เมื่อคนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปกันจนหมดแล้ว เจิงจีก็ทำหน้าสงสัยมีพิรุธแล้วพูดขึ้นว่า “นายท่าน นี่มัน…”
ฉู่อี้อันไม่พูด เขาเพียงแต่ปรายมองไปยังฉู่เยว่ซินที่คุกเข่าอยู่บนพื้นอย่างโหดเหี้ยม
ฉู่เยว่ซินตกใจ พูดออกมาเสียงทุ้มต่ำว่า “ท่านพ่อ…”
พูดไปได้เพียงครึ่งเดียว เสียงของนางก็เบาลงจนไม่ได้ยิน
ร่างกายของฉู่อี้อันโดนแสงแดดสาดส่อง ถึงแม้จะให้ความรู้สึกว่าเป็นคนที่ยิ่งใหญ่สดใส แต่ ณ เวลานี้แววตาของเขากลับเต็มไปด้วยความเย็นชา
ฉู่เยว่ซินรู้จักนิสัยเขาดี ตอนนี้นางเลยหวาดกลัวจนตัวสั่นเทิ้มไม่หยุด
ฉู่สวินหยางยืนมองอยู่ด้านข้างไม่ยุ่งกับเรื่องนี้
ผ่านไปนานพอสมควร ฉู่อี้อันก็ถอนหายใจออกมาแล้วพูดอย่างเย็นชาขึ้นว่า “ข้าเตือนพวกเจ้าแล้วไง ว่าจะทำอะไรก็ทำไป แต่…ห้ามทำให้วังบูรพาเสื่อมเสียชื่อเสียงเด็ดขาด ในเมื่อพวกเจ้าไม่ฟังคำสั่งของข้า ก็จงไปใช้ชีวิตอยู่ในห้องพักสักสองสามวันจนกว่าจะสำนึกเสียเถิด!”
ความรู้สึกหนาวเย็นนั้นตีขึ้นมาอีกแล้ว ทำให้นางรู้สึกสิ้นหวังมากเหลือเกิน
ทว่าร่างกายของนางที่คุกเข่าอยู่นั้นไม่ได้ล้มลง นางพยายามพูดออกมาอย่างยากลำบาก “เจ้าค่ะ ท่าน…พ่อ!”
ฉู่อี้อันหันไปมองนางอีกครั้ง แล้วก็เดินไปยังหน้าประตูใหญ่พร้อมกับเจิงจี เพื่อทำความเคารพส่งฮ่องเต้กลับวัง
ฉู่เยว่ซินยังคงคุกเข่าอยู่ตรงนั้น นางได้ยินเสียงฝีเท้าด้านนอกเงียบลงจนไม่ได้ยินแล้ว ร่างกายของนางก็อ่อนจนนั่งแบลงกับพื้น
ฉู่สวินหยางยืนอยู่ข้างๆ นางพูดขึ้นอย่างไม่ยี่หระว่า “ท่านพี่น่าจะขอบคุณความเมตตาที่ท่านพ่อมีให้นะเจ้าคะ หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นขึ้นมา อย่างน้อยขั้นต่ำท่านน่าจะถูกขับไล่ออกจากเมืองหลวงไปแล้ว”
จุดอ่อนของฉู่อี้อันก็คือใจอ่อน โดยเฉพาะกับบุตรสาวของตนนั้น เขาใจอ่อนมากเกินไปด้วยซ้ำ
เขาไม่เพียงจะเอ็นดูและตามใจฉู่สวินหยางมากแล้ว บุตรชายและบุตรสาวคนอื่นเขาเองก็เข้าใจและให้อภัยเสมอ
แต่ว่าครั้งนี้…
ฉู่เยว่ซินกลับร่วมมือกับคนนอกยื่นมือทำลายครอบครัวของตน มันถึงขีดจำกัดของเขาแล้วจริงๆ
ฉู่เยว่ซินนั่งนิ่งอย่างกับขอนไม้ น้ำตาบนใบหน้าแห้งเหือด นางหยุดร้องไห้ไปนานแล้ว นางกัดริมฝีปากตัวเองลังเลอยู่ครู่ใหญ่ จากนั้นก็เงยหน้ามองฉู่สวินหยางแล้วพูดว่า “เดิมทีเรื่องนี้ชิ่งเฟยต้องการจะหาเรื่องข้า นางบังคับข้า ข้าเองก็ปฏิเสธไม่ได้ สวินหยาง ข้า…”
ริมฝีปากของฉู่สวินหยางแฝงไปด้วยรอยยิ้มบางๆ มองอีกฝ่ายอย่างนิ่งสงบ
เมื่อสบตาเข้ากับแววของนาง จู่ๆ ฉู่เยว่ซินก็พลันสะอึกขึ้นมา
“ในเมื่อท่านไม่ได้ผิด เมื่อครู่ทำไมไม่อธิบายให้ท่านพ่อฟังเล่า?” ฉู่สวินหยางพูดประชดขึ้น นางพูดต่อโดยไม่รออีกฝ่ายตอบขึ้นว่า “ท่านรู้อยู่แก่ใจแท้ๆ ว่าพูดคำพูดหลอกลวงพวกนั้นไป ยังไงท่านพ่อก็ไม่มีทางเชื่อ ทำไม ท่านคิดว่าท่านพ่อหลอกง่ายแบบนั้นเชียวรึ?”
ฉู่เยว่ซินกัดปากแน่น ก้มหน้าลง ไม่ต่อล้อต่อเถียงกับอีกฝ่ายให้มากความ
ฉู่สวินหยางเห็นสภาพแบบนี้ของนางจนชินชาเสียแล้ว นางจึงพูดอย่างเย็นชาขึ้น “ข้าบอกท่านตั้งแต่แรกแล้วว่า พี่รองน่ะเป็นคนฉลาดยิ่งนัก ท่านวางแผนทำให้หลัวอวี่ก่วนพลิกสถานการณ์กลับมาไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงชิ่งเฟยเลย ขนาดฮองเฮาเองก็อาจจะไม่ใช่คู่แข่งของท่านด้วยซ้ำไป แต่น่าเสียดาย ท่านไม่ควรปิดบังท่านพ่อเลยจริง ท่านตัดสินใจต่อสู้แม้จะตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากแบบนี้ก็เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวสินะ!”
“ข้าไม่ได้…” ฉู่เยว่ซินร้อนใจรีบค้านขึ้น
แต่เมื่อนางสบตาเข้ากับฉู่สวินหยางก็สะอึกจนพูดอะไรไม่ออก
ฉู่สวินหยางเองก็หาได้สนใจฉู่เยว่ซินไม่ นางพูดขึ้นต่อ “ท่านคงไม่ได้ไม่รู้หรอกใช่ไหมว่าท่านพ่อโกรธท่านเพราะอะไรน่ะ? ท่านเป็นบุตรสาวของเขา มีเรื่องอะไรบ้างที่ท่านปรึกษาเขาไม่ได้? ถึงท่านจะมีใจให้ซูอี้ แต่ท่านก็หาได้จำเป็นต้องใช้วิธีสกปรกแบบนี้ไม่ เมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นไปแล้วก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีก หรือว่าท่านลืมบทเรียนของพี่ใหญ่ในอดีตไปแล้วงั้นหรือเจ้าคะ?”
ชิ่งเฟยวางแผนใช้ให้คนล่อซูอี้ไปเปลี่ยนชุดที่เรือนอื่น จากนั้นจะทำให้เรื่องกลายเป็นแบบนี้ ทว่าชิ่งเฟยกลับคิดไม่ถึงว่าจะถูกพันธมิตรของตนแทงเข้าลับหลัง
ส่วนฉู่เยว่ซินที่เป็นคนหลอกให้หลัวอวี่ก่วนไปนั้นก็แปรพักตร์กลางคัน นางวางแผนส่งหลัวอวี่ก่วนกับฉู่อี้ชิงมีจุดจบไปด้วยกัน
ส่วนซูอี้ทางนั้น…
นางคิดเตรียมตัวที่จะฉวยโอกาสเข้าโจมตีเพื่อให้ได้ซึ่งชัยชนะ ทำให้ตนเองสมหวัง
แต่ทว่านางไร้วิสัยทัศน์ คิดแต่หวังผลในระยะสั้น เอาแต่คิดร้ายกับผู้อื่นโดยที่ลืมไปว่าตนเองก็ถูกผู้อื่นหวังร้ายอยู่เช่นกัน เลยทำให้แผนการของนางเละเทะยิ่งกว่าอะไรดี เพราะฉู่สวินหยางและฉู่อี้อันรับรู้เรื่องนี้ตั้งแต่เริ่มแรกอยู่แล้ว
เพราะเหตุนั้น…พวกเขาเลยวางแผนซ้อนแผน แต่ในช่วงเวลาสุดท้ายฉู่สวินหยางเองก็รั้งนางเอาไว้ ทั้งยังส่งตัวหลัวเสียงไปทำให้เกิดเรื่องบัดสีขึ้น
แผนการของฉู่เยว่ซินเละไม่เป็นท่า แถมยังตกอยู่ในกำมือของฉู่สวินหยางอีก นางก็เลยต้องช่วยแสดงละครจับชู้ได้คาหนังคาเขาแบบนี้ไปอย่างช่วยไม่ได้
ที่จริงแล้วแผนที่นางวางไว้มันดีเลิศยิ่งนัก ไม่เพียงแต่จะเลือกหมากอย่างฉู่อี้ชิงที่หลัวอวี่ก่วนสลัดทิ้งไม่ได้ ซ้ำยังใช้นิสัยอารมณ์ร้อนของพระชายาสี่ได้เป็นอย่างดีอีกต่างหาก ทำให้หลัวอวี่ก่วนไร้ซึ่งลู่ทางที่จะหนีพ้นจนเสียชีวิตไป
แต่ก็เพราะเห็นนางวางแผนได้อย่างแยบยล ฉู่สวินหยางเลยยืนดูอยู่เฉยๆ ไม่ได้ยื่นมือเข้าไปจัดการหลัวอวี่ก่วนด้วยตนเอง
เพียงแต่ว่าฉู่เยว่ซินไม่ได้คิดถึงการปรากฏตัวขึ้นของซูอี้ สุดท้ายกลายเป็นว่าคนอื่นเลยได้หน้าไปแทน
เดิมทีนางเกลียดชังฉู่สวินหยางมาก เมื่อได้ยินนางพูดถึงเรื่องของฉู่เยว่เหยาขึ้นมา ก็ทำสงครามเย็นขึ้นมาอย่างตกใจ หวาดกลัวจนร่างกายสั่นไม่หยุด
“ตอนแรกเรื่องของพี่ใหญ่ยังพอปิดบังที่จะเล่นแผนซ้อนแผนได้ แต่นั่นเพราะนางกับเจิ้งเหวินคังเป็นพวกเดียวกัน ข้ารู้ว่าท่านพี่เกลียดข้ามาก แต่อย่างไรท่านก็ควรขอบคุณข้านะเจ้าคะ หากข้าไม่ได้เข้าไปห้ามท่านเอาไว้ก่อน ไม่อย่างนั้นท่านพ่อคงส่งท่านไปอยู่ที่อารามเมตตาเป็นเพื่อนท่านแม่แล้ว!” ฉู่สวินหยางค่อยๆ กล่าวด้วยน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อย
ฉู่เยว่ซินเม้มปากแน่นไม่ยอมพูดอะไรออกมา
นางเข้าใจความหมายของฉู่สวินหยางดี สิ่งที่นางต้องการจะบอกก็คือซูอี้ไม่ได้คิดอะไรกับนางเลยแม้แต่น้อย
แต่เรื่องแต่งงานเรื่องนี้ หากมันดำเนินไปถึงขั้นที่มิอาจถอยกลับได้แล้ว ซูอี้ยังจะกล้าปฏิเสธวังบูรพาต่อหน้าต่อตาแบบนั้นได้อีกงั้นหรือ?
ฉู่สวินหยางมองสีหน้าของนางก็รู้แล้วว่านางไม่เห็นด้วยกับคำพูดของตน
ระหว่างนางกับฉู่เยว่ซินไม่มีคำพูดดีๆ หรอก เลยตัดสินใจบอกไปอย่างตรงไปตรงมาดีกว่าจะได้ไม่เสียเวลา “แล้วแต่ท่านพี่แล้วกันว่าจะคิดเยี่ยงไร แต่อย่างไรท่านจำเอาไว้นะเจ้าคะ ข้าไม่ใช่ท่านพ่อ ข้าไม่มีความอดทนกับ
ท่านมากขนาดนั้นหรอกนะ วันนี้หลัวอวี่ก่วนกับชิ่งเฟยนางสองคนรับผลกรรมที่ตัวเองทำไว้ ไม่มีอะไรยุติธรรมไปกว่านี้แล้ว ส่วนที่ข้าจะจัดการท่านอย่างยั้งมือ นั่นก็เป็นเพราะข้าเห็นแก่หน้าท่านพ่อ หากท่านไม่เชื่อก็ลองหาเรื่องอีกครั้งก็ย่อมได้ แต่หากมีครั้งต่อไป ท่านก็จะกลายเป็นชิ่งเฟยหรือไม่ก็หลัวอวี่ก่วนคนที่สอง!”
ความโกรธโมโหของฉู่เยว่ซินพลุ่งพล่านขึ้นมา นางเงยหน้าถลึงมองฉู่สวินหยางอย่างโหดเหี้ยม
ฉู่สวินหยางเองก็ไม้น้อยหน้า นางสบสายตามองอีกฝ่ายแล้วยิ้มให้ “อย่าคิดว่าข้าพูดขู่เฉยๆ นะเจ้าคะ ครั้งนี้การที่ท่านรวมหัวกับชิ่งเฟยก็เกือบทำให้ท่านพ่อตกที่นั่งลำบากแล้ว ที่เขาไม่ได้ปล่อยให้ฮ่องเต้เป็นคนจัดการนั้น นั่นก็เป็นเพราะท่านเป็นบุตรสาวของเขา แต่หากมีครั้งต่อไปล่ะก็…ท่านจงจำไว้ให้ดีว่าควรพิจารณาอย่างถี่ถ้วนก่อนถึงค่อยลงมือทำ!”
ฉู่สวินหยางคร้านที่จะยุ่งกับนางต่อ พูดจบก็ตะโกนเสียงดัง “ชิงเถิง!”
“เจ้าค่ะท่านหญิง!” ชิงเถิงได้ยินเข้าก็ผลักประตูห้องด้านข้างแล้วโผล่ศีรษะออกมา
“ไปกันได้แล้ว!” ฉู่สวินหยางพูดแล้วหมุนตัวเดินไปยังประตู
ชิงเถิงรีบวิ่งตามไป
สุ่ยอวี้เองก็ค่อยๆ เดินออกมาจากห้องนั้นอย่างกล้าๆ กลัวๆ นางเดินเข้ามาพยุงฉู่เยว่ซินให้ลุกขึ้น มองใบหน้าขาวซีดของอีกฝ่ายแล้วพูดอย่างเป็นห่วงว่า “ท่านหญิงไม่เป็นอะไรนะเจ้าคะ?”
“อืม!” ฉู่เยว่ซินเม้มปาก ยังคงทำหน้าเชื่อฟังอ่อนโยนไร้ซึ่งอันตรายแบบนั้นออกมา
สุ่ยอวี้ได้ยินคำพูดของฉู่สวินหยางเมื่อครู่ทั้งหมด นางมองหน้าฉู่เยว่ซินแล้วก็นึกถึงแผนการที่ฉู่สวินหยางเล่าว่า
นางเป็นคนคิดขึ้นเองเพื่อจัดการหลัวอวี่ก่วนทิ้งไปแล้ว จู่ๆ สุ่ยอวี้ก็รู้สึกหวาดกลัว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร มองหน้านางแล้วรู้สึกเหมือนว่าไม่ปลอดภัยเลยเหลือเกิน
———————————-