สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 – ตอนที่ 27.2

ตอนที่ 27.2

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 – บทที่ 27.2 ฉู่ฉีเหยียน (2)
บทที่ 27 ฉู่ฉีเหยียน (2)
โดย
Ink Stone_Romance
ฉู่ฉีเหยียนมีท่าทีประหลาดใจ มุมปากกระตุกเล็กน้อย จากนั้นก็หัวเราะออกมาอย่างเสียดสี “แม้พูดกันว่าสงครามยากที่หนีไม่พ้นกลอุบาย แต่วิธีที่ไม่เอาด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกลเช่นนี้ย่อมมีไม่กี่คนเท่านั้นที่เลือกจะใช้ หรือเจ้าไม่กลัวว่าซูอี้เมื่อดำเนินการไปอย่างสุดโต่งแล้ว สุดท้ายก็จะถูกฝ่าบาทไม่พอใจ?”

“ยังไม่ถึงเวลานั้นแล้วใครจะรู้เล่า?” ฉู่สวินหยางถามกลับ เลิกคิ้วขึ้นแสงความไม่เห็นด้วยกับเขา

ฉู่ฉีเหยียนชายตามองนาง

เวลานี้เขาและฉู่ฉีเฟิงเมื่ออยู่ที่ท้องพระโรงต่างฝ่ายต่างขัดแข้งขัดขาชิงดีชิงเด่น ไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่อันใด แต่ว่าระหว่างฉู่สวินหยางนั้น การเอาคืนกันไปคืนกันมาเช่นนี้…

กลับทำให้รู้สึกเหนือความคาดหมายและอึดอัดแปลกๆ อย่างไรก็ไม่รู้อยู่บ้าง

เขายังคงมองไปที่นาง

ใบหน้าของเด็กสาวบนหลังม้านั้นสดใสองอาจ มองอย่างไรก็ไม่ใช่ท่าทีที่เด็กสาววัยอย่างนางควรจะเป็น เพียงแต่เล่ห์เหลี่ยมภายในของนาง กลับทำให้คนมิอาจป้องกันตัวเองได้

ฉู่ฉีเหยียนหัวเราะอย่างไร้เสียง คล้อยหลังมาค่อยเบนสายตาละจากใบหน้าของนางไป กล่าวอย่างราบเรียบ “เจ้าคิดว่าซูอี้มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะรับช่วงต่อจากอ๋องฉางซุ่นอย่างนั้นรึ?”

ฉู่สวินหยางเผยรอยยิ้มขึ้น “นั่นเป็นเรื่องของเขา ไม่เกี่ยวกับข้า!”

ฉู่ฉีเหยียนแม้ว่าจะรู้ถึงตัวตนของซูอี้แล้ว เช่นนั้นเพื่อที่จะขัดขวางเขา กลัวแต่พียงว่า….

เวลานี้เขาได้จัดผู้ที่มีฝีมือเหมาะสมเพื่อดำเนินแผนการลอบสังหารแล้ว

แต่ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่…

ไม่ใช่ว่านางทำกับซูอี้เกินไป แต่หากว่าอีกฝ่ายแม้แต่เรื่องเล็กๆ ก็ยังจัดการไม่ได้ เช่นนั้นก็ไม่คู่ควรให้นางเดิมพันข้างเขาแล้ว

แต่ไหนแต่ไรวิธีการของนางก็เป็นเช่นนี้ตลอด ไม่ว่าจะเป็นซูอี้หรือทั่วป๋าอวิ๋นจีที่ก่อนหน้านี้เหมือนกัน นางเลือกที่จะเป็นพันธมิตรกับพวกเขา แน่นอนว่าย่อมคอยปกป้องและสนับสนุน แต่ก็ไม่ใช่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ก็ล้วนแต่จะเข้าไปสอดมือยุ่งเกี่ยว

ฉู่ฉีเหยียนเห็นท่าทีเช่นนี้ของนาง จึงอดไม่ได้ที่จะสนใจเรื่องนี้ขึ้นมาอีกสามส่วน

“พวกเราอย่าเพิ่งคิดไปเองกับเรื่องที่ยังไกลตัวให้เปลืองแรงดีกว่า มิสู้คุยในเรื่องที่เกิดขณะนี้ก่อนเถอะ” ฉู่สวินหยางกล่าว ค่อยๆ เปลี่ยนเรื่อง ในขณะที่พูดก็เหลือบมองไปยังรถม้าที่ตามมาด้านหลัง “เรื่องที่เกิดกับจวนผิงกั๋วกงในตอนนี้คงไม่ใช่ว่าท่านรู้เห็นเป็นใจด้วยหรอกนะ?”

เจิ้งเยียนและฉู่หลิงอวิ้นร่วมมือกัน ไม่ต้องคิดก็รู้แล้วว่าเรื่องนี้ต้องเป็นเรื่องความสัมพันธ์ที่ฉู่หลิงอวิ้นไม่อาจถอนตัวได้ และไม่รู้ว่าฉู่ฉีเหยีนรู้เห็นเป็นใจหรือไม่ อย่างไรก็ต้องรอการยืนยันจากอีกฝ่าย

ฉู่ฉีเหยียนเม้มริมฝีปาก จู่ๆ ก็หลับตาลงอย่างรำคาญใจ

เรื่องของฉู่หลิงอวิ้นด้านนั้นเขาจนปัญญาจริงๆ ไม่สามารถแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่สนใจนางได้ แต่ถ้าหากจะจัดการอย่างจริงจังคงจะยุ่งยากซับซ้อนยากที่จะควบคุมเช่นกัน

ฉู่สวินหยางเมื่อเห็นว่าเขาไม่อยากตอบก็ไม่ได้บีบเค้นอะไร ปิดปากลงไปทั้งอย่างนั้น

คนกลุ่มนี้ไม่ได้เดินช้า แต่ตอนที่ไปถึงจวนผิงกั๋วกง ประตูใหญ่ของสกุลเจิ้งกลับยังคงแขวนโคมแดงอย่างวันปกติทั่วไป ไม่ได้มีสัญญาลักษณ์ของการไว้อาลัยแต่อย่างใด

ฉู่สวินหยางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย

จวี๋เซียงที่ตามมาด้านหลังสะดุ้งจนร่างสั่นไหว

บ่าวเฝ้าหน้าประตูที่ได้ยินความเคลื่อนไหวก็เปิดประตูออกมา เมื่อพบฉู่สวินหยางและฉู่ฉีเหยียนก็ตกใจเป็นอย่างแรก ต่อมาพบว่าเจิ้งเยียนกลับมาด้วยกันก็ตกตะลึงไปอีก สีหน้านั้นเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาไม่หยุด สุดท้ายจึงค่อยๆ พยายามไม่รีบร้อนค่อยๆ กล่าวขึ้นมา “ท่านหญิง ซื่อจื่อ คุณหนูใหญ่!”

เจิ้งเยียนมองผ่านเขาเข้าไปยังด้านในประตูอย่างสงสัย พลางกล่าวถามว่า “เกิดเรื่องอันใดขึ้น ไม่ใช่พี่สะใภ้ นาง…”

บ่าวผู้นั้นเห็นได้ชัดว่าอยากจะปิดบังอะไรบางอย่าง แต่ว่าเมื่อเจิ้งเยียนถามอย่างชัดเจนไปแล้วจึงทำได้เพียงฝืนใจพูดออกมาเท่านั้น “คุณหนูใหญ่อย่างไรเข้าไปด้านในแล้วค่อยคุยกันเถอะขอรับ!”

เจิ้งเยียนมีท่าทีราวกับกังวลขึ้นมา ยกกระโปรงขึ้นเดินเข้าไปด้านในอย่างเร่งรีบ

ฉู่สวินหยางและฉู่ฉีเหยียน ไม่ว่าใครต่างก็ไม่ได้สนใจใคร ก้าวเท้าตามเข้าไปด้านในทันที

ในห้องโถงใหญ่ ฮูหยินเจิ้งนั่งอยู่ด้วยสีหน้ามืดมน พ่อลูกเจิ้งตั๋วก็มีท่าทีเยือกเย็นนั่งอยู่บนเก้าอี้เช่นกัน

การตายของฉู่เยว่เหยาเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้พวกเขาทั้งหมดไม่ทันได้ตั้งตัว

“ท่านย่า…” ท้ายที่สุดยังคงเป็นเจิ้งเหวินคังที่ทนต่อบรรยากาศขมุกขมัวไม่ไหวจึงเอ่ยปากขึ้นก่อน “นางเป็นเช่นนั้น เดิมทีก็ไม่ต่างจากคนตายอยู่แล้ว ทิ้งนางไว้ ยังต้องเสียแรงกายแรงใจให้จวนพวกเรารับภาระดูแล ตอนนี้นางสิ้นแล้ว อย่างไรก็ทำให้สองฝ่ายจบด้วยดี ท่านย่าก็ไม่ต้อง…”

“นางตายเจ้าก็จบด้วยดีแล้วรึ ตอนนี้ข้าอยากถามว่าเจ้าจะทำอย่างไรกับวังบูรพา!” ฮูหยินเจิ้งกล่าวอย่างโมโห ตัดบทเขาอย่างเยือกเย็น

ตอนแรกเป็นฉู่สวินหยางที่ส่งความเมตตามาจนถึงหน้าประตู คำขอเดียวก็คือให้ดูแลชีวิตนี้ของนางเอาไว้

ตอนนี้คนตายไปแล้ว พวกเขาสกุลเจิ้งกลับตะบัดสัตย์กลายเป็นคนเลวไป

หากยังทำให้วังบูรพาเข้าใจผิดอีกว่าพวกเขาสมคบคิดกับจวนอ๋องหนานเหอ เช่นนั้นครั้งนี้พวกเขาก็เท่ากับว่าถูกจับมัดรวมว่าลงเรือลำเดียวกับจวนอ๋องหนานเหอแล้ว

หากเป็นก่อนหน้านี้ก็แล้วไป แต่ครั้นเป็นเวลานี้ที่ฉู่อี้หมินถูกรับโทษสูญเสียอำนาจไป

สีหน้าของเจิ้งตั๋วยิ่งดูบิดเบี้ยวขึ้นมา กล่าวราบเรียบกับแม่นมหูว่า “บ่าวสองคนนั้นว่าอย่างไรบ้าง?”

“ใช้เครื่องมือทรมานเค้นถามแล้วเจ้าค่ะ ทั้งสองคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ท่านหญิงแงะเปิดหน้าต่างด้านหลังออกไปเอง รอจนพวกบ่าวมาเห็นก็สายไปเสียแล้วเจ้าค่ะ” แม่นมหูกล่าว “บ่าวเข้าไปดูด้านในเรือนนั้นมาแล้ว ไม่เหมือนกับมีคนวางแผนอยู่เบื้องหลังจริงๆเจ้าค่ะ”

ไม่หลงเหลือจุดอ่อนเอาไว้ถือเป็นเรื่องที่ดีที่สุด หากจะหาพิรุธออกมาได้จริงๆ เรื่องนี้ก็คงยากที่จะจบลงด้วยดี

ฮูหยินเจิ้งเผยสีหน้าเย็นเยียบ หงุดหงิดไปสักพัก จากนั้นจึงค่อยกล่าวกับเจิ้งตั๋ว “เจ้าว่าเรื่องนี้ควรจะจัดการอย่างไรดี?”

“เวลานี้ท่านหญิงทั้งสองของวังบูรพาเข้าพิธีปักปิ่น[1] ในจวนก็กำลังจัดงานเฉลิมฉลอง ลูกจึงได้ออกคำสั่งให้ปิดข่าวเรื่องนี้ไว้ชั่วคราว รอจนถึงพรุ่งนี้ข้าจะไปขออภัยองค์รัชทายาทที่หน้าประตูด้วยตนเอง อธิบายสาเหตุให้เขาฟังอย่างชัดเจน” เจิ้งตั๋วกล่าวทั้งในใจก็เป็นกังวลอย่างยิ่ง

สกุลเจิ้งของพวกเขาแต่ไหนแต่ไรก็ไม่อยากจะเลือกฝักเลือกฝ่ายใดอยู่แล้ว แต่ยิ่งเป็นแบบนี้ราวกับมีคนจงใจไม่อยากให้เขาหยุดพักเสียมากกว่า

“อืม!” ฮูหยินเจิ้งพยักศีรษะ ตอนที่กำลังจะตอบกลับด้านนอกก็ปรากฏสาวใช้ที่มีท่าทีตื่นตระหนกเข้ามารายงาน

“ฮูหยินใหญ่ ท่านโหวเจ้าคะ ท่านหญิงสวินหยางและซื่อจื่อจวนหนานเหอมาเยี่ยมเจ้าค่ะ!”

สามคนในห้องล้วนแต่พากันตกตะลึง คล้อยหลังจึงค่อยๆเปลี่ยนสีหน้า

เจิ้งเหวินคังลุกขึ้นยืนเป็นคนแรก เบิกตากว้างแทบจะถลน “ใครนะ? เจ้าบอกว่าใครมานะ?”

“ท่านหญิงสวินหยางและซื่อจื่อจวนหนานเหอมาด้วยกันเจ้าค่ะ” สาวใช้คนนั้นตอบกลับ “คุณหนูใหญ่ก็ตามมาด้วยเช่นกันเจ้าค่ะ กล่าวว่ามีคนไปแจ้งข่าวการตายของท่านหญิงใหญ่ที่วังบูรพา เวลานี้จึงมาดูเจ้าค่ะ!”

“เจ้าไม่ใช่บอกว่าปิดข่าวไปแล้วหรอกรึ?” ฮูหยินเจิ้งโกรธฟึดฟัด ตบโต๊ะฉาดหนึ่งอย่างโมโห

“เป็นบ่าวที่เลินเล่อเจ้าค่ะ!” สาวใช้คนนั้นรู้สึกลำบากใจจนจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ “เป็นบ่าวที่คอยปัดกวาดอยู่ด้านล่างเป็นคนปล่อยข่าวในเรือนออกไปเจ้าค่ะ เดิมทีนางเข้าจวนมาพร้อมท่านหญิงใหญ่ เป็นคนขี้ขลาดตาขาวทั้งยังซื่อสัตย์ พวกบ่าวจึงประมาทไป…”

ฮูหยินเจิ้งตกตะลึงพรึงเพริด กฎของบ้านสกุลเจิ้งก็นับว่าค่อนข้างเข้มงวด ทั้งยังไม่มีใครไม่กล้าเชื่อฟังนาง แต่จวี๋เซียงเป็นคนที่เข้าจวนมาพร้อมกับฉู่เยว่เหยา ตอนนี้พอฉู่เยว่เหยาตาย เพียงแค่วังบูรพาออกหน้า สกุลเจิ้งก็ทำอะไรนางไม่ได้แล้ว

ฮูหยินเจิ้งอดไม่ได้ที่จะเผยใบหน้าบิดเบี้ยวขึ้นมาอีก ลังเลไปสักพักก่อนกล่าว “พวกเราไปดูเถิด คังเอ๋อร์ เจ้าเองก็ไปกับข้าด้วย”

“ขอรับ ท่านย่า!” เจิ้งเหวินคังตอบรับ พยุงมือนางด้วยตนเองไปยังห้องโถงด้านหน้า

———————————

[1] พิธีปักปิ่น โดยทั่วไปเด็กผู้หญิงพออายุ 15 ปี จะเข้าพิธีเกล้าผมปักปิ่น แสดงถึงการโตเป็นผู้ใหญ่ สามารถแต่งงานออกเรือนได้แล้ว

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

Status: Ongoing

วังหลวงโรยแสงกับสุราพิษหนึ่งจอก พี่ชายฝาแฝดสละชีพ สีเลือดชโลมลาน ตระกูลรัชทายาทถูกประหารยกครัว

โลหิตย้อมคม เทียนแดงร่ำไห้ เขาว่า จะไม่มีใครบนโลกนี้ล่วงรู้ฐานะแท้จริงของเจ้า เจ้าก็รั้งอยู่ข้างกายข้าอย่างสบายใจเถอะ

นางเป็นกากเดนในราชวงศ์ก่อน ฉากนองเลือดครั้งนี้ ก็แค่อุบายสวยหรูที่อ้างชื่อของความรัก!

นางฟื้นตื่นจากฝันร้าย ลืมตาอีกครั้ง…

นางยังเป็นองค์หญิงสวินหยางผู้ไร้เทียมทานคนเก่า

บิดาผู้ชุบเลี้ยงยังมี ชายผู้เป็นพี่ยังอยู่เคียงข้าง ทุกสิ่งทุกอย่าง ยังไม่สายเกินแก้

นางรวบรวมไพร่พล สวมชุดนักรบกรุยทางแห่งอำนาจ นางจะพลิกบัลลังก์ด้วยคมดาบเปื้อนเลือดในมือ

ของของนาง นางจะปกป้อง

ของที่อยากได้ นางก็จะแย่งมา!

กบฏแห่งใต้หล้า นางมารล่มเมือง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน