สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 – ตอนที่ 5.2

ตอนที่ 5.2

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 – บทที่ 5 ข้าอนุญาตให้เจ้าทอดทิ้งข้าได้ทุกเมื่อ! (2)
บทที่ 5 ข้าอนุญาตให้เจ้าทอดทิ้งข้าได้ทุกเมื่อ! (2)
โดย
Ink Stone_Romance
เมื่อขบวนของฉู่สวินหยางและเขาต่างฝ่ายต่างพยักศีรษะทำความเคารพแก่กันเสร็จแล้ว จากนั้นจึงเดินต่อไปยังเบื้องหน้า

ฉู่ฉีเหยียนยืนไพล่มือไว้ด้านหลังอยู่ท่ามกลางถนนที่ไร้ผู้คน ไม่ได้จากออกไปในทันที

“ซื่อจื่อ ท่านไว้ใจปล่อยให้ท่านหญิงอยู่คนเดียวแน่หรือขอรับ?” หลี่หลินเอ่ยปากถามหยั่งเชิง สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล

“เห็นนางแบบนั้นดูก็รู้แล้วว่าหลงระเริงมากแค่ไหน พูดโน้มน้าวอย่างไรก็ไม่เป็นผลหรอก!” ฉู่ฉีเหยียนกล่าว ถอนหายใจออกมาด้วยใบหน้าเย็นชา “เจ้ากับข้ารับใช้อีกสองคนอยู่เฝ้าที่นี่แล้วกัน อย่าปล่อยให้นางก่อเรื่องอะไรเข้าก็พอ!”

แต่งงานออกเรือนไปแล้วแท้ๆ เวลานี้ฉู่หลิงอวิ้นยังทำตัวไม่รู้เรื่องรู้ราวอีก

เดิมทีฉู่ฉีเหยียนเคยพยายามโน้มน้าวนางแล้ว แต่พอถึงตอนนี้เขาเองก็คร้านที่จะยุ่งด้วยอีกต่อไป…

หากฉู่หลิงอวิ้นดึงดันที่จะทำแบบนี้ต่อไป ช้าเร็วอย่างไรก็ต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่นอน

ในเมื่อตอนนี้ห้ามนางเอาไว้ไม่อยู่ หลังจากนี้เขาเองก็ไม่มีทางเอาเรื่องของตัวเองมาปรึกษากับนางอีกแน่นอน เรื่องบางเรื่องนางยิ่งรู้น้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดี

หลี่หลินเข้าใจการตัดสินใจของฉู่ฉีเหยียนดี เมื่อได้ยินดังนั้นเขาก็รีบสั่งการลงไปทันที

เมื่อหันหน้ากลับไปมองอีกครั้ง เห็นคนกลุ่มนั้นค่อยๆ กลืนกินไปกับฝูงชนตรงหน้า ฉู่ฉีเหยียนจึงหันหลังแล้วเดินกลับไปอีกฝั่งถนน

เพราะการมาใหม่ของฉู่หลิงอวิ้น ทำให้ฉู่เยว่หนิงและคนอื่นๆ รู้สึกเหมือนกับโดนมัดมือมัดเท้าไว้ ไม่กล้าทำตัวครื้นเครงมากเท่าไรนัก

ฮั่วชิงเอ๋อร์กับฉู่เยว่หนิงเดินก้มหน้าก้มตาไปอย่างช้าๆ เงยหน้าขึ้นมองเหยียนหลิงจวินกับฉู่หลิงอวิ้นที่อยู่ในกลุ่มฝูงชนตรงหน้าเป็นพักๆ อุตส่าห์อดทนไม่พูดมาตั้งนานแต่สุดก็กลั้นเอาไว้ไม่ไหว จนในที่สุดขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้น

“ได้ยินมาตั้งนานแล้วว่าท่านหญิงอันเล่อมีใจให้ใต้เท้าเหยียนหลิง นี่เวลาก็ผ่านมาขนาดนี้แล้ว นางยังไม่ถอดใจอีกงั้นรึ?”

เรื่องที่เกิดขึ้นตอนราชนิเวศน์ตอนนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรมาก แต่ผู้คนก็ไม่ได้ตาบอด ต่างเห็นได้ชัดเลยว่า

ฉู่หลิงอวิ้นมีท่าทีกับเหยียนหลิงจวินไม่เหมือนคนทั่วไป แต่ก็เป็นแค่นางที่แสดงออกอยู่ฝ่ายเดียวมาโดยตลอด แต่ด้วยความที่มีหลัวฮองเฮาคอยให้ท้าย เลยทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าพูดเรื่องนี้ขึ้น

ฉู่เยว่หนิงฟังจบ คิ้วก็ยิ่งขมวดเป็นปมแน่นยิ่งกว่าเดิม “ใครจะไปรู้เล่า!”

ท่าทางการกระทำของฉู่หลิงอวิ้นที่มีต่อเหยียนหลิงจวินนั้นพิเศษกว่าคนอื่นก็จริง แต่ไม่ว่าจะกี่ครั้ง เหยียนหลิงจวินก็ออกหน้าปกป้องฉู่สวินหยางอยู่เสมอ ถึงแม้เรื่องพวกนี้นางจะไม่มีทางเอาไปพูดลับหลังที่ไหน แต่นางเคยได้ยินท่านแม่ของตนเคยพูดถึงอย่างนั้น…

นางไม่ใช่เด็กโง่ที่ไม่รู้ความ ฉู่เยว่หนิงเองก็รู้สึกได้ว่า ความรู้สึกที่ใต้เท้าเหยียนหลิงคนนี้มีให้กับพี่สาวของตนคงไม่ธรรมดาแน่นอน

เดิมทีก็เดาใจและท่าทีของท่านพ่อยากอยู่แล้ว ตอนนี้หากปล่อยให้ฉู่หลิงอวิ้นสร้างเรื่องอะไรขึ้นอีก ไม่อาจรับรองได้เลยว่าหลังจากนี้จะไม่มีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้น

คนในขบวนเดินไปด้านหน้าโดยที่แต่ละคนต่างก็มีเรื่องให้กลุ้มใจ เงยหน้าขึ้นมองทิวทัศน์เป็นระยะ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้สนุกสนานครื้นเครงเหมือนเก่า

ถนนเส้นนี้ยาวมาก เดินรวดเดียวไปถึงสุดทาง ภาพตรงหน้าช่างกว้างขวางสุดลูกหูลูกตายิ่งนัก ทิวทัศน์เบื้องหน้านั้นคือแม่น้ำฮู่สุ่ยที่เชื่อมต่อกับแม่น้ำจ้าวธารนั่นเอง

สถานที่แห่งนี้เองก็ได้รับอิทธิพลจากเทศกาลโคมไฟ จึงทำให้ต้นหลิวที่อยู่สองข้างทางของแม่น้ำสายนี้ ประดับตกแต่งไปด้วยโคมไฟหลากสีอยู่ทั่วทิศ ขนาดเรือที่ลอยอยู่กลางแม่น้ำตรงหน้าก็ยังถูกแต่งแต้มไปด้วยโคมไฟสีสันสดใส สะท้อนลงบนผืนน้ำเป็นภาพสวยงาม

มีเสียงดนตรีดังคลอให้ได้ยินเป็นบางช่วง มีเสียงหัวเราะของหนุ่มสาวดังขึ้นยามค่ำคืนเป็นครั้งคราว มั่นใจได้เลยว่าต้องมีลูกค้าบนเรือชมทิวทัศน์สักลำในนั้นจ้างหญิงสาวจากถนนหลิ่วหลินมาเป็นเพื่อนนั่งคุยเล่นแน่นอน

“เจ้าเช่าลำไหนไว้?” ซูอี้เดินขึ้นไปด้านหน้า

ในตอนนั้นเองเหยียนหลิงจวินได้มาถึงก่อนแล้ว เขายืนอยู่ริมตลิ่งรับลม สายตาทอดมองไปเบื้องหน้า

“ลำที่สองจากทางด้านนั้น!” เหยียนหลิงจวินตอบ เชิดคางชี้ขึ้นเล็กน้อย ถึงแม้จะมีการปรากฏตัวของฉู่หลิงอวิ้นที่คาดไม่ถึงนั้นเกิดขึ้น แต่ก็ไม่ทำให้เขาล้มแผนการเดิมที่วางไว้เด็ดขาด

“ไปกันเถอะ ไปด้วยกัน!” ซูอี้ยิ้ม หันหลังกลับไปเรียกกลุ่มคนที่กำลังเดินตามมา

เมื่อฉู่หลิงอวิ้นกำลังจะเดินผ่านไป นางตั้งใจหยุดฝีเท้าลงแล้วหันไปมองเขาพูดขึ้นว่า “ดูท่าใต้เท้าเหยียนหลิงจะไม่พอใจเท่าไรเลยนะเจ้าคะ หรือว่าท่านคงไม่ยินดีให้ข้าอยู่ด้วยจริงๆ?”

เหยียนหลิงจวินคร้านจะเสียเวลากับการกระทำจอมปลอมของนาง เขาจึงเพียงแค่ยิ้มออกมาเท่านั้น

ฉู่หลิงอวิ้นเองก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก เดินขึ้นไปบนเรือลำนั้น

“ท่านหญิงเจ้าคะ ในเมื่อท่านกับท่านหญิงสวินหยางไม่ถูกกัน แล้วทำไมท่านยังต้องลดตัวลงมากับพวกเขาให้ได้อีกด้วยล่ะเจ้าคะ?” จื่อซวี่อดไม่ได้จึงเอ่ยปากถามขึ้น

ทุกคนในที่นี้ต่างมองพวกนางเป็นศัตรู ความรู้สึกแบบนี้มันช่างไม่สบายกายสบายใจเอาเสียเลย ไม่ว่านางจะคิดอย่างไร ก็คิดไม่ออกว่าทำไมท่านหญิงของนางถึงต้องตามพวกเขามาให้ได้

การกระทำลดตัวลงแบบนี้ เมื่อก่อนนางไม่มีทางทำแน่

“ใครบอกเจ้าว่าข้าจะลดตัวลงไปคลุกคลีกับพวกนั้น?” ฉู่หลิงอวิ้นตอบ ริมฝีปากแสยะยิ้มขึ้นอย่างเย็นชา

จื่อซวี่เห็นท่าทางแบบนี้ของนางก็ยิ่งหวาดกลัว แล้วพูดขึ้นอย่างฝืนใจว่า “ท่านหญิง ข้ารู้ว่าข้าไม่ควรพูดคำนี้ออกมา แต่ด้วยท่าทางของใต้เท้าเหยียนหลิงที่ปฏิเสธท่านซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำไมท่านต้องลำบากลำบนแบบนี้ด้วยล่ะเจ้าคะ?”

ฉู่หลิงอวิ้นหันขวับมองนางตาขวาง ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว

จื่อซวี่ทำตัวคอหด ตกใจจนแทบจะร้องไห้ออกมา รีบพูดขึ้นว่า “ข้าน้อยพูดมากเอง! ข้าน้อยผิดไปแล้ว!”

“จัดการดูแลปากของตัวเองให้ดี หากมีครั้งต่อไปอีก อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ” ฉู่หลิงอวิ้นเอ่ยขึ้นเสียงเรียบเย็นชา แล้วก้าวเท้าเดินไปด้านหน้า

หากนางต้องการ นางก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้ล้มเลิกปล่อยมันทิ้งไป

เหยียนหลิงจวิน…รอก่อนเถอะ ไม่นานนัก ข้าจะทำให้เจ้าเชื่อฟังข้าแต่โดยดี!

เรือลำนั้นได้ถูกเตรียมการไว้ก่อนแล้ว ทั้งคนขับเรือและข้ารับใช้ที่คอยช่วยยกน้ำชาต่างก็เตรียมพร้อมอย่างครบครัน

ฮั่วชิงเอ๋อร์กับฉู่เยว่หนิงตื่นเต้นยิ่งนัก ถลกกระโปรงขึ้นแล้ววิ่งเข้าไปด้านใน วิ่งตรงไปยังหัวเรือแล้วเอ่ยชมความสวยความงามของทิวทัศน์เบื้องหน้าก่อนใครอื่น

ฉู่หลิงอวิ้นเดินจับแขนข้ารับใช้ขึ้นไปบนหัวเรือเช่นเดียวกัน ทุกท่วงท่าการเดินของนางสง่างามไร้ที่ติ ขึ้นเรือมาก็ถามหาห้องโดยสารทันที จากนั้นก็ลงไปเติมแป้งต่อ

ฉู่เยว่ซินตามมาเป็นคนสุดท้าย ก้มหน้าก้มตายืนอยู่บนฝั่งไม่ขยับตัวไปไหน

ซูอี้หันไปมองอย่างสงสัย “ท่านหญิงรองเป็นอะไรขอรับ?”

“ข้า…” ฉู่เยว่ซินเงยหน้าขึ้น ใบหน้าแดงก่ำอย่างไม่เป็นธรรมชาติ กำลังจะเอ่ยปากพูดขึ้น ก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายมาจากถนนไฉ่ถังที่พวกนางเพิ่งจากออกมาเมื่อครู่ แต่เนื่องด้วยพวกนางจากออกมาไกลแล้ว จึงได้ยินเสียงไม่ค่อยชัด

“ข้าไปดูเอง!” ซูอี้ขมวดคิ้ว แล้วพูดกับเหยียนหลิงจวินที่อยู่บนเรือ แล้วก็ไม่ได้สนใจฉู่เยว่ซินต่อ จากนั้นเดินขึ้นฝั่งไปอย่างเร็ว อยากไขข้อสงสัยเกี่ยวกับสถานการณ์ตรงหน้านั้นให้ได้

———————————

บนชายฝั่งกิ่งใบของต้นหลิวย้อยห้อยลงมามากโข ถึงแม้จะเป็นฤดูหนาว แต่มันก็หนาแน่นบดบังทัศนียภาพภาพตรงหน้าจนมิด ช่างยากที่จะมองทะลุเห็น

เขาเดินไปอย่างรีบร้อน ในระหว่างที่เขามุ่งไปอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีคนเดินลัดเลาะตรอกถนนผ่านไป

ความมืดมิดเข้าปกคลุมท้องฟ้า คนคนนั้นสวมชุดสีดำทั้งตัว เดินอย่างไร้เสียง ซูอี้ไม่ทันระวัง ทั้งสองคนจึงเดินชนกันอย่างจังจนตัวล้มทับกัน

“โอ๊ย!” เสียงของคนคนนั้นสบถดังขึ้นเสียงสั้น นอนงอตัว เส้นผมสีดำปิดใบหน้าไปเกือบครึ่ง

ซูอี้ตกใจ เมื่อรู้สึกตัวได้ก็รีบยกมือที่ค้ำอยู่บนหน้าอกคนคนนั้นขึ้น แล้วพยุงแขนผู้นั้นขึ้นมา พูดขึ้นอย่างรู้สึกผิดว่า “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม? ขอโทษนะ เมื่อกี้ข้าไม่ทันได้ระวัง…”

พูดยังไม่ทันจบจู่ๆ เขาก็ชะงักไป แล้วรู้สึกได้ว่า…

เขาผ่านการฝึกวิชามานี่ ทั้งความสามารถในการมองเห็นและการได้ยินนั้นก็สูงกว่าคนปกติธรรมดาอยู่แล้ว ถึงแม้เมื่อครู่ตัวเขาจะเดินอย่างรีบร้อนไปเสียหน่อย มันก็ไม่ถึงขั้นที่จะทำให้คนธรรมดารู้สึกได้ถึงความผิดปกตินั้น

นั่นก็หมายความได้อย่างเดียวว่า…

คนคนนี้ก็เป็นผู้เชี่ยวชาญมากฝีมือเช่นกัน

ซูอี้ตกใจเล็กน้อย ยังไม่ทันได้พูดอะไร คนคนนั้นก็สะบัดมือที่แตะต้องแขนของตนนั้นออกอย่างว่องไว แล้วเดินจากไปโดยที่ไม่พูดอะไรสักคำ

ดูจากแผ่นหลังนั้นแล้ว คนคนนั้นเป็นคนตัวสูงผอม แต่ภาพแผ่นหลังนั้นมันช่างคล่องแคล่วกระฉับกระเฉงยิ่งนัก

ทำให้รู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก

ซูอี้สูดลมหายใจเข้าปอด ตัดสินใจตามไป

คนคนนั้นได้ยินเสียงฝีเท้าของเขา จึงเหล่ตามองขวางอย่างโหดเหี้ยม แรงอาฆาตแผ่ซ่าน ส่งสัญญาณเตือนขึ้นอย่างชัดเจน

ในขณะนั้นเองซูอี้ถึงได้เห็นใบหน้าของคนคนนั้นเล็กน้อย เป็นใบหน้าธรรมดาๆ โครงหน้าอ่อนโยน แต่เมื่อมองแล้วกลับทำให้คนรู้สึกเคร่งขรึมเย็นชา

ซูอี้ถูกจ้องมองเขม็ง ตกใจจนหยุดชะงักสติหลุดลอย จู่ๆ ก็รู้สึกว่านิ้วมือของตนมีอะไรเหนียวๆ ชื้นๆ ติดอยู่ จึงก้มลงมอง…

นิ้วมือทั้งสามนิ้วบนมือขวาของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดสีเข้ม…

เลือดนี่มันเลอะจากตอนเขาไม่ทันระวังเมื่อครู่ที่กดทับอกของอีกฝ่ายมางั้นเหรอ?

ซูอี้กำลังตกใจอยู่ ส่วนฉู่สวินหยางที่เดินรั้งอยู่ท้ายสุดเดินตามเข้ามาอย่างช้าๆ มองไปในทิศทางที่เขากำลังมองอยู่ แล้วพูดว่า “เกิดเรื่องขึ้นรึ?”

“อืม!” ซูอี้หันมอง แล้วยิ้มให้นางอย่างรีบร้อนหนึ่งที “ฝากบอกจวินอวี้ทีว่าข้ามีธุระนิดหน่อย ข้าตามไปทีหลัง”

พูดจบก็ไม่รอให้ฉู่สวินหยางตอบรับ เขาถลกชายเสื้อขึ้นแล้วรีบวิ่งตามแผ่นหลังของคนผู้นั้นที่กำลังลับตาออกไป

ฉู่สวินหยางเม้มปากเล็กน้อย ไม่ได้สนใจเรื่องของเขามาก จากนั้นเดินมุ่งหน้าขึ้นเรือไป

———————————-

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

Status: Ongoing

วังหลวงโรยแสงกับสุราพิษหนึ่งจอก พี่ชายฝาแฝดสละชีพ สีเลือดชโลมลาน ตระกูลรัชทายาทถูกประหารยกครัว

โลหิตย้อมคม เทียนแดงร่ำไห้ เขาว่า จะไม่มีใครบนโลกนี้ล่วงรู้ฐานะแท้จริงของเจ้า เจ้าก็รั้งอยู่ข้างกายข้าอย่างสบายใจเถอะ

นางเป็นกากเดนในราชวงศ์ก่อน ฉากนองเลือดครั้งนี้ ก็แค่อุบายสวยหรูที่อ้างชื่อของความรัก!

นางฟื้นตื่นจากฝันร้าย ลืมตาอีกครั้ง…

นางยังเป็นองค์หญิงสวินหยางผู้ไร้เทียมทานคนเก่า

บิดาผู้ชุบเลี้ยงยังมี ชายผู้เป็นพี่ยังอยู่เคียงข้าง ทุกสิ่งทุกอย่าง ยังไม่สายเกินแก้

นางรวบรวมไพร่พล สวมชุดนักรบกรุยทางแห่งอำนาจ นางจะพลิกบัลลังก์ด้วยคมดาบเปื้อนเลือดในมือ

ของของนาง นางจะปกป้อง

ของที่อยากได้ นางก็จะแย่งมา!

กบฏแห่งใต้หล้า นางมารล่มเมือง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน