพิ่งจะพุ่งตัวออกไป ต้องการที่จะซัดหมัดใส่เย่เทียนเฉิน ก็ถูกเย่เทียนเฉินตวัดเท้าเตะอย่างรวดเร็วจนกระเด็นออกไป การเตะครั้งนี้ทั้งรวดเร็วแม่นยำและรุนแรง ซานจีหลบไม่ทันจึงถูกเตะจนปลิวออกไปและกระแทกกับกำแพงอย่างรุนแรงจนราวกับเกิดแผ่นดินไหวก็มิปาน กำแพงถูกกระแทกจนเเกิดรูโหว่ขึ้นรูหนึ่ง ส่วนซานจีนั้นก็ถูกเย่เทียนเฉินจัดการไปเช่นนี้เอง

ฟิ้ว ฟิ้ว!

หลี่เถี่ยตกตะลึงจนหน้าซีด รีบดึงสลักปืนไรเฟิลแล้วยิงไปยังศีรษะของเย่เทียนเฉิน แต่เขาไม่มีโอกาสลั่นไก เพิ่งจะยกปืนไรเฟิลขึ้น เย่เทียนเฉินก็มาถึงเบื้องหน้าของเขาแล้ว มือขวาจับกระบอกปืนไว้แน่น ใช้แรงเพียงเล็กน้อย ก็บีบให้ปืนไรเฟิลที่สร้างมาจากเหล็กเสียรูปได้

“นี่…แก…” หลี่เถี่ยตกใจจนถอยหลังไม่หยุด ที่พึ่งทั้งหมดของเขาล้วนถูกเย่เทียนเฉินทำลายหมดแล้ว ตอนนี้เขากลายเป็นเฉกเช่นลูกไก่ที่อยู่ในฝ่ามือเย่เทียนเฉิน จัดการได้ตามใจเขา

เดิมทีหลี่เถี่ยต้องการอาศัยลูกน้องกองปืนอัจฉริยะฆ่าเย่เทียนเฉิน กำจัดตระกูลเย่ ไม่ถึงห้านาทีนักฆ่าชั้นยอดสามสิบกว่าคนล้วนถูกเย่เทียนเฉินจัดการจนหมด เดิมทีต้องการอาศัยฝีมือของซานจีอัดเย่เทียนเฉินให้คว่ำ ที่ไหนได้ซานจีทนการโจมตีไม่ได้สักครั้ง เดิมทีตต้องการพึ่งพาปืนไรเฟิลในมือ คิดไม่ถึงว่ากลับถูกเย่เทียนเฉินทำลายลำกล้องไปเสียได้

“พูดมาเถอะ ตระกูลฉินให้แกจัดการตระกูลเย่ของฉันใช่ไหม?” เย่เทียนเฉินกล่าวเสียงเย็น

“ฉัน…นี่… อา ไว้ชีวิตด้วย ไว้ชีวิตด้วย…”

เย่เทียนเฉินไม่ใช่คนใจดีอะไร ต่อให้ใจดีก็จะใจดีกับคนดีๆ เท่านั้น คนพาลเช่นหลี่เถี่ยไม่จำเป็นต้องเกรงใจด้วย เห็นหลี่เถี่ยพูดจาตะกุกตะกัก เย่เทียนเฉินก็บีบคอเขาแน่น หลี่เถี่ยกลัวจนใบหน้าซีดขาว รีบร้องขอชีวิต ส่วนภรรยาน้อยเสี่ยวฉิงที่อยู่ด้านข้างก็กลัวจนสั่นไปทั้งตัว อยู่ด้านหนึ่งอย่างไม่กล้าส่งเสียง

“ตอนนี้ท้องฉันหิวมาก อย่ามาถ่วงเวลากินข้าวของฉัน!” เย่เทียนเฉินกล่าวออกมาอย่างไม่พอใจ

……………………………………………………………………………………….

บทที่ 41 พลังเขตแดนปิดกั้น
Ink Stone_Fantasy
“พี่ใหญ่ พี่ยอมรับผมแล้วเหรอครับ?” หูหลงได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉินจึงถามออกมาอย่างยินดี

“คอยสนับสนุนฉันอยู่ด้านนอก อย่าเข้าไป”

เย่เทียนเฉินกล่าว จากนั้นจึงเดินมุ่งไปยังคฤหาสน์ที่หลี่เถี่ยพักอาศัยอยู่ เขารู้แล้วว่าภายในนั้นเต็มไปด้วยอันตราย เส้นทางสำคัญทุกเส้นทางต่างก็มีลูกสมุนถือปืนยืนเฝ้าอยู่ ดูแล้วเพื่อที่จะฆ่าตนเอง หลี่เถี่ยก็สิ้นเปลืองความคิดไปไม่น้อย

“พี่ใหญ่ หะ…ให้ผมเข้าไปกับพี่นะครับ…” หูหลงคิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะยังไม่เต็มใจให้ตนเองต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่

“แม้แต่คำสั่งของพี่ใหญ่อย่างฉันนายยังไม่ฟัง แล้วจะติดตามฉันได้อย่างไร?” เย่เทียนเฉินกล่าวเสียงเข้ม

หูหลงชะงักไปชั่วครู่ ฝืนยิ้มออกมาอย่างอึดอัดพลางกล่าวว่า “พี่ใหญ่ ผม…”

“วางใจเถอะ ฉันจะให้นายฆ่าหลี่เถี่ยด้วยมือตัวเอง…”

มองดูแผ่นหลังของเย่เทียนเฉินเดินไปยังคฤหาสน์ หูหลงพลันรู้สึกว่าติดตามพี่ใหญ่เช่นนี้ถึงจะมีอนาคต สำหรับเจตนาของเย่เทียนเฉินนั้น เหตุใดเขาจะไม่เข้าใจ?

ที่เย่เทียนเฉินไม่ให้หูหลงไปฆ่าหลี่เถี่ยด้วยกัน ก็เพื่อไม่ให้ชีวิตของเขาตกอยู่ในอันตราย จริงๆ แล้วแม้ว่าหูหลงจะมีฝีมืออยู่บ้าง แต่ว่าครั้งนี้ภายในคฤหาสน์ของหลี่เถี่ยนั้นอันตรายมาก ลูกสมุนฝีมือดีถือปืนก็หลายสิบคน กระสุนไม่มีตา ไม่เหมือนกับมีดดาบ ในเมื่อรับหูหลงให้ติดตามตนเองแล้ว ย่อมไม่อาจมองเขาเอาชีวิตไปทิ้งได้ จำเป็นจะต้องทำตัวให้เหมาะสมกับคำว่าพี่ใหญ่

ในขณะนี้ เหล่าลูกสมุนถือปืนที่อยู่บริเวณคฤหาสน์ต่างก็รู้สึกไม่สบายใจ รอมาครึ่งค่อนคืนแล้วก็ยังไม่เห็นเย่เทียนเฉินมาโจมตี ขณะเดียวกันก็บ่นพี่ใหญ่หลี่เถี่ยว่าจะระมัดระวังเกินเหตุไปแล้ว ถูกตัวตลกของจิงตูและเศษสวะไม่เอาไหนคนหนึ่งทำให้เกรงกลัว ช่างขายหน้าเสียจริง

“แม่มันเถอะ แกคิดว่าพี่ใหญ่ขี้ขลาดไปรึเปล่า? ไม่ใช่แค่เศษสวะไม่เอาไหนคนเดียวหรอกเหรอ? ถึงกับต้องเรียกเหล่าพี่น้องกองปืนอัจฉริยะอย่างพวกเราให้รีบกลับมาเลยเหรอ?” ลูกสมุนถือปืนคนหนึ่งกล่าวอย่างทนไม่ไหว

“แกอย่าพูดไป เรื่องนี้พี่ซานจีเองก็หัวเสียสุดๆ เย่เทียนเฉินเป็นแค่เศษสวะคนหนึ่งเท่านั้น ต้องระดมพวกเรามามากมายเช่นนี้ ต่อให้ตระกูลเย่เป็นตระกูลที่มีอำนาจในจิงตู แต่ก็เป็นแค่ตระกูลชั้นสามตระกูลหนึ่ง จะฆ่าไอ้คนไม่เอาไหนคนหนึ่งถึงกับต้องให้พวกเราระวังตัวเช่นนี้เลยเหรอ?” ลูกสมุนอีกคนหนึ่งกล่าวพลางส่ายหัว

ครั้งนี้ เพื่อที่จะฆ่าเย่เทียนเฉินและกำจัดตระกูลเย่ หลี่เถี่ยเรียกให้สมาชิกกองปืนอัจฉริยะทั้งหมดที่เป็นลูกน้องของตนกลับมารวมตัวกัน คนกลุ่มนี้ทุกคนต่างก็เป็นยอดฝีมือ ไม่อาจนำไปเทียบกับลูกสมุนธรรมดาๆ ได้ ดังนั้นจึงมีความหยิ่งยะโสอยู่บ้าง ในสายตาของพวกเขาจัดการกับเศษสวะเท่านั้น เหตุใดนั้นต้องให้พวกเขากลับมาทั้งหมดด้วย? หลังจากกลับมาแล้วก็ส่งให้พวกเขาไปเฝ้าเส้นทางสำคัญของคฤหาสน์แห่งนี้ ซ้ำยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง ในใจก็ยิ่งรู้สึกไม่ดี

“ช่างมันเถอะ บิดาไม่สนใจอะไรแล้ว นอนดีกว่า ก็แค่ไอ้ลูกเต่าตัวหนึ่ง มันไม่กล้ามาหรอก!”

“ก็ใช่ มีพวกเราพี่น้องมากมายขนาดนี้เฝ้าคฤหาสน์อยู่ ต่อให้เย่เทียนเฉินสิบคนก็ไม่กล้ามา ถ้ามาก็ไม่มีทางกลับไปได้ นอนกันเถอะ!”

ลูกสมุนสองคนที่เฝ้าประตูเล็กๆ ด้านหลังของคฤหาสน์ ในใจรู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างมากถึงได้กล่าวอออกมา ไม่ได้นำเรื่องที่เย่เทียนเฉินจะมาโจมตีเก็บมาใส่ใจเลยสักนิด

ขณะนี้ เย่เทียนเฉินเดินมาถึงบริเวณประตูเล็กด้านหลังของคฤหาสน์แล้ว ด้วยพลังพิเศษแห่งการรับรู้ของเขา พบว่ามีเพียงการป้องกันของประตูเล็กด้านหลังเท่านั้นที่อ่อนแอ ที่บริเวณประตูหน้าหลายแห่งของคฤหาสน์ต่างก็มีมือปืนที่เก่งกาจเฝ้าอยู่เป็นจำนวนมาก แม้ว่าพลังพิเศษของเย่เทียนเฉินในตอนนี้จะทะลวงไปถึงระดับจอมราชันแล้ว หากใช้กำลังบุกเข้าไป บอร์ดี้การ์ดฝีมือดีหลายสิบคนนี้ก็ไม่พอ แต่ว่าเขายังอยากทำให้หลี่เถี่ยประหลาดใจสักหน่อย เชื่อว่าอาการที่หลี่เถี่ยจะแสดงออกมาตอนที่เห็นตนเองนั้นต้องน่าดูชมเป็นอย่างมาก

“ดวงจันทร์สวยออกขนาดนี้ พวกแกสองคนกลับอยากไปนอน ไม่น่าเสียดายหรอกเหรอ?”

“ใคร?”

“ออกมาซะ ใครมันพูดอยู่วะ?”

นักฆ่าสองคนที่เดิมทีต้องการที่จะแอบไปนอนอู้พากันมองไปรอบๆ อย่างตื่นกลัว ทั้งคู่ต่างก็อดไม่ได้ที่จะยกปืนพกขึ้นมา เตรียมลั่นไกได้ตลอดเวลา พวกเขาคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ทุกที่ทั้งในและนอกคฤหาสน์ล้วนแต่เป็นคนของพวกเขาซึ่งทุกคนล้วนมีปืนติดตัว แต่กลับยังมีคนที่สามารถมาปรากฏตัวที่ประตูเล็กหลังคฤหาสน์โดยไร้ซุ่มไร้เสียงได้

พลันนั้น เย่เทียนเฉินก็ปรากฏตัวออกมาเบื้องหลังของนักฆ่าสองคนนี้ พลางใช้แขนทั้งสองรัดรอบคอของนักฆ่าทั้งสองคนพร้อมๆ กัน

เสียงกรอบดังขึ้น เป็นเสียงของคอที่ถูกบิดจนหัก เย่เทียนเฉินเพียงออกออกแรงที่แขนเบาๆ ก็กำจัดนักฆ่าทั้งสองไปได้ ตอนที่นักฆ่าทั้งสองกำลังบ่นกันอยู่นั้น เย่เทียนเฉินก็ได้ปรากฏเบื้องหลังของพวกเขาเรียบเร้อยแล้วทั้งยังสูบบุหรี่อย่างสบายอกสบายใจ โดยนักฆ่าสองคนนี้ไม่รู้ตัวเลยสักนิด

เห็นนักฆ่าทั้งสองล้มลงไปที่พื้น มุมปากของเย่เทียนเฉินก็ก็ปรากฏรอยยิ้มเย็นชาสายหนึ่ง มือซ้ายหิ้วศพของนักฆ่าฝั่งซ้ายขึ้น ใช้เท้าถีบประตูเล็กหลังคฤหาสน์ให้เปิดออก ใช้ศพของนักฆ่าคนนั้นมาบังเบื้องหน้าตนพลางเดินเข้าไป

นักฆ่าสองคนที่อยู่ด้านในของประตูเล็กหลังคฤหาสน์เองก็กำลังพูดคุยกันถึงประสบการณ์เจ้าสำราญอย่างลามก พอเห็นนักฆ่าที่คุ้มกันอยู่ด้านนอกเดินเข้ามา ด้วยใบหน้าที่ไร้ซึ่งอารมณ์และซีดเซียวเล็กน้อย ต่างก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง

“แม่งเอ้ย แกไม่อยู่เฝ้าด้านนอก เดินเข้ามาข้างในทำไม?”

“ออกไป ออกไป อย่าให้พี่ใหญ่มาเห็นเชียว เดี๋ยวได้ตายกันพอดี”

คำพูดของนักฆ่าทั้งสองที่เฝ้าอยู่ด้านในประตูเล็กด้านหลังเพิ่งจะออกจากปาก เย่เทียนเฉินก็ผลักศพของนักฆ่าที่ใช้บังตนเองทิ้งไป เมื่อนักฆ่าด้านในทั้งสองเห็นเย่เทียนเฉิน พลันตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง ขณะเดียวกันก็ควักปืนขึ้นมาเตรียมจัดการเย่เทียนเฉิน

แต่ในตอนที่พวกเขาเห็นเย่เทียนเฉินก็ไม่ทันการเสียแล้ว เห็นเพียงเงาเบลอๆ ที่เย่เทียนเฉินเหลือทิ้งไว้จุดเดิม ตอนที่นักฆ่าทั้งสองเพิ่งจะทำท่ายกปืนขึ้นนั้น หน้าอกของพวกเขาทั้งคู่ก็ถูกหมัดของเย่เทียนเฉินเข้าไปอย่างรุนแรง

เพียงแค่หมัดเดียวเท่านั้น นักฆ่าสองคนนี้ที่เฝ้าอยู่ด้านในของประตูเล็กหลังคฤหาสน์ตายไปโดยที่ไม่ทันได้ส่งเสียงร้อง แต่หมัดๆ นี้ของเย่เทียนเฉินแฝงไปด้วยพลังของผู้มีพลังพิเศษระดับจอมราชัน ดูเผินๆ เหมือนกับหมัดธรรมดาหมัดหนึ่ง แต่จริงๆ แล้วร้ายกาจรุนแรงหาที่เปรียบ เพียงหมัดเดียวก็สามารถซัดนักฆ่าสองคนนี้จนอวัยวะภายในแหลกเหลว ปลิวออกไปราวกับลูกธนูก็มิปาน

ตู้ม!

เสียงสองเสียงดังสนั่นหวั่นไหว เย่เทียนเฉินส่ายหัวอย่างหดหู่ เดิมทีตนเองนั้นไม่ได้วางแผนจะสร้างเรื่องใหญ่ขนาดนี้ เตรียมตัวจะไปทำให้หลี่เถี่ยเซอร์ไพรส์เท่านั้น ดูท่าอยากจะเซอร์ไพรส์ก็คงทำไม่ได้แล้ว การเคลื่อนไหวนี้ทำให้ทั้งในและนอกคฤหาสน์ได้ยินอย่างชัดเจน

“คงไม่มีทางอื่นแล้วสินะ ต้องเปิดใช้พลังเขตแดนปิดกั้น ปิดประตูตีแมวซะแล้ว!”

เย่เทียนเฉินพูดจาพึมพำกับตนเอง ภายในมือทั้งสองข้างปรากฏแสงสีฟ้าออกมาจางๆ ค่อยๆ ขยายออกไปโดยมีตัวเขาเองเป็นศูนย์กลาง จนกระทั่งสุดท้ายก็ครอบคลุมคฤหาสน์ทั่วทั้งหลัง นี่เป็นม่านพลังที่คนธรรมดามองด้วยตาเปล่าไม่เห็น

พลังเขตแดนปิดกั้น เป็นความสามารถขั้นสุดยอดประเภทหนึ่ง สามารถตัดขาดสรรพเสียงได้ทั้งหมด ป้องกันไม่ให้คลื่นเสียงไหลผ่านไปด้านนอก ต่อให้ภายในเกิดระเบิดเสียงดังสนั่น พลังเขตแดนปิดกั้นก็จะทำให้คนภายนอกไม่ได้ยินเสียง การที่จะใช้พลังนี้จำเป็นจะต้องไปถึงระดับจอมราชันให้ได้เสียก่อน แน่นอนว่ามีผู้มีพลังประเภทพิเศษหลายคนที่มีความสามารถเฉพาะในการควบคุมพลังบางอย่างอยู่ด้วย

หลังจากที่พลังเขตแดนปิดกั้นแสดงผลแล้ว เย่เทียนเฉินเดินจากประตูเล็กหลังคฤหาสน์เข้าไปอย่างไม่หลบไม่ซ่อน ในเมื่อทำให้หลี่เถี่ยรับรู้ถึงการมาของตนเองไปแล้ว ถ้าเช่นนั้นยังต้องปิดบังไปอีกทำไม? ปิดประตูตีแมว ฆ่าไม่เว้นซะก็สิ้นเรื่อง

ในเวลาเดียวกัน หลี่เถี่ยที่กำลังเล่นพลิกผ้าห่มกับเสี่ยวฉิงภรรยาน้อยของตนในห้องหนังสือชั้นสองอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงดังลั่นที่ชั้นล่างเช่นกัน ทำให้ตกใจเสียจนควบคุมแท่งหยกของตนเองไม่ได้ เพิ่งจะสอดใส่ก็เสร็จกิจเสียแล้ว เดิมทีหลี่เถี่ยก็เป็นสิงห์ปืนไวอยู่แล้ว ทุกครั้งยืนหยัดได้ไม่ถึงสองนาที ตอนนี้ก็ช่างดีเสียเหลือเกิน แปบเดียวก็เสร็จเสียแล้ว ทำเอาเสี่ยวฉิงไม่พอใจเป็นอย่างมาก

“แม่มันเถอะ เกิดอะไรขึ้น?” หลี่เถี่ยรีบสวมเสื้อกางเกงแล้วลงจากเตียง คำรามเสียงดังลั่นไปยังด้านนอก

ซานซยงวิ่งเข้ามาจากด้านนอก พูดอย่างตื่นกลัวว่า “พะ…พี่ใหญ่ ไม่ดีแล้ว ดูเหมือนไอ้ลูกเต่าเย่เทียนเฉินจะบุกเข้ามาแล้ว!”

“อะไรนะ? มันพาคนมาเท่าไร?” หลี่เถี่ยอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง เปิดปากกล่าวถาม

“ตอนนี้เท่าที่รู้ ดูเหมือนจะมีแค่เย่เทียนเฉินคนเดียว…” ซานซยงพูดออกมาอย่างคาดไม่ถึง

“คนเดียว? เฮอะ ไอ้ลูกเต่ามันรนหาที่ตายจริงๆ ฉันจะทำให้มันสมหวังเอง บอกคนข้างล่างด้วยว่าให้ฆ่าเย่เทียนเฉินให้ฉันไม่ว่าจะใช้วิธีอะไรก็ตาม ถึงตอนนั้นฉันจะเอาหัวของไอ้ขยะนี่ส่งไปที่ตระกูลเย่ ให้มันรู้ซึ้งถึงวิธีการของฉันหลี่เถี่ย!”

หลี่เถี่ยได้ข่าวว่ามีเพียงเย่เทียนเฉินคนเดียวที่บุกเข้ามา ก็พลันโกรธจนตาแดง นี่เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าดูเบาเขาเกินไป ขณะเดียวกันก็ยิ้มออกมาอย่างโหดเหี้ยม มีเพียงเย่เทียนเฉินคนเดียวที่มา ต่อให้เขาร้ายกาจกว่านี้ เกรงว่าก็ไม่ใช่คู่มือของลูกน้องของตนหลายสิบคนที่เป็นพลปืนอัจฉริยะ อีกทั้งยังมีซานจีอยู่ คนๆ นี้ความสามารถของเขาไม่อ่อนแอ มีข่าวลือมาตลอดว่าแข็งแกร่งพอๆ กับอู๋เสวี่ย เพียงแต่ใครก็ไม่อาจทราบว่าพวกเขาสองคนใครเก่งกว่า

“ครับพี่ใหญ่!”

“ใช่แล้ว ให้ซานจีมาพบฉันเดี๋ยวนี้ ฉันมีเรื่องที่จะกำชับเขา” หลี่เถี่ยคิดครู่หนึ่งก่อนกล่าวออกมา

ซานซยงพยักหน้าแล้วถอยออกจากห้องหนังสือไป หลี่เถี่ยขมวดคิ้ว เดินไปยังโต๊ะหนังสือด้านหน้า เปิดลิ้นชักออก หยิบปืนไรเฟิลจากข้างในออกมาหนึ่งกระบอก ใส่กระสุนเข้าไปห้านัดอย่างต่อเนื่อง อานุภาพของปืนไรเฟิลนั้นรุนแรงมาก ยิงหนึ่งครั้งต่อให้เป็นกำแพงหนาสิบเซ็นติเมตรก็ไม่มีปัญหา สามารถจินตนาการได้เลยว่าหากยิงถูกร่างกายมนุษย์จะอนาถขนาดไหน

“คุณเตรียมจะไปฆ่าเย่เทียนเฉินด้วยตัวเองเหรอคะ?” เสี่ยวฉิงที่สวมเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว เดินมาข้างๆ หลี่เถี่ยพลางกล่าวถาม

“ไม่ว่าจะยังไง จะทำเรื่องอะไรก็ต้องทำอย่างระมัดระวังถึงจะประสบความสำเร็จ ฉันไม่อยากจะให้เกิดอุบัติเหตุใดๆ” หลี่เถี่ยดึงสลักปืนไรเฟิลพลางเปิดปากกล่า

การที่หลีเถี่ยสามารถกลายเป็นหัวโจกของอิทธิพลใต้ดินแห่งจิงตูและหลายปีมานี้ก็ล้วนมีประสบการณ์ทำงานให้กับตระกูลใหญ่และอำนาจอิทธิพลต่างๆ อย่างโชกโชนได้นั้น เป็นเพราะว่าเขาทำเรื่องอะไรก็ล้วนแต่ระมัดระวังเป็นอย่างมาก มิฉะนั้นมิทราบว่าจะตายไปแล้วกี่ครั้ง

ส่วนเย่เทียนเฉินที่ตอนนี้อยู่บริเวณชั้นหนึ่งของคฤหาสน์ก็ลงมืออย่างเต็มกำลัง แสดงความสามารถของผู้มีพลังพิเศษระดับจอมราชันออกมาไม่หยุด เหล่านักฆ่าถือปืนที่คิดว่าตนเองเจ๋งเหล่านั้น ดูเหมือนจะไม่มีโอกาสได้ลงมือก็ถูกเย่เทียนเฉินจบชีวิตเสียแล้ว

ซัดหนึ่งหมัดเก็บนักฆ่าคนสุดท้ายที่เฝ้าอยู่บริเวณชั้นหนึ่งเรียบร้อยแล้ว เย่เทียนเฉินก็ปัดเศษฝุ่นบนมือทั้งสอง ไม่เหลียวแลศพสิบกว่าศพที่อยู่ใต้เท้าเลยแม้แต่น้อย ในปากยังคงคาบบุหรี่มวนหนึ่ง สองมือล้วงอยู่ในกระเป๋ากางเกง ปรากฏรอยยิ้มสนุกสนานที่มุมปาก เดินตรงไปยังชั้นสองของคฤหาสน์อย่างสบายอกสบายใจ…

…………………………………………………………………

บทที่ 40 ซานจีผู้บ้าคลั่ง
Ink Stone_Fantasy
เวลาเที่ยงคืนมาถึง เย่เทียนเฉินที่คาบบุหรี่ไว้ในปาก มาถึงยังด้านนอกคฤหาสน์ที่หลี่เถียอาศัยอยู่ เขาหยุดลงเมื่ออยู่ตำแหน่งที่ห่างจากคฤหาสน์หนึ่งร้อยเมตร แล้วนั่งลงบนก้อนหินสำหรับตกแต่งก้อนหนึ่งที่อยู่ข้างทา เสพสุขกับการสูบบุหรี่อย่างสบายอารมณ์ เมื่อบุหรี่หมดลง เย่เทียนเฉินจะกำจัดหลี่เถียที่เป็นหัวโจกของกลุ่มอิทธิพลใต้ดินแห่งเมืองหลวง

เย่เทียนเฉินมาแล้ว สูบบุหรี่ด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม เขาไม่รู้ว่าอู๋เสวี่ยไปฆ่าหลานชายทั้งสองของตระกูลลั่วหรือยัง แต่จะอย่างไรเขาก็ต้องฆ่าหลี่เถียเพื่อเป็นการส่งคำเตือนถึงตระกูลฉิน ถ้าหากว่าอู๋เสวี่ยสามารถฆ่าหลายชายทั้งสองของตระกูลลั่วเพื่อเป็นการเคาะระฆังเตือนตระกูลลั่วได้ ก็จะยิ่งดีขึ้นไปอีก

คู่อริคนสำคัญในปัจจุบันของเย่เทียนเฉินทั้งสองกลุ่มก็คือตระกูลฉินกับตระกูลลั่ว อำนาจของสองตระกูลนี้ยิ่งใหญ่กว่าตระกูลเย่ไม่น้อย พวกเขาไม่เห็นตระกูลเย่อยู่ในสายตา คิดว่าตระกูลเย่เป็นลูกพลับนิ่มที่พวกสามารถบดบี้ได้ตามใจ แม้กระทั่งจะบีบให้ตายก็ทำได้

แต่ว่าการกลับมาของเย่เทียนเฉินได้เปลี่ยนแปลงทุกๆ สิ่งอย่างช้าๆ เริ่มด้วยการฆ่ามือสังหารสองคนที่ตระกูลฉินส่งไป ทำให้ตระกูลฉินจับต้นชนปลายไมถูก จึงได้ส่งหลี่เถียที่เป็นหัวโจกของกลุ่มอิทธิพลใต้ดินแห่งเมืองหลวงมาตรวจสอบ ทำให้ตระกูลฉินไม่กล้าลงมือบุ่มบ่าม ส่วนตระกูลลั่วน่าอนาถที่สุด ลั่วเหลยกุข่าวใส่ร้ายป้ายสี ทำให้สองพี่น้องถูกเย่เทียนเฉินทำร้ายจนสาหัส ลั่วซงเฉิงผู้กุมหางเสือของตระกูลลั่วก็ไม่กล้าลงมืออย่างเปิดเผย จึงใช้ผลประโยชน์บีบบังคับอู๋เสวี่ยนักฆ่าอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงให้ไปลอบสังหารเย่เทียนเฉิน

หลังสูบบุหรี่เสร็จ เย่เทียนเฉินก็ค่อยๆ หลับตาลง พลังพิเศษเพิ่งจะเลื่อนระดับเป็นระดับจอมราชันย์ได้ไม่นาน แม้ว่าจะเพิ่งอยู่ในขั้นต้นแต่ก็มิอาจนำพลังระดับราชันย์มาเทียบได้อีกแล้ว ความแตกต่างทุกๆ หนึ่งระดับในการเลื่อนระดับพลังพิเศษ พลังจะแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว

ในวินาทีที่หลับตาลง เย่เทียนเฉินก็ค่อยๆกระตุ้นพลังพิเศษในร่างกาย สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าพลังหนาแน่นขึ้นมาก สามารถรับรู้ถึงสรรพสิ่งในรัศมีหนึ่งพันเมตรได้ เขาค่อยๆ รวบรวมพลังจิตให้ไปอยู่ที่คฤหาสน์ที่หลี่เถียอาศัยอยู่ เพื่อให้รับรู้ถึงสถานการณ์ภายใน

เย่เทียนเฉินลืมตาขึ้นในอีกห้านาทีต่อมา มุมปากประดับไปด้วยรอยยิ้มเย็นชา เขารับรู้ถึงทุกสิ่งทุกอย่างในคฤหาสน์หมดแล้ว ลุกขึ้นยืน ควักบุหรี่ออกมาจุดมวนหนึ่ง สองมือยังคงล้วงอยู่ในกระเป๋ากางเกง เดินไปยังคฤหาสน์ที่ หลี่เถียอาศัยอยู่อย่างช้าๆ

ตอนนี้เวลานี้ หลี่เถียกำลังสูบซิการ์และดื่มไวน์แดงอย่างสบายอกสบายใจอยู่ในห้องหนังสือชั้นสองของคฤหาสน์ ส่วนเสี่ยวฉิงภรรยาน้อยของเขานั่งบีบนวดขาให้เขาอยู่ทางฝั่งซ้าย ภายในห้องยังมีหมีภูเขาและชายร่างผอมหัวโล้นอีกคนหนึ่งอยู่ด้วย

“หมีภูเขา ซานจี จัดการเรียบร้อยแล้วใช่ไหม?” หลี่เถียจิบไวน์อึกหนึ่งพลางกล่าวถาม

“พี่ใหญ่ จัดการเรียบร้อยหมดแล้วครับ สหายติดอาวุธปืนสามสิบกว่าคนเฝ้าทางหลักของคฤหาสน์ไว้แล้ว ขอเพียงไอ้ลูกเต่าเย่เทียนเฉินมันกล้ามา จะต้องไม่มีโอกาสได้กลับไปแน่!” หมีภูเขาเอ่ยปากอย่างดุร้าย เขาที่ถูกเย่เทียนเฉินหักแขนทั้งสองข้าง ในใจย่อมมีความเกลียดชังอยู่มากมาย เกลียดเสียจนอยากจะฆ่าเย่เทียนเฉินให้ตายด้วยมือตัวเอง

“ก็แค่ไอ้ลูกเต่าตัวหนึ่ง ฉันว่านะหมีภูเขา แกแม่งเป็นแค่หมีหรือยังไง? ถึงถูกมันอัดจนมีสภาพแบบนี้ ขายหน้าจริงๆ!” หลี่เถียยังไม่ทันได้พูด ชายร่างผอมหัวล้านที่ยืนอยู่ด้านข้างก็กล่าวออกมาพร้อมกับมองหมีภูเขาอย่างเหยียดหยาม

ชายร่างผอมหัวล้านคนนี้ก็คือซานจีลูกน้องคนสำคัญของหลี่เถีย ร่างกายสูงเพียงหนึ่งร้อยห้าสิบหกสิบเซ็นติเมตร ผอมกะหร่อง หัวล้านเป็นเงาสะท้อนแสง หน้าตาก็ธรรมดาๆ แต่ว่าภายในดวงตาทั้งสองกลับเผยแววชั่วร้ายให้เห็นตลอดเวลา คนทั่วไปถ้าได้มาเห็นจะรู้สึกหวาดหวั่นอยู่ในใจ

“แก…ซานจี แกหมายความว่าไง?” เดิมทีหมีภูเขาก็รู้สึกเสียหน้าอยู่แล้วที่ถูกเย่เทียนเฉินหักแขนทั้งสองข้าง โดยไม่มีแรงตอบโต้ ตอนนี้ยังถูกซานจียกเรื่องนี้ขึ้นมา จึงโกรธจนสองตาแดงก่ำ คำรามออกมาในขณะที่ถลึงมองซานจี

“หมายความว่าไงงั้นเหรอ? แกถูกเศษสวะไม่เอาไหนหักแขนสองข้าง ยังจะมาวางท่าใหญ่โตอะไรอีก ขายหน้า!” ซานจีวถากถางด้วยรอยยิ้มเย็นชา

“ซานจี แก…” ซายซยงโกรธจนอยากจะพุ่งเข้าไปเสี่ยงชีวิตกับซานจี แต่กลับตกใจเพราะคำพูดของซานจี

“ฉันเตือนแกไว้ก่อนว่าอย่ามาแส่หาเรื่อง อย่างแกแค่สองวิ ฉันใช้เท้าเดียวก็ส่งแกกลับไปหาแม่ได้แล้ว” ซานจีมองหมีภูเขาอย่างดูถูกพลางกล่าว

หลี่เถียมองหมีภูเขา จากนั้นก็มองซานจี กล่าวยิ้มๆ ว่า “พวกแกสองคนหยุดทะเลาะกันได้แล้ว หมีภูเขา เรื่องในครั้งนี้แกทำเสียหาย รอจนฆ่าเย่เทียนเฉินแล้ว ค่อยลงโทษแกทีหลัง ซานจี แม้ว่าแกจะมีฝีมือดี แต่ได้ยินว่าเจ้าเย่เทียนเฉินก็ไม่ได้อ่อนแอ ระวังหน่อยแล้วกัน”

“เฮอะ ผมพูดจริงๆ นะพี่ใหญ่ คราวนี้ผมไม่ค่อยพอใจนัก ผมกำลังเล่นสนุกกับสาวต่างชาติอยู่ดีๆ พี่ก็รีบร้อนเรียกตัวผมกลับมา เป็นแค่ไอ้ลูกเต่าตัวเดียวเองไม่ใช่หรอกเหรอครับ? ผมได้ยินมาว่าเย่เทียนเฉินมันก็แค่เศษสวะไม่เอาไหนเท่านั้น ต่อให้มีมันสองคน จำเป็นต้องให้ผมลงมือด้วยเหรอ?” ซานจีส่งเสียงหึอย่างเย็นชา เอ่ยถามพร้อมกับมองหลี่เถีย

หากว่ามีคนอื่นกล้ามาพูดกับหลี่เถียเช่นนี้ เกรงว่าแม้แต่ศพห็คงหาไม่เจอ แต่ซานจีนั้นเป็นข้อยกเว้น เจ้าหมอนี่อวดดีทะนงตนมาโดยตลอด แน่นอนว่าการที่เขาหยิ่งผยอง ย่อมมีคุณสมบัติในกรหยิ่งผยอง ในหมู่ลูกน้องของหลี่เถีย ซานจีถือเป็นคนสำคัญอันดับหนึ่ง ชายคนนี้เป็นเด็กกำพร้ามาตั้งแต่เด็ก ถูกพระอาวุโสจากวัดเส้าหลินเก็บไปเลี้ยงดู จึงได้รับอิทธิพลจากสิ่งที่ได้ยินได้เห็นมาตลอด รวมทั้งได้ฝึกกังฟูเส้าหลินตั้งแต่เด็ก ถึงจะไม่ได้เล่าเรียนหนังสือ เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ แต่พอพอฝึกฝนหลายสิบปี ฝีมือก็ค่อยๆพัฒนาคนเก่งกาจขึ้นมาได้

เส้าหลินมอบคุณูปการให้ใต้หล้า ประโยคนี้ใช่ว่าจะไม่มีที่มา พรรควรยุทธ์โบราณค่อยๆ หายไป แต่เส้าหลินยังคงเดินอยู่บนเส้นทางของพรรควรยุทธ์โบราณ มีเคล็ดวิชามากมาย เดิมทีซานจีต้องการฝึกฝนเพลงหมัดเส้าหลิน แต่เจ้าอาวาสวัดเส้าหลินเห็นว่าเขามีนิสัยโหดเหี้ยม ไม่เหมาะที่จะถ่ายทอดวิชาให้ ซานจีนั้นมีนิสัยที่โหดเหี้ยมอย่างแท้จริง คืนนั้นเขาได้วางเพลิงวัดเส้าหลิน แอบลงจากเขามาพึ่งพาหลี่เถีย กลายเป็นนักสู้ที่เหี้ยมหาญคนหนึ่งของหลี่เถีย

“แกเนี่ยนะ ฉันได้ยินมาว่าเย่เทียนเฉินมันอัดลั่วเหลยที่เป็นสมาชิกกองกำลังเหยี่ยวนักล่าจนไม่มีแรงแม้แต่จะตอบโต้ ฝีมือของหมีภูเขาแม้จะไม่ได้แข็งแกร่งเท่าแก แต่ก็ไม่ได้อ่อนแอ ถ้าหากต้องต่อสู้กับเย่เทียนเฉิน แกควรจะระวังตัวสักหน่อยถึงดี!” หลี่เถียกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ความสามารถของหมีภูเขา ต่อให้ผมให้มันใช้สองมือสองเท้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉัน ส่วนเย่เทียนเฉิน ให้มันเข้ามาในคฤหาสน์ให้ได้ค่อยว่ากันเถอะ…”

ซานจีพูดจบก็ไม่สนใจหลี่เถียกับหมีภูเขาอีก เดินออกไปจากห้องหนังสือด้วยตัวเอง ไม่ได้เห็นการมาของเย่เทียนเฉินอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย อีกอย่างในความคิดของเขา ต่อให้เย่เทียนนเฉินมาโจมตี ก็ทำได้แค่ถูกตนอัด ไม่กี่หมัดก็แก้ปัญหาได้แล้ว ไหนเลยจะต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ถึงขนาดนี้ ถึงกับเรียกเขาและลูกน้องกองกำลังมือปืนอัจฉริยะกลับมาทุกคน เป็นการเอามีดฆ่าวัวมาฆ่าไก่จริงๆ

“พี่ใหญ่ ซานจีมัน…” หมีภูเขาเดือดดาล ซานจีช่างโอหังจริงๆ จะอย่างไรทุกคนก็เป็นคนกันเอง แต่หมอนี่กลับคิดว่าตนเองมีฝีมือแข็งแกร่ง เลยไม่เห็นคนอื่นอยู่ในสายตา

“แกเองก็อย่าไปถือสาเลย ซานจีมีฝีมือแข็งแกร่ง ย่อมหยิ่งยะโสเป็นธรรมดา แต่ก็ยังนับว่าจงรักภักดีกับฉัน การฆ่าเย่เทียนเฉินและกำจัดตระกูลเย่ในครั้งนี้ ยังจำเป็นต้องใช้พลังของมัน” หลี่เถียมองหมีภูเขาแวบหนนึ่งพร้อมกับเอ่ยขึ้นมา

“ที่รักคะ หรือว่าคุณคิดจะลงมือกำจัดตระกูลเย่หลังจากฆ่าเย่เทียนเฉิน?” ภรรยาน้อยเสี่ยวฉิงฉลาดมาก เพียงแค่ได้ยินคำพูดของหลี่เถีย ก็คาดเดาความตั้งใจของหลี่เถียออกแล้ว

ความจริงหลี่เถียก็วางแผนจะทำแบบนี้อยู่แล้ว แม้ว่าการกลับมาของเย่เทียนเฉินจะทำให้เขาประหลาดใจและจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่ว่าเขาก็คิดเช่นกันว่า การจะฆ่าเย่เทียนเฉินคนเดียวไม่จำเป็นต้องใช้กองปืนอัจฉริยะของตนเอง ที่เขาให้ซานจีกับกองปืนอัจริยะของตนมารวมตัวกันในครั้งนี้ ก็เพื่อที่จะลงมือกับตระกูลเย่

หากคิดดูก็จะรู้ว่า แม้แต่คนอย่างหลี่เถียที่มีตำแหน่งต่ำต้อย และเป็นคนที่เหมาะกับแค่การใช้ชีวิตในที่ลับเท่านั้น ยังกล้าลงมือกับตระกูลเย่ ตระกูลเย่ตกต่ำลงไปแล้ว จนไม่อาจกลับมารุ่งเรื่องได้อีกจริงๆ ไม่ว่าหมาแมวที่ไหนก็กล้าลงมือบดขยี้ลูกพลับนิ่มอย่างตระกูลเย่!

“ฉลาดนี่ ตระกูลเย่ไม่รอดแล้วล่ะ ในเมื่อตระกูลฉินอยากกำจัดพวกเขา ฉันก็จะช่วยอีกแรง แบบนี้ก็จะได้รับผลประโยชน์ส่วนหนึ่ง” หลี่เถียกล่าวด้วยรอยิ้มในขณะที่มองเสี่ยวชิงภรรยาน้อย

“ผมทราบแล้วครับพี่ใหญ่” หมีภูเขากล่าวพลางพยักหน้า

“จำไว้ให้ดี จะต้องทำให้ไอ้ลูกเต่าเย่เทียนเฉินไม่มีโอกาสกลับไปอีก ก้าวแรกในการกำจัดตระกูลเย่ต้องเริ่มจากมัน ทำให้มันรู้ว่าโลกใต้ดินของเมืองหลวงมีหลี่เถียผู้นี้ควบคุม!” หลี่เถียพูดอย่างหลงระเริง

ตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินก็ได้มาถึงด้านล่างของคฤหาสน์ที่หลี่เถียอาศัยอยู่ เมื่อสักครู่นี้เขาก็ทราบถึงการจัดวางกำลังรอบๆ คฤหาสน์แห่งนี้ผ่านทางพลังแห่งการรับรู้ ไม่ว่าจะเป็นภายนอกหรือภายในของคฤหาสน์ ทางหลักทุกทางต่างก็มีสมุนฝีมือดีถือปืนอยู่ ทุกคนต่างก็ฝีมือไม่อ่อนแอเลย

ทันใดนั้น ฝีเท้าของเย่เทียนเฉินก็หยุดลง เอ่ยขึ้นโดยไม่หันกลับไปมองว่า “ตามฉันมานานขนาดนี้ ควรจะออกมาได้แล้วมั้ง?”

เสียงของเย่เทียนเฉินเพิ่งจะขาดลง เงาร่างสายหนึ่งก็กระโดดลงมาจากบนต้นไม้ใหญ่ด้านข้าง มองเย่เทียนเฉินอย่างแปลกใจพร้อมกับถามว่า “คุณ คุณเจอผมตั้งแต่แรกแล้วเหรอ?”

“พูดมาเถอะ มีเรื่องอะไร?” เย่เทียนเฉินกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม

“ผม ผมอยากจะไปกับคุณ จะให้เป็นวัวเป็นม้าก็ได้ทุกอย่าง”

เย่เทียนเฉินมองชายวัยรุ่นตรงหน้า แล้วเอ่ยว่า “หูหลง ฉันรู้ว่านายอยากจะฆ่าหลี่เถียด้วยมือตัวเอง เพื่อแก้แค้นให้พ่อของนาย แต่ว่าครั้งนี้มันอันตรายมาก นายรู้ไหมว่าข้างในมีนักฆ่าพกปืนกี่คน?”

“ผมไม่กลัว ขอแค่ได้แก้แค้นให้พ่อ ได้ฆ่าหลี่เถียด้วยมือตัวเอง ต่อให้ผมต้องตายก็ไม่เป็นไร” หูหลงกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว

ตอนที่เย่เทียนเฉินเพิ่งมาถึงที่นี่ เขาได้ขยายพลังแห่งการรับรู้ แล้วพบว่าหูหลงตามตนมา สำหรับหูหลงนั้น เย่เทียนเฉินค่อนข้างจะชื่นชมอยู่แล้ว ชายผู้เด็ดเดี่ยวคนนี้ ต่อให้ตายก็ไม่ยอมให้คนเอาตัวน้องสาวของตนเองไป ปกป้องคนในครอบครัวด้วยชีวิต ความกล้าหาญและความเด็ดเดี่ยวเช่นนี้หาได้ยากในสังคมปัจจุบัน

“ถ้าหากว่านายตาย แล้วน้องสาวนายจะทำไง?” เย่เทียนเฉินกล่าวถามในขณะที่มองหูหลง

“ผม…ขอบอกคุณโดยไม่ปิดบัง ผมรู้ว่าคุณจะมาเก็บกวาดหลี่เถียแน่นอน ดังนั้นผมก็เลยมารอคุณที่นี่ พี่ใหญ่ รับผมไว้เถอะ ผมเต็มใจเป็นม้ารับใช้คุณ!” หูหลงคุกเข่าลง เตรียมจะกราบเย่เทียนเฉินเป็นพี่ใหญ่

แต่ว่าตอนที่หูหลงทำท่าจะคุกเข้าลงไป เท้าขวาของเย่เทียนเฉินก็รองอยู่ที่เข้าซ้ายของหูหลง ไม่ว่าหูหลงจะใช้แรงอย่างไรก็ไม่สามารถคุกเข้าลงไปได้

“พี่ใหญ่…” หูหลงรู้สึกร้อนใจ กลัวว่าเย่เทียนเฉินจะไม่ยอมรับตนเอง ตั้งแต่คืนนั้นที่เย่เทียนเฉินช่วยพวกเขาสองพี่น้อง หูหลงก็มองว่าเย่เทียนเฉินเปรียบดังญาติ พอเขาส่งน้องสาวกลับบ้านเกิดเสร็จ ก็กลับมาที่เมืองหลวงอีกครั้งเพื่อที่จะติดตามผู้มีพระคุณช่วยชีวิตคนนี้

“อย่าหลับหูหลับตาเชื่อว่าฉันจะมอบอนาคตให้นายได้ อนาคตของนายอยู่ในมือของนายเอง ต้องอาศัยสองหมัดของนายไปคว้ามา!” เย่เทียนเฉินกล่าวกับหูหลงด้วยรอยยิ้ม

…………………………….

บทที่ 39 ฆ่าซะก็หมดเรื่อง!
Ink Stone_Fantasy
สิงอี้แปดทิศสังหาร เป็นกระบวนท่าโจมตีที่รุนแรงที่สุดของมวยสิงอี้ แม้ว่าอู๋เสวี่ยจะฝึกฝนมวยสิงอี้สิบกว่าปีแล้ว ก็ไม่อาจฝึกฝนเคล็ดวิชานี้จนถึงขั้นสูงสุด

ในโลกแห่งความวินาศเย่เทียนเฉินที่เป็นผู้มีพลังพิเศษระกับพระเจ้า เคยประมือกับปรมาจารย์มวยสิงอี้ เคยมีประสบการณ์พบกับอานุภาพของวิชาวรยุทธ์โบราณวิชานี้ การต่อสู้ในครั้งนั้นแทบจะเอาชีวิตไม่รอด ลองนึกดูก็จะรู้เลยว่าอันตรายแค่ไหน

เย่เทียนเฉินยืมสิงอี้แปดทิศสังหารที่อู๋เสวี่ยโจมตีออกมา เพื่อกระตุ้นพลังพิเศษทั้งหมดที่อยู่ในชีพจรทั่วร่าง ขณะเดียวกันก็ขับเคลื่อนแก่นพลังพิเศษในสมอง ภายใต้วิกฤตที่อันตรายถึงชีวิตเช่นนี้ จึงสามารถทะลวงระดับพลังจากระดับราชันย์ไปขึ้นสู่ระดับจอมราชันย์ การเพิ่มระดับชั้นขึ้นหนึ่งเป็นความแข็งแกร่งที่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว เพียงตวาดแค่หนึ่งครั้งก็สามารถทำลายมวยสิงอี้แปดทิศที่ยังไม่ถึงระดับสูงสุดของอู๋เสวี่ยได้แล้ว

เย่เทียนเฉินยกยิ้ม สองมือล้วงกระเป๋ากางเกง เดินไปยังเบื้องหน้าของอู๋เสวี่ย ความจริงแล้วฝีมือของอู๋เสวี่ยก็ไม่ได้อ่อนแอ เพียงแต่ว่าสิงอี้แปดทิศสังหารยังไม่ไปถึงระดับสูงสุด รวมกับเย่เทียนเฉินสามารถทะลวงระดับพลังของตนได้ในฉับพลัน ทำให้อู๋เสวี่ยเตรียมการไม่ทั มิฉะนั้นคงไม่ถึงกับแพ้เร็วขนาดนี้

“ฉันแพ้แล้ว ฆ่าฉันซะสิ!” อู๋เสวี่ยกล่าวพลางเช็ดเลือดที่มุมปากในขนะที่มองเย่เทียนเฉิน

อู๋เสวี่ยก็คิดไม่ถึงเลยว่า ตนที่เป็นนักฆ่าอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง ซึ่งไม่เคยมีประวัติการแพ้มาก่อน ทุกครั้งที่ได้รับการจ้างวาน ก็จะลงมือฆ่าศัตรูได้ในพริบตา แต่ครั้งนี้พอได้พบกับเย่เทียนเฉิน แม้ว่าลงมืออย่างเต็มกำลัง ใช้กระทั่งวิชามวยสิงอี้ ก็ยังพ่ายแพ้ให้กับเย่เทียนเฉินที่ใช้แค่ตะโกนออกมาเท่านั้น เรื่องนี้ทำให้จิตใจที่หยิ่งในศักดิ์ศรีของอู๋เสวี่ยได้รับการกระทบกระเทือนอย่างแรง รู้สึกท้อแท้

เย่เทียนเฉินไม่ได้แสดงท่าทีอะไร เพียงแค่พิงต้นไม้ด้านข้าง ควักบุหรี่ออกมาสองมวน จุดให้ตนเองมวนหนึ่งแล้วสูบเข้าไป จากนั้นก็โยนอีกมวนหนึ่งให้อู๋เสวี่ย นักฆ่าอันดับหนึ่งเห็นดังนั้นก็ตกตะลึง ไม่รู้ว่าเย่เทียนเฉินต้องการอะไร

“ชนะเป็นเจ้าแพ้เป็นโจร ฉันอู๋เสวี่ยแพ้แล้ว ฉันยอมรับ ลงมือเถอะ” อู๋เสวี่ยเอ่ยเสียงทุ้มต่ำในขณะที่มองเย่เทียนเฉิน

“ฉันไม่ฆ่าแกหรอก แกไปเถอะ!” เย่เทียนเฉินยิ้มมองไปยังอู๋เสวียพลางกล่าว

อู๋เสวี่ยตกตะลึง เขาไม่คิดเลยว่าเย่เทียนเฉินจะไม่ฆ่าตนเอง นี่ทำให้เขาคิดไม่ถึงเลยจริงๆ

“แกไม่ฆ่าฉัน? ฉันอาจจะฆ่าคนของแก…” อู๋เสวี่ยกล่าวถามอย่างแปลกใจ

“ฉันไม่ได้มีนิสัยชอบฆ่าคน อีกอย่างแกก็เป็นลูกผู้ชาย เปิดเผยตรงไปตรงมา ไปฝึกมาอีกสองสามปีค่อยมาสู้กับฉันใหม่!”

พอเย่เทียนเฉินกล่าวจบก็หมุนตัวเดินจากไป เขาไม่อยากจะลงมือฆ่าอู๋เสวี่ยจริงๆ เพราะตอนที่อู๋เสวี่ยปรากฏตัว เขาก็รู้สึกได้ว่าอู๋เสวี่ยไม่ใช่นักฆ่าที่มีนิสัยชอบทำลายล้าง หากว่าเป็นนักฆ่าคนอื่นที่มีฝีมือเฉกเช่นอู๋เสวี่ย คงจะไม่ตรงไปตรงมาแบบนี้แน่ กล่าวได้ว่าอู๋เสวี่ยเป็นนักฆ่าที่มีมนุษยธรรมคนหนึ่ง และไม่ใช่คนที่รักตัวกลัวตายด้วย

ในขณะที่มองเย่เทียนเฉินหมุนตัวเดินจากไป อู๋เสวี่ยก็ตกตะลึงครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าชายผู้ที่เป็นตัวตลกของคนทั้งเมืองหลวงคนนี้ มีความแข็งกร้าวของผู้ทรงอำนาจที่อธิบายไม่ถูก เขาไม่กลัวการถูกคนลอบสังหาร มีหลักการของตนเอง ฝีมือสูงส่ง ไม่แยแสใครจะว่าอย่างไร

“ตระกูลลั่วส่งฉันมา ครั้งนี้ฉันฆ่าแกไม่ได้ ตระกูลลั่วคงยังมีทางอื่นอีก” อู๋เสวี่ยลุกขึ้นยืน เอ่ยขึ้นพร้อมกับมองแนหลังของเย่เทียนเฉิน

“ด้วยฝีมือของแก ฉันคิดว่าแกคงไม่ขาดเงิน พ่อลูกตระกูลลั่วล้วนต่ำช้าไร้ยางอาย แต่แกดันยอมรับการว่าจ้างของพวกมัน ฉันประหลาดใจจริงๆ” เย่เทียนนเฉินหันมามองอู๋เสวี่ยพลางกล่าว

อู๋เสวี่ยมองเย่เทียนเฉินครู่หนึ่ง พร้อมกับถอนหายใจ พูดว่า “ตั้งแต่เด็กฉันก็เป็นเด็กกำพร้า ได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อบุญธรรมจนเติบใหญ่ พ่อบุญธรรมถูกขังอยู่ในคุกของเมืองหลวง ลั่วซงเฉิงรับปากกับฉันว่าขอแค่ฉันฆ่าแกได้ จะช่วยปล่อยพ่อบุญธรรมของฉันออกมา!”

“พ่อบุญธรรมของนายชื่ออะไร?” เย่เทียนเฉินคิดครู่หนึ่งก่อนจะถาม

“หยางไห่!”

“เอาแบบนี้แล้วกัน แกไปช่วยฉันฆ่าคนสองคน ฉันจะหาวิธีทำให้พ่อบุญธรรมแกออกจากคุก” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ฆ่าใคร?” อู๋เสวี่ยมองเย่เทียนเฉินพลางถาม

“ลั่วเหลยกับลั่วเทา” เย่เทียนเฉินกล่าวอย่างไม่แยแส

เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน อู๋เสวี่ยก็อดตกตะลึงไม่ได้ เขาไม่คิดเลยว่าเย่เทียนเฉินจะให้เขาไปฆ่าหลานทั้งสองของลั่วซงเฉิงจริงๆ ตระกูลลั่วนับว่าเป็นตระกูลที่มีหน้ามีตาในเมืองหลวง อีกทั้งลั่วซงเฉิงอาจจะได้เข้าร่วมคณะคณะกรรมาธิการทหารจากการเลือกตั้งในครั้งนี้ด้วย หากว่าลั่วเหลยและลั่วเทาแห่งตระกูลลั่วถูกคนฆ่าตายไป จะเป็นการโจมตีตระกูลลั่วอย่างหนัก อีกทั้งยังก่อให้เกิดความครึกโครมขึ้นในเมืองหลวงด้วย

ความจริงตอนที่ประทะกับอู๋เสวี่ยเย่เทียนเฉินก็คิดถึงจุดนี้ไว้แล้ว ด้วยฝีมือของอู๋เสวี่ย หากต้องการไปฆ่าคนในตระกูลลั่ว เป็นเรื่องง่ายราวกับปอกกล้วยเข้าปาก เจ้าเฒ่าลั่วซงเฉิงรักพวกพ้องมาก ย่อมไม่ยอมปล่อยให้จบง่ายๆ แน่ ในเมื่อเขากล้าซื้อตัวนักฆ่าให้มาฆ่าตน ทำไมเย่เทียนเฉินยังต้องเกรงใจเขาอก ทำลายฐานของตระกูลก่อนค่อยว่ากัน ให้ลั่วซงเฉิงรู้ว่า เย่เทียนเฉินไม่ใช่คนที่จะหาเรื่องได้ง่ายๆ ขนาดนั้น

“ทำไม? ไม่กล้าเหรอไง?” พอเย่เทียนเฉินเห็นว่าอู๋เสวี่ยยังยืนอึ้งอยู่ที่เดิม ก็เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

“ไม่ใช่ว่าไม่กล้า แต่แกเคยคิดถึงผลที่จะตามมาไหม ฉันช่วยแกฆ่าลั่วเหลยกับลั่วเทา แบบนี้ตระกูลลั่วกับตระกูลเย่ก็จะมีความแค้นจนไมอาจอยู่ร่วมกันได้ คิดว่าแกก็คงเข้าใจดี ตอนนี้ตระกูลเย่ตกต่ำ ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตระกูลลั่ว ถึงตอนนั้นตระกูลเย่จะต้องเจอกับวิกฤตร้ายแรงแน่นอน” อู๋เสวี่ยมองเย่เทียนเฉินแวบหนึ่ง ก่อนที่จะพูดออกมา

“นี่เป็นเรื่องของฉัน แกไปฆ่าคนก็พอ อีกอย่าง ตอนที่ฆ่าก็บอกไปเลยว่าฉันเย่เทียนเฉินเป็นคนฆ่า ง่ายๆ!” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม

อู๋เสวี่ยตกใจอย่างยิ่ง เขาไม่คิดเลยจริงๆ ว่าเย่เทียนเฉินจะแข็งกร้าวและกล้าหาญขนาดนี้ ไม่เพียงแต่จะให้ตนเองไปฆ่าหลานทั้งสองของตระกูลลั่ว ยังให้บอกว่าตนเองเป็นคนฆ่าอีกด้วย นี่ไม่ใช่การอวดดี ไม่ใช่ความเย่อหยิ่ง แต่เป็นความกล้าหาญเด็ดเดี่ยที่เหนือกว่าคนทั่วไป

“แกแน่ใจนะ?” อู๋เสวี่ยขมวดคิ้วพลางกล่าวถาม

“แน่ใจ แน่นอน แล้วก็ยืนยันได้ ไปฆ่าเถอะ ตอนที่ฉันได้ยินข่าวว่าลั่วเทาและลั่วเหลยถูกฆ่า พ่อบุญธรรมของแกก็จะถูกปล่อยตัวออกจากคุก”

พูดจบ เย่เทียนเฉินไม่รอให้อู๋เสวี่ยพูดอะไร หมุนตัวผละไป ตอนแรกเย่เทียนเฉินเตรียมที่จะฆ่าลั่วเหลยและลั่วเทาด้วยตัวเอง ในเมื่อลั่วซงเฉิงไม่สนใจสถานะทหารของตนเอง ซื้อตัวนักฆ่าให้มาฆ่าเขาอย่างลับๆ ภายภาคหน้าคงจะไม่ปล่อยตระกูลเย่ไปแน่ กับคนที่ทำอะไรไม่คำนึงถึงสถานะตนเองเช่นนี้ เย่เทียนเฉินย่อมไม่เกรงใจ เขาย่อมไม่ปล่อยให้มีอันตรายต่อคนในครอบครัวของตนเอง จะต้องตอบโต้อย่างรุนแรง

หากไม่ใช่เพราะว่าวันนี้ยังต้องไปเก็บกวาดชีวิตของหลี่เถีย เย่เทียนเฉินจะต้องไปตระกูลลั่วด้วยตัวเองแน่ ถอนถอนวัชพืชก็ต้องถอนให้ถึงราก หากปล่อยไว้ก็จะเกิดปัญหาไม่สิ้นสุด และไม่ใช่นิสัยของเย่เทียนเฉิน

ในขณะที่มองดูเย่เทียนเฉินจากไป อู๋เสวี่ยก็กำหมัดทั้งสองแน่น เดินออกไปจากป่า…

การได้ต่อสู้กับอู๋เสวี่ยทำให้เย่เทียนเฉินเข้าใจถึงสิ่งๆ หนึ่ง ในโลกแห่งนี้ก็มียอดฝีมือมากมาย หากว่าความสามารถของเขาไม่แข็งแกร่งมากพอ ก็ไม่อาจปกป้องทุกสิ่งทุกอย่างที่มีได้

เมืองหลวงเป็นสถานที่ที่มีผู้ทรงอิทพลและตระกูลใหญ่อยู่มากมาย ทั้งยังมีคนเก่งกาจซ่อนตัวอยู่ทั่ว หากคิดอยากจะมีชีวิตในที่แห่งนี้ เป็นเรื่องลำบากมาก การแข่งขันกันระหว่างตระกูล การปะทะกันระหว่างขั้วอำนาจ ดูเหมือนจะสงบ แต่ความจริงแล้วทุกๆ วินาทีล้วนเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด คุณไม่รุกรานคนอื่น แต่คนอื่นมารุกรานคุณ ง่ายๆ เช่นนี้เอง

เย่เทียนเฉินมองออกตั้งตั้งแรกแล้วว่า หากอยากจะมีที่ยืนในเมืองหลวงหรือสร้างความรุ่งโรจน์แก่ตระกูลเย่ ไม่สามารถขาดวิถีทางอันเปื้อนเลือดไปได้ พูดง่ายๆก็คือ ไม่ว่าอิทธิพลอะไรจะมาสรางปัญหา ล้วนต้องตอบโต้อย่างรุนแรง ให้คนพวกนี้รู้ว่า ตระกูลเย่ไม่ใช่ตระกูลที่จะมาหาเรื่องได้ง่ายๆ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

เย่เทียนเฉินที่ออกมาจากป่า ไม่ได้กลับบ้าน แต่โบกรถแท็กซี่แถวๆ คฤหาสน์ไปยังสถานที่ที่หลี่เถียอาศัยอยู่ คืนนี้เขาจะต้องฆ่าหัวโจกแห่งอิทธิพลใต้ดินของเมืองหลวงและสุนัขรับใช้ของตระกูลฉินคนนี้ให้ได้ เพื่อใช้เรื่องนี้เตือนตระกูลฉินว่า อย่าคิดว่าเป็นตระกูลชั้นหนึ่งแล้วจะสูงส่งนัก เขาเย่เทียนเฉินไม่ยินยอมแน่

ตอนนี้เอง ในคฤหาสน์ที่หลี่เถียอาศัยอยู่ สองแขนของหมีภูเขาห้อยอยู่บริเวณหน้าอก ใบหน้าขาวซีด บนหน้าผากมีเหงื่อเย็นไหลออกมาในขะที่มองหลี่เถีย

ตูม!

หลี่เถียใช้มือตบลงไปบนโต๊ะ เอ่ยปากกล่าวอย่างดุร้ายว่า “ไอ้ลูกเต่าเย่เทียนเฉินมันพูดแบบนี้จริงเหรอ?”

“ใช่ครับพี่หลี่ ไอ้หมอนี่มันบอกว่าให้พี่เตรียมโลงศพไว้ได้เลย!” หมีภูเขากล่าวอย่างหวาดกลัว

เพล้ง!

เมื่อหลี่เถียได้ยินคำพูดของหมีภูเขา ก็ปาแก้วชาในมือลงพื้นอย่างแรงจนแตกเป็นเสี่ยงๆ ในทันที ตนเองอยู่ในเมืองหลวงมาแล้วหลายปี ไม่มีใครกล้าพูดกับตนเช่นนี้มาก่อน ต่อให้เป็นผู้ทรงอิทธิพลและตระกูลใหญ่ ก็ไม่กล้าล่วงเกินตนเช่นนี้ ในสายตาของหลี่เถียเย่เทียนเฉินก็เป็นแค่ลูกหลานตระกูลชั้นสามเท่านั้น แต่บังอาจมาพูดกับตนเองเช่นนี้ มันจะไปทนได้อย่างไรกัน

“เฮอะ ฮ่าๆๆๆ…” หลี่เถียหัวเราะอย่างเกรี้ยวกราด หมีภูเขาเห็นดังนั้นก็เหงื่อแตกท่วมตัว

“พี่ใหญ่ พะ…พวกเราทำยังไงดีครับ?” หมีภูเขาเอ่ยถามเสียงเบา

“ดี มาได้ก็ดี ขอแค่ไอ้ลูกเต่านี่กล้ามา ฉันจะทำให้มันไม่ได้กลับไปอีก!” หลี่เถียพูดด้วยอาการขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

“ที่รักคะ ฉันว่าพวกเราควรจะเตรียมตัวสักหน่อยนะคะ เย่เทียนเฉินในตอนนี้ไม่สามารถเอาไปเปรียบกับไอ้คนโง่งมแบบเมื่อก่อนได้อีกแล้ว เขากล้าไปทำร้ายลั่วเหลยที่เทียนซ่างเหรินเจียน ไม่กลัวที่จะเป็นศัตรูกับตระกูลลั่ว เกรงว่าเขาจะกล้ามาฆ่าคุณจริงๆ!” เสี่ยงฉิงขมวดคิ้วพลางกล่าว

“ฉันไม่กลัวมันมา กลัวมันจะไม่มามากกว่า หมีภูเขา เรียกพวกซานจีกลับมาเดี๋ยวนี้ คืนนี้จะต้องทำให้เจ้าเย่เทียนเฉินไม่มีทางกลับไปได้อีก!” หลี่เถียพูดด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย

“พี่ใหญ่ จะ…จะเรียกพวกซานจีกลับมาจริงๆเหรอครับ? หากว่าใช้ปืนล่ะก็ เกรงว่า…” หมีภูเขากล่าวด้วยความกังวลเล็กน้อย

ซานจี(ไก่ฟ้า) เป็นลูกน้องคนสำคัญคนหนึ่งของหลี่เถีย ไม่เพียงแต่มีฝีมือแข็งเกร่ง ยังเป็นผู้ดูแลกองกำลังมือปืนอัจฉริยะของหลี่เถียอีกด้วย กองกำลังมือปืนอัจฉริยะนี้ ถูกเรียกใช้งานน้อยมาก เพราะในสถานที่อย่างเมืองหลวง แม้ว่าจะมีสถานการณ์นองเลือดเกิดขึ้นบ่อยครั้ง แต่จะร้ายดีอย่างไรก็อยู่ภายใต้กฎหมาย เบื้องหน้าก็ไม่มีใครกล้าทำอะไรมั่วๆ

ในประเทศจีน การใช้มีดกับการใช้ปืนเป็นคนละเรื่องโดยสิ้นเชิง การใช้ปืนในเมืองหลวงจะทำให้สถานการณ์ร้ายแรงยิ่งขึ้น

“กลัวอะไร ฉันจะให้เจ้าลูกเต่าเย่เทียนเฉินมันได้รู้ว่า โลกใต้ดินของเมืองหลวงขึ้นอยู่กับคำพูดของฉัน!” หลี่เถียคำรามออกมา สองตาแดงก่ำ

“ทราบแล้วครับพี่ใหญ่!”

ในขณะที่มองดูหมีภูเขาหันกายเดินออกไปทำตามคำสั่ง เสี่ยวฉิงภรรยาน้อยของหลี่เถียก็กล่าวออกมาด้วยความกังวลใจเล็กน้อยว่า “ถ้าหากพวกเราฆ่าเย่เทียนเฉินไปจริงๆ ทางฝั่งตระกูลเย่จะทำยังไงล่ะคะ?”

“เฮอะ! ตระกูลเย่ตกต่ำไปตั้งนานแล้ว ฉันไม่เชื่อว่าถ้าฆ่าเย่เทียนเฉินแล้ว ตระกูลเย่จะกล้ามีปัญหากับหลี่เถียคนนี้ อีกอย่าง ตระกูลฉินก็ปกป้องเราอยู่ไม่ใช่เหรอ?” หลังจากหลี่เถียพูดจบ ที่มุมปากก็ปรากฏรอยยิ้มชั่วร้ายขึ้นมา

……………………………………..

บทที่ 38 ทะลวงสู่ระดับจอมราชันย์
Ink Stone_Fantasy
ฝีมือของอู๋เสวี่ยแข็งแกร่งมากจริงๆ ต่อให้เป็นเย่เทียนเฉินซึ่งเป็นผู้มีพังพิเศษระดับพระเจ้ามาเกิดใหม่ ก็อดรู้สึกอัศจรรย์ใจไม่ได้ นี่คือคนที่แข็งแกร่งที่สุดที่เขาได้พบตั้งแต่เขาได้มาเกิดใหม่

อู๋เสวี่ยเองก็คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะสามารถหลบการโจมตีอันรวดเร็วและรุนแรงของตนไปได้ ผ่านไปสิบกระบวนท่า ก็ยังไม่สามารถโจมตีโดนเย่เทียนเฉินได้เลย ดูท่าข่าวลือของเมืองหลวงที่ว่าเศษสวะของตระกูลเย่อย่างเย่เทียนเฉินได้เปลี่ยนไปเป็นคนละคน ไม่ใช่คนไม่เอาในกาลก่อนอีกต่อไป ข่าวนี้ใช่ว่าจะไม่มีมูล

เย่เทียนเฉินที่เผชิญกับการจู่โจมกับโหดเหี้ยมรุนแรงของอู๋เสวี่ยไม่ได้ตอบโต้ เพียงแค่หลบหลีกและสังเกต เขาสามารถรับรู้ถึงพลังภายในอันแข็งแกร่งที่ระเบิดออกมาจากร่างของอู๋เสวี่ยผ่านพลังพิเศษภายในร่างของตนได้ และทุกครั้งที่อู๋เสวี่ยลงมือล้วนเปรียบเสมือนการโจมตีของสัตว์ป่า อย่างเช่น นกสยายปีก พญาเสือลงเขา งูออกจากรัง…

“ถ้าหากว่าฉันเดาไม่ผิด แกคงจะเป็นผู้สืบทอดวิชาของพรรควรยุทธ์โบราณสินะ” เย่เทียนเฉินที่ยังคงคาบบุหรี่อยู่ในปากกล่าวพลางมองอู๋เสวี่ยด้วยรอยยิ้ม

“ไม่คิดเลยว่าตาแกจะมีสายตาอยู่บ้าง ฉันสงสัยจริงๆ ว่าแกเสเสร้งแกล้งโง่มายี่สิบปีรึเปล่า” อู๋เสวี่ยหยุดมือ หลังจากผ่านการโจมตีเมื่อสักครู่นี้ไปแล้ว เขาก็รู้ว่าการฆ่าเย่เทียนเฉิน เกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องที่จะใช้เวลาแค่ชั่วครู่อีกแล้ว

จนถึงตอนนี้ อู๋เสวี่ยก็ยังคงไม่เชื่อว่าเย่เทียนเฉินเป็นเศษสวะโง่งมคนหนึ่ง ไม่ว่าจะดูจากการพูดคุยสนทนาของเขาหรือจะดูจากฝีมือของเขา ก็ล้วนแล้วแต่ร้ายกาจเ สิ่งที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดก็คือ เย่เทียนเฉินแห่งตระกูลเย่คนนี้แสร้งทำเป็นคนไม่เอาไหนมายี่สิบปี หลอกลวงคนทั้งเมืองหลวง วันนี้เขาเปิดเผยตัวตนอย่างเต็มที่ เพิ่มชื่อเสียงของตน ไม่ได้เป็นเย่เทียนเฉินในอดีตอีกต่อไป ทำให้ผู้คนในเมืองหลวงต้องตกตะลึง รู้สึกหนาวเหน็บอยู่ในใจ

ในสถานที่ที่มีกลุ่มอิทธิพลและตระกูลใหญ่มากมายปักหลักอยู่อย่างเมืองหลวง ไม่มีเวลาไหนที่จะไม่ปรากฏการแข่งขันระหว่างขั้วอำนาจ เรื่องที่ตระกูลเย่ตกต่ำจนกลายเป็นตระกูลชั้นสาม เป็นเรื่องที่ทุกคนทราบ แต่ว่าการปรากฎตัวขึ้นมาอย่างกระทันหันของเย่เทียนเฉิน มีแนวโน้มที่จะเพิ่มศักดิ์ฐานะของตระกูลเย่อย่างใหญ่หลวง เรื่องนี่ทำให้ตระกูลใหญ่ตระกูลอื่นและผู้ทรงอิทธิพลนั่งไม่ติด เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก ถ้าตระกูลเย่ของคุณเลื่อนชั้นขึ้นมา ตระกูลใหญ่ของพวกเราจะไม่ถูกลดชั้นลงไปเหรอ? ดังนั้นผู้ทรงอิทธิพลและตระกูลใหญ่มากมายจึงไม่ยอมให้ตระกูลชั้นสามตระกูลหนึ่งเลื่อนชั้นขึ้นมากดหัวพวกเขาได้

“สูบบุหรี่เสร็จแล้ว พวกเรามาสู้กัน!” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางมองอู๋เสวี่ยด้วยรอยยิ้ม

”เฮอะ แกไม่ได้สู้สักหน่อย แกกำลังหนีต่างหาก ถ้าแบบนี้ฉันคิดว่าฟ้าสว่างก็ไม่รู้ผลหรอก” อู๋เสวี่ยพูดเสียงเย็น

เย่เทียนเฉินพยักหน้า ตั้งแต่เมื่อสักครู่จนถึงตอนนี้ เขาไม่ได้ลงมือจริงๆ เพราะเอาแต่สังเหตวิธีออกหมัดและกระบวนท่าของอู๋เสวี่ย ตอนนี้ในเมื่อดูออกแล้ว เขาจึงเตรียมกระตุ้นพลังพิเซษระดับราชันย์เพื่อต่อสู้กับอู๋เสวี่ย บางทีอาจจะทะลวงไปสู่ระดับจอมราชันย์ก็ได้

ฝีมือของอู๋เสวี่ยแข็งแกร่งมาก อีกทั้งยังเป็นผู้สืบทอดวิชาของพรรควรยุทธ์โบราณ ไม่เพียงได้เรียนรู้ทักษะวิชาของพรรควรยุทธ์โบราณ ยังมีการฝึกฝนพลังภายในอีกด้วย ตอนนี้หากเย่เทียนเฉินอยากจะอาศัยความสามารถของร่างกายนี้โดยไม่ใช้พลังพิเศษเอาชนะอู๋เสวี่ยแต่ก็ค่อนข้างยากลำบาก สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ เย่เทียนเฉินสัมผัสได้ว่าพลังพิเศษในร่างของตนกำลังเดือดพล่าน มีสัญญาณที่จะทะลวงไปสู่ระดับจอมราชันย์อยู่ลางๆ จึงต้องสู้กับอู๋เสวี่ยสักครั้ง ยืมพลังทะลวงไปสู้ระดับจอมราชันย์

“จากที่ฉันดู มวยสิงอี้ของนายยังฝึกไม่ถึงขั้นสูงสุด!” สายตาเย่เทียนเฉินเปลี่ยนเป็นคมกริบ เขาเอ่ยขึ้นในขณะที่มองอู๋เสวี่ย

“แก…แกรู้ได้ยังไงว่านี่คือมวยสิงอี้?”

เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน อู๋เสวี่ยก็อดตกใจไม่ได้ เขาเคยกราบยอดฝีมือของพรรควรยุทธ์โบราณคนหนึ่งเป็นอาจารย์จริงๆ การฝึกฝนมวยสิงอี้สิบกว่าปี ประสานกับการฝึกฝนพลังภายในของมวยสิงอี้ ทำให้ฝีมีพัฒนาไม่หยุด กลายเป็นนักฆ่าอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง ยากที่จะหาคนสู้กับตนได้

สิ่งที่ทำให้อู๋เสวี่ยตกใจก็คือ แม้ว่าด้วยการพัฒนาของวิทยาการในปัจจุบันจะทำให้พรรควรยุทธ์โบราณค่อยๆ เลือนหายไปจากสายตาของผู้คน แต่พรรควรยุทธ์โบราณเหล่านี้ไม่ได้สูญหายไป เพียงแต่หลบซ่อนอยู่เท่านั้น น้อยนักที่จะถูกผู้คนรับรู้ วิชาวรยุทธโบราณที่หายสาปสูญไปก็ยิ่งไม่มีคนรู้จัก

ในปัจจุบันคนที่รู้ถึงพรรควรยุทธ์โบราณเหล่านี้ นอกจากผู้นำระดับสูงของประเทศ และยอดฝีมีอทั้งสายมืดสายสว่างแล้ว คนธรรมดาทั่วๆ ไปไหนเลยจะรู้จักวิชาการต่อสู้ที่หายไปของยุทธจักร วรยุทธ์ที่สืบทอดกับมานานเช่น เส้าหลิน บู๊ตึ้ง เอ๋อเหมย คงท้ง ยังคงมีเคล็ดวิชาที่ยอดเยี่ยมน่ากลัว เพียงแต่น้อยนักที่จะเปิดเผยให้เห็น คนที่เข้าใจจริงๆ ย่อมรู้ว่า เคล็ดวิชาของพรรควรยุทธ์โบราณเหล่านี้ หลังจากที่ฝึกฝนถึงขั้นสูงสุด ปืนใหญ่ของวิทยาการในยุคปัจจุบัน เกรงว่าทำให้พวกเขาบาดเจ็บได้ยาก

อู๋เสวี่ยคิดไม่ถึงว่าคนเกเรอย่างเย่เทียนเฉินจะรู้จักมวยสิงอี้ด้วย อีกทั้งยังมองวิชาหมัดของตนออกได้รวดเร็วขนาดนี้ ทำให้ผู้คนต้องตกตะลึงจริงๆ

ในโลกแห่งความวินาศ ตอนที่เย่เทียนเฉินยังเป็นผู้มีพลังพิเศษระดับพระเจ้า เขาเคยประมือกับปรมาจารย์มวยสิงอี้จริงๆ การต่อสู้ในคราวนั้นเป็นการต่อสู้อันดุเดือดที่ไม่ค่อยได้พบในชีวิตของเย่เทียนเฉิน มวยสิงอี้ที่แท้จริงถึงขั้นสูงสุด ย่อมแข็งแกร่งกว่าอู๋เสวี่ยในตอนนี้อย่างเทียบไม่ติด จากไร้ลักษณ์แปรเปลี่ยนเป็นรูปลักษณ์ที่จับต้องได้ นี่เป็นส่วนที่วิชา วรยุทธ์โบราณมีร่วมกันบางส่วน มวยสิงอี้ของอู๋เสวี่ยในตอนนี้ร้ายกาจจริงๆ แต่ก็มีเพียงรูปลักษณ์จับต้องไม่ได้ มวยสิงอี้ที่แท้จริง หากต่อยออกไปหนึ่งหมัด กล่าวโดยไม่เกินจริงเลยว่า สามารถแยกภูเขาทลายหินผาได้

“จะโม้ก็ดูเวลาด้วย ฉันจะทำให้แกสมใจเอง!” อู๋เสวี่ยกล่าวอย่างเย็นชา

“ฉันรู้ว่าแกยังไม่ได้ออกแรงเต็มกำลัง มาเถอะ ให้ฉันดูหน่อยว่านักฆ่าอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงจะแข็งแกร่งขนาดไหนกันแน่!”

อู๋เสวี่ยตกตะลึง ในมือขวาปรากฏมีดสั้นเล่มหนึ่งขึ้นมา มือซ้ายกำแน่น เย่เทียนเฉินกล่าวไม่ผิด เขายังไม่ได้ทุ่มสุดตัวจริงๆ เดิมทียังคิดจะออมแรงไว้ แต่คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะร้ายกาจเช่นนี้ ดูท่าจะฆ่าโดยที่ไม่ทุ่มสุดตัวไม่ได้แล้ว

ฉัวะ!

เมื่ออู๋เสวี่ยพุ่งเข้ามา ดวงตาของเย่เทียนเฉินก็เคร่งขรึมลง เขาสัมผัสได้ว่าพลังการต่อสู้ของอู๋เสวี่ยเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่าหนึ่งเท่า อู๋เสวี่ยมีพลังที่เก็บออมไว้จริงๆ ด้วย แม้ว่าปากจะพูดอย่างสบายๆ แต่เย่เทียนเฉินก็ไม่กล้าประมาท หากว่าตอนนี้เขายังคงเป็นผู้มีพลังพิเศษระดับพระเจ้า ย่อมสู้ชนะอู๋เสวี่ยได้ง่ายๆ น่าเสียดายที่ตอนนี้พลังตกลงไปสามขั้น มีเพียงพลังระดับราชันย์ที่กำลังผันแปร จะชนะอู๋เสวี่ยได้หรือไม่ได้ เป็นเรื่องที่ไม่อาจรู้

เปรี้ยงๆๆ…

เย่เทียนเฉินและอู๋เสวี่ยเริ่มสู้กัน ผลัดกันรุกผลัดกันรับ ความสามารถของทั้งสองต่างก็แข็งแกร่ง โดยเฉพาะอู๋เสวี่ยมือซ้ายโจมตีด้วยมวยสิงอี้ มือขวาเป็นมีดสั้นที่มีอานุภาพเกรียงไกร ทุกครั้งที่แทงออกไปต่างก็แฝงไปด้วยพลังภายในอันแข็งแกร่ง พื้นแกรนิตที่ถูกแทงใส่ ต่างก็ก็ทิ้งร่องลึกไว้หลายร่อง จินตนาการได้เลยว่าหากโจมตีไปบนร่างกายคนจะมีผลอย่างไร

การต่อสู้ดำเนินไปกว่าครึ่งชั่วโมง รอจนเย่เทียนเฉินและอู๋เสวี่ยหยุดมือลง ใบหน้าของอู๋เสวี่ยถูดต่อยไปสามหมัดจนหน้าบวมจมูกบวม ส่วนเสื้อผ้าที่อยู่บนร่างของเย่เทียนเฉินก็เป็นรอยขาดสองรอย โชคดีที่หลบได้อย่างหวุดหวิดผิวจึงไม่เป็นอะไร

ต้นไม้ที่อยู่ในรัศีหนึ่งร้อยเมตรหักโค่นไปทั้งหมด เศษหินกระจายเต็มพื้น ฝุ่นละอองฟุ้งไปทั่ว ต้นไม้ใหญ่เท่าปากชามจำนวนหนึ่งถูกตัดขาด นี่ไม่ใช่ความตั้งใจของอู๋เสวี่ยและเย่เทียนเฉิน เพียงแต่พวกเขาโจมตีวืดไปโดนต้นไม้และก้อนหินพวกนี้จนกลายเป็นสภาพนี้ หากว่ามีคนมเห็นเหตุการณ์นี้เข้าล่ะก็ ต้องตกใจจนปากอ้าตาค้างอย่างแน่นอน การต่อสู้อย่างสุดกำลังของเย่เทียนเฉินและอู๋เสวี่ยนั้นมีสีสันมากกว่าหนังบู๊ในโทรทัศน์และภาพยนตร์เป็นร้อยเท่า

“ฉันยอมรับว่าแกเก่งมาก แต่ว่าคืนนี้ยังไงแกก็ต้องตาย!” อู๋เสวี่ยมองเย่เทียนเฉินพลางกล่าวออกมาเสียงต่ำ

“ก็ลองดูสิ!” เย่เทียนเฉินรับมือด้วยรอยยิ้มตามเดิม

ไม่พูดอะไรมากมายอีก มีดสั้นในมือขวาของอู๋เสวี่ยก็พุ่งออกไปปักอยู่บนตนไม้ด้านข้าง เขายืนนิ่งไม่ขยับ สองมือกำหมัด จ้องมองเย่เทียนเฉินไม่วางตา หมัดทั้งสองวาดออกในรูปสัญลักษณ์หยินหยาง สามารถมองเห็นการผันแปรของพลังงานได้อย่างเลือนราง ใบไม้ที่ตกอยู่บริเวณรอบๆ ของอู๋เสวี่ยถูกพัดข้นมา

“กระบวนท่านี้จนกระทั่งตอนนี้ฉันคยใช้เพียงครั้งเดียว แกเป็นคนที่สองที่เห็น” อู๋เสวี่ยเคลื่อนพลังภายในที่รวบรวมไว้ที่สองหมัดของตัวเองไปพลาง กล่าวอย่างสงบไปในขณะที่มองเย่เทียนเฉินไปพลาง

เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว การต่อสู้เมื่อสักครู่จนถึงตอนนี้ ต่อให้สู้กับอู๋เสวี่ยอย่างดุเดือดมาครึ่งชั่วโมงกว่า เขาก็ไม่รู้สึกอันตรายหรือหมดแรง แต่ตอนนี้เห็นท่าทางที่อู๋เสวี่ยแสดงออกมา ในใจก็ตกตะลึง คิดไม่ถึงว่ากระบวนท่านี้ของมวยสิงอี้ ไม่ใช่แค่เป็นเทคนิคสำหรับฆ่าศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกแห่งความวินาศ ในโลกนี้เองก็มีคนฝึกจนถึงระดับนี้แล้ว

“มวยสิงอี้แปดทิศ แข็งแกร่งจริงๆ!” หลังจากเย่เทียนเฉินได้สติกลับมา ก็เอ่ยขึ้นยิ้มๆ

“ในเมื่อรู้จัก งั้นแกก็คงสัมผัสได้ถึงความตายด้วยสินะ!”

เสียงของอู๋เสวี่ยเพิ่งจะขาดลง นักฆ่าอันดับหนึ่งก็ระเบิดเสียงตวาด หมัดทั้งสองในตอนแรกเคลื่อนไหวมในลักษณะของมวยแปดทิศ ทันใดนั้นหมัดทั้งสองก็รวมกันเป็นหมัดเดียว พร้อมๆ กับโจมตีไปยังเย่เทียนเฉินที่อยู่ห่างออกไปสิบเมตร

หมัดยังไม่ทันถึง คมหมัดกลับถึงก่อน เมื่อสองหมัดของอู๋เสวี่ยโจมตีออกไป ก้อนหินรอบๆ เกิดการสั่นไหว ปะปนไปกับสภาวะของสายลมอันรุนแรงโจมตีไปทางเย่เทียนเฉิน นี่คือกระบวนท่าสังหารของมวยสิงอี้ที่โจมตีออกไป โดยที่ผสานพลังภายในของเขาทั้งหมด อู๋เสวี่ยที่ถูกบีบบังคับจนถึงขั้นนี้ ไม่อาจไม่ยอมรับว่าเย่เทียนเฉินร้ายกาจมากจริงๆ

เมื่อเจอกับกระบวนท่าสังหารอันแข็งแกร่งเช่นนี้ของอู๋เสวี่ย เย่เทียนเฉินเริ่มแรกก็ตกตะลึง จากนั้นจึงยิ้มอย่างไม่แยแส เขาหลับตาลง รับรู้ถึงพลังพิเศษทุกส่วนภายในชีพจร เย่เทียนเฉินรวบรวมเข้าไว้ด้วยกัน ขณะเดียวกันแก่นพลังพิเศษในสมองก็สั่นไหวไม่หยุด มีสัญญานที่จะทะลวงไปสู่ระดับจอมราชันย์อย่างเลือนราง

“ย้าก!”

ทันใดนั้นเย่เทียนเฉินก็ลืมตาทั้งสองขึ้น แล้วตวาดคำหนึ่ง มวยสิงอี้แปดทิศสังหารของอู๋เสวี่ยที่มีพลังภายในมหาศาลผสมอยู่ ซึ่งกำลังพุ่งใส่เย่เทียนเฉิน พัดใบไม้ของต้นไม้ที่อยู่ด้านข้างใบไม้ปลิดปลิว แต่กลับถูกเสียงตะโกนของเย่เทียนเฉินทำให้สั่นสะท้านจนสลายไป

ฟู่!

อู๋เสวี่ยล้มนั่งลงกับพื้น เลือดไหลซึมออกมาที่มุมปาก เมื่อสักครู่นี้เขาใช้พลังไปจนหมดสิ้น กระตุ้นพลังภายในทั้งหมด เพื่อใช้มวยสิงอี้แปดทิศสังหารที่เดิมทีเขาก็ยังฝึกได้ไม่ชำนาญ ทำให้ร่างกายสูญเสียเรี่ยวแรง รวมกับการตวาดที่ เย่เทียนเฉินรวบรวมพลังพิเศษทั้งหมดภายในร่าง กระแทกอู๋เสวี่ยจนได้รับบาดเจ็บภายใน

เศษฝุ่นดินปลิ่วว่อนไปทั่วทุกที่ อู๋เสวี่ยทรุดลงกับพื้น มองตรงไปข้างหน้าด้วยความตกใจจนหน้าถอดสี เห็นเพียงเงาร่างของเย่เทียนเฉินเดินออกมาจากละอองฝุ่น มุมปากประดับไปด้วยรอยยิ้มเพลิดเพลินพลางกล่าวว่า

“ขอบคุณแกมากที่ทำให้ฉันทะลวงไปสู่ระดับจอมราชันย์ได้!”

…………………………….

บทที่ 37 นักฆ่าผู้แข็งแกร่งและพิเศษ
Ink Stone_Fantasy
หลังจากที่รับประทานอาหารเสร็จ เย่เทียนเฉินและฉีหรูเสวี่ยมองเขม่นกันแวบหนึ่ง จากนนั้นเย่เทียนเฉินก็ขึ้นไปชั้นบน เพื่อเตรียมตัวเข้านอน คืนนี้ยังต้องไปกำจัดหลี่เถีย คิดว่าหมีภูเขาที่เป็นลูกน้องของหลี่เถียคงจะนำคำพูดที่บอกว่าตนเองจะไปเยี่ยมเยียนไปบอกเรียบร้อยแล้ว พักผ่อนเติมแรงให้เต็มที่สักหน่อย เที่ยงคืนยังต้องออกไปต่อสู้อีก

“ฉันเหลือกุ้งมังกรครึ่งตัว นายจะกินไหม?” ฉีหรูเสวี่ยตั้งใจยกกุ้งมังกรครึ่งตัวมา ยิ้มพลางกล่าวแซวเย่เทียนเฉิน

เย่เทียนเฉินกลืนน้ำลายเอื๊อก ถ้าหากว่าเป็นของอย่างอื่น ย่อมไม่อาจดึงดูดความสนใจของเขาได้แน่ ยกเว้นของอร่อยเท่านั้น ต้องยอมรับเลยว่าคุณหนูใหญ่ผู้สูงศักดิ์อย่างฉีหรูเสวี่ย ทั้งฉลาดและมีไหวพริบ อาหารที่ทำก็ไม่แย่ โดยเฉพาะกุ้งมังกรและเป๋าฮื้อที่ดูน่ากินมาก ขนาดหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ที่ไม่ชอบกินเป๋าฮื้อมาโดยตลอด ก็ยังกินไปสองตัวอย่างอดไม่ได้

“ไม่กิน อาหารของเธอนี่ ยังอร่อยสู้เครื่องปรุงรสบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไม่ได้เลย” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางกรอกตามองบนใส่ฉีหรูเสวี่ย

“ไม่กินก็ช่าง ฉันจะเก็บไว้เป็นอาหารเช้าพรุ่งนี้” ฉีหรูเสวี่ยยกยิ้มหวาน ท่าทางดูน่ารักอยู่หลายส่วน

เห็นท่าทางพออกพอใจของฉีหรูเสวี่ย เย่เทียนเฉินก็รู้สึกหดหู่ใจเล็กน้อย ที่คิดไม่ออกก็คือ ทำไมยัยนี่ถึงได้จับจุดอ่อนของเขาได้เร็วขนาดนี้กันนะ?

เย่เทียนเฉินหมุนกายจากไป ไม่สนใจฉีหรูเสวี่ยอีก เขากังวลจริงๆ ว่าตนเองจะทนไม่ไหวจนต้องพุ่งเข้าไปแย่งกุ้งมังกรครึ่งตัวในมือของฉีหรูเสวี่ยมากิน

เย่เทียนเฉินเข้ามายังห้องนอนของตน ปิดประตูลง นั่งขัดสมาธิลงบนเตียง มองดูแสงจันทร์สลัวนอกหน้าต่าง ดวงตาทั้งสองเปลี่ยนไปเป็นคมกริบ ไม่หลงเหลือแววไม่สนใจสิ่งใดให้เห็นอีกแม้แต่นิดเดียว ค่ำคืนนี้ถูกกำหนดให้แล้วว่าจะมีกการหลั่งเลือด หากต้องการจัดการตระกูลฉิน อย่างแรกต้องตัดแขนซ้ายและแขนขวาของตระกูลฉินทิ้งเสียก่อน ซึ่งสุนัขรับใช้ของตระกูลฉินก็คือหลี่เถียที่เป็นหัวโจกกลุ่มอิทธิพลใต้ดินแห่งเมืองหลวง คนคนนี้กล้าส่งคนมาลอบสังหารพ่อของตน แน่นอนว่าต้องตาย

ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีในชีวิตนี้จะต้องปกป้องให้ได้ ใครก็ไม่อาดมาเอาเปรียบคนข้างกายของตนได้ ไม่งั้นจะต้องได้พบกับหมัดของเย่เทียนเฉินแน่นอน

ตอนที่เย่เทียนเฉินเพิ่งจะนั่งขัดสมาธิบนเตียง เตรียมที่จะสัมฟัสถึงพลังพิเศษในร่างกายอยู่นั้น อยู่ๆ เขาก็รู้สึกได้ถึงการผันแปรของพลังอันแปลกประหลาดบริเวณหน้าต่างจึงหันไปมอง พบเงาของคนคนหนึ่งยืนอยู่บนขอบหน้าต่าง สวมชุดดำทั้งตัว จ้องมองมายังเย่เทียนเฉินด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก

เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว เขารู้สึกได้ว่าคนๆ นี้ไม่ธรรมดา จากความสามารถในการรับรู้ของพลังพิเศษ กระแสพลังในร่างกายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน กระแสพลังในร่างกายที่แผ่ออกมาจากคนธรรมดาจะอ่อนแรง ส่วนกระแสพลังที่แผ่ออกมาจากร่างกายของผู้แข็งแกร่งบางคน ต่อให้ปิดซ่อนเอาไว้ดีแค่ไหน ก็ยังปล่อยกระแสพลังอันแข็งแกร่งออกมาอย่างเบาบาง

หลังจากที่ตนได้มาเกิดใหม่ เย่เทียนเฉินมีความรู้สึกเช่นนี้เป็นครั้งแรก ชายที่ยืนอยู่บนระเบียงห้องนอนของเขาในตอนนี้คงจะแข็งแกร่งมาก ไม่อย่างนั้นตนคงไม่เพิ่งพบเขาในช่วงเวลาเดียวกันกับที่เขาปรากฏตัว

“มีข่าวลือว่าเย่เทียนเฉินตัวตลกของเมืองหลวงเปลี่ยนไปกลับเนื้อกลับตัวใหม่แล้ว ที่แท้ก็เป็นความจริง” ชายที่ยืนอยู่บนขอบหน้าต่างเอ่ยขึ้นพร้อมกับยิ้มอย่างเย็นชา

แม้ว่าจะรับรู้ได้ว่าชายที่ปรากฏตัวอย่างกะทันหันคนนี้แข็งแกร่งมาก เย่เทียนเฉินก็ยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงอย่างสงบ ยิ้มหลางกล่าวว่า “มีธุระอะไรรึเปล่า? ถ้าไม่มีธุระ ฉันจะนอนแล้ว!”

ชายคนนั้นขมวดคิ้ว เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเย่เทียนเฉินจะสงบเช่นนี้ เขาที่ปรากฏตัวอย่างกะทันหันคงไม่ได้มาเพื่อเยี่ยมเยียนเย่เทียนเฉินออย่างเดียวหรอกใช่หรือไม่? อีกอย่างการที่สามารถมาปรากฏตัวบนระเบียงหน้าต่างห้องนอนของเย่เทียนเฉินได้โดยไร้ซุ่มไร้เสียง ก็อธิบายได้ว่าฝีมือของเขาไม่ได้อ่อนแอ แต่เย่เทียนเฉินกลับถามเขาว่ามีธุระอะไร? ตกลงเจ้าหมอนี่มันแกล้งทำเป็นสงบ หรือว่ายังคงเป็นคนปัญญาอ่อนคนหนึ่งกันแน่?

“ฉันชื่ออู๋เสวี่ยเป็นคนที่จะมาฆ่าแก!” ชานคนนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น

“อ้อ? นายเป็นนักฆ่าที่น่าสนใจจริงๆ ไม่คิดเลยว่าจะบอกชื่อออกมาเอง” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“เฮอะ นี่เป็นหลักการในการเป็นนักฆ่าของฉันอู๋เสวี่ย ฉันจะให้คนที่ตายได้ตายอย่างกระจ่าง”

ผู้ที่มาก็คืออู๋เสวี่ยนักฆ่าอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง ความจริงแล้วตั้งแต่ตอนที่เขาเพิ่งจะปรากฏตัว เย่เทียนเฉินก็รับรู้ถึงความแข็งแกร่งของเขาแล้ว นี่อาจเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดที่เขาพบตั้งแต่เข้ามาอยู่ในเมือง

ตอนนี้เย่เทียนเฉินนึกถึงคำพูดที่ชางหลางบอกกับตนเมื่อตอนที่ออกมาจากกองทัพ ไม่ว่าเวลาใด ที่ไหนมีผู้คนที่นั่นย่อมมีการต่อสู้ ย่อมมีผู้แข็งแกร่ง อีกอย่างในโลกนี้ก็มีผู้แข็งแกร่งจากพรรควรยุทธ์โบราณและคนคลุ้มคลั่งที่มีพลังพิเศษอันแข็งแกร่งเช่นกัน ส่วนจะมีมนุษย์กลายพันธุ์และสัตว์อสูรหรือไม่ เย่เทียนเฉินไม่อาจทราบได้

“จะสู้จริงๆใช่ไหม?” เย่เทียนเฉินกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม

“คืนนี้ก่อนเที่ยงคืน ฉันจำเป็นต้องให้หัวแกหลุดจากบ่า ไม่งั้นคงไม่มีทางกลับไปชี้แจ้งให้ผู้ว่าจ้างได้ เพื่อไม่ให้รบกวนครอบครัวของแก ออกมาเถอะ!” อู๋เสวี่ยเอ่ยอย่างเย็นชา

ทันใดนั้นเย่เทียนเฉินก็พบว่านักฆ่านามอู๋เสวี่ยคนนี้ยึดถือหลักการของตนเองมาก และค่อนข้างพิเศษ ไม่เหมือนกับนักฆ่าคนอื่นๆ ที่ทำได้ทุกอย่างเพื่อเป้าหมายของตน แต่อูเสวี่ยกลับมีด้านที่มีมนุษยธรรมอยู่ด้วย ไม่ได้ชั่วช้าสามานย์เหมือนดั่งนักฆ่าธรรมดาทั่วไป

ความจริงแล้วตอนนที่อู๋เสวี่ยเพิ่งจะปรากฏตัว พลังพิเศษภายในร่างกายของเย่เทียนเฉินก็เดือดพล่านขึ้นมาแล้ว หากต้องการทะลวงพลังพิเศษระดับราชันย์ให้ไปถึงระดับจอมราชันย์ ก็ต้องการการต่อสู้ที่ดุเดือดเลือดพล่านมากกว่านี้ มีเพียงการต่อสู้เท่านั้นที่จะสามารถกระตุ้นแก่นพลังในสมองและสามารถขุดพลังภายในชีพจรออกมาได้

“งั้นก็ดี ถ้าหากแกแพ้ ฉันจะไม่ฆ่าแก!” เย่เทียนเฉินยังคงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

อู๋เสวี่ยขมวดคิ้ว เขารู้สึกได้ถึงความไม่ธรรมดาของเย่เทียนเฉิน เมื่อก่อนตอนที่รับการว่าจ้างให้ไปฆ่าคน เขาก็จะบอกกับคนที่จะถูกฆ่าเช่นนี้ คนจำนวนมากหากไม่คุกเข่าร้องขอชีวิต หรือพยายามเสี่ยงชีวิตกับตน ก็จะขยับขาวิ่งหนี แต่ว่าเย่เทียนเฉินไม่เหมือนกัน ตอนที่ทราบว่าตนมาเพื่อฆ่าเขา ก็ยังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงตลอด ไม่ขยับเขยื้อน คนที่มีรอยยิ้มที่ดูไร้ไร้พิษสง ขนาดอู๋เสวี่ยยังรู้สึกเกรงกลัวเล็กน้อย

“ฉันจะรอแกอยู่ที่ป่าใกล้ๆนี่!” อู๋เสวี่ยได้สติกลับมา ไม่พบร่างเขาบนขอบหน้าต่างแล้ว

เย่เทียนเฉินยิ้มบางพลางลุกขึ้นยืน เดินออกไปจากห้องนอนของตนเอง ขณะที่เห็นหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ เย่เชี่ยนเหวินน้องสาว และฉีหรูเสวี่ยคุณหนูใหญ่ผู้สูงศักดิ์ กำลังพูดคุยหยอกล้อกันอยู่ ก็เอ่ยขึ้นว่า “ผมออกไปเดินเล่นย่อยอาหารสักหน่อยนะครับ!”

“เดินเล่น? ย่อยอาหาร? พี่ พี่กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไปแค่ถ้วยเดียวไม่ใช่เหรอ? ยังจะอาหารไม่ย่อยอีกเหรอ?” เย่เฉียนเหวินกล่าวถามด้วยความแปลกใจ”

“อยากจะออกไปหาอะไรกินก็บอกมาชัดๆ เถอะ จะทำฟอร์มไปทำไม!” ฉีหรูเสวี่ยเองก็กล่าวพลางยิ้มอย่างพออกพอใจ

“เธอสิออกไปหาอาหาร เธอสิยัยตะกละ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปต่างหากล่ะที่สุดยอด อร่อยกว่าอาหารที่ใครบางคนทำตั้งเยอะ ฉันตัดสินใจแล้ว ต่อจากนี้ตอนไหนที่ใครบางคนทำอาหาร ฉันก็จะกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป” เย่เทียนเฉินปากแข็ง

“เทียนเฉิน งั้นลูกก็แย่แน่ แม่กำลังคิดอยู่เลยว่าต่อไปนี้จะให้หรูเสวี่ยช่วยแม่ทำอาหาร ให้แม่ซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเตรียมไว้ให้ลูกหลายๆ ลังหน่อยเอาไหม?” หลัวเยี่ยนเองก็เปิดปากถามด้วยรอยยิ้ม

เย่เทียนเฉินรู้สึกหดหู่ใจเป็นอย่างยิ่ง โบกมือเล็กน้อยแล้วเดินออกจากประตูบ้านไป ตอนนี้ไม่มีทางที่จะพูดคุยกับหญิงทั้งสามได้โดยสิ้นเชิง ไม่รู้ว่าฉีหรูเสวี่ยเอายาอะไรให้แม่และน้องกิน ทุกวันนี้พวกเธอถึงได้ยืนอยู่ฝั่งฉีหรูเสวี่ยอย่างเต็มตัว ช่วยพูดให้ฉีหรูเสวี่ยเสร็จสรรพ ไม่สนใจความรู้สึกของผู้เป็นลูกชายและพี่ชายเลย ถ้ารู้อย่างนี้ก็จะไม่สงสารฉีหรูเสวี่ยจนพาเธอกลับมาบ้านหรอก ตอนนี้เขาไม่มีที่ยืนและที่พูดในบ้านเลยสักนิด

หลังจากเดินออกจากประตูบ้าน เย่เทียนเฉินก็ควักบุหรี่ออกมาหจุดสูบเข้าไปเฮือกหนึ่ง ตอนที่ดูเวลาในโทรศัพท์มือถือพบว่าเป็นเวลาเกือบสี่ทุ่มแล้ว นอกจากอู๋เสวี่ยนักฆ่าที่มาโจมตีคนนี้แล้ว ก็ยังมีอันธพาลหลี่เถียที่รอให้ตนเองไปฆ่าอยู่ เขาจึงต้องลงมือให้รวดเร็ว

รอจนเย่เทียนเฉินเดินเข้าไปในป่าเล็กๆ ของเชตคฤหาสน์ อู๋เสวี่ยนั่งอยู่บนหินก้อนหนึ่ง ดวงตาทั้งสองมองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างเยือกเย็น ในเมื่อเขาตอบรับตระกูลลั่วแล้ว ก็ต้องทำตามเงื่อนไขของตระกูลลั่ว ขอเพียงฆ่าเย่เทียนเฉินได้ ลั่วซงเฉิงจะหาทางปล่อยพ่อบุญธรรมของตนออกมา เพื่อชื่อเสียงของนักฆ่าอันดับหนึ่งในเมืองหลวงของตน เพื่อพ่อบุญธรรม ไม่ว่าเย่เทียนเฉินจะแข็งแกร่งขนาดไหน อู๋เสวี่ยก็เตรียมจะลงมือฆ่าโดยใช้ทั้งหมดที่มี

“มีอะไรจะสั่งเสียไหม? ฉันช่วยบอกต่อให้ครอบครัวแกได้นะ” อู๋เสวี่ยกล่าวเสียงเย็น

“ไม่มี แกดูสิวันนี้พระจันทร์สวยจะตาย ถ้ายังไงฉันลองเดาดูหน่อยไหมว่าใครส่งแกมาฆ่าฉัน?” เย่เทียนเฉินเงยหน้ามองดวงจันทร์สว่างไสวที่ลอยอยู่บนฟ้า

“ไม่ต้องหรอก ตอนที่แกจะตาย ฉันจะให้แกตายอย่างไม่ค้างคา…”

คำพูดของอู๋เสวี่ยเพิ่งจะออกจากปาก ตัวก็พุ่งแวบเข้าหาเย่เทียนเฉินราวสายฟ้า กระโดดสูงขึ้นหนึ่งเมตรกว่าๆ แล้วปล่อยหมัดใส่หน้าอกของเย่เทียนเฉิน

แววตาของเย่เทียนเฉินเปลี่ยนไป เขามองไม่ผิดจริงๆ นักฆ่าที่ชื่ออู๋เสวี่ยคนนี้แข็งแกร่งมาก ลงมือเฉียบคม ทั้งยังมีการผันแปรของพลังภายในที่แข็งแกร่ง หากว่าเขาเดาไม่ผิดล่ะก็ อู๋เสวี่ยควรจะเป็นยอดฝีมือจากพรรควรยุทธ์โบราณ เคยฝึกฝนพลังภายในของพรรควรยุทธ์โบราณมาก่อน

เปรี้ยง!

เย่เทียนเฉินหลบหมัดของอู๋เสวี่ยที่ต่อยเข้ามา กำปั้นถูกใส่ต้นไม้ใหญ่ด้านข้างต้นหนึ่งซึ่งมีขนาดหนึ่งคนโอบเสียจนทะลุ เย่เทียนเฉินเห็นดังนั้นก็ตกตะลึงงัน

“หมัดของแกแข็งจริงๆ!” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ลงมือเถอะ ฉันว่าแกเองก็ไม่อ่อน ให้ฉันดูหน่อยว่าเย่เทียนเฉินเรื่องน่าขบขันที่สุดในเมืองหลวงที่เขาลือกัน หลังจากกลับตัวกลับใจแล้วจะร้ายกาจขนาดไหน!” อู๋เสวี่ยไม่คิดเลยว่าเย่เทียนเฉินจะหลบหมัดของตนเองที่แข็งแกร่งและรวดเร็วได้ง่ายๆ ในใจจึงสั่นสะท้านอย่างอดไม่ได้ พลันตัดสินใจว่าจะลงมือเต็มกำลัง

“งั้นแกระวังตัวด้วยล่ะ!” เย่เทียนเฉินยังคงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“โอหัง!”

อู๋เสวี่ยคำรามออกมาครั้งหนึ่ง กำหมัดทั้งสองแน่น ดูเหมือนกับนกสยายปีก เตรียมโจมตีอย่างรุนแรงในสายตาของเขา ต่อให้เย่เทียนเฉินมีฝีมืออยู่บ้าง แต่ก็ไม่อาจเอาชนะตัวเขาอู๋เสวี่ยได้

เมื่อต้องรับมือกับการออกหมัดอีกครั้งของอู๋เสวี่ย เย่เทียนเฉินก็ขมวดคิ้ว เนื่องจากเขารับรู้ได้ถึงการผันแปรของพลังภายในที่แข็งแกร่งสายหนึ่ง ตอนที่อยู่ในโลกแห่งความวินาศเขาเคยต่อสู้กับผู้แข็งแกร่งจากพรรควรยุทธ์โบราณมาก่อน ดังนั้นเขาจึงคุยเคยกับการรับรู้ถึงความผันแปรของพลังภายในเช่นนี้เป็นอย่างดี อีกทั้งเขายังสัมผัสได้ว่าพลังภายในที่ อู๋เสวี่ยระเบิดออกมายังแข็งแกร่งมาก

สองหมัดจู่โจม อู๋เสวี่ยสยายปีกยักษ์ออก เมื่ออู๋เสวี่ยออกหมัด การโจมตีด้วยพลังภายในที่แฝงไว้ด้วยความแข็งแกร่ง ทำให้เย่เทียนเฉินราวกับเห็นนกตัวใหญ่พุ่งโจมตีเข้ามา เขาไม่กล้าชักช้า รีบกลิ้งตัวลงบนพื้น แล้วเตะใส่ก้อนหินที่อยู่บนพื้น

ตู้ม!

เสียงหนึ่งดังสนั่นหวั่นไหว สองหมัดของอู๋เสวี่ยซึ่งแฝงไว้ด้วยพลังภายในที่กล้าแข็ง กระแทกใส่ก้อนหินจนแหลกเป็นผุยผง

………………………………………………..

บทที่ 36 เบื้องหน้ารับแขก เบื้องหลังเข้าครัว
Ink Stone_Fantasy
การมีลุงใหญ่กับลุงรองเช่นนี้ ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกได้ถึงโสกนาฏกรรมในการเกิดใหม่ของตนเอง มิน่าเล่าตระกูลเย่ถึงได้ตกต่ำลงทุกวัน ความเจริญก้าวหน้าของตระกูลอาศัยพลังของคนเพียงคนเดียวทำได้ยากมาก บวกกับหลังจากที่เย่หย่วนซานเกษียณออกมาแล้ว ลูกชายทั้งสามก็ไม่มีใครรับช่วงต่อ โดยเฉพาะแนวโน้มของลูกชายคนโตเย่มู่ไป๋และลูกชายคนรองเย่เฮ่อกั๋ว ที่มีแต่จะการแก่งแย่งชิงดีหนักข้อขึ้นทุกวัน ความแตกแยกเช่นนี้ ตระกูลเย่จะไม่ตกต่ำอย่างไรไหว

ในเมื่อลุงใหญ่และลุงรองไม่เห็นตนเองเป็นคนในครอบครัว เย่เทียนเฉินก็ย่อมไม่เกรงใจ รวมกับได้ยิน หลัวเยี่ยนแม่ของตนได้รับความอยุติธรรม เขาจึงโกรธขึ้นมาในทันที หากไม่เห็นว่าสองคนนี้เป็นพี่ชายของพ่อตน เย่เทียนเฉินคงลงมือไปแล้ว

“แก…แกกล้าใช้กำลังที่บ้านหลักตระกูลเย่ ยังเคารพกฏบ้านอยู่บ้างไหม?” ยามอีกคนหนึ่งที่ตกใจจนสั่นไปทั้งตัวพูดออกมา

เปรี้ยง!

เย่เทียนเฉินยังคงใช้ขาเตะยามอีกคนปลิวกระเด็นออกไป ในขณะที่มองดูยามทั้งสองร้องโอดโอยอยู่บนพื้น เย่เทียนเฉินก็พูดอย่างเย็นชาว่า “สุนัขรับใช้อย่างพวกแกสองคนบังอาจพูดถึงกฏบ้านตระกูลเย่ พวกแกคู่ควรแล้วเหรอ? จากนี้ไปถ้ายังกล้าพูดจาไม่เคารพกับเจ้านายอีก ใครก็ปกป้องชีวิตสุนัขของพวกแกไว้ไม่ได้!”

“เทียนเฉิน ช่างเถอะๆ พวกเราไปกันเถอะ ไปเถอะนะ…” หลัวเยี่ยนมีจิตใจดีงาม อย่างไรเสียที่นี่ก็เป็นบ้านหลักตระกูลเย่ ผู้อาวุโสก็อยู่ หากเกิดเกิดปัญหาขึ้นมาคงจะไม่ใช่เรื่องดี จึงรีบกล่าวเตือน

เย่เทียนเฉินถลึงมองสุนัขรับใช้ทั้งสองอย่างดุร้าย ยามทั้งสองตกใจจนร่างสั่นระริก เมื่อก่อนพวกมันล้วนทำตามคำสั่งของเย่มู่ไป๋และเย่เฮ่อกั๋ว ทุกครั้งที่พ่อแม่และน้องสาวของเย่เทียนเฉินมาก็ไม่เคยยิ้มแย้มให้ เย่หงเพื่อความเจริญรุ่งเรืองและความมั่นคงของตระกูลจึงไม่ได้คิดเล็กคิดน้อย แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะร้ายกาจถึงขนาดนี้ เขาไม่เหมือนกันเศษสวะไม่เอาไหนดังเช่นในอดีตอีกต่อไปแล้ว

เย่เทียนเฉินที่ออกจากบ้านหลักตระกูลเย่ อารมณ์ดีมาก หลายปีมานี้เมื่อพ่อแม่และน้องสาวกลับไปที่บ้านหลักตระกูลเย่ ไม่เพียงต้องพบกับคำพูดถากถางดูถูกของลุงใหญ่ลุงรอง กระทั่งยามเฝ้าประตูก็ยังกล้ารังแกพวกเขา ได้รับความอยุติธรรมมาไม่น้อยเลยทีเดียว เย่หงผู้เป็นพ่อทำเพื่อความเจริญรุ่งเรืองและความมั่นคงของตระกูล แต่เย่เทียนเฉินไม่เหมือนกัน เขาไม่แส่หาความยุ่งยากวุ่นวาย แต่ก็ไม่กลัวความยุ่งยาก ขนาดสุนัขรับใช้ยังกล้าทำแบบนี้ หากยังไม่จัดการ ก็บอกไม่ได้ว่าต่อไปพ่อแม่และน้องสาวจะต้องพบเจอกับความอยุติธรรมอีกเท่าไหร่

“เทียนเฉิน อย่างไรเสียพวกเขาก็เป็นลุงใหญ่ลุงรองของลูก ลูกทำแบบนี้ พ่อของลูกต้องรู้สึกผิดในใจแน่ ถึงยังไงอาวุโสก็อายุมากแล้ว” หลัวเยี่ยนกล่าวเตือนเย่เทียนเฉิน

“แม่ครับ ต่อไปนี้พวกแม่ก็อย่าไปที่บ้านหลักตระกูลเย่อีกเลย มีเรื่องอะไรก็ไม่ต้องไป เรื่องของครอบครัวเรา พวกเราจัดการกันเอง” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“อืม!”

เพราเหตุการณ์ในครั้งนี้ ทำให้หลัวเยี่ยนรู้สึกผิดหวังและเจ็บปวดจริงๆ เดิมทีคิดว่าไม่ว่าจะอย่างไรก็เป็นคนครอบครัวเดียวกัน ในช่วงเวลาเป็นตายก็ต้องช่วยเหลือกัน ไหนเลยจะรู้ว่าเย่มู่ไป๋และเย่เฮ่อกั๋วที่เป็นพี่ใหญ่ ไม่เพียงไม่ช่วยเหลือ แต่กลับพูดจาถากถาง โยนหินลงบ่อซ้ำเติม ช่างทำร้ายจิตใจคนในครอบครัวเหลือเกิน

“ใช่แล้วลูก เรื่องตระกูลลั่วจะจัดการยังไง ตกลงตำรวจสองคนนั้นมาหาลูกเพราะเรื่องอะไรกันแน่?” หลัวเยี่ยนกล่าวถามอย่างไม่ค่อยวางใจนัก

“เรื่องของตระกูลลั่วผมจัดการได้ครับ ตำรวจสองคนนั้นก็ไม่ได้มีเรื่องอะไร ก็แค่สอบถามทั่วไปเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวกับผมเลย ดังนั้นผมก็เลยกลับมา!” เย่เทียนเฉินตอบด้วยรอยยิ้ม

เมื่องหลัวเยี่ยนมองเย่เทียนเฉินผู้เป็นลูกชาย ก็พบว่าลูกชายที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ ทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจขึ้นทุกวันๆ แม้ว่าจะมีอารมณ์ขันเป็นบางครั้ง พูดคุยล้อเล่นกับครอบครัวเหมือนกับเมื่อก่อน แต่ว่าความเกเรในตัวกลับหายไป มีความกล้าแข็งของลูกผู้ชายมากขึ้น ดีที่สิ่งเหล่านี้เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดี บางทีลูกชายอาจจะเติบโตขึ้นจริงๆ แล้วก็ได้ หลัวเยี่ยนได้แต่คิดถึงเหตุผลนี้ข้อนี้

ในคฤหาสน์ตระกูลลั่ว ลั่วซงเฉิงกำลังพูดคุยกับลั่วฉีผู้เป็นลูกชายคนรองของตน เนื้อหาที่พูดคุยกันนั้นเกี่ยวกับเรื่องของอู๋เสวี่ยนักฆ่าอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง เนื่องจากความเปลี่ยนนแปลงของเย่เทียนเฉินเกินความคาดหมายของลั่วซงเฉิง เขาเองก็ไม่กล้าลงมืออย่างโจ่งแจ้ง จึงคิดที่จะซื้อตัวอู๋เสวี่ยให้ฆ่าเย่เทียนเฉิน สรุปแล้วตระกูลลั่วของพวกเขาทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว

“ทางอู๋เสวี่ยว่าไงบ้าง” ลั่วซงเฉิงเอ่ยถาม

“เขาบอกว่าจะลงมือคืนนี้ หวังว่าพรุ่งนี้เช้าเขาจะได้เห็นพ่อบุญธรรมของเขาออกจากคุก” ลั่วฉีตอบ

“บอกเขาไปว่าไม่มีปัญหา แต่ต้องจัดการเรื่องราวให้เรียบร้อยไร้ข้อบกพร่อง ถึงตอนนั้นฉันไม่เพียงจะคิดหาวิธีปล่อยพ่อบุญธรรมเขาออกมา แต่ยังจะให้เงินเขาก้อนหนึ่งเพื่อให้เขาไปให้ไกลแสนไกลด้วย” ลั่วซงเฉิงกล่าวด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย

“พ่อ พ่อคิดจะปล่อยพ่อบุญธรรมของอู๋เสวี่ยจริงๆ เหรอ? แล้วยังจะให้เงินเขาด้วย?” ลั่วฉีรู้จักพ่อของตนเป็นอย่างดี ลั่วซงเฉิงนั้นเป็นคนอำมหิตมาก ทำไมอยู่ดีๆ ถึงใจดีขนาดนี้?

“เจ้าลูกคนนี้นี่ คำพูดย่อมต้องพูดไปแบบนี้ จำไว้ว่าให้ส่งคนไปกับอู๋เสวี่ด้วย พอมันลงมือเสร็จก็ให้ยิงมันทิ้งซะ ฉันไม่อยากจะให้มีคนเจอเงื่อนงำอะไร”

“เข้าใจแล้วครับพ่อ ผมจะไปจัดการให้!”

ลั่วซงเฉิงเป็นคนที่โหดร้ายคนหนึ่ง ไม่เพียงแต่คิดจะให้อู๋เสวี่ยไปฆ่าเย่เทียนเฉิน แต่ยังคิดจะกำจัดอู๋เสวี่ยไปพร้อมๆ กันด้วย ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ทำให้คนอื่นหาหลักฐานที่เขาส่งคนไปลอบสังหารเย่เทียนไม่พบไปตลอดกาล อีกทั้งยังได้กำจัดเย่เทียนเฉินที่เป็นหนามตำตา เป็นเสี้ยนตำเนื้อด้วย

ตอนที่เย่เทียนเฉินและแม่กลับมาถึงคฤหาสน์ก็เป็นเวลาหกโมงกว่าแล้ว เวลานี้เย่เทียนเฉินไปเดินห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อเสื้อผ้าเป็นเพื่อนหลัวเยี่ยน รอจนพวกเขากลับมาถึงบ้านก็พบว่าบนโต๊ะอาหารมีอาหารเลิศรสวางอยู่เต็มโต๊ะ ส่วนฉีหรูเสวี่ยก็กำลังวุ่นอยู่ในห้องครัว

“คุณป้าคะ กลับกันแล้วเหรอคะ พักผ่อนสักครู่นะ อีกเดี๋ยวเฉี่ยนเหวินก็จะเลิกเรียนกลับมาบ้านแล้ว เดี๋ยวพวกเราค่อยทานข้าวกัน!” ฉีหรูเสวี่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม

หลัวเยี่ยนพยักหน้าอย่างชื่นชม แม้ว่าเรื่องที่ตระกูลฉีถอนหมั้นกับตระกูลเย่จะทำให้ตระกูลเย่ได้รับความอัปยศ แต่ว่าฉีหรูเสวี่ยเป็นผู้บริสุทธิ์ อีกทั้งผเด็กคนนี้ก็ทั้งสวยและขยัน กล่าวได้ว่าเบื้องหน้ารับแขกได้ดี เบื้องหลังเข้าครัวได้ดี ไม่ทันไรก็กลายเป็น ‘ว่าที่ภรรยา’ ของลูกชาย’ในใจของหลัวเยี่ยนไปเสียแล้ว

“ลูกคนนี้นี่ของดีอยู่ตรงหน้าแต่กลับไม่เห็น ภรรยาที่ดีขนาดนี้ อีกประเดี๋ยวก็ไปกล่าวชมเสียหน่อย อย่าทำเป็นไม่รู้จักถูกผิด” หลัวเยี่ยนหันไปกล่าวกับเย่เทียนเฉิน

เย่เทียนเฉินรู้สึกหดหู่ขั้นสุด เขาไม่รู้จริงๆ ว่าฉีหรูเสวี่ยต้องการจะทำอะไร เธอใช้คำโกหกหลอกลวงแม่และน้องสาว ตอนนี้ก็มาเข้าครัวทำอาหาร คงไม่ใช่ว่าหลงรักเขาเข้าจริงๆหรอกนะ? พอคิดถึงความเป็นไปได้นี้ เย่เทียนเฉินก็ส่ายหน้าแรงๆ แม้ว่าเวลาที่อยู่กับฉีหรูเสวี่ยจะสั้น แต่ว่าสำหรับนิสัยของคุณหนูใหญ่คนนี้ เขาเข้าใจอยู่บ้งา คงไม่ใช่ทำอาหารให้พวกเขากินด้วยเจตนาดีหรอก

“หรูเสวี่ย ทำไมถึงเข้าครัวด้วยตัวเองล่ะ มานี่เร็ว ให้ป้าทำเอง” หลัวเยี่ยนกล่าวยิ้มๆ แต่มือก็ไม่ได้ขยับ ราวกับว่ากำลังพิจารณาลูกสะใภ้คนนี้อยู่ก็ไม่ปาน

“คุณป้าไปพักผ่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวทำซุปนี้เสร็จก็เรียบร้อยแล้วค่ะ” ฉีหรูเสวี่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม

จริงๆ สาเหตุที่ฉีหรูเสวี่ยเข้าครัวทำอาหารก็เพรา อย่างแรกคือว่างจนเบื่อ ตอนที่อยู่ต่างประเทศเธอใช้ชีวิตคนเดียว และมักจะทำอาหารเองบ่อยๆ ฝีมือทำอาหารก็พอไปวัดไปวาได้ อย่างที่สอง การมาพักอาศัยอยู่ที่ตระกูลเย่ จะอย่างไรก็ถือว่าเป็นการรบกวน เธอรู้สึกไม่ค่อยดีนัก การทำอาหารให้คุณป้ากับคุณน้องกินสักก็ไม่ถือว่าเกินเลย

สักพักหนึ่ง เย่เชี่ยนเหวินก็เลิกเรียนกลับถึงบ้าน พอเห็นอาหารเต็มโต๊ะ ก็ยิ้มอย่างแปลกใจพลางกล่าวถามว่า “แม่ วันนี้วันอะไรเหรอคะ? ฉลองอะไรเหรอ? อาหารเยอะขนาดนี้ มีแม้กระทั่งเป๋าฮื้อกับกุ้งมังกรด้วย!”

“ฮ่าๆ แม่ไม่ได้เป็นคนทำ พี่หรูเสวี่ยของลูกลงแรงทั้งนั้น” หากฟังน้ำเสียงของหลัวเยี่ยนแล้ว จะพบว่าเธอรู้สึกพอใจลูกสะใภ้คนนี้เพิ่มขึ้นทุกๆ วัน

“ว้าว พี่หรูเสวี่ยสุดยอดเลย หน้าตาก็สวย ทำอาหารก็เป็น ใครได้แต่งกับพี่สาวหรูเสวี่ย คงต้องขอบคุณฟ้าดินไปชั่วชีวิต!” เย่เชี่ยนเหวินกล่าวพลางหัวเราะฮี่ๆ

พูดจบ เย่เชี่ยนเหวินก็ถึงไปข้างกายเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินกำลังนั่งเอนตัวอ่านหนังสือพิมพ์อยู่บนโซฟา พร้อมๆ กับกินกาแฟอย่างสบายอกสบายใจ

“พี่ชาย พี่ควรจะสำนึกตัวหน่อยนะ ว่ากันตามจริงแล้ว หนูไม่รู้ว่าพี่สาวหรูเสวี่ยถูกใจส่วนไหนของพี่กันแน่? ถ้าหากว่าหนูเป็นพี่สาวหรูเสวี่ย คงไม่ชอบพี่แน่นอน!” เย่เชี่ยนเหวินกล่าวพลางกรอกตามองบนใส่พี่ชายของตน

“นี่ ยัยเด็กคนนี้นี่จะทรยศใช่ไหม? มีใครที่ไหนพูดถึงพี่ชายตัวเองแบบนี้บ้าง?” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางมองน้องสาวอย่างอับจนคำพูด

“แม่ว่าน้องสาวลูกก็พูดไม่ผิดหรอกนะ คางคกอย่างลูกสามารถได้รับความรักจากหงส์อย่างหรูเสวี่ย ก็ถือเป็นโชควาสนาแล้ว!” ไม่รอให้เย่เชี่ยนเหวินผู้เป็นน้องได้โต้แย้ง หลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ก็กล่าวแทรกมาจากด้านข้าง

“แม่ครับ มีแม่ที่ไหนพูดถึงลูกชายแบบนี้บ้าง?”

เมื่อต้องรับมือกับแม่และน้องสาว เย่เทียนเฉินก็ไร้คำพูดโดยสิ้นเชิง ฉีหรูเสวี่ยพูดจาไพเราะน่าฟัง ก็หลอกให้พวกแม่เชื่อถือได้แล้ว การที่เขากลายเป็นชายทรยศ ฉีหรูเสวี่ยกลายเป็นผู้หญิงงมงายในรัก ทำให้แม่และน้องสาวดูถูกเล็กน้อย ตอนนี้พอฉีหรูเสวี่ยทำอาหาร ก็ทำให้เย่เทียนเฉินกลายเป็นคางคก หดหู่ใจเหลือเกิน

“คุณป้า น้องสาว กินข้าวได้แล้วค่ะ!” ฉีหรูเสวี่ยกล่าวยิ้มๆ ในขณะที่ประคองน้ำซุปที่ทำเสร็จแล้ววางลงบนโต๊ะ

“ในที่สุดก็กินได้แล้ว ไปเดินช้อปปิ้งเป็นเพื่อนแม่มาทั้งบ่าย หิวจนท้องร้องจ้อกจ้อกแล้ว!”

เย่เทียนเฉินพุ่งเข้าไปที่โต๊ะอาหารเป็นคนแรก เขาค่อนข้างให้ความสำคัญกับเรื่องกินมาโดยตลอด อีกอย่างอาหารเต็มโต๊ะที่ฉีหรูเสวี่ยทำ มีครบทั้งรูปรสกลิ่น คิดไม่ถึงเลยว่าฝีมือทำอาหารของคุณหนูใหญ่ผู้สูงส่งคนนี้จะใช้ได้ไม่เลวเลยทีเดียว

แต่ตอนที่เย่เทียนเฉินเตรียมจะขยับตะเกียบ ฉีหรูเสวี่ยก็เข้ามาขวางไว้ในทันที พบว่าฉีหรูเสวี่ยทำหน้าบึ้งพร้อมๆ กับยิ้มอย่างชั่วร้าย ด้วยท่าทางน่ารักเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะดวงตาทั้งสองข้างซึ่งกำลังมองเย่เทียนเฉินอย่างดุดัน เธอกล่าวว่า “ที่ฉันทำอาหารมื้อนี้ก็เพื่อที่จะขอบคุณคุณป้าและน้องสาว ขอบคุณที่พวกยอมให้ฉันอยู่ มีแค่นายคนเดียวที่พยายามไล่ฉันไป ยังจะคิดมากินอาหารที่ฉันทำอีกเหรอ ไม่มีทาง!”

“นี่ ฉีหรูเสวี่ย เธอช่วยทำให้มันชัดเจนด้วย ที่นี่คือบ้านของฉัน ไม่ใช่บ้านของเธอ ฉันกินข้าวที่บ้านตัวเอง ยังต้องผ่านความเห็นชอบจากเธอด้วยเหรอไง?” เย่เทียนเฉินกล่าวถามอย่างหงุดหงิด

“พวกคุณคิดว่าไงคะ?” ฉีหรูเสวี่ยยิ้มอย่างชั่วร้าย มองไปยังแม่และน้องสาว

เย่เทียนเฉินหันไปมองแม่และน้องสาว พบว่าพวกเธอต่างก็กำลังพยักหน้าอยู่ เป็นความหมายว่ายืนอยู่ฝั่งเดียวกับฉัหรูเสวี่ยอย่างชัดเน ทำให้เย่เทียนเฉินโกรธจนเนื้อเต้น

“เป็นไงล่ะ? ถ้าหากนายเลือกที่จะขอโทษฉัน ฉันก็จะให้นายกิน” ฉีหรูเสวี่ยยิ้มหวานหยดย้อยอย่างชั่วร้ายพลางกล่าว

“ไม่มีทาง ฉันกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเอาก็ได้ ไม่กินอาหารที่เธอทำหรอก รสชาติต้องแย่แน่!”

อาหารมื้อนี้ ฉีหรูเสวี่ย หลัวเยี่ยนและเย่เชี่ยนเหวินสามคน กินอย่างมีความสุขตลอดหนึ่งชั่วโมงกว่า กินจนกระทั่งฟ้ามืดเวลาประมาณสองทุ่ม ส่วนเย่เทียนเฉินกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอยู่ด้านข้าง ถูกฉีหรูเสวี่ยแซวเล่นเป็นระยะๆ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าแม่กับน้องสาวอยู่ด้วย เกรงว่าเย่เทียนเฉินกับฉีหรูเสวียที่รักกันปานจะกลืนกิน คงจะบีบคอกันไปแล้ว แต่ในความรู้สึกของหลัวเยี่ยนและเย่เชี่ยนเหวินกลับเหมือนคู่รักทะเลาะกันไม่มีผิด

……………………………………………

บทที่ 35 สำหรับคนในครอบครัวเช่นนี้ ทำไมต้องเกรงใจด้วย?
Ink Stone_Fantasy
“แม่ครับ พวกเราไปกันเถอะ อย่าไปโมโหพวกคนแปลกหน้าพวกนี้เลย” เย่เทียนเฉินผลักประตูเดินเข้าไป ไม่ได้แสดงความเคารพลุงใหญ่ ลุงสอง หรือกระทั่งผู้อาวุโสเย่หย่วนซาน แต่พูดกับหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ด้วยรอยยิ้ม

“เทียนเฉิน ลูก ลูกกลับมาได้ยังไง? ลูกไม่เป็นไรใช่ไหม พวกเขาไม่ได้ทำอะไรลูกใช่ไหม?” หลัวเยี่ยนตกใจมาก คิดไม่ถึงว่าาลูกชายจะกลับมาเร็วขนาดนี้ ตอนแรกคิดว่าเกิดเรื่องราวอะไรใหญ่โต รีบเข้าไปดูลูกชายว่าได้รับบาดเจ็บหรือไม่

ไม่ใช่แค่หลัวเยี่ยน กระทั่งเย่มู่ไป๋ เย่เฮ่อกั๋ว และผู้อาวุโสเย่หย่วนซาน ต่างก็ตกตะลึงเป็นอย่างมากเช่นกัน ตระกูลเย่นั้นแม้ว่าจะเป็นตระกูลชั้นสาม แต่ปกติแล้วตำรวจจะไม่กล้ามาจับคนถึงหน้าประตูบ้านโดดเด็ดขาด ครั้งนี้ การที่เย่เทียนเฉินถูกจับตัวไป เรื่องราวคงไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้นแน่ พวกเขาคาดเดาว่าตระกูลลั่วเป็นผู้ลงมือ เย่เทียนเฉินถูกจับไป ต่อให้ไม่ตายก็คงถูกถลกหนัง แต่กลับกลับมาได้อย่างครบสามสิบสอง ช่างเหนือความคาดหมายของผู้คนจริงๆ

“ไม่เป็นไรครับ ก็แค่การสอบถามธรรมดาทั่วไปเท่านั้นเอง เหมาะสมกับประชาชนคนดีอย่างผม พูดกันไม่กี่ประโยคก็เสร็จแล้ว!” เย่เทียนเฉินไม่อยากให้แม่กังวลใจ จึงไม่พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นที่สถานีตำรวจ และทำตัวสบายๆ และผ่อนคลาย

“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” หลัวเยี่ยนถอนหายใจอย่างโล่งอก กล่าวพร้อมกับหัวเราะทั้งน้ำตา

ตอนนี้เอง เย่มู่ไป๋และเย่เฮ่อกั๋วก็มีปฏิกริยาขึ้นมา ต่างก็มองเย่เทียนเฉินแปลกๆ คิดถึงคำพูดเมื่อสักครู้นี้ของเย่เทียนเฉิน ในใจก็รู้ไม่พอใจ

“คนแปลกหน้า? พวกเราเป็นคนแปลกหน้าสำหรับแกงั้นเรอะ? ไอ้คนไม่มีสัมมาคารวะ”

“สะใภ้สาม บ้านเธอไม่มีการสอนกันในครอบครัวรึไง? เจอผู้ใหญ่ไม่รู้จักถามสารทุกข์สุขดิบ ถ้าเรื่องนี้หลดออกไปคนอื่นจะมองพวกเราตระกูลเย่ยังไง”

เมื่อได้ยินคำพูดของเย่มู่ไป๋และเย่เฮ่อกั๋ว หลัวเยี่ยนกำลังคิดอยากจะโต้กลับสักหลายประโยค เมื่อสักครู่นี้พวกเขาทำเกินไป มองพวกเธอเป็นคนในครอบครัวที่ไหนกัน ต่อให้ไม่ได้เป็นครอบครัวเดียวกัน ก็ไม่ควรจะซ้ำเติม พวกเขาจะอย่างไรก็มีฐานะเป็นญาติผู้ใหญ่ของเย่เทียนเฉิน ไม่เพียงไม่ช่วยคิดหาวิธีช่วยเหลือ ซ้ำยังพูดจาถากถางแดกดัน เป็นใครก็ต้องโมโห

โครม!

หลัวเยี่ยนยังไม่ได้พูดอะไร เย่เทียนเฉินก็ขวางเธอไว้ แล้วเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ถีบโต๊ะกินข้าวล้มลง ทำให้เย่มู่ไป๋และเย่เฮ่อกั๋วตกใจ พวกเขาไม่คิดเลยว่าเย่เทียนเฉินจะกล้าขนาดนี้ ถึงกับกล้าอวดดีต่อหน้าผู้อาวุโส

“เป็นเพราะมีสวะอย่างพวกคุณสองคน ถึงทำให้ตระกูลเย่ที่สามัคคีกันต้องกลายเป็นแบบนี้ คนในครอบครัวตัวเองเกิดเรื่อง ไม่เพียงไม่ช่วยคิดหาวิธี ยังจะซ้ำเติมเข้าไปอีก พูดจาบิดเบือนความเป็นจริง ถ้าเรื่องนี้หลุดออกไปถึงจะทำให้ทุกตระกูลในเมืองหลวงหัวเราะเยาะตระกูลเย่ของพวกเรา ผมล่ะเสียใจกับตระกูลเย่จริงๆ ที่มีสวะที่คิดถึงแต่ผลประโยชน์ส่วนตนอย่างพวกคุณสองคน” เย่เทียนเฉินกล่าวเสียงทุ้มต่ำ

“แก…อวดดี นี่เป็นท่าทางที่แกใช้พูดกับผู้ใหญ่เหรอ?” เย่มู่ไป๋ที่โกรธจนใบหน้าซีดขาวตะโกนออกมา

“ไอ้คนไม่รู้จักสัมมาคารวะ กล้าลงไม้ลงมือต่อหน้าผู้อาวุโส อยากจะถูกลงโทษด้วยกฏบ้านใช่ไหม?” เย่เฮ่อกั๋วที่โกรธจนตัวสั่นก็ด่าออกมาเช่นกัน

เปรี้ยง!

เย่เทียนเฉินใช่ฝ่ามือตบใส่เสาหินด้านข้าง ทันใดนั้นเสาหินก็เกิดรอยปริแตก หากไม่คิดว่าเย่มู่ไป๋และเย่เฮ่อกั๋วเป็นพี่ชายของพ่อ เย่เทียนเฉินก็คงตบใส่ร่างของสองคนนี้ไปตั้งแต่แรกแล้ว สวะของตระกูลเย่ ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขา ตระกูลเย่จะตกต่ำจนเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร

การที่เย่หย่วนซานเกษียณออกจากตำแหน่ง ก็เพื่อที่จะเบิกทางให้แก่ลูกชายทั้งสาม เพียงแต่น่าเสียดายที่ลูกชายคนโตเย่มู่ไป๋และลูกชายคนรองเย่เฮ่อกั๋วรู้จักแต่ช่วงชิงทรัพย์สินครอบครัว กีดกันลูกชายคนที่สามเย่หงทุกวิถีทาง สิ่งเหล่านี้เย่หย่วนซานต่างก็รับรู้ แต่ทุกคนต่างก็เป็นลูกชายของตนเอง จะร้ายจะดีก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไข เขาไม่รู้จะทำเช่นไร จึงได้แต่มองดูเหตุการณ์เช่นนี้ดำเนินต่อไป

“กฏบ้าน? กฏบ้านที่ดูแลไม่ได้แม้แต่คนไม่อาไหนอย่างพวกคุณ ผมว่ากฏบ้านไม่ต้องมีก็ได้” เย่เทียนเฉินกล่าวเสียงดัง

เย่มู่ไป๋และเย่เฮ่อกั๋วตกใจจนแทบจะหงายหลัง เดิมทีพวกเขาคิดจะใช้ฐานะญาติผู้ใหญ่สั่งสอนเย่เทียนเฉิน ไหนเลยจะรู้ว่าเย่เทียนเฉินที่อยู่ตรงหน้านี้จะไม่ใช่คนที่พวกเขาจะสั่งสอนได้

“พ่อครับ พ่อดูไอ้เด็กไม่ได้ความนี่สิ ทำตัวเลยเถิดเกินไปแล้ว”

“พ่อครับ มันกล้าอวดดีต่อหน้าพ่อ ต่อไปไม่แน่ว่าจะสร้างปัญหาให้กับตระกูลเย่ของพวกเราแน่ ไม่สั่งสอนไม่ได้นะครับ”

เย่มู่ไป๋และเย่เฮ่อกั๋วที่กลัวเย่เทียนเฉิน ได้แต่ขอความช่วยเหลือจากเย่หย่วนซาน อย่างไรเสียเย่หย่วนซานก็เป็นผู้อาวุโสตระกูลเย่ เป็นกระดูกสันหลังของตระกูลเย่ทั้งตระกูล

“เทียนเฉิน หลานไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ปู่ยังคิดจะหาความสัมพันธ์สมัยก่อนช่วยเหลือหลานออกมาจากสถานีตำรวจอยู่พอดีเลย!” เย่หย่วนซานมองเย่เทียนเฉินแวบหนึ่ง อย่างไรเสียก็เป็นหลานชายของตนเอง เขาคงไม่อาจทนเห็นหลานชายถูกผู้อื่นฆ่าได้จริงๆ ได้แน่ สำหรับความ ‘อวดดี’ ของเย่เทียนเฉินนั้น เย่หย่วนซานรู้ดีแก่ใจว่าลูกชายคนโตและลูกชายคนรองก็ทำเกินไปจริงๆ อย่างไรก็เป็นครอบครัวเดียวกัน

“งั้นเหรอครับ? ถ้าอย่างนั้นผมก็ต้องขอบคุณผู้อาวุโสมาก ผมยังมีธุระ ขอตัวก่อนะ!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว

เมื่อเย่หย่วนซานได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉินก็ขมวดคิ้วไม่หยุด ไม่เคยมีลูกหลานคนไหนกล้าพูดกับตนเองเช่นนี้มาก่อน เขาอยากจะระเบิดอารมณ์ แต่ก็คิดว่าในช่วงหลายปีมานี้รู้สึกผิดต่อครอบครัวของลูกสามมากจริงๆ จึงได้พูดว่า “คราวนี้หลานบ้าบิ่นมากที่ไปทำร้ายหลานชายสองคนของตระกูลลั่ว ลั่วซงเฉิงเป็นคนที่รักพวกพ้องมาก ไม่ยอมจบง่ายๆแน่ หากอยากจะจัดการเรื่องนี้ เป็นเรื่องยากมาก”

“ใช่แล้ว ตอนนี้อำนาจของตระกูลลั่วกำลังรุ่งเรือง แกกล้าไปทำร้ายคนของตระกูลลั่ว รนหาที่ตายรึไง?”

“ลั่วซงเฉิงมีอิทธิพลมาก การเลือกตั้งคณะกรรมาธิการทหารครั้งนี้มีโอกาสมากที่จะมีเขาอยู่ด้วย ถึงตอนนั้นตระกูลเย่ของพวกเราเกรงว่าจะทำได้แค่ก้มหน้ารับกรรม”

ยังไม่ทันรอให้เย่เทียนเฉินพูด เย่มู่ไป๋และเย่เฮ่อกั๋วก็เริ่มใส่สีตีไข่ การที่เย่เทียนเฉินกล้ามาใช้ท่าทางแบบนี้กับพวกเขา ในใจของพวกเขาย่อมไม่พอใจ แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ได้แต่เพียงชักจูงผู้อาวุโสให้ปรามเย่เทียนเฉิน

“งั้นในสายตาของพวกคุณสองคน เรื่องนี้จะทำยังไงดีล่ะ?” เย่เทียนเฉินจงใจกล่าวถามด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น

“เฮอะ ตระกูลลั่วในตอนนี้พวกเราไม่สามารถไปหาเรื่องด้วยได้ แกไปยอมรับโทษที่ตระกูลเย่ด้วยตัวเองซะ” เย่มู่ไป๋ร้องหึครั้งหนึ่ง พอเห็นว่าเย่เทียนเฉินคล้ยกับรู้สึกลัวขึ้นมาแล้ว ก็เอ่ยปากตอบ

“ใช่แล้ว พวกเราไปกันทั้งตระกูล แบบนี้ถึงจะแสดงถึงความจริงใจได้ สุดท้ายจะลงโทษแกยังไงก็แล้วแต่ตระกูลลั่วแล้ว” เย่เฮ่อกั๋วเองก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ไสหัวไป!” เย่เทียนเฉินตะโกนด่าเย่มู่ไป๋และเย่เฮ่อกั๋วอย่างอดไม่ไหว

เย่มู่ไป๋และเย่เฮ่อกั๋วต่างก็รู้สึกตกใจ เย่เทียนเฉินในตอนนี้ไม่เหมือนกับหลานชายเลยสักนิด กลับมีลักษณะของหัวหน้าครอบครัว เย่เทียนเฉินมองพวกเขาด้วยความโกรธเคือง ก่อนจะด่าต่อไปว่า “ตอนแรกผมก็คิดว่าผมเป็นคนไม่เอาไหน เป็นขยะคนหนึ่ง ไม่คิดเลยว่าพวกคุณสองคนเป็นเศษสวะของจริง เมื่อก่อนตระกูลเย่ของเราเเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง ต่อให้ตอนนี้ตกต่ำลง แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่เอาคนทั้งตระกูลไปขอขมาผู้อื่นถึงหน้าบ้าน แบบนี้จะเอาหน้าตาของตระกูลเย่ของพวกเราไปไว้ที่ไหน? ส่งเสริมความทะเยอทะยานของผู้อื่น ทำลายอำนาจของตนเอง นี่สิถึงจะเป็นทำให้ผู้คนต้องหัวเราะเยาะอย่างแท้จริง”

เย่เทียนเฉินด่าจนเย่มู่ไป๋และเย่เฮ่อกั๋วใบหน้าซีดขาว กระทั่งผู้อาวุโสเย่หย่วนซานก็ต้องสั่นสะท้าน หลายปีมานี้เขาค่อยๆ แก่ลงทุกวัน อีกทั้งไม่มีอำนาจอยู่ในมือมานาน จิตใจก็ค่อยๆ อ่อนลง การด่าของเย่เทียนเฉิน ทำให้เขาหาความภาคภูมิใจในอดีตพบ ในตอนที่ตนมีอำนาจ ใครหน้าไหนกล้ามาหาเรื่องตระกูลเย่บ้าง? ไม่เหมือนกับตอนนี้ กระทั่งพวกอันธพาลจากอิทธิพลใต้ดินของเมืองหลวงก็ไม่เห็นตระกูลเย่อยู่ในสายตา

“เทียนเฉินเอ้ย อยู่กินข้าวเย็นกันก่อนเถอะ” เย่หย่วนซานพลันงรู้สึกว่าหลานชายคนนี้เปลี่ยนไปแล้ว เด็กเสเพลปอดแหกในอดีต ตอนนี้มีบรรยากาศมีความกล้าแกร่งอยู่หลายส่วน ถึงขั้นมีมากกว่าลูกชายทั้งสามคนของตนเองด้วยซ้ำ บางทีในอนาคตเย่เทียนเฉินยังจำเป็นต้องให้เขาคอยส่งเสริม

“ไม่ต้องหรอกครับผู้อาวุโส จากนี้ไปเรื่องของครอบครัวผม ผมจะแก้ปัญหาเอง ไม่รบกวนคุณหรอก!”

พูดจบ เย่เทียนเฉินก็ไม่สนใจคนอื่นอีก จูงมือหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่เดินออกจากห้องโถงของบ้านหลักไป เห็นดังนั้นเย่มู่ไป๋และเย่เฮ่อกั๋วก็ตกตะลึง เย่เทียนเฉินอวดดีเช่นนี้ เย่หย่วนซานผู้เป็นพ่อไม่เพียงแต่ไม่โกรธ ในขณะที่มองเงาหลังที่กำลังจากไปของเย่เทียนเฉิน ยังปรากฏรอยยิ้มชื่นชมออกมาด้วย

“พ่อครับ ไอ้เด็กไม่รักดีคนนี้มันสร้างปัญหาใหญ่…”

“ถ้าไม่ลงโทษ เกรงว่าตระกูลลั่ว…”

“ไสหัวไป พวกแกสองคนไสหัวออกไปซะ!”

คราวนี้ คำพูดซ้ำเติมของเย่มู่ไป๋และเย่เฮ่อกั๋วยังไม่ทันจะพูดจบ ก็ถูกเย่หย่วนตัดบท ทั้งสองตกใจจนทำอะไรไม่ถูก นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นพ่อโมโหขนาดนี้ พากันผละไปอย่างเศร้าหมอง

เย่หย่วนซานถอนหายใจครั้งหนึ่ง เขารู้ดีว่าเย่เทียนเฉินกล่าวไม่ผิด ลูกชายคนโตและลูกชายคนรองต่างหากล่ะที่เป็นความเสื่อมโทรมของตระกูลอย่างแท้จริง ในขณะเดียวกันเย่หย่วนซานก็รู้สึกชื่นชมเย่เทียนเฉินหลานชายของตนขึ้นมา เย่เทียนเฉินที่เคยทำตัวเกเรดูเหมือนจะเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ กลายเป็มีความกล้าและความสามารถ การใช้ชีวิตอยู่ในเมืองที่เป็นมลพิษต่อความคิดอย่างเมืองหลวง และสถานที่ที่มีอำนาจอิทธิพลมากมายครอบงำอยู่ จะทำอะไรก็ต้องระมัดระวัง หากไม่มีความแข็งกร้าวก็ไม่มีทางที่จะประสบความสำเร็จ

“ส่งเสริมความหวังของตระกูลเย่ ปู่ขอพนันข้างหลานก็แล้วกัน!” เย่หย่วนซานพูดกับตนเอง

เย่เทียนเฉินจูงมือหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ เดินไปยังประตูใหญ่ของบ้านหลัก เขาไม่อยากจะอยู่ที่บ้านหลักแห่งนี้แม้แต่สักวินาที หากไม่เห็นว่าแม่ต้องรองรับอารมณ์ของลุงใหญ่และลุงรองเพื่อ และรับความอัปยศเพื่อเขา เย่เทียนเฉินก็คร้านที่จะไประเบิดอารมณ์ใส่ มีตนอย่างลุงทั้งสองนี้ แม่งเป็นโศกนาฏกรรมของการได้เกิดใหม่จริงๆ

“ลูก ลูกไม่เป็นอะไรจริงๆใช่ไหม ทำไมสานีสันติบาลถึงได้ปล่อยลูกกล่ะ?” หลัวเยี่ยกล่าวถามด้วยความกังวลเล็กน้อย

“อ๋อ พวกเขาเข้าใจผิดหนะครับ ในเมื่อเรื่องมันไม่เกี่ยวกับผม ก็ต้องปล่อยผมอยู่แล้วล่ะ!” เย่เทียนเฉินตอบแม่ด้วยรอยยิ้ม

“เทียนเฉิน เรื่องตระกูลลั่ว…”

“แม่ครับ ผมบอกแล้วไงว่าผมจัดการได้ แม่ไม่ต้องห่วงหรอก วางใจเถอะ ตอนเย็นผมอยากกินบะหมี่คลุกซอส!” เย่เทียนเฉินกล่าวขัดคำพูดของผู้เป็นแม่ด้วยรอยยิ้ม

เพิ่งจะเดินไปถึงประตูบ้านหลังตระกูลเฉิน ยามสองคนนั้นที่ถูกเย่เทียนเฉินอัดจนหมดท่าก็ขวางเย่เทียนเฉินกับหลัวเยี่ยนเอาไว้อีกครั้ง พวกเขาไม่เห็นครอบครัวของเย่เทียนเฉินอยู่ในสายตาโดนสิ้นเชิง นี่เป็นคำสั่งของเย่มู่ไป๋และเย่เฮ่อกั๋วที่ให้พวกมันสร้างความลำบากใจให้ครอบครัวของเย่หงทุกครั้ง

“เย่เทียนเฉิน แกกล้าลงมือกับพวกเรา ไป ไปอธิบายกัยผู้อาวุโสซะ” ยามคนหนึ่งที่กุมท้องของตนเอง กล่าวขึ้นในขณะที่มองเย่เทียนเฉินอย่างดุร้าย

เปรี้ยง!

ยามผู้นั้นร้องโหยหวนในตอนที่ถูกเตะกระเด็นออกไป เขาชนเข้ากับประตูรั้ว ดิ้นรนอยู่ครู่หนึ่งก็ลุกไม่ขึ้นอีก ทำให้ยามอีกคนตกใจเสียจนหน้าซีด สั่นไปทั่วทั้งตัว บนหน้าผากปรากฏเหงื่อเย็นไหลเป็นสาย เขาคิดไม่ถึงว่าคนที่ตนเองมองว่าเป็นคนไม่เอาไหนมาตลอด ไอ้ขยะเย่เทียนเฉินคนนี้ ในปัจจุบันจร้ายกาจถึงขนาดนี้

“อย่าพูดว่าครอบครัวของฉันมาที่บ้านหลักตระกูลเย่นี่ไม่ได้อีก ฉันก็มาแล้วไง ถ้าใครกล้าไม่เคารพอีก ฉันจะฆ่ามันซะ!” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางมองยามที่เป็นทาสชั้นต่ำทั้งสองด้วยสายตาเย็นชา

………………………………………………

บทที่ 34 แบบนี้ยังถือว่าเป็นครอบครัวเดียวกันอีกเหรอ?
Ink Stone_Fantasy
ณ ตระกูลฉี ภายในบ้านหลักตระกูลฉี ฉีชางเซิ่งรู้สึกโกรธจัด เขาคิดไม่ถึงเลยว่าฉีหรูเสวี่ยลูกสาวของตนจะหนีออกจากบ้านไปจริงๆ ไม่คิดถึงสายสัมพันธ์พ่อลูกเลยสักนิด พี่น้องลุงอาทั้งหลายไม่ทันไรก็สร้างปัญหา เพราะการแต่งงานระหว่างตระกูลฉีและตระกูลฉินครั้งนี้ ต่อให้ยังไม่ได้หมั้นหมาย แต่พวกเขาก็ได้ติดต่อกับตระกูลฉินไว้หมดแล้ว และได้รับผลตอบแทนมาไม่น้อย หากว่าฉีหรูเสวี่ยเป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมแต่งเข้าตระกูลฉินจริงๆ ก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ ตระกูลฉินไม่ยอมจบง่ายๆแน่

“ชางเซิ่ง ตกลงเรื่องนี้มันยังไงกันแน่?” ชายชราที่นั่งอยู่กลางของห้องโถง ซึ่งก็คือฉีหงเหว่ยผู้กุมหางเสือเสือของตระกูลฉี กล่าวถามพลางมองฉีชางเซิ่งอย่างเคร่งขรึม

“พ่อครับ ผมเองก็นึกไม่ถึงว่านิสัยของฉีหรูเสวี่ยรั้นขนาดนี้ ถึงกับหนีออกจากบ้านไปเมื่อคืน ต้องโทษผมที่ตามใจจนเสียคน!” ฉีชางเซิ่งกล่าวอย่างสำนึกผิด

ฉีหงเหว่ยมองฉีชางเซิ่ง เขารู้สึกชื่นชมลูกชายคนนี้มาก เวลาทำอะไรก็ทำอย่างชาญฉลาด ไม่ผลีผลาม ไม่งั้นเขาคงไม่ส่งต่อตระกูลฉีให้ฉีชางเซิ่งดูแล แต่ว่าเรื่องในครั้งนี้นั้นทำให้ฉีหงเหว่ยรู้สึกโกรธอยู่บ้างจริงๆ

การที่สามารถเกี่ยวดองกับตระกูลฉินได้เป็นเพราะฉีหงเหว่ยได้ติดต่อกับผู้อาวุโสตระกูลฉินเอาไว้นานแล้ว แม้ว่าตระกูลฉีและตระกูลฉินจะเป็นตระกูลชั้นสองในเมืองหลวง แต่การเลือกตั้งในครั้งนี้ในตระกูลฉินมีคนที่พอจะมีโอกาสได้รับเลือก ถ้าหากว่าสำเร็จตระกูลฉินก็จะกระโดดขึ้นสู่ตระกูลชั้นหนึ่ง ซึ่งตระกูลฉีก็จะได้รับผลประโยชน์ไปด้วย

ดังนั้นตระกูลฉีจึงรีบคิดหาวิธีที่จะถอนหมั้นกับตระกูลเย่ และคิดทุกวิถีทางในการเกี่ยวดองกับตระกูลฉินกลายเป็นพันธมิตรอย่างเหนียวแน่นเพื่อความรุ่งเรืองของตระกูล สิ่งที่ใครก็คิดไม่ถึงก็คือ ฉีหรูเสวี่ยจะดื้อรั้นขนาดนี้ ยอมออกจากบ้านแต่ไม่ยอมแต่งเข้าตระกูลฉิน

“ไม่ว่าจะยังไง การหมั้นหมายกับตระกูลฉินในเดือนหน้าต้องทำตามกำหนดการ รีบส่งคนไปตามหาหรูเสวี่ยให้เจอซะ เรื่องนี้ก็ไม่ใช่หรูเสวี่ยไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจเอง” ท่าทีของฉีหงเหว่ยนั้นแข็งกร้าวมาก ในสายตาของเขา การแต่งงานของลูกหลานมีไว้เพื่อการแลกเปลี่ยนทางการเมืองและการกลายเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่ง นี่เป็นเรื่องปกติ ส่วนจะมีหรือไม่มีคามรัก ไม่ใช่เรื่องสำคัญเลยแม้แต่น้อย

เวลานี้ เย่เทียนเฉินอยู่ในห้อง VIP ของภัตตาคารอาหารทะเลแห่งหนึ่งในเมืองหลวง มือทั้งสองกำลังวุ่นวายไม่หยุด กุ้งมังกรตัวใหญ่ หอยเป๋าฮื้อตัวใหญ่ ปูตัวใหญ่ เขากินอย่างตะกละตะกลาม ซูเฟยเฟยที่นั่งมองอยู่ฝั่งตรงข้าม และไม่ได้ขยับตะเกียบเลยสักนิด ตกตะลึงจนอ้าปากกว้าง คิดในใจว่าคนคนนี้เป็นถังข้าวหรือไง?

เย่เทียนเฉินไม่สนใจว่าซูเฟยเฟยจะมองอย่างไร และไม่จำเป็นต้องแสร้งทำเป็นสำรวมกริยาต่อหน้าสาวงาม อาหารทะเลดีๆ มื้อใหญ่แบบนี้ ไม่ว่าจะในโลกแห่งความวินาศหรือในโลกนี้ก็ล้วนแต่หากินได้ยาก ต่อให้มีเงินก็หากินได้ยากอยู่ดี ที่ซูเฟยเฟยหามาได้ก็เพราะตระกูลซูของเธอเป็นลูกค้าประจำของที่นี่ และเป็นแขก VIP ระดับสูง

หนึ่งชั่วโมงผ่านไป ระหว่างที่ซูเฟยเฟยตกตะลึงจนตาค้างอยู่นั้น เย่เทียนเฉินก็จัดการอาหารทะเลเต็มโต๊ะจนหมด เขาดื่มไวน์แดงไปแก้วหนึ่งอย่างพออกพอใจ ใช้กระดาษทิชชู่เช็ดที่มุมปาก เรอออกมาครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ควักบุหรี่ออกมาจุดสูบด้วยตนเอง ก่อนจะลุกขึ้นยืนพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า

“ขอบคุณคุณคนสวยที่ต้อนรับอย่างดี ผมยังมีธุระต้องทำ ขอตัวก่อนนะครับ ลาก่อน!”

พอกินเสร็จก็จากไป เกรงว่าจะมีคนอย่างเย่เทียนเฉินที่ทำออกมาได้ แต่ว่าในมุมมองของเขา หากไม่ใช่เพราะว่าอยากจะกินอาหารทะเลมื้อใหญ่มื้อนี้ คงไม่ยอมมากับซูเฟยเฟยเด็ดขาด เย่เทียนเฉินไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับซูเฟยเฟยเลย ถ้าจะบอกว่ามีล่ะก็ งั้นก็เพิ่งจะมีขึ้นเมื่อสักครู่นี้เอง ผู้หญิงคนนี้สวยมาก ไม่เป็นรองหลิ่วหรูเหมยที่เป็นสาวงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงเลย ทำไมเมื่อก่อนถึงไม่เคยได้ยินกัน?

“นี่ มีคนแบบนายด้วยเหรอ? กินเสร็จแล้วก็ไปเนี่ยนะ?” ซุเฟยเฟยได้สติกลับมา รู้สึกอับจนคำพูดกับเย่เทียนเฉินเป็นที่สุด

“หือ? กินเสร็จแล้วไม่ไป หรือว่ายังมีของหวานต่ออีก?” เย่เทียนเฉินชะงักไปครู่หนึ่งก่อนกล่าวถาม

“นาย…ไปตายซะ!”

ต่อให้ซูเฟยเฟยอารมณ์ดีกว่านี้ ตอนนี้ก็คงถูกคนที่ไม่รู้จักดูบรรยากาศอย่างเย่เทียนเฉินทำให้โมโหอยู่ดี เธอคว้ากล่องใส่กระดาษทิชชู่บนโต๊ะอาหารเขวี้ยงใส่เย่เทียนเฉินโดยพลัน

“อาหารทะเลมื้อนี้ไม่เลวเลย ผมช่วยคุณ คุณก็เลี้ยงข้าวผม เราสองคนหายกันแล้วนะ บ๊ายบาย!”

พอเย่เทียนเฉินพูดจบ ก็เปิดประตูห้องส่วนตัวเดินออกไป มีเพียงซูเฟยเฟยที่ยังคงนั่งอึ้งอยู่ที่เดิม เธอไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ตนเป็นคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลซูอันสูงส่ง ไม่ทราบว่ามีคนกี่คนที่อยากมากินข้าวด้วย และไม่ทราบว่ามีกี่คนที่อยากจะคบกับตน คุณชายที่หัวร้างข้างแตกเพราะทะเลาะตบตีกันเพียงเพื่อจะได้เจอหน้าตนเองสักครั้งนับอย่างไรก็นับไม่หมด แต่เย่เทียนเฉินเหมือนไม่ต้องการจะสานสัมพันธ์กับตน คงไม่ได้เป็นพวกโง่เง่าปัญญาอ่อนหรอกนะ?

ตามปกติ เมื่อสาวงามที่ถูกวีรบุรุษช่วยเหลือเชิญวีรบุรุษไปกินข้าว แม้ว่าจะเป็นการแสดงความขอบคุณ แต่ว่าเธอก็มีความรู้สึกดีๆ ต่อวีรบุรุษผู้นั้น ในตอนนี้หากว่าวีรบุรุษคนนี้แสดงความเป็นสุภาพบุรุษเสกนิดสักหน่อย ก็คงจะมัดใจสาวงามเอาไว้ได้ แต่เย่เทียนเฉินไม่ได้มีความคิดเช่นนี้อยู่เลย ใจของเขาล้วนอยู่ที่อาหารทะเลมื้อนี้เท่านั้น

“เจ้าหมอนี่มีเบื้องหลังยังไงก็ยังไม่รู้ จะต้องส่งคนไปจับดูหน่อยแล้ว คงจะไม่ใช่คนปัญญาอ่อน หรือคนไม่มีอีคิวจริงๆ หรอกนะ?”

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ซูเฟยเฟยก็หยิบโทรศัพท์มือถือของตนขึ้นมาต่อสายไปยังเบอร์หนึ่ง หลังจากที่อีกฝั่งรับสายก็ออกคำสั่งว่าว่า “เอาข้อมูลเกี่ยวกับเย่เทียนเฉินทั้งหมดส่งมาให้ฉัน ฉันต้องการอ่านคืนนี้!”

“ครับคุณหนู!”

หลังจากที่วางสายโทรศัพท์ บนใบหน้าของซูเฟยเฟยที่เดิมทีเต็มไปด้วยความโกรธ ก็ปรากฏรอยยิ้มชั่วร้ายที่ดูทั้งยั่วยวนและน่ารักขึ้น เธอพูดพึมพำกับตนเองว่า “เย่เทียนเฉิน นายเป็นคนแรกที่กล้าไม่ใส่ใจฉัน ฉันไม่เชื่อหรอกว่าด้วยเสน่ห์ของฉัน จะสยบนายไม่ได้!”

อาจเป็นเพราะจิตใจที่ชอบเอาชนะมาแต่กำเนิดของลูกผู้หญิง หรืออาจเป็นเพราะซูเฟยเฟยหลงรักเย่เทียนเฉินโดยไม่รู้ตัว เพียงแต่ขนาดตัวเธอเองยังไม่รู้ตัวก็เท่านั้น สรุปก็คือเธอไม่มีแผนจะปล่อยเย่เทียนเฉินไปง่ายๆ ใครใช้ให้เจ้าหมอนี่กล้าเมินเธอแบบนี้กันเล่า?

หลังจากกินอาหารทะเลมื้อใหญ่ไปหนึ่งมื้อ เย่เทียนเฉินก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ กลับบ้านไปด้วยความยินดี ตอนที่เขากลับมาถึงบ้าน ก็พบเพียงฉีหรูเสวี่ยที่กำลังโทรหาเขาอย่างกระวนกระวาย จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูและพบว่าแบตหมดแล้ว ส่วนหลัวเยี่ยนผู้เปป็นแม่ก็ไม่ทราบว่าไปไหน

“แม่ของฉันล่ะ?” เย่เทียนเฉินเอ่ยถาม

“คุณป้าไปบ้านหลักตระกูลเย่ คิดหาวิธีช่วยนายออกมา ตอนแรกฉันก็คิดจะโทรไปที่ตระกูล…”

“ช่างเถอะ ฉันไม่อยากจะมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉีของเธออยู่แล้ว”

พอเย่เทียนเฉินพูดจบก็เดินออกไปจากคฏหาสน์ มุ่งหน้าไปยังบ้านหลักตระกูลเย่ ครั้งนี้เขาขี่มอเตอร์ไซด์ของตนเองไป ตอนที่อยู่ในโลกแห่งความวินาศเย่เทียนเฉินชอบขี่มอเตอร์ไซด์มาก รวดเร็ว ถึงใจ สง่างาม ดูเท่กว่ารถเก๋งธรรมดาหรือรถสปอร์ตเสียอีก

พอคิดถึงพวกคนของบ้านหลักตระกูลเย่ที่ไม่เห็นตนเองเป็นคนในครอบครัว เกรงว่าหลัวเยี่ยนคงร้อนรนจนไร้หนทางถึงได้ไปขอความช่วยเหลือ และจะต้องเจอกับคำพูดเย็นชายมากมาย และได้รับความอยุติธรรมแน่นอน เย่เทียนเฉินรู้สึกกังวล การมาเกิดใหม่ในโลกนี้เขาจะต้องปกป้องครอบครัวของตน ปกป้องทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนเองมี เขาจะไม่ให้ครอบครัวต้องทนทุกข์ และจะไม่ให้พวกเขาต้องถูกผู้คนดูหมิ่นเด็ดขาด

เมื่อมาถึงประตูของบ้านหลักตระกูลเย่ เย่เทียนเฉินก็ถูกยามเฝ้าประตูสองคนของบ้านหลักขวางไว้ ขนาดยามของบ้านตระกูลหลักยังดูถูกครอบครัวของเย่เทียนเฉิน เหตุผลหลักๆ ก็เพราะการกระทำของเศษสวะไม่เอาไหนในอดีตของเย่เทียนเฉิน

“อ้าว คุณชายน้อยเทียนเฉินนี่เอง มานี่มีธุระอะไรครับ?”

“ตอนนี้คงให้คุณเข้าไปไม่ได้หรอกครัรบ ผู้อาวุโสสั่งมา ครอบครัวของพวกคุณไม่ได้รับอนุญาตให้เหยียบบ้านหลักตระกูลเย่แม้แต่ก้าวเดียว”

เปรี้ยงๆ!

เมื่อเย่เทียนเฉินต้องเผชิญหน้ากับสุนัขเฝ้าบ้านทั้งสองคนก็ใช้หมัดต่อยพวกเขาล้มลงกับพื้น จากนั้นก็พุ่งเข้าไปในบ้านหลักตระกูลเย่ จนกระทั่งเขาไปถึงประตูของบ้านหลัก ก็ได้ยินเสียงวิงวอนของแม่

“คุณพ่อคะ ไม่ว่ายังไง เทียนเฉินก็เป็นหลานของพ่อนะคะ ถึงเขาจะเกเรหรือสร้างปัญหา พ่อก็คงไม่ดูเขาตายไปโดยไม่ทำอะไรใช่ไหมคะ?” หลัวเยี่ยนกล่าววิงวอนด้วยความร้อนใจ

“น้องสาม ฉันบอกเธอสองสามีภรรยาไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าลูกชายที่พวกเธอสอนมันเกเร เขาสร้างปัญหาใหญ่ไม่เท่าไรหรอก แต่ถ้าหากว่าพัวพันมาถึงตระกูลเย่ทั้งตระกูล แบบนั้นก็แย่แล้วล่ะ!” เย่มู่ไป๋ลุงใหญ่ของเย่เทียนเฉินกล่าวเป็นคนแรกด้วยรอยยิ้มเย็นชา

“ใช่แล้ว ตอนนี้ตระกูลเย่ของพวกเราตกอับ พ่อก็ไม่ได้มีอำนาจในมือมานานแล้ว จะมีใครมาไว้หน้าพวกเราตระกูลเย่อีก เจ้าเด็กอตัญญูนั่นกล้าหาญจริงๆ กล้าลงมือแม้กระทั่งหลานชายสองคนของตระกูลลั่ว มันคงไม่อยากจะมีชีวิตอยู่แล้วล่ะ!” ลุงสองเย่เฮ่อกั๋วพูดพร้อมกับส่ายหัว

“พวกคุณ…” หลัวเยี่ยนโมโหมาก ตอนแรกเธอคิดว่าไม่ว่ายังไงก็เป็นครอบครัวเดียวกัน แม้ว่าในยามปกติพี่ชายสองคนจะไม่ชอบครอบครัวของพวกเธอ แต่ว่าในเวลาสำคัญก็ไม่ควรละเลยไม่ใช่เหรอ แต่พวกเขากลับพูดคำพวกนี้ออกมาได้

“เจ้าคนอกัญญูแบบนี้ ตายอยู่ข้างนอกก็ช่างมันเถอะ อย่าให้พัวพันมาถึงพวกเราตระกูลเย่เลย”

“ใกล้จะมีการเลือกตั้งคณะกรรมาธิการทหารแล้ว ลั่วซงเฉิงอาจจะสามารถเข้าร่วมคณะกรรมาธิการทหารได้ พวกเราตระลเย่ไปหาเรื่องไม่ได้หรอก ไม่สู้มัดไอ้เด็กไม่รักดีคนนี้ส่งตัวไปให้ตระกูลลั่วเพื่อยอมรับโทษแต่โดยดีเถอะ จะฆ่าจะแกงก็แล้วแต่ตระกูลลั่วจะตัดสิน!”

เย่มู่ไป๋และเย่เฮ่อกั๋วไม่ได้มองเย่เทียนเฉินเป็นคนในครอบครัวเดียวกันเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะตอนที่ฉีชางเซิ่งแห่งตระกูลฉีมาขอถอนหมั้น พวกเขาทั้งสองคิดอยากจะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ด้วย แต่กลับถูกคำพูดไม่กี่คำของเย่เทียนเฉินทำลายแผนการหาผลประโยชน์ของพวกเขาสองคนเสีบราบคาบ ผลประโยชน์ทั้งหมดไปตกอยู่กับครอบครัวของเย่หงน้องสาม ทำให้เย่มู่ไป๋และเย่เฮ่อกั๋วโกรธจนนอนไม่หลับไปหลายวัน

ตอนนี้พอได้รู้ว่าเย่เทียนเฉินถูกจับไปที่สถานีตำรวจ และยังทำร้ายหลานชายสองคนของตระกูลลั่ว สร้างปัญหาใหญ่โต พวกเขาไม่เพียงไม่ช่วยคิดหาวิธี แต่กลับโยนหินซ้ำเติมลงไป ดูถูกถากถาง ไม่คิดถึงความเป็นญาติเลยแม้แต่น้อย

เมื่อหลัวเยี่ยนได้ยินคำพูดของพี่ชายทั้งสองก็โกรธจนแทบอยากจะตบหน้าพวกเขาสักคนละที นี่ยังเป็นคำที่คนพูดอยู่งั้นหรอ? แต่เธอรู้ว่าไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องอดทน เพื่อลูกชายเธอต้องอดทน ถ้าหากทำให้ผู้อาวุโสเย่หย่วนซานโกรธ แบบนั้นถึงจะเรียกว่าแย่จริงๆ

“พ่อคะ ไม่ว่ายังไงเย่เทียนเฉินก็เป็นหลานของพ่อ คิดหาวิธีหน่อยนะคะ?” หลัวเยี่ยนหันไปมองไปเย่หย่วนซานผู้เป็นพ่อด้วยน้ำตาคลอเบ้า แล้วเอ่ยวิงวอน

เย่หย่วนซานถอนหายใจเฮือกหนึ่ง จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ด้านข้างขึ้นมา ไม่ว่าจะพูดอย่างไรเย่เทียนเฉินก็เป็นหลานชายของตนอยู่ดี คงไม่อาจมองเขาตายได้ แม้ว่าตนจะเกษียณออกมาแล้ว ก็ยังคงมีความสัมพันธ์ในอดีตอยู่บ้าง หวังว่าจะช่วยประกันตัวเย่เทียนเฉินออกมาได้

ที่ไหนได้ขณะที่เย่หย่วนซานเพิ่งจะยกโทรศัพท์ขึ้น ยังไม่ทันได้กดเบอร์โทร เย่เทียนเฉินก็ผลักประตูบ้านหลักให้เปิดออก เดินเข้าไปด้วยรอยยิ้ม

……………………………………………

บทที่ 33 สาวงามผู้ขับเฟอร์รารี่
Ink Stone_Fantasy
“เย่เทียนเฉิน ตอนนี้คุณไปได้แล้ว!”

สุดท้ายแล้วหลูเซิ่งต๋าก็ทำได้เพียงปล่อยเย่เทียนเฉินไป เขาไม่อาจสร้างปัญหาให้กับเฉินเซิงผู้เป็นหัวหน้าและเป็นผู้บังคับบัญชาของเขา และยิ่งไม่อาจสร้างปัญหาให้แก่ตระกูลซูซึ่งเป็นตระกูลใหญ่อันดับต้นๆ ในประเทศได้

“หือ? พูดจริงงั้นเหรอ?” เย่เทียนเฉินคิดไม่ถึงว่าหลูเซิ่งต๋าจะปล่อยตนเองไป เดิมทีเขาก็เตรียมจะมาวิวาทและก่อเรื่องในสถานีตำรวจอันสกปรกโสมมแห่งนี้อยู่แล้ว แต่กลับคิดไม่ถึงว่าาจะมีผลลัพธ์เช่นนี้

“สหายเย่ เรื่องนี้เกิดความเข้าใจผิดเล็กน้อย ผมเป็นคนที่ละเลยไปเอง ไม่ควบคุมลูกน้องให้ดี ขออภัยด้วยนะครับ!” หลูเซิ่งต๋าจำเป็นต้องลดท่าทีลง ขอโทษเย่เทียนเฉิน

เย่เทียนเฉินชะงักไปชั่วครู่ เขาไม่ค่อยเข้าใจเหตุผลนัก ใครกันแน่ที่โทรมาบอกให้หลูเซิ่งต๋าปล่อยตนเองไป? อีกอย่างดูจากสถานการณ์แล้ว คนที่โทรศัพท์มาค่อนข้างน่าเกรงขามด้วย

เย่เทียนเฉินหมุนกายจากไปโดยไม่พูดอะไร เรื่องที่ควรจะทำความเข้าใจให้ชัดเจนก็มักจะเข้าใจเอง ยังไงก็รีบกลับบ้านก่อนดีกว่าเพื่อไม่ให้แม่ต้องกังวล

เมื่อเห็นว่าเย่เทียนเฉินเดินออกไปจากห้องสอบสวนแล้ว หลูเซิ่งต๋าก็นั่งลงบนเก้าอี้ ทั่วทั้งร่างสั่นเล็กน้อย เนื่องจากเขาทราบดีว่า เมื่อสักครู่นี้ตนเองเกือบจะสร้างหายนะครั้งใหญ่เสียแล้ว หากว่าลั่นไกยิงเย่เทียนเฉินตายจริงๆ ผลลัพธ์คงเลวร้ายจนไม่กล้าที่จะคิด รัฐมนตรีเฉินเซิงโทรถึงกับโทรมาหาด้วยตัวเอง อีกอย่างตระกูลซูก็ปกป้องเย่เทียนเฉินอยู่เบื้องหลัง ต้องใช้แผนการระดับไหนถึงจะทำได้กัน?

แต่สิ่งที่หลูเซิ่งต๋าไม่เข้าใจก็คือ ตระกูลซูที่สูงส่งย่อมมองตระกูลเย่เหมือนคนที่มองจากที่สูงกว่า พวกเขามีความสัมพันธ์สนิทชิดเชื้อกับตระกูลเย่แบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? ถึงกับโทรหารัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอย่างเฉินเซิงด้วยตัวเอง เพื่อให้เขาปกป้องเย่เทียนเฉิน คนเช่นนี้จะเป็นคนขี้แพ้ที่น่าขบขันและเศษสวะของเมืองหลวงจริงๆ หรือ? ยากจะเชื่อจริงๆ

เดินออกมาจากสถานีตำรวจสันติบาลสาธารณะแล้ว เย่เทียนเฉินก็ควักบุหรี่ออกมาสูบมวนหนึ่ง ตอนนี้เอง หมีภูเขาที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งบริเวณประตูก็จ้องมองมายังเย่เทียนเฉินด้วยดวงตาชั่วร้าย ในแววตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ เขาซื้อตัวตำรวจสองคนนั้นให้ลงมือฆ่าเย่เทียนเฉินแล้วชัดๆ ทำไมเจ้าหมอนี่ยังมีชีวิตออกมาอีก

“รอนานแล้วสินะ มีของขวัญแรกพบจะให้แกด้วย!”

“แก…”

เปรี้ยง!

กว่าที่หมีภูเขาจะได้สติกลับมา เย่เทียนเฉินก็ใช้หมัดซัดเขาจนกระเด็นออกไป หมัดนี้ต่อยเข้าที่ใบหน้าของหมีภูเขาอย่างรุนแรง เขากระอักเลือดที่มีฟันผสมปนเปอยู่ด้วยออกมา รู้สึกเจ็บปวดจนแยกเขี้ยว พยายามลุกขึ้นจากพื้น

“แม่งเอ๊ย ตายซะเถอะ!”

หมีภูเขาไม่คิดว่าเย่เทียนเฉินจะลงมือกับตนเองโดยฉับพลัน เขากำหมัดแน่นด้วยความโกรธ ตะโกนใส่เย่เทียนเฉินพลางพุ่งเข้าไปหา น่าเสียดายขณะที่พุ่งเข้าไปก็ถูกอัดกลับมา ล้มลงก้นกระแทกพื้น พยายามฝืนลุกขึ้นแต่ก็ถูกเย่เทียนเฉินใช้เท้าเหยียบศีรษะเอาไว้

“สหายไว้ชีวิตด้วย ไว้ชีวิตด้วย พวกเราไม่มีความแค้นอะไรต่อกัน ทำไมอยู่ดีๆ ต้องทำร้ายด้วย?” พอหมีภูเขารู้ตัวว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเย่เทียนเฉิน จึงคิดจะแสร้งทำเป็นว่าไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร เพื่อให้เย่เทียนเฉินปล่อยตนไป

“ไม่มีความแค้นต่อกัน? เมื่อกี้แกซื้อตัวตำรวจสองคนนั่นให้ฆ่าฉันไม่ใช่หรือไง? ยังจะมาบอกว่าไม่มีความแค้นต่อกันอีกไหม?” เย่เทียนเฉินสูบบุหรี่ครั้งหนึ่งก่อนกล่าวด้วยรอยยิ้มเย็น

“แก…แกรู้ได้ไง?” หมีภูเขาตกใจจนหน้าถอดสี เขาเห็นเย่เทียนเฉินถูกขังอยู่ในห้องสอบสวน จากนั้นเขาก็พูดคุยกับตำรวจอันธพาลทั้งสองคนอยู่ด้านนอก แล้วเย่เทียนนเฉินรู้ได้อย่างไรกัน?

มุมปากของเย่เทียนเฉินประดับด้วยรอยยิ้มเย็น แม้ว่าพลังพิเศษของตนในตอนนี้จะอยู่ในระดับราชันย์ แต่หลังจากผ่านการฝึกฝนในหลายวันมานี้ ก็เริ่มค่อยๆ มีแนวโน้มในการทะลวงไปสู่ระดับจอมราชันย์ได้ ไม่เพียงแต่รับรู้สถานการณ์รอบๆ ตัวในระยะหนึ่งร้อยเมตรได้ ยังสามารถได้ยินเสียงสนทนาของผู้คนได้อีกด้วย ดังนั้นเย่เทียนเฉินจึงได้ยินการสนทนาระหว่างหมีภูเขาและตำรวจอันธพาลทั้งสองตั้งแต่แรกแล้ว พอออกมาเจอหมีภูเขาที่ยังรอฟังข่าวอยู่ ย่อมต้องใช้หมัดดูแลเสียหน่อย

“แกอย่ามาสนใจเลยว่าฉันรู้ได้ไง ฉันรู้แต่ว่ามือทั้งสองของแกหักแน่ๆ…”

“อย่า…อ้าก!”

ตูม! ตูม!

เสียงสองเสียงดังขึ้นเบาๆ เย่เทียนเฉินใช้เท้ากระทืบแขนทั้งสองข้างของหมีภูเขาจนหัก พลางกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มโดยที่ไม่สนใจหมีภูเขาที่เจ็บจนร้องจะเป็นจะตายอยู่กับพื้นว่า “กลับไปบอกหลี่เถียคืนนี้ฉันจะไปหามันด้วยตัวเอง ให้มันซื้อโลงศพรอไว้ได้เลย!”

สองมือของหมีภูเขาถูกกระทืบจนหัก เลือดออกเต็มปาก กว่าจะคลานขึ้นมาจากพื้นด้วยความยากลำบากได้ เย่เทียนเฉินก็เดิออกจากประตูสถานีตำรวจสันติบาลไปแล้ว ใบหน้าของหมีภูเขาซีดเซียว ไม่เพียงแต่รู้สึกเจ็บปวดที่มือทั้งสองถูกหัก ทั้งยังรู้สึกช็อกเป็นอย่างมากด้วย เขาคิดไม่ถึงเลยว่า เย่เทียนเฉินจะร้ายกาจและแข็งกร้าวขนาดนี้ เขาคิดที่จะไปจัดการกับหลี่เถียแถมยังเป็นการลงมือแบบโจ่งแจ้งอีกด้วย บอกเวลาที่จะลงมือให้หลี่เถียรู้อย่างไม่เกรงกลัว นี่ต้องใช้ความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวขนาดไหนจึงจะทำได้กัน

เย่เทียนเฉินที่กำลังคาบบุหรี่อยู่ในปากมวนหนึ่ง เดินออกมาจากประตูสถานีตำรวจสันติบาล เขาไม่ได้พูดเล่น แต่ต้องการจะลงมือจัดการกับหลี่เถียจริงๆ หลี่เถียเป็นสุนัขรับใช้ของตระกูลฉิน ทั้งยังกล้าส่งมือสังหารมาลอบฆ่าพ่อของตน คนคนนี้สมควรตาย และเป็นการเตือนสติตระกูลฉินว่าอย่าได้มารังควานตระกูลเย่

เย่เทียนเฉินเพิ่งจะเดินออกมาจากประตูสถานีตำรวจสันติบาลได้ไม่ทันไร รถสปอร์ตยี่ห้อเฟอร์รารี่สีแดงคันหนึ่งก็ขับเข้ามา กระจกนั่งด้านหลังค่อยๆ ลดลงช้าๆ หญิงสาวที่ทั้งงดงามและเซ็กซี่คนหนึ่งโผล่ศีรษะออกมา กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ขึ้นรถมาสิ!”

“หือ? เธอเป็นใครกัน? ไม่ใช่แท็กซี่เถื่อนใช่มั้น ฉันไม่มีเงินนะ” เย่เทียนเฉินไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้โดยสิ้นเชิง รู้สึกสงสัยอยู่บ้างว่าจะมีเหตุผลอะไรถึงขับรถหรูมาเรียกให้ตนเองขึ้นไปนั่งด้วย

“นาย…”

สาวงามที่ขับรถสปอร์ตยี่ห้อเฟอร์รารี่ เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉินก็โกรธจนทนไม่ไหว คนคนนี้จำเธอไม่ได้เลยสักนิด เสียทีที่เธออยากจะตอบแทนบุญคุณมาโดยตลอด ถึงได้หาคนติดตามเรื่องของเย่เทียนเฉินทุกเรื่อง ตอนที่เย่เทียนเฉินถูกจับตัวมาที่สถานีตำรวจ ก็รีบกลับบ้านขอให้ผู้อาวุโสปกป้องเย่เทียนเฉิน ไม่งั้นเจ้าหมอนี่จะเดินส่ายอาดๆ ออกมาได้อย่างไร แต่ตอนนี้กลับพูดว่าไม่รู้จักเธอ ช่างน่าโมโหจริงๆ

“นี่ นายจะไม่ไร้จิตสำนึกเกินไปเหรอไง ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะฉันช่วยนายไว้ ตอนนี้นายก็ยังถูกขังอยู่ในสถานีตำรวจอยู่นั่นแหละ”

“เธอช่วยฉันเหรอ เธอเป็นใครอ่ะ?” เย่เทียนเฉินเกาหัว มองสาวงามผู้ขับรกสปอร์ตตรงหน้า ยังคงไม่มีความทรงจำใดๆ เลยแม้แต่น้อย

“ฉัน…ฉันคือซูเฟยเฟยไง นายจำไม่ได้เหรอ?”

ที่แท้ สาวงามที่ขับรถสปอร์ตเฟอร์รารี่มูลค่าห้าล้านก็คือซูเฟยเฟยนั่นเอง วันที่เย่เทียนเฉินปลดประจำการกลับมาบ้าน ตอนที่ออกมาจากสนามบินพร้อมๆ กับกินเต้าฮวยถ้วยหนึ่งที่กำลังถืออยู่อย่างเอร็ดอร่อยอยู่นั้น ก็พบกับซูเฟยเฟยที่กำลังจะถูกลักพาตัวในซอยเล็กๆ ซอยหนึ่ง ตอนแรกเย่เทียนเฉินก็ไม่ได้มีกะจิตกะใจอยากจะช่วยเหลือสาวงาม แต่คาดไม่ถึงว่าชายฉกรรณ์ผู้เป็นหัวหน้าจะปัดเต้าฮวยของเย่เทียนเฉินตกพื้น จนเกิดเรื่องราวใหญ่โต บอดี้การ์ดสิบกว่าคนถูกเย่เทียนเฉินซัดหมอบในพริบตา

เย่เทียนเฉินไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจเลยแม้แต่น้อย แต่ว่าซูเฟยเฟยที่เกิดในตระกูลใหญ่ ทั้งได้รับการสั่งสอนเลี้ยงดูเป็นอย่างดี รู้จักตอบแทนบุญคุณ ตลอดมาก็ให้คนคอยตามดูเย่เทียนเฉิน เมื่อทราบว่าชายคนนี้เกิดเรื่องใหญ่โต ถูกจับมาที่สำนักงานความปลอดภัยสาธารณะ ซูเฟยเฟยก็รีบไปขอให้ผู้อาวุโสตระกูลซูให้ปกป้องเย่เทียนเฉิน

“ซูเฟยเฟยเหรอ? จำไม่ได้เลย”

เย่เทียนเฉินจำไม่ได้จริงๆ เขาสายหัวให้ซูเฟยเฟยก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป ซูเฟยเฟยโมโหจนอยากจะประเคนหมัดให้สักหลายหมัด เดินทียังรู้สึกซึ้งใจที่เจ้าหมอนี่ช่วยตนเองเมื่อวันนั้น ตอนนี้จึงอยากตอบแทน ที่ไหนได้เจ้าหมอนี่กลับไม่มีท่าทีซาบซึ้งเลยสักนิด ทำคุณบูชาโทษแท้ๆ

“นาย…วันนั้นฉันเกือบจะถูกคนลักพาตัว นายเป็นคนที่ช่วยฉันไว้ที่ซอยเล็กๆ ซอยหนึ่ง แล้วก็ถูกปัดเต้าฮวยตกพื้นด้วย…” ซุเฟยเฟยเตือนความจำเย่เทียนเฉิน

“เต้าฮวย อ๋อ พูดถึงเต้าฮวย ท้องฉันก็หิวเข้าจริงๆ ซะแล้วล่ะสิ ไปหาที่กินข้าวดีกว่า!” เย่เทียนเฉินพูดพึมพำกับตัวเอง

ตอนนี้ซูเฟยเฟยโกรธจนใบหน้างดงามแดงก่ำ เธอเธอหมัดแน่น ไม่รู้จริงๆ ว่าเย่เทียนเฉินจำเรื่องนี้ไม่ได้จริงๆ หรือว่าตั้งใจเสแสร้งแกล้งโง่ทำเป็นไม่ใส่ใจ

“นี่ เจ้าคนนิสัยไม่ดี นายอย่าไปนะ ไร้สามัญสำนึก ฉันว่าจะเลี้ยงข้าวเที่ยงนายนะ…” เมื่อซูเฟยเฟยเห็นว่าเย่เทียนเฉินเดินจากไป จึงกล่าวออกเสียงเบาอย่างหมดหวังในตอนสุดท้าย

“กินข้าวเที่ยงเหรอ กินอะไรดี? ไม่ได้กินอาหารทะเลตั้งนานแล้ว งั้นเลี้ยงอาหารทะเลฉันก็แล้วกัน!” ไม่ทันไร เย่เทียนเฉินก็โผล่มาข้างประตูรถสปอร์ตเฟอร์รารี่ของซูเฟยเฟยพลางหัวเราะฮี่ๆ ซูเฟยเฟยตกใจจนสะดุ้งโหยง

“นายจำได้แล้วเหรอ?” ซูเฟยเฟยที่ได้สติกลับมาก็ยิ้มหวานพลางกล่าวถาม

“จำได้หรือไม่ได้ไม่สำคัญ แต่เธอคิดแบบนี้ก็ดีแล้วล่ะ จุดสำคัญอยู่ที่ตอนนี้ไปกินข้าวกัน”

ไม่รอให้ซูเฟยเฟยเอ่ยปาก เย่เทียนเฉินก็เปิดประตูรถเฟอร์รารี่แล้วเข้ามานั่งเรียบร้อย รถสปอร์ตคันนี้ไม่เหมือนรถทั่วๆไป ความรู้สึกตอนที่นั่งนสุดยอดมาก ทว่าเย่เทียนเฉินยังจำซูเฟยเฟยไม่ได้จริงๆ เพียงแต่เมื่อได้ยินว่าซูเฟยเฟยจะเลี้ยงข้าว จะไม่กินก็เสียดายเปล่าๆ หลังจากที่ได้มาเกิดใหม่ในโลกนี้ ความสำราญใจอันดับหนึ่งของเย่เทียนเฉินก็คือการกิน ตอนที่อยู่ในโลกแห่งความวินาฬนั้นมีหลายครั้งที่ต้องกินเปลือกไม้และสัตว์ป่า ไม่มีอาหารเลิศรสให้กินเหมือนโลกนี้ ดังนั้นในสถานการณ์ปกติ เย่เทียนเฉินจะสามารถกินอาหารที่มีรสชาติไม่เลวได้เยอะ เติมเต็มกระเพาะของตนเอง

ซูเฟยเฟยโกรธเย่เทียนเฉินเสียจนหน้ากลายเป็นดำคล้ำ เธอคิดว่าตนเจอยอดบุรุษเข้าให้จริงๆ แล้ว คนคนนี้คงไม่ใช่คนโง่เง่าปัญญาอ่อนหรอกนะ ตอนที่เจอกับตนที่เป็นสาวงามที่สวยขนาดนี้อย่างตน ไม่สะทกสะท้านเลยสักนิดเหรอ? อีกทั้งยังจำเหตุการณ์ทีตัวเองเคยทำตัวเป็นวีรบุรุษช่วยสาวงามไม่ได้อีก จะบื้อไปหน่อยแล้วมั้ง?

เย่เทียนเฉินที่นั่งอยู่บนรถเฟอร์รารี่สีแดงควักบุหรี่ออกมามวนหนึ่งอย่างสบายอกสบายใจ จัดแจงจุดไฟบริการตนเองพลางสูบเข้าไป ตอนแรกซูเฟยเฟยก็อยากจะห้าม คิดในใจว่าเจ้าหมอนี่จะไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษสักนิดเลยใช่ไหม มีสุภาพสตรีอยู่ก็ยังจะสูบบุหรี่อีก แต่ว่าตอนที่กำลังจะเอ่ยปาก ก็พบว่าเตอนที่เจ้าหมอนี่สูบบุหรี่ดูมีเสน่ห์เป็นอย่างมาก รู้สึกถึงความเป็นลูกผู้ชย จึงไม่ได้พูดออกไป

“คุณคนสวย รถของเธอไม่เลวเลย หมดเงินไปไม่น้อยเลยสินะ?” เย่เทียนเฉินมองรถครู่หนึ่งพลางกล่าวถาม

“ฉันชื่อซูเฟยเฟย นายเรียกชื่อฉันได้ หรือจะเรียกฉันว่าเฟยเฟยก็ได้” ซูเฟยเฟยพูดอย่างอารมณ์ไม่ดี

“ไม่มีปัญหา เฟยเฟยคนสวย ฉันว่ารถของเธอนี่ไม่เลวเลยนะ เมื่อกี้เธอบอกว่าฉันช่วยชีวิตเธอไว้ใช่ไหม? งั้นเอารถคันนี้ให้ฉันเป็นไง รถเมล์สาย 11 นั่งไม่ค่อยสะดวกเลย!” เย่เทียนเฉินกล่าวอย่างหน้าด้านๆ

…………………………………

บทที่ 32 บอกว่าฆ่าก็ฆ่า
Ink Stone_Fantasy
ไม่ว่าจะเป็นชีวิตนี้หรือโลกแห่งความวินาศ เย่เทียนเฉินก็เป็นคนที่ทำอะไรตามหลักเหตุผลไม่ใช้อารมณ์ เขาไม่ชอบหาเรื่องใส่ตัว และกลัวความยุ่งยาก แต่ว่านั่นก็ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าใครไม่ยุ่งกับฉันฉันก็ไม่ยุ่งกับใคร หากว่าใครกล้ามาตอแยหรือกล้ามายุ่งกับครอบครัวและเพื่อนฝูงของเย่เทียนเฉิน ถ้าอย่างนั้นก็ต้องขอโทษที สิ่งที่รอคุณอยู่มีเพียงหมัดเหล็กกล้าคู่นี้เท่านั้น

เย่เทียนเฉินใช้มือขวาบีบคอตำรวจอันธพาลที่ถือปืนคนนั้นเอาไว้ แล้วลากเขาไปจนถึงประตูห้อง ตำรวจคนที่ถูกเย่เทียนเฉินเตะปลิวไปก่อนหน้านี้ตกใจจนหน้าถอดสี ในใจก็รู้สึกตกตะลึงป็นอย่างยิ่ง หรือว่าคนคนนี้จะกล้าฆ่าตำรวจจริงๆ?

ตระกูลเย่แม้ว่าจะยังมีอำนาจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงระดับระกูลชั้นสอง ถ้าหากว่าเย่เทียนเฉินฆ่าตำรวจในสถานีตำรวจจริงๆ ตระกูลเย่คงจะปกป้องเขาไม่ได้ ถึงอย่างไรที่นี่คือเมืองหลวง กฏหมายเบื้องหน้าเข้มงวดกว่าที่อื่นมาก

ตอนที่เย่เทียนเฉินลากตำรวจที่ถือปืนพกคนนั้นกำลังจะเปิดประตูเหล็กของห้องสอบสวนเดินออกไป ประตูเหล็กก็ถูกคนจากด้านนอกผลักเปิดออกก่อน ชายวัยกลางคนหนึ่งที่อ้วนลงพุง สวมเครื่องแบบตำรวจเดินเข้ามา แม้หน้าตาจะดูธรรมดา แต่กลับมียศเป็นถึงผู้กำกับ โดยเฉพาะดางตาคู่นั้นที่ดูราวกับว่าสามารถมองทะลุทุกสิ่งทุกอย่างได้

คนคนนี้ก็คือผู้กำกับประจำสถานีตำรวจสันติบาลมีชื่อว่าหลูเซิ่งต๋า และเป็นพ่อของชายสวมแว่นกรอบทองที่ยืนอยู่ข้างๆ ในวันที่เย่เทียนเฉินทำร้ายลั่วเหลยที่เทียนซ่างเหรินเจียน ชายสวมแว่นกรอบทองมีชื่อว่าหลูวั่ง ซึ่งถูกขนานนามจากคนใกล้ชิดว่า ‘ซิ่วไฉ[1]ผู้รอบรู้’แม้ว่าศักดิ์ฐานะของหลูวั่งจะไม่ได้สูงส่งดั่งเช่นเหล่าคุณชายตระกูลใหญ่อย่างลั่วเหลย แต่ชายผู้นี้ฉลาดมาก สามารถพิจารณาและประเมินความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี ระมัดระวังตัวอยู่เสมอ นี่เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมวันนั้นเขาถึงไม่ได้แจ้งตำรวจ เขามองออกว่าเย่เทียนเฉินไม่ธรรมดา ไม่ได้เป็นคนไม่เอาไหนหรือเศษสวะเหมือนกับข่าวลือในเมืองหลวง พ่อของตนมีฐานะเป็นผู้กำกับกองตำรวจสถานีตำรวจสันติบาล ถ้าหากว่าทำอะไรไม่รอบคอบ ยืนอยู่ผิดฝั่ง มีหวังได้จบเห่แน่

หลังจากที่หลูวั่งกลับบ้านก็ได้พูดคุยกับหลูเซิ่งต๋าผู้เป็นพ่อถึงเรื่องนี้ หลูเซิ่งต๋าตกใจจนอ้าปากตาค้าง เรื่องของเย่เทียนเฉินทั่วทั้งเมืองหลวงไม่มีใครที่ไม่รู้ อยู่ๆ ก็กลายเป็นคนร้ายกาจเช่น คงไม่มีใครไม่ตกตะลึงหรือสงสัย

คราวนี้เย่เทียนเฉินถูกตำรวจอันธพาลสองคนจับตัวมาที่สถานี เรื่องนี้หลูเซิ่งต๋าทราบดี แม้ว่าหลูวั่งจะบอกว่าอย่าเพิ่งไปหาเรื่องเย่เทียนเฉิน แต่หลูเซิ่งต๋าก็ยังไม่เชื่อว่าคนที่เคยเป็นคนไม่เอาไหนและเศษสวะ อยู่ดีๆ จะกลายเป็นคนร้ายกาจขึ้นมา อีกอย่างเขารู้ว่านายตำรวจทั้งสองที่เป็นลูกน้องของเขาถูกหลี่เถียซื้อตัวไป แม้ว่าหลี่เถียจะเป็นหัวโจกของอิทธิพลใต้ดินแห่งเมืองหลวง แต่หลูเซิ่งต๋าไม่เห็นอยู่ในสายตา เขาที่สามารถขึ้นเป็นผู้กำกับกองตำรวจสถานีตำรวจสันติบาลแห่งเมืองหลวงได้นั้นย่อมไม่ใช่คนไม่เอาไหน ส่วนสำคัญคือผู้มีอำนาจที่หลี่เถียพึ่งพาก็คือตระกูลฉิน เรื่องนี้ทำให้หลูเซิ๋งต๋าต้องระวังตัว

เมื่อสักครู่นี้หลูเซิ่งต๋าสังเกตการเคลื่อนไหวทุกอย่างของเย่เทียนเฉินอยู่ในห้องสังเกตการณ์ รวมถึงการเข้าไปบีบบังคับให้เย่เทียนเฉินเซ็นหนังสือยอมรับผิดของตำรวจชั่วทั้งสอง ทุกอย่างล้วนอยู่ในสายตาของเขา เขาอยากจะดูว่าเย่เทียนเฉินในวันนี้จะร้ายกาจเหมือนในข่าวลือจริงหรือไม่ อีกทั้งเขายังมีแผนอยู่ในใจตั้งแต่แรก ถ้าหากเย่เทียนเฉินยังเป็นสวะอยู่เหมือนเดิม เขาก็จะให้คนของหลี่เถียฆ่าเย่เทียนเฉินให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไป เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ตนล่วงเกินหลี่เถียหาและตระกูลฉิน แต่ถ้าหากว่าเย่เทียนเฉินมีความสามารถล่ะก็ มันก็อีกเรื่องหนึ่ง

สิ่งที่ทำให้หลูเซิ่งต๋ารู้สึกคิดไม่ถึงก็คือ เย่เทียนเฉินเหี้ยมถึงขนาดกล้าลงมือแม้กระทั่งตำรวจ ดูท่าทางแล้วมีแนวโน้มว่าจะฆ่าด้วย ตอนนี้เองเขาก็เริ่มนั่งอยู่ในห้องสังเกตการณ์ไม่ติด หากว่าเย่เทียนเฉินฆ่าตำรวจเข้าจริงๆ คงไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แน่ จึงรีบออกมาจากห้องสังเกตการณ์ ผลักประตูห้องสอบสวนเพื่อหยุดเย่เทียนเฉินไว้

“น้องเย่ หยุด หยุดก่อน มีอะไรก็พูดกันดีๆ พูดกันดีๆ!” หลูเซิ่งต๋ากล่าวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ไม่ว่าเย่เทียนเฉินจะมีวิธีการหรือเบื้องหลังอะไรที่เหนือมนุษย์ แค่เขากล้าลงมือกับตำรวจก็ถือว่าไม่ธรรมดาแล้ว ดังนั้นหลูเซิ่งต๋าต้องรับมืออย่างระมัดระวัง

“คุณก็คือผู้กำกับกองตำรวจสถานีตำรวจสันติบาลแห่งเมืองหลวงเหรอ?” เย่เทียนเฉิมถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ

“ถูกแล้ว ถูกแล้ว ฉันคือหลูเซิ่งต๋า” หลูเซิ่งต๋ายังคงพูดด้วยรอยยิ้ม。

“ลูกน้องของคุณมีตำรวจเลวๆ อย่างสองคนนี้ ผมเตรียมจะจัดการพวกมันอยู่ โดยเฉพาะเจ้าหมอนี่ มันใช้ปืนจ่อหัวผม ถึงคราวตายของมันแล้ว” เย่เทียนเฉินเปิดกล่าวอย่างไม่แยแส

พอหลูเซิ่งต๋าได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉินก็ขมวดคิ้ว เมื่อสักครู่นี้เขาเพียงแค่แสดงออกถึงเกรงใจก็แค่นั้น คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะแข็งกร้าวขนาดนี้ มาพูดว่าจะฆ่าตำรวจต่อหน้าผู้กำกับกองตำรวจสถานีตำรวจสันติบาลที่มีเกียรติอย่างเขา บ้านเมืองยังมีขื่อมีแปอยู่อีกหรือไม่?

“น้องเย่ ฉันรู้ว่าเธอเป็นคนของตระกูลเย่ แม้ตระกูลเย่ตกต่ำลงตั้งนานแล้ว แต่จะอย่างไรผู้อาวุโสตระกูลเย่ก็ยังคงมีชื่อเสียงอยู่บ้าง ดังนั้นฉันจึงไว้หน้าเธอ ตอนนี้เธอไปได้แล้ว!” หลูเซิ่งต๋ากล่าวด้วยใบหน้าเคร่งขรึม

“งั้นเหรอครับ? ผมไม่สนหรอก ผมรู้แต่ว่าใครมันกล้าเอาปืนมาจ่อหัวผม มันจะต้องตาย” เย่เทียนเฉินจ้องมองไปยังดวงตาของหลูเซิ่งต๋าพลางกล่าว

เย่เทียนเฉินไม่ได้มีความรู้สึกที่ดีอะไรต่อหลูเซิ่งต๋า แม้ว่าคนที่ลงมือกับตนเองจะเป็นตำรวจอันธพาลทั้งสอง แต่หากว่าไม่มีการเห็นชอบจากหลูเซิ่งต๋า พวกเขาจะกล้าทำเช่นนี้ได้เหรอ? พูดให้ฟังดูดีหน่อยก็คือ หลูเซิ่งต๋าถูกบีบบังคับ พูดให้ฟังดูแย่ก็คือ หลูเซิ่งต๋ากับหลี่เถียผู้เป็นหัวโจกของกลุ่มอิทธิพลมืดช่วยเหลือกันอยู่

“ฉันขอเตือนเธอว่าอย่าทำอะไรบุ่มบ่าม ที่นี่คือสถานีตำรวจ ถ้าเธอฆ่าตำรวจ จะไม่มีใครปกป้องเธอได้อีก!” หลูเซิ่งต๋าเตือนพร้อมกับมองเย่เทียนเฉินอย่างดุดัน

กร๊อบ!

เมื่อเผชิญหน้ากับการคุกคามของหลูเซิ่งต๋า เย่เทียนเฉินก็ไม่ได้พูดอะไร แต่ใช่การกระทำตอบโต้ เขากระชากข้อมือขวาไปทางซ้ายเล็กน้อย คอของนายตำรวจที่เอามือจ่อหัวเขาถูกหักกลายเป็นศพกองอยู่กับพื้น หลูเซิ่งต๋าตกใจเจนรู้สึกเย็นวาบในใจ

คนที่กล้าฆ่าตำรวจในสถานีตำรวจ เกรงว่าในประวัติศาสตร์จะมีแค่เย่เทียนเฉินคนเดียว แต่ในสายตาของเขา หากปล่อยตำรวจเลวๆ เช่นนี้มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ต่อไป คนดีๆ มากมายจะต้องลำบาก สู้ฆ่าทิ้งเสียให้รู้แล้วรู้รอด

“แกรนหาที่ตาย จงใจฆ่าคน เชื่อไหมว่าฉันสามารถยิงแกตอนนี้ได้!” พอหลูเซิ่งต๋าได้สติกลับมา ระหว่างที่พูดก็ใช้มือขวาคลำปืนพกที่เหน็บอยู่ข้างเอว กัดฟันแน่นพร้อมมองเย่เทียนเฉิน

“ผมเตือนคุณว่าอย่าใช้ปืนจะดีกว่า เพราะคนที่กล้าเอาปืนจ่อหัวผม ทุกคนกลายเป็นศพไปหมดแล้ว” เย่เทียนเฉินเอ่ยอย่างเย็นชา

เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน หลูเซิ่งต๋าก็นึ่งอึ้งไป เขาไม่กล้าเชื่อสิ่งที่ตนเองได้เห็น ชายหนุ่มตรงหน้าร้ายกาจถึงขนาดไหนกันแน่ มีเบื้องหลังใหญ่โตขนาดไหนกัน? ถึงได้ลงมือฆ่าตำรวจในสถานีตำรวจ นี่เป็นเรื่องที่ทำให้ผู้คนที่ได้ยินต้องสั่นสะท้าน

หลูเซิ่งต๋าและเย่เทียนเฉินต่างยืนนิ่งอยู่กับที่ เย่เทียนเฉินหันหลังให้หลูเซิ่งต๋า ส่วนมือขวาของหลูเซิ่งต๋าจับอยู่บนปืนพกข้างเอว เขาคิดจะลั่นไกยิงเย่เทียนเฉินทิ้ง แต่ไม่มีความกล้ามากพอ ก้นบึ้งจิตใจของเขาไม่มีความมั่นใจเลยแม้แต่น้อย เย่เทียนเฉินจะมีความกล้าบ้าบิ่นถึงขนาดฆ่าตนที่เป็นผู้กำกับกองตำรวจสถานีตำรวจสันติบาลแห่งเมืองหลวงหรือไม่

“ถ้าหากว่าคุณไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ผมก็ขอตัวไปก่อน ไว้เจอกัน!” เย่เทียนเฉินเดิไปทางประตูห้องสอบสวนในขณะที่พูด

“หยุดนะ เย่เทียนเฉิน แกมันอวดดีเกินไปแล้ว กล้าฆ่าตำรวจในสถานีตำรวจ มีโทษประหาร ต่อให้แกเป็นคนของตระกูลเย่ ฉันก็สามารถยิงแกทิ้งที่นี่ได้ ฉันเชื่อว่าตระกูลเย่ทำอะไรฉันไม่ได้แน่…” หลูเซิ่งต๋าเอ่ยขึ้นอย่างดุร้าย

“หลูเซิ่งต๋า คุณทำให้มันชัดเจนหน่อยสิ ตำรวจเลวสองคนที่เป็นลูกน้องของคุณ จับผมมาที่สถานีตำรวจโดยไม่มีหลักฐาน แล้วยังบังคับให้ผมรับคดีอุกฉกรรจ์ที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงช่วงหนึ่งเดือนมานี้อีก นี่เป็นสถานีตำรวจสถานีตำรวจสันติบาลงั้นเหรอ? นี่เป็นท่าทีในการรักษากฏหมายของผู้กำกับหลูหรือครับ? ตกลงแล้วเป็นใครกันแน่ที่อวดดี? ผมคิดว่าคุณคงรู้ดียิ่งกว่าใคร!” เย่เทียนเฉินกล่าวเสียงเย็น

“ไม่ว่ายังไงก็ตาม แกก็ฆ่าตำรวจ ย่อมหนีไม่พ้นการลงโทษทางกฏหมายแน่ ฉันเตือนแกอย่าได้เดินไปข้างหน้าอีก ไม่งั้นฉันไม่รับรองว่าแกจะจะได้ออกไปจากที่นี่อย่างมีชีวิตหรือเปล่า”

หลูเซิ่งต๋าอยากจะชักปืนออกมายิงเย่เทียนเฉินจริงๆ คนคนนี้อวดดีเหลือเกิน กล้าฆ่าคนต่อหน้าผู้กำกับสถานีตำรวจสถานีตำรวจสันติบาลอย่างตน อีกทั้งคนที่ฆ่ายังเป็นตำรวจ นี่ต้องมีสภาวะกดดันคนมากขนาดไหนกัน?

ในความคิดของหลูเซิ่งต๋า ต่อให้เย่เทียนเฉินเก่งกว่านี้ ก็ไม่สามารถฆ่าตำรวจโดยที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ อีกอย่างตระกูลเย่ก็ตกต่ำมานานแล้ว อาศัยแค่ตำแหน่งฐานะของตนในตอนนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องเห็นตระกูลเย่อยู่ในสายตา

“อยากจะลั่นไกก็เร็วๆ หน่อย ผมกำลังยุ่ง!”

หลังจากเย่เทียนเฉินกล่าวจบก็เดินตรงไปด้านหน้า หลูเซิ่งต๋าโกรธจนดวงตาทั้งสองแดงก่ำ เจ้าเด็กนี่หยิ่งผยองเกินไปแล้ว เขาไม่เห็นตนที่เป็นผู้กำกับสำนักงานตำรวจสถานีตำรวจสันติบาลอยู่ในสายตาเลยสักนิดเดียว ฆ่าตำรวจในสถานีตำรวจ ไปแล้ว ยังอยากจะออกไปอย่างมีชีวิตอยู่อีก นี่มันไม่ได้เอาฮาใช่ไหม?

ตอนที่หลูเซิ่งต๋าทนไม่ไหวอยากจะชักปืนออกมายิงเย่เทียนเฉิน เสียงโทรศัพท์มือถือส่วนตัวของเขาก็ดังขึ้น ทำลายภาวะที่กำลังชะงักงัน ส่วนเย่เทียนเฉินเองก็นิ่งชะงักอยู่กับที่ เขาอยากจะดูว่าจะใช่คนของหลี่เถียหรือตระกูลฉินหรือไม่ หากต้องการจัดการตระกูลฉิน ก็ต้องถอนรากถอนโคนเขี้ยวเล็บของตระกูลฉินก่อน หัวโจกของอิทธิพลใต้ดินอย่างหลี่เถียก็ต้องค่อยๆ เก็บกวาด

“ฮัลโหล ผมหลูเซิ่งต๋า คุณคือใคร?” หลูเซิ่งต๋ากล่าวถามเสียงเข้ม

“ผมเอง!” เสียงอันทรงพลังชายวัยกลางคนหนึ่งดังขึ้นจากอีกฝั่งของโทรศัพท์

“ท่าน ท่านรัฐมนตรีเฉิน มีคำสั่งอะไรรึเปล่าครับ?” หลูเซิ่งต๋าคิดไม่ถึงว่าคนที่โทรหาตนจะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รัฐมนตรีเฉินเซิง

“เย่เทียนเฉินอยู่กับคุณรึเปล่า?” เฉินเซิงถามขึ้น

“อยู่ครับ รัฐมนตรีเฉิน เรื่องนี้ผมกำลังคิดจะรายงานคุณอยู่พอดี เจ้าหมอนี่มัน…”

“ปล่อยเขาไปซะ อย่าสร้างความลำบากให้เขา!” เสียงของหลูเซิ่งต๋าถูกเฉินเซิงตัดบท ด้วยการออกคำสั่งให้ปล่อยเย่เทียนเฉินไป

“นี่…ท่านรัฐมนตรีเฉินครับ เย่เทียนเฉินฆ่าเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เป็นลูกน้องของผม ปัญหาร้ายแรงมากนะครับ” หลูเซิ่งต๋ารีบรายงาน รู้สึกไม่อยากจะเชื่อว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมจะออกคำสั่งตนให้ปล่อยเย่เทียนเฉิน

“เรื่องนี้คุณไม่ต้องยุ่งแล้ว ปล่อยเขาไปซะ…อีกอย่างผมขอเตือนคุณไว้ว่าอย่าไปหาเรื่องเขา นี่เป็นความต้องการของตระกูลซู” พอเฉินเซิงพูดจบก็วางสายไป

หลังจากหลูเซิ่งต๋าวางโทรศัพท์ บนหน้าผากก็มีเหงื่อผุดขึ้นมา มองไปยังเย่เทียนเฉิน จะอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่า เฉินเซิง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมจะโทรหาตนเองเพื่อให้เขาปล่อยคน อีกอย่างยังบอกว่านี่เป็นความต้องการของตระกูลซูอีก ตระกูลซูมีความสำคัญในเมืองหลวงถึงขนาไหน หลูเซิ่งต๋าย่อมเข้าใจดี ตระกูลซูไปถึงขั้นที่ไม่มีใครในประเทศนี้กล้าหาเรื่องอีกแล้ว แต่กลับออกหน้าปกป้องเย่เทียนเฉิน ทำให้รู้สึกเหลือเชื่อ นี่มันเป็นไปได้อย่างไรกัน?

………………………………………………

[1] ซิ่วไฉ เป็นคำเรียกของนักศึกษาที่สอบผ่านราชการในสมัยโบราณ

บทที่ 31 สั่งสอนตำรวจเลว
Ink Stone_Fantasy
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับตำรวจสองนายที่มีท่าทีเหมือนอันธพาล เย่เทียนเฉินก็ไม่เกรงใจ ส่งหมัดสองหมัดออกไป ซัดตำรวจทั้งสองเสียจนคุกเข่าลงกับพื้น สองมือกุมท้องของตนเองไว้แน่น เจ็บจนแยกเขี้ยวยิงฟัน

“แก…แกกล้าลงมือกับตำรวจ…”

“ทำร้ายเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฏหมาย…เพิ่มความผิดอีกหนึ่งกระทง…”

ตำรวจเลวทั้งสองถูกเย่เทียนเฉินอัดจนลุกไม่ขึ้น ต่อให้ไม่ได้ใช้พลังพิเศษ พลังกายของเย่เทียนเฉินในตอนนี้ก็พัฒนาความแข็งแกร่งขึ้นตามลำดับ แค่หมัดธรรมดาๆ หมัดหนึ่งไม่ใช่อะไรที่คนธรรมดาจะรับไหว

“อย่างพวกแกสองคนนับว่าเป็นตำรวจ นับว่าเป็นข้าราชการของประชาชนด้วยเหรอ? ฉัน เย่เทียนเฉินเวลารับมือกับคนเลว แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยอ่อนข้อให้เด็ดขาด พูดมาเถอะ ใครส่งพวกแกมา?” เย่เทียนเฉินกล่าวเสียงเข้ม

“แกกล้าลงมือกับพวกฉัน จบไม่สวยแน่”

“รอไปถึงสถานนีตำรวจก่อนเถอะ ค่อยจัดการแก”

ไม่กล่าวไม่ได้ว่า ตำรวจเลวสองคนนี้ แม้ว่าจะถูกเย่เทียนเฉินอัดอย่างอนาถจนไม่มีแรงโต้กลับ แต่กลับยังปากดี เนื่องจากพวกมันยังสวมใส่บทบาทของตำรวจ อยู่ใต้ร่มธงของสถานีตำรวจสันติบาล ชาวบ้านธรรมดาตาสีตาสาคนไหนพบเห็นแล้วไม่กลัว ไม่เกรงใจพวกเขาบ้าง? เกรงว่าวันนี้จะเป็นครั้งแรก

เปรี้ยง!

เดิมทีเย่เทียนเฉินก็ไม่อยากจะเสวนาอะไรมากมายกับตำรวจเลวสองคนนี้อยู่แล้ว เขาเตะใส่ ตำรวจนายหนึ่งกระเด็นออกไป ทำให้ตำรวจอีกคนตกใจจนนิ่งอึ้ง เจ้าหมอนี่มันเป็นใครกันแน่? กล้าลงมือกับตำรวจโดยไม่คิดถึงผลเสียที่จะตามมาภายหลังเลย

เดิมที่ตอนที่เย่เทียนเฉินอยู่ตรงประตูก็เตรียมตัวจัดการกับตำรวจเลวทั้งสองอยู่แล้ว เมื่อตำรวจสองคนนี้พูดและแสดงท่าทางพาล เย่เทียนเฉินก็รู้ว่าตำรวจสองคนนี้ต้องถูกคนอื่นซื้อตัวให้มาสร้างความยุ่งยากให้แก่ตนเองแน่ สำหรับคนเลวๆที่อาศัยความยุติธรรมบังหน้าเช่นนี้ เย่เทียนเฉินไม่ยอมอ่อนข้อให้เด็ดขาด หากไม่ใช่เพราะเกรงว่าจะทำให้แม่ตกใจกลัว เย่เทียนเฉินคงลงมือไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว

“เหมาะสมกับแกแล้ว!” เย่เทียนเฉินมองตำรวจอีกคนที่เหลือ พูดด้วยใบหน้าไร้อารมณ์

ตำรวจเลวอีกคนที่เหลือคิดว่าจบเห่แน่แล้ว พอมองเพื่อนร่วมงานที่ถูกเตะปลิวออกไปนอนร้องโหยหวนกับพื้นราวหมูถูกเชือด ก็รู้สึกว่าคนตรงหน้านี้ช่างดุดันจริงๆ ไม่สนใจฐานะของพวกเขาเลยสักนิด เดิมทีพวกเขาทั้งสองคิดว่า ขอเพียงพาตัวเย่เทียนเฉินไปได้ ก็อัดสั่งสอนหนักๆ ก่อนสักยกค่อยว่ากันอีกที ต่อให้เจ้าหมอนี่ไม่ได้ฆ่าคน ก็ต้องใหรับผิดให้ได้ แบบนี้ถึงจะสามารถประจบฝั่งของหลี่เถียไดทั้งยังได้รับผลประโยชน์ไม่น้อย

ใครจะไปรู้ว่าเย่เทียนเฉินจะไม่ใช่ลูกพลับนิ่ม ลงมือเด็ดขาด อัดจนพวกมันสองคนกลายเป็นลูกพลับนิ่มเสียเอง

“ผม…ผม มีคนไปแจ้งความจริงๆ บอกว่าคุณมีความเกี่ยวข้องกับคดีฆาตรกรรมเมื่อคืนนี้ พวกผมเพียงแค่อยากเชิญคุณกลับไปเพื่อให้ความร่วมมือในการสืบสวนเท่านั้นเอง” ตำรวจเลวอีกคนกลัวเย่เทียนเฉินจนแข้งขาอ่อน รีบเอ่ยปากขึ้น

“ใครเป็นแจ้งความ?” เย่เทียนเฉินเปิดปากถาม

“ละ…ลูกน้องของหลี่เถีย…”

“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง งั้นพวกเราไปกันเถอะ…” เย่เทียนเฉินพยักหน้า กล่าวด้วยรอยยิ้ม

พอพูดถึงหลี่เถียเย่เทียนเฉินก็ว่ากระจ่างแจ้ง ตนเองฆ่าเฉินหู่ และเฉินหู่เป็นลูกน้องของหลี่เถีย หลี่เถียคงไม่ปล่อยให้จบง่ายๆ แน่ อีกอย่างจากคำสารภาพของเฉินหู่ กลุ่มอิทธิพลที่อยู่เหนือหลี่เถียก็คือตระกูลฉิน ต่อให้ตนเองไม่ลงมือ จะช้าเร็วก็ต้องเผชิญหน้ากับหลี่เถียอยู่ดี คนคนนี้เป็นหัวหน้าผู้มีอิทธิพลใต้ดินของเมืองหลวง หากจะจัดการจะต้องมีแผนการ

“ไป? พะ…พวกเราจะไปไหนเหรอครับ?” ตำรวจอีกคนที่เหลือรู้สึกสับสน ไม่ทราบว่าที่เย่เทียนเฉินพูดนั้นหมายถึงอะไร

“ไปสถานีตำรวจไง พวกคุณมาเพื่อจับผมไม่ใช่เหรอครับ?” เย่เทียนเฉินเอ่ยขึ้น

“หา? ไม่ ไม่ น้องชาย นี่…นี่มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด…”

“ใช่ๆ เป็นเรื่องเข้าใจผิด…”

ตำรวจเลวที่ถูกเย่เทียนเฉินเตะปลิวออกไป เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มฝืนๆ เขาถูกเย่เทียนเฉินอัดจนขลาดกลัวไปแล้ว แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเจอคนเช่นนี้มาก่อน กล้าลงมือแม้กระทั่งตำรวจ แถมยังลงมืออย่างดุดัน เล่นเอาพวกมันทั้งสองไม่มีแรงที่จะตอบโต้เลยสักนิด

“ไปเถอะ ยังไงก็ทำให้พวกคุณสองคนส่งงานให้เสร็จสักหน่อยดีไหมครับ?” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางเปิดประตูรถตำรวจ เตรียมเข้าไปนั่ง

“ไม่…ไม่ต้องหรอก น้องชาย นี่มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดทั้งหมด…”

“ถ้ายังไม่ไปอีก หมัดของผมอาจจะไปถูกอะไรเข้าอีกก็ได้นะครับ!” เย่เทียนเฉินยกหมัดประกอบคำพูด

“อา…ไป ไปสิ!”

“เอาตามที่น้องชายว่าเลย เอาตามที่น้องชายว่าเลย”

การรับมือกับตำรวจเลวๆ ที่รังแกคนไม่มีทางสู้หวาดกลัวคนมีอำนาจเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรให้มากความ แค่ใช้หมัดก็เพียงพอแล้ว ที่เย่เทียนเฉินยังต้องการไปสถานีตำรวจกับตำรวจทั้งสองนายนี้ เป็นเพราะอยากจะดูว่าหลี่เถียยังมีลูกเล่นอะไรเหลืออยู่อีก หลี่เถียเป็นลิ่วล้อของตระกูลฉิน หากอยากจะเก็บกวดตระกูลฉินก็ต้องเก็บกวาดหลี่เถีย

เมื่องนั่งอยู่ในรถตำรวจ ตำรวจเลวทั้งสองก็ไม่กล้าพูดจาอันธพาลหรือใช้อำนาจบาตใหญ่อีก พวกเขาพูดคุยกับเย่เทียนเฉินด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม แถมยังอาสาส่งบุหรี่แล้วจุดไฟให้พร้อมสรรพ ทำเอาเย่เทียนเฉินรู้สึกเขินๆเล็กน้อย เขาสูบบุหรี่มวนแล้วมวนเล่า ในโลกแห่งความวินาศ การสูบบุหรี่สักมวนไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

ครึ่งชั่วโมงต่อมา รถตำรวจจอดลงบริเวณประตูของสำนักงานตำรวจสถานีตำรวจสันติบาลสถานีตำรวจสันติบาลแห่งเมืองหลวง ตำรวจเลวทั้งสองเชิญเย่เทียนเฉินลงจากรถด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม แล้วพาเข้ามาในสำนักงานตำรวจสถานีตำรวจสันติบาลด้วยความเคารพนอบน้อม ชายฉกรรจ์สวมสูทดำด้านข้างเห็นดังนั้นก็อดไม่ได้ตกใจไม่ได้

ชายฉกรรจ์คนนี้เป็นคนของหลี่เถียฉายาหมีภูเขา เขาเป็นผู้ที่มาแจ้งความและซื้อตัวตำรวจเลวทั้งสอง เพื่อต้องการให้ลงมือจัดการกับเย่เทียนเฉินอย่างลับๆ แต่คิดไม่ถึงเลยว่า เขาที่รออยู่ที่นี่มาตลอดเพื่อต้องการดูเรื่องน่าหัวเราะของเย่เทียนเฉิน กลับจับต้นชนปลายไม่ถูก เพราะหลังจากที่ลงรถมา ตำรวจเลวทั้งสองคนดันทำตัวเคารพนอบน้อม เย่เทียนเฉิน

เสียงประตูดังขึ้น เย่เทียนเฉินถูกพาเข้าไปขังไว้ในห้องห้องหนึ่ง ตำรวจเลวสองคนที่เดิมทีมีท่าทางเคารพรอบน้อมต่อเย่เทียนเฉิน พริบตาก็เริ่มทำตัวกร่างขึ้นมาอีกครั้ง

“แม่งเอ้ย ไอ้สารเลวแกกล้าอัดฉันเหรอ เดี๋ยวแกจะได้รู้ว่าใครเจ๋ง”

“เตรียมตัวตายเถอะ ใครก็ช่วยแกไม่ได้!”

เย่เทียนเฉินยิ้มบางๆ เขาเดาได้ตั้งแต่แรกแล้วว่าหลังจากที่มาถึงสถานีตำรวจ จะต้องเกิดสถานการณ์เช่นนี้ แต่เขาก็ยังมา ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้วก็ต้องยอมรับและทำให้ดีที่สุด เย่เทียนเฉินอยากจะดูสักหน่อยว่าต่อไปหลี่เถียจะยังมีลูกไม้อะไรอีก เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะซื้อตัวตำรวจเลวทั้งสองให้ฆ่าตนเองทิ้ง”

เมื่อหมีภูเขาเห็นตำรวจเลวทั้งสองเดินออกมาก็รีบเข้าไปรับหน้าพร้อมทั้งถามว่า “เรื่องที่ให้ทำเป็นยังไงบ้าง?”

“แม่งเอ้ย อย่าไปพูดถึงเลย ไอ้หมอนี่มันโหดมาก พวกเราสองคนถูกมันอัดมา!”

“แต่ว่าตอนนี้ไอ้หมอนี่มันถูกพวกเราขังไว้แล้ว ต่อให้ติดปีกก็หนีไม่รอด จะทำไงต่อให้พี่หลี่รีบตัดสินใจหน่อยเถอะ” ตำรวจเลวอีกคนหนึ่งกล่าวด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย

นี่คือสิ่งที่เรียกว่าเจ้าหน้าที่สมคบโจร อิทธิพลมืดในทุกสถานที่ ถ้าหากไม่ได้รับการคุ้มครองจากรัฐบาลท้องถิ่นหรือการสนับสนุนจากฝ่ายความปลอดภัยสาธารณะ ก็จะไม่สามารถก่อตัวขึ้นมาได้ได้ หลี่เถียเป็นหัวโจกผู้นำของอิทธิพลใต้ดินของเมืองหลวง แน่นอนว่าย่อมมีความสัมพันธ์กับอิทธิพลเบื้องบนเป็นอย่างดี(ต้นฉบับไม่มี)

“ไอ้หมอนี่แม่งทำตัวระรานจริงๆ พี่หลี่มีคำสั่งลงมาตั้งนานแล้ว หากจัดการได้ก็ให้จัดการซะ หากไม่ได้ก็ทำให้มันออกจากคุกไม่ได้ไปตลอดชาติ เมื่อถึงเวลาเงินรางวัลจะโอนเข้าบัตรของพวกคุณสองคน” หมีภูเขาพูดขึ้นอย่างดุร้าย

“ไม่มีปัญหา!”

“พวกเราจะทำตามเดี๋ยวนี้!”

เย่เทียนเฉินที่กำลังนั่งสูบบุหรี่อย่างสบายอกสบายใจอยู่ในห้องที่ถูกปิดสนิท ได้ยินคำพูดของหมีภูเขาและตำรวจเลวทั้งสองตั้งแต่แรก ถึงแม้ว่าตอนนี้ระดับพลังพิเศษของเย่เที่ยนเฉินจะยังไม่ไปถึงระดับจอมราชันย์ แต่ก็มีสัญญาณรางๆ ว่าจะสามารถทะลวงไปได้ ดังนั้นเขาไม่เพียงสามารถรับรู้สถานการณ์รอบๆ ได้ประมาณหนึ่งร้อยเมตร แต่ยังสามารถได้ยินเสียงสนทนาของผู้คนอีกด้วย

ประตูห้องถูกเปิดออก ผู้ที่เดินเข้ามายังคงเป็นตำรวจเลวสองคนนั้น พวกเขาไปจับเย่เทียนเฉินโดยที่ไม่ได้รับความเห็นชอบจากภายในสถานีตำรวจ เป็นการใช้อำนาจในทางที่ผิด

ตำรวจหนึ่งในนั้นถือกระบองไฟฟ้าเอาไว้ในมือ ส่วนตำรวจอีกคนถือเอกสาร ตำรวจเลวสองคนต่างก็ยกยิ้มชั่วร้าย เดินเข้าไปหาเย่เทียนเฉิน

โครม!

แฟ้มเอกสารถูกโยนไว้เบื้องหน้าเย่เทียนเฉิน ตำรวจเลวคนหนึ่งกล่าวพูดขึ้นอย่างอวดดีว่า “เซ็นชื่อให้ฉันซะ!”

เย่เทียนเฉินใช้สายตามองสิ่งที่เขียนอยู่บนเอกสาร โดยทั่วไปก็เป็นคดีใหญ่ๆ ที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงในหนึ่งเดือนมานี้ ตำรวจเลวสองนายนี้ให้ตนเซ็นชื่อ เห็นได้ชัดว่าต้องการยัดเยียดข้อหาให้ ในสังคมที่ปกครองด้วยกฏหมายซึ่งยุติธรรมและตรงไปตรงมา นับว่าใจกล้าไม่เลวเลยทีเดียว

“ผมคงเซ็นไอ้นี่ไม่ได้หรอก ต่อให้ผมมีสิบคน ก็เกรงว่าจะทำไหว” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“แม่งเอ้ย แกรนหาที่ตายซะแล้ว บอกให้เซ็นก็เซ็นสิ ไม่ต้องพูดไร้สาระ” ตำรวจที่ถือกระบองไฟฟ้าเดินมาเบื้องหน้าเย่เทียนเฉิน กล่าวขึ้นพลางยกกระบองไฟฟ้า

“ถ้าผมไม่เซ็นล่ะ?” เย่เทียนเฉินกล่าวถามพร้อมกับขมวดคิ้ว

“อยากตายนักใช่ไหม ฉันจะสั่งสอนบทเรียนให้แกดู”

การถูกเย่เทียนเฉินอัดทำให้ตำรวจเลวทั้งสองคนนี้รู้สึกโกรธแค้นอยู่ในใจ พวกเขาคิดว่าขอเพียงจับเย่เทียนเฉินขังไว้ในสถานีตำรวจได้ ก็จะเป็นทีของพวกเขาบ้าง แต่คิดไม่คิดว่าเย่เทียนเฉินจะยังคงแข็งกร้าว ไม่ยอมโอนอ่อนผ่อนตามเลยสักนิด

นายตำรวจที่ถือกระบองไฟฟ้ายกกระบองขึ้นแล้วฟาดใส่ศีรษะของเย่เทียนเฉิน การรับมือกับคนที่ไม่ยอมร่วมมือและไม่ยอมโอนอ่อนผ่อนตามอย่างเย่เทียนเฉิน พวกเขาย่อมมีวิธีการเฉพาะ และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทำเรื่องเช่นนี้ การทรมานผู้คนเพื่อให้รับผิด เรื่องนี้ไม่นับว่าแปลกอะไรในสถานนีตำรวจ

“อ้าก!” เสียงร้องเสียงหนึ่งดังขึ้น นายตำรวจที่ยกกระบองฟาดใส่เย่เทียนเฉินคนนั้นถูกซัดจนปลิวออกไปก่อนจะล่วงลงพื้นจนลุกไม่ขึ้น ในขณะที่เขาร้องโหยหวนขึ้นราวกับหมูถูกเชือด เย่เทียนเฉินก็ลุกจากที่นั่งในชั่วพริบตา แต่เขาเพิ่งจะยืนขึ้นได้ไม่ทันไร ปืนกระบองหนึ่งก็จ่ออยู่บนขมับ นายตำรวจอีกคนหนึ่งหัวเราะอย่างเหนือกว่าพร้อมกับกล่าวว่า

“ขอเตือนว่าให้แกเซ็นซะดีๆ ไม่งั้นฉันยิงแน่ ฉันจะบอกว่าแกทำร้ายตำรวจเลยถูกฆ่า เชื่อว่าคงไม่มีใครสามารถสืบหาอะไรได้แน่”

ฟุ่บ!

เหตุการณ์ที่ทำให้ผู้คนต้องตกตะลึงได้เกิดขึ้น เย่เทียนเฉินขับเคลื่อนพลังพิเศษของตนเอง หายตัวไปต่อหน้าต่อตาตำรวจที่ใช้ปืนจ่อหน้าผากของตน รอจนกระทั่งนายตำรวจผู้นั้นได้สติกลับมา เย่เทียนเฉินก็ใช้มือขวาบีบคอของเขาไว้แน่น แล้วลากเขาเดินไปทางประตู

พลังเทเลพอร์ต ในด้านของพลังพิเศษไม่นับว่าเป็นท่าที่ยากอะไรมากมาย ผู้ใช้พลังพิเศษหลายคนสามารถใช้ได้ตั้งแต่ตอนที่พลังถึงขั้นสี่แล้ว ที่เย่เทียนเฉินเพิ่งจะทำได้ในตอนนี้ เป็นเพราะร่างกายนี้สามารถรองรับระดับพลังพิเศษได้อย่างจำกัด ยังต้องฝึกฝนอีกมาก

“วะ…ไว้ชีวิตผมเถอะ…ยะ…อย่าฆ่าผมเลย…” ตำรวจเลวที่ถูกเย่เทียนเฉินบีบคออยู่กล่าวออกมา ใบหน้าซีดขาว ใกล้จะขาดอากาศหายใจ แววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

“ฉันเกลียดการถูกคนอื่นเอาปืนจี้หัวที่สุด ไม่ว่าจะเป็นในโลกาวินาฬหรือตอนนี้ คนที่กล้ามาทำแบบนี้กับฉัน มันต้องจะกลายเป็นศพ…”

เย่เทียนเฉินพูดอย่างเย็นชา มือขวาบีบอยู่ที่ลำคอของตำรวจเลวที่ถือปืนคนนั้นเดินตรงไปยังประตู ราวกับกำลังลากศพๆ หนึ่ง…

…………………………………………………….

บทที่ 29 อันธพาลอันดับหนึ่ง
Ink Stone_Fantasy
ภายในห้องใต้ดินแห่งหนึ่งในเมืองหลวง ศพของเฉินหู่และลูกน้องสามคนของเขา ถูกวางเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบบนพื้นห้อง

ชายร่างผอมคนหนึ่งที่สวมแว่นตากรอบทองนั่งอยู่บนโซฟา กำลังมองศพทั้งสี่เบื้องหน้าด้วยใบหน้าเคร่งขรึม

ชายร่างผอมที่สวมแว่นกรอบทองคนนี้ก็คือหลี่เถีย เป็นหัวโจกของเหล่าอันธพาลแห่งเมืองหลวง มีความสัมพันธ์อย่างแน่นแฟ้นกับผู้คนมากมายในโลกเบื้องหน้า

ส่วนเฉินหู่นั้นเป็นลูกน้องของหลี่เถีย เมื่อไม่นานมานี้ลูกน้องของหลี่เถียพบศพของเฉินหู่และสมุนมือขวาทั้งสาม จึงได้เคลื่อนย้ายศพกลับมาที่นี่

“พวกแกแน่ใจนะว่าการตายของเฉินหู่ เย่เทียนเฉินแห่งตระกูลเย่เป็นคนทำ?” หลี่เถียกล่าวถามด้วยสีหน้าโกรธแค้น

“ใช่ครับพี่หลี่ หลังจากที่พบศพของพวกเฉินหู่ พวกเราก็ขยายการตรวจสอบออกไป แล้วก็ได้ทราบมาว่าเฉินหาวลูกชายของเฉินหู่ได้ลักพาตัวของน้องสาวของเย่เทียนเฉินไป วันนี้ช่วงบ่ายเฉินหาวก็ตายที่โรงงานร้างแถวๆ ชานเมือง ส่วนเฉินหู่ตายตอนกลางคืน….” ลูกน้องคนหนึ่งรายงาน

หลี่เถียขมวดคิ้ว เรื่องที่เกิดขึ้นในหลายวันมานี้ทำให้เขาเกิดความสงสัยจนถึงกับนั่งไม่ติดที่

ตระกูลฉินให้เขาคิดหาวิธีสร้างความเดือดร้อนให้กับตระกูลเย่ และกำจัดพวกเขาทิ้ง เดิมทีหลี่เถียคิดว่าเป็นเรื่องง่ายๆ ถึงอย่างไรตอนนี้ตระกูลเย่ก็ตกต่ำลงแล้ว ผู้อาวุโสตระกูลเย่เองก็ไม่มีอำนาจในมือ ในเมืองหลวงที่มีกลุ่มอิทธิผลอยู่มากมาย ไม่มีใครให้ความสนใจกับตระกูลชั้นสามตระกูลหนึ่ง

ดังนั้นเริ่มแรก หลี่เถียจึงได้ส่งนักฆ่าสองคนไปยังคฤหาสน์ที่เย่เทียนเฉินพักอาศัยอยู่ เพื่อลักพาตัวแม่และน้องสาวของเย่เทียนเฉินมาใช้ข่มขู่เย่หงผู้เป็นพ่อของเย่เทียนเฉินไม่ให้รับตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการเมือง H ไหนเลยจะรู้ว่านักฆ่าที่มีฝีมือไม่ธรรมดาสองคนจะไปแล้วไปลับ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีข่าวคราว

อีกทั้งหูหลงเองก็ไม่ยินยอมไปสังหารเย่หง หลี่เถียจึงได้ส่งคนไปสร้างปัญหา เดิมทีหูหลงควรจะต้องตาย แต่กลับถูกวัยรุ่นคนหนึ่งปริศนาคนหนึ่งช่วยเอาไว้ ตอนนี้เฉินหู่ก็มาตายไปอีก

สัญญาณต่างๆเหล่านี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า หลังจากที่เย่เทียนเฉินแห่งตระกูลเย่กลับมา เรื่องราวต่างๆ ก็ไม่อยู่ในการควบคุม ทำให้หลี่เถียคาดเดาไม่ถูก

“หรือว่าเย่เทียนเฉินจะเป็นคนทำจริงๆ?” หลี่เถียพูดกับตนเอง

“พี่หลี่ ก็เป็นไปได้อยู่นะครับ หลังจากที่เย่เทียนเฉินกลับมา ตอนแรกก็ถอนหมั้นกับตระกูลฉีอย่างง่ายดาย ต่อมาก็ทำร้ายลั่วเทาและลั่วเหลยแห่งตระกูลลั่วจนบาดเจ็บสาหัส ขนาดลั่วซงเฉิงที่มีนิสัยปกป้องพรรคพวกมาตลอดยังต้องอดทน ดูท่าเจ้านี่คงจะไม่ง่ายอย่างที่คิดซะแล้ว”

“เฮอะ ฉันไม่สนว่ามันจะร้ายกาจรึเปล่า เบื้องบนให้ฉันลงมือทำลายตระกูลเย่มาตั้งแต่แรกแล้ว น่าเสียดายที่ช่วงนี้ฉันยุ่งมาก เลยยังไม่ได้ลงมือเต็มที่ ในเมื่อเย่เทียนเฉินมันกล้ามาฆ่าคนของหลี่เถียคนนี้ ก็อย่ามาโทษฉันก็แล้วกัน”

หลี่เถียดันแว่นกรอบทองของตน กล่าวออกมาพร้อมยิ้มอย่างเย็นชาที่มุมปาก

“พี่ใหญ่ ถ้างั้นพวกเราจะทำไงกันดี?” ชายฉกรรจ์คนหนึ่งเอ่ยถาม

“แจ้งความ!” หลี่เถียกล่าวเสียงเข้ม

เมื่อได้ยินคำพูดของหลี่เถีย พวกลูกสมุนต่างก็ตกตะลึง หลายคนก็มีสีหน้าดูไม่ได้ พวกเขาล้วนเป็นผู้ที่อยู่ในสังคมด้านมืด แต่ไหนแต่ไรยุทธภพมักแก้ปัญหาด้ววิถีชาวยุทธ์

แจ้งความ หากเรื่องนี้แพร่ออกไป เกรงว่าจะถูกผู้คนที่เดินทางสายเดียวกันหัวเราะเยาะจนฟันร่วงแน่ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ค่อยเข้าใจว่าเหตุใดหลี่เถียจึงทำเช่นนี้ นี่ไม่ใช่ว่าเป็นการทำลายความน่าเกรงขามของตน แล้วให้คนอื่นมาล้อเป็นตัวตลกแบบไม่จำเป็นหรอกเหรอ?

ในสังคมแห่งอำนาจมืดที่แท้จริง คนของตนเองถูกฆ่าตาย ไม่ยอมแก้แค้นเพื่อทวงคืนศักดิ์ศรี แต่กลับไปแจ้งความ น่าหัวเราะเยาะจริงๆ แต่หลี่เถียกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น เขาก็มีวิธีการของตนเอง

“พี่ใหญ่ นี่…”

“ไม่ต้องคิดอะไรแล้ว ไปแจ้งความเถอะ ให้ทางตำรวจไปตรวจสอบ ฉันจะรอฟังผล” หลี่เถียพูดอย่างจริงจัง

“ครับ งั้นพวกเราต้องรายงานเบื้องบนไหมครับ?”

เบื้องบนย่อมหมายถึงตระกูลฉิน การที่หลี่เถียสามารถกลายเป็นผู้มีจอมอันธพาลแห่งโลกใต้ดิในเมืองหลวงได้ ย่อมหนีไม่พ้นการสนับสนุนอยู่เบื้องหลังของตระกูลฉิน

หลายปีมานี้หลี่เถียได้ช่วยตระกูลฉินจัดการเรื่องต่างๆ ไปไม่น้อย พูดให้ชัดเจนก็คือผู้บังคับบัญชาของหลี่เถียก็คือตระกูลฉิน ไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องรายงานให้ตระกูลฉินทราบ

“ไม่ต้อง ปิดเรื่องนี้ไว้ก่อน” หลี่เถียตอบหลังจากคิดครู่หนึ่ง

“งั้นถ้าคนของตระกูลฉินตามมาถามเรื่องจัดการตระกูลเย่จะทำไงดีครับ?”

“ก็บอกไปว่าฉันป่วย ป่วยหนัก ยังทำอะไรไม่ได้ชั่วคราว” หลี่เถียเปิดปากพูด

“ครับ!”

เมื่อเห็นว่าพวกลูกน้องของตนต่างก็ไปจัดการธุระกันหมดแล้ว หลี่เถียก็ดีดนิ้วครั้งหนึ่ง หญิงสาวเซ็กซี่ยั่วยวนคนหนึ่งก็เดินออกมาห้องข้างๆ เธอยิ้มเล็กน้อยแล้วนั่งลงบนตักของหลี่เถีย ส่วนหลี่เถียก็ลูบคลำตามใจชอบ

“ทำไมคุณไม่ส่งคนไปทำลายตระกูลเย่ตรงๆ เลยล่ะคะ ทำไมต้องแจ้งความด้วย? ทำแบบนี้เดี๋ยวคนอื่นจะดูถูกเอานะคะ ไม่เหมือนวิธีการของคุณเลย!”

หญิงสาวผู้ยั่วยวนขยับริมฝีปากแดงกล่าวถาม

“เสี่ยวฉิง เธอเข้าใจฉันดีที่สุดแล้วล่ะ แต่ว่าบางเรื่องเธอก็คงจะไม่เข้าใจหรอก” หลี่เถียตอบด้วยรอยยิ้ม

เสี่ยวฉิงเป็นภรรยาน้อยของหลี่เถีย เธอเป็นผู้หญิงที่ฉลาดมากคนหนึ่ง มาอยู่กับหลี่เถียเมื่อหนึ่งปีก่อน ทั้งสองตัวติดกันราวกับปาท่องโก๋ ทุกๆ วันต้องทำเรื่องราวระหว่างชายหญิง สามารถเห็นได้ถึงความชอบของหลี่เถียที่มีต่อคนรักคนนี้

ในสมัยก่อนหลี่เถียเปลี่ยนผู้หญิงทุกสองถึงสามวัน แต่เสี่ยวฉิงมาอยู่กับเขาได้หนึ่งปีแล้ว ทั้งยังไม่ถูกฆ่าตาย แสดงให้เห็นถึงความเฉลียวฉลาดและฝีมือบนเตียงอันเก่งกาจของหญิงคนนี้ได้อย่างง่ายดาย

“งั้นคุณบอกฉันหน่อยได้ไหมคะ? ให้ฉันเรียนรู้เยอะๆ ต่อจากนี้จะได้ช่วยคุณได้!” เสี่ยวฉิงจูบลงบนหน้าผากของ หลี่เถียแล้วกล่าวออกมา

หลี่เถียยิ้มเล็กน้อย ใช้มือซ้ายขยำเบาๆ ที่หน้าอกของเสี่ยวฉิง ได้ยินเสียงกระสันอันรัญจวน จากนั้นก็พูดว่า

“เรื่องที่เกิดขึ้นในหลายวันมานี้ล้วนแต่ผิดปกติทั้งนั้น เรื่องของเจ้าเย่เทียนเฉินฉันก็ได้ยินมาเหมือนกัน ไม่ว่าเจ้าหมอนี่จะเป็นคนไม่เอาไหนจริงๆ หรือเสแสร้งมาตลอดยี่สิบปีก็ตาม ก็ควรระวังเอาไว้หน่อย ฉันไม่อยากจะเป็นแพะรับบาปหรือเครื่องสังเวยของใคร”

“ความหมายของคุณก็คือการกลับมาของเย่เทียนเฉินได้เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของตระกูลเย่ การจัดการกับตระกูลเย่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายดายขนาดนั้นอีกแล้ว ใช่ไหมคะ?” เสี่ยวฉิงเอ่ยปากถามอย่างชาญฉลาด

“ถูกต้อง ตระกูลเย่เมื่อก่อนไม่มีเสาหลัก แต่ในตอนนี้ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นเพราะการกลับมาของเย่เทียนเฉิน ตำแนห่งของฉันหลี่เถียไม่สูงนัก เทียบไม่ได้กับเหล่าคนใหญ่คนโตทั้งหลาย แต่ว่าฉันเชื่อในการมองคนของตัวเอง แค่เย่เทียนเฉินกล้าเข้าไปทำร้ายลั่วเหลยถึงตึกเทียนซ่างเหรินเจียน เย่เทียนเฉินในตอนนี้ไม่ใช่เย่เทียนเฉินคนเดิมอีกแล้ว การกำจัดตระกูลเย่ย่อมไม่ง่ายขนาดนั้นแน่นอน” หลี่เถียหยักหน้าตอบ

จริงๆ แล้ว ที่หลี่เถียให้ลูกน้องไปแจ้งความ ให้ตำรวจส่งคนไปตรวจสอบสาเหตุการตายของพวกเฉินหู่ ก็เพื่อยืมมือของตำรวจตรวจสอบความสามารถของเย่เทียนเฉิน

เขาอยากดูว่าเย่เทียนเฉินเก่งกาจขึ้นจริงๆ หรือแค่เสแสร้ง อีกอย่างถ้าหากตำรวจสามารถจัดการเย่เทียนเฉินได้เขาหลี่เถียก็คร้านจะลงมือเสี่ยงอันตราย

การที่หลี่เถียสามารถเป็นจอมอันธพาลแห่งโลกใต้ดินของเมืองหลวงได้ ส่วนสำคัญที่สุดก็คือเขาทำทุกอย่างด้วยความระมัดระวัง

เมืองหลวงเป็นสถานที่ที่ส่งผลต่อความคิด และที่ซ่อนของกลุ่มอิทธิพลต่างๆ หากไม่ระวังแม้เพียงนิดเดียว ก็อาจจะถูกคนคิดบัญชีได้ ตายโดยที่ไม่รู้ตัวว่าตายอย่างไร

ตอนนี้เย่เทียนเฉินกลายเป็นคนที่คาดเดาไม่ได้ หากผลีผลามลงมือไปล่ะก็ เป็นไปได้สูงว่าจะมีจุดจบเช่นเดียวกับเฉินหู่

ดังนั้นหลี่เถียจึงไม่อาจนำชีวิตตนเองมาล้อเล่น และไม่อาจเป็นหินรองเท้าให้แก่ตระกูลฉินโดยไร้ผลประโยชน์

“ฉันก็ได้ยินเรื่องเกี่ยวกับเย่เทียนเฉินมาเหมือนกัน คุณคิดว่าเขาแกล้งโง่ แสร้งทำตัวเป็นคุณชายเสเพลได้ถึงยี่สิบปี หรือจะบอกว่าอยู่ดีๆ ก็ระเบิดศักยภาพขึ้นมาได้?” เสี่ยวฉิงอดเอ่ยถามไม่ได้

“ไม่ว่าจะยังไง ถ้าไม่กำจัดเย่เทียนเฉินซะก่อน ก็ไม่สามารถลงมือกับตระกูลเย่ได้ อีกอย่างลั่วซงเฉิงมีนิสัยปกป้องพวกพ้อง ฉันเชื่อว่าเขาก็แค่อดทนไว้ชั่วคราวเท่านั้น คงไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ หรอก!” หลี่เถียกล่าวด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย

ไม่พูดไม่ได้ว่าการที่หลี่เถียสามารถเป็นผู้นำของอิทธิพลใต้ดินในเมืองหลวงได้ มาจาวิธีในการจัดการเรื่องราวต่างๆ และความเจ้าเล่ห์ของตน การเคลื่อนไหวในแต่ละครั้งต่างก็ใช้ผู้อื่นเป็นเป้ากระสุน ช่วยเบิกทางให้แก่เขา ส่วนเขาก็คอยเป็นนกขมิ้นรออยู่ด้านหลัง [1]เพียงแต่คราวนี้เจอกับเย่เทียนเฉิน หลี่เถียจะยังสามารถคำนวนอะไรได้อีกหรือ?

“ฉันได้ยินมาว่าตระกูลลั่วให้อู๋เสวี่ยไปลอบสังหารเย่เทียนเฉินแล้ว!” เสี่ยวฉิงเอ่ยขึ้น

“หือ? เธอรู้ได้ไง?”

หลี่เถียพลันตกตะลึง มองไปยังภรรยาน้อยของตนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย เขาพบว่าบางครั้ง ข่าวสารของผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะไวกว่าเขาเสียอีก รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง

พอเสี่ยวฉิงเห็นว่าสีหน้าของหลี่เถียเปลี่ยนไป ก็อดตกใจไม่ได้ รีบกล่าวด้วยรอยยิ้มแทบจะในทันทีว่า

“เรื่องของเย่เทียนเฉินกับตระกูลลั่ว ตอนนี้ทั่วทั้งเมืองหลวงมีใครบ้างที่ไม่รู้ ทุกคนรู้ว่าลั่วซงเฉิงมีนิสัยปกป้องถือหางคนของตนเป็นอย่างมาก ยังไงก็ต้องลงมือแน่ หลายคนต่างก็อยากที่จะเห็นเรื่องเหตุการณ์นี้ ดังนั้นตระกูลลั่วมีการเคลื่อนไหวอะไร ก็ถูกคนอื่นรู้หมด!”

หลี่เถียขมวดคิ้วมองภรรยาน้อยของตน รู้สึกได้ถึงความเปียกชื้นบนมือขวา จิตใจเริ่มสั่นไหวเล็กน้อย จากนั้นจึงยิ้มอย่างหื่นกระหายพร้อมกับพูดว่า

“ดูท่าแล้วการตัดสินใจของฉันจะถูกต้อง อิทธิพลของตระกูลลั่วปกติก็ยิ่งใหญ่กว่าตระกูลเย่มากอยู่แล้ว แถม ไอ้แก่ลั่วซงเฉิงก็ทั้งหัวแข็งทั้งให้ท้ายคนของตนเองมาตลอด ขนาดมันก็ยังไม่กล้าลงมืออย่างโจ่งแจ้ง ทำได้แต่จ้างวานอู๋เสวี่ยให้ลงมืออย่างลับๆ นี่ก็อธิบายปัญหาได้มากขึ้น จะดูถูกเย่เทียนเฉินไม่ได้อีก!”

“เพียงแต่ฉันกำลังคิดว่า อู๋เสวี่ยจะฆ่าเย่เทียนเฉินได้รึเปล่า? มีข่าวบอกว่าเย่เทียนเฉินร้ายกาจขึ้นมาก” เสี่ยวฉิงพูดขึ้น

“เรื่องนี้บอกไม่ได้ อู๋เสวี่ยเป็นนักฆ่าอันดับหนึ่งของเมืองหลวง เป็นคนของพรรควรยุทธ์โบราณ หากพูดถึงฝีมือแล้วเ กรงว่าจะหาคนที่มีฝีมือเทียบเคียงกับเขาได้ยาก ตามที่ฉันรู้มา หลายปีมานี้ทุกครั้งที่อู๋เสวี่ยลงมือล้วนแต่ประสบความสำเร็จ ไม่มีใครหลบพ้นมีดในมือของเขาไปได้ ต่อให้เย่เทียนเฉินจะร้ายกาจยิ่งกว่านี้ ก็ไม่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของ อู๋เสวี่ยได้หรอกมั้ง?” หลี่เถียกล่าวยิ้มๆ

“หวังว่าอู๋เสวี่ยจะฆ่าเย่เทียนเฉินได้นะ ถ้าเป็นแบบนั้น คุณก็จะสบายขึ้นมาก” เสี่ยวฉิงเองก็กล่าวด้วยรอยยิ้มเช่นกัน

“ไม่ต้องสนใจเรื่องพวกนี้แล้ว สรุปแล้วถ้ายังไม่รู้แน่ชัดถึงเส้นสนกลในของเย่เทียนเฉิน ฉันก็จะไม่ลงมือตามใจชอบ ตอนนี้มือขวาของฉันแฉะไปหมดแล้ว คิดว่าเธอเองก็คงแฉะแล้วสินะ ไปทำเรื่องสนุกๆกันเถอะ!”

หลี่เถียกล่าวพลางอุ้มเสี่ยวฉิงขึ้น เดินเข้าไปในห้องข้างๆ ก่อนจะร่วมอภิรมย์กัน

……………………………………….

[1] สำนวนจีน หมายถึง คนที่รอเก็บผลประโยชน์ในตอนสุดท้าย

บทที่ 28 ทักษะการแสดงของผู้หญิงคนนี้!
Ink Stone_Fantasy
เย่เทียนเฉินคิดไม่ถึงว่าตนเองจะใจอ่อน พาฉีหรูเสวี่ยกลับมาค้างที่บ้านาหนึ่งคืน แม้ว่าผู้หญิงคนนี้จะเป็นคนของตระกูลฉี และเป็นคนที่อยากจะถอนหมั้นกับตนเอง แต่จะอย่างไรทั้งคู่ก็ไม่ได้มีความแค้นต่อกัน รวมกับเย่เทียนเฉินแพ้น้ำตาผู้หญิง ที่ไหนได้พอแบกผู้หญิงคนนี้กลับบ้านปุ๊บ ก็บังเอิญเจอเข้ากับแม่และน้องสาวปั๊บ ไม่ทันไรการแสดงขั้นสูงของฉีหรูเสวี่ยก็ทำให้แม่กับน้องสาวก็ไปเป็นพวกได้แล้ว เย่เทียนเฉินหดหู่ใจจนอยากจะเอาหัวโขกกำแพง

ตอนนี้ราวกับว่าฉีหรูเสวี่ยเป็นผู้หญิงที่ลุ่มหลงในรัก เย่เทียนเฉินเป็นชายทรยศ ได้รับคำตำหนิจากแม่และน้องสาว ส่วนฉีหรูเสวี่ยกลับแอบหัวเราะอยู่ที่มุมหนึ่ง และยังทำหน้าล้อเลียนใส่เย่เทียนเฉินด้วย

“แม่ครับ เชี่ยนเหวิน ลองคิดดูดีๆ ก่อนสิ เธอเป็นคนตระกูลฉี ตระกูลฉีดูถูกตระกูลเย่ของพวกเรา ต้องการถอนหมั้นกับพวกเรา ทำให้ตระกูลเย่ของพวกเรากลายเป็นตัวตลกของเมืองหลวง พวกแม่สองคนยังจะให้เธออยู่อีกเหรอ?” เย่เทียนเฉินอดกล่าวขึ้นไม่ได้

ไม่รอให้หลัวเยี่ยนกับเย่เชี่ยนเหวินพูด ฉีหรูเสวี่ยก็แสร้งทำท่าทางเจ็บปวดใจ กล่าวว่า “เทียนเฉิน ฉันรู้ ฉันรู้ดีว่าตระกูลฉีของพวกเราทำไม่ถูก แต่ว่า แต่ว่านี่ไม่เกี่ยวกับฉัน ฉัน ฉันรักนายจริงๆ นะ ไม่ว่าจะยังไง ฉันกับนายก็หมั้นกันแล้ว ฉันจะไม่ถอนหมั้น จะขออยู่กับนายไปชั่วชีวิต!”

ฉีหรูเสวี่ยยิ่งพูดพูดก็ยิ่งรู้สึกสนุก ถึงปากจะบอกว่าเธอรักเย่เทียนเฉิน แต่นั่นมันเป็นเรื่องที่ไปไม่ได้ เพียงแต่พอได้เห็นท่าทีทำอะไรไม่ถูกของเย่เทียนเฉิน ก็คิดถึงเรื่องที่คนๆ นี้บังอาจมาว่าตนน่าเกลียดที่เครือไห่หวาง รวมกับเมื่อสักครู่ที่ร้านบาร์บีคิวได้พบกับท่าทีเย็นชา ฉีหรูเสวี่ยจึงเตรียมแกล้งเย่เทียนเฉิน ให้คนบ้าคนนี้ได้รู้ว่าอย่ามาหาเรื่องฉันคุณหนูฉี

เมื่อเห็นท่าทางเจ็บปวดใจจนอยากจะร้องไห้ของฉีหรูเสวี่ย เย่เทียนเฉินกลับมีท่าทีไร้อารมณ์ แต่หลัวเยี่ยนกับ เย่เชี่ยนเหวินต่างก็รู้สึกซาบซึ้ง รวมกับที่ฉีหรูเสวี่ยงดงามเป็นทุนเดิม ยามเมื่อผู้หญิงที่สวยมากคนหนึ่งแสดงท่าทางเจ็บปวดใจเจียนตาย เกรงว่าไม่เพียงแต่ผู้ชายเท่านั้น กระทั่งผู้หญิงด้วยกันก็ยังทนไม่ไหว

“ลูกไม่รักดีคนนี้นี่ เรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับหรูเสวี่ยด้วย คนเขาอุตส่าห์หลงรักลูก คนอย่างลูกแค่ได้รับความจริงใจจากหรูเสวี่ย ก็ถือเป็นโชคดีชั่วชีวิตแล้ว!” หลัวเยี่ยนสั่งสอนเย่เทียนเฉินผู้เป็นลูกชายอย่างรุนแรง

“ใช่แล้ว พี่ชาย พี่อย่าไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีเลย แอบดีใจอยู่ล่ะสิท่า พี่หรูเสวี่ย พี่คงเหนื่อยแล้วสินะ เดี๋ยวหนูพาพี่ไปพักผ่อนเอง!” เย่เชี่ยนเหวินมองเย่เทียนเฉินผู้เป็นพี่อย่างเหยียดหยาม แล้วกล่าวออกมา

“ขอบใจเธอมากนะ น้องเฉี่ยนเหวินนับวันก็ยิ่งสวยจริงๆ !” ฉีหรูเสวี่ยพูดยอเย่เชี่ยนเหวินด้วยรอยยิ้ม

เมื่อหลัวเยี่ยนเห็นว่าเย่เชี่ยนเหวินลูกสาวเดินนำฉีหรูเสวี่ยขึ้นไปยังชั้นสอง ก็รีบพูดว่า “เชี่ยนเหวิน ทำความสะอาดห้องข้างๆ ห้องของพี่ชายเราทีนะ ให้พี่หรูเสวี่ยของลูกนอนห้องเดี่ยว!”

“รู้แล้วค่า!” เย่เชี่ยนเหวินกล่าวยิ้มๆ อย่างยินดี

“แม่ครับ แม่คงไม่ได้เชื่อคำพูดของฉีหรูเสวี่ยจริงๆ ใช่ไหมครับ? เธอเป็นคนตระกูลฉี แม่ยังไม่คิดให้ดีๆ ก็ถือเอาคำพูดของฉีหรูเสวี่ยเป็นจริงเป็นจัง ถ้างั้นคนตระกูลฉีจะเห็นด้วยเหรอ? ตระกูลฉีอยากจะเกี่ยวดองกับตระกูลฉิน ดูถูกตระกูลเย่ของพวกเรา ผมเตือนแม่ว่าอย่าให้ผู้หญิงคนนี้อยู่ที่นี่จะดีกว่า!” เย่เทียนเฉินรีบกล่าวอธิบายกับหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ของตน

เย่เทียนเฉินในตอนนี้กลัวฉีหรูเสวี่ยจริงๆ การแสดงของสาวงามคนนี้ช่างยอดเยี่ยมเหลือเกิน เพิ่งจะได้เจอแม่กับน้องสาวได้ไม่ทันไร ก็ใช้คำพูดกับการแสดงหลอกให้แม่และน้องเห็นใจได้สำเร็จ และยังทำให้แม่กับสองสาวหันมาตำหนิตนได้อีก ความสามารถนี้ช่างลึกล้ำยิ่งนัก เย่เทียนเฉินเทียบไม่ได้เลยสักนิด

หลัวเยี่ยนมองเย่เทียนเฉินผู้เป็นลูก แล้วกล่าวสั่งสอนด้วยคำพูดที่เต็มไปด้วยความลึกซึ้งว่า “ลูก แม่รู้ว่าการถอนหมั้นของตระกูลฉีส่งผลร้ายกับลูกมาก แต่ว่านั่นเป็นเรื่องของตระกูลฉี แม้ว่าฉีหรูเสวี่ยจะเป็นคนของตระกูลฉี แต่แม่เห็นว่าใจของเธออยู่ที่ลูก ไม่งั้นหญิงสาวตัวคนเดียวจะมาบ้านลูกดึกๆ ดื่นๆ ทำไม? การที่ผู้หญิงหนึ่งคนจะทำแบบนี้กับลูก เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย เห็นค่าของมันหน่อยสิ อีกอย่าง ก็ไม่ใช่ว่าลูกแบกเธอกลับมาหรอกเหรอ? ยังกล้าพูดว่าไม่มี ความรู้สึกกับเธออีกเหรอไง?”

“แม่ครับ เรื่องมันไม่ใช่อย่างที่แม่คิด คือ…” เย่เทียนเฉินแทบจะบ้า พอนึกถึงฉีหรูเสวี่ยก็แค้นจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ฉีหรูเสวี่ยผู้หญิงคนนี้ช่างร้ายกาจเหลือเกิน

“ไม่ต้องพูดแล้ว แม่จะไปนอนแล้ว ลูกก็รีบพักผ่อนเถอะนะ”

คำพูดของเย่เทียนเฉินยังไม่ทันพูดหมด หลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ก็หมุนตัวเดินจากไป ท่าทางชัดเจนเป็นอย่างมากว่าเชื่อคำพูดของฉีหรูเสวี่ย ไม่เชื่อคำพูดของตนซึ่งเป็นลูกชายแท้ๆ เลย

“ใช่แล้ว หรูเสวี่ยอาศัยอยู่ในบ้านของพวกเรา ลูกก็อย่าทำเรื่องอะไรไม่ดีล่ะ ถ้าก่อเรื่องอะไรขึ้น แม่กับพ่อไม่ปล่อยลูกไว้แน่!” เมื่อหลัวเยี่ยนนึกออกว่าฉีหรูเสวี่ยและเย่เทียนเฉินอาศัยอยู่ข้างกันโดยมีแค่ผนังกั้นไว้เท่านั้น ก็รีบกล่าวเตือน

“จบแล้ว จบแล้ว พวกแม่โดนป้ายยาแล้ว พวกแม่โดนฉีหรูเสวี่ยป้ายยาซะแล้ว….” เย่เทียนเฉินอดพูดออกมาพลางส่ายหัวด้วยท่าทีจนใจไม่ได้

ฉีหรูเสวี่ยเข้ามาอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลเย่ นี่เป็นความจริงที่ไม่อาจโต้แย้งได้ เย่เทียนเฉินไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจเลยแม้แต่น้อย แค่แม่และน้องสาวสองคนก็ถือเป็นสิทธิ์ในการตัดสินใจสองเสียงแล้ว ไหนเลยผู้ชายอย่างเขาจะยังมีสิทธิ์มีเสียงอยู่อีก หดหู่ใจชะมัด

พักผ่อนในห้องโถงครู่หนึ่ง เย่เทียนเฉินลองเปิดการรับรู้ถึงพลังภายในร่างกายดู แล้วพบว่ายังคงเป็นระดับราชันย์อยู่ หากต้องการทะลวงไปถึงระดับจอมราชันย์ ยังจำเป็นต้องกระตุ้นแก่นพลังพิเศษในสมองให้มากกว่านี้ การต่อสู้ ยังต้องการการต่อสู้มากกว่านี้

รอจนกระทั่งเย่เทียนเฉินอาบน้ำเสร็จ เดินขึ้นไปยังชั้นสองของคฤหาสน์ เปิดประตูห้องเตรียมตัวเข้าไปนอนอยู่นั่นเอง ประตูห้องนอนห้องข้างๆ ก็ถูกเปิดออก ฉีหรูเสวี่ยที่สวมชุดนอนสุดแสนจะเซ็กซี่ บางดุจปีกไหม ช่วยขับเน้นให้เรือนร่างโค้งเว้าอันเต็มไปด้วยความสง่างามของเธอโดดเด่นยิ่งขึ้น โดนเฉพาหน้าอกหน้าใจอันตั้งตระหง่านและก้นอันกลมกลึง ช่างเย้ายวนผู้คนยิ่งนัก

“ดึกขนาดนี้เพิ่งจะมา เมื่อกี้ได้พูดไม่ดีเกี่ยวกับฉันให้แม่นายฟังหรอกรึเปล่า?” ฉีหรูเสวี่ยกล่าวพลางห่อปากอัน เซ็กซี่

“ฉันไม่ได้มีเวลาว่างมาสนใจเธอหรอกนะ ให้เธออยู่ที่นี่แค่คืนเดียว พรุ่งนี้ต้องไป!” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางกลอกตาใส่ฉีหรูเสวี่ย

“คำพูดของนายจะทำได้เหรอ? หรือต้องให้คุณแม่กับน้องสาวนายพูดอีกครั้ง ตอนนี้พวกเราเป็นแนวร่วมกันแล้ว ผู้หญิงสามคนรวมทีมกัน นายผู้ชายคนเดียว ยังไงก็ไม่ใช่คู่มือของผู้หญิงสามคนอย่างพวกเราหรอก ยอมแพ้ซะเถอะ ฉันให้อภัยนาย!” ฉีหรูเสวี่ยยิ้มอย่างชั่วร้ายเจือไปด้วยงดงาม กล่าวกับเย่เทียนเฉินอย่างลำพองใจ

“เธอ…คนหน้าด้านนี่ทำได้ทุกอย่างจริงๆ แม่กับน้องสาวของฉันไปเป็นพวกเธอตอนไหน? หยุดเอาดีใส่ตัวได้แล้ว” เย่เทียนเฉินกล่าวอย่างอารมณ์เสีย

ได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน ครั้งนี้ฉีหรูเสวี่ยไม่ได้โกรธ กลับเผยรอยยิ้มอันเซ็กซี่ที่มุมปาก เมื่อรวมกับชุดนอนที่บางดุจปีกไหม พอบิดร่างกายของตนเองเล็กน้อยก็ยิ่งน่าลุ่มหลง พูดว่า “รอดูไปเถอะ ฉันจะทำให้นายรู้จักถึงความร้ายกาจ จะทำให้นายรู้ว่ากล้ามาล่วงเกินคุณหนูใหญ่อย่างฉันจะต้องได้รับโทษ”

เย่เทียนเฉินขี้เกียจพูดกับฉีหรูเสวี่ย ในใจก็รู้สึกหดหู่เหลือแสน แม่กับน้องสาวของตนในเวลาปกติก็ออกจะเป็นคนฉลาด ทำไมตอนนี้ถึงได้ถูกฉีหรูเสวี่ยหลอกเอาง่ายๆ อย่างนี้กัน? หรือเป็นเพราะว่าพวกแม่กลัวว่าตนจะได้รับการกระทบกระเทือนหลายครั้งจนหมดความความมั่นใจในตัวผู้หญิง จึงอยากรีบหาผู้หญิงสักคนให้ตนเองแต่งงานให้ได้?

ปัง!

เย่เทียนเฉินไม่สนใจฉีหรูเสวี่ย เดินตรงเข้าไปยังห้องนอนของตนแล้วปิดประตูในทันที ฉีหรูเสวี่ยในตอนนี้อยู่ในจุดที่ได้เปรียบ ได้รับความชื่นชมจากแม่และน้องสาวอย่างลึกซึ้ง ตนจะไปทะเลาะกับเธอก็ไม่มีประโยชน์อะไร สู้เข้านอนเร็วๆ จะดีกว่า

“เย่เทียนเฉิน คนบ้า ฉันยังพูดกับนายไม่จบเลยนะ” พอฉีหรูเสวี่ยเห็นว่าเย่เทียนเฉินกล้าปิดประตูเสียงดังเพื่อแสดงความไม่พอใจใส่ตน ก็โกรธจนขบฟันแล้วเอ่ยขึ้นอย่างดุร้าย

หลังจากปิดประตู เย่เทียนเฉินก็ไม่ได้คิดเรื่องของฉีหรูเสวี่ยอีก แต่กำลังคิดเกี่ยวกับปัญหาเรื่องตระกูลฉิน เรื่องที่เกิดขึ้นติดกันเป็นพรวนในหลายวันมานี้ ต่างก็พิสูจน์ว่าตระกูลฉินต้องการกำจัดตระกูลเย่มาโดยตลอด เพื่อจัดการกับตระกูลเย่ ตระกูลฉินจ่ายเงินซื้อหลี่เถียที่เป็นอัธพาลผู้กุมอำนาจในโลกใต้ดินของเมืองหลวงอย่างไม่เสียดาย ให้มันส่งนักฆ่ามาลอบสังหารพ่อของเย่เทียนเฉิน หากไม่ใช่เพราะคิดว่าไม่มีวิธีการที่ดี และเกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อตระกูลเย่ทั้งหมด เย่เทียนเฉินคงลงมือเองไปแล้ว

คนเราต้องใช้หลักเหตุผลไม่ใช่อารมณ์ส่วนตัว เย่เทียนเฉินย่อมไม่ยอมอ่อนข้อให้กับกลุ่มอิทธิพลที่มาคุกคามครอบครัวของตนเองแน่ แต่ว่าตระกูลฉินช่างเจ้าเล่ห์มาก ใช้ทุกวิถีทางจัดการกับตระกูลเย่แต่ไม่ให้ตัวเองเข้าไปมีส่วนเกี่ยวพัน ถ้าหากว่าเย่เทียนเฉินผลีผลามลงมือทำลายตระกูลฉิน เกรงว่าจะไม่ใช่แค่เพียงถูกมวลชนภายนอกวิพากษ์วิจารณ์เท่านั้น ยังทำให้ตระกูลเย่ทั้งหมดต้องพบกับภัยพิบัติอีกด้วย ไม่มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อย นี่ไม่ใช่สิ่งที่ เย่เทียนเฉินอยากจะเห็น เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เย่เทียนเฉินคิดไม่ตกก็คือ เหตุใดตระกูลฉินถึงเจาะจงตระกูลเย่? ต่อให้ต้องการตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการเมือง H ของพ่อตน ก็ไม่ถึงกับต้องฆ่ากันตายหรอกกระมัง? อีกอย่างหากพูดถึงอำนาจของตระกูลเย่ในตอนนี้ก็เทียบกับตระกูลฉินไม่ได้อยู่แล้ว หรือว่าเรื่องนี้จะมีอะไรบางอย่างแอบแฝงอยู่?

เย่เทียนเฉินนั่งขัดสมาธิบนเตียง เริ่มต้นฝึกฝนพลังพิเศษของตนเอง ค่อยๆ ขับเคลื่อนแก่นพลังในสมอง มือขวาจิ้มใส่โต๊ะคอมด้านข้าง โต๊ะคอมตัวนั้นก็ค่อยๆ ลอยขึ้นมา แล้วลอยมาถึงเบื้องหน้าของเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินเปลี่ยนจากกำมือเป็นกามือ โต๊ะคอมทั้งตัวก็เกิดการสั่นไหวครั้งแล้วครั้งเล่า ราวกับคนๆ หนึ่งที่ถูกเย่เทียนเฉินใช้พลังพิเศษควบคุมให้อยู่กลางอากาศพร้อมที่จะถูกทำให้ระเบิดได้ทุกเมื่อ กำลังดิ้นรนอย่างเจ็บปวด

ตอนที่เหตุการณ์ทั้งหมดหยุดลง โต๊ะคอมตัวนั้นก็กลับไปอยู่ที่เดิมอย่างสงบ เย่เทียนเฉินลืมตาขึ้น แม้ว่าพลังพิเศษในร่างกายจะเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ แต่ว่าหากต้องการทะลวงไปสู่ระดับจอมราชันย์ ก็ยังต้องการการกระตุ้นแก่นพลังในสมองอย่างรุนแรง การต่อสู้ การฆ่าฟัน มีเพียงสิ่งเหล่านี้เท่านั้นที่จะทำให้ทะลวงผ่านไปได้

ตอนที่อยู่ในโลกแห่งความวินาศ เย่เทียนเฉินก็ต่อสู้จนถึงขั้นผู้มีพลังพิเศษระดับพระเจ้า ไม่ทราบว่าผ่านการต่อสู้เป็นตายมามากน้อยแค่ไหน ไม่ทราบว่ากลับมาจากหุบเหวแห่งความตายกี่ครั้ง ตัวเขาเองก็จำได้ไม่ชัดเจนแล้ว แต่ว่าตลอดมาเขาก็มีความเชื่ออันแน่วแน่อย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นเวลาใด สภาพแวดล้อมใด ความแข็งแกร่งของตนเองเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง หากคุณไม่แข็งแกร่งมากพอ ก็เป็นได้เพียงเนื้อปลาให้ผู้อื่นมากัดกิน ทำได้แต่กล้ำกลืนฝืนทน

………………………………………………

บทที่ 27 ผู้หญิงคนนี้ร้ายกาจจริงๆ
Ink Stone_Fantasy
เย่เทียนเฉินรู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าแม่กับน้องสาวจะประทับใจต่อคำโกหกที่ฉีหรูเสวี่ยแต่งขึ้นและทักษะการแสดงเว่อร์ๆ เร็วขนาดนี้ ทางฉีหรูเสวี่ยเผผยรอยยิ้มชั่วร้ายที่ดูน่ารักออกมาตรงมุมปาก แล้วหันไปแลบลิ้นใส่เย่เทียนเฉิน

“คนบ้า พวกเราไม่ได้ถอนหมั้นกันหนึ่งวัน ก็เท่ากับยังเป็นสามีภรรยาที่หมั้นหมายกันหนึ่งวัน นายมันได้ใหม่ลืมเก่า จิตใจโลเล ใจจืดใจดำ…” ฉีหรูเสวี่ยเดินลากกระเป๋าเดินทางตามหลังไปพลาง ตะโกนใส่เย่เทียนเฉินไปพลาง

เย่เทียนเฉินอึดอัดใจมาก ไม่คิดเลยว่าตนเองแค่กินบาร์บีคิวก็ยังเจอกับฉีหรูเสวี่ยได้ เมืองหลวงอันกว้างใหญ่ ที่คนสองมาพบเจอกันได้ ควรจะกล่าวว่าเป็นพรหมลิขิตหรือจะกล่าวว่าคู่แค้นทางแคบดี[1]?

คิดถึงตอนที่พบกับฉีหรูเสวี่ยเป็นครั้งแรก ทั้งสองก็ได้ยกเลิกการหมั้นหมายกัน แม้ว่าสุดท้ายเป็นเพราะฉีหรูเสวี่ยฉีกหนังสือสัญญาถอนหมั้น ทำให้ทั้งสองไม่ได้มีการถอนหมั้นอย่างเป็นรูปธรรม แต่ในสายตาของเย่เทียนเฉิน การหมั้นหมายนี้ได้ยกเลิกกันไปเรียบร้อยแล้ว เขาคิดว่ามันไม่คุ้มค่าที่จะเกาะติดกับตระกูลฉีโดยการไม่ถอนหมั้น ไม่ว่าจะเป็นชีวิตก่อนหรือชีวิตนี้ เย่เทียนเฉินก็ไม่ใช่คนที่มีจิตใจโลเล

“อย่างแรก ฉันกับเธอก็ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน ครั้งนี้เพิ่งจะนับว่าเป็นครั้งที่สอง อีกอย่างเธอเองก็รู้ดี การหมั้นหมายของพวกเราทั้งสอง ผู้อาวุโสของตระกูลฉีกับตระกูลเย่เป็นคนจัดการ พูดอีกอย่างก็คือ ฉันไม่ได้มีความรู้สึกอะไรกับเธอแม้แต่น้อย และฉันก็เชื่อว่าเธอเองก็ไม่ได้มีความรู้สึกอะไรกับฉัน ดังนั้นมันไม่มีการได้ใหม่ลืมเก่าหรือจิตใจโลเลอะไรทั้งนั้นอยู่แล้ว บ๊ายบาย!”

พอเย่เทียนเฉินพูดจบ ก็วิ่งตรงไปยังถนนฝั่งตรงข้าม การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของฉีหรูเสวี่ย และการมาตามตื๊อเขา ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกสงสัย อีกทั้งสิ่งที่ตระกูลฉีทำกับตระกูลเย่ ทำให้ความรู้สึกที่เย่เทียนเฉินมีต่อฉีหรูเสวี่ยไม่ดีเท่าไหร่นัก จึงเตรียมตัวที่จะหนีอย่างรวดเร็ว

เมื่อฉีหรูเสวี่เห็นว่าเย่เทียนเฉินข้ามไฟจราจรไปถึงถนนอีกฝั่งหนึ่ง ก็รีบลากกระเป๋าเดินทางวิ่งเหยาะๆ ตามไป ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว ฉีหรูเสวี่ยที่ใช้ชีวิตในต่างประเทศตั้งแต่เด็ก ไม่ค่อยมีเพื่อนในจีนมากนัก ดังนั้นเธอไม่ยอมปล่อยให้เย่เทียนเฉินหนีไปเด็ดขาด

ความจริงแล้ว หลังจากที่ฉีหรูเสวี่ยลากกระเป๋าเดินทางออกมาจากคฤหาสน์ตระกูลฉี ในใจก็รู้สึกเป็นกังวล ตนเองจะไปไหนดี? จะไปนอนโรงแรมก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ปลอดภัยขนาดนั้น หากจะกลับคฤหาสน์ ตอนนี้ฉีชางเซิ่งพ่อของตนก็ตัดสินใจแน่วแน่ไปแล้วว่าจะต้องให้ตนแต่งเข้าตระกูลฉิน การหนีออกจากบ้านเป็นวิธีการเดียวที่ฉีหรูเสวี่ยจะต่อสู้ดิ้นรนเพื่ออิสรภาพและความสุขของตนเองได้

ใครจะทราบว่า ในขณะที่ฉีหรูเสวี่ยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีนั่นเอง ก็พลันเห็นเย่เทียนเฉินที่แผงขายบาร์บีคิวข้างทาง เรื่องนี้ทำให้เธอรู้สึกดีใจมาก แม้ว่าจะไม่ได้สนิทสนมกับเย่เทียนเฉิน แต่หลังจากที่ฉีหรูเสวี่ยได้พบกับเย่เทียนเฉินที่เครือไห่หวาง ก็ทราบว่าชายคนนี้ไม่ได้มีความรู้สึกอะไรกับตนเองเลย อย่างน้อยหากกลับบ้านไปอยู่กับเขา ตนก็จะไม่มีอันตรายทางกาย แถมยังมีที่ให้พัก ดีกว่าฝืนเดินเตร่ไปมาในเมืองหลวงตอนกลางดึกเป็นไหนๆ

ดังนั้น ฉีหรูเสวี่ยที่คิดวิธีเช่นนี้ได้ ก็รีบเข้าไปตีสนิทกับเย่เทียนเฉินทันที อีกทั้งผลักสถานะ ‘ว่าที่สามีภรรยา’ไปให้ในตอนที่ชายคนนี้ยังไม่ได้ให้ความสนใจตน เพื่อบีบบังคับให้เย่เทียนเฉินพาตนเองกลับบ้าน

สิ่งที่เกินความคาดหมายไปมากคือ เย่เทียนเฉินไม่มีอีคิวเลยแม้แต่น้อย เดินไปคนเดียวโดยที่ไม่สนใจตนเองโดยสิ้นเชิง ฉีหรูเสวี่ยโกรธจนอยากจะอัดเย่เทียนเฉิน แต่กลับยังต้องรีบลากกระเป๋าเดินทางไล่ตามไป มิฉะนั้นคืนนี้คงต้องนอนข้างถนนแล้ว

ฉีหรูเสวี่ยที่สนใจแต่การไล่ตามเย่เทียนเฉินไม่ได้สังเกตเลยว่าไฟตรงทางเดินได้เปลี่ยนเป็นสีเขียวแล้ว เพิ่งจะลากกระเป๋าวิ่งเหยาะๆ ไปถึงกลางทาง รถบรรทุกคันใหญ่ก็เลี้ยวพุ่งเข้ามาอย่างเร็ว คนขับรถแก่ๆ ที่ขับรถบรรทุกตกใจจนเหงื่อท่วมตัว เนื่องจากรถบรรทุกใหญ่เลี้ยวมาอย่างรวดเร็ว จึงหยุดไม่ได้ ขณะกำลังจะชนใส่ฉีหรูเสวี่ยที่จังๆ ถ้าหากว่าถูกชนเข้าล่ะก็ต้องตายแน่นอน

“กรี๊ด…”

เมื่อได้ยินเสียงร้องของฉีหรูเสวี่ย เย่เทียนเฉินก็หันกลับไป แล้วเห็นรถบรรทุกคันใหญ่คันหนึ่งกำลังจะชนใส่ ฉีหรูเสวี่ย เหลือระยะห่างเพียงไม่ถึงหนึ่งเมตรเท่านั้น ยังไงก็ต้องตายอย่างแน่นอน

เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว พลังพิเศษระดับราชันย์กระจายไปทั่วร่าง แล้วหายวับไปจนมองไม่เห็น เหลือทิ้งไว้เพียงเงาร่างเงาหนึ่ง

เสียงตูมดังขึ้น กระเป๋าเดินทางของฉีหรูเสวี่ยถูกชนจนปลิวออกไป รกบรรทุกคันนั้นเบรกอย่างกะทันหัน ถูเป็นรอยเบรครถไว้บนพื้นยาวถึงสามเมตรกว่าๆ ถึงค่อยหยุดลง คนขับรถกลัวจนฉี่แทบราด เมื่อเห็นกระเป๋าที่ถูกชนจนปลิว และเสื้อผ้าที่อยู่ในกระเป๋าทั้งหมดล้วนกระจายออกมากลางอากาศ ใบหน้าก็ขาวซีดมากขึ้น

รอจนกระทั่งตอนที่คนชราที่ขับรถบรรทุกลงมาจากรถด้วยอาการสั่นไปทั้งตัว ต้องการจะดูว่า สถานการณ์เป็นอย่างไรนั่นเอง ถึงค่อยพบว่าเย่เทียนเฉินอุ้มฉีหรูเสวี่ยพุ่งล้มไปบนถนน

“เธอไม่เป็นไรใช่ไหม ตายหรือยัง?” เย่เทียนเฉินลุกขึ้นยืนพลางถาม

“นายสิตาย เจ้าคนใจดำ” ฉีหรูเสวี่ยหันมากล่าวกับเย่เทียนเฉินพลางยู่ปากอันเซ็กซี่ของเธออย่างดุร้าย

“ถ้าฉันใจดำ คงไม่ช่วยเธอหรอก ขี้เกียจสนใจเธอแล้ว ลาก่อน!”

เย่เทียนเฉินปัดฝุ่นบนตัว กรอกตามองบนใส่ฉีหรูเสวี่ยครั้งหนึ่งก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป เมื่อสักครู่นี้หากไม่ใช่ว่าตนเองกระตุ้นพลังภายในร่างกายทั้งหมด เพื่อยกระดับความเร็วขึ้นหลายเท่า และเคลื่อนไหวเข้าไปในชั่วพริบตาล่ะก็ เกรงว่าฉีหรูเสวี่ยคงจะไม่มีชีวิตอยู่แล้ว

ช่วยคนหนึ่งชีวิตยิ่งกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น แม้ว่าไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับฉีหรูเสวี่ยมากมาย แต่ก็มองดูเธอถูกรถชนตายไปต่อหน้าต่อตาไม่ได้

“เจ้าบ้า หยุดนะ อ๊า…”

ฉีหรูเสวี่ยที่ต้องการยืนขึ้นจู่ๆ กลับร้องออกมา แล้วทรุดตัวลงไปกับพื้น ข้อเท้าขวาของเธอปวดจนยากจะบรรยาย ดูเหมือนว่าเมื่อสักครู่นี้จะทำให้เท้าขวาได้รับบาดเจ็บ

“เจ้าคนบ้า ใจดำ ไม่เข้าใจความรู้สึกคนอื่น…”

ดวงตาอันงดงามของฉีหรูเสวี่ยมีน้ำตาไหลออกมาไม่ขาดสาย เป็นเพราะคนบ้าเย่เทียนเฉินทำให้เธอโกรธ อีกทั้งเป็นเพราะรู้สึกว่าตนเองไม่มีที่พึ่งพิง ตระกูลต้องการให้เธอแต่งเข้าตระกูลฉิน ใช้ความสุขของเธอไปแลกกับผลประโยชน์มหาศาลของตระกูล กระทั่งฉีชางเซิ่งที่ดีกับเธอมาตลอดยังไม่ยืนอยู่ข้างเธอ ฉีหรูเสวี่ยเจ็บปวดใจจริงๆ

“ให้ค้างแค่คืนเดียว พรุ่งนี้ต้องไปนะ!”

เมื่อได้ยินเสียงของเย่เทียนเฉิน ฉีหรูเสวี่ยก็เงยหน้าขึ้นมอง เห็นชายคนนี้ยังคงมองเธอด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ จน ฉีหรูเสวี่ยไม่รู้ควรจะดีใจ หรือว่าควรจะใช้หมัดอัดเย่เทียนเฉินให้หนักๆ สักยกดี

เย่เทียนเฉินเองก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก ไม่รู้ว่าทำไมสุดท้ายแล้วตนเองก็ตอบรับคำขอร้องของฉีหรูเสวี่ย อาจเป็นเพราะเห็นว่าฉีหรูเสวี่ยยังมีความน่ารักอยู่บ้าง หรืออาจเป็นเพราะเย่เทียนเฉินทนเห็นท่าทางเช็ดน้ำตาอย่างน่าสงสารของผู้หญิงไม่ได้ หรืออาจเป็นเพราะโชคตะตา…

หลังจากที่แบกฉีหรูเสวี่ยขึ้นหลัง ไม่รอให้ฉีหรูเสวี่ยมีปฏิกิริยา เย่เทียนเฉินก็เดินไปที่แยกถัดไปแล้ว แยกนี้เกิดอุบัติเหตุ ไม่นานรถก็คงจะติด หากอยากจะนั่งแท็กซี่กลับบ้านจำเป็นต้องไปยังแยกหน้า แต่ข้อเท้าของฉีหรูเสวี่ยได้รับบาดเจ็บ จึงทำได้เพียงแบกเธอเดินไป

“นี่ เจ้าบ้านายทำอะไร ปล่อยฉันลงนะ!” ฉีหรูเสวี่ยกล่าวพร้อมกับดิ้น เป็นครั้งแรกที่ถูกผู้ชายแบกขึ้นหลัง ใบหน้ารูปไข่อันงดงามกลายเป็นสีแดงเรื่อ

“อย่าขยับสิ เท้าขวาเธอได้รับบาดเจ็บ เดินไม่ได้หรอก ถ้าหากว่ายังขยับมั่วๆ แล้วตกลงไปฉันไม่รับผิดชอบนะ อีกอย่างฉันขอบอกเธอไว้ก่อน อิฐบนพื้นนี่แข็งมาก ผู้หญิงก้นใหญ่ๆ อย่างเธอเนี่ย ถ้าตกลงไปต้องเจ็บมากแน่ๆ ” เย่เทียนเฉินเดินตรงไปพลางพูดไปพลาง

ฉีหรูเสวี่ยอายจนใบหน้าแดงยิ่งขึ้น พร้อมกับบดฟันของตัวเอง อยากจะกัดเย่เทียนเฉินเป็นอย่างยิ่ง ต่อหน้าหญิงสาว ดันมาพูดว่าก้นของเธอใหญ่ จะไม่ให้เธออายได้อย่างไร? เจ้าคนไร้มารยาท

ครึ่งชั่วโมงต่อมา เย่เทียนเฉินกับฉีหรูเสวี่ยก็มาถึงประตูคฤหาสน์ตระกูลเย่ เนื่องจากเย่เทียนเฉินแบกฉีหรูเสวี่ยไว้ เวลาจึงเลยตีหนึ่งไปแล้ว เย่เทียนเฉินคาดว่าพ่อแม่กับน้องสาวคงหลับไปแล้วเรียบร้อย ในขณะที่แบกฉีหรูเสวี่ยไว้ ก็หยิบกุญแจออกมาเปิดประตูคฤหาสน์แล้วเดินเข้าไป

ที่ไหนได้ ตอนที่เย่เทียนเฉินกำลังแบกฉีหรูเสวี่ยเดินเข้าประตูบ้านไป หลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่และเย่เชี่ยนเหวินผู้เป็นน้องกำลังคุยกันพร้อมกับดูทีวีอยู่ในห้องโถง ยังไม่ได้เข้านอน พอเย่เทียนเฉินเดินเข้าไป แม่กับน้องสาวก็หันมามอง พวกเธอตกใจเพราะเห็นฉีหรูเสวี่ยที่เย่เทียนเฉินแบกไว้บนหลังทันที จากนั้นก็เผยรอยยิ้มอันเจิดจ้าอย่างหาที่เปรียบมิได้ออกมาต้อนรับ

หลัวเยี่ยนและเย่เชี่ยนเหวินสบตากันครั้งหนึ่ง ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาบนใบหน้า ท่าทีเช่นนั้นราวกับจะพูดถึงเย่เทียนเฉินว่า ‘ไม่ทันไรก็แบกผู้หญิงเข้าบ้านซะแล้ว รีบจริงๆ ไม่เลวๆ!’

“อ้าว ลูก กลับมาแล้วเหรอ ผู้หญิงคนนี้เป็นใครกัน?” หลัวเยี่ยนถามด้วยรอยยิ้ม

“พี่ชาย พี่ทำอะไรเร็วจริงๆ เลยนะ แป๊บเดียวก็หัดแบกผู้หญิงเข้าบ้านแล้ว พี่สาวคนนี้ชื่ออะไรเหรอคะ สวยจังเลย!” เย่เชี่ยนเหวินเองก็กล่าวถามเย่เทียนเฉินด้วยรอยยิ้มหยอกล้อเช่นกัน

เมื่อได้ยินคำพูดของหลัวเยี่ยนและเย่เชี่ยนเหวิน เย่เทียนเฉินกับฉีหรูเสวี่ยถึงจะได้สติกลับมา โดยเฉพาะฉีหรูเสวี่ยที่อายจนหน้าแดงไปหมด รีบลงจากหลังเย่เทียนเฉิน แฃ่งพูดอย่างอายๆ ว่า “สวัสดีค่ะคุณป้า ฉันคือฉีหรูเสวี่ย”

“เธอ เธอคือฉีหรูเสวี่ยเหรอ?”

“คุณคือฉีหรูเสวี่ยที่ถอนหมั้นกับพี่ชายฉัน?”

“เอ่อ คุณป้า เรื่องที่ถอนหมั้นกับเย่เทียนเฉินตัวฉันไม่ทราบมาก่อน ต้องขอโทษด้วยค่ะ ฉัน… ฉันไม่อยากแยกจากเทียนเฉิน!”

ฉีหรูเสวี่ยเป็นผู้หญิงฉลาด เธอรู้ว่าหากตนต้องการค้างคืนที่ตระกูลเย่ จะต้องทำให้หลัวเยี่ยนและ เย่เชี่ยนเหวินชอบตนให้ได้ แต่เรื่องที่ตระกูลฉีบีบบังคับตระกูลเย่ให้ถอนหมั้น ทำให้ตระกูลเย่ต้องอับอาย พวกเธอต้องไม่ชอบตนเองแน่ ตอนนี้จึงได้แต่แสร้งว่าตนเป็นผู้เคราะห์ร้าย ถึงจะได้รับความเห็นใจจากพวกเธอ

“หา? นี่ อย่าพูดมั่วๆ ได้ไหม!” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางมองฉีหรูเสวี่ยอย่างอึดอัด

“คุณป้า น้องสาว ฉันเรียนที่ต่างประเทศมาตลอด เพิ่งจะกลับมาเมื่อไม่นาน ถึงได้รู้ว่าที่บ้านจะให้ฉันถอนหมั้นกับเย่เทียนเฉิน แล้วให้ฉันแต่งกับฉินเหิงแห่งตระกูลฉิน คิดว่าพวกคุณก็คงทราบดีว่าลูกผู้หญิงคนหนึ่งวาดฝันถึงอะไร ฝันเพียงได้อยู่กับคนที่ตนรักไปตลอดชีวิต แม้ว่าวันเวลาที่ฉันได้อยู่ร่วมกับเย่เทียนเฉินจะน้อยมาก แต่ฉันรักเขา ลูกผู้หญิงแต่งกับไก่ต้องก็ตามไก่ แต่งกับสุนัขก็ต้องตามสุนัข ฉันจะไม่แต่งงานกับฉินเหิง ฉันอยากแต่งกับเทียนเฉิน!” ฉีหรูเสวี่ยยิ่งพูดก็ยิ่งมีท่าทางเจ็บปวดใจ แทบจะเช็ดน้ำตาอยู่แล้ว

“ฝีมือเธอนี่ ถ้าไม่ไปแสดงละครก็เสียของจริงๆ จะต้องได้เป็นราชินีจอเงินแน่!” เย่เทียนเฉินกรอกตามองบนพลางกล่าวออกมา

“เทียนเฉิน ลูกคนนี้นี่ทำไมถึงได้พูดจาแบบนี้กัน หนูหรูเสวี่ยสวยออกขนาดนี้ เธอรักลูก เต็มใจจะอยู่กับลูก โดยไม่สนใจการคัดค้านจากที่บ้าน เรื่องนี้ต้องใช้ความกล้าหาญมากเลยนะ แม่ไม่ยอมให้ลูกรังแกเธอนะ!” หลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่พูดพลางมองเย่เทียนเฉินด้วยใบหน้าเคร่งขรึม

“ใช่แล้ว พี่อุตส่าห์ได้รับความจริงใจจากผู้หญิงสวยๆ อย่างพี่หรูเสวี่ยก็เป็นโชคดีของพี่แล้ว อย่าไม่รู้จักแยกแยะดีชั่วน่า” เย่เชี่ยนเหวินผู้เป็นน้องพูดพร้อมกับถลึงมองใส่เย่เทียนเฉิน

………………………………………………

[1] สำนวนจีน หมายถึง บุคคลที่เป็นศัตรูคู่อาฆาตไม่ปรารถนาที่จะพบกันแต่เวรกรรมก็บันดาลให้พบกันจนได้

บทที่ 26 พบฉีหรูเสวี่ยอีกครั้ง
Ink Stone_Fantasy
“หรูเสวี่ย เธอทำอะไรน่ะ? จะหนีออกจากบ้านเหรอ?” พอฉีย่ากวงเห็นน้องสาวของตนกำลังลากกระเป๋าเดินทางใบหนึ่งไปยังเบื้องนอกของคฤหาสน์ ก็รีบขวางไว้แล้วกล่าวถาม

“พี่ หนูจะไม่ยอมแน่ นี่เป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวกับความสุขชั่วชีวิตของหนู หนูเสียสละตัวเองเพื่อตระกูลไม่ได้หรอก” ฉีหรูเสวี่ยกล่าวโดยที่ใบหน้างามบึ้งตึง

“หรูเสวี่ย พ่อเองก็ไม่มีทางเลือก แม้ว่าตอนนี้ตระกูลฉีของพวกเราจะมีพ่อเป็นหัวหน้าตระกูล แต่ว่าก็ต้องคิดถึงความคิดเห็นของคุณลุงคุณอาด้วย การแต่งงานของตระกูลฉีกับตระกูลฉินจะทำให้อำนาจของตระกูลยกระดับขึ้นไปอีกขั้น ดังนั้น…”

“ดังนั้นพวกพี่ก็เลยเลือกสละความสุขชั่วชีวิตของหนูใช่ไหม? เอาความสุขชั่วชีวิตของหนูไปเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนทางการเมือง?” ฉีหรูเสวี่ยถามโดยที่ในดวงตาซ่อนน้ำตา

“หรูเสวี่ย นี่…”

ฉีย่ากวงรู้ดีว่าฉีหรูเสวี่ยผู้เป็นน้องได้รับความอยุติธรรมเป็นอย่างมาก ต่อให้เป็นเขาหากจู่ๆ ต้องแต่งงานกับคนแปลกหน้า ก็คงจะรับไม่ได้เช่นกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงน้องสาวที่มีนิสัยดื้อรั้นและได้รับการศึกษาระดับสูงจากต่างประเทศเลยว่าจะเป็นอย่างไร?

แต่ว่า การแต่งงานระหว่างตระกูลในประวัติศาสตร์ของเมืองหลวงก็เป็นเช่นนี้ ไม่สนใจว่าเจ้าตัวจะชอบหรือไม่ อย่างไรเสียในอาณาบริเวณที่มีขั้วอำนาจอิทธิพลมากมายอย่างเมืองหลวง ถ้าหากว่าไม่คิดถึงการยกระดับบารมีและอำนาจอยู่ตลอดเวลา ก็เป็นไปได้มากว่าจากตระกูลชั้นหนึ่งจะตกต่ำเป็นตระกูลชั้นสองหรือชั้นสามได้ในทันที ถึงขั้นกลายเป็นตระกูลชั้นสี่ที่ถูกผู้อื่นดูถูก ซึ่งตระกูลเย่ก็เป็นตัวอย่างที่ดีดี

“พี่ พี่ไม่ต้องพูดแล้ว เรื่องสำคัญที่สุดในชีวิตของหนู หากหนูไม่ได้เป็นผู้กำหนดเองหนึ่งวัน หนูก็จะไม่กลับมาที่บ้านนี้หนึ่งวัน!”

ฉีหรูเสวี่ยเป็นคนที่สวยมาก และก็เป็นคนที่ดื้อรั้นมากเช่นกัน เติบโตที่ต่างประเทศตั้งแต่เด็ก ความคิดของเธอจึงเป็นอิสระและกล้าแสดงออก สำหรับมุมมองในเรื่องความรัก หากเป็นผู้ชายที่ไม่ได้ชอบก็จะไม่ชายตาแล แต่หากเป็นผู้ชายที่ชอบก็จะอ่อนโยนนุ่มนวลกับเขาราวกับสายน้ำ ต่อให้แค่คืนเดียวก็ไม่สนใจ เพียงแต่ยี่สิบปีมานี้ ไม่มีชายใดที่สามารถทำให้ฉีหรูเสวี่ยใจเต้นได้เลย ดังนั้นฉีหรูเสวี่ยที่มีนิสัยเช่นนี้จึงไม่ยอมประนีประนอมเด็ดขาด เธอเองก็ปรารถนามีความรักอันสมบูรณ์แบบที่ลึกซึ้งไม่มีวันลืม เธอจึงไม่ตอบรับการแต่งงานกับชายแปลกหน้าและร่วมหอลงโลงกันแบบนี้

“หยุดนะ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปไม่อนุญาตให้ลูกออกไปไหน อยู่แต่ในบ้านซะ เดือนหน้าต้องหมั้นกับตระกูลฉิน เรื่องนี้ลูกไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ!” ตอนนี้เอง ฉีชางเซิ่งพ่อของฉีหรูเสวี่ยก็เดินเข้ามาในห้อง กล่าวพลางมองฉีหรูเสวี่ยอย่างเคร่งขรึม

“พ่อ…” ดวงตาอันงดงามของฉีหรูเสวี่ยปกคลุมไปด้วยน้ำตา ตั้งแต่เล็กพ่อก็ไม่เคยปฏิบัติเช่นนี้กับตนมาก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการตบตีตนเองเลย

“อย่ามาเรียกฉันว่าพ่อ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปแกไม่ได้รับอนุญาตให้ก้าวออกจากบ้านตระกูลฉี ถ้าหากว่าแกไม่ตกลงแต่งงานกับตระกูลฉิน ความสัมพันธ์พ่อลูกของพวกเราก็ตัดทิ้งไปได้เลย!” ฉีชางเซิ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงอันดัง

เมื่อเห็นฉีชางเซิ่งผู้เป็นพ่อเดินจากไป ฉีหรูเสวี่ยก็ทรุดตัวลงกับพื้นทันที อดร้องไห้ออกมาไม่ได้ แม่มาด่วนจากโลกนี้ไป พ่อจึงคอยเลี้ยงดูพวกเขาพี่น้องอย่างยากลำบากมาโดยตลอด ตั้งแต่เด็กก็ไม่เคยใช้คำพูดแรงๆ กับตัวเธอเลยแม้แต่คำเดียว แต่ครั้งนี้เพื่อแต่งงานกับตระกูลฉิน กลับยอมทำลายความสุขของเธอ ฉีหรูเสวี่ยจะไม่เสียใจได้อย่างไร

“หรูเสวี่ย เธออย่าโทษพ่อเลย พ่อเองก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน ผู้อาวุโสตระกูลฉินเป็นรองนายกรัฐมนตรี มีตำแหน่งและอำนาจสูงส่ง การเลือกตั้งใหม่ในครั้งนี้เป็นไปได้สูงว่าจะได้เป็นนายก ดังนั้น…” เมื่อฉีย่ากวงเห็นว่าฉีหรูเสวี่ยผู้เป็นน้องเสียใจ ก็รีบปลอบใจ

“ดังนั้น ดังนั้นพวกเราตระกูลฉีก็เลยต้องการผูกมิตรกับเขาใช่ไหม? ใช้ความสุขของหนูคนเดียวเพื่อคนตระกูลฉีทั้งหมดใช่ไหม?” ฉีหรูเสวี่ยตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด

แม้ว่าฉีหรูเสวี่ยจะเกิดในตระกูลฉีซึ่งเป็นตระกูลใหญ่ ทั้งยังเป็นหญิงสาวสูงศักดิ์ แต่ว่าเธอโตที่ต่างประเทศตั้งแต่เด็ก ทั้งยังได้รับการศึกษาในระดับสูง ย่อมไม่ใช่คนประเภทที่เกลียดความยากจนรักความร่ำรวย ตอนที่เรียนหนังสืออยู่ที่ต่างประเทศ ฉีหรูเสวี่ยยังเต็มใจเรียนและทำงานไปด้วยโดยไม่มีใครบังคับ แม้ว่าเธอจะไม่ต้องการเงินเล็กน้อยเหล่านั้น แต่ก็เพราะอยากลิ้มลองรสชาติต่างๆ ของชีวิต

ฉีย่ากวงรู้ดีว่าถึงจะเกลี้ยกล่อมน้องสาวอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ พ่อได้ตัดสินใจไปแล้วว่าจะต้องให้ฉีหรูเสวี่ยแต่งงานเข้าตระกูลฉินให้ได้ เขาถอนหายใจครั้งหนึ่งก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป

ฉีหรูเสวี่ยที่ผ่านการร้องไห้อย่างหนัก จู่ๆ ก็เข้มแข็งขึ้นมา ลากกระเป๋าเดินทางของตนเดินออกมาจากประตูใหญ่ของตระกูล เธอไม่เต็มใจจะเป็นเหยื่อสังเวยที่ถูกตระกูลใช้แลกเปลี่ยนเพื่อผลประโยชน์แบบนี้ เธอจะต่อสู้เพื่อความสุขของตัวเอง ตามหาเจ้าชายขี่ม้าขาวในฝัน

เวลาเที่ยงคืนในเมืองหลวงเปรียบกับเมืองใหญ่ทั่วไปแล้วคึกคักกว่ามาก แสงไฟหลากสีของสถานบันเทิงกะพริบวูบวาบ ผู้คนสำมะเลเทเมา ในสถานที่ที่มีกลุ่มอำนาจต่างๆ มากมายเช่นนี้ ไม่มีเวลาใดเลยที่จะไม่เกิดเรื่องราวต่างๆ มากมาย

หลังจากที่เย่เทียนเฉินฆ่าเฉินหู่แล้ว ก็ไม่ได้รีบกลับบ้านในทันที แต่กลับเดินทอดน่องอยู่บนถนนใหญ่ เขาต้องการซึมซับความรู้สึกอันเงียบสงบเช่นนี้ ในโลกแห่งความวินาศ ทุกครั้งที่เย่เทียนเฉินสิ้นสุดการต่อสู้ ก็จะหาสถานที่ที่ไม่มีคนสักแห่งหนึ่ง ซึมซับความเงียบสงบชั่วขณะ มันเป็นความรู้สึกที่ทำให้จิตใจฟื้นคืนสู่ธรรมชาติ ทำให้อารมณ์ของตนนิ่งสงบมากขึ้น นี่เป็นวิธีการฝึกฝนพลังพิเศษอย่างหนึ่ง

ตอนที่ผ่านแผงขายบาร์บีคิวแผงหนึ่งที่อยู่ริมถนน เย่เทียนเฉินก็นั่งลง สั่งบาร์บีคิวมาจำนวนหนึ่ง และสั่งเบียร์มาอีกสองขวดคนเดียว จุดบุหรี่ขึ้นมามวนหนึ่งแล้วสูบอย่างสบายอกสบายใจ คิดย้อนไปถึงช่วงเวลาโลกแห่งความวินาศที่มีการต่อสู้ทั้งเช้าเย็น เข่นฆ่าโรมรันกับศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุด ในจำนวนนั้นมีทั้งยอดฝีมือจากพรรควรยุทธ์โบราณ มีทั้งคนที่มีพลังพิเศษระดับจอมราชันย์ และมีทั้งมนุษย์กลายพันธุ์ และสัตว์กลายพันธุ์ ทั้งหมดล้วนแต่เก่งกาจไร้ที่เปรียบ ต่อให้เป็นเย่เทียนเฉินที่มีพลังพิเศษถึงระดับพระเจ้าก็ไม่กล้าผ่อนคลายการระมัดระวังตัวลงแม้แต่น้อย

โลกแห่งความวินาศที่มียอดฝีมือปรากฏขึ้นมาอย่างไม่ขาดสาย ไม่มีใครกล้าประมาท แม้กระทั่งนอนหลับก็ยังต้องลืมตานอน หากไม่ระวังตัวก็จะถูกมนุษย์กลายพันธ์และสัตว์ร้ายโจมตี พวกมันชอบรสชาติเลือดเนื้อของมนุษย์เป็นอย่างมาก หลังจากได้รับสารอาหารแล้ว พวกมันก็จะบ้าคลั่งและแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น

เปิดขวดเบียร์ไปหนึ่งขวด เย่เทียนเฉินก็บี้ก้นบุหรี่ลงเพื่อดับไฟ จากนั้นก็หยิบขวดเบียร์ขึ้นมาดื่มไปอึกหนึ่ง มือซ้ายถือปีกไก่ย่างขึ้นมาไม้หนึ่ง มือขวาถือขวดเบียร์ นั่งกินอยู่บนเก้าอี้เล็กๆ คนเดียว นี่เป็นการผ่อนคลายที่หาได้ยากยิ่ง

พอปีกไก่ลงท้องไปแล้วไม้หนึ่ง เบียร์ในมือขวาของเย่เทียนเฉินก็ดื่มไปแล้วครึ่งขวดเขา ยื่นมือออกไปกำลังจะจับน่องไก่ที่ย่างเสร็จแล้วขึ้นมา ใครจะรู้ว่าเขายังไม่ทันได้จับน่องไก่ ก็มีมือเล็กๆ สีขาวนวลข้างหนึ่งที่เคลื่อนไหวเร็วกว่าเขา แย่งน่องไก่ชิ้นนั้นไป กัดเข้าไปคำใหญ่ เมื่อเห็นปากเล็กแดงราวผลเชอร์รี่กินอาหาร ก็รู้สึกไม่เลวจริงๆ

“เธอ…” เย่เทียนเฉินมองสาวงามเบื้องหน้าอย่างตกตะลึง พูดอะไรไม่ออกไปครึ่งวัน

“อึ้งอะไร ฉันหิวแล้ว รีบไปย่างปีกไก่มาอีกหลายๆ ไม้สิ แล้วก็ช่วยเปิดเบียร์ขวดนี้ให้ฉันด้วย” สาวงามเบื้องหน้ากินน่องไก่ไปพลางพูดไปพลาง

สุดท้ายพอย้อนคิดไป เย่เทียนเฉินก็ไม่รู้ว่าทำไมตนเองถึงได้ทำตาม ทั้งไปย่างปีกไก่เพิ่มอีกหลายไม้ และยังช่วยสาวงามเบื้องหน้าคนนี้เปิดขวดเบียร์อีกขวดด้วย ดูเหมือนว่าตนเองกับเธอไม่ได้สนิทสนมกันนัก เพียงแค่เคยพบหน้ากันครั้งเดียวเท่านั้น อีกทั้งการพบหน้ากันในครั้งนั้นก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่

จนกระทั่งหลังจากกินบาร์บีคิวทั้งหมดและดื่มเบียร์ทั้งสิบขวดจนหมดเกลี้ยง เย่เทียนเฉินค่อยสังเกตเห็นว่าสาวงามที่นั่งอยู่ตรงข้ามตนก็หยุดปากเล็กๆ สีแดงชุ่มชื้นของเธอ หยิบกระดาษทิชชูแผ่นหนึ่งออกมาจากอก หลังจากที่เช็ดมุมปากเล็กน้อย ก็ใช้ดวงตาอันงดงามของเธอมองเย่เทียนเฉินแล้วกล่าวว่า “ยังไม่รีบไปเช็คบิลอีก มองฉันทำไมมิทราบ?”

“หา? เช็คบิล นี่ฉีหรูเสวี่ย ฉันว่าดูเหมือนเธอจะกินเยอะที่สุดไม่ใช่เหรอ? อีกอย่างพี่ชายสุดหล่อคนนี้ก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับเธอ ทำไมต้องเลี้ยงบาร์บีคิวเธอด้วย?” เมื่อเย่เทียนเฉินได้สติกลับมาก็พูดอย่างไม่พอใจ

ที่แท้ตอนที่เย่เทียนเฉินกำลังกินบาร์บีคิวและดื่มเบียร์อย่างสุขอุราอยู่นั้นเอง ฉีหรูเสวี่ยกลับลากกระเป๋าเดินทางของตนโผล่ออกมา ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็เริ่มต้นกินบาร์บีคิวดื่มเบียร์ ดื่มเบียร์ เกือบครึ่งชั่วโมงเต็มๆ ถึงค่อยหยุดลง ทำให้ เย่เทียนเฉินอดมองรูปร่างผอมเพรียวของฉีหรูเสวี่ยไม่ได้ นอกจากหน้าอกและก้นที่ดูค่อนข้างจะอุดมสมบูรณ์แล้ว ส่วนอื่นๆ ก็ล้วนเพรียวบาง แต่เย่เทียนเฉินไม่ได้ชอบผู้หญิงประเภทที่ผอมจนเกินไป มีเนื้อมีหนังหน่อยถึงจะดี ผู้หญิงที่สมบูรณ์เวลากอดถึงจะสบาย

“นาย…นายยังเป็นผู้ชายอยู่รึเปล่า สาวสวยอย่างฉันกินข้าวเป็นเพื่อนนาย ก็แค่กินบาร์บีคิวไปไม่กี่ไม้เท่านั้น นายยังไม่เลี้ยงอีก ใช้ไม่ได้เกินไปแล้วมั้ง?” ฉีหรูเสวี่ยไม่คิดเลยว่าเย่เทียนเฉินจะขี้งกขนาดนี้ กระทั่งบาร์บีคิวมื้อเดียวก็ไม่เต็มใจเลี้ยง ปกติแล้วไม่รู้ว่ามีชายหนุ่มกี่คนแย่งกันเลี้ยงอาหารมื้อใหญ่เธอ นั่นยังต้องดูด้วยว่าตนเองยินดีให้เลี้ยงรึเปล่า

“ฉันเป็นผู้ชายแน่นอน ถ้าหากสงสัยล่ะก็เธอจะลองพิสูจน์ดูก็ได้ อีกอย่างฉันกับเธอก็ไม่ได้สนิทสนมกัน พวกเรายกเลิกการหมั้นกันไปแล้ว อย่ามาตื้อฉันอีกเลย บ๊ายบาย!” เย่เทียนเฉินพูดพร้อมกับลุกขึ้น เตรียมตัวจะเดินจากไป

เมื่อฉีหรูเสวี่ยเห็นว่าเย่เทียนเฉินกำลังจะไป ใบหน้ารูปไข่ก็กลายเป็นสีแดง ใช้ดวงตาอันงดงามถลึงมองเย่เทียนเฉินอย่างดุร้ายทีหนึ่ง แล้วรีบลากกระเป๋าเดินทางของตนเดินตามไป

“นี่ เธอตามฉันมาทำไม? เลี้ยงบาร์บีคิวเธอไปแล้ว ยังไม่พอใจอีกเหรอ?” เย่เทียนเฉินหันกลับมาถามฉีหรูเสวี่ย

“ฉัน…ฉันก็ต้องกลับบ้านไปอยู่กับนายอยู่แล้วสิ ฉันออกจากบ้านเพื่อมาหานายโดยเฉพาะ นายจะมาทำตัวใจร้ายอย่างนี้ไม่ได้นะ” ฉีหรูเสวี่ยทำหน้าบึ้งตึงพลางกล่าวออกมา

เย่เทียนเฉินย่อมไม่เชื่อคำพูดของฉีหรูเสวี่ย แม้ว่าผู้หญิงคนนี้จะสวยมากก็ตาม แต่ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขาแม้แต่น้อย เธอออกจากบ้านมาเพื่อตามหาเขาโดยเฉพาะ? คงจะทีแต่คนโง่สติไม่ดีเท่านั้นถึงจะเชื่อคำพูดของฉีหรูเสวี่ย

“ฉันขี้เกียจสนใจเธอแล้ว ทางใครทางมันเถอะ!” พอเย่เทียนเฉินพูดจบก็เดินไปข้างหน้าต่อ

เมื่อเห็นแผ่นหลังของเย่เทียนเฉิน ฉีหรูเสวี่ยก็โกรธจนปวดฟัน ในใจก่นด่าเย่เทียนเฉินว่าช่างไม่มีอีคิวเอาเสียเลย ตนเป็นผู้หญิงตัวคนเดียว เอ่ยปากขอกลับไปอยู่กับเจ้าหมอนี่ออกมาด้วยตัวเอง หากเป็นผู้ชายคนอื่นคงจะดีใจจนบ้าไปแล้ว ใครจะรู้ว่าเจ้าหมอนี่นอกจากจะไม่เข้าใจเจตนา ยังมาปฏิเสธเธออีก

“นี่ นายรอด้วยสิ รอด้วย ถึงยังไงฉันก็เป็นภรรยาในอนาคตของนายนะ พวกเรายังไม่ได้ยกเลิกการหมั้นหมายสักหน่อย!” ฉีหรูเสวี่ยลากกระเป๋าเดินทาง เท้าที่สวมรองเท้าส้นสูงสีแดงวิ่งเหยาะๆ ตามหลังเย่เทียนเฉินพลางตะโกน

“ไม่มีทาง เธอพูดออกมาได้ไงกัน ตระกูลฉีของเธอต่างหากที่ขอถอนหมั้นกับตระกูลเย่ของฉัน แล้วฉันไม่ได้มีความรู้สึกอะไรกับเธอ ก็เลยจำเป็นต้องถอนหมั้น ไม่ต้องตามฉันมา!” เย่เทียนเฉินรู้สึกหมดคำพูด ในใจก็คิดว่า ฉีหรูเสวี่ยช่างกล้าพูดออกมาจริงๆ ขนาดอยู่บนถนนก็ยังกล้าตะโกนออกมาว่าเธอเป็นภรรยาในอนาคตของตน

………………………………………………

บทที่ 25 นักฆ่าผู้ไร้รอยเลือด
Ink Stone_Fantasy
กลางดึก ณ คฤหาสน์ที่เฉินหู่อาศัยอยู่ ท่ามกลางความมืดมิด เฉินหู่และลูกน้องอันธพาลทั้งสามล้วนตายหมด โดยเฉพาะเฉินหู่ที่ถูกมีดสั้นเล่มหนึ่งปักติดอยู่กลางกำแพงห้อง หลอดลมถูกมีดสั้นเสียบทะลุ สองตาเบิกโพลง ในดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดผวา

เย่เทียนเฉินเพิ่งจะจากไปไม่นาน เงาร่างสองสายก็พลิกตัวพุ่งเข้ามา พวกเขาสะกดรอยตามเย่เทียนเฉินมาตลอด สุดท้ายก็มาถึงที่นี่

เงาร่างทั้งสองค่อยๆ คลำทางมาถึงห้องที่เฉินหู่อยู่ ตอนที่พวกเขาพบศพของอันธพาลทั้งสาม กับเฉินหู่ที่ถูกปักติดอยู่บนกำแพง ตายโดยที่เลือดไหลออกมาจนหมดตัว ก็อดตกใจไม่ได้

“ไอ้เด็กนี่มันโหดจริงๆ ฆ่าหมดทุกคนเลย” คนๆ หนึ่งเอ่ยขึ้นพลางขมวดคิ้ว

“ทุกคนตายภายในการโจมตีครั้งเดียว ร้ายกาจมาก” อีกคนหนึ่งหลังจากตรวจสอบศพของอันธพาลทั้งสามที่อยู่บนพื้น ก็อดอุทานออกมาอย่างตกตะลึงไม่ได้

“หรือว่าไอ้ตัวตลกของเมืองหลวงคนนี้ จะระเบิดศักยภาพออกมาได้จริงๆ ?”

“คิดว่าคงจะไม่มีใครกล้าเห็นมันเป็นเศษสวะอีกแล้วล่ะ วันนี้ไม่เหมือนกับในอดีต ฉันว่าเรื่องนี้ต้องรีบรายงานทันที”

“ไปกันเถอะ ถูกคนพบเข้าคงไม่ดีแน่!”

เวลานี้ ณ คฤหาสน์หลังใหญ่ของตระกูลลั่ว ลั่วซงเฉิงโกรธจนทนไม่ไหว แทบกระอักเลือดออกมา พริบตาเดียวก็ทำแก้วชาในมือแตกออกเป็นผุยผง

“พ่อ มีเรื่องอะไรทำไมถึงโมโหขนากนี้ครับ?” ลั่วกวงฮุยตกใจจนชะงักไปครู่หนึ่งแล้วค่อยกล่าวถาม

“เรื่องอะไรงั้นรึ? มันน่าโมโหจริงๆ ไม่เคยมีใครกล้ามาดูถูกตระกูลลั่วของฉันขนาดนี้!” ลั่วซงเฉิงด่าออกมาด้วยน้ำเสียงอันดัง

“พ่อ ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ครับ?” ลั่วฉีก็รู้สึกสงสัยอยู่บ้าง แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยเห็นพ่อของตนโกรธขนาดนี้มาก่อน

ลั่วซงเฉิงมองลูกชายทั้งสอง สุดท้ายจึงถอนหายใจออกมาแล้วกล่าวว่า “วันนี้ฉันโทรไปหาชางหลาง บอกว่าอยากจะดูข้อมูลของเย่เทียนเฉิน ไม่คิดว่าชางหลางจะไล่ให้ฉันไปดำเนินเรื่องตามปกติ ไอ้หมอนี่มันไม่ไว้หน้าฉันเลยสักนิด สุดท้ายฉันก็ยื่นเรื่องขึ้นไปที่สำนักความมั่นคงแห่งชาติ แต่พวกเขาดันบอกฉันว่าข้อมูลของเย่เทียนเฉินถูกเหยียนหลงแห่งกองกำลังเหยี่ยวนักล่าเอาไปแล้ว นี่ไม่ใช่ว่าไม่เห็นฉันลั่วซงเฉิงอยู่ในสายตาหรอกเหรอไง?”

เมื่อได้ยินเสียงด่าของลั่วซงเฉิง ลั่วกวงฮุยกับลั่วฉีก็พลันกระจ่างแจ้ง ปกติพ่อเป็นคนมีอำนาจและถือหางพวกตัวเอง แม้ว่าตระกูลลั่วจะไม่ได้เป็นตระกูลชั้นหนึ่งในเมืองหลวง แต่ก็ไม่เคยถูกใครดูหมิ่นมาก่อน อีกทั้งครั้งนี้พ่อของตนที่มีตำแหน่งเป็นถึงผู้บัญชาการทหาร แค่คิดอยากจะตรวจสอบข้อมูลของทหารหน่วยรบพิเศษธรรมดาๆ คนหนึ่งก็ยังยากเย็นขนาดนี้ ทำให้จิตใจที่หยิ่งทะนงในตนเองของลั่วซงเฉิงรับไม่ได้ ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ต่อให้เย่เทียนเฉินมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลเย่ แต่ตระกูลเย่ก็ตกต่ำลงตั้งนานแล้ว ไม่มีทางเทียบเคียงกับตระกูลลั่วได้ แค่อยากดูข้อมูลมันยากเย็นแสนเข็ญขนาดนั้นเชียวหรือ?

“แม่งเอ้ย ชางหลางกับเหยียนหลงมันกล้าไม่ไว้หน้าตระกูลลั่วของพวกเรา สักวันจะต้องฆ่าไอ้เดรัจฉานสองคนนั่นให้ได้” ลั่วกวงฮุยพูดเสียงดังอย่างไม่มีเหตุผล

เพียะ!

เมื่อลั่วซงเฉิงได้ยินคำพูดไร้สมองของลั่วกวงฮุย ก็ตบใส่หน้าฉาดหนึ่ง ลั่วกวงฮุยทั้งรู้สึกมึนงง ทั้งรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม เหตุใดทุกครั้งคนที่ถูกตบจึงต้องเป็นเขาด้วย?

“เจ้าโง่ ฉันคิดว่าไอ้เจ้าเย่เทียนเฉินมันเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในเมืองหลวงแล้ว แกสิถึงจะเป็นไอ้คนไม่เอาไหนกับเศษสวะที่สุด!” ลั่วซงเฉิงด่าอย่างดุร้าย

“พ่อ ผมทำเพื่อตระกูลนะครับ…” ลั่วกวงฮุยที่ยังคงรู้สึกว่าไม่ยุติธรรม กล่าวอธิบาย

“แกบอกว่าทำเพื่อตระกูลงั้นเหรอ? ฉันว่าแกอยากจะทำให้ตระกูลตกต่ำจนไม่เหลืออะไรเลยซะมากกว่า ชางหลางเป็นใคร เป็นถึงคนของคณะกรรมาธิการทหาร เหยียนหลงก็เป็นผู้บัญชาการของกองกำลังเหยี่ยวนักล่า แกรู้ถึงความร้ายกาจของกองกำลังเหยี่ยวนักล่ารึเปล่า? เป็นกองกำลังขึ้นตรงต่อผู้บัญชาการทหารสูงสุดโดยตรง แกบอกว่าอยากจะฆ่าชางหลางกับเหยียนหลง ไม่ต้องพูดถึงลงมือหรอก แค่ถูกคนรู้เข้า พวกเราตระกูลลั่วจะต้องมีปัญหาแน่” ลั่วซงเฉิงด่าโครมๆ ใส่หน้าของลั่วกวงฮุยผู้เป็นลูกชายคนโต

สมควรแล้วที่ลั่วกวงฮุยคนนี้จะถูกด่า ช่างโง่งมจริงๆ ที่ลั่วซงเฉิงพูดคำเหล่านั้นออกมา ก็เพราะต้องการระบายเท่านั้น และอยากจะให้ลูกชายทั้งสองคิดหาวิธีดูว่ามีทางใดที่จะใช้ตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับเย่เทียนเฉินในช่วงที่อยู่ในกองทัพได้บ้าง ไม่ได้อยากจะจัดการกับชางหลางและเหยียนหลง หากคิดถึงสถานะของชางหลางกับเหยียนหลงแล้ว ตระกูลลั่วย่อมไม่กล้าลงมือ สองคนนี้ได้รับการขนานนามว่าเป็นหนึ่งสามราชันย์นักรบของประเทศจีน การลงมือกับพวกเขาทั้งสองคงจะเป็นการรนหาที่ตายเปล่าๆ ใครจะรู้ว่าลั่วกวงฮุยอยู่ดีๆ ก็พูดว่าจะฆ่าชางหลางกับเหยียนหลง เป็นการกระทำฆ่าตัวตายโดยแท้

“ถะ…ถ้างันพวกเราจะทำยังไงกันดีครับ? หรือว่าเรื่องของลูกเหลยกับลูกเทาจะพอแค่นี้?”

“พอเหรอ? ตระกูลลั่วของฉันไม่เคยถูกคนรังแกแบบนี้มาก่อน ถ้าพอแค่ตรงนี้ ตระกูลลั่วจะไปยืนอยู่ตรงไหนในเมืองหลวง ตระกูลเย่บังอาจมาเป็นศัตรูกับฉัน ฉันจะต้องเอาคืนมันให้ได้ เย่เทียนเฉินมันบังอาจทำร้ายเหลยเอ๋อร์กับเทาเอ๋อร์จนพิการ ฉันจะเอาคืนมันเป็นสิบเท่า” ลั่วซงเฉิงกล่าวอย่างเกรั้ยวกราด

“พ่อ พ่อหมายถึง…” ลั่วฉีที่ยืนไม่กล่าวอะไรอยู่ด้านข้างมาโดยตลอดเปิดปากถาม

“เจ้าเดรัจฉานเย่เทียนเฉินยังไงก็ต้องตาย ในเมื่อลงมือต่อหน้าไม่ได้ งั้นก็ส่งคนไปซะ” ลั่วซงเฉิงกล่าวออกมาพร้อมยิ้มอย่างชั่วร้าย

“ทราบแล้วครับพ่อ ผมจะรีบไปหาอู๋เสวี่ยทันที” ลั่วฉีพยักหน้าพลางกล่าวออกมา

ลั่วซงเฉิงพยักหน้า จากนั้นจึงเปิดปากกล่าวว่า “แกระวังหน่อยนะ เจ้าอู๋เสวี่ยคนนี้มันควบคุมไม่ง่ายเลย ถ้าหากว่ามันไม่ยอมทำก็บอกมันว่า ขอเพียงมันช่วยฉันฆ่าเย่เทียนเฉินให้ได้ ฉันก็จะหาวิธีปล่อยพ่อบุญธรรมของมันออกมาจากคุก…”

“ทราบแล้วครับ!”

“แล้วก็ติดต่อไปหาเหยียนหลงด้วย ฉันยังหวังวาจะได้รับข้อมูลส่วนนั้น ฉันคิดว่าเย่เทียนเฉินไม่ธรรมดาขึ้นทุกวันๆ!” ลัวซงเฉิงกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว

อู๋เสวี่ยราชาโลกมืดแห่งเมืองหลวง ไม่มีใครทราบว่าเขามีลักษณะหน้าตาอย่างไร แต่กลับมีคนมากมายที่ได้ยินเรื่องราวของเขา เขาคือเทพแห่งความตายที่เดินอยู่ในราตรีอันมืดมิด มักจะได้รับการว่าจ้างจากเหล่าผู้ทรงอิทธิพลและเหล่าตระกูลใหญ่ต่างๆ หลายคนทราบว่าขอเพียงอู๋เสวี่ยลงมือ ก็จะไม่มีใครฆ่าไม่ได้เด็ดขาด ที่ได้รับสมญานามว่า ‘อู๋เสวี่ย(ไร้รอยเลือด)’ ก็เป็นเพราะแต่ไหนแต่ไรการฆ่าคนของเขาล้วนสะอาดสะอ้าน ไม่ทิ้งร่องรอยไว้แม้แต่น้อย ถึงขั้นฆ่าคนได้โดยที่ไม่เห็นเลือดสักหยด เขาได้รับการยกย่องทั้งจากโลกเบื้องหน้าและเบื้องหลังว่าเป็นนักฆ่ามือหนึ่งแห่งเมืองหลวง

ครั้งนี้ลั่วซงเฉิงหมดสิ้นหนทางแล้ว คณะกรรมาธิการทหารใกล้จะมีการเลือกตั้งครั้งใหม่ จึงไม่สามารถลงมือต่อหน้าอย่างโจ่งแจ้งได้ มิฉะนั้นจะส่งผลกระทบต่อการเลื่อนขั้นของเขา ในเมื่อไม่สามารถแก้ปัญหาในที่แจ้งได้ ถ้างั้นก็แก้ปัญหาในทางลับก็พอ เขาเชื่อว่าขอเพียงอู๋เสวี่ยลงมือ จะต้องฆ่าเย่เทียนเฉินได้อย่างแน่นอน เพื่อขจัดความเคียดแค้นในใจ

เวลานี้ ภายในตึกสำนักงานใหญ่ของกองกำลังเหยี่ยวนักล่า เหยียนหลงกำลังมองเจียงเหมิงและเฟยอวิ๋น อย่างเคร่งเครียด ปรากฏความประหลาดใจและความไม่อยากจะเชื่อในสายตา เนื่องจากเมื่อสักครู่นี้ เจียงเหมิงและ เฟยอวิ๋นได้รายงานเรื่องการตายของเฉินหู่ซึ่งเป็นอันธพาลในเขตใต้ให้เหยียนหลงฟัง โดยเฉพาะลักษณะการตายที่บรรยายออกมาได้อย่างละเอียดยิ่ง แม้แต่เหยียนหลงที่ได้รับการยกย่องให้เป็นยอดฝีมือหนึ่งในสามราชันย์นักรบแห่งเมืองหลวงก็รู้สึกตกตะลึงอยู่บ้าง

“เย่เทียนเฉินเป็นคนฆ่าสี่คนนั่นจริงๆ เหรอ?” เหยียนหลงถาม

“ใช่ครับ มีแต่เขาที่ได้เข้าไป ทุกคนถูกฆ่าด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ร้ายกาจมาก โดยเฉพาะเฉินหู่ที่ถูกมีดสั้นเสียบทะลุหลอดลม และถูกปักตายอยู่คากำแพง แขนขวาถูกฟันขาด ในมือซ้ายถือปืนพกอยู่หนึ่งกระบอก น่าเสียดายที่ไม่ทันได้ลั่นไก…” เจียงเหมิงที่มีความประหลาดใจอยู่เต็มหน้ากล่าวออกมา

“หัวหน้าเหยียน เรื่องนี้พวกเราต้องรายงานให้ฝ่ายรักษาความปลอดภัยสาธารณะทราบ เพื่อดำเนินการจับกุมเย่เทียนเฉินไหมครับ” เฟยอวิ๋นคิดครู่หนึ่งแล้วกล่าวถาม

หลายวันมานี้เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นสะกดรอยตามเย่เทียนเฉินอยู่ตลอด เพื่อต้องการทราบทุกความเคลื่อนไหวของชายคนนี้ ที่เหยียนหลงส่งเจียงเหมิงกับเฟยอวิ๋นไปสะกดรอยตามก็ไม่ได้มีวัตถุประสงค์อื่นใด นอกจากเพื่อกู้หน้าให้กองกำลังเหยี่ยวนักล่าของตนเองเท่านั้น ใครจะทราบว่าสะกดรอยตามอยู่ไม่กี่วันก็จะเกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ขึ้น

“ไม่ต้อง ผมเพิ่งจะได้รับข้อมูลที่เย่เทียนเฉินได้รับการจัดเป็นความลับระดับหนึ่งของประเทศมา พวกคุณเองก็มาดูหน่อยเถอะ!” เมื่อเหยียนหลงพูดจบ ก็ส่งข้อมูลชุดหนึ่งให้แก่เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋น

เจียงเหมิงและอวิ๋นเฟยรับข้อมูลที่เหยียนหลงส่งให้มาอ่านจากบนลงล่าง ไม่พบว่ามีส่วนผิดปกติ แต่เมื่อพวกเขาอ่านถึงส่วนที่เกี่ยวกับระดับการสู้รบ ทั้งสองต่างก็ปากอ้าตาค้าง เนื่องจากตรงบรรทัดนั้นมีตัวอักษรดูทรงพลังสองตัวกำกับไว้ว่า ‘ไม่ทราบ’

“นี่…เป็นไปไม่ได้ ไม่ทราบระดับพลังการสู้รบ? นี่มัน…” เจียงเหมิงตกใจจนพูดไม่ออก

“นายพลชางหลางเป็นคนเขียนความคิดเห็นด้วยตัวเอง ดูท่าแล้วเรื่องที่พวกทหารหน่วยรบพิเศษทั้งเจ็ดอย่างพวกเย่เทียนเฉินถูกลอบโจมตีในครั้งนั้น จะต้องมีความลับที่ทำให้ผู้คนตกตะลึงอยู่แน่ๆ ” เฟยอวิ๋นเองกล่าวพลางขมวดาคิ้ว

เหยียนหลงพยักหน้า ชางหลางเป็นใคร คงจะไม่มีใครรู้ชัดเจนไปกว่าเขาอีกแล้ว เจ้าหมอนี่เป็นหนึ่งในสามราชันย์นักรบของประเทศจีนเช่นเดียวกับตนเอง ไม่ว่าตำแหน่งหรือความสามารถ ล้วนแต่ไม่มีใครกล้าดูเบา เพียงแต่หลายปีมานี้ เขากับชางหลางต่างก็มีโอกาสลงมือน้อย มีน้อยคนที่ทราบถึงฝีมือความสามารถที่แท้จริงของพวกเขา แต่ว่าต่างก็เป็นคนที่มาจากช่วงเวลาเดียวกัน จะมากน้อยก็รู้ถึงพลังของอีกฝ่าย สามารถทำให้ชางหลางเขียนคำว่า ‘ไม่ทราบ’ ลงไม่ในส่วนของระดับการสู้รบได้ เย่เทียนเฉินคงจะเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์

“หรือว่าจะเป็นอย่างที่ข่าวลือบอกจริงๆ เย่เทียนเฉินฆ่าล้างพวกโจรทั้งหมดด้วยตัวคนเดียว กระทั่งยอดฝีมือของกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิตก็ถูกเก็บหมด แล้วแบกหานเจี๋ยกลับมายังกองทัพคนเดียว?” เฟนอวิ๋นชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะกล่าวถาม

“นี่มันแกร่งเกินไปหรือเปล่า?” เจียงเหมิงพูดอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“เอาล่ะๆ ไม่ว่าจะยังไงก็ต้องตรวจสอบเย่เทียนเฉินให้ชัดเจน อีกอย่างผมยังยืนยันคำเดิม ถ้ามีโอกาสพวกคุณทั้งสองคนก็ลงมือสั่งสอนเย่เทียนเฉิน ให้เขารู้ถึงความร้ายกาจของกองกำลังเหยี่ยวนักล่าของพวกเรา ผมไม่เชื่อว่าพลังการต่อสู้ของเขาจะแข็งแกร่งขนาดนั้น” เหยียนหลงกล่าวเสียงเข้ม

ในความเป็นจริง ถ้าหากว่าแข็งแกร่งดังเช่นในข่าวลือล่ะก็ ความสามารถในการสู้รบของเย่เทียนเฉินก็ทำให้ผู้คนตกตะลึงเกินไปแล้ว เพราะจะมีระดับความสามารถสูงพอๆ กับชางหลางและเหยียนหลงเลยทีเดียว หลายปีมานี้ไม่เคยปรากฏผู้แข็งแกร่งเช่นนี้มาก่อน ดังนั้นเย่เทียนเฉินจะมีความสามารถขนาดนี้หรือไม่ เหยียนหลงคิดว่ายังคงต้องรอการตรวจสอบ

เจียงเหมิงกับเฟยอวิ๋นรับคำสั่ง แต่เหยียนหลงกลับขมวดคิ้ว จุดบุหรี่ขึ้นมวนหนึ่ง แล้วสูบเข้าไปเต็มปอด นับวันเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าเย่เทียนเฉินคนนี้ยิ่งทำให้ผู้คนมองไม่ออก สุดท้ายจึงเผยรอยยิ้มออกมาที่มุมปาก กล่าวพึมพำกับตนเองว่า

“เย่เทียนเฉิน ตกลงแล้วคนทั้งเมืองหลวงหัวเราะเยาะนาย หรือเป็นนายที่กำลังหัวเราะเยาะคนทั้งเมืองหลวงกันแน่? น่าสนใจขึ้นเรื่อยๆ ซะแล้วสิ!”

……………………………………………………..

บทที่ 24 ไม่อ่อนข้อให้ศัตรูเด็ดขาด
Ink Stone_Fantasy
“พี่ใหญ่ ที่ว่าเย่เทียนเฉินเป็นคนฆ่าเสี่ยวหาวรึเปล่า เรื่องนี้ไม่กล้ายืนยัน แต่เจ้าหมอนี่ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องแน่ๆ…” ชายฉกรรจ์คนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างสงสัย

“เย่เทียนนเฉิน? ไอ้ตัวตลกแห่งเมืองหลวง ไอ้ลูกหลานไม่เอาไหน ไอ้เศษสวะ มันบังอาจมาลองดีกับฉันเฉินหู่ ฉันจะเอามันให้ตาย” เฉินหู่ใช้หมัดทุบจอแอลซีดีเบื้องหน้า

“พี่ใหญ่ ผมว่าเรื่องนี้เรายังต้องปรึกษากันก่อน ลูกน้องที่มีความสามารถสามสิบกว่าคน และก็ห้าวจื่อ แค่ฝีมือของห้าวจื่อก็ไม่อ่อนไปกว่าพวกเราแล้ว แต่มันกลับโต้ตอบไม่ได้เลยสักนิด ไม่ว่าเย่เทียนเฉินจะเป็นคนทำหรือไม่ ก็จำเป็นต้องให้ความสำคัญ ยังไงซะตระกูลเย่ก็เป็นตระกูลชั้นสามของเมืองหลวง หากฆ่าเย่เทียนเฉินไปจริงๆ จะต้องมีผลกระทบไม่มากก็น้อย” ชายฉกรรจ์อีกคนหนึ่งกล่าวด้วยความกังวล

เฉินหู่ขมวดคิ้ว ลูกชายถูกคนฆ่าตายไปแล้ว ตายอย่างอนาถ ในใจของเขาโกรธถึงขีดสุด ไม่ว่าคนที่ฆ่าลูกชายของเขาจะเป็นใคร เขาจะต้องแก้แค้นคนๆ นั้นให้ได้ ต่อให้เป็นตระกูลเย่เขาก็จะทำ เนื่องจากเฉินหู่เองก็ใช่ว่าไม่มีคนสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง

หากว่ากันตามปกติ เฉินหู่เป็นเพียงงูเจ้าถิ่นในเขตใต้ของเมืองหลวง ต่อให้ตระกูลเย่ตกต่ำลง แต่อย่างไรอูฐที่ผอมตายก็ยังใหญ่กว่าม้า เฉินหู่ไม่สามารถต่อกรได้อย่างแน่นอน แต่ว่าฟังจากน้ำเสียงของเฉินหู่ กลับไม่เห็นตระกูลเย่อยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย ต่อให้เป็นเย่เทียนเฉินที่เป็นคนฆ่าลูกชายของเขาจริงๆ เขาเฉินหู่ก็กล้าลงมือล้างแค้น

“เฮอะ ตระกูลเย่ตกต่ำลงตั้งนานแล้ว ต่อให้ไม่ตกต่ำ ฉันฆ่าเย่เทียนเฉิน ตระกูลเย่ก็ไม่กล้าทำอะไรหรอก!” เฉินหู่เอ่ยขึ้นอย่างชั่วร้าย

“พี่ใหญ่ พวกเราควรจะบอกพี่หลี่ไหมครับ หากว่าลงมือกับตระกูลเย่จริงๆ อาจจะเกิดปัญหาก็ได้ บอกให้พี่หลี่ไปทักทายเบื้องบน เพื่อให้เบื้องบนคุ้มครองพวกเรา!”

“ไม่ต้อง ฆ่าก่อนแล้วค่อยรายงานก็ไม่มีปัญหา ที่จริงพี่หลี่ก็เตรียมลงมือกับเย่เทียนเฉินเหมือนกัน เพียงแต่ไม่นึกเลยว่าตระกูลเย่มันจะมาหาเรื่องฉัน สมควรตาย”

แม้ว่าจะกล่าวเช่นนี้ แต่เฉินหู่ก็ได้ไตร่ตรองมาแล้ว เขาเป็นเพียงเจ้าถิ่นในเขตใต้ของเมืองหลวง แน่นอนว่าเหนือเขายังมีพี่ใหญ่อยู่อีก เหนือพี่ใหญ่ก็มีกลุ่มอิทธิพลกลุ่มหนึ่ง เขาตัดสินใจลงมือกับเย่เทียนเฉินก็เพราะ ข้อแรกเขาต้องการแก้แค้นให้ลูกชายสอง ข้อสองเพราะเขารู้ว่าพี่ใหญ่หลี่ของตนก็กำลังคิดหาวิธีจัดการตระกูลเย่อยู่ ถ้าหากว่าตนฆ่าเย่เทียนเฉินและกำจัดตระกูลเย่ได้ ก็จะถือว่าเป็นผลงานชินใหญ่ ไม่แน่ว่าอาจจะได้รับรางวัลจากบุคคลผู้ทรงอิทธิพลสูงสุดก็เป็นได้

“พี่ใหญ่ บอกมาเถอะ พวกเราจะฟังพี่ จะให้ทำยังไงครับ?”

“ดี การตายของลูกหาวไม่ว่าจะเป็นฝีมือเย่เทียนเฉินหรือไม่ ก็มีความเกี่ยวข้องกับตระกูลเย่ แค่ไอ้ลูกล้างผลาญ แค่เศษสวะ ฉันเฉินหู่ไม่เห็นอยู่ในสายตา พวกแกสามคนไปที่ตระกูลเย่ ไปฆ่าเย่เทียนเฉินให้ฉันซะ แล้วจับน้องสาวของมันกลับมาให้ฉันด้วย ผู้หญิงที่ลูกชายอยากได้แต่ไม่ได้ ฉันจะช่วยเขาจัดการเอง!” เฉินหู่กล่าวเสียงเข้มอย่างดุร้ายยิ่ง

ชายฉกรรจ์ด้านล่างทั้งสามคน เมื่อได้ยินคำพูดของลูกพี่เฉินหู่ ก็พากันหัวเราะออกมาอย่างชั่วช้าลามก พวกมันรู้ว่าหากครั้งนี้จับเย่เชี่ยนเหวินน้องสาวของเย่เทียนเฉินกลับมาได้ เฉินหู่จะต้องสร้างความอัปยศให้กับเธอแน่ๆ ไม่แน่ว่าพวกมันทั้งสามคนก็อาจจะได้ร่วมดอมดมด้วยก็ได้

แต่ว่าในตอนนี้เอง รอยยิ้มอันชั่วร้ายบนใบหน้าของเฉินหู่และชายฉกรรจ์ทั้งสามก็แข็งค้าง พวกมันได้ยินเสียงของชายแปลกหน้าคนหนึ่ง ไม่รู้เลยว่าชายคนนี้มาอยู่ในห้องตั้งแต่เมื่อไร เป็นไปได้มากว่าจะได้ยินคำสนทนาของพวกเขาทั้งหมด

“ไม่ต้องไปที่ตระกูลเย่หรอก เพราะพวกแกจะไม่ได้เห็นดวงอาทิตย์ของวันพรุ่งนี้อีกแล้ว!”

“ใคร?” เฉินหู่ตกใจ ขมวดคิ้วพลางกล่าวถาม

อันธพาลทั้งสามคนที่เหลือต่างก็ตกตะลึงเช่นกัน มองไปยังมุมมืดของห้องอย่างระแวดระวังในทันที แล้วพบว่าที่ตรงนั้นมีเงาของคนๆ หนึ่งอยู่ เห็นได้อย่างลางๆ ว่ากำลังพิงอยู่ตรงมุมกำแพง คาบบุหรี่มวนหนึ่งอยู่ในปาก เดินออกมาทางพวกมันอย่างสบายอารมณ์

“เพราะเรื่องชั่วๆ ที่พวกแกสองพ่อลูกทำมีเยอะเกินไป ท่านพญายมเลยบอกให้พวกแกลงไปนรกพร้อมหน้ากัน”

เย่เทียนเฉินกล่าวพลางปรากฏตัวออกมาอยู่ในสายตาของพวกเฉินหู่ มือทั้งสองล้วงกระเป๋ากางเกง คาบบุหรี่มวนหนึ่งไว้ในปาก ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มอบอุ่น ไม่มีไอสังหารโผล่ออกมาเลยแม้แต่น้อย

“หือ? หรือว่าแก แกคือเย่เทียนเฉินงั้นเหรอ?” เฉินหู่กัดฟันถาม

“ถูกต้อง!” เย่เทียนเฉินนั่งลงบนโซฟา ยกขาขึ้นมาไขว่ห้างพร้อมกับมองเฉินหู่

เริ่มแรกเฉินหู่แปลกใจ ต่อมาจึงเผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมาที่มุมปาก โบกมือครั้งหนึ่ง หนึ่งในชายฉกรรจ์ก็วิ่งไปปิดประตูห้อง ราวกับกลัวเย่เทียนเฉินจะวิ่งหนีไป

“ไอ้สวะ สวรรค์มีทางแกไม่เดิน นรกไม่มีประตูแกก็เสือกเข้ามา วันนี้จะเป็นวันตายของแก” ดวงตาทั้งสองของเฉินหู่แดงก่ำ คำรามใส่เย่เทียนเฉิน

“ฉันมีคำถามอยากจะถามแกสักข้อ ลูกพี่ของแกเป็นใคร เหนือลูกพี่ของแกยังมีใครอีก?”

เมื่อเย่เทียนเฉินได้ยินบทสนทนาของเฉินหู่กับอันธพาลทั้งสาม ก็คิดว่าตนเองมาถูกที่แล้ว หากว่าคืนนี้ตนเองไม่มากำจัดวัชพืชที่เหลืออยู่ล่ะก็ พ่อและน้องสาวของตนก็อาจจะมีอันตราย ถึงยังไงตัวเขาก็ไม่สามารถอยู่กับพวกเขาทั้งสามคนได้ตลอดเวลา อีกอย่างยังได้รับรู้ถึงแผนชั่วมาอีกด้วย ตลอดเวลาที่ผ่านมา ในเมืองหลวงมีกลุ่มอิทธิพลใหญ่กลุ่มหนึ่งต้องการจะกำจัดตระกูลเย่ ดูเหมือนจะเป็นแผนที่วางเอาไว้มานานแล้วด้วย

เย่เทียนเฉินไม่ใช่คนประเภทที่จะปล่อยให้อันตรายที่ซ่อนอยู่ทิ้งไว้ แม้ว่าเขาจะไม่ได้มีความรู้สึกดีๆ อะไรต่อคนในบ้านหลักตระกูลเย่ แต่จะอย่างไรก็ยังเป็นญาติกัน รวมกับพ่อเขาเป็นคนกตัญญู จะมากจะน้อยก็ต้องใคร่ครวญถึงบ้าง ที่สำคัญกว่านั้นคือ หลายคนคิดว่าตระกูลเย่ตกต่ำลงแล้ว จึงดูถูกตระกูลเย่ เย่เทียนเฉินรู้สึกรับไม่ได้อยู่บ้างกับการถูกปฏิบัติเช่นนี้ ดูเหมือนว่าหากมีโอกาสจะต้องทำให้ตระกูลเย่บ้าระห่ำขึ้นสักหน่อย เชิดหน้าขึ้นมา มิฉะนั้นก็จะถูกผู้อื่นดูถูก ไม่ต้องคิดถึงคนอื่น แค่พ่อแม่และน้องสาว ในใจเขาก็รับไม่ได้แล้ว!

“ฆ่าไอ้โง่นี่ซะ ให้มันได้รับรู้ถึงความร้ายกาจของฉัน ให้ตระกูลเย่ได้รู้ว่า ถ้ากล้ามาลองดีกับเฉินหู่ มันต้องต้องตายทั้งตระกูล!”

คำพูดของเฉินหู่ทั้งแกร่งกร้าวและวางท่า ถ้าหากว่าคนอื่นได้ยินเข้าล่ะก็ จะต้องหัวเราะจนฟันร่วงหมดปากแน่ๆ เจ้าถิ่นตัวเล็กๆ ในเขตใต้ของเมืองหลวงกล้าท้าทายคนตระกูลเย่ ต่อให้ตระกูลเย่จะย่ำแย่ แต่ก็ไม่ใช่ตระกูลที่เฉินหู่จะมางัดข้อด้วยได้ แต่นี่ก็ยิ่งพิสูจน์ว่าตระกูลเย่ได้ตกต่ำลงแล้วจริงๆ ตกต่ำจนกระทั่งอยู่ในขั้นที่อันธพาลคนหนึ่งกล้ามาระรานแล้ว ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกไม่พอใจจริงๆ

อันธพาลสามคนรับคำสั่งของเฉินหู่ พากันพุ่งเข้าหาเย่เทียนเฉิน ชายฉกรรจ์คนที่พุ่งอยู่ข้างหน้าสุดนั้นไม่ได้เห็น เย่เทียนเฉินอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย หากดูจากภายนอก เขามีร่างกายกำยำกว่าเย่เทียนเฉินมาก ตัวเขาเองคิดว่าแค่หมัดเดียวก็สามารถทำเย่เทียนเฉินฟันร่วงหมดปากได้ จึงพุ่งเข้าไปที่เบื้องหน้าของเย่เทียนเฉินพลางระเบิดหมัดใส่ตรงๆ

เพียะ!

เทียนเฉินดีดก้อนบุหรี่ที่อยู่ในมือขวาใส่หน้าผากของอันธพาลที่พุ่งเข้ามาด้านหน้าสุด น่าสงสารที่ชายฉกรรจ์คนนั้นเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าหน้าผากของตนถูกก้นบุหรี่ลวกจนเจ็บปวด ยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาอะไร เขาก็ถูกซัดจนปลิวไปทั้งตัว ถูกเย่เทียนเฉินใช้หมัดต่อยใส่บริเวณหน้าอก จนกระดูกหักไปหลายซี่ แล้วตกลงไปบนพื้นห่างออกไปหลายเมตร ดิ้นรนสองสามครั้งแต่ก็ลุกไม่ขึ้น

เพียงหมัดเดียวเท่านั้นก็จัดการอันธพาลไปได้คนหนึ่ง เฉินหู่และอันธพาลสองคนที่เหลือตกใจจนนิ่งอึ้ง พวกเขาคิดไม่ถึงว่าไอ้ลูกล้างผลาญและเศษสวะอย่างเย่เทียนเฉิน จะมีฝีมือแข็งแกร่งแบบนี้

“มัวแต่อึ้งอะไรกันอยู่ แทงมันเลย!” มือขวาของเฉินหู่กำปืนพกเบื้องหน้าเอาไว้ คำรามสั่งอันธพาลทั้งสองคนที่เหลือ

อันธพาลอีกสองคนที่เหลือได้สติกลับมา ต่างก็ควักมีดสั้นอันคมกริบออกมาจากข้างหลัง พุ่งเข้ามาหาเย่เทียนเฉินพร้อมกัน ครั้งนี้เย่เทียนเฉินเข้าไปรับหน้าด้วยตัวเอง แต่แค่ประทะหน้ากับคนทั้งสองเท่านั้น ขณะเดียวกันก็พุ่งเข้าไปหาเฉินหู่อย่างรวดเร็ว

เฉินหู่ตกใจจนหน้าถอดสี พอเห็นเพียงเงาร่างร่างหนึ่งพุ่งฟิ้วเข้ามาหาตนเอง ก็รีบยกปืนพกในมือขวาขึ้นเตรียมลั่นไก แต่เขาไม่มีโอกาสทำเช่นนั้น มีดสั้นของเย่เทียนเฉินจ่อเข้าบริเวณลำคอ แล้วกดเขาจนติดกับกำแพง

“อย่าง…อย่าฆ่าฉัน…” ในที่สุดเฉินหู่ก็หวาดกลัว พูดพลางมองเย่เทียนเฉินอย่างหวาดผวา

ตึง ตึง!

ด้านหลังของเย่เทียนเฉิน ชายอันธพาลสองคนที่เดิมทียืนแข็งทื่ออยู่ที่เดิม ก็ล้มลงไปบนพื้นในชั่วพริบตา หลอดลมของพวกเขาต่างถูกมัดสั้นเฉือนจนขาด เลือดสดๆ พุ่งกระฉูดออกมา

“โอกาสสุดท้ายแล้ว ลูกพี่ของแกคือใคร กลุ่มอิทธิพลที่อยู่เหนือกว่าลูกพี่แกคือใคร?” เย่เทียนเฉินเอ่ยถามอย่างเรียบเฉย

“ฉัน…ฉัน…ฉันไม่รู้จริงๆ…” เฉินหู่ยังปากแข็ง ถึงอย่างไรการขายลูกพี่ของตน และกลุ่มอิทธิพลใหญ่ ไม่เพียงแต่ตนเองจะตาย เกรงว่าคนในครอบครัวทั้งหมดของเขาก็จะต้องตายด้วย

เสียงฉัวะดังขึ้น เย่เทียนเฉินยกมือขึ้แล้วฟันมีดลง แขนขวาของเฉินหู่ถูกฟันขาดออกมาทั้งดุ้น เมื่อต้องต่อกรกับอันธพาลแบบนี้ เย่เทียนเฉินย่อมไม่อ่อนข้อให้ และในโลกแห่งความวินาศ เย่เทียนเฉินก็ไม่อ่อนข้อให้ศัตรูเด็ดขาด

“อ้าก แขนฉัน…อ้าก!” เฉินหู่ร้องโหยหวนออกมาราวกับหมูถูกเชือด อยากจะทรุดตัวลงกับพื้น แต่กลับทำไม่ได้ เนื่องจากมือซ้ายของเย่เทียนเฉินบีบคอของมันเอาไว้ ทำให้เขาเกือบจะหายใจไม่ออก

“แกอยากจะมองโลกนี้เป็นครั้งสุดท้ายมากสินะ?” มุมปากของเย่เทียนเฉินกล่าวขึ้นพร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมาตรงมุมปาก

“ฉัน…ไว้ชีวิตด้วยเถอะ ไว้ชีวิตด้วย…ฉันบอกแล้ว ฉันจะบอก”

เฉินหู่ทนไม่ไหวอีกต่อไป เดิมทีเขาจินตนาการไม่ออกเลยว่า เย่เทียนเฉยที่มีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าตั้งแต่ต้นจนจบ และดูท่าทางไม่เป็นอันตราย พอลงมือกลับเลือดเย็นแบบนี้ เกรงว่าจะไม่มีใครที่ตกอยู่ในกำมือของเขาแล้วยังกล้าไม่พูดความจริงออกมา

“พี่ใหญ่ของฉันคือหลี่เถีย กลุ่มอิทธิพลที่อยู่เหนือหลี่เถียก็คือตระกูลฉิน!” เฉินหู่กล่าวอย่างเจ็บปวด

ในตอนนี้เองเย่เทียนเฉินก็เข้าใจเสียที ตระกูลฉินต้องการจัดการกับตระกูลเย่มาโดยตลอด เพื่อแย่งชิงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการแห่งเมือง H กับพ่อของตน ตระกูลฉินถึงกับกล้าส่งมือสังหารมา เพื่อให้ตระกูลฉีถอนหมั้นกับตระกูลเย่ เกรงว่าเรื่องเลวๆ ที่ตระกูลฉินทำไปคงจะมีไม่น้อย ดูเหมือนว่าตระกูลฉินจะเห็นว่าเย่เทียนเฉินเป็นลูกพลับนิ่ม อยากจะบีบอย่างไรก็บีบ!

“ขอบคุณ!”

เย่เทียนเฉินกล่าวพลางยิ้มให้กับเฉินหู่ จากนั้นจึงหันกายเดินไปยังประตู เตรียมจะผละไปจากที่นี่ เฉินหู่กัดฟันกรอด พยายามข่มความเจ็บปวดเอาไว้ ใช้มือซ้ายหยิบปืนพกขึ้นมาจากพื้น คิดจะลั่นไกใส่ศีรษะของเย่เทียนเฉิน

ฉึก!

ในขณะเดียวกันกับตอนที่เฉินหู่ยกปืนขึ้น มีดเล่มหนึ่งก็พุ่งเข้ามา โดยที่เย่เทียนเฉินไม่หันกลับไปด้วยซ้ำ มีดสั้นที่มีพลังพิเศษผสมอยู่ก็ทะลุลำคอของเฉินหูไปตรงๆ

แรงกระแทกอันรุนแรงสายหนึ่งที่อยู่บนมีดสั้น พาร่างของเฉินหูไปกระแทกกระจกบริเวณกลางห้องจนแตกเป็นเสี่ยงๆ แล้วตอกร่างของเขาไว้บนกำแพงอย่างฝืนธรรมชาติ เลือดสดๆ ทะลักออกมาจากปากของเฉินหู่ ส่วนเย่เทียนเฉินนั้นหายไปจากห้องเรียบร้อยแล้ว…

…………………………………….

บทที่ 23 ฉีหรูเสวี่ยถูกบีบบังคับ
Ink Stone_Fantasy
ณ คฤหาสน์ตระกูลฉี ฉีหรูเสวี่ยกลับถึงบ้านแล้วแต่กลับถูกฉีชางเซิ่งผู้เป็นพ่อขวางไว้ และพาไปยังห้องโถงของตระกูลฉี ตอนนี้พวกลุงๆ อาๆ ของฉีหรูเสวี่ยต่างก็นั่งอยู่ที่นั่นกันแล้ว พวกเขาทุกคนได้ยินเรื่องที่ฉีหรูเสวี่ยฉีกหนังสือสัญญาถอนหมั้นและไม่ยอมถอนหมั้นกับเย่เทียนเฉินแล้ว เรื่องนี้ทำให้ตระกูลฉีช็อก โดยเฉพาะฉีชางเซิ่งผู้เป็นพ่อของฉีหรูเสวี่ยที่ได้รับคำตำหนิจากเหล่าพี่น้องและลุงๆ อาๆ ทั้งหลาย

“หรูเสวี่ย ทำไมลูกถึงไม่ถอนหมั้นกับเย่เทียนเฉิน?” ฉีชางเซิ่งกล่าวถามพลางมองลูกสาวด้วยความโกรธ

“พ่อ พวกพ่อไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว เรื่องของหนู หนูจะตัดสินใจเอง อีกอย่างนี่เป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตของหนู จะยังไงหนูก็ไม่ถอนหมั้นกับเย่เทียนเฉินแน่” ฉีหรูเสวี่ยพูดอย่างดื้อรั้น

“ลูก…เพราะอะไรกัน? หรือว่าลูกรักเจ้าเย่เทียนนเฉินนั่นเข้าแล้ว?”

ฉีชางเซิ่งไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรฉีหรูเสวี่ยลูกสาวของตนจึงไม่ยอมถอนหมั้นกับเย่เทียนเฉิน ต้องทราบว่าเพื่อที่จะได้ถอนหมั้นกับตระกูลเย่ในครั้งนี้ ตระกูลฉีต้องใช้เงื่อนไขทั้งสองที่มีมูลค่ามหาศาลแลกมา ทั้งยังได้พูดคุยกับทางฝั่งของตระกูลฉินเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ว่าเดือนหน้าจะให้ฉีหรูเสวี่ยแต่งเข้าไปเพื่อกำหนดเรื่องนี้ให้เสร็จ ตระกูลฉีกับตระกูลฉินจะได้เริ่มต้นร่วมมือกันได้ แต่คิดไม่ถึงว่าพอจัดเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว ลูกสาวกลับไม่ยินยอมถอนหมั้นกับ เย่เทียนเฉิน นี่จะได้อย่างไรกัน??

“ไม่ใช่ หนูกับเย่เทียนเฉินเพิ่งจะเจอหน้ากันครั้งแรก และไม่ได้สนใจผู้ชายคนนี้เลยสักนิด ต่อให้เขาจะหล่อขนาดไหน แต่ก็ไม่พอที่จะทำให้หนูสนใจได้หรอก เพียงแต่ว่าเรื่องของหนูหนูจะตัดสินใจเอง หนูจะไม่ถอนหมั้นกับเย่เทียนเฉิน และจะไม่แต่งงานกับฉินเหิงตระกูลฉิน เรื่องมันก็ง่ายๆ แค่นี้” ฉีหรูเสวี่ยพูดอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่

เมื่อได้ยินคำพูดของฉีหรูเสวี่ยผู้เป็นลูก ฉีชางเซิ่งก็โกรธจนแทบจะเป็นลม นี่มันไม่ใช่ว่าเป็นการทำให้ตนเองกลืนไม่เข้าคายไม่ออกต่อหน้าเหล่าพี่น้องลุงอาทั้งหลายหรอกหรือ?

เดิมทีการที่ฉีชางเซิ่งได้ขึ้นเป็นผู้นำตระกูลฉีก็มีพี่น้องลุงอาบางส่วนรู้สึกไม่พอใจอยู่แล้ว และการถอนหมั้นกับตระกูลเย่และร่วมมือกับตระกูลฉินในครั้งนี้ เป็นสิ่งที่ทุกคนตัดสินใจร่วมกันอย่างเป็นเอกฉันท์ กล่าวให้ชัดเจนก็คือ นี่ไม่ใช่เรื่องของฉีหรูเสวี่ยคนเดียว และไม่ใช่เรื่องที่ฉีชางเซิ่งจะสามารถตัดสินใจได้ แต่เกี่ยวโยงไปถึงความรุ่งเรืองของตระกูลฉีทั้งตระกูล การร่วมเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งกับตระกูลฉินมีผลดีมากมาย หากว่าทำเรื่องนี้ไม่สำเร็จ ไม่เพียงแต่จะเป็นการล่วงเกินตระกูลฉิน สูญเสียผลประโยชน์มากมาย และยังทำให้ตระกูลฉีกลายเป็นตัวตลกของเมืองหลวงอีกด้วย

“น้องสาม ลูกสาวของนายคนนี้ต้องสั่งสอนให้ดีๆ หน่อยนะ!”

“หรูเสวี่ยถูกนายตามใจจนเสียคนแล้ว”

“การแต่งงานกับตระกูลฉินใกล้เข้ามาแล้ว คณะกรรมาธิการทหารก็ใกล้จะได้เวลาเลือกใหม่ เดือนหน้าจำเป็นจะต้องแต่งงานให้ได้”

ฉีชางเซิ่งยังไม่ได้พูดอะไร พวกลุงๆ อาๆ ของฉีหรูเสวี่ยก็เริ่มบีบบังคับ เนื่องจากการแต่งงานกับตระกูลฉินมีความเกี่ยวโยงถึงความรุ่งเรืองของตระกูลฉิน ถ้าหากว่าฉีหรูเสวี่ยไม่ตกลง ผลลัพธ์ทุกอย่างก็จะสูญเปล่า และสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อผลประโยชน์ของตระกูลฉี

“หรูเสวี่ย ไม่ว่ายังไง ลูกก็จำเป็นต้องแต่งงานกับฉินเหิง” ฉีชางเซิ่งกล่าวเสียงเข้ม

“ไม่ หนูไม่เคยเจอหน้าผู้ชายคนนั้นเลยสักครั้ง หากว่าแต่งกับเขาไปทั้งอย่างนี้ หนูก็กลายเป็นสินค้าที่ถูกซื้อขายได้ตามอำเภอใจไม่ใช่เหรอไง? หนูไม่อยากจะเป็นเหยื่อสังเวยเพื่อความเจริญรุ่งเรืองของตระกูล!” ฉีหรูเสวี่ยพูดขึ้นด้วยเสียงอันดัง

เพียะ!

ฉีหรูเสวี่ยถูกตบหน้าเสียงดังเพียะ มองดูท่าทีเดือดดาลของพ่อของเธอ ดวงตาอันงดงามของฉีหรูเสวี่ยก็เต็มไปด้วยหยาดน้ำตา ตั้งแต่เล็กจนโตพ่อไม่เคยตีเธอมาก่อน ครั้งนี้เพื่อที่จะบีบบังคับให้ตนแต่งงานกับตระกูลฉิน ถึงกับตบเธอเป็นครั้งแรก

“พ่อ พ่อ…” น้ำตาของฉีหรูเสวี่ยไหลลงมาไม่หยุด รู้สึกเจ็บปวดใจเป็นอย่างมาก

“อย่ามาเรียกฉันว่าพ่อ เพราะฉันตามใจแกมาตั้งแต่เด็ก ก็เลยทำให้แกไม่รู้จักเจียมตัวแบบนี้ เรื่องนี้ต่อให้แกไม่อยากตกลงก็ต้องตกลง ก็ตัดสินใจแบบนี้แล้วกัน!” ในใจของฉีชางเซิ่งเองก็รู้สึกเสียใจอยู่บ้าง ตั้งแต่เล็กจนโตเขาไม่เคยลงไม้ลงมือกับลูกสาวเลย คราวนี้เพื่อการแต่งงานกับตระกูลฉิน จำเป็นต้องใจแข็งสักหน่อย

ฉีหรูเสวี่ยตกตะลึงอยู่ตรงนั้น น้ำตาไหลลงมาไม่หยุด เธอเจ็บปวดใจมาก คิดไม่ถึงว่าพ่อที่ตามใจเธอมาตลอด จะลงไม้ลงมือกับเธอ ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ไม่สนใจความสุขชั่วชีวิตของเธอ ใช้อำนาจบีบบังคับให้เธอต้องแต่งงานเข้าตระกูลฉิน นี่เป็นการเห็นความสุขของเธอเป็นของเด็กเล่นไม่ใช่เหรอ?

ฉีหรูเสวี่ยก็เป็นเช่นเดียวกับคนที่เกิดในตระกูลใหญ่ ตั้งแต่เด็กพบเห็นการแต่งงานเพื่อผลประโยชน์ของตระกูลมาไม่น้อย แต่ไม่มีสักคนเดียวที่มีความสุข จะอย่างไรก็คือคนสองคนที่ไม่มีความรู้สึกต่อกันเลยสักนิด แต่เพราะผลประโยชน์บางอย่างถูกรวมเข้าด้วยกัน ชีวิตของพวกเขาจะมีความสุขเหรอ?

ไม่ว่าเป็นเป็นผู้หญิงแบบไหน ในสมองของเธอก็มักจะมีความใฝ่ฝันดั่งเทพนิยายอยู่เสมอ ฝันว่าจะได้ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขกับคนรัก คลอดลูกสาวลูกชาย พบกับแสงแดดยามเช้า เดินเข้าสู่อาทิตย์ยามเย็น อยู่ด้วยกันจนกระทั่งแก่ตัวไปช้าๆ คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

“หรูเสวี่ย ฉินเหิงเป็นคนไม่เลวนะ ภาพลักษณ์ก็ดูดีมีความสามารถ หนูจะไม่ลำบากแน่”

“ใช่แล้ว แต่งเข้าตระกูลฉิน ได้รับทั้งเกียรติยศและความมั่งคั่งไม่มีสิ้นสุด”

“ตระกูลฉีกับตระกูลฉินก็เหมาะสม จะไม่ทำอะไรที่ไม่เป็นธรรมกับเธอหรอกหรูเสวี่ย ผู้อาวุโสตระกูลฉินเองก็เป็นผู้มีอำนาจด้วย”

“การแต่งงานของตระกูลฉีกับตระกูลฉินในครั้งนี้ พอจะพูดได้ว่าเป็นการร่วมมือเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่ง อิทธิพลของพวกเราทั้งสองตระกูลจะยกระดับขึ้นไปอีกขั้น!”

เมื่อเห็นว่าเป็นตายอย่างไรฉีหรูเสวี่ยก็ไม่ยอมแต่งเข้าตระกูลฉิน อีกทั้งไม่ยอมถอนหมั้นกับเย่เทียนเฉิน พวกลุงๆ อาๆ ต่างก็เริ่มพูดจาหว่านล้อม ถึงที่สุดพวกเขาก็มีเป้าหมายอยู่เพียงอย่างเดียว ซึ่งก็คือความรุ่งโรจน์ในด้านผลประโยชน์ และการได้รับผลประโยชน์ของพวกเขา

“หนูไม่ใช่พวกคุณ หนูจะไม่แต่งเข้าตระกูลฉิน แล้วก็ไม่ต้องการเกียรติยศความมั่งคั่งอะไรนั่นด้วย เพื่อประโยชน์ของตัวเองพวกคุณถึงกับผลักหนูเข้าไปในกองไฟ พวกคุณโหดร้ายเกินไปแล้ว!” ฉินหรูเสวี่ยตะโกนใส่ลุงๆ อาๆ เหล่านั้น

“ลูก…จะเป็นการผลักลูกเข้าไปในกองไฟได้ยังไง? ฉินเหิงแห่งตระกูลฉินเป็นคนมีความสามารถ เป็นไปได้สูงว่าจะได้เป็นคนใหญ่คนโต มีผู้อาวุโสตระกูลฉินอยู่ เส้นทางข้าราชการของฉินเหิงจะต้องราบรื่นไร้อุปสรรคอย่างแน่นอน ลูกแต่งเข้าตระกูลฉินยังไงก็ไม่ลำบาก” ฉีชางเซิ่งกล่าวพร้อมกับถอนหายใจครั้งหนึ่ง

“พ่อคะ ฉินเหิงเป็นคนยังไง พ่อก็รู้อยู่ไม่ใช่เหรอ? เคยเข้าคุกเพราะคดีข่มขืน พ่อให้หนูแต่งงานกับคนแบบนี้ หนูจะไปมีความสุขได้ไง?” ฉินหรูเสวี่ยใจสลาย คนในครอบครัวกระทั่งพ่อของเธอต่างก็บีบบังคับ จะไม่ให้โกรธและเสียใจได้อย่างไร

“แล้วมันเป็นยังไงล่ะ? แค่แต่งงานกับคนตระกูลฉินได้ ก็จะทำให้ตระกูลของพวกเรายกระดับขึ้นไปอีกขั้น นี่ถึงจะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด” ฉีชางเซิ่งกัดฟันพูดเสียงดัง

“ไม่ ถ้าหากว่าจำเป็นต้องเลือก ต่อให้หนูต้องแต่งงานกับเย่เทียนเฉิน ก็ไม่แต่งให้ฉินเหิงเด็ดขาด!”

ฉีหรูเสวี่ยร้องไห้วิ่งออกไปจากห้องโถง ฉีชางเซิ่งสูดหายใจลึกๆ ครั้งหนึ่ง เขาไม่คิดว่าลูกสาวจะดื้อรั้นเช่นนี้ ความจริงแล้วเหตุใดเขาจะไม่ทราบ ถ้าหากบอกว่าเย่เทียนเฉินเป็นลูกหลานไม่เอาไหน และเศษสวะ ถ้างั้นฉินเหิงแห่งตระกูลฉินก็เป็นไอ้ขี้คุก เป็นคนที่ไม่มีความเป็นมนุษย์ หลายปีมานี้ทำแต่เรื่องชั่วๆ ในเมืองหลวง เป็นเรื่องที่ทุกคนต่างก็รู้ หากไม่ใช่เพราะผู้อาวุโสตระกูลฉินมีอำนาจ ฉินเหิงคงถูกโทษยิงเป้าไปนานแล้ว

แต่ว่าการแต่งงานกับตระกูลฉินในครั้งนี้มีความเกี่ยวโยงถึงความรุ่งเรืองของตระกูลฉีทั้งตระกูล ไม่อาจไม่กล่าวว่าสำหรับตระกูลฉีแล้ว การที่แต่งงานกับตระกูลฉินได้เป็นโอกาสอย่างหนึ่ง ดังนั้นฉีชางเซิ่งจึงต้องอดกลั้นยอมทิ้งสิ่งที่รัก ส่งลูกสาวไปแต่งงานเข้าตระกูลฉิน

“น้องสาม น้องเห็นว่านี่…”

“ผมจัดการได้ บอกคนของฝั่งตระกูลฉินเถอะ เดือนหน้าเราจะทำการหมั้นหมายตรงเวลา เรื่องของการหมั้นหมายต่างๆ ทั้งหมดให้จัดการตามปกติ” ฉีชางเซิ่งเอ่ยขึ้น

ตอนนี้เย่เทียนเฉินได้ส่งน้องสาวกลับถึงโรงเรียนเรียบร้อยแล้ว หลังจากที่ออกจากโรงเรียนมัธยมแห่งเมืองหลวง เย่เทียนเฉินก็ไม่ได้กลับบ้าน แม้เฉินหาวจะถูกตนฆ่าไปแล้ว แต่พวกวัชพืชจำเป็นต้องถอนรากถอนโคนให้หมด เฉินหู่พ่อของเฉินหาวเป็นอันธพาลเจ้าถิ่นอยู่ที่เขตนี้ ฉายาไอ้หมาบ้า ได้ยินว่าเป็นคนสติไม่ดีคนหนึ่ง ทั้งปล้นฆ่าข่มขืน ไม่มีเรื่องชั่วใดๆ ที่มันไม่ทำในเขตนี้ ความสัมพันธ์กับอิทธิพลในโลกเบื้องหน้าของเมืองหลวงก็แน่นแฟ้น ดังนั้นจึงยังไม่ถูกจัดการ แต่ว่าครั้งนี้เฉินหาวกล้ามาลักพาตัวเย่เชี่ยนเหวิน กระตุ้นความโกรธของเย่เทียนเฉิน กำหนดไว้แล้วว่าสองพ่อลูกจะต้องตาย

ตอนที่เย่เทียนเฉินออกจากโรงเรียนมัธยมเมืองหลวงมานั้น ชายสองคนที่แต่งตัวธรรมดาๆ ก็ตามอยู่เบื้องหลังของเขาติดๆ ทั้งสองคนมองตากันครู่หนึ่ง พยักหน้าอย่างเข้าใจ แล้วพากันตามต่อ

“ไม่คิดเลยว่าข้อมูลของชายคนนี้จะเอามาได้ยากเย็นแบบนี้ ได้ยินว่าหัวหน้ายื่นเรื่องไปยังเบื้องบน ยังรอการอนุมัติอยู่เลย”

“ไม่หรอกมั้ง ด้วยความสามารถของหัวหน้า หากต้องการหาข้อมูลของคนๆ หนึ่งไม่ใช่เรื่องยาก เจ้าหมอนี้มันเจ๋งขนาดนี้เลย?”

“หรือว่าหมอนี่มันตบตาคนทั้งเมืองหลวงจริงๆ ? จะพยายามเกินไปไหม แสร้งทำเป็นคนไม่เอาไหนกับเศษสวะมายี่สิบปี แค่ความอดทนนี้ก็น่านับถือแล้ว ”

“หึ ไม่ว่าจะยังไง ถ้าพวกเรามีโอกาสก็ต้องจัดการลงมือสั่งสอนมันสักหน่อย ให้มันรู้ถึงความร้ายกาจของพวกเรา อย่าให้หัวหน้าต้องผิดหวัง”

หลังจากที่ชายทั้งสองพูดคุยกันสองสามประโยคก็เดินแยกจากกัน ติดตามเย่เทียนเฉินจากคนละตำแหน่งเพื่อป้องกันการถูกค้นพบ

เย่เทียนเฉินยังไม่ได้ออกจากเขตนี้ แต่เดินเตร่อยู่รอบๆ ตลอด สิ่งที่เขาสัมผัสได้เยอะที่สุดก็คือพวกอันธพาลในเขตนี้ เนื่องจากเขากำลังฟัง ฟังว่าเจ้าอันธพาลเฉินหู่อยู่ที่ไหน หากเจ้าหมอนี่ไม่ถูกกำจัด เขาก็จิตใจไม่สงบ น้องสาวของเขาเย่เชี่ยนเหวินก็จะไม่ได้เรียนหนังสืออย่างวางใจ

เวลาสี่ทุ่มกว่า ภายในคฤหาสน์หลังหนึ่ง ชายฉกรรจ์คนหนึ่ง สองตาแดงก่ำ มองไปเบื้องหน้าอย่างอาฆาตมาดร้าย ที่ด้านหน้าของเขามีปืนพกกระบอกหนึ่งวางเอาไว้ เขาไม่ได้จับปืนมาหลายปีแล้ว ดูเหมือนว่าคราวนี้จะจำเป็นต้องใช้

ในตอนบ่ายชายฉกรรจ์คนนี้ได้รับข่าวว่า ลูกชายเพียงคนเดียวของเขาตายแล้ว ตายภายในโรงงานรกร้างบริเวณชานเมือง ตายเพราะเลือดออกจากทวารทั้งเจ็ด ชายฉกรรรจ์คนนี้ก็คือเฉินหู่พ่อของเฉินหาวนั่นเอง

“แม่งเอ้ย ใคร ใครฆ่าลูกชายของฉัน ฉันจะฉีกร่างมันออกเป็นชิ้นๆ ” เฉินหู่แผดเสียงคำรามออกมาด้วยใบหน้าดุร้าย

ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของเขาก็คือผู้ช่วยที่มีความสามารถทั้งสาม และคนที่มีร้ายกาจที่สุด ฝีมือของทั้งสามล้วนยอดเยี่ยม ทั้งหมดถูกเฉินหู่เรียกมารวมตัวกัน ลูกชายตายแล้ว เขาจะต้องแก้แค้นให้อย่างแน่นอน

“พี่ใหญ่ ได้ข่าวว่าเสี่ยวหาวลักพาตัวเย่เชี่ยนเหวินลูกสาววคนเล็กของตระกูลเย่ จากนั้นก็ขู่ให้พี่ชายที่ชื่อเย่เทียนเฉินไปหา จากนั้นก็…” ชายฉกรรจ์คนหนึ่งเอ่ยขึ้น

“เย่เทียนเฉิน? หรือมันจะเป็นคนฆ่าลูกชายของฉัน? เศษสวะกับคนไม่เอาไหนอย่างมัน สามารถเอาชนะชายฉกรรจ์สามสิบกว่าคนได้เหรอ? อีกอย่างเจ้าหน้าหนูก็อยู่ด้วย……” เฉินหู่กล่าวถามด้วยความสงสัย

………………………………….

บทที่ 22 คุณแม่อยากอุ้มหลานแล้วเหรอ?
Ink Stone_Fantasy
เย่เทียนเฉินใบหน้าไร้อารมณ์ ไม่ได้พูดอะไร ท่าทีกลายเป็นเย็นชา เดินไปหาเฉินหาวทีละก้าวๆ ลูกกะจ๊อกสามสิบกว่าคนกับห้าวจื่อที่มีฝีมือไม่ธรรมดา ล้วนถูกเย่เทียนเฉินซัดหมอบไปหมดแล้ว เขาไม่ได้ใช้พลังพิเศษเพราะว่าไม่จำเป็นต้องใช้ คนพวกนี้ยังไม่ถึงขั้นที่จำเป็นต้องใช้พลังพิเศษถึงจะเอาชนะได้

ความเหี้ยมหาญในตอนแรกของห้าวจื่อ กระโดดสูงเมตรกว่าและใช้พลังทั้งหมดซัดไปทางเย่เทียนเฉิน กลับถูกเย่เทียนเฉินเตะกระเด็นในครั้งเดียว ตกมากระแทกพื้นจนลุกไม่ขึ้นไปครึ่งวัน ทำให้เฉินหาวตกใจเจนเหงื่อเย็นๆ แตกท่วมตัว เขานึกไม่ถึงเลยว่าตัวตลกและเศษสวะแห่งเมืองหลวงอย่างเย่เทียนเฉิน จะมีฝีมือแข็งแกร่งเช่นนี้ ลูกสมุนสามสิบกว่าคนที่ที่ถือกระบองเหล็กและมีด ไม่สามารถหยุดยั้งฝีเท้าของเขาได้เลยแม้แต่น้อย

ถึงแม้ว่าเย่เทียนเฉินจะไม่ได้ใช้พลังพิเศษ ก็ยังสามารถทำให้เย่เชี่ยนเหวินผู้เป็นน้องปากอ้าตาค้าง ตั้งแต่เล็กจนโต เย่เชี่ยนเหวินรู้จักพี่ชายเป็นอย่างดี ตลอดเวลาที่ผ่านมาพี่ชายมีภาพลักษณ์ของคุณชายเสเพล ต่อให้ภายหลังไปเป็นทหาร เป็นทหารหน่วยรบพิเศษ และได้เรียนรู้ศิลปะการต่อสู้มาจนมีฝีมือแข็งแกร่งขึ้น แต่เรื่องการใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีจัดการพวกลูกสมุนทั้งสามสิบกว่าคน เป็นเรื่องที่ไม่สามารถทำได้ อีกทั้งตอนนี้เย่เชี่ยนเหวินรู้สึกว่าเย่เทียนเฉินพี่ชายของตนได้เปลี่ยนไปแล้ว กลายเป็นไม่ว่าจะทำอะไรก็ล้วนปรากฏความแข็งกร้าว

“อย่าเข้ามานะ ถ้ากล้าเดินเข้ามาอีกก้าว ฉันจะยิงน้องสาวแกทิ้งซะ!” เฉินหาวตกใจกลัวจนใบหน้าซีดขาว กลัวจนแทบฉี่รดกางเกง ควักปืนพกออกมาจากอก กดลงไปตรงขมับของเย่เชี่ยนเหวิน

“ปล่อยน้องสาวฉันซะ แล้วจะเหลือศพสวยๆ ไว้ให้แก” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางมองเฉินหาวอย่างเย็นชา ไม่ได้เดินไปข้างหน้าอีก

“เหอะ ตลกน่า ตอนนี้เป็นฉันกำลังขู่แก ไม่ใช่แกขู่ฉัน เข้าใจสถานการณ์ซะด้วย……” เฉินหาวเห็นว่าเย่เทียนเฉินหยุดลง ดูเหมือนว่าไม่กล้าเดินเข้ามาอีก ก็รู้สึกว่าตราบใดที่เย่เชี่ยนเหวินอยู่ในกำมือของตน เย่เทียนเฉินก็จะไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามแน่

เย่เทียนเฉินมองเฉินหาวด้วยสายตาเย็นชา เจ้าหมอนี่เป็นเพียงคนที่ตายไปแล้วในสายตาของเขา กล้ามาลงมือกับน้องสาวเขา ต่อให้เป็นเทพเจ้าก็จะไม่ไว้ชีวิต การปกป้องคนสำคัญนั้นเป็นเรื่องที่ต้องทำ จะปล่อยให้ใครหน้าไหนมาทำร้ายไม่ได้

“พี่ อย่าเข้ามา รีบไปซะ พี่…”เย่เชี่ยนเหวินน้ำตาคลอ พลางตะโกนพูดกับเย่เทียนเฉินอย่างกระวนกระวาย

“ไม่ต้องกลัวนะ มีพี่อยู่ เธอจะไม่เป็นอะไรแน่” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม

เย่เชี่ยนเหวินมองเย่เทียนเฉินผู้เป็นพี่ชายของตน น้ำตาไหลออกมาอย่างหยุดไม่อยู่ ตั้งแต่เล็กจนโต พี่ชายก็ล้วนแต่รักเธอเช่นนี้ เพื่อเธอแล้วกระทั่งชีวิตตนเองก็ไม่สนใจ ต่อให้รู้ว่าเฉินหาวเป็นต่อเขาอยู่ เย่เทียนเฉินก็ยังคงรุดหน้าไปอย่างห้าวหาญโดยไม่ยอมหันหลังกลับ ในสายตาของเขาน้องสาวคือหนึ่งในคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา

“ฮ่าๆ ๆ ๆ แม่ง ช่างเป็นความสัมพันธ์พี่น้องที่ลึกซึ้งดีจริงๆ เย่เทียนเฉินแกมันก็แค่เศษสวะ คุกเข่าให้ฉันซะ คุกเข่า…” เฉินหาวหัวเราะอย่างหยิ่งผยอง ตะโกนลั่นใส่เย่เทียนเฉิน

“โชคชะตาของฉันเย่เทียนเฉินมีตัวเองเป็นคนควบคุมมาแต่ไหนแต่ไร แม้แต่ฟ้าดินฉันยังไม่คุกเข่าให้ มดปลวกอย่างแกไม่คู่ควรหรอก” เย่เทียนเฉินเอ่ยอย่างไม่แยแส

โลกแห่งความวินาศเป็นโลกที่โหดร้ายทารุณมาก ไม่มีใครช่วยเหลือคุณได้ นอกจากตัวคุณเองเท่านั้น ถ้าหากว่าความสามารถของตัวเองไม่แข็งแกร่งพอ ก็เป็นได้แค่เพียงเนื้อปลาให้ผู้อื่นมากัดกิน จะอ้อนวอนทวยเทพหรือกราบไหว้ขอพร ก็สู้การเพิ่มพลังความสามารถของตัวเองเพื่อคิดหาทางอยู่รอดต่อไปไม่ได้

“แม่งเอ้ย ปากดีนักนะ ไปตายซะ!”

เฉินหาวเดือดดาล ไม่นึกว่าเย่เทียนเฉินจะไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาทั้งๆ ที่ตัวเขาเองมีปืนอยู่ในมือและจ่อไปยังเย่เชี่ยนเหวิน หันปากกระบอกปืน แล้วลั่นไกออกไปในทันที

ปัง!

เสียงปืนดังขึ้น เย่เชี่ยนเหวินนิ่งอึ้ง น้ำตาพลันไหลออกมา นี่มันไม่ใช่แค่กระบองเหล็กหรือมีดดาบธรรมดาๆ ปืนไม่มีตา หากยิงโดนอวัยวะภายใน โดยพื้นฐานแล้วต่างก็ไร้หนทางมีชีวิตอยู่ต่ออีก

วินาทีต่อมา เฉินหาวล้มลงไปนอนจมกองเลือด กลิ้งไปกลิ้งมาที่พื้นพลางส่งเสียงกรีดร้องโอดครวญ ลูกกระสุนนัดนั้นไม่ได้ยิงถูกเย่เทียนเฉิน แต่ดีดกลับไปถูกเขาสียเอง

แท้จริงแล้ว เย่เทียนเฉินอยากจะยั่วโมโหให้เฉินหาวยิงปืนมาที่ตัวเอง ในวินาทีที่เฉินหาวลั่นไก เย่เทียนเฉินก็ยื่นมือขวาของตนเองออกไป รวบรวมพลังพิเศษทั้งหมดไว้ที่กลางฝ่ามือข้างขวา สร้างเป็นม่านแสงที่คนธรรมดามองไม่เห็น สะท้อนลูกกระสุนกลับไปโดนเข้าที่ไหล่ซ้ายของเฉินหาว

“น้องไม่เป็นไรใช่ไหม?” เย่เทียนเฉินเดินไปถึงข้างกายของเย่เชี่ยนเหวินผู้เป็นน้อง แก้เชือกที่มัดอยู่บนตัวของเธอออก ถามอยางเป็นห่วง

“ไม่เป็นไร พี่ พี่…” เย่เชี่ยนเหวินมองเย่เทียนเฉินผู้เป็นพี่ชายราวกับมองมนุษย์ต่างดาว เดิมทีการที่เย่เทียนเฉินมีฝีมือแข็งแกร่งเช่นนี้ก็ทำให้เธอแปลกใจมากแล้ว คิดไม่ถึงว่าแม้แต่ปืนก็ทำร้ายพี่ชายไม่ได้ ทำให้เย่เชี่ยนเหวินรู้สึกยากจะเชื่อ

“ไปกันเถอะ พวกเราไปจากที่นี่กัน มันอันตรายเกินไป!”

เย่เทียนเฉินพูดขัดคำพูดของเย่เชี่ยนเหวิน แล้วจูงมือของน้องสาววิ่งออกไปจากโรงงานร้าง ส่วนเฉินหาวและเหล่าลูกสมุนต่างนอนร้องโอดครวญอยู่บนพื้น ก่อนที่จะออกมา เย่เทียนเฉินก็ได้ใช้มือตบลงไปที่ศีรษะของเฉินหาวครั้งหนึ่ง

ในนาทีที่เย่เทียนเฉินพาเย่เชี่ยนเหวินวิ่งออกไปจากโรงงานร้าง เฉินหาวก็ตายไปโดยที่มีเลือดไหลออกมาจากทวารทั้งเจ็ด เมื่อสักครู่ตอนที่เย่เทียนเฉินตบศีรษะของเฉินหาว ก็อัดพลังพิเศษเข้าไปทำลายเซลล์สมองของเฉินหาว ตายอย่างไม่เป็นธรรมชาติ

เดิมทีตอนที่เย่เทียนเฉินอยู่ระหว่างการเดินทางมาก็มีความคิดฆ่าฟันรุนแรงแล้ว เฉินหาวกล้าลักพาตัวน้องสาวของเขา สมควรต้องตาย เพียงแต่ว่าต่อหน้าเย่เชี่ยนเหวินของสาวของตน เย่เทียนเฉินไม่อยากฆ่าคน เพราะไม่ต้องการให้น้องสาวรู้สึกหวาดกลัว ดังนั้นจึงใช้วิธีเช่นนี้จบชีวิตของเฉินหาว กล้ามาลงมือกับคนสำคัญของเขาก็จำเป็นต้องตาย

“พี่…พี่ ทำไมพี่ถึงได้เก่งขนาดนี้กัน?” ขณะที่นั่งรถแท็กซี่ เย่เชี่ยนเหวินก็เอ่ยถามด้วยความสงสัยเป็นอย่างมาก

“ฮ่าๆ ได้เรียนมาจากในกองทัพน่ะ รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ช่างมันเถอะ ถ้าหากว่าเธอชอบ พี่สามารถสอนศิลปะการต่อสู้ที่ทำให้ร่างกายแข็งแรงให้เธอได้บางส่วนนะ” เย่เทียนเฉินกล่าวพร้อมกับหัวเราะ

“ไม่ใช่ล่ะมั้ง ขนาดลูกปืนก็หลบได้ จะเจ๋งเกินไปไหม?”

ภาพที่เฉินหาวยิงปืนใส่เย่เทียนเฉินเมื่อสักครู่นี้ ยังฉายซ้ำๆ อยู่ในสมองของเย่เชี่ยนเหวินตั้งแต่ต้นจนจบ เดิมทีเธอคิดว่าเย่เทียนเฉินผู้เป็นพี่หากว่าไม่ตายก็ต้องบาดเจ็บสาหัส จึงเสียใจจนน้ำตาไหลออกมาเป็นสาย ใครจะรู้ว่าในช่วงเวลาที่รอเธอมีปฏิกิริยา คนที่ล้มลงไปนอนจมกองเลือดกลับเป็นเฉินหาว เขาถูกลูกกระสุนยิงโดนไหล่ซ้าย นอนโอดครวญอย่างเจ็บปวดอยู่บนพื้น

เฉินหาวยิงปืนใส่พี่ชายของตนชัดๆ แถมในมือของเย่เทียนเฉินก็ไม่ได้มีปืนอยู่ แล้วทำไมเฉินหาวถึงถูกลูกกระสุนยิงได้ล่ะ? เย่เชี่ยนเหวินรู้สึกคิดไม่ออกจริงๆ

“งงอะไร เมื่อกี้เธอไม่ได้มองปืนของเฉินหาวให้ละเอียดๆ เหรอ? มันเป็นปืนเลียนแบบ ตอนที่มันยิงปืนก็เกิดอุบัติเหตุขึ้น กลายเป็นว่ายิงตัวเองไป เธอคิดว่าพี่หลบลูกปืนได้จริงๆ เหรอไง?” เย่เทียนเฉินแสร้งทำเป็นอับจนคำพูด กล่าวพลางมองน้องสาวแล้วสั่นศีรษะ

“เอ๋? เป็นแบบนี้นี่เอง พี่ นี่มันอันตรายมากเลยนะ ทำไมพี่โง่อย่างนี้ รู้ทั้งรู้ว่าอันตรายก็ยังจะมาอีก!” เย่เชี่ยนเหวินทำปากจู๋ พูดพร้อมกับมองไปยังพี่ชายอย่างรู้สึกซาบซึ้ง

“พี่เป็นพี่ของเธอนะ เธอมีอันตรายพี่จะไม่ไปช่วยได้ไง? ไม่ต้องคิดมากแล้ว สรุปว่าถ้ามีพี่อยู่ จะไม่มีใครมาทำร้ายเธอได้!” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม

เย่เชี่ยนเหวินกอดแขนเย่เทียนเฉินพี่ชายของตนอย่างรู้สึกซาบซึ้ง รู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมาก หากมีพี่ชายที่รักและคอยปกป้องตนเองเช่นนี้ เด็กผู้หญิงที่ไหนจะไม่มีความสุขอีก?

แต่เย่เชี่ยนเหวินไม่รู้เลยว่าเฉินหาวตายไปแล้ว หลังจากที่เย่เทียนเฉินนั่งลงแล้วตบศีรษะของเฉินหาว ก็ได้อัดพลังพิเศษของตนเข้าไปด้วย ทำให้เลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ดจนตาย นี่เป็นจุดจบที่เฉินหาวสมควรได้รับ สำหรับคนที่กล้ามารบกวนชีวิตอันสงบสุขของตน กล้ามาลงมือกับครอบครัวของตน เย่เทียนเฉินจะไม่เกรงใจเด็ดขาด ครอบครัวของฉัน ใครกล้ามาสร้างความอัปยศให้ ต้องชดใช้ด้วยชีวิต!

“จริงสิพี่ ตอนนี้พี่กับตระกูลฉีก็ถอนหมั้นกันแล้ว มีใครในใจอยู่รึเปล่า?” เย่เชี่ยนเหวินถามยิ้มๆ อย่างแก่แดด

“ยัยเด็กคนนี้นี่ วันๆ ไม่ตั้งใจเรียน สนใจเรื่องนี้ทำไมกัน? หรือว่าเธอรีบกว่าพี่ อยากจะหาคู่ชีวิตเร็วๆ ?” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางยิ้มล้อเลียน

“ใคร ใครเขารีบกันล่ะ หนูไม่รีบหรอก แม่ต่างหากที่รีบ อยากจะอุ้มหลานเร็วๆ” เย่เชี่ยนเหวินหน้าแดง ถลึงตามองเย่เทียนเฉิน

เมื่อเย่เทียนเฉินได้ยินคำพูดของน้องสาว ก็อดไม่ได้ที่จะชะงักไปครู่หนึ่ง ความอกตัญญูมีอยู่หลายข้อ แต่ที่สาหัสที่สุดคือการไม่มีทายาท ตัวเองอายุยี่สิบปีแล้ว เดิมทีเย่หงสองสามีภรรยากว่าจะคลอดเย่เทียนเฉินก็ค่อนข้างช้า รวมกับหลัวเยี่ยนเป็นแม่เป็นแม่บ้านเต็มเวลา ย่อมอยากจะเห็นลูกชายแต่งงาน มีหลานให้อุ้มไวๆ นี่เป็นเรื่องที่ปกติธรรมดามาก

เพียงแต่ว่าเย่เทียนเฉินยังไม่มีใครอยู่ในใจจริงๆ แม้จะกล่าวว่าผู้หญิงที่เขาพบเจอมีจำนวนไม่น้อย แต่กลับไม่มีสักคนเดียวที่มีความรู้สึกดีๆ กับเขา อย่างน้อยตอนนี้ก็ไม่มี

“เรื่องของพรหมลิขิตมันบังคับกันไม่ได้หรอก ไว้ค่อยว่ากันเถอะ!”

“พี่ จริงๆ แม่ก็ไม่ได้เร่งรัดอะไรพี่หรอกนะ แม่แค่กลัวว่าพี่ถูกทำร้ายกลายเป็นปมในใจ จนสูญเสียความมั่นใจกับผู้หญิงดีๆ ถ้าหากว่าไม่ได้แต่งงานไปชั่วชีวิต หรือว่ากลายเป็นคนจิตใจอ่อนแอไป ตระกูลเย่ของพวกเราก็คง…” เย่เชี่ยนเหวินทำปากจู๋พลางกล่าว

ในที่สุดเย่เทียนเฉียนก็เข้าใจสักที เป็นเพราะแม่กลัวว่าเรื่องของตระกูลหลิ่วและเรื่องการถอนหมั้นของตระกูลฉี จะทำให้ตนไม่สนใจหรืออาจกีดกันผู้หญิง ดังนั้นจึงอยากจะเร่งรัดให้ตนเองรีบแต่งงาน

“ไม่ได้ร้ายแรงแบบที่เธอกับแม่คิดขนาดนั้นหรอก พี่ยังเป็นผู้ชายปกติคนหนึ่ง ก็แค่ยังไม่เจอผู้หญิงที่ทำให้หัวใจของพี่เต้นแรงก็เท่านั้น อีกอย่าง ต่อไปนี้เธอก็เรียนหนังสืออย่างสบายใจไปซะ วันๆ อย่าเอาแต่ผสมโรงกับแม่เรื่องนี้อีก เข้าใจไหม?” เย่เทียนเฉินแสร้งทำเป็นมองน้องสาวด้วยความโกรธ หากแม่และน้องสาวยืนอยู่บนเส้นทางสายเดียวกันล่ะก็ จากนี้ไปเขากลับถึงบ้านก็เป็นไปได้ว่าต้องพบกับสถานการณ์ อันน่าสังเวชที่วันๆ ถูกบีบบังคับให้แต่งงานแน่

“หนูไม่ได้เป็นแบบนั้นสักหน่อย แม่บอกว่าให้หนูจับตาดูผู้หญิงที่อยู่รอบๆ ตัวพี่ตลอดเวลา ถ้ามีคนที่เหมาะสม ก็ให้ไปรายงานแม่ ถึงตอนนั้นแม่กับหนูจะเป็นคนตรวจสอบกันเองอีกครั้ง จะไม่ปล่อยให้พี่ไปหามามั่วๆ มาจากข้างนอกหรอก” เย่เชี่ยนเหวินพูดด้วยรอยยิ้มแปลกประหลาด

เย่เทียนเฉินรู้สึกหมดคำพูด ตนเองเพิ่งจะอายุยี่สิบ กระนั้นแม่ก็แทบรอไม่ไหวที่จะแต่งลูกสะใภ้เข้าบ้านและอุ้มหลาน จึงทำให้เย่เทียนเฉินอธิษฐานในใจอย่างอดไม่ได้ว่า ‘ผู้หญิงในฝัน ขอเธออย่ามาปรากฏตัวในเร็วๆ นี้เลย พี่เพิ่งจะอายุยี่สิบ ชีวิตคนโสดเพิ่งจะเริ่มต้นเอง……’

……………………………………………………….

บทที่ 21 ไม่ต้องพูดมาก จัดการซะ
Ink Stone_Fantasy
ณ ชานเมืองเขตตะวันตกของเมืองหลวง ภายในโรงงานรกร้าง บนหัวของเฉินหาวมีผ้าพันแผลพันอยู่ ส่วนมือขวาก็ถูกเข้าเฝือก ใบหน้าแดงก่ำ จ้องมองไปยังเบื้องหน้าด้วยใบหน้าดุร้าย เขวี้ยงโทรศัพท์ในมือลงพื้นจนแตกเป็นเสี่ยงๆ

“พวกแกฟังฉันให้ดีๆ นะ อีกเดี๋ยวถ้าไอ้ขยะเย่เทียนเฉินมันกล้ามาล่ะก็ ไม่ต้องพูดจาไร้สาระ จัดการส่งมันไปปรโลกซะ มันตายฉันรับผิดชอบเอง” เฉินหาวคำรามออกมาด้วยความโกรธ

เฉินหาวแทะโลมเย่เชี่ยนเหวินที่หน้าประตูโรงเรียนมัธยมเมืองหลวง ถูกเย่เทียนเฉินอัดจนเกือบตาย รอดชีวิตกลับมาอย่างยากลำบาก แต่กลับไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี ใช้อิทธิพลของเฉินหู่พ่อของตนรวบรวมชายฉกรรจ์มาสามสิบกว่าคน ทั้งหมดต่างถืออาวุธจำพวกกระบองเหล็กและมีดไว้ในมือ ลักพาตัวเย่เชี่ยนเหวินมาที่โรงงานร้านในชานเมืองเขตตะวันตกแห่งนี้ เตรียมล่อเย่เทียนเฉินให้มาที่นี่เพื่อให้ตนเองแก้แค้น

“นายน้อยเฉิน เจ้าเย่เทียนเฉินถึงยังไงก็เป็นของคนตระกูลเย่ ถ้าหากว่าทำมันตายล่ะก็ เกรงว่า……” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่เป็นหัวหน้ากล่าวาด้วยความกังวลเล็กน้อย

“จะกลัวอะไร?” เฉินหาวถามเสียงต่ำอย่างไม่สบอารมณ์

“ถึงยังไงตระกูลเย่ก็นับว่าเป็นตระกูลชั้นสามของเมืองหลวง เกิดฆ่าเย่เทียนเฉินตาย ถึงตอนนั้นตระกูลเย่คงไม่ยอมอยู่เฉยแน่ หากสืบพบล่ะก็…”

“เฮอะ ตระกูลเย่ก็แค่ตระกูลกากๆ แค่ตระกูลชั้นสามตระกูลหนึ่งเท่านั้น ทั้งยังเป็นตระกูลชั้นสามที่ตกต่ำลงตั้งนานแล้ว จะนับเป็นอะไรได้ ฆ่ามันให้ฉันก็พอ” เฉินหาวร้องหึมาอย่างเหยียดหยาม

ที่มุมปากของชายวัยกลางคนผู้เป็นหัวหน้าเองปรากฏรอยยิ้มชั่วร้ายขึ้นมา ชายคนนี้มีฉายาว่าหนูบ้าน รูปร่างแม้จะสูงใหญ่บึกบึน แต่คาแหลมหน้าตอบ ดูน่าเกลียดมาก เขาหยิบของสิ่งหนึ่งออกมาจากอก ยิ้มชั่วร้ายพลางกล่าวว่า “หากมีอาวุธนี้อยู่ ต่อให้เจ้าเย่เทียนเฉินมีสามเศียรหกกร ยังไงก็ต้องตาย”

เจ้าหนูบ้านขณะที่พูด ก็นำของในมือส่งให้เฉินหาว จนเฉินหาวตกใจชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะรับของสิ่งนั้นมา พูดอย่างกังวลใจเล็กน้อยว่า “ไอ้ปืนนี่ ในสถานการณ์ปกติไม่ใช้จะดีกว่า ในจีนการใช้ปืนฆ่าคนกับการใช้มีดฆ่าคนมันคนละเรื่องกันเลยนะ!”

“แน่นอนครับ ถ้าเลี่ยงได้ก็ไม่ต้องใช้ แต่ถ้าจำเป็นต้องใช้ ก็สนใจมากขนาดนั้นไม่ได้แล้วล่ะครรับ” ห้าวจื่อกล่าวพลางยิ้มชั่วร้าย

เฉินหาวพยักหน้า ซ่อนปืนพกไว้ในกระเป๋าเสื้อ ดวงตาปรากฏแววชั่วร้าย พ่อของตนเป็นงูเจ้าถิ่นในเขตใต้แห่งนี้ ไม่เคยมีใครกล้าล่วงเกินตนเอมาก่อน บวกกับพี่ชายของพ่อเองก็มีอิทธิพลใต้ดินในเมืองหลวง มีชื่อเสียงขจรขจาย ต่อให้ฆ่าเย่เทียนเฉินตาย เกรงว่าตระกูลเย่ก็คงไม่กล้าทำอะไรตนเองอยู่ดี

“ไอ้สารเลว แกต้องไม่ตายดีแน่” ตอนนี้เอง เย่เชี่ยนเหวินที่ถูกจับมัดไว้บนเก้าอี้ด้านข้าง เห็นว่าเฉินหาวสามารถควักปืนขึ้นมายิงพี่ชายของตนให้ตายได้ในทันที ก็เปิดปากพูดออกมาอย่างดุร้าย

“หึ เย่เชี่ยนเหวิน ฉันบอกให้เธอมาเป็นผู้หญิงของฉันมาตั้งนานแล้ว เธอไม่ฟัง ตอนนี้พี่ชายเธอมาหาเรื่องฉัน ขอเพียงแค่เธอเต็มใจมาอยู่กับฉัน ฉันก็จะไว้ชีวิตสุนัขของพี่ชายเธอก็ได้” เฉินหาวเดินไปเบื้องหน้าของเย่เชี่ยนเหวิน แล้วพูดออกมาอย่างหยิ่งยโส

“เหอะ! คนอย่างแก ต่อให้ตายฉันก็ไม่ชอบแกหรอก”

เพียะ!

เฉินหาวตบหน้าเย่เชี่ยนเหวิน สองตาแดงก่ำจ้องมองไปยังเย่เชี่ยนเหวินแล้วคำรามว่า “นังผู้หญิงสารเลว ฉันไว้หน้าเธอแต่เธอไม่เอา คิดว่าพี่ชายเธอจะช่วยเธอได้งั้นเหรอ? คิดว่าตระกูลเย่เจ๋งมากเหรอไง? ตระกูลเย่ตกต่ำไปนานแล้ว พี่ชายของเธอก็เป็นแค่ตัวตลกของเมืองหลวง เป็นแค่เศษสวะ ต่อให้ฉันฆ่าพี่ชายของเธอ ก็ไม่มีใครกล้ามาทำอะไรเฉินหาวคนนี้หรอก”

เย่เชี่ยนเหวินถลึงมองเฉินหาวอย่างดุร้าย ไม่อยากจะเสวนากับคนประเภทนี้แม้แต่คำเดียวอยู่แล้ว เธอทำได้เพียงภาวนาเงียบๆ อยู่ในใจ ภาวนาให้เย่เทียนเฉินพี่ชายของตนเองไม่ต้องมา มันอันตรายเกินไป คราวนี้เฉินหาวเรียกอันธพาลมาสามสิบกว่าคน ทุกคนต่างก็ถือกระบองเหล็กและมีดอยู่ในมือ ทั้งยังมีปืนพกที่เจ้าหนูบ้านพกมาอีก หากเย่เทียนเฉินมาคนเดียว คงจะเป็นผลร้ายมากกว่าผลดี

“พูดตามตรง เธอนี่สวยจริงๆ แถมยังซิงอยู่ด้วยสินะ ฉันเฉินหาวจะทำให้เธอพอใจได้แน่นอน” เฉินหาวกลืนน้ำลาย กล่าวออกมาในขณะที่จ้องมองหน้าอกอันตั้งตระหง่านของเย่เชี่ยนเหวิน

“แก…แกจะทำอะไร?” เมื่อเย่เชี่ยนเหวินเห็นสองตาของเฉินหาวจับจ้องอยู่ที่ตน ก็ถามด้วยน้ำเสียงโมโหอย่างตื่นตระหนก

“ทำอะไร? ก็ต้องเป็นเรื่องที่ผู้ชายผู้หญิงเขาทำกันไงล่ะ แต่เธอวางใจเถอะ ฉันไม่ทำตอนนี้หรอก ฉันจะรอทำตอนที่เย่เทียนเฉินพี่ชายของเธอมา ให้มันมองน้องสาวของตัวเองถูกคนอื่นข่มขื่นโดยที่ทำอะไรไม่ได้ ให้มันรู้ถึงจุดจบที่กล้ามาลงมือกับฉันเฉินหาว” เฉินหาวคำรามออกมาอย่างจองหองเป็นที่สุด

ประมาณยี่สิบนาทีต่อมา เฉินหาวรอจนกระทั่งแทบจะหมดความอดทน ประเด็นก็คือเมื่อเห็นความงดงามของ เย่เชี่ยนเหวิน ก็ยิ่งควบคุมความตื่นเต้นของตนได้ยากขึ้นเรื่อยๆ อยากจะดอมดมดอกไม้ดอกนี้แล้ว

“แม่งเอ้ย ฉันว่าไอ้ขยะเย่เทียนเฉินมันไม่กล้ามาแล้วล่ะ เจ้าหน้าหนูแกใช้มือถืออัดคลิปไว้ให้ฉันด้วย ฉันต้องการให้คนทุกคนในเมืองหลวงได้เห็น และยิ่งอยากให้เย่เทียนเฉินได้เห็น ว่าฉันเฉินหาวจะทำลายเย่เชี่ยนเหวินยังไง” สองตาของเฉินหาวมองเย่เชี่ยนเหวินอย่างหื่นกระหาย

“แก…ออกไปนะ ออกไป อย่าเข้ามา อย่าเข้ามา…” เย่เชี่ยนเหวินเห็นว่าเฉินหาวจู่ๆ ก็คลุ้มคลั่งขึ้นมา จึงดิ้นรนอย่างสุดชีวิต แต่ไม่สามารถที่ดิ้นหลุดจากเชือกที่มัดตนเองอย่างแน่นหนาได้

“ฉันแนะนำให้เธออยู่นิ่งๆ หากปรนนิบัติฉันดี จะไม่เกิดอะไรขึ้น ไม่งั้นรอจนฉันเล่นจนเสร็จแล้ว จะให้สหายสามสิบกว่าคนที่อยู่ข้างล่าง มาร่วมสนุกด้วยกัน” เฉินหาวยิ้มด้วยใบหน้าดุร้าย

“กรี๊ด ออกไปนะ ออกไป…” เย่เชี่ยนเหวินใช้เท้าถีบใส่เฉินหาวสุดชีวิต แต่กลับขยับตัวไม่ได้ น้ำตาไหลออกมาอย่างหยุดไม่อยู่ ในใจรู้สึกหวาดถึงขีดสุด

“อย่าโทษฉันเลย ถ้าจะโทษก็โทษพี่ชายเธอสิ มันกล้าลงมือกับฉันเอง ช่างไม่รู้จักที่สูงที่ต่ำเลยจริงๆ…”

เฉินหาวกล่าวพลางจะยื่นมือไปจับหน้าอกของเย่เชี่ยนเหวิน ในตอนที่สองตาของเขาเต็มไปด้วยความหื่นกระหาย ตูม! เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นสนั่นหวั่นไหว ประตูเม้วนของโรงงานร้างทั้งบานถูกชนจนปลิว เฉินหาวและพรรคพวกตกใจจนถอยหลังไปหลายก้าว

เย่เทียนเฉินขี่มอเตอร์ไซด์คันนั้น กระทั่งหมวกกันน็อกก็ไม่ได้ใส่ ชนใส่ประตูม้วนขนาดใหญ่จนปลิวออกไป ก่อนจะจอดมอเตอร์ไซด์ไว้กลางโรงงานร้าง มองเฉินหาวด้วยใบหน้าเย็นชา

“โอ้ ไม่คิดเลยว่าไอ้ขยะอย่างแกจะกล้ามาจริงๆ รีบมาคุกเข่าให้ฉันซะสิ แล้วฉันจะไว้ชีวิตสุนัขของแก” เมื่อเฉินหาวเห็นว่าเย่เทียนเฉินมาจริงๆ ก็กล่าวพลางอดขมวดคิ้วไม่ได้

“ปล่อยน้องสาวฉันซะ!” เย่เทียนเฉินเพียงแค่เอ่ยประโยคนี้อย่างเรียบง่าย

“พี่ รีบหนีไป รีบหนีไปเถอะ พวกมันมีปืน รีบหนี…”

เย่เชี่ยนเหวินเองก็คิดไม่ถึงว่าพี่ชายของตนเองจะมาคนเดียวจริงๆ เพื่อช่วยเธอ พี่ชายไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมีอันตรายเลยสักนิด เหมือนกับตอนเด็กๆ ไม่มีผิด พี่ชายยังคงรักเธอเหมือนเดิม

“ไม่ต้องกลัว พี่อยู่นี่แล้ว!”

เย่เทียนเฉินลงจากรถมอเตอร์ไซด์ ใบหน้าไม่ปรากฏอารมณ์ใดเลยแม้แต่น้อย เขากล่าวพลางเดินตรงไปยัง เย่เชี่ยนเหวินผู้เป็นน้องสาวอย่างเย็นชา

“แม่งเอ๊ย พวก พวกแกยังจะมัวตะลึงหาพระแสงอะไรอยู่ ฆ่าไอ้ขยะนี่สิเว้ย” เฉินหาวคิดไม่ถึงว่าเมื่อเย่เทียนเฉินเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ จะไม่มีอาการเกรงกลัวหรือถดถัยเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังกล้าเดินเข้ามาตรงๆ อีก จึงคำรามออกมาด้วยความโกรธแค้นทันที

ชายฉกรรจ์สามสิบกว่าคนที่ถือกระบองเหล็กและมีดในมือต่างพากันพุ่งเข้าหาเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินยังคงไม่หยุดฝีเท้าของตนเอง กำหมัดทั้งสองแน่น ไม่ได้กระตุ้นพลังพิเศษภายในร่างกายของตนเอง การสู้กับคู่ต่อสู้ที่เป็นคนธรรมดาพวกนี้ ยังไม่จำเป็นต้องใช้พลัง

ฉัวะ!

ชายฉกรรจ์คนหนึ่งที่พุ่งเข้ามาด้านหน้าสุดฟันมีดลงไปยังบริเวณศีรษะของเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินประกายตาเย็นเยียบลงในบัดดล ลงมือทีหลังแต่ถึงก่อน หมัดหนึ่งซัดเข้าไปที่หน้าอกของชายฉกรรจ์ผู้นั้นจนปลิวออกไปชนชายหลายคนที่พุ่งตามเข้ามาข้างหลังอย่างรุนแรง แล้วล้มลงไปนอนกองกับพื้นเป็นแถบ ทุกคนต่างพากันร้องโอดครวญออกมา ส่วนชายฉกรรจ์คนที่ถูกเย่เทียนเฉินใช้หมัดซัดนั้นบริเวณหน้าอกยุบลงไป เกรงว่าหัวใจจะถูกเย่เทียนเฉินอัดจนแหลกไปแล้ว

ผัวะๆๆ ต่อจากนั้นแทบไม่ต้องคิด สองหมัดที่แกร่งดั่งเหล็กของเย่เทียนเฉินกวัดแกว่งออกไปอย่างไม่ขาดสาย ทุกหมัดที่ต่อยออกไปจะมีชายฉกรรจ์คนหนึ่งถูกต่อยกระเด็น ไม่มีใครเข้าใกล้ตัวเขาได้ ซึ่งนี่ยังคงอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ยังไม่ได้กระตุ้นพลังพิเศษ

เฉินหาวตื่นตะลึง ห้าวจื่อที่ยืนข้างๆ เขาก็ปากอ้าตาค้างเช่นกัน กระทั่งเย่เชี่ยนเหวินที่น้ำตาไหลเต็มหน้าก็ยังมองเย่เทียนเฉินผู้เป็นพี่อย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา นึกไม่ถึงเลยว่าพี่ชายของตนเองจะยอดเยี่ยมเช่นนี้ ต่อให้จะเป็นเย่เทียนเฉินที่กลายเป็นทหารหน่วยรบพิเศษ หากต้องการจัดการชายฉกรรจ์สามสิบกว่าคนที่มีกระบองเหล็กและมีดอยู่ในมือในพริบตาเดียว ก็ไม่สามารถจัดการได้ง่ายดายเช่นนี้ แต่เย่เทียนเฉินรับมือกับพวกลูกสมุนอันธพาลกลุ่มนี้ราวกับจัดการกับหุ่นไม้ก็ไม่ปาน ทำให้ผู้คนตกใจจนแทบจะกัดลิ้นตัวเอง

ห้านาที เพียงห้านาทีเท่านั้น กระบองเหล็กและมีดตกกระจายอยู่เต็มพื้น ชายฉกรรจ์สามสิบกว่าคนต่างก็นอนกร้องโอดอวยอยู่บนพื้น ใบหน้าของเย่เทียนเฉินยังคงมองเฉินหาวอย่างไร้อารมณ์พร้อมกับเดินเข้าไปหา ในสายตาของเขาเฉินหาวคือคนที่ตายไปแล้ว ในกล้ามาลงมือกับคนสำคัญของตนเอง ก็จำเป็นต้องชดใช้ด้วยชีวิต!

“นี่…ทำได้ไงกัน?” เฉินหาวตกใจเสียจนเหงื่อเย็นๆ ไหลออกมาเต็มใบหน้า ตอนแรกคิดว่าลูกสมุนที่โหดเหี้ยมสามสิบกว่าคนของตน ต่อให้เย่เทียนเฉินเคยเป็นทหารมาก่อน ต่อให้ร้ายกาจกว่า ก็ต้องถูกอัดจนหน้าจมดินแน่นอน แต่ความเป็นจริงช่างเหนือความคาดหมายของผู้คน เย่เทียนเฉินในตอนนี้ราวกับเทพแห่งความตายก็ไม่ปาน สิ่งใดก็ไม่สามารถขวางการก้าวเดินเพื่อช่วยเหลือน้องสาวของเขาได้

“หึ เจ้าหมอนี่มันยังพอมีฝีมืออยู่บ้าง ให้ฉันจัดการมันเอง!”

ห้าวจื่อร้องหึอย่างเย็นชา กำหมัดแน่น เดินออกมาอย่างมาดเท่ ใช้นิ้วชี้ข้างขวาชี้ไปยังเย่เทียนเฉิน พูดว่า “คิดไม่ถึงเลยว่าแกจะพอมีฝีมือยู่บ้าง ขอฉันเล่นกับแกสักสองสามกระบวนท่าหน่อยซิ อย่าถูกอัดจนร้องไห้ขี้มูกโป่งก็แล้วกัน!”

เย่เทียนเฉินยังคงไม่พูดอะไร ในสายตาของเขาตอนนี้แค่อยากจะช่วยเย่เชี่ยนเหวินผู้เป็นน้องสาวเท่านั้น ส่วนคนอื่นๆ เรื่องอื่นๆ ล้วนไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาทั้งนั้น ถ้าใครกล้ามาขวาง จะใช้หมัดถล่มให้ยับ

“รนหาที่ตาย!”

ห้าวจื่อเห็นว่าเย่เทียนเฉินไม่สนใจตนเองก็พลันรู้สึกอับอาย จะอย่างไรฝีมือของเขาก็ไม่ได้แย่ อย่างน้อยๆ ก็เก่งกว่าไอ้พวกลูกกะจ๊อกพวกนี้มาก แต่กลับถูกเย่เทียนเฉินดูหมิ่น เขาคำรามออกมาครั้งหนึ่งก่อนจะพุ่งเข้าไปหาเย่เทียนเฉินด้วยความรวดเร็ว

จวนจะเข้าถึงตัว ห้าวจื่อก็หัวเราะอย่างเย็นชาออกมาครั้งหนึ่งอย่างมาดเท่ กระโดดสูงขึ้นหนึ่งเมตรกว่า หมัดทั้งสองโบกสะบัดไปทางเย่เทียนเฉินไม่หยุด เขาคิดว่าหากตนเองใช้กำลังทั้งหมดจะต้องทำให้เย่เทียนเฉินพ่ายแพ้ได้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะตนเองยังเคยฝึกฝนวรยุทธ์ของพรรควรยุทธ์โบราณมาก่อน

เมื่อเฉินหาวเห็นว่าฝีมือของห้าวจื่อแข็งแกร่งขนาดนี้ มือที่ยื่นเข้าไปหยิบปืนในกระเป๋าเสื้อก็ชักกลับมา เขาคิดว่าห้าวจื่อจะสามารถเก็บเย่เทียนเฉินได้แน่นอน

เปรี้ยง!

เมื่อเผชิญหน้ากับห้าวจื่อที่แยกเขี้ยวยิงฟัน เย่เทียนเฉินเพียงแค่ใช้เท้าเตะออกไปครั้งหนึ่ง ดูภายนอกเป็นเพียงการเตะธรรมดาๆ แต่กลับเตะห้าวจื่อที่กระโดดสูงขึ้นไปเมตรกว่าๆ กระเด็นออกไปตกลยพื้นพื้นอย่างรุนแรง ส่งเสียงร้องออกมาราวกับหมูถูกเชือด

……………………………………………………….

บทที่ 20 น้องสาวถูกลักพาตัว!
Ink Stone_Fantasy
ตั้งแต่เล็กฉีหรูเสวี่ยก็ใช้ชีวิตและเติบโตที่อเมริกา หลังจากเรียนจบ ฉีชางเซิ่งผู้เป็นบิดาก็มาโน้มน้าวครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงจะยอมกลับมาประเทศจีน ส่วนเรื่องการหมั้นหมายระหว่างเธอกับเย่เทียนเฉิน ไม่ได้ผ่านผู้เกี่ยวข้องอย่างพวกเขาสองคน เรื่องทั้งหมดมีผู้อาวุโสตระกูลฉีและผู้อาวุโสตระกูลเย่จัดการ สถานที่ที่มีตระกูลประเภทนี้และอิทธิพลต่างๆ อยู่มากมายอย่างเมืองหลวง การแต่งงานของลูกสาวลูกชายมักจะเกิดขึ้นเพื่อการสร้างคุณูปการให้กับวงศ์ตระกูล

ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าเมื่อก่อนฉีหรูเสวี่ยและเย่เทียนเฉินสองคนไม่เคยพบหน้ากันเลย ครั้งนี้ตระกูลฉีต้องการถอนหมั้นกับตระกูลเย่ บวกกับฉีหรูเสวี่ยก็กลับมาแล้ว จึงให้ฉีหรูเสวี่ยตรงมายังเครือไห่หวังหลังจากที่ลงจากเครื่องบิน เพื่อเซ็นหนังสือสัญญาถอนหมั้นกับเย่เทียนเฉินต่อหน้า เช่นนี้ทั้งสองตระกูลก็ไม่มีอะไรจะต้องพูดกันอีก ทุกคนต่างก็จบลงด้วยความสงบ

“หรูเสวี่ย เรื่องการถอนหมั้นนั้นพ่อได้ตัดสินใจแล้ว แล้วก็จัดการให้เธอไปพบกับฉินเหิงจากตระกูลฉินแล้วด้วย รีบเซ็นสัญญาถอนหมั้นฉบับนี้กับเย่เทียนเฉินซะ เพื่อไม่ให้ตระกูลเย่มายุ่งวุ่นวายได้อีกในภายหลัง” ฉีย่ากวงรู้นิสัยของน้องสาว ตั้งแต่เด็กก็ดื้อรั้น ทั้งยังถูกพ่อตามใจจนเสียคน เกิดเธอไม่ยอมเซ็นชื่อยกเลิกการหมั้นหมายกับเย่เทียนเฉินจริงๆ ตนจะกลับไปชี้แจ้งกับพ่อได้อย่างไร

“ไม่เซ็น ฉันจะไม่ถอนหมั้น แล้วก็ไม่ไปเจอฉินเหิงอะไรนั่นด้วย ตระกูลเย่อยากจะมายุ่งวุ่นวายก็เป็นเรื่องของตระกูลเย่ เรื่องของฉันฉันจะตัดสินใจเอง” ฉีหรูเสวี่ยกล่าวอย่างดื้อรั้น

“ฉันว่าทางที่ดีเธอควรจะทำให้มันชัดเจนนะ ตระกูลเย่ของฉันเองก็อยากจะถอนหมั้นกับตระกูลฉีของเธอมากเหมือนกัน ตอนนี้เธอดันที่ไม่ยอมถอนหมั้นกับฉัน หรือว่าอยากจะแต่งให้กับฉันกัน? งั้นก็ขอโทษด้วย ฉันไม่สนใจคนอัปลักษณ์อย่างเธอ” เย่เทียนเฉินส่ายหน้า พูดอย่างจนใจ

“นี่ เจ้าคนน่ารังเกียจ นายว่าใครอัปลักษณ์? นายนั่นแหละที่อัปลักษณ์ ฉันจะบอกนายอย่างเป็นทางการเลยว่าฉันจะไม่ถอนหมั้นกับนาย เพราะฉันไม่อยากจะไปเจอกับฉินเหิงแห่งตระกูลฉินอะไรนั่น อีกอย่าง ฉันอยากให้พ่อรู้ว่าเรื่องของฉัน ฉันจะเป็นคนตัดสินใจเอง ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนายเลยแม้แต่นิดเดียว” ใบหน้ารูปไข่อันงดงามของฉีหรูเสวี่ยบูดบึ้ง กล่าวพลางใช้ดวงตาคู่งามถลึงมองเย่เทียนเฉิน

ท่าทางของเย่เทียนเฉินทำให้ฉีหรูเสวี่ยรู้สึกโมโหจริงๆ ความสวยงามของเธอดึงดูดลูกหลานผู้ดีเป็นจำนวนมากมาแต่ไหนแต่ไร เพียงแต่แม้จะมีคนตามจีบตนเองเยอะขนาดนั้น แต่กลับไม่มีใครทำให้เธอใจเต้นได้สักคน แต่คนที่กล้าบอกว่าตนเองอัปลักษณ์ มีเย่เทียนเฉินเป็นคนแรก ไม่ว่าผู้หญิงคนไหนต่างก็รักสวยรักงามทั้งนั้น เมื่อได้ยินผู้ชายคนหนึ่งว่าตนเองเช่นนี้ ย่อมรู้สึกไม่พอใจ อยากจะประเคนหมัดให้เย่เทียนเฉินสักหลายหมัด

“ฉันไม่มีเวลาว่างมาเล่นกับเธอหรอกนะ ถ้าจะเซ็นก็รีบหน่อย เอาสัญญกับปากกามาให้ฉัน” เย่เทียนเฉินเดิมทีก็ไม่ได้มีความรู้สึกอะไรกับฉีหรูเสวี่ยอยู่แล้ว บวกกับในชีวิตก่อน ผู้หญิงที่เย่เทียนเฉินมีสัมพันธ์ด้วยล้วนแต่เป็นผู้หญิงชั้นยอด ดังนั้นเขาย่อมไม่ใช่คนที่เจอสาวงามก็ทำอะไรไม่ถูก

ใครจะทราบว่า ตอนที่เย่เทียนเฉินยื่นมือออกไปหยิบหนังสือสัญญาถอนหมั้นบนโต๊ะ เตรียมที่จะเซ็นชื่อลงไป ฉีหรูเสวี่ยก็ใช้มือจับหนังสือสัญญาบนโต๊ะเอาไว้ แสยะยิ้มบนใบหน้า ด้วยท่าทางขุ่นเคืองระคนพอใจ มองดูเย่เทียนเฉินอย่างชั่วร้าย แล้วกล่าวว่า “เจ้าคนน่ารังเกียจ นายกล้าว่าฉันอัปลักษณ์ นายอยากจะถอนหมั้นนักใช่ไหม? ฉันไม่ให้นายถอน ไม่ให้นายถอน….”

หนังสือสัญญาถอนหมั้นถูกฉีกทิ้ง เย่เทียนเฉินมองดูอย่างไร้คำพูดโดยสิ้นเชิง แต่เดิมเขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับเรื่องถอนหมั้นอยู่แล้ว อยากจะถอนหมั้นก็ถอนหมั้นไปเถอะ ในช่วงสิ้นโลกเย่เทียนเฉินมีหญิงงามชั้นยอดตั้งมากมาย ในโลกนี้ทำไมจะหาหญิงงามมาเคียงข้างไม่ได้? ตอนแรกคิดว่าการถอนหมั้นเรียบร้อยดีแล้ว แต่คิดไม่ถึงเลยว่าคุณหนูฉีหรูเสวี่ยคนนี้พอโมโหขึ้นมา ก็ทำให้เรื่องทั้งหมดพัง

“หรูเสวี่ย นี่เธอ….”

หน้าผากของฉีย่ากวงมีเหงื่อเย็นไหลออกมาเป็นสาย จะอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงเลยว่าการถอนหมั้นของตระกูลฉีกับตระกูลเย่ ซึ่งเดิมทีเป็นเรื่องที่กำหนดแน่นอนแล้ว กลับพังลงเพราะความดื้อรั้นของน้องสาว ต้องทราบว่าตระกูลฉีเพื่อถอนหมั้นกับตระกูลเย่ และร่วมมือกับตระกูลฉิน ต้องสิ้นเปลืองความคิดมากมาย และยังต้องชดเชยให้ตระกูลเย่ไปสองอย่าง ถ้าหากว่าน้องสาวไม่ยอมถอนหมั้น การชดเชยทั้งสองอย่างที่ตระกูลฉีมอบให้แก่ตระกูลเย่จะไม่เป็นการเสียเปล่าหรอกหรือ? แม้ว่ามันจะไม่นับเป็นอะไรก็เถอะ แต่หากว่าตระกูลฉีไม่สามารถร่วมมือกับตระกูลฉินได้ ก็จะทำให้แผนการใหญ่ของตระกูลฉีต้องยุ่งเหยิง

“ยังไงเรื่องนี้ฉันจะเป็นคนตัดสินใจเอง!”

ฉีหรูเสวี่ยพูดจบก็เดินออกไปจากห้องประชุมใหญ่ด้วยความขุ่นเคือง ฉีย่ากวงกับเย่เทียนเฉินมองดูอย่างตกตะลึง ไม่มีใครคิดว่าความอารมณ์ร้ายของฉีหรูเสวี่ย จะนำมาซึ่งการกระทำอันไร้เหตุผลเช่นนี้ โดยเฉพาะผู้ถือหุ้นของเครือไห่หวังอีกสี่คน ต่างมองจนปากอ้าตาค้าง อยากจะเล่นงานเย่เทียนเฉินให้เออกจากเครือไห่หวัง ก็ถูกแก้ไขด้วยคำพูดไม่กี่ประโยค อยากเห็นเรื่องตลกที่เย่เทียนเฉินถูกตระกูลฉีถอนหมั้น แต่การปรากฏตัวของฉีหรูเสวี่ยกลับกลายเป็นไม่ถอนหมั้นแล้ว ราวกับว่าฉีหรูเสวี่ยไม่เต็มใจที่จะถอนหมั้นกับเย่เทียนเฉิน

เย่เทียนเฉินเดินออกมาจากตึกใหญ่ของเครือไห่หวัง หาวครั้งหนึ่ง เตรียมที่จะหาสถานที่ทานอาหารสักเล็กน้อย ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกได้ว่าด้านหลังมีคนตามมา แม้ว่าตอนนี้การตื่นของพลังพิเศษจะยังอ่อนแอ อยู่เพียงแค่ระดับราชัน แต่เหตุการณ์ในรัศมีหนึ่งร้อยเมตรรอบๆ ตัว เย่เทียนเฉินสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจน

เย่เทียนเฉินหมุนตัวไปอย่างดุร้าย พบว่าข้างหลังมีบอดีการ์ดสวมสูทสีดำอยู่สองคน ชายสองคนนี้แม้จะแสร้งทำเป็นพูดคุยกัน แต่กลับมองมาทางที่ตนอยู่เป็นครั้งคราว ราวกับกลัวว่าตนจะวิ่งหนีไป

ใครกันที่กำลังสะกดรอยตามเขา? แล้วเป็นคนที่ใครส่งมากัน? เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว การถูกคนสะกดรอยตามไม่ใช่เรื่องดี ต้องระมัดระวังสักหน่อย

ในตอนที่เย่เทียนเฉินกำลังเตรียมตัวเดินเข้าไปซัดพวกที่สะกดรอยตนเองให้หมอบ แล้วเค้นถามสักเล็กน้อย โทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น โทรศัพท์มือถือในยุคปัจจุบัน เย่เทียนเฉินยังใช้ไม่ค่อยคุ้นมืออยู่บ้าง ในช่วงสิ้นโลกเพียงแค่สวมหูฟังแค่อันเดียว อยากจะติดต่อหาใครเรียกชื่อครั้งเดียวก็พอแล้ว เป็นแบบที่เชื่อมต่อกันทั้งโลก

“ฮัลโหล มีอะไรเหรอครับ?” เย่เทียนเฉินกดปุ่มรับสายถูกอย่างยากลำบาก แล้วกล่าวถามออกไป

“คุณ คุณเป็นพี่ชายของเชี่ยนเหวินใช่ไหม? เชี่ยน เชี่ยนเหวินเธอ เธอ….ฮือๆ!” ที่ปลายสายมีเสียงผู้หญิงร้องไห้ดังขึ้น

“อะไร? เชี่ยนเหวินเป็นอะไร? เธอใจเย็นๆ ก่อน ค่อยๆ พูด ค่อยๆ พูด” ทันใดนั้นเย่เทียนเฉินใจเต้นตูมตาม มีลางสังหรณ์ไม่ดี อาจจะเกิดอะไรขึ้นกับเชี่ยนเหวินก็เป็นได้ ในใจของเขาร้อนรนเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังพยามควบคุมอารมณ์ที่แปรปรวนให้สงบลงแล้วกล่าวถาม

“ฮือๆ….เชี่ยน เชี่ยนเหวิน เธอ เธอถูกคนลักพาตัวไปแล้ว ฉันอยู่หน้าประตูโรงเรียน….”

“โอเค เธออยู่ตรงนั้นอย่าขยับไปไหน ฉันจะไปเดี๋ยวนี้”

เมื่อได้ยินว่าเย่เชี่ยนเหวินผู้เป็นน้องถูกคนลักพาตัว เย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะเครียดขึ้นมา ในใจก็เกิดไอสังหารลอยฟุ้ง ตั้งแต่เล็กจนโตเขาเอ็นดูน้องสาวของเขาเป็นอย่างมาก ความรักของสองพี่น้องดีมาก การที่พี่ชายปกป้องน้องสาวก็เป็นหลักการที่ไม่สามารถแปรเปลี่ยนได้ อีกทั้งเมื่อได้มาเกิดใหม่ในโลกนี้แล้ว เย่เทียนเฉินไม่อนุญาตให้ใครหน้าไหนมาทำให้คนที่เขารักต้องแปดเปื้อนเด็ดขาด ต่อให้เป็นเทพเจ้า เขาก็จะฆ่าทิ้งให้หมด

ตอนที่เย่เทียนเฉินมาถึงประตูโรงเรียนมัธยมเมืองหลวง เขาพบกับเสี่ยวชิงซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของเย่เชี่ยนเหวิน เสี่ยวชิงร้องไห่กระซิกๆ รู้สึกหวาดหวั่นและสะพรึงกลัว นักเรียนหญิงคนหนึ่งไหนเลยจะเคยพบเหตุการณ์คนถูกลักพาตัว โดยเฉพาะคนที่ถูกลักพาตัวยังเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของตนเองอีกด้วย

“เสี่ยวชิง อย่าร้องเลย เล่าเรื่องก่อนหน้านี้ให้ฉันฟังสักรอบหนึ่งก่อน รายละเอียดอะไรก็ตามอย่าละเลยเด็ดขาด” เย่เทียนเฉินกล่าวปลอบใจเสี่ยวชิง

เสี่ยวชิงสะอึกสะอื้น สงบสติอารมณ์ลงอย่างยากลำบาก กล่าวพลางสะอื้นว่า “หลังเลิกเรียน หนูกับเชี่ยนเหวิน สองคนออกไปทานอาหารกลางวันนอกโรงเรียน หลังจากทานข้าวกลางวันเสร็จ กำลังเตรียมกลับมาทบทวนบทเรียนที่โรงเรียน เชี่ยนเหวินร่าเริงมาก บอกว่าจะตั้งใจสอบเข้ามหาวิทยาลัยเมืองหลวง เพื่อเป็นหน้าเป็นตาให้กับพ่อแม่และพี่ชาย ใครจะรู้ ใครจะรู้….พวกเราเพิ่งจะเดินมาถึงหน้าประตูโรงเรียน ก็มีรถตู้คันหนึ่งพุ่งเข้ามา มีชายหลายคนลงมาจากรถ ในมือถือมีดกันอยู่ทุกคน แล้วก็จับเชี่ยนเหวินขึ้นรถหนีไป….ฮือๆ”

“คนที่พาเชี่ยนเหวินไปพูดอะไรบ้างไหม?” เย่เทียนเฉินกล่าวถามพลางขมวดคิ้ว

“ไม่ค่ะ!” เสี่ยงชิงร้องไห้ ตอบพร้อมกันส่ายหน้า

เย่เทียนเฉินชะงักไปชั่วครู่ รู้สึกตึงมือมาก ไม่ทราบว่าใครจับน้องสาวของตนไป อีกทั้งพลังรับรู้ของตนเองในตอนนี้ก็มีอาณาเขตเพียงหนึ่งร้อยเมตร ถ้าหากว่าสามารถฟื้นฟูกลับสู่ขอบเขตพลังระดับพระเจ้าได้ ก็จะสามารถขยายขอบเขตการรับรู้ให้กว้างมากขึ้น ซึ่งบางทีอาจจะหาตัวเย่เชี่ยนเหวินผู้เป็นน้องพบก็เป็นได้

ตอนนี้ เสียงริงโทนโทรศัพท์มือถือของเย่เทียนเฉินก็ดังขึ้น พอดูก็พบว่าเป็นเบอร์โทรศัพท์ของเย่เชี่ยนเหวินผู้เป็นน้องที่โทรมา เย่เทียนเฉินชะงักไปชั่วครู่ ก่อนกดปุ่มรับสาย

“เย่เทียนเฉิน แกแม่งกล้ามาทำร้ายฉัน เบื่อชีวิตแล้วล่ะสิท่า น้องสาวแกอยู่ในมือฉัน จะอัดจะฆ่าจะข่มขืน ทั้งหมดขึ้นอยู่กับคำพูดของฉันแค่ประโยคเดียว”

“เฉินหาว ฉันขอเตือนแกว่าอย่าแตะต้องน้องสาวฉัน ไม่งั้นตาย” เย่เทียนเฉินกล่าวเสียงเข้ม

“ฮ่าๆๆๆ แกแม่งถึงตอนนี้ยังกล้ามาขู่ฉันอีก ฉันเฉินหาวไม่กลัวหรอกโว้ย ถ้าหากอยากช่วยน้องสาวแกล่ะก็ มาที่โรงงานร้างในชานเมืองเขตตะวันตก มาคนเดียวล่ะ ไม่งั้นแกจะไม่ได้เจอหน้าน้องสาวแกอีก” เฉินหาวกล่าวพลางหัวเราะอย่างยโสโอหัง

“ฉันต้องการคุยกับน้องสาวฉัน”

“ไม่มีปัญหา ยังไงแกก็ต้องตายอยู่แล้ว ให้แกฟังสักหน่อยก็แล้วกัน”

เฉินหาวเอาโทรศัพท์แนบกับใบหูของเย่เชี่ยนเหวิน ตอนนี้เย่เชี่ยนเหวินถูกมัดอยู่กับเก้าอี้ตัวหนึ่ง ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้

“พี่ พี่ อย่ามา อย่ามานะ….มันอันตราย!” เย่เชี่ยนเหวินไม่ได้คิดเลยว่าตนเองจะเป็นอันตรายอะไรหรือไม่ เธอแค่ไม่อยากให้เย่เทียนเฉินผู้เป็นพี่ต้องมาเสี่ยงอันตราย

“เชี่ยนเหวิน ไม่ต้องกลัว ไม่เป็นไรหรอก มีพี่อยู่ทั้งคน” เย่เทียนเฉินกล่าวอย่างจริงจัง

“พี่ พี่ไม่ต้องมา มันอันตรายเกินไป กรี๊ด…..”

“เชี่ยนเหวิน….เชี่ยนเหวิน….”

เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องของเย่เชี่ยนเหวิน ในกายของเย่เทียนเฉินมีไอสังหารพุ่งขึ้นมา ตั้งแต่ที่เขาเกิดใหม่ที่เมืองหลวง นี่เป็นครั้งแรกที่ความโกรธถูกจุดขึ้นในร่างกาย เกิดเป็นไอสังหาร ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีในชีวิตนี้ เย่เทียนเฉินทะนุถนอมเป็นอย่างมาก ใครที่กล้ามายุ่งกับครอบครัวของเขา เขาจะไม่ปราณีเด็ดขาด

“เย่เทียนเฉิน ฉันให้เวลาแกครึ่งชั่วโมง ถ้ามาไม่ทัน น้องสาวแกคงจะต้องกลายเป็นผู้หญิงของฉันแล้วล่ะ” เฉินหาวแย่งโทรศัพท์มา ก่อนจะกล่าวอย่างดุร้ายพร้อมหัวเราะอย่างเย็นชา

“ถ้าแกกล้าแตะต้องน้องสาวฉันแม้แต่ปลายนิ้วล่ะก็ แกตายแน่”

หลังจากวางโทรศัพท์ เย่เทียนเฉินใช้ขาเตะคนที่ขี่มอเตอร์ไซด์ข้างๆ ลงไป ก่อนจะขึ้นไปขี่มอเตอร์ไซด์ ขับพุ่งไปยังโรงงานร้างชานเมืองเขตตะวันตกอย่างรวดเร็ว ไอสังหารในร่างกายของเขาค่อยๆ สั่นสะเทือนขึ้นมาแล้ว

…………………………………………..

บทที่ 19 ไม่ถอนหมั้นแล้วเหรอ?
Ink Stone_Fantasy
พวกของฉีย่ากวงเดิมทีอยากจะข่มเย่เทียนเฉินที่ไม่เข้าใจเรื่องการจัดการเครือข่าย อยากจะบีบบังคับให้เขาทิ้งหุ้นห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ใครจะไปคิดว่าเย่เทียนเฉินพูดแค่เพียงประโยคเดียว ก็ทำให้ผู้ถือหุ้นที่เหลือหลายคนทำอะไรไม่ได้ ใครหน้าไหนแม่งก็ไม่เชื่อฟัง พอจะซื้อหุ้นแก แกก็ไล่ฉันอีก

การรับมือกับคนถ่อยที่ชอบใช้เล่ห์เหลี่ยมลับหลังอย่างฉีย่ากวง เย่เทียนเฉินยิ่งไม่ไว้หน้า เดิมทีการมาขอถอนหมั้นถึงที่บ้านของตระกูลฉี ก็ทำให้พ่อและแม่ได้รับความอัปยศ เย่เทียนเฉินย่อมไม่มีความรู้สึกที่ดีอะไรต่อตระกูลฉี ดังนั้นจึงยิ่งไม่เกรงใจฉีย่ากวง

“แก….เย่เทียนเฉิน แกคิดว่าตัวเองเป็นใครกันวะ กล้ามาพูดแบบนี้กับฉัน ระวังเถอะฉันจะทำให้ตระกูลเย่ของแกลืมตาอ้าปากไม่ได้ไปตลอดกาล” ฉีย่ากวงด่าออกมาด้วยความโกรธสุดขีด

เย่เทียนเฉินมองฉีย่ากวงครู่หนึ่ง ขี้เกียจเปลืองน้ำลายกับคนถ่อยเช่นนี้ หยิบบัตรทองใบหนึ่งออกมาจากอก แล้วโยนลงบนโต๊ะของห้องประชุมเสียงดังตุบ มองทุกคนที่กำลังนั่งอยู่เล็กน้อย กล่าวว่า “ในนี้มีห้าพันล้าน เพียงพอที่จะซื้อหุ้นสามสิบเปอร์เซ็นต์ หากพวกคุณเต็มใจที่จะเอาหุ้นทั้งหมดออกมาขาย ผมก็สามารถนำเงินออกมาได้อีก ผมหวังว่าทุกคนจะร่วมมือร่วมใจกันทำให้เครือไห่หวังพัฒนาขึ้นให้ดีกว่าเดิม ได้กำไรมากกว่าเดิม แต่ถ้าหากมีใครพยายามสร้างปัญหา ไม่ร่วมมือกับผมเย่เทียนเฉิน งั้นก็ต้องขอโทษด้วย ผมจะซื้อหุ้นของพวกคุณ แล้วไล่พวกคุณออกจากเครือไห่หวัง”

เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน ฉีย่ากวงและผู้ถือหุ้นคนอื่นอีกสี่คนที่เหลือ ทั้งหมดล้วนสองตาแดงก่ำ โกรธจนทนแทบไม่ไหว แต่ก็สิ้นไร้หนทาง พวกเขาทั้งห้าคนปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรให้เย่เทียนเฉินนำหุ้นห้าสิบเปอร์เซ็นต์ออกมาขาย ให้อยู่ในเครือไห่หวังต่อไม่ได้ ใครจะรู้ว่าการรับมือเจ้าหมอนี่จะยากกว่าที่พวกเขาคิดเอาไว้มาก ทำอะไรไม่อ้อมค้อม ปะทะเข้ามาโดยตรง คุณกล้ามาโวยวายผม ผมก็จะซื้อหุ้นของคุณ ไล่คุณออก เป็นวิธีการที่ตรงประเด็นจนทำให้คนทั้งหมดรู้สึกช็อก

“งั้นตระกูลฉีของฉันจะออกเงิน ซื้อหุ้นห้าสิบเปอร์เซ็นต์ในมือของนายเอง” ฉีย่ากวงมองเย่เทียนเฉินอย่างดุร้าย แล้วกล่าวออกมา

จริงๆ การซื้อหุ้นของทั้งสองฝ่าย ทั้งเย่เทียนเฉินและฉีย่ากวงต่างก็คิดถึงจุดนี้อยู่แล้ว พูดอย่างตรงไปตรงมา อิงตามแนวโน้มการพัฒนาของเครือไห่หวังในตอนนี้ การแบ่งผลประโยชน์หลังจากนี้ก็จะยิ่งมากขึ้นทุกๆ ปี หากเทขายหุ้นออกไปจนหมด ก็ไม่มีอะไรเหลือแล้ว เงินที่จะได้มากขึ้นก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับคุณอีก ไม่คุ้มเลยจริงๆ

“นายไม่คู่ควร ตระกูลฉีของนายก็ไม่คู่ควร ตรงนี้มีอยู่ห้าร้อยล้าน ซื้อหุ้นในมือของนายยี่สิบเปอร์เซ็นต์ จากนั้นฉันจะแบ่งให้สี่คนที่เหลือนี้ หวังว่าทุกคนจะเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน พัฒนาเครือไห่หวังให้ยิ่งใหญ่ขึ้น” เย่เทียนเทียนไม่ไว้หน้า ฉีย่ากวงแม้แต่น้อย แถมยังบอกว่าจะซื้อหุ้นของเขามาแบ่งให้ผู้ถือหุ้นทั้งสี่อีก

ตอนนี้เอง เมื่อเหอฉี่ซานและผู้ถือหุ้นรายย่อยคนอีกสี่คนได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน ก็เปลี่ยนจากประหลาดใจเป็นยินดี นึกไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะซื้อหุ้นยี่สิบเปอร์เซ็นต์ในมือของฉีย่ากวง และบอกว่าจะแบ่งให้พวกเขาทั้งสี่คน หากเป็นเช่นนี้จริงในมือของผู้ถือหุ้นรายย่อยอย่างพวกเขาก็จะมีหุ้นเพิ่มขึ้นอีกคนละห้าเปอร์เซ็นต์ ในหนึ่งปีได้มากขึ้นหลายพันล้าน ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ เหตุใดจะไม่ยินดีล่ะ

“ผม ผมว่าวิธีนี้เหมาะสม จะอย่างไรพี่ฉีก็มาที่เครือไห่หวังไม่บ่อยอยู่แล้ว”

“ใช่แล้ว ตระกูลฉียอดเยี่ยมในทุกๆ ด้าน เครือไห่หวังจะนับเป็นอะไรได้ อีกอย่างเงินห้าพันล้านซื้อหุ้นยี่สิบเปอร์เซ็นต์ ก็ไม่นับว่าขาดทุน”

“พี่ฉีลองพิจารณาดูหน่อยเถอะ ถึงอย่างไรการพัฒนาบริษัทก็มีความเสี่ยงอยู่ตลอดเวลา”

“ทำไมไม่ขายให้ประธานเย่ล่ะ?”

เมื่อผลประโยชน์มาอยู่ต่อหน้า ผู้ถือหุ้นรายย่อยทั้งสี่ที่ดูถูกเย่เทียนเฉิน และยืนอยู่ข้างฉีย่ากวงในตอนแรกก็อดใจต่อความยั่วยวนไม่ไหว ทุกคนต่างก็ย้ายไปอยู่ข้างเย่เทียนเฉิน ทำให้ฉีย่ากวงโกรธจนแทบกระอักเลือด

“พวกคุณ….”

“เอาล่ะ ฉันไม่อยากจะพูดอะไรไร้สาระแล้ว ถ้านายอยากทำงานในเครือไห่หวังต่อ งั้นก็อยู่ต่อ ถ้าไม่อยาก ฉันก็จะขอรับหุ้นของนาย”

แม้ว่าช่วงเวลาสิ้นโลกที่เย่เทียนเฉินอยู่จะเป็นยุคที่เต็มไปด้วยการรบราฆ่าฟัน ในฐานะที่เป็นผู้มีพลังพิเศษระดับพระเจ้า พบกับการต่อสู้เอาชีวิตอยู่ตลอดเวลา จึงไม่ค่อยรู้เรื่องการจัดการบริษัทและการพัฒนามากัก แต่ว่าเย่เทียนเฉินตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้เชื่อมั่นในหลักการข้อหนึ่ง นั่นก็คือในการต่อกรกับคนถ่อยที่วางแผนชั่วลับหลัง มีเพียงต้องแข็งกร้าวจนถึงที่สุดเท่านั้น ถึงจะสามารถทำลายแผนชั่วได้

“ดี ถือว่าเป็นทีของแก เรื่องนี้ก็ให้จบแค่ตรงนี้ ตอนนี้ตระกูลฉีของฉันถอนหมั้นกับนาย ต่อหน้าผู้ถือหุ้นทุกคนที่อยู่ ณ ทีนี้ ต่อจากนี้ตระกูลเย่ของแกอย่าได้มาเกี่ยวข้องกับตระกูลฉีของพวกเราอีก”

ฉีย่ากวงโกรธจนทนไม่ไหว แผนการของตนเองล้มเหลวแล้ว ดูท่าแล้วจะเป็นดั่งที่ฉีชางเซิ่งผู้เป็นพ่อได้กล่าวไว้ เย่เทียนเฉินตรงหน้านี้ ไม่เหมือนกับลูกล้างผลาญ ยิ่งไม่เหมือนกับเศษสวะ มีความฉลาดเฉียบแหลมและเด็ดขาดเป็นอย่างมาก ใช้คำพูดเรียบง่ายไม่กี่ประโยคก็ทำลายแผนการของพวกตนได้แลว หรือเขาจะแสร้งทำเป็นลูกล้างผลาญ แสร้งทำเป็นเศษสวะ มาตลอดยี่สิบปี เพื่อหลอกลวงคนทั้งเมืองหลวง?

ตอนนี้เมื่อเห็นว่าไม่มีทางบังคับให้เย่เทียนเฉินยอมละทิ้งหุ้นของเครือไห่หวังได้อีก ฉีย่ากวงเองก็ไม่ใช่คนโง่ ย่อมเข้าใจดีว่าเวลาน้ำขึ้นให้รีบตัก ตอนนี้ถ้าหากตนต้องการปะทะกับเย่เทียนเฉินให้ได้ คงไม่เกิดผลดีอะไรแน่ บวกกับผู้ถือหุ้นทั้งสี่ที่ถูกเย่เทียนเฉินหลอกล่อด้วยผลประโยชน์แล้ว ขอเพียงรักษาหุ้นในเครือไห่หวังไว้ให้ดี ก็จะสามารถค่อยๆ บังคับ เย่เทียนเฉินให้ออกไปได้

“เอาออกมาสิ สัญญาอยู่ไหน? ฉันเซ็นก็โอเคแล้ว” เย่เทียนเฉินเดิมทีก็ไม่ได้สนใจเรื่องจะถอนหรือไม่ถอนหมั้น กล่าวตามจริง กระทั่งหน้าตาของฉีหรูเสวี่ยก็ยังไม่เคยเห็นมาก่อน จะไปมีความรู้สึกชอบพอมาจากที่ไหน ทั้งหมดเป็นเรื่องที่ผู้อาวุโสตระกูลฉีกับผู้อาวุโสตระกูลเย่จัดการ

“รอเดี๋ยว น้องของฉันยังมาไม่ถึง เธอจะมาเซ็นหนังสือสัญญายกเลิกการหมั้นหมายกับนายด้วยตัวเอง และถือว่าเป็นการสิ้นสุดความสัมพันธ์โดยสิ้นเชิง” ฉีย่ากวงกล่าวด้วยรอยยิ้มเย็นชา

“จริงๆ ก็ไม่เป็นไรหรอก ฉันเซ็นก่อนก็ได้ ยังมีธุระด่วนต้องไปทำ หากว่าถึงตอนนั้นต้องเจอคนอัปลักษณ์ เดี๋ยวกินข้าวเที่ยงไม่ลงกันพอดี….”

“นายสิอัปลักษณ์!”

เย่เทียนเฉินเพิ่งจะพูดจบ เสียงผู้หญิงอันหวานเพราะพริ้งและเจือความขุ่นเคืองเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น ประตูบานใหญ่ของห้องประชุมถูกเปิดออก สาวงามคนหนึ่งซึ่งสวมชุดเดรสลายดอกไม้ สวมรองเท้าส้นสูงสีแดง ร่างกายสูงประมาณร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตร เดินเข้ามาในห้องประชุม จ้องมองยังเย่เทียนเฉินด้วยใบหน้าบึ้งตึง

เมื่อเห็นว่าสางงามคนนี้กำลังใช้ดวงตาอันสวยงามของเธอจ้องมายังตนเอง เย่เทียนเฉินอดชะงักไปชั่วครู่ไม่ได้ นี่คือผู้หญิงที่เจอตรงประตูเข้าตึกของเครือไห่หวังคนนั้นไม่ใช่เหรอ? หรือว่าเธอคือ….

“พี่ คนๆ นี้คือเย่เทียนเฉินงั้นเหรอคะ?” สาวงามเดินมายังเบื้องหน้าของเย่เทียนเฉิน แล้วกล่าวถามด้วยใบหน้าบูดบึ้ง

“ใช่แล้วน้อง เขาก็คือเย่เทียนเฉิน” ฉีย่ากวงกล่าวเสียงเย็น

น้องสาว? น้องสาวของฉีย่ากวงก็คือฉีหรูเสวี่ยไม่ใช่เหรอ? หรือว่าสาวงามที่เจอหน้ากันหน้าตึกใหญ่ของเครือไห่หวังก็คือฉีหรูเสวี่ยที่จะถอนหมั้นกับตน? ผู้หญิงที่ยืนอยู่เบื้องหน้า และกำลังใช้ตางดงามจ้องมาที่ตนในตอนนี้ก็คือฉีหรูเสวี่ย?

เย่เทียนเฉินไม่มีความประทับใจใดๆ ต่อฉีหรูเสวี่ยเลยแม้แต่น้อย เขาเป็นผู้แข็งแกร่งซึ่งมีพลังพิเศษระดับพระเจ้าที่มาเกิดใหม่ และยังมีความทรงจำของเย่เทียนเฉินในยุคนี้อยู่ด้วย แต่ไม่มีความทรงจำใดๆ เกี่ยวกับผู้หญิงตรงหน้านี้เลยแม้แต่น้อย นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?

คิดไปคิดมา สาเหตุคงมีอยู่แค่อย่างเดียว การหมั้นหมายของเย่เทียนเฉินกับฉีหรูเสวี่ยไม่ได้ผ่านพวกเขาทั้งสองคน พูดอีกอย่างก็คือ เย่เทียนเฉินกับฉีหรูเสวี่ยไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน เรื่องหมั้นหมายเป็นเรื่องที่ผู้อาวุโสของตระกูลฉีและตระกูลเย่สองคนตัดสินใจกันเอง นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ในหมู่ตระกูลใหญ่แห่งเมืองหลวง การแต่งงานของลูกชายและลูกสาวใช้เพื่อการร่วมมือ และเพื่อผูกสัมพันธ์ ไม่ได้มาจากการตัดสินใจของตัวพวกเขาเอง

“นายก็คือเย่เทียนเฉิน เป็นคนทุเรศขั้นสุดยอดจริงๆ ซะด้วย” ฉีหรูเสวี่ยเดินมาเบื้องหน้าเย่เทียนเฉิน กล่าวพลางมองเย่เทียนเฉินอย่างแง่งอน

“ฉันไม่มีเวลามาพูดมากกับเธอหรอกนะ อยากถอนหมั้นก็ถอน รีบมาเซ็นชื่อเถอะ”

เย่เทียนเฉินไม่ใช่คนที่เจอสาวงามแล้วทำอะไรไม่ถูก ในช่วงสิ้นโลก เขาซึ่งเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษระดับพระเจ้า มีสัมพันธ์กับผู้หญิงมาก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ อีกทั้งทุกคนก็ล้วนแต่เป็นดั่งหญิงชั้นยอด ดังนั้นถ้าตระกูลฉีต้องการถอนหมั้น ก็ถอนหมั้น ไม่มีอะไรต้องพูด

“นี่ เข้าใจไว้ด้วยนะ ตระกูลฉีของฉันถอนหมั้นกับตระกูลเย่ของนายต่างหาก ไม่ใช่ตระกูลเย่ของนายถอนหมั้นกับตระกูลฉีของฉัน เข้าใจชัดรึยัง?”

เมื่อฉีหรูเสวี่ยเห็นท่าทางหงุดหงิดรำคาญของเย่เทียนเฉิน ปรารถนาจะถอนหมั้นกับตนเต็มแก่ ก็รู้สึกไม่ชอบใจเล็กน้อย ตนก็เติบโตในต่างประเทศตั้งแต่เด็ก กลับประเทศไม่บ่อยนัก เรื่องที่ครอบครัวทำเรื่องหมั้นหมายให้เธอก็แค่เคยได้ยินมา ย่อมไม่เคยเจอหน้าเย่เทียนเฉินมาก่อนเลย

ตอนนี้ท่าทางที่เย่เทียนเฉินเหมือนอยากจะถอนหมั้นกับตนเองเต็มแก่ ได้ทำร้ายความภาคภูมิใจในตัวเองของ ฉีหรูเสวี่ย ตั้งแต่เล็กจนโตไม่ทราบว่ามีผู้ชายกี่คนที่ตามจีบตนเอง แม้ตอนที่อยู่ต่างประเทศ ชาวต่างชาติสูงศักดิ์ที่ตามจีบตนเองก็มีมากมาย ไม่เคยมีคนปรารถนาไม่อยากมีความสัมพันธ์กับตนอย่างเย่เทียนเฉินมาก่อน

“ไม่ว่าจะถอนหมั้นด้วยเหตุผลอะไร สรุปแล้วก็คือต้องถอนหมั้น เอาหนังสือสัญญาการถอนหมั้นออกมาสิ ฉันเซ็นชื่อก็พอแล้ว!” เย่เทียนเฉินไม่อยากจะพูดกับฉีหรูเสวี่ยให้มากความ แต่เดิมก็ไม่ได้รู้จักกันอยู่แล้ว

ฉีย่ากวงชะงักไปครู่หนึ่ง ไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์เท่าไหร่นัก น้องสาวของตนเป็นคนหยิ่งมาตั้งแต่ไหนแต่ไหร่ มีหน้าตางดงาม ยี่สิบปีมานี้ไม่มีชายคนไหนอยู่ในสายตาของเธอเลย ลูกหลานตระกุลผู้ดีมากมายต่างอยากพูดคุยกับ ฉีหรูเสวี่ย คนเหล่านั้นต่างก็เป็นพวกสุรุ่ยสุร่าย ถึงยังไงเขาก็ไม่เคยเห็นน้องสาวจะเต็มใจพูดคุยกับผู้ชายเช่นนี้ และยังเป็นชายที่ต้องการถอนหมั้นกับตัวเธออีกด้วย

“พี่ ห้ามเอาให้เขานะ ถ้าเจ้าหมอนี่ไม่พูดกับฉันให้ชัดเจน ฉันจะไม่เห็นด้วยกับการถอนหมั้นเด็ดขาด” เมื่อ ฉีหรูเสวี่ยเห็นว่าเย่เทียนเฉินไม่เห็นตนเองอยู่ในสายตา ก็เอ่ยปากขึ้นอย่างดุดันพลางทำปากจู๋

“หา? ไม่ถอนหมั้น?”

คำพูดของฉีหรูเสวี่ยทำให้พวกผู้ถือหุ้นที่อยู่ตรงนั้นต่างก็ตกตะลึงจนคางแทบจะหลุด ประมุขตระกูลฉีเป็นฝ่ายไปขอถอนหมั้นกับตระกูลเย่ถึงที่ และให้เงื่อนไขการชดเชยโดยไม่เสียดาย แต่ตอนนี้ฉีหรูเสวี่ยดันฉีกสัญญากับเย่เทียนเฉิน ไม่ยอมถอนหมั้นกับเขา นี่มันคืออะไรกัน

“ยังไงก็ต้องถอนหมั้น รีบเอาหนังสือสัญญาถอนหมั้นออกมาเร็ว เดี๋ยวฉันเซ็นชื่อเสร็จก็จะไปแล้ว ไม่อยากจะเกี่ยวข้องกับตระกูลฉีของเธอแม้แต่นิดเดียว อีกอย่างฉันยุ่งมาก ไม่มีเวลามาคุยไร้สาระกับเธอหรอก” เย่เทียนเฉินกล่าวอย่างรำคาญ

“ไม่ได้ นายกล้าดูถูกฉันคนนี้ การหมั้นนี้ฉันไม่ยกเลิกแล้ว” ฉีหรูเสียกล่าวออกมาในขณะที่ใบหน้ารูปไข่อันสวยงามบึ้งตึง ด้วยท่าทางอยากจะกระโดดไปกัดเย่เทียนเฉิน

“หรูเสวี่ย เรื่องนี้พ่อตัดสินใจถอนหมั้นกับตระกูลเย่ และเตรียมตัวให้เธอแต่งงานกับฉินเหิงจากตระกูลฉินแล้วนะ” ฉีย่ากวงรีบลากน้องสาวของตนมาพูดคุยอีกด้านหนึ่ง

“อะไร? ทำไมพ่อทำแบบนี้ ฉันไม่ใช่สินค้านะ มาเร่ขายไปตามใจได้ยังไง เรื่องการแต่งงานของฉัน ฉันจะเป็นคนตัดสินใจเอง สรุปแล้วการหมั้นครั้งนี้ฉันยังไม่ยกเลิก” ฉีหรูเสวี่ยขมวดคิ้วพลางกล่าวออกมา

………………………………………….

บทที่ 18 หนึ่งประโยคสะเทือนกลุ่มคนทราม
Ink Stone_Fantasy
“สหาย ฉันไม่ใช่คนนอก ฉันเป็นประธานกรรมการที่เพิ่งจะเข้าดำรงตำแหน่งของเครือหวังไห่” เย่เทียนเฉินกล่าวกับยามคนนั้นด้วยรอยยิ้ม

“ถ้านายเป็นประธานกรรมการคนใหม่ของเครือไห่หวัง งั้นฉันก็เป็นผู้ก่อตั้งเครือไห่หวังแล้ว”

ได้ยินเสียงของหญิงสาวที่หวานฉ่ำเสียงหนึ่ง เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะหันไปมอง พบเพียงสาวงามร่างสูงคนหนึ่ง ใส่แว่นกันแดดสีดำขนาดใหญ่อันหนึ่ง สวมกระโปรงลายดอกไม้สวยงาม โดยเฉพาะรองเท้าส้นสูงสีแดงคู่นั้นที่สวมอยู่บนเท้า มองแล้วให้ความรู้สึกถึงกลิ่นอายของผู้หญิงเต็มที่ มือซ้ายลากกระเป๋าเดินทางใบหนึ่ง มือขวากำลังกดโทรศัพท์อยู่

ตอนนี้เอง พอยามที่ยืนอยู่ตรงประตูเห็นสาวงามร่างสูงคนนี้ก็ชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มว่า “คุณหนูกลับมาแล้วเหรอครับ ให้ผมช่วยถือกระเป๋านะครับ เชิญด้านในเลยครับ”

สาวงามร่างสูงคนนั้นถอดแว่นกันแดดสีดำอันใหญ่ออก ดวงหน้ารูปไข่อันงดงาม ดวงตาโตสวย ปากเล็กๆ ทรงดอกซากุระที่มีสีแดงเปล่งปรั่ง รวมกับรูปร่างอันน่าภาคภูมิใจที่เต็มไปด้วยส่วนเว้าส่วนโค้ง นับได้ว่าเป็นหญิงงามคนหนึ่ง

“พี่ชายฉันมาถึงหรือยัง?” สาวงามร่างสูงมองเย่เทียนเฉินครู่หนึ่ง สายตาเจือความโกรธแค้นอยู่เล็กน้อย กล่าวกับยามที่ยืนเฝ้ายามอยู่

“นายน้อยยังมาไม่ถึงครับ แต่ก็น่าจะใกล้แล้ว คุณหนูเชิญด้านในเถอะครับ!”

“ยังไม่ถึงอีกเหรอ? พี่ฉันนี่จริงๆ เลย เอาแต่เร่งคนอื่น ตอนนี้ดันมาสายซะได้ นี่ฉันลงจากเครื่องก็รีบมาเลยนะ”

เย่เทียนเฉินเห็นสาวงามร่างสูงคนนั้นเดินเข้าไปในตึกใหญ่กับยาม ดูเวลาก็ใกล้จะถึงเวลาที่นัดกับตระกูลฉีไว้แล้ว เดิมทีเย่เทียนเฉินไม่ได้อยากมาที่เครือไห่หวัง ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้มีความสนใจจะเป็นประธานกรรมการอะไรนี่เลย แต่คำกล่าวของแม่ก็กล่าวได้ถูกต้อง ตอนนี้มีหุ้นของเครือไห่หวังอยู่ห้าสิบเปอร์เซ็นต์ต์ กลายเป็นประธานกรรมการที่แท้จริง หากว่าไม่ไปที่บริษัทเลย เกรงว่าบริษัทจะถูกผู้ไม่ประสงค์ดีฮุบไป ถึงอย่างไรหุ้นมากกว่าครึ่งของเครือไห่หวังเมื่อก่อนก็เคยเป็นของตระกูลฉี

ตอนที่เย่เทียนเฉินเดินเข้ามาในตึกใหญ่ของเครือไห่หวัง ก็พบว่าภายในตกแต่งได้อย่างหรูหราพอสมควร ทั้งยังสะอาดและเรียบร้อยเป็นพิเศษ ไม่มีของตกแต่งอะไรที่เกินความจำเป็นเลยแม้แต่น้อย เมื่อเห็นว่าเย่เทียนเฉินเดินเข้ามา หญิงสาวสวมชุดทำงานคนหนึ่งที่ยืนอยู่หน้าเคาท์เตอร์ก็เดินเข้ามาด้วยใบหน้ารับแขก กล่าวถามยิ้มๆ ว่า “คุณผู้ชาย มีอะไรให้ช่วยไหมคะ?”

“อ่า ผมนัดกับฉีย่ากวงไว้ครับ บอกว่าจะประชุมกันที่ห้องประชุมใหญ่ ไม่ทราบว่าอยู่ตรงไหนเหรอครับ?” เย่เทียนเฉินถามด้วยรอยยิ้ม

“เอ๊ะ? คุณนัดกับประธารกรรมการฉีไว้เหรอคะ?”

เห็นได้ชัดว่าสาวสวยพนักงานต้อนรับคนนี้ ไม่เชื่อคำพูดของเย่เทียนเฉิน เครือไห่หวังมีตระกูลฉีครอบครองหุ้นอยู่เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ต์ ตลอดมาก็มีฉีย่ากวงผู้เป็นหลานคนโตและนายน้อยแห่งตระกูลฉีคอยดูแลจัดการ เป็นประธานกรรมการของเครือไห่หวัง รวมกับชื่อเสียงของจระกูลฉีในเมืองหลวง มีน้อยคนที่จะกล้าเรียกชื่อฉีย่ากวงตรงๆ อีกทั้งชายตรงหน้าที่สวมชุดธรรมดาๆคนนี้ แม้ว่าจะมีความหล่ออยู่หลายส่วน ก็คงจะไม่สามารถนัดหมายกับฉีย่ากวงได้หรอก พอดูก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนที่อยู่ระดับเดียว ดังนั้นจึงทำให้ผู้คนไม่ค่อยเชื่อ

“ใช่แล้ว ผมคิดว่าตอนนี้หคงมีคนมาถึงหลายคนแล้ว ผมขึ้นไปก่อนนะ!”

ตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินเห็นป้ายตึกที่อยู่ในห้องโถง จึงทราบว่าที่ชั้นยี่สิบสองซึ่งเป็นชั้นบนสุด เป็นสถานที่ที่ผู้ถือหุ้นประชุมกัน จึงเดินไปที่ลิฟท์ สาวงามที่เป็นพนักงานต้อนรับคนนั้นได้สติกลับมา อยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ครึ่งวันก็พูดไม่ออก เนื่องจากเธอดูเหมือนจะมีความรู้สึกว่าสิ่งที่ผู้ชายธรรมดาๆ คนนี้พูดเป็นความจริง วันนี้ตอนเช้าผู้ถือหุ้นทั้งหมดของเครือไห่หวังก็ค่อยๆ ทยอยมาถึงกันแล้ว

เย่เทียนเฉินขึ้นลิฟท์ไปจนถึงชั้นยี่สิบสอง ในส่วนลึกสุกของชั้นยี่สิบสอง มีประตูขนาดใหญ่ที่แกะสลักรูปดอกไม้ขนาดใหญ่อยู่บานหนึ่ง คิดว่าที่นี่คงเป็นสถานที่ที่ผู้ถือหุ้นของเครือไห่หวังประชุมกัน

เมื่อเดินไปถึงประตูใหญ่ของห้องประชุม เย่เทียนเฉินยังไม่ได้ผลักประตูเข้าไป ก็ได้ยินเสียโวยวายจากข้างใน

“ประธานฉี ตระกูลฉีของคุณให้หุ้นห้าสิบเปอร์เซ็นต์แก่ตระกูลเย่ ให้เจ้าเศษสวะเย่เทียนเฉินมารับช่วงต่อ เตรียมตัวจะทิ้งแล้วใช่ไหม?”

“ใครก็รู้ว่าเย่เทียนเฉินเป็นตัวตลกของเมืองหลวง ตระกูลฉีของคุณคิดหาวิธีทางไม่น้อยเพื่อจะได้ถอนหมั้นกับตระกูลเย่ ขนาดหุ้นของเครือไห่หวังก็ยังให้ไปครึ่งหนึ่ง หรือว่าจะให้เศษสวะนั่นมาเป็นประธานกรรมการที่นี่จริงๆ?”

“ฉันไม่ยอมรับหรอกนะ ให้เศษสวะคนหนึ่งมาเป็นประธานกรรมการของพวกเรา ควบคุมเครือไห่หวัง ฆ่าฉันซะยังจะดีกว่า”

เมื่อฉีย่ากวงเห็นเหล่าผู้ถือหุ้นรายเล็กต่างก็โวยวายออกมา ก็อดไม่ได้ที่จะแสยะยิ้มอยู่ในใจ เขาต้องการให้คนกลุ่มนี้โวยวาย ถ้าคนกลุ่มนี้โวยวายขึ้นมา เขาถึงจะสามารถหาวิธีร่วมมือกับคนเหล่านี้ เพื่อทำให้เย่เทียนเฉินอยู่ที่นี่ไม่ได้และยอมถอยออกไปเอง ถึงตอนนั้นการควบคุมเครือไห่หวังก็จะตกอยู่ในมือของตนเอง

“ผู้ถือหุ้นทุกท่าน เรื่องนี้ผมก็เพิ่งทราบเช่นกัน เป็นสิ่งที่พ่อของผมตัดสินใจกระทันหัน ผมทำงานร่วมกับทุกท่านมาหลายปี ย่อมไม่อยากจะทำเช่นนี้แน่นอน พวกคุณก็ทราบว่าเจ้าเศษสวะเย่เทียนเฉินเป็นตัวตลกของเมืองหลวง หากให้คนแบบนี้มาเป็นประธานกรรมการของพวกเรา กระทั่งพวกเราก็จะถูกคนอื่นหัวเราะเยาะไปด้วยไม่ใช่เหรอ?” ฉีย่ากวงแสร้งกล่าวด้วยท่าทางจนใจเป็นอย่างยิ่ง

“ใช่แล้ว คุณบอกมาเถอะว่าจะทำยังไง?”

“ใช่ พวกเราจะทำตามคุณ”

“สรุปก็คือจะให้เศษสวะมาเป็นประธาน ของพวกเราไม่ได้เด็ดขาด”

เมื่อเห็นเห็นว่าผู้ถือหุ้นรายย่อยเหล่านี้ติดเบ็ดแล้ว มุมปากของฉีย่ากวงพลันปรากฏรอยยิ้มชั่วร้าย เมื่อคืนนี้เขาพิจารณาดีแล้ว เพื่อที่จะยกเลิกการหมั้นหมายกับตระกูลเย่ พ่อจำเป็นต้องโอนหุ้นของเครือไห่หวังออกไปห้าสิบเปอร์เซ็นต์ต์ เมื่อก่อนตระกูลฉีมีหุ้นอยู่เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ต์ โอนให้เย่เทียนเฉินไปห้าสิบเปอร์เซ็นต์ต์ ทำให้เหลือหุ้นอยู่ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ต์ ส่วนที่เหลืออีกสามสิบเปอร์เซ็นต์ต์ก็กระจายอยู่ในมือของผู้ถือหุ้นรายย่อยเหล่านี้ หากต้องการต่อกรกับเย่เทียนเฉิน เพื่อบีบบังคับให้เขาออกไป ก็จำเป็นต้องร่วมมือกับผู้ถือหุ้นรายย่อยเหล่านี้ ใช้หุ้นห้าสิบเปอร์เซ็นต์สู้กับหุ้นห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ถึงจะมีอำนาจในการพูดที่เด็ดขาด ดังนั้นหลังจากที่ฉีย่ากวงมาถึงที่นี่แล้ว ก็เริ่มยุยงให้ผู้ถือหุ้นรายย่อยเหล่านี้ต่อต้านเย่เทียนเฉิน

“ตอนนี้ในมือของเจ้าเศษสวะนั่นมีหุ้นอยู่ห้าสิบเปอร์เซ็นต์ต์ ตระกูลฉีของผมมียี่สิบเปอร์เซ็นต์ ในมือของพวกคุณมีอีกสามสิบเปอร์เซ็นต์ ขอแค่พวกเราร่วมมือกันขัดขวางเจ้าเศษสวะนั่น เมื่อมันรู้ว่าทำอะไรไม่ได้ก็ต้องถอนตัวไปเอง ถึงตอนนั้นตระกูลฉีของผมจะสามารถซื้อหุ้นห้าสิบเปอร์เซ็นต์ของเจ้าเศษสวะนั่นกลับมาได้อีกครั้ง ผมสัญญาว่าจะนำซองแดงซองใหญ่ๆ มาให้ทุกท่านแน่นอน”

“ดี เอาแบบนี้แล้วกัน”

“ผมเอาตามที่คุณว่า ด้วยอิทธิพลของตระกูลฉี เศษสวะตระกูลเย่ย่อมไม่ใช่คู่มือแน่”

“เจ้าเศษสวะนั้นอย่างไรเสียก็ไม่เข้าใจเรื่องการจัดการเครือข่ายอยู่แล้ว น้องฉีต่างหากล่ะที่ยอดเยี่ยมที่สุด”

เหล่าคนที่ดูถูกเย่เทียนเฉิน เหล่าคนที่ต้องการประจบเอาใจตระกูลฉี ต่างก็พูดถึงเรื่องที่จะทำกับเย่เทียนเฉิน ส่วนฉีเย่กวงก็ดีใจเป็นที่สุด กล่าวด้วยรอยยิ้มดุร้ายในใจว่า ‘เย่เทียนเฉิน แกมันก็แค่เศษสวะคนหนึ่ง พ่อให้ฉันระวังแกไว้ ฉันจะดูสิว่าครั้งนี้แกจะทำยังไง ยังไม่ส่งหุ้นคืนมาให้ฉันดีๆ อีก’

เย่เทียนเฉินผลักประตูห้องประชุมเปิดดังแอ๊ด เดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า หลายคนมองเย่เทียนเฉินอย่างไม่พอใจ ตรงจุดนี้เย่เทียนเฉินไม่แปลกใจ เนื่องจากเขาได้ยินคำยุยงที่ฉีย่ากวงพูดกับคนพวกนี้จากข้างนอกแล้ว

“โอว ประธาน เย่มาแล้วนี่เอง ประธานเย่รีบมานั่งเร็ว คุณทำให้ผู้ถือหุ้นคนอื่นๆ รอนานแล้ว!” ฉีย่ากวงจงใจกล่าวเสียงดังด้วยรอยยิ้ม

“เฮอะ ก็แค่เด็กไม่เอาไหน ตอนที่ฉันสู้รบอยู่ในโลกธุรกิจ แกยังไม่เกิดด้วยซ้ำ”

“ประชุมวันแรกก็อวดเบ่งมาสาย ไม่ดูฐานะตัวเองบ้างเลย”

“ตระกูลเย่ตกต่ำไปนานแล้ว แน่นอนว่าต้องหาโอกาสแบล็คเมล์ตระกูลฉี น่าสงสารจัง”

เย่เทียนเฉินแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของคนพวกนี้ เขารู้ว่าคนเหล่านี้ได้รับการปลุกระดมมาจากฉีย่ากวง ขอเพียงจัดการเจ้าหมอนั่นอย่างยุติธรรมได้ คนอื่นๆ ก็ก่อเรื่องอะไรไม่ได้อีก แม้ว่าเขาจะไม่อยากเป็นประธานกรรมการเครือไห่หวัง แต่ก็ไม่ยอมให้ตระกูลฉีมากลั่นแกล้งตามใจ

“ทุกคนนั่งลงเถอะ ตอนนี้เริ่มประชุมได้แล้ว” เย่เทียนเฉินนั่งลงที่ตำแหน่งของประธานกรรมการ มองทุกคนที่นั่งอยู่พลางกล่าวออกมายิ้มๆ

“ไม่ประชุมแล้ว วันนี้ฉันไม่มีอารมณ์ พวกคุณค่อยๆ เล่นสนุกกันไปเถอะ ผมไปล่ะ!” ตอนนี้ ชายวัยกลางคนคนหนึ่งอายุราวสี่สิบกว่าปีลุกขึ้นมาพูด

ชายวัยกลางคนคนนี้เป็นคนที่ฉีย่ากวงมอบหมายให้สร้างความลำบากใจให้แก่เย่เทียนเฉินโดยเฉพาะ เพื่อทำให้เขานั่งไม่ติด

“เหอฉี่ซาน คุณไม่อยากประชุมก็สามารถออกไปได้ ส่วนหุ้นหกเปอร์เซ็นต์ของคุณ ผมจะหาคนมาซื้อเอง จากนี้ไปก็ไม่ต้องมาแล้ว” เย่เทียนเฉินดื่มชาไปอึกหนึ่ง แล้วกล่าวออกมาอย่างไม่แยแส

“แก….แกอาศัยสิทธิ์อะไรมาซื้อหุ้นหกเปอร์เซ็นต์ของฉัน แกไม่มีสิทธิ์…. เหอฉี่ซานอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ” คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะเด็ดขาดเช่นนี้ ต้องการไล่ตนออกจากเครือหวังไห่ คนอื่นๆ ต่างตกใจจนทำอะไรไม่ถูก

“ผมเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ผมมีเงินส่วนนี้ ในเมื่อคุณไม่พอใจผมที่เป็นประธานกรรมการ ผมก็ได้แต่ซื้อหุ้นของคุณ แล้วไล่คุณออกจากเครือไห่หวัง ตอนนี้คุณออกไปได้แล้ว หรือหากไม่โอเคล่ะก็ คุณควักเงินออกมาซื้อหุ้นห้าสิบเปอร์เซ็นต์ของผม ผมจะยกตำแหน่งประธานกรรมการให้คุณ เป็นไง?” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยใบหน้าไร้อารมณ์

“แก….”

เหอฉี่ซานโกรธเสียจนเดี๋ยวหน้าแดงเดี๋ยวหน้าขาว เดิมทีคิดว่าหากตนเองทำเช่นนี้จะสามารถทำให้เย่เทียนเฉินกลืนไม่เข้าคายไม่ออก และรับรู้ถึงความร้ายกาจของสถานที่นี้ ที่ไหนได้แค่เย่เทียนเฉินพูดขึ้น ก็ทำให้ตนเองไม่รู้จะทำอย่างไร ดูท่าแล้วตัวตลกแห่งเมืองหลวงจะไม่ง่ายเหมือนที่ทุกคนคิดเสียแล้ว

สุดท้ายเหอฉี่ซานก็ฝืนใจนั่งลงตรงตำแหน่งของตัวเองด้วยใบหน้าแดงก่ำ อย่างไรเสียหุ้นหกเปอร์เซ็นต์ของเครือไห่หวัง ในหนึ่งปีก็แบ่งออกมาก็เกือบร้อยล้าน ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ ไม่มีใครกล้าละทิ้งไปง่ายๆ

ฉีย่ากวงเองก็โมโหจนกัดฟันกรอด ถลึงมองเหอฉี่ซานอย่างดุร้าย ในใจก็ด่าเจ้าขยะไร้ประโยชน์นี่ ไม่เพียงแต่ไม่สามารถบีบบังคับเย่เทียนเฉินได้ แถมยังทำให้ตัวเองต้องหน้าเสียอีก ทำให้ผู้ถือหุ้นอีกสามคนไม่กล้าพูดอะไรอีก

“ยังมีใครจะพูดอีกไหม? ไม่มีแล้วสินะ งั้นผมขอพูดอะไรสักหน่อย….”

เย่เทียนเฉินกล่าวพลางยืนขึ้น มองผู้ถือหุ้นห้ารายในห้อง จากนั้นจึงพูดต่อ “พูดตามจริง ผมไม่ค่อยเข้าในเรื่องการพัฒนาเครือข่ายเท่าไรนัก แต่ผมเชื่อว่าหากมีทุกคนคอยช่วยเหลือ เครือไห่หวังจะต้องรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนพยายามด้วยกัน ได้เงินด้วยกัน มีอะไรไม่ดี? ถ้าหากว่ามีใครคิดจะเล่นแง่ ขัดแข้งขัดขาเย่เทียนเฉินคนนี้ ผมก็ทำได้แค่ให้เขาออกไป”

“เมื่อสักครู่นี้ประธานเย่ให้พี่เหอรับซื้อหุ้นห้าสิบเปอร์เซ็นต์ของคุณ พี่เหอไม่ได้สนใจ แต่ตระกูลฉีของผมสนใจซื้อหุ้นห้าสิบเปอร์เซ็นต์กลับมา” ฉีย่ากวงลุกขึ้นพร้อมกับยิ่งชั่วร้าย จ้องมองเย่เทียนเฉินพลางกล่าวออกมา

“ไสหัวไป!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ

คนถ่อยอย่างฉีย่ากวง เย่เทียนเฉินพูดเพียงแค่คำเดียวก็ทำให้ฉีย่ากวงโกรธจนเกือบจะลุกพรวดขึ้นมาแล้ว แต่ไหนแต่ไหนไม่เคยมีใครกล้ามาพูดคำนี้กับเขามาก่อน

………………………………………………

บทที่ 17 กล้าแตะต้องน้องสาวฉัน? หาที่ตาย!
Ink Stone_Fantasy
เย่เทียนเฉินกระตุ้นพลังพิเศษภายในร่างกายจนถึงตีสี่กว่าถึงจะค่อยๆ หลับไป เหนื่อยจนเหงื่อชุ่มศีรษะ พบว่าร่างกายนี้บรรจุพลังได้น้อยมากอย่างที่คิดเอาไว้ รวมกับแก่นพลังในสมองที่ไม่มีปฏิกิริยาอะไร จะฝืนให้พลังอันเบาบางที่อยู่ภายในร่างกายของตนเองไปกระแทกก็ทำไม่ได้ มีเพียงการต่อสู้เป็นตายเท่านั้นถึงจะสามารถทำให้ตนเองแข็งแกร่ง ก้าวทีละก้าวไปยังโลกของผู้มีพลังพิเศษระดับพระเจ้าได้ ซึ่งเรื่องนี้ต้องค่อยเป็นค่อยไป

เสียงเคาะประตูตึงๆๆ ดังขึ้น เย่เทียนเฉินหนวกหูจนทนไม่ไหว เมื่อคืนนี้ทำอะไรมากมาย ทั้งยังบ่มเพาะพลังจนถึงตีสี่ หลับไปอย่างยากลำบาก ยังไม่ทันได้หลับสนิทก็ได้ยินเสียงเคาะประตู รู้สึกหดหู่อยู่บ้าง

“พี่ พี่ ตื่นได้แล้ว ตื่นได้แล้ว!” เย่เชี่ยนเหวินใช้แรงเคาะประตูไปพลาง ตะโกนไปพลาง

“หรูเสวี่ย จะให้พี่นอนตื่นสายหน่อยไม่ได้เหรอ? ไม่ต้องเรียกพี่ไปกินข้าวแล้ว พี่จะนอนจนกว่าจะตื่นเอง” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางหาวหวอดๆ

“นี่ พี่ พี่ไม่รักษาคำพูดเลย ไหนบอกว่าวันนี้จะส่งหนูไปเรียน จะกลับคำเหรอ?” เย่เชี่ยนเหวินยืนทำปากจู๋อย่างน่ารักอยู่ตรงประตู อยากจะกัดพี่ชายของตัวเองสักหลายครั้ง

“อะไร? พี่จะไปส่งเธอเรียนงั้นเหรอ? ไม่ใช่มั้ง เหมือนพี่จะไม่เคยตกลงกับเธอเรื่องนี้นะ?”

“หึ ไม่รักษาคำพูดจะต้องกลายเป็นลูกหมาน้อย คนไม่รักษาคำพูด หนูจะไปฟ้องแม่”

พอได้ยินเย่เชี่ยนเหวินผู้เป็นน้องสาวพูดอย่างโมโห แล้ววิ่งตึงตังลงไปจากชั้นสอง เย่เทียนเฉินหาวครั้งหนึ่งก่อนที่จะลุกจากเตียง ตั้งแต่เล็กจนโต ไม่ว่าเมื่อไร เย่เทียนเฉินก็เอ็นดูน้องสาวคนนี้มาก เรื่องที่รับปากเธเอาไว้ไปแล้วก็ย่อมต้องทำให้ได้

หลังจากที่ทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว เย่เทียนเฉินพาเย่เชี่ยนเหวินผู้เป็นน้องสาวนั่งรถเมล์ไปยังโรงเรียนมัธยมของเมืองหลวง ไม่ใช่ว่าเย่เทียนเฉินซื้อรถไม่ได้ แม้ว่าตระกูลเย่จะตกต่ำลง ก็ใช่ว่าจะใช้ชีวิตในระดับชนชั้นกลางไม่ได้ เพียงแต่เย่หงสองสามีภรรยาคิดว่าหากให้ลูกๆ พบกับรสชาติต่างๆ ของชีวิตตั้งแต่เด็กๆ จะทำให้กลายเป็นคนเข้มแข็ง และมีประสบการณ์ชีวิตมากขึ้นได้

“พี่ หนูได้ยินพ่อบอกว่าตอนนี้พี่เป็นประธานกรรมการของเครือไห่หวังแล้ว จากนี้ให้หนูไปเป็นเลขา ของพี่ดีไหม?” เย่เชี่ยนเหวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“เรื่องนี้เหรอ…น่าจะไม่ได้นะ” เย่เทียนเฉินไตร่ตรองครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวออกมา

“ทำไมล่ะ?” เย่เชี่ยนเหวินกล่าวถามด้วยใบหน้าบึ้งตึง

“ผู้ชายหาเลขา ก็คือหากิ๊ก หลังจากที่พี่กลายเป็นประธานกรรมการแล้ว ก็ต้องหาเลขาสาวสวยสักแปดคนสิบคน ถึงตอนนั้นหากมีข่าวลืออื้อฉาวอะไรออกมา เธอจะไม่กลับไปฟ้องที่บ้านทันทีเลยเหรอ? ดังนั้นเธอจะเข้าบริษัทของพี่ไม่ได้” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางหัวเราะฮ่าๆ

“หึ พี่นี่แย่จริง กลับบ้านไปตอนเย็นหนูจะฟ้องพ่อกับแม่” เย่เชี่ยนเหวินหัวเราะชั่วร้ายข่มขู่เย่เทียนเฉิน

“ฮี่ๆ อยากฟ้องแต่เธอไม่มีหลักฐาน ให้ตายพี่ก็ไม่ยอมรับหรอก”

“พี่…พี่นี่แย่มาก หนูไม่สนใจพี่แล้ว!”

ระหว่างทาง เย่เทียนเฉินกับเย่เชี่ยนเหวินต่างพูดคุยหยอกล้อกัน ความรักของพี่ชายน้องสาวไม่เลวเลย เย่เทียนเฉินไม่อยากให้น้องสาวต้องทุกข์ใจ เรียนหนังสืออย่างสบายอกสบายใจ แลได้เรียนต่ออย่างมีความสุข จากนั้นก็หางานดีๆ ทำ แต่งงานมีลูก ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขก้พอแล้ว หากว่ามีใครกล้ามาทำลายความสุขของน้องสาวของตน เย่เทียนเฉินจะไม่ปราณีแน่

“พี่ งั้นหนูเข้าไปก่อนนะ” พอเย่เชี่ยนเหวินเดินไปถึงหน้าประตูโรงเรียนมัธยมของเมืองหลวง ก็หันมาพูดกับเย่เทียนเฉินพลางโบกมือให้

“อื้ม ไปเถอะ ตอนเย็นกลับบ้านให้ตรงเวลาด้วยนะ” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ไม่ต้องให้พี่มาบอกหรอกน่า!”

เย่เชี่ยนเหวินทำหน้าตาตลกใส่เย่เทียนเฉิน แล้วเดินเข้าประตูโรงเรียนไป ใครจะทราบว่า ในตอนที่เย่เทียนเฉินกำลังจะหมุนตัวเดินจากไป รถ BMW คันหนึ่งก็มาจอดขวางหน้าเย่เชี่ยนเหวิน มีชายสวมสูทแบรนด์เนมคนหนึ่ง อายุประมาณยี่สิบปีลงมาจากรถ สิ่งที่ทำให้คนประทับใจเป็นพิเศษก็คือ มุมปากด้านขวาของชายคนนั้นมีไฝอยู่เม็ดหนึ่ง หลังจากที่ชายคนนั้นลงมาจากรถแล้ว ก็มีชายฉกรรจ์อีกสองคนลงมาจากรถ มองคนบนถนนอย่างดุร้าย ทำให้นักเรียนทีเข้าไปข้างในโรงเรียนตกใจกลัวจนสั่นไปทั้งตัว

เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว เดินไปหาเย่เชี่ยนเหวินผู้เป็นน้องสาว ตอนนี้เองชายคนนั้นก็กล่าวกับเย่เชี่ยนเหวินว่า “บังเอิญจริงๆ เชี่ยนเหวิน ฉันจะให้โอกาสเธอเป็นครั้งสุดท้าย มาเป็นแฟนของเฉินหาวคนนี้ซะเถอะ ฉันรับรองเลยว่าตระกูลเย่ของเธอจะไม่มีใครกล้ามารังควานอีก”

“ไสหัวไปซะ ฉันพูดไปหลายครั้งแล้วนะ ฉันไม่ชอบนาย คนอย่างนายไม่มีค่าพอให้ฉันชอบหรอก” เย่เชี่ยนเหวินทำหน้าดุแล้วกล่าวออกมาอย่างดุดัน

“หือ? แม่งเอ้ย เย่เชี่ยนเหวิน ฉันให้เกียรติแต่เธอไม่เอา ใครๆ ก็รู้ว่าตระกูลเย่ของเธอตกต่ำมาตั้งนานแล้ว พี่ชายของเธอเป็นที่หัวเราะเยาะของคนทั้งเมืองหลวง ฉันขอเตือนให้เธอมาเป็นแฟนฉันซะดีๆ ไม่งั้นตระกูลเย่ของเธอจะลืมตาอ้าปากไม่ได้ไปตลอดกาล!” พอเฉินหาวเห็นว่าเย่เชี่ยนเหวินไม่ไว้หน้าตนเองเช่นนี้ ก็กล่าวออกมาด้วยความโกรธสุดขีด

“นาย….ห้ามมาว่าพี่ชายฉันแบบนั้นนะ” เย่เชี่ยนเหวินโกรธจนกำหมัดแน่น อยากจะพุ่งเข้าไปต่อยเฉินหาวสักหลายหมัด ตระกูลเย่ตกต่ำลงแล้วจริงๆ แต่เธอก็ไม่ยอมให้ใครมาพูดถึงพี่ชายเธอแบบนั้น

“ทำไม? พี่ชายเธอมันก็เป็นแค่เศษสวะ เป็นตัวตลก ยังไม่ยอมให้คนว่าอีกเหรอ? หรืออยากจะลงมือกับฉัน? วันนี้ฉันจะบังคับเธอด้วยกำลังเอง พาผู้หญิงคนนี้ขึ้นรถซะ” เฉินหาวกล่าวอย่างยโส

ชายฉกรรจ์ที่อยู่ทางซ้ายมือของเฉินหาว ยื่นมือออกไปหวังจะจับเย่เชี่ยนเหวินมา

เปรี้ยง!

ชายฉกรรจ์ผู้นั้นเพิ่งจะยื่นมือออกไป ร่างก็ปลิวกระเด็นออกไปก่อนจะตกลงกระแทกพื้นอย่างแรง เย่เชี่ยนเหวินตกตะลึง หมุนตัวไปเห็นเป็นเย่เทียนเฉินพี่ชายของตน ใบหน้ารูปไข่ที่ดุดันเอาพลันปรากฏรอยยิ้มหวานออกมา

“แก…แกแม่งเป็นใครวะ? กล้ามายุ่งเรื่องของฉันงั้นเหรอ?” เฉินหาวมองเย่เทียนเฉินอย่างตกตะลึงครู่หนึ่ง แล้วกล่าวถามไปอย่างหยิ่งผยอง

“ต่อไปอย่างมายุ่งกับน้องสาวฉันอีก ไม่งั้นขาสุนัขของแกได้หักแน่” เย่เทียนเฉินกล่าวออกมาเสียงเรียบ

“เฮอะ แกแม่งก็คือเย่เทียนเฉินนี่เอง ไอ้คนไม่เอาไหนของตระกูลเย่ ความอัปยศของตระกูลเย่ทั้งตระกูล….”

“อ๊าก”

คำกล่าวเยาะเย้ยของเฉินหาวยังไม่ทันจะจบ ก็ถูกหมัดของเย่เทียนเฉินต่อยปลิวออกไป ก่อนจะร่วงลงบนพื้น กินดินเข้าไปคำหนึ่ง ร้องโอดครวญราวกับหมูถูกเชือด คำรามว่า “ฆ่ามัน ฆ่าไอ้เวรนี่ซะ”

ชายฉกรรจ์อีกคนหนึ่งควักมีดออกมาจากข้างหลังทันที ก่อนจะฟันลงไปที่ศีรษะของเย่เทียนเฉิน ผู้คนและนักเรียนบริเวณรอบๆ ต่างก็ตกใจ รีบถอยหลังออกไป เย่เทียนเฉินใช้แขนข้างหนึ่งบังเย่เชี่ยนเหวินไว้ด้านหลัง เผชิญหน้าเพียงลำพัง

มีดฟันลงมา คนทั้งหมดต่างสูดหายใจเฮือกหนึ่ง หากว่าถูกฟันโดน ศีรษะที่แข็งเหมือนเหล็กคงถูกผ่าออกเป็นสองส่วนแน่ๆ แต่เย่เทียนเฉินกลับใช้นิ้วกลางและนิ้วชี้ข้างขวาคีบคมมีดเอาไว้ พวกคนที่มามุงดูตกใจจนปากอ้าตาค้าง ใครเคยเห็นคนถูกมีดฟันแล้วไม่หลบแต่กลับพุ่งเข้าหาบ้าง? ที่ไม่เคยพบเคยเห็นมากกว่าก็คือยังใช้นิ้วกลางกับนิ้วชี้คีบไว้ได้อีก หากฟันลงมาได้ล่ะก็ เกรงว่าฝ่ามือทั้งหมดคงถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนแน่

แต่สิ่งที่เกินความคาดหมายของทุกคนก็คือ นิ้วกลางและนิ้วชี้ข้างขวาของเย่เทียนเฉินสามารถคีบคมมีดที่ชายฉกรรจ์คนนั้นฟันลงมาเอาไว้ได้ ราวกับคีบด้วยคีมเหล็ก ไม่ว่าชายฉกรรจ์คนนั้นจะออกแรงสักแค่ไหน กระทั่งใช้สองมือจับด้ามมีดแล้วกดลงไป ก็ไม่สามารถทำให้คมมีดขยับลงได้แม้แต่นิ้วเดียว

ในสายตาของคนหลายคน เย่เทียนเฉินกำลังใช้แรงน้อยเอาชนะแรงมาก ใช้แรงของนิ้วมือทั้งสองของตนหยุดพลังทั้งหมดของชายฉกรรจ์ผู้นั้น แต่กลับไม่รู้ว่าเย่เทียนเฉินนั้นกำลังทดสอบพลังพิเศษของตนเองอยู่ ตอนที่เขาพุ่งเข้าไปก็ขับเคลื่อนพลังภายในร่างไปรวมไว้ที่นิ้วกลางและนิ้วชี้ขวา ตอนที่ชายฉกรรจ์คนนั้นฟันมีดลงมา ก็ใช้พลังพิเศษหนีบคมมีดเอาไว้ ทำให้ชายฉกรรจ์ไม่อาจฟันมีดลงไปต่อได้ นี่เป็นวิธีการที่อันตรายในการกระตุ้นพลังพิเศษวิธีหนึ่ง

กร่อก!

เสียงหนึ่งดังขึ้นเบาๆ เย่เทียนเฉินใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้ข้างขวาหักมีดในมือของชายฉกรรจ์ผู้นั้น คนที่อยู่บริเวณนั้นตกใจเสียจนคางแทบหลุด

เย่เทียนเฉินใช้เท้าถีบชายฉกรรจ์คนนั้นกระเด็นออกไป ทิ้งมีดที่นิ้วชี้กับนิ้วกลางคีบจนหักไป มุมปากประดับด้วยรอยยิ้มพลางเดินไปหายังเฉินหาว

เฉินหาวย่อมเห็นภาพอันเหี้ยมหาญของเย่เทียนเฉิน ตกใจจนร่างกายเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อตั้งแต่แรก จะอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินผู้น่าขบขันของทั้งเมืองหลวงกลับเก่งถึงขนาดนี้

“แก…แกคิดจะทำอะไร พ่อฉันคือเฉินหู่ มี…..”

เปรี้ยงๆๆ! เย่เทียนเฉินยกขากระทืบลงไปบนร่างของเฉินหาวสามครั้ง จนเฉินหาวหมดสติไป ไม่ทราบว่าซี่โครงหักไปกี่ซี่ ผู้คนบริเวณที่ดูอยู่ต่างก็ตกตะลึงไม่หยุด

“กล้ามาวุ่นวายกับน้องสาวฉัน ต่อให้พ่อแกคือหลี่กัง[1]ก็ไม่รอด” เย่เทียนเฉินกล่าวเสียงเย็น

นี่เป็นประโยคฮิตประโยคแรกในเมืองที่เย่เทียนเฉินเรียนรู้หลังจากหลับชาติมาเกิดใหม่ โดยที่เย่เชี่ยนเหวินเป็นคนสอน ตอนนี้นับว่าได้ใช้ประโยชน์แล้ว

“มัวแต่ตะลึงอะไรอยู่ รีบเข้าไปเรียนสิ!” เย่เทียนเฉินเดินไปถึงด้านหน้าเย่เชี่ยนเหวินผู้เป็นน้องที่ยังคงอึ้งอยู่ แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“พี่ พี่สุดยอดจริงๆ” เย่เชี่ยนเหวินได้สติกลับมา คิดไม่ถึงเลยว่าพี่ชายของตนจะยอดเยี่ยมเช่นนี้ จึงเอ่ยอย่างดีใจ

“ฮ่าๆ รีบเข้าไปเถอะ จะสายแล้วนะ!” เย่เทียนเฉินลูบหัวเย่เชี่ยนเหวินผู้เป็นน้องอย่างรักใคร่

เย่เชี่ยนเหวินหันกายเดินไปในโรงเรียน จู่ๆ ก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นได้จึงหันมากล่าวว่า “พี่ พ่อของเฉินหาวคือเฉินหู่ เป็นพวกสารเลวของเขตนี้ ฉายาสุนัขงานศพ ได้ยินว่ามีอิทธิพลมาก….”

“เข้าไปเถอะ ไม่ต้องกังวล พี่จัดการได้” เย่เทียนเฉิยกล่าวด้วยรอยยิ้มพลางโบกมือให้น้องสาว

หลังจากเย่เทียนเฉินมองดูเย่เชี่ยนเหวินผู้เป็นน้องเดินเข้าไปในโรงเรียน ตอนที่หมุนตัวมาก็พบว่าเฉินหาวกับลูกสมุนทั้งสองคนได้ขับรถหนีไปแล้ว

เย่เทียนเฉินโบกแท็กซีมุ่งหน้าไปยังสำนักงานใหญ่ของเครือไห่หวัง เขากำลังจะได้นั่งตำแหน่งประธานกรรมการเป็นครั้งแรก และจะได้เซ็นหนังสือสัญญาถอนหมั้นกับตระกูลฉี

ตอนที่เย่เทียนเฉินไปถึงเครือไห่หวัง ก็เป็นเวลาเที่ยงแล้ว ไม่พูดไม่ได้ว่าถนนหนทางของเมืองหลวงนั้นมีรถติดหนักตลอดทาง ติดอยู่หลายชั่วโมง โชคดีที่เย่เทียนเฉินไม่ได้มีธุระสำคัญอะไร เดินทางมาถึงอาคารสำนักงานเครือไห่หวังได้อย่างไม่รีบไม่ร้อน

เครือไห่หวังเป็นบริษัทที่ใหญ่มากแห่งหนึ่ง อาคารสำนักงานของสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองหลวง ที่เมืองใหญ่เมืองอื่นๆ ก็มีสาขาของบริษัทอยู่เช่นกัน นอกจากนั้นตึกยี่สิบสองชั้นตึกนี้ก็เป็นที่สถานที่ทำงานของสำนักงานใหญ่เครือไห่หวังทั้งหมด ที่นี่เป็นเครือข่ายที่รวบรวมการขนส่ง อสังหาริมทรัพย์ อุตสาหกรรมอาหารและอื่นๆ ไว้ด้วยกัน ธุรกิจใหญ่โต กำไรก็งดงาม

“หยุดนะ คุณเป็นใครกัน? ที่นี่เป็นอาคารสำนักงานของสำนักงานใหญ่เครือไห่หวัง บุคคลไม่เกี่ยวข้องห้ามเข้า”

เย่เทียนเฉินเพิ่งจะเดินถึงหน้าประตูใหญ่ของเครือไห่หวังก็ถูกยามที่ยืนเฝ้าอยู่คนหนึ่งขวางเอาไว้

………………………………………

[1] มาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ประเทศจีน นายหลี่ ฉีหมิง ขับรถชนแล้วหนี จนเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและกลุ่มนักศึกษาที่เห็นเหตุการณ์ต้องเข้ามาขวาง และบอกให้เขารับผิดชอบ แต่เขากลับตะโกนท้าทายให้ฟ้องร้องดำเนินคดีกับเขาได้ ด้วยประโยคที่ว่า “ไปเลย เชิญไปฟ้องร้องได้เลย “พ่อข้า คือหลี่กัง”” และนับจากนั้นมา ประโยค “พ่อข้า คือหลี่กัง” ก็ฉาวโฉ่ไปทั่วประเทศ

บทที่ 16 ขอต้านลมฝนด้วยตัวคนเดียว
Ink Stone_Fantasy
เหยียนหลงคิดไม่ถึงว่าตอนที่เขาโทรหาชางหลางเพื่อสอบถามเกี่ยวกับเรื่องของเย่เทียนเฉิน ท่าทีของชางหลางจะกลายเป็นแข็งกระด้างเช่นนี้ แต่เดิมก็ไม่อยากจะพูดมากกับตนอยู่แล้ว หากอยากดูแฟ้มข้อมูลของเย่เทียนเฉินที่อยู่ในกองทัพ จำเป็นต้องดำเนินการตามขั้นตอนปกติ นี่ยิ่งทำให้เหยียนหลงเกิดความสงสัยมากขึ้นไปอีก

ชางหลางเป็นใครนั้นเหยียนหลงทราบดี คนๆ นี้เป็นหนึ่งในสามราชันนักรบแห่งกระเทศจีนเหมือนกับตน มีความหยิ่งยโสอย่างยิ่งยวด สามารถทำให้เขาจัดแฟ้มข้อมูลของทหารหน่วยรบพิเศษธรรมดาๆ คนหนึ่งเป็นความลับระดับหนึ่งของประเทศได้ด้วยตนเองนั้น เป็นเรื่องที่นึกไม่ถึงเลยจริงๆ

หลังจากเย่เทียนเฉินทราบเรื่องที่ตระกูลฉินซื้อหลี่เถี่ยอันธพาลประจำเมืองหลวง เพื่อต้องการให้ลอบสังหารพ่อของตนอย่างลับๆ แล้ว ก็ไม่ได้เริ่มลงมือดำเนินการทันที เรื่องนี้จำเป็นต้องค่อยเป็นค่อยไป หากว่าตอนนี้ไปเก็บกวาดตระกูลฉินถึงที่ เกรงว่าจะทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้น ถึงตอนนั้นก็ไม่เป็นผลดีกับตระกูลเย่เช่นกัน ถึงเย่เทียนเฉินจะไม่ชอบคนในบ้านหลักตระกูลเย่ แต่จะอย่างไรพวกเขาก็ร่วมสายเลือดของพ่อ ถ้าหากเกิดเรื่องขึ้นกับพวกเขา เย่หงพ่อของตนคงไม่ยืนมองอยู่เฉยๆ แน่

เมื่อกลับมาถึงบ้านก็เป็นเวลาตีสามกว่าแล้ว เย่เทียนเฉินเปิดประตูบ้าน เดินเข้าไปด้วยความระมัดระวัง เขาออกไปตั้งแต่ตอนที่ได้อ่านเนื้อหาในหนังสือพิมพ์ จนถึงตอนนี้เพิ่งจะกลับมา แม่กับน้องสาวก็โทรหาเขาหลายครั้ง แต่เย่เทียนเฉินก็ไม่ได้รับสาย เนื่องจากเกรงว่าพวกเธอจะกังวล จึงงปิดโทรศัพท์มือถือไป

เพิ่งจะเดินเข้ามาถึงห้องโถง ไฟในห้องโถงก็พลันสว่างขึ้น เย่หงพ่อของเย่เทียนเฉินกำลังนั่งสูบบุหรี่อยู่บนโซฟา มองเย่เทียนเฉินที่เดินเข้ามา แล้วกล่าวว่า “มานั่งนี่สิ คุยกันหน่อย”

เย่เทียนเฉินมองผู้เป็นพ่อของตนเองชั่วครู่ ค่อยเดินเข้าไป เขารู้สึกได้ว่าเย่หงพ่อของตนดูเหมือนมีอะไรต้องการจะพูดกับเขา เพียงแต่ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องอะไร

“เทียนเฉิน ตั้งแต่ที่ลูกกลับมา พ่อก็รู้สึกว่าลูกเปลี่ยนไปมาก พ่ออยากจะรู้ว่าทำไม….” เย่หงสูบบุหรี่เฮือกหนึ่งก่อนจะกล่าว

“พ่อครับ มีหลายเรื่องที่ผมไม่สามารถบอกพ่อได้ในตอนนี้ ที่ผมพูดได้ก็คือ ยี่สิบปีแล้ว ผมทำตัวอกตัญญูมายี่สิบปีแล้ว ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปผมกับพ่อจะประคองครอบครัวของเราด้วยกัน จะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมารบกวนชีวิตอันสงบสุขของพวกเรา”

เย่เทียนเฉินกล่าวพลางหยิบบุหรี่มวนหนึ่งออกมาจากกล่องบุหรี่บนโต๊ะชา จุดบุหรี่ให้แก่ตนเอง แล้วสูบเข้าไปเต็มปอดเฮือกหนึ่ง เขาทราบดีว่าการเปลี่ยนแปลงของเขาในตอนนี้จะทำให้พ่อและแม่เกิดความรู้สึกสงสัย แต่เรื่องที่เขาเป็นผู้มีพลังพิเศษระดับพระเจ้ามาเกิดใหม่ ไม่สามารถบอกพวกเขาได้เด็ดขาด แบบนี้นอกจากจะไม่มีผลดีต่อคนในครอบครัวแม้แต่น้อยแล้ว ยังอาจจะนำความทุกข์ยากมาแก่พวกเขาด้วย

ตามความเข้าใจของเย่เทียนเฉิน ไม่ว่าจะในช่วงสิ้นโลกหรือโลกนี้ ล้วนมียอดฝีมืออยู่มากมาย ผู้ที่มีพลังพิเศษก็มีอยู่ไม่น้อย ยอดฝีมือจากพรรควรยุทธ์โบราณก็มีมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในที่ที่ส่งผลกระทบต่อความคิดอย่างเมืองหลวง หากประมาทแม้เพียงนิดเดียว จะตายอย่างไรก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ จำเป็นระวังตัว ยิ่งเพิ่มความแน่วแน่ให้กับการตัดสินใจที่จะฟื้นฟูและยกระดับพลังพิเศษของเย่เทียนเฉินมากขึ้น หากไม่มีพลังที่สมบูรณ์ จะเอาอะไรไปปกป้องครอบครัว และรักษาทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนมีอยู่ทุกวันนี้ได้?

เย่หงมองลูกชายของคน เขารู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของลูกชาย แต่เพราะอะไรนั้นเขาเองก็ไม่รู้ แต่ได้เห็นลูกชายเข้าใจเรื่องราวและเติบโตขึ้น ก็ยังรู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก

“พ่อได้ข่าวมาว่าลั่วเหลยกับลั่วเทาหลานชายสองคนของตระกูลลั่วถูกคนทำร้าย พ่ออยากจะฟังความจริงจากปากลูก เรื่องนี้ลูกเป็นคนทำหรือเปล่า?”

ได้ยินคำพูดของเย่หงผู้เป็นพ่อ เย่เทียนเฉินก็ชะงักไปชั่วครู่ เขาคิดไม่ถึงเลยว่าข่าวจะแพร่ออกไปเร็วขนาดนี้ ขนาดพ่อก็ยังรู้แล้ว ดูท่าเรื่องที่ลั่วเหลยและลั่วเทาแห่งตระกูลลั่วถูกตนเองทำร้าย เกรงว่าคืนวันนี้ก็คงจะแพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวงแล้ว ไม่รู้ว่าวันต่อไปจะมีผลกระทบอย่างไรบ้าง

“พ่อ เรื่องนี้ยกให้ผมจัดการเองเถอะครับ ผมไม่อยากให้พวกพ่อมาเกี่ยวข้อง ผมแค่อยากให้ครอบครัวเราทุกคนมีความสุข” เย่เทียนเฉินไม่ได้ตอบตรงๆ

ถึงอย่างนั้น เย่หงก็ยังตกใจอยู่ดี เดิมทีเขาก็แค่ลองถามดูเท่านั้น คิดว่าความเป็นไปได้ที่เย่เทียนเฉินลูกชายของตนจะเป็นคนทำมีน้อยมาก แต่ตอนนี้เย่เทียนเฉินกลับตอบเช่นนี้ ก็ชัดเจนแล้วว่าเป็นการยอมรับนัยๆ ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าลูกของตนมีความสามารถเช่นนั้นหรือเปล่า แค่มีความใจกล้าเช่นนี้ก็ทำให้ผู้คนต้องตกใจแล้ว ลำดับวงศ์ตระกูลของตระกูลเย่ตกต่ำลง เทียบกับตระกูลลั่วไม่ได้นานแล้ว ครั้งนี้ไปผิดใจกับตระกูลลั่ว ควรจะจัดการอย่างไรดี?

“ลูก ตระกูลลั่วมีอิทธิพลไม่น้อย พวกเรา….”

“พ่อ ผมจัดการได้ครับ ไม่ต้องกังวล เชื่อผมเถอะ!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างจริงจังขัดคำพูดของเย่หงผู้เป็นพ่อ

ที่เย่เทียนเฉินพูดขัดคำพูดของเย่หง ก็เพราะเขาเข้าใจดีว่าพ่อของเขาไม่ได้กังวลเรื่องความปลอดภัยของตนเอง แต่ไม่อยากสร้างความลำบากให้ตระกูลเย่ เย่หงเป็นลูกกตัญญู คิดถึงคนในครอบครัวใหญ่อยู่เสมอ

เย่หงชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เผยรอยยิ้มออกมา ไม่ว่าจะอย่างไร ลูกชายนั้นเติบโตขึ้นจริงๆ คู่ควรให้ตัวเขารู้สึกยินดี จากนั้นจึงหยิบหนังสือสัญญาฉบับหนึ่งออกมาส่งให้เย่เทียนเฉิน กล่าวว่า “นี่คือสัญญาที่ตระกูลฉีส่งมา พ่อเขียนชื่อของลูกลงไป หลังจากนี้ลูกเป็นประธานคของเครือไห่หวัง หุ้นอีกห้าสิบเปอร์เซ็นต์ที่เหลือถูกแบ่งไปอยู่ในมือคนอื่น จะทำอย่างไรก็เป็นเรื่องของลูกแล้ว”

เย่เทียนเฉินรับหนังสือสัญญามา ในสัญญาเขียนไว้อย่างชัดเจนว่า ตระกูลฉีจะยกหุ้นของเครือไห่หวังห้าสิบเปอร์เซ็นต์ต์ให้แก่เย่เทียนเฉิน ส่วนหุ้นอื่นๆ อยู่ในมือของคนอื่น

เครือไห่หวังสามารถนับได้ว่าเป็นเครือบริษัทที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ในประเทศจีน มีอิทธิพลทางด้านเศรษฐกิจสูง ตระกูลฉีครอบครองหุ้นของเครือไห่หวังอยู่เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ต์ เป็นเพราะในตอนนั้นตระกูลฉีได้คิดหาวิธีซื้อมา ตอนนี้โอนหุ้นห้าสิบเปอร์เซ็นต์ให้แก่เย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินย่อมกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด ฐานะเพิ่มขึ้นหลายพันล้าน นับได้ว่าเป็นเถ้าแก่ใหญ่คนหนึ่ง

“ประสิทธิภาพการทำงานของตระกูลฉีถือว่าดีทีเดียว แล้วตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการของพ่อจะได้เมื่อไรครับ?” เย่เทียนเฉินกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม

“ยังต้องรออีกประมาณครึ่งปี จริงสิ คนจากตระกูลฉีบอกว่าพรุ่งนี้เที่ยงให้ลูกเข้าไปเซ็นสัญญาถอนหมั้นที่เครือไห่หวังสัก เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ตกเป็นขี้ปากชาวบ้านในภายหลัง”

“ไม่มีปัญหา พ่อไปพักผ่อนเถอะครับ ผมอาบน้ำสักหน่อยก็จะนอนแล้วเหมือนกัน”

หลังจากเห็นเย่หงผู้เป็นพ่อเดินขึ้นไปชั้นสองของบ้าน เข้าไปนอนในห้องแล้ว เย่เทียนเฉินยังคงนั่งขมวดคิ้วอยู่บนโซฟาที่ห้องโถง แม้ภายนอกจะเห็นว่าตระกูลเย่สงบสุข แต่จริงๆ แล้วกลับมีอันตรายซ่อนอยู่รอบด้าน ผู้มีอำนาจมากมายต้องการกำจัดตระกูลเย่ ที่ไกลตัวยังไม่ต้องพูดถึง เอาแค่ตระกูลฉินและตระกูลลั่วในตอนนี้ก่อน ตระกูลใหญ่ทั้งสองตระกูลนี้คงไม่ยอมรามือจากตระกูลเย่แน่นอน ยังมีวิกฤตอีกมากมายที่ต้องรับมือ

แต่ว่าเย่เทียนเฉินไม่คิดที่จะให้พ่อแม่เข้ามาเกี่ยวข้อง แม้จะมีอันตรายอยู่บ้าง ก็ไม่อยากให้พวกเขาอยู่อย่างไม่สบายใจและไม่สงบสุข ลมฝนทั้งหมดที่ต้องเผชิญ ก็ขอให้เขาแบกรับไว้แต่เพียงผู้เดียว ใครกล้ามารุกราน จะขอคืนให้ด้วยกำปั้น

เย่เทียนเฉินกลับเข้าไปในห้องของตนเอง นั่งขัดสมาธิบนเตียง ในช่วงสิ้นโลกเขาใช้วิธีนี้ในการดำเนินการฝึกฝนพลังพิเศษของตนเอง ตอนนี้หลังจากเขาสัมผัสได้ถึงวิกฤตของตระกูลเย่ ก็ยิ่งต้องการเพิ่มความแข็งแกร่งและยกระดับพลังพิเศษของตนให้เร็วยิ่งขึ้น

พลังพิเศษมีตั้งแต่ขั้นหนึ่งถึงขั้นเก้า ยิ่งขั้นสูงความสามารถก็ยิ่งแข็งแกร่ง ทั้งเก้าขั้นนั้นยังแบ่งออกเป็นระดับราชัน ระดับจอมราชัน ระดับจักรพรรดิ ระดับพระเจ้า และระดับเทพราชัน เย่เทียนเฉินระดับพลังลดลงจากระดับพระเจ้าเหลือระดับราชัน ลดรวดเดียวสามระดับ พลังที่ลดลงไปไม่ใช่น้อยๆ พลังที่อยู่ภายในเส้นชีพจรในร่างกายก็เบาบางลงมาก หากต้องการกระตุ้นแก่นพลังที่อยู่ภายในสมอง และรวบรวมพลังธรรมชาติเกือบจะเป็นไปไม่ได้

ตอนนี้เย่เทียนเฉินไม่เพียงแต่ต้องการยกระดับพลังพิเศษอันเบาบางในชีพจรของตนให้เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น ยังต้องการค่อยๆ ควบคุมพลังที่อยู่ในธรรมชาติอีกครั้งหนึ่ง ผู้มีพลังพิเศษระดับพระเจ้าแข็งแกร่งไร้ที่เปรียบ สามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าถึงขั้นย้ายภูเขาเคลื่อนมหาสมุทร และเรียกลมเรียกฝนได้ ส่วนผู้มีพลังระดับเทพราชัน เป็นการดำรงอยู่ที่ไม่อาจจินตนาการได้ พลังของพวกเขาอาจใช้คำว่าถล่มฟ้าทลายแผ่นดินมาบรรยายได้ กระทั่งในช่วงสิ้นโลกก็ยังหาเจอแค่ไม่กี่คน เย่เทียนเฉินเองก็เพียงแค่เคยได้ยินมาเท่านั้น ไม่เคยพบก่อน

เย่เทียนเฉินนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง สองตาปิดสนิท ค่อยๆ โคจรแก่นพลังในสมอง รับรู้ถึงพลังภายในเส้นชีพจรทุกส่วนในร่างกาย แล้วรวบรวมทีละเล็กทีละน้อย แต่พลังช่างเบาบางเหลือเกิน โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงของแก่นพลังในสมองมีน้อยเกินไป มีเพียงแค่ตอนที่ต่อสู้กับผู้แข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง

“ดูท่าจะต้องฝึกฝนกับคู่ต้อสู้ที่แข็งแกร่งสักหน่อย ไม่งั้นพลังพิเศษคงไม่แข็งแกร่งขึ้น” เย่เทียนเฉินลืมตาพลางกล่าวพึมพำกับตนเอง

ตอนนี้เอง ในที่ดินส่วนตัวขนาดใหญ่ที่ตระกูลฉีซึ่งเป็นตระกูลชั้นสองในเมืองหลวงอาศัยอยู่ มีคฤหาสน์อยู่หนึ่งหลัง ข้างในมีไฟสว่างไสว ฉีชางเซิ่งผู้ที่กุมหางเสือของตระกูลฉีกำลังพูดคุยกับฉีย่ากวงลูกชายคนโตอยู่ในตอนนี้ ฉีย่ากวงเป็นพี่ชายของฉีหรูเสวี่ย และเป็นหลานชายคนโตเพียงคนเดียวของตระกูลฉี หลังจากที่ได้รู้ว่าผู้เป็นพ่อแบ่งหุ้นห้าสิบเปอร์เซ็นต์ต์ของเครือไห่หวังให้แก่เย่เทียนเฉิน ก็โกรธจนทนไม่ไหว

“พ่อ ทำไมต้องแบ่งหุ้นครึ่งหนึ่งของเครือไห่หวังให้ตระกูลเย่ด้วย แค่ทำให้พ่อของเย่เทียนเฉินได้เป็นเลขาธิการคณะกรรมการเมือง H ก็นับว่าเป็นการชดเชยที่ไม่เลวแล้ว จำเป็นด้วยเหรอ?” ฉีย่ากวงกล่าวถามด้วยความโมโห

“กวงเอ๋อร์ นี่เป็นท่าทางที่แกใช้พูดกับพ่อเหรอ?”

“พ่อ…..”

“ฉันรู้ว่าเครือไห่หวังเคยถูกตระกูลฉีของพวกเราซื้อมาได้เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ต์ หลายปีมานี้เครือไห่หวังก็มีแกคอยจัดการดูแลตลอด แต่ครั้งนี้พวกเราขอยกเลิกการหมั้น หากไม่มีการชดเชยที่แน่นอน พวกมันคงไม่เห็นด้วยแน่ อีกอย่างของพวกนี้ไม่นับเป็นอะไรได้ ขอแค่พวกเราตระกูลฉีร่วมมือกันอย่างเข้มแข็งกับตระกูลฉินได้ กลายเป็นญาติกัน พยายามด้วยกัน ก็อาจจะกลายเป็นตระกูลชั้นหนึ่งในเมืองหลวง ถึงตอนนั้นสิ่งที่เราจ่ายไปก็คุ้มค่าแน่นอน” ฉีชางเซิ่งกล่าวพลางมองฉีย่ากวงผู้เป็นลูกชาย

“ผมรู้ว่าต้องร่วมมือกันอย่างเข้มแข็ง แต่ตอนนี้ผมเหลือหุ้นของเครือไห่หวังแค่ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ เศษสวะที่เป็นที่น่าขบขันไปทั่วทั้งเมืองหลวงอย่างเย่เทียนเฉินกลายเป็นเถ้าแก่ของผมไปแล้ว ผมไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน” ฉีย่ากวงกล่าวอย่างไม่พอใจ

“งั้นแกก็หาวิธีทำให้มันอยู่ที่เครือไห่หวังไม่ได้ ถอนหุ้นตัวเองออกไปสิ พรุ่งนี้เที่ยงพ่อให้คนเรียกเย่เทียนเฉินมาที่เครือไห่หวัง เพื่อมาเซ็นหนังสือยิมยอมรับการถอนหมั้นกับน้องสาวแก ไม่ให้พวกตระกูลเย่เล่นตุกติกได้ภายหลัง ส่วนจะทำยังไงก็เป็นเรื่องของแก”

“ได้ จะให้ไอ้เย่เทียนเฉินมันรู้ว่า หากกล้ามาแย่งของๆ ตระกูลฉี ผลจะเป็นยังไง” ฉีย่ากวงกล่าวยิ้มๆ อย่างดุร้าย

“ใช่แล้ว น้องสาวแกเป็นไงบ้าง?” ฉีชางเซิ่งคิดถึงฉีหรูเสวี่ยผู้เป็นลูกสาว จึงกล่าวถามออกมา

“น้องไม่เห็นด้วยเรื่องการแต่งงานกับฉินเหิง ดื้อมาก ต้องใช้เวลาเกลี้ยกล่อมครับ”

“ฉันรู้แล้ว พรุ่งนี้เรื่องที่ไปเครือไห่หวังก็ให้แกจัดการ แต่ฉันจะบอกแกไว้ก่อนสักคำ เจ้าเศษสวะเย่เทียนเฉินคนนี้ให้ความรู้สึกไม่เหมือนเดิมกับฉัน เห็นโอกาสค่อยลงมือ อย่าสะเพร่า บางทีชายคนนี้อาจจะใช้ความไม่สนใจโลกของมัน หลอกลวงคนทั้งหมดในเมืองหลวงก็ได้….” ฉีชางเซิ่งกล่าวพลางขมวดคิ้ว

………………………………………

บทที่ 15 กองทัพเหยี่ยว
Ink Stone_Fantasy
ลั่วซงเฉิงเป็นผู้ถือหางเสือของตระกูลลั่ว หลังจากที่พิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว ก็ตัดสินใจว่าจะตรวจสอบ เย่เทียนเฉินก่อนค่อยว่ากันอีกที เพราะมีสัญญาณหลายอย่างบ่งบอกว่า ชายผู้ที่กลายเป็นตัวตลกของผู้คนทั่วทั้งเมืองหลวงคนนี้ เป็นไปได้มากว่าได้ปั่นหัวคนทั้งเมืองหลวง เขาเป็นคนที่ฉลาดที่สุดต่างหาก

กล้าลงมือทำร้ายหลานชายตระกูลลั่วทั้งสองของตน โดยไม่เกรงกลัวฐานะเบื้องหลังของพวกเขาเลยสักนิด โดยเฉพาะการทำร้ายลั่วเหลยหลานชายคนโตแห่งตระกูลลั่วที่ได้เข้าร่วมกองกำลังเหยี่ยวนักล่าจนไม่มีแม้แต่แรงจะตอบโต้ สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้คนรู้สึกสงสัยมาก รวมกับการที่ลั่วซงเฉิงรู้มาว่าชางหลางหนึ่งในสามราชันนักรบแห่งประเทศจีนเป็นคนจัดการเรื่องที่เย่เทียนเฉินออกจากกองทัพด้วยตัวเอง และจัดข้อมูลของเขาให้เป็นความลับระดับหนึ่ง นี่ยิ่งทำให้เขาไม่เข้าใจมากขึ้น

ลูกไม่เอาไหนที่เคยเป็นลูกหลานเสเพล นำพาความอัปยศอดสูมาสู่ครอบครัว เย่เทียนเฉินที่กลายเป็นเรื่องขบขันของผู้คนทั้งเมืองหลวง จู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นคนที่ทำให้ผู้คนมีความรู้สึกอ่านไม่ออก และเสียวสันหลัง ตกลงแล้วเป็นเพราะเขาระเบิดศักยภาพออกมาครั้งใหญ่ หรือเป็นเพราะปิดบังมาตลอด จนเพิ่งจะแสดงความสามารถของตนเองออกมาในตอนนี้กัน?

หากกล่าวว่าเย่เทียนเฉินมีตรงไหนที่คู่ควรให้ผู้อื่นอิจฉา นั่นก็มีอยู่เพียงหนึ่งข้อก็คือ การได้แอบดูหลิ่วหรูเหมยสาวงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงอาบน้ำ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ชายหลายคนในเมืองหลวงกล้าคิดแต่ไม่กล้าทำ แต่เด็กน้อยคนนี้ทำไปแล้ว ดูไปแล้ว ชื่นชมไปแล้ว

“พ่อ งั้นผมไปจัดการก่อนนะครับ!” ลั่วฉีบุตรชายคนที่สองของตระกูลลั่วเอ่ยขึ้น

“ไปเถอะ จำคำของฉันไว้ให้ดีล่ะ หากว่ายังตรวจสอบเย่เทียนเฉินไม่ชัดเจน โดยเฉพาะถ้ายังไม่ได้แฟ้มข้อมูลที่ถูกจัดเป็นความลับระดับหนึ่งมา ก็อย่าทำอะไรบุ่มบ่ามโดยเด็ดขาด” ลั่วซงเฉิงคิดครู่หนึ่งก่อนกล่าวออกมา

“ทราบแล้วครับ!”

เมื่อเห็นว่าลั่วฉีลูกชายคนที่สองออกไปจากห้องโถงใหญ่ของคฤหาสน์แล้ว ลั่วซงเฉิงก็นั่งลงบนโซฟา จุกซิการ์มวนหนึ่ง แล้วสูบเข้าไปเต็มปอดหลายครั้ง เขามีลางสังหรณ์ไม่ดีอยู่ตลอด แต่ก็บอกไม่ถูกว่าทำไม เนื่องด้วยคนที่ข้อมูลส่วนตัวถูกจัดเป็นความลับระดับหนึ่งและเก็บรักษาไว้ที่สำนักความมั่นคงแห่งชาติได้ ใช้เพียงนิ้วมือทั้งสิบก็นับได้หมด และ เย่เทียนเฉินก็ยังเป็นหนึ่งในนั้น

เย่เทียนเฉินทำร้ายลั่วเหลยกับลั่วเทาซึ่งเป็นคนของตระกูลลั่ว เรื่องนี้ไม่เพียงทำให้ตระกูลต้องช็อค ตระกูลหลายตระกูลในเมืองหลวงต่างก็สงสัยแล้วสงสัยอีก ล่ำลือกันไปอย่างโกลาหล คนที่มีหน้ามีตาสักหน่อยต่างก็ทราบ ตระกูลลั่วเองก็ถือว่าเป็นตระกูลที่มีหน้ามีตาในเมืองหลวง โดยเฉพาะการเลือกตั้งคณะกรรมาธิการทหารที่กำลังจะมีขึ้นในครั้งนี้ เป็นไปได้สูงว่าลั่วซงเฉิงจะเข้าไปเป็นคณะกรรมาธิการทหารได้ เมื่อถึงเวลานั้นฐานะของตระกูลลั่วก็จะสูงขึ้นอีกระดับหนึ่ง ในตอนนี้จึงไม่มีใครกล้าหาเรื่องตระกูลลั่ว

หากกล่าวว่ามีคนทำร้ายหลานชายของตระกูลลั่วทั้งสองคน ก็คงไม่ทำให้อิทธิพลทั้งดำและขาวในเมืองหลวงช็อคได้ถึงขนาดนี้ เพราะว่าในโลกนี้มีคนเก่งที่คนไม่รู้จักอยู่มากมาย แต่ว่าคนที่ทำร้ายลั่วเหลยกับลั่วเทากลับเป็นเย่เทียนเฉิน จึงทำให้ผู้คนไม่กล้าเชื่อถือ เนื่องจากใครๆ ต่างก็รู้ว่าเย่เทียนเฉินเป็นเศษสวะคนหนึ่ง เป็นลูกล้างผลาญที่ไร้ความสามารถ ทำไมอยู่ดีๆ ก็กลายเป็นคนอันตรายเช่นนี้ได้? เรื่องนี้ทำให้ผู้คนคิดไม่ออกจริงๆ

ทะเลหนานไห่เมืองเมืองหลวง ภายในตึกสูงแห่งหนึ่ง มีไฟส่องสว่าง ทหารสองนายที่ดูน่าเกรงขาม และสวมใส่ชุดทหารอย่างเรียบร้อย ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมราวกับหลาว ด้านหน้าของพวกเขามีชายวัยกลางคนคนหนึ่งอายุประมาณสามสิบกว่าปี ชายวันกลางคนผู้นี้สูงประมาณหนึ่งร้อยเจ็ดสิบสามเซนติเมตร กริยาท่าทางมีความแข็งกร้าว โดยเฉพาะความเฉียบคมของดวงตาทั้งสอง

ชายวัยกลางคนคนนี้ก็คือผู้บัญชาการกองกำลังเหยี่ยวนักล่าชื่อว่าเหยียนหลง เป็นหนึ่งในสามราชันนักรบแห่งประเทศจีน ระดับเดียวกันกับชางหลาง หลายคนต่างกำลังคาดคะเนอยู่ว่า ชางหลางแข็งแกร่งกว่าหรือเป็นเหยียนหลงที่แข็งแกร่งกว่ากันแน่ พวกเขาทั้งสองคนไม่เคยประมือกันมาก่อน ต่างได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในสามราชันนักรบบูรพา ใครแข็งแกร่งหรืออ่อนแอกว่านั้นก็ไม่อาจทราบ

สองคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเหยียนหลงก็คือครูฝึกขั้นหนึ่ง เจียงเหมิงกับเฟยอวิ๋น สมาชิกกองกำลังเหยี่ยวนักล่าทุกคนต่างก็ได้รับการรับเลือกจากคนหลายพันหลายหมื่น และการประเมินนับครั้งไมถ้วน ถึงจะผ่านเข้ามาได้ กล่าวได้ว่าทุกคนล้วนเป็นยอดทหาร เป็นกองทัพส่วนบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดของประเทศจีนกองทัพหนึ่ง ขึ้นตรงต่อผู้บัญชาการสูงสุด แค่เข้าร่วมกองทัพเหยี่ยมได้ก็นับว่าเป็นเกียรติยศอันยิ่งใหญ่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการได้เป็นครูฝึกของยอดทหารเหล่านี้ ฝีมือย่อมไม่ธรรมดาแน่นอน

“ลั่วเหลยถูกคนทำร้าย ได้ข่าวว่าถูกทำร้ายจนไม่มีกำลังตอบโต้ ไม่ทราบว่าพวกคุณได้ยินเรื่องนี้มาบ้างหรือเปล่า?” เหยียนหลงกล่าวถามพลางมองเจียงเหมิงกับเฟยอวิ๋น

“ผู้บัญชาการเหยียน เรื่องนี้ผมก็ได้ยินมาครับ ข่าวบอกว่าเย่เทียนเฉินเป็นคนทำ” เจียงเหมิงชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นมา

“เย่เทียนเฉินเป็นใคร? มีข้อมูลของคนๆ นี้ไหม?”

เหยียนหลงเป็นผู้บัญชาการกองกำลังเหยี่ยวนักล่า เป็นคนทรหดซึ่งเกลียดความชั่วร้ายเข้ากระดูกดำ ในวันปกตินอกจากการปฏิบัติภารกิจ ก็มีเพียงการฝึกฝน ฝึกฝนทหารในกองกำลัง ฝึกฝนตนเอง เพิ่มความแข็งแกร่ง นี่คือชีวิตทั้งหมดของเขา ดังนั้นเขาจึงไม่เคยได้ยินเรื่องของเย่เทียนเฉินมาก่อน

เฟยอวิ๋นพยักหน้าพลางก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เปิดแฟ้มเอกสารในมือพร้อมกับอ่าน “เย่เทียนเฉิน อายุยี่สิบปี เป็นลูกชายของเย่หงแห่งตระกูลเย่ในเมืองหลวง ตั้งแต่เด็กก็ไม่ศึกษาเล่าเรียน เอาแต่วิวาทและจีบผู้หญิง คนไม่เอาไหน เป็นเศษสวะที่ทุกคนยอมรับ ภายหลังแอบดูหลิ่หรูเหมยสาวงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวงอาบน้ำ จึงผิดใจกับตระกูลหลิ่ว นำความอัปยศและวิกฤตมาสู่ตระกูลเย่ หลังจากผ่านเรื่องนี้ไป คนๆ นี้ก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ไปเป็นทหารและยังกลายเป็นทหารหน่วยรบพิเศษ ในการปฏิบัติภารกิจครั้งหนึ่ง ถูกลอบโจมตีที่ป่าหมอกดำ ครั้งนั้นมีทหารหน่วยรบพิเศษห้านายเสียชีวิตไป มีเพียงเย่เทียนเฉินกับทหารหญิงชื่อว่าหานเจี๋ยรอดชีวิตกลับมา จากนั้นเย่เทียนเฉินก็ออกจากกองทัพ ข้อมูลของเขาถูกนายพลชางหลางอนุมัติให้จัดเป็นเอกสารความลับระดับหนึ่ง และส่งไปเก็บรักษาไว้ที่สำนักความมั่นคงแห่งชาติด้วยตนเอง หลังจากที่กลับมาที่เมืองหลวง ก็เจอกับเหตุการณ์ขอถอนหมั้นของตระกูลฉี จากนั้นก็ถูกลั่วเหลยแห่งตระกูลลั่วใส่ร้าย จึงไปเอาคืนลั่วเหลยที่เทียนซ่างเหรินเจียน”

ไม่กล่าวไม่ได้ว่า กองกำลังเหยี่ยวนักล่าที่เป็นกองทัพส่วนบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดในจีน รับผิดชอบต่อผู้นำระดับสูงโดยตรง มีความแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง เพียงยกหูโทรศัพท์ไม่กี่ครั้งก็นำข้อมูลของเย่เทียนเฉินทั้งหมดมาอยู่ในมือได้แล้ว นอกจากแฟ้มข้อมูลในช่วงที่เย่เทียนเฉินเข้าร่วมกองทัพจนกระทั่งออกจากกองทัพที่เอามาไม่ได้ ข้อมูลอื่นที่เหลือทั้งหมดต่างมาอยู่ในมือเรียบร้อยแล้ว

“คนไม่เอาไหน เศษสวะ ต่อให้เป็นทหารหน่วยรบพิเศษ ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของลั่วเหลยอย่างแน่นอน เรื่องนี้พวกคุณมีความคิดเห็นยังไง?” เหยียนหลงถามพลางขมวดคิ้ว

“ผู้บัญชาการเหยียน มีบางอย่างที่ไม่ทราบว่าควรจะพูดดีไหม” เจียงเหมิงมองเหยียนแล้วกล่าวออกมา

“พูด!”

“ข้างนอกมีคนพูดกันตลอดว่า ที่ลั่วเหลยสามารถเข้ากองกำลังเหยี่ยวนักล่าของพวกเราได้ เป็นเพราะมีสาเหตุมาจากปู่ของเขาลั่วซงเฉิง ดังนั้นหากว่าเป็นเช่นนี้จริง ฝีมือของลั่วเหลยก็เทียบไม่ได้กับสมาชิกกองกำลังเหยี่ยวนักล่าของพวกเราแน่นอน จะแพ้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”

“เรื่องของลั่วเหลย ผมเคยไปหาเบื้องบนเพื่อหารือมาก่อนแล้ว เขาไม่ได้เป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการของกองกำลังเหยี่ยวนักล่าของพวกเรา ได้รับการยกเว้นการประเมินขั้นต้น และเข้าร่วมการฝึกซ้อมสุดท้ายในช่วงขั้นท้ายสุด ผมได้ดูคะแนนของเขาแล้ว ยังมีความห่างชั้นจากความต้องการที่พวกเรากองกำลังเหยี่ยวนักล่าคัดเลือกสมาชิกอยู่มากจริงๆ แต่ฝีมือก็ไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้น ไม่ใช่คนที่ทหารหน่วยรบพิเศษธรรมดาๆ จะต่อกรด้วยได้ ดังนั้นการที่ลั่วเหลยถูกทำร้ายจนไม่มีแรงตอบโต้ จะต้องมีลับลมคมในแน่นอน” เหยียนหลงกล่าว

จริงๆ แล้ว การที่เหยียนหลงซึ่งเป็นผู้บัญชาการของกองกำลังเหยี่ยวนักล่าไถ่ถามเรื่องที่ลั่วเหลยถูกทำร้ายเสียจนยับเยินในครั้งนี้ด้วยตนเอง ก็เป็นเพราะไม่ว่าจะอย่างไรลั่วเหลยก็นับว่าเป็นสมาชิกที่อยู่ในช่วงฝึกฝนของกองกำลังเหยี่ยวนักล่า มีความเป็นไปได้ว่าจะสามารถกลายเป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการ หากมีข่าวแพร่ออกไปว่าสมาชิกที่ได้รับเลือกของกองกำลังเหยี่ยวนักล่า ไร้ความสามารถ ถูกคนทำร้ายจนไม่มีแรงตอบโต้ล่ะก็ เหยียนหลงซึ่งมีฐานะเป็นหนึ่งในสามราชันนักรบจะเสียหน้าเป็นอย่างมาก

“ผู้บัญชาการเหยียน ผมได้ยินมาว่าลั่วซงเฉิงแห่งตระกูลลั่วเก็บเรื่องนี้ไว้ สั่งไม่ให้คนตระกูลลั่วทำอะไรบุ่มบ่าม” เฟยอวิ๋นมองเหยียนหลงแล้วกล่าวออกมา

“หือ? ลั่วซงเฉิงมีอำนาจมากมายมาแต่ไหนแต่ไร ถือหางพวกตัวเองเป็นอย่างมาก ครั้งนี้หลานชายสองคนถูกทำร้ายจนมีสภาพครึ่งเป็นครึ่งตาย แต่กลับอดทนกับเรื่องนี้ แปลกมาก!” เหยียนหลงอดไม่ได้ที่จะชะงักไปก่อนจะกล่าวออกมา

“ใช่ครับ เย่เทียนเฉินที่เป็นเรื่องขบขันของเมืองหลวง อยู่ๆ ก็กลายเป็นคนที่ทำให้ผู้คนต้องประหลาดใจ” เจียงเหมิงกล่าวออกมาพลางขมวดคิ้ว

เหยียนหลงคิดชั่วครู่ เขามาสอบถามเรื่องนี้ก็เพราะต้องการกู้หน้าให้กองกำลังเหยี่ยวนักล่าของตน ตั้งแต่ที่กองกำลังเหยี่ยวนักล่าถูกก่อตั้งขึ้นจนกระทั่งตนเองเป็นผู้บัญชาการ ล้วนไม่เคยเกิดเรื่องราวเช่นนี้มาก่อน ตอนนี้พอเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เขาก็ไม่ได้ทำเพื่อสิ่งอื่นใดนอกจากเพื่อกู้หน้าให้กับกองกำลังเหยี่ยวนักล่า

“ใช่แล้ว เรื่องนี้ชางหลางก็สอดมือเข้ามาด้วยเหรอ?” เหยียนหลงถาม

“ใช่ครับ นายพลชางหลางจัดข้อมูลของเย่เทียนเฉินเป็นความลับระดับหนึ่ง แล้วให้คนส่งไปเก็บรักษาไว้ที่สำนักความมั่นคงแห่งชาติด้วยตัวเอง” เฟยอวิ๋นกล่าว

“เฮอะ เจ้าหมอนี่ก็สอดมือเข้ามายุ่งด้วยเหรอเนี่ย ดูท่าแล้วเย่เทียนเฉินคงจะไม่เรียบง่ายเหมือนภายนอกซะแล้ว คงจะไม่ใช่ลูกหลานเสเพลในสายทุกคนแน่ๆ บางทีเขาอาจจะปิดบังตัวเองเป็นอย่างดี หาคนไปตรวจสอบเขาซะ” เหยียนหลงถอนหายใจก่อนกล่าวออกมา

“ครับผม!” เจียงเหมิงกับเฟยอวิ๋นตอบพลางยืดตัวตรง

“ออกไปเถอะ สรุปแล้วพวกเรากองกำลังเหยี่ยวนักล่าจะเสียหน้าไม่ได้ หากได้โอกาสก็สั่งสอนเจ้าเย่เทียนเฉินคนนี้สักหน่อย อย่าให้คนอื่นมาดูถูกคนกองกำลังเหยี่ยวนักล่าของพวกเรา”

เมื่อเห็นว่าเจียงเหมิงกับเฟยอวิ๋นออกไปจากห้องแล้ว เหยียนหลงก็ไตร่ตรองชั่วครู่ ยกหูโทรศัพท์บนโต๊ะขึ้นมา ต่อสายไปยังเบอร์โทรศัพท์เบอร์หนึ่ง เสียงดังประมาณสามครั้งอีกฝ่ายก็รับสาย

“ฮัลโหล นั่นใคร?”

“ชางหลาง นี่ฉันเองเหยียนหลง” เหยียนหลงกล่าวเสียงเรียบ

“นายนี่เอง มีธุระอะไรเหรอ?” ชางหลางได้ยินว่าเป็นเหยียนหลงก็กล่าวถามอย่างเรียบๆ

“ไม่มีอะไร แต่อยากรู้อะไรบางอย่าง เกี่ยวกับสถานการณ์ของทหารหน่วยรบพิเศษคนหนึ่งที่ออกจากกองทัพไปแล้วของลูกน้องนาย”

“ใคร?”

“เย่เทียนเฉิน”

“โทษที ข้อมูลของเย่เทียนเฉินกลายเป็นความลับระดับหนึ่งของประเทศไปแล้ว ถ้านายอยากรู้ สามารถยื่นเรื่องดำเนินการตามปกติได้ ฉันยังมีเรื่องต้องไปทำ วางสายก่อนล่ะ!”

เหยียนหลงยังไม่ทันได้พูด ก็ถูกชางหลางวางสายใส่ เหยียนหลงโกรธจนขมวดคิ้ว เขากับชางหลางไม่นับว่าคุ้นเคยกัน และก็ไม่นับว่าเป็นคนแปลกหน้า ต่างได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในสามราชันนักรบแห่งประเทศจีน พวกเขาต่างก็เป็นคนทรหดที่เลือดร้อน ความจริงต่างก็ต้องการตัดสินแพ้ชนะ แต่ด้วยตำแหน่งของพวกเขา ต้องการจะลงมือก็ไม่ใช่เรื่องง่าย หากไม่มีเหตุผลที่ดีพอก็ไม่สามารถลงมือได้

“ชางหลาง จะต้องมีสักวันหนึ่งที่ฉันจะล้มนาย รอดูได้เลย” เหยียนหลงวางสาย พึมพำกับตนเอง

………………………………………………..

บทที่ 14 เศษสวะในวันวาน ทำให้ผู้คนตกตะลึง
Ink Stone_Fantasy
“บอกเรื่องทั้งหมดที่ผ่านมาให้ฉันทีได้ไหม?”

พอเย่เทียนเฉินได้ยินหูหลงเหล่าว่าหลี่เถี่ยงูเจ้าถิ่นแห่งเมืองหลวง บีบบังคับให้เขามาฆ่าเย่หงพ่อของตน ก็คิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรละเลย

หลี่เถี่ยเป็นอันธพาลคนหนึ่งของเมืองหลวงก็เท่านั้น แต่กลับใจกล้ามาสังหารพ่อของตนที่เป็นรองผู้ว่า ทั้งไม่เคยได้ยินพ่อของตนพูดมาก่อนว่าเคยมีความขัดแย้งอะไรกับอิทธิพลชั่วใต้ดิน ดังนั้นการหลี่เถี่ยกล้าส่งคนมาลงมือกับพ่อของตน เย่เทียนเฉินคาดเดาว่าคงมีผู้บงการอยู่เบื้องหลัง และคนๆ นั้นต้องวางแผนชั่วอะไรอยู่แน่นอน

เมืองหลวงเป็นสถานที่ที่มีพยัคฆ์หมอบมังกรซ่อน เป็นที่ๆ ตระกูลใหญ่ทั้งหลายพำนักอยู่ มีอิทธิพลทั้งด้านมืดและสว่างมากมาย ภายใต้สถานการณ์ฉากหน้าที่สงบสุขนี้ จริงๆ แล้วเกิดการนองเลือดได้ตลอดเวลา มีการต่อสู้เกิดขึ้นมากมายนับไม่ถ้วน

“ฉันได้ยินคนพูดกันว่า หลี่เถี่ยได้รับคำสั่งจากตระกูลฉิน จึงอยากจะฆ่าเย่หง ส่วนมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ฉันเองก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก” เมื่อหูหลงเห็นปฏิกริยาของเย่เทียนเฉิน แม้ว่าจะรู้สึกสงสัย แต่ก็บอกสิ่งที่ตนเองรู้ออกมา

“โอเค ขอบคุณมาก รีบไปเถอะ พาน้องสาวของคุณออกไปจากที่นี่ ไปหาที่ๆ ปลอดภัย ไม่ต้องกลับมาอีก!”

พอพูดจบ เย่เทียนเฉินก็จากมา ตอนนี้เขารีบกลับบ้าน เพราะอยู่ๆ ก็รู้สึกว่าภายนอกดูเหมือนตระกูลเย่สงบสุข ไม่มีการต่อสู้กับใคร แต่คนที่อยากจัดการกับตระกูลเย่มีมากมาย จึงเพิ่มความแน่วแน่ให้กับความตั้งใจที่จะทำให้พลังพิเศษตื่นขึ้นเร็วๆ มากยิ่งขึ้น เพื่อปกป้องครอบครัว และเพื่อปกป้องทุกสิ่งที่มีอยู่ในโลกใบนี้ ไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาดูหมิ่นเด็ดขาด นี่เป็นเรื่องที่เย่เทียนเฉินตัดสินใจมาตั้งแต่แรกแล้ว

สำหรับการเก็บกวาดหลี่เถี่ยอันธพาลของเมืองเมืองหลวง เย่เทียนเฉินยังไม่คิดจะลงมือในทันที ถึงยังไงเรื่องนี้ก็เกี่ยวพันถึงตระกูลฉิน ดูท่าหลี่เถี่ยคงเป็นสุนัขรับใช้ของตระกูลฉิน หากต้องการจัดการกับตระกูลฉิน ยังจำเป็นต้องวางแผนอย่างสุขุมรอบคอบ เพื่อหาโอกาสที่เหมาะสม ตระกูลฉินเป็นตระกูลชั้นสองในเมืองหลวง มีตำแหน่งสูงกว่าตระกูลเย่ไม่น้อย หากผลีผลามลงมือไปอาจจะทำให้แก้ปัญหาไม่ได้ และยังอาจนำพาอันตรายมาสู่ครอบครัวอีกด้วย

แม้ว่าในช่วงสิ้นโลกเย่เทียนเฉินจะเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษระดับพระเจ้า และศรัทธาการใช้หมัดแก้ปัญหา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นคนไม่มีสมอง เขาย่อมเข้าใจกระจ่างชัดว่าหลากหลายเรื่องราวไม่สามารถพึ่งกำลังแก้ปัญหาได้ ต้องใช้ความคิดให้มากๆ โดยเฉพาะสถานที่ซึ่งส่งผลกระทบต่อต่อความคิดอย่างเมืองหลวง คนที่ฉลาดจริงๆ ไม่ต้องเปลืองแรงก็ฆ่าคนจนไม่เหลือซากได้

ที่ตระกูลลั่วในคืนนี้ถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะไม่สงบสุข ชายผู้หนึ่งซึ่งสวมชุดทหาร ใบหน้าเหลี่ยมผมสั้นเตียน อายุประมาณหกสิบกว่าปี ขมวดคิ้วนั่งอยู่ตรงกลางห้องโถงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เขารีบเร่งกลับมาที่บ้านก็เพราะภายในวันนี้วันเดียว หลานชายของเขาทั้งสองถูกคนทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส หลานคนเล็กมีโอกาสกลายเป็นเจ้าชายนิทรา หลานคนโตถูกทำร้ายจนฟันร่วงหมดปาก ใบหน้าปูดบวมราวกับตือโป๊ยก่าย พูดอะไรไม่ได้แม้แต่คำเดียว

ชายชราผู้น่าเกรงขามคนนี้คือผู้คุมหางเสือของตระกูลลั่ว เป็นปู่ของลั่วเทากับลั่วเหลย นามลั่วซงเฉิง และ ผู้บัญชาการทหารระดับเขต มีตำแหน่งใหญ่โตและมีอำนาจสูงส่ง หลายปีมานี้ไม่มีใครกล้ามาแตะต้องคนของตระกูลลั่ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการทำร้ายหลานทั้งสองจนบาดเจ็บสาหัสภายในวันเดียว รับไม่ได้เด็ดขาด

ปัง!

“ใคร? ฉันอยากจะรู้ว่าคนที่มันทำร้ายเหลยเอ๋อร์กับเทาเอ๋อร์มันเป็นใคร?” ลั่วซงเฉิงฟาดมือลงไปบนโต๊ะชา แล้วคำรามออกมาด้วยความโกรธสุดขีด

ในโถงของคฤหาสน์ตระกูลลั่ว ดวงตาของลั่วซงเฉิงเต็มไปด้วยไฟแห่งความโกรธแค้น มองไปยังลูกชายทั้งสองที่อยู่เบื้องล่าง หลายปีมานี้อำนาจของตระกูลลั่วไม่ได้ยิ่งใหญ่เหมือนเดิมอีกแล้ว เป็นเพราะลูกชายทั้งสองคนนี้ไม่มีความสามารถ อุตส่าห์ส่งลั่วเหลยให้เข้าสู่กองกำลังเหยี่ยวนักล่าเพื่อหน้าที่การงานในอนาคตได้ทั้งที ใครจะรู้ว่าจะถูกคนทำร้ายจนกลายเป็นเช่นนี้ ถ้าหากว่าเรื่องนี้เผยแพร่ออกไป ลั่วซงเฉิงจะเอาหน้าแก่ๆ ของตนเองไปไว้ที่ไหน

“พ่อ พ่อต้องแก้แค้นให้ลูกเทากับลูกเหลยนะครับ ตระกูลของพวกเราจะปล่อยให้ใครมารังแกแบบนี้ไม่ได้” ลั่วกวงฮุยผู้เป็นพ่อของลั่วเหลยกับลั่วเทา และเป็นบุตรชายคนโตของตระกูลลั่วคร่ำครวญ

“หุบปาก ลูกชายของแกเองถูกทำร้ายยังไม่คิดตรวจสอบให้แน่ชัดอีก มาร้องไห้กับฉันให้มันได้อะไร ไอคนไร้อนาคต” ลั่วซงเฉิงด่ากราด

ลั่วกวงฮุยได้ยินคำดุด่าของพ่อก็ชะงักไป เดิมทีเขาก็เป็นพวกไร้การศึกษา มิฉะนั้นจะสอนพี่น้องทั้งสองให้ออกมาหยิ่งผยองอย่างลั่วเหลยและลั่วเทาได้อย่างไร พ่อเป็นอย่างไรลูกก็เป็นเช่นนั้น เมื่อพบว่าลูกชายถูกทำร้ายจนกลายเป็นเช่นนี้ ลั่วกวงฮุยก็ไม่รู้จะทำเช่นไร ได้แต่มองลั่วซงเฉิงผู้เป็นพ่อ

“พ่อ เรื่องนี้ผมส่งคนไปตรวจสอบดูแล้ว ยืนยันได้แล้วว่าเด็กน้อยเย่เทียนเฉินจากตระกูลเย่เป็นคนทำ….” ลูกชายคนรองของลั่วซงเฉิงนามลั่วฉีกล่าวเรียบๆ

“อะไรนะ? เย่เทียนเฉิน? ไอสารเลวนั่นไม่ใช่ว่าตายไปแล้วเหรอ?” ลั่วกวงฮุยกล่าวถามด้วยความตกใจ

“ก็วันๆ แกเอาแต่เอ้อระเหยลอยชาย จะมารู้ข่าวที่ถูกต้องได้ยังไง เย่เทียนเฉินรอดชีวิตกลับมา เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไมมันต้องมาลงมือกับเหลยเอ๋อร์กับเทาเอ๋อร์ด้วย?” ลั่วซงเฉิงเอ่ยพลางขมวดคิ้ว

“จากข่าวที่ผมรู้มา หลังจากที่เย่เทียนเฉินได้เป็นทหารหน่วยรบพิเศษ ก็ใกล้ชิดกับหานเจี๋ยลูกสาวของตระกูลหาน แต่เหลยเอ๋อร์ตามจีบหานเจี๋ยมาตลอด ดังนั้นเขาก็เลยให้คนตีพิมพ์เนื้อหาใส่ร้ายเย่เทียนเฉินในหนังสือพิมพ์ซุบซิบ สุดท้ายถูกเย่เทียนเฉินหาตัวเจอที่ตึกเทียนซ่างเหรินเจียน แต่ก็มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ทำให้ผมอึดอัดมาก….” ลั่วฉีต้องการกล่าวอะไรสักอย่างแต่ก็หยุดไว้

“เรื่องอะไร?” ลั่วซงเฉิงมองลั่วฉี ลูกชายคนรองของตนคนนี้ยังค่อนข้างน่าเชื่อถืออยู่บ้าง

“ผมหาคนล้วงข้อมูลหลังจากที่เยี่ยนเทียนเฉินเข้าร่วมกองทัพออกมาแล้ว แต่ก็ล้มเหลว พบว่าข้อมูลการฝึกอบรมของเย่เทียนเฉินในกองทัพ ถูกจัดเป็นความลับระดับหนึ่งของสำนักความมั่นคงแห่งชาติ และถูกป้องกันเอาไว้ คนธรรมดาไม่สามารถเข้าถึงได้” ลั่วฉีขมวดคิ้วแล้วกล่าวออกมา

พอได้ยินคำพูดของลูกชายคนรอง ลั่วซงเฉิงก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ชื่อเย่เทียนเฉินเขาเคยได้ยินมาก่อน แน่นอนว่าไม่ใช่เย่เทียนเฉินในตอนนั้นมีชื่อเสียง แต่เป็นเรื่องที่แอบดูหลิ่วหรูเหมยสาวงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงอาบน้ำ ถูกตระกูลฉีไปขอถอนหมั้นถึงหน้าประตู แค่สองเรื่องนี้ทำให้เย่เทียนเฉินมีชื่อเสียงโด่งดังแล้ว คนที่มีหน้ามีตาสักหน่อยต่างก็ไม่มีใครที่ไม่รู้

เพียงแต่ลั่วซงเฉิงไม่เข้าใจว่าทำไมลั่วฉีลูกชายคนรองจึงสงสัย เพราะในสายตาของทุกคนเย่เทียนเฉินก็เป็นแค่ขยะชิ้นหนึ่ง เป็นแค่คนโง่เง่า เจ้ากากเดนที่ถูกคนดูถูกคนนี้กลับรอดชีวิตกลับมาได้หลังจากที่ถูกซุ่มโจมตี แม้แต่ทหารหน่วยรบพิเศษชาญศึกห้าคนที่ผ่านสงครามมาเกือบร้อยครั้งต่างก็ตายกันหมด แต่เย่เทียนเฉินดันรอดมาได้ ทำให้คนช็อกจริงๆ อีกทั้งข้อมูลทั้งหมดของเขายังถูกจัดเป็นความลับระดับหนึ่งของประเทศ กากเดนและไอ้คนไม่เอาไหนแบบนี้จะมีความสามารถในการสู้รบที่แข็งแกร่งขนาดนั้นเลยหรือ?

“ความลับระดับหนึ่ง เรื่องนี้ใครเป็นคนทำ?” ลั่วซงเฉิงชะงักไปชั่วครู่ อยู่ดีๆ ก็จัดข้อมูลของทหารหน่วยรบพิเศษธรรมดาๆ คนหนึ่งเป็นความลับระดับหนึ่ง และส่งไปเก็บรักษาไว้ที่สำนักงานความมั่นคงแห่งชาติโดยตรง อาศัยเรื่องนี้นับว่าไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลย

“ชางหลาง!” ลั่วฉีพูดเสียงทุ้ม

“เขาเองงั้นเหรอ? หนึ่งในสามราชันนักรบแห่งประเทศจีนถึงกับมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ ฉันคิดว่าเย่เทียนเฉินคนนี้คงไม่ได้ง่ายดายแบบที่คนอื่นมองเสียแล้ว ต้องตรวจสอบให้ดีสักหน่อยแล้ว” ลั่วซงเฉิงไตร่ตรองชั่วครู่ก่อนที่จะกล่าวออกมา

“พ่อ เจ้าเย่เทียนเฉินนั่นก็แค่ไอ้เด็กไม่เอาไหนกับเศษสวะเท่านั้น หาคนไปฆ่ามันก็พอแล้ว ตระกูลเย่ตกต่ำมานาน จะเป็นคู่ต่อสู้ของตระกูลลั่วได้ยังไง” ลั่วกวงฮุยพูดออกมาอย่างไม่พอใจอยู่ด้านข้าง

ลั่วซงเฉิงถีบดังปัง เขาเป็นนายทหารคนหนึ่งจึงมีอารมณ์รุนแรง เมื่อได้ยินคำพูดลั่วกวงฮุย ก็ใช้เท้าถีบใส่ ทั้งยังด่าอย่างดุร้ายว่า “หัดใช้สมองซะบ้าง ทหารหน่วยรบพิเศษคนหนึ่งที่รอดกลับมาจากชายแดนได้ แฟ้มข้อมูลก็ถูกจัดเป็นความลับระดับหนึ่งของประเทศ แล้วคนที่ทำร้ายเหลยเอ๋อร์กับเทาเอ๋อร์จนกลายเป็นแบบนี้ ยังเป็นคนไม่เอาไหน เป็นเศษสวะอยู่อีกเหรอ? ถ้าหากว่ามันเป็นเศษสวะ ก็เกรงว่าพวกคนในเมืองหลวงที่ถูกมันปั่นหัวก็เป็นเศษสวะกันทุกคนแล้ว!”

อีกอย่างก็คือ ถึงแม้ลั่วเหลยจะเข้ากองกำลังเหยี่ยวนักล่าได้โดนผ่านเส้นสายของเขา แต่ฝีมือก็แข็งแกร่งกว่าทหารหน่วยรบพิเศษธรรมดาๆ คาดไม่ถึงว่าจะถูกเย่เทียนเฉินทำร้ายจนไม่มีแรงสวนกลับ เรื่องนี้เองก็แปลกเช่นกัน

ตอนนี้ลั่วซงเฉิงเริ่มสงสัยการกระทำในช่วงหลายปีมานี้ของเย่เทียนเฉินแล้ว ตกลงชายคนนี้หลอกคนทั้งเมืองหลวง หรือจะบอกว่าเขาเตรียมตัวเปิดเผยความสามารถที่ปกปิดมาหลายปีแล้ว ? ต้องไตร่ตรองให้ดี

“พ่อ ผม….” ลั่วกวงฮุยถูกเตะจนมึนงง ลั่วซงเฉิงที่เข้าข้างมาโดยตลอด อยู่ดีๆ กลับมาทำร้ายเขา นี่มันไม่สอดคล้องกับสามัญสำนึกเลยสักนิด

“แกคิดว่าตระกูลเย่จัดการง่ายขนาดนั้นเหรอ? ไอ้แก่ตายยากเย่หย่วนซานของตระกูลเย่ แม้จะลงจากตำแหน่งแล้ว แต่อูฐที่ผอมตายก็ยังตัวโตกว่าม้า [1]หากวู่วาม ตระกูลลั่วของพวกเราอาจจะเกิดวิกฤต อีกทั้งตอนนี้ก็ยังอ่านเจ้าเย่เทียนเฉินไม่ออก หากทำอะไรบุ่มบ่าม ก็คงเป็นเพียงฝ่ายถูกกระทำ” ลั่วซงเฉิงพูดอย่างไม่พอใจนัก

“งั้นตอนนี้พวกเราทำไงกันดี?” ลั่วฉีถาม

“เรื่องนี้ให้แกไปจัดการแล้วกัน อีกไม่นานก็จะมีการคัดเลือกคณะกรรมาธิการทหารแล้ว ครั้งนี้ฉันจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อเข้าร่วมเป็นคณะกรรมาธิการทหารให้ได้ หวังว่าจะทำให้ตระกูลลั่วของพวกเราสามารถก้าวขึ้นไปอีกขั้น ถึงตอนนั้นก็ไม่ต้องกังวลเรื่องตระกูลเย่อีก ดังนั้นฉันไม่ขอมีส่วนร่วมในเรื่องนี้!” ลั่วซงเฉิงมองลั่วฉีแล้วกล่าวออกมา

“ทราบแล้วครับ!” ลั่วฉีตอบพลางพยักหน้า

“ดี เรื่องนี้อย่าเพิ่งทำอะไรบุ่มบ่าม รอให้ฉีเอ๋อร์รู้รายละเอียดของเย่เทียนเฉินให้ชัดเจนเสียก่อนค่อยว่ากัน ฉันบอกแกอีกครั้ง อย่าได้มองคนๆ นี้เป็นพวกโง่เง่า ฉันว่ามันอาจจะเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในเมืองหลวงก็ได้” ลั่วซงเฉิงกล่าวเตือนลั่วกวงฮุยลูกชายคนโตอีกครั้งหนึ่ง

ลั่วกวงฮุยต้องตัดสินใจเพราะถูกบีบบังคับ ตระกูลลั่วเองก็ไม่ใช่ตระกูลใหญ่อะไร ไม่ต่างกับตระกูลเย่นัก แต่ ผู้อาสุโสตระกูลเย่เย่หย่วนซานลงจากตำแหน่งแล้ว ไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้อีกต่อไป ส่วนตัวเขาจะอย่างไรก็ยังเป็นผู้บัญชาการทหารระดับเขต มีอำนาจอยู่ในมือ ตำแหน่งของตระกูลลั่วย่อมดีกว่าตระกูลเย่

แต่เมืองหลวงเปรียบเสมือนถังสีที่ภายในมีสีอยู่มากมาย มากจนทำให้ผู้คนมองไม่ออก ผู้อาวุโสตระกูลเย่จะอย่างไรก็เคยมีอำนาจมาก่อน ยังคงมีความสัมพันธ์อันสลับซับซ้อนอยู่จำนวนหนึ่ง เกิดคุกคามการเขาสู่คณะกรรมาธิการทหารของตัวเขา ก็คงไม่เป็นผลดีแน่ ลั่วซงเฉิงรอคอยโอกาสนี้มานาน จึงมีหลายเรื่องที่จำเป็นระมัดระวัง ต้องคิดทบทวนหลายๆ ครั้งเสียก่อนจึงจะตัดสินใจ หากกระทำการด้วยความสะเพร่า เป็นไปได้ว่าจะเป็นการทำร้ายตระกูลของตนเองให้ล่มสลาย

…………………………………………

[1] สำนวนจีน หมายถึ งคนที่อยู่ในหน้าที่ตำแหน่งนี้มานาน แม้จะเผชิญกับปัญหา ก็ยังน่ากลัวกว่าคนที่เพิ่งเข้ามาใหม่

บทที่ 13 พ่อเกือบถูกลอบสังหาร?
Ink Stone_Fantasy
เย่เทียนเฉินมองหูหลงพลางพยักหน้า รู้สึกว่าเป็นชายชาตรีคนหนึ่ง มีฝีมือก็ไม่เลว แม้ว่าจะไม่ใช่คู่มือของชายฉกรรจ์พวกนี้ แต่ก็ปกป้องน้องสาวไว้เบื้องหลังอย่างเต็มที่ ท่าทางเด็ดเดี่ยว แม้ตายก็ไม่ยอมให้คนพวกนี้พาตัวน้องสาวของตนไป

การสาบานว่าจะปกป้องครอบครัวของตนเอง จุดนี้เหมือนกับเย่เทียนเฉินมาก ดังนั้นเย่เทียนเฉินจึงชื่นชมหูหลง รู้สึกว่าคนๆ นี้มีมีความกล้าหาญมาก

“แม่งเอ้ย ไอลูกเต่านี่พูดดีๆ ไม่ชอบ ต้องให้ลงมือ”

ชายฉกรรจ์คนหนึ่งพุ่งเข้ามาฟันมีดใส่ศีรษะของหูหลง หูหลงฝีมือไม่เลว เบี่ยงตัวหลบการฟันไปด้านข้าง ก่อนที่จะสวนหมัดไปยังหน้าอกของชายฉกรรจ์คนนั้นจนล้มลงไปกองกับพื้น

“เข้าไปพร้อมกันเลย!” หัวหน้าชายฉกรรจ์กล่าวพลางโบกมือ

หูหลงสู้ไปพลางถอยไปพลาง ชายฉกรรจ์ที่ถือมีดราวห้าหกคนลงมือพร้อมกัน หูหลงต้องคอยปกป้องน้องสาวของตนและคอยโจมตีตอบโต้อย่างยากลำบาก ไม่ทันไรก็ถูกต่อยไปหลายหมัด ถูกเตะไปอีกหลายที มีเลือดไหลออกมาจากมุมปาก

ฉัวะ!

ชายฉกรรจ์คนหนึ่งฟันใส่แขนของหูหลง ทันใดนั้นเสื้อก็ถูกฟันขาด เลือดไหลออกมาเป็นสาย แล้วชโลมแขนขวาจนเปียกโชกในพริบตาเดียว เมื่อมองดูก็ทำให้ผู้คนเกิดความหวาดกลัว

“พี่….พี่ชาย พี่ไม่เป็นไรนะ?” พอน้องสาวของหูหลงเห็นว่าพี่ชายของตนถูกมีดฟัน น้ำตาก็ไหลออกมา วิ่งไปประคองพี่ชายแล้วพร้อมกับร้องตะโกนทั้งน้ำตา

“ไม่เป็นไร เธอไปยืนห่างๆ บาดเจ็บแค่นี้ไม่เท่าไรหรอก” หูหลงตะโกนขึ้นพลางผลักไสน้องสาวออกไป ด้วยเกรงว่าเธอจะถูกลูกหลงจากการต่อสู้

“พี่ชาย พี่ชาย อย่าสู้อีกเลย ให้หนูไปกับพวกเขาเถอะ….พวกคุณ ได้โปรด ขอร้องล่ะ อย่าทำร้ายพี่ชายฉันอีกเลย ฉันยอมไปกับพวกคุณแล้ว….” น้องสาวของหูหลงร้องไห้ น้ำตาไหลออกมาไม่หยุด

“เงียบซะ ต่อให้ตายพี่ก็จะปกป้องเธอ ไม่งั้นจะมีหน้าไปพบพ่อแม่ที่ตายไปแล้วได้ยังไง” หูหลงคำรามออกมาเสียงดัง

ในตอนนี้ หูหลงและน้องสาวถูกต้อนไปที่มุมๆ หนึ่ง ชายฉกรรจ์ห้าหกคนต่างชูมีดขึ้นด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มเย็นชา หูหลงกับน้องสาวสิ้นไร้หนทาง ไม่มีทางหนีอีกแล้ว

“หูหลง ฉันจะให้โอกาสแกเป็นครั้งสุดท้าย ส่งน้องสาวแกมาและยอมสวามิภักดิ์กับนายท่านของพวกเราซะ ไม่งั้นไม่มีคนช่วยแกได้ทั้งนั้น” หัวหน้าชายฉกรรจ์เอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา

“ฝันไปเถอะ” หูหลงกล่าวออกมาอย่างดุดัน

“จะตายอยู่แล้วยังปากดีอีก”

เหล่าชายฉกรรจ์ที่กำมีดอยู่ในมือกระชับวงล้อมเข้ามาช้าๆ เป้าหมายของพวกเขาชัดเจนมาก คือต้องการล้ม หูหลงลง จากนั้นก็พาน้องสาวของหูหลงกลับไปให้เจ้าเดรัจฉานหลี่เถียเล่นสนุก

ตอนที่ชายฉกรรจ์คนหนึ่งยกมีดขึ้นฟันใส่หูหลง ทุกคนต่างก็ได้ยินเสียงของเย่เทียนเฉิน

“หยุด!”

ชายฉกรรจ์เหล่านั้นต่างก็รู้สึกสงสัย หันมามองด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความดุร้าย อยากจะรู้ว่าใครมันช่างใจกล้าถึงขนาดมายุ่งเรื่องของพวกเขา

ตอนที่เห็นตัวเย่เทียนเฉิน ชายฉกรรจ์หลายคนพากันหัวเราะเย็นชาอย่างอดไม่ได้ เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนหนึ่ง ช่างไม่รู้จักประมาณตนเสียเลย กล้าเสนอหน้าเข้ามายุ่ง ไม่ใช่เป็นการรนหาที่ตายหรอกเหรอ?

“เหอะ เจ้าเด็กนี่เป็นใคร? แม่งไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงหรือไง?”

“ดีจริง ฆ่าหนึ่งคนก็คือฆ่า ฆ่าสองคนก็คือฆ่า”

“กล้ามาแส่เรื่องของพวกเรา สงสัยจะเบื่อชีวิตแล้ว”

เย่เทียนเฉินไม่สนใจฟังคำพูดของพวกชายฉกรรจ์เหล่านั้น ในสายตาของเขา คนเหล่านี้จะกลายเป็นศพตอนไหนก็ได้

“จะให้เวลาพวกแกหนีสามวินาที ไม่งั้นมีคนตายแน่นอน” เย่เทียนเฉินพูดอย่างเรียบเฉย

“หืม? แม่งเอ้ย แกรู้ไหมว่าพวกเราเป็นใคร? กล้ามาวางท่าต่อหน้าพวกเราเหรอ เดี๋ยวพ่อฆ่าก่อนซะเลย”

ชายฉกรรจ์คนหนึ่งเดินมาหาเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินยักไหล่อย่างจนใจ เขาแค่อยากช่วยชายที่มีนิสัยกล้าหาญคนนี้สักครั้งเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าจะหลีกเลี่ยงการลงมือไม่ได้

ชายฉกรรจ์คนที่พุ่งเข้าไป มองเย่เทียนเฉินอย่างดุร้าย แล้วฟันมีดใส่เย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินหัวเราะอย่างเย็นชา ใช้เท้าถีบเขาจนกระเด็นไปร้องคร่ำครวญกับพื้น ขณะเดียวกันก็หยิบมีดที่อยู่บนพื้นของชายฉกรรจ์ขึ้นมา จากนั้นก็มองหูหลงพลางกล่าวว่า “ฝีมือของคุณแข็งแกร่งกว่าพวกมัน เพียงแต่ใจยังไม่กล้าพอ”

หูหลงเองมองไปยังชายวัยรุ่นตรงหน้าด้วยความตกตะลึง ชายคนนี้มีฝีมือสูงส่งมาก คาดว่าต่อให้ตนเองลงมืออย่างสุดกำลังก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา

“คุณพูดถูก ฉันขี้ขลาดเกินไป” หูหลงก้มหน้าลมแล้วกล่าวออกมา

“ตอนนี้คุณถูกบีบถึงทางตันแล้ว แม้แต่น้องสาวของตนเองก็ปกป้องไว้ไม่ได้ ยังมีอะไรต้องกลัวอีกเหรอ?” เย่เทียนเฉินกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม

หลังจากได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน หูหลงก็ชะงักไป จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน แล้วกำหมัดตนเองแน่น เย่เทียนเฉินกล่าวได้ถูกต้อง ตอนนี้แม้แต่ชีวิตของตนเองเขาก็ปกป้องไว้ไม่ได้ กระทั่งน้องสาวก็ดูแลไม่ไหว ยังจะมีอะไรให้กลัวอีก? คนพวกนี้กล้าบุกเข้ามา ต้องฆ่าทิ้งถึงจะถูก

ความจริงแล้วด้วยฝีมือของหูหลง ชายฉกรรจ์ห้าหกคนตรงหน้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเลย เขาที่ฝึกศิลปะการต่อตั้งแต่เด็ก การจัดการอันธพาลแปดคนสิบคนไม่ใช่ปัญหา เพียงแต่ว่าเขาต้องปกป้องน้องสาว และกังวลว่าหลังจากอัดชายฉกรรจ์พวกนี้ไปแล้ว ความโกรธแค้นระหว่างเขากับหลี่เถี่ยจะล้ำลึกขึ้น แม้เขาจะไม่เกรงกลัวความตาย แต่ก็จำเป็นต้องคิดเผื่อน้องสาวที่กำลังเรียนอยู่ด้วย

เมื่อเห็นว่าเย่เทียนเฉินเดินเข้ามาที่ละก้าวๆ ชายฉกรรจ์ผู้เป็นหัวหน้าก็ขมวดคิ้ว กล่าวถามอย่างเย็นชาว่า “แกเป็นใคร?”

“พวกแกไม่จำเป็นต้องรู้หรอก ถ้ายังไม่ไปอีก มีคนคอหลุดจากบ่าแน่” เย่เทียนเฉินยังคงเดินไปพลางกล่าวไปพลาง

“ไปตายซะเถอะ!”

ทันใดนั้น ชายฉกรรจ์ที่ถูกเย่เทียนเฉินเตะไปกองกับพื้นก็ลุกขึ้นพร้อมกับเก็บมีดขึ้นมา ก่อนจะแทงไปยังหัวใจของเย่เทียนเฉิน

เสียงฉัวะที่เสียงมีดกรีดผิวหนังดังขึ้น เย่เทียนเฉินหมุนตัวหลบชายฉกรรจ์คนนั้นที่ลอบโจมตีตน พลางตวัดมีดสวนไป บริเวณลำคอของชายฉกรรจ์พลันมีเลือดพุ่งกระฉูดออกมา สองมือกุมบริเวณลำคอของตนเอง มองไปทางเย่เทียนเฉินด้วยความหวาดกลัวสุดขีด เขาคาดไม่ถึงว่าเจ้าหนุ่มคนนี้จะร้ายกาจขนาดนี้ ฆ่าคนราวผักปลา ตวัดมีดครั้งเดียวก็ปาดลำคอของเขาขาด

พอพวกชายฉกรรจ์ที่เหลือเห็นว่าพี่น้องของตนถูกเย่เทียนเฉินฆ่าทิ้งจนไปนอนจมกองเลือดด้วยการสะบัดมีดครั้งเดียว ก็ช็อกจนทำอะไรไม่ถูก ต่างพากันถอยหลังอย่างอดไม่ได้ สั่นสะท้านไปทั้งตัว ทั้งมีเหงื่อเย็นๆ ไหลออกมาไม่หยุด

ชายวัยรุ่นคนหนึ่ง ฆ่าคนราวผักปลา บอกว่าจะฆ่าก็ฆ่า ไม่มีอาการมือไม้อ่อนสักนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแสดงออกที่ราวกับไม่มีอะไรหลังจากที่ฆ่าคนไปแล้วนั้น ทำให้ผู้คนต้องชาวาบในใจ

“แก….แก….แกเป็นใครกันแน่? พวก…พวกเราเป็นลูกน้องของหลี่เถี่ย แกฆ่าพี่น้องพวกเรา แกก็ไม่รอดเหมือนกัน” หัวหน้าชายฉกรรจ์เช็ดเหงื่อเย็นบนหน้าผากของตนเองพลางกล่าวอย่างสั่นระริก

พวกชายฉกรรจ์ต่างถูกเย่เทียนเฉินทำให้ตกใจกลัว ตอนแรกยังหัวเราะเยาะเย่เทียนเฉิน อยากจะลงมือสั่งสอน ตอนนี้กลับกลัวจนก้าวถอยหลังไม่หยุด ไม่มีใครกล้าออกมาข้างหน้า แม้ว่าพวกเขาต่างจะเป็นพวกอันธพาล การตีรันฟันแทงไม่ต้องพูดถึง แต่การฆ่าคนกลับไม่สะอาดหมดจดเหมือนดั่งชายวัยรุ่นตรงหน้า

“กลับไปบอกหลี่เถี่ยอะไรนั่นด้วย หากมีโอกาสฉันจะไปเยี่ยมเขา” เย่เทียนเฉินพูดอย่างเรียบเฉย

“แก ถือว่าแกเก่ง….”

พวกชายฉกรรจ์ที่ถือมีดในมือกลัวจนวิ่งหนีไปอย่างขี้หดตดหาย เย่เทียนเฉินหาวครั้งหนึ่ง แล้วหมุนตัวเตรียมเดินจากไป ที่เขาลงมือช่วยเหลือสองพี่น้องหูหลงไม่ได้คิดอะไรมากมาย เพียงแต่รู้สึกว่าความเลือดร้อนและนิสัยใจคอของ หูหลง ทำให้ตนรู้สึกว่าเขาเป็นลูกผู้ชายคนหนึ่ง ดังนั้นจึงออกแรงช่วย

เมื่อเห็นว่าผู้ที่ช่วยเหลือตนเองและน้องสาวกำลังหมุนตัวจากไป หูหลงตบไหล่ของน้องสาวเพื่อให้เธอใจเย็นขึ้น ก่อนจะเดินตามไป

“สหายหยุดก่อน ขอบคุณมากที่ช่วยชีวิตฉัน!” หูหลงไล่ตามไปพลางกล่าวด้วยความซาบซึ้งใจ

“แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น แต่ที่ทำให้ฉันต้องแปลกใจก็คือ ด้วยความสามารถของคุณ จะเก็บกวาดพวกมันย่อมไม่ใช่ปัญหา ทำไมถึงยังกล้าๆ กลัวๆ อยู่อีก หรือกลัวว่าจะถูกพวกมันเล่นงานเพื่อแก้แค้น?” เย่เทียนเฉนถาม。

หูหลงมองเย่เทียนเฉินครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เล่าเรื่องที่ผ่านมาคร่าวๆ แต่ก็ทำให้เย่เทียนเฉินรับรู้ถึงเรื่องที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง

ที่แท้หูหลงฝึกศิลปะการต่อสู้มาตั้งแต่ยังเด็ก เคยคำนับผู้สืบทอดวิชาฝ่ามือมังกรท่องแปดทิศเป็นอาจารย์ ฝึกฝนวิชาเป็นเวลาสิบกว่าปี ไม่ทราบว่าพ่อแม่ของตนเป็นหนี้เงินกู้ดอกเบี้ยสูง ถูกหลี่เถี่ยบีบบังคับจนตาย ภายหลังหลี่เถี่ยส่งคนออกตามหาหูหลงจนพบ ใช้ให้หูหลงทำเรื่องให้หนึ่งเรื่อง หากทำสำเร็จก็จะถือว่าล้างหนี้ไป หูหลงไม่ตอบรับ จึงได้มีเหตุการณ์ถูกล้อมฆ่าในวันนี้เกิดขึ้น

ตอนที่หูหลงออกกระบวนท่า เย่เทียนเฉินก็ดูออกแล้ว ในช่วงสิ้นโลก เย่เทียนเฉินเคยต่อสู้กับยอดฝีมือของพรรควรยุทธโบราณมาก่อน ประวัติศาสตร์จีนนับห้าพันปี ศิลปะการต่อสู้ก็ลึกซึ้งกว้างไกลเหมือนกัน เช่น พรรควรยุทธโบราณอย่างเส้าหลิน บู๊ตึ๊ง ง้อไบ๊ หัวซาน ดรุณีหยกในยุคปัจจุบัน เป็นต้น แม้จะมีจำนวนน้อยที่ดำเนินการในสังคมเบื้องหน้า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาหายไปแล้ว เพียงแต่กบดานอยู่เบื้องหลัง ในหมู่คนเหล่านี้ยังคงมียอดฝีมือในยุทธจักรที่ทำให้ผู้คนต้องตื่นตะลึงอยู่

“หลี่เถี่ยให้ฉันไปฆ่าคนๆ หนึ่ง แต่ฉันปฏิเสธไป มันก็เลยส่งคนมาสร้างความวุ่นวายให้กับฉัน” หูหลงกล่าว

“ฆ่าคนๆ หนึ่ง? ด้วยฝีมือของคุณ ถ้าจะฆ่าคนธรรมดาๆ คนหนึ่ง คงจะทำได้อย่างเงียบเชียบไร้ร่องรอยแน่ นอกจากว่าคนที่ต้องการฆ่าก็ต่อกรยากเช่นกัน?” เย่เทียนเฉินอดกล่าวถามอย่างสงสัยไม่ได้

“ไม่ใช่ คนๆ นั้นเป็นแค่คนธรรมดาๆ แต่ฉันได้ยินมาว่าเขาเป็นข้าราชการที่ดีคนหนึ่ง ผมหูหลงแม้จะเรียนมาน้อย ไม่มีความรู้อะไร แต่เรื่องคุณประโยชน์ประเทศชาติผมก็ยังรู้”

“ฆ่าคนที่เป็นข้าราชการ เจ้าหลี่เถี่ยคนนี้เป็นใครกันแน่?” เย่เทียนเฉินถามอย่างสงสัย

“หลี่เถี่ยเป็นอันธพาลและงูเจ้าถิ่นของเมืองหลวง เส้นสายทุกด้านล้วนแข็งแกร่ง มักจะช่วยจัดการธุระให้กับอิทธิพลที่มีฉากหน้าใสสะอาด เดาว่าการที่มันให้ฉันไปฆ่าข้าราชการที่ดีคนนั้นในครั้งนี้ ก็เป็นการจัดการแทนคนอื่น” หูหลงกล่าว

“งั้นคนที่หลี่เถี่ยต้องการให้นายคุณคือใคร?”

“รองผู้ว่าของเมือง H ที่ชื่อเย่หง!”

“อะไรนะ?”

คำพูดของหูหลงทำให้เย่เทียนเฉินตกใจจริงๆ คาดไม่ถึงเลยว่าเจ้าหลี่เถี่ยอันธพาลแห่งเมืองเมืองหลวง เคยให้หูหลงที่เป็นยอดฝีมือของพรรควรยุทธโบราณไปลอบสังหารพ่อของตน เรื่องนี้ต้องสืบให้ชัดเจนเสียแล้ว

เกิดใหม่ในโลกนี้ เย่เทียนเฉินไม่อนุญาตให้ใครหน้าไหนมาทำร้ายครอบครัวของเขาเด็ดขาด ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใคร หากหล้ามาลงมือกับครอบครัวของเขา ต้องถูกเก็บกวาด

………………………………………

บทที่ 12 ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ!
Ink Stone_Fantasy
เย่เทียนเฉินไปเก็บกวาดลั่วเหลยที่เทียนซ่างเหรินเจียน การลงมือที่เฉียบขาดทำให้ลั่วเหลยที่เป็นสมาชิกกองกำลังเหยี่ยวนักล่าถูกซัดคว่ำลงไปนอนครวญครางอยู่บนพื้นอย่างโหยหวนทั้งที่ยังไม่ทันออกกระบวนท่าด้วยซ้ำ

ไม่ใช่เพราะความสามารถของสมาชิกกองกำลังเหยี่ยวนักล่าจะไม่ดี แต่เป็นเพราะลั่วเหลยเข้ากองกำลังลึกลักที่แข็งแกร่งที่สุดในฝ่ายตะวันออก ภายในกองกำลังนี้มีการกล่าวเกินจริง ซึ่งเกี่ยวพันกับนายใหญ่ตระกูลลั่วอย่างแยกไม่ออก สาเหตุที่ลั่วเหลยเข้ากองกำลังเหยี่ยวนักล่านั้นก็เพื่อเส่ริมข้อมูลอันเจิดจรัสไปบนแฟ้มข้อมูลของเขา ต้องทราบว่าสมาชิกทั้งหมดของของกองกำลังเหยี่ยวนักล่านั้นเป็นหัวกะทิจากหนึ่งในหมื่น แม้ว่าจะได้รับเลือกเข้ามาแล้วก็ไม่ใช่ว่าจะสามารถกลายเป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการได้ ยังต้องดูการประเมินผลอย่างละเอียด การเข้ากองกำลังเหยี่ยวนักล่าจึงเป็นความใฝ่ฝันของทหารจำนวนนับไม่ถ้วน

“แก….เย่เทียนเฉิน แกกล้าหือกับตระกูลลั่วของฉัน ตระกูลเย่ของพวกแกไม่ตายดีแน่!” ลั่วเหลยแม้ว่าจะถูกซัดจนไม่มีแรงโต้กลับ แต่ก็ยังคำรามออกมาด้วยความหยิ่งผยอง

เย่เทียนเฉินยิ้มเล็กน้อย เขานั้นไม่ได้คิดถึงเรื่องตระกูลลั่ว เรื่องอำนาจ หรือเรื่องผลเสียต่อตระกูลเย่ คนที่เขาต้องการปกป้องไม่ใช่ทุกคนในตระกูล มีเพียงพ่อแม่และน้องสาวเท่านั้น สำหรับบ้านหลักตระกูลเย่ที่ชอบบีบบังคับและ ปฏิบัติไม่ดีกับครอบครัวของเขามาโดยตลอด เขาไม่ต้องการตั้งนานแล้ว

หากจะพิจารณาภูมิหลังของตระกูลลั่วและผลเสียจากการทำร้ายลั่วเหลยสองพี่น้องจริงๆ คืนนี้เย่เทียนเฉินก็คงไม่มาที่เทียนซ่างเหรินเจียนแห่งนี้แล้ว

เมื่อได้ยินคำด่าของลั่วเหลย เย่เทียนเฉินไม่รู้สึกอะไรเลยแม้แต่น้อย กากเดนผู้นี้ไม่คู่ควร เขาเดินไปยังเบื้องหน้าของชายอ้วนเตี้ยที่ร้องโหยหวนอยู่บนพื้น จากนั้นก็โยนผ้าเช็ดมือสีขาวไปบนศีรษะของชายอ้วนเตี้ยก่อนจะนั่งลงไป

คำพูดเมื่อครู่ของชายร่างอ้วนเตี้ย เย่เทียนเฉินได้ยินจากข้างนอกหมดแล้ว ในเมื่อชายร่างอ้วนบอกว่าจะให้ตัวเขาใช้ศีรษะเป็นม้านั่ง จะดีจะร้ายก็ต้องให้เกียรตินี้หน่อยไม่ใช่หรือ?

เมื่อเย่เทียนเฉินนั่งลงไป ชายร่างอ้วนเตี้ยคนนั้นก็ไม่ส่งเสียงร้องโหยหวนอีกต่ออีก ไม่ทราบว่าเป็นหรือตาย ทำให้ลั่วเหลยกับชายสวมแว่นกรอบทองตกตะลึง พวกเขารู้สึกว่าชายตรงหน้าทำให้ผู้คนคาดเดาไม่ออกจริงๆ ราวกับว่าเขาแค่ทำตามใจตัวเอง ไม่เกรงกลัวต่ออำนาจ และไม่พูดอะไรมากความ

“เย่เทียนเฉิน แกกล้าสู้กับฉัน กล้าสู้กับตระกูลลั่วของฉัน คงรู้ผลที่จะตามมาดีใช่ไหม?” ลั่วเหลยกลั้นความเจ็บปวดพลางลุกขึ้นยืน แล้วตะโกนออกไปด้วยความโกรธ

การโจมตีครั้งนี้ร้ายแรงสำหรับลั่วเหลยจริงๆ เดิมทีในความคิดของเขา เย่เทียนเฉินไม่มีทางมีความสามารถขนาดนี้เด็ดขาด การที่ตระกูลลั่วจะเหยียบย่ำตระกูลเย่ให้ตายง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก การที่ตนเองจะเหยียบเย่เทียนเฉินให้ตายก็ง่ายดายราวกับบี้แมลงสักตัวเช่นกัน แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะเกิดการสลับบทบาทกัน ที่เหมือนแมลงก็คือเขา นี่จะทำให้ลั่วเหลยที่อวดดีมาโดยตลอดจะทนได้อย่างไร?

“ไม่รู้ แล้วก็ไม่อยากรู้ด้วย แต่ที่ฉันอยากจะบอกกับแกก็คือ ถ้ากล้ามาวุ่นวายกับฉันอีก ชีวิตแก ใครก็ปกป้องไม่ได้!” เย่เทียนเฉินลุกขึ้นกล่าวกับลั่วเหลยพลางมองด้วยสายตาเย็นเยียบ

ลั่วเหลยอึ้ง รู้สึกว่าสันหลังเย็นวาบ แม้ว่าความรู้สึกนี้จะเกิดเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่คำพูดเมื่อสักครู่นี้ของเย่เทียนเฉินไม่เหมือนกับกำลังพูดเล่น สามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าชายคนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ไม่ใช่เจ้าเศษขยะคนเดิม มีความแข็งกร้าวที่พูดจริงทำจริง

“เหอะ ขู่ลั่วเหลยคนนี้? ยังไม่มีใครกล้าขู่ฉันมาก่อน….” ลัวเหลยคำรามออกมาด้วยความโกรธสุดขีด

เย่เทียนเฉินไม่มีความสนใจอะไรในตัวลั่วเหลยอีก เขามาที่นี่เพื่อมาสั่งสอนลั่วเหลย ให้เจ้าเศษสวะที่ชอบเล่นงานลับหลังได้รับการสั่งสอนเสียบ้าง อีกอย่างเขาคาดหวังว่าลั่วเหลยที่เป็นสมาชิกของกองกำลังเหยี่ยวนักล่าจะแสดงอะไรที่ไม่ธรรมดาออกมาสู้กับเขาสักยกเพื่อกระตุ้นพลังพิเศษในร่างกาย ไม่คิดเลยว่าลั่วเหลยจะอ่อนแอจนแม้แต่การโจมตีครั้งเดียวก็รับไว้ไม่ไหว พอลองสู้ถึงได้รู้ว่าการที่ลั่วเหลยเข้ากองกำลังเหยี่ยวนักล่าได้มาจากเส้นสายของตระกูล

“ฉันไม่ได้ขู่แกสักหน่อย แค่อยากจะบอกแกว่าอย่ามายุ่งกับฉัน โดยเฉพาะครอบครัวของฉัน ไม่งั้นตาย”

“ถ้าหากแกไม่อยู่ห่างๆ หานเจี๋ย ยังกล้าติดต่อกับเธออีก ฉันจะไม่ยอมเลิกราแน่”

ลั่วเหลยเพิ่งจะพูดจบ เย่เทียนเฉินก็ใช้หมัดเดียวซัดลั่วเหลยปลิวออกไปจนโซซัดโซเซลุกไม่ขึ้น กระอักเลือดคายฟันออกมาจนหมดปาก สมกับคำว่าฟันร่วงเต็มพื้น มองไปยังเย่เทียนเฉินด้วยสายตาที่มีความหวาดกลัวอยู่บางๆ เจ้าหมอนี่ทำให้เขากลัวขึ้นมาแล้วจริงๆ ไม่สามารถใช้สามัญสำนึกปกติได้เลย หากไม่ระวังตัวกำบั้นอันหนักหน่วงก็จะลอยมา

“ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าพี่หานเป็นผู้หญิงของฉันรึเปล่า เศษสวะอย่างแกไม่คู่ควรกับเธอ อย่าไปยุ่งกับเธอ ไม่งั้นแกต้องรับผิดชอบผลที่ตามมา!”

ในช่วงสิ้นโลก เย่เทียนเฉินไม่อนุญาตให้ใครมาวุ่นวายกับผู้หญิงของตนโดดเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงที่ตนเองรัก หรือผู้หญิงที่รักตน ยิ่งเป็นผู้หญิงข้างกายของเขา ใครกล้ามายุ่ง ก็ถือว่ามารนหาที่ตาย ชายชาตรีคนหนึ่งย่อมมีเกียรติและความทระนงของตนเอง ผู้หญิงของตนเองถูกผู้อื่นดึงดูดความสนใจจนถึงขึ้นเตียงกัน หากว่าไม่เอาเรื่อง มีชีวิตอยู่ไปก็ไม่มีความหมายอะไร

ในตอนนั้นต่อให้เย่เทียนเฉินยังไม่มีความสามารถของผู้มีพลังพิเศษระดับพระเจ้า หากต้องต่อกรกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งตนเอง แต่กล้ามายุ่งกับผู้หญิงของเขา เย่เทียนเฉินก็จะทุ่มเท่สุดชีวิตหาวิธีฆ่าอีกฝ่าย นี่เป็นเรื่องของศักดิ์ศรีล้วนๆ ไม่เกี่ยวกับพลังความสามารถเลยแม้แต่น้อย

เย่เทียนเฉินหมุนตัวเดินออกไปจากตึกเทียนซ่างเหรินเจียน ชายร่างอ้วนเตี้ยกับลั่วเหลยต่างก็ถูกซัดจนเลือดท่วมตัว สลบเหมือดคาห้องวีไอพี ชายสวมแว่นกรอบทองตกใจกลัวจนเหงื่อท่วมร่าง เมื่อตั้งสติได้ก็รีบโทรศัพท์เรียกรถพยาบาล แต่ไม่ได้โทรแจ้งตำรวจ พ่อของเขาเป็นผู้อำนวยการสำนักงานตำรวจ เรื่องในครั้งนี้ชายสวมแว่นกรอบทองรู้สึกว่าไม่ปกติ เขาไม่อยากให้พ่อของตนต้องมาพัวพัน

ลั่วเหลยถูกอัดเสียจนเลือดท่วมตัว ไม่ทราบว่าสภาพบาดเจ็บเป็นอย่างไร ในเมืองหลวงตระกูลลั่วถือว่ามีอำนาจค่อนข้างแข็งแกร่ง สองพี่น้องลั่วถูกเย่เทียนเฉินอัดเสียจนครึ่งเป็นครึ่งตาย รวมกับการที่ชายร่างอ้วนเตี้ยผู้เป็นลูกชายของประธานคณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์ถูกทำร้าย เรื่องราวอาจจะไม่จบลงแค่เท่านี้อย่างแน่นอน มีความเป็นไปได้สูงว่าจะก่อให้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ ถึงตอนนั้นคนที่เข้ามาพัวพันก็ไม่รู้ว่าจะมีจุดจบอย่างไร

ชายอ้วนเตี้ยกับลั่วเหลยต่างถูกชายสวมแว่นกรอบทองส่งไปที่โรงพยาบาลเมืองหลวง แต่เย่เทียนเฉินที่ออกมาจากเทียนซ่างเหรินเจียนกลับเดินทอดน่องอยู่บนถนน ตอนนี้เป็นเวลาราวๆ ตีหนึ่งตีสอง เพิ่งจะเป็นการเริ่มต้นของชีวิตกลางคืนในเมืองใหญ่ เวลาเดินอยู่บนถนนมักจะพบกับเหล่าแมงดาหรือกระทั่งสาวขายบริการที่เข้ามาทักทายชวนคุยได้เป็นระยะๆ เรื่องพวกนี้ไม่สามารถกระตุ้นความสนใจของเย่เทียนเฉินได้แม้แต่น้อย ในช่วงสิ้นโลกเย่เทียนเฉินมีสัมพันธ์กับหญิงสาวมากมาย แน่นอนว่าไม่ใช่ว่าเจอผู้หญิงก็มีสัมพันธ์ไปทั่ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่สนใจผู้หญิง เพียงแต่เขาไม่สนใจหญิงมีตำหนิ ผู้หญิงที่เขามีสัมพันธ์ด้วยในชีวิตก่อนต่างก็เป็นผู้หญิงชั้นยอด โลกที่มาเกิดใหม่ใบนี้ทำไมจะไม่มีผู้หญิงชั้นยอดล่ะ?

ในขณะที่เดินผ่านซอยเล็กๆ ซอยหนึ่ง เย่เทียนเฉินก็คล้ายได้ยินคำพูดประมาณว่า คืนเงินมา ไม่อย่างนั้นจะฆ่าทิ้ง ให้น้องสาวแกไปนอนกับหัวหน้า

เย่เทียนเฉินมองไปทางนั้นด้วยความรู้สึกแปลกใจ พลางเดินเข้าไปช้าๆ พบว่าชายฉกรรจ์เจ็ดแปดคนล้อมชายร่างผอมคนหนึ่งเอาไว้ตรงกลาง ชายเจ็ดแปดคนนั้นต่างก็ถือมีดไว้ในมือ และมองไปยังชายร่างผอมคนนั้นอย่างดุร้าย ส่วนชายร่างผอมคนนั้นกำลังปกป้องเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเอาไว้ด้านหลัง เด็กหญิงคนนั้นจับแขนชายร่างผอมไว้อย่างหวาดกลัว เสียขวัญจนสั่นไปทั่วทั้งตัว

“หูหลง ฉันว่าแกส่งน้องสาวแกออกมาดีๆ เถอะน่า ไม่งั้นวันนี้แกได้เจ็บตัวแน่” ชายฉกรรจ์คนหนึ่งกล่าวออกมาพลางมองไปยังชายคนนั้นอย่างดุร้ายในขณะที่กำมีดไว้ในมือ

“ไม่มีทาง!” ชายนามหูหลงกล่าวออกไปด้วยใบหน้าแน่วแน่

“แกแม่งรนหาที่ตาย…”

ชายฉกรรจ์คนนั้นฟันมีดไปยังหูหลง มุมปากของเย่เทียนเฉินพลันปรากฏรอยยิ้ม เนื่องจากเขาเห็นหูหลงลงมือ

ลงมือก่อนได้เปรียบ หูหลงใช้เท้าถีบไปยังชายฉกรรจ์ที่ฟันมีดมาใส่เขาจนกระเด็นออกไป สร้างความตกตะลึงให้แก่ชายฉกรรจ์ที่เหลือ จนต้องกำมีดในมือแน่นอย่างหวาดกลัว

หูหลงมองไปยังชายฉกรรจ์คนอื่นอย่างระมัดระวัง สองหมัดกำแน่น เพื่อเตรียมป้องกันการลงมืออย่างฉับพลันของฉกรรจ์เหล่านั้น

เย่เทียนเฉินพยักหน้าอย่างอดไม่ได้ ชายคนนี้มีฝีมือไม่เลวเลย แม้จะไม่เท่าตนเอง แต่ก็นับเป็นวัตถุดิบชั้นเลิศ ถ้าหากได้รับการฝึกฝนอีกหน่อยจะต้องเก่งยิ่งขึ้นแน่นอน

ในตอนนี้คนที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าของพวกชายฉกรรจ์เดินออกมา มองไปยังหูหลงและเด็กผู้หญิงงดงามสดใสที่หูหลงคุ้มกันแน่นหนาอยู่ด้านหลัง แล้วกล่าวอย่างเป็นมิตรว่า “เสี่ยวหลง ฉันรู้ว่าแกมีฝีมือไม่เลว แต่พี่หลี่บอกแล้วว่าดอกเบี้ยเงินกู้ที่พ่อแม่ของพวกแกติดเราอยู่จำเป็นต้องคืน ในเมื่อพวกแกไม่มีคืน ก็ให้น้องสาวแกมานอนเป็นเพื่อนพี่หลี่สักสองสามวัน ดอกเบี้ยวพวกนั้นนั่นถือว่าหายกัน”

“เหอะ แกกลับไปบอกมันด้วย พ่อแม่ของฉันถูกมันบีบบังคับจนตายไปแล้ว ฉันหูหลงแม้จะต้องไปนอนในคุก หรือต่อให้ต้องตาย ก็จะแก้แค้นให้พ่อกับแม่ให้ได้ ฉันจะต้องฆ่ามันด้วยมือของฉันเอง” หูหลงโกรธแค้น กล่าวออกมาพลางมองไปยังหัวหน้าชายฉกรรจ์ด้วยดวงตาแดงก่ำ

“แกมันไม่รู้เรื่องเอาซะเลย ดอกเบี้ยสิบกว่าล้าน แค่ให้น้องสาวแกไปนอนกับนายท่านของพวกเราไม่กี่วันก็ใช้หมดแล้ว คิดดูให้ดีๆ ซี่”

“ใช่แล้ว ไม่แน่ว่านายท่านใหญ่ของเราอาจจะให้น้องสาวแกเป็นคนรัก แล้วให้ค่าครองชีพทุกเดือนก็ได้”

“บอกแกตามตรง หัวหน้าของพวกเราช่วงนี้อารมณ์ไม่ค่อยดี วันนี้ถ้าหากพวกเราไม่พาน้องสาวแกกลับไป ไม่เพียงแต่พวกเราจะลำบาก แกก็จะเอาชีวิตไม่รอดเหมือนกัน”

ชายฉกรรจ์หลายคนที่เหลืออยู่ต่างก็ใช้ไม้แข็งไม้อ่อน รู้สึกยินดีปรีดาในความโชคร้ายของผู้อื่น เป้าหมายที่พวกเขามาที่นี่ก็เพื่อต้องการนำตัวหญิงอายุราวสิบห้าสิบหกปีที่หูหลงปกป้องอยู่ด้านหลังนั้นกลับไปให้หัวหน้าเล่นสนุก

“อย่าหวังไปเลย พวกแกอยากได้ตัวน้องสาวฉันก็ต้องข้ามศพฉันไปก่อน” หูหลงกล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยว ปกป้องน้องสาวเอาไว้ด้านหลังอย่างแน่นหนา

“เสี่ยวหลง แกมีฝีมือไม่เลว แต่ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเราหรอก ถ้าพวกเราลงมือกันจริงๆ แกไม่รอดแน่ ฉันเห็นว่าแกเป็นคนมีพรสวรรค์คนหนึ่ง หากมาเข้าร่วมกับหัวหน้าของพวกเรา ฉันจะช่วยแกขอร้องหัวหน้าให้ อาจไม่มีปัญหาก็ได้” หัวหน้าชายฉกรรจ์พูดจาหว่านล้อมต่อไป

“เหอะ หลี่เถียอยากให้ฉันไปเป็นลูกน้อง มันยังไม่มีคุณสมบัตินั้น พี่ใหญ่ของหูหลงคนนี้จะต้องมีความยุติธรรม ไม่กดขี่ข่มเหงคนบริสุทธิ์ พวกแกทำเรื่องชั่วๆ มากมาย หากว่าฉันเข้าร่วมกับพวกแกจะสู้หน้าพ่อแม่ที่ตายไปแล้วได้ยังไง” หูหลงร้องเหอะพลางกล่าว

“แม่งเอ้ย ยังจะพูดจาไร้สาระอะไรกับมันอีก ไอเด็กนี่พูดดีๆ ไม่ชอบ ชอบให้ลงไม้ลงมือ ฆ่ามันเลยเถอะ” ชายฉกรรจ์คนหนึ่งพูดอย่างดุดัน

หัวหน้าชายฉกรรจ์โบกมือ คนที่เหลือต่างก็ยกมีดในมือขึ้น เข้าไปล้อมหูหลงไว้ ดูน่ากลัวมาก หูหลงเองก็ไม่มีความมั่นใจ ค่อยๆ ถอยหลังไปช้าๆ แม้ว่าฝีมือของตนเองจะไม่แย่ แต่การต่อกรกับชายฉกรรจ์ที่มีอาวุธพร้อมมือเพื่อปกป้องน้องสาว ในใจก็รู้สึกหวาดหวั่นอยู่บ้าง

“พี่ชาย ให้หนูไปเถอะ หนูไม่อยากให้พี่มีปัญหา” เด็กสาวตัวเล็กที่หลบอยู่ข้างหลังหูหลงกล่าวทั้งน้ำตา

“ไม่ได้ พ่อแม่ไม่อยู่แล้ว ต่อให้ตายพี่ก็ไม่ยอมให้น้องไป เจ้าหลี่เถียนั้นมันไม่ใช่คนดีอะไร” หูหลงกล่าวออกมาอย่างดุดัน

“พี่ชาย พ่อกับแม่ไม่อยู่แล้ว หนูไม่อยากเสียพี่ไปอีกคน ให้หนูไปเถอะ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” เด็กสาวคนนั้นรู้เรื่องรู้ราวมาก แต่น้ำตากลับไหลลงมาไม่หยุด

หลี่เถียให้เหล่าชายฉกรรจ์มาพาตัวน้องสาวของหูหลงไป ความตั้งใจชัดเจนมาก คือต้องการทำเรื่องสกปรกโสมม หากเด็กสาวคนนี้ไปก็เท่ากับเดินเข้าไปในกองไฟ ไม่รู้ว่าจะถูกย่ำยีอย่างไร ทำให้คนอดจินตนาการไม่ได้

“ไม่ ถ้าหากว่าน้องเป็นอะไรไป ต่อให้พี่ตายก็ไม่มีหน้าไปพบพ่อแม่ วันนี้พี่จะไม่ให้มันเอาตัวน้องไป นอกจากจะข้ามศพพี่ไปก่อน” หูหลงตะโกนพูดกับน้องสาวด้วยเสียงอันดัง

………………………………….

บทที่ 11 เอาขวดเบียร์ไปกินสามขวด
Ink Stone_Fantasy
“พี่เหลยวางใจเถอะ เรื่องนี้ไม่ปล่อยให้จบง่ายๆ แน่ พวกเราเริ่มให้คนไปตรวจสอบแล้ว!” ชายอ้วนเตี้ยที่นั่งอยู่ด้านข้างกล่าวออกมาอย่างโกรธแค้น

“ผมคิดว่าเรื่องนี้ ตระกูลเย่อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้อง….” ชายร่างผอมสวมแว่นกรอบทองอีกคนหนึ่งกล่าวพลางดุนแว่นของตนเอง

“ตระกูลเย่? แกคงจะไม่บอกฉันว่าเป็นเจ้าขยะเย่เทียนเฉินนั่นหรอกใช่ไหม?” ชายอ้วนเตี้ยกล่าวด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย

พอได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของชายร่างอ้วนเตี้ย ชายสวมแว่นกรอบทองก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่มองไปยัง ลั่วเหลยที่อยู่ข้างๆ ลั่วเหลยเป็นพี่ชายแท้ๆ ของลั่วเทา เป็นคุณชายใหญ่แห่งตระกูลลั่ว บวกกับการได้เข้าร่วมกองกำลังเหยี่ยวนักล่า ดังนั้นจึงหยิ่งผยองยิ่งกว่าลั่วเทายิ่ง ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ลงมือกับเย่เทียนเฉินที่ไม่ได้มีความแค้นลึกซึ้งอะไรกับตน ด้วยการจ่ายเงินติดสินบนหัวหน้าบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ซุบซิบที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง ให้ตีพิมพ์เรื่องที่ทำให้เย่เทียนเฉินเสื่อมเสียชื่อเสียง

แต่ที่ชายสวมแว่นกรอบทองพูดเช่นนี้ ก็เพราะเขารู้ว่าเนื้อหาที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ซุบซิบนั้นเป็นแค่คำโกหกที่ลั่วเหลยปั้นแต่งเพื่อโจมตีศัตรูความรักอย่างเย่เทียนเฉิน กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การที่เย่เทียนเฉินสามารถรอดกลับมาได้เป็นไปได้มากว่าจะเป็นเพราะศักยภาพของตนเอง ถ้าหากว่าเป็นเช่นนี้จริงๆ ก็ทำให้ผู้คนรู้สึกข้องใจแล้ว

“เย่เทียนเฉิน? ตระกูลเย่ตกต่ำลงแล้ว เจ้าขยะที่ทำให้ตระกูลต้องขายขี้หน้านั่น ฉันใช้แค่นิ้วเดียวก็ปลิดชีวิตมันได้!” ลั่วเหลยกล่าวพลางรอยยิ้มเย็นชาที่มุมปาก

ความจริงตอนนี้ใจของลั่วเหลยกำลังเต้นรัว ‘เป็นเจ้าขยะเย่เทียนเฉินที่ทำร้ายของชายของเขาจริงๆ หรือ? เจ้าหมอนี่แต่เดิมก็เป็นลูกชายเสเพล อีกทั้งยังนำความอัปยศมาสู่ครอบครัวจนทำให้ตระกูลเย่ไม่สามารถเงยหน้าได้อีกในเมืองหลวง แม้ว่าภายหลังจะสำนึกขึ้นมา ด้วยการไปเป็นทหารเข้าร่วมกับกองทัพ แต่ก็คงไม่กล้าลงมือกับตระกูลลั่วของตนแน่นอน ต่อให้สู้กันตัวต่อตัว ทหารหาญที่สามารถเข้ากองกำลังเหยี่ยวนักล่าที่แข็งแกร่งได้อย่างเขา ก็สามารถเก็บกวาดได้ง่ายๆ เจ้าหมอนี่จะกล้าลงมือเชียวเหรอ?’

“มีอยู่ข่าวหนึ่ง ผมไม่รู้ว่าพวกจะพูดดีไหม!” ชายสวมแว่นกรอบทองชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะกล่าวออกมา

“เจ้าแว่น มีอะไรก็พูดมาเลย พ่อของแกก็เป็นถึงอธิบดีกรมตำรวจของเมืองหลวง ยังกลัวจะมีเรื่องอะไรที่จัดการไม่ได้อีกเหรอวะ?” ชายอ้วนเตี้ยกล่าวออกมาด้วยความรู้สึกไม่ดี

“พูดมาเถอะเจ้าแว่น มีอะไรก็พูด ตระกูลเย่ไม่นับเป็นตัวอะไรหรอก” ลั่วเหลยกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มเย็นชา

ชายสวมแว่นกรอบทองเมื่อเปรียบเทียบกับเจ้าอ้วนเตี้ยและลั่วเหลยแล้วดูสุขุมกว่ามาก แม้ว่าจะบ้าระห่ำ แต่ก็ทราบดีว่าในเมืองหลวงนี้มีความซับซ้อน หากไม่ต้องล่วงเกินคนอื่นได้ก็อย่าไปล่วงเกินจะดีกว่า อย่างน้อยๆ ก็อย่าล่วงเกินอย่างโจ๋งครึ้ม เพราะใครก็ทราบว่าไม่มีสิ่งใดคงทนถาวร ในอนาคตอาจจะต้องขอความช่วยเหลือก็เป็นได้ ใครจะรู้?

แต่ถึงแม้ว่าชายสวมแว่นกรอบทองจะเป็นระมัดระวังตัว แต่ก็ยังมีความหยิ่งผยอง มิฉะนั้นคงไม่สามารถเป็นเพื่อนสนิทกับลั่วเหลยได้ ดังคำที่ว่ากาเข้าฝูงกา หงส์เข้าฝูงหงส์ เหมือนกับที่พวกเขารู้ ตระกูลเย่ตกต่ำลงแล้ว บวกกับการโผล่มาของเย่เทียนเฉิน ลูกล้างผลาญที่ทำเรื่องงามหน้าจนรู้ไปทั่วทั้งเมือง หลังจากนำความอัปยศมาสู่ตระกูลแล้ว หลายคนก็มองตระกูลเย่ด้วยสายตาดูถูก ปกติจึงไม่เห็นอยู่ในสายตา

“ข่าวที่ฉันได้ยินมาก็คือ หลังจากที่พวกทหารหน่วยรบพิเศษทั้งเจ็ดของเย่เทียนเฉินถูกซุ่มโจมตี ก็เหลือแค่มันกับหานเจี๋ย เย่เทียนเฉินอยู่ๆ ก็ระเบิดพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งออกมา ฆ่าพวกโจรทั้งหมดทิ้ง แล้วยังทำภารกิจได้สำเร็จ แบกหานเจี๋ยรอดกลับมาได้….” ชายสวมแว่นกรอบทองกล่าวด้วยน้ำเสียงตกตะลึง

เมื่อลั่วเหลยกับเจ้าอ้วนเตี้ยได้ฟังคำพูดของชายสวมแว่นกรอบทองก็ขมวดคิ้ว ข่างนี้พวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อนจริงๆ แต่พ่อของชายสวมแว่นกรอบทองเป็นอธิบดีกรมตำรวจแห่งเมืองหลวง การเป็นอธิบดีกรมตำรวจในสถานที่ที่เต็มไปด้วยพฆัคฆ์หมอบมังกรซ่อนเช่นนี้ได้ก็สุดยอดมาก อีกทั้งการอยู่ในหน่วยงานทหารและตำรวจอาจจะได้ยินถึงข่าวลือบางอย่าง

หลังจากที่เย่เทียนเฉินออกจากกองทัพ สิ่งที่ประกาศแก่ภายนอกก็คือถูกกองทัพปลดออก ซึ่งส่งผลกระทบด้านลบต่อเขา เรื่องนี้ชางหลางได้บอกกับเย่เทียนเฉินตั้งแต่แรกแล้ว แต่เย่เทียนเฉินไม่ได้สนใจ ในส่วนแฟ้มข้อมูลของเย่เทียนเฉินก็ได้รับการจัดให้เป็นเอกสารความลับระดับหนึ่งของประเทศ แต่ก็ยังคงมีข่าวลือบางส่วนเล็ดลอดออกมาอยู่ดี ถึงอย่างไรคนที่ทราบความจริงของเรื่องนี้ก็มีอยู่บ้าง

“เหอะๆ เจ้าแว่น แกอวยไอหนูนั่นเกินไปรึเปล่าวะ? ถ้ามันมีความสามารถแบบนี้จริง ฉันจะเอาหัวไปเป็นม้านั่งให้มันเลย!” ชายอ้วนเตี้ยกล่าวพลางหัวเราะเยาะ

“เป็นไปไม่ได้หรอก แม้ว่าเจ้าหมอนี่เป็นทหารหน่วยรบพิเศษ ก็ไม่มีความสามารถในการต่อสู้ขนาดนั้น การฆ่าล้างทหารชั้นยอดจากกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิต ต่อให้เป็นครูฝึกขั้นหนึ่งของกองกำลังเหยี่ยวนักล่าก็ยังทำได้ยาก เจ้าหมอนี่เป็นได้อย่างมากก็แค่ทหารหนีทัพเท่านั้นแหละ!” ลั่วเหลยก็กล่าวอย่างเหยียดหยาม

ประตูถูกผลักเปิดออกอย่างช้าๆ เย่เทียนเฉินที่คาบบุหรี่อยู่ในปากมวนหนึ่ง เดินเข้ามายังห้องที่ลั่วเหลย ชายอ้วนเตี้ยและชายสวมแว่นกรอบทองอยู่ จากนั้นก็ค่อยๆ ปิดประตูลงพร้อมกับล็อกกลอน แล้วนั่งลงที่โซฟาอย่างสบายใจ ระหว่างนั้นก็สูบบุหรี่ไปพลาง รินเหล้าให้ตัวเองดื่มไปพลาง

ลั่วเหลย ชายอ้วนเตี้ยและชายสวมแว่นกรอบทองต่างก็รุ้สึกตกตะลึงกับชายหนุ่มที่อยู่ๆ ก็เดินเข้ามา พวกเขาไม่รู้ว่าชายคนนี้เป็นใคร และไม่รู้ว่านี่หมายความว่าอะไร แต่จากการแสดงออกทั้งหมดตั้งแต่เดินเข้ามา ไม่น่าจะเป็นคนกันเอง

“แกเป็นใคร?” ลั่วเหลยลุกขึ้นยืน กล่าวถามพลางกำหมัดแน่น

“ฉันคือทหารหนีทัพที่แกพูดไง….” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางยิ้มอย่างลึกซึ้ง

“นาย….นายคือเย่เทียนเฉิน?” ชายสวมแว่นกรอบทองดันแว่นตัวเอง ความตกใจปรากฏขึ้นบนใบหน้า

ชายอ้วนเตี้ยกลับไม่ตกใจเลยแม้แต่น้อย ภูมิหลังของครอบครัวเขาในเมืองหลวงนั้นแม้ว่าจะไม่นับว่าเป็นตระกูลใหญ่อะไร แต่ก็ยังมีอำนาจอยู่บ้าง ในความคิดของเขา ตระกูลเย่ที่ตกต่ำมานานแล้วไม่กล้าก่อเรื่องแน่นอน อีกทั้งไม่เชื่อว่าคนที่เคยเป็นเศษขยะอย่างเย่เทียนนเฉินจะสุดยอดถึงขนาดนั้น ดังนั้นจึงเดินไปเบื้องหน้าเย่เทียนเฉิน จงใจมองด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยามก่อนที่จะหัวเราะเยาะพลางกล่าวออกมาว่า “รสชาติที่ได้คุกเข่าอยู่ที่ตระกูลหลิ่วทั้งวันไม่เลวเลยใช่ไหมล่ะ? ถูกตระกูลฉีถอนหมั้นมารู้สึกเป็นไงบ้าง? ชีวิตสุนัขที่รอดมาได้จากการขายเพื่อนกับคุกเข่าร้องขอชีวิตมีความสุขดีไหม?”

เพล้ง เพล้ง เพล้ง!

ลั่วเหลยกับชายสวมแว่นกรอบทองมองการเคลื่อนไหวของเย่เทียนเฉินไม่ชัด เห็นเพียงแค่ชายอ้วนเตี้ยถูกตีด้วยขวดเบียร์สามขวด จนหัวแตกเลือดไหล ล้มลงไปกองกับพื้น กรีดร้องออกมาราวหมูถูกเชือด ร่างกายสั่นกระตุกไม่หยุด ไม่รู้ว่าโดนตีไปรุนแรงถึงขนาดไหน

“รสชาติที่ขวดเหล้ากระทบหัวไม่เลวเลยใช่ไหม? ความรู้สึกที่ถูกขวดเหล้าตีรัวๆ ไปสามขวดเป็นไงบ้าง? หรือตอนนี้แกยังรู้สึกสุกสบายใจอยู่?” เย่เทียนเฉินกล่าวเสียงเรียบ มุมปากปรากฏรอยยิ้มลึกซึ้ง

เหตุการณ์นี้สะกดลั่วเหลยกับชายสวมแว่นกรอบทองเสียจนขยับตัวไม่ออก ชายตรงหน้ากล่าวอย่างชัดเจนว่าเป็นเย่เทียนเฉิน ต่างกับการคาดการณ์ของพวกเขามาก เจ้าหมอนี่ตีชายอ้วนเตี้ยจนอยู่ในสภาพครึ่งเป็นครึ่งตายด้วยท่าทางสงบและสุขุม ต้องรู้ว่าพ่อของชายอ้วนเตี้ยเป็นประธานคณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์แห่งเมืองหลวง มีเส้นสายกว้างขวาง แต่เหตุผลนี้ไม่สามารถห้ามไม่ให้เย่เทียนเฉินตีหัวเจ้าหมอนี้ให้แตกได้ ปากเสียนัก ก็ถูกตีหัวไปซะ เป็นเรื่องสมควรแล้ว

ลั่วเหลยพลันลุกขึ้นยืน แม้ว่าเขาจะรู้สึกตกใจ แต่ในสายตาของเขา เย่เทียนเฉินไม่นับเป็นอะไร ตระกูลเย่เองก็ไม่นับเป็นอะไร ตอนนี้ตระกูลลั่วของเขาเหนือกว่าตระกูลเย่ เขาลั่วเหลยก็เหนือกว่าเย่เทียนเฉิน นี่คือความคิดของลั่วเหลย

“ฉันถามแกสักเรื่อง แกเป็นคนที่ทำร้ายน้องชายฉันใช่ไหม?” ลั่วเหยียนวางท่า กล่าวถามพลางใช้นิ้วชี้ขวาชี้ไปที่เย่เทียนเฉิน

“มันไม่ทนมือเอาซะเลย แต่ฉันหวังว่าแกจะทนมือหน่อยนะ”

“เหอะ แกกล้ามารนหาที่ตาย ฉันนับถือความกล้าของแกจริงๆ ฉันใช้เท้าเดียวก็เหยียบแกให้ตายได้แล้ว….” ลั่วเหลยกล่าวออกมาพลางหัวเระอย่างโมโห

“จะพูดพล่ามไปทำไม พวกแกเข้ามาพร้อมๆกันทั้งสองคนนั้นแหละ หรือจะมาเดี่ยวกันตัวตัว?” เย่เทียนเฉินหยิบบุหรี่ที่คาบอยู่ในปากออก กล่าวถามพลางพ่นควันออกมา

พอได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน ชายสวมแว่นกรอบทองก็ถอยหลังไปสองก้าวอย่างชัดเจน ในด้านความสามารถนั้นเขาเทียบกับลั่วเหลยไม่ได้ อีกทั้งชายสวมแว่นกรอบทองในตอนนี้ยังรู้สึกได้ถึงความแข็งกร้าวที่ไม่แยแสบนร่างของ เย่เทียนเฉิน การใช้ขวดเหล้าสามขวดตีชายอ้วนเตี้ยเสียจนครึ่งเป็นครึ่งตาย ไม่ว่าจะเป็นศักดิ์ฐานะหรือผลลัพธ์ที่ตามมา สีหน้าสุขุมเช่นนี้ไม่สามารถเสแสร้งออกมาได้เด็ดขาด เย่เทียนเฉินในตอนนี้ดูราวกับผู้สูงศักดิ์ที่มีตำแหน่งฐานะ ไม่เห็นลั่วเหลยอยู่ในสายตาโดยสิ้นเชิง

“ต่อให้ฉันฆ่าแกตรงนี้ก็ไม่มีใครกล้าทำอะไรฉันอยู่ดี!” ลั่วเหลยกล่าวอย่างดุร้าย

“งั้นทำไมไม่ลงมืออีก หรือว่าดีแต่ปาก? ใช่ๆ ฉันได้ยินมาว่าแกเป็นสมาชิกของกองกำลังเหยี่ยวนักล่า ให้ฉันเห็นความสามารถของแกหน่อยสิ ถ้าแกโจมตีถูกฉันสักครั้ง เรื่องที่แกใส่ร้ายป้ายสีฉันก็ถือว่ายกเลิกกันไป เป็นไง?” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“รนหาที่!”

ลั่วเหลยมองชายสวมแว่นกรอบทองอย่างดูถูก เจ้าหมอนี่ทุกครั้งที่มีเรื่องอะไรก็เอาแต่ยืนอยู่ข้างๆ เป็นคนประเภทที่ไม่กล้าโผล่หน้าออกมา และในสายตาของลั่วเหลย การที่เย่เทียนเฉินมาเสแสร้งแกล้งอวดว่าเจ๋ง เป็นการรนหาที่ตายแท้ๆ ตนเองต่อยหมัดเดียวก็ทำให้เย่เทียนเฉินลงไปกองกับพื้นแทบหาฟันตัวเองไม่เจอได้แล้ว

ลั่วเหลยต่อยหมัดออกไปโดยเล็งไปที่หน้าของเย่เทียนเฉิน

เปรี้ยง!

น่าเสียดายที่หมัดของลั่วเหลยเพิ่งจะต่อยออกไป ก็ถูกเท้าของเย่เทียนเฉินถีบกระเด็นไปตกลงไปบนโต๊ะกระจกอย่างรุนแรงจนแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ลั่วเหลยที่เดิมที่ทั้งหยิ่งทะนงทั้งดูถูกเย่เทียนเฉิน เพิ่งจะออกหมัดไปก็ถูกซัดหมอบไปกับพื้น สองมือกุมท้องตนเองแน่นพลางร้องอย่างโหยหวนออกมา

เดิมทีเย่เทียนเฉินมาเพื่อเก็บกวาดลั่วเหลย เจ้าหมอชั่วช้าสามานย์ เล่นงานลับหลัง จำเป็นต้องสั่งสอน ถ้าหากว่ามีคนตะโกนเรียกและท้าดวลกับเย่เทียนเฉินซึ่งหน้า เย่เทียนเฉินก็อาจจะนับถือคนๆ นั้น ในช่วงสิ้นโลกเย่เทียนเฉินฆ่าพวกคนถ่อยที่น่ารังเกียจเช่นนี้ไปไม่น้อย แม้ว่าจะเกิดใหม่ในโลกนี้ หลักการที่เย่เทียนเฉินยึดถือก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ทำตามหลักเหตุผล ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง

“แก….” มุมปากของลั่วเหลยมีเลือดไหลออกมา มองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างเจ็บปวด คิดไม่ถึงว่าสมาชิกกองกำลังเหยี่ยวนักล่าที่น่าภาคภูมิอย่างตนจะแพ้ด้วยการถีบเพียงครั้งเดียวของเย่เทียนเฉิน

ชายสวมแว่นกรอบทองตกใจเสียเกือบจะล้มลงบนพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง เขาจินตนาการไม่ออกเลยจริงๆ ว่าตัวตลกแห่งเมืองหลวง เศษสวะที่เคยนำพาความอัปยศอย่างยิ่งยวดมาสู้ตระกูลอย่างเย่เทียนเฉิน จะกลายเป็นคนแข็งแกร่งเช่นนี้ ลงมือแม่นยำและดุดัน ซัดลั่วเหลยไปกองกับพื้นจนแทบหาฟันตัวเองไม่เจอ

“ดูเหมือนว่าแกกับน้องชายไม่ทนมือทนเท้าเหมือนกันเลยนะ คนตระกูลลั่วอ่อนขนาดนี้เลยเหรอ? ทำเป็นแค่เล่นงานลับหลังสินะ?” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางมองไปยังลั่วเหลยอย่างไม่เรียบเฉย

………………………………………

บทที่ 9 พลังพิเศษแห่งการรับรู้!
Ink Stone_Fantasy
เย็นวันนั้น ครอบครัวของเย่เทียนเฉินทั้งสี่คนกินข้าวร่วมกันอย่างยินดีแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน

ทุกคนต่างก็มีความสุข แม้ว่าจะยกเลิกสัญญาแต่งงานกับตระกูลฉีแล้ว แต่เดิมทีก็ไม่เคยคาดหวังอะไร

แต่การที่เย่หงสามารถเลื่อนจากรองผู้ว่าการรัฐไปเป็นเลขาธิการคณะกรรมการได้ ก็เป็นเรื่องที่ไม่กล้าจินตนาการถึงมาก่อน อีกทั้งยังได้รับหุ้นครึ่งหนึ่งของเครือไห่หวัง

สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงของเย่เทียนเฉิน

หลังจากที่รับประทานอาหารเย็นแล้ว ทั้งครอบครัวก็นั่งดูโทรทัศน์ คุยเล่น ดื่มชา และกินขนมด้วยกันอย่างมีความสุข

ยามราตีเวลาเที่ยงคืนตรง ตอนที่บิดามารดาและน้องสาวของเย่เทียนเฉินนอนหลับไปแล้ว เย่เทียนเฉินกลับนั่งขัดสมาธิ เขาหลับตาทั้งสองแน่น บนหน้าผากค่อยๆ มีเหงื่อเย็นๆ ผุดออกมา เขากำลังกระตุ้นพลังพิเศษในร่างกายของตนเอง

แก้วน้ำใบหนึ่งที่กำลังลอยอยู่เบื้องหน้าเย่เทียนเฉิน กำลังแผ่พลังสีฟ้าอ่อนออกมา แก้วน้ำใบนี้เดี๋ยวมีน้ำแข็งเกาะ เดี๋ยวสลายตัวเป็นน้ำ ตามการเคลื่อนไหวของนิ้วชี้ข้างขวาของเย่เทียนเฉิน นี่เป็นเพียงการใช้งานที่ง่ายที่สุดของพลังประเภทน้ำ

เย่เทียนเฉินพบว่าแก่นพลังภายในสมองมักจะผันผวนเป็นบางครั้งบางคราว นั้นไม่สามารถรวบรวมพลังพิเศษในชีพจรได้ มีเพียงตอนที่ต่อสู้รุนแรงถึงขั้นความเป็นความตายเท่านั้น การสั่นไหวของของแก่นพลังงานจึงจะขยายใหญ่ขึ้น และสามารถรวบรวมพลังได้มากขึ้น

ตอนนี้พลังของเย่เทียนเฉินลดลงจากระดับพระเจ้าเหลือเพียงระดับราชัน ลดลงมาถึงสามขอบเขต หากต้องการฟื้นฟูกลับไปที่ระดับพระเจ้าก็จำเป็นต้องต่อสู้กับผู้แข็งแกร่งที่มีพลังมาก มิฉะนั้นจะไม่สามารถกระตุ้นการระเบิดของแก่นพลังในสมองได้

ทันใดนั้น เย่เทียนเฉินก็พลันลืมตาขึ้น มือซ้ายพุ่งไปรับแก้วน้ำที่ตกลงมาอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็ขมวดคิ้ว

เป็นเพราะเมื่อสักครู่นี้เขาปลดปล่อยพลังพิเศษของตนเอง สามารถสัมผัสได้ถึงความแปรปรวนของพลังธรรมชาติที่อยู่รอบๆ รู้สึกได้ว่ามีคนเข้ามาในบ้านพร้อมกับไอสังหารอ่อนๆ

มุมปากของเย่เทียนเฉินปรากฏรอยยิ้มขึ้น ดูท่าแล้วจะเป็นดั่งที่ชางหลางพูด ไม่ว่าจะเวลาใด ไม่ว่าจะยุคใด ล้วนมีการต่อสู้และการฆ่าฟัน ไม่ว่าจะในที่แจ้งหรือในที่ลับ หากตนเองแข็งแกร่งไม่พอ ก็เป็นได้แค่เนื้อปลาให้คนอื่นมาตัดแบ่งไป

เย่เทียนเฉินเปิดประตูห้องนอน เดินออกไปอย่างไร้เสียง จากนั้นก็นั่งลงบนโซฟาในห้องรับแขก ปากคาบบุหรี่ไว้มวนหนึ่ง พลางสูบอย่างสบายอกสบายใจ

ขณะนี้เอง นักฆ่าสวมหน้ากากสองคนพังหน้าต่างเข้ามาเงียบๆ ตอนที่พวกเขาเข้ามาข้างในห้องรับแขกของบ้านเล็กๆ หลังนี้ ก็พบว่าบนโซฟามีคนๆ หนึ่งนั่งอยู่ ต่างตกใจกันชั่วขณะ

“ยินดีต้อนรับทั้งสองมาชมจันทร์ที่บ้านของฉัน!” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม

นักฆ่าทั้งสองแม้จะรู้สึกตกตะลึง แต่ก็ไม่ถึงกับกลัว พวกเขาต่างก็เป็นบุคคลที่คลุกคลีอยู่กับวงการนี้มาหลายปี ครั้งนี้ได้รับค่าจ้างจำนวนมหาศาลห้มาทำภารกิจ ย่อมไม่ใช่นักฆ่าที่โจรกระจอกจะมาเทียบเคียงได้

หลังจากที่ตกตะลึงไปพักหนึ่ง นักฆ่าทั้งสองก็ควักมีดสั้นออกมาพร้อมกันแล้วพุ่งเข้าไปหาเย่เทียนเฉิน

เย่เทียนเฉินรู้สึกยินดีที่นักฆ่าทั้งสองไม่ได้พกปืนมา ไม่ใช่ว่าเขากลัว เขาที่เคยเป็นผู้มีพลังพิเศษระดับพระเจ้า ต่อให้ตอนนี้พลังจะลดเหลือเพียงระดับราชัน การรับมือกับนักฆ่าสองคนนี้ก็เป็นเรื่องง่ายดาย เพียงแต่เขาเกรงว่าเสียงปืนจะไปปลุกพ่อแม่และน้องสาวของตนจนตื่น รบกวนฝันหวานของพวกเขา

หลายปีมานี้ พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในความเครียดและความกังวล ทั้งหมดเป็นเพราะสิ่งที่เขาก่อขึ้น ดังนั้นในตอนนี้ เย่เทียนเฉินไม่อนุญาตให้ใครหน้าไหนมารบกวนครอบครัวของเขาทั้งนั้น ใครกล้ามารบกวนต้องชดใช้ด้วยชีวิต!

นักฆ่าคนหนึ่งพุ่งทะลวงเข้ามาก่อน เขามีฝีมือไม่เลว แค่กระโดดครั้งเดียว คมมีดก็พุ่งไปยังลำคอของเย่เทียนเฉินด้วยความรวดเร็วอย่างหาที่เปรียบไม่ได้แล้ว

แต่ในตอนที่มุมปากของนักฆ่าปรากฏรอยยิ้มพึงพอใจ รอยยิ้มของเขาก็พลันชะงักไป

เนื่องจากเย่เทียนเฉินคว้าข้อมือขวาของเขาไว้ในอากาศ แล้วเปลี่ยนแปลงทิศทางของมีดสั้นไปตัดลำคอของเขาจนสะบั้น แม้แต่เสียงร้องโหยหวนก็ยังไม่ทันดังออกมาด้วยซ้ำ ลมหายใจก็ขาดห้วงไป

ส่วนตอนที่นักฆ่าอีกคนหนึ่งเพิ่งจะพุ่งเข้ามา เย่เทียนเฉินไปโผล่เบื้องหน้าเขาในเกือบพริบตา ใช้มีดสั้นเปื้อนเลือดจ่อไปที่หน้าอก ขู่นักฆ่าคนที่เหลืออยู่ให้ตกใจกลัวจนไม่กล้าขยับเลยแม้แต่น้อย

“อย่า น้องชาย ไว้ ไว้ชีวิตฉันด้วย….”

นักฆ่าที่เหลืออีกรู้สึกตกใจกลัวจนสันหลังเย็นวาบ คาดไม่ถึงว่าในบ้านธรรมดาๆ หลังนี้จะซ่อนตัวยอดฝีมือเช่นนี้ไว้ด้วย ตายังไม่ทันกระพริบด้วยซ้ำ ก็ฆ่าสหายของเขาตายแล้ว

“ไว้ชีวิตแกน่ะได้ ฉันอยากรู้ว่าใครส่งแกมา มาทำอะไร หากตอบผิดล่ะก็ แกตายแน่” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้มตั้งแต่ต้นจนจบ

ตอนนี้เมื่อได้เห็นรอยยิ้มของเย่เทียนเฉิน นักฆ่าผู้นั้นก็ราวกับเห็นเทพแห่งความตาย เขาตกใจกลัวจนตัวสั่น บุคคลตรงหน้าก็ไม่ต่างอะไรกับเทพแห่งความตาย สามารถฆ่าสหายของตนได้ในการโจมตีครั้งเดียว แม้แต่คิ้วก็ไม่ขมวดด้วยซ้ำ แถมยังยิ้มอยู่ตลอดเวลาจนทำให้รู้สึกเย็นไปถึงขั้วหัวใจ

“ฉัน ฉันมาลักพาตัวคนตระกูลเย่สามคน….”

“ใครส่งแกมา?”

“ฉิน ตระกูลฉิน”

เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว ตระกูลฉิน?

ตอนกลางวันฉีชางเซิ่งพูดไว้ว่าฉีหรูเสวี่ยกับฉินเหิงเกิดรักแรกพบ ทำไมตระกูลฉินถึงส่งนักฆ่ามาที่นี่อีก? เรื่องนี้จะต้องมีความลับอะไรอยู่แน่นอน

“ฉันอยากรู้ว่าทำไม?”

เย่เทียนเฉินใช้ด้านข้างของมีดตบเบาๆ ไปที่ขากรรไกรของนักฆ่าคนนั้น เป็นการขู่ไม่ให้ผู้บุกรุกพูดโกหก นี่เป็นกลวิธีในการไต่สวนด้วยตัวเองวิธีหนึ่ง

“เรื่องนี้ ฉัน ฉันก็ไม่รู้….” นักฆ่าคนนั้นมองเย่เทียนเฉินพลางพูดอย่างตะกุกตะกัก

“ฉันจะนับถึงสาม ถ้าหากไม่มีคำตอบล่ะก็ คงต้องส่งแกไปตายซะแล้วล่ะ” เย่เทียนเฉินถอนหายใจครั้งหนึ่ง แล้วกล่างพลางส่ายหน้า

“เรื่องนี้ ฉัน ฉันไม่รู้จริงๆนะ ฉัน….”

“หนึ่ง!”

“สอง!”

“สาม….”

คำว่าสามของเย่เทียนเฉินยังพูดไม่ทันจบ นักฆ่าคนนั้นก็เปิดปากพูด อีกทั้งยังพูดอย่างรวดเร็วว่า

“คนตระกูลฉิน พ่อของฉินเหิงอยากจะแย่งตำแหน่งกับพ่อของคุณ แต่ผลงานทางการเมืองสู้เย่หงไม่ได้ ก็เลยอยากลักพาตัวภรรยาและลูกสาวของเขาเพื่อข่มขู่”

“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง แกไปได้แล้ว อย่าลืมกลับไปบอกคนตระกูลฉินด้วยว่า ฉันเย่เทียนเฉินจะหาเวลาไปเยี่ยม”

นักฆ่าคนนั้นตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าคนๆ นี้ก็คือเย่เทียนเฉิน อีกทั้งยังปล่อยให้เขากลับไปจริงๆ เขาเดินไปยังหน้าต่างด้วยความกระวนกระวายใจ ตอนที่กำลังเตรียมจะกระโดดออกไป เสียงสวบก็ดังขึ้น ลำคอของนักฆ่าคนที่รอดอยู่ถูกแทงทะลุ เลือดพุ่งกระฉูดออกมา สองมือกุมคอของตนเองไว้ ล้มลงไปที่พื้นด้วยความตกใจกลัว

“โทษทีว่ะ ฉันคิดว่าฉันไปบอกเองดีกว่า” เย่เทียนเฉินพูดพลางเกาหัว

ความเมตตาต่อศัตรู ก็คือความโหดร้ายต่อตัวเอง

เย่เทียนเฉินไม่ใชพวกอวดดีและพวกชอบหาเรื่องใส่ตัว แต่ใครกล้ามาหาเรื่องรังควานเขา เขาก็จะไม่ปล่อยไปเด็ดขาด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนที่ทำร้ายครอบครัวของเขา คนที่ทำแบบนั้นทำได้แค่ชดใช้ด้วยชีวิต

ช่วงวันสิ้นโลกป็นโลกที่เต็มไปด้วยการเข่นฆ่าสังหาร ทุกที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด คุณไม่ฆ่าเขา เขาก็ฆ่าคุณ เป็นเหตุผลที่เรียบและตรงไปตรงมา

ในคืนนั้นเย่เทียนเฉินนำศพของนักฆ่าทั้งสองไปทิ้งที่ไกลๆ และลบร่องรอยของที่อยู่บนตัวของนักฆ่าทั้งสองออกจนหมด จากนั้นก็กลับบ้านมาทำความสะอาดสถานที่เกิดเหตุ ค่อยกลับไปนอนในห้องนอนของตนเอง

เช้าวันต่อมา เย่เทียนเฉินถูกเสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นรัวๆ ปลุก เขาเปิดประตูออกไปดูพบว่าเป็นน้องสาวของเขา เย่เชี่ยนเหวิน เขาหาวออกมาพลางถามออกไปว่า

“เช้าตรู่ไม่หลับไม่นอน มาเคาะประตูห้องทำไม?”

“นี่ยังเช้าอยู่อีกเหรอ? แดดส่องก้นหมดแล้ว พ่อเรียกให้พี่ลงไป เห็นว่ามีเรื่องจะคุยกับพี่น่ะ!” เย่เชี่ยนเหวินพูดพลางกรอกตาใส่เย่เทียนเฉินไปรอบหนึ่ง

เย่เทียนเฉินหัวเราะฮี่ๆ ปิดประตูสวมเสื้อผ้าจากนั้น จากนั้นก็ลงไปชั้นล่าง เมื่อไปถึงชั้นล่างก็พบว่าเย่หงขมวดคิ้วแน่น กำลังถือหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งอ่านอยู่ เมื่อเห็นว่าเย่เทียนเฉินลงมาแล้วก็บอกว่า “เทียนเฉิน มานั่งสิ!”

“พ่อ เรียกผมมามีเรื่องอะไรเหรอครับ?” เย่เทียนเฉินถามด้วยรอยยิ้ม

“ลูกดูหนังสือพิมพ์ฉบับนี้สิ!” เย่หงไม่ได้กล่าวอะไรมาก เพียงส่งหนังสือพิมพ์ในมือให้เย่เทียนเฉิน

เย่เทียนเฉินที่รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยรับหนังสือพิมพ์มาอ่าน พบว่าในหน้าที่สองของหนังสือพิมพ์มีหัวข้อข่าวหัวข้อหนึ่งเขียนไว้ว่า

เย่เทียนเฉิน ขายสหายร่วมรบ คุกเข่าขอชีวิต!

แม้ว่าตัวอักษร “เฉิน” จะเปลี่ยนไปใช้ตัวอื่น แต่คนที่มีหน้ามีตาหน่อยต่างก็รู้ว่าเย่เทียนเฉินแห่งตระกูลเย่เคยเป็นพวกไร้การศึกษา ไปเข้าร่วมสมัครเป็นทหาร ภายหลังปลดประจำการกลับมาบ้าน

หลายคนต่างก็ได้ยินเรื่องที่ทหารหน่วยรบพิเศษทั้งเจ็ดโดนลอบโจมตี

เพียงแต่มีน้อยคนที่รู้เบื้องหลัง เห็นได้ชัดว่ามีคนต้องการใส่ร้ายป้ายสีเย่เทียนเฉิน ต้องการให้เย่เทียนเฉินขายหน้า ทำลายชื่อเสียงตระกูลเย่

เย่เทียนเฉินอ่านเนื้อหาข่าวลวกๆ เขียนไว้ว่าตอนที่ตนเองไปรบกับสหายศึกที่ชายแดน พบกับการซุ่มโจมตี จนถูกพวกโจรจับเป็นเชลย เพื่อจะมีชีวิตรอดจึงคุกเข่าร้องขอชีวิตและยอมขายเพื่อนพ้อง ทำให้ทหารหน่วยรบพิเศษห้าคนต้องตาย

ส่วนหานเจี๋ยก็อาศัยความสามารถของตัวเองรอดกลับมาได้ แต่เรื่องทั้งหมดถูกเย่เทียนเฉินปิดบังไว้ก็เท่านั้น

คุกเข่าขอชีวิต? ขายพวกพ้อง? เมื่อเย่เทียนเฉินเห็นคำเหล่านี้ จิตใจก็ปั่นป่วนขึ้นมา

ในโลกช่วงสิ้นโลก เย่เทียนเฉินมีเพื่อนไม่กี่คนที่สามารถต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันได้ เป็นการร่วมเป็นร่วมตายที่สามารถเชื่อใจกันได้ แม้ว่าเย่เทียนเฉินจะไม่ใช่คนดีอะไร แต่เรื่องคุกเข่าขอชีวิตกับขายพวกพ้อง ต่อให้เขาต้องตายก็ไม่ยอมทำเด็ดขาด

“พ่อ เห็นได้ชัดว่ามีคนพุ่งเป้ามาที่ตระกูลเย่ของพวกเรา พุ่งเป้ามาที่พี่” เย่เชี่ยนเหวินพูดออกมาด้วยความโกรธ

“พี่หง เรื่องนี้มีอะไรแปลกๆ ต้องตรวจสอบหน่อยนะคะ” หลัวเยี่ยนแม่ของเย่เทียนเฉินสงสัย

เย่หงมองเย่เทียนเฉิน จากนั้นจึงขมวดคิ้วพลางเอ่ยว่า

“หนังสือพิมพ์ฉบับนี้แม้จะไม่ได้เป็นหนังสือพิมพ์หลัก แต่ก็เป็นหนังสือพิมพ์ซุบซิบที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง ขายให้แก่ตระกูลใหญ่กับคนระดับสูงบางส่วนโดยตรง พ่อคิดว่ามีคนจำนวนมากที่เห็นข่าวนี้แล้ว พ่อไม่เชื่ออยู่แล้วว่าลูกเป็นคนแบบนี้ แต่เมื่อหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ออกมาก็สร้างความเสียหายให้แก่ชื่อเสียงตระกูลเย่”

กริ๊งๆๆ…เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เย่หงหยิบโทรศัพท์ข้างๆ ขึ้นมา ทักทายด้วยเสียงเบาๆ ว่า

“พ่อ….”

หลังจากพูดออกไป เย่หงก็ฟังโทรศัพท์ด้วยใบหน้าขาวซีด กระทั่งโทรศัพท์ส่งเสียงตู้ดๆ ออกมา

เย่หงที่วางโทรศัพท์ลงมองไปยังภรรยาและลูกทั้งสอง พูดด้วยน้ำเสียงหดหู่ว่า

“พ่อโทรมา เขาโกรธมาก บอกว่าไม่อนุญาตให้พวกเรากลับไปที่บ้านหลักอีก”

“วันนี้แสงอาทิตย์ไม่เลวเลย ผมออกไปเดินเล่นสักหน่อย เดี๋ยวกลับมา!”

เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม ไม่รอให้พ่อแม่และน้องสาวได้ตอบอะไรก็เปิดประตูบ้านเดินออกไปแล้ว….

……………………

บทที่ 8 อุปสรรคในการถอนหมั้น
Ink Stone_Fantasy
คนในตระกูลเย่ โดยเฉพาะผู้อาวุโสตระกูลเย่ ลุงใหญ่และลุงรองของเย่เทียนเฉินต่างรู้สึกขายขี้หน้าเป็นอย่างมาก

ตระกูลฉีมาขอถอนหมั้น หากข่าวนี้แพร่ออกไปคงจะสร้างความขายหน้าและความอัปยศยิ่งกว่าเรื่องที่เย่เทียนเฉินแอบดูคุณหนูใหญ่ตระกูลหลิ่วอาบน้ำเสียอีก

เรื่องเย่เทียนเฉินแอบดูหลิ่วหรูเหมยอาบน้ำ แม้ว่าจะกลายเป็นเรื่องขบขัน แต่ผู้คนก็ยังมองว่าเป็นการกระทำของบุตรชายเสเพลโง่เง่าไร้การศึกษา

บุตรชายเสเพลประเภทนี้มีมากมายในเมืองหลวง ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร กล่าวอีกก็คือ หลิ่วหรูเหมยเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งในเมืองหลวง ไม่รู้ว่ามีคุณชายกี่คนที่อยากจะแอบดูเธออาบน้ำ

เพียงแต่เย่เทียนเฉินใจกล้ากว่าเล็กน้อย ทำมันออกมาจริงๆ ก็เท่านั้น ไม่นับว่าขายหน้าอะไรมาก

แต่ว่าครั้งนี้ฉีชางเซิ่งแห่งตระกูลฉีมาขอถอนหมั้นด้วยตัวเอง เห็นได้ชัดว่าเป็นการดูถูกตระกูลเย่ กลับคำไปมา ถึงกับไม่เห็นตระกูลเย่อยู่ในสายตา

นี่ถึงจะเป็นการทำให้ตระกูลเย่กลายเป็นตัวตลกอย่างแท้จริง เกรงว่าในอนาคตคงไม่อาจเงยหน้าได้อีก

เมื่อเผชิญหน้ากับเรื่องลูกสาวนามฉีหรูเสวี่ยกับฉินเหิงแห่งตระกูลฉินเกิดรักแรกพบและมีใจต่อกันที่ฉีชางเซิ่งพูด ใครก็ฟังออกว่าเป็นแค่ข้ออ้างที่ยกขึ้นมาเพื่อทำให้ตระกูลเย่และตระกูลฉีไม่เสียหน้าเกินไปนักก็เท่านั้น

จริงๆ แล้วเป็นเพราะตระกูลฉีเห็นว่าตระกูลเย่ตกต่ำลง ไม่มีความจำเป็นต้องเกี่ยวดองกันอีก จึงต้องการถอนหมั้น เพื่อจะไปเกี่ยวดองกับตระกูลฉิน ร่วมมือกันอย่างเข้มแข็งถึงจะถูก

ใครจะรู้ว่าตอนที่ฉีชางเซิ่งได้เสนอเงื่อนไขที่ดีมากทั้งสองข้อ โดยหนึ่งคือจะให้เย่หงพ่อของเย่เทียนเฉินเป็นเลขาธิการคณะกรรมการ สองคือจะนำหุ้นของเครืออุตสาหกรรมที่มีชื่อเสียงในจีนครึ่งหนึ่งแบ่งให้ตระกูลเย่ ยังไม่ทันรอให้พวกผู้ใหญ่ของตระกูลเย่เปิดปาก เย่เทียนเฉินก็ลุกขึ้นพูดจนจบไปแล้ว ตอบรับข้อเสนอทั้งสองข้อในรวดเดียว ราวกับเกรงว่าตระกูลฉีจะเปลี่ยนใจ

“แน่นอนๆ พวกเราตระกูลฉีรักษาคำพูด เทียนเฉินวางใจเถอะ ขอเพียงตกลงถอนหมั้น ฉันจะทำตามสัญญาทันที”

ฉีชางเซิ่งเห็นว่าเย่เทียนเฉินซึ่งเป็นผู้เกี่ยวข้องเปิดปากเห็นด้วยแล้ว ในใจยินดีเป็นอย่างมาก จึงรีบพูดออกมา

ตระกูลฉีในตอนนี้อยากให้ตระกูลเย่ตกลงถอนหมั้นเป็นอย่างยิ่ง ขอเพียงตระกูลเย่ตกลง ตระกูลฉีก็จะสามารถร่วมมือกับตระกูลฉินอย่างเข้มแข็งได้

ตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการจะนับเป็นอะไร หุ้นครึ่งหนึ่งของเครือไห่หวังนับเป็นอะไร ขอเพียงทั้งสองตระกูลร่วมมือกัน ก็สามารถนำกลับมาได้เป็นสิบเท่าร้อยเท่า

“หุบปาก ไสหัวออกไปซะ ผู้ใหญ่คุยกัน ไม่มีที่ให้เด็กมาสอดปาก”

เย่มู่ไป๋ลุงใหญ่ของเย่เทียนเฉินเป็นคนแรกที่ด่าเย่เทียนเฉินออกมา

“ไอเด็กไร้สัมมาคารวะ ช่างไม่เจียมตัวจริงๆ ยังไม่ไสหัวออกไปอีก?”

ลุงรองเย่เฮ่อกั๋วใช้ตาถลึงมองไปยังเย่เทียนเฉินพลางตะโกนออกมา

การพูดขึ้นมาอย่างกะทันหันของเย่เทียนเฉินทำให้แผนของเย่มู่ไป๋และเย่เฮ่อกั๋วรวนหมดแล้ว

เดิมทีพวกเขารู้ว่าตระกูลฉีต้องการยกเลิกการแต่งงาน นี่เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ในเมื่อตระกูลฉีต้องการจะทำเรื่องชดเชย ก็ค่อยๆ ต่อรองราคา เพื่อให้ได้รับผลประโยชน์เพิ่มอีกเล็กน้อย ต้องทราบว่าตอนนี้ตระกูลเย่กำลังตกต่ำลง จะอาศัยเพียงกำลังของบรรพบุรุษเพื่อยกระดับนั้นลำบากมาก แล้วทำไมจึงไม่ให้ตระกูลฉีจัดการเรื่องนี้แทน

แต่พอเย่เทียนเฉินพูดออกไปแบบนี้ ก็ทำให้เย่มู่ไป๋กับเย่เฮ่อกั๋วไม่มีทางทำอะไรได้อีก สิ่งสำคัญที่สุดก็คือทำให้พวกเขาไม่ได้รับผลประโยชน์อะไรเลย ในใจย่อมผิดหวัง จึงด่าเย่เทียนเฉินอย่างรุนแรง

เย่หงและหลัวเยี่ยนต่างก็คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ ลูกชายจะเปิดปากพูดขึ้นมา ยังมีผู้อาวุโสอยู่ด้วย เย่เทียนเฉินไม่ได้คำนึงถึงเลยแม้แต่น้อย จะอย่างไรก็ทำให้ผู้คนตกตะลึง

“ไสหัว? ไสหัวอะไร? คุณลองไสหัวให้ผมดูหน่อยสิ?”

เย่เทียนเฉินไม่มองลุงใหญ่กับลุงรองด้วยซ้ำ เขารู้ตั้งนานแล้วว่าสองคนนี้ไม่ได้มองตนเองเป็นญาติแม้แต่น้อย ในสายตาของพวกเขามีแต่ผลประโยชน์เท่านั้น ในช่วงเวลาสำคัญต่างก็สละได้ทุกสิ่ง

เย่เทียนเฉินคิดว่าไม่ควรค่าแก่การเคารพ

“แก….อวดดีเกินไปแล้ว ไอ้หลานไม่รักดี”

เย่มู่ไป๋ที่โกรธจนหน้าดำหน้าแดงกล่าวออกมา

“น้องสาม ดูลูกชายที่แกสอนสิ นี่เป็นท่าทีที่ใช้พูดกับผู้ใหญ่เหรอ? จะไม่จัดการสักหน่อยเหรอไง?” เย่เฮ่อกั๋วต่อว่าเย่หงผู้เป็นน้องสาม

เย่หงกำลังต้องการพูดถึงเย่เทียนเฉินลูกชายอยู่พอดี ถึงอย่างไรก็เป็นครอบครัวเดียวกัน อีกทั้งพ่อของเขาก็ยังอยู่ด้วย เย่หงเป็นลูกที่กตัญญู ไม่ว่าพี่ชายทั้งสองจะปฏิบัติต่อเขาอย่างไร บิดาจะปฏิบัติต่อเขาอย่างไร เขาก็อยากให้ครอบครัวสามัคคีกัน

แต่เย่เทียนเฉินไม่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นก่อนมาเกิดใหม่ หรือหลังเกิดใหม่ เขาก็ไม่ได้มีความผูกพันอะไรกับคนกลุ่มนี้ เพราะว่าคนเหล่านี้ไม่ได้มองเขาเป็นญาติเลยแม้แต่น้อย

“ลูกชายที่พ่อของผมสอน ดีกว่าลูกชายที่ครอบครัวของพวกคุณทั้งสองสอนตั้งเยอะ อีกอย่างผมอยากจะอธิบายอะไรสักอย่างหน่อย คนที่ถอนหมั้นกับตระกูลฉีคือผม ไม่ใช่พวกคุณ สิ่งที่ตระกูลฉีชดใช้ก็ควรจะเป็นผมที่ได้รับ ถ้าหากพวกคุณอยากได้ พวกคุณก็ไปถอนหมั้นกับตระกูลฉีเองสิ ผมไม่ถอนหมั้นอีกครั้งหรอก!”

เย่เทียนเฉินไม่ให้โอกาสเย่หงผู้เป็นพ่อได้เอ่ยปาก เขารู้ว่าพ่อเป็นคนกตัญญู และคอยคิดอ่านให้ครอบครัวอยู่ตลอด หากเปิดปากพูดออกมาก็คงเป็นการพูดประนีประนอม การทำแบบนั้นไม่เพียงแต่ไม่ได้รับประโยชน์อะไร ยังต้องรับการโจมตีจากลุงทั้งสองอีกด้วย ดั่งคำพูดที่ว่าม้าดีถูกคนขี่ คนดีถูกข่มเหง

“แก….”

“พ่อ พ่อดูไอหลานนอกคอกคนนี้ ลูกตามใจจนเป็นอะไรไปแล้ว กล้ามาพูดแบบนี้กับผู้หลักผู้ใหญ่ ตระกูลเย่ของพวกเรายังมีกฎเกณฑ์อยู่หรือเปล่า?”

เย่มู่ไป๋กับเย่เฮ่อกั๋วโกรธจนทนไม่ไหว ทำได้เพียงให้เย่หย่วนซานมาจัดการ

“ผู้อาวุโสเย่ ผมคิดว่าเรื่องนี้จัดการตามนี้เถอะครับ การชดเชยสองอย่างนี้ ตระกูลฉีของพวกเราจะทำสุดความความสามารถ” ฉีชางเซิ่งชิงพูดก่อน

ฉีชางเซิ่งเป็นคนเจ้าเล่ห์ อยู่ในเมืองหลวงมาหลายปีขนาดนี้ ตระกูลฉีก็เป็นตระกูลใหญ่ แน่นอนว่าต้องรู้ถึงความคิดของลูกชายทั้งสองของตระกูลเย่ หากเป็นแบบนี้ต่อไป เกรงว่าพวกเขาจะเรียกราคาสูง ในเมื่อเย่เทียนเฉินซึ่งเป็นผู้เกี่ยวข้องเห็นด้วยแล้ว ก็ต้องรีบคว้าเอาคำพูดนี้เป็นการตกลง

เย่หย่วนซานมองเย่หงครั้งหนึ่ง แต่ไหนแต่ไรในใจก็คิดว่าลูกชายคนที่สามกตัญญู ไม่แก่งแย่งชิงดี ไม่เหมือนลูกคนโตกับลูกคนรอง ที่วันๆ เอาแต่คิดเรื่องทรัพย์สินตระกูลเย่ ดังนั้นสุดท้ายคิดเปิดปากพูดออกไปว่า

“ตกลง เอาแบบนี้ก็แล้วกัน กลับไปบอกพี่เหมิงเซียนด้วยว่า สิ่งที่ได้ล่วงเกินไป หวังว่าจะไม่ตำหนิกัน”

“ผู้อาวุโสพูดอะไรอย่างนั้น ตระกูลฉีของผมทำไม่ถูกเอง ผมขอเป็นตัวแทนของตระกูลฉีแสดงความขอโทษ ณ ที่นี้ด้วย ถ้าอย่างนั้นผมต้องขอตัวก่อน!”

ฉีชางเซิ่งรีบลุกขึ้นพลางพูดอย่างเกรงใจ

เมื่อเห็นว่าฉีชางเซิ่งจากไปแล้ว เย่มู่ไป๋และเย่เฮ่อกั๋วก็โกรธจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เดิมทีพวกเขาสามารถหาประโยชน์ได้จากเรื่องนี้ ตอนนี้ไม่ได้อะไรเลยสักอย่าง ทั้งหมดก็เพราะเย่เทียนเฉิน

“วันนี้ท้องฟ้าสดใส ทุกที่ทิวทัศน์ดีงาม ทิวทัศน์ดีงาม….” เย่เทียนเฉินยิ้มพลางร้องเพลงออกมา

“น้องสาม แกสอนลูกได้ดีจริงๆ เหอะ!” เย่มู่ไป๋โกรธจนพูดเสียดสีออกมาอย่างเย็นชา แล้วหมุนตัวเดินจากไป

“พ่อ นี่….”

เย่เฮ่อกั๋วเองก็โกรธจนทนไม่ไหว ผลประโยชน์สักนิดก็ไม่ได้ กลับตกไปเป็นของบ้านน้องสามจนหมด จึงคิดจะให้ เย่หย่วนซานผู้เป็นบิดาเป็นคนจัดการ

“หุบหาก หยุดซะ เรื่องนี้ให้จบแค่นี้” เย่หย่วนซานตำหนิเย่เฮ่อกั๋ว

การถอนหมั้นก็จบเพียงเท่านี้ เย่เทียนเฉินต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของครอบครัวของตน

เมื่อเดินออกมาจากบ้านหลักตระกูลเย่แล้ว พบว่าเย่หงผู้เป็นบิดารู้สึกผิดในใจอยู่บ้าง ถึงอย่างไรตลอดหลายปีมานี้ไม่เคยทำให้พี่ชายทั้งสองโกรธ แม้ว่ากับบิดาหรือพี่ชายทั้งสองจะทำตัวไม่ดีกับเขามากนัก ถึงขั้นกับกีดกัน เย่หงก็พยายามรักษาความสามัคคีของคนในครอบครัวมาโดยตลอด เขาคิดว่าอย่างไรเสียเลือดก็ย่อมข้นกว่าน้ำ

เย่เทียนเฉินกับเย่หงสองพ่อลูกเดินอยู่ข้างหน้าสุด มารดากับน้องสาวเดินตามหลัง เดินออกมาจากบ้านหลักตระกูลเย่ด้วยกัน พอเห็นว่าเย่หงสูบบุหรี่ไปสองมวนติดๆ กัน เย่เทียนเฉินก็ตบบ่าของบิดาพลางกล่าวว่า

“อย่าไปคิดมากเลยครับ ย้ายออกจากบ้านหลักตระกูลเย่กันเถอะ ทำไมต้องทำให้ตนเองทุกข์ใจด้วย?”

เย่หงเงยหน้ามองลูกชาย ทันใดนั้นก็พบกับความเปลี่ยนแปลง เย่เทียนเฉินเมื่อก่อนนั้นไม่มีทางเชื่อฟังแบบนี้ และจะไม่พูดคำพูดเช่นนี้ออกมาเด็ดขาด เวลาสองพ่อลูกคุยกัน ถ้าไม่ลงไม้ลงมือก็มีปากเสียงกันรุนแรง แต่ตอนนี้บรรยากาศเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง กลายเป็นกลมเกลียวกัน

“เทียนเฉิน ลูก….”

“ต่อจากนี้ลูกจะเชื่อฟัง จะไม่ให้พ่อและแม่ต้องกังวลอีก เดิมทีพวกเราก็มีบ้านอยู่ข้างนอก ลุงใหญ่ลุงรองก็ไม่อยากให้พวกเรากลับไปแย่งชิงสมบัติของตระกูลกับพวกเขา ในเมื่อชาตินี้เกิดเป็นพี่น้องกันแล้ว ก็ยอมให้พวกเขาไปเถอะ ผมคิดว่าพ่อก็คงไม่สนใจสมบัติพวกนั้นหรอก แค่อยากให้ครอบครัวสามัคคีกัน”

พอได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน เย่หงก็ตกตะลึงไปชั่วครู่ เขาไม่คิดเลยว่าลูกชายจะมองได้ทะลุปรุโปร่งเช่นนี้

จริงๆ เขารู้มานานแล้วว่าพี่ใหญ่กับพี่รองมีอคติกับตน ตลอดที่อยู่ที่บ้านหลักตระกูลเย่หรือทิ้งห้องเอาไว้ที่นั่น ระหว่างพี่น้องมีแต่การทะเลาะ บางทีการย้ายออกมาคงจะทำให้กลมเกลียวกันมากกว่านี้!

เพียงแต่เย่หย่วนซานผู้เป็นบิดามีอายุมากแล้ว เย่หงจึงอยากจะแสดงความกตัญญูให้ถึงที่สุด ตอนนี้พอฟัง เย่เทียนเฉินพูด ดูแล้วคงไม่จำเป็นจริงๆ

“ตกลง พวกเราย้ายออกไปอยู่ที่อื่น จากนี้ครอบครัวเราสี่คนจะมีความสุขกันสักที” เย่หงตอบตกลงด้วยรอยยิ้ม

เย่เทียนเฉินพยักหน้า สุดท้ายก็เชื่อฟังผู้เป็นพ่อ ต่อไปนี้พ่อกับแม่ก็ไม่ต้องมาบ้านหลักตระกูลเย่เพื่อรองรับอารมณ์ของลุงใหญ่ลุงรองอีกต่อไป

“พี่ชาย พี่กับพ่อกำลังคุยอะไรกันหรอ ทำไมถึงได้อารมณ์ดีขนาดนี้?”

เย่เชี่ยนเหวินปล่อยมือหลัวเยี่ยน เดินมาถามด้วยรอยยิ้ม

“ไม่บอกหรอก มันเป็นความลับ!” เย่เทียนเฉินจงใจกล่าวยั่ว

“ชิ แม่ พี่แกล้งหนู มีความลับกันสองคนกับพ่อ ไม่ยอมบอกพวกเราเลย” เย่เชี่ยนเหวินทำปากจู๋น่ารัก พูดพลางแลบลิ้นใส่เย่เทียนเฉิน

เย่หงยิ้ม หันไปหาลูกสาวกับภรรยาแล้วบอกว่า “พ่อตัดสินใจย้ายออกจากบ้านหลักตระกูลเย่แล้ว จากนี้พวกเราจะเป็นครอบครัวเดียว ค่อยกลับมาช่วงเทศกาลกับวันเกิดของพ่อ”

“พ่อพูดจริงเหรอ? ดีจริงๆ ฮิๆ” เย่เชี่ยนเหวินพูดพลางหัวเราะออกมาเป็นคนแรก

หลัวเยี่ยนกลับมองสามีของตนด้วยความรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าทำไมอยู่ดีๆ เขาก็เปลี่ยนความคิด จริงๆ เธอก็เคยเตือนสามีมานานแล้วว่าให้ย้ายออกมาจากบ้านหลักตระกูลเย่ ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขแค่สี่คน แต่สามีไม่เห็นด้วยมาโดยตลอด

ตอนนี้เพิ่งจะเดินกับลูกชายยังไม่ถึงสิบเมตรก็เปลี่ยนความคิดเสียแล้ว น่าแปลกจริงๆ แต่ขณะเดียวกันรู้สึกดีใจ เพราะแบบนี้ก็หมายความว่าทั้งสี่คนสามารถใช้ชีวิตกันอย่างสบายอกสบายใจ ไม่ต้องกล้ำกลืนความคับข้องใจเหล่านั้นอีกต่อไปแล้ว

“ไปเถอะ กลับบ้านกัน กลับไปกินมื้อใหญ่!” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางหัวเราะฮ่าๆ

มองดูเงาหลังของลูกชาย เย่หงก็อดไม่ได้ที่จะถามออกมาเสียงเบา “น้องเยี่ยน เธอคิดว่าลูกชายเปลี่ยนไปหรือเปล่า?”

“อืม เปลี่ยนไปเข้าใจอะไรขึ้นมาแล้ว เป็นลูกผู้ชายมากขึ้นทุกวัน พวกเราสมควรยินดีถึงจะถูก”

หลัวเยี่ยนยิ้ม พยักหน้าติดต่อกัน ดูเหมือนเธอจะจินตนาการถึงความเปลี่ยนแปลงของลูกชาย จากนี้ครอบครัวสี่คนก็จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุข

……………………………

บทที่ 7 เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ
Ink Stone_Fantasy
“แม่ น้อง พี่กลับมาแล้ว!” เย่เทียนเฉินผลักประตูเดินเข้าไปพลางตะโกนเสียงดัง

“แม่ แม่ได้ยินไหม พี่กลับมาแล้ว พี่ชายกลับมาแล้ว!”

เย่เฉี่ยนเหวินทนไม่ไหวรีบลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งตรงไปยังประตู หลัวเยี่ยนก็รีบตามออกไป เดิมทีคิดว่าลูกชายจะไม่ได้กลับมาแล้ว เวลานี้ได้ยินเสียงลูกชายของตน คนเป็นแม่ที่ไหนจะไม่ดีใจ

“พี่ชาย พี่ชาย!”

ไม่ทันไรเย่เทียนเฉินก็ถูกเย่เฉี่ยนเหวินกอดแน่น อดไม่ได้ที่จะหัวเราะพลางส่ายหัว ตั้งแต่เด็กเด็กสาวคนนี้ก็เป็นเช่นนี้ ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกซาบซึ้งใจ นี่เป็นความรักเป็นความสัมพันธ์ที่เข้มข้นเหนือสิ่งอื่น เขาในสมัยก่อนนั้น ไม่ว่าเขาจะทำตัวเหลวไหลอย่างไรก็ยังคงรักน้องสาวคนนี้ อีกทั้งตัวเขาในตอนนี้ได้สาบานอยู่ในใจนานแล้วว่าจะปกป้องทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามี

“เทียนเฉิน ลูกกลับมาแล้วจริงๆ!” หลัวเยี่ยนเห็นว่าลูกชายของคนกลับมาอย่างปลอดภัย ก็อดไม่ได้ที่จะตาแดงขึ้นมา

“แม่ แม่เป็นอะไรไปครับ ร้องไห้ทำไม ลูกชายกลับมาบ้านก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว มาให้ผมกอดหน่อย” เย่เทียนเฉินกล่าวยิ้มๆพลางเข้าไปกอดผู้เป็นแม่

ความจริงเย่เทียนเฉินทราบว่าเป็นเพราะเรื่องของตนเองในสมัยก่อนทำให้ตระกูลเย่ไม่ได้มีความสามัคคีกันในหมู่สมาชิก พ่อของเย่เทียนเฉินเป็นลูกชายคนที่สาม แต่เดิมก็ไม่ได้เป็นที่ชื่นชอบของท่านปู่อยู่แล้ว รวมกับที่ตนเองกระทำผิดต่อตระกูลหลิ่ว ทำให้ตระกูลเย่ต้องตกอยู่ในวิกฤต ตอนนี้ยังมาถูกตระกูลฉีขอถอนหมั้น คาดว่าท่านปู่ ลุงใหญ่ และลุงสอง ทั้งสามคงคาดโทษคุณพ่อที่ทำให้เสียหน้าอีกครั้ง

พ่อของเย่เทียนเฉินเป็นรองนายกเทศมนตรีของเมืองh ตำแหน่งไม่ถือว่าใหญ่โตอะไร แต่ก็ยังพอไปได้ ผ่านการต่อสู้ชิงตำแหน่งมาหลายปีขนาดนี้ก็ทำให้มีประสบการณ์มากมาย แต่น่าเสียดายที่ไม่สามารถปืนขึ้นไปตำแหน่งสูงๆได้ ประการแรก หลังจากที่ตระกูลเย่แยกตัวออกมาจากท่านปู่ก็ไม่มีอำนาจ ทำเรื่องอะไรก็ไม่มีหน้ามีตา ประการที่สอง ตระกูลเย่ผิดใจกับตระกูลหลิ่วซึ่งเป็นตระกูลชั้นหนึ่งในจิงตู อำนาจของตระกูลหลิ่วยิ่งใหญ่กว่าตระกูลเย่มาก ไม่ว่าใครก็ไม่อยากจะผิดใจกับตระกูลหลิ่วเพราะตระกูลเย่

ดังนั้น เย่เทียนเฉินอยากจะชดใช้หนี้ที่ตนก่อไว้กับครอบครัวในหลายปีมานี้ และไม่อยากให้พ่อแม่และน้องสาวของตนมีช่วงเวลาที่ไม่สบายใจแต่ตนเองกลับมีรอยยิ้มเต็มหน้าอยู่เสมอ

“ลูก ไหนมาให้แม่ดูหน่อย ให้แม่ดูหน่อยสิ ได้รับบาดเจ็บมารึเปล่า ผอมลงรึเปล่า?” หลัวเยี่ยนมองเย่เทียนเฉินด้วยความตื่นเต้นกังวลพลางกล่าวถามเย่เทียนเฉิน

“แม่ ผมไม่เป็นไรครับ พวกเราไปกันเถอะ!” เย่เทียนเฉินไหล่ผู้เป็นแม่เบาๆพลางกล่าวออกมา

“พี่ พวกเราจะไปไหนกันเหรอ?” เย่เฉี่ยนเหวินถามอย่างสงสัย

“ใช่ๆ พวกเราจะไปไหนกัน?” หลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่กล่าวถาม พลางมองเย่เทียนเฉินแปลกๆ

เย่เทียนเฉินมองของสาวกับแม่ครู่หนึ่ง นำกระเป๋าเป้ทหารโยนไว้บนโซฟา กล่าวยิ้มๆว่า “ผมขอประกาศว่าผมปลดประจำการอย่างเป็นทางการแล้ว จากนี้ก็จะตั้งใจอยู่เป็นเพื่อนแม่กับน้อง ตอนนี้พวกเราไปบ้านเดิมตระกูลเย่กัน”

ได้ยินว่าตนปลดประจำการแล้ว ในใจหลัวเยี่ยนก็ยังรู้สึกดีใจ เริ่มแรกลูกชายยืนยันว่าจะไปเป็นทหารให้ได้ เธอก็ไม่เห็นด้วย รวมกับเกือบจะเกิดอุบัติเหตุ ในใจของเธอก็ยิ่งไม่สบายใจ ตอนนี้ลูกชายปลดประจำการด้วยตัวเอง นี่เป็นเรื่องดี จะได้ลดความกังวลใจตลอดวันลงได้

“พี่ชาย ย้ายก็ย้าย อย่างมากพวกเราก็แค่ไม่ได้อยู่ในจิงตู ย้ายกันไปทั้งครอบครัว อยู่กันอย่างสบายอกสบายใจ” เย่เฉี่ยนเหวินกล่าวออกมาด้วยใบหน้าบึ้งตึงด้วยกลัวว่าพี่ชายจะไม่สบายใจ

“เทียนฉิน เรื่องตระกูลฉี มีพ่อของเธอไปจัดการให้ก็พอแล้ว พวกเราไม่ต้องไปยุ่งหรอก หิวแล้วใช่ไหม เดี๋ยวแม่ทำบะหมี่ไข่ไก่ที่ลูกชอบที่สุดให้กิน” หลัวเยี่ยนเองก็หยุดร้องไห้แล้วกล่าวออกมา

“แม่ ยังไงเรื่องนี้มันเป็นเรื่องของผม ผมอยากจะไปจัดการเอง” เย่เทียนเฉินพูดออกมาอย่างจริงจัง

ได้เห็นเย่เทียนเฉินผู้เป็นลูกชายมีความเข้มขรึมจริงจังเช่นนี้ หลัวเยี่ยนอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ตั้งแต่เล็กจนโต เย่เทียนเฉินไม่มีวิชาความรู้ พอเกิดเรื่องขึ้นก็จะให้พ่อแม่ไปจัดการ ไม่เคยมีท่าทีเช่นวันนี้ ลุกขึ้นยืนอย่างกล้าหาญ บอกว่าจะแก้ไขด้วยตัวเอง

หลัวเยี่ยนรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เขย่งเท้าเอามือสัมผัสหน้าผากลูกชาย ถามอย่างสงสัยว่า “ลูก ลูกไม่เป็นไรใช่ไหม?”

“พี่ พี่เป็นไรไป?” เย่เฉี่ยนเหวินเองก็พูดออกมาพลางมองพี่ชายแปลกๆ

เย่เทียนเฉินอับจนคำพูด ตนเองเมื่อก่อนเสเพล ตอนนี้ไม่ง่ายเลยที่จะเปลี่ยนแปลง เติบโตสมชายคราหนึ่ง แม่กับน้องสาวมองเขาราวกับมองมนุษย์ต่างดาว เหมือนกับพวกเขาไม่เชื่อว่าตัวเองจะสามารถเปลี่ยนมาเป็นปกติเช่นนี้ได้

“ไปเถอะ ไปบ้านเดิมตระกูลเย่ เรื่องของผม ผมจะจัดการเอง” เย่เทียนเฉินสองมือจูงน้องสาวและแม่เดินมุ่งหน้าออกไปจากบ้าน

“ลูก ลูก….”

“แม่ ยี่สิบปีแล้ว ลูกชายไม่ได้ทำให้พวกแม่สบายใจเลย ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ผมจะรับผิดชอบครอบครัวเอง” เย่เทียนเฉินพูดขัดแม่

เย่เฉี่ยนเหวินกับหลัวเยี่ยนตะลึงงัน พวกเธอคิดไม่ถึงเลย ในสายตาของพวกเธอ พี่ชายที่เสเพล ลูกชายที่ไม่เอาถ่าน เติบโตขึ้นมาแล้วจริงๆ รู้เรื่องอะไรควรไม่ควรแล้ว หลัวเยี่ยนเกือบจะร้องไห้ออกมา แต่เมื่อมองใบหน้าของลูกชายที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มก็พยายามอดทนไว้ ลูกชายรู้เรื่องรู้ราวขึ้นมาเป็นเรื่องที่เธอดีใจที่สุด

ระหว่างทางไปบ้านเดิมตระกูลเย่ ไม่ง่ายเลยที่เย่เทียนเฉินที่ใช้เหตุผลต่างๆนาๆมารับมือกับน้องสาวและแม่อย่างลวกๆ มิฉะนั้นพวกเธอจะตามถามอยู่ตลอด ทั้งเรื่องตอนที่ตนเองอยู่ในกองทัพและยังมีเรื่องความเปลี่ยนแปลงของตนเองอีก

ถึงบ้านเดิมตระกูลเย่แล้ว เย่เทียนเฉินพาน้องสาวและแม่ผลักประตูใหญ่ของบ้านเดิมแล้วเดินเข้าไปด้วยกัน ภายในบ้านตระกูลเดิม มีเย่หงพ่อของเย่เทียนเฉิน เย่หย่วนซานปู่ของเขา ลุงใหญ่เย่มู่ไป๋ ลุงสองเย่เห่อกั๋ว และมีอีกคนหนึ่งที่เย่เทียนเฉินไม่รู้จัก แต่ดูจากการที่คนๆนั้นพูดคุยกับเย่หย่วนซานอย่างร่างเริงแล้ว ฐานะของคนๆนี้คงจะไม่ต่ำต้อย

“พ่อ!” เย่เทียนเฉินตะโกนเรียกเย่หง พลางเดินตรงเข้าไปโดยที่ไม่มองคนอื่นเลยสักนิด

เย่หงเห็นว่าเย่เทียนเฉินผู้เป็นลูกกลับมาแล้ว ก็รู้สึกยินดี ดูแล้วลูกชายของตนเองจะไม่เป็นอะไร ขอแค่ปลอดภัยก็ดีแล้ว แต่คงไม่ดีนักที่จะแสดงท่าทีตื่นเต้นยินดีต่อหน้าแขก เกรงว่าจะทำให้ตระกูลเย่เสียมารยาทได้

แต่ปู่ของเย่เทียนเฉิน ลุงใหญ่ ลุงสอง พบว่าเย่เทียนเฉินรอดกลับมา ต่างก็รู้สึกตกใจ เพราะจากข่าวที่ได้ยินมา พวกเขาออกไปปฏิบัติภารกิจของทหารหน่วยรบพิเศษ ถูกลอบโจมตี ไม่มีหวังจะรอดกลับมา และเป็นเพราะเหตุนี้ ตระกูลเย่ที่อยากจะยกเลิกการหมั้นอยู่แต่แรกแล้วก็รีบมาถึงประตู กลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุขึ้น

“เทียนเฉินกลับมาแล้ว งั้นก็ดีเหลือเกิน ผู้อาวุโสเย่ ต้องขออภัยจริงๆ การยกเลิกการหมั้นหมายในครั้งนี้เป็นพวกเราตระกูลเย่ที่ไม่ดีเอง แต่อับจนหนทางจริงๆ หรูเสวี่ยของพวกเราหัวแข็งดื้อรั้น ถูกผมตามใจจนเสียคน หวังว่าผู้อาวุโสจะเข้าใจ”

คนที่เปิดปากพูดนั้นกำลังนั่งอยู่บนที่นั่งวีไอพีของห้องรับแขกใหญ่ เขาคือคนจากตระกูลฉี ฉีชางเซิ่ง ตระกูลฉีเป็นตระกูลชั้นสองในจิงตู แต่เดิมก็ไม่สามารถแต่งงานกับตระกูลชั้นสามอย่างตระกูลเย่ได้ แต่หลังจากมีการเจรจาของผู้อาวุโสตระกูลเย่และผู้อาวุโสตระกูลฉีหลายครั้ง จึงได้มีมติเป็นเอกฉันท์ ต้องการพันธมิตรที่แข็งแกร่ง

แต่หลังจากที่เกิดเรื่องเย่เทียนเฉินแอบดูหลิ่วหรูเหมยคุณหนูใหญ่จากตระกูลชั้นหนึ่งของจิงตูอาบน้ำ ตระกูลฉีก็มาขอถอนหมั้นหลายครั้ง ต่างก็ถูกผู้อาวุโสตระกูลเย่เกลี้ยกล่อมว่าเป็นเพียงการเข้าใจผิด ผู้อาวุโสตระกูลเย่นั้นไม่มีอำนาจแล้ว แต่ก็ไม่อยากเห็นตระกูลเย่เสื่อมลง ดังนั้นจึงอยากอาศัยการเป็นพันธมิตรกับตระกูลฉีมาทำให้ตระกูลรุ่งโรจน์ขึ้นบ้าง ใครจะรู้ว่าครั้งนี้ฉีชางเซิ่งจะมาขอถอนหมั้นด้วยตัวเองถึงประตู ยากที่จะปฏิเสธ

แต่ก่อนที่ฉีชางเซิ่งจะมา ก็ได้รับคำแนะนำจากพ่อมาแล้ว ตระกูลเย่แม้ว่าจะตกต่ำ ไม่มีผู้มีอำนาจในมือ แต่จะอย่างไรปีนี้เป็นปีที่ดีของผู้อาวุโสตระกูลเย่ เย่หย่วนซาน อีกทั้งยังเป็นบุคคลที่มีหน้ามีตาทางสังคม ในเมืองจิงตูที่เป็นสถานที่รวมตัวของเหล่าเสือเหล่ามังกรไว้ข้างใน หากสามารถไม่ล่วงเกินใครได้ ก็อย่าไปล่วงเกิน หาคำพูดเหมาะสมเพื่อถอนหมั้นก็โอเคแล้ว ดังนั้นคำพูดที่ตระกูลฉีนำมาใช้ก็คือ ชีวิตความเป็นความตายของเย่เทียนเฉินนั้นไม่แน่นอน ฉีหรูเสวี่ยกลัวที่จะแต่งงานด้วย และมีคนที่พึงใจอยู่แล้ว จึงรอไม่ไหว ดังนั้นจึงอยากที่จะถอนหมั้น

เมื่อเห็นว่าเย่เทียนเฉินกลับมาแล้ว คนปลิ้นปล้อนเช่นฉีชางเซิ่ง แน่นอนว่าสามารถโยนคำแก้ตัวทิ้งไปในทันที ยกเรื่องลูกสาวมีคนรักอยู่แล้วขึ้นมาพูดใหม่

“ผู้ว่าการฉี ครึ่งปีที่แล้วตระกูลฉีกับตระกูลเย่เกี่ยวดองกัน แม้แต่ของหมั้นหมายก็แลกเปลี่ยนกันเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ตระกูลฉีอยากจะเปลี่ยนใจ เห็นตระกูลเย่ของพวกเราเป็นอะไร?”

“พี่เย่อย่าได้โกรธไป เรื่องแบบนี้มันบังคับกันไม่ได้ คุณชายตระกูลฉิน ฉินเหิงกับหรูเสวี่ยของตระกูลเราเกิดรักแรกพบ ดังนั้น….ต้องขอให้ผู้อาวุโสเย่เข้าใจด้วย การแต่งงานของหนุ่มสาว คนเป็นพ่อแม่อย่างพวกเราไม่สามารถบีบบังคับได้หรอก” ฉีชางเซิ่งยิ้มออกมาอย่างเสแสร้งพลางกล่าวออกมา

หลัวเยี่ยนแม่ของเย่เทียนเฉินได้ยินคำกล่าวของฉีชางเซิ่งก็โกรธมาก เห็นได้ชัดว่านี่เป็นข้ออ้างของตระกูลฉี ว่ากันตามตรงก็คือวันนี้ดูถูกตระกูลเย่ อยากจะถอนหมั้น อะไรคือการแต่งงานของหนุ่มสาวพ่อแม่บีบบังคับไม่ได้ ในจิงตูท่ามกลางตระกูลใหญ่เหล่านี้ การแต่งงานของบุตรธิดาหลายครั้งเป็นการแต่งงานทางการเมือง เพื่อให้ทั้งสองตระกูลสามารถร่วมมือกัน เติบโตขึ้นไปอีกขั้น หลายครั้งที่บุตรธิดาเหล่านี้ไม่ได้เป็นผู้เลือก

เมื่อเห็นว่าหลัวเยี่ยนภรรยาของตนอยากจะเข้าไปโต้แย้ง เย่หงก็รีบลุกขึ้นยืน เขาไม่อยากให้ภรรยาเข้ามายุ่ง เดิมทีเพราะเรื่องตระกูลหลิ่ว ท่านพ่อ พี่ใหญ่ พี่รอง ทั้งสามต่างก็ไม่สบายใจกับครอบครัวของเขามากแล้ว ตอนนี้ถ้าภรรยาโวยวายขึ้นมาอีก ก็ยิ่งตำหนิตนเองมากขึ้น อีกทั้งเขาไม่อยากให้ภรรยาต้องพบกับความอยุติธรรมอีกด้วย

“ผู้ว่าการฉี….”

“พี่เย่ เรื่องนี้จริงๆแล้วก็เป็นความผิดของตระกูลฉีของเรา ดังนั้นเพื่อเป็นการชดเชย อีกหนึ่งปีเลขานุการคณะกรรมการของเมืองh เลขาฯหยางจะเกษียณ ถึงตอนนั้นตำแหน่งนี้ พวกเราจะพยายามเพื่อให้พี่เย่ได้ไป” ฉีชางเซิ่งไม่รอให้เย่หงพูดก็รีบเปิดปากพูดออกมาก่อน

เมื่อได้ฟังคำพูดนี้ของฮีชางเซิ่ง ผู้อาวุโสตระกูลเย่ พี่ใหญ่และพี่รองของเย่หง ต่างก็มีรอยยิ้มยินดีบนใบหน้า จากรองผู้ว่าดารขึ้นไปเป็นเลขานุการคณะกรรมการ เป็นการข้ามไปหลายขั้น สามารถขึ้นไปสู่ตำแหน่งใหญ่โตเช่นนี้ได้ ตระกูลเย่คิดไม่ถึงจริงๆ

“ผมไม่ต้องการ ผมแค่อยากจะคุยข้อตกลงเพื่อลูกชายของผมเท่านั้น” เย่หงไม่หวั่นไหว ในสายตาของเขาครอบครัวญาติพี่น้องนั้นสำคัญกว่าทุกสิ่ง

“เหอๆ ผู้อาวุโสเย่ อย่างไรเสียคราวนี้ก็เป็นตระกูลฉีของผมที่ทำไม่ถูก เพื่อแสดงความขอโทษ ผู้อาวุโสก็พูดแล้วว่า จะโอนหุ้นครึ่งหนึ่งของเครือไห่หวางให้ตระกูลเย่” ฉีชางเซิ่งหัวเราะแห้งๆสองครั้ง เสนอสิ่งแทนสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพไปอีกครั้งหนึ่ง

ในตอนที่คนตระกูลเย่ยังไม่ตอบนั้น เย่เทียนเฉินก็ลุกขึ้น บิดขี้เกียจครั้งหนึ่งก่อนจะพูดว่า “ในเมื่อตระกูลฉีมีความจริงใจเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงแล้วกัน อย่างแรก พ่อของผมตำแหน่งเลขานุการคณะกรรมการของพ่อผมต้องได้ อย่างที่สองหุ้นครึ่งหนึ่งของเครือไห่หวางก็โอนมาให้ผม หากว่าทำไม่ได้อย่างที่พูด ตระกูลฉีคงต้องเสียหน้าครั้งใหญ่แล้ว ผมคิดว่าตระกูลฉีคงไม่อยากเสียหน้าหรอกนะครับ?”

…………………………

บทที่ 6: คืนเต้าหู้ของฉันมา!
Ink Stone_Fantasy
“อาลัยอาวรณ์? ถ้าจะถามว่าอะไรที่น่าอาลัยอาวรณ์ จริงๆมันก็มีอยู่….” เย่เทียนเฉินชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะอย่างออกมาอย่างครุ่นคิด

“งั้น งั้นสิ่งที่นายอาวรณ์ที่สุดคืออะไร” หานเจี๋ยอดไม่ได้ที่จะถามออกไปอย่างใจเต้น

“ดูเหมือนว่าตอนที่ฉันออกจากบ้านมา น้องสาวจะให้หมูน้อยมาตัวหนึ่งแต่ลืมหยิบมาด้วย พวกเราจะกลับไปเอาเหรอ?”

เย่เทียนเฉินเพิ่งจะกล่าวจบ ใบหน้าที่เขินอายของหานเจี๋ยก็มืดครึ้มลงทันที บิดคันเร่งของรถมอเตอร์ไซด์จนสุด ขับมุ่งตรงไปยังสนามบินด้วยความเร็วสูงสุด

หานเจี๋ยยืนอยู่ที่สนามบิน มองเที่ยวบินไปสู่จิงตูบินออกไป ในใจรู้สึกสูญเสียอย่างบอกไม่ถูก เธอไม่รู้ว่าเป็นเพราะการจากไปของเย่เทียนเฉิน หรือเป็นเพราะคิดว่าในอนาคตจะไม่ได้เจอเจ้าเด็กนี่แล้ว ในใจรู้สึกเจ็บปวด รู้สึกเศร้าสลดเล็กน้อย

หลังจากนั่งเครื่องบินมาสามชั่วโมง เย่เทียนเฉินก็มาถึงสนามบินจิงตู เดินออกมาจากสนามบิน สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือซื้อเต้าหู้ถ้วยหนึ่ง เดินไปกินไป ถ้าหากว่าถูดคนที่นั่งเครื่องบินเที่ยวเดียวกันมาเห็นคงจะตกใจไม่น้อย เนื่องจากเจ้าหมอนี่ตั้งแต่ขึ้นเครื่องก็เรียกหาของกินมาตลอด กินมาตลอดสามชั่วโมง กินจนแอร์โฮสเตสคนงามที่คอยส่งอาหารแทบจะกรอกตามองบน เจ้าหมอนี่กินไม่หยุดราวกับเป็นอดอยากปากแห้งมานาน

เย่เทียนเฉินใช้มือซ้ายหิ้วเป้ทหาร มือขวาถือถ้วยเต้าหู้ ค่อยใช้มือซ้ายคนก่อนจะตักเข้าปาก รู้สึกว่าไม่เลวเลย ในโลกก่อนนั้นทุกที่เต็มไปด้วยไฟสงคราม ทั้งระหว่างประเทศและระหว่างผู้คน กระทั่งระหว่างคนกับสัตว์อสูรก็มี ไม่มีเวลาไหนที่จะไม่มีการต่อสู้ บวกกับมลภาวะทางสิ่งแวดล้อมขั้นรุนแรง จะไปมีอาหารเลิศรสเช่นนี้ได้อย่างไร มีน้ำแร่ที่สะอาดๆสักหนึ่งขวดก็หรูแล้ว เพราะน้ำแร่ทำให้เกิดการล้อมตายของผู้แข็งแกร่งไปไม่น้อย นี่คือสภาพอันน่าสังเวชของโลกก่อน

เดินไปพลางกินไปพลาง เย่เทียนเฉินที่เดินเอื่ยเฉื่อยไม่รู้แล้วว่าตนเองเดินมาถึงที่ไหน มองซ้ายขวาก็พบว่าเป็นซอยเล็กๆ ในจิงตูมีซอยเล็กๆเช่นนี้มากมาย เย่เทียนเฉินรู้ตำแหน่งที่ตั้งของบ้าน เพียงแต่อยากค่อยๆเดินกลับไปไม่อยากรีบร้อน กินให้อิ่มเสียก่อนค่อยว่ากัน

ทันใดนั้นเอง ขณะที่เย่เทียนเฉินเดินเข้าไปถึงกลางซอย มีสางงามคนหนึ่ง รูปร่างสูงสวมใส่ชุดแฟชั่นทันสมัย สวมแว่นกันแดดสีดำ วิ่งตรงมาทางเย่เทียนเฉิน จนเกือบจะชนกันอยู่แล้ว ไม่รอให้เย่เทียนเฉินหันมามอง สาวงามคนนั้นก็จับแขนเย่เทียนเฉินแน่น

“พี่ชาย มีคนจะลักพาตัวฉัน ช่วยบังไว้หน่อย ฉันจะโทรแจ้งตำรวจ”

“หือ?”

เย่เทียนเฉินชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะประเมินหญิงสาวร่างสูงด้านหลังตน พบว่าหญิงคนนี้สูงราวร้อยเจ็ดสิบห้าเซ็นติเมตร เตี้ยกว่าตนครึ่งหัว สวมใส่แว่นกันแดดสีดำอันใหญ่ ดูแล้วให้อารมณ์เหมือนดาราอยู่หลายส่วน แม้จะมองไม่เห็นใบหน้าของเธอ แต่ก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายความงดงาม

ขณะเดียวกัน ตอนที่หญิงงามคนนั้นหยิบมือถือขึ้นมากดเบอร์โทรศัพท์ บอดี้การ์ดสิบกว่าคนที่ใส่สูทสีดำก็กรูกันกันเข้ามาในซอนทั้งหน้าหลัง กระทั่งกระโดดลงมาจากสองข้างกำแพง เข้ามาล้อมเย่เทียนเฉินและผู้หญิงคนนั้น

ไม่รอให้หญิงสาวต่อสายถึงตำรวจ บอดี้การ์ดสูทดำคนหนึ่งก็เข้ามาแย่งโทรศัพท์ของเธอไป แล้วทำลายมันอย่างไม่แยแส

“แก พวกแกจะเอายังไง?” หญิงสาวกล่าวถามออกไปด้วยความกลัว

“คุณหนูเฟยเฟย เชิญคุณไปกับพวกเราด้วย มิฉะนั้นจะหาว่าพวกเราโหดร้ายไม่ได้” ชายสูทดำคนหนึ่งกล่าวขึ้น เขาเป็นบอดี้การ์ดที่มีใบหน้าค่อนข้างเท่

“พวกแก….ฉัน…ไม่เห็นเหรอว่าแฟนฉันอยู่ที่นี่? พวกแกกล้าลักพาตัวฉัน เขาไม่ปล่อยพวกแกไปแน่!” หญิงสาววิตกกังวล ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี อาจเป็นเพราะกลัวมากเกินไป สองมือต่างจับแขนเย่เทียนไว้แน่นแล้วกล่าวออกมาเสียงดัง

บอดี้การ์ดสูทดำที่เป็นคนพูดอดไม่ได้ที่จะมองเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินรู้สึกรันทดเล็กน้อย ตนกับผู้หญิงทที่ไม่ได้รู้จักมักจี่อะไรกัน แปปเดียวก็กลายเป็นแฟนไปเสียแล้ว อีกทั้งดูแล้วสถานการณ์ไม่ใช่เล็กๆ อาจทำให้ยุ่งยากได้ เย่เทียนเฉินไม่ใช่คนที่รนหาความยุ่งยาก เขากลัวความยุ่งยากเป็นที่สุด ไอเรื่องวีรบุรุษช่วยสาวงาม ในโลกเก่านั้นมีสาวงามมากมาย หากพบสาวงามแล้วต้องช่วย ถ้าอย่างนั้นคงได้เหนื่อยตาย

“อย่ามองฉันสิ ฉันไม่รู้กับเธอเลยนะ บาย!”

เย่เทียนเฉินยักไหล่กล่าว กำลังจะเดินจากไป หญิงงามจับแขนเขาแน่นด้วยความโกรธ โกรธจนอยากจะกัดเจ้าหมอนี่สักหลายแผล ในใจก็คิดว่าไอหมอนี่เป็นคนแบบไหนกัน ตนเองเป็นสาวงามดูดีมีระดับขนาดนี้ เจอกับการลักพาตัว ถ้าเป็นผู้ชายปกติ คงจะทำตัวเป็นวีรบุรุษช่วยสาวงามอย่างไม่ห่วงชีวิต จะไปเหมือนเจ้าหมอนี่ได้อย่างไร เหมือนกับพวกไม่มีอีคิวอย่างนั้นแหละ

“เพ้ย นายยังเป็นผู้ชายอยู่รึเปล่า ฉันมองนายผิดไปจริงๆ!”

เย่เทียนเฉินได้ยินเสียงตะโกนลั่นของสาวงามก็ยังไม่คิดจะเหลียวหลังกลับไป หันมากินเต้าหู้ต่อ เตรียมออกไปจากวงล้อมของบอดี้การ์ดสูทดำเหล่านี้ ไม่อยากเข้าไปมีส่วนร่วมกับเรื่องประเภทนี้ ไม่ใช่ว่าเย่เทียนเฉินกลัว แต่มันไม่เกี่ยวกับเขา จำเป็นต้องหาเรื่องด้วยเหรอ?

ขณะที่เย่เทียนเฉินกำลังเตรียมตัวเดินจากไปนั้น หัวหน้าบอดี้การ์ดสูทดำก็เข้ามาขวางเบื้องหน้าของเขา ทั้งยังปัดเต้าหู้ในมือของเขาจนคว่ำลงพื้น พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงทรงพลังว่า “ฉันให้แกไปแล้วเหรอ?”

แต่เดิมบอดี้การ์ดกลุ่มนี้ก็ไม่เห็นเย่เทียนเฉินอยู่ในสายตา คิดเพียงว่าเจ้าหมอนี่เป็นคนที่สามารถจัดการได้ทุกเมื่อ หัวหน้าบอดี้การ์ดคนนั้นปัดถ้วยเต้าหู้ในมือเย่เทียนเฉินแล้วจึงเดินไปหาสาวงามคนนั้นเพื่อจะจับ ขณะเดียวกันก็ยิ้มเย็นพลางกล่าวว่า “พวกเราไม่ทำร้ายเธอหรอก แค่อยากจะหาโอกาสพูดคุยกับพ่อของเธอสักหน่อย”

ปัง!

หัวหน้าบอดี้การ์สูทดำเพิ่งจะยื่นมือออกไป ก็ถูกเตะเข้าที่ก้น กระเด็นไปไกลหลายเมตร ก่อนตกลงมาหน้าทิ่มพื้น

ทุกคนในที่นี้ต่างก็ตกตะลึง มองไปยังเย่เทียนเฉิน ไม่คิดว่าเจ้าหมอนี่จะกล้าลงมือ

“แกตบฉันได้ แกด่าฉันได้ แต่แกมาลงมือกับเต้าหู้ของฉัน ทำให้ฉันต้องหิว นี่มันจะทำให้ฉันโกรธ” เย่เทียนเฉินใช้นิ้วชี้มือขวาชี้ไปยังพวกบอดี้การ์ดสูทดำด้วยความโกรธพลางกล่าวออกมา

“ยัง ยังจะยืนเซ่อกันอยู่อีก ฆ่ามันซะ” หัวหน้าบอดี้การ์ดสูทดำกระแทกพื้นจนเลือดกลบปากตะโกนเสียงดังลั่น

บอดี้การ์ดสูทดำสิบกว่าคนพุ่งเข้าไปยังเย่เทียนเฉิน ส่วนหญิงสาวก็รีบหลบไปข้างๆ เย่เทียนเฉินโกรธมาก ด้วยฝีมือของเขาแล้วบอดี้การ์ดสูทดำพวกนั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้เลย ไม่ควรค่าแก่การลงมือของเขาก็เท่านั้น และไม่อยากเล่นบทวีรบุรุษช่วยสาวงาม แต่ตอนนี้เขาถูกทำให้โกรธเสียแล้ว ออกหมัดอย่างไม่ลังอเล ต่อยหนึ่งหมัดปลิวไปหนึ่งคน ในปากก็ตะโกนไปด้วยว่า “คืนเต้าหู้ฉันมา คืนเต้าหู้ฉันมา…..”

หัวหน้าบอดี้การ์ดสูทดำใบหน้าเต็มไปด้วยเลือด ยังมีคนที่ยืนอยู่ข้างสาวงามคนนั้น ต่างก็มองเย่เทียนฉินราวกับตัวประลาด ใครก็คิดไม่ถึงว่าอยู่ดีๆเจ้าหมอนี่จะลงมือ ทั้งยังแข็งแกร่งขนาดนี้ บอดี้การ์ดสิบกว่าคนไม่มีใครเข้าใกล้ตัวได้เลย ดูเหมือนทั้งหมดจะถูกต่อยปลิวในหมัดเดียว ก่อนจะลงมากระแทกพื้นส่งเสียงร้องโอดโอย แล้วลุกไม่ขึ้นอีก

ไม่ถึงสองนาที บอดี้การ์ดสูทดำสิบกว่าคนต่างก็ทรุดลงกับพื้น ไม่มีสักคนเดียวที่สามารถลุกขึ้นได้ ใบหน้าของเย่เทียนเฉินปรากฏอารมณ์เศร้าเสียใจออกมาพลาง

สาวงามมีปฏิกริยาขึ้นมา รีบวิ่งตามเย่เทียนเฉินไป เธอเป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่มีแรงแม้แต่จะฆ่าไก่ ถึงแม้ว่าบอดี้การ์ดสูทดำสิบกว่าคนที่ต้องการจับตนเองจะถูกซัดลงไปหมอบกับพื้นแล้ว แต่หากมีใครสักคนที่สามารถลุกขึ้นได้ก็เพียงพอแล้วที่จะจับเธอ

“นี่ นี่ รอฉันด้วยสิ รอฉันด้วย….ฉันชื่อซูเฟยเฟย นายชื่ออะไรเหรอ?” สาวงามวิ่งเหยาะๆตามตูดเย่เทียนเฉินพลางตะโกนถามออกมา

เย่เทียนเฉินไม่แม้แต่จะหันไปมอง รีบข้ามถนนหายไป ซูเฟยเฟยกัดฟันเซ็กซี่ของตนด้วยความโมโห ดวงหน้าน่ารักบึ้งตึงกล่าวออกมาว่า “ฉันคนนี้สู้เต้าหู้ถ้วยเดียวไม่ได้เลยเรอะ? ไอคนไร้วัฒนธรรม”

เย่เทียนเฉินไม่เก็บเหตุการณ์เล็กๆน้อยๆนี้มาใส่ใจแม่สักนิด จริงๆแล้วหากไม่ใช่เพราะหัวหน้าบอดี้การ์ดสูทดำคนนั้นปัดเต้าหู้ของเขาตกไปเขาก็ไม่มีทางลงมือเด็ดขาด

เย่เทียนเฉินโบกรถแท็กซี่คันหนึ่ง มุ่งตรงกลับไปบ้าน โลกเดิมนั้นเขาตัวคนเดียว ไม่มีพ่อแม่ ไม่มีพี่น้อง เกิดใหม่ในโลกนี้เขาได้มี ก็รู้สึกรอคอยความอบอุ่นของครอบครัวอยู่บ้าง

รถแท็กซี่จอดลงหน้าประตูบ้านพักที่ไม่ได้หรูหราแต่ก็ไม่ได้ย่ำแย่ มองเห็นบ้านสองชั้นเล็กๆหลังนี้ มุมปากของเย่เทียนเฉินก็ปรากฏรอยยิ้มออกมา เดินมุ่งหน้าตรงไปที่ประตูใหญ่ กำลังจะเคาะประตูก็ได้ยินเสียงร้องไห้ดังออกมาจากห้องรับแขกในบ้าน มือขวาของเย่เทียนเฉินยกค้างไว้ เขาอยากจะฟังสักหน่อย

“แม่ อย่าร้องไปเลย ตระกูลฉีต้องการถอนหมั้นก็ถอนหมั้นไปเถอะ ตระกูลเย่ของพวกเราไม่แคร์หรอก” เย่เทียนเฉินฟังออกว่าเสียงนี้เป็นเสียงของเย่เฉี่ยนเหวินน้องสาวของเขา

“เฉี่ยนเหวิน แม่ไม่ได้กังวลเรื่องตระกูลฉีจะถอนหมั้น แต่เป็นห่วงความปลอดภัยของพี่ชายลูก แม่ได้ยินพวกอาใหญ่ของลูกพูดกันว่า ครั้งนี้พวกพี่ชายลูกออกไปปฏิบัติภารกิจ ถูกลอบโจมตี อาจจะกลับมาไม่ได้แล้ว” แม่ของเย่เทียนเฉินชื่อหลัวเยี่ยน เป็นแม่บ้านทั่วไป ตระกูลหลัวนับว่าเป็นตระกูลที่ไม่ใหญ่ไม่เล็กในจิงตู

“วางใจเถอะแม่ พี่ไม่เป็นไรหรอก เขาต้องกลับมาแน่ ตระกูลฉีต้องการถอนหมั้นก็หพวกเขาถอนหมั้นไปเถอะ พี่จะต้องหาคนสวยๆได้แน่” เย่เฉี่ยนเหวินมีสีหน้าบึ้งตึงกล่าวออกมาด้วยความขุ่นเคือง

หลัวเยี่ยนถอนหายใจ เช็ดน้ำตาที่หางตา ลูกชายคนนี้ทำให้เธอเป็นห่วงตั้งแต่เด็ก ก่อปัญหาไปทั่ว ทั้งวิวาททั้งขลุกอยู่กับผู้หญิง หลังจากเกิดเรื่องตระกูลหลิ่ว ลูกชายก็ดูราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ขนาดมหาวิทยาลัยก็ไม่เรียนแล้ว ยืนยันว่าอยากจะเป็นทหาร ไหนเลยจะรู้ว่าผลจะกลายเป็นแบบนี้

“พวกคุณปู่กับอาใหญ่ของลูกพูดแล้ว ถ้าหากว่าตระกูลฉีมาถอนหมั้น ก็ให้พวกเราย้ายออกไปจากจิงตู ไม่อนุญาตให้กลับมาอีก เรื่องตระกูลหลิ่วทำให้ตระกูลเย่เสียหน้ามาก ถ้าตระกูลฉีมาขอถอนหมั้นอีก พวกเราก็คงไม่มีหน้าอยู่ในจิงตูแล้ว….”

“แม่ ไปก็ไปสิ พวกเราเป็นครอบครัวกัน ไม่สนหรอกว่าต้องไปอยู่ที่บ้านหลัก ไม่ว่าพี่จะเป็นยังไงเขาก็เป็นพี่ชายของหนู พวกเราต่างก็เป็นครอบครัวเดียวกัน” เย่เฉี่ยนเหวินพยามปลอบแม่เต็มที่ ไม่อยากให้เธอต้องเสียใจ

ในใจของเย่เทียนเฉินรู้สึกเจ็บแปลบ พยายามอย่างยิ่งให้ตัวเองยิ้ม พลางหยิบกุญแจออกมาจากกระเป๋ากางเกง ไขเปิดประตูใหญ่ของบ้านแล้วเดินเข้าไป

……………………………

บทที่ 5 ปฏิเสธเกียรติยศทั้งหมด
Ink Stone_Fantasy
“พวกนายได้ยินกันไหม? เจ้าเด็กเย่เทียนเฉินฆ่าล้างพวกโจร ขนาดเจ้าแซนเบเกอร์รองหัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิตก็ยังแพ้มัน”

“โม้ล่ะสิ? เจ้าเด็กนั่นไม่ใช่พวกเพลย์บอยเหรอ? วันๆไม่ทะเลาะวิวาทก็ขลุกอยู่กับผู้หญิง เป็นแค่ไอขยะคนหนึ่งเท่านั้นแหละ”

“ฉันคิดว่าต้องเป็นเรื่องโกหกแน่ๆ เจ้าหมอนั่นเคยทำให้ตระกูลเย่โดนดูถูดเหยียดหยาม ทั่วทั้งจิงตูมีใครบ้างที่ไม่รู้ฉันว่าที่สำเร็จภารกิจในครั้งนี้ได้ก็เพราะอาศัยหานเจี๋ยซะมากกว่า”

ทั่วทั้งค่ายทหาร หลายคนอดไม่ได้ที่จะพูดคุยถกเถียงกัน ส่วนใหญ่ต่างรู้เรื่องตระกูลเย่กับตระกูลหลิ่ว ต่างก็เป็นตระกูลที่มีหน้ามีตาในจิงตู เย่เทียนเฉินแอบดูหลิ่วหรูเหมยอาบน้ำ ทำให้ตระกูลหลิ่วโกรธมาก ต้องให้พ่อแม่มาเองถึงหน้าประตู ก้มหัวขอโทษตระกูลหลิ่วต่อหน้าตระกูลใหญ่มากมายในจิงตู ส่วนเย่เทียนเฉินก็คุกเข่าอยู่ข้างๆ เป็นการขายหน้าครั้งยิ่งใหญ่

เถี่ยฉุยเดินเข้ามาในเต็นท์ที่เย่เทียนเฉินนอนหลับอยู่ เห็นเขานั่งขัดสมาธิ ตาทั้งสองปิดสนิท มีเหงื่อเย็นๆไหลออกมาบริเวณหน้าผาก เถี่ยฉุยตกตะลึง เนื่องจากรู้สึกถึงพลังงานที่แข็งแกร่งสายหนึ่ง รอบๆถูกพลังงานนั้นห่อหุ้มไว้อย่างหนาแน่น ดูเหมือนว่าศุนย์กลางจะอยู่ที่เย่เทียนเฉิน

“หัวหน้าเถี่ยฉุย มีอะไรเหรอครับ?” จู่ๆเย่เทียนเฉินก็ลืมตาขึ้น กล่าวถามด้วยรอยยิ้ม

“อา นายพลชางเรียกให้นายไปพบ” เถี่ยฉุยรับรู้ได้ว่าพลังอันแปลกประหลาดนั้นได้สลายไปแล้ว

เย่เทียนเฉินมองเถี่ยฉุยสักครู่ จากนั้นจึงลงจากเตียง หาวขึ้นครั้งหนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “ขอโทศด้วยครับ ผมไม่มีความสนใจจะไปพบท่านผู้นำ ผมแค่อยากกลับบ้าน”

จริงๆเมื่อสักครู่นี้เย่เทียนเฉินกำลังสำรวจพลังพิเศษภายในร่าง เพิ่งจะมาเกิดใหม่ในร่างนี้ พลังพิเศษก็ลดจากระดับพระเจ้าเหลือเพียงระดับราชัน สามารถใช้ออกมาได้เพียงไม่ถึงหนึ่งส่วน ที่สำคัญกว่านั้นคือ แก่นพลังในสมองแปรปรวนติดๆดับๆ ทำให้เย่เทียนเฉินปวดหัวมาก

แต่เดิมเขาคิดว่าได้เกิดใหม่ในโลกนี้จะเสพสุขกับชีวิตอย่างสบายอกสบายใจ ไม่ต้องการความแข็งแกร่งมากมายอะไร แต่เมื่อได้สู้กับแซนเบเกอร์ทำให้เย่เทียนเฉินรู้ว่า ไม่ว่าจะโลกไหนต่างก็มีผู้แข็งแกร่ง เขาเชื่อว่าจะต้องมีคนที่เก่งกว่าแซนเบเกอร์ และจะต้องมีคนบางคนและเรื่องบางเรื่องที่จำเป็นต้องให้เขาปกป้องดูแล ดังนั้นพลังอันแข็งแกร่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง

ก่อนที่เถี่ยฉุยจะเข้ามา เย่เทียนเฉินลองรวบรวมพลังงานในธรรมชาติ พบว่ามีเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่รวบรวมได้ ยังห่างจากความต้องการของเขาอีกไกล ครั้งเดียวที่แก่นพลังในสองมีปฏิกริยารุนแรงก็คือตอนที่สู้กับพวกโจร ดูแล้วมีเพียงการสู้รบที่จะทำให้พลังพิเศษตื่นขึ้นได้

“เย่เทียนเฉิน ดูเหมือนนายจะยีงไม่เข้าใจฐานะของตัวเอง นายเป็นทหาร ผู้บังคับบัญชามีคำสั่งเรียกนายไปพบ นายที่เป็นทหารคนหนึ่ง การทำตามคำสั่งถือเป็นหน้าที่สูงสุด”

เถี่ยฉุยกล่าวอย่างดุดัน ในใจเกิดความโกรธขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เจ้าหมอนี่มันมองข้ามความหวังดีของผู้อื่น ชางหลางเป็นคนในคณะกรรมาธิการทหาร และเป็นหนึ่งในสามราชันนักรบบูรพา ไม่ทราบว่ามีกี่คนที่ต้องการได้รับโอกาสเข้าพบชางหลาง แต่เจ้าเย่เทียนเฉิน ไม่คิดเลยว่าหมอนี่ไม่อยากพบชางหลาง และดูเหมือนจะมีท่าทีตรงกันข้ามด้วยซ้ำ เหมือนกับไม่เต็มใจไปพบชางหลางอย่างไรอย่างนั้น

“หัวหน้าเถี่ยฉุย ผมไม่อยากพบนายพลอะไรนั่นจริงๆนะครับ ผมแค่อยากกลับบ้าน”

“ในเมื่อนายไม่เต็มใจ งั้นฉันมาหานายเอง!” เย่เทียนเฉินยังพูดไม่ทันจบ ชางหลางก็เดินเข้ามาในเต็นท์พร้อมกล่าวออกมา

“นายพลชาง!” เถี่ยฉุยรีบทำความเคารพชางหลาง เขาไม่คิดว่าชางหลางจะมาพบเย่เทียนเฉินด้วยตัวเอง เจ้าเด็กนี่ช่างหน้าใหญ่เสียจริง

“อืม เถี่ยฉุยนายออกไปก่อน ฉันอยากจะคุยกับเขาตามลำพัง” ชางหลางกล่าวยิ้มๆ

เถี่ยฉุยจ้องมองเย่เทียนเฉินอย่างดุดันสักพักจึงค่อยเดินออกไปจากเต็นท์ ส่วนเย่เทียนเฉินนั้นสายตาเปลี่ยนไปเล็กน้อย พลางประเมินนายพลชางหลางตรงหน้า จากการประเมินของเขาตัดสินว่านี่เป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง บนร่างมีความผันผวนของพลังอันแข็งแกร่งรุนแรง คงเป็นผู้ที่เคยฝึกพลังภายในของพรรควรยุทธโบราณมาก่อน

ชางหลางก็ประเมินเย่เทียนเฉินด้วยสายตา พบว่าเจ้าเด็กตระกูลเย่ที่ไม่ร่ำเรียนหนังสือคนนี้ ทำให้ผู้คนมองไม่ออกจริงๆ ยิ่งในตอนนี้ เย่เทียนเฉินมีท่าทีเหยาะแหยะ ทำให้ผู้คนยากที่จะรวมเขาเข้ากับคำว่าอัจฉิรยะ

“นายก็คือเย่เทียนเฉิน?” ชางหลางนั่งที่เก้าอี้ข้างๆพลางถาม

“ใช่ครับ ส่วนคุณก็คือนายพลชางหลาง?” เย่เทียนเฉินถามกลับด้วยน้ำเสียงสบายๆ

ชางหลางพยักหน้า กล่าวออกไปอย่างตรงประเด็นว่า “ได้ยินว่านายไม่ต้องการเกียรติยศ แค่อยากกลับบ้าน ฉันอยากรู้ว่าทำไม?”

“ไม่ทำไมหรอก ประการแรกผมก็ไม่ใช่ทหาร ประการที่สองผมคิดว่าสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตคนๆหนึ่งก็คือ การได้อยู่กับครอบครัวอย่างมีความสุข ผมไม่อยากมายุ่งยากหรือกังวลใจกับเรื่องพวกนี้ ขอให้นายพลชางอนุญาตด้วยครับ” ที่เย่เทียนเฉินกล่าวมานั้นเป็นความจริง ในโลกก่อนนั้นเขาเป็นเด็กกำพร้าไม่มีครอบครอบญาติพี่น้อง เกิดใหม่ในโลกนี้เขาก็อยากจะอยู่กับครอบครัว เขานั้นทราบว่าเมื่อก่อนเจ้าของร่างนี้สร้างความอัปยศและความลำบากให้กับคนในครอบครัว เขาต้องการชดเชยให้

“เรื่องนี้ฉันต้องพิจารณาดูก่อน นายรอฟังข่าวอยู่ที่นี่เถอะ”

ชางหลางหมุนกายเดินออกไปจากเต็นท์ เย่เทียนเฉินหาวออกมาครั้งหนึ่ง ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงต่อไป การตื่นของพลังพิเศษต้องเป็นไปที่ละก้าว จะรีบร้อนไม่ได้

เช้าวันต่อมา เย่เทียนเฉินสะพายเป้ทหารใบหนึ่งเดินออกไปจากค่ายทหาร ชางหลางเห็นด้วยกับความคิดเขาแล้ว อีกทั้งเดิมทีเบื้องบนก็ให้ชางหลางจัดการเรื่องนี้ให้เงียบหายไป ยิ่งเป็นความลับได้เท่าไรยิ่งดี การสูญเสียทหารหน่วยรบพิเศษไปหกนายรวมถึงการรั่วไหลของข้อมูลบางอย่างในครั้งนี้ จำเป็นต้องเก็บเป็นความลับ

สุดท้านเย่เทียนเฉินได้ลงนามในสัญญารักษาความลับ ห้ามทำให้เรื่อวนี้รั่วไหลออกไปแม้แต่ครึ่งคำ อีกทั้งก่อนที่เขาจะจากมา คำพูดประโยคนั้นของชางหลางก็ทำให้เย่เทียนเฉินต้องขบคิด

“ถ้าหากนายเป็นดาวที่เปล่งประกายจริงๆล่ะก็ จะอย่างไรก็ต้องส่องแสง ในโลกนี้ไม่ว่าจะที่ไหนต่างก็มีการต่อสู้ทั้งนั้น มีความยุ่งยากบางอย่างที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้”

เดินออกมาจากค่ายทหารที่ถูกปิดกั้นจากภายนอก เย่เทียนเฉินก็บิดขี้เกียจครั้งหนึ่ง เดิมทีเขาก็ไม่ใช่คนที่ชอบถูกผูกมัด การได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรีเป็นสิ่งที่เขาต้องการที่สุด ในโลกก่อนมีแต่ต่อสู่ต่อสู้ต่อสู้อยู่ตลอด ทำให้เขารู้สึกหดหู่เล็กน้อย เกิดใหม่ในโลกนี้เย่เทียนเฉินก็อยากจะเสพสุขกับชีวิตสักหน่อย แต่ความคิดนี้ของเขาจะสมปรารถนาหรือไม่?

“นายพลชาง ข้อมูลตรงส่วนนี้ของเย่เทียนเฉินยังไม่ได้กรอกครับ” เถี่ยฉุยถือเอกสารแผ่นหนึ่งเดินเข้ามา ส่งให้ชางหลางพลางกล่าวขึ้น

ชางหลางรับแฟ้มเอกสารมาดู พบว่าในเอกสารของเย่เทียนเฉินมีเว้นว่างอยู่ที่หนึ่ง หน้าช่องว่างนั้นมีคำว่า “ระดับการสู้รบ” เขียนไว้ ชางหลางคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเขียนคำว่า “ไม่ทราบ” ลงไป จากนั้นจึงกล่าวกับเถี่ยฉุยว่า “เอาของมูลของเขาส่งไปที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงแห่งชาติ จัดเป็นความลับระดับหนึ่ง”

ไม่ทราบระดับการสู้รบ นี่เป็นครั้งแรกที่ชางหลางประเมินลูกน้องของตนเช่นนี้ มีสถานะเป็นหนึ่งในสามราชันนักรบบูรพา ชางหลางก็นับว่าผ่านการอ่านคนมานับไม่ถ้วน แต่กับเย่เทียนเฉิน เขารู้สึกมองไม่ออกจริงๆ ไม่ทราบว่าเจ้าหนุ่มนี่แกล้งทำเป็นคนไม่มีการศึกษา หรือจะบอกว่าศักยภาพที่แฝงในตัวอยู่ถูกระเบิดออกมา กลายเป็นทหารที่เก่งกาจคนหนึ่งที่ไม่ทราบว่ามีความแข็งแกร่งระดับไหน

หลังจากที่เย่เทียนเฉินออกมาจากค่ายทหารแล้วก็เดินทอดน่องอยู่บนถนนกว้าง ที่นี่เป็นค่ายทหาร เป็นสถานที่สำคัญของทหาร นอกจากรถทหารแล้วยานพาหนะของบุคคลภายนอกไม่สามารถเข้ามาได้ ดังนั้นหลังจากที่เย่เทียนเฉินเดินออกมาแล้วเพิ่งจะคิดได้ว่าควรจะให้ชางหลางจัดรถคันหนึ่งมาส่งตัวเอง มิฉะนั้นจะไปถึงสนามบินเมื่อไรก็ไม่รู้

“ไงสหาย ขอขึ้นรถไปด้วยสิ!” เย่เทียนเฉินเรียกรถฮัมวี่ของทหารคันหนึ่งให้หยุด กล่าวออกมาพลางหัวเราะฮี่ๆ

“หือ? ตอนนี้ในค่ายทหารกำลังฝึกซ้อมกันอยู่ นายออกมาได้ไง?” ทหารที่ขับรถถามอย่างสงสัย

“ฮ่ะๆ ไม่ใช่ว่าถูกปลดมาเหรอ?” เย่เทียนเฉินหัวเราะเขินๆ แสดงเป้ทหารที่ตนสะพายอยู่เพื่อเป็นการบอกใบ้

ใครจะรู้ว่าเย่เทียนเฉินเพิ่งจะกล่าวจบ รถฮัมวี่คันนั้นก็ขับจากไป เขารู้สึกได้ถึงสายตาดูถูกของนายทหารที่ขับรถอยู่อย่างชัดเจน ทหารที่ถูกกองทัพขับไล่ เกรงว่าไปที่ไหนก็ต้องเจอกับการดูถูก แต่หากว่าไม่ใช้เหตุผลนี้เย่เทียนเฉินก็คงไม่ได้ออกจากกองทัพง่ายๆ ในเรื่องที่จะส่งผลต่อเกียรติ์ของเขาอย่างรุนแรงนั้น ชางหลางก็ได้อธิบายให้เย่เทียนเฉินเข้าใจชัดเจนแล้ว เย่เทียนเฉินที่เดิมทีไม่สนใจเรื่องเกียรติยศก็รีบตอบตกลงทันทีโดยไม่คิดอะไรมาก

“แม่งเอ่ย!” เย่เทียนเฉินสบถออกมา เริ่มออกเดินไปข้างหน้าต่อ

บรื้นบรื้น!

มีรถจักยานยนตร์ที่ใช้ในกองทพขับมา เย่เทียนเฉินไม่คิดว่าจะเรียกให้หยุดอีก ทหารคนหนึ่งที่ถูดขับไล่ออกจากกองทัพ เกรงว่าคงไม่เป็นที่ต้อนรับของคนอื่น อีกทั้งเขายังคิดว่ามันไม่เกี่ยวกับตนเองสักนิด เขาไม่ใช่เย่เทียนเฉินคนเดิมตั้งนานแล้ว ถึงแม้เขาจะได้รับนิสัยของเย่เทียนเฉินคนก่อนทั้งหมดมา แต่ก็ไม่ได้แสดงออก เย่เทียนเฉินคนก่อนชอบอะไร เขาก็ชอบอย่างนั้น

“ขึ้นรถมาสิ อยากเดินซะจนไม่ทักทายฉันเลยนะ ไม่เสียมารยาทไปหน่อยเหรอ?” ตอนนี้เอง รถมอเตอร์ไซด์ทหารก็หยุดลงข้างๆเย่เทียนเฉิน หานเจี๋ยถอดหมวกกันน็อคพลางกล่าวยิ้มๆ

“พี่หาน พี่มาได้ไง อาการบาดเจ็บของพี่ไม่เป็นไรแล้วเหรอ?” เย่เทียนเฉินมีความประทับใจต่อผู้หญิงคนนี้ไม่น้อย ตั้งแต่ได้มาเป็นทหารก็คอยดูแลตัวเองมาตลอด และดอกไม้ของกองทัพคนนี้ก็เป็นคนที่มีจิตใจแน่วแน่ คู่ควรที่จะเลื่อมใส

“แค่บาดเจ็บภายนอกเล็กน้อย ดีขึ้นตั้งนานแล้ว ขึ้นรถมา ฉันจะไปส่งนายที่สนามบินเอง”

เย่เทียนเฉินพยักหน้าพลางนั่งซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซด์ทหาร ทักษะการขับรถของหานเจี๋ยไม่เลวเลย บิดสุดแรงม้า ตลอดทางมีลมพัดปะทะเข้ามา ทำให้รู้สึกเย็นสบาย

“นายไม่อยากเป็นทหารแล้วจริงๆเหรอ? จะละทิ้งเกียรติยศยิ่งใหญ่ขนาดนี้เหรอ?” ตอนที่หานเจี๋ยได้ยินว่าเย่เทียนเฉินต้องการจากไป เกียรติยศใดๆล้วนไม่ต้องการ ต้องการกลับบ้านเพียงเท่านั้น ในใจก็รุ้สึกตกใจและสงสัย ที่สำคัญกว่านั้นคือ เมื่อคิดว่าในอนาคตจะไม่ได้เจอผู้ชายคนนี้อีก เกิดรู้สึกเสียใจแปลกๆ

“เบื่อแล้วหนะ ไม่มีความหมายอะไรหรอก ผมแค่อยากใช้ชีวิตธรรมดาๆ ใช้ชีวิตให้มีความสุขถึงจะสำคัญที่สุด” เย่เทียนเฉินกล่าวยิ้มๆ

“นายคิดง่ายไปแล้ว ที่นี่ไม่มีอะไรคู่ควรให้นายอาลัยอาวรณ์เลยเหรอ?” หานเจี๋ยที่รู้สึกโมโหเล็กน้อยถามหยั่งเชิงออกไป

………………………

บทที่ 4 ความอัปยศของครอบครัว
Ink Stone_Fantasy
แซนเบเกอร์ที่ถูกเย่เทียนเฉินต่อยปลิวไป หลังจากที่กล่าวคำสาบานก็หายวิ่งหายเข้าไปในความมืด มันรู้สึกได้ถึงความเก่งกาจของชายชาวตะวันออกคนนี้ หากสู้ต่อไปตนเองอาจจะพลิกสถานการณ์ไม่ได้ เป็นรองหัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิต นับว่าผู้มีตำแหน่งและอำนาจสูง แซนเบเกอร์ย่อมไม่เอาชีวิตตนเองไปล้อเล่น ตอนนี้หนีก่อนจะดีที่สุด แล้วค่อยหาโอกาสแก้แค้นเย่เทียนเฉินภายหลัง

ปังปังปัง!

พวกโจรที่มาล้อมต่างยิงปืนไปยังเย่เทียนเฉิน มีเกือบร้อยคน ดูแล้วรัฐบาลประเทศmอยากจะให้พวกเขาตายมิฉะนั้นคงไม่มีกำลังพลเยอะเช่นนี้

เย่เทียนเฉินกลิ้งตัวลงกับพื้นหลบลูกปืนที่กราดยิงมายังเขา พลางเก็บปืนขึ้นมากระบอกหนึ่งยิงสวนไป ไม่ทันไรก็ระเบิดหัวพวกโจรไปสาม

ปกติแล้วเย่เทียนเฉินในโลกก่อนไม่ใช้ปืน แม้ว่าจะมีอาวุธสังหารคุณภาพสูงที่ป้องกันไม่ได้ และจำต้องใช้อยู่บ้าง แต่หากเลี่ยงได้ก็จะพยายามไม่ใช้ เย่เทียนเฉินคิดว่าการใช้หมัดสังหารศัตรูทำให้เขาพอใจมากกว่า กระทั่งในโลกก่อนถ้าจำเป็นต้องใช้อาวุธ เย่เทียนเฉินก็จะชอบใช้ปืน RPG โดยแบก RPG ไว้บนไหล่ขวา ทุกครั้งที่ยิงออกไปสามารถระเบิดตึกใหญ่ๆได้หนึ่งหลัง

แม้จะไม่ชอบใช้อาวุธก็ไม่ใช่ว่าความสามารถในการยิงปืนของเย่เทียนเฉินจะย่ำแย่ เย่เทียนเฉินสองมือซ้ายขวาถือปืน ดูราวกับเทพนักรบ ไม่มีหลบเลี่ยง ไม่มีถอยหลัง เมื่อเขาหยุดยิง พวกโจรทั้งหมดต่างก็นอนจมกองเลือด มีเพียงแซนเบเกอร์ที่หนีไปได้

เย่เทียนเฉินโยนปืนกลทิ้งไป หยิบระเบิดมือขึ้นมาจากพื้นหลายลูก หนึ่งเต็นท์ปาระเบิดไปสองลูก เกิดเสียงดังปังขึ้นหลายเสียง เปลวเพลิงส่องสว่างสู่ฟากฟ้า เย่เทียนเฉินเดินจากไปด้วยรอยยิ้มสนุกสนาน เขาไม่เพียงสามารถแก้แค้นให้สหายรว้ามรบทั้งหก ยังฆ่าพวกโจรทั้งหมดและระเบิดเต็นท์ของพวกมันไปหลายเต็นท์อีกด้วย ภารกิจสำเร็จแล้ว

หานเจี๋ยที่ยืนอยู่บนกิ่งไม้ของต้นไม้ใหญ่อยู่ตลอดมองเห็นทุกอย่าง เธอตกตะลึง เธอไม่กล้าคิดว่าคนๆหนึ่งจะแข็งแกร่งได้ถึงขั้นนี้ มันบ้าเสียยิ่งกว่าหนังที่ฉายเสียอีก ต่อให้มีทหารเก่งๆบางคนสามารถทำได้ แต่ต้องไม่ใช่กับทหารหน่วยรบพิเศษมือใหม่อย่างเย่เทียนเฉิน

“พี่หาน พวกเราไปกันได้แล้ว ฟ้าจะสว่างแล้ว” ไม่รู้ว่าเย่เทียนเฉินมาผรากฏตัวข้างๆหานเจี๋ยตอนไหน

“เทียนเฉิน นาย….ทำไมนายร้ายกาจขนาดนี้ได้?” หานเจี๋ยอดไม่ได้ที่จะถาม

“หืม? ฮี่ๆ ก็แค่ศักยภาพที่ตื่นขึ้นมาอย่างฉับพลัน เจ๋งสุดยอด การตอบโต้ของคนตัวเล็กๆ!” เย่เทียนเฉินเกาหัวพลางหัวเราะออกมา

เย่เทียนเฉินได้แต่ใช้วิธีลวกๆเช่นนี้กับความสงสัยของหานเจี๋ย เขาจะบอกหานเจี๋ยไม่ได้ว่าเขาไม่ใช่เย่เทียนเฉินคนเดิม แต่เป็นผู้มีพลังพิเศษระดับพระเจ้ามาเกิดใหม่ หากบอกไปเกรงว่าจะถูกคนมองว่าบ้า และเป็นไปได้ว่าจะถูกจับส่งโรงพยาบาลบ้า

เวลาค่ำคืนผ่านพ้นไป เย่เทียนเฉินยังคงแบกหานเจี๋ยเดินไปยังชายแดนตะวันออก ตอนที่เพิ่งจะมาถึงชายแดนก็ถูกรถ SUV หลายคันล้อมไว้ มีทหารแบกปืนสะพายกระสุนลงมาจากรถ นำมาด้วยบุคคลหน้าเหลี่ยมคนหนึ่ง ผมไถสั้น เป็นชายที่สูงราวเมตรกว่าๆ อายุราวสามสิบปี ตอนที่เขาเห็นเย่เทียนเฉินกับหานเจี๋ยก็อดที่จะตกตะลึงไม่ได้

“หัวหน้าเถี่ยฉุย พวกคุณมาแล้วเหรอ?” หานเจี๋ยกล่าวพลางลงจากหลังเย่เทียนเฉินรู้สึกเก้อเขินเล็กน้อย และมองชายอายุสามสิบคนนั้นด้วยความรู้สึกสลดใจ

เถี่ยฉุยเป็นหัวหน้าหน่วยมังกรฟ้าแห่งประเทศตะวันออก หน่วยมังกรฟ้าเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง สมาชิกทุกคนในหน่วยถูกเลือกมาจากทหารยอดฝีมือ อยู่ภายใต้การนำโดยตรงของทหารระดัยสูงหลายท่าน หลังจากที่พวกเย่เทียนเฉินทั้งเจ็ดเคลื่อนไหวไม่นาน ฝั่งตะวันออกก็ได้รับรายงานว่าพวกหานเจี๋ยอาจจะถูกซุ่มโจมตีจากกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิต นำมาซึ่งความตื่นตระหนัก ผู้บัญชาการเขตสูงสุดจึงมีคำสั่งให้เถี่ยฉุยนำสมาชิกระดับหัวกะทิหลายสิบคนแห่งหน่วยมังกรฟ้าไปยังป่าหมอกดำทันทีเพื่อช่วยเหลือหานเจี๋ยและทหารหน่วยรบพิเศษทั้งเจ็ดนาย

แม้ว่าจะมีคำสั่งและมาตรการช่วยเหลือออกมาเช่นนี้ แต่ในใจของหลายๆคนก็รู้ดีว่าสถานการณ์ของหานเจี๋ยและทหารหน่วยรบพิเศษทั้งเจ็ดย่ำแย่ โอกาสที่จะรอดชีวิตกลับมาเป็นศูนย์ เป็นเพราะข่าวกรองของฝั่งตะวันออกคราวนี้เกิดความผิดพลาด ทหารหน่วยรบพิเศษทั้งเจ็ดต้องเผชิญหน้ากับโจรนับร้อยและยังต้องเผชิญหน้ากับกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิตที่มีฝีมือน่ากลัว ถ้ารอดกลับมาก็ปาฏิหาริย์แล้ว

แต่ปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้นจริงๆ และผู้ที่ทำให้เกิดปาฏิหาริย์นี้ก็คือเย่เทียนเฉิน เมื่อพบกับหัวหน้าเถี่ยฉุยหานเจี๋ยก็ได้รายงานทุกสิ่งทุกอย่างแก่เขา ทำให้หัวหน้าแห่งหน่วยมังกรฟ้าอย่างเถี่ยฉุยต้องตะลึงกระทั่งอดไม่ได้ที่จะมองเย่เทียนเฉินซ้ำแล้วซ้ำอีก สุดท้ายจึงให้เย่เทียนเฉินขึ้นรถของตน เขาอยากคุยกับทหารหน่วยรบพิเศษหน้าใหม่คนนี้ อย่างไรก็ตามครั้งนี้ฝั่งตะวันออกจะสูญเสียทหารหน่วยรบพิเศษไปหกคน ซึ่งส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงระดับโลกของประเทศตะวันออก ทำให้ไม่มีใครกล้าทำเป็นเล่น

เย่เทียนเฉินและเถี่ยฉุยนั่งข้างกันในรถ SUV เย่เทียนเฉินไม่ได้มีความสนใจอะไรในตัวเถี่ยฉุย จึงไม่ได้พูดอะไรสักคำ นั่งรับลมอยู่ตรงที่นั่งด้านท้าย คราวนี้เพื่อจะแก้แค้นให้สหายร่วมรบและเพื่อพาหานเจี๋ยกลับมาอย่างมีชีวิต เย่เทียนเฉินฝืนใช้พลังพิเศษที่ฟื้นฟูได้ไม่ถึงหนึ่งส่วน ตอนนี้จึงรู้สึกเพลียมาก

“สูบบุหรี่สักมวนสิ!” เถี่ยฉุยมองเย่เทียนเฉินพลางส่งบุหรี่มวนหนึ่งไปให้ เขาเชื่อคำพูดของหานเจี๋ยว่าเจ้าหนุ่มตรงหน้านี้แข็งแกร่ง เพียงแต่สงสัยว่าเหตุใดก่อนหน้านี้จึงไม่มีใครดูออก หรือจะบอกว่าเย่เทียนเฉินจงใจซ่อนความสามารถไว้?

เย่เทียนเฉินรับบุหรี่ที่ถูกจุดแล้วมาสูบเข้าไปหนึ่งเฮือกอย่างกระหาย ในโลกก่อนการได้สูบบุหรี่เช่นนี้ จะผู้หญิงกี่คนก็แปลี่ยนแปลงเขาไม่ได้ ช่างฟุ่มเฟือยจริงๆ

“ครั้งนี้นายมีผลงานดีที่สุด ฉันจะรายงานความดีความชอบขึ้นไปให้ นายอาจจะได้เป็นถึงขุนนางใหญ่….” เถี่ยฉุยกล่าวพลางมองไปยังเย่เทียนเฉิน

“ไม่ต้องหรอกครับ ผมไม่ต้องการความดีความชอบอะไร แล้วก็ไม่ได้อยากเป็นขุนนาง ผมแค่อยากกลับไปที่เมือง กลับไปที่บ้านผม” เย่เทียนเฉินพูดพลางส่ายหัว

เย่เทียนเฉินคิดเช่นนี้จริงๆ ตั้งแต่ที่เขาลืมตาตื่นขึ้นมาก็เข้าใจเรื่องราวหลายอย่าง หากว่าไม่ต้องส่งเสริมครอบครัว ไม่ต้องล้างมลทินที่เขานำมาสู่พ่อแม่ เย่เทียนเฉินคงไม่มีวันมาเป็นทหาร หากไม่ใช่เพราะหายเจี๋ยปากไวเล่าให้เถี่ยฉุยฟังทุกอย่าง เย่เทียนเฉินก็ไม่คิดจะให้ใครรู้เรื่องเหล่านี้

“งั้นเหรอ? ผลงานยอดเยี่ยมขนาดนี้คงถูกผู้นำระดับในคณะกรรมาธิการทหารเรียกพบ นับว่าเป็นเกียริต์อย่างสูง นายอาจจะถึงกับได้เลื่อนขั้นหลายขั้น ถึงสกุลเย่ของนายจะตกต่ำ แต่ครั้งนี้ทำให้นายสามารถลืมตาอ้าปากได้นะ” เถี่ยฉุยกล่าวมอย่างสงสัย

“ขอโทษด้วยครับ ผมไม่สนใจ ผมคิดว่าเรื่องในครั้งนี้ไม่นานก็คงจะแพร่ไปทั่ว แต่การที่ผมรอดกลับมาได้ก็เพียงพอที่จะทำให้พ่อแม่ของผมภาคภูมิใจ ผมแค่อยากจะอยู่กับพวกเขา ให้พวกเขาได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข” เย่เทียนเฉินพูดเสียงเบา

เถี่ยฉุยรู้สึกสงสัยจริงๆแล้ว เขาทราบมาว่าเย่เทียนเฉินเป็นนักศึกษาปีหนึ่งของมหาวิทยาลัยหลงเถิง สกุลเย่เป็นครอบครัวชั้นสาม เมื่อก่อนไม่ศึกษาเล่าเรียน วันๆเอาแต่ทะเลาะวิวาท ขลุกอยู่กับผู้หญิงไปทั่ว ในที่สุดก็ไปเตะโดนเหล็กเข้า แอบมองสาวงานอันดับหนึ่งของสกุลหลิวอาบน้ำ สร้างความตกตะลึงไปทั่วทั้งจิงตู ตระกูลหลิวนั้นเป็นตระกูลใหญ่อันดับหนึ่งในจิงตู มีรองผู้วาการรัฐหนุนหลัง มีอำนาจยิ่งใหญ่ ไม่ใช่ใครที่ตระกูลเย่จะลูบคมได้ ดังนั้นการแก้ปัญหาขั้นสุดท้ายก็คือพ่อแม่ของเย่เทียนเฉินต้องก้มหัวขอโทษตระกูลหลิวต่อหน้าตระกูลใหญ่ท่ามกลางผู้คนมากมาย และเย่เทียนเฉินก็ต้องคุกเข่าอยู่ด้านข้างตลอด จึงจะสามารถรักษาชีวิตของเย่เทียนเฉินไว้ได้ ด้วยเหตุนี้ตระกูลเย่จึงกลายเป็นที่ขบขันของผู้คนในจิงตู

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เย่เทียนเฉินก็ราวกับฟื้นคืนสติไม่น้อย สุดท้ายจึงเข้าร่วมกับกองทัพ ต้องการซึมซับลักษณะของบุคคลเช่นนี้ จึงทำให้เกิดเรื่องราวในวันนี้ขึ้นมา

สิ่งที่ทำให้คนคาดไม่ถึงก็คือ ไอขยะคนหนึ่งที่วันๆไม่เรียนหนังสือ นำความอัปยศอดสูมาสู่ครอบครัว จะสามารถมีความเก่งกาจเช่นนี้ พูดออกไปคงไม่มีใครเชื่อ

“เกรงว่าเรื่องนี้นายไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ” เถี่ยฉุยหันมา

“ผมขอขอบคุณท่านมากครับหัวหน้าเถี่ยฉุย ผมคิดว่าท่านเป็นคนดีคนหนึ่ง ผมแค่อยากจะอยู่แบบธรรมดาๆ การลงมือครั้งนี้สถานการณ์มันบังคับ ผมคิดว่าเกีนรติยศในครั้งนี้คงมีคนที่ต้องการมันมากกว่า ให้คนอื่นไปเถอะครับ ปล่อยให้ผมกลับบ้าน” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางมองเถี๋ยฉุยอย่างจริงงจัง

“ฉันทำได้แค่รายงานนายพลชางหลางไปตามความจริง เขาจะมาจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง”

หลังจากที่เย่เทียนเฉินและหานเจี๋ยมาค่ายทหาร หานเจี๋ยถูกส่งไปรักษาที่สำนักงานแพทย์ ส่วนเย่เทียนเฉินนอนหลับเป็นตาย ร่างกายนี้ยังไม่สามารถรองรับพลังพิเศษที่ปะทุออกมาได้ การฝืนรีดเร้นพลังระดับราชันเพื่อจัดการกับพวกโจรนั้นทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกเหนื่อยมาก ต้องการพักผ่อนสักครู่

“นายพลชางครับ เรื่องนี้หานเจี๋ยเป็นคนเล่าออกมาจากปาก ผมคิดว่าไม่น่าจะเป็นเรื่องหลอกลวง” ภายในค่ายทหาร เถี่ยฉุยรายงานออกมาด้วยความเคารพ

“คนที่ไม่เล่าเรียน นำความอัปยศมาสู่ครอบครัว จะเก่งขนาดนั้นจริงน่ะเหรอ?” ชางหลางที่เกิดความสงสัยพึมพำกับตนเอง

ชางหลางเป็นผู้คนโดยตรงของหน่วยมังกรฟ้า เป็นบุคคลากรสำคัญของคณะกรรมาธิการทหาร เป็นหนึ่งในสามราชันบูรพา มีฝีมือสูงส่ง ตอนเขามาผู้นำระดับสูงก็เตือนชางหลางให้จัดการเรื่องนี้เงียบๆ คำเตือนเสียเปล่าเสียแล้ว ไม่ว่าเรื่องนี้จะมีอะไรผิดบังอยู่ก็ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงในระดับนานาชาติ ไม่แปลกที่จะจัดการให้เรื่องนี้เงียบหายไป

แม้ว่าชางหลางจะไม่ใช่คนที่ชอบข่าวซุบซิบ แต่เรื่องของตระกูลเย่กับตระกูลหลิวโด่งดังไปทั่วทั้งเมือง ไม่มีใครไม่รู้ คนที่มีหูมีตาสักหน่อยต่างก็ได้ยินเรื่องนี้กันหมด เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ตระกูลเย่เป็นที่ขบขันของผู้คนทั้งจิงตู

“เถี่ยฉุย นายเชื่อไหมว่าไอขยะที่ไม่เรียนหนังสือคนนี้มันจะมีทักษะการสู้รบแบบนี้?”

“ผมเชื่อครับ!” เถี่ยฉุยยืนยันในคำตอบ

ได้ยินคำตอบของเถี่ยฉุย ชางหลางก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง เถี่ยฉุยเป็นลูกน้องที่ตนเองไว้ใจมากที่สุด เป็นถึงหัวหน้าหน่วยมังกรฟ้า ทักษะฝีมือไม่ใช่ด้อย มีความรู้และวิสัยทัศน์กว้างไกล ในอนาคตมีโอกาสสูงที่จะขึ้นมาแทนตำแหน่งของตนในคณะกรรมาธิการทหาร คิดไม่ถึงว่าเขาจะเชื่อเรื่องๆนี้ด้วย

“ฉันต้องฟังเหตุผลของนาย”

“นายพลชาง ศิลปะการต่อสู้ของจีนนั้นลึกซึ้ง ผมเคยคารวะผู้อาวุโสของสำนักวรยุทธโบราณท่านหนึ่งเป็นอาจารย์ ท่านเคยบอกกับผมว่า มีคนบางประเภทที่ถูกเรียกว่าอัจฉริยะ คนประเภทนี้ปกติจะใช้ชีวิตเงียบๆ พอได้พบกับสถานการณ์ที่เป็นอันตรายถึงชีวิตก็จะรีดเร้นพลังความสามารถออกมา ทำให้ผู้คนตกตะลึง ผมคิดว่าเย่เทียนเฉินเป็นคนประเภทนี้” เถี่ยฉุยกล่าวอย่างนอบน้อม

ชางหลางขมวดคิ้ว ยิ้มออกมาที่มุมปากพลางกล่าว “อัจฉริยะ? ฉันอยากจะเห็นจริงๆว่ามันเป็นอัจฉริยะแบบไหน เรียกเขามาพบฉัน!”

………………………..

บทที่ 3 รับมือแซนเบเกอร์
Ink Stone_Fantasy
ภูเขาอันรกร้างว่างเปล่า ท้องฟ้ามืดลง แสงจันทร์อ่อนๆ สามารถมองเห็นเส้นทางขรุขระได้อย่างเลือนราง เย่เทียนเฉินแบกหานเจี๋ยเดินไปยังค่ายใหญ่ของกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิตตามคำสารภาพของเชลยชาวแอฟริกาผู้นั้น

“เทียนเฉิน ฟ้ามืดลงแล้ว อย่างไรพวกเราหาที่พักก่อน พรุ่งนี้ค่อยลงมือไหม?”

หานเจี๋ยหลับไปหลายชั่วโมง ร่างกายฟื้นฟูกลับมาแล้วเล็กน้อย มองสีฟ้าท้องสักพักจึงเสนอออกมา

“ไม่ ยิ่งเป็นคืนที่มืดมิด ก็ยิ่งเหมาะกับการล่า” เย่เทียนเฉินกล่าวออกมาอย่างสงบ

เย่เทียนเฉินไม่ได้หันกลับไปมองหานเจี๋ย ทำเพียงเดินไปข้างหน้าทีละก้าวด้วยความรวดเร็ว เนื่องจากภายใต้สภาพแวดล้อมเช่นนี้ ทุกที่มีอันตรายแอบซ่อนอยู่ การต้องเจอกับการซุ่มโจมตีของกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิตระหว่างทางก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

แม้ว่าพลังพิเศษของเย่เทียนเฉินจะยังไม่ฟื้นคืนมา ลงจากระดับพระเจ้าเหลือเพียงระดับราชัน กระทั่งพลังหนึ่งส่วนยังใช้ออกมาได้อย่างยากลำบาก แต่เพื่อป้องกันการลอบโจมตี ในตอนที่ท้องฟ้าเพิ่งจะมืดลง เย่เทียนเฉินได้กระตุ้นพลังพิเศษอันเบาบางภายในร่าง รับรู้การเคลื่อนไหวรอบๆ ขณะเดียวกันก็รวบรวมพลังไปที่ดวงตาทั้งสอง ทำให้การเดินทางช่วงกลางคืนสว่างราวกับกลางวัน

สิ่งที่ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกปวดหัวก็คือ ในโลกก่อนนั้นระดับพลังของเขาอยู่ที่ระดับพระเจ้า เมื่อเข้าสู่โหมดระวังภัย กระทั่งเสียงหญ้าขยับหรือเสียงดินแตกรอบด้านหลายสิบลี้(1ลี้เท่ากับ500เมตร) เขาก็ยังได้ยิน แต่ตอนนี้ ขอบเขตการรับรู้อยู่ที่หนึ่งร้อยเมตรก็ถึงขีดจำกัดแล้ว คงจะต้องหาวิธีการยกระดับพลังเสียแล้ว

เมื่อเย่เทียนเฉินหยุดเดิน หานเจี๋ยก็ค่อยๆลืมตาขึ้น เกือบจะส่งเสียงเรียกออกไปเนื่องจากไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาใดแล้ว เธอถูกเย่เทียนเฉินแบกขึ้นมาบนต้นไม้สูงเสียดฟ้าต้นหนึ่ง ตรงนี้สามารถมองเห็นเต็นท์หลายหลังบริเวณห่างออกไปไม่ถึงร้อยเมตรได้อย่างชัดเจน บริเวณรอบๆของแต่ละเต็นท์มีโจรถือปืนกลมืออยู่สองคน เมื่อมองใต้ต้นไม้อีกครั้ง พบว่ามีศพสองศพนอนอยู่ ล้วนถูกฆ่าโดยการใช้กริชปาดคอหอยในแผลเดียว

เมื่อเห็นดังนี้ หานเจี๋ยก็มองเย่เทียนเฉินด้วยความสงสัย เธอเริ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่รู้จักเขาแล้ว แต่เดิมก็เป็นเพียงเย่เทียนเฉินทหารแห่งหน่วยรบพิเศษ ทั้งประสบการณ์ในการรบจริง ทั้งความกล้าหาญและความรู้ ก็สู้ทหารหน่วยรบพิเศษคนเก่าๆไม่ได้ แต่เย่เทียนเฉินในตอนนี้ พลังความสามารถที่เขาแสดงออกมาทำให้ผู้คนต้องตกตะลึง ขณะที่แบกเธออยู่นั้น ไม่เพียงแต่ฆ่าโจรได้สองคน แต่ยังสามารถปืนขึ้นมาบนต้นไม้สูงขนาดนี้ได้อีกด้วย และยังไม่กระเทือนมาถึงเธอ ความสามารถนี้เกรงว่าจะสามารถเทียบได้กับสามราชันนักรบแห่งบูรพา

“พี่หาน พี่อยู่นิ่งๆตรงนี้นะ ผมจะไปล้างบางพวกโจรกลุ่มนี้หน่อย เสร็จแล้วพวกเราก็ไปจากที่นี่ได้” เย่เทียนเฉินกล่าวเสียงเบา

“ให้ฉันไปกับนายด้วยเถอะ นายอย่าดูเบาฉันไป สมัยก่อนฉันก็เป็นทหารหน่วยรบพิเศษคนหนึ่งเหมือนกัน” หานเจี๋ยกังวลว่าพลังของเย่เทียนเฉินคนเดียวอย่างไรก็มีจำกัด แม้ว่าตอนนี้กำลังรบที่เขาแสดงให้เห็นนั้นจะมหัศจรรย์มาก แต่ศัตรูนั้นมีอาวุธหนักจำนวนมาก อีกทั้งมียอมฝีมือจากกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิจอีกจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะรองหัวหน้ากลุ่มแซนเบเกอร์ ทำให้หานเจี๋ยเป็นกังวลมาก เป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง

“ไม่ต้องหรอก การต่อสู้ของลูกผู้ชาย ผู้หญิงคอยชมอยู่ข้างๆก็พอแล้ว!”

ไม่รอให้หานเจี๋ยได้ตอบ เย่เทียนเฉินก็กระโดดลงไปข้างล่าง ถึงพื้นก็ม้วนตัวหนึ่งครั้งแล้วพุ่งตัวออกไปราวสายฟ้า หานเจี๋ยมองไปก็เห็นเพียงภาพเบลอๆเบื้องหน้า

หานเจี๋ยนั้นเดิมทีก็เป็นทหารหน่วยรบพิเศษหญิงที่รู้กันว่างดงามและเข้มแข็งอดทน ในยามปกติหากมีคนกล้ามองว่าเธอเป็นเพียงผู้หญิงอ่อนแอ ก็จะต้องเจอกับกำปั้นของเธอ แต่ว่าตั้งแต่ที่เย่เทียนเฉินลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนนั้น ทุกเรื่องก็มีเขาเป็นคนคอยนำ หากไม่ใช่เขา หานเจี๋ยคงไม่มีชีวิตอยู่แล้ว ดังนั้นในใจหานเจี๋ยก็ไว้ใจและเชื่อใจผู้ชายคนนี้มากขึ้นทุกที เพียงแต่รู้สึกแปลกๆอยู่บ้างที่ชายคนนี้อยู่ดีๆก็เปลี่ยนไปแข็งแกร่งเช่นนี้

ท่ามกลางเต็นท์ที่ตั้งอยู่บนพื้นดินว่างเปล่า เต็นท์ที่อยู่ตรงกลางมีชายหัวโล้นคนหนึ่ง มือซ้ายถือมีดบินเล่น มือขวาถือแก้วเหล้า มีลูกน้องหลายคนยืนอยู่เบื้องหน้าเขา ต่างก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ชายคนนี้ก็คือแซนเบเกอร์ อาชญากรระดับโลก ตอนนี้มันโกรธมาก มันเพิ่งได้รับรายงานจากลูกน้องว่า สมาชิกจากกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิตที่มันส่งไปนั้นถูกฆ่าตายหมดแล้ว ทหารหน่วยรบพิเศษทั้งเจ็ดแห่งบูรพา ตอนนี้ยังเหลืออีกสองคนที่ยังไม่ตาย นี่ทำให้มันโมโหมาก

“ไอพวกขยะ ไอพวกงี่เง่า พวกแกเป็นทหารชั้นยอดจากกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิต แค่พวกหน่วยรบพิเศษสองคนจากตะวันออกก็ฆ่าไม่ได้ น่าขายหน้าจริงๆ!” แซนเบเกอร์ด่าออกมาด้วยเสียงอันดัง

“รองหัวหน้ากลุ่ม พวกเราไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ตอนแรกพวกหน่วยรบพิเศษที่หนีไปสองคนฝีมือมันไม่ใช่แบบนี้ ไม่รู้ว่าความเก่งกาจของพวกมันอยู่ดีๆก็โผล่มาจากไหน หรือว่ามียอมฝีมือจากตะวันออกคอยสนับสนุนพวกมันอยู่?” ลูกน้องคนหนึ่งในกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิตกล่าวออกมาด้วยสีหน้าลำบากใจ

แซนเบเกอร์มองชายคนนั้นอย่างดุร้าย ไม่ทันไรก็ขว้างมีดบินในมือซ้ายออกไป การกระทำรวดเร็วมาก ราวกับว่าตอนที่มีดกำลังบินไปเป็นช่วงเวลาเดียวกับตอนที่ไปปักอยู่บนอกของลูกน้องคนนั้น สร้างความตกตะลึงให้แก่ลูกน้องคนอื่น ต่างก็ก้าวถอยหลังกันไปหลายก้าว

แซนเบเกอร์มองสมาชิกกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิตที่นอนจมกองเลือด พลางโบกมือครั้งหนึ่ง สมาชิกด้านข้างสองคนก็มายกศพออกไป สำหรับแซนเบเกอร์แล้วการฆ่าลูกน้องตายไปหนึ่งคนนั้นไม่นับว่าเป็นการสูญเสียแม้สักครึ่งส่วน และไม่อาจทำให้อารมณ์ของเขาเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย

แต่สิ่งที่ทำให้แซนเบเกอร์โกรธก็คือ ครั้งนี้รัฐบาลของประเทศmจ่ายเงินจำนวนมหาศาลจ้างสมาชิกของกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิต เป้าหมายก็เพื่อให้จัดการกับหน่วยรบพิเศษของฝั่งตะวันออก อีกทั้งหลายปีมานี้ ทหารหน่วยรบพิเศษได้โจมตีแก๊งลักลอบขนของเถื่อนครั้งแล้วครั้งเล่า สร้างผลงานยอดเยี่ยม แต่ก็ได้รับความเกลียดชังด้วย

ระหว่างที่รับเงินมาจำนวนมหาศาล หัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิตก็ส่งแซนเบเกอร์มา ให้คนระดับรุ่นใหญ่อย่างเขาพาสมาชิกชั้นยอดจากกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิตเกือบร้อยคน ร่วมวางแผนอย่างรอบคอบก่อนจะทำการซุ่มโจมตี ทำให้ทหารหน่วยรบพิเศษทั้งเจ็ดของพวกเย่เทียนเฉินต้องพบกับการโจมตีอย่างหนัก เดิมทีคิดว่าจะสามารถจัดการกวาดล้างให้หมด คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินกับหานเจี๋ยจะหนีไปได้ ตอนนี้ก็ยังมีผู้ที่มีทักษะการสู้รบสูงโผล่มาอีกคน สังหารสมาชิกชั้นยอดสองสามคนที่ไล่ตามไปทั้งหมด ทำให้แซนเบเกอร์คับแค้นใจอย่างมาก นี่มันน่าขายหน้าจริงๆ และยังทำให้ชื่อเสียงระดับโลกของกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิตต้องเสียหายอีกด้วย

ตุบ ตุบ ศพสองศพถูกโยนเข้ามาในเต็นท์ ล้วนเป็นศพที่ถูกตัดคอหอยในแผลเดียว แซนเบเกอร์ขมวดคิ้วพลางลุกขึ้น เย่เทียนเฉินยิ้มที่มุมปากอย่างเย็นชา ในมือขวาถือกริชชุ่มเลือดเล่มหนึ่งพลางเดินเข้ามาในเต็นท์

“มึง….มึงเป็นใคร?” แซนเบเกอร์ไม่คิดว่าทหารหน่วยรบพิเศษจากฝั่งตะวันออกที่ถูกพวกเขาไล่ฆ่าจกตกหน้าผา จะกล้าจับมีดเข้าตอบโต้ นี่ไม่ใช่ว่ารนหาที่ต้องหรอกเหรอ?

“คนที่จะมาฆ่าแกไง!” เย่เทียนเฉินกล่าวอย่างเย็นชา เดินเข้าไปหาแซนเบเกอร์ทีละก้าวทีละก้าว

แซนเบเกอร์ขมวดคิ้ว มันไม่คิดว่าทหารหน่วยรบพิเศษจากฝั่งตะวันออกจะมีความกล้าเช่นนี้ ถูกโจมตีจนพ่ายแพ้ยับเยินไปแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะยังกล้ามาโจมตีค่ายใหญ่ของพวกมันอีก

“ฮ่าๆๆๆ กูกำลังคิดอยู่ว่าจะหามึงไม่เจอ ไม่คิดเลยว่ามึงจะเอาตัวเองมาส่งให้ถึงที่ ไปตายซะเถอะ….”

เพิ่งจะพูดจบ แซนเบเกอร์ก็ควักปืนพกออกมาอย่างรวดเร็ว คิดจะใช้ปืนยิงเย่เทียนเฉินให้ตาย แต่มันเพิ่งจะควักปืนออกมาเย่เทียนเฉินก็พุ่งเข้ามาเบื้องหน้า ต่อยไปที่ข้อมือขวาของแซนเบเกอร์หนึ่งหมัด ทำให้ปืนพกกระเด็นออกไป

“อ้าก!” แซนเบเกอร์ส่งเสียงร้องออกมา ไม่คิดว่าเย่เทียนเฉินจะร้ายกาจเช่นนี้ เกือบจะทำให้ข้อมือของมันหักไปแล้ว

ไม่เสียทีที่แซนเบเกอร์เป็นถึงรองหัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิต เพียงไม่นานก็สงบลงได้ ส่งเสียงร้องแปลกๆออกมาพลางโถมตัวพาร่างกายสูงเมตรกว่ากระโดดเข้าไป หมัดทั้งสองพุ่งไปยังจุดสำคัญบนร่างกายของเย่เทียนเฉินอย่างรวดเร็วไม่มีใครเทียบได้

ฉัวะ ฉัวะ ฉัวะ พลังของแซนเบเกอร์แข็งแกร่งมาก สามารถขึ้นเป็นรองหัวหน้าของกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิตได้นั้น แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่พวกประเภทสัตว์กินพืช ตั้งแต่เริ่มการซุ่มโจมตีจนถึงตอนนี้แซนเบเกอร์นั้นยังไม่ได้ลงมือ มันคิดว่าคนเหล่านี้ไม่คู่ควรที่จะให้มันลงมือ ทหารหน่วยรบพิเศษทั้งหกคนที่ตายไปก็เป็นพวกลูกน้องของมัน ตอนแรกคิดว่าตัวเองคงไม่มีโอกาสได้ลงมือแล้ว ใครจะรู้ว่าการปรากฏตัวของเย่เทียนเฉินจะทำให้แซนเบเกอร์รู้สึกได้ถึงอันตราย

เย่เทียนเฉินเองก็ตกใจอยู่บ้าง เดินทีเขาคิดว่าในโลกนี้จะไม่มียอดฝีมืออะไรเสียอีก มีเพียงแค่ในโลกก่อนเท่านั้น ที่มีผู้แข็งแกร่งจากพรรควรยุทธโบราณออกมาเคลื่อนไหว ผู้มีพลังพิเศษก็ใช้อำนาจบาตรใหญ่ทำให้โลกวุ่นวาย มนุษย์กลายพันธุ์กับพวกสัตว์อสูรก็แข็งแกร่งหาที่เปรียบ ดูท่าแล้วเขาคงคิดผิด ไม่ใช่ว่าจะมีเพียงแค่ที่โลกเดิม ไม่ว่าจะโลกไหนต่างก็มียอดฝีมืออยู่ ด้วยระดับฝีมือของแซนเบเกอร์ แน่น่อนว่าย่อมต้องมีความหยิ่งผยองอยู่ในตัว

แซนเบเกอร์ออกหมัดไม่หยุด สองหมัดราวกับคลื่น และยังทำให้อากาศเกิดการสั่นสะเทือน ต่อยจนอากาศส่งเสียงดังปังปัง เห็นได้ชัดว่าหมัดของเขาแฝงด้วยพลังภายใน ถูกหมัดเช่นนี้ต่อย กระดูกจะต้องหักออกเป็นสามท่อนแน่นอน แต่แซนเบเกอร์กลับร้อนใจ หลายปีมานี้ดูเหมือนมันจะไม่ได้เจอกับคู่ต่อสู้เลย แม้จะเจอก็สามารถล้มได้ในไม่กี่หมัด แต่เจ้าหนุ่มชาวตะวันออกตรงหน้า ฝีมือไม่ใช่กระจอก ใช้พลังทั้งหมดก็ยังไม่สามารถทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บได้ ทำให้ต้องตะลึงจริงๆ

หนึ่งหมัดของแซนเบเกอร์ผลาสไปด้วยพลังภายในจำนวนมาก ต่อยไปยังคอของเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินนัยน์ตาเย็นเฉียบ พลิกตัวระเบิดหมัดสวนกลับไปหนึ่งหมัด การหลบหลีกเมื่อสักครู่นี้เพียงเพื่อจะกระตุ้นพลังพิเศษในร่างกายเท่านั้น เขาพบว่าขอเพียงอยู่ในการสู้รบ จุดกำเนิดพลังในสมองจะส่องแสงอ่อนๆ พลังตามชีพจรก็จะถูกกระตุ้นออกมา

ปัง!

หมัดของเย่เทียนเฉินปะทะกับหมัดของแซนเบเกอร์ เย่เทียนเฉินถอยหลังไปสองก้าว รู้สึกว่าแขนขวาชาเล็กน้อย แต่แซนเบเกอร์ถูกซัดกระเด็นปลิวไปทั้งตัว ทำให้เต็นท์กลายเป็นรูใหญ่

‘ท่าทางพลังระดับราชันจะไม่พอใช้ซะแล้ว ยอดฝีมือในโลกนี้ก็มีไม่น้อย ต้องพยายามเพิ่มพลังถึงจะดี!’ เย่เทียนเฉินคิดในใจ

เกิดการเคลื่อนไหวโครมครามที่นี่ พวกโจรชั่วจากกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิตทุกคนต่างกรูกันเข้ามา ยกปืนขึ้นเล็งไปยังเย่เทียนเฉิน มือซ้ายของแซนเบเกอร์กุมไหล่ขวาของตนแน่น เจ็บจนส่งเสียงรอดไรฟันพลางมองเย่เทียนเฉินอย่างโหดเหี้ยมแล้วกล่าวว่า “ฝีมือไม่เลวเลย สักวันกูจะฆ่ามึงให้ตายยคามือกู!”

………………………………..

บทที่ 2 ปกป้อง ล้างแค้น!
Ink Stone_Fantasy
เย่เทียนเฉินโยนโจรที่จับเป็นมาลงกับพื้น มันถูกเย่เทียนเฉินตัดขาทั้งสองจนพิการ ร้องไห้โอดครวญอยู่บนพื้น มองเย่เทียนเฉินด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง

หานเจี๋ยมองโจรที่เย่เทียนเฉินจับมา มันเป็นชาวต่างชาติ ลักษณะคล้ายชาวแอฟริกา สวมชุดทหารลายพราง หน้าดำราวถ่าน มีเพียงดวงตาโหดเหี้ยมทั้งสองข้างที่มองมายังเธอและเย่เทียนเฉิน

“ผมจะรับหน้าที่ลงมือเอง ส่วนคุณรับหน้าที่สอบสวน!” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“แกเป็นคนของกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิตใช่ไหม? พวกแกมากันทั้งหมดกี่คน? จัดวางกำลังคนแบบไหน?” หานเจี๋ยนั้นไม่พอใจกับท่าทีของเย่เทียนเฉิน เธอต่างหากที่เป็นหัวหน้า ส่วนเขาเป็นแค่ทหารหน่วยรบพิเศษคนหนึ่ง แต่ในช่วงเวลาอันตรายเช่นนี้ ก็พยายามไม่สนใจมากนัก

“กูไม่รู้ กูไม่บอกพวกมึงหรอก พวกมึงต้องตาย!” เจ้าโจรชั่วใช้ภาษาจีนห่วยๆกล่าวออกมาอย่างดุร้าย

เพียะ!

เย่เทียนเฉินตบหน้าไปครั้งหนึ่ง ตบแรงจนเจ้าโจรชั่วฟันหลุดออกมาสองซี่ แต่มันก็ยังปากแข็ง เจอตบหน้าเข้าไปอีกครั้ง จนหน้าบวมไปครึ่งหน้าก็ยังไม่ยอมพูด

“เอาไงดี? หมอนี่ไม่ยอมพูดความจริงแน่”

โจรคนนี้ปากแข็งนัก คงจะผ่านการฝึกฝนมาโดยเฉพาะ คงไม่สามารถง้างปากมันได้ ราวกับว่าต่อให้ตายก็ไม่ยอมพูด หานเจี๋ยเห็นดังนี้ก็รู้สึกร้อนใจ ตอนนี้พวกเขาถูกพวกทหารรับจ้างมารโลหิตล้อมไว้แล้ว พวกมันเป็นองค์กรที่โหดร้ายมาก ท่าทางพวกมันจะเตรียมฆ่าพวกเธอที่นี่ ถ้าไม่สามารถเข้าใจถึงสถานการณ์ จำนวนคน รวมถึงการวางกำลังของอีกฝ่ายอย่างละเอียด ก็คงฝ่าออกไปได้ยาก

“ไม่เป็นไร คุณไปยืนพักข้างๆก่อน เดี๋ยวผมถามเอง!” เย่เทียนเฉินหัวเราะพลางกล่าวกับหานเจี๋ย ในสกานการณ์เช่นนี้ เย่เทียนเฉินก็ไม่ได้ตีหน้าเคร่งขรึมอยู่ตลอด อย่างไรเสียก็เหลือแค่เขากับหานเจี๋ยสองคน ถ้าไม่สามัคคีกันก็ยากที่จะตอบโต้กลับ

หานเจี๋ยนิ่งอึ้งไปชั่วครู ตอนนี้เธอรู้สึกว่าตนเองคล้ายกับเด็กหญิงตัวน้อยเข้าไปทุกที เริ่มที่จะพึ่งพาเย่เทียนเฉินที่เป็นเพียงทหารที่เพิ่งได้รับการบรรจุเข้าหน่วยรบพิเศษ ประสบการณ์ด้านต่างๆก็ด้อยกว่าเธอ ตัวเธอเองนั้นเป็นถึงผู้บัญชาการระดับเขต แต่กลับต้องมาพึ่งพาเขา

ผู้หญิงก็เป็นเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงที่อ่อนโยนหรือเข้มแข็ง ยามที่มีผู้ชายอยู่ข้างกาย เธอก็มักจะพึ่งพาโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะเย่เทียนเฉินในตอนนี้ที่เคร่งขรึมจริงจัง ราวกับว่าเปลี่ยนไปเป็นคนละคน

“แกมีทางเลือกสองทาง พูดหรือตาย!” เย่เทียนเฉินพูดภาษาอังกฤษได้ แต่ก็ยังใช้ภาษาจีนพูดกับเจ้าโจรผู้นั้น นี่คือลักษณะอย่างหนึ่งของชาวจีน

“อย่าเข้าใจผิดสิ พวกมึงต้องตายทุกคน กลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิตของพวกกูล้อมพวกมึงไว้แล้ว ใครก็ไม่รอด!” เจ้าโจรชั่วคำรามตอบเย่เทียนเฉิน

พลั่ก!

เย่เทียนเฉินไม่พูดอะไรอีก พลันปักมีดลงไปที่ขาของมัน เสียงร้องโอดครวญก็ดังขึ้นมาทันที หานเจี๋ยตกตะลึง แต่จะอย่างไรเธอก็เป็นผู้หญิงที่ทั้งงดงามและเข้มแข็ง ย่อมเข้าใจว่าไม่ควรใจอ่อนกับศัตรูโดยเด็ดขาด เพียงแต่คาดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะกลายเป็นดุดันขึ้นมา หรือว่าการตายของสหายร่วมรบมีผลกับเขามากจนกระตุ้นศักยภาพของเขาออกมา?

หานเจี๋ยที่ไม่รู้ว่าเย่เทียนเฉินกลายเป็นผู้มีพลังพิเศษระดับพระเจ้าไปแล้วก็ได้แต่ใช้เหตุผลเช่นนี้มาอธิบายความเปลี่ยนแปลงของเย่เทียนเฉิน

“อั่ก พวกมึงต้องตายทุกคน….”

พลั่ก! เสียบมีดลงไปอีกครั้งในตำแหน่งเดิม ที่ปากแผลเดิม

“ปิศาจ มึงมันปิศาจ….”

พลั่ก! ครั้งที่สาม ขาของเจ้าโจรผู้นั้นก็ถูกกริชปักลึกไปถึงกระดูก มันกรีดร้องออกมาราวจะขาดใจ

ตอนที่เย่เทียนเฉินยกกริชขึ้นอีกครั้ง มันก็ยอมแพ้ เล่าแผนการทั้งหมดในครั้งนี้ออกมาอย่างหมดเปลือก มันไม่สามารถทนต่อการสอบปากคำของเย่เทียนเฉินได้ รู้สึกว่าตัวมันเองได้ตกอยู่ในกำมือของปิศาจ มันทรมานยิ่งกว่าถูกฆ่าในดาบเดียวเสียอีก

เดิมที พวกโจรจากกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิตได้รับการว่าจ้างจากรัฐบาลของประเทศm เพื่อป้องกันไม่ให้หานเจี๋ยนำข้อมูลลับกลับไปยังประเทศจีนได้สำเร็จ ในหมู่พวกที่ถูกจ้างมานี้ผู้ที่มีฝีมือเยี่ยมยอดที่สุดคือรองหัวหน้าของกลุ่มนามแซนเบเกอร์ เป็นบุคคลที่อยู่ในประกาศจับของทุกประเทศ เป็นคนที่โหดร้ายป่าเถื่อนอย่างมาก แผนการจัดวางกำลังคนในครั้งนี้ แซนเบเกอร์กล่าวไว้ว่า ทหารหน่วยรบพิเศษของจีน อ่อนแอไร้ทางสู้ จะมากี่คนก็ตายหมด

“ขอบคุณ!”

เย่เทียนเฉินกล่าวกับโจรผู้นั้นยิ้มๆ กริชในมือขวาปักลงไปที่คออย่างรวดเร็ว ถูกบริเวณเส้นเลือดจนเลือดพุ่งกระฉูดออกมา เหลือทิ้งไว้เพียงศพที่ดวงตาทั้งสองเบิกกว้างด้วยความกลัว

“ไปกันเถอะ ที่นี่อยู่นานไม่ได้ ผมคิดว่าคนของกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิตคงตามมาถึงที่นี่ในไม่ช้า” เย่เทียนเฉิที่นเดินไปเบื้องหน้าของหานเจี๋ยกล่าวขึ้น

“พวก…พวกเราจะไปไหน?” หานเจี๋ยรู้สึกโง่งม เธอเองก็ได้ยินคำสารภาพของโจรผู้นั้น ทั้งสี่ทิศล้อมด้วยพวกมัน เห็นได้ชัดว่าต้องการฆ่าพวกเธออที่นี่ ยากที่จะฝ่าออกไป

“ไปที่ค่ายของพวกมัน ไปเก็บพวกมันให้เหี้ยน” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางหัวเราะ

หานเจี๋ยอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง พลางมองไปยังเย่เทียนเฉิน เธอไม่กล้าเชื่อในสิ่งที่ตนเองได้ยิน ทหารหน่วยรบพิเศษเจ็ดคน ตายไปแล้วหก เหลือแค่เธอกับเย่เทียนเฉิน ส่วนอีกฝ่ายไม่เพียงแค่มีจำนวนคนมาก อาวุธร้ายแรงก็พร้อมสรรพ ที่สำคัญคือพวกมันมียอดฝีมือจากกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิตอยู่หลายคน โดยเฉพาะรองหัวหน้าหน่วยแซนเบเกอร์ มีฝีมือน่ากลัวย่างมาก เป็นบุคคลที่ทั่วโลกต้องการตัว ไม่ง่ายเลยที่จะต่อกรกับความสามารถของมัน

ว่ากันตามปกติแล้ว เมื่อได้ทราบข้อมูลพวกนี้และเข้าใจถึงจุดวางกำลังพลโอบล้อมของศัตรู ถ้าไม่หาช่องโหว่หนีไป ก็หาจุดที่อ่อนแอที่สุดฝ่าวงล้อมออกไป มีที่ไหนที่จะไปที่ค่ายของศัตรู ไม่ใช่ว่ารนหาที่ตายหรอกเหรอ? มีแต่คนโง่นั่นแหละถึงจะทำเช่นนี้

“เทียน….เทียนเฉิน พวกเราหาจุดอ่อนฝ่าออกไปกันเถอะ แล้วค่อยให้กำลังเสริมมาเก็บกวาดพวกมัน” อาจเป็นเพราะในสภาพเช่นนี้ เย่เทียนเฉินแสดงส่วนที่เป็นลูกผู้ชายออกมา หรืออาจเป็นเพราะไม่ว่าอย่างไรหานเจี๋ยก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง จิตใต้สำนึกรู้สึกพึ่งพาเย่เทียนเฉิน คำเรียกขานจึงแสดงความสนิทสนมอยู่ไม่น้อย

“ผู้บัญชาการ ผมเข้าใจความหมายของคุณดี แต่ผมอยากจะแก้แค้นให้สหายที่ตายไป และไม่อยากให้ใครมาดูถูกทหารหน่วยรบพิเศษของจีน เรื่องบางเรื่องไม่ทำไม่ได้!” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางมองหานเจี๋ยอย่างเด็ดเดี่ยว

“เทียนเฉิน นาย….นายอย่าเรียกฉันว่าผู้บัญชาการอะไรนั่นเลย จริงๆแล้วฉันไม่ใช่ผู้บัญชาการเขตอะไรหรอก เป็นแค่พนักงานฝ่ายเทคนิคของหน่วยรบพิเศษ เรียกฉันว่าพี่หานก็พอ ตอนนี้เหลือแค่นายกับฉัน พวกเราคือสหายร่วมรบ!” หานเจี๋ยกล่าวพลางผงกหัว ถูกลูกบ้าของเย่เทียนเฉินแพร่เชื้อไปเสียแล้ว

“ไป!”

เย่เทียนเฉินกล่าวพลางยิ้ม เขาเดินนำไปด้านหน้า เข้าสู่เปิดโหมดสังหาร เตรียมจะเอาชีวิตของพวกโจรชั่วทุกคนทิ้งไว้ที่นี่ ตอนนี้เย่เทียนเฉินไม่ใช่คนเดิมแล้ว หากว่าเป็นเย่เทียนเฉินคนก่อนจะต้องคิดฝ่าวงล้อมออกไปเหมือนหานเจี๋ยแน่นอน

แต่เย่เทียนเฉินคนปัจจุบัน ในชีวิตก่อนเขาไม่อนุญาตให้ใครหน้าไหนมาแตะต้องคนของเขา หลักการของเขาคือ พี่น้องข้า สหายข้า ใครกล้ายุ่ง ชดใช้ด้วยชีวิต!

ในตอนที่ได้เกิดใหม่ เย่เทียนเฉินได้แอบสาบานอยู่ในใจว่า ‘สหาย! ในเมื่อฉันมาครอบครองร่างของนาย ได้รับโอกาสในการเกิดใหม่ ถ้าอย่างนั้นฉันก็เป็นหนี้นายอยู่หนึ่งชีวิต จากนี้เป็นต้นไป เรื่องของนายก็คือเรื่องของฉัน เพื่อนของนายก็คือเพื่อนของฉัน ฉันจะปกป้องทุกสิ่งทุกอย่างแทนนาย ไม่ว่าใครหน้าไหนกล้ามายุ่ง ฉันจะให้มันชดใช้ด้วยเลือด’

และก้าวแรกก็คือ การล้างแค้นให้สหายร่วมรบที่ตายไปทั้งหกคน จะตัดหัวพวกโจรชั่วช้าไม่ให้เหลือรอดแม้แต่คนเดียว โหมดสังหารของเย่เทียนเฉินถูกปลุกขึ้นมาแล้ว แม้ว่าพลังพิเศษจะยังไม่ตื่น พลังที่ฟื้นฟูมาได้ก็มีไม่ถึงหนึ่งส่วน แต่ก็พอที่จะเก็บกวาดชีวิตสุนัขของพวกมันแล้ว!

“อ่า!”

เพิ่งจะเดินไปได้ไม่กี่ก้าว หานเจี๋ยก็กรีดร้องออกมา ถ้าไม่ได้เย่เทียนเฉินที่หันกลับมาอย่างรวดเร็ว ก็คงล้มลงไปกองกับพื้นแล้ว

ถูกเย่เทียนเฉินกอดไว้ในอ้อมอก ใบหน้าขาวซีดของหานเจี๋ยก็กลายเป็นแดง ต่อให้เป็นผู้บัญชาการ แต่ก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่งและยังเป็นผู้หญิงที่งดงามมากด้วย และหญิงสาวบริสุทธิ์อย่างหานเจี๋ยจะไม่เขินอายได้อย่างไร

“พี่หาน พี่ไม่เป็นอะไรใช่ไหม อย่างไรให้ผมแบกพี่เถอะ ร่างกายของพี่อ่อนล้าเกินไป ต้องใช้เวลาในการฟื้นฟู!” เย่เทียนเฉินมองใบหน้าขาวซีดของหานเจี๋ยพลางกล่าวออกมา

“ไม่ ไม่เป็นไร ฉันเดินเองได้” หานเจี๋ยเขินเล็กน้อย แต่ก็ยังเข้มแข็ง เธอก็เป็นทหารคนหนึ่ง ถ้าตอนนี้ถูกแบกขึ้นหลังก็ยังรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย

เห็นท่าทางเดินหนึ่งก้าวเซหนึ่งก้าวของหานเจี๋ย เย่เทียนเฉินก็รู้สึกเจ็บปวดใจอยู่บ้าง แม้ว่าเขาจะไม่ใช่เย่เทียนเฉินคนเดิมแล้ว และไม่ทราบว่าเย่เทียนเฉินคนเดิมนั้นมีความรู้สึกอะไรต่อผู้หญิงคนนี้ แต่ในความทรงจำ ดูเหมือนว่าผู้หญิงคนนี้จะปฏิบัติต่อเขาไม่เลวเลย

ไม่รอให้หานเจี๋ยได้ทันตอบโต้ เย่เทียนเฉินก็แบกหานเจี๋ยขึ้นหลัง หานเจี๋ยคิดจะขัดขืน แต่กลับถูกมือซ้ายของเย่เทียนเฉินจับเข้าที่ก้น ตามมาด้วยคำพูดที่ทั้งขบขันทั้งข่มขู่ “อย่าขยับมั่วสิ ตกไปเจ็บนะ ก้นของพี่ยิ่งใหญ่ๆอยู่ คงยิ่งเจ็บขึ้นอีก อีกอย่าง พี่ไม่กลัวพวกทหารรับจ้างมารโลหิตตามมาฆ่าพวกเราหมดเหรอ?”

ได้ฟังคำพูดของเย่เทียนเฉิน หานเจี๋ยก็อายจนหน้าแดง ไม่ขัดขืนอีก สองมือค่อยๆเกาะไหล่ของเย่เทียนเฉิน ศีรษะก็ค่อยๆพิงหลังของเย่เทียนเฉิน ไม่คิดเลยว่าเจ้าหมอนี่จะแข็งแกร่งเช่นนี้

เย่เทียนเฉินไม่คิดอะไรมาก เขาเป็นผู้ชายปกติ ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษระดับพระเจ้าก็ยังคงมีอารมณ์ยู่ กับผู้หญิงที่ทั้งงดงามและเซ็กซี่นั้น ย่อมมีความต้องการตามสัญชาตญาณ เพียงแต่ไม่ใช่ในตอนนี้ อีกทั้งแย่เทียนเฉินในชีวิตก่อนนั้นเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษระดับพระเจ้า ไม่ใช่คนประเภทที่เห็นหญิงงามก็ทำอะไรไม่ถูก ผู้หญิงนั้นเขาย่อมต้องการ เพียงแต่เขายังมีความเป็นสุภาพบุรุษอยู่

หานเจี๋ยถูกเย่เทียนเฉินแบกขึ้นหลัง ศีรษะพิงหลังอันแข็งแกร่งของเย่เทียนเฉิน หลับไปโดยไม่รู้ตัว ผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องหลบหนีมาตลอด ร่างกายใช้พลังงานไปเกินขีดจำกัด สามารถฝืนได้ถึงตอนนี้ ก็ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกนับถือแล้ว

ท้องฟ้าค่อยๆมืดลง เย่เทียนเฉินเดินตรงไปยังค่ายของพวกกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิตทีละก้าวทีละก้าว พวกมันแม้ในฝันก็คงคิดไม่ถึงว่า เหล่าทหารหน่วยรบพิเศษของจีนที่ถูกพวกมันฆ่าตาย ยังมีคนกล้าหันปืนเข้าสู้ ค่ำคืนนี้ถูกกำหนดไว้แล้วว่า ความเงียบสงบจะต้องถูกทำลายด้วยเสียงกรีดร้องและเลือด

…………………………….

บทที่ 1 การกำเนิดใหม่ของผู้มีพลังพิเศษระดับพระเจ้า
Ink Stone_Fantasy
ปังปังปัง…. เสียงปืนดังแว่วมาจากชายแดนบริเวณป่าหมอกดำ

เย่เทียนเฉินลืมตาขึ้นช้าๆ มองสหายด้านข้างที่เกือบจะหมดสติ พักผ่อนไปชั่วครู่ เขาไม่ได้กำลังหลับอยู่ ในสถานการณ์อันตรายเช่นนี้ อาจตายได้ตลอดเวลา ไม่มีใครสามารถหลับลงได้ เขาลองกระตุ้นพลังพิเศษภายในร่าง พบว่ามีพลังอยู่บางๆ คงเป็นเพราะร่างกายที่วิญญาณของเขามาอาศัยอยู่นั้นไม่สามารถรองรับพลังพิเศษระดับพระเจ้าได้ พลังของเขาในตอนนี้จึงลดลงเหลือเพียงระดับราชันเท่านั้น หากตอนนี้มีสัตว์กลายพันธุ์โผล่มาสักตัวหนึ่ง เขาต้องตายแน่นอน

“เย่เทียนเฉิน นายฟื้นแล้วเหรอ ดี ดีจริงๆ ไม่เป็นไรใช่ไหม?” ชายด้านข้างเปิดปากถาม เขาสะพายปืนไว้ที่หลัง มีเลือดไหลออกมาไม่หยุด

เย่เทียนเฉินมองชายด้านข้าง ในสมองก็ปรากฏภาพขึ้นมาแวบหนึ่ง สหายร่วมรบนายนี้มีชื่อว่าหลิวเหว่ย เป็นหนึ่งในทหารหน่วยรบพิเศษที่ได้รับมอบหมายงานในครั้งนี้

เพียงแต่เย่เทียนเฉินตรงหน้าไม่ใช่ทหารหน่วยรบพิเศษคนเดิม ตอนนี้เขาถูกผู้มีพลังพิเศษระดับพระเจ้าสิงร่าง สถานะของเขาเปลี่ยนไปตั้งแต่ตอนที่ตกจากหน้าผาแล้ว เพียงแต่หลิวเหว่ยไม่รู้

“ฉันไม่เป็นไร หลิวเหว่ย นายเป็นไงบ้าง?” เย่เทียนเฉินตอบคำที่เขาถูกถามก่อนหน้านี้

“ไม่เป็นไรมาก สหาย ฟังฉันนะ ตามแผนที่ด้านหน้าสุดจะมีภูเขาอยู่ลูกหนึ่ง ขอเพียงนายไปให้ถึงภูเขาลูกนั้น ก็จะสามารถคุ้มครองผู้บัญชาการไปถึงที่ที่ปลอดภัยได้ จะได้ไม่เป็นเหมือนคนอื่นๆ ในทีม….”

หลิวเหว่ยพูดถึงตรงนี้ ก็พูดต่อไม่ออก ดวงตาแดงขึ้นเล็กน้อย รวมกับที่ถูกยิงบาดเจ็บ ทำให้ใบหน้าซีดขาวดูอิดโรยมากขึ้น คิดถึงสหายศึกทั้งเจ็ดคนที่ได้รับมอบหมายภารกิจนี้ร่วมกัน ต่างพลีชีพไปหมดแล้ว เหลือเย่เทียนเฉินกับเขาที่ยังมีชีวิตรอด สุดท้ายจะสามารถรอดไปได้อีกนานแค่ไหนนั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจทราบ

เย่เทียนเฉินมองหญิงสาวด้านข้างที่หมดสติไปเรียบร้อยแล้ว เธอชื่อหานเจี๋ย เป็นผู้บัญชาการเขต อายุประมาณยี่สิบปี แม้ว่าจะสวมชุดทหารอยู่ ก็ไม่สามารถปิดบังความสวยงามได้ โดยเฉพาะทรวดทรงองค์เอวที่มีส่วนโค้งส่วนเว้าของเธอ ภารกิจของหน่วยรบพิเศษทั้งเจ็ดคนก็คือคุ้มครองผู้บัญชาการหญิงคนนี้กลับไปยังค่ายทหารให้สำเร็จ

“หลิวเหว่ย ไม่ต้องพูดแล้ว ฉันจะพานายไปจากที่นี่เอง!” เย่เทียนเฉินพูด

“ไม่ พวกเราสามคนหนีไม่รอดแน่ อีกฝ่ายแข็งแกร่งมาก นายรีบพาท่านผู้บัญชาการไปเถอะ รีบไป….” หลิวเหว่ยส่ายหัวพลางกล่าวออกมาอย่างเด็ดเดี่ยว

เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว ถึงเขาจะไม่ใช่เย่เทียนเฉินที่เป็นทหารหน่วยรบพิเศษคนนั้น เป็นผู้มีพลังพิเศษระดับพระเจ้าที่มาอาศัยร่างนี้ แต่เขาก็ยังมีความรู้สึกนึกคิดของเย่เทียนเฉินคนเดิมอยู่

ครั้งนี้พวกเขาทั้งเจ็ดคุ้มครองผู้บัญชาการหญิงจากประเทศmผ่านทางป่าหมอกดำ เพื่อกลับไปยังค่ายทหารที่ชายแดน ทางด้านประเทศmนั้นภายนอกไม่เคลื่อนไหวเพราะเกรงว่าจะทำให้เกิดสงคราม แต่เบื้องหลังกลับจ่ายเงินจำนวนมหาศาลว่าจ้างทหารชั้นยอดจากกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิต ซึ่งเป็นองค์กรทหารรับจ้างระดับโลก

พวกเขาทั้งเจ็ดคุ้มครองผู้บัญชาการหญิงจนถึงป่าหมอกดำก็มาติดกับของพวกทหารรับจ้างมารโลหิต ฝ่ายตรงข้ามนอกจากมีฝีมือสูงกันทุกคนแล้ว ยังมีอาวุธที่มีพลังทำลายล้างสูงอยู่ด้วย มีแนวโน้มที่พวกเย่เทียนเฉินจะถูกจัดการราบคาบ

สู้ไปพลางถอยไปพลาง เผชิญหน้ากับกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิตที่มีจำนวนกว่าพวกตนหลายเท่า รวมกับฝ่ายตรงข้ามมีการดักซุ่มโจมตีอยู่ก่อน พวกเย่เทียนเฉินไม่ทันไรก็เสียสหายศึกไปแล้วสามนาย ตอนที่ถอยจนมาถึงหน้าผาแห่งหนึ่ง หลิวเหว่ยก็เอาตัวเข้าบังกระสุนให้เย่เทียนเฉินในขณะที่เย่เทียนเฉินคุ้มครองผู้บัญชาการหญิง ทั้งสามจึงตกหน้าผาไป ส่วนสหายร่วมรบอีกสองนายก็ถูกพวกโจรชั่วระเบิดสมองตายเพื่อปกป้องพวกเขา

“วางใจเถอะ ฉันจะพานายรอดออกไปให้ได้!” เย่เทียนเฉินกล่าวพร้อมรอยยิ้มหล่อเหลา

หลิวเหว่ยอดจะตกตะลึงไม่ได้ เขาพบว่าสายตาของเย่เทียนเฉินเปลี่ยนไป เย่เทียนเฉินที่เพิ่งจะได้รับการบรรจุเข้าหน่วยรบพิเศษ ลงพื้นที่ทำภารกิจจริงครั้งแรก จะมากน้อยก็ยังคงมีความตึงเครียดและความหวาดกลัวให้เห็นอยู่ แต่ตอนนี้เขาไม่มีความตึงเครียดและความหวาดกลัวแม้แต่น้อย ใช้ท่าทีสนุกสนานขบคิดหาทางรับมือกับวิกฤตการณ์ครั้งนี้ ทำให้หลิวเหล่ยรู้สึกประหลาดใจมาก

“เทียนเฉิน นาย….”

“นายไม่ต้องพูดมาก ถอดเสื้อออกซะ ฉันจะช่วยดูแผลให้นาย!” เย่เทียนเฉินขัดคำพูดของหลิวเหว่ย ไม่ให้หลิวเหว่ยได้คิดอะไรต่อไปอีก เพราะตอนนี้เขารู้สึกถึงวิกฤตแล้วจริงๆ ในฐานะที่เป็นผู้มีพลังพิเศษระดับเทพเจ้าย่อมมีสัมผัสเฉียบแหลม ถ้ายังล่าช้าอยู่เช่นนี้ เกรงว่าพวกเขาทั้งสามต้องตายอยู่ที่นี่แน่

“นี่…ไม่ต้องหรอก ไม่ร้ายแรงอะไร แผลเล็กน้อยแค่นี้ฉันเอาอยู่น่า!” หลิวเหว่ยทราบว่าสถานการณ์เลวร้าย จะมามัวรักษาแผลได้อย่างไร สำหรับชีวิตของนายทหารคนหนึ่ง คำสั่งคือที่สุด แม้ตัวจะตายก็ต้องทำภารกิจให้สำเร็จ นี่คือจิตวิญญาณของนายทหารแห่งกองทัพจีน

“แผลเล็กน้อย? หลังของนายเลือดออกเต็มไปหมด หาแผลไม่เจอด้วยซ้ำ ถ้าหากติดเชื้อที่กระดูกสันหลัง ก็อาจทำให้เป็นอัมพาตได้ ถึงตอนนั้นแม้แต่แรงที่จะขึ้นเตียงกับสาวๆก็ไม่มี ไม่ร้องไห้ก็แปลกแล้ว!”

ได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน หลิวเหว่ยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ ตัวเขานั้นไม่ได้คิดไปไกลถึงจุดนั้น เย่เทียนเฉินยังมีอารมณ์ล้อเล่นได้อีก!

ฟิ้ว!

ในขณะที่เย่เทียนเฉินเตรียมที่จะตรวจสอบบาดแผลให้แก่หลิวเหว่ยนั้น ก็มีลูกปืนหัวจรวดถูกยิงมา หลิวเหว่ยรีบผลักเย่เทียนเฉินออกไป ลุกยืนขึ้นบังวิถีกระสุนเบื้องหน้าผู้บัญชาการหญิงอย่างเด็ดเดี่ยว

เย่เทียนเฉินผวา แม้เขาจะเป็นผู้มีพลังพิเศษระดับพระเจ้าที่มาเกิดใหม่ ชีวิตเดิมก็ประสบกับการต่อสู้เอาชีวิตมามาก ก็ยังต้องตกตะลึงกับฉากนี้ หลิวเหว่ยใช้ชีวิตของตน เลือดเนื้อร่างกายของตน ปกป้องภารกิจของเขาในฐานะทหาร

“หลิวเหว่ย….” เย่เทียนเฉินกัดฟันตะโกนออกมา รีบวิ่งไปประคองหลิวเหว่ย

“รีบไป พาท่านผู้บัญชาการไป เหลือแค่นาย….แค่นายแล้ว จะต้อง ต้องทำภารกิจให้สำเร็จ….” หลิวเหว่ยเลือดท่วมตัว พูดจบก็หมดลมหายใจไป

เย่เทียนเฉินกัดฟัน กำมือแน่น รู้สึกถึงพวกโจรชั่วหลายคนที่ล้อมที่นี่ไว้ ทันใดนั้นความต้องการสังหารพลุ่งพล่าน ในเวลาเดียวกันก็รู้สึกเสียใจ เพิ่งจะได้มาเกิดใหม่ในร่างนี้ พลังของเขายังอ่อนแอ มิฉะนั้นจะต้องมาเห็นเพื่อนตายไปต่อหน้าต่อตาได้อย่างไร

เย่เทียนเฉินแบกผู้บัญชาการหญิงขึ้นหลัง รีบวิ่งหายเข้าไปในพงหญ้าหนา ตอนนี้เขาต้องการเวลาสักเล็กน้อยเพื่อกระตุ้นพลังพิเศษภายในร่าง มิฉะนั้นก็ไม่อาจรอดพ้นจากการถูกล้อมฆ่าไปได้

ตกดึก เย่เทียนเฉินนั่งขัดสมาธิ ตาทั้งสองข้างจ้องมองไปข้างหน้า กระตุ้นพลังพิเศษในร่างกายได้เล็กน้อย เกิดใหม่ในร่างนี้ การที่จะใช้พลังระดับพระเจ้ายังยากเกินไป สามารถกระตุ้นพลังได้เล็กน้อยก็ถือว่าไม่เลวแล้ว

หานเจี๋ย ผู้บัญชาการหญิงระดับเขตที่อยู่ข้างๆลืมตาขึ้นช้าๆ เมื่อเธอเห็นเย่เทียนเฉินก็เอ่ยปากถาม “คนอื่นๆล่ะ?”

“สละชีพไปหมดแล้ว เหลือแค่คุณกับผม” เย่เทียนเฉินตอบเสียงเบา

หานเจี๋ยนิ่งอึ้ง ครั้งนี้เธอแอบเข้าไปสืบข่าวในประเทศmจนได้ข้อมูลลับมา หลังจากที่ถูกพบ ทางจีนก็ส่งทหารหน่วยรบพิเศษเจ็ดคนมาคุ้มครองเธอ กับการลอบโจมตีที่ป่าหมอกดำ ไม่ทันไรก็เสียทหารไปถึงหกนาย เหลือรอดเพียงเย่เทียนเฉินทหารที่เพิ่งบรรจุใหม่คนนี้ หรือว่าเธอจะไม่มีทางรอดกลับไปแล้วจริงๆ

“งั้น งั้นตอนนี้พวกเราจะทำยังไงดี?” หานเจี๋ยแม้ว่าจะเป็นผู้บัญชาการเขต แต่มีประสบการณ์รบถึงขั้นเป็นตายน้อยมาก อีกทั้งเธอก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ในช่วงเวลาอันตรายเช่นนี้ ทำให้จิตใจฟุ้งซ่านคิดอะไรไม่ออก ทำได้เพียงปรึกษากับเย่เทียนเฉิน

“ฆ่าพวกมัน ผมจะล้างแค้นให้สหายร่วมรบที่ตายไป….” เย่เทียนเฉินรู้สึกได้ว่าภายในร่างกายสามารถกระตุ้นพลังพิเศษออกมาได้อย่างบางเบา เขาทนไม่ได้ที่จะต้องเห็นสหายรบตายไปต่อหน้า จะต้องล้างแค้นให้พวกเขาอย่างแน่นอน

“อะไรนะ? อีกฝ่ายเป็นทหารชั้นยอดของกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิต ตอนนี้ก็เหลือแค่นายกับฉัน ยังคิดจะล้างแค้นอีก พูดเพ้อเจ้ออะไรอยู่?” หานเจี๋ยไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง เธอตอบพลางมองเย่เทียนเฉินอย่างแปลกประหลาด

“ผมไม่สามารถปล่อยให้พี่น้องของผมตายเปล่า!” เย่เทียนเฉินกล่าวออกมาอย่างหนักแน่น

“นาย….ภารกิจของพวกนายคือคุ้มครองฉันกลับไปที่ค่าย นายอย่าลืมหน้าที่ของตัวเอง ตอนนี้ฉันขอสั่งนาย ไม่อนุญาตให้สู้ พาฉันออกไปจากที่นี่” หานเจี๋ยไม่ใช่ว่าจะรักตัวกลัวตาย เพียงไม่อยากให้มีการตายเพิ่มขึ้นอีก ทหารหน่อยรบพิเศษเจ็ดคนตายไปแล้วหก เธอเองก็รู้สึกเจ็บใจ อีกฝ่ายนั้นฝีมือยอดเยี่ยม อยู่ดีๆ เย่เทียนเฉินก็บอกว่าจะไปล้างแค้น นี่ไม่ใช่ว่าไปหาเรื่องตายเหรอ?

“เก็บคำสั่งของคุณกลับไปซะ ผมเย่เทียนเฉิน ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหน จะไม่ยอมให้ใครมาทำอะไรเพื่อนผมได้ ใครหน้าไหนกล้ามาสร้างความอัปยศ ชดใช้ด้วยชีวิต!” เย่เทียนเฉินกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น

“นาย….”

หานเจี๋ยโกรธจนทนไม่ไหว ยังไม่ทันพูดให้จบประโยค จู่ๆเย่เทียนเฉินก็โถมตัวเข้าหาเธอ กดเธอลงกับพื้นในชั่วพริบตา พลันลูกปืนแถวหนึ่งถูกยิงผ่านหัวไป หากไม่ใช่ว่าเย่เทียนเฉินเตรียมพร้อม หรือหากช้าไปเพียงหนึ่งวินาที พวกเขาต้องถูกยิงพรุนแน่ๆ

“อีกฝ่ายมีคนเยอะ อาวุธครบมือ นายอย่าไปเสี่ยงอันตรายเลย อย่าไปตายโง่ๆสิ!” หานเจี๋ยรีบเร่งกล่าวออกมา

อย่างไรเสียคนที่โจมตีพวกเขาก็เป็นคนจากกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิต เป็นกลุ่มที่มีชื่อเสียงระดับโลก ภายในกลุ่มมีทหารชั้นยอดมากมาย มิฉะนั้นทหารหน่วยรบพิเศษอย่างพวกเย่เทียนเฉินทั้งเจ็ดคนคงไม่พบกับการบาดเจ็บล้มตายที่มากมายเช่นนี้ ตอนนี้แม้หานเจี๋ยจะรู้สึกเครียดมาก แต่ยังรู้สึกได้ถึงสองมือของเย่เทียนเฉินที่กดอยู่บนหยกคู่งามอันตั้งตระหง่านของตน ศีรษะก็ซบอยู่ระหว่างร่องหุบเขา ทันใดนั้นใบหน้าของหานเจี๋ยก็กลายเป็นสีแดง

หลังจากเสียงปืนเงียบไป ไม่รอให้หานเจี๋ยได้ทันมีปฏิกริยาอะไร เย่เทียนเฉินก็ยันตัวลุกขึ้นแล้ว แล้วกล่าวเพียงหนึ่งประโยคว่า “ผมไปแปปเดียวเดี๋ยวก็มา!”

ไม่ทันไรหานเจี๋ยก็ได้ยินเสียงร้องอย่างน่าอนาถดังมาจากบริเวณรอบๆ ทั้งหมดสามเสียง ในใจก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเป็นห่วงเย่เทียนเฉิน เขาเป็นเพียงทหารที่เพิ่งบรรจุเข้าหน่วยรบพิเศษ จะแข็งแกร่งขนาดไหนก็มีข้อจำกัด อีกทั้งศัตรูที่ต้องสู้ด้วยก็เป็นคนจากกลุ่มทหารรับจ้างที่มีชื่อเสียงระดับโลก

ตอนที่หานเจี๋ยกำลังวิตกกังวลคิดหาทางอยู่นั้น พงหญ้าก็ถูกแหวกออก มือซ้ายของเย่เทียนเฉินลากโจรคนหนึ่งออกมาปรากฎเบื้องหน้าหานเจี๋ยราวกับลากสุนัขตายตัวหนึ่ง ในมือขวาก็มีกริชที่มีเลือดสดๆหยดลงพื้นไม่ขาดสาย

……………………….

เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ

เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ

Status: Ongoing

ผู้มีพลังพิเศษระดับพระเจ้ามาเกิดใหม่ในร่างของ ‘เย่เทียนเฉิน’

หน่วยรบพิเศษผู้ไม่เอาถ่าน ระหว่างกำลังปฏิบัติภารกิจคุ้มกันตัวผู้บัญชาการสาวหานเจี๋ยกลับประเทศ

แม้การเกิดใหม่ครั้งนี้จะทำให้พลังระดับเทพเจ้าลดเหลือเพียงระดับราชัน

แต่ขณะที่เผชิญหน้ากับกองกำลังผู้ก่อการร้ายข้ามชาติที่ได้รับมอบหมายให้มาสังหารคนทั้งคู่

เย่เทียนเฉินในร่างใหม่ได้ใช้ความสามารถจากการดูดซับพลังปราณ แสดงฝีมือการต่อสู้อันเป็นเลิศออกมา

สร้างความประหลาดใจให้ทั้งศัตรูและมิตรสหายโดยทั่วกัน

ประตูสู่การเป็นสุดยอดนักรบเปิดออกแล้ว!

แต่เย่เทียนเฉินคนใหม่ยังต้องไล่สะสางปัญหาที่ร่างเดิมก่อเอาไว้เสียก่อน

ไม่ว่าจะเป็นการล้างแค้นญาติพี่น้องผู้ชั่วช้า รับมือกับคู่แข่งทางการเมืองของบิดา

หรือกอบกู้ชื่อเสียงให้วงศ์ตระกูลจากความอัปยศในอดีต

ทั้งหมดทั้งมวลก็เพื่อจะได้อยู่พร้อมหน้ากับครอบครัวอันอบอุ่นเสียที

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท