เสี้ยวหยาพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไร เธอมองจางอีเต๋อจับชีพจรให้แม่ของตนอย่างเคร่งเครียด ตอนนี้ในใจของเธอก็รู้สึกซับซ้อนกับเย่เทียนเฉิน มีทั้งมิตรภาพความเป็นเพื่อนที่บริสุทธิ์ และมีทั้งความรู้สึกคล้ายกับแฟนหนุ่มที่ฝ่าฟันอุปสรรคมาด้วยกัน หากจะบอกว่าไม่มีความรู้สึกอะไรต่อเย่เทียนเฉินก็คงจะไม่ได้ ผู้ชายที่ทั้งแข็งแกร่งและมีเสน่ห์แบบนี้ มีทั้งนิสัยอันธพาลและนิสัยดั่งเทพแห่งความตายทั้งสองด้าน เธอถูกนิสัยอันแปลกประหลาดนี้ดึงดูดไปโดยไม่รู้ตัว เกรงว่าคงมีผู้หญิงแค่ไม่กี่คนที่ไม่หลงเสน่ห์เขา
ประมาณสิบนาทีต่อมา จางอีเต๋อก็จับชีพจรให้แม่ของเสี้ยวหยาเสร็จแล้ว สีหน้าเคร่งขรึมลง หยิบกล่องยาด้านข้างมา ดูมีมาดของแพทย์แผนจีนในสมัยโบราณมาก เสี้ยวหยาและเย่เทียนเฉินที่เห็นดังนั้นก็รู้สึกหม่นหมองอยู่ในใจ สิ่งที่เสี้ยวหยากังวลย่อมเป็นอาการป่วยของแม่ของเธอ ส่วนเย่เทียนเฉินกังวลว่าจางอีเต๋อจะไม่พูดตามที่เขานัดหมายกันไว้ก่อนหน้านี้
จางอีเต๋อเป็นใคร? เขาคือเซียนแพทย์เทวะ ถ้าหากไม่ใช่คนที่มีวิชาแพทย์สูงส่งเหนือชั้นก็เกรงว่าจะต่างกันไม่มาก อาการป่วยของแม่ของเสี้ยวหยาจะสามารถปิดบังเขาได้อย่างไร ในตอนที่จางอีเต๋อจับชีพจรให้แม่ของเสี้ยวหยาก็ได้ใช้พลังพิเศษในสายรักษาเพื่อตรวจสอบอาการป่วยของแม่ของเสี้ยวหยาจนกระจ่างชัด เห็นได้ชัดเจนว่าเขาได้ข้อสรุปที่ใกล้เคียงกับการใช้เครื่องมือของโรงพยาบาลแห่งเมืองหลวง ได้ข้อสรุปเหมือนกับเหล่าแพทย์เฉพาะทาง กระทั่งละเอียดกว่าด้วยซ้ำ นั่นก็คือแม่ของเสี้ยวหยาจะมีชีวิตอยู่ได้นานที่สุดเพียงไม่กี่เดือน
“คุณปู่จางคะ อาการป่วยของแม่หนูเป็นยังไงบ้างคะ?” เสี้ยวหยาเห็นจางอีเต๋อไม่พูดจึงรีบถามออกไปด้วยความกังวล
“โรคมะเร็ง แต่อาการไอตอนนี้ก็ไม่เลวนัก หากว่าทำการรักษาต่อไปอย่างน้อยก็สามารถอยู่ต่อไปได้อีกห้าปี ในช่วงนี้ก็กินอาหารดีๆ เข้ารับการรักษาด้วยเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ที่ดี ก็อาจจะสามารถอยู่ได้อีกสิบปีขึ้นไป!” จางอีเต๋อมองเสี้ยวหยาแล้วพูดขึ้นอย่างจริงจัง
“ค่ะ…” เสี้ยวหยาเงียบลง แม้จะรู้ว่าแม่ของตนยังเหลือเวลาอีกนิดหน่อย แต่เมื่อคิดว่าแม่สามารถอยู่ได้เพียงห้าปีหรืออาจจะสิบปีก็ต้องมาจากตนเองไป ทำให้อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเจ็บปวดใจ
“ขอบคุณท่านปรมาจารย์จางมากค่ะ หยาเอ๋อร์อย่าได้ทำให้เขาลำบากใจอีกเลย สามารถอยู่ต่อได้อีกห้าปีแม่ก็พอใจมากแล้ว ถึงตอนนั้นก็จะได้เห็นลูกแต่งงาน หาสามีดีๆ สักคน ก็นับว่าความหวังของแม่เป็นจริงแล้ว!” แม่ของเสี้ยวหยาพูดอย่างเบิกบานใจ
“แม่ แม่พูดอะไรคะ แม่จะต้องมีชีวิตยืนยาวถึงร้อยปีแน่นอน!” เสี้ยวหยาเดินไปเบื้องหน้าของแม่ด้วยความแน่วแน่ จับมือแม่แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
“เด็กคนนี้นี่…รีบไปส่งคุณปู่จางและเทียนเฉินเถอะ…” แม่ของเสี้ยวหยาเห็นเย่เทียนเฉินและจางอีเต๋อกำลังจะเดินไปจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากอย่างร้อนรน
จางอีเต๋อมองแม่ของเสี้ยวหยาและเสี้ยวหยา เขาถูกความสัมพันธ์อันลึกซึ้งของแม่ลูกคู่นี้โจมตีเอาเสียแล้ว โดยเฉพาะเสี้ยวหยาที่เหมือนกับจางรั่วถงหลานสาวของตน มีความฉลาดเฉลียวรู้ความ นี่ทำให้เซียนแพทย์เทวะอย่างจางอีเต๋อซึ่งเห็นการเกิดการตายมาจนคุ้นชินอดไม่ได้ที่จะซาบซึ้งใจขึ้นมา เขาหยิบกล่องเล็กๆ ใบหนึ่งออกมาจากกล่องยาของตัวเองแล้วส่งไปให้เสี้ยวหยา พูดขึ้นว่า “เด็กน้อย ในนี้มียาอยู่สามเม็ด ทุกครั้งที่อาการป่วยของแม่เธอถึงขั้นวิกฤตก็ให้กินหนึ่งเม็ด จะสามารถรักษาชีวิตของเธอเอาไว้ได้สามครั้ง!”
“ขอบคุณค่ะคุณปู่จาง!” เสี้ยวหยารับกล่องเล็กๆ ใบนั้นมาจากจางอีเต๋อ พูดขึ้นด้วยความซาบซึ้งใจ
จากนั้นจางอีเต๋อและเย่เทียนเฉินก็เดินออกไปจากห้องผู้ป่วย เมื่อมาถึงด้านนอกเย่เทียนเฉินจึงได้ถอนหายใจยาวเหยียด มองไปยังจางอีเต๋อแล้วพูดขึ้น “ผมว่านะ เมื่อกี้คุณทำให้ผมตกใจจริงๆ คุณคิดที่จะพูดความจริงจริงเหรอ?”
“ผมต้องคิดที่จะพูดความจริงอยู่แล้ว เพราะผมมีจรรยาบรรณของคนเป็นหมอ เพียงแต่ว่าผู้ป่วยทุกคนต่างก็รู้ถึงสภาพของตัวเองดี พวกคุณหลอกผู้ป่วยแบบนี้จะเป็นการไม่รับผิดชอบต่ออาการป่วยของเธอ แม่ของเสี้ยวหยาป่วยเป็นโรคมะเร็งระยะสุดท้ายแล้ว มีชีวิตได้อย่างมากก็แค่สามเดือน ไม่อาจอยู่ได้นานถึงครึ่งปีขนาดนั้น พวกคุณหลอกเธอแบบนี้ ไม่มีผลดีอะไรกับอาการป่วยของเธอเลย!” จางอีเต๋อพูดกับเย่เทียนเฉินพลางสายหน้า
“บางครั้งเราก็ต้องทำการโกหกด้วยเจตนาดี มันเป็นการให้ความหวังคนอื่นได้ ทำไมพวกเราจะไม่ทำล่ะ?” ทันใดนั้นเย่เทียนเฉินทอดถอนใจแล้วพูดออกมา
เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน จางอีเต๋อก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เข้าใจ เขามีฐานะเป็นเซียนแพทย์เทวะ และเป็นยอดฝีมือผู้มีพลังพิเศษในสายโลหะ มีอายุยืนมาถึงร้อยปี ได้เห็นเรื่องราวต่างๆ มากมายที่คนในยุคปัจจุบันนี้ไม่เคยเห็น โดยเฉพาะการเกิดแก่เจ็บตาย
“วางใจเถอะ แม่ของสาวน้อยคนนั้น อย่างน้อยก็สามารถยืนหยัดไปได้อีกหนึ่งปี!” จางอีเต๋อเปิดปากพูด
“ดูแล้วยาเม็ดทั้งสามเม็ดนั้นคงจะไม่ได้หลอกกัน มันมีผลที่ช่วยให้ยืดอายุได้!” เย่เทียนเฉินพูดพลางพยักหน้า
ในตอนแรกเย่เทียนเฉินคิดว่ายาในกล่องเล็กๆ ที่เขาให้เสี้ยวหยานั้นเป็นเพียงคำลวงที่ทำเพื่อเจตนาดีเท่านั้น ทำเพื่อมอบความหวังให้แก่เธอ ตอนนี้ดูแล้วจางอีเต๋อจะไม่ได้โกหก ยาที่ให้เสี้ยวหยาไปสามเม็ดนั้นสามารถช่วยยืดอายุได้จริงๆ
ถ้าหากว่าอย่าเช่นนี้ถูกเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ในยุคปัจจุบันนำไปวิจัยและค้นคว้า คงจะต้องสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งโลกแน่นอน และจะต้องทำให้นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากตื่นตะลึง ความเป็นไปได้ที่มากที่สุดก็คือถูกประเทศเก็บเอาไว้เป็นความลับไม่ให้คนทั่วไปในโลกภายนอกได้รู้ ในจุดนี้ไม่มีอะไรน่าแปลก หากพูดถึงสังคมในยุคปัจจุบันนี้แล้ว ประชาชนทั่วไปในระดับล่างจะรู้เกี่ยวกับเรื่องของการพัฒนาประเทศได้อย่างไร จะรู้เรื่องเกี่ยวข้องกับการสูญพันธุ์ของมนุษย์ได้อย่างไร? คนที่เข้าใจต่างก็เป็นคนจำนวนน้อย หรือกระทั่งคนจำนวนน้อยก็ยังไม่เข้าใจด้วยซ้ำ
“ตอนนั้นที่ยืดอายุให้ท่านผู้นำที่เป็นผู้ก่อตั้งประเทศไปอีกยี่สิบปีไม่ได้สูญเปล่าเลยจริงๆ ผมเรียนรู้มาทั้งชีวิต แล้วต้องใช้ของล้ำค่าที่บังเอิญได้มาของผมถึงจะหลอมยาที่ช่วยยืดอายุไปได้ยี่สิบปีขึ้นมาได้!” ดูเหมือนว่าจางอีเต๋อจะย้อนนึกไปถึงเรื่องเมื่อปีนั้น ในค่ำคืนที่มีฟ้าร้องดังสนั่น หลังจากที่เขายืดชีวิตให้ท่านผู้นำแล้ก็หายตัวไปโดยไร้ร่องรอย เพราะเขาไม่มีวิธีการอื่นที่จะสามารถทำให้มีชีวิตอยู่ได้นานขึ้นอีก สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความลับ ถ้าพูดออกไปก็คงไม่มีใครเชื่อ กระทั่งผู้นำระดับสูงสุดของประเทศในตอนนี้ก็ยังไม่รู้เรื่องนี้ นี่เป็นเรื่องสำคัญมากจริงๆ
เมื่อได้ยินคำพูดของจางอีเต๋อ ในใจของเย่เทียนเฉินก็ตกตะลึง ยืดอายุไปอีกยี่สิบปี นี่ฟังดูแล้วเหมือนกับเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ ต่อให้เขาเคยเป็นผู้แข็งแกร่งในช่วงยุคสิ้นโลกมาก่อน มีความสามารถในการป่นหินทลายแม่น้ำ ก็ยังหายาวิเศษที่ช่วยยืดอายุให้ผู้คนได้ยากยิ่ง ในช่วงยุคสิ้นโลกไม่ใช่ว่าจะไม่มียาแบบนี้ เพียงแต่ยาแบบนี้ล้ำค่ามากเกินไป ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพราชันก็ยังไม่มี
จางอีเต๋อเป็นชายชราที่น่าเหลือเชื่อและลึกลับมากคนหนึ่ง มีฐานะเป็นผู้มีพลังพิเศษในสายรักษา และสามารถใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษในสายโลหะได้ นอกจากนี้เขายังมีอายุถึงร้อยปี แต่ยังมีร่างกายแข็งแรง มีความสามารถแข็งแกร่ง เดิมทีสิ่งเหล่านี้ก็ทำให้ผู้คนรู้สึกสั่นสะท้านมากแล้ว ไม่ว่าจะเป็นใครเมื่อต้องเผชิญหน้ากับความตายในตอนที่ไร้ซึ่งพลัง ก็จะมีความโหยหาในคำว่าอมตะมากยิ่งขึ้น หากมีวิธีการที่ทำให้คนเป็นอมตะได้จริงๆ เชื่อว่าคนมากมายจะต้องการผลประโยชน์ตรงนี้และพากันออกตามหา นี่เป็นสาเหตุที่ทำไมในช่วงยุคสิ้นโลก ซึ่งเป็นโลกที่แปลกพิสดาร คล้ายกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างย้อนกลับไปในยุคของเทพเซียนนั้น มีอารยธรรมในยุคปัจจุบัน มีมนุษย์กลายพันธุ์และสัตว์กลายพันธุ์ และมีผู้ที่ต้องการบ่มเพาะความเป็นอมตะ ซึ่งสามารถเรียกได้ว่าผู้บ่มเพาะ ดังนั้นในช่วงยุคสิ้นโลกไม่ว่าจะเป็นมนุษย์และสัตว์กลายพันธุ์ ยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณ หรือจะเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษ ต่างก็สามารถเรียกได้ว่าเป็นผู้บ่มเพาะ จุดประสงค์สุดท้ายก็คือต้องการทำให้ตัวเองแข็งแกร่ง สามารถอยู่ในโลกที่ปลาใหญ่กินปลาเล็กนี้ได้ ในขณะเดียวกันก็แสวงหาเส้นทางแห่งความเป็นอมตะ ยึดถือเป็นแนวทางของชีวิต
“ในสังคมปัจจุบันนี้ นอกจากป่าดึกดำบรรพ์แล้ว ที่อื่นก็ถูกวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสิ่งปลูกสร้างทำลายไปหมดแล้ว คุณถึงกับสามารถหาวัตถุดิบที่นำมาหลอมเป็นยายืดอายุได้ มหัศจรรย์มากจริงๆ!” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น
การหลอมยานั้นเป็นอารยธรรมของชาวจีนเมื่อห้าพันปีที่แล้ว จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่หยุดพัฒนา ในปัจจุบันนี้ก็มีแพทย์แผนจีนจำนวนหนึ่ง มีห้องยาที่ได้รับถ่ายทอดเป็นมรดกมาอีกจำนวนหนึ่ง และยังมีการหลอมยาอยู่ เพียงแต่ยาที่หลอมออกมาได้ในปัจจุบันนี้ ส่วนใหญ่ทุกคนเรียกว่ายาลูกกลอน มีประสิทธิภาพธรรมดาๆ เท่านั้น
“ยาลูกกลอนทั้งสามเม็ดที่ผมให้สาวน้อยคนนั้นไป ความจริงแล้วเป็นยาที่เหลือจากการที่ผมยืดอายุให้ท่านผู้นำเมื่อปีนั้น มีชื่อว่ายาไขกระดูกมังกร น่าเสียดายที่ประสิทธิภาพของยาลดลงไปเหลือเพียงแค่หนึ่งส่วน ไม่งั้นจะต้องสามารถทำให้แม่ของเธออยู่ต่อไปได้อีกหลายปี!” จางอีเต๋อเดินไปพลางพูดไปพลาง
“ยาไขกระดูกมังกร เป็นยาที่ใช้น้ำจากหญ้าไขกระดูกมังกรหลอมออกมาหรือเปล่า?” จู่ๆ เย่เทียนเฉินก็ชะงักไป อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถาม
“คิดไม่ถึงว่าคุณจะรู้เรื่องไม่น้อยเลยทีเดียว ถูกต้องแล้ว เมื่อปีนั้นผมได้รับหญ้าไขกระดูกมังกรมาจำนวนหนึ่งโดยบังเอิญ หลังจากที่ผ่านการหล่อมาหลายครั้งจึงสามารถหลอมออกมาเป็นยาไขกระดูกมังกรได้ ท่านผู้นำผู้ก่อตั้งประเทศจีนสร้างผลประโยชน์มากมายให้แก่ประชาชน มีเหตุผลมากพอที่จะได้รับการยืดอายุครั้งนี้ ดังนั้นผมจึงให้เขากินยาไขกระดูกมังกร ยืดอายุไปอีกยี่สิบปี!” จางอีเต๋อเองก็มองเย่เทียนเฉินอย่างประหลาดใจแล้วพูดขึ้น
หญ้าไขกระดูกมังกร ในตอนที่เย่เทียนเฉินอยู่ในช่วงยุคสิ้นโลกก็เคยได้ยินผู้อาวุโสคนหนึ่งพูดถึงมาก่อน นั่นเป็นสมุนไพรที่พิสดารมาก สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ธรรมชาติสามารถก่อกำเนิดสรรพสิ่งได้ก็คือชีพจรของโลก ซึ่งเรียกกันว่าเป็นชีพจรมังกร ในชีพจรมังรแฝงไปด้วยพลังงานที่แข็งแกร่งหาใดเปรียบ สามารถทำให้สรรพสิ่งในโลกใบหนึ่งเกิดการสืบพันธุ์ต่อไปได้ เห็นได้ชัดว่ามันเยี่ยมยอดขนาดไหน ส่วนหญ้าไขกระดูกมังกรนั้นก็เป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งที่เกิดและเติบโตใกล้กับชีพจรมังกร อาศัยแก่นแท้ของชีพจรมังกรในการดำรงอยู่และเติบโต จินตนาการได้เลยว่าจะมีค่ามากขนาดไหน จะทำให้คนฟื้นขึ้นมาจากความตายก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องยากอะไร
เพียงแต่หากต้องการที่จะได้รับหญ้าไขกระดูกมังกรมานั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก เมื่อตอนนั้นเย่เทียนเฉินอยู่ในขอบเขตพระเจ้า แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก เขาก็เคยตามหาหญ้าไขกระดูกมังกรมาก่อน คิดที่จะเก็บสำรองเอาไว้ใช้ยามจำเป็น แต่ก็ไม่ได้มีโอกาสนั้น เพราะชีพจรมังกรที่อยู่ลึกลงไปใต้พื้นเคลื่อนไหวไม่หยุด ถูกคนอื่นควบคุมได้ยากมาก หญ้าไขกระดูกมังกรก็มีจิตวิญญาณ แน่นอนว่าจะไม่ถูกผู้ค้นหาพบได้ง่ายๆ ขนาดนั้น มีผู้แข็งแกร่งจำนวนมากที่ตามหาหญ้าไขกระดูกมังกรเพราะมีความลับอันยิ่งใหญ่อยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือต้องการที่จะใช้โอกาสนี้ตามหาชีพจรมังกร และใช้ประโยชน์จากชีพจรมังกรมาทำให้ตัวเองแข็งแกร่ง ทำให้ตนเองทะลวงไปถึงขอบเขตที่สูงยิ่งขึ้น
“ผมเองก็เคยเห็นในตำราโบราณมาครั้งหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าในโลกนี้จะมีสมุนไพรแบบนั้นอยู่จริงๆ!” เย่เทียนเฉินแสร้งพูดด้วยท่าทางแปลกใจ
“ธรรมชาติเปลี่ยนไปแล้ว หากว่าเป็นสมัยดึกดำบรรพ์ สมัยเทพนิยาย หรือสมัยโบราณที่ไกลออกไป ผมเชื่อว่าบนโลกแห่งนี้คงจะมีแก่นแท้อยู่ คงจะไม่ไร้ชีวิตชีวาเหมือนตอนนี้หรอก!” จางอีเต๋อมองไปยังท้องฟ้า มีท่าทางราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่
……………………………
“คำว่าอมตะมันหนักเกินไปจริงๆ และอยู่ห่างจากพวกเราไปมาก อย่างน้อยในโลกนี้ก็ไม่อาจตามหาได้ บางทีในดาวดวงอื่นที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ในดวงดาวที่มีอารยธรรมที่แตกต่างออกไปอาจจะมีผู้แข็งแกร่งที่สามารถเดินบนเส้นทางแห่งความเป็นอมตะได้”
เย่เทียนเฉินชะงักไปครู่หนึ่ง นอนฟังคำพูดนี้ของจางอีเต๋ออยู่บนเตียง ในใจของเขารู้สึกสั่นไหว เขาคิดไม่ถึงเลยว่า จางอีเต๋อที่เป็นเซียนแพทย์เทวะของโลกใบนี้จะมีความคิดที่นำหน้าคนธรรมดาไปมาก ที่สำคัญก็คือทัศนคติเกี่ยวกับเรื่องความอมตะของจางอีเต๋อสามารถเทียบเท่าได้กับผู้แข็งแกร่งในช่วงยุคสิ้นโลก ท่ามกลางจักรวาลอันกว้างใหญ่ มีดวงดาวและอารยธรรมที่แตกต่างกันมากมาย ที่นั่นมียอดฝีมือที่เก่งกาจที่ไล่ตามเคล็ดลับของความเป็นอมตะมาโดยตลอด ก็เหมือนกับสังคมในยุคปัจจุบันนี้ที่มีหลายประเทศคิดจะสร้างยานอวกาศเพื่อสำรวจความลึกลับของท้องฟ้า
“อย่าคิดอีกเลย ทั่วทั้งจักรวาลมีคนที่อยู่ถึงพันปีหมื่นปี แต่ไม่มีคนที่เป็นอมตะอยู่แน่นอน ตื่นเถอะ! ”เย่เทียนเฉินหัวเราะหิๆ แล้วพูดขึ้น
“คุณรู้ได้ยังไง?” ทันใดนั้นจางอีเต๋อมองเย่เทียนเฉินแล้วเอ่ยถามอย่างจริงจัง
“นี่คือความลับที่พูดไม่ได้!” เย่เทียนเฉินอยากไหลแล้วล้มหัวลงไปนอน
บทสนทนาที่พูดคุยกับจางอีเต๋อในยามค่ำคืน สร้างความสั่นสะเทือนให้เย่เทียนเฉินเป็นอย่างมาก นี่ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะคิดเรื่องเกี่ยวกับช่วงยุคสิ้นโลกให้มากขึ้น ความเป็นอมตะ เย่เทียนเฉินเองก็เคยไล่ตามมันมาก่อน เพียงแต่ในช่วงยุคสิ้นโลก ไม่ว่าจะเป็นผู้แข็งแกร่งแห่งพรรควรยุทธโบราณหรือจะเป็นผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งหาได้เปรียบ หรือไม่ก็มนุษย์กลายพันธุ์และสัตว์กลายพันธุ์ กระทั่งสัตว์ประหลาดและปีศาจ หากไม่ไปถึงขอบเขตของผู้มีพลังพิเศษในระดับเทพราชัน ก็ไม่อาจอาศัยความสามารถของคนเพียงคนเดียวเดินท่องไปในจักรวาลได้ แบบนั้นจะทำให้เหนื่อยจนตาย มีเพียงต้องไปถึงขอบเขตของเทพราชันเท่านั้นถึงจะสามารถเติมเต็มตัวแปรของทุกสรรพสิ่งได้ พูดอย่างไม่เกินจริงก็คือ สามารถขี่กระบี่ท่องไปได้นับล้านลี้ ขี่เมฆท่องไปได้ทั่วทุกสารทิศ!
ในช่วงยุคสิ้นโลกเย่เทียนเฉินเป็นผู้มีพลังพิเศษในขอบเขตพระเจ้าขั้นสูง เขาย่อมคิดเรื่องเกี่ยวกับความเป็นอมตะมาก่อน เพียงแต่ตอนนั้น ด้วยขอบเขตพลังของเขาก็ยังไม่พบความลับอะไรมากมาย แล้วยังไม่สามารถมีสำนึกต่อธรรมชาติและเส้นทางบำเพ็ญเพียรในขั้นสูงได้ ดังนั้นจึงข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้น้อยมาก
จางอีเต๋อเป็นเซียนแพทย์เทวะในโลกใบนี้ และเป็นผู้มีพลังพิเศษที่มีฝีมือร้ายกาจมากคนหนึ่ง ทำลายกรอบความคิดที่ว่าผู้มีพลังพิเศษในสายรักษาจะต้องมีพลังต่อสู้อ่อนแอไปได้โดยสิ้นเชิง ในขณะที่เขามีวิชาแพทย์สูงส่ง ก็ยังสามารถใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษในสายโลหะได้ ในจุดนี้ต่อให้เป็นในช่วงยุคสิ้นโลกก็มากเพียงพอที่จะสั่นสะท้าน บางทีจางอีเต๋อที่มีฐานะเป็นเซียนแพทย์เทวะ ซึ่งสามารถยืดอายุให้ผู้นำสูงสุดที่ก่อตั้งประเทศได้ไปยี่สิบปี คงจะเคยศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเรื่องของความเป็นอมตะมาก่อน ไม่ได้พูดเรื่องนี้ขึ้นมาลอยๆ
ในตอนนี้ ในเขตของคฤหาสน์แห่งหนึ่งที่มีเพียงตระกูลทรงอำนาจที่สุดของประเทศจีนเท่านั้นถึงจะสามารถเข้าไปได้ มีคฤหาสน์หลังใหญ่อยู่เพียงไม่กี่หลัง จนสามารถเรียกได้ว่าเป็นพระราชวัง มีตำรวจติดอาวุธล้อมเอาไว้เพื่อคุ้มครอง เห็นได้ถึงความแข็งแกร่งของมัน คนธรรมดาไม่อาจเข้าไปได้โดยเด็ดขาด
ตระกูลหลิง ซึ่งเป็นตระกูลหนึ่งที่มีความสำคัญมากพอที่จะขับเคลื่อนโลกธุรกิจระหว่างประเทศ พ่อของหลิงอวี่สวิ๋นเป็นประธานสมาคมการค้าระหว่างประเทศเพื่อชาวจีนโพ้นทะเล นี่เป็นตระกูลที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ในโลกของธุรกิจ ตระกูลหลิงเคยไปตั้งรกรากเพื่อทำธุรกิจอยู่ในประเทศ M จนฝังแน่น และดูเหมือนว่าจะไปถึงขั้นที่สามารถส่งผลกระทบกับธุรกิจและเศรษฐกิจจำนวนมากของประเทศ M ได้แล้ว ในช่วงหลายปีมานี้ เนื่องจากสถานการณ์ในประเทศเป็นไปในทิศทางที่ดี และเนื่องจากการดูแลของผู้นำทางด้านการเมืองท่านหนึ่งในประเทศที่มีต่อตระกูลหลิง ผู้อาวุโสตะกูลหลิงซึ่งก็คือคุณปู่ของหลิงอวี่สวิ๋นจึงคิดที่จะกลับสู่บ้านเกิด เมื่อเดินทางไกลโพ้น จะช้าจะเร็วก็ต้องกลับสู่อ้อมกอดของมารดา เขาจึงค่อยๆ เคลื่อนย้ายศูนย์กลางของเศรษฐกิจมายังภายในประเทศ
เมื่อทำเช่นนี้ในโลกของเศรษฐกิจในประเทศก็จะมีตระกูลใหญ่อยู่สองตระกูล ตระกูลแรกก็คือตระกูลซู เดิมทีตระกูลซูเป็นตระกูลใหญ่อันดับหนึ่งในโลกของธุรกิจภายในประเทศ ความสามารถทางด้านการเงินแข็งแกร่งมาก นี่เป็นเรื่องที่ไม่ต้องบอกก็รู้ มิฉะนั้นเมื่อวันนั้นที่เย่เทียนเฉินถูกจับไปที่สำนักความปลอดภัยสาธารณะ และฆ่าคนในนั้น หากไม่ใช่เพราะซูเฟยเฟยให้คุณปู่ช่วยยกหูโทรศัพท์ให้เธอ เกรงว่าเย่เทียนเฉินคงทําได้เพียงแหกคุกของสำนักความปลอดภัยสาธารณะออกมาจริงๆ แล้ว
ในตอนที่ทราบว่าตระกูลหลิงต้องการที่จะกลับมาพัฒนาตระกูลภายในประเทศ ยิ่งไปกว่านั้นก็ค่อยๆ เคลื่อนย้ายศูนย์กลางธุรกิจมาในประเทศแล้วนั้น บุคคลสำคัญในโลกธุรกิจตลอดจนข้าราชการระดับสูงในโลกของการเมืองจำนวนมาก และคนใหญ่คนโตทั้งโลกเบื้องหน้าและเบื้องหลังต่างก็สั่นสะท้านเป็นอย่างมาก ตระกูลหลิงต้องการกลับมายืนหยัดในประเทศ จะต้องมีผลกระทบครั้งใหญ่แน่นอน ผลประโยชน์นี้เกี่ยวพันกับคนมากมาย ที่สำคัญที่สุดก็คือทุกคนต่างก็อยากจะดูว่า สุดท้ายจะเป็นตระกูลหลิงที่ร้ายกาจ หรือจะเป็นตระกูลซูที่ร้ายกาจ ตระกูลที่เป็นหัวเรือใหญ่ในโลกของธุรกิจทั้งสองตระกูลนี้จะอย่างไรก็ต้องเผชิญหน้ากัน
ตอนนี้หลิงอวี่สวิ๋น คุณพ่อของหลิงอวี่สวิ๋น และน้องชายคนหนึ่ง ตลอดจนคุณลุงคุณอาทั้งหลาย ต่างก็ย้ายมาอยู่ในประเทศแล้ว เหลือเพียงคุณปู่ของหลิงอวี่สวิ๋นที่ยังรั้งอยู่ที่ประเทศ M เหตุผลประการแรกก็คือครั้งนี้ตระกูลหลิงตั้งใจย้ายกลับมาอยู่ในประเทศ มีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ต้องการเคลื่อนย้ายมากจริงๆ จึงมีหลายเรื่องที่ต้องจัดการ เหตุผลประการที่สองก็คือ ความตั้งใจที่ตระกูลหลิงต้องการย้ายกลับมาตั้งรกรากในประเทศ ทางฝั่งของรัฐบาลประเทศ M ก็สังเกตเห็นแล้ว เมื่อตะกูลหลิงมีใจแน่วแน่ที่จะย้ายกลับมาในประเทศ เกรงว่ารัฐบาลประเทศ M จะใช้มาตรการอันเข้มข้นกับพวกเขา เพราะว่าเมื่อตระกูลหลิงย้ายศูนย์กลางเศรษฐกิจกลับไปในประเทศจีน จะต้องทำให้รัฐบาลของประเทศ M เกิดความสูญเสียอย่างไม่อาจคาดเดา พวกเขาจะต้องไม่อนุญาตอย่างแน่นอน
ผู้อาวุโสตระกูลหลิงยังคงอยู่ที่ประเทศ M พูดตามหลักการแล้วก็เพื่อทำให้รัฐบาลของประเทศ M สับสน ในขณะเดียวกันก็ให้พ่อของหลิงอวี่สวิ๋นย้ายกลับมาในประเทศ ดำเนินโครงการลงทุนทั้งหลายให้เร็วที่สุด เพื่อย้ายจุดศูนย์กลางเศรษฐกิจมา
หลิงอวี่สวิ๋นและย่าขู่กลับมาถึงตระกูลหลิง เพิ่งจะเดินเข้าไปถึงห้องโถงใหญ่ของตระกูลหลิงก็พบว่าหลิงเยว่ผู้เป็นพ่อนั่งอยู่บนโซฟาในห้องโถง กำลังอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ ในห้องโถงมีเพียงหลิงเยว่คนเดียว ดูเหมือนว่าจะกำลังรอหลิงอวี่สวิ๋นอยู่
“อวี่สวิ๋น ลูกมานี่หน่อย พอมีเรื่องจะพูดกับลูก!” หลิงเยว่มองลูกสาวแล้วพูดขึ้น
“พ่อคะ หนูง่วงมาก ขอไปนอนก่อนนะคะ มีเรื่องอะไรพรุ่งนี้ค่อยพูดกันเถอะ…” หลิงอวี่สวิ๋นดูเหมือนจะรู้ว่าพ่อต้องการที่จะพูดอะไรกับตน เมื่อเห็นท่าทางเข้มงวดจริงจังเช่นนั้นของพ่อ เธอก็ไม่คิดที่จะพูดคุย
“หากว่าไม่คุย พ่อก็คงต้องใช้มาตรการเข้มงวดกับลูก ถึงตอนนั้นก็อย่ามาหาว่าพ่อยุ่งเรื่องของลูกก็แล้วกัน!” หลิงเยว่อ่านหนังสือพิมพ์ พูดกับหลิงอวี่สวิ๋นโดยไม่ได้มองเธอเลย
หลิงอวี่สวิ๋นมองหลิงเยว่ผู้เป็นพ่อ เดาได้ว่าเขาต้องการที่จะพูดอะไร แต่หลิงอวี่สวิ๋นก็เข้าใจนิสัยของหลิงเยว่เป็นอย่างดี ในยามปกติสามารถพูดจาหยอกล้อกับตนเองได้ ในตอนเด็กก็เล่นกับตนบ่อยครั้ง แต่ว่าตั้งแต่ที่คุณปู่ถอยลงจากตำแหน่งหัวเรือใหญ่ของตระกูลหลิง หลิงเยว่ผู้เป็นพ่อก็ต้องกลายเป็นหัวเรือตะกูลหลิงคนใหม่ ต้องคอยควบคุมสกุลหลิงที่ยิ่งใหญ่และยังต้องมาขัดแย้งกับคุณลุงคุณอาพี่ชายน้องชายที่ไม่ค่อยสามัคคีกันคนอื่นๆ อีกด้วย ถ้าหากไม่มีอำนาจควบคุมก็ไม่ได้ ดังนั้นทุกครั้งที่พ่อมีท่าทีจริงจังเคร่งขรึมขึ้นมา หลิงอวี่สวิ๋นก็ไม่กล้าออดอ้อน
เธอนั่งลงตรงข้ามหลิงเยว่ผู้เป็นพ่อ ถามด้วยรอยยิ้มว่า “พ่อคะ มีเรื่องอะไรเหรอ?”
หลิงเยว่ไม่ได้ตอบในทันที แต่มองไปยังย่าขู่แล้วพูดขึ้นว่า “ย่าขู่ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ให้คุณจับตาดูอวี่สวิ๋นให้ดี ถ้าผมไม่เห็นด้วย ก็ไม่อนุญาตให้เธอออกไปจากประตูแม้แต่ครึ่งก้าว!”
“ค่ะนายท่าน!” ย่าขู่พูดแล้วพยักหน้า
“พ่อคะ พ่อ…ทำไม…” หลิงอวี่สวิ๋นมองไปยังผู้เป็นพ่อแล้วพูดขึ้นด้วยความโกรธในพริบตา
“อวี่สวิ๋น พ่อคิดจะบอกลูก การไปมาหาสู่กับเย่เทียนเฉินไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาดเลย และไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก ตระกูลเย่กลายเป็นตระกูลชั้นสามของเมืองหลวงไปนานแล้ว ไม่ว่าในด้านไหนก็ไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะไปมาหาสู่กับตระกูลหลิงของพวกเราได้ ลูกกับเย่เทียนเฉินก็ไม่ควรจะมีการติดต่อกัน!” หลิงเยว่อ่านหนังสือพิมพ์ต่อไป พูดออกมาด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
“พ่อคะ งั้นจะทำยังไง? ก่อนหน้านี้จะกูลหลิงของพวกเราและตระกูลเย่อยู่ในซอยเดียวกัน ตอนนั้นทั้งสองตระกูลต่างก็ไม่มีอำนาจอะไร เกิดอะไรขึ้นทำไมถึงได้เป็นแบบนี้ เป็นแบบเมื่อก่อนไม่ได้เหรอ? ยิ่งไปกว่านั้นการที่หนูติดต่อกับเย่เทียนเฉิน ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเราสองคนจะอยู่ด้วยกัน กระทั่งเป็นแค่เพื่อนธรรมดาก็ไม่ได้เลยเหรอ?” หลิงอวี่สวิ๋นพูดออกมาอย่างไม่พอใจและไม่เชื่อฟัง
“ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนธรรมดา หรือว่าลูกจะรักเย่เทียนเฉินแล้ว พ่อไม่อนุญาตให้พวกลูกติดต่อกัน พวกเราอยู่กันคนละโลกโดยสิ้นเชิง ลูกถอดใจซะเถอะ!” หลิงเยว่พูดอย่างจริงจัง
“พ่อคะ พ่อ…ทำไมพ่อไม่มีเหตุผลเลย?” หลิงอวี่สวิ๋นถแทบจะน้ำตาไหลออกมา เธอคิดไม่ถึงเลยว่าพ่อที่เฉลียวฉลาดและรักเธอมากมาโดยตลอดจะกลายเป็นคนไม่มีเหตุผลแบบนี้ได้
หลิงเยว่มองหลิงอวี่สวิ๋น วางหนังสือพิมพ์ในมือลง หลิงอวี่สวิ๋นเป็นลูกสาวที่เขารักมากที่สุด ตั้งแต่เล็กหลิงอวี่สวิ๋นก็เชื่อฟังและรู้ความมาก คะแนนการเรียนก็ดี เป็นความภาคภูมิใจของหลิงเยว่มาโดยตลอด เขาไม่อยากจะพูดแบบนี้กับลูกสาว ไม่อยากจะทำลายความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูก แต่ครั้งนี้เรื่องของเย่เทียนเฉิน เขาก่อเรื่องได้ยิ่งใหญ่เกินไปแล้ว บางทีชาวบ้านทั่วไปอาจจะไม่รู้และมันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขา แต่ตระกูลใหญ่และกลุ่มอำนาจใหญ่ต่างก็เข้าใจถึงเรื่องใหญ่ที่สั่นสะท้านโลกเบื้องหน้าและเบื้องหลังของประเทศจีนซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดนี้ดี
คุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง คนคนนี้มีความสามารถแข็งแกร่งมาก ยิ่งไปกว่านั้นอำนาจที่อยู่เบื้องหลังก็เป็นบุคคลลึกลับที่ยิ่งใหญ่ เขาได้จับจ้องไปที่เย่เทียนเฉินแล้ว ประกาศสงครามกับเย่เทียนเฉินแล้ว ถ้าหากเย่เทียนเฉินและคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงเกิดการปะทะกัน คงจะรุนแรงยิ่งกว่าตอนที่ตระกูลฉินและตระกูลลั่วถูกทำลายในค่ำคืนเดียว นี่เป็นสิ่งที่หลิงเยว่กังวล กังวลว่าลูกสาวจะไปเกี่ยวพันกับเย่เทียนเฉิน กังวลว่าเรื่องนี้จะไปขัดขวางการกลับมาพัฒนาธุรกิจในประเทศของตระกูลหลิง จึงพะว้าพะวงใจอยู่ตลอดเวลา
“อวี่สวิ๋น เย่เทียนเฉินกลายเป็นคนที่อยู่ท่ามกลางเกลียวคลื่นไปแล้ว และตระกูลเย่ก็กลายเป็นตระกูลชั้นสามไปนานแล้ว เย่เทียนเฉินล่วงเกินกลุ่มอำนาจมากมายเกินไป ล่วงเกินคนมากเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นในครั้งนี้คุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาหลงเถิงผู้ลึกลับคนนั้น เขาเป็นคนที่กระทั่งพ่อเองก็ไม่รู้ว่าร้ายกาจขนาดไหน หากจะบอกว่าเย่เทียนเฉินที่ไม่มีคนอยู่เบื้องหลังและไม่มีอำนาจที่แข็งแกร่งจะสามารถมีชีวิตรอจากการปะทะกับคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงได้ พ่อก็คิดว่าคงไม่มีใครเชื่อ ต่อให้เขาจะมีความสามารถอยู่บ้าง ก็เป็นคนเพียงคนเดียวเท่านั้น จะสามารถป้องกันการเพ่งเล็งของกลุ่มอำนาจใหญ่มากมายขนาดนี้ได้เลยหรือ?” หลิงเยว่พูดความหวาดกลัวในใจของเขาออกมาตรงๆ เขาต้องการให้หลิงอวี่สวิ๋นเข้าใจ เย่เทียนเฉินอยู่ในเกลียวคลื่น ไม่มีอำนาจ ไม่มีที่พึ่งพา ดูเหมือนจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่อาจไปคบค้าสมาคมกับเขาได้โดยเด็ดขาด จะทำให้ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เปล่าๆ
……………………..
เย่เทียนเฉินต้องการใช้ชีวิตในโลกนี้ต่อไปดีๆ อยู่ด้วยกันกับครอบครัวอย่างเบิกบานใจและมีความสุข เนื่องจากในช่วงยุคสิ้นโลกเขาเป็นเด็กกำพร้าคนหนึ่ง ไม่เคยรู้สึกถึงความอบอุ่นของครอบครัว ดังนั้นนี่จึงทำให้เขาหวงแหนมากขึ้น และทำให้เขาไม่อนุญาตให้ใครก็ตามมาทำร้าย มิฉะนั้นก็จะต้องเจอกับกำปั้นของเขา
เพียงแต่ตั้งแต่ที่เขาได้มาเกิดใหม่ในโลกปัจจุบันแห่งนี้ ได้พบว่าไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนต่างก็มีการฆ่าฟัน ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนถ้าความสามารถของคุณไม่แข็งแกร่งพอ ก็จะเป็นได้แค่เนื้อปลาที่ถูกผู้อื่นกัดกิน ดังนั้นเขาจึงต้องการแข็งแกร่งขึ้น ในขณะเดียวกันก็เป็นเพราะคำพูดของจางอีเต๋อที่ทำให้เขารู้สึกว่า หากไม่แข็งแกร่งขึ้น ไม่เพียงจะไม่สามารถปกป้องครอบครัวของตัวเองได้ แต่ยังอาจจะต้องเผชิญกับวิกฤตที่ไม่เคยมีมาก่อน ธรรมชาติในดาวโลกถูกทำลายไปแล้ว สัมผัสถึงธรรมชาติและเต๋าได้ยาก ดังนั้นหากคิดที่จะทะลวงขอบเขตพลังก็เป็นเรื่องที่ยากมาก จึงทำได้เพียงคิดหาวิธีไปยังดาวอื่นที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ นี่จำเป็นจะต้องมีของสิ่งหนึ่งที่สามารถทำให้ท่องจักรวาลได้
ในขณะเดียวกัน เย่เทียนเฉินเป็นคนที่มาจากดาวสิ้นโลก ถึงแม้ก่อนที่เขาจะได้มาเกิดใหม่ มนุษย์ที่เขาปกป้องรวมไปถึงคนสนิทและเพื่อนของเขาต่างก็ตายไปหมดแล้ว แต่ก็ยังมีสิ่งที่ควรค่าพอที่จะให้เขาคิดถึง อย่างน้อยก็ยังมีคนที่ต้องไปแก้แค้น และยังมีพวกสาระเลวที่ต้องการเหยียบย่ำชีวิตคนและต้องการทำลายล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์อยู่ เขาต้องการกลับไป ต้องการกลับไปเพื่อทำให้ตัวเองแข็งแกร่ง ต้องการกลับไปก็ไปล้างแค้นให้คนของเขา มิฉะนั้นผู้ชายไม่ได้ความอย่างเขาก็ไม่ควรค่าที่จะได้มาเกิดใหม่ในโลกใบนี้
ในเมื่อจางอีเต๋อพูดถึงเรื่องนี้แล้ว แม้เย่เทียนเฉินจะรู้ว่าไม่มีทางกลับไปยังดาวสิ้นโลกได้ในทันที แต่ก็ยังคิดที่จะลองถามดู หากมีความเป็นไปได้และมีโอกาสแบบนี้ก็จะต้องกลับไปแน่ ไม่เพียงแต่เพื่อที่จะทำให้ตัวเองแข็งแกร่ง สิ่งสำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือเพื่อแก้แค้นให้คนของเขา และเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับภัยพิบัติที่อาจจะเกิดขึ้นบนดาวโลกต่อจากนี้
“เรื่องนี้ผมไม่รู้จริงๆ ยังไงซะของแบบนี้ก็ยังลึกลับยิ่งกว่าความลับระดับสูงสุดของประเทศ ต่อให้เป็นประเทศใดประเทศหนึ่งก็ยังไม่รู้ เพราะความแข็งแกร่งที่ซ่อนเร้นของเคล็ดวิชาโบราณสืบทอดกันมายาวนาน ถ้าพูดถึงประเทศจีน ก็มีเรื่องที่คนจำนวนมากไม่รู้ เช่นเรื่องของสวรรค์ เรื่องของคุนหลุน…” จางอีเต๋อส่ายหน้า พูดด้วยท่าทางครุ่นคิด
เดิมทีจางอีเต๋อก็เป็นคนที่น่าเหลือเชื่อมากอยู่แล้ว เขาเป็นผู้มีพลังพิเศษในสายรักษาที่สามารถใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษในสายโลหะได้อย่างชำนาญ ในขณะเดียวกันเขาก็อยู่มาถึงร้อยปีแล้ว รู้ความลับมาไม่น้อย ดังนั้นเรื่องที่เย่เทียนเฉินพูดเกี่ยวกับของบางอย่างในเคล็ดวิชาโบราณที่จะสามารถทำให้คนคนหนึ่งเดินทางจากดาวดวงหนึ่งไปยังดาวอีกดวงหนึ่งได้ ดูไปแล้วเหมือนจะเป็นเรื่องเพ้อฝัน แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ นี่ทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่า เรื่องน่าเหลือเชื่อที่เล่าขานสืบต่อกันมาห้าพันปีหรืออาจจะยาวนานกว่านั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร เช่นคนทั้งหลายในประวัติศาสตร์ที่มีอิทธิพลและชื่อเสียงโด่งดัง พวกเขาไปอยู่ที่ไหน? กระทั่งหลุมฝังศพก็ยังหาไม่เจอ นี่ไม่น่าสงสัยหรือ?
ดังนั้นเมื่อคิดถึงตรงนี้ก็ทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่า คนเหล่านี้ที่มีความสามารถอันยอดเยี่ยมในแต่ละด้าน จะจากโลกนี้ไปและเดินทางไปยังดาวที่มีอารยธรรมโบราณอีกดวงหนึ่ง เพื่อตามหาเส้นทางแห่งความอมตะต่อไปหรือไม่?
หากเป็นคนอื่น ต่อให้เป็นยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณหลายคนในปัจจุบันนี้หรือผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่ง ก็เกรงว่าจะไม่เข้าใจในบทสนทนาของเย่เทียนเฉินและจางอีเต๋อ แต่เป็นเพราะเย่เทียนเฉินเป็นคนที่มาจากดาวสิ้นโลก ซึ่งเป็นโลกที่แปลกประหลาดพิสดาร เป็นโลกที่เหมือนกับเทพนิยาย ไม่มีอะไรที่ไม่มี ส่วนจางอีเต๋อก็มีอายุถึงร้อยปีแล้ว มีกระทั่งวิธีการที่จะยืดอายุได้ ในเรื่องของวิธีการคิดใคร่ครวญเหล่านี้ ย่อมไม่ถูกเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ในยุคปัจจุบันล้างสมอง
เย่เทียนเฉินมองจางอีเต๋อ ท่าทางเขาเองก็ไม่รู้ว่าของสิ่งนี้มีอยู่หรือไม่ วันหน้าถ้าหากว่ามีโอกาส จะต้องไปดูที่พรรควรยุทธโบราณสักหน่อย ด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในยุคปัจจุบันของดาวโลก หากต้องการที่จะไปดาวดวงอื่นที่อยู่ห่างไกลนั้นเป็นไปไม่ได้เลย แค่ไปดวงจันทร์และดาวอังคารก็ยากมากแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการกลับไปในดาวสิ้นโลกที่ห่างไกลนั้นเลย
“ถ้าหากหาหญ้าไขกระดูกมังกรพบ จะสามารถต่อชีวิตให้แม่ของเสี้ยวหยาได้ไหมครับ?” เย่เทียนเฉินคิดครู่หนึ่งแล้วถามออกมา
“อย่างน้อยก็สามารถต่ออายุไปได้สิบปี แต่คุณก็อย่าลืมซะล่ะ สภาพแวดล้อมของโลกนี้ถูกทำลายไปนานแล้ว หลักการของธรรมชาติก็เปลี่ยนแปลงไป สมุนไพรที่ดูน่าเหลือเชื่ออย่างหญ้าไขกระดูกมังกรก็คงจะหาไม่พบแล้ว!” จางอีเต๋อพูดแล้วส่ายหน้า
“งั้นเมื่อปีนั้นคุณหาหญ้าไขกระดูกมังกรเจอได้ยังไง?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“ดูเหมือนว่าคุณจะใส่ใจอาการป่วยของแม่ของเด็กสาวคนนั้นมาก จะจีบเหรอ…” ทันใดนั้นในสายตาของจางอีเต๋อมีประกายแปลกประหลาดเกิดขึ้น จ้องมองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วเอ่ยถาม
“เธอมีหน้าตาเหมือนเพื่อนของผมคนหนึ่ง แต่ยังไงผมก็ใส่ใจเธอเหมือนน้องสาวคนหนึ่งเท่านั้น อีกอย่าง การช่วยชีวิตคนได้บุญยิ่งกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น ไม่ควรทำหรือไง?” เย่เทียนเฉินพูด
จางอีเต๋อมองเย่เทียนเฉิน เขามักจะรู้สึกว่าเด็กหนุ่มคนนี้ไม่เหมือนวัยรุ่นทั่วไป ที่คิดแบบนี้ก็เพราะบางครั้งเรื่องที่เย่เทียนเฉินพูดหรือคำถามที่เย่เทียนเฉินถาม แม้แต่จางอีเต๋อที่มีอายุร้อยปีก็ยังรู้สึกมึนงง และรู้สึกกระจ่างแจ้งขึ้นมาอย่างกะทันหัน นี่ไม่ควรจะเป็นเรื่องที่คนในอายุแบบเขาจะรู้ สิ่งเหล่านี้จะต้องผ่านการฝึกฝน ต้องผ่านการตกตะกอนของช่วงเวลา โดยเฉพาะความเข้าใจของเขาที่มีต่อระดับขอบเขตพลังแห่งการบ่มเพาะ การใคร่ครวญเกี่ยวกับเรื่องเดินทางไปดาวโบราณอื่น เขายังเข้าใจเรื่องเหล่านี้มากกว่าตนเองเสียอีก นี่ทำให้จางอีเต๋อรู้สึกสั่นสะท้านเป็นอย่างมาก
“เอาล่ะ ผมจะบอกคุณ…เมื่อปีนั้นผมหามันเจอโดยบังเอิญที่วัดเส้าหลิน มันเป็นเรื่องประมาณสามสิบกว่าปีมาแล้ว ผมเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วแผ่นดินจีนเพื่อตามหาสมุนไพรล้ำค่าแปลกใหม่ บริเวณภูเขาด้านหลังของวัดเส้าหลินซึ่งเป็นสถานที่ต้องห้าม ผมได้พบกับชายหัวล้านคนหนึ่ง เขาเป็นพระรูปหนึ่งที่มีเคราขาวยาวถึงอก ไม่รู้ว่ามีชีวิตอยู่มานานเท่าไหร่แล้ว ให้ความรู้สึกว่าเป็นผู้แข็งแกร่งที่ซ่อนตัวอยู่ในสังคมเมืองที่แท้จริง ข้างกายของเขามีหญ้าไขกระดูกมังกรปลูกอยู่กอหนึ่ง ผมอยากได้หญ้าไขกระดูกมังกรมาก เพราะว่ามันสามารถนำมาหลอมเป็นยาที่ช่วยยืดอายุออกไปได้ แต่ผมก็ไม่สามารถเข้าไปใกล้ได้เลย เพราะมีความกดดันที่ไร้รูปลักษณ์ทำให้ผมยากที่จะก้าวเข้าไปใกล้…” จางอีเต๋อดูคล้ายกับจะจมลงสู่ความทรงจำเมื่อปีนั้น ในคำพูดมีความรู้สึกประหลาดใจ และมีความหวาดกลัวและความเคารพเลื่อมใสอยู่เล็กน้อย
เมื่อได้ยินการอธิบายของจางอีเต๋อ เย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นตะลึง ต้องทราบว่าจางอีเต๋อในตอนนี้มีอายุถึงร้อยปีแล้ว และยังมีพลังการต่อสู้ที่รุนแรงดุเดือดดังมังกรแบบนี้อยู่ด้วย ถ้าหากว่าเป็นสามสิบกว่าปีก่อนหน้านี้ เกรงว่าไม่ว่าจะเป็นพรรควรยุทธโบราณหรือผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งก็ยากที่เป็นคู่มือของจางอีเต๋อ ต่อให้มี จางอีเต๋อก็คงไม่รู้สึกหวาดกลัว หากต้องการทำให้ยอดฝีมือชั้นยอดคนหนึ่งเกิดความกลัวขึ้นมา อีกฝ่ายจะแข็งแกร่งมากขนาดไหน?
“สุดท้ายแล้วคุณได้สนทนากับพระอาจารย์ท่านนั้นหรือเปล่า?” เย่เทียนเฉินคิดว่าการที่จางอีเต๋อได้หญ้าไขกระดูกมังกรมา จะต้องเป็นเพราะการพูดคุยกับพระอาจารย์ลึกลับท่านนั้นอย่างแน่นอน
“เปล่า ในตอนที่ผมกำลังสิ้นหวังอยู่นั้น คิดว่าตัวเองคงไม่ได้หญ้าไขกระดูกมังกรแน่ๆ และเตรียมจะจากไป พระอาจารย์ท่านนั้นก็ลืมตาขึ้น ในดวงตาทั้งสองเปล่งประกายชีวิตชีวา ราวกลับว่าจะสามารถมองทะลุทุกสิ่งทุกอย่างได้ เขาพูดกับผมประโยคหนึ่งว่า อาตมาอยู่มานานเกินไปแล้ว วิชาแพทย์ของโยมสูงส่ง หวังว่าหญ้าไขกระดูกมังกรนี้เมื่ออยู่ในมือของโยมจะสามารถช่วยเหลือผู้คนได้!” จางอีเต๋อพูดด้วยท่าทางจริงจัง
“นี่…” เย่เทียนเฉินเองก็ตกตะลึงเป็นอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าบนดาวดวงนี้จะมียอดฝีมือเช่นนี้อยู่ด้วย ท่าทางจะมีความลับมากมายเหลือเกินที่ผู้คนไม่รู้ จะต้องไปค้นหาสักครั้ง
“ใช่แล้ว ผมจำได้ว่าในตอนที่พระอาจารย์ท่านนั้นนั่งมรณภาพยังพูดอีกประโยคหนึ่งด้วย…” ทันใดนั้นจางอีเต๋อราวกับคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ในดวงตาเกิดความประหลาดใจอย่างหาใดเปรียบ เรื่องมันผ่านไปสามสิบกว่าปีแล้ว ตอนนี้เขาถึงจะเข้าใจความหมายของพระอาจารย์ท่านนั้น นี่เป็นเพราะการได้วิธีคิดที่เหนือกว่าคนธรรมดาของเย่เทียนเฉินมากล่าวเตือน แม้ว่าจางอีเต๋อก็ร้ายกาจมาก แต่เขาก็ยังใช้ชีวิตอยู่แบบฆราวาส จึงอดไม่ได้ที่จะถูกจำกัดด้วยความคิดของฆราวาส
“พระอาจารย์ท่านนั้นพูดว่าอะไร?” เย่เทียนเฉินรีบถาม
ในตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินมองจางอีเต๋อต่างก็จริงจังขึ้นมา เย่เทียนเฉินมีท่าทีจริงจังยังหาได้ยาก เพราะเขารู้ว่าความลับเหล่านี้เป็นความลับที่มีเพียงคนไม่กี่คนบนโลกที่จะรับรู้ ความลับเหล่านี้อยู่นอกเหนือความคิดของมนุษย์ไปแล้ว และอยู่นอกเหนือกฎหมายกฎเกณฑ์ต่างๆ ของประเทศ ถ้าพูดอย่างไม่น่าฟังก็คือ เมื่ออยู่ต่อหน้าความลับเหล่านี้และเคล็ดวิชาโบราณที่มีความแข็งแกร่งมาก ทางประเทศก็ไม่นับเป็นตัวอะไรได้
“หลังจากที่ท่านพูดประโยคนั้นจบ ก็มองไปบนท้องฟ้า มองไปยังดาวจักรพรรดิที่อยู่ห่างไกล ถูกต้อง เป็นดาวจักรพรรดิ ดูเหมือนจะพูดว่า เสียดายที่ค่ายกลเคลื่อนย้ายถูกทำลายไปแล้ว ยากที่จะซ่อมแซม ไม่อย่างนั้นอาตมาก็คงสามารถเดินตามรอยเท้าของบรรพบุรุษได้ สามารถไปดูได้ว่าตกลงแล้วมีคนที่สามารถเป็นอมตะอยู่หรือไม่ มีเซียนอยู่หรือไม่…”
ค่ายกลเคลื่อนย้าย? การเดินทางไปดาวจักรพรรดิ ที่นั่นมีรอยเท้าของบรรพบุรุษอยู่ ที่นั่นอาจจะมีความลับของเคล็ดวิชาแห่งความอมตะและเซียนอยู่ นี่เป็นการดำรงอยู่ที่ทำให้จิตวิญญาณของผู้คนต้องสั่นสะท้าน หากสิ่งที่พระอาจารย์ที่นั่งมรณภาพผู้นั้นพูดเป็นความจริง มีเพียงต้องซ่อมแซมค่ายกลเคลื่อนย้ายถึงจะสามารถไปยังดาวจักรพรรดิได้ ที่นั่นจะต้องมีของที่ทำให้ผู้คนต้องบ้าคลั่งอยู่แน่นอน
ดาวจักรพรรดิ สำหรับโลกนี้แล้วคงไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อน กระทั่งผู้เชี่ยวชาญที่ศึกษาเกี่ยวกับจักรวาลและกาแล็กซีก็ยังไม่รู้ เพราะว่าดาวจักรพรรดินี้มีอยู่ในหนังสือโบราณเท่านั้น เกรงว่ามีการส่งต่อมาในหมู่พรรควรยุทธโบราณเท่านั้น เพราะสำนักต่างๆ ในพรรควรยุทธโบราณจำนวนมากต่างก็วิวัฒนาการมาจากสำนักฝึกตนในสมัยก่อน ย่อมมีความลับอยู่แน่นอน
จากคำพูดของจางอีเต๋อ เย่เทียนเฉินได้รู้เรื่องลึกลับที่ทำให้ผู้คนต้องตกตะลึงเป็นอย่างมาก พรรควรยุทธโบราณที่อยู่มาจนถึงทุกวันนี้มีการปรับตัวให้เข้ากับสังคมในยุคปัจจุบัน แต่พรรคเหล่านั้นไม่ใช่พรรควรยุทธโบราณที่แท้จริง บางทีอาจจะเป็นเพียงแค่ประตูหน้าของสำนักก็เท่านั้น ก็เหมือนกับวัดเส้าหลิน ง้อไบ๊ บู๊ตึ๊ง ทุกคนสามารถเข้าไปเยี่ยมชมได้ตามใจ แต่สิ่งที่ได้เห็นเป็นเพียงแค่ฉากหน้าเท่านั้น ไม่สามารถเห็นอีกด้านหนึ่งที่ทำให้ผู้คนต้องสั่นสะท้านอย่างแท้จริง ของเหล่านั้นได้ถูกเก็บซ่อนเอาไว้แล้ว ยอดฝีมือที่แท้จริง ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง คนธรรมดาจะสามารถพบเห็นได้หรือ? ไม่ใช่ตัวตนที่จะดำรงอยู่ในโลกแห่งเดียวอีกต่อไปแล้ว
“ดาวจักรพรรดิ…ใช้ชื่อแบบนี้ หรือว่าจะเป็น…” ทันใดนั้นเย่เทียนเฉินพูดออกมาด้วยความตกตะลึง
………………………..
พูดกับพี่ชายให้มันดีๆ หน่อยไม่ได้เหรอ? เย่เทียนเฉินหลอกตาใส่น้องสาวแล้วเอ่ยถาม
ฮี่ๆ ที่หนูพูดก็เป็นเรื่องดีๆ ทั้งนั้น พี่ดูสิว่าตอนนี้พี่สาวหรูเสวี่ยประคองพี่อยู่ พี่ดูสนุกจริงๆ เลยนะ! เย่เชี่ยนเหวินส่งสายตาให้เย่เทียนเฉินพร้อมรอยยิ้มชั่วร้ายแล้วพูดขึ้น
ใบหน้าของฉีหรูเสวี่ยแดงระเรื่อเล็กน้อยแล้วรีบปล่อยเย่เทียนเฉิน จากนั้นจึงพูดด้วยความร้อนรนว่า คุณน้า เชี่ยนเหวิน พวกคุณไม่เป็นไรใช่ไหม? เทียนเฉินบอกว่ากินเนื้อตุ๋นหัวไชเท้าไปแล้วปวดท้อง พวกคุณล่ะคะ?
หือ? ก็ไม่เป็นอะไรนะ? เย่เชี่ยนเหวินถามอย่างสงสัย
เทียนเฉิน ลูกปวดท้องเหรอ? คงไม่ได้เป็นเพราะกินเนื้อตุ๋นหัวไชเท้าหรอก พวกเราก็ไม่เห็นเป็นไรเลย? หลัวเยี่ยนเองก็มองไปยังลูกชายด้วยความแปลกใจ
ตอนนี้เอง ฉีหรูเสวี่ยที่ฉลาดเฉลียวดูเหมือนจะได้สติกลับมาแล้ว คิดถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงอดไม่ได้ที่จะหันไปกำหมัดขาวนวลของตนอย่างแรง เย่เทียนเฉินจะต้องแกล้งตนแน่นอน หลอกให้ตนประคองเขากลับมาบ้านจากสถานที่ห่างไกลถึงขนาดนั้น น่ารังเกียจจริงๆ
ความจริงแล้ว ในตอนที่เย่เทียนเฉินบอกว่าท้องเสียประมาณหนึ่งชั่วโมง ฉีหรูเสวี่ยก็รู้สึกสงสัยแล้ว สงสัยว่าคนคนนี้จะเสแสร้ง จะต้องหลอกตนแน่นอน แต่ตอนนั้นเย่เทียนเฉินแสดงละครได้เหมือนมาก รวมกับที่ตอนนั้นเธอถูกความรักที่มีต่อเย่เทียนเฉินบังตา เมื่อเห็นท่าทางยากลำบากของคนคนนี้ก็รู้สึกกังวลจนเชื่อ ตอนนี้เมื่อได้เห็นคุณน้าหลัวเยี่ยนและเย่เชี่ยนเหวินไม่เป็นอะไร ถ้าเช่นนั้นยังจะมีอะไรต้องสงสัยอีก? จะต้องเป็นเย่เทียนเฉินหลอกตนแน่นอน
เย่เทียนเฉิน…เจ้าบ้า…ฉันจะ… ฉีหรูเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะโกรธขึ้นมา คิดว่าตนเองถึงกับประคองคนคนนี้เดินมาจากสถานที่ห่างไกลขนาดนั้นเลย ยิ่งไปกว่านั้นเขายังหนักเหมือนกับหมูอีกด้วย
ไหนเลยจะรู้ว่า ในตอนที่ฉีหรูเสวี่ยกำหมัดขาวนวล ทนไม่ไหวเข้าจริงๆ จนหันไปจะตีเย่เทียนเฉินนั้น เย่เทียนเฉินจะวิ่งออกไปที่ประตูคฤหาสน์ หายไปเรากับหมอกควัน ยิ่งไปกว่านั้นยังเปิดประตูรั้วแล้วอีกด้วย
เทียนเฉิน ดึกขนาดนี้แล้วรีบไปส่งหรูเสวี่ยกลับเถอะ! หลัวเยี่ยนเอ่ยปากพูด
แม่ครับ คืนนี้ก็ให้เธอพักอยู่ที่บ้านพวกเราเถอะ ผมยังมีธุระต้องไปทำเล็กน้อย คงจะกลับมาดึกหน่อยนะครับ! เย่เทียนเฉินพูดพลางหัวเราะ
หวา…พี่ พี่ถึงกับยอมให้พี่สาวหรูเสวี่ยมาค้างที่บ้านของเราเองเลย พี่นี่เป็นเจ้าพี่บ้าจริงๆ … เย่เชี่ยนเหวินมองไปยังเย่เทียนเฉินด้วยท่าทางเวอร์วังแล้วพูดขึ้น
ไปทางโน้นเลย เอาตามนี้แล้วกัน พี่ไปก่อนละ บายๆ!
เย่เทียนเฉินพูดจบก็ไม่ให้หลัวเยี่ยน ฉีหรูเสวี่ยและเย่เชี่ยนเหวินได้มีโอกาสพูด รีบปิดประตูรั้วของคฤหาสน์แล้ววิ่งออกไป ทำให้พวกหลัวเยี่ยนทั้งสามยืนงงอยู่กับที่
จากคำพูดของฉีหรูเสวี่ย เธอไม่ได้คิดจะค้างคืนที่บ้านตระกูลเย่ในคืนนี้ ก่อนหน้านี้เธออยู่ที่บ้านตระกูลเย่มาเกือบหนึ่งเดือน เป็นเพราะต้องการหนีการแต่งงาน ต้องการหนีจากตระกูลที่จะให้เธอแต่งงานกับฉินเหิงให้ได้ แต่ตอนนี้แค่อยากมาพบหลัวเยี่ยนเพื่อตอบแทนบุญคุณ และอยากจะเห็นเย่เทียนเฉินสักหน่อย ดังนั้นการพักค้างคืนที่ตระกูลเย่ในตอนนี้กับการพักค้างคืนในตระกูลเย่เมื่อก่อนนั้นมีส่วนที่แตกต่างกันอยู่ ทำให้เธอรู้สึกเขินอาย ทั้งยังไม่เคยคิดมาก่อน
หลัวเยี่ยนเองก็เป็นเช่นนี้ เธอไม่ได้คิดจะให้ฉีหรูเสวี่ยอยู่พักค้างคืนที่บ้าน จะอย่างไรฉีหรูเสวี่ยก็เป็นคุณหนูสูงศักดิ์ของตระกูลฉี ถึงแม้เธอจะชอบฉีหรูเสวี่ยมาก กระทั่งในเรื่องของการเลือกลูกสะใภ้ก็ยังเอนเอียงไปทางฉีหรูเสวี่ย แต่จะอย่างไรลูกชายก็อาศัยอยู่ที่บ้าน เมื่อก่อนไม่มีทางเลี่ยง แต่ตอนนี้หากว่าให้ผู้อื่นมาอาศัยอยู่ที่บ้านคงยากจะหลีกเลี่ยงคำวิพากษ์วิจารณ์ของคนอื่น ยิ่งไปกว่านั้นเป็นเพราะเรื่องที่เย่เทียนเฉินแบกโลงศพไปก่อเรื่องที่ตระกูลฉินแพร่ออกไปแล้ว ดังนั้นทั่วทั้งเมืองหลวงจึงพูดกันว่าเย่เทียนเฉินรักฉีหรูเสวี่ย จึงไปก่อเรื่องที่ตระกูลฉินโดยไม่เสียดายชีวิต
เด็กคนนี้…หรูเสวี่ย ดึกขนาดนี้แล้ว หนูก็พักอยู่ที่บ้านสักคืนเธอ พักที่ห้องเดิมนั่นแหละ! หลัวเยี่ยนพูดด้วยรอยยิ้ม
เอ๋? หนะ หนูขับรถกลับไปเองดีกว่า ไม่เป็นไรค่ะ! ฉีหรูเสวี่ยหน้าแดง ถึงแม้มุมปากจะพูดเช่นนี้ แต่ในใจก็รู้สึกดีใจมาก จะอย่างไรก่อนหน้านี้เย่เทียนเฉินก็ชอบไล่ตนไป หาได้ยากที่จะให้ตนเองพักอยู่ที่บ้านสักคืน
พี่สาวหรูเสวี่ย พักอยู่ที่นี่เถอะค่ะ พวกเราจะได้พูดคุยกันได้ แม่ของหนูก็อยากให้พี่อยู่ พี่ชายหนูก็อยากให้พี่อยู่! เย่เชี่ยนเหวินพูดด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
แต่ว่า… ฉีหรูเสวี่ยยังรู้สึกเขินอายและรู้สึกลำบากใจอยู่บ้าง จะอย่างไรเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง พอผู้ชายเอ่ยปากเรียกให้เธอพักอยู่ที่บ้านหนึ่งคืน จะมากจะน้อยก็ทำให้ผู้หญิงต้องเขินอาย แล้วทำให้คิดไปไกลอีกด้วย
หรูเสวี่ย เอาตามนี้แล้วกัน หนูกับเชี่ยนเหวินไปคุยเล่นกันก่อน น้าจะไปทำผลไม้มาให้พวกหนู!
สุดท้ายฉีหรูเสวี่ยก็รั้งอยู่ ความจริงแล้ว ถึงแม้ว่าเธอจะรู้สึกเขินอายและลำบากใจอยู่บ้าง แต่ในใจก็ยังรู้สึกดีใจ เพราะหาได้ยากที่เย่เทียนเฉินจะยอมให้ตนอยู่ที่บ้านตระกูลเย่ นี่ไม่ได้หมายความว่าเขามีความรู้สึกกับตนบ้างหรือ?
พี่สาวหรูเสวี่ย พี่ชายของหนูอาจจะชอบพี่แล้วก็ได้? เย่เชี่ยนเหวินจงใจพูดขึ้นพลางมองไปยังฉีหรูเสวี่ยด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
เด็กคนนี้นี่ พูดอะไรกัน เรื่องไม่เป็นเรื่อง… ฉีหรูเสวี่ยหยิกเย่เชี่ยนเหวินอย่างแรง พูดด้วยใบหน้าแดงก่ำ
ฮี่ๆ พี่สาวหรูเสวี่ยเขินแล้ว! เย่เชี่ยนเหวินหัวเราะร่าออกมา พูดหยอกล้อฉีหรูเสวี่ยต่อไป
เด็กคนนี้นี่ วันๆ ไม่ตั้งใจเรียน เอาแต่ถามเรื่องของผู้ใหญ่ คอยดูเถอะว่าพี่จะจัดการเธอยังไง…
ฉีหรูเสวี่ยและเย่เชี่ยนเหวินเอะอะกันขึ้นมา หลัวเยี่ยนที่เตรียมผลไม้อยู่ในครัวก็รู้สึกดีใจ ไม่ว่าจะอย่างไรลูกชายก็รั้งฉีหรูเสวี่ยให้อยู่ต่อ แสดงว่าเขาไม่ได้มีความประทับใจที่ย่ำแย่อะไรต่อฉีหรูเสวี่ย กลับกัน ที่ทั้งสองคนเจอหน้ากันก็ทะเลาะนั้น ในสายตาของคนนอกไม่แตกต่างอะไรจากคู่รักที่ทะเลาะเบาะแว้งกันเลย
ไว้ชีวิตด้วย ไว้ชีวิตด้วย หนูพูดความจริง หนูพูดความจริง…
เย่เชี่ยนเหวินถูกฉีหรูเสวี่ยกดลงบนโซฟาแล้วจักจี้จนเกือบจะรับไม่ไหวแล้ว จึงรีบเอ่ยปากยอมแพ้ ฉีหรูเสวี่ยไม่สนใจ เชี่ยนเหวินเด็กคนนี้ เป็นคนร่าเริงมาโดยตลอด แต่จะอย่างไรก็ยังกล้ามาหยอกล้อตน ถ้าไม่จัดการให้ดีเธอก็จะไม่รู้จักคำว่าร้ายกาจ
สำนึกผิดแล้วใช่ไหม หึ เด็กน้อย คอยดูเถอะว่าพี่จะลงโทษเธอยังไง! ฉีหรูเสวี่ยยิ้มหวานไปพลางใช้มือจักจี้เย่เชี่ยนเหวินอย่างเอาจริงเอาจังไปพลาง
อา…ฮ่าๆๆ ที่หนูพูดเป็นความจริงทั้งหมด พี่ดูสิเมื่อก่อนพี่ชายของหนูวันๆ ไม่อยากจะให้พี่อยู่ที่บ้าน ตอนนี้ถึงกับรั้งที่ให้อยู่ค้างคืนด้วยตัวเอง เปลี่ยนแปลงไปมากเลยทีเดียว ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือในวันที่รู้ว่าพี่จะต้องหมั้นกลับฉินเหิง พี่ชายของหนูก็ขังตัวเองอยู่ในห้องหนึ่งวันเต็มๆ เลย… เย่เชี่ยนเหวินถูกจักจี้จนรับไม่ไหว จึงพูดขึ้นพลางหัวเราะออกมา
เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เชี่ยนเหวิน ฉีหรูเสวี่ยก็อดไม่ได้ที่จะหยุดมือทั้งสองของตน ในใจรู้สึกซาบซึ้งใจ ตลอดมาเขาเธอคิดว่าเย่เทียนเฉินไม่มีความรู้สึกใดๆ ต่อเธอ คนคนนี้ไม่เกลียดเธอก็บุญแล้ว จะมาชอบเธอได้อย่างไร? คิดไม่ถึงว่าในตอนที่รู้ว่าตนเองจะต้องหมั้นหมายกับฉินเหิง เย่เทียนเฉินจะถึงกับขังตัวเองอยู่ในห้อง
จะ จริงเหรอ? ฉีหรูเสวี่ยถามด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อเล็กน้อย
จริงแท้แน่นอน ถ้าไม่เชื่อก็ไปถามคุณแม่ได้เลย พี่สาวหรูเสวี่ยน ความจริงแล้วพี่ชายของหนูคนนี้ ถึงแม้จะอีคิวต่ำ กระทั่งอีคิวติดลบ เขาไม่รู้จักแสดงความรู้สึกของตนออกมา แต่ก็เป็นคนที่ให้ความสำคัญกับคุณธรรมน้ำมิตร ไม่งั้นคงไม่ไปก่อเรื่องที่ตระกูลฉิน ไปสร้างเรื่องใหญ่ขนาดนั้นเพื่อพี่หรอกใช่ไหม?
อืม…งั้นน้องเชี่ยนเหวิน น้องบอกพี่เกี่ยวกับเรื่องของพี่ชายของน้องมากกว่านี้สักหน่อยเธอ พี่อยากจะฟัง! ฉีหรูเสวี่ยพูดด้วยรอยยิ้ม
จากนั้นหลัวเยี่ยนเองก็เดินออกมาพร้อมจานผลไม้ ผู้หญิงหน้าตาดีทั้งสามเริ่มพูดคุยกันด้วยความเบิกบานใจอีกครั้ง ส่วนหัวข้อสนทนาย่อมต้องเกี่ยวกับเย่เทียนเฉินไม่น้อย ส่วนเย่เทียนเฉินในตอนนี้กลับขี่รถมอเตอร์ไซค์ที่เท่ที่สุดของตนไปยังสถานที่แห่งหนึ่งที่เขาจำเป็นต้องไป
เดิมทีเย่เทียนเฉินคิดว่าผ่านไปอีกหลายวันค่อยไปจัดการเรื่องนี้ แต่ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนโจมตีมาอย่างโหดเหี้ยม ทำให้เขาจำเป็นต้องลงมือให้เร็วหน่อย เขาคิดว่าหากเขาไม่จัดการเรื่องนี้ก่อนแล้วนำอู๋เสวี่ยและคนอื่นๆ ไปที่มณฑลชวนโดยตรงเพื่อไปกำจัดตระกูลเซวียนเยวี๋ยนก่อนแล้วค่อยว่ากัน ก็เกรงว่าหลิ่วหรูเหมยจะรอจนร้อนใจ และอาจจะลงมือได้ หากถึงตอนนั้นก็แย่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เขาต้องการจะไปบอกคนพวกนั้นว่าตนเองกลับมาแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก ไม่แน่ว่าตอนนี้อาจจะจัดการคนเหล่านี้เลยก็เป็นได้
เทียนซ่างเหรินเจียน เป็นคลับที่ไม่มีใครในเมืองหลวงไม่รู้จัก ที่นี่ก็คือสวรรค์ มิเช่นนั้นคงไม่กล้าตั้งชื่อแบบนี้ กล่าวคือที่นี่มีแต่เรื่องที่คุณคิดไม่ถึง ไม่มีเรื่องอะไรที่ทำไม่ได้ สุรนารีและการพนัน ความบันเทิงทุกอย่างล้วนมีครบครัน ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นระดับที่สูงที่สุดอีกด้วย
หลังจากที่เย่เทียนเฉินได้กลับมาเกิดใหม่และมาเทียนซ่างเหรินเจียนเป็นครั้งแรกก็อัดลั่วเหลยไปแล้ว เจ้าหมอนี่ถึงกับกล้าแพร่ข่าวลือที่ไม่เป็นความจริงของตน มุ่งทำลายตระกูลเย่ เย่เทียนเฉินจึงลงมืออย่างรุนแรง ทำร้ายลั่วเหลยที่เทียนซ่างเหรินเจียนจนครึ่งเป็นครึ่งตาย ตอนนี้เขาไปที่เทียนซ่างเหรินเจียนอีกครั้ง แต่ไม่ได้ต้องการจะไปชั้นล่างสุด แต่ต้องการจะขึ้นไปชั้นสูงที่สุด
เทียนซ่างเหรินเจียนมีทั้งหมดสามชั้น ชั้นแรกเป็นห้องคาราโอเกะ เรียกได้ว่าคนที่มีเงินมีอำนาจต่างก็เข้าไปได้ ส่วนชั้นที่สองจะค่อนข้างหรูหรา ดูเหมือนว่าหญิงขายบริการที่สวยที่สุดในเทียนซ่างเหรินเจียนต่างก็อยู่ที่ชั้นสอง ส่วนชั้นสามนั้นมีน้อยคนมากที่จะขึ้นไป นั่นเป็นสถานที่ที่เกรงว่าคนจากตระกูลใหญ่หรือข้าราชการใหญ่ๆ ในเมืองหลวงก็ยังยากที่จะเข้าไปได้ เนื่องจากชั้นสามทั้งหมดถูกพรรคคุณชายจองเอาไว้หมดแล้ว ถึงคุณจะมีเงินมีอำนาจ แต่พวกเขามีมากกว่าคุณ ยิ่งไปกว่านั้นเบื้องหลังของพวกเขาแต่ละคนต่างก็น่าตกใจ
วันนี้สถานที่ที่เย่เทียนเฉินจะเข้าไปก็คือเทียนซ่างเหรินเจียนชั้นสามที่คนมากมายไม่มีคุณสมบัติและไม่มีทางเข้าไปได้ พรรคคุณชายจองชั้นสามทั้งหมดเอาไว้หลายปีก่อนหน้านี้ นี่จึงเป็นสถานที่รวมตัวของพวกเขา ไม่มีคนนอกล่วงรู้ ดังนั้นจึงมีเพียงที่นี่ที่เย่เทียนเฉินจะสามารถรู้ข่าวที่เขาอยากจะรู้ได้ ไป๋อู่ที่เคยเป็นคุณชายเสเพลของตระกูลชั้นสามสามารถกลายเป็นลูกพี่ของพรรคคุณชายได้ในเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ปี ไม่อาจไม่กล่าวว่าคนๆ นี้ปิดซ่อนตัวตนได้ดีมาก กระทั่งเย่เทียนเฉินในสมัยก่อนก็มองเขาไม่ออกเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้เขามาหาไป๋อู่ เพราะต้องการจะรู้เรื่องที่ตนกับหลิ่วหรูเหมยถูกวางแผนร้ายใส่เมื่อปีนั้นให้ชัดเจน ถ้าไม่ตรวจสอบเรื่องนี้ให้แน่ชัดเย่เทียนเฉินก็ไม่วางใจ
…………………
เย่เทียนเฉินใช้หมัดทำลายเงาดาบ ใช้ฝ่ามือทำลายดาบยาวในมือของมือสังหารชุดดำจนหมด ยิ่งไปกว่านั้นมือสังหารชุดดำยังถูกโจมตีจนตกลงมาจากต้นไม้ใหญ่ที่สูงสิบกว่าเมตรอีกด้วย หากไม่ใช่เพราะว่าในตอนที่ฝ่ามือของเย่เทียนเฉินสัมผัสศีรษะของมือสังหารชุดดำ ได้หยุดยั้งเส้นทางของพลังในขอบเขตจอมราชันลงเล็กน้อย เกรงว่าศีรษะขอมือสังหารชุดดำคนนี้ คงจะถูกตบจนเละเป็นแตงโมไปแล้ว
ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้แต่ฝ่ามือมีของเย่เทียนเฉินก็ยังสามารถโจมตีจนมือทหารชุดดำตกลงมาได้ ร่างกายของเขาจมลงไปในดิน มีเพียงศีรษะที่โผล่ออกมาข้างนอก ทั้งจมูกและปากกระอักเลือดออกมา ส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวดราวกับหมูถูกเชือด เนื่องจากเขารับรู้ได้ว่าสมองของตนแทบจะระเบิดออกมาแล้ว หากไม่ใช่ว่าเขตแดนปิดกั้นของเย่เทียนเฉินทำการสกัดกั้นเสียงและพลังทั้งหมดเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ของเขาและมือสังหารชุดดำ หรือจะเป็นเสียงร้องของมือทหารชุดดำในตอนนี้ คงจะทำให้คนในเขตคฤหาสน์ตกใจไปแล้ว
ที่มุมปากของมือสังหารชุดดำกระอักเลือดออกมาไม่หยุด แต่ยังคงไม่สิ้นลม ยังคงยืดลมหายใจเฮือกสุดท้ายออกไปได้ ในตอนนี้เขาต้องการมีชีวิตอยู่ต่อ ความจริงแล้วทุกคนต่างก็กลัวความตายกันทั้งนั้น มีหลายคนที่มักจะบอกว่าตนไม่กลัวความตาย ไม่รู้สึกว่าความตายมีอะไรน่ากลัวอยู่เลย แต่เมื่อต้องมาพบกับช่วงเวลานี้เข้าจริงๆ ไม่มีใครที่ไม่หวาดกลัว เพราะชีวิตนี้มีเพียงครั้งเดียว เมื่อตายไปแล้วก็ไม่อาจพบอะไรได้อีก
หยะ อย่าฆ่าฉัน…อย่าฆ่าฉัน… มือสังหารชุดดำพูดด้วยเสียงอันสั่นระริก ในดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เย่เทียนเฉินแข็งแกร่งมากจริงๆ แข็งแกร่งจนเหนือจินตนาการของเขาไปมาก จิตใจของเขาไม่อาจแน่วแน่เด็ดเดี่ยวได้อีกต่อไป พังทลายไปแล้วโดยสิ้นเชิง
กล่าวตามจริง ที่เย่เทียนเฉินสามารถเอาชนะมือสังหารชุดดำได้รวดเร็วขนาดนี้ จนกระทั่งมือสังหารชุดดำเองก็คิดไม่ถึง นั่นก็เป็นเพราะเขาลำพองใจ หากพูดถึงเรื่องฝีมือและความสามารถ บางทีเขาอาจจะเทียบเย่เทียนเฉินที่มีพลังพิเศษถึงขอบเขตสูงสุดของระดับจอมราชันแล้วไม่ได้ แต่ก็ไม่ควรจะแพ้อย่างอนาถและแพ้อย่างรวดเร็วขนาดนี้โดยเด็ดขาด เป็นเพราะเขาดูถูกเย่เทียนเฉิน ไม่คิดว่าเย่เทียนเฉินที่อายุน้อยเมื่อได้ระเบิดพลังที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาจะน่าหวาดกลัวถึงขนาดนี้
มือสังหารที่เคยฆ่าคนเป็นผักปลา ฟันคนเหมือนกับหั่นผัก แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเห็นชีวิตคนอยู่ในสายตา เขาไม่เห็นชีวิตของคนที่ถูกเขาฆ่าเป็นชีวิตมนุษย์แล้วด้วยซ้ำ ความจริงก็เป็นเรื่องธรรมดามาก และเขาก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าตนจะมีวันนี้ได้ ไม่เคยคิดว่าในยามที่ตนต้องเผชิญหน้ากับความตายจะหวาดกลัวเช่นนี้ เนื่องจากเขาแข็งแกร่งมากพอ แข็งแกร่งจนทำให้เขามีความมั่นใจ
เมื่อความตายคืบคลานเข้ามาอยู่เบื้องหน้าของเขาจริงๆ มือสังหารชุดดำก็รู้สึกราวกับได้พบมัจจุราช ซึ่งก็คือเย่เทียนเฉิน เขามีรอยยิ้มดุจดั่งเทพแห่งความตาย ฝ่ามือข้างขวาประทับอยู่บริเวณศีรษะของเขา ขอเพียงเย่เทียนเฉินขยับนิดเดียว สมองของเขาก็แหลกเป็นแตงโม บางทีเขาอาจจะไม่กลัวความตาย แต่ไม่อยากตายอย่างอนาถขนาดนี้ ไม่อยากตายอย่างน่าทุเรศ
ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนอยู่ที่ไหน? น้ำเสียงของเย่เทียนเฉินไม่มีการข่มขู่อยู่เลย และไม่มีอำนาจใดๆ แต่กลับเรียบเฉยเป็นอย่างมาก เขาถามออกมาด้วยใบหน้าที่ยังคงประดับไปด้วยรอยยิ้มไร้พิษภัย
นี่…ฉัน… มือสังหารชุดดำรู้สึกลังเล ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้แต่ไม่กล้าพูด แต่ในตระกูลเซวียนเยวี๋ยนมีคนที่ร้ายกาจกว่าเขาอยู่ หากเขาพูดออกไป หากเปิดเผยสถานที่ซ่อนตัวของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนและถูกตรวจสอบจนพบขึ้นมา เกรงว่าเขาไม่เพียงแต่จะต้องแหลกเป็นผุยผง แต่กระทั่งญาติมิตรทั้งหมดของเขาก็ต้องตายด้วย ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนโหดเหี้ยมแบบนี้เอง
ในตระกูลเซวียนเยวี๋ยนยังมีคนน่ากลัวคนหนึ่งที่ต่อให้เขาลงมือเต็มกำลังก็ไม่สามารถเอาชนะได้ กระทั่งไม่อาจรับมือกับเขาได้ถึงสามกระบวนท่าด้วยซ้ำ เมื่อคิดถึงคนๆ นี้มือสังหารชุดดำก็รู้สึกขี้ขลาดขึ้นมาจนลังเลไม่แน่ใจ ความจริงเป็นความหวาดกลัวที่มีต่อนักรบอันดับหนึ่งของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนที่ไม่อาจจินตนาการได้ ต่อให้ใช้เทพแห่งการฆ่าฟันมาบรรยายก็ยังไม่พอ
ฉันรู้ว่าแกกำลังกลัวอะไร ถ้าแกพูดตอนนี้ บางทีอาจจะยังสามารถอยู่ต่อไปได้สักหน่อย แต่ถ้าไม่พูดก็ต้องตายทันที ฉันเห็นว่าเธออยากจะมีชีวิตอยู่ต่อ คงไม่อยากตาย! เย่เทียนเฉินย่อมมองออกว่ามือสังหารชุดดำลังเลอะไร จึงพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
มือสังหารชุดดำคนนี้มองเย่เทียนเฉินครู่หนึ่ง ความจริงเขาก็ไม่มีทางเลือกอะไรแล้ว เขาไม่ใช่คู่มือของเย่เทียนเฉิน และยังทำภารกิจล้มเหลวอีกด้วย ต่อให้กลับไปที่ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนก็เกรงว่าจะต้องสิ้นชีพ ในเมื่อตนต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป ถ้าไม่บอกถึงสถานที่ซ่อนตัวของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนให้แก่เย่เทียนเฉินย่อมเป็นไปไม่ได้ ชายหนุ่มเบื้องหน้าคนนี้แม้จะอายุน้อยแต่กลับมีความสามารถและความฉลาดที่ทำให้คนต้องตื่นตะลึง ความจริงนี้ทำให้เขารู้สึกความมั่นใจพังทลาย
หยะ…อยู่ที่ทะเลซือไห่มณฑลชวน มือสังหารชุดดำกัดฟันพูด
ทะเลซื่อไห่มณฑลชวน? เย่เทียนเฉินรู้สึกสงสัย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินว่าที่มณฑลชวนมีทะเลซือไห่อยู่ ดังนั้นจึงรู้สึกแปลกใจ
ที่มณฑลชวนมีทะเลซือไห่ซึ่งเป็นทะเลจำลองที่คนสร้างขึ้น ที่นั่นเป็นเขตการท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดในมณฑลชวน ที่ศูนย์กลางของทะเลซือไห่มีเกาะเล็กๆ แห่งหนึ่ง เมื่อก่อนเป็นเกาะกันดารจริงๆ หลังจากที่ถูกตระกูลเซวียนเยวี๋ยนทำให้รอบๆ กลายเป็นทะเล เกาะกันดาลแห่งนั้นก็กลายเป็นสถานที่ซ่อนตัวของตระกูลเซวียนเยวี๋ยน ดูเหมือนว่าจะมีเพียงไม่กี่คนที่รู้! มือสังหารชุดดำรีบอธิบาย
เย่เทียนเฉินชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ถึงกับสามารถสร้างทะเลซือไห่ออกมาได้ ยิ่งไปกว่านั้นเกาะที่เดิมทีรกร้างกันดารยังถูกนำมาใช้ประโยชน์ จนกลายเป็นสถานที่ซ่อนตัวของตระกูลเซวียนเยวี๋ยน นี่ก็เป็นเหมือนศูนย์บัญชาการแห่งหนึ่งของตระกูลเซวียนเยวี๋ยน ไร้ข้อผูกมัดใดๆ ยิ่งไปกว่านั้นใครจะคิดว่า ที่เกาะกัลดาลท่ามกลางทะเลซือไห่ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ไม่มีใครไปถึง และไม่มีใครกล้าไป จะมีตระกูลเซวียนเยวี๋ยนซึ่งเป็นตระกูลใหญ่ซ่อนตัวอยู่?
ฮ่าๆ ท่าทางตระกูลเซวียนเยวี๋ยนจะมือเติบจริงๆ มีเงินมีอำนาจมาก ฉันคงจะต้องไปเกาะกันดารในทะเลสาบซือไห่ซักรอบแล้ว จะไปยืมเงินตระกูลเซวียนเยวี๋ยนสักหน่อย! เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม
เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน มือสังหารชุดดำก็ตกตะลึง พยายามอดกลั้นไม่ให้กระอักเลือดออกมา กัดฟันแน่นแล้วพูดออกมาอย่างเย้ยหยัน ฉันยอมรับว่าแกแข็งแกร่งมาก แต่ฉันขอเตือนแกว่าอย่าไปจะดีที่สุด นักรบอันดับหนึ่งของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนไม่ใช่คนที่แกจะเป็นคู่มือด้วยได้ ฉันรับมือเขาได้ไม่ถึงสามกระบวนท่าด้วยซ้ำ…
งั้นเหรอ? ถ้างั้นฉันก็ยิ่งต้องไป ยอดฝีมือขนาดนี้ถ้าไม่ไปสู้ด้วยสักครั้งก็น่าเสียดายแล้ว!
แก… มือสังหารชุดดำตกตะลึง เขามองชายหนุ่มตรงหน้าไม่ออกเลยจริงๆ ฝีมือแข็งแกร่งมาก ทั้งยังมีความหยิ่งผยองเอาแต่ใจดังจักรพรรดิอยู่มาก ตั้งแต่ที่ได้เป็นมือสังหารมาหลายสิบปี นี่เป็นคนเพียงคนเดียวที่ทำให้เขามองความคิดไม่ออก แกไปได้แล้ว ฉันพูดคำไหนคำนั้น!
เย่เทียนเฉินพูดจบก็หมุนตัวเดินจากไป เขาไม่จำเป็นต้องกำจัดมือสังหารชุดดำคนนี้แล้ว เนื่องจากฝ่ามือเมื่อสักครู่นี้ แม้จะไม่ได้ทำให้ศีรษะของมือสังหารชุดดำระเบิดเป็นแตงโม แต่ก็ทำให้เส้นชีพจรในร่างกายแหลกสลาย มือสังหารชุดดำคนนี้กลายเป็นของไร้ค่าไปแล้ว
ตู้ม!
เย่เทียนเฉินหมุนตัว มือสังหารชุดดำคนนั้นเตรียมจะคลานออกมาจากหลุมดิน รู้สึกโชคดีที่เย่เทียนเฉินพูดคำไหนคำนั้น จึงสามารถเก็บชีวิตกลับมาได้ ไหนเลยจะรู้ว่าตอนนั้นเองกลับเกิดเสียงดังสนั่น ร่างกายทั้งร่างของมือสังหารชุดดำระเบิดออกมากลายเป็นหมอกเลือด เหลือไว้เพียงหลุมลึกประมาณสิบเมตรกว้างประมาณห้าเมตร เย่เทียนเฉินเห็นเช่นนั้นก็ขมวดคิ้ว
พริบตานั้นเองเย่เทียนเฉินสัมผัสได้ถึงพลังพิเศษที่แข็งแกร่งสายหนึ่งจึงจำเป็นต้องกำหมัดขวาแน่นอย่างช่วยไม่ได้ ดูท่ามือสังหารชุดดำคนนี้จะเป็นเช่นเดียวกับจดหมายฉบับนั้น คือถูกยอดฝีมืออัดพลังพิเศษลงไปในร่างกายก่อนแล้ว พอรับรู้ได้ว่าเขาทำภารกิจไม่สำเร็จ หรือบางทีอาจเป็นเพราะไม่ได้กลับไปรายงานข้อมูลในช่วงเวลาที่กำหนด ก็ทำให้เกิดระเบิดขึ้นมา ตายไปโดยไร้ศพ เพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นตรวจสอบได้
ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนจะโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว ถ้าไม่กำจัดจะต้องมีอันตรายมาถึงพ่อแม่และน้องสาวแน่นอน ฉันจะต้องรีบไปที่มณฑลชวนให้เร็วที่สุดซะแล้ว! เย่เทียนเฉินคิดในใจ
จนกระทั่งเย่เทียนเฉินกลับมาที่สวนสาธารณะเล็กๆ ในเขตคฤหาสน์ ก็เป็นเวลาสี่ทุ่มแล้ว ฉีหรูเสวี่ยรออยู่ที่นั่นจนเกือบจะหลับ เมื่อเห็นเย่เทียนเฉินเดินเข้ามาก็อดไม่ได้ที่จะยืนขึ้น เดินไปเบื้องหน้าเย่เทียนเฉินด้วยท่าทางไม่พอใจ พองแก้มเล็กๆ อย่างน่ารัก ใช้ดวงตาอันงดงามจ้องไปยังเย่เทียนเฉินอย่างดุดันแล้วพูดขึ้น เจ้าบ้า นายไปที่ไหนมา? ทิ้งฉันไว้ที่นี่คนเดียวตั้งชั่วโมงหนึ่ง… 。
อา ฉันว่า ฉันสงสัยเนื้อตุ๋นหัวไชเท้าของเธอที่กินเข้าไปนะ ฉันท้องเสียมาตลอดจนถึงตอนนี้ เกือบจะเดินไม่ไหวแล้ว! เย่เทียนเฉินทำท่าทางเหมือนปวดมาก กุมท้องของตนแล้วพูดขึ้น
ไม่จริงน่ะ นายท้องเสียเหรอ? จะเป็นไปได้ยังไง เป็นยังไงบ้าง ไม่เป็นไรใช่ไหม?
ฉีหรูเสวี่ยถูกเย่เทียนเฉินหลอกจนอยู่หมัดจริงๆ เมื่อเห็นเย่เทียนเฉินมีท่าทางปวดท้องขนาดนั้นก็รีบเดินเข้าไปประคองด้วยท่าทางใส่ใจมาก แต่กลับรู้สึกแปลกใจ ตนเองก็กินเนื้อตุ๋นหัวไชเท้าลงไปเช่นกันแต่ก็ไม่เป็นอะไร
ฉันจะไปรู้ได้ไง ไม่ใช่ว่าเธอจงใจแกล้งฉันหรอกนะ? เย่เทียนเฉินถามฉีหรูเสวี่ยด้วยท่าทางชั่วร้าย
ฉัน…ฉันทำที่ไหนล่ะ ฉันไม่ทำแบบนั้นหรอก ถ้านายไม่เชื่อก็กลับไปดูคุณน้าและน้องเชี่ยนเหวินสิ ถ้าหากพวกเธอไม่เป็นอะไร ฉันก็ไม่เป็นอะไร ก็จะต้องมีสาเหตุจากท้องของนายแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะกินมากเกินไปก็ได้! ฉีหรูเสวี่ยรีบเอ่ยปากพูด
งั้นจะรออะไรอยู่ กลับบ้านไปดูก็รู้แล้ว… เย่เทียนเฉินจงใจแกล้งทำเป็นปวดท้องมาก
อือ!
เย่เทียนเฉินหลอกฉีหรูเสวี่ยจนขมวดคิ้วแน่น ยิ่งไปกว่านั้นยังมีท่าทางเป็นกังวลอีกด้วย ถ้าเป็นก่อนหน้านี้เธอคงจะไม่เป็นแบบนี้ แทบอยากจะให้เย่เทียนเฉินท้องเสียจนลุกไม่ขึ้นด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้เธอหลงรักเย่เทียนเฉินแล้ว ย่อมไม่อยากเห็นเขาเกิดเรื่องอะไรขึ้นแม้แต่น้อย เมื่อเห็นท่าทางยากลำบากของเย่เทียนเฉินก็รู้สึกตำหนิตัวเองขึ้นมาจริงๆ คิดว่าตนไม่ได้ล้างเนื้อและหัวไชเท้าให้สะอาดทำให้เย่เทียนเฉินท้องเสีย
ในตอนที่เย่เทียนเฉินและฉีหรูเสวี่ยกลับมาถึงในบ้าน หลัวเยี่ยนและเย่เชี่ยนเหวินยังคงพูดคุยกันอยู่ในห้องโถง กินแตงโมไปพลางพูดคุยกันไปพลาง เมื่อเห็นเย่เทียนเฉินและฉีหรูเสวี่ยกลับมาก็สบตากันยิ้มๆ ด้วยท่าทางลึกลับ เมื่อเย่เทียนเฉินและฉีหรูเสวี่ยเห็นก็รู้สึกงงๆ
พี่ชาย พี่และพี่สาวหรูเสวี่ยกลับมาแล้วเหรอ? พี่เป็นยังไงบ้าง? คงไม่ได้รังแกพี่สาวหรูเสวี่ยจนถูกตบมาใช่ไหม? พี่สาวหรูเสวี่ยคนดี พี่ชายของหนูเป็นหมาป่าตัวใหญ่จะต้องค่อยๆ สั่งสอน ไม่งั้นเขาก็จะไม่เชื่อง! เย่เชี่ยนเหวินเห็นพี่ชายกุมท้องก็จงใจพูดออกมาด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
……………..
เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีของมือสังหารชุดดำ เย่เทียนเฉินก็รีบกางเขตแดนปิดกั้น ในระยะใกล้เพียงเท่านี้รวมกับที่ฝีมือของมือสังหารคนนั้นก็ไม่ได้อ่อนแอ เย่เทียนเฉินกลัวว่าการสู้กันจะไปทำร้ายผู้บริสุทธิ์เข้า และจะถูกผู้อื่นได้ยินจนทำให้เกิดความยุ่งยากที่ไม่จำเป็น โดยเฉพาะหากไปทำร้ายหลัวเยี่ยนและเย่เชี่ยนเหวินก็คงเลวร้ายสุดๆ!
ตู้ม!
ตู้ม!
กิ่งไม้ของต้นไม้ใหญ่ที่เย่เทียนเฉินยืนอยู่ถูกไอดาบอันแข็งแกร่งทั้งสองสายฟันขาด ดูเหมือนว่าจะไม่มีร่องรอยการถูกฟันที่เสียเปล่าเลยแม้แต่น้อย ส่วนเย่เทียนเฉินนั้นได้ไปจากกิ่งไม้ที่ยืนอยู่ตั้งแต่ตอนที่มือสังหารชุดดำคนนี้ฟันไอดาบทั้งสองสายออกมาแล้ว ไม่เช่นนั้นแม้แต่เขาเองก็คงถูกฟันขาดเป็นสองท่อน
คิดไม่ถึงว่ามือสังหารชุดดำคนนี้จะมีกระบวนท่าโจมตีที่แข็งแกร่งถึงขนาดนี้ ด้วยระยะห่างขนาดนั้นยังสามารถฟันไอดาบออกมาสองสายจนทำให้กิ่งไม้ที่ใหญ่เท่าข้อมือสองข้อมือขาดได้ง่ายๆ ถ้าหากว่าฟันถูกคนขึ้นมาเกรงว่าถ้าไม่ถูกฟันขาดจนกลายเป็นสี่ห้าท่อนก็แปลกแล้ว
มือสังหารชุดดำขมวดคิ้ว จับดาบในมือขวาของตนแน่น คมดาบเปล่งประกายเย็นยะเยือกออกมา สะท้อนอยู่ภายใต้แสงจันทร์ ทำให้เกิดไอสังหารมากยิ่งขึ้น มือซ้ายของเขาสัมผัสบริเวณหน้าอกซ้ายของตนเล็กน้อย เมื่อสักครู่นี้ที่เย่เทียนเฉินเตะเขากลางอากาศ ได้เตะถูกหน้าอกด้านซ้ายของเขาเข้าพอดี จนถึงตอนนี้ก็ยังรู้สึกปวดราวมีอะไรบางอย่างฉีกขาด ฝีมือของเย่เทียนเฉินอยู่นอกเหนือการคาดเดาของเขาไปมาก และอยู่นอกเหนือการคาดเดาที่ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนได้หาข้อมูลมาด้วย มิฉะนั้นเกรงว่าคงไม่ส่งเขามาแน่ แต่จะส่งคนที่ร้ายกาจที่สุดในตระกูลเซวียนเยวี๋ยนมาแทน ซึ่งก็คือยอดฝีมือคนที่นำพลังพิเศษอันมหาศาลอัดแน่นลงในจดหมายคนนั้น
ไอดาบอันใหญ่สองสายตัดกิ่งไม้ใหญ่จนขาดในเวลาเพียงชั่วพริบตา แต่กลับไม่สามารถทำร้ายเย่เทียนเฉินได้ นี่ทำให้มือสังหารชุดดำรู้สึกแปลกใจ เนื่องจากคิดไม่ถึงว่า ดาบสะบั้นความเร็วสูง ที่ดีที่สุดของตนจะมีช่วงเวลาที่พลาดพลั้งด้วย
ในตอนนี้เองเย่เทียนเฉินกระโดดไปยืนอยู่บนยอดไม้อีกแห่งหนึ่งแล้ว คล้ายกับคนมีวิชาตัวเบาที่สามารถกระโดดข้ามกำแพงได้ตามใจอย่างไรอย่างนั้น ความจริงแล้วนี่เป็นเคล็ดวิชาพลังพิเศษที่เรียบง่ายประเภทหนึ่ง เย่เทียนเฉินรวบรวมพลังพิเศษไปรองที่เท้าทั้งสอง เมื่อทำแบบนี้ก็ดูเหมือนว่าจะสามารถตัดแรงดึงดูดที่พื้นได้ เหมือนกับยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณ การที่พวกเขาสามารถกระโดดลอยตัวข้ามกำแพงได้ก็เป็นวิธีการใช้พลังภายในประเภทหนึ่งเช่นกัน
หากจะพูดถึงเรื่องของการ บิน ในดาวสิ้นโลกเองก็ไม่นับเป็นอะไรได้ เย่เทียนเฉินสามารถทำได้ สิ่งสำคัญเป็นเพราะหลักการแห่งธรรมชาติของโลกเปลี่ยนแปลงไป ในช่วงยุคโบราณ มีคนสามารถบินขึ้นไปบนท้องฟ้าได้จริงๆ ซึ่งนี่คือสิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปเห็นและเรียกกันว่าวิชาตัวเบา ไม่ต้องพูดถึงดาวสิ้นโลกเลย ต่อให้เป็นประเทศจีนในยุคปัจจุบันนี้ก็สามารถทำได้ เพียงแต่ตอนนี้ ประการแรกเป็นเพราะกฎเกณฑ์ของธรรมชาติบนโลกใบนี้มีการเปลี่ยนแปลงไป ส่วนจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรหรือว่าเพราะเหตุใดจึงได้เปลี่ยนไปก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ ประการที่สองเป็นเพราะความขี้เกียจของคนในยุคปัจจุบัน ไม่เหมือนกับคนยุคโบราณที่ทนลำบากได้ เส้นทางแห่งการบ่มเพาะนั้นยากลำบากกว่าปกติมากนัก ไม่เพียงแต่จะต้องเผชิญหน้ากับความอันตรายถึงขั้นเป็นตาย แต่ยังมีความเจ็บปวดทางร่างกายและจิตใจ บางครั้งความเจ็บปวดทั้งร่างกายและจิตใจนี้ทำให้คนรับไม่ได้มากยิ่งขึ้น ประการที่สามเป็นเพราะ วิธีการฝึกฝนบางอย่างของสำนักแห่งพรรควรยุทธโบราณในอดีตและเคล็ดวิชาการฝึกฝนที่ลึกล้ำสูงส่งได้เลือนหายไปจำนวนมาก เลือนหายไปในแม่น้ำสายยาวที่เรียกว่ายุคสมัย ไร้การสืบทอด
จะไม่ยอมพูดจริงๆ เหรอ? นี่อาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายที่แกจะได้เอ่ยปากพูดก็ได้! เย่เทียนเฉินยืนอยู่บนยอดไม้ มองไปยังมือสังหารคนนั้นด้วยความใจเย็น แม้ว่าเขาจะคิดว่ามือสังหารชุดดำคนนี้แข็งแกร่งมาก แต่หากว่าตนเองลงมือเต็มกำลังก็ควรจะสามารถจัดการเขาได้ จึงได้พูดจาไร้สาระมากมายขนาดนี้ เพราะอยากจะสอบถามว่าตระกูลเซวียนเยวี๋ยนซ่อนตัวอยู่ที่ใด
เย่เทียนเฉินไม่ใช้คนที่หวังจะนั่งอยู่เฉยๆ รอให้คนมาฆ่า ด้วยนิสัยของเขา แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยรอและไม่เคยหลีกเลี่ยง มีแต่จะลงมือโจมตีด้วยตัวเอง มีแต่ทำเช่นนี้ถึงจะสามารถกดความสามารถและอำนาจของศัตรูเอาไว้ได้
ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนเป็นตระกูลที่ปิดซ่อนตัวตนของประเทศจีน ว่ากันว่าเริ่มปิดซ่อนตัวตนตั้งแต่ช่วงแรกเริ่มของการปลดแอก จนกระทั่งถึงตอนนี้เพิ่งจะปรากฏสู่โลกภายนอก จะต้องมีจุดที่แข็งแกร่งของมันอยู่อย่างแน่นอน จะอย่างไรเย่เทียนเฉินก็ไม่ได้ดูเบาตระกูลเซวียนเยวี๋ยนเลยแม้แต่น้อย จากการที่ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนมีความสามารถพอที่จะใช้พลังพิเศษอันมหาศาลอัดแน่นลงไปในจดหมายเล็กๆ ฉบับเดียว จนกลายเป็นพลังงานที่แยกออกมาอย่างอิสระและเพียงพอที่จะระเบิดเขตคฤหาสน์เขตนี้ทั่วทั้งเขตได้ เพียงเท่านี้ก็ทำให้ผู้คนไม่กล้าดูถูกแล้ว
ดังนั้นเย่เทียนเฉินจึงมีความคิดอย่างหนึ่ง นั่นก็คือต้องหาสถานที่เก็บซ่อนตัวของตระกูลเซวียนเยวี๋ยน ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น มือสังหารชุดดำคนนี้มีฝีมือไม่อ่อนแอเลย เรียกได้ว่าฝีมือชั้นหนึ่ง เป็นหนึ่งในมือสังหารที่สำคัญของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนอย่างแน่นอน ถ้าได้รู้สถานที่ซ่อนตัวของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนจากปากของเขาก็จะดีเป็นที่สุด
หึ แกแข็งแกร่งมาก แล้วก็มีความเชื่อมั่นในตัวเองด้วย แต่แกคิดว่าจะสามารถฆ่าฉันได้หรือไง? คนที่จะต้องตายก็คือแก!
ในใจของมือสังหารรู้สึกตื่นตะลึงมาก กระทั่งมีความหวาดกลัวเล็กน้อย ความจริงแล้วเขาคิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะอายุน้อยขนาดนี้ แต่กลับมีฝีมือการต่อสู้ถึงขั้นนี้ ดูเหมือนว่าตนเองจะต้องรีบลงมือเต็มที่เสียแล้ว ส่วนเย่เทียนเฉินก็ยังไม่ได้ลงมือตอบโต้ หลบการโจมตีของตนอย่างสบายๆ ท่าทางคืนนี้ภารกิจที่ต้องสังหารทุกคนในตระกูลเย่คงจะทำไม่ได้แล้ว
อย่ามาเสแสร้งเลยน่ะ? ฉันสัมผัสได้ถึงเหงื่อเย็นๆ ที่ไหลซึมออกมาจากร่างของแก บอกสถานที่ซ่อนตัวของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนออกมาดีๆ เถอะ แล้วฉันจะฆ่าแกสบายๆ จะไม่ปล่อยให้แกเจ็บปวด! เย่เทียนเฉินพูดอย่างเรียบเฉย
ฉัวะ!
เงาดาบพุ่งฝ่าอากาศออกไป ไอดาบขนาดใหญ่ฟันผ่านอากาศจนฉีกขาด กลายเป็นเส้นโค้งอันสวยงามสายหนึ่งภายใต้แสงจันทร์ เพียงแต่เส้นโค้งอันสวยงามนี้กลับมากพอที่จะฟันคนให้ขาดเป็นท่อนๆ และกลายเป็นหมอกเลือดได้
ซู่ม!
เงาคนเงาหนึ่งพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า แสงจันทร์สาดส่องลงมา คล้ายกับภาพฝัน เงานั้นก็คือเย่เทียนเฉิน มือสังหารชุดดำคนนี้แข็งแกร่งมากพอ ที่สำคัญก็คือกระบวนท่าสังหารของเขารุนแรงเอาแต่ใจมาก ไอดาบนั้นฟันขาดได้แม้กระทั่งอากาศ เป็นเคล็ดวิชาสังหารที่แข็งแกร่งที่สุดวิชาหนึ่ง สิ่งที่เย่เทียนเฉินขาดไปก็คือการได้สัมผัสกับกระบวนท่าที่แข็งแกร่งแบบนี้ เขาจึงต้องการใช้กระบวนท่าที่แข็งแกร่งเหล่านี้มาฝึกฝนร่างกายของตน
กฎเกณฑ์ของธรรมชาติของโลก ซึ่งสามารถเรียกได้อีกอย่างว่า เต๋า ตามที่คนโบราณเรียกกัน สิ่งนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว หากต้องการที่จะทะลวงพลังจากขอบเขตจอมราชันไปสู่ขอบเขตจักรพรรดิ ไม่รู้ว่าจะมีความยากลำบากมากขึ้นอีกกี่เท่า แต่เย่เทียนเฉินก็ไม่ได้ยอมแพ้ เขาพยายามมาโดยตลอด และไม่สามารถนั่งรอให้ผู้อื่นมาโจมตีได้ หากต้องนั่งรอจนกว่าจะสามารถหา ค่ายกลเคลื่อนย้าย ได้จริงๆ แล้วกลับไปยังดาวสิ้นโลกค่อยว่ากันอีกที นี่ไม่ใช่นิสัยของเย่เทียนเฉินเลย
การต่อสู้ครั้งใหญ่กับเปาเทียนหลงก่อนหน้านี้ ทำให้เย่เทียนเฉินได้สัมผัสถึงพลังสูงสุดในขอบเขตจอมราชันอีกครั้งหนึ่ง ในขณะเดียวกันก็สามารถสัมผัสได้ว่า ในขณะที่ภายในร่างกายระเบิดพลังขั้นสูงสุดของขอบเขตจอมราชันออกมา กล้ามเนื้อจะมีความรู้สึกว่าทนไม่ไหวเล็กน้อย นั่นก็คือกายเนื้อไม่แข็งแกร่งมากพอ
เพื่อที่จะฝึกฝนกายเนื้อของตน เย่เทียนเฉินจึงใช้พลังพิเศษชำระชีพจรและกระดูกของตนทุกวัน จุดประสงค์ก็เพื่อที่จะช่วยให้กายเนื้อเกิดความเปลี่ยนแปลง ส่วนคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นของวัดเส้าหลินที่เรียกได้ว่าเป็นวิชาการบ่มเพาะพลังภายในที่แข็งแกร่งที่สุดนั้น เย่เทียนเฉินไม่เคยลืมมาโดยตลอด เขาต้องการได้รับคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น หากสามารถหลอมรวมพลังพิเศษและพลังภายในที่แข็งแกร่งของพรรควรยุทธโบราณเข้าด้วยกันได้ เขาเชื่อว่าจะต้องทำให้ตนเองแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน
ฮ่า!
เสียงตะโกนดังขึ้น เย่เทียนเฉินพุ่งทะยานไปบนฟ้า เผชิญหน้ากับไอดาบที่แหวกอากาศโจมตีเข้ามาทางตน ไม่หลบไม่ถอย มือขวาซัดกำปั้นออกไปอย่างแรง ทำให้มือสังหารชุดดำตกใจจนตาค้าง แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีใครกล้าใช้วิชาหมัดไปสัมผัสกับไอดาบมาก่อน นี่ก็เหมือนกับการที่คนธรรมดาใช้หมัดต่อยลงไปบนคมดาบ ถ้าทำแบบนั้นจะมีผลอย่างไร เกรงว่าทุกคนก็คงจะคิดได้ มือสังหารชุดดำระเบิดไอดาบที่บ้าคลั่งออกมา มากเพียงพอที่จะทำให้ยอดเขาแห่งหนึ่งกลายเป็นเสี่ยงๆ เมื่อเทียบกับการใช้หมัดลุนๆ เข้าปะทะกับคมดาบแล้วยังน่ากลัวกว่ามาก
ตู้ม!
เสียงดังลั่นฟ้า หากไม่ใช่เพราะเย่เทียนเฉินใช้เขตแดนปิดกั้นก่อนหน้านี้แล้ว เกรงว่าต้นไม้รอบๆ คงจะถูกทำลายและส่งผลกระทบกับคนในเขตคฤหาสน์แห่งนี้ทั้งหมด และอาจจะทำร้ายผู้บริสุทธิ์อีกด้วย
เพียงหมัดเดียวเท่านั้น เป็นหมัดที่เย่เทียนเฉินรวบรวมพลังพิเศษระดับสูงสุดในขอบเขตจอมราชันเอาไว้ ปะทะเข้าไปบนเงาดาบอันใหญ่โตอย่างรุนแรง มันส่งเสียงระเบิดออกมาทันทีที่สัมผัสกัน ภายใต้แสงจันทร์ หมัดของเย่เทียนเฉินกระทบเงาดาบที่เกิดจากพลังภายในจนแตกสลาย เกิดประกายแสงสว่างไสวระเบิดออกมา ทำให้มือสังหารชุดดำแสบตาจนลืมตาไม่ขึ้น
หลังจากนั้นเพียงไม่นาน มือสังหารชุดดำก็พยายามฝืนลืมตาขึ้น เขารู้ว่าการมองสภาพรอบๆ ไม่ชัดเจนแบบนี้ เป็นไปได้มากว่าเขาจะถูกเย่เทียนเฉินลอบสังหาร ถึงแม้ในใจของเขาจะคิดว่าเย่เทียนเฉินเข้าปะทะกับไอดาบที่สั่นไหวอย่างรุนแรงนั้นจะถูกหั่นเป็นสองส่วนไปแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่กล้าลำพองใจ จะอย่างไรพลังที่เย่เทียนเฉินระเบิดออกมาก็แข็งแกร่งมากเหลือเกิน แข็งแกร่งจนถึงขั้นทำให้กระดูกสันหลังของเขาเย็นวาบ
มือสังหารชุดดำลืมตาขึ้น พบว่ามีใบไม้ที่ถูกไอดาบโจมตีเร็วอยู่ทั่วทั้งท้องฟ้า ภายใต้แสงจันทร์ดูงดงามเป็นพิเศษ ในขณะเดียวกันเขาก็ไม่เห็นเงาร่างของเย่เทียนเฉินอยู่เลย จึงอดไม่ได้ที่จะยกยิ้มเย็นชาที่มุมปาก คิดว่าตัวเองคาดเดาได้ถูกต้องแล้ว เย่เทียนเฉินใช้วิธีการโง่งมแบบนี้ ถึงกับกล้าใช้หมัดเข้าปะทะกับไอดาบที่มีพลังมากพอจะป่นภูเขาได้ ช่างเป็นการรนหาที่ตายจริงๆ
ฮ่าๆๆๆ โง่ แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีใครกล้ารับการโจมตีของฉันตรงๆ แบบนี้ ไอ้คนไม่รู้จักที่ตาย! มือสังหารชุดดำยืนอยู่บนยอดไม้แล้วหัวเราะออกมา
คนที่ไม่รู้จักที่ตายก็คือแก!
ทันใดนั้นเอง ข้างหูของมือสังหารมีเสียงของเย่เทียนเฉินดังขึ้น เมื่อเงยหน้ามองไปพบว่าเย่เทียนเฉินกำลังอยู่เหนือศีรษะของเขา ไม่มีการเคลื่อนไหวที่ตระการตาอะไร และไม่ได้หยุดพักมากเกินความจำเป็น ใช้ฝ่ามือตบลงมาบริเวณศีรษะของมือสังหารชุดดำโดยตรง
มือสังหารชุดดำตกใจจนหน้าซีด จะอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะใช้หมัดทำลายไอดาบของตนได้ แล้วยังสามารถโจมตีกลับอย่างแข็งแกร่งเช่นนี้อีกด้วย
พลั่ก!
ถึงแม้ในใจจะตื่นตะลึง แต่ไม่กล่าวไม่ได้ว่ามือสังหารชุดดำแข็งแกร่งมากจริงๆ เขาใช้มือทั้งสองกำดาบฟันลงไปยังฝ่ามือขวาของเย่เทียนเฉินโดยตรง
พลั่ก!
บู้ม!
บู้ม!
บู้ม!
เสียงที่ทำให้มือสังหารชุดดำต้องหวาดกลัวดังขึ้น มือทั้งสองที่กำดับของเขาฟันไปด้านบน ส่วนเย่เทียนเฉินใช้ฝ่ามือตบลงมาด้านล่าง ทำให้ดาบในมือของเขาสั่นสะเทือนจนหัก จนกระทั่งเขาเงยหน้าขึ้นมองไปด้วยความหวาดกลัว มือของเย่เทียนเฉินก็กระทบลงบนศีรษะของเขาแล้ว
พลั่ก!
มือสังหารชุดดำถูกเย่เทียนเฉินใช้ฝ่ามือโจมตีจนตกลงมาจากบนต้นไม้สูงสิบกว่าเมตร ฝ่ามือนี้แฝงไปด้วยพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันระดับสูงของเย่เทียนเฉิน มือสังหารชุดดำต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยเลย แต่ไหนแต่ไรเย่เทียนเฉินก็ไม่เคยปราณีศัตรู จินตนาการได้เลยว่า หากวันนี้ตนเองไม่ระวัง อาจจะกลับบ้านไปเห็นศพของแม่และน้องสาวก็เป็นได้
อั่ก…หยะ อย่าฆ่าฉัน…
ฝ่ามือขวาของเย่เทียนเฉินหยุดอยู่บนหัวของมือสังหารชุดดำ ในตอนที่ฝ่ามือเมื่อสักครู่นี้สัมผัสถูกศีรษะของมือสังหารชุดดำ ก็ได้เก็บแรงเอาไว้บ้าง เนื่องจากเขาต้องการรู้ถึงสถานที่ที่ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนซ่อนตัวอยู่
…………………….
เวลาประมาณสามทุ่ม เย่เทียนเฉินและฉีหรูเสวี่ยนั่งอยู่ในสวนสาธารณะเล็กๆ ภายในเขตคฤหาสน์ ที่นี่มีคู่รักที่มาพลอดรักกันจำนวนมาก ถ้าไม่พูดคุยกระหนุงกระหนิง ก็กอดรัดหอมแก้มกัน ถึงขั้นเริ่มเปลื้องผ้ากันก็มี ในยุคปัจจุบันนี้ การออกมาทำสงครามรักกันนอกบ้านไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เป็นเรื่องที่ปกติมาก
“คนตระกูลฉินไม่ได้มาหาเรื่องเธออีกใช่ไหม?” เย่เทียนเฉินเอ่ยปากถามไปตามใจ
“เปล่า ขอบคุณนายมากเจ้าบ้า!” ฉีหรูเสวี่ยมองเย่เทียนเฉินด้วยท่าทางเขินอาย ดวงหน้าเล็กๆ แดงระเรื่อเล็กน้อย
เย่เทียนเฉินรู้สึกหดหู่อยู่บ้าง กรอกตาใส่ฉีหรูเสวี่ยแล้วพูดขึ้น “ขอบคุณก็ขอบคุณสิ ยังมาขอบคุณเจ้าบ้าอะไรอีก ใครเป็นเจ้าบ้ากัน?”
“ก็ต้องเป็นนายอยู่แล้วไง ไม่งั้นจะให้ฉันพูดกับท้องฟ้าเหรอ?” ฉีหรูเสวี่ยแลบลิ้นใส่เย่เทียนเฉิน พูดออกมาด้วยท่าทางเฉลียวฉลาด
“นี่ ขอให้เธอเข้าใจไว้สักหน่อยนะ ฉันเนี่ยเป็นผู้มีพระคุณของเธอ เรียกได้ว่าเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเธอ ถ้าหากไม่มีฉัน เธอคงถูกฉินเหิงนั่น…ฮี่ๆ” เย่เทียนเฉินพูดออกมาแล้วหัวเราะชั่วร้าย
“อะไรล่ะ ตอนที่ฉันมาอยู่ที่บ้านนาย วันๆ ก็เอาแต่กินอาหารที่ฉันทำ ฉันสิถึงจะเป็นผู้มีพระคุณของนาย!” ฉีหรูเสวี่ยพูดอย่างไม่ยอมลงให้แม้แต่น้อย
“ไม่จริงน่ะ กระทั่งทำอาหารให้ฉันกินมื้อเดียวก็จดจำเอาไว้ในใจแล้ว แล้วยังมาพูดย้ำ 2-3 รอบอีก จะขี้เหนียวเกินไปหรือเปล่า?” เย่เทียนเฉินพูดอย่างสนใจ
“ฉันขี้เหนียวเหรอ? คิกๆ ต่อให้ฉันขี้เหนียวยังไงก็สู้นายไม่ได้หรอก…มีฐานะเป็นประธานกรรมการที่มีมูลค่านับร้อยล้าน แต่ก็ยังทำใจซื้อของขวัญให้น้องกับแม่ไม่ได้ ยังมีคนที่ขี้งกกว่านายอีกเหรอ?” ฉีหรูเสวี่ยจงใจพูดหยอกล้อเย่เทียนเฉินขึ้นมา
ประโยคนี้ทำให้เย่เทียนเฉินหมดอารมณ์จริงๆ ในใจของเขาไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าครอบครัวแล้ว เพียงแต่เขาคนนี้บางทีก็แสดงออกไม่เก่ง ตั้งแต่ที่ได้เป็นประธานกรรมการเครือไห่หวางจนถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่ได้แสดงความกตัญญูอะไรต่อพ่อแม่จริงๆ และไม่เคยซื้อของขวัญอะไรให้น้องด้วย เมื่อคิดดูแล้วก็รู้สึกผิดอยู่ในใจ
“ทำไม? พูดไม่ออกเลยเหรอ? นาย…” ฉีหรูเสวี่ยคิดว่าเย่เทียนเฉินโกรธ แต่ก็ไม่คิดที่จะขอโทษอะไร ดังนั้นจึงพูดกระตุ้นเย่เทียนเฉินต่อไป
ไหนเลยจะรู้ว่าในตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินจะยืนขึ้นจากม้านั่งหินอย่างฉับพลัน พูดกับฉีหรูเสวี่ยขึ้นมาประโยคหนึ่งอย่างจริงจัง “เธอรอฉันอยู่ที่นี่อย่าไปไหนนะ ฉันจะรีบกลับมา”
“นี่…นาย…” ฉีหรูเสวี่ยยังไม่ทันได้พูดอะไรเย่เทียนเฉินก็หายไปแล้ว ไม่รู้ว่าไปที่ไหน
ตอนนี้เอง ภายในห้องโถงของคฤหาสน์ตระกูลเย่ หลัวเยี่ยนและเย่เชี่ยนเหวินสองแม่ลูกกำลังพูดคุยกันอย่างเบิกบานใจ ส่วนหัวข้อที่พูดคุยกันย่อมต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับเย่เทียนเฉิน ไม่กล่าวไม่ได้ว่า ถึงแม้เย่เชี่ยนเหวินแล้วเย่เทียนเฉินจะทะเลาะกันบ่อย แต่ความสัมพันธ์ก็ดีมาก ในตอนที่รู้ว่าจดหมายฉบับนั้นเป็นหลิงอวี่สวิ๋นที่ส่งมาให้ เย่เชี่ยนเหวินก็เกิดอย่าซุบซิบขึ้นมา แล้วก็ดีใจมากด้วย หลัวเยี่ยนเล่าเรื่องเกี่ยวกับหลิงอวี่สวิ๋นให้ฟังว่า ในตอนที่หลิงอวี่สวิ๋นเล่นกับเย่เทียนเฉินตอนเด็กๆ เย่เชี่ยนเหวินก็เพิ่งจะเดินได้ ตอนนั้นเธอเอาแต่เดินตามติดอยู่ข้างหลังเรียกพี่ชายพี่สาวอวี่สวิ๋น ต้องการให้พานางไปเล่นด้วยกัน
“ไม่จริงน่ะ แม่คะ แม่ดูผิดไปหรือเปล่า พี่ชายของหนูเป็นคนที่มีอีคิวติดลบ ถึงกับได้รับความรักจากสาวงามทั้งสองอย่างพี่สาวหรูเสวี่ยและพี่สาวอวี่สวิ๋นเลยเหรอ จะโชคดีเกินไปแล้ว!” เย่เชี่ยนเหวินเปิดปากพูดอย่างตื่นตะลึง
“เด็กคนนี้นี่ มิน่าล่ะพี่ชายของลูกถึงไม่ยอมเพิ่มค่าขนมให้ มีใครเขาพูดกับพี่ชายของตนแบบนี้บ้าง? ก่อนหน้านี้พวกเรากังวลว่าเขาจะมีปมในใจ ถึงได้วุ่นวายอยู่กับเรื่องของการหาแฟน ตอนนี้ก็มีตัวเลือกแล้วควรจะดีใจถึงจะถูก!” หลัวเยี่ยนยิ้มฟังพูดตำหนิลูกสาว
เมื่อเห็นว่าแม่ดีใจขนาดนี้ เย่เชี่ยนเหวินก็หัวเราะออกมา พูดตามจริงเธอเองก็ดีใจกับพี่ชายของตน เพียงแต่เคยชินที่จะพูดแซะพี่ก็เท่านั้น หยอกล้อให้สนุกสนานกันเท่านั้น ถึงได้พูดออกมาแบบนี้ ตอนนี้เมื่อเห็นแม่ยิ้มจนหุบไม่ลงก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามเสียงเบา “แม่คะ ถ้างั้นแม่อยากให้ใครมาเป็นลูกสะใภ้ของแม่มากกว่ากัน?”
“นี่นะเหรอ…แม่ก็ไม่รู้” หลัวเยี่ยนชะงักไปครู่หนึ่ง เธอไม่เคยคิดถึงปัญหานี้เลยจริงๆ ขอแค่ลูกชายมีตัวเลือกที่ดีก็รู้สึกดีใจแล้ว
“ถ้าหากว่าจำเป็นต้องเลือกคนใดคนหนึ่งระหว่างพี่สาวหรูเสวี่ยกับพี่สาวอวี่สวิ๋นล่ะ?” เย่เชี่ยนเหวินพูดด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ต้องการที่จะรู้ความคิดของแม่
“เรื่องนี้ไม่เคยคิดมาก่อนจริงๆ นี่ก็ต้องดูว่าพี่ชายของลูกชอบคนไหน จะยังไงแม่ก็หวังว่าพวกลูกจะได้มีความรักกันอย่างอิสระ ได้มีคนที่ตนเองรักจริงๆ ถ้าเป็นแบบนั้นถึงจะมีความสุขไปชั่วชีวิต!” หลัวเยี่ยนพูดด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย
เย่เชี่ยนเหวินลุกขึ้นยืนจากบนโซฟา วางท่าเป็นผู้รอบรู้ พูดเหมือนกับคนที่มีประสบการณ์มามากว่า “แม่คะ จากความเห็นของหนู พี่ชายของหนูจะต้องเลือกพี่สาวหรู่เสวี่ย…”
“หือ? ทำไมพูดแบบนี้?” หลัวเยี่ยนเองก็รู้สึกอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา แม้แต่เธอก็ไม่รู้ว่าลูกชายจะเลือกใคร เชี่ยนเหวินจะรู้หรือ?
“ก่อนอื่นเลย ในใจของหนูเข้าข้างพี่สาวหรูเสวี่ยมากกว่า ยังไงพี่สาวหรูเสวี่ยก็ใช้เวลาอยู่กับพวกเรานานที่สุด ถึงแม้พี่สาวอวี่สวิ๋นจะไม่เลว แต่ก็ไม่ได้เจอหน้ากันมาสิบกว่าปีแล้ว ยังไงก็ต้องมีระยะห่างอยู่บ้าง ยิ่งไปกว่านั้นก็พูดถึงเรื่องรูปร่างหน้าตาของพวกเธอทั้งสองคนแล้ว ต่างก็เป็นผู้หญิงที่สวยมาก ทางด้านรูปร่างหน้าตาไม่มีใครได้เปรียบ แต่พี่สาวหรูเสวี่ยทำอาหารเก่ง เป็นไปได้ว่าในเรื่องอาหารบางอย่างอาจจะเก่งกว่าแม่ซะอีก ที่สำคัญที่สุดก็คือ พี่ชายของหนูชอบผู้หญิงก้นใหญ่ ถ้าพิจารณาดูสักหน่อย เปรียบเทียบระหว่างคนทั้งสอง ดูเหมือนว่าพี่หรูเสวี่ยจะก้นใหญ่กว่าพี่สาวอวี่สวิ๋น!” เย่เชี่ยนเหวินพูดแล้วหัวเราะฮี่ๆ
“เด็กคนนี้นี่ วันๆ ไม่รู้จักร่ำเรียน รู้จักแต่ซุบซิบนินทา ไม่อายหรือไง!” หลัวเยี่ยนตำหนิเย่เชี่ยนเหวิน
“แม่คะ นี่หนูคิดถึงเรื่องใหญ่ในชีวิตของพี่ชายเลยนะ พวกเราจะต้องรวมกำลังเป็นหนึ่งสิ” เย่เชี่ยนเหวินพูดด้วยรอยยิ้ม
“เด็กคนนี้นี่…” หลัวเยี่ยนพูดแล้วส่ายหน้า
ขณะนั้นเอง ในตอนที่หลัวเยี่ยนและเย่เชี่ยนเหวินกำลังพูดคุยกันถึงเรื่องของเย่เทียนเฉิน มือสังหารชุดดำคนหนึ่งได้มายืนอยู่ด้านบนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งบริเวณไม่ไกลจากคฤหาสน์ตระกูลเย่ ใช้กล้องมองกลางคืนสำรวจทุกสิ่งทุกอย่างด้านใน มือสังหารคนนี้เป็นคนที่ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนส่งมา จดหมายฉบับนั้นก็เป็นเขาที่ไปส่งถึงประตูบ้านตระกูลเย่ ต้องการฆ่าทุกคนในตระกูลเย่ด้วยการส่งจดหมายที่อัดแน่นไปด้วยพลังอันร้ายกาจจากยอดฝีมือผู้มีพลังพิเศษของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนมาที่ตระกูลเย่ และในขณะเดียวกันเพื่อเป็นการป้องกันความผิดพลาด จึงให้มือสังหารรอดูผลลัพธ์อยู่ด้านนอก ถ้าหากล้มเหลวก็ให้เขาบุกเข้าไปฆ่าทุกคนในบ้านของเย่เทียนเฉิน
บางทีมือสังหารคนนี้อาจจะไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งเท่ากับคนที่สามารถอัดพลังอันยิ่งใหญ่ลงไปในจดหมายได้ แต่ก็ไม่สามารถดูเบาได้เป็นอันขาด นี่คือคนที่ถูกส่งมาฆ่าคนตระกูลเย่ทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้นตระกูลเซวียนเยวี๋ยนยังรู้ว่าเย่เทียนเฉินมีฝีมือไม่ธรรมดา แต่ก็ยังส่งคนคนนี้มา เห็นได้ว่าฝีมือของคนคนนี้จะต้องแข็งแกร่งห้าวหาญเป็นอย่างมาก เป็นคนที่มีความอันตรายมาก
“ถึงกับไม่เป็นอะไรเลย ท่าทางจะต้องให้ฉันลงมือเองซะแล้ว…” มือสังหารในชุดดำคนนี้พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
พูดจบมือสังหารชุดดำก็ยื่นมือขวาไปด้านหลัง สัมผัสดาบที่ผูกติดอยู่ด้านหลัง จากนั้นจึงจับด้ามดาบ มุมปากปรากฏรอยยิ้มโหดเหี้ยม สำหรับมือสังหารที่ฆ่าคนเป็นผักปลาแบบเขา การทำภารกิจให้สำเร็จเป็นจุดประสงค์เดียว ส่วนศัตรูนั้นยิ่งฆ่าก็ยิ่งดี
ฉัวะ!
มือสังหารชุดดำคนนี้กระโดดลงมาจากบนต้นไม้ที่สูงเกือบสิบเมตร พุ่งลงมาด้านล่าง มีความว่องไวรวดเร็วเป็นอย่างมาก เขาต้องการที่จะพุ่งเข้าไปในคฤหาสน์ เพื่อฆ่าหลัวเยี่ยนและน้องสาวก่อน เนื่องจากตามคำสั่งของตระกูลเซวียนเยวี๋ยน ต้องฆ่าเย่เทียนเฉินเป็นคนสุดท้าย เพราะต้องการให้เขาเห็นครอบครัวตายไปต่อหน้าต่อตาทีละคน ทำให้เขาลิ้มรสความเจ็บปวดสุดขั้วหัวใจ เป็นวิธีการที่โหดเหี้ยมและเลือดเย็นมาก
พลั่ก!
ไหนเลยจะรู้ว่าในตอนที่มือสังหารชุดดำกระโดดลงมาจากต้นไม้สูงสิบกว่าเมตรนั้น เพิ่งจะกระโดดอยู่กลางอากาศก็มีเงาร่างร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาจากด้านข้าง เตะเขาจนกระเด็นออกไปชนเข้ากับกิ่งไม้บนต้นไม้ใหญ่ด้านข้างอย่างรุนแรง เป็นลูกเตะที่ร้ายกาจมาก จนแทบจะทำให้มือสังหารกระอักเลือด
มือสังหารชุดดำกระแทกลงบนกิ่งไม้ของต้นไม้ใหญ่อย่างแรง พยายามฝืนกลั้นเลือดที่พุ่งออกมา ใช้มือซ้ายยันไว้บนลำต้นของต้นไม้ แล้วระโดดขึ้นอีกครั้ง ขึ้นไปยืนบนกิ่งของต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ด้านข้าง ดวงตาอันโหดเหี้ยมทั้งสองจ้องมองไปยังกิ่งของต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เพราะว่าบนนั้นมีเงาร่างเงาหนึ่งยืนอยู่นานแล้ว มือทั้งสองล้วงอยู่ในกระเป๋ากางเกง มองมาที่เขาด้วยรอยยิ้ม ซึ่งนี่ก็คือคนที่เตะเขากลางอากาศนั่นเอง
“แก…แกเป็นใคร?” มือสังหารชุดดำกำด้ามดาบแม่นแล้วพูดขึ้น ตอนนี้ดาบของเขายังคงแขวนอยู่ที่หลัง ยังไม่ถูกชักออกมา
“แกเป็นคนที่ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนส่งมาใช่ไหม? บอกมาซะว่าตระกูลเซวียนเยวี๋ยนอยู่ที่ไหน? เพื่อไม่ให้พวกแกหนี ฉันจะไปเยี่ยมเยียนด้วยตัวเองสักหน่อย!”
“หึ แกก็คือเย่เทียนเฉินสินะ?” มือสังหารชุดดำขมวดคิ้วแล้วถามขึ้น
“คำถามที่รู้คำตอบอยู่แล้วยังจะต้องถามอีกทำไม? ฉันรู้ว่าแกจะต้องรออยู่รอบๆ ถ้ายังไม่ตอบคำถามของฉันอีก ก็จะไม่มีโอกาสแล้ว!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม
ความจริงหลังจากที่นำจดหมายฉบับนั้นเข้าไปในคฤหาสน์ เย่เทียนเฉินก็คิดแล้วว่าคนที่ส่งจดหมายจะต้องอยู่รอบๆ แน่นอน ด้วยสไตล์การทำงานของคนตระกูลใหญ่ จะต้องไม่ให้มีความผิดพลาดใดๆ ถ้าไม่เห็นคฤหาสน์ตระกูลเย่ของตนระเบิด ก็คงไม่วางใจ
ดังนั้นในตอนที่ออกไปเดินเล่นกับฉีหรูเสวี่ย เย่เทียนเฉินก็กางพลังพิเศษแห่งการรับรู้แล้ว แต่กลับไม่พบจุดที่น่าสงสัยหรือการผันผวนของพลังของคนที่น่าสงสัยเลย คงจะเป็นเพราะตอนนั้นมือสังหารชุดดำคนนี้สังเกตการณ์อยู่ในตำแหน่งที่ห่างออกไป ดังนั้นพลังพิเศษแห่งการรับรู้จึงไม่อาจสัมผัสได้ แต่ในตอนที่เย่เทียนเฉินกำลังตีฝีปากกับฉีหรูเสวี่ยนั้น อยู่ๆ เขาก็สัมผัสได้ถึงไอสังหารอันรุนแรงสายหนึ่ง ที่มุ่งไปยังบริเวณรอบๆ ของคฤหาสน์ตระกูลเย่ของตน ดังนั้นจึงรีบทะยานออกมา และพบมือสังหารชุดดำคนนี้พอดี จึงเตะเขากลางอากาศโดยไม่ได้มีความเกรงใจอะไร
“คิดไม่ถึงว่าฝีมือของแกจะแข็งแกร่งขนาดนี้ แต่ก็ไม่มีประโยชน์ วันนี้คนตระกูลเย่ของแกทั้งหมดจะต้องตาย!”
ฉัวะ!
ฉัวะ!
มือสังหารชุดดำตะโกนเสียงต่ำ ดาบที่หลังถูกชักออกมา ส่องประกายเย็นเยียบ ไอดาบสองสายทะยานออกไปเป็นกากบาท ส่งเสียงแหวกอากาศออกมา พุ่งโจมตีไปยังเย่เทียนเฉิน…
………………..
จดหมายท้ารบที่มาจากตระกูลเซวียนเยวี๋ยน และเรียกได้ว่าเป็นการลอบโจมตีที่ทรงอำนาจจากตระกูลเซวียนเยวี๋ยน ทำให้ในใจของเย่เทียนเฉินรู้สึกตื่นตะลึง ตั้งแต่ได้มาเกิดใหม่จนถึงตอนนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เผชิญหน้ากับการท้ารบที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ และเป็นครั้งแรกที่มีความรู้สึกตื่นตะลึงอยู่ในใจ ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนส่งจดหมายมาเพียงฉบับเดียวเท่านั้น เพียงแต่จดหมายฉบับนี้กลับสามารถระเบิดเขตคฤหาสน์ทั้งเขตได้เลยทีเดียว เห็นได้ว่าตระกูลเซวียนเยวี๋ยนแข็งแกร่งมากขนาดไหน และสิ่งที่ทำให้เย่เทียนเฉินคิดไม่ถึงก็คือ การแก้แค้นของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนจะมาถึงเร็วขนาดนี้ อีกทั้งยังมียอดฝีมือแบบนี้อยู่อีกด้วย ดูท่าตนจะต้องระมัดระวังให้มากสักหน่อย
เมื่อตอนนั้นหลิงอวี่สวิ๋นเคยพูดเรื่องตระกูลเซวียนเยวี๋ยนกับเย่เทียนเฉินมาก่อนแล้ว นี่เป็นตระกูลในโลกเบื้องหลังตระกูลหนึ่งที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ส่วนจะแข็งแกร่งมากขนาดไหนนั้นกลับไม่มีใครรู้ แต่คนที่พอมีตำแหน่งอยู่บ้างต่างก็รู้ว่า ในประเทศจีนมีตระกูลที่ปิดซ่อนตัวตนอยู่จำนวนหนึ่ง ตระกูลเหล่านี้ต้องปิดซ่อนตัวตน โดยปกติเป็นเพราะมีอำนาจแข็งแกร่งเกินไป จึงกลัวว่าจะถูกรัฐบาลโจมตี
จินตนาการได้เลยว่า ในฐานะที่เป็นตระกูลที่แข็งแกร่งมากตระกูลหนึ่ง แข็งแกร่งจนต้องปิดซ่อนตัวตน เพื่อหลีกหนีจากนโยบายของประเทศ ต่อให้ตระกูลนี้ไม่ค่อยเท่าไหร่แต่ก็ยังมีอำนาจที่ทำให้ผู้คนคิดไม่ถึงได้
เย่เทียนเฉินเก็บโล่พลังพิเศษของตนกลับมา และสลายพลังเขตแดนปิดกั้น มองไปในห้องนอน เมื่อพบว่าไม่มีที่ใดแปลกไปถึงได้วางใจลงไม่น้อย หลัวเยี่ยนเคาะประตูอยู่ข้างนอก เห็นได้ชัดว่ารู้สึกสงสัยและไม่วางใจ เย่เทียนเฉินย่อมไม่สามารถบอกครอบครัวได้ว่านี่เป็นการแก้แค้นของตระกูลเซวียนเยวี๋ยน และยังเป็นวิธีการแก้แค้นที่เอาแต่ใจเป็นอย่างมาก ปัญหาเหล่านี้เขาจะแก้ไขด้วยตัวเองเพียงลำพัง เขาคิดว่าไม่อาจให้คนใกล้ชิดของตนได้รับรู้ถึงการคุกคามนี้แม้แต่ครึ่งส่วน
เขาจัดการอารมณ์ของตนเอง ไม่คิดถึงบุคคลที่มีพลังพิเศษอันแข็งแกร่งและเข้มข้นที่อยู่ในจดหมายชั่วคราว ตกลงแล้วแข็งแกร่งมากเพียงใด มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งขนาดไหน กระทั่งโล่พลังพิเศษของตนก็ยังสามารถทำลายได้ ขนาดเขตแดนปิดกั้นก็ยังสามารถระเบิดออกมาได้ คนคนนี้จะต้องเป็นหนึ่งในคนที่แข็งแกร่งที่สุดของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนแน่นอน และเป็นหนึ่งในศัตรูที่ต้องกำจัดมากที่สุดของตระกูลเซวียนเยวี๋ยน
“เทียนเฉิน เป็นอะไรไปลูก?” หลัวเยี่ยนเคาะประตูเรียกด้วยความร้อนใจต่อไป
“แม่ครับ อย่ารบกวนตอนที่ผมอ่านจดหมายรักได้ไหม? ไม่ง่ายเลยกว่าที่ลูกชายของแม่จะมีแฟน!” เย่เทียนเฉินเปิดประตูห้องนอนออกมา แสร้งทำเป็นพูดขึ้นด้วยท่าทางจนใจ
หลัวเยี่ยนมองลูกชาย ความจริงแล้วเธอรู้สึกว่าตั้งแต่ลูกชายกลับมาที่เมืองหลวงก็เปลี่ยนแปลงไปมาก ไม่เพียงแต่รู้ความขึ้น แต่ยังมีความทะนงตนและเอาแต่ใจ มีความกล้าหาญไม่กลัวเกรงในอำนาจ เรื่องที่เขากระทำทั้งหลายและยังมีตอนที่อยู่ที่บ้านตระกูลหลัวนั้น หลัวเยี่ยนเห็นลูกชายแสดงความสามารถในการต่อสู้ออกมากับตาของตน นั่นข้ามผ่านจินตนาการของคนธรรมดาอย่างพวกเธอไปแล้วโดยสิ้นเชิง ไม่แตกต่างอะไรกับฉากต่อสู้ในภาพยนตร์ ถ้าหากหลัวเยี่ยนไม่ใช่คนที่เติบโตมาจากตระกูลใหญ่ตั้งแต่เด็ก และได้เห็นยอดฝีมือที่มีพลังแปลกๆ มาบ้าง คงจะถูกทำให้ตกใจไปแล้ว
แต่ว่าเพราะเป็นเช่นนี้ ในใจของหลัวเยี่ยนจึงเกิดความสงสัยเป็นอย่างมาก ก่อนหน้านี้ก็ไม่เห็นลูกชายจะร้ายกาจขนาดนี้ ไม่เห็นจะมีฝีมือแข็งแกร่งขนาดนี้ ดูท่าเย่เทียนเฉินผู้เป็นลูกได้ไปเป็นทหารมารอบหนึ่งแล้ว ไม่เพียงแต่จะได้รับการฝึกฝนวินัยทหารที่เข้มงวดจนกลายเป็นรู้เรื่องรู้ราวขึ้นมาแค่นั้นแน่นอน
“เทียนเฉิน นั่นเป็นจดหมายรักจริงๆ หรือ? ถึงแม้ว่าแม่จะแก่แล้วแต่ก็ไม่ได้โง่ ลูกบอกกับแม่มาตามตรงเถอะ ตกลงแล้วเกิดเรื่องอะไรกันแน่?” หลัวเยี่ยนมองตาของเย่เทียนเฉิน เอ่ยปากถามขึ้นมาอย่างจริงจัง
เย่เทียนเฉินเองก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง เขารู้ว่าแม่ฉลาดมาก นี่เป็นผู้หญิงที่เคยเกือบจะได้เป็นผู้นำตระกูลหลัว จะไม่ฉลาดและมีความสามารถได้อย่างไร? เพียงแต่เขาคิดไม่ถึงว่าแม่จะถามตนออกมาตรงๆ แบบนี้
“แม่ครับ เป็นจดหมายรักจริงๆ แม่คิดมากเกินไปแล้ว ผมเองก็รู้สึกแปลกเหมือนกัน ไม่คิดว่าเธอจะใช้วิธีแบบนี้ ถึงกับเขียนจดหมายรักมาให้ลูกชายของแม่เลย…” เย่เทียนเฉินหัวเราะฮี่ๆ มองไปยังหลัวเยี่ยนแล้วพูดขึ้น
“งั้นเหรอ? งั้นใครเป็นคนส่งจดหมายรักให้ลูก?” หลัวเยี่ยนถามอย่างไม่เชื่อ
“แม่ครับ เรื่องนี้แม่อย่าถามเลย…ให้ความเป็นส่วนตัวกับผมหน่อยได้ไหมครับ?” เย่เทียนเฉินแสร้งพูดด้วยท่าทางหดหู่
ในตอนนี้เย่เทียนเฉินดันหลัวเยี่ยนออกไปจากห้องนอนของตนโดยไม่รู้ตัว ถึงแม้การระเบิดของพลังพิเศษที่รุนแรงเมื่อสักครู่นี้จะถูกเขตแดนปิดกั้นที่เย่เทียนเฉินใช้ ควบคุมไว้หมดแล้ว แต่เขาก็ยังกลัวว่าจะมีส่วนที่เขายังไม่เห็น สำหรับเรื่องที่ห้องนอนของเขามีความเสียหายเล็กน้อย หลัวเยี่ยนที่ฉลาดเฉลียวและละเอียดรอบคอบจะต้องมองออกอย่างแน่นอน จึงกลัวว่าจะทำให้เธอรู้สึกกังวลมากขึ้น
“เทียนเฉิน ไม่ใช่ว่าแม่จะละราบละล้วงความเป็นส่วนตัวของลูก แต่ว่าไม่วางใจ แม่แค่ต้องการให้ลูกอยู่อย่างสงบปลอดภัยเท่านั้น!” หลัวเยี่ยนพูดอย่างจริงใจ
“แม่ครับ แม่คิดมากเกินไปแล้วจริงๆ เอาล่ะ ผมจะบอกแม่แล้วกัน นี่เป็นจดหมายที่หลิงอวี่สวิ๋นเขียนให้ผม โอเคไหมครับ? นี้เป็นความลับนะ แม่อย่าได้ไปบอกคนอื่นเชียว โดยเฉพาะเชี่ยนเหวินยัยเด็กปากมากคนนั้น ผมกลัวว่าเธอจะมาทำลายเรื่องดีๆ ของผม!” เย่เทียนเฉินพูดเสียงเบาด้วยท่าทางลึกลับ
ไม่ว่าจะอย่างไรเย่เทียนเฉินก็ไม่สามารถบอกแม่ได้ว่านี่เป็นจดหมายท้ารบจากตระกูลเซวียนเยวี๋ยน ถ้าพูดไปแบบนั้นจะทำให้แม่รู้สึกกังวลใจมาก ไม่มีข้อดีอะไรเลย และไม่มีประโยชน์อะไรด้วย มีแต่จะทำให้ครอบครัวรู้สึกหวาดกลัว ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องที่ตนเองเป็นผู้มีพลังพิเศษก็ไม่สามารถบอกหลัวเยี่ยนได้ เธอจะต้องรับไม่ได้อย่างแน่นอน
ในเมื่อได้มาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้แล้ว เย่เทียนเฉินก็ตัดสินใจจะรับผิดชอบทุกสิ่งทุกอย่างนานแล้ว เขาเป็นผู้ชายคนหนึ่ง เป็นผู้ชายที่มีความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ แล้วเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษในขอบเขตพระเจ้าในช่วงยุคสิ้นโลก นิสัยของเขา ความเด็ดเดี่ยวของเขา การตัดสินใจที่จะเดินไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญของเขา ไม่มีใครมาทำลายได้ และไม่มีใครมาขวางได้
“จริงเหรอ? อวี่สวิ๋นกับลูก…” หลัวเยี่ยนรู้สึกคิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋นจะพัฒนาไปถึงขั้นนี้แล้ว ถึงขั้นส่งจดหมายรักหากัน นี่เป็นเรื่องที่เธอคาดไม่ถึงจริงๆ แต่เมื่อได้ยินลูกชายพูดแบบนี้แล้วในใจก็รู้สึกยินดี นี่ไม่ใช่ว่าเธอเป็นพวกได้ใหม่ลืมเก่า ไม่ใช่ว่าได้ยินว่าลูกชายกับหลิงอวี่สวิ๋นมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันก็ไม่อยากจะได้ฉีหรูเสวี่ยมาเป็นลูกสะใภ้แล้ว เพียงแต่คนเป็นแม่คนไหนบ้างที่ไม่อยากให้ลูกชายของตนได้มีชีวิตราบรื่น มีผู้หญิงห้อมล้อมให้มากสักหน่อย?
สำหรับหลิงอวี่สวิ๋น ความจริงแล้วก่อนหน้านี้ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเย่และตระกูลหลิงก็ไม่เลวเลย อยู่ในซอยเดียวกัน สองตระกูลอยู่บ้านตรงกันข้าม ดังนั้นสามารถกล่าวได้ว่าเป็นคนที่อยู่ด้วยกันทั้งเช้าค่ำ เป็นช่วงเวลาที่ไม่เลวเลยจริงๆ ส่วนเย่เทียนเฉินกับหลิงอวี่สวิ๋นก็มีความสัมพันธ์การตั้งแต่เล็กจนโต เป็นคนที่เล่นด้วยกันมาตั้งแต่เล็ก ในตอนเด็กก็เล่นพ่อแม่ลูกกันหลายครั้ง มากเพียงพอที่จะทำให้ผู้ใหญ่จดจำเอาไว้ในใจ
“แม่ครับ ยังไม่ถึงขั้นที่แม่คิดหรอก เพียงแต่ลูกชายของแม่เกิดมาหล่อจริงๆ มีผู้หญิงสวยๆ มาหลงรัก ผมเองก็ไม่มีทางเลือก!” เย่เทียนเฉินพูดออกมาอย่างหน้าด้าน
เมื่อได้ยินลูกชายพูดแบบนี้ หลัวเยี่ยนก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ เห็นได้ชัดว่าเธอเชื่อในคำพูดของเย่เทียนเฉินและเบาใจเรื่องหาคู่ชีวิตให้เย่เทียนเฉินลงไปไม่น้อย จะอย่างไรหลัวเยี่ยนก็ไม่ได้เสแสร้ง แต่กังวลเรื่องการแต่งงานของเย่เทียนเฉินจริงๆ เพราะกลัวว่าจะมีสักวันหนึ่งที่ลูกชายกลับไปมีนิสัยเรื่อยเฉื่อยเสเพลแบบเดิม ถ้าเป็นเช่นนั้นก็แย่มาก
เย่เทียนเฉินจับไหล่แม่แล้วเดินลงไปชั้นล่าง ในตอนที่เดินมาถึงในห้องโถงก็พบว่าเหลือเพียงฉีหรูเสวี่ยกดรีโมทโทรทัศน์อยู่ จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “น้องสาวของฉันล่ะ?”
“พี่ ถ้าไม่ใช่ว่าพี่จะต้องไปเดินเล่นเป็นเพื่อนพี่สาวหรูเสวี่ย หนูก็ขี้เกียจจะช่วยพี่ล้างจานแล้วนะ จำไว้ด้วยว่าค่าขนมเดือนนี้จะต้องเพิ่มให้หนู 100 หยวน!” เย่เชี่ยนเหวินวิ่งออกมาจากห้องครัวอย่างรวดเร็ว มองไปยังพี่ชายของตนอย่างดุดันแล้วพูดขึ้น
“ไม่ได้หรอก เรื่องการไปเดินเล่นเป็นเพื่อนหรูเสวี่ยเป็นคำสั่งของคุณแม่ พี่เองก็ทำเพื่อแม่ ถ้าต้องการค่าขนมก็ไปหาแม่เถอะ มาหาพี่ก็ไม่มีประโยชน์!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“พี่…แม่คะ ดูสิพี่แกล้งหนูอีกแล้ว จะขี้งกเกินไปแล้ว!” เย่เชี่ยนเหวินพูดขึ้น โกรธจนกระทืบเท้า
“พวกลูกสองคนนี่ หยุดพักให้แม่บ้างเถอะ เชี่ยนเหวิน หลังจากล้างจานเสร็จก็ไปทำการบ้านซะ เทียนเฉิน ตอนนี้ลูกก็ไปเดินเล่นเป็นเพื่อนหรูเสวี่ยได้แล้ว ห้ามรังแกคนอื่น!” หลัวเยี่ยนพูดออกมาด้วยท่าทางเคร่งขรึมจริงจัง
“หึ พี่ชายขี้งก แบร่!” เย่เชี่ยนเหวินแค่นเสียงออกมาครั้งหนึ่ง จากนั้นจึงทำหน้าทะเล้นใส่เย่เทียนเฉิน แล้วเดินเข้าไปล้างจานในห้องครัวต่อ
“แม่ครับ ถ้าหากว่าหรูเสวี่ยรังแกผมจะทำยังไง?” เย่เทียนเฉินพูดแล้วหัวเราะฮี่ๆ เขาไม่อยากให้แม่คิดเรื่องจดหมายฉบับนั้นอีก
“ลูกก็ให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ หรูเสวี่ยเป็นเด็กที่ซื่อสัตย์ขนาดนั้นจะรังแกลูกได้ยังไง? รีบไปเถอะ จะได้กลับมาให้เร็วหน่อย!” หลัวเยี่ยนกรอกตาใส่เย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น
“ผมจะทำตามคำสั่งของแม่อย่างระมัดระวังเลยครับ!” เย่เทียนเฉินพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
ฉีหรูเสวี่ยและเย่เทียนเฉินเดินออกไปนอกคฤหาสน์ตระกูลเย่ ระหว่างทางตอนแรกสุดทั้งคู่ก็ไม่ได้พูดอะไรกัน เงียบลงอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งยังไม่เข้ากับนิสัยของคนทั้งสอง ก่อนหน้านี้ทั้งสองคนพอเจอหน้ากันก็ทะเลาะ ตอนนี้ต่อให้ฟ้าถล่มทั้งสองก็ยังไม่ยอมพูดกัน
เย่เทียนเฉินกำลังคิดถึงเรื่องจดหมายฉบับนั้น ไม่ใช่ว่าเขากลัวการแก้แค้นของตระกูลเซวียนเยวี๋ยน เขาได้คิดวิธีการรับมือแล้ว เพียงแต่กำลังพิจารณาว่าคนที่มีพลังแข็งแกร่งและสามารถบีบอัดพลังลงไปในจดหมายได้ จะแข็งแกร่งขนาดไหนกัน ถ้าหากตนเองทำแบบนี้บ้างจะทำได้หรือไม่? ส่วนฉีหรูเสวี่ยกำลังคิดว่า ตนเองรักเย่เทียนเฉินเข้าจริงๆ แล้ว ตอนนั้นที่อยู่ในห้องครัวจึงอดไม่ได้ที่จะเกิดสถานการณ์ที่ตนไปยั่วยวนเขา แล้วเขาจะใจเต้นหรือเปล่า? หรือบางทีอาจจะเรียกได้ว่ามีความรู้สึกหรือเปล่า? ตนพยายามไล่ตามความสุขของตนอย่างสุดความสามารถ จะประสบความสำเร็จหรือไม่?
“อา!”
ทันใดนั้นเอง ฉีหรูเสวี่ยร้องออกมา เนื่องจากไม่ทันระวังทำให้สะดุดก้อนหินจนล้ม ร่างกายเซไปเบื้องหน้า เย่เทียนเฉินได้สติกลับมาจึงกอดฉีหรูเสวี่ยเอาไว้ด้วยความว่องไว ทั้งสองถูกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝันทำให้ชะงักไป ในเวลาเพียงวันเดียวถึงกับกอดกันสองครั้งแล้ว เรื่องดีๆ มักจะมาไม่ถึงสามครั้ง ถ้าหากว่ามีครั้งที่สาม คงจะไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นจริงๆ หรอกนะ?
“โตขนาดนี้แล้วยังไม่รู้จักดูทางอีก ไม่ได้เรียนอนุบาลหรือไง?” เย่เทียนเฉินยิ้มแล้วพูดออกมาอย่างนึกสนุก
“นายสิไม่ได้เรียนอนุบาล ฉันก็แค่ไม่ทันระวังเท่านั้น!” ฉีหรูเสวี่ยจองเย่เทียนเฉินอย่างไม่สบอารมณ์
……………………
“ได้ยินหรือเปล่าเทียนเฉิน กินข้าวเสร็จก็ออกไปเดินรอบๆ กับหรูเสวี่ยนะ!” หลัวเยี่ยนจ้องลูกชายของตนแล้วเอ่ยปากขึ้น
ความจริงแล้วหลัวเยี่ยนเองก็รู้จักแยกแยะเป็นอย่างมาก ทั้งยังเป็นผู้หญิงที่ฉลาดและมีความสามารถ เธอย่อมมองออกว่าครั้งนี้ที่ฉีหรูเสวี่ยมาตระกูลเย่ ไม่เพียงแต่มาขอบคุณในสิ่งที่เธอเคยได้รับ แต่ยังมีความคิดอื่นอีกด้วย นั่นก็คืออยากที่จะจุดประกายความรักกับเย่เทียนเฉิน แม้แต่เย่เชี่ยนเหวินก็ยังมองออก หลัวเยี่ยนจะมองไม่ออกได้อย่างไร?
หลัวเยี่ยนหวังจริงๆ ว่าเย่เทียนเฉินผู้เป็นลูกของตนจะแต่งงานให้เร็วเสียหน่อย ต่อให้ไม่ได้แต่งงานเร็วๆ ก็ควรมีแฟนสาวที่จะสามารถแต่งงานกันได้สักคนหนึ่งก็ยังดี จะอย่างไรเย่เทียนเฉินก่อนหน้านี้ก็ไม่ทำให้พ่อแม่วางใจเลยจริงๆ ก่อเรื่องมากมาย วันๆ เอาแต่ทำตัวเรื่อยเฉื่อย ไม่ร่ำเรียนหนังสือ ตอนนี้ไม่ง่ายเลยกว่าที่จะเห็นเขารู้ความขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังคงสร้างเรื่องไม่หยุดหย่อน ถึงจะถูกแก้ไขไปได้แล้วแต่ก็ทำให้หลัวเยี่ยนและเย่หงรู้สึกกังวลมากขึ้นจริงๆ ในฐานะที่เป็นพ่อแม่ ย่อมหวังให้ลูกๆ ของตนปลอดภัยสงบสุข ดังนั้นพวกเขาจึงต้องการให้เย่เทียนเฉินแต่งงานให้เร็วเสียหน่อย หรือจะมีแฟนที่เป็นตัวเป็นตนก็ยังอยู่ในเหตุผลที่รับได้
ตอนนี้ฉีหรูเสวี่ยมาที่บ้านตระกูลเย่แล้ว ไม่ว่าเย่เทียนเฉินจะชอบหรือไม่ จะรักหรือไม่ ผู้อื่นเขาก็มาเป็นแขก ในฐานะที่เป็นเจ้าบ้านจะต้องไปเป็นเพื่อนถึงจะถูก ดังนั้นหลัวเยี่ยนจึงพูดกับลูกชายด้วยความเคร่งขรึมจริงจัง
“รู้แล้วครับ ขอแค่เธอไม่กลัวว่าออกไปข้างนอกดึกๆ ดื่นๆ ขนาดนี้ผมจะจับเธอไปขาย ก็ไปเดินเล่นกับเธอสักหน่อยก็แล้วกัน!” เย่เทียนเฉินพูดพลางหัวเราะชั่วร้าย
“นายยังไม่กลัวแล้วฉันจะกลัวอะไร…รอดูไปเถอะ!” ฉีหรูเสวี่ยทำแก้มป่องใส่เย่เทียนเฉินอย่างน่ารัก พูดขึ้นด้วยเจตนาท้าทายเต็มที่
“งั้นก็ดี อีกเดี๋ยวฉันจะพาเธอออกไปขาย!” เย่เทียนเฉินหัวเราะฮี่ๆ พูดออกมาด้วยท่าทางเหมือนหมาป่าตัวหนึ่ง
“ใครจะขายใครก็ยังไม่แน่!” ฉีหรูเสวี่ยตอบด้วยท่าทางทะเล้น
ความจริงความประทับใจที่เย่เทียนเฉินมีต่อฉีหรูเสวี่ยก็ไม่เลวเลย ถึงแม้ทั้งสองจะเคยทะเลาะกันบ่อยๆ ดูแล้วเป็นน้ำกับไฟที่เข้ากันไม่ได้ แต่ความจริงความใจดีของฉีหรูเสวี่ย ความอ่อนโยน และฝีมือในการทำอาหารที่อร่อย อีกทั้งยังเป็นคนสวย มีรูปร่างน่าหลงใหล ก้นใหญ่ สิ่งเหล่านี้เย่เทียนเฉินต่างก็เห็นอยู่ในสายตา แต่ก็ยังวางตำแหน่งไว้ให้เป็นเพื่อนที่ดี เพียงแต่รู้สึกไม่อยากพูดถึงความรักระหว่างชายหญิงอยู่บ้าง
ก๊อกๆๆ!
ในตอนนี้เอง นอกประตูคฤหาสน์มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น พวกเขาอดไม่ได้ที่จะชะงักไป สองทุ่มแล้ว ปกติตระกูลเย่มีคนมาหาน้อยมาก เป็นใครที่มาเคาะประตูกัน?
การเคลื่อนไหวของเย่เชี่ยนเหวินว่องไวที่สุด หลังจากที่วางถ้วยวางตะเกียบลงก็วิ่งออกไปเปิดประตู ในตอนที่เธอเปิดประตูออกก็พบว่าบริเวณประตูไม่มีใครอยู่ มีเพียงจดหมายฉบับหนึ่งเท่านั้น ด้านบนเขียนเอาไว้ว่า “ถึงเย่เทียนเฉิน”
เย่เชี่ยนเหวินหยิบจดหมายขึ้นมา รู้สึกแปลกใจมาก ยุคนี้แล้วยังมีใครส่งจดหมายอีก? ยิ่งไปกว่านั้นเอาจดหมายมาวางไว้หน้าประตูแล้วก็จากไป คนที่ส่งจดหมายจะสะเพร่าเกินไปหรือเปล่า? บนจดหมายเขียนว่าถึงพี่ชาย ถ้าไม่กลัวว่าพี่ชายจะโกรธ เย่เชี่ยนเหวินก็อยากจะเห็นจริงๆ ว่าด้านในเขียนอะไรเอาไว้ เป็นใครที่ส่งจดหมายลึกลับนี้มากันแน่
“เชี่ยนเหวิน ใครมาเหรอ?” หลัวเยี่ยนอดไม่ได้ที่จะมองไปที่ประตูคฤหาสน์แล้วเอ่ยถาม
“ไม่มีใคร มีแค่จดหมายฉบับเดียว!” เย่เชี่ยนเหวินปิดประตูคฤหาสน์ เดินกลับมาพลางพูดขึ้น
เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เชี่ยนเหวิน เย่เทียนเฉิน หลัวเยี่ยนและฉีหรูเสวี่ยก็รู้สึกสงสัยและแปลกใจ วางตะเกียบและถ้วยลงแล้วพากันเดินมาที่ห้องโถง มองจดหมายสีขาวในมือของเย่เชี่ยนเหวิน เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว สัญชาตญาณบอกเขาว่า ผู้มาเยือนไม่ได้มาดี
“เทียนเฉิน ใครส่งจดหมายให้ลูกกัน?” หลัวเยี่ยนมองจดหมายฉบับนั้นแล้วเอ่ยถามออกมาอย่างแปลกใจ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าตอนนี้ในยุคปัจจุบันจะยังมีใครใช้จดหมายกันอยู่อีก แค่เรื่องที่มาส่งจดหมายตอนดึกๆ ดื่นๆ ก็เพียงพอที่จะทำให้คนอื่นสงสัยได้แล้ว
เย่เทียนเฉินรับจดหมายมาจากในมือของเย่เชี่ยนเหวิน เขาเองก็สงสัยเช่นกัน ทันใดนั้นเอง เขาสัมผัสได้ถึงกระแสของพลังงานอันแปลกประหลาดจึงขมวดคิ้วขึ้น จากนั้นจึงพูดออกไปด้วยรอยยิ้ม “แม่ครับ ผมขึ้นไปข้างบนนะครับ!”
“ของอะไรทำไมต้องขึ้นไปชั้นบน? เปิดอ่านตอนนี้ไม่ได้หรือ?” หลัวเยี่ยนไม่ได้ต้องการวุ่นวายเรื่องส่วนตัวของลูกชาย แต่เธอรู้สึกเป็นห่วงจึงได้ถามแบบนี้ออกมา
“ฮี่ๆ จดหมายรักแบบนี้ไม่ใช่อะไรที่คุณแม่จะดูได้นะครับ!”
พูดจบเย่เทียนเฉินก็ไม่รอให้หลัวเยี่ยนเอ่ยปากอีกครั้ง รีบวิ่งขึ้นไปที่ชั้นสองและเข้าไปในห้องของตนก่อนจะปิดประตู ทำให้หลัวเยี่ยน เย่เชี่ยนเหวินและฉีหรูเสวี่ยที่อยู่ในห้องโถงชั้นหนึ่งต่างรู้สึกแปลกใจมาก ดึกๆ ดื่นๆ ขนาดนี้ยังมีคนมาส่งจดหมายรัก อีกทั้งส่งเสร็จก็รีบหนีไป จะแปลกไปหรือเปล่า?
ทุกคนไม่รู้เลยว่า เย่เทียนเฉินที่เพิ่งจะเข้ามาที่ห้องของตน จะรีบกางเขตแดนปิดกั้นออกมาทันที ขอบเขตครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 1-2 เมตรรอบตัวเท่านั้น เนื่องจากเย่เทียนเฉินรู้สึกได้ถึงพลังงานอันแข็งแกร่งที่ปะทุอยู่ในจดหมายฉบับนี้ หากระเบิดออกมาเกรงว่าคงจะระเบิดจนคฤหาสน์ทั้งหลังปลิวไปแน่นอน
จุดเด่นที่สุดของเขตแดนปิดกั้นก็คือ ไม่เพียงแต่จะสามารถปิดกั้นเสียงทั้งหมดได้ แต่ยังสามารถควบคุมขอบเขตของการระเบิดให้อยู่ในเขตแดนได้อีกด้วย แน่นอนว่าจะต้องไปถึงระดับเขตแดนที่แน่นอนเสียก่อนถึงจะสามารถควบคุมได้
ตอนนี้ภายในขอบเขตสองเมตร เย่เทียนเฉินได้กางเขตแดนปิดกั้นของตนเอาไว้แล้ว มือซ้ายถือจดหมาย ค่อยๆ ส่งพลังพิเศษแห่งการรับรู้เข้าไป เขารับรู้ได้ถึงพลังอันแข็งแกร่งสายหนึ่งกำลังไหลเวียนอยู่ ส่วนพลังนี้จะร้ายกาจมากขนาดไหนเขาเองก็ไม่รู้ แต่เขาไม่อาจทำให้แม่น้องและฉีหรูเสวี่ยต้องพบกับอันตราย ดังนั้นทันทีที่วิ่งเข้ามาในห้องของตนก็รีบล็อคประตูและกางเขตแดนปิดกั้นออกมา ต่อให้พลังงานอันมหาศาลที่อัดแน่นอยู่ภายในจดหมายระเบิดออก ก็จะถูกเขาควบคุมให้อยู่ในขอบเขตที่แน่นอน ทำร้ายเขาได้แต่จะไม่ให้ทำร้ายครอบครัวอย่างเด็ดขาด
ผู้มาเยือนไม่ได้มาดีแน่นอน หากไม่ใช่ว่าพลังพิเศษแห่งการรับรู้ของตนแข็งแกร่งขึ้นจนถึงระดับหนึ่ง จะไม่มีทางค้นพบอย่างแน่นอน ในจดหมายฉบับนี้มีพลังอันแข็งแกร่งซ่อนอยู่ คนธรรมดาอย่างแม่และน้องจะรู้ได้อย่างไร? เมื่อเปิดจดหมายออก จะต้องทำให้เกิดการระเบิดของพลังงานอันมหาศาลแน่ จากสิ่งที่เย่เทียนเฉินสัมผัสได้ในตอนนี้ เกรงว่าคฤหาสถ์ทั้งหลังคงจะถูกระเบิดจนปลิว ถ้าหากว่าตนไม่อยู่ที่บ้าน และจดหมายถูกแม่และน้องเปิดออก ผลลัพธ์คงเลวร้ายไม่อาจจินตนาการ จะเป็นใครกันแน่ที่โหดเหี้ยมถึงขนาดนี้? เย่เทียนเฉินมีใจคิดจะฆ่าขึ้นมาแล้ว จะต้องกำจัดปัญหานี้ออกไปให้ได้
ใครก็คิดไม่ถึงว่า ในจดหมายเล็กๆ ฉบับหนึ่งจะอัดแน่นไปด้วยพลังงานอันมหาศาลแบบนี้ เย่เทียนเฉินระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากนี่เป็นเคล็ดวิชาพลังพิเศษอันสูงส่งลึกล้ำประเภทหนึ่ง ซึ่งเป็นการนำพลังพิเศษอันมหาศาลอัดแน่นให้เล็กเท่าเม็ดข้าว เล็กเท่าเม็ดข้าวจนไม่อาจเล็กไปกว่านี้ได้ เมื่อระเบิดออกมายังร้ายกาจยิ่งกว่าขีปนาวุธเป็นร้อยเท่า ก็เหมือนกับผู้แข็งแกร่งระดับเทพราชันในตำนานเล่าขาน ที่สามารถคว้าดาวเอาไว้ในมือได้ นี่ก็เป็นเคล็ดวิชาที่แข็งแกร่งมากอย่างหนึ่ง
ฉัวะ!
เย่เทียนเฉินเปิดจดหมายสีขาวในมือซ้ายออกทันที พริบตานั้นพลังพิเศษอันมหาศาลฟุ้งกระจายออกมา กระทั่งเย่เทียนเฉินก็รู้สึกถึงอันตรายจึงรีบใช้โล่พลังพิเศษเบื้องหน้าของตนอย่างรวดเร็ว
ตู้ม!
เสียงที่เรียกได้ว่าดังลั่นสนั่นฟ้าดังขึ้น เพียงแต่ถูกเขตแดนปิดกั้นที่เย่เทียนเฉินใช้ควบคุมเอาไว้ มิเช่นนั้นเมื่อระเบิดออกมาและเย่เทียนเฉินประเมินพลังและวิธีการของมันต่ำเกินไป เกรงว่าคงไม่จบแค่คฤหาสน์ตระกูลเย่ของเขาถูกระเบิดจนปลิว ถูกระเบิดจนแหลกเป็นเสี่ยงๆ แต่กระทั่งเขตคฤหาสน์ผืนนี้ก็คงกลายเป็นพื้นราบ ดูท่าคนที่มาส่งจดหมายคิดจะส่งคนตระกูลเย่ทุกคนไปขึ้นสวรรค์ในชั่วพริบตา โหดเหี้ยมเป็นอย่างมาก
ภายในเขตแดนปิดกั้น เสียงดังสนั่น โล่พลังพิเศษเบื้องหน้าเย่เทียนเฉินถูกระเบิดจนแหลกสลาย เขาให้ความสำคัญกับพลังป้องกันมาโดยตลอด และลงทุนลงแรงกับเคล็ดวิชาโล่พลังพิเศษนี้ไปมาก นี่เป็นครั้งแรกที่โล่พลังพิเศษของเขาถูกคนอื่นทำให้แตกได้ จินตนาการได้เลยว่าพลังที่ระเบิดออกมาจากจดหมายน่าหวาดกลัวเพียงใด โล่พลังของเขาถึงกับแตกเป็นเสี่ยงๆ กระทั่งเขตแดนปิดกั้นก็เกือบจะพังทลาย ผู้ลงมือสามารถนำพลังพิเศษอันมหาศาลนี้อัดแน่นลงไปในจดหมายเล็กๆ ฉบับเดียวได้ วิธีการที่แข็งแกร่งขนาดนี้ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกตื่นตะลึง ท่าทางอีกฝ่ายจะเป็นผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งมากคนหนึ่ง ไม่อาจดูเบาได้
ตอนนี้เอง เบื้องหน้าของเย่เทียนเฉินมีตัวอักษรแถวหนึ่งปลิวออกมา ซึ่งเป็นตัวอักษรที่เขียนขึ้นจากพลังพิเศษ หลังจากที่ปรากฏขึ้นก็จะสลายไปในทันที แต่ก็มีเวลาเพียงพอที่จะทำให้ผู้รับมองเห็นอย่างชัดเจน
“เย่เทียนเฉิน แกฆ่าลูกหลานตระกูลเซวียนเยวี๋ยนของฉัน ฉันก็จะให้ตระกูลเย่ทั้งตระกูลตายเป็นเพื่อน ไม่ให้เหลือแม้แต่ไก่สักตัว หากแต่ไม่ตายก็ดี ฉันจะให้แกได้เห็นคนใกล้ชิดของแกตายไปต่อหน้าต่อตาแกทีละคน!”
ท้าทาย คุกคามและข่มขู่ นี่คือสารท้ารบที่มาจากตระกูลเซวียนเยวี๋ยน เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว เขาคิดไม่ถึงเลยว่าการแก้แค้นของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนจะมาถึงรวดเร็วขนาดนี้ และคิดไม่ถึงว่าในตระกูลเซวียนเยวี๋ยนจะมียอดฝีมือแบบนี้อยู่ เกรงว่านี่จะเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เขาเคยพบหลังจากที่มาเกิดใหม่ในโลกใบนี้ ดูจากวิธีการที่พลังพิเศษอันมหาศาลที่แฝงอยู่ในจดหมายระเบิดออกมาเพียงอย่างเดียวก็ทำให้คนต้องตื่นตะลึงจนตาค้างแล้ว กระทั่งเย่เทียนเฉินเองก็ไม่กล้าดูเบาแม้แต่ครึ่งส่วน
“ตระกูลเซวียนเยวี๋ยน ดูท่าฉันจะต้องเตรียมตัวให้เร็วสักหน่อยแล้ว!” เย่เทียนเฉินกำมือขวาเบาๆ ตัวอักษรเบื้องหน้าสลายไปหมดแล้ว ในสายตาของเขาปรากฏความโกรธราวเปลวเพลิงขึ้น เมื่อต้องเผชิญหน้ากับตระกูลเซวียนเยวี๋ยนที่ทรงอำนาจและกดดันผู้คนเช่นนี้ เย่เทียนเฉินไม่มีความกลัวอยู่เลย เขาเพียงกำลังคิดว่า จะกำจัดตระกูลเซวียนเยวี๋ยนอย่างไรภายใต้สถานการณ์ที่ต้องคุ้มครองคนในครอบครัว ผู้อื่นมาหาเรื่องถึงประตูแล้ว ถ้ายังไม่ลงมืออีกก็สายเกินไป
ก๊อกๆ!
ประตูห้องนอนมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น จากนั้นจึงตามมาด้วยเสียงของแม่ “เทียนเฉิน อ่านจบหรือยัง รีบออกมาเถอะ ไปเดินเล่นเป็นเพื่อนหรูเสวี่ยสักหน่อย!”
เย่เทียนเฉินรู้ว่าแม่เป็นห่วงตน บางทีที่ตนพูดว่าเป็นจดหมายรักอาจจะหลอกเย่เชี่ยนเหวินได้ แต่กลับไม่สามารถหลอกหลัวเยี่ยนที่ฉลาดเฉลียวได้ เขาอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเย็นยะเยือก วันนี้หากไม่ใช่เพราะตนอยู่บ้าน ผลกระทบที่มีต่อแม่และน้องคงไม่อาจจินตนาการได้เลยจริงๆ
“พ่อแม่ เชี่ยนเหวิน ผมจะต้องคุ้มครองทุกคนให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นใคร กล้ามาคุกคามความปลอดภัยของทุกคน ผมจะต้องทำให้มันไม่มีโอกาสได้เห็นพระอาทิตย์วันพรุ่งนี้อีก ในเมื่อสวรรค์มอบความโปรดปรานให้กับผมแล้ว ในเมื่อได้มีชีวิตใหม่แล้ว ถ้างั้นผมจะต้องคุ้มครองทุกสิ่งทุกอย่างที่มีในตอนนี้ ครอบครัวของผม มิตรสหายของผม ใครกล้ามาทำร้าย? ก็ต้องใช้ชีวิตเข้าแลก!” ในใจของเย่เทียนเฉินทำการตัดสินใจแล้ว จากนั้นจึงเดินไปที่ประตูห้อง
…………………..
เย่เทียนเฉินและเย่เชี่ยนเหวินสองคนกำลังทะเลาะกันอยู่ที่ห้องโถง เมื่อเห็นว่าหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่และฉีหรูเสวี่ยเดินลงมาจากชั้นสองของคฤหาสถ์แล้วจึงหยุดทะเลาะ เนื่องจากแม่สวมรองเท้าส้นสูงคู่งามเดินลงมาจากชั้นบนแล้ว ซึ่งก็คือรองเท้าที่ฉีหรูเสวี่ยซื้อให้เธอ
“ว้าว แม่คะ แม่ใส่รองเท้าส้นสูงแล้วดูดีจริงๆ!” เย่เชี่ยนเหวินวิ่งมาอย่างร่าเริง เกาะแขนผู้เป็นแม่แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
“พระเจ้า นี่ผมเห็นอะไรกัน? นางเซียนลงมาจากสวรรค์หรือ? แม่ครับ ผมไม่พูดไม่ได้แล้ว พอแม่สวมรองเท้าส้นสูงคู่นี้ก็ดูเด็กลงไปอย่างน้อยก็ยี่สิบปี ไม่สิ สามสิบปีเลย องค์จักรพรรดินี โปรดประทานโอกาสให้กระหม่อมได้เต้นรำกับพระองค์ด้วยเถิด…” เย่เทียนเฉินกล่าวชมเกินจริงขึ้นมาก หยอกล้อจนหลัวเยี่ยนจนอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา สองพี่น้องคู่นี้บางครั้งก็ทำให้เธอเบิกบานใจจริงๆ
“พวกลูกสองพี่น้องไม่กลัวหรูเสวี่ยหัวเราะเยาะจริงๆ สินะ จะทำท่าทางเว่อร์กันเกินไปหรือเปล่า?” ปากของหลัวเยี่ยนก็พูดเช่นนี้แต่ในใจกลับรู้สึกยินดีมาก ใครบ้างที่ไม่ชอบให้คนอื่นชมว่าตนดูเด็กลง? โดยเฉพาะเมื่อใช้ชีวิตมาจนถึงอายุเท่าเธอ คนที่ชมตนก็ยังเป็นลูกชายลูกสาว เมื่อได้สัมผัสกับความสัมพันธ์แบบนี้ทำให้รู้สึกยินดีอย่างหาใดเปรียบจริงๆ
“กลัวอะไร พี่สาวหรูเสวี่ยไม่ใช่คนนอก อีกอย่าง ไม่แน่ว่าอีกไม่นานก็จะกลายเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว…” เย่เชี่ยนเหวินเป็นคนเก็บความลับไม่อยู่ ยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ พูดทางจงใจมองไปยังพี่ชายของตน
แก้มงามของฉีหรูเสวี่ยแดงระเรื่อ ในใจของเธอคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครัวเมื่อสักครู่นี้ ความจริงรู้สึกเขินอายอยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่าตนจะต้องการยั่วยวนเย่เทียนเฉินโดยไม่รู้ตัว หรือว่าในใจลึกๆ จะหลงรักผู้ชายคนนี้จนถึงขั้นนั้นแล้ว? ฉีหรูเสวี่ยทำให้ตัวเองตกใจครั้งใหญ่จริงๆ
“อือฮึ แม่ครับ แต่ผมพูดจริงนะครับ รองเท้าส้นสูงคู่นี้ใครใส่ก็ดูดีไม่เท่าแม่ใส่ รองเท้าส้นสูงคู่นี้สร้างมาเพื่อแม่จริงๆ ไม่สิ ต้องบอกว่าโรงงานที่ผลิตรองเท้าหนังแห่งนี้มีอยู่เพื่อแม่โดยเฉพาะ!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนเลยแม้แต่น้อย
ความจริงแล้ว ในตระกูลเย่ มีบรรยากาศแห่งความสุขเช่นนี้มาตลอด เดิมทีหลัวเยี่ยนเองก็ไม่อยากจะทำตัวเป็นแม่หัวโบราณอะไรอยู่แล้ว ส่วนเย่เชี่ยนเหวินก็มีนิสัยร่าเริง น่ารักเป็นอย่างมาก คอยบ่นเรื่องพี่ชายให้แม่ฟังเป็นระยะ เป็นชีวิตธรรมดาๆ เท่านั้น และเนื่องจากเย่เทียนเฉินที่ให้เงินค่าขนมเย่เชี่ยนเหวินเดือนละร้อยหยวนรับไม่ได้ที่เด็กคนนี้ไปฟ้องแม่ จึงได้ประนีประนอมกัน ส่วนเย่เทียนเฉินที่มีนิสัยทั้งอันธพาลและคล้ายกับมัจจุราช กล่าวคือในตอนที่ไม่มีเรื่องอะไรก็สามารถพูดคุยหยอกล้อได้ ตอนที่มีเรื่องก็เป็นจักรพรรดิที่ไม่อาจหาเรื่องได้
ที่สำคัญที่สุดก็คือ หลังจากที่เย่เทียนเฉินมาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ มีความหวงแหนต่อครอบครัวมากขึ้นเป็นเท่าตัว ความหวังสูงสุดของเขาก็คือการที่สามารถใช้ชีวิตอย่างเบิกบานใจกับพ่อแม่และน้องสาวชั่วชีวิต ปกป้องพวกเขาไม่ให้พบกับความไม่เป็นธรรมใดๆ ตอนนี้ดูแล้วคงจะไม่ได้ ในเมื่อไม่ได้ก็ต้องทำให้ตนเองแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ใครที่ขวางทางก็ฆ่าให้หมด ถึงจะสามารถสงบได้
“แม่ว่านะเทียนเฉิน ลูกอย่าเอาแต่พูดเลย ลูกยังไม่รู้ความเท่าหรูเสวี่ยด้วยซ้ำ เป็นประธานกรรมการแห่งเครือไห่หวางที่สง่าผ่าเผย แต่ของขวัญสักชิ้นก็ไม่เคยซื้อให้แม่กับน้อง ลูกก็จะขี้งกเกินไปหรือเปล่า ขนาดจะให้แม่กับน้องใช้เงินเล็กน้อยก็ยังทำใจไม่ได้…เฮ้อ เลี้ยงลูกชายนี่ไม่ง่ายเลยจริงๆ!”
หลัวเยี่ยนเห็นเย่เทียนเฉินทำท่าทางทาง ก็จงใจแสร้งทำเหมือนได้รับความไม่ยุติธรรมออกมาบ้าง ทำให้ฉีหรูเสวี่ย เย่เชี่ยนเหวินและเย่เทียนเฉินที่อยู่ด้านข้างมองจนตกตะลึง ใครก็คิดไม่ถึงว่าแม่จะใช้ลูกไม้นี้ ดูถูกไม่ได้จริงๆ แสดงออกมาได้ดียิ่งกว่าพวกเขามากนัก ขิงยิ่งแก่ก็ยิ่งเผ็ด นี่ไม่เพียงแต่ทำให้เย่เทียนเฉินคิดถึงสิ่งที่หลัวเยี่ยนแสดงออกมาที่ตระกูลหลัว ทำให้เขาต้องยกนิ้วให้จริงๆ
“ใช่แล้ว เฮ้อ เป็นน้องสาวนี่ก็ไม่ได้รับสวัสดิการอะไรเลย พี่ชายเป็นถึงประธานคณะกรรมการแห่งเครือไห่หวางที่มีมูลค่านับร้อยล้าน แต่ก็ไม่เคยเห็นจะให้ของขวัญเลย…” เย่เชี่ยนเหวินเองก็แสดงไปกับหลัวเยี่ยน เข้าข้างหลัวเยี่ยนอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้คนต้องรู้สึกอับจนคำพูดจริงๆ
เมื่อเห็นว่าเย่เทียนเฉินไม่พูดอะไร หลัวเยี่ยนก็รีบหันไปพูดกับฉีหรูเสวี่ยที่อยู่ด้านข้าง “หรูเสวี่ยก็พูดอะไรหน่อยเถอะ เทียนเฉินก็จะขี้งกเกินไปแล้ว”
“ใช่แล้วพี่สาวหรูเสวี่ย พี่เองก็ว่าพี่ชายบ้างเถอะ เขาจะขี้เหนียวเกินไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งขี้เหนียวกับน้องสาวมาก…แบร่!” เย่เชี่ยนเหวินพูดพลางหันไปแลบลิ้นให้เย่เทียนเฉิน จงใจยั่วโมโห
“อา…” ฉีหรูเสวี่ยชะงักไป แก้มเล็กๆ แดงระเรื่อ กัดริมฝีปากล่างเบาๆ ไม่รู้จะพูดอะไรดี เธอยังคงจมอยู่ในความกระอักกระอ่วนเมื่อสักครู่นี้อยู่
“แม่ น้อง พวกแม่เห็นไหม? มีแต่พวกคุณแม่สองคนที่บอกว่าผมขี้งก ไปบอกให้หรูเสวี่ยพูด เธอก็พูดไม่ออกใช่ไหม? ความจริงผมคนนี้ใจกว้างมาก แต่พวกแม่คิดเล็กคิดน้อยเกินไป!”
เย่เทียนเฉินส่ายหน้า พูดจาให้ตัวเองสบายใจ ไม่ใช่ว่าเขารู้สึกเสียดายที่จะให้แม่และน้องใช้เงิน แต่เป็นเพราะเหมือนที่เขากล่าวกันว่า สำหรับเย่เทียนเฉินแล้วยิ่งเงินเยอะก็ไม่มีประโยชน์อะไรแม้แต่น้อย ไม่มีเรื่องอะไรที่จะสำคัญกว่าครอบครัว เพียงแต่ด้วยนิสัยของเขาไม่เคยคิดถึงเรื่องของขวัญอะไรนี่เลย ยิ่งไปกว่านั้นอีคิวของเขาก็ต่ำเตี้ยเรี่ยดินขนาดนี้ ไม่คิดเรื่องซื้อของอะไรโดยสิ้นเชิง ตอนนี้เห็นแม่และน้องร่วมมือกันรุมตัวเองก็รีบแก้ตัวออกมา
ไหนเลยจะรู้ว่า ในตอนที่เย่เทียนเฉินกำลังได้ใจ เตรียมจะหมุนตัวเดินไปนั้น ฉีหรูเสวี่ยจะพูดขึ้นว่า “นี่ ก่อนหน้านี้นายแอบกินกุ้งมังกรของฉัน ตอนนี้ยังแอบกินเนื้อที่ฉันทำอีก ไม่คิดว่าควรจะซื้อของขวัญตอบแทนฉันบ้างหรือไง?”
ฉีหรูเสวี่ยพูดจาทำให้ผู้คนตกใจได้จริงๆ เมื่อคำพูดนี้ของเธอถูกกล่าวออกมา เย่เทียนเฉินก็มึนงงลงทันตา ต้องกล่าวว่าเขาเป็นลูกผู้ชายคนหนึ่ง จะไปแอบกินอะไรได้อย่างไร ทั้งๆ ที่เขาได้กลับชาติมาเกิดใหม่จากดาวสิ้นโลก สิ่งที่ชอบที่สุดก็คือการกินอาหารเลิศรสบนโลกนี้ ตอนนี้ถูกฉีหรูเสวี่ยพูดแบบนี้ใส่ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก หลัวเยี่ยนและเย่เชี่ยนเหวินที่ได้เห็นก็อดไม่ได้ที่จะแอบหัวเราะ คิดว่าฉีหรูเสวี่ยร้ายกาจกว่าพวกเธอมากนัก พูดประโยคเดียวก็ควบคุมเย่เทียนเฉินได้แล้ว
“ฉัน…นั่นเรียกว่าแอบกินได้เหรอ? ฉันใช้ร่างกายทดสอบพิษ ทดสอบดูว่าอาหารที่เธอทำมีปัญหาหรือเปล่า…” เย่เทียนเฉินคิดคำแก้ตัวไม่ออกจริงๆ เขาพูดพลางยักไหล่
“อ้อ กุ้งมังกรตัวใหญ่ที่ฉันทำก่อนหน้านี้คุณน้ากับน้องเชื่อยนเหวินก็กินไปก่อนแล้ว ส่วนเนื้อวัวตุ๋นหัวไชเท้า น้องเชี่ยนเหวินก็ชิมไปก่อนแล้ว ต้องให้นายมาทดสอบอีกเหรอ? แล้วยังมีผลไม้จานนั้นอีก ไม่รู้ว่าใครแอบลงมากินตอนกลางคืน จนท้องเสียไปหนึ่งวันเต็มๆ!” ฉีหรูเสวี่ยพูดกับเย่เทียนเฉินแล้วยู่ปากเล็กๆ อันน่ารักขึ้น
“เธอสารภาพเองแล้วใช่ไหม? ผลไม้จานนั้นเธอจงใจวางยา จงใจแกล้งฉัน ในที่สุดก็สารภาพออกมาเองแล้ว!” เย่เทียนเฉินมองไปยังฉีหรูเสวี่ยแล้วพูดขึ้นด้วยท่าทางดุดัน
“เปล่านะ นายสมควรได้รับมันแล้ว แอบมาขโมยของกินตอนกลางคืน กินผลไม้จานใหญ่หมดไปขนาดนั้นไม่ท้องเสียก็แปลกแล้ว…” ฉีหรูเสวี่ยเองก็ไม่ยอมอ่อนข้อแม้แต่น้อย เธอพูดขึ้นพลางยักไหล่สูง
หลัวเยี่ยนและเย่เชี่ยนเหวินที่อยู่ข้างๆ เห็นเย่เทียนเฉินและฉีหรูเสวี่ยตีฝีปากกันโดยไม่รับรู้ถึงคนอื่นโดยสิ้นเชิง จนทำให้บรรยากาศอบอุ่นขึ้นมา ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มน้อยๆ ในสายตาของพวกเธอ เย่เทียนเฉินและฉีหรูเสวี่ยเหมาะสมกันมาก บางทีใครหลายคนอาจจะบอกว่า หลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่และเย่เชี่ยนเหวินผู้เป็นน้องสาวจะคิดมากเกินไปหรือเปล่า? เมื่อเห็นผู้หญิงคนหนึ่งก็ดูเหมือนจะต้องการให้มาเป็นพี่สะใภ้ลูกสะใภ้ของตนทันที หากคุณมีลูกชายหรือพี่ชายที่เคยใช้ชีวิตว่างเปล่าไม่ยอมร่ำเรียนหนังสือมาตลอดจนอายุยี่สิบ และยังดูท่าทางติดเล่นอยู่มาก กระทั่งแฟนก็ไม่มี ยิ่งไม่เข้าใจเรื่องความรัก อีคิวก็ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน คุณก็จะรู้สึกกังวลมาก จะรีบจัดการเรื่องการแต่งงานซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตของเขา
“เอาล่ะๆ เทียนเฉิน เอาแบบนี้แล้วกัน ของขวัญเหล่านี้เพื่อแสดงถึงหนี้ที่ลูกติดค้างพวกเรา ส่วนของแม่และน้องรอก่อนก็ได้ แต่ลูกจะต้องซื้อของขวัญให้หรูเสวี่ย เป็นของแทนคำขอโทษและของตอบแทน!” หลัวเยี่ยนพูดขัดเย่เทียนเฉินและฉีหรูเสวี่ยด้วยรอยยิ้ม
“เอ๋? แม่ครับ ผมไม่ได้ติดหนี้อะไรเธอ แล้วยังต้องให้ของขวัญอีก จะวุ่นวายเกินไปหรือเปล่า?” เย่เทียนเฉินพูดพลางกรอกตาใส่ฉีหรูเสวี่ย
“ลูกนี่นะ ก่อนหน้านี้ตอนที่หรูเสวี่ยอาศัยอยู่ในบ้านของพวกเรา ลูกกินข้าวที่ใครทำ ตอนนี้ไม่ง่ายเลยกว่าที่หรูเสวี่ยจะมาเยี่ยมสักครั้ง และทำกับข้าวให้พวกเรากิน ลูกก็ไปแอบกินเป็นคนแรก มอบของขวัญให้เธอก็เป็นเรื่องเหมาะสม เอาตามนี้แล้วกัน ไม่งั้นแม่จะโกรธแล้ว!” หลัวเยี่ยนมองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้นอย่างจริงจัง
ต้องกล่าวว่าบนโลกแห่งนี้คนที่สามารถสยบเย่เทียนเฉินได้มากที่สุดก็คือหลัวเยี่ยนอย่างแน่นอน นี่ไม่ใช่ความหวาดกลัว และก็ไม่ใช่คำสั่ง แต่เป็นการตอบแทนความรักที่ครอบครัวและพ่อแม่มีให้กับเขา เมื่อเห็นแม่ดูจริงจังขึ้นมาจริงๆ เย่เทียนเฉินก็ส่งเสียงตอบรับออกมา มองไปยังฉีหรูเสวี่ยที่แย้มยิ้มราวดอกไม้บาน ถือว่าเธอชนะไปอีกครั้งแล้ว เขาทอดถอนใจออกมาอย่างจนคำพูด เดินเข้าไปในครัวเตรียมกินข้าว
การตั้งโต๊ะกินข้าวเป็นหน้าที่ของเย่เทียนเฉินและเย่เชี่ยนเหวิน เนื่องจากฉีหรูเสวี่ยมาหา หลัวเยี่ยนย่อมต้องอยู่คุยเป็นเพื่อนเธอด้วยตัวเอง และเธอชอบฉีหรูเสวี่ยมากด้วย ในหมู่ผู้หญิงที่มาติดพันลูกชายในช่วงนี้ คนที่หลัวเยี่ยนพึงพอใจมากที่สุดก็คือฉีหรูเสวี่ย ยอดเยี่ยมไปทุกด้านจริงๆ จุดอ่อนเพียงข้อเดียวก็คือดูเหมือนว่าลูกชายจะไม่มีความรู้สึกอะไรต่อฉีหรูเสวี่ย
สองทุ่มท้องฟ้ามืดแล้ว เย่เทียนเฉิน เย่เชี่ยนเหวิน หลัวเยี่ยน และฉีหรูเสวี่ยต่างนั่งล้อมกินข้าวกันบนโต๊ะอาหารอย่างมีความสุข กระทั่งการทะเลาะกันของเย่เทียนเฉินและเย่เชี่ยนเหวินในตอนแรกก็ลืมไปหมดแล้ว พวกเขากินไปพลางพูดคุยไปพลาง เมื่อรวมเข้ากับเนื้อตุ๋นหัวไชเท้าที่ฉีหรูเสวี่ยทำซึ่งอร่อยเลิศเป็นอย่างมาก ทำให้ทุกคนกินข้าวกันอย่างมีความสุข มีหลายครั้งที่เย่เชี่ยนเหวินแย่งเนื้อมาจากในถ้วยของเย่เทียนเฉิน ทำให้เย่เทียนเฉินโกรธจนพูดอะไรไม่ออก
“เทียนเฉิน กินข้าวเสร็จลูกก็ไปเดินเล่นกับหรูเสวี่ยสักหน่อยเถอะ ถึงแม้หรูเสวี่นจะอยู่ที่บ้านตระกูลเย่ของพวกเรามาระยะหนึ่ง แต่ก็ยังไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมของเขตคฤหาสถ์นี้ ลูกพาไปเดินดูรอบๆ สักหน่อยแล้วกัน!” หลัวเยี่ยนเอ่ยปากพูดด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ต้องหรอกค่ะคุณน้า หนูเดินไปดูเองก็ได้!” ฉีหรูเสวี่ยพูดด้วยรอยยิ้มหวานเยิ้ม
“จะทำอย่างนั้นได้ยังไง หนูเป็นแขก ให้เทียนเฉินไปเดินรอบๆ เป็นเพื่อนเถอะ ถ้าเด็กคนนี้กล้ารังแกหนู หนูก็มาบอกน้าได้เลย น้าจะจัดการเขาให้!” หลัวเยี่ยนจ้องไปยังลูกชายของตนแล้วพูดขึ้น
เย่เทียนเฉินรู้สึกอับจนคำพูดโดยสิ้นเชิง เขารู้ว่าแม่และน้องสาว อีกทั้งยังมีฉีหรูเสวี่ย ผู้หญิงสามคนนี้อยู่ฝ่ายเดียวกัน ตนเองพูดไปจะไม่นับเป็นการหาเรื่องหรือไง? หุบปากกินเนื้อตุ๋นหัวไชเท้าเลิศรสไปเงียบๆ จะดีกว่า!
…………………..
“แม่ครับ ผมกับหรูเสวี่ยเป็นแค่เพื่อนธรรมดาๆ ไม่ได้เป็นแบบที่พวกแม่คิด แล้วเมื่อกี้เชี่ยนเหวินก็เข้าใจผิด เมื่อกี้ไม่ทันได้ระวังก็เลย…” เย่เทียนเฉินพูดขัดคำพูดของหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ เขาไม่อยากถูกแม่และน้องสาวเข้าใจผิดต่อไป หากปล่อยไว้นานจนคนในบ้านเห็นด้วย จะต้องซวยแน่
“เทียนเฉิน เด็กคนนี้นี่ แม่ยังไม่ได้พูดอะไรเลย ลูกกับหรูเสวี่ยเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันแม่ก็ดีใจแล้ว ส่วนเรื่องของวัยรุ่นอย่างพวกลูก แม่จะไม่ยุ่ง แล้วก็คงยุ่งไม่ได้ด้วย ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติเถอะ!” หลัวเยี่ยนก็พูดขัดคำพูดของเย่เทียนเฉินเช่นกัน
“แม่ครับ ความหมายของผมก็คือ…”
“เอาล่ะ แม่รู้แล้ว ปล่อยมันไปเถอะ ลูกกินอิ่มแล้วแต่พวกเรายังหิวอยู่นะ!”
หลัวเยี่ยนไม่ให้โอกาสเย่เทียนเฉินพูดต่อไปอีก เธอย่อมมองความคิดของลูกชายออก และรับรู้ความรู้สึกของฉีหรูเสวี่ยด้วย จึงไม่อยากให้ลูกชายพูดต่อไป ประการแรกก็เพราะไม่อยากให้ฉีหรูเสวี่ยต้องอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอับอาย ไม่อยากทำให้เด็กสาวที่ทั้งเฉลียวฉลาดรู้ความและทั้งหน้าตาสวยงามคนนี้ต้องปวดใจ ประการที่สองก็เพราะรู้ว่า ในตอนนี้เย่เทียนเฉินผู้เป็นลูกชายยังไม่มีความรู้สึกอะไรกับฉีหรูเสวี่ย ไม่มีความรักหนุ่มสาวอะไรเลย รวมกับที่ลูกชายมีอีคิวต่ำมาโดยตลอด ดังนั้นหลัวเยี่ยนจึงต้องการให้โอกาสลูกมากๆ หน่อย ความรู้สึกจะต้องได้รับการบ่มเพาะ รักแรกพบก็เป็นแค่เรื่องเล่าขานเท่านั้น
“นี่…”
“เชี่ยนเหวิน ลูกกับพี่ไปรับผิดชอบจัดโต๊ะอาหาร แม่กับหรูเสวี่ยนจะไปลองรองเท้า!” หลัวเยี่ยนพูดกับฉีหรูเสวี่ยด้วยรอยยิ้ม
เมื่อเห็นหลัวเยี่ยนและฉีหรูเสวี่ยเดินขึ้นไปชั้นสองด้วยกัน เย่เทียนเฉินก็รู้สึกอับจนคำพูด เขาคิดจะอธิบายให้ชัดเจน อยากอธิบายเรื่องความสัมพันธ์ของเขากับฉีหรูเสวี่ยให้ชัดเจนเพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดแบบนี้ต่อไป ไหนเลยจะรู้ว่าแม่และน้องสาวอีกทั้งยังมีฉีหรูเสวี่ย จะไม่ให้โอกาสเขาได้พูดเลย จะไม่ให้เขารู้สึกจนใจได้อย่างไร
“จบแล้ว จบสิ้นแล้ว!” เย่เทียนเฉินทอดถอนใจ นั่งลงบนโซฟา แล้วพูดขึ้นพลางส่ายหน้า
ตอนนี้เอง เย่เชี่ยนเหวินยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมา เดินมาเบื้องหน้าเย่เทียนเฉิน มองขึ้นไปที่ชั้นสองด้วยท่าทางลึกลับ จากนั้นจึงพูดเสียงเบาว่า “พี่ เมื่อกี้พี่จูบกับพี่หรูเสวี่ยใช่ไหม? พี่นี่กล้าจริงๆ อีคิวต่ำขนาดนี้แต่กลับใจกล้า แถมยังมีโอกาสกุมหัวใจสาวงามได้อีก!”
เย่เทียนเฉินมองเย่เชี่ยนเหวินผู้เป็นน้อง เด็กคนนี้ยังคงมีท่าทางเหมือนกับใต้เท้าตัวน้อย คิดที่จะมาถามเรื่องในม่านมุ้ง เมื่อครู่ก็เป็นเพราะเธอปากมาก พอเห็นเหตุการณ์ในห้องครัวของตนกับฉีหรูเสวี่ยก็รีบเอาไปบอกแม่ ทำให้แม่ไม่ยอมฟังตนอธิบายจนเข้าใจผิดกันไปใหญ่
“เด็กคนนี้นี่ ปกติพี่ชายดูแลเธอไม่ดีหรือไง? ทำไมพอถึงเวลาสำคัญก็ขายพี่ได้ล่ะ? ท่าทางวันข้างหน้าเธอคงไม่มีค่าขนมอะไรแล้ว แล้วก็อย่ามาหาพี่ด้วยพี่จนมาก!” เย่เทียนเฉินมองเย่เชี่ยนเหวินผู้เป็นน้อง จงใจพูดหยอกล้อออกมา
เย่เชี่ยนเหวินชะงักไป รีบเดินไปนั่งข้างเย่เทียนเฉิน ดึงแขนเย่เทียนเฉินอย่างไม่สบอารมณ์ มองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างดุดันแล้วกล่าวขึ้นว่า “พี่ ตอนพี่ไม่พูดก็ยังดี แต่พอพูดแล้วทำให้หนูและแม่ไม่พอใจมาก หึ!”
“ไม่พอใจมาก? นี่ เงินค่าขนมที่ใช้ทุกเดือนไม่พอหรือไง เงินพวกนั้นก็เป็นเงินที่พี่สนับสนุนให้เธอไม่ใช่เหรอ? เธอยังมาไม่พอใจพี่อีก บนโลกนี้ยังมีความยุติธรรมอยู่ไหม?” เย่เทียนเฉินมองท่าทางน่ารักของผู้เป็นน้องแล้วกล่าวขึ้นด้วยท่าทางรับไม่ได้
“พี่ พี่ยังกล้าพูดอีกว่าเป็นเงินสนับสนุนที่พี่มอบให้หนูทุกเดือน มีครั้งไหนบ้างที่หนูกินแกลบจนแทบจะทนไม่ไหวจนต้องหน้าด้านไปขอจากพี่ พี่ถึงจะให้? มีหลายครั้งที่พี่ให้หนูมาแค่หยวนสองหยวน พี่ยังเป็นประธานกรรมการเครือไห่หวางที่สง่าผ่าเผยอยู่หรือเปล่า? ที่สำคัญก็คือพี่เป็นถึงประธานกรรมการ อย่างน้อยก็มีค่าถึงร้อยล้านละมั้ง? แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยซื้อของขวัญให้หนูและแม่เลย จะเกินไปแล้ว หึ!” เย่เชี่ยนเหวินทำแก้มป่องอย่างน่ารัก มองไปยังเย่เทียนเฉินผู้เป็นพี่อย่างดุดันแล้วกล่าวขึ้น
แน่นอนว่าเย่เชี่ยนเหวินไม่ได้ไม่พอใจพี่ชายเพราะความขี้เหนียวของเขาจริงๆ เพียงแต่อยากจะหยอกล้อกันเล่นเท่านั้น ทำให้พี่มีอีคิวเพิ่มมากขึ้นสักหน่อย ความจริงจนถึงตอนนี้เย่เทียนเฉินก็เปลี่ยนไปมาก แต่เพราะเรื่องในสมัยก่อนทำให้หลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่และเย่เชี่ยนเหวินน้องสาวรู้สึกไม่วางใจ ดังนั้นจึงคิดจะให้เขาหาแฟนให้เร็วสักหน่อย หากจะให้ดีก็ให้รีบแต่งงานเร็วๆ เมื่ออยู่ในมุมที่ต่างออกไปจะต้องมีความคิดต่างออกไปแน่นอน
“นี่นะเหรอ ความจริงเรื่องซื้อของขวัญให้คน พี่ก็ไม่เคยทำสักครั้งจริงๆ ก่อนหน้านี้มีแต่คนอื่นมอบของขวัญให้พี่ พี่ชายหล่อล้ำไร้คู่แข่งแบบนี้เลยคิดถึงเรื่องพวกนี้น้อยมาก ครั้งนี้เป็นเพราะปากของเธอที่ไปพูดเรื่องที่ไม่ควรพูดกับแม่ พี่เลยตัดสินใจจะหักเงินค่าขนมเธอ…”
“พี่ พี่จะแย่เกินไปแล้ว…” เย่เชี่ยนเหวินได้ยินพี่ชายพูดว่าจะหักเงินค่าขนมของเธอก็รีบส่งเสียงออกมา
“พี่ยังพูดไม่จบเลย จะรีบไปไหน…แต่เพราะปัญหาที่เธอมาพูดกับพี่นี้ก็เป็นความจริง พี่ไม่เคยซื้อของขวัญให้เธอกับแม่เลยจริงๆ ถือว่าพี่ทำไม่ถูก ดังนั้นถือว่าทำผลงานชดเชยความผิด พี่จะเพิ่มเงินค่าขนมให้เธอสักหน่อยก็แล้วกัน…” เย่เทียนเฉินพูดแล้วหัวเราะฮี่ๆ
“จริงเหรอคะ? พี่ พี่นี่เยี่ยมจริงๆ!” เย่เชี่ยนเหวินอดไม่ได้ที่จะหอมแก้มเย่เทียนเฉินครั้งหนึ่ง หาได้ยากนักที่พี่ชายคนนี้จะใจกว้าง ทำให้เธอรู้สึกดีใจมาก
บนโลกนี้เกรงว่ามีเพียงเย่เชี่ยนเหวินคนเดียวที่สามารถวุ่นวายกับเย่เทียนเฉินได้ และสามารถข่มขู่เย่เทียนเฉินได้แบบนี้ สำหรับครอบครัวเย่เทียนเฉินรู้สึกหวงแหนมากเป็นเท่าตัว ในช่วงเวลาที่อยู่ดาวสิ้นโลก เขาเป็นเด็กกำพร้า ความโดดเดี่ยวและความเดียวดายเช่นนั้น ในตอนที่คุณพบเจอกับรสชาติต่างๆ ของชีวิตก็ไม่มีใครที่จะร่วมแบ่งปันความรู้สึกไปกับคุณ ทำให้รู้สึกหวาดกลัว ทำให้รู้สึกสิ้นหวัง กระทั่งทำให้รู้สึกไม่มีความหมายพี่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป
“แน่นอนว่าพูดจริง พี่ชายของเธอเคยโกหกเธอที่ไหนกัน?” เย่เทียนเฉินพูดด้วยท่าทางเคร่งขรึม
“ฮี่ๆ แน่นอนว่าไม่เคย งั้นพี่คิดว่าทุกเดือนจะเพิ่มเงินค่าขนมให้หนูเท่าไหร่เหรอ?” เย่เชี่ยนเหวินถามด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“อืม…เรื่องนี้น่ะเหรอ ดูจากการเงินในตอนนี้ ดูจากระดับการใช้เงินของเธอในยามปกติ ดูจากพฤติกรรมช่วงนี้ของเธอ ดูจากความวุ่นวายแต่ละอย่างที่เธอทำกับพี่ ท่านประธานตัดสินใจว่า…จากเดิมทีที่เคยให้เงินค่าขนมเดือนละร้อยหยวน ตอนนี้จะให้…ร้อยห้าหยวน”
เมื่อได้ยินคำพูดสุดท้ายของเย่เทียนเฉิน เย่เชี่ยนเหวินก็แทบทรุด เดิมทีเธอก็เกาะความหวังไว้เต็มอก เห็นว่าไม่ง่ายเลยกว่าพี่พี่ชายขี้งกคนนี้จะใจกว้างขึ้นมาสักครั้ง คิดไปว่าจะเพิ่มเงินค่าขนมให้เธอเท่าไหร่ พูดไปพูดมา จนพูดถึงเรื่องนี้ สุดท้ายก็เพิ่มให้แค่ห้าหยวน…ด้วยสภาพเศรษฐกิจในตอนนี้ เงินห้าหยวนซื้อไม่ได้แม้แต่ไอศครีมด้วยซ้ำ…
ที่สำคัญก็คือคำพูดสุดท้ายของเย่เทียนเฉินทำให้เย่เชี่ยนเหวินรู้สึกราวกับตกสวรรค์มาถึงนรก พูดกันครึ่งวันแต่ก็เพิ่มให้เธอแค่ห้าหยวน…พี่ชายคนนี้ขี้เหนียวถึงที่สุดจริงๆ ทำให้เธอรู้สึกอยากร้องไห้โดยไร้น้ำตา
“พี่ พี่นี่แย่จริงๆ เฮ้อ…”
เย่เชี่ยนเหวินโวยวาย ใช้หมอนบนโซฟาตีเย่เทียนเฉิน แทบจะคลั่งไปแล้ว เย่เทียนเฉินกลับหัวเราะออกมาครั้งใหญ่ ความจริงเขาก็ไม่ได้มีแนวคิดอะไรกับธนบัตรพวกนี้มากมาย เพียงแต่นิสัย “ประหยัดและขี้เหนียว” มันเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงห้าหยวนเลย ต่อให้เป็นห้าร้อยล้าน ขอเพียงเย่เทียนเฉินเอาออกมาได้ หากน้องสาวต้องการเขาก็จะมอบให้ ในใจของเย่เทียนเฉินครอบครัวย่อมสำคัญกว่าอะไรทั้งหมด
ตอนนี้เองหลัวเยี่ยนและฉีหรูเสวี่ยเดินลงมาจากคฤหาสน์ชั้นสองเห็นเย่เทียนเฉินและเย่เชี่ยนเหวินทะเลาะกันอยู่ในห้องโถงก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา โดยเฉพาะฉีหรูเสวี่ยที่เห็นว่าเย่เทียนเฉินที่ในยามปกติมีความหัวโบราณเล็กน้อย ในตอนนี้กำลังทะเลาะกับน้องสาวอย่างเบิกบานใจ เหมือนกับเป็นลูกผู้ชายคนหนึ่ง ในใจรู้สึกอยากจะใกล้ชิดกับเขาจริงๆ คิดว่าหากตนเองสามารถอยู่ด้วยกันกับเย่เทียนเฉินได้จะดีมากแค่ไหนกัน
เมื่อครู่ที่อยู่ในห้องบริเวณชั้นสอง หลังจากที่หม่อมหน้าเปลี่ยนไปสวมรองเท้าที่ฉีหรูเสวี่ยซื้อให้เธอ ก็พูดคุยกับฉีหรูเสวี่ยมากมาย ลอบถามจนรู้ว่า ฉีหรูเสวี่ยที่สวยและฉลาดคนนี้ ฉีหรูเสวี่ยที่ตนรู้สึกดีด้วยคนนี้ หลงรักลูกชายของตนเข้าจริงๆ นี่ทำให้ในใจของหลัวเยี่ยนยินดีมาก คิดไม่ถึงว่าลูกชายจะมีวาสนาเช่นนี้ ทั้งๆ ที่เป็นคนไม่มีอีคิวเลยแม้แต่น้อย และแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เข้าใจเรื่องความรักจนทำให้หลัวเยี่ยนรู้สึกกังวลว่าลูกชายจะหาเมียไม่ได้ช่วยชีวิต ตอนนี้ผู้หญิงดีๆ อย่างฉีหรูเสวี่ยก็ชอบลูกชายของเธอแล้ว เธอที่เป็นแม่จะไม่ดีใจได้อย่างไร?
ดังนั้นหลัวเยี่ยนจึงพูดจาแฝงความนัยกับฉีหรูเสวี่ยมากมาย บอกเธอว่าตอนนี้เย่เทียนเฉินยังติดเล่นอยู่มาก ถึงแม้จะเป็นผู้ชายแต่บางครั้งก็ยังซุกซนยิ่งกว่าผู้หญิงมากนัก ถ้าอายุมากกว่านี้อีกสักหน่อยก็คงจะเคร่งขรึมขึ้นมาบ้าง จะอย่างไรตอนนี้เย่เทียนเฉินก็ยังเรียนมหาวิทยาลัยปีหนึ่งอยู่ ส่วนฉีหรูเสวี่ยอายุมากกว่าเขาสองปี ย่อมมีบ้างที่นิสัยแตกต่างกัน
“หรูเสวี่ย หนูดูสองพี่น้องคู่นี้สิ วันๆ ทำบ้านกลายเป็นสนามเด็กเล่นไปหมดแล้ว!” หลัวเยี่ยนหัวเราะ พูดพลางส่ายหน้า
“คุณน้าคะ หนูอิจฉาพวกเขาจริงๆ บางครั้งใช้ชีวิตธรรมดาสักหน่อยก็ไม่เห็นจะมีอะไรไม่ดี!” ฉีหรูเสวี่ยพูดอย่างจริงจัง
หลัวเยี่ยนพยักหน้า เธอเองก็เป็นผู้หญิงที่ออกมาจากตระกูลใหญ่ ย่อมเข้าใจว่าฉีหรูเสวี่ยพูดความจริง ยิ่งเป็นตระกูลใหญ่กฎเกณฑ์ก็ยิ่งมาก หากไม่มีกฎเกณฑ์ก็ไม่ได้ แต่เมื่อมีกฎเกณฑ์ก็จะเป็นการปิดกั้นธรรมชาติของคน ยิ่งไปกว่านั้นในตระกูลใหญ่มีแต่ความหน้าไหว้หลังหลอก มีหลายคนที่ถูกลาภยศสรรเสริญครอบงำจนตามืดบอด จะมีความสุขกว่าแบบนี้ได้อย่างไร?
“พวกลูกสองพี่น้องอย่าทะเลาะกันได้ไหม บอกให้ตั้งโต๊ะกินข้าว แล้วตอนนี้พวกลูกทำอะไรกันอยู่?” หลัวเยี่ยนแสร้งทำเป็นโกรธ เดินลงมาจากชั้นบนพลางเอ่ยปากขึ้น
“แม่คะ พี่ชายแกล้งหนู ถึงกับจะเพิ่มเงินค่าขนมให้หนูแค่เดือนละห้าหยวนเอง!” เย่เชี่ยนเหวินทำแก้มป่องอย่างน่ารัก ใช้หมอนบนโซฟาตีไปที่เย่เทียนเฉินอย่างแรงแล้วเอ่ยขึ้น
“นี่ เธอไม่เคารพพี่ชายเอาซะเลย ปากมากไปฟ้องแม่ทุกเรื่อง พี่เพิ่มเงินให้เธอห้าหยวนก็ไม่เลวแล้ว…” เย่เทียนเฉินหลบพลางกล่าวรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“เอาล่ะๆ ลูกสองคนไม่กลัวฉีหรูเสวี่ยหัวเราะเยาะเอาหรือไง อายุเท่าไหร่แล้วยังทะเลาะกันอีก รีบเตรียมกินข้าวเถอะ!” หลัวเยี่ยนส่ายหน้า บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มปลาบปลื้มออกมา หญิงชายคู่นี้นำความสุขมาให้เธอไม่น้อยเลยทีเดียว ไม่ได้เลี้ยงมาเสียเปล่าจริงๆ!
……………….
“เห้อ ต้องบอกว่าฝีมือในด้านการทำอาหารของฉีหรูเสวี่ยไม่เลวเลยจริงๆ …น่าเสียดายที่น่าเกลียดเกินไปหน่อย ก้นก็ไม่ผายมากพอ หน้าอกก็…ฮี่ๆ!” เย่เทียนเฉินกินเนื้อเลิศรสไปพลาง วิพากษ์วิจารณ์รูปร่างและฝีมือการทำอาหารของฉีหรูเสวี่ยไปพลาง โดยไม่รู้เลยว่าฉีหรูเสวี่ยได้มายืนอยู่ข้างหลังตนแล้ว
นี่เป็นเรื่องบังเอิญ ความจริงเย่เทียนเฉินไม่ใช่คนลามกอะไร แต่จะมากจะน้อยก็มีนิสัยอันธพาลอยู่บ้าง รวมกับที่ตอนนี้ได้กินเนื้อเลิศรส ทำให้มีความสุขมากจริงๆ แน่นอนว่าทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะคิดถึงฉีหรูเสวี่ยขึ้นมา และเผลอวิพากษ์วิจารณ์รูปร่างและฝีมือการทำอาหารของฉีหรูเสวี่ยไปตามใจ แต่จะอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าฉีหรูเสวี่ยจะมายืนอยู่ข้างหลังเขาและได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์นี้
“นี่!” ฉีหรูเสวี่ยกัดริมฝีปากเล็กๆ อันเซ็กซี่ของเธอ ตะโกนเรียกเย่เทียนเฉินจากด้านหลังอย่างกะทันหัน จงใจแกล้งให้เย่เทียนเฉินตกใจเล่น
“หวา…หวา เนื้อ…”
เย่เทียนเฉินไม่ได้สังเกตเห็นเลยว่าฉีหรูเสวี่ยเดินมาอยู่ข้างหลังตนแล้ว แล้วยังตะโกนเรียกออกมาเสียงดังอีกด้วย เดิมทีเขาก็วิ่งมาในห้องครัวเพื่อที่จะมาแอบกินเนื้อ ในใจยังคิดว่าอีกสักครู่พอแม่ของเขาเข้ามาพบจะโกรธหรือเปล่า ในตอนที่กำลังคิดก็ได้ยินเสียงตะโกนเรียกด้านหลัง เนื้อที่ใช้ตะเกียบคีบเข้าปากจึงกระเด็นออกไปด้วยความตกใจ
ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อไปนี้เป็นภาพที่ทำให้ฉีหรูเสวี่ยไม่สามารถลืมเลือนไปได้ชั่วชีวิต และทำให้เธอต้องตกใจจนอ้าปากเล็กๆ อันเซ็กซี่ของเธอขึ้น จ้องไปยังเย่เทียนเฉินอย่างตกตะลึง เย่เทียนเฉินเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วราวกับถูกกระตุ้น ใช้มือซ้ายรับจานเอาไว้ ส่วนมือขวาก็หยิบตะเกียบ พุ่งตัวไปยังเนื้อที่กระเด็นออกไปจนเกือบจะตกพื้น เขาอ้าปากกว้างรับเอาไว้แล้วงับเข้าไปในปาก เป็นภาพที่น่าเหลือเชื่อจริงๆ ทำให้รู้สึกร้องไห้ไม่ออกหัวเราะไม่ได้
ใครก็คิดไม่ถึงว่า ยอดฝีมือเช่นเย่เทียนเฉิน ชายที่เมื่อได้โหดเหี้ยมขึ้นมาก็น่ากลัวไม่ต่างอะไรจากเทพแห่งความตายคนนี้ จะดิ้นรนสุดชีวิตเพียงเพราะเนื้อชิ้นเดียว นี่ทำให้ผู้คนคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ถ้ายอดฝีมือที่เคยต่อสู้กับเขามาเห็นเข้า คงจะรู้สึกสิ้นหวังไปจริงๆ แล้ว เกรงว่าบนโลกใบนี้ ยอดฝีมือเพียงหนึ่งเดียวที่สามารถสละชีพได้เพียงพเพราะการกิน เห็นจะมีแต่เย่เทียนเฉินคนเดียวเท่านั้น
“ไม่เลว ไม่เลว ของดีขนาดนี้จะทำให้เสียเปล่าไม่ได้เด็ดขาด นี่ เธอมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่เข้าประตู?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะมองไปยังฉีหรูเสวี่ยแล้วจงใจถามออกมาเสียงดัง
“ฉัน…ขอโทษแล้วกัน ฉัน…เอ๋? นายเคยเห็นใครเคาะประตูก่อนเข้ามาที่ห้องครัวด้วยเหรอ? นายกล้ามาแซวฉัน ไม่ให้กินเนื้อตุ๋นของฉันแล้ว…” ในที่สุดฉีหรูเสวี่ยก็ได้สติกลับมา เย่เทียนเฉินถึงกลับชิงบ่นออกมาก่อน คิดจะทำให้เธอตกใจ ทั้งๆ ที่คนคนนี้มาแอบกินเนื้อตุ๋นแท้ๆ ตอนนี้กลายเป็นความผิดเธอไปได้!
เย่เทียนเฉินมองท่าทางเขินอายของฉีหรูเสวี่ย คิดว่าผู้หญิงคนนี้บางครั้งก็น่ารักจริงๆ เขาจงใจตะโกนออกไปก็ทำให้เธอตกใจเธอก็ตกใจจริงๆ เมื่อเห็นฉีหรูเสวี่ยได้สติกลับมาและมองเขาด้วยอาการขบเขี้ยวเคี้ยวฟันก็อดไม่ได้ที่จะพูดออกมาอย่างเคร่งขรึม “นี่เธอไม่รู้เหรอ? ที่บ้านตระกูลเย่ของพวกเรามีกฏแบบนี้ ไม่ว่าจะเข้าไปที่ห้องไหนก็ต้องเคาะประตูก่อน นี่เป็นมารยาทนะเข้าใจไหม?”
ฉีหรูเสวี่ยในตอนนี้รู้สึกโกรธบ้างแล้ว ใช้ดวงตาอันงดงามจ้องมองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างดุดัน เธออาศัยอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลเย่มาเกือบหนึ่งเดือนแล้ว และก็ทะเลาะกับเย่เทียนเฉินมาหนึ่งเดือนแล้ว ทำไมจะไม่เข้าใจนิสัยของคนคนนี้ เขากำลังแถชัดๆ
เขาแอบมากินเนื้อที่เธอทำ ยิ่งไปกว่านั้นในตอนที่เย่เทียนเฉินกำลังพูดกับฉีหรูเสวี่ยด้วยท่าทางเคร่งขรึมจริงจัง ก็ยังกลืนเนื้อลงท้องไปอีกชิ้นหนึ่งอย่างรวดเร็ว
“เจ้าบ้า ไม่อนุญาตให้นายกิน วางถ้วยและตะเกียบลงซะ…” ฉีหรูเสวี่ยไม่ได้คิดอะไรมากถึงขนาดนั้น เดินเข้าไปคิดจะแย่งถ้วยและตะเกียบมาจากเย่เทียนเฉิน สาเหตุเป็นเพราะประการแรกคนๆ นี้ไม่ซื่อสัตย์ กล้ามาหยอกล้อตนเอง ประการที่สองเพราะกลัวว่าคนๆ นี้กินอิ่มแล้ว อาหารเย็นในคืนนี้คงจะไม่เหลือให้คนอื่นได้กิน
แน่นอนว่ายังมีอีกจุดหนึ่งที่ลืมพูดไป นั่นก็คือตอนนี้เย่เทียนเฉินเข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าทำไมหลัวเยี่ยนถึงได้ชอบฉีหรูเสวี่ยขนาดนั้น แค่พูดถึงเรื่องการทำอาหารจุดเดียว คงไม่มีใครคิดว่าฉีหรูเสวี่ยที่เป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ จะลงมือเข้าครัวทำอาหารด้วยตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้นยังทำออกมาได้อร่อยอีกด้วย และเป็นเพราะจุดนี้ที่ทำให้หลัวเยี่ยนชอบฉีหรูเสวี่ย รวมกับที่ระยะเวลาหนึ่งเดือนมานี้ ทั้งสองคนเข้ากันได้ไม่เลวเลยทีเดียว ดังนั้นหลังจากที่ฉีหรูเสวี่ยไปจากตระกูลเย่ มีหลายครั้งที่หลัวเยี่ยนมาบ่นกับเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินเข้าใจความหมายของหลัวเยี่ยนดี เพียงแต่เขาไม่ได้มีความรู้สึกหญิงชายกับฉีหรูเสวี่ย อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังไม่มี
“นี่ไม่ได้นะ อันนี้ฉันทำเอง ถ้านายอยากกินอะไรก็ไปทำเองเลย!” เย่เทียนเฉินรีบถอยหลังไป หัวเราะฮี่ๆ แล้วหยิบเนื้ออีกชิ้นหนึ่งใส่ปาก
“เจ้าบ้า ห้ามกิน จะทำตัวน่าเกลียดเกินไปแล้ว ของที่ฉันทำไม่ได้มีไว้ให้คนไร้มโนธรรมอย่างนายกิน…”
ฉีหรูเสวี่ยเดินไปหาเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินเองก็ถอยหลังทางหัวเราะ คอยหยิบเนื้อเข้าปากอยู่เป็นระยะ อร่อยจริงๆ แค่เนื้อตุ๋นหัวไชเท้าธรรมดา ฉีหรูเสวี่ยก็สามารถทำออกมาได้อร่อยขนาดนี้ ไม่อาจไม่นับถือฝีมือการทำอาหารของผู้หญิงคนนี้เลยจริงๆ
“อา…”
เย่เทียนเฉินไม่ทันระวังจนหงายหลังไป เกือบจะล้มลงไปข้างที่ล้างจาน เขารีบนำตะเกียบวางไว้ในซิงค์ล้างจาน มือซ้ายก็ยันด้านหลังของตนเอาไว้ แต่ตอนนี้ฉีหรูเสวี่ยเองก็เดินเข้ามาแล้ว และคิดไม่ถึงว่าอยู่ดีๆ เย่เทียนเฉินจะหยุดถอย ดังนั้นจึงได้โถมตัวเข้าไปในอ้อมกอดของเย่เทียนเฉินโดยไม่ตั้งใจ
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ใครก็คิดไม่ถึง ระยะห่างระหว่างคนทั้งสองใกล้กันมาก เย่เทียนเฉินรับรู้ได้ถึงหน้าอกเต่งตึงของฉีหรูเสวี่ยที่กระเพื่อมขึ้นลงอยู่บนหน้าอกเขาตามการหายใจของเธอ
“เมื่อกี้นายบอกว่าก้นของฉันไม่ใหญ่พอ…แล้วหน้าอกเป็นยังไง…” บนใบหน้าของฉีหรูเสวี่ยปรากฏรอยแดงด้วยความเขินอาย บรรยากาศของเธอเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง กลายเป็นสาวน้อยขึ้นมาทันที ดูมีเสน่ห์ของผู้หญิง ดวงตาอันงดงามทั้งสองจ้องมองไปยังตาของเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น
เมื่อได้ยินคำพูดของฉีหรูเสวี่ย และเห็นว่าฉีหรูเสวี่ยเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน คล้ายกับมีความรู้สึกดีๆ ในใจกับตนอย่างไรอย่างนั้น เย่เทียนเฉินก็ตกตะลึง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้มองฉีหรูเสวี่ยในระยะใกล้ขนาดนี้ ผู้หญิงคนนี้สวยมากจริงๆ เรียกได้ว่าสวยจนไม่มีที่ติ รวมกับที่อยู่ในระยะใกล้แค่นี้ ทำให้สามารถได้กลิ่นหอมของหญิงสาวที่เป็นเอกลักษณ์บนร่างของฉีหรูเสวี่ย เย่เทียนเฉินเองก็อดไม่ได้ที่จะเหม่อลอยไปคู่นึง
“อา… หนูไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น พวกพี่ต่อกันเถอะ พวกพี่ต่อกันเลย…” ทันใดนั้นเอง เย่เชี่ยนเหวินที่ปรากฏตัวออกมาที่ประตูห้องครัวอย่างกะทันหันได้มาเห็นเข้ากับฉากนี้พอดี จากมุมมองของเธอทำให้เห็นว่าฉีหรูเสวี่ยโถมตัวเข้าไปในอ้อมกอดของเย่เทียนเฉิน และดูเหมือนทั้งสองกำลังจูบกัน ทำให้เย่เชี่ยนเหวินอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา
ฉีหรูเสวี่ยเองก็ได้สติกลับมาแล้ว เมื่อครู่นี้ไม่รู้ว่าเธอเป็นอะไรไป บางทีอาจเป็นเพราะอยากจะแกล้งเย่เทียนเฉินก็เป็นได้ หรือบางทีอาจจะอยากลองยั่วยวนดูสักหน่อยว่าผู้ชายที่ทำให้ตนชอบคนนี้จะใจเต้นกับเธอหรือไม่ ดังนั้นถึงได้ทำเรื่องเมื่อครู่นี้ออกมา ตอนนี้เมื่อได้ยินเสียงอุทานของเย่เชี่ยนเหวินก็รีบผละออกมาจากอ้อมกอดของเย่เทียนเฉินทันที ใบหน้าเล็กๆ แดงระเรื่อด้วยความเขินอาย จ้องมองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างดุดัน อายจนพูดอะไรไม่ออก
ความจริงแล้วตัวฉีหรูเสวี่ยเองก็ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หรือเป็นเพราะเธอรักเย่เทียนเฉินมากเกินไป ดังนั้นจึงคิดอยากจะมัดใจของคนคนนี้ให้ได้ในทันที? ทำให้เธอทำเรื่องยั่วยวนเขาออกมาในเวลาที่ไม่รู้ตัว? แต่ไหนแต่ไรฉีหรูเสวี่ยที่ไม่เคยขึ้นเตียงกับผู้ชายคนไหนมาก่อน ยังคงรักษาครั้งแรกของตนเอาไว้ และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เธอยั่วยวนผู้ชายและคิดที่จะกระตุ้นเขา กระทั่งตัวฉีหรูเสวี่ยเองก็ตกใจไปเหมือนกัน
“เชี่ยนเหวิน ไม่ได้เป็นเหมือนที่น้องเห็นแบบนั้น พวกเราแค่ไม่ทันระวัง…” เย่เทียนเฉินเองก็รู้สึกเขินอายอยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่าสถานการณ์จะกลายเป็นแบบนี้ไปได้ ตอนแรกเขายังคิดจะหาเรื่องทะเลาะกับฉีหรูเสวี่ยเพื่อฉวยโอกาสกินเนื้ออีกสักหลายชิ้น ไหนเลยจะรู้ว่าจะเป็นแบบนี้ แล้วยังถูกน้องสาวมาเห็นเข้าพอดีอีก…
“หนะ หนูไม่เห็นอะไรทั้งนั้นแหละ หนูไปก่อนนะ…” เย่เชี่ยนเหวินรู้สึกกระอักกระอ่วน รีบเดินจากไปทันที ทำให้เย่เทียนเฉินและฉีหรูเสวี่ยรู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้
“เด็กคนนี้นี่…พวกเราออกไปกันเถอะ ไม่งั้นพวกเธอได้คิดว่าพวกเรากำลังทำอะไรกันอยู่ในนี้แน่…” เย่เทียนเฉินพูดพลางส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม
ฉีหรูเสวี่ยจ้องมองเย่เทียนเฉินอย่างดุดัน เดินออกไปจากห้องครัวเป็นคนแรก แต่ในใจยังคงรู้สึกหวานฉ่ำ เธอมั่นใจแล้วว่าตนเองหลงรักเย่เทียนเฉิน และต้องการอยู่ด้วยกันกับเขา ดังนั้นเรื่องเหล่านี้สำหรับเธอแล้วก็ทำได้เพียงเพิ่มความสุขมากขึ้นเท่านั้น
ในตอนที่ผู้หญิงคนหนึ่งรักผู้ชายคนหนึ่งอย่างแท้จริง เธอจะยอมมอบทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอมีออกไปทั้งหมด ต่อให้เธอรู้สึกรู้สึกคลื่นไส้ และไม่อาจรับการแสดงออกของความรักบางอย่างได้ แต่เธอก็จะพยายามลองดู พยายามปรับตัว ดังนั้นในตอนที่มีผู้หญิงคนหนึ่งมาทำแบบนี้กับคุณ คุณก็ควรจะรักษาไว้ให้ดี
ในตอนที่เย่เทียนเฉินและฉีหรูเสวี่ยเดินออกมาจากห้องครัว ก็พบเย่เชี่ยนเหวินที่หน้าแดงเล็กน้อย กำลังพูดอะไรบางอย่างกับหลัวเยี่ยนอย่างลึกลับ เมื่อเห็นว่าเย่เทียนเฉินและฉีหรูเสวี่ยเดินออกมา ก็รีบไปนั่งทางด้านหนึ่งแล้วหัวเราะฮี่ๆ
“เทียนเฉิน ลูกเปลี่ยนนิสัยแบบนี้ได้แล้ว ถึงกับวิ่งไปแอบกินของในครัวเลยเหรอ? ถ้าไม่ใช่หรูเสวี่ยเขาไปเรียกลูก ลูกคงจะกินเนื้อหมดหม้อเลยมั้ง?” หลัวเยี่ยนพูดด้วยรอยยิ้มยินดี ฉีกยิ้มจนแทบจะถึงใบหู มองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างตำหนิ แต่จะมองอย่างไรก็ดูท่าทางดีใจมาก
เย่เทียนเฉินทอดถอนใจอย่างรู้สึกหดหู่ มองไปยังเย่เชี่ยนเหวินผู้เป็นน้องอย่างดุดัน เด็กคนนี้ปากมากจริงๆ จะต้องออกมาพูดอะไรกับแม่แน่ มิฉะนั้นแม่คงไม่ยิ้มอย่างแฝงความนัยแบบนี้แน่
“คุณน้าคะ หนูกับเทียนเฉิน…” ฉีหรูเสวี่ยอายจนหน้าแดง ชั่วขณะนั้นไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมาดี
“พวกเรารู้หมดแล้ว พวกเราสนับสนุน…”
คำพูดของหลัวเยี่ยนยังไม่ทันจบก็ถูกเย่เทียนเฉินพูดขัด…
………………………….
ไม่ว่าเจ้าบ้าคนนี้จะรักเธอหรือไม่ แต่จะอย่างไรฉีหรูเสวี่ยก็รักผู้ชายคนนี้ และต้องการจีบให้ได้ จะต้องพยายามสุดความสามารถเพื่อให้ได้ใจเขามา!
นี่เป็นการตัดสินใจในใจของฉีหรูเสวี่ย เรียกได้ว่าเธอเองก็เป็นผู้หญิงที่มีความรักนวลสงวนตัวและความเอียงอายเหมือนผู้หญิงทั่วไป แต่ฉีหรูเสวี่ยที่ได้รับการศึกษาในระดับสูงจากต่างประเทศเข้าใจถึงเหตุผลข้อหนึ่งได้อย่างลึกซึ้ง ชีวิตคนนัั้นสั้นมาก ยากที่จะหาคนที่สามารถทำให้ตัวเองใจเต้นได้ โดยเฉพาะเมื่อคุณเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่จะต้องรับภาระมากกว่าผู้ชายมาก ช่วงเวลาเบ่งบานก็มีประมาณสิบปีเท่านั้น ถ้าไม่ไล่ตามความสุขของตน จะรออะไรอีก?
ตั้งแต่ตอนที่เย่เทียนเฉินบุกเข้าไปที่ตระกูลฉินเพียงลำพังเพื่อช่วยตนออกมาจากกองเพลิงครั้งนั้น หัวใจอันเย็นชาของฉีหรูเสวี่ยก็หลอมละลาย เธอค่อยๆ พบว่า ไม่รู้ตั้งแต่ตอนไหนที่ในใจของตนเองเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อเย่เทียนเฉินไปอย่างลึกล้ำ ตอนนี้รู้สึกว่าคนๆ นี้แม้จะดูอันธพาลไปบ้างในบางครั้ง และดูเหมือนเทพแห่งความตายในบางครั้ง แต่ความจริงก็น่ารักมาก ต่อให้เขาไม่มีสไตล์และอีคิวต่ำ แต่กลับสามารถแสดงด้านที่เป็นสุภาพบุรุษออกมาในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดได้ ฉีหรูเสวี่ยรู้ว่าบางทีตนเองอาจจะถูกความรักบดบังสายตา แต่เธอก็เป็นคนที่มีนิสัยดื้อรั้น เรื่องที่ตัดสินใจไปแล้วก็จะพยายามเต็มที่ ไม่ยอมแพ้เด็ดขาด
ในตอนนี้หลัวเยี่ยนกำลังทักทายอยู่กับฉีหรูเสวี่ยอย่างเป็นมิตร สาเหตุประการแรกก็คือผู้มาเยือนเป็นแขก ประการที่สองก็คือในใจของหลัวเยี่ยนยังหวังว่าฉีหรูเสวี่ยจะมาเป็นลูกสะใภ้ของเธอได้ นอกจากฉีหรูเสวี่ยจะสามารถรับแขกเบื้องหน้าเข้าครัวเบื้องหลังได้แล้ว ฉีหรูเสวี่ยยังเป็นผู้หญิงที่มีทุกอย่างครบครัน จะต้องคลอดลูกชายออกมาได้แน่นอน ในจุดนี้หลัวเยี่ยนให้ความสำคัญมาก ไม่ใช่ว่าเธอมีความคิดล้าหลังอะไร แต่คนที่มาจากตระกูลใหญ่จะมากจะน้อยต่างก็หวังจะมีลูกชายมาสืบทอดกิจการทั้งนั้น ที่สำคัญที่สุดก็คือ ช่วงเวลาที่ฉีหรูเสวี่ยอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลเย่ เข้ากันได้ดีกับหลัวเยี่ยนและเย่เชี่ยนเหวินเป็นอย่างมาก ผู้หญิงทั้งสามคนมักจะไปเดินช็อปปิ้งและคุยเล่นกัน ความรู้สึกเช่นนี้หายากจริงๆ
“หรูเสวี่ย อย่าเกรงใจไปเลย รีบมานั่งเถอะ พอมาถึงก็ต้องให้หนูไปทำอาหาร รู้สึกไม่ดีจริงๆ เชี่ยนเหวิน เด็กคนนี้นี่ นับวันก็ยิ่งใช้ไม่ได้…” หลัวเยี่ยนพูดกับฉีหรูเสวี่ยด้วยรอยยิ้ม
“คุณน้าคะ คุณอย่าได้เกรงอกเกรงใจกับหนูเกินไปเลย ครั้งนี้หนูมาเยี่ยมพวกคุณ มาขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้รับก่อนหน้านี้ หนูเอาของขวัญมาให้คุณน้ากับน้องเชี่ยนเหวินด้วยค่ะ ซื้อรองเท้ามาให้คุณคู่หนึ่ง คุณน้าลองสวมดูเถอะว่าพอดีหรือเปล่า?” ฉีหรูเสวี่ยพูดพลางหยิบกล่องรองเท้าออกมา จากนั้นจึงส่งไปให้หลัวเยี่ยน
“นี่…จะรับไว้ได้ยังไง?”
หลัวเยี่ยนรู้สึกไม่ดีอยู่บ้างจริงๆ ไม่ต้องพูดถึงว่ารองเท้าคู่นี้ที่ฉีหรูเสวี่ยมอบให้เธอ อย่างน้อยก็มีราคาเกือบหมื่น น้ำใจของเด็กคนนี้ทำให้เธอซาบซึ้งมาก ทุกวันนี้ผู้เยาว์ที่ว่านอนสอนง่ายและรู้ความแบบนี้หาไม่ง่ายเลยจริงๆ
“แม่คะ แม่อย่าเกรงใจไปเลย พี่สาวหรูเสวี่ยไม่ใช่คนนอกอะไร อีกอย่างพี่สาวหรูเสวี่ยก็มีน้ำใจยิ่งกว่าคนขี้เหนียวของพวกเราอีก เป็นถึงประธานคณะกรรมการแห่งเครือไห่หวังที่สง่าผ่าเผยแท้ๆ แต่ไม่เคยซื้อของแบบนี้ให้พวกเราเลย จะขี้เหนียวเกินไปแล้ว มีพี่ชายที่ขี้เหนียวแบบนี้หนูรู้สึกเหมือนกับจมลงในความมืดที่ไร้ก้นบึ้งจริงๆ …” เย่เชี่ยนเหวินพูดถึงตอนสุดท้ายก็ทำท่าทางอยากจะร้องไห้ออกมา ทำให้หลัวเยี่ยนและฉีหรูเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ บางครั้งตอนที่เย่เทียนเฉินและเย่เชี่ยนเหวินหยอกล้อขึ้นมาก็ทำให้ผู้คนอยากจะหัวเราะจริงๆ
“เชี่ยนเหวิน อย่าพูดกับพี่ชายของลูกแบบนี้เลย พี่ชายของลูกคนนี้อีคิวต่ำ ทำเรื่องอะไรก็มักจะหยาบกระด้างไปบ้าง ไม่ใช่ว่าลูกไม่รู้สักหน่อย…” หลัวเยี่ยนมองเย่เชี่ยนเหวินแล้วพูดออกมาอย่างไม่พอใจ
“รู้แล้วค่ะ รู้แล้วค่ะ หนูไม่พูดถึงลูกชายสุดที่รักของแม่แล้ว มีแค่ลูกสาวอย่างหนูคนเดียวที่มีชีวิตรันทด ไม่มีใครรัก…” เย่เชี่ยนเหวินทำหน้าทะเล้นใส่หลัวเยี่ยน พูดออกมาแล้วหัวเราะฮี่ๆ
“คุณน้าคะ อย่ามัวแต่ไปพูดกับน้องเชี่ยนเหวินอยู่เลย ลองสวมรองเท้าดูว่าพอดีหรือเปล่า ดูว่าคนชอบหรือเปล่า หนูจะได้เอาไปเปลี่ยน!” ฉีหรูเสวี่ยพูดด้วยรอยยิ้ม
“ได้ งั้นน้าจะไปลองดู หนูก็คุยเล่นกับเชี่ยนเหวินไปก่อน!” หลัวเยี่ยนเองก็พูดด้วยรอยยิ้ม
“ช่างเถอะ พี่สาวหรูเสวี่ยมาหาพี่ สาวน้อยชีวิตรันทดคนนี้จะไปกินมันฝรั่งทอดเติมเต็มความหิวและไปดูทีวีสักหน่อย!” เย่เชี่ยนเหวินพูดออกมาด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย
เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เชี่ยนเหวิน ฉีหรูเสวี่ยก็อดไม่ได้ที่จะหน้าแดง เธอมาหาเย่เทียนเฉินโดยเฉพาะจริงๆ ของขวัญที่ซื้อมาให้หลัวเยี่ยนและเย่เชี่ยนเหวินก็ทำตามมารยาทเท่านั้น เธอมาหาเย่เทียนเฉินเพราะคนคนนี้หลังจากที่แยกย้ายกันที่ตระกูลฉินเมื่อครั้งที่แล้วก็ไม่ได้มาหากันอีกเลย โทรศัพท์ก็ไม่ยอมโทรมา ดังนั้นฉีหรูเสวี่ยจึงอดไม่ได้ที่จะวิ่งมาหาเย่เทียนเฉินถึงบ้านตระกูลเย่
“เด็กคนนี้นี่…หรูเสวี่ย อย่าไปฟังเด็กคนนี้พูดเลย เทียนเฉินจะต้องอยู่ในห้องครัวแอบกินอาหารอยู่แน่นอน หนูไปช่วยนะดูเขาหน่อย อย่าให้เขากินหมด ไม่งั้นพวกเราจะไม่มีอะไรกิน…” หลัวเยี่ยนแสร้งพูดด้วยท่าทีเคร่งขรึม
“ได้ค่ะคุณน้า หนูรับประกันเลยว่าจะทำภารกิจให้สำเร็จ!” ฉีหรูเสวี่ยพูดอย่างเบิกบานใจ ลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปในห้องครัว
เมื่อเห็นฉีหรูเสวี่ยเดินเข้าไปในห้องครัวอย่างดีอกดีใจ หลัวเยี่ยนที่ถือกล่องรองเท้าเตรียมจะเดินขึ้นไปรอที่ชั้นบนก็รีบเดินเข้าไปหาลูกสาวของตน และในเวลาเดียวกันนี้เย่เชี่ยนเหวินก็วางถุงมันฝรั่งทอดในมือลงไปรวมตัวกับแม่อย่างกระตือรือร้น
หลัวเยี่ยนและเย่เชี่ยนเหวินทำท่าทางเหมือนกับเป็นโจร แอบมองเงาร่างสูงเพรียวของฉีหรูเสวี่ยอย่างระมัดระวัง คอยสังเกตสถานการณ์ในห้องครัว แต่ละคนต่างก็มีท่าทางลึกลับ ทั้งน่าตลกและแปลกประหลาดมาก
“เชี่ยนเหวิน พี่สาวหรูเสวี่ยของลูกมาเมื่อไหร่ มาทำอะไร?” หลัวเยี่ยนถามเสียงเบา
“แม่คะ ไม่ใช่ว่าแม่ถามมาทั้งที่รู้อยู่แล้วเหรอ? เห็นได้ชัดว่าพี่สาวหรูเสวี่ยมาหาพี่ชาย นี่เป็นการจู่โจมด้วยความรัก ทำให้หนูคาดไม่ถึงเลยจริงๆ คนที่ไม่มีสไตล์และอีคิวต่ำอย่างพี่จะมีผู้หญิงสวยอย่างพี่สาวหรูเสวี่ยมาชอบได้ ดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตกแล้วละมั้ง?” เย่เชี่ยนเหวินพูดด้วยท่าทางจริงจัง
“เด็กคนนี้นี่พูดอะไรกัน ไม่อนุญาตให้พูดถึงพี่ชายของลูกแบบนี้ ลูกว่าพี่สาวหรูเสวี่ยของลูกจะทำสำเร็จไหม? พี่ชาของลูกจะรักพี่สาวหรูเสวี่ยไหม?” หลัวเยี่ยนถามออกมาอย่างเป็นกังวล
เย่เชี่ยนเหวินมองไปยังคุณแม่ ทำท่าทางอวดแบ่งเอากับใต้เท้าตัวน้อย เหมือนตัวเองเป็นกูรูด้านความรัก วิเคราะห์ออกมาด้วยท่าทีเคร่งขรึมจริงจังว่า “นี่ก็เป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน ด้วยมาตรฐานของพี่ชาย เขาชอบผู้หญิงก้นใหญ่ ก่อนหน้านี้ในห้องของเขาก็ติดรูปผู้หญิงก้นใหญ่เอาไว้เต็มไปหมด ถ้าพูดถึงก้นของพี่สาวหรูเสวี่ยแล้ว ก็คงไม่มีปัญหาอะไร ใหญ่พอ แต่ปัญหาในตอนนี้คือ ดูเหมือนว่าช่วงนี้จะมีผู้หญิงมาติดพันพี่ไม่น้อย เช่นพี่เฟยเฟย แล้วยังมีพี่อวี่สวิ๋น โดยเฉพาะสาวงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงหลิ่วหรูเหมยคนนั้น…”
“แม่ขอให้ใครก็ได้ในตัวเลือกสามลำดับแรกมาเป็นลูกสะใภ้ของแม่ แต่ไม่ชอบให้หลิ่วหรูเหมยมาอะไรกับพี่ชายลูก” หลัวเยี่ยนพูดออกมาอย่างจริงจัง
“แม่คะ หนูรู้ว่าแม่มีอคติกับหลิ่วหรูเหมยเพราะเรื่องเมื่อปีนั้น หนูเองก็ไม่ชอบเหมือนกัน แต่แม่อย่าทำท่าทางเหมือนจะไปฆ่าคนตายได้หรือเปล่า?” เย่เชี่ยนเหวินพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“เชี่ยนเหวิน ความจริงพวกลูกผิดกันหมดแล้ว แม่ไม่ใช่คนที่ใจแคบ เรื่องเมื่อปีนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่อันดับแรก การที่พี่ชายของลูกไปแอบดูหลิ่วหรูเหมยอาบน้ำก็เป็นเรื่องไม่ถูกต้องแล้ว ได้รับการลงโทษนิดหน่อยก็เป็นสิ่งที่สมควร ไม่ใช่เพราะเรื่องเมื่อปีนั้นที่ทำให้แม่ไม่อยากให้พี่ชายของลูกกับหลิ่วหรูเหมยไปมาหาสู่กัน แต่เป็นเพราะบนโลกนี้ยิ่งเป็นผู้หญิงที่สวยมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีความยุ่งยากมากเท่านั้น เป็นไปได้มากว่าจะกระตุ้นให้มีการฆ่าฟันเกิดขึ้น คำว่านารีเป็นเหตุก็มีที่มาแบบนี้แหละ!” หลัวเยี่ยนส่ายหน้าแล้วพูดขึ้น
“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง…งั้นก็หวังว่าพี่ชายกับหลิ่วหรูเหมยจะไม่ได้ไปมาหาสู่อะไรกัน จะได้ไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้น!”
ในยามปกติสองพี่น้องเย่เทียนเฉินและเย่เชี่ยนเหวินก็มันจะเล่นอะโวยวายกันอยู่แล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างสองพี่น้องลึกล้ำมาโดยตลอด ในเวลาสำคัญแบบนี้เย่เชี่ยนเหวินย่อมไม่อยากให้พี่ชายของตนเกิดเรื่อง
“ดังนั้นแม่หวังว่าพี่ชายของลูกจะรีบแต่งงานให้เร็วสักหน่อย ถ้าเป็นแบบนั้นไม่เพียงแต่ทำให้ความปรารถนาของแม่สำเร็จไปหนึ่งเรื่อง แล้วยังทำให้พี่ชายของลูกดึงดูดปัญหาให้มันน้อยลงด้วย!” หลัวเยี่ยนพูดพลางพยักหน้า
“วางใจเถอะ ในเมื่อแม่ชอบพี่สาวหรูเสวี่ยขนาดนั้น หนูเองก็รู้สึกว่าถ้ามีพี่สาวหรูเสวี่ยมาเป็นพี่สะใภ้ก็คงไม่เลว งั้นพวกเราก็จับคู่ให้พี่ชายกับพี่สาวหรูเสวี่ย ให้พี่ชายที่มีอีคิวต่ำคนนี้ได้ใช้สมองบ้าง!” เย่เชี่ยนเหวินพูดแล้วยิ้มออกมาอย่างน่ารักมีชีวิตชีวา
“เด็กคนนี้นี่ วันๆ เอาแต่คิดเรื่องแปลกๆ แม่ว่า ลูกไปดูเถอะว่าพี่สาวหรูเสวี่ยซื้ออะไรให้ลูก?” หลัวเยี่ยนเป็นผู้หญิงที่ฉลาด แต่ในยามปกติก็เป็นแม่บ้านทั่วไป ไม่ได้แสดงความโดดเด่นออกมาก็เท่านั้น
“แม่คะ แม่จะฉลาดเกินไปแล้ว ถูกแม่เดาออกหมดเลย ดูเถอะ มันคือนี่…” เย่เชี่ยนเหวินแกว่งเครื่องประดับสีเงินในมือขวาต่อหน้าหลัวเยี่ยนอย่างลำพองใจ เป็นเครื่องประดับที่กำลังนิยมและทันสมัยมาก สามารถดึงดูดสายตาของผู้คนได้เป็นอย่างดี
“เครื่องประดับเงินแบบนี้อย่างน้อยก็ราคาหมื่นสองหมื่น ลูกระวังหน่อยนะอย่าทำพัง…” หลัวเยี่ยนกล่าวเตือน ถึงแม้ว่าตระกูลเย่จะไม่ขาดแคลนเงินทอง แต่ตลอดมาก็ประหยัดจนชิน ดังนั้นเมื่อเห็นฉีหรูเสวี่ยมอบของขวัญที่ล้ำค่าเช่นนี้ให้เย่เชี่ยนเหวิน หลัวเยี่ยนก็ยังคงรู้สึกแปลกๆ
“อะไรคะ? รองเท้าคู่นั้นของแม่นำเข้ามาจากประเทศฝรั่งเศส อย่างน้อยก็ต้อง…” เย่เชี่ยนเหวินพูดฟังยกนิ้วขึ้นมาห้านิ้ว
หลัวเยี่ยนชะงักไปเล็กน้อย พูดกับเย่เชี่ยนเหวินอย่างเคร่งขรึม “ของขวัญที่หรูเสวี่ยมอบให้พวกเรา ถ้าพวกเราไม่รับเอาไว้ก็จะเป็นการทำให้คนอื่นเขาเสียหน้า แต่ลูกจำไว้ว่าจะต้องดูแลให้ดี ต่อให้เรื่องของพี่สาวหรูเสวี่ยแล้วพี่ชายของลูกไม่ประสบผลสำเร็จ ของพวกนี้พวกเราก็ต้องอย่าไปอยากได้ เข้าใจไหม?”
“เข้าใจแล้วค่ะคุณแม่ เข้าใจแล้ว!” เย่เชี่ยนเหวินพูดออกมาพลางยิ้มหวาน
ตอนนี้เองภายในห้องครัว เย่เทียนเฉินที่กำลังกินเนื้อตุ๋นหม้อใหญ่อย่างมีความสุขอยู่นั้นยิ้มไม่ขาดปาก ไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็ไม่อาจไม่ยอมรับว่าฝีมือการทำอาหารของฉีหรูเสวี่ยยอดเยี่ยมมากจริงๆ เนื้อตุ๋นหัวไชเท้านี้ ได้กลิ่นก็หอม ยิ่งกินก็ยิ่งหอม โดยเฉพาะเนื้อวัว ที่ทำได้ปราณีตมาก เคี้ยวง่ายไม่เหนียวเลยสักนิด น้ำซุปก็ทำให้สดชื่น มีความสุขจริงๆ
เมื่อกลับมาถึงบ้านเย่เทียนเฉินย่อมไม่ระมัดระวังตัวมากเกินไป และไม่ได้ใช้พลังพิเศษแห่งการรับรู้ ที่นี่เป็นบ้านของเขา แน่นอนว่าการที่เขาไม่ทำแบบนี้สาเหตุสำคัญเป็นเพราะความคิดของเขาจดจ่ออยู่กับเนื้อตุ๋นหัวไชเท้า ดังนั้นกระทั่งฉีหรูเสวี่ยเดินมาถึงด้านหลังของเขาแล้วเขาก็ยังไม่รู้ ยังคงลิ้มรสเนื้ออย่างมีความสุขต่อไป
……………
รถที่พวกเขากำลังนั่งอยู่นี้เป็นรถของเปาเทียนหลง ส่วนรถของครอบครัวของเย่เทียนเฉิน ลุงหวังได้สั่งให้คนรับใช้อีกคนหนึ่งของตรกูลหลัวขับกลับไปแล้ว เพราะรถของเปาเทียนหลงคันนี้เร็วมาก เย่เทียนเฉินเองก็อยากที่จะไปจากตระกูลหลัวให้เร็วสักหน่อย ไม่อยากให้แม่ไปพัวพันอะไรกับตระกูลหลัวอีก
“เทียนเฉิน ผู้หญิงคนเมื่อกี้บอกว่าเธอชื่ออะไรนะ?” หลัวเยี่ยนอดไม่ได้ที่จะคิดถึงจานไถเวยเสวี่ยจึงเอ่ยปากถามขึ้นมา
“ไม่รู้ครับ เธอไม่ได้บอกผม!” เย่เทียนเฉินมองไปยังหยกมีตำหนิครึ่งก้อนที่เปื้อนเลือดในมือ ส่งพลังพิเศษเข้าไปสำรวจเป็นระยะ เพื่อต้องการที่จะตรวจสอบให้ชัดเจน ต้องการดูว่าหยกมีตำหนิครึ่งก้อนที่เปื้อนเลือดนี้มีความมหัศจรรย์และความพิเศษอะไรอยู่กันแน่
หากว่าเป็นเหมือนที่ยายทวดพูดจริงๆ ว่าหยกมีตำหนิที่เปื้อนเลือดครึ่งก้อนนี้เคยตกลงมาจากฟ้าในช่วงที่จิ๋นซีฮ่องเต้รวบรวมหกแคว้นเป็นหนึ่ง และทำลายแคว้นฉีทั้งแคว้นจนราบคาบ จึงทำให้จิ๋นซีฮ่องเต้สถาปนาแคว้นอันเป็นอมตะนี้ขึ้นมาได้ ถ้าอย่างนั้นหยกมีตำหนิเปื้อนเลือดจะต้องมีความมหัศจรรย์อย่างแน่นอน บางทีอาจจะมีพลังในการฆ่าฟันรุนแรง แต่เย่เทียนเฉินมองอยู่สิบกว่านาทีก็ยังไม่เห็นร่องรอยเบาะแสอะไรแม้แต่น้อย ต่อให้ใช้พลังพิเศษแห่งการรับรู้ไปสำรวจ ก็ไม่มีปฏิกิริยาเลยแม้แต่น้อย เหมือนกับหยกธรรมดาธรรมดาก็หนึ่งจริงๆ ด้านบนก็มีแค่รอยเลือดรอยหนึ่งเท่านั้น
“ตอนที่ผู้หญิงคนนั้นไปถึงประตูใหญ่และให้ผู้คุ้มกันไปแจ้งเรื่อง ไม่รู้ว่าได้บอกชื่อของเธอไปหรือเปล่า? แม่ฟังไม่ชัดเลย ลูกคิดหน่อยสิ!” ดูเหมือนว่าหลัวเยี่ยนจะอยากรู้ชื่อของผู้หญิงคนนั้นมากจริงๆ ถึงได้ถามต่อไป
เย่เทียนเฉินชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงคิดขึ้นมาได้ ผู้หญิงที่มีนิสัยซุกซนคนนี้ดูเหมือนจะบอกชื่อของเธอจริงๆ เพียงแต่ตอนนั้นเขาไม่ได้สนใจเพราะกำลังสำรวจกล่องหยกหงส์มังกรอยู่
“ดูเหมือนจะบอกเธอจริงๆ เป็นชื่อตระกูลที่ค่อนข้างแปลก ชื่ออะไรนะ…จานไถ ใช่แล้ว จานไถเวยเสวี่ย…” ไม่นานเย่เทียนเฉินก็คิดออก ในตอนที่ได้ยินชื่อของจานไถเวยเสวี่ย เขายังรู้สึกกังขาอยู่ในใจ ทำไมผู้หญิงถึงชอบใช้ชื่อที่มีคำว่า ‘เสวี่ย’ อยู่ด้วย?
“จานไถเวยเสวี่ย…” หลัวเยี่ยนพึมพำกับตัวเอง ดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างอยู่
“แม่ครับ แม่อย่าบอกนะว่า แม่รู้จักจานไถเวยเสวี่ยคนนี้ เมื่อกี้ผมไม่เห็นว่าแม่จะพูดกับเธอเลย!” เย่เทียนเฉินมองไปยังหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่แล้วพูดขึ้น
แม่ส่ายหน้าแล้วเปิดปากพูด “แม่ไม่รู้จักเด็กสาวที่ชื่อว่าจานไถเวยเสวี่ยคนนี้ แต่รู้จักตระกูลจานไถ ความจริงแล้วกล่องหยกหงส์มังกรนั้นเป็นของตระกูลจานไถ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะรู้เรื่องที่คุณย่าเสียชีวิตแล้วจึงได้ให้เด็กที่ชื่อว่าจานไถเวยเสวี่ยมานำกล่องหยกหงส์มังกรไป เป็นแบบนี้ก็ดีจะได้หลีกเลี่ยงการแย่งชิงกันเองของคนตระกูลหลัว”
“ตระกูลจานไจ? ไม่เคยได้ยินชื่อตระกูลนี้มาก่อนเลย แล้วแซ่นี่มันจะแปลกเกินไปหรือเปล่า?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถาม
“ความจริงแล้วแม่ก็ไม่ได้รู้เรื่องเกี่ยวกับตระกูลนี้มากมายอะไรหรอก เพียงแต่ตอนเด็กเคยได้ยินคุณปู่พูดถึงเท่านั้น ตระกูลจานไถเป็นตระกูลที่ปิดซ่อนตัวตน แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยปรากฏมาที่โลกเบื้องหน้า ดูเหมือนว่าทั้งตระกูลจะเก็บอยู่ในภูเขาคุนหลุน เป็นตระกูลที่ลึกลับตระกูลหนึ่ง กล่องหยกหงส์มังกรก็เป็นของที่คุณปู่ยืมมาจากตระกูลจานไถเมื่อปีนั้น เวลาผ่านไปยี่สิบปีแล้ว ในตอนที่คุณย่าแก่ชราลง ก็รีบมารับรองหยกมังกรนี้ไปอย่างรวดเร็ว ในตอนนี้เกรงว่าจะมีคนในสังคมรับรู้ถึงตระกูลจานไถน้อยมาก” หลัวเยี่ยนเองก็พูดออกมาด้วยความรู้สึกแปลกใจ
ไม่ต้องพูดถึงเย่เทียนเฉินที่แปลกใจเลย ต่อให้เป็นหลัวเยี่ยนที่พูดออกมาเองก็ยังสงสัย แม้แต่เปาเทียนหลงที่ขับรถอยู่ก็ยังขมวดคิ้วด้วยความใคร่ครวญ
จินตนาการได้เลยว่า ในสังคมปัจจุบัน คนธรรมดาที่ใช้ชีวิตทั่วไปได้ถูกทำให้เป็นอัตลักษณ์นิยมและทุนนิยมไปหมดแล้ว ชั่วชีวิตนี้ต่างก็อยู่ในกระแสของปัจจัยสี่ สำหรับผู้มีพลังพิเศษและยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณ มีน้อยคนมากที่จะรู้เรื่องของเส้นทางแห่งชีวิตอมตะ และดูเหมือนว่าจะมีแค่ไม่กี่คนคิดถึง ไม่ใช่ว่าจะมีตระกูลไหนที่คิดจะปิดซ่อนตัวตนไม่อยากออกมาก็จะสามารถไปซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาลึกได้ หรือว่าคนในตระกูลนี้ทั้งหมดจะเป็นคนป่า? ทำให้ผู้คนยากที่จะเชื่อจริงๆ
“เป็นไปไม่ได้น่ะ ตระกูลนี้เป็นคนป่าหรือไง? อยู่ในหุบเขาลึกกินอาหารป่าทั้งวัน?” เปาเทียนหลงก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถาม
“คงจะไม่ใช่หรอก เพียงแต่ตะกูลนี้ปิดซ่อนตัวตนไม่ปรากฏสู่โลกภายนอก มีคนน้อยมากที่จะรู้จัก จะดูจานไถเวยเสวี่ยนั่นสิ แต่งตัวทันสมัย ไม่ได้ดูล้าหลังเลย แค่นี้ก็รู้แล้ว เพียงแต่พวกเรากำลังสงสัยว่า ตระกูลนี้เป็นตระกูลแบบไหนกันแน่ถึงได้มีของเช่นกล่องหยกหงส์มังกรได้ ยิ่งไปกว่านั้นกำลังภายในสายหยินที่จานไถเวยเสวี่ยใช้ออกมาก็แข็งแกร่งมาก!” เย่เทียนเฉินพูดแล้วส่ายหน้า
“เทียนเฉิน แม่ไม่สนใจว่าลูกจะทำอะไร หวังเพียงว่าลูกจะปลอดภัยก็เท่านั้น ตระกูลจานไถมีความลึกลับ และไม่รู้ว่าความสัมพันธ์กับตระกูลหลัวดีหรือแย่ นี่เป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน วันหลังลูกก็อย่าไปหาเรื่องเลย!” หลัวเยี่ยนชะงักไปครู่หนึ่งแล้วพูดออกมา
“รู้แล้วครับแม่ วางใจเถอะ ผมยังต้องหาเงินมาเลี้ยงพ่อแม่อยู่!” เย่เทียนเฉินพูดพลางหัวเราะฮี่ๆ
หลัวเยี่ยนไม่ใช่คนโง่ กลับจะฉลาดอย่างมากด้วยซ้ำ เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วเธอก็รู้ว่าลูกชายเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง อย่างน้อยความสามารถก็แข็งแกร่งมาก ไม่ใช่อะไรที่เธอสามารถจินตนาการได้อีกต่อไป ก่อนหน้านี้ลูกชายเสเพลและมักจะก่อเรื่องเป็นประจำ ตอนนี้เติบโตขึ้นแล้ว รู้ความขึ้นมาแล้ว แต่กลับมีปัญหามากมายที่มาเยือนถึงประตู บางเรื่องไม่อาจไม่เผชิญหน้า เธอไม่ต้องการจะพันธนาการลูกชายของตน แค่หวังว่าเขาจะปลอดภัยก็เท่านั้น
เวลาหกโมงเย็น เปาเทียนหลงขับรถมาส่งเย่เทียนเฉินและหลัวเยี่ยนกลับบ้าน เย่เทียนเฉินให้เบอร์โทรศัพท์ของอู๋เสวี่ยกับเปาเทียนหลงไป จากนั้นจึงให้เปาเทียนหลงไปหาอู๋เสวี่ย ก่อนหน้านี้อู๋เสวี่ยเป็นนักฆ่าอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงหลวง เป็นผู้นำในการรับผิดชอบการหาคนมาเพื่อก่อตั้งกลุ่มอำนาจอำนาจของเขา จนกระทั่งตอนนี้ลูกน้องของเย่เทียนเฉินก็มีอู๋เสวี่ย หูหลง หลินตวนและเปาเทียนหลง ยอดฝีมือชั้นสูงทั้งสี่คน เพียงแต่ไม่รู้ว่ายอดฝีมือคนอื่นที่อู๋เสวี่ยรวบรวมมาเป็นอย่างไร ก็เหมือนกับที่เย่เทียนเฉินพูด ไม่เน้นปริมาณแต่เน้นคุณภาพ ถ้าไม่ใช่ยอดฝีมือระดับสูงเขาก็จะไม่รับ นี่เป็นนิสัยของเขาเช่นเดียวกัน
เย่เทียนเฉินและหลัวเยี่ยนเดินเข้าไปในคฤหาสน์ด้วยกัน คิดไม่ถึงว่าในห้องโถงของคฤหาสน์นอกจากเย่เชี่ยนเหวินแล้วจะยังมีสาวสวยอีกคนหนึ่งอยู่ด้วยนั่นก็คือ ฉีหรูเสวี่ย
ฉีหรูเสวี่ยถึงกับมาหาถึงบ้าน อีกทั้งยังกำลังพูดคุยกับเย่เชี่ยนเหวินอย่างสบายอกสบายใจ เมื่อเห็นเย่เทียนเฉินและหลัวเยี่ยนเดินเข้ามาในห้องโถง ฉีหรูเสวี่ยก็ยิ้มทักทายหลัวเยี่ยนแล้วพูดขึ้นอย่างมีมารยาท “คุณน้าคะ คุณกลับมาแล้วหรือ?”
“หรูเสวี่ยมาแล้ว ทำไมไม่โทรมาบอกกันก่อน น้าจะได้ไปซื้ออาหารมา!” หลัวเยี่ยนพูดด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ต้องหรอกค่ะแม่ คืนนี้พี่สาวหรูเสวี่ยจะตุ๋นเนื้อวัวให้พวกเรา หอมมากเลยค่ะ หนูอดใจไม่ไหวจนแอบกินไปหลายชิ้นแล้ว!” เย่เชี่ยนเหวินพูดออกมาอย่างซุกซน
“งั้นเหรอ? หรูเสวี่ย น้าจะรับน้ำใจนี้ได้ยังไงกัน? พอมาถึงก็ให้หนูทําอาหารเลย เทียนเฉินลูก…เอ๋? เทียนเฉินไปไหนแล้ว?”
หลัวเยี่ยนย่อมรู้ว่าฉีหรูเสวี่ยมาแล้ว จะต้องมาหาเย่เทียนเฉินอย่างแน่นอน ลูกสาวของคนอื่นทั้งยังเป็นเด็กสาวที่สวยงามขนาดนี้มาหาคุณ แต่คุณกลับไม่แม้แต่จะทักทาย โดยเฉพาะฉีหรูเสวี่ยที่เมื่อวันนั้นเกือบจะต้องแต่งงานกับฉินเหิง ส่วนเย่เทียนเฉินนั้นปากก็พูดว่าไม่เกี่ยวอะไรกับเขาแต่สุดท้ายก็ยังแบกโลงศพไปที่ตระกูลฉิน และยังทำให้ฉินเหิงตกใจตาย ทำให้ฉินอี้โกรธจนตาย จนกลายเป็นข่าวครึกโครมในเมืองหลวง ถ้าจะกล่าวว่าเย่เทียนเฉินไม่มีความรู้สึกอะไรกับฉีหรูเสวี่ย ตีให้ตายก็เกรงว่าไม่มีใครเชื่อ
“พี่ชายของลูกล่ะ?” หลัวเยี่ยนหันมามองด้านหลังที่ว่างเปล่า เมื่อครู่นี้เย่เทียนเฉินยังอยู่หลังเธอ ทำไมพอหันไปก็ไม่เจอแล้วล่ะ? ด้วยเหตุนี้จะอดไม่ได้ที่จะหันไปมองเย่เชี่ยนเหวินแล้วเอ่ยถาม
“แม่คะ แม่ไม่ต้องไปสนใจพี่ชายหนูหรอก วันๆ เอาแต่กิน เขาวิ่งเข้าไปในครัวนานแล้ว!” เย่เชี่ยนเหวินมองไปยังหลัวเยี่ยนแล้วพูดขึ้นอย่างจนใจ
ในตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินที่อยู่ในห้องครัวก็ไม่ได้คิดอะไรมาก พอเข้ามาก็ได้กลิ่นหอมของเนื้อ เดิมทียังคิดไปว่ามีคนในครอบครัวทำอาหารเอาไว้ แต่สุดท้ายก็ต้องปฏิเสธความคิดนี้ไป จะว่าอย่างไรดีล่ะ นอกจากหลัวเยี่ยนที่มีฝีมือทางด้านการทำอาหารแล้ว เย่เชี่ยนเหวินก็ทำอาหารไม่เป็น ดังนั้นจะต้องไม่ใช่น้องสาวที่เป็นคนทำอาหารแน่ เมื่อเห็นว่าฉีหรูเสวี่ยมาที่บ้าน ทันใดนั้นเย่เทียนเฉินจึงได้รู้ว่าในห้องครัวมีของอร่อยๆ กินแน่นอน
ส่วนเรื่องของฉีหรูเสวี่ย จะพูดอย่างไรดีล่ะ? ในใจของเย่เทียนเฉินอย่างมากก็เห็นเธอเป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่ง กล่าวได้ว่าทั้งสองไม่ทะเลาะก็ไม่ได้รู้จักกัน ฉีหรูเสวี่ยอยู่ในบ้านตระกูลเย่มาหลายวัน และปะทะฝีปากกับเย่เทียนเฉินหลายครั้ง ทุกคนเห็นจนเคยชิน ดังนั้นในตอนที่ฉีหรูเสวี่ยจะหมั้นหมายกับฉินเหิง เย่เทียนเฉินจึงได้แบกโลงศพไปก่อเรื่องที่ตระกูลฉิน เหตุผลประการแรกก็คือไม่ว่าจะพูดยังไงฉีหรูเสวี่ยก็เป็นคนที่ไม่เลวเลย อย่างน้อยก็ใจดี และจะยังไงก็เป็นเพื่อน เหตุผลประการที่สองก็คือฉินเหิงกวนตีนเกินไป คนตระกูลฉินเคยเกือบจะส่งคนมาลอบสังหารพ่อของตน จะอย่างไรก็ต้องมอบจุดจบกลับไปให้พวกเขา
ไม่กล่าวไม่ได้ว่าฝีมือการทำอาหารของฉีหรูเสวี่ยดีมากจริงๆ มิน่าเล่าหลัวเยี่ยนถึงได้ชอบฉีหรูเสวี่ยมาโดยตลอด และต้องการที่จะได้ฉีหรูเสวี่ยมาเป็นลูกสะใภ้ของเธอ หากจะใช้คำพูดบรรยายฉีหรูเสวี่ยให้ครบถ้วนมันก็คือ เบื้องหน้ารับแขกเบื้องหลังเข้าครัว!
ในสังคมปัจจุบันนี้ การจะสามารถหาผู้หญิงแบบนี้ได้เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลยจริงๆ แต่เย่เทียนเฉินยังคงไม่สนใจฉีหรูเสวี่ย หากจะพูดถึงฉีหรูเสวี่ย ทั้งรูปร่างหน้าตามันสมองหรือก้นใหญ่ๆ ล้วนมีครบครัน ผู้ชายธรรมดาเห็นต่างก็ต้องน้ำลายไหล โดยปกติคงไม่มีผู้ชายคนไหนที่ไม่ชอบ เพียงแต่เย่เทียนเฉินพี่ไม่มีความรู้สึกอะไรแบบนั้น บางทีนี่อาจจะเป็นโชคชะตาก็เป็นได้
เพียงแต่ว่าท่าทีที่ฉีหรูเสวี่ยมีต่อเย่เทียนเฉินในตอนนี้ได้เปลี่ยนไปมากเหลือเกิน อย่างน้อยเธอก็ไม่ดูถูกเย่เทียนเฉินแล้ว คนคนนี้มีนิสัยเหมือนอันธพาล ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่มีสไตล์ และไม่มีอีคิวเลยสักนิด ไม่อ่อนโยนต่อผู้หญิง ตอนนี้ไม่รู้ว่าทำไม ตั้งแต่ที่เธอไปจากตระกูลเย่ ในสมองก็มักจะปรากฏเงาร่างของเย่เทียนเฉิน โดยเฉพาะช่วงเวลาที่เธอจะต้องหมั้นกับฉินเหิง เธอกระทั่งคิดว่า ถ้าหากได้แต่งงานกับเย่เทียนเฉินก็คงจะดีไม่น้อย
ตอนแรกฉีหรูเสวี่ยถูกความคิดแบบนี้ทำให้ตกใจ เธอไม่รู้ว่าตอนไหนที่ในใจของเธอเริ่มมีเย่เทียนเฉินอยู่ จนสุดท้ายเธอจึงค่อยๆ พบว่า ตนเองรักเย่เทียนเฉินเข้าแล้วจริงๆ รักผู้ชายที่มีนิสัยเหมือนอันธพาลและมีความคล้ายกับเทพแห่งความตายคนนี้ ฉีหรูเสวี่ยที่ได้รับการศึกษาระดับสูงมาจากต่างประเทศ จึงไม่ได้มีความคิดล้าหลังในเรื่องของผู้ชาย ในเมื่อรักเข้าแล้วก็ต้องไล่ตามความสุขของตน ผู้หญิงจีบผู้ชายมีอะไรไม่เหมาะสมเหรอ? ดังนั้นเธอจึงมาแล้ว!
…………………..
“คุณผู้หญิง ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร?” เย่เทียนเฉินหันไปมองเด็กสาวที่สวมแว่นตาสีดำและลงมือสะบัดแส้ใส่เขา เอ่ยถามออกมาด้วยรอยยิ้ม
มุมปากมันเซ็กซี่ของเด็กสาวที่สวมแว่นกันแดดสีดำแย้มยิ้มออกมา เพียงแต่รอยยิ้มนี้ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็รู้สึกได้ถึงความซุกซน เจือไปด้วยความสนุกสนาน ผู้หญิงคนนั้นเดินเข้ามา นิ้วมือเล็กๆ ในมือซ้ายชี้มาที่เย่เทียนเฉินแล้วกระดิกเข้า ริมฝีปากแดงใช้น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเฉลียวฉลาดพูดออกมาว่า “เอากล่องหยกนั้นมาให้ฉัน แล้วฉันจะปล่อยพวกคุณไป…”
กล่องหยกหงส์มังกร เด็กสาวคนนี้มาเพื่อกล่องหยกหงส์มังกร เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว ดูท่าทางกล่องหยกหงส์มังกรนี้จะมีปัญหาจริงๆ เขารู้ตั้งนานแล้ว หากนำกล่องนี้ไปจะต้องพบกับปัญหาใหญ่ไม่ช้าก็เร็ว นี่เป็นของที่คนธรรมดาเห็นต่างก็ต้องรู้สึกใจสั่น อดไม่ได้ที่คิดจะได้มาครอบครอง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตระกูลใหญ่และกลุ่มอำนาจใหญ่เลย ต่อให้รู้ว่ากล่องหยกหงส์มังกรอยู่ในตระกูลเย่ จะต้องมีคนยอมเสี่ยงส่งยอดฝีมือมาแย่งชิงไปแน่นอน ถึงแม้ตนเองจะอยู่และไม่กลัวอะไร แต่เย่เทียนเฉินก็ไม่ต้องการทำให้พ่อแม่และน้องสาวพบกับอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นแม้เพียงนิดเดียว
“นี่ไม่ได้หรอก กล่องนี้เป็นสมบัติที่แม่ของแม่ของแม่มอบให้พวกเรา ถ้าถูกเธอเอาไป แม่ของแม่ของแม่ก็คงไม่ดีใจ เธอคิดว่าฉันจะส่งให้เธอได้หรือ?” เย่เทียนเฉินยิ้มเล็กน้อย เขาพูดพลางแสดงนิสัยอันธพาลออกมา
“งั้นเหรอ? ถ้างั้นฉันก็คงทำได้แค่แย่งชิงมาแล้วแหละ ถ้าทำร้ายพวกคุณก็คงไม่ค่อยดีมั้ง?” เด็กสาวมองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วเอ่ยถาม
“ฉันคนนี้ จุดเด่นที่สุดก็คือทำใจลงมือกับผู้หญิงสวยๆ ไม่ได้ จุดอ่อนที่สุดก็คือทำใจลงมือกับผู้หญิงสวยๆ ไม่ได้ เธอว่าฉันจะลงมือหรือไม่ลงมือดีล่ะ?”
เย่เทียนเฉินเห็นเด็กสาวสวมแว่นกันแดดดูซุกซนและขี้เล่น จึงอดไม่ได้ที่จะไปกระตุ้นนิสัยหยอกล้อของเขาออกมา ยิ่งไปกว่านั้นเขายังรู้สึกสนใจผู้หญิงคนนี้มาก เด็กสาวที่สวมแว่นกันแดดคนนี้ ขี่รถมอเตอร์ไซค์ที่โคตรเท่ รูปร่างสูงเพรียว สิ่งที่ควรจะนูนก็นูน สิ่งที่ควรจะเว้าก็เว้า รวมกับที่อยู่ในช่วงอายุที่กำลังเบ่งบาน และยังมีฝีมือที่ไม่ธรรมดา จะมากจะน้อยก็ทำให้คนรู้สึกสนใจ เด็กสาวคนนี้มีที่มาที่ไปอย่างไรกันแน่?
ทันใดนั้น แส้สีดำในมือขวาของเด็กสาวสั่นไหว พลังหยินอันอ่อนนุ่มส่งผ่านไปยังฝ่ามือของเย่เทียนเฉิน นี่เป็นพลังหยินที่มีความแข็งแกร่งมาก บางครั้งก็ไม่ใช่พลังอันรุนแรงดุเดือดที่จะทำให้ผู้คนนับถือ พลังหยินที่อ่อนนุ่มพริ้วไหวก็มักจะมีความแปลกประหลาดเช่นกัน ในสถานการณ์ที่ไร้การป้องกันตัวอาจจะตายได้ ตามการคาดเดาของเย่เทียนเฉิน เด็กสาวคนนี้ควรจะฝึกฝนเคล็ดวิชาพลังภายในสายอ่อนของพรรควรยุทธโบราณ มิฉะนั้นคงไม่สามารถใช้พลังภายในสายหยินลอบโจมตีตนเองโดยไร้ซุ่มไร้เสียงได้
ฟ้าว!
เสียงแส้สีดำแหวกอากาศเข้ามา ในตอนที่เย่เทียนเฉินรับรู้ได้ถึงพลังภายในสายหยินก็รีบปล่อยมือขวาของตนทันที แส้สีดำโจมตีถูกอากาศจนเกิดเสียงดังขึ้น เด็กสาวคนนั้นควบคุมแส้ให้พุ่งเข้ามายังกล่องหยกหงส์มังกรบนมือซ้ายของเย่เทียนเฉินอย่างรวดเร็ว
เย่เทียนเฉินย่อมไม่ยอมให้เด็กสาวคนนี้ทำสำเร็จแน่นอนอยู่แล้ว ไม่ต้องพูดเลยว่ากล่องหยกหงส์มังกรนี้มีค่ามากขนาดไหน กล่าวได้ว่าแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีคนสามารถแย่งชิงสิ่งของไปจากมือของเย่เทียนเฉินได้มาก่อน และเขาก็จะไม่ยอมปล่อยให้เกิดขึ้นแน่
เด็กสาวเห็นแส้ของตนตวัดถูกอากาศ ในใจก็รู้สึกประหลาดใจ คิดว่าคนที่มีอายุพอๆ กันกับเธอเบื้องหน้านี้มีฝีมือไม่อ่อนแอเลยทีเดียว ท่าทางหากคิดจะนำกล่องหยกหงส์มังกรไปจะต้องเปลืองแรงอยู่บ้าง
ครั้งนี้เด็กสาวได้รับคำสั่งจากตระกูลมาว่า ให้มารับกล่องหยกหงส์มังกรจากตระกูลหลัวกลับไป ตระกูลของเธอให้ตระกูลหลัวยืมกล่องหยกหงส์มังกรเป็นเวลายี่สิบปีแล้ว เพราะบรรพบุรุษในตระกูลของพวกเธอเป็นสหายกับบรรพบุรุษตระกูลหลัว มิฉะนั้นคงไม่ให้ยืมกล่องหยกหงส์มังกรไปยี่สิบปีแบบนี้แน่
เย่เทียนเฉินลงมือรวดเร็ว พลิกตัวออกมาจากรถ ยิ้มให้แม่และเปาเทียนหลงก่อนจะพูดว่า “พวกคุณรอผมสักครู่นะ!”
เดิมทีหลัวเยี่ยนให้ลุงหวังนำกล่องหยกหงส์มังกรกลับไปที่ตระกูลหลัวแล้ว นั่นก็เพื่อไม่อยากทำให้พ่อต้องลำบากใจ ไหนเลยจะรู้ว่าก่อนออกเดินทางเย่เทียนเฉินจะอยากดูสักหน่อย แม้จะพูดออกมาว่าสนใจ แต่ความจริงเป็นเย่เทียนเฉินรับรู้ได้ถึงบรรยากาศอันคุ้นเคยอย่างหนึ่งบนกล่องหยกหงส์มังกร บรรยากาศเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกแปลกใจ ตามความทรงจำของเขา เคยสัมผัสได้ถึงบรรยากาศแบบนี้จากช่วงยุคสิ้นโลก
“ท่าทางนายคงไม่คิดที่จะมอบกล่องหยกหงส์มังกรให้ฉันละมั้ง?” เด็กสาวดึงแส้สีดำของตนกลับมา ยังคงมองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
“คุณผู้หญิง ของอยู่ในมือของฉัน เธอเอาแต่พูดว่าให้เธอให้เธอ มันจะปล้นกันมากเกินไปหรือเปล่า?” เย่เทียนเฉินเองก็พูดด้วยรอยยิ้มเช่นเดียวกัน
“กล่องหยกหงส์มังกรนี้เดิมทีก็เป็นของของตระกูลจานไถของฉัน วันนี้ฉันได้รับคำสั่งของตระกูลให้มานำกลับไป พวกคุณจะเอาไปไม่ได้ อีกสักครู่นายท่านตระกูลออกมาก็จะรู้แล้ว!” เด็กสาวเปิดปากพูดอย่างเรียบเฉย
“งั้นพวกเราก็รอกันก่อนเถอะ รอให้นายท่านตระกูลหลัวออกมาเป็นไง?” เย่เทียนเฉินยักไหล่แล้วพูดขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ
“แต่ฉันไม่อยากรอ ฉันอยากจะนำไปตอนนี้…” ทันใดนั้นเด็กสาวพลันพูดขึ้นมาด้วยความสนุกสนาน
“ยังคิดจะแย่งอีก?”
“เพราะท่าทางของนายทำให้คุณหนูอย่างฉันไม่พอใจน่ะสิ!”
ฟ้าว!
คำพูดของเด็กสาวเพิ่งจะพูดจบ แส้สีดำเส้นนั้นก็ถูกเธอสะบัดออกมาอีกครั้งราวกับงูตัวหนึ่งที่พุ่งเข้ามากัด เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว แส้ที่โจมตีมาเมื่อสักครู่นี้ทำให้เขารู้สึกได้ถึงพลังหยินที่แข็งแกร่ง ตอนนี้เขาไม่ดูเบาเด็กสาวคนนี้อีกต่อไปแล้วโดยสิ้นเชิง ยอดฝีมือไม่เกี่ยวกับเรื่องอายุ ถ้าหากคุณคิดว่าอีกฝ่ายอายุน้อยแล้วดูถูกเขา เป็นไปได้มากกว่าจะต้องพบกับความลำบาก ในตอนที่อยู่ดาวสิ้นโลก ก็มีคนที่แข็งแกร่งแบบนี้อยู่ เมื่อเกิดมาก็แข็งแกร่งอย่างหาใดเปรียบทำให้ผู้คนต้องตกตะลึง
ฉัวะ!
ฉัวะ!
ฉัวะ!
เมื่อต้องเผชิญกับการโจมตีด้วยแส้สีดำที่สะบัดออกมาไม่หยุดของเด็กสาวคนนั้น เย่เทียนเฉินก็หลบโดยที่ถือกล่องหยกหงส์มังกรเอาไว้ในมือซ้าย เขาอยู่ห่างจากผู้หญิงคนนี้ประมาณห้าหกเมตร ในมือก็ไม่ได้มีอาวุธใดๆ อยู่เลย คิดจะเข้าไปโจมตีในระยะใกล้ก็เป็นเรื่องที่ลำบากมาก ยิ่งไปกว่านั้นเขาพบว่าผู้หญิงคนนี้ ทุกแส้ที่โจมตีออกมาล้วนแฝงด้วยพลังภายใน กระทั่งอากาศก็ยังถูกทำให้สั่นไหว ไม่รู้จริงๆ ว่าผู้หญิงคนนี้ฝึกเคล็ดวิชาพลังภายในสายหยินที่แข็งแกร่งอะไรมา
ฝีมือของผู้หญิงคนนี้ไม่อ่อนแอเลย แม้ว่าเย่เทียนเฉินจะพูดอย่างสบายๆ แต่ก็ไม่ได้ลำพองใจเลยแม้แต่น้อย ถ้าหากถูกแส้ที่แฝงไปด้วยพลังหยินอันแข็งแกร่งฟาดเข้า เกรงว่าเนื้อหนังคงแตกจนเห็นกระดูก ยิ่งไปกว่านั้นผู้หญิงคนนี้ยังมีนิสัยเผ็ดร้อน ทำให้ผู้คนรู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้จริงๆ พูดอะไรไม่ถูกแค่ประโยคเดียวแส้ในมือของเธอก็มาแล้ว
“นายจะเอาแต่หลบแบบนี้ไม่ได้นะ จะช้าจะเร็วก็ต้องถูกตีอยู่ดี!”เด็กสาวพูดด้วยรอยยิ้มน่ารัก แสดงท่าทางคล้ายกับว่ากำลังเตือนให้เย่เทียนเฉินระวัง แต่ความจริงการโจมตีในมือไม่ได้หยุดลงเลย ทุกแส้ต่างโจมตีออกมาอย่างเต็มกำลังจนอาจถึงแก่ชีวิต
“สุภาพบุรุษที่หล่อสมาร์ทมาดเท่อย่างฉัน เธอทำใจตีลงเหรอ?” เย่เทียนเฉินหลบแส้ที่เด็กสาวสะบัดโจมตีออกมาพลางพุ่งเข้าไปใกล้เด็กสาวด้วยความรวดเร็ว ในมือของเขาไม่มีอาวุธ ถ้าหากไม่เข้าไปสู้ระยะประชิดก็คงไม่สามารถดำราบเด็กสาวที่สุดทนคนนี้ได้
ฉัวะ!
แต่ในเมืองของเด็กสาวสั่นไหวจนคล้ายกับกระบี่เล่มหนึ่งที่แทงเข้ามายังเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินพลิกตัวไปทางด้านซ้ายเพื่อหลบแส้สีดำที่โจมตีเข้ามา
ตู้ม!
เสียงหนึ่งดังสนั่น แส้สีดำในมือของเด็กสาวไม่ได้โจมตีถูกเย่เทียนเฉินแต่กลับโจมตีผ่านเย่เทียนเฉินไปโดนสิงโตหินที่อยู่ด้านหลัง เปาเทียนหลงที่นั่งอยู่ในรถได้เห็นก็ตกตะลึง เขามองไม่ออกเลยว่าเด็กสาวที่ใช้แส้คนนี้จะร้ายกาจถึงขนาดนี้ นี่ถ้าหากว่าถูกแส้ตีเข้าไป คนจะต้องถูกฟาดจนพรุนแน่นอน กระทั่งสิงโตหินที่หนาสามสี่เมตรและใช้วัสดุที่แข็งแกร่งสร้างขึ้นมาก็ยังถูกโจมตีจนพังไปง่ายๆ จนเกิดเป็นรูใหญ่ขึ้นมารูหนึ่ง จินตนาการได้เลยว่าถ้าตีถูกคนจะมีผลอย่างไร
แต่ว่าตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินรีดเร้นความสามารถในขอบเขตจอมราชันทั้งหมดออกมา เพิ่มความเร็วจนถึงขีดสุด พุ่งเข้าไปยังเด็กสาวคนนั้นด้วยความเร็วดุจสายฟ้า กล่าวตามจริง ฝีมือของผู้หญิงคนนี้แข็งแกร่งมาก โดยเฉพาะแส้สีดำที่อยู่ในมือของเธอ สะบัดพริ้วไหวได้อย่างงดงามไร้ที่ติ ทำให้ผู้คนไม่สามารถเข้าไปใกล้ได้ง่ายๆ ยิ่งไปกว่านั้นพลังหยินที่เธอฝึกฝนมาก็แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ถ้าไม่ได้ฉวยโอกาสนี้ปราบเธอ เช่นนั้นก็จะลำบากแล้ว
เด็กสาวที่เดิมทียังคงมีท่าทางสนุกสนาน ทันทีที่เห็นเย่เทียนเฉินพุ่งเข้ามาทางตนเองอย่างรวดเร็วจนดูเหมือนจะหายไปต่อหน้าต่อตา ก็อดไม่ได้ที่จะหน้าซีด เธอคิดไม่ถึงเลยว่าเย่เทียนเฉินจะร้ายกาจขนาดนี้ สามารถเพิ่มความเร็วได้ในพริบตา จากเมื่อสักครู่นี้ที่เธอลงมือก็เห็นเย่เทียนเฉินเอาแต่หลบมาโดยตลอด ดูเหมือนไม่มีแรงที่จะลงมือตอบโต้ ที่แท้ก็เป็นการเสแสร้งของเขาเพื่อจะทำให้ตนเองประเมินเขาต่ำไปและหลอกลวงเธอ
“ว้าย!”
เด็กสาวร้องตะโกนออกมาด้วยความตกใจ เนื่องจากเห็นเย่เทียนเฉินพุ่งเข้ามาต่อหน้าต่อตา หากคิดจะเก็บแส้ของตนกลับมาให้เร็วก็คงทำได้ยาก เพราะแส้สีดำโจมตีสิงโตหินตัวใหญ่จนทะลุไป ซึ่งสิงโตหนักนับพันจิน จะยกขึ้นมาง่ายๆ ได้อย่างไร
“คุณผู้หญิง รับมือ!” เย่เทียนเฉินมาถึงเบื้องหน้าของเด็กสาวแล้ว ใช้หมัดต่อยออกไป
“ต้องดวลกับนายแล้ว!”
ทันใดนั้นเอง เด็กสาวก็กัดริมฝีปากเซ็กซี่ของเธอ มือขวาปล่อยแส้สีดำด้วยท่าทางน่ารักเป็นอย่างมาก มือทั้งสองกำเป็นหมัด ร่ายรำเป็นแผนภูมไทเก๊กแปดทิศอยู่บริเวณหน้าอก ป้องกันการโจมตีของเย่เทียนเฉินเอาไว้
เรื่องแปลกประหลาดได้เกิดขึ้นแล้ว ในตอนที่หมัดของเย่เทียนเฉินซัดลงไปบนการร่ายรำแปนภูมไทเก็กแปดทิศที่บริเวณหน้าอกของเด็กสาวคนนั้น ถึงกับเกิดความรู้สึกที่ราวกับจมลงไปในทะเลสาบ กำลังหมัดของเขาถูกทำให้สลายไป ถูกแผนภูมิแปดทิศกำจัดออกไป ทันใดนั้นจึงรู้สึกตื่นตะลึง ไม่ได้คาดคิดถึงสถานการณ์เช่นนี้โดยสิ้นเชิง ตอนนี้เองเด็กสาวก็เก็บแส้สีดำของตนกลับมาและสะบัดไปยังเย่เทียนเฉินอีกครั้ง
ฟ้าว!
เด็กสาวสะบัดแส้ออกไป เย่เทียนเฉินเองก็ถอยหลังไปอยู่ในตำแหน่งที่ห่างจากเด็กสาวสองเมตร มองเด็กสาวด้วยรอยยิ้ม ไม่กล่าวไม่ได้ว่าฝีมือของเด็กสาวคนนี้ไม่อ่อนแอเลย ยิ่งไปกว่านั้นกระบวนท่าก็แปลกประหลาด เป็นครั้งแรกที่เย่เทียนเฉินได้เห็น ดังนั้นจึงไม่อาจเอาชนะได้อย่างราบรื่น
“หยุดมือ นำกล่องหยกหงส์มังกรมอบให้คุณหนูเวยเสวี่ยซะ!” ตอนนี้เอง หลัวเหยียนซงปรากฏตัวออกมาที่บริเวณประตูใหญ่ มองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น
“ก็แค่เห็นหินก้อนนึงไม่ใช่เหรอ? มีอะไรน่าแปลกกัน เอาไปสิ!” เย่เทียนเฉินยักไหล่ โยนกล่องหยกหงส์มังกรให้เด็กสาว ส่วนหยกมีตำหนิเปื้อนเลือดด้านในกล่องก็ถูกหลัวเยี่ยนเก็บเอาไว้แล้ว
เย่เทียนเฉินหมุนตัวจะเดินขึ้นรถ เด็กสาวอดไม่ได้ที่จะกัดริมฝีปากอันเซ็กซี่แล้วเอ่ยปากอย่างไม่พอใจ “นายชื่ออะไร?”
“เย่เทียนเฉิน!” เย่เทียนเฉินพูดจบก็เข้าไปนั่งในรถ ให้เปาเทียนหลงขับรถจากไป
เมื่อเห็นเย่เทียนเฉินจากไป เด็กสาวก็อดไม่ได้ที่จะกำหมัดอันขาวนวลของเธอจนแน่นพลางกัดริมฝีปาก โกรธจนกระทืบเท้าเล็กๆ และพูดพึมพำกับตัวเองเสียงเบาว่า “เย่เทียนเฉิน ถ้านายกล้าปรากฏตัวต่อหน้าฉันจานไถเวยเสวี่ยอีกครั้ง ฉันจะไม่ปล่อยนายไปแน่ จะอัดนายให้หน้าทิ่มเลย!”
…………
“แม่ครับ ผมไม่เป็นไรอย่ากังวลไปเลย!” เย่เทียนเฉินเดินออกมาจากฝุ่นควัน พูดพลางยิ้มให้หลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่
ตกตะลึง หวาดกลัว ยากที่จะเชื่อ ทุกคนต่างมองเย่เทียนเฉินอย่างตกใจจนตาค้าง เดิมทีเขาสามารถสู้กับเปาเทียนหลงจนถึงขั้นที่พื้นรอบๆ กลายเป็นเศษซากได้นั้น ก็ทำให้ทุกคนอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านแล้ว เดิมทีคิดว่าการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของเปาเทียนหลง การใช้หมัดเทพปราณฟ้าออกไปจะต้องสามารถฆ่าเย่เทียนเฉินได้อย่างแน่นอน เมื่อเห็นมือขวาของเปาเทียนหลงบิดเบี้ยวผิดรูปไป มีลักษณะของอาการกระดูกหักหลายท่อน ทุกคนต่างก็รู้สึกตกตะลึงอย่างหาใดเปรียบ แต่ทั้งหมดต่างก็คิดว่าเปาเทียนหลงจะต้องสามารถฆ่าเย่เทียนเฉินได้ด้วยหมัดนี้แน่นอน นี่ก็นับว่าไม่เลวแล้ว ไหนเลยจะรู้ว่าเย่เทียนเฉินจะถึงกลับเดินออกมาด้วยใบหน้าที่ประดับรอยยิ้มไร้พิษสง
“แกแข็งแกร่งมาก!” เปาเทียนหลงพูดออกมา คำพูดนี้แสดงให้เห็นถึงทุกอย่าง นี่คือความรู้สึกที่เขามีต่อเย่เทียนเฉิน และเป็นการประเมินที่เขาซึ่งเคยเป็นขุนพลระดับทัพฟ้ามีต่อเย่เทียนเฉิน
“แกเองก็ไม่เลวเหมือนกัน คิดดีแล้วหรือยัง มาเป็นลูกน้องของฉันเถอะ ติดตามฉันเป็นไง?” เย่เทียนเฉินถามด้วยรอยยิ้ม
ใครก็คิดไม่ถึงว่า หลังจากที่เย่เทียนเฉินและเปาเทียนหลงต่อสู้กันครั้งใหญ่ ประโยคแรกที่พูดกับเปาเทียนหลงจะเป็นคำพูดที่ต้องการรับเปาเทียนหลงเป็นลูกน้อง นี่ทำให้ทุกคนรู้สึกแปลกใจมาก ในสายตาของคนรอบๆ การต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่นี้เรียกได้ว่ายังไม่รู้แพ้รู้ชนะ เพราะเย่เทียนเฉินและเปาเทียนหลงต่างก็ใช้การโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของตนออกมาและได้รับบาดเจ็บกันทั้งคู่ ไม่มีใครชนะใคร
แต่ในใจของเปาเทียนหลงรู้ดีว่าตัวเองแพ้แล้ว ประการแรก การต่อสู้กันอย่างดุเดือดของกระบวนท่าทั้งยี่สิบกระบวนท่านี้ เริ่มต้นก็เป็นเขาที่ลงมือโจมตี จนถึงการโจมตีที่แข็งแกร่งครั้งสุดท้ายนั้นก็เป็นเช่นเดียวกัน ถึงแม้เมื่อมาถึงตอนสุดท้ายจะสามารถบีบบังคับให้เย่เทียนเฉินใช้พลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันออกมาได้ และยังเป็นความสามารถในขั้นสูงสุดอีกด้วย แต่เย่เทียนเฉินก็สามารถต่อต้านหมัดเทพปราณฟ้าของเขาได้ และโจมตีเขาอย่างหนักหน่วง ที่สำคัญที่สุดก็คือเย่เทียนเฉินเพิ่งจะอายุยี่สิบปี อายุน้อยกว่าเขาถึงสิบกว่าปี หากเวลาผ่านไปอีกสิบปีตนเองจะยังเป็นคู่ต่อสู้ของเย่เทียนเฉินได้อีกหรือ? ในใจของเปาเทียนหลงไม่มีความมั่นใจเลยสักนิด
“ความคาดหวังของฉันสูงมาก หากไม่มีการต่อสู้ดุเดือดเลือดพล่าน ก็ไม่สนใจหรอก!” เปาเทียนหลงพูดยิ้มๆ
“คนที่ฉันต้องการแต่ละคนต่างก็มีความสามารถแข็งแกร่งทั้งนั้น รวมกับที่ฉันเย่เทียนเฉินไปหาเรื่องเอาไว้มากมายขนาดนั้น เกรงว่าคนที่คิดจะฆ่าฉันคงมีไม่น้อย ในหมู่คนพวกนี้จะต้องมียอดฝีมือระดับสูงอยู่แน่นอน สนใจหรือเปล่า?” เย่เทียนเฉินมองเปาเทียนหลงแล้วเอ่ยถาม
“ขอแค่มีการต่อสู้ที่ดุเดือดเลือดพล่าน และดูแลเรื่องอาหารการกินก็พอแล้ว เงินก็เป็นแค่ของไร้ประโยชน์!” เปาเทียนหลงพูดพลางยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ
“เรื่องอาหารฉันดูแลเอง รับประกันด้วยชีวิตเลย!”
ทุกคนที่อยู่ที่นี่คิดไม่ถึงอย่างสิ้นเชิงว่า หลังจากการต่อสู้เมื่อสักครู่นี้ แม้จะไม่รู้แพ้รู้ชนะ แต่เปาเทียนหลงกลับมีความคิดที่จะติดตามเย่เทียนเฉินแล้ว สามารถดึงนักสู้แบบเปาเทียนหลงไปได้ทั้งๆ ที่เย่เทียนเฉินยังอายุน้อยแค่ยี่สิบปีเท่านั้น จะไม่ทำให้ผู้คนต้องสั่นสะท้านได้อย่างไร?
การต่อสู้ของเย่เทียนเฉินและเปาเทียนหลงนับว่าสิ้นสุดลงแล้ว หลังจากการต่อสู้ระหว่างพวกเขา แม้ว่าทั้งสองต่างก็ได้รับบาดเจ็บ แต่กลับไม่ได้มีความแค้นอะไรต่อกัน กลับมีความรู้สึกหนึ่งที่เรียกได้ว่าไม่ต่อยตีก็ไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ สามารถพูดชักจูงให้เปาเทียนหลงติดตามตนเองไปป่วนยุทธภพได้ เย่เทียนเฉินก็ดีใจมากแล้ว นี่ก็อยู่ในแผนการของเขาเช่นเดียวกัน
ในตอนที่เปาเทียนหลงเพิ่งจะเดินเข้ามาในบ้านสไตล์โบราณนั้น พลังพิเศษแห่งการรับรู้ของเย่เทียนเฉินก็รับรู้ได้ถึงกำลังภายในที่แข็งแกร่งในร่างกายของเปาเทียนหลงแล้ว ซึ่งไม่เหมือนกับพลังภายในที่พรรควรยุทธโบราณอื่นๆ ฝึกฝน เพราะพลังภายในร่างกายของเปาเทียนหลงหนักแน่นดุดันเป็นอย่างมาก ซึ่งมีพื้นฐานมาจากพลังการต่อสู้ เย่เทียนเฉินที่ต้องการจะก่อตั้งกลุ่มอำนาจของตน จึงต้องการคนที่บ้าการต่อสู้แบบเปาเทียนหลง
ในฐานะที่เคยเป็นขุนพลระดับทัพฟ้าและเป็นยอดฝีมือชั้นยอด ในร่างกายของเปาเทียนหลงย่อมมีเลือดแห่งการต่อสู้ไหลเวียนอยู่ มีบางคนที่เกิดมาเพื่อต่อสู้ แต่พอฆ่าคนผิดเปาเทียนหลงจึงถูกบีบบังคับให้ออกจากทัพฟ้า และเพื่อปากท้องจึงจำเป็นต้องมาเป็นหัวหน้าผู้คุ้มกันให้กับตระกูลหลัว ความจริงแล้วเขาไม่ชอบชีวิตแบบนี้เลย การเป็นหัวหน้าผู้คุ้มกันคนหนึ่งในตระกูลหลัว ทั้งวันก็ไม่มีเรื่องอะไรให้ทำ เป็นการใช้คนไม่ถูกกับงานเลยจริงๆ แต่ก็ไม่สามารถเลือกได้ เปาเทียนหลงคาดหวังการต่อสู้ที่ดุเดือดเลือดพล่าน การต่อสู้ที่จะสามารถใช้ความสามารถของตนออกมาได้อย่างเต็มที่ ต่อให้ต้องตายในการต่อสู้ก็ยังดีกว่ามีชีวิตราบเรียบแบบนี้ นี่เป็นข้อต่อรองเพียงข้อเดียวที่เย่เทียนเฉินคิดว่าตนเองจะสามารถชักจูงเปาเทียนหลงให้ติดตามตัวเองได้
แน่นอนว่าหากเขาไม่สามารถแสดงออกมาให้เห็นว่าตนเองเข้ากันได้ดีกับเปาเทียนหลง กระทั่งมีความสามารถที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเขา เขาก็คงไม่ยอมติดตามเย่เทียนเฉินอย่างแน่นอน
“หัวหน้า คุณ…”
“หัวหน้า คุณจะติดตามไอ้หนูนี่จริงๆ เหรอ…”
ผู้คุ้มกันสองคนที่ติดตามเปาเทียนหลงมาโดยตลอดจนสามารถเรียกได้ว่ามีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวต่อกัน ต่างก็รู้สึกตกตะลึงอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ จะอย่างไรเขาก็ไม่คิดว่าหลังจากการต่อสู้เปาเทียนหลงจะถูกเย่เทียนเฉินดึงไปเป็นพวก ไปจากตระกูลหลัว ไม่เป็นหัวหน้าผู้คุ้มกันอีกต่อไป ไปติดตามไอ้หนูคนนี้แทน นี่ช่างกะทันหันเกินไปแล้ว
“พวกแกสองคนอยู่ที่ตระกูลหลัวต่อไปเถอะ มีเรื่องอะไรก็มาหาฉันได้!” เปาเทียนหลงพูดด้วยรอยยิ้ม
ตอนนี้เอง หลัวเหยียนซงที่ยืนมองเย่เทียนเฉินอยู่ไม่ไกลมาโดยตลอด ก็ไม่ได้รู้สึกโกรธเพราะเย่เทียนเฉินไม่ได้แพ้ให้กับเปาเทียนหลงและต้องการจะจากไปหลังจากที่ทำกร่างทำร้ายคนตระกูลหลัวของตน แต่กลับมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปาก สั่งกับคนรับใช้ที่อยู่ข้างกายอย่างราบเรียบว่า “ให้เย่เทียนเฉินและแม่ไปได้ กล่องหยกหงส์มังกรและหยกมีตำหนิเปื้อนเลือดก็ให้พวกเขาไปด้วย!”
“งั้นนายท่าน แล้วเปาเทียนหลงล่ะครับ?” คนใช้ถามอย่างนอบน้อม
“แล้วแต่เขาเถอะ นี่เป็นอิสระของเขา!”
พูดจบหลัวเหยียนซงก็เดินไปจากที่นั่น ในใจของเขารู้สึกสะท้อนใจและเจ็บปวดใจ เนื่องจากแม่เฒ่าตระกูลหลวงซึ่งเป็นแม่ของเขาจากโลกนี้ไปแล้ว ถึงเขาจะรีบกลับมาก็ยังไม่สามารถป้องกันไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ บางทีผลลัพธ์ในตอนนี้คงจะดีที่สุดแล้ว เพียงแต่เย่เทียนเฉินที่เป็นหลานของเขาคนนี้ทำให้เขารู้สึกตื่นตะลึงและสั่นสะท้านมากเหลือเกิน
เมื่อรู้ว่าเย่เทียนเฉินมีความสามารถที่แข็งแกร่งถึงขั้นนี้ คุณลุงทั้งหลายแห่งตระกูลหลัวที่เดิมทีรู้สึกไม่พอใจจนคิดจะลงมือลอบทำร้าย ต่างก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมาแม้แต่ประโยคเดียว ต่อให้จะเห็นลุงหวังนำหยกมีตำหนิเปื้อนเลือดไปบรรจุลงในกล่องหยกหงส์มังกร และพาหลัวเยี่ยนไปก็ไม่มีใครกล้าขวาง ไม่ว่าใครต่างก็รู้ว่าเย่เทียนเฉินเป็นคนที่ทำตามหลักการโดยไม่สนใจตัวคน หากตอนนี้มีใครเข้าไปขวางไม่ใช่ว่าเป็นการรนหาที่ตายหรอกหรือ?
“แม่มันเถอะ หรือจะปล่อยให้ไอ้หนูนี่เอากล่องหยกหงส์มังกรและหยกมีตำหนิไป?” มีคนกัดฟันถามออกมาอย่างไม่สบอารมณ์
“ไม่งั้นจะทำยังไงได้อีก? แกจะไปดวลตัวต่อตัวกับมันหรือไง?”
“ห้ามให้มันเอาไปเด็ดขาด พวกเราสามารถออกคำสั่งให้ผู้คุมการตระกูลหลัวยิงมันได้”
“ผู้นำตระกูลก็รับรู้แล้ว ช่างมันเถอะ ฉันอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกหลายปี”
เพียงไม่นาน เย่เทียนเฉิน หลัวเยี่ยนและลุงหวังสามคนก็นั่งอยู่ในรถซีดานคันหนึ่ง โดยมีเปาเทียนหลงเป็นคนขับ เย่เทียนเฉินนั่งอยู่ในตำแหน่งข้างคนขับ ส่วนหลัวเยี่ยนนั่งอยู่ที่นั่งด้านหลัง รับกล่องหยกหงส์มังกรที่ลุงหวังส่งมาให้ หลัวเยี่ยนยังคงหยิบยกมีตำหนิด้านในกล่องออกมาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น และมอบกล่องหยกหงส์มังกรคืนให้ลุงหวัง
“คุณหนู นี่คุณ…” ลุงหวังถามอย่างสงสัย ไม่ง่ายเลยกว่าที่ผู้นำตระกูลจะให้หลัวเยี่ยนสองแม่ลูกนำหยกมีตำหนิและกล่องหยกหงส์มังกรไปได้ หลัวเยี่ยนไม่ต้องการหรือ? นี่เป็นของล้ำค่าที่ไม่อาจประเมินค่าได้ บนโลกมีเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น
“พ่อพูดแล้วว่าให้พวกเราเอาไปแค่หยกมีตำหนิ ถึงตอนนี้คุณลุงตระกูลหลัวทั้งหลายจะไม่ได้พูดอะไร แต่ก็คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะทำให้พ่อลำบากใจภายหลัง ของสิ่งนี้เก็บไว้ที่ตระกูลหลัวเถอะ พวกเรานำไปแค่หยกมีตำหนิก็พอแล้ว!” หลัวเยี่ยนพูดด้วยรอยยิ้ม
“คุณหนูครับ ถ้าหากว่านายท่านรู้ จะต้อง…” ลุงหวังรู้สึกซาบซึ้งใจ หลัวเยี่ยนเห็นเขาเป็นญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง และมีความกตัญญูมากด้วย ต่อให้เหตุการณ์มาถึงขั้นนี้แล้วก็ยังไม่อยากทำให้พ่อลำบากใจ
“อย่าบอกเขานะ บอกให้ว่าฉันไม่ต้องการก็พอแล้ว!” หลัวเยี่ยนพูดพลางส่ายหน้า
ลุงหวังมองหลัวเยี่ยนครั้งหนึ่ง อดไม่ได้ที่จะถอนใจออกมา สองพ่อลูกคู่นี้ผ่านไปยี่สิบปีแล้วก็ยังไม่สามารถปล่อยวางได้ การทะเลาะกันจนตัดความสัมพันธ์พ่อลูกเมื่อปีนั้น จะไม่อาจแก้ไขได้ไปตลอดชีวิตเลยหรือ? นี่จะโหดร้ายเกินไปหรือเปล่า?
“ผมทราบแล้วครับ!” ลุงหวังพูดแล้วพยักหน้า
เอี๊ยด!
ในตอนที่เย่เทียนเฉิน หลัวเยี่ยน และเปาเทียนหลงเตรียมจะจากไปนั้น รถมอเตอร์ไซค์ที่โดดเด่นคันหนึ่งได้มาจอดที่ประตูใหญ่ของบ้านตระกูลหลัว มีเด็กสาวคนหนึ่งลงมาจากรถ เธอสวมชุดหนัง กางเกงหนัง รองเท้าหนัง บนใบหน้าสวมแว่นกันแดดสีดำ มองใบหน้าของเธอได้ไม่ชัดเจน ปากเล็กๆ ที่แดงเอิบอิ่มมีเสน่ห์อยู่หลายส่วน ร่างกายสูงประมาณ 172 เซนติเมตร เมื่อรวมกับชุดหนังที่สวมอยู่บนร่างแล้วก็ทำให้ส่วนเว้าส่วนโค้งของร่างกายถูกขับเน้นจนเด่นอย่างมาก กระทั่งเย่เทียนเฉินก็มองจนอดไม่ได้ที่จะยิ้มชั่วร้ายขึ้นมาที่มุมปาก ผู้หญิงดีๆ แบบนี้ ต่อให้ไม่สามารถมองเห็นใบหน้าทั้งหมดได้ แต่จากการคาดเดาของเขาผู้หญิงคนนี้จะต้องสวยมากแน่ ไม่ด้อยไปกว่าสาวงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงอย่างหลิ่วหรูเหมยเลย
“สวัสดี ฉันชื่อจานไถเวยเสวี่ย คุณช่วยแจ้งกับหัวหน้าตระกูลหลัวหน่อยว่า ฉันมีเรื่องด่วนต้องการพบเขา!” ผู้หญิงร่างสูงที่สวมแว่นกันแดดสีดำคนนั้นเดินมาที่ประตูคฤหาสน์ตระกูลหลัวแล้วพูดกับพวกคุ้มกันด้วยรอยยิ้ม
ผู้คุ้มกันบริเวณประตูชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นจึงรีบต่อสายโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว แล้วพูดอย่างเกรงใจว่า “คุณหนูเวยเสวี่ยเชิญเข้าไปครับ นายท่านหลัวรออยู่ในห้องรับแขกแล้ว!”
“ว้าว ผู้หญิงคนนี้โดดเด่นจริงๆ แม่ครับ คุณพ่อของแม่มารอที่ห้องโถงด้วยตัวเองเลย!” เย่เทียนเฉินพูดพลางยิ้มอย่างสนใจ
“จานไถเวยเสวี่ย หรือว่า…ไปเถอะ ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเรา!” หลัวเยี่ยนชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพูดออกมาพลางส่ายหน้า
“จริงสิ หยกมีตำหนินี้แม่ใหญ่ของแม่ทิ้งเอาไว้ให้ ส่วนกล่องหยกหงส์มังกรพวกเราก็ไปหาผู้เชี่ยวชาญมาประเมินราคา ของสิ่งนี้ถ้าเก็บไว้ที่บ้านคงต้องเจอกับนักฆ่าแน่นอน!” มือซ้ายของเย่เทียนเฉินถือกล่องหยกหงส์มังกรเอาไว้ สังเกตกล่องแล้วพูดออกมาอย่างสนใจ
ฟ้าว!
คำพูดของเย่เทียนเฉินเพิ่งจะพูดจบ แส้หนังสีดำเส้นหนึ่งก็ตวัดมาทางเขา โจมตีไปที่กล่องหยกหงส์มังกรในมือซ้ายคล้ายจะขโมยไป
เย่เทียนเฉินสายตาว่องไวลงมือรวดเร็ว เขาเบี่ยงตัวหลบ ในขณะเดียวกันก็ใช้มือขวาจับแส้หนังสีดำเอาไว้แล้วหันไปมอง พบว่าคนที่สะบัดแส้โจมตีเขาและจับอยู่ที่อีกด้านหนึ่งของแส้ก็คือเด็กสาวที่สวมแว่นสีดำ สวมเสื้อหนังรองเท้าหนัง และมีรูปร่าง เซ็กซี่คนนั้น เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหันทำให้ทุกคนคิดไม่ถึง
………………..
เย่เทียนเฉินและเปาเทียนหลงสู้กันไปสิบกว่ากระบวนท่าแล้ว มีทั้งการบุกโจมตีและมีการบาดเจ็บด้วยกันทั้งคู่ เปาเทียนหลงแสดงความสามารถที่ไม่ธรรมดาของอดีตขุนพลระดับทัพฟ้าอย่างเขาออกมา ส่วนเย่เทียนเฉินก็ทำให้ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต้องสั่นสะท้านเป็นที่สุด ใครก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะร้ายกาจขนาดนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาถึงกับมีฝีมือแข็งแกร่งในขณะที่ยังอายุน้อยเช่นนี้ สามารถต่อสู้กับเปาเทียนหลงได้สิบกว่ากระบวนท่าโดยไม่ตกเป็นรอง
สิบกว่ากระบวนท่า เพียงแค่สิบกว่ากระบวนท่าเท่านั้นแต่กลับทำให้ใครหลายคนรับรู้ได้ถึงความร้ายกาจและความน่าตื่นตาตื่นใจของศิลปะป้องกันตัวของจีน สิบกว่ากระบวนท่านี้ดุเดือดรุนแรงเป็นอย่างมาก ทำให้เย่เทียนเฉินและเปาเทียนหลงต่างก็เคร่งขรึมจริงจังอย่างหาใดเปรียบ ไม่มีใครกล้าดูถูกคู่ต่อสู้ ทำได้เพียงรับมืออย่างเต็มกำลังเท่านั้น
ในตอนที่เปาเทียนหลงตะโกนออกมา ต้องการที่จะตัดสินแพ้ชนะกับเย่เทียนเฉินนั้น แผ่นหินที่อยู่รอบๆ เขาถึงกลับลอยขึ้นมาจากพื้นทั้งหมด อย่างน้อยก็สิบกว่าแผ่น เป็นแผ่นหินที่ใหญ่มาก ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าหากถูกแผ่นหินทั้งสิบกว่าแผ่นตกใส่เลย แค่แผ่นเดียวก็สามารถทับคนธรรมดาตายได้แล้ว
“พลังปราณหนักแข็งแกร่งมาก หัวหน้าใช้พลังปราณหนักทำให้แผ่นหินรอบๆ ลอยขึ้นมา จะต้องสามารถโจมตีไอ้หนูนั่นให้ครึ่งเป็นครึ่งตายได้แน่นอน!”
“ไม่ใช่ครึ่งเป็นครึ่งตายตาย แต่จะต้องฆ่าไอ้หนูนั่นได้แน่!”
เมื่อเห็นว่าหัวหน้าใช้พลังปราณหนักของตนออกมาจนทำให้แผ่นหินแผ่นใหญ่ลอยขึ้น ผู้คุ้มกันสองคนที่ติดตามเปาเทียนหลงมาโดยตลอดก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น หลายคนคิดว่าพลังปราณหนักก็คือพลังภายในที่แข็งแกร่งชนิดหนึ่ง เมื่อปะทุออกมาก็จะมีพละกำลังที่แข็งแกร่ง ความจริงนั้นไม่ถูกต้อง ส่วนที่ร้ายกาจที่สุดของพลังปราณหนักก็คือสามารถทำให้ร่างกายรับความกดดันเพิ่มมากขึ้นได้หลายเท่า จากนั้นจึงควบคุมแรงโน้มถ่วงที่คนธรรมดารับไม่ได้ไปโจมตีศัตรู
“ให้ตายสิ ไม่พูดไม่ได้ว่าไอ้เด็กแซ่เย่ร้ายการมาก แต่ครั้งนี้มันจะต้องตายแน่นอน!”
“ต่อให้ก่อนหน้านี้เขาจะสามารถตอบโต้เปาเทียนหลงได้อย่างดุเดือด แต่ตอนนี้ไปยั่วโมโหเปาเทียนหลงก็จะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยเลย”
“ครั้งนี้จะต้องไม่เกิดความผิดพลาดอะไรขึ้นอีกแน่นอน เย่เทียนเฉินต้องตาย!”
คนตระกูลหลัวบ้าคลั่งไปแล้วโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะคนที่ต้องการให้เย่เทียนเฉินตายมาโดยตลอด พูดได้ว่าทุกครั้งที่พวกเขาคิดว่าเย่เทียนเฉินจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย เย่เทียนเฉินก็จะทำให้พวกเขาต้องสั่นสะท้านโดยไม่คาดคิด ยิ่งเป็นเช่นนี้พวกเขาก็ยิ่งหวังจะให้เย่เทียนเฉินสิ้นชีพ ต้องการให้เขาถูกเปาเทียนหลงฆ่าตาย มีเพียงเช่นนี้เท่านั้นพวกเขาจึงจะสามารถวางใจได้
“กระบวนท่าสุดท้าย ถ้าหากแกรอดไปได้ ก็ถือว่าแกชนะ!” มือทั้งสองของเปาเทียนหลงควบคุมแผ่นหินแผ่นใหญ่สิบกว่าแผ่น มองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างเย็นชาแล้วพูดขึ้น
“ฉันชนะแน่อยู่แล้ว ความสามารถทางการต่อสู้ที่แกแสดงออกมาสามารถเป็นลูกน้องของฉันได้เลย แกแพ้แล้ว ฉันไม่ต้องการชีวิตของแก มาติดตามฉันซะเถอะ!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม
“รับมือ!”
เปาเทียนหลงตะโกนเสียงดัง กระโดดขึ้นไปสูงสามเมตร ยืนอยู่บนแผ่นหินแผ่น หนึ่ง หินทั้งสิบกว่าแผ่นพุ่งโจมตีลงมายังเย่เทียนเฉินพร้อมกัน คนที่อยู่รอบๆ เห็นดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะถอยหลังออกไป หากว่าถูกทับเข้าไม่ตายก็ต้องเจ็บหนัก ใครก็ไม่กล้าเอาชีวิตของตนมาล้อเล่น
“ลูก…” หลัวเยี่ยนตะโกนอย่างร้อนใจ คิดจะวิ่งเข้าไปแต่กลับถูกลุงหวังขวางเอาไว้ ตอนนี้ใครก็ช่วยเย่เทียนเฉินไม่ได้แล้ว ทำได้แต่พึ่งตัวเองเท่านั้น
“คุณหนูครับ เข้าไปไม่ได้เดี๋ยวจะตายเอา!” ลุงหวังพูดอย่างร้อนใจเช่นเดียวกัน
“ลุงหวัง ปล่อยหนูเถอะ เทียนเฉินกำลังมีอันตราย!” หลัวเยี่ยนดิ้นสุดชีวิต คิดจะพุ่งเข้าไปปกป้องลูกชาย
“แม่ครับ แม่อย่ามาทำให้ผมกังวลเลย ผมไม่เป็นอะไรหรอก แม่ไปยืนกับลุงหวังห่างๆ หน่อยเถอะ!” เย่เทียนเฉินพูดกับแม่ด้วยรอยยิ้ม
หลัวเยี่ยนชะงักไปเล็กน้อย มองใบหน้าเปี่ยมรอยยิ้มของลูกชาย ทันใดนั้นจึงสงบลงมาก เป็นเช่นนั้นจริงๆ ต่อให้ตนวิ่งเข้าไปจะทำอะไรได้ล่ะ? คงทำให้ลูกชายต้องกังวลเปล่าๆ และไม่อาจรับมือได้อย่างเต็มกำลัง
ในที่สุดหลัวเยี่ยนและลุงหวังก็ไปยืนด้านข้าง ส่วนคนตระกูลหลัวก็ถอยออกไปไกลตั้งนานแล้ว เมื่อต้องเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้ ต้องเจอกับสถานการณ์การต่อสู้อันดุเดือดรุนแรงที่เหนือจินตนาการ ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้แม้แต่คนเดียว ในกลุ่มคนเหล่านั้น ดวงตาทั้งสองของหลัวเหยียนซงจับจ้องไปที่เย่เทียนเฉินโดยตลอด นิสัยและฝีมือของหลานคนนี้เหนือจินตนาการของเขาไปมาก ความเด็ดเดี่ยวและความกล้าหาญนั้นร้ายกาจยิ่งกว่าตอนเขายังหนุ่มเสียอีก
เย่เทียนเฉินเห็นหลัวเยี่ยนไปยืนด้านข้างแล้วก็รู้สึกวางใจลงไม่น้อย แต่เขาก็ไม่ได้ดูเบาอีกฝ่ายโดยเด็ดขาด การโจมตีที่เปาเทียนหลงใช้ออกมาหลายกระบวนท่า ต่างเป็นเคล็ดวิชาของพรรควรยุทธโบราณที่รับมือไม่ง่าย และยังไปถึงขั้นที่สามารถควบคุมวัตถุได้แล้ว แน่นอนว่าเย่เทียนเฉินรู้ว่านี่ไม่ใช่พลังพิเศษ เขาไม่อาจรับรู้ได้ถึงการสั่นไหวของพลังพิเศษใดๆ บนร่างของเปาเทียนหลง วิธีที่เปาเทียนหลงใช้ออกมาคือพลังภายในที่แข็งแกร่งอันบริสุทธิ์ สอดแทรกเข้าไปในวัตถุ และใช้พลังในการควบคุมและโจมตี วิธีการเช่นนี้ยิ่งอัดพลังแน่น ก็ยิ่งร้ายกาจ มีอำนาจยิ่งใหญ่เป็นอย่างมาก
ฟิ้ว!
ฟิ้ว!
ฟิ้ว!
หินทั้งสิบกว่าแผ่นพุงเข้าไปยังเย่เทียนเฉินพร้อมกัน ดูเหมือนว่าจะพุ่งตกลงมาจากฟ้า เย่เทียนเฉินไม่มีทางให้หลบเลยสักนิด ส่วนเปาเทียนหลงในตอนนี้ดูคล้ายกับกำลังเดินอยู่บนอากาศ เตะแผ่นหินออกมาด้วยท่าทางคล้ายกับนกนางแอ่น จากนั้นจึงพุ่งตังตามหินทั้งสิบกว่าแผ่นที่กำลังพุ่งไปยังเย่เทียนเฉินแล้วร่วมโจมตีเข้าด้วยกัน
“ย่ะ!”
ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย เย่เทียนเฉินตะโกนออกมา มือทั้งสองแบขึ้นสู่ท้องฟ้า เกิดเสียงดังกึกก้อง มีกำแพงดินผุดขึ้นมาจากดินทั้งสองฝั่ง พุ่งไปยังแผ่นหินทั้งสิบกว่าแผ่นนั้นพร้อมกัน กระบวนท่าโจมตีนี้ก็เป็นการปะทะกันของพลัง เย่เทียนเฉินใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษสายพสุธา กระตุ้นพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันที่อยู่ในร่างกายออกมาในเวลาเพียงพริบตาเดียว สร้างกำแพงดินขึ้นมาสองแผ่นจากพื้นราบรอบๆ เพื่อมาต่อกรกับแผ่นหินที่ตกลงมาทั้งสิบกว่าแผ่นของอีกฝ่าย
ตู้มๆๆ…
กำแพงดินและแผ่นหินปะทะเข้าด้วยกัน เกิดเป็นเสียงระเบิดขึ้นครั้งใหญ่ บนอากาศภฟุ้งกระจายไปด้วยเศษฝุ่น คนที่ยืนล้อมอยู่วงนอกไม่มีใครเห็นสถานการณ์ได้ชัดเจน เพียงแต่ในช่วงพริบตาที่กำแพงดินและแผ่นหินปะทะกันนั้น พวกเขาเห็นว่ากำแพงดินยุบลง ส่วนแผ่นหินก็แตกเป็นเสี่ยงๆ พลังที่แข็งแกร่งเช่นนี้ทำให้ทุกคนต้องสั่นสะท้าน ช่างร้ายกาจจริงๆ พลังของสองคนนี้เกินขอบเขตคนธรรมดาไปแล้ว
“หมัดเทพปราณฟ้า!”
เปาเทียนหลงตะโกน พุ่งตัวลงมาจากตำแหน่งที่สูงสามเมตร หมัดขวากำแน่นมีประกายสีทองส่องสว่าง ดวงตาแพรวพราวดูโดดเด่น นี่คือการโจมตีเต็มพลังของเขา และเป็นการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดในฐานะที่เขาเป็นขุนพลระดับทัพฟ้า ในตอนที่หมัดขวาของเขาพุ่งตรงลงมาข้างล่าง ดูคล้ายกับลำแสงลำหนึ่งที่ปัดเป่าเศษฝุ่นออกเป็นสายอย่างไรอย่างนั้น
ฟิ้ว!
ในตอนที่เปาเทียนหลงทะยานลงมาและโจมตีหมัดออกไปนั้น ท่ามกลางฝุ่นควันก็มีเงาคนพุ่งออกมา ทะยานร่างขึ้นมาข้างบน ต่อยหมัดออกมาเช่นเดียวกัน ทั้งสองทั้งแข็งแกร่งและบ้าคลั่งเป็นอย่างมาก
ตู้ม!
เสียงดังสนั่นหวั่นไหว หมัดเย่เทียนเฉินและเปาเทียนหลงปะทะกัน ระเบิดจนส่องประกายออกมา นี่คือการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขาทั้งสอง เย่เทียนเฉินลงมือเต็มกำลังแล้ว ระเบิดพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันขั้นสูงสุดออกมา ต่อยหมัดออกไปได้หนักแน่นอย่างมาก ส่วนเปาเทียนหลงที่เคยเป็นขุนพลระดับทัพฟ้า หากไม่ใช่เพราะฆ่าคนผิดตอนนี้ก็คงเป็นขุนพลระดับทัพฟ้าที่โดดเด่นคนหนึ่ง มีลมปราณแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก จนถึงขั้นที่สามารถควบคุมวัตถุได้แล้ว หมัดนี้ของเขารวบรวมลมปราณฟ้าทั้งหมดในร่าง ดังนั้นจึงเรียกว่าหมัดเทพปราณฟ้า
เปาเทียนหลงถูกโจมตีกลางอากาศจนกระเด็นออกไป ส่วนเย่เทียนเฉินกลับถูกแรงโจมตีกระแทกจนกระเด็นกลับไปอยู่ท่ามกลางเศษฝุ่น ทุกสิ่งทุกอย่างเงียบลง ยี่สิบกระบวนท่า ทั้งสองต่อสู้กันยี่สิบกระบวนท่าจริงๆ ทั้งตื่นตาตื่นใจและบ้าคลั่งเป็นอย่างมาก เพียงแต่หลังจากยี่สิบกระบวนท่านี้ จะสามารถรู้แพ้รู้ชนะได้หรือไม่คนนอกยากที่จะรู้ได้ เกรงว่าคงมีเพียงเย่เทียนเฉินและเปาเทียนหลงสองเท่านั้นที่จะรู้
ไม่นานเปาเทียนหลงก็ล่วงลงมาถึงพื้น สีหน้าขาวซีด มือขวาบิดเบี้ยวจนเปลี่ยนรูปไปอย่างชัดเจน หมัดเมื่อสักครู่นี้เขาลงมือเต็มที่แล้ว ต่อย “หมัดเทพปราณฟ้า” ที่เป็นการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาออกไป เดิมทีคิดว่าจะสามารถฆ่าเย่เทียนเฉินได้ ไหนเลยจะรู้ว่าเย่เทียนเฉินกลับต่อยหมัดออกมา เป็นหมัดที่มีความหนักหน่วงรุนแรงเช่นเดียวกัน หมัดปะทะเข้าด้วยกัน ดวลพลังกัน เปาเทียนหลงคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเย่เทียนเฉินจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้
“หัวหน้า คุณไม่เป็นไรใช่ไหม?”
“หัวหน้า มือของคุณ…”
ผู้คุ้มกันทั้งสองรีบวิ่งเข้ามา ตอนนี้มือขวาของเปาเทียนหลงบิดเบี้ยวจนเปลี่ยนรูปไปแล้ว ทั้งสองต่างรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนอยู่ในใจ เมื่อสักครู่นี้พวกเขาย่อมเห็นเปาเทียนหลงต่อยหมัดเทพปราณฟ้าออกมา เรียกได้ว่าเป็นการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา แม้แต่คนที่ไม่รู้วิชาต่อสู้ก็สามารถรับรู้ได้ถึงความรุนแรงของหมัด ยิ่งไปกว่านั้นหมัดนี้เป็นหมัดที่เปาเทียนหลงรวบรวมพลังภายในทั้งหมด ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครต้านทานได้ แต่เย่เทียนเฉินถึงกับสามารถปะทะขึ้นมาได้จริงๆ ใช้กำปั้นซัดปะทะเข้ามาเช่นเดียวกัน ที่สำคัญที่สุดก็คือยังทำให้มือขวาของเปาเทียนหลงกระดูกหักจนเปลี่ยนรูปร่างไปแล้ว ทำให้พวกเขาตกใจจนคางแทบร่วง
“ฉันไม่เป็นไร…เย่เทียนเฉินแข็งแกร่งมากจริงๆ โชคดีที่พวกแกสองคนไม่ได้ลงมือ ไม่งั้นคงต้องตายไปแล้ว!” เปาเทียนหลงมองผู้คุ้มกันสองคนที่เป็นลูกน้องของตน พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง
ผู้คุ้มกันทั้งสองพยักหน้าเงียบๆ มองไปท่ามกลางเศษฝุ่น ตอนนี้พวกเขาไม่ได้มีสายตาดูถูกเลยแม้แต่ครึ่งส่วน แต่กลับนับถือเย่เทียนเฉินด้วยซ้ำ ผู้แข็งแกร่งย่อมควรค่าแก่การนับถือของผู้คน พวกเขาเองก็รู้สึกโชคดีที่เมื่อสักครู่นี้ไม่ได้ออกไปสู้แทนหัวหน้าเปาเทียนหลง มิเช่นนั้นเกรงว่าตอนนี้คงจะกลายเป็นศพไปแล้ว
“หัวหน้าเปา ไม่เป็นไร ไอ้หนูนั่นจะต้องตายแน่!”
“ฮ่าๆ ตายก็ดี ไอ้เด็กนี่โอหังเกินไปแล้ว กล้ามาก่อเรื่องที่ตระกูลหลัวของพวกเรา จะต้องตาย”
“หึ ไอ้คนไม่รู้จักที่ตาย ถึงกับกล้ายั่วยุหัวหน้าเปา ต่อให้เขามีความสามารถอยู่บ้าง แต่จะต้องแหลกเป็นโคลนไปแล้วแน่!”
เมื่อเห็นเปาเทียนหลงถึงกับได้รับบาดเจ็บ มือขวาบิดเบี้ยวจนเปลี่ยนรูปไป กระดูกจะต้องแตกเป็นเสี่ยงอย่างแน่นอน มิฉะนั้นคงไม่เกิดสภาพร้ายแรงแบบนี้ คนตรกูลหลัวต่างก็รู้สึกใจสั่น ใครก็คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะแข็งแกร่งถึงขั้นนี้ ดูท่าที่เขาลงมือทำร้ายจางอวิ๋นและหลัวเสียนเม่ยก็ลงมือไว้ไมตรีมากแล้ว มิฉะนั้นชีวิตของสองแม่ลูกคู่นี้คงเก็บไว้ไม่ได้
“เทียนเฉิน…เทียนเฉิน…” หลัวเยี่ยนตกตะลึง เปาเทียนหลงไม่เป็นอะไรแล้ว ถ้าอย่างนั้นเย่เทียนเฉินคงจะไม่…
ในตอนที่คนตรกูลหลัวลอบยินดีอยู่ในใจ กระทั่งระงับความยินดีเอาไว้ไม่ไหวจนยิ้มออกมา ส่วนหลัวเยี่ยนก็ใกล้จะคลั่งไปแล้ว คิดที่จะวิ่งเข้าไปท่ามกลางฝุ่นควันเพื่อไปหาลูกชาย ตอนนั้นเอง เงาร่างร่างหนึ่งก็เดินออกมาอย่างมาดเท่ มุมปากคาบบุหรี่มวนหนึ่ง มือซ้ายล้วงอยู่ในกระเป๋ากางเกง มือขวามีเลือดไหลลงมาตามแขน…
……………….
ตู้ม!
นอกประตูบ้านสไตล์โบราณของตระกูลหลัวเกิดเสียงดังสนั่น ทุกคนมองฉากนี้จนตาค้าง โดยเฉพาะคนตระกูลหลัวเหล่านั้น คุณลุงทั้งหลายของตระกูลหลัวเหล่านั้นที่หวังจะให้เปาเทียนหลงซึ่งเป็นหัวหน้าผู้คุ้มกันอัดเย่เทียนเฉินให้ตายภายในหมวดเดียว ทั้งหมดต่างก็อึ้งจนแข็งเป็นหิน สูดหายใจเย็นยะเยือกด้วยความประหลาดใจ คิดไม่ถึงโดยสิ้นเชิงว่าจะเกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้นมาได้
เย่เทียนเฉินและเปาเทียนหลงประหมัดกันจริงๆ ทั้งคู่ต่างก็ยืนอยู่ที่เดิมโดยไม่ขยับเขยื้อน มือขวาของพวกเขาชนกัน มองอีกฝ่ายด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม เพียงแต่พื้นหินใต้เท้าของพวกเขาในขอบเขตหนึ่งเมตรต่างแหลกจนกลายเป็นฝุ่นผงไปหมดแล้ว เรียกได้ว่าหมัดนี้สูสีกัน สุดท้ายแล้วใครที่แข็งแกร่งกว่ากันแน่ เกรงว่ามีเพียงเย่เทียนเฉินและเปาเทียนหลงเท่านั้นที่จะรู้
“แม่งเอ้ย ฉัน…ฉันไม่ได้กำลังฝันอยู่ใช่ไหม? ไอ้หนูนี่ถึงกับประหมัดกับหัวหน้าได้เลยเหรอ?” ผู้คุ้มกันคนหนึ่งไม่อยากจะเชื่อสายตาโดยสิ้นเชิง ขยี้ตาของตนอย่างแรงแล้วอุทานออกมา
“นี่…หัวหน้า หัวหน้าจะต้องยังไม่ได้ใช้พลังภายในของตนแน่นอน ถ้าเขาใช้พลังภายในก็จะไม่มีใครต้านทานได้!” ผู้คุ้มกันอีกคนหนึ่งก็ทำได้เพียงหาเหตุผลมาปลอบใจตัวเอง
“ใช่แล้ว หัวหน้าจะต้องยังไม่ได้ใช้พลังภายในแน่นอน ไม่งั้นมือขวาของไอ้หนูนี่คงหักไปแล้ว…”
ผู้คุ้มกันสองคนที่เดิมทีคิดจะลงมือสั่งสอนเย่เทียนเฉิน ในตอนที่เห็นเย่เทียนเฉินและเปาเทียนหลงประหมัดกันอย่างรุนแรงแต่ถึงกับไม่ได้รับความเสียหายเลยแม้แต่น้อย กระทั่งกล่าวได้ว่าไม่ถอยเลยแม้แต่ครึ่งก้าว ต่างก็ต้องแปลกใจจนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากออกมา เมื่อคิดว่าสักครู่นี้พวกเขาทั้งสองยังต้องการสั่งสอนเย่เทียนเฉินแทนท่านหัวหน้า ตอนนี้จึงเริ่มรู้สึกหนาวถึงกระดูก ต่อให้พวกเขาสองคนเข้าไปพร้อมกันก็คงไม่สามารถป้องกันหมัดนี้ของเย่เทียนเฉินได้
คุณลุงทั้งหลายของตระกูลหลัวต่างก็ตกตะลึงไปตามๆ กัน โดยเฉพาะคนที่รู้ว่าเปาเทียนหลงเคยเป็นขุนพลระดับทัพฟ้ามาก่อน ต่างก็ลอบประหลาดใจ ใครก็คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินแห่งตระกูลเย่จะแข็งแกร่งถึงขั้นนี้ ถ้ารู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ไม่สู้ให้ผู้คุ้มกันยิงปืนฆ่าเย่เทียนเฉินให้ตายไปเสียยังจะดีกว่า เพียงแต่ถ้าทำแบบนี้หัวหน้าตระกูลอย่างหลัวเหยียนซงคงไม่อนุญาต และถ้าทำแบบนี้ก็จะเป็นการทำลายชื่อเสียงของตระกูลหลัวอย่างแท้จริง คงจะถูกคนอื่นพูดกันว่ากระทั่งคนนอกแค่คนเดียวตระกูลหลัวก็เก็บกวาดไม่ได้ ทำได้เพียงใช้ปืนโจมตี เช่นนั้นก็จะกลายเป็นตัวตลกของตระกูลใหญ่และกลุ่มอำนาจใหญ่จริงๆ แน่
“ไอ้หนูตระกูลเย่มีฝีมือจริงๆ แม่งเจอผีหลอกแล้ว!”
“ต่อให้ร้ายกาจกว่านี้ก็ไปจากตระกูลหลัวของพวกเราไม่ได้ ต่อให้มีความรวดเร็วจะเร็วไปกว่าปืนหรือไง?”
“คะ…ความหมายของคุณคือ?”
“ถ้าหากเปาเทียนหลงแพ้จริงๆ ก็ให้ผู้คุ้มกันที่เหลืออีกสองคนยิงปืน พวกเขานับถือหัวหน้าขนาดนั้น จะต้องระบายความโกรธแทนเขาแน่!”
“เป็นความคิดที่ดี ยังไงก็ห้ามปล่อยให้ไอ้หนูนี่มีชีวิตออกไปจากตระกูลหลัวได้เป็นอันขาด ถ้าหากว่ามันเติบโตขึ้นจริงๆ อาจจะไม่เป็นผลดีกับตระกูลหลัวของพวกเรา”
มีคนใจคอโหดเหี้ยมของตระกูลหลัวบางคนเริ่มมีพากย์วิจารณ์กันขึ้นมา พวกเขาไม่เพียงแต่ต้องการจะเก็บกล่องหยกหงส์มังกรเอาไว้ แต่ยังต้องการฆ่าเย่เทียนเฉินอีกด้วย เพราะพวกเขารับรู้ได้ถึงความกดดันอย่างหนึ่ง หากเย่เทียนเฉินเติบโตขึ้นก็เป็นไปได้มากว่าจะพาตระกูลเย่ให้เติบโตขึ้นมาด้วย ก่อนหน้านี้พวกเขาเพ่งเล็งเย่เทียนเฉิน เพ่งเล็งหลัวเยี่ยนซึ่งเป็นแม่ของเย่เทียนเฉิน และต้องการที่จะฆ่าพวกเขาสองแม่ลูก ดังนั้นเย่เทียนเฉินจะต้องไม่ยอมปล่อยพวกเขาไปแน่
“ผ่านไปหนึ่งกระบวนท่าแล้ว ยังเหลืออีก 19 กระบวนท่า…” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม
“แกต้องแพ้แน่นอน เพราะฉันยังไม่ได้ลงมือเต็มที่!” ถึงแม้ว่าเปาเทียนหลงจะรู้สึกแปลกใจอยู่บ้างที่เย่เทียนเฉินอายุน้อยเพียงเท่านี้แต่มีฝีมือแข็งแกร่งขนาดนี้ แต่จะอย่างไรเขาก็มีความมั่นใจในตัวเอง เพราะเขายังไม่ได้ลงมือเต็มที่จริงๆ
“ลองดูเถอะ ฉันก็ไม่ได้ลงมือเต็มที่เหมือนกัน!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม
เปาเทียนหลงขมวดคิ้ว ออกแรงสะกิดเท้าด้านหลัง ใช้แรงส่งนี้เตะกวาดไปยังศีรษะด้านซ้ายของเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินเองก็แปลกใจ เมื่อเผชิญหน้ากับเปาเทียนหลงที่เคยเป็นขุนพลระดับทัพฟ้า เขาย่อมไม่กล้าลำพองใจ จากหมัดเมื่อสักครู่นี้เขาก็รู้สึกได้ว่า หากต้องการทำให้เปาเทียนหลงพ่ายแพ้ จะต้องเปลืองแรงอยู่บ้าง อย่างน้อยฝีมือของเปาเทียนหลงก็ไม่ด้อยไปกว่าเฮยเมี่ยน ถ้าสู้สุดชีวิตขึ้นมาจริงๆ ใครจะตายใครจะรอดก็ยังไม่แน่
จากความประทับใจที่มีต่อเย่เทียนเฉิน แรกเริ่มเดิมทีในตอนที่เพิ่งจะเข้ามาในห้องโถงใหญ่ของบ้านสไตล์โบราณ เปาเทียนหลงก็รู้สึกได้แล้ว บางทีคนอื่นอาจจะคิดว่าเย่เทียนเฉินโอหัง ไม่เอาไหน พูดจาโอ้อวด แต่เปาเทียนหลงกลับรู้สึกว่าคนหนุ่มที่ดูเอ้ยระเหยและมีนิสัยเหมือนอันธพาลคนนี้ มีฝีมือแข็งแกร่งมาก และไม่ใช่แข็งแกร่งธรรมดา แต่ยังเก็บซ่อนเอาไว้ได้อย่างดี คนทั่วไปมองไม่ออกอย่างแน่นอน เพียงแต่เขาผ่านการสู้รบมานับร้อยสนาม เคยเป็นขุนพลระดับทัพฟ้ามาก่อน จึงมีสายตาเฉียบแหลมเช่นนี้
หมัดเมื่อสักครู่นี้ทำให้เปาเทียนหลงลอบตกตะลึงในใจ เขามองออกว่าเย่เทียนเฉินแข็งแกร่งมาก แต่คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะแข็งแกร่งถึงขั้นนี้ หมัดเมื่อสักครู่นี้เขาไม่ได้ลงมือเต็มที่จริงๆ แต่อย่างน้อยก็ใช้พลังภายในไปสามส่วน เดิมทีคิดว่าเป็นการลงมือเกินความจำเป็น คิดอยากจะลองเชิงเย่เทียนเฉินสักหน่อย ทำให้ไอ้หนูนี่รู้ถึงความร้ายกาจบ้าง ไหนเลยจะรู้ว่าไอ้หนูนี่จะประหมัดกับตนได้โดยไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย ความจริงนี้ทำให้เปาเทียนหลงต้องแปลกใจและตกตะลึง อย่างน้อยความสามารถที่เย่เทียนเฉินแสดงออกมาในตอนนี้ก็แข็งแกร่งกว่าตอนเขาหนุ่มๆ
เมื่อเจอกับลูกเตะของเปาเทียนหลงในระยะใกล้แค่นี้ และยังเป็นการลงมือที่รวดเร็วว่องไวจนดูเหมือนว่าจะหาจุดอ่อนไม่พบ เย่เทียนเฉินจำเป็นต้องถอยหลังไปสอองก้าวและเอนร่างหลบไปด้านหลัง ขาขวาของเปาเทียนหลงเตะเฉียดหน้าอกของเย่เทียนเฉินไป
“ย๊าก!”
ในตอนนี้เองเปาเทียนหลงตะโกนออกมาครั้งหนึ่ง ขาขวาหยุดอยู่บนตำแหน่งหน้าอกของเย่เทียนเฉิน จากนั้นจึงสะบัดตอกลงมายังหน้าอกของเย่เทียนเฉินอย่างรุนแรง ทุกคนที่ได้เห็นต่างตกใจจนคางแทบร่วง การปะทะกันของยอดฝีมือเช่นนี้ดูตื่นตาตื่นใจยิ่งกว่าในภาพยนตร์เป็นร้อยเท่า ยิ่งไปกว่านั้นการต่อสู้ในระดับสูงที่หาได้ยากแบบนี้ ต่อใหมียอดฝีมืออยู่ด้วย ก็เกรงว่าจะอดตกใจไม่ได้
“สวรรค์ นั่นมันไม้ตายของหัวหน้า!”
“จะต้องรู้แพ้รู้ชนะในลูกเตะเดียวแน่ มีไม่กี่คนที่รอดไปได้ โดยเฉพาะในสถานการณ์แบบนี้!”
ผู้คุ้มกันที่เห็นว่าเปาเทียนหลงเพิ่งจะลงมือก็ใช้ท่าไม้ตายออกมาอดไม่ได้ที่จะอุทานขึ้น ใบหน้าเจือไปด้วยรอยยิ้ม เนื่องจากพวกเขาเคยเห็นเปาเทียนหลงใช้กระบวนท่านี้มาก่อน ขาขวาเตะไปในแนวขวางด้วยความรวดเร็วอย่างหาใดเปรียบ อีกฝ่ายจะหลบก็หลบไม่ได้ ทำได้แค่เอนตัวหลบไปข้างหลัง ในตอนนี้เองเปาเทียนหลงก็จะหยุดขาขวาที่เตะออกไปตามปกติของตน แล้วตอกขาลงมา อีกฝ่ายไม่ตายก็ต้องเจ็บหนัก
ในตอนนี้ เย่เทียนเฉินเองก็ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ร่างกายเอนไปด้านหลัง ไม่มีอะไรค้ำยัน เป็นสภาพที่ถูกบีบบังคับ ส่วนขาขวาของเปาเทียนหลงก็สะบัดลงมาอย่างรุนแรง ตอกลงไปยังหน้าอกของเย่เทียนเฉิน
“ลูก…” หลัวเยี่ยนอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงเรียกอย่างเคร่งเครียด เธอไม่อยากเห็นลูกชายบาดเจ็บ
“ช่วยไม่ได้แล้ว ต้องตายแน่!”
“ให้หัวหน้าผู้คุ้มกันเปาเทียนหลงแต่ส่งมันไปพบมัจจุราชเถอะ!”
“ถ้าตายก็จะดีที่สุด!”
ตู้ม!
ในตอนที่เย่เทียนเฉินและเปาเทียนหลงหยุดมือ บรรยากาศพลัยเงียบเชียบลงอย่างมาก ทุกคนเบิกตากว้างจ้องมองไปยังเย่เทียนเฉินและเปาเทียนหลง
ขาซ้ายของเปาเทียนหลงยืนอยู่ที่เดิม ขาขวายังคงรักษาสภาพที่กำลังโจมตีสะบัดลงเอาไว้ ส่วนเย่เทียนเฉินนั้น ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายก็ใช้มือซ้ายตบลงบนพื้นเพื่อยันร่างกายของตนเอาไว้ ส่วนมือขวาก็จับข้อเท้าของเปาเทียนหลง ต่อให้เป็นแบบนี้เขาก็ยังถูกกระแทกจนหลังแนบพื้น ทุกคนเห็นว่าพื้นหินที่หลังของเย่เทียนเฉินแนบติดไปนั้นแหลกเป็นผุยผงไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าลูกเตะนี้ของเปาเทียนหลงรุนแรงเพียงใด
“ย่ะ!”
เย่เทียนเฉินตะโกนออกมา ออกแรงที่มือขวาอย่างฉับพลัน เปาเทียนหลงถูกโยนขึ้นสูงสองเมตรจนลอยอยู่ในอากาศ เขาตกใจจนหน้าถอดสี คิดไม่ถึงว่าท่าไม้ตายนี้ของตน ไม่เพียงแต่จะไม่สามารถฆ่าเย่เทียนเฉินได้ กระทั่งอาการบาดเจ็บสาหัสไอ้หนูนี่ก็ยังไม่แสดงออกมา นี่เป็นครั้งแรกที่ท่าไม้ตายของเขาล้มเหลว
ฉัวะ!
ในตอนที่เปาเทียนหลงลอยตัวขึ้นสูงสองเมตรและมีทีท่าว่าจะลอยสูงขึ้นไปอีกเล็กน้อย เย่เทียนเฉินก็ใช้ฝ่ามือขวาตบลงที่พื้นอย่างรุนแรงจนปรากฏรอยประทับฝ่ามืออย่างชัดเจน พริบตาเดียวร่างทั้งร่างของเขาก็พุ่งทะยานขึ้น หมัดทั้งสองกำแน่น พลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันอาบย้อมทั่วทั้งหมัดในเวลาเพียงพริบตา ต่อยโจมตีไปยังเปาเทียนหลง
ตู้มๆๆ…
เงาร่างของคนทั้งสองอยู่ในตำแหน่งสูงขึ้นไปสองเมตร เริ่มออกหมัดโจมตีกันไม่หยุด คุณต่อยผมสวน ในตอนนี้เย่เทียนเฉินใช้พลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันออกมาโดยไม่สงวนไว้เลยแม้แต่น้อย ในการรับมือกับขุนพลระดับทัพฟ้า ถ้าเขาไม่ใช้ความสามารถในขอบเขตจอมราชันออกมา ก็ไม่มีทางเอาชนะได้ ส่วนเปาเทียนหลงก็ไม่เก็บซ่อนพลังอีกต่อไป แสดงความสามารถของตนออกมาอีกครั้ง ใช้เคล็ดวิชาพลังภายในของเขาออกมา ทุกหมัดที่โจมตีออกไปรุนแรงจนทำให้อากาศสั่นสะเทือน จนกระทั่งตอนที่ทั้งสองตกลงมาสู่พื้นในเวลาเดียวกันก็ยังแลกหมัดกันไม่หยุด
ทุกคนที่อยู่ที่นี่มองจนตาค้างไปนานแล้ว ภาพการต่อสู้เช่นนี้ดุเดือดจริงๆ ตื่นตาตื่นใจเหลือเกิน ไม่ต้องพูดถึงคนธรรมดาเลย ต่อให้เป็นยอดฝีมือคนไหนที่ได้เห็นก็ต้องตกตะลึงเป็นอย่างมาก เนื่องจากความสามารถที่เย่เทียนเฉินและเปาเทียนหลงแสดงออกมาน่าตกใจจริงๆ
ปัง!
สองหมัดปะทะสองหมัด เย่เทียนเฉินและเปาเทียนหลงปะทะกันอย่างรุนแรงอีกครั้ง ครั้งนี้ทั้งสองคนถูกกระแทกจนกระเด็นออกไปไกล เปาเทียนหลงกระเด็นถอยหลังไปสิบกว่าก้าวถึงจะหยุดร่างกายเอาไว้ได้ ส่วนเย่เทียนเฉินก็พลิกตัวกลางอากาศสี่ห้าตลบแล้วม้วนลงมายืนที่พื้นอย่างมาดเท่ แถมด้วยการโพสท่าครั้งหนึ่ง จากนั้นจึงมองไปยังเปาเทียนหลงด้วยรอยยิ้ม ในการต่อสู้กับเปาเทียนหลงเมื่อสักครู่นี้ เย่เทียนเฉินรับรู้ได้ถึงพลังพิเศษของตนอีกครั้ง ดูเหมือนว่าจะสัมผัสจุดสูงสุดของขอบเขตจอมราชันแล้ว ถึงแม้จางอีเต๋อจะพูดว่าบนโลกนี้ไม่มีเส้นทางแห่งการสำนึกถึงธรรมชาติ ไม่มีพลังธรรมชาติ แต่เย่เทียนเฉินก็ไม่ยอมแพ้ เขายังพยายามทะลวงไปยังระดับจักรพรรดิอย่างเต็มที่ เนื่องจากเขาเข้าใจดีว่า หากมีวันหนึ่งที่ตนเองสามารถกลับไปยังดาวสิ้นโลกได้ ด้วยความสามารถในเขตจอมราชันในตอนนี้ย่อมไม่เพียงพออย่างแน่นอน
“มาเถอะ ตัดสินแพ้ชนะกัน!”
เปาเทียนหลงตะโกนออกมา มือเหยียดเป็นฝ่ามือแบขึ้นด้านบน แผ่นหินแผ่นใหญ่ลายสิบแผ่นที่อยู่รอบๆ เขาต่างก็ลอยขึ้นมา มีอำนาจมากจนทำให้ผู้คนต้องตกตะลึง
………………
เย่เทียนเฉินพูดออกมาอย่างโอหังเป็นอย่างมาก เป็นคำพูดที่โดดเด่น และกล่าวได้ว่าไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ยิ่งนัก แต่กลับทำให้ทุกคนพูดอะไรไม่ออก พากันมองมายังเย่เทียนเฉินด้วยความโกรธจนแทบกระอักเลือด
เดิมทีคนเหล่านี้ส่งเสียงเอะอะโวยวาย คิดจะถือโอกาสนี้กู้หน้าให้ตน ลงโทษเย่เทียนเฉินสักครั้ง ไหนเลยจะรู้ว่าเย่เทียนเฉินจะเห็นคำพูดของพวกเขาเป็นเพียงการผายลม และพูดสวนออกมาประโยคเดียวเท่านั้น ‘เห่าอะไรกันนักหนา? มีความสามารถก็ออกมาดวลกันตัวต่อตัวสิ!’
ประโยคนี้มากเพียงพอที่จะทำให้คนเหล่านี้โกรธจนกระอักเลือด พวกเขาเป็นคนของตระกูลใหญ่ การทะเลาะวิวาทสำหรับพวกเขาแล้วมีเพียงร่วมมือกันตบตีเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นภายในตระกูลใหญ่จะเวียนมาถึงคราวที่พวกเขาจะต้องลงมือด้วยตัวเองได้อย่างไร แค่โทรศัพท์ครั้งเดียวหรือบางทีอาจจะพูดแค่ประโยคเดียว ก็จะมีคนที่มีฝีมือไม่ธรรมดาไปจัดการให้แล้ว ตอนนี้เย่เทียนเฉินถึงกับโวยวายให้พวกเขามาดวลตัวต่อตัว ทำให้คนเหล่านี้อับจนคำพูดเป็นอย่างมาก และรู้สึกเสียหน้ายิ่งนัก ไม่มีใครกล้าดวลตัวต่อตัวกับเย่เทียนเฉินจริงๆ ประการแรกก็คือไม่ใช่คู่มือของเขา ประการที่สองเพราะไม่เหมาะสมกับฐานะของพวกเขา
“ทำไม? คนตระกูลหลัวขี้ขลาดขนาดนี้เลยหรือ? ความสามารถสักนิดก็ไม่มี ทำได้แต่อาศัยอันธพาล?” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้มไม่พอใจ
“เทียนเฉิน…”
หลัวเยี่ยนอดไม่ได้ที่จะเคร่งเครียดขึ้นมา เธอไม่รู้ว่าเพราะอะไรลูกถึงได้จงใจก่อเรื่อง จงใจยั่วยุคุณลุงตระกูลหลัวทั้งหลายแบบนี้ ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับผู้นำตระกูลอย่างหลัวเหยียนซง เย่เทียนเฉินก็ไม่กลัวเลยแม้แต่น้อย ยังคงเป็นเหมือนเมื่อสักครู่นี้ เธอพบว่าตอนนี้เธอกังวลขึ้นมาแล้วจริงๆ กังวลว่าหลัวเหยียนซงจะออกคำสั่งจับตัวเย่เทียนเฉินไป
นี่เป็นเหตุการณ์ที่หลัวเยี่ยนไม่ต้องการเห็นมากที่สุด เหตุผลประการแรกเป็นเพราะตระกูลหลัวเป็นตระกูลใหญ่ มีผู้คุ้มกันพร้อมด้วยอาวุธปืน หากออกคำสั่งให้จับคนจริงๆ จนถึงขั้นยิงปืนฆ่าคนขึ้นมาล่ะก็ คงไม่ใช่อะไรที่จะรับผิดชอบไหว และคงไม่มีใครกล้าสอบสวนอะไรอย่างแน่นอน เหตุผลประการที่สองก็คือ หลัวเยี่ยนรู้ว่าพ่อแก่แล้ว เธอต้องการจะไปจากที่นี่เร็วๆ เท่านั้น เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกันมากกว่านี้ แต่เป็นคุณลุงเหล่านี้ที่ไม่ยอมจบสิ้นเสียที
“แม่ครับ พวกเขาไม่ยอมปล่อยพวกเราไป พวกเราก็ทำได้เพียงเดินออกไปด้วยความสามารถของตัวเอง ปล่อยผมเถอะครับ!” เย่เทียนเฉินมองไปยังหลัวเยี่ยน เพราะรู้ความคิดของเธอดีจึงได้พูดออกมาอย่างจริงจัง
“อืม ลูกระวังตัวด้วย!” หลัวเยี่ยนชะงักไปเล็กน้อย รู้ว่าวิธีที่ลูกชายพูดออกมานั้นเป็นวิธีเดียว ดังนั้นในที่สุดจึงพยักหน้ายอมรับ หลบไปยืนด้านข้างให้เย่เทียนเฉินผู้เป็นลูกไปจัดการ
“ฉันจะถามเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าต้องการจะรั้งฉันไว้ ก็รีบลงมือซะ ไม่งั้นฉันก็จะไปแล้ว มาตระกูลหลัวของพวกแกครึ่งวัน น้ำชาก็ไม่ได้ดื่มสักคำ จะไม่รู้จักรับรองแขกเกินไปหรือเปล่า?” เย่เทียนเฉินหาวแล้วพูดขึ้น
ตอนนี้เองหลัวเหยียนซงก็ลุกขึ้นยืนจากที่นั่ง มองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างเย็นชา ในใจก็รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง ไม่ว่าจะพูดอย่างไรเย่เทียนเฉินก็นับว่าเป็นหลานของเขา ต่อให้ตัดความสัมพันธ์พ่อลูกกับหลัวเยี่ยนไปแล้ว แต่สายเลือดยังไงก็ตัดไม่ขาด ดังนั้นเรื่องเกี่ยวกับเย่เทียนเฉินที่เป็นหลานคนนี้หลัวเหยียนซงต่างก็รู้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะข่าวของเย่เทียนเฉินที่ดังไปทั่วทั้งเมืองหลวงในระยะนี้ เรียกได้ว่าขอเพียงเป็นคนมีตำแหน่งเล็กน้อย เป็นคนที่มีคนรู้จักเล็กน้อยต่างก็รู้
เย่เทียนเฉินทำลายตระกูลฉินและตระกูลลั่วในเวลาเพียงคืนเดียว ทำให้มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทั้งเมืองหลวงว่าเป็นคนทำตามหลักการโดยไม่สนใจตัวคน ดูเหมือนว่าทุกคนต่างก็รู้ดีว่าตระกูลเย่ซึ่งตกต่ำจนกลายเป็นตระกูลชั้นสามมีเย่เทียนเฉินโผล่ออกมาคนหนึ่ง ไม่ว่าคุณจะเป็นลูกหลานข้าราชการ ลูกหลานเศรษฐีตระกูลใหญ่ หรือลูกหลานของนายทหาร ขอเพียงกล้าใช้อำนาจบาตรใหญ่ ขอเพียงไปหาเรื่องเย่เทียนเฉิน เช่นนั้นเขาก็จะมอบกำปั้นให้คุณเพียงอย่างเดียว นี่เป็นคนที่ไม่หวาดกลัวในอำนาจอิทธิพลโดยสิ้นเชิง ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่ทำลายตระกูลฉินแล้วตระกูลลั่วแล้ว ถึงกับมีคนระดับสูงของประเทศกดเรื่องนี้เอาไว้ ทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะแปลกใจจริงๆ
“พบตาอย่างฉันทั้งทีแต่ไม่มีมารยาทเลยสักนิด ตระกูลเย่ของแกสั่งสอนแกยังไง?” หลัวเหยียนซงมองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วเอ่ยถาม
“คุณเป็นตาของผมหรือไง? ไล่แม่ของผมออกจากตระกูลหลัว เห็นคนมากมายล้อมโจมตีพวกเราแม่ลูก กระทั่งต้องการที่จะสั่งให้ผู้คุ้มกันมาฆ่าพวกเรา คุณที่เป็นตากลับไม่มีความคิดที่จะต่อต้านเลย คุณตาแบบนี้ผมเย่เทียนเฉินไม่รู้จัก!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้มเรียบเฉย
เดิมทีเย่เทียนเฉินก็ไม่มีความผูกพันอะไรกับคนตระกูลหลัวเหล่านี้อยู่แล้ว และยิ่งไม่มีความรู้สึกดีๆ อะไรให้ กระทั่งหลัวเหยียนซงซึ่งเป็นคุณตาคนนี้ แม้ว่าจะมีบารมีอยู่บ้าง และมีความเปิดเผยตรงไปตรงมาเล็กน้อย แต่เย่เทียนเฉินในตอนนี้รู้ดีว่า ขอเพียงเขายอมอ่อนข้อให้ เกรงว่าคนตระกูลหลัวก็จะต้องการจับพวกเขาแม่ลูกอีกครั้ง เมื่อถึงตอนนั้นต่อให้หลัวเหยียนซงคิดจะหยุดก็เกรงว่าจะไม่มีความเด็ดเดี่ยวมากพอ จะอย่างไรความมั่นคงและความสามัคคีของตระกูลหลัวทั้งตระกูลก็สำคัญกว่าเขาและแม่โดยสิ้นเชิง ในจุดนี้เย่เทียนเฉินเข้าใจเป็นอย่างดี ดังนั้นเขาจึงไม่ยอมอ่อนข้อแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะด้วยการกระทำหรือด้วยคำพูด ต่างเฉียบคมทั้งคู่
“ดี มีลักษณะเหมือนฉันเมื่อปีนั้นอยู่หลายส่วน ฉันได้ยินว่าฝีมือของแกแข็งแกร่งมาก ถ้าหากวันนี้สามารถเอาชนะเปาเทียนหลงได้ ฉันก็จะปล่อยแกไป ส่วนเรื่องที่แกทำร้ายคนของตระกูลหลัว ก็จะถือว่าเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้วไม่พูดถึงอีก!”
หลัวเหยียนซงไม่ได้โกรธ แต่กลับรู้สึกชื่นชมหลานคนนี้ด้วยซ้ำ ในตระกูลหลัวขาดคนที่มีความเด็ดเดี่ยวเหมือนเย่เทียนเฉิน แต่ละคนต่างก็อาศัยอำนาจของตระกูลทำตัวโอ้อวด หากว่าเบื้องหลังไม่มีตระกูลหลัวคอยค้ำจุน ลูกหลานหลายคนของตระกูลหลัวก็จะกลายเป็นเศษสวะ แต่เบื้องหลังของเย่เทียนเฉินไม่มีที่พึ่งพิงอะไร มีแค่ตระกูลเย่ที่ตกต่ำจนกลายเป็นตระกูลชั้นสามไปแล้วเท่านั้น แต่เขากลับมีความเด็ดเดี่ยวแบบนี้ได้ ช่างไม่ง่ายเลยจริงๆ
“หัวหน้าตระกูล นี่เกรงว่า…”
“เอาล่ะ ฉันตัดสินใจแบบนี้แล้ว เปาเทียนหลง จะสามารถรักษาหน้าตาของตระกูลหลัวของฉันเอาไว้ได้หรือไม่ก็ต้องดูแกแล้ว ไม่จำเป็นต้องไว้ไมตรี จะฆ่าก็ไม่เป็นไร!” หลัวเหยียนซงพูดขัดคำพูดของคนที่คิดจะพูด มองไปยังเปาเทียนหลงแล้วพูดขึ้น
“ครับนายท่าน!”
เปาเทียนหลงกำหมัดขวา มองไปยังเย่เทียนเฉินด้วยท่าทางเคร่งขรึมจริงจังอย่างหาใดเปรียบ ยังมีผู้คุมการอีกสองคนที่ยืนอยู่ข้างกายเขา คนเหล่านี้ต่างก็เป็นทหารปลดประจำการ มีฝีมือไม่เลว ไม่เช่นนั้นคงไม่สามารถเข้ามาเป็นผู้คุ้มกันในตระกูลหลัวได้ ตอนนี้ทุกคนต่างต้องการดูว่าเปาเทียนหลงจะจัดการเย่เทียนเฉินอย่างไร
“หัวหน้า ให้ผมไปเถอะครับ จะไปสั่งสอนไอ้หนูนี่สักหน่อย”
“ไอ้หนูนี่พูดจาโอหัง ผมจะต้องทำให้มันเห็นดีแน่นอน!”
“สั่งสอนฉัน แกคู่ควรเหรอ? โอหัง? บิดาก็โอหังแบบนี้มาตลอด แกเพิ่งจะรู้หรือไง จะทำให้เห็นดีงั้นเหรอ พี่ชายดูดีกว่าแกอยู่แล้ว อิจฉาล่ะสิ ที่พูดออกมาไม่มีอะไรถูกเลย!” เย่เทียนเฉินพูดจาหยอกล้อกับผู้คุ้มกันสองคนที่อยู่ข้างกายเปาเทียนหลง
ผู้คุ้มกันสองคนนั้นโกรธจนทนไม่ไหว คิดอยากจะพุ่งเข้าไปสั่งสอนเย่เทียนเฉิน แต่กลับทุกเปาเทียนหลงขวางเอาไว้ เปาเทียนหลงมองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างเย็นชา พูดกับผู้คุ้มกันที่อยู่ด้านหลังทั้งสองคนว่า “พวกแกไม่ใช่คู่มือของเขา ให้ฉันไปเอง!”
ผู้คุ้มกันสองคนนี้คิดไม่ถึงว่าหัวหน้าเปาเทียนหลงจะพูดแบบนี้ออกมา พวกเขาไม่ได้ติดตามอยู่ข้างกายของเปาเทียนหลงผู้เป็นหัวหน้าผู้คุ้มกันเพียงแค่วันสองวัน ย่อมรู้ว่าเมื่อก่อนเปาเทียนหลงที่เป็นทหารมีความสามารถแข็งแกร่งขนาดไหน ยิ่งไปกว่านั้นเปาเทียนหลงยังมีฐานะที่คนไม่รู้อยู่อีกฐานะหนึ่ง หากพูดออกไปก็เกรงว่าจะทำให้ใครหลายคนตกใจ นั่นก็คือเปาเทียนหลงเคยเป็นขุนพลระดับทัพฟ้ามาก่อน เขาฆ่าคนผิดตัวในตอนทำภารกิจหนึ่ง จึงถูกบีบบังคับให้ปลดประจำการจากทัพฟ้า เคยมีคนเห็นเปาเทียนหลงรีดเร้นลมปราณออกมา อากาศถึงกับสั่นสะเทือนไป 10 เมตร สามารถต่อยทะลุแผ่นเหล็กได้ ทำให้รู้สึกน่าเหลือเชื่อเป็นอย่างมาก
เปาเทียนหลงเดินมาเบื้องหน้าเย่เทียนเฉิน จากนั้นจึงหยุดลงในตำแหน่งที่อยู่ห่างจากเย่เทียนเฉินสองเมตร เขาสูงพอๆ กับเย่เทียนเฉิน และมีรูปร่างค่อนข้างผอม แต่ไม่ใช่แบบที่ใครหลายคนคิดว่า ยิ่งร่างกายกำยำก็ยิ่งมีความสามารถแข็งแกร่ง
“พวกเราเปลี่ยนสถานที่ดีไหม?” เปาเทียนหลงถามเย่เทียนเฉินด้วยรอยยิ้ม
“ฉันยังไงก็ได้ ยังไงถ้าทำของพังก็ไม่ใช่บ้านฉันอยู่แล้ว!” เย่เทียนเฉินเองก็พูดตอบด้วยรอยยิ้ม
“ดี พวกเราไปสู้กันที่ว่างด้านนอกเถอะ ถ้าแกชนะก็ไปได้ ถ้าหากแพ้ก็ตาย!” เปาเทียนหลงพูดอย่างเคร่งขรึม
“ได้ ถ้าหากแก้แพ้ฉันจะดูความสามารถของแก แล้วพิจารณารับแกเป็นลูกน้องของฉัน แน่นอนว่านี่ต้องดูความสามารถที่แกแสดงออกมาด้วย!” เย่เทียนเฉินพูดพลางยักไหล่
ทุกคนคิดไม่ถึงว่า เมื่อเผชิญหน้ากับยอดฝีมือแบบเปาเทียนหลง เย่เทียนเฉินจะยังสุขุมอยู่ได้ ไม่รู้จักที่ตายเลยจริงๆ
“แม่งเอ้ย ไอ้หนูนี่ยิ่งพูดก็ยิ่งโม้ ถึงกับกล้าประมือกับหัวหน้า ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเลยจริงๆ!”
“วางใจเถอะ ไม่เกินสองกระบวนท่าไอ้หนูนี่ก็ถูกอัดจนหน้าทิ่มดินแล้ว นี่เป็นจุดจบที่กล้าไม่เห็นท่านหัวหน้าอยู่ในสายตา”
ไม่เพียงแต่ผู้คุ้มกันสองคนที่อยู่ด้านหลังของเปาเทียนหลงเท่านั้น กระทั่งทุกคนในตระกูลหลัวล้วนคิดเช่นนี้ พวกเขาไม่คิดว่าเย่เทียนเฉินจะเป็นคู่มือของหัวหน้าผู้คุ้มกันอย่างเปาเทียนหลง โดยเฉพาะคนที่รู้ว่าเปาเทียนหลงเคยเป็นขุนพลระดับทัพฟ้ามาก่อน คนที่เป็นขุนพลระดับทัพฟ้าได้ดูเหมือนว่าจะมีคู่ต่อสู้น้อยมาก ไม่ต้องพูดถึงคนที่เก่งที่สุดไม่กี่คนในกองทัพเลย เกรงว่าจะต่างกันไม่มากเท่าไหร่
ตอนนี้หลายคนภาวนาอยู่ในใจ หวังว่าเปาเทียนหลงจะอัดเย่เทียนเฉินจนหน้าทิ่มดิน ทางที่ดีที่สุดอัดให้หัวร้างข้างแตก อัดให้เย่เทียนเฉินตายไปเลยยิ่งดี เช่นนั้นทุกเรื่องก็จะสิ้นสุดลง และยังช่วยระบายความโกรธแค้นให้พวกเขาได้อย่างสะใจอีกด้วย
เย่เทียนเฉินและเปาเทียนหลงเดินมาถึงสนามหญ้าด้านนอกบ้านสไตล์โบราณแห่งตระกูลหลัว ทั้งสองยืนอยู่ในตำแหน่งที่ห่างกับอีกฝ่าย 10 เมตร คนตระกูลหลัวรอบๆ ต่างจับตาดูการต่อสู้ หลัวเยี่ยนเองก็มองลูกชายด้วยความเคร่งเครียด เนื่องจากเมื่อครู่นี้เธอได้รู้จากลุงหวังว่าเปาเทียนหลงร้ายกาจมาก ทั้งชีวิตพ่ายแพ้ไม่กี่ครั้ง เป็นยอดฝีมือที่มีความสามารถคนหนึ่ง
“เล่นยังไงดี? แกรู้ไหมว่าเวลาของฉันมีค่ามาก!” เย่เทียนเฉินมองไปยังเปาเทียนหลงแล้วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“สิบกระบวนท่า ถ้าหากว่าฉันเอาชนะแกไม่ได้ภายในสิบกระบวนท่าก็ถือว่าแกชนะเป็นไง?” เปาเทียนหลงพูดออกมาอย่างเชื่อมั่นในตนเอง
“ยี่สิบกระบวนท่าก็แล้วกัน แค่สิบกระบวนท่าแกเอาชนะฉันไม่ได้แน่นอน ให้โอกาสแกได้โจมตีกลับบ้างแล้วกัน!” เย่เทียนเฉินยืดกล้ามเนื้อของตนพลางพูดขึ้น
“ได้!”
ฉัวะ!
ฉัวะ!
การประลองระหว่างยอดฝีมือไม่จำเป็นต้องพูดอะไรให้มากความ คนที่เอาแต่พูดไร้สาระไม่ใช่ยอดฝีมือที่แท้จริง หลังจากที่พูดจบเย่เทียนเฉินและเปาเทียนหลงก็พุ่งเข้าหาอีกฝ่ายรวดเร็วดังสายฟ้าในเวลาแทบจะพร้อมกัน พวกเขาสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของอีกฝ่าย ดังนั้นจึงคิดจะรีบสู้รีบจบ
…………………..
“พวกแกจำไว้ให้ดี ลุงหวังไม่ใช่คนรับใช้ของตระกูลหลัว แต่เป็นพี่น้องหลัวเหยียนซงคนนี้ วันนี้แกไม่คุกเข่าขอโทษลุงหวัง ฉันก็จะหักขาของแก!”
หลัวเหยียนซงเอ่ยปากพูด คำพูดนี้ของเขาไม่ได้พูดให้หลัวเสียนเม่ยฟังเพียงคนเดียว แต่พูดให้ทุกคนที่อยู่ที่นี่ฟังด้วยทั้งหมด เขาแสดงท่าทีออกมาอย่างชัดเจน การปรากฏตัวของเขาทำให้ทุกคนต้องสั่นสะท้าน เขาเป็นหัวเรือใหญ่แห่งตระกูลหลัว ต่อให้ที่นี่จะมีคนที่อาวุโสยิ่งกว่าเขาก็ไม่กล้าพูดอะไร ในฐานะที่เป็นผู้นำตระกูล หากไม่มีบารมีก็ไม่สามารถเป็นผู้นำตระกูลได้ ต่อให้เป็นหลัวเสียนเม่ยที่ยโสโอหังและใช้อำนาจบาตรใหญ่จนเคยตัว ตอนนี้ก็ยังตกใจจนสั่นไปทั้งตัว ถูกพ่อตบหน้าไปครั้งหนึ่ง แต่ก็ยังกล้ำกลืนความโกรธไม่กล้าพูดออกมา
“พ่อคะ หนู…หนู…” หลัวเสียนเม่ยตกใจจนสั่นไปทั้งตัว นี่เป็นครั้งแรกที่เธอถูกพ่อตบ และเป็นครั้งแรกที่เห็นพ่อโกรธขนาดนี้ มีเหตุผลอะไรที่จะไม่หวาดกลัวกัน ตกใจจนหน้าซีดขาวไปหมดแล้ว
“ฉันจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย คุกเข่าลง ขอโทษลุงหวังซะ!” หลัวเหยียนซงมองหลัวเสียนเม่ยอย่างเย็นชาแล้วพูดขึ้น
หลัวเสียนเม่ย มองไปยังทุกคนที่อยู่รอบๆ ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่กล้าขอร้องแทนเธอ แม้แต่ในความฝันเธอก็คงคิดไม่ถึง เดิมทีทุกคนต่างเพ่งเล็งไปยังสองแม่ลูกหลัวเยี่ยนและเย่เทียนเฉิน ในตอนที่ลุงหวังกล้าก้าวออกมาพูดแทนพวกเขา ทุกคนก็ด่าลุงหวังกันทั้งนั้น ไหนเลยจะรู้ว่าตอนนี้จะถึงทีของเธอแล้ว ถึงทีที่ทุกคนจะมองเธอถูกทำโทษแล้ว มองดูเธอถูกพ่อตบหน้า
เมื่อคิดทบทวนดูสักนิด วันนี้หลัวเสียนเม่ยและจางอวิ๋นสองแม่ลูกโชคร้ายมากจริงๆ เริ่มจากจางอวิ๋นผู้เป็นลูกที่ต้องการสั่งสอนหลัวเยี่ยนและเย่เทียนเฉินที่หน้าประตูใหญ่ของบ้านสไตล์โบราณ ก็ถูกเย่เทียนเฉินตบจนหน้าบวมและต้องขับรถสปอร์ตหนีไป
เดิมทีจางอวิ๋นคิดว่าหากเรียกแม่ขี้โมโหมาในตอนนี้จะสามารถระบายความโกรธให้เขาได้ แต่กระทั่งแม่ของเขาที่เป็นคนโมโหร้ายก็ยังถูกตบ มองไม่ออกจริงๆ ว่าเย่เทียนเฉินจะเป็นคนบ้าบิ่นไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน มาถึงก็ถูกตบ ประโยคนี้เหมาะสมกับหลัวเสียนเม่ยและจางอวิ๋นดีจริงๆ ไม่ง่ายเลยกว่าจะรอให้ทุกคนพุ้งเป้าไปที่สองแม่ลูกคู่นั้นได้ แต่เมื่อถึงเวลาหลัวเยี่ยนกลับแสดงความโกรธออกมา ทั้งมั่นคงหนักแน่นและทรงอำนาจ ทำให้ทุกคนพูดอะไรไม่ออก
ตอนนี้คนที่ยื่นมือมาตบหลัวเสียนเม่ยไม่ใช่คนอื่น แต่เป็นหลัวเหยียนซงพ่อของเธอ เป็นผู้นำตระกูลหลัว ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้จะมีใครบ้างที่กล้าพูดออกมาแม้เพียงครึ่งประโยค? ต่างพากันไปยืนสงบเสงี่ยมอยู่ด้านข้าง ไม่กล้าพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว เพราะใครหลายคนต่างก็มีส่วนร่วมในการด่าลุงหวังทั้งนั้น
เสียงพลั่กดังขึ้น หลัวเสียนเม่ยคุกเข่าลงเบื้องหน้าลุงหวัง ทำเอาลุงหวังตกใจจนชะงักไป จากนั้นจึงรีบยื่นมือออกมาประคอง ปากก็พูดไม่หยุดว่า “ไม่ต้องแล้วครับคุณหนูรอง ไม่ต้องแล้ว เป็นผมที่ไม่ดีเอง เป็นผมที่ไม่ดีเอง…คุณชายใหญ่ อย่าให้คุณหนูรองขอโทษเลยครับ ไม่เป็นไรจริงๆ !”
“แกยังมัวอึ้งอะไรอยู่? ยังไม่รีบขอโทษลุงหวังอีก? มาถึงตอนนี้แล้ว ลุงหวังก็ยังพยายามพูดเพื่อแก ฉันรู้สึกอับอายแทนแกจริงๆ รู้สึกขายหน้าแทนแกจริงๆ เป็นความผิดของฉันเองที่ไม่ได้สั่งสอนแกให้ดี!” หลัวเหยียนซงมองไปยังหลัวเสียนเม่ยอย่างดุดันแล้วกล่าวด่าออกมา
“ลุงหวัง ขอโทษ…” ต่อให้ในใจหลัวเสียนเม่ยจะโกรธยิ่งกว่านี้ จะไม่เต็มใจมากกว่านี้เป็นร้อยเท่า ตอนนี้ก็ไม่กล้าแสดงออกมา ทำได้เพียงขอโทษลุงหวังอย่างว่านอนสอนง่ายเท่านั้น
“ไม่ต้องแล้วครับคุณหนูรอง คุณชายใหญ่ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ…รีบให้คุณหนูรองลุกขึ้นเถอะ…” ลุงหวังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีได้แต่พูดกับหลัวเหยียนซงอย่างกระวนกระวาย
“ลุงหวัง คุณทุ่มเทแรงกายแรงใจทำงานให้ตระกูลหลัวมาชั่วชีวิต สมควรได้รับแล้ว เด็กคนนี้เป็นฉันที่สั่งสอนไม่ดีเอง เป็นความผิดของฉันเอง คุณอย่าเก็บไปใส่ใจเลย!” หลัวเหยียนซงพูดกับลุงหวังด้วยรอยยิ้ม
“คุณชายใหญ่…”
ลุงหวังรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก เขาทำงานให้ตระกูลหลัวอย่างทุ่มเทมาชั่วชีวิต ทุกคนในที่นี้มีใครบ้างที่ไม่ได้รับการดูแลจากเขา? บางทีหลายคนอาจจะพูดว่าลุงหวังได้รับการว่าจ้างจากตระกูลหลัว รับเงินจากตระกูลหลัว ภายหลังก็ได้กลายเป็นพ่อบ้านใหญ่แห่งตระกูลหลัว ไม่รู้ว่าได้รับผลประโยชน์จากเรื่องนี้ไปมากมายขนาดไหน แต่หลัวเหยียนซงเข้าใจในจุดนี้เป็นอย่างดี ลุงหวังเห็นตระกูลหลัวเป็นครอบครัวของตน มีหลายครั้งที่ขอให้ตัดเงินเดือนตนเอง บอกว่าตนเองแก่แล้ว มีเงินมากมายขนาดนั้นไปก็ไม่มีประโยชน์ ความสัมพันธ์นี้หลัวเหยียนซงย่อมรู้จักรักษาเอาไว้ให้ดี
ทุกคนที่อยู่ที่นี่นอกจากหลัวเยี่ยนและหลัวเหยียนซงแล้ว ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่มองลุงหวังเป็นคนกันเอง หลายคนมองลุงหวังเป็นคนรับใช้ กระทั่งเห็นลุงหวังเป็นสุนัขตัวหนึ่งเหมือนกับที่หญิงชั่วอย่างหลัวเสียนเม่ยคิดเสียด้วยซ้ำ ไม่มีความเป็นมนุษย์และมนุษยธรรมเลยแม้แต่น้อย
“ไสหัวออกไป หากฉันรู้ว่าแกก่อเรื่องอะไรขึ้นมาอีก ก็ไสหัวกลับตระกูลจางไปซะ ตระกูลหลัวของฉันไม่มีลูกหลานแบบแก!” หลัวเหยียนซงด่าหลัวเสียนเม่ยอย่างรุนแรง
หลัวเสียนเม่ยลุกขึ้นยืน มองไปยังเย่เทียนเฉินและหลัวเยี่ยนด้วยความเคียดแค้นอย่างหาใดเปรียบ พาใบหน้าที่ถูกตบจนบวมของตนและลูกชายที่หน้าบวมเป็นหมูเช่นเดียวกันเดินคอตกออกไป เมื่อผ่านเหตุการณ์เช่นนี้มา ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรมั่วซั่วแม้แต่คนเดียว รวมไปถึงหลัวฉีที่ยโสจนไม่เห็นหัวใครก็ยังยืนอยู่ด้านข้าง ไม่กล้าแสดงความโมโหออกมาแม้แต่น้อย
หลัวเหยียนซงมองหลัวเยี่ยน จากนั้นจึงมองไปยังเย่เทียนเฉิน ไม่ได้พูดอะไรให้มากความ ทำเพียงเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้กลางห้องโถง พูดกับเปาเทียนหลงซึ่งเป็นหัวหน้าผู้คุ้มกันแห่งตระกูลหลัวว่า “ไม่ต้องการคนมากมายขนาดนี้หรอก แกกับคนอีก 2-3 คนอยู่ที่นี่ก็พอแล้ว”
“ครับนายท่าน!” เปาเทียนหลงโบกมือ ผู้คุ้มกันที่อยู่ด้านหลังพากันออกไป เหลือเพียงตัวเขาเองและผู้คุ้มกันอีกสองคนเท่านั้น
เย่เทียนเฉินมองไปยังเปาเทียนหลง รู้สึกได้ถึงบรรยากาศอันแข็งแกร่งบนร่างของคนคนนี้ ในขณะเดียวกันเขาก็สามารถรับรู้ได้ถึงสายตาของเปาเทียนหลงที่มองสำรวจมาทางตนเองเป็นระยะ ดูเหมือนว่าคนคนนี้ต้องการที่จะต่อสู้ลองเชิงกับตน
“คุณชายใหญ่ กล่องหยกหงส์มังกรนี้เป็นแม่เฒ่า…” ลุงหวังมองหลัวเหยียนซงที่นั่งลงบนตำแหน่งที่อยู่กลางห้องแล้วเอ่ยปากพูดขึ้นด้วยความเคารพ
“ฉันรู้แล้ว ทิ้งกล่องหยกหงส์มังกรไว้ซะ แล้วเอาหยกเปื้อนเลือดไป ไปจากตระกูลหลัว ไม่อนุญาตให้มาเหยียบอีกแม้แต่ครึ่งก้าว!” หลัวเหยียนซงพูดออกมาอย่างเรียบเฉยโดยที่ไม่มองหลัวเยี่ยนผู้เป็นลูกสาวเลยแม้แต่น้อย
เมื่อได้ยินคำพูดของหลัวเหยียนซง คนตระกูลหลัวที่อยู่ที่นี่ ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครกล้าพูดอะไรแต่ก็รู้สึกโล่งใจ จุดประสงค์ของพวกเขาก็คือกล่องหยกหงส์มังกร ส่วนหยกเปื้อนเลือดนั้นก็เป็นแค่ตำนานเล่าขาน ไม่มีใครรู้ว่าจริงหรือเท็จ ต่อให้เป็นเรื่องจริงก็เกรงว่าหยกมีตำหนิจะมีค่าไม่เท่าไหร่ เป็นแค่ของไร้ประโยชน์ก็เท่านั้น
ทิ้งกล่องหยกหงส์มังกรไว้ แล้วนำหยกมีตำหนิเปื้อนเลือดไปก็จะปล่อยให้สองแม่ลูกหลัวเยี่ยนไปได้ นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนยอมรับได้
หลัวเยี่ยนยืนอยู่กลางห้องโถง มองไปยังหลัวเหยียนซงผู้เป็นพ่อ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดใจขึ้นมา ไม่เจอกันยี่สิบปีแล้ว พ่อก็แก่ลงมากจริงๆ จอนผมทั้งสองข้างก็เริ่มขาวแล้ว ต่อให้สายตายังคมกริบเหมือนเดิม แต่ก็ทำให้เธอรับรู้ได้ถึงความแก่ชราของเขา คำพูดก็ไม่มีชีวิตชีวาและทรงพลังเหมือนเดิม
หลัวเยี่ยนทอดถอนใจครั้งหนึ่ง เดินไปเบื้องหน้าลุงหวัง เปิดกล่องหยกหงส์มังกรออกแล้วหยิบหยกมีตำหนิด้านในออกมาถือไว้ในมือ จากนั้นจึงมองไปยังหลัวเหยียนซงผู้เป็นพ่อ ไม่พูดอะไร คำเพียงโค้งคำนับอย่างลึกล้ำครั้งหนึ่ง แล้วหมุนตัวเตรียมจะพาเย่เทียนเฉินจากไป
หลัวเหยียนซงไม่มีท่าทีอะไรกับทุกสิ่งทุกอย่างนี้เลย หลัวเยี่ยนก็ไม่ได้เรียกเขาว่าพ่อ เขาก็ไม่ได้เรียกหลัวเยี่ยนว่าลูก ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกันแม้แต่คำเดียว ยี่สิบปีแล้วกว่าพ่อลูกได้พบกันอีกครั้งแต่กลับสิ้นสุดลงแบบนี้
ลุงหวังทอดถอนใจ เรื่องเมื่อปีนั้นเขาเองก็รู้มาเหมือนกัน และเกิดขึ้นในห้องโถงแห่งนี้ด้วย แม่เฒ่าตระกูลหลัวก็ไร้เรี่ยวแรงที่จะต่อต้าน ทำได้เพียงมองหลัวเหยียนซงและหลัวเยี่ยนทะเลาะกันจนต้องตัดความสัมพันธ์พ่อลูกไปต่อหน้าต่อตา ตั้งแต่ที่หลัวเยี่ยนไปจากตระกูลหลัว พริบตาเดียวก็ผ่านไปยี่สิบปีแล้ว และไม่ได้กลับมาอีกเลย
เย่เทียนเฉินเองก็ไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงเดินตามหลังหลัวเยี่ยนไปเท่านั้น จะอย่างไรเขาก็ไม่มีความรู้สึกดีๆ กับคนตระกูลหลัวอยู่แล้ว และเพิ่งจะได้พบหน้าผู้เป็นตาคนนี้เป็นครั้งแรก ต่อให้จะรู้สึกประทับใจไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา จะอย่างไรแม่ก็เคยถูกขับไล่ออกจากตระกูลหลัวมาแล้ว ตัดความสัมพันธ์ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับตระกูลหลัวไปหมดแล้ว ตั้งแต่ที่แม่กลับมายังตระกูลหลัวในครั้งนี้ งพวกเขาก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่เห็นแม่เป็นครอบครัวเลยแม้แต่น้อย
“หยุดก่อน ไอ้หนูตระกูลเย่ แกคิดว่าทำร้ายคนแล้วจะจากไปแบบนี้ได้หรือ? แกเห็นตระกูลหลัวเป็นอะไรกัน…” ชายวัยกลางคนที่ถูกเย่เทียนเฉินเตะจนกระเด็นออกไปกุมท้องของตน มองไปยังเย่เทียนเฉินด้วยเหงื่อเต็มใบหน้าแล้วกัดฟันพูดขึ้น
“ใช่แล้ว ตระกูลหลัวของพวกเราเป็นตระกูลใหญ่ จะปล่อยให้คนนอกจากไปอย่างโอหังได้ยังไง? จะต้องจ่ายค่าเสียหายออกมาถึงจะถูก”
“ถ้าไม่สั่งสอนไอ้หนูนี่ วันหน้าตระกูลหลัวของพวกเราจะเอาหน้าที่ไหนไปเผชิญหน้ากับตระกูลใหญ่และกลุ่มอำนาจใหญ่อื่นๆ?”
“หัวหน้าตระกูล เรื่องนี้ไม่จัดการไม่ได้ นี่เกี่ยวข้องกลับสถานการณ์ของตระกูลหลัว!”
หลายคนพูดสมทบตามน้ำขึ้นมา ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความโกรธที่มีต่อเย่เทียนเฉิน โดยเฉพาะคุณลุงทั้งหลายที่ตกใจเพราะเย่เทียนเฉินลงมือทำร้ายคนเมื่อสักครู่นี้ ต่างรู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก ตอนนี้หลัวเหยียนซงที่เป็นผู้นำตระกูลอยู่ที่นี่แล้ว และยังมีเปาเทียนหลงที่เป็นหัวหน้าผู้คุ้มกันผู้มีฝีมือไม่ธรรมดาอยู่ด้วย พวกเขาต้องการกู้หน้ากลับมา
“เหยียนซง พวกเขาพูดถูกแล้ว แต่ไหนแต่ไรก็ไม่มีใครกล้ามาก่อเรื่องที่ตระกูลหลัวของพวกเราแบบนี้ ไม่ว่าใครก็ทำไม่ได้ เย่เทียนเฉินทําร้ายคนในตระกูลหลัวของพวกเรา ถ้าปล่อยออกไปแบบนี้เกรงว่าตระกูลหลัวของพวกเราจะถูกคนหัวเราะเยาะเอาได้!” ตอนนี้เอง ชายชราคนหนึ่งที่ท่าทางอาวุโสมากเอ่ยปากพูดกับหลัวเหยียนซง
หลัวเหยียนซงหลัวเยี่ยนแวบหนึ่ง แล้วมองไปยังเย่เทียนเฉิน ในตอนที่กำลังจะเอ่ยปากพูดออกมานั้น หลัวเยี่ยนจะพูดขึ้นมาก่อน “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับลูกชายของฉัน เขาทำทุกอย่างก็เพราะฉัน พวกคุณต้องการจะทำยังไง ถ้าต้องการใช้กฎบ้านตระกูลหลัว ฉันก็จะรับผิดชอบเอง!”
“หึ คนที่ทำร้ายคนก็คือเย่เทียนเฉิน คนสาระเลวแบบนี้ไม่ลงโทษไม่ได้”
“พวกแก่ล้วนเป็นคนนอก จะคู่ควรให้ใช้กฎตระกูลหลัวของพวกเราได้ยังไง?”
“หักขาทั้งสองข้างของมันแล้วโยนมันออกไปซะ!”
“ถ้าไม่จ่ายค่าชดเชยออกมา วันนี้ก็อย่าได้คิดจะออกไปจากตระกูลหลัว!”
เดิมทีคนเหล่านี้ก็ไม่พอใจเย่เทียนเฉินและหลัวเยี่ยนอยู่แล้ว ตอนนี้มีคนยุยงขึ้นมา แน่นอนว่าต้องผสมโรงเข้าไปทันที อยากจะให้เย่เทียนเฉินและหลัวเยี่ยนตายอยู่ที่นี่
“เห่าอะไรกันนักหนา? มีความสามารถก็ออกมาดวลกันตัวต่อตัวสิ!”
ในตอนที่ทุกคนแย่งกันพูดจาโหดร้าย และหลัวเยี่ยนก็กำลังกังวลว่าพ่อของเธอจะให้ผู้คุ้มกันมาลากลูกไป เย่เทียนเฉินก็ประกาศศักดิ์ดาออกมาอีกครั้ง ทำให้ทุกคนที่อยู่ที่นี่ตกใจกันถ้วนหน้า
…………………..
ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างตกใจจนงุนงง ไม่คิดว่าหลัวเยี่ยนจะลงมือตบหลัวเสียนเม่ย บรรยากาศที่ระเบิดออกมาทำให้ทุกคนรู้สึกแปลกใจ ในตอนที่ผู้หญิงคนหนึ่งแสดงความโกรธออกมา ในตอนที่เธอมีความคิดที่จะสู้สุดชีวิตขึ้นมาจริงๆ ผู้ชายต่างก็ต้องหวาดกลัว
“แม่ครับ เจ๋งมาก…แม่เป็นความภาคภูมิใจของผม!” เย่เทียนเฉินที่รู้สึกว่าได้ระบายอามรมณ์พูดกับแม่เสียงเบาแล้วหัวเราะออกมา
หลัวเยี่ยนส่ายหน้า กวาดตามองไปยังทุกคนที่อยู่ที่นี่ จากนั้นจึงมองไปยังลุงหวังที่ก้มหน้าไม่พูดไม่จา พลันรู้สึกโศกเศร้าและผิดหวังในใจ สุดท้ายจึงมองไปยังหลัวฉีผู้เป็นพี่และหลัวเสียนเม่ยน้องสาวแล้วเอ่ยปากขึ้น “ลุงหวังทำงานให้ตระกูลหลัวทั้งตระกูลมาสี่สิบปีแล้ว พูดได้ว่าดีกับพวกเราทุกคน คุณลุงทุกคนที่อยู่ที่นี่ ตอนที่พวกคุณหลายคนยังอายุน้อยก็เติบโตมาพร้อมๆ กับลุงหวัง ลุงหวังปฏิบัติต่อคนอื่นยังไงเชื่อว่าพวกคุณก็คงรู้แก่ใจดี สำหรับผู้เฒ่าผู้แก่ที่อายุหกสิบกว่าปีคนหนึ่ง ทำงานรับใช้ตระกูลหลัวอย่างซื่อสัตย์มาสี่สิบปี สุดท้ายได้อะไรตอบแทน? ต้องมารองรับคำก่นด่าของพวกคุณแบบนี้เหรอ? กฏบ้านตระกูลหลัวของพวกเรา คุณธรรมตระกูลหลัวไปอยู่ที่ไหนหมดแล้ว?”
“แก…นี่เป็นเรื่องของตระกูลหลัวของพวกเรา เกี่ยวอะไรกับคนนอกอย่างแกด้วย?” มีคนพูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์
“คุณหนูครับช่างมันเถอะ ผมเป็นแค่คนรับใช้คนหนึ่ง นายท่านทั้งหลายด่าแค่ไม่กี่ประโยคก็สมควรแล้ว…” ลุงหวังไม่อยากให้หลัวเยี่ยนต้องลำบากใจ ไม่อยากให้หลัวเยี่ยนทะเลาะกับคนในตระกูลจนร้ายแรงมากเกินไป ตอนนี้พวกเขาสั่งให้ผู้คุมการออกมาเคลื่อนไหวแล้ว และคิดที่จะจับสองแม่ลูกหลัวเยี่ยน หากว่าเรื่องราวรุนแรงไปมากกว่านี้เพราะตน เกรงว่าจะเป็นการทำร้ายหลัวเยี่ยนเปล่าๆ
“ลุงหวัง ลุงทำงานรับใช้ตระกูลหลัวอย่างซื่อสัตย์มาสี่สิบปีแล้ว ไม่มีผลงานก็ต้องมีความลำบาก พวกเขาไม่ควรจะทำกับลุงแบบนี้ คนทุกคนในตระกูลหลัวมีใครบ้างที่ไม่ได้รับการดูแลจากคุณ วันนี้ในเมื่อพวกเขาทำแบบนี้ ฉันก็จะทวงความยุติธรรมให้คุณเอง!” หลัวเยี่ยนพูดขัดคำพูดของลุงหวัง มองเขาด้วยความเสียใจแล้วพูดขึ้น
“หลัวเยี่ยน แกกล้าตบฉันเพียงเพราะคนรับใช้คนเดียว แกเชื่อไหมว่าฉันจะฆ่าไอ้แก่นี่ซะ?” หลัวเสียนเม่ยลุกขึ้นมาจากพื้น จ้องมองหลัวเยี่ยนอย่าโกรธเคืองแล้วตะโกนออกมา
“ที่นี่มีที่ให้คนรับใช้พูดที่ไหนกัน จับเหล่าหวังมาก่อน แล้วค่อยจัดการทีหลัง!” หลัวฉีพูดขึ้นอย่างเย็นชา
“พี่คะ ฉันจำได้ว่าตอนเด็กมีครั้งหนึ่งที่พี่ตกลงไปในบ่อน้ำ วันนั้นอุณหภูมิ -10 กว่าองศา หนาวจนถึงขั้วกระดูก คนในบ้านไม่มีใครกล้ากระโดดลงไปช่วยพี่ มีแต่ลุงหวังที่กระโดดลงไปโดยไม่สนใจอะไรแล้วลากพี่ขึ้นมา ตอนหลังลุงหวังป่วยไปหนึ่งเดือนเต็มๆ …” หลัวเยี่ยนมองไปยังหลัวฉีผู้เป็นพี่ชายแล้วพูดขึ้นด้วยความผิดหวัง
“เรื่องมันนานขนาดนั้นแล้ว ฉันจำไม่ได้…” หลัวฉีพูดอย่างไร้ความรู้สึก
“หึ ก็แค่คนใช้คนเดียวเท่านั้น ใครจะมานั่งจำเรื่องพวกนี้กัน…” หลัวเสียนเม่ยเองก็พูดขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์
หลัวเยี่ยนมองหลัวเสียนเม่ยอย่างดุดัน เดินไปเบื้องหน้าหลัวเสียนเม่ยหลายก้าว ทำให้หลัวเสียนเม่ยตกใจจนรีบยกมือขึ้นบังหน้าของตนไว้ ตอนนี้เธอก็แค่ปากแข็งเท่านั้น แต่จริงๆ ถูกหลัวเยี่ยนที่กำลังโกรธทำให้ตกใจไปแล้ว
“แก…ทำอะไร…” หลัวเสียนเม่ยถามออกมาอย่างติดขัดด้วยความตกใจ
“คนที่สมควรจะหุบปากที่สุดก็คือเธอ ฉันจำได้ว่าตอนที่เธออายุ 10 ขวบ ไปปีนต้นไม้นอกประตูใหญ่เล่นคนเดียว แล้วตกลงมาโดยไม่ทันได้ระวัง เป็นลุงหวังที่พุ่งเข้าไปรับเธอโดยไม่สนใจอะไร ส่วนตัวเขาเองก็กระดูกหัก จนถึงตอนนี้ก็ยังมีอาการเรื้อรัง แต่เธอถึงกลับหักขาของเขา หักขาขวาของเขา ตอนนี้ฉันอยากจะถามเธอสักหน่อยว่า ทำไมเธอถึงใจคอโหดเหี้ยมได้ขนาดนี้? ทำไมถึงโหดร้ายได้ขนาดนี้? ทำไมไม่มีความเป็นคนเลยสักนิด?”
หลัวเยี่ยนพูดพลางเดินเข้าไปหาหลัวเสียนเม่ย ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ เรียกได้ว่าลุงหวังนั้นทำเพื่อตระกูลหลัวมาชั่วชีวิต ทำงานอย่างซื่อสัตย์อดทน คอยดูแลทุกคนตลอด สุดท้ายแล้วกลับต้องมาเจอกับสถานการณ์แบบนี้ จะไม่ทำให้เธอผิดหวังได้อย่างไร? จะไม่ทำให้เธอเสียใจได้อย่างไร? ไม่ต้องพูดถึงว่าถ้าคนนอกได้ยินเรื่องแบบนี้คงรู้สึกอยากร้องไห้ ต่อให้เป็นคนของตระกูลหลัวตัวเองก็ควรจะรู้สึกอับอายถึงจะถูก แต่พวกเขาไม่ได้รู้สึกเลยสักนิด พวกเขาเห็นลุงหวังเป็นแค่คนรับใช้ เป็นแค่สุนัขตัวหนึ่งก็เท่านั้น นี่ทำให้หลัวเยี่ยนโกรธขึ้นมาจริงๆ แล้ว
“แก…แกมีคุณสมบัติอะไรมาสั่งสอนฉัน แกถูกไล่ออกไปจากตระกูลหลัวนานแล้ว ไม่ใช่คนของตระกูลอีกแล้ว อีกอย่างเหล่าหวังก็เป็นแค่คนรับใช้ของตระกูลหลัวของพวกเรา เป็นแค่สุนัขตัวหนึ่งของตระกูลหลัวก็เท่านั้น ต่อให้ฉันฆ่ามันก็ไม่มีใครพูดอะไร…” หลัวเสียนเม่ยเอ่ยปากพูดด้วยใบหน้าไม่พอใจ
“ท่าทางเธอจะเกินเยียวยาแล้วจริงๆ โชคดีที่เธอเกิดในตระกูลหลัว ไม่งั้นคงถูกปล่อยให้หิวตายไปแล้ว!” หลัวเยี่ยนส่ายหน้า เธอรู้ว่าน้องสาวคนนี้มีชีวิตอยู่ในตระกูลหลัวมาตั้งแต่เด็ก และในตระกูลใหญ่อย่างตระกูลหลัวก็เรียกได้ว่าต้องการอะไรก็ได้อย่างนั้น กลายเป็นการบ่มเพาะความยโสโอหังให้เธอโดยปริยยาย ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา ไม่รู้จักบุญคุณคน
“หึ นี่ไม่เกี่ยวอะไรกับคนนอกอย่างแก!” หลัวเสียนเม่ยต้องการที่จะยั่วยุหลัวเยี่ยนจึงเน้นว่าเธอเป็นคนนอก
หลัวเยี่ยนไม่สนใจหลัวเสียนเม่ยอีก น้องสาวคนนี้ไม่มีทางช่วยเหลือแล้ว พูดอะไรมากไปก็ไม่มีประโยชน์ ทำเพียงมองไปยังทุกคนที่อยู่ที่นี่แล้วพูดขึ้นว่า “ตระกูลหลัวของพวกเรา สามารถเรียกได้ว่าเป็นตระกูลใหญ่อันดับต้นๆ ของเมืองหลวงหรือกระทั่งทั่วทั้งประเทศก็ยังได้ ต่อให้ไม่ได้โด่งดังเท่ากับตระกูลอื่นๆ ไม่ได้โดดเด่นขนาดนั้น แต่ในใจของพวกคุณก็โอหังมาก หากไม่มีกฏบ้านและคำสั่งสอนของบรรพบุรุษมาคอยควบคุม ไม่รู้ว่าพวกคุณจะกลายเป็นยังไง ต่อให้เป็นคนแก่ธรรมดาๆ คนหนึ่งก็ควรจะได้รับความเคารพ แล้วลุงหวังล่ะ? พวกคุณจะไร้ความเป็นมนุษย์แบบนี้จริงๆ หรือ? คิดดูเถอะ คิดดูว่าสี่สิบปีมานี้ลุงหวังสร้างผลงานอะไรให้ตระกูลหลัวบ้าง…”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลัวเยี่ยน คุณลุงหลายคนก็เงียบลง ในตอนที่พวกเขายังเด็กต่างก็เติบโตมาด้วยกันกับลุงหวัง ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ตระกูลหลัวยิ่งใหญ่ หรือจะเป็นตอนที่ตกต่ำ ลุงหวังก็ยังอยู่ เรียกได้ว่าพวกเขาใกล้ชิดกับลุงหวังมาสี่สิบปี เมื่อคิดถึงทุกสิ่งที่ผ่านไป ลุงหวังก็รับใช้ตระกูลหลัวของพวกเขาอย่างสุดความสามารถจริงๆ ชายชราคนนี้ฝ่าฟันอุปสรรคมากมายมาด้วยกันกับตระกูลหลัว ทำงานอย่างซื่อสัตย์อดทนโดยไม่บ่นว่า ไม่ควรจะทำแบบนี้กับเขาจริงๆ
“เหล่าหวัง แกออกไปก่อนเถอะ เอากล่องหยกหงส์มังกรมาให้พวกเรา!”
“เรื่องเหล่าหวังพวกเราจัดการได้ ทิ้งกล่องหยกหงส์มังกรไว้ซะ แล้วจะปล่อยพวกแกแม่ลูกไป!”
มีคุณลุงสองคนเอ่ยปากขึ้น ในใจของพวกเขารู้สึกนับถือหลัวเยี่ยนที่เป็นชนรุ่นหลังคนนี้มาก เมื่อปีนั้นก็เกือบจะได้เป็นผู้นำตระกูลหลัวแล้ว หลัวเยี่ยนเป็นผู้หญิงที่มีความสามารถโดดเด่นครบครันจริงๆ มีทั้งความกล้า แผนการ และความเด็ดเดี่ยว
“ไม่ได้ สองแม่ลูกคู่นี้กล้ามาก่อเรื่องที่ตระกูลหลัวของพวกเรา จำเป็นจะต้องสั่งสอน เหล่าหวังกินข้าวตระกูลหลัวแต่กลับช่วยคนนอก หักขาสุนัขของมันซะ แล้วค่อยไล่มันออกจากตระกูลหลัวไป!” หลัวเสียนเม่ยพูดขึ้นอย่างไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์โดยสิ้นเชิง
“แกรีบคุกเข่าขอโทษเหล่าหวังเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นคนที่จะถูกหักขาแล้วไล่ออกจากตระกูลหลัวก็คือแก!”
ในตอนนี้เอง นอกห้องโถงมีเสียงอันทรงอำนาจดังขึ้น ทุกคนพากันชะงักไป หลัวเสียนเม่ยตกใจจนสั่นไปทั้งร่าง เธอรู้ดีว่าเป็นใครที่กลับมา ส่วนหลัวเยี่ยนเดินไปด้านข้างโดยไม่พูดอะไร ผู้พูดก็คือคนที่เธอไม่ต้องการเผชิญหน้ามากที่สุด หากไม่ใช่เพราะคนของตระกูลหลัวรั้งพวกเธอแม่ลูกเอาไว้เพื่อจะแย่งชิงกล่องหยกหงส์มังกร เธอจะต้องรีบจากไปในทันทีอย่างแน่นอน ในตอนที่คุณย่าจะจากโลกนี้ไปก็ได้บอกกับเธอแล้วว่าไม่ต้องมาร่วมงานศพของคุณย่า เพราะไม่อยากให้หลัวเยี่ยนได้พบกับหลัวเหยียนซงผู้เป็นพ่อ ด้วยเกรงว่าสองพ่อลูกจะทะเลาะกัน
ไม่ผิด คนที่พูดอยู่นอกประตูด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจจนทำให้ทุกคนอดไม่ได้ที่จะพากันไปยืนด้านข้าง คนที่ทำให้หลัวเสียนเม่ยตกใจจนต้องสั่นไปทั้งร่าง กระทั่งหลัวฉีก็ยังรีบลงมาจากที่นั่งตรงกลางแล้วไปยืนอยู่ด้านข้าง คนคนนี้ก็คือหลัวเหยียนซง ผู้นำตระกูลหลัว พ่อของหลัวเยี่ยน และเป็นตาของเย่เทียนเฉิน
ตอนนี้เองชายชราอายุประมาณหกสิบปีคนหนึ่งเดินเข้ามาจากด้านนอกห้องโถง มองทุกคนที่อยู่ด้านในด้วยใบหน้าเคร่งขรึม ในดวงตาแม้จะมีความเสียใจอยู่บ้างแต่ก็มีความโกรธมากกว่า เพราะเมื่อครู่นี้หลัวเหยียนซงที่อยู่ด้านนอกได้ยินบทสนทนาของคนพวกนี้หมดแล้ว ลุงหวังนั้นเรียกได้ว่ามีอายุพอๆ กับเขา รู้จักกันมาหลายสิบปี ในตอนที่เขายังหนุ่มจนกระทั่งได้เป็นผู้ถือหางเสือแห่งตระกูลหลัว ก็มีลุงหวังที่เป็นพยานในเส้นทางของเขามาโดยตลอด
“พ่อ…” หลัวเสียนเม่ยเห็นหลัวเหยียนซงผู้เป็นพ่อมองตนเองด้วยท่าทางเคร่งขรึมก็อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงเรียกเบาๆ
“คุกเข่าลง ขอโทษลุงหวังซะ!” หลัวเหยียนซงมองหลัวเสียนเม่ยผู้เป็นลูกอย่างเรียบเฉยแล้วพูดขึ้น
“พ่อคะ…หนู…” หลัวเสียนเม่ยคิดไม่ถึงว่าพ่อจะให้เธอคุกเข่าขอโทษลุงหวังต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้จริงๆ จะเป็นไปได้อย่างไร? ยิ่งเป็นหลัวเสียนเม่ยที่ในใจของเธอเห็นลุงหวังเป็นเพียงคนรับใช้ของตระกูลหลัวมาโดยตลอด เธอต้องการอะไรก็ได้อย่างนั้น จะยอมคุกเข่าขอโทษให้คนรับใช้คนหนึ่งได้อย่างไร? ตนเองยโสโอหังและใช้อำนาจบาตรใหญ่อยู่ในตระกูลหลัวมาโดยตลอด วันหน้ายังจะมีที่ยืนในตระกูลหลัวอีกหรือ?
“ฉันจะพูดอีกครั้งเดียว คุกเข่าลง ขอโทษลุงหวังซะ!” หลัวเหยียนซงไม่พูดอะไรให้มากความ มองไปยังหลัวเสียนเม่ยอย่างเคร่งขรึม
คนที่อยู่ที่นี่ต่างก็ตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าหลัวเหยียนซงจะให้ลูกสาวของตนคุกเข่าขอโทษลุงหวัง มีแค่คุณลุงบางคนเท่านั้นที่เข้าใจได้ หลัวเหยียนซงมีฐานะเป็นหัวเรือใหญ่แห่งตระกูลหลัว มีความสามารถ มีความกตัญญู และจดจำคุณธรรมของตระกูลหลัวมาโดยตลอด เป็นผู้นำตระกูลที่ไม่เลวคนหนึ่ง
ในตอนที่หลัวเหยียนซงกำลังพูดนั้นไม่มีใครกล้าส่งเสียงออกมาแม้แต่คนเดียว นี่คือบารมีของผู้นำตระกูล เป็นบารมีที่ปรากฏโดยตัวมันเอง หลัวเสียนเม่ยที่โอหังและขี้ฉุนเฉียวขนาดนั้นก็ต้องสั่นสะท้านไปทั้งร่าง
“ช่างเถอะครับ ช่างเถอะ คุณหนูรองไม่ได้ตั้งใจ ไม่ต้องหรอกครับ!” ลุงหวังรีบเอ่ยปากพูด
หลัวเสียนเม่ยกวาดตามองทุกคนที่อยู่ที่นี่ ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่กล้าพูดจาช่วยเหลือเธอ กระทั่งหลัวฉีที่ร่วมมือกันทำชั่วมาโดยตลอดก็ยังรีบหลบไปด้านข้างไม่กล้าพูดอะไร เธอพยายามฝืนยิ้มยินดีมองไปยังหลัวเหยียนซงผู้เป็นพ่อแล้วพูดขึ้น “พ่อคะ…หละ เหล่าหวัง…เอ้อ ลุงหวังบอกว่าไม่ต้องแล้ว หนู…”
เพี๊ยะ!
หลัวเสียนเม่ยถูกตบอีกครั้ง การตบครั้งนี้รุนแรงมาก หลัวเหยียนซงเป็นผู้ลงมือด้วยตัวเอง ตบจนหลัวเสียนเม่ยทรุดลงไปนั่งกับพื้น ร่างกายสั่นเทา ในดวงตาปรากฏความหวาดผวาออกมาอย่างแท้จริง นี่เป็นครั้งแรกที่พ่อลงมือกับเธอ จะอย่างไรเธอก็คิดไม่ถึงว่า พ่อจะโกรธเพราะลุงหวังที่เป็นเพียงคนรับใช้คนหนึ่ง และยังลงมือตบตนด้วยตัวของเขาเองแบบนี้
……………………….
คนตระกูลหลัวจริงจังขึ้นมาแล้ว เรียกผู้คุ้มกันเกือบร้อยคนเข้ามา คิดจะจับหลัวเยี่ยนและเย่เทียนเฉินไป เนื่องจากเย่เทียนเฉินทำร้ายคนในตระกูลหลัว อีกทั้งคนที่ถูกทำร้ายยังเป็นสองแม่ลูกหลัวเสียนเม่ยและจางอวิ๋น รวมกับที่หลัวเยี่ยนถูกขับไล่ออกจากตระกูลหลัวไปนานแล้ว และไม่ได้กลับมายี่สิบปี คนตระกูลหลัวจึงทำเหมือนกับเธอเป็นคนนอก ตอนนี้ยังมีของที่ดึงดูดผู้คนอย่างกล่องหยกมังกรปรากฏขึ้นมาอีก ใครหลายคนต่างเกิดความคิดชั่วร้ายอยู่ในใจ ต่อให้ต้องให้ผู้คุ้มกันยิงปืนฆ่าเย่เทียนเฉินและหลัวเยี่ยน ก็ไม่สามารถปล่อยให้พวกเขานำกล่องหยกหงส์มังกรไปได้อย่างเด็ดขาด
ไม่มีความรู้สึกดังญาติมิตรเลยแม้แต่น้อย ไม่คิดถึงสายเลือดที่ไหลเวียนเลยสักนิด จะอย่างไรก็เป็นคนครอบครัวเดียวกัน แต่กลับเรียกผู้คุมการมาจริงๆ และต้องการที่จะจับหลัวเยี่ยนและเย่เทียนเฉินไป แน่นอนว่าจุดประสงค์หลักของคนเหล่านี้ก็คือกล่องหยกหงส์มังกร ไม่อย่างนั้นคงไม่ทำการ “ล้อม” เช่นนี้
หลัวฉีมองหลัวเยี่ยนและเย่เทียนเฉิน มุมปากปรากฏรอยยิ้มเย็นชาขึ้น เมื่อครู่นี้เย่เทียนเฉินถึงกับกล้าด่าตนเอง ในใจของเขาจึงรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก ตอนนี้ผู้คุ้มกันตระกูลหลัวก็มาหมดแล้ว แต่ละคนต่างก็พกปืนมาด้วย โดยเฉพาะเปาเทียนหลงหัวหน้าผู้คุ้มกันซึ่งเป็นยอดฝีมือที่ร้ายกาจคนหนึ่ง เมื่อใช้พลังภายในออกมาจะแข็งแกร่งดุจเหล็กกล้า สามารถป่นกำแพงได้ง่ายๆ
“หลัวเยี่ยน ฉันจะให้โอกาสแกเป็นครั้งสุดท้าย มอบกล่องหยกหงส์มังกรมาซะ แล้วให้ลูกชายของแกคุกเข่ากลางห้องโถง โขกหัวสำนึกผิดให้ทุกคนสามครั้ง ฉันที่เป็นพี่ชายของแกก็จะยอมยกโทษให้สักครั้ง ไม่งั้นก็อย่ามาหาว่าฉันโหดเหี้ยม!” หลัวฉีมองหลัวเยี่ยนและเย่เทียนเฉิน พูดออกมาอย่างดุดัน
เห็นได้อย่างชัดเจนว่า หลัวฉีต้องการทำให้เย่เทียนเฉินและหลัวเยี่ยนอับอาย ต้องการที่จะทำให้น้องสาวของตนได้รับความอัปยศต่อหน้าคนมากมายของตระกูลหลัวอีกครั้งหนึ่ง จนทำให้เธอไม่มีหน้ากลับมาที่ตระกูลหลัวอีก เพื่อกำจัดการคุกคามของเธออย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
ในตอนนี้หลัวเยี่ยนรู้สึกกังวลขึ้นมาจริงๆ แล้ว จะอย่างไรผู้คุ้มกันพร้อมอาวุธปืนหลายสิบคนนี้ก็ดูเคร่งขรึมจริงจังเป็นอย่างมาก ดูเหมือนกับทหารหลายสิบคนอย่างไรอย่างนั้น ขอเพียงมีคนออกคำสั่ง ให้ฆ่าคนก็จะฆ่าโดยไม่มีการลังเลเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะหัวหน้าผู้คุมกันที่ยืนอยู่ตรงกลาง แม้จะดูแล้วไม่แข็งแกร่ง กลับจะดูอ่อนแอด้วยซ้ำ แต่กลับมีใบหน้าเคร่งขรึมจนกระทั่งสามารถรับรู้ได้ถึงไอสังหารที่ปรากฏบนใบหน้า ดวงตาทั้งสองคมกริบ ในตอนที่เดินเข้ามาก็อดไม่ได้ที่จะมองสำรวจเย่เทียนเฉินเล็กน้อยแล้วขมวดคิ้ว นี่เป็นสัญชาตญาณของยอดฝีมือ
“พี่ พี่จะโหดร้ายแบบนี้จริงๆ หรือ? พวกพี่จะไม่คิดถึงความสัมพันธ์ญาติมิตรแบบนี้จริงๆ หรือ?” หลัวเยี่ยนถามด้วยความเสียใจ
“หึ ญาติมิตร? แกเป็นคนที่ถูกขับไล่ออกจากตระกูลหลัวนานแล้ว พวกเราไม่มีความสัมพันธ์เครือญาติอะไรกับแกอีก วันนี้ลูกชายของแกจำเป็นต้องตาย ไอ้คนไม่รู้จักที่ตาย!” หลัวเสียนเม่ยมองไปยังหลัวเยี่ยนอย่างดุดันแล้วด่าออกมา บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มลำพองใจ เนื่องจากผู้คุ้มกันมากันหมดแล้ว และยังมีเปาเทียนหลงหัวหน้าผู้คุมกันที่นำทัพมาเองกับตัว ต่อให้เป็นเย่เทียนเฉินก็ไม่กล้าลงมืออีกครั้งแน่
“ใช่ แกเป็นคนที่ถูกตระกูลหลัวของเราไล่ออกไปนานแล้ว ยังกล้ากลับมาอีก?”
“ลูกชายของแกกล้าลงมือกับคนตระกูลหลัว มีกี่ชีวิตก็ไม่พอชดใช้”
“ทิ้งกล่องหยกหงส์มังกรเอาไว้ซะ แล้วคุกเข่าโขกหัวยอมรับผิดก็จะยอมปล่อยพวกแกแม่ลูกไปสักครั้ง!”
“ยังจะพูดมากอะไรอยู่อีก ส่งกล่องหยกหงส์มังกรมาซะ…”
“ฉันว่าฆ่าไอ้เดรัจฉานนี่ก่อนแล้วค่อยพูดกันเถอะ จะได้ลดความโอหังของมันบ้าง…”
แรกเริ่มคนตระกูลหลัวเหล่านี้ซึ่งรวมไปถึงคุณลุงทั้งหลายต่างถูกเย่เทียนเฉินที่ลงมืออย่างโหดเหี้ยมทำให้ตกใจไป จะอย่างไรหลายคนก็เคยได้ยินข่าวลือของเขาในเมืองหลวงมาก่อน ตระกูลฉินและตระกูลลั่วตกต่ำลงในเวลาเพียงคืนเดียว และตระกูลลั่วยังถูกฆ่าล้างตระกูลอีกด้วย พวกเขารู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้าง เย่เทียนเฉินอาศัยพลังของคนเพียงคนเดียวทำเรื่องแบบนี้ออกมาได้ ทำให้ผู้คนต้องเปลี่ยนมุมมองจริงๆ
แต่ตอนนี้ทุกคนรู้ว่าผู้คุ้มกันแห่งตระกูลหลัวของตนมาถึงแล้ว อีกทั้งคนที่นำกองกำลังมาก็ยังเป็นเปาเทียนหลงหัวหน้ากองกำลังที่แข็งแกร่ง ต่อให้เย่เทียนเฉินจะมีความสามารถมากกว่านี้ ก็เกรงว่าจะไม่ใช่คู่มือของเขา ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ หากทำให้หัวหน้าผู้คุ้มกันโกรธขึ้นมาจนยิงปืนฆ่าสองแม่ลูกคู่นี้ ถ้าอย่างนั้นก็จะง่ายดายขึ้นมาก เห็นได้ว่าคนตระกูลหลัวไม่ได้คิดถึงความสัมพันธ์ญาติมิตรเลยแม้แต่น้อย
“หลัวเยี่ยน ยังไม่มอบกล่องหยกหงส์มังกรมาอีก คิดจะให้ฉันออกคำสั่งให้ฆ่าลูกชายแกหรือไง?” หลัวฉีคิดว่าตนเองได้เปรียบ จึงต้องการทำให้สองแม่ลูกคู่นี้ต้องอับอายเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย พูดออกมาด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ย
หลัวเยี่ยนมองไปยังคุณลุงทั้งหลายที่อยู่รอบๆ เหล่าพี่น้องรุ่นราวคราวเดียวกับตนเอง รวมไปถึงญาติผู้ใหญ่แห่งตระกูลหลัว ทุกคนต่างก็มีท่าทางโหดเหี้ยมดุดัน กำลังเพ่งเล็งมาที่เธอและเย่เทียนเฉินผู้เป็นลูก หากเป็นเวลาปกติ บางทีหลัวเยี่ยนอาจจะกังวลถึงความปลอดภัยของลูกชาย แต่วันนี้เธอก็ถูกยั่วโมโหจนโกรธเข้าจริงๆ แล้ว ถูกญาติมิตรที่ไม่เห็นตัวเองเป็นญาติมิตรเหล่านี้ทำให้โกรธแล้ว คนเรามีชีวิตอยู่เพียงไม่นานเท่านั้น ในตอนที่แย่งชิงกับคนภายนอกหลัวเยี่ยนก็อดทนและยอมถอย จะอย่างไรก็เป็นคนนอก แต่ตอนนี้คนที่เผชิญหน้ากับตนเองคือคนที่มีความเกี่ยวพันทางสายเลือดกับเธอ พวกเขาถึงกับทำแบบนี้ต่อพวกเธอสองแม่ลูกทำให้ในใจของหลัวเยี่ยนรู้สึกโกรธ
“ไม่ กล่องหยกหงส์มังกรเป็นของขวัญแต่งงานที่คุณย่ามอบให้ฉัน ตอนนี้ท่านก็ไม่อยู่แล้ว ฉันจะนำมันไป ถ้าพวกคุณต้องการก็ข้ามศพฉันไปก่อน!” ทันใดนั้นหลัวเยี่ยนจริงจังขึ้นมา มองไปยังทุกคนด้วยท่าทางแน่วแน่จริงจังแล้วพูดขึ้น
เมื่อได้ยินคำพูดของหลัวเยี่ยน คนที่เหลือต่างอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงและประหลาดใจ พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ว่าใครก็ต้องยอมสิโรราบแบบนี้ ภายใต้สถานการณ์ที่ถูกล้อมโจมตีแบบนี้ หลัวเยี่ยนจะเข้มแข็งขึ้นมาได้ หญิงคนนี้ไม่ง่ายเลยจริงๆ ถ้าคิดจะแสดงความสามารถและความฉลาดของตัวเองออกมา เกรงว่าคนมากมายคงอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจด้วยความชื่นชม
“ดี…ทุกคนได้ยินแล้วนะ ฉันที่เป็นพี่ชายให้โอกาสแกแล้ว แต่แกไม่ยอมรักษาโอกาสเอาไว้ ถ้างั้นก็ไม่มีทางแล้ว ทำได้แต่ฆ่าลูกชายของแกซะ ดูซิว่าแกจะยอมส่งออกมาหรือเปล่า…” หลัวฉีพูดขึ้น มุมปากเจือไปด้วยรอยยิ้มโหดเหี้ยม ไม่มีความรู้สึกดั่งญาติมิตรเลยแม้แต่น้อย
“ไม่ต้องหาข้ออ้างอะไรหรอก หรือถ้าฉันขอร้องพี่แล้วพี่จะยอมปล่อยฉันกับลูกไป? ยังไงก็เป็นคนถ่อยหยาบช้าอยู่แล้ว ทำไมต้องแสร้งทำเป็นสุภาพบุรุษขึ้นมาด้วย?” หลัวเยี่ยนมองไปยังหลัวฉีผู้เป็นพี่ชายของตนเขม็งแล้วเอ่ยถามออกมา
“แก…ทุกคนลงมือซะ จับสองแม่ลูกคู่นี้มา ถ้ามันกล้าขัดขืนก็ฆ่าได้เลย!” หลัวฉีถูกหลัวเยี่ยนกระตุ้นจนพูดอะไรไม่ออก ความอับอายกลายเป็นความโกรธแค้นจนตะโกนสั่งออกมา
ตอนนี้เองลุงหวังที่ยืนอยู่ด้านข้างโดยถือกล่องหยกหงส์มังกรเอาไว้ในมือขวามาโดยตลอด เห็นว่าผู้คุ้มกันแห่งตระกูลหลัวจะลงมือกับหลัวเยี่ยนและเย่เทียนเฉินจริงๆ ก็อดไม่ได้พี่จะกังวลใจขึ้นมา รีบก้าวออกมาพูดอย่างเคารพว่า “นายท่านทุกท่าน กล่องหยกหงส์มังกรนี้แม่เฒ่ามอบให้คุณหนูในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต ทุกคนก็เห็นเองกับตา ให้คุณหนูนำไปเถอะครับ อย่าทำให้พวกเขาแม่ลูกต้องลำบากใจเลย ผมคิดว่าวันหน้าพวกเขาก็คงไม่กลับมาที่ตระกูลหลัวอีกแล้ว!”
“กล่องหยกหงส์มังกรเป็นของของตระกูลหลัวของพวกเรา จะให้คนนอกนำไปได้ยังไง”
“ถูกแล้ว คนนอกคนหนึ่งจะมาเอาของล้ำค่าของตระกูลหลัวของพวกเราไปได้ยังไง แม่เฒ่าอายุมากแล้ว อาจจะพูดผิดก็ได้!”
“จะต้องแก่จนจำผิดแน่นอน ถึงได้มอบกล่องหยกหงส์มังกรให้หลัวเยี่ยน ดังนั้นจะให้เขาเอาไปไม่ได้เด็ดขาด!”
เย่เทียนเฉินยืนอยู่ด้านข้างโดยไม่ได้พูดอะไร มุมปากอดไม่ได้ที่จะปรากฏรอยยิ้มสนุกสนานขึ้นพลางส่ายหัวเล็กน้อย ในใจก็คิดว่าไอ้แก่โง่งมฝูงนี้ของตระกูลหลัวหน้าหนาจริงๆ เพื่อกล่องหยกหงส์มังกรถึงกับยอมทำทุกอย่าง กระทั่งศักดิ์ศรีก็ไม่ต้องการแล้ว
ทั้งๆ ที่ตอนนั้นทุกคนก็อยู่ด้วยแท้ๆ แม่เฒ่าตระกูลหลัวก็มีสติแจ่มชัดเป็นอย่างมาก ทุกคนล้วนได้ยินคำพูดของแม่เฒ่าตระกูลหลัวว่าจะมอบกล่องหยกหงส์มังกรและหยกเปื้อนเลือดที่อยู่ด้านในให้แก่หลัวเยี่ยนผู้เป็นหลานสาว ตอนนี้คนกลุ่มนี้กลับพูดจาเฉไฉออกมาอย่างหน้าตาเฉย ช่างไร้ศักดิ์ศรีจริงๆ ไม่นับถือไม่ได้แล้ว มิน่าเล่าถึงได้มีประโยคที่พูดกันในสังคมอย่างกว้างขวางว่า ยิ่งเป็นคนตระกูลใหญ่เท่าไหร่ก็ยิ่งไร้ยางอายมากเท่านั้น ยิ่งเป็นคนใหญ่คนโตมากเท่าไหร่ก็ยิ่งไร้ศักดิ์ศรีมากเท่านั้น เห็นได้ชัดว่านี่เป็นคำพูดที่มีเหตุผล!
“เหล่าหวัง แกนับเป็นตัวอะไรได้ ไสหัวไปซะ ที่นี่มีที่ให้แกพูดที่ไหนกัน อยากให้ฉันหักขาสุนัขของแกอีกข้างหนึ่งหรือไง?” หลัวเสียนเม่ยโพล่งออกมาพลางจ้องมองไปยังลุงหวังอย่างดุดัน
“เหล่าหวัง แกอยู่ข้างใครกันแน่?”
“ไอ้คนเลี้ยงเสียข้าวสุก ฉันว่าตำแหน่งพ่อบ้านใหญ่แห่งตระกูลหลัวควรจะเปลี่ยนคนได้แล้ว!”
“ก็แค่คนใช้คนเดียวเท่านั้นยังกล้าปากมากอีก ฆ่าให้ตายก็สิ้นเรื่อง!”
เมื่อมีคำพูดร้ายกาจของหลัวเสียนเม่ยที่พูดด่าให้ลุงหวังต้องอับอาย คนอื่นๆ ก็พากันด่าตามมาครั้งใหญ่ ไม่มีความเคารพต่อคนรับใช้ชราที่ทำงานเพื่อตระกูลหลัวอย่างซื่อสัตย์มาทั้งชีวิตคนนี้เลยแม้แต่ครึ่งส่วน สามารถพูดได้ว่าเทียบไม่ได้แม้แต่สุนัขตัวหนึ่ง คนเหล่านี้ช่างไม่มีมนุษยธรรมจริงๆ ทำให้ต้องรู้สึกผิดหวังจริงๆ
ลุงหวังเห็นว่ามีคนมากมายที่ด่าตน ดวงตาก็แดงก่ำ ยืนอยู่ตรงนั้นโดยไม่ขยับเขยื้อน ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี ในใจก็รู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก เขาคิดที่จะช่วยหลัวเยี่ยนและเย่เทียนเฉิน เพียงแต่น่าเสียดายที่ไม่มีความสามารถ เขาก็เป็นแค่คนใช้คนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะพูดอะไรมากมาย เพิ่งจะพูดออกไปประโยคเดียวก็ต้องพบกับความอัปยศแบบนี้แล้ว ทำให้เขารู้สึกเสียใจและผิดหวังยิ่งนัก
เพี๊ยะ!
เสียงตบหน้าดังลั่นดังขึ้นจนทำให้ห้องโถงเงียบลงในทันที ทว่าการตบหน้าครั้งนี้เย่เทียนเฉินไม่ได้เป็นผู้ลงมือ ทุกคนมองไปยังหลัวเยี่ยนและหลัวเสียนเม่ย การตบหน้าเมื่อสักครู่นี้เป็นหลัวเยี่ยนที่ตบลงไปบนใบหน้าของหลัวเสียนเม่ย ตบได้อย่างรุนแรงและหนักหน่วงมาก ตบจนอีกฝ่ายมึนงง มือขวากุมแก้มของตนเอาไว้ พลางมองไปยังหลัวเยี่ยนด้วยความหวาดกลัว แต่ไหนแต่ไรเธอก็ไม่เคยเห็นท่าทางโกรธเคืองเช่นนี้ของหลัวเยี่ยนมาก่อน ไม่เคยเห็นพี่สาวที่อ่อนโยนกล้าทำร้ายตนเองมาก่อน
“พวกคุณพูดพอแล้วหรือยัง?” หลัวเยี่ยนกัดฟันแน่น ตะโกนใส่ทุกคนเสียงดัง
“แก…” หลัวเสียนเม่ยได้สติกลับมา มองไปยังพี่สาวของตนอย่างโหดเหี้ยม
เพี๊ยะ!
ตบหน้าไปอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้หลัวเสียนเม่ยถูกตบจนทรุดลงไปกับพื้น มองหลัวเยี่ยนด้วยความหวาดผวา ภาพบรรยากาศของหลัวเยี่ยนที่เปลี่ยนไปทำให้ผู้คนต้องรู้สึกหวาดผวาขึ้นมาจริงๆ จินตนาการได้เลยว่าคนคนหนึ่งที่อ่อนโยนมาโดยตลอด เรียกได้ว่าถ้าถูกกตบก็ไม่เอาคืน ถูกด่าก็ไม่ตอบโต้ ในตอนที่โกรธขึ้นมาจริงๆ จะทำให้ผู้คนต้องสั่นสะท้านและหวาดผวามากเพียงใด
“ฉันเป็นพี่สาว วันนี้จะสั่งสอนเธอสักหน่อยว่าอะไรที่เรียกว่าเคารพผู้อาวุโส อะไรที่เรียกว่ามนุษยธรรม!” ดวงตาทั้งสองของหลัวเยี่ยนแดงก่ำ มองไปยังหลัวเสียนเม่ยอย่าโกรธเคืองแล้วพูดออกมาด้วยเสียงอันดัง
…………………..
หลัวเยี่ยนมองเย่เทียนเฉินผู้เป็นลูก รู้ว่าเขาพูดจามีเหตุผล ความจริงหลัวเยี่ยนจะมองไม่ออกได้อย่างไร คนตระกูลหลัวเหล่านี้ไม่เห็นเธอและเย่เทียนเฉินเป็นญาติมิตรเลยแม้แต่น้อย ตั้งแต่ที่เธอกับลูกชายเดินเข้าตระกูลหลัวมาจนถึงตอนนี้ พวกเขาก็ทำเหมือนกับพวกตนสองคนเป็นคนนอก ไม่ได้คิดถึงความสัมพันธ์เครือญาติเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่มีใครเคยพูดแม้แต่คนเดียวว่า ไม่ว่าจะอย่างไรทุกคนก็เป็นสายเลือดเดียวกัน ถึงจะทะเลาะเบาะแว้งกันกระทั่งแขนขาหักก็ไม่ควรที่จะใช้มีดใช้ปืน
ในสายตาของคนตระกูลหลัวเหล่านี้ เธอหลัวเยี่ยนและเย่เทียนเฉินผู้เป็นลูก ก็เป็นเพียงคนนอกสองคน เป็นคนสองคนที่จะทำอย่างไรก็ได้ ถึงแม้ดูถูกว่าเป็นคนนอก แต่ตอนนี้เพื่อกล่องหยกหงส์มังกร ถึงไม่เสียดายที่จะพลิกสีหน้า กระทั่งต้องการที่จะเรียกผู้คุ้มกันมาเพื่อจับพวกเธอสองแม่ลูกไป ในสถานการณ์เช่นนี้ ถ้าหากยังสงบนิ่งอยู่ ก็คงเป็นไอ้โง่จริงๆ แล้ว
แรกเริ่มเดิมที ในใจของหลัวเยี่ยนยังคงมีความคาดหวังอยู่บ้าง ไม่ว่าจะอย่างไรทุกคนก็เป็นครอบครัวเดียวกัน ต่อให้ก่อเรื่องร้ายแรงขนาดไหน ต่างก็เป็นครอบครัวเดียวกัน คงไม่ทำอะไรตนเองแน่ ไหนเลยจะรู้ว่า ตอนนี้เพียงเพื่อกล่องหยกหงส์มังกร พวกเขาจะก่นด่าและกระทั่งลงมือโดยไม่เสียดาย ต้องการที่จะลากตัวตนและลูกชายออกไป นี่ยังจะให้เธอคิดอย่างอื่นได้อีกหรือ?
ความจริงแล้ว หลัวเยี่ยนไม่ใช่คนโง่ กลับเป็นผู้หญิงที่ฉลาดเป็นอย่างมากด้วยซ้ำ เธอกลับมาที่ตระกูลหลัวเพียงเพราะต้องการที่จะดูใจคุณย่าที่ใกล้จะจากโลกนี้ไปเป็นครั้งสุดท้าย ไม่คิดที่จะมาสานสัมพันธ์อะไรกับตระกูลหลัวอีก เธอเองก็รู้ดีว่าคนตระกูลหลัวเหล่านี้เห็นเธอเป็นศัตรู โดยเฉพาะหลัวฉีผู้เป็นพี่และหลัวเสียนเม่ยน้องสาว ในตอนที่คุณย่าต้องการที่จะมอบกล่องหยกหงส์มังกรให้ตนเองเพื่อเป็นของขวัญแต่งงาน หลัวเยี่ยนก็คิดแล้วว่าจะทิ้งกล่องหยกหงส์มังกรไว้ที่นี่ จะไม่แย่งชิงกับคนของตระกูลหลัว แต่ตอนนี้เมื่อดูแล้ว ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทิ้งเอาไว้โดยสิ้นเชิง หากว่าทิ้งกล่องหยกหงส์มังกรเอาไว้ที่นี่ คงจะทำให้คนเหล่านี้แย่งกันอย่างรุนแรง จะเป็นการทำร้ายน้ำใจของคุณย่าให้เสียเปล่า
“อืม อย่าได้ถึงขั้นเอาชีวิตใครเลย ยังไงพวกเราก็เป็นครอบครัวเดียวกัน!” หลัวเยี่ยนกล่าวออกมาอย่างทอดถอนใจ
“ได้ครับคุณแม่ มีคำพูดนี้ของแม่ผมก็วางใจแล้ว!” เย่เทียนเฉินพูดพลางหัวเราะฮี่ๆ
ใครก็คิดไม่ถึงว่า สองแม่ลูกหลัวเยี่ยนและเย่เทียนเฉินที่เดิมทียังถูกคนรุมล้อมและสอบสวน ตอนนี้จะค่อยๆ เปลี่ยนบทบาทไปอย่างเชื่องช้า จุดสำคัญเป็นเพราะเย่เทียนเฉินไม่ทำตามเหตุผลตามปกติ ภายใต้สถานการณ์ที่ทุกคนเพ่งเล็ง ก็ยังลงมือทำร้ายจางอวิ๋นและหลัวเสียนเม่ย ทำให้ทุกคนต่างต้องสั่นสะท้าน
บางครั้งการใช้กำลังก็เป็นวิธีการแก้ไขปัญหาที่ไม่เลวเลยทีเดียว ด้วยเหตุนี้เย่เทียนเฉินจึงได้ลงมือ ทำให้คนตระกูลหลัวเหล่านี้ตกตะลึง ไม่ต้องพูดอะไรพวกเขาก็กลัวแล้ว สำหรับคนที่ยโสโอหังจนเคยตัวแบบนี้ โดยเฉพาะสำหรับคนที่มาจากตระกูลใหญ่อย่างตระกูลหลัว ดูเหมือนพวกเขาจะไม่เคยเห็นสถานการณ์ที่ลงมือทำร้ายคนอย่างรุนแรงแบบนี้มาก่อน เพราะไม่มีใครกล้าลงมือกับคนอย่างพวกเขา ดังนั้นเมื่อเห็นว่าเย่เทียนเฉินลงมือทำร้ายสองแม่ลูกจางอวิ๋นอย่างรุนแรงขึ้นมากระทันหัน ต่างก็ถูกทำให้สั่นสะท้าน โดยเฉพาะจางอวิ๋นในตอนนี้ที่ถูกอัดจนหัวแตกเลือดไหล
ในเมื่อหลัวเยี่ยนเห็นด้วย เย่เทียนเฉินก็ยิ่งออกมือออกเท้าอย่างสบายอารมณ์ เมื่อสักครู่นี้เขาแค่ลองดูเท่านั้น จะอย่างไรเขาก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ กับไอ้แก่โง่เง่าแห่งตระกูลหลัวเหล่านี้อยู่แล้ว และไม่มีความประทับใจใดๆ เลย จุดสำคัญก็คือที่นี่เป็นบ้านเดิมของแม่ อีกทั้งหลัวเยี่ยนก็ค่อนข้างใจดี จึงไม่อยากทำให้เธอต้องลำบากใจ ตอนนี้สบายใจแล้ว แม่ก็เข้าใจแล้วว่าคนกลุ่มนี้ไม่เห็นเธอเป็นคนกันเอง กระทั่งคิดจะเรียกผู้คุ้มกันเข้ามา นี่มากพอที่จะแสดงให้เห็นถึงปัญหาอย่างชัดเจน หากตนเองยังเกรงใจและอดทนเช่นนี้ต่อไป เป็นไปได้มากว่าจะตาย ไม่สู้ให้ลูกชายจัดการยังจะดีกว่า
“ยังมีไอ้ตัวไหนที่มันไม่รู้จักดีชั่วอีกหรือเปล่า ใครต้องการที่จะให้พวกเราแม่ลูกทิ้งของเอาไว้อีก? ก้าวออกมา!” เย่เทียนเฉินยิ้มเล็กน้อย กวาดตามองไปยังทุกคนที่อยู่ที่นี่แล้วเอ่ยถาม
“ไอ้เดรัจฉานน้อย แกจะโอหังเกินไปแล้ว กล้ามาก่อเรื่องที่ตระกูลหลัวของพวกเรา ต่อให้มีอีกกี่ชีวิตก็ไม่พอ”
“รีบเรียกคุ้มกันมาเดี๋ยวนี้ จับไอ้เวรตะไลนี่ออกไปฆ่าให้ตายซะ!”
“จะต้องยิงมันให้ตาย คนนอกคนเดียวกล้ามาก่อเรื่องที่ตระกูลหลัว หากข่าวแพร่ออกไป พวกเราตระกูลหลัวจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
“ท่าทางคงไม่ง่ายแค่ทิ้งกล่องหยกหงส์มังกรเอาไว้ที่นี่แล้ว ยังต้องจับสองแม่ลูกที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำคู่นี้ไปด้วย!”
เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน ญาติผู้ใหญ่ทั้งหลายของตระกูลหลัวต่างก็โกรธจนปอดแทบระเบิด ตระกูลหลัวสามารถรุ่งเรืองมาจนถึงขั้นนี้ได้ ตำแหน่งของพวกเขาย่อมไม่ต่ำต้อย เคยมีใครกล้ามาด่าพวกเขาแบบนี้ที่ไหนกัน? โดยเฉพาะเย่เทียนเฉินที่ลงมือถึงสองครั้งสองคราว ทำร้ายจางอวิ๋นและแม่ของเขา ถึงแม้แม่ลูกคู่นี้จ้ะทำให้ผู้อื่นโกรธก่อน แต่คนตระกูลหลัวเหล่านี้ก็ใจแคบหาได้เปรียบ พวกเขาย่อมต้องเลือกยืนอยู่ข้างเดียวกันอยู่แล้ว เพราะมีเพียงทำแบบนี้ถึงจะสามารถได้รับของหยกหงส์มังกร รอให้ได้ส่งหยกหงส์มังกรมาก่อน ถึงจะเป็นสงครามภายในของพวกเขา
“แม่งเอ้ย ไอ้พวกตาแก่ตายยากอย่างพวกแกพูดพอหรือยัง? ใครที่มีปัญหาก็ก้าวออกมา!” เย่เทียนเฉินยืนอยู่ข้างกายหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ ตะโกนออกมาด้วยท่าทางโอหังเต็มที่
เย่เทียนเฉินก็เป็นคนแบบนี้ ในเมื่อพวกคุณไม่เห็นผมกับแม่เป็นญาติพี่น้อง ไม่เพียงแต่ต้องการสิ่งของที่ยายทวดให้ไว้ แต่ยังทำท่าจะจัดจับตายผมกับแม่อีก งั้นจะให้ผมเกรงใจอะไร? แม่เป็นคนดี แต่ผมเย่เทียนเฉินไม่ใช่คนดีอะไร ในสังคมแบบนี้ คนดีก็จะถูกมองว่าโง่ จะถูกผู้คนคิดว่ารังแกได้ง่าย และจะทำได้แค่ถูกรังแกหนักยิ่งกว่าเก่า วันนี้บิดาจะสอนไอ้แก่อย่างพวกคุณ ถ้าต้องการไล่พวกเราแม่ลูกออกไปจากตระกูลหลัวอย่างสะดวกสบายเหมือนเมื่อปีนั้น ก็จะต้องจ่ายผลตอบแทนออกมาบ้าง
“แกจะโอหังเกินไปหรือเปล่า คิดว่าตระกูลหลัวไม่มีปัญญาทำอะไรแกจริงๆ หรือไง? แกนับเป็นตัวอะไรได้…” ตอนนี้เองชายวัยกลางคนคนหนึ่งเดินก้าวออกมา มองเย่เทียนเฉินแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“งั้นฉันขอถามแกสักหน่อย แล้วแกเป็นตัวอะไรได้ล่ะ?” เย่เทียนเฉินหาวครั้งหนึ่งแล้วถามออกมา
“หึ ฉันอายุมากกว่าแกรอบหนึ่ง ได้เป็นสมาชิกกรรมาธิการแห่งเมืองหลวงแล้ว หากพูดถึงความอาวุโส แกควรจะเรียกฉันว่าลุง…สอง…”
เพี๊ยะ!
คำพูดของชายวัยกลางคนผู้นั้นยังไม่ทันจะพูดจบก็ถูกเย่เทียนเฉินตบหน้าจนกระเด็นออกไป คนคนนี้เสนอหน้าออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า เพ่งเล็งตนเองกับแม่มาก กล่าวได้ว่าเป็นรองเพียงแค่สองแม่ลูกโง่งมหลัวเสียนเม่ยเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นบนร่างของคนผู้นี้ยังมีไอสังหารออกมา เมื่อครู่นี้คนที่วิ่งออกไปเรียกผู้คุมกันก็คือเขา ดังนั้นเย่เทียนเฉินจึงไม่จำเป็นต้องเกรงใจ
“แก…รนหาที่ตาย…ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วจริงๆ หรือไง?” ชายวัยกลางคนที่ถูกเย่เทียนเฉินตบจนทรุดลงกับพื้น ตะโกนออกมาอย่างงุนงนแต่ยังคงโอหังเหมือนเดิม
พลั่ก!
อีกครั้งหนึ่งแล้ว เย่เทียนเฉินใช้เท้าเตะชายวัยกลางคนออกไป เตะจนปลิวออกไปนอกประตูห้องโถง เตะจนออกไปนอกประตู การเตะครั้งนี้รุนแรงมาก ทำให้ชายวัยกลางคนที่ค่อนข้างอวบคนนี้กระเด็นไปหลายเมตร ตกลงบนบันไดนอกห้องโถงอย่างรุนแรง กรีดร้องออกมาอย่างน่าอนาถ ลุกไม่ขึ้นอีกต่อไป ทำให้หลายคนที่ได้เห็นต่างนิ่งอึ้ง ในใจคิดว่า เย่เทียนเฉินคนนี้โง่หรือไง? ทำร้ายคนท่ามกลางตระกูลหลัวครั้งแล้วครั้งเล่า เห็นตระกูลหลัวเป็นที่ที่อยากมาก็มาอยากไปก็ไปจริงๆ หรือ? คิดว่าหลังจากที่ผู้คุ้มกันของตระกูลหลัวมาถึงจะไม่กล้ายิงพวกเขาให้ตายจริงๆ หรือ?
“น้องสาวแกสิ ยังมีใครไม่พอใจอีกหรือเปล่า?” เย่เทียนเฉินมองไปยังชายวัยกลางคนที่กำลังกรีดร้องอยู่นอกประตูด้วยความไม่พอใจ จากนั้นจึงมองชายชราคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่อีกครั้ง เอ่ยปากถามออกมาอย่างเรียบเฉย
ความจริงช่างอยู่นอกเหนือการคาดเดาของทุกคนไปมากเหลือเกิน เดิมทีคิดว่าหลัวเยี่ยนและเย่เทียนเฉินจะต้องมอบกล่องหยกหงส์มังกรออกมาภายใต้การบีบบังคับของทุกคนและจากไปด้วยความอัปยศแน่นอน กล่าวได้ว่านั่นจะทำให้ทุกคนมีความสุขมาก ไหนเลยจะรู้ว่าเย่เทียนเฉินจะใช้วิธีการเช่นนี้ ใช้กำปั้นไม่ใช้เหตุผล ทำให้ทุกคนหุบปาก แต่ไม่กล่าวไม่ได้ว่า วิธีนี้ใช้ได้ผลมากจริงๆ การจะรับมือกับชายชราที่เห็นตัวเองเป็นใหญ่พวกนี้ ถ้าไม่สั่งสอนพวกเขา คนที่อยู่มาจนอายุขนาดพวกเขาแล้วคงไม่มีใครกล้าลงมือสั่งสอนพวกเขาแน่
“แกไม่คิดว่าตัวเองจะทำเกินไปหรือไง? จะรนหาที่ตายก็ต้องดูเวลาด้วย!” หลัวฉีมองเย่เทียนเฉินอย่างเย็นชาแล้วพูดขึ้น
เย่เทียนเฉินมหลัวฉีแวบหนึ่ง แสร้งทำสายตาไม่สบอารมณ์ ขมวดคิ้วอย่างนึกสนุกแล้วพูดขึ้นว่า “แกกำลังพูดอยู่หรือไง? แม่งเอ๊ย แกไม่พอใจก็ไสหัวออกมาให้บิดานี่…”
“แก…”
หลัวฉีโกรธจนแทบจะกระอักเลือด จะอย่างไรตัวเองก็จะต้องกลายเป็นผู้นำตระกูลหลัวคนต่อไป ยิ่งไปกว่านั้นตนนั่งอยู่ตรงตำแหน่งกลางสุดก็ยังไม่มีใครกล้าพูดอะไร นี่เพียงพอแล้วที่จะแสดงให้เห็นว่าคนส่วนใหญ่ไม่กล้าล่วงเกินตนเอง แต่เย่เทียนเฉินถึงกับกล้าทำท่าไม่พอใจแบบนี้ ทำให้หลัวฉีอดไม่ได้ที่จะโกรธจนแทบเต้นเร่าๆ
“อย่ามาแกๆ ฉันๆ อะไรอยู่เลย มีความสามารถก็มาสู้กันตัวต่อตัว บิดาจะอัดแกให้เอ๋อไปเลย!” เย่เทียนเฉินยังคงพูดต่อไปอย่างไม่สบอารมณ์
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนตระกูลหลัวกลุ่มนี้ เย่เทียนเฉินก็ไม่อยากพูดอะไรให้มากความ กับคนพวกนี้ไม่มีอะไรต้องพูด ถ้าคุณไม่แสดงความแข็งแกร่ง พวกเขาก็จะถือโอกาสนี้กัดกินคุณ ดังนั้นเย่เทียนเฉินจึงเลือกที่จะลงมือ ลงมืออย่างเฉียบคม ถ้าไม่สั่งสอนคนพวกนี้สักหน่อย พวกเขาก็จะไม่หวาดกลัว และจะไม่ยอมปล่อยตนและแม่ออกไปแน่
“ดีๆ ๆ …น้องสาว ในเมื่อลูกของแกร้ายกาจขนาดนี้ โอหังขนาดนี้ ก็อย่ามาตำหนิพี่ใหญ่อย่างฉันว่าโหดเหี้ยมก็แล้วกัน ฉันจะให้แกรู้ถึงกฎบ้านตระกูลหลัว ให้แกได้รู้ว่าคำว่าตายสะกดยังไง!” หลัวฉีมีสีหน้าดุดัน มองไปยังหลัวเยี่ยนแล้วพูดออกมาด้วยความโกรธจนกลายเป็นรอยยิ้ม
“บิดาบอกว่าแกเป็นไอ้เอ๋อ แกก็เอ๋อจริงๆ เล่นลูกไม้นี้ให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ แกเคยเห็นแม่ของฉันเป็นน้องสาวมาก่อนหรือไง? คิดจะลงมือก็เร็วๆ หน่อย อย่าได้หาข้ออ้างอะไร บิดายุ่งมาก!” เย่เทียนเฉินพูดแทรก เขารู้ว่าแม่อาจจะใจอ่อน เมื่อถึงตอนนั้นเรื่องที่ตนกระทำไปก่อนหน้านี้ก็คงจะสูญเปล่า เขาจะต้องแสร้งทำเป็นทายาทโง่เขลา แกล้งทำเป็นยโสโอหัง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้คนตระกูลหลัวมาสร้างความวุ่นวายครั้งแล้วครั้งเล่าหลังจากที่ออกไปจากตระกูลหลัวได้
“แก…ฉันจะทำให้แกตาย!” หลัวฉีทนไม่ไหวอีกต่อไป ทันใดนั้นจึงลุกขึ้นจากที่นั่ง ชี้ไปที่เย่เทียนเฉินแล้วตะโกนขึ้นอย่างดุดัน
ตอนนี้เอง มีผู้คุมการกลุ่มหนึ่งพุ่งเขามาจากนอกประตูห้องโถงใหญ่ ทุกคนต่างพกอาวุธปืน นี่คือสัญลักษณ์ที่ตระกูลถหลัวสามารถกลายเป็นตระกูลใหญ่แบบนี้ได้ ในเมืองหลวงมีตระกูลใหญ่และกลุ่มอำนาจใหญ่บางกลุ่มที่บอดี้การ์ดของตระกูลสามารถพกอาวุธปืนได้ หรือกระทั่งมีบอร์ดี้การ์ดเป็นทหาร ก็เหมือนกับตระกูลฉินและตระกูลลั่ว แต่หากต้องการมาถึงขั้นนี้จะต้องมีบุคคลที่มีตำแหน่งสูงในด้านการเมืองและด้านการทหารอยู่ในตระกูลด้วย
ดังนั้นกล่าวได้ว่า ตระกูลหลัวทที่ไม่ใช่ตระกูลใหญ่ทางด้านการเมือง และไม่ใช่ตระกูลใหญ่ทางด้านการทหาร แต่สามารถมีผู้คุ้มกันที่พกพาอาวุธปืนมากกว่าร้อยคนได้แบบนี้ มากเพียงพอที่จะกลายเป็นกองทหารกองหนึ่ง จินตนาการได้เลยว่าตระกูลหลัวมีชื่อเสียงฉาวโฉ่ขนาดไหน
“พี่ ยังจะพูดกับไอ้เดรัจฉานสองแม่ลูกอยู่ทำไม ฆ่าพวกมันซะ!”
หลัวเสียนเม่ยและจางอวิ๋นเห็นว่าผู้คุ้มกันพกอาวุธปืนของตระกูลพุ่งเข้ามาแล้ว ใบหน้าก็ปรากฏความโอหังอีกครั้ง โอหังจนไม่เห็นหัวใคร คิดว่าต่อหน้าผู้คุ้มกันถือปืนเหล่านี้ เย่เทียนเฉินจะไม่กล้าลงมืออย่างแน่นอน เช่นนี้ก็จะสามารถถือโอกาสฆ่าเย่เทียนเฉินและหลัวเยี่ยนได้
………………………………..
เย่เทียนเฉินลงมืออัดจางอวิ๋น และยังเตะหลัวเสียนเม่ยแม่ของจางอวิ๋นอีกด้วย ทำให้ทุกคนที่อยู่บริเวณนั้นตกตะลึง ใครก็คิดไม่ถึงว่า เย่เทียนเฉินที่นับว่าอายุน้อยที่สุดในที่นี้จะถึงกับลงมืออัดคนได้ และยังลงมือกับน้าของตนอีกด้วย คนคนนี้ทำตามหลักการโดยไม่สนใจตัวคนจริงๆ !
ยิ่งไปกว่านั้นจากการตบและเตะสองแม่ลูกหลัวเสียนเม่ยของเย่เทียนเฉิน ทำให้คนอื่นๆ ต่างก็ได้สติ คิดถึงข่าวลือเกี่ยวกับทุกการกระทำของเย่เทียนเฉินในเมืองหลวงขึ้นมา ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังได้ยินเรื่องราวในช่วงที่เดินทางไปยังประเทศ M ของเย่เทียนเฉินมาอีกด้วย จึงอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเย็นยะเยือก คนคนนี้นับว่าเป็นหลานสายนอกของตระกูลหลัว ถึงกับแข็งแกร่งจนถึงขั้นนี้เชียว มีแนวโน้มมากว่าจะทำให้ตระกูลเย่รุ่งเรืองขึ้นมาได้
คนกลุ่มหนึ่งเดินมาถึงห้องโถงของบ้านเดิม เป็นห้องโถงสไตล์โบราณ บนยกพื้นที่สูงที่สุดมีเก้าอี้อยู่ตัวหนึ่ง ด้านล่างทั้งสองฝั่งมีเก้าอี้วางเรียงราย เมื่อก่อนเก้าอี้ในตำแหน่งที่อยู่สูงสุดนั้นมักจะเป็นที่นั่งของแม่เฒ่าของตระกูลหลัวมาโดยตลอด และมีเพียงเธอเท่านั้นถึงจะมีคุณสมบัติพอที่จะได้นั่งตำแหน่งนี้ ตอนนี้หลัวฉีกลับไปนั่งอยู่ด้านบน ทำเหมือนกับว่าได้กลายเป็นผู้นำสูงสุดของตระกูลหลัวไปแล้ว กลายเป็นหัวเรือใหญ่ของตระกูลหลัวไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น
หลัวฉีนั่งอยู่เก้าอี้กลางห้อง ลูกสาวของเขาหลัวชิงหงยืนอยู่ด้านหลัง มองไปยังเย่เทียนเฉินและหลัวเยี่ยนอย่างดุดัน ก่อนหน้านี้เธอก็ถูกหลัวเยี่ยนสั่งสอนมา ถูกสั่งสอนจนพูดอะไรไม่ออก หน้าแดงหูแดงไปหมด เพราะต้องการที่จะออกหน้าให้พ่อของตน แต่น่าเสียดายที่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลัวเยี่ยน จึงต้องทำให้ตัวเองขายหน้า
คุณลุงคนอื่นๆ เมื่อเห็นว่าหลัวฉีนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงกลาง ในใจของคนจำนวนมากก็รู้สึกไม่พอใจ แต่กลับไม่ได้เอ่ยปากอะไร เหตุผลประการแรกก็คือ หลัวฉีเป็นลูกชายคนเดียวของหลัวเหยียนซง หลายปีมานี้ก็สงบเสงี่ยมลงมาก ตามปกติเขาก็ควรจะได้เป็นหัวเรือใหญ่คนต่อไปของตระกูลหลัว ไม่ว่าใครก็ไม่อยากที่จะล่วงเกิน ต่อให้คุณลุงเหล่านี้จะไม่ได้หวาดกลัวอะไร แต่ก็ต้องคิดถึงลูกๆ ของตน จะอย่างไรภายหลังหลัวฉีกลายเป็นผู้นำตระกูลคนใหม่ของตระกูลหลัว ด้วยนิสัยใจแคบของเขาจะต้องสร้างความลำบากให้กับลูกๆ ของคนที่เคยขัดขวางเขาแน่นอน เหตุผลประการที่สองก็คือ ตอนนี้ความคิดของทุกคนต่างจับจ้องอยู่ที่กล่องหยกหงส์มังกร ของสิ่งนี้มีความเย้ายวนใจมากมายเหลือเกิน ไม่ว่าใครก็ต้องการที่จะครอบครอง บนโลกใบนี้มีเพียงหนึ่งไม่มีสอง ล้ำค่าจนมิอาจประเมินค่าได้
ตอนนี้เอง คุณลุงทั้งหลายของตระกูลหลัวรวมถึงผู้อาวุโสจำนวนหนึ่งต่างก็นั่งอยู่บนเก้าอี้สองฝั่งของห้องโถง มีเพียงเย่เทียนเฉิน หลัวเยี่ยน และลุงหวังสามคนเท่านั้นที่ยืนอยู่กลางห้องโถง สภาพแบบนี้คล้ายกับกำลังสอบสวนพวกเขาอย่างไรอย่างนั้น ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกไม่พอใจมาก
ภายในห้องโถงเงียบสงัด ใครก็ไม่กล้าเอ่ยปากเป็นคนแรก ถึงแม้พวกเขาจะอยากได้กล่องหยกหงส์มังกรมาก แต่ของสิ่งนี้แม่เฒ่าตระกูลหลัวก็มอบให้กับหลานสาวของตนก่อนตาย รวมกับการกระทำของเย่เทียนเฉินเมื่อครู่นี้ทำให้ในใจของใครหลายคนต่างรู้สึกหวาดกลัว ถึงแม้พวกเขาจะมีคนมากกว่า และจะไม่ยอมให้เย่เทียนเฉินและหลัวเยี่ยนนำกล่องหยกหงส์มังกรออกไปจากตระกูลหลัวง่ายๆ แต่ยังคงหวาดกลัวว่าเย่เทียนเฉินจะบ้าคลั่งขึ้นมาแล้วจัดการพวกเขาทุกคน คนคนนี้เป็นคนที่ทำตามหลักการโดยไม่สนใจตัวคน คงจะไม่เห็นพวกเขาเป็นญาติผู้ใหญ่อะไรแน่นอน
เย่เทียนเฉินมองไปรอบๆ ในตอนที่ยังไม่มีใครเอ่ยปากเขาก็เดินไปยังหลัวเสียนเม่ยและจางอวิ๋น สองแม่ลูกคู่นี้นั่งอยู่บนม้านั่งยาวตัวหนึ่ง จางอวิ๋นในตอนนี้มุมปากยังคงมีรอยเลือด ใบหน้าบวมช้ำเหมือนหมู ส่วนหลัวเสียนเม่ยก็กุมท้องของตนเอาไว้ตลอด มองหลัวเยี่ยนและเย่เทียนเฉินอย่างเคียดแค้น เดิมทีเธอก็เป็นผู้หญิงปากร้ายคนหนึ่งอยู่แล้ว บุกเข้าไปในบ้านสไตล์โบราณอย่างร้อนอกร้อนใจ พอไปถึงก็พ่นคำด่าออกมา ต้องการที่จะเพ่งเล็งหลัวเยี่ยนผู้เป็นพี่สาวของตนอีกครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องการที่จะได้รับกล่องหยกหงส์มังกรอีกด้วย ไหนเลยจะรู้ว่าเย่เทียนเฉินจะกล้าลงมืออัดตน ตัวแปรนี้มากมายเกินไปจริงๆ ทำให้ใครหลายคนคิดไม่ถึง กระทั่งตัวเองก็ยังต้องตกตะลึง
“แกคิดจะทำอะไร ไอ้เดรัจฉาน ฉันจะไม่ยอมให้พวกแกออกไปจากประตูบ้านของตระกูลหลัวได้อย่างมีชีวิตแน่…” หลัวเสียนเม่ยเห็นเย่เทียนเฉินเดินมาทางพวกเขา จึงอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาอย่างโหดเหี้ยม
เย่เทียนเฉินไม่ได้พูดอะไร ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ดูไร้พิษภัย ก้าวเดินไปยังจางอวิ๋น จางอวิ๋นในตอนนี้ถูกตบจนใบหน้าบวมเป่งเหมือนกับหมู เจ็บจนต้องซี้ดปาก เมื่อเห็นเย่เทียนเฉินเดินมาหาตน ในดวงตาก็ปรากฏความหวาดกลัวขึ้น เขาจางอวิ๋นทำตัวยโสโอหังอยู่ในตระกูลหลัวจนเคยชินแล้ว ต่อให้เป็นภายนอกก็เกรงว่าจะไม่มีใครกล้าอัดเขา แต่เย่เทียนเฉินไม่พูดพร่ำทำเพลง เพิ่งจะมายังตระกูลหลัวไม่ถึงครึ่งวันก็ตบหน้าเขาไปสองครั้งแล้ว คนคนนี้มีนิสัยอย่างไรกันแน่ จะทำให้คนคาดเดาไม่ได้มากไปแล้ว จะแปลกเกินไปแล้ว
“แก..แกคิดจะทำอะไร?” จางอวิ๋นนั่งยืดตัวตรงด้วยความหวาดกลัว มองเย่เทียนเฉินแล้วถามอย่างตึงเครียด
“แกดูสิว่าที่นี่ต่างก็เป็นญาติผู้ใหญ่แกทั้งนั้น ไม่ใช่ว่าแกควรจะลุกขึ้นหรือไง? ไม่ควรส่งเก้าอี้ออกมาหรือไง?” เย่เทียนเฉินมองจางอวิ๋นแล้วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“แก…” จางอวิ๋นมองเย่เทียนเฉินด้วยความโกรธอย่างหาใดเปรียบ ต่อหน้าของคนมากมายขนาดนี้จะให้เขายืนขึ้นแล้วมอบเก้าอี้ออกไป ช่างน่าขายหน้าจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นตลอดมาเขาจางอวิ๋นก็มีอำนาจมากในตระกูลหลัว อีกทั้งยังมีแม่ที่มีนิสัยฉุนเฉียวง่าย ใครกล้ามาทำให้เขาได้รับความอับอายต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้บ้าง?
“ไอ้เด็กพ่อแม่ไม่สั่งสอน กล้ามาบอกให้ลูกชายของฉันมอบที่นั่งให้แก แกคู่ควรหรือไง?” ทันใดนั้นหลัวเสียนเม่ยลุกขึ้นยืนจากบนที่นั่ง มองเย่เทียนเฉินอย่างขบเคี้ยวเคี้ยวฟันแล้วตะโกนออกมา
เมื่อครู่นี้ถึงแม้ว่าหลัวเสียนเม่ยและจางอวิ๋นจะถูกเย่เทียนเฉินอัด และรู้สึกมึนงงอยู่บ้าง เพราะคิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะถึงกับกล้าลงมือได้ คิดไม่ถึงว่าจะถึงกับกล้าทำตัวเป็นศัตรูกับญาติผู้ใหญ่มากมายขนาดนี้ ตอนนี้เมื่อได้สติกลับมาจึงรู้สึกโกรธเคืองมากและยิ่งทำตัวยโสโอหังมากขึ้นอีกด้วย คิดว่าต่อให้เย่เทียนเฉินและหลัวเยี่ยนจะร้ายกาจขนาดไหนก็ไม่ใช่คู่มือของคนตระกูลหลัวเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลัวฉี เขาเป็นคนที่ใกล้จะได้ขึ้นเป็นผู้นำตระกูลหลัวคนต่อไป จะต้องไม่ยอมปล่อยหลัวเยี่ยนไปแน่
เมื่อปีนั้นที่ทำให้เรื่องของหลัวเยี่ยนและเย่หงเป็นเรื่องใหญ่ คนที่ลงแรงมากที่สุดก็คือหลัวฉี เนื่องจากเมื่อปีนั้นเขาเป็นคนที่ไม่เรียนหนังสือ แต่หลัวเยี่ยนผู้เป็นน้องสาวกลับแสดงความเฉลียวฉลาดออกมา กระทั่งคุณลุงทั้งหลายของตระกูลหลัวก็ยังอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ ในตอนนั้นหลัวเหยียนซงผู้เป็นพ่อก็ได้คิดถึงตำแหน่งผู้นำตระกูลแล้ว และได้เลือกหลัวเยี่ยนผู้เป็นลูกสาวให้รับผิดชอบต่อไป ถึงแม้ในตระกูลหลัวจะยังมีคนคัดค้าน แต่ท่าทีของหลัวเหยียนซงก็เด็ดขาดมั่นคงมาก จนกระทั่งหลัวเยี่ยนและเย่หงรักกัน หลัวฉีจึงได้รู้ว่าโอกาสของเขามาถึงแล้ว ขอเพียงไล่หลัวเยี่ยนออกไปจากตระกูลหลัวได้ เขาก็จะมีโอกาสที่จะได้เป็นผู้นำตระกูล ดังนั้นจึงป่าวประกาศออกไปทั่ว กระทั่งไม่สนใจที่จะทำลายชื่อเสียงของน้องสาวแท้ๆ ของตน สุดท้ายเขาก็ได้รับสิ่งที่ต้องการ ทำให้หลัวเยี่ยนทะเลาะกับพ่อและต้องออกไปจากตระกูลหลัว
ดังนั้นนี่จึงทำให้ในใจของสองแม่ลูกหลัวเสียนเม่ยมีความกล้า รวมกับการปรากฏขึ้นของกล่องหยกหงส์มังกร ถึงตอนนั้นต่อให้ต้องบีบบังคับหรือต้องฆ่าสองแม่ลูกหลัวเยี่ยนและเย่เทียนเฉินก็ไม่รู้สึกเสียดาย ยังไงคนตระกูลหลัวเหล่านี้ก็ไม่ยอมให้นำกล่องหยกหงส์มังกรไปแน่
“ฉันจะคู่ควรหรือเปล่าเดี๋ยวแกก็จะรู้เอง…”
คำพูดของเย่เทียนเฉินเพิ่งจะถูกกล่าวออกมา มือขวาก็กระชากผมของจางอวิ๋น ใช้แรงดึงไปกระแทกฟาดลงไปบนโต๊ะไม้เล็กๆ ด้านข้างที่ใช้วางถ้วยชา
โครม!
เสียงดังกังวาน ศีรษะของจางอวิ๋นกระแทกกับโต๊ะไม้ ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องราวกับหมูถูกเชือด จางอวิ๋นล้มลงกับพื้น มือทั้งสองกุมศีรษะของตนที่เต็มไปด้วยเลือด ดิ้นไปมาไม่หยุด ถ้วยชาบนโต๊ะไม้เล็กๆ นั้นถูกศีรษะของเขากระแทกจนแตกเป็นเสี่ยงๆ ไปแล้ว เลือดสดๆ ไหลลงมาตามขาโต๊ะ ทำให้ทุกคนที่ได้เห็นต่างต้องตกใจ
“แก…”
เมื่อเห็นเย่เทียนเฉินลงมือทำร้ายคนอีกครั้ง คุณลุงทั้งหลายของตระกูลหลัวก็เกิดความโกรธปะทุขึ้นมา เย่เทียนเฉินทําร้ายคนต่อหน้าพวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่า จะไม่เห็นญาติผู้ใหญ่ตระกูลหลัวอย่างพวกเขาอยู่ในสายตาเกินไปหรือเปล่า? โดยเฉพาะท่าทางเรียบเฉยหลังจากที่ทำร้ายคนแล้วแบบนั้น ดูเหมือนไม่หวาดกลัวเลย และดูเหมือนกับไม่คิดถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาอย่างไรอย่างนั้น
“เรียกผู้คุ้มกัน เรียกผู้คุ้มกัน…” หลัวเสียนเม่ยตกใจจนนิ่งงันไปแล้วโดยสิ้นเชิง เธอรีบผละออกมาจากที่นั่ง วิ่งไปยังข้างกายของลูกชายที่กำลังส่งเสียงกรีดร้องและชักดิ้นชักงออยู่บนพื้น ตะโกนออกมาเสียงดัง
“ตอนนี้ก็รู้แล้วใช่ไหมว่าฉันต้องการที่จะทำอะไร? อย่าคิดว่าพวกคุณมีคนมาก ก็จะทำอะไรกับผมและแม่ได้ ก็แค่ไอ้แก่ที่ไร้มนุษยธรรมกลุ่มหนึ่ง ผมไม่เกรงใจหรอกนะ!” ในตอนนี้ เย่เทียนเฉินโกรธขึ้นมาจริงๆ แล้ว แม่ของเขาอดทนได้ แต่เขาทำไม่ได้ เพราะเขาไม่อาจเห็นแม่ของตนได้รับการข่มขู่คุกคาม และรู้ว่าคนกลุ่มนี้จะไม่ยอมปล่อยพวกเขาไปแน่ ถ้าไม่ลงมือจะทำอะไรได้อีก? หรือกับพวกที่ไร้มนุษยธรรมเหล่านี้ กับไอ้แก่ที่ไม่เห็นแก่ญาติมิตรเหล่านี้ยังต้องพูดคุยกันอย่างมีเหตุผลอีก?
“เย่เทียนเฉิน ฉันไม่สนว่าหลังจากที่แกกลับมายังเมืองหลวงจะเปลี่ยนแปลงไปยังไง จะทำเรื่องอะไรมาบ้าง แต่วันนี้แกคงยากที่จะมีชีวิตออกไปจากตระกูลหลัวแล้ว!” ในที่สุดหลัวฉีก็อดทนต่อไปไม่ไหว มองเย่เทียนเฉินอย่างโหดเหี้ยมแล้วพูดขึ้น
หลายปีมานี้ หลัวฉีสงบนิสัยดั้งเดิมของตนเองลงไปไม่น้อย แน่นอนว่านี่เป็นเพียงแค่สิ่งที่เขาเสแสร้งออกมาเท่านั้น เพราะเขาต้องการที่จะรอ รอหลัวเหยียนซงผู้เป็นพ่อส่งมอบตำแหน่งผู้นำตระกูลให้แก่เขา ต้องการรอให้หลัวเหยียนซงตายไปก่อน เช่นนั้นเขาก็จะกลายเป็นผู้นำตระกูลและสามารถทำทุกอย่างได้ตามแต่ใจต้องการ ก่อนหน้านี้เขาจำเป็นที่จะต้องอดทน จำเป็นที่จะต้องเสแสร้งว่าตนเองเปลี่ยนไปแล้วและรู้ความขึ้นแล้ว
ตอนนี้เย่เทียนเฉินทําร้ายคนต่อหน้าเขาครั้งแล้วครั้งเล่า นี่ไม่เพียงแต่เป็นการทำร้ายจางอวิ๋นต่อหน้าผู้คน แต่ยังเท่ากับเป็นการตบหน้าเขาหลัวฉีอีกด้วย เป็นการไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา จะให้เขาที่เป็นว่าที่ผู้นำตระกูลแห่งตระกูลหลัวเอาหน้าไปไว้ที่ไหน? ดังนั้นหลัวฉีจึงเอ่ยปากขึ้นมาแล้ว แสดงท่าทีออกมา เขาตัดสินใจเอาไว้ในใจเรียบร้อยแล้วว่า ต่อให้เขาจะไม่อะไรกับหลัวเยี่ยนผู้เป็นน้อง แต่ก็ต้องฆ่าเย่เทียนเฉินให้ได้ มิฉะนั้นวันหน้าหากอีกฝ่ายรุ่งเรืองขึ้นมาจริงๆ เขาหลัวฉีคงวุ่นวายมาก
“เรียกผู้คุ้มกัน? ฉันว่าช่างมันเถอะ คนพวกนั้นมาก็ต้องตาย!” เย่เทียนเฉินมองหลัวฉีแล้วพูดขึ้นอย่างเรียบเฉย
“แก…หึ ฉันจะดูซิว่าแกจะร้ายกาจขนาดไหน ถึงได้กล้ามาเป็นศัตรูกับพวกเราตะกูลหัวทั้งตระกูล!” หลัวฉีโบกมือ มีคนออกไปเรียกผู้คุ้มกันมา ผู้คุ้มกันของตระกูลหลัวย่อมเป็นผู้คุ้มกันพร้อมอาวุธปืน ดูน่าเกรงขามเป็นอย่างมาก
เย่เทียนเฉินไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงแย้มยิ้มเล็กน้อย ถือเก้าอี้ที่จางอวิ๋นนั่งเดินไปยังข้างกายของหลัวเยี่ยนแล้วจึงวางเก้าอี้ตัวนั้นไว้ด้านหลัง ก่อนจะกล่าวว่า “แม่ครับ มานั่งเถอะ ผมจะเป็นผู้ดูแลให้แม่เอง!”
“เทียนเฉิน…อย่าทำแบบนี้เลย…ยังไงพวกเขาก็…” หลัวเยี่ยนยังคงมีจิตใจดีงาม ในสายตาของเขาคุณลุงเหล่านี้ หรือกระทั่งพี่ชายและน้องสาวแท้ๆ ของตน ต่างก็ไม่มีความรู้สึกดังครอบครัวกับเธอ แต่เธอก็ยังคงมองพวกเขาเป็นญาติมิตรของตน ไม่อยากให้เกิดเรื่องใหญ่อะไร และไม่อยากให้พ่อแท้ๆ ต้องโกรธหลังจากที่ตามกลับมา อย่างไรเสียพวกเขาก็อายุมากแล้ว
“แม่ครับ แม่อย่าใจดีเกินไปเลย ถ้าผมไม่ทำแบบนี้ พวกเราคงไม่รอดออกไปจากที่นี่จริงๆ ผมรู้จักหนักเบานะครับ!” เย่เทียนเฉินพูดข้างหูของหลัวเยี่ยนเสียงเบา
………………
คำพูดของหลัวเยี่ยนทำให้ทุกคนที่ส่งเสียงเอะอะโวยวายสั่นสะท้าน รวมถึงเหล่าคุณลุงของหลัวเยี่ยนด้วย พวกเขาคิดไม่ถึงว่า หลัวเยี่ยนที่ดูอ่อนโยน พอจริงจังขึ้นมาจริง พวกเขาจะรับมือได้ยากยิ่ง ไม่แปลกใจเลยที่เป็นผู้หญิงที่มีความสามารถที่สุดของตระกูลหลัวในหลายปีมานี้
แต่ว่าในตอนนี้เอง นอกประตูก็มีเสียงผู้ชายและผู้หญิงคนดังขึ้น เป็นน้ำเสียงที่ไม่ลงรอยเลยแม้แต่น้อย ได้ยินก็รู้ว่าเป็นคนที่เพ่งเล็งหลัวเยี่ยนโดยเฉพาะ
นอกห้องมีชายวัยกลางคนและหญิงวัยกลางเดินเข้ามา คนที่เดินตามหลังชายวัยกลางคนก็คือหลัวชิงหง และด้านหลังของหญิงวัยกลางคนก็คือจางอวิ๋นที่ถูกเย่เทียนเฉินตบหน้าจนใบหน้าบวมไปครึ่งหนึ่ง
คิดว่าไม่จำเป็นต้องพูดทุกคนก็สามารถเดาได้ ชายวัยกลางคนคนนี้ก็คือพี่ชายของหลัวเยี่ยน หลัวฉี หญิงวัยกลางคนคนนี้ก็คือน้องสาวของหลัวเยี่ยน หลัวเสียนเหม่ย จากคำพูดของพวกเขาก็สามารถรู้ได้ว่า หลัวฉีไม่พอใจน้องสาวคนนี้มาก หลัวเสียนเหม่ยก็ไม่มีความคิดที่จะเคารพเธอเลยแม้แต่ครึ่งส่วน และเป็นเพราะต้องการที่จะเรียกร้องความยุติธรรมให้แก่ลูกชายของตนเองที่ถูกเย่เทียนเฉินตบด้วย
มุมปากของเย่เทียนเฉินประดับไปด้วยรอยยิ้ม คนที่ก่อเรื่องจริงๆ ในที่สุดก็โผล่ออกมาแล้ว ตนเองยังกลัวว่าพวกเขาจะไม่โผล่หัวออกมา เมื่อปีนั้นแม่ของเขาถูกขับไล่ออกมาจากตระกูลหลัว สองคนนี้เป็นคนที่ “เหน็ดเหนื่อย” มากที่สุด เดิมทีเย่เทียนเฉินไม่คิดจะคิดเล็กคิดน้อยอะไรกับคนของตระกูลหลัว เพื่อที่จะมอบความยุติธรรมคืนให้กับแม่ แต่วันนี้เมื่อดูแล้ว หากเขาคิดที่จะไกล่เกลี่ยเพื่อยุติความขัดแย้ง ผู้อื่นคงไม่อยากจะทำ เพราะว่าคนอื่นเขาคิดว่าตัวเองอยู่เหนือกว่า ในเมื่อพวกเขาไม่เต็มใจ ตนเองก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ
“น้องสาว ไม่ได้เจอกันยี่สิบปีแล้ว แกยังร้ายกาจเหมือนเดิม ฉันไม่อยากจะพูดอะไรกับแกมาก ทิ้งกล่องหยกหงส์มังกรเอาไว้ก็พอ ส่วนหยกมีตำหนิก็ไม่มีค่าอะไร แกเอาไปได้ ฉันจะไม่ทำให้แกลำบากใจ ไม่งั้นแกต้องรับผลของการกระทำเอง!” หลัวฉีมองไปยังหลัวเยี่ยนน้องสาวของตนแล้วพูดขึ้นอย่างเย็นชา
“หึ หลัวเยี่ยน ลูกชายของแกกล้ามาตบลูกชายของฉัน วันนี้ฉันจะหักแขนหักขามันซะ!” หลัวเสียนเหม่ยมีท่าทางเหมือนมนุษย์ป้า ชี้หน้าหลัวเยี่ยนแล้วด่ากราด ไม่ให้ความเคารพกับพี่สาวคนนี้เลยแม้แต่น้อย บ้าคลั่งเสียยิ่งกว่าหลัวฉีอีก
เมื่อได้ยินคำพูดของหลัวฉีและหลัวเสียนเหม่ย ในใจของหลัวเยี่ยนก็รู้สึกเจ็บปวด เธอกลับตระกูลหลัวมา สิ่งที่กลัวที่จะเผชิญหน้าที่สุดก็คือสถานการณ์แบบนี้ เมื่อปีนั้นเป็นพี่ชายและน้องสาวที่เพ่งเล็งเธอมากที่สุด นี่ทำให้หัวใจของหลัวเยี่ยนต้องหนาวเหน็บ เป็นพี่น้องกันแท้ๆ เพราะอะไรถึงได้เดินมาถึงจุดนี้? ตลอดมาเธอก็ไม่ได้แย่งชิงอะไรกับพี่ชายและน้องสาวของเธอ กระทั่งหลีกทางให้พวกเขาทุกอย่าง หรือพวกเขาจะทนเธอที่เป็นแบบนี้ไม่ไหว?
“พี่ น้อง ครั้งนี้ฉันกลับมาเพื่อมาเยี่ยมคุณย่า คุณย่าจากไปแล้ว ฉันก็เสียใจมาก ไม่คิดที่จะแย่งชิงอะไรกับพวกคุณ และไม่คิดที่จะอยู่ที่ตระกูลหลัว พวกคุณวางใจเถอะ!” หลัวเยี่ยนพูดออกมาอย่างทอดถอนใจ
หลังจากที่หลัวฉีและหลัวเสียนเหม่ยเดินเข้ามาในห้อง ก็ไม่มองไปที่คุณย่าที่ตายจากไปแล้วแม้แต่ครั้งเดียว ไม่มีความเศร้าโศกเสียใจแม้แต่น้อย พอเข้ามาก็เพ่งเล็งมาที่ตน พอเข้ามาก็พูดแต่เรื่องของกล่องหยกหงส์มังกร ถูกผลประโยชน์บดบังดวงตาไปแล้วโดยสิ้นเชิง ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
“พวกเราไม่สนใจว่าแกจะกลับมาทำไม พวกเราต้องการแค่กล่องหยกหงส์มังกร!” หลัวฉีพูดพลางยิ้มเย็น
“หลัวเยี่ยน แกก็เป็นแค่คนที่ถูกตระกูลหลัวขับไล่ออกไป มีคุณสมบัติอะไรให้กลับมา? แล้วยังกล้าใช้ลูกชายของแกมาตบลูกชายของฉันอีก แกไม่อยากจะอยู่แล้วใช่ไหม? ไม่อยากจะมีชีวิตออกไปจากตระกูลหลัวแล้วใช่ไหม?” หลัวเสียนเหม่ยไม่มีท่าทีของคุณหนูตระกูลใหญ่ที่ได้รับการสั่งสอนอย่างดีเลยแม้แต่น้อย ไม่มีอะไรแตกต่างกับมนุษย์ป้าที่พบเห็นได้ตามถนนหนทาง
เพี้ยะ!
ภายในห้อง ในตอนที่บรรยากาศเคร่งเครียดอและหนักแน่นย่างหาใดเปรียบ หลัวเยี่ยน เย่เทียนเฉิน ลุงหวัง ทั้งสามถูกคนล้อมเอาไว้ ท่าทางจะไม่ยอมให้เดินไปข้างหน้าอีกแม้แต่ก้าวเดียว ทันใดนั้นเสียงตบหน้าดังขึ้นครั้งหนึ่ง จางอวิ๋นผู้น่าสงสารถูกเย่เทียนเฉินตบหน้าจนกระเด็นออกไป เรี่ยวแรงที่ใช้ตบหน้าในครั้งนี้หนักกว่าครั้งที่แล้วมาก แรงกระทั่งทำให้จางอวิ๋นปลิวออกไปข้างนอก มุมปากมีเลือดไหลออกมา ฟันร่วงออกมาพลางกระอักเลือด
ใครก็คิดไม่ถึงว่า ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เย่เทียนเฉินจะยังกล้าตบคนอีก กระทั่งหลัวเยี่ยนก็ตกตะลึง เธอคิดไม่ถึงว่าลูกชายจะลงมือ พวกเขาแม่ลูกดูเหมือนว่าจะถูกทุกคนล้อมเอาไว้ นอกจากลุงหวัง ก็ไม่มีใครที่ยืนอยู่ข้างพวกเขาเลย ส่วนลุงหวังก็เป็นแค่คนรับใช้ของตระกูลหลัว แต่คนที่ล้อมพวกเขาต่างก็เป็นเจ้านายของตระกูลหลัว ลุงหวังไม่มีความสามารถที่จะหยุดยั้ง
เย่เทียนเฉินลงมือตบคนภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เกรงว่าจะต้องกลายเป็นเป้าของทุกคนแน่ หากคิดที่จะออกไปจากตระกูลหลัวก็เกรงว่าจะยากแล้ว ต่อจากนี้ไปจะจบอย่างไร? ตบหน้าจางอวิ๋นจนเกือบจะหมดสติไปแล้ว
“แก…อั่ก…” จางอวิ๋นล้มลงบนพื้น มือทั้งสองจับแก้มทั้งสองด้านของตน ตอนแรกเป็นเพราะการตบหน้าของเย่เทียนเฉินจึงทำให้หน้าบวมเป็นไปครึ่งแถบ ตอนนี้ก็ถูกตบอีกครั้งหนึ่ง ใบหน้าอีกครึ่งจึงบวมเป่งขึ้นมาในทันที ตอนนี้ทั้งใบหน้าเหมือนกับหมู ดูแล้วน่าอนาถจนอดไม่ไหว
“ลูก ลูก…ลูกไม่เป็นไรใช่ไหม?” หลัวเสียนเหม่ยรีบวิ่งเข้าไปข้างกายลูกชายของตน เอ่ยปากถามออกมาอย่างร้อนใจ
“แม่ ฆ่า ผมจะต้องฆ่าไอ้ลูกเต่านี้ให้ได้…” จางอวิ๋นอดกลั้นความเจ็บปวด จ้องมองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดออกมาอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
จางอวิ๋นเป็นคนน่าสงสารคนหนึ่ง ตอนแรกคิดจะออกหน้าให้แม่ของตนถึงได้พูดจาเยาะเย้ยหลัวเยี่ยนและเย่เทียนเฉิน ไหนเลยจะรู้ว่าเย่เทียนเฉินจะไม่ใช่คนที่หาเรื่องได้ง่ายๆ ตบหน้าเขาจนมึนงง ทำให้เขาตกใจจนต้องรีบขับรถโฟล์คไปตามหลัวเสียนเหม่ยมาช่วย
ตอนนี้เขามาด้วยกันกับหลัวเสียนเหม่ยซึ่งเป็นผู้หญิงปากร้าย คิดที่จะกู้หน้า จะสั่งสอนสองแม่ลูกหลัวเยี่ยนอย่างโหดเหี้ยม ไหนเลยจะรู้ว่าเขายังไม่ทันได้พูดอะไร ยังไม่ทันได้โอ้อวดอะไรก็ถูกเย่เทียนเฉินตบหน้าจนกระเด็นออกไปอีกครั้ง ในฐานะที่เป็นคนรุ่นเยาว์ของตระกูลหลัวที่ได้รับความสนใจมากที่สุด ทำให้เขาเป็นคุณชายที่หยิ่งทะนงไม่สนใจใครที่สุดเช่นเดียวกัน เคยมีใครกล้าตบจางอวิ๋นบ้าง? ไม่ว่าจะเป็นคนนอกหรือจะเป็นญาติผู้ใหญ่ในตระกูลหลัว ก็ไม่กล้าสั่งสอนจางอวิ๋น จะอย่างไรเขามีแม่ที่ถือหางเขา และยังเป็นแม่ที่ปากร้ายอีกด้วย
หลัวเสียนเหม่ยเดินก้าวออกมาในทันที ท่าทางโหดเหี้ยมดุร้าย เข้าไปเบื้องหน้าหลัวเยี่ยนอย่างบ้าคลั่ง คล้ายกับว่าเมื่อตัวเองพุ่งเข้าไปใครก็จะต้องกลัวอย่างไรอย่างนั้น ชี้หน้าของหลัวเยี่ยนผู้เป็นพี่สาวแล้วกล่าวด่า “หลัวเยี่ยน วันนี้แกกับลูกชายของแกอย่าได้คิดที่จะมีชีวิตออกไปจากตระกูลหลัวเลย ฉันจะต้อง…”
พลั่ก!
เย่เทียนเฉินใช้ขาเตะหลัวเสียนเหม่ยจนปลิวออกไป ตกลงข้างลูกชายของเธอ ทำยังไงได้ อีกฝ่ายเป็นผู้หญิงแบบนี้ ถ้าไม่ลงมือตบตี จะทำอย่างไรได้อีก?
ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างพากันตกใจจนนิ่ง จางอวิ๋นยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย ต่อให้จะโอหังมากกว่านี้ก็ยังเป็นแค่รุ่นเยาว์ ต่อหน้าคุณลุงที่เป็นผู้อาวุโสในตระกูลหลัว ก็ยังไม่กล้าที่จะทำอะไร ส่วนหลัวเสียนเหม่ยก็เป็นผู้หญิงหยาบคายที่โด่งดังในตระกูลหลัว ใครก็ไม่กล้าไปล่วงเกินง่ายๆ เพราะไม่คิดอยากจะหาเรื่องผู้หญิงปากร้ายคนนี้ รวมกับที่พ่อของหลัวเสียนเหม่ยเป็นผู้ถือหางเสือของตระกูล ทุกคนจึงไว้หน้าอยู่หลายส่วน พยายามหลีกเลี่ยงให้ไกลที่สุด
แต่เย่เทียนเฉินกลับไม่สนใจเรื่องพวกนี้ ตบลูกเตะแม่ อย่างไรแม่ลูกคู่นี้ก็ไม่ได้เป็นคนดี ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เขากับหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ต่างก็ถูกคนพวกนี้ล้อมเอาไว้ ถ้าหากสามารถใช้เหตุผลยุติปัญหาแล้วเดินออกไปจากตระกูลหลัวได้ ก็คงไม่ต้องเกิดสถานการณ์แบบนี้ขึ้นมา ถ้าไม่ลงมือทำให้คนพวกนี้ตกตะลึงสักหน่อย พวกเขาก็คงไม่ยอมปล่อยออกไป
“แก…ไอ้เดรัจฉาน แกกล้าเตะฉัน…ฉันไม่ปล่อยแกแน่…” หลัวเสียนเหม่ยคลานขึ้นมาจากพื้น คิดจะพุ่งเข้าไปสู้แลกชีวิตกับเย่เทียนเฉิน นั่นเป็นเพราะส่วนลึกในใจของเธอคิดว่าต่อให้เย่เทียนเฉินจะบ้ายิ่งกว่านี้ ก็ไม่กล้าทำอะไรเธอ
“ผมขอเตือนไว้ก่อนว่าคุณอย่าเอะอะไปจะดีกว่า ผมไม่สนว่าคุณจะเป็นใคร พวกคุณที่นี่ไม่เห็นผมกับแม่เป็นคนกันเอง ผมก็จะไม่เห็นพวกคุณเป็นคนกันเอง ผมเย่เทียนเฉินกระทั่งคนของตระกูลฉินกลับตะกูลลั่วก็ฆ่ามาหมดแล้ว ถ้าฆ่าพวกคุณอีกมันก็คงจะเหมือนกัน!”
ในตอนนี้ มุมปากของเย่เทียนเฉินปรากฏรอยยิ้มโหดเหี้ยม เขาไม่ได้พูดข่มขู่ แต่เตรียมจะทำแบบนั้นจริงๆ ถ้าหากคนตระกูลหลัวไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี จะเข้ามาขวางเอาไว้ให้ได้ เขาก็ไม่สนใจที่จะต้องฆ่า อย่างไรเสียคนพวกนี้ก็คิดที่จะฆ่าเขาและแม่ ต้องเกรงใจอีกหรือไง?
“เทียนเฉิน อย่า…” หลัวเยี่ยนรู้สึกทนไม่ไหว คิดที่จะพูดเตือนลูกชาย
“แม่ครับ แม่จะใจดีเกินไปแล้ว ดังนั้นถึงได้ถูกรังแก ทุกสิ่งทุกอย่างต่างก็คิดเพื่อคนอื่น ทุกสิ่งทุกอย่างต่างก็ยอมถอยให้คนอื่น แต่พวกเขาไม่ยอมปล่อยแม่ไปแน่ ให้ผมจัดการเถอะครับ!” เย่เทียนเฉินพูดกับแม่ด้วยรอยยิ้ม
ตอนนี้เอง บุคคลที่อยู่ที่นี่รวมไปถึงเหล่าผู้อาวุโสในตระกูลหลัว ต่างก็ตกตะลึงจนนิ่ง ถ้าพูดให้ชัดเจนก็คืออึ้งไปแล้ว ในหมู่ของพวกเขามีข้าราชการระดับสูงอยู่ มีคนในแวดวงทหารอยู่ และมีเถ้าแก่ในแวดวงธุรกิจ ทุกคนต่างก็เป็นคนมีตำแหน่งอยู่บ้าง ย่อมเคยได้ยินเรื่องที่เย่เทียนเฉินทำในเมืองหลวงมาก่อน เพียงแต่เพราะว่าการปรากฏของกล่องหยกหงส์มังกรทำให้ใครหลายคนลืมเรื่องเหล่านี้ไป ตอนนี้เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะก้าวถอยหลังออกไปโดยไม่รู้ตัว กระทั่งรู้สึกตื่นตะลึง ชายหนุ่มเบื้องหน้าผู้นี้ กล่าวได้ว่าเป็นหลานชายรุ่นหลังของตระกูลหลัว ถึงกับร้ายกาจเพียงนี้เชียว
เดิมทีหลัวเสียนเหม่ยคิดจะพุ่งเข้ามาสู้กับเย่เทียนเฉินอย่างสุดความสามารถ ไหนเลยจะรู้ว่าเมื่อได้ยินคำพูดนี้ของเย่เทียนเฉิน จะยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่กล้าพุ่งไปข้างหน้าอีก เนื่องจากเธอได้ยินเรื่องของเย่เทียนเฉินมาก่อน ตอนนั้นเธอยังพูดออกมาด้วยความไม่พอใจ ลูกชายของหลัวเยี่ยนมีอะไรยอดเยี่ยมกัน หาเรื่องตายไปทั่ว จะช้าจะเร็วก็ต้องถูกคนฆ่าตาย
ตอนนี้ดูแล้ว ไม่ใช่ว่าเย่เทียนเฉินกำลังหาที่ตาย แต่เป็นหลัวเสียนเหม่ยที่รนหาที่ตาย กล้าตบตีลูกชายของเธอและเธอโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ยังต้องการข้อพิสูจน์อย่างอื่นอีกหรือ?
“หลัวเยี่ยน ฉันไม่สนใจว่าลูกชายของแกจะร้ายกาจขนาดไหน แต่ยังไงกล่องหยกหงส์มังกรก็ต้องทิ้งเอาไว้ แกอย่าได้บีบบังคับให้ฉันต้องเรียกผู้รักษาความปลอดภัยทุกคนของตระกูลหลัวมา ถึงตอนนั้นคงจบไม่สวย…” หลัวฉีขมวดคิ้วมองไปยังเย่เทียนเฉิน จากนั้นจึงพูดกับหลัวเยี่ยนเสียงเย็น
หลัวเยี่ยนชะงักไป มองไปยังคุณลุงทั้งหลายที่อยู่ที่นี่ แล้วหันกลับไปมองคุณย่าบนเตียงที่เพิ่งจะจากไป ในดวงตาปรากฏน้ำตาขึ้น เธอสงบอารมณ์ตนเองแล้วพูดขึ้นมาว่า “พวกเราไปจัดการเรื่องกล่องหยกหงส์มังกรที่ห้องโถงเถอะ อย่าได้รบกวนคุณย่าเลย ฉันไม่ต้องการให้คุณย่าตายไม่สงบ!”
“หึ ไปห้องโถงก็ไป สุดท้ายถ้าแกไม่มอบกล่องหยกหงส์มังกรออกมา ก็ออกไปจากประตูของตระกูลหลัวไม่ได้เด็ดขาด!” หลัวฉีมองหลัวเยี่ยนอย่างโหดเหี้ยม เดินนำหน้าไปยังห้องโถง
“ไปเถอะ แต่ผมขอเตือนไว้ก่อนว่าพวกคุณอย่าได้พูดจามั่วซั่ว ไม่งั้นจุดจบจะต้องเป็นอย่างสองแม่ลูกคู่นี้…” เย่เทียนเฉินยักไหล่ พูดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มไร้พิษสง
………………..
แม่เฒ่าตระกูลหลัวต้องการมอบของขวัญแต่งงานให้หลานสาวของตนเอง นั่นก็คือหยกมีตำหนิครึ่งก้อนที่เปื้อนเลือด ไม่ใช่กล่องหยกหงส์มังกรที่ดูมีค่ามากกว่าหยกมีตำหนินั้นนับร้อยเท่า นี่ทำให้ทุกคนรู้สึกแปลกใจ ต่อให้ได้ฟังตำนานเล่าขานที่แม่เฒ่าอธิบายมาแล้ว หลายคนก็ยังคงมองกล่องหยกหงส์มังกรนั้นด้วยดวงตาเปล่งประกาย ไม่มีใครจ้องมองหยกมีตำหนิครึ่งก้อนที่เปื้อนเลือดนั้นเลย เพราะว่าจะอย่างไรนั้นก็เป็นแค่เรื่องเล่าเท่านั้น เป็นเพียงของที่หม่นหมอง ในสายตาของคนยุคปัจจุบันมีแค่เงินตราเท่านั้น ของอย่างอื่นไม่นับเป็นอะไรได้
เย่เทียนเฉินเห็นยายทวดหลับตาลง สิ้นลมจากโลกนี้ไป ในใจก็รู้สึกเจ็บปวด ถึงแม้นี่จะเป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับผู้อาวุโส แต่กลับรู้สึกได้ถึงความเมตตาและอ่อนโยนของเธอ อีกทั้งเธอยังคงคิดถึงลูกหลานรุ่นหลังในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตอีกด้วย ควรค่าแก่การเคารพ
บางทีเย่เทียนเฉินที่ได้มาเกิดใหม่จากดาวสิ้นโลก ในตอนนั้นเขามีฐานะเป็นผู้มีพลังพิเศษในระดับพระเจ้า ในโลกที่คนกินคนเช่นนั้น ทุกที่เต็มไปด้วยการฆ่าฟัน ความตายสำหรับทุกคนแล้วเธอเป็นเรื่องธรรมดาเหมือนการกินข้าว มองความเป็นความตายอย่างเรียบเฉยด้วยจิตใจสงบนิ่งดุจสายน้ำไปนานแล้ว เพราะว่าเห็นมามากมายจนด้านชา อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เย่เทียนเฉินได้มาเกิดใหม่ในโลกใบนี้ มีความอบอุ่นของครอบครัว รู้สึกถึงความอบอุ่นในใจ ทำให้เขามีความรู้สึกต่อเรื่องการเกิดแก่เจ็บตายเหล่านี้ต่างออกไป
“คุณย่า คุณย่า ย่าตื่นสิ เยี่ยนเอ๋อร์ไม่อยากได้ของขวัญอะไรแล้ว ขอแค่ให้คุณย่ามีชีวิตอยู่อีกหลายปีก็พอ…” หลัวเยี่ยนอดไม่ได้ที่จะน้ำตาไหล ยี่สิบปีแล้วที่ไม่ได้มาพบคุณย่า คิดไม่ถึงว่าวันนี้เมื่อได้พบกันจะเป็นการจากลาตลอดกาล ภาพเหตุการณ์ในอดีตปรากฏขึ้น ตอนเด็กๆ คุณย่าเป็นคนสั่งสอนตนเอง ใส่ใจตนเอง รักและปกป้องตนเอง ภาพเหล่านั้นปรากฏขึ้นในสมองของหลัวเยี่ยน นี่ทำให้เธอยิ่งรู้สึกเสียใจ
“แม่ครับ คุณยายทวดจากไปแล้ว ให้ท่านอยู่อย่างสงบเถอะครับ!” เย่เทียนเฉินทอดถอนใจแล้วพูดออกมา อดคิดไม่ได้ว่า จะไม่มีทางหลุดพ้นจากการเกิดแก่เจ็บตายจริงๆ หรือ? ทุกคนต้องเผชิญหน้ากับการจากไปของญาติมิตรจริงๆ หรือ?
“ใช่แล้ว แม่เฒ่าดีใจมาก คงไม่มีอะไรให้ต้องเสียใจแล้ว ได้เจอกับคุณหนูเป็นครั้งสุดท้าย ก็ทำให้ท่านพอใจมากแล้วครับ!” ลุงหวังพูดด้วยความเสียใจ
หลัวเยี่ยนสงบอารมณ์ของตน ไม่ได้คุกเข่าอยู่ที่พื้นอีกต่อไป เธอยืนขึ้นเช็ดน้ำตา มองไปยังคุณย่าที่นอนหลับตาไปตลอดกาล สูดหายใจลึกๆ ครั้งหนึ่งแล้วพูดออกมา “ลุงหวัง หนูกับเทียนเฉินไปก่อนนะคะ คงจะไม่มางานศพของคุณย่าแล้ว!”
“ครับ ผมจะไปส่งคุณเอง!” มือขวาของลุงหวังยังคงถือกล่องหยกหงส์มังกรอยู่ เขาพยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดขึ้น
หลัวเยี่ยนไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงมองไปยังคุณย่าที่นอนอยู่บนเตียงอย่างอาลัยอาวรณ์ กัดฟันแน่นหมุนตัวเดินจากไป เย่เทียนเฉินก็เดินตามหลังแม่ของตนไปโดยไม่ได้พูดอะไรมาก เขามองไปยังเหล่าญาติผู้ใหญ่แห่งตระกูลหลัวที่อยู่รอบๆ จากพลังพิเศษแห่งการรับรู้ เขารู้สึกได้ว่าคนเหล่านี้ไม่ได้มีสายตาที่เป็นมิตร โดยเฉพาะกลิ่นอายความโหดเหี้ยมที่แผ่ออกมาจากร่างกายนั้น ท่าทางหากพวกเขาแม่ลูกต้องการที่จะไปจากตระกูลหลัวอย่างราบรื่นคงจะไม่ง่ายแล้ว
“หยุดนะ ตระกูลหลัวเป็นสถานที่ที่พวกแกอยากมาก็มาอยากไปก็ไปหรือไง?” ตอนนี้เอง ในที่สุดชายสูงวัยแห่งตระกูลหลัวคนหนึ่งก็ทนไม่ไหวจนต้องก้าวออกมา สายตาจ้องมองไปยังกล่องหยกหงส์มังกรในมือของลุงหวังเขม็ง ของสิ่งนี้ล้ำค่าเหลือเกิน บนโลกนี้มีเพียงหนึ่งไม่มีสอง สามารถทำให้ใครหลายคนใจเต้นจนบ้าคลั่งได้
“ลุงสอง ไม่ได้พบกันหลายปี คุณเองก็แก่แล้ว ยังต้องการแย่งชิงอะไรอีกหรือคะ?” หลัวเยี่ยนอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองชายวัยกลางคนตรงหน้า เอ่ยถามออกมาด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความจนใจ
“หึ ฉันไม่ได้ต้องการแย่งชิงอะไร เพียงแต่ของที่เป็นของตระกูลหลัวของพวกเรา ไม่อาจถูกคนนอกนำไปได้!” ชายวัยกลางคนที่ถูกหลัวเยี่ยนเรียกว่าลุงสองแค่นเสียงเย็นครั้งหนึ่ง มองไปยังหลัวเยี่ยนอย่างเหยียดหยามแล้วพูดขึ้น
“ใช่แล้ว ของของตระกูลหลัวของพวกเรา จะให้คนนอกเอาไปได้ยังไง?”
“คนไปได้ แต่กล่องหยกหงส์มังกรต้องอยู่ที่นี่!”
“คนที่ถูกตระกูลหลัวขับไล่ออกไปนานแล้ว ยังกล้ากลับมาอีก ช่างไม่รู้จักที่ตายเลยจริงๆ”
“พวกเรายอมให้แกได้เห็นหน้าแม่เฒ่าเป็นครั้งสุดท้ายก็ใจดีมากแล้ว อย่าได้ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี”
“ทิ้งกล่องหยกหงส์มังกรไว้แล้วไสหัวไปซะ!”
ขอเพียงมีคนก้าวออกมาขวาง คนที่เหลือก็พากันตามน้ำไป ทุกคนต่างขวางหลัวเยี่ยนและเย่เทียนเฉินเอาไว้ ไม่ยอมให้พวกเขาแม่ลูกไปจากที่นี่ พูดให้ชัดเจนก็คือ ไม่ยอมให้กล่องหยกหงส์มังกรถูกเอาไป
ทุกคนที่อยู่ที่นี่ มีหลายคนที่มีส่วนร่วมในการขับไล่หลัวเยี่ยนออกจากตระกูลหลัวเมื่อปีนั้น จะอย่างไรหลัวเยี่ยนก็เป็นลูกสาวแท้ๆ ของหลัวเหยียนซง ต่อให้จะทำความผิดมากกว่านี้ก็ยังเป็นพ่อลูกกัน ยิ่งไปกว่านั้นก่อนหน้านี้ หลัวเยี่ยนแสดงความสามารถออกมา ทำให้เหล่าผู้อาวุโสในตระกูลหลัวต่างตกใจจนหายใจไม่ออก คิดว่าหากหลัวเยี่ยนเป็นผู้ชาย ตำแหน่งหัวเรือใหญ่คนต่อไปของตระกูลหลัวจะต้องเป็นของเธอแน่นอน ไม่จำเป็นต้องคิดเลย
ดังนั้นหากพูดถึงสถานการณ์ในปัจจุบัน หลัวเยี่ยนแสดงความสามารถออกมาเกินหน้าเกินตาคนอื่น แสดงความสามารถเหนือกว่าเหล่าพี่น้องของคนตระกูลหลัวในรุ่นเดียวกันไปมาก ยิ่งไปกว่านั้นหลัวเหยียนซงก็รักลูกสาวคนนี้มาก พูดอีกอย่างก็คือ หากต้องการไล่หลัวเยี่ยนออกไปจากตระกูลหลัว ก็ต้องบีบบังคับให้เธอและหลัวเหยียนซงผู้เป็นพ่อทะเลาะเบาะแว้งกันจนตัดความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูก ถ้าหากว่าคนเหล่านี้ไม่ทำเรื่องร้ายกาจเมื่อปีนั้น ก็คงไม่กลายเป็นสถานการณ์เช่นในตอนนี้ ดังนั้นพูดได้ว่า ในหมู่คนเหล่านี้ ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ต้องการเห็นหลัวเยี่ยนกลับมาที่ตระกูลหลัว และไม่มีแม้แต่คนเดียวที่หวังจะให้เธอนำกล่องหยกหงส์มังกรไป
ตอนนี้เอง เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคำพูดเสียดสีของคุณลุงทั้งหลาย หลัวเยี่ยนก็ไม่ได้พูดอะไร เธอยังคงอดทนอดกลั้น ไม่ต้องการก่อเรื่องใดๆ กับคุณลุงเหล่านี้ เพราะศพของคุณย่ายังไม่ทันแห้ง หากได้เห็นกับ ภาพแบบนี้ ไม่รู้ว่าท่านจะเจ็บปวดใจขนาดไหน ยิ่งไปกว่านั้นที่สำคัญที่สุดก็คือหลัวเยี่ยนคิดเพื่อคุณพ่อของเธอ ต่อให้เมื่อปีนั้นเธอจะทะเลาะกับพ่อจนต้องตัดความสัมพันธ์พ่อลูก ต่อให้ไม่ได้กลับมาที่ตระกูลหลัวยี่สิบปีแล้ว แต่พ่อก็ยังคงเป็นพ่อ สุดท้ายเธอก็ยังเป็นลูกสาวของพ่อ
เย่เทียนเฉินเองก็ไม่ได้ลงมือและไม่ได้พูดอะไร เขากลับอยากจะเห็นว่าคนตระกูลหลัวเหล่านี้จะเล่นลูกไม้อะไรอีก วันนี้เขาได้เตรียมตัวมาพร้อมแล้ว ความจริงถ้าทำอะไรไม่ได้ก็ใช้กำลังเปิดทางและพาแม่เขากลับไปเท่านั้น แล้วเขาก็ไม่สนใจว่าคนเหล่านี้จะเป็นญาติผู้ใหญ่อะไร ญาติผู้ใหญ่พวกนี้ไม่คู่ควรที่จะเป็นญาติผู้ใหญ่ของเขาเย่เทียนเฉิน ไม่มีความคิดถึงครอบครัวเลยแม้แต่น้อย ในดวงตามีแต่ผลประโยชน์ ญาติเหล่านี้จะยังมีประโยชน์อะไรอีก?
“พวกคุณ…ของในกล่องหยกหงส์มังกร เป็นของขวัญแต่งงานที่แม่เฒ่ามอบให้คุณหนู คำพูดของแม่เฒ่าทุกคนต้องฟัง ต้องส่งมอบให้คุณหนู…” ลุงหวังทนไม่ไหว ก้าวออกมาเปิดปากพูด
“เหล่าหวัง แกยังเป็นคนของตระกูลเหลืออยู่หรือเปล่า?”
“ไอ้คนไม่รู้จักบุญคุณ ตอนนี้ถึงกับกล้าช่วยคนนอกมาหลอกลวงพวกเราแล้วเหรอ?”
“อยากตายหรือไง?”
“ถ้าพูดอีกประโยคเดียว ก็ไสหัวกลับไปตระกูลหวังเลย!”
คำพูดของเหล่าหวังทำให้ทุกคนรู้สึกไม่พอใจ ไม่ว่าจะอย่างไรพวกเขาก็ไม่อยากให้หลัวเยี่ยนนำกล่องหยกหงส์มังกรนั้นไป ของสิ่งนี้มีค่ามาก ใครก็วางไม่ลง ต่อให้เป็นตระกูลใหญ่เช่นตระกูลหลัว ก็เกรงว่าไม่สามารถซื้อกล่องหยกหงส์มังกรที่มีเพียงหนึ่งไม่มีสองในโลกนี้ได้ นี่เป็นของที่ไม่อาจประเมินค่า ใครก็คิดอยากจะได้ไว้ครอบครอง
หลัวเยี่ยนเห็นคุณลุงเหล่านี้ กระทั่งมีเด็กรุ่นหลังบางคนที่กล่าวด่าลุงหวัง ก็อดไม่ได้ที่จะโกรธ ตอนเด็กๆ ลุงหวังรักตนเองมาก ยิ่งไปกว่านั้นลุงหวังยังเป็นพ่อบ้านให้กับตระกูลหลัวมาชั่วชีวิต พยายามรับใช้ทุกคนอย่างเต็มที่ พูดได้ว่าตระกูลหลัวสามารถมีทุกวันนี้ได้ ลุงหวังก็ต้องออกแรงไปมาก ทำงานเพื่อตระกูลหลัวมาชั่วชีวิต สุดท้ายกลับถูกคนพวกนี้ทำให้เกิดความอับอาย กระทั่งเด็กรุ่นหลังก็ยังไม่ให้ความเคารพเขาเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าใครก็ต้องรู้สึกหนาวเหน็บในใจ
“พวกคุณคิดจะทำอะไร? ลุงหวังทำงานให้ตระกูลหลัวของพวกเราอย่างรอบคอบมาชั่วชีวิต แต่สุดท้ายกระทั่งคำพูดดีๆ ก็ยังไม่ออกมาจากปากพวกคุณ ก็คุณไม่คิดว่ามันจะเกินไปหน่อยเหรอ?” หลัวเยี่ยนย้อนถามด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
“ตลกน่า เหล่าหวังก็เป็นแค่คนรับใช้ของตระกูลหลัวของพวกเราเท่านั้น หากไม่ใช่เพราะตระกูลหลัวของพวกเราเลี้ยงดูเขามา เขาก็คงหิวตายไปแล้ว”
“ใช่แล้ว เธอยังเด็กกว่าพวกเรา มีคุณสมบัติมาสั่งสอนพวกเราที่ไหนกัน ไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่เลย!”
“พูดจาไร้สาระให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ ทิ้งกล่องหยกหงส์มังกรไว้แล้วไสหัวไปซะ!”
เมื่อเห็นคนเหล่านี้ตะโกนโหวกเหวกบีบบังคับ ถูกความโลภบังตาจนถึงขั้นที่ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น หลัวเยี่ยนรู้สึกหัวใจหนาวเหน็บมากจริงๆ คุณย่าเพิ่งจะจากไป แต่ที่นี่กลับไม่มีแม้แต่คนเดียวที่เศร้าโศกเสียใจ ทุกคนต่างก็จ้องกล่องหยกหงส์มังกรตาเป็นมัน ต่างต้องการที่จะได้ไปครอบครอง ส่วนลุงหวัง ทำงานเพื่อตระกูลหลัวมาชั่วชีวิต ต้องอดทนต่อความยากลำบากและคำก่นด่า สุดท้ายกลับไม่มีใครเคารพแม้แต่คนเดียว จะอย่างไรตนเองก็เป็นคนของตระกูลหลัว มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดอยู่ ต่อให้ถูกขับไล่ออกไปจากตระกูลหลัวแล้ว ก็ยังไม่อาจตัดขาดความสัมพันธ์ทางสายเลือดได้ ตอนนี้คุณลุงทั้งหลายทำท่าทางราวกับต้องการฆ่าเธอ จะให้หลัวเยี่ยนไม่รู้สึกหนาวเหน็บในใจอย่างไรไหว
เดิมทีหลัวเยี่ยนไม่ต้องการแก่งแย่งชิงดีอะไร ตลอดมาเธอก็เห็นเรื่องเหล่านี้จนชินชาไปแล้ว แต่ว่าตอนนี้คนเหล่านี้ถึงกับบีบบังคับเธอ ทำให้เธอที่เดิมทีคิดจะทิ้งกล่องหยกหงส์มังกรและหยกมีตำหนิเปื้อนเลือดนั้นเอาไว้ต้องเปลี่ยนความคิด นี่เป็นของเพียงชิ้นเดียวที่คุณย่าให้ตนเอง จะต้องนำไปให้ได้ จะไม่ให้ตกไปอยู่ในมือของคนเหล่านี้เด็ดขาด ถ้าหากต้องส่งมอบให้พวกเขาจริงๆ ไม่รู้ว่าจะถูกนำออกไปขายเมื่อไหร่ ทำให้คุณย่าต้องลำบากใจเปล่าๆ
“ฉันจะขอบอกพวกคุณให้ชัดเจนตรงนี้เลย กล่องหยกหงส์มังกรเป็นของที่คุณย่ามอบให้ฉัน ไม่ว่าจะเป็นกล่องหยกหรือว่าจะเป็นหยกมีตำหนิ ฉันก็จะนำไปทั้งหมด ถ้าหากว่าใครต้องการ ก็ต้องข้ามศพฉันไปก่อน!” ทันใดนั้นหลัวเยี่ยนพูดกับคุณลุงทั้งหลายด้วยเสียงอันดังท่าทางทรงอำนาจ ไม่เห็นความขี้ขลาดเลยแม้แต่น้อย แสดงความสามารถในวันเก่าๆ ของเธอออกมาทั้งหมด
เมื่อได้ยินคำพูดของหลัวเยี่ยน ทุกคนในที่นี้ต่างตกตะลึง และรู้สึกประหลาดใจมาก ชั่วขณะนั้นจึงพูดอะไรไม่ออก ใครก็คิดไม่ถึงว่า คนที่มีท่าทางอ่อนโยนมาโดยตลอดตั้งแต่เข้ามายังตระกูลหลัว ต่อให้ต้องเจอกับคำพูดเสียดสีดูถูกและคำกล่าวว่าต้องการไล่นางออกไปของใครหลายคนก็ตาม หลัวเยี่ยนก็ไม่พูดไม่จา ดูเหมือนว่าจะทำให้ทุกคนคิดว่า หลัวเยี่ยนเป็นคนที่ถูกขับไล่ออกไปจากตระกูลหลัว ทำได้เพียงถูกพวกเขารังแกเท่านั้น ไหนเลยจะกล้าพูดอะไรออกมา แต่กลับคิดไม่ถึงว่าคำพูดนี้ของเธอ จะมากพอที่จะทำให้ทุกคนในที่นี้พูดอะไรไม่ออก
“แกคิดจะบีบบังคับให้พวกเราลงมือหรือไง? กล่องหยกหงส์มังกรนั้นแกเอาไปไม่ได้ จำเป็นต้องทิ้งเอาไว้ที่นี่!” ในตอนนี้เองล็อคประตูมีเสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้น เป็นเสียงที่เอาแต่ใจอย่างมาก
“ถูกแล้ว กล้าตีลูกของฉัน วันนี้ฉันจะตีลูกของแกให้มือหักขาหัก!” ตามมาด้วยเสียงของผู้หญิงที่โหดเหี้ยมเป็นอย่างมากดังออกมาจากนอกประตู หยิ่งยโสเกินเยียวยา
……………..
กล่องหยก เป็นกล่องหยกที่ทำมาจากหยกเขียวมรกตแกะสลักทั้งใบ ถูกลงหวังประคองเข้ามาในมือ มีขนาดประมาณเครื่องเราเตอร์ แต่กลับทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นไม่อาจละสายตาได้ ขนาดเย่เทียนเฉินก็ลืมเรื่องของลูกประคำลึกลับนั้นไปชั่วขณะ มองไปยังกล่องยกใบนั้น หยกใบนั้นไม่ธรรมดา ดูจากวัสดุและการแกะสลักแล้วต่างก็มีความพิเศษเฉพาะตัวเป็นอย่างมาก กระทั่งสามารถพูดได้ว่ามีเพียงหนึ่งไม่มีสอง
เดิมทีหยกก็เป็นชื่อเรียกของจักรพรรดิแห่งอัญมณีต่างๆ หินหยกที่สมบูรณ์ก้อนหนึ่งยังมีค่ามากกว่าเพชรหรือทองคำซะอีก เพราะว่าหินหยกไม่เพียงแต่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน แต่หากย้อนกลับไปในช่วงยุคหินใหม่มันมีความหมายแฝงอยู่หลายอย่าง หนึ่ง มีพลังบงการสรรพสิ่ง หยกเป็นตัวแทนของจักรพรรดิในสวรรค์และโลกมนุษย์ สามารถใช้ในการสื่อสารระหว่างมนุษย์และเทพเซียน ส่งผ่านข่าวสารจากสวรรค์ เป็นสิ่งควบคุมโชคชะตาในโลกมนุษย์และจักรวาลแห่งนี้ สอง เป็นแก่นแท้ของสวรรค์และโลก มุมมองในจุดนี้คิดว่าหยกก่อกำเนิดมาจากสรรพสิ่งของสวรรค์ มีพลังอันลึกลับ สาม หยกมีคุณธรรมห้าประการ สี่ หยกสามารถขับไล่วิญญาณชั่วร้ายได้ ความคิดเช่นนี้คิดว่าหยกมีพลังเหนือธรรมชาติ ถ้าผู้คนเลื่อมใสบูชาก็จะสามารถใช้ขับไล่พลังชั่วร้ายได้ เพราะเชื่อว่าหยกสามารถกำจัดสิ่งชั่วร้ายได้ และช่วยคุ้มครองผู้เป็นเจ้าของให้ปลอดภัยและมีความสุข ห้า หยกช่วยให้อายุยืน ความคิดนี้เชื่อว่าหยกมีความสามารถในการช่วยต่ออายุให้ผู้คน ผู้คนสามารถมีชีวิตยืนยาวได้ด้วยการบูชาหยก
“เป็นกล่องงหยกที่สวยเหลือเกิน…” มีคนอดไม่ได้ที่จะกล่าวชมออกมา
“ไม่ หยกเป็นจักรพรรดิของอัญมณี แต่หยกนี้นับได้ว่าเป็นน้ำทิพย์แห่งหยก สร้างมาจากการแกะสลักหยก ถ้าหากพวกเราเดาไม่ผิด กล่องหยกกล่องนี้เกิดจากการแกะสลักหยกชิ้นเดียว แล้วขุดออกมาจนแกะสลักเป็นกล่องหยกนี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นลักษณะของกล่อง หรือจะเป็นฝาปิด ต่างก็สามารถเข้ากันได้อย่างดี งดงามมาก ไม่รู้ว่าเป็นของคนยุคสมัยไหน ถึงมีฝีมือแกะสลักหยกที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้!”
“เกรงว่าในยุคปัจจุบันที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีพัฒนาก็ยังไม่สามารถทำงานได้”
“พวกเธอดูกล่องหยกสิ ด้านหน้าและด้านบนสลักรูปมังกรเอาไว้ ด้านหลังสลักรูปหงส์…”
“หรือว่า…นี่จะเป็นกล่องหยกหงส์มังกรในตำนาน?”
ในตอนที่กล่องหยกถูกลุงหวังหยิบออกมานั้น และยังไม่ได้เปิดดูว่าด้านในบรรจุของอะไรไว้กันแน่ คนตระกูลหลัวที่อยู่รอบๆ ก็อดไม่ได้ที่จะวิพากษ์วิจารณ์กันขึ้นมา และยังมีคุณลุงหลายคนของหลัวเยี่ยนซึ่งเป็นคนรุ่นเดียวกันกับหลัวเหยียนซงพ่อของหลัวเยี่ยน ย่อมได้พบเห็นเรื่องราวมามากมาย โดยเฉพาะในตระกูลใหญ่อย่างเช่นตระกูลหลัวแห่งนี้ มีการพัฒนาทุกด้านได้อย่างดี ในเรื่องสิ่งของระดับสูงแบบนี้ก็ย่อมมีความรู้อยู่บ้าง
เย่เทียนเฉินยืนอยู่ด้านข้าง ได้ยินเสียงคนเหล่านี้อดไม่ได้ที่จะวิพากษ์วิจารณ์กัน ก็รู้สึกแปลกใจ ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่ากล่องหงส์มังกรคืออะไร แต่เมื่อดูจากท่าทางของคนเหล่านี้แล้วก็รู้ได้ว่าต้องเป็นของที่พิเศษอย่างมากแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นเขายังรีบส่งพลังพิเศษแห่งการรับรู้ออกไปในทันที เพื่อที่จะดูว่าด้านในกล่องบรรจุของอะไรเอาไว้
จินตนาการได้เลยว่า ขนาดกล่องบรรจุสิ่งของก็ยังเป็นของที่มีค่ามากเช่นกล่องหยกหงส์มังกร ถ้าอย่างนั้นของที่อยู่ด้านในจะคืออะไรกันแน่? ยิ่งไปกว่านั้นจากการอุทานของเหล่าผู้สูงอายุในตระกูลหลัว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเองก็เพิ่งจะเห็นเป็นครั้งแรก ของที่แม่เฒ่าแห่งตระกูลหลัวหวงแหนขนาดนี้จะต้องไม่ธรรมดาแน่นอน
ไหนเลยจะรู้ว่า ในตอนที่เย่เทียนเฉินใช้พลังพิเศษแห่งการรับรู้ค่อยๆ แผ่ขยายออกไปเพื่อที่จะสำรวจตัวกล่องยก จะถึงกับถูกป้องกันเอาไว้ เขาไม่สามารถรู้ได้เลยว่าในกล่องนั้นเป็นอะไร เพราะกล่องหยกทำมาจากการแกะสลักที่ดีที่สุดบนโลกใบนี้ มีพลังอันพิเศษอยู่ เย่เทียนเฉินทำได้เพียงรู้สึกถึงความเย็นยะเยือกระลอกหนึ่งเท่านั้น
“เป็นไปได้ยังไง? กล่องหยกหงส์มังกรเป็นของในยุคสมัยของจิ๋นซีฮ่องเต้ เป็นของที่ตกลงมาจากฟ้าในตอนที่จิ๋นซีฮ่องเต้ขึ้นครองบัลลังก์…”
“ที่เล่าขานกันในตำนานมาปรากฏที่นี่ได้ยังไง?”
ใครก็คิดไม่ถึงว่า กล่องหยกหส์มังกรจะถึงกับมีที่มาแบบนี้ จะเป็นถึงของในยุคสมัยของจิ๋นซีฮ่องเต้ ถ้าเช่นนั้นจะต้องย้อนไปถึงเวลาไหนกัน? ถึงกลับมาอยู่ในมือของแม่เฒ่าแห่งตระกูลหลัวได้ ของแบบนี้ถ้าถูกผู้อื่นรู้เข้าแสดงว่าจะต้องสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งโลกแน่นอน เพราะตัวมันเองเป็นของที่อยู่ในตำนานเท่านั้น
ตอนนี้ในใจของคนจำนวนมากรู้สึกตื่นเต้นอย่างหาที่เปรียบมิได้ โดยเฉพาะคนตระกูลหลัวที่อยู่ ณ ที่นี้ เกรงว่ากล่องหยกหงส์มังกรเพียงกล่องเดียวก็สามารถทำลายโลกนี้ได้ ถ้าหากให้คาดเดาราคาของมัน เรียกได้ว่าหาค่ามิได้…ถ้าอย่างนั้นของที่อยู่ในกล่องหยกหงส์มังกรใบนี้จะเป็นอะไรกันแน่? จะเป็นของที่สะเทือนฟ้าอะไรกันแน่?
นี่ทำให้คนจำนวนมากเข้าใจถึงความลึกลับและความแปลกประหลาดของกล่องหยกหงส์มังกร หากว่าเป็นเช่นที่เล่าขานกันมาจริงๆ เป็นสิ่งของที่อยู่ในยุคสมัยของจิ๋นซีฮ่องเต้ และมาถึงปัจจุบันนี้ก็เป็นเวลาสองพันกว่าปีมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของใดที่เก็บรักษาอย่างดีก็จะต้องเสื่อมสลายไป ก็จะต้องปรากฏร่องรอยของกาลเวลา แต่กล่องหยกหงส์มังกรนี้กลับยังคงไม่มีรอยเลยแม้แต่น้อย กระทั่งกล่าวได้ว่าไม่มีความหม่นหมองเลยแม้แต่น้อย เหมือนกับเพิ่งจะทำออกมาอย่างไรอย่างนั้น ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ
“ของสิ่งนี้ลี้ลับมาก คงจะมีความลับอะไรซ่อนอยู่แน่นอน!” เย่เทียนเฉินขมวดคิ้วแล้วคิดในใจ
“แค่กๆ …เหล่าหวัง เปิดกล่องออก…” แม่เฒ่าลืมตาขึ้นยังอ่อนล้า มองไปยังกล่องหยกหงส์มังกรแล้วพูดขึ้น
“ครับ!”
ลุงหวังยืนอยู่ด้านข้าง มือซ้ายถือกล่องยก ค่อยๆ เปิดออกอย่างระมัดระวัง หลังจากที่เปิดกล่องยกออกมาแล้ว หลายคนก็อดไม่ได้ที่จะล้อมรอบเข้ามา ต้องการที่จะเห็นว่าในกล่องหยกหงษ์มังกรอันล้ำค่าบรรจุอะไรเอาไว้กันแน่…
หลังจากที่กล่องหยกหงส์มังกรถูกเปิดออก หลายคนก็ไม่เห็นประกายแสงอะไร หรือจะบอกว่าไม่เห็นความแปลกประหลาดอะไร เห็นเพียงหยกแตกหักที่วางอยู่ในกล่องหยกหงส์มังกรอย่างสงบเท่านั้น ในกล่องหยกมีหยกซ่อนเอาไว้ เป็นหยกแตกหักครึ่งก้อนทรงกลม นี่ทำให้ทุกคนรู้สึกเหลือเชื่อมาก เดิมทียังคิดว่าเป็นของล้ำค่าที่ประเมินค่าไม่ได้ที่ถูกเก็บเอาไว้ในกล่องหยกหงส์มังกร คิดไม่ถึงว่าจะเป็นหยกครึ่งก้อน ไม่มีประกายอะไรเลยแม้แต่น้อย วางอยู่ด้านในอย่างสงบ และบนหยกก็ยังมีรอยเลือดอยู่รอยนึง ธรรมดาเป็นอย่างมาก หลายคนไม่รู้ว่าทำไม ทำไมในกล่องหยกหงส์มังกรที่สามารถเรียกได้ว่าประเมินค่าไม่ได้ ถึงได้มีหยกหักครึ่งก้อนแบบนี้อยู่ นี่มันเพราะอะไรกันแน่?
“เยี่ยนเอ๋อร์…ในตอนที่หลานแต่งงาน ย่าไม่มีของอะไรจะให้ ตลอดมาก็รู้สึกเสียใจ หยกครึ่งก้อนในกล่องหยกหงส์มังกรนี้ย่าขอมอบให้เป็นของขวัญแต่งงานของหลาน…” ทุกประโยคของแม่เฒ่าพูดแล้วหยุดไปนาน เธอมาถึงช่วงสุดท้ายของชีวิตแล้ว เหลือเวลาอีกไม่มาก อย่างมากก็ยืนหยัดไปได้อีกไม่กี่นาทีเท่านั้น
“คุณย่า…นี่คือ…” หลัวเยี่ยนเองก็รู้สึกไม่เข้าใจ ทำไมคุณย่าถึงได้นำหยกครึ่งก้อนที่เปื้อนเลือดนี้มอบให้กับตนเอง
แน่นอนว่าไม่เหมือนกับคนอื่นที่คิดว่าของขวัญนี้ไร้ค่าเกินไป หากพูดกันถึงเรื่องมูลค่า ใครก็มองออกว่าหยกครึ่งก้อนที่เปื้อนเลือดนี้ไม่อาจเทียบเท่าได้กับค่าของกล่องหยกหงส์มังกร แม่เฒ่ายังไม่ได้เลอะเลือน ควรจะมอบกล่องหยกมังกรนี้ให้หลัวเยี่ยนมากกว่า แต่กลับพูดว่ามอบหยกครึ่งก้อนนั้นให้ ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ไม่ควรจะพูดแบบนี้ออกมา เพราะตอนนี้ในใจของใครหลายคนกำลังคิดว่า จะทำอย่างไรถึงจะได้กล่องหยกหงส์มังกรนั้นมา ถ้ามีของสิ่งนี้อยู่ ก็จะมีทรัพย์สินใช้จ่ายไปได้อีกหลายชั่วอายุคน หรือกระทั่งสามารถก่อตั้งตระกูลใหญ่เหมือนกับตระกูลหลัวได้อีกตระกูลหนึ่งด้วยซ้ำ พูดอย่างไม่เกินจริงได้เลยว่า กล่องหยกหงส์มังกรประเมินค่าไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นตัวกล่องหรือจะเป็นการตกทอดมาหลายยุคหลายสมัย ต่างก็ทำให้กลายเป็นหยกที่ล้ำค่าจนประเมินค่าไม่ได้ไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นของในช่วงยุคสองพันกว่าปีก่อนด้วย หากต้องการที่จะวัดมูลค่าก็ไม่อาจกระทำได้
“เยี่ยนเอ๋อร์ ย่าหวังว่าหลานจะมีความสุขและอยู่อย่างสงบสุข กล่องหยกหงส์มังกรนี้ไม่ใช่ของตระกูลหลัวของพวกเรา แต่หยกครึ่งชิ้นเปื้อนเลือดนั้นเป็นของตระกูลหลัวของพวกเรา เมื่อปีนั้นย่ากับคุณปู่ของหลานได้หยกหนึ่งก้อนนี้มา ก็คิดดูแลมันอย่างดีที่สุด ถึงได้ขอยืมกล่องหยกหงส์มังกรนี้มาจากสหายคนหนึ่ง…” แม่เฒ่าอธิบายถึงเรื่องเมื่อปีนั้น ดูเหมือนว่าจะย้อนคิดอะไรบางอย่างอยู่
“คุณย่า หยกก้อนนี้…” หลัวเยี่ยนเองก็รู้สึกแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก หยกมีตำหนิก้อนนี้ไม่มีจุดพิเศษอะไรเลย ทำไมถึงได้นำมาเก็บไว้ในกล่องยกหัวมังกรที่ล้ำค่า?
แม่เฒ่าตระกูลหลัวมองหลัวเยี่ยน พยายามลุกขึ้นนั่ง เย่เทียนเฉินรีบเข้าไปประคอง เขารู้ว่านี่เป็นช่วงเวลาสุดท้ายขอแม่เฒ่า ถ้าให้เธอพูดถึงเรื่องราวเก่าๆ นี้ออกมาก็นับว่าเป็นการทำความปรารถนาของตนให้สำเร็จได้แล้ว
“จากประวัติศาสตร์ที่ไม่ได้มีการบันทึกอย่างเป็นทางการ ในตอนที่จิ๋นซีฮ่องเต้รวมจีนเป็นหนึ่งได้ แคว้นสุดท้ายที่ถูกทำลายก็คือแคว้นฉี ตอนนั้นจิ๋นซีฮ่องเต้ใช้การโจมตีทั้งระยะใกล้และระยะไกลเพื่อที่จะกลืนแคว้นอื่น แต่ในตอนที่จิ๋นซีฮ่องเต้รวมแคว้นอื่นให้เป็นหนึ่ง แคว้นฉีก็แข็งแกร่งมาก แคว้นฉีรู้ว่าสุดท้ายแล้วจะต้องต่อสู้กับแคว้นฉิน พวกเขาจึงรอ รอเวลาหลังจากที่แคว้นฉินมาทำร้ายแคว้นอื่นและมาทำสงครามกับแคว้นฉีของพวกเขา เมื่อถึงตอนนั้นขอเพียงเอาชนะแคว้นฉินได้ ก็จะสามารถรวบรวมแผ่นดินจีนให้เป็นหนึ่งได้อย่างสบายๆ ไหนเลยจะรู้ว่าในตอนสุดท้าย จะเกิดเสียงฟ้าร้องดังสนั่น หยกมีตำหนิเปื้อนเลือดก้อนหนึ่งจะตกลงมาจากฟ้า ฆ่าทหารของความฉีนับล้านคนจนย่อยยับ จิ๋นซีฮ่องเต้ก็ได้รับหยกครึ่งก้อนที่เปื้อนเลือดนี้ไป สุดท้ายเขาจึงสั่งให้คนไม่เล่าเรื่องนี้ออกไปอีก ความจริงที่สั่งให้เผาทำลายตำรา ก็เป็นเพราะต้องการปกปิดเรื่องนี้ เป็นข้ออ้างในการทำลายประวัติศาสตร์…”
ทุกคนได้ยินคำพูดของแม่เฒ่าก็พากันตกตะลึงจนคางแทบร่วง เดิมทีคิดว่ากล่องหยกมังกรก็เป็นของที่เยี่ยมยอดมากแล้ว เป็นของที่ประเมินค่าไม่ได้ แต่คิดไม่ถึงว่าหยกมีตำหนิที่เปื้อนเลือดนี้จะมีเรื่องเล่าขานแบบนี้อยู่ เพียงแต่หลายคนไม่ค่อยเห็นด้วยนัก จะอย่างไรหยกมีตำหนิเปื้อนเลือดก็ดูเหมือนจะดูไม่มีค่าอะไรเลย เหมือนกับหยกก้อนหนึ่งที่วางไว้นานจนหม่นแสง
“คุณย่า หนูรู้ หนูจะให้หยกก้อนนี้อยู่เป็นเพื่อนย่าตลอด…” หลัวเยี่ยนอดไม่ได้ที่จะน้ำตาไหล
“ไม่ ไม่ใช่…ย่าเป็นคนใกล้ตายแล้ว ต้องการของพวกนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร ย่าต้องการส่งมอบให้กับหลาน ถึงแม้นี่จะเป็นเพียงแค่ของในเรื่องเล่าขานที่ไม่มีการบันทึกความจริง แต่ย่าเชื่อว่าหยกก้อนนี้จะสามารถให้โชคลาภและกำจัดความชั่วร้ายได้ กำจัดภัยพิบัติได้ ชั่วชีวิตของคนคนหนึ่งการอยู่อย่างสงบสุขสำคัญยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด!” แม่เฒ่าพูดอย่างอ่อนแรงพลางส่ายหน้า
“คุณย่า…” หลัวเยี่ยนกัดฟัน พยายามไม่ให้ตัวเองร้องไห้ออกมาต่อหน้าหญิงชรา
“เอาไปเถอะ ส่วน…ส่วนกล่องหยกมังกรย่อมมีคนมากลับไป มารับกลับไป…” หลังจากที่แม่เฒ่าพูดประโยคนี้จบก็ปิดตาลง มือทั้งสองตกลงไป สีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ได้เห็นหลานสาวที่รักที่สุดในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตเธอก็พอใจแล้ว
“ย่า ย่า…ย่าคะ…”
หลัวเยี่ยนโถมร่างกายเข้าไปหาย่า ร้องไห้ออกมาอย่างสะอึกสะอื้น เธอรู้ว่าบนโลกนี้คนที่รักเธอที่สุดเพียงคนเดียวได้จากไปแล้ว จะไม่ได้เจอกันอีกต่อไปแล้ว!
……………………………….
หลัวเยี่ยนแสดงอำนาจออกมาแล้ว โกรธขึ้นมาแล้ว ตั้งแต่เข้ามาในตระกูลหลัวจนมาถึงที่นี่ต่างก็ได้รับสายตาแปลกๆ จากใครหลายคน ต่อให้จางอวิ๋นคนนั้นจะดูถูกเหยียดหยามเธอตรงหน้าประตูของที่พักอาศัยของยายทวด หลัวเยี่ยนก็ไม่โกรธ เย่เทียนเฉินเห็นว่าในที่สุดแม่ของเขาก็โกรธขึ้นมาบ้างแล้ว ในใจก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกยินดี เพราะว่าเขามองออกนานแล้วว่า คนตระกูลหลัวพวกนี้ ไม่ใช่คนดีอะไร ทุกคนต่างก็หวาดกลัวแม่ของตน เกรงว่าถ้าหากยายทวดลมหายใจขาดห้วงไป พวกเขาก็คงไม่สามารถเดินออกไปจากตระกูลหลัวได้อย่างราบรื่นขนาดนั้น หากต้องการที่จะรับมือกับพวกคนสารเลว ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ไม้อ่อน จำเป็นจะต้องใช้ไม้แข็ง
แน่นอนว่าที่หลัวเยี่ยนโกรธนั้น เป็นเพราะผ่านไปยี่สิบปีแล้วถึงจะได้กลับมาที่ตระกูลหลัว เดิมทีก็คิดจะมาดูใจคนบ้าเป็นครั้งสุดท้าย ทำความปรารถนาในใจให้สำเร็จ ไม่ได้คิดจะมาแย่งชิงอะไร และไม่ได้ต้องการต่อสู้กับใคร แต่ในตอนที่คุณย่าป่วยหนัก เป็นช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต จะถึงกับมีคนตระกูลหลัวที่ไม่ยอมหยุด ยังเพ่งเล็งมาที่เธอ ยังต้องการทะเลาะกับเธอ ทำให้หญิงชราจากไปโดยไม่สงบ ไม่ว่าใครก็ทนไม่ไหว
“คุณ…คุณก็เป็นแค่คนที่ถูกตระกูลหลัวของพวกเราไล่ออกไปเท่านั้น มีคุณสมบัติอะไรที่จะมาตะโกนโหวกเวกอยู่ที่นี่…” หลัวชิงหงอับอายจนใบหน้าแดงก่ำ แต่ก็ยังมองไปยังหลัวเยี่ยนแล้วพูดขึ้นอย่างไร้ยางอาย
“ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างก็เป็นญาติผู้ใหญ่ของเธอทั้งนั้น ถึงทีที่เธอจะสอfปากพูดได้ที่ไหนกัน ต่อให้พ่อของเธออยู่ที่นี่ก็ยังไม่กล้าส่งเสียง ดูแล้วกฏบ้านตระกูลหลัวคงจะไม่ได้ใช้มานานแล้ว หยิบออกมาเตือนเธอหน่อยก็คงดี!”
หลัวเยี่ยนคล้ายกับว่าเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ไม่ได้ให้ความรู้สึกอ่อนแออีกต่อไปแล้ว ดูเข้มแข็งเป็นอย่างมาก เหมือนกับวีรสตรีหญิงที่ผ่านสนามรบมานานอย่างไรอย่างนั้น ไม่ว่าจะเป็นสายตา หรืออำนาจที่แสดงออกมา ต่างก็เพียงพอที่จะกดข่มหลัวชิงหง นี่ทำให้คุณลุงทั้งหลายที่อยู่ที่นี่ต่างก็ต้องมองจนตกตะลึง วันเวลาผ่านไปนานหลายปี ตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมานี้หลัวเยี่ยนก็ช่วยเหลือสามีและสั่งสอนมาโดยตลอด บางทีใครหลายคนคงจะคิดว่าความฉลาดของเธอคงจะลดลงไปไม่น้อย แต่คิดไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนี้ พอได้จริงจังขึ้นมาจะรับมือไม่ง่ายเลย
“คุณ…คุณ…” หลัวชิงหงพูดอะไรไม่ออกโดยสิ้นเชิง เพราะว่าเราคุณลุงที่อยู่ที่นี่ก็ไม่กล้าส่งเสียงสนับสนุนเธอแล้ว หลัวเยี่ยนพูดตามสถานการณ์และตามหลักเหตุผลได้อย่างถูกต้องเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะแม่เฒ่าที่ใกล้จะจากโลกนี้ไปแล้ว หากว่าส่งเสียงทะเลาะอั๋นขึ้นมาจริงๆ หรือจะไม่คิดถึงครอบครัวเลยแม้แต่น้อย?
“ออกไปซะ!” หลัวเยี่ยนตะโกนเสียงดัง ทำให้หลัวชิงหงตกใจจนอดไม่ได้ที่จะถอยหลังออกไปจนเกือบจะสะดุดล้มจนต้องลงไปนั่งที่พื้นแล้ว
หลัวชิงหงโกรธจนใบหน้าแดงก่ำ เดินออกไปจากห้อง คนที่อยู่ที่นี่ต่างก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากพูดอะไรอีก เพราะว่าหลัวเยี่ยนทำตามเหตุผล ต่อให้มีใครหลายคนที่ไม่ต้องการที่จะใช้เหตุผล แต่ก็ไม่กล้าก่อเรื่องขึ้นมาในตอนที่แม่เฒ่าใกล้จะจากโลกนี้ไป สาเหตุนั้นง่ายมาก นั่นก็คือหลัวเหยียนซงพ่อของหลัวเยี่ยน ซึ่งก็คือผู้เป็นหัวเรือใหญ่แห่งตระกูลหลัว บางทีเขาอาจจะทะเลาะกับหลัวเยี่ยนและตัดขาดความสัมพันธ์พ่อลูกกันไปแล้ว แต่หลัวเหยียนซงเป็นคนที่กตัญญูมาโดยตลอด ถ้าหากรู้ว่าในช่วงเวลาที่แม่กำลังป่วยหนัก เป็นวาระสุดท้ายของชีวิต ยังมีคนกล้าก่อเรื่องขึ้นมา จะต้องลงโทษตามกฎตระกูลแน่นอน
กฏตระกูล ในยุคสมัยโบราณของประเทศจีน จะมีอยู่ในตระกูลใหญ่หลายตระกูล เมื่อพัฒนามาถึงทุกวันนี้ ตระกูลใหญ่หลายตระกูลก็ยังคงมีกฎของตระกูลที่เข้มงวด นี่เป็นสัญลักษณ์ของตระกูลใหญ่ เพื่อที่จะควบคุมคนในตระกูลได้ง่าย ตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่งสามารถมาถึงจุดที่ยิ่งใหญ่ได้ สามารถมาถึงช่วงเวลาอันยิ่งใหญ่ได้ จะต้องสามารถควบคุมสมาชิกในตระกูลได้ โดยเฉพาะญาติพี่น้อง นั่นเป็นสิ่งที่ยากลำบากเป็นอย่างมาก จึงต้องใช้กฎตระกูลเข้ามาควบคุม หากทำผิดกฎตระกูลก็จะต้องลงโทษตามกฎของตระกูล นี่ทำให้สามารถหลีกเลี่ยงไม่ให้คนบางคนใช้ความสัมพันธ์เครือญาติมาหาผลประโยชน์ได้ ซึ่งจะเป็นการทำร้ายการพัฒนาและความรุ่งเรืองของตระกูลให้ย่อยยับ
เมื่อตอนนี้หลัวชิงหงจนต้องออกไปจากห้องแล้ว ในใจของหลัวเยี่ยนก็ไม่ได้ดีอะไรนัก ยี่สิบปีก่อนคนที่เพ่งเล็งเธอมากที่สุดก็คือพี่ชายและน้องสาวแท้ๆ ของเธอ ตอนนั้นหลัวเยี่ยนโดดเด่นมาก ทั้งเยาว์วัย ทั้งสวย มีกลุ่มอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่ต่างๆ มากมายที่ต้องการมาสู่ขอ เธอเป็นผู้หญิงที่ทั้งฉลาดและหน้าตาดี เริ่มช่วยพ่อของตนจัดการธุรกิจของตระกูลแล้ว พัฒนาไปตามลำดับ และทำออกมาได้อย่างดีอีกด้วย นี่ทำให้พี่ชายและน้องสาวของหลัวเยี่ยนยิ่งรู้สึกถึงอันตราย ยิ่งรู้สึกอิจฉา จนกระทั่งสุดท้ายหลัวเยี่ยนถูกขับไล่ออกไปจากตระกูลหลัว ไม่กลับมาอีกเลยตลอดยี่สิบปี เดิมทีคิดว่าพี่ชายและน้องสาวจะค่อยๆ เลิกอิจฉาและเพ่งเล็งตัวเอง ไหนเลยจะรู้ว่ากลับยิ่งรุนแรงขึ้น
เมื่อดูจากจางอวิ๋นผู้เป็นลูกชายของน้องสาว และหลัวชิงหงผู้เป็นลูกสาวของพี่ชาย ท่าทางที่พวกเขามีต่อตนเองแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน พี่ชายและน้องสาวของเธอนำความขับออกคับใจและความอิจฉาของรุ่นตัวเองส่งต่อไปให้รุ่นถัดไป มิฉะนั้นจางอวิ๋นและหลัวชิงหงคงไม่คิดจะเดินออกมาขับไล่ตนเองซึ่งเป็นญาติผู้ใหญ่ให้ออกไปจากตระกูลหลัว พวกเขาทำเช่นนี้ก็เพื่อออกหน้าให้พ่อแม่ของตน
และสิ่งที่ทำให้เสียใจมากที่สุดก็คือ เดิมทีก็เป็นสายเลือดเดียวกัน ทำไมจะต้องกังวลให้มากด้วย ไม่ว่าจะอย่างไรทุกคนต่างก็เป็นครอบครัวเดียวกัน ต่างก็เป็นญาติพี่น้องกัน ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย? ทำไมต้องเห็นแก่ชื่อเสียงเงินทองเหล่านั้นด้วย?
“เยี่ยมเสร็จแล้ว เธอก็ออกไปเองเถอะ พวกเราตะกูลหลัวไม่เก็บเธอเอาไว้แน่!” ในตอนนี้เอง มีคุณลุงคนหนึ่งเอ่ยออกมา
“ฉันรู้ดี ฉันเองก็ไม่อยากที่จะกลับมาตระกูลหลัว สถานที่แห่งนี้ไม่มีความรู้สึกของครอบครัวอยู่เลยแม้แต่น้อย มีเพียงแค่การแย่งชิงชื่อเสียงเงินทองก็เท่านั้น!” หลัวเยี่ยนมองไปยังคุณลุงคนนั้นแล้วพูดขึ้นอย่างเย็นชา
เมื่อพูดจบหลัวเยี่ยนก็ไม่ได้มองไปที่ลุงคนนั้นอีกเลย เดินไปยังข้างเตียงอีกครั้ง แล้วนั่งลงขอบเตียง จับมือของคุณย่าเอาไว้แน่น พูดคุยกับหญิงชราที่ใกล้จะจากโลกนี้ไป ถึงแม้สีหน้าของหญิงชราจะอบอุ่นขึ้นไม่น้อย แต่ใครก็มองออกว่านี่เป็นแสงสุดท้ายของชีวิต เป็นไฟสุดท้ายของชีวิต ขอเพียงดับมอดลงก็จะจากไปตลอดกาล ดังนั้นหลัวเยี่ยนจึงรู้สึกหวงแหน ช่วงเวลาเหล่านี้ ไม่ได้พบกันมายี่สิบปี ควรจะพูดคุยกับคุณย่าอย่างสนุกสนาน ไม่ควรจะให้หญิงชราต้องจากโลกนี้ไปด้วยความถูกใจ
“เยี่ยนเอ๋อร์ หลังจากที่ย่าจากไปแล้ว หลานก็อย่าอยู่ที่นี่อีกเลย กลับไปใช้ชีวิตอย่างมีความสุขของตัวเองเถอะ!”
ถึงแม้ว่าแม่เฒ่าจะอายุมากแล้ว แต่ก็ไม่ได้หูตาฝ้าฟาง ยังไม่ได้หลงลืม แม่เฒ่าตระกูลหลัวก็เคยเป็นผู้หญิงที่ต่อสู้ดิ้นรนทำธุรกิจมาด้วยกันกับคุณปู่ของหลัวเยี่ยน หากจะบอกว่าไม่มีความเฉลียวฉลาดหรือความสามารถอะไรเลยนั่นย่อมเป็นไปไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างของตระกูลหลัวเธอรู้เหมือนกับรู้ฝ่ามือของตน ใครกตัญญูใครไม่กตัญญู ใครที่ต้องการตำแหน่งหัวเรือใหญ่ของตระกูลหลัว เธอเข้าใจชัดเจนเป็นอย่างมาก เพียงแต่เธอแก่มากแล้ว มีหลายเรื่องที่ต้องปล่อยผ่านให้เป็นเรื่องของคนรุ่นหลัง และให้คนรุ่นหลังมาแก้ไขกันเอง
“คุณย่า ย่าพูดอะไรคะ ย่ายังจะต้องมีชีวิตอยู่ไปได้อีกร้อยปี ย่าเพียงแค่ไม่สบายเท่านั้นเอง!” หลัวเยี่ยนพูดปลอบใจคุณย่าด้วยรอยยิ้ม
“ฮ่าๆ เยี่ยนเอ๋อร์ หลานใจดีเหลือเกิน ไม่ได้เห็นหลานมาหลายปีก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย ย่ามีความสุขมาก เพียงแต่ร่างกายของย่า ย่าย่อมรู้ดี หลังจากที่ย่าตายไปแล้ว หลานก็ไม่ต้องมางานศพ ย่าไม่อยากเห็นพวกหลานสองพ่อลูกต้องทะเลาะกันหลังจากที่ย่าตายไป พ่อของหลานก็แก่แล้ว ร่างกายไม่แข็งแรง ยอมให้เขาหน่อย…” แม่เฒ่าทอดถอนใจ ต่อให้ใกล้จะจากโลกนี้ไปแล้วก็ยังอดไม่ได้ที่จะคิดถึงลูกหลาน ยังคงคิดถึงหลานสาวของตัวเอง และยังคงคิดเพื่อลูกชายของตน
“คุณย่า วางใจเถอะ หนูจะไม่ทะเลาะกับพ่อแน่นอน จะอย่างไรเขาก็เป็นพ่อของหนู!” หลัวเยี่ยนกัดปาก พยายามกลั้นไม่ให้น้ำตาไหลออกมา
“งั้นก็ดีแล้ว งั้นก็ดีแล้ว…แค่กๆ …”แม่เฒ่าไอออกมาสองครั้ง ท่าทางจะยืนหยัดต่อไปไม่ไหวแล้ว ถึงแม้เย่เทียนเฉินจะแอบใช้พลังพิเศษช่วย แต่ก็ไม่สามารถทำให้เธอยืนหยัดต่อไปได้นานขนาดนั้น ทุกคนต่างก็ต้องแก่ตายเป็นธรรมดา
“คุณย่า…” หลัวเยี่ยนเครียดมาก มีน้ำตาไหลคลอออกมา หญิงชราใกล้ที่จะยืนหยัดต่อไปไม่ไหวแล้ว
“เทียนเฉิน หลานมาหายายนี่…” หญิงชราพยายามลืมตา พูดกับเย่เทียนเฉินอย่างอ่อนแรง
เย่เทียนเฉินในตอนนี้ก็รู้สึกจิตใจสั่นไหว หญิงชราที่ใจดีและเมตตาขนาดนั้น แต่กลับต้องมาจากโลกนี้ไป นี่ทำให้เขายิ่งคิดถึงคำพูดของจางอีเต๋อ บนโลกนี้ไม่เหมาะสมที่จะบ่มเพาะพลัง ไม่มีใครที่สามารถอยู่ได้ยืนยาว หากต้องการที่จะตามหาวิธีการเป็นอมตะ จำเป็นที่จะต้องไปยังดาวที่ธรรมชาติยังไม่ถูกทำลาย ถ้าหากไม่สามารถอยู่เป็นอมตะได้ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการเกิดแก่เจ็บตายออกไปได้ ผมต้องการให้มีความอมตะอยู่จริงๆ อยากที่จะสามารถมีอายุยืนยาวต่อไปได้ผ่านเส้นทางแห่งการบ่มเพาะจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นใคร ต่อให้เป็นคนที่อยู่ในสังคมไหน โดยเฉพาะคนที่มีญาติพี่น้องที่จากไปแล้ว จะต้องพยายามบ่มเพาะอย่างเต็มที่ เพราะการที่ต้องมองญาติมิตรตายจากไปนั้น ความรู้สึกที่ไร้ซึ่งพลังเช่นนั้น ช่างเป็นการเจ็บปวดถึงจิตวิญญาณจริงๆ
“ยายทวดครับ ผมอยู่ที่นี่แล้ว!” เย่เทียนเฉินจับมือหญิงชราแล้วพูดขึ้น
ในตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินก็ยังคิดที่จะพยายามส่งพลังพิเศษเข้าไปช่วยเหลืออีกครั้ง แต่เขาพบว่ามันไร้ประโยชน์แล้ว หากฝืนส่งพลังพิเศษเข้าไปอีก ก็จะทำให้เส้นเลือดในร่างกายของแม่เฒ่าระเบิดเท่านั้น และตายไปยังเจ็บปวด ดังนั้นเย่เทียนเฉินจึงทำอะไรไม่ได้
“สร้อยประคำเส้นนี้ มีพระอาจารย์ท่านหนึ่งมอบให้ยายทวดมา สามารถคุ้มครองให้ผู้คนสงบสุขได้ ครั้งแรกที่ยายทวดได้เห็น ไม่รู้ว่ามีอะไรโดนใจถึงต้องการมอบมันให้กับหลาน!” แม่เฒ่าหยิบสร้อยประคำบริเวณลำคอออกมาส่งให้เย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น
“ยายทวดครับ…” เย่เทียนเฉินรู้สึกตกตะลึง พอเขารู้สึกว่าสร้อยประคำเส้นนี้ไม่ธรรมดาเลย ไม่ใช่ของที่จะเอาไว้หลอกลวงผู้อื่นแบบนั้น
“เอาไปเถอะ ยายทวดใกล้จะจากโลกนี้ไปแล้ว เก็บเอาไว้ก็ไม่มีประโยชน์!” แม่เฒ่าพูดด้วยรอยยิ้มเมตตา
เย่เทียนเฉินชะงักไปครู่หนึ่งแล้วจึงรับประคำนั้นมา เพื่อจะทำให้หญิงชราดีใจจึงสวมเข้าไปที่คอของตน ในตอนที่เขาสวมสร้อยประคำเส้นนี้ ถึงกับรู้สึกได้ถึงบรรยากาศหนักหน่วงยิ่งใหญ่อย่างหนึ่ง ที่แอบซ่อนอยู่ในลูกประคำ ไม่รู้ว่าเป็นอะไร
“ขอบคุณยายทวดมากครับ!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม
“แค่กๆ …แค่กๆ …แค่กๆ …” เสียงแม่เฒ่าไอขึ้นมา ชีวิตใกล้จะถึงจุดสุดท้ายแล้ว ยืนหยัดต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว เธอพิงลงที่หมอน แต่กลับยังคงพยายามพูดออกมา “เหล่าหวัง ทำไมเหล่าหวังยังไม่มาอีก…”
ทุกคนอดไม่ได้ที่จะมองไปที่ประตู ในตอนนี้พวกเขาถึงจะเข้าใจว่าลุงหวังไปหยิบของอะไรมา แม่เฒ่าถึงยืนหยัดไม่ยอมตาย ก็จะต้องรอของที่ลุงหวังจะเอามาให้ได้
“กลับมาแล้ว ลุงหวังมาแล้ว!” มีคนพูดขึ้น
ลุงหวังวิ่งขะโหยกขะเหยกเข้ามาในห้อง มีเหงื่อเต็มใบหน้า ในมือขวามีกล่องหยกอันประณีตกล่องหนึ่ง ไม่รู้ว่าบรรจุอะไรเอาไว้ในนั้น ทุกคนต่างก็มองด้วยความแปลกใจ…
……………………
เย่เทียนเฉินยืนอยู่ด้านหลังของหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ ไม่ได้กล่าวอะไร ตอนนี้เขาทำเพียงมองไปยังแม่เฒ่าที่นอนอยู่บนเตียง นี่คือยายทวดของเขา ถึงแม้จะได้พบกันครั้งแรก แต่เย่เทียนเฉินก็รู้สึกได้ถึงความเมตตาแล้วความเป็นมิตร รวมกับความรักที่ยายทวดมีต่อแม่มาตั้งแต่เด็ก ทำให้เย่เทียนเฉินมีความประทับใจที่ดีต่อยายทวดคนนี้มากขึ้น
หากไม่ใช่เพราะพลังพิเศษแห่งการรับรู้ของเย่เทียนเฉินรับรู้ได้ถึงความอ่อนเพลียของอวัยวะทั้งหมดในร่างกายของยายทวด เขาจะต้องไม่ยอมยืนมองยายทวดผู้เมตตาจากโลกนี้ไปเฉยๆ แน่นอน จะต้องไปตามหาเซียนแพทย์เทวะให้มารักษายายทวดของเขา เพียงแต่อวัยวะแต่ละอย่างอ่อนล้าลงมากแล้ว นี่เป็นโรคของคนชรา ไม่ได้เป็นอาการป่วย ดังนั้นเกรงว่าจางอีเต๋อก็คงไม่มีความสามารถที่จะรักษา
คุณอาคุณลุงของหลัวเยี่ยนทั้งหลายที่ยืนล้อมรอบอยู่บริเวณนี้ คนเหล่านี้เป็นญาติผู้ใหญ่ของเย่เทียนเฉิน ต่างก็ยืนอยู่ด้านข้างด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ ถึงแม้ว่าในหมู่พวกเขาจะมีคนที่ไม่พอใจต่อหลัวเยี่ยน และกลัวว่าครั้งนี้หลัวเยี่ยนจะถือโอกาสนี้กลับเข้ามายังตระกูลหลัวอีกครั้ง จึงต้องการที่จะไล่เธอออกไปให้เร็วที่สุด แต่กลับไม่มีใครกล้าทำแบบนี้ แม่เฒ่าของตระกูลหลัวเป็นคนที่เทียบได้กับระดับไท่ซ่างหวง(จักรพรรดิองค์ก่อน) และใกล้จะจากโลกนี้ไปแล้ว ในเวลาแบบนี้ใครก็ไม่คิดที่จะทำตัวเป็นที่เพ่งเล็งของผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลัวเหยียนซงคุณพ่อของหลัวเยี่ยน ซึ่งเป็นคุณตาของเย่เทียนเฉิน กำลังอยู่ระหว่างทางที่จะกลับมายังตระกูลหลัว ถ้าหากถูกเขารู้เข้า เกรงว่าต่อให้เป็นเทวดาก็ต้องถูกลงโทษตามกฎตระกูล
“เทียนเฉิน ลูกมานี่ มาให้ยายทวดของลูกดูหน่อย!” หลัวเยี่ยนนั่งอยู่ข้างเตียงโดยตลอด จับมือของคุณย่าของตนแน่น หันมาพูดกับเย่เทียนเฉิน
“ครับ!” เย่เทียนเฉินพยักหน้าเดินไปข้างเตียง ยายทวดเป็นหญิงชราที่มีเมตตาคนหนึ่ง เย่เทียนเฉินไม่อาจสัมผัสได้ถึงไอสังหารใดๆ บนร่างของหญิงชราคนนี้เลย ก็เหมือนกับที่แม่พูด ยายทวดเป็นคนที่มีจิตใจดีงามมาตลอดชีวิต แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยฆ่าคน หลายเรื่องราวที่อยู่อย่างสงบสุข แล้วทำธุรกิจอย่างเมตตาและมีความสุข บริจาคให้บ้านพักคนชราและบ้านเด็กกำพร้า รวมถึงบริจาคให้คนยากคนจนบนเขาไปมาก และไม่เคยหลงใหลในชื่อเสียงมาก่อน เธอมักจะพูดว่าคนดีย่อมได้รับการตอบแทน สวรรค์ย่อมมีความยุติธรรม
ไหนเลยจะรู้ว่า ในตอนที่เย่เทียนเฉินกำลังจะเดินเข้าไปนั้น ผู้หญิงอายุสามสิบกว่าปีคนหนึ่งจะมาขวางอยู่หน้าเย่เทียนเฉิน เธอสวมชุดแบรนด์เนมทั้งตัว โดยเฉพาะกำไลข้อมือหยกชิ้นใหญ่บริเวณข้อมือของเธอ ดูโดดเด่นสะดุดตาเป็นอย่างมาก
“แกเข้าไปไม่ได้…” ผู้หญิงคนนั้นมองเย่เทียนเฉินแล้วพูดอย่างเย็นชา
“ทำไม?” เย่เทียนเฉินถามอย่างเรียบเฉย
“ทำไมน่ะเหรอ? ยายทวดของฉันสูงส่งมาก คนชั้นต่ำอย่างแกจะเข้าไปใกล้ได้หรือไง? ไสหัวไปทางนู้นซะ!” ผู้หญิงคนนี้หวังถ้ามีอำนาจมาก ดูเหมือนกับจะตั้งใจทำให้เย่เทียนเฉินอับอายต่อหน้าทุกคน
“ถูกต้อง แม่ของแกถูกขับไล่ออกจากตระกูลหลัวไปนานแล้ว…”
“ไอ้ขยะสมควรตายนี่ ตระกูลหลัวเป็นที่ที่สามารถเข้าออกได้ตามใจหรือไง?”
“ไม่มีมารยาทเลยสักนิด เห็นผู้อาวุโสอย่างพวกเราก็ยังไม่รู้จักคารวะ”
“คุกเข่าโขกหัวเดี๋ยวนี้!”
เดิมทีคุณลุงคุณอาเหล่านี้ก็ไม่พอใจที่หลัวเยี่ยนกลับมาที่ตระกูลหลัวอยู่แล้ว พวกเขากลัวว่าการกลับมาของหลัวเยี่ยนในครั้งนี้ เธอจะไม่ยอมจะไปไหนอีก หลัวเหยียนซงก็แก่มากแล้ว ถึงแม้เรื่องเมื่อปีนั้นจะรุนแรง แต่ก็ยังเป็นลูกสาวของตัวเอง เป็นเลือดเนื้อเชื้อไข นี่เป็นสายสัมพันธ์ของครอบครัวที่ตัดไม่ขาด เป็นกระดูกเป็นเส้นเอ็นที่ไม่อาจตัดขาด ใครจะสามารถรับประกันได้ว่า หลังจากที่หลัวเหยียนซงกลับมาถึงตระกูลหลัวแล้ว จะไม่ให้ลูกสาวย้ายกลับมาตระกูลหลัวเพื่อช่วยเขาจัดการธุรกิจ?
ในตอนเริ่มแรกทุกคนยังไม่กล้าก่อเรื่อง เพราะแม่เฒ่าตระกูลหลัวอยู่ในวาระสุดท้ายของชีวิตแล้ว หากว่าก่อเรื่องขึ้นมาในตอนนี้ เกรงว่าจะเป็นที่เพ่งเล็งของทุกคน โดยเฉพาะถ้าหากว่าหลัวเหยียนซงรู้เข้า จะต้องมีโทสะคับฟ้าอย่างแน่นอน ความจริงแล้วพ่อของหลัวเยี่ยนเป็นคนที่ไม่สามารถดูเบาได้คนหนึ่ง ไม่เพียงแต่มีความสามารถ แต่ยังกตัญญูต่อบุพการี เกี่ยวกับเรื่องของหลัวเยี่ยน หลัวเหยียนซงตัวเองก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด
หลัวเยี่ยนถูกขับไล่ออกจากตระกูลหลัว แต่กลับไม่เคยโกรธคนในตระกูลหลัวเลย เพราะเธอรู้สึกคนเหล่านั้นต่างก็เป็นครอบครัวของเธอ หากพูดถึงหลัวเหยียนซงผู้เป็นพ่อ ในตอนที่ขับไล่ตัวเองออกมาจากตระกูล ถึงแม้จะเคร่งขรึมจริงจังเป็นอย่างมาก และไม่มีคำขอโทษออกมาแม้แต่ครึ่งคำ แต่หลัวเยี่ยนก็รู้สึกได้ถึงความลำบากใจของผู้เป็นพ่อ ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่เธอไปจากตระกูลหลัวแล้ว ได้ยินว่าพ่อของเธอป่วยอยู่หนึ่งเดือนเต็มๆ ถึงจะค่อยๆ ดีขึ้น ทำให้หลัวเยี่ยนที่ฉลาดเฉลียวอดไม่ได้ที่จะคิดว่า จะเป็นเพราะพ่อเองก็มีเรื่องลำบากใจอะไรหรือไม่?
“ยายทวดใกล้จะจากโลกนี้ไปแล้ว ยังมีคนรุ่นหลังที่เอาแต่ก่อเรื่องอย่างพวกคุณ ผมล่ะเสียใจจริงๆ!” เย่เทียนเฉินมองไปยังผู้หญิงอายุสามสิบกว่าปีตรงหน้าอย่างไม่พอใจ อยากจะตบปากแรงๆ สักครั้ง แต่ก็ยังอดทนเอาไว้ สาเหตุนั้นมีเพียงอย่างเดียวนั่นก็คือไม่อยากให้หญิงชราจากไปด้วยความเป็นทุกข์
“หึ แกนับเป็นตัวอะไรได้ถึงกล้ามาสั่งสอนฉัน ถ้าพูดถึงเรื่องอายุ ฉันก็เป็นญาติผู้พี่ของแก ที่นี่มีที่ให้แกสอดปากที่ไหนกัน ไสหัวออกไป!” ผู้หญิงอายุสามสิบกว่าปีชี้หน้าเย่เทียนเฉินแล้วแค่นเสียงเย็นออกมาพลางกล่าวด่า
เดิมทีผู้หญิงที่วิ่งออกมาอย่างกะทันหันเพื่อมาด่าเย่เทียนเฉินนี้ คือลูกสาวคนโตของพี่ใหญ่ของหลัวเยี่ยน ชื่อว่าหลัวชิงหง เป็นลูกสาวคนโตของคุณลุงของเย่เทียนเฉิน เป็นญาติผู้พี่ของเย่เทียนเฉิน เพียงแต่น่าเสียดายที่ญาติผู้พี่คนนี้ไม่มีความน่าเคารพเลื่อมใสแบบญาติผู้พี่เลยแม้แต่น้อย ในตอนนี้ยังออกมายืนด่าโดยไม่รู้ความ หากไม่ใช่ว่าคนส่วนใหญ่ต้องการที่จะไล่เย่เทียนเฉินและหลัวเยี่ยนออกไปอยู่แล้ว เกรงว่าเธอคงจมน้ำลายตายแน่
เย่เทียนเฉินมองหลัวชิงหง สำหรับผู้หญิงปากร้ายคนนี้นั้นเขาไม่ต้องการที่จะใส่ใจอะไรให้มากมาย เขาไม่ทำร้ายผู้หญิงนั้นเป็นเรื่องจริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ทำร้ายผู้หญิงปากร้าย ตอนนี้เขาไม่คิดจะลงมือเพราะไม่อยากก่อเรื่อง และไม่อยากทำให้แม่ต้องรู้สึกอึดอัด ที่สำคัญที่สุดก็คือยายทวดกำลังอยู่ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต เขาไม่อยากทำให้หญิงชราคนนี้จากโลกนี้ไปด้วยความทุกข์
ทุกคนมองเย่เทียนเฉิน หลัวเยี่ยนขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ความจริงสถานการณ์เช่นนี้ ระหว่างทางที่เดินทางมาเธอก็ได้คิดเอาไว้แล้ว ดังนั้นในตอนที่อยู่บริเวณนอกประตู จึงไม่คิดที่จะให้ลูกชายเข้ามาด้วยกันกับเธอ ตอนนี้ครอบครัวตระกูลหลัวไม่มีความรู้สึกของครอบครัวให้เธอเลยแม้แต่ครึ่งส่วน ปฏิบัติต่อเธอเหมือนกับเป็นคนนอกอย่างไรอย่างนั้น
“ยายทวด ผมเอง ผมชื่อเย่เทียนเฉิน ผมกลับมากับแม่เพื่อเยี่ยมยายทวดแล้วครับ!” เย่เทียนเฉินเดินไปข้างเตียง จับมือของยายทวดแล้วพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
หญิงชราลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก รับรู้ได้ถึงบริเวณที่ถูกสัมผัส ที่เธอยังไม่ตายก็เป็นเพราะเธอยังมีเรื่องในใจที่ยังทำไม่สำเร็จ สิ่งที่ต้องการเห็นก็ยังไม่ได้เห็น
“เด็กดี แค่กๆ …แค่กๆ …” คำพูดของหญิงชรายังพูดไม่ทันจบก็ไอออกมาอย่างรุนแรง ดูเหมือนว่าเพียงพริบตาก็อาจจะยืนหยัดต่อไปไม่ไหว ทุกคนต่างร่วมกันเข้ามา คิดว่าแม่เฒ่าตระกูลหลัวจะลมหายใจขาดห้วงแล้ว
ไหนเลยจะรู้ว่าในตอนนี้เอง สีหน้าของหญิงชราจะแดงระเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย คล้ายกับกลับมาจากความตาย ดวงตาก็ลืมขึ้นแล้ว เปล่งประกายขึ้นมาก โดยเฉพาะตัวคนที่ค่อยๆ ลุกขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ทำให้ทุกคนตกใจจนถอยหลังออกไป ไม่กล้าเชื่อในสิ่งที่เห็น มีเพียงหลัวเยี่ยนที่น้ำตาไหลออกมาไม่หยุด นี่คือความซาบซึ้งใจ เธอรีบยืนขึ้นประคองคุณย่าให้นั่งลงบนเตียง นำหมอนหลายใบไปวางไว้ข้างหลังให้เธอพิง
ทุกคนที่อยู่ที่นี่รวมไปถึงหลัวเยี่ยนซึ่งเป็นแม่ของเย่เทียนเฉินต่างก็รู้สึกประหลาดใจ มีเพียงเย่เทียนเฉินคนเดียวถึงจะรู้ว่านี่เกิดขึ้นได้อย่างไร เขารู้ว่ายายทวดยังมีเรื่องติดค้างในใจที่ยังทำไม่สำเร็จ ไม่เต็มใจที่จะจากไปเช่นนี้ ดังนั้นในตอนที่เขาจับมือยายทวด จึงแอบส่งพลังพิเศษที่มีอยู่ในร่างกายเข้าไปยังร่างกายของยายทวด ซึ่งพลังพิเศษเหล่านั้นเป็นพลังพิเศษที่บริสุทธิ์ที่สุด ช่วยให้หญิงชราสามารถยืนหยัดต่อไปได้อีกสักครู่ เขาก็ทำได้เพียงเท่านี้ จะอย่างไรอวัยวะในร่างกายของหญิงชราก็ย่ำแย่มากแล้ว ไม่มีเรี่ยวแรงจะอยู่ต่อไป
“หลานคือเทียนเฉินเหรอ? ก่อนหน้านี้ตอนที่โทรคุยกับแม่ของเธอ ก็ได้พูดถึงเธอมาก่อนแล้ว หน้าเหมือนแม่จริงๆ ลูกชายที่เหมือนแม่นับว่ามีวาสนา!” แม่เฒ่าพูดด้วยรอยยิ้ม ดูเหมือนจิตใจจะดีขึ้นมาก
“ใช่แล้วครับยายทวด ยายทวดรู้สึกดีขึ้นไหมครับ?” เย่เทียนเฉินเองก็เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“ดีขึ้นมากแล้ว ได้เห็นหลานกับแม่ของหลาน ยายก็มีความสุขมากจริงๆ มีความสุขมากจริงๆ …” แม่เฒ่ายิ้มหยังเมตตา
ในตอนนี้เอง หลัวชิงหงเห็นว่าเย่เทียนเฉินถึงกับเดินไปเบื้องหน้ายายทวดโดยไม่เห็นตัวเองอยู่ในสายตา และดูเหมือนว่าจะทำให้ยายทวดพึงพอใจและยินดีมาก ทันใดนั้นหลัวชิงหงจึงรู้สึกไม่พอใจยิ่งขึ้น ตั้งแต่เล็กเธอก็อาศัยอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลหลัว ไม่เคยเห็นยายทวดมีท่าทางแบบนี้กับตนเองมาก่อน เย่เทียนเฉินก็เป็นแค่หลานนอกตระกูลเท่านั้น แม่ของเขาก็ถูกขับไล่ออกไปแล้ว ไม่ใช่คนตระกูลหลัวนานแล้ว ยายทวดกลับรักและเอ็นดูพวกเขาแบบนี้ ยิ่งทำให้ในใจของเธอรู้สึกว่าไม่ยุติธรรม
“ยายทวด ยายดีขึ้นก็ดีแล้วค่ะ ตอนนี้ก็สามารถให้คนนอกสองคนนี้ออกไปได้แล้ว!” หลัวชิงหงไม่รู้จักกาละเทศะ มองหลัวเยี่ยนและเย่เทียนเฉินอย่างไม่พอใจแล้วพูดขึ้น
ไม่รอให้แม่เฒ่ากล่าวอะไร เย่เทียนเฉินและหลัวเยี่ยนก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ถ้าหากเป็นยามปกติ บางทีหลัวเยี่ยนก็อาจจะอดทน เดิมทีนิสัยของเธอก็ใจดีอยู่แล้ว แล้วไม่ชอบแก่งแย่งชิงดีกับคนอื่น แต่วันนี้ ตอนนี้ คุณย่าของตน ญาติผู้ใหญ่ทุกคนในตระกูลหลัว ญาติผู้ใหญ่สายเลือดเดียวกัน กำลังจะจากโลกนี้ไปแล้ว อยู่ในวาระสุดท้ายของชีวิตแล้ว จนถึงตอนนี้ก็ยังมีคนเพ่งเล็งมาที่เธอ ไม่ให้ยายทวดจากไปอย่างสงบใจ ต่อให้เป็นพระโพธิสัตว์ก็ต้องมีความโกรธเคืองอยู่สามส่วน โดยเฉพาะกับคนสาระเลวเหล่านี้
“ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าพวกคุณเป็นอะไรกันไปหมดแล้ว? หรือว่าการที่ตระกูลหลัวรุ่งเรืองมากขึ้นทุกวัน ทำให้พวกคุณกลายเป็นคนที่เห็นแก่ชื่อเสียงและความมั่งคั่งไปทั้งหมดแล้ว? กระทั่งญาติพี่น้องที่เป็นดั่งมือเท้าของตัวเองก็สามารถเพ่งเล็งและทำร้ายได้? เธอเป็นญาติผู้น้อยของฉัน ตามหลักแล้วก็ควรจะเรียกฉันว่าอาหญิง แต่ตอนนี้เธอใช้น้ำเสียงแบบไหนพูดกับฉัน? พ่อของเธอสั่งสอนทำมาแบบไหน?” หลัวเยี่ยนทนไม่ไหวอีกต่อไป จ้องมองไปยังหลัวชิงหงแล้วพูดขึ้น
หลัวชิงหงอดไม่ได้ที่จะชะงักไป ถอยหลังออกไปหลายก้าวโดยไม่รู้ตัว ตั้งแต่เด็กเธอก็เติบโตมาในตระกูลหลัว เคยได้ยินผู้หลักผู้ใหญ่พูดกันถึงเรื่องเมื่อปีนั้นที่หลัวเยี่ยนถูกขับไล่ออกจากตระกูลหลัวมาก่อน คนรุ่นเดียวกับเธอต่างก็คิดว่า หลัวเยี่ยนซึ่งเป็นอาหญิง เป็นคนใจดี แล้วเป็นคนที่รังแกได้ง่าย มิฉะนั้นเมื่อปีนั้นคงไม่ร้องไห้ไปจากตระกูลหลัว แต่คาดไม่ถึงว่าหลัวเยี่ยนในตอนนี้จะแสดงความโกรธออกมา นี่มากพอที่จะทำให้เธอต้องตกใจ โดยเฉพาะคำพูดของหลัวเยี่ยน ไม่เพียงแต่ทำให้หลัวชิงหงรู้สึกอับจนคำพูด แต่ยังอับอายจนหน้าแดงหูแดงไปหมด
“คุณ…ฉัน…” หลัวชิงหงหน้าแดงขึ้นเรื่อยๆ อับอายจนพูดอะไรไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว
“ไปเรียกพ่อของเธอมา ฉันต้องการจะถามเขาที่เป็นพี่ใหญ่สักหน่อยว่าสั่งสอนลูกสาวเขายังไง…” หลัวเยี่ยนมองไปยังหลัวชิงหงแล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา
…………………………….
“ดี…ดี ไอ้เดรัจฉานน้อย แกก็เป็นแค่คนที่ถูกขับไล่ออกจากตระกูลเท่านั้น กล้ามาทำกับฉันแบบนี้ รอดูเถอะ…”
จางอวิ๋นด่าออกมาอย่างโกรธเคือง ขับรถออดี้ของตนไปจากประตูบ้านสไตล์โบราณแห่งนี้ เย่เทียนเฉินไม่ได้ลงมืออีก เขารู้ว่าหลัวเยี่ยนแม่ของเขาจะต้องหยุดยั้งเขาเอาแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลามาก่อเรื่อง รีบเข้าไปดูยายทวดให้เร็วหน่อยจะดีกว่า
“คุณชายน้อย คุณไม่ควรจะลงมือเลย จางอวิ๋นเป็นคนใจแคบคนหนึ่ง เป็นคนที่มีแค้นต้องชำระ ยิ่งไปกว่านั้นในช่วงที่คุณชายใหญ่ไม่อยู่ ดูเหมือนว่าตระกูลหลัวจะเชื่อฟังแม่ของจางอวิ๋นและลุงใหญ่ของคุณ ตอนนี้แม่เฒ่าป่วยหนัก พวกเขาจะต้องคิดหาผลประโยชน์จากเรื่องนี้แน่นอน!” ลุงหวังเห็นเย่เทียนเฉินตบหน้าจางอวิ๋นไปครั้งหนึ่งก็อดไม่ได้ที่จะพูดออกมาอย่ากังวลใจ
“เทียนเฉิน หรือว่าลูกจะกลับไปก่อน แม่เข้าไปดูแป๊บเดียวก็ออกมาแล้ว…” หลัวเยี่ยนพูดอย่างกังวล
ถึงแม้ว่าจะไม่ได้กลับมาตระกูลหลัวยี่สิบปีแล้ว หลัวเยี่ยนก็ยังเข้าใจนิสัยของพี่ชายและน้องสาวของเธอเป็นอย่างมาก น้องสาวของเธอก็คือแม่ของจางอวิ๋น มีนิสัยยโสโอหังมาโดยตลอด และยังใช้อำนาจบาตรใหญ่ ตอนสมัยวัยรุ่นยังคิดที่จะเข้าไปคลุกคลีกับสังคมมืด เห็นได้ชัดว่าโอหังถึงขนาดไหน ส่วนพี่ชายของหลัวเยี่ยนซึ่งก็คือคุณลุงใหญ่ของเย่เทียนเฉิน นี่ก็เป็นคนที่โหดเหี้ยมคนหนึ่ง เมื่อปีนั้นต้องการที่จะไล่หลัวเยี่ยนออกมาจากตระกูลหลัว ก็เป็นเรื่องที่เขาพูดขึ้นมาเป็นคนแรก เจตนาของเขานั้นทุกคนต่างก็ดูออก เขากลัวว่าคุณพ่อจะยอมรับให้หลัวเยี่ยนอยู่ด้วยกันกับเย่หง ตอนนั้นคุณย่าก็ยังยืนอยู่ฝ่ายเดียวกับหลัวเยี่ยน หากว่าคุณพ่อเองก็ยอมรับ เย่หงก็เป็นไปได้มากกว่าจะกลายเป็นลูกเขยที่แต่งเข้าบ้านตระกูลหลัว เมื่อถึงตอนนั้นเขาก็ไม่มีทางควบคุมอำนาจส่วนใหญ่ของตระกูลหลัวได้ และความเป็นไปได้ที่จะได้เป็นผู้ควบคุมตระกูลหลัวก็น้อยลง
ไม่กล่าวไม่ได้ว่าคุณพ่อของหลัวเยี่ยน หลัวเหยียนซง เป็นผู้ชายที่เข้มงวดและมีความสามารถคนหนึ่ง ถึงแม้ว่าเมื่อปีนั้นจะไม่เห็นด้วยพี่จะให้หลัวเยี่ยนแต่งงานกับเย่หง แต่ว่าในด้านของการสั่งสอนและการควบคุมคนรุ่นหลังก็เข้มงวดจริงจังเป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่ใช่คนที่เหลิงในอำนาจ ตอนนั้นพี่ชายของหลัวเยี่ยนเป็นพวกเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ไม่ยอมเรียนไร้ซึ่งความรู้ หลัวเหยียนซงจึงได้พูดประโยคหนึ่งต่อหน้าคนตระกูลหลัวทั้งตระกูลว่า ผู้ที่จะมาเป็นหัวเรือใหญ่ของตระกูลหลัว ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นสายเลือดของคนตระกูลหลัวเสมอไป ตระกูลหลัวของพวกเราเติบโตมาจนถึงทุกวันนี้ จำเป็นที่จะต้องมีบุคคลผู้มีความสามารถคนหนึ่งมาเป็นหัวเรือใหญ่ ไม่ต้องการพวกไร้ประโยชน์
เพราะประโยคนี้พี่ชายใหญ่ของหลัวเยี่ยนจึงตกตะลึง เดิมทีเขาคิดว่าตนเองเป็นหลานชายคนโตของตระกูลหลัว ไม่ว่าจะอย่างไรพ่อก็ทำได้เพียงมอบตำแหน่งหัวเรือใหญ่ของตระกูลหลัวให้เขา และด้วยอำนาจและอิทธิพลเบื้องหลังของตระกูลหลัวก็มากพอที่จะใช้ชีวิตสุขสบายไปทั้งชาติ เงินทอง ที่ดิน จากการประเมินของเขาก็มีมูลค่านับร้อยล้าน ไหนเลยจะรู้ว่าพ่อของเขาหลัวเหยียนซงจะพูดแบบนี้ออกมา ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ยังเข้าใจนิสัยของพ่อมากด้วย เป็นคนพูดจริงทำจริง นี่จึงทำให้เขารู้สึกอันตราย หลายปีมานี้จึงอยู่ในกฎเกณฑ์ขึ้นมาก คอยช่วยเหลือกิจการของตระกูลหลัวมาโดยตลอด แต่นิสัยดั้งเดิมก็ยากที่จะเปลี่ยน นิสัยยโสโอหังนั้นไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย
“แม่ครับ ไม่เป็นไร พวกเราเข้าไปดูยายทวดกันก่อนเถอะ!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม
“แต่ว่า…”
“ไปเถอะครับแม่…”
เย่เทียนเฉินกล่าวขัดคำพูดของแม่ ดันแม่ของตนให้เข้าไปในบ้านสไตล์โบราณ การปรากฏตัวจางอวิ๋นทำให้เย่เทียนเฉินเกิดความโมโหอยู่ในใจแล้ว เพียงแต่เขาไม่ต้องการที่จะก่อเรื่อง จะอย่างไรแม่ก็ต้องรู้สึกอึดอัด และไม่ต้องการให้เขาทำแบบนี้ แต่ตอนนี้ขอแค่คนเหล่านี้ถ้าไม่มาหาเรื่องเขาก็พอ เขาก็จะไม่ใส่ใจไปสั่งสอน เขาทำเพียงเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมคืนให้แม่เท่านั้น
หลัวเยี่ยนเองก็รู้ว่าสถานการณ์เร่งด่วนมาก ยังไงก็มาถึงประตูใหญ่แล้วจึงไม่ได้มีการลังเลอะไรอีก เพียงแต่ในใจจะมากจะน้อยก็รู้สึกลำบากใจ ผ่านไปนานหลายปีขนาดนี้แล้ว พี่ใหญ่และน้องสาวทั้งสองคนก็ยังเพ่งเล็งตนเองอยู่ ไม่รู้จริงๆ ว่าพวกเขาคิดอะไร ไม่ว่าจะอย่างไรต่างก็เป็นครอบครัวเดียวกัน ทำไมต้องกังวลมากขนาดนั้นด้วย?
เย่เทียนเฉิน หลัวเยี่ยน และมุ่งหวัง ทั้งสามเดินเข้าไปในบ้านสไตล์โบราณด้วยกัน ด้านในหมีคุณลุงของหลัวเยี่ยนจำนวนหนึ่งอยู่กับคนรุ่นเดียวกับคุณพ่อ พวกเขาต่างก็เป็นลูกสาวลูกชายของคุณย่า ย่อมต้องมาอยู่ที่นี่ในตอนที่แม่เฒ่าป่วยหนักเป็นธรรมดา
มีคนลุงคุณอาหลายคนเห็นว่าหลัวเยี่ยนกลับมาแล้ว ต่างก็ตกตะลึงอย่างมาก แต่กลับไม่ได้ขัดขวางเอาไว้ พวกเขารู้ว่าหลานสาวที่แม่เฒ่ารักมากที่สุดก็คือหลัวเยี่ยน ในช่วงเวลาสุดท้ายก่อนจะไปจากโลกนี้ คงจะต้องการเห็นหลัวเยี่ยนเป็นธรรมดา ใครก็ไม่คิดจะก่อเรื่องในสถานการณ์เช่นนี้ ถ้าทำแบบนั้นจะต้องถูกเพ่งเล็งแน่นอน
เย่เทียนเฉินมองคนที่อยู่บริเวณนี้ ต่างก็มีอายุมากกว่าแม่ของเขา เขาไม่ได้ทักทายใคร จะอย่างไรถึงแม้ว่าคนเหล่านี้จะไม่ได้ขัดขวางคุณแม่ แต่ในดวงตาจะมากจะน้อยก็มีความรู้สึกขับไล่ เชื่อว่าคนเหล่านี้จะต้องมีส่วนร่วมเรื่องที่หลัวเยี่ยนถูกไล่ออกมาจากตระกูลหลัวอย่างแน่นอน
ตระกูลใหญ่ก็มีความน่าเศร้าของตระกูลใหญ่ สิ่งที่น่าเศร้าที่สุดก็คือลูกหลานคนรุ่นหลังของตระกูลต่างก็มีใจคิดแย่งชิงสมบัติกัน สุดท้ายก็ไม่เสียดายความสัมพันธ์ฉันพี่น้อง กระทั่งสามารถหันหน้าเข้าห้ำหั่นกันได้ เรื่องเหล่านี้ไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลกอะไรในตระกูลใหญ่
พ่อของหลัวเยี่ยนหลัวเหยียนซงเป็นหัวเรือใหญ่ของตระกูลหลัว สิ่งแรกที่เขาใคร่ครวญก็คือตำแหน่งหัวเรือใหญ่ของตระกูลนี้จะต้องส่งมอบให้กับหนึ่งในลูกชายลูกสาวทั้งสามคนของเขา ในเรื่องของการส่งมอบตำแหน่งหัวเรือใหญ่ของตระกูลใหญ่ไม่ได้แบ่งแยกชายหญิงมานานแล้ว ดูเพียงความสามารถเท่านั้น นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้หลัวเยี่ยนถูกพี่ใหญ่และน้องสาวเล่นงาน หลัวเยี่ยนที่เป็นที่รัก นี่มีผลอย่างมากต่อคนที่จะได้รับตำแหน่งหัวเรือใหญ่แห่งตระกูลหลัว และยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกว่าหลัวเยี่ยนเป็นคนที่อาจจะคุกคามพวกเขาได้มากที่สุด
ดังนั้นในตอนที่รู้ว่าหลัวเยี่ยนคบกับเย่หง และดูเหมือนจะต้องพบกับการคัดค้านของคนทั้งหมดในตระกูล จึงทำการเสริมเติมแต่ง สร้างข่าวลือแย่ๆ บอกว่าหลัวเยี่ยนตกเป็นของเย่หงเรียบร้อยแล้ว ในที่สุดก็บีบบังคับให้หลัวเยี่ยนออกไปจากตระกูลหลัว และยังทะเลาะกับหลัวเหยียนซงผู้เป็นพ่ออีกด้วย จนถึงขั้นตัดขาดความสัมพันธ์พ่อลูกกัน
ตอนนี้หลัวเยี่ยนกลับมาแล้ว กลับมาเพื่อมาดูใจแม่เฒ่าตระกูลหลัวที่ใกล้จะลาโลกนี้ไป คนส่วนใหญ่รับรู้ได้ถึงอันตราย เป็นความรู้สึกที่อันตรายยิ่งกว่าเมื่อยี่สิบปีก่อน เพราะว่าเมื่อยี่สิบปีก่อนคุณพ่อของหลัวเยี่ยนหลัวเหยียนซงยังอายุน้อย โดยปกติก็ไม่คิดที่จะมอบตำแหน่งหัวเรือใหญ่ให้ใคร แต่ยี่สิบปีผ่านมาแล้ว หลัวเหยียนซงก็แก่ลงมากแล้ว จำเป็นจะต้องใคร่ครวญถึงปัญหานี้
บางทีมีเพียงเย่หงผู้เป็นพ่อของเย่เทียนเฉินคนเดียวเท่านั้นถึงจะรู้ว่าในสิ่งที่แม้แต่เย่เทียนเฉินและเย่เชี่ยนเหวินก็ไม่รู้ นั่นก็คือหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ของพวกเขาเคยเป็นผู้หญิงที่มีความสามารถมาก่อน จบการศึกษาสาขาวิชาการจัดการการเงินจากมหาวิทยาลัยหลงเถิง ตอนนั้นยังเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลในมหาวิทยาลัยอีกด้วย เป็นผู้หญิงที่มีทั้งหน้าตาสวยงามและมีทั้งความเฉลียวฉลาด เพียงแต่หลายปีมานี้ เธอคอยสนับสนุนพ่อของเย่เทียนเฉินอยู่เบื้องหลังมาเงียบๆ โดยตลอด ทำตัวตามแบบฉบับของแม่และภรรยาที่ดี
เพราะคุณลุงคุณอาเหล่านั้นของตระกูลหลัว และยังมีพี่ชายและน้องสาวของหลัวเยี่ยนซึ่งเข้าใจว่าหลัวเยี่ยนเป็นผู้หญิงที่มีความสามารถและเฉลียวฉลาดคนหนึ่ง ถึงได้กังวลขนาดนั้น หากหลัวเยี่ยนไม่ถูกไล่ออกจากตระกูลหลัว ก็ไม่รู้ว่าจะมีอุปสรรคมากน้อยเพียงใด เช่นคุณลุงคุณอาเหล่านั้น พวกเขาย่อมไม่มีโอกาสที่จะได้เป็นหัวเรือใหญ่ของตระกูลหลัวแล้ว แต่พวกเขาก็ยังมีลูกสาวลูกชายของตนเองที่ต่อสู้แย่งชิงได้
“คุณย่า คุณย่า…หนูคือเยี่ยนเอ๋อร์ หนูกลับมาแล้ว…ย่ารู้สึกดีขึ้นไหมคะ?” หลัวเยี่ยนนั่งลงข้างเตียง กลุ่มมือขวาของแม่เฒ่าที่นอนอยู่บนเตียงเอาไว้แน่น น้ำตาไหลออกมาเต็มหน้า แต่ก็ยังพยายามเรียกด้วยน้ำเสียงยินดี
บนเตียงตรงกลางของห้องมีแม่เฒ่าที่อายุเกือบจะร้อยปีนอนอยู่ ร่างกายซูบผอมเป็นอย่างมาก สีหน้าซีดขาว ใครก็มองออกว่านี่เป็นวาระสุดท้ายของเธอแล้ว นี่ไม่ใช่การป่วยสาหัส แต่เป็นโรคชราตามธรรมชาติ อวัยวะต่างๆ เริ่มหยุดทำงาน ในทันทีที่เย่เทียนเฉินแผ่ขยายพลังพิเศษแห่งการรับรู้ออกไป เขาสามารถรับรู้ได้ถึงลมหายใจแห่งชีวิตของแม่เฒ่าค่อยๆ หย่อนลง และใกล้จะดับไฟแล้ว
“เยี่ยนเอ๋อร์…เป็นหลานจริงๆ เหรอ?” แม่เฒ่าลืมตาขึ้นอย่างอ่อนแรง ในดวงตามีความยินดีปรากฏ เธออยากที่จะลุกขึ้นนั่ง แต่กลับไม่มีเรี่ยวแรง
“เป็นหนูเองค่ะคุณย่า เป็นหนูเองเยี่ยนเอ๋อร์…หนูกลับมาแล้ว หนูกลับมาเยี่ยมคุณย่าแล้ว ย่าจะต้องไม่เป็นอะไร….” หลัวเยี่ยนอดไม่ได้ที่จะน้ำตาไหลออกมา ตัวเองก็สามารถรับรู้ได้ว่าเวลาของเธอเหลืออีกไม่นานแล้ว
จากกันไปยี่สิบปี ย่าหลานถึงจะได้พบกันอีกครั้ง แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่ผู้สูงวัยก็ใกล้จะจากโลกนี้ไปแล้ว จะให้ไม่รู้สึกเจ็บปวดใจได้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหลัวเยี่ยนคิดไปถึงตอนเด็กๆ คุณย่ารักตัวเองมาก เลี้ยงสามพี่น้องให้เติบโตมาด้วยมือของตน และรักตัวเองมากเป็นที่สุด หลัวเยี่ยนอดไม่ได้ที่จะร้องไห้สะอึกสะอื้น นี่เป็นหญิงชราที่เมตตาคนหนึ่ง แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเย็นชากับคนในครอบครัวด้วยเรื่องความร่ำรวยความยากจน ในใจของเธอครอบครัวเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดตลอดกาล
“กลับมาก็ดีแล้ว กลับมาก็ดีแล้ว…หลายปีมานี้หลานมีความสุขดีหรือไม่?” ความจริงดวงตาของแม่เฒ่ามองได้ไม่ชัดเจนแล้ว แต่กลับยังจับมือของหลัวเยี่ยนไว้แน่นแล้วถามขึ้น
“มีความสุขค่ะ ย่าคะ หนูมีความสุขมาก!” หลัวเยี่ยนอดไม่ได้ที่จะมองไปยังหญิงชราที่หายใจอย่างยากลำบาก เอียงหัวไปด้านหนึ่งแล้วพูดขึ้น
“งะ งั้นก็ดีแล้ว…เมื่อปีนั้นย่าไม่ได้สนับสนุนหลานในทางที่ผิด เป็นผู้หญิงสิ่งที่จำเป็นก็คือผู้ชายที่รักตัวเอง จำเป็นต้องมีครอบครัวที่มีความสุข นี่สำคัญยิ่งกว่าอะไรทุกสิ่ง…” แม่เฒ่ายืนหยัดต่อไป ยืนหยัดที่จะพูดกับหลานสาวที่ตนเองรักที่สุดให้มากขึ้น
“ค่ะ คุณย่า ย่าจะต้องไม่เป็นอะไรแน่ จะต้องไม่เป็นอะไร…เดี๋ยวก็ดีขึ้น!” หลัวเยี่ยนพยักหน้า พูดออกมาด้วยรอยยิ้มที่ดูฝืนๆ บริเวณมุมปาก
แม่เฒ่าไม่ได้พูดอะไร หลับตาลง สูดหายใจลึก เธอไม่มีเรี่ยวแรงที่จะพูดอีกต่อไปแล้ว ได้เห็นหลานสาวที่ตนเองรักที่สุดในช่วงเวลาสุดท้ายก่อนที่จะจากโลกนี้ไป เธอก็พอใจมากแล้ว ยกมือขวาของตนเองขึ้นมาอย่างยากลำบาก ดูเหมือนว่าต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง หรือไม่ก็ต้องการที่จะหยิบของบางอย่างออกมา
“คุณย่าคะ ย่าอย่าขยับเลย ไปคิดจะทำอะไรบอกเยี่ยนเอ๋อร์มาเถอะ เยี่ยนเอ๋อร์จะทำให้…” หลัวเยี่ยนพูดอย่างร้อนใจ
“ผมทราบครับแม่เฒ่า ผมทราบแล้วครับผมจะรีบกลับมา…” ในตอนนี้เอง ลุงหวังก็พูดขึ้นแล้ววิ่งออกนอกประตูไปด้วยความเร่งร้อน ดูเหมือนว่าจะไปเอาของบางอย่างออกมา
เย่เทียนเฉินมองแม่เฒ่าที่หลับตาลง หายใจอย่างหนักหน่วง และกำลังรอคอย กำลังพยายาม ต้องการที่จะทำเรื่องสุดท้ายที่เธอต้องการให้สำเร็จ มิฉะนั้นเธอก็ไม่อาบสงบใจได้
…………………………….
ถ้าลุงหวังไม่ได้ปรากฏตัวออกมา เย่เทียนเฉินจะต้องลงมือสั่งสอนพวกสุนัขเฝ้าบ้านหลายคนนั้นแล้วแน่นอน เห็นได้ชัดว่าบอดี้การ์ดเฝ้าบ้านเหล่านี้เป็นสุนัขที่เหยียดหยามคน รวมกับที่ไม่ยอมช่วยแม่ของตน คนที่เคยเป็นคุณหนูตระกูลหลัว ตอนนี้ถึงกลับไม่สามารถเข้าไปได้แม้แต่รั้วบ้านของตระกูล มีช่างเป็นการเสียดสีมากจริงๆ เย่เทียนเฉินคิดว่าจะไม่สนใจ แต่ตอนนี้เขาไม่สามารถปล่อยให้พ่อแม่และน้องสาวได้รับความอยุติธรรมแม้แต่น้อย โดยเฉพาะยิ่งไม่สามารถปล่อยให้ถูกคนน่ารังเกียจเหล่านี้รังแกได้โดยเด็ดขาด
โชคดีที่ลุงหวังปรากฏตัวได้ทันเวลา และพาหลัวเยี่ยนและเย่เทียนเฉินเข้าไปในตระกูลหลัว มิฉะนั้นจะต้องหลีกเลี่ยงการต่อสู้ไม่ได้แน่นอน พูดให้ชัดเจนก็คือเย่เทียนเฉินจะต้องอัดคนแน่
“คุณหนูครับ คุณไม่ได้กลับบ้านมาหลายปีแล้ว ลองดูการตกแต่งรอบๆ สิครับ ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปเลย!” ลุงหวังเป็นคนซื่อตรง พูดกับหลัวเยี่ยนด้วยรอยยิ้ม
หลัวเยี่ยนมองไปรอบๆ ไม่ได้กลับมาบ้านตระกูลหลัวยี่สิบ ปีแล้ว ที่นี่เคยเป็นสถานที่ที่เธอใช้ชีวิตอยู่ และกล่าวได้ว่าเป็นบ้านหลังแรกของเธอ ความรู้สึกย่อมลึกล้ำเป็นธรรมดา ต้นหญ้าทุกต้นต้นไม้ทุกต้นต่างก็ให้ความรู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะศาลาเล็กๆ บริเวณไม่ไกลนั้น เมื่อหลัวเยี่ยนเห็นก็อดไม่ได้ที่จะชะงักไป
ภายในคฤหาสน์ตระกูลหลัว เมื่อมองไปก็สามารถพูดได้ว่ายิ่งใหญ่มีแบบแผน มีสิ่งปลูกสร้างทันสมัยมากมาย ต่อให้เมื่อก่อนจะมีบ้านแบบโบราณของเมืองหลวงล้อมรอบสิ่งปลูกสร้างในยุคปัจจุบันอยู่มาก มีเพียงศาลาเล็กๆ แห่งเดียวเท่านั้นที่เห็นได้ชัดเจน ทั้งหมดต่างใช้หินและกระเบื้องทำขึ้นมา เมื่อเทียบกับสิ่งปลูกสร้างอันยิ่งใหญ่ตระการตารอบๆ แล้ว ดูโทรมลงมาก แต่ก็ยังรักษาเอาไว้ได้ คิดว่าจะต้องมีความหมายอันลึกซึ้งอะไรอยู่แน่นอน
“ศาลานี้…” หลัวเยี่ยนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปาก
“เป็นแม่เฒ่าที่ยืนหยัดให้รักษาเอาไว้ ท่านกล่าวว่าตอนคุณหนูเด็กๆ มักจะจูงท่านมาเล่นที่นี่ คุณไม่อยู่ในตระกูลหลัวแล้ว ทุกวันท่านก็จะมานั่งเล่นที่นี่ คิดถึงคุณหนูตอนเด็กๆ นับว่ามีความคิดถึงคุณแล้ว!” ลุงหวังพูดถึงตรงนี้ก็อดไม่ได้ที่จะปวดใจ
หลัวเยี่ยนกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ได้อีก คุณแม่ของเธอจากโลกนี้ไปแล้วคุณพ่อก็กลายเป็นหัวเรือใหญ่แห่งตระกูลหลัว ทุกวันต่างก็ยุ่งมาก ไหนเลยจะมีเวลามาสนใจเธอ มีเพียงคุณย่าคนเดียวที่ดูแลเธอจนเติบใหญ่ ใส่ใจเธอ รักและปกป้องเธอ
เย่เทียนเฉินที่ยืนอยู่ด้านข้างเองก็รู้สึกหวั่นไหว เมื่อได้ยินคำพูดของลุงหวัง ต่อให้แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยได้พบกับคุณยายทวดมาก่อน แต่ก็สามารถจินตนาการได้เลยว่า จะต้องเป็นหญิงชราที่ใจดีและเมตตาคนนึงแน่นอน ให้ความสำคัญกับความรักของครอบครัว ผู้สูงอายุแบบนี้อยู่กับความเป็นจริง เป็นคนที่น่านับถือ
“แม่ครับ พวกเรารีบเดินเถอะ ไปเยี่ยมคุณยายทวดกัน!” เย่เทียนเฉินมองหลัวเยี่ยนที่หันหลังให้เขากับลุงหวังและกำลังเช็ดน้ำตาอยู่ เย่เทียนเฉินจะอดไม่ได้ที่จะพูดเตือนขึ้นเสียงเบา
“อืม!” หลัวเยี่ยนพยักหน้า เช็ดน้ำตาที่ไหลออกมา เดินตามหลังลุงหวังมุ่งหน้าไปยังบ้านที่มีคุณยายทวดอาศัยอยู่ด้วยความรวดเร็ว
หลัวเยี่ยนมองลุงหวังที่เดินอยู่ด้านหน้าสุด มือเท้าคดงอไปหมดแล้ว จึงทำให้อดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดใจแทนเฒ่าชราคนนี้ จากลากันไปยี่สิบปีแล้ว ในตอนที่เธอยังอยู่ในบ้านตระกูลหลัว ลุงหวังดีกับเธอมาก และยังแอบเปิดประตูให้เธอ ทำให้เธอได้ไปตามนัดที่นัดเอาไว้กับเย่หงผู้เป็นพ่อของเย่เทียนเฉิน เป็นผู้สูงวัยที่ดีมากคนนึง
“ลุงหวัง คนนี้คือลูกชายของหนูชื่อว่าเทียนเฉิน…” หลัวเยี่ยนแนะนำให้ลุงหวังด้วยรอยยิ้ม
“คุณชายน้อยดูเป็นคนมีความสามารถ ได้เห็นคุณชายน้อยก็เหมือนได้เห็นคุณหนู จะต้องเป็นผู้มีวาสนาแน่นอน!” ลุงหวังมองเย่เทียนเฉิน พูดออกมาด้วยรอยยิ้มชื่นชม
“ปู่หวัง สวัสดีครับ!” เย่เทียนเฉินเองก็พยักหน้าให้อย่างมีมารยาท
“รับไม่ไหวหรอกครับ คุณชายน้อยคุณเรียกผมว่าลุงหวังก็พอแล้ว ทุกคนต่างก็เรียกผมแบบนี้กันทั้งนั้น!” ลุงหวังตกใจจนพูดเป็นพัลวัน
เย่เทียนเฉินรับรู้ได้ว่า ลุงหวังเป็นคนรับใช้ของตระกูลหลัว แม้ว่าต่อหน้าของผู้อื่นเขาจะเป็นผู้จัดการทั่วไปตระกูลหลัวที่มีศักดิ์มีศรีอย่างมาก แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าญาติมิตรของคนตระกูลหลัว เกรงว่าคงได้รับความลำบากไม่น้อย เพราะว่าบนทางที่เดินผ่านมา เย่เทียนเฉินได้ยินแม่พูดถึงเรื่องของคนในตระกูลหลัวอยู่บ้าง รู้ว่าคนเหล่านี้ยโสโอหัง หากไม่ใช่ว่าตระกูลหลัวมีคำสั่งสอนของบรรพบุรุษว่า ปฏิบัติต่อคนให้ค้อมต่ำ ปฏิบัติงานให้ทะยานสูง เกรงว่าลูกหลานรุ่นหลังเหล่านี้คงบินไปสวรรค์นานแล้ว
“ลุงหวัง ขาของคุณเป็นอะไรไปคะ?” หลัวเยี่ยนอดไม่ได้ที่จะถามอย่างใส่ใจ
“อ้อ ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรครับ…ผมล้มโดยไม่ทันระวังเท่านั้นเอง แก่แล้ว ใช้ประโยชน์อะไรไม่ค่อยได้ ฮ่าๆ!” ลุงหวังพูดแล้วหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น เห็นได้ชัดว่ามีเรื่องปิดบัง ไม่เต็มใจที่จะบอกหลัวเยี่ยน
เมื่อเห็นลุงหวังไม่เต็มใจพูด หลัวเยี่ยนก็ไม่ได้ถามมาก ตอนนี้ที่สำคัญที่สุดก็คือไปเจอคุณย่า ไม่รู้ว่าแม่เฒ่าจะยังรอตัวเองอยู่หรือไม่
“คุณหนูถึงแล้วครับ หลังจากที่คุณไปจากตระกูลหลัว แม่เฒ่าก็ย้ายมาอยู่ที่นี่ ท่านบอกว่าท่านชอบอยู่เงียบๆ คนเดียวมากกว่า!” ลุงหวังหยุดอยู่เบื้องหน้าบ้านหลังเก่าแห่งหนึ่ง
เมื่อคนเราแก่ตัวลงก็มักจะนึกถึงความทรงจำเก่าๆ อาลัยอาวรณ์กับสิ่งของเดิมๆ ก็เหมือนกับความรู้สึกที่มีต่อหลัวเยี่ยน แม่เฒ่าตระกูลหลัวคิดถึงมาโดยตลอด เพียงแต่หลานสาวโตแล้ว ส่วนเธอเองก็แก่แล้ว ไม่สามารถไปวุ่นวายอะไรได้มากมาย คิดที่จะได้พบหน้าหลัวเยี่ยนสักครั้งเท่านั้น อยากจะเห็นว่าเธอใช้ชีวิตอย่างมีความสุขนั่นก็เพียงพอแล้ว
“พวกเราเข้าไปกันเถอะ!” หลัวเยี่ยนหันไปมองเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น
ไหนเลยจะรู้ว่า ในตอนที่หลัวเยี่ยน เย่เทียนเฉิน และลุงหวัง เตรียมที่จะเดินเข้าไปในบ้านสไตล์โบราณแห่งนี้ รถออร์ดี้คันนึงก็มาขวางเอาไว้เบื้องหน้าพวกเขา ชายวัยรุ่นคนหนึ่งลงมาจากรถ อายุประมาณยี่สิบกว่าปี สวมเสื้อผ้าแบรนด์เนมทั้งตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งนาฬิกาที่เขาสวมบนมือขวา อย่างน้อยก็มีค่าเป็นล้าน เชื่อว่าต้องทำให้คนธรรมดาตกใจจนอ้าปากค้างแน่นอน
“ไอ้แก่หวัง สองคนนี้เป็นใคร? ไม่รู้หรือไงว่าคุณยายทวดของฉันป่วยอยู่ ไม่อนุญาตให้ไอ้พวกว่างงานเข้าไป?” ชายวัยรุ่นคนนี้มองเย่เทียนเฉินและหลัวเยี่ยนอย่างไม่สบอารมณ์แล้วพูดขึ้น
“คุณชายอวิ๋น คนคนนี้คือหลัวเยี่ยน เป็นย่าของคุณ ได้ยินว่าแม่เฒ่าป่วยเลยมาดู กลับมาเยี่ยมท่านโดยเฉพาะ!” ลุงหวังพูดด้วยรอยยิ้ม
เมื่อได้ยินคำพูดของลุงหวัง คุณชายอวิ๋นผู้นี้ก็เดินมาเบื้องหน้าเย่เทียนเฉินและหลัวเยี่ยนอย่างวางมาด ใช้สายตาดูถูกมองไปยังพวกเขา จากนั้นก็ทำท่าทางยิ่งใหญ่ออกมา พูดอย่างนึกสนุกกว่า “หลัวเยี่ยน? ฉันเคยได้ยินแม่ของฉันพูดถึงคนคนนี้มาก่อน นี่ไม่ใช่คนที่ตายไปจากพวกเราตลอดกาลหรอกเหรอ? ทำไมยังวิ่งกลับมาที่ตระกูลหลัวอีก? ไอ้ยามเฝ้าบ้านพวกนั้นก็จริงๆ เลย ไม่ว่าใครก็ปล่อยเข้ามาด้านในทั้งหมด ไม่รู้หรือไงว่าตระกูลหลัวกลัวจะถูกคนอื่นทำให้สกปรกมากที่สุด?”
เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว ทันใดนั้นพลันเกิดความต้องการที่จะเดินเข้าไปสั่งสอนเจ้าลูกหลานรุ่นสองของตระกูลคนนี้ขึ้นมา เขาไม่สนใจว่าไอ้ปากหมานี้เป็นใคร มีฐานะอะไรในตระกูลหลัว แต่ถ้ามารังแกแม่ของเขา ในสายตาของเย่เทียนเฉินคนคนนี้สมควรตายแล้ว
“เทียนเฉิน…เทียนเฉิน…” หลัวเยี่ยนขวางเอาไว้เบื้องหน้าลูกชายในพริบตา เธอไม่อยากให้เกิดเรื่องอะไรที่นี่ โดยเฉพาะตอนนี้ที่คุณย่ากำลังป่วยนะ เธอต้องการรีบเข้าไปดูคุณย่าเป็นครั้งสุดท้าย ส่วนชายวัยรุ่นตรงหน้าก็สามารถรู้ได้จากคำพูดของลุงหวังว่า เขาเป็นหลานชายคนหนึ่งในตระกูล เป็นลูกชายของน้องสาวของเธอชื่อว่าจางอวิ๋น
“แกคิดจะทำอะไร? จะอัดฉันเหรอ? เบื่อชีวิตแล้วหรือไง? ไอ้เดรัจฉานน้อย!” จางอวิ๋นชี้ไปที่เย่เทียนเฉินอย่างโอหังและเอาแต่ใจ
“เอาอย่างนี้เถอะ นายก็ไปบอกแม่ของนาย บอกว่าพี่สาวของเธอซึ่งเป็นหลานสาวคนโตของตระกูลกลับมาแล้ว ให้พวกเขามาคารวะซะ!” เย่เทียนเฉินรู้ว่าแม่ไม่ยอมให้เขาลงมือแน่ ดังนั้นจึงมองจางอวิ๋นอย่างเย็นชาแล้วพูดขึ้น
“แก…แกะนับเป็นตัวอะไรได้ มาพูดกับฉันแบบนี้ ระวังจะตาย!” จางอวิ๋นมองเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้นด้วยท่าทางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
จางอวิ๋นคิดไม่ถึงเลยว่า เย่เทียนเฉินจะกล้าพูดกับเขาแบบนี้ทั้งๆ ที่อยู่ในตระกูลหลัว จะไม่รู้สึกอับอายเลยสักนิดได้อย่างไร เดิมทีหลังจากที่จางอวิ๋นรู้ว่าคนคนนี้ก็คือหลัวเยี่ยน ก็ไม่เคยคิดว่าเป็นย่าของเขาเลย มารยาทที่ผู้น้อยควรจะทำต่อผู้ใหญ่ห็ไม่มี กลับคิดว่าเป็นการอับอาย ทางที่ดีรีบไล่พวกเขาออกไปจากตระกูลหลัวจะดีกว่า
เนื่องจากแม่ของเขาซึ่งก็คือหลัวชิง ซึ่งเป็นน้องสาวของหลัวเยี่ยน ตั้งแต่เด็กก็เป็นคนเห็นแก่ตัว เป็นคนจิตใจคับแคบ ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่เคยเชื่อฟัง รู้จักแค่ก่อเรื่องเท่านั้น ดังนั้นในตอนนั้นหลายคนในตระกูลจึงได้รักใคร่หลัวเยี่ยน โดยเฉพาะคุณยายทวดที่รักหลัวเยี่ยนที่สุด นี่ทำให้หลัวชิงเกลียดชังอยู่ในใจมาตั้งแต่เด็ก จึงมักจะลงเมืองกับหลัวเยี่ยนอยู่บ่อยครั้ง หลัวเยี่ยนเองก็ไม่เคยคิดเล็กคิดน้อย จะอย่างไรก็เป็นน้องสาว เมื่อปีนั้นที่ถูกไล่ออกจากตระกูลหลัว ย่อมมีแผนการของน้องสาวหลัวชิงอยู่ด้วย เพียงแต่หลัวเยี่ยนไม่เคยเก็บมาใส่ใจ
“ไปเรียกแม่ของแกมาคารวะเถอะ ไม่เช่นนั้นแกคนเดียวไม่มีทางออกไปจากตระกูลหลัวได้หรอก!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างเรียบเฉย
“แก…”
จางอวิ๋นโกรธจนปอดแทบระเบิด ตลอดมาเขาก็วางอำนาจบาตรใหญ่กับพี่น้องรุ่นเดียวกับเขามาโดยตลอด และต่างก็ไม่มีใครกล้าหาเรื่องเขา เนื่องจากเย่เทียนเฉินเดิมทีก็เป็นหลานชายคนโตของตระกูลหลัว แต่ไม่ได้อยู่ในตระกูล ดังนั้นจางอวิ๋นจึงเป็นหลานคนโตสุด รวมกับที่อำนาจของตระกูลหลัวยิ่งใหญ่มาก ถึงแม้ว่าพ่อของหลัวเยี่ยนซึ่งเป็นคุณปู่ของเย่เทียนเฉินจะเชื่อฟังและส่งเสริมคำสั่งสอนของบรรพบุรุษและเข้มงวดกับคนรุ่นหลังเป็นอย่างมาก แต่ก็เป็นเรื่องของรุ่นก่อนก่อน ที่ไม่สามารถดูแลได้มากมายขนาดนั้น
“ไสหัวไป!” ทันใดนั้นเย่เทียนเฉินตะโกนออกมา ทำให้จางอวิ๋นอดไม่ได้ที่จะถอยหลังไป จนเกือบจะชนเข้ากับรถ โกรธจนหน้าแดงก่ำ
“ไอ้แก่หวัง ฉันขอสั่งแก ระ รีบไล่แม่ลูกคู่นี้ออกไปจากตระกูลหลัวซะ…ไม่นั้นงั้นฉันก็จะให้แม่ของฉันมาตีขาสุนัขแกให้หักอีกข้าง!” จางอวิ๋นตกลงสั่งกับลุงหวัง
พลั่ก!
ทนได้ก็ทนทนไม่ได้ก็ไม่ต้องทน เย่เทียนเฉินตบไปครั้งหนึ่ง ตบลงบนใบหน้าของจางอวิ๋นอย่างรุนแรงจนเขาปลิวออกไป เมื่อครู่นี้เย่เทียนเฉินอยากจะลงมือมาก หากไม่ใช่ว่าแม่ขวางเอาไว้ด้วยกลัวว่าคุณยายทวดได้ยินแล้วจะส่งผลกระทบจะกระทบกับคุณยายทวด เย่เทียนเฉินก็คงลงมือแล้ว ตอนนี้เห็นจางอวิ๋นด่ากราดลุงหวังที่มีอายุมากพอที่จะเป็นปู่ของเขา และยังได้รู้ว่าขาของลุงหวังพิการก็เพราะแม่ของไอ้สัตว์นรกตัวนี้เป็นผู้กระทำ เย่เทียนเฉินจะไม่ทนอีกต่อไป
“แก…แกกล้าตีฉัน…” จางอวิ๋นตกใจจนตะลึง จะอย่างไรเย่เทียนเฉินก็คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะกล้าลงมือกับตัวเอง ตัวเองเป็นคุณชายของตระกูลหลัว แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีใครกล้าลงมือกับเขา
“ฉันขอเตือนให้แกไสหัวไปซะ สหัวไปได้ไกลเท่าไหร่ยิ่งดี ตอนนี้ฉันแค่ตบแกเท่านั้น อย่าบังคับให้ฉันต้องฆ่าแก…” เย่เทียนเฉินไม่ได้ล้อเล่น เขามองไปยังจางอวิ๋นอย่างเย็นชาแล้วพูดขึ้น
……………………………..
เย่เทียนเฉินเองก็คิดไม่ถึงว่า ที่หลายปีมานี้หลัวเยี่ยนไม่เคยพูดถึงตระกูลเดิมเลยนั้น เป็นเพราะการแต่งงานกับเย่หงเมื่อปีนั้น ทำให้เกิดการคัดค้านของคนตระกูลหลัว และยังบีบบังคับหลัวเยี่ยนจนต้องทะเลาะกับพ่อของเธอ แล้วตัดขาดความสัมพันธ์พ่อลูกกัน ทั้งยังถูกไล่ออกมาจากตระกูลหลัว เชื่อว่าใบปีนั้นหลัวเยี่ยนและเย่หงผู้เป็นพ่อของเย่เทียนเฉินจะต้องได้รับความอัปยศจากเหล่าพี่น้องและคุณลุงคุณอาของหลัวเยี่ยนไม่หยุดหย่อนแน่นอน นั่นเป็นสถานที่แห่งความทรงจำที่หลัวเยี่ยนและเย่หงไม่ต้องการที่จะกลับไป
วันนี้คุณย่าของหลัวเยี่ยนซึ่งก็คือคุณยายทวดของเย่เทียนเฉินป่วยหนัก แทบจะเป็นวาระสุดท้าย ในตอนที่เผชิญหน้ากับความตายจึงคิดที่จะเห็นหน้าหลานสาวที่รักที่สุดของตนเองสักครั้ง คิดถึงหลัวเยี่ยนที่ออกไปจากตระกูลหลัว ยี่สิบปีแล้วที่เธอไม่ได้กลับไป มีเพียงทุกวันเกิดของคุณย่าเท่านั้นถึงจะโทรกลับไป และมีเพียงช่วงเวลาแบบนี้ที่คนตระกูลหลัวจะไม่อาจขวางเอาไว้ได้ และไม่สามารถพูดจาเสียดสีเหยียดหยามหลัวเยี่ยนได้ เพราะพวกเขาไม่กล้าทำให้คุณย่าไม่พอใจในช่วงเวลาแบบนี้
จินตนาการได้เลยว่า หญิงชราคนหนึ่งเมื่อถึงเวลาที่ใกล้จะสิ้นแสง หลานสาวที่รักที่สุดซึ่งไม่ได้พบหน้ามายี่สิบปี สามารถทำได้เพียงคิดถึงอยู่ในใจ สามารถโทรคุยกันได้ไม่กี่ประโยคในวันเกิด ในใจจะเจ็บปวดขนาดไหน? ตอนนี้หากต้องจากโลกนี้ไป ก็ต้องการที่จะเห็นความหวังนั้นอีกครั้ง นี่มากพอที่จะทำให้ผู้อื่นซาบซึ้ง
หลัวเยี่ยนย่อมอยากที่จะไปตระกูลหลัวในตอนนี้อยู่แล้ว เพื่อไปเห็นวาระสุดท้ายของคุณยายทวด แต่กลับกลัวว่าจะถูกขวางเอาไว้ที่หน้าประตูตระกูลหลัว เธอไม่ได้กลัวว่าตนเองจะถูกพี่น้องเยาะเย้ย แต่กลัวว่าจะอดไม่ได้จนร้องไห้ออกมา จะทนไม่ไหวจนต้องตะโกนออกมา เพราะสิ่งที่เธอกลัวที่สุดก็คือรับรู้ได้ว่าคุณย่าอยากจะพบตนเองเป็นที่สุดแต่กลับไม่สามารถเอ่ยปากออกมาได้ และยังต้องได้ยินการทะเลาะของเธอกับพี่น้องคนอื่นๆ อีก แบบนั้นจะปวดใจมาก
ตระกูลหลัว เย่เทียนเฉินก็เคยได้ยินมาก่อน จะอย่างไรตอนนี้ตำแหน่งของเขาก็สูงขึ้นไม่หยุด เพียงแต่ว่าสิ่งที่ทำให้เย่เทียนเฉินคิดไม่ถึงก็คือ หลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ถึงกับมีความสัมพันธ์กับตระกูลที่มีอำนาจมากขนาดนี้ด้วย และยังเป็นคนของตระกูลหลัว นี่จะทำให้ผู้คนมากน้อยแค่ไหนตกตะลึงกัน
ภายในเมืองหลวงมีอำนาจและตระกูลใหญ่อยู่มากมาย ตระกูลหลัวเองก็เป็นหนึ่งในนั้น สามารถกล่าวได้ว่าตระกูลหลัวนับได้ว่าเป็นตระกูลที่อยู่ในระดับต้นๆ ของเมืองหลวงแล้ว เพราะว่าตระกูลหลัวมีคนใหญ่คนโตมากมาย ไม่ว่าจะเป็นทางด้านการเมือง ด้านการทหาร ด้านเศรษฐกิจ หรือว่าจะเป็นกรมกองสำคัญอื่นๆ ของประเทศ ต่างก็มีคนของตระกูลหลัวอยู่ แน่นอนว่านี่เป็นประโยชน์จากผู้อาวุโสตระกูลหลัวที่ได้กลายเป็นผู้ช่วยอันดับสองของผู้นำที่เป็นดังพี่น้องร่วมเป็นตายหลังก่อตั้งประเทศ จึงเป็นรากฐานให้ลูกหลานรุ่นต่อมาได้เป็นอย่างดี ส่วนคุณพ่อของหลัวเยี่ยน ซึ่งก็คือคนตาของเย่เทียนเฉิน ก็มีความมุมานะอย่างมาก ทำให้อำนาจในแต่ละด้านของตระกูลหลัวมีความมั่นคงมากและทำให้ตระกูลหลัวกลายเป็นตระกูลที่ไม่เคยตกต่ำมานานในรอบร้อยปี
เย่เทียนเฉินขับรถโฟล์คของตระกูลเย่ พาหลัวเยี่ยนไปที่ตระกูลหลัว ไม่ว่าจะอย่างไรสุดท้ายหลัวเยี่ยนก็ยังตัดสินใจว่าจะต้องกลับไปเห็นหน้าคุณย่าสักครั้ง ตั้งแต่เล็กจนโตคุณย่าก็รักเธอที่สุด เพราะแม่ของหลัวเยี่ยนจากไปเร็ว เรียกได้ว่าคุณย่าเลี้ยงดูเธอมาจนเติบใหญ่ และมีความรู้สึกไม่เปลี่ยนแปลง รวมกับที่ไม่ได้เจอกันยี่สิบปีแล้ว จึงทำให้คิดถึงมากยิ่งขึ้น
“แม่ครับ แม่อย่ากังวลไปเลย มีลูกอยู่ รับประกันได้เลยว่าแม่จะต้องได้เจอคุณยายทวดแน่!” เย่เทียนเฉินพูดปลอบใจผู้เป็นแม่ด้วยรอยยิ้ม
“เทียนเฉิน หลังจากที่ไปถึงตระกูลหลัวแล้ว แม่จะเจรจากับพวกเขาก่อน ลูกก็อย่า…” หลัวเยี่ยนรู้ว่าลูกชายของตนเองเปลี่ยนไปแล้ว แล้วกลัวว่าลูกชายจะลงมือบุ่มบ่ามที่ตระกูลหลัว ถ้าเป็นแบบนั้นคงทำให้เธอไม่มีหวังที่จะได้เจอคุณย่าของเธอ เพราะว่าเธอเข้าใจพี่น้องเหล่านั้นของตัวเองเป็นอย่างดี แต่ละคนยโสโอหัง เป็นพวกไม่สนใจโลกอย่างแท้จริง
“วางใจเถอะครับแม่ ผมเป็นคนมีเหตุผลมาก…” เย่เทียนเฉินพูดแล้วหัวเราะฮี่ๆ แต่ยังมีประโยคหลังที่ไม่ได้พูดออกมานั่นก็คือ เตือนผู้อื่นด้วยเถอะว่าให้มีเหตุผลกับผมด้วย
ครั้งนี้เย่เทียนเฉินสนับสนุนให้หลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่กลับมาที่ตระกูลหลัวเพื่อมาดูหน้าคุณยายทวดของเขาเป็นครั้งสุดท้าย นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาคิดถึงความอัปยศที่ผู้เป็นแม่ได้รับมาก่อนหน้านี้จากตระกูลหลัว วันนี้เขาที่เป็นหลานชายต้องการจะกลับไป ไม่ว่าจะอย่างไรนี่ก็เป็นตระกูลเดิมของแม่ เป็นสถานที่ที่แม่มีชีวิตและเติบโตมา จะต้องมีความรู้สึกมากมาย เพียงแต่หลักการของความเป็นมนุษย์ของเย่เทียนเฉินก็คือ คุณไม่หาเรื่องผมผมก็ไม่หาเรื่องคุณ หากคุณหาเรื่องผมผมก็จะฆ่าคุณ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ปฏิบัติแบบนี้กับคนตระกูลหลัว แต่ก็อยากจะเห็นว่าพวกเขาจะตัดสินใจให้แม่ของตนได้พบกับคุณยายทวดหรือไม่
ระหว่างทาง เย่เทียนเฉินขับรถเร็วมาก ถึงแม้ว่าแม่ที่นั่งอยู่ในตำแหน่งที่นั่งข้างคนขับไม่ได้พูดอะไร แต่เขากลับมองออกว่าแม่ร้อนใจมาก กลัวว่าจะไปไม่ทันได้เห็นหน้าคุณยายทวดเป็นครั้งสุดท้าย
ประมาณสองชั่วโมงต่อมา ในที่สุดเย่เทียนเฉินก็จอดรถตรงหน้าประตูคฤหาสน์ตระกูลหลัว ไม่กล่าวไม่ได้ว่าในเมืองหลวงรถติดมากจริงๆ ติดแบบไม่ธรรมดาเลยทีเดียว
ในตอนที่เย่เทียนเฉินจอดรถและเดินออกมาด้วยกันกับแม่ ก็ถูกสถานการณ์ตรงหน้าทำเอาตกตะลึง เพราะไม่เสียทีที่ตระกูลหลัวเป็นตระกูลที่โดดเด่นในทุกด้าน คฤหาสน์ตระกูลหลัวอย่างน้อยก็มีเนื้อที่หลายพันเอเคอร์ สิ่งปลูกสร้างทั้งหมดต่างก็เป็นสไตล์โบราณ เป็นเหมือนกับเรือนโบราณที่มีลานอยู่ในบ้านของเมืองหลวงประเภทนั้น คฤหาสน์ตระกูลหลัวประกอบขึ้นจากเรือนต่างๆ ที่ล้อมกันเป็นหนึ่ง ด้านในมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งสระว่ายน้ำ สนามบาส สนามเทนนิสเป็นต้น เกรงว่าคนที่เข้ามาเป็นครั้งแรกคงจะต้องหลงทางแน่นอน
“พวกเราเข้าไปกันเถอะ!” หลัวเยี่ยนมองไปยังประตูตระกูลหลัว ไม่ได้กลับมายี่สิบปีแล้ว ครั้งนี้ที่กลับมาก็เพื่อคุณย่า เป็นครั้งแรกที่พาลูกชายกลับตระกูลเดิม ค่อนข้างที่จะประหม่าอยู่บ้าง
ไม่ต้องพูดถึงตระกูลใหญ่อย่างตระกูลหลัว ต่อให้เป็นครอบครัวของคนธรรมดาทั่วไป เมื่อหลานสาวกลับบ้านพ่อแม่จะต้องออกมาต้อนรับที่ประตูและยิ้มไม่หุบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าพาลูกมาด้วย ก็จะยิ่งเพิ่มความรักและเอ็นดู มีเพียงหลัวเยี่ยนและเย่เทียนเฉินเท่านั้นที่ไม่ต้องการ
เย่เทียนเฉินเดินตามหลังหลัวเยี่ยน ในตอนนี้เขารู้สึกว่าอารมณ์ของหลัวเยี่ยนค่อนข้างเคร่งขรึม จึงไม่ได้พูดอะไรออกไป หวังเพียงว่าจะสามารถเข้าไปในตระกูลหลัวได้อย่างราบรื่น เพื่อที่จะไปดูหน้าคุณยายทวดเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นก็จะจากมา ทางที่ดีควรจะเป็นเช่นนี้ คนตระกูลหลัวอย่าได้บีบบังคับให้เขาต้องลงมือเลย
“พวกคุณสองคนเป็นใคร ที่นี่เป็นคฤหาสน์ตระกูลหลัว ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้าไป!”
เรื่องมันผ่านมายี่สิบปีแล้ว ยามเฝ้าประตูของตระกูลหลัวก็ไม่รู้ว่าเปลี่ยนไปแล้วกี่คน บอดี้การ์ดชั้นยอดที่อายุน้อยเหล่านี้คงไม่รู้จักหลัวเยี่ยนและเย่เทียนเฉิน ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดา เพียงแต่ที่ทำให้รู้สึกไม่พอใจก็คือ จากคำพูดของบอดี้การ์ดชั้นยอดเหล่านี้สามารถเห็นได้ว่า คนธรรมดาทั่วไปไม่สามารถเข้าไปในคฤหาสน์ตระกูลหลัวได้ ไม่รู้จริงๆ ว่าจะโอหังไปถึงไหนถึงได้รับยามแบบนี้มา
“สวัสดีค่ะ ฉันชื่อว่าหลัวเยี่ยน ได้ยินว่าแม่เฒ่าตระกูลหลัวป่วยหนัก ฉันจึงคิดจะเข้าไปเจอหน้าท่านเป็นครั้งสุดท้าย!” หลัวเยี่ยนพูดด้วยรอยยิ้ม
“หลัวเยี่ยน? ไม่เคยได้ยินมาก่อน รีบไปซะเถอะ คฤหาสน์ตระกูลหลัวไม่ใช่ว่าใครก็เข้าไปได้ แม่เฒ่าหลัวก็ไม่ใช่คนที่ใครก็สามารถพบได้!” บอดี้การ์ดชั้นยอดอีกคนหนึ่งพูดอย่างไม่สบอารมณ์
ตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินก็รู้สึกทนไม่ไหว เขากำหมัดแน่น สาเหตุก็เพราะประการแรกเขามองออกว่าสุนัขเฝ้าบ้านหลายคนนี้คงไม่ยอมให้เขาและแม่เข้าไป ประการที่สองเพราะเห็นได้ชัดว่าบอดี้การ์ดหลายคนนี้ ตัดสินพวกเขาจากการแต่งตัว และรถที่ใช้ จึงได้ไม่ไว้หน้ากันเลยแม้แต่น้อย ประจบสอพลอคนใหญ่คนโตและรังแกคนอ่อนแอกว่าจริงๆ
“แม่ครับ คุณพวกนี้จะนิสัยไม่ดีเกินไปแล้ว ให้ผมสั่งสอนพวกเขาสักหน่อยเถอะ!” เย่เทียนเฉินพูดเสียงเบา
“ไม่ต้องหรอก พวกเขามีหน้าที่ดูแลตระกูลหลัว เคยเจอแต่คนใหญ่คนโตระดับสูงงามสง่าต่างกับพวกเรามาก ถ้าจะทำตัวประจบสอพลอคนใหญ่คนโตและดูหมิ่นคนอ่อนแอก็เป็นเรื่องปกติ พวกเราพูดกับพวกเขาสักหน่อยเถอะ!” หลัวเยี่ยนไม่อยากจะก่อเรื่อง จะอย่างไรนี่ก็เคยเป็นบ้านของเธอ เพียงแค่อยากจะเจอหน้าคุณย่าเท่านั้น จากนั้นก็จะจากไปจบเท่านี้
“ผมว่าไอ้พวกสุนัขเหล่านี้มันคงไม่ให้พวกเราเข้าไปแน่ ให้ผมสั่งสอนสักหน่อยเถอะ…”
เย่เทียนเฉินรู้ว่าหลัวเยี่ยนใจดี แต่เขาไม่ใช่คนดีอะไร สิ่งที่ทนเห็นไม่ได้ที่สุดก็คือพวกสุนัขที่ประจบสอพลอคนใหญ่คนโตและดูหมิ่นคนจน ยิ่งไปกว่านั้นแม่ของตนก็เรียกได้ว่าเป็นคุณหนูสูงศักดิ์ของตระกูลหลัว ตอนนี้กระทั่งประตูบ้านของตระกูลหลัวก็ยังเข้าไปไม่ได้ จะมากจะน้อยก็ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกโกรธเคือง ในเมื่อเขามาเกิดใหม่ ในเมื่อเขามีครอบครัวที่อบอุ่น ก็จะไม่ยอมให้พ่อแม่และน้องสาวของตัวเองต้องได้รับความอยุติธรรมแม้แต่ครึ่งสวน
“คิดจะทำอะไร?” บอดี้การ์ดที่พูดขึ้นมาเป็นคนแรกเห็นว่าเย่เทียนเฉินเดินเข้ามา จึงอดไม่ได้ที่จะจับกระบองที่เหน็บไว้ที่เอว
“ไม่ได้ทำอะไร ก็แค่จะสั่งสอนพวกสุนัขอย่างแก ให้พวกแก่รู้ว่าหลัวเยี่ยนคือใคร!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างเรียบเฉย
“ไอ้ลูกหมา…”
บอดี้การ์ดที่พูดเป็นคนแรกคว้ากระบองออกมาฟาดลงไปยังเย่เทียนเฉิน แต่ในตอนที่เย่เทียนเฉินเตรียมจะลงมือกับบอดี้การ์ดคนนั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“หยุด!”
หลังจากเสียงตะโกน ชายชราหลังค่อมคนหนึ่งก็ปรากฏตัวบริเวณประตูใหญ่ของบ้านตระกูลหลัว เมื่อเขาเห็นหลัวเยี่ยนและเย่เทียนเฉิน บนใบหน้าก็อดไม่ได้ที่จะปรากฏรอยยิ้มขึ้น แต่ก็เพียงพริบตาเดียวแล้วจึงหันไปตะโกนกับบอดี้การ์ดคนนั้นว่า “รู้ไหมว่านี่คือใคร? เธอก็คือ…”
“คุณลุงหวัง ช่างมันเถอะ คุณย่าเป็นยังไงบ้างคะ?” หลัวเยี่ยนรีบเดินเข้าไปถามอย่างร้อนใจ
“คุณหนู ในที่สุดคุณก็กลับมาแล้ว ยี่สิบปีแล้ว แม่เฒ่ารอคุณมาตลอด รอคุณมาตลอด จนไม่อาจกล้ำกลืนฝืนทนได้…”
ชายชราหลังค่อมคนนี้ที่หลัวเยี่ยนเรียกว่าลุงหวังก็คือพ่อบ้านของตระกูลหลัว ทำงานต่างๆ ให้ตระกูลหลัวมาทั้งชีวิต สามารถเรียกได้ว่าเขาเห็นหลัวเยี่ยนเติบโตมากับตา ตั้งแต่เล็กหลัวเยี่ยนก็เฉลียวฉลาดและรู้ความมาก ความสัมพันธ์กับลุงหวังก็ดีมาก ลุงหวังก็เห็นเธอเป็นเหมือนหลานสาวแท้ๆ เมื่อปีนั้นที่หลัวเยี่ยนถูกไล่ออกไปจากตระกูลหลัว ไม่กลับมาเลยยี่สิบปี เมื่อได้พบกันอีกครั้ง ลุงหวังก็อดไม่ได้ที่จะน้ำตาไหล เขาคิดไม่ถึงเลยว่าคุณหนูหลัวเยี่ยนจะกลับมาแล้วจริงๆ เขารออยู่ที่นี่
“ลุงหวัง พวกเรารีบเข้าไปกันเถอะค่ะ หนูอยากไปดูคุณย่า!” หลัวเยี่ยนพูดอย่างร้อนใจ
“พวกแกยังอึ้งอะไรกันอยู่อีก คุณหนูหลัวกลับมาแล้ว หลีกทางให้ฉันซะ!” ลุงหวังตะคอกบอดี้การ์ดชั้นยอดทั้งหลายอย่างข่มขู่ ในใจของเขาเฝ้ารอมาตลอด
บอดี้การ์ดชั้นยอดไม่ค่อยเข้าใจเหตุการณ์มากนัก ทำได้เพียงขยับไปยืนด้านข้างอย่างขี้ขลาด หลีกทางให้พวกเขา มองดูหลัวเยี่ยนและเย่เทียนเฉินเดินเข้าไปในประตูใหญ่ภายใต้การต้อนรับของลุงหวังผู้เป็นพ่อบ้านแห่งตระกูลหลัว
……………………………
“ในสมัยโบราณก็มีการบันทึกและการคาดเดาแบบนั้นเหมือนกัน เพียงแต่น่าเสียดายที่บนโลกไม่มีใครที่เดินทางไปดาวจักรพรรดิและกลับมาได้ ไม่สามารถนำความจริงพวกนั้นกลับมาได้…สาเหตุที่สำคัญก็เป็นเพราะหลักการแห่งธรรมชาติของโลกได้เปลี่ยนไปแล้ว ไม่สามารถทำให้คนแข็งแกร่งขึ้นจนถึงระดับที่โบราณเล่าขานกันว่าสามารถบินท่องยุทธภพ ไม่งั้นอารยธรรมในปัจจุบันนี้ก็คงไม่เป็นแบบนี้ คนที่ใช้ชีวิตอยู่ในโลกก็คงไม่ถูกล้างสมองและทำได้เพียงยอมรับการเกิดแก่เจ็บตายเหมือนมดแมลงตัวหนึ่งเท่านั้น ถ้าต้องเผชิญหน้ากับหายนะของธรรมชาติก็ไร้ซึ่งพลัง…”
คำพูดของจางอีเต๋อนแฝงไปด้วยความหมายลึกล้ำ แต่กลับมีความเป็นจริงอยู่อย่างหนึ่ง โลกมีการวิวัฒนาการมานับแสนล้านปีกว่าจะมาถึงจุดที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ตำนานเล่าขานเรื่องเทพเซียนปีศาจก่อนหน้านี้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเพ้อฝันและเป็นความลับที่คลุมเครือที่ไม่มีใครล่วงรู้มานานแล้ว ไม่มีใครเก็บมาใส่ใจ เพราะการสอนสั่งที่เป็นการล้างสมองในแต่ละยุคแต่ละสมัยทำให้คนที่เติบโตขึ้นทุกยุคทุกสมัยทำได้เพียงยอมรับโชคชะตา ดิ้นรนต่อสู้เพื่อการใช้ชีวิต ไม่มีใครคิดถึงปัญหาเหล่านี้ ไม่มีใครคิดว่าจะทำอย่างไรถึงจะหลุดพ้นจากการเกิดแก่เจ็บตาย ไม่มีใครคิดที่จะได้รับพลังที่ยิ่งใหญ่เหนือใครเพื่อชี้นำโลก
“งั้น พระอาจารย์ท่านนั้นนั่งมรณภาพไปแล้วจริงๆ เหรอ?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะถามอย่างสงสัย เขาสามารถเป็นพระอรหันต์ได้แม้จะอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่โลกนี้ไร้ซึ่งเส้นทางบ่มเพาะและมีจิตวิญญาณแห้งเหือด ก็ควรจะมีชีวิตยืนยาวกว่าคนธรรมดา
ความจริงหลังจากที่เย่เทียนเฉินได้มาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ ตอนแรกเขาคิดว่าตนเองทะลุมาจากยุคสิ้นโลกมาโลกปัจจุบันที่อยู่ในดาวดวงเดียวกัน ตอนหลังจึงได้พบว่า นี่มันเป็นไปไม่ได้ เพราะเหตุการณ์และกฎเกณฑ์ในช่วงยุคสิ้นโลกที่เขาเคยได้เห็นในหลายล้านปีก่อนไม่ได้เกิดขึ้นในโลกแห่งนี้เลย นี่แสดงให้เห็นว่าเขาทะลุมาจากดาวสิ้นโลกมาเกิดใหม่ในต่างโลก เป็นการกระโดดข้ามดวงดาว ไม่ใช่กระโดดข้ามเวลา
แน่นอนว่าเย่เทียนเฉินที่เป็นผู้มีพลังพิเศษระดับพระเจ้าในช่วงยุคสิ้นโลก ในตอนเริ่มต้นนั้นก็ไม่ได้รู้สึกว่าโลกแห่งนี้ไม่มีเส้นทางการบ่มเพาะ จนกระทั่งขอบเขตพลังของเขาทะลวงมาถึงระดับจอมราชัน และทำได้เพียงรีดเร้นความสามารถในขอบเขตจอมราชันระดับสูงออกมาได้เท่านั้น ไม่สามารถทะลวงไปขอบเขตต่อไปได้อีก เขาถึงจะรู้ว่าดาวดวงนี้ไม่มีเส้นทางแห่งการบ่มเพาะ เพราะไม่อาจสัมผัสได้ถึงกฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติ และไม่อาจสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณเลยแม้แต่ครึ่งส่วน หากต้องการที่จะทะลวงขอบเขต และได้รับพลังที่แข็งแกร่งมากขึ้นนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก
“ไม่รู้ เพราะตอนนั้นพระอาจารย์ท่านนั้นพูดจบก็หายตัวไปเลย ผมอึ้งอยู่นานถึงจะได้สติกลับมา และขุดหญ้าไขกระดูกมังกรออกมา นำกลับมาที่บ้าน หลังจากที่ผ่านการหลอมมาเกือบสิบปี ถึงจะเหลอมออกมาเป็นยาไขกระดูกมังกรได้!” จางอีเต๋อคิดครู่หนึ่งแล้วพูดออกมาด้วยท่าทางขมวดคิ้ว
“ท่าทางจะต้องไปวัดเส้าหลินดูสักครั้ง ไปหาพระอาจารย์ท่านนั้นสักหน่อย ไปหาชีพจรมังกร…” เย่เทียนเฉินพูดพึมพำกับตัวเองอยู่ในใจ
ในระหว่างที่กินข้าวเย่เทียนเฉินได้รู้เรื่องความลับไม่น้อยจากจางอีเต๋อ เพียงแต่จางอีเต๋อก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ผู้แข็งแกร่งที่มีชีวิตอยู่จนอายุเท่าเขา เห็นสิ่งต่างๆ มากมายจนเบื่อแล้ว บางทีในตอนยังหนุ่ม ถ้าได้รู้เรื่องเหล่านี้คงคิดที่จะไปลองดูสักหน่อยว่าจะสามารถหาค่ายกลเคลื่อนย้ายได้หรือไม่ จะไปดูดาวจักรพรรดิที่สามารถบ่มเพาะได้สักหน่อย เดินตามรอยเท้าของบรรพบุรุษ ตอนนี้เขาก็ทำได้แค่มองอย่างเรียบเฉย ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องเหล่านี้หากพูดออกไปคงไม่มีใครเชื่อ คิดซะว่าเล่านิทานให้เย่เทียนเฉินฟังก็แล้วกัน
สิ่งที่ทำให้จางอีเต๋อคิดไม่ถึงก็คือ เย่เทียนเฉินจะไม่ใช่คนของโลกนี้ แต่เป็นคนที่มาเกิดใหม่จากดาวสิ้นโลก หากพูดถึงเรื่องเส้นทางบ่มเพาะ เย่เทียนเฉินเคยเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษระดับพระเจ้า ย่อมต้องร้ายกาจกว่าจางอีเต๋อมาก และเข้าใจเรื่องของค่ายกลเคลื่อนย้าย เขาคิดว่ามีเพียงวิธีนี้ที่จะทำให้เขากลับไปยังดาวสิ้นโลกได้ มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้นถึงจะสามารถไปยังดาวจักรพรรดิได้
เมื่อเย่เทียนเฉินและจางอีเต๋อกินข้าวเสร็จก็เป็นเวลาห้าโมงกว่าแล้ว ในตอนนี้เย่เทียนเฉินได้รับข้อความจากหลิงอวี่สวิ๋น แต่เขาไม่ได้ตอบอะไรไป เพราะเขารู้สถานการณ์ของหลิงอวี่สวิ๋นเป็นอย่างดี และรู้ความคิดของหลิงอวี่สวิ๋น หลิงอวี่สวิ๋นต้องการให้เขาระมัดระวังตัว นั่นเป็นเพราะหลิงเยว่พ่อของเธอไม่ต้องการให้เย่เทียนเฉินไปมาหาสู่กับหลานสาวของเขา ถ้าหากว่าจำเป็นเขาก็จะส่งคนมาฆ่าเย่เทียนเฉิน
เขาจดจำเรื่องที่จางอีเต๋อพูดกับตนเองเอาไว้ในใจ เย่เทียนเฉินไม่รีบร้อนอะไร เขาต้องการกลับไปที่ดาวสิ้นโลก ต้องการไปดูดาวจักรพรรดิที่ร่ำลือ ต้องการทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น และต้องการกลับไปล้างแค้นให้คนของเขาที่ตายไป แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ เพราะว่าเมื่อได้มาเกิดในโลกแห่งนี้แล้ว เย่เทียนเฉินก็มีเรื่องที่ต้องทำในโลกแห่งนี้ มีภารกิจและความรับผิดชอบของเขา หากตอนนี้เย่เทียนเฉินไปตามหาวิธีที่จะออกไปจากโลกนี้ เมื่อถึงตอนนั้นกลุ่มอำนาจและตระกูลใหญ่ทั้งหลายที่เขาไปหาเรื่องเอาไว้ จะต้องไม่ยอมปล่อยตระกูลเย่ของเขาไปแน่ จะไม่ยอมปล่อยพ่อแม่ของเขาไป และหากจะพูดเรื่องการฆ่าฟัน หากเขาต้องการฆ่ากลุ่มอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่ต่างๆ เหล่านี้ไปทั้งหมด เย่เทียนเฉินก็ยังไม่มีความสามารถขนาดนั้น จะอย่างไรในโลกใบนี้ก็ยังมีตัวตนที่แข็งแกร่งกว่าเขาอยู่
ดังนั้นเรื่องราวจึงต้องค่อยเป็นค่อยไป แก้ปัญหาทางด้านนี้ก่อน ปกป้องตระกูลเย่ของตัวเอง ให้พ่อแม่และน้องสาวของตนไม่มีเรื่องอะไร ต่อให้ถึงวันที่เขาต้องไปจากที่นี่ก็จะต้องไม่มีเรื่อง เช่นนั้นเย่เทียนเฉินถึงจะวางใจได้
ในตอนที่กลับมาถึงบ้าน เย่เทียนเฉินพบว่าหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่อยู่ที่บ้านคนเดียว กำลังร้องไห้อยู่ในห้องโถง จึงอดไม่ได้ที่จะเข้าไปถามอย่างร้อนใจ “แม่ครับ แม่เป็นอะไร?”
“มะ ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร…” หลัวเยี่ยนกำลังเสียใจกับเรื่องที่เธอกำลังคิด กระทั่งลูกชายเปิดประตูกลับมาก็ไม่รู้ตัว จนกระทั่งได้ยินเสียงของเย่เทียนเฉินถึงได้รู้ว่าลูกชายกลับมาแล้ว เธอรีบเช็ดน้ำตาแล้วพูดขึ้น
เย่เทียนเฉินมองหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ ต่อให้นี่จะไม่ใช่แม่แท้ๆ ของเขา แต่เขาก็ให้ความสำคัญยิ่งกว่าแม่แท้ๆ เพราะสำหรับเด็กกำพร้าแล้ว สำหรับคนที่ไม่เคยได้รับความรักและความอบอุ่นของครอบครัว จินตนาการได้เลยว่าจะเห็นครอบครัวสำคัญขนาดไหน มิฉะนั้นเย่เทียนเฉินคงไม่ใคร่ครวญให้มาก คงจะไปตามหาความลับในเรื่องของค่ายกลเคลื่อนย้ายแล้วไปจากที่นี่แล้ว
“แม่ครับ มีเรื่องอะไรก็พูดกับผมเถอะ แม่ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว!” เย่เทียนเฉินพูดพลางหัวเราะฮี่ๆ
เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน และยังมีท่าทางตลกของเขาอีก หลัวเยี่ยนก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะทั้งน้ำตา พูดออกมาด้วยน้ำเสียงขมขื่นว่า “ย่าของแม่ป่วย ท่านเป็นยายทวดของลูก อาการสาหัสมาก แม่อยากจะไปเยี่ยม…”
“คุณยายทวดป่วยเหรอครับ? งั้นพวกเราก็ไปกันเถอะครับ ตอนนี้เราไปบ้านเดิมของแม่กันเถอะ!” เย่เทียนเฉินรีบเอ่ยปากพูด
ไม่ว่าจะเป็นเย่เทียนเฉินในสมัยก่อนหรือว่าจะเป็นเย่เทียนเฉินในตอนนี้ ต่างก็ไม่เคยได้ยินหลัวเยี่ยนพูดถึงตระกูลเดิมมาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยิน ตอนนี้เมื่อคิดดูก็รู้สึกว่าแปลกอยู่บ้างจริงๆ ทำไมแม่ถึงไม่เคยไปมาหาสู่กับคนตระกูลเดิมมาก่อน? แต่ดูจากสีหน้าของเธอแล้วดูเหมือนว่าจะกังวลใจเป็นอย่างมาก
แน่นอนว่าไม่ว่าจะอย่างไร ย่าของหลัวเยี่ยนก็เป็นยายทวดของเย่เทียนเฉิน ตอนนี้คุณยายทวดป่วยหนัก แม่เสียใจจนน้ำตาไหล ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องกลับไปเยี่ยม มิฉะนั้นเกรงว่าคงจะเป็นความเสียใจของหลัวเยี่ยนไปชั่วชีวิต
“แม่ครับ พวกเราขับรถไปกันตอนนี้เลยเถอะ!” เย่เทียนเฉินพูดว่าจะขับรถไปเลย ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ไปทำงานที่เครือไห่หวาง แต่ฉีหรูเสวี่ยและพี่ชายของเธอก็เป็นคนมีความสามารถในการควบคุมงาน ดังนั้นก็ไม่ต้องเป็นห่วงแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่เย่เทียนเฉินกำจัดตระกูลฉินและตระกูลลั่ว ตระกูลฉีก็เปลี่ยนมุมมองที่มีต่อเขา กระทั่งผู้อาวุโสแต่กูฉีก็ยังพูดว่า ถ้าหากฉีหรูเสวี่ยและเย่เทียนเฉินมีวาสนาต่อกันจริงๆ ไม่สู้ให้พวกเขาอยู่ด้วยกันไปเลย จินตนาการได้เลยว่าเปลี่ยนมุมมองไปมากขนาดไหน
“เทียนเฉิน อย่ารีบร้อนไปเลย นั่งลงก่อน แม่จะพูดเรื่องเกี่ยวกับทางฝั่งของคุณยายทวดของลูกให้ฟัง…” หลัวเยี่ยนเรียกให้เย่เทียนเฉินหยุดลง คิดจะพูดเรื่องตระกูลเดิมของเธอให้ลูกชายฟัง จะอย่างไรลูกชายก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
เย่เทียนเฉินนั่งลงข้างแม่ เขามองออกว่าในตอนที่หลัวเยี่ยนพูดถึงเรื่องตระกูลเดิม ในดวงตามีความเจ็บปวดเจืออยู่ และมีความผิดหวังอยู่ด้วย
“ลูก ตอนนั้นแม่คบกับพ่อของลูกโดยที่ทางตระกูลไม่อนุญาต มันเป็นเรื่องยี่สิบปีก่อน ตอนนั้นตระกูลเย่ยังอยู่ในซอยเล็กๆ มีเพียงคุณปู่เย่หย่วนซานที่เป็นข้าราชการระดับเล็กๆ เพียงคนเดียว ส่วนตระกูลหลัวก็เป็นตระกูลใหญ่ลำดับต้นๆ ในเมืองหลวง ดังนั้นแม่กับพ่อของลูกอยู่ด้วยกันจึงทำให้เกิดการต่อต้านจากคนในตระกูลหลัว เพื่อที่จะได้แต่งงานกับพ่อของลูก แม่ถึงไม่สนใจเสียงคัดค้านของคนในตระกูล สุดท้ายก็มีปากเสียงรุนแรงกับคุณปู่ของลูก และตัดความสัมพันธ์กันไป ไม่นับเป็นคนของตระกูลหลัวอีก และต้องย้ายออกจากตระกูล ต่อมาคุณพ่อก็พยายทวดามทุกทางให้แม่กลับไป คุณลุงคุณอาเหล่านั้นของลูกก็คิดทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะกดดันตระกูลเย่ ใส่ร้ายพ่อของลูก เพราะว่าในตอนนั้นพวกเขาต้องการให้แม่แต่งงานกับคุณชายใหญ่ของอีกตระกูลหนึ่ง…” หลัวเยี่ยนย้อนนึกไปถึงเรื่องเมื่อวันวาน ดูเหมือนจะเจอกับเหตุการณ์ที่ต้องทะเลาะกับพ่อของตนในปีนั้นอีกครั้ง พูดออกมาด้วยความเสียใจอย่างมาก
“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง…แม่กลัวว่าถ้ากลับตระกูลหลัวไป พี่น้องของแม่จะไม่ยอมให้แม่กลับและไม่ให้แม่พบกับคุณยายทวดเหรอครับ?” เย่เทียนเฉินเข้าใจได้โดยพลัน
“ความจริงแล้วแม่ไม่ได้กลัวว่าจะกลับไปถูกพวกเขาทำให้อับอาย แต่เมื่อคิดว่าไม่มีทางได้เห็นวาระสุดท้ายของยายทวดลูกก็รู้สึกเสียใจ ตอนเด็กๆ คุณยายทวดดีกับแม่มาก ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่ตระกูลยากจนหรือว่าร่ำรวยก็รักแม่เหมือนเดิม และยังสนับสนุนแม่ให้ไล่ตามความสุขของตัวเอง การเป็นผู้หญิงคนหนึ่งถ้าไม่ได้แต่งงานกับคนที่ตัวเองรักที่สุดและใช้ชีวิตอยู่กับเขา คงจะไม่มีความสุขไปชั่วชีวิต…แม่ยังจำได้ว่าตอนนั้น แม่ออกจากตระกูลหลัวมา คุณยายทวดแอบยืนร้องไห้อยู่ตรงประตู ท่านบอกกับแม่ว่า ในวันเกิดของท่านให้โทรกลับไปสักครั้ง ท่านต้องการได้ยินเสียงของหลานสาวแค่นี้ก็พอใจแล้ว…” หลัวเยี่ยนพูดถึงตรงนี้ก็ร้องไห้สะอึกสะอื้น เมื่อคิดถึงเมื่อปีนั้นที่ได้อยู่ด้วยกันกับเย่หง ทุกคนในตระกูลไม่พอใจเธอมาก รู้สึกอับอายกับเธอและเย่หง มีเพียงคุณย่าคนเดียวที่สนับสนุนเธอ ช่วยเธอไขว่คว้าโอกาสที่จะได้อยู่กับเย่หง
“ไปกันเถอะครับ พวกเราไปตระกูลหลัวกัน ผมยังไม่เคยพบคุณยายทวดเลย ผมคิดว่าจะต้องเป็นผู้เฒ่าที่เมตตาใจดีคนหนึ่งแน่นอน!” เย่เทียนเฉินยืนขึ้นพูดกับหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ด้วยรอยยิ้ม
“เทียนเฉิน ลูก…”
“วางใจเถอะ ผมไม่ทำตัวเหลวไหลหรอก พวกเราไปที่ตระกูลหลัวในครั้งนี้ก็เพื่อไปเยี่ยมคุณยายทวดเท่านั้น ก็ง่ายๆ แค่นี้เอง เชื่อว่าคนตระกูลหลัวจะไม่ขวางพวกเราแน่!” เย่เทียนเฉินพูดออกมาพลางหัวเราะเบิกบาน
“อืม!” หลัวเยี่ยนเห็นลูกชายเชื่อมั่นขนาดนั้น จึงรู้สึกเข้มแข็งขึ้นมา ตัวเองจะไปเจอคุณยายทวด ใครก็ไม่มีสิทธิ์ขวาง เธอไม่ได้ไปแย่งชิงอะไรกับตระกูลหลัว ไม่ว่าใครก็ขวางไม่ได้!
……………………………..
“ไปเถอะ เดี๋ยวผมจะเลี้ยงหมูสามชั้นผัดพริก คิดว่าเป็นค่าตอบแทนที่ลำบากให้คุณเดินทางมาก็แล้วกัน!” เย่เทียนเฉินพูดกับจางอีเต๋อแล้วหัวเราะฮี่ๆ
จางอีเต๋อและเย่เทียนเฉินเดินเข้าไปในร้านอาหารเสฉวนแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล หลังจากที่ได้มาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ เย่เทียนเฉินก็ชอบอาหารเสฉวนที่เน้นรสเผ็ดมาก ดังนั้นจึงได้สั่งหม้อไฟหมาล่า หมูสามชั้นผัดพริก และยังมีอาหารจานผักอีกสองอย่าง นี่นับว่าเป็นการรับรองจางอีเต๋อที่เป็นเซียนแพทย์เทวะอย่างดีแล้ว
หากคนอื่นรู้ว่าเย่เทียนเฉินใช้วิธีการนี้มารับรองแขก ทุกคนคงต้องคุกเข่าร้องไห้ขอให้เซียนแพทย์เทวะอย่าได้ออกมาอีกเลย เชื่อว่าพวกเขาคงคิดอยากจะอัดเจ้าหมอนี่สักยกแน่ๆ
จางอีเต๋อเองก็รู้สึกแปลกใจกับเย่เทียนเฉินมาก เพราะว่าเขาอยู่มาแล้วร้อยปี เคยเห็นยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณ และเคยเห็นยอดฝีมือผู้มีพลังพิเศษมามากมาย แต่ว่าแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเห็นคนหนุ่มแบบเย่เทียนเฉินมาก่อน แล้วยังเป็นคนที่มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งถึงขนาดนี้อีกด้วย ที่สำคัญก็คือในร่างกายของเย่เทียนเฉินมีพลังพิเศษในสายที่แตกต่างกันไป ต่อให้ไม่ได้แข็งแกร่งอะไรมากก็ตาม สิ่งนี้ยากที่จะถูกผู้อื่นค้นพบ หากไม่ใช่เพราะตนเองเป็นผู้มีพลังพิเศษในสายรักษาจึงมีพลังพิเศษที่ค่อนข้างเฉพาะตัว ในตอนที่รักษาบาดแผลให้เย่เทียนเฉินก็คงจะไม่รู้สภาพอันหน้าตื่นตะลึงของเขาแน่
ความจริงแล้วในเรื่องขอบเขตพลังของผู้มีพลังพิเศษ ตอนที่เย่เทียนเฉินได้กลับมาเกิดใหม่ก็พบว่าขอบเขตพลังของตนได้ตกไปอยู่ระดับราชัน นี่ทำให้เขารู้สึกแปลกใจมาก ในช่วงยุคสิ้นโลกเขาเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษระดับพระเจ้า ทำไมหลังจากที่ได้มาเกิดใหม่ถึงได้มีพลังพิเศษแค่ระดับราชัน? หากจะพูดว่าการเกิดใหม่สามารถพาพลังพิเศษมาด้วยได้ ถ้าอย่างนั้นก็ควรจะเป็นขอบเขตพระเจ้าถึงจะถูก? นี่ทำให้เขารู้สึกสงสัยมากจริงๆ
สุดท้ายเย่เทียนเฉินก็ให้คำอธิบายออกมาอย่างหนึ่ง นั่นก็คือตนเองได้มาเกิดใหม่ในร่างของเย่เทียนเฉิน กายเนื้อนี้ไม่อาจรองรับพลังพิเศษได้มาก นี่ก็เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมเขาที่ไปถึงขอบเขตจอมราชันแล้วจึงได้ก้าวหน้าไปอีกขั้นได้ยาก นอกจากนี้ในตอนนั้นที่เขาต่อสู้กับสัตว์อสูรที่แข็งแกร่ง เดิมทีเขาก็ไม่มีความสามารถที่จะสู้กับมันอยู่แล้ว เพียงแต่เย่เทียนเฉินที่กำลังโกรธจนคลั่ง ได้ไปสัมผัสถึงขอบเขตหนึ่งที่ทำให้ก้าวกระโดดไปครั้งใหญ่ ซึ่งถูกเรียกว่าเป็น “เขตแดนต้องห้าม” ในตอนที่ยืนอยู่ในเขตแดนต้องห้ามเย่เทียนเฉินก็ได้ก้าวกระโดดไปครั้งใหญ่ เขาโอบกอดร่างของคนที่แม้ตายก็ต้องปกป้องเอาไว้ให้ได้ ไปแก้แค้นให้ผู้หญิงของเขา
เพียงแต่น่าเสียดายที่สัตว์อสูรแข็งแกร่งตัวนั้นอยู่ในขอบเขตพระเจ้าระดับสูงแล้ว แต่เย่เทียนเฉินยังอยู่ในขอบเขตพระเจ้าระดับต้น ห่างกันเก้าขั้นเต็มๆ ต่อให้พลังการต่อสู้ก้าวกระโดดไปได้เพราะเขตแดนต้องห้าม แต่ก็เป็นระยะห่างที่มากเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นนี่เป็นครั้งแรกที่เย่เทียนเฉินได้สัมผัสกับเขตแดนแบบนี้ จึงรู้สึกไม่คุ้นชิน และไม่อาจควบคุมได้ ถูกสัตว์อสูรฉีกกระชากจนกลายเป็นหมอกเลือด กระดูกป่นเป็นผง และในตอนนั้นเองเรื่องพิสดารก็เกิดขึ้น ประกายดาวสาดส่องลงมาบนร่างของเย่เทียนเฉิน ทำให้เขาได้มาเกิดในร่างของเย่เทียนเฉินบนโลกแห่งนี้ ในตอนนั้นเย่เทียนเฉินถูกกำจัดไปแล้วอย่างสมบูรณ์ เกรงว่าจะเหลือไว้เพียงความสามารถพลังพิเศษในขอบเขตราชันเท่านั้น
ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด เย่เทียนเฉินก็ได้มาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้แล้ว มีพลังพิเศษในระดับราชันขั้นต้นสุด นี่ทำให้เขาปราบปลื้มใจเป็นอย่างมาก มิฉะนั้นคงเป็นได้แค่เนื้อปลาให้ผู้อื่นกัดกิน ไม่ว่าจะเป็นโลกไหน ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด ปลาใหญ่กินปลาเล็ก คนกินคน ต่างก็เป็นหลักการในการเอาชีวิตรอดที่เป็นธรรมชาติ ใครก็ไม่มีทางหนีพ้น ไม่ว่าคุณจะแข็งแกร่งมากขนาดไหนก็ตาม ดังนั้นตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันจึงได้มีคนมากมายที่ต้องการเป็นอมตะ คนเหล่านั้นต่างก็ต้องการบ่มเพาะ ต้องการหลุดพ้นจากโลกทั้งสาม ไม่อยู่ในวัฏสงสารอีก และกลายเป็นสิ่งที่ตำนานเรียกขานว่า “เซียน”
เซียน ทุกคนมองไม่ผิด และไม่ได้ฟังผิด ในระยะเวลากว่าห้าพันปีของประเทศจีน คำว่าเซียนต่างก็ไม่เคยหายไป ต่อให้เป็นในยุคปัจจุบันซึ่งเป็นยุคที่คนมากมายถูกล้างสมองจนทำให้หลายคนไม่ยอมรับเรื่องของเทพเซียนปีศาจอีก แต่ก็มีหลายคนที่หลงใหล แม้ปากจะไม่พูดแต่ในใจกลับเต็มไปด้วยเรื่องของเทพเซียนปีศาจ บนโลกยังมีความลึกลับที่ไม่อาจอธิบายได้อยู่มากมาย ตกลงแล้วยังมีเซียนอยู่หรือไม่? ตกลงแล้วมีคนที่เป็นอมตะหรือไม่? โลกมีการวิวัฒนาการมานับแสนล้านปี กระทั่งธรรมชาติหรือการบำเพ็ญตนก็เปลี่ยนแปลงไปหลายครั้ง มีอะไรหลายๆ อย่างที่หายไป เกรงว่าใครก็ไม่กล้าพูดว่าเซียนเป็นเรื่องโคมลอย ไม่อย่างนั้นเรื่องเล่าตำนานเทพนิยายต่างๆ ของประเทศจีนจะเป็นเรื่องโกหกหมดเลยหรือ? ผมคิดว่าใครก็ไม่กล้าสรุป
“คุณต้องการทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น ก็เลยฝึกฝนและดูดซึมพลังพิเศษที่ไม่เหมือนกันเข้ามา แต่คุณเองก็รู้ว่า เกือบร้อยปีมานี้ ยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณที่แข็งแกร่งมากมายหรือผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งมากมาย ล้วนไม่มีใครที่ทำสำเร็จเลยสักคนเดียว จุดจบของพวกเขาก็คือตัวระเบิดตายกลายเป็นหมอกเลือด หากว่าคุณทำแบบนี้ต่อไป คงหนีไม่พ้นจุดจบแบบนี้แน่!” จางอีเต๋อคิดถึงเรื่องที่เย่เทียนเฉินหล่อเลี้ยงพลังพิเศษที่แตกต่างกันไปในร่างกาย รู้สึกว่ามันอันตรายมากจนอดไม่ได้ที่จะกล่าวเตือนออกมา
“ผู้เฒ่า ผมก็ไม่ขอพูดเล่นกับคุณแล้ว ผมมีเรื่องที่ต้องการที่จะถามคุณ…” ทันใดนั้นเย่เทียนเฉินมองไปที่จางอีเต๋อแล้วพูดออกมาอย่างจริงจัง
“ถามมาเถอะ ผมแก่แล้ว นี่เป็นยุคของคนรุ่นใหม่อย่างพวกคุณ!” จางอีเต๋อพูดด้วยรอยยิ้ม
“เคล็ดวิชาโบราณของประเทศจีนสืบทอดกันมายาวนาน อย่างน้อยก็คงไม่ได้หยุดอยู่ที่ห้าพันปีแน่นอน มีสิ่งลึกลับอะไรที่สามารถทำให้คนจากดาวดวงหนึ่งเดินทางไปยังดาวอีกดวงหนึ่งได้บ้างไหมครับ?” เย่เทียนเฉินมองจางอีเต๋อแล้วเอ่ยถาม
ที่เขาถามเรื่องแบบนี้ออกมา เป็นเพราะเย่เทียนเฉินคิดถึงช่วงยุคสิ้นโลก ตัวเขานั้นได้มาเกิดใหม่จากช่วงยุคสิ้นโลก ถึงแม้ว่าโลกนั้นทุกคนที่เขาคุ้มครองและคนที่เขารักจะตายไปหมดแล้ว แต่ก็ยังมีศัตรูอยู่ และยังมีความลับอีกมากมายที่ยังรอให้เขาไปค้นหา อีกทั้งมีเส้นทางแห่งความเป็นอมตะให้เขาไขว่คว้า ก่อนหน้านี้เขาคิดเพียงว่าต้องการจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเท่านั้น แต่เขาก็ค่อยๆ พบว่ามันเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก เพราะในเมื่อเขาสามารถมาเกิดใหม่จากช่วงยุคสิ้นโลกได้ ก็เกรงว่าจะมีคนอื่นที่สามารถมาจากยุคสิ้นโลกได้เหมือนกับเขา เมื่อถึงตอนนั้น ชีวิตอันสงบสุขก็คงจะถูกทำลาย ด้วยความสามารถในขอบเขตจอมราชันของตนในตอนนี้ เกรงว่าจะไม่อาจขวางผู้แข็งแกร่งที่มาจากช่วงยุคสิ้นโลกได้เลย
ที่ใช้วิธีการถามเป็นระหว่างดาวดวงหนึ่งกับดาวดวงหนึ่งนั้น เป็นเพราะเย่เทียนเฉินพบว่า ตนนั้นได้มาเกิดใหม่จากช่วงยุคสิ้นโลก ซึ่งช่วงยุคสิ้นโลกที่ว่านี้ไม่ใช่ดาวโลก แต่เป็นดาวสิ้นโลก นั่นเป็นดาวที่มีอารยธรรมแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ระยะนี้เย่เทียนเฉินอ่านหนังสือมาไม่น้อย สามารถพูดได้ว่าสภาพในปัจจุบันของดาวสิ้นโลกเหมือนกับช่วงเทพนิยายของดาวโลก มีความแปลกประหลาดพิสดารมากมาย ไม่มีอะไรที่ไม่มี เป็นโลกที่เหมาะต่อการบ่มเพาะพลัง ไม่เหมือนดาวโลกที่ถูกทำลายจนกลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว ไม่สามารถสัมผัสได้ถึงพลังธรรมชาติ ไม่สามารถใช้วิธีพิสดารอะไรทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นมาได้
ถ้ากลับไปช่วงยุคสิ้นโลก เขาจะทำให้ตัวเองแข็งแกร่ง ทะลวงขอบเขตระดับพระเจ้าหรือกระทั่งทะลวงไปให้ถึงขอบเขตเทพราชัน ขี่เมฆท่องไปทั่วโลกเพื่อแก้แค้นให้เพื่อนของตนที่ตายไป แก้แค้นให้คนรักที่ตายไป กลายเป็นเย่เทียนเฉินที่มีความแค้นอยู่ในใจ เพราะเขารู้ว่าจะต้องมีสักวันที่ผู้แข็งแกร่งในดาวสิ้นโลกค้นพบวิธีการที่จะมายังดาวโลก เมื่อถึงตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าจะมีสภาพอย่างไร ถ้าขอบเขตพลังของเขายังไม่อาจทะลวงไปได้ก็คงไม่สามารถขัดขวางปีศาจเหล่านี้ได้อย่างแน่นอน คงทําได้เพียงเบิกตามองดูจุดจบของเพื่อนและครอบครัวในโลกนี้ของตนถูกฆ่าไปต่อหน้าต่อตา
จางอีเต๋อเป็นชายชราที่ลึกลับคนหนึ่ง มีชีวิตอยู่มาถึงอายุร้อยปีแล้ว เรื่องที่รู้มากมายกว่าคนธรรมดามาก ดังนั้นเย่เทียนเฉินจึงคิดที่จะทำความเข้าใจจากคำพูดของเขา บางทีเคล็ดวิชาโบราณที่สืบทอดกันมายาวนานจะมีวิธีที่ทำให้สามารถเดินทางจากดาวดวงหนึ่งไปยังดาวอีกดวงหนึ่งได้ เพราะในหมู่เคล็ดวิชาโบราณมีความลึกลับและวิชาลึกลับมากมาย กระทั่งมีสิ่งที่วิวัฒนาการจากเส้นทางการบ่มเพาะในสมัยก่อน มีเรื่องมากมายที่คนธรรมดาไม่รู้และไม่อาจเข้าใจได้ เย่เทียนเฉินมาจากช่วงยุคสิ้นโลกซึ่งเป็นโลกที่มีความแปลกพิสดาร ดังนั้นในโลกใบนี้จึงไม่มีอะไรที่สามารถทำให้เขาต้องสั่นสะท้านได้ง่ายๆ ยิ่งไปกว่านั้นเดิมทีเขาก็ไม่ใช่คนของโลกนี้ ยังไม่ได้ถูกล้างสมอง ยังไม่ได้ถูกจองจำ ความคิดยังคงแตกต่างอยู่มาก
“ทำไมคุณถึงถามแบบนี้?” ทันใดนั้นจางอีเต๋อมองไปยังเย่เทียนเฉิน ไม่รู้จริงๆ ว่าเด็กหนุ่มคนนี้หมายถึงอะไร
“ความเป็นอมตะ คุณพูดถึงเรื่องความเป็นอมตะกับผม ผมคิดว่าเป็นเพราะคุณเองก็อยากที่จะค้นหาด้วยกันกับผม ต้องการเข้าไปในโลกแบบนั้นเหมือนกัน ถ้างั้นคุณก็คงจะรู้ว่า ธรรมชาติที่พวกเราอาศัยอยู่นี้ถูกทำลายไปแล้ว ไม่อาจสัมผัสได้ถึงพลังธรรมชาติ ไม่อาจสัมผัสได้ถึงพลังของ “เต๋า” หากต้องการที่จะทะลวงไปในขอบเขตที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ดูเหมือนว่าจะเป็นไปไม่ได้ ถ้างั้นพวกเราก็ต้องไปยังสถานที่อื่นถึงจะสามารถทำได้” เย่เทียนเฉินพูดด้วยท่าทางสบายๆ
แน่นอนว่าเย่เทียนเฉินไม่สามารถพูดเรื่องที่ตัวเองได้มาเกิดใหม่ในดาวโลก มาเกิดใหม่จากดาวสิ้นโลกให้จางอีเต๋อฟังได้โดยเด็ดขาด ต่อให้ความคิดของจางอีเต๋อจะล้ำเลิศ ต่อให้ความคิดของเขายังไม่ถูกจำกัด แต่ก็เกรงว่าเรื่องของการเกิดใหม่คงจะรับได้ยาก ยิ่งไปกว่านั้นเย่เทียนเฉินมีความรู้สึกหนึ่ง นั่นก็คือดาวโลกในตอนนี้ถึงแม้จะถูกทำลายไปแล้ว แต่ที่นี่ก็มีความลับอยู่อีกมากมาย จะต้องมีสักวันที่ดึงดูดการโจมตีของผู้แข็งแกร่ง ซึ่งผู้แข็งแกร่งเหล่านี้ก็จะทำเรื่องลั่นฟ้าสะเทือนดินเพียงเพื่อที่จะตามหาความลับเหล่านั้น แต่คนในดาวโลกตอนนี้หากอยู่ต่อหน้าของผู้แข็งแกร่ง จะต้องเป็นได้แค่มดแมลง ทำได้เพียงถูกผู้อื่นฆ่า ดังนั้นเย่เทียนเฉินจึงต้องการแข็งแกร่งขึ้น ปกป้องโลกแห่งนี้เพื่อพ่อแม่และน้องสาวของตน
เพราะคำพูดของจางอีเต๋อทำให้เย่เทียนเฉินรับรู้ได้ในทันใดว่า ตัวเขายังมีภาระอันยิ่งใหญ่อยู่กับตัว ยังมีเรื่องราวยิ่งใหญ่ที่ยังต้องกระทำให้สำเร็จ แน่นอนว่าก่อนหน้านี้ เขายังต้องตามหาวิธีการก่อน หากว่าไม่มีทางกลับไปดาวสิ้นโลกได้ ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ทำได้เพียงใช้ชีวิตอยู่ต่อไปในสังคมเมืองเท่านั้น ใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไป
“พูดได้ว่ามี และพูดได้ว่าไม่มี” จางอีเต๋อชะงักไปครู่หนึ่งแล้วจึงเปิดปากพูด
“หมายความว่ายังไง?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“เพราะแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีการพิสูจน์ความจริงได้ว่ามีคนสามารถเดินทางจากดาวดวงหนึ่งไปยังดาวอีกดวงหนึ่งได้ จักรวาลกว้างใหญ่ไพศาล มีดวงดาวมากมายนับไม่ถ้วน และมีความลี้ลับอยู่ไม่น้อย ในดาวที่ไม่รู้จักเหล่านั้น จะมีใครที่กล้ารับประกันว่าจะไม่มีวิชาที่ทำให้เป็นอมตะ หรือไม่มีคนที่เป็นอมตะ? มีชีวิตอยู่จนอายุเช่นนี้แล้ว คุณคงมีเหตุผลที่จะรีบหาความอมตะ ด้วยความสามารถของคนในดาวโลกในยุคปัจจุบันนี้ ทำได้เพียงหาในดาวที่อยู่ใกล้ไม่กี่ดวง ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่อาจหาได้หมด ยังไม่มีความสามารถแบบนั้น เกรงว่าในตอนที่ดาวโลกล่มสลาย ก็คงยังไม่พบวิธีการที่จะเดินทางไปยังดาวอื่น!” จางอีเต๋อคิดไม่เหมือนกันจริงๆ เขาพูดออกมาพลางส่ายหัว
“ผมคิดว่ามี และวิธีนั้นก็อยู่ในเคล็ดวิชาโบราณด้วย คุณเคยได้ยินตำนานหรือเรื่องราวแบบนี้มาก่อนหรือเปล่าครับ?” เย่เทียนเฉินเลยถามอย่างตรงไปตรงมา
………………..
จางรั่วถงทั้งฉลาด บริสุทธิ์ และรู้ความเป็นอย่างมาก ในใจของเธอคิดว่าเย่เทียนเฉินเป็นคนดีคนหนึ่ง ถึงแม้ดูผิวเผินจะดูพึ่งพาไม่ได้และชอบทำตัวเรื่อยเฉื่อยอยู่บ้าง แต่ในตอนที่เขาลงมือก็จะจริงจัง มีเสน่ห์ของพี่ใหญ่
สรุปแล้วเย่เทียนเฉินได้ช่วยตนเองและช่วยกำจัดพิษให้มู่หรงซิน ในใจของจางรั่วถงเย่เทียนเฉินก็เลยเห็นว่าเป็นคนดี เป็นเหมือนพี่ใหญ่ที่ทำให้เธอคิดจะใช้เวลาด้วยให้มากขึ้น
“งั้นพวกเราก็ตกลงตามนี้ บอกก่อนว่าฉันเป็นคนกินเยอะ ถึงตอนนั้นเธอก็อย่ารู้สึกว่าเป็นการรบกวนก็แล้วกัน!” เย่เทียนเฉินยืนขึ้นบิดขี้เกียจด้วยความพึงพอใจ จากนั้นจึงพูดกับจางรั่วถงด้วยรอยยิ้ม
“จะเป็นแบบนั้นได้ไงคะ ขอแค่พี่มาเยี่ยมหนูบ้าง หนูก็จะทำของอร่อยๆ ให้พี่กิน!”
“งั้นก็เอาตามที่เธอพูด มาเกี่ยวก้อยสัญญากันเถอะ!”
เย่เทียนเฉินเองก็มีความประทับใจต่อจางรั่วถงไม่เลวเลยเช่นกัน ถึงแม้ทั้งสองจะเพิ่งได้พบหน้ากัน แต่ก็รู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก ระหว่างคนสองคนความจริงใจก็คือกุญแจสำคัญ เย่เทียนเฉินสามารถรับรู้ได้จากสายตาและคำพูดของจางรั่วถงว่าเด็กสาวคนนี้เป็นคนดีอย่างแท้จริง ทำให้เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะต้องการรู้จักน้องสาวตัวน้อยให้มากขึ้น
“ค่ะ!” จางรั่วถงเองก็ยื่นนิ้วก้อยมือขวาของเธอออกไป เกี่ยวก้อยกับเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น
“เอาล่ะ ฉันกับคุณปู่ของเธอจะออกไปข้างนอกสักพัก เธอก็ทำอะไรของเธอไปเถอะ!”
เมื่อเห็นว่าเย่เทียนเฉินเดินออกไปจากห้องกินข้าวอย่างเบิกบานใจ จางรั่วถงก็เก็บถ้วยเก็บตะเกียบ เธอคิดถึงเรื่องที่เพิ่งจะเกี่ยวก้อยกับเย่เทียนเฉินเมื่อสักครู่นี้ก็อดไม่ได้ที่จะหน้าแดง ตั้งแต่เล็กจนโต นี่เป็นครั้งแรกที่มีผู้ชายมาแตะต้องตัวเธอ ยิ่งไปกว่านั้นจางรั่วถงยังไม่รู้ว่าทำไม เมื่อคืนเธอถึงฝันว่าได้พบกับเย่เทียนเฉิน ฝันเห็นเรื่องที่เขาแก้พิษให้มู่หรงซินอย่างบริสุทธิ์ใจ ฝันเห็นเงาร่างอันหล่อเหลาของเขากำลังสู้กับคาเอดะอิจิโร่
หัวใจของเด็กสาวค่อยๆ เต้นแรง จางรั่วถงอดไม่ได้ที่จะย้อนคิดไปถึงภาพนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างต่างก็เกี่ยวข้องกับเย่เทียนเฉิน โดยเฉพาะรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของเย่เทียนเฉิน คำพูดอันธพาลที่ดูไร้แก่นสารของเขายิ่งทำให้เธอรู้สึกว่ามีเสน่ห์
ในตอนที่เย่เทียนเฉินเดินไปถึงลาน พบว่าจางอีเต๋อพกล่องยานั่งอยู่ข้างโต๊ะหินในลานก่อนแล้ว ชายชราที่ทั้งผมและหนวดเคราขาวโพลนไปหมดแล้วคนนี้มีท่าทางราวกับเซียน ในฐานะที่เป็นเซียนแพทย์เทวะ เย่เทียนเฉินรู้ว่าชีวิตของจางอีเต๋อในตอนนี้สงบสุขมาก หากไม่ใช่เพราะมู่หรงอวี๋ตูมาหาเขา เขาคงไม่ปรากฏตัวออกมาสู่โลกภายนอกเป็นอันขาด
จางอีเต๋อสามารถรักษาให้ประชาชนคนธรรมดาทั่วไปได้โดยที่ไม่คิดเงิน แต่ก็ไม่แน่ว่าผู้มีเงินทองหรือผู้มีอำนาจจะสามารถเชิญเขาไปได้ นี่คือหลักการในการรักษาคนของจางอีเต๋อ จะไม่แบ่งแยกผู้ป่วยจากทรัพย์สินเงินทองหรืออำนาจเป็นอันขาด นี่จึงจะเป็นภาวะสูงที่สุดของผู้เป็นหมอ จิตใจโอบอ้อมอารีของผู้เป็นหมอที่ประดุจดั่งบุพการีต่างก็ปรากฏอยู่ในนี้แล้ว
“ผู้อาวุโสจาง ผมขอเตือนคุณไว้สักหน่อย ผู้ป่วยที่ผมคิดจะเชิญคุณไปรักษานั้นป่วยเป็นโรคมะเร็ง และยังเป็นระยะสุดท้ายด้วย มีชีวิตอยู่ได้เพียงแค่ไม่กี่เดือน!” เย่เทียนเฉินเดินไปเบื้องหน้าจางอีเต๋อ มองจางอีเต๋อแล้วพูดขึ้นอย่างจริงจัง
“ไปดูสักหน่อยก็แล้วกัน โรคมะเร็งเป็นโรคที่ในสังคมปัจจุบันนี้รักษาไม่หาย ผมเองก็ไม่แน่ว่าจะทำได้ แต่อย่างน้อยก็สามารถทำให้เธอมีชีวิตยืนยาวไปได้อีกหลายปี นี่เป็นข้อจำกัดที่สุดแล้ว!” จางอีเต๋อกล่าวตามจริง
เย่เทียนเฉินพยักหน้า เขารู้ว่าจางอีเต๋อไม่ได้พูดโกหก โรคมะเร็งในช่วงยุคสิ้นโลกอาจจะไม่นับว่าเป็นอะไรได้ แต่หากต้องการรักษาให้หายในโลกแห่งนี้นับเป็นเรื่องเพ้อฝันอย่างแน่นอน ปัญหาที่สำคัญก็คือขาดแคลนยารักษาโรคประเภทนี้ ไม่เหมือนกับในช่วงยุคสิ้นโลกที่มีความพิสดาร มีกระทั่งยาที่สามารถทำให้คนตายฟื้นขึ้นมาได้
จางอีเต๋อและเย่เทียนเฉินเดินออกมาจากลานบ้านตระกูลจาง ในตอนที่พวกเขาเพิ่งจะเดินไปถึงประตูนั้น จางรั่วถงก็ตามมา ในมือถือกล่องข้าวกล่องนึง เธอส่งไปให้เย่เทียนเฉินแล้วพูดว่า “พี่เทียนเฉิน หนูเห็นว่าพี่ชอบกินเนื้อกระต่ายน้ำแดงนี้มาก ยังเหลืออยู่อีกหน่อย พี่เอากลับไปกินเถอะ!”
“หือ? งั้น…ฉันก็เขินแย่น่ะสิ?”
เย่เทียนเฉินพูดว่าเขินไปพลาง หยิบกล่องข้าวที่จางรั่วถงส่งมาให้ไปพลาง จางรั่วถงเห็นดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มหวานออกมา ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
จางอีเต๋อมองหลานสาว ในสายตาเจือไปด้วยความกังวล ในขณะเดียวกันก็มองไปยังเย่เทียนเฉิน ราวกับตัดสินใจเรื่องอะไรบางอย่างได้ เขาโบกมือเรียกรถแท็กซี่คันหนึ่ง จากนั้นจึงเข้าไปนั่ง เย่เทียนเฉินเองก็ตามเข้าไปนั่งที่ตำแหน่งข้างคนขับหลังจากยิ้มบอกลาจางรั่วถงเรียบร้อยแล้ว
“คุณคนขับครับ ไปโรงพยาบาลเมืองหลวง!” เย่เทียนเฉินมองเนื้อกระต่ายน้ำแดงที่ส่งกลิ่นหอมในกล่องข้าว อดไม่ได้ที่จะพูดออกมาแล้วหัวเราะฮี่ๆ
ไม่กล่าวไม่ได้ว่า ฝีมือการทำอาหารของจางรั่วถงดีมากจริงๆ หลังจากที่กลับมาเกิดใหม่ในสังคมเมือง เย่เทียนเฉินก็กินอาหารเลิศรสไปไม่น้อย เขามีความพิถีพิถันในการเลือกกินมาก ฝีมือการทำอาหารของหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ก็ดีมากเช่นเดียวกัน ส่วนเย่เชี่ยนเหวินนั่นน่ะเหรอ เขาไม่กล้าชมเชยเลยจริงๆ แน่นอนว่ายังมีอีกคนหนึ่งที่เย่เทียนเฉินอยากจะลืมก็ลืมไม่ลง นั่นก็คือฉีหรูเสวี่ย ถึงแม้เย่เทียนเฉินจะไม่ได้รู้สึกอะไรกับฉีหรูเสวี่ย แต่ก็ยังเห็นเธอเป็นเพื่อน การที่ทั้งสองทะเลาะกันก็เป็นเรื่องปกติ แต่มีจุดหนึ่งที่เย่เทียนเฉินจำเป็นต้องยอมรับ นั่นก็คืออาหารที่ฉีหรูเสวี่ยทำรสชาติไม่เลวเลยจริงๆ โดยเฉพาะกุ้งมังกรที่เรียกได้ว่ากินร้อยครั้งก็ไม่เบื่อ
“คุณมีแฟนหรือยัง?” ทันใดนั้นจางอีเต๋อก็มองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วเอ่ยถามออกมา
“ถามทำไมเนี่ย? ผมบอกคุณไว้ก่อนนะ รสนิยมทางเพศของผมปกติมาก ยิ่งคนแก่ผมยิ่งไม่สนใจ!” เย่เทียนเฉินจงใจพูดด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
ใบหน้าของจางอีเต๋อมืดครึ้ม รู้สึกอยากอัดเย่เทียนเฉินแรงๆ สักครั้ง คนคนนี้บางทีก็กวนประสาทเกินไปแล้ว หากไม่ได้อยู่บนรถแท็กซี่ กลัวว่าจะทำให้คนขับรถตกใจ เกรงว่าจางอีเต๋อที่มีอายุเกือบร้อยปีคงจะทนไม่ไหวไปแล้ว
“ไม่มีอะไร ถามดูเฉยๆ!” จางอีเต๋อพูดด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
“ฮี่ๆ คนหล่อสง่างามอย่างผม มีออร่าซะยิ่งกว่าหิ่งห้อยตอนกลางคืนอีก เป็นเหมือนกับเต่าทองคำในท้องนา เอาวางไว้ที่ไหนก็เปล่งประกายที่นั่น ผู้หญิงสวยๆ ที่ตามจีบผมเยอะมาก แต่ก็ยังไม่เจอผู้หญิงที่ผมถูกใจมาก่อน ผมรอคอยเธอมาโดยตลอด…” เย่เทียนเฉินเก๊กพูดอย่างจริงจังแล้วมองไปเบื้องหน้า
จางอีเต๋ออับจนคำพูดแล้วจริงๆ ชายชราอายุเกือบร้อยปีกับเด็กหนุ่มอายุยี่สิบปีแบบเย่เทียนเฉิน หาหัวข้อเรื่องมาพูดคุยกันยากมาก กลับเป็นคนขับรถด้านข้างที่อายุประมาณสี่สิบปีซึ่งดูเป็นคนร่าเริงและช่างพูดช่างเจรจา เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มแล้วพูดออกมา “เด็กหนุ่มที่ยังอายุน้อยและมั่นใจในตัวเองอย่างคุณมีไม่มากเลยจริงๆ คนหนุ่มสาวก็ควรจะมีความร่าเริง คุณคนที่อยู่ด้านหลังเป็นคุณปู่ของคุณหรอ? สุขภาพดีมากจริงๆ อายุยืนยาวนับร้อยปี!”
เมื่อได้ยินคำพูดของคุณลุงคนขับรถ เย่เทียนเฉินก็รู้สึกเอือมระอา ถึงกลับคิดว่าจางอีเต๋อเป็นคุณปู่ของเขา ส่วนจางอีเต๋อก็ยิ้มอย่างได้ใจ มองท่าทางเซ็งๆ ของเย่เทียนเฉิน เด็กหนุ่มที่วันๆ เอาแต่ล้อเล่นพูดจาเรื่อยเฉื่อยแบบเขาก็มีช่วงเวลาที่เสียเปรียบด้วย?
สำหรับยอดฝีมืออย่างเย่เทียนเฉินและจางอีเต๋อย่อมไม่คิดเล็กคิดน้อยกับคนธรรมดาทั่วไป โดยเฉพาะคนธรรมดาที่มีจิตใจดีงามแบบนี้ ผู้อื่นเขาคุยกับคุณด้วยเจตนาดี ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นมิตรมากด้วย ต่อให้จะเข้าใจผิดก็ไม่ควรที่จะไปอัดคนอื่นเขามั่วๆ
“คุณลุงคนขับรถ สายตาของคุณดีจริงๆ มองแป๊บเดียวก็รู้เลย แต่ผมกับเขาไม่ใช่ปู่หลานกัน!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม
“เอ๋? ขะ ขอโทษด้วยครับ ผมดูผิดไปแล้ว ขอโทษน้องชายจริงๆ !” คนขับรถแท็กซี่พูดด้วยรอยยิ้ม
“ไม่เป็นไร!” เย่เทียนเฉินพยักหน้าแล้วพูดขึ้น
“ไม่ต้องพูดถึงเขาหรอก แต่คุณเรียกผมว่าคุณปู่ก็สมควรแล้ว ผมอายุร้อยปีแล้ว พวกคุณเพิ่งจะเท่าไหร่กันเชียว รีบเรียกคุณปู่สิ!” จางอีเต๋อในตอนนี้ก็เริ่มพูดจาหยอกล้อขึ้นมา
ในตอนนี้เองทำให้เย่เทียนเฉินและคนขับรถรู้สึกอับจนคำพูด ขิงยิ่งแก่ยิ่งเผ็ดจริงๆ ล้อเล่นน่า พวกผู้เฒ่าเหล่านี้ตอนที่คิดจะหยอกล้อขึ้นมา รับประกันได้เลยว่าไม่ว่าใครก็ต้องหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้
จนกระทั่งถึงเวลาประมาณบ่ายสอง เย่เทียนเฉินและจางอีเต๋อจึงได้มาถึงโรงพยาบาลแห่งเมืองหลวง เย่เทียนเฉินโทรหาเสี้ยวหยา ให้เธอรีบมาที่โรงพยาบาลแห่งเมืองหลวง บอกว่ามีเซอร์ไพรส์ให้เธอ
เมื่อเย่เทียนเฉินพาจางอีเต๋อเดินเข้าไปในห้องผู้ป่วยของแม่ของเสี้ยวหยาจึงพบว่าเสี้ยวหยารออยู่ด้านในแล้ว เธอกำลังคุยเล่นกับแม่อย่างเบิกบานใจ สีหน้าของแม่ของเสี้ยวหยายังคงซีดขาวเป็นอย่างมาก เมื่อเทียบกับเมื่อหลายวันก่อนก็ดูซีดลงไปไม่น้อยเลยทีเดียว ท่าทางผู้อำนวยการของโรงพยาบาลแห่งเมืองหลวงจะไม่ได้โกหกเขา แม่ของเสี้ยวหยาอยู่ได้ไม่นานนัก อย่างมากที่สุดก็อยู่ได้อีกครึ่งปี
“หยาเอ๋อร์ คนๆ นี้คือปรมาจารย์จาง มีฝีมือทางการแพทย์ยอดเยี่ยมมาก จะต้องรักษาแม่ของเธอได้แน่ เขารับปากฉันแล้ว!” เย่เทียนเฉินแนะนำจางอีเต๋อให้เสี้ยวหยาด้วยรอยยิ้ม
“คุณปู่จางสวัสดีค่ะ ขอบคุณที่มารักษาให้แม่ของหนู!” เสี้ยวหยามองไปยังจางอีเต๋อด้วยความซาบซึ้งใจ พูดจาอย่างมีมารยาท
“อืม!” จางอีเต๋อพยักหน้า มองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างไม่สบอารมณ์ คนคนนี้ยังไม่ทันได้รับคำอนุญาตจากตนเองก็บอกไปว่าสามารถรักษาอาการป่วยของแม่ของเสี้ยวหยาได้ ไม่มีความรับผิดชอบเลยจริงๆ
เสี้ยวหยายืนอยู่ด้านข้าง เย่เทียนเฉินมองเธอแล้วยิ้มพลางพยักหน้าให้ เขาไม่ต้องการเห็นเสี้ยวหยาเจ็บปวดใจ ผู้หญิงที่จิตใจดีงามคนนี้ คนที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาแบบนี้ กล่าวได้เลยว่าในใจไม่มีความคิดสกปรกเลยแม้แต่น้อย รวมกับที่เธอมีหน้าตาเหมือนผู้หญิงที่เย่เทียนเฉินรักอย่างลึกซึ้งในช่วงยุคสิ้นโลก ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกปล่อยวางไม่ได้ ปล่อยวางความคิดถึงลงไปไม่ได้
จางอีเต๋อไม่ได้พูดอะไรมาก เขาและเย่เทียนเฉินได้เดิมพันกันไว้แล้ว ในเมื่อเย่เทียนเฉินสามารถรักษาพิษให้มู่หรงซินได้ก็นับว่าได้ช่วยเขาและจางรั่วถงผู้เป็นหลาน เพื่อที่จะทำตามสัญญา การมารักษาให้แม่ของเสี้ยวหยาก็นับว่าสมควรแล้ว
เมื่อเห็นจางอีเต๋อนั่งลงข้างเตียงผู้ป่วยของแ่ของเสี้ยวหยา และยังใช้วิธีการที่เก่าแก่ที่สุดของหมอแผนจีน นั่นคือมองดมถามแมะ ซึ่งเป็นวิธีในการจับชีพจรให้ผู้ป่วย และไม่ได้ทำให้รู้สึกว่ามีจุดแปลกหรือพิสดารอะไร มีเพียงเย่เทียนเฉินที่สัมผัสได้ถึงพลังพิเศษอันแปลกประหลาดสายหนึ่ง นี่คงจะเป็นพลังพิเศษในสายรักษาของจางอีเต๋อที่ใช้ออกมาเป็นพิเศษ สามารถตรวจสอบอาการป่วยใดๆ ก็ตามในร่างกายของผู้ป่วยได้อย่างกระจ่างชัดแม่นยำ
“วางใจเธอ แม่ของเธอจะต้องไม่เป็นอะไรแน่ จะต้องดีขึ้นแน่นอน!” เย่เทียนเฉินพูดออกมากลับเสี้ยวหยาอย่างมาดเท่
…………………..
หลิงเยว่ พ่อของหลิงอวี่สวิ๋นและหัวเรือใหญ่แห่งตระกูลหลิง เป็นชายที่ประสบความสำเร็จและมีความสามารถเป็นอย่างมาก มิฉะนั้นเขาคงไม่ได้เป็นหัวเรือใหญ่ของตระกูลลิงที่ยิ่งใหญ่ในตอนที่คุณปู่ของหลิงอวี่สวิ๋นยังคงอยู่ในโลกนี้แน่
ประมาณสามปีก่อน ตอนนั้นตระกูลหลิงยังอยู่ต่างประเทศ ปักหลักอยู่ที่ประเทศ M คุณปู่ของหลิงอวี่สวิ๋นซึ่งก็คือผู้อาวุโสหลิง เห็นว่าลูกชายของเขาหลิงเยว่มีความสามารถถึงขนาดนี้ทั้งยังมีความกตัญญู รวมกับที่ตัวเขาเองก็แก่ชรามากแล้ว มีหลายเรื่องที่อยากทำแต่ไร้เรี่ยวแรง จึงได้มอบตำแหน่งหัวเรือใหญ่แห่งตระกูลหลิงให้แก่หลิงเยว่โดยไม่สนใจเสียงคัดค้านของเหล่าพี่น้องและคุณลุงคุณอาทั้งหลายในตระกูล ถึงแม้ตระกูลหลิงจะมีหลายคนที่ไม่พอใจต่อตัวของหลิงเยว่มาโดยตลอด แต่ก็หวาดกลัวผู้อาวุโสที่ยังมีชีวิตอยู่จึงไม่กล้าขัดแย้งกันอย่างชัดเจน
แต่หลิงเยว่และพ่อของเขาเคยคุยเรื่องธุรกิจกันมาก่อน เขารู้ว่ามีคุณลุงคุณอาบางคนไม่ต้องการที่จะกลับมาในประเทศ พวกเขาอยู่ที่ประเทศ M จนคุ้นชินแล้ว และยังมีชีวิตมั่นคงร่ำรวยอยู่ที่นั่น ลืมประเทศแม่และบ้านเกิดของตัวเอง กระทั่งในหมู่พี่น้องของหลิงเยว่ก็มีคนที่คัดค้านอยู่จำนวนหนึ่ง แต่ที่พวกเขาไม่กล้าก่อเรื่อง เป็นเพราะผู้อาวุโสหลิงซึ่งเป็นคุณพ่อของพวกเขายังคงมีชีวิตอยู่ จะอย่างไรหลายปีมานี้ผู้อาวุโสหลิงรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองแย่ลงทุกวัน ดังนั้นจึงให้หลิงเยว่ผู้เป็นลูกชายกลับประเทศมา และย้ายธุรกิจของตระกูลหลิงกลับมาในประเทศให้เร็วที่สุด เขารู้ว่าถ้าเขาตายไป หลิงเยว่คงจะต้องเผชิญหน้ากับความกดดันมากมาย เหล่าพี่น้องคุณลุงคุณอาที่ไม่พอใจพวกนั้นก็จะต้องก่อเรื่องขึ้นมาอย่างแน่นอน
ดังนั้นตั้งแต่ที่หลิงเยว่กลับมาในประเทศจึงได้ทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะย้ายธุรกิจกลับมา ซึ่งรวมไปถึงการสร้างความสัมพันธ์กับรัฐบาลประเทศจีนด้วย นี่ทำให้เขาได้รับความสำคัญจากคนระดับสูงในประเทศ จะอย่างไรพวกเราก็เป็นคนจีนด้วยกัน คงไม่มีใครที่ไม่อยากจะช่วย ยิ่งไปกว่านั้นตระกูลหลิงยังเป็นตระกูลที่มีอิทธิพลยิ่งใหญ่ต่อโลกธุรกิจต่างประเทศอีกด้วย หากว่าย้ายกลับมาทำธุรกิจในประเทศ เชื่อว่าจะต้องทำให้เศรษฐกิจของประเทศจีนพัฒนาขึ้นอย่างมาก และนำพาผลลัพธ์อันน่าตื่นตะลึงมาด้วยแน่นอน ดังนั้นประเทศจีนจึงยินดีต้อนรับเป็นที่สุด
ไม่ง่ายเลยกว่าที่ธุรกิจของตระกูลที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้จะย้ายกลับมาก่อตั้งอยู่ในประเทศจีนอย่างมั่นคงหยั่งรากลึก ดังนั้นคนในประเทศก็ทำได้เพียงสามารถช่วยเหลืออย่างลับๆ หรือไม่ก็ช่วยพูดเรื่องของนโยบายเล็กน้อย ส่วนใหญ่ก็ยังต้องพึ่งพาตัวของพวกเขาเอง ตัวอย่างไรประเทศจีนก็ใหญ่มาก มีกลุ่มอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่อยู่มากมาย ทางประเทศไม่สามารถละทิ้งทุกอย่างและมาใส่ใจตระกูลหลิงเพียงตระกูลเดียว
เพื่อที่จะช่วยให้ธุรกิจของตระกูลหลิงค่อยๆ ย้ายเข้ามาพัฒนาต่อในประเทศทีละเล็กทีละน้อย หลังจากที่หลิงเยว่กลับมาเขาก็ได้ทำการติดต่อและไกล่เกลี่ยกับคนทุกภาคส่วน ในขณะเดียวกันก็ใคร่ครวญถึงโครงการต่างๆ เตรียมตัวที่จะทำการลงทุนครั้งใหญ่ และเริ่มสานสัมพันธ์กับกลุ่มอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่บางตระกูล หวังว่าพวกเขาจะสามารถช่วยเหลือตระกูลหลิงได้บ้าง มีผลประโยชน์ร่วมกัน นี่จึงทำให้เขาต้องติดต่อกับคนจำนวนมาก ดังนั้นจึงพูดได้ว่าความกดดันของหลิงเยว่มีมากมายเหลือเกิน
ในตอนที่รู้ว่าลูกสาวของเขาหลิงอวี่สวิ๋นได้ไปมาหาสู่กับเย่เทียนเฉิน หลิงเยว่ก็คิดไปถึงจุดสำคัญที่สุดของปัญหาบางอย่างในทันที เมื่อปีนั้นตระกูลหลิงและตระกูลเย่มีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวต่อกันจริงๆ อีกทั้งยังอาศัยอยู่ในซอยเดียวกัน แต่ว่าหลายปีมานี้ก็ไม่ได้มีการติดต่อกันแล้วจึงค่อยๆ ห่างเหินไป ยิ่งไปกว่านั้นหลิงเยว่ยังเข้าใจเป็นอย่างดีว่าตระกูลเย่ตกต่ำลงไปนานแล้ว กลายเป็นตระกูลชั้นสามของเมืองหลวงไปแล้ว และไม่อาจปีนป่ายขึ้นมาได้ ด้วยตำแหน่งฐานะและอำนาจของตระกูลหลิงในปัจจุบันนี้ ตระกูลเย่ไม่สามารถเทียบได้โดยเด็ดขาด
จุดที่สำคัญที่สุดก็คือ หลังจากที่หลิงเยว่ส่งย่าขู่ไปตรวจสอบจึงได้รู้ว่าเย่เทียนเฉินเป็นคนที่กำลังเผชิญกับอุปสรรคอันตรายมากมาย ถึงแม้ความสามารถส่วนตัวของเขาจะแข็งแกร่งมาก ถึงขนาดที่ตระกูลฉินและตระกูลลั่วเคยส่งมือสังหารชั้นยอดไปลอบสังหารเย่เทียนเฉินและสุดท้ายก็ต้องล้มเหลวกลับมา แต่หลิงเยว่ไม่เชื่อโดยเด็ดขาดว่า ด้วยเย่เทียนเฉินเพียงคนเดียวจะสามารถงัดข้อกับอำนาจใหญ่มากมายได้ ยิ่งไปกว่านั้นครั้งนี้คู่ต่อสู้ของเย่เทียนเฉินก็คือคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง เป็นผู้ชายที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเพื่อความรุ่งเรืองของตระกูลหลิงของตนหรือเพื่อความปลอดภัยของลูกสาว หลิงเยว่จึงทำการตัดสินใจว่าจะไม่ให้ลูกสาวได้ไปมาหาสู่กับเย่เทียนเฉินเป็นอันขาด
“พ่อคะ หนูไม่สนใจว่าเย่เทียนเฉินจะเป็นยังไง หนูเป็นเพื่อนกับเขา ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องส่วนตัวของหนู พ่อไม่มีสิทธิ์ห้าม!” หลิงอวี่สวิ๋นเห็นว่าพ่อของตนจะขังตนเอาไว้ในบ้านก็รีบเถียงออกมาด้วยเหตุผล
“พ่อเป็นพ่อของลูก และเป็นผู้ควบคุมตระกูลหลิง คำพูดของพ่อก็คือคำสั่ง ต่อให้ลูกไม่อยากทำตามก็ต้องทำ ย่าขู่ พาเธอไปซะ ไม่อนุญาตให้เหยียบย่างออกจากคฤหาสน์แม้แต่ครึ่งก้าว!” หลิงเยว่มองหลิงอวี่สวิ๋นผู้เป็นลูกแล้วพูดด้วยความเคร่งขรึมจริงจังอย่างหาใดเปรียบ
“พ่อคะ…” หลิงอวี่สวิ๋นน้ำตาไหล เธอคิดไม่ถึงว่าพ่อจะแน่วแน่ถึงขนาดนี้ ตั้งแต่เล็กจนโต นี่เป็นครั้งแรกที่พ่อของเธอเข้มงวดกับเธอขนาดนี้ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อคิดว่าต่อจากนี้จะไม่ได้เจอเย่เทียนเฉินแล้ว หลิงอวี่สวิ๋นก็รู้สึกปวดใจ
หลิงอวี่สวิ๋นถูกย่าขู่ฝืนบังคับพาตัวออกไป หลิงเยว่ทอดถอนใจ เขารักหลิงอวี่สวิ๋นเป็นที่สุด ลูกสาวคนนี้คือความภาคภูมิใจของเขามาโดยตลอด เขาไม่ต้องการทะเลาะกับลูกสาวแบบนี้ แต่ก็ไม่มีวิธีการใด เพื่อตระกูลหลิง เพื่อความปลอดภัยของลูกสาว เขาจำเป็นต้องทำแบบนี้
“นายท่าน มีคำสั่งอะไรครับ!” บอดี้การ์ดสูทดำคนหนึ่งเดินเข้ามาจากประตูด้านข้าง ยืนอยู่ข้างกายของหลิงเยว่อย่างเคารพนอบน้อมแล้วเอ่ยถามขึ้น
“ช่วยฉันจับตาดูเย่เทียนเฉินแห่งตระกูลเย่ หากเขามีการไปมาหาสู่อะไรกับอวี่สวิ๋น ก็สั่งสอนเขาแทนฉันด้วย ถ้าเขายังทำตัวไม่รู้ความ ก็ฆ่าซะ…” หลิงเยว่พูดจบในดวงตาก็มีประกายความโหดเหี้ยมเพิ่มขึ้น
สำหรับกลุ่มอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเบื้องหน้าหรือโลกเบื้องหลัง เมื่อสามารถกลายเป็นตระกูลที่มีอำนาจเช่นนี้ได้ก็ย่อมมีอำนาจอิทธิพลเป็นของตนเองทั้งทางสว่างและทางมืด มิฉะนั้นก็ไม่สามารถคงอำนาจไว้ได้ เมื่อเทียบกับตระกูลหลิงซึ่งเป็นตระกูลใหญ่ตระกูลแรกในสายธุรกิจของชาวจีนโพ้นทะเลที่ไปอยู่ต่างประเทศ และสามารถยืนหยัดได้โดยไม่ล้ม หากไม่มีอำนาจมืดนั่นเป็นไปไม่ได้โดยเด็ดขาด เพราะมักจะมีการต่อสู้ที่ไม่ยุติธรรมเกิดขึ้นเสมอ มักจะมีเรื่องการลอบสังหารและความอันตรายบางอย่างเกิดขึ้นบ่อยๆ เพียงแต่หากไม่ถึงที่สุดจริงๆ ตระกูลหลิงก็จะไม่ใช้วิธีนี้
“ครับ!” บอดี้การ์ดสูทดำตอบรับ แล้วรีบหมุนกายเดินจากไปทันที
หลิงเยว่หยิบหนังสือพิมพ์บนโต๊ะกาแฟขึ้นมา อ่านข่าวเกี่ยวกับตระกูลฉินและตระกูลลั่วต่อไป พูดออกมาอย่างใคร่ครวญว่า “อวี่สวิ๋น ลูกอย่าตำหนิพ่อเลย เย่เทียนเฉินไม่เหมาะสมกับลูก เขาจะเดินไปได้ไม่ไกลนักหรอก และเขาก็ไม่สามารถทำให้ตระกูลเย่รุ่งเรืองได้ด้วย ทำได้เพียงนำพาอันตรายมาสู่ตระกูลหลิงของพวกเราเท่านั้น เมื่อถึงเวลาที่จำเป็น ฆ่าเขาให้ตายซะยังจะดีกว่า!”
เช้าวันต่อมา ในตอนที่เย่เทียนเฉินตื่นพระอาทิตย์ก็แขวนลอยอยู่บนท้องฟ้าเรียบร้อยแล้ว เขาหาวออกมาครั้งหนึ่งพลางบิดขี้เกียจ ในตอนที่เขาเดินออกมาจากห้องพบว่าจางอีเต๋อกำลังออกกำลังกายเช้าอยู่ในลาน ชายชราอายุเกือบร้อยปีคนนี้ออกท่าทางไปเรื่อย บางทีก็สยายปีกคล้ายกับเหยี่ยว บางทีก็ทำท่าปีนป่ายราวกับลิง เย่เทียนเฉินที่เห็นก็รู้สึกแปลกใจ จางอีเต๋อเป็นคนที่ลึกล้ำเกินคาดเดาจริงๆ นอกจากเขาจะมีฝีมือและเป็นเซียนแพทย์เทวะที่มีวิชาแพทย์สูงส่งแล้ว เขายังเข้าใจในเรื่องของความเป็นอมตะเหนือกว่าคนทั่วไปมาก หากจางอีเต๋อเกิดในช่วงยุคสิ้นโลก หรือไม่ก็เกิดในดวงดาวอื่นหรืออารยธรรมอื่นๆ อาจจะสามารถเดินไปบนเส้นทางแห่งความเป็นอมตะได้ไกลยิ่งขึ้นก็เป็นได้!
“พี่เทียนเฉิน พี่ตื่นแล้วเหรอคะ รีบล้างหน้าเถอะ พวกเราจะกินข้าวกันแล้ว!” จางรั่วถงยกอาหารมา พูดกับเย่เทียนเฉินด้วยรอยยิ้ม
“ได้ ทำอาหารมาเยอะแยะน่าอร่อยขนาดนี้ รั่วถงมีความสามารถจริงๆ !” เย่เทียนเฉินพูดแล้วหัวเราะฮี่ๆ
เมื่อเห็นจางรั่วถงเดินเข้าไปในห้องกินข้าว เย่เทียนเฉินก็ไปล้างหน้า จากนั้นจึงเดินไปหาจางอีเต๋อ จางอีเต๋อในตอนนี้ยังคงหันหลังให้เขาและออกกำลังกายกล้ามเนื้อและกระดูกต่อไป ในตอนนี้มองไม่ออกเลยว่าจางอีเต๋อเป็นชายชราอายุเกือบร้อยปี หลังไม่ค่อมเอวไม่คด ร่างกายนั้นทำให้ผู้คนรู้สึกเหลือเชื่อจริงๆ
ฉัวะ!
ไหนเลยจะรู้ว่า เย่เทียนเฉินเพิ่งจะเดินไปถึงด้านหลังของจางอีเต๋อ ยังไม่ทันได้พูดอะไร เงาหมัดก็ต่อยมายังเย่เทียนเฉิน ทั้งเฉียบขาดและว่องไวเป็นอย่างมาก ไม่เหมือนกับกำลังลองเชิง แต่เหมือนกับต้องการต่อสู้เป็นตายจริงๆ
พลั่ก!
เย่เทียนเฉินลงมือ เอี้ยวตัวไปทางซ้าย มือซ้ายจับข้อมือขวาของจางอีเต๋อเอาไว้แล้วพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “จะออกกำลังกายเหรอครับ?”
จางอีเต๋อมองเย่เทียนเฉิน ในดวงตาเจือความประหลาดใจ คิดไม่ถึงว่าปฏิกิริยาของเด็กคนนี้จะว่องไว เดิมทีตั้งแต่เมื่อคืนเขาก็คิดที่จะทดสอบฝีมือของเย่เทียนเฉินแล้ว เพียงแต่ตอนนั้นทั้งสองต่างก็ผ่านการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่มาจนได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นจางอีเต๋อจึงคิดจะลงมือตอนนี้แทน
เมื่อเห็นจางอีเต๋อไม่พูดอะไรเอาแต่โจมตีตนเองมาไม่หยุดหย่อน เย่เทียนเฉินก็โถมตัวเข้าไปเต็มกำลัง ทั้งสองออกกระบวนท่าอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่ได้ใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษอันแข็งแกร่ง เพราะการต่อสู้ระหว่างยอดฝีมือสามารถรู้แพ้รู้ชนะได้ภายในไม่กี่กระบวนท่า ไม่จำเป็นต้องสู้กันถึงตายก็สามารถตัดสินได้ว่าผู้ใดเหนือกว่า
พลั่ก!
หลังจากสิบกระบวนท่าผ่านไป เย่เทียนเฉินและจางอีเต๋อก็ปะทะหมัดกัน ทั้งสองถูกแรงปะทะจนกระเด็นออกมา มองฝั่งตรงข้ามอย่างตื่นตะลึงและหัวเราะออกมาถ้าจะพร้อมกัน
“ฝีมือดี ชนะผมตอนหนุ่มได้แล้ว!” จางอีเต๋อมองเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น
“ถ้าตอนที่ผมอายุร้อยปีและมีความสามารถได้แบบคุณ ผมก็พอใจมากแล้ว!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม
จางอีเต๋อมองเย่เทียนเฉินแล้วพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไร เดินไปยังห้องกินข้าว เย่เทียนเฉินสัมผัสได้ถึงความแปลกไปของจางอีเต๋อ ดูเหมือนว่าชายชราคนนี้จะมีเรื่องในใจบางอย่าง แน่นอนว่าเขาไม่เต็มใจจะพูด เย่เทียนเฉินเองก็ไม่อยากถาม เดิมทีจางอีเต๋อก็เป็นคนที่มีนิสัยแปลกประหลาดอยู่แล้ว บางทีคนชราที่มีอายุถึงตอนนี้ ต่างก็มีความแปลกประหลาดกันทั้งนั้น
ในตอนที่กินข้าวเช้า จางอีเต๋อเอาแต่กินโดยไม่พูดอะไรสักคำ กลับเป็นเย่เทียนเฉินและจางรั่วถงที่พูดคุยกันอย่างมีความสุข จางรั่วถงยังคีบอาหารให้เย่เทียนเฉินอยู่บ่อยๆ อีกด้วย ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกอายมาก ที่สำคัญก็คือฝีมือทำอาหารของจางรั่วถงยอดเยี่ยมมาก ดูเหมือนว่าอาหารทุกอย่างจะทำออกมาได้อร่อยทั้งหมด โดยเฉพาะเย่เทียนเฉินที่ได้มาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ที่เรียกได้ว่าเป็นตัวตะกละตะกลาม กินข้าวหมดไปห้าถ้วยแล้ว และกินอาหารบนโต๊ะราวกับยัด สุดท้ายก็เหลือเพียงเย่เทียนเฉินคนเดียวที่ขยับตะเกียบ จางอีเต๋อนั้นออกไปจากห้องกินข้าวนานแล้ว ส่วนจางรั่วถงก็มองเย่เทียนเฉินด้วยรอยยิ้ม
“หวา น่าพอใจจริงๆ ฝีมือทำอาหารของเธอไม่เลวเลย คล้ายกับอาหารที่แม่ของฉันทำ เพียงแต่ไม่รู้ว่าวันหลังจะมีโอกาสได้กินอาหารที่เธอทำอีกไหม!” เย่เทียนเฉินผู้ชมจางรั่วถงด้วยรอยยิ้ม
“พี่เทียนเฉิน พี่เป็นคนดี ถ้าพี่มีเวลามาหา หนูก็จะทำอาหารให้พี่กิน!” จางรั่วถงยิ้มหวาน กระพริบดวงตากลมโตมองไปยังเย่เทียนเฉิน
………………….
“นี่มัน…ช่างมันเถอะ พักผ่อนให้มากๆ ถ้ามีโอกาสพวกเราคงได้เจอกัน!” เย่เทียนเฉินพูดกับมู่หรงซินด้วยรอยยิ้ม นับว่าเป็นการปฏิเสธการให้เบอร์โทรศัพท์ของตนกับมู่หรงซินอย่างสุภาพแล้ว
สำหรับมู่หรงซิน เย่เทียนเฉินไม่ได้มีความรู้สึกอะไรมากนัก ทั้งสองคนเป็นคนแปลกหน้า เขาถูกบีบบังคับให้กำจัดพิษให้มู่หรงซินจึงต้องเผชิญหน้ากันด้วยร่างกายที่เปลือยเปล่า กอดกันแน่นและยังต้องจูบกันอีกด้วย ถึงแม้ทุกสิ่งทุกอย่างนี้จะทำเพื่อบีบบังคับให้หญ้าสยบกายาออกมา แต่ก็ไม่มีวิธีการอื่นอีก
จะอย่างไรเย่เทียนเฉินก็เป็นผู้ชาย เป็นชายวัยรุ่นคนหนึ่งที่มีพลังเต็มเปี่ยม จึงอดไม่ได้ที่จะตื่นตัว ในตอนนั้นมู่หรงซินอายจนหน้าแดง ไม่กล้ามองเย่เทียนเฉิน คล้ายกับว่าร่างกายเปลือยเปล่าอันขาวผุดผ่องจะบดบังความเขินอายเอาไว้ได้ แต่จะมากจะน้อยก็ยังทำให้ทั้งสองรู้สึกกระอักกระอ่วน จะอย่างไรทั้งสองก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์แบบแฟนหนุ่มแฟนสาว นี่เป็นครั้งแรกที่เจอหน้ากัน ก็ต้องมากอดกันด้วยร่างกายเปลือยเปล่าและยังต้องจูบกันอีก ไม่ว่าใครก็ต้องรู้สึกเขินและอึดอัดเป็นธรรมดา
สามารถกล่าวได้ว่าการที่เย่เทียนเฉินช่วยมู่หรงซินก็เพราะจะช่วยจางอีเต๋อและจางรั่วถง มิฉะนั้นคงไม่ได้ยุ่งเกี่ยวอะไรกับมู่หรงซินโดยสิ้นเชิง และเขาเองก็ไม่อยากจะเกี่ยวข้องอะไรกัน ก็เหมือนกับที่เขาพูดกับมู่หรงอวี๋ตู ทั้งสองไม่ติดค้างกัน เขาเป็นคนที่ไม่ชอบให้มีความวุ่นวายมากเกินไป
“งั้น…งั้นคุณจำไว้นะคะ ว่าจะต้องมาหาฉัน!” มู่หรงซินกะพริบตาอันงดงาม พูดกับเย่เทียนเฉินด้วยรอยยิ้ม
“อืม!” เย่เทียนเฉินพยักหน้า
เมื่อเห็นมู่หรงซินและมู่หรงอวี๋ตูไปจากบ้านตระกูลจางภายใต้การคุ้มกันของราชานักรบแห่งประเทศจีนทั้งสองอย่างชางหลางและเหยียนหลง เย่เทียนเฉินก็หาวออกมาครั้งหนึ่ง เฮยเมี่ยนเองก็ไปพร้อมกับรถของพวกชางหลางแล้ว ตอนนี้ในบ้านตระกูลจางเหลือแค่จางอีเต๋อ จางรั่วถง แล้วเย่เทียนเฉินสามคนเท่านั้น
เย่เทียนเฉินมองไปยังจางอีเต๋อ จุดประสงค์สำคัญที่เขามาในครั้งนี้ก็เพื่อขอให้จางอีเต๋อไปตรวจให้แม่ของเสี้ยวหยา ตอนนี้อาการป่วยของแม่ของเสี้ยวหยาไม่อาจรั้งรอได้อีกต่อไปแล้ว ไม่สามารถยืดเยื้อได้อีกต่อไป โชคดีที่จางอีเต๋อเป็นเซียนแพทย์เทวะจริงๆ นี่ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกโชคดีมาก มิฉะนั้นก็ไม่รู้ว่าจะไปตามหาจางอีเต๋อได้ที่ไหน
“ปรมาจารย์จาง จบเรื่องแล้ว ตอนนี้พวกเราก็มาเติมเต็มคำสัญญาระหว่างคุณกับผมกันเถอะ?” เย่เทียนเฉินพูดกับจางอีเต๋อด้วยรอยยิ้ม
“วางใจเถอะ ผมจางอีเต๋อพูดคำไหนคำนั้น คุณช่วยพวกเราสองปู่หลาน ผมก็จะไปดูผู้ป่วยที่คุณว่าด้วยกันกับคุณสักหน่อย แต่วันนี้ไม่ได้แล้ว ผมแก่แล้ว ทนบาดเจ็บไม่ไหวต้องพักสักคืน พรุ่งนี้ผมจะไปกับคุณก็แล้วกัน!” จางอีเต๋อพูดพลางพยักหน้า
“หา? ไม่ได้สิ ผมเป็นผู้ชายแข็งแรงคนหนึ่งจะให้พักห้องเดียวกับจางรั่วถง คงไม่ค่อยดีมั้ง?” เย่เทียนเฉินมองไปยังจางรั่วถง จงใจพูดหยอกล้อออกมา
จางรั่วถงหน้าแดง เธอเพิ่งจะอายุสิบแปดสิบเก้า เป็นวัยที่กำลังเบ่งบาน ไหนเลยจะรับคำพูดลามกของเย่เทียนเฉินได้ อายจนพูดอะไรไม่ออกไปแล้ว จางอีเต๋อจ้องมองเย่เทียนเฉินอย่างดุดัน หากไม่ใช่ว่าบาดเจ็บจะต้องลงมือกับเย่เทียนเฉินแน่นอน
“คุณคิดไปไหนของคุณ คืนนี้คุณต้องนอนห้องเดียวกับผม!” พี่มองเย่เทียนเฉินแล้วพูดอย่างจริงจัง
“อะไรนะ? ไม่จริงน่ะ? ปรมาจารย์จางครับ รสนิยมทางเพศของผมเป็นปกติมาตลอด ข้างนอกมีโรงแรมหรือเปล่า ผมจะใช้แก้ขัดไปก่อนสักคืน จากนั้นพรุ่งนี้เช้าพวกเราก็ค่อยมารวมตัวกันใหม่!” เย่เทียนเฉินอุทานออกมา แล้วรีบพูดก่อนจะหัวฮี่ๆ
ไหนเลยจะรู้ว่า จางอีเต๋อจะไม่สนใจเย่เทียนเฉินอีก เดินไปยังห้องที่อยู่ด้านข้างด้วยตัวเอง และพูดทิ้งท้ายไว้ให้เย่เทียนเฉินประโยคหนึ่ง
“บาดแผลของคุณยังไม่สมานตัวกันอย่างสมบูรณ์ ผมอัดพลังพิเศษเข้าไปในแขนซ้ายของคุณแล้ว ถ้าคุณอยากให้แขนซ้ายระเบิดก็ไม่ต้องเข้าไปแล้วกัน!”
วันนั้นตอนกลางคืน เย่เทียนเฉินจึงต้องอาศัยอยู่ที่บ้านตระกูลจาง แน่นอนว่าเขาพักห้องเดียวกับจางอีเต๋อ โชคดีที่ในห้องมีเตียงสองเตียง มิฉะนั้นเย่เทียนเฉินคงรับไม่ไหว ต่อให้เป็นเกย์ ก็คงไม่เคยเห็นคู่เกย์ของสุดหล่ออายุน้อยคนหนึ่งกับชายชราอายุเกือบร้อยปีคนหนึ่งหรอกใช่ไหม?
เย่เทียนเฉินเดินเข้าไปในห้อง เห็นจางอีเต๋อกำลังนั่งขัดสมาธิ พลังพิเศษอันแข็งแกร่งบนร่างแผ่ออกมา แต่พลังพิเศษเช่นนี้ไม่มีไอสังหาร และไม่ได้แกร่งกร้าวมากเกินไปนัก กลับเป็นกลิ่นอายที่อ่อนโยน เป็นพลังพิเศษในแบบที่เย่เทียนเฉินไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน
เขาบิดขี้เกียจครั้งหนึ่ง แล้วเดินไปข้างเตียงตรงข้ามกับจางอีเต๋อ เตรียมจะล้มตัวลงนอน ในตอนนี้เองอยู่ดีๆ จางอีเต๋อก็ลืมตาขึ้น สีหน้าแดงก่ำสุขภาพดีขึ้นไม่น้อย ดูท่าทางบาดแผลที่ได้รับจากการต่อสู้กับคาเมดะอิจิโร่คงเกือบจะหายดีแล้ว นี่ทำให้เย่เทียนเฉินตื่นตะลึงมาก ผู้มีพลังพิเศษในสายรักษา โดยปกติพลังในการโจมตีจะไม่แข็งแกร่งแต่จะมีพลังในการรักษาตัวเองที่แข็งแกร่งจนถึงขั้นที่เรียกได้ว่าฆ่าไม่ตาย แต่จางอีเต๋อไม่เพียงแต่จะมีวิชาแพทย์สูง ทั้งยังสามารถใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษในสายโลหะได้อีกด้วย คนแบบนี้ไม่ต้องพูดถึงโลกปัจจุบันแห่งนี้เลย กระทั่งเป็นช่วงยุคสิ้นโลกก็เป็นตัวตนที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก
“ในร่างกายของคุณมีพลังพิเศษที่แตกต่างกันไปไหลเวียนอยู่ ท่าทางคุณจะใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษได้หลายสาย เพียงแต่หากทำแบบนี้ต่อไป ถ้าไม่สามารถรวมพวกมันให้เข้ากันได้ จุดจบจะมีเพียงอย่างเดียวนั่นก็คือระเบิดตาย!” จางอีเต๋อนั่งสมาธิอยู่บนเตียง มองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้นอย่างเรียบเฉย
“คุณดูออกด้วยเหรอครับ? ร้ายกาจ ร้ายกาจ!” เย่เทียนเฉินพูดแล้วหัวเราะฮี่ๆ
ถึงแม้ว่าเย่เทียนเฉินจะพูดกับจางอีเต๋อด้วยรอยยิ้มแต่ก็ยังลอบนับถืออยู่ในใจ ไม่เสียทีที่จางอีเต๋อได้ชื่อว่าเป็นเซียนแพทย์เทวะ ไม่ทันไรก็พบว่าในร่างกายของตนมีพลังพิเศษอยู่หลายสาย ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็พูดไม่ผิด ขอเพียงแค่ควบคุมได้ไม่ดีก็เป็นไปได้มากกว่าร่างกายจะระเบิดออกมาจนตาย
ในช่วงยุคสิ้นโลก เย่เทียนเฉินก็เคยมีพลังพิเศษหลายสายเช่นกัน และสามารถใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษที่แข็งแกร่งในสายหลักต่างๆ ได้หลายสาย จนกลายเป็นผู้มีพลังพิเศษในขอบเขตพระเจ้าระดับสูง หากเทียบกับยอดฝีมือผู้มีพลังพิเศษในขอบเขตพระเจ้าธรรมดาทั่วไปก็ร้ายกาจกว่าไม่น้อย นี่คือความน่ากลัวของผู้ที่มีพลังพิเศษหลายสาย
แต่ไม่ว่าใครก็สามารถจินตนาการได้เลยว่า เมื่อในร่างกายของคนๆ หนึ่งมีพลังพิเศษในสายที่แตกต่างกันไป ก็มีความเป็นไปได้ว่าพลังพิเศษเหล่านี้จะเกิดการปะทะกัน และ “ทะเลาะ” กันในร่างกาย ผลที่เกิดขึ้นก็คือการระเบิด หากต้องการทำให้พลังพิเศษที่แข็งแกร่งที่แตกต่างกันไปรวมเข้าด้วยกันได้มันไม่ใช่เรื่องง่าย ท่ามกลางผู้มีพลังพิเศษและยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณต่างก็มีคนที่ทำแบบนี้อยู่
ผู้มีพลังพิเศษฝึกฝนเขตวิชาพลังพิเศษในสายที่แตกต่างกันไป ส่วนยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณก็คิดวิธีที่จะฝึกฝนเคล็ดวิชาที่แตกต่างกันไป นี่ล้วนเป็นเหตุผลเดียวกัน ยอดฝีมือจำนวนมากเพียงเพื่อที่จะไล่ตามพลังที่แข็งแกร่งที่สุด สุดท้ายจึงนำมาซึ่งความตายของตนเอง
ที่จางอีเต๋อพูดแบบนี้นับว่าเป็นการเตือนเย่เทียนเฉิน หากต้องการที่จะรวมพลังพิเศษในสายที่แตกต่างกันเข้าด้วยกันเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก ถ้าไม่ระวังเขาก็จะระเบิดจนตาย กระทั่งศพก็ไม่เหลือ
ในจุดนี้ ความจริงเย่เทียนเฉินรู้สึกได้นานแล้ว ในช่วงยุคสิ้นโลกเขาเองก็มีพลังพิเศษในสายที่แตกต่างกันไปหลายสาย แยกกันไปอาศัยอยู่ในอวัยวะที่แตกต่างกันไป นั่นเป็นเพราะในช่วงยุคสิ้นโลกมีความพิสดารมากมาย เช่นสมุนไพรที่ทำให้ผู้คนอายุยืนยาว หรือไม่ก็วิธีการบำเพ็ญตนขั้นสูง กระทั่งความลับเกี่ยวกับชีวิตอมตะก็ยังมีออกมา เป็นเพราะว่าของเหล่านี้ เย่เทียนเฉินจึงสามารถรวบรวมพลังพิเศษในสายที่แตกต่างกันไปได้ในช่วงยุคที่โลก และกลายเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นสูงของขอบเขตระดับพระเจ้า แต่โลกนี้ไม่เหมือนกัน ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเขาเอง มีการเปลี่ยนแปลงทางรากฐาน นอกจากนี้โลกนี้ก็เป็นโลกที่ไม่เหมาะกับการบำเพ็ญเพียร เขารับรู้ได้นานแล้ว เส้นทางพำเพ็ญของโลกนี้ถูกควบคุม ทำให้ผู้คนสัมผัสกับพลังแห่งธรรมชาติได้ยากยิ่งขึ้นมาก เป็นสาเหตุที่ทำให้กลายเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นสูงได้ยาก
ดังนั้นความจริงที่โหดร้ายนี้ได้มาวางกองตรงหน้าของเย่เทียนเฉิน หาเขาคิดที่จะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่ภายในร่างกายมีพลังพิเศษอยู่หลายประเภทเช่นเดียวกับในช่วงยุคสิ้นโลกอีกครั้ง เป็นเรื่องที่ลำบากมาก นี่เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมหลังจากที่พลังพิเศษของเขาไปถึงขอบเขตจอมราชันขั้นสูงแล้ว ยังคงมีความยากลำบากที่จะทลวงต่อไป เพราะหลังจากที่มาถึงขอบเขตนี้แล้ว ไม่ใช่แค่อาศัยการต่อสู้กับยอดฝีมือและพลังพิเศษที่เพิ่มขึ้นไม่หยุดแล้วจะทะลวงไปได้ ยังต้องการความ “สำนึก” สำนึกในธรรมชาติ สำนึกในสัจธรรม ถึงจะพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นได้
“ไม่ว่าจะเป็นผู้มีพลังพิเศษอย่างพวกเราหรือจะเป็นคนของพรรควรยุทธโบราณ ความจริงเส้นทางที่เดินก็เป็นเพียงเส้นทางของการบำเพ็ญเพียรที่แตกต่างกันเท่านั้น แล้วก็แตกต่างกันไม่มาก เส้นทางแห่งการบำเพ็ญเพียรเมื่อเดินไปถึงปลายทางต่างก็ทำเพื่อตามหาพลังที่แข็งแกร่งที่สุด ซึ่งสุดท้ายก็หนีไม่พ้นคำคำเดียวก็คือคำว่า อมตะ!” จางอีเต๋อมองเย่เทียนเฉิน เอ่ยปากพูดออกมาอย่างลึกซึ้ง
“อมตะ? พูดน่ะมันง่าย ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ไม่รู้ว่ามีจักรพรรดิกี่คนและผู้แข็งแกร่งกี่คนที่ตามหาวิธีที่จะเป็นอมตะ แต่จนวันตายก็ยังไม่อาจเป็นจริงได้ ยิ่งไปกว่านั้นในโลกนี้ ในยุคของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ความเป็นอมตะเป็นแค่เรื่องที่ทุกคนคิดอยู่ในใจเท่านั้น พูดออกมาก็จะถูกคนอื่นหัวเราะเยาะเปล่าๆ !” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะมองไปยังจางอีเต๋อแล้วพูดขึ้นอย่างจริงจัง
“ดังนั้นคนเหล่านี้จึงไม่มีวันเป็นอมตะได้ไปตลอดกาล พวกเขาถูกความจริงของสังคมอาบย้อมความคิด ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถเข้าใจแก่นแท้แห่งอารยธรรมของประเทศจีนเมื่อห้าพันปีก่อนได้” จางอีเต๋อเองก็พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
ในตอนนี้ จู่ๆ เย่เทียนเฉินก็รู้สึกว่าจางอีเต๋อดูลึกลับคาดเดาไม่ได้ขึ้นมา ถึงกับพูดเรื่องความอมตะกับเขา ดูเหมือนว่าในโลกแห่งนี้เรื่องของความเป็นอมตะนั้นจะไม่เคยถูกคนพูดถึงมาก่อน และจะไม่มีทางถูกคนอื่นพูดออกมาจากปากอย่างเป็นจริงเป็นจัง นอกจากจักรพรรดิและผู้แข็งแกร่งแห่งพรรควรยุทธโบราณที่มีตำแหน่งสูงส่งแล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครพูดออกมาเลย
แน่นอนว่าในช่วงยุคสิ้นโลกซึ่งมีความแปลกประหลาดพิสดาร มีทั้งอารยธรรมของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในยุคปัจจุบัน และมีเรื่องที่เล่าขานกันในเทพนิยาย ในโลกแบบนี้ความเป็นอมตะเป็นเป้าหมายสุดท้ายของผู้แข็งแกร่งทั้งหมด เป็นโลกที่แสวงหาเส้นทางแห่งเซียน ในช่วงยุคสิ้นโลกไม่สามารถใช้ตรรกะความคิดในยุคปัจจุบันได้ มันโค่นล้มทุกความรู้ของผู้คนโดยสิ้นเชิง และสามารถมอบความสนุกและสีสันที่ผู้คนคิดไม่ถึงได้
“ช่างมันเถอะ ผมไม่อยากคุยกับคุณเรื่องอมตะไม่อมตะอะไรนี่หรอก พรุ่งนี้หลังจากที่คุณไปรักษาผู้ป่วยคนนั้นแล้ว พวกเราทั้งสองก็ไม่มีอะไรติดค้างกันอีก!” เย่เทียนเฉินห้าวครั้งหนึ่ง ล้มตัวลงนอน
……………………………..
อวดดี!!!
ใครก็คิดไม่ถึงว่า ผู้อาวุโสแห่งสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริวที่สูงส่งจะถึงกับเสียเปรียบเย่เทียนเฉินอย่างมาก ทั้งสองต่างก็ใช้ความสามารถทั้งหมดออกมา กล่าวได้ว่าเป็นการต่อสู้ถึงขั้นเป็นตาย สู้กันอย่างพอฟัดพอเหวี่ยงกัน นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติการต่อสู้ของคาเมดะอิจิโร่ ยิ่งไปกว่านั้นคนที่ยืนต่อหน้าเขายังเป็นชายวัยรุ่นชาวจีนคนหนึ่งเท่านั้น จะอย่างไรก็ทำให้เขายากที่จะรับได้
“ดี สำนักดาบโฮคุชินอิตโตริวของฉันจะช้าจะเร็วก็ต้องทำให้ยอดฝีมือแห่งประเทศจีนอย่างพวกแกได้รู้ว่า ใครแข็งแกร่งที่สุด!”
คาเมดะอิจิโร่พูดอย่างตรงไปตรงมา หลังจากที่กล่าวประโยคนี้ เขาก็กระโดดขึ้นหายไปในความมืด ไม่ได้รั้งรอและไม่คิดที่จะฆ่าพวกเย่เทียนเฉินทุกคนอีก เขารู้ว่าในสถานการณ์ตอนนี้ ไม่เป็นผลดีกับเขาอย่างมาก หากดื้อรั้นต่อไป คนที่จะตายจะต้องเป็นเขาอย่างแน่นอน ลูกน้องก็ตายไปแล้วหลายคนแต่ก็ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร ชีวิตตัวเองถึงจะสำคัญที่สุด
คาเมดะอิจิโร่ที่น่าสงสาร เดิมทีวางแผนกับสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริวไว้ว่าจะขยายอิทธิพลเข้ามาในประเทศจีนอีกครั้ง เป้าหมายสำคัญก็เพื่อที่จะเอาชนะผู้แข็งแกร่งแห่งพรรควรยุทธโบราณแห่งประเทศจีน ไหนเลยจะรู้ว่า เขาเพิ่งจะพาลูกศิษย์ชั้นยอดแห่งสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริวมาหลายคน พอมาถึงเมืองหลวงก็ได้รับการว่าจ้างจากพวกโจรขายชาติบางคน ให้มาลอบสังหารมู่หรงอวี๋ตู
ในตอนที่ได้รู้ว่ามู่หรงอวี๋ตูเป็นทหารผ่านศึกคนหนึ่งทั้งยังเป็นคนที่มีอิทธิพลมาก คาเมดะอิจิโร่ก็รีบตั้งเงื่อนไขของตนออกไปอย่างรวดเร็ว หลังจากที่บรรลุจุดประสงค์แล้วก็พาศิษย์ชั้นยอดของสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริวมาหลายคนเพื่อหมาลอบสังหารมู่หรงอวี๋ตู คิดว่าไม่เพียงจะใช้โอกาสนี้ตั้งมั่นในประเทศจีนได้เท่านั้น แต่ยังสามารถข่มขู่ได้อีกด้วย ไหนเลยจะรู้ว่าเขาจะประเมินความสามารถของยอดฝีมือแห่งประเทศจีนต่ำเกินไป ช่วงที่เกิดสงครามในปีนั้นก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริวของเขา วันนี้ก็ยังคงไม่อ่อนแอเช่นเดิม
สิ่งที่ทำให้คาเมดะอิจิโร่คิดไม่ถึงมากที่สุดก็คือเย่เทียนเฉิน คนคนนี้เป็นแค่เด็กวัยรุ่นอายุยี่สิบปีเท่านั้น ถึงกับมีความสามารถที่จะต่อสู้กับเขาได้ และเขาก็ลงมือเต็มกำลังแล้ว ยังทำได้เพียงบาดเจ็บทั้งสองฝ่าย ไม่สามารถฆ่าเขาได้อย่างรวดเร็ว นี่ทำให้คาเมดะอิจิโร่รู้สึกตกตะลึงมาก หากว่าประเทศจีนมียอดฝีมืออายุน้อยเช่นนี้อีกหลายคน ไม่ใช่ว่าสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริวของเขาจะไม่มีที่ยืนเลยหรือ?
“อย่าให้ไอ้แก่นั่นหนีไป…” เฮยเมี่ยนเห็นคาเมดะอิจิโร่หนีไป จึงขยับร่างกายที่ชุ่มไปด้วยเลือดจากบาดแผล คิดจะตามไป
“ไม่ต้องตามไปแล้ว ยังไม่ใช่คู่มือของเขาหรอก!” เย่เทียนเฉินค่อยๆ กดพลังพิเศษของตนเองลง ง้าวเทียนฟางในมือขวาซึ่งเกิดจากการสร้างรูปลักษณ์จากพลังพิเศษก็ค่อยๆ หายไปจนไม่เห็นอีก
เฮยเมี่ยนมองเย่เทียนเฉิน ในใจรู้สึกไม่พอใจ เพราะว่าการต่อสู้ที่เย่เทียนเฉินแสดงออกมาในครั้งนี้แข็งแกร่งกว่าเขามากนัก ในฐานะที่เป็นขุนพลระดับทัพฟ้า เฮยเมี่ยนเคยยอมรับความพ่ายแพ้ที่ไหนกัน คำพูดนี้ของเย่เทียนเฉินก็เสียบแทงใจเขามาก อดไม่ได้ที่จะคิดว่า ความหมายของเย่เทียนเฉินก็คือ คุณฆ่าคาเมดะอิจิโร่ไม่ได้ ฉันก็จะฆ่าไม่ได้อย่างนั้นเหรอ?
ไหนเลยจะรู้ว่า ในตอนที่เฮยเมี่ยนเพิ่งจะคิดถึงตรงนี้ ในใจก็เกิดความไม่พอใจเป็นอย่างมาก และยังเตรียมที่จะไล่ตามไปโจมตีนั้น เย่เทียนเฉินก็มองไปที่เขาอีกครั้งแล้วพูดอย่างเรียบเฉยว่า “ไม่ใช่ว่าฉันดูถูกแก คาเมดะอิจิโร่แข็งแกร่งมากจริงๆ ผู้อาวุโสแห่งสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริว เกรงว่าต่อให้แกกับฉันร่วมมือกันก็ไม่แน่ว่าจะสามารถฆ่าชายชราคนนี้ได้ รอให้พลังความสามารถแข็งแกร่งกว่านี้ซะก่อน ค่อยไปเก็บชีวิตของไอ้แก่นั้นมาเถอะ!”
“แก…” เฮยเมี่ยนถูกทำให้โกรธจนพูดอะไรไม่ออก
“ระหว่างแกกับฉันยังต้องสู้กันอีกสักรอบ ยังไม่ได้ตัดสินแพ้ชนะกัน แกคิดจะถูกคาเมะดะอิจิโร่ฆ่าหรือไง ถ้าตัวเองตายเป็นเรื่องเล็ก แต่ทำให้ชื่อเสียงของขุนพลระดับทัพฟ้าอย่างแกต้องขายหน้า ทำให้ประเทศชาติต้องขายหน้าถึงจะเป็นเรื่องใหญ่!” เย่เทียนเฉินพูด แล้วเดินไปนั่งข้างโต๊ะหิน ไม่สนใจเฮยเมี่ยนอีก
เฮยเมี่ยนชะงักไปครู่หนึ่ง ขมวดคิ้ว ในใจโกรธจนหาใดเปรียบ แต่กลับไม่ได้ตามไปโจมตีคาเมดะอิจิโร่ เย่เทียนเฉินพูดได้ไม่ผิดจริงๆ หาเขาตามไปโจมตีคาเมดะอิจิโร่แล้วแพ้กลับมา หรือกระทั่งเขาถูกฆ่าตาย เกรงว่าจะกลายเป็นความอัปยศของประเทศ กลายเป็นความอัปยศขององค์กรขุนพลระดับทัพฟ้า
ขุนพลระดับทัพฟ้านั้นแทบจะเป็นสัญลักษณ์ของกองกำลังเดี่ยวที่แข็งแกร่งที่สุดในประเทศจีน เหนือกว่ากองกำลังเหยี่ยวนักล่าและหน่วยมังกรฟ้าเสียอีก สมาชิกธรรมดาของกองกำลังเหยี่ยวนักล่าและหน่วยมังกรฟ้าไม่สามารถเป็นคู่มือของขุนพลระดับทัพฟ้าได้เลย ดังนั้นจึงหมายความว่า ขุนพลระดับทัพฟ้าเป็นหน้าเป็นตาของประเทศ
เมื่อครู่นี้ที่เย่เทียนเฉินและคาเมดะอิจิโร่ต่อสู้กันอย่างเต็มกำลัง เฮยเมี่ยนเห็นอยู่ในสายตาทั้งหมด และลอบตกตะลึงอยู่ในใจ ตกตะลึงฝีมือของไอ้แก่ยังคาเมดะอิจิโร่ และยิ่งตกตะลึงความสามารถอันลึกล้ำเกินคาดเดาของเย่เทียนเฉิน ตอนนี้คนทั้งสองต่างก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส นี่ทำให้เฮยเมี่ยนอดไม่ได้ที่จะคิดว่า หากตนเองสู้กับคาเมดะอิจิโร่ จะหยุดไอ้แก่นี่ได้หรือไม่?
แน่นอนว่า การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ได้แสดงให้เห็นว่าความสามารถของเฮยเมี่ยนอ่อนแอกว่าเย่เทียนเฉิน นี่จึงเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมเย่เทียนเฉินจึงบอกว่าการตัดสินแพ้ชนะระหว่างเขากับเฮยเมี่ยนยังไม่รู้ผล จะอย่างไรการที่เขาเขาสามารถอัดชายชุดดำร่างกำยำไปได้หลายหมัด ก็เป็นเพราะอีกฝ่ายถูกหญ้าสยบกายา และในชั่วพริบตาที่พลังแห่งการต่อสู้ทั้งหมดเพิ่มขึ้น ทำให้ฆ่าเขาได้ภายใต้สถานการณ์ที่ชายชุดดำร่างกำยำไม่ได้ป้องกันตัว
ถึงแม้คาเมดะอิจิโร่จะเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่นักฆ่า แต่เย่เทียนเฉินก็ทำได้แค่ขวางเขาได้แต่ก็ไม่อาจฆ่าเขาได้ ส่วนเฮยเมี่ยนคนเดียวก็สามารถรับมือกับมือสังหารชั้นยอดทั้งสามคน สามารถสู้ได้โดยไม่แพ้ และยังสังหารไปได้หนึ่งคนในชั่วพริบตา นับว่าแข็งแกร่งมากเช่นเดียวกัน
เย่เทียนเฉินนั่งลงบนเก้าอี้หิน จางอีเต๋อรีบเดินเข้ามา เพราะไหล่ซ้ายของเย่เทียนเฉินมีรอยมีดลึกอยู่หนึ่งรอย ดูเหมือนว่าเกือบจะฟันแขนซ้ายของเขาไปทั้งแขน เลือดสดๆ ไหลออกมาไม่หยุด หากเป็นแบบนี้ต่อไปเกรงว่าจะต้องเลือดไหลหมดตัวตาย
“รั่วถง รีบไปหยิบกล่องยาออกมา!” จางอีเต๋อมองบาดแผลของเย่เทียนเฉิน จากนั้นจึงขมวดคิ้วพูดกับหลานสาว
“ค่ะ!” จางรั่วถงรีบวิ่งเหยาะๆ เข้าไปในห้องยา
“คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ?” มู่หรงซินเดินเข้ามา ฟื้นคืนสู่สภาพสวยงามราวฤดูใบไม้ผลิเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว ถึงแม้เย่เทียนเฉินจะมองออกนานแล้วว่ามู่หรงซินเป็นสาวงามคนหนึ่ง แต่ก็คิดไม่ถึงว่าเมื่อกำจัดหญ้าสยบกายาออกไปแล้ว มู่หรงซินที่หน้าแดงสุขภาพดีขึ้นมาจะงดงามมากขึ้นจนทำให้ผู้คนใจเต้น
“ไม่เป็นไร แข็งแรงเหมือนเสือเหมือนมังกรที่พาดโผน…” ในขณะที่พูดเย่เทียนเฉินยังคิดจะทำให้ผิวของเขาเปล่งแสงสักหน่อยก็ถูกจางอีเต๋อกดมือซ้ายเอาไว้
“ถ้าคุณไม่คิดอยากจะมีแค่แขนขวาไปชั่วชีวิต ทางที่ดีก็อย่าขยับ!” เขาพูดอย่างจริงจัง
เย่เทียนเฉินยิ้มให้มู่หรงซินเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงส่งสัญญาณให้มู่หรงซินที่น้ำตาคลอเบ้าว่าอย่าได้ร้องออกมา
“อย่าได้ใช้พลังพิเศษ อย่าได้ต่อต้าน ผมจะหยุดเลือดให้คุณก่อน แล้วค่อยสมานแผล!” จางอีเต๋อมองเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น
“อืม!” เย่เทียนเฉินพยักหน้าแล้วผ่อนคลายลง มีจางอีเต๋อที่เป็นเซียนแพทย์เทวะอยู่ด้วย เขาเชื่อว่าจะไม่มีปัญหาใหญ่อะไร
ภาพอันแปลกประหลาดปรากฏขึ้น จางอีเต๋อวางมือขวาลงบนบาดแผลที่ไหล่ซ้ายของเย่เทียนเฉิน ฝ่ามือข้างขวาของจางอีเต๋อเริ่มมีแสงสีฟ้าปรากฏออกมา ท่ามกลางความมืดมิดที่ดูเด่นชัดเป็นพิเศษ บาดแผลของเย่เทียนเฉินที่เดิมทีมีเลือดไหลออกมาเป็นสาย เลือดถึงกับหยุดไหลไปในพริบตา มิหนำซ้ำบาดแผลก็สมานกันด้วยความรวดเร็วจนเห็นได้ด้วยตาเปล่า นี่ดูไม่ต่างอะไรกับปาฏิหาริย์ ทำให้ผู้คนไม่กล้าเชื่อว่าบนโลกแห่งนี้จะมีคนที่มีความสามารถพิสดารอยู่ด้วย
ในตอนที่ฝ่ามือข้างขวาของจางอีเต๋อเลื่อนออกจากบาดแผลบริเวณไหล่ซ้ายของเย่เทียนเฉิน มู่หรงอวี๋ตูและคนอื่นๆ ต่างก็มองจนตาค้าง เพราะบาดแผลบนไหล่ซ้ายของเย่เทียนเฉินที่เดิมทีลึกจนเห็นกระดูก ถึงกับสมานตัวทั้งหมดแล้ว เหมือนกับคนที่ไม่เป็นอะไรเลย เพียงแต่ยังมีรอยแผลเป็นอยู่บ้าง
“หวา ปรมาจารย์จาง รอยแผลเป็นนี้น่าเกลียดจริง วันหน้าก็จะมีผลกระทบกับความหล่อของผม มีวิธีทำให้มันหายไปไหมครับ?” เย่เทียนเฉินพูดพลางหัวเราะฮี่ๆ
“คุณก็หยุดซะหน่อยเถอะ หากต้องการหายเป็นปกติจะต้องใช้เวลาสักระยะ ผมเพียงแค่ทำให้กล้ามเนื้อเชื่อมกันชั่วครู่ และสร้างผิวหนังใหม่ขึ้นมาก็เท่านั้น ที่เหลือจะต้องดูแลบาดแผลให้ดีๆ!” จางอีเต๋อเปิดกล่องยาที่จางรั่วถงวางไว้บนโต๊ะหิน หยิบขวดยากระเบื้องเล็กๆ สีขาวออกมาขวดนึง เทผงยาที่ดูเหมือนยาประเภทสมานแผลลงไปบนบาดแผลบริเวณไหล่ซ้ายของเย่เทียนเฉิน
“นี่ ผมจริงจังมากนะครับ สาวงามที่วนเวียนอยู่ข้างกายผมเยอะมาก ถ้าพวกเธอเห็นจะต้องหนีผมไปไกลแน่!” เย่เทียนเฉินแสร้งพูดด้วยท่าทางจริงจัง
ในตอนนี้ทุกคนต่างก็อับจนคำพูดกับเย่เทียนเฉินและรู้สึกคาดเดานิสัยของคนๆ นี้ไม่ได้ เมื่อครู่นี้ในตอนที่ต่อสู้กับคาเมดะอิจิโร่ บรรยากาศนั้นเหมือนกับเทพแห่งความตายที่ถูกปลุกขึ้นมา ไม่มีผู้ใดกล้าขวาง แต่ตอนนี้ถึงกลับมีสีหน้าเหมือนพวกอันธพาล คนคนนี้เป็นอันธพาลหรือเทพแห่งความตายกันแน่?
“ฮ่าๆ ตระกูลเย่มีเย่เทียนเฉิน นับว่าเป็นบุญของตระกูลเย่แล้ว ฉันเชื่อว่าเย่หย่วนซานคงจะดีใจมาก!” มู่หรงอวี๋ตูพูดด้วยรอยยิ้ม
“ผู้อาวุโสมู่หรง คุณอย่ามาหัวเราะผมนะ ตอนนี้พิษของหลานสาวคุณก็แก้แล้ว ชีวิตของคุณก็ปกป้องไว้ได้แล้ว ต่อไปนี้พวกเราไม่ติดหนี้กันอีก!” เย่เทียนเฉินพูดแล้วยักไหล่
“แกช่วยหลานสาวของฉันและยังช่วยชีวิตของฉันมู่หรงอวี๋ตูอีก ฉันเป็นคนรักษาคำพูด ตระกูลเย่ของแกจะกลายเป็นตระกูลชั้นหนึ่งของเมืองหลวง ยิ่งไปกว่านั้นก็จะ…”
คำพูดของมู่หรงอวี๋ตูยังไม่ทันจบก็ถูกเย่เทียนเฉินขัด เขาลุกขึ้นบิดขี้เกียจครั้งหนึ่ง พูดด้วยท่าทางไม่ใส่ใจ “ช่างมันเถอะ ผมไม่ชอบทำให้เรื่องมันซับซ้อน เราทั้งสองไม่ติดค้างซึ่งกันและกัน หากทุกคนไม่มีเรื่องอะไรแล้วก็ไปได้ ผมยังมีเรื่องต้องปรึกษากับปรมาจารย์จางอีก!”
“เย่เทียนเฉิน แกช่วยมีมารยาทกับผู้อาวุโสมู่หรงหน่อยเถอะ…” เฮยเมี่ยนจ้องเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น
“แกก็บาดเจ็บจนกลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว ยังมีใจมาสนใจเรื่องมารยาทอีก รีบไปพันแผลที่โรงพยาบาลเถอะ อีกเดี๋ยวถ้าเลือดไหลหมดตัวจนสลบไปคงขายหน้าแย่!” เย่เทียนเฉินมองเฮยเมี่ยนแล้วพูดอย่างไม่สบอารมณ์
ตอนนี้เอง รถทหารราวเจ็ดแปดคันจอดอยู่ด้านนอก ชางหลางและเหยียนหลงเดินเข้ามาพร้อมกัน ทำความเคารพมู่หรงอวี๋ตู ทั้งสองต่างก็พาสมาชิกชั้นยอดที่แข็งแกร่งที่สุดของกองกำลังของตนมาด้วย ในตอนที่พวกเขาเห็นศพของมือสังหารทั้งสี่ที่อยู่บนพื้น และเห็นว่ามีเย่เทียนเฉินอยู่ที่นี่ด้วยนั้น จึงรู้สึกเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาในทันที ไม่ต้องถามอะไรมาก ไม่ต้องพูดอะไรมาก สั่งให้ลูกน้องของตนนำศพของมือสังหารทั้งสี่คนไป ในขณะเดียวกันก็คุ้มครองมู่หรงอวี๋ตูและมู่หรงซินหลานสาวของเขาขึ้นรถ
“หะ ให้เบอร์โทรของคุณกับฉันได้ไหมคะ?” มู่หรงซินเดินไปเบื้องหน้าเย่เทียนเฉินแล้วถามขึ้นอย่างเขินอาย
………………………………
แม้ปากของเย่เทียนเฉินจะพูดออกมาด้วยท่าทีสบายๆ แต่การเคลื่อนไหวในมือก็ไม่ได้เชื่องช้าลงเลย และในใจก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก ชายชุดดำหลังค่อมคนนี้แข็งแกร่งมากจริงๆ ถึงกับเคลื่อนย้ายมาอยู่ด้านหลังเขาในเวลาเพียงชั่วพริบตาและซัดหมัดมายังศีรษะของเขาได้ โจมตีหวังเอาชีวิต
บางทีคนอื่นอาจจะดูไม่ออก แต่เย่เทียนเฉินนั้นเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้ง หากไม่ใช่เพราะเขารีดเร้นพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันจนถึงขั้นสูงสุดออกมาเพื่อบีบบังคับให้หญ้าสยบกายาออกมาจากร่าง ทำให้พลังพิเศษแห่งการรับรู้แผ่ขยายออกไปจนถึงขั้นที่สามารถตรวจพบแม้แต่เสียงหญ้าขยับ มิฉะนั้นคงยากที่จะป้องกันหมัดของชายชราคนนี้
“ประเทศจีนถึงกับมีคนรุ่นหลังที่มีฝีมือแข็งแกร่งแบบแกออกมา ทำให้ฉันคิดไม่ถึงจริงๆ ท่าทางจำเป็นต้องฆ่าคนที่นี่ให้หมดทุกคนแล้ว!” ชายชุดดำหลังค่อมมองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดออกมาอย่างเรียบเฉย
“ไอ้แก่ แกจะพูดจาโอหังเกินไปหรือเปล่า? จะตายเหรอ? แกมั่นใจว่าสามารถฆ่าพวกเราทุกคนที่อยู่ที่นี่ได้หรือไง?” เย่เทียนเฉินพูดออกมาอย่างไม่พอใจ
“ผู้อาวุโสคาเมดะ อย่ามัวแต่พูดกับไอ้เด็กนี่อยู่เลย มันฆ่าคนของพวกเรา มันจะต้องตาย!” หนึ่งในมือสังหารชั้นยอดที่เหลืออีกสองคนพูดพลางมองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างโหดเหี้ยม
ในบริเวณนี้ยังมีนักฆ่าชุดดำอีกสามคน แต่ทางฝั่งของเย่เทียนเฉิน นอกจากเย่เทียนเฉินแล้วก็เหลือเพียงเฮยเมี่ยนที่ยังมีแรงต่อสู้ แต่เฮยเมี่ยนก็ได้รับบาดเจ็บไปจำนวนหนึ่งท่าทางจะต้องไม่สามารถป้องกันการลอบสังหารของนักฆ่าชั้นยอดที่เหลืออีกสองคนได้อย่างแน่นอน นานไปจะต้องตายโดยไม่ต้องสงสัยเลย
“หึ แต่ไหนแต่ไรก็ไม่มีใครที่ฉันคาเมดะฆ่าไม่ได้ แกฆ่ายอดฝีมือรุ่นเยาว์ของสำนักโฮคุชินอิตโตริวของฉัน จะต้องไม่มีชีวิตอยู่เพื่อดูพระอาทิตย์ของวันพรุ่งนี้แน่!” ทันใดนั้นสายตาของชายชุดดำหลังค่อมเปลี่ยนไปเป็นโหดเหี้ยมดุร้าย จ้องมองไปยังเย่เทียนเฉินเขม็ง
ในช่วงเวลาเป็นตาย เย่เทียนเฉินพบว่ารอบๆ เกิดการเปลี่ยนแปลง ทั่วทั้งท้องฟ้าเต็มไปด้วยฝนเลือดตกลงมา น่าหวาดผวาเป็นอย่างมาก หากเป็นคนปกติที่ได้มาเห็น เกรงว่าจิตใจจะต้องแหลกสลายไปอย่างแน่นอน และจะต้องตกใจจนตายทั้งเป็น เพียงแต่น่าเสียดายที่ภาพลวงตาของสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริวของคาเมดะอิจิโร่ใช้กับคู่ต่อสู้ผิดคน เย่เทียนเฉินเป็นผู้ที่ได้มาเกิดใหม่จากช่วงยุคสิ้นโลก ที่นั่นเต็มไปด้วยความแปลกประหลาดและพิลึกมากมาย เป็นโลกที่คนกินคนโดยสิ้นเชิง ภูเขาศพทะเลเลือดไม่นับว่าเป็นอะไรได้ เป็นเรื่องที่พบเห็นได้อย่างปกติมาก
ผัวะ!
ร่างกายของเย่เทียนเฉินสะท้านขึ้นครั้งหนึ่ง ใช้พลังพิเศษกำจัดภาพลวงตาของคาเมดะอิจิโร่ ในขณะเดียวกันก็ใช้หมัดปล่อยไปยังคาเมดะอิจิโร่ด้วยความเร็วหาใดเปรียบ ทุกคนที่เห็นต่างก็ต้องตกตะลึง โดยเฉพาะมือสังหารชั้นยอดอีกสองคนที่เหลือที่ไม่กล้าเชื่อโดยสิ้นเชิง ในสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริว คาเมดะอิจิโร่มีฐานะเป็นผู้อาวุโสซึ่งเป็นตำแหน่งที่เป็นตัวแปรสำคัญ มิหนำซ้ำความแข็งแกร่งของเขา นอกจากจะแข็งแกร่งในด้านความสามารถแล้ว ยังมีวิชาหลวงตาอันร้ายกาจที่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครทำลายได้ เมื่อตกลงสู่ภาพลวงตาของคาเมดะอิจิโร่ ก็จะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินไม่เพียงจะทำลายภาพลวงตาของคาเมดะอิจิโร่ได้ แต่ยังสามารถโจมตีกลับโดยใช้หมัดซัดไปยังคาเมดะอิจิโร่อย่างรุนแรงและว่องไวได้อีกด้วย
ปัง!
เสียงหนึ่งดังสนั่น คาเมดะอิจิโร่และเย่เทียนเฉินโจมตีปะทะกันอีกครั้ง เพียงแต่การโจมตีนี้ไม่ใช่หมัดปะทะหมัด คาเมดะอิจิโร่ซัดฝ่ามือออกไป เดิมทีระยะห่างระหว่างเขากับเย่เทียนเฉินก็ห่างกันเพียงหนึ่งเมตรเท่านั้น ทั้งสองโจมตีใส่กันอีกครั้ง ครั้งนี้คาเมดะอิจิโร่ถอยหลังไปสามสี่ก้าว คิดไม่ถึงว่าชายหนุ่มชาวจีนเบื้องหน้าจะมีฝีมือแข็งแกร่งถึงขนาดนี้ ดูท่าเมื่อสักครู่เขาจะแค่ลองเชิงตนเองเท่านั้น
“เฮยเมี่ยน แกยังทนได้อีกสักพักหรือเปล่า? ฉันจะกำจัดไอ้แก่นี่ก่อนแล้วค่อยไปช่วยแก!” เย่เทียนเฉินมองเฮยเมี่ยน พูดด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย
“บิดายังไม่ถึงคราวที่ต้องให้แกมาช่วย แกฆ่าไอ้แก่นั่นให้ได้จะดีกว่า ถ้าฆ่าไม่ได้รออีกสักครู่ฉันจะไปช่วยแก!” เฮยเมี่ยนพูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์
“งั้นก็ดี!”
เย่เทียนเฉินเพิ่งจะพูดจบ ฝ่ามือทั้งสองก็ห่อหุ้มไปด้วยพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชัน ยิ่งไปกว่านั้นยังเตรียมที่จะใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษที่แข็งแกร่งออกไปได้ทุกเมื่อ ความสามารถของคาเมดะอิจิโร่ที่อยู่เบื้องหน้ายังเหนือกว่าจางอีเต๋ออีก ไม่อาจลำพองใจได้โดยเด็ดขาด เย่เทียนเฉินไม่มั่นใจเต็มร้อยว่าจะสามารถฆ่าอีกฝ่ายได้ ทำได้เพียงโผทะยานตัวเข้าไปอย่างเต็มกำลังเท่านั้น
ตู้มๆๆ…
ทุกคนถูกการต่อสู้ของเย่เทียนเฉินและคาเมดะอิจิโร่ทำเอาตกตะลึง รวมไปถึงการต่อสู้ของเฮยเมี่ยนและนักฆ่าฉันยอดอีกสองคนนั้นด้วย เนื่องจากในตอนนี้ชายวัยรุ่นชาวจีนถึงกับสามารถต่อสู้สูสีได้กับผู้อาวุโสคาเมดะอิจิโร่ที่ใช้ความสามารถออกมาอย่างเต็มที่ ทำให้คนอื่นตกใจจนพูดอะไรไม่ออกจริงๆ
ยิ่งไปกว่านั้นในตอนนี้ เย่เทียนเฉินและคาเมดะอิจิโร่แต่ก็ไม่ได้ใช้กระบวนท่าที่มีความสามารถในการสังหารแข็งแกร่งอะไรออกมา เย่เทียนเฉินก็ไม่ได้ใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษ คาเมดะอิจิโร่ก็ไม่ได้ใช้กระบวนสังหารของสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริว ทั้งสองใช้เพียงหมัดเปล่าๆ ต่อสู้กัน น่าตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก และเฉียบคมเป็นอย่างมากด้วย ไม่ทันไรก็สั่นสะเทือนจนห้องยาแทบจะพังทลาย
ซู่ม!
ซู่ม!
เงาร่างสองร่างพุ่งลงมาด้านล่างห้องยาพร้อมกัน ปะทะหมัดกันกลางอากาศไปหลายหมัด ถูกกระแทกจนล่วงไปยืนบนพื้น จ้องมองอีกฝ่ายอย่างเคร่งขรึม เย่เทียนเฉินไม่มีบรรยากาศเรื่อยเฉื่อยอีกต่อไป คาเมดะอิจิโร่เองก็ไม่พูดอะไรมาก เพราะพวกเขาต่างรับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งจนน่าหวาดกลัวของอีกฝ่าย หากเสียสมาธิไป คนที่ตายอาจเป็นตนเองก็เป็นได้
“พวกแกยังมัวตะลึงอะไรกันอยู่ ฆ่าคนอื่นซะ ฉันจะขวางเจ้าหมอนี่ไว้เอง!” คาเมดะอิจิโร่พูดภาษาจีนออกมาอย่างคล่องแคล่ว ออกคำสั่งกับมือสังหารทั้งสองคนที่เหลือ
คำพูดของคาเมดะอิจิโร่ทำให้เห็นได้ว่า ในตอนแรกเขาไม่เห็นเย่เทียนเฉินอยู่ในสายตา ถึงแม้เขาจะรู้สึกว่าเย่เทียนเฉินแข็งแกร่งมาก แต่ก็คิดว่าหากตนเองจะฆ่าเย่เทียนเฉินก็ไม่ใช่เรื่องลำบากอะไร หลังจากต่อสู้กันไปยกหนึ่ง ถึงได้พบว่าชายวัยรุ่นชาวจีนเบื้องหน้าแข็งแกร่งจนถึงขั้นที่สามารถต่อต้านเขาได้ ตอนนี้เขาคิดเพียงจะหยุดยั้งเย่เทียนเฉิน และให้มือสังหารชั้นยอดอีกสองคนที่เหลือลงมือโจมตีฆ่าพวกจางอีเต๋อ
มือสังหารชั้นยอดอีกสองคนนั้นได้สติกลับมา จึงขยับแทบจะเวลาเดียวกัน พุ่งไปยังเฮยเมี่ยน ดาบในมือของพวกเขาก็ได้กลายเป็นเศษเหล็กในการโจมตีของเฮยเมี่ยนไปแล้วเช่นกัน ดังนั้นจึงใช้หมัดเปล่าๆ โจมตีเข้าไป เฮยเมี่ยนเองขมวดคิ้ว กำหมัดทั้งสองแล้วพุ่งเข้าไปต่อสู้โดยไม่สนใจบาดแผล
ฟู่!
มือขวาของคาเมดะอิจิโร่สะบัดครั้งหนึ่ง คมดาบหัวกะโหลกทั้งเจ็ดเล่มปรากฏร่างกายของเขาอีกครั้ง ยิ่งไปกว่านั้น สีของคมดาบหัวกะโหลกทั้งเจ็ดก็ได้กลายเป็นสีเลือดไปแล้ว โดยเฉพาะหัวกระโหลกบนคมดาบที่ดูคล้ายกับจะสูบเลือดผู้คนอย่างไรอย่างนั้น ดูอัปลักษณ์และน่าหวาดกลัว ทำให้ผู้อื่นต้องสั่นสะท้าน
“ดาบสไตล์ชิบะทั้งเจ็ดเล่ม งั้นฉันก็จะใช้อาวุธของจีน!” เย่เทียนเฉินเองก็แบมือขวาออกเช่นเดียวกัน รวบรวมพลังกลางฝ่ามือจนปรากฏเป็นง้าวฟางเทียน(อาวุธของลิโป้)ออกมา ดูเหมือนของจริง จางอีเต๋อเห็นก็ลอบตื่นตะลึงในใจ คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะสามารถใช้พลังพิเศษสร้างอาวุธออกมาได้ตามใจชอบ นี่เป็นเคล็ดวิชาพลังพิเศษที่น่าหวาดกลัวอย่างหนึ่ง
ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรให้มากความ พริบตาเดียวก็แลกเปลี่ยนกระบวนท่าถึงขั้นเป็นตาย เมื่อมาถึงตอนนี้ เย่เทียนเฉินก็ไม่กล้าเรื่อยเฉื่อยอีกต่อไป คาเมดะอิจิโร่เองก็ไม่กล้าดูเบาเด็กรุ่นหลัง ทั้งสองต่างก็ลงมือเต็มที่ เพิ่มพูนพลังกายของตนเองจนถึงขีดสุด
คมดาบหัวกะโหลกทั้งเจ็ดส่งเสียงหวีดหวิวออกมา พุ่งเข้าไปยังเย่เทียนเฉิน ครอบคลุมขอบเขตไปเกือบร้อยเมตร ไม่มีโอกาสให้หลบโดยสิ้นเชิง บริเวณที่คมดาบหัวกะโหลกพุงผ่านไป กระทั่งอากาศก็ยังถูกฟันขาด น่ากลัวและน่าหวาดหวั่นเป็นอย่างมาก
“โฮ!”
เสียงหนึ่งทีทั้งน่ากลัวและเสียดหูดังขึ้น คล้ายกับเสียงของวิญญาณจากนรกขุมที่เก้า ก็มิปาน ส่องประกายสีแดงเลือดออกมา ในประกายนั้นคล้ายกับว่ามีหัวกระโหลกโถมออกมา ทำให้ผู้คนต้องรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน
“หลบไป อย่าได้ปะทะตรงๆ!” จางอีเต๋อเห็นเย่เทียนเฉินยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อนก็รีบตะโกนเตือนอย่างร้อนใจ
“ทุกคนหลับตา!”
ทุกคนได้ยินคำพูดนี้ของเย่เทียนเฉิน ทันใดนั้นเย่เทียนเฉินก็กระโดดขึ้น ง้าวฟางเทียนในมือขวาของเขามีประกายแสงระเบิดออกมา ส่องประกายแพรวพราว ทำให้ผู้คนไม่กล้ามองตรงๆ นอกจากจางอีเต๋อแล้ว คนอื่นรวมทั้งเฮยเมี่ยนแล้วมือทหารทั้งสองคน ต่างก็รับไม่ไหวจนต้องรีบหลับตา
“ฆ่า!”
เย่เทียนเฉินตะโกนเสียงดัง ง้าวฟางเทียนในมือขวาโจมตีออกไป แทงไปยังประกายดาบ ง้าวฟางเทียนฟันลงบนคมดาบหัวกะโหลกทั้งเจ็ดที่รวมเป็นหนึ่ง จนเกิดแสงไฟสว่างจ้าระเบิดออกมากลางอากาศ เกิดการสั่นไหวของพลังอย่างรุนแรงทำให้กำแพงอิฐทั้งสี่ด้านของลานบ้านตระกูลจางถูกทำลายย่อยยับ บนพื้นเองก็ปรากฏหลุมเล็กใหญ่จำนวนมาก กระทั่งต้นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้าก็เกือบจะถูกฟันขาด เห็นได้ว่าการโจมตีของเย่เทียนเฉินและคาเมดะอิจิโร่ ปะทะกันอย่างรุนแรงขนาดไหน
“อั่ก!”
“ไม่…อั่ก…”
เสียงร้องอย่างอนาถดังขึ้นสองเสียง ตามมาด้วยเสียงของการต่อสู้ ในขณะที่ทุกสิ่งทุกอย่างหยุดลง จางอีเต๋อ มู่หรงอวี๋ตู มู่หรงซิน จางรั่วถง และเฮยเมี่ยนต่างต้องสูดหายใจเย็นยะเยือก เย่เทียนเฉินยืนอยู่เบื้องหน้าของเฮยเมี่ยน ง้าวฟางเทียนในมือขวาดูคล้ายกับจะมีการเปลี่ยนแปลง และมีศพสองศพนอนจมกองเลือดอยู่แทบเท้าเขา ศพทั้งสองต่างถูกตัดหัวจนขาด
ศพทั้งสองศพนี้ก็คือมือสังหารชั้นยอดอีกสองคนที่เหลือนั่นเอง ใครก็คิดไม่ถึงว่า ในตอนที่เย่เทียนเฉินต่อสู้กับคาเมดะอิจิโร่ถึงขั้นเป็นตายอยู่นั้น เย่เทียนเฉินจะถือโอกาสในตอนที่ลำแสงเปล่งประกายออกไปทั้งสี่ทิศจนทำให้คนอื่นไม่สามารถลืมตาได้สลัดออกจากคาเมดะอิจิโร่โดยฉับพลันและไปกำจัดมือสังหารฉันยอดทั้งสองคนนั้น
อย่างไรก็ตามบนไหล่ซ้ายของเย่เทียนเฉินก็ปรากฏรอยแผลลึกที่เกิดจากดาบอยู่หนึ่งแผล ลึกจนมองเห็นกระดูกด้านในได้อย่างชัดเจน เขาไม่ใช่จางอีเต๋อที่เป็นเซียนแพทย์เทวะ ไม่มีความสามารถในการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งเหนือระดับ แต่กลับยังสามารถยิ้มออกมา พูดกับคาเมดะอิจิโร่ที่ยืนอยู่ไม่ไกลว่า “ลูกน้องของแกตายหมดแล้ว แกคนเดียวจะฆ่าพวกเราได้หมดหรือไง?”
“เจ้าหนุ่ม ฉันว่าแกอย่าได้โอหังเกินไปจะดีกว่า ฝีมือของแกแข็งแกร่งมาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีใครฆ่าแกได้!” ในมือของคาเมดะอิจิโร่กำดาบหัวกระโหลกเล่มหนึ่งเอาไว้ แข็นซ้ายของเขาล่วงลงมา ดูเหมือนจะถูกฟันขาด
“ขี้โม้กับบิดาให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ บิดาจะโอหัง แกจะคิดยังไงก็ช่าง มาฆ่าฉันสิ!” เย่เทียนเฉินมองไปยังคาเมดะอิจิโร่แล้วพูดอย่างไม่พอใจ เขาเกลียดคนแก่ที่เสแสร้งแบบนี้เป็นที่สุด
“ดี ฉันอยากจะรู้ชื่อของแก คนที่กล้ามาเป็นศัตรูกับสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริวของพวกเรา ล้วนต้องตายทั้งหมด!” คาเมดะอิจิโร่จ้องไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น
“เย่เทียนเฉิน เอาชื่อของฉันไปบอกบรรพบุรุษแกซะ ไสหัวกลับไปยังประเทศชิบะ เถอะ แล้วก็ฉันจะขอเตือนสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริวของพวกแกเอาไว้ ฉันไม่สนใจว่าพวกแกจะทำตัวระรานขนาดไหน ถ้ากล้ามาก่อเรื่อง ฉันก็จะฆ่าพวกแก!” มุมปากของเย่เทียนเฉินปรากฏรอยยิ้มโหดเหี้ยม มองไปยังคาเมดะอิจิโร่แล้วพูดขึ้น
จางอีเต๋อแพ้แล้ว ชายชุดดำหลังค่อมที่ปรากฏตัวหลังสุดคนนี้แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ไม่เพียงแต่มีเคล็ดวิชาสังหารที่แปลกประหลาด มิหนำซ้ำความสามารถยังเหนือกว่าชายชุดดำร่างกำยำอีกด้วย คำพูดของเขากล่าวได้ถูกต้อง จางอีเต๋อแก่ชราแล้ว อายุใกล้จะร้อยปีแล้ว สามารถมีพลังการต่อสู้ขนาดนี้ได้ก็ทำให้คนอื่นต้องเปลี่ยนมุมมองไปโดยสิ้นเชิง
เดิมทีจางอีเต๋อก็เป็นผู้มีพลังพิเศษในสายรักษา คนที่รู้จักผู้มีพลังพิเศษต่างก็รู้ดีว่า ผู้มีพลังพิเศษในสายรักษาเรียกได้ว่าเป็นผู้มีพลังพิเศษประเภทหนุนเสริม เดิมทีพลังความสามารถในการต่อสู้ก็จะไม่แข็งแกร่ง แต่จะได้เปรียบในด้านการสนับสนุนผู้มีพลังพิเศษและช่วยเหลือผู้ป่วย เมื่อเทียบกับจางอีเต๋อแล้ว ถึงแม้ไหล่ซ้ายจะถูกคมดาบหัวกระโหลกของชายชุดดำหลังค่อมเจาะเป็นรู แต่ในเวลาไม่ถึงสองนาทีบาดแผลก็สมานกัน ทำให้ชายชุดดำหลังค่อมมองจนปากอ้าตาค้าง
“แกไม่ได้แค่มีฝีมือแข็งแกร่งมาก แต่ถึงกลับมีความสามารถแบบนี้อยู่ด้วย จะต้องฆ่าแกให้ได้!” สายตาที่ชายชุดดำหลังค่อมใช้มองจางอีเต๋อมีไอสังหารหมุนวนเข้มข้นมากขึ้น
เมื่อต้องเจอกับยอดฝีมืออย่างจางอีเต๋อที่มีความสามารถในการฟื้นฟูอย่างไม่อาจจินตนาการได้ ชายชุดดำหลังค่อมก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นจริงๆ คิดไม่ถึงว่าประเทศจีนจะมีผู้มีความสามารถแบบนี้อยู่ หากศิษย์ในสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริวของเขามาแลกเปลี่ยนฝีมือกับพรรควรยุทธโบราณของประเทศจีนอีกครั้งหนึ่ง และมีคนแบบจางอีเต๋ออยู่ ไม่ใช่ว่าศิษย์สำนักดาบโฮคุชินอิตโตริวของพวกเขาจะทำได้เพียงรอความตายหรือ?
ฉัวะๆๆ!
คมมีดที่ประทับไปด้วยสัญลักษณ์ของหัวกระโหลกทั้งเจ็ดเล่มเคลื่อนไหวตามการบวกสะบัดมือขวาของชายชุดดำหลังค่อม ทั้งหมดต่างพุ่งตรงไปฆ่าจางอีเต๋อ ในขณะเดียวกันชายชุดดำหลังค่อมก็พุ่งตามคมดาบไปยังจางอีเต๋อพร้อมกัน สาบานกับตนเองว่าจะต้องส่งจางอีเต๋อไปตายให้ได้
พลังในการต่อสู้ของจางอีเต๋อในตอนนี้ลดลงอย่างต่อเนื่อง จะอย่างไรก็อายุมากปูนนี้แล้ว ถึงแม้จะมีความสามารถในการต่อสู้แต่ก็ไม่อาจยืดเยื้อได้นาน โชคดีที่ตนเองมีความสามารถของผู้มีพลังพิเศษในสายรักษาที่แข็งแกร่ง ทำให้บาดแผลสมานกันได้ในพริบตา แต่นี่ก็ทำให้สูญเสียพลังพิเศษไปมาก และไม่ใช่ว่าบาดแผลจะไม่เป็นอะไรเลย
“ผู้อาวุโสจาง ระวัง…”
เฮยเมี่ยนเห็นสถานการณ์นี้ก็ร้อนใจมาก เขารู้ว่าชายชุดดำหลังค่อมคนนั้นแข็งแกร่งมาก หากเป็นเขาเองที่สู้ด้วยพลังทั้งหมด ก็ไม่แน่ว่าจะยืนหยัดได้นาน ตอนนี้เขาถูกมือสังหารชุดดำอีกสองคนที่เหลือล้อมเอาไว้อย่างแน่นหนา กระบวนท่าเมื่อสักครู่นี้ก็ใช้พลังภายในออกไปมาก คนเพียงคนเดียวเผชิญหน้ากับมือสังหารชั้นยอดทั้งสามคน ไม่อาจผ่านไปได้อย่างสะดวกราบรื่น ดังนั้นแม้ว่าเฮยเมี่ยนคิดจะพุ่งเข้าไปช่วยจางอีเต๋ออย่างสุดชีวิตก็ไม่มีทางทำได้
ฉึก!
ฉึก!
ฉึก!
คมดาบหัวกระโหลกสามเล่มแยกกันไปแทงทะลุหน้าอกซ้ายขวาของจางอีเต๋อ มีเล่มหนึ่งพุ่ง ไปยังแขนขวาของเขาโดยตรง คมดาบหัวกะโหลกอีกสี่เล่มที่เหลือก็ถูกจางอีเต๋อหลบไปได้ แต่การโจมตีอันรุนแรงนี้ทำให้จางอีเต๋อถูกกระแทกถอยหลังไป มุมปากมีเลือดสดๆ ไหลออกมา
ฉัวะ!
เสียงหนึ่งดังขึ้น จางอีเต๋อถูกคมมีหัวกระโหลกทั้งสามปักเข้ากับกำแพงด้านหลัง กำแพงอิฐทั้งแถบปรากฏรอยแตกร้าวอย่างรุนแรง ไม่นานก็คงจะถล่มลงมา จางอีเต๋อดึงคมด่าหัวกะโหลกทั้งสามเล่มออกไม่ทันแล้ว เพราะชายชุดดำหลังค่อมคนนั้นได้พุงเข้ามาราวกับเหยี่ยวสยายปีก ใช้มือขวาจับบริเวณหลอดลมของจางอีเต๋อเอาไว้
ตู้ม!
ในช่วงเวลาสำคัญ จางอีเต๋อระเบิดพลังพิเศษทั้งหมดในร่างกายออกมา รวบรวมพลังไว้เบื้องหน้าจนเกิดเป็นหอกเหล็กกล้า ทิ่มแทงไปยังชายชุดดำหลังค่อมที่กระโดดเข้ามากลางอากาศ ขอเพียงขัดขวางการโจมตีไว้ได้เพียงเล็กน้อย ก็จะทำให้เกิดโอกาสขึ้น จางอีเต๋อขยับขยับเล็กน้อยเพื่อเปลี่ยนตำแหน่งของตน
มือขวาของชายชุดดำหลังค่อมจับถูกอากาศ มือซ้ายใช้ฝ่ามือตบลงไปบริเวณหน้าอกของจางอีเต๋อ กำแพงอิฐเกิดเสียงดังสนั่นแล้วถล่มลงมา แหลกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย จางอีเต๋อก็ถูกอัดกระแทกจนกระเด็นออกไปสิบกว่าเมตร มุมปากมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด ย้อมเคราอันขาวโพลนของเขาในพริบตา
“คุณปู่ คุณปู่…” จางรั่วถงเห็นฉากนี้ก็วิ่งเข้าไปโดยไม่สนใจอะไร น้ำตาไหลออกมา
“รั่วถง อย่าเข้ามา!” จางอีเต๋อพยายามตะโกนออกมา
“ไปตายซะ…” ชายชุดดำหลังค่อมหัวเราะออกมาเสียงเย็น เดินก้าวไปยังจางอีเต๋อทีละก้าว ต้องการฆ่าเซียนแพทย์เทวะแห่งประเทศจีนคนนี้ให้สิ้นซาก
“อั่ก!”
“ปัง!”
ในตอนที่ชายชุดดำหลังค่อมกำลังจะฆ่าจางอีเต๋อ และจะฆ่าทุกคนที่อยู่ในลานบ้านตระกูลจางแห่งนี้ทั้งหมดนั้น เสียงร้องราวกับหมูถูกเชือดก็ดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงดังสนั่น หลังคาของห้องยาตระกูลจางระเบิดออก ชายชุดดำร่างกำยำที่พุ่งเข้าไปคนนั้นกระเด็นออกมาทั้งร่าง ถูกคนผู้หนึ่งใช้หมัดต่อยจนกระเด็นขึ้นไปสูงสิบกว่าเมตรจนทำให้หลังคาของห้องยาทะลุ
ทุกคนพากันหยุดมือ จ้องมองฉากนี้อย่างตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง โดยเฉพาะมือสังหารทางฝั่งของชายชุดดำร่างกำยำที่ไม่กล้าเชื่อโดยสิ้นเชิง
ต้องรู้ว่าชายชุดดำร่างกำยำนับว่าเป็นยอดฝีมือระดับสูงในรุ่นของผู้เยาว์แห่งสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริว ต่อให้ไม่นับว่าเป็นอันดับหนึ่ง อย่างน้อยก็สามารถอยู่ในสามอันดับแรกได้ ต่อให้จางอีเต๋อที่เป็นผู้แข็งแกร่งที่ซ่อนเร้นตัวตน ก็ยังไม่สามารถเอาชนะชายชุดดำร่างกำยำได้ เห็นได้ว่าความสามารถของคนคนนี้แข็งแกร่งจริงๆ
ตอนนี้ ชายชุดดำร่างกำยำถูกคนซัดจนปลิวขึ้นฟ้า มิหนำซ้ำยังกรีดร้องออกมาราวกับหมูถูกเชือด นี่ก็เหมือนกับเหตุการณ์เพ้อฝันที่ไม่อาจเป็นไปได้ ทำให้ผู้คนไม่กล้าจะเชื่อ
ฟิ้ว!
ตามมาติดๆ ด้วยเงาร่างของคนผู้หนึ่งที่ปรากฏออกมาจากช่องโหว่บนหลังคาที่ถูกทำลาย หมัดทั้งสองโจมตีไปไม่หยุด แต่ละหมัดต่างซัดลงไปบนร่างของชายชุดดำร่างกำยำ หมัดเหล่านั้นเมื่อต่อยลงบนเนื้อ เนื้อก็จะส่งเสียงลั่นคล้ายเสียงกระดูกหักออกมา คนที่ได้ยินต่างรู้สึกอดไม่ได้ที่จะจิตใจสั่นไหว
“หมัดพี่ชายสุดหล่อ!”
เย่เทียนเฉินตะโกนขึ้น มือขวาเปล่งประกายเล็กน้อย ใช้หมัดซัดไปบริเวณท้องของชายชุดดำร่างกำยำ นี่จึงนับว่าเป็นการสิ้นสุดเหตุการณ์ที่ดูเกินจริงนี้
ชายชุดดำร่างกำยำกลิ้งตกลงมาจากหลังคา ในตอนที่ชายชุดดำหลังค่อมและมือสังหารชั้นยอดอีกสองคนที่เหลือมองมาต่างก็ต้องตกตะลึง เนื่องจากชายชุดดำร่างกำยำถูกเย่เทียนเฉินใช้หมัดซัดจนตายไปแล้ว ร่างกายถูกอัดจนเปลี่ยนรูปร่างไปเลยทีเดียว
ใครก็คิดไม่ถึงว่า ชายชุดดำร่างกำยำที่เป็นยอดฝีมือในรุ่นของผู้เยาว์แห่งสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริว จะถึงกับถูกเย่เทียนเฉินต่อยตายด้วยหมัดไม่กี่หมัด หากร่ำลือออกไปจะต้องสั่นสะเทือนโลกวรยุทธของประเทศจีนและประเทศชิบะอย่างแน่นอน
“คิดไม่ถึงว่าจะมีคนรนหาที่ตายด้วย!”
ชายชุดดำหลังค่อมมองไปยังเย่เทียนเฉินที่ยืนอยู่บนหลังคาด้วยสายตาเย็นชา ละทิ้งความคิดที่จะสังหารจางอีเต๋อไปก่อน เพราะว่าด้วยระดับฝีมือของเขาในตอนนี้ ย่อมมองออกในทันทีว่า เจ้าหนุ่มชาวจีนที่ปรากฏตัวออกมาจากห้องยานั้น มีฝีมือแข็งแกร่งมาก ด้วยหมัดเพียงไม่กี่หมัดของเขาก็สามารถอัดชายชุดดำร่างกำยำจนตายได้ นี่ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์แล้วว่าจำเป็นต้องฆ่าคนคนนี้ก่อน
“ไม่ใช่ว่าฉันรนหาที่ตาย แต่เป็นไอ้โง่นี่ต่างหากที่รนหาที่ตาย ฉันกำลังอาบน้ำอยู่ข้างใน มันก็บุกเข้ามาจากบนหลังคา มาสบประมาทความเป็นส่วนตัวของฉัน ทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะอัดมัน!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม
เมื่อเห็นว่าเย่เทียนเฉินไม่เป็นอะไร เฮยเมี่ยน จางอีเต๋อ และมู่หรงอวี๋ตูต่างก็พากันโล่งใจ ส่วนมู่หรงซินและจางรั่วถงก็อดไม่ได้ที่จะกำมือเล็กๆ ของพวกเธอแน่น ตั้งแต่เมื่อครู่จนถึงตอนนี้ พวกเธอก็เป็นห่วงเย่เทียนเฉินมาโดยตลอด นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจ
“ทางที่ดีแกบอกชื่อของแกมาซะ เพราะอีกเดี๋ยวแกจะต้องตายแน่นอน!” ในตอนนี้ ชายชุดดำหลังค่อมเดินไปด้านล่างเย่เทียนเฉิน เงยหน้ามองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้นอย่างเย็นชา
“เมื่อกี้นี้ไม่ใช่ว่าฉันบอกไปแล้วเหรอ? แกแก่แล้วสินะ หูถึงได้ไม่ดี เป็นโรคหลงๆ ลืมๆ หรือไง?” เย่เทียนเฉินมองเขาอย่างเหยียดหยามแล้วพูดออกไปอย่างไม่สบอารมณ์
เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน ชายชุดดำร่างกำยำก็มีไอสังหารแผ่พุ่งออกมาทั้งร่าง สายตาเปลี่ยนไปจนราวกับสามารถจะฆ่าคนได้ พวกจางอีเต๋อและเฮยเมี่ยนต่างก็รู้สึกจนปัญญากับเย่เทียนเฉิน เจ้าหมอนี่ทำตัวเหลวไหลไม่รู้จักเวล่ำเวลา อีกไม่นานทุกคนก็จะยืนหยัดต่อไปไม่ไหวแล้ว ฝ่ายศัตรูที่มาก็ล้วนเป็นยอดฝีมือชั้นยอด สถานการณ์อันตรายเป็นอย่างมาก เจ้าหมอนี่ถึงกับยังมีความคิดจะพูดจาหยอกล้ออีก ไม่อาจไม่นับถือจิตใจอันสงบนิ่งของเขาจริงๆ
ฟิ้ว!
ชายชุดดำร่างกำยำหายไปกลางอากาศ เคลื่อนไหวท่ามกลางความมืดอย่างรวดเร็วถึงขีดสุด เพียงพริบตาเดียวก็ไม่รู้ว่าไปที่ไหนแล้ว แต่ทุกคนต่างก็รู้ว่า เย่เทียนเฉินที่กล้าพูดกับยอดฝีมือว่า “แก่ โรคหลงหลงลืมลืม” จะต้องถูกฆ่าแน่นอน
“ระวังหน่อย แข็งแกร่งมาก!” จางอีเต๋อเตือนเย่เทียนเฉิน
“วางใจเถอะ เขาแกร่งปล่อยเขาแกร่ง จันทร์กระจ่างกลางสายน้ำ…”
คำพูดหยอกล้อของเย่เทียนเฉินยังแฝงไปด้วยบทกลอน ไหนเลยจะรู้ว่าเขาเพิ่งจะกลอนออกมาแค่ท่อนเดียว ก็รับรู้ได้ถึงพลังมันรุนแรงด้านหลังศีรษะซึ่งเกิดจากหมัดที่ซัดเข้ามาอย่างแรง
ตู้ม!
เสียงดังสนั่น ชายชุดดำหลังค่อมปรากฏตัวเบื้องหน้าเย่เทียนเฉิน ทั้งสองมองอีกฝ่ายเขม็ง หมัดปะทะหมัด ทั้งสองต่างก็ยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย
ทุกคนต่างต้องตกตะลึง ตกตะลึงในความเร็วของชายชุดดำหลังค่อม ตกตะลึงในปฏิกิริยาอันว่องไวของเย่เทียนเฉิน ถึงกับสามารถแยกแยะตำแหน่งของชายชุดดำหลังค่อมได้อย่างว่องไวท่ามกลางความมืดแบบนี้ ยิ่งไปกว่านั้นยังโจมตีตอบโต้กลับไปได้อีก ความสามารถของคนคนนี้ลึกล้ำเกิดคาดเดาจริงๆ
ความจริงแล้ว หมัดที่ปะทะกันนี้ทำให้เย่เทียนเฉินเองตกใจมากเช่นกัน ชายชุดดำหลังค่อมเบื้องหน้าแข็งแกร่งมากจริงๆ ตัวเขาเองเข้าใจดีว่า เขาในตอนนี้อยู่ในสภาพสูงสุดของขอบเขตจอมราชันแล้ว พลังของหมัดหมัดหนึ่งแข็งแกร่งขนาดไหนเขาย่อมเข้าใจดี มันมากพอที่จะถล่มยอดเขาได้เลยทีเดียว ชายชราเบื้องหน้านี้ถึงกับไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย แข็งแกร่งดังที่จางอีเต๋อพูดจริงๆ
ก่อนหน้านี้ที่เย่เทียนเฉินสามารถใช้หมัดซัดชายชุดดำร่างกำยำจนตายในไม่กี่หมัดได้ มีสาเหตุมาจากการที่ความสามารถของเขาพุ่งทะยานขึ้น นอกจากนั้นยังเป็นเพราะชายชุดดำร่างกำยำถูกหญ้าสยบกายา ตอนนั้นที่เย่เทียนเฉินนั่งอยู่ในถังไม้ในห้องยา เขากระตุ้นพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันทั้งร่างกายออกมาเพื่อกดดันหญ้าสยบกายา และใกล้จะบีบบังคับมันให้ออกมาจากปากของเขาได้แล้ว ไหนเลยจะรู้ว่าชายชุดดำร่างกำยำจะทำลายหลังคาและบุกเข้ามา ยิ่งไปกว่านั้นยังใช้ดาบฟันเข้าไปบริเวณศีรษะของเย่เทียนเฉินอีกด้วย
พอดีกับพี่หญ้าสยบกายาถูกเย่เทียนเฉินขับออกมาจากปาก เขารีบอ้าปากและใช้หมัดต่อยไปยังชายชุดดำร่างกำยำแทบจะพร้อมกัน น่าเสียดายที่คนคนนี้ไม่รู้ว่าเย่เทียนเฉินที่นั่งอยู่ในถังน้ำจะเป็นยอดฝีมือที่แท้จริง เขาถูกหมัดซัดเข้าไป หญ้าสยบกายาก็เจาะทะลวงเข้าไปในปาก จากนั้นก็ถูกเย่เทียนเฉินต่อยไปอีกหลายหมัดจนปลิว เย่เทียนเฉินก็ถือโอกาสนี้สวมกางเกง จากนั้นจึงพุ่งออกมาและตะโกนออกมาว่า “หมัดพี่ชายสุดหล่อ!”
………………..
“อ๊าก!”
เย่เทียนเฉินตะโกนออกมา ในตอนนี้เขานั่งอยู่ในถังไม้คนเดียวด้วยร่างกายเปลือยเปล่า รับรู้ได้ถึงไอเย็นที่แทบจะทำให้กระดูกถูกแช่แข็งซึ่งได้ลงไปถึงกระเพาะแล้ว
หากเขายังปล่อยให้หญ้าสยบกายาเดินเล่นไปทั่วเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าเมื่อหญ้าสยบกายารับรู้ได้ว่าร่างแฝงใหม่นี้ไม่เหมาะสมกับมัน ก็จะวิ่งพล่านอย่างรุนแรง เมื่อถึงตอนนั้นอวัยวะภายในของเย่เทียนเฉินคงแหลกชิ้นๆ
ปัง! ปัง! ปัง! …
เสียงดังติดต่อกันหกครั้ง ประกายสีทองเล็กๆ ทั้งหกพุ่งจากด้านในทะลุไปด้านนอกของถังไม้ จนไปปักเข้ากับกำแพงทั้งหมด
นั่นเป็นเข็มทองซึ่งเป็นพลังพิเศษที่จางอีเต๋อใช้แทงทะลุเข้ามาในร่างกายของเย่เทียนเฉินโดยไร้รูปร่างเพื่อสกัดกั้นจุดลมปราณของเขาเอาไว้หลายจุด
ตอนนี้หญ้าสยบกายาเข้าไปในร่างกายของเย่เทียนเฉินแล้ว เขาจึงไม่ต้องการให้เข็มทองมาปิดจุดลมปราณอีกต่อไป เพราะจะทำให้เขาไม่สามารถรีดเร้นพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันย์ของตนออกมาได้ทั้งหมด
เมื่อได้ยินเสียงตะโกนดังออกมาจากด้านในห้องยา ทุกคนในลานบ้านตระกูลจาง ไม่ว่าจะเป็นพวกของมู่หรงอวี๋ตู หรือว่าจะเป็นมือสังหารอีกสามคนที่เหลือ ต่างก็อดไม่ได้ที่จะมองไปทางห้องยา พวกเขารู้ว่าด้านในจะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นแล้วอย่างแน่นอน
ฉัวะ!
มีเงาร่างสีดำพุ่งออกมาสายหนึ่ง เขาขึ้นไปยืนอยู่บนต้นไม้ใหญ่กลางลานบ้านตระกูลจาง แผ่นหลังค่อนข้างจะค่อม ดูเหมือนจะเป็นชายชราคนหนึ่ง ดวงตาทั้งสองมองไปยังพวกของจางอีเต๋ออย่างโหดเหี้ยม ใช้น้ำเสียงเคร่งขรึมพูดกับชายชุดดำร่างกำยำ
“กระทั่งมู่หรงอวี๋ตูก็ยังฆ่าไม่ได้ วันข้างหน้าสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริวของพวกเราจะอยู่เหนือประเทศจีนได้ยังไง แกไปฆ่าไอ้หนูนั่นในห้องยาซะ ฉันจะฆ่ามู่หรงอวี๋ตูเอง…”
“ฆ่า!”
ชายชุดดำร่างกำยำได้สติกลับมาจึงตะโกนออกมาครั้งหนึ่ง ดาบสไตล์ชิบะในมือตวัดฟันไปยังจางอีเต๋อ ในขณะเดียวกันก็พุ่งเข้าไปทางห้องยาโดยไม่สนใจอะไร เสียงตะโกนของเย่เทียนเฉินเมื่อสักครู่นี้ทำให้พวกเขารู้สึกไม่ดี ดูเหมือนว่าหญ้าสยบกายาจะถูกกำจัดไปแล้ว
จางอีเต๋อมีปฏิกิริยาว่องไว ในตอนนี้ก็ไม่กล้าเก็บออมพลังเอาไว้อีกแล้ว แสดงพลังความสามารถในการต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของตัวเองออกมา เคลื่อนย้ายไปอยู่เบื้องหน้าของชายชุดดำร่างกำยำในเวลาพริบตาเดียว เขามีฐานะเป็นเซียนแพทย์เทวะ ย่อมรู้ว่าเสียงตะโกนของเย่เทียนเฉินมีความหมายว่าอย่างไร
ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่เย่เทียนเฉินจะกำจัดหญ้าสยบกายา ไม่สามารถให้คนอื่นเข้าไปรบกวนได้โดยเด็ดขาด มิฉะนั้นจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
ไหนเลยจะรู้ว่า จางอีเต๋อเพิ่งจะไปขวางหน้าชายชุดดำร่างกำยำ แต่กลับต้องเผชิญกับเงาดำสายหนึ่งที่คล้ายกับว่าจะตกลงมาจากฟากฟ้า ใช้เท้าเตะไปยังจางอีเต๋อทำให้เขาไม่สามารถหลบได้
พลั่ก!
ทุกสิ่งทุกอย่างนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหันเกินไป จางอีเต๋ออยากหลบก็หลบไม่ได้ ทำได้เพียงใช้มือทั้งสองป้องกันเอาไว้ แต่ก็ยังถูกเตะกระเด็น เห็นได้ชัดว่าคนชุดดำหลังค่อมที่ปรากฏตัวออกมาที่หลังสุดแข็งแกร่งมาก เป็นชายชราที่แข็งแกร่งจนถึงขั้นวิปลาส
“ยังไม่รีบไปอีก?”
ชายชุดดำหลังค่อมพูดกับชายชุดดำร่างกำยำอย่างเย็นชา
ชายชุดดำร่างกำยำที่มีปฏิกิริยากลับมาก็สะกิดเท้าพุ่งทะยานไปบนหลังคาห้องยาโดยตรง ดาบสไตล์ชิบะในมือขวาเปล่งประกายแปลกประหลาดท่ามกลางแสงจันทร์ ฟันฉัวะออกไปครั้งหนึ่งก็ทำให้กระเบื้องที่ใช้เป็นหลังคาห้องยาเกิดช่องใหญ่ กระโดดตีลังกาพุ่งหัวลงไปหวังฆ่าฟันในขณะที่มือขวายังคงถือดาบเอาไว้
“เสี่ยวซิน!”
มู่หรงอวี๋ตูเห็นชายชุดดำร่างกำยำที่แข็งแกร่งผู้นี้พุ่งเข้าไป คิดว่าจะต้องเป็นอันตรายต่อมู่หรงซินหลานสาวของตนเองอย่างแน่นอน จึงคิดจะพุ่งเข้าไปในห้องยาโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
“คุณปู่!”
มู่หรงซินปรากฏตัวที่บริเวณประตูห้องยา มองไปยังทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ในตอนที่เธอเห็นมู่หรงอวี๋ตู ก็อดไม่ได้ที่จะตะโกนออกม
“เสี่ยวซิน รีบมาหาปู่ เร็วหน่อย!” มู่หรงอวี๋ตูพูดเสียงดัง
มู่หรงซินที่ถูกเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในลานบ้านทำให้ตกใจนั้นรีบวิ่งไปอยู่ข้างกายของมู่หรงอวี๋ตู เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น สิ่งเดียวที่จำได้ก็คือเย่เทียนเฉินและตนเองกอดกันด้วยร่างกายเปลือยเปล่า และจุมพิตกัน น่าอับอายเป็นอย่างมาก
มิหนำซ้ำเธอยังไม่อาจสัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกอันเสียดแทงกระดูกในร่างกายอีกต่อไปแล้ว ดูเหมือนว่าหญ้าสยบกายาจะออกไปจากร่างกายของเธอแล้ว เพียงแต่มู่หรงซินไม่รู้ว่าหญ้าสยบกายานี้ไปที่ไหนกันแน่!
“คุณปู่คะ หนูไม่เป็นไรแล้ว แต่พี่เย่เขา…”
ทันใดนั้นมู่หรงซินคิดถึงเย่เทียนเฉินขึ้นมา เมื่อสักครู่นี้ในตอนที่เธอเห็นเย่เทียนเฉิน เห็นว่าใบหน้าของเย่เทียนเฉินเดี๋ยวก็หนาวเย็นจนมีชั้นน้ำแข็งบางๆ เกาะจนกระทั่งคิ้วแข็ง อีกเดี๋ยวก็ร้อนดั่งพระอาทิตย์จนคล้ายกับจะถูกเผาไหม้ จะต้องเจ็บปวดมากอย่างแน่นอน
“หลานไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ปู่เชื่อว่าเด็กคนนั้นจะต้องไม่เป็นไรแน่!” มู่หรงอวี๋ตูเลยปากพูด
ทุกคนต่างก็มีความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวคือสัญชาตญาณของมนุษย์ ไม่ใช่ว่าการที่ทำอะไรก็คิดถึงตัวเองเป็นการเห็นแก่ตัว แต่หากทำเรื่องใดโดยที่ไม่ได้คิดถึงคนอื่น นี่จึงเป็นความเห็นแก่ตัว
มู่หรงอวี๋ตูเห็นว่าหลานสาวของตนไม่เป็นอะไรแล้วก็รู้สึกดีใจมาก เขาย่อมรู้ว่าเย่เทียนเฉินจะเตกอยู่ในความอันตรายมากแค่ไหน นี่เป็นการใช้ชีวิตของตนมาแลกชีวิตกับมู่หรงซินซึ่งเป็นหลานสาวของเขา
เพียงแต่ตอนนี้มู่หรงอวี๋ตูก็ไม่สนใจอะไรมากมายขนาดนั้น ถ้าหากเย่เทียนเฉินตายจริงๆ เขาก็จะทำให้ตระกูลเย่ได้ปีนป่ายจนสามารถเป็นตระกูลชั้นหนึ่งของเมืองหลวงได้ นี่นับว่าเป็นการชดเชยให้เย่เทียนเฉิน!
มู่หรงซินเองก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี แม้ในใจจะเป็นห่วงเย่เทียนเฉินมากก็ตาม
อย่างไรก็ตามสถานการณ์ในตอนนี้ก็ไม่ใช่อะไรที่ผู้หญิงตัวคนเดียวอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงได้ สิ่งเดียวที่สามารถทำได้ก็คือคอยอธิษฐานอยู่ในใจ อธิษฐานให้เย่เทียนเฉินไม่เป็นอะไร
ตอนนี้เอง จางอีเต๋อและชายชุดดำหลังค่อมที่ปรากฏตัวออกมาเป็นคนสุดท้ายกำลังจ้องมองอีกฝ่ายในระยะที่ห่างกันไม่ถึงห้าเมตร สายตาของทั้งสองเต็มไปด้วยไอสังหาร
นี่เป็นการต่อสู้ถึงขั้นเป็นตาย ใครก็ไม่กล้าลำพองใจ
“คิดไม่ถึงว่าประเทศจีนจะมีผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งแบบแกซ่อนตัวอยู่ด้วย!”
คนชุดดำหลังค่อมมองจางอีเต๋อ พูดออกมาด้วยน้ำเสียงด้านชาราวกับคนตาย
“หึ สิ่งที่แข็งแกร่งของจีนไม่ได้มีเพียงผู้มีพลังพิเศษ แต่ยังมียอดฝีมือพรรควรยุทธโบราณอีกด้วย เมื่อปีนั้นสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริวของพวกแกสู้กับยอดฝีมือพรรควรยุทธโบราณแห่งประเทศจีนของพวกเรา ก็ไม่เห็นว่าจะดีเด่อะไรเลย!” จางอีเต๋อแค่นเสียงเย็นครั้งหนึ่งแล้วพูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์
จางอีเต๋อเองก็เป็นคนที่เคยผ่านยุคแห่งสงครามมาแล้ว มีฐานะเป็นเซียนแพทย์เทวะ ในขณะเดียวกันก็เป็นผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ย่อมรู้ถึงความลับเมื่อปีนั้น
ในตอนนั้นประเทศชิบะมารุกรานประเทศจีนของพวกเรา ยอดฝีมือทุกคนแห่งสำนักงานโฮคุชินอิตโตริวต่างก็มายังประเทศจีน เพื่อมาทำลายความมั่นใจในเคล็ดวิชาโบราณที่สืบทอดกันมากว่าห้าพันปีของประเทศจีนของพวกเรา ต้องการสั่นสะเทือนไปถึงรากฐาน ในขณะเดียวกันก็ขโมยวิธีการฝึกฝนเคล็ดวิชาแห่งพรรควรยุทธโบราณของประเทศจีนไปด้วย
ในช่วงเวลาแห่งการต่อสู้ที่โหดร้ายหาใดเปรียบนั้น คนที่อยู่ในวงการศิลปะการต่อสู้แห่งประเทศจีนก็เริ่มที่จะก่อสงครามกับสุนัขรับใช้แห่งประเทศชิบะ
ท่ามกลางการประลองที่ทั้งยุติธรรมและไม่ยุติธรรม แต่ละฝ่ายต่างมีการแพ้ชนะ ไม่กล่าวไม่ได้ว่าวิชาดาบแห่งสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริวของประเทศชิบะแข็งแกร่งมากจริงๆ จุดสำคัญก็คือความพิสดารที่ไม่สามารถใช้ตรรกะปกติมาอธิบายได้ ทว่ายอดฝีมือจำนวนหนึ่งของพรรควรยุทธโบราณก็เห็นความแปลกประหลาดมาจนเคยชิน ถ้าเป็นคนปกติทั่วไปมาเห็นจะต้องตื่นตะลึงครั้งใหญ่อย่างแน่นอน
หากเทียบกับชายชุดดำร่างกำยำเมื่อสักครู่นี้ที่ใช้พลังทั้งหมดตวัดาบสไตล์ชิบะในมือออกไปจนเป็นเงาดาบ และเงาดาบนั้นก็แปรสภาพเป็นสสารที่แท้จริง พุ่งทะยานไปยังจางอีเต๋อหวังจะฆ่า กระทั่งอากาศก็ถูกฟันขาด ทั้งแข็งแกร่งและทรงอำนาจเป็นอย่างมาก
หากไม่ใช่ว่าจางอีเต๋อสามารถใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษเกราะเหล็กออกมาได้ในช่วงเวลาสำคัญ เกรงว่าจะต้องถูกฟันขาดจนเนื้อแหลกเป็นชิ้นจริงๆ แล้ว
“คนอย่างพวกแก วันนี้จะต้องตายแน่นอน ไม่งั้นจะต้องกลายเป็นอุปสรรคชิ้นใหญ่ของสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริวของฉัน!”
ในขณะที่ชายชุดดำหลังค่อมพูดออกมาก็ทำท่าทางแปลกประหลาดอย่างหนึ่ง ยื่นแขนขวาของเขาออกมาเล็งไปยังจางอีเต๋อ
จางอีเต๋อเพิ่มความระมัดระวังขึ้นโดยไม่รู้ตัว กระตุ้นพลังพิเศษทั้งร่าง ชายชุดดำหลังค่อมคนนี้ทำให้เขารู้สึกแตกต่างออกไป ความสามารถเหนือกว่าชายชุดดำร่างกำยำมากนัก มิฉะนั้นคงไม่ปรากฏตัวออกมาทีหลังสุด และคงจะไม่ใช้น้ำเสียงออกคำสั่งพูดกับชายชุดดำร่างกำยำ
“สำนักดาบโฮคุชินอิตโตริวของพวกแก เมื่อปีนั้นก็เอาชนะเคล็ดวิชาของประเทศจีนของพวกเราไม่ได้ ในอนาคตก็เอาชนะไม่ได้เหมือนกัน!” จางอีเต๋อพูดอย่างหนักแน่น
“งั้นก็ลองดู!”
ชายชุดดำหลังค่อมเพิ่งจะพูดจบ มือขวาของเขาก็ตวัดวาดกลางอากาศเบาๆ ทันใดนั้นมีคมดาบ เกือบสิบเล่มปรากฏขึ้นข้างกายซ้ายขวาของเขา
บนดาบแต่ละเล่มมีกะโหลกศีรษะอยู่ชิ้นนึง เมื่อมองแล้วทำให้รู้สึกน่าหวาดผวาเป็นอย่างมาก คล้ายกับว่าหัวกระโหลกเหล่านั้นจะเคลื่อนไหวไปตามดาบ และจะพุ่งออกมากินคนอย่างไรอย่างนั้น
“เข้ามาเลย!”
จางอีเต๋อตะโกนเสียงดัง ปรากฏโล่เกราะเหล็กชิ้นหนึ่งบริเวณหน้าอก นี่เป็นสิ่งที่เกิดจากการรวบรวมพลังในวิชาสายโลหะของเขา แข็งแกร่งอย่างหาใดเปรียบ ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรที่สามารถทำลายมันได้ อย่างน้อยก่อนหน้านี้ก็ยังไม่มีของมีคมและกระบวนท่าใดที่สามารถทำลายโล่เกราะเหล็กของจางอีเต๋อได้
ตู้ม!
คมดาบนับสิบเล่มอันแปลกประหลาดนั้นเคลื่อนไหวไปตามการฟาดฟันในมือขวาของชายชุดดำหลังค่อม ทั้งหมดเกิดเสียงเสียดแทงอากาศ พุ่งเข้าไปหวังฆ่าจางอีเต๋อ
ในขณะนั้นเอง จางอีเต๋อรู้สึกว่าเหมือนกับตนจะได้ยินเสียงกรีดร้องของหัวกะโหลกเหล่านั้น หัวกะโหลกอันน่าสะพรึงกลัวบนคมดาบทั้งสิบกว่าเล่มก็คล้ายกับว่าจะพุ่งออกมาอย่างไรอย่างนั้น มีเงาของหัวกระโหลกพุงโจมตีเข้ามาเช่นนี้เอง
เคร้ง เคร้ง เคร้ง ตู้ม!
คมดาบสามเล่มที่ปรากฏสัญลักษณ์หัวกะโหลกนั้นถูกโล่เกราะเหล็กของจางอีเต๋อทำลาย แต่โล่เกราะเหล็กของเขาก็แตกเป็นชิ้นๆ เช่นเดียวกัน ในขณะนั้นคมมีดที่เหลือก็โจมตีเข้ามาอย่างบ้าคลั่งและรุนแรงมากขึ้น จางอีเต๋อหน้าเปลี่ยนสี คิดไม่ถึงว่าโล่เกราะเหล็กที่ไม่เคยถูกทำลายของตนจะถูกดาบหัวกะโหลกที่ไม่นับว่าร้ายกาจเหล่านี้ทำลายลงได้
ในขณะที่หลบนั้น ไหล่ซ้ายของจางอีเต๋อก็ถูกดาบหัวกระโหลกเล่มหนึ่งปักจนหมอกเลือดระเบิดออกมา ไหล่ซ้ายของเขาถูกเจาะทะลุ เลือดสดๆ ไหลออกมา ดูท่าทางน่าหวาดกลัวเป็นอย่างมาก
ตอนนี้เอง คมดาบหัวกะโหลกอีกเจ็ดเล่มที่เหลือก็ถูกชายชุดดำหลังค่อมเรียกกลับไปข้างกาย คมดาบหัวกระโหลกอันแปลกประหลาดทั้งเจ็ดเล่มนั้นคล้ายกับมีมนต์ขลัง สามารถโจมตีออกไปตามการเคลื่อนไหวในมือขวาของชายชุดดำหลังค่อม ทำให้ผู้คนต่างหวาดผวาเป็นอย่างมาก และทำให้ผู้คนไม่อาจป้องกันได้
“แกแข็งแกร่งมาก น่าเสียดายที่ต้องมาเจอฉัน ที่สำคัญที่สุดก็คือแกแก่กว่าฉันมาก!” ชายชุดดำหลังค่อมมองไปยังจางอีเต๋ออย่างเย็นชา
จางอีเต๋อพยายามลุกขึ้นมาจากพื้น ไหล่ซ้ายถูกคมดาบหัวกระโหลกเจาะทะลุจนเป็นรูใหญ่ เลือดไหลลงมาไม่หยุด แต่เขาก็ไม่กังวลเลยแม้แต่น้อย เพราะเขาทำเพียงแค่นำมือขวาไปจับที่แผลบริเวณไหล่ซ้ายเท่านั้น
ทีละเล็กทีละน้อย เลือดบริเวณบาดแผลของจางอีเต๋อหยุดลงอย่างรวดเร็ว ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถเห็นได้ด้วยตาว่าบาดแผลสมานกันอย่างรวดเร็ว ทำให้ชายชุดดำหลังค่อมที่เห็นดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ
เหตุการณ์นี้ช่างพิสดารจริงๆ บนโลกนี้ถึงกับมีคนที่มีความสามารถในการรักษาตัวเองที่แข็งแกร่งขนาดนี้อยู่ด้วยหรือ!
……………..
สิ่งที่ทำให้คิดไม่ถึงก็คือ มือสังหารชั้นยอดทั้งสี่คนนี้ หรือยังน้อยที่สามารถมั่นใจได้ก็คือชายชุดดำร่างกำยำที่เป็นหัวหน้า จะถึงกับเป็นคนของชิบะ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นยอดฝีมือแห่งสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริวของชิบะอีกด้วย ความสามารถแข็งแกร่ง ต่อให้เป็นจางอีเต๋อก็ไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะเขาได้อย่างความรวดเร็ว
ไหนเลยจะรู้ว่า ในตอนที่ชายชุดดำร่างกำยำใช้เคล็ดวิชาสังหารของตนออกมา จางอีเต๋อจะใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษในสายโลหะป้องกันเอาไว้ได้ โดยการใช้เคล็ดวิชาเกราะเหล็กซึ่งเป็นเคล็ดวิชาพลังพิเศษสายโลหะก่อกำเนิดเป็นกำแพงเหล็ก ซึ่งถูกเงาดาบที่ชายชุดดำร่างกำยำใช้ออกมาฟันจนพังทลายไปแล้ว
ตอนนี้ ในลานบ้านตระกูลจาง คนชุดดำทั้งสี่มาลอบสังหารมู่หรงอวี๋ตู เฮยเมี่ยนและจางอีเต๋อขวางพวกเขาเอาไว้ จางอีเต๋อขัดขวางชายชุดดำร่างกำยำที่มีฝีมือแข็งแกร่งที่สุด ส่วนเฮยเมี่ยนคนเดียวต้องรับมือกับมือสังหารชั้นยอดทั้งสามคน ถึงแม้จะเสียเปรียบอยู่บ้าง และยังได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร เพียงแต่ไม่สามารถต่อสู้ยืดเยื้อออกไปเช่นนี้ได้ จะอย่างไรพลังการต่อสู้และความอดทนของทุกคนก็มีจำกัด ต่อให้อดทนสู้ต่อไปก็อาจจะทำให้เฮยเมี่ยนตายได้
“ขวางพวกเขาเอาไว้ อย่าให้พวกเขาไปรบกวนได้เป็นอันขาด!” จางอีเต๋อเห็นชายชุดดำทั้งสามคนพุ่งเข้าไปยังทิศทางของห้องยาก็ตะโกนบอกเฮยเมี่ยน เนื่องจากตัวเขาเองถูกชายชุดดำร่างกำยำขวางเอาไว้จึงไม่กล้าเข้าไป
ไม่กล่าวไม่ได้ว่า เฮยเมี่ยนที่มีฐานะเป็นขุนพลในระดับทัพฟ้า ความสามารถแข็งแกร่งเหนือระดับโดยไม่ต้องสงสัย ตอนนี้ร่างกายได้รับบาดเจ็บจากดาบเกือบสิบแผล ถึงแม้จะไม่ร้ายแรงอะไรแต่เลือดก็ไหลออกมาไม่หยุด หากว่าเป็นคนธรรมดาเกรงว่าคงจะไม่มีแรงสู้ไปนานแล้ว แต่เฮยเมี่ยนกลับพุ่งเข้าไปในทันที ถือมีทหารในแนวขวางเข้าไปขวางเบื้องหน้ามือสังหารทั้งสามคน
“หากคิดจะเข้าไปก็ต้องผ่านด่านฉันไปก่อน!” เฮยเมี่ยนในตอนนี้ก็โกรธขึ้นมาจริงๆ แล้ว ระเบิดความสามารถทุกด้านของตนออกมาอย่างเต็มที่
“ฆ่ามันซะ!” ชายชุดดำร่างกำยำต่อสู้กับจางอีเต๋อไปพลาง ออกคำสั่งคนชุดดำที่เหลืออีกสามคนไปพลง
ฉัวะๆๆ!
ชายชุดดำร่างกำยำเพิ่งจะพูดจบ ดาบในมือของมือสังหารชุดดำอีกสามคนก็ปรากฏไอเย็นขึ้น นี่เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงพลังพิเศษอันแข็งแกร่งประเภทหนึ่ง เป็นจุดที่เหมือนกับเคล็ดวิชาเงาดาบที่ชายชุดดำร่างกำยำใช้ ทำให้เฮยเมี่ยนไม่กล้าลำพองใจเลยแม้แต่น้อย เนื่องจากเมื่อสักครู่นี้ตอนที่ชายชุดดำร่างกำยำฟันเงาดาบไปยังจางอีเต๋อ ถึงกับทำให้เกิดความรู้สึกว่าอากาศถูกฟังจนฉีกขาดขึ้นมาได้ แม้จางอีเต๋อก็ได้ใช้เคล็ดวิชาเกราะเหล็กออกมาก่อกำเนิดเป็นกำแพงเกราะเหล็กที่แข็งแกร่ง แต่ก็ยังถูกเงาดาบนั้นฟันจนแหลกเป็นชิ้นในพริบตา มากเพียงพอที่จะสร้างความกดดันให้เขา
“ระวังหน่อย นี่เป็นเคล็ดวิชาประเภทหนึ่งของสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริว เงาดาบมังกรคลั่ง!” จางอีเต๋อเตือนเฮยเมี่ยนด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“หึ ไอ้แก่รู้เรื่องไม่น้อยเลย ท่าทางวันนี้จะยิ่งปล่อยกลับไปไม่ได้แล้ว!” ชายชุดดำร่างกำยำตกตะลึง ดาบสไตล์ชิบะในมือขวากวัดแกว่งไม่หยุด ต้องการที่จะฆ่าจางอีเต๋อให้ได้
“หากต้องการที่จะฆ่าคนแก่อย่างฉัน เกรงว่าจะไม่ง่ายขนาดนั้น!” ดวงตาของจางอีเต๋อเต็มไปด้วยประกายไฟ เขาลงมือเต็มที่แล้ว ไม่กล้าลำพองใจเลยแม้แต่น้อย อีกฝ่ายเป็นยอดฝีมือแห่งสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริว หากไม่ระวังเพียงนิดเดียวอาจจะตายจริงๆ ก็เป็นได้
เฮยเมี่ยนได้ยินคำพูดของจางอีเต๋อ ในใจก็รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก เขาขมวดคิ้ว เขาก็เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริวมาบ้างเล็กน้อย นี่เป็นสำนักที่คล้ายกับสำนักเส้าหลินของจีน มีอิทธิพลต่อประเทศชิบะเป็นอย่างมาก ก็เหมือนกับเส้าหลินที่เป็นสำนักระดับสูงของพรรควรยุทธโบราณ สำนักดาบโฮคุชินอิตโตริวก็เป็นตัวตนเช่นนั้นในประเทศชิบะเหมือนกัน
ฉัวะๆๆ!
มือสังหารชั้นยอดทั้งสามคนไม่เพียงแต่จะตวัดดาบที่แฝงไปด้วยประกายอันเย็นยะเยือก ยิ่งไปกว่านั้นยังพุ่งเข้าไปด้วยหวังจะฆ่าเฮยเมี่ยนก่อน แล้วค่อยบุกเข้าไปในห้องยา
“มาเลย!”
เฮยเมี่ยนตะโกนลั่น เกิดเสียงเพล้งดังสนั่น มีดทหารในมือขวาถึงกับแหลกเป็นผุยผง เงาดาบฟาดฟันฝ่ามือขวาของเขาจนเลือดไหลออกมา แต่เฮยเมี่ยนไม่สนใจ ฝ่ามือทั้งสองมีพลังภายในอันแข็งแกร่งหมุนวนและรวบรวมอยู่ที่กลางฝ่ามืออย่างรวดเร็ว ใช้พลังบังคับเศษซากมีดที่แตกเป็นร้อยชิ้นให้พุ่งเข้าไปโจมตีมือสังหารที่มีความสามารถแข็งแกร่งสามคนนั้น
เศษมีดเหล่านั้นก็เหมือนกับใบมีดขนาดเล็กที่คละเคล้าเข้ากับพลังภายในอันแข็งแกร่ง เศษมีดถูกผลักเข้าไปยังมือสังหารทั้งสามคนด้วยความเร็วดุจสายฟ้า เกิดประกายแห่งความดุเดือดและรุนแรงอย่างหาใดเปรียบ มือสังหารชั้นยอดทั้งสามคนจะอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่า เฮยเมี่ยนจะยังมีกระบวนท่าที่แข็งแกร่งขนาดนี้อยู่ด้วย รวมกับที่พวกเขาพุ่งเข้าไปหาเฮยเมี่ยนจนมีระยะห่างไม่ถึงสามเมตรจึงหลบไม่ทัน ทำได้เพียงเปลี่ยนวิถีดาบในมือมาบังเอาไว้
ฉึก!
ฉึก!
มือสังหารชุดดำทั้งสองคนล้มลงบนพื้น มีเศษมีดเล็กๆ แทงทะลุร่างกายของพวกเขา มือสังหารที่ได้รับบาดเจ็บรุนแรงมากที่สุดถึงกับถูกแทงทะลุหัวใจจนล้มลงไปชักกระตุกกับพื้น รอเพียงความตายมาเยือนเท่านั้น สูญเสียพลังในการต่อสู้ไปแล้ว
มือสังหารชุดดำที่เหลืออีกสองคนจะมากจะน้อยก็ได้รับบาดเจ็บ พวกเขามองไปยังเฮยเมี่ยนที่ขวางอยู่ตรงหน้าด้วยความตกตะลึง พวกเขาเป็นนักฆ่าชั้นยอดของประเทศชิบะ เคยผ่านการฆ่าฟันยอดฝีมือและคู่แข่งมาแล้วไม่รู้เท่าไหร่ ไม่เพียงแต่ความสามารถเฉพาะตัว แต่ยังมีประสบการณ์การต่อสู้จริงที่ร้ายกาจเป็นอย่างมากอีกด้วย แต่ไหนแต่ไรก็คิดไม่ถึงว่าประเทศจีนจะมีขุนพลที่มีฝีมือร้ายกาจถึงขนาดนี้อยู่ ถึงกับใช้หนึ่งคนขัดขวางพวกเขาสามคนเอาไว้ได้ แล้วยังฆ่าพวกเขาได้คนหนึ่งอีกด้วย
“บากะ(โง่) ยังมัวอึ้งอะไรกันอยู่ ฆ่ามันซะ บุกเข้าไปในห้องยา…” ชายชุดดำร่างกำยำรู้สึกสั่นสะท้านอยู่ในใจ เขารู้สึกร้อนใจยิ่งขึ้น ชายชราผมขาวโพลนเบื้องหน้านี้ยากที่จะรับมือ หากลูกน้องทั้งสามของตนถูกฆ่า เกรงว่าวันนี้เขาก็คงต้องตายอยู่ที่นี่เช่นกัน เนื่องจากเขาไม่สามารถป้องกันการโจมตีอย่างต่อเนื่องของเฮยเมี่ยนและจางอีเต๋อได้เลย ในใจของเขากระจ่างแจ้งถึงจุดนี้เป็นอย่างดี ดังนั้นเขาจึงยิ่งกดดันให้ลูกน้องของตนบุกเข้าไปในห้องยาและทำลายการรักษาของเย่เทียนเฉินและมู่หรงซิน หากทำเช่นนี้เขาก็จะมีโอกาสฆ่ามู่หรงอวี๋ตู
“อย่าให้พวกมันบุกเข้าไปในห้องยาได้เด็ดขาด!” จางอีเต๋อลงมือเต็มกำลัง ขัดขวางการบุกโจมตีของชายชุดดำร่างกำยำเอาไว้ ตอนนี้เขาสามารถทำได้เพียงเท่านี้ หวังว่าเฮยเมี่ยนจะขวางมือสังหารอีกสองคนที่เหลือเอาไว้ได้
“มีอะไรก็มาลงที่ฉัน หากต้องการฆ่าก็มาฆ่าเลย!” มู่หรงอวี๋ตูมองไปยังชายชุดดำร่างกำยำแล้วพูดขึ้น
“ฮ่าๆๆๆ มู่หรงอวี๋ตูการคิดจะช่วยหลานสาวของแกหรือไง เพ้อฝัน หญ้าสยบกายาไม่มีทางแก้ ยังไงพวกแกทุกคนก็จะต้องตาย ให้ฉันส่งหลานสาวของแกไปลงนรกก่อนก็แล้วกัน!” ชายชุดดำร่างกำยำหัวเราะ ทว่าการโจมตีในมือไม่ได้หยุด ยังคงโจมตีไปยังจุดสำคัญต่างๆ ของจางอีเต๋ออย่างต่อเนื่อง
ตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินที่อยู่ในห้องยายังคงกอดกับมู่หรงซิน รอบกายของทั้งสองเปลือยเปล่า เสียงดังเอะอะด้านนอกเย่เทียนเฉินย่อมได้ยินแน่นอน เขารู้ว่ามียอดฝีมือบุกมาลอบสังหารมู่หรงอวี๋ตู ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ยังคิดที่จะบุกเข้ามารบกวนการแก้พิษสยบของเขาและมู่หรงซิน เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เขาเองก็ไม่มีเวลาปลีกตัวไป ตอนนี้เขาสัมผัสได้ถึงไอเย็นอันเสียดแทงกระดูกจากในปาก มีอะไรบางอย่างออกมาจากปากของมู่หรงซิน อีกนิดเดียวก็จะสำเร็จแล้ว จะล้มเหลวไม่ได้เป็นอันขาด!
พรึ่บ!
เย่เทียนเฉินรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่างที่ทำให้กระดูกของเขาเย็นจนแทบแข็ง พริบตาเดียวก็เจาะทะลวงเข้ามาในร่างกายของเขา คิดไม่ถึงว่าตนเองจะมีอันตรายอะไร แต่เมื่อได้รู้ว่าหลังจากที่หญ้าสยบกายาเข้ามาในร่างกายของตนเองแล้วก็วางใจ ในที่สุดก็สามารถดึงดูดหญ้าสยบกายาออกมาจากร่างกายของมู่หรงซินได้ เขารู้สึกนับถือจางอีเต๋อซึ่งเป็นเซียนแพทย์เทวะจริงๆ หญ้าสยบกายา ก่อกำเนิดพลังหยินและความเย็น โดยปกติจะตามหาร่างกายของผู้หญิงเพื่อมาเป็นร่างแฝง ร่างกายของผู้ชายมีพลังหยางมาก พูดได้ว่าหญ้าสยบกายามักจะไม่เลือกมาอาศัยอยู่อย่างเด็ดขาด แต่พอจางอีเต๋อใช้เข็มทองทั้งหกเล่มฝังเข็มลงไปยังจุดลมปราณของเย่เทียนเฉิน ทำให้พลังหยางลดลงเป็นอย่างมาก รวมกับไอร้อนจากน้ำร้อนในถังน้ำที่ซึมเข้ามาภายใน ทำให้หญ้าสยบกายารู้สึกไม่สบาย อีกทั้งมันยังสัมผัสได้ว่าด้านนอกมีร่างแฝงที่ดียิ่งกว่าจึงออกมาจากร่างกายของมู่หรงซินและเข้าไปในร่างกายของเย่เทียนเฉิน
ทันใดนั้นเอง เย่เทียนเฉินลืมตาขึ้น กอดร่างกายอันเปลือยเปล่าของตนเอาไว้ ดันมู่หรงซินให้ห่างออกไปด้วยความลืมตัว ในเมืองขวามีพลังพิเศษปรากฏออกมาเล็กน้อย ส่งมู่หรงซินออกไปนอกถังไม้
ในตอนนี้มู่หรงซินเองก็ได้สติกลับมาแล้ว มองสีหน้าของเย่เทียนเฉินที่ดูหนาวเย็นถึงขีดสุดจนแทบจะแข็ง ลืมไปเลยว่าตนเองกำลังเปลือยกายอยู่ รีบวิ่งเข้าไปข้างถังไม้แล้วเอ่ยถามอย่างร้อนใจว่า “คุณไม่เป็นไรใช่ไหม?”
“ดูท่าทางเธอจะดีขึ้นแล้ว ไปใส่เสื้อผ้าแล้วออกไปเถอะ คุณปู่ของเธอจะได้วางใจ!” เย่เทียนเฉินรีบโคจรพลังพิเศษในร่างกายอย่างรวดเร็ว เริ่มควบคุมหญ้าสยบกายาไม่ให้มันวิ่งพล่านไปทั่ว
“งั้นคุณ…” มู่หรงซินได้สติกลับมา ตัวเองยืนอยู่เบื้องหน้าเย่เทียนเฉินด้วยร่างกายอันเปลือยเปล่า ร่างกายเว้านูนชัดเจนปรากฏออกมาทั้งหมดอย่างไม่ต้องสงสัย จึงอดไม่ได้ที่จะใบหน้าแดงระเรื่อ แต่เมื่อเห็นว่าเย่เทียนเฉินหลับตาทั้งสองอยู่ตลอดจึงวางใจลงไปไม่น้อย ทันใดนั้นจึงรู้สึกว่าเย่เทียนเฉินยังมีความเป็นสุภาพบุรุษอยู่บ้าง
“วางใจเถอะ ฉันจัดการตัวเองได้ รีบออกไปเถอะ!” เย่เทียนเฉินพูดเสียงต่ำ
“ไม่…ฉัน…ฉันจะอยู่ที่นี่ ฉันต้องการเห็นว่าคุณไม่เป็นอะไร!” มู่หรงซินรู้ว่าที่เย่เทียนเฉินเป็นแบบนี้ก็เพราะช่วยตัวเธอเองทั้งนั้น ดังนั้นจึงไม่คิดที่จะทิ้งเย่เทียนเฉินไปโดยไม่สนใจ
“หากว่าเธอยังไม่ไปอีก ฉันก็จะข่มขืนเธอแล้วนะ ฉันพูดจริงทำจริง!” ทันใดนั้นเย่เทียนเฉินลืมตาขึ้น จ้องมองไปยังหน้าอกของมู่หรงซินอย่างหื่นกระหายพลางกลืนน้ำลาย
“ฉัน…” มู่หรงซินมองเย่เทียนเฉินด้วยใบหน้าอันแดงก่ำ ถอยหลังออกไปโดยไม่รู้ตัว ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
“ไป!” เย่เทียนเฉินตะโกนเสียงต่ำ
มู่หรงซินถูกคำพูดของเย่เทียนเฉินทำให้ตกใจ เดินไปด้านข้างสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อย มองไปยังเย่เทียนเฉินด้วยความกังวลอีกครั้งก่อนจะเดินไปยังประตูทางออกของห้องยาอย่างเชื่องช้า
เมื่อเห็นมู่หรงซินเปิดประตูเตรียมเดินออกไปแล้ว เย่เทียนเฉินก็วางใจลงมาก เขาสัมผัสได้ว่าหญ้าสยบกายานั้นลงไปถึงกระเพาะของเขาแล้ว หากยังไม่ควบคุมเกรงว่าคงจะเจาะทะลุไปถึงอวัยวะภายใน เขาจึงรีบกระตุ้นพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันออกมาทั้งร่าง บีบบังคับให้เข็มเงินทั้งหกเล่มที่แทงเข้ามาในร่างกายของตนออกไป มีเพียงวิธีนี้ที่จะสามารถปลดปล่อยพลังทั้งหมดของเขาออกมาได้ และบีบบังคับให้หญ้าสยบกายาออกไปจากร่าง
ในตอนเริ่มแรกที่รับปากว่าจะช่วยกำจัดพิษสยบให้มู่หรงซินนั้น เย่เทียนเฉินก็คิดถึงวิธีนี้เอาไว้แล้ว ด้วยพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันของตน คงจะสามารถบีบบังคับให้หญ้าสยบกายาออกมาจากร่างกายได้ เพียงแต่จะสำเร็จหรือไม่นั้นเย่เทียนเฉินก็ไม่แน่ใจ ตอนนี้ทำได้เพียงพยายามลองดูสุดชีวิต หากว่าพ่ายแพ้เขาก็คงจะต้องตาย…
………………….
ใครก็คิดไม่ถึงว่าในหมู่นักฆ่าชุดดำทั้งสี่ ชายชุดดำร่างกำยำผู้เป็นหัวหน้าจะใช้ดาบสไตล์ชิบะ หรือว่าเขาจะเป็นคนของประเทศชิบะ[1]? โดยเฉพาะในตอนที่เขาฟันดาบลงไปยังมู่หรงอวี๋ตู ถึงกับพูดว่า “คนจีนทั้งหมดสมควรตาย” คล้ายกับว่ามีความแค้นลึกล้ำกับมู่หรงอวี๋ตูที่เป็นทหารผ่านศึกที่เคยผ่านสงครามการฆ่าฟันมามาก
อย่างรวดเร็ว แม้มู่หรงอวี๋ตูจะเผชิญหน้ากับดาบสไตล์ชิบะอันเปล่งประกายเย็นยะเยือกที่ฟันลงมาก็ไม่ถอยหลังแม้แต่ก้าวเดียว นี่เป็นลักษณะอย่างหนึ่ง เป็นความหยิ่งในศักดิ์ศรีในฐานะที่เป็นนายพลเฒ่า ลูกผู้ชายควรจะอยู่ในสนามรบ ตายในสนามรบ นี่เป็นความภาคภูมิใจสูงสุดในใจของคนรุ่นมู่หรงอวี๋ตู
เคร้ง!
ดาบสไตล์ชิบะอันเปล่งประกายเย็นยะเยือกฟันลงไปยังมู่หรงอวี๋ตูด้วยความเร็วดุจสายฟ้า แต่ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายนั้นเอง กลับถูกเข็มเล่มหนึ่งกระทบจนฟันพลาดไป จนกระทั่งในตอนที่ชายชุดดำร่างกำยำผู้เป็นหัวหน้าต้องการที่จะลงมือกับมู่หรงอวี๋ตูอีกครั้ง คนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเขาก็กลายเป็นจางอีเต๋อไปแล้ว
การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของจางอีเต๋อทำให้มู่หรงอวี๋ตูตลอดจนคนชุดดำร่างกำยำผู้เป็นหัวหน้าคนนั้นตกตะลึง ใครก็คิดไม่ถึงว่าชายชราที่ผมและเคราขาวโพลน ดูผิวเผินยังแก่กว่ามู่หรงอวี๋ตูคนนั้น จะร้ายกาจขนาดนี้ โดยเฉพาะในตอนนี้ พลังที่แผ่ออกมาบนร่างของเขาทำให้ชายชุดดำร่างกำยำตกตะลึงจนชะงักไป
“ปรมาจารย์จาง…” มู่หรงอวี๋ตูคิดจะกล่าวอะไรบางอย่าง แต่กลับถูกจางอีเต๋อขัด
“มีอะไรค่อยพูดกันทีหลัง ต่อหน้าคนพวกนี้ ลูกหลานจักรพรรดิเหลืองอย่างเราห้ามอ่อนข้อเด็ดขาด!” จางอีเต๋อพูดขัดคำพูดของมู่หรงอวี๋ตู
ทันใดนั้นมู่หรงอวี๋ตูคิดถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ในดวงตาเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งการฆ่าฟัน เขาไม่ได้พูดอะไรให้มาก ถอยหลังหลายก้าวไปยืนอยู่ด้านข้าง เขารู้ว่าฝีมือของตนในยามที่ร่างกายแก่ชรานี้ ไม่สามารถขวางการฆ่าฟันของชายชุดดำร่างกำยำคนนี้ได้ จางอีเต๋อที่อยู่ด้านหน้าเป็นยอดฝีมือที่ซ่อนเร้นคนหนึ่ง ดูจากเมื่อสักครู่นี้ที่สามารถใช้เข็มบางเฉียบโจมตีดาบสไตล์ชิบะของชายชุดดำร่างกำยำผู้นั้นจนทำให้โจมตีพลาดได้ เห็นได้ว่าเซียนแพทย์เทวะคนนี้มีฝีมือลึกล้ำเกินคาดเดา
ความจริงแล้ว ในตอนที่คนชุดดำทั้งสี่บุกเข้ามาถึงด้านนอกบ้านตระกูลจาง จางอีเต๋อก็รู้แล้ว มิฉะนั้นเขาคงไม่พาหลานสาวของเขาจางรั่วถงออกมาจากห้องยา ตอนนี้เย่เทียนเฉินกำลังใช้ชีวิตของตนเพื่อแก้พิษสยบให้แก่มู่หรงซิน และอยู่ในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดแล้ว ห้ามให้ใครไปรบกวนโดยเด็ดขาด หากว่าชายชุดดำทั้งสี่คนนี้ฆ่ามู่หรงอวี๋ตูได้จริงๆ พวกเขาจะต้องฆ่าทุกคนที่นี่อย่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้นต่อให้เป็นเทพเซียนก็ช่วยเย่เทียนเฉินและมู่หรงซินไม่ได้
เมื่อสักครู่นี้จางอีเต๋อยืนอยู่ในมุมหนึ่งตลอด ยืนมองชายชุดดำทั้งสี่ลงมือลอบสังหารมู่หรงอวี๋ตู แน่นอนว่าในฐานะที่จางอีเต๋อเป็นผู้มีพลังพิเศษ ย่อมสามารถใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษที่เป็นเคล็ดวิชาพื้นฐานที่สุดอย่างพลังพิเศษแห่งการรับรู้ได้ ถึงแม้ในหมู่ผู้มีพลังพิเศษ ผู้มีพลังพิเศษในสายรักษาจะไม่ได้มีความสามารถในการต่อสู้แข็งแกร่งถึงขนาดนั้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่ร้ายกาจ ทุกสรรพสิ่งล้วนมีข้อยกเว้น จางอีเต๋อก็เป็นหนึ่งในข้อยกเว้นเหล่านั้น เขาไม่เพียงแต่มีวิชาแพทย์สูงส่ง ทั้งยังได้รับฉายาว่าเป็นเซียนแพทย์เทวะและมรฝีมือแข็งแกร่งเป็นอย่างมากอีกด้วย มิฉะนั้นเขาคงไม่สามารถทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกสั่นสะท้านได้
“ตาเฒ่า คิดจะรนหาที่ตายหรือไง?” ชายชุดดำร่างกายกำยำผู้อำพรางใบหน้ากล่าวกับจางอีเต๋อด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“หึ ฉันจางอีเต๋อแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยถูกคนรังแกถึงบ้านแบบนี้มาก่อน โดยเฉพาะไอ้หนูอย่างพวกแก!” จางอีเต๋อพูดขึ้นด้วยแววตาที่เปลี่ยนไป
ฉัวะ!
ชายชุดดำร่างกำยำคิดจะจบการต่อสู้ให้เร็วที่สุด พวกเขาได้รับการว่าจ้างให้มาฆ่ามู่หรงอวี๋ตู แต่กลับคิดไม่ถึงว่าข้างกายของมู่หรงอวี๋ตูจะมียอดฝีมือระดับทัพฟ้าอย่างเฮยเมี่ยนอยู่ และคิดไม่ถึงว่าในตอนที่ความสำเร็จอยู่ตรงหน้า จะมีชายชราที่แข็งแกร่งอย่างจางอีเต๋อโผล่ออกมาอีก แบบนี้ถ้าหากยืดเยื้อออกไป เมื่อเหล่ายอดฝีมือของตระกูลมู่หรงมาถึง เกรงว่าจะไม่ใช่พวกเขาที่ฆ่ามู่หรงอวี๋ตู แต่จะกลับกลายเป็นพวกเขาถูกฆ่ามากกว่า
ตวัดดาบออกไป ดาบสไตล์ชิบะมีกระแสความเย็นจนกระทั่งกลายเป็นเงาดาบพุ่งผ่านอากาศไปยังจางอีเต๋อ มู่หรงอวี๋ตูที่ได้เห็นต่างก็ตกตะลึง ในฐานะที่เขาเป็นนายพลเฒ่าและตอนนี้ตระกูลมู่หรงก็เป็นตระกูลที่มีอำนาจในโลกของการทหาร ย่อมเข้าใจเรื่องของพรรควรยุทธโบราณและผู้มีพลังพิเศษเหล่านี้ดี พลังภายในอันแข็งแกร่งสามารถแยกภูเขาป่นหินได้ นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไร แต่ว่าสามารถสร้างกระแสความเย็นได้ในขณะที่สะบัดดาบออกไปตามใจ นี่ทำให้เขารู้สึกเหลือเชื่อจริงๆ
จางอีเต๋อในตอนนี้ก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว เมื่อเผชิญหน้ากับชายชุดดำร่างกำยำที่แข็งแกร่งคนนี้ เขาย่อมไม่กล้าลำพองใจ หากพูดถึงเรื่องของฝีมือ ชายชุดดำร่างกำยำคนนี้มีฝีมือพอๆ กันกับเขา หากพูดถึงเรื่องอายุ จางอีเต๋อแก่ชราแล้วจริงๆ ถึงแม้ว่าจะยังมีเรี่ยวแรงในการต่อสู้ แต่ก็ไม่สามารถยืนหยัดได้นาน
ที่จางอีเต๋อลงมือช่วยเหลือมู่หรงอวี๋ตูแม้ว่าก่อนหน้านี้อีกฝ่ายจะเกือบลงมือฆ่าพวกเขา นั่นเป็นเพราะจางอีเต๋อเห็นว่าในตอนที่มู่หรงอวี๋ตูเผชิญหน้ากับการลอบสังหารแล้วตกอยู่ในสถานการณ์ที่เกือบจะต้องตาย ก็ยังสามารถเผชิญหน้ากับอันตรายโดยไม่หวั่นไหว จึงรู้สึกนับถือนายพลชราที่สร้างผลงานอันยิ่งใหญ่ให้แก่ประชาชนชาวจีนคนนี้จริงๆ จางอีเต๋อเองก็เป็นคนที่เคยผ่านสงครามมาก่อน ที่นั่นมีความโหดร้ายมากมาย จินตนาการได้เลยว่า ต้องเป็นคนที่ไม่กลัวการสละชีพและไม่กลัวการหลั่งเลือดอย่างมู่หรงอวี๋ตูถึงจะมีตำแหน่งฐานะที่ยิ่งใหญ่ในประเทศจีนดังเช่นทุกวันนี้ได้
ส่วนเรื่องที่มู่หรงอวี๋ตูใช้ปืนพกจ่อศีรษะจางอีเต๋อเพื่อช่วยหลานของตนเอง ด้วยจิตใจของหมอที่เปรียบประดุจจิตใจของพ่อแม่ ก็ไม่ใช่ว่าจางอีเต๋อจะไม่เข้าใจ แต่จะอย่างไรสิ่งที่เขาเกลียดชังมากที่สุดก็คือ พวกคนถ่อยที่กล้ามาฆ่าคนถึงเขตแดนของประเทศจีน
“อา!”
จางอีเต๋อตะโกนเสียงต่ำออกมาครั้งหนึ่ง ไม่มีเค้าลางของความแก่ชราโดยสิ้นเชิง หลบดาบของชายชุดดำร่างกำยำที่ฟันมา ทะยานร่างเข้าไปดุจเหยี่ยวสยายปีก จับลำคอของชายชุดดำร่างกำยำในพริบตาเดียว ชายชุดดำร่างกำยำตกตะลึง จะอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าชายชราเบื้องหน้าที่ทั้งผมและเพลาขาวโพลน จะมีการเคลื่อนไหวคล่องแคล่วปราดเปรียวถึงขนาดนี้ เขาชะงักไปครู่หนึ่ง ถอยหลังไปหลายก้าว มือขวาเก็บดาบ มือซ้ายกำหมัดแล้วต่อยไปยังฝ่ามือของจางอีเต๋อ
เสียงดังสนั่นเกิดขึ้น ชายชุดดำร่างกำยำคนนั้นต่อยไปยังฝ่ามือของจางอีเต๋อ ทั้งสองถูกแรงปะทะจนกระเด็นออกไประยะหนึ่ง ดวงตาอันเย็นยะเยือกสองคู่จ้องมองซึ่งกันและกัน
“ตาเฒ่า คิดไม่ถึงว่าแกจะร้ายกาจขนาดนี้!” ชายชุดดำร่างกำยำพูดอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“ไม่ว่าเมื่อไหร่ ก็ไม่อนุญาตให้คนถ่อยอย่างแกมาทำกร่างในประเทศจีนของพวกฉัน ฉันอยากจะรู้จริงๆ ว่าใครที่มันคิดคดทรยศต่อประเทศถึงขั้นจ้างวานพวกแกมา!” จางอีเต๋อต้องไปยังดวงตาของชายชุดดำร่างกำยำตรงหน้าเขม็งแล้วพูดออกมา
“แกไม่จำเป็นต้องรู้ แค่ไปตายซะก็พอ!”
ในขณะที่พูด ชายชุดดำร่างกำยำก็พุ่งเข้าไปหาจางอีเต๋ออีกครั้ง ดาบสไตล์ชิบะในมือขวาตวัดออกไปจนเกิดประกายเงาดาบห่อหุ้มจางอีเต๋อเอาไว้ ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถหลบได้ ในตอนนี้เองจางอีเต๋อก็รู้สึกได้ถึงอันตรายอันใหญ่หลวง หากว่าเขาไม่สามารถป้องกันกระบวนท่านี้ของชายชุดดำร่างกำยำเอาไว้ได้ เขาก็อาจจะสิ้นชีพ
“ไปตายซะ!” ชายชุดดำร่างกำยำตะโกน เงาดาบถูกฟันเข้าไปยังจางอีเต๋อ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีประกายดาบทั้งบนล่างซ้ายขวา ไม่สามารถหลบเลี่ยงได้ ทำได้เพียงรับเอาไว้เท่านั้น
อากาศถูกเงาดาบเหล่านี้ฟันจนฉีกขาด ชายชุดดำร่างกำยำใช้วิชาดาบอันแปลกประหลาด ท่ามกลางเงาดาบที่ถูกตวัดฟันออกไป เงาดาบเหล่านั้นคล้ายกับแปรสภาพเป็นสสารที่แท้จริง ทั้งหมดถูกฟันไปยังจางอีเต๋อ ทำให้คนที่ได้เห็นต้องตกตะลึงและสั่นสะท้าน หากว่าถูกเงาดาบนี้ฟันลงไปเกรงว่าคงถูกตัดเป็นแปดท่อนแน่นอน
“เคล็ดวิชาเกราะเหล็ก!”
ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย จางอีเต๋อตะโกนออกมา ทันใดนั้นมีแผ่นเหล็กประกอบกันจนเป็นกำแพงขวางอยู่ด้านหน้าของเขา เงาดาบกระทบถูกบนกำแพงจนเกิดเสียงดังสนั่นราวกับเสียงเหล็กกระทบกัน นี่คือการแปรสภาพเป็นรูปลักษณ์ที่แท้จริง หากว่าเย่เทียนเฉินมาเห็นฉากนี้ จะต้องตกตะลึงเป็นอย่างมากแน่นอน จะอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่า จางอีเต๋อที่มีฐานะเป็นผู้มีพลังพิเศษในสายรักษา ไม่เพียงแต่มีฝีมืออันโดดเด่นในด้านวิชาแพทย์ แต่ถึงกับสามารถใช้เคล็ดวิชาสายโลหะได้แข็งแกร่งเป็นอย่างมากอีกด้วย
เคล็ดวิชาเกราะเหล็ก เป็นเคล็ดวิชาพลังพิเศษในสายโลหะ ถึงแม้ว่าการแบ่งพลังพิเศษจะแบ่งออกเป็นเจ็ดประเภท แต่ก็ยังมีสายโลหะ สายไม้ สายวารี สายอัคคี สายพสุธา ซึ่งเป็นการแบ่งพลังพิเศษสายหลัก และเคล็ดวิชาพลังพิเศษในสายอื่นๆ เช่นสายรักษาก็เรียกได้ว่าเป็นเคล็ดวิชาพลังพิเศษสายที่ถูกเพิ่มเติมเข้ามา มีคนน้อยมากที่สามารถควบคุมเคล็ดวิชาในสายหลักทั้งห้าได้ ดังนั้นในตอนที่ฉินเหยาเยว่เห็นเย่เทียนเฉินใช้สายอัสนี พสุธา และสายวารีทั้งสาม จึงได้ตกตะลึงเป็นอย่างมาก ผู้มีพลังพิเศษห้าสายเป็นเพียงตำนานเท่านั้น ต่อให้เป็นในช่วงยุคสิ้นโลกก็เป็นเพียงเรื่องเล่าขาน เย่เทียนเฉินคนนั้นเป็นผู้ใช้มีพลังพิเศษห้าสายหรือ?
ในตอนที่ เงาดาบของชายชุดดำร่างกำยำถูกแปรสภาพ จางอีเต๋อก็ใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษเกราะเหล็กซึ่งเป็นเคล็ดวิชาในสายโลหะออกมา กำแพงที่ถูกก่อขึ้นถูกพังทลายไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองต่างก็มองกันด้วยความตกใจ โดยเฉพาะชายชุดดำร่างกำยำ เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเคล็ดวิชาสังหารของตนจะถึงกับถูกจางอีเต๋อหยุดเอาไว้ได้ ชายชราที่ทั้งผมและเคราขาวโพลนไปหมดแล้วคนนั้น ถึงกับเป็นผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งคนหนึ่งเชียว
“แกเป็นถึงผู้มีพลังพิเศษ มิน่าล่ะถึงได้แข็งแกร่งขนาดนี้…” ดวงตาทั้งสองอันเย็นยะเยือกของชายชุดดำร่างกำยำมองไปยังจางอีเต๋อแล้วพูดขึ้น
“สำนักดาบโฮคุชินอิตโตริว คิดไม่ถึงว่าพวกแกจะยังอยู่ ยังคิดที่จะสู้กับเคล็ดวิชาแห่งพรรคโบราณของจีนให้รู้แพ้รู้ชนะอีกหรือไง?” จางอีเต๋อพูดด้วยท่าทางเย็นชา
สำนักดาบโฮคุชินอิตโตริว เป็นสำนักวรยุทธโบราณสำนักหนึ่งของชิบะ เหมือนกับสำนักเส้าหลินของจีน มีอิทธิพลในชิบะเป็นอย่างมาก วิชาดาบของเขาแปลกประหลาดยากจะคาดเดา ในช่วงสงคราม สำนักดาบโฮคุชินอิตโตริวเคยเข้ามาในประเทศจีนเพื่อที่จะต่อสู้กับวิชาแห่งพรรควรยุทธโบราณซึ่งมีการถ่ายทอดกันมากว่าห้าพันปีของประเทศจีนให้รู้แพ้รู้ชนะ ในช่วงนั้นแต่ละฝ่ายต่างก็ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ นี่เป็นความลับที่มีแต่ผู้อาวุโสที่จะรู้ และจำกัดอยู่เพียงผู้อาวุโสของผู้มีพลังพิเศษจำนวนหนึ่งและผู้อาวุโสในพรรควรวุฒิโบราณของจีน คนธรรมดาทั่วไปในสังคมปัจจุบันไม่ได้รับรู้ข่าวนี้โดยสิ้นเชิง
“จะช้าจะเร็วก็ต้องรู้แพ้รู้ชนะอย่างแน่นอน…บุกเข้าไปฆ่าพวกมันสองคนด้านในก่อน…” ทันใดนั้นชายชุดดำร่างกำยำใช้ดาบสไตล์ชิบะชี้ไปทางห้องยาแล้วพูดขึ้น
ใครก็คิดไม่ถึงว่า ชายชุดดำร่างกำยำที่เป็นหัวหน้าจะถึงกับทำการเคลื่อนไหวอย่างฉับพลัน ออกคำสั่งให้คนชุดดำอีกสามคนสลัดออกจากการล้อมเฮยเมี่ยนและพุ่งเข้าไปยังตำแหน่งของห้องยา ท่าทางมือสังหารชุดดำทั้งสี่คนนี้จะรับรู้ถึงการมีอยู่ของเย่เทียนเฉินและมู่หรงซินนานแล้ว จึงคิดที่จะบุกเข้าไปทำลายการแก้พิษของเย่เทียนเฉินและมู่หรงซินก่อน เพื่อให้จางอีเต๋อและคนอื่นๆ วุ่นวาย
ตอนนี้เอง ภายในห้องยา เย่เทียนเฉินที่นั่งอยู่ในถังไม้ใบใหญ่กอดมู่หรงซินเอาไว้แน่นโดยไม่สวมเสื้อผ้าแม้แต่ชิ้นเดียว รู้สึกได้ถึงไอเย็นที่เสียบแทงกระดูกระลอกหนึ่งที่เข้ามาในร่างกายจากทางปาก…
……………………..
[1] ชิบะ เป็นประเทศสมมติที่คล้ายกับประเทศชิบะ
เย่เทียนเฉินและมู่หรงซินกำลังโอบกอดและจูบกันด้วยร่างกายอันเปลือยเปล่า นั่งอยู่ในถังไม้ใหญ่ที่เต็มไปด้วยน้ำร้อนอยู่เช่นนั้น ในตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด ไม่สามารถให้ใครก็ตามมารบกวนได้ หากทำให้หญ้าสยบกายาในร่างกายของมู่หรงซินตกใจ ไม่เพียงแต่มู่หรงซินจะตาย แต่เย่เทียนเฉินก็อาจจะรักษาชีวิตไว้ไม่ได้เช่นกัน
หากต้องการที่จะแก้พิษของหญ้าสยบกายา เดิมทีก็ต้องใช้ชีวิตของเย่เทียนเฉินไปแลกกับชีวิตของมู่หรงซิน ที่สำคัญที่สุดก็คือ หญ้าสยบกายาก่อให้เกิดพลังหยินและความเย็น ที่ต้องให้เย่เทียนเฉินใช้ปากประกบปากกับมู่หรงซิน ก็เพราะต้องการใช้หยางเข้าสยบ และควบคุมหญ้าสยบกายาเอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้หญ้าสยบกายาวิ่งพล่านอยู่ในร่างกายของมู่หรงซินจนทำให้อวัยวะของมู่หรงซินได้รับบาดเจ็บ
สิ่งที่จางอีเต๋อควรทำก็ทำไปหมดแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่ก็เป็นอย่างที่เขาพูด ทุกสิ่งทุกอย่างต้องพึ่งพาเย่เทียนเฉิน เข็มทองทั้งสิบสองเล่มปักเข้าไปในจุดลมปราณของเย่เทียนเฉินและมู่หรงซินคนละหกเล่ม เพื่อบีบบังคับหญ้าสยบกายาให้ออกมา และเพื่อปกป้องให้ปลอดภัย หลีกเลี่ยงไม่ให้มันวิ่งพล่านจนทำร้ายอวัยวะภายในและกระอักเลือดออกมา
แต่ในตอนที่เย่เทียนเฉินและมู่หรงซินกอดกันอย่างแนบแน่น ทุกสิ่งทุกอย่างเดินเข้าสู่ช่วงเวลาสำคัญที่สุด ไม่อนุญาตให้ใครมารบกวนเป็นอันขาดนั้น กลับมีนักฆ่าระดับหนึ่งบุกทะลวงบอดี้การ์ดชั้นยอดอาวุธครบมือนับร้อยคนเข้ามาในลานบ้านตระกูลจาง เพื่อต้องการฆ่ามู่หรงอวี๋ตู
ก่อนหน้านี้นักสู้ที่อยู่ข้างกายของมู่หรงอวี๋ตูมีแค่เฮยเมี่ยนคนเดียว อย่างไรก็ตามชายชุดดำที่บุกเข้ามาก่อนเป็นคนแรกนั้นมีฝีมือร้ายกาจมาก สามารถพูดได้ว่าฝีมือพอๆ กับเฮยเมี่ยน ทั้งสองต่อสู้กันอย่างว่องไวรวดเร็วดุจสายฟ้านับร้อยกระบวนท่าก็ยังไม่สามารถรู้แพ้รู้ชนะได้ นี่ทำให้ทั้งสองตื่นตะลึงเป็นอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าจะพบกับคู่ต่อสู้ที่เหมาะเจาะกันเช่นนี้
โดยเฉพาะเฮยเมี่ยน เห็นได้ชัดว่าทหารถือปืนหลายร้อยคนนี้ไม่สามารถขัดขวางกลุ่มนักฆ่านี้ได้ มิฉะนั้นคงไม่ถูกคนอื่นโจมตีเข้ามาง่ายๆ ตอนนี้เขากำลังต่อสู้พัวพันกับนักฆ่าแข็งแกร่งคนนี้อยู่ แต่กลับมียอดฝีมือบุกเข้ามาลอบสังหารมู่หรงอวี๋ตูอีก เย่เทียนเฉินก็กำลังรักษาผิดให้มู่หรงซิน ไม่สามารถปลีกตัวออกมาได้แน่นอน หากเป็นแบบนี้ต่อไป เกรงว่ามู่หรงอวี๋ตูจะต้องตายอยู่ที่นี่จริงๆ แล้ว
หลังจากเสียงดังสนั่นผ่านไป ประตูรั้วของบ้านตระกูลจางถูกระเบิดจนปลิว คนชุดดำหลายคนบุกเข้ามา แต่ละคนต่างก็เป็นยอดฝีมือระดับหนึ่ง ในมือของทุกคนกุมดาบยาวเอาไว้หนึ่งเล่ม ไอสังหารฟุ้งกระจาย เฮยเมี่ยนเห็นดังนั้นก็ตื่นตะลึง คนที่มาลอบสังหารมู่หรงอวี๋ตูเหล่านี้ต่างก็เป็นยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณทั้งหมด ร้ายกาจกว่านักฆ่าที่ใช้อาวุธปืนธรรมดาเป็นอย่างมาก มิฉะนั้นพวกเขาคงไม่สามารถหลบซ่อนทหารชั้นยอดหลายร้อยคนที่ถืออาวุธปืนอยู่ในมือเข้ามาได้ ดังนั้นที่คนธรรมดาทั่วไปคิดว่าอาวุธปืนของยุคปัจจุบันร้ายกาจที่สุดนั้นไม่เป็นความจริง ต่อหน้ายอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณและผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง ของเหล่านี้ก็เป็นเพียงแค่ของเล่นเท่านั้น
“ฆ่ามันซะ ทำภารกิจให้สำเร็จ!” มือสังหารคนหนึ่งมองไปยังมู่หรงอวี๋ตูแล้วพูดขึ้นอย่างเย็นชา
เมื่อได้ยินคำสั่งของคนผู้นั้น คนชุดดำสองคนที่ยืนอยู่ด้านข้างก็ตวัดดาบพุ่งเข้ามายังมู่หรงอวี๋ตูด้วยความว่องไว ทั่วทั้งลานบ้านของตระกูลจางมีชายชุดดำบุกเข้ามาสี่คน แต่ละคนล้วนเป็นยอดฝีมือชั้นหนึ่ง ตอนนี้มีเฮยเมี่ยนเพียงคนเดียว ซึ่งกำลังต่อสู้พัวพันอยู่กับชายชุดดำที่ลอบโจมตีเข้ามาเป็นคนแรกอยู่ ดูเหมือนว่าจะไม่มีเวลาปลีกตัวไปสู้กับคนอื่น จินตนาการได้เลยว่ามู่หรงอวี๋ตูตกอยู่ในความอันตรายขนาดไหน
ตอนนี้เอง สิ่งที่ทำให้ผู้คนต้องเลื่อมใสมากก็คือ มู่หรงอวี๋ตูนั้นไม่เสียทีที่เป็นทหารผู้ผ่านสงครามแล้วการฆ่าฟันมาแล้วจริงๆ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับนักฆ่าที่ร้ายกาจเช่นนี้ ต้องเผชิญหน้ากับความอันตรายถึงขั้นเป็นตายของตน ก็ไม่แสดงความหวาดกลัวออกมาและไม่ยอมถอยเลยแม้แต่น้อย ท่ามกลางดวงตาขุ่นมัวทั้งสอง กลับปรากฏความเคร่งขรึมจริงจัง นายพลเฒ่าที่ไม่เกรงกลัวความเป็นความตายนี้ มีบรรยากาศแห่งจักรพรรดิ์แพร่ออกมา
ฉัวะ!
ฉัวะ!
ดาบอันคมกริบทั้งสองเล่มฟาดฟันลงไปยังมู่หรงอวี๋ตู มู่หรงอวี๋ตูถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ใช้เท้าเตะมือสังหารคนหนึ่งจนกระเด็นออกไป แต่จะอย่างไรเขาก็แก่มากแล้ว อายุ 70 กว่าปีแล้ว รวมกับที่ทำสงครามมาเป็นเวลานานหลายปี ทำให้การบาดเจ็บบนร่างกายมีมากจนเกินไป สามารถตอบสนองได้อย่างว่องไว ใช้เท้าเตะนักฆ่าฉันยอดจนปลิวออกไปได้คนหนึ่งก็นับได้ว่าเป็นกระบี่คมไม่เสื่อมคลายแล้ว เห็นได้ว่าเขาเป็นทหารผ่านศึกที่มีฝีมือมากคนหนึ่ง
แต่ในตอนที่มู่หรงอวี๋ตูเตะนักฆ่าคนหนึ่งจนปลิวออกไปนั้น ดาบในมือของนักฆ่าอีกคนก็ฟันตรงมายังศีรษะของเขา ประกายเย็นยะเยือกส่องสว่าง สามารถฟันคนให้ขาดครึ่งได้เลย
เคร้ง!
ในช่วงเวลาอันหวาดเสียว เฮยเมี่ยนสลัดหลุดจากนักฆ่าที่กำลังประมือด้วย รีบพุ่งไปเบื้องหน้าของมู่หรงอวี๋ตูด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่จะทำได้ ใช้มีดทหารขวางกั้นดาบในมือของนักฆ่าที่ฟันลงมา
ตอนนี้เอง นักฆ่าที่ถูกมู่หรงอวี๋ตูเตะจนปลิวออกไปก็บุกเข้ามาอีกครั้ง เฮยเมี่ยนในตอนนี้ แสดงความสามารถของเขาในฐานะที่เป็นขุนศึกระดับทัพฟ้าออกมา ต่อสู้กับยอดฝีมือชั้นหนึ่งพร้อมกันสองคน มีดในมือซ้ายขวางนักฆ่าคนนึงเอาไว้ หมัดที่มือขวาซัดเข้าไปยังนักฆ่าอีกคนหนึ่ง ในขณะเดียวกันก็ปกป้องมู่หรงอวี๋ตูที่อยู่ด้านหลังไปด้วย ทำให้นักฆ่าทั้งสี่ตกใจจนอดไม่ได้ที่จะลอบส่งสายตาให้กัน พวกเขาคิดไม่ถึงว่า ข้างกายของมู่หรงอวี๋ตู จะมียอดฝีมือเช่นเฮยเมี่ยนอยู่ด้วย
“แกเก่งมาก แต่แกปกป้องมู่หรงอวี๋ตูไม่ได้หรอก คืนนี้เขาจะต้องตาย!” ในที่สุดคนชุดดำร่างกำยำที่ยังไม่ได้ลงมือ ก็มองไปยังเฮยเมี่ยนแล้วพูดขึ้นอย่างเย็นชา
“พวกแกเป็นใครกันแน่? มาจากองค์กรไหน?” เฮยเมี่ยนรู้สึกได้ถึงความอันตราย ถึงแม้ว่าจะไม่พูดออกมา แต่ในใจก็เข้าใจอย่างกระจ่างชัด เมื่อต้องเผชิญหน้ากับนักฆ่าชั้นหนึ่งทั้งสี่คน เขาเพียงคนเดียวหากคิดที่จะขวางนั้นยากมาก มิหนำซ้ำ คนชุดดำที่ยังไม่ได้ลงมือมาตั้งแต่ต้นผู้นี้ให้ความรู้สึกแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก หากคนคนนี้ลงมือ จะเป็นช่วงที่อันตรายที่สุดอย่างแน่นอน
“แกไม่จำเป็นต้องรู้ แกต้องปล่อยให้พวกเราฆ่ามู่หรงอวี๋ตู ไม่งั้นต่อให้แกจะแข็งแกร่งก็ต้องตายเหมือนกัน!” คนชุดดำร่างกำยำพูดขึ้นพลางหัวเราะเสียงเย็น
เฮยเมี่ยนไม่ได้กล่าวอะไร แต่ปกป้องมู่หรงอวี๋ตูเอาไว้ด้านหลัง คนชุดดำทั้งสี่ที่ยืนอยู่ตรงข้ามพวกเขาแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก จนถึงตอนนี้ ทหารชั้นยอดนับร้อยคนที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านนอก ก็ยังไม่มีสักคนเดียวที่ตามเข้ามา เกรงว่าพวกเขาคงจะร้ายมากกว่าดี หากเป็นเช่นนี้ต่อไป คืนนี้ทุกคนคงต้องตายอยู่ที่นี่แน่นอน
“นายพลมู่หรง คุณไปก่อนเถอะ ผมจะสกัดเอาไว้ให้!” เฮยเมี่ยนพูดกับมู่หรงอวี๋ตูเสียงเบา
“ไม่ต้อง ถ้าหากต้องใช้ชีวิตของแกมาแลกเปลี่ยนกับชีวิตของฉัน ชื่อเสียงของฉันมู่หรงอวี๋ตูคงถูกทำลายแน่ แต่ไหนแต่ไรฉันก็ไม่เคยให้สหายร่วมรบของตัวเองไปตายเพื่อฉัน” มู่หรงอวี๋ตูส่ายหน้า ออกมายืนเบื้องหน้าเฮยเมี่ยน เขาไม่ได้พูดจาใหญ่โตอะไร และไม่ได้จงใจที่จะแสดงอะไรออกมา แต่เขามู่หรงอวี๋ตูสู้รบมาตลอดชีวิต สู้จนมีชื่อเสียงออกมาได้ ต่อให้วันนี้จะแก่มากแล้ว ก็ไม่อนุญาตให้ใครมาทำลายชื่อเสียงของตนเป็นอันขาด
“หึ มู่หรงอวี๋ตู นับว่าแกเป็นคนที่ใช้ได้คนหนึ่ง หากไม่ใช่ว่าฉันได้รับคำสั่งให้ฆ่าแก ฉันก็อยากจะปล่อยแกไปสักครั้งจริงๆ!” คนชุดดำร่างกายกำยำแค่นเสียงเย็นออกมาครั้งหนึ่งแล้วพูดขึ้น
“จะเข้ามาก็มาเลย ฉันมู่หรงอวี๋ตูไม่เคยกลัวใคร!” ตอนนี้เอง ดวงตาทั้งสองของมู่หรงอวี๋ตูอัดแน่นไปด้วยความโกรธขึ้นมาแล้ว ในฐานะที่เป็นนายพลเฒ่าคนหนึ่ง ต่อให้ต้องตาย เขาก็มีความเคารพในตนเองอย่างเข้มข้น ไม่ยอมให้ใครมาดูหมิ่นง่ายๆ
“ฆ่า!” คนชุดดำร่างกำยำพูดอย่างไร้ปราณี
คนชุดดำทั้งสามบุกเข้าไปยังมู่หรงอวี๋ตูและเฮยเมี่ยนพร้อมกัน มู่หรงอวี๋ตูเผชิญหน้ากับอันตรายโดยไม่หวาดกลัว ไม่ยอมถอยแม้แต่ครึ่งก้าว นี่เป็นนิสัยของนายพลเฒ่าอย่างเขา ต่อให้มีดาบพาดอยู่บนลำคอ ก็จะไม่ถอยอย่างเด็ดขาด
เฮยเมี่ยนไม่ได้พูดอะไรมาก ในฐานะที่เป็นขุนพลระดับทัพฟ้าคนหนึ่ง ในฐานะที่เป็นคนที่เห็นคำสั่งสำคัญกว่าชีวิต การปกป้องมู่หรงอวี๋ตูก็คือภารกิจของเขา ต่อให้เลือดต้องสาดกระเซ็น เขาก็จะบุกเข้าไปเต็มกำลัง เพื่อขัดขวางคนชุดดำทั้งสี่นี้ให้ได้
การต่อสู้เริ่มต้นขึ้น มือสังหารทั้งสามสู้กับเฮยเมี่ยน ส่วนคนชุดดำร่างกำยำที่เป็นหัวหน้า ซึ่งยังไม่ได้ลงมือก็ขมวดคิ้วมองไปยังเฮยเมี่ยน เขาถูกฝีมือของเฮยเมี่ยนทำให้ตื่นตะลึงไปแล้วจริงๆ ลูกน้องทั้งสามของตนต่างก็เป็นยอดฝีมือระดับหนึ่ง ทุกคเคยได้รับการฝึกฝนเคล็ดวิชาของพรรควรยุทธโบราณมาก่อน บอดี้การ์ดธรรมดาหรือทหารธรรมดาไม่ใช่คู่มือของพวกเขาโดยเด็ดขาด แต่เฮยเมี่ยนใช้หนึ่งต้านสามและยังสามารถยืนหยัดมาได้จนถึงตอนนี้ นับว่าไม่อาจดูเบาได้เลยจริงๆ
ขุนพลระดับทัพฟ้า ในประเทศจีนนับว่าเป็นกองกำลังเดี่ยวที่แข็งแกร่งที่สุด พวกเขายังแข็งแกร่งยิ่งกว่ากองกำลังเหยี่ยวนักล่าและหน่วยมังกรฟ้าเสียอีก และภารกิจที่พวกเขากระทำ ส่วนใหญ่ต่างก็เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองระดับผู้นำของประเทศ หรือกระทั่งเป็นภารกิจที่เป็นความลับ เกี่ยวกับของบางอย่างที่ไม่สามารถให้โลกภายนอกได้รับรู้ได้ไปตลอดกาล
ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ แต่เฮยเมี่ยนเองก็ยืนหยัดได้ไม่นานมากนัก จะอย่างไรเขาก็เผชิญหน้ากับมือสังหารระดับหนึ่งทั้งสามคนที่ผ่านประสบการณ์การต่อสู้จริงมาอย่างโชกโชน ไม่นานก็เกิดบาดแผลบนร่างกาย ถึงแม้จะไม่อันตรายถึงชีวิต แต่หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เฮยเมี่ยนจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
“นายพลมู่หรง คุณไปก่อนเถอะครับ ผมจะขวางพวกมันไว้เอง!” เฮยเมี่ยนฟันมีดไปยังมือสังหารคนหนึ่ง หันกายไปพูดกับมู่หรงอวี๋ตูอย่างร้อนรน
“พยายามอย่างสุดความสามารถก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องเสียสละชีวิตเพื่อชาติ คนที่พวกมันต้องการฆ่าก็คือฉัน ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นลิขิตฟ้า!” มู่หรงอวี๋ตูยอมไม่หนีไปอย่างเด็ดขาด เป็นนายพลคนหนึ่ง มีเพียงยืนหยัดสู้ตายในสงครามเท่านั้น แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยหนี เขาเตรียมตัวที่จะตายที่นี่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น หากยังไม่ได้เห็นมู่หรงซินผู้เป็นหลานปลอดภัยไร้อันตราย เขาจะจากไปได้อย่างไร?
“ในเมื่อแกรู้ตัวว่าจะตาย ฉันก็จะช่วยแกเอง!”
ในตอนนี้ คนชุดดำร่างกำยำที่ยังไม่ลงมือก็กล่าวคำพูดนี้ขึ้นมาและชักดาบที่แขวนอยู่ด้านหลังออกมา ในตอนที่เขาชักดาบออกมา เฮยเมี่ยนอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง นั่นเป็นดาบทหารสไตล์ชิบะ บนคมดาบเปล่งประกายเย็นยะเยือก หรือว่านักฆ่าเหล่านี้จะเป็นคนของ “สุนัขรับใช้แห่งประเทศชิบะ”? ตกลงแล้วเป็นใครกันแน่ที่ใช้มือสังหารของสุนัขรับใช้แห่งประเทศชิบะเหล่านี้?
ฟุ่บ!
ชายชุดดำร่างกำยำเคลื่อนไหวแล้ว ทั้งยังรวดเร็วจนไม่มีเวลาให้คิด เฮยเมี่ยนตกตะลึงจนชะงักไปครู่หนึ่ง เขาคาดเดาไม่ผิดจริงๆ ชายชุดดำร่างกำยำคนนี้แข็งแกร่งมาก เป็นสุดยอดนักฆ่าคนหนึ่ง เมื่อเทียบกันแล้วยังร้ายกาจกว่านักฆ่าระดับหนึ่งทั้งสามคนมาก
เฮยเมี่ยนพยายามสลัดมือสังหารทั้งสามคนที่ล้อมตนเองเอาไว้อย่างสุดความสามารถ ต้องการที่จะไปขวางชายชุดดำร่างกำยำคนนั้น เพียงแต่น่าเสียดายที่มือสังหารทั้งสามคนนี้พัวพันกับเฮยเมี่ยนยังไม่ยอมปล่อย แต่ละดาบที่โจมตีเข้ามาล้วนหวังเอาชีวิต ทำให้เฮยเมี่ยนไม่มีเวลาปลีกตัวออกไป ทำได้เพียงมองดูชายชุดดำคนนั้นตวัดดาบฟันลงไปยังมู่หรงอวี๋ตู
“คนจีนทั้งหมดสมควรตาย!” ชายชุดดำร่างกำยำพุ่งเข้าไปเบื้องหน้ามู่หรงอวี๋ตู พูดออกมาอย่างเย็นชา
“แกเป็นใครกันแน่?” มู่หรงอวี๋ตูถามด้วยอาการขมวดคิ้ว
ฉวะ! ดาบสไตล์ชิบะที่เปล่งประกายเย็นยะเยือกฟันลงไปยังมู่หรงอวี๋ตู…
ภายในห้องยาตระกูลจาง เย่เทียนเฉินและมู่หรงซินโอบกอดกันด้วยร่างกายอันเปลือยเปล่า ไม่สวมใส่เสื้อผ้าแม้แต่ชิ้นเดียว นั่งอยู่ในถังไม้ถังใหญ่ที่เต็มไปด้วยน้ำร้อน ทั่วทั้งห้องยาฟุ้งกระจายไปด้วยไอน้ำ มองเห็นไม่ชัดเจนว่าพวกเขาทั้งสองคนกำลังทำอะไรอยู่กันแน่
จินตนาการได้เลยว่า ชายคนหนึ่งที่มีพลังหยางเต็มเปี่ยมและเด็กสาวงดงามคนหนึ่งที่มีร่างกายเต่งตึง ทั้งสองโอบกอดกันด้วยร่างกายอันเปลือยเปล่าและยังจูบปากกัน ต่อไปจะทำอะไรได้ล่ะ?
ในตอนนี้ ภายในลานบ้านของตระกูลจาง มู่หรงอวี๋ตูนั่งอยู่บนเก้าอี้หิน เฮยเมี่ยนคุ้มครองอยู่ด้านหลังของเขาไม่ห่างกาย ถึงแม้รอบด้านในระยะ 100 เมตรจะมีการคุ้มครองที่เข้มงวดของทหาร จนถึงขั้นที่แมลงวันก็บินเข้ามาไม่ได้ แต่ก็ไม่ทำให้เฮยเมี่ยนลำพองใจ ในฐานะที่เป็นขุนพลระดับทัพฟ้า เขาจะไม่ให้โอกาสศัตรูเข้ามาสังหารมู่หรงอวี๋ตูโดยเด็ดขาด
ก่อนหน้านี้ก็ได้รับข่าวมาก่อนแล้วว่า มีศัตรูคู่แค้นของมู่หรงอวี๋ตูส่งยอดฝีมือที่แข็งแกร่งมากหลายคนออกมาเคลื่อนไหว เตรียมที่จะปรากฏตัวออกมาสังหารมู่หรงอวี๋ตูในตอนที่เขาตามหาวิธีรักษาหญ้าสยบกายาให้มู่หรงซินผู้เป็นหลาน เพื่อความปลอดภัยของมู่หรงอวี๋ตู คนระดับสูงของประเทศจึงส่งเฮยเมี่ยนออกมา และยังคิดถึงเย่เทียนเฉินที่เรื่อยเฉื่อยแต่มีฝีมือแข็งแกร่งคนนี้ด้วย สาเหตุสำคัญเพราะครั้งนี้มีเรื่องอื่นที่ทำให้ขุนพลระดับทัพฟ้าของประเทศหลายคนต้องออกเดินทางไปทำภารกิจ ในเวลาเพียงชั่วครู่ไม่สามารถกลับมาได้ทันเวลา ความสามารถของเฮยเมี่ยนนั้นแม้จะนับว่าอยู่ในระดับกลางของขุนพลระดับทัพฟ้า แต่ก็นับว่าเป็นระดับที่แข็งแกร่งที่สุดในระดับกลาง
ครั้งนี้คนที่ต้องการลอบสังหารมู่หรงอวี๋ตูจะแข็งแกร่งมากแค่ไหนก็ไม่อาจรู้ได้ ดังนั้นบุคคลระดับสูงจึงคิดถึงเย่เทียนเฉินขึ้นมา จะยังไงเขาก็ว่างมาก ถ้าไม่ให้ภารกิจเขามาทำสักหน่อย ไม่แน่ว่าคงจะก่อเรื่องในเมืองหลวงอะไรขึ้นมาอีกก็เป็นได้
มู่หรงอวี๋ตูนั่งอยู่หน้าโต๊ะหิน มองนาฬิกาข้อมือของตน ตั้งแต่ที่มู่หรงซินถูกเย่เทียนเฉินอุ้มเข้าไปในห้องยาฝั่งตรงข้าม ก็ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงกว่าแล้ว แต่กลับไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรเลยสักนิด ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะเป็นกังวล หญ้าสยบกายาไร้หนทางแก้ไข นี่เป็นสิ่งที่จางอีเต๋อพูด แต่จางอีเต๋อเป็นเซียนแพทย์เทวะ ย่อมไม่พูดเท็จโดยเด็ดขาด แต่ที่มู่หรงอวี๋ตูเชื่อว่าหญ้าสยบกายามีหนทางแก้ ก็เพราะเขาไม่ต้องการให้หลานสาวของตัวเองตายไปจนทำให้เขาต้องสูญเสียเลือดเนื้อเชื้อไขคนสุดท้ายของตระกูลมู่หรง
สำหรับเย่เทียนเฉิน เขาทำให้มู่หรงอวี๋ตูต้องสั่นสะท้านจริงๆ เด็กหนุ่มที่อายุน้อยคนนี้ ถึงกับมีความกล้าหาญที่จะเผชิญหน้ากับนายพลที่ผ่านไฟแห่งสงครามและการฆ่าฟันมาแล้วเช่นเขา โดยที่หน้าไม่เปลี่ยนสีใจไม่เต้นแรง ไม่อาจดูเบาได้เลยจริงๆ แต่หากจะกล่าวว่าเย่เทียนเฉินจะสามารถกำจัดหญ้าสยบกายาได้ร้อยเปอร์เซ็นหรือไม่นั้น ในใจของมู่หรงอวี๋ตูก็ยังไม่แน่ใจ จะอย่างไรกระทั่งจางอีเต๋อซึ่งเป็นเซียนแพทย์เทวะก็พูดว่าหญ้าสยบกายาไม่มีทางรักษา
“หวังว่าหญ้าสยบกายาของซินเอ๋อร์จะรักษาได้!” มู่หรงอวี๋ตูมองไปยังห้องยาที่มีไอน้ำคละคลุ้งแล้วพูดพึมพำกับตัวเอง
“ท่านแม่ทัพวางใจเถอะ พิษสยบของคุณหนูจะต้องรักษาได้แน่ ถึงแม้ว่าเย่เทียนเฉินจะดูเรื่อยเฉื่อยพึ่งพาไม่ได้ แต่เรื่องนี้เขาไม่ล้อเล่นอย่างเด็ดขาด!” เฮยเมี่ยนเอ่ยปากพูดอย่างจริงจัง
ก่อนหน้านี้เฮยเมี่ยนรู้สึกไม่พอใจเย่เทียนเฉินจริงๆ และหลายครั้งที่เขาอยากจะลงมืออัดเย่เทียนเฉิน เพราะไอ้หมอนี่ไม่เพียงแต่จะโอหัง แต่ยังไม่มีกฎเกณฑ์และระเบียบวินัยอย่างร้ายแรง เมื่อได้รับคำสั่งที่ออกมาจากท่านผู้นำ ถึงกับยังพูดจาต่อรอง เกรงว่าทั่วทั้งประเทศจีนจะมีเย่เทียนเฉินคนเดียวที่กล้าทำแบบนี้
วันนั้นที่เย่เทียนเฉินพูดจาไม่ดีเกี่ยวกับขุนพลระดับทัพฟ้าเหล่านั้น ก็เพื่อต้องการที่จะกระตุ้นให้เฮยเมี่ยนลงมือ ต้องการประเมินความสามารถของขุนพลระดับทัพฟ้าคนนี้ นั่นทำให้เฮยเมี่ยนโกรธแค้นอยู่ในใจมาโดยตลอด หากจะพูดถึงนักสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในประเทศจีน จะต้องมีระดับทัพฟ้าร่วมอยู่ด้วยแน่นอน ไม่ใช่อะไรที่สมาชิกแห่งกองกำลังเหยี่ยวนักล่าหรือหน่วยมังกรฟ้าธรรมดาจะเทียบได้ บางทีชางหลางและเหยียนหลงที่เป็นหนึ่งในสามราชันนักรบแห่งประเทศจีนก็อาจจะมีความสามารถในการต่อสู้เทียบได้กับขุนพลระดับทัพฟ้า ส่วนคนอื่นน่ะหรือ เกรงว่าจะถูกอัดอยู่ฝ่ายเดียวมากกว่า
แต่ครั้งนี้เฮยเมี่ยนนับถือเย่เทียนเฉินจริงๆ เจ้าหมอนี่อยู่ต่อหน้าทหารผ่านศึกที่ผ่านความเป็นความตายจากสนามรบอย่างมู่หรงอวี๋ตู ก็ยังสามารถนิ่งสงบอยู่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นในช่วงเวลาสำคัญยังยืดอกก้าวออกมาช่วยกำจัดหญ้าสยบกายาให้มู่หรงซิน ถึงแม้เจ้าหมอนี่จะพูดอย่างสบายๆ บอกมู่หรงอวี๋ตูว่าจะต้องให้เธอแต่งงานให้กับเขา ให้มู่หรงอวี๋ตูเลี้ยงข้าวอะไรแบบนี้ แต่จิตใจอันกว้างขวางก็ทำให้เขานับถือจริงๆ
สาเหตุที่เย่เทียนเฉินเสี่ยงอันตรายเพื่อกำจัดหญ้าสยบกายาให้มู่หรงซิน ประการแรกก็เพราะเขาต้องการทำความเข้าใจกับเรื่องราวใหม่ๆ พูดให้ชัดเจนก็คือ มีความอยากรู้อยากเห็นสูง และด้วยนิสัยแบบนี้จึงทำให้เขาได้กลายเป็นผู้มีพลังพิเศษระดับพระเจ้าในช่วงยุคสิ้นโลกและสะเทือนเลื่อนลั่นอยู่ช่วงหนึ่ง ประการที่สองก็คือ หากไม่กำจัดหญ้าสยบกายาให้มู่หรงซิน มู่หรงอวี๋ตูจะต้องลงมือกับจางอีเต๋อแน่นอน ต่อให้จางอีเต๋อจะร้ายกาจขนาดไหน ก็คงไม่กล้าลงมือกับมู่หรงอวี๋ตูเพราะมีหลานสาวของเขาอยู่ ดังนั้น ต้องกำจัดหญ้าสยบกายาให้มู่หรงซินเท่านั้นถึงจะสามารถช่วยจางอีเต๋อและจางรั่วถงผู้เป็นหลานของเขาได้ และจะทำให้มีโอกาสขอให้จางอีเต๋อไปรักษาโรคมะเร็งให้แม่ของสาวยากจน
ไม่ว่าคุณจะเป็นวีรบุรุษกู้โลก ทหารผ่านศึก หรือคุณจะไร้คู่ต่อกรในใต้หล้า ก็หนีไม่พ้นอารมณ์และกิเลส มู่หรงอวี๋ตูอยู่ในสนามรบมาชั่วชีวิต เมื่อปีนั้นร่วมแย่งชิงแผ่นดินกับท่านผู้นำผู้ก่อตั้งประเทศ ไม่รู้ว่าผ่านสงครามน้อยใหญ่มามากแค่ไหน รอยมีดรอยปืนรอยกระสุนบนร่างกายนับไม่ถ้วน ยิ่งใหญ่กว่าเด็กหนุ่มสาวหลายคน เขาเป็นนายพลเฒ่าที่มีความเข้มงวดจริงจังมาก ต่อให้ตอนนี้ผู้นำระดับประเทศหลายคนมายืนอยู่เบื้องหน้าเขาก็ยังต้องแสดงความเคารพ นี่คือทหารผ่านศึกที่ใช้เลือดเนื้อสร้างผลงานอันยิ่งใหญ่ให้แก่ประชาชน ควรค่าที่จะให้ผู้คนเคารพนับถือและเลื่อมใส
แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับพิษสยบของมู่หรงซินหลานสาวผู้น่ารัก เมื่อต้องเห็นหลานสาวหายใจรวยระริน ใบหน้าซีดขาว มู่หรงอวี๋ตูในตอนนี้ก็เป็นเพียงชายชราไม้ใกล้ฝั่งคนหนึ่ง เป็นชายชราที่รักใคร่หลานสาว และต้องการช่วยชีวิตหลานสาวของตนเองเท่านั้น
“งั้นเหรอ? งั้นใช้ชีวิตของมู่หรงอวี๋ตูมาแลกเปลี่ยนเป็นไง?” ทันใดนั้นเอง กลางลานบ้านของตระกูลจางมีเสียงมืดครึ้มเสียงหนึ่งดังขึ้น มียอดฝีมือทะลวงแนวป้องกันที่แข็งแกร่งเข้ามา หลบเลี่ยงจากทหารผู้แข็งแกร่งนับร้อยที่ล้อมรอบเอาไว้และลอบเข้ามาในร้านบ้านตระกูลจางได้ ต้องการที่จะมาเก็บชีวิตมู่หรงอวี๋ตู
พลั่ก!
ในขณะเดียวกันกับที่เสียงโหดเหี้ยมนั้นดังขึ้น เฮยเมี่ยนก็ได้ลงมือแล้ว เขาพุ่งตัวไปยังต้นไม้สูงเสียดฟ้าด้านข้างด้วยความรวดเร็ว ใช้เท้าซ้ายตวัดเตะไปบนต้นไม้เพื่อยืมแรงส่งให้ตัวเขากระโดดสูงขึ้นไปหลายเมตร ซัดหมัดไปยังใบไม้หนาแน่น คละเคล้าไปด้วยพลังภายในอันแข็งแกร่ง เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งที่สามารถหลบสายตาทหารนับร้อยและเข้ามาหลบซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ใหญ่อย่างไรซุ่มไร้เสียงได้ เฮยเมี่ยนจะกล้าลำพองใจได้อย่างไร ถ้าไม่ออกแรงเต็มกำลัง เกรงว่าวันนี้มู่หรงอวี๋ตูคงจะต้องตายอยู่ที่นี่แล้ว
ตู้ม!
เสียงดังสนั่น บนต้นไม้มีคนโจมตีกลับมา เขาพุ่งลงไปหาเฮยเมี่ยนโดยตรง เฮยเมี่ยนเห็นดังนั้นก็ส่งเสียงคำรามลั่น ซัดหมัดเข้าไปอีกครั้ง หมัดทั้งสองประทะกันอย่างรุนแรง เฮยเมี่ยนกระเด็นตกลงมาที่พื้น กลิ้งไปหลายรอบถึงจะลดแรงปะทะลงไปได้ ส่วนคนที่ประหมัดกับเฮยเมี่ยนก็กระเด็นขึ้นไปในอากาศ ในขณะเดียวกันก็ใช้เท้าถีบลงบนต้นไม้ใหญ่ พุ่งตัวเข้าไปหวังฆ่ามู่หรงอวี๋ตูโดยไม่สนใจเฮยเมี่ยน
ฉัวะๆๆ!
มีดบินสามเล่มพุงไปยังมู่หรงอวี๋ตูอย่างรวดเร็วปานสายฟ้า เฮยเมี่ยนตกตะลึงจนหน้าถอดสี ผู้มาเยือนเป็นยอดฝีมือชั้นหนึ่งดังคาด เมื่อครู่นี้ตนเองลงมือเต็มที่แล้วก็ยังไม่สามารถเอาชนะคนผู้นั้นได้ และจุดประสงค์ของศัตรูก็ชัดเจนเป็นอย่างมาก นั่นก็คือต้องการฆ่ามู่หรงอวี๋ตู นับว่าเป็นวิธีการที่ดีมาก
ความจริงแล้วอาวุธที่ทำให้ผู้คนหวาดกลัวมากที่สุดในการลอบสังหารไม่ใช่อาวุธสมัยใหม่ แต่เป็นอาวุธโบราณ เพราะคนที่ใช้อาวุธโบราณมักจะเป็นยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณ ฝีมือของพวกเขาไม่อาจดูเบาได้โดยเด็ดขาด กระทั่งยากที่จะป้องกัน
เคร้งๆๆ!
เสียงดังขึ้นอีกสามเสียง เฮยเมี่ยนแสดงความสามารถของยอดฝีมือระดับทัพฟ้าออกมาด้วยความรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในตอนที่บินทั้งสามเล่มใกล้จะถูกมู่หรงอวี๋ตู ในมือขวาของเขาก็ปรากฏมีดทหารขึ้นเล่มหนึ่ง สกัดกั้นมีดบินทั้งสามเล่มนั้นเอาไว้ได้ทั้งหมด
ตอนนี้เอง นักฆ่าที่สวมชุดสีดำ สวมผ้าปิดหน้าสีดำ ปรากฏให้เห็นเพียงดวงตาทั้งสองข้าง ยืนอยู่ในตำแหน่งที่ห่างจากเฮยเมี่ยนและมู่หรงอวี๋ตูไม่ถึงห้าเมตร สายตาโหดเหี้ยมดุดันคู่หนึ่งมองไปยังเฮยเมี่ยนเขม็ง เชื่อว่าเขาก็คงคิดไม่ถึงว่าครั้งนี้ข้างกายของมู่หรงอวี๋ตูจะมียอดฝีมือที่แข็งแกร่งคุ้มครองอยู่
มู่หรงอวี๋ตูลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้หิน เขาเป็นทหารผ่านศึกคนหนึ่ง ผ่านการต่อสู้เป็นตายมานับครั้งไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นสนามรบเล็กใหญ่ต่างก็เคยเห็นผ่านตามามาก เมื่อต้องเจอกับการลอบสังหารตนเอง มู่หรงอวี๋ตูก็แสดงความสงบนิ่งมั่นคงของทหารผ่านศึกออกมา ทำให้ผู้คนรู้สึกนับถือ ไม่มีความหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย ต่อให้ศัตรูที่มาลอบสังหารเขาจะเป็นยอดฝีมือก็ตาม
“ใครส่งแกมาฆ่าฉัน เกี่ยวข้องกับพิษสยบในร่างกายของหลานสาวฉันหรือเปล่า?” มู่หรงอวี๋ตูคิดถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ เขาต้องการที่จะพิสูจน์ความจริงจึงได้เอ่ยปากถาม
“ไม่จำเป็นต้องถามให้มาก หลังจากวันนี้แกก็จะถูกฆ่าล้างตระกูล ไม่เพียงแต่หลานสาวของแท้ที่จะต้องตาย แกเองก็ต้องตายเหมือนกัน!” มือสังหารคนนั้นพูดอย่างเย็นชา
“ฆ่ามันซะ เฮยเมี่ยน!” มู่หรงอวี๋ตูออกคำสั่งอย่างเรียบเฉย
เฮยเมี่ยนพยักหน้า ตวัดมีดทหารในมือขวาออกไปในแนวขวาง พุ่งตัวไปยังมือสังหารคนนั้นอย่างรวดเร็วดุจสายฟ้า มือสังหารคนนั้นเองก็แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก เมื่อต้องเจอกับการลงมือเต็มที่ของเฮยเมี่ยน ก็ไม่ยอมถอยเลยแม้แต่น้อย ปรากฏมีดเล็กๆ ออกมาในมือขวาและพุ่งเข้าไปหาเฮยเมี่ยนเช่นเดียวกัน
เคร้ง!
เคร้ง!
เคร้ง!
เฮยเมี่ยนและนักฆ่าต่อสู้พัวพัน ทั้งสองต่างก็ต้องตื่นตะลึงเป็นอย่างมาก ฝีมือพอๆ กัน หากต้องการฆ่าอีกฝ่ายอย่างเร็วที่สุด ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ นี่เป็นการต่อสู้ยืดเยื้อ
ตู้ม!
ในตอนที่เฮยเมี่ยนพุ่งเข้าไปหานักฆ่าคนนั้นและกำลังต่อสู้อย่างสุดชีวิต เสียงดังสนั่นเสียงหนึ่งดังขึ้น ประตูไม้ของบ้านตระกูลจางถูกระเบิด ทหารผู้แข็งแกร่งหลายคนล้มลงไปบนพื้นด้วยร่างกายโชกเลือด ตายไปแล้ว!
มู่หรงอวี๋ตูขมวดคิ้ว เขาคิดไม่ถึงว่าครั้งนี้อีกฝ่ายจะเคลื่อนไหวอำนาจอิทธิพลที่แข็งแกร่งถึงขนาดนี้เพียงเพื่อที่จะฆ่าเขาให้ได้ ท่าทางหากเขาไม่ตายก็คงไม่ยอมหยุด แต่ตอนนี้มู่หรงอวี๋ตูไม่ได้สนใจความเป็นความตายของตัวเอง มองไปยังห้องยา เขาหวังว่ามู่หรงซินหลานสาวของเขาจะประสบความสำเร็จในการถอนพิษสยบ ถ้าเป็นแบบนั้นเขาก็ไม่มีอะไรต้องเสียใจแล้ว!
………………..
จะอย่างไรเย่เทียนเฉินก็คิดไม่ถึงว่า หากต้องการรักษาพิษสยบให้มู่หรงซิน ไม่เพียงแต่จะต้องให้มู่หรงซินถอดเสื้อผ้าจนหมด นั่งลงในถังไม้ที่เติมน้ำร้อนจนเต็มด้วยร่างกายเปลือยเปล่า ยังต้องให้เขาถอดเสื้อผ้าทั้งหมดและนั่งลงไปด้วย ทั้งสองต้องนั่งหันหน้าเข้าหากันโดยไม่มีอะไรขวางกั้น มิอาจจินตนาการได้เลยจริงๆ ว่าเหตุการณ์นี้จะทำให้ผู้คนต้องเลือดกำเดาไหลขนาดไหน
ถึงแม้ว่ามู่หรงซินจะถูกหญ้าสยบกายา ใบหน้าขาวซีด และเป็นเพราะเย่เทียนเฉินใช้ฝ่ามือกระแทกเข้าไปจนมีรอยเลือดที่มุมปาก ก็ยังคงไม่สามารถบดบังใบหน้าที่โดดเด่นของเธอได้เลยแม้แต่น้อย รูปร่างสะบึมมีเสน่ห์ สิ่งที่ควรนูนก็นูน สิ่งที่ควรเว้าก็เว้า สิ่งที่ควรงอนก็งอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กสาววัยสิบกว่าๆ ที่อยู่ในช่วงเบ่งบานเช่นนี้ ร่างกายแบบบางจนแทบจะปลิวลม ผิวขาวนวลลื่น ควรจะทำให้คนมากน้อยเท่าไหร่อดไม่ได้ที่จะจินตนาการเลยเถิด
ถ้าหากว่าให้ตนเองถอดเสื้อผ้าจนหมดจริงๆ แล้วลงไปนั่งสบตากับเธอในถังไม้ที่ดูใหญ่แต่ค่อนข้างคับแคบ เย่เทียนเฉินไม่กล้ารับประกันว่าตนจะไม่มองไปจุดอื่น ไม่กล้ารับประกันว่าตัวเองจะไม่เลือดกำเดาไหล ไม่กล้ารับประกันว่าตัวเองจะไม่แข็งขืนขึ้นมา ไม่กล้ารับประกันว่าจะไม่สอดใส่…
“ปรมาจารย์จาง ผมไม่เข้าใจจริงๆ ผมรู้แค่ว่าหากต้องการที่จะกำจัดหญ้าสยบกายา จำเป็นที่จะต้องใช้การเสียสละของคนคนหนึ่ง แต่คิดไม่ถึงว่าจะต้องเสียสละแบบนี้…” เย่เทียนเฉินพูดออกมาด้วยใบหน้าแทบจะร้องไห้อยู่รอมร่อ
ความจริงแล้ว สิ่งที่เย่เทียนเฉินรู้เกี่ยวกับหญ้าสยบกายานั้น เพียงแค่รู้มาอย่างชัดเจนว่าหญ้าสยบกายา ไม่ใช่ไม่มีทางรักษา มีวิธีที่สามารถรักษาได้ หากต้องการที่จะกำจัดหญ้าสยบกายา จะต้องให้คนคนหนึ่งใช้ชีวิตเข้าแลก เพื่อรักษาพิษสยบให้อีกคนหนึ่ง พูดให้ชัดเจนก็คือ จะต้องใช้วิธีการหนึ่งเพื่อดึงดูดหญ้าสยบกายาเข้ามาในร่างกายของตัวเอง ทำให้ตัวเองถูกพิษ เพื่อรักษาพิษของอีกฝ่าย
เพียงแต่สิ่งที่เย่เทียนเฉินไม่รู้ก็คือ วิธีนี้จะถึงกับต้องให้เขาและมู่หรงซินนั่งเผชิญหน้ากันด้วยเรือนร่างเปลือยเปล่า จากที่จางอีเต๋อพูด ยังต้องประกบปากกันอีกด้วย นี่…ถึงแม้มู่หรงซินจะสวยมาก และเจริญเติบโตมาค่อนข้างครบครัน แต่ในสถานการณ์เช่นนี้จะอย่างไรก็ทำให้รู้สึกกระอักกระอ่วน ยิ่งไปกว่านั้นเย่เทียนเฉินและมู่หรงซินไม่รู้จักกัน หากในเวลาสำคัญควบคุมไม่ได้และเกิดอาการแข็งขืนตั้งผงาดขึ้นมาในชั่วพริบตา นั่นก็นับว่าเป็นความผิดใหญ่หลวงจริงๆ
“หญ้าสยบกายาชักนำให้เกิดหยินและความเย็น หากต้องการดึงมันออกมานอกร่างกาย จำเป็นต้องอยู่ในถังไม้ใหญ่ที่เติมน้ำร้อนจนเต็มแบบนี้ ให้หญ้าสยบกายาได้รู้สึกถึงอุณหภูมิจากภายนอกและคุ้นชินกับมัน และจะทำให้มันรับรู้ได้ถึงร่างกายที่เหมาะสมยิ่งกว่าที่อยู่ด้านนอก จึงจะยอมออกมาเพื่อเข้าไปในร่างกายของคุณ หยินก่อเกิดความเย็น หยางก่อให้เกิดความแข็งแกร่ง ทุกสรรพสิ่งต่างก็ส่งเสริมซึ่งกันและกัน คุณเป็นผู้มีพลังพิเศษ ควรจะเข้าใจในจุดนี้ จำเป็นต้องทำแบบนี้เท่านั้นถึงจะสามารถแก้พิษสยบให้มู่หรงซินได้!” จางอีเต๋อมองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้นอย่างจริงจัง
“งั้น…งั้นผมเหลือกางเกงในไว้ตัวหนึ่งได้ไหมครับ ถ้าต้องเปลือยกายจริงๆ มันกระอักกระอ่วน…” เย่เทียนเฉินพูดแล้วหัวเราะฮี่ๆ
“ไม่ได้!” จางอีเต๋อพูดอย่างเด็ดขาด
“คุณ…” เย่เทียนเฉินชะงักไปครู่หนึ่ง พูดอะไรไม่ออก
“รู้ไหมว่าทำไมเมื่อครู่นี้ผมถึงได้ให้มู่หรงอวี๋ตูส่งลูกน้องไปคุ้มครองบริเวณรอบบ้าน 100 เมตร ไม่อนุญาตให้ใครส่งเสียงรบกวน ต่อให้เป็นแค่เสียงหมาเห่าก็ไม่ได้? เป็นเพราะหญ้าสยบกายาแปลกประหลาดมาก แม้จะบอกว่าเป็นหญ้าแต่ก็เป็นแมลง เป็นแมลงดูดเลือดประเภทหนึ่ง ไม่ต่างอะไรกับหญ้าปรสิต ขอเพียงมีเสียงเล็กน้อย หญ้าสยบกายาก็จะเจาะไปอาศัยอยู่ในร่างกายลึกขึ้น กระทั่งเจาะเข้าไปในอวัยวะภายใน ถ้าเป็นแบบนั้นก็ยุ่งยากมากแล้ว!” จางอีเต๋อมองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง จางอีเต๋อและจางรั่วถงสองปู่หลานก็เดินไปหลังผ้าผืนใหญ่ เป็นผ้าที่ไม่สามารถมองทะลุได้ จางอีเต๋อเป็นเซียนแพทย์เทวะ ย่อมมีจรรยาบรรณแพทย์ จะไม่คิดอกุศลอะไรกับผู้ป่วยเด็ดขาด ส่วนจางรั่วถงหลานสาวของเขาก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง คงไม่สามารถยืนอยู่หน้าถังไม้ มองเย่เทียนเฉินที่ร่างกายเปลือยเปล่ากอดจูบมู่หรงซินได้หรอกใช่ไหม?
“เตรียมตัวพร้อมแล้วก็บอกผมสักหน่อย!” จางอีเต๋อนั่งลงหลังผ้าม่านพูดออกมาเสียงเบา
ตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินค่อยๆ ถอดเสื้อผ้าทั้งหมดของตนเองออก จุดบุหรี่ขึ้นสูบ ภายในห้องยาที่ไม่ใหญ่อบอ้าวเพราะไอน้ำจากน้ำร้อนในถังไม้ใหญ่ เมื่อรวมเข้ากับเย่เทียนเฉินที่สูบบุหรี่ ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างค่อยๆ ถูกหมอกควันปิดบังเอาไว้
เย่เทียนเฉินเข้าไปนั่งในถังไม้ด้วยร่างกายเปลือยเปล่า มองมู่หรงซินที่นั่งอยู่ในน้ำตรงกันข้ามกับตนเองด้วยลมหายใจรวยระริน ใบหน้าขาวซีด เขาไม่ยืดเยื้อเวลาออกไปอีก หากมัวแต่ลังเลต่อไป เกรงว่ายังไม่ทันเริ่มแก้พิษให้มู่หรงซิน มู่หรงซินก็คงลมหายใจขาดห้วงไปแล้ว
เย่เทียนเฉินหลับตาลง กอดมู่หรงซินที่เปลือยกายเอาไว้ ผิวของทั้งสองคนแนบสนิทเข้าด้วยกัน หน้าอกชนหน้าอก เย่เทียนเฉินรับรู้ได้ถึงความอ่อนนุ่มและเต็มตึงของมู่หรงซิน รวมถึงผิวเรียบเนียนขาวบางของเธอ แต่เขาในตอนนี้ไม่มีเวลาที่จะชื่นชมสิ่งเหล่านี้ ริมฝีปากประทบลงไปยังปากเล็กๆ ของมู่หรงซิน ในขณะเดียวกันบุหรี่ในมือขวาก็ถูกดีดออกไปด้านนอกถังไม้ ทำให้เทียนเก้าเล่มบนกำแพงที่จัดเตรียมเอาไว้นานแล้วติดไฟ
จางอีเต๋อนั่งอยู่หลังผ้าม่านผืนใหญ่ ข้างกายมีจางรั่วถงยืนอยู่ เมื่อเห็นเทียนทั้งเก้าเล่มถูกจุดแล้ว จางอีเต๋อก็เปิดกล่องสีทองเบื้องหน้าของตัวเองในทันที ด้านในมีเข็มทองทั้งหมดสิบสองเข็ม ใช้ฝังเข็มเพื่อเปิดจุดลมปราณให้เย่เทียนเฉินไปหกเล่ม ตอนนี้ยังเหลืออีกหกเล่ม เหลือไว้เพื่อใช้บีบบังคับให้หญ้าสยบกายาในร่างกายของมู่หรงซินออกมา
ในฐานะที่เป็นผู้มีพลังพิเศษในสายรักษา เคยทำการยืดชีวิตท่านผู้นำของประเทศไป 20 ปีจนได้รับฉายาว่าเป็นเซียนแพทย์เทวะ แน่นอนว่าไม่ทำให้ฉายาต้องเสียเปล่า เมื่อเห็นว่าเทียนทั้งเก้าเล่มทุกจุดหมดแล้ว พลังพิเศษแห่งการรับรู้ก็ขยายออกไปอย่างรวดเร็ว สะบัดเข็มทองที่เหลืออีกหกเล่มนี้ออกไปผ่านพลังพิเศษแห่งการรับรู้อันแข็งแกร่งซึ่งถูกกั้นขวางด้วยผ้าม่านที่ไม่อาจมองเห็นได้ จนเข็มปักเข้าไปในตำแหน่งลมปราณของมู่หรงซิน เป็นแรงช่วยบังคับให้หญ้าสยบกายาในร่างกายของเธอออกมา
“สิ่งที่ผมควรจะทำก็ทำเสร็จแล้ว ที่เหลือก็ต้องพึ่งตัวคุณเองแล้ว!” จางอีเต๋อพูดกับเย่เทียนเฉินผ่านทางพลังพิเศษ
เย่เทียนเฉินในตอนนี้มีสมาธิจดจ่อ นี่ไม่ใช่การล้อเล่น หญ้าสยบกายาเอาแต่ใจเป็นอย่างมากจนได้รับการขนานนามว่าไร้ทางแก้ นี่ก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นถึงความร้ายกาจของมันแล้ว ไม่ต้องพูดถึงในโลกนี้เลย ต่อให้เป็นช่วงยุคสิ้นโลกที่มีผู้แข็งแกร่งดุจเมฆบนท้องฟ้า หากถูกหญ้าสยบกายาเข้าไป ก็ไม่สามารถกำจัดได้อย่างง่ายดายถึงขนาดนั้น ตอนนี้จะสามารถกำจัดหญ้าสยบกายาให้มู่หรงซินและทำให้เธอมีชีวิตต่อไปได้หรือไม่ ทั้งหมดต่างต้องพึ่งเย่เทียนเฉิน
มู่หรงซินในตอนนี้ ค่อยๆ ฟื้นขึ้นมาจากสภาพกึ่งตายเพราะถูกเข็มทองทั้งหกเล่มของจางอีเต๋อปักลงบนร่างกาย ในตอนที่เธอเห็นเย่เทียนเฉินที่เปลือยเปล่าอยู่ตรงข้าม เธอพลันตื่นตะลึงไปทั้งร่าง และในตอนที่พบว่าตนเองก็ไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้าเลยแม้แต่ชิ้นเดียว ปากเล็กๆ ก็เกือบจะกรีดร้องออกมา แต่กลับถูกเย่เทียนเฉินปิดปากเอาไว้แน่น
“อื้อๆ …” มู่หรงซินคิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับถูกปากของเย่เทียนเฉินประกบปิดปากอันเซ็กซี่ของเธอเอาไว้ คิดจะสลัดออกไปแต่ก็ถูกเย่เทียนเฉินกอดร่างกายเปลือยเปล่าเอาไว้แน่น ทำได้เพียงส่งเสียงอู้อี้
ผ่านไปครู่หนึ่ง เมื่อเย่เทียนเฉินเห็นว่าการต่อต้านของมู่หรงซินไม่ได้รุนแรงขนาดนั้นอีกต่อไปแล้ว จึงมองตาของเธอ ใช้สายตาบอกเธอว่าอย่าได้ต่อต้านและขัดขืน
ในตอนที่เย่เทียนเฉินเลื่อนปากของตนออก คลายมือทั้งสองที่โอบกอดร่างกายของมู่หรงซินลงเล็กน้อย มู่หรงซินหน้าแดงก่ำ จนกระทั่งแดงไปทั้งตัว มือทั้งสองกอดหน้าอกของตนเอาไว้ แต่ไม่สามารถปิดบังความเอิบอิ่มเต่งตึงเอาไว้ได้
“หากต้องการที่จะกำจัดหญ้าสยบกายา จำเป็นต้องทำแบบนี้ ต่อไปเธออย่าถามอะไรอีก อย่าได้คิดอะไรอีก ให้ฉันทำเองก็พอแล้ว!” เย่เทียนเฉินมองตามู่หรงซินแล้วพูดอย่างจริงใจ ให้เธอเชื่อมั่นในตัวเขา เพื่อที่จะทำให้หญ้าสยบกายาถูกบีบบังคับออกมาให้เร็วที่สุด
“อืม…” มู่หรงซินตอบรับเสียงเบาพลางพยักหน้าอย่างเขินอาย ไม่กล้าสบตาเย่เทียนเฉิน
เย่เทียนเฉินก็ไม่ได้ยืดเยื้อออกไป โอบกอดมู่หรงซินที่ร่างกายเปลือยเปล่าเอาไว้ ริมฝีปากทั้งสองประกบเข้าด้วยกัน สภาพอันคลุมเครือเช่นนี้ สภาพที่ต้องทำให้เขาเห่อร้อนคับพองแบบนี้ เย่เทียนเฉินกลัวจริงๆ ว่าตัวเองจะอดไม่ได้ที่จะเข้าไปในร่างกายของมู่หรงซิน สิ่งที่ทำให้เขาคิดไม่ถึงก็คือ ในตอนที่เขาจูบมู่หรงซินอีกครั้ง ลิ้นร้อนของมู่หรงซินจะดุนดันอยู่ในปากของเขา ในเวลาแบบนี้ ไม่ว่าผู้ชายคนไหนก็ต้องมีปฏิกิริยา เย่เทียนเฉินเองก็ย่อมตอบสนองเด็กสาวมู่หรงซินคนนี้เป็นธรรมดา
จางอีเต๋อรับรู้ได้ถึงทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ไม่พูดอะไรออกมา ทำเพียงเดินออกไปจากประตูเล็กๆ ด้านข้าง จางรั่วถงก็ตามหลังคุณปู่ของเธอไป ดูเหมือนว่าจะมีความกังวลใจ
“คุณปู่คะ เขาจะตายไหมคะ?” จางรั่วถงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“โอกาสรอดน้อยมาก!” จางอีเต๋อตอบแล้วส่ายหน้า
“คุณปู่คะ เขาเป็นคนดี คิดหาวิธีช่วยเขาได้ไหมคะ?” จางรั่วถงเป็นห่วงเย่เทียนเฉิน ตอนนั้นที่อยู่ตรงประตูใหญ่ของบ้านจาง จางรั่วถงเป็นห่วงคุณปู่มาก เป็นห่วงความปลอดภัยของคุณปู่ และตกใจมากจริงๆ อีกทั้งยังไม่สามารถเข้าไปได้ หากไม่ใช่เพราะคำพูดของเย่เทียนเฉิน เธอก็ไม่รู้ว่าจะร้อนใจมากขนาดไหน
“พิษนี้ไม่มีทางแก้ไข เดิมทีก็ต้องใช้ชีวิตของคนคนหนึ่งเพื่อแลกชีวิตกับอีกคน นี่เป็นสาเหตุที่ทำไมปู่ถึงไม่ตอบรับคำขอของมู่หรงอวี๋ตูที่ต้องการให้ช่วยหลานสาวของเขา แต่คนคนนี้ถึงแม้จะดูเรื่อยเฉื่อย แต่ก็มีหลักการเป็นของตัวเอง มีคุณธรรมน้ำใจยิ่งใหญ่ ตอนนี้ปู่ทำได้เพียงหวังว่า พลังพิเศษของเขาลึกล้ำเกินอย่าง เขาจะสามารถอาศัยพลังพิเศษของตัวเองกำจัดหญ้าสยบกายาได้!” จางอีเต๋อพูดแล้วทอดถอนใจ
ความจริงแล้ว เย่เทียนเฉินรับรู้ได้ว่าจางอีเต๋อเป็นยอดฝีมือผู้มีพลังพิเศษคนหนึ่ง ส่วนจางอีเต๋อเองก็มองออกว่าเด็กหนุ่มที่ปรากฏตัวเบื้องหน้าเขาแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แข็งแกร่งถึงขั้นที่ลึกล้ำไม่อาจคาดเดา หญ้าสยบกายาร้ายกาจมาก หากต้องการที่จะกำจัดมัน ดูเหมือนว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้ แต่ที่จางอีเต๋อไม่ได้พูดออกไปก็เพราะเขาไม่เชื่อว่าเย่เทียนเฉินจะตาย เขารู้สึกชื่นชมความเสียสละตนเองเพื่อผู้อื่นของเด็กหนุ่มคนนี้
“แต่ว่าคุณปู่…” จางรั่วถงยังคิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับถูกปู่ของเธอขัดก่อน
“ไปเถอะ ไปดูที่ลานสักหน่อย ตอนนี้คนที่สามารถช่วยเย่เทียนเฉินได้ก็มีแต่ตัวเขาเอง สิ่งเดียวที่พวกเราจะสามารถทำเพื่อเขาได้ ก็คือรักษาความสงบรอบด้านเอาไว้ เพียงแต่น่าเสียดายที่มีนักฆ่าระดับสูงมาลอบสังหารมู่หรงอวี๋ตูแล้ว!” ในดวงตาของหมอจางเจือไปด้วยไอสังหาร เมื่อพูดจบก็เดินมุ่งหน้าไปกลางลาน!
…………………………
“งั้นก็ดี คำไหนคำนั้น ผมจะร่วมมือกับคุณเพื่อรักษาพิษสยบให้มู่หรงซิน คุณก็ช่วยผมรักษาคนคนหนึ่ง และนับว่าได้ตอบแทนที่ผมช่วยชีวิตของพวกคุณสองปู่หลาน ไม่ติดค้างกัน!” เย่เทียนเฉินมองไปยังจางอีเต๋อแล้วพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“ได้ ไม่ติดค้างกัน ถ้างั้นผมก็จะตอบรับคุณ ถ้าหากว่าคุณตาย ผมก็ยังจะช่วยผู้ป่วยที่คุณพูดถึงคนนั้นด้วย!” จางอีเต๋อพยักหน้าแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
“ดี!”
ครึ่งชั่วโมงต่อมา จางรั่วถงเดินออกมาจากห้องยา มองไปยังเย่เทียนเฉินแวบหนึ่ง แล้วจึงหันไปพูดกับจางอีเต๋อ “คุณปู่ เตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้วค่ะ!”
จางอีเต๋อพยักหน้า จากนั้นจึงลุกขึ้นยืน มองไปยังมู่หรงอวี๋ตูแล้วพูดว่า “ตอนนี้ผมต้องการให้ทหารของคุณไปทำเรื่องเรื่องหนึ่ง!”
“เชิญกล่าวมาเถอะ!” มู่หรงอวี๋ตูรู้ว่านี่เป็นช่วงเวลาสำคัญ เขาจึงเคร่งขรึมจริงจังขึ้นมา
ในตอนแรกเริ่มนั้น มู่หรงอวี๋ตูไม่ค่อยเชื่อใจเย่เทียนเฉินมากนัก ตอนที่เย่เทียนเฉินใช้ฝ่ามือตบมู่หรงซินหลานสาวของเขาไปครั้งหนึ่งจนทำให้เธอกระอักเลือดออกมา เขาก็มีความคิดที่จะลั่นไกฆ่าเย่เทียนเฉินแล้ว แต่สุดท้ายมู่หรงอวี๋ตูก็อดทนเอาไว้ เพราะความจริงแล้วเขาก็ไม่มีหนทางอื่นที่จะรักษาพิษสยบให้หลานสาวของเขาได้ ด้วยความสามารถของมู่หรงอวี๋ตู แพทย์เฉพาะทางที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดภายในประเทศได้มาตรวจวินิจฉัยให้มู่หรงซินก่อนหน้านี้นานแล้ว ยาที่ดีที่สุดก็ใช้ไปแล้ว แต่ยังไม่มีทางรักษาพิษสยบของมู่หรงซินได้
ในตอนที่อับจนหนทาง มู่หรงอวี๋ตูก็คิดถึงข่าวลือเมื่อปีนั้น ว่ากันว่ามีหมอเทวดาคนหนึ่งสามารถยืดชีวิตให้ท่านผู้นำได้ 20 ปี ต่อให้ในสายตาของใครหลายคน นี่จะเป็นเพียงแค่ข่าวลือ เป็นแค่ข่าวลือที่ไม่กล้าเชื่อและไม่อาจเชื่อ แต่มู่หรงอวี๋ตูก็มีเพียงตัวเลือกเดียว จึงเคลื่อนไหวอำนาจอิทธิพลทั้งหมดของตระกูลมู่หรงของตน ตามหามาหลายปี ในที่สุดก็หาสถานที่ที่จางอีเต๋อซ่อนตัวอยู่พบ จึงรีบพามู่หรงซินหลานสาวของตนมา ไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็จะต้องช่วยหลานสาวของตนให้ได้
ตอนนี้ เมื่อได้เห็นเย่เทียนเฉินวางหมากกับจางอีเต๋ออย่างใจเย็น การวางหมากแต่ละตาก็ทำให้ผู้คนต้องทอดถอนใจอย่างตื่นตะลึง อดไม่ได้ที่จะทำให้มู่หรงอวี๋ตูเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อเย่เทียนเฉิน คนหนุ่มคนนี้นำพาความประหลาดใจมาให้ทหารที่ผ่านศึกมาอย่างโชกโชนแบบเขามากมายเหลือเกิน และเกรงว่าคงจะไม่ได้จำกัดอยู่เพียงเท่านี้
“ให้ลูกน้องของคุณ ล้อมบ้านตระกูลจางของผมเอาไว้ในขอบเขต 100 เมตร ไม่ว่าจะอย่างไรก็อย่าให้ใครเข้ามารบกวนพวกเราได้ ถ้าหากเกิดความผิดพลาดอะไรขึ้น กระทั่งเทวดาก็ช่วยหลานสาวของคุณไม่ได้แล้ว!” จางอีเต๋อมองไปยังมู่หรงอวี๋ตูแล้วพูดขึ้น
“ได้ เฮยเมี่ยน รีบไปสั่งผู้ใต้บังคับบัญชาให้ทำตามคำพูดของปรมาจารย์จาง!” มู่หรงอวี๋ตูสั่ง
“ขอรับ!” เฮยเมี่ยนหมุนตัวออกไปกระจายคำสั่ง
เย่เทียนเฉินมองไปยังมู่หรงซินที่นั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็นแบบพิเศษ เดินไปเบื้องหน้าเธอ แล้วอุ้มมู่หรงซินขึ้นมา จากนั้นจึงพูดกับมู่หรงอวี๋ตูว่า “ไม่ว่าจะได้ยินเสียงอะไร หรือเห็นอะไร ก็ไม่อนุญาตให้ใครเข้ามาเด็ดขาด ถ้ารักษาพิษให้หลานสาวของคุณเสร็จแล้ว พวกเราจะส่งเธอออกมาเอง!”
“อืม!” มู่หรงอวี๋ตูพยักหน้า
จางอีเต๋อและเย่เทียนเฉินที่อุ้มมู่หรงซินเดินเข้าไปในห้องยาด้วยกัน มู่หรงอวี๋ตูทำได้เพียงนั่งลง เขาในตอนนี้รู้สึกว่าตนเองแก่ชราลงไปมาก เพื่อที่จะแก้พิษสยบให้มู่หรงซินผู้เป็นหลาน เขาจึงเป็นห่วงเป็นกังวลมาก ในฐานะที่เป็นชายชราที่เป็นไม้ใกล้ฝั่ง เป็นทหารผ่านศึกที่ผ่านสงครามมานานหลายปี เขายอมรับการตายของบุตรชายทั้งสี่ได้ แต่ไม่สามารถเห็นเลือดเนื้อคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ของตระกูลมู่หรงเสียชีวิตไปได้
เย่เทียนเฉินอุ้มมู่หรงซินเข้าไปในห้องยา จางอีเต๋อเดินตามไปด้านหลัง และยังมีจางรั่วถงที่เดินเข้าไปด้วยกัน เมื่อเห็นท่าทางเป็นกังวลของจางรั่วถงและจางอีเต๋อ เย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะยิ้ม แล้วพูดหยอกล้อขึ้นมาว่า
“ในห้องยานี้ร้อนมากจริงๆ ถอดเสื้อผ้าออกดีไหม?”
“ในช่วงเวลาเป็นตายคุณยังจะสบายอารมณ์ได้อีก ดูเบาไม่ได้เลยจริงๆ!” จางอีเต๋อเดินไปด้านข้าง หยิบกล่องสีทองออกมาแล้วเปิดออก ด้านในเต็มไปด้วยเข็มทองเปล่งประกาย ทั้งหมดล้วนทำมาจากทองแท้
ในตอนที่เห็นจางอีเต๋อเปิดกล่องสีเหลืองแล้วพบว่าด้านในมีเข็มทองที่ทำจากทองบริสุทธิ์นั้น เย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง เข็มทองนี้ไม่ว่าจะเป็นด้านมูลค่าหรือด้านฝีมือ ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบันไม่สามารถทำออกมาได้อย่างแน่นอน ก็เหมือนกับเสื้อผ้าที่ปักเย็บจากด้ายทองคำ องค์ความรู้ของคนโบราณ บางครั้งก็วิจิตรพิสดารจริงๆ ทำให้คนรุ่นหลังรู้สึกว่าฝีมือห่างไกลกันมาก
“ฝังเข็มที่จุดลมปราณด้วยเข็มทอง คุณจะใช้วิธีนี้เหรอครับ?” เย่เทียนเฉินมองจางอีเต๋อแล้วถามขึ้น
“คุณรู้จักเรื่องเหล่านี้ได้ยังไง? ด้วยอายุของคุณ ต้องไม่รู้เรื่องโบราณเก่าแก่อะไรถึงจะถูก!” จางอีเต๋อมองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วถามด้วยความสงสัย
ความจริงแล้ว ในตอนที่จางอีเต๋อเห็นเย่เทียนเฉิน ในใจก็เกิดความสงสัยและความตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก เขาเป็นผู้มีพลังพิเศษ เป็นผู้มีพลังพิเศษที่มีความสามารถทางการรักษาอันแข็งแกร่งคนหนึ่ง ปิดซ่อนตัวตนจากโลกมาหลายปี และไม่คิดอยากจะไปข้องเกี่ยวกับการชิงดีชิงเด่นอีก ยิ่งไปกว่านั้นในโลกแห่งนี้ ผู้คนรู้จักและเข้าใจผู้มีพลังพิเศษน้อยมาก แต่เมื่อเห็นเย่เทียนเฉิน ถึงแม้เขาจะซ่อนกลิ่นอายพลังพิเศษอันแข็งแกร่งของตนอยู่ แต่จางอีเต๋อยังคงสามารถสัมผัสได้ว่าเด็กหนุ่มตรงหน้านี้ลึกล้ำเกินคาดเดา
“คุณกับผมก็เป็นผู้มีพลังพิเศษเหมือนกัน แล้วคุณก็ยังเป็นเซียนแพทย์เทวะ เป็นผู้มีพลังพิเศษที่มีความสามารถทางด้านการรักษา คิดว่าคุณเองก็คงจะเข้าใจ มีหลายเรื่องที่คนธรรมดาทั่วไปไม่รู้ แต่ว่าผมเป็นผู้มีพลังพิเศษเหมือนกัน จะรู้ถึงความลึกลับบางอย่างก็ไม่มีอะไรน่าแปลกมั้งครับ?” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม
เย่เทียนเฉินรู้ว่าต่อหน้าจางอีเต๋อ หากต้องการที่จะปิดบังฐานะผู้มีพลังพิเศษของตัวเองคงไม่สามารถกระทำได้ เพราะต่อให้ปิดซ่อนไปตอนนี้ อีกสักครู่ที่ต้องรักษาพิษสยบให้มู่หรงซิน ก็ยังต้องเปิดเผยออกมาอยู่ดี ส่วนเรื่องที่ตนเองเป็นผู้มีพลังพิเศษระดับพระเจ้าที่กลับชาติมาเกิดใหม่จากช่วงยุคสิ้นโลกนั้น แน่นอนว่าไม่อาจบอกจางอีเต๋อได้ เพราะหากเรื่องนี้แพร่ออกไป ไม่ต้องพูดถึงคนธรรมดาเลย ต่อให้เป็นจางอีเต๋อที่เป็นยอดฝีมือผู้มีพลังพิเศษเช่นเดียวกัน ก็เกรงว่าจะไม่เชื่อ
“ในเมื่อคุณรู้จักวิธีการฝังเข็มทองที่จุดลมปราณ งั้นก็ต้องรู้ว่าพวกเราจะช่วยแก้พิษให้มู่หรงซินได้ยังไงใช่ไหม? คุณจะใช้หยางควบคุมหยินเพื่อบีบบังคับให้หญ้าสยบกายาในร่างกายของเธอออกมาจริงๆ เหรอ?” จางอีเต๋อเอ่ยปากถามอย่างกังวล
“นอกจากวิธีนี้แล้ว ยังมีวิธีอื่นที่สามารถแก้พิษสยบให้มู่หรงซินได้อีกเหรอ? หญ้าสยบกายากระตุ้นหยินจนเกิดความเย็น มีเพียงใช้หยางถึงจะบีบบังคับมันออกมาได้ มิฉะนั้นก็ไม่มีวิธีอื่นแล้ว!” เย่เทียนเฉินมองไปยังจางอีเต๋อแล้วพูดขึ้น
“แต่ว่าแบบนั้นคุณอาจจะตายได้ ต่อให้คุณจะมีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งก็อาจจะตาย ในตอนที่หญ้าสยบกายาไม่มีร่างแฝงที่แน่นอน จะไม่ยอมสลัดออกไปจากร่างแฝงดั้งเดิมโดยเด็ดขาด เมื่อหญ้าสยบกายาที่ทำให้หยินเพิ่มจนเกิดความเย็นนี้เข้าไปในร่างกายของคุณ คุณก็จะถูกมันดูดกลืนเลือดจนกลายเป็นศพแห้ง!” จางอีเต๋อขมวดคิ้วแล้วกล่าวขึ้น
จางอีเต๋อไม่ได้เจตนาพูดให้ตื่นตกใจ และไม่ได้กำลังพูดเกินจริง แต่เป็นแบบนี้จริงๆ หญ้าสยบกายาเอาแต่ใจเป็นอย่างมาก เดิมทีคนที่ถูกพิษสยบนี้ทำได้เพียงรอความตายเท่านั้น ถ้าหากคิดที่จะแก้พิษ นอกจากใช้ชีวิตแลกชีวิตแล้วก็ไม่มีวิธีอื่นอีก พูดอย่างชัดเจนก็คือ ต้องให้คนคนหนึ่งใช้ร่างกายของตัวเองดูดหญ้าสยบกายาออกมาไว้ในร่างกายของตน เพื่อที่จะแก้พิษให้คนอื่น ตัวเองจะต้องถูกพิษแทน นี่เป็นสิ่งแลกเปลี่ยนในการกำจัดหญ้าสยบกายา
และนี่เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมในตอนที่จางอีเต๋อเห็นมู่หรงซิน ต่อให้มู่หรงอวี๋ตูจะจ่อปืนที่ศีรษะของเขา ก็ไม่ยินยอมที่จะแก้พิษให้มู่หรงซิน หมอที่ต้องการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์อย่างแท้จริงจะมองว่าทุกชีวิตเท่าเทียมกัน หากจะต้องใช้ชีวิตของคนคนหนึ่งมาช่วยชีวิตของมู่หรงซินจริงๆ จางอีเต๋อทำไม่ลง เขาเดินอยู่บนเส้นทางการแพทย์มาหลายปี มีวิชาแพทย์ลึกล้ำ รวมกับที่เขาเป็นผู้มีพลังพิเศษในสายรักษาที่แข็งแกร่ง สามารถกล่าวได้ว่าบนโลกนี้ไม่มีอาการป่วยใดที่เขารักษาไม่ได้ แต่หากต้องทำร้ายชีวิตของคนอื่น เพื่อช่วยเหลือชีวิตของคนอีกคนหนึ่ง จางอีเต๋อทำไม่ลงจริงๆ
ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมเย่เทียนเฉินถึงรู้วิธีแก้พิษหญ้าสยบกายานั้น เนื่องจากในช่วงยุคสิ้นโลก เขามีฐานะเป็นผู้มีพลังพิเศษระดับพระเจ้า ต่อให้ไม่นับว่าเป็นยอดฝีมือขั้นสูงสุด แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้รู้ความลับต่างๆ มากมาย ในช่วงยุคสิ้นโลกซึ่งเป็นโลกที่มีความแปลกประหลาดทุกอย่าง คล้ายกับโลกที่ย้อนกลับไปในยุคของเทพนิยาย เต็มไปด้วยความลึกลับที่ไม่สามารถเข้าใจได้ ไม่เพียงแต่มีผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่ง ยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณ มนุษย์กลายพันธุ์และสัตว์กลายพันธุ์ อีกทั้งยังมีคนประหลาดที่รู้จักวิชาโบราณต่างๆ “สยบ” นั้นเป็นหนึ่งในวิชาโบราณเหล่านั้น เป็นคำสาปไร้รูปลักษณ์ สามารถฆ่าคนได้โดยที่อยู่ห่างไกลเป็นพันลี้
เมื่อปีนั้นเย่เทียนเฉินหาวัตถุดิบที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกเพื่อนำมาหลอมอาวุธเทวะให้ตนเองจนพบ เขาได้ออกเดินทางไปยังสถานที่ต้องห้ามมากมาย ที่นั่นเขาพบกับหินจารึกแผ่นหนึ่ง บนหินจารึกมีตัวอักษรโบราณสลักอยู่แถวหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะบันทึกเกี่ยวกับหญ้าสยบกายาเอาไว้
“ถ้าไม่ลองแล้วจะรู้ได้ยังไง หากว่ารักษาพิษสยบให้มู่หรงซินไม่ได้ คุณกับหลานสาวของคุณก็ต้องตาย บางทีคุณอาจจะแข็งแกร่งจนสามารถฆ่าเปิดทางหนีออกไปได้ แต่หลานสาวของคุณไปด้วยไม่ไหวแน่นอน ดังนั้นผมจึงต้องการช่วยคุณและหลานสาว แน่นอนว่าผมเองก็มีเงื่อนไข หลังจากที่รักษาพิษสยบให้มู่หรงซินแล้ว คุณจะต้องไปรักษาผู้ป่วยคนนึงให้ผมฟรีๆ!” เย่เทียนเฉินยังคงพูดด้วยรอยยิ้ม
“ได้ งั้นคุณเข้าไปกับผมก่อน ผมจะเปิดจุดลมปราณในร่างกายของคุณ เพื่อป้องกันไม่ให้หญ้าสยบกายาเข้าไปในร่างและดูดเลือดของคุณจนแห้งเหือดในทันที!” จางอีเต๋อคิดครู่หนึ่ง มองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น
เย่เทียนเฉินวางมู่หรงซินลง จางรั่วถงรีบเข้ามาประคองมู่หรงซิน จางอีเต๋อพูดกับจางรั่วถงว่า “ถอดเสื้อผ้าของเธอออกให้หมด นำเธอลงไปในถังไม้ และแขวนผ้าม่านไว้ตรงข้ามถังไม้ด้วย!”
“เข้าใจแล้วค่ะคุณปู่!” จางรั่วถงพยักหน้าแล้วพูดขึ้น
จนกระทั่งเย่เทียนเฉินและจางอีเต๋อเดินออกมาจากห้องเล็กๆ ที่อยู่ติดกัน มู่หรงซินก็ถูกขอเสื้อผ้าออกจนเปลือยเปล่า นั่งอยู่ในถังน้ำอันใหญ่ สีหน้ายังคงซีดขาวมากเช่นเดิม ลมหายใจยังคงรวยระริน จางรั่วถงยืนเฝ้าอยู่ด้านข้าง คอยเติมน้ำร้อนในถังไม้ไม่หยุดหย่อน
“ถอดเสื้อผ้าของคุณออกให้หมดด้วย เข้าไปนั่งหันหน้าให้มู่หรงซินในถังไม้ กอดเธอเอาไว้ ปากชนปาก!” จางอีเต๋อมองเย่เทียนเฉินแล้วพูดอย่างจริงจัง
“อะไรนะ? ผมต้องเปลือยอยู่กับมู่หรงซิน แล้วยังต้องเอาปากชนปากด้วย? นี่…ไม่จริงมั้ง ผมเย่เทียนเฉินไม่ใช่คนที่ชอบฉวยโอกาส!” เย่เทียนเฉินมองไปยังจางอีเต๋อแล้วพูดขึ้นอย่างตื่นตะลึง
“ไม่ทำแบบนี้ก็แก้พิษของหญ้าสยบกายาไม่ได้ ในเมื่อคุณรู้จักหญ้าสยบกายา ก็ต้องเข้าใจว่ามีเพียงวิธีนี้ถึงจะสามารถนำหญ้าสยบกายาออกมาได้ใช่ไหม?”
จางอีเต๋อมองเย่เทียนเฉินอย่างไม่สบอารมณ์ คิดว่าคนคนนี้จงใจเสแสร้ง สาวสวยคนหนึ่ง นั่งหันหน้าเข้าหาคุณด้วยร่างกายเปลือยเปล่า แล้วยังให้คุณกอดเธอเอาไว้และจูบเธอ ผู้ชายคนไหนบ้างที่จะไม่ตื่นเต้น? เด็กน้อยอย่างคุณยังจะมาเสแสร้งทำไมอีก?
……………………………..
คำพูดของเย่เทียนเฉินทำให้บุคคลที่อยู่ในที่นี้อดไม่ได้ที่จะแปลกใจ กระทั่งมู่หรงอวี๋ตูที่เป็นทหารที่รอดชีวิตออกมาจากไฟสงครามได้ก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองไปยังเย่เทียนเฉิน เนื่องจากแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่มีคนหนุ่มสาวทำตัวสงบนิ่งและพูดอย่างสบายๆ เช่นนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าตนเองได้เลย กระทั่งทำให้มู่หรงอวี๋ตูสงสัยว่า นี่จะเป็นยอดฝีมือที่ซ่อนเร้นตัวตนที่ไม่สามารถคาดเดาอายุได้หรือไม่? เหมือนกับจางอีเต๋อ?
แน่นอนว่า มู่หรงอวี๋ตูไม่รู้ว่าเย่เทียนเฉินและเฮยเมี่ยนเป็นคนที่ผู้นำสูงสุดส่งมาคุ้มครองเขา นี่เป็นความใส่ใจที่บุคคลระดับสูงของประเทศมีให้กับตระกูลมู่หรง และเป็นท่าทีของพวกเขาที่ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก จะอย่างไรคนหลายรุ่นในตระกูลของมู่หรงอวี๋ตูต่างก็ทำเพื่อความสงบและความเป็นปึกแผ่นของประเทศ สร้างผลงานออกมามากมาย ลูกชายทั้งสี่คนก็ตายไปหมดแล้ว การเสียสละเพื่อประเทศชาติและประชาชนเช่นนี้ ควรค่าที่จะทำให้ผู้คนเคารพเลื่อมใส
“แกเป็นใคร?” มู่หรงอวี๋ตูมองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างเย็นชาแล้วเอ่ยถาม
“เย่เทียนเฉิน!” เย่เทียนเฉินตอบด้วยรอยยิ้ม
“แกก็คือเย่เทียนเฉิน?” มู่หรงอวี๋ตูอดไม่ได้ที่จะชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ยถามออกมาอย่างแปลกใจ
คนใหญ่คนโตเช่นมู่หรงอวี๋ตูย่อมกุมข่าวสารมากมายของประเทศเอาไว้ในมือ ทุกเรื่องที่เย่เทียนเฉินแห่งตระกูลเย่กระทำหลังจากที่กลับมาเมืองหลวงต่างก็มากพอที่จะสั่นสะท้านทั้งโลกเบื้องหน้าและเบื้องหลัง โดยเฉพาะเรื่องที่กำจัดตระกูลฉินและตระกูลลั่วภายในหนึ่งคืน ทำให้กลุ่มอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่มากมายอดไม่ได้ที่จะอกสั่นขวัญแขวน เพราะคิดว่านี่จะเป็นสัญญาณว่าตระกูลเย่ที่ตกต่ำไปแล้วเกือบ 20 ปีจะโผทะยานขึ้นมาเพราะเย่เทียนเฉินอีกครั้งหนึ่งหรือไม่?
“ท่านนายพลมู่หรง เย่เทียนเฉินและผมเป็นคนที่ท่านผู้นำสั่งให้มาคุ้มครองท่านครับ!” เฮยเมี่ยนรีบก้าวออกมาแล้วพูดขึ้น
“ฉันไม่สนว่าแกจะเป็นเย่เทียนเฉินหรือจะเป็นใคร ในเมื่อแกก็พูดก็ต้องกล้ารับ หากว่าพิษของหลานสาวฉันแก้ไม่ได้ จางอีเต๋อและหลานสาวของเขาก็ต้องตาย แกก็ต้องตายด้วย!” มู่หรงอวี๋ตู มองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วกล่าวขึ้นอย่างเคร่งขรึม
“คุณเอาแต่ตั้งเงื่อนไขกับผม ไม่คิดจะฟังเงื่อนไขของผมบ้างหรือไง? หากว่าผมรักษาพิษให้หลานสาวคุณได้ คุณจะให้เธอหมั้นหมายกับผมหรือเปล่า?” เย่เทียนเฉินพูดออกมาด้วยรอยยิ้มหยอกล้อ
“ไม่มีปัญหา ไม่เพียงแต่ฉันจะให้ซินเอ๋อร์หลานสาวของฉันหมั้นหมายกับแก แต่ยังจะสามารถทำให้ตระกูลเย่ของแกกลายเป็นตระกูลชั้นหนึ่งในเมืองหลวงได้อีกครั้งหนึ่งด้วย แกคิดว่าไง?” มู่หรงอวี๋ตูเองก็มองไปยังเย่เทียนเฉินด้วยรอยยิ้มแล้วพูดขึ้น
หากพูดกันถึงตำแหน่งฐานะ มู่หรงอวี๋ตูย่อมมีความสามารถที่จะทำแบบนี้ เมื่อปีนั้นเขาติดตามท่านผู้นำเดินสู่หนทางการแย่งชิงแผ่นดิน สุดท้ายลูกชายทั้งสี่ก็ต้องสละชีพไปในสนามรบเพื่อประชาชนและเพื่อประเทศชาติ ขอเพียงมู่หรงอวี๋ตูเอ่ยปากกับผู้นำระดับสูงของประเทศ ย่อมไม่มีใครที่ไม่ตอบรับ ทหารผ่านศึกคนหนึ่งย่อมมีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวและหยิ่งทะนงของเขา
ในตอนนี้ มู่หรงอวี๋ตูพลันรู้สึกชื่นชมเย่เทียนเฉินขึ้นมาแล้ว ต่อให้เขาจะไม่มีความสัมพันธ์กับเย่หย่วนซานแห่งตระกูลเย่ แต่เรื่องของตระกูลเย่ จะมากจะน้อยเขาก็เคยได้ยินมาบ้าง คิดไม่ถึงว่าหลานชายของตระกูลเย่ เย่เทียนเฉินคนนี้ จะมีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว บางทีอาจจะสามารถมีชื่อเสียงโดดเด่นขึ้นมาจริงๆ ก็เป็นได้
“ผมแค่ล้อเล่นเท่านั้นแหละ ให้ทุกคนถอยออกไปก่อนเถอะครับ เหลือไว้แค่คุณและหลานสาวของคุณก็พอแล้ว ผมต้องการคุยกับปรมาจารย์จางคนนั้นสักหน่อย!” เย่เทียนเฉินมองไปยังจางอีเต๋อแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม ส่วนจางอีเต๋อในตอนนี้ก็มองเย่เทียนเฉินด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
มู่หรงอวี๋ตูหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงโบกมือให้ทหารถือปืนทั้งหมดถอยออกไป ภายในลานบ้านของตระกูลจางที่ไม่ใหญ่โตนัก เหลือเพียงเย่เทียนเฉิน เฮยเมี่ยน มู่หรงอวี๋ตู มู่หรงซิน จางอีเต๋อ และจางรั่วถง
“หนุ่มน้อย ฉันจะพูดต่อหน้าแกอีกครั้ง ถ้าหากหลานสาวของฉันตาย ไม่ว่าพวกแกคนไหนก็ต้องตายเป็นเพื่อน!” มู่หรงอวี๋ตูมองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดอย่างเย็นชา
“งั้นคุณก็ไปนั่งดื่มชาอยู่ข้างๆ ก่อน อย่ามารบกวนผม!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างไม่พอใจ
เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน เขาก็โกรธจนหน้าเขียวคล้ำ ไม่ต้องพูดถึงว่าเย่เทียนเฉินเป็นเด็กรุ่นหลังเลย กระทั่งในโลกของการทหาร หรือกระทั่งผู้นำระดับสูงในโลกการเมืองของประเทศ ก็ไม่มีใครกล้าพูดกับเขาแบบนี้มาก่อน
“ได้ ฉันจะรอดูว่าแกจะรักษาพิษให้หลานสาวของฉันยังไง!” มู่หรงอวี๋ตูมองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างดุดันแล้วพูดขึ้น
เย่เทียนเฉินเดินไปหาจางอีเต๋อโดยไม่พูดอะไรอีก เมื่อเห็นเย่เทียนเฉินเดินมาทางตน จางอีเต๋อก็ปกป้องหลานสาวเอาไว้ด้านหลังโดยไม่รู้ตัว เนื่องจากเขาสัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันคุ้นเคยอย่างหนึ่ง การผันผวนของพลังพิเศษนี้แข็งแกร่งมาก เด็กหนุ่มเบื้องหน้าคนนี้ลึกล้ำเกินหยั่ง ต่อให้เป็นเขาก็ไม่สามารถเอาชนะได้ ดังนั้นจึงทำให้จางอีเต๋อระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ
“หมอจาง พวกเราสองคนมาพูดคุยกันหน่อยเป็นไง?” เย่เทียนเฉินถามด้วยรอยยิ้ม
“คุณคิดจะคุยอะไร? หรือคุณคิดว่าหญ้าสยบกายาจะมีวิธีรักษาจริงๆ?” เขามองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น
“ใช่แล้ว มีทางแก้ ถึงแม้จะยากและอันตรายมาก แต่ก็ต้องลองดูสักครั้ง!” เย่เทียนเฉินยังคงพูดด้วยรอยยิ้ม
“คุณ…” จางอีเต่อมองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างประหลาดใจ
“พวกเราไม่มีเวลาให้ยืดเยื้ออีกต่อไปแล้ว มาพูดกันดีๆ เถอะ วางใจได้ ไม่มีใครทำร้ายหลานสาวของคุณหรอก!” เย่เทียนเฉินพูดขัดคำพูดของจางอีเต๋อ มองไปยังจางรั่วถงที่อยู่ด้านหลังเขาแล้วพูดออกมา
ตอนนี้เอง จางรั่วถงดึงแขนเสื้อของจางอีเต๋อเบาๆ มองไปยังมู่หรงซินที่นั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็นแบบพิเศษแล้วพูดขึ้นอย่างสงสารว่า “คุณปู่คะ ช่วยเธอเถอะ เธอน่าสงสารมากเลย!”
จางอีเต๋อหันไปมองหลานสาว เขาไม่ต้องการลงมือรักษาพิษของมู่หรงซินจริงๆ และไม่ใช่ว่าเขาไม่มีจิตใจอันเมตตาของคนเป็นหมอ เพียงแต่หากต้องการที่จะรักษาพิษสยบของมู่หรงซินนี้ ยากลำบากเป็นอย่างมาก กระทั่งอาจจะทำให้คนอื่นมีอันตรายถึงชีวิต ในความคิดของจางอีเต๋อ ชีวิตของทุกคนมีค่าเท่ากัน การเสียสละชีวิตของคนคนหนึ่งเพื่อไปช่วยคนอีกคนหนึ่ง ไม่นับว่าเป็นความเมตตาของผู้เป็นหมอ แต่เป็นความโหดร้ายอย่างหนึ่ง
“คุณคิดจะใช้วิธีนี้จริงๆ เหรอ? คุณจะตายเอาได้!” ทันใดนั้นจางอีเต๋อมองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น
“นอกจากวิธีนี้แล้ว ยังมีวิธีอื่นอีกเหรอครับ? แน่นอนว่าผมมีเงื่อนไข…” เย่เทียนเฉินพูดออกมาด้วยรอยยิ้มบางเบา
“เงื่อนไขอะไร?” จางอีเต๋อเอ่ยปากถา
“ผมจะร่วมมือกับคุณเพื่อรักษาพิษสยบให้มู่หรงซิน ถ้างั้นคุณก็ต้องช่วยผมรักษาคนคนหนึ่ง มีเพียงคุณคนเดียวเท่านั้นที่จะทำได้!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างจริงจัง
“คุณเอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะแล้วค่อยมาพูด…”
เย่เทียนเฉินมองจางอีเต๋อครั้งหนึ่ง เขาเชื่อว่าเขาคาดเดาไม่ผิด จางอีเต๋อก็คือเซียนแพทย์เทวะที่เขาตามหา เพราะในตอนที่มู่หรงอวี๋ตูจะลงมือกับจางรั่วถงหลานสาวของเขา จางอีเต๋อกระตุ้นพลังพิเศษอันแข็งแกร่งออกมาจากทั่วทั้งร่าง กระทั่งเย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง นี่เป็นยอดฝีมือผู้มีพลังพิเศษ เป็นยอดฝีมือผู้แข็งแกร่งที่เก็บซ่อนตัวตน และยังมีวิชาแพทย์สูงส่งอีกด้วย ถ้าไม่ใช่เซียนแพทย์เทวะแล้วจะเป็นใครไปได้?
“พวกเรามาเล่นหมากกันหน่อยเป็นไง ผมเชื่อว่าหลังจากที่วางหมากเสร็จ การเตรียมการทุกอย่างก็จะเรียบร้อยแล้ว!” เย่เทียนเฉินมองไปยังกระดานหมากล้อมบนโต๊ะหิน จากนั้นจึงมองไปยังจางอีเต๋อแล้วพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“รั่วถงไปเตรียมตัวเถอะ จัดเตรียมห้องยาให้เรียบร้อย และต้มน้ำในถังไม้ถังใหญ่ให้เต็มถัง แล้วก็นำกล่องเข็มทองของปู่ออกมาด้วย!” จางอีเต๋อชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วจึงหันไปสั่งหลานสาวที่อยู่ด้านหลัง
จางรั่วถงมองไปยังเย่เทียนเฉินครู่หนึ่ง จากนั้นจึงรีบวิ่งเหยาะๆ เข้าไปในห้อง เริ่มต้มน้ำร้อนตามคำสั่งของคุณปู่จางอีเต๋อ จัดเตรียมห้องยา ในขณะเดียวกันก็นำกล่องใส่เข็มทองออกมา
เย่เทียนเฉินและจางอีเต๋อนั่งลงบนโต๊ะหิน ทั้งสองนั่งตรงข้ามกัน มู่หรงอวี๋ตูและเฮยเมี่ยนยืนอยู่ด้านข้าง มองคนทั้งสองวางหมากกัน ไม่กล่าวไม่ได้ว่ามู่หรงอวี๋ตูเป็นคนที่ไม่อาจดูเบาได้จริงๆ เพียงไม่นานก็สามารถสงบสติอารมณ์ของตนได้ ไม่บุ่มบ่ามอีก เขารู้ว่าตอนนี้ตัวเลือกเดียวของเขาก็คือเชื่อใจเย่เทียนเฉินว่าเขาจะสามารถช่วยหลานสาวของตนได้
หมากดำ หมากขาว เกมหมากล้อมเริ่มขึ้นแล้ว จางอีเต๋อเริ่มวางหมากก่อน จนกระทั่งถึงตาเย่เทียนเฉินวางหมาก ทันใดนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืน พูดกับจางอีเต๋อด้วยรอยยิ้ม “ดูเหมือนจะลืมไปเรื่องหนึ่ง รอแป๊บ!”
พูดจบ เย่เทียนเฉินก็ไปจากที่นั่ง เดินไปยังมู่หรงซินที่นั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็น นี่เป็นผู้หญิงที่มีลักษณะที่ดีคนหนึ่ง เป็นหญิงงามดั่งดอกไม้บาน แต่ตอนนี้กลับมีใบหน้าซีดขาว ลมหายใจรวยระริน ไม่ว่าใครที่ได้เห็นก็อดไม่ได้ที่จะปวดใจ เย่เทียนเฉินเดินไปเบื้องหน้ามู่หรงซิน ย่อตัวลงนั่งแล้วพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “เธอกลัวตายหรือเปล่า?”
“ไม่กลัว!” มู่หรงซินลืมตาอย่างอ่อนล้า มองไปยังเย่เทียนเฉิน ต่อให้ชายที่อยู่ตรงข้ามจะดูแปลกหน้า แต่กลับให้ความรู้สึกปลอดภัย เป็นความปลอดภัยที่ออกมาจากใจ
“ในเมื่อเธอไม่กลัวตาย งั้นก็ตายให้เร็วหน่อยจะได้ไม่ต้องเจ็บปวด!”
ในขณะที่พูด เย่เทียนเฉินก็ใช้ฝ่ามือตบลงไปที่หน้าอกของมู่หรงซินเบาๆ ไม่นานมู่หรงซินก็หลับตาลง มุมปากมีเลือดสีดำไหลออกมา มู่หรงอวี๋ตู เฮยเมี่ยน และจางอีเต๋อ ทั้งสามคนได้เห็นดังนั้นต่างพากันตกตะลึง
“แก…” มู่หรงอวี๋ตูคิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับถูกเย่เทียนเฉินพูดขัด
“ในเมื่อคุณเชื่อใจผม ก็อย่าพูดอะไร รอให้หลานสาวของคุณตายไปจริงๆ ก่อนค่อยมาคิดบัญชีกับผมก็ไม่สาย!” เย่เทียนเฉินพูดกับมู่หรงอวี๋ตูด้วยรอยยิ้ม
เย่เทียนเฉินกลับไปนั่งตรงข้ามจางอีเต๋ออีกครั้ง ไม่ได้พูดอะไรกับจางอีเต๋อในทันที แต่วางหมากลงไปก่อน ห้านาทีผ่านไป จางอีเต๋อก็แพ้หมากกระดานนี้แล้ว โดยที่เย่เทียนเฉินใช้กลหมากฆ่าตัวตาย ยอมละทิ้งหมากตายเพื่อชัยชนะ ทำให้จางอีเต๋อตกตะลึง มองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างไม่คาดคิด
“คุณถึงกับจะใช้วิธีนี้เลยเหรอ ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือไง? นั่นไม่ใช่การวางหมาก แต่เป็นพิษสยบ เป็นพิษสยบที่เกือบจะไม่มีวิธีแก้!” จางอีเต๋อมองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วเอ่ยถาม
“ผมเชื่อว่าด้วยวิชาแพทย์ของผู้อาวุโสอย่างคุณคงไม่มีปัญหาอะไรหรอก และด้วยการร่วมมือกันอย่างแข็งแกร่งของพวกเราสองคน พิษสยบก็จะถูกแก้ไขได้!” เย่เทียนเฉินพูดแล้วยิ้มอย่างเชื่อมั่นในตัวเอง
“คนหนุ่มที่เชื่อมั่นในตนเองและแข็งแกร่งเหมือนเธอ บนโลกนี้มีไม่มากเลยจริงๆ !” จางอีเต๋อพูดอย่างแฝงนัยยะบางอย่าง
“เซียนแพทย์เทวะ ผมคิดว่าคุณคงไม่ยอมเปิดเผยตัวตนของคุณออกมาแน่ คุณกับผมเป็นคนประเภทเดียวกัน เชื่อว่าคุณก็คงเข้าใจ!” เย่เทียนเฉินมองไปยังจางอีเต๋อแล้วพูดอย่างจริงจัง
“คุณ…คุณเป็น…จริงๆ ด้วย ฮ่าๆๆๆ ประเทศจีนมีคนที่แข็งแกร่งแบบคุณ และยังอายุน้อยเพียงเท่านี้ เชื่อว่าคุณคงไม่ตายเร็วหรอก ยังมีเรื่องอีกมากมายหลายอย่างที่รอให้คุณไปทำ!” ทันใดนั้นจางอีเต๋อหัวเราะออกมาแล้วพูดขึ้น
มู่หรงอวี๋ตูและเฮยเมี่ยนที่อยู่บริเวณนั้น ไม่เข้าใจบทสนทนาของเย่เทียนเฉินและจางอีเต๋อ แต่พวกเขาสองคนดูเหมือนจะพูดคุยกันอย่างมีความสุขมาก และในการสนทนาก็ทำให้เกิดความเห็นบางอย่างที่ตรงกัน
คนผู้หนึ่งคือผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษระดับพระเจ้าซึ่งมาเกิดใหม่จากช่วงยุคสิ้นโลก อีกคนหนึ่งคือผู้มีพลังพิเศษในสายรักษาที่หาได้ยากแม้กระทั่งในช่วงยุคสิ้นโลก ทั้งสองต่างก็แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก จะสามารถรักษาพิษสยบที่เดิมทีมีเพียงเส้นทางแห่งความตายเพียงทางเดียวได้หรือไม่?
……………………………
จางอีเต๋อจะเป็นเซียนแพทย์เทวะหรือไม่?
หากว่าใช่ สำหรับเย่เทียนเฉินก็จะเรียกได้ว่าเป็นการย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกไม่พบพาน ยามได้มากลับไม่เสียเวลาเลย จะโชคดีเกินไปแล้ว จากบทสนทนาของมู่หรงอวี๋ตูและจางอีเต๋อ เป็นไปได้มากกว่าจางอีเต๋อจะเป็นเซียนแพทย์เทวะ เพราะสามารถยืดอายุให้ท่านผู้นำไปได้อีก 20 ปี บนโลกนี้จะมีสักกี่คนกันเชียว?
ยืดอายุไป 20 ปี นี่เป็นความลึกลับและเกินจริงระดับไหนกัน? ต่อให้ในช่วงยุคสิ้นโลก ซึ่งเป็นโลกอันแปลกประหลาดที่มีผู้มีพลังพิเศษอยู่จำนวนมาก ก็ยังไม่อาจละทิ้งการมีชีวิตยืนยาวเป็นอมตะออกไปได้ ตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน จักรพรรดิกี่คน ผู้เป็นใหญ่เป็นโตกี่คน ที่ต้องการมีชีวิตเป็นอมตะจนสูญเสียกำลังคนและวัตถุดิบไปมากมาย ในช่วงยุคสิ้นโลก ซึ่งเป็นโลกที่มีผู้แข็งแกร่งอยู่นับไม่ถ้วน ก็มีผู้แข็งแกร่งเป็นจำนวนมากที่ไล่ตามสิ่งเหล่านี้ชั่วชีวิต หากสามารถมีชีวิตเป็นอมตะได้ ใครบ้างที่จะไม่อยากมีชีวิตยืนยาว?
เพียงแต่ต่อให้เป็นเย่เทียนเฉินที่เป็นผู้มีพลังพิเศษระดับพระเจ้าในช่วงยุคสิ้นโลก ก็ไม่เคยได้ยินว่าใครสามารถมีชีวิตยืนยาวเป็นอมตะได้มาก่อน สมุนไพรลึกลับที่สามารถต่ออายุได้ทั้งหลาย หรือกระทั่งยาอันแปลกประหลาดก็พอมีอยู่บ้าง แต่หามาได้ยากนัก ในโลกแห่งนี้ซึ่งมีการพัฒนาเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ไปมาก การมีชีวิตยืนยาวเป็นอมตะเริ่มค่อยๆ เลือนหายไปจากสายตาของผู้คน และไม่มีใครคิดว่าจะมีคนที่สามารถต่ออายุให้คนอื่นไปอีก 20 ปีได้แบบนี้อยู่ ถ้าพูดออกมาก็เกรงว่าจะไม่มีใครเชื่อ เรื่องราวเมื่อปีนั้นก็ได้กลายเป็นข้อมูลลับระดับสำคัญที่สุดของประเทศไปแล้ว ต่อให้เป็นผู้นำแต่ละท่านในตอนนี้ก็ไม่กล้าพูดออกมามั่วซั่ว
เย่เทียนเฉินมองไปยังจางอีเต๋อ ชายชราที่ผมและเคราขาวโพลน พลังพิเศษแห่งการรับรู้แผ่ขยายออกไปอย่างเงียบงันนานแล้ว แต่กลับไม่สามารถรับรู้ได้ถึงการสั่นไหวของพลังพิเศษใดๆ ดังนั้นเขาจึงไม่อาจมั่นใจได้ชั่วคราวว่าจางอีเต๋อคือเซียนแพทย์เทวะหรือไม่? แต่ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ใช่ ก็จะต้องให้เขาไปดูอาการให้แม่ของเสี้ยวหยาให้ได้ เย่เทียนเฉินจะไม่ยอมเห็นท่าทางเจ็บปวดใจจนร้องไห้ของเสี้ยวหยาโดยเด็ดขาด
“หึ มู่หรงอวี๋ตู ตระกูลจางของผมเหลือผมแค่คนเดียวแล้ว ผมก็คือตระกูลทั้งตระกูล ทั้งตระกูลก็คือผม คุณลั่นไกได้เลย!” จางอีเต๋อแค่นเสียงเย็นครั้งหนึ่ง พูดออกมาอย่างไม่เกรงกลัวความตายเลยแม้แต่น้อย
“งั้นเหรอ? จางอีเต๋อ ผมรู้ว่าคุณไม่กลัวตาย ผมมู่หรงอวี๋ตูเองก็ไม่กลัว แต่ผมรู้ว่าคุณมีหลานสาวอยู่คนหนึ่ง หลังจากที่คุณตายไป คุณคิดว่าด้วยความสามารถของผมจะหาเธอไม่เจอเชียวหรือ? หากหลานสาวของผมตาย หลานสาวของคุณก็จะต้องตายเป็นเพื่อนเธอด้วย!” ปืนพกในมือขวาของมู่หรงอวี๋ตูจ่อไปที่ศีรษะของจางอีเต๋อ จากน้ำเสียงของเขาไม่ต้องสงสัยเลยว่า เขาเป็นคนที่กล้าพูดกล้าทำอย่างแน่นอน
เมื่อได้ยินมู่หรงอวี๋ตูกล่าวถึงหลานสาวของตน จางอีเต๋อที่เดิมทียังคงนิ่งสงบพลันหน้าเปลี่ยนสี มองไปยังมู่หรงอวี๋ตูอย่างดุดันแล้วพูดขึ้นว่า “มีเรื่องอะไรคุณก็มาลงที่ผมได้ ตอนนี้คุณก็ฆ่าผมได้เลย แต่อย่าได้ทำให้หลานสาวของผมลำบากใจ!”
“จางอีเต๋อ หลานสาวของคุณคือหนึ่งชีวิต หลานสาวของผมก็คือหนึ่งชีวิต ทำไมคุณจะช่วยชีวิตหลานสาวผมครั้งหนึ่งไม่ได้ล่ะ?” มู่หรงอวี๋ตูพูดอย่างไม่ยอมถอยเลยแม้แต่น้อย ความรู้สึกนั้นชัดเจนมาก หากวันนี้จางอีเต๋อไม่ช่วยหลานสาวของมู่หรงอวี๋ตู เขาก็จะฆ่าหลานสาวของจางอีเต๋อ
“ผมพูดไปแล้ว หลานสาวของคุณถูกพิษสยบกายา ไม่สามารถแก้พิษได้ ผมช่วยเธอไม่ได้ ทำไมคุณจะต้องบีบบังคับคนอื่นด้วย?” จางอีเต๋อเองก็มองไปยังมู่หรงอวี๋ตูด้วยความโกรธแล้วพูดขึ้น
“ผมเองก็ไม่อยากจะบีบบังคับคุณหรอก แต่ผมก็ไม่มีหนทางแล้ว วันนี้ไม่ว่าจะยังไง คุณก็ต้องช่วยชีวิตหลานสาวผม ไม่งั้นผมก็จะฆ่าคุณ แล้วก็จะฆ่าหลานสาวของคุณด้วย!” ในตอนที่มู่หรงอวี๋ตูพูด ก็กระชับปืนในมือขวาแน่น
ตอนนี้เอง จู่ๆ เด็กสาวแปลกหน้าที่ยืนอยู่ข้างกายเย่เทียนเฉินมาโดยตลอดก็วิ่งออกมาขวางอยู่เบื้องหน้ามู่หรงอวี๋ตู จับมือจางอีเต๋อเอาไว้ มองไปยังมู่หรงอวี๋ตูด้วยสายตาขอร้องก่อนจะพูดขึ้นว่า “หยะ อย่าฆ่าปู่ของหนูเลย ขอร้องล่ะค่ะ คุณอย่าทำให้คุณปู่ลำบากใจเลย!”
ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างพากันตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าเด็กสาวแปลกหน้าคนนี้จะเป็นหลานสาวของจางอีเต๋อ โดยเฉพาะเฮยเมี่ยนและเย่เทียนเฉิน พวกเขาสองคนมึนงงเป็นที่สุด ไม่คิดว่าเด็กสาวที่เจอกันหน้าประตูจะถึงกับเป็นหลานสาวของจางอีเต๋อไปได้ จะอย่างไรก็เหนือความคาดหมายไปมาก
“เธอก็คือจางรั่วถง หลานสาวของจางอีเต๋อ?” มู่หรงอวี๋ตูมองหญิงสาวแปลกหน้าที่พุ่งออกมาเบื้องหน้าเขาแล้วถามขึ้น
“ค่ะ คุณอย่าฆ่าคุณปู่ของหนูเลย…” หญิงสาวอายุประมาณ 17-18 ปีต้องเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ ในใจย่อมรู้สึกกังวลและหวาดกลัวเป็นธรรมดา โดยเฉพาะเมื่อเห็นว่ามู่หรงอวี๋ตูใช้ปืนจ่อไปที่ศีรษะของคุณปู่จางอีเต๋อ จางรั่วถงก็รีบพุ่งออกมาทันที ตั้งแต่แรกเธอก็พึ่งพาอาศัยคุณปู่มาโดยตลอด ความสัมพันธ์ระหว่างสองคนปู่หลานลึกล้ำ ต่างเป็นญาติเพียงคนเดียวของกันและกัน
“รั่วถง ไม่ใช่ว่าปู่บอกเธอว่าไม่ให้กลับมาเหรอ? ทำไมไม่เชื่อฟัง!” จางอีเต๋อขมวดคิ้วมองไปยังหลานสาวของตนแล้วพูดขึ้น
“คุณปู่คะ หนูไม่อยากเห็นคุณปู่เกิดเรื่อง!” จางรั่วถงโถมตัวเข้าไปในอ้อมอกของคุณปู่ ร้องไห้ออกมาเสียงดัง
“เธอ…ไม่มีเรื่องอะไรหรอก จะต้องไม่เป็นอะไรแน่ ใครก็แตะต้องเธอไม่ได้!”
ในชั่วพริบตานั้น บรรยากาศของจางอีเต๋อพลันเปลี่ยนไป ในดวงตาทั้งสองเปล่งประกายหนาวเหน็บ ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าชายชราผู้มีผมและหนวดเคราขาวโพลนคนนี้ เหมือนกับพยัคฆ์ร้ายที่ตื่นจากการจำศีล หลายคนอดไม่ได้ที่จะก้าวถอยหลังไป ส่วนเย่เทียนเฉินกลับมองไปยังจางอีเต๋ออย่างไม่ละสายตา เขารู้สึกถึงความผันผวนของพลังพิเศษอันแข็งแกร่งระลอกหนึ่ง จางอีเต๋อเป็นยอดฝีมือที่ซ่อนเร้นตัวตนจริงๆ ด้วย ลึกล้ำไม่อาจคาดเดา
“จางอีเต๋อ ในเมื่อตอนนี้หลานสาวของคุณปรากฏตัวขึ้นแล้ว ผมก็จะขอบอกคุณอีกครั้ง ถ้าหากว่าคุณช่วยหลานสาวผมไม่ได้ หลานสาวของคุณก็ต้องตาย ผมพูดจริงทำจริง!” มู่หรงอวี๋ตูพูดเสียงเย็น
“มู่หรงอวี๋ตู ผมจะพูดอีกครั้ง หลานสาวของคุณถูกพิษสยบกายาที่ไม่มีทางรักษา ผมไร้ความสามารถ!” จางอีเต๋อดึงจางรั่วถงผู้เป็นหลานไปอยู่ด้านหลัง กำหมัดแน่นแล้วพูดออกมา
“พอแล้ว ผมไม่อยากฟังคำพูดนี้ของคุณอีกต่อไป เด็กๆ มาพาตัวเด็กคนนี้ไปซะ!”
มู่หรงอวี๋ตูรู้สึกว่าจางอีเต๋อมีวิธีช่วยคนแต่ไม่คิดจะช่วยก็เท่านั้น เขามองไปยังหลานสาวของตนที่หายใจรวยระรินและดูคล้ายกับจะขาดห้วงไปในไม่ช้า เขาไม่อยากจะยืดเยื้ออีกต่อไปแล้ว จะขอคว้าโอกาสสุดท้ายเอาไว้ หากจางอีเต๋อเห็นคนใกล้ตายแล้วไม่ช่วยจริงๆ เขาจะต้องฆ่าจางอีเต๋อและจางรั่วถงอย่างแน่นอน
มู่หรงซินเป็นหลานสาวของเขา เป็นญาติที่เหลือเพียงคนเดียวของมู่หรงอวี๋ตู แล้วเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงหนึ่งเดียวของเขา แม้ว่าจะต้องจ่ายค่าตอบแทนอะไรออกไป มู่หรงอวี๋ตูก็ต้องช่วยชีวิตหลานสาวของตนให้ได้
ตอนนี้เอง เมื่อได้ยินคำสั่งของมู่หรงอวี๋ตู ทหารถือปืนสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาเดินเข้าไปทางจางรั่วถง จางอีเต๋อปกป้องหลานสาวเอาไว้ด้านหลังอย่างแน่นหนา มองไปยังมู่หรงอวี๋ตูแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “มู่หรงอวี๋ตู คุณอย่าได้บีบบังคับให้ผมลงมือ…”
“ไม่ใช่ว่าผมบีบบังคับคุณ แต่เป็นคุณที่บีบบังคับผม ขอเพียงคุณช่วยรักษาหลานสาวของผมให้หายดี ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะดีเอง ผมก็จะชดเชยให้คุณ!” มู่หรงอวี๋ตูพูดเสียงดัง
“ผมจะพูดอีกครั้ง ผมรักษาไม่ได้!” บรรยากาศที่แผ่ออกมาจากร่างของจางอีเต๋อพลันหนักแน่นขึ้น ไม่ด้อยไปกว่ามู่หรงอวี๋ตูที่เป็นทหารผ่านศึกเลยแม้แต่น้อย
“งั้นก็ไม่มีอะไรต้องคุยกัน ไปนำตัวมาให้ฉันซะ!”
ภายในลานบ้านของตระกูลจาง บรรยากาศเคร่งเครียดและรุนแรงเป็นอย่างมาก มู่หรงอวี๋ตูมีความคิดที่จะสั่งให้ลูกน้องยิงปืน ส่วนจางอีเต๋อก็ใช้กำลังขึ้นมาในพริบตา สลัดคราบชายชราออกไปจนทำให้ทุกคนตื่นตะลึง เย่เทียนเฉินสามารถสัมผัสได้ถึงพลังอันแข็งแกร่งที่ระเบิดออกมาจากร่างของจางอีเต๋อ หากว่าลงมือ เกรงว่าลานบ้านตระกูลจางแห่งนี้คงต้องนองไปด้วยฝนเลือดแน่นอน
“คุณปู่ หยะ อย่าทำให้พวกเขาลำบากใจเลย พวกเราไปกันเถอะค่ะ!” ตอนนี้เอง มู่หรงซินที่นั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็นแบบพิเศษมาโดยตลอดพลันลืมตาขึ้นอย่างอ่อนแรง สีหน้าซีดขาวเป็นอย่างยิ่ง เอ่ยออกมาด้วยเสียงอันแผ่วเบา
เมื่อมองไปยังเด็กสาวที่มีอายุไล่เลี่ยกับจางรั่วถง ความสิ้นหวังหดหู่ในดวงตานั้น ทำให้ทุกคนรู้สึกเสียใจจริงๆ เดิมทีควรจะเป็นช่วงเวลาที่มีชีวิตชีวาดังฤดูใบไม้ผลิ แต่กลับต้องมาพบกับความยากลำบากแบบนี้ ประดุจมัจจุราชกำลังย่างก้าวเข้ามาหาเธอทีละเล็กทีละน้อย ต้องการที่จะนำชีวิตของเธอไป
“เสี่ยวซิน อย่าพูดอีกเลย ปู่จะต้องหาวิธีได้แน่ จะไม่ปล่อยให้หลานเกิดเรื่องอะไรเป็นอันขาด!” มู่หรงอวี๋ตูมองไปยังหลานสาวแล้วพูดขึ้นด้วยความเสียใจ
แม้ว่าปากจะพูดเช่นนั้น แต่ในใจของมู่หรงอวี๋ตูก็ร้อนรนเป็นอย่างมาก และไม่มีความมั่นใจเลยสักนิด ดูท่าทางแล้วจางอีเต๋อจะไม่มีหนทางจริงๆ หรือจะต้องลงมือฆ่าจางอีเต๋อและหลานสาวของเขาจริงๆ ? มู่หรงอวี๋ตูเพียงแค่ลงเดิมพันเท่านั้นว่าจางอีเต๋อที่สามารถช่วยยืดอายุท่านผู้นำเมื่อปีนั้นได้ จะต้องมีวิธีการแก้พิษสยบกายานี้อย่างแน่นอน
“จางอีเต๋อ ผมจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย ไม่ว่าคุณต้องการอะไร ผมก็จะรับปากคุณทุกอย่าง แต่หากวันนี้คุณไม่ช่วยหลานสาวของผม ผมก็คงทำได้เพียงให้พวกคุณปู่หลานไปตายเป็นเพื่อนหลานสาวของผมแล้ว!” มู่หรงอวี๋ตูพูดอย่างหนักแน่น
“มู่หรงอวี๋ตูคุณอยากได้บีบบังคับผม!” หมัดขวาของจางอีเต๋อกำแน่น พื้นอันราบเรียบของลานบ้านตระกูลจางเกิดลมพัดขึ้นมาระลอกหนึ่ง ทำให้ผู้คนตกตะลึง
จางอีเต๋อเป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง เป็นยอดฝีมือที่ทุกคนคิดไม่ถึง หลายปีมานี้อยู่ในเมืองเล็กๆ แห่งนี้มาโดยตลอด ใช้ชีวิตอย่างพึ่งพาอาศัยกันกับหลานสาว ในสายตาของคนในเมืองแห่งนี้ จางอีเต๋อเป็นชายชราที่ผมและหนวดเคราขาวโพลนคนหนึ่ง ประกอบอาชีพหมอช่วยเหลือผู้คน แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเก็บค่ารักษามาก่อน ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงว่าชายชราเช่นนี้ จะเป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งมากคนหนึ่ง เมื่อลงมือก็สามารถทำให้สั่นสะท้านไปได้ทั้งโลก
บรรยากาศเคร่งเครียดขึ้นเรื่อยๆ มู่หรงอวี๋ตูพาทหารชั้นยอดมา เดินมาเบื้องหน้าจางอีเต๋อ เตรียมจะลงมือพาตัวจางรั่วถงไปได้ทุกเมื่อ ส่วนจางอีเต๋อก็มีบรรยากาศเปลี่ยนไป ปกป้องหลานสาวของตนไว้เบื้องหลัง สามารถที่จะระเบิดพลังลงมือฆ่าฟันได้ทุกเมื่อ เขาจะไม่ยอมให้ใครก็ตามมาทำร้ายหลานสาวของตนเองเป็นอันขาด
“ความจริง บางที อาจจะไม่ใช่ว่าหญ้าสยบกายาจะไม่มีทางรักษา…”
เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน ทุกคนต่างพากันมองไปที่เขา สายตาของจางอีเต๋อเกิดความแปลกประหลาดขึ้น เพียงแต่ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น มู่หรงอวี๋ตูเองก็เต็มไปด้วยความสงสัย กระทั่งเฮยเมี่ยนก็มองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างดุดัน แล้วกัดฟันพูดขึ้นเสียงเบาว่า
“ไอ้หนูแกอย่าได้พูดจามั่วซั่ว หากว่าแกรักษาไม่ได้จะต้องตายแน่ ท่านผู้นำสูงสุดก็ช่วยแกไม่ได้!”
“ไอ้หนู ฉันไม่สนใจว่าแกจะเป็นใคร จะมีจุดประสงค์และความตั้งใจอะไร ตอนนี้ฉันไม่มีเวลามาเล่นกับแก และไม่มีเวลาให้แกมาล้อเล่น ถ้าพูดจามั่วตั้วจะต้องตายแน่!” มู่หรงอวี๋ตูมองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างเย็นชาแล้วพูดขึ้น
“อย่าเอะอะก็ขู่ว่าจะฆ่าคนอื่นสิ คุณไม่กลัวตายแล้วผมจะกลัวตายหรือไง? เกมนี้คุณเล่นไม่ได้หรอก เพราะว่ามันเกี่ยวพันกับชีวิตหลานสาวของคุณ ผมเองก็ไม่มีเวลามาล้อเล่นกับคุณเหมือนกัน ถ้าผมแก้พิษสยบของหลานสาวคุณได้ คุณจะให้เธอหมั้นกับผมหรือไง?” เย่เทียนเฉินเผชิญหน้ากับมู่หรงอวี๋ตูซึ่งเป็นบุคคลที่ถูกหล่อหลอมมาจากไฟสงครามโดยไม่มีความหวาดเกรงแม้แต่น้อย แต่กลับพูดด้วยรอยยิ้มอย่างสบายอารมณ์
………………………….
เมื่อเห็นการจัดกระบวนทัพอันแข็งแกร่งนี้ แม้แต่คนโง่ก็ดูออกว่ามู่หรงอวี๋ตูต้องเป็นคนใหญ่คนโตแน่นอน กระทั่งท่านผู้นำสูงสุดของประเทศก็ยังให้ความสำคัญกับเขาอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าคนเช่นนี้มีอำนาจอิทธิพล และทำผลงานให้แก่ประเทศชาติไปไม่น้อย
เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เฮยเมี่ยนอับจนคำพูดก็คือ ภายใต้สถานการณ์ที่เคร่งเครียดและอันตรายเป็นอย่างมากเช่นนี้ กลับมีนักศึกษาหญิงแปลกหน้าอายุประมาณ 17-18 ปีคนหนึ่งร่วมวงด้วย และที่ยิ่งทำให้อับจนคำพูดเข้าไปใหญ่ก็คือ เย่เทียนเฉินถึงกลับไม่ถามถึงเหตุผล ก็ตอบรับคำขอของนักศึกษาหญิงแปลกหน้าคนนี้ และต้องการพาเธอเข้าไปในลานด้วยกัน
“หากเกิดเรื่องอะไรขึ้น ไอ้หนูอย่างแกต้องรับผิดชอบทั้งหมด!” เฮยเมี่ยนหันไปมองเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก
“วางใจเถอะ ผู้หญิงน่ารักแบบนี้ จะเป็นคนชั่วไปได้ยังไง? คนที่ไม่เข้าใจอารมณ์ของหนุ่มสาวอย่างแก มิน่าล่ะทุกครั้งถึงได้ถูกถูกผู้หญิงสลัดทิ้ง สมควรแล้ว…” เย่เทียนเฉินที่เป็นคนที่ไม่เข้าใจความรักของชายหญิงคนหนึ่ง ในตอนนี้ถึงกับกล้าพูดเสียดสีเฮยเมี่ยนออกมาได้
“แก…แกไปฟังใครพูดมา?” เฮยเมี่ยนอดไม่ได้ที่จะมองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วเอ่ยถามออกมาอย่างดุดัน
“ชางหลาง…อ้อ เขาพูดออกมาโดยไม่ระวังน่ะ!” เย่เทียนเฉินพูดพลางหัวเราะฮี่ๆ
“พวกแก…ชางหลาง ฉันไม่จบกับแกง่ายๆ แน่!” เฮยเมี่ยนกำหมัดแน่น พูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์
เย่เทียนเฉินเห็นว่าเฮยเมี่ยนถูกทำให้โกรธจนหน้าเขียวเข้าจริงๆ ก็อดไม่ได้ที่ยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ เมื่อวันนั้นเขาลากชางหลางมาดื่มเหล้าด้วยกัน สุดท้ายทั้งคู่ก็ดื่มจนเมา ชางหลางเองก็พูดจาออกมามั่วซั่วไปหมด ในตอนที่พูดถึงเฮยเมี่ยน ก็ได้พูดถึงเรื่องน่าอายของเฮยเมี่ยนออกมาเล็กน้อย ตอนนี้ถูกเย่เทียนเฉินเอามาใช้ยั่วยุเฮยเมี่ยนต่อหน้า แน่นอนว่าเฮยเมี่ยนจะต้องโกรธจนอยากจะอัดคน
ในตอนที่เย่เทียนเฉิน เฮยเมี่ยน และนักศึกษาหญิงตัวน้อยแปลกหน้าคนนั้น เดินไปถึงลานด้วยกัน พบว่ากลางลานมีโต๊ะหินอยู่ตัวหนึ่งและเก้าอี้อยู่สามตัว ที่โต๊ะมีชายชราสวมชุดทหารนั่งอยู่ อายุประมาณ 60 ปี หน้าเหลี่ยม โกนหัวจนเกลี้ยง มีบรรยากาศดุดัน ด้านหลังของเขามีบอดี้การ์ดถือปืนท่าทางแข็งแกร่งยืนอยู่สองคน
เชื่อว่าชายชราสวมชุดทหารคนนี้จะต้องเป็นมู่หรงอวี๋ตูแน่นอน เป็นชายชาติทหารที่ผ่านสนามรบมานับร้อยจริงดังคาด ในความคิดของเย่เทียนเฉิน ชายชราคนนี้ดูมีอำนาจเป็นอย่างมาก มีความยิ่งใหญ่ที่ไม่อาจสั่นสะเทือนดั่งเขาไท่ซาน
ฝั่งตรงข้ามของมู่หรงอวี๋ตูมีชายชราอีกคนหนึ่งนั่งอยู่ คนคนนั้นทั้งเส้นผมและหนวดเคราต่างขาวโพลนไปหมดแล้ว ดูผิวเผินมีรูปร่างผอม แต่ดวงตาเปล่งประกาย ในตอนที่พวกเย่เทียนเฉินทั้งสามคนเดินเข้ามา สายตาของชายชราคนนั้นก็มองมายังเย่เทียนเฉินครู่หนึ่ง คล้ายกับต้องการมองให้เห็นถึงอะไรบางอย่าง
“พี่อีเต๋อ ผมมู่หรงอวี๋ตู ชีวิตนี้ไม่เคยขอร้องใครมาก่อน แต่ตอนนี้ผมขอร้องคุณ ได้โปรดช่วยหลานสาวของผมด้วย ไม่ว่าจะมีเงื่อนไขอะไร ผมก็ยินดีจะตอบรับทั้งหมด!” มู่หรงอวี๋ตูมองไปยังชายชราผมขาวที่อยู่ตรงข้ามแล้วพูดขึ้น
คำพูดของมู่หรงอวี๋ตูไม่แข็งกร้าวจนดูหยิ่งและก็ไม่ได้ถ่อมตนจนเกินไป แต่กลับสามารถแสดงให้เห็นถึงความรักที่คุณปู่คนหนึ่งมีต่อหลานสาว โดยเฉพาะมู่หรงอวี๋ตูที่สู้รบอยู่ในสงครามมาชั่วชีวิต จนถึงตอนนี้สายเลือดของตระกูลมู่หรงเหลือมู่หรงซินที่เป็นหลานสาวเพียงคนเดียว ดังนั้นไม่ว่าจะต้องจ่ายค่าตอบแทนอะไรออกไป มู่หรงอวี๋ตูก็ต้องการช่วยเหลือหลานสาวของตน ต่อให้มู่หรงอวี๋ตูจะเอาชนะอุปสรรคในสนามรบมาได้ชั่วชีวิตและมีบรรยากาศแห่งการฆ่าฟันติดตัวมาจากไฟสงครามทจนทำให้ผู้คนต้องสั่นสะท้านโดยไม่รู้ตัว แต่ตอนนี้เพื่อที่จะช่วยหลานสาวของตน มู่หรงอวี๋ตูก็จำเป็นจะต้องวางทิฐิลง
“นายพลมู่หรง คุณจะให้ความสำคัญกับผมจางอีเต๋อเกินไปแล้ว ผมรักษาอาการป่วยของหลานสาวคุณไม่ได้ ผมก็เป็นแค่หมอเดินดินคนหนึ่ง ผมว่าคุณไปขอร้องคนเก่งๆ ดีกว่า อย่าได้เสียเวลาอีกเลย!”
ชายชราผมขาวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของมู่หรงอวี๋ตูหยิบกาน้ำชาของตนขึ้นมารินชาพลางกล่าวอย่างเฉยเมย คล้ายกับว่าความเป็นความตายของหลานสาวของมู่หรงอวี๋ตูไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขา ราวกับว่าเขาไม่ต้องการที่จะรักษา
“ปรมาจารย์จาง ไม่ขอปิดบังคุณ หลังจากที่ผมทำการตรวจสอบออกมาแล้ว ถึงได้หาที่นี่พบ ผมรู้ว่าคุณมีความสามารถที่จะรักษาหลานสาวของผมให้ดีได้ คุณสามารถทำได้แม้กระทั่งยืดเวลาชีวิตออกไป ทำไมถึงไม่เต็มใจที่จะรักษาให้หลานสาวของผมล่ะครับ? ช่วยชีวิตคนคนหนึ่งประเสริฐก่อสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น!” มู่หรงอวี๋ตูพูดออกมาอย่างสะเทือนใจ
เมื่อได้ยินคำพูดของมู่หรงอวี๋ตู ชายชราผมขาวที่ชื่อว่าจางอีเต๋อก็อดไม่ได้ที่จะหยุดการกระทำในมือจนน้ำชาในกาที่กำลังรินใส่แก้วล้นออกมาเต็มโต๊ะ เห็นได้ว่าคำพูดของมู่หรงอวี๋ตูทำให้จางอีเต๋อรู้สึกแปลกใจ
ทุกคนที่อยู่ในที่นี้ นอกจากมู่หรงอวี๋ตูและจางอีเต๋อแล้ว คนที่ฟังเข้าใจจนต้องตกตะลึงก็มีเพียงเย่เทียนเฉินคนเดียว สิ่งที่ทำให้เย่เทียนเฉินคิดไม่ถึงก็คือ ชายชราผมขาวตรงหน้าถึงกับสามารถต่ออายุให้คนได้ หรือเขาจะเป็นเซียนแพทย์เทวะเมื่อ 20 ปีก่อนหน้านี้ เป็นยอดฝีมือผู้มีพลังพิเศษที่มีความสามารถในสายพิเศษ?
“ผมไม่รู้ว่าคุณกำลังพูดอะไร รีบไปเถอะครับ!” เมื่อได้สติกลับมาจางอีเต๋อจึงโบกมือด้วยเจตนาส่งแขก
“ปรมาจารย์จาง ในเมื่อผมพูดมาถึงขั้นนี้แล้ว หวังว่าคุณจะเข้าใจได้ ขอเพียงคุณช่วยหลานสาวของผม เงื่อนไขอะไรผมก็จะตอบรับทั้งนั้น มิเช่นนั้นก็อย่าว่าที่ผมมู่หรงอวี๋ตูจะต้องลงมือ!” มู่หรงอวี๋ตูรู้สึกโกรธขึ้นบ้างแล้ว จ้องมองไปยังจางอีเต๋อแล้วพูดขึ้น
เมื่อเห็นว่าจางอีเต๋อกำลังตกตะลึง มู่หรงอวี๋ตูก็รีบส่งสัญญาณมือ นายทหารสองคนเข็นเก้าอี้รถเข็นแบบพิเศษเข้ามา บนเก้าอี้รถเข็นมีเด็กสาวหน้าตางดงามสะอาดสะอ้านคนหนึ่งนั่งอยู่ ความงดงามเพริศพริ้งของเธอทำให้ทุกคนต้องดวงตาพร่าเลือน เพียงแต่น่าเสียดายที่ใบหน้าของเธอขาวซีด ระหว่างคิ้วถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมนที่อธิบายไม่ถูก ในตอนที่เย่เทียนเฉินเห็นเธอ ดวงตาของเขาก็ไม่มีประกายแม้แต่ครึ่งส่วน ทำเพียงเดินเข้าไปใกล้เก้าอี้รถเข็นแบบพิเศษนั้น
“นี่คือหลานสาวของผม มู่หรงซิน หวังว่าคุณจะช่วยเธอ ผมจะไม่ลืมบุญคุณเลย!” มู่หรงอวี๋ตูประสานหมัดคารวะจางอีเต๋อแล้วพูดขึ้น
จางอีเต๋อมองเด็กสาวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็นครู่หนึ่ง เด็กสาวคนนั้นใบหน้าซีดขาว ลมหายใจรวยระริน ระหว่างคิ้วปกคลุมไปด้วยความหม่นหมอง ไม่รู้ว่าป่วยเป็นอะไร
“ไปเถอะครับ ผมไม่มีความสามารถ คุณเตรียมโลงศพไว้ล่วงหน้าเถอะ!” จางอีเต๋อส่ายหน้า ลุกขึ้นยืนเตรียมจะเดินจากไป
ปัง!
มู่หรงอวี๋ตูใช้ฝ่ามือตบลงบนโต๊ะหินพลางลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้หิน จ้องมองไปยังจางอีเต๋อเขม็งแล้วพูดขึ้น “ปรมาจารย์จาง ผมมู่หรงอวี๋ตู ชั่วชีวิตนี้ฆ่าคนไปไม่น้อย แต่ว่า แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยฆ่าคนบริสุทธิ์ ซินเอ๋อร์เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงคนเดียวของตระกูลมู่หรงของผม หากว่าเธอตาย ผมก็ไม่มีห่วงอะไรอีก ถึงตอนนั้นก็อย่ามาตำหนิผมแล้วกัน!”
จางอีเต๋อหันไปมองมู่หรงอวี๋ตู ดวงตาเจือประกายความโกรธเคือง เขามองไปยังทหารถือปืนรอบๆ สุดท้ายจึงมองไปยังนักศึกษาหญิงแปลกหน้าที่อยู่ข้างกายเย่เทียนเฉิน ทอดถอนใจออกมาแล้วพูดกับมู่หรงอวี๋ตูว่า
“นายพลมู่หรง ในเมื่อคุณพูดมาอย่างชัดเจนแบบนี้แล้ว ผมจางอีเต๋อก็จะพูดกับคุณให้เข้าใจ เกรงว่าหลานสาวคนนี้ของคุณจะไม่ได้เจ็บป่วย แต่ว่าถูกพิษ เป็นพิษประเภทสยบเรียกว่าหญ้าสยบกายา จะทำให้เกิดการเจ็บป่วยเนื่องจากพลังหยินมากเกิน คนที่ถูกพิษไม่มีทางช่วยเหลือมีเพียงหนทางแห่งความตายเท่านั้น ไม่รู้ว่าคุณไปล่วงเกินใคร ถึงได้ต้องการจะฆ่าสายเลือดคนสุดท้ายที่เหลืออยู่เพียงหนึ่งเดียวของตระกูลมู่หรงของคุณ!”
ทุกคนที่ได้ยินคำพูดของจางอีเต๋อต่างก็ต้องสั่นสะท้าน คนที่อยู่ในฐานะและตำแหน่งอย่างพวกเขา ย่อมเข้าใจได้มากกว่าคนธรรมดาทั่วไป กระทั่งเย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะแปลกใจ พิษสยบ ไม่ได้ยินคำนี้มานานแล้ว ในช่วงยุคสิ้นโลกซึ่งเป็นโลกที่มีความแปลกประหลาดทุกสิ่งทุกอย่างอยู่นั้น วิชาสายมืดอันเก่าแก่มากมายต่างก็ถูกขุดออกมา ส่วน “สยบ” ก็คือวิชาประเภทมืดหนึ่งในนั้น หากพูดง่ายๆ ก็คล้ายกับตุ๊กตาวูดู เป็นวิชาสาปแช่ง
แต่พิษที่มู่หรงซินหลานสาวของมู่หรงอวี๋ตูได้รับไม่ใช่คำสาปสยบธรรมดา แต่เป็นพิษสยบ เป็นการรวมพิษกับคำสาปสยบเข้าด้วยกัน ไร้หนทางแก้ไขโดยสิ้นเชิง ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะมีชีวิตรอดแม้แต่น้อย มิน่าล่ะ หลังจากที่จางอีเต๋อเห็นมู่หรงซินถึงได้ปฏิเสธอย่างเด็ดขาด หากต้องการแก้พิษจากหญ้าสยบกายา ยังยากยิ่งกว่าการไต่ขึ้นสวรรค์เสียอีก
“ผมขอบอกคุณอย่างไม่ปิดบัง หญ้าสยบกายาเป็นสมุนไพรพิษระดับสูงประเภทหนึ่ง ในนั้นเขาไปด้วยคำสาปที่ผู้ใช้วิชามีต่อผู้ถูกคำสาป และหญ้าชนิดนี้เดิมทีก็มีพิษอยู่แล้ว รู้ไหมว่าทำไมเมื่อมันเข้าไปในร่างกายของหลานสาวของคุณแล้วเธอถึงยังสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ และใบหน้าสีขาวขึ้นเรื่อยๆ? นั่นก็เป็นเพราะผู้ใช้วิชาต้องการทรมานเธอ ต้องการให้คุณเจ็บปวด จึงได้ลดทอนประสิทธิภาพของหญ้าสยบกายาลง ให้มันค่อยๆ ซึมเข้าไปเพื่อกัดกินเลือดเนื้อของหลานสาวของคุณทีละน้อย จนกระทั่งเลือดของเธอถูกกินจนแห้งเหือด อวัยวะภายในถูกกัดกินจนว่างเปล่า ผู้ใช้อาคมคนนี้โหดเหี้ยมมาก!” จางอีเต๋อพูดพลางส่ายหน้า
“นี่…ปรมาจารย์จาง ไม่ว่าจะอย่างไรคุณก็ต้องช่วยหลานสาวผม ไม่ว่าจะมีเงื่อนไขอะไรผมก็จะตอบรับ ไม่ว่าจะต้องใช้เงินหรืออำนาจอะไร หรือต้องการชีวิตของผม ผมก็ให้คุณได้…” มู่หรงอวี๋ตูตกตะลึง รีบมองไปยังจางอีเต๋อแล้วพูดขึ้น
“ผมไร้ความสามารถจริงๆ คุณไปเถอะ ไปขอร้องคนที่มีความสามารถเถอะ!” จางอีเต๋อพูดพลางส่ายหน้า
“ปรมาจารย์จาง ผมคิดทุกวิถีทางแล้ว ตอนนี้มีเพียงอาศัยคุณเท่านั้น ผมคิดว่าคุณเองก็คงเข้าใจ กว่าผมสามารถหาที่นี่พบก็ลงแรงไปมาก ผมเชื่อว่าคุณจะต้องมีวิธีแน่นอน เมื่อปีนั้นคุณยังสามารถยืดอายุให้ท่านผู้นำได้ ทำไมจะไม่สามารถแก้พิษสยบนี้ได้ล่ะครับ?” มู่หรงอวี๋ตูเอ่ยปากพูด
“เรื่องเมื่อปีนั้นผมเองก็คิดว่าทำเพื่อประโยชน์ของประชาชน ครั้งนี้พิษสยบของหลานสาวของคุณ ผมไร้ความสามารถจริงๆ เชิญคุณไปเถอะครับ อย่าได้มารบกวนการพักผ่อนของผมเลย!” จางอีเต๋อพูดจบก็หมุนตัวเดินไปในบ้าน คล้ายกับว่าต่อให้ต้องตายก็จะไม่ช่วย
เมื่อเห็นจางอีเต๋อไม่เต็มใจที่จะรักษาหลานสาวของตัวเอง มู่หรงอวี๋ตูก็ไร้ซึ่งหนทางจริงๆ แล้ว เขาทำได้เพียงเดิมพันว่าจางอีเต๋อจะมีวิธีการแก้พิษสยบนี้ได้ จางอีเต๋อซ่อนตัวมา 20 ปีแล้ว เมื่อปีนั้นที่ท่านผู้นำป่วยหนักอีกครั้งหนึ่ง ทางรัฐได้ส่งยอดฝีมือจำนวนนับไม่ถ้วนออกไปตามหาแต่ก็หาจางอีเต๋อไม่พบ หากไม่ใช่ว่าวันนี้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีการพัฒนาไปมาก เกรงว่ามู่หรงอวี๋ตูก็คงได้แต่มองหลานสาวตายไปต่อหน้า ไม่อาจตามหาจางอีเต๋อจนเจอ
ทันใดนั้น มู่หรงอวี๋ตูหยิบปืนออกมาจากเอวโดยพลัน เล็งไปยังท้ายทอยของจางอีเต๋อแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “จางอีเต๋อ ผมนับถือในคุณธรรมและวิชาแพทย์ของคุณ ถึงได้เอ่ยปากขอร้อง ถ้าหากหลานสาวผมมีอันตรายอะไรขึ้นมาจริงๆ ผมจะต้องฆ่าคุณแน่ จะฆ่าตระกูลจางของพวกคุณทั้งหมดให้ตายเป็นเพื่อนหลานสาวของผม!”
…………………………….
“ย่าขู่ ความหมายของคุณคือ…” หลิงอวี่สวิ๋นอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“เย่เทียนเฉินในตอนนี้นับว่าเป็นคนที่อยู่ท่ามกลางคลื่นลม และคนที่อยู่ในตำแหน่งเช่นนี้ มีจุดจบเพียงสองอย่างเท่านั้น ถ้าไม่กลายเป็นทรราชที่ทุกคนรู้จักไปทั่ว ก็ตายโดยที่ไม่รู้ตัว เย่เทียนเฉินในตอนนี้จำเป็นต้องทำให้คุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงพ่ายแพ้อย่างรวดเร็วที่สุด เมื่อทำเช่นนั้นไม่เพียงแต่เขาเองจะปลอดภัย แต่จะสามารถสร้างความหวาดกลัวให้กับอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่อื่นๆ ที่คิดจะจัดการกับเขาหรือตระกูลเย่ได้อีกด้วย”
หลิงอวี่สวิ๋นได้ยินคำพูดของย่าขู่จึงได้รู้ตัว เป็นแบบนั้นจริงๆ เย่เทียนเฉินในตอนนี้หลังจากที่กลับมายังเมืองหลวงแล้ว ทุกเรื่องที่กระทำก็ดูเหมือนจะเป็นการสื่อว่าเย่เทียนเฉินต้องการโผทะยานขึ้นมา และตระกูลเย่ที่ตกต่ำต้องการที่จะรุ่งโรจน์ จึงได้รับความสนใจจากอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่จำนวนมาก พวกเขาย่อมไม่ปล่อยให้เย่เทียนเฉินแข็งแกร่งขึ้นมาได้ ในช่วงเวลาสำคัญจะต้องฆ่าเขาแน่ เมื่อถึงตอนนั้นคนที่เย่เทียนเฉินจะต้องต่อกรด้วยไม่ได้มีเพียงคุณชายใหญ่คนเดียว แต่ยังจะมีกลุ่มอำนาจใหญ่ที่คิดไม่ถึงจำนวนมากปรากฏตัวออกมา
ย่าขู่มองหลิงอวี่สวิ๋นครั้งหนึ่ง ผู้หญิงเธอเห็นการเติบโตมาตั้งแต่เด็กและเป็นดั่งหลานสาวแท้ๆ ของเธอ แม้ในยามปกติย่าขู่จะมีท่าทางเย็นชา แต่ในใจของเธอก็รักใคร่หลิงอวี่สวิ๋นมาก ย่อมต้องคิดทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อหลิงอวี่สวิ๋น
“คุณหนู ดิฉันรู้ว่าคุณชอบเย่เทียนเฉิน แต่ด้วยสถานการณ์ของเย่เทียนเฉินในตอนนี้ และยังมีตระกูลเย่และตระกูลหลิงที่แตกต่างกันมากอยู่อีก พ่อของคุณจะต้องไม่เห็นด้วยแน่ที่คุณจะอยู่กับเย่เทียนเฉิน กระทั่งอาจคิดจะส่งคนไปฆ่าเย่เทียนเฉินก็เป็นได้ คุณก็รู้ว่านายท่านทำเรื่องแบบนี้ได้…” ย่าขู่เอ่ยปากพูดต่อไป
ความจริงแล้วสิ่งย่าขู่พูดนั้นไม่ผิดเลย กลุ่มอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่จำนวนหนึ่งจะลงมือโดยไม่สนใจอะไรเพียงเพื่อต้องการจะได้รับผลประโยชน์จำนวนมหาศาล กระทั่งใช้การแต่งงานเพื่อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ก็ไม่ใช่ความแปลกประหลาดอะไร สิ่งที่ยาขู่พูดนั้นเคยเกิดขึ้นมาหลายครั้งแล้ว ไม่ว่าคุณชายที่มีชาติตระกูลหรือคุณหนูสูงศักดิ์ จะไปหลงรักหญิงขี้เหร่หรือชายยากจน ตระกูลก็จะไม่เห็นด้วยโดยเด็ดขาด หากจำเป็นจริงๆ คนในตระกูลก็จะส่งนักฆ่าออกไปจัดการ เพื่อหยุดยั้งความคิดของลูกหลาน ทำให้พวกเขาทำได้เพียงยอมรับการแต่งงานที่ตระกูลจัดเตรียมเอาไว้เท่านั้น เรื่องแบบนี้ไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่
หลิงอวี่สวิ๋นย่อมไม่ยินยอมที่จะเห็นพ่อของตนส่งคนไปฆ่าเย่เทียนเฉินแน่นอน เธอคิดเพียงต้องการจะช่วยเหลือเย่เทียนเฉิน จะอยากให้เย่เทียนเฉินตายไปได้อย่างไร? คำพูดนี้ย่าขู่ทำให้หลิงอวี่สวิ๋นเข้าใจทุกอย่างจนกระจ่างชัด ในช่วงเวลาเช่นตอนนี้ ยิ่งเธอใกล้ชิดกับเย่เทียนเฉินมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นผลร้ายกับเย่เทียนเฉินมากเท่านั้น
เดิมทีเย่เทียนเฉินก็มีเรื่องกับคุณชายใหญ่ที่เป็นบุคคลลึกลับที่ยากจะคาดเดาอยู่แล้ว หากทำให้พ่อของหลิงอวี่สวิ๋นต้องลงมืออีก ก็จะอันตรายมากขึ้น จะทำให้เข้าใกล้ความตายมากยิ่งขึ้น
“ดังนั้นความหมายของดิฉันก็คือ หากเย่เทียนเฉินสามารถโดดเด่นรุ่งโรจน์ขึ้นมาได้ สามารถเอาชนะคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงได้ คุณก็สามารถอยู่กับเขาได้ หากเขาแพ้คุณก็ต้องหยุดความคิด ที่ดิฉันให้เขาบุกมาที่ตระกูลของพวกเรา ก็เพราะสาเหตุนี้ หากกระทั่งประตูใหญ่ของตระกูลหลิงยังเข้ามาไม่ได้ ก็ไม่อาจทำให้พ่อของคุณยอมรับให้คุณคบกับเขาได้!” ย่าขู่พูดอย่างเรียบเฉย
“เขาจะต้องไม่มีปัญหาแน่ ด้วยฝีมือของเขาในตอนนี้ก็เพียงพอที่จะปกป้องตัวเองแล้ว!” หลิงอวี่สวิ๋นพูดอย่างแน่วแน่
“คุณหนู ดิฉันว่าคุณอย่าได้มองโลกในแง่ดีเกินไปนัก ไม่ใช่ว่าดิฉันจะดูถูกเย่เทียนเฉิน ฝีมือของคนคนนี้แข็งแกร่งจริงๆ กระทั่งอาจจะเหนือกว่าฉันด้วยซ้ำ แต่คุณชายใหญ่ไม่เพียงแต่ลึกลับ แต่ยังมีฝีมือแข็งแกร่งยากที่จะรับมือ ที่สำคัญที่สุดก็คืออำนาจที่หนุนหลังเขายิ่งใหญ่มาก ต่อให้เย่เทียนเฉินจะร้ายกาจเพียงใดก็เป็นเพียงคนคนเดียว สองหมัดยากที่จะต่อกรกับสี่หมัด!” ย่าขู่พูดแล้วส่ายหัว
ความจริงแล้วในใจของย่าขู่รู้สึกว่าการปะทะกันระหว่างคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงกับเย่เทียนเฉิน ทั้งสองต่างก็มีอัตราแพ้ชนะครึ่งต่อครึ่ง ด้วยเหตุนี้เธอจึงพูดเช่นนั้นกับเย่เทียนเฉิน เพื่อให้หลิงอวี่สวิ๋นเตรียมใจรอข่าวจากเย่เทียนเฉิน เธอไม่อยากให้หลิงอวี่สวิ๋นรับไม่ได้ในตอนที่ข่าวเรื่องที่เย่เทียนเฉินแพ้และคุณชายใหญ่ฆ่าเขามาถึง
การประมือกับเย่เทียนเฉินในตอนนั้น แม้ใบหน้าของย่าขู่จะไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร แต่ในใจกลับรู้สึกสั่นสะท้าน เธอคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเย่เทียนเฉินจะแข็งแกร่งถึงขนาดนี้ แข็งแกร่งถึงขั้นลึกล้ำไม่อาจคาดเดา โดยเฉพาะการตะโกนนั้นที่สามารถลดทอนการโจมตีของเธอได้จนทำให้เขามีโอกาสหลบ ในเสียงตะโกนนั้นคละเคล้าไปด้วยพลังอันแข็งแกร่ง และลงมือมาอย่างกะทันหัน ราวกับอยู่ดีๆ มังกรเผือกที่กำลังจำศีลก็คำรามออกมา สั่นสะท้านจนมึนงง
“ไม่ หนูเชื่อมั่นในตัวเขา เขาจะเอาชนะคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงได้แน่นอน ต้องทำได้แน่นอน!” หลิงอวี่สวิ๋นพลันพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
ในตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินที่เดินไปถึงประตูบ้านของตนเองแล้ว กำลังจะเคาะประตูเข้าไป ทันใดนั้นเขารู้สึกว่ามีคนอยู่ด้านหลัง คนคนนี้ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน ก่อนหน้านี้เย่เทียนเฉินไม่อาจสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของผู้มาเยือน แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าคนผู้นี้แข็งแกร่งมาก
ฉัวะ!
ในตอนที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคือใคร วิธีการที่ดีที่สุดก็คือลงมือโจมตี ไม่ว่าจะเป็นใคร เมื่อซัดอีกฝ่ายจนพ่ายแพ้ถึงจะไร้ข้อผิดพลาด เย่เทียนเฉินหมุนตัวพลางปล่อยมันออกไปด้วยความรวดเร็วเป็นอย่างมาก ต่อให้ไม่มีพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันเจือปนอยู่ ก็ยังคงเป็นหมัดที่ไม่อาจดูเบาได้
ตู้ม!
หมัดทั้งสองปะทะกัน คนที่ยืนอยู่ด้านหลังเย่เทียนเฉินไม่ได้ถอย แต่ใช้หมัดซัดเข้ามาเช่นเดียวกัน เพราะเขาไม่เคยถอยให้กับใคร ต่อให้เป็นเย่เทียนเฉินที่หลายคนคิดว่ามีความสามารถลึกล้ำเกินคาดเดาก็ตาม นอกจากนี้เขายังคิดที่จะสู้กับเย่เทียนเฉินสักครั้งมานานแล้ว อยากจะสั่งสอนไอ้หนูนี่ว่าอย่าได้ไม่เห็นยอดฝีมือทัพฟ้าอยู่ในสายตา
เย่เทียนเฉินและคนด้านหลังที่ปรากฏตัวอย่างกะทันหันประหมัดกันอย่างรุนแรง ทั้งสองถูกแรงปะทะจนถอยออกไปคนละสองก้าว ต่างก็มีสภาพพอกัน แน่นอนว่าทั้งสองไม่ได้ลงมือเต็มที่
“หึ จะช้าจะเร็วฉันก็ต้องอัดแกแน่!” ชายร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเย่เทียนเฉินแค่นเสียงเย็นออกมาครั้งหนึ่งแล้วพูดขึ้น
“หือ? แกอยู่ไหนน่ะ? ทำไมฉันมองไม่เห็น? อ้อ…ที่แท้แกก็ดำเกินไปนี่เอง!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยน้ำเสียงสงสัยเต็มเปี่ยม
“แก…”
“บอกมาเถอะว่ามาหาฉันมีเรื่องอะไร? คงไม่คิดจะเลี้ยงบะหมี่ฉันใช่ไหม? บะหมี่ของเฮยเมี่ยน บะหมี่ดำ?”
เย่เทียนเฉินเล่นมุกไม่ฮาที่ดูงงๆ ออกมา บางทีหากคนอื่นมาได้ยินคงไม่ตลก แต่ชายร่างใหญ่ที่ยืนอยู่หน้าเขานี้กลับโกรธจนจ้องเขาด้วยดวงตาแดงก่ำ ต้องการที่จะลงมืออัดให้หนักๆ เพราะเขาก็คือเฮยเมี่ยนยอดฝีมือระดับทัพฟ้า
“จะช้าจะเร็วฉันก็ต้องอัดแกให้เละเป็นโจ๊ก!” เฮยเมี่ยนกำหมัดที่แข็งแกร่งดุจเหล็กจนส่งเสียงกรอบแกรบแล้วกัดฟันพูด
“มีอะไรก็พูดมา ฉันยุ่งมาก ยังต้องไปกินข้าวเย็นอีก!” เย่เทียนเฉินพูดพลางหัวเราะฮี่ๆ
“แก…มีเรื่องหนึ่ง ต้องการให้แกไปกับฉัน…” เฮยเมี่ยนโกรธจนแทบกระอักเลือด แต่ยังคงพูดออกมาอย่างอดทน
“อะไรนะ? พี่เฮย ดูบ้างเถอะว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว เกือบจะสองทุ่มเเล้ว ยังมีภารกิจอีก? องค์กรของพวกคุณจะไร้คุณธรรมเกินไปหรือเปล่า?”
เย่เทียนเฉินพูดออกมาอย่างทนไม่ไหว เดิมทีเขาก็ไม่ใช่คนที่จะยอมรับการควบคุมจากคนอื่น ต่อให้จะตอบรับคำของหยางอี้และผู้นำสูงสุดไปว่าหากมีเวลาก็จะทำเรื่องเพื่อชาติบ้าง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามีเรื่องอะไรก็จะมาหาเขาได้ เย่เทียนเฉินเต็มใจจะทำหรือไม่ล้วนต้องดูอารมณ์ของเขาด้วย
หากคนอื่นรู้เรื่องนี้เกรงว่าจะต้องตกใจจนคางร่วงแน่นอน ใครกล้าขัดคำสั่งของท่านผู้นำสูงสุดบ้าง? เกรงว่าทั่วทั้งประเทศจีนจะมีเพียงเย่เทียนเฉินคนเดียวที่กล้ากระทำเช่นนี้กับคำสั่งของท่านผู้นำ และยังกล้าเอาอารมณ์ของตนเป็นที่ตั้ง
“ฉันไม่อยากจะมาพูดกับไอ้หนูอย่างแกแม้แต่ประโยคเดียว เพียงแต่จะบอกเรื่องคำสั่งของท่านผู้นำสูงสุดให้แกฟัง คำสั่งคือต้องการให้แกกับฉันไปคุ้มครองคนคนหนึ่งทั้งคืน เพราะหากคนคนนี้เกิดเรื่องขึ้น จะส่งผลคุกคามไปถึงความปลอดภัยของประเทศ จะไปหรือไม่ไป?” เฮยเมี่ยนมองเย่เทียนเฉินแล้วเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์
“มีคนแบบนี้ด้วย? ไม่มีเขาแล้วโลกจะไม่โคจรรอบดวงอาทิตย์หรือไง? ใครล่ะ?” เย่เทียนเฉินถามอย่างไม่พอใจ
“มู่หรงอวี๋ตู!” เฮยเมี่ยนพูดด้วยน้ำเสียงเคารพ
“มู่หรงอวี๋ตู? ไม่เคยได้ยินมาก่อน!” เย่เทียนเฉินโบกมือพลางพูดอย่างไม่พอใจ
“แก…ไอ้หนูอย่างแกไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรจริงๆ งั้นฉันจะบอกแกให้ ตระกูลมู่หรงหลายรุ่นสร้างผลงานยิ่งใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงและความเป็นปึกแผ่นของประเทศไว้มาก ผู้อาวุโสมู่หรงอวี๋ตูกุมอำนาจทางการทหารทั้งหมดของภาคเหนือของจีนเอาไว้ในมือ เมื่อปีนั้นเพื่อที่จะปกป้องประเทศชาติ ลูกชายทั้งสี่คนของเขาต่างก็ตายในสนามรบ ตอนนี้เหลือหลานสาวเพียงคนเดียวก็คือมู่หรงซิน ดูเหมือนว่ามู่หรงซินจะถูกพิษ ผู้อาวุโสมู่หรงอวี๋ตูต้องการที่จะใช้พลังอำนาจทั้งหมด กระทั่งท่านผู้นำสูงสุดก็ยังใส่ใจเรื่องนี้ สุดท้ายจึงหาหมอเทวดาคนหนึ่งเจอที่เมืองเล็กๆ อันห่างไกลในเขตชานเมือง แต่ได้ข่าวว่าหมอเทวดาผู้นี้มีนิสัยสันโดษเอาแต่ใจ ในขณะเดียวกันก็มีคนคิดที่จะกำจัดผู้อาวุโสมู่หรงอวี๋ตูอย่างลับๆ เพื่อความปลอดภัยของเขาท่านผู้นำจึงตัดสินใจให้แกกับฉันไปคุ้มครองหลานสาวของท่าน!”
เฮยเมี่ยนอธิบายให้เย่เทียนเฉินได้ฟังถึงภารกิจในครั้งนี้ออกมารวดเดียว
“ในเมื่อมู่หรงอวี๋ตูมีอำนาจขนาดนั้น ข้างกายจะต้องไม่ขาดแคลนยอดฝีมือที่จะคุ้มครองเขาแน่ จะต้องใช้ฉันกับแกอีกทำไม แยกย้ายกันกลับบ้านไปนอนเถอะ!” เย่เทียนเฉินหาวครั้งหนึ่งแล้วพูดออกมา
“หากมันง่ายอย่างที่แกพูดจริงๆ เรื่องนี้คงสำเร็จไปนานแล้ว ครั้งนี้อาจจะมียอดฝีมือมาลอบสังหารมู่หรงอวี๋ตู ยิ่งไปกว่านั้นการที่ส่งฉันกับแกไปคุ้มครองเขาก็เป็นน้ำใจของท่านผู้นำ และเป็นท่าทีของบุคคลระดับสูงด้วย!” เฮยเมี่ยนมองเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น
“ยอดฝีมือ? กระทั่งขุนศึกระดับทัพฟ้าก็ออกโรงแล้ว ไม่รู้ว่ามู่หรงอวี๋ตูไปล่วงเกินใครเข้า ถึงกับกล้าส่งคนมาลอบสังหารเขา ดูแล้วยอดฝีมือที่ลอบโจมตีเขาคงจะแข็งแกร่งมาก!” เย่เทียนเฉินคิดแล้วพูดขึ้น
“จะไปหรือไม่ไปก็แล้วแต่ คำพูดของท่านผู้นำฉันบอกแกแล้ว ฉันเชื่อว่าด้วยความสามารถของฉันคนเดียว ต่อให้เป็นคนแข็งแกร่งขนาดไหนฉันก็สามารถหยุดมันได้!” เฮยเมี่ยนพูดอย่างหนักแน่น
“โม้ให้น้อยหน่อยเถอะ ไป ฉันจะไปเป็นเพื่อนแกเอง แต่แกต้องให้มู่หรงอวี๋ตูเลี้ยงข้าวฉันด้วย ฉันยังไม่ได้กินข้าวเย็น!” เย่เทียนเฉินคิดแล้วพูดออกมา
“แกก็ไปพูดกับท่านผู้อาวุโสมู่เองเถอะ ฉันไม่มีหน้าจะทำแบบนั้น!” เฮยเมี่ยนมองเย่เทียนเฉินอย่างเอือมระอา
………………………..
“หรือนายคิดว่า อาศัยแค่พลังของนายคนเดียวจะสามารถหาคนหลังม่านออกมาได้?” หลิ่วหรูเหมยมองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างเอือมระอาแล้วเอ่ยถามออกมา
ฝีมือของเย่เทียนเฉินแข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งจนถึงขั้นไม่อาจจินตนาการได้ ในจุดนี้หลิ่วหรูเหมยรู้ดี การเดินทางไปประเทศ M นั้น หากไม่ใช่เย่เทียนเฉิน เกรงว่าพวกหลิ่วหรูเหมยไม่เพียงแต่จะทำภารกิจแลกเปลี่ยนไม่สำเร็จ แต่ยังต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นั่นอีกด้วย หลังจากที่หลิ่วหรูเหมยกลับประเทศมาแล้วก็วุ่นวายอยู่กับการวิจัยและพัฒนาอาวุธเพื่อกองทัพมาโดยตลอด จนกระทั่งถึงตอนนี้ถึงจะมีเวลาว่าง เรื่องเมื่อปีนั้นเป็นปมที่อยู่ในใจของหลิ่วหรูเหมยมาโดยตลอด ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่เธอพูดก็ไม่ใช่เรื่องโกหก หลายปีมานี้ตระกูลหลิ่วรู้สึกได้ว่ามีกลุ่มอำนาจหนึ่งที่ต้องการควบคุมตระกูลหลิ่วมาตลอด แต่น่าเสียดายที่ส่งยอดฝีมือและมือสังหารออกไปจำนวนมากก็ยังไม่สามารถตรวจสอบอะไรได้ หลิ่วหรูเหมยจึงคิดมาร่วมมือกับเย่เทียนเฉิน
เพียงแต่หลิ่วหรูเหมยคิดไม่ถึงว่า หลังจากที่เย่เทียนเฉินได้ฟังข้อเสนอของตน จะถึงกับคิดจะไปตรวจสอบเรื่องเมื่อปีนั้นด้วยตัวคนเดียว เจ้าหมอนี่จะโอหังกินไปแล้ว จะประเมินตัวเองสูงเกินไปหรือเปล่า? ต้องทราบว่าตระกูลหลิ่วส่งยอดฝีมือออกไปจำนวนมากก็ยังไม่สามารถตรวจสอบจนกระจ่างชัดได้ กระทั่งเบาะแสสำคัญเพียงเล็กน้อยก็ยังหาไม่พบ เห็นได้ชัดว่าบุคคลที่อยู่หลังม่านไม่ธรรมดา เย่เทียนเฉินต้องการตรวจสอบเรื่องเมื่อปีนั้นด้วยตัวคนเดียว เพลงว่าจะเป็นเรื่องน่าขันแล้ว
“ถูกต้อง ฉันคิดทบทวนเรื่องเมื่อปีนั้นแล้ว จุดที่น่าสงสัยที่สุดก็คือไป๋อู่ ได้ยินว่าหลายปีมานี้เจ้าหมอนี่ใช้ชีวิตไม่ได้เลวเลย ฉันคิดจะไปดูแลเขาสักหน่อย…” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม
“ฉันว่านายอย่าไปจะดีกว่า ไป๋อู่ในตอนนี้ไม่ใช่ไป๋อู่เมื่อตอนนั้นแล้ว ตอนนี้เขาเป็นนายน้อยสองแห่งพรรคคุณชาย ด้วยฐานะของเขาเกรงว่าหากต้องการที่จะพบไป๋อู่คงไม่ง่ายแบบนั้น!” หลิ่วหรูเหมยมองเย่เทียนเฉินแล้วพูดอย่างจริงจัง
ไป๋อู่เมื่อปีนั้นก็เป็นเหมือนกับเย่เทียนเฉินในอดีต เป็นคุณชายในตระกูลชั้นสามของเมืองหลวง ตอนนั้นเย่เทียนเฉินเรื่อยเฉื่อยเสเพล เรียกได้ว่าเป็นสหายเสเพลกับไป๋อู่ ฐานะของทั้งสองไม่ได้สูงส่ง แต่ตั้งแต่ที่เย่เทียนเฉินแอบดูหลิ่วหรูเหมยอาบน้ำจนสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วทั้งเมืองหลวง ไป๋อู่ก็หายตัวไประยะหนึ่ง ในตอนที่เขาปรากฏตัวออกมาอีกครั้งก็กลายเป็นนายน้อยสองแห่งพรรคคุณชายไปแล้ว เรียกได้ว่าตำแหน่งกระโดดสูงขึ้นหลายขั้น ทำให้คนจำนวนมากประหลาดใจ
พรรคคุณชายหากพูดตรงๆ ก็พรรคของลูกคุณหนูคุณชายทั้งหลาย นี่เป็นองค์กรแบบไหนเชื่อว่าทุกคนก็คงรู้ เหล่าคุณหนูคุณชายสูงศักดิ์ที่อยู่ในนั้น มีกี่คนที่เป็นลูกหลานเจ้าขุนมูลนาย? ทุกคนต่างก็มีพื้นแพเบื้องหลังแข็งแกร่ง ไม่มีใครกล้าล่วงเกิน จินตนาการได้เลยว่า คนที่สามารถกลายเป็นนายน้อยสองแห่งพรรคคุณชายได้จะมีอำนาจแข็งแกร่งเพียงใด? คุณหนูคุณชายในนั้น ต่างก็ยโสโอหังและหยิ่งผยองจนถึงขีดสุด จะยอมรับคนอื่นด้วยตัวเองได้อย่างไร?
ส่วนไป๋อู่นั้นเป็นคนที่มีพื้นเพเบื้องหลังไม่แข็งแกร่งอะไร แต่ก็ยังสามารถกระโดดไปเป็นนายน้อยสองแห่งพรรคคุณชายได้ ทำให้ผู้คนต้องตื่นตะลึงจริงๆ และที่ทำให้ต้องสงสัยก็คือ การที่เขาได้รับตำแหน่งมากมายเช่นนี้ในชั่วพริบตา จะเป็นเพราะมีคนแนะนำให้เขาทำเรื่องขายเย่เทียนเฉินเมื่อปีนั้น และในขณะเดียวกันก็ทำให้ตระกูลหลิวและตระกูลเย่ขายหน้าหรือไม่
ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าหลิ่วหรูเหมยพูดไม่ผิด ไป๋อู่กลายเป็นนายน้อยสองแห่งพรรคคุณชายไปแล้ว สามารถเรียกได้ว่าเป็นคนที่เรียกลมได้ลมเรียกฝนได้ฝนในเมืองหลวง ต่อให้เป็นแค่เหล่าคุณหนูคุณชายสูงศักดิ์ที่อยู่ใต้เขา หากต้องการที่จะใช้อำนาจของตระกูลกระทำเรื่องอะไรขึ้นมา เชื่อว่าจะต้องทำให้ผู้คนต้องสั่นสะท้านอย่างแน่นอน
“พรรคคุณชาย? จะยังไงก็ไม่ได้ไปเล่นที่นั่นนานแล้ว ไม่รู้ว่าคนพวกนี้เป็นยังไงบ้าง เมื่อปีนั้นฉีกหน้าฉันจนพอแล้วหรือยัง? ใช่แล้ว ตอนนี้ลูกพี่ใหญ่ของพวกเขาคือใคร?” เย่เทียนเฉินเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“ไม่รู้” หลิ่วหรูเหมยพูดพลางส่ายหัว
“หือ? ไม่ใช่เฉินเจียงเหรอ? นี่เพิ่งจะผ่านมาไม่กี่ปี พรรคคุณชายเปลี่ยนลูกพี่ซะแล้ว?” เย่เทียนเฉินถามอย่างสงสัย
“เฉินเจียงตายแล้ว ตอนนี้ลูกพี่ใหญ่ของพรรคคุณชายเป็นความลับ แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยออกหน้า ตลอดมาล้วนเป็นไป๋อู่และนายน้อยสามที่จัดการเรื่องต่างๆ!” หลิ่วหรูเหมยพูดพลางขมวดคิ้ว
“เฉินเจียงตายแล้ว? เกิดเรื่องตอนไหนกัน?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความประหลาดใจ
“ก่อนหน้านี้หนึ่งปี เป็นปีที่นายไปเป็นทหาร เขาถูกคนฆ่าในคฤหาสน์ แฟนสาวทั้งสามคนของเขาก็ถูกฆ่าด้วย สภาพที่เกิดเหตุอนาถมาก!” หลิ่วหรูเหมยเองก็พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
เมื่อได้ยินคำพูดของหลิ่วหรูเหมย เย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง เขาคิดไม่ถึงว่าจากไปเพียงหนึ่งปี พรรคคุณชายจะถูกเปลี่ยนมือแล้ว ก่อนหน้านี้เย่เทียนเฉินเองก็เป็นสมาชิกพรรคคุณชาย แน่นอนว่าความตกต่ำของตระกูลเย่ทำให้เย่เทียนเฉินที่อยู่ในพรรรคคุณชายถูกรังแกและกดดันไม่น้อย ส่วนเรื่องการตายของเฉินเจียงนั้นทำให้เย่เทียนเฉินตกตะลึงมากจริงๆ เพราะในความคิดของเขา เฉินเจียงไม่ใช่คนโง่ สามารถขึ้นเป็นหัวเรือใหญ่ของพรรคคุณชายได้ ต่อให้โง่ก็ต้องมีความฉลาดอยู่บ้าง พูดได้ว่าจุดอ่อนเพียงอย่างเดียวเฉินเจียงก็คือบ้ากาม บ้ากามจนถึงขั้นทำให้ผู้หญิงต้องคุกเข่า บางทีการตายของเฉินเจียงอาจจะเกี่ยวข้องกับผู้หญิง และบางทีอาจจะถูกผู้หญิงฆ่าตายก็เป็นได้ แต่ไม่ว่าเขาจะตายอย่างไร เรื่องนี้ก็ต้องมีลับลมคมใน คงไม่ง่ายเช่นนั้น
“อำนาจของตระกูลเฉินก็ไม่ได้อ่อนแอ เฉินเจียงถูกฆ่าตาย เกรงว่าตระกูลเฉินจะไม่ยอมจบง่ายๆ แน่…”
“หลังจากที่เกิดเรื่อง ยอดฝีมือจำนวนมากของตระกูลเฉินก็มีการเคลื่อนไหวจริงๆ แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด หลังจากนั้นสามวันจึงมีข่าวลือออกมาว่าเฉินเจียงฆ่าตัวตาย เรื่องนี้จึงได้สิ้นสุดลง เห็นได้ว่าเฉินเจียงตายอย่างอัปยศอดสู นับเป็นโศกนาฏกรรมอย่างหนึ่ง!”
เย่เทียนเฉินคิดครู่หนึ่ง อดไม่ได้ที่จะแย้มยิ้มที่มุมปาก ท่าทางดูจะสนุกมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว เรื่องราวไม่ง่ายขนาดนั้น คนหลังม่านผู้นี้ร้ายกาจมาก หากตนเองต้องการที่จะจับเขาออกมาก็เป็นการท้าทายมาก ทั้งยังเพิ่มความลึกลับและความน่าสนใจของเกมอีกด้วย
“น่าสนุก ฉันคิดว่าจะต้องเป็นเกมที่ไม่เลวเกมหนึ่งแน่นอน พวกเธอกลับไปก่อนเถอะ ฉันจะไปตรวจสอบแน่!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย
“นายจะไปหาไป๋อู่จริงๆ เหรอ? ฉันว่านายอย่าไปเสี่ยงอันตรายเลยจะดีกว่า ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นด้วย!” หลิ่วหรูเหมยเอ่ยปาก
ในความคิดของหลิ่วหรูเหมย หากเย่เทียนเฉินไปหาไป๋อู่และถามถึงเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อปีน้ำตรงๆ แม้แต่คนโง่ก็ยังรู้ว่า หากไป๋อู่มีปัญหาจริงๆ ไม่เพียงแต่จะไม่พูดเรื่องปีนั้นออกมา แต่ยังจะคิดหาวิธีฆ่าปิดปากเย่เทียนเฉินอีกด้วย นี่เป็นการรนหาที่ตายโดยแท้
การที่หลิ่วหรูเหมยไม่ได้ไปหาไป๋อู่โดยตรงหลังจากที่ตรวจสอบจนพบว่าเขามีปัญหานั้นมีเหตุผลอยู่สองข้อ ข้อแรกเพราะเกรงว่าจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น ข้อที่สองนั้นเป็นสาเหตุที่สำคัญมากสาเหตุหนึ่ง นั่นก็คือด้วยตำแหน่งและฐานะของไป๋อู่ในตอนนี้ ทำให้ไม่สามารถล่วงเกินได้ง่ายๆ ท่ามกลางเมืองหลวงมีกลุ่มอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่ต่างๆ มากมายที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวโยงกัน หลิ่วหรูเหมยจำเป็นต้องคิดถึงตระกูลหลิ่วของตน ไม่สามารถทำอะไรมั่วซั่วได้
“วางใจเถอะ ฉันรู้ว่าจะจัดการยังไง คนบางคนก็หยิ่งทะนง ต่อให้ถูกตีจนตายก็ไม่พูดอะไรแม้แต่ประโยคเดียว แต่บางคนก็หน้าตัวเมีย ไม่อัดไม่ได้ ต้องอัดให้แทบตายถึงจะได้ผล!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม
“นาย…” หลิ่วหรูเหมยยังไม่ทันพูดอะไรเย่เทียนเฉินก็หมุนตัวเดินไปแล้ว ทำให้เธอโกรธจนพองแก้มออกมา แต่ไหนแต่ไรก็ไม่มีใครกล้าทิ้งเธอที่เป็นคนสวยคนหนึ่งเอาไว้แบบนี้มาก่อน เย่เทียนเฉินเป็นคนแรก
“ใช่แล้ว จำคำพูดของฉันเอาไว้ให้ดี ทำการศึกษาวิจัยข้อมูลอาวุธนิวเคลียร์อะไรของเธอนั่นให้ดีๆ ไป ถ้าเรื่องนี้ได้ผลอะไรแล้วฉันจะบอกเธอเอง!” เย่เทียนเฉินหันไปพูดกับหลิ่วหรูเหมย จากนั้นจึงเดินหายไปท่ามกลางความมืด
“ไอ้หมอนี่…”
หลิ่วหรูเหมยโกรธจนกระทืบเท้า ส้นสูงเซ็กซี่คู่หนึ่งรวมกับเรียวขางดงามราวแจกันหยก ดูน่ารักน่าหมั่นเขี้ยวมาก แต่หลิ่วหรูเหมยเป็นผู้หญิงที่เฉลียวฉลาดและหน้าตางดงามจริงๆ ไม่นานก็ดึงสติกลับมาจากความโมโหเหมือนเด็กน้อยได้
“หย่งชุนไท่ คุณว่าเรื่องนี้พวกเราจะทำยังไงต่อไปดี?” หลิ่วหรูเหมยปรึกษากับหย่งชุนไท่
“ในเมื่อเย่เทียนเฉินคิดจะจัดการคนเดียว งั้นพวกเราก็รอดูการเปลี่ยนแปลงเถอะ ว่ากันตามจริงแล้ว ตระกูลเย่ตกต่ำลง จะล่มสลายหรือไม่ก็ไม่มีผลกระทบยิ่งใหญ่อะไร เย่เทียนเฉินสามารถกระทำการคนเดียวได้โดยไม่ต้องพึ่งพาอาศัยการส่งเสริมของตระกูล แต่ตระกูลหลิ่วไม่เหมือนกัน หากก่อเรื่องใหญ่อะไรขึ้นมา ก็จะส่งผลกระทบไปถึงตระกูลหลิ่ว จะต้องใคร่ครวญให้มากสักหน่อย!” หย่งชุนไท่พูดอย่างจริงจัง
“อืม แต่ฉันเองก็ต้องออกแรงบ้าง จะอย่างไรเรื่องเมื่อปีนั้นก็ส่งผลกระทบกับพวกเราทั้งสองคน ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องนี้ส่งผลเชิงลบกับเย่เทียนเฉินไม่น้อย รู้สึกผิดกับตระกูลเย่ของเขาจริงๆ!” หลิ่วหรูเหมยพูดแล้วทอดถอนใจ
“หรูเหมย เพราะเธอใจดีเกินไปเมื่อปีนั้นถึงได้ถูกคนวางแผนร้ายใส่จนมีเรื่องกับเย่เทียนเฉิน ไปเถอะ พวกเราส่งคนไปตรวจสอบอย่างลับๆ ก็พอแล้ว!” หย่งชุนไท่พูดแล้วส่ายหน้า
หย่งชุนไท่และหลิ่วหรูเหมยจากไปแล้ว ส่วนเย่เทียนเฉินกำลังผิวปากเดินทอดน่องอยู่บนถนน มุ่งหน้าไปยังประตู มุมปากคาบบุหรี่มวนหนึ่ง กำลังคิดว่าจะตรวจสอบเรื่องที่ถูกใส่ร้ายอย่างไรดี เรื่องนี้จะต้องทำให้กระจ่างชัดให้ได้ กล่าวได้ว่าเป็นความอัปยศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เย่เทียนเฉินเคยได้รับ เย่เทียนเฉินที่เคยเป็นผู้มีพลังพิเศษระดับพระเจ้า เป็นคนที่มีแค้นต้องชำระ ลูกผู้ชายควรจะเป็นเช่นนี้ เมื่อจัดการกับคนถ่อยย่อมไม่จำเป็นต้องออมแรง
ในขณะที่เย่เทียนเฉินที่เดินเอ้อระเหยอยู่นั้น เขาคิดไม่ถึงเลยว่า ในสถานที่แห่งหนึ่ง จะมีสาวสวยคนหนึ่งและหญิงชราคนหนึ่งกำลังพูดคุยเกี่ยวกับตนเองอยู่ สองคนนี้ก็คือหลิงอวี่สวิ๋นและย่าขู่
“ย่าขู่ ต่อให้พวกเราไม่สามารถช่วยเย่เทียนเฉินได้ ก็ไม่เห็นต้องไปกระตุ้นเขาแบบนั้นเลย? หากเขาไปวุ่นวายกับคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงขึ้นมาจริงๆ คงต้องตายแน่!” หลิงอวี่สวิ๋นพูดอย่างกังวล
“คุณหนู ความจริงที่ดิฉันกระตุ้นเขาก็เพื่อคุณหนู…” แม้ว่าย่าขู่จะมีท่าทางเย็นชา แต่กลับพูดด้วยน้ำเสียงเมตตา
“เพื่อนหนูเหรอคะ? ย่าขู่…” หลิงอวี่สวิ๋นมองไปยังอีกฝ่ายด้วยความแปลกใจ ไม่รู้ว่าคำพูดนี้ของย่าขู่มีความหมายอะไร
“คุณหนู ดิฉันเห็นคุณเติบโตมาตั้งแต่เล็ก คุณคิดอย่างไรดิฉันจะมองไม่ออกเชียวหรือ คุณไม่ใช่แค่เพื่อนสมัยเด็กกับเย่เทียนเฉินเท่านั้น แต่คุณยังชอบเขาจริงๆ แล้ว…”
“ย่าขู่ เป็นแบบนั้นที่ไหนกันคะ…”
“คุณอย่าเพิ่งขัดคำพูดของดิฉันเลย ฟังให้จบก่อน… เย่เทียนเฉินเคยเป็นคุณชายเสเพลในเมืองหลวง ก่อเรื่องไปไม่น้อย และล่วงเกินคนไปไม่น้อย ดังนั้นตอนนี้เมื่อเขากลับมาที่เมืองหลวงแล้ว จะต้องมีคนมากมายที่อยากจะกำจัดเขา หรือกระทั่งอยากฆ่าเขาแน่นอน ในตอนที่คนเพียงคนเดียวต้องเผชิญหน้ากับศัตรูมากมาย หนทางเดียวก็คือต้องโจมตีกลับ ต้องทำลายศัตรูทุกคนที่มีถึงจะสามารถรักษาตนเองให้ปลอดภัยได้ ถึงจะสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้!” ย่าขู่มองหลิงอวี่สวิ๋นแล้วพูดขึ้น
………………………………..
คฤหาสน์ที่เย่เทียนเฉินอาศัยอยู่ไม่นับว่าใหญ่และไม่นับว่าเล็ก ที่นี่ไม่ใช่สถานที่รวมตัวของผู้ร่ำรวยในเมืองหลวง และไม่ใช่สถานที่ที่ผู้มีอำนาจจะอาศัยอยู่ แต่ครอบครัวที่สามารถซื้อคฤหาสน์ในเมืองหลวงได้ จะอย่างไรก็ยังเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินเงินทองอยู่บ้างเล็กน้อย ดังนั้นวิวทิวทัศน์ในคฤหาสน์แห่งนี้ก็นับว่าไม่เลวเลยทีเดียว
ตอนนี้เย่เทียนเฉินและผู้หญิงหน้าตางดงามที่มาเยือนอย่างกะทันหันคนนั้นเดินไปนั่งในศาลาเล็กๆ บริเวณไม่ไกลแล้วเริ่มสนทนากัน ส่วนเรื่องที่ว่าผู้หญิงคนนี้มาเยือนอย่างกะทันหันเพราะเรื่องอะไรหรือมีจุดประสงค์อะไร เย่เทียนเฉินเองก็ไม่รู้
ตอนนี้เอง ในห้องโถงใหญ่ของคฤหาสน์ตระกูลเย่ หลัวเยี่ยนขมวดคิ้ว ส่วนเย่เชี่ยนเหวินก็มองไปยังแม่ของตนอย่างสงสัยแล้วถามขึ้น “แม่คะ คนคนนั้นเป็นใคร? มาหาพี่ดึกๆ ทำไมกัน?”
ที่เย่เชี่ยนเหวินพูดว่าดึกนั้นไม่ได้หมายความถึงเวลาดึก แต่ผู้หญิงหน้าตาสวยงามคนหนึ่งมาหาพี่ชายของตนถึงบ้านหลังฟ้ามืดแบบนี้ ทำให้รู้สึกแปลกๆ จริงๆ
“เชี่ยนเหวิน แม่อยากให้พี่ชายของลูกแต่งงานเร็วๆ ก่อนหน้านี้ตอนที่พี่เขาทำตัวเรื่อยเปื่อยไปวันๆ แม่ก็อยากให้เขาแต่งงานเร็วๆ เพราะคิดว่าถ้ามีคนดูแลเขาอาจจะทำให้เขามีความรับผิดชอบขึ้น ตอนนี้แม่อยากให้พี่ชายของลูกแต่งงานเร็วๆ ก็เพราะไม่อยากให้เขาทำให้ผู้หญิงคนอื่นเสียใจ เหมือนกับฉีหรูเสวี่ย หลิงอวี่สวิน สองคนนี้นิสัยไม่เลวเลย ไม่ว่าพวกเธอคนไหนที่มาเป็นลูกสะใภ้ของแม่ แม่ก็จะดีใจมาก แต่คนเดียวที่แม่จะไม่ยอมรับโดยเด็ดขาดก็คือคนที่มาหาพี่ชายของลูก!” หลัวเยี่ยนพูดพลางมองไปที่ลูกสาวของตน
“แม่คะ ผู้หญิงที่มาหาพี่เมื่อกี้ หากจะเทียบอย่างจริงจังแล้วยังสวยกว่าพี่หรูเสวี่ยกับพี่อวี่สวิ๋นอีก…แล้วยังก้นใหญ่มาก เหมาะกับรสนิยมของพี่มากเลย!” เย่เชี่ยนเหวินพูดล้อเล่นออกมาแล้วหัวเราะชั่วร้าย
หลัวเยี่ยนมองลูกสาวแวบหนึ่ง ก่อนหน้านี้ตอนที่เย่เทียนเฉินยังทำตัวเสเพล หลัวเยี่ยนคิดว่าขอแค่มีผู้หญิงคนหนึ่งที่รู้เรื่องรู้ราวก็เพียงพอแล้ว ตอนนี้ลูกชายรู้เรื่องรู้ราวขึ้นมา เธอจึงรู้สึกดีใจขึ้นมาก แต่ระยะนี้ก็เกิดเรื่องขึ้นมากมาย ทำให้หลัวเยี่ยนรู้สึกกระสับกระส่าย เธอสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของเย่เทียนเฉินผู้เป็นลูก อย่างน้อยก็รู้สึกได้ว่าเย่เทียนเฉินเข้าใจเรื่องราวต่างๆ มากขึ้น ตอนนี้ดูแล้วลูกชายคนนี้ไม่เพียงแต่เข้าใจเรื่องราว แต่ยังกล้าหาญมากอีกด้วย ชอบทำตามหลักการโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะเป็นผู้ใด ใครกล้ามาหาเรื่องก็จะใช้หมัดตอบโต้อย่างรุนแรง
คนเป็นแม่คนไหนบ้างที่ไม่อยากให้ลูกของตนเองมีอนาคตมีความสามารถ กลายเป็นคนมีหน้ามีตาเพื่อสร้างชื่อเสียงให้วงศ์ตระกูล? โดยเฉพาะสำหรับตระกูลเย่ที่ในตอนนี้ตกต่ำจนถึงขั้นที่ผู้มีอิทธิพลธรรมดาธรรมดาคนหนึ่งก็สามารถรังแกได้ ต้องมีคนมาทำให้รุ่งโรจน์และรักษาศักดิ์ศรีของตระกูลจริงๆ เพียงแต่หลัวเยี่ยนก็เป็นหญิงที่มาจากตระกูลใหญ่คนหนึ่ง เธอเข้าใจถึงหลักการอย่างหนึ่ง ในเมืองหลวงมีกลุ่มอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่มากมาย การฟื้นฟูตระกูลหนึ่งๆ จะต้องได้รับความกดดันจากกลุ่มอำนาจใหญ่ต่างๆ แน่นอน หากต้องการที่จะฟื้นฟูให้รุ่งเรืองขึ้นจริงๆ เป็นเรื่องที่ยากมาก เป็นไปได้มากว่าจะมีจุดจบที่ร่างกายเหลวแหลกเป็นชิ้นหรือถูกฆ่าล้างตระกูล ดังนั้นหลัวเยี่ยนยอมให้เย่เทียนเฉินผู้เป็นลูกลิ้มรสความสุขของชีวิตไปอย่างสงบสุขชั่วชีวิต ดีกว่าให้เขาพบกับอันตรายใดๆ
“ลูกรู้ไหมว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร?” หลัวเยี่ยนหยุดไปครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยถามเย่เชี่ยนเหวิน
“ใครเหรอคะ? หนูไม่เคยเจอ!” เย่เชี่ยนเหวินเองก็พูดด้วยความแปลกใจ
“หลิ่วหรูเหมย!” หลัวเยี่ยนพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“อะไรนะ? เป็นเธอเองเหรอ? เธอ…เธอมาหาพี่ทำไม? คงไม่เกี่ยวกับเรื่องเมื่อปีนั้นหรอกมั้ง?”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลัวเยี่ยน เย่เชี่ยนเหวินก็อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงพี่ชายขึ้นมา จะอย่างไรเธอก็คิดไม่ถึงว่า ผู้หญิงที่มาเยือนอย่างกะทันหันจะเป็นหลิ่วหรูเหมย
เรื่องเกี่ยวกับหลิ่วหรูเหมยและพี่ชาย เย่เชี่ยนเหวินย่อมรู้ เพียงแต่ว่าในตอนนั้นเธอกำลังเรียนมัธยมปลายปีหนึ่งอยู่ และยังเรียนในโรงเรียนประจำ ดังนั้นจึงไม่ได้ไปบ้านตระกูลหลิ่วด้วย และไม่เคยเห็นหลิ่วหรูเหมยมาก่อน เมื่อปีนั้น เย่เทียนเฉินแอบมองหลิ่วหรูเหมยอาบน้ำ ทำให้เกิดคลื่นลมอันรุนแรงไปทั่วทั้งเมือง กลุ่มอำนาจใหญ่ทุกกลุ่มต่างต้องสั่นสะท้าน ไม่เพียงแต่คนตระกูลหลิ่วจะโกรธ กระทั่งเหล่าคุณชายของตระกูลใหญ่ต่างๆ ที่ตามจีบหลิ่วหรูเหมยก็ยังต้องการฆ่าเย่เทียนเฉิน ต้องการควักลูกตาของเขาออกมา ไม่อนุญาตให้เขาดูหมิ่นนางฟ้าหลิ่วหรูเหมยเด็ดขาด
เพื่อที่จะสงบเรื่องนี้ พ่อแม่ของเย่เชี่ยนเหวินจึงพาเย่เทียนเฉินไปขอโทษถึงตระกูลหลิ่ว แน่นอนว่าต้องได้รับความอัปยศกลับมา แต่จะดีจะร้ายอย่างไรก็ยังรักษาชีวิตเอาไว้ได้ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเย่เทียนเฉินก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป บางทีอาจเป็นเพราะความอัปยศในครั้งนั้น ที่ต้องเห็นพ่อแม่ขอร้องอ้อนวอนตระกูลหลิ่ว ทำให้ในใจของเย่เทียนเฉินถูกกระทบอย่างรุนแรง ไม่ออกจากบ้านหนึ่งเดือนเต็มๆ พอออกมาก็ลาออกจากโรงเรียนเพื่อไปเข้าร่วมกับกองทัพ
หลังจากที่เกิดเรื่องนี้ขึ้น ตระกูลหลิ่วและตระกูลเย่ก็ไม่มีการไปมาหาสู่กันอีก และตระกูลเย่ที่เดิมทีตกต่ำลงนั้น ก็ไม่มีคุณสมบัติและความสามารถมากพอที่จะเทียบเคียงตระกูลหลิ่วได้ หากกล่าวกันตามหลักเหตุผลแล้วตระกูลหลิ่วและตระกูลเย่คงไม่อาจมีการติดต่อใดๆ ต่อกันไปตลอดกาล คิดไม่ถึงว่าหลิ่วหรูเหมยจะมาหาเย่เทียนเฉินผู้เป็นพี่ด้วยตัวเอง นี่ทำให้หลัวเยี่ยนแล้วเย่เชี่ยนเหวินรู้สึกสงสัย แน่นอนว่าพวกเธอไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ที่เย่เทียนเฉินไปประเทศ M ก็เพื่อทำภารกิจปกป้องคุ้มครองหลิ่วหรูเหมย ดังนั้นทั้งสองคนจึงมีการติดต่อกันมาก่อนแล้ว
“มีเรื่องอะไรก็พูดมาเถอะ ฉันยังต้องกลับบ้านไปกินข้าวอีก!” เย่เทียนเฉินมองหลิ่วหรูเหมย พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
สำหรับหลิ่วหรูเหมยแล้ว หากตอนนั้นไม่ใช่เพราะเย่เทียนเฉินเกิดนึกสนุก ต้องการใช้โอกาสนี้ไปเปิดหูเปิดตาผู้มีพลังพิเศษที่ประเทศ M อีกทั้งยังได้ตอบรับภารกิจจากชางหลางไปแล้ว เย่เทียนเฉินคงไม่มีทางคุ้มครองหลิ่วหรูเหมยไปแน่ หลังจากที่กลับประเทศมา ระหว่างหลิ่วหรูเหมยและเย่เทียนเฉินก็ไม่ได้มีการติดต่อกันอีก ถึงแม้เรื่องเมื่อปีนั้นจะทำให้มีความเข้าใจผิดกัน แต่ทั้งสองก็ไม่สามารถเป็นดั่งเพื่อนสนิทหรือกระทั่งพูดคุยกันได้ หากทำเช่นนั้นก็จะรู้สึกกระอักกระอ่วน
หลิ่วหรูเหมยมองเย่เทียนเฉินแล้วกล่าวออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ “นายคิดว่าฉันอยากมาหานายหรือไง? หลงตัวเองเกินไปแล้ว!”
“ในเมื่อไม่อยากมาหาฉัน ก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ลาก่อน!” เย่เทียนเฉินยักไหล่ หมุนตัวทำท่าจะเดินไป
ไหนเลยจะรู้ว่า เย่เทียนเฉินเพิ่งจะหมุนตัวไป หย่งชุนไท่ก็ขวางหน้าเขาเอาไว้ เย่เทียนเฉินมันให้ความเคารพหย่งชุนไท่มาก คนเพียงคนเดียวต่อให้จะแข็งแกร่งขนาดไหน ก็ไม่อาจไม่เคารพผู้อาวุโส ไม่อาจเย่อหยิ่งอวดดี คนประเภทนั้นจะไม่มีวันแข็งแกร่งขึ้นอย่างแท้จริงโดยเด็ดขาด
“หย่งชุนไท่ ผมไม่อยากลงมือกับคุณ แต่คุณก็อย่ามาบีบบังคับผม!” เย่เทียนเฉินมองอีกฝ่ายแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
“บางทีถ้าลงมือขึ้นมาจริงๆ ฉันคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเด็กหนุ่มอย่างเธอหรอก แต่ว่าครั้งนี้พวกเราต้องการเป็นพันธมิตรกับเธอ หรือจะกล่าวให้ชัดเจนก็คือต้องการที่จะร่วมมือกัน มีผลประโยชน์ทั้งสองฝ่าย…” หย่งชุนไท่เองก็พูดด้วยรอยยิ้ม
“ร่วมมือกัน? ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย?” เย่เทียนเฉินชะงักไปครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยถาม
“ถูกแล้ว เรื่องเมื่อปีนั้นที่นายแอบมองฉันอาบน้ำ มีลับลมคมในอยู่มากจริงๆ ด้วยความสามารถที่เหมือนแมวสามขาของนายเมื่อตอนนั้น ต่อให้มีนายอีกสิบคนก็ไม่สามารถเข้าไปห้องอาบน้ำของฉันได้ ดังนั้นจะต้องมีคนวางแผนใส่ร้ายนายแน่นอน ในขณะเดียวกันก็ต้องการทำลายชื่อเสียงของฉันด้วย หรือนายไม่คิดอยากจะดึงคนคนนี้ออกมา?” หลิ่วหรูเหมยเดินไปด้านหน้า ดวงตาทั้งสองจ้องมองไปที่เย่เทียนเฉินแล้วถามออกมา
เมื่อได้ยินคำพูดของหลิ่วหรูเหมย เย่เทียนเฉินก็ชะงักไป เขาต้องการที่จะตรวจสอบให้แน่ชัดว่าเป็นใครแน่นอนอยู่แล้ว เมื่อปีนั้นเป็นใครกันแน่ที่คิดวางแผนใส่ร้ายตน ต้องการที่จะทำให้เขาตาย เพียงแต่หลังจากที่กลับมาจากประเทศ M ก็เกิดเรื่องราวขึ้นไม่หยุดหย่อน จนไม่มีเวลาไปตรวจสอบ จึงได้ยืดเยื้อมาถึงตอนนี้
ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดหลิ่วหรูเหมยจึงคิดจะตรวจสอบเรื่องนี้ให้ชัดเจนนั้น เย่เทียนเฉินก็สามารถคาดเดาได้บ้าง นอกจากต้องการที่จะทำให้ตนเองที่เป็นผู้หญิงคนหนึ่งมีชื่อเสียงขาวสะอาดแล้ว ก็เป็นเพราะหลายปีมานี้ ตระกูลหลิ่วยิ่งใหญ่จนรัฐให้ความสำคัญ กลุ่มอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่อื่นๆ ต่างก็จ้องจะตะครุบดั่งพญาเสือ ตระกูลหลิ่วเองก็ต้องการที่จะแสดงอํานาจ
“ลองพูดมาสิ พวกเธอตรวจสอบพบเบาะแสอะไรบ้างแล้ว?” เย่เทียนเฉินหยิบบุหรี่ออกมามวนนึง จุดบุหรี่ขึ้นสูบแล้วถามออกมา
“ไม่ขอปิดบังนาย ที่ฉันต้องการตรวจสอบเรื่องนี้ให้กระจ่างชัดและจับตัวผู้ร้ายหลังม่านออกมา สาเหตุสำคัญเพราะว่าหลายปีมานี้ฉันรู้สึกได้ว่า คนที่อยู่หลังม่านต้องการที่จะจัดการกับตระกูลหลิ่วของฉันมาโดยตลอด ส่วนเรื่องที่ตระกูลเย่ของนายก็ตกต่ำลงเรื่อยๆ คนในตระกูลก็ไม่อาจทำผลงานออกมาได้เลยแม้แต่น้อยก็อาจจะเป็นเพราะสาเหตุนี้…” หลิ่วหรูเหมยมองเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้นอย่างจริงจัง
“ความหมายของเธอก็คือ คนที่อยู่หลังม่านต้องการจัดการกับตระกูลเย่และตระกูลหลิวของพวกเราไปพร้อมๆ กัน ต้องการดึงตระกูลของพวกเราไปสู่ความตายงั้นหรือ?” เย่เทียนเฉินถามอย่างสงสัย
“ถูกต้อง!”
เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว รู้สึกคำพูดของหลิ่วหรูเหมยมีเหตุผล ในขณะเดียวกันก็รู้สึกแปลกใจ บุคคลหลังม่านผู้นี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ที่ไม่ธรรมดาก็นั้นไม่ใช้เพราะเขาต้องการจัดการกับตะกูลหลิ่วและตะกูลเย่ แต่เป็นเพราะเรื่องที่เขาควบคุมและจัดการทุกอย่างอยู่ในเงามืดมาตลอดหลายปี จนถึงตอนนี้ก็ยังเป็นความลับที่ไม่มีใครล่วงรู้ ดูแล้วบุคคลหลังม่านคนนี้ร้ายกาจมาก ด้วยอำนาจของตระกูลหลิ่วในตอนนี้ก็ยังหาไม่พบ ช่างไม่ธรรมดาจริงๆ
“ว่าต่อไป…” เย่เทียนเฉินได้สติกลับมาจึงสูบบุหรี่เข้าไปครั้งหนึ่งแล้วกล่าวขึ้น
“ไป๋อู่ หากต้องการตรวจสอบเรื่องนี้ให้ชัดเจนจำเป็นต้องเริ่มจากไป๋อู่ แต่ถ้าคนอื่นๆ ของพวกเราเข้าใกล้ไป๋อู่ เขาจะต้องระมัดระวังตัวแน่ นายเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เพราะก่อนหน้านี้นายก็เป็นคุณชายเสเพล เชื่อว่าหากจะเข้าไปตีสนิทกับเขาอีกครั้งก็คงไม่มีปัญหา!” มุมปากของหลิ่วหรูเหมยปรากฏรอยยิ้ม มองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น
“ไป๋อู่เป็นเบาะแสก็จริง แต่ฉันไม่ได้ไปคลุกคลีกับวงสังคมพวกนั้นนั้นมาหลายปีแล้ว ถึงแม้จะยังมีตำนานของฉันอยู่ก็ไม่แน่ว่าจะใช้การได้!” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยท่าทางขึงขัง
ในตอนนี้หลิ่วหรูเหมยและหย่งชุนไท่มีความรู้สึกอยากจะอัดเย่เทียนเฉินสักยก เจ้าหมอนี่บางครั้งก็ทำเป็นเล่นมากเกินไปแล้ว ทั้งๆ ที่พูดว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก แต่ก็ยังทำนิสัยเหลวไหลออกมาอีก ช่างทำให้อับจนคำพูดจริงๆ
“พูดแบบนี้แสดงว่านายตกลงแล้วใช่ไหม? พวกเราจะร่วมมือกันหาคนที่อยู่หลังม่านนั้นออกมา จะไม่ให้เขาสร้างปัญหาให้กับตระกูลเย่และหลิ่วของพวกเราอีก!” หลิ่วหรูเหมยเอ่ยถามพลางมองไปยังเย่เทียนเฉิน
“อืม ถ้าว่างฉันจะไปเทียนซ่างเหรินเจียนสักครั้ง ส่วนเรื่องที่พวกเธอต้องทำ ฉันคิดว่าในตอนที่ยังไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็อย่าได้ติดต่อกันอีก หากเป็นเหมือนที่เธอพูดจริงๆ ที่ว่าหลายปีมานี้คนหลังม่านยังสนใจที่จะควบคุมเรื่องอะไรพวกนั้นอยู่ ฉันเชื่อว่าตอนนี้พวกเราคงถูกเขาจับตามองอยู่แน่นอน!” ในระหว่างที่เย่เทียนเฉินพูด พลังพิเศษแห่งการรับรู้พลันแผ่ขยายออกไปในชั่วพริบตา หากว่าพบคนน่าสงสัย เขาจะต้องลงมือฆ่าอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
………………………….
ย่าขู่และเย่เทียนเฉินเพิ่งจะเจอหน้ากันครั้งแรก แต่หากจะกล่าวว่าเหตุใดย่าขู่จึงดูถูกเย่เทียนเฉิน อีกทั้งในคำพูดมีความเสียดสีปนอยู่ คำอธิบายอย่างเดียวก็คือหลิงอวี่สวิ๋น
ถึงแม้ว่าเบื้องหน้าย่าขู่จะทำตัวเย็นชากับหลิงอวี่สวิ๋น ดูเหมือนว่าจะไม่เห็นหลิงอวี่สวิ๋นเป็นคุณหนูของตระกูลหลิง ไม่มีความเคารพนอบน้อมระหว่างนายบ่าวอยู่เลยแม้แต่น้อย แต่ในใจของหลิงอวี่สวิ๋นรู้ดีว่า ย่าขู่รักตนเองมาก ตั้งแต่เล็กจนโตก็คอยปกป้องเธอมาโดยตลอด ขอเพียงเธอมีอันตราย ย่าขู่ก็จะเป็นคนแรกที่ปรากฏตัวออกมา ก็เหมือนกับการปกป้องหลานสาวของตนเอง
เพียงแต่ที่ทำให้หลิงอวี่สวิ๋นรู้สึกสงสัยก็คือ แม้ว่าจะมีบางครั้งที่ย่าขู่เย็นชา ไม่พูดจามากมาย แต่ก็ไม่ใช่คนที่จะลงมือกับคนอื่นง่ายๆ โดยเด็ดขาด เหตุใดเธอจึงได้ลงมือกับเย่เทียนเฉินโดยไม่พูดไม่จา?
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีอันรวดเร็วและรุนแรงของย่าขู่ เย่เทียนเฉินก็ไม่สามารถหลบเลี่ยงได้ ทำได้เพียงตะโกนออกมาในช่วงพริบตา เสียงตะโกนนี้ปะปนไปด้วยพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชัน สั่นไหวจนทำให้หลิงอวี่สวิ๋นอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นปิดหูเอาไว้ ส่วนย่าขู่นั้นก็ถูกทำให้การโจมตีด้วยมือทั้งสองช้าลง
ในตอนที่ช้าลงไปนี้ เย่เทียนเฉินก็หลบการโจมตีของย่าขู่ ในขณะเดียวกันก็ต่อยไปที่ย่าขู่ นี่เป็นยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณคนหนึ่ง เย่เทียนเฉินไม่โง่จนถึงขั้นลงมือไว้ไมตรีต่อนางเพียงเพราะนางเป็นหญิงชรา เหตุผลนั้นง่ายมาก ในสังคมปัจจุบันนี้มีคนชราเป็นจำนวนมากที่โหดเหี้ยมน่ารังเกียจยิ่งกว่าอายุของตนเองเป็นร้อยเท่า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงในพรรควรยุทธโบราณเลย ยิ่งแก่ก็ยิ่งมีฝีมือลึกล้ำยากที่จะคาดเดา
ตู้ม!
เย่เทียนเฉินส่งหมัดปะทะเข้าไป ย่าขู่ขมวดคิ้ว เธอคิดไม่ถึงเลยว่าลูกหลานของตระกูลเย่ เย่เทียนเฉินคนนี้จะแข็งแกร่งห้าวหาญอยู่บ้างจริงๆ ตนเองดูเบาความสามารถของเขาเกินไป เมื่อครู่นี้ลงมืออย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ลงมือเต็มกำลัง แต่อย่างน้อยก็ใช้พลังเจ็ดส่วน แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะถูกเย่เทียนเฉินหลบเลี่ยงได้ โดยเฉพาะเสียงตะโกนอย่างกะทันหันของเขา ให้ความรู้สึกที่ทำให้จิตวิญญาณของผู้คนต้องสั่นไหว ไม่รู้ว่าเป็นวิชาอะไร
ในใจคิดไป แต่มือก็ไม่ได้ช้าลงเลย ย่าขู่ไม่ได้หลบเลี่ยง ใช้ฝ่ามือตบปะทะเข้าไปยังเย่เทียนเฉิน หมัดและฝ่ามือปะทะกัน ทั้งสองยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย ทำให้หลิงอวี่สวิ๋นที่อยู่ด้านข้างตกใจจนอ้าปากค้าง แต่ไหนแต่ไรมาเธอก็ไม่เคยเห็นคนที่สามารถประมือกับย่าขู่อย่างสูสีมาก่อน และไม่เคยมีใครที่รับการโจมตีของย่าขู่ได้ ต่างก็ถูกฆ่าตายในเวลาเพียงไม่กี่วินาที ไม่ว่าภายภาคหน้าจะปรากฏยอดฝีมือที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นมาหรือไม่ อย่างน้อยเย่เทียนเฉินก็เป็นคนแรก
“ไม่แปลกเลยที่เธอจะมีความมั่นใจ ความสามารถแข็งแกร่งจริงๆ แต่ว่าสิ่งที่ฉันอยากจะบอกเธอก็คือ ด้วยฝีมือในตอนนี้ของเธอ ก็จะต้องตายอยู่ดี เพราะคุณชายใหญ่ร้ายกาจกว่าเธอมาก!” ย่าขู่พูดอย่างเย็นชา
“งั้นเหรอครับ? สู้กับคุณผมไม่จำเป็นต้องใช้พลังเต็มที่หรอก แต่ถ้าสู้กับคุณชายใหญ่ตดหมาอะไรนะ ผมก็คิดว่าไม่จำเป็นต้องใช้พลังเต็มที่เหมือนกัน!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม
“เธอ…ความหมายของเธอก็คือ เธอยังไม่ได้ลงมือเต็มที่?” ย่าขู่ขมวดคิ้ว กำหมัดแน่นแล้วเอ่ยถาม
“ผมไม่ทำร้ายคนแก่ แน่นอนว่าจะต้องไม่ใช่คนแก่ที่ร้ายกาจเกินไป!” เย่เทียนเฉินยังคงพูดต่อไปด้วยรอยยิ้มที่ไม่มีพิษมีภัย
ย่าขู่ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงผ่อนคลายลง ไม่มีท่าทางคิดอยากจะลงมืออีก ยิ้มออกมาด้วยความโกรธเคืองเป็นอย่างมาก มองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น “ดี ฉันจะดูสักหน่อยว่าเธอจะปากดีได้มากขนาดไหน เมื่อถึงเวลาที่จะต้องเห็นตระกูลเย่ถูกฆ่าล้าง ใจยังปากดีต่อไปได้อีกหรือไม่…”
“คุณคิดว่าผมไม่ใช่คู่มือของคุณชายใหญ่จริงๆ หรือครับ?” เย่เทียนเฉินถามอย่างเรียบเฉย
“ไม่ใช่คิดว่า แต่แน่ใจ หากว่าเธอสู้กับคุณชายใหญ่ ไม่เพียงแต่เธอที่จะต้องตาย ตระกูลเย่ของเธอก็จะถูกฆ่าล้างด้วย” ย่าขู่ไม่ได้มองเย่เทียนเฉินดีเลยสักนิด กลับพูดด้วยน้ำเสียงเสียดสี
“ดี ถ้าอย่างนั้นพวกเรามาเดิมพันกันหน่อยเป็นยังไง?” ทันใดนั้นเย่เทียนเฉินก็ถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“เดิมพัน? เธออยากจะเดิมพันอะไร?” ย่าขู่มองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วเอ่ยถามอย่างสงสัย
“ถ้าหากว่าคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงพ่ายแพ้ คุณจะต้องไปที่ตระกูลเย่ของผมด้วยตนเอง ไปขอโทษถึงบ้าน!” เย่เทียนเฉินมองย่าขู่แล้วพูดขึ้นอย่างจริงจัง
“เธอ…กล้าดีนี่ แต่ไหนแต่ไรมายังไม่มีใครกล้ามาบอกให้ฉันขอโทษมาก่อน เธอเป็นคนแรก ฉันก็จะตอบรับคำขอของเธอ รอให้เธอชนะคุณชายใหญ่ได้เสียก่อนก็มาหาฉันที่ตระกูลหลิง เงื่อนไขก็คือเธอต้องสามารถเข้ามาที่ประตูหน้าของตระกูลหลิงได้!” ในที่สุดย่าขู่ก็พูดขึ้นแล้วพยักหน้า
“งั้นก็ดีครับ ตระกูลหลิง จะช้าจะเร็วก็ต้องมีสักวันหนึ่งที่จะได้ไปเยือน!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม
เมื่อหลิงอวี่สวิ๋นส์และย่าขู่จากไปแล้ว เย่เทียนเฉินก็ไม่ได้พูดอะไรให้มากความ ถึงแม้ว่าเขาจะมองออกว่าหลิงอวี่สวิ๋นไม่อยากไป ไม่สามารถทิ้งเขาไว้ได้ แต่ตอนนี้เย่เทียนเฉินรับรู้ได้ว่า บางทีหลิงอวี่สวิ๋นคงเป็นอย่างที่เสี้ยวหยาพูดจริงๆ ไม่ได้มีเพียงมิตรภาพในวัยเด็กต่อตนเองเท่านั้น แต่ยังคงมีความรักอยู่บ้างเล็กน้อย ดังนั้นเย่เทียนเฉินจึงพูดกับหลิงอวี่สวิ๋นเพียงประโยคเดียวเท่านั้น
“ไม่เป็นอะไรหรอก รอฉันอยู่ที่บ้านนั่นแหละ เมื่อถึงเวลาฉันจะไปหาเธอเอง พวกเราก็จะได้เล่นด้วยกันอีกครั้ง ไปเรียนด้วยกันอีก!”
ดูเหมือนจะเป็นคำพูดที่เรียบง่ายและเรียบเฉย แต่กลับทำให้หลิงอวี่สวิ๋นสะอึกสะอื้น สะอึกสะอื้นจนไม่สามารถพูดคำใดออกมาได้ น้ำตาไหลออกมาจากหางตาทั้งสอง ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มเจิดจ้า มีสีหน้ามีความสุข เธอสามารถรับรู้ได้ถึงความสำคัญที่เย่เทียนเฉินมีต่อตน อย่างน้อยในใจของเย่เทียนเฉินก็มีตำแหน่งของเธออยู่ นี่ทำให้หลิงอวี่สวิ๋นดีใจมาก
“ฉันจะรอนาย!” หลิงอวี่สวิ๋นยิ้มทั้งน้ำตา พูดออกมาอย่างจริงจัง
เย่เทียนเฉินพยักหน้า โบกมือลาให้หลิงอวี่สวิ๋น เขาไม่อยากจะทำตัวเป็นนักรัก และไม่อยากให้ผู้หญิงทุกคนในโลกมาหลงรักเขา เพียงแต่เขาได้มาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ ก็สาบานเอาไว้ว่าจะปกป้องและทะนุถนอมคนข้างกาย ให้พวกเขามีความสุข
เขาสตาร์ทรถรถมอเตอร์ไซค์ของตนเองจากนั้นจึงขับไปจากมหาวิทยาลัย ในระหว่างนี้เขารู้สึกถึงบรรยากาศอันแข็งแกร่งที่กำลังจับจ้องตนเองอยู่ แต่เขาก็ไม่ได้สนใจ ตอนนี้จะต้องเก็บกวาดศัตรูที่ปรากฏตัวให้เห็นเบื้องหน้าเสียก่อน รอให้จัดการศัตรูในทางเปิดเผยก่อน ศัตรูในทางลับย่อมปรากฏออกมาเอง เมื่อถึงตอนนั้นจะเก็บกวาดก็ยังไม่สาย
ที่เย่เทียนเฉินเดิมพันกับย่าขู่นั้น สาเหตุก็ง่ายดายเป็นอย่างมาก ในเมื่อเขาตัดสินใจที่จะสร้างอำนาจของตน เหตุใดจะไม่ถือโอกาสนี้ทำตระกูลเย่ให้ยิ่งใหญ่ล่ะ? ยังไม่ต้องสนใจเรื่องลุงสองกับลุงสาม เพียงแต่คิดว่าการทำให้ตระกูลเย่ยิ่งใหญ่ และรุ่งเรืองขึ้นมาอีกครั้ง พ่อแม่และน้องสาวคงจะดีใจมาก เย่เทียนเฉินก็จะทำเช่นนั้น
ต้องการสร้างอำนาจเป็นของตนเอง ต้องการทำให้ตระกูลเย่เติบโต ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ในวันเดียว ยังต้องค่อยๆ เดินไปทีละก้าว จำเป็นต้องค่อยๆ สร้างศักดิ์ศรีหน้าตาของตระกูลเย่ขึ้นมาอีกครั้ง ให้ขั้วอำนาจอื่นๆ และตระกูลใหญ่อื่นๆ ได้รู้ว่า ตระกูลเย่รุ่งเรืองขึ้นมาแล้ว ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ใครก็จะรังแกได้!
เวลาประมาณหนึ่งทุ่ม เย่เทียนเฉินจอดรถมอเตอร์ไซค์ไว้ที่ประตูบ้าน ผลักประตูให้เปิดออกแล้วเดินเข้าไป พบว่าหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่กำลังทำอาหารอยู่ในครัว ส่วนน้องสาวเย่เชี่ยนเหวินกำลังเล่นคอมอยู่ที่ห้องโถง เล่นอย่างมีความสุขเป็นอย่างมาก ถึงกับหัวเราะออกมาเป็นบางครั้ง
“เลิกเล่นได้แล้ว…ฮ่าๆๆๆ!” เย่เทียนเฉินเดินไปด้านหลังของน้องสาวและกดปุ่มปิดบนโน๊ตบุ้ค ทันใดนั้นเย่เชี่ยนเหวินที่กำลังเล่นเกมอย่างมีความสุขได้แต่มองอย่างโง่งม เพราะโน๊ตบุ้คถูกปิดไปแล้ว
“อา… พี่ หนูจะฆ่าพี่ ไม่ง่ายเลยกว่าจะเล่นได้ที่ห้า… มาให้ตีเดี๋ยวนี้!”
เย่เชี่ยนเหวินตะโกนใส่เย่เทียนเฉินแล้วพุ่งเข้าไป ยกกำปั้นขาวนวลขึ้นจะทุบลงไป เย่เทียนเฉินหัวเราะเสียงดังแล้ววิ่งหนี ทำให้เย่เชี่ยนเหวินโกรธจนต้องขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้ววิ่งตามไป พี่ชายจะไม่เอาไหนเกินไปแล้ว ไม่ง่ายเลยกว่าเล่นเกมนั้นจนได้ที่ห้า เล่นไปสองชั่วโมงเต็มๆ ไม่รู้ว่าเริ่มใหม่ไปตั้งกี่ครั้ง ตอนนี้เพียงพริบตาเดียวก็ถูกพี่ชายทำร้ายจนหมดสิ้น เย่เชี่ยนเหวินจะไม่โกรธได้อย่างไร
“พวกเธอสองพี่น้องทะเลาะอะไรกันอีก เลิกโวยวายได้แล้ว มาหยิบถ้วยหยิบตะเกียบไปเถอะ เตรียมกินข้าวได้!” หลัวเยี่ยนที่อยู่ในครัวได้ยินเสียงทะเลาะกัน จึงเดินออกมาพบว่าเย่เทียนเฉินและเย่เชี่ยนเหวินกำลังวิ่งไล่กันอยู่ จึงอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมาแล้วส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม
“รู้แล้วครับคุณแม่ ผมจะไปเดี๋ยวนี้!” เย่เทียนเฉินหัวเราะฮี่ๆ แล้วพูดขึ้น
“แม่คะ อีกเดี๋ยวค่อยกินข้าวเถอะ หนูรับพี่ไม่ได้จริงๆ…” เย่เชี่ยนเหวินทำปากยู่ กำหมัดแน่นแล้วไล่ตีเย่เทียนเฉินต่อไป
“พวกเธอสองพี่น้องเหมือนกับเด็กๆ เลย…”
หลัวเยี่ยนพูดพลางหัวเราะ ยังพูดไม่ทันจบก็ได้ยินเสียงเคาะประตู เธอส่ายหน้าแล้ววางตะเกียบในมือลง จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วเดินไปที่ประตู เมื่อเปิดประตูออกก็มองไปว่าเป็นใครถึงได้มาหาดึกดื่นขนาดนี้ ในตอนที่หลัวเยี่ยนเปิดประตูคฤหาสน์ออกไปนั้นก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง
เย่เทียนเฉินและเย่เชี่ยนเหวินนั้น ถึงแม้ว่าจะทะเลาะกันอยู่ แต่เมื่อได้ยินเสียงหลัวเยี่ยนเปิดประตูแล้วไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรอีก ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกใจ
“แม่คะ ใครเหรอ คุณพ่อกลับบ้านแล้วใช่หรือเปล่าคะ?” เย่เชี่ยนเหวินมองไปยังเย่เทียนเฉินครั้งหนึ่ง จากนั้นจึงเดินไปที่ประตู
“ใช่แล้ว งั้นพวกเราก็เปิดเหล้ากันขวดหนึ่งดื่มฉลองกับคุณพ่อสักหน่อย!” เย่เทียนเฉินเองก็พูดด้วยรอยยิ้ม
ไหนเลยจะรู้ว่า ในตอนที่เย่เทียนเฉินและเย่เชี่ยนเหวินเดินไปถึงประตูคฤหาสน์ จะพบว่าหลัวเยี่ยนยืนอยู่ที่เดิมด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ กระทั่งมีท่าทีโกรธเคืองเล็กน้อย เบื้องหน้าของหลัวเยี่ยนมีผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ เป็นผู้หญิงที่งดงามเป็นอย่างมาก ต่อให้มาเยือนในเวลาค่ำคืน ก็ไม่สามารถบดบังใบหน้าอันงดงามของผู้หญิงคนนี้ได้เลย
“เธอเองเหรอ?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมาอย่างสงสัย
“ฉันมาหานายเพราะมีเรื่องอยากจะคุยกับนาย!” ผู้หญิงที่มีใบหน้างดงามบริเวณประตูบ้านตระกูลเย่มองเย่เทียนเฉินครั้งหนึ่งแล้วพูดขึ้น
“เชิญเข้ามาเถอะ!” ถึงแม้ว่าหลัวเยี่ยนจะมีอคติกับผู้หญิงตรงหน้า แต่ก็สามารถเก็บอารมณ์ได้อย่างดี จะอย่างไรผู้มาเยือนก็เป็นแขก ไม่สามารถปฏิบัติกับแขกอย่างเลวร้ายได้
“ไม่ต้องหรอกค่ะคุณน้า หนูมาหาเย่เทียนเฉินผมมีเรื่องจะคุย คุยจบก็ไปแล้ว!” ผู้หญิงที่มีใบหน้างดงามคนนั้นพูดขึ้นพลางยิ้มให้หลัวเยี่ยนอย่างเป็นมิตร
หลัวเยี่ยนไม่ได้พูดอะไร หันกลับไปมองเย่เทียนเฉินผู้เป็นลูก ในเมื่อเย่เทียนเฉินเป็นคนคนต้นเรื่อง เรื่องเหล่านี้ควรจะจัดการด้วยตัวเอง
“แม่ครับ แม่กับน้องกินข้าวกันไปก่อนสองคนนะครับ ผมจะออกไปแปบเดียวเดี๋ยวกลับมา!” เย่เทียนเฉินเดินไปที่ประตูแล้วกล่าวกับหลัวเยี่ยนด้วยรอยยิ้ม
“ระวังตัวหน่อย!” หลัวเยี่ยนพยักหน้าแล้วพูดขึ้น
เย่เทียนเฉินมองผู้หญิงสวยตรงประตู พูดยังเฉยชาว่า “ไปเถอะ ข้างๆ มีศาลาอยู่ พวกเราไปคุยกันที่นั่นได้!”
……………………..
“หยาเอ๋อ เธออย่าพูดเรื่องตลกเลย ฉันกับอวี่สวิ๋นเป็นเพื่อนสมัยเด็กกัน ถึงแม้ว่าจะมีความรู้สึกที่ไม่เลวต่อกัน แต่เธอคงไม่สามารถชอบฉันได้หรอก!” เย่เทียนเฉินพูดพลางส่ายหน้า
เย่เทียนเฉินไม่เคยคิดเลยว่าระหว่างเขากับหลิงอวี่สวิ๋นจะเกิดความรักระหว่างชายหญิงอะไรขึ้นมาได้ ไม่มีความคิดแบบนี้เลยจริงๆ และสามารถกล่าวได้ว่า หลังจากที่มาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ เรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงหรือการหาแฟนอะไรพวกนั้น แต่ไหนแต่ไรมาเย่เทียนเฉินก็ไม่เคยคิดมาก่อน ต่อให้เป็นเสี้ยวหยา เขาก็คิดเพียงแค่อยากจะปกป้องและดูแล ไม่ใช่ความรักอะไรแบบนั้น และไม่ได้ชัดเจนอะไรขนาดนั้น
หลิงอวี่สวิ๋นเป็นคนที่มีชีวิตชีวาคนหนึ่ง และเป็นผู้หญิงที่งดงามมากคนหนึ่ง ความรู้สึกที่เย่เทียนเฉินมีต่อหลิงอวี่สวิ๋นไม่เลวนัก ถึงแม้ว่าจะมีบางครั้งที่ทั้งสองคนทะเลาะกัน แต่ความรู้สึกในใจก็ยังไม่เลว เสี้ยวหยาบอกว่าหลิงอวี่สวิ๋นชอบตัวเอง หลงรักตัวเอง ในจุดนี้ทำให้เย่เทียนเฉินตกใจจริงๆ ในสายตาของหลิงอวี่สวิ๋น เกรงว่าตัวเขาจะเป็นแค่อันธพาลคนหนึ่งเท่านั้น เธอจะตกหลุมรักเขาเหรอ? นี่เป็นเรื่องตลกระดับชาติหรือยังไง?
“เทียนเฉิน ไม่ผิดไปจากที่พี่อวี่สวิ๋นพูดไว้จริงๆ นายไม่มีอีคิวเลยแม้แต่น้อย ความคิดของผู้หญิงนายคงยากที่จะเข้าใจ!” เสี้ยวหยาอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“สรุปแล้ว เรื่องที่เธอบอกว่าอวี่สวิ๋นชอบฉัน เป็นไปไม่ได้โดยเด็ดขาด!” เย่เทียนเฉินพูดออกมาอย่างมั่นใจ
“ผู้หญิงคนหนึ่งไม่ว่าจะรักผู้ชายคนหนึ่งมากขนาดไหนก็จะไม่พูดออกมา เพราะว่าพวกเธอต่างก็มีความสงบเสงี่ยมเจียมตัว พี่อวี่สวิ๋นพูดคุยกับฉันเกี่ยวกับเรื่องของนายมากมาย ตลอดทางก็พูดถึงแต่เรื่องของนาย ในตอนที่พูดถึงนายก็ดูเธอจะมีความสุขมาก คงจะชอบนายโดยไม่รู้ตัว พี่อวี่สวิ๋นเป็นคนดีมาก นายอย่าทำให้เธอลำบากใจเลย!” เสี้ยวหยาพูดด้วยรอยยิ้ม เหมือนกับแม่สื่อไม่มีผิด กำลังกล่าวเตือนว่าให้เย่เทียนเฉินทำตัวดีๆ ต่อหลิงอวี่สวิ๋นสักหน่อย
ในตอนนี้ เย่เทียนเฉินพลันมีความรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา รู้สึกว่าเสี้ยวหยาช่างเป็นคนดีจริงๆ ที่ไม่พอใจก็เพราะเสี้ยวหยาพูดแบบนี้เป็นการแสดงว่าไม่มีความรู้สึกใดๆต่อเย่เทียนเฉินเลยหรือไม่? เดิมทีเย่เทียนเฉินที่ไม่อยากจะคิดอะไรมาก ไม่อยากจะคิดอะไรต่อเสี้ยวหยาให้มาก คิดแต่จะปกป้องและดูแลเท่านั้น
แต่เมื่อได้ยินคำพูดของเสี้ยวหยาแล้ว เห็นได้ชัดว่าเป็นการผลักตนเองไปให้หลิงอวี่สวิ๋น เย่เทียนเฉินจึงมีความรู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง จะอย่างไรในส่วนลึกของจิตใจของเขาก็ยังหวังว่าเสี้ยวหยาจะรักตัวเอง ผู้หญิงที่ดีถึงขนาดนี้ และมีหน้าตาเหมือนผู้หญิงที่เขารักอย่างลึกซึ้งมากที่สุดในช่วงยุคสิ้นโลกพอดี ผู้หญิงที่มีกิริยาอ่อนช้อยงดงามย่อมเป็นที่หมายปองของผู้ชาย ใครจะไม่หวั่นไหวบ้าง?
“หยาเอ๋อร์งั้นเธอล่ะ? เธอไม่มีความรู้สึกอะไรต่อฉันเลยเหรอ?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะมองไปยังเสี้ยวหยาอย่างจริงจังแล้วถามขึ้น
“ฉัน…รถมาแล้ว ฉันไปก่อนนะ บาย!”
เมื่อเห็นเสี้ยวหยาวิ่งเหยาะๆ ไปยังรถสาธารณะอย่างรีบร้อน เมื่อเห็นใบหน้าอันไร้เดียงสาของเสี้ยวหยาแดงขึ้นเล็กน้อย เย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะยกยิ้มที่มุมปาก ท่าทางเสี้ยวหยาก็จะมีความรู้สึกต่อตนเองบ้าง เพียงแต่เธอคิดว่าหลิงอวี่สวิ๋นเป็นคนดี เธอไม่อยากจะทำให้หลิงอวี่สวิ๋นต้องปวดใจ
“ความรักระหว่างชายหญิง ฉันไม่เคยคิดมาก่อน ฉันแค่อยากจะใช้ชีวิตอยู่อย่างมีความสุข ปกป้องครอบครัวและมิตรสหายของตัวเอง ใครที่มันทำให้ฉันและญาติมิตรของฉันไม่มีความสุข ฉันก็จะทำให้มันไม่มีโอกาสได้มีความสุขไปตลอดกาล!” เย่เทียนเฉินแอบสาบานกับตนเองอยู่ในใจ จะปกป้องทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนมี ไม่อนุญาตให้ใครหน้าไหนมาทำลาย หากกล้ามาหาเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นใคร เขาก็จะไม่เกรงใจ
เย่เทียนเฉินมองเสี้ยวหยาจากไป ยกยิ้มพลางส่ายหน้า เดินไปยังประตูมหาวิทยาลัยหลงเถิง หลิงอวี่สวิ๋นยังคงรอตัวเองอยู่ที่นั่น รอกินข้าวด้วยกันกับเขา ในตอนที่อยู่ด้วยกันกับหลิงอวี่สวิ๋น เย่เทียนเฉินจะรู้สึกผ่อนคลายเป็นพิเศษ และรู้สึกดีใจมาก เพื่อนสมัยเด็กคนนี้ ตอนนี้ก็สามารถทำให้เขามีความสุขได้ สำหรับความรู้สึกที่มีต่อหลิงอวี่สวิ๋น ก็เป็นแค่เพื่อนที่ดีมากๆ คนหนึ่งเท่านั้น
ในตอนที่เย่เทียนเฉินเดินไปยังประตูมหาวิทยาลัยหลงเถิง หลิงอวี่สวิ๋นก็ถูกย่าขู่ที่เป็นแม่บ้านของตระกูลหลิงจูงมือไปนั่งในรถซีดานสีดำที่อยู่ข้างถนน เพราะคุณพ่อของหลิงอวี่สวิ๋นรู้ว่าหลิงอวี่สวิ๋นใกล้ชิดกับเย่เทียนเฉิน ส่วนเย่เทียนเฉินก็กลายเป็นคนที่ถูกกล่าวขานมากที่สุดในเมืองหลวง และมีอันตรายมากมายที่จะเข้ามาสู่ชีวิตของเขา ตอนนี้ความอันตรายที่ใหญ่ที่สุดก็คือ คุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง คนคนนี้มีอำนาจเบื้องหลังยิ่งใหญ่ และตัวเขาเองก็ยังเป็นยอดฝีมือชั้นหนึ่งที่ใช้วรยุทธโบราณ ไม่อาจหาเรื่องด้วยง่ายๆ ไม่เหมือนกับคุณชายไม้ประดับคนอื่นที่ทำอะไรไม่เป็น คนเหล่านั้นถ้าไม่มีเบื้องหลังคอยค้ำจุนอยู่ก็ไม่ต่างอะไรตดหมา
“ย่าขู่ หนูไม่สามารถไปได้จริงๆ หนูจำเป็นต้องช่วยเขา!” หลิงอวี่สวิ๋นขอร้องย่าขู่
“คุณหนู คุณหนูอยากได้บีบบังคับให้ดิฉันต้องลงมือเลย!” ย่าขู่มองไปยังหลิงอวี่สวิ๋นอย่างเย็นชาแล้วพูดขึ้น
“ย่าขู่ หนูทำไม่ได้ หนูทำไม่ได้จริงๆ หนูไม่สามารถมองดูเย่เทียนเฉินตายไปได้ ไม่สามารถมองตะกูลเย่ถูกฆ่าล้างได้…” หลิงอวี่สวิ๋นสะบัดมือของเธอออกย่าขู่สุดชีวิต ไม่อยากจะกลับไปยังประตูหลิงกลับย่าขู่
ย่าขู่เป็นยอดฝีมือที่ใช้วรยุทธโบราณคนหนึ่ง หลิงอวี่สวิ๋นไหนเลยจะสามารถสลัดพ้นได้ ถูกอีกฝ่ายดึงไปยังทิศทางของรถซีดานคันนั้น ด้วยเรี่ยวแรงของหลิงอวี่สวิ๋นจึงไม่สามารถที่จะสลัดพ้นจากมือของย่าขู่ได้
“ย่าขู่…” หลิงอวี่สวิ๋นตะโกนขึ้นเสียงดัง
เมื่อได้ยินเสียงที่เต็มไปด้วยความโมโหของหลิงอวี่สวิ๋น ย่าขู่ก็หันมามอง ใบหน้ายังคงไร้อารมณ์ เย็นชาราวกับไม่มีความเป็นมนุษย์ พูดออกมาอย่างเรียบเฉย “ดูท่าทางคุณพ่อของคุณจะพูดไว้ไม่ผิด คุณมีใจให้เย่เทียนเฉินจริงๆ พวกเราไม่สามารถให้คุณถลำลึกไปกว่านี้ได้ ถ้าคุณรักเย่เทียนเฉินจริงๆ ไม่เพียงแต่เย่เทียนเฉินที่จะต้องตาย คุณเองก็จะต้องตายด้วย แล้วจะเกี่ยวพันมาถึงตระกูลหลิงด้วย!”
“หนู…หนูไม่ได้รักเย่เทียนเฉิน หนูแค่ต้องการจะช่วยเหลือเขา พวกเราเป็นเพื่อนกัน ตระกูลหลิงและตระกูลเย่ก็มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ทำไมถึงจะช่วยเขาไม่ได้ล่ะ?” เสี้ยวหยาเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ
“ดิฉันได้พูดไปแล้ว ตระกูลหลิงแล้วตระกูลเย่อยู่ในตำแหน่งที่ไม่เหมือนกันตั้งนานแล้ว เมื่อก่อนทั้งสองตระกูลอาจจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวต่อกัน เป็นเพราะอำนาจของสองตระกูลต่างกันไม่มาก แต่ตอนนี้ตระกูลเย่ไม่สามารถเทียบเคียงได้กับตระกูลหลิง ตระกูลหลิงก็ไม่อาจไปหาเรื่องเพียงเพราะตระกูลเย่ได้!” ย่าขู่พูดอย่างเย็นชา
“พวกคุณ…ทำไมพวกคุณถึงได้เลือดเย็นขนาดนี้…” หลิงอวี่สวิ๋นพูดอย่างไม่พอใจ
ย่าขู่ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหันมามองหลิงอวี่สวิ๋น คิดอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ในที่สุดก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ทำเพียงจูงมือหลิงอวี่สวิ๋นเดินไปเท่านั้น ดึงเธอให้เดินไปยังรถซีดานอย่างไร้หัวใจ เธอไม่สามารถทนเห็นหลิงอวี่สวิ๋นทำร้ายตนเองเพียงเพราะเย่เทียนเฉินได้ เพราะว่าหากดูจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว เย่เทียนเฉินไม่ใช่คู่มือของคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง จะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
“อวี่สวิ๋น พวกเธอทำอะไรเหรอ?” เย่เทียนเฉินปรากฏตัวออกมา มองหลิงอวี่สวิ๋นถูกหญิงชราคนหนึ่งจับจูงเดินไป อดไม่ได้ที่จะถามออกมาด้วยความประหลาดใจ
“เทียนเฉิน ฉัน…”
คำพูดของหลิงอวี่สวิ๋นยังไม่ทันได้กล่าวออกมาก็ถูกย่าขู่ขัดจังหวะ ด้านข้างมีบอดี้การ์ดในชุดสีดำสองคนมาขวางหลิงอวี่สวิ๋นเอาไว้ ส่วนย่าขู่กลับเดินไปอยู่เบื้องหน้าเย่เทียนเฉิน ยังคงมีท่าทางเย็นชา ในดวงตาเปล่งประกายอันคมกริบ
เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว ไม่ใช่เพราะหลิงอวี่สวิ๋นถูกบอดี้การ์ดทั้งสองคนขวางเอาไว้ แต่เป็นเพราะหญิงชราหลังค่อมตรงหน้านี้ ดูผิวเผินเป็นคนชรา แต่ไอสังหารแข็งแกร่งมาก นี่เป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง เป็นยอดฝีมือที่เหนือชั้นคนหนึ่ง
“เธอก็คือเย่เทียนเฉินหรือ? ย่าขู่เอ่ยปากถาม”
“ถูกแล้วครับ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?” เย่เทียนเฉินตอบด้วยรอยยิ้ม
“ตระกูลเย่ตกต่ำไปหลายปีแล้ว สามารถมีเด็กรุ่นหลังอย่างเธอออกมาได้ก็เป็นเรื่องที่น่าชื่นชม เพียงแต่น่าเสียดายที่เธอจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน ฉันขอเตือนเธอเอาไว้ว่า หลังจากนี้อย่าได้ใกล้ชิดกับคุณหนูของพวกเรามากเกินไป พวกเธอไม่ใช่คนที่อยู่ในระดับเดียวกัน มิฉะนั้นฉันจะทำให้เธอตายเร็วขึ้น!” ย่าขู่มองเย่เทียนเฉิน จ้องไปยังดวงตาของเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น
เย่เทียนเฉินชะงักไปครู่หนึ่ง ตนเองไปล่วงเกินใครเอาไว้อีกหรือเปล่า? ถึงได้มีหญิงชราแบบนี้โผล่ออกมา ไม่พูดไม่จาก็เริ่มจะเล็งเป้ามาที่ตน และยังมีความเป็นไปได้มากกว่าจะลงมือ เห็นว่าเขาเป็นคนที่เคารพผู้อาวุโสแล้วจะรังแกได้ง่ายๆหรือยังไง?
“คุณย่าครับ ผมไปล่วงเกินอะไรคุณเหรอ? อย่างแรกที่ผมจะบอกคุณก็คือ ผมกับหลิงอวี่สวิ๋นเป็นเพื่อนกัน นอกจากนี้ยังจะมาพูดถึงตระกูลเย่ของผมตามใจชอบอีก!” เย่เทียนเฉินพูดออกมาด้วยความไม่พอใจ
ย่าขู่มองเย่เทียนเฉินครั้งหนึ่ง เธอได้ได้ยินทุกการกระทำที่เย่เทียนเฉินได้กระทำหลังจากกลับมาที่เมืองหลวงหมดแล้ว ในใจก็ค่อนข้างที่จะชื่นชม อย่างน้อยเย่เทียนเฉินก็เป็นคนที่กล้าทำกล้ารับ เพียงแต่ว่านี่ไม่ได้หมายความว่าย่าขู่จะมองเขาในแง่ดี โดยเฉพาะหลังจากที่ได้รู้ว่าเย่เทียนเฉินไปล่วงเกินคุณชายใหญ่ ไม่ใช่ว่าย่าขู่จะเกรงกลัวบารมีของคนอื่นจนทำลายศักดิ์ศรีของตนเอง แต่เป็นเพราะคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงมีความสามารถแข็งแกร่งมากจริงๆ และมีเบื้องหลังที่ยิ่งใหญ่ ตระกูลหลิงไม่กล้าที่จะไปล่วงเกิน
“นิสัยไม่เลวเลย ต่อให้ปู่ของเธอเย่หย่วนซานมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ ก็เกรงว่าจะไม่กล้าพูดกับฉันแบบนี้ ยิ่งไปกว่านั้นเธอเป็นแค่เด็กรุ่นหลังคนหนึ่ง ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงหรือ?” ย่าขู่มองเย่เทียนเฉินอย่างไม่สบอารมณ์แล้วพูดขึ้น
“คุณย่า ผมว่าไม่ใช่ผมหรอกที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ? แต่เป็นคนที่พอเริ่มพูดก็คิดจะกดหัวผม อยากจะใช้ฐานะผู้ใหญ่ของคุณมากดดันผม คิดว่าผมเย่เทียนเฉินจะรังแกได้ง่ายๆ หรือ? ผมเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ก็จริง แต่อย่าได้บีบบังคับผม!” เย่เทียนเฉินเองก็พูดอย่างไม่สบอารมณ์
“งั้นเหรอ? ฉันไม่เพียงแต่จะกดดันเธอ ไม่เพียงแต่จะบีบบังคับเธอ แต่ฉันยังจะสั่งสอนเธอด้วย จะทำให้เธอรู้ว่าวันหน้าอย่าได้เข้ามาใกล้คุณหนูของฉันอีก…” ย่าขู่ยังไม่ทันกล่าวจบก็พุ่งเข้าไปยังเย่เทียนเฉิน
เสี้ยวหยาคิดไม่ถึงและไม่รู้ว่าทำไม พอย่าขู่ได้เห็นเย่เทียนเฉินก็เล็งเป้าไปที่เขาแบบนี้ เหมือนกับว่ามาเพื่อทำให้เย่เทียนเฉินต้องได้รับความอัปยศโดยเฉพาะอย่างไรอย่างนั้น ช่างแปลกประหลาดอยู่บ้านจริงๆ
ผัวะ!
หมัดที่รวดเร็วและรุนแรงพุ่งไปยังลำคอของเย่เทียนเฉิน ไม่เพียงแต่หลิงอวี่สวิ๋น แต่กระทั่งเย่เทียนเฉินเองก็มองจนตกตะลึง เขารู้ว่าหญิงชราตรงหน้ามีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณคนหนึ่ง แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ หนึ่งหมัดที่ต่อยเข้ามา ไม่เพียงแต่รวดเร็วดุจสายฟ้า แต่ยังแฝงไปด้วยพลังภายในที่แข็งแกร่งอีกด้วย กระทั่งสามารถทำให้อากาศสั่นไหว ให้ความรู้สึกราวกับจะฉีกขาด เป็นเพียงแค่การออกหมัดธรรมดาๆ หมัดหนึ่งเท่านั้น ถึงกับมีพลังอำนาจเพียงนี้ จะให้เขาไม่ตกใจได้อย่างไร
เย่เทียนเฉินหลบไปด้านซ้าย ไหนเลยจะรู้ว่ามือขวาของย่าขู่จะพุ่งเข้ามาในท่วงท่าของกรงเล็บอินทรีย์ ทำให้เย่เทียนเฉินไม่อาจหลบหลีกได้ ทั้งซ้ายขวาต่างก็ถูกโจมตี
“ย๊าก!”
ในเวลาชั่วพริบตา เย่เทียนเฉินตะโกนออกมาเสียงดัง ทั่วทั้งร่างมีพลังพิเศษอันแข็งแกร่งฟุ้งกระจายออกมา ลดทอนความเร็วในการโจมตีของย่าขู่ หลิงอวี่สวิ๋นใช้มือทั้งสองปิดหูของตน
……………………………..
วันนั้นห้าโมงเย็น เมื่อหลิงอวี่สวิ๋นและเสี้ยวหยาเดินออกมาจากประตูมหาวิทยาลัยหลงเถิง ก็เห็นเย่เทียนเฉินถือถังไอติมอันใหญ่อยู่ในมือ ตักกินเข้าไปคำใหญ่ ยืนพิงอยู่ที่ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งบริเวณประตูมหาวิทยาลัย ไม่รักษาภาพลักษณ์ของตัวเองเลยแม้แต่น้อย ต่อให้รอบด้านจะมีนักศึกษาชายหญิงเดินผ่านทางมาและจำเย่เทียนเฉินที่เป็นบุคคลผู้ทรงอิทธิพลได้ พากันชี้ไม้ชี้มือมา แต่เย่เทียนเฉินก็ยังกินต่อไป คนอื่นจะมีท่าทางยังไงก็เรื่องของเขา
“นายอย่าบอกนะว่า ตอนสี่โมงที่นายโทรมาหาพวกเราก็เริ่มกินแล้ว?” เสี้ยวหยาอ้าปากกว้างอย่างเกินจริง มองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น
“ไม่ใช่ว่าเริ่มกิน แต่กินมาตลอดไม่ได้หยุด ถ้าพวกเธอยังไม่ออกมาอีก ฉันก็ว่าจะไปซื้อไอติมมาอีก!” เย่เทียนเฉินกินไปพลางพูดไปพลาง
“ฉัน…อับจนคำพูดกับนายจริงๆ!”
หลิงอวี่สวิ๋นไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีจริงๆ เย่เทียนเฉินเป็นเพื่อนสมัยเด็กของตน ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เจอหน้ากันมาหลายปี แต่ความรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมนั้นก็ไม่ได้ลดน้อยลง ไม่ว่าเย่เทียนเฉินจะรู้สึกอย่างไร แต่ตัวหลิงอวี่สวิ๋นนั้น ยังคงรู้สึกเหมือนกับในวัยเด็กทุกอย่าง ระหว่างเธอกับเย่เทียนเฉินไม่มีอะไรมากั้น
ตั้งแต่ที่ได้พบกับเย่เทียนเฉินจนถึงตอนนี้ นอกจากความจนใจและความหดหู่ที่เธอมีต่อเย่เทียนเฉินแล้ว ที่เหลือก็เป็นความตกตะลึงและความยินดี จะอย่างไรเธอก็คิดไม่ถึงว่า เย่เทียนเฉินที่เคยฉี่รดที่นอนในวันนั้น ตอนนี้จะกลายเป็นลูกผู้ชายถึงขนาดนั้น จะแข็งแกร่งถึงขนาดนั้น เขาไม่เกรงกลัวในอำนาจ มีหลักการของตนเอง ขอเพียงคุณไร้เหตุผล ขอเพียงคุณไม่ยอมอยู่อย่างสงบ สิ่งที่เขาจะให้คุณก็มีแค่กำปั้น ผู้ชายเช่นนี้มากพอที่จะทำให้ผู้หญิงคนใดก็ตามต้องหวั่นไหว
“เทียนเฉิน พี่อวี่สวิ๋น คืนนี้หนูไม่กินข้าวกับพวกคุณนะคะ พ่อของหนูทำงานยังไม่กลับบ้าน หนูต้องไปดูแลแม่ที่โรงพยาบาล!” เสี้ยวหยาพูดกับหลิงอวี่สวิ๋นและเย่เทียนเฉิน
“ไม่เป็นไรหรอก พวกเราไปกินที่นอกโรงพยาบาลก็ได้ กินเสร็จแล้วเธอก็ไปดูแลแม่ของเธอ ส่วนพวกเราก็กลับ!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม
“ใช่แล้วหยาเอ๋อร์ ขึ้นรถเถอะ อย่านั่งรถมอเตอร์ไซค์ของเย่เทียนเฉินไปเลย มันไม่ปลอดภัย!” หลิงอวี่สวิ๋นเองก็พูดพลางเหลือบมองเย่เทียนเฉิน
“ไม่ปลอดภัย? มอเตอร์ไซค์ของพี่ชายจะไม่ปลอดภัยได้ไง? มันปลอดภัยมากเลยนะ!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างไม่สบอารมณ์
“ไม่ พวกเธอไปกินข้าวกันเถอะ ฉันจะไปแล้ว!”
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ครั้งนี้เสี้ยวหยาดูเหมือนว่าจะไม่ยอมไปด้วยกันกับเย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋น พูดจบก็รีบร้อนจากไป เตรียมจะไปนั่งรถสาธารณะ เย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋นที่เห็นดังนั้นก็ชะงักไป
“หยาเอ๋อร์เป็นอะไรไป?” เย่เทียนเฉินถามด้วยความสงสัย
“ตัวเธอก็มีความเคารพในตนเองอยู่ คงไม่เต็มใจที่จะรับความช่วยเหลือจากพวกเรามากจนเกินไป และคิดที่จะยืนด้วยลำแข้งของตนเอง!” หลิงอวี่สวิ๋นมองแผ่นหลังของเสี้ยวหยาแล้วพูดขึ้น
เสี้ยวหยาและหลิงอวี่สวิ๋นเป็นผู้หญิง ที่สามารถกลายเป็นเพื่อนสนิทกันได้อย่างมีความสุขขนาดนี้ ประการแรกเป็นเพราะทั้งสองต่างก็เป็นคนสวยและเป็นคนจิตใจดี ในส่วนลึกของจิตใจต่างก็คิดแต่เรื่องดีๆ ประการที่สอง หลิงอวี่สวิ๋นนับถือเสี้ยวหยามาก นับถือที่เธอสามารถอยู่ในสังคมที่สกปรกเช่นนี้และสามารถรักษาความไร้เดียงสาของตนเองเอาไว้ได้ ไม่ว่าสุขภาพร่างกายจะเป็นอย่างไร ก็ยังคงรักษาความบริสุทธิ์ของจิตวิญญาณเอาไว้ได้ นี่ไม่ใช่อะไรที่จะใช้เงินและอำนาจแลกมาได้ บนโลกแห่งนี้หากต้องการที่จะหาผู้หญิงเหมือนเสี้ยวหยาเกรงว่าจะไม่ง่าย
“แย่แล้ว สมุดของหยาเอ๋อร์ยังอยู่ที่ฉัน พรุ่งนี้อาจารย์ที่ปรึกษาจะตรวจด้วย…” หลิงอวี่สวิ๋นมองไปยังสมุดในมือ อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น
“ฉันจะเอาไปให้เอง เธอรอฉันอยู่ที่นี่เถอะ!”
เย่เทียนเฉินหยิบสมุดไปจากในมือของหลิงอวี่สวิ๋น จากนั้นจึงเดินไปหาเสี้ยวหยา วิ่งเข้าไปด้วยความรวดเร็ว เมื่อเห็นแผ่นหลังของเย่เทียนเฉิน จู่ๆ หลิงอวี่สวิ๋นก็รู้สึกโดดเดี่ยว ไม่รู้ว่าเพราะอะไร จู่ๆ ในใจของเธอก็เกิดความรู้สึกขมขื่น เพราะเย่เทียนเฉินไม่มีความรู้สึกระหว่างหญิงชายต่อเธอเลยแม้แต่นิดเดียว สิ่งที่มีให้ก็คือเพื่อนที่ดีเท่านั้น เป็นความรู้สึกของเพื่อนสมัยเด็กที่ดี
“หยาเอ๋อร์เป็นคนสวย ใจดี ไร้เดียงสา บางทีเย่เทียนเฉินอยู่ด้วยกันกับเธอคงจะเหมาะสมที่สุดแล้ว!” มุมปากของหลิงอวี่สวิ๋นปรากฏรอยยิ้มขมขื่นขึ้น พูดพึมพำกับตัวเอง
ความจริงแล้ว จนถึงตอนนี้หลิงอวี่สวิ๋นก็รู้สึกตกใจกับตัวเอง ตั้งแต่ได้พบกับเย่เทียนเฉินอีกครั้ง เธอก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงช่วงเวลาในวัยเด็กที่เล่นด้วยกันอย่างมีความสุข บางทีหากจะพูดเช่นนี้คงไม่มีใครเชื่อ คนเราเมื่อเติบโตขึ้นมาแล้ว ช่วงเวลาในวัยเด็กจะยังจำได้อย่างไร? ต่อให้จำได้ ก็คงไม่ติดใจอะไรขนาดนั้น แต่หลิงอวี่สวิ๋นไม่อาจควบคุมตนเองได้จริงๆ หลายวันนี้ในสมองต่างก็มีภาพของเย่เทียนเฉิน
ยิ่งไปกว่านั้นเย่เทียนเฉินที่เคยฉี่รดที่นอนคนนั้น ในตอนนี้ก็เติบโตขึ้นมาแล้ว เป็นผู้ชายที่มีความกล้าหาญคนหนึ่ง มีฝีมือไม่ธรรมดา มีความหล่อเหลามาดเท่ เป็นคนที่มีนิสัยอันธพาลจนทำให้คนอื่นต้องร้องไห้โดยไร้น้ำตา
ชั่วขณะที่หลิงอวี่สวิ๋นเหม่อลอยอยู่นั้น หญิงชราคนหนึ่งก็ปรากฏตัวอยู่ข้างกายของหลิงอวี่สวิ๋น ให้ความรู้สึกว่ากระทันหันเป็นอย่างมาก ก่อนหน้านี้เธอไม่ได้สังเกตเห็นเลยแม้แต่น้อย
“คุณหนู คนเมื่อกี้นี้คือเย่เทียนเฉินเหรอคะ?” หญิงชรามองหลิงอวี่สวิ๋นแล้วถามขึ้น
“ย่าขู่ ยะ ย่ามาได้ยังไงคะ?” หลิงอวี่สวิ๋นอดไม่ได้ที่จะถามออกไปอย่างตกตะลึง
“ดูแล้วคนคนนี้คงจะเป็นเย่เทียนเฉิน คุณหนู นายท่านให้ดิฉันมาบอกคุณว่า อย่าได้ใกล้ชิดกับเย่เทียนเฉินมากเกินไป เขาไปหาเรื่องยุ่งยากมากมาย คงจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน!” หญิงชราเอ่ยปากด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
“อะไรนะ? ย่าขู่ หนูรู้ว่าเย่เทียนเฉินไปล่วงเกินตระกูลเซวียนเยวี๋ยนและตระกูลโอวหยาง แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร ให้คุณพ่อออกหน้าช่วยเขาจัดการไม่ได้เหรอคะ?” หลิงอวี่สวิ๋นมองย่าขู่ด้วยสายตาขอร้อง
ย่าขู่ไม่มองหลิงอวี่สวิ๋น เธอเป็นคนเก่าแก่ในตระกูลหลิง ทำงานให้ตระกูลหลิงตั้งแต่รุ่นของคุณปู่ของหลิงอวี่สวิ๋น ไม่แต่งงานตลอดชีวิต มีใจภักดีซื่อสัตย์ต่อตระกูลหลิง ไม่ว่าจะเป็นหลิงอวี่สวิ๋น หรือกระทั่งคุณพ่อของหลิงอวี่สวิ๋น ต่างก็เป็นคนที่ย่าขู่เห็นการเติบโตขึ้นมากับตา ดังนั้นถึงแม้ว่าย่าขู่จะเป็นคนในบังคับบัญชาของตระกูลหลิง แต่ก็มีตำแหน่งที่สำคัญ เคยมีข่าวลือว่า ย่าขู่คล้ายจะมีรักลึกซึ้งต่อคุณปู่ของหลิงอวี่สวิ๋น ดังนั้นจึงไม่แต่งงานมาตลอดชีวิตและทำงานให้กับตระกูลหลิง ความรู้สึกที่ทำให้ซาบซึ้งใจนี้ ทำให้ทุกคนต้องหวั่นไหว
ดังนั้น หลิงอวี่สวิ๋นจึงเห็นย่าขู่เป็นเหมือนญาติที่แท้จริงของตนเอง มีความรู้สึกลึกซึ้งต่อกัน และมีความเคารพยำเกรง เป็นความเคารพที่มีต่อผู้อาวุโส แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยปฏิบัติตัวต่อย่าขู่เหมือนบ่าวไพร่
“ไม่ได้หรอกค่ะ ครั้งนี้เย่เทียนเฉินไม่เพียงแต่จะต้องตาย ยังเป็นไปได้มากกว่าจะเกี่ยวพันไปถึงตระกูลเย่ คงจะถูกฆ่าล้างตระกูล เพราะว่าคนที่เขาไปล่วงเกินก็คือคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง คนคนนี้ไม่เพียงแต่มีอำนาจยิ่งใหญ่ แต่ตัวเขาเองก็ยังเป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง เป็นยอดฝีมือชั้นหนึ่ง มีความสามารถลึกล้ำไม่อาจคาดเดา…” ในตอนที่ย่าขู่พูดถึงคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
“นี่…”
เมื่อได้ยินคำพูดของย่าขู่ หลิงอวี่สวิ๋นก็ตกตะลึงไป ตระกูลหลิงของเธอไม่ใช่ตระกูลเล็ก โดยเฉพาะในด้านการค้า มีตำแหน่งที่สำคัญมาก ดังนั้นเรื่องเกี่ยวกับเรื่องยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณและเรื่องเกี่ยวกับคนที่มีฝีมือแข็งแกร่ง หลิงอวี่สวิ๋นก็ได้สัมผัสมาตั้งแต่เด็กแล้ว สำหรับย่าขู่ เมื่อปีนั้นก็นับว่าเป็นคนที่มีชื่อเสียงในยุทธภพ ฉายานางฟ้ามีดบิน มีฝีมือร้ายกาจเป็นอย่างมาก ตั้งแต่เล็กจนโต นี่เป็นครั้งแรกที่หลิงอวี่สวิ๋นเห็นย่าขู่พูดถึงความสามารถของคนอื่นและมีท่าทางเข้มงวดถึงเพียงนี้ออกมาให้เห็น ท่าทางคุณชายใหญ่จะแข็งแกร่งมากจริงๆ
“อย่าคิดอีกเลย ไปเถอะ เย่เทียนเฉินช่วยไม่ได้แล้ว!” ย่าขู่พูดอย่างจริงจัง
“ไม่…ย่าขู่ ตระกูลหลิงของพวกเรากับตระกูลเย่ เมื่อก่อนก็มีความสัมพันธ์ไม่เลวต่อกัน ตอนนี้ถึงกับเห็นคนจะตายแต่ไม่ยอมช่วยเหลือ เย่เทียนเฉินไม่ใช่คนเลวอะไร ช่วยเขาหน่อยเถอะค่ะ!” หลิงอวี่สวิ๋นพูดอ้อนวอน
“นั่นเป็นสมัยก่อน ตอนนี้ตระกูลเย่และตระกูลหลิงไม่ใช่ตระกูลที่อยู่ในระดับเดียวกันมานานแล้ว ตระกูลเย่ตกต่ำจนไม่อาจทําอะไรได้ ลูกชายทั้งสามคนเย่หย่วนซานก็ไม่เอาไหน ไม่มีทางค้ำจุนตระกูลเย่ได้ ส่วนเย่เทียนเฉิน มีความกล้าและเด็ดเดี่ยวจริงๆ เพียงแต่น่าเสียดายที่ไม่มีการสนับสนุนที่ยิ่งใหญ่ทำได้เพียงแค่รนหาที่ตายเท่านั้น!” ย่าขู่พูดพลางส่ายหน้า
ความจริงแล้ว ตระกูลหลิงก็เป็นเช่นเดียวกับตระกูลเย่ ไม่ใช่ตระกูลใหญ่โตอะไรในเมืองหลวง แต่มีแนวโน้มว่าทั้งสองตระกูลจะค่อยๆ ไต่ขึ้นไปอย่างช้าๆ ได้ จนกระทั่งตอนนี้ตระกูลหลิงกลายเป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่เพียงพอที่จะสั่นสะเทือนเศรษฐกิจภายในประเทศได้ แต่ตระกูลเย่กลับตกต่ำลง ตกต่ำลงจนสามารถพูดได้ว่าเละไม่เป็นท่า ตกต่ำจนถึงระดับที่ไม่สามารถช่วยได้แล้ว
หลังจากที่เย่เทียนเฉินกลับมาเมืองหลวง ทุกเรื่องที่กระทำต่างก็ทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน มีคนที่มองตะกูเย่ในแง่ดี คิดว่าบางทีตระกูลเย่อาจจะรุ่งเรืองขึ้นมาได้เพราะการกลับมาของเย่เทียนเฉิน แต่คำพูดของย่าขู่กลับทำให้หลิงอวี่สวิ๋นเป็นห่วงขึ้นมา ตระกูลเย่ไม่มีที่พึ่งใหญ่อะไรจริงๆ หากมีที่พึ่งพิง เมื่อมีปัญหา ก็จะสามารถทำให้เรื่องสงบลงไปได้ และรุ่งเรืองขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว หากไม่มีที่พึ่งพิงเมื่อมีปัญหาขึ้นมา ก็คงจะมีเพียงเส้นทางแห่งความตายให้เดินเท่านั้น
“แต่ว่า…” หลิงอวี่สวิ๋นยิ่งคิดก็ยิ่งร้อนใจ อดไม่ได้ที่จะกังวลเรื่องของเย่เทียนเฉินและตระกูลเย่
“ไปกันเถอะค่ะคุณหนู เรื่องนี้ไม่ใช่อะไรที่คุณจะสอดมือเข้าไปยุ่งได้…อย่าทำให้เกี่ยวพันไปถึงตระกูลหลิงเลย ไม่งั้นคุณจะกลายเป็นคนที่ทำผิดต่อตระกูลหลิง!” ย่าขู่พูดพลางจับมือของหลิงอวี่สวิ๋น เดินไปทางรถซีดานที่อยู่ด้านข้าง
“ไม่…หนูไม่อาจทนเห็นเขาตายได้ หนู…” ทันใดนั้นหลิงอวี่สวิ๋นคิดถึงฉากหนึ่งขึ้นมา คิดถึงภาพเหตุการณ์ที่เย่เทียนเฉินถูกฆ่าตาย เธอรับไม่ได้จริงๆ ต่อให้จะไม่ได้ตกหลุมรักเย่เทียนเฉินเข้าจริงๆ แต่ด้วยความรู้สึกอันงดงามในสมัยเด็ก เธอก็ไม่อาจมองอยู่เฉยๆ ได้
ในตอนนี้ ขณะที่หลิงอวี่สวิ๋นและย่าขู่กำลังถกเถียงกันอยู่นั้น เย่เทียนเฉินก็ได้ตามเสี้ยวหยามาแล้ว ทั้งสองค่อยๆ เดินไปข้างหน้าด้วยกัน เย่เทียนเฉินเดินมาเพื่อส่งเสี้ยวหยาขึ้นรถสาธารณะ เขารู้ว่าเสี้ยวหยามีความเคารพในตนเองอย่างมาก เป็นผู้หญิงที่ดีคนหนึ่ง ดังนั้นจึงไม่ได้กล่าวอะไรมาก หากช่วยเหลือเธอจนมากเกินไป คงจะทำให้เธอลำบากใจ
“หยาเอ๋อร์ ความจริงพวกเราก็เป็นเพื่อนกัน การช่วยเหลือซึ่งกันและกันก็เป็นสิ่งสมควรแล้ว!” เย่เทียนเฉินพูดแนะนำเสี้ยวหยาด้วยรอยยิ้ม
เสี้ยวหยามองเย่เทียนเฉินครั้งหนึ่ง ตั้งแต่เหตุการณ์ในซอยแคบ หลังจากที่ทั้งสองผ่านความเป็นตายมาด้วยกัน ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนก็มีความเปลี่ยนแปลงไปในทางใกล้ชิดกันมากขึ้น
“เทียนเฉิน ฉันรู้ว่าเธอกับพี่อวี่สวิ๋นเป็นคนดี ต่างก็ต้องการช่วยเหลือฉันด้วยความจริงใจ แต่ฉันก็ต้องเรียนรู้ที่จะพยายามด้วยตัวเอง ไม่สามารถพึ่งพาคนอื่นไปได้ทุกเรื่องหรอก ยิ่งไปกว่านั้นฉันคิดจะบอกนายว่า พี่สวิ๋นอวี่ชอบนาย วันหน้านายก็อย่าทำท่าทางแบบนั้นต่อเธอเลย ฉันจะให้โอกาสพวกเธอสองคนได้อยู่ด้วยกันตามลำพังไง?” เสี้ยวหยาพูดพลางยิ้มให้เย่เทียนเฉิน
………………………..
ในตอนที่หลินตวนใช้มีดเจ็ดดาวนั้น เย่เทียนเฉินรับรู้ได้ถึงความน่าสงสัยอย่างหนึ่ง เพราะว่าไม่เพียงแค่การลองเชิงในก่อนหน้านี้เท่านั้น แต่หลังจากที่ลงมือเต็มกำลังในตอนหลัง ต่อให้โจมตีออกมาได้แข็งแกร่งมาก กระทั่งเกือบจะถึงขั้นที่เปลี่ยนเท็จเป็นจริงและสร้างรูปลักษณ์ออกมา แต่เย่เทียนเฉินกลับไม่สามารถสัมผัสได้ถึงการสั่นสะเทือนของพลังภายในเลยแม้แต่น้อย ตอนแรกเขาคิดว่าหลินตวนเก็บซ่อนเอาไว้ แต่ภายหลังจึงพบว่าไม่ใช่แบบนั้น
ไม่ผิดไปจากที่เย่เทียนเฉินคาดเดา การที่หลินตวนออกกระบวนท่าแต่ไม่มีการสั่นสะเทือนของพลังภายในเลยแม้แต่ครึ่งส่วน เป็นเพราะเขาได้รับบาดเจ็บภายใน จนไม่สามารถใช้พลังภายในออกมาได้ มิเช่นนั้นหากพลังอำนาจของมีดเจ็ดดาวรวมเข้ากับพลังภายในอันแข็งแกร่ง เกรงว่าต่อให้เย่เทียนเฉินต้องการที่จะเข้าปะทะก็ไม่ง่ายถึงขนาดนั้น
“ท่าทางชีพจรลมปราณของนายที่ถูกตัดทอนนี้จะมาจากหัวใจ สามารถมีชีวิตอยู่ได้ก็ไม่ง่ายแล้ว คงจะไม่สามารถใช้พลังภายในออกมาได้จริงๆ ถ้าใช้พลังภายในออกมาก็คงจะต้องตายแน่!” เย่เทียนเฉินมองขีดเส้นสีดำบนมือขวาของหลินตวน พูดพลางพยักหน้า
“ตอนนั้นท่านอาจารย์เก็บผมมาจากภูเขาแห่งหนึ่ง ได้ใช้เคล็ดวิชาลับพลังภายในของพรรควรยุทธโบราณเพื่อปกป้องชีพจรที่ถูกตัดขาดนี้จนสามารถเก็บชีวิตกลับมาได้ เพียงแต่ไม่สามารถฝึกฝนพลังภายในได้ เนื่องจากการฝึกฝนพลังภายในของวรยุทธของประเทศจีน ต่างก็ฝึกฝนจากในมาสู่นอก การที่มีเส้นชีพจรลมปราณจากหัวใจที่ถูกตัดขาด ทำให้เมื่อฝึกฝนพลังภายในก็จะทำให้หัวใจแหลกเหลวจนตาย!” หลินตวนเองก็พูดด้วยความหดหู่
เย่เทียนเฉินมองหลินตวนแวบหนึ่ง เขารู้ความคิดของหลินตวนดี ในฐานะที่เป็นศิษย์ของพรรควรยุทธโบราณ มีใครบ้างที่ไม่ต้องการเพิ่มความแข็งแกร่ง ในสังคมปัจจุบันนี้ คนธรรมดาทั่วไปค่อยๆ กลายเป็นทาส ไม่ไล่ตามความแข็งแกร่งและการทำให้ร่างกายของตนแข็งแกร่งอีกต่อไปแล้ว แต่ในฐานะที่เป็นศิษย์ของพรรควรยุทธโบราณและผู้แข็งแกร่งที่เป็นผู้มีพลังพิเศษนั้น พวกเขาจะเข้าใจได้อย่างกระจ่างชัดว่า ในโลกของพวกเขา ถ้าไม่มีสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของตนเองได้ ก็จะถูกผู้คนเหยียบย่ำ กฎหมายข้อบังคับอะไรต่างๆ ก็เป็นแค่สิ่งเลื่อนลอย ผู้ชนะเป็นเจ้า ผู้แพ้เป็นทาสหรือไม่ก็ต้องตาย
“ก็ไม่แน่ว่าจะช่วยนายไม่ได้ ถ้าหากสามารถหาผลฮั่วหยวนเจอ คงจะสามารถรักษาข้อบกพร่องแต่กำเนิดนี้ของนายได้!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม
“ผลฮั่วหยวน?” เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน หลินตวนก็เลยถามด้วยความดีใจปนสงสัย
“อืม เป็นผลไม้แห่งจิตวิญญาณที่สามารถทำให้กายเนื้อแข็งแกร่งขึ้นได้ และรักษาความบกพร่องแต่กำเนิดบางอย่างได้ หากสามารถหาพบก็จะสามารถรักษาอาการบาดเจ็บภายในของนายได้!” เย่เทียนเฉินมองหลินตวนอย่างจริงจังแล้วพูดขึ้น
“ถ้างั้น จะสามารถหาผลฮั่วหยวนได้ที่ไหน?” หลินตวนเอ่ยถามอย่างร้อนรน
“นี่…ฉันเองก็อ่านเจอมาในหนังสือโบราณเล่มหนึ่ง ถ้ามีโอกาสจะช่วยนายหาดูสักหน่อยก็แล้วกัน!” เย่เทียนเฉินตกตะลึงไปครู่หนึ่งแล้วจึงพูดขึ้น
สำหรับยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณและผู้มีพลังพิเศษคนหนึ่งแล้ว ความขมขื่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคงหนีไม่พ้นการที่ไม่อาจเพิ่มความแข็งแกร่งของตนเองได้ หากจะพูดว่าการเพิ่มพูนความสามารถนั้นยากลำบากขนาดไหน แน่นอนว่าต้องยากลำบากมาก จากที่เย่เทียนเฉินรู้ ยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณในช่วงยุคสิ้นโลกถูกเรียกว่านักรบ นักรบก็เหมือนกับผู้มีพลังพิเศษ มีขอบเขตของการเพิ่มระดับความสามารถที่สอดคล้องกัน
ผู้มีพลังพิเศษหลังจากระดับเก้าจะแบ่งเป็น ระดับราชัน ระดับจอมราชัน ระดับจักรพรรดิ ระดับพระเจ้า และระดับเทพราชัน
นักรบจะแบ่งออกเป็น นักรบจิตวิญญาณ นักรบราชัน นักรบจอมราชัน นักรบจักรพรรดิ และนักรบเทพราชันย์
ไม่ว่าจะเป็นโลกของผู้มีพลังพิเศษหรือนักรบ สุดท้ายก็จะเป็นระดับเทพราชันที่แข็งแกร่งที่สุด นี่เป็นต้นกำเนิดของสรรพสิ่ง ทุกสรรพสิ่งล้วนกำเนิดจากสิ่งเดียวกัน นี่ก็คือสัจธรรม ไม่ว่าจะใช้วิธีการใดในการเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ตนเอง สุดท้ายก็จะกลายเป็นพลังกลับคืนสู่ธรรมชาติ แม้จะเปลี่ยนไปนับหนึ่งครั้งก็หนีไม่พ้นต้นกำเนิด ทุกเรื่องราวทุกสรรพสิ่งต่างก็ก่อกำเนิดจากห้าเส้นทาง เมื่อคิดจะสลัดพ้นจากห้าเส้นทางนี้ หลุดพ้นจากการเกิดแก่เจ็บตาย มีเพียงได้เป็นผู้แข็งแกร่งในระดับเทพราชันเท่านั้นถึงจะสามารถทำได้
แน่นอนว่าข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้เย่เทียนเฉินย่อมไม่สามารถบอกหลินตวนได้ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้ เนื่องจากต่อให้เขาจะเป็นศิษย์แห่งพรรควรยุทธโบราณ ก็เกรงว่าจะไม่อาจรับข้อมูลในช่วงยุคสิ้นโลกได้ ทำได้เพียงค่อยๆ บอกเขาไปในตอนหลัง โลกแห่งการล่มสลายก็เป็นโลกที่เหนือคาด มีสีสันเช่นเดียวกับยุคปัจจุบันนี้ และมีบรรยากาศอันเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดและจินตนาการอันไร้ขอบเขตอยู่ด้วย ที่ถูกเรียกว่าโลกแห่งการล่มสลายนั้นก็ชัดเจนมาก เพราะเป็นโลกที่อยู่ในช่วงยุคสิ้นโลก มีเรื่องมากมายที่ไม่อาจคาดเดา
ส่วนเรื่องผลฮั่วหยวนที่เย่เทียนเฉินบอกกับหลินตวนนั้น ไม่ใช่เป็นเพียงคำพูดปลอบใจ แต่เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง เพียงแต่ว่าผลฮั่วหยวนนี้มีตัวตนอยู่ในยุคสิ้นโลก เป็นผลไม้แผ่นจิตวิญญาณประเภทหนึ่ง มียอดฝีมือที่แข็งแกร่งจำนวนมากตามหาผลฮั่วหยวนเพื่อนำไปให้ลูกหรือคนสนิทของตนเองกิน ใช้เพื่อบ่มเพาะร่างกายของเขาอย่างรวดเร็ว และรักษาความบกพร่องที่มีมาแต่กำเนิด เพื่อที่ภายหลังจะสามารถมีพื้นฐานที่ดีในฝึกฝน
“ถ้างั้นก็ขอบคุณมากครับพี่ใหญ่!” หลินตวนมองออกว่าเย่เทียนเฉินไม่มีผลฮั่วหยวนอะไรนั่น และบางทีเขาอาจจะไม่ได้หลอกตนเอง แต่กลับเข้าใจว่าผลฮั่วหยวนนี้ หาได้ยากมากอย่างแน่นอน
เย่เทียนเฉินพยักหน้า แล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา เขารู้ถึงความคิดของหลินตวนดี เพียงแต่ผลฮั่วหยวนนี้ หากต้องการจะได้มานับว่าไม่ง่ายเลยจริงๆ ในโลกปัจจุบันนี้จะมีหรือไม่มีผลฮั่วหยวนก็ยังไม่แน่ชัด ถ้าหากว่าไม่มี เช่นนั้นก็ทำได้เพียงไปตามหาในโลกแห่งการล่มสลาย ยังไม่ต้องพูดถึงว่าไม่มีการทะลุมิติกลับไปยังโลกแห่งการล่มสลายได้ ต่อให้กลับไปได้ หากต้องการจะได้ผลฮั่วหยวนมาก็ไม่ง่ายเลย ผลฮั่วหยวนอยู่ในส่วนลึกที่สุดของแผ่นดินใหญ่ คนปกติยากที่จะหาพบ
ในตอนนี้เอง ภายในเขตชานเมืองของเมืองหลวงแห่งหนึ่งอันเงียบสงบ โอวหยางเฟยอวิ๋นและชายฉกรรจ์สวมเสื้อกล้ามสีดำของเขา ยืนอย่างเคารพนอบน้อมอยู่กับที่ เบื้องหน้าของพวกเขามีชายคนหนึ่งนั่งหันหลังให้พวกเขา มองไม่เห็นใบหน้าของชายคนนี้ รู้เพียงแต่ว่าเขากำลังตกปลาอยู่ในทะเลสาบเล็กๆ แห่งหนึ่งอย่างสบายอุรา
“เฟยอวิ๋น ฉันได้ยินมาจากโหมวซูว่า แกไม่ค่อยฟังคำสั่ง!” ชายที่หันหลังให้โอวหยางเฟยอวิ๋นคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
โอวหยางเฟยอวิ๋นมองชายคนนี้แวบหนึ่ง อดกลั้นความโกรธเอาไว้ และยังคงพูดด้วยความเคารพว่า “คุณชายใหญ่ คุณไม่รู้หรอกว่าเย่เทียนเฉินโอหังขนาดไหน อัดเซวียนเยวี๋ยนเถิงต่อหน้าคนนับร้อย ไม่เพียงแต่ไม่ไว้หน้าผม แต่หลังจากที่โหมวซูบอกฐานะของคุณออกมาแล้ว ก็ยังกล้าทำตัวต่อต้านคุณต่อหน้าผู้คน ไม่เห็นพวกเราสามสุดยอดคุณชายแห่งมหาวิทยาลัยหลิงเถิงอยู่ในสายตาเลย ผมจึงคิดจะกำจัดมัน!”
“เย่เทียนเฉินจะต้องตายแน่นอนอยู่แล้ว แต่ไม่ใช่ใครที่แกจะฆ่าได้ มันกล้าที่จะต่อต้านพวกเราถึงจะน่าสนุก ไม่ได้เล่นมานานแล้ว ฉันจะเล่นเป็นเพื่อนมันสักหน่อยก็แล้วกัน!” ชายที่หันหลังให้โอวหยางเฟยอวิ๋นพูดด้วยรอยยิ้ม
“คุณชายใหญ่ เซวียนเยวี๋ยนเถิงและน้องชายของเขาเซวียนเยวี๋ยนอวี่ดูเหมือนจะช่วยไม่ได้แล้ว ผมคิดว่าถึงตอนนั้นตระกูลเซวียนเยวี๋ยนจะต้องมาถามเหตุการณ์จากพวกเราแน่ พวกเราจะพูดอย่างไรดีครับ?” โอวหยางเฟยอวิ๋นชะงักไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยปากถามด้วยเจตนาร้าย
ชายที่หันหลังให้โอวหยางเฟยอวิ๋นคนนี้ก็คือคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง เป็นหัวหน้าของสามคุณชาย และเป็นคนที่ส่งโหมวซูไปเพื่อหยุดยั้งโอวหยางเฟยอวิ๋น และเป็นเขาที่ให้โหมวซูนำคำพูดไปบอกต่อเย่เทียนเฉิน หลังจากที่รู้ว่าเย่เทียนเฉินต่อต้านเขา ก็ยังคงมีท่าทางเรียบเฉย เขาไม่เห็นเย่เทียนเฉินอยู่ในสายตาเลย เขาไม่ใช่คนที่ทำอะไรบุ่มบ่ามเหมือนกับเซวียนเยวี๋ยนเถิงและโอวหยางเฟยอวิ๋น ถ้าเขาไม่ได้ลงมือก็แล้วไป แต่เมื่อลงมือเย่เทียนเฉินก็จะต้องตายอย่างแน่นอน
“เซวียนเยวี๋ยนเถิงไม่ใช่ว่าถูกแกกระทืบตายหรอกเหรอ? ฉันคิดว่าหลังจากแกกระทืบมันตายแล้ว คงคิดจะยืมมือของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนเพื่อฆ่าเย่เทียนเฉิน ระบายความโกรธเกลียดในใจของแก เซวียนเยวี๋ยนเถิงเสียสละให้แกแล้ว!” คุณชายใหญ่พูดด้วยรอยยิ้มเย็นชา
เมื่อได้ยินคำพูดของคุณชายใหญ่ โอวหยางเฟยอวิ๋นก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงอยู่ในใจ คุณชายใหญ่คนนี้ไม่ธรรมดาจริงดังคาด ดูเหมือนว่าจะไม่เคยไปมหาวิทยาลัยเลย แต่กลับรู้ทุกอย่างประหนึ่งรู้ฝ่ามือของตน นอกจากนี้เขายังได้พบหน้าคุณชายใหญ่เพียงไม่กี่ครั้ง คนคนนี้ลึกลับเป็นอย่างมาก เคยได้ยินว่า คุณชายใหญ่ไม่เพียงแต่มีอำนาจของตระกูลที่แข็งแกร่ง ตัวเขาเองก็มีฝีมือไม่ธรรมดา เคยพบกับการลอบโจมตีของยอดฝีมือที่ใช้วรยุทธโบราณสิบกว่าคน แต่คุณชายใหญ่คนเดียวก็สามารถรับมือกับพวกเขาได้ทั้งหมด ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นข้อมูลที่ถูกปิดบังเอาไว้ แต่ก็ไม่สามารถปิดได้สนิท จนถูกโอวหยางเฟยอวิ๋นล่วงรู้
“ฮ่าๆ คุณชายใหญ่ ผมกระทืบเซวียนเยวี๋ยนเถิงตายก็เพราะคนคนนี้ทำให้พวกเราสามคุณชายต้องขายหน้า เขาคิดแต่จะล้างแค้นให้น้องชายของตน คิดแต่จะกู้หน้าของตน เพียงแต่น่าเสียดายที่เย่เทียนเฉินแข็งแกร่งเกินไป เขาไม่มีความสามารถถึงขนาดนั้น เชื่อว่าคงไม่อยากจะมีชีวิตอยู่แล้ว ผมก็แค่ช่วยเขาเท่านั้น!” โอวหยางเฟยอวิ๋นชะงักไปครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย
ในตอนนี้ คุณชายใหญ่ที่หันหลังให้โอวหยางเฟยอวิ๋น กระตุกเบ็ดตกปลาในมือขวาขึ้น เหยื่อปลาที่ติดอยู่บนเบ็ดถูกกินไปแล้ว แต่กลับไม่สามารถตกปลาขึ้นมาได้ หลังจากที่ติดเหยื่อปลาอันใหม่เข้าไปแล้ว ก็สะบัดเบ็ดตกปลาลงสู่ทะเลสาบเล็กๆ นั้นอีกครั้ง
“คุณชายใหญ่ ความหมายของคุณคือ…” โอวหยางเฟยอวิ๋นเห็นคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงไม่พูด จึงได้เอ่ยถามต่อไป
“ไม่ง่ายเลยกว่าจะปรากฏปลาตัวใหญ่เหมือนเย่เทียนเฉินออกมาได้ ถ้าไม่เล่นเป็นเพื่อนเขาสักหน่อยจะได้ยังไง ฉันอยากจะเห็นว่าเขาจะเล่นด้วยหรือเปล่า นี่อาจจะเกี่ยวพันไปถึงชีวิตของญาติมิตรเลย!” คุณชายใหญ่ยังคนพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
โอวหยางเฟยอวิ๋นได้ยินคำพูดของคุณชายใหญ่ก็อดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเย็นยะเยือก อย่างมากเขาก็แค่คิดจะฆ่าเย่เทียนเฉิน แต่ไม่ได้คิดเหมือนคุณชายใหญ่ ที่ไม่เพียงแต่ต้องการฆ่าเย่เทียนเฉินแต่ยังต้องการฆ่าครอบครัวของเย่เทียนเฉินทั้งหมด ความโหดเหี้ยมแบบนี้ กระทั่งโอวหยางเฟยอวิ๋นก็ยังไม่มี
“พวกเราจะตอบตระกูลเซวียนเยวี๋ยนว่าอย่างไรดี?”
“เซวียนเยวี๋ยนเถิงและเซวียนเยวี๋ยนอวี่ต่างก็ถูกเย่เทียนเฉินฆ่า ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเรา ให้ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนไปจัดการกันเองเถอะ ถ้าไอ้แก่ของตระกูลพวกมันอยากที่จะออกมาเสนอหน้าช่วยพวกเราฆ่าเย่เทียนเฉิน คงไม่มีอะไรมีความสุขไปมากกว่านี้แล้ว?”
“ขอบคุณคุณชายใหญ่!”
“เอาล่ะ เรื่องของเย่เทียนเฉิน แกก็อย่าไปยุ่งชั่วคราว ฉันจะจัดการเอง มีบางเรื่องที่จะต้องให้แกไปทำ!” คุณชายใหญ่สั่ง
“คุณชายใหญ่คุณพูดมาเถอะ!”
“ฉันได้ยินมาว่าพรรคคุณชายมีการเคลื่อนไหว แกช่วยฉันไปสืบหน่อย!”
“ครับ!”
โอวหยางเฟยอวิ๋นและชายฉกรรจ์สวมเสื้อกล้ามสีดำเดินไปจากทะเลสาบเล็กๆ แห่งนี้ นั่งรถซีดานสีดำออกไป ตั้งแต่ต้นคุณชายใหญ่ก็หันหลังให้พวกเขา ไม่เคยหันกลับมาเลย
ไม่นาน โหมวซูก็ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังคุณชายใหญ่ พูดอย่างเคารพว่า “คุณชายใหญ่ครับ โอวหยางเฟยอวิ๋นไปแล้ว จะให้ส่งคนไปฆ่าเย่เทียนเฉินตอนนี้เลยหรือเปล่าครับ?”
“ไม่ต้อง ตระกูลของพวกเรามีความแค้นกับตะกูลเย่ ครั้งนี้ฉันจะไม่เพียงแต่ฆ่าเย่เทียนเฉิน แต่จะฆ่าพวกมันทั้งตระกูล!” คุณชายใหญ่เปล่าอย่างเย็นชา
“เข้าใจแล้วครับ!”
“ส่งคนไปตามโอวหยางเฟยอวิ๋น ในตอนที่จำเป็นก็กำจัดเขาซะ ฉันคนนี้ชอบดูละคร ชอบดูตระกูลโอวหยางแล้วตระกูลเซวียนเยวี๋ยน ถ้าสองตระกูลนี้โมโหขึ้นมา แล้วไปรับมือกับตระกูลเย่ด้วยกัน เย่เทียนเฉินจะจัดการกับสถานการณ์นี้ยังไง…” คุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงพูดด้วยรอยยิ้มเย็นชา
“ครับ!”
ทันใดนั้น มือขวาของคุณชายใหญ่มีแรงกระตุก พริบตานั้นปลาตัวหนึ่งก็ถูกดึงขึ้นมาจากน้ำ เขาหยิบมาโยนลงไปด้านหนึ่ง ปล่อยให้มันขาดน้ำตายทั้งเป็น…
……………………………
ผู้มีพลังพิเศษนั้นถึงแม้ว่าจะมีสายย่อยที่แตกต่างกันอีกมากมายหลายสาย เช่นผู้มีพลังในสายพิเศษ แต่ว่าโดยพื้นฐานแล้วก็แบ่งออกเป็นห้าเส้นทาง ทุกสิ่งทุกอย่างมักจะหนีไม่พ้นเส้นทางทั้งห้านี้ แม้จะเปลี่ยนแปลงไปมากมายก็ไม่อาจหนีพ้นรากเหง้าได้ นี่เป็นสัจธรรมอย่างหนึ่ง
เมื่อเห็นเย่เทียนเฉินเข้าปะทะกับมังกรสองตัวของมีดเจ็ดดาวที่ระเบิดออกอย่างรุนแรง สุดท้ายก็สามารถใช้พลังพิเศษในสายวารีทำให้พ้นจากอันตรายโดยไม่บาดเจ็บได้ คนที่ตื่นตะลึงไม่ได้มีแค่หลินตวนคนเดียว แต่ยังมีฉินเหยาเยว่ที่ยืนอยู่บนตึกภาควิชาโบราณคดีมาโดยตลอด และคอยสังเกตเย่เทียนเฉินมาตั้งแต่ต้นอีกด้วย
ในตอนที่หลินตวนฟาดฟันมีดเจ็ดดาวออกไปจนเกิดเป็นกระบวนท่าโจมตีอันยิ่งใหญ่ของมีดเจ็ดดาวนั้น ฉินเหยาเยว่ก็ตื่นตะลึงมากแล้ว คำเล่าลือที่เกี่ยวกับมีดเจ็ดดาวนั้นเธอเองก็รู้ มีดเล่มนี้ดูเหมือนว่าจะสามารถช่วงชิงอันดับสองจากสุดยอดอาวุธในสามลำดับแรกของพรรควรยุทธโบราณได้ มีผู้แข็งแกร่งจำนวนไม่น้อยพ่ายแพ้ภายใต้คมมีดเล่มนี้ แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยได้ยินว่ามีคนใช้หมัดทั้งสองเข้าปะทะกับมีดเจ็ดดาวมาก่อน เกรงว่าเย่เทียนเฉินจะเป็นคนแรก และยังเป็นคนแรกที่ใช้หมัดเข้าปะทะกับมีดเจ็ดดาวแล้วยังไม่ตาย
สิ่งที่ทำให้ฉินเหยาเยว่ต้องตื่นตะลึงมากที่สุดก็คือ ในขณะที่เย่เทียนเฉินประมือกับหลินตวนในครั้งนี้ เขาถึงกับใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษในสายวารีออกมา ทำให้เธอรู้สึกเหนือคาดมาก
ฉินเหยาเยว่รู้มาว่าเย่เทียนเฉินเป็นผู้แข็งแกร่งจากช่วงยุคสิ้นโลกที่มาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ จึงรีบทำการตรวจสอบพัฒนาการของเย่เทียนเฉินในทันที คอยสังเกตการณ์ทุกสิ่งทุกอย่างของเย่เทียนเฉินอยู่ในความมืดมาโดยตลอด เธอรู้ว่าในตอนที่เย่เทียนเฉินอยู่ที่ประเทศ M ตอนที่สู้กับโทมัสซึ่งเป็นหัวหน้าหน่วยสืบราชการลับพลังพิเศษแห่งประเทศ M นั้น เขาได้ใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษสายอัสนีและเคล็ดวิชาพลังพิเศษในสายพระสุธา ตอนนั้นกระทั่งโทมัสเองก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ผู้มีพลังพิเศษที่สามารถใช้เคล็ดวิชาในสายที่แตกต่างกันได้นั้นจะแข็งแกร่งกว่าเดิมมาก เมื่อเติบโตขึ้นมาก็สามารถพลิกฟ้าได้เลยทีเดียว
เนื่องจากการจะใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษในสายที่แตกต่างกันนั้น ในร่างกายจำเป็นต้องมีพลังพิเศษที่แตกต่างกันอยู่ แต่พลังพิเศษทั้งห้าสายมีการกดข่มกัน ไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างเด็ดขาด หากสัมผัสถูกกันจะเกิดผลร้ายที่สาหัสมาก เคยมีผู้มีพลังพิเศษจำนวนนับไม่ถ้วนที่ต้องการจะแข็งแกร่งมากขึ้น จึงได้ฝึกฝนพลังพิเศษในสายที่แตกต่างกันไป สุดท้ายร่างกายระเบิดจนตาย ทำให้ตนเองตายโดยที่ไม่เหลือแม้แต่เศษซาก นี่ก็คือผลลัพธ์
ตอนนี้เย่เทียนเฉินไม่เพียงแต่เคยใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษสายอัสนีและเคล็ดวิชาพลังพิเศษสายพสุธา ในตอนนี้ยังถึงกับใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษในสายวารีด้วย นี่ทำให้ฉินเหยาเยว่ตื่นตะลึงจนต้องอ้าปากอันเซ็กซี่ของเธอ ไม่อยากจะเชื่อโดยสิ้นเชิงว่า บนโลกใบนี้จะมีตัวตนเช่นนี้อยู่ด้วย สามารถใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษในสายที่แตกต่างกันได้ คนคนนี้ก็คือเย่เทียนเฉิน ทำให้ฉินเหยาเยว่ต้องเกิดความสงสัยว่า เย่เทียนเฉินก็คือผู้มีพลังในคำเล่าลือที่ร่อยปีก็ยังไม่สามารถหาออกมาได้สักคนเดียว ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นผู้มีพลังพิเศษห้าสายที่มีตัวตนอยู่ในคำเล่าลือเท่านั้น
“ไม่เป็นไร มีดเจ็ดดาวของนายแข็งแกร่งมาก เพียงแต่ดูเหมือนว่านายจะไม่ได้ใช้พลังอำนาจของมันออกมาทั้งหมด ยังขาดไปนิดหน่อยนะ!” เย่เทียนเฉินยิ้มพูดกับหลินตวนพลางตบไหล่เขา
“นาย…นายไม่เป็นไรจริงๆเหรอ? นายเป็นคนแรกที่กล้าใช้หมัดเปล่าๆ เข้าปะทะกับมีดเจ็ดดาว หากว่าเรื่องนี้แพร่ออกไปเกรงว่าจะมีกลุ่มอำนาจจำนวนไม่น้อยที่ต้องสั่นไหว และแย่งชิงตัวนาย!” หลินตวนพูดอย่างตะกุกตะกักอยู่บ้าง
เมื่อปีนั้น ในตอนที่หลินตวนออกมาจากพรรควรยุทธโบราณ อาจารย์ก็ได้มอบมีดเจ็ดดาวให้แก่เขา และยังบอกเขาว่า พลังอำนาจของมีดเจ็ดดาวยิ่งใหญ่มาก บนถนนในเมืองคงจะไม่ได้พบกับยอดฝีมืออะไรหรืออย่างน้อยก็คงไม่พบกับยอดฝีมือที่จำเป็นต้องใช้มีดดเจ็ดดาวในการเอาชนะ และให้เขาอย่าได้ใช้ออกมาเป็นอันขาด เนื่องจากพลังอำนาจของมีดเจ็ดดาวนั้นยิ่งใหญ่เกินไป เป็นการทำเพื่อป้องกันการสูญเสียของผู้บริสุทธิ์ ไหนเลยจะรู้ว่าหลินตวนจะใช้มีดเจ็ดดาวออกมาโดยไม่เสียดายเพียงเพื่อที่จะดึงเย่เทียนเฉินเข้าเป็นพวก ส่วนเย่เทียนเฉินก็ถึงกับสามารถใช้หมัดเปล่าๆ เข้าปะทะกับมีดเจ็ดดาวได้โดยไม่ได้รับบาดเจ็บเลย
คำพูดของหลินตวนกล่าวได้ไม่ผิด ในโลกปัจจุบันนี้ ความจริงแล้วอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคงหนีไม่พ้นพรรควรยุทธโบราณและกลุ่มองค์กรของผู้มีพลังพิเศษเหล่านั้น พวกเขาเป็นดั่งจักรพรรดิที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืด การต่อสู้และฆ่าฟันกันของแต่ละขั้วอำนาจ แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ต้องทราบว่าเย่เทียนเฉินมีความสามารถถึงขั้นนี้ จะต้องมีกลุ่มอำนาจใหญ่ต้องการดึงตัวเขาอย่างแน่นอน ในขณะเดียวกันกลุ่มอำนาจใหญ่อีกกลุ่มหนึ่งก็จะคิดทุกวิถีทางเพื่อฆ่าเย่เทียนเฉินเพราะถ้าไม่สามารถดึงตัวเขามาได้ พวกเขาจะไม่ปล่อยให้เย่เทียนเฉินมีชีวิตอยู่ เพราะถ้ามีชีวิตอยู่ก็จะมาเป็นศัตรูกับกลุ่มอำนาจของพวกเขา และกลายเป็นเสี้ยนหนามชิ้นใหญ่
“นายมองฉันแบบนี้หมายความว่ายังไง? แต่ว่าท่าทางฉันจะไม่สามารถเข้าร่วมกับสำนักงานเทียนหลินของนายได้แล้ว เป็นเพื่อนกันไปก็แล้วกัน!” เย่เทียนเฉินพูดกับหลินตวนด้วยรอยยิ้ม
เดิมทีเย่เทียนเฉินก็รู้สึกชื่นชมหลินตวนมาก รวมกับที่ความสามารถของหลินตวนไม่อ่อนแอเลย อาศัยเพียงมีดเจ็ดดาวในมือเล่มนั้นก็เพียงพอที่จะบุกตะลุยไปทั่วแล้ว หากว่าสามารถเข้าร่วมกับการสร้างอำนาจของตนเองได้ จะต้องเป็นการเพิ่มพลังการต่อสู้ให้มากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน
ในเมื่อเย่เทียนเฉินตัดสินใจที่จะสร้างฐานอำนาจของตน เช่นนั้นก็ไม่อาจอดทนรอได้อีกต่อไป เขาพบว่าถ้าไม่มีพลังอำนาจเป็นของตนเอง เช่นนั้นขั้วอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่ต่างๆ ที่ยโสโอหังและใช้อำนาจบาตรใหญ่ ก็จะคอยหาเรื่องอยู่ตลอด โอหังอยู่ตลอดเวลา และจะคิดว่าคุณสามารถถูกรังแกได้ง่ายๆ สิ่งเดียวที่จะทำให้พวกเขาหยุดความคิดนี้ก็คือ ทำให้พวกเขาไม่กล้ามีปากมีเสียงอีก ไม่มีหนทางอื่นใด หากจะรับมือกับคนเหล่านี้ก็มีเพียงต้องทำเช่นนี้เท่านั้น
“ฉัน…” หลินตวนมองเย่เทียนเฉิน พูดอะไรไม่ออกอยู่ครึ่งวัน ความสามารถของเย่เทียนเฉินทำให้เขาต้องสั่นสะท้านจริงๆ ใช้หมัดเดียวเข้าปะทะกับมีดเจ็ดดาวได้ นี่เป็นพลังอำนาจและความบ้าระห่ำระดับไหนกัน ถึงแม้ว่าเย่เทียนเฉินจะมีท่าทางยิ้มแย้มอยู่ตลอด แต่กลับไม่สามารถปิดบังความแข็งแกร่งของเขาไว้ได้เลยแม้แต่น้อย
“ไปเถอะ หิวแล้ว ฉันเลี้ยงข้าวนายแล้วกัน แต่ว่าฉันไม่ได้เอาตังค์มา…” เย่เทียนเฉินพูดพลางหัวเราะฮี่ๆ
เมื่อเห็นเย่เทียนเฉินหมุนตัวเดินไป หลินตวนก็กำมีดเจ็ดดาวในมือของตน ในใจกำลังทำการตัดสินใจอันสำคัญ เขาปักมีดในมือลงกับพื้น คุกเข่าขวาลง พูดอย่างจริงจังว่า “ผมแพ้แล้ว จากการเดิมพันของพวกเรา ผมจะเข้าร่วมกับคุณ…พี่ใหญ่!”
“คนที่อยู่กับฉันต่างก็เป็นพี่น้องที่จริงใจ ถ้าหากนายตัดสินใจแบบนี้เพียงเพราะสู้แพ้ ฉันก็จะไม่รับนายเอาไว้หรอก!” เย่เทียนเฉินมองไปยังหลินตวนแล้วพูดขึ้นอย่างจริงจัง
“ไม่ ผมเองก็มีความคิดของตัวเอง ผมเชื่อว่าหากอยู่กับคุณจะสามารถทำเรื่องดีๆ ได้ เมื่อถึงตอนนั้นผมยังสามารถทำให้สำนักงานเทียนหลินของผมมีชื่อเสียงยิ่งใหญ่ได้!” หลินตวนพูดอย่างจริงใจ
“ถ้าพูดแบบนั้นก็ได้!”
ความจริงแล้ว เมื่อเห็นหลินตวนต้องการพึ่งพาตนเอง ในใจของเย่เทียนเฉินก็ยินดีมาก เพียงแต่เพื่อลดทอนความสงสัยในใจของหลินตวน และสามารถกลายเป็นพี่น้องที่จริงใจต่อกันได้ เย่เทียนเฉินจึงต้องพูดออกมาอย่างชัดเจน
“พี่ใหญ่!” หลินตวนประสานหมัดคารวะ
“ดี!” เย่เทียนเฉินยิ้มแล้วดึงหลินตวนให้ลุกขึ้น
อู๋เสวี่ย หูหลง หลินตวน อย่างน้อยตอนนี้เย่เทียนเฉินก็มีสมาชิกเป็นสามขุนพลใหญ่แล้ว อำนาจค่อยๆ ถูกสร้างและขยายใหญ่ขึ้นทีละก้าว ส่วนขั้วอำนาจใหญ่ที่คอยจับตามองเย่เทียนเฉินอยู่ในมุมมืดเหล่านั้น ก็เตรียมที่จะชักชวนเขาแล้วเช่นกัน แต่หากว่าชักชวนไม่สำเร็จก็จะฆ่า
“ไปเถอะ ฉันเลี้ยงข้าวนายเอง!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม
“กินข้าว? พี่ใหญ่ ตอนนี้เพิ่งจะสี่โมง…” น้องหลิงพูดขึ้นด้วยความระอา
“สี่โมงก็กินข้าวได้แล้ว นี่เป็นโอกาสที่พี่ใหญ่จะเลี้ยงข้าวนายเชียวนะ นายจะต้องคว้าเอาไว้ให้ดี!” เย่เทียนเฉินพูดกับหลินตวนราวกลับเป็นผู้อาวุโสสอนผู้น้อย
หลินตวนรู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้จริงๆ กำลังคิดว่าตนเองยอมรับเย่เทียนเฉินเป็นพี่ใหญ่เป็นเรื่องถูกหรือผิดกันแน่? เพราะว่านิสัยของพี่ใหญ่คนนี้คาดเดาได้ยากจริงๆ มักจะมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าอยู่ตลอดเวลา มีท่าทางไม่มีพิษภัย แต่เมื่อลงมือกับสามารถสั่นสะท้านจิตวิญญาณของผู้คนได้ แข็งแกร่งถึงขีดสุด
ฉินเหยาเยว่ยืนอยู่บนตึกภาควิชาโบราณคดีตั้งแต่ต้นจนจบ จนกระทั่งเย่เทียนเฉินและหลินตวนจากไป เธอมองไปยังแผ่นหลังของเย่เทียนเฉิน มีความประหลาดใจอยู่บ้าง มุมปากมีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์และเซ็กซี่อยู่ ความแปลกประหลาดใจย่อมต้องเป็นความสามารถอันยิ่งใหญ่เหนือระดับของเย่เทียนเฉิน ในตอนนี้ถึงแม้ว่าจะยังไม่มั่นใจว่าเย่เทียนเฉินเป็นผู้มีพลังพิเศษห้าสายในคำเล่าลือหรือไม่ แต่เขาก็ได้ใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษในสายอัสนี พสุธา และวารีไปแล้วสาสาย ช่างทำให้ผู้อื่นต้องสงสัยจริงๆ…
“เย่เทียนเฉิน ดูท่าหากต้องการคาดเดาถึงความสามารถที่แท้จริงของนาย และต้องการจะดูว่านายเป็นผู้มีพลังพิเศษห้าสายหรือไม่ คงจะต้องให้ขั้วอำนาจใหญ่อื่นๆ เข้ามามีส่วนร่วมซะแล้ว…” ฉินเหยาเยว่พูดด้วยรอยยิ้มน่ารัก
นอกมหาวิทยาลัยหลงเถิง เวลาบ่ายสี่โมง เย่เทียนเฉินโทรหาหลิงอวี่สวิ๋นและเสี้ยวหยา บอกพวกเธอว่าหลังจากเลิกเรียนแล้วให้มาเจอกันที่หน้าประตูมหาวิทยาลัย ส่วนเย่เทียนเฉินและหลินตวนก็ได้ไปที่ร้านอาหารเสฉวนแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล หลังจากที่เย่เทียนเฉินได้มาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ก็พบว่าอาหารเสฉวนไม่เลวเลยจริงๆ ถ้ามีโอกาสก็อยากจะไป “ตูเฉิง” ที่ว่ากันว่าเป็นแดนสวรรค์ในโลกมนุษย์ ไปกินอาหารเสฉวนดั้งเดิมสักหน่อย
พริบตาเดียวก็สั่งอาหารไปแล้วแปดอย่าง หลินตวนมองจนตาค้าง เมื่อเย่เทียนเฉินส่งเมนูอาหารไปให้พนักงานยังถือโอกาสพูดไปอีกประโยคหนึ่งว่า “จำไว้ว่าจะต้องเพิ่มซุปสามเซียนดั้งเดิมมาหนึ่งที่ จะต้องเป็นอาหารเสฉวนดั้งเดิมนะ!”
“พี่ใหญ่…ยัง ยังมีคนอื่นอีกหรือเปล่าครับ?” หลินตวนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“ไม่มีแล้ว!” เย่เทียนเฉินเองก็เอ่ยตอบพลางมองไปยังหลินตวนแปลกๆ
“อาหารแปดอย่างกับซุปหนึ่งอย่าง พวกเราสองคนกินกันหมดเหรอ?”
“อ้อใช่แล้ว ลืมบอกกับนายไปเลย อาหารเหล่านี้สั่งมาให้ฉันกินคนเดียว นายอยากกินอะไรก็สั่งเองเลย…” เย่เทียนเฉินมองไปยังหลินตวนแล้วพูดราวกับว่ามันเป็นสัจธรรม แต่กลับไม่ได้สังเกตเห็นเลยว่าหลินตวนแทบจะหมดอาลัยตายอยากอยู่แล้ว
หลินตวนเต็มไปด้วยความเอือมระอา จะอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่า เย่เทียนเฉินที่มีความสามารถแข็งแกร่งเหนือระดับ กระทั่งไม่อาจคาดเดาได้คนนี้ จะไม่เพียงแต่มีนิสัยเหมือนอันธพาล แต่ยังเป็นตัวตะกละตะกรามอีกด้วย
เย่เทียนเฉินดื่มน้ำชาไปอึกหนึ่ง มองไปยังหลินตวนแล้วถามว่า “เมื่อกี้นี้ตอนที่สู้กับนาย พบว่านายใช้มีดเจ็ดดาวออกมา ถึงแม้จะมีพลังอำนาจมาก แต่ก็ไม่มีการสั่นไหวของพลังภายในเลยแม้แต่นิดเดียว ในเมื่อนายเป็นศิษย์ของพรรควรยุทธโบราณ คงไม่มีทางไม่ฝึกฝนพลังภายในหรอกใช่ไหม?”
เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน หลินตวนก็มองไป จากนั้นจึงทอดถอนใจออกมา ยกมือขวาขึ้นและพับแขนเสื้อบริเวณมือ ในตอนที่เย่เทียนเฉินเห็นแขนขวาของหลินตวนก็ตกตะลึงไปทั้งร่าง พบว่าบนมือขวาของหลินตวนมีเส้นขีดสีดำเส้นหนึ่ง ดูจากสภาพแล้วควรจะมาจากตำแหน่งหัวใจ ไล่มาจนถึงกลางฝ่ามือ เป็นอะไรที่พิเศษและประหลาดมาก
“นายคงจะได้รับบาดเจ็บภายในมาสินะ…หรือว่า…ถูกตัดทอนชีพจรลมปราณ?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะคิดถึงอะไรบางอย่างขึ้นมา จึงถามออกไปด้วยความประหลาดใจ
“ครับ พี่ใหญ่ร้ายกาจจริงๆ มองแวบเดียวก็ดูออกแล้ว ไม่ผิด นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ผมไม่สามารถฝึกฝนพลังภายในได้!” หลินตวนส่ายศีรษะแล้วพูดออกมาด้วยรอยยิ้มขมขื่น
……………………………….
อำนาจของมีดเจ็ดดาวแข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบมิได้ เป็นมีดเล่มหนึ่งที่รวบรวมเทคโนโลยีระดับสูงของปัจจุบันและเคล็ดวิชาลับอันแข็งแรงของพรรควรยุทธโบราณเข้าด้วยกัน ถึงแม้ว่าหลินตวนจะเป็นศิษย์ของพรรควรยุทธโบราณ แต่ดูเหมือนว่ากระบวนท่าที่เขาใช้จะไม่มีพลังภายในอันแข็งแกร่งของพรรควรยุทธโบราณอยู่เลย ตรงจุดนี้ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกสงสัยและประหลาดใจในเวลาเดียวกัน
สิ่งที่สงสัยก็คือ หลินตวนมีฐานะเป็นศิษย์ของพรรควรยุทธโบราณ ไม่สามารถฝึกแค่เคล็ดวิชาของพรรควรยุทธโบราณโดยที่ไม่ฝึกพลังภายในอันแข็งแกร่งร่วมด้วยได้ หรือว่าจะมีสิ่งใดปิดบังอยู่อีก?
ที่ประหลาดใจก็คือ ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ได้ใช้พลังภายในอันแข็งแกร่ง หลินตวนก็ยังสามารถใช้มีดเจ็ดดาวได้ และออกกระบวนท่าการโจมตีอันแข็งแกร่งเช่นนี้มาได้ อย่างน้อยก็เป็นครั้งแรกที่เย่เทียนเฉินได้เห็นได้พบตั้งแต่มาเกิดใหม่ในโลกปัจจุบัน
มหาวิทยาลัยหลงเถิง บนสนามหญ้าในภูเขาด้านหลัง มีฝุ่นควันฟุ้งตลบ เงามีดสองสายกลายเป็นมังกร ราวกับเป็นพลังที่แท้จริง มังกรคำรามออกมา พุ่งเข้ามาเพื่อฆ่าเย่เทียนเฉิน
ฉากนี้ทำให้ผู้คนต้องตกตะลึงจริงๆ หากมีคนมาดูอยู่ที่นี่ จะต้องตกใจจนตาค้างแน่นอน บนสนามหญ้าอันใหญ่โตมีเงามังกรตัวใหญ่สองตัว อ้าปากกว้าง และพุ่งตรงไปที่เย่เทียนเฉินจนทำให้เกิดฝุ่นควันฟุ้งกระจาย กระทั่งอากาศก็สั่นไหว ภาพอันน่าหวาดกลัวนี้ได้เกินกว่าความเข้าใจของผู้คนในยุคปัจจุบันที่มีต่อเคล็ดวิชาวรยุทธโบราณไปแล้ว แม้ในความฝันพวกเขาก็คิดไม่ถึงว่าเคล็ดวิชาโบราณของจีนที่มีสีสันเล่าลือต่อๆ กันมาจะกว้างขวางและลึกซึ้ง ถ้าพูดกันตามความเป็นจริงแล้วก็เช่น การเหาะเหินเดินกำแพง การทลายภูผาพลิกมหาสมุทร การเจาะทะลุภูเขาป่นหิน หากพูดอย่างเกินจริงสักหน่อยก็เช่น การขี่เมฆมังกร การขี่กระบี่ ขี่เมฆท่องไปทั่วหล้า…
ดังนั้นในโลกปัจจุบันนี้ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ ดูเหมือนว่าจะมีน้อยคนที่รู้ถึงการมีอยู่ของผู้แข็งแกร่งแห่งพรรควรยุทธโบราณ และยังมีเรื่องราวและเหตุการณ์อีกมากมายที่ผู้คนไม่รู้ ถ้าหากใช้เพียงวิธีการที่อยู่ในความคิดของคนธรรมดาในสังคมมาวิเคราะห์ ย่อมไม่มีทางรับและอธิบายได้โดยเด็ดขาด แต่ถึงแม้ว่าคุณจะไม่เชื่อ ขออันนี้ล้วนเป็นความจริงที่ดำรงอยู่
ในตอนนี้ ขณะที่หลินตวนได้ปล่อยเงาดาบใหญ่ยักษ์สองเงา ใช้พลังอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดของมีดเจ็ดดาวออกมานั้น เย่เทียนเฉินก็ได้รวบรวมพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันทั้งหมดในร่างกายเตรียมที่จะรับกระบวนท่าอันแข็งแกร่งใหญ่โตนี้ เมื่อถึงตอนนี้เขาไม่กล้าที่จะประมาทเลยแม้แต่น้อย อย่างไรเสียถึงแม้ว่ามีดเจ็ดดาวจะไม่ได้เป็นหนึ่งในสามสุดยอดอาวุธของพรรควรยุทธโบราณ แต่ก็เพียงพอที่จะสั่นสะท้านโลกทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังแล้ว
ในตอนนี้เอง มีดวงตาอันงดงามคู่หนึ่งจ้องมองฉากนี้โดยไม่ละสายตา เมื่อเห็นหลินตวนใช้มีดเจ็ดดาว ปล่อยเป็นเงามีดที่กลายสภาพเป็นมังกรตัวใหญ่เหนือจินตนาการออกมา โจมตีไปยังเย่เทียนเฉิน ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว มังกรตัวใหญ่ทั้งสองตัวที่คำรามจนอากาศแทบจะฉีกขาดนั้น ในสายตาของคนธรรมดาที่ไม่มีประสาทสัมผัสอันเฉียบแหลมอะไร ก็จะไม่มีผลกระทบอะไรมาก กระทั่งสามารถกล่าวได้ว่า ไม่สามารถสังเกตเห็นได้ แต่ว่าสำหรับยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณและผู้มีพลังพิเศษที่มีประสาทสัมผัสและสัญชาตญาณสูงนี้ พลังของเสียงมังกรคำรามที่ระเบิดออกมา ไม่สามารถหลุดลอดไปจากการรับรู้ของพวกเขาได้
ฉินเหยาเยว่ยืนอยู่บนตึกของภาควิชาโบราณคดี ในตอนที่เย่เทียนเฉินและหลินตวนเพิ่งจะเดินมาถึงสนามและประลองกันด้วยกระบวนท่าเล็กๆ น้อยๆ เพื่อลองเชิงกันนั้น เธอก็จับตามองทุกการกระทำของเย่เทียนเฉินแล้ว ถึงแม้ว่าหลินตวนเองก็ทำให้เธอต้องแปลกประหลาดใจอยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่าในภาควิชาโบราณคดีนี้จะมีพยัคฆ์หมอบมังกรซ่อนอยู่ด้วย แต่ฉินเหยาเยว่ก็ให้ความสนใจกับเย่เทียนเฉินมากกว่า เนื่องจากสิ่งที่เธอกระทำมาโดยตลอดเกี่ยวข้องกับการข้ามมิติ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเธอรู้ได้อย่างไรว่าเย่เทียนเฉินเป็นผู้แข็งแกร่งที่ทะลุมิติมาจากช่วงยุคสิ้นโลก เพียงแค่เธอคิดว่าจะได้รับข้อมูลในช่วงยุคสิ้นโลกมาจากเย่เทียนเฉิน เธอก็ให้ความสนใจกับเย่เทียนเฉินมากแล้ว
กล่าวให้ถูกก็คือ ในตอนนี้คนเพียงคนเดียวที่รู้ฐานะที่แท้จริงของเย่เทียนเฉินก็คือฉินเหยาเยว่ เธอเข้าใกล้เย่เทียนเฉิน กระทั่งไม่ลังเลที่จะใช้วิชาสะกดใจออกมาอย่างกะทันหัน เพื่อต้องการควบคุมเย่เทียนเฉิน ก็เพราะต้องการที่จะได้รับข้อมูลของช่วงยุคสิ้นโลก ฉินเหยาเยว่เองก็คิดที่จะทะลุมิติไปที่นั่น ต้องการไปที่โลกของการล่มสลาย เนื่องจากที่นั่นมีของที่เธอต้องการมาโดยตลอด เป็นสิ่งที่ไม่ว่าใครก็ตามจะต้องหวั่นไหว นั่นก็คือการมีชีวิตยืนยาวเป็นอมตะ!
ยังคงเป็นเช่นนั้น ช่วงยุคสิ้นโลก เป็นโลกที่ไม่สามารถใช้ตรรกะตามปกติได้ ไม่เช่นนั้นคงจะไม่ได้ชื่อว่าโลกแห่งการล่มสลาย คุณสามารถจินตนาการถึงมันได้เลยว่าเป็นโลกที่เกิดจากการรวบรวมยุคปัจจุบัน ความเพ้อฝัน และโลกแห่งเทพเซียนเข้าด้วยกัน ที่นั่นไม่ได้มีเพียงเผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่ยังมีสัตว์อสูร มีมนุษย์กลายพันธุ์และสัตว์กลายพันธุ์ มีกระทั่งภูตผีปีศาจ หากคุณใช้ความคิดของคนในปัจจุบันไปใคร่ครวญเรื่องของโลกแห่งการล่มสลายนั้น คุณคงจะต้องล้มเหลว และถูกทำให้ตกใจตาย
“มีดเจ็ดดาวแข็งแกร่งจริงๆ มิน่าล่ะถึงได้เป็นอาวุธชั้นยอดห้าอันดับแรกของพรรควรยุทธโบราณได้ หากสามารถได้มาไว้ในมือจะดีแค่ไหนกัน!” มุมปากของฉินเหยาเยว่ปรากฏรอยยิ้มเซ็กซี่ พูดกับตนเองเสียงเบาด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย
ทันใดนั้นเอง เย่เทียนเฉินก็เคลื่อนไหว เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเงามีดที่กลายเป็นมังกรตัวใหญ่ทั้งสอง เขาเองก็ไม่กล้าลำพองใจ มีดเจ็ดดาวเล่มนี้เดิมทีก็มีความโหดเหี้ยมร้ายกาจอยู่แล้ว ในตอนที่หลินตวนตวัดมีดฟาดฟันออกมา ลายมังกรบนตัวมีทั้งสองฝั่งก็เปล่งประกาย ดูคล้ายกับว่าจะพุ่งทะยานยานออกมาได้ ในจุดนี้เย่เทียนเฉินค้นพบแล้ว เขาคาดเดาได้ว่าอาจจะเป็นอาจารย์ของหลินตวนที่ใช้เคล็ดวิชาของพรรควรยุทธโบราณอันลึกล้ำ ใช้พลังภายในอันแข็งแกร่งผสานรวมไปบนลายมังกรทั้งสอง จึงทำให้มีผลลัพธ์ที่ร้ายกาจเช่นนี้ได้
“ย๊าก!”
เสียงตะโกนดังขึ้น เย่เทียนเฉินยืนเผชิญหน้ากับฟ้า กระโดดขึ้นสูงสองเมตรกว่า ในหมัดทั้งสองรวบรวมพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันเอาไว้จนเปล่งประกาสว่าง ทำให้หลินตวนที่อยู่ด้านล่างที่ได้เห็นต้องตกตะลึงจนตาค้าง ในใจคิดว่าเย่เทียนเฉินคนนี้คิดจะทำอะไร คงไม่ใช่ว่าต้องการปะทะกับมังกรสองตัวนี้อีกแล้วนะ? คนคนนี้รนหาที่ตายหรือไง?
ต้องกล่าวว่าเมื่อสักครู่นี้ในตอนที่หลินตวนใช้มีดเจ็ดดาวครั้งแรก เขาทำเพียงแค่ฟาดฟันออกมาง่ายๆ ครั้งหนึ่งเท่านั้น เย่เทียนเฉินปะทะเข้าไปก็ทำให้เขาตกใจแล้ว แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นสั่นสะท้าน จะอย่างไรเขาก็ไม่ได้ลงมือเต็มที่ พลังอำนาจของมีดเจ็ดดาวก็ไม่ได้ใช้ออกมาเต็มที่ เย่เทียนเฉินสามารถหยุดยั้งเงาดาบขนาดใหญ่นั้นได้ ก็นับว่ามีความสามารถแข็งแกร่งมากแล้ว แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นที่น่าหวาดผวา อย่างไรก็ตามพลังอำนาจของมีดเจ็ดดาวที่ปรากฏขึ้นในตอนนี้ถึงขั้นเท็จเป็นจริง ดูเหมือนจะสามารถเห็นเงาของมังกรอหังการทั้งสองตัวได้ นี่เป็นความน่าเหลือเชื่อและความแข็งแกร่งระดับไหนกัน เย่เทียนเฉินถึงกับกล้าเข้าปะทะเชียว?
ตู้ม!
เสียงดังสนั่นดังขึ้น มือขวาของเย่เทียนเฉินต่อยออกไปยังศีรษะของมังกรตัวนั้น เพื่อหยุดยั้งมังกรตัวนั้นเอาไว้ แต่มังกรอีกตัวหนึ่งก็มาถึงแล้ว มันอ้าปากหวังกลืนกินเย่เทียนเฉินลงไป เย่เทียนเฉินใช้มือซ้ายยื่นออกไป ในฝ่ามือปรากฏลำแสงของคมกระบี่ขึ้นมาในพริบตา นี่เป็นการสร้างขึ้นจากการรวบรวมพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชัน เขาฟาดฟันกระบี่ไปยังมังกรอีกตัวหนึ่ง
ตู้มๆ!
เสียงดังสนั่นขึ้นอีกสองครั้ง บริเวณใจกลางของสนามเกิดระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง มังกรสองตัวที่ออกมาจากมีดเจ็ดดาวระเบิดกลางอากาศ ถึงแม้ว่าเย่เทียนเฉินจะใช้คมกระบี่ในมือซ้ายฟาดฟันมังกรตัวหนึ่ง และใช้หมัดในมือขวาต่อยปะทะมังกรตัวใหญ่อีกตัวหนึ่งเข้าไป แต่กลับไม่สามารถขัดขวางการโจมตีอันแข็งแกร่งของมังกรทั้งสองตัวได้ จากนั้นมังกรทั้งสองรวมกันเป็นหนึ่งและระเบิดออกมาอย่างรุนแรง ซึ่งใจกลางการระเบิดก็คือเย่เทียนเฉิน
การต่อสู้อันดุเดือดพลุ่งพล่านและการระเบิดอันน่าตื่นตะลึง กลับไม่มีเสียงใดออกมาเลย กระทั่งฉินเหยาเยว่ที่ยืนอยู่บนตึกภาควิชาโบราณคดีก็เห็นเพียงฉากการระเบิดที่น่าตื่นตะลึงเท่านั้น แต่ไม่ได้ยินเสียงใดๆ เลยแม้แต่น้อย เธออดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วอันงดงาม จากนั้นมุมปากจึงปรากฏรอยยิ้มขึ้น “ที่แท้นายก็ใช้พลังพิเศษเขตแดนปิดกั้นตั้งนานแล้ว ต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีอันแข็งแกร่งถึงขนาดนี้ยังมีใจไปใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษได้อีก เย่เทียนเฉิน ฉันจะต้องหาข้อมูลเกี่ยวกับยุคสิ้นโลกมาจากนายให้ได้ จะต้องไปที่โลกแห่งการล่มสลายให้ได้…”
“สหายเย่…” หลินตวนเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็ตกตะลึงไป เขาไม่ต้องการฆ่าเย่เทียนเฉิน เขาต้องการเพียงเอาชนะเพื่อที่จะทำให้ชื่อเสียงของสำนักงานเทียนหลินยิ่งใหญ่เท่านั้น ในขณะเดียวกันก็ต้องการให้เย่เทียนเฉินเข้าร่วมกับสำนักงานเทียนหลิน เพื่อช่วยทำงานให้เขา
ไหนเลยจะรู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น เย่เทียนเฉินเข้าปะทะกับมีดเจ็ดดาวโดยไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย ถูกมังกรตัวใหญ่ทั้งสองตัวที่เกิดจากพลังของมีดเจ็ดดาวอันมหาศาลตัดขาดเป็นชิ้นๆ เกรงว่าระเบิดจนไม่เหลือกระทั่งกระดูกแล้ว
จนถึงตอนนี้หลินตวนก็ยังไม่รู้ว่า ความจริงแล้วในตอนที่พวกเขาทั้งสองคนมาถึงสนามหญ้า เย่เทียนเฉินได้ลอบกางเขตแดนปิดกั้นนานแล้ว ไม่เช่นนั้นด้วยอำนาจของมีดเจ็ดดาวที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนั้น ฟาดฟันเพียงครั้งเดียวก็เกิดเป็นเงาดาบอันใหญ่ ถ้าไม่ทำให้เหล่าอาจารย์และนักศึกษาในมหาวิทยาลัยหลงเถิงต้องตกใจก็แปลกแล้ว โดยเฉพาะครั้งสุดท้ายที่หลินตวนลงมือเต็มกำลัง ใช้พลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ของมีดเจ็ดดาวออกมาจนเงามีดกลายเป็นมังกรสองตัว ในอากาศมีเสียงมังกรกู่ร้องคำราม ถ้าหากว่าถูกคนอื่นได้ยินเข้าจะต้องคิดว่าเกิดการล่มสลายอย่างแน่นอน กระทั่งคงจะตกใจตายก็เป็นได้
จินตนาการได้เลยว่า มังกรตัวใหญ่ทั้งสองตัวที่พุ่งทะยานมายังตนเอง ส่งเสียงคำรามกู่ก้อง หากคุณยืนอยู่บนสนามหญ้าโล่งๆ จะมีความรู้สึกอย่างไร คงจะตกใจจนฉี่แทบราด
“ร้ายกาจ ร้ายกาจ พลังของมีดเจ็ดดาวร้ายกาจจริงๆ…”
ชั่วขณะนั้นเองหลินตวนก็ได้ยินเสียงของเย่เทียนเฉิน เขาตกใจจนชะงัก มองไปยังอากาศด้วยอาการตกตะลึงจนตาค้าง ฝุ่นควันค่อยๆ สลายไป เห็นว่าในอากาศปรากฏลูกบอลน้ำขึ้นอันหนึ่ง เย่เทียนเฉินถูกห้อมล้อมเอาไว้ตรงกลาง แขนเสื้อบริเวณมือขวาแหลกสลายเป็นเสี่ยงๆ ไปหมดแล้ว เมื่อสักครู่นี้ที่มังกรที่เกิดจากเงาดาบพุ่งเข้าไปและระเบิดออกมาครั้งใหญ่ เย่เทียนเฉินรีบใช้พลังพิเศษสายวารีคุ้มครองตนเอง แต่กลับช้าไปเล็กน้อย มือขวาจึงถูกระเบิดอย่างรุนแรง
ความจริงแล้ว ในตอนที่มือขวาของเย่เทียนเฉินต่อยปะทะไปยังบริเวณศีรษะของมังกรที่เกิดจากเงาดาบตัวนั้น เขาก็รู้ว่าตนเองไม่อาจสู้ได้ พลังอำนาจของมีดเจ็ดดาวนี้แข็งแกร่งมาก มังกรที่เกิดจากเงาดาบสองตัวนั้นมีความสามารถถึงขั้นก่อสร้างรูปลักษณ์ให้เป็นจริง มีพลังอำนาจอันแข็งแกร่ง การโจมตีของมังกรตัวเดียวก็แข็งแกร่งมากแล้ว เมื่อทั้งสองตัวรวมเป็นหนึ่ง พลังในการทำลายล้างก็เพิ่มขึ้นในพริบตา ทำให้เขาไม่อาจจะป้องกันได้ ดังนั้นมือซ้ายจึงรีบรวมพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันและก่อสร้างเป็นรูปลักษณ์ของคมกระบี่ขึ้นมา ฟาดฟันลงไปยังมังกรอีกตัวหนึ่งเพื่อจะยืดเวลาออกไปและให้ตนเองมีโอกาสได้ใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษสายวารี
ครั้งนี้เย่เทียนเฉินไม่ได้ใช้โล่พลังพิเศษคุ้มครองตนเอง เป็นเพราะเขาสัมผัสได้ว่าภายในพลังและบรรยากาศของมังกรคมมีดสองตัวนี้ ปะปนไปด้วยธาตุดินซึ่งเป็นธาตุที่ถูกธาตุน้ำกดข่ม นี่จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด
โพล๊ะ!
ลูกบอลน้ำที่ห่อหุ้มเย่เทียนเฉินเอาไว้ระเบิดออก น้ำทั้งหมดหยดลงสู่พื้น เย่เทียนเฉินลงมายืนที่พื้นมองไปยังหลินตวนแล้วพูดว่า “พลังของมีดเจ็ดดาวไม่น้อยเลยทีเดียว เป็นอาวุธที่ยอดเยี่ยมชิ้นหนึ่ง!”
“นาย…ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” หลินตวนมองเย่เทียนเฉินด้วยความตกตะลึงจนตาค้าง จะอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าบนโลกนี้จะมีคนที่สามารถเข้าปะทะกับมีดเจ็ดดาวและยังไม่ได้รับอันตรายจากพลังอำนาจอันแข็งแกร่งที่ถูกใช้ออกไปของมีดเจ็ดดาวอยู่อีก เย่เทียนเฉินแข็งแกร่งมากขนาดไหนกันแน่?
ในตอนนี้เอง ฉินเหยาเยว่ที่ยืนอยู่บนตึกภาควิชาโบราณคดีก็ดวงตาเบิกกว้าง การที่เย่เทียนเฉินหยุดยั้งมีดเจ็ดดาวได้ทำให้เธอต้องสั่นสะท้าน แต่ที่ทำให้เธอต้องตกตะลึงที่สุดก็คือ เย่เทียนเฉินถึงกับสามารถใช้พลังพิเศษในสายวารีได้ จากข้อมูลที่ตนเองมีอยู่ในมือในปัจจุบันนี้ เย่เทียนเฉินเคยใช้พลังพิเศษในสายอัสนีและสายพสุธา ซึ่งก็ทำให้เธอต้องประหลาดใจมากแล้ว ตอนนี้ถึงกับสามารถใช้พลังพิเศษในสายวารีได้ ช่างทำให้เธอต้องสั่นสะท้านเกินไปแล้ว
“หรือว่า หรือว่าเย่เทียนเฉินจะ…เป็นผู้มีพลังพิเศษห้าสาย?” ในพริบตานั้น ฉินเหยาเยว่ก็อ้าปากอันเซ็กซี่ของเธอ มองเย่เทียนเฉินที่อยู่ไกลออกไปอย่างเหลือเชื่อ พูดพึมพำกับตนเองด้วยความสงสัย
……………………………..
เย่เทียนเฉินไม่ได้ดูแคลนหลินตวน กลับจะชอบใจในความคิดของหลินตวนด้วยซ้ำ เพราะหลินตวนเป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมาและมีหลักการเป็นของตนเอง นับเป็นลูกผู้ชายคนหนึ่ง โดยเฉพาะการที่เขาสามารถเป็นผู้อำนวยการสำนักงานเทียนหลินได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่คล้ายกับองค์กรทหารรับจ้าง ความสามารถย่อมไม่อ่อนด้อย อีกทั้งยังไม่ใช่คนประเภทที่มีแต่ความกล้าบ้าบิ่นแต่ไร้ซึ่งความคิดประเภทนั้น
ดังนั้นที่เย่เทียนเฉินบอกว่าจะสูบบุหรี่ก่อนสักหน่อยถึงจะสู้กับหลินตวนก็ไม่ใช่การดูถูก แต่เป็นความเคยชินของเย่เทียนเฉินจริงๆ ในช่วงยุคสิ้นโลก สิ่งของประเภทบุหรี่เป็นของหายาก กระทั่งสามารถเรียกได้ว่าเป็นสินค้าหรูหราที่ดูเหมือนจะหาไม่ได้แล้ว ในโลกปัจจุบันนี้ถึงแม้ว่าจะมียอดฝีมือซ่อนเร้นอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ก็ยังค่อนข้างจะสงบสุข อย่างน้อยคนธรรมดาก็สามารถนั่งกินข้าวอย่างสงบได้ เสพสุขกับการดื่มเหล้าและสูบบุหรี่สักมวนได้
หมัดของหลินตวนซัดเข้าไปยังใบหน้าของเย่เทียนเฉิน เขาหลบตามสัญชาตญาณ โดยเอนร่างไปทางขวา และจับเข้าที่ข้อมือของหลินตวนในเวลาเดียวกัน เข่าขวาของหลินตวนแทงขึ้นใกล้จะถูกหน้าอกของเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว หลินตวนรวดเร็วมากจริงๆ ทุกสิ่งทุกอย่างนี้เกิดขึ้นในเวลาเพียงชั่วพริบตา เขายกมือซ้ายขึ้นมากัน มือขวาออกแรงเล็กน้อยเพื่อสะบัดหลินตวนออกไป
ภายในเวลาสิบวินาที ทั้งสองคนได้ประลองกันไปแล้วหลายกระบวนท่า โชคดีที่บริเวณที่ว่างแห่งนี้ไม่มีคน ถ้าหากว่าถูกคนพบเห็นฉากนี้เข้าจะต้องตกใจจนคางแทบร่วงแน่นอน การต่อสู้แบบนี้ปรากฏอยู่เพียงแค่ในภาพยนตร์ ในชีวิตปัจจุบันจะเคยพบกับการต่อสู้ด้วยวรยุทธอันมีสีสันถึงขนาดที่ไหนกัน?
“นายแข็งแกร่งมากจริงๆ ถ้าสามารถมาเข้าร่วมกับสำนักงานเทียนหลินของฉันได้ก็จะดีมาก!” หลินตวนมองเย่เทียนเฉินแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
“นายเองก็ไม่เลวเลย มาอยู่กับพี่ชายเถอะ รับรองเลยว่านายจะยืนอยู่ในที่สูงกว่านี้ มองได้ไกลกว่านี้!” เย่เทียนเฉินก็พูดด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ได้หรอก ฉันเป็นคนก่อตั้งสำนักงานเทียนหลิน ยังไม่ทันทำงานอะไรสำเร็จก็จะล้มเลิกซะแล้ว ถึงตอนนั้นท่านอาจารย์คงจะไม่ปล่อยฉันไปแน่!” หลินตวนพูดพลางส่ายหน้า
“อาจารย์ของนาย? ไม่สู้เรียกอาจารย์ของนายมาอยู่กับฉันด้วยเป็นไง?” เย่เทียนเฉินหัวเราะฮี่ๆ แล้วกล่าวออกมา
“สหายเย่ คำพูดแบบนี้ไม่สามารถพูดเล่นๆ ได้ ถ้าอาจารย์ฉันได้ยินเข้า เขาจะต้องสู้กับนายอย่างสุดชีวิตแน่นอน อาจารย์ของฉันแข็งแกร่งมาก!”
“ฉันรู้ว่าอาจารย์ของนายแข็งแกร่ง ไม่งั้นคงไม่สามารถสั่งสอนลูกศิษย์แบบนายออกมาได้หรอก มาเถอะ ให้ฉันทดสอบฝีมือของนายสักหน่อย!”
ความรู้สึกของเย่เทียนเฉินและหลินตวนไม่เหมือนกับศัตรูคู่อาฆาต แต่เหมือนกับการคุยเล่นระหว่างเพื่อนพ้องที่เดินอยู่ในเส้นทางการฝึกฝนวรยุทธมากกว่า การที่ทั้งสองมีความรู้สึกเช่นนี้ก็เป็นเพราะหลินตวนและเย่เทียนเฉินต่างก็เป็นคนเปิดเผย เป็นลูกผู้ชายที่มีนิสัยตรงไปตรงมา
เมื่อครู่นี้คนทั้งสองแลกเปลี่ยนกระบวนท่าเพื่อลองเชิงกันไปหลายกระบวนท่า ถึงแม้เบื้องหน้าจะไม่ได้พูดอะไร แต่ก็มีความตื่นตะลึงต่อฝีมือของอีกฝ่าย เย่เทียนเฉินที่ปกติมีท่าทางเหลาะแหละ แต่เมื่อลงมือขึ้นมากลับทำให้ผู้คนต้องตกตะลึงเป็นอย่างมาก ส่วนหลินตวนมาดูภายนอกแล้วค่อนข้างผอม กระทั่งมีบรรยากาศเหมือนหนอนหนังสือ แต่เมื่อได้ลงมือกลับสามารถทำให้เย่เทียนเฉินประหลาดใจได้ ฝีมือของคนคนนี้รวดเร็วว่องไว ยิ่งไปกว่านั้นวิถีหมัดก็ยังแปลกประหลาด ไม่เหมือนเทคนิคที่สืบทอดกันมาในพรรควรยุทธโบราณ
เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกแปลกๆก็คือ เมื่อครู่นี้ประลองกับหลินตวนไปหลายกระบวนท่า แต่เขาไม่สามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังภายในที่แข็งแกร่งเลย แต่ว่าเคล็ดวิชาหมัดของคนคนนี้เหมือนกับเคล็ดวิชาของพรรควรยุทธโบราณ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เคยฝึกฝนพลังภายใน ตกลงแล้วเขาจงใจซ่อนเอาไว้หรือว่ามีสาเหตุอื่นกันเเน่?
ในตอนที่เย่เทียนเฉินมองไปยังหลินตวนและกำลังใคร่ครวญอยู่นั้น มือขวาของหลินตวนก็ปรากฏมีดสั้นเล่มหนึ่งขึ้น ยาวประมาณสองชุ่น ดูภายนอกมีความประณีตงดงามมาก ทันใดนั้น หลินตวนกำมีดสั้นเล่มนั้นแน่น มีดสั้นเล่มนี้สั่นสะเทือนแล้วกลายเป็นมีดเล่มใหญ่ที่ยาวประมาณครึ่งเมตร บนตัวดาบทั้งสองฝั่งมีลายมังกรอยู่ ดูแล้วให้ความรู้สึกอหังการเป็นอย่าง
เมื่อเย่เทียนเฉินเห็นมีดสั้นที่สามารถกลายเป็นมีดยาวเล่มนั้นก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว พลังพิเศษแห่งการรับรู้ของเขาสัมผัสได้ว่ามีดเล่มนี้มีความแปลกประหลาดอยู่ ตัวมีดแผ่ไอสังหารอันแข็งแกร่งออกมา โดยเฉพาะมังกรที่อยู่บนตัวดาบทั้งสองฝั่ง ที่ดูราวกับมีชีวิตนั้น ให้ความรู้สึกเหมือนกับมังกรตัวเขื่องสองตัวนั้นจะสามารถพุ่งทะยานออกมาได้
“มีดเล่มนี้ชื่อว่ามีดเจ็ดดาว เคยผ่านการปรับปรุงของด้วยเทคนิคชั้นสูงในยุคปัจจุบันมาก่อน ท่านอาจารย์ของฉันได้ใส่พลังภายในที่แข็งแกร่งลงไปด้วย เมื่อชักมีดออกมา ถ้าไม่ได้ดื่มเลือดก็จะไม่สามารถปล่อยมือจากมีดได้ นายระวังด้วย!” หลินตวนมองเย่เทียนเฉินแล้วพูดอย่างจริงจัง
“มีดเจ็ดดาว? เป็นชื่อที่ไม่เลวเลย ให้ฉันดูสักหน่อยเถอะว่ามีดเจ็ดดาวในมือของนายจะร้ายกาจขนาดไหน…” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม
ฉัวะ!
หลินตวนไม่พูดอะไรให้มากความอีก วาดมีดเจ็ดดาวฟันลงไปยังเย่เทียนเฉิน ระยะห่างระหว่างทั้งสองอยู่ไกลกันเกือบสิบเมตร เงามีดอันใหญ่มหึมาฟันลงไปยังศีรษะของเย่เทียนเฉินโดยตรง เย่เทียนเฉินเองก็ไม่กล้าลำพองใจ มีดเจ็ดดาวนี้เมื่ออยู่ภายใต้พลังพิเศษแห่งการรับรู้ของเขาทำให้รู้ว่ามีดเล่มนี้มีความพิเศษและความแปลกประหลาดอยู่ เนื่องจากวัสดุของมีดเล่มนี้ไม่ได้พิเศษอะไรแต่กลับสามารถระเบิดไอสังหารอันแข็งแกร่งเช่นนั้นออกมาได้ โดยเฉพาะในตอนที่หลินตวนสะบัดมีด เงามีดสามารถทำให้อากาศเกิดการสั่นสะเทือนจนแทบจะแหลกสลาย ช่างแข็งแกร่งมากจริงๆ
เย่เทียนเฉินมองเงามีดขนาดใหญ่ที่ถูกฟันมายังตนเอง ไม่ได้ดูแคลนอะไรอีก มุมปากคาบบุหรี่อยู่หนึ่งมวน มือทั้งสองกำแน่น พลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันไหลลงไปรวมภายในหมัดทั้งสอง เขาไม่ได้หลบแต่ใช้หมัดต่อยปะทะเข้าไปกับเงามีดใหญ่มหึมานั้นตรงๆ
ตู้ม!
เสียงอันดังสนั่นดังขึ้น บนสนามขนาดใหญ่อันว่างเปล่าฟุ้งกระจายไปด้วยฝุ่นควัน มือขวาของหลินตวนกำมีดเจ็ดดาวเอาไว้ ดวงตาทั้งสองจ้องมองไปยังบริเวณที่ฝุ่นควันฟุ้งกระจาย ตรงนั้นเป็นที่ที่เย่เทียนเฉินยืนอยู่ เมื่อครู่นี้เขาเห็นเย่เทียนเฉินใช้หมัดโจมตีปะทะเข้ากับเงามีด หลินตวนเองก็ถูกทำให้ตกใจไปแล้ว จะอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะถึงกลับใจกล้าและเด็ดเดี่ยวถึงเพียงนี้ ช่างไม่กลัวตายเลยจริงๆ
มีดเจ็ดดาวเล่มนี้เป็นของอาจารย์ของหลินตวน ซึ่งเป็นปรมาจารย์ชั้นสูงของพรรควรยุทธโบราณคนหนึ่ง ได้มอบให้กับหลินตวน เดิมทีหลินตวนก็เป็นผู้มีความสามารถในด้านเทคโนโลยีอยู่แล้ว จึงได้ปรับปรุงแก้ไขมีดเจ็ดดาว ทำให้สามารถยืดหดและขยายได้ และเมื่อผ่านการเสริมด้วยพลังภายในอันแข็งแกร่งของอาจารย์ของหลินตวนลงไปในมีดเจ็ดดาว โดยใช้วิชาที่สืบทอดกันมาแต่โบราณซึ่งเป็นเคล็ดวิชาลับอย่างหนึ่งทำให้มังกรทั้งสองตัวถูกสลักเพิ่มเข้าไปในสองฝั่งของมีดเจ็ดดาว ทำให้เมื่อเกิดการระเบิดพลังออกมาจริงๆ จะสามารถทำให้มังกรทั้งสองตัวทะยานออกมาได้ มีความสามารถในการฆ่าฟันอย่างรุนแรง
เมื่อครู่นี้หลินตวนสะบัดมีดไม่ได้ใช้พลังความสามารถทั้งหมดของมีดเจ็ดดาวออกมา เขาเพียงแค่จะทดสอบฝีมือของเย่เทียนเฉินเท่านั้น สิ่งที่ทำให้เขาคิดไม่ถึงก็คือ เย่เทียนเฉินจะถึงกับใช้กำปั้นซัดปะทะเข้ามา พริบตานั้นเกรงว่าหากไม่ตายขาทั้งสองก็ต้องพิการแล้ว
“มีดดี มีดดี นี่คงจะไม่ใช่ความสามารถทั้งหมดของมีดเล่มนี้หรอก เร็วๆ เถอะ รีบฟันมาอีกสักสองครั้ง…”
เย่เทียนเฉินพูดไปพลางใช้มือปัดฝุ่นบนร่างไปพลาง เดินออกมาจากบริเวณที่ฝุ่นควันฟุ้งกระจาย บริเวณที่เย่เทียนเฉินเคยยืนอยู่ปรากฏรอยมีดรอยใหญ่ขึ้น ยาวเกือบสิบเมตร แต่บริเวณที่ขาทั้งสองของเย่เทียนเฉินยืนอยู่นั้นปรากฏรอยฝ่าเท้าลึก เห็นได้ชัดว่ามีดเจ็ดดาวเล่มนี้มีพลังไม่น้อย เพียงแต่สิ่งที่ทำให้หลินตวนต้องตกตะลึงก็คือ เย่เทียนเฉินใช้กำปั้นซัดปะทะเข้าไปกับมีดเจ็ดดาว แต่มือขวากลับไม่เป็นอะไรเลยแม้แต่น้อย กระทั่งรอยเลือดก็ไม่ปรากฏ ช่องทำให้เขารู้สึกเหลือเชื่อจริงๆ
“นาย…”
หลินตวนมองเย่เทียนเฉินด้วยความประหลาดใจจนพูดอะไรไม่ออก มีดเจ็ดดาว เป็นอาวุธที่อยู่ในอันดับต้นๆของพรรควรยุทธโบราณ แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในสามอันดับแรก แต่ว่าพลังอำนาจของมันเป็นที่ทราบดีของผู้คน แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยมีใครกล้าใช้กำปั้นซัดเข้าไปปะทะกับมีดเจ็ดดาวมาก่อน เย่เทียนเฉินเป็นคนแรกที่กล้าหาญและเด็ดเดี่ยวจนทำให้ผู้คนต้องตกตะลึง และไม่บาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย ยิ่งทำให้หลินตวนรู้สึกว่าความสามารถของเย่เทียนเฉินลึกล้ำจนไม่อาจคาดเดา
“เป็นมีดที่ดีเล่มหนึ่งจริงๆ หากว่านายมาอยู่กับฉัน ก็สามารถมอบให้ฉันเป็นของขวัญแรกพบได้นะ!” เย่เทียนเฉินสูบบุหรี่ไปเฮือกหนึ่งแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ความจริงแล้วเมื่อครู่นี้เย่เทียนเฉินใช้มือขวาซัดปะทะเข้าไปกับเงามีดเจ็ดดาว เป็นการใช้หมัดที่รวบรวมพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันในระดับสูง ถึงจะสามารถทำให้ไม่มีบาดแผลได้ ถ้าหากว่าเขาอาศัยเพียงกายเนื้อไปรับแบบนี้ เกรงว่าตอนนี้คงจะเลือดไหลเป็นสายน้ำไปแล้ว หากเป็นเช่นนี้ เงาดาบอันใหญ่โตเมื่อสักครู่ก็ทำให้หมัดขวาของเย่เทียนเฉินที่รวบรวมพลังพิเศษเอาไว้รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวด มีดเจ็ดดาวเล่มนี้ไม่เร็วเลยจริงๆ หากไม่ใช่ว่ามีความสามารถของพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันอยู่ เย่เทียนเฉินก็คงไม่กล้าปะทะ
“นายอยากจะทดสอบพลังที่แท้จริงของมีดเจ็ดดาวจริงๆ หรือ? นายอาจจะตายก็ได้” หลินตวนหมอเย่เทียนเฉินอย่างจริงจังแล้วพูดขึ้น
“ไม่เป็นไร มาเถอะ มาเติมเต็มคำขอของฉันสักหน่อย!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้มสบายๆ
เคยกล่าวไปนานแล้วว่านิสัยของเย่เทียนเฉินเหมือนกับอันธพาลและเหมือนกับเทพแห่งความตาย ในตอนนี้เขามีนิสัยเหมือนอันธพาลคนหนึ่งโดยสิ้นเชิง เนื่องจากเขารู้สึกยินดีที่ได้สู้กับผู้แข่งแกร่งคนหนึ่งอย่างสะใจเช่นนี้ นั่นเป็นความสุขอย่างหนึ่ง รวมกับที่หลินตวนดูท่าทางจะเป็นพวกแข็งทื่อ ทำให้เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะหยอกล้อเขาหลายประโยค ทำให้การต่อสู้ครั้งนี้ผ่อนคลายขึ้นมาก
“งั้นนายก็ระวังหน่อยละ!” หลินตวนใช้สองมือกุมด้ามมีดเจ็ดดาว เตรียมจะโจมตีโดยใช้พลังที่รุนแรงที่สุด
“ถ้าหากว่านายเอาชนะฉันไม่ได้ ไม่เพียงแต่ฉันจะไม่เข้าร่วมสำนักงานเทียนหลินของนาย แต่นายยังต้องมาติดตามฉันด้วย ถ้างั้นสำนักงานเทียนหลินของนายก็จบสิ้นแล้ว นายก็ไม่มีหน้าไปบอกกับอาจารย์ได้!” ทันใดนั้นเย่เทียนเฉินก็มองหลินตวนอย่างจริงจังแล้วพูดขึ้น
“ถ้าหากว่านายสามารถมีชีวิตรอดต่อไปได้ ก็รอฟังคำสั่งฉันได้เลย!”
ที่เย่เทียนเฉินพูดแบบนี้ก็เพื่อที่จะให้หลินตวนลงมือโดยไม่ยั้ง มีดเจ็ดดาวมีความร้ายกาจมาก ส่วนจะร้ายกาจขนาดไหนมีน้อยคนที่จะรู้ เมื่อครู่นี้หลินตวนเองก็แค่ตวัดมีดเพื่อทดลองเท่านั้น ความสามารถที่แท้จริงของมีดเจ็ดดาวยังไม่ได้ใช้ออกมา
หากกล่าวว่าเย่เทียนเฉินและหลินตวนกำลังต่อสู้กันอยู่ ไม่สู้บอกว่าทั้งสองคนต่างก็เข้าอกเข้าใจกันยังจะดีกว่า ทั้งคู่ต้องการจะให้อีกฝ่ายมาอยู่ในกลุ่มอำนาจของตน เชื่อฟังคำสั่ง เพื่อเพิ่มความสามารถให้กลุ่มอำนาจของตน
“ย้าก!”
ทันใดนั้น หลินตวนตะโกนออกมาครั้งหนึ่ง ฟันมีดออกไปจากซ้ายไปขวา ตรงยังเย่เทียนเฉิน ในขณะเดียวกันก็ฟันจากขวาไปซ้ายอีกครั้งหนึ่ง การโจมตีทั้งสองครั้งนี้ ทำให้เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะถอยหลังไปสองสอง กระตุ้นพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันจากทั่วทั้งร่าง มองเงามีดสองสายที่ใหญ่โตมโหฬารนั้นพุ่งมะยานเข้ามายังตนเอง ไม่อาจหลบซ่อน ทำได้เพียงเผชิญหน้าอย่างเด็ดขาดเท่านั้น
“โฮก!”
“โฮก!”
เงามีดอันใหญ่โตทั้งสองถูกฟันไปยังเย่เทียนเฉินด้วยความรวดเร็วดุจสายฟ้า บนสนามหญ้าอันกว้างใหญ่เกิดลมอันบ้าคลั่งรุนแรง ฝุ่นควันฟุ้งกระจาย มีเสียงมังกรคำราม ทำให้ผู้คนต้องตกตลึง
………………………
การปรากฏตัวของหลินตวน ไม่ไก้ทำให้เย่เทียนเฉินอารมณ์เปลี่ยนแปลงมากมายอะไรนัก กลับจะมองคนที่เปิดเผยตรงไปตรงมาคนนี้ในแง่ดีด้วยซ้ำ อย่างน้อยหลินตวนก็เข้ามาอย่างเปิดเผย พูดอย่างตรงประเด็นว่าต้องการประลองกับตน ต้องการถือโอกาสนี้สร้างชื่อเสียงให้กับสำนักงานเทียนหลินของเขา
แต่เรื่องยุ่งยากก็ยังคงยุ่งยาก เย่เทียนเฉินไม่ชอบการเข้าเรียนอะไรนี่เลย นี่ยังลำบากกว่าเข้าไปนั่งในคุกเสียอีก ถึงได้ตอบรับคำขอของหลินตวน ไหนเลยจะรู้ว่าในตอนที่เย่เทียนเฉินและหลินตวนเตรียมจะเดินออกไปจากห้องเรียนใหญ่ของภาควิชาโบราณคดีนั้น ฉินเหยาเยว่จะขวางอยู่เบื้องหน้าของพวกเขาทั้งสอง
“พวกเธอสองคนคิดจะไปไหน? ไม่รู้ว่าถึงเวลาเข้าเรียนแล้วหรือไง?” ฉินเหยาเยว่มองเย่เทียนเฉินอย่างจริงจังเข้มงวดแล้วเอ่ยปากพูด
“ผม…พวกผมมีธุระนิดหน่อยครับ จะออกไปสักครู่” หลินตวนพูดติดตะกุกตะกัก
เมื่อได้ยินคำพูดของหลินตวนและน้ำเสียงที่คนคนนี้พูด เย่เทียนเฉินก็เกือบจะกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ไหว เมื่อดูภายนอกหลินตวนหล่อเหลา มีท่าทางเย็นชา แต่กลับคิดไม่ถึงว่าต่อหน้าผู้หญิง โดยเฉพาะต่อหน้าผู้หญิงที่สวยเซ็กซี่ พูดออกไปไม่กี่คำก็หน้าแดงซะแล้ว ทำให้เย่เทียนเฉินสงสัยว่าคนคนนี้เป็นผู้อำนวยการสำนักงานเทียนหลินจริงหรือไม่ นี่เป็นองค์กรที่คล้ายกับองค์กรทหารรับจ้าง รับภารกิจที่ต้องฆ่าฟันนองเลือด จะมีคนเหมือนหลินตวนที่ไม่ทันได้แตะต้องผู้หญิงก็หน้าแดงแบบนี้อยู่ด้วยเหรอ?
เมื่อเปรียบเทียบตรงจุดนี้ เย่เทียนเฉินย่อมเหนือกว่าหลินตวนมาก เดิมทีในช่วงยุคสิ้นโลก เย่เทียนเฉินก็มีสาวงามชั้นเลิศอยู่ข้างกายจำนวนไม่น้อย ถึงแม้ว่าเย่เทียนเฉินจะชอบผู้หญิง ในช่วงสิ้นโลกก็นับว่าค่อนข้างจะเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่คนไร้เดียงสา แต่หากเป็นผู้หญิงที่มีนิสัยเหมือนงูพิษ และคนชราที่มีจิตใจโหดเหี้ยม เย่เทียนเฉินก็จะไม่ไว้ไมตรีโดยเด็ดขาด
“อีกหนึ่งนาทีก็จะเข้าเรียนแล้ว เรื่องอื่นก็รอให้เรียนเสร็จก่อนแล้วค่อยว่ากัน เข้าไปเถอะ!” ในตอนที่ฉินเหยาเยว่พูดล้วนมองอยู่ที่เย่เทียนเฉิน เธอกำลังคิดว่าจะสามารถพบข้อมูลอะไรเกี่ยวกับผู้แข็งแกร่งในช่วงยุคสิ้นโลกจากเย่เทียนเฉินได้หรือไม่
ส่วนเรื่องที่ว่าฉินเหยาเยว่รู้ได้อย่างไรว่าเย่เทียนเฉินเป็นผู้แข็งแกร่งในช่วงยุคสิ้นโลกกลับชาติมาเกิดใหม่นั้น เรื่องนี้เกรงว่าจะเป็นเหตุผลที่มีน้อยคนที่จะรู้ และต้องรอให้เย่เทียนเฉินไปตรวจสอบและค้นพบด้วยตัวเอง
“คนสวย พวกเราสองคนจะไปทำธุระ ธุระเร่งด่วนมาก เร่งด่วนมากจริงๆ เร่งด่วนโคตรๆ เร่งด่วนจนไม่สามารถยืดเวลาไปได้แม้แต่ครึ่งวินาที…” เย่เทียนเฉินหัวเราะฮี่ๆ แล้วพูดขึ้น
“ปากเสียให้มันน้อยๆ หน่อย เรียกฉันว่าอาจารย์ที่ปรึกษา จริงจังซะบ้าง ตอนนี้ได้เวลาเข้าเรียนแล้ว เข้าไปเรียนก่อนเถอะ!” ฉินเหยาเยว่โบกไม้ชี้กระดานสีดำของตนแล้วพูดขึ้น
“ไม่ได้ ไม่ได้จริงๆ พวกเราสองคนไป…” ในขณะที่เย่เทียนเฉินพูดก็เข้าไปใกล้ฉินเหยาเยว่ก้าวหนึ่ง ฉินเหยาเยว่ก็ถอยหลังออกไปโดยไม่รู้ตัว เธอไม่ได้กลัวว่าเย่เทียนเฉินจะทำอะไรที่เหลือเชื่อ แต่คิดว่าเย่เทียนเฉินสามารถเอาชนะได้แม้กระทั่งวิชาสะกดใจของตน ฝีมือจะต้องลึกล้ำไม่อาจคาดเดา จะต้องระวังตัวให้มาก ไหนเลยจะรู้ว่าเธอเพิ่งจะถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ริมฝีปากของเย่เทียนเฉินก็เข้ามาใกล้หูของเธอแล้ว แล้วพูดต่อไปว่า “เปิดห้อง!”
“อะไรนะ? พวกเธอ…พวกเธอผู้ชายอกสามศอกทั้งสองคน…”
ฉินเหยาเยว่เบิกตาอันงดงามจนกว้าง มองไปยังหลินตวนและเย่เทียนเฉินอย่างไม่อยากจะเชื่อ แม้ว่าสังคมปัจจุบันนี้ เรื่องของชายรักชายจะไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร และไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด แต่เมื่อเรื่องแบบนี้มาเกิดขึ้นข้างกายของตน คนส่วนใหญ่ก็จะตกใจ อย่างไรก็ตามเรื่องแบบนี้เมื่อคิดดูให้ดีก็ชวนให้คลื่นไส้จริงๆ
“อาจารย์ครับ พวกเราสองคนรักกันจริงๆ อาจารย์สนับสนุนพวกเราด้วยเถอะ…” เย่เทียนเฉินจงใจแสร้งทำท่าทางเจ็บปวดพูดกับฉินเหยาเยว่
“เธอไปให้ห่างฉันหน่อย อย่า อย่าเข้ามาใกล้ฉัน…” ครูจะรีบถอยหลังไปสองก้าว เว้นระยะห่างจากเย่เทียนเฉิน
“อาจารย์ครับ พวกเราเองก็เป็นคน แม้ว่าจะเป็นผู้ชายสองคนแต่พวกเราก็มีความต้องการ พวกเรา…พวกเราเกือบจะทนไม่ไหวแล้ว…” เย่เทียนเฉินพูดถึงส่วนที่น่าตื่นเต้น ทันใดนั้นก็จับมือของหลินตวน ทำให้หลินตวนตกใจจนตัวสั่น
จบแล้ว ฉินเหยาเยว่เห็นเย่เทียนเฉินถึงกับจูงมือของหลินตวนก็แทบจะหาเสียงของตนไม่เจอ จะอย่างไรเธอก็คิดไม่ถึงว่า เย่เทียนเฉินจะถึงกับเป็นเกย์ ยิ่งไปกว่านั้นเพิ่งจะเปิดเรียนก็สามารถหาคู่ขามาควงได้แล้ว แล้วยังพูดว่าจะไปเปิดห้อง สวรรค์ ฉินเหยาเยว่ที่เป็นผู้หญิงก็เกรงว่าจะรับไม่ได้
ต่อให้มาถึงยุคปัจจุบันนี้แล้ว ในสังคมก็มีเกย์มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เกย์มีการเรียกร้องสิทธิมนุษยชน เรียกร้องความรักที่แท้จริง แต่ก็เห็นเพียงไม่กี่คู่ที่จะเปิดเผยเหมือนกับเย่เทียนเฉินและหลินตวน
“อาจารย์ครับ พวกเรา พวกเราต้องการ พวกเราจะ…” เย่เทียนเฉินจงใจพูดด้วยน้ำเสียงหื่นกระหาย หลินตวนขนลุกไปทั่วทั้งร่าง ส่วนฉินเหยาเยว่ไม่ต้องไปพูดถึงเลย ใบหน้าอันงดงามซีดขาวไปนานแล้ว รับไม่ได้กับน้ำเสียงชวนคลื่นไส้ของเย่เทียนเฉินจริงๆ
“พวกเธอ…พวกเธอไปเถอะ ไปเถอะ…” เธอรีบโบกไม้ชี้กระดานในมือแล้วพูดขึ้น
“ขอบคุณครับอาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์ที่ปรึกษา พวกผมรักอาจารย์นะครับ มีแต่คุณที่จะเข้าใจความสุขและความเจ็บปวดของความรักของพวกเรา ขอบคุณครับ…” เย่เทียนเฉินทำท่าทางน้ำตาซึม มองไปยังฉินเหยาเยว่แล้วพูดขึ้น
“ไป รีบไปซะ…” ฉินเหยาเยว่ตะโกนอย่างไม่สบอารมณ์
เย่เทียนเฉินยิ้มอย่างชั่วร้ายครั้งหนึ่ง จับมือหลินตวนเดินออกไป ทำให้ฉินเหยาเยว่ที่เห็นรู้สึกอับจนคำพูด ไม่อาจไม่กล่าวว่าในตอนที่เย่เทียนเฉินทำตัวเหมือนอันธพาลขึ้นมา ความสามารถในการแสดงยังลึกล้ำมากอีกด้วย ดูเหมือนว่าจะทำให้ฉินเหยาเยว่เชื่ออย่างสนิทใจว่าเย่เทียนเฉินเป็นเกย์ เพียงแต่สิ่งที่ทำให้ฉินเหยาเยว่สงสัยก็คือ ในช่วงยุคสิ้นโลก ซึ่งเป็นโลกที่น่าเหลือเชื่อและเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดจนทำให้ผู้คนไม่อาจจินตนาการได้นั้น มีเกย์เหมือนเย่เทียนเฉินหรือไม่?
หลินตวนและเย่เทียนเฉินเดินออกจากตึกการเรียนการสอนภาควิชาโบราณคดี ทั้งสองย่อมปล่อยมือกันไปนานแล้ว หากจูงมือกันเดินต่อไปแบบนี้ ไม่เพียงแค่หลินตวน เกรงว่าเย่เทียนเฉินก็จะต้องขนลุกไปทั่วทั้งตัวเหมือนกัน รสนิยมทางเพศของเขาย่อมปกติ มีเพียงแม่และน้องสาวสองคนเท่านั้นที่คิดว่าตนเองจะมีรสนิยมทางเพศที่เปลี่ยนไปเพราะเสียใจกับเรื่องของหลิ่วหรูเหมย ทำให้ไม่มีแฟนมาตลอด กระทั่งคนสวยแบบฉีหรูเสวี่ยก็ยังไม่ชอบ ทำให้เย่เทียนเฉินพูดอะไรไม่ออกไประยะหนึ่ง
“ใครจะไปคิดว่าคนที่เหมือนกับเทพแห่งความตายอย่างเย่เทียนเฉิน ในตอนที่นึกสนุกขึ้นมาจะสามารถทำให้คนอื่นต้องอับจนคำพูดได้?” หลินตวนมองเย่เทียนเฉิน มุมปากประดับไปด้วยรอยยิ้ม
“งั้นเหรอ? หลายคนก็คิดว่าฉันจริงจังและเย็นชา ความจริงคนคนนี้ใจดีแล้วก็อ่อนโยนมาก ไม่เย็นชาเลยสักนิด การเป็นคนที่สำคัญที่สุดก็คือความสุข บางครั้งก็ต้องผ่อนคลาย จะสามารถทำให้จิตใจดีและมีความสุขได้!” เย่เทียนเฉินพูดพลางยักไหล่
“นายกับฉันเพิ่งจะรู้จักกันเป็นครั้งแรก นายก็กล้ารับคำท้าของฉัน กระทั่งฉันเป็นใครก็ไม่สงสัยเลยเหรอ? ตอนนี้อำนาจใหญ่ทุกกลุ่มต่างก็กำลังจับตามองนาย นายล่วงเกินกลุ่มอำนาจใหญ่ไปมากมายขนาดนั้น ไม่กลัวว่าฉันจะฆ่านายเหรอ?” จู่ๆหลินตวนก็คิดถึงจุดนี้จึงได้เอ่ยถามขึ้น
“ไม่กลัวหรอก เพราะว่านายฆ่าฉันไม่ได้!” ทันใดนั้นเย่เทียนเฉินก็พูดออกมาแล้วมองไปยังหลินตวนด้วยท่าทีจริงจัง
หลินตวนชะงักไปครู่หนึ่งแล้วจึงขมวดคิ้ว ความจริงแล้วเย่เทียนเฉินแข็งแกร่งขนาดไหนเขาก็ไม่รู้ ส่วนใหญ่จะได้ยินมาจากข่าวลือ และทำการสรุปออกมาเท่านั้น จะสามารถเอาชนะเย่เทียนเฉินได้หรือไม่ ในใจของหลินตวนก็ไม่แน่ใจ แต่ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงการสู้กับเย่เทียนเฉินได้ เพราะว่าสำนักงานเทียนหลินของพวกเขาไม่มีชื่อเสียงอะไรเลยจริงๆ หากสามารถเอาชนะเย่เทียนเฉินได้ ทำให้ชื่อเสียงโด่งดัง ก็จะสามารถได้รับเย่เทียนเฉินมาเป็นตัวช่วย เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คุ้มค่ามาก
“อย่าลืมประโยคนั้นด้วย ถ้าหากว่านายแพ้ ฉันจะไม่ฆ่านาย นายต้องเข้าร่วมสำนักงานเทียนหลินของฉัน คอยทำงานให้ฉัน!” ทันใดนั้นหลินตวนก็พูดออกมาอย่างเย็นชา
“ได้ อย่าลืมที่ฉันพูดประโยคนั้นด้วย ถ้าหากว่านายแพ้ นายจะต้องยุบสำนักงานเทียนหลินของนายและมาเข้าร่วมกับฉัน!” เย่เทียนเฉินเองก็พูดด้วยรอยยิ้ม
“ได้!”
“คำไหนคำนั้น!”
เดิมทีทั้งสองต่างก็เป็นผู้ชายที่เปิดเผย ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรให้มาก คำพูดคำจาล้วนน่าเชื่อถือ พูดจาคำไหนคำนั้นไม่กลับคำ นี่จึงจะเป็นลูกผู้ชายที่แท้จริง คำที่พูดออกไปแล้ว ต่อให้ต้องหัวขาดก็จะต้องทำ นี่เป็นความภาคภูมิใจ ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนทำได้ กระทั่งยอดฝีมือหลายคนก็ไม่อาจทำได้
สิ่งที่ทำให้ในใจของเย่เทียนเฉินเกิดความกระตือรือร้นขึ้นมาก็เพราะ หลินตวนคนนี้ดูแล้วค่อนข้างผอม เป็นผู้ชายที่โกหกไม่เป็น เขาจะเป็นผู้อำนวยการสำนักงานเทียนหลินจริงๆ หรือ? นี่เป็นสำนักงานที่มีความคล้ายคลึงกับองค์กรทหารรับจ้าง ถ้าไม่มีฝีมือที่แข็งแกร่งมากพอจะกระทำไม่ได้อย่างแน่นอน หลินตวนคนนี้มีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหัน ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกตื่นตะลึง ความสามารถของหลินตวนไม่อ่อนแอ กระทั่งมีกระแสพลังแห่งการต่อสู้ออกมาอย่าเงียบสงบราวกับสาวบริสุทธิ์
ตลอดทางต่างตกอยู่ในความเงียบไม่พูดไม่จา เย่เทียนเฉินและหลินตวนเดินก้าวไปข้างหน้า ไปยังสนามหญ้าอันกว้างขวางแห่งหนึ่งที่ภูเขาด้านหลังของมหาวิทยาลัยหลงเถิง ที่นั่นมีนักศึกษาไปน้อยมาก และตอนนี้ก็เป็นเวลาเข้าเรียน จึงไม่มีใคร
เดินไปเดินไป หลินตวนเดินไปเบื้องหน้าเย่เทียนเฉิน ทันใดนั้นก็ยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน หมัดทั้งสองกำแน่น ร่างกายที่ดูผอมกลายเป็นให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่ขึ้นมา หันไปมองเย่เทียนเฉิน ดวงตาทั้งสองดุเดือดอย่างหาที่เปรียบมิได้ เส้นผมปลิวไสวไปตามลม ให้ความรู้สึกเหมือนปรมาจารย์คนหนึ่ง
“ฉันจะเริ่มแล้ว จะไม่เกรงใจ นายระวังตัวด้วย!” หลินตวนพูดกับเย่เทียนเฉินด้วยรอยยิ้ม
“มาเถอะ!” เย่เทียนเฉินกวักมือแล้วพูดกับหลินตวน
มือขวาของหลินตวนกำแน่น พริบตานั้นจะต่อยไปยังเย่เทียนเฉิน ไหนเลยจะรู้ว่าคนคนนี้จะทำท่าทางให้หยุด ทำให้หลินตวนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถาม “ทำอะไร?”
“รอฉันก่อน ฉันขอสูบบุหรี่มวนหนึ่ง ไม่งั้นลงมือแล้วจะไม่ชิน!” เย่เทียนเฉินหัวเราะฮี่ๆ แล้วพูดขึ้น
“นายแกล้งฉันหรอ ดูกระบวนท่า…”
ต่อให้หลินตวนจะอารมณ์ดีขนาดไหนก็ถูกเย่เทียนเฉินทำให้โกรธแล้ว มาประลองกับตนเองถึงกับมีอารมณ์ไปสูบบุหรี่ จะดูถูกกันเกินไปแล้ว
พลั่ก!
เมื่อเผชิญหน้ากับหมัดอันคมกริบของหลินตวน สายตาของเย่เทียนเฉินพลันเย็นยะเยือก แม้มุมปากจะประดับไปด้วยรอยยิ้ม แต่กลับไม่กล้าดูแคลน หลบไปทางขวาอย่างรวดเร็ว จากนั้นใช้มือซ้ายจับอยู่บนข้อมือขวาของหลินตวน…
……………………
ในช่วงยุคสิ้นโลก เดิมทีก็เป็นโลกที่ไม่อาจจินตนาการได้ กระทั่งสามารถกล่าวได้ว่ามหัศจรรย์เกินขอบเขตความคิดของมนุษย์ ที่นั่นไม่มีการดำรงอยู่ของประเทศใดๆ และไม่มีกฎหมายข้อบังคับ มีเพียงการฆ่าฟัน ผู้ชนะเป็นเจ้า และไม่ใช่โลกที่มีมนุษย์ปกครอง มีทั้งสัตว์อสูรกลายพันธุ์และปีศาจที่ฝึกตนมานับพันปีคอยระราน
ยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณและผู้มีพลังพิเศษในหมู่มนุษย์ก็มีทั้งดีและชั่ว ในโลกแห่งนั้น ของที่มีอยู่ในยุคดึกดำบรรพ์ที่สุดต่างก็ปรากฏออกมา เช่นการกลับชาติมาเกิด การย้อนกลับไปในยุคจีนโบราณอันแปลกประหลาด เป็นยุคที่มีเรื่องเรื่องน่าอัศจรรย์ทุกอย่าง
สรุปแล้ว ในช่วงยุคสิ้นโลกเป็นโลกที่ไม่สามารถใช้ตรรกะความคิดในปัจจุบันได้ ดุเดือดรุนแรงและเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดยิ่งกว่าความเพ้อฝันและจินตนาการของมนุษย์และโลกแห่งเทพเซียนเสียอีก ผู้อ่อนแอก็เป็นได้แค่เนื้อปลา ผู้แข็งแกร่งต่อสู้กันไม่หยุดหย่อน มีคนที่เกิดมาก็แข็งแกร่งอย่างไร้ที่จำกัด และมีคนที่เกิดมาก็ตายไปกลายเป็นเถ้าถ่าน คนที่แข็งแกร่งที่แท้จริงหากไม่ปกป้องคุ้มครองความสงบสุข ก็ตามหาความเป็นอมตะ ทำลายความว่างเปล่า ท่องเที่ยวไปในอวกาศ สำรวจดาวแต่ละแห่งที่ใช้ชีวิตอยู่ได้
เมื่อเย่เทียนเฉินคิดถึงตรงนี้ ก็รู้สึกคิดถึงชีวิตในยุคสิ้นโลก ในวันเวลาที่ไม่มีวันสงบสุขได้ไปตลอดกาลเช่นนั้น ตนเองก็ได้รับเสียงยินดีและเสียงหัวเราะ มีเพื่อน มีพี่น้อง มีคนรู้ใจ แต่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างนี้ถูกทำลายย่อยยับไปในค่ำคืนที่ไร้แสงจันทร์ค่ำคืนหนึ่ง
เป็นความเจ็บปวดตลอดกาลของเย่เทียนเฉินที่ไม่สามารถสลัดออกไปจากใจได้ตลอดกาล และเขาต้องการที่จะกลับไปที่โลกแห่งนั้นเพื่อแก้แค้นให้เพื่อนของตน ในคืนนั้น เขาเดินทางไปยังหุบเขาที่ซ่อนเร้นแห่งหนึ่ง เพื่อฝึกฝนบ่มเพาะกายเนื้อของตน กลืนกินพลังของสายฟ้า แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะมีสัตว์อสูรในระดับพระเจ้าขั้นกลางปรากฏตัวออกมา โจมตีหมู่บ้านเล็กๆ ที่เย่เทียนเฉินคุ้มครองอยู่ เลือดนองเป็นแม่น้ำ ศพกระจัดกระจาย เมื่อเย่เทียนเฉินกลับไป ที่นั่นก็กลายเป็นเศษซากไปแล้ว ทุกคนตายหมดไม่เหลือ
เย่เทียนเฉินเงยหน้าตะโกนก้องฟ้า ตามฆ่าไปนับหมื่นลี้ ไล่ตามสัตว์อสูรในขอบเขตพระเจ้าขั้นกลางตัวนั้น เพียงแต่เย่เทียนเฉินที่มีความสามารถในระดับพระเจ้าขั้นต้น ก็ไม่สามารถเทียบได้กับสัตว์อสูรชั้นยอดตัวนี้ได้เลย ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมันโดยสิ้นเชิง แต่ว่าในขณะนั้น ทั่วทั้งร่างของเย่เทียนเฉินมีไอสังหารล้นทะลัก ฟุ้งกระจายออกไปไกลในขอบเขตร้อยลี้ เขาระเบิดพลังออกมาแล้วจริงๆ โจมตีอย่างบ้าคลั่ง แตะถึงขอบเขตของพระเจ้า ทำการต่อสู้ข้ามชั้น สู้กับสัตว์อสูรตัวนั้นในคืนมืดสลัวคืนหนึ่ง
เพียงแต่ความสามารถของเย่เทียนเฉินด้อยกว่าขั้นหนึ่งจริงๆ มันเป็นความแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว เดิมทีก็ไม่สามารถสู้กับสัตว์อสูรชั้นยอดตัวนั้นได้ แต่เป็นเพราะเขาโกรธจนบ้าคลั่ง สู้กันจนดวงตาทั้งสองมีเลือดไหลออกมา สัมผัสไปถึงเขตแดนของพระเจ้า ก้าวเข้าไปสู่เขตแดนลึกลับ ไม่เช่นนั้นคงถูกฆ่าตายด้วยฝ่ามือเดียวไปแล้ว
ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้แต่เย่เทียนเฉินก็เพิ่งจะแตะขอบเขตพระเจ้าเท่านั้น มีความสามารถที่จะสู้ข้ามประดับได้ แต่ก็ยังคงไม่ใช่คู่มือของสัตว์อสูรตัวนั้นอยู่ดี ถูกโจมตีจนอวัยวะภายในเหลวแหลก เลือดไหลออกมาไม่หยุด แต่เขากลับยังคงไม่ยอมถอย ฉีกแขนข้างหนึ่งของสัตว์อสูรตัวนั้นออกมา และในตอนที่โจมตีอย่างรุนแรงที่สุดนั้น เขาก็ได้เข้ามาสวมร่างของเย่เทียนเฉินในปัจจุบันนี้แล้ว
ในใจของเย่เทียนเฉินมีความลับเกี่ยวกับช่วงยุคสิ้นโลกอยู่มากมาย เรื่องเหล่านี้ไม่สามารถพูดได้กับคนอื่น เนื่องจากโลกในปัจจุบันนี้ความคิดของคนจำนวนหนึ่งได้ถูกจำกัด พูดไปแล้วก็คงไม่มีใครเชื่อ เขาคิดที่จะเก็บซ่อนเรื่องราวเกี่ยวกับช่วงยุคสิ้นโลกเอาไว้ตลอดกาล เพราะเขาก็ได้อาศัยอยู่ในโลกปัจจุบันนี้แล้ว
สิ่งที่ทำให้เย่เทียนเฉินคิดไม่ถึงอย่างเด็ดขาดก็คือ ฉินเหยาเยว่ผู้หญิงลึกลับคนนั้นจะถึงกับเริ่มสงสัยในฐานะของเขา สงสัยว่าเขาจะไม่ใช่เย่เทียนเฉินในสมัยก่อน นี่เป็นข้อมูลที่ทำให้ต้อรู้สึกงสงสัยและตกตะลึง ฉินเหยาเยว่รู้ฐานะของเย่เทียนเฉินได้อย่างไร? ผู้หญิงคนนี้คาดเดาไม่ได้เกินไปแล้ว
เขาหาวครั้งหนึ่ง แล้วจึงเดินเข้าไปในห้องเรียนใหญ่ของภาควิชาโบราณคดี พบว่าด้านในห้องเรียนใหญ่สามารถบรรจุนักศึกษาได้หลายร้อยคน แต่มีคนอยู่เพียงไม่กี่คน ดูแล้วภาควิชาโบราณคดีนี้จะเป็นเอกวิชาที่ไม่ได้รับความนิยมจริงๆ ขนาดคนที่มาลงสมัครสอบภาควิชาโบราณคดีก็ค่อนข้างจะน้อย คนมาน้อยยังไม่ต้องไปพูดถึง คนที่มาแล้วต่างกำลังเล่นอยู่กับสิ่งของของตนเอง ส่วนใหญ่จะก้มหน้าเล่นเกมในมือถือ บางคนก็อ่านนิยาย
เย่เทียนเฉินหาที่นั่งแห่งหนึ่งและนั่งลงไปตามใจ รออาจารย์ภาควิชาโบราณคดีเข้ามาสอน ความจริงแล้วที่เขามายังมหาวิทยาลัยหลงเถิงไม่ได้มาเพื่อเข้าเรียนอะไรนี่เลย เพียงแต่อยากจะมาเล่นสนุกสักหน่อย ในใจของพ่อและแม่หวังว่าตนเองจะได้เรียนมหาวิทยาลัย พอดีกับที่เขาตอบรับหยางอี้ผู้เป็นรองประธานคณะกรรมาธิการทหาร จึงจะต้องมาอยู่ใกล้กับตงฟางเมิ่งอะไรนั่น และต้องการมาดูสักหน่อยว่าผู้หญิงที่ได้ตำแหน่งดาวอันดับหนึ่งของมหาวิทยาลัยหลงเถิงติดต่อกันหลายปีจะมีหน้าตาอย่างไร จะน่าหลงใหลมากเพียงใดกันแน่
เย่เทียนเฉินเพิ่งจะนั่งลงไม่นาน ก็เห็นว่าด้านหน้ามีผู้ชายร่างผอมคนหนึ่งเดินมาทางตนเอง เย่เทียนเฉินเรื่องนั่งแถวท้ายสุดเพราะว่าเขาไม่สนิทสนมคุ้นเคยกับนักศึกษาเหล่านี้ และไม่มีอะไรให้น่าคุยเล่น ยิ่งกว่านั้นเย่เทียนเฉินยังชอบที่จะอยู่คนเดียวมากกว่า
ไหนเลยจะรู้ว่า นักศึกษาชายร่างผอมคนนั้นจะเดินมาตรงหน้าเย่เทียนเฉิน มองเย่เทียนเฉินคู่หนึ่งแล้วจึงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “นักศึกษา ที่นั่งนี้เป็นของฉัน โปรดลุกให้ด้วย!”
เมื่อได้ยินคำพูดของชายร่างผอมคนนั้น เย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ถึงแม้ว่าในช่วงยุคสิ้นโลกเขาจะไม่เคยเรียนหนังสือ แต่ก็อยู่ในโลกแห่งนี้มาระยะหนึ่งแล้ว ชีวิตในมหาวิทยาลัยอิสระเสรีเป็นอย่างมาก จะมีการเจาะจงที่นั่งที่ไหนกัน ไปเข้าเรียนก็สามารถเลือกที่นั่งได้ตามใจ หรือว่าชายร่างผอมตรงหน้านี้จะจงใจหาเรื่อง
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะมองสำรวจชายร่างผอม คนคนนี้สูงประมาณหนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าเซนติเมตร สวมชุดลำลอง กางเกงยีนและรองเท้ากีฬา ทรงผมค่อนข้างสุภาพ ปัดเป๋ไปทางซ้าย หน้าตาค่อนข้างหล่อเหลา เพียงแต่สายตาเย็นชาเป็นอย่างมาก กำลังจ้องมองเย่เทียนเฉินอยู่
“เป็นไปไม่ได้นะ ที่นั่งนี้เขียนชื่อนายไว้หรือไง? มาก่อนได้ก่อนสิ?” เย่เทียนเฉินถามด้วยรอยยิ้ม
“บนเก้าอี้นี้ไม่ได้มีชื่อฉันเขียนเอาไว้ แต่คำพูดของฉันหลินตวน พูดอะไรก็ต้องเป็นอย่างนั้น!” ชายร่างผอมมองเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น
“ฉันเย่เทียนเฉินเองก็เหมือนกัน นายไม่ได้พูดโน้มน้าวฉัน ฉันก็ไม่จำเป็นต้องยกที่นั่งให้นาย!” เย่เทียนเฉินยังคงพูดด้วยรอยยิ้ม
เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน นักศึกษาชายที่ชื่อว่าหลินตวนคนนี้ก็อดไม่ได้ที่จะชะงักไปครู่หนึ่ง ขมวดคิ้ว จากนั้นจึงมองเย่เทียนเฉินอย่างจริงจังแล้วพูดว่า “ฉันต้องการสู้กับนาย เป็นไง?”
เย่เทียนเฉินเองก็ถูกทำจนงงไปหมดแล้ว เขากับชายตรงหน้าที่ชื่อว่าหลินตวนนั้นไม่ได้สนิทกัน นี่เป็นครั้งแรกที่ได้พบหน้า หลินตวนถึงกับขอให้ตนประลองด้วย นี่มันเหตุผลอะไรกัน?
“ประลอง? ทำไมล่ะ?” เย่เทียนเฉินเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ตอนนี้ทั่วทั้งเมืองหลวงมีแต่ข่าวของนาย ทุกคนต่างก็พูดคุยกันว่านายถอดเนื้อเปลี่ยนกระดูกมา แข็งแกร่งจนถึงขั้นที่ไม่อาจคาดเดาได้ ฉันอยากจะดูสักหน่อยว่านายจะแข็งแกร่งถึงขนาดไหน…” ทันใดนั้นเองมุมปากของหลินตวนปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา
ทันใดนั้นเย่เทียนเฉินรู้สึกว่าชายที่ชื่อว่าหลินตวนตรงหน้าเขานี้น่าสนใจมากจริงๆ เจอหน้ากันครั้งแรกก็พูดว่าต้องการจะประลองกับตน คำพูดคำจาก็เปิดเผยตรงไปตรงมา ไม่มีความคิดเหมือนพวกคนถ่อยเลยแม้แต่น้อย กับคนประเภทนี้เย่เทียนเฉินค่อนข้างที่จะชื่นชม แบบนี้ถึงจะเป็นลูกผู้ชาย
“เกรงว่านี่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่ฉันจะต้องตอบรับการประลองกับนายล่ะมั้ง? คนธรรมดาฉันไม่สู้ด้วยหรอก ฉันยุ่งมาก!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม
“งั้นก็ได้ ฉันมีฐานะเป็นผู้อำนวยการคนที่สองของสำนักงานเทียนหลิน ขอท้าประลองกับนาย” หลินตวนพูดขึ้นมาอย่างจริงจัง
“สำนักงานเทียนหลิน?”
“ถูกต้อง ประเทศจีนไม่อนุญาตให้มีจัดตั้งกลุ่มทหารรับจ้าง ดังนั้นพวกเราจึงตั้งสำนักงานเทียนหลินขึ้นมา มีความคล้ายคลึงกับกลุ่มทหารรับจ้าง รับงานต่างๆ ของกลุ่มอำนาจใหญ่ ช่วยพวกเขาทำเรื่องมากมาย!” หลินตวนพูดพลางพยักหน้า
ในตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินก็เข้าใจกระจ่าง เข้าใจว่าทำไมหลินตวนจึงได้ขอท้าประลองกับเขาหลังจากที่ได้รู้ถึงฐานะของตนแล้ว เพราะว่าเย่เทียนเฉินเป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพลของเมืองหลวงในตอนนี้ ไม่รู้ว่ามีอำนาจมากน้อยเพียงใดที่กำลังจับจ้อง และมีคนที่คิดว่าตนเองฝีมือไม่เลวจำนวนหนึ่งต้องการที่จะประลองกับเขาเพื่อชื่อเสียง คนส่วนใหญ่พูดกันได้อย่างผ่อนคลาย แต่ยากที่จะทำ ขอเพียงเอาชนะเย่เทียนเฉินได้ก็จะสามารถกลายเป็นบุคคลผู้ทรงอิทธิพลอันดับหนึ่งในเมืองหลวง แต่ดูท่าทางของหลินตวนแล้วจะไม่ใช่คนที่ต้องการใช้ประโยชน์แบบนี้ เขาคงจะทำเพื่อชื่อเสียงของสำนักงานเทียนหลิน ถึงได้มาท้าประลองกับตน
“ถ้าหากว่าฉันชนะจะมีประโยชน์อะไร? ถ้าหากว่านายแพ้ ฉันจะได้ประโยชน์อะไร?” เย่เทียนเฉินพูดอย่างนึกสนุก
หลินตวนชะงักไปครู่หนึ่ง ไม่มีปฏิกิริยาอะไรอยู่นาน สุดท้ายจึงได้รู้ว่าเย่เทียนเฉินแค่หยอกล้อเขาเล่น พริบตานั้นจึงรู้สึกอับจนคำพูด มิน่าเล่าถึงได้มีคนบอกว่า นิสัยของเย่เทียนเฉินเป็นเหมือนอันธพาลและเป็นเหมือนเทพแห่งความตาย ในตอนที่จริงจังก็เป็นเหมือนเทพแห่งความตายที่ไม่มีใครกล้าขวาง ในตอนที่หนึ่งสนุกขึ้นมาก็มักจะทำให้คุณประหลาดใจได้เลย
“ถ้าหากว่านายชนะ ฉันหลินตวนก็จะทำตามที่นายต้องการ ถ้าหากว่าแพ้ ก็ต้องมาเข้าร่วมสำนักงานเทียนหลินของพวกเรา ทำงานเพื่อพวกเรา!” หลินตวนพูดอย่างจริงจัง
“ท่าทางพวกนายจะไตร่ตรองมาก่อนแล้วสินะ?” เย่เทียนเฉินถามด้วยรอยยิ้ม
“ขอพูดอย่างไม่ปิดบัง พวกเราสำนักงานเทียนหลินตั้งแต่ที่ก่อตั้งมาก็เป็นเวลาไม่น้อยแล้ว แต่กลับไม่ได้สร้างชื่อเสียงในประเทศ พวกเราต้องการคนแบบนาย!”
“งั้นเอาอย่างนี้แล้วกัน ถ้าหากว่านายแพ้ ก็ล้มเลิกสำนักงานเทียนหลินของนายไปซะ แล้วมาอยู่กับฉันเย่เทียนเฉิน ถ้าหากว่านายชนะ ฉันก็จะตอบรับคำขอของนาย!”
ถึงแม้ว่าจะยังไม่เคยแลกเปลี่ยนฝีมือกับหลินตวนมาก่อน แต่เย่เทียนเฉินก็มองออกว่าฝีมือของหลินตวนไม่อ่อนแอเลย สามารถเป็นหัวหน้าขององค์กรที่คล้ายกับองค์กรทหารรับจ้างได้ ถ้าไม่มีความสามารถจะทำได้อย่างไร? ตนเองตัดสินใจแล้วว่าจะสร้างอำนาจของตน อู๋เสวี่ยก็ได้เริ่มรวบรวมคนแล้ว ตอนนี้ก็มีหูหลงกับอู๋เสวี่ยสองคน หลินตวนคนนี้มีความฉลาดเฉลียวและเด็ดขาด มีความกล้ามีแผนการ นับว่าเป็นคนที่มีความสามารถคนหนึ่ง สามารถทำงานให้ตนเองได้ จะต้องมีประโยชน์ต่ออำนาจอิทธิพลของตนอย่างแน่นอน
“ได้ คำไหนคำนั้น งั้นตอนนี้พวกเราก็ไปกันเถอะ ไปหาสถานที่ที่ไม่มีคนตัดสินแพ้ชนะกันเลย!” หลินตวนพยักหน้าตอบ
“หา? ฮ่าๆๆ ได้…เฉียบขาดดีฉันชอบ ไปเถอะ!” เย่เทียนเฉินชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหัวเราะออกมาด้วยความยินดีแล้วพูดขึ้น
ไหนเลยจะรู้ว่า ในตอนที่เย่เทียนเฉินและหลินตวนเพิ่งจะเดินไปถึงประตูห้องเรียนใหญ่ ฉินเหยาเยว่ที่สวมเสื้อเชิ้ตสีดำอันเซ็กซี่ สวมถุงน่องสีดำและรองเท้าส้นสูงสีดำ ในมือถือไม้ชี้กระดานอยู่อันนึง จะยืนขวางอยู่หน้าประตูห้องเรียน ไม่ยอมให้เย่เทียนเฉินและหลินตวนโดดเรียนได้…
……………………………..
หลายคนยังคงไม่ได้สติกลับมาจากสถานการณ์อันน่าตื่นตะลึง เย่เทียนเฉินล่วงเกินคุณชายใหญ่และคุณชายสองแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงไปแล้ว และยังอัดคุณชายสามอย่างแรง พริบตาเดียวก็ล่วงเกินคุณชายทั้งสามที่เป็นตำนานครบทุกคน ช่างทำให้ผู้คนรู้สึกตกตะลึงจนคางแทบร่วง
เย่เทียนเฉินกลับไม่ได้รู้สึกอะไรมากนัก ไม่ใช่เขาโอหังและหยิ่งยโส แต่ในสายตาของเขา คุณชายทั้งสามนี้ก็เป็นแค่คนที่รังแกชาวบ้านธรรมดาทั่วไป เป็นแค่คนที่รังแกนักศึกษามหาวิทยาลัยเท่านั้น ไม่มากระทบกระทั่งกับตนเองก็ยังดี แต่เมื่อมากระทบกระทั่งกับเขาแล้ว ก็ขอโทษด้วย ผมเย่เทียนเฉินไม่ชอบหาเรื่อง แต่ก็ไม่กลัวมีเรื่องอย่างเด็ดขาด
เมื่อได้ยินคำพูดหยอกล้อของเย่เทียนเฉิน หลิงอวี่สวิ๋นและเสี้ยวหยาก็ได้สติกลับมา ต่างก็มองเย่เทียนเฉินด้วยสายตาเอือมระอา เมื่อสักครู่นี้คนคนนี้ทำให้พวกเธอต้องเป็นห่วงมาก จะอย่างไรสามสุดยอดคุณชายแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงก็มีชื่อเสียงไม่น้อย เย่เทียนเฉินไปอัดเซวียนเยวี๋ยนเถิงอย่างแรง และยังล่วงเกินโอวหยางเฟยอวิ๋น ตอนนี้กระทั่งคุณชายใหญ่ที่เป็นคุณชายลึกลับก็ยังสอดมือเข้ามา เรื่องราวชักจะน่าสนุกขึ้นเรื่อยๆ ในขณะเดียวกันก็ทำให้เย่เทียนเฉินตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายเป็นอย่างมาก
ในความเห็นของคนปกติ สามคุณชายนี้หากล่วงเกินไปหนึ่งคน เกรงว่าจะต้องตายโดยที่ศพไม่สมบูรณ์แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เขาล่วงเกินไปแล้วสามคนแต่ก็ยังไม่ถูกสับเป็นชิ้นๆ เย่เทียนเฉินจึงกลายเป็นบุคคลผู้ทรงอิทธิพลคนใหม่ในมหาวิทยาลัยหลงเถิง และเป็นจุดสนใจของคนจำนวนมาก หลายคนต่างกำลังคิดว่าเย่เทียนเฉินจะตายอย่างไร จะถูกทำให้หายไปโดยทันทีหรือไม่
“ไอ้หน้าเหม็น สะดีดสะดิ้งทำไม อยากตายหรือไง!” หลิงอวี่สวิ๋นด่าอย่างไม่สบอารมณ์
“สะดีดสะดิ้งสักหน่อยชีวิตจะได้มีความสุข!” เย่เทียนเฉินหัวเราะฮี่ๆ แล้วพูดขึ้น
“เทียนเฉิน ครั้งนี้นายล่วงเกินพวกเขาไปแล้ว จะต้องมีปัญหาใหญ่แน่นอน ยังไม่ต้องมามหาวิทยาลัยดีไหม?” เสี้ยวหยาถามด้วยความเป็นห่วง
เมื่อเห็นเสี้ยวหยาใส่ใจตนเองและคิดเพื่อตนแบบนี้ ในใจของเย่เทียนเฉินก็รู้สึกซาบซึ้งใจ ความจริงแล้ว เขาค่อยๆ มีความรู้สึกดีๆ ให้กับเสี้ยวหยาทีละนิด แรกเริ่มเป็นเพราะเสี้ยวหยามีหน้าตาเหมือนผู้หญิงที่เขารักที่สุดในช่วงยุคสิ้นโลก หลังจากนั้นเขาก็พบว่านอกจากเธอจะมีหน้าตาเหมือนกับผู้หญิงที่เขารักอย่างลึกซึ้งในช่วงยุคสิ้นโลกแล้ว ยังมีนิสัยที่ไม่เหมือนกันหลายอย่าง ใจดี อบอุ่น ไร้เดียงสา คิดทำอะไรเพื่อเขาอยู่ตลอด โดยเฉพาะการต่อสู้ในซอยแคบนั้น เย่เทียนเฉินแบกเสี้ยวหยาอยู่บนไหล่ซ้าย มือขวาถือมีดตัดฟืน ฆ่าฟันเพื่อเปิดทางออกมาโดยตลอด ช่วงเวลานั้นในใจของเขาตัดสินใจแล้วว่าเสี้ยวหยาก็คือนางฟ้าของเขา ใครกล้าแตะต้องนางฟ้าของเขาเขาจะฆ่ามันซะ!
“วางใจเถอะ ฉันมีวิธีของฉัน ช่วงนี้เริ่มจะน่าสนุกขึ้นเรื่อยๆ แล้ว เล่นด้วยสักหน่อยก็คงดี จะได้ไม่น่าเบื่อจนไร้รสชาติ!” เย่เทียนเฉินหัวเราะแล้วพูดขึ้นอย่างสบายๆ
“ไม่ต้องให้ฉันใช้อำนาจในตระกูลเพื่อช่วยจัดการเรื่องนี้ให้นายจริงๆ เหรอ?” หลิงอวี่สวิ๋นเองก็ถามอย่างใส่ใจ
“ไม่ต้องๆ ฉันคิดว่าต่อให้ตระกูลหลิงของเธอจะร้ายกาจขนาดไหน ก็เข้าไปขวางอำนาจของสามตระกูลของสามสุนัขแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงพวกนั้นไม่ได้หรอก เมื่อถึงตอนนั้นไม่เพียงแต่จะช่วยฉันไม่ได้ แต่ยังจะทำให้ตระกูลหลิงของเธอเข้ามาเกี่ยวพัน แบบนั้นก็ไม่ใช่แผนการที่ดีอะไรเลย!” เย่เทียนเฉินพูดพลางส่ายศีรษะ
เย่เทียนเฉิน หลิงอวี่สวิ๋นและเสี้ยวหยา เดินเข้าไปในมหาวิทยาลัยหลงเถิงท่ามกลางสายตาตกตะลึงของนักศึกษาชายหญิงจำนวนมาก ตลอดเส้นทางทั้งสามคนต่างก็คุยเล่นกันอย่างเบิกบานใจเกี่ยวกับเรื่องของวัยรุ่น อย่างเช่นเรื่องเล่นเกม เล่นแอพใหม่ล่าสุดในมือถือ เป็นต้น และยังมีเรื่องเกี่ยวกับข่าวซุบซิบดาราด้วย ต่างก็คุยกันอย่างมีความสุข เดิมทีเย่เทียนเฉินก็ไม่ได้เก็บเรื่องของสามคุณชายมาใส่ใจ หลิงอวี่สวิ๋นเองก็ไม่ได้ซีเรียสอะไร ส่วนเสี้ยวหยานั้นถึงแม้ว่าจะกังวลเกี่ยวกับอาการป่วยของแม่ แต่เมื่อได้อยู่กับเย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋น ได้พูดคุยกันอย่างสนุกสนานก็ทำให้สามารถลืมเลือนไปได้ชั่วคราว
“เทียนเฉิน มีบางเรื่องที่ฉันจำเป็นจะต้องเตือนนาย คุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงเป็นคนที่ร้ายกาจมาก ไม่อาจนำไปเทียบได้กับเซวียนเยวี๋ยนเถิงและโอวหยางเฟยอวิ๋นเลย น่าจะต้องระวังสักหน่อยนะ!” จู่ๆหลิงอวี่สวิ๋นก็คิดถึงคุณชายใหญ่ขึ้นมา จึงกล่าวเตือนกับเย่เทียนเฉินอย่างจริงจัง
“อ้อ? ตกลงคุณชายใหญ่นี่มันเป็นใครกัน?” เย่เทียนเฉินถามด้วยความสงสัย
“ไม่รู้!” หลิงอวี่สวิ๋นพูดพลางส่ายหน้า
“จะเป็นไปได้ยังไง? คนที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่ง จะถึงกับไม่มีใครรู้ว่าเขาชื่ออะไร ไม่รู้ว่าหน้าตาเป็นยังไง นี่มันจะไม่แปลกไปหน่อยเหรอ!” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจ
หลิงอวี่สวิ๋นมองเย่เทียนเฉินและเสี้ยวหยาที่รู้สึกสงสัย จากนั้นจึงหยุดไปครู่หนึ่งแล้วจึงพูดต่อว่า “คุณชายใหญ่เป็นใครนั้น ไม่มีใครรู้จริงๆ รู้แต่ว่าตำแหน่งของเขายังสูงกว่าเซวียนเยวี๋ยนเถิงและโอวหยางเฟยอวิ๋น ถ้าพูดให้ชัดเจนสักหน่อยก็คือ เซวียนเยวี๋ยนเถิงและโอวหยางเฟยอวิ๋นเป็นได้แค่ลูกน้องของคุณชายใหญ่เท่านั้น จะต้องเชื่อฟังคำสั่งของคุณชายใหญ่”
“งั้นเหรอ? คุณชายใหญ่คนนี้ ได้รับตำแหน่งหัวหน้าของสามคุณชายได้ยังไง?” เย่เทียนเฉินถามต่อไป
“เรื่องนี้ก็ไม่ชัดเจนนัก เพียงแต่ลือกันว่าเมื่อสองปีก่อน เซวียนเยวี๋ยนเถิงและโอวหยางเฟยอวิ๋นทำตัวระรานอยู่ในมหาวิทยาลัยหลงเถิง เพราะอยากที่จะเป็นเจ้าถิ่นคุมมหาวิทยาลัย และกลายเป็นคนที่อยู่ในจุดสูงสุด การต่อสู้ของทั้งสองจึงไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ทั้งในทางลับทางแจ้งก็ประมือกันมาหลายครั้งแล้ว มีแพ้มีชนะ แต่ในตอนนั้นชายสวมแว่นกรอบทองซึ่งเป็นคนที่นายพบคนนั้นแหละ เขามีฉายาว่าโหมวซู คนคนนี้ได้ปรากฏตัวออกมา และให้เซวียนเยวี๋ยนเถิงและโอวหยางเฟยอวิ๋นดูของอย่างหนึ่ง สองคนนี้จึงได้วางมือ และได้เป็นคุณชายมหาวิทยาลัยหลงเถิง โอวหยางเฟยอวิ๋นเป็นคนชายสอง เซวียนเยวี๋ยนเถิงเป็นคุณชายสาม นี่จึงทำให้ทั้งสองคนสงบลง” หลิงอวี่สวิ๋นเราทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับคุณชายใหญ่ที่เธอรู้ออกมา
เมื่อได้ยินคำพูดของหลิงอวี่สวิ๋น เย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ท่าทางจะต้องสนใจสักหน่อยแล้ว คุณชายใหญ่คนนี้ลึกลับเหลือเกิน คำโบราณกล่าวไว้ว่า ทวนเปิดเผยหลบหลีกง่าย เกาทัณฑ์ลับยากระวัง ศัตรูที่เผยตัวย่อมไม่ทำให้ผู้คนหวาดเกรง แต่ศัตรูที่แอบซ่อนตัวอยู่นั้นถึงจะทำให้ผู้คนไม่อาจป้องกันได้
“ให้ดูของอย่างหนึ่งก็ทำให้เซวียนเยวี๋ยนเถิงและโอวหยางเฟยอวิ๋นที่เป็นคนยโสโอหังถึงกับยอมวางมือ ไม่แย่งชิงตำแหน่งเจ้าถิ่นมหาวิทยาลัยอีก ท่าทางของสิ่งนี้จะมีอำนาจมาก มันเป็นอะไรกันแน่?” เย่เทียนเฉินถามด้วยรอยยิ้ม
“ฉันเคยได้ยินคนในตระกูลพูดขึ้นมาครั้งหนึ่ง เป็นบทสนทนาของคุณปู่และคุณพ่อของฉันแล้วฉันก็ไปแอบได้ยินมา เขาบอกว่าหลายปีมานี้มีตระกูลโลกเบื้องหลังหลายตระกูลที่คิดจะปรากฏตัวในโลกเบื้องหน้า และต้องการกอบกุมของบางอย่างเอาไว้ในมือ ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนและตระกูลโอวหยางต่างก็เป็นตระกูลในโลกเบื้องหลัง อำนาจที่เก็บซ่อนเอาไว้ก็ยิ่งใหญ่จนไม่อาจรู้ได้ ส่วนอำนาจตระกูลของคุณชายใหญ่ก็เพียงพอที่จะเทียบเคียงได้กับสามตระกูลชั้นยอดแห่งประเทศจีนที่มีอยู่ทุกวันนี้” หลิงอวี่สวิ๋นพูดออกมาด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ
ประเทศจีนมีกลุ่มอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่อยู่เป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นในโลกเบื้องหลังหรือว่าโลกเบื้องหน้า ต่างก็มีอำนาจที่ผู้คนภายนอกไม่รู้ และสามตระกูลชั้นยอดเป็นตระกูลที่อยู่เบื้องบนอย่างแท้จริง พูดโดยไม่เกินจริงได้เลยว่า เพียงแค่ขยับขาข้างเดียวก็สามารถทำให้ประเทศจีนต้องสั่นสะเทือนได้ทั้งประเทศ ตระกูลที่คุณชายใหญ่อยู่ถึงกับสามารถเทียบเคียงได้กับนามสกุลชั้นยอดของประเทศจีน ช่างทำให้ผู้คนต้องตกตะลึงจริงๆ
“น่าสนุก น่าสนุกขึ้นเรื่อยๆ เลย งั้นก็ให้ฉันเล่นเป็นเพื่อนพวกเขาสักหน่อยก็แล้วกัน!” เย่เทียนเฉินยื่นมือออกไปบิดขี้เกียจครั้งหนึ่งแล้วพูดขึ้น
“นาย…ฉันพูดจริงนะเนี่ย ระวังตัวด้วย!” หลิงอวี่สวิ๋นมองเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น
“รู้แล้ว พวกเราแยกย้ายกันไปเรียนเถอะ วันนี้ฉันเข้าเรียนวันแรก จะต้องสร้างความประทับใจให้อาจารย์สาวสวยสักหน่อย…” เย่เทียนเฉินพูดขึ้นพลางยิ้มอย่างน่าเกลียด
เย่เทียนเฉิน เสี้ยวหยาและหลิงอวี่สวิ๋นเรียนอยู่ในภาควิชาที่แตกต่างกัน ดังนั้นหลังจากที่เดินเข้าไปแล้ว สุดท้ายก็มีเพียงเย่เทียนเฉินคนเดียวที่เดินมุ่งหน้าไปยังตึกภาควิชาโบราณคดี
ภาควิชาโบราณคดีเดิมทีก็เป็นเอกวิชาที่ไม่ได้รับความนิยมอยู่แล้ว ดังนั้นตึกการเรียนการสอนและห้องทำงานของอาจารย์จะรวมอยู่ด้วยกัน ตึกนี้มีเพียงสามชั้น และตั้งอยู่ในจุดที่ห่างไกลที่สุดของมหาวิทยาลัย และยังคงเป็นเอกวิชาที่ไม่ได้รับความนิยมเช่นนี้ที่มีอาจารย์สาวสวยผู้ลึกลับคนหนึ่ง ยิ่งทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกสนใจ
ในตอนที่ฉินเหยาเยว่ได้พบกับเย่เทียนเฉินเป็นครั้งที่สองขณะที่เขาเดินเข้าไปในตึกภาควิชาโบราณคดีโดยไม่รู้ตัวนั้น ฉินเหยาเยว่ได้ใช้วิชาสะกดใจกับเย่เทียนเฉิน เป็นเคล็ดวิชาโบราณประเภทหนึ่งที่ร้ายกาจเป็นอย่างมาก ขอเพียงคนที่ถูกเคล็ดวิชานี้มองดวงตาของผู้ใช้ก็จะหลงเสน่ห์โดยไม่รู้ตัว วันนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะขอบเขตพลังพิเศษของเย่เทียนเฉินได้ไปถึงขอบเขตจอมราชันแล้วจึงทำให้ภายในเลือดเนื้อมีพลังพิเศษอันแข็งแกร่งแฝงอยู่ เมื่อถูกเคล็ดวิชาสะกดใจของฉินเหยาเยว่และกำลังที่จะสูญเสียสติสัมปชัญญะอยู่นั้น พลังพิเศษภายในร่างกายก็ระเบิดออกมา หากไม่ใช่เพราะเหตุผลนี้เกรงว่าเขาก็คงจะถูกฉินเหยาเยว่ควบคุมไปแล้ว
เกี่ยวกับฉินเหยาเยว่นั้น ในตอนนั้นเย่เทียนเฉินยังไม่ได้ลงมือเพราะเขารู้สึกสนใจ ฉินเหยาเยว่สวยและเซ็กซี่ขนาดนี้ เหตุใดถึงได้มาอยู่ที่มหาวิทยาลัยหลงเถิง และยังมาเป็นที่ปรึกษาภาควิชาโบราณคดีอีกด้วย? ฉินเหยาเยว่มีฐานะที่ลึกลับอะไรกันแน่? มีจุดประสงค์อะไรถึงได้มาเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาภาควิชาโบราณคดี?
ในตอนที่เย่เทียนเฉินเดินไปถึงหน้าประตูตึกการเรียนการสอนภาควิชาโบราณคดีนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังชั้นสามโดยไม่รู้ตัว จากนั้นจึงชะงักไปครู่หนึ่งและเดินเข้าไปในตึกการเรียนการสอน ใกล้จะเริ่มเรียนแล้ว อีกไม่นานก็จะได้พบกับฉินเหยาเยว่ ความตื้นลึกของผู้หญิงคนนี้จะต้องทำให้กระจ่างชัดให้ได้ ที่สำคัญที่สุดก็คือทำไมเธอต้องใช้วิชาสะกดใจกับเขาด้วย ตกลงแล้วอยากจะได้ข้อมูลอะไรจากเขาเองกันแน่?
คิดไม่ถึงว่า หลังจากที่เย่เทียนเฉินเดินเข้าไปในตึกการเรียนการสอนของภาควิชาโบราณคดีแล้ว ในมุมหนึ่งของชั้นสามจะมีคนคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น สวมชุดสีดำอันเซ็กซี่ หน้าอกทั้งสองตั้งตระหง่าน ผมยาวสีทอง ในดวงตาอันงดงามมีสายตาอันคมกริบ ผู้หญิงคนนี้ก็คือฉินเหยาเยว่ เขามองเย่เทียนเฉินเดินเข้าไปในตึกการเรียนการสอนของภาควิชาโบราณคดี มุมปากปรากฏรอยยิ้มเซ็กซี่ขึ้น
“เย่เทียนเฉิน ฉันอยากจะเห็นจริงๆ ว่าจะได้รับข้อมูลเกี่ยวกับช่วงยุคสิ้นโลกจากนายหรือไม่ นายจะเก็บซ่อนไว้ได้นานขนาดไหนกัน…” ฉินเหยาเยว่พูดด้วยเสียงเย็นชา
หากเย่เทียนเฉินได้ยินคำพูดนี้ของฉินเหยาเยว่ เป็นไปได้มากว่าจะลงมือทำลายดอกไม้งามดอกนี้ทันที คงจะลงมือฆ่าฉินเหยาเยว่อย่างแน่นอน เรื่องที่ตนเองมาเกิดใหม่จากช่วงยุคสิ้นโลกนั้น เป็นเรื่องที่ไม่มีใครรู้ แต่ถึงกับถูกฉินเหยาเยว่ผู้หญิงแปลกหน้าที่ลึกลับคนนี้สงสัยเอาได้ ผู้หญิงคนนี้ดูแล้วคงจะไม่ธรรมดาจริงๆ เธอรู้ได้อย่างไรกันแน่?
“ยุคสิ้นโลก มีเรื่องทุกเรื่องของประเทศจีนในยุคโบราณ ก็เหมือนกับการกลับมาเกิดใหม่นั่นแหละ บางทีที่นั่นอาจจะมีทุกอย่าง มีแม้กระทั่งการมีชีวิตยืนยาวเป็นอมตะ…” ฉินเหยาเยว่มองท้องฟ้า พูดด้วยความโหยหา
……………………………..
คำสั่งของคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงถูกส่งต่อมาให้ชายสวมแว่นกรอบทอง ชายสวมแว่นกรอบทองคนนี้อาจจะมีใครหลายคนที่ไม่รู้จัก แต่โอวหยางเฟยอวิ๋นกลับคุ้นเคยดี ชายสวมแว่นกรอบทองคนนี้เป็นที่ปรึกษาของคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง มีฉายาว่าโหมวซู และหากจะพูดถึงตระกูลและอำนาจเบื้องหลัง โหมวซูย่อมเทียบไม่ได้กับโอวหยางเฟยอวิ๋นและเซวียนเยวี๋ยนเถิง แต่เขาเป็นคนสำคัญของคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง การที่เขาได้อยู่ในตำแหน่งสำคัญเช่นนี้เป็นเรื่องที่สามารถจินตนาการได้ มิเช่นนั้นเขาก็คงไม่กล้าพูดเช่นนี้กับโอวหยางเฟยอวิ๋น
เดิมที ชายฉกรรจ์ในชุดเสื้อกล้ามสีดำกำลังต่อสู้ถึงขั้นเป็นตายกับหูหลง ความโกรธเกรี้ยวในใจมหาศาล เขาเป็นยอดฝีมือที่ผ่านการต่อสู้มานับร้อย เคยมีชื่อเสียงเลื่องลือมาก่อน วันนี้กลับไม่สามารถกำจัดเด็กรุ่นหลังอายุน้อยคนหนึ่งได้ นี่ทำให้ชายฉกรรจ์ในชุดเสื้อกล้ามสีดำหงุดหงิดมาก มองไปยังหูหลงที่เริ่มยืนหยัดต่อไปไม่ไหวขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อมีข้อบกพร่องปรากฏออกมาก็จะสามารถฆ่าเขาได้ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าชายสวมแว่นกรอบทองจะนำคำสั่งของคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงมา ต้องการให้โอวหยางเฟยอวิ๋นหยุดมือ นี่ทำให้เขาไม่พอใจบ้าง
“แกพูดอะไร?” สีหน้าของโอวหยางเฟยอวิ๋นมืดครึ้มลงในพริบตา จ้องมองไปยังชายสวมแว่นกรอบทองตรงหน้าแล้วเอ่ยถาม
จะอย่างไรโอวหยางเฟยอวิ๋นก็คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะพูดแบบนี้ ตนเองนั้นให้ความเคารพยำเกรงคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยมาหลายปี และเขาก็ยังเป็นผู้นำของฝั่งคุณชายด้วย แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะหวาดกลัวคุณชายใหญ่ และไม่ได้หมายความว่าลูกน้องของคุณชายใหญ่จะสามารถพูดกับเขาเช่นนี้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นไม่ได้หมายความว่าลูกน้องของคุณชายใหญ่จะสามารถตะโกนใส่เขาจนทำให้เขาต้องอับอายได้
จนถึงตอนนี้ โอวหยางเฟยอวิ๋นยังไม่เห็นว่า การแสร้งทำเป็นเคร่งขรึมของตน การวางตัวสูงส่งของตน และท่าทางที่สามารถตัดสินความเป็นความตายของคนอื่นได้ สิ่งเหล่านี้ในสายตาของคนอื่นเป็นการเสแสร้งแกล้งทำ ไม่นับเป็นอะไรได้ นอกจากอำนาจของตระกูลโอวหยางแล้วตัวเขาโอวหยางเฟยอวิ๋นก็ไม่มีอะไรเลย ไม่มีความแตกต่างอะไรกับเซวียนเยวี๋ยนเถิง เพียงแต่เสแสร้งยิ่งกว่านิดหน่อยเท่านั้น
“ผมพูดว่าถ้าคุณคิดจะเทียบกับเย่เทียนเฉิน คุณยังไม่คู่ควร คุณชายใหญ่กล่าวว่า คุณไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเย่เทียนเฉิน อย่าทำให้ขายหน้าเลยนะครับ” ชายสวมแว่นกรอบทองมองไปยังโอวหยางเฟยอวิ๋นแล้วพูดเสียงเย็น
เมื่อได้ยินคำพูดของชายสวมแว่นกรอบทอง โอวหยางเฟยอวิ๋นก็พลันโมโหขึ้นมา ยื่นมือไปคว้าเน็คไทร์ของชายสวมแว่นกรอบทอง แล้วเอ่ยปากพูดอย่างดุดันว่า “แกก็เป็นแค่สุนัขตัวหนึ่งของคุณชายใหญ่เท่านั้น กล้ามาพูดกับฉันแบบนี้เหรอ? ต่อให้คุณชายใหญ่มาเอง เขาก็ไม่กล้าพูดแบบนี้กับฉัน แกนับเป็นตัวอะไรได้ อยากตายหรือไง?”
ชายสวมแว่นกรอบทองเห็นโอวหยางเฟยอวิ๋นโมโห จึงได้ดึงเน็คไทร์ของตนกลับมามือของจากโอวหยางเฟยอวิ๋น มองไปยังโอวหยางเฟยอวิ๋นอย่างไม่พอใจแล้วกล่าวว่า “ผมไม่นับเป็นตัวอะไรได้จริงๆ ครับ คำพูดของคุณชายใหญ่คุณจะไม่ฟังก็ได้ แต่มีบางอย่างที่ผมต้องบอกต่อคุณ…”
“อะไร?” โอวหยางเฟยอวิ๋นเลยถามด้วยท่าทีขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“รับผิดชอบเอง!” ชายสวมแว่นกรอบทองพูดอย่างเย็นชา
โอวหยางเฟยอวิ๋นได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ถึงแม้ว่าเขาจะโกรธมาก และไม่พอใจเป็นอย่างมาก ตนเองมีฐานะเป็นถึงคุณชายสองแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง หากพูดถึงความเฉลียวฉลาดและอำนาจของตระกูล ย่อมอยู่เหนือเซวียนเยวี๋ยนเถิงอย่างแน่นอน ต่อให้เทียบกับคุณชายใหญ่ก็ต่างกันไม่มาก อาศัยอะไรตนเองถึงได้เป็นแค่คุณชายสอง อาศัยอะไรถึงต้องฟังคำสั่งของคุณชายใหญ่? ความจริงแล้วเขาไม่อาจกล้ำกลืนฝืนทนสิ่งเหล่านี้ได้ อดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนสีหน้า อยากจะกำจัดโหมวซูตรงหน้าเพื่อระบายความโกรธเกลียดของตน
ไม่พอใจก็ส่วนไม่พอใจ ความจริงแล้วโอวหยางเฟยอวิ๋นฉลาดกว่าเซวียนเยวี๋ยนเถิงอยู่บ้างจริงๆ เขารู้ว่าครั้งนี้คุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงส่งโหมวซูมาหยุดยั้งตนเอง จะต้องมีแผนการใหญ่อย่างแน่นอน ถ้าเขาไม่ฟังคำสั่ง จะต้องทำให้เกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นแน่ ต่อให้เขาไม่กลัวผิดใจกับคุณชายใหญ่ แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่สู้ปล่อยให้คุณชายใหญ่เก็บกวาดเย่เทียนเฉิน ส่วนตนเองก็นั่งดูยังจะดีเสียกว่า
“ได้ ฉันจะไว้หน้าคุณชายใหญ่ แต่ว่าฉันต้องการเจอเขา!” โอวหยางเฟยอวิ๋นมองชายสวมแว่นกรอบทอง ในที่สุดก็พูดออกมาอย่างยอมถอย
“คุณชายใหญ่ยุ่งมาก เขาบอกว่า ถ้ามีเวลาเขาจะเรียกคุณไปพบเอง พวกคุณไปกันเถอะ เรื่องต่อจากนี้ผมจะจัดการเอง!” ชายสวมแว่นกรอบทองยังคงพูดด้วยรอยยิ้ม
โอวหยางเฟยอวิ๋นจ้องมองชายสวมแว่นกรอบทองอย่างดุดัน แต่กลับไม่สามารถทำอะไรได้ ในสถานการณ์เช่นตอนนี้ บอดี้การ์ดในชุดเสื้อกล้ามสีดำที่อยู่ข้างกายของตน ไม่แน่ว่าจะสามารถฆ่าเย่เทียนเฉินได้ หากตกอยู่ในจุดจบเช่นเดียวกับเซวียนเยวี๋ยนเถิง เช่นนั้นก็จะเป็นการขายหน้าผู้อื่นครั้งใหญ่ ไม่สู้อดกลั้นเอาไว้ก่อน จากนั้นค่อยส่งยอดฝีมือของตระกูลโอวหยางมา จะต้องกำจัดเย่เทียนเฉินได้อย่างแน่นอน
“พวกเราไป!” โอวหยางเฟยอวิ๋นพูดกับชายฉกรรจ์สวมเสื้อกล้ามสีดำ
เมื่อเห็นโอวหยางเฟยอวิ๋นพาชายฉกรรจ์ในชุดเสื้อกล้ามสีดำจากไป หูหลงก็กลับมาอยู่ข้างกายของเย่เทียนเฉิน ยืนอยู่ด้านซ้ายอย่างเคารพ ไม่พูดจาอะไรให้มากความ มีท่าทางของลูกน้องที่เคร่งครัดกฎเกณฑ์เป็นอย่างมาก เย่เทียนเฉินมองหูหลงครั้งหนึ่ง คนคนนี้ถูกชายฉกรรจ์สวมชุดเสื้อกล้ามสีดำอัดจนเป็นหมีแพนด้า มุมปากก็มีรอยเลือด เมื่อครู่นี้เขาทำการต่อสู้กับชายฉกรรจ์สวมเสื้อกล้ามสีดำ เย่เทียนเฉินล้วนเห็นอยู่ในสายตา เขากำลังคิดว่าจะฝึกฝนให้หูหลงอย่างไรดี ถึงจะสามารถเพิ่มประสบการณ์ในการต่อสู้จึงให้เขาได้
“ไม่เป็นไรใช่ไหม?” เย่เทียนเฉินถามเรื่องรอยยิ้ม
“ไม่เป็นไรครับ!” หูหลงเช็ดเลือดที่มุมปาก ตอบออกไปอย่างเด็ดเดี่ยว
“ไม่ต้องใส่ใจหรอก ฝึกฝนให้มาก ไม่นานฝีมือของนายก็จะแซงชายฉกรรจ์สวมเสื้อกล้ามสีดำคนนั้นได้ นายยังอายุน้อย!” เย่เทียนเฉินพูดแล้วจึงพยักหน้า
“พี่ใหญ่ ผมจะพยายามครับ!”
เย่เทียนเฉินพยักหน้าเล็กน้อยแล้วไม่ได้กล่าวอะไรอีก เนื่องจากชายสวมแว่นกรอบทองเดินมาทางพวกเขาแล้ว เกี่ยวกับคนคนนี้เขายังคงให้ความสำคัญอยู่มาก พูดจาไม่กี่ประโยคก็สามารถทำให้โอวหยางเฟยอวิ๋นยอมถอยไปได้ อย่างน้อยคงมีฐานะไม่ธรรมดา ดูแล้วเรื่องราวจะสนุกมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
ไม่ใช่เพียงแค่เย่เทียนเฉินเท่านั้น เหล่านักศึกษาของมหาวิทยาลัยหลงเถิงที่ล้อมดูเรื่องสนุกจำนวนมากต่างมองจนปากอ้าตาค้าง เกิดเรื่องต่างๆ ขึ้นติดต่อกันมากมาย ทำให้พวกเขารู้สึกตื่นตะลึง แทบจะทำให้พวกเขารู้สึกรับไม่ทัน เริ่มจากเย่เทียนเฉินอัดเซวียนเยวี๋ยนเถิง ไม่ไว้หน้าโอวหยางเฟยอวิ๋น จากนั้นก็เป็นวรยุทธที่มีอยู่แต่ในจินตนาการของทุกคนถูกลำเลียงเข้ามาในความเป็นจริง ทำลายความรู้และวิทยาศาสตร์ในโลกปัจจุบันจนย่อยยับ ตอนนี้ก็มีชายสวมแว่นกรอบทองโผล่มาอีกคนหนึ่ง พูดไม่กี่ประโยคก็สามารถทำให้โอวหยางเฟยอวิ๋นที่เป็นทายาทตระกูลใหญ่ยอมจากไปด้วยความโกรธ เรื่องราวชักจะซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ ชักจะมีสีสันขึ้นเรื่อยๆ แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนเป็นเพราะการปรากฏตัวของเย่เทียนเฉิน
“คุณคือเย่เทียนเฉิน?” โหมวซูเดินไปเบื้องหน้าเย่เทียนเฉิน มุมปากประดับไปด้วยรอยยิ้มเย็นชา
“ทั้งๆ ที่รู้แต่ก็ยังถามอีก มีอะไรก็รีบพูดมาเถอะ ฉันยุ่งมาก หรือว่านายไม่เห็น?” เย่เทียนเฉินทำท่าทางทนไม่ไหวออกมา และเป็นท่าทางที่โอหังเป็นอย่างมาก เขารู้ว่าชายสวมแว่นกรอบทองคนนี้ไม่ใช่คนดีอะไร อยากจะมาสร้างความวุ่นวายและยังเสแสร้งมากอีกด้วย เย่เทียนเฉินขี้เกียจจะเปลืองน้ำลาย
โหมวซูชะงักไปครู่หนึ่ง เขาคิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะเป็นเหมือนกับผลจากการตรวจสอบ คนคนนี้เป็นคนที่ไม่สามารถใช้เหตุผลตามปกติมาตัดสินได้ เป็นคนที่มีเอกลักษณ์อย่างมาก แล้วยังเป็นคนที่คาดเดาไม่ได้
“ผมเป็นที่ปรึกษาของคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง ชื่อว่าโหมวซู คุณชายใหญ่มีคำพูดที่จะให้ผมมาบอกต่อคุณ!” โหมวซูดันแว่นของตนเองขึ้นแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
“คุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง? ไม่เคยได้ยินมาก่อน มีอะไรก็ให้มาบอกฉันด้วยตัวเอง อย่ามาทำเป็นเสแสร้ง!” เย่เทียนเฉินยักไหล่ พูดด้วยท่าทางสบายๆ
เสียงที่เย่เทียนเฉินใช้พูดไม่ดัง แต่เป็นเพราะตอนนี้ทุกคนต่างตกตะลึงกับสถานการณ์ตรงหน้าจึงเงียบเสียงลง ทำให้ทุกคนได้ยินคำพูดของเขา หลายคนรู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ รู้สึกจิตใจแทบจะพังทลาย
สามสุดยอดคุณชายแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง มีอำนาจชื่อเสียง ไม่กล่าวไม่ได้ว่ามีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อสังคม อย่างน้อยก็ต่อมหาวิทยาลัยทุกแห่ง อย่างน้อยสำหรับเมืองหลวงแล้วล้วนเป็นคนที่มีชื่อเสียงมาก เป็นบุคคลที่คนธรรมดาทั่วไปต้องเงยหน้ามอง แต่วันนี้ ในเวลาเพียงหนึ่งวัน เย่เทียนเฉินล่วงเกินคุณชายทั้งสามท่านแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงต่อๆ กัน ไม่ไว้หน้าใครแม้แต่คนเดียว ทำลายความสูงส่งของสามคุณชาย ทำให้ผู้คนต้องสั่นสะท้านอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
หากเป็นยามปกติ ล่วงเกินคุณชายคนใดคนหนึ่ง ก็จะต้องตายอย่างศพไม่สวยแล้ว แต่เย่เทียนเฉินล่วงเกินไปแล้วสามคนในเวลาชั่วพริบตา ไม่ต้องพูดถึงว่าคุณชายทั้งสามท่านร้ายกาจขนาดไหน เพียงแค่สามตระกูลที่อยู่เบื้องหลังของพวกเขาลงมือมั่วๆ ตามใจ ก็สามารถบดขยี้เย่เทียนเฉินให้ตายได้แล้ว และมากพอที่จะทำให้ตระกูลเย่ถูกฆ่าล้าง
“ฮ่าๆ มีความกล้าดีนะครับ คุณชายใหญ่บอกว่าคุณเย่เทียนเฉินนับว่าเป็นคนพิเศษคนหนึ่ง หากสนใจจะสวามิภักดิ์ต่อเขา เขาก็จะพิจารณารับคุณเป็นลูกน้อง” โหมวซูพูดด้วยรอยยิ้ม
“งั้นเหรอ? งั้นนายก็กลับไปบอกคุณชายใหญ่ของนายด้วยว่า ฉันเย่เทียนเฉินไม่สนใจ ในเมื่อเขามองฉันในแง่ดีขนาดนั้น ฉันก็คิดว่าจะให้เขามาขัดรองเท้าให้ฉันสักหน่อย นับว่าเป็นการตบรางวัลให้เขาก็แล้วกัน!” เย่เทียนเฉินพูดออกมาอย่างเรียบเฉย
“คุณ…ดี มีความกล้าดี คุณชายใหญ่ยังมีคำพูดบางคำที่ต้องการบอกต่อสหายเย่ อย่างแรกก็คือ หากอยู่ในมหาวิทยาลัยหลงเถิงทางที่ดีก็ทำตามกฎจะดีกว่า นี่เป็นถิ่นของคุณชายใหญ่ ระวังตายโดยไม่รู้ตัว อย่างที่สองก็คือ ในตอนที่คุณไปพบคุณชายใหญ่ คุณก็จะได้เป็นแค่คนตายเท่านั้น!” โหมวซูรู้สึกโกรธอยู่บ้าง แต่ยังคงอดกลั้นเอาไว้เราพูดออกมา
“พูดจบหรือยัง? บอกชื่อคุณชายใหญ่ของพวกแกมาสิ ฉันเย่เทียนเฉินไม่สู้กับคนไร้ชื่อเสียงหรอก!” เย่เทียนเฉินโบกมือแล้วพูดขึ้น
“ชื่อของคุณชายใหญ่ของพวกเราไม่ใช่อะไรที่คนธรรมดาจะรู้ได้ ในเมื่อคุณต้องการต่อต้านคุณชายใหญ่ ถ้างั้นก็รักษาชีวิตที่จะเหลืออีกไม่กี่วันของคุณเอาไว้ให้ดีเถอะ…”
โหมวซูพูดประโยคนี้จบก็หันกายเดินจากไป เย่เทียนเฉินไม่ได้สร้างความลำบากให้โหมวซู และไม่จำเป็นต้องทำ ในสายตาของเขา ต่อให้คุณเป็นคุณชายใหญ่อะไรนั่น หรือจะคุณชายสองคุณชายสาม ขอเพียงแค่คุณมาหาเรื่อง ขอเพียงแค่คุณไร้เหตุผล ก็อย่ามาตำหนิที่ผมไม่เกรงใจ สำหรับพวกทายาทตระกูลใหญ่ที่เสแสร้งแบบนี้ เย่เทียนเฉินมีเพียงประโยคเดียวจะมอบให้ “เหยียบให้เละ!”
เย่เทียนเฉินบิดขี้เกียจครั้งหนึ่ง หาวออกมาครั้งหนึ่ง เสียเวลาอยู่ที่ประตูมหาวิทยาลัยหลงเถิงนานมากแล้ว เมื่อดูโทรศัพท์มือถือก็พบว่าเป็นเวลาเกือบจะบ่ายสามแล้ว ใกล้จะได้เวลาเรียนแล้ว จึงเดินไปหาหลิงอวี่สวิ๋นและเสี้ยวหยา คนสวยทั้งสองคนนี้มองเย่เทียนเฉินเหมือนกับมองตัวประหลาด เนื่องจากเย่เทียนเฉินทำให้พวกเธอต้องตกตะลึงมากเหลือเกิน บ่อนทำลายสิ่งที่พวกเธอเคยรู้จักเกี่ยวกับเย่เทียนเฉินโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะหลิงอวี่สวิ๋น แม้ในความฝันเธอก็คิดไม่ถึงว่า เย่เทียนเฉินที่ฉี่รดที่นอนในตอนเด็ก จะกลายเป็นคนที่ยอดเยี่ยมถึงขนาดนี้
“ทั้งสองคน รู้สึกว่าฉันหล่อขึ้นเรื่อยๆ เลยใช่ไหม? อดใจไม่ได้ที่จะหอมสักครั้ง?” เย่เทียนเฉินหัวเราะฮี่ๆ อย่างเจ้าเล่ห์แล้วพูดกับหลิงอวี่สวิ๋นและเสี้ยวหยา
……………………………
ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงว่า ในตอนที่เย่เทียนเฉินเตรียมจะลงมือฆ่าเซวียนเยวี๋ยนเถิง โอวหยางเฟยอวิ๋นคุณชายสองซึ่งเป็นหนึ่งในสามคุณชายแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงจะปรากฏตัวออกมาหยุดยั้ง และที่ทำให้คนคิดไม่ถึงยิ่งกว่าก็คือ โอวหยางเฟยอวิ๋นที่วางตัวสูงส่งต้องการที่จะออกคำสั่งให้เย่เทียนเฉินปล่อยคน จะถึงกับถูกปฏิเสธ เมื่ออยู่ต่อหน้าเย่เทียนเฉิน ใบหน้าของโอวหยางเฟยอวิ๋นชิยโสโอหังมาโดยตลอดก็ไม่อาจใช้ได้ ถูกเย่เทียนเฉินตอกหน้าจนเทียบไม่ได้แม้แต่ตดหมา พริบตานั้นทำให้เขามีท่าทีเหมือนอันธพาลถ่อย สั่งลูกน้องให้ลงมือฆ่าเย่เทียนเฉินด้วยความโมโห
ในขณะนั้นเอง เสี้ยวหยาและหลิงอวี่สวิ๋นก็มองออกว่า เย่เทียนเฉินไม่ใช่คนสะเพร่า และไม่ใช่คนที่เห็นตนเองเป็นใหญ่ เป็นเพียงแค่คนที่ทำตามหลักการโดยไม่สนใจตัวคน และเป็นลูกผู้ชายที่ไม่ก้มหัวให้อำนาจใดๆ หากคุณต้องการที่จะมาทำตัวกำเริบเสิบสานต่อหน้าเขา จะมาวางมาดเป็นคุณชายใหญ่อะไรนั่น มาใช้อำนาจราวกับตนเองเป็นใต้เท้าที่สั่งเป็นสั่งตายยุทธภพได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องขอโทษด้วย ฉันเย่เทียนเฉินไม่ยอมกล้ำกลืนฝืนทนแน่ ฉันก็คือฉัน เป็นหนึ่งไม่มีสอง
การปรากฏตัวของหูหลงเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายของเย่เทียนเฉิน แน่นอนว่าทำให้เขาดีใจมาก นี่ทำให้เห็นว่าหูหลงมีความซื่อสัตย์ภักดีต่อตนเอง ยอมติดตามด้วยตัวเอง และต้องการจะติดตามเขาจากใจจริงเพื่อไปป่วนยุทธภพด้วยกัน ส่วนเย่เทียนเฉินก็ได้ออกคำสั่งให้อู๋เสวี่ยไปรวบรวมยอดฝีมือ เพื่อสร้างเป็นฐานอำนาจของตน ในเมื่อกลุ่มอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่ต้องการที่จะเล่น ถ้าอย่างนั้นเขาจะไม่เล่นเป็นเพื่อนได้อย่างไร?
เย่เทียนเฉินมีความประทับใจที่ดีต่อหูหลงมาก ในตอนที่ช่วยเหลือหูหลง เย่เทียนเฉินก็มองออกแล้วว่า ฝ่ามือมังกรท่องแปดทิศของหูหลงเป็นของจริง ช่วงเวลาที่ฝึกฝนอย่างน้อยก็ต้องสิบปี หากพูดกันในด้านฝีมือหูหลงก็สามารถไปถึงระดับยอดฝีมือชั้นหนึ่งได้ เพียงแต่ข้อเสียเพียงอย่างเดียวของเขาก็คือประสบการณ์ ซึ่งก็หมายถึงประสบการณ์ในการต่อสู้จริง และยังขาดความโหดเหี้ยมดุดัน ไม่เช่นนั้นเมื่อวันนั้นเขาคงจะไม่ถูกลูกน้องของหลี่เถี่ยรุมซ้อม
ต่อให้เย่เทียนเฉินรู้ว่า การที่หูหลงจะเอาชนะชายฉกรรจ์สวมเสื้อกล้ามสีดำคนนี้เป็นเรื่องที่ยาก แต่ก็ไม่อาจไม่นับถือความร้ายกาจของตระกูลโอวหยาง เนื่องจากชายฉกรรจ์สวมเสื้อกล้ามสีดำที่อยู่ข้างกายโอวหยางเฟยอวิ๋นคนนี้ มีความสามารถไม่อ่อนแอเลย หากว่ามีคนแบบนี้เพิ่มขึ้นมาอีกหลายคนเกรงว่าเย่เทียนเฉินจะต้องต่อสู้อย่างจริงจัง
ความจริงหากพูดถึงตระกูลโอวหยางและตระกูลเซวียนเยวี๋ยน มีน้อยคนที่จะรู้จัก น้อยคนที่จะรู้ว่าอำนาจของสองตระกูลนี้แข็งแกร่งขนาดไหน แต่ว่าเซวียนเยวี๋ยนเถิงและโอวหยางเฟยอวิ๋น เป็นทายาทของตระกูลที่ยโสโอหัง ทั้งวันเอาแต่ใช้อำนาจบาตรใหญ่อยู่ในมหาวิทยาลัยหลงเถิง วางมาดว่าบิดาเป็นใหญ่ในใต้หล้า เย่อหยิ่งจนคิดว่าไม่ว่าใครก็มาหาเรื่องเขาไม่ได้ ต่อให้ไม่รู้ก็ไม่ได้
“มาเถอะ ฉันจะเล่นเป็นเพื่อนเอง จะเก็บกวาดแกเอง ไม่ต้องให้พี่ใหญ่ของฉันลงมือหรอก!” หูหลงเดินไปด้านหน้า มองชายฉกรรจ์ในเสื้อกล้ามสีดำตรงหน้าแล้วพูดขึ้นด้วยความไม่พอใจ
“ใจกล้าดีนี่ ดูซิว่าฉันป่นสมองแกแล้วแกยังจะโอหังได้อีกไหม…” ชายฉกรรจ์ในเสื้อกล้ามสีดำคิดไม่ถึงว่าจะถูกเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งดูแคลน พริบตานั้นจึงเกิดโมโหขึ้นมา
หากพูดกันถึงด้านอายุแล้ว หูหลงอายุน้อยจริงๆ ยังอายุน้อยกว่าเย่เทียนเฉินอยู่หนึ่งปี ปีนี้เพิ่งจะอายุสิบเก้า เขาได้กราบการผู้สืบทอดฝ่ามือมังกรท่องแปดทิศคนหนึ่งเป็นอาจารย์โดยบังเอิญ ฝึกฝนอยู่เกือบสิบปีโดยเริ่มฝึกวรยุทธตั้งแต่อายุเก้าขวบ เป็นอายุที่เหมาะสมที่สุดในการเริ่มต้นฝึกฝนวรยุทธ ดังนั้นความสามารถของหูหลงจึงไม่เลวเลย นับว่ามีพื้นฐานมั่นคง ขาดเพียงประสบการณ์ในการต่อสู้จริง และความโหดเหี้ยมเด็ดเดี่ยวไปเล็กน้อย
“ก็ลองดู!”
พูดออกไปเพียงเท่านี้ หูหลงก็ลงมือพุ่งเข้าไปยังชายฉกรรจ์ในเสื้อกล้ามสีดำก่อน หมัดทั้งสองร่ายรำเป็นรูปแบบของแผนผังแปดทิศ เย่เทียนเฉินมีความเข้าใจต่อฝ่ามือมังกรท่องแปดทิศไม่มากนัก แต่ก็รู้ถึงหลักสำคัญๆ นี่ก็เป็นสิ่งที่เขาได้พบเห็นโดยไม่ได้ตั้งใจในช่วงยุคสิ้นโลก ฝ่ามือมังกรท่องแปดทิศ จะใช้หมัดทั้งสองโจมตีออกไปโดยการควบคุมให้อยู่ในลักษณะแผนผังแปดทิศ หากสามารถฝึกฝนจนถึงขั้นสูงจริงๆ ก็จะสามารถใช้ฝ่ามือเดียววาดเป็นแผนผังแปดทิศกว้างถึงสิบกว่าเมตร ซึ่งขอบเขตสิบกว่าเมตรนี้ ก็จะกลายเป็นขอบเขตในการโจมตี น่าหวาดกลัวเป็นอย่างมาก
พลั่กๆๆ!
ชายฉกรรจ์ในชุดเสื้อกล้ามสีดำและหูหลงต่อสู้กัน ทำให้นักศึกษาชายหญิงที่ล้อมดูความคึกคักตกตะลึงจนต้องเบิกตากว้าง นี่ช่างอยู่นอกเหนือจินตนาการของพวกเขาจริงๆ ฉากการต่อสู้ที่มีสีสันเช่นนี้ช่างดีและชวนให้สั่นสะท้านยิ่งกว่าฉากในภาพยนตร์เสียอีก พวกเขาเป็นคนธรรมดา ไหนเลยจะคิดว่ายังมีพรรควรยุทธโบราณสืบทอดนับพันปีมาจนถึงปัจจุบันนี้ได้ ไหนเลยจะเข้าใจเกี่ยวกับพรรควรยุทธโบราณ ดังนั้นย่อมไม่รู้จักวรยุทธจีน เช่น การเหาะเหินเดินกำแพง การผ่าภูเขาป่นหิน หรือกระทั่งวิชาดาบ ไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านั้นจะยังคงดำรงอยู่จนถึงปัจจุบันนี้จริงๆ
มือทั้งสองของเย่เทียนเฉินล้วงอยู่ในกระเป๋ากางเกง มองกระบวนท่าของหูหลงและชายฉกรรจ์ในเสื้อกล้ามสีดำอย่างละเอียด เมื่อได้ลงมือหูหลงก็ใช้พลังเต็มที่ ส่วนชายฉกรรจ์ในเสื้อกล้ามสีดำก็ใส่กระบวนท่าเต็มกำลัง ถึงแม้ว่าหูหลงอาจจะเอาชนะชายฉกรรจ์ในเสื้อกล้ามสีดำได้อย่างยากลำบาก แต่ก็ยังสามารถประคองไปได้ชั่วคราว แะถือโอกาสฝึกฝนให้หูหลงได้ต่อสู้จริง
ในตอนนี้เอง โอวหยางเฟยอวิ๋นมองเซวียนเยวี๋ยนเถิงที่มีเลือดเปื้อนอยู่เต็มหน้าด้วยท่าทางไม่พอใจ และไม่ได้เข้าไปประคองเซวียนเยวี๋ยนเถิงขึ้นมา ไม่ได้โทรศัพท์ไปเรียกรถพยาบาลให้เซวียนเยวี๋ยนเถิง ทำเพียงมองดูเซวียนเยวี๋ยนเถิงอย่างเลือดเย็น
“พี่โอวหยาง ช่วย ช่วยผม…” เซวียนเยวี๋ยนเถิงดิ้นรน ใช้มือขวาจับเท้าของโอวหยางเฟยอวิ๋น มุมปากมีเลือดไหลออกมา
“ช่วยแก? หึ แกคิดว่าฉันมาเพื่อช่วยแกจริงๆหรือไง? ไอ้ตัวไร้ค่า ไม่เพียงแต่ทำให้ขายหน้าตระกูลเซวียนเยวี๋ยนของแก ยังทำให้ชื่อเสียงของสามสุดยอดคุณชายแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงของพวกเราต้องมัวหมอง สมควรตาย!” โอวหยางเฟยอวิ๋นแค่นเสียงเย็นครั้งหนึ่ง มองเซวียนเยวี๋ยนเถิงแล้วพูดขึ้นอย่างไร้มนุษยธรรมโดยสิ้นเชิง
“โอวหยาง…ไม่ พี่เฟยอวิ๋น ขอแค่ ขอแค่คุณช่วยผม ผมรับรองว่าจะใช้อำนาจของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนของผมฆ่าเย่เทียนเฉิน” เซวียนเยวี๋ยนเถิงรู้ว่าตอนนี้คนที่จะสามารถช่วยเขาได้มีเพียงโอวหยางเฟยอวิ๋นเท่านั้น ขอเพียงเขามีชีวิตอยู่ต่อไป ก็จะสามารถล้างแค้นได้
“ไอ้เศษสวะ บิดาออกคำสั่งไปแล้ว ไอ้เศษสวะอย่างแกตายไปซะได้ก็ดี หากอยู่เป็นสามคุณชายแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงต่อไป จะเสียหน้าพวกเราเปล่าๆ!” โอวหยางเฟยอวิ๋นพูดอย่างเลือดเย็น
เซวียนเยวี๋ยนเถิงเห็นท่าทางไม่แยแสเช่นนี้ของโอวหยางเฟยอวิ๋น พริบตานั้นดวงตาจึงแดงก่ำ ไม่สนใจความเจ็บปวดที่ทำให้กระอักเลือดออกมา มองไปยังโอวหยางเฟยอวิ๋นอย่างดุดันแล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “พวกคุณสองคนโหดเหี้ยมจริงๆ ถ้าหากว่าผมตาย ตระกูลของผมจะไม่ปล่อยพวกคุณสองคนไว้แน่”
“งั้นเหรอ? คนที่ฆ่าแกก็คือเย่เทียนเฉิน ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับฉัน!” โอวหยางเฟยอวิ๋นมองเซวียนเยวี๋ยนเถิงด้วยสายตาเย็นชา
มหาวิทยาลัยหลงเถิง เป็นมหาวิทยาลัยชั้นหนึ่งในประเทศ และในหมู่คุณชายทั้งสามนั้นต่อให้จะกระทำเรื่องเพื่อตัวเอง แต่ก็ยังให้ความสำคัญกับลำดับชั้น โอวหยางเฟยอวิ๋นเป็นอันดับสอง เซวียนเยวี๋ยนเถิงอยู่ในอันดับสาม ในช่วงเวลาสำคัญคุณชายทั้งสามแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงยังคงต้องปรึกษาหารือร่วมกัน อย่างน้อยก็ไม่มองข้ามหัวใครไป จะอย่างไรเซวียนเยวี๋ยนเถิงก็คิดไม่ถึงว่า ในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด ไม่ใช่เย่เทียนเฉินที่ต้องการเอาชีวิตตนเอง แต่เป็นคุณชายอีกสองคนที่ต้องการให้ตนเองตาย
“พวกคุณ…พวกคุณจะโหดร้ายเกินไปแล้ว…” เซวียนเยวี๋ยนเถิงกัดฟันพูด
“แกอย่าได้พูดอย่างนี้เลย ฉันรู้ว่าแกเกลียดเย่เทียนเฉินเข้ากระดูก ความตายของแก ฉันจะต้องบอกต่อไปยังตระกูลเซวียนเยวี๋ยนของแกแน่ เมื่อถึงตอนนั้นตระกูลของแกจะต้องออกหน้าล้างแค้นให้แก ไม่ใช่ว่าทำให้ความหวังของแกเป็นจริงหรือ? เป็นเรื่องดี นี่เป็นเรื่องดีจริงๆ ฉันกำลังทำเพื่อแกอยู่!”
ทันใดนั้นโอวหยางเฟยอวิ๋นกลายเป็นโหดเหี้ยมขึ้นมา กระทั่งใบหน้าก็ดุดัน พี่เขาต้องการให้เซวียนเยวี๋ยนเถิงตาย สาเหตุที่สำคัญที่สุดก็เพราะต้องการชีวิตของเย่เทียนเฉิน ยืมมีดฆ่าคน ไม่มีอะไรจะมีความสุขไปมากกว่านี้แล้ว
“คุณ…”
“ไปตายซะเถอะ ลาก่อน!”
ไม่กล่าวไม่ได้ว่า โอวหยางเฟยอวิ๋นเป็นคนที่โหดเหี้ยมคนหนึ่ง เพื่อที่จะวางแผนร้ายใส่เย่เทียนเฉินเนื่องจากความรังเกียจในใจของตน เพื่อต้องการยืมมีดฆ่าคน และให้ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนออกหน้าฆ่าเย่เทียนเฉิน เขาไม่เสียดายที่จะลงมือฆ่าเซวียนเยวี๋ยนเถิงด้วยตัวเองเลย เขาใช้ขากระทืบลงไปยังหน้าอกของเซวียนเยวี๋ยนเถิงอย่างแรง ทำให้เซวียนเยวี๋ยนเถิงที่เดิมทีหายใจรวยรินกระอักเลือดออกมาคำใหญ่ ไม่กี่นาทีก็ตาเหลือกไป
ทางด้านนี้โอวหยางเฟยอวิ๋นได้ใช้เท้ากระทืบเซวียนเยวี๋ยนเถิงจนตายไปแล้วเพื่อที่จะใส่ร้ายเย่เทียนเฉินและยืมมีดฆ่าคน ส่วนอีกด้านหนึ่ง การต่อสู้ระหว่างหูหลงและชายฉกรรจ์สวมเสื้อกล้ามสีดำก็ได้มาถึงจุดเดือดแล้ว หูหลงใช้พลังเต็มที่ แสดงวิชาฝ่ามือมังกรท่องแปดทิศออกมาอย่างลื่นไหลคล่องแคล่ว ทุกครั้งที่แสดงกระบวนท่าออกไป จะแฝงไปด้วยพลังภายใน กระทั่งเย่เทียนเฉินก็ไม่อาจไม่นับถือความร้ายกาจของฝ่ามือมังกรช่องแปดทิศ
ชายฉกรรจ์ในชุดเสื้อกล้ามสีดำผู้นั้น เดิมทีก็มีฝีมือไม่อ่อนแอ มิฉะนั้นคงไม่ถูกตระกูลโอวหยางส่งมาอยู่ข้างกายโอวหยางเฟยอวิ๋นเพื่อปกป้องคุ้มครองเขาแน่ เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เขาคิดไม่ถึงก็คือ หูหลงอายุยังน้อย แต่ถึงกับมีความสามารถในการต่อสู้ถึงขนาดนี้ มีฝีมือสูงส่ง หากให้เขาเติบโตไปอีกหลายปี เกรงว่าจะกลายเป็นยอดฝีมือชั้นหนึ่งที่อายุน้อยที่สุด
หากพูดกันตามจริงแล้ว ในตอนนี้หูหลงสู้ชายฉกรรจ์ในชุดเสื้อกล้ามดำไม่ได้ ที่สำคัญก็คือพ่ายแพ้ด้านพละกำลังและประสบการณ์ในการต่อสู้จริง หากได้ฝึกฝนอีกระยะหนึ่ง จะต้องสามารถข้ามผ่านไปได้แน่ การต่อสู้สิบกว่านาที หูหลงถูกโจมตีไปหลายหมัด มุมปากมีเลือดไหลออกมา แต่ยังคงสู้ตายไม่ยอมถอย เขารู้ว่าหากต้องการป่วนยุทธภพไปกับพี่ใหญ่เพื่อสร้างฐานอำนาจ วันหน้าจะต้องพบกับการต่อสู้ที่รุนแรงมากกว่านี้ หากถอยไปตอนนี้ วันหน้าจะอยู่อย่างไร
เย่เทียนเฉินเห็นหูหลงเสียเปรียบลงเรื่อยๆ และมีสัญญาณออกมาว่าจะยืนหยัดต่อไปไม่ไหวแล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เป็นไปได้มากกว่าจะถูกชายฉกรรจ์เสื้อกล้ามดำฆ่าตาย กำลังเตรียมจะลงมือ ไหนเลยจะรู้ว่าในฝูงชนจะมีคนหนึ่งเดินออกมา เป็นชายคนหนึ่งที่สวมแว่นกรอบทองธรรมดา น้ำเสียงไม่นับว่าดัง แต่กลับได้ยินชัดเจน
“คุณชายโอวหยาง คุณชายใหญ่มีคำสั่งลงมาว่า ให้พวกคุณไปซะ เขาจะจัดการเรื่องนี้เอง!” ชายสวมแว่นกรอบทองพูดด้วยรอยยิ้ม
“หากต้องหยุดมือ ก็ต้องรอให้ฉันฆ่าสองคนนี้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน!” โอวหยางเฟยอวิ๋นไม่ได้พูด กลับเป็นชายฉกรรจ์สวมเสื้อกล้ามสีดำที่ต่อสู้กับหูหลงที่พูดออกมาอย่างไม่พอใจ เขาเกือบจะฆ่าหูหลงได้อยู่แล้ว ย่อมไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ สู้กับเด็กรุ่นหลังที่อายุเพียงสิบเก้าปีคนหนึ่งมานานขนาดนี้ สำหรับเขาแล้วนับเป็นความอัปยศอย่างหนึ่ง
“อะไรนะ? แกถึงกับกล้าขัดคำสั่งคุณชายใหญ่เชียว ดูท่าอยากตายเร็วๆ สินะ!” ชายสวมแว่นกรอบทองคนนั้นพลันมีสายตาเปลี่ยนไป ในดวงตาเต็มไปด้วยความหงุดหงิด
“ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่ฟังคำสั่งของคุณชายใหญ่ แต่กำลังอยู่ในช่วงเวลาวิกฤตจริงๆ คิดจะฆ่าเย่เทียนเฉินก่อนค่อยว่ากันอีกที ไม่ใช่ว่าคุณชายใหญ่ก็สนใจเย่เทียนเฉินมากหรือ? ฉันจะถือหัวเจ้าเย่เทียนเฉินไปพบเขา เชื่อว่าเขาจะต้องดีใจมากแน่!” โอวหยางเฟยอวิ๋นพูดกับชายสวมแว่นกรอบทองด้วยรอยยิ้มเกรงใจ
ไหนเลยจะรู้ว่า ชายสวมแว่นกรอบทองจะมองโอวหยางเฟยอวิ๋นอย่างเย็นชาไม่สบอารมณ์ และพูดออกมาอย่างเรียบเฉยประโยคหนึ่ง “จะเล่นกับเย่เทียนเฉิน? เกรงว่าคุณจะไม่คู่ควร…”
………………….
“โอวหยางเฟยอวิ๋น…”
“เขามาได้ยังไง? เขาจะช่วยเซวียนเยวี๋ยนเถิงเหรอ?”
“เซวียนเยวี๋ยนเถิงคุณชายสามแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง โอวหยางเฟยอวิ๋นคุณชายสองแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง และคุณชาย…”
“แกอย่าได้พูดจามั่วซั่ว เดี๋ยวมีปัญหา”
ชายร่างผอมที่ปรากฏตัวอย่างกะทันหันทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของนักศึกษารอบๆ เย่เทียนเฉินเองก็มองไปยังคนคนนั้นด้วยรอยยิ้ม จากเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของคนรอบๆ ทำให้เขารู้ว่าชายร่างผอมคนนี้ชื่อว่าโอวหยางเฟยอวิ๋น เป็นหนึ่งในสามสุดยอดคุณชายแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง ท่าทางจะมีความสำคัญมากกว่าเซวียนเยวี๋ยนเถิงมากนัก แค่ดูจากชายฉกรรจ์ที่สวมเสื้อกล้ามสีดำคนนั้นที่อยู่ข้างกายเขาก็รู้แล้ว
บอดี้การ์ดชั้นยอดทั้งแปดคนที่อยู่ข้างกายของเซวียนเยวี๋ยนเถิง ถึงแม้ว่าจะมีฝีมือไม่อ่อนแอ แต่ก็ไม่เท่ากับชายฉกรรจ์ในเสื้อกล้ามสีดำคนเดียว ไม่เน้นปริมาณแต่เน้นคุณภาพ เมื่อครู่นี้ตอนที่เย่เทียนเฉินปะทะกับชายฉกรรจ์ที่สวมเสื้อกล้ามสีดำคนนั้น แม้ว่าจะไม่ได้ลงมือเต็มที่แต่ก็รู้ว่าชายฉกรรจ์ในเสื้อกล้ามสีดำคนนี้ไม่อ่อนแอเลย หากต้องการที่จะเอาชนะเขาเกรงว่าคงจะต้องเปลืองมือเปลืองเท้าอยู่บ้าง
“พี่โอวหยาง ช่วยผมด้วย ช่วยด้วย…” เซวียนเยวี๋ยนเถิงเรียกโอวหยางเฟยอวิ๋นให้ช่วยชีวิตเขา
โอวหยางเฟยอวิ๋น คุณชายสองแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง ถึงแม้ว่าเขากับคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงจะมีข่าวไม่มากเท่าเซวียนเยวี๋ยนเถิง แต่ความน่าหวาดกลัวของชื่อเสียงเหนือกว่าเซวียนเยวี๋ยนเถิงมาก เนื่องจากพวกเขาสองคนค้ำจุนมหาวิทยาลัยหลงเถิงทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนในเรื่องอะไรก็มีคำพูดของพวกเขาเป็นคำขาด เมื่อเทียบกับเซวียนเยวี๋ยนเถิง การกระทำของเขาก็เป็นแค่การก่อเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ไม่สามารถจะทำงานใหญ่ได้
“ปล่อยเขาไปซะ ฉันโอวหยางเฟยอวิ๋นจะไม่ทำให้แกลำบากใจ เป็นไง?” โอวหยางเฟยอวิ๋นมองเย่เทียนเฉินปราดหนึ่ง เอ่ยถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม
เมื่อได้ยินคำพูดของโอวหยางเฟยอวิ๋น เย่เทียนเฉินก็ไม่พอใจเป็นอย่างมาก นิสัยของเขาคนนี้คือ คุณเคารพผมหนึ่งส่วน ผมจะถอยให้คุณสามส่วน คุณหาเรื่องผมครึ่งส่วน ผมจะตอบแทนคุณหนึ่งหมัด คำพูดของโอวหยางเฟยอวิ๋นคนนี้ ฟังดูแล้วไม่เหมือนเป็นการดูถูกอะไร แต่หากเทียบกับเซวียนเยวี๋ยนเถิงแล้วนับว่าโอหังกว่ามาก ความหมายนั้นก็คือ ถ้าหากเย่เทียนเฉิน ไม่ยอมปล่อยเซวียนเยวี๋ยนเถิง เขาโอวหยางเฟยอวิ๋นก็จะไม่เกรงใจ ในน้ำเสียงแสดงให้เห็นว่า ไม่เห็นเย่เทียนเฉินอยู่ในสายตาเลยโดยสิ้นเชิง พูดด้วยอารมณ์ผ่อนคลายเป็นอย่างมาก
“แกจะไม่ทำให้ฉันลำบากใจ แต่ฉันจะทำให้แกลำบากใจ!” เย่เทียนเฉินพูดกับโอวหยางเฟยอวิ๋นด้วยรอยยิ้ม
โอวหยางเฟยอวิ๋นขมวดคิ้ว แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยพบกับคนที่มองข้ามความหวังดีของคนอื่นแบบเย่เทียนเฉินมาก่อน ตลอดมาคำพูดของคุณชายโอวหยางอย่างเขาถือเป็นที่สุด บอกว่าหนึ่งก็คือหนึ่ง บอกว่าสองก็คือสอง ไม่มีใครกล้าไม่เห็นด้วย คำพูดของเขาคือคำสั่ง คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะไม่ไหวหน้าตนเองเช่นนี้
เรื่องเกี่ยวกับเย่เทียนเฉินนั้น โอวหยางเฟยอวิ๋นก็เคยได้ยินมาก่อน และยังให้ความสนใจเป็นพิเศษในช่วงหนึ่ง ถึงกับเกือบจะฆ่าล้างตระกูลฉินและตระกูลลั่วภายในคืนเดียว ความบ้าระห่ำเช่นนี้ทำให้ผู้คนต้องสั่นสะท้าน ที่สำคัญก็คือเย่เทียนเฉินในสมัยก่อนและเย่เทียนเฉินในตอนนี้ต่างกันราวกับเป็นคนละคน แข็งแกร่งรุ่งโรจน์ขึ้นมาจนดึงดูดความสนใจของกลุ่มอำนาจใหญ่หลายกลุ่ม กระทั่งพรรควรยุทธโบราณบางสำนักก็ยังให้ความสนใจกับเย่เทียนเฉิน เพียงแต่ไม่ได้มีการเคลื่อนไหวก็เท่านั้น
“เรื่องของแกฉันก็เคยได้ยินมาบ้าง ยังนับว่ามีความกล้าความเด็ดเดี่ยว แต่ฉันหวังว่าแกจะเข้าใจให้ชัดเจนว่า ฉันไม่เหมือนกับเซวียนเยวี๋ยนเถิง ล่วงเกินฉันก็ไม่มีใครที่ปกป้องจะได้ รวมถึงเบื้องบนด้วย…” ท่าทางของโอวหยางเฟยอวิ๋นเสแสร้งมาก ทำเหมือนว่าตนอยู่ในระดับสูง ส่วนเย่เทียนเฉินก็เป็นแค่คนธรรมดาทั่วไปที่อยู่ใต้เขา เขาพูดพลางชี้ไปยังท้องฟ้า
ในตอนนี้เอง หลิงอวี่สวิ๋นที่อยู่ด้านข้างคิดจะเข้ามาเตือนเย่เทียนเฉิน เขาล่วงเกินเซวียนเยวี๋ยนเถิงไปแล้ว เดิมทีก็เป็นการสร้างปัญหาใหญ่หลวงมากพอแล้ว โอวหยางเฟยอวิ๋นนั้นยังเป็นคนที่ร้ายกาจยิ่งกว่าเซวียนเยวี๋ยนเถิงมาก มิฉะนั้นเขาคงไม่สามารถเป็นคุณชายสองแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงได้ ในความคิดของหลิงอวี่สวิ๋น หากก่อเรื่องใหญ่กับเซวียนเยวี๋ยนเถิงจริงๆ ถึงตอนนั้นก็ยังสามารถอาศัยอำนาจของตระกูลหลิงของตนเจรจากดดันได้ แต่หากไปล่วงเกินโอวหยางเฟยอวิ๋น ตระกูลหลิงก็อับจนหนทาง เย่เทียนเฉินก็จะมีอันตรายร้ายแรง
เย่เทียนเฉินย่อมรู้ถึงความกังวลใจของเสี้ยวหยาและหลิงอวี่สวิ๋น จึงได้หันไปส่ายหน้าให้กับพวกเธอ เป็นสัญญาณว่าไม่ให้พวกเธอเข้ามา จากนั้นจึงได้พูดกับโอวหยางเฟยอวิ๋นด้วยรอยยิ้ม “เรื่องของโอวหยางเฟยอวิ๋นอย่างแก ฉันก็เคยได้ยินมาบ้าง แต่ฉันหวังว่าแกจะเข้าใจให้ชัดเจน ฉันเย่เทียนเฉินไม่เหมือนกับคนอื่น หาเรื่องฉัน ก็ไม่มีใครคุ้มครองก็ได้ รวมถึงบรรพบุรุษตระกูลโอวหยางของแกด้วย…”
“แก…” พริบตานั้นโอวหยางเฟยอวิ๋นโกรธจนหน้าเขียว ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ใช้มือขวาชี้ไปยังเย่เทียนเฉินอย่างดุดันแล้วกล่าวอะไรไม่ออกไปครึ่งวัน
โอวหยางเฟยอวิ๋นโอหัง บิดาจะโอหังยิ่งกว่า คุณขี้โอ่ ผมก็จะขี้โอ่ยิ่งกว่าคุณ คิดจะมาเสแสร้งเล่นละครต่อหน้าผม มันยังน้อยไปหน่อย
นิสัยของเย่เทียนเฉินก็เป็นเช่นนี้ หากจะรับมือกับคนที่คิดว่าตนเองอยู่สูงกว่าคนอื่น เขาก็จะไม่ไว้หน้าเลยแม้แต่น้อย จะต้องทำลายความกําเริบเสิบสานของพวกเขาให้ดีๆ อย่าให้มีท่าทางบิดาเป็นหนึ่งในใต้หล้าเช่นนี้อีก
“อย่ามาวางท่าต่อหน้าฉัน พี่ชายไม่รับหรอกนะ ไสหัวไปซะ ใบหน้าของคุณชายสองแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงของแกมันยังไม่ใหญ่พอ!” เย่เทียนเฉินมองโอวหยางเฟยอวิ๋นอย่างเหยียดหยาม ทำให้โอวหยางเฟยอวิ๋นถูกสั่งสอนจนพูดอะไรไม่ออก
โอวหยางเฟยอวิ๋นโกรธจนแทบระเบิด เดิมทีเขาผ่อนคลายเป็นอย่างมาก และยังคิดว่าตนเองเหนือกว่า คิดว่าต่อให้เย่เทียนเฉินจะร้ายกาจขนาดไหน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าตนเองก็ต้องโอนอ่อนผ่อนตาม ขอเพียงเขาพูดคำเดียว เย่เทียนเฉินก็จะต้องเชื่อฟัง จะไม่กล้าต่อต้านอย่างเด็ดขาด ไหนเลยจะรู้ว่า เย่เทียนเฉินจะมีนิสัยพิเศษถึงขนาดนี้ คุณจะมีอำนาจอะไร จะเป็นคุณชายอะไร เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาก็ไร้ค่า ยังเทียบไม่ได้กับคนธรรมดาคนหนึ่งด้วยซ้ำ คุณคิดว่าศักดิ์ศรีหน้าตาของคุณยิ่งใหญ่ เย่เทียนเฉินก็จะไม่ไว้หน้าคุณ
คนอื่นๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์ก็คิดไม่ถึงว่า เย่เทียนเฉินจะอัดเซวียนเยวี๋ยนอวี่และเซวียนเยวี๋ยนเถิงอย่างรุนแรง ล่วงเกินตระกูลเซวียนเยวี๋ยนไปแล้ว ล่วงเกินคุณชายสามแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงไปแล้ว ตอนนี้โอวหยางเฟยอวิ๋นที่เป็นคุณชายสองแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงปรากฏตัวขึ้น ถึงแม้จะมีท่าทางวางตนเหนือกว่า และหยิ่งยโสโอหังยิ่งกว่าเซวียนเยวี๋ยนเถิง แต่ในสายตาของทุกคนก็ยังสามารถทนได้ ถือโอกาสนี้ถอยออกไป บางทีเรื่องราวก็จะไม่ใหญ่โตถึงขนาดนั้น ไหนเลยจะรู้ว่า เย่เทียนเฉินจะไม่ไว้หน้าโอวหยางเฟยอวิ๋นเลยแม้แต่น้อย และไม่สนใจว่าจะล่วงเกินสามสุดยอดคุณชายไปแล้วสองคน ทำให้โอวหยางเฟยอวิ๋นที่คิดว่าตนเองสูงส่งบงการใต้หล้าได้ พลันเทียบไม่ได้แม้แต่ตดหมา
“ดีๆๆ แกปล่อยเซวียนเยวี๋ยนเถิงลงเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นผลลัพธ์ไม่ใช่อะไรที่ตระกูลเย่ของแกจะรับผิดชอบไหว แกทำให้ฉันโมโหขึ้นมาบ้างแล้ว!” โอวหยางเฟยอวิ๋นพยายามระงับความโกรธของตนเอาไว้ พูดคำว่าดีออกมาถึงสามครั้ง มองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างโหดเหี้ยม
“ทำให้แกโมโหแล้วยังไง? แกบอกให้ฉันปล่อยฉันก็ต้องปล่อยเหรอ? แกนับเป็นตัวอะไรได้!” เย่เทียนเฉินจงใจกล่าวออกมาด้วยเสียงอันดังอย่างไม่พอใจ ต้องการทำลายความกําเริบเสิบสานของโอวหยางเฟยอวิ๋น ยิ่งไปกว่านั้นตัวเขาเองก็รู้สึกขัดหูขัดตากับคนประเภทโอวหยางเฟยอวิ๋นมาก
“แกรนหาที่ตายซะแล้ว ฆ่ามันซะ ฆ่ามันซะ…”
โอวหยางเฟยอวิ๋นถูกคำพูดไม่กี่ประโยคของเย่เทียนเฉินทำให้โกรธ จึงออกคำสั่งกับชายฉกรรจ์ในเสื้อกล้ามสีดำที่อยู่ด้านหลัง ชั่วขณะนั้นไหนเลยจะยังมีท่าทางเหนือกว่า ไหนเลยจะมีมาดของคุณชายสองแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงอยู่อีก มีก็แต่ท่าทางเหมือนอันธพาลบนถนนคนหนึ่งเท่านั้น ทำให้ทุกคนมองอย่างจนคำพูด ในใจคิดว่า ที่แท้โอวหยางเฟยอวิ๋นที่เบื้องหน้ายโสโอหังและมีท่าทางเคร่งขรึม แต่แท้จริงแล้วเป็นคนใจแคบคนหนึ่ง เป็นแค่คนถ่อยที่ไม่มีความสุขุมเลยแม้แต่ขึ้นส่วน
ฉัวะ!
ชายฉกรรจ์ในชุดเสื้อกล้ามสีดำได้ยินคำสั่งของโอวหยางเฟยอวิ๋น จึงพุ่งเข้าใส่เย่เทียนเฉินในพริบตา ทะยานออกไปด้วยความรวดเร็ว ใช้กระบวนท่ากระชากลำคอ ยื่นกรงเล็บไปยังลำคอของเย่เทียนเฉิน มุมปากของเย่เทียนเฉินปรากฏรอยยิ้มขึ้น โยนเซวียนเยวี๋ยนเถิงที่หิ้วอยู่บนอากาศไปยังชายฉกรรจ์ในเสื้อกล้ามสีดำคนนั้นอย่างแรง ชายฉกรรจ์เสื้อกล้ามดำคิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะเขวี้ยงเซวียนเยวี๋ยนเถิงมา จึงใช้ขาเตะออกไปโดยไม่รู้ตัวจนเซวียนเยวี๋ยนเถิงกระเด็นออกไป
เซวียนเยวี๋ยนเถิงผู้น่าสงสาร ไหนเลยจะเคยถูกเตะอย่างแรงเหมือนที่ชายในชุดเสื้อกล้ามสีดำคนนั้นกระทำ เขาถูกเตะจนปลิวออกไปชนกับต้นไม้ใหญ่ด้านข้างอย่างรุนแรง ในตอนนี้กระทั่งเสียงกรีดร้องก็ไม่มีแล้ว กระอักเลือดออกมาแล้วสลบไป ไม่มีทางช่วยเหลือ
“โอวหยางเฟยอวิ๋น เป็นแกที่ฆ่าเซวียนเยวี๋ยนเถิง ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับฉันเลย มีคนมองเห็นมากมายขนาดนี้ สามารถเป็นพยานให้ฉันได้แน่!” เย่เทียนเฉินหัวเราะฮี่ๆอย่างชั่วร้ายแล้วกล่าวออกมา
“แก…” โอวหยางเฟยอวิ๋นโกรธจนกระอักเลือดออกมา ตนเองเป็นคุณชายสองแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงที่อยู่เหนือผู้อื่น เป็นคุณชายแห่งตระกูลโอวหยาง แต่ไหนแต่ไรคำพูดของเขาก็ไม่เคยมีใครกล้าไม่ฟัง และไม่เคยมีใครกล้าทำให้เขาได้รับความอัปยศเช่นนี้ เย่เทียนเฉินไม่เพียงแต่ไม่ไว้หน้าเขา แต่ยังเหยียบย่ำใบหน้าของเขายังโหดเหี้ยมอีกด้วย ทำให้คุณชายโอวหยางที่อยู่เหนือผู้อื่นต้องร่วงลงมาในพริบตา กลายเป็นแค่อันธพาลคนหนึ่ง ความกล้ำกลืนนี้โอวหยางเฟยอวิ๋นจะรับได้อย่างไร
เย่เทียนเฉินไม่สนใจโอวหยางเฟยอวิ๋น มองไปยังมือที่โจมตีมาในท่ากรงเล็บมายังลำคอของตน เพียงมองก็รู้ว่าชายฉกรรจ์ในชุดเสื้อกล้ามดำคนนี้เป็นผู้ฝึกวรยุทธคนหนึ่ง มีฝีมือแข็งแกร่ง ไม่อาจเปรียบเทียบได้กับบอดี้การ์ดชั้นยอดเหล่านั้น
ผลั่ก!
ในตอนที่เย่เทียนเฉินเตรียมจะลงมือสู้กับชายฉกรรจ์ชุดเสื้อกล้ามดำนั้น ก็มีเงาคนอีกเงาหนึ่งพุ่งออกมา ประเคนหมัดเข้าปะทะกับกระบวนท่าของชายฉกรรจ์เสื้อกล้ามดำ ทั้งสองต่างถอยกันไปคนละก้าว มองหน้ากันอย่างโหดเหี้ยม
“นายกลับมาได้ยังไง?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“พี่ใหญ่ ผมบอกแล้วว่าจะติดตามคุณ ชีวิตของผมหูหลงเป็นของคุณ”
ผู้มาเยือนก็คือหูหลง วันนั้นหลังจากที่เย่เทียนเฉินช่วยชีวิตพวกเขาสองพี่น้อง หูหลงก็ตัดสินใจว่าจะให้เย่เทียนเฉินเป็นพี่ใหญ่ ต้องการติดตามข้างกายเย่เทียนเฉินมาโดยตลอด ตอนนั้นเย่เทียนเฉินไม่ได้มีความคิดที่จะสร้างอำนาจของตน ถึงแม้ฝีมือของหูหลงจะแข็งแกร่งมาก เป็นผู้ได้รับสืบทอดวิชาจากพรรควรยุทธโบราณ และมีความลึกซึ้งในฝ่ามือมังกรท่องแปดทิศแล้ว แต่กลับยังไม่เพียงพอที่จะต่อต้านศัตรูที่แข็งแกร่ง เย่เทียนเฉินไม่อยากให้หูหลงต้องมาเสี่ยงอันตราย จึงสั่งให้เขากลับไปที่บ้านเกิด หากไม่มีคำสั่งของเขาก็ไม่อนุญาตให้กลับมา
“ไปเถอะ นี่เป็นเรื่องของฉัน!” เย่เทียนเฉินมองหูหลงแล้วพูดขึ้น
“พี่ใหญ่ ผมจัดการเรื่องน้องสาวเรียบร้อยแล้วครับ ไม่มีปัญหาแน่นอน ขอให้ผมท่องยุทธภพไปด้วยกันกับคุณเถอะ ต่อให้ผมต้องตายผมหูหลงก็จะไม่บ่นแม้แต่ครึ่งคำ!” หูหลงมองไปยังเย่เทียนเฉินด้วยสายตาแน่วแน่แล้วพูดขึ้น
เย่เทียนเฉินมองหูหลง รู้สึกว่าคนๆ นี้มีอนาคต อีกฝ่ายมีความสามารถไม่เลว หากได้รับการฝึกฝนเพิ่มขึ้น จะต้องกลายเป็นยอดฝีมือชั้นหนึ่งได้อย่างแน่นอน ในเมื่อตนเองตัดสินใจที่จะสร้างฐานอำนาจ หูหลงยอมเป็นตัวเลือกที่ไม่เลว
“ได้ ระวังตัวด้วย คู่ต่อสู้แข็งแกร่งมาก!” ในที่สุดเย่เทียนเฉินก็พยักหน้าพูดด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณพี่ใหญ่!” หูหลงประสานหมัดคารวะตอบอย่างยินดี
…………………………….
“เซี่ยอวี่เหอเป็นผู้มีพลังพิเศษและเป็นยอดฝีมือพรรควรยุทธโบราณ กระบวนท่าของเธอมีพลังในการฆ่าฟันสูงมาก ส่วนเทียนซวงเอ๋อร์มีกระบวนท่าสะกดใจที่ร้ายกาจ สามารถทำให้คนตกอยู่ในห้วงแห่งความคิดได้ในชั่วพริบตา นอกจากนี้เธอยังมีกระบวนท่าสังหารระดับใดก็ยังไม่รู้ ส่วนชิงเฉิงเยว่ก็แข็งแกร่งมากจริงๆ ส่วนจะแข็งแกร่งถึงขนาดไหนก็มีน้อยคนมากที่รู้!” หญิงร่างสูงที่สวมผ้าปิดปากและแว่นกันแดดสีดำพยักหน้าแล้วพูดขึ้น
“หากเธอต้องการชนะชิงเฉิงเยว่ก็ต้องฝึกวิชาคัมภีร์ดรุณีหยกให้สมบูรณ์!” ชายชรามองหญิงร่างสูงแล้วพูดขึ้น
หญิงร่างสูงเงียบไป ไม่ใช่ว่าเธอไม่รู้ถึงความเกี่ยวโยงอันร้ายกาจนั้น การแข่งขันสี่สุดยอดสาวงามแห่งพรรควรยุทธโบราณในครั้งนี้ก็เหมือนกับการประลองยุทธของพรรควรยุทธโบราณในสมัยก่อน เบื้องหน้าเป็นการเรียนรู้แลกเปลี่ยนศิลปะการต่อสู้ แต่ความจริงแล้วเป็นตายล้วนอยู่ที่ฟ้าลิขิต การประลองทุกครั้งต่างก็มีคนตาย นี่เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ คนแพ้ไม่เพียงแต่ต้องเสียชีวิต แต่ยังนำความอัปยศมาสู่สำนักตนเองอีกด้วย
การประลองสี่สุดยอดสาวงามแห่งพรรควรยุทธโบราณในครั้งนี้ได้รับความสนใจจากกลุ่มอำนาจอิทธิพลจำนวนมาก กล่าวได้ว่าสำนักในพรรควรยุทธโบราณทุกสำนักต่างก็กำลังจับตามอง บางคนก็คิดจะดูว่าใครแพ้ใครชนะ บางคนก็คิดจะดูความสง่างามของสี่สุดยอดสาวงามแห่งพรรควรยุทธโบราณ และมีบางคนที่อยากจะรู้ว่าพวกเธอแข็งแกร่งมากขนาดไหน โดยเฉพาะชิงเฉิงเยว่ ผู้หญิงที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น สาวงามยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งพรรควรยุทธโบราณ จะมีหน้าตาอย่างไร? จะร้ายกาจขนาดไหน?
เมื่อก่อนเคยมีข่าวลือว่า เจ้าสำนักของพระวรยุทธโบราณสำนักหนึ่งซึ่งเป็นสำนักที่ชิงเฉิงเยว่เป็นสมาชิกอยู่ ภายใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่สูงเสียดฟ้าของสำนัก มีผู้หญิงงดงามเหมือนสตรีในยุคโบราณนั่งอยู่ สวมชุดสีขาว งดงามเหมือนกับนางเซียน งดงามจนมัจฉาจมวารี ทันใดนั้น สตรีในชุดขาวก็ลืมตาทั้งสองขึ้น ในตอนที่เจ้าสำนักคนนั้นสบตากับเธอ ผู้หญิงในชุดขาวก็เลือนหายไป ความสามารถลึกล้ำถึงขั้นที่ไม่อาจจินตนาการได้ ไปมาไร้ร่องลอย
พรรควรยุทธโบราณสืบทอดกันมานับพันปี มีความแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก พลังลมปราณและพลังภายในที่เรียกขานต่อๆ กันมาในหมู่ผู้คนเป็นสิ่งที่รู้กันอย่างผิวเผินเท่านั้น เมื่อพูดถึงการเหาะเหินเดินกำแพงได้อยู่นอกเหนือจินตนาการของคนธรรมดาไปไกลแล้ว หากไม่ใช่คนระดับเดียวกันย่อมไม่รู้
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ชื่อเสียงของชิงเฉิงเยว่ก็ร่ำลือกันไปทั่วทั้งพรรควรยุทธโบราณ หลายคนไปเยี่ยมเยือนถึงสำนักเพียงเพื่อจะได้เห็นชิงเฉิงเยว่กับตา เพียงแต่น่าเสียดายที่ผู้หญิงที่งดงามราวกับนางฟ้าคนนี้ ดูเหมือนว่าจะมีเพียงไม่กี่คนที่เคยเห็นใบหน้าของเธอ กระทั่งเจ้าสำนักคนนั้นที่เคยเห็นใบหน้าของชิงเฉิงเยว่ก็ไม่สามารถบรรยายใบหน้าของเธอออกมาได้ นี่เป็นเรื่องที่ทำให้ผู้คนต้องสั่นสะท้านมากที่สุด
พรรควรยุทธโบราณที่รับการสืบทอดมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีสำนักใดบ้างที่ไม่แข็งแกร่ง เจ้าสำนักของพวกเขาย่อมต้องคัดเลือกออกมาจากเหล่ายอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุด ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ธรรมดาสามัญ แม้แต่เจ้าสำนักแห่งพรรควรยุทธโบราณก็ยังทำได้เพียงปรายตามองชิงเฉิงเยว่แวบเดียวก็เลือนหายไปแล้ว ไม่อาจไม่กล่าวว่าชิงเฉิงเยว่แข็งแกร่งถึงขั้นที่ไม่อาจจินตนาการได้ ไม่แปลกที่อาจารย์และศิษย์พี่ของเซี่ยอวี่เหอจะกังวลใจมากขนาดนั้น และไม่อยากให้เซี่ยอวี่เหอเข้าร่วมการประลองในครั้งนี้
“หลายปีมานี้ ไม่เคยมีผู้ชายคนไหนที่สามารถทำให้หนูหวั่นไหวได้ หากไม่สามารถหาผู้ชายที่หนูรักเจอ ส่วนสุดท้ายของคัมภีร์ดรุณีหยก ไม่ฝึกก็ช่างมันเถอะ!” สาวร่างสูงพูดแล้วถอนหายใจ
“บางทีเย่เทียนเฉินคนนั้นอาจจะเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลย ความสามารถของเขาลึกล้ำไม่อาจคาดเดา บางทีคงจะสามารถช่วยเธอฝึกคําภีร์ดรุณีหยกจนสำเร็จก็ได้…” ชายชราพูดขึ้นพลางมองไปยังเย่เทียนเฉินที่อยู่ไม่ไกล
“เขาแข็งแกร่งมากจริงๆ แต่หนูไม่ชอบ หลายปีมานี้ยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณและผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งจำนวนมากไปเข้ารวมกับกลุ่มอำนาจและตระกูลใหญ่ บางคนทำเพื่อความดีงาม บางคนทำเรื่องชั่วร้าย ความหวังสุดท้ายในชีวิตของท่านอาจารย์ คือหวังว่าจะมีบุคคลผู้มีเมตตาที่สามารถรวมพรรควรยุทธโบราณให้เป็นหนึ่งได้ เพื่อลดทอนการฆ่าฟันที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด หนูจะต้องเอาชนะการประลองในครั้งนี้ให้ได้ เพื่อช่วยทำความหวังของท่านให้สำเร็จ ต่อให้ไม่สามารถฝึกฝนวิชาคัมภีร์ดรุณีหยกจนสมบูรณ์ได้ หนูก็มีวิธี!” ทันใดนั้นสาวร่างสูงก็พูดออกมาด้วยความจริงจังเป็นอย่างมาก กำหมัดอันขาวนวลของตนเองแน่น
คัมภีร์ดรุณีหยก เป็นพลังภายในประเภทหนึ่งที่ลึกล้ำสูงส่งเป็นอย่างมากในพรรควรยุทธโบราณ และถูกขนานนามว่าเป็นวิธีฝึกฝนพลังภายในที่เมื่อฝึกฝนจนสำเร็จ ผู้ฝึกฝนก็จะประหนึ่งได้ถอดเนื้อเปลี่ยนกระดูก ในทุกการเคลื่อนไหวจะมีพลังอันแข็งแกร่ง เพียงนิ้วเดียวก็สามารถแทงทะลุภูผาป่นหินได้ เพียงแต่ในหน้าสุดท้ายของคัมภีร์ดรุณีหยกบันทึกไว้ว่า หากต้องการฝึกฝนจนสำเร็จ ต้องร่วมฝึกฝนกับเพศตรงข้าม ร่วมฝึกฝนที่ว่านั้นหมายถึงการฝึกฝนพลังภายในของคัมภีร์ดรุณีหยกในขณะที่หญิงชายร่วมอภิรมย์กัน ถึงจะมีโอกาสสำเร็จได้ ในส่วนนี้เป็นส่วนที่ยากที่สุดของผู้หญิงที่ฝึกฝนคัมภีร์ดรุณีหยกจำนวนมาก
ในใจของผู้หญิงทุกคนต่างก็มีเรื่องราวความรักที่เป็นดั่งเทพนิยายอยู่ ไม่ว่าผู้หญิงคนนี้จะแข็งแกร่งขนาดไหน จะสวยแค่ไหน พวกเธอก็มีจินตนาการในด้านความรักที่สมบูรณ์แบบ นี่เป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ และเป็นวิสัยปกติของมนุษย์ หากต้องปล่อยตัวร่วมอภิรมย์ไปกับผู้ชายที่ไม่ชอบคนหนึ่งเพียงเพื่อที่จะฝึกฝนวรยุทธให้สูงส่ง เกรงว่าต่อให้วรยุทธจะสูงส่งมากเพียงใดก็จะกลายเป็นความเสียใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดไปชั่วชีวิต เพียงแค่คิดก็ทำให้ผู้คนรับไม่ไหวแล้ว
จินตนาการได้เลยว่า หากให้คุณอยู่กับผู้ชายที่ไม่รักคนหนึ่งด้วยร่างกายที่เปลือยเปล่า ดวงตาทั้งสี่สบกันโดยไม่มีรู้สึกส่วนตัวเลยแม้แต่น้อย จะมีผู้หญิงสักกี่คนที่รับได้กัน?
“ไปเถอะ เซวียนเยวี๋ยนเถิงช่วยอะไรไม่ได้แล้ว ฉันว่าเย่เทียนเฉินคนนี้ก็ไม่ใช่คนที่จะหาเรื่องได้ง่ายๆ ถึงแม้จะมีท่าทางไม่เอาไหน แต่พอเอาจริงขึ้นมากลับทำให้คนต้องรู้สึกขนลุก!” ชายชรากล่าวด้วยรอยยิ้ม ดูเหมือนจะชื่นชมเย่เทียนเฉินมาก
“การประลองใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว ระยะนี้หนูจะไม่มามหาวิทยาลัย ทางตระกูลคุณลุงก็ช่วยหนูบอกกับพ่อหน่อยนะคะ บอกให้เขาไม่ต้องเป็นห่วง และไม่ต้องขัดขวางหนู หนูมีฐานะเป็นศิษย์ในสำนัก นี่เป็นความรับผิดชอบและหน้าที่ของหนู ต่อให้สู้จนตายก็ตาม!” สาวร่างสูงให้ความรู้สึกเก่งกาจไม่แพ้ผู้ชาย
สาวร่างสูงที่สวมผ้าปิดปากและแว่นตาสีดำและชายชราที่เธอเรียกว่าคุณลุงมองเย่เทียนเฉินครั้งหนึ่ง จากนั้นจึงหันกายเดินจากไป บทสนทนาระหว่างพวกเขาหากคนอื่นได้ยินเข้าคงจะต้องตกใจจนคางแทบร่วง
ในตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินอัดชายปากเสียสามคนจนปลิวออกไป จากนั้นจึงเดินไปเบื้องหน้าเซวียนเยวี๋ยนเถิงโดยไม่สนใจท่าทางตกตะลึงจนตาค้างของคนอื่น เซวียนเยวี๋ยนเถิงในตอนนี้ ใบหน้าทั้งสองฝั่งบวมเป่งเป็นซาลาเปา มองดูแล้วไม่เหลือมาดของคุณชายใหญ่เลยแม้แต่น้อย เหมือนกับหมูตัวหนึ่งมากกว่า
“เย่เทียนเฉิน ฉันไม่สนใจว่าแกจะมีเบื้องหลังอะไร กล้ามาเป็นศัตรูกับชั้นเซวียนเยวี๋ยนเถิง แกจะต้องตายแน่นอน!” เซวียนเยวี๋ยนเถิงขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน มองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วตะโกนขึ้น
“ฉันคิดว่าฉันพูดไปแล้วนะ ฉันไม่อยากจะเป็นศัตรูกับแก เซวียนเยวี๋ยนเถิง…” เย่เทียนเฉินยังคงพูดด้วยรอยยิ้ม
“งั้นแก…”
พริบตานั้นเซวียนเยวี๋ยนเถิงรู้สึกว่าเย่เทียนเฉินกำลังหยอกล้อตนอยู่ ปากบอกว่าไม่อยากเป็นศัตรูกับเขาเซวียนเยวี๋ยนเถิง แต่กลับอัดเขาจนหน้าบวมเป็นหมู น้องชายของเขาเซวียนเยวี๋ยนอวี่ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย ตกลงหมายความว่าอะไรกันแน่?
“เพราะว่าแกมันไม่คู่ควร ฉันคิดจะเป็นศัตรูกับตระกูลเซวียนเยวี๋ยนทั้งตระกูลของแก บางทีทำแบบนี้คงจะสนุกขึ้นสักหน่อย!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้มเรียบเฉย
“แก…”
เมื่อเย่เทียนเฉินกล่าวจบ นักศึกษาชายหญิงที่ล้อมดูจำนวนหลายร้อยคนต่างพากันสูดหายใจเย็นยะเยือก นักศึกษาชายหลายคนต่างเลือดลมพลุ่งพล่านขึ้นมา นักศึกษาหญิงหลายคนพากันมองด้วยอาการใจเต้น เย่เทียนเฉินเท่มากจริงๆ หล่อมาก ถึงกับพูดว่าจะเป็นศัตรูกับตระกูลเซวียนเยวี๋ยนทั้งตระกูลต่อหน้าทุกคน ทำให้ยากที่จะเชื่อจริงๆ
“นี่…ไอ้หมอนี่ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วเหรอ?”
“เป็นศัตรูกับตระกูลเซวียนเยวี๋ยนทั้งตระกูล?”
“กล้าพูดแบบนี้ออกมาถือเป็นการประกาศสงครามกับตระกูลเซวียนเยวี๋ยนแล้ว เกรงว่าจะต้องดึงดูดอันตรายครั้งใหญ่อย่างแน่นอน!”
ยังมีคนอีกจำนวนหนึ่งที่อดไม่ได้ที่จะวิพากษ์วิจารณ์กันขึ้นมาเสียงเบา พวกเขาไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะระหํ่าถึงขนาดนี้ ประกาศสงครามกับตระกูลเซวียนเยวี๋ยนต่อหน้าทุกคน ไม่เห็นตระกูลแห่งโลกเบื้องหลังอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย กระทำในสิ่งที่คนอื่นไม่กล้าทำ แค่ความกล้าที่ไม่สนใจต่อกลุ่มอำนาจก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนต้องนับถือแล้ว
“ยืดเยื้อมานานมากแล้ว ฉันยังต้องไปเรียนที่มหาวิทยาลัยอีก การเรียนวันแรกไม่ควรจะไปสาย แกเองก็ไปพบท่านยมฯให้เร็วๆหน่อยเถอะ ทุกคนจะได้คลายกังวล!” เย่เทียนเฉินพูดกับเซวียนเยวี๋ยนเถิงด้วยรอยยิ้มน้อยๆ
“แก…อั่ก!”
เซวียนเยวี๋ยนเถิงยังไม่ทันได้พูดออกมาก็ถูกเย่เทียนเฉินบีบลำคอ เขารู้สึกหายใจไม่ออกในพริบตา น่าเสียดายที่เขายังไม่ทันได้ร้อง เย่เทียนเฉินก็หิ้วเขาขึ้นมาด้วยมือข้างเดียวจนขาไม่ติดพื้น ลอยอยู่กลางอากาศ ใกล้จะถูกบีบคอจนขาดอากาศหายใจตายทั้งเป็น
“อย่า…อย่าฆ่า อย่าฆ่าฉัน…” เซวียนเยวี๋ยนเถิงใช้แรงกายทั้งหมดมองไปยังเย่เทียนเฉิน ร้องขอชีวิตออกมาด้วยความหวาดกลัว
“สายไปแล้ว ตอนที่แกฆ่าคนอื่น เคยสนใจคำร้องขอชีวิตของพวกเขาไหม เคยเห็นอกเห็นใจพวกเขาไหม ถึงเวลาที่แกจะได้ลิ้มรสบ้างแล้ว!” เย่เทียนเฉินยังคงพูดด้วยรอยยิ้มที่ไร้พิษภัย
ฉัวะ!
ในตอนที่เย่เทียนเฉินกำลังจะหักคอเซวียนเยวี๋ยนเถิงเพื่อฆ่าเศษสวะคนนี้ ทันใดนั้นก็มีคนลงมือลอบโจมตีเย่เทียนเฉิน การเคลื่อนไหวรวดเร็วเป็นอย่างมาก แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ซัดหมัดไปยังลำคอของเย่เทียนเฉินโดยตรง
เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว สัมผัสได้ถึงพลังอันแข็งแกร่งของหมัดนี้ มือขวายังคงบีบคอของเซวียนเยวี๋ยนเถิง ถอยหลังไปสองก้าวแล้วใช้มือซ้ายซัดปะทะเข้าไป
ผัวะ!
หมัดของเขาปะทะเข้ากับหมัดของคนที่ลอบโจมตีอย่างรุนแรง เย่เทียนเฉินยืนอยู่กับที่โดยไม่ขยับ เบื้องหน้าของเขาปรากฏชายฉกรรจ์รูปร่างกำยำล่ำสันคนหนึ่ง เขาคิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะรอดพ้นจากหมัดอันรุนแรงของตนไปได้
“คุณชายของพวกเราต้องการให้แกปล่อยเซวียนเยวี๋ยนเถิงไป!” ชายฉกรรจ์คนนั้นมองเย่เทียนเฉินอย่างเย็นชาแล้วเอ่ยปาก
“คุณชายของพวกแกคือใคร? เขาจะสั่งฉันเหรอ?” เย่เทียนเฉินเอ่ยถามด้วยความไม่พอใจ
“ถูกต้อง ฉันกำลังสั่งแก ถ้าเซวียนเยวี๋ยนเถิงตาย ตระกูลเย่ของแกก็ต้องตาย ฉันจะต้องฆ่าแก!” ในตอนนี้เองด้านหลังของชายฉกรรจ์มีชายร่างผอมคนหนึ่งเดินออกมา มุมปากประดับไปด้วยรอยยิ้มสนุกสนาน แต่น้ำเสียงกลับบ้าอำนาจเป็นอย่างมาก เขามองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น
เย่เทียนเฉินไม่รู้จักชายที่โผล่มาอย่างกระทันหันคนนี้ ในตอนที่เขายังไม่ได้พูดอะไร เซวียนเยวี๋ยนเถิงที่ใกล้จะขาดอากาศหายใจก็ทำราวกับว่าพบผู้ช่วยชีวิต เขาพยายามดิ้นอย่างสุดชีวิตแล้วมองไปยังชายที่ปรากฏตัวออกมาอย่างกะทันหันคนนั้น ใช้น้ำเสียงอ้อนวอนกล่าวออกมาว่า “พี่โอวหยาง ช่วยผม ช่วยผมด้วย…”
………………………….
ใช้เท้าถีบเซวียนเยวี๋ยนอวี่ครั้งหนึ่ง ตบเซวียนเยวี๋ยนเถิงไปสามครั้งจนโง่งม น่าสงสารสองพี่น้องบ้าอำนาจ ความยโสโอหังและความโหดเหี้ยมที่พวกเขามีต่อหน้าคนอื่น เมื่อมาอยู่ต่อหน้าเย่เทียนเฉินก็ทำได้เพียงถูกอัดเท่านั้น
ก่อนหน้านี้คนที่กล้าต่อต้านเซวียนเยวี๋ยนเถิง ส่วนใหญ่ล้วนถูกเซวียนเยวี๋ยนเถิงกำจัดไปหมดแล้ว หลายคนเกรงกลัวอำนาจของตระกูลเซวียนเยวี๋ยน กลัวว่าจะเกี่ยวพันไปถึงครอบครัวและคนในครอบครัวของตนเอง ดังนั้นจึงเลือกที่จะหลีกเลี่ยง ไม่กล้าไปกระตุ้นความโกรธของเซวียนเยวี๋ยนเถิงจริงๆ คนคนนี้ไม่มีอะไรต่างกับหมาบ้าเลย เบื้องหลังของเซวียนเยวี๋ยนเถิงยังมีตระกูลอยู่ตระกูลหนึ่ง เป็นตระกูลหมาบ้าเช่นกัน เพียงแค่คิดก็ทำให้ผู้คนต้องหวาดกลัว ด้วยเหตุนี้จึงทำให้คนส่วนใหญ่หลีกทางให้เซวียนเยวี๋ยนเถิง ทำให้เซวียนเยวี๋ยนเถิงยิ่งโอหังมากขึ้น จนถึงขั้นโอ้อวดตัวเองถึงขีดสุด
เพียงแต่น่าเสียดายที่ครั้งนี้คนที่เซวียนเยวี๋ยนเถิงหาเรื่องก็คือเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินไม่หาเรื่องคนอื่นแต่ก็ไม่กลัวมีเรื่อง ดูเหมือนว่าตั้งแต่ที่เขากลับมาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ เดิมทีคิดเพียงต้องการใช้ชีวิตอยู่กับพ่อแม่และน้องสาวอย่างสงบสุขและมีความสุขไปชั่วชีวิต และกลายเป็นนักกินอย่างจริงจัง ไหนเลยจะรู้ว่า หลังจากที่กลับถึงเมืองหลวงแล้วจะต้องมาพบว่ามีใครหลายคนที่ต้องการจะกำจัดเขา กำจัดอำนาจของตระกูลเย่ บางทีคงไม่ใช่ความแค้นความเกลียดชังที่ยิ่งใหญ่อะไรนัก เพียงแต่อำนาจเหล่านี้ยโสโอหังจนเคยตัว ทนไม่ได้ที่จะให้คนอื่นมาท้าทายพวกเขาหรือหาเรื่องพวกเขาแม้แต่นิดเดียว ทัศนคตินี้ทำให้ต้องการที่จะกดตระกูลเย่ให้ตกต่ำ
ดังนั้นเย่เทียนเฉินจึงลงมืออย่างรุนแรง เขาสาบานอยู่ในใจไว้นานแล้วว่า จะไม่อนุญาตให้ใครก็ตามมารังแกญาติมิตรของเขา ไม่ว่าจะเป็นใคร หากกล้ามาลงมือกับญาติมิตรของเขา ก็จะทำได้เพียงใช้หมัดและเลือดตอบแทน ใครกล้ามาวุ่นวายต้องชดใช้ด้วยชีวิต!
จนถึงตอนนี้ เย่เทียนเฉินเข้าใจกระจ่างแล้วว่า เขาต้องการจะอยู่อย่างสงบก็ไม่สามารถทำได้ ไม่สู้เล่นเป็นเพื่อนกับกลุ่มอำนาจเหล่านี้เสียหน่อย ดูซิว่าใครจะร้ายกาจมากกว่ากัน เมื่อดูจากนิสัยแล้ว เดิมทีเย่เทียนเฉินก็เป็นคนที่ “สามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ได้ดี” หากจะกล่าวให้ชัดเจนก็คือ หากได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ต่อให้เป็นอุปสรรคใดๆ บิดาก็ไม่กลัวเกรง พวกคุณอยากจะเล่น ผมก็จะเล่นเป็นเพื่อนคุณให้สนุกสักหน่อย!
จะอย่างไรเซวียนเยวี๋ยนเถิงก็คิดไม่ถึงว่า ตนเองที่เป็นคุณชายใหญ่แห่งตระกูลเซวียนเยวี๋ยน เป็นหนึ่งในสามสุดยอดคุณชายแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง มีอำนาจระดับใด ยโสโอหังระดับใด วันนี้กลับถูกคนตบหน้าต่อหน้าผู้คนมากมาย แล้วยังตบจนเลือดกลบปาก ฟันร่วงไปหลายซี่ เดิมทีสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเขากระทำต่อผู้อื่น มาวันนี้กลับเป็นเขาที่ได้สัมผัสประสบการณ์ นี่ล้วนเป็นเพราะได้เจอกับเย่เทียนเฉิน ต้องมาพบกับเย่เทียนเฉินที่ทำตามหลักการโดยไม่สนใจตัวคน ไม่สนว่าคุณจะเป็นคุณชายใหญ่อะไร ไม่สนว่าตระกูลของคุณจะยิ่งใหญ่แค่ไหน ขอเพียงกล้ามาหาเรื่อง คุณไม่มีเหตุผล เช่นนั้นคุณก็กินหมัดไปซะ
นักศึกษาชายหญิงที่ล้อมดูหลายร้อยคนต่างมองเย่เทียนเฉินราวกับตัวประหลาด ในใจของใครหลายคนต่างวิตกกังวล แม้ในฝันก็คิดไม่ถึงว่า เซวียนเยวี๋ยนเถิงที่ยโสโอหังมาโดยตลอดจะถึงกับถูกตบจนมีสภาพแบบนี้ได้ เซวียนเยวี๋ยนเถิงที่รู้จักแต่รังแกคนอื่นมาโดยตลอด จะถึงกับถูกคนตบจนเลือดกลบปาก ตกลงแล้วเย่เทียนเฉินร้ายกาจขนาดไหนกันแน่? ตกลงแล้วมีไพ่ตายอะไรกันแน่ ถึงได้กล้าล่วงเกินเซวียนเยวี๋ยนเถิงโดยไม่สนใจอะไรเลยแม้แต่น้อย ล่วงเกินตระกูลในโลกเบื้องหลังที่ไม่รู้ว่ามีอำนาจแข็งแกร่งมากขนาดไหน?
“นี่…เป็นไปไม่ได้น่า ฉันตาฝาดไปหรือเปล่า? คุณชายเซวียนเยวี๋ยนเถิงถูกตบ?”
“พระเจ้า จบแล้ว จบแล้ว จบสิ้นแล้ว…”
“เย่เทียนเฉินจบสิ้นแล้ว ต้องตายแน่นอน!”
“ดูเหมือนว่าเซวียนเยวี๋ยนอวี่จะช่วยอะไรไม่ได้แล้ว ที่ปากกระอักเลือดออกมาไม่หยุด เซวียนเยวี๋ยนเถิงเองก็ถูกเย่เทียนเฉินฆ่าไปแล้วหรือเปล่า?”
“เย่เทียนเฉินคนนี้ต้องการจะทำอะไรกันแน่? เขาไม่กลัวว่าล่วงเกินตระกูลเซวียนเยวี๋ยนแล้วตระกูลเย่จะถูกฆ่าล้างหรือไง?”
คนรอบๆ หลายคนอดไม่ได้ที่จะวิพากษ์วิจารณ์กันเสียงเบา การได้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างนี้ด้วยตาของตน ทำให้รู้สึกสั่นสะท้านยิ่งกว่าได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับการกระทำทุกสิ่งทุกอย่างของเย่เทียนเฉินหลังจากที่กลับมาเมืองหลวงแล้วนับร้อยเท่า ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนเป็นหนึ่งในตระกูลโลกเบื้องหลังไม่กี่ตระกูลของจีน มีอำนาจมากขนาดไหนกันแน่ก็เป็นสิ่งที่ไม่มีใครทราบ แต่ว่าทุกตระกูลที่สามารถเป็นตระกูลแห่งโลกเบื้องหลังได้ย่อมไม่ใช่ตระกูลเล็กๆ ที่ไหน เดิมทีตระกูลเหล่านี้ก็มีความแข็งแกร่งและมีอำนาจมากในประเทศจีน การถอยออกไปสู่โลกเบื้องหลังก็เป็นความลับที่ไม่มีใครรู้ ตอนนี้ปรากฏสู่โลกภายนอกแล้ว ย่อมต้องมีแผนการร้าย กระทั่งรัฐบาลจีน และยังมีกลุ่มอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่ในโลกเบื้องหน้าจำนวนหนึ่งที่ไม่กล้าไปหาเรื่องง่ายๆ ทำได้เพียงตรวจสอบและลองเชิงอยู่อย่างลับๆ
“เย่เทียนเฉิน แกจะเป็นศัตรูกับฉันเซวียนเยวี๋ยนเถิงจริงๆ ใช่ไหม? แกคิดดีแล้วใช่ไหม!” เซวียนเยวี๋ยนเถิงถูกเย่เทียนเฉินตบจนเลือดกลบปากคลานขึ้นมาจากบนพื้น ยังคงมองเย่เทียนเฉินอย่างยโสโอหังแล้วตะโกนขึ้น
“ผิดแล้ว ฉันไม่อยากเป็นศัตรูกับแกเซวียนเยวี๋ยนเถิง…” เย่เทียนเฉินพูดกับเซวียนเยวี๋ยนเถิงด้วยรอยยิ้ม
“หึ รู้ตัวก็ดีแล้ว แต่แกล่วงเกินฉันแล้ว เรื่องนี้จบไม่สวยแน่ ตระกูลเย่ของแกก็เคยมีอำนาจมาก่อน ขอเพียงแกหักแขนขาของแกด้วยตัวเอง ฉันก็จะไว้ชีวิตสุนัขของแกซะ!” เซวียนเยวี๋ยนเถิงมองเย่เทียนเฉินด้วยความโหดเหี้ยม คิดว่าเย่เทียนเฉินกลัวแล้ว จึงพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มลำพองใจโดยไม่สนใจรอยประทับฝ่ามือบนใบหน้า
“งั้นฉันก็ต้องขอบคุณคุณชายใหญ่เซวียนเยวี๋ยนอย่างแกสินะ?” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้มหยอกล้อ
“ไว้ชีวิตสารเลวของแกคนเดียวก็ไม่สามารถขวาทางคุณชายใหญ่อย่างฉันได้ แกก็เป็นแค่มดตัวหนึ่ง ฉันอยากจะเหยียบให้ตายยังไงก็ได้!” เซวียนเยวี๋ยนเถิงไม่รู้ว่าถูกตบจนบ้าไปแล้ว หรือว่าถูกตบจนโง่ไปแล้ว ตะโกนขึ้นมาด้วยความโอหังที่ทบทวี บางทีความเคารพในตนเองอันบอบบางของคุณชายใหญ่เซวียนเยวี๋ยนอย่างเขา คงไม่อนุญาตให้ใครก็ตามมาแตะต้อง โอหังบ้าอำนาจจนเคยชินไปแล้ว
ในตอนนี้เอง เหล่านักศึกษาชายหญิงจำนวนหนึ่งที่ดูความคึกคักอยู่ด้านข้าง ได้ยินบทสนทนาระหว่างเซวียนเยวี๋ยนเถิงกับเย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะวิพากษ์วิจารณ์กันขึ้นมา โดยเฉพาะคนที่เมื่อก่อนมองเซวียนเยวี๋ยนเถิงในแง่ดี ยิ่งพูดคำถากถางเยาะเย้ยเย่เทียนเฉินออกมา
“ฉันก็บอกแล้วไงว่าเย่เทียนเฉินไม่ใช่คู่มือของคุณชายเซวียนเยวี๋ยน ตอนนี้รู้ตัวว่าผิดก็สายเกินไปแล้ว!”
“ต้องตายแน่นอน จะต้องตายแน่นอน คุณชายใหญ่เซวียนเยวี๋ยนเถิงไม่ได้หาเรื่องกันง่ายๆ”
“อยากจะขอโทษตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว คงต้องชดเชยด้วยชีวิต!”
ไหนเลยจะรู้ว่า นักศึกษาชายปากมากทั้งสามคนนี้เพิ่งจะพูดจบ เย่เทียนเฉินก็ยืนอยู่เบื้องหน้าของพวกเขา เหตุการณ์นี้ไม่เพียงแต่ทำให้นักศึกษาชายปากร้ายทั้งสามคนตกใจจนหน้าเปลี่ยนสี กระทั่งนักศึกษาที่ล้อมอยู่รอบๆ ก็ตกใจจนต้องสูดหายใจเย็นยะเยือก เพียงพริบตาเดียวเย่เทียนเฉินที่อยู่ห่างออกไปสิบเมตรกลับมาถึงด้านหน้า ไม่มีใครมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขาทำได้อย่างไร ช่างทำให้ผู้คนต้องสั่นสะท้านจริงๆ
พลั่ก!
พลั่ก!
พลั่ก!
สามหมัด เย่เทียนเฉินต่อยนักศึกษาชายปากเสียทั้งสามคนไปสามหมัดจนกระเด็นออกไป นักศึกษาชายปากเสียทั้งสามคนล้มลงบนพื้นแล้วร้องออกมาอย่างน่าอนาถ เย่เทียนเฉินไม่ได้ลงมือโหดเหี้ยมจนถึงตาย เขาเองก็รู้จักหนักเบา คนเหล่านี้เป็นแค่คนธรรมดา ถึงแม้ว่าจะมีบางครั้งที่น่ารังเกียจ แต่ก็ยังสามารถให้อภัยได้ ตนเองไม่คิดเล็กคิดน้อยกับสามคนนี้
ในความคิดของคนอื่น เย่เทียนเฉินมาถึงเบื้องหน้าของชายปากร้ายทั้งสามคนอย่างน่าเหลือเชื่อ แต่เย่เทียนเฉินกับไม่ได้มีความรู้สึกอะไรนัก เมื่อครู่นี้ตนเองใช้พลังพิเศษในขอบเขตจอมราชัน เร่งความเร็วจนถึงขีดสุดในชั่วพริบตา และย่นระยะห่างระหว่างเขากับคนทั้งสาม สามารถเรียกได้ว่าเป็นเคล็ดวิชาพลังพิเศษ “ย่นระยะ”ประเภทหนึ่ง ในช่วงยุคสิ้นโลก การระรานจากยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณที่แข็งแกร่งและผู้มีพลังพิเศษในขอบเขตระดับสูงต่างก็ต่อสู้กันอยู่บนอากาศ ไม่นับว่าเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นอะไร นี่ก็คือยุคสิ้นโลก เป็นโลกที่เหนือจินตนาการ มีสีสันเป็นอย่างมาก ทำให้ผู้คนต้องการจะไปสำรวจ
ในตอนนี้ ท่ามกลางผู้คนในมุมหนึ่ง มีผู้หญิงร่างสูงคนหนึ่งสวมผ้าปิดปากและแว่นกันแดดสีดำยืนอยู่ มือทั้งสองล้วงอยู่ในกระเป๋ากางเกง ดวงตาทั้งสองอันมีเสน่ห์มองสำรวจไปยังเย่เทียนเฉินเป็นระยะ หากว่าเย่เทียนเฉินเห็นผู้หญิงร่างสูงคนนี้ จะต้องตกตะลึงเป็นอย่างมาก เนื่องจากนี่ก็คือผู้หญิงที่เขาเดินชนหน้าประตูตึกภาควิชาโบราณคดี และข้างกายของผู้หญิงร่างสูงคนนี้ยังมีชายชราร่างผอมคนหนึ่ง รูปร่างหน้าตาธรรมดาถึงขั้นที่หากโยนลงบนถนนใหญ่ก็จะหาไม่เจอ ถึงแม้ดูแล้วจะแก่ชราเป็นอย่างมาก อย่างน้อยคงจะอายุประมาณเจ็ดสิบปี แต่ดวงตาทั้งสองกลับทอประกายแปลกประหลาด ขมวดคิ้วเป็นบางครั้ง โดยเฉพาะในตอนที่เย่เทียนเฉินลงมาือ
“คุณลุงคะ นั่นก็คือเย่เทียนเฉิน คุณลุงว่าฝีมือของเขาเป็นยังไง?” ผู้หญิงที่สวมผ้าปิดปากและสวมแว่นกันแดดสีดำเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่มีเสน่ห์แต่เย็นชา
“ลึกล้ำไม่อาจคาดเดา!” ชายชราร่างผอมยิ้มไปจนถึงดวงตาแล้วเอ่ยปากขึ้น
หญิงร่างสูงได้ยินชายชราพูดคำนี้ก็อดไม่ได้ที่จะมีสายตาเปลี่ยนไป และมองเย่เทียนเฉินด้วยสายตาที่แปลกประหลาดยิ่งขึ้น เนื่องจากเธอรู้ว่าคุณลุงของตนเองแข็งแกร่งมากขนาดไหน เขาเป็นคนที่เคยใช้ชีวิตอยู่ทั้งในโลกมืดและในโลกเบื้องหน้า คนที่สามารถทำให้เขาพูดประโยคมีไม่มาก โดยเฉพาะเป็นการให้ค่าคนที่เป็นเด็กรุ่นหลังเช่นนี้ ดูเหมือนว่าจะไม่เคยมีมาก่อน
“อย่ามองแบบนั้น เดี๋ยวจะถูกพบเอาได้ ลุงรู้สึกได้ถึงพลังภายในร่างกายของไอ้หนูนี่ เหมือนมีมังกรตัวเขื่องหลับไหลอยู่ หากระเบิดออกมาจะต้องสั่นสะท้านไปทั่วทั้งโลกแน่นอน จะต้องสั่นสะท้านไปทั่วทั้งพรรควรยุทธโบราณและองค์กรของผู้มีพลังพิเศษ!” ชายชรายังคงพูดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
เมื่อได้ยินคนลุงของตนกล่าวเช่นนี้ หญิงร่างสูงก็เก็บสายตากลับมา มองเย่เทียนเฉินที่อยู่ไม่ไกลด้วยสายตาใคร่ครวญ พูดออกมาอยากเรียบเฉยว่า “หนูเคยจงใจไปชนเขามาก่อน ต้องการจะโอกาสนั้นสำรวจดูว่าเขาแข็งแกร่งมากขนาดไหน แต่กลับไม่สามารถสัมผัสได้ถึงการสั่นไหวของพลังพิเศษเลยแม้แต่น้อย แล้วยังเกือบจะถูกเขามองออกด้วย เย่เทียนเฉินคนนี้น่าสนใจจริงๆ!”
“น่าสนุกมากจริงๆ ใครจะคิดว่าคนที่เคยเป็นตัวตลกของทั่วทั้งเมืองหลวง มีชื่อเสียงว่าเป็นลูกหลานไม่เอาไหนของตระกูล พอกลับมาเมืองหลวงอีกครั้งจะมีความพิเศษขนาดนี้ได้ ดึงดูดความสนใจของเหล่าคนที่เก็บซ่อนความสามารถจนอยากที่จะทดสอบความสามารถของไอ้หนูนี่กันทั้งนั้น”
“คุณลุงคะ การทดลองในครั้งนี้ไม่รู้ว่าจะมีผลยังไง หากว่าหนูตาย อย่าให้น้องสาวของหนูได้เดินเส้นทางเดียวกับหนูเลย!” หญิงร่างสูงคิดอะไรบางอย่างแล้วจึงพูดขึ้น
ชายชราถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง การประลองสี่สุดยอดสาวงามแห่งพรรควรยุทธโบราณในครั้งนี้ แม้จะบอกว่าเป็นการประลอง แต่ความจริงแล้วจะเป็นจะตายก็อยู่ที่ฟ้ากำหนด สำนักไหนก็ไม่สามารถขายหน้าได้ แล้วไม่อนุญาตให้แพ้ นี่ไม่ใช่ความเป็นความตายของคนเพียงคนเดียวแล้ว แต่เกี่ยวข้องกับความน่าเคารพที่สืบทอดกันมานับพันปีของสำนัก ต่อให้รู้ว่าจะต่อกรกับคู่ต่อสู้ไม่ได้ ต่อให้รู้ว่าจะต้องตายก็ไม่อาจถอย
“ในหมู่พวกเธอทั้งสี่คน นอกจากเซี่ยอวี่เหอและเทียนซวงเอ๋อร์แล้ว ฝีมือของเธอก็แข็งแกร่งที่สุด แต่ความสามารถของชิงเฉิงเยว่ก็ยอดเยี่ยมเกินไป อายุไม่ถึงยี่สิบปีก็มีฝีมือไล่ตามคนของสำนักใหญ่ใหญ่ได้ เรียกได้ว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ร้อยปีในหมู่ผู้ฝึกวรยุทธ เธอไม่ใช่คู่มือของเขา!” ชายชราถอนหายใจครั้งหนึ่ง หากกล่าวตามจริงแล้ว นี่เป็นความจริงที่หลีกหนีไม่ได้ และไม่อาจหลีกหนี
…………………………
การมาถึงของเซวียนเยวี๋ยนเถิงไม่สามารถหยุดยั้งการลงมือสั่งสอนเซวียนเยวี๋ยนอวี่ของเย่เทียนเฉินได้เลยแม้แต่น้อย เขาตัดสินใจแล้วว่าจะถอนวัชพืชให้ถึงราก ถ้างั้นก็ไม่จำเป็นต้องยั้งมือ เซวียนเยวี๋ยนเถิงและเซวียนเยวี๋ยนอวี่ สองพี่น้องนี้ไม่ฆ่าไม่ได้ หากปล่อยเอาไว้ก็จะกลายเป็นหนามยอกอกชิ้นใหญ่ในภายหลัง
เซวียนเยวี๋ยนอวี่ถูกเย่เทียนเฉินโยนไปบนอากาศ ไชเท้าเตะไปครั้งหนึ่งราวกับลูกฟุตบอลจนปลิวออกไป ปะทะกับนักฆ่าชั้นยอดทั้งสองคน และไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นการชน เพราะนักฆ่าทั้งสองคนนั้นเห็นเซวียนเยวี๋ยนอวี่ที่ถูกเย่เทียนเฉินโยนมาก็ไม่กล้าหลบ ทำได้เพียงรับเอาไว้เท่านั้น แต่ว่าแรงเตะของเย่เทียนเฉินรุนแรงยิ่งนัก รวมกับน้ำหนักร่างกายของเซวียนเยวี๋ยนอวี่ นักฆ่าสองคนจึงถูกชนจนล้มลงกับพื้น
“น้อง น้อง…” เซวียนเยวี๋ยนเถิงก้มตัวลงดูเซวียนเยวี๋ยนอวี่ผู้เป็นน้องชายที่มีเลือดไหลออกจากมุมปาก ตะโกนออกมาเสียงดัง
นักฆ่าชั้นยอดทั้งสองคนลุกขึ้น พวกเขาไม่ได้สนใจเซวียนเยวี๋ยนอวี่ ต่างพากันพุ่งเข้าไปใส่เย่เทียนเฉิน เนื่องจากเซวียนเยวี๋ยนเถิงจะให้พวกเขาฆ่าเย่เทียนเฉินให้ได้ ต่อให้เป็นการฆ่าคนต่อหน้าผู้คนมากมาย เย่เทียนเฉินก็จำเป็นต้องตาย
“เย่เทียนเฉิน แกกล้าลงมือกับน้องชายของฉัน ฉันจะฆ่าทุกคนของตระกูลเย่ของแก!” เซวียนเยวี๋ยนเถิงมองเย่เทียนเฉินอย่างโหดเหี้ยมแล้วตะโกนออกมา
“อย่ามาทำเป็นใหญ่ต่อหน้าบิดา แกคิดว่าแกเป็นใคร? สามารถตัดสินชีวิตของคนอื่นได้ตามใจเหรอ? จะคิดว่าตัวเองใหญ่เกินไปแล้ว!”
ในเมื่อเย่เทียนเฉินลงมือแล้วก็จะไม่เกรงใจอีกต่อไป บิดาขี้เกียจจะไปพูดจาไร้สาระกับเซวียนเยวี๋ยนเถิงอย่างแก ไว้หน้าแล้วไม่ยอมรับ ถ้างั้นบิดาก็จะอัดหน้าแกซะ
“แก…ถ้ามันซะ ฆ่ามันซะ!” เซวียนเยวี๋ยนเถิงตะโกน
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าเซวียนเยวี๋ยนเถิงจะไม่ได้ออกมาเคลื่อนไหวหลายปีเพราะสาเหตุบางอย่างภายในตระกูลเซวียนเยวี๋ยนของโลกเบื้องหลัง ก่อนหน้านี้หลายปี ตั้งแต่มาเรียนที่มหาวิทยาลัยหลงเถิง ชื่อเสียงของคุณชายใหญ่เซวียนเยวี๋ยนของเขาก็โด่งดังขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนที่กล้าต่อต้านเขาต่างก็ถูกกำจัดไปหมดแล้ว ส่วนใหญ่ตายกันไปแล้ว และเรื่องที่ทำให้สั่นสะท้านที่สุดก็คือ เด็กในเมืองหลวงคนหนึ่งถูกเซวียนเยวี๋ยนเถิงทำร้ายจนพิการตลอดชีวิต ส่วนเซวียนเยวี๋ยนเถิงกลับไม่เป็นอะไรเลยแม้แต่น้อย เห็นได้ว่าความตื้นลึกหนาบางของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนมากมายขนาดไหน
ในตอนนี้บุคคลที่ตื่นตะลึงที่สุด กระทั่งกล่าวได้ว่าไม่กล้าที่จะเชื่อสายตาตนเองก็คือเหล่านักศึกษาชายหญิงที่ล้อมดูอยู่รอบๆ เหล่านั้น จะอย่างไรพวกเขาก็คิดไม่ถึงว่า เซวียนเยวี๋ยนเถิงมาถึงแล้วจะโอหังและบ้าอำนาจถึงเพียงนี้ พวกเขาไม่กล้าผายลมต่อหน้าเย่เทียนเฉินเลยแม้แต่คนเดียว เย่เทียนเฉินอยากจะอัดก็อัด อยากจะฆ่าก็ฆ่า คำพูดนั้นกระจ่างชัดแล้ว เซวียนเยวี๋ยนเถิงบ้าอำนาจ? ต่อหน้าเย่เทียนเฉินก็เป็นแค่ไก่เท่านั้น!
เมื่อได้ยินเซวียนเยวี๋ยนเถิงออกคำสั่ง นักศึกษาชายหญิงที่ล้อมดูก็ถอยหลังไปหลายก้าวโดยไม่รู้ตัว ดวงตาเบิกกว้างมองไปยังนักฆ่าชั้นยอดทั้งแปดคนที่พุ่งเข้าใส่เย่เทียนเฉิน เซวียนเยวี๋ยนเถิงโกรธแล้ว และยังจะฆ่าเย่เทียนเฉินต่อหน้าทุกคนด้วย ความโอหังบ้าอำนาจของเขาต่างแสดงออกมาทั้งหมด
หลิงอวี่สวิ๋นและเสี้ยวหยาจับมืออีกฝ่าย ฝ่ามือมีเหงื่อเย็นๆ ไหลซึมออกมา พวกเธอเป็นห่วงเย่เทียนเฉิน เซวียนเยวี๋ยนเถิงบ้าเกินไปแล้วจริงๆ ถึงกับจะฆ่าเย่เทียนเฉินต่อหน้าทุกคน และยังส่งนักฆ่าชั้นยอดทั้งแปดคนที่เป็นลูกน้องไปลงมือ ไม่สนใจกฎหมายบ้านเมืองโดยสิ้นเชิง ดูเหมือนว่าหากเซวียนเยวี๋ยนเถิงต้องการฆ่าคน ไม่ว่าใครก็ขวางไม่ได้
หลังจากที่ เย่เทียนเฉินใช้เท้าถีบเซวียนเยวี๋ยนอวี่จนกระเด็นออกไป เมื่อเห็นว่านักฆ่าชั้นยอดทั้งแปดคนพุ่งเข้าใส่ตน เขาก็ยืนอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อน หมัดทั้งสองกำแน่นจนส่งเสียงดังกรอบแกรบออกมา ต่อหน้าคนมากมายถึงเพียงนี้เขาย่อมไม่อาจใช้พลังพิเศษได้ เนื่องจากในสายตาของคนปกติทั่วไป พลังพิเศษเป็นความลึกลับและเป็นเหลือเชื่อ เกรงว่าจะทำให้คนจํานวนหนึ่งตกใจจนตาค้างหรือกระทั่งตกใจจนสลบไป
ผัวะ!
ผัวะ!
ผัวะ!
นักฆ่าชั้นยอดสามคนพุ่งเข้ามาเบื้องหน้า ปล่อยหมัดออกไปยังจุดตายของเย่เทียนเฉินพร้อมเพียงกัน นักฆ่าชั้นยอดอีกห้าคนที่เหลือด้านหลังก็ล้อมเย่เทียนเฉินเอาไว้ ภาพเหตุการณ์ฆ่าคนหลั่งเลือดย่อมไม่สามารถให้คนอื่นเห็นได้
พลั่ก!
ในตอนที่ทุกคนคิดว่าเย่เทียนเฉินจะต้องตายแน่แล้วนั้น นักฆ่าที่ปล่อยหมัดออกมาใส่เย่เทียนเฉินด้านหน้าสุดกลับปลิวออกไป ไม่มีโอกาสแม้จะส่งเสียงร้อง กระเด็นออกไปไกลห้าเมตรแล้วตกลงมากระแทกพื้นอย่างแรง จากนั้นจึงตกตายไปโดยไม่ส่งเสียงร้องสักแอะ
หมัดนี้ของเย่เทียนเฉินไม่ได้แฝงพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันอะไรไว้เลย มีเพียงพลังของกำปั้นล้วนๆ สามารถซัดจนนักฆ่าคนหนึ่งตายไปได้ ทำให้ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ตกใจจนคางแทบร่วง โดยเฉพาะเซวียนเยวี๋ยนเถิงที่กำลังอุ้มเซวียนเยวี๋ยนอวี่ผู้เป็นน้องชายของตนที่สลบไปแล้ว มองเหตุการณ์นี้ด้วยความตกใจ นักฆ่าชั้นยอดทั้งแปดคนของตน ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่คนที่ร้ายกาจที่สุดในตระกูลเซวียนเยวี๋ยน แต่ก็เป็นบอดี้การ์ดมากฝีมือ ตั้งแต่ที่ตนมาเรียนที่เมืองหลวงพวกเขาก็ติดตามตนเองมาโดยตลอด แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยพ่ายแพ้ยับเยินเหมือนวันนี้มาก่อน ถึงกับถูกเย่เทียนเฉินกำจัดด้วยหมัดเดียว นี่เป็นความอัปยศอย่างหนึ่ง
เย่เทียนเฉินไม่ได้หยุดมือ และไม่ได้เกรงใจเลยแม้แต่น้อย หลังจากที่ต่อยบอดี้การ์ดที่อยู่ตรงกลางสุดกระเด็นออกไปแล้วก็กวาดเท้าแตะออกไปด้านหลังเป็นแนวขวาง เตะบอดี้การ์ดมากฝีมือที่โจมตีด้านหลังของเขาอีกสองคนกระเด็นออกไป
เพียงพริบตาเดียวก็กำจัดบอดี้การ์ดออกไปได้สามคน ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์สั่นสะท้านเพราะฝีมือของเย่เทียนเฉิน การเคลื่อนไหวเด็ดขาดเฉียบคมและยังงดงาม มีสีสันตระการตายิ่งกว่าฉากบู๊ในภาพยนตร์เป็นร้อยเท่า เพียงแค่มองก็สามารถทำให้ผู้ชายเลือดร้อนหลายคนรู้สึกพลุ่งพล่าน
บอดี้การ์ดชั้นยอดอีกห้าคนที่เหลือต่างก็ขมวดคิ้ว จะอย่างไรพวกเขาก็คิดไม่ถึงว่า เย่เทียนเฉินที่เดิมทีพวกเขาคิดจะฆ่า จะถึงกับแข็งแกร่งห้าวหาญขนาดนี้ เผชิญหน้ากับการล้อมโจมตีของบอดี้การ์ดยอดฝีมือทั้งสามคน ก็ยังตอบโต้ไปอย่างง่ายดายโดยไม่หลบไม่ซ่อน พริบตาเดียวก็กำจัดพวกเขาไปได้ นี่เป็นพลังการต่อสู้ระดับไหนกัน เกรงว่าพวกเขาทั้งหมดรุมเข้าไปพร้อมกันก็คงจะไม่รอด
“พวกแก พวกแกยังจะยืนบื้อทำอะไรอยู่อีก เข้าไปพร้อมกัน ฆ่ามันซะ!” เซวียนเยวี๋ยนเถิงได้สติกลับมาก็ตะโกนด่าบอดี้การ์ดยอดฝีมือที่เหลืออีกห้าคน
บอดี้การ์ดยอดฝีมืออีกห้าคนนั้นรู้ตัวแล้วว่า วันนี้เจอตอแข็งเข้าให้แล้ว ต่อให้พวกเขาแปดคนรุมเข้าไปพร้อมกันก็ไม่อาจเป็นคู่มือของเย่เทียนเฉินได้ พุ่งเข้าไปก็เป็นการรนหาที่ตายเท่านั้น แต่ว่าด้วยนิสัยของเซวียนเยวี๋ยนเถิง เขาไม่อนุญาตให้ตนเองล้มเหลว โดยเฉพาะต่อหน้าคนมากมายถึงเพียงนี้ เขาเซวียนเยวี๋ยนเถิงแต่ไหนแต่ไรก็มีแต่ใช้เท้าเหยียบคนอื่น ไหนเลยจะถูกคนอื่นเหยียบย่ำ ดังนั้นหากพวกเขาไม่พุ่งเข้าไป เซวียนเยวี๋ยนเถิงจะต้องฆ่าพวกเขาแน่
ภาพเหตุการณ์อันน่าเหลือเชื่อนี้เกิดขึ้นอีกครั้ง บอดี้การ์ดชั้นยอดที่เหลืออีกห้าคนพุ่งเข้าไปพร้อมกัน เย่เทียนเฉินยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ มือทั้งสองล้วงอยู่ในกระเป๋ากางเกง เพียงแต่ขาทั้งสองข้างแตะออกไปไม่หยุด เหมือนกับเตะลูกบอล เงาร่างทั้งห้ากระเด็นออกไปอย่างต่อเนื่อง หมดสิ้นเรี่ยวแรงที่จะต่อสู้
นักฆ่าชั้นยอดทั้งแปดคน บอดี้การ์ดชั้นยอดทั้งแปดแห่งตระกูลเซวียนเยวี๋ยน ลูกน้องทั้งแปดที่คอยช่วยเซวียนเยวี๋ยนเถิงโอหังระรานไปทั่วมาโดยตลอด ถูกเย่เทียนเฉินจัดการต่อหน้าผู้คน ในตอนนี้กล่าวได้ว่า เซวียนเยวี๋ยนเถิงสูญเสียที่พึ่งพาทุกอย่างไปหมดแล้ว พริบตาเดียวราวกับมีความโกรธเกรี้ยวพุ่งทะยานขึ้นมา เเรกเริ่มยังพุ่งเข้าไปอย่างมาดเท่คิดจะทำให้เย่เทียนเฉินคุกเข่าร้องขอชีวิตภายใต้น้ำมือของเขา ไหนเลยจะรู้ว่า เขาจะดูเบาเย่เทียนเฉินมากเกินไป นี่เป็นคนที่ไม่สามารถใช้ตรรกะปกติมาตัดสินได้ ในตอนที่ขี้เล่นขึ้นมาก็เหมือนอันธพาล ในตอนที่จริงจังก็เหมือนกับมัจจุราช ผู้ชายเช่นนี้จะมีสักกี่คนที่ไปล่วงเกินเขาได้?
หลังจากที่กำจัดบอดี้การ์ดทั้งแปดคนแล้ว สองมือของเย่เทียนเฉินยังคงร่วงอยู่ในกระเป๋ากางเกง มุมปากประดับไปด้วยรอยยิ้มไร้พิษสง เดินไปยังเซวียนเยวี๋ยนเถิงอย่างเรียบเฉย สายตาของทุกคนต่างจ้องมองไปยังเย่เทียนเฉิน ใครก็คิดไม่ถึงว่าเซวียนเยวี๋ยนเถิงที่มีอำนาจมากมายไร้ขีดจํากัด พาบอดี้การ์ดชั้นยอดทั้งแปดคนมาเพื่อจะสั่งสอนเย่เทียนเฉิน ในตอนที่ทุกคนต่างคิดว่าเย่เทียนเฉินจะต้องตายแน่แล้วนั้น เย่เทียนเฉินคนเดียวสามารถต่อต้านและพลิกสถานการณ์ได้ ทั้งยังทำได้อย่างหมดจดอีกด้วย บอดี้การ์ดชั้นยอดทั้งแปดคนของเซวียนเยวี๋ยนเถิงไม่พอให้มองเลยแม้แต่น้อย
เซวียนเยวี๋ยนเถิงเห็นเย่เทียนเฉินเดินมายังตนเองด้วยรอยยิ้มก็ชะงักไป จากนั้นจึงยืดเอวขึ้น เขายังคงมั่นใจมาก ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนของตนเองมีอำนาจในทางลับยิ่งใหญ่ ไม่ใช่อะไรที่ตระกูลใหญ่ธรรมดาๆ จะมาเปรียบเทียบด้วยได้โดยเด็ดขาด ภายในตระกูลมียอดฝีมือมากมาย เพียงแต่ครั้งนี้เขาดูแคลนเย่เทียนเฉินมากเกินไป คิดว่าบอดี้การ์ดชั้นยอดทั้งแปดคนนี้จะสามารถกำจัดเขาได้อย่างสบายๆ หากรู้เร็วกว่านี้ว่าเย่เทียนเฉินจะแข็งแกร่งถึงขนาดนี้ จะต้องส่งยอดฝีมือของตระกูลออกมา แล้วจะฆ่าเขาให้ได้อย่างแน่นอน
“เย่เทียนเฉิน วันนี้แกล่วงเกินฉันเซวียนเยวี๋ยนเถิง วันหน้าฉันจะต้อง…”
เพี๊ยะ!
ตบลงบนใบหน้าของเซวียนเยวี๋ยนเถิงไปครั้งหนึ่ง เซวียนเยวี๋ยนเถิงคิดจะพูดจาโหดเหี้ยมออกมา เพียงแต่น่าเสียดายที่ยังไม่ทันพูดจบก็ต้องเผชิญเข้ากับการตบหน้าของเย่เทียนเฉิน ตบจนเซวียนเยวี๋ยนเถิงโซเซ เกือบจะทรุดลงไปกับพื้น
“แก…”
เพี๊ยะ!
ตบมาอีกครั้งหนึ่งแล้ว แต่กลับตบลงบนใบหน้าด้านขวาของเซวียนเยวี๋ยนเถิง ตบจนเซวียนเยวี๋ยนเถิงเซไปแนบลงกับประตูรถซีดาน หากไม่ใช่ว่ามีประตูรถค้ำยัน เขาคงทรุดลงไปกับพื้นนานแล้ว การตบครั้งนี้ทำให้เซวียนเยวี๋ยนเถิงโยนน้องชายของลงกับพื้น โยนลงไปจริงๆ หลายคนมองจนพูดอะไรไม่ออก เซวียนเยวี๋ยนเถิงถึงกลับโยนน้องชายที่บาดเจ็บของตนลงไป ดูแล้วคนๆ นี้จะไร้มนุษยธรรมจริงๆ
“กล้าตบฉัน ฉันจะทำให้ตระกูลเย่…”
เพี๊ยะ!
ตบครั้งที่สามทำให้เซวียนเยวี๋ยนเถิงกระเด็นออกไปและตกลงกระแทกพื้น มุมปากมีเลือดไหลออกมา เซวียนเยวี๋ยนเถิงไม่กล้าใช้มือทั้งสองสัมผัสหน้าของตน เนื่องจากถูกเย่เทียนเฉินตบจนหน้าบวม ในปากเต็มไปด้วยเลือด
เซวียนเยวี๋ยนเถิงกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง เลือดสดๆ และฟันที่ถูกตบร่วงผสมปนเปกันออกมา ดูแล้วช่างหน้าอัปลักษณ์ยิ่งนัก ในตอนที่เซวียนเยวี๋ยนเถิงเห็นฟันที่ถูกตบจนร่วงของตน ดวงตาทั้งสองพลันแดงก่ำ ใบหน้าน่าเกลียด แต่ไหนแต่ไรเขายังไม่เคยถูกคนอื่นตบเช่นนี้มาก่อน และไม่มีใครกล้าตบเขาแบบนี้ เย่เทียนเฉินไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียวก็ตบหน้าเขาสามครั้งต่อๆ กัน นี่เป็นการเหยียดหยามอย่างหนึ่ง
ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ตกตะลึงจนตาค้าง เซวียนเยวี๋ยนเถิง หนึ่งในสามสุดยอดคุณชายแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง ยโสโอหังระดับไหน บ้าคลั่งระดับไหน เคยมีใครกล้าตบเขาแบบนี้บ้าง? ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนมีอำนาจในทางลับยิ่งใหญ่ มีเพียงไม่กี่คนที่กล้าไปล่วงเกิน เย่เทียนเฉินกับไม่เห็นอยู่ในสายตาโดยสิ้นเชิง ตบตามใจชอบถึงขนาดนั้น ตบจนทำให้ผู้คนรู้สึกสบายใจไปหมดแล้ว
“แก…” เสียงของเซวียนเยวี๋ยนเถิงสั่นระริก มองเย่เทียนเฉินอย่างดุดัน
“คนแบบแกไม่โดนตบไม่ได้ กวนตีนเกินไป!” เย่เทียนเฉินยังคงมีใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม พูดออกมาด้วยรอยยิ้มที่ไม่มีไอสังหารเลยแม้แต่น้อย
………………………….
จะอย่างไรเซวียนเยวี๋ยนอวี่ก็คิดไม่ถึงว่า ข่าวเรื่องที่เซวียนเยวี๋ยนเถิงพี่ชายของตนกลับมาถึงเมืองหลวงแพร่ออกไปนานแล้ว คิดว่าเย่เทียนเฉินจะตกใจจนฉี่ราด ต่อให้จะไม่ตกใจจนคแทบตาย ก็เกรงว่าจะไม่กล้ามามีปัญหาอะไรกับเขาอีก ไหนเลยจะรู้ว่า เย่เทียนเฉินจะไม่สนใจโดยสิ้นเชิง ตบหน้าเขาจนลงไปนอนทรุดอยู่กับพื้น แล้วยังกระทืบซ้ำบนใบหน้า ไม่เห็นเขาเป็นคุณชายเล็กของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนเลยแม้แต่น้อย ต่อให้เขาจะเป็นคุณชายเล็กแห่งตระกูลเซวียนเยวี๋ยน หากไปหาเรื่องเย่เทียนเฉินก็จะต้องถูกอัดอย่างไม่ต้องสงสัย
ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างมองจนตาค้าง เดิมทีเหล่าคนที่ยืนอยู่บริเวณมหาวิทยาลัยหลงเถิงคิดว่าเซวียนเยวี๋ยนเถิงกลับมาแล้ว เย่เทียนเฉินจะต้องตายอย่างแน่นอน จึงกลัดกลุ้มจนถึงขีดสุด และประหลาดใจจนถึงขีดสุด เนื่องจากดูเหมือนว่าเย่เทียนเฉินจะไม่เห็นเซวียนเยวี๋ยนเถิงอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย ยังคงลงมือสั่งสอนเซวียนเยวี๋ยนอวี่อย่างรุนแรงเช่นเดิม ต่อให้เซวียนเยวี๋ยนเถิงกลับมายังเมืองหลวงแล้ว ก็ไม่สามารถกลายเป็นเหตุผลที่จะทำให้เย่เทียนเฉินไม่ลงมือได้ เนื่องจากเซวียนเยวี๋ยนเถิงไม่มีค่าพอ
“ปล่อยคุณชายเล็ก…”
ในตอนนี้ บอดี้การ์ดสิบกว่าคนเพิ่งจะได้สติกลับมาจากความตกตะลึง ต่างพากันทำท่าเตรียมพร้อมที่จะพุ่งเข้ามา หากเซวียนเยวี๋ยนอวี่ถูกเย่เทียนเฉินทำร้ายหรือกระทั่งถูกฆ่าจริงๆ ด้วยวิธีการอันโหดเหี้ยมของเซวียนเยวี๋ยนเถิง พวกเขาที่เป็นบอดี้การ์ดทั้งสิบกว่าคนจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
“ไม่กลัวตายก็เข้ามา!” เย่เทียนเฉินหันไป มุมปากระดับด้วยรอยยิ้มเย็นชา กวาดตามองไปยังบอดี้การ์ดสูทดำทั้งสิบกว่าคน
พริบตานั้น บอดี้การ์ดสูทดำทั้งสิบกว่าคนต่างหยุดชะงักอยู่กับที่ ทำได้เพียงเบิกตามองเซวียนเยวี๋ยนอวี่ดิ้นรนอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเย่เทียนเฉิน กรีดร้องออกมาราวกับหมูถูกเชือด เนื่องจากพวกเขาคิดถึงภาพที่ต้องทำให้สั่นสะท้าน คนเพียงคนเดียว มีดตัดฟืนเพียงเล่มเดียว แบกผู้หญิงของตนอยู่ที่ไหล่ ตวัดมีดฆ่าฟัน กระทั่งเทพเซียนก็ยังไม่อัดขวางทางได้ ฆ่าฟันกองทัพทั้งสามร้อยคนที่ใช้มีดตัดฟืนจนแตกพ่าย นี่เป็นความเก่งกว่าระดับไหนกัน เพียงแค่คิดก็สามารถทำให้เลือดอันร้อนรุ่มในกายต้องพลุ่งพล่าน และทำให้ผู้คนต้องหวาดกลัวจนส่วนลึกของจิตใจต้องสั่นสะท้าน
“ช่วย ช่วยฉันด้วย…” เซวียนเยวี๋ยนอวี่เห็นบอดี้การ์ดแห่งตระกูลเซวียนเยวี๋ยนของตนเองทั้งสิบกว่าคนถูกเย่เทียนเฉินทำให้ตกใจไปแล้ว ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่กล้าพุ่งเข้ามาช่วยเหลือตน จึงยิ่งตะโกนเสียงดังด้วยความหวาดกลัว
“ไอ้เด็กเมื่อวานซืนคนหนึ่ง ปีกยังไม่ทันแข็งก็คิดจะบินซะแล้ว คิดที่จะรังแกคนอื่น จะรออีกสักหลายปีไม่ได้หรือไง? ฆ่าแกคนเดียวก็สามารถนำความสงบสุขมาให้คนอื่นอีกมากมาย ฉันก็เต็มใจที่จะเป็นคนชั่ว!” เย่เทียนเฉินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
เมื่อเห็นรอยยิ้มที่ดูไร้พิษสงบนใบหน้าของเย่เทียนเฉิน เซวียนเยวี๋ยนอวี่ก็ตกใจจนใบหน้าซีดขาว สั่นสะท้านไปทั้งร่าง ไม่สนใจความเจ็บปวดบริเวณกระดูกบนใบหน้าที่ถูกเหยียบจนหักของตน มองไปยังเย่เทียนเฉินด้วยความหวาดกลัวแล้วพูดขึ้น “อย่า อย่าฆ่าฉัน พี่ชายของฉันจะมาถึงแล้ว…”
เย่เทียนเฉินไม่ได้ล้อเล่น เขาต้องการที่จะฆ่าเซวียนเยวี๋ยนอวี่จริงๆ อายุแค่นี้ก็รู้จักโอหังบ้าอำนาจแล้ว โตไปไม่รู้ว่าจะทำร้ายผู้คนอีกมากมายขนาดไหน และการกำจัดวัชพืชโดยไม่ถอนรากไม่ใช่นิสัยของเย่เทียนเฉิน หากต้องการฆ่าก็ต้องฆ่าเขาให้สะอาดหมดจด หากจะมัวมาหวาดกลัวพะวงหน้าพะวงหลังย่อมไม่ใช่วิสัยของลูกผู้ชาย
“พี่ชายของแกจะมาถึงแล้ว?” เย่เทียนเฉินจงใจถามด้วยรอยยิ้ม
“ชะ ใช่แล้ว ขะ ขอเพียงแกอย่าฆ่าฉัน ฉันก็จะให้พี่ชายปล่อยแกไป…” เขารีบพูด
“จะให้พี่ชายแกปล่อยฉัน แต่ฉันไม่อยากจะปล่อยเขาไป เขามาพอดีเลย พวกแกสองพี่น้องจะได้ตายด้วยกัน!” เย่เทียนเฉินเอ่ยออกมาอย่างเรียบเฉย
ในตอนที่เย่เทียนเฉินถูกอันธพาลสามร้อยกว่าคนที่มีมีดตัดฟืนอยู่ในมือล้อมเอาไว้นั้น เขาก็ได้ตัดสินใจแล้วว่าจะต้องฆ่าเซวียนเยวี๋ยนเถิงให้ได้ หากปล่อยคนคนนี้ไว้ จะช้าจะเร็วก็ต้องกลายเป็นเสี้ยนหนามอันใหญ่ ไม่สู้ฆ่าไปเลยเพื่อกำจัดปัญหาในอนาคตให้เด็ดขาด
“แก…อั่ก ปล่อยฉัน…”
คำพูดของเซวียนเยวี๋ยนอวี่ยังไม่ทันจบ เย่เทียนเฉินก็หิ้วเซวียนเยวี๋ยนอวี่ขึ้นมาราวกับหิ้วไก่ ใช้มือขวาข้างเดียวหิ้วเซวียนเยวี๋ยนอวี่ขึ้นมาจนตัวลอยกลางอากาศ ไม่ว่าเซวียนเยวี๋ยนอวี่จะดิ้นรนสุดชีวิตอย่างไรก็ไม่สามารถสลัดพ้นจากมือขวาของเย่เทียนเฉินได้ เขาลอยอยู่กลางอากาศ ตกใจจนมีเหงื่อเย็นๆไหลออกมาทั่วทั้งร่าง
เหล่านักศึกษาชายหญิงที่มาล้อมดูอยู่รอบๆ ก็ถูกฉากนี้ทำให้ตกตะลึงจนต้องอ้าปากกว้าง ไม่อยากจะเชื่อว่าเย่เทียนเฉินจะฆ่าเซวียนเยวี๋ยนอวี่จริงๆ ยังไม่ต้องพูดถึงว่ามันผิดกฎหมาย การฆ่าคนต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้จะมีความผิดใหญ่หลวงขนาดไหนกัน ด้วยความแข็งแกร่งของตระกูลเซวียนเยวี๋ยน อำนาจอันยิ่งใหญ่ของตระกูลเซวียนเยวี๋ยน เกรงว่าหากเย่เทียนเฉินฆ่าเซวียนเยวี๋ยนอวี่จริงๆ คงจะถูกฆ่าหั่นศพออกเป็นชิ้นๆ ตายโดยที่ศพไม่สมบูรณ์
“นี่…ไม่จริงน่ะ เย่เทียนเฉินฆ่าเซวียนเยวี๋ยนอวี่จริงๆเหรอ?”
“โหดเหี้ยมเกินไปแล้ว เซวียนเยวี๋ยนเถิงใกล้จะมาถึงแล้ว เย่เทียนเฉินกลับฆ่าเซวียนเยวี๋ยนอวี่ก่อน เซวียนเยวี๋ยนเถิงจะต้องคลั่งแน่…”
“เย่เทียนเฉินไม่อยากจะมีชีวิตอยู่แล้วหรือไง? อยากจะเป็นศัตรูกับตระกูลเซวียนเยวี๋ยนจนถึงที่สุดหรือ?”
“ตระกูลเย่มีปัญหาใหญ่แล้ว!”
นักศึกษาชายบางคนที่ตระกูลมีอำนาจอยู่บ้างอดไม่ได้ที่จะวิพากษ์วิจารณ์กันขึ้นมาเสียงเบา ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนเป็นตระกูลแห่งโลกเบื้องหลัง ไม่เหมือนกับตระกูลใหญ่ธรรมดาทั่วไป ตระกูลใหญ่ที่อยู่ในโลกเบื้องหน้ามีอำนาจมากเพียงใด ก็มักจะมีคนรู้ ส่วนตระกูลที่อยู่ในโลกเบื้องหลังจะแข็งแกร่งมากเพียงใดกลับไม่มีคนรู้ พูดให้ชัดเจนก็คือ ทวนเปิดเผยหลบหลีกง่าย เกาทัณฑ์ลับยากระวัง
“เทียนเฉิน อย่า รีบปล่อยเซวียนเยวี๋ยนอวี่ลง อย่าทำอะไรบุ่มบ่าม!” หลิงอวี่สวิ๋นเห็นเย่เทียนเฉินต้องการฆ่าเซวียนเยวี๋ยนอวี่จริงๆ จึงรีบเข้ามาจับข้อมือขวาของเย่เทียนเฉินเอาไว้แล้วเอ่ยขึ้น
“ฉันบุ่มบ่ามเหรอ? ฉันไม่ได้บุ่มบ่ามเลยแม้แต่น้อย แค่อยากจะฆ่าเขาก็เท่านั้น!” เย่เทียนเฉินมองเซวียนเยวี๋ยนอวี่แล้วพูดขึ้น
“อย่า อย่าฆ่าฉัน…คะ คุณชายเย่ ไว้ชีวิตด้วย!” เซวียนเยวี๋ยนอวี่ถูกความกลัวทำลายความกล้าไปหมดแล้ว ไม่มีมาดของคุณชายเล็กแห่งตระกูลเซวียนเยวี๋ยนของเขา ไม่มีอำนาจเฉกเช่นเมื่อคู่นี้ที่จะให้เย่เทียนเฉินคุกเข่ายอมรับผิด กลายเป็นเนื้อปลาบนเขียงของเย่เทียนเฉินโดยสิ้นเชิง บอดี้การ์ดที่เขาพามาเหล่านั้นก็ไม่มีใครกล้าพุ่งเข้ามาเลยแม้แต่คนเดียว ใครกันแน่ที่จะตาย
“เทียนเฉิน นี่เป็นการก่อความผิดใหญ่ จะฆ่าเซวียนเยวี๋ยนอวี่ไม่ได้ ปล่อยลงซะ!” หลิงอวี่สวิ๋นมองเย่เทียนเฉินอย่างร้อนรนแล้วพูดขึ้น
“ก่อความผิดใหญ่เหรอ ฉันอยากจะเห็นว่าความผิดมันจะใหญ่สักแค่ไหนกัน” เย่เทียนเฉินพูดอย่างเย็นชา
หลิงอวี่สวิ๋นมองเย่เทียนเฉินปราดหนึ่ง เธอรู้ว่าตนเองไม่สามารถโน้มน้าวใจคนคนนี้ได้ ทำได้เพียงมองไปที่เสี้ยวหยา “หยาเอ๋อร์ มาเตือนเขาหน่อย บอกเขาว่าอย่าได้ทำอะไรบุ่มบ่าม หากเกิดความผิดใหญ่หลวงขึ้นมาจริงๆ จะต้องตายแน่!”
เสี้ยวหยากระวนกระวายใจมาก เธอรู้ว่าตระกูลเซวียนเยวี๋ยนมีอำนาจมาก คนปกติไปหาเรื่องไม่ได้ เธอไม่อยากให้เย่เทียนเฉินก่อเรื่อง ถึงตอนนั้นจะต้องถูกคนของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนฆ่าตายแน่ ดังนั้นจึงรีบเอ่ยปากขึ้น “เทียนเฉิน…”
“หยาเอ๋อร์ วางใจเถอะ ฉันจะปกป้องเธอเอง!” เย่เทียนเฉินพูดขัดคำของเสี้ยวหยา เขารู้ว่าเสี้ยวหยาคิดจะพูดอะไร เพียงแต่ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนมีอำนาจแข็งแกร่งและบ้าอำนาจมาก ตนเองลงมือกับเซวียนเยวี๋ยนอวี่ย่อมไม่ใช่เรื่องที่จะจบดีๆได้ ไม่สู้ฆ่าเขาให้สะอาดหมดจดและสบายใจจะดีซะกว่า
ในตอนที่ทุกคนเบิกตาทั้งสองกว้างมองเย่เทียนเฉินกำลังจะฆ่าเซวียนเยวี๋ยนอวี่อยู่นั้น รถซีดานสีดำหลายคันก็พุ่งเข้ามาจนเกือบจะชนผู้คน โชคดีที่มีหลายคนตะโกนเสียงดังจึงหลบได้ทัน
ชายในสูทสีเงินคนหนึ่งลงมาจากรถซีดานคันหน้าสุด ตามลงมาด้วยบอดี้การ์ดท่าทางโหดเหี้ยมอีกแปดคน เย่เทียนเฉินชะงักไปครู่หนึ่ง บอดี้การ์ดแปดคนนี้ไม่ใช่อะไรที่ลูกกระจ๊อกธรรมดาจะสามารถไปเทียบเคียงได้ ล้วนมีความสามารถในการต่อสู้ไม่ธรรมดา ฐานะของชายสวมสูทเงินคนนี้เย่เทียนเฉินดาวได้แล้ว ความสนุกเริ่มขึ้นแล้ว
“เย่เทียนเฉิน ปล่อยน้องของฉันซะ ถ้าแกกล้าแตะต้องเขาแม้แต่นิดเดียว ฉันจะทำให้ตระกูลเย่ของแกไม่เหลือแม้แต่ไก่สักตัวเดียว!”
เซวียนเยวี๋ยนเถิงโอหังบ้าอำนาจเป็นอย่างมาก ราวกลับว่าเพียงประโยคเดียวของเขาก็สามารถตัดสินความเป็นความตายของคนอื่นได้ เมื่อเห็นเย่เทียนเฉินใช้มือข้างหนึ่งหิ้วน้องชายของเขาอยู่ เตรียมจะลงมือฆ่า เขาก็กำหมัดแน่นมองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างดุดันแล้วพูดขึ้น
“งั้นเหรอ? ฉันไม่คิดจะปล่อยน้องของแกไป เพราะว่ามันสมควรตาย ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่ฉันฆ่ามันแล้ว ก็จะไปที่ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนของแก ไปฆ่าล้างมันทั้งตระกูล ฉันคนนี้ไม่ชอบทิ้งปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นภายหลังเอาไว้!” เย่เทียนเฉินมองไปยังเซวียนเยวี๋ยนเถิงแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
คุณบ้าอำนาจ ผมจะบ้าอำนาจยิ่งกว่าคุณ คุณโอหัง ผมก็จะโอหังยิ่งกว่าคุณ คุณบ้า บิดาจะบ้ายิ่งกว่าคุณ คุณคิดว่าคุณเจ๋ง ผมก็เจ๋งยิ่งกว่าคุณ นี่คือเย่เทียนเฉิน แต่ไหนแต่ไรก็ไม่ยอมกล้ำกลืนฝืนทน สิ่งที่เกลียดที่สุดก็คือถูกข่มขู่ ยิ่งมีคนข่มขู่เขา เขาก็จะยิ่งตอบโต้
ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน ต่างพากันสูดหายใจเย็นยะเยือก ถึงกับกล้าพูดว่าจะไปตระกูลเซวียนเยวี๋ยนและฆ่าล้างทุกคน นี่เป็นความใจกล้าระดับไหนกัน? ไม่ต้องพูดถึงการกระทำ แค่กล้าพูดออกมาก็ทำให้ผู้คนต้องสั่นสะท้านแล้ว
“แก…รนหาที่ตาย!”
เซวียนเยวี๋ยนเถิงโกรธจนปอดแทบระเบิด ตัวเองเป็นคุณชายตระกูลเซวียนเยวี๋ยน พูดออกไปส่งๆ ประโยคนึงจะมีใครหน้าไหนที่กล้ามาต่อต้าน? ตอนนี้ตนเองมาถึงแล้ว เย่เทียนเฉินไม่เพียงไม่ยอมคุกเข่าร้องขอชีวิต กลับทำตัวโอหังซะยิ่งกว่าตน บอกว่าจะบุกไปที่ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนและฆ่าล้างตระกูล เซวียนเยวี๋ยนเถิงที่เป็นคนใจคอโหดเหี้ยมและหยิ่งยโสโอหัง ไหนเลยจะรับไหว โบกมือครั้งหนึ่ง บอดี้การ์ดชั้นยอดทั้งแปดคนที่อยู่ข้างหลังต่างพุ่งใส่เย่เทียนเฉิน
“พวกเธอสองคนอยู่ไกลๆ ฉันหน่อย!” เย่เทียนเฉินเห็นบอดี้การ์ดชั้นยอดทั้งแปดคนพุ่งเข้ามาใส่ตนก็ไม่ได้ดูเบา พูดกับหลิงอวี่สวิ๋นและเสี้ยวหยาที่อยู่ด้านหลัง
“เทียนเฉิน…”
“เทียนเฉิน…”
“ไปเถอะ อย่าให้ฉันต้องพะวง การต่อสู้ของลูกผู้ชาย ผู้หญิงอย่าเข้ามาเกี่ยวข้อง!” แม้เย่เทียนเฉินจะเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ก็ยังคงพูดกับเสี้ยวหยาและหลิงอวี่สวิ๋นด้วยรอยยิ้ม
เสี้ยวหยาและหลิงอวี่สวิ๋นสบตากัน พวกเธอไม่มีทางโน้มน้าวใจเย่เทียนเฉินได้ และรู้ว่าเซวียนเยวี๋ยนเถิงมีอำนาจมาก เรื่องนี้หยุดไว้ไม่ได้แล้ว ทำได้เพียงหวังว่าเย่เทียนเฉินจะไม่เป็นอะไร และสามารถลงมือฆ่าบอดี้การ์ดชั้นยอดทั้งแปดคนนี้ได้
เมื่อเห็นหลิงอวี่สวิ๋นและเสี้ยวหยาเดินปะปนเข้าไปในกลุ่มคน เย่เทียนเฉินก็วางใจลงไม่น้อย มองเซวียนเยวี๋ยนเถิงแล้วพูดขึ้นว่า “คุณชายใหญ่เซวียนเยวี๋ยนช่างโอหังจริงๆ เพียงแต่น่าเสียดายที่ฉันเย่เทียนเฉินไม่ยอมทนกับแก…”
“ปล่อยน้องชายของฉันซะแล้วฉันจะให้แกมีศพที่สมบูรณ์!” เซวียนเยวี๋ยนเถิงใช้มือขวาชี้ไปที่เย่เทียนเฉินอย่างดุดันแล้วตะโกนขึ้นด้วยความโมโห
“พี่ ช่วยด้วย ช่วยผมด้วย…” เซวียนเยวี๋ยนอวี่เลือดท่วมหน้า มองไปยังเซวียนเยวี๋ยนเถิงพี่ชายของตนแล้วตะโกนด้วยความหวาดกลัว
“ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องของพวกแกสองคนไม่เลวเลย ถ้าอยากจะรวมตัวกันขนาดนั้น งั้นฉันก็ไม่ใช่คนที่ไร้เมตตา ไปรวมตัวกันเถอะ…”
เย่เทียนเฉินพูดจบก็โยนเซวียนเยวี๋ยนอวี่ออกไปในอากาศ แล้วใช้เท้าถีบจนกระเด็นออกไป ปะทะเข้ากับนักฆ่าชั้นยอดสองคนที่พุ่งเข้ามา…
“เทียนเฉิน เรื่องนี้สามารถทำให้เรื่องใหญ่เป็นเรื่องเล็กได้ ทำให้เรื่องเล็กเปลี่ยนเป็นเรื่องดีได้ ให้ฉันไปตกลงกับเซวียนเยวี๋ยนเถิงเถอะ!” หลิงอวี่สวิ๋นเห็นเย่เทียนเฉินลงจากรถไปก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมาด้วยความกังวล
หลิงอวี่สวิ๋นและเย่เทียนเฉินเป็นเพื่อนสมัยเด็ก ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเย่แล้วตระกูลหลิงเมื่อปีนั้นก็ไม่เลวนัก หลายวันมานี้ได้อยู่ด้วยกันกับเย่เทียนเฉินทำให้เธอมักจะคิดถึงช่วงเวลาในวัยเด็ก ความทรงจำอันงดงามที่ยังคงติดค้างอยู่ในส่วนลึกของจิตใจไม่อาจจะสลัดออกไปได้ตลอดกาล
เซวียนเยวี๋ยนเถิงคอยตามจีบหลิงอวี่สวิ๋นมาโดยตลอด มีความรู้สึกชมชอบอยู่บ้าง แน่นอนว่าไม่ใช่ความรักที่บริสุทธิ์อะไร แต่เพราะต้องการใช้อำนาจของตระกูลหลิง ตระกูลหลิงอยู่ในตำแหน่งที่เป็นตัวแปรสำคัญในด้านเศรษฐกิจ ส่วนตระกูลเซวียนเยวี๋ยนมีชื่อเสียงในด้านอำนาจมืด และยังมีความสามารถมาก พูดให้ชัดเจนก็คือมีอำนาจในด้านมืดยิ่งใหญ่และมีกิจการในด้านมืดที่สะสมมาอยู่ไม่น้อย เพียงแต่กิจการเหล่านี้หากต้องการที่จะฟอกให้ขาวนั้นเป็นเรื่องยาก ดังนั้นตระกูลเซวียนเยวี๋ยนจึงต้องการเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลหลิง หากเป็นเช่นนี้ก็จะสามารถใช้อำนาจของตระกูลหลิงทำให้กิจการที่ไม่ถูกกฎหมายกลายเป็นถูกกฎหมายได้
กล่าวให้กระจ่างชัดก็คือ ที่เซวียนเยวี๋ยนเถิงตามจีบหลิงอวี่สวิ๋นเพราะคำสั่งของพ่อ พ่อของเซวียนเยวี๋ยนเถิงต้องการให้เขาทำเช่นนี้ นอกจากนี้ยังต้องการสร้างความกดดันให้ตระกูลหลิงผ่านทางเขา เพื่อให้ตระกูลหลิงตอบรับการแต่งงาน เมื่อถึงตอนนั้นต่อให้ตระกูลหลิงไม่คิดทำเพื่อตระกูลเซวียนเยวี๋ยนของพวกเขาก็ยังต้องทำเพื่อหลิงอวี่สวิ๋น
สิ่งที่ทำให้หลิงอวี่สวิ๋นคิดไม่ถึงก็คือ เซวียนเยวี๋ยนเถิงถึงกับกลับมาเมืองหลวงตอนกลางคืน ดูท่าครั้งนี้เขาจะโกรธจริงๆ แล้ว จะต้องลงมือกับเย่เทียนเฉินอย่างโหดเหี้ยมแน่นอน และเป็นไปได้มากกว่าจะฆ่าเย่เทียนเฉิน
ในความคิดของหลิงอวี่สวิ๋น เย่เทียนเฉินมีความสามารถอยู่บ้างแต่ก็ไม่พอที่ขัดขวางการฆ่าฟันของเซวียนเยวี๋ยนเถิง เพราะข้างกายของเซวียนเยวี๋ยนเถิงมียอดฝีมืออยู่มากมาย คนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นคนในยุทธภพ เป็นโจรชั่วที่โหดเหี้ยม เปรียบได้กับบุคคลเช่นอาหู่ ส่วนตระกูลเย่นั้นตกต่ำไปนานแล้ว และไม่ใช่เพียงแค่ปีสองปี ต่อให้ผู้อาวุโสเย่หย่วนซานจะยังก็เกรงว่าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตระกูลเซวียนเยวี๋ยน ดังนั้นหลิงอวี่สวิ๋นจึงคิดจะออกหน้า หากว่าหน้าของตนเองไม่ใหญ่พอ ไม่อาจทำให้เซวียนเยวี๋ยนเถิงเชื่อได้ ก็จะใช้อำนาจของตระกูลหลิงพูดคุยกับตระกูลเซวียนเยวี๋ยนโดยตรง
ไหนเลยจะรู้ว่าเย่เทียนเฉินกลับดึงหลิงอวี่สวิ๋นไปด้านหนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “หลบอยู่หลังกระโปรงผู้หญิง ไม่ใช่นิสัยของฉัน!”
“แกเป็นใคร ถึงกับกล้าโผล่หัวออกมา ไม่รู้เหรอไงว่าคนที่กล้าเสนอหน้าในมหาวิทยาลัยหลงเถิงถูกคุณชายเซวียนเยวี๋ยนเถิงของพวกเราฆ่าตายไปแล้ว?” บอดี้การ์ดสูทดำคนที่ยืนอยู่หน้าสุดพูดจาโอหังเป็นอย่างมาก ราวกับว่าเขาเป็นเซวียนเยวี๋ยนเถิงเสียเอง ใช้นิ้วชี้ไปที่หัวของเย่เทียนเฉินอย่างไม่พอใจแล้วพูดขึ้น
พลั่ก!
คำตอบของเย่เทียนเฉินมีแค่ฝ่าเท้าเท่านั้น เขาถีบบอดี้การ์ดชุดดำที่เป็นคนพูดจนกระเด็นออกไปไกลต่อหน้าต่อตานักศึกษาชายหญิงจำนวนมากที่อยู่บริเวณประตูมหาวิทยาลัยหลงเถิง ลงมืออย่างรุนแรงเพื่อสั่งสอนลูกน้องน่ารังเกียจแบบนี้ บอดี้การ์ดชุดดำคนนั้นถูกเย่เทียนเฉินจนกระเด็นออกไปและตกลงมาสู่พื้นอย่างรุนแรง คิดจะลุกขึ้นมาแต่กลับไม่มีแรงที่จะทำเช่นนั้นได้ กายเนื้อของเย่เทียนเฉินในตอนนี้ผ่านการฝึกฝนบ่มเพาะมาแล้ว จนกลายเป็นแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ต่อให้อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ต้องใช้พลังพิเศษ ก็ไม่ใช่อะไรที่คนธรรมดาจะรับมือได้
“แก…แกเป็นใครกันแน่? พวกแกยังยืนบื้ออะไรอยู่อีก เข้าไปพร้อมกัน ฆ่าไอ้หนูนี่ให้ตาย!” บอดี้การ์ดสูทดำอีกคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้างได้สติกลับมาก็ตะโกนขึ้นแล้วมองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างดุดัน
“ฉันเย่เทียนเฉิน แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยหาเรื่องใคร แต่ว่า แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยกลัวการมีเรื่อง เซวียนเยวี๋ยนเถิงคิดจะมาสร้างความยุ่งยากให้กับฉัน งั้นก็ให้มันมาหาฉันเอง!” เย่เทียนเฉินมองบอดี้การ์ดสูทดำที่เหลือแล้วพูดขึ้นอย่างเย็นชา
เมื่อประโยคนี้ถูกกล่าวออกมา บอดี้การ์ดสูทดำที่เหลืออีกสิบกว่าคนต่างก็ตกใจจนอึ้ง คนที่คิดจะพุงเข้ามาสู้กับเย่เทียนเฉินต่างหยุดชะงักอยู่กับที่ ไม่มีใครกล้าบุกเข้ามาเลยแม้แต่คนเดียว พวกเขาต่างเป็นคนในปกครองของตระกูลเซวียนเยวี๋ยน ย่อมรู้เรื่องที่คุณชายเล็กเซวียนเยวี๋ยนอวี่ถูกเย่เทียนเฉินอัด และรู้เรื่องที่เซวียนเยวี๋ยนเถิงส่งอาหู่ไปลงมือ อาหู่ก็ส่งลูกน้องอันธพาลพร้อมด้วยมีดตัดฟืนไปสามร้อยกว่าคนเพื่อไปล้อมโจมตีเย่เทียนเฉินในซอยแคบ แต่กลับถูกเย่เทียนเฉินฆ่าเปิดทางออกมา แค่คิดก็ทำให้ผู้คนต้องตกตะลึงจนหนาวเหน็บ
เรื่องเมื่อคืนนั้น หลูเซิ่งต๋าปิดเงียบไว้อย่างชาญฉลาด ปิดข่าวในทุกด้าน และยังสั่งคนลงมาอย่างเข้มงวดว่าไม่อนุญาตให้ใครพูดออกมาแม้แต่ครึ่งคำ ต่อให้มีสำนักขาวใหญ่ที่สุดของเมืองหลวงโทรมาสอบถามหรือสัมภาษณ์ก็ต้องบอกว่าไม่รู้อย่างเดียว
หลูเซิ่งต๋าฉลาดมาก หลังจากที่ได้สัมผัสกับเย่เทียนเฉินไม่กี่ครั้ง ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจยืนฝั่งเย่เทียนเฉิน เนื่องจากเขาเชื่อในความสามารถของเย่เทียนเฉิน ต่อให้จะไม่มีอะไรเลย ต่อให้จะเหลือเพียงหมัดทั้งสอง ก็ไม่ใช่อะไรที่คนธรรมดาจะไปหาเรื่องได้
“แก…แกคือเย่เทียนเฉิน…” บอดี้การ์ดสูทดำอีกคนหนึ่งได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉินก็ตกใจจนพูดติดอ่าง
“ให้เซวียนเยวี๋ยนเถิงออกมาเถอะ เขาอยากจะเล่น ฉันก็จะเล่นกับเขาเอง!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม
เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน ไม่เพียงแค่บอดี้การ์ดสูทดำเหล่านั้นที่ตกตะลึง กระทั่งนักศึกษาชายหญิงที่ล้อมดูก็ต้องมองเย่เทียนเฉินอย่างไม่อยากจะเชื่อ นักศึกษาทุกคนที่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยหลงเถิง มีใครบ้างที่ไม่รู้จักชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่ของเซวียนเยวี๋ยนเถิง ในหมู่สามคุณชายของมหาวิทยาลัยหลงเถิง เซวียนเยวี๋ยนเถิงมีชื่อเสียงทางด้านความโอหังบ้าอำนาจ อย่างน้อยการแสดงออกเบื้องหน้าก็เป็นแบบนี้ คนที่กล้าต่อต้านเซวียนเยวี๋ยนเถิง ตอนนี้น้อยที่สุดคือเด็กในเมืองหลวง มีจุดจบที่พิการไปตลอดชีวิต ส่วนคนอื่นที่ตาไม่มีแวว จะตายอย่างกะทันหันก็เป็นเรื่องปกติ
ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า เย่เทียนเฉินเอ่ยปากว่าจะเล่นกับเซวียนเยวี๋ยนเถิง หลายปีมานี้ในมหาวิทยาลัยหลงเถิง เพิ่งจะมีเขาคนเดียวที่กล้าพูดเช่นนี้
“พี่ของฉันกำลังอยู่ระหว่างทางมาที่นี่ ตอนนี้แกคุกเข่าโขกหัวให้ฉันซะสิ!”
ในตอนที่ทุกคนกำลังตกตะลึงกับความกล้าของเย่เทียนเฉินอยู่นั้นเอง ไอ้เด็กเมื่อวานซืนอายุสิบหกปีคนหนึ่ง เดินออกมาจากกลุ่มคน บอดี้การ์ดสูทดำสิบกว่าคนต่างเปิดทางให้อย่างจงใจ มองไอ้เด็กเมื่อวานซืนคนนั้นด้วยความเคารพ
ต่อให้ใช้ส้นเท้าคิดก็รู้ว่าไอ้เด็กเมื่อวานซืนคนนี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นเซวียนเยวี๋ยนอวี่ที่บ้าอย่างไร้ขอบเขตตั้งแต่อายุยังน้อย เขาใช้ดวงตาอันโหดเหี้ยมจ้องมองไปยังเย่เทียนเฉิน ต้องการจะแก้แค้นให้ตนเอง แก้แค้นที่เย่เทียนเฉินตบหน้าเขาต่อหน้าฝูงชนที่ประตูมหาวิทยาลัยหลงเถิง
ที่เซวียนเยวี๋ยนอวี่ใจกล้าถึงเพียงนี้ ถึงขั้นสั่งให้บอดี้การ์ดชุดดำสิบกว่าคนมารอเย่เทียนเฉินที่ประตูมหาวิทยาลัยหลงเถิง เป็นเพราะเขารู้ว่าพี่ชายของตนกลับมาแล้ว ส่วนลึกของจิตใจคิดว่ามีที่พึ่งแล้ว เย่เทียนเฉินจะต้องตายอย่างแน่นอน ดังนั้นความโอหังของเขาพุ่งทะยานขึ้นมาในชั่วพริบตา ความพ่ายแพ้ที่เคยได้รับมาจากอาหู่และความรู้สึกหวาดกลัวเหล่านั้น ในตอนนี้กลับไม่เหลืออยู่เลย
ในใจของเซวียนเยวี๋ยนอวี่ ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนของตนเองก็คือฟ้า ต้องการอะไรก็ได้อย่างนั้น ไม่มีใครกล้ามีปัญหากับตน ส่วนเซวียนเยวี๋ยนเถิงก็เป็นพี่ใหญ่ เขาต้องการให้ใครตายคนนั้นก็ต้องตาย ตอนนี้พี่ใหญ่กลับมาแล้ว วันตายของเย่เทียนเฉินก็มาถึงแล้ว
เพราะเหตุนี้เซวียนเยวี๋ยนอวี่จึงได้คิดจะข่มขู่และสั่งสอนเย่เทียนเฉินอย่างโหดเหี้ยมก่อนที่พี่ชายจะมาถึง เพื่อกู้หน้าให้ตัวเอง รอให้เซวียนเยวี๋ยนเถิงมาถึงค่อยฆ่าเย่เทียนเฉิน เช่นนั้นความกล้ำกลืนก็จะมีที่ระบาย เขาจะทำให้เย่เทียนเฉินไม่กล้าลงมือกับตนเองอีก ไม่กล้าต่อต้านพี่ชายของตนอีก
เย่เทียนเฉินมองเซวียนเยวี๋ยนอวี่ครั้งหนึ่ง มุมปากประดับด้วยรอยยิ้ม เดินมุ่งหน้าไปยังเซวียนเยวี๋ยนอวี่ทีละก้าว ทำให้เซวียนเยวี๋ยนอวี่ตกใจจนถอยหลังไปหลายก้าวตามสัญชาตญาณ อดไม่ได้ที่จะพูดออกมาอย่างตะกุกตะกัก “แก อย่าคิดจะทำอะไร…”
“ได้ข่าวว่าพี่ชายของแกกลับมาแล้วเหรอ? อยู่ไหนล่ะ?” เย่เทียนเฉินเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“หึ รู้จักกลัวแล้วหรือ? สายไปแล้ว แกลงมืออัดฉัน จะต้องตายอย่างแน่นอน ถือโอกาสที่พี่ชายของฉันยังมาไม่ถึง คุกเข่าโขกหัวสำนึกผิดกับฉันอย่างว่าง่ายซะ บางทีอาจจะทำให้แกตายโดยมีศพสมบูรณ์ก็ได้!”
เซวียนเยวี๋ยนอวี่คิดว่าเย่เทียนเฉินกลัวขึ้นมาแล้ว ทันใดนั้นจึงได้ยืดอกขึ้น มองเย่เทียนเฉินอย่างดุดันแล้วกล่าวขึ้น ความโหดเหี้ยมที่ไม่เหมาะสมกับอายุของเขา นักศึกษาชายหญิงแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงที่อยู่รอบๆ เห็นแล้วต่างมีความรู้สึกรังเกียจ ไอ้เด็กเมื่อวานซืนคนหนึ่ง จะโอหังอะไรมากมาย แค่ฝ่ามือเดียวก็ตบเขาจนตายได้แล้ว นี่เป็นความคิดในใจของใครหลายคน เพียงแต่ไม่กล้าเคลื่อนไหวก็เท่านั้น
เพี๊ยะ!
เย่เทียนเฉินเคลื่อนไหวแล้ว ยังคงเป็นการตบหน้า ตบจนเซวียนเยวี๋ยนอวี่ทรุดลงกับพื้น มุมปากมีเลือดไหลออกมา เห็นได้ชัดว่าการตบในครั้งนี้รุนแรงขนาดไหน ตบจนเซวียนเยวี๋ยนอวี่มึนงง สมองมีเสียงดังหึ่งหึ่งออกมา
“แก…แก…” มือขวาของเซวียนเยวี๋ยนอวี่กุมอยู่ที่ใบหน้า มองเย่เทียนเฉินด้วยความหวาดกลัว จะอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่า ทั้งๆ ที่เย่เทียนเฉินรู้ว่าเซวียนเยวี๋ยนเถิงพี่ชายของเขากำลังจะมาถึง ก็ยังกล้าตบเขาอีก
“ฉันจะถามแกอีกครั้ง พี่ชายของแกอยู่ไหน?” เย่เทียนเฉินเลยถามด้วยรอยยิ้ม
“ฉัน…ฉันไม่รู้ แต่ยังไงวันนี้แกก็ต้องตายแน่นอน!” เซวียนเยวี๋ยนอวี่มองเย่เทียนเฉินด้วยใบหน้าอัปลักษณ์แล้วตะโกน
พลั่ก!
เย่เทียนเฉินใช้ขากระทืบลงไปบนใบหน้าของเซวียนเยวี๋ยนอวี่ เหยียบขยี้เซวียนเยวี๋ยนอวี่จนกรีดร้องออกมาเสียงดัง กับคนถ่อยน่ารังเกียจเช่นเซวียนเยวี๋ยนอวี่ เย่เทียนเฉินเองก็ไม่เกรงใจ อายุน้อยก็ยังโหดเหี้มยมถึงขนาดนี้ โตไปแล้วจะเป็นอย่างไร? ไม่สู้ทำให้หายไปจากโลกนี้ให้เร็วหน่อย นำความสงบสุขกลับมาให้คนธรรมดา
“อา… หน้าฉัน…” เซวียนเยวี๋ยนอวี่ร้องเสียงดัง มือทั้งสองจับอยู่ที่ข้อเท้าของเย่เทียนเฉิน รู้สึกว่ากระดูกบนใบหน้าของตนถูกเหยียบจนหัก ส่งเสียงร้องออกมาอย่างเจ็บปวด
“คนอย่างแกยังต้องใช้ใบหน้าอีกเหรอ? ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนของแกยังต้องการหน้าอีกเหรอ? ในเมื่อไม่ต้องการ ฉันเย่เทียนเฉินก็จะเหยียบมันให้แหลกเหลวเอง!” เย่เทียนเฉินโมโหขึ้นมาแล้ว ออกแรงเหยียบที่เท้าเพิ่มขึ้น
“ไม่ อย่าฆ่าฉัน พะ…พี่ชายของฉันจะมาถึงแล้ว เขาจะไม่ปล่อยแกไปแน่!” เซวียนเยวี๋ยนอวี่ตะโกนออกมาเสียงดัง
“ฉันกำลังถามแกว่า เซวียนเยวี๋ยนเถิงพี่ชายของแกอยู่ที่ไหน จะพูดเรื่องไร้สาระมากมายไปทำไม?” เย่เทียนเฉินพูดอย่างเย็นชา
“ฉัน ฉันไม่รู้…ควรจะใกล้ถึงแล้ว แกปล่อยฉันไปตอนนี้ก็ยังทัน!”
เซวียนเยวี๋ยนอวี่ถูกทำเอาตกใจ เดิมทีเขาคิดว่าพี่ชายของตนกลับมา เย่เทียนเฉินจะไม่กล้าทำอะไรเขาอีก ทำได้เพียงยอมให้เขาฆ่าแกง ไหนเลยจะรู้ว่าเย่เทียนเฉินกลับไม่ยอมทำเช่นนั้น ไม่ว่าพี่ชายของคุณจะมาหรือไม่ หากมาหาเรื่องเขาก็ต้องถูกอัดอย่างไม่ต้องสงสัย
………………………………..
การปรากฏตัวของอู๋เสวี่ยทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง ระหว่างเขากับอู๋เสวี่ยไม่ได้มีการคบค้าสมาคมกันมากนัก ที่ตอนนั้นเขาไม่ได้ฆ่าอู๋เสวี่ยเป็นเพราะรู้สึกชื่นชมในนิสัยและความสามารถ ตอนนี้อู๋เสวี่ยมาหาเขาเพื่อมาบอกกับเขาว่าเซวียนเยวี๋ยนเถิงนั่งเครื่องบินเที่ยวพิเศษรอบดึกมาที่เมืองหลวง เห็นได้ชัดว่ากลับมาเพื่อฆ่าเย่เทียนเฉิน คุณชายเซวียนเยวี๋ยนอย่างเขายโสโอหังมาโดยตลอด ไม่อาจอดกลั้นความกล้ำกลืนนี้ได้
ท่าทางของเย่เทียนเฉินทำให้เลือดรู้สึกประหลาดใจมากจริงๆ และก็รู้สึกนับถือด้วย ต้องกล่าวว่าเมื่อก่อนฉินเหิงเอย ลั่วเหลยเอย ลั่วซงเฉิงเอย พวกเขาต่างก็มีอำนาจของตระกูลไม่น้อย แต่สามารถเห็นได้ว่าจะมากจะน้อยก็มีวิธีการอยู่บ้าง แต่กับเซวียนเยวี๋ยนเถิงนั้นไม่เหมือนกัน ตระกูลโลกเบื้องหลัง เหตุใดจึงเป็นโลกเบื้องหลัง นั่นก็เพราะไม่ได้ปรากฏออกมาเคลื่อนไหวในสังคมภายนอกมานานหลายปีแล้ว บางทีอาจจะมีคนรู้จักน้อยมาก สำหรับเรื่องที่ว่าตระกูลที่ไม่มีใครรู้จักนี้จะแข็งแกร่งถึงขนาดไหน ก็ดูเหมือนว่าจะมีไม่กี่คนที่เข้าใจได้อย่างกระจ่าง ทุกครั้งที่ตระกูลที่แอบซ่อนตัวอยู่เหล่านี้ใช้อำนาจปรากฏตัวในโลกเบื้องหน้าอีกครั้ง มักจะแข็งแกร่งจนทำให้ผู้คนต้องตกตะลึง
ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า ความร้ายกาจของเซวียนเยวี๋ยนเถิงยังเหนือกว่าพวกฉินเหิงเสียอีก แต่เย่เทียนเฉินยังคงสามารถสงบนิ่งได้ นี่ทำให้อู๋เสวี่ยคิดไม่ถึง
“นายแข็งแกร่งมาก แต่ถ้านายมองตระกูลเซวียนเยวี๋ยนเป็นคู่ต่อสู้ระดับเดียวกับตระกูลฉินและตระกูลลั่วก็ผิดแล้ว!” อู๋เสวี่ยมองเย่เทียนเฉินแล้วกล่าวขึ้น
“ในสายตาของฉันเย่เทียนเฉิน ไม่มีอะไรถูกผิด มีแต่กำปั้นเท่านั้น นายมีเหตุผล ฉันยอมให้นาย นายไม่มีเหตุผล ฉันก็จะอัดนาย ง่ายๆ แค่นี้เอง!”
กล่าวจบก็เดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง ทำให้อู๋เสวี่ยตะลึงงัน รู้จักเพียงทำตามหลักการโดยไม่สนใจตัวคน ไม่ว่าคุณจะเป็นใครหากกล้ามาหาเรื่องก็จะถูกกำปั้นตอบโต้เท่านั้น นี่เป็นนิสัยแบบไหนกัน กระทั่งตนเองพี่เป็นนักฆ่าอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงก็ไม่อาจไม่นับถือ
“พี่ใหญ่!”
ทันใดนั้น อู๋เสวี่ยคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น หันหน้าให้แผ่นหลังของเย่เทียนเฉิน ประสานหมัดคารวะ ท่าทางจริงจังเป็นอย่างมาก เย่เทียนเฉินที่หันกลับมามองอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ในใจคิดว่านี่มันเล่นอะไรกัน?
“นายหมายความว่าอะไร?” เย่เทียนเฉินเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“ผมอยากติดตามพี่ใหญ่ บุกยึดใต้หล้านี้ไปด้วยกัน!” อู๋เสวี่ยมองเย่เทียนเฉินอย่างจริงจังแล้วพูดขึ้น
“บุกยึดใต้หล้า? ฉันไม่มีความทะเยอทะยานแบบนั้นหรอก ฉันก็แค่อยากจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขกับครอบครัวเท่านั้นเอง!” ในใจของเย่เทียนเฉินรู้สึกหวั่นไหว แต่กลับยังคงพูดออกมาพลางมองไปที่อู๋เสวี่ยอย่างเรียบเฉย
“พี่ใหญ่ โปรดอภัยที่ผมต้องพูดตรงๆ ตอนนี้คุณได้กลายเป็นอุปสรรคของเมืองหลวงไปแล้ว ทุกกลุ่มอำนาจอิทธิพลต่างก็ให้ความสนใจ หากให้พูดตามจริง คนคิดอยากจะอยู่สงบสงบก็ทำไม่ได้ เพราะพวกเขาจะไม่ยอมปล่อยคุณไปแน่ ความโอหังบ้าอำนาจของพวกเขา จะไม่อนุญาตให้ใครก็ตามไปแตะต้อง…” อู๋เสวี่ยขมวดคิ้ว มองไปยังดวงตาของเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น
ความจริงแล้ว ในตอนที่หูหลงต้องการจะติดตามตนเองนั้น เย่เทียนเฉินก็คิดถึงการสร้างฐานอำนาจของตนไว้แล้ว หลังจากที่กลับถึงเมืองหลวง เย่เทียนเฉินก็มีใจคิดอยากจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขมาโดยตลอด แต่กลับพบว่าไม่มีทางทำได้เลย มีกลุ่มอำนาจที่อันตรายอยู่มากเกินไป มีตระกูลที่ยโสโอหังอยู่มากเกินไป ทุกอำนาจทุกตระกูลต่างก็ต้องการเหยียบย่ำตระกูลเย่ ต้องการทำให้เย่เทียนเฉินตกอยู่ในความตาย เขาต้องการปกป้องครอบครัวของตน ต้องการปกป้องพ่อแม่และน้องสาวของตน ก็จำเป็นที่จะต้องลงมือ ต้องลงมืออย่างรวดเร็วและรุนแรง ต้องปราบกลุ่มอำนาจยโสโอหังเหล่านี้
ในช่วงยุคสิ้นโลก เย่เทียนเฉินมีฐานะเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษในขอบเขตพระเจ้า เดิมทีก็มีแต่การฆ่าฟันและการพิชิตมาตลอดชีวิต เมื่อได้มาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ ถึงแม้เขาจะหวังว่าจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาเย่เทียนเฉินจะเป็นตัวไร้ประโยชน์ที่รังแกได้ง่าย เขาคิดไว้นานแล้วว่า ในเมื่อมีคนมาหาเรื่อง สองหมัดของเขาก็จะไม่เกรงใจ กลับจะเป็นการเพิ่มความน่าสนใจความตื่นเต้นเล็กน้อยให้กับชีวิตอันน่าเบื่อของเขาด้วย เป็นแบบนี้ก็ไม่เลวนัก จะได้ไม่ทำให้หมัดทั้งสองขึ้นสนิมไปเสียก่อน
ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า เย่เทียนเฉินไม่ใช่ว่าจะไม่เคยคิดถึงเรื่องการสร้างอำนาจของตน ตอนนี้กลุ่มอำนาจใหญ่แต่ละกลุ่มต่างจับจ้องตนเองอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังพบว่ามีเรื่องน่าสนใจมากมาย เช่นการผสานวิชาแห่งพรรควรยุทธโบราณและพลังพิเศษเข้าด้วยกัน จะอย่างไรเขาก็ต้องเผชิญหน้ากับกลุ่มอำนาจมากมาย ไม่ใช่ว่าจะสามารถลงมือเองได้ทุกเรื่อง ถ้าเป็นแบบนั้นก็คงจะต้องวิ่งจนขาหักเข้าจริงๆแล้ว
เพียงแต่ว่าการสร้างอำนาจของตนไม่ได้ง่ายถึงขนาดนั้น ต้องมีคนที่มีความสามารถแข็งแกร่งและซื่อสัตย์ภักดซึ่งหายากยิ่งกว่ายาก เย่เทียนเฉินเคยคิดว่า หากเขาต้องการสร้างอำนาจ ลูกน้องจะต้องเป็นยอดฝีมือชั้นหนึ่งทั้งหมด ดูที่คุณภาพไม่ได้ดูที่ปริมาณ นอกจากจะต้องมีฝีมือดีแล้ว ยังต้องอยู่ในกฎระเบียบและวินัย จะต้องเชื่อฟังคำสั่งอย่างเด็ดขาด และที่สำคัญที่สุดก็คือ ไม่ใช่คนสาระเลวที่หลงใหลในการฆ่าฟัน
“พี่ใหญ่ หลังจากที่ได้ต่อสู้กับคน ผมก็อยากจะติดตามคุณมาตลอด ผมรู้ว่าคุณมีความทะเยอทะยาน แล้วก็มีความสามารถจะทำเช่นนั้นด้วย ผมอู๋เสวี่ยไม่ขออะไร ขอเพียงสามารถสร้างชื่อเสียงได้ สามารถใช้ชีวิตเพื่อกระทำเรื่องราวที่มีความหมายได้เท่านั้น ก่อนหน้านี้ผมเป็นนักฆ่าเพียงเพราะชีวิตบีบบังคับ นั่นไม่ใช่ชีวิตที่ผมต้องการ!” อู๋เสวี่ยเห็นเย่เทียนเฉินยังคงลังเล จึงรีบเอ่ยปากพูดไม่หยุด
“นายจะติดตามฉันจริงๆ เหรอ? ตอนนี้ฉันตัวคนเดียว ไม่มีอำนาจอะไร เป็นไปได้มากว่าจะเดินไปได้ไม่ไกลก็จะตาย แล้วนายเองก็จะตายด้วย!” เย่เทียนเฉินมองอู๋เสวี่ยแล้วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“ผมอู๋เสวี่ยเป็นนักฆ่าอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง ความตายสำหรับผมแล้วไม่ได้น่ากลัวอะไร สิ่งที่น่ากลัวก็คือไม่ได้มีการต่อสู้ที่ทำให้เลือดร้อนตื่นเต้น” อู๋เสวี่ยยังคงมองเย่เทียนเฉินด้วยความแน่วแน่
กล่าวตามจริง เย่เทียนเฉินยังคงคิดอยากจะสร้างอำนาจเป็นของตนเองอยู่บ้าง อยากจะเล่นกับพวกที่ได้ชื่อว่าเป็นอำนาจใหญ่ตระกูลใหญ่เหล่านี้ดูสักหน่อย เพื่อไม่ให้พวกเขาคิดว่าตระกูลเย่ของตนรังแกได้ง่ายเข้าจริงๆ หากพูดถึงตัวเลือกที่จะใช้ในการสร้างอำนาจของตน อู๋เสวี่ยย่อมนับรวมอยู่ในนั้นด้วย มีสมองอันชาญฉลาด มีฝีมืออันแข็งแกร่ง ที่สำคัญที่สุดก็คือก็ทำเรื่องราวอย่างมีหลักการของตนเอง เย่เทียนเฉินชอบคนที่ทำอะไรมีหลักการแบบนี้มาก
“งั้นเอาแบบนี้แล้วกัน พวกเรามาพนันกันเป็นไง?” ทันใดนั้นเย่เทียนเฉินยิ้มออกมาอย่างนึกสนุกแล้วเอ่ยขึ้น
“พนัน? พนันอะไรครับ?” อู๋เสวี่ยเอ่อด้วยความสงสัย
“ถ้าหากว่าภายในสามเดือนนี้ นายสามารถรวบรวมยอดฝีมือที่มีความสามารถไม่เลวได้กลุ่มหนึ่ง ฉันก็จะรับนายมาเป็นน้อง ให้นายติดตามฉันไปท้าทายุทธภพด้วยกัน หากว่าทำไม่ได้ ฉันก็ไม่อยากจะเห็นนายปรากฏตัวอีก!” เย่เทียนเฉินพูดพลางมองอู๋เสวี่ย มุมปากปรากฏรอยยิ้มออกมา
อู๋เสวี่ยตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ถึงแม้ว่าในใจเขาจะรู้สึกยินดีมาก เพราะเขาเชื่อมั่นว่าหากเย่เทียนเฉินลงมือจะต้องสามารถสร้างอำนาจที่ยิ่งใหญ่ออกมาได้อย่างแน่นอน และสามารถคุกคามอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่เหล่านั้นได้ ทำให้พวกเขาไม่คิดเหลิงในอำนาจอีก เช่นนั้นจะต้องสนุกมากแน่ๆ เพียงแต่เย่เทียนเฉินต้องการให้ตนเองรวบรวมยอดฝีมือที่มีความสามารถไม่เลวมากลุ่มหนึ่งภายในสามเดือน ความจริงแล้วค่อนข้างยากอยู่บ้าง ในสังคมปัจจุบันนี้ ถึงแม้ว่าจะมียอดฝีมือที่ซ่อนเร้นอยู่จำนวนมาก เช่นยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณและผู้มีพลังพิเศษ แต่หากต้องการเชิญคนเหล่านี้มาก็ไม่ง่ายเช่นนั้น
“เป็นไง? ทำได้หรือเปล่า?” เย่เทียนเฉินเอ่ยถาม
“ไม่มีปัญหา พี่ใหญ่ มีบางคำที่ผมอยากจะพูดต่อหน้าคุณ หากว่ามีวันหนึ่งที่ฝีมือของคุณสู้ผมไม่ได้ ผมอู๋เสวี่ยก็จะจากไป หรือกระทั่งฆ่าคุณซะ!” อู๋เสวี่ยมองเย่เทียนเฉินยังเด็ดเดี่ยวแล้วพูดขึ้น
“ได้ มีความเด็ดเดี่ยวดี แต่ว่าฉันจะไม่ให้วันนั้นมาถึงหรอก!” เย่เทียนเฉินพูดแล้วหัวเราะเสียงดัง
“พี่ใหญ่!” อู๋เสวี่ยพูแล้วหัวเราะออกมาเช่นกัน
“ดีมากไอ้น้องชาย!”
เย่เทียนเฉินตบไหล่อู๋เสวี่ย มีผู้ช่วยอย่างอู๋เสวี่ยทำให้เย่เทียนเฉินดีใจมาก การสร้างอำนาจของตนเป็นสิ่งที่ไม่อาจเลี่ยงได้ ในตอนนี้อำนาจที่เป็นศัตรูกับเย่เทียนเฉินมากขึ้นทุกวัน เขาเพียงคนเดียวต่อให้จะร้ายกาจมากเพียงใด หากต้องรับมือรอบด้านก็คงไม่อาจทำได้ ตอนนี้จำเป็นจะต้องมีเหล่าพี่น้องที่มีจิตใจภักดีสักกลุ่มหนึ่งติดตามเขา และทำเรื่องต่างๆให้เขา
เสี้ยวหยาและหลิงอวี่สวิ๋นรอเย่เทียนเฉินอยู่ที่ประตูใหญ่ของโรงพยาบาลแห่งเมืองหลวงเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว ถึงจะเห็นเขาเดินออกมาจากสวนหย่อม หลิงอวี่สวิ๋นมองนาฬิกา เกือบจากบ่ายโมงแล้ว อดไม่ได้ที่จะทำแก้มป่องขึ้น มองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างดุดันแล้วพูดว่า “ทำอะไรน่ะ นานขนาดนี้เชียว?”
“ไปฉี่มา!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“นาย…น่ารังเกียจ!” หลิงอวี่สวิ๋นด่ากราด
เย่เทียนเฉินหัวเราะเสียงดังแล้วเดินไปข้างหน้า หลิงอวี่สวิ๋นมองเย่เทียนเฉินหนังเหยียดหยาม กำมืออันขาวนวลแน่น อยากจะต่อยเย่เทียนเฉินให้ตายจริงๆ ส่วนเสี้ยวหยารู้สึกสับสนในใจ ในตอนนี้เธอกำลังคิดถึงคำพูดของแม่ มองแผ่นหลังที่ดูคล้ายอันธพาลของเย่เทียนเฉิน เธอไม่รู้ว่าตนเองคิดอย่างไรกันแน่ ชอบเย่เทียนเฉิน รักเย่เทียนเฉิน หรือ…
หลังจากที่กินข้าวกลางวันเสร็จแล้ว เย่เทียนเฉินและเสี้ยวหยาก็นั่งรถสปอร์ตของหลิงอวี่สวิ๋นไปยังมหาวิทยาลัยหลงเถิง ในตอนนี้เองที่ประตูมหาวิทยาลัยหลงเถิง มีคนรอเย่เทียนเฉินอยู่นานแล้ว เตรียมที่จะสร้างความอัปยศให้เย่เทียนเฉินต่อหน้าผู้คน กระทั่งเตรียมที่จะฆ่าเขา
เมื่อรถสปอร์ตของหลิงอวี่สวิ๋นจอดอยู่หน้าประตูมหาวิทยาลัยหลงเถิง ทันใดนั้นบอดี้การ์ดสูทดำสิบกว่าคนก็มาล้อมรถสปอร์ตเอาไว้ หลิงอวี่สวิ๋นขมวดคิ้ว ตระกูลหลิงของเธอเป็นตระกูลที่มีอำนาจอยู่บ้าง และไม่ใช่ตระกูลที่จะถูกผู้อื่นรังแกงได้ตามใจ
“พวกนายเป็นใคร? คิดจะทำอะไร?” หลิงอวี่สวิ๋นเอ่ยถามเสียงต่ำ
“คุณหนูหลิง พวกเราไม่อยากทำให้คุณลำบากใจ คนที่มีธุระกับพวกเราก็คือเย่เทียนเฉิน!” บอดี้การ์ดชุดดำคนหนึ่งพูดขึ้นพลางมองเย่เทียนเฉินอย่างเย็นชา
“เขาเป็นเพื่อนของฉัน พวกนายมีเรื่องอะไรก็มาคุยกับฉันนี่!” หลิงอวี่สวิ๋นชะงักไปเล็กน้อย คิดถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่งแต่กลับยังคงช่วยเหลือเย่เทียนเฉิน
“คุณชายเซวียนเยวี๋ยนเถิงกลับมาแล้ว เรื่องนี้คุณหนูหลิงรับผิดชอบไม่ไหวหรอกครับ พวกเราไม่อยากจะทำให้คุณลำบากใจ ให้เย่เทียนเฉินไปกับพวกเราเถอะ!” บอดี้การ์ดที่เอ่ยปากพูดคนแรกยังคงพูดต่อไป
“อะไรนะ? เซวียนเยวี๋ยนเถิงกลับมาแล้ว?” หลิงอวี่สวิ๋นกดไม่ได้ที่จะตกตะลึง เธอคิดไม่ถึงว่าเซวียนเยวี๋ยนเถิงจะกลับมาเร็วขนาดนี้ ท่าทางเย่เทียนเฉินจะทำให้เขาโกรธจริงๆแล้ว เซวียนเยวี๋ยนเถิงกลับมาเพื่อหาเรื่องเย่เทียนเฉิน
“ถูกแล้วครับ ความหมายของคุณชายเซวียนเยวี๋ยนเถิงชัดเจนมาก ต้องการให้เย่เทียนเฉินตาย ใครก็ช่วยเขาไม่ได้!”
คำพูดของบอดี้การ์ดชุดดำคนนั้นเย็นยะเยือกและมีอำนาจมาก ราวกับว่าความเป็นความตายของเย่เทียนเฉินถูกเซวียนเยวี๋ยนเถิงตัดสินไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น เซวียนเยวี๋ยนเถิงต้องการให้ใครตาย คนนั้นก็ไม่รอด
“กลับไปบอกเซวียนเยวี๋ยนเถิงว่าให้เขามาหาฉันเอง ไม่งั้นเขาจะเสียใจ!
ในตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินเดินลงมาจากรถสปอร์ต มุมปากประดับไปด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย ทุกครั้งที่เขาคิดจะลงมือฆ่า ต่างก็มีรอยยิ้มเช่นนี้ปรากฏออกมาทั้งสิ้น
………………………
น่าสงสารคนเป็นแม่ในโลกนี้ หากไม่ใช่เพราะอาการป่วยของตนแม่ของเสี้ยวหยาก็คงไม่รีบร้อนให้ลูกสาวหาคู่ชีวิตที่มีความจริงใจต่อเธอ บางทีมีเพียงคนที่ยืนอยู่ในฐานะแม่อย่างแม่ของเสี้ยวหยาเท่านั้นที่จะเข้าใจอารมณ์ของคนเป็นแม่เช่นนี้
เสี้ยวหยาเป็นผู้หญิงที่สวยงามและไร้เดียงสาคนหนึ่ง ตั้งแต่เล็กจนโตก็เชื่อฟังและรู้ความ ในด้านความรักก็ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน แน่นอนว่าก่อนหน้านี้ไม่มีผู้ชายคนไหนที่สามารถทําให้เธอหวั่นไหวได้เลย ชายใดบ้างที่จะไม่มากรัก หญิงใดบ้างที่จะไม่อยู่ในห้วงแห่งความรัก ขอเพียงเป็นมนุษย์ก็ไม่อาจหลุดพ้นกิเลสตัณหาไปได้ ความแตกต่างระหว่างคนกับสัตว์ก็คือความรู้สึก
เพียงแต่ว่าจะอย่างไรเสี้ยวหยาก็คิดไม่ถึงว่า แม่ของเธอจะพูดประโยคนี้ออกมาอย่างกะทันหัน แล้วยังพูดต่อหน้าเย่เทียนเฉินอีกต่างหาก ทำให้ทั้งสองค่อนข้างรู้สึกลำบากใจ
เสี้ยวหยาไม่อาจพูดได้ว่าไม่มีความรู้สึกใดต่อเย่เทียนเฉินแล้ว และไม่อาจพูดได้ว่าไม่มีความรักใคร่ เพียงแต่ไม่ใช่อารมณ์รุนแรงเช่นนั้น ระหว่างทั้งสองไม่นับว่าโรแมนติกอะไรมากมาย ครั้งแรกที่ได้พบหน้ากัน เสี้ยวหยาก็เห็นเย่เทียนเฉินสั่งสอนเซวียนเยวี๋ยนอวี่เพื่อออกหน้าแทนเธอ การช่วยเหลือของเย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋นที่มีต่อเธอ ทำให้เสี้ยวหยารู้สึกซาบซึ้งมาก ความรู้สึกที่มากที่สุดจึงหยุดลงเพียงแค่สถานะของเพื่อนสนิทเท่านั้น
เพียงแต่เมื่อผ่านประสบการณ์เมื่อคืนมาแล้ว ทำให้เสี้ยวหยาไม่อาจลืมเลือนไปได้ชั่วชีวิต ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย เย่เทียนเฉินปกป้องตนเองราวกับมัจจุราช เผชิญหน้ากับอันธพาลที่ใช้มีดตัดฟืนสามร้อยกว่าคนโดยไม่ยอมถอยแม้เพียงครึ่งก้าว ความรู้สึกที่ถึงตายก็จะปกป้องตนเองให้ได้นั้น เสี้ยวหยาสามารถสัมผัสได้จากในใจ ผู้ชายเช่นนี้บางทีอาจจะพบแค่ครั้งเดียวในชีวิต
สิ่งที่ทำให้เสี้ยวหยาคิดไม่ถึงก็คือ เมื่อได้เห็นเย่เทียนเฉินตกอยู่ในอันตราย เธอจะเป็นห่วงขนาดนั้น และไปขวางมีดให้เขาโดยที่ไม่สนใจตนเอง
เมื่อคลื่นทะเลซัดสาด จึงเห็นธาตุแท้แห่งจอมคน การพานพบภัยอันตรายด้วยกัน จึงจะเป็นน้ำใสใจจริงแห่งโลกมนุษย์
ดังนั้นสามารถกล่าวได้ว่า ความรู้สึกที่เสี้ยวหยามีต่อเย่เทียนเฉินในตอนนี้ค่อนข้างจะแปลกประหลาด ทั้งชอบ ซาบซึ้ง และหวั่นไหว เสี้ยวหยาที่แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยมีความรักสนใจเพียงแต่การเรียนมาโดยตลอด จึงไม่สามารถเข้าใจชัดเจนว่าตนเองในตอนนี้คิดอย่างไรกันแน่
“อ้อ มะ ไม่เป็นไร เทียนเฉิน อย่ายืนอยู่เลย นั่งเถอะ!” แม่ของเสี้ยวหยาได้สติกลับมา จึงค่อยพูดออกมาด้วยรอยยิ้มกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
“ไม่เป็นไรครับ ผมยืนก็ดีแล้ว!” เย่เทียนเฉินพูดแล้วส่ายหน้า
เป็นเพราะคำพูดของแม่ของเสี้ยวหยา ทั้งสองจึงได้กระอักกระอ่วน ในใจของแต่ละคนก็คิดเรื่องในใจ ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ทำให้บรรยากาศภายในห้องผู้ป่วยค่อยๆ กลายเป็นกดดันขึ้นมา ทุกคนต่างก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี ทุกครั้งที่เย่เทียนเฉินและเสี้ยวหยาสบตากัน เย่เทียนเฉินก็ทำได้เพียงยิ้มให้อย่างอึดอัด ส่วนเสี้ยวหยาก็หน้าแดงอย่างไร้เดียงสา
ปัง!
ประตูห้องผู้ป่วยถูกผลักออก หลิงอวี่สวิ๋นหอบกล่องของขวัญกองหนึ่งเดินเข้ามา เมื่อเห็นว่าเย่เทียนเฉินและเสี้ยวหยาต่างก็อยู่ด้านในจึงอดไม่ได้ที่จะมองไปยังเย่เทียนเฉินด้วยความสนใจแล้วพูดขึ้นว่า “นายนี่กระตือรือร้นดีจริงๆ เลย ฉันว่าฉันมาเช้าที่สุดแล้วนะ คิดไม่ถึงว่านายยังจะมาเช้ากว่าฉันอีก!”
“นี่ยังเรียกว่าเช้าอีกเหรอ? ใกล้จะสิบเอ็ดโมงแล้ว คุณหนูอย่างเธอนี่นอนขี้เกียจนานเลยสิท่า? ถ้าขี้เกียจมากเกินไปวันหน้าจะแต่งไม่ออกจริงๆ ด้วย!” เย่เทียนเฉินส่ายหน้า แสร้งทำท่าทางสงสารแล้วพูดออกมา
“ใครเขานอนขี้เกียจกัน ฉันตื่นมาก็อาบน้ำแล้วก็ขับรถมาเลย ไม่เหมือนคนบางคน ไม่รู้ว่าไม่อาบน้ำมากี่ร้อยปีแล้ว!” หลิงอวี่สวิ๋นมองไปที่เย่เทียนเฉินอย่างกวนๆ แล้วพูดขึ้น
“เธอรู้เหรอว่าฉันไม่อาบน้ำมากี่ร้อยปีแล้ว? หรือว่าเธอเข้าห้องน้ำพร้อมฉัน?” เย่เทียนเฉินพูดอย่างไม่ยอมอ่อนข้อให้เลยแม้แต่น้อย
“ไอ้บ้า ไอ้บ้ากาม!” หลิงอวี่สวิ๋นพูดขึ้น จ้องมองไปที่เย่เทียนเฉินด้วยสายตาดุดัน
เมื่อหลิงอวี่สวิ๋นและเย่เทียนเฉินเจอหน้ากันก็ปะทะฝีปากกันทันที ไม่มีใครยอมลงให้ใคร ให้ความรู้สึกเหมือนกับฉีหรูเสวี่ยในตอนแรก ผู้หญิงในปัจจุบันนี้ โดยเฉพาะผู้หญิงสวย จะมากจะน้อยก็ต้องอารมณ์ร้อนกันบ้าง เมื่อเทียบหลิงอวี่สวิ๋นกับฉีหรูเสวี่ยแล้ว หลิงอวี่สวิ๋นยังทำให้เย่เทียนเฉินปวดหัวได้มากกว่าเสียอีก เธอกับเขาเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก ความรู้สึกนั้นค่อนข้างจะพิเศษ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถมองข้ามหลิงอวี่สวิ๋นได้ ทำได้เพียงปะทะฝีปากกับเธอมาโดยตลอด
เสี้ยวหยาเห็นหลิงอวี่สวิ๋นและเย่เทียนเฉินเจอหน้ากันก็ทะเลาะกันทันที บรรยากาศพลันอบอุ่นขึ้นมา ทุกคนไม่ได้ระมัดระวังตัวอะไรขนาดนั้นแล้ว ในใจรู้สึกอิจฉาอยู่บ้านจริง อิจฉาที่พวกเขาไร้ความกังวล
เพียงไม่นาน ภายในห้องผู้ป่วยที่แม่ของเสี้ยวหยาอยู่ก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้น เมื่อมีหลิงอวี่สวิ๋นที่เป็นคนร่าเริงเพิ่มเข้ามา บรรยากาศจึงไม่หม่นหมอง ทั้งสี่พูดคุยกันอย่างมีความสุข จนกระทั่งถึงเวลาประมาณเที่ยง พ่อของเสี้ยวหยาก็มาส่งอาหาร เย่เทียนเฉิน เสี้ยวหยาและหลิงอวี่สวิ๋นจึงจะเดินออกไปจากโรงพยาบาลแห่งเมืองหลวง
เมื่อเดินออกมาจากโรงพยาบาล เย่เทียนเฉินก็มองไปยังเสี้ยวหยาด้วยความกังวลแล้วเอ่ยถามว่า “หยาเอ๋อร์ เธอไม่เป็นไรใช่ไหม?”
ถึงแม้บาดแผลที่หลังของเสี้ยวหยาจะไม่ลึก หลังจากที่เลือดหยุดไหลแล้วก็ไม่มีอะไรร้ายแรง แต่ก็ควรจะเจ็บมาก อย่างไรก็เป็นบาดแผลจากมีด ดังนั้นในตอนที่พูดคุยกัน เย่เทียนเฉินจึงมองไปยังเสี้ยวหยาเป็นระยะ ด้วยกลัวว่าเธอจะรู้สึกปวดเพราะบาดแผล
“ไม่เป็นไร ไม่เจ็บ!” เสี้ยวหยายิ้มพลางส่ายหน้าแล้วเอ่ยขึ้น
หลิงอวี่สวิ๋นที่เดินอยู่ข้างกายของเสี้ยวหยารู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย เธอไม่รู้ว่าเมื่อคืนเย่เทียนเฉินและเสี้ยวหยาไปเจออะไรมา เนื้อหาในบทสนทนาของเย่เทียนเฉินและเสี้ยวหยาหมายถึงอะไรกันแน่
“พวกเธอ…หรือว่าพวกเธอสองคน…จะ…กันแล้ว? เร็วจริงๆเลย…” ทันใดนั้นหลิงอวี่สวิ๋นพลันคิดถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่งออกมา จึงมีท่าทางตกใจจนหน้าซีด เอ่ยถามขึ้นมาด้วยคำพูดติดอ่าง
“หือ? พี่อวี่สวิ๋น พี่หมายถึงอะไรคะ?” เสี้ยวหยาเอ่ยถามพลางมองไปยังหลิงอวี่สวิ๋นด้วยความสงสัย
“เมื่อคืนพวกเธอสองคนไปเปิดห้องกันใช่ไหม? ไอ้บ้านี่ทำเธอ…”หลิงอวี่สวิ๋นแลบลิ้นออกมา
เมื่อได้ยินคำพูดของหลิงอวี่สวิ๋น เย่เทียนเฉินและเสี้ยวหยาก็เกือบจะสะดุดล้มลงกับพื้น ทำไมพวกเขาจะคิดไม่ได้ว่าหลิงอวี่สวิ๋นเกิดความคิดชั่วร้ายขึ้นมาเพราะไม่เข้าใจในบทสนทนาของพวกเขา แน่นอนว่านี่ต้องโทษคำพูดของเย่เทียนเฉินและเสี้ยวหยาที่ทำให้คนอื่นเข้าใจไปในเรื่องนั้นได้ง่าย คนนึงพูดว่าเธอไม่เป็นไรใช่ไหม อีกคนพูดว่าไม่เจ็บ เหมือนกับบทสนทนาระหว่างหญิงชายที่เปิดห้องกันเป็นครั้งแรก
“ความคิดของเธอจะลามกเกินไปแล้ว ให้เกียรติใบหน้าสวยๆ ของเธอด้วยเถอะ!” เย่เทียนเฉินเคาะหัวหลิงอวี่สวิ๋นครั้งหนึ่งแล้วพูดขึ้น
“โอ๊ย ไอ้บ้า หาเรื่องหรือไง? หรือว่าเมื่อคืนพวกเธอสองคนไม่ได้…งั้นทำไมถึงถามแบบนั้นออกมาล่ะ?” หลิงอวี่สวิ๋นจ้องไปยังเย่เทียนเฉินอย่างดุดันแล้วพูดขึ้น
“ใช่ที่ไหนกันคะพี่อวี่สวิ๋น ไม่ใช่แบบที่พี่คิดนะคะ ไม่มีเรื่องแบบนั้น!” ใบหน้าเล็กๆ ของเสี้ยวหยาแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย ถึงแม้ว่าเธอจะไม่มีประสบการณ์เรื่องระหว่างชายหญิงมาก่อนแต่ก็ฟังความหมายในคำพูดของหลิงอวี่สวิ๋นออก
“งั้นทำไมพวกเธอถึงได้…”
“นี้เป็นความลับระหว่างเราสองคน ไม่บอกเธอหรอก ฮ่าๆ!” เย่เทียนเฉินพูดแล้วหัวเราะขึ้น
“นาย…ใครอยากจะรู้กัน หึ!” หลิงอวี่สวิ๋นมองไปยังเย่เทียนเฉินด้วยความไม่พอใจ
เมื่อเย่เทียนเฉิน เสี้ยวหยาและหลิงอวี่สวิ๋นเพิ่งจะเดินออกมาถึงประตูใหญ่ของโรงพยาบาลแห่งเมืองหลวง ทันใดนั้นเย่เทียนเฉินก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันแปลกประหลาดอย่างหนึ่ง ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะรีบเก็บซ่อนในทันที แต่จิตสังหารที่แข็งแกร่งขนาดนั้น ยังคงไม่สามารถหลบซ่อนจากพลังพิเศษแห่งการรับรู้ของเย่เทียนเฉินได้
เย่เทียนเฉินมองไปยังศาลาพักผ่อนด้านซ้ายมือ บริเวณนั้นเป็นสวนหย่อมเล็กๆแห่งหนึ่ง เป็นสถานที่ที่จัดเตรียมไว้ให้คนที่มารักษาที่โรงพยาบาลแห่งเมืองหลวงได้พักผ่อน จิตสังหารอันแข็งแกร่งเช่นนั้นแพร่ออกมาจากในสวนหย่อม เย่เทียนเฉินคิดอยู่ครู่หนึ่ง ยิ้มให้เสี้ยวหยาและหลิงอวี่สวิ๋นพลางพูดขึ้นว่า “ผู้หญิงอย่างพวกเธอสองคนรอฉันสักหน่อยนะ เดี๋ยวฉันมา!”
“นี่ ไอ้บ้า นายจะไปไหน? คงไม่คิดที่จะหาเรื่องโดดไม่ยอมจ่ายเงินค่าอาหารหรอกนะ…” คำพูดของหลิงอวี่สวิ๋นยังไม่ทันจบ เย่เทียนเฉินก็เดินตรงไปที่สวนหย่อมแล้ว
เย่เทียนเฉินเดินไปทางสวนหย่อมและค่อยๆ กระตุ้นความสามารถพิเศษในขอบเขตจอมราชันของตนอย่างช้าๆ จิตสังหารที่เขาสัมผัสได้ไม่ธรรมดาเลย อีกฝ่ายจะต้องเป็นยอดฝีมือคนหนึ่งอย่างแน่นอน
ฉัวะ!
เพิ่งจะเดินเข้าไปในสวนหย่อม ก็มีคนลอบโจมตีเย่เทียนเฉิน เป็นหมัดที่รุนแรงมาก ซัดมายังศีรษะของเย่เทียนเฉิน เง่าร่างหนึ่งโจมตีมาจากบนอากาศราวกับเหยี่ยวสยายปีก มุมปากของเย่เทียนเฉินแย้มยิ้มเล็กน้อย มือขวากำแน่น ไม่หลบไม่ซ่อน ซัดหมัดออกไปปะทะเช่นเดียวกัน
ตู้ม!
เสียงดังสนั่นเกิดขึ้น เงาร่างที่ปล่อยหมัดออกมาลอบโจมตีเย่เทียนเฉินถูกมัดของเย่เทียนเฉินปะทะเข้าอย่างรุนแรง จากนั้นจึงกระเด็นพลิกกตัวไปด้านหลังแล้วตกลงสู่พื้น เย่เทียนเฉินไม่ได้ไล่ตามไปโจมตี ทำเพียงยืนมองคนตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเขา
“ไม่ได้เจอกันพักหนึ่งแล้ว มวยสิงอี้ของนายพัฒนาขึ้นนะ ท่าทางจะฝึกฝนอย่างยากลำบากนาน!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม
“ฉันอู๋เสวี่ยที่เคยเป็นนักฆ่าอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง ต่อให้พยายามอย่างเต็มที่ก็ไม่ใช่คู่มือของนาย นายแข็งแกร่งจริงๆ”
ผู้มาเยือนก็คืออู๋เสวี่ย ซึ่งอยู่นอกเหนือความคาดหมายของเย่เทียนเฉินไปมาก ในความทรงจำเกรงว่าจะมีแค่อู๋เสวี่ยเพียงคนเดียวถึงจะสามารถแผ่จิตสังหารที่แข็งแกร่งขนาดนั้นออกมาได้ นี่เป็นสัญลักษณ์ของนักฆ่าชั้นยอด
เพียงแต่เย่เทียนเฉินไม่เข้าใจ เขากับอู๋เสวี่ยไม่มีความเกี่ยวพันกันมากนัก อู๋เสวี่ยเคยถูกลั่วซงเฉิงใช้ผลประโยชน์เข้าข่มขู่และบีบบังคับให้มาฆ่าเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินเองก็ชื่นชมในความสามารถและนิสัยของอู๋เสวี่ย ดังนั้นจึงไม่ได้ฆ่าเขา สุดท้ายก็ตกลงกันว่าจะช่วยพ่อของอู๋เสวี่ยออกมาจากคุก จากนั้นระหว่างคนทั้งสองก็ไม่ได้มีการติดต่อใดๆ กันอีก หากว่ากันตามเหตุผลคงไม่มีวันจะได้พบหน้ากันอีก แต่ตอนนี้ดูท่าแล้วอู๋เสวี่ยกลับมารอเย่เทียนเฉินอยู่ที่นี่โดยเฉพาะ
“นายมาหาฉันมีเรื่องอะไรเหรอ? มีเรื่องอะไรก็พูดมา ฉันยังต้องไปกินข้าวเป็นเพื่อนสาวสวยทั้งสองคนนั้นอีก!” เย่เทียนเฉินเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“ฉันมาเพราะอยากจะบอกนายว่า เซวียนเยวี๋ยนเถิงกลับมาที่เมืองหลวงแล้ว มาถึงตอนเจ็ดโมงเช้า เขาจะมาฆ่าเพื่อนายโดยเฉพาะ!” อู๋เสวี่ยมองเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น
“งั้นเหรอ? งั้นก็ดีเลย ฉันจะได้ไม่ต้องกังวลว่าเขาจะไม่กล้าโผล่หน้าออกมา รู้จักแต่วางแผนร้ายอยู่ข้างหลัง!” เย่เทียนเฉินยังคงพูดด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม
อู๋เสวี่ยมองเย่เทียนเฉินครั้งหนึ่ง หลังจากที่ได้ต่อสู้กับเย่เทียนเฉิน อู๋เสวี่ยก็นับถือเย่เทียนเฉินจากใจ ถึงแม้คนๆ นี้จะมีบางเวลาที่ดูไม่เอาไหน นิสัยก็ค่อนข้างตามสบาย แต่กลับมีบรรยากาศที่ทำให้คนไม่กล้าดูเบา
……………………….
ได้ยินพูดไม่เข้าหูประโยคเดียวก็ฆ่าคน โอหังบ้าอำนาจ ไร้มนุษยธรรม คำเหล่านี้สามารถใช้บรรยายเซวียนเยวี๋ยนเถิงได้เป็นอย่างดี เขาไม่ได้บ้า ไม่ได้หยิ่ง แต่ไม่มีความเป็นมนุษย์ ไม่เห็นใครอยู่ในสายตาโดยสิ้นเชิง
คนที่อยู่ในเหตุการณ์ล้วนเป็นคนที่มีฐานะอยู่บ้าง และนับว่าเป็นคนที่มีอำนาจ แต่กลับถูกเซวียนเยวี๋ยนเถิงทำเอาตกใจ
ใครก็คิดไม่ถึงว่าเซวียนเยวี๋ยนเถิงที่ฆ่าคนเพียงเพราะประโยคเดียว จะใจแคบจนถึงขั้นนี้ เห็นชีวิตคนเป็นเพียงของเล่น คนประเภทนี้จะช้าจะเร็วก็ต้องดึงดูดความโกรธเกรี้ยวมาสู่ตนเองและจะไม่ได้ตายดีแน่นอน
“ทำไม? พวกแกไม่พอใจเรอะ ยังมีใครอยากตายอีกหรือไง?”
เขายิ้มอย่างเย็นชาพลางใช้สายตากวาดมองไปยังคนรอบๆ ราวกับว่าไม่ว่าใครก็ตามที่มองเห็นเขาล้วนต้องหลบทางให้เขา ล้วนต้องหวัดกลัวเขาอย่างไรอย่างนั้น
หลายคนมีความหวาดกลัวปรากฏบนใบหน้า ทำได้เพียงโมโหอยู่ในใจแต่ไม่กล้าพูดออกมา
ชายคนนี้ถูกเซวียนเยวี๋ยนเถิงฆ่าเพียงเพราะประโยคเดียว บอดี้การ์ดชุดดำที่ยืนอยู่ข้างหลังเซวียนเยวี๋ยนเถิงทั้งแปดคนล้วนเป็นยอดฝีมือชั้นนำ มีฝีมือแข็งแกร่งมาก คอยปกป้องคุ้มครองอยู่ข้างกายเซวียนเยวี๋ยนเถิง
นี่เป็นข้อพิสูจน์ให้เห็นถึงความตื้นลึกหนาบางของตระกูลในโลกเบื้องหลัง ไม่อาจดูเบาได้เลยจริงๆ ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนจะแข็งแกร่งขนาดไหนก็ไม่มีใครที่สามารถพูดได้อย่างชัดเจนมานานแล้ว
คนที่ล้อมดูอยู่รอบๆ ต่างก็พากันเดินจากไป มุมปากของเซวียนเยวี๋ยนเถิงปรากฏรอยยิ้มลำพองใจขึ้น นั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟา สูบซิการ์เข้าไปเฮือกหนึ่ง มองหญิงขายบริการระดับสุดยอดตรงหน้าด้วยรอยยิ้มหื่นกระหาย พูดออกมาด้วยความเรียบเฉยว่า
“เข้ามาอมให้ฉันซะ…”
หญิงขายบริการชั้นหนึ่งคนนั้นอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ถึงแม้เธอจะเป็นหญิงขายบริการชั้นสูงที่พบเจอคนใหญ่คนโตมาไม่น้อย และเจอสถานการณ์ต่างๆ มามาก แต่คนที่ยโสโอหังขนาดเซวียนเยวี๋ยนเถิงนั้นเป็นคนที่บริการได้ยากมาก และไม่กล้าที่จะล่วงเกิน
ในตอนนี้เซวียนเยวี๋ยนเถิงถึงกับต้องการให้เธอใช้ปากประกอบกามกิจให้เขาต่อหน้าสาธารณชน นี่มันช่าง…ช่างไม่เห็นเธอเป็นมนุษย์เลยจริงๆ
ถึงแม้ว่าสีหน้าของหญิงขายบริการชั้นหนึ่งคนนี้จะดูไม่ดีนัก กระทั่งมีความโมโหโกรธเคืองอยู่ในใจ ต่อให้ตนขายบริการแต่ก็มีความเคารพในตนเอง ต่อให้ตนจะขายบริการก็มีศักดิ์ศรี การถูกเหยียบย่ำตามใจชอบเช่นนี้ใครก็รับไม่ไหว
ถึงจะพูดว่ารับไม่ไหวแต่ก็ต้องรับให้ได้ หญิงขายบริการที่ไม่มีอำนาจไม่มีอิทธิพลแบบพวกเธอ ต่อให้จะเป็นหญิงขายบริการชั้นหนึ่ง แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่มีฐานะแบบเขาก็ยังต้องก้มหน้ายอมอย่างไร้ศักดิ์ศรี ให้ทำอย่างไรก็ต้องทำอย่างนั้น
ขนาดดาราสาวชั้นสูงระดับต้นๆ ที่มีชื่อเสียงทั้งในและต่างประเทศเหล่านั้น ตอนกลางวันเห็นว่างดงามเป็นประกาย ตอนกลางคืนไม่รู้ว่าต้องกรีดร้องมากน้อยแค่ไหน ไม่รู้ว่าถูกเหล่าข้าราชการที่มีอำนาจและอิทธิพลที่แท้จริงข่มเหงไปกี่ครั้ง
“นี่…คุณชายเซวียนเยวี๋ยน นี่เกรงว่าจะไม่ค่อย ไม่ค่อยดีหรือเปล่าคะ?” หญิงขายบริการชั้นยอดคนนั้นพูดขึ้นอย่างระมัดระวัง
“ไม่มีอะไรไม่ดี เร็วๆ เถอะ…” เซวียนเยวี๋ยนเถิงพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม ไม่มีมนุษยธรรมเลยแม้แต่นิดเดียว
ไม่มีทางเลือก หญิงขายบริการชั้นยอดคนนั้นเคยบริการเซวียนเยวี๋ยนเถิงมาก่อน จึงรู้ถึงนิสัยคุณชายใหญ่คนนี้ดี คำพูดที่ตนเองกล่าวไปเมื่อสักครู่นี้ไม่ได้ทำให้เขาโกรธก็นับว่าโชคดีมากแล้ว หากยังจะพูดอะไรออกไปอีกแม้แต่ครึ่งคำ เกรงว่าจะถูกเขาฆ่าตายได้
หญิงขายบริการคนนั้นย่อกายลงอย่างเชื่องช้า คุกเข่าลงเบื้องหน้าเซวียนเยวี๋ยนเถิง ต่อให้เป็นหญิงขายบริการแต่ก็เขินอายจนใบหน้าแดงก่ำไปนานแล้ว ค่อยๆ รูดซิปกางเกงของเขาลง ยื่นมือออกไปเตรียมจะควักเซวียนเยวี๋ยนน้อยออกมาอมเข้าไปในปาก ต่อให้จะอายมากขนาดไหน จะโกรธมากขนาดไหน ก็ไม่กล้าไม่ทำ เพราะชีวิตย่อมสำคัญกว่า
ไหนเลยจะรู้ว่า ในตอนที่หญิงขายบริการคนนั้นค่อยๆ จับกุมเซวียนเยวี๋ยนน้อย เตรียมจะควักออกมาเริ่มการกระทำนั้น บอดี้การ์ดในชุดสูทสีดำอายุน้อยคนหนึ่งวิ่งเข้ามาภายในคลับหรูหราแห่งนี้จนมาถึงข้างกายเซวียนเยวี๋ยนเถิง พูดกระซิบข้างหูว่า
“คุณชายใหญ่ ที่เมืองหลวงมีข่าวมา…”
“จะต้องเป็นข่าวดีแน่นอน อาหู่ฆ่าเย่เทียนเฉินแล้วใช่ไหม บอกมาเถอะไม่ต้องกังวลไป แค่เย่เทียนเฉินตัวเล็กๆ คนหนึ่งเท่านั้น แค่คนที่ตระกูลตกต่ำไปนานแล้วก็เท่านั้น ฉันแค่ขยับนิ้วก็เก็บกวาดมันได้แล้ว!
เซวียนเยวี๋ยนเถิงพูดขัดคำพูดของลูกน้องที่วิ่งเข้ามาเพื่อรายงานสถานการณ์ ด้วยนึกว่าอาหู่ฆ่าเย่เทียนเฉินไปแล้วและเกิดข่าวลือออกมา จึงรู้สึกยินดียิ่งนัก
“ไม่ ไม่ใช่ครับ คุณชายใหญ่ อาหู่…อาหู่แพ้แล้วครับ…” ลูกน้องที่เข้ามารายงานสถานการณ์คนนั้นพูดเสียงเบาด้วยความหวาดกลัว
“อะไรนะ? เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด แกไปได้ยินข่าวเท็จมาจากไหน” เซวียนเยวี๋ยนเถิงขมวดคิ้ว เอ่ยถามออกไปด้วยความโกรธที่เพิ่มมากขึ้นหลายส่วน
“ปะ เป็นความจริงครับ ได้รับการยืนยันมาแล้ว ภารกิจของอาหู่ล้มเหลว…”
เซวียนเยวี๋ยนเถิงตวาดออกมาครั้งหนึ่ง ลุกขึ้นยืนจากบนโซฟา หญิงขายบริการที่นั่งคุกเข่าอยู่ระหว่างขาของเขาก็รีบลุกขึ้นยืนแล้วถอยออกไปยืนทางด้านหนึ่ง หวาดเกรงว่าเขาจะระเบิดโทสะและมาระบายกับตน
เซวียนเยวี๋ยนเถิงจับเนคไทร์ของลูกน้องที่เข้ามารายงาน ดวงตาทั้งสองวาวโรจน์ขึ้นมาอย่างน่ากลัว เขาไม่อาจยอมรับข่าวเช่นนี้ได้
เพราะว่าในความคิดของเขา เย่เทียนเฉินก็เป็นแค่มดตัวหนึ่ง เป็นมดที่เขาจะเหยียบย่ำให้มันตายเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ตอนนี้ มดในสายตาของเขากลับทำเรื่องสะท้านฟ้าดิน ไหนเลยเขาจะยอมรับได้!
“แกบอกฉันมาให้ละเอียด อย่าให้ขาดไปแม้แต่คำเดียว มิฉะนั้นบิดาจะจับโยนลงไปในทะเลซะ!” เซวียนเยวี๋ยนเถิงเอ่ยปากพูดอย่างเย็นชา
เดิมทัเซวียนเยวี๋ยนเถิงยังยินดีเปรมปรีดิ์ กำลังวางท่าลำพองใจใหญ่โตเพื่อรอข่าวที่อาหู่กำจัดเย่เทียนเฉินได้
ไหนเลยจะรู้ว่า ข่าวที่มากลับเป็นข่าวที่ว่าอาหู่ทำภารกิจล้มเหลว ก่อนหน้านี้เพียงไม่นาน เขาเพิ่งจะคุยโทรศัพท์กับอาหู่ อาหู่ก็ยังรับประกันกับเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ว่าจะต้องฆ่าเย่เทียนเฉินได้อย่างแน่นอน ไม่จำเป็นต้องให้เขารีบกลับเมืองหลวงก็สามารถกำจัดเย่เทียนเฉินได้
เซวียนเยวี๋ยนเถิงย่อมเชื่อในความสามารถของอาหู่ เนื่องจากไหนแต่ไรมาอาหู่ก็ไม่เคยทำให้เขาผิดหวัง เพียงแต่น่าเสียดายที่ครั้งนี้คู่ต่อสู้ที่ต้องเจอก็คือเย่เทียนเฉิน
“คะ คุณชายใหญ่ครับ เรื่องก็เป็นแบบนี้ คืนนี้อาหู่ส่งพี่น้องไปสามร้อยกว่าคน ไปล้อมเย่เทียนเฉินในซอยแคบแห่งหนึ่ง เตรียมจะรุมฆ่ามันให้ตาย ไหนเลยจะรู้ว่าเย่เทียนเฉินจะถึงกับฆ่าพวกมันเพื่อฝ่าออกมา…”
ลูกน้องคนนั้นรายงานสถานการณ์ราวกับว่าเห็นเย่เทียนเฉินสะบัดมีดฆ่าฟันด้วยตาของตน อดไม่ได้ที่จะร่างกายสั่นเทา
“สามร้อยกว่าคน สามร้อยกว่าคนที่ใช้มีดตัดฟืน ต่อให้แตงโมสามร้อยลูก เย่เทียนเฉินก็ต้องฟันจนเหนื่อย จะถูกเขาฆ่าเปิดทางออกมาได้ยังไง ให้อาหู่มันมาเจอฉันเดี๋ยวนี้ ฉันจะดูซิว่ามันจะรายงานฉันยังไง!” เซวียนเยวี๋ยนเถิงตะโกนออกมา โกรธจนต้องขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“คุณชายใหญ่ครับ อาหู่ เขา เขา เขาตายแล้ว…”
“นี่…ใคร ใครเป็นคนฆ่ามัน…” เซวียนเยวี๋ยนเถิงขมวดคิ้ว กำหมัดแน่นแล้วเอ่ยถามออกไป
“ดะ ได้ยินว่าเป็นหลูเซิ่งต๋าพาคนไปจับกุมอาหู่ แล้วถูกวิสามัญ…”
“เย่เทียนเฉิน หลูเซิ่งต๋า ฉันจะฆ่าพวกแก!”
เซวียนเยวี๋ยนเถิงพลักลูกน้องตรงหน้าจนล้มลงกับพื้น ในดวงตาทั้งสองเต็มไปด้วยความโกรธแค้น แม้ในความฝันเขาก็คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะร้ายกาจถึงขนาดนี้
อาหู่เป็นคนที่โหดเหี้ยมมาก ฆ่าคนได้โดยไม่ขมวดคิ้วเลยแม้แต่น้อย แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยทำให้เขาผิดหวัง ขอเพียงเขาออกคำสั่ง อาหู่ก็จะตัดหัวศัตรูมาให้ในทันที และในครั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาด อาหู่ถึงกับส่งอันธพาลออกไปสามร้อยกว่าคน
สิ่งที่ทำให้คิดไม่ถึงก็คือ พวกเขาถึงกับถูกเย่เทียนเฉินฆ่าเปิดทางออกมา เจ้าหมอนี่มันเป็นคนหรือเป็นเทพเซียนกันแน่?
ปัง!
ภายในคลับอันหรูหราแห่งนี้ เซวียนเยวี๋ยนเถิงฆ่าคนอีกครั้งแล้ว เพื่อระบายความโมโหและความไม่พอใจในใจของตนเอง เขาชักปืนออกมายิงลูกน้องที่คอยติดตามข้างกายเขาด้วยความภักดีจนตายโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
“คุณชายใหญ่ครับ ตอนนี้พวกเราจะทำยังไงดี?” บอดี้การ์ดสูทดำที่ยืนอยู่ด้านหลังคนหนึ่งเอ่ยปากถาม
“เตรียมเครื่องบินเที่ยวพิเศษ ฉันจะกลับเมืองหลวงคืนนี้!” เซวียนเยวี๋ยนเถิงโยนปืนในมือไปให้บอดี้การ์ดด้านหลังแล้วออกคำสั่ง
“ครับ!”
“เย่เทียนเฉิน ฉันอยากจะเห็นจริงๆว่าแกอาศัยอะไรมาต่อต้านฉัน จะดูซิว่าแกจะมีความสามารถขนาดไหน…” เซวียนเยวี๋ยนเถิงหัวเราะออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยวแล้วพึมพำกับตนเอง
วันต่อมา ในตอนที่เย่เทียนเฉินตื่นขึ้นก็ผมว่าเสี้ยวหยาไม่ได้นอนอยู่บนเตียงคนไข้แล้ว ถึงแม้เมื่อคืนหมอจะบอกว่าเสี้ยวหยาเพียงแค่ถูกฟันที่หลังเท่านั้น ด้วยปฏิกิริยาอันว่องไวของเย่เทียนเฉิน ทำให้สาวยากได้รับบาดแผลแค่ชั้นผิวภายนอกเท่านั้น ไม่ได้ร้ายแรงอะไร แต่ยังคงต้องพักผ่อนให้มาก จะอย่างไรก็ได้รับความตกใจและเสียเลือดไปมาก
“หยาเอ๋อร์? หยาเอ๋อร์?”
เย่เทียนเฉินลุกขึ้นจากเตียงเฝ้าไข้แล้วออกตามหา
ไม่มีเสียงตอบกลับมาจากในห้องคนไข้เลย เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะตกใจ คิดว่าเป็นเซวียนเยวี๋ยนอวี่ที่ส่งคนมาจับตัวเสี้ยวหยาไปหรือไม่?
ถึงแม้ความเป็นไปได้นี้จะมีอัตราต่ำมาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลย เนื่องในโลกปัจจุบันนี้มียอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณและผู้มีพลังพิเศษอยู่ สำหรับเย่เทียนเฉินที่ในตอนนี้เป็นผู้มีพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันแล้ว ต่อให้จะแข็งแกร่งมากแต่ก็ไม่ได้เป็นเจ้าถิ่น รับประกันไม่ได้ว่าอีกฝ่ายจะใช้ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งเพื่อมาจัดการกับตน
“หยาเอ๋อร์…”
ในตอนที่เย่เทียนเฉินเดินเข้ามาในห้องผู้ป่วยของแม่ของเสี้ยวหยานั้น จึงพบว่าไม่ผิดไปจากที่ตนคาด เสี้ยวหยาอยู่ดูแลแม่ที่นี่ กำลังปอกแอปเปิ้ลให้แม่ของตนอยู่
“เทียนเฉิน นายมาแล้ว!” เสี้ยวหยาพูดพลางยิ้มให้เย่เทียนเฉิน
“หยาเอ๋อร์ เธอ…”
“ฉันรู้ว่าวันนี้เช้านายจะต้องกลับมา ที่มหาวิทยาลัยไม่มีเรียนเหรอ?” เสี้ยวหยาขัดคำพูดของเย่เทียนเฉิน ส่งสายตาเป็นสัญญาณให้เย่เทียนเฉินแล้วกล่าวขึ้น
เย่เทียนเฉินย่อมไม่ใช่คนโง่อะไร เมื่อเห็นว่าเสี้ยวหยาส่งสายตามาให้ และเห็นว่าแม่ของเธอกำลังพูดคุยกับลูกสาวด้วยรอยยิ้ม จึงรู้ได้ว่าเสี้ยวหยาไม่ได้บอกเรื่องเมื่อวานกับแม่ และไม่อยากให้แม่รู้ เสี้ยวหยาเป็นผู้หญิงที่จิตใจดีและรู้ความคนหนึ่ง
“อ้อ ใช่แล้ว ตอนบ่ายถึงจะมีเรียน พวกเธอก็ดูเหมือนว่าจะมีเรียนตอนบ่าย พอถึงเวลาพวกเราก็ไปมหาวิทยาลัยด้วยกันเถอะ!” เย่เทียนเฉินได้สติกลับมาจึงพูดด้วยรอยยิ้ม
“เทียนเฉิน ลำบากเธอจริงๆ ต้องวิ่งมาดูน้าอีกแล้ว!” แม่ของเสี้ยวหยาพูดด้วยรอยยิ้มเมตตา
“คุณน้าครับ ผมกับหยาเอ๋อร์เป็นเพื่อนสนิทกัน นี่เป็นเรื่องที่สมควรทำแล้ว วันนี้คุณดูท่าทางไม่เลวเลยนะครับ ผมเชื่อว่าอีกไม่นานร่างกายก็จะฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์ จะต้องใส่ใจพักผ่อนให้มากๆ กินอาหารให้มากๆ นะครับ!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม
“ฮ่าๆ อาการป่วยของน้า น้าย่อมรู้ตัวเองดี ขอเพียงเธอดีต่อหยาเอ๋อร์ให้มากน้าก็วางใจแล้ว วันหลังก็ขอมอบหยาเอ๋อร์ให้เธอดูแล…”
“แม่ แม่พูดอะไรกันคะ…”
เสี้ยวหยาอดไม่ได้ที่จะใบหน้าแดงระเรื่ออย่างไร้เดียงสา มองไปที่แม่แล้วพูดขึ้น
……………………….
ชายสวมชุดสูทสีเงินเรียกได้ว่าหรูหราฟุ่มเฟือยมาก บอดี้การ์ดในชุดสูทสีดำทั้งแปดคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง ยืนตรงราวกับหอก สายตาของทุกคนเต็มไปด้วยไอสังหาร ขอเพียงเจ้านายออกคำสั่ง พวกเขาทั้งแปดก็จะลงมือ ภายในห้องโถงอันหรูหรา มีคนไม่น้อยที่กำลังล้อมดู ต่างกำลังคาดเดาถึงฐานะของชายที่สวมชุดสูทสีเงินคนนี้
เบื้องหน้าของชายสวมชุดสูทสีเงินเป็นผู้หญิงหน้าตางดงามรูปร่างเซ็กซี่สิบแปดคน ทุกคนใส่ถุงน่องที่ดูเซ็กซี่เหมือนกันทั้งหมด กำลังรอให้ชายตรงหน้าคัดเลือก เขาเลือกใคร คนนั้นก็จะกลายเป็นผู้หญิงที่โชคดีที่สุดที่จะให้บริการเขาในคืนนี้ บางทีอาจจะกล่าวได้ว่าพวกเธอเป็นหญิงขายบริการ แต่ไม่ใช่หญิงขายบริการที่ให้เงินก็สามารถขึ้นขี่ได้ประเภทนั้น เนื่องจากพวกเธอมักจะสามารถทำให้ผู้ชายพึงพอใจได้จนไม่อาจถอนตัว
“คนตรงกลางอยู่ก่อน คนอื่นไปได้!” ชายสวมสูทสีเงินที่นั่งอยู่บนโซฟาพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มโอ้อวด
หญิงบริการสาวสวยทั้งสิบแปดคนได้ฟังคำสั่ง นอกจากคนตรงกลางแล้วคนอื่นๆ ก็ถอยออกไป กลุ่มคนที่มาล้อมดูในห้องโถงอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ในใจเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
คลับอันหรูหราแห่งนี้สามารถพูดได้ว่าเป็นสถานที่ที่มีข้าราชการระดับสูงจำนวนมากมาเที่ยว ทุกคนที่อยู่ที่นี่มีใครบ้างที่ไม่มีฐานะอะไร แต่ว่าแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่มีใครที่โอ้อวดเหมือนกับชายในชุดสูทสีเงินตรงหน้านี้เลย หญิงขายบริการสวยงามทั้งสิบแปดคนต่างก็เป็นหญิงขายบริการลำดับต้นๆ ของคลับหรูหราแห่งนี้ ไม่ใช่ประเภทที่คุณจะโยนเงินแล้วขึ้นคร่อมได้เลย ยังต้องใช้แำนาจและเสน่ห์ด้วย การที่สามารถเรียกรวมหญิงบริการอันดับต้นๆ ทั้งสิบแปดคนมารวมตัวกันที่ห้องโถงเพื่อให้เขาเลือกสรรได้ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าชายในชุดสูทสีเงินคนนี้มีอำนาจยิ่งใหญ่
“คะ…คนคนนี้เป็นใครกัน?”
“ถึงกับสามารถเรียกรวมหญิงขายบริการอันดับต้นๆ ทั้งสิบแปดคนให้มารวมตัวกันที่ห้องโถงเพื่อให้เขาเลือกได้ สั่งให้พวกเธอทำยังไงก็ทำอย่างนั้น เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นคนแบบนี้”
“พวกข้าราชการระดับสูงที่เข้าออกที่นี่มากมายขนาดนั้น ก็ยังไม่มีความกล้าถึงขั้นนี้ ไอ้หนูนี่โอ้อวดจริงๆ”
“จะชอบโอ้อวดมากเกินไปแล้ว จะช้าจะเร็วก็ต้องถูกสั่งสอน…”
“นาย…เบาเสียงลงหน่อย นายรู้ไหมว่าเขาเป็นใคร?”
“ใคร? ต่อให้บ้าอำนาจขนาดไหนก็ไม่มีใครกล้ามาก่อเรื่องที่นี่แน่ ต้องรู้ว่าที่นี่มีข้าราชการระดับสูงอยู่มาก หากก่อเรื่องขึ้นมาก็เป็นการรนหาที่ตาย…”
“เขาคือเซวียนเยวี๋ยนเถิง…”
“อะไรนะ…เซวียนเยวี๋ยนเถิง…”
คนรอบด้านวิพากษ์วิจารณ์กันเสียงเบา เดิมทียังมีคนไม่พอใจอยู่บ้าง อย่างไรเสียคนที่อยู่ที่นี่ ส่วนใหญ่เป็นคนที่มีฐานะและภูมิหลัง พอเห็นเซวียนเยวี๋ยนเถิงทำตัวโอ้อวดแบบนั้น พาหญิงขายบริการอันดับต้นๆ ทั้งสิบแปดคนมานั่งเลือกตามอำเภอใจ ในใจของพวกเขาย่อมโกรธแน่นอนอยู่แล้ว จะอย่างไรหญิงขายบริการทั้งสิบแปดคนนี้ก็ได้มายากมาก ดูเหมือนว่าจะมีผู้ชายหลายคนที่อยากจะได้มาครอบครอง แต่เซวียนเยวี๋ยนเถิงอยากจะได้ใครก็เลือกคนนั้น จะทำให้ไม่โกรธได้อย่างไร
ไม่ผิด ชายในชุดสูทสีเงินคนนี้ก็คือเซวียนเยวี๋ยนเถิง หลังจากที่เขามาที่นี่และทำธุระของตระกูลเสร็จ ย่อมต้องมาผ่อนคลายเป็นธรรมดา วัยรุ่นแบบเขาที่ทั้งอายุน้อย ทั้งมัวเมาในโลกีย์ ทั้งมีเงินมีอำนาจ หากไม่ให้มั่วสุมเลยคงเป็นเรื่องยาก
เมื่อรู้เรื่องที่เซวียนเยวี๋ยนอวี่น้องชายแท้ๆ ของตนถูกคนอัดหน้าประตูมหาวิทยาลัยหลงเถิง เขาก็โกรธมาก ในฐานะที่เป็นหนึ่งในสามคุณชายแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในสามบุคคลที่เจ๋งที่สุดในมหาวิทยาลัย ดูเหมือนจะไม่มีใครกล้ามาหาเรื่องตน คนที่กล้ามาหาเรื่องเขาเซวียนเยวี๋ยนเถิงต่างก็ตายไปหมดแล้ว แต่ว่าในตอนที่เขาเพิ่งจะออกจากเมืองหลวงมา น้องชายของเขาถึงกับถูกคนอัด นี่เป็นการไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย
เดิมทีเซวียนเยวี๋ยนเถิงคิดจะนั่งเที่ยวบินพิเศษกลับเมืองหลวงในตอนกลางคืนเพื่อไปฆ่าเย่เทียนเฉิน แต่ว่าทางด้านนี้เขาเองก็มีเรื่องที่จะต้องจัดการเล็กน้อย กลัวว่าจะกลับไปเลยไม่ได้ แต่เซวียนเยวี๋ยนเถิงที่ใช้อำนาจบาตรใหญ่มาโดยตลอดย่อมไม่เคยได้รับความลำบากเลยแม้แต่น้อย และไม่เคยได้รับความลำบากใจแม้แต่ครึ่งส่วน จึงได้ส่งอาหู่ออกไป และยังสั่งอาหู่ด้วยว่าจะต้องฆ่าเย่เทียนเฉินให้ได้ มิฉะนั้นคนที่ต้องตายก็คืออาหู่เอง ดังนั้นอาหู่จึงรู้สึกกดดันถุงขั้นส่งกองทัพอันธพาลที่ถือมีดตัดฟืนอยู่ในมือทั้งสามร้อยกว่าคนออกไปในการลงมือครั้งแรก
สำหรับชื่อเสียงของเย่เทียนเฉินนั้น เซวียนเยวี๋ยนเถิงที่อยู่แต่ในมหาวิทยาลัยหลงเถิงแห่งเมืองหลวง มีฐานะเป็นหนึ่งในสามคุณชายแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง และเป็นคุณชายใหญ่ในตระกูลเซวียนเยวี๋ยนซึ่งเป็นตระกูลในโลกเบื้องหลัง ย่อมต้องเคยได้ยินมาก่อน ถึงแม้ว่าในใจจะค่อนข้างแปลกใจแต่ก็ยังไม่เห็นเย่เทียนเฉินอยู่ในสายตา เนืองมาจากสองสาเหตุ หนึ่งคือตระกูลเย่ตกต่ำไปนานแล้ว นี่เป็นเรื่องที่ใครๆ ก็รู้ ดังนั้นอำนาจย่อมไม่อาจเทียบเคียงตระกูลเซวียนเยวี๋ยนได้โดยเด็ดขาด กล่าวให้ชัดเจนก็คือ เย่เทียนเฉินไม่มีที่พึ่ง หากก่อความผิดใหญ่หลวงขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่มีใครช่วยเขาได้ เหตุผลที่สองก็คือ เซวียนเยวี๋ยนเถิงถือดีมาก คิดว่าต่อให้เย่เทียนเฉินจะร้ายกาจมากกว่านี้ก็ไม่ใช่คู่มือของเขาโดยเด็ดขาด ขอเพียงเขาคุณชายใหญ่เซวียนเยวี๋ยนเถิงโกรธขึ้นมา มีเย่เทียนเฉินอีกสิบคนก็ต้องตาย
ดังนั้น เมื่อมีเหตุผลเหล่านี้ เซวียนเยวี๋ยนเถิงก็ไม่รีบร้อนอะไรขนาดนั้น ถึงแม้ว่าจะส่งอาหู่ที่เป็นลูกน้องคนสำคัญของตนไปลงมืออย่างรอบคอบแล้ว แต่ในใจกลับคิดว่า มีอาหู่ลงมือก็นับว่าให้เกียรติเย่เทียนเฉินแล้ว เขาจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
ในตอนนี้เอง เซวียนเยวี๋ยนเถิงเลือกหญิงขายบริการระดับสูงคนนั้นที่อยู่ตรงกลางสุดออกมา สาเหตุเป็นเพราะหญิงขายบริการระดับสูงคนนี้บั้นท้ายใหญ่อุดมสมบูรณ์ เขาชอบร่างกายแบบนี้ เมื่อได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของคนรอบๆ มุมปากของเซวียนเยวี๋ยนเถิงพลันปรากฏรอยยิ้มเย็นชา หันไปมองชายผู้รนหาที่ตายแวบหนึ่งแล้วพูดขึ้นอย่างเรียบเฉยว่า “พวกแกกล้ามาวิพากษ์วิจารณ์ฉันเซวียนเยวี๋ยนเถิง คิดว่ามีกี่ชีวิตกัน?”
“นาย…” ชายที่พูดจาไม่ดีต่อเซวียนเยวี๋ยนเถิงอดไม่ได้ที่จะชะงักไป ในใจรู้สึกโมโห คิดว่าเซวียนเยวี๋ยนเถิงโอหังบ้าอำนาจจริงๆ พวกตนก็ออกมาเที่ยวบ่อยๆ หากจะพูดว่าไม่มีความสามารถก็ไม่ได้ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเซวียนเยวี๋ยนเถิงคนนี้จะหยิ่งยโสโอหังจนถึงขั้นนี้ได้ คนอื่นซุบซิบกันอยู่ด้านข้างประโยคหนึ่ง อีกทั้งยังไม่ได้เอ่ยชื่อแซ่ เขาก็พูดจาขู่ฆ่าขึ้นมาแล้ว
คนที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมด ไม่ใช่เพียงแค่ชายที่พูดจาไม่เข้าหูคนนั้นที่ถูกเซวียนเยวี๋ยนเถิงคุกคามข่มขู่จนรู้สึกไม่พอใจ กระทั่งคนอื่นๆ เองก็รู้สึกว่าเซวียนเยวี๋ยนเถิงจะโอหังเกินไปแล้ว ทุกคนยังไม่ทันได้พูดอะไรเพียงแค่วิพากษ์วิจารณ์กันด้วยความประหลาดใจเท่านั้น และยังไม่ได้พูดจาว่าร้ายเซวียนเยวี๋ยนเถิง อย่างมากที่สุดก็แค่ไม่ได้พูดเข้าข้างเขา เขาก็ขู่จะฆ่าขึ้นมา ช่างโอหังบ้าอำนาจถึงขีดสุด
“ฆ่ามัน!”
พริบตาต่อมา เซวียนเยวี๋ยนเถิงพูดจาโอหังยิ่งกว่าเดิมออกมาอีกครั้ง เพียงเพราะประโยคเดียวเท่านั้น เพียงเพราะประโยคเดียวที่เขาไม่พอใจ ก็จะฆ่าคนแล้ว ต้องการฆ่าชายที่พูดคุยอย่างประหลาดใจเพราะไม่รู้จักเขา
“นาย…เซวียนเยวี๋ยนเถิง ต่อให้ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนของนายเป็นตระกูลโลกเบื้องหลัง แต่ฉันก็เป็นบุคคลที่มีหน้ามีตา นายกล้าฆ่าฉันจะต้องไม่มีจุดจบที่ดีเหมือนกัน…” ชายคนนั้นตกใจจนชะงักไปครู่หนึ่ง แต่ก็ยังคงพูดออกมาด้วยความโมโหมากยิ่งขึ้น ยังไงซะเขาก็มีอำนาจอยู่บ้างจริงๆ และยังคงไม่เชื่อว่าเซวียนเยวี๋ยนเถิงจะกล้าฆ่าตนเองไปเช่นนี้ได้
เสียงฉึกดังขึ้น ทุกคนในเหตุการณ์ต่างตกตะลึงจนตาค้าง สูดหายใจเย็นยะเยือกครั้งหนึ่ง เพราะว่าคำพูดของชายคนนั้นยังไม่ทันจบ มีเล่มหนึ่งก็ปักอยู่ที่คอของเขา เลือดสดๆ พุ่งกระฉูดออกมา มือทั้งสองของเขากุมอยู่ที่ลำคอของตน ค่อยๆรู้สึกถึงลมหายใจที่ขาดห้วง ตาทั้งสองจงมองไปเบื้องหน้าด้วยความหวาดกลัว เพราะประโยคเดียว เพียงแค่ประโยคเดียวเท่านั้นเขาถึงกับถูกเซวียนเยวี๋ยนเถิงฆ่า
ในโลกที่สงบสุขเช่นทุกวันนี้ คำพูดของทุกคนต่างก็มีความอิสระเสรี แต่วิธีการของเซวียนเยวี๋ยนเถิงแสดงความหมายได้อย่างชัดเจนมากว่า ไม่ต้องพูดถึงการลงมือต่อเขาเซวียนเยวี๋ยนเถิงเลย แม้กระทั่งกล้าพูดจาว่าร้ายเขาเพียงแค่ครึ่งประโยค พูดจาไม่เข้าหูเขาสักนิดเขาก็จะฆ่ามันซะ เรียกได้ว่าโอหังถึงที่สุด
ตุบ!
ชายที่ไม่ได้พูดเข้าข้างเซวียนเยวี๋ยนเถิงล้มลงจมกองเลือด ทำเอาคนที่อยู่ในเหตุการณ์ตกใจจนถอยหลังออกไปหลายก้าว กระทั่งหายใจแรงก็ยังไม่กล้าด้วยกลัวว่าจะเป็นการทำให้เซวียนเยวี๋ยนเถิงไม่พอใจ คุณชายใหญ่แห่งตระกูลโลกเบื้องหลังคนนี้ ช่างโอหังบ้าอำนาจมากจริงๆ ไม่เห็นใครอยู่ในสายตาจนถึงขั้นกล้าฆ่าคนตามใจชอบ
“หึ ฉันเซวียนเยวี๋ยนเถิงไม่ได้ออกมาเดินเล่นแค่แป๊บเดียว ดูเหมือนว่าจะมีหลายคนที่ลืมฉันไปแล้ว ตอนนี้ฉันจะทำให้ทุกคนรู้ว่า ฉันเซวียนเยวี๋ยนเถิงมีฐานะเป็นหนึ่งในสามคุณชายแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง ไม่ใช่คนธรรมดาที่จะมาหาเรื่องด้วยได้!” เซวียนเยวี๋ยนเถิงสูบซิการ์ไปเฮือกหนึ่ง จากนั้นจึงพูดออกมาเสียงเย็น
ไม่มีใครกล้าพูด ไม่มีใครกล้าพูดอะไรอีก มีชายที่นอนจมกองเลือดอยู่นั้นเป็นบทเรียนแล้วยังจะมีใครกล้าพูดอะไรออกมามั่วๆ อีกหรือ? ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือไง? สิ่งสำคัญก็คือเซวียนเยวี๋ยนเถิงที่เหมือนกับคนบ้าคนหนึ่ง ไปล่วงเกินไม่ได้จริงๆ
เซวียนเยวี๋ยนเถิงพูดจบ มุมปากก็ปรากฏรอยยิ้มโหดเหี้ยมขึ้น กวาดตามองไปยังทุกคนที่อยู่ที่นี่ จากนั้นจึงพูดต่อไปด้วยความไม่สบอารมณ์ “ถึงแม้ว่าฉันจะไม่อยู่ในเมืองหลวง แต่ก็ได้ยินว่ามีคนกล้ามาต่อต้านฉันในตอนที่ฉันไปจากเมืองหลวงแล้ว ชื่อของมันก็คือเย่เทียนเฉิน บางทีในหมู่พวกแกคงจะเคยได้ยินมาบ้าง แต่ฉันอยากจะบอกพวกแกเอาไว้ว่า เมื่อผ่านพ้นวันนี้ไป พวกแกจะไม่ได้ยินชื่อเย่เทียนเฉินอีก มันตายแล้ว!”
“อะไรนะ? เย่เทียนเฉิน?”
“ไอ้หมอนี่ไม่ใช่ตัวตลกของเมืองหลวงหรือไง? ทำไมไปหาเรื่องคุณชายเซวียนเยวี๋ยนได้”
“พวกแกจะไปรู้อะไร ตั้งแต่กลับมาที่เมืองหลวง ทุกเรื่องที่เย่เทียนเฉินทำต่างก็ทำให้ต้องตกตะลึง ได้ยินว่าการที่ตระกูลฉินและตระกูลลั่วตกต่ำลงในคืนเดียวก็มีความเกี่ยวข้องกับเขา”
“คิดไม่ถึงเลยว่าเย่เทียนเฉินจะถึงกับไปล่วงเกินคุณชายเซวียนเยวี๋ยน ท่าทางจะต้องตายจริงๆแล้ว!”
“แต่พวกนายยังไม่รู้ ฉันได้ยินว่าเย่เทียนเฉินต่อยเซวียนเยวี๋ยนอวี่น้องชายของเซวียนเยวี๋ยนเถิงที่หน้าประตูมหาวิทยาลัยหลงเถิง ดังนั้นเซวียนเยวี๋ยนเถิงเลยต้องการจะฆ่าเย่เทียนเฉิน”
“ไม่จริงน่า เย่เทียนเฉินโง่จริงๆ อย่าพูดถึงเรื่องที่เซวียนเยวี๋ยนอวี่เป็นน้องชายแท้ๆของเซวียนเยวี๋ยนเถิงเลย ต่อให้ไม่ใช่ แต่ก็เป็นคนของตระกูลโลกเบื้องหลัง ไปหาเรื่องมั่วๆ แบบนี้เป็นการรนหาที่ตายจริงๆ!”
ในหมู่คนเหล่านี้มีบางคนที่เคยได้ยินข่าวที่ลือกันอยู่ในเมืองหลวงมาบ้าง รู้ว่าเย่เทียนเฉินได้เปลี่ยนไปแล้ว แต่กลับคิดไม่ถึงว่า เซวียนเยวี๋ยนเถิงอยู่ไกลถึงที่นี่ จะยังแก้แค้นเย่เทียนเฉินได้ หลายคนที่ยืนอยู่ข้างเซวียนเยวี๋ยนเถิงคิดว่าเย่เทียนเฉินต้องตายแน่แล้ว ไม่ใช่คู่มือของเซวียนเยวี๋ยนเถิงโดยสิ้นเชิง
“รู้ก็ดีแล้ว ไสหัวออกไปให้ฉันซะ อย่ามารบกวนความสุขของคุณชายใหญ่อย่างฉัน!” เซวียนเยวี๋ยนเถิงพูดอย่างเรียบเฉย
……………………………
จะอย่างไรอาหู่ก็คิดไม่ถึงว่า อันธพาลสามร้อยกว่าคนที่ตนเองส่งออกไปล้อมโจมตีเย่เทียนเฉินในซอยเล็กๆ จะถึงกับถูกเย่เทียนเฉินฆ่า ทำให้คนที่ได้ยินข่าวนี้ต้องหวาดผวาจริงๆ หากไม่ใช่หลูเซิ่งต๋าพาตำรวจหน่วยรบพิเศษติดอาวุธมาจับกุมเขา เขาจะต้องไม่เชื่อแน่ จะต้องคิดว่าลูกน้องคนนี้พูดจาเลอะเทอะ และยิงเขาให้ตายไปแล้ว
ความจริงอาหู่ไม่รู้ว่า ยอดฝีมือที่เป็นผู้มีพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันอย่างเย่เทียนเฉิน หากใช้พลังพิเศษขึ้นมา ไม่ต้องพูดถึงชายฉกรรจ์สามร้อยกว่าคนที่ใช้มีดตัดฟืนเลย ต่อให้เป็นพันคนก็เกรงว่าจะหยุดการก้าวเดินของเย่เทียนเฉินไม่ได้
เรื่องที่เย่เทียนเฉินเสียใจที่สุดก็คือ ตนเองคิดแต่จะบ่มเพาะกายเนื้อ เพื่อทำให้กายเนื้อนี้สามารถรองรับพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันได้มากยิ่งขึ้น แต่กลับไม่ได้คำนึงถึงอันตรายของเสี้ยวหยา และยังประเมินความสามารถของกายเนื้อในตอนนี้มากเกินไป กายเนื้อในตอนนี้ยังไม่แข็งแกร่งถึงขั้นที่ไม่ต้องพึ่งพาพลังพิเศษในการต่อสู้ จึงทำให้พละกำลังไม่เพียงพอตามต้องการและทำให้เสี้ยวหยาได้รับบาดเจ็บ
จนถึงท้ายที่สุด เย่เทียนเฉินก็ต่อฝ่าฟันออกมาได้ราวกับภูตผี ต่อสู้ฝ่าฟันออกมาด้วยความโกรธ ด้วยเลือดแห่งการต่อสู้ที่เดือดพล่าน ล้นทะลักออกมาอย่างรุนแรง ไหล่ซ้ายแบกเสี้ยวหยาเอาไว้ มือขวาถือมีดตัดฟืน ลืมเลือนว่าตนเองเป็นผู้มีพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชัน ลืมเลือนของบางอย่างที่ถูกพันธนาการเอาไว้ ใช้เพียงมีดในมือฆ่าฟันเพื่อเปิดเส้นทางออกไป
จินตนาการถึงสถานการณ์เช่นนั้นได้เลยว่า เมื่อผู้ชายคนหนึ่งซึ่งมีภาพลักษณ์ของลูกผู้ชายที่แข็งแกร่ง เนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือด แบกผู้หญิงที่ตนเองรักที่สุดเอาไว้ที่ไหล่ซ้าย มือขวาถือมีดตัดฟืนที่มีเลือดไหลหยดลงมา ย่างก้าวไปท่ามกลางหยาดเลือด เดินสิบก้าวฆ่าหนึ่งคน นั่นจะเป็นภาพที่เยี่ยมยอดขนาดไหน เป็นความมีเสน่ห์ขนาดไหน
ในตอนที่เย่เทียนเฉินขับรถตำรวจของหลูเซิ่งต๋าซึ่งเป็นผู้อำนวยการสำนักความปลอดภัยสาธารณะแห่งเมืองหลวงฝ่าไฟแดงไปโดยไม่สนใจทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อพาเสี้ยวหยาไปส่งที่โรงพยาบาลนั้น อาหู่ก็ถูกหลูเซิ่งต๋าพาตำรวจหน่วยรบพิเศษหลายสิบคนมาล้อมเอาไว้ ปากกระบอกปืนจำนวนหลายสิบกระบอกเล็งไปที่อาหู่ หลูเซิ่งต๋าไม่กล้าลำพองใจเลยแม้แต่ครึ่งส่วน เดิมทีอาหู่ก็เป็นโจรชั่วที่น่ารังเกียจคนหนึ่งอยู่แล้ว ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ทำออกมาได้ เขาไม่อยากจะให้มีความเสียหายที่คาดไม่ถึง ในเมื่อจะลงมือก็ต้องกำจัดอาหู่ให้ราบคาบถึงจะถูก เนื่องด้วยอาหู่ที่เป็นคนของเซวียนเยวี๋ยนเถิงซึ่งเป็นคนที่ตัวเขาหลูเซิ่งต๋าไม่สามารถล่วงเกินได้
หากพูดกันถึงตำแหน่งหน้าที่แล้ว อาหู่เป็นแค่โจรชั่วที่มีอำนาจใต้ดินของเมืองหลวงเท่านั้น แต่ว่าอาหู่เป็นคนที่โหดเหี้ยมคนหนึ่ง บทจะโหดขึ้นมาก็ไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งสิ้น หลูเซิ่งต๋าไม่ใช่คนโง่และเขาก็ไม่มาหาเรื่องคนเหล่านี้มั่วซั่ว หากคนพวกนี้เกิดเล่นบทโหดขึ้นมาแล้วฆ่าพวกเขาทั้งหมดจะทำยังไง? นอกจากนี้ ชื่อของเซวียนเยวี๋ยนเถิงที่อยู่เบื้องหลังเป็นสิ่งที่หลูเซิ่งต๋ากังวลมากที่สุด เขาล่วงเกินไม่ได้จริงๆ
เซวียนเยวี๋ยนเถิงเป็นคุณชายใหญ่แห่งตระกูลเซวียนเยวี๋ยน แล้วตระกูลเซวียนเยวี๋ยนก็เป็นตระกูลที่อยู่ในโลกเบื้องหลังของจีน ในประเทศจีนนั้นไม่ขาดแคลนตระกูลโลกเบื้องหลังเช่นนี้เลย ก็เหมือนกับพรรควรยุทธโบราณและผู้มีพลังพิเศษที่ไม่มีใครรู้จัก ตระกูลโลกเบื้องหลังเหล่านี้ส่วนมากมีอำนาจแข็งแกร่ง บ้างก็ในด้านเศรษฐกิจ บ้างก็ในด้านการเมือง บ้างก็ในด้านการทหาร กระทั่งบางตระกูลเป็นเจ้านายของกลุ่มอำนาจในโลกมืด สาเหตุที่พวกเขาเร้นกายนั้นมีหลากหลายเหตุผล แต่กลับไม่มีใครกล้าดูแคลนพวกเขา ต่อให้เป็นรัฐบาลสมัยต่างๆ ก็ไม่กล้าไปหาเรื่องพวกเขาง่ายๆ เพราะตระกูลในโลกเบื้องหลังเหล่านี้ล้วนมีอำนาจมากพอที่จะทำให้ผู้คนต้องประหลาดใจ หากไปหาเรื่องเข้าจริงๆ อาจจะทำให้ประเทศรับไม่ไหว
ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนเป็นตระกูลในโลกเบื้องหลัง ส่วนเรื่องที่มีอำนาจแข็งแกร่งขนาดไหนกลับเป็นเรื่องที่ไม่มีใครรู้ หากอำนาจของตระกูลในโลกเบื้องหลังเหล่านี้ถูกคนอื่นล่วงรู้ได้ง่ายถึงขนาดนั้นจริงๆ คงถูกประเทศควบคุมไปนานแล้ว ดังนั้นก็มีบางคนและบางเรื่องที่รัฐบาลของประเทศไปแตะต้องไม่ได้ มักจะต้องใช้การดำเนินการที่พิเศษเข้าไปจัดการ ซึ่งการให้เย่เทียนเฉินจัดการก็เป็นวิธีการดำเนินการพิเศษอย่างหนึ่ง
“เหอะ!”
อาหู่ใช้ฝ่ามือตบลงบนโต๊ะ ลุกขึ้นยืนจากบนโซฟา ใช้เท้าถีบผู้หญิงข้างกายออกไป มองไปยังหลูเซิ่งต๋าอย่างโหดเหี้ยม กำหมัดแน่น เขาต้องการจะต่อย อยากจะต่อยหน้าหลูเซิ่งต๋าแรงๆ สักครั้งถ้า
อาหู่ในตอนนี้ หากจะบอกว่าไม่โกรธไม่แปลกใจนั่นคงเป็นไปไม่ได้ แม้ในฝันเขาก็คิดไม่ถึงว่า ลูกน้องมากฝีมือที่ตนเองส่งออกไปล้อมฆ่าเย่เทียนเฉินจะพ่ายแพ้ และคิดไม่ถึงว่าหลูเซิ่งต๋าถึงกับกล้าพาคนมาจับตนเอง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีท่าทางราวกับจะทำให้เขามีโทษถึงตาย ดูท่าเขาจะประเมินเย่เทียนเฉินต่ำไปแล้ว
“ทำไม? แกคิดจะสู้กับฉันเหรอ?” หลูเซิ่งต๋าหัวเราะเสียงเย็น มองไปที่อาหู่แล้วกล่าวขึ้น
“หลูเซิ่งต๋า แกคิดให้ดี เย่เทียนเฉินมันก็แค่ลำพองใจไปครั้งหนึ่งเท่านั้น แต่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคุณชายใหญ่เซวียนเยวี๋ยนเถิงโดยเด็ดขาด พอคุณชายใหญ่เซวียนเยวี๋ยนเถิงกลับมาถึงเมืองหลวง ก็จะเป็นวันตายของมัน!” อาหู่มองหลูเซิ่งต๋าอย่างดุดันแล้วพูดออกมาเสียงต่ำ
หลูเซิ่งต๋าได้ยินคำพูดของอาหู่ก็ขมวดคิ้ว เขาเองก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีสมอง และไม่ใช่ว่าไม่เคยคิดถึงปัญหานี้ แต่สัญชาตญาณบอกเขาว่า การยืนอยู่ข้างเย่เทียนเฉินเป็นตัวเลือกที่ถูกต้อง มิฉะนั้นตัวเขาเองก็อาจจะตายอย่างอนาถได้ บางทีเมื่อเปรียบเทียบเซวียนเยวี๋ยนเถิงกับเย่เทียนเฉินแล้ว แม้ว่าหลังจากที่เย่เทียนเฉินกลับมายังเมืองหลวงจะก่อเรื่องที่ทำให้ผู้คนต้องตกตะลึงจนอ้าปากค้างมากมาย โดยเฉพาะเรื่องที่ทำให้ตระกูลใหญ่อย่างตระกูลฉินและตระกูลลั่วตกต่ำลงในคืนเดียว จนถึงกับทำให้ผู้คนต้องสูดหายใจเย็นยะเยือก แต่ดูเหมือนว่าจะไม่อาจเทียบได้กับเซวียนเยวี๋ยนเถิง
เนื่องจากว่า ต่อให้เย่เทียนเฉินจะร้ายกาจขนาดไหนก็เป็นเพียงแค่คนคนเดียว ตระกูลเย่ตกต่ำลงไปนานแล้ว ไม่สามารถให้การสนับสนุนอันแข็งแกร่งต่อเขาได้ แต่เบื้องหลังของเซวียนเยวี๋ยนเถิงมีตระกูลเซวียนเยวี๋ยนที่เป็นตระกูลแห่งโลกเบื้องหลังอยู่ ดูเหมือนว่าขอแค่เป็นคนที่มีความคิดสักหน่อยก็จะยืนอยู่ข้างตระกูลเซวียนเยวี๋ยน
แต่ว่าหลูเซิ่งต๋าเป็นคนที่แปลกประหลาด ครั้งนี้ฝ่ายที่เขาเลือกกลับเป็นฝ่ายของเย่เทียนเฉิน สาเหตุที่สำคัญที่สุดก็คือ เย่เทียนเฉินทำให้เขารู้สึกสั่นสะท้าน เย่เทียนเฉินทำให้ผู้คนรู้สึกราวกับว่า ต่อให้เหลือเขาเพียงคนเดียว ไม่มีอำนาจและเบื้องหลังใดๆ ก็ไม่อาจไปหาเรื่องได้ และหาเรื่องเขาไม่ได้ พลังอำนาจเช่นนี้ ทั่วทั้งโลกเกรงว่าจะหาได้แค่ไม่กี่คน
ดังนั้น ในเมื่อหลูเซิ่งต๋าพาคนมาจับกุมอาหู่แล้วก็นับว่าเป็นการยืนอยู่ข้างเย่เทียนเฉิน และเขาก็จะไม่ปล่อยอาหู่ไป เพราะหากไม่ฆ่าอาหู่ เมื่อเซวียนเยวี๋ยนเถิงกลับมา เกรงว่าชีวิตของเขาหลูเซิ่งต๋าจะไม่ดีอะไรนัก ถ้าฆ่าอาหู่ไปแล้วหาข้ออ้างสักหน่อย ต่อให้เซวียนเยวี๋ยนเถิงรู้ว่าเขาฆ่าอาหู่ ก็เกรงว่าจะไม่มีเหตุผลใดมาสร้างความวุ่นวายให้เขา ยิ่งไปกว่านั้นความโกรธทั้งหมดของเซวียนเยวี๋ยนเถิงก็จะไปลงที่เย่เทียนเฉิน นี่เป็นความคิดของหลูเซิ่งต๋า เรียกได้ว่าเป็นคนที่มีความคิดความสามารถคนหนึ่งเลยทีเดียว
“จะเป็นวันตายของเย่เทียนเฉินหรือไม่ ฉันหลูเซิ่งต๋าไม่รู้ แต่ฉันรู้วันตายของแก…” หลูเซิ่งต๋ามองอาหู่อย่างเย็นชาแล้วพูดขึ้น
“แกจะฆ่าฉันเหรอ?” ทันใดนั้นอาหู่ราวกับเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาจึงเอ่ยถามออกไปด้วยความแตกตื่นที่อยู่ในใจ
“แกจำเป็นต้องตาย ถ้าแกไม่ตาย หากเซวียนเยวี๋ยนเถิงกลับมาเมืองหลวงและไปฆ่าเย่เทียนเฉินแล้ว ถึงตอนนั้นฉันก็จะมีปัญหาใหญ่!” หลูเซิ่งต๋าพูดด้วยรอยยิ้มโหดเหี้ยม
“แต่หากแกฆ่าฉันตอนนี้ เซวียนเยวี๋ยนเถิงก็จะไม่ปล่อยแกไปแน่ ต่อให้ฉันจะเป็นสุนัขตัวหนึ่งของเซวียนเยวี๋ยนเถิง แต่ก็เกี่ยวพันไปถึงศักดิ์ศรีหน้าตาของเขา จุดจบของแกคงไม่ดีแน่!” อาหู่พูดเสียงต่ำ
“งั้นเหรอ? คิดไม่ถึงว่าอาหู่ที่โหดเหี้ยมน่ารังเกียจฆ่าคนเป็นผักปลาจะกลัวตายด้วย น่าตลกจริงๆ น่าตลกจริงๆ…” หลูเซิ่งต๋าหมุนตัว ส่ายหน้าไปพลางพูดไปพลาง
“น่าตลกแม่แกสิ…”
ทันใดนั้น อาหู่ระเบิดโทสะยื่นมือออกหมายจะจับคอของหลูเซิ่งต๋า เขารู้ว่าหลูเซิ่งต๋าจะไม่ปล่อยเขาไป คืนนี้เขาจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยเลย มีแค่ต้องต่อสู้อย่างถึงที่สุด จับหลูเซิ่งต๋าเป็นตัวประกันถึงจะหนีออกไปได้
ปัง!
ไหนเลยจะรู้ว่า ในตอนที่อาหู่เพิ่งจะทะยานออกไป มือขวายื่นออกไปยังหลูเซิ่งต๋า กลับมีเสียงปืนดังขึ้น ระหว่างคิ้วของอาหู่ถูกลูกปืนเจาะทะลวง ล้มหงายลงไปบนโซฟา ดวงตาทั้งสองเบิกกว้าง จ้องมองหลูเซิ่งต๋าอย่างตายตาไม่หลับ
ในมือขวาของหลูเซิ่งต๋าปรากฏปืนพกกระบอกหนึ่ง เขาระวังการโจมตีกะทันหันของอาหู่อยู่นานแล้ว ด้วยนิสัยมุทะลุของอาหู่ ไม่มีอะไรที่ไม่กล้าทำ โดยเฉพาะในตอนที่ชีวิตตกอยู่ในอันตราย กระทั่งพ่อแท้ๆ ก็ยังกล้าฆ่า หลูเซิ่งต๋าไม่ได้ลำพองใจจนคิดว่าอาหู่ไม่กล้าลงมือกับตน
“ยกศพกลับไป บอกไปว่าตอนควบคุมตัวเขาถูกสไนเปอร์คนหนึ่งลอบยิงตาย!” หลูเซิ่งต๋าสั่งกับตำรวจหน่วยรบพิเศษที่อยู่ข้างหลังอย่างเย็นชา
“ครับ ท่านผู้อำนวยการหลู!” ตำรวจหน่วยรบพิเศษที่อยู่ข้างหลังหลูเซิ่งต๋าตอบรับ
หลูเซิ่งต๋าหมุนตัวเดินออกไปจากห้อง เรื่องที่เหลือย่อมให้ลูกน้องไปจัดการ ส่วนเขากำลังคิดว่า การช่วยเย่เทียนเฉินฆ่าอาหู่ในครั้งนี้จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเย่เทียนเฉินแน่นแฟ้นขึ้นหรือไม่? นอกจากนี้ หลังจากที่เซวียนเยวี๋ยนเถิงกลับเมืองมา เย่เทียนเฉินจะตายหรือไม่?
ในวันเดียวกันตอนกลางคืน เย่เทียนเฉินพาเสี้ยวหยามาส่งที่โรงพยาบาลแห่งเมืองหลวง โชคดีที่เสี้ยวหยาได้รับบาดเจ็บที่ผิวหนังชั้นนอก ไม่ได้ร้ายแรงอะไร มิฉะนั้นเย่เทียนเฉินคงไม่อาจให้อภัยตนเองได้ คืนนั้นทั้งคืนเย่เทียนเฉินไม่ได้กลับบ้าน เฝ้าอยู่ข้างเตียงผู้ป่วยของเสี้ยวหยา มองดูเสี้ยวหยาที่ยังคงมีใบหน้าขาวซีดค่อยๆ หลับไป ทันใดนั้นเย่เทียนเฉินรู้สึกว่า การที่ตนปฏิบัติต่อเสี้ยวหยาเช่นนี้ ดูเหมือนไม่ใช่แค่เพราะว่าเธอมีหน้าตาเหมือนผู้หญิงที่เขารักที่สุดในช่วงยุคสิ้นโลกง่ายๆ เพียงเท่านั้น แน่นอนว่าไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามีปัจจัยนี้รวมอยู่ด้วย กล่าวได้เพียงว่าความรู้สึกของเย่เทียนเฉินเปลี่ยนไปแล้ว เปลี่ยนไปเรียบง่ายขึ้น เขาแค่อยากจะปกป้องผู้หญิงที่งดงามและบริสุทธิ์คนนี้เท่านั้น
ในตอนนี้เอง ใจกลางเมืองของเมืองแห่งหนึ่ง ภายในคลับที่หรูหราแห่งหนึ่ง ชายคนหนึ่งที่สวมสูทสีเงิน สูงประมาณหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร ร่างกายผอมมาก ผอมจนใบหน้าดูซีดขาว สิ่งเดียวที่ทำให้ต้องตกใจก็คือ สายตาคมกริบของเขามีไอสังหารอยู่ หากสบตากับเขาจะให้ความรู้สึกราวกับมีไอสังหารซึมลึกไปถึงกระดูก
เบื้องหน้าของชายในชุดสูทสีเงินคนมีสาวสวยยืนอยู่สิบแปดคน ทุกคนสวมถุงน่องเซ็กซี่ เปลือยไหล่เปิดหลัง สะโพกงามขาอ่อนงามราวน้ำนม ด้านหลังของพวกเธอมีบอดี้การ์ดในชุดสูทสีดำยืนอยู่แปดคน บอดี้การ์ดแปดคนนี้ยืนเอามือไขว้หลัง ยืนอยู่หลังชายสวมชุดสูทสีเงินอย่างเรียบร้อยเป็นนระเบียบ เหมือนกับขุนศึกแปดคนอย่างไรอย่างนั้น หากไม่มีคำสั่งของเจ้านาย ก็ไม่เคลื่อนไหวบุ่มบ่าม
“หันหลังไปให้หมด ฉันจะดูสิว่าบันท้ายใครใหญ่ที่สุด…” ชายในชุดสูทสีดำ สูบซิการ์ นั่งไขว่ห้าง มุมปากประดับไปด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย
…………………………..
ครั้งนี้ถึงแม้ว่าเซวียนเยวี๋ยนเถิงจะอยู่ไกล แต่ก็สั่งการอาหู่ที่เป็นลูกน้องมากความสามารถของตนลงมา เพื่อเป็นการระบายความโกรธแทนน้องชายของตน และเพื่อพิสูจน์อำนาจของตนเองที่เป็นหนึ่งในสามคุณชายแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง อาหู่เองก็ให้ความสำคัญกับเรื่องในครั้งนี้มาก เขารู้ว่าเซวียนเยวี๋ยนเถิงอารมณ์รุนแรง เซวียนเยวี๋ยนอวี่ที่เป็นน้องชายแท้ๆ ถูกอัด เซวียนเยวี๋ยนเถิงให้ความสำคัญกับศักดิ์ศรีหน้าตาของตัวเองมาก ดังนั้นเขาจึงต้องการให้เย่เทียนเฉินตาย และอาหู่จำเป็นต้องทำให้สำเร็จ
อาหู่เองก็เป็นคนมีแผนการและความโหดเหี้ยม เมื่อเริ่มลงมือก็สั่งการอันธพาลสามร้อยกว่าคนลงไป แต่ละคนต่างก็ใช้มีดตัดฟืน คิดจะให้พวกเขาใช้มีดล้อมฆ่าเย่เทียนเฉินในซอยแคบ และดูเหมือนว่าลูกน้องที่ส่งออกไปต่างก็เป็นคนมากฝีมือ ดังนั้นจะต้องฆ่าเย่เทียนเฉินได้อย่างแน่นอน
การต่อสู้น้องเลือดอันดุเดือดทำให้ทั้งซอยกลายเป็นนรกบนดิน เย่เทียนเฉินฆ่าคนด้วยความโกรธแค้นประหนึ่งเทพแห่งความตาย บนไหล่ซ้ายแบกผู้หญิงของตนเอาไว้ มีดยาวในมือขวาฟันออกไปราวกับหั่นผัก เก็บเกี่ยวชีวิตกลุ่มนักฆ่าที่เป็นลูกน้องของอาหู่
เย่เทียนเฉินใช้การฆ่าฟันเพื่อเปิดเส้นทางด้วยเลือด เขาอุ้มเสี้ยวหยาด้วยร่างกายที่ชุ่มไปด้วยเลือด ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ได้ใช้พลังพิเศษ เขาสามารถฆ่ากองกำลังที่ใช้มีดยาวสามร้อยกว่าคมและบ่มเพาะกายเนื้อของตนออกมาได้ และเริ่มรู้สึกว่าพลังกายแทบจะเหือดแห้ง ในใจของเขารู้สึกเสียใจ หากไม่ใช่เพราะว่าตนเองต้องการที่จะฝึกฝนกายเนื้อจึงไม่ยอมใช้พลังพิเศษ มิฉะนั้น ไม่ต้องพูดถึงกองกำลังถือมีดยาวจำนวนสามร้อยกว่าคนนี้เลย ต่อให้นับพันคน เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้มีพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันย์ก็ยังไม่พอให้เหลือบมอง ในตอนที่เย่เทียนเฉินอุ้มเสี้ยวหยาเดินออกมานอกซอย ตำรวจหน่วยรบพิเศษติดอาวุธจำนวนร้อยกว่าคนต่างใช้ปืนเล็งมาที่พวกเขา
“หยาเอ๋อร์ หยาเอ๋อร์ เธอเป็นไงบ้าง?” เย่เทียนเฉินไม่สนใจตำรวจหน่วยรบพิเศษที่เล็งอาวุธมาที่เขาเลย ยังคงอุ้มยากจนที่หมดสติไปแล้วพูดขึ้นเสียงดัง
“หยาเอ๋อร์ หยาเอ๋อร์ พวกเราออกมาแล้ว พวกเราไม่เป็นไรแล้ว…ขอโทษ!” เย่เทียนเฉินเอ่ยปากพูดอย่างสะเทือนอารมณ์
ผู้คนที่มาล้อมดู รวมไปถึงตำรวจหน่วยรบพิเศษที่ผ่านสนามรบมานับร้อยเหล่านั้น ต่างก็พากันสูดหายใจเย็นยะเยือก ทั่วทั้งร่างของเย่เทียนเฉินต่างเต็มไปด้วยเลือด บนใบหน้าไม่รู้ว่าเป็นเลือดหรือว่าเหงื่อ บางทีอาจจะเป็นเลือดผสมกับเหงื่อและไหลหยดลงมา ดูแล้วทำให้รู้สึกหวาดผวาจริงๆ และไม่รู้ว่าบนร่างกายของเย่เทียนเฉินมีบาดแผลจากมีดมากน้อยแค่ไหน ในตอนที่เขาฆ่าฟันอย่างบ้าคลั่งได้ลืมใช้พลังพิเศษของตน และไม่ได้ใช้โล่พลังพิเศษป้องกันอะไรเลย อาศัยเพียงกายเนื้อที่แข็งแกร่งในการฆ่าฟันเท่านั้น นี่เป็นส่วนที่ทำให้จิตวิญญาณของผู้อื่นต้องสั่นสะท้าน เขาในตอนนี้กู่ร้องเรียกชื่อของผู้หญิงในอ้อมกอดจากหัวใจ
“ทะ เทียนเฉิน…นายไม่เป็นอะไรใช่ไหม…” เสี้ยวหยาลืมตาขึ้นมาด้วยความอ่อนระโหยโรยแรง มองใบหน้าอันน่ากลัวของเย่เทียนเฉิน ดวงหน้างดงามของเธอปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา
“ฉันไม่เป็นไร ฉันไม่เป็นไร พวกเราออกมาแล้ว ฉันพาเธอออกมาแล้ว เธออดทนอีกหน่อยนะ ฉันจะรีบพาเธอไปโรงพยาบาล” เย่เทียนเฉินเห็นว่าเสี้ยวหยาได้สติขึ้นมา จึงกล่าวออกมาด้วยความวางใจ
“นาย…นายไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว…” เสี้ยวหยาพูดจบก็หมดสติไปอีกครั้ง ได้เห็นเย่เทียนเฉินที่ปลอดภัยไร้สารอันตราย เสี้ยวหยาก็มีความสุขมากแล้ว เธอคิดว่าเย่เทียนเฉินดีต่อเธอเหลือเกิน เธอติดหนี้เขามากเหลือเกิน
“หยาเอ๋อร์ หยาเอ๋อร์…”
เย่เทียนเฉินร้องเรียกชื่อของเสี้ยวหยา เขารู้ว่าเสี้ยวหยาอ่อนแอมาก ไม่รู้ว่ามีดตัดฟืนเล่นนั้นฟันโดนตรงไหน ทั่วทั้งร่างต่างเต็มไปด้วยเลือด เขาอุ้มเสี้ยวหยาขึ้นมาเตรียมจะจากไป แต่กลับถูกตำรวจหน่วยรบพิเศษขวางเอาไว้
“ขอเชิญคุณกลับไปกับพวกเราด้วยครับ เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ พวกเราไม่สามารถปล่อยให้คุณไปได้” ตำรวจหน่วยรบพิเศษคนหนึ่งเอ่ยปากออกมาอย่างจริงจัง
“ไสหัวไป ถ้าหากเพื่อนของฉันเป็นอะไรขึ้นมา พวกคุณคงรับผิดชอบไม่ไหว รวมถึงหลูเซิ่งต๋าด้วย” เย่เทียนเฉินกล่าวออกมาเสียงดัง
ตำรวจหน่วยรบพิเศษคนนั้นตกใจจนชะงักไป จากนั้นจึงเอ่ยปากขึ้นอีก “พะ พวกเราเรียกรถพยาบาลแล้ว คิดว่าอีกไม่นานก็จะมาถึง”
“ไสหัวไป!”
ตอนนี้เย่เทียนเฉินจิตใจสับสนเป็นอย่างมาก เขากลัวว่าเสี้ยวหยาจะเป็นอะไรไป กังวลว่าผู้หญิงที่งดงามคนนี้จะเกิดเรื่อง ในตอนนี้เย่เทียนเฉินเพิ่งจะเข้าใจอย่างแท้จริงว่า บางทีตัวเขาเองคงจะหวั่นไหวกับผู้หญิงที่น่ารักบริสุทธิ์คนนี้เข้าจริงๆ แล้ว และไม่ใช่เพียงเพราะเสี้ยวหยามีเงาของผู้หญิงที่เขารักในช่วงยุคสิ้นโลกเท่านั้น
“คุณโปรดอย่าทำอะไรบุ่มบ่าม มิฉะนั้นพวกเราจะต้องยิงปืนวิสามัญคุณ” ตำรวจหน่วยรบพิเศษคนนั้นยกปืนกลในมือขึ้นแล้วเอ่ยปาก
เย่เทียนเฉินไม่พูดอะไรอีก อุ้มเสี้ยวหยาเดินก้าวไปข้างหน้าทีละก้าว ตำรวจหน่วยรบพิเศษที่โอบล้อมอยู่นั้นชะงักไป ตกใจจนถอยหลังไม่หยุด พวกเขาไม่กล้ายิงและก็ไม่กล้าปล่อยให้เย่เทียนเฉินจากไป เนื่องจากได้รับรายงานจากพลเมืองมาว่าที่นี่เกิดเหตุนองเลือดอันรุนแรงขึ้น มีคนตายอย่างน้อยนับร้อยคน คิดว่าเป็นการสู้กันระหว่างแก๊ง
เอี๊ยด! เสียงรถตํารวจคันหนึ่งเบรกอย่างกะทันหัน จอดอยู่ข้างพวกเย่เทียนเฉิน หลูเซิ่งต๋าซึ่งเป็นผู้อำนวยการสำนักความปลอดภัยสาธารณะแห่งเมืองหลวงรีบลงมาจากรถตำรวจคันนั้น เมื่อเขาเห็นเย่เทียนเฉินที่ร่างกายเต็มไปด้วยเลือดพลันต้องตกตะลึงและสั่นสะท้านไปทั้งร่าง เหงื่อเย็นๆ บนหน้าผากไหลซึมออกมาในพริบตา เดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง
หลังจากที่ได้รับโทรศัพท์แจ้งความจากหลายคน หลูเซิ่งต๋าก็คิดไปว่าเป็นสองแก๊งไหนต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงเขตแดน แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะเป็นเย่เทียนเฉินที่อยู่ที่นี่ เมื่อเห็นร่างกายที่ชุ่มไปด้วยเลือดและบาดแผลของเย่เทียนเฉิน หลูเซิ่งต๋าก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ทำให้ต้องสูดหายใจเย็นยะเยือก
“คะ คุณชายเย่ คะ คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ?” หลูเซิ่งต๋าเอ่ยถามด้วยเสียงอันสั่นเทา
“หึ ยังไม่ตาย หลูเซิ่งต๋า คุณมาเร็วจริงๆ เลยนะ” เย่เทียนเฉินมองหลูเซิ่งต๋าปราดหนึ่ง แค่นเสียงเย็นออกมาครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น
“อา ผม ผมได้รับแจ้งก็รีบส่งคนมาเลยครับ” หลูเซิ่งต๋าตกใจจนรีบเอ่ยปากพูดด้วยความร้อนรน
เย่เทียนเฉินเป็นใครกัน มีเบื้องหลังอย่างไร หลูเซิ่งต๋ารู้ดี บางทีตระกูลเย่อาจจะตกต่ำไปตั้งนานแล้ว ต่อให้เย่เทียนเฉินจะร้ายกาจขนาดไหนก็เป็นคนเพียงคนเดียวเท่านั้น แต่ว่า หลังจากที่เย่เทียนเฉินกลับเมืองหลวงมาแล้ว หากดูจากทุกเรื่องที่กระทำแล้ว การจะบีบหลูเซิ่งต๋าให้ตายเป็นเรื่องที่ง่ายมาก อย่างน้อยเขาหลูเซิ่งต๋าก็ไม่กล้าล่วงเกิน
“ตอนนี้ผมไปได้แล้วหรือยัง?” เย่เทียนเฉินไม่อยากพูดอะไรมาก ช่วยเสี้ยวหยาสำคัญกว่า ยิ่งไปกว่านั้นตั้งแต่ที่ตนลงมือกับลูกน้องของอาหู่จนถึงตอนนี้ก็ผ่านไปราวๆ ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ความรวดเร็วในการที่พวกหลูเซิ่งต๋าส่งตำรวจมาก็ไม่นับว่าช้า
“อา แน่นอน แน่นอนครับ ถ้างั้นผมจะให้คนไปส่งคุณ” หลูเซิ่งต๋ารีบพูดด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ต้องแล้ว ยืมรถตำรวจของคุณมาใช้หน่อยก็พอ” เย่เทียนเฉินพูดอย่างเรียบเฉย
หลูเซิ่งต๋าพยักหน้า ตะโกนใส่ข้าราชการตำรวจตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่อยู่ข้างๆ “แม่งเอ๊ย ยังมัวอึ้งอะไรกันอยู่ ยังไม่รีบขับรถมาอีก!”
เย่เทียนเฉินพาเสี้ยวหยาไปวางไว้ที่ตำแหน่งข้างคนขับอย่างระมัดระวัง ส่วนตัวเองก็เข้าไปนั่งอยู่ในตำแหน่งคนขับ ในตอนที่กำลังจะขับรถออกไปนั้น เย่เทียนเฉินก็คิดอะไรขึ้นมาได้ จึงกวักมือเรียกหลูเซิ่งต๋า อีกฝ่ายจึงรีบวิ่งเข้ามา
“คุณชายเย่ มีอะไรจะสั่งหรือครับ?” หลูเซิ่งต๋าเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“คุณพาคนไปจัดการอาหู่ซะ ส่วนเซวียนเยวี๋ยนเถิงผมจะทำให้มันได้รู้ซึ้งเอง” เย่เทียนเฉินพูดอย่างเรียบเฉย
ในขณะที่หลูเซิ่งต๋าอึ้งอยู่นั้น เย่เทียนเฉินก็ขับรถจากไปด้วยความเร็ว หลูเซิ่งต๋าเช็ดเหงื่อเย็นๆ บนหน้าผาก โชคดีที่คุณชายท่านนี้ไม่ได้โกรธจริงๆ ไม่งั้นตนเองคงไม่จบแค่สูญเสียตำแหน่ง แต่เป็นไปได้มากว่าจะสิ้นชีพไปด้วย
“ผู้อำนวยการหลู จะปล่อยเขาไปแบบนี้เหรอครับ?” ตำรวจนายหนึ่งถามด้วยความหวาดกลัว
“อะไรที่ไม่ควรพูดก็อย่าไปพูดให้มันมากความ ไสหัวไปจัดการซะ” หลูเซิ่งต๋าหันไปถลึงตามองอย่างดุดัน แล้วเอ่ยปากพูดกับตำรวจชั้นผู้น้อยที่ไม่รู้ความคนนั้น
“ผู้อำนวยการหลู นี่…ครั้งนี้อย่างน้อยก็มีคนบาดเจ็บล้มตายไปร้อยกว่าคน ไอ้หนูนั่น…” นายตำรวจชั้นผู้น้อยคนนั้นถามอย่างตกใจ มีเหงื่อไหลออกมาเต็มหัว
“อะไรนะ?”
หลูเซิ่งต๋าตกตะลึง มองเงาของเย่เทียนเฉินที่ขับรถจากไปไกลแล้วด้วยความอึ้ง จะอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะร้ายกาจถึงขนาดนี้ อาหู่ที่เป็นลูกน้องของเซวียนเยวี๋ยนเถิงใช้คนถึงสามร้อยกว่าคน ทุกคนต่างก็ถือมีดตัดฟืนอยู่ในมือ แต่เย่เทียนเฉินก็ยังสามารถฆ่าเพื่อเปิดทางออกมาได้ นี่เป็นฝีมือที่จะทำให้ผู้คนต้องตกตะลึงระดับไหนกัน ทำให้เขาไม่กล้าที่จะจินตนาการ
“แจ้งทุกคนไปว่า ให้เก็บเรื่องในคืนนี้เอาไว้ให้เงียบ หากมีใครทำข่าวหลุดออกไป จะมีความผิดฐานละเมิดวินัย” หลูเซิ่งต๋าได้สติกลับมาก็รีบเอ่ยปากพูดอย่างเคร่งขรึม
“ครับ!”
ในตอนนี้เอง ตำรวจหน่วยรบพิเศษและตำรวจกองคดีอาญาจำนวนหนึ่งเดินเข้าไปในซอยแคบแห่งนั้น ในตอนที่ทุกคนเห็นภาพภายในซอย ต่างก็ตกใจจนตาค้าง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเคยทำคดีมามาก เห็นฉากนองเลือดจนชินตา แต่ก็ยังตกตะลึง ทุกที่เต็มไปด้วยเศษซากอวัยวะ จะบอกว่าเลือดนองดุจทะเลสาบก็ไม่มากเกินไป ไม่มีแม้แต่ศพเดียวที่สมบูรณ์ อีกทั้งยังมีศีรษะคนกลิ้งอยู่ข้างๆ เมื่อเห็นแล้วทำให้รู้สึกหวาดผวาอยู่ในใจ
“อ๊อก…” ตำรวจหนุ่มหลายคนรับไม่ได้ ยันกำแพงแล้วอ้วกออกมา
“ยะ ยังมัวอึ้งอะไรกันอยู่ ทะ โทร 120…” ตำรวจอาวุโสคนหนึ่งได้สติกลับมา ตะโกนออกไปเสียงดัง
ในตอนนี้ ภายในคฤหาสน์อันเงียบสงบแห่งหนึ่งในเมืองหลวง อาหู่สูบซิการ์อยู่อย่างสบายอุรา ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มโหดเหี้ยม ผู้หญิงคนหนึ่งคุกเข่าอยู่ระหว่างขาทั้งสองของอาหู่ โลมเลียกระบองท่อนใหญ่ของเขาไม่หยุด ถูกเขากดลึกเข้าไปในลำคอเป็นระยะ
“หึ เย่เทียนเฉิน ฉันจะดูซิว่า ครั้งนี้ไอ้ลูกเต่าอย่างแกยังจะรอดอีกไหม” อาหู่เอ่ยปากอย่างดุดัน
ในความคิดของอาหู่ ครั้งนี้เย่เทียนเฉินจะต้องตายอย่างแน่นอน ต่อให้เขาจะร้ายกาจมากขนาดไหน ก็ไม่ใช่คู่มือของกองทัพที่ใช้มีดยาวทั้งสามร้อยคน เลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกฟันจนแหลกเหลว
เกิดเสียงดังปัง ประตูถูกเปิดออก ลูกน้องคนหนึ่งของอาหู่วิ่งล้มลุกคลุกคลานเข้ามา อาหู่ตบลูกน้องคนนั้นจนคว่ำลงกับพื้นแล้วด่าว่า “รีบร้อนอะไรของแก? พูดมา”
“พะ พะ พี่ใหญ่ พวกเฮยหวาแพ้แล้ว ถูกเย่เทียนเฉินฆ่าตายไปร้อยกว่าคน ตอนนี้พวกเราถูกตำรวจล้อมเอาไว้แล้วครับ” ลูกน้องคนนั้นกล่าวขึ้น กลัวจนฉี่ราดกางเกง
“อะไรนะ? เป็นไปได้ยังไง เย่เทียนเฉินมัน…” อาหู่ยืนขึ้นทันที จากนั้นจึงหย่อนก้นนั่งลงบนโซฟา ตกตะลึงจนแข็งเป็นหิน ความสูญเสียครั้งนี้สำหรับเขาแล้วนีบว่ามากเกินไปจริงๆ
ไม่นาน หลูเซิ่งต๋าก็พาตำรวจหน่วยรบพิเศษหลายสิบนายมาด้วยตัวเอง ล้อมคฤหาสน์ของอาหู่เอาไว้ ในตอนที่หลูเซิ่งต๋ายืนอยู่เบื้องหน้าอาหู่ อาหู่ถึงจะได้สติขึ้นมา
“หลูเซิ่งต๋า แกคิดจะทำอะไร?”
“ทำอะไร? ฉันจะบอกให้แกรู้เอาไว้ตอนนี้เลย อาหู่ แกทำผิดกฎหมาย สร้างความอันตรายให้กับสังคม ฉันขอจับแกอย่างเป็นทางการ” หลูเซิ่งต๋าพูดเสียงเย็น
“แกกล้าเหรอ หลูเซิ่งต๋า แกก็รู้ว่าฉันเป็นใคร เบื้องหลังของฉันคือคุณชายเซวียนเยวี๋ยนเถิง แกล่วงเกินไม่ได้!” อาหู่มองไปยังหลูเซิ่งต๋าด้วยสองตาที่เต็มไปด้วยความโมโหแล้วพูดขึ้น
“หึ เซวียนเยวี๋ยนเถิงฉันล่วงเกินไม่ได้จริงๆ แต่เย่เทียนเฉินล่วงเกินเขาได้ ฉันก็เป็นแค่คนที่ทำตามหน้าที่เท่านั้น การต่อสู้ระหว่างเซวียนเยวี๋ยนเถิงและเย่เทียนเฉิน ใครจะแพ้ใครจะชนะ สำหรับฉันแล้วไม่มีผลอะไรมากมาย…” หลูเซิ่งต๋าแค่นเสียงเย็นครั้งหนึ่งแล้วพูดขึ้น
…………………………..
จะอย่างไรเย่เทียนเฉินก็คิดไม่ถึงว่า เสี้ยวหยาจะได้รับบาดเจ็บ หรือบางทีอาจจะกล่าวได้ว่า เขาคิดไม่ถึงอย่างเด็ดขาดว่าจะมีคนถ่อยไร้ยางอายเหมือนเฮยหวาอยู่ด้วย กระทั่งผู้หญิงที่ไม่มีแรงจะฆ่าไก่ก็ยังลงมือได้ น่าขายหน้าจริงๆ!
หยาเอ๋อร์!” เย่เทียนเฉินตะโกนเสียงดัง พุ่งเข้าไปหาเสี้ยวหยาโดยไม่สนใจอะไร
“แม่งเอ๊ย พวกแกยังจะมัวตะลึงอะไรกันอยู่อีก ฟันมันให้ตายซะ ถือโอกาสนี้ฟันมันให้ตายซะ” เฮยหวาเห็นเย่เทียนเฉินมีท่าทางสับสน จึงตะโกนออกมาใส่อันธพาลที่เหลืออย่างตื่นเต้น
อันธพาลที่ถือมีดตัดฟืนอยู่ในมือกลุ่มนี้ซึ่งเป็นลูกน้องของอาหู่ล้วนมีใบหน้าหวาดกลัว ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่กล้าพุ่งเข้าไปตามใจ เมื่อครู่ฉากที่เย่เทียนเฉินฆ่าคนราวกับผักปลาทำให้ในใจของใครหลายคนรู้สึกเย็นยะเยือก เย่เทียนเฉินร่างกายชุ่มไปด้วยเลือดสด กระทั่งเส้นผมก็มีเลือดไหลหยดลงมา ราวกับเทพแห่งความตายที่ออกมาจากขุมนรก ไม่มีใครสามารถขวางเขาได้
“พวกแก…บุกเข้าไปพร้อมกัน ฟันมันให้ตาย ใครฟันมันได้ครั้งหนึ่งจะได้รางวัลหนึ่งแสน ฆ่ามันได้จะได้รางวัลหนึ่งล้าน…”
เฮยหวาเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดี พวกลูกน้องของพี่ชายเขาต่างถูกเย่เทียนเฉินทำให้หวาดกลัวจนไม่มีใครกล้าพุ่งเข้าไปสักคน หากเป็นแบบนี้จะต้องฆ่าเขาไม่ได้แน่
เมื่อได้ยินคำพูดของเฮยหวา พวกอันธพาลที่เหลือก็ชะงักไปสักพักหนึ่ง จากนั้นดวงตาทั้งสองแดงก่ำขึ้น จ้องมองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างดุดัน ถึงแม้พวกเขาจะถูกเย่เทียนเฉินทำให้ผวา แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าอำนาจเงิน ทุกคนต่างก็ไม่คิดชีวิต ในใจก็คิดว่าอาจจะโชคดี ไม่เชื่อว่าตนเองมีคนเยอะขนาดนี้จะฆ่าเย่เทียนเฉินไม่ได้
ฟันฉัวะลงไปครั้งหนึ่ง อันธพาฃตัวดำคนหนึ่งกัดฟันแน่น ใช้มีดฟันลงไปที่บริเวณหลังของเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินดวงตาเย็นยะเยือก หันมาจับอันธพาลตัวดำคนนั้น ใช้มือขวาบีบลงไปที่คอของเขา ได้ยินเสียงกรอบครั้งหนึ่ง อันธพาลตัวดำถูกเย่เทียนเฉินหักคอตายทั้งเป็น นอนตายตาไม่หลับอยู่บนพื้น
เย่เทียนเฉินหยิบมีดตัดฟืนในมือของอันธพาลตัวดำคนนั้นขึ้นมา เขาโกรธขึ้นมาบ้างแล้ว เสี้ยวหยาได้รับบาดเจ็บ ทำให้เขาปลดปล่อยกลิ่นอายแห่งการฆ่าในใจของตัวเองออกมาอย่างรุนแรง เป็นสิ่งที่ออกมาจากความโกรธแค้นของเขาจริงๆ
“ขะ เข้าไปพร้อมกัน พะ พวกเรามีมากขนาดนี้ ต้องฆ่ามันได้แน่!” ตอนนี้เอง มีอันธพาลที่ถือมีดตัดฟืนอยู่ในมือคนหนึ่งตะโกนออกมาด้วยเสียงอันสั่นเทา
พริบตานั้น อันธพาลสิบกว่าคนที่ไม่กลัวตายล้อมเย่เทียนเฉินเอาไว้ แกว่งมีดตัดฟืนในมือไปยังจุดตายของเขา เย่เทียนเฉินยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน ในตอนที่มีดตัดฟืนในมือของอันธพาลเหล่านี้ฟันลงมาพร้อมกัน เย่เทียนเฉินก็ใช้เท้าขวาออกแรงเหยียบพื้นส่งตัวเองขึ้นสู่อากาศแล้วม้วนตัวครั้งหนึ่ง อันธพาลสิบกว่าคนที่ล้อมเขอยู่มองจนตาค้าง ไม่ขยับเขยื้อน
บนใบมีดของเย่เทียนเฉินชุ่มไปด้วยเลือดสดๆ ใบหน้าของเขาเย็นชา ชั่วขณะนั้นจิตวิญญาณแห่งการฆ่าพุ่งทะยานขึ้น ไม่มีการกักเก็บเอาไว้แม้เพียงครึ่งส่วน เขาโกรธแล้ว ราวกับว่ากลายเป็นเทพแห่งความตายจริงๆ ใครก็ไม่สามารถเข้าไปใกล้เขาได้แม้แต่ครึ่งก้าว
เฮยหวาตกใจจนถอยหลังไปก้าวหนึ่ง เขาแทบจะทรุดลงกับพื้นจนก้นจ้ำเบ้า ในตอนที่เย่เทียนเฉินเดินออกมาจากเหล่าอันธพาลสิบกว่าคนที่ล้อมเขาเป็นวงกลมอยู่นั้น คนทั้งสิบกว่าคนที่เดิมทีพุ่งเข้าไปเพื่อต้องการที่จะฟันแขนเย่เทียนเฉิน ในตอนนี้กลับลงจมกองเลือด การฟันเมื่อครู่นี้ เย่เทียนเฉินได้ดับลมหายใจของพวกเขาทุกคนไปแล้ว เลือดหลั่งไหลออกมาประดุจทะเลสาบ
มือขวาของเย่เทียนเฉินถือมีดตัดฟืนอยู่เล่มหนึ่ง เดินไปยังเฮยหวาทีละก้าว ในตอนนี้เฮยหวาตกใจจนหน้าซีด เหงื่อเย็นๆ ไหลออกมาราวกับสายฝน ความตาย ทั่วทั้งซอยฟุ้งกระจายไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย ได้ยินเพียงเสียงหัวใจของเหล่านักฆ่าอันธพาลที่เป็นลูกน้องของอาหู่เต้นตึกตักด้วยความหวาดกลัว
“หยาเอ๋อร์ หยาเอ๋อร์ เธอไม่เป็นไรใช่ไหม?” เย่เทียนเฉินนั่งลงกอดเสี้ยวหยาเอาไว้ในอ้อมกอด ตะโกนออกมาอย่างร้อนรน
เสี้ยวหยาลืมตาขึ้นมาอย่างอ่อนแรง เธอเป็นเพียงผู้หญิงอ่อนแอคนหนึ่ง ไม่มีแม้แต่แรงจะฆ่าไก่ แต่กลับไปบังมีดให้เย่เทียนเฉินโดยที่ไม่ลังเลและไม่สนใจทุกสิ่งทุกอย่างเลยแม้แต่น้อย บางทีอาจเป็นเพราะหลงรักอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว บางทีอาจเป็นเพราะบุญคุณ จะอย่างไรเธอก็ไม่อยากเห็นเย่เทียนเฉินได้รับบาดเจ็บ ไม่อยากให้ตัวเองเป็นตัวถ่วงของเขา
“หยาเอ๋อร์ หยาเอ๋อร์…” เย่เทียนเฉินก่อนเสี้ยวหยาเอาไว้ในอ้อมกอดแน่น กําหมัดแน่นแล้วตะโกนออกมาเสียงดังด้วยความร้อนใจ
“ทะ เทียนเฉิน ระ รีบไป…ไม่งั้นพวกเราจะตายกันหมด…” เสี้ยวหยาลืมตาทั้งสองอย่างอ่อนแรง มองเย่เทียนเฉินด้วยความรักและสงสารแล้วพูดขึ้น
“ไม่ ใครกล้าแตะต้องเธอแม้แต่นิดเดียว ฉันจะฆ่ามันซะ!”
ในตอนนี้ เลือดแห่งการสู้รบของเย่เทียนเฉินได้พุ่งพล่านขึ้นมาแล้ว ในตอนที่พูดก็หันไปมองเหล่าอันธพาลที่อยู่ด้านหลัง ทำให้พวกอันธพาลที่ถือมีดตัดฟืนอยู่ในมือเหล่านี้ตกใจจนถอยออกไปหลายก้าวโดยไม่รู้ตัว
“เทียนเฉิน นายรีบไปซะ อย่าสนใจฉัน ฉัน…”
คำพูดของเสี้ยวหยายังไม่ทันจบก็หมดสติไปภายในอ้อมกอดของเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินชะงักไปทั้งร่าง จากนั้นจึงกัดฟันอย่างรุนแรง พูดพึมพำกับตัวเองว่า “หยาเอ๋อร์ เธอวางใจเถอะ ฉันจะพาเธอออกไป ไม่ว่าใครก็ขวางฉันกับเธอไม่ได้…”
เย่เทียนเฉินยืนขึ้นอย่างเชื่องช้า เหล่าอันธพาลที่เหลืออยู่รอบๆ ต่างตกใจจนสั่นไปทั้งร่าง ถอยหลังออกไปโดยไม่รู้ตัว ในตอนนี้ ไอสังหารของเย่เทียนเฉินบานสะพรั่ง เขาเตรียมพร้อมที่จะฆ่าแล้ว ความรู้สึกกดดันจนทำให้หายใจไม่ออกเช่นนั้น สามารถทำให้คนจิตวิปลาสได้เลยทีเดียว
เย่เทียนเฉินไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว ใช้มือขวาเช็ดเลือดบนหน้า สายตามีความเด็ดเดี่ยวยิ่งขึ้น เขาเก็บมีดตัดฟืนเปื้อนเลือดขึ้นมาจากพื้น ใช้ปากฉีดเศษผ้าออกมาจากเสื้อของตน แล้วนำมาพันไว้บนมือขวา อุ้มเสี้ยวหยาขึ้นแบกเอาไว้บนไหล่ซ้าย ใช้มือซ้ายจับหลังของเสี้ยวหยาเอาไว้
ในซอยคับแคบที่เงียบงันราวกับความตาย ไม่มีใครกล้าขยับ กระทั่งหายใจแรงก็ยังไม่กล้า เงาร่างสูงใหญ่ดุดันร่างหนึ่ง ไหล่ซ้วาแบกสาวงามคนหนึ่งเอาไว้ มือซ้ายจับเอวของเธอแน่น มีดตัดฟืนในมือขวาพันเข้ากับมือ และยังมีดวงตาแน่วแน่เย็นชาคู่นั้น ดูแล้วทำให้ต้องสั่นทั้งๆ ที่ไม่หนาว
เย่เทียนเฉินแบกเสี้ยวหยาเอาไว้บนไหล่ซ้าย เดินตรงไปยังปากซอยทีละก้าวๆ ทุกก้าวที่เขาก้าวเดินไปข้างหน้า เหล่าอันธพาลที่ยืนขวางอยู่เบื้องหน้าของเขาต่างก็ถอยหลังออกไปก้าวหนึ่งโดยไม่รู้ตัว ในขณะนี้เย่เทียนเฉินราวกับเป็นเทพแห่งความตายที่แบกสาวงามดุจนางฟ้าอยู่บนไหล่ เดินตรงไปข้างหน้าด้วยความแน่วแน่ ไม่มีผู้ใดกล้าขวาง
เฮยหวาหอบหายใจเฮือกใหญ่ ไม่ใช่เพราะเหนื่อยจนเกินไป และไม่ใช่เพราะได้รับบาดเจ็บ แต่เป็นเพราะถูกกลิ่นอายอำนาจแห่งจักรพรรดิที่แผ่ออกมาจากเย่เทียนเฉินกดดันจนแทบจะหายใจไม่ออก มองเย่เทียนเฉินที่แบกเสี้ยวหยาอยู่บนไหล่เดินไปยังปากทางทีละก้าว เฮยหวากัดฟัน กำตัดฟืนในมือแน่น
“ฆ่า ฆ่ามันซะ มันได้รับบาดเจ็บแล้ว อย่าให้มันสองคนหนีไปด้วยกันได้…” เฮยหวาตะโกนเสียงดัง
ยังมีอันธพาลจำนวนหนึ่งที่ไม่กลัวตายพุ่งเข้าใส่เย่เทียนเฉิน อารมณ์ของเขาไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ แม้แต่ครึ่งส่วน และไม่ได้ถอยแม้แต่หนึ่งก้าว ทำเพียงเดินต่อไปข้างหน้า
มีดตัดฟืนสะบัดราวกับเต้นรำ มีดตัดฟืนในมือขวาของเย่เทียนเฉินฟันออกไปไม่หยุด หยาดเลือดสาดกระเซ็น เสียงกรีดร้องและเสียงตะโกนให้ฆ่าดังขึ้นทั่วทั้งซอย เย่เทียนเฉินไม่ได้สนใจเลยว่าบนมือ บนขา และบนหลังของตนจะได้รับบาดเจ็บมากขนาดไหน ทำเพียงแบกเสี้ยวหยาเดินตรงไปข้างหน้าเท่านั้น ทุกมีดที่ฟันออกไป จะต้องมีอันธพาลคนหนึ่งนอนทอดตัวเป็นศพ
ในที่สุด เย่เทียนเฉินก็เริ่มฆ่าด้วยความโกรธแค้น แบกเสี้ยวหยาวิ่งตรงไปด้านหน้า มีดตัดฟืนในมือขวากวัดแกว่งออกไปเก็บเกี่ยวชีวิตผู้คนไม่หยุด แต่ละมีดต้องมีคนตาย
บางทีเป็นเพราะลืมไปแล้วหรืออาจเป็นเพราะเสี้ยวหยาได้รับบาดเจ็บ จึงทำให้เย่เทียนเฉินโกรธ เขาในตอนนี้ไม่ใช่ว่าไม่อยากใช้พลังพิเศษ แต่ลืมใช้พลังพิเศษ มีดตัดฟืนในมือเก็บเกี่ยวชีวิตผู้คนราวกับผักปลา แบบนี้จะยิ่งเพิ่มความสะใจและความเลือดพล่านมากขึ้น อีกทั้งยังสามารถกระตุ้นจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเย่เทียนเฉินได้ ร่างกายของเขาก็จะได้รับการบ่มเพาะครั้งใหญ่
“ทำไม…ทำไม ทำไมพวกแกต้องบีบบังคับฉัน!” เย่เทียนเฉินใช้มีดตัดฟืนฟันหัวของอันธพาลคนหนึ่งจนขาดกระเด็น ตะโกนออกมาเสียงดัง
“ฆ่ามันซะ อย่าให้มัน…”
เฮยหวาพุ่งออกมาจากด้านหลัง มีพี่น้องตายไปมากขนาดนี้ หากยังฆ่าเย่เทียนเฉินไม่ได้ พวกเขาก็ไม่อาจคุ้มถนนเส้นนี้ได้อีก แต่คำพูดของเขายังไม่ทันพูดจบ เย่เทียนเฉินก็หันมาอย่างฉับพลัน เขาจ้องมองเฮยหวาแล้วขว้างมีดตัดฟืนที่ผูกกับมือขวาออกไป
เสียงดังฉึก ท้องของเฮยหวาถูกมีดตัดฟืนเสียบทะลุ มีดตัดฟืนที่มีพลังในการโจมตีอันรุนแรงพาร่างของเฮยหวาไปปักอยู่บนกำแพง เลือดสดๆ ไหลหยดลงมาตามกำแพง ดูแล้วทำให้ผู้คนต้องหวาดกลัว และยังเป็นการกระตุ้นความเลือดร้อน
“มา มาฟันฉันสิ มา…” เย่เทียนเฉินตะโกน
“อ๊าก!”
อันธพาลที่ถือมีดตัดฟืนไว้ในมือคนหนึ่งกลัวจนจิตตก ทั่วท้องซอยเต็มไปด้วยเลือด เศษซากอวัยวะ และยังมีศีรษะที่ถูกฟันขาด ดูราวกับนรกบนดิน อันธพาลคนนั้นทำมีดในมือตกพื้น มือทั้งสองกุมศีรษะของตน กรีดร้องออกมา จากนั้นจึงวิ่งหนีไปอย่างบ้าคลั่ง
คนที่สอง…
คนที่สาม…
นักฆ่าที่เหลือต่างก็จิตใจแหลกสลาย พวกเขาไม่กล้าไปเป็นคู่ต่อสู้กับเทพแห่งความตาย ต่างพากันกรีดร้องออกมาและวิ่งหนีกันอย่างล้มลุกคลุกคลาน วิ่งได้ไกลเท่าไหร่ก็วิ่ง ไม่หันหน้ากลับมาอีก…
เย่เทียนเฉินผ่อนลมหายใจครั้งหนึ่ง ยืนไม่ค่อยมั่นคงเท่าไหร่นัก ต่อสู้อย่างรุนแรงเช่นนี้มาครึ่งชั่วโมงกว่าแล้ว อีกทั้งยังไม่ได้ใช้พลังพิเศษ เขาคนเดียวฆ่ากองกองอันธพาลที่ใช้มีดตัดฟืนไปสามร้อยกว่าคน ฟังดูน่าหวาดผวาเป็นอย่างมาก
เขาวางเสี้ยวหยาลง มองเธอที่หมดสติไป ในใจรู้สึกร้อนรน ไม่รู้ว่าอาการบาดเจ็บของผู้หญิงที่งดงามคนนี้เป็นอย่างไรบ้าง เธอถึงกับไม่สนใจอะไร ผลักเขาออกและเอาตัวมาขวางมีดให้เขา เย่เทียนเฉินรู้สึกผิด ต้องโทษเขาที่อยากจะถือโอกาสนี้ฝึกฝนกายเนื้อ มิเช่นนั้นเธอคงไม่ได้รับบาดเจ็บ
มือทั้งสองของเย่เทียนเฉินอุ้มเสี้ยวหยาในท่าอุ้มเจ้าสาว เดินออกไปยังปากทางทีละก้าว ทั่วทั้งตัวเต็มไปด้วยเลือด ราวกับเปียกชุ่มไปด้วยฝนเลือด เดินออกไปยังปากซอย เขาไม่สนใจบาดแผลของตน ในใจคิดว่าจะต้องพาเสี้ยวหยาไปส่งที่โรงพยาบาลให้เร็ว หากผู้หญิงคนนี้เป็นอะไรไป เย่เทียนเฉินคงไม่ยกโทษให้ตนเองไปชั่วชีวิต
ในตอนที่เย่เทียนเฉินอุ้มเสี้ยวหยาเดินออกมาที่ปากซอยแล้ว ผู้คนที่เดินอยู่บนถนนนอกซอยต่างพากันตกตะลึงจนตาค้าง มองเย่เทียนเฉินอย่างไม่อยากจะเชื่อ บางคนรู้ว่าในซอยแคบแห่งนี้เกิดอะไรขึ้น แต่กลับไม่กล้าไปยุ่งให้มากเรื่อง ตอนนี้เห็นเย่เทียนเฉินถึงกับอุ้มเสี้ยวหยาออกมา ร่างกายเต็มไปด้วยเลือด ทำให้ต้องตกตะลึงจนแข็งเป็นหิน
“พะ พระเจ้า ขะ เขาฆ่าคนออกมาได้แล้ว”
“นะ นี่ยังเป็นคนอยู่อีกเหรอ? คนสามร้อยคนที่มีมีดตัดฟืนถึงกับฆ่าเขาไม่ได้เชียว?”
“ปกป้องผู้หญิงที่ตนรัก ฆ่าคนเพื่อเปิดเส้นทางแห่งเลือด คนคนนี้แข็งแกร่งจริงๆ”
ในตอนนี้ เสียงรถตํารวจดังขึ้น รอบด้านต่างก็มีตำรวจพุ่งเข้ามาเป็นจำนวนมาก รถตำรวจสิบกว่าคันขวางเย่เทียนเฉินและเสี้ยวหยาเอาไว้ที่ปากทาง มีตำรวจอาวุธครบมือเกือบร้อยคนลงมาจากรถ ทุกคนต่างยกปืนขึ้น เล็งไปยังเย่เทียนเฉิน…
…………………………….
“หยาเอ๋อร์ อยู่ใกล้ฉันเอาไว้ ฉันจะพาเธอฝ่าออกไป” เย่เทียนเฉินหันไปยิ้มให้กับเสี้ยวหยาที่มีใบหน้าซีดขาวแล้วพูดขึ้น
ในตอนนี้ เหล่าพี่น้องกลุ่มนี้ที่เป็นลูกน้องของอาหู่ จากเดิมทีที่คิดว่าจะสามารถฆ่าเย่เทียนเฉินได้ด้วยคนเพียงไม่กี่คน ต่อให้ไม่ลงมือแต่ก็มีพละกำลังมากกว่าขนาดนี้ ชายฉกรรจ์ที่ถือมีดตัดฟืนอยู่ในมือทั้งสามร้อยกว่าคน สามารถทำให้คนตกใจตายได้ แต่เย่เทียนเฉินไม่เพียงแต่ไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย กลับลงมืออย่างโหดเหี้ยม พริบตาเดียวก็ฟันชายฉกรรจ์สิบกว่าคนจนล้มตาย ทำให้ทุกคนในที่นี้ต่างก็ตกตะลึงจนนิ่งไป
เย่เทียนเฉินมองเหล่าอันธพาลทั้งซ้ายขวา กลยุทธ์ของตนถูกต้องจริงดังคาด วิธีการนองเลือดอันโหดเหี้ยมจะทำให้ทุกคนต้องสั่นสะท้านจนนิ่งไป จึงจะมีโอกาสฝ่าวงล้อม มิเช่นนั้นหากปะทะกันอย่างรุนแรงเข้ามาจริงๆ หากตนเองไม่ใช้พลังพิเศษและต้องการฆ่าคนทั้งสามร้อยกว่าคนนี้ ต่อให้หั่นแตงกวาสามร้อยลูกก็ยังหันจนมือไม้อ่อนได้
เสี้ยวหยาอยู่ด้านหลังของเย่เทียนเฉิน ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยเลือดสดๆ มือซ้ายกุมมือเสี้ยวหยาเอาไว้ มีดตัดฟืนในมือขวาชี้ลงพื้นมีเลือดสดๆ ไหลหยดลงมาไม่หยุด ทุกก้าวที่เขาก้าวไปข้างหน้า เหล่าชายฉกรรจ์โหดเหี้ยมที่ยืนอยู่ขวางด้านหน้าเขา ต่างก็ตกใจจนอดไม่ได้ที่จะถอยหลังไป
“แม่งเอ๊ย ฟัน ฟันมันให้ตาย หากว่าไอ้หมอนี่มันหนีไป พี่หู่ก็ไม่ปล่อยพวกเราไปแน่…” ชายฉกรรจ์คนหนึ่งตะโกนขึ้น
เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว กลุ่มคนทะลักเข้ามาทั้งหน้าและหลัง สะบัดมีดตัดฟืนจนมั่วซั่ว ชายฉกรรจ์คนหนึ่งแทงมีดเขามายังหน้าอกของเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินเอี้ยวตัวแล้วฟันมีดกลับไป เสียงร้องอย่างอนาถดังขึ้น แขนทั้งแขนของชายฉกรรจ์ผู้นั้นถูกเย่เทียนเฉินฟันจนขาดทั้งดุ้น ล้มลงไปแล้วกลิ้งไปมาท่ามกลางกองเลือด
ชายฉกรรจ์อีกสองคน คนหนึ่งฟันไปยังศีรษะของเย่เทียนเฉิน อีกคนหนึ่งฟันแนวขวางไปยังอวของเย่เทียนเฉิน
ฉัวะ!
มือขวาของเย่เทียนเฉินฟันออกไปเป็นแนวนอน ปะทะเข้ากับมีดตัดฟืนที่ฟันมายังศีรษะของตนจนกระเด็นออกไป ในขณะเดียวกันก็ใช้เท้าแตะชายฉกรรจ์ที่ฟันมีดมายังศีรษะของตนผู้นั้นจนปลิว กระแทกกับเหล่านักฆ่าที่ทะลักเข้ามาไปแถบหนึ่ง
ในขณะเดียวกันนี้ เย่เทียนเฉินก็ปล่อยมือเสี้ยวหยา ใช้มือซ้ายจับข้อมือของชายฉกรรจ์ที่ฟันมีดลงมาบริเวณเอวของเขา หยุดไม่ถึงครึ่งวินาทีก็ได้ยินเสียงกระดูกหักดังขึ้น เย่เทียนเฉินหักข้อมือของชายฉกรรจ์โหดเหี้ยมคนนั้นอย่างรุนแรง และใช้เท้าถีบจนปลิวออกไปเช่นกัน
“อา… เทียนเฉินระวัง” ทันใดนั้นเสี้ยวหยาตะโกนเรียก เพราะด้านหลังของเย่เทียนเฉินมีชายฉกรรจ์ผู้โหดเหี้ยมคนหนึ่งแทงมีดเข้าไปด้านหลังของเย่เทียนเฉิน
เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว หมุนตัวพร้อทั้งเตะกลับไปจนชายฉกรรจ์ที่ลอบโจมตีตัวเองผู้นั้นกระเด็นออกไป ปะทะเข้ากับชายฉกรรจ์ถือมีดตัดฟืนที่อยู่ด้านหน้าสุดหลายคน
อันธพาลที่ถือมีดตัดฟืนอยู่ในมือทะลักเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งหมดต่างก็มีดวงตาแดงก่ำด้วยความต้องการฆ่า เย่เทียนเฉินถอยหลังไปหลายก้าว ปกป้องเสี้ยวหยาให้อยู่ด้านหลังติดๆ เสี้ยวหยาเกาะแขนเย่เทียนเฉินไว้แน่น สถานการณ์เช่นนี้หากไม่กลัวก็โกหกแล้ว ไม่ต้องพูดถึงว่าเสี้ยวหยาเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ต่อให้เป็นผู้ชายตัวใหญ่ได้มาเห็น เกรงว่าจะถูกทำให้ตกใจจนฉี่ราด
“หยาเอ๋อร์ อย่ากลัว ไม่มีอะไรหรอก!” เย่เทียนเฉินหันไป เช็ดอยากเลือกบนหน้าออก ยิ้มให้เสี้ยวหยาแล้วพูดขึ้น
เสี้ยวหยาเห็นท่าทางเช่นนี้ของเย่เทียนเฉิน น้ำตาก็พลันไหลออกมา เธอรู้ว่านี่ล้วนเป็นเพราะต้องปกป้องตน มิเช่นนั้นเย่เทียนเฉินจะต้องสู้อย่างลำบากขนาดนี้ได้อย่างไร ด้วยฝีมือของเขา ในที่นี้ไม่มีใครที่จะขวางเขาไว้ได้
“เทียนเฉิน นายไม่ต้องสนใจฉัน นายรีบไป รีบไปเถอะ…” เสี้ยวหยาผลักเย่เทียนเฉินออกไป เธอรู้ว่าตัวเองเป็นตัวถ่วงของเย่เทียนเฉิน
“เด็กโง่ ต่อให้ฉันตายก็จะไม่ทิ้งเธอเอาไว้ อีกอย่างด้วยฝีมือของพวกเขา…ฆ่าฉันไม่ได้หรอก!” อเย่เทียนเฉินยิ้มอย่างมาดเท่พูดกับเสี้ยวหยา
“เทียนเฉิน นายไม่ต้องสนใจฉันแล้ว รีบไปเถอะ หากว่านายต้องการจะออกไปก็ไม่มีใครขวางนายได้!” เสี้ยวหยาร้องไห้แล้วพูดขึ้นเสียงดัง
“ฉันจะพาเธอออกไปด้วยกัน พวกเราไปด้วยกัน!”
คำพูดอันหนักแน่นของเย่เทียนเฉินเพิ่งจะพูดออกมา เขาก็ไม่ยอมถอยแต่กลับบุกเข้าไป พุ่งเข้าไปยังอันธพาลกลุ่มนั้นที่ไหลทะลักเข้ามา ทำให้ชายฉกรรจ์หลายคนตกใจจนชะงัก อดไม่ได้ที่จะหยุดฝีเท้าตนเองลง กระทั่งมีคนถอยหลังออกไป
“ไอ้…ไอ้หนูนี่ ระ รนหาที่ตายหรือไง?”
“ถึงกับกล้าพุ่งเข้ามาเลย?”
“ฆะ ฆ่ามัน”
อันธพาลกลุ่มนี้เดิมทีก็ฆ่าคนได้โดยไม่กระพริบตา ในตอนนี้ถูกฉากนองเลือดกระตุ้นนิสัยบ้าเลือดขึ้น ชายฉกรรจ์หลายสิบคนที่พุ่งเข้ามาด้านหน้าสุดตวัดมีดตัดฟืน ด้านหลังยังมีเงาคนทะลักเข้ามาจนไม่อาจเห็นจุดสิ้นสุดได้
เย่เทียนเฉินรู้ว่าในตอนนี้ไม่มีทางแล้ว ต้องพึ่งพาตนเอง พึ่งพามีดในเมือง ฆ่าเปิดทางออกไปอย่างดุดัน เขาเป็นคนที่แน่วแน่คนหนึ่ง เรื่องที่ตัดสินใจไปแล้ว ก็จะต้องทำให้ได้ กล่าวแล้วว่าจะไม่ใช้พลังพิเศษก็จะต้องไม่ใช้พลังพิเศษ อีกทั้งแบบนี้ยังมีผลดีต่อการฝึกฝนกายเนื้อเป็นอย่างมาก ยากที่จะมีโอกาสเช่นนี้ได้
สถานการณ์เช่นในตอนนี้ เขารู้ว่าเขาจำเป็นต้องลงมือฆ่า มิเช่นนั้นไม่เพียงแต่เขาที่ต้องตาย เสี้ยวหยาเองก็คงไม่รอด เขาจะต้องปกป้องเสี้ยวหยา ปกป้องให้ผู้หญิงคนนี้ฝ่าออกไปให้ได้
การต่อสู้อันดุเดือดเลือดพล่านเริ่มขึ้นแล้ว เย่เทียนเฉินคนเดียวเผชิญหน้ากับชายฉกรรจ์ถือมีดตัดฟืนอยู่ในมือหลายสิบคน ด้านหลังยังมีคนจำนวนนับไม่ถ้วนไหลทะลักเข้ามา มีดตัดฟืนในมือขวาสะบัดออกไปไม่หยุด เสียงกรีดร้องดังขึ้นไม่หยุด เงาคนเบียดเสียดเข้ามา
เมื่อเห็นว่าเย่เทียนเฉินต่อสู้นองเลือดอยู่ท่ามกลางฝูงชนอย่างยากลำบาก เสี้ยวหยาก็น้ำตาไหลออกมาอย่างไม่อาจระงับ ผู้ชายเช่นนี้ เพื่อที่จะปกป้องตนเอง ไม่เสียดายที่จะทำให้ทั้งร่างของตนย้อมไปด้วยเลือด คนขวางก็ฆ่าคน พระขวางก็ฆ่าพระ น้ำตาของเธอไหลออกมาเพื่อเขา
ในตอนที่เย่เทียนเฉินจับหัวชายฉกรรจ์คนหนึ่ง ตวัดมีดตัดฟืนในเมืองขวาออกไปแนวนอน ตัดศีรษะของชายฉกรรจ์ผู้นั้นออกมา เสาเลือดพุ่งทะยานขึ้น ฉากนี้ทั้งสั่นสะท้านและเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด จนทุกคนชะงักไป ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่กล้าขยับ มีชายฉกรรจ์บางคนตกใจจนฉี่ราด ในใจของหลายคนต่างก็เย็นเยียบขึ้น คิดว่านี่ยังเป็นคนอยู่อีกหรือ? เป็นคนหรือเป็นเทพแห่งความตายกันแน่?
ในซอยแคบพลันเงียบงั้น แสงไฟอันมืดสลัวเรากลับกำลังไว้อาลัยให้ผู้ตาย ชายฉกรรจ์ที่ถือมีดตัดฟืนอยู่ในมือที่เหลืออีกสองร้อยกว่าคน ไม่ว่าจะเป็นคนที่พุ่งไปด้านหน้าสุด หรือว่าจะถูกขวางเอาไว้ข้างหลัง ทั้งหมดต่างก็ใบหน้าซีดขาว มีเหงื่อเย็นๆไหลซึมออกมา มองไปยังด้านหน้าอย่างตะลึงจนแข็งเป็นหิน
ตรงกลางสุดของซอย มีเงาร่างสูงใหญ่ผอมเพรียวร่างหนึ่ง ใบหน้าเย็นยะเยือก ร่างกายชุ่มไปด้วยเลือด มือซ้ายถือหัวคน มืดตัดฟืนในมือขวาเต็มไปด้วยรอยบิ่นตั้งนานแล้ว เลือดสดๆ หยดไหลลงติ๋งๆ ทุกครั้งที่หยดลง ต่างก็สั่นสะท้านไปถึงจิตวิญญาณของผู้คน
เย่เทียนเฉิน ตัวตนที่เป็นดั่งเทพแห่งความตาย เขาลงมือเอง ไม่ถึงสิบนาทีรอบเช้าของเขาก็มีศพยี่สิบกว่าศพนอนอยู่ โดยเฉพาะศพของชายฉกรรจ์ศพหนึ่ง คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าของเขา และในมือซ้ายของเย่เทียนเฉินถือหัวของชายฉกรรจ์ผู้นั้นอยู่
นรกบนดิน น่าสยดสยองมากนัก หลายคนกระทั่งหายใจแรงก็ยังไม่กล้า สองตาเบิกกว้าง เหงื่อเย็นๆ ไหลลงมาไม่หยุด
เสียงพลั่กดังขึ้น เย่เทียนเฉินโยนมีดตัดฟืนที่เต็มไปด้วยรอยบิ่นลงสู่พื้น พาร่างที่เต็มไปด้วยหยาดเลือดเดินไปเบื้องหน้าเสี้ยวหยา หอบหายใจครั้งใหญ่ เขาไม่ได้ใช้พลังพิเศษ แม้จะฝีมือแข็งแกร่งเช่นเขาก็ยังต้องใช้พลังกายออกไปมาก เผชิญหน้ากับชายฉกรรจ์ถือมีดตัดฟืนอยู่ในมือทั้งสามร้อยกว่าคน มือขวาของเย่เทียนเฉินฟันจนล้าไปหมดแล้ว
“เทียนเฉิน เทียนเฉิน นายไม่เป็นอะไรใช่ไหม…” เสี้ยวหยาสูดจมูก ใบหน้าอันงดงามมีน้ำตาไหลออกมาเต็มหน้า ผู้ชายเช่นนี้ควรค่าที่จะทำให้เธอร้องไห้เพื่อเขา ควรค่าที่เธอจะรักอย่างลึกซึ้ง
“เด็กโง่ ฉันไม่เป็นไร อย่าร้องเลย พวกเราไปกันเถอะ!” เย่เทียนเฉินพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
เสี้ยวหยาตกตะลึง จากนั้นจึงพยักหน้าอย่างแน่วแน่ จับมือซ้ายของเย่เทียนเฉิน กุมเอาไว้จนแน่น ดูเหมือนจะกลัวว่าหากไม่ระวังจะสูญเสียอะไรบางอย่างไป
เย่เทียนเฉินจูงมือเสี้ยวหยา เดินเหยียบย่างไปบนซากศพของเหล่าชายฉกรรจ์ ชายฉกรรจ์ที่เหลืออีกหลายร้อยคนที่ขวางหน้าเย่เทียนเฉินเอาไว้ ต่างก็สั่นสะท้านไปทั้งร่าง มีดตัดฟืนภายในมือขวาแทบจะประคองไว้ไม่ได้ เย่เทียนเฉินพาเสี้ยวหยาไป ทุกครั้งที่ก้าวไปด้านหน้าหนึ่งก้าว คนเหล่านี้ก็จะถอยไปหนึ่งก้าว ไม่มีใครกล้าพุ่งเข้ามาเลยแม้แต่คนเดียว
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเย่เทียนเฉินที่เป็นเหมือนปีศาจฆ่าคน ใครจะไม่กลัวบ้าง? จิตวิญญาณต่างก็กำลังสั่นเทา ไม่ถึงสิบนาทีก็ ไปแล้วสามสิบกว่าคน แต่ละมีดล้วนเอาชีวิต โดยเฉพาะช่วงเวลาสุดท้ายนั้น ตัดศีรษะคนผู้หนึ่งจนขาดร่วง เสาเลือดพุ่งทะยานขึ้นฟ้า ภาพเหตุการณ์อันโหดเหี้ยมปรากฏต่อสายตา ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ไม่กลัว
เป็นเช่นนี้เอง เย่เทียนเฉินจูงมือเล็กๆของเสี้ยวหยา เดินมุ่งไปยังปากซอยช้าๆทีละก้าว เมื่อผ่านการต่อสู้อันดุเดือดเลือดพล่านเมื่อสักครู่นี้มา ถึงแม้เขาจะได้รับบาดเจ็บจากมีดๆ เพียงเล็กน้อย แต่พลังกายก็เริ่มจะประคองไว้ไม่ไหว เขาคอยสังเกตอันธพาลนักฆ่ากลุ่มนี้ที่เบื้องหน้าอย่างระมัดระวัง เกรงว่าจะมีคนลอบโจมตี เขาไม่ต้องการให้เสี้ยวหยาได้รับบาดเจ็บ
เป็นไปอย่างเชื่องช้า ดวงตาของเย่เทียนเฉินและเสี้ยวหยามองไปยังปากซอยที่มีระยะห่างไม่ถึงสิบเมตร ขอเพียงออกไปได้ก็ไม่มีใครกล้าขวางทางเย่เทียนเฉินอีก
“ไปตายซะ ไอ้ลูกหมา…”
ชั่วขณะนั้นเอง ชายฉกรรจ์คนหนึ่งตะโกนขึ้นมาเสียงดัง ลอบโจมตีขึ้นมาจากด้านหลัง แทงมีดไปยังหลังของเย่เทียนเฉิน
ชายฉกรรจ์คนที่ลอบโจมตีเย่เทียนเฉินขึ้นมาอย่างกะทันหันนี้ ก็คือน้องชายแท้ๆ ของอาหู่ มีฉายาว่าเฮยหวา(ทารกดำ) เดิมทีคิดว่าต่อให้เย่เทียนเฉินมีฝีมืออยู่บ้าง ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตนที่มีคนมากถึงเพียงนี้ แต่ว่าตั้งแต่ชั่วขณะที่เริ่มประมือกัน เฮยหวาก็ไม่กล้าพุ่งเข้าไปด้านหน้า เย่เทียนเฉินก็เหมือนกับเทพแห่งความตาย ห้าวหาญจนมิอาจขวาง ทุกคนที่กล้าพุ่งเข้าไปต่างก็มีคำเดียวที่รออยู่นั่นคือ ตาย
ตอนนี้เฮยหวามองไปยังเย่เทียนเฉินที่จะหนีไป กัดฟันแน่น ต้องการจะลอบโจมตีเย่เทียนเฉิน ขอเพียงลอบโจมตีได้ คืนนี้พวกเขาก็จะต้องฆ่าเย่เทียนเฉินได้อย่างแน่นอน
“เทียนเฉิน ระวัง!”
เสี้ยวหยาตะโกนขึ้นมาเสียงดังด้วยความตกใจ เธอผลักเย่เทียนเฉินออกไปโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย ใช้ตัวเองบังอยู่ด้านหน้าของเย่เทียนเฉิน เสียงซวบดังขึ้น เป็นเสียงที่กล้ามเนื้อถูกตัดขาด มีดนี้ของเฮยหวาไม่ได้แทงถูกเย่เทียนเฉิน
ชั่วพริบตาที่เย่เทียนเฉินหันกลับมานั้น เขาเห็นรอยยิ้มหวานของเสี้ยวหยา ใบหน้างดงามทำให้ผู้คนหลงใหล ร่างกายอันมีเสน่ห์ล้มลงบนพื้น
“เทียนเฉิน รีบไป รีบไป รีบไปเร็ว…” เสี้ยวหยาล้มลงนอนจมกองเลือด ตะโกนออกมาอย่างยากลำบากด้วยความเจ็บปวด
“เสี้ยวหยา!”
เย่เทียนเฉินตะโกนขึ้น พุงเข้าไปหาเสี้ยวหยาโดยไม่สนใจสิ่งใด…
เสี้ยวหยาเอาตัวมาขวางมิให้เย่เทียนเฉินโดยไม่สนใจอะไร มีดนั้นของเฮยหวาฟันถูกร่างของเสี้ยวหยา เขาก็ชะงักไป จากนั้นใบหน้าปรากฏรอยยิ้มเหี้ยมขึ้น เย่เทียนเฉินร้ายกาจมากจริงๆ พวกเขาไม่ใช่คู่มือของเย่เทียนเฉินอย่างแน่นอน นี่เป็นเทพแห่งความตายคนหนึ่ง ไม่มีใครขวางทางได้ เพียงแต่ตอนนี้ เฮยหวาพบจุดอ่อนของเย่เทียนเฉิน นั่นก็คือเสี้ยวหยา เมื่อเสี้ยวหยาได้รับบาดเจ็บหรือถูกโจมตี เย่เทียนเฉินก็จะสับสนวุ่นวายขึ้นมา นี่จะเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่พวกเขาจะฆ่าเย่เทียนเฉิน
“เทียนเฉิน ไม่ต้องสนใจฉัน นาย…นายรีบไปเถอะ…” เสี้ยวหยาล้มอยู่ท่ามกลางกองเลือด กัดฟันตะโกนบอกเย่เทียนเฉินอย่างยากลำบาก
……………………..
เมื่อเห็นว่าผู้หญิงที่ใส่แว่นกันแดดสีดำขนาดใหญ่และผ้าปิดปากสีขาวเดินเข้าไปในหอพักนักศึกษาหญิง เย่เทียนเฉินก็ขมวดคิ้ว นี่เป็นผู้หญิงคนที่สี่ที่เขาพบตั้งแต่มาถึงมหาวิทยาลัยหลงเถิง สองคนก่อนหน้านี้ก็คือหลิงอวี่สวิ๋นและเสี้ยวหยา จากนั้นก็เป็นผู้หญิงที่ลึกลับอย่างฉินเหยาเยว่ มักจะทำให้เขามีความรู้สึกไม่ถูกต้อง ตกลงว่าไม่ถูกต้องตรงไหนก็พูดไม่ได้ กลับรู้สึกว่าเกี่ยวข้องกับตัวเอง บางทีหลังจากนี้คงจะเปิดเผยก็ได้!
เย่เทียนเฉินมองท้องฟ้าที่ค่อยๆมืดลงแล้วจึงหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรไปหาเสี้ยวหยา หลังจากที่ดังอยู่ประมาณสิบครั้งก็รับสาย
“หยาเอ๋อร์ เป็นยังไงบ้าง ไปกินข้าวกันได้หรือเปล่า?”
“อืม รอแปบหนึ่งนะ กำลังจะลงไปเดี๋ยวนี้!” เสี้ยวหยาพูดแล้ววางสายไป
รอสักครู่ก็ได้ เย่เทียนเฉินรอไปครึ่งชั่วโมงกว่า ถึงจะเห็นเสี้ยวหยาเดินออกมาจากหอพักนักศึกษาหญิงอย่างรีบร้อน ศีรษะเต็มไปด้วยเหงื่อหอมๆ ดูท่าแล้วจะเก็บกวาดห้องจนสะอาดเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่บ่นใบหน้าบริสุทธิ์นั้นดูยับยุ่งอยู่บ้าง
“ขะ ขอโทษที เมื่อครู่นี้ฉันถูพื้น เลยช้าไปหน่อย!” เสี้ยวหยามองเย่เทียนเฉินอย่างรู้สึกผิดแล้วพูดขึ้น
“อย่าขยับ…”
“เอ๋? อะไรเหรอ?”
เสี้ยวหยาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงยืนอยู่เบื้องหน้าเย่เทียนเฉินโดยไม่ขยับ เขาหยิบใยแมงมุมออกจากบนผมของเสี้ยวหยาเบาๆ พูดขึ้นยิ้มๆ ว่า “วันนี้พวกเรากินวุ้นเส้นกันไหม?”
“อะ อาจเป็นเพราะเมื่อครู่นี้ไม่ทันระวัง พวกเราไปกันเถอะ เพื่อแสดงความขอโทษ ฉันจะพาเธอไปที่ที่หนึ่ง กินของอร่อย!” เสี้ยวหยาพูดอย่างน่ารัก
“ของอร่อย ของอร่อยอะไร?” เมื่อพูดถึงเรื่องกิน เย่เทียนเฉินก็กระตือรือร้นขึ้นมา อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“ไปกินบาร์บีคิวเถอะ ในซอยเล็กๆซอยหนึ่ง บาร์บีคิวไม่เลวเลย!” เสี้ยวหยาพูดแล้วจึงยิ้มด้วยท่าทางน้ำลายสอ
“ฮ่าๆ ดูแล้วคงแอบไปกินบ่อยๆ แล้วถูกจับได้ล่ะสิ” เย่เทียนเฉินจงใจพูดแล้วหัวเราะเสียงดัง
“นายสิถูกจับได้ เป็นร้านที่พ่อพาฉันไปกินเมื่อก่อน รสชาติไม่เลวเลย อยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกล!” เสี้ยวหยามองเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น
“ไม่มีปัญหา เธอบอกทาง เดี๋ยวฉันจะขับรถไปหญิงชายร่วมมือกันทำงานไม่เหนื่อย!” เย่เทียนเฉินยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“อือ!” เสี้ยวหยาไม่ได้เกรงใจ และไม่พูดอะไรมาก รู้ว่าเย่เทียนเฉินคนนี้ปากไม่ดี เหมือนกับที่หลิงอวี่สวิ๋นพูด คนๆ นี้ในตอนที่ร้ายขึ้นมา ก็จะต้องใช้วิชาหยิกอันรุนแรงไปรับมือเขา
เย่เทียนเฉินขับรถมอเตอร์ไซค์สุดหล่อไปจากประตูมหาวิทยาลัยหลงเถิงด้วยกันกับเสี้ยวหยาท่ามกลางเสียงหัวเราะ
ในตอนที่พวกเขากำลังจะจากไป ชายหลายคนเห็นก็เดินออกมาจากถนน มองรถมอเตอร์ไซค์ของเย่เทียนเฉินทะยานออกไป ชายคนหนึ่งเปิดปากเอ่ย “เมื่อครู่นี้พวกนายได้ยินชัดเจนหรือยัง? ก็เขาจะต้องไปที่ซอยแคบๆ นั่นแน่นอน ประกาศให้พี่น้องของพวกเรารู้ว่าพาคนไปปิดล้อมได้เลย”
“หึ ไอ้หนูนี่รนหาที่ตายจริงๆ ซอยเล็กนั้นทั้งหน้าทั้งหลังก็มีถนนอยู่เส้นเดียว สองด้านล้อมด้วยกำแพงสูงสามเมตร ถ้าปิดทางไว้ทั้งหน้าทั้งหลัง ต่อให้มีปีกก็หนีไม่รอด” ชายฉกรรจ์อีกคนหนึ่งก็หัวเราะออกมาอย่างเย็นชา
นี่นับเป็นครั้งแรกที่เย่เทียนเฉินและเสี้ยวหยานัดกันโดยลำพัง ในใจของทั้งสองมีความสุขมาก ไม่มีใครมารบกวน มีเพียงพวกเขาสองคน นี่เป็นความสุขที่พูดไม่ได้ ทั้งสองเดินทางไปกินบาร์บีคิวในซอยแคบด้วยความเบิกบานใจ แต่กลับไม่รู้ว่าวิกฤตเป็นตายกำลังค่อยๆ เข้ามาใกล้พวกเขา
ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมา พวกเย่เทียนเฉินได้ไปถึงในซอยแคบนั้นแล้ว ที่นี่โด่งดังมากในเมืองหลวง เย่เทียนเฉินแม้จะไม่เคยมา แต่ก็เคยได้ยินมาก่อน เป็นซอยลึกที่มองไม่เห็นปลายทาง ทันใดนั้นเย่เทียนเฉินมีลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมา
“ทำไมไม่เจอแล้วล่ะ? เมื่อก่อนก็ยังเห็นอยู่เลย จะย้ายไปตรงโน้นหรือเปล่านะ? พวกเราเข้าไปดูกันเถอะ” เสี้ยวหยามองไปด้านในอย่างน่ารัก เมื่อมองไม่เห็นจึงเอ่ยปากพูดขึ้น
“ได้!”
เย่เทียนเฉินพูดยิ้มๆ ขับรถเข้าไปช้าๆ เมื่อขับรถเข้าไปในซอยลึกแห่งนี้ถึงครึ่งซอย เย่เทียนเฉินก็ชะงักไป ซอยนี้ปากทางทั้งสองกว้าง ตรงกลางแคบ สามารถให้รถเก๋งผ่านได้คันเดียว เป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การลอบโจมตี
ในตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์ดังมาจากข้างหลัง ในขณะเดียวกันเบื้องหน้าก็มีเสียงรถมอเตอร์ไซค์ดังขึ้น เป็นเสียงบิดคันเร่งสุดแรงที่เมื่อใครได้ฟังก็ต้องตกใจ
เสี้ยวหยาเองก็ตกตะลึง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ในตอนนี้เธอถึงจะพบว่า ซอยแคบที่คึกคักมากทั้งซอยในสมัยก่อน ในตอนนี้กลับเงียบเชียบ ดูเหมือนว่าจะไม่มีเลยแม้แต่คนเดียว
“หยาเอ๋อร์ อย่ากลัวไป อีกสักครู่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จะต้องอยู่ติดฉันเอาไว้”
เย่เทียนเฉินรู้ว่าถูกลอบโจมตีแล้ว สิ่งแรกที่ทำก็คือมองโทรศัพท์ ไม่มีสัญญาณเลย ดูท่าอีกฝ่ายจะเตรียมพร้อมมาดี มีใจแน่วแน่ว่าต้องการฆ่าตนเอง เย่เทียนเฉินย่อมไม่กลัวอยู่แล้ว ล้อเล่นอะไรกัน ในฐานะที่เป็นผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชัน หากต้องการเก็บคนไม่กี่คนก็เป็นเพียงแค่อาหารเรียกน้ำย่อย เพียงแต่ว่าเย่เทียนเฉินต้องการจะเล่นเป็นเพื่อนคนกลุ่มนี้เท่านั้น สิ่งที่เขาชอบที่สุดยังคงเป็นการใช้มือเปล่าฆ่าคน เช่นนี้จะค่อนข้างสดชื่น
หลังจากที่เย่เทียนเฉินและเสี้ยวหยาลงจากรถ มอเตอร์ไซค์สองคันทั้งหน้าหลังขับพุ่งเข้ามาด้วยความรวดเร็ว ต้องการจะชนให้พวกเขาตาย และในมือของคนขับรถมอเตอร์ไซค์ทั้งสองคนยังมีมีดตัดฟืนอยู่อีกด้วย
ทันใดนั้น สายตาของเย่เทียนเฉินสว่างวาบ ป้องกันเสี้ยวหยาให้อยู่ข้างหลังแล้วพูดขึ้นว่า “อย่าขยับ!”
ในตอนที่เสี้ยวหยาได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินก็เคลื่อนไหวแล้ว พุ่งไปด้านหน้าหลายก้าวอย่างว่องไว เข้าไปรับมือกับมอเตอร์ไซค์ทางด้านซ้าย ใช้ขาเหยียบปีนไปบนกำแพงด้านข้างแล้วกระโดดขึ้น ต่อยหมัดออกไปอย่างหน้าอกของคนขับรถมอเตอร์ไซค์ทางด้านซ้ายคนนั้น จนกระเด็นออกไป
ไม่มีการชะงักแม้เพียงชั่วครู่ ในตอนที่เย่เทียนเฉินอัดคนขับรถมอเตอร์ไซค์ทางด้านซ้ายจนกระเด็นออกไปนั้น เขาก็แย่งมีดตัดฟืนในมือของคนผู้นั้นมา เหมาะสมทีเดียว คนที่ขับรถมอเตอร์ไซค์พุ่งเข้ามาทางด้านขวาฟันมีดลงมายังศีรษะของเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินตวัดมีดกลับไปโดยไม่หันไปมองแม้แต่น้อย สะอาดหมดจด เสียงอึกอักดังขึ้น คนขี่รถมอเตอร์ไซค์ทางด้านขวาถูกเย่เทียนเฉินตัดหลอดลมจนขาด เลือดสดๆทะลักไหลออกมา
เย่เทียนเฉินยืนอยู่ตรงกลางซอยแคบอย่างเย็นชา รถมอเตอร์ไซค์ทั้งสองคันทะยานเข้ามาจากด้านหน้าและด้านหลังของเขา เสียงตู้มดังขึ้นสองครั้ง รถมอเตอร์ไซค์ที่ไม่มีคนขี่ทั้งสองคันชนเข้ากับกำแพง เกิดเป็นเสียงระเบิดครั้งใหญ่ ไฟลุกท่วมฟ้า สะท้อนภาพของเย่เทียนเฉินที่ถือมีดอยู่ในมือ ยืนปกป้องเสี้ยวหยาอยู่กลางซอยราวคนเหล็ก
ในตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินได้ยินเสียงฝีเท้ากระชั้นถี่ดังขึ้นจากปากซอยทั้งสองด้าน เขาขมวดคิ้ว เมื่อคำนวณจากเสียงฝีเท้าแล้ว อย่างน้อยก็มีสามสี่ร้อยคนที่ไหลทะลักเข้ามาในนี้ เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะมองไปยังเสี้ยวหยา ถึงแม้ว่าพลังพิเศษของเขาจะแข็งแกร่ง แต่ก็เหนื่อยได้ ที่สำคัญก็คือ เขาต้องการเอาชีวิตของคนกลุ่มนี้ทิ้งไว้ที่นี่ เรื่องการหนีนั้น แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่เคยทำมาก่อน อย่างไรก็ตามเขาตัดสินใจแล้วว่า จะไม่ใช้พลังพิเศษ จะใช้มือเปล่าเปิดเส้นทางแห่งเลือดออกไป ถือโอกาสนี้ฝึกฝนกายเนื้อของตนเอง
“เทียนเฉิน…” เสี้ยวหยามองปากซอยซ้ายขวาทั้งสองทาง มีเงามืดครึ้มของกลุ่มคนไหลทะลักเข้ามา ในมือของแต่ละคนถือมีดตัดฟืนเอาไว้ ท่าทางโหดเหี้ยมดุดัน ใครมาเห็นก็ต้องขาอ่อน มีคนจำนวนเท่าไหร่กัน คนสามสี่ร้อยที่ถือมีดตัดฟืนอยู่ในมือ ไม่มีใครที่ไม่กลัว
“หยาเอ๋อร์ เธออย่ากลัวไปเลย อยู่ใกล้ฉันเอาไว้ ฉันจะฆ่าเปิดเส้นทางแห่งเลือดแล้วพาเธอออกไป!” มุมปากของเย่เทียนเฉินปรากฏรอยยิ้มชั่วร้ายแล้วพูดขึ้น
เสี้ยวหยาเห็นใบหน้าเยือกเย็นของเย่เทียนเฉิน ทันใดนั้นในใจของเธอก็ไม่หวาดกลัวขนาดนั้นอีกต่อไปแล้ว ความแน่วแน่มาดเข้มที่แพร่กระจายออกมาจากร่างของเย่เทียนเฉินทำให้เธอเชื่อใจ เชื่อใจในความสามารถของเย่เทียนเฉิน เชื่อว่าเขาจะต้องสามารถพาตนเองออกไปได้อย่างปลอดภัย
“อืม!” เสี้ยวหยาจับมือของเย่เทียนเฉินแน่นแล้วพูดขึ้น
เย่เทียนเฉินยิ้มพยางพยักหน้า มือซ้ายจับมือเสี้ยวหยา มือขวากำมีดตัดฟืนแน่น มองไปยังกองทัพมีดตัดฟืนที่ล้อมเข้ามาทางหน้าหลัง ในใจของเขาไม่มีความหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย ทำเพียงสังเกตอย่างระมัดระวัง ป้องกันว่าจะมีคนลอบโจมตีและจะทำให้เสี้ยวหยาได้รับบาดเจ็บ อย่างไรเสียกลุ่มคนที่ทะลักเข้ามาอย่างหนาแน่นทั้งซ้ายขวาสองด้านนี้ อย่างน้อยก็มีถึงสามสี่ร้อยคน
“เย่เทียนเฉิน ไอ้ลูกเต่า พี่หู่ของพวกเรามีคำสั่งมา ให้ตัดหัวของแกกลับไปรายงาน ไป…”
ชายฉกรรจ์ที่เดิมมาเบื้องหน้าเย่เทียนเฉินและเสี้ยวหยา ใช้มีดตัดฟืนในมือชี้ไปยังจมูกของเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้นอย่างโหดเหี้ยม เพียงแต่น่าเสียดายที่คำพูดของเขายังไม่ทันพูดจบ ก็ได้ยินเสียงอึกอัก มีดตัดฟืนในเมืองของเย่เทียนเฉินแทงไปที่หน้าอกของเขาเรียบร้อยแล้ว…
เย่เทียนเฉินเองก็คิดไม่ถึงว่าลูกน้องของเซวียนเยวี๋ยนเถิงจะรวดเร็วและโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ ถึงกับส่งพี่น้องมาสามร้อยกว่าคน ทั้งยังมีมีดตัดฟืนอยู่ในมือ ล้อมตนเองไว้ในซอยแคบ ต้องการจะฟันคนให้เละเป็นโจ๊ก
เย่เทียนเฉินไม่คิดอะไรเกี่ยวกับสถานการณ์ในตอนนี้ตั้งนานแล้ว เขาได้ตัดสินใจไปแล้วว่าจะไม่ใช้พลังพิเศษ จะถือโอกาสนี้ฝึกฝนการความสามารถของกายเนื้อของตนเสียหน่อย ดังนั้นจึงแทงมีดออกไปยังหน้าอกของชายฉกรรจ์ที่ยืนอยู่ตรงหน้าตนเองโดยไม่พูดไม่จา แล้วใช้เท้าถีบออกไปจนกระเด็น ชนเข้ากับคนกลุ่มใหญ่
เหล่าพี่น้องที่เป็นลูกน้องของอาหู่ที่เหลือได้สติกลับมา ต่างก็มีใบหน้าโหดเหี้ยมดุดัน กำมีดตัดฟืนในมือแน่น โอบล้อมเข้าไปยังเย่เทียนเฉินละเสี้ยวหยา
มือซ้ายของเย่เทียนเฉินจับมือเสี้ยวหยา มีดตัดฟืนที่อยู่ในมือขวาก็มีเลือดสดๆ หยดลงมา เมื่อถึงตอนนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชัน แต่ก็ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ใช้พลังพิเศษ ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าไว้ไมตรี ทางด้านพละกำลังไม่อาจแพ้ได้ ทุกการลงมือจำเป็นต้องเก็บชีวิตคนไปด้วย มิเช่นนั้นหากพลังกายเริ่มอ่อนแรง แล้วคนทั้งสามร้อยคนพุ่งเข้ามาด้วยกัน ต่อให้เป็นคนที่ร้ายกาจขนาดไหนก็ถูกฟันจนเละเป็นโจ๊กได้
“ฟัน ฟันมันให้ตาย!”
ในตอนนี้ อันธพาลคนหนึ่งได้สติกลับมาจึงตะโกนออกไปเสียงดังแล้วสะบัดมีดฟันเข้าใส่เย่เทียนเฉินเป็นคนแรก แววตาของเย่เทียนเฉินเย็นยะเยือก คมมีดเปล่งประกาย หลอดลมของอันธพาลน้อยผู้นั้นถูกตัดขาด ล้มลงท่ามกลางกองเลือดอย่างไม่อยากจะเชื่อ ในตอนนี้ เหล่าอันธพาลที่ถือมีดตัดฟืนอยู่ในมือทั้งสองด้านต่างก็ล้อมกันเข้ามา มีดตัดฟืนในมือขวาของเย่เทียนเฉินสะบัดออกไปไม่หยุด ทุกครั้งที่สะบัดจะต้องมีอันธพาลคนหนึ่งล้มลงไปนอนจมกองเลือด ไม่ถึงสองนาที บนพื้นก็มีศพล้มอยู่สิบกว่าศพ ตัวของเย่เทียนเฉินเต็มไปด้วยเลือด เพียงแต่เป็นเลือดของศัตรูทั้งนั้น
อันธพาลที่ถือมีดตัดฟืนอยู่ในมือทั้งสามร้อย กว่าคนต่างก็ชะงักไป จ้องมองไปยังฉากตรงหน้าด้วยความตกตะลึง กระทั่งมีบางคนที่ร่างกายสั่นระริก พวกเขาเป็นผู้ที่อยู่ในสังคมด้านมืดอย่างแท้จริง ฆ่าคนโดยไม่สนใจ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเย่เทียนเฉิน ทุกครั้งที่ออกมีด ต่างก็ต้องมีคนสิ้นชีพ ฆ่าคนเป็นผักปลาราวกับเป็นคนเหล็ก ไม่มีสักคนเดียวที่จะไม่รู้สึกสั่นไหวและตกใจ
เย่เทียนเฉินมองเสี้ยวหยาที่อยู่ด้านหลัง จะอย่างไรเธอก็เป็นผู้หญิง ถึงแม้ว่าเธอจะเชื่อในความสามารถของเย่เทียนเฉิน แต่ก็ตกใจจนหน้าซีด ขาแทบจะก้าวไม่ออก เพราะว่าความจริงมันโหดร้ายนองเลือดจนเกินไป สถานการณ์ทำให้คนสั่นสะท้านจนเกินไป ถูกล้อมรอบด้วยศพหลายศพ เลือดสดๆ นองเต็มพื้น
……………………..