เสี้ยวหยาพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไร เธอมองจางอีเต๋อจับชีพจรให้แม่ของตนอย่างเคร่งเครียด ตอนนี้ในใจของเธอก็รู้สึกซับซ้อนกับเย่เทียนเฉิน มีทั้งมิตรภาพความเป็นเพื่อนที่บริสุทธิ์ และมีทั้งความรู้สึกคล้ายกับแฟนหนุ่มที่ฝ่าฟันอุปสรรคมาด้วยกัน หากจะบอกว่าไม่มีความรู้สึกอะไรต่อเย่เทียนเฉินก็คงจะไม่ได้ ผู้ชายที่ทั้งแข็งแกร่งและมีเสน่ห์แบบนี้ มีทั้งนิสัยอันธพาลและนิสัยดั่งเทพแห่งความตายทั้งสองด้าน เธอถูกนิสัยอันแปลกประหลาดนี้ดึงดูดไปโดยไม่รู้ตัว เกรงว่าคงมีผู้หญิงแค่ไม่กี่คนที่ไม่หลงเสน่ห์เขา
ประมาณสิบนาทีต่อมา จางอีเต๋อก็จับชีพจรให้แม่ของเสี้ยวหยาเสร็จแล้ว สีหน้าเคร่งขรึมลง หยิบกล่องยาด้านข้างมา ดูมีมาดของแพทย์แผนจีนในสมัยโบราณมาก เสี้ยวหยาและเย่เทียนเฉินที่เห็นดังนั้นก็รู้สึกหม่นหมองอยู่ในใจ สิ่งที่เสี้ยวหยากังวลย่อมเป็นอาการป่วยของแม่ของเธอ ส่วนเย่เทียนเฉินกังวลว่าจางอีเต๋อจะไม่พูดตามที่เขานัดหมายกันไว้ก่อนหน้านี้
จางอีเต๋อเป็นใคร? เขาคือเซียนแพทย์เทวะ ถ้าหากไม่ใช่คนที่มีวิชาแพทย์สูงส่งเหนือชั้นก็เกรงว่าจะต่างกันไม่มาก อาการป่วยของแม่ของเสี้ยวหยาจะสามารถปิดบังเขาได้อย่างไร ในตอนที่จางอีเต๋อจับชีพจรให้แม่ของเสี้ยวหยาก็ได้ใช้พลังพิเศษในสายรักษาเพื่อตรวจสอบอาการป่วยของแม่ของเสี้ยวหยาจนกระจ่างชัด เห็นได้ชัดเจนว่าเขาได้ข้อสรุปที่ใกล้เคียงกับการใช้เครื่องมือของโรงพยาบาลแห่งเมืองหลวง ได้ข้อสรุปเหมือนกับเหล่าแพทย์เฉพาะทาง กระทั่งละเอียดกว่าด้วยซ้ำ นั่นก็คือแม่ของเสี้ยวหยาจะมีชีวิตอยู่ได้นานที่สุดเพียงไม่กี่เดือน
“คุณปู่จางคะ อาการป่วยของแม่หนูเป็นยังไงบ้างคะ?” เสี้ยวหยาเห็นจางอีเต๋อไม่พูดจึงรีบถามออกไปด้วยความกังวล
“โรคมะเร็ง แต่อาการไอตอนนี้ก็ไม่เลวนัก หากว่าทำการรักษาต่อไปอย่างน้อยก็สามารถอยู่ต่อไปได้อีกห้าปี ในช่วงนี้ก็กินอาหารดีๆ เข้ารับการรักษาด้วยเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ที่ดี ก็อาจจะสามารถอยู่ได้อีกสิบปีขึ้นไป!” จางอีเต๋อมองเสี้ยวหยาแล้วพูดขึ้นอย่างจริงจัง
“ค่ะ…” เสี้ยวหยาเงียบลง แม้จะรู้ว่าแม่ของตนยังเหลือเวลาอีกนิดหน่อย แต่เมื่อคิดว่าแม่สามารถอยู่ได้เพียงห้าปีหรืออาจจะสิบปีก็ต้องมาจากตนเองไป ทำให้อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเจ็บปวดใจ
“ขอบคุณท่านปรมาจารย์จางมากค่ะ หยาเอ๋อร์อย่าได้ทำให้เขาลำบากใจอีกเลย สามารถอยู่ต่อได้อีกห้าปีแม่ก็พอใจมากแล้ว ถึงตอนนั้นก็จะได้เห็นลูกแต่งงาน หาสามีดีๆ สักคน ก็นับว่าความหวังของแม่เป็นจริงแล้ว!” แม่ของเสี้ยวหยาพูดอย่างเบิกบานใจ
“แม่ แม่พูดอะไรคะ แม่จะต้องมีชีวิตยืนยาวถึงร้อยปีแน่นอน!” เสี้ยวหยาเดินไปเบื้องหน้าของแม่ด้วยความแน่วแน่ จับมือแม่แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
“เด็กคนนี้นี่…รีบไปส่งคุณปู่จางและเทียนเฉินเถอะ…” แม่ของเสี้ยวหยาเห็นเย่เทียนเฉินและจางอีเต๋อกำลังจะเดินไปจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากอย่างร้อนรน
จางอีเต๋อมองแม่ของเสี้ยวหยาและเสี้ยวหยา เขาถูกความสัมพันธ์อันลึกซึ้งของแม่ลูกคู่นี้โจมตีเอาเสียแล้ว โดยเฉพาะเสี้ยวหยาที่เหมือนกับจางรั่วถงหลานสาวของตน มีความฉลาดเฉลียวรู้ความ นี่ทำให้เซียนแพทย์เทวะอย่างจางอีเต๋อซึ่งเห็นการเกิดการตายมาจนคุ้นชินอดไม่ได้ที่จะซาบซึ้งใจขึ้นมา เขาหยิบกล่องเล็กๆ ใบหนึ่งออกมาจากกล่องยาของตัวเองแล้วส่งไปให้เสี้ยวหยา พูดขึ้นว่า “เด็กน้อย ในนี้มียาอยู่สามเม็ด ทุกครั้งที่อาการป่วยของแม่เธอถึงขั้นวิกฤตก็ให้กินหนึ่งเม็ด จะสามารถรักษาชีวิตของเธอเอาไว้ได้สามครั้ง!”
“ขอบคุณค่ะคุณปู่จาง!” เสี้ยวหยารับกล่องเล็กๆ ใบนั้นมาจากจางอีเต๋อ พูดขึ้นด้วยความซาบซึ้งใจ
จากนั้นจางอีเต๋อและเย่เทียนเฉินก็เดินออกไปจากห้องผู้ป่วย เมื่อมาถึงด้านนอกเย่เทียนเฉินจึงได้ถอนหายใจยาวเหยียด มองไปยังจางอีเต๋อแล้วพูดขึ้น “ผมว่านะ เมื่อกี้คุณทำให้ผมตกใจจริงๆ คุณคิดที่จะพูดความจริงจริงเหรอ?”
“ผมต้องคิดที่จะพูดความจริงอยู่แล้ว เพราะผมมีจรรยาบรรณของคนเป็นหมอ เพียงแต่ว่าผู้ป่วยทุกคนต่างก็รู้ถึงสภาพของตัวเองดี พวกคุณหลอกผู้ป่วยแบบนี้จะเป็นการไม่รับผิดชอบต่ออาการป่วยของเธอ แม่ของเสี้ยวหยาป่วยเป็นโรคมะเร็งระยะสุดท้ายแล้ว มีชีวิตได้อย่างมากก็แค่สามเดือน ไม่อาจอยู่ได้นานถึงครึ่งปีขนาดนั้น พวกคุณหลอกเธอแบบนี้ ไม่มีผลดีอะไรกับอาการป่วยของเธอเลย!” จางอีเต๋อพูดกับเย่เทียนเฉินพลางสายหน้า
“บางครั้งเราก็ต้องทำการโกหกด้วยเจตนาดี มันเป็นการให้ความหวังคนอื่นได้ ทำไมพวกเราจะไม่ทำล่ะ?” ทันใดนั้นเย่เทียนเฉินทอดถอนใจแล้วพูดออกมา
เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน จางอีเต๋อก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เข้าใจ เขามีฐานะเป็นเซียนแพทย์เทวะ และเป็นยอดฝีมือผู้มีพลังพิเศษในสายโลหะ มีอายุยืนมาถึงร้อยปี ได้เห็นเรื่องราวต่างๆ มากมายที่คนในยุคปัจจุบันนี้ไม่เคยเห็น โดยเฉพาะการเกิดแก่เจ็บตาย
“วางใจเถอะ แม่ของสาวน้อยคนนั้น อย่างน้อยก็สามารถยืนหยัดไปได้อีกหนึ่งปี!” จางอีเต๋อเปิดปากพูด
“ดูแล้วยาเม็ดทั้งสามเม็ดนั้นคงจะไม่ได้หลอกกัน มันมีผลที่ช่วยให้ยืดอายุได้!” เย่เทียนเฉินพูดพลางพยักหน้า
ในตอนแรกเย่เทียนเฉินคิดว่ายาในกล่องเล็กๆ ที่เขาให้เสี้ยวหยานั้นเป็นเพียงคำลวงที่ทำเพื่อเจตนาดีเท่านั้น ทำเพื่อมอบความหวังให้แก่เธอ ตอนนี้ดูแล้วจางอีเต๋อจะไม่ได้โกหก ยาที่ให้เสี้ยวหยาไปสามเม็ดนั้นสามารถช่วยยืดอายุได้จริงๆ
ถ้าหากว่าอย่าเช่นนี้ถูกเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ในยุคปัจจุบันนำไปวิจัยและค้นคว้า คงจะต้องสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งโลกแน่นอน และจะต้องทำให้นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากตื่นตะลึง ความเป็นไปได้ที่มากที่สุดก็คือถูกประเทศเก็บเอาไว้เป็นความลับไม่ให้คนทั่วไปในโลกภายนอกได้รู้ ในจุดนี้ไม่มีอะไรน่าแปลก หากพูดถึงสังคมในยุคปัจจุบันนี้แล้ว ประชาชนทั่วไปในระดับล่างจะรู้เกี่ยวกับเรื่องของการพัฒนาประเทศได้อย่างไร จะรู้เรื่องเกี่ยวข้องกับการสูญพันธุ์ของมนุษย์ได้อย่างไร? คนที่เข้าใจต่างก็เป็นคนจำนวนน้อย หรือกระทั่งคนจำนวนน้อยก็ยังไม่เข้าใจด้วยซ้ำ
“ตอนนั้นที่ยืดอายุให้ท่านผู้นำที่เป็นผู้ก่อตั้งประเทศไปอีกยี่สิบปีไม่ได้สูญเปล่าเลยจริงๆ ผมเรียนรู้มาทั้งชีวิต แล้วต้องใช้ของล้ำค่าที่บังเอิญได้มาของผมถึงจะหลอมยาที่ช่วยยืดอายุไปได้ยี่สิบปีขึ้นมาได้!” ดูเหมือนว่าจางอีเต๋อจะย้อนนึกไปถึงเรื่องเมื่อปีนั้น ในค่ำคืนที่มีฟ้าร้องดังสนั่น หลังจากที่เขายืดชีวิตให้ท่านผู้นำแล้ก็หายตัวไปโดยไร้ร่องรอย เพราะเขาไม่มีวิธีการอื่นที่จะสามารถทำให้มีชีวิตอยู่ได้นานขึ้นอีก สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความลับ ถ้าพูดออกไปก็คงไม่มีใครเชื่อ กระทั่งผู้นำระดับสูงสุดของประเทศในตอนนี้ก็ยังไม่รู้เรื่องนี้ นี่เป็นเรื่องสำคัญมากจริงๆ
เมื่อได้ยินคำพูดของจางอีเต๋อ ในใจของเย่เทียนเฉินก็ตกตะลึง ยืดอายุไปอีกยี่สิบปี นี่ฟังดูแล้วเหมือนกับเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ ต่อให้เขาเคยเป็นผู้แข็งแกร่งในช่วงยุคสิ้นโลกมาก่อน มีความสามารถในการป่นหินทลายแม่น้ำ ก็ยังหายาวิเศษที่ช่วยยืดอายุให้ผู้คนได้ยากยิ่ง ในช่วงยุคสิ้นโลกไม่ใช่ว่าจะไม่มียาแบบนี้ เพียงแต่ยาแบบนี้ล้ำค่ามากเกินไป ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพราชันก็ยังไม่มี
จางอีเต๋อเป็นชายชราที่น่าเหลือเชื่อและลึกลับมากคนหนึ่ง มีฐานะเป็นผู้มีพลังพิเศษในสายรักษา และสามารถใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษในสายโลหะได้ นอกจากนี้เขายังมีอายุถึงร้อยปี แต่ยังมีร่างกายแข็งแรง มีความสามารถแข็งแกร่ง เดิมทีสิ่งเหล่านี้ก็ทำให้ผู้คนรู้สึกสั่นสะท้านมากแล้ว ไม่ว่าจะเป็นใครเมื่อต้องเผชิญหน้ากับความตายในตอนที่ไร้ซึ่งพลัง ก็จะมีความโหยหาในคำว่าอมตะมากยิ่งขึ้น หากมีวิธีการที่ทำให้คนเป็นอมตะได้จริงๆ เชื่อว่าคนมากมายจะต้องการผลประโยชน์ตรงนี้และพากันออกตามหา นี่เป็นสาเหตุที่ทำไมในช่วงยุคสิ้นโลก ซึ่งเป็นโลกที่แปลกพิสดาร คล้ายกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างย้อนกลับไปในยุคของเทพเซียนนั้น มีอารยธรรมในยุคปัจจุบัน มีมนุษย์กลายพันธุ์และสัตว์กลายพันธุ์ และมีผู้ที่ต้องการบ่มเพาะความเป็นอมตะ ซึ่งสามารถเรียกได้ว่าผู้บ่มเพาะ ดังนั้นในช่วงยุคสิ้นโลกไม่ว่าจะเป็นมนุษย์และสัตว์กลายพันธุ์ ยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณ หรือจะเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษ ต่างก็สามารถเรียกได้ว่าเป็นผู้บ่มเพาะ จุดประสงค์สุดท้ายก็คือต้องการทำให้ตัวเองแข็งแกร่ง สามารถอยู่ในโลกที่ปลาใหญ่กินปลาเล็กนี้ได้ ในขณะเดียวกันก็แสวงหาเส้นทางแห่งความเป็นอมตะ ยึดถือเป็นแนวทางของชีวิต
“ในสังคมปัจจุบันนี้ นอกจากป่าดึกดำบรรพ์แล้ว ที่อื่นก็ถูกวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสิ่งปลูกสร้างทำลายไปหมดแล้ว คุณถึงกับสามารถหาวัตถุดิบที่นำมาหลอมเป็นยายืดอายุได้ มหัศจรรย์มากจริงๆ!” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น
การหลอมยานั้นเป็นอารยธรรมของชาวจีนเมื่อห้าพันปีที่แล้ว จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่หยุดพัฒนา ในปัจจุบันนี้ก็มีแพทย์แผนจีนจำนวนหนึ่ง มีห้องยาที่ได้รับถ่ายทอดเป็นมรดกมาอีกจำนวนหนึ่ง และยังมีการหลอมยาอยู่ เพียงแต่ยาที่หลอมออกมาได้ในปัจจุบันนี้ ส่วนใหญ่ทุกคนเรียกว่ายาลูกกลอน มีประสิทธิภาพธรรมดาๆ เท่านั้น
“ยาลูกกลอนทั้งสามเม็ดที่ผมให้สาวน้อยคนนั้นไป ความจริงแล้วเป็นยาที่เหลือจากการที่ผมยืดอายุให้ท่านผู้นำเมื่อปีนั้น มีชื่อว่ายาไขกระดูกมังกร น่าเสียดายที่ประสิทธิภาพของยาลดลงไปเหลือเพียงแค่หนึ่งส่วน ไม่งั้นจะต้องสามารถทำให้แม่ของเธออยู่ต่อไปได้อีกหลายปี!” จางอีเต๋อเดินไปพลางพูดไปพลาง
“ยาไขกระดูกมังกร เป็นยาที่ใช้น้ำจากหญ้าไขกระดูกมังกรหลอมออกมาหรือเปล่า?” จู่ๆ เย่เทียนเฉินก็ชะงักไป อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถาม
“คิดไม่ถึงว่าคุณจะรู้เรื่องไม่น้อยเลยทีเดียว ถูกต้องแล้ว เมื่อปีนั้นผมได้รับหญ้าไขกระดูกมังกรมาจำนวนหนึ่งโดยบังเอิญ หลังจากที่ผ่านการหล่อมาหลายครั้งจึงสามารถหลอมออกมาเป็นยาไขกระดูกมังกรได้ ท่านผู้นำผู้ก่อตั้งประเทศจีนสร้างผลประโยชน์มากมายให้แก่ประชาชน มีเหตุผลมากพอที่จะได้รับการยืดอายุครั้งนี้ ดังนั้นผมจึงให้เขากินยาไขกระดูกมังกร ยืดอายุไปอีกยี่สิบปี!” จางอีเต๋อเองก็มองเย่เทียนเฉินอย่างประหลาดใจแล้วพูดขึ้น
หญ้าไขกระดูกมังกร ในตอนที่เย่เทียนเฉินอยู่ในช่วงยุคสิ้นโลกก็เคยได้ยินผู้อาวุโสคนหนึ่งพูดถึงมาก่อน นั่นเป็นสมุนไพรที่พิสดารมาก สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ธรรมชาติสามารถก่อกำเนิดสรรพสิ่งได้ก็คือชีพจรของโลก ซึ่งเรียกกันว่าเป็นชีพจรมังกร ในชีพจรมังรแฝงไปด้วยพลังงานที่แข็งแกร่งหาใดเปรียบ สามารถทำให้สรรพสิ่งในโลกใบหนึ่งเกิดการสืบพันธุ์ต่อไปได้ เห็นได้ชัดว่ามันเยี่ยมยอดขนาดไหน ส่วนหญ้าไขกระดูกมังกรนั้นก็เป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งที่เกิดและเติบโตใกล้กับชีพจรมังกร อาศัยแก่นแท้ของชีพจรมังกรในการดำรงอยู่และเติบโต จินตนาการได้เลยว่าจะมีค่ามากขนาดไหน จะทำให้คนฟื้นขึ้นมาจากความตายก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องยากอะไร
เพียงแต่หากต้องการที่จะได้รับหญ้าไขกระดูกมังกรมานั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก เมื่อตอนนั้นเย่เทียนเฉินอยู่ในขอบเขตพระเจ้า แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก เขาก็เคยตามหาหญ้าไขกระดูกมังกรมาก่อน คิดที่จะเก็บสำรองเอาไว้ใช้ยามจำเป็น แต่ก็ไม่ได้มีโอกาสนั้น เพราะชีพจรมังกรที่อยู่ลึกลงไปใต้พื้นเคลื่อนไหวไม่หยุด ถูกคนอื่นควบคุมได้ยากมาก หญ้าไขกระดูกมังกรก็มีจิตวิญญาณ แน่นอนว่าจะไม่ถูกผู้ค้นหาพบได้ง่ายๆ ขนาดนั้น มีผู้แข็งแกร่งจำนวนมากที่ตามหาหญ้าไขกระดูกมังกรเพราะมีความลับอันยิ่งใหญ่อยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือต้องการที่จะใช้โอกาสนี้ตามหาชีพจรมังกร และใช้ประโยชน์จากชีพจรมังกรมาทำให้ตัวเองแข็งแกร่ง ทำให้ตนเองทะลวงไปถึงขอบเขตที่สูงยิ่งขึ้น
“ผมเองก็เคยเห็นในตำราโบราณมาครั้งหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าในโลกนี้จะมีสมุนไพรแบบนั้นอยู่จริงๆ!” เย่เทียนเฉินแสร้งพูดด้วยท่าทางแปลกใจ
“ธรรมชาติเปลี่ยนไปแล้ว หากว่าเป็นสมัยดึกดำบรรพ์ สมัยเทพนิยาย หรือสมัยโบราณที่ไกลออกไป ผมเชื่อว่าบนโลกแห่งนี้คงจะมีแก่นแท้อยู่ คงจะไม่ไร้ชีวิตชีวาเหมือนตอนนี้หรอก!” จางอีเต๋อมองไปยังท้องฟ้า มีท่าทางราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่
……………………………
“คำว่าอมตะมันหนักเกินไปจริงๆ และอยู่ห่างจากพวกเราไปมาก อย่างน้อยในโลกนี้ก็ไม่อาจตามหาได้ บางทีในดาวดวงอื่นที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ในดวงดาวที่มีอารยธรรมที่แตกต่างออกไปอาจจะมีผู้แข็งแกร่งที่สามารถเดินบนเส้นทางแห่งความเป็นอมตะได้”
เย่เทียนเฉินชะงักไปครู่หนึ่ง นอนฟังคำพูดนี้ของจางอีเต๋ออยู่บนเตียง ในใจของเขารู้สึกสั่นไหว เขาคิดไม่ถึงเลยว่า จางอีเต๋อที่เป็นเซียนแพทย์เทวะของโลกใบนี้จะมีความคิดที่นำหน้าคนธรรมดาไปมาก ที่สำคัญก็คือทัศนคติเกี่ยวกับเรื่องความอมตะของจางอีเต๋อสามารถเทียบเท่าได้กับผู้แข็งแกร่งในช่วงยุคสิ้นโลก ท่ามกลางจักรวาลอันกว้างใหญ่ มีดวงดาวและอารยธรรมที่แตกต่างกันมากมาย ที่นั่นมียอดฝีมือที่เก่งกาจที่ไล่ตามเคล็ดลับของความเป็นอมตะมาโดยตลอด ก็เหมือนกับสังคมในยุคปัจจุบันนี้ที่มีหลายประเทศคิดจะสร้างยานอวกาศเพื่อสำรวจความลึกลับของท้องฟ้า
“อย่าคิดอีกเลย ทั่วทั้งจักรวาลมีคนที่อยู่ถึงพันปีหมื่นปี แต่ไม่มีคนที่เป็นอมตะอยู่แน่นอน ตื่นเถอะ! ”เย่เทียนเฉินหัวเราะหิๆ แล้วพูดขึ้น
“คุณรู้ได้ยังไง?” ทันใดนั้นจางอีเต๋อมองเย่เทียนเฉินแล้วเอ่ยถามอย่างจริงจัง
“นี่คือความลับที่พูดไม่ได้!” เย่เทียนเฉินอยากไหลแล้วล้มหัวลงไปนอน
บทสนทนาที่พูดคุยกับจางอีเต๋อในยามค่ำคืน สร้างความสั่นสะเทือนให้เย่เทียนเฉินเป็นอย่างมาก นี่ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะคิดเรื่องเกี่ยวกับช่วงยุคสิ้นโลกให้มากขึ้น ความเป็นอมตะ เย่เทียนเฉินเองก็เคยไล่ตามมันมาก่อน เพียงแต่ในช่วงยุคสิ้นโลก ไม่ว่าจะเป็นผู้แข็งแกร่งแห่งพรรควรยุทธโบราณหรือจะเป็นผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งหาได้เปรียบ หรือไม่ก็มนุษย์กลายพันธุ์และสัตว์กลายพันธุ์ กระทั่งสัตว์ประหลาดและปีศาจ หากไม่ไปถึงขอบเขตของผู้มีพลังพิเศษในระดับเทพราชัน ก็ไม่อาจอาศัยความสามารถของคนเพียงคนเดียวเดินท่องไปในจักรวาลได้ แบบนั้นจะทำให้เหนื่อยจนตาย มีเพียงต้องไปถึงขอบเขตของเทพราชันเท่านั้นถึงจะสามารถเติมเต็มตัวแปรของทุกสรรพสิ่งได้ พูดอย่างไม่เกินจริงก็คือ สามารถขี่กระบี่ท่องไปได้นับล้านลี้ ขี่เมฆท่องไปได้ทั่วทุกสารทิศ!
ในช่วงยุคสิ้นโลกเย่เทียนเฉินเป็นผู้มีพลังพิเศษในขอบเขตพระเจ้าขั้นสูง เขาย่อมคิดเรื่องเกี่ยวกับความเป็นอมตะมาก่อน เพียงแต่ตอนนั้น ด้วยขอบเขตพลังของเขาก็ยังไม่พบความลับอะไรมากมาย แล้วยังไม่สามารถมีสำนึกต่อธรรมชาติและเส้นทางบำเพ็ญเพียรในขั้นสูงได้ ดังนั้นจึงข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้น้อยมาก
จางอีเต๋อเป็นเซียนแพทย์เทวะในโลกใบนี้ และเป็นผู้มีพลังพิเศษที่มีฝีมือร้ายกาจมากคนหนึ่ง ทำลายกรอบความคิดที่ว่าผู้มีพลังพิเศษในสายรักษาจะต้องมีพลังต่อสู้อ่อนแอไปได้โดยสิ้นเชิง ในขณะที่เขามีวิชาแพทย์สูงส่ง ก็ยังสามารถใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษในสายโลหะได้ ในจุดนี้ต่อให้เป็นในช่วงยุคสิ้นโลกก็มากเพียงพอที่จะสั่นสะท้าน บางทีจางอีเต๋อที่มีฐานะเป็นเซียนแพทย์เทวะ ซึ่งสามารถยืดอายุให้ผู้นำสูงสุดที่ก่อตั้งประเทศได้ไปยี่สิบปี คงจะเคยศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเรื่องของความเป็นอมตะมาก่อน ไม่ได้พูดเรื่องนี้ขึ้นมาลอยๆ
ในตอนนี้ ในเขตของคฤหาสน์แห่งหนึ่งที่มีเพียงตระกูลทรงอำนาจที่สุดของประเทศจีนเท่านั้นถึงจะสามารถเข้าไปได้ มีคฤหาสน์หลังใหญ่อยู่เพียงไม่กี่หลัง จนสามารถเรียกได้ว่าเป็นพระราชวัง มีตำรวจติดอาวุธล้อมเอาไว้เพื่อคุ้มครอง เห็นได้ถึงความแข็งแกร่งของมัน คนธรรมดาไม่อาจเข้าไปได้โดยเด็ดขาด
ตระกูลหลิง ซึ่งเป็นตระกูลหนึ่งที่มีความสำคัญมากพอที่จะขับเคลื่อนโลกธุรกิจระหว่างประเทศ พ่อของหลิงอวี่สวิ๋นเป็นประธานสมาคมการค้าระหว่างประเทศเพื่อชาวจีนโพ้นทะเล นี่เป็นตระกูลที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ในโลกของธุรกิจ ตระกูลหลิงเคยไปตั้งรกรากเพื่อทำธุรกิจอยู่ในประเทศ M จนฝังแน่น และดูเหมือนว่าจะไปถึงขั้นที่สามารถส่งผลกระทบกับธุรกิจและเศรษฐกิจจำนวนมากของประเทศ M ได้แล้ว ในช่วงหลายปีมานี้ เนื่องจากสถานการณ์ในประเทศเป็นไปในทิศทางที่ดี และเนื่องจากการดูแลของผู้นำทางด้านการเมืองท่านหนึ่งในประเทศที่มีต่อตระกูลหลิง ผู้อาวุโสตะกูลหลิงซึ่งก็คือคุณปู่ของหลิงอวี่สวิ๋นจึงคิดที่จะกลับสู่บ้านเกิด เมื่อเดินทางไกลโพ้น จะช้าจะเร็วก็ต้องกลับสู่อ้อมกอดของมารดา เขาจึงค่อยๆ เคลื่อนย้ายศูนย์กลางของเศรษฐกิจมายังภายในประเทศ
เมื่อทำเช่นนี้ในโลกของเศรษฐกิจในประเทศก็จะมีตระกูลใหญ่อยู่สองตระกูล ตระกูลแรกก็คือตระกูลซู เดิมทีตระกูลซูเป็นตระกูลใหญ่อันดับหนึ่งในโลกของธุรกิจภายในประเทศ ความสามารถทางด้านการเงินแข็งแกร่งมาก นี่เป็นเรื่องที่ไม่ต้องบอกก็รู้ มิฉะนั้นเมื่อวันนั้นที่เย่เทียนเฉินถูกจับไปที่สำนักความปลอดภัยสาธารณะ และฆ่าคนในนั้น หากไม่ใช่เพราะซูเฟยเฟยให้คุณปู่ช่วยยกหูโทรศัพท์ให้เธอ เกรงว่าเย่เทียนเฉินคงทําได้เพียงแหกคุกของสำนักความปลอดภัยสาธารณะออกมาจริงๆ แล้ว
ในตอนที่ทราบว่าตระกูลหลิงต้องการที่จะกลับมาพัฒนาตระกูลภายในประเทศ ยิ่งไปกว่านั้นก็ค่อยๆ เคลื่อนย้ายศูนย์กลางธุรกิจมาในประเทศแล้วนั้น บุคคลสำคัญในโลกธุรกิจตลอดจนข้าราชการระดับสูงในโลกของการเมืองจำนวนมาก และคนใหญ่คนโตทั้งโลกเบื้องหน้าและเบื้องหลังต่างก็สั่นสะท้านเป็นอย่างมาก ตระกูลหลิงต้องการกลับมายืนหยัดในประเทศ จะต้องมีผลกระทบครั้งใหญ่แน่นอน ผลประโยชน์นี้เกี่ยวพันกับคนมากมาย ที่สำคัญที่สุดก็คือทุกคนต่างก็อยากจะดูว่า สุดท้ายจะเป็นตระกูลหลิงที่ร้ายกาจ หรือจะเป็นตระกูลซูที่ร้ายกาจ ตระกูลที่เป็นหัวเรือใหญ่ในโลกของธุรกิจทั้งสองตระกูลนี้จะอย่างไรก็ต้องเผชิญหน้ากัน
ตอนนี้หลิงอวี่สวิ๋น คุณพ่อของหลิงอวี่สวิ๋น และน้องชายคนหนึ่ง ตลอดจนคุณลุงคุณอาทั้งหลาย ต่างก็ย้ายมาอยู่ในประเทศแล้ว เหลือเพียงคุณปู่ของหลิงอวี่สวิ๋นที่ยังรั้งอยู่ที่ประเทศ M เหตุผลประการแรกก็คือครั้งนี้ตระกูลหลิงตั้งใจย้ายกลับมาอยู่ในประเทศ มีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ต้องการเคลื่อนย้ายมากจริงๆ จึงมีหลายเรื่องที่ต้องจัดการ เหตุผลประการที่สองก็คือ ความตั้งใจที่ตระกูลหลิงต้องการย้ายกลับมาตั้งรกรากในประเทศ ทางฝั่งของรัฐบาลประเทศ M ก็สังเกตเห็นแล้ว เมื่อตะกูลหลิงมีใจแน่วแน่ที่จะย้ายกลับมาในประเทศ เกรงว่ารัฐบาลประเทศ M จะใช้มาตรการอันเข้มข้นกับพวกเขา เพราะว่าเมื่อตระกูลหลิงย้ายศูนย์กลางเศรษฐกิจกลับไปในประเทศจีน จะต้องทำให้รัฐบาลของประเทศ M เกิดความสูญเสียอย่างไม่อาจคาดเดา พวกเขาจะต้องไม่อนุญาตอย่างแน่นอน
ผู้อาวุโสตระกูลหลิงยังคงอยู่ที่ประเทศ M พูดตามหลักการแล้วก็เพื่อทำให้รัฐบาลของประเทศ M สับสน ในขณะเดียวกันก็ให้พ่อของหลิงอวี่สวิ๋นย้ายกลับมาในประเทศ ดำเนินโครงการลงทุนทั้งหลายให้เร็วที่สุด เพื่อย้ายจุดศูนย์กลางเศรษฐกิจมา
หลิงอวี่สวิ๋นและย่าขู่กลับมาถึงตระกูลหลิง เพิ่งจะเดินเข้าไปถึงห้องโถงใหญ่ของตระกูลหลิงก็พบว่าหลิงเยว่ผู้เป็นพ่อนั่งอยู่บนโซฟาในห้องโถง กำลังอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ ในห้องโถงมีเพียงหลิงเยว่คนเดียว ดูเหมือนว่าจะกำลังรอหลิงอวี่สวิ๋นอยู่
“อวี่สวิ๋น ลูกมานี่หน่อย พอมีเรื่องจะพูดกับลูก!” หลิงเยว่มองลูกสาวแล้วพูดขึ้น
“พ่อคะ หนูง่วงมาก ขอไปนอนก่อนนะคะ มีเรื่องอะไรพรุ่งนี้ค่อยพูดกันเถอะ…” หลิงอวี่สวิ๋นดูเหมือนจะรู้ว่าพ่อต้องการที่จะพูดอะไรกับตน เมื่อเห็นท่าทางเข้มงวดจริงจังเช่นนั้นของพ่อ เธอก็ไม่คิดที่จะพูดคุย
“หากว่าไม่คุย พ่อก็คงต้องใช้มาตรการเข้มงวดกับลูก ถึงตอนนั้นก็อย่ามาหาว่าพ่อยุ่งเรื่องของลูกก็แล้วกัน!” หลิงเยว่อ่านหนังสือพิมพ์ พูดกับหลิงอวี่สวิ๋นโดยไม่ได้มองเธอเลย
หลิงอวี่สวิ๋นมองหลิงเยว่ผู้เป็นพ่อ เดาได้ว่าเขาต้องการที่จะพูดอะไร แต่หลิงอวี่สวิ๋นก็เข้าใจนิสัยของหลิงเยว่เป็นอย่างดี ในยามปกติสามารถพูดจาหยอกล้อกับตนเองได้ ในตอนเด็กก็เล่นกับตนบ่อยครั้ง แต่ว่าตั้งแต่ที่คุณปู่ถอยลงจากตำแหน่งหัวเรือใหญ่ของตระกูลหลิง หลิงเยว่ผู้เป็นพ่อก็ต้องกลายเป็นหัวเรือตะกูลหลิงคนใหม่ ต้องคอยควบคุมสกุลหลิงที่ยิ่งใหญ่และยังต้องมาขัดแย้งกับคุณลุงคุณอาพี่ชายน้องชายที่ไม่ค่อยสามัคคีกันคนอื่นๆ อีกด้วย ถ้าหากไม่มีอำนาจควบคุมก็ไม่ได้ ดังนั้นทุกครั้งที่พ่อมีท่าทีจริงจังเคร่งขรึมขึ้นมา หลิงอวี่สวิ๋นก็ไม่กล้าออดอ้อน
เธอนั่งลงตรงข้ามหลิงเยว่ผู้เป็นพ่อ ถามด้วยรอยยิ้มว่า “พ่อคะ มีเรื่องอะไรเหรอ?”
หลิงเยว่ไม่ได้ตอบในทันที แต่มองไปยังย่าขู่แล้วพูดขึ้นว่า “ย่าขู่ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ให้คุณจับตาดูอวี่สวิ๋นให้ดี ถ้าผมไม่เห็นด้วย ก็ไม่อนุญาตให้เธอออกไปจากประตูแม้แต่ครึ่งก้าว!”
“ค่ะนายท่าน!” ย่าขู่พูดแล้วพยักหน้า
“พ่อคะ พ่อ…ทำไม…” หลิงอวี่สวิ๋นมองไปยังผู้เป็นพ่อแล้วพูดขึ้นด้วยความโกรธในพริบตา
“อวี่สวิ๋น พ่อคิดจะบอกลูก การไปมาหาสู่กับเย่เทียนเฉินไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาดเลย และไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก ตระกูลเย่กลายเป็นตระกูลชั้นสามของเมืองหลวงไปนานแล้ว ไม่ว่าในด้านไหนก็ไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะไปมาหาสู่กับตระกูลหลิงของพวกเราได้ ลูกกับเย่เทียนเฉินก็ไม่ควรจะมีการติดต่อกัน!” หลิงเยว่อ่านหนังสือพิมพ์ต่อไป พูดออกมาด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
“พ่อคะ งั้นจะทำยังไง? ก่อนหน้านี้จะกูลหลิงของพวกเราและตระกูลเย่อยู่ในซอยเดียวกัน ตอนนั้นทั้งสองตระกูลต่างก็ไม่มีอำนาจอะไร เกิดอะไรขึ้นทำไมถึงได้เป็นแบบนี้ เป็นแบบเมื่อก่อนไม่ได้เหรอ? ยิ่งไปกว่านั้นการที่หนูติดต่อกับเย่เทียนเฉิน ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเราสองคนจะอยู่ด้วยกัน กระทั่งเป็นแค่เพื่อนธรรมดาก็ไม่ได้เลยเหรอ?” หลิงอวี่สวิ๋นพูดออกมาอย่างไม่พอใจและไม่เชื่อฟัง
“ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนธรรมดา หรือว่าลูกจะรักเย่เทียนเฉินแล้ว พ่อไม่อนุญาตให้พวกลูกติดต่อกัน พวกเราอยู่กันคนละโลกโดยสิ้นเชิง ลูกถอดใจซะเถอะ!” หลิงเยว่พูดอย่างจริงจัง
“พ่อคะ พ่อ…ทำไมพ่อไม่มีเหตุผลเลย?” หลิงอวี่สวิ๋นถแทบจะน้ำตาไหลออกมา เธอคิดไม่ถึงเลยว่าพ่อที่เฉลียวฉลาดและรักเธอมากมาโดยตลอดจะกลายเป็นคนไม่มีเหตุผลแบบนี้ได้
หลิงเยว่มองหลิงอวี่สวิ๋น วางหนังสือพิมพ์ในมือลง หลิงอวี่สวิ๋นเป็นลูกสาวที่เขารักมากที่สุด ตั้งแต่เล็กหลิงอวี่สวิ๋นก็เชื่อฟังและรู้ความมาก คะแนนการเรียนก็ดี เป็นความภาคภูมิใจของหลิงเยว่มาโดยตลอด เขาไม่อยากจะพูดแบบนี้กับลูกสาว ไม่อยากจะทำลายความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูก แต่ครั้งนี้เรื่องของเย่เทียนเฉิน เขาก่อเรื่องได้ยิ่งใหญ่เกินไปแล้ว บางทีชาวบ้านทั่วไปอาจจะไม่รู้และมันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขา แต่ตระกูลใหญ่และกลุ่มอำนาจใหญ่ต่างก็เข้าใจถึงเรื่องใหญ่ที่สั่นสะท้านโลกเบื้องหน้าและเบื้องหลังของประเทศจีนซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดนี้ดี
คุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง คนคนนี้มีความสามารถแข็งแกร่งมาก ยิ่งไปกว่านั้นอำนาจที่อยู่เบื้องหลังก็เป็นบุคคลลึกลับที่ยิ่งใหญ่ เขาได้จับจ้องไปที่เย่เทียนเฉินแล้ว ประกาศสงครามกับเย่เทียนเฉินแล้ว ถ้าหากเย่เทียนเฉินและคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงเกิดการปะทะกัน คงจะรุนแรงยิ่งกว่าตอนที่ตระกูลฉินและตระกูลลั่วถูกทำลายในค่ำคืนเดียว นี่เป็นสิ่งที่หลิงเยว่กังวล กังวลว่าลูกสาวจะไปเกี่ยวพันกับเย่เทียนเฉิน กังวลว่าเรื่องนี้จะไปขัดขวางการกลับมาพัฒนาธุรกิจในประเทศของตระกูลหลิง จึงพะว้าพะวงใจอยู่ตลอดเวลา
“อวี่สวิ๋น เย่เทียนเฉินกลายเป็นคนที่อยู่ท่ามกลางเกลียวคลื่นไปแล้ว และตระกูลเย่ก็กลายเป็นตระกูลชั้นสามไปนานแล้ว เย่เทียนเฉินล่วงเกินกลุ่มอำนาจมากมายเกินไป ล่วงเกินคนมากเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นในครั้งนี้คุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาหลงเถิงผู้ลึกลับคนนั้น เขาเป็นคนที่กระทั่งพ่อเองก็ไม่รู้ว่าร้ายกาจขนาดไหน หากจะบอกว่าเย่เทียนเฉินที่ไม่มีคนอยู่เบื้องหลังและไม่มีอำนาจที่แข็งแกร่งจะสามารถมีชีวิตรอจากการปะทะกับคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงได้ พ่อก็คิดว่าคงไม่มีใครเชื่อ ต่อให้เขาจะมีความสามารถอยู่บ้าง ก็เป็นคนเพียงคนเดียวเท่านั้น จะสามารถป้องกันการเพ่งเล็งของกลุ่มอำนาจใหญ่มากมายขนาดนี้ได้เลยหรือ?” หลิงเยว่พูดความหวาดกลัวในใจของเขาออกมาตรงๆ เขาต้องการให้หลิงอวี่สวิ๋นเข้าใจ เย่เทียนเฉินอยู่ในเกลียวคลื่น ไม่มีอำนาจ ไม่มีที่พึ่งพา ดูเหมือนจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่อาจไปคบค้าสมาคมกับเขาได้โดยเด็ดขาด จะทำให้ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เปล่าๆ
…………………………..