สามวันหลังจากนั้น ก็ถึงวันพิธีกลับจวนเยี่ยมญาติของฉู่เยว่หนิง!
คู่รักข้าวใหม่ปลามันทั้งสองเดินทางมาถึงตั้งแต่เช้าแล้ว หลังจากที่เข้าไปหาฉู่อี้อันและฮูหยินใหญ่เสร็จก็แยกย้ายไปพบปะแขกที่มาร่วมงาน
ฉู่เยว่หนิงใส่เสื้อกับกระโปรงสีแดงทับทิมเข้าคู่กับสีแดงสด ทำผมทรงของหญิงที่ออกเรือนแล้ว สีหน้าแววตานั้นยิ้มแย้มสดใส หางตาตวัดขึ้นยิ้มอย่างปิดบังเอาไว้ไม่อยู่ ไม่ต้องพูดก็รู้ได้เลยว่า สองวันหลังจากงานแต่งงานของทั้งสองนั้น พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขกันเป็นอย่างมาก
ฮูหยินใหญ่เห็นดังนั้นใบหน้าก็เต็มไปด้วยความปิติยินดีเช่นเดียวกัน
พิธีกลับมาเยี่ยมญาติครั้งนี้เองก็จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ขุนนางใหญ่โตและแขกผู้มีเกียรติหลายคนก็มาร่วมงานกันเกือบแทบจะทั้งหมด
ทว่างานเลี้ยงวันนี้ไม่เหมือนกับวันพิธีแต่งงานเท่าไร เพราะฉู่สวินหยางออกความเห็นว่าให้จัดขึ้นที่สวนดอกไม้
หากว่ากันตามหลักแล้ว วังบูรพาเองก็ถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของพระราชวัง แต่ด้วยความที่ฉู่อี้อันเป็นคนไม่ชอบเป็นที่จับตามองของใคร ทำให้ไม่ค่อยมีพิธีงานเลี้ยงฉลองจัดขึ้นในจวนสักเท่าไรนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องการพบปะสังสรรค์ระหว่างเขาและขุนนางอย่างเป็นส่วนตัวเลย คนที่มีสิทธิ์ได้เข้ามาเป็นแขกในวังบูรพามีน้อยจนนับนิ้วได้เชียวล่ะ
และในวันนี้งานก็จัดขึ้นกลางสวนดอกไม้แบบนี้ ทำให้ก่อนที่พิธีจะเริ่มแขกทั้งหลายก็ต่างแยกย้ายกันไปเดินชมดอกไม้ในสวนให้ว่อน ทำให้หันไปที่ไหนก็มีแต่คนอยู่ เป็นภาพที่ครึกครื้นยิ่งนัก
เหยียนหลิงจวินลากตัวซูอี้ไปที่ห้องโถงด้านหน้า
ด้วยความที่ครั้งก่อนเกือบจะเกิดเรื่องขึ้น ทำให้ซูอี้เองก็ยังคงรู้สึกกลัวจนใจเต้นอยู่ ครั้งนี้เขาเลยไม่ตั้งใจจะอยู่ที่นี่นานนัก เป็นอย่างที่สองพี่น้องหลัวอวี่ก่วนคิดเอาไว้ เขาแค่จะโผล่หน้ามาเท่านั้น
“เจ้ามาหาข้ามีเรื่องอันใดรึ?” เขาถูกเหยียนหลิงจวินลากออกมาแบบนี้ เขาเองก็ยังคงใจลอยไม่รู้ร้อนอะไร จัดแขนเสื้อที่ถูกอีกฝ่ายดึงจนยับพลางเอ่ยถามเขา
เหยียนหลิงจวินหัวเราะขึ้นเบาๆ จากนั้นยื่นเหล้าดอกหอมหมื่นลี้ที่หยิบมาจากห้องรับแขกให้เขาแล้วพูดว่า “ไม่มีอะไรหรอก มีเรื่องจะถามหน่อยน่ะ เมื่อครั้งก่อนตอนที่เจ้ามา เจ้าเจอหลัวเถิงด้วยรึ?”
ซูอี้กำลังยกจอกเหล้ารินเข้าปาก ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกผิดปกติ จึงกระดกเหล้าเข้าปากแล้วกลืนลงไปหนึ่งคำ
ตอนนี้เขาถึงเพิ่งจะรู้ตัวว่าตนตกหลุมพรางของอีกฝ่ายเข้าให้แล้ว ลุกขึ้นยืนสะบัดหยดน้ำที่อยู่บนเสื้อออก พลางพูดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ว่า “เจ้าอย่ามาหลอกล่อให้ข้าพูดเลย วันนั้นข้ากลับไปไว ข้าไม่รู้หรอกว่าท่านหญิงสวินหยางกับหลัวเถิงคุยอะไรกัน!”
เหยียนหลิงจวินพิงเสาอยู่ด้านข้าง ยังคงยิ้มขึ้นอย่างสบายอกสบายใจ มองแววตาของซูอี้แล้วรู้สึกแปลกประหลาดอย่างอธิบายไม่ถูก
“เจ้า…” เขาเริ่มรู้สึกตัวขึ้นมา
จู่ๆ เหยียนหลิงจวินก็เปลี่ยนแววตาเป็นมืดมนอย่างไม่มีเหตุผล ด้วยความที่แววตาสีหน้าของเขาเปลี่ยนเร็วเกินไป ทำให้ซูอี้รู้สึกมึนงงยากจะคาดเดาจนตามอีกฝ่ายไม่ทันขึ้นมา
ทว่าหลังจากนั้นเหยียนหลิงจวินก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้ามาหาเขา ในขณะที่เดินจะเฉียดไหล่กันตอนนั้นก็ตบบ่าของเขาเบาๆ ถอนหายใจแล้วพูดออกมาว่า “วันนี้อย่าเพิ่งกลับไปไวเลย อยู่ต่อสักหลายชั่วยามหน่อยเถิด เดี๋ยวจะมีเรื่องที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น!”
เขาพูดจบก็ก้าวฝีเท้าเดินออกไปเงียบๆ ด้วยฝีเท้าที่หนักแน่นมั่นคงโดยไม่แม้จะหันหน้ามามอง
ซูอี้ยืนอยู่ที่ระเบียงทางเดิน หวนคิดถึงแววตาอันลุ่มลึกของเขาอันนั้น จากนั้นสีหน้าแววตาของตนก็ค่อยๆ ตกตะกอนสงบนิ่งลงมา
เขายืนนิ่งอยู่ตรงทางโค้งบนระเบียงทางเดินอยู่นานไม่ขยับไปไหน ในขณะที่เขากำลังเหม่อลอยอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายของหญิงสาวดังขึ้น แถมเสียงนั้นกำลังมุ่งหน้าใกล้เข้ามา
ตอนนี้ซูอี้เองถึงค่อยเพิ่งรู้สึกตัว จึงหมุนตัวจะเดินกลับไป แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเดินไปได้แค่สองก้าว ก็ถูกหญิงสาวกลุ่มนั้นที่วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน โดยที่คิดไม่ถึงว่าด้านหน้าจะมีคนยืนอยู่ สองคนที่วิ่งอยู่ด้านหน้าห้ามฝีเท้าเอาไว้ไม่ทัน จึงทำให้ชนเข้ากับด้านหลังตัวเขาอย่างจัง
แรงกระแทกรุนแรงจนทำให้ซูอี้เซจนเกือบจะล้มลง จอกเหล้าในมือร่วงหล่น เหล้าสาดกระเซ็นจนเสื้อผ้าเปียกชุ่ม
“นี่!” หญิงสาวสองคนนั้นตกใจผวา เมื่อเห็นหน้าอีกฝ่ายที่ตนชนเข้าว่าเป็นคนที่กำลังมีชื่อเสียงโด่งดังในตอนนี้ หน้าก็แดงขึ้นมาฉับพลัน รีบเอ่ยปากพูดขอโทษขอโพยว่า “ข้าขอโทษเจ้าค่ะ ข้า…พวกข้าไม่ได้ตั้งใจ…”
เมื่อพวกนางพูดจบก็มีคนอีกกลุ่มหนึ่งเดินพูดคุยยิ้มแย้มเลี้ยวออกมา
โดยมีชิ่งเฟยเป็นคนเดินนำพวกฮูหยินทั้งหลายอยู่
“ถวายบังคมขอรับพระชายาชิ่งเฟย!” ซูอี้ยกสองมือขึ้นคำนับ
“ไม่ต้องพิธีรีตองหรอก!” ชิ่งเฟยกล่าว ปรายตามองหญิงสาวพวกนั้นกับเขาอย่างมีพิรุธ
“ท่านผู้นี้คือคุณชายรองจวนอ๋องฉางซุ่นเจ้าค่ะ!” หนึ่งในหญิงสาวสองคนนั้นหน้าแดงก่ำขึ้น แล้วหันไปคล้องแขนหญิงวัยกลางคนเอาไว้แล้วพูดเสียงเบาว่า “เป็นเพราะลูกไม่ทันระวังเลยไปชนเขาเข้าเจ้าค่ะ!”
“เสื้อผ้าของคุณชายรองสกปรกหมดแล้ว!” ชิ่งเฟยกลอกตาเล็กน้อยจากนั้นยิ้มขึ้นมา
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอกขอรับ แค่เหล้านิดหน่อยเอง เดี๋ยวก็แห้งแล้วขอรับ!” ซูอี้รีบก้มลงมอง ถึงได้เห็นว่าเสื้อผ้าของเขาเปียกไปครึ่งหนึ่ง
“เดี๋ยวงานพิธีก็จะเริ่มแล้ว คุณชายรองจะไปทั้งแบบนี้คงไม่เหมาะสมเท่าไรกระมัง!” ชิ่งเฟยกล่าว สอดสายตามองไปรอบด้าน แล้วเห็นข้ารับใช้ของวังบูรพาเดินมาพอดี จึงเรียกนางให้หยุดลงแล้วพูดว่า “เสื้อผ้าของคุณชายรองจวนอ๋องฉางซุ่นสกปรกน่ะ เจ้าพาเขาไปทำความสะอาดหน่อยเถอะ!”
พูดยังไม่ทันจบ ข้ารับใช้นางนั้นก็เดินเข้ามาหา ย่อเข่าทำความเคารพแล้วพูดว่า “เชิญทางนี้เจ้าค่ะคุณชายรอง!”
“ไม่ต้องหรอก ข้า…” ซูอี้อยากจะปฏิเสธแต่คิดถึงคำพูดที่เหยียนหลิงจวินพูดเตือนขึ้นมาได้ จึงค่อยๆ ขยับปากขึ้น “ก็ได้!”
“เสื้อผ้าตัวนี้ข้าเอามาจากพ่อบ้าน คุณชายรองใช้สวมชั่วคราวก่อนแล้วกันนะเจ้าคะ เดี๋ยวเสื้อผ้าของท่านข้าจะเอาไปทำความสะอาดให้ก่อน อีกสักพักข้าน้อยจะนำส่งคืนมาให้ท่านนะเจ้าคะ!” สาวรับใช้คนนั้นพาเขามาที่ห้องพักสำหรับแขกในเรือนเล็ก ไม่นานนักก็เดินกลับเข้ามาพร้อมกับชุดธรรมดาสีน้ำเงิน เมื่อพูดคุยตกลงกันเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เดินออกไปรออยู่ด้านนอกอย่างรู้งาน
ซูอี้เห็นว่าเงาของนางยังยืนรออยู่ด้านนอก เขาจึงกระตุกยิ้มมุมปากขึ้นอย่างอย่างนึกสนุก จากนั้นก็ค่อยๆ ถอดเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างไม่สนใจ
เมื่อเขาถอดเสื้อตัวนอกออก กำลังจะหยิบเสื้อผ้าที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาสวม จู่ๆ ก็มีคนผลักประตูด้านหลังเข้ามา อีกฝ่ายไม่เพียงแต่จะไม่รอให้เขาได้ตั้งสติ ร่างเล็กอ่อนแอของหญิงสาวคนนั้นก็ถลาเข้ามา คุกเข่ากอดขาของเขาเอาไว้แน่น แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเศร้าโศกเสียใจว่า “คุณชายรอง ได้โปรดช่วยข้าด้วย!”
————————————————-