สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 – บทที่ 58.3 ตำหนักทองบังคับแต่งงาน เสี่ยงอันตรายเข้าเมืองฉู่ (3)

บทที่ 58.3 ตำหนักทองบังคับแต่งงาน เสี่ยงอันตรายเข้าเมืองฉู่ (3)

หลังจากกลับมาจากชายแดนทางเหนือครั้งที่แล้ว ฮ่องเต้ก็พระราชทานบ้านหลังหนึ่งให้ซูอี้ ด้วยคำสั่งของฮ่องเต้ เหล่าองครักษ์ก็รีบช่วยส่งซูอี้ที่ยังไม่ได้สติกลับไป

ในขณะเดียวกันฮ่องเต้ยังส่งหมอหลวงให้ติดตามไปด้วย เพื่อกลบเกลื่อนเรื่องที่เกิดขึ้น

และแล้วทุกอย่างก็จบลง หลังจากใช้เวลาไปเกือบทั้งเช้า

เหยียนหลิงจวินรีบไปตรวจอาการของซูอี้ และทิ้งใบสั่งยาลดไข้หนึ่งแผ่นกับยาจินชวงที่ได้ผลดีเยี่ยมไว้ให้อีกไม่น้อย

โม่เสว่คอยดูแลอยู่ข้างกายซูอี้ เขาเพิ่งจะเห็นซื่อหรงยืนอยู่ในลานบ้านตอนที่ออกมาจากห้อง

ตอนนี้ผู้หญิงคนนั้นยังคงยืนเหม่อลอยอยู่ตรงข้ามแปลงดอกไม้เช่นเดิม แต่เพราะว่าตกอยู่ในภวังค์มากเกินไปจึงไม่ทันเห็นว่าเหยียนหลิงจวินออกมา จนกระทั่งอีกฝ่ายเดินอ้อมผ่านทางเดินแคบมาถึงตรงหน้านาง

สีหน้าของซื่อหรงดูระวังตัวอย่างเห็นได้ชัด และถึงกับถอยหลังไปครึ่งก้าวด้วย

เหยียนหลิงจวินเห็นท่าทางของนางก็ส่ายหน้าและยิ้มอย่างเข้าใจดี “วางใจเถอะ ข้าจะไม่บังคับให้เจ้าตอบอะไรทั้งนั้น หากอยากจะให้เจ้าเอ่ยปาก ข้าก็มีวิธีอีกมากมายที่ไม่จำเป็นต้องเสียเลือดเสียเนื้อ เพียงแต่เวลานี้…”

เขาพูดไปก็ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย พลางหันกลับไปมองห้องด้านหลังอย่างมีเลศนัย “ข้าแค่เห็นแก่ชิงสุ่ยและจะไม่ทำอะไรเจ้าทั้งนั้น”

ซื่อหรงยังคงมองอย่างระวังตัว นางหันไปมองตามสายตาของเขา สีหน้าคล้ายจะหม่นหมอง พลางถามอย่างลังเลว่า “เขา…เป็นอย่างไรบ้าง?”

“ตอนนี้ยังไม่ตาย!” เหยียนหลิงจวินเอ่ย แล้วชะงักไปครู่หนึ่งและเอ่ยเสริมอีก “แต่ต่อไปก็ไม่แน่”

ซูอี้ไข้ขึ้นหนัก แต่กลับยังไม่ถึงขั้นตายด้วยเรื่องนี้ ทว่าสำหรับการทำตัวขวางหูขวางตาฮ่องเต้ก็ไม่แน่

ซื่อหรงเข้าใจความนัยที่แฝงมาในคำพูดของเขาอย่างชัดเจน และค่อยๆ ก้มหน้าลง

เหยียนหลิงจวินก็ไม่พูดอะไรกับนางมากเช่นกัน เขาแค่เอ่ย “ข้าจะไม่ละลาบละล้วงถามเรื่องส่วนตัวระหว่างเจ้ากับชิงสุ่ย แต่ว่า…หากสะดวกล่ะก็ ฝากขอบคุณเจ้านายของเจ้าแทนข้าด้วย เขาวางแผนทุกอย่างเพื่อท่านหญิงสวินหยาง ข้าขอรับน้ำใจนี้ไว้แทนก่อน เพียงแต่ฝากเตือนเขาด้วยสักหน่อย…ทำมากเกินไปก็เท่ากับทำได้ไม่ดีพอเช่นกัน[1] เพราะฉะนั้นต่อไปจะทำอะไรก็ต้องทำตามกำลังของตนเอง”

เขาเอ่ยจบก็เลิกชายเสื้อคลุมขึ้นและค่อยๆ เดินจากไป โดยไม่รอให้ซื่อหรงตกปากรับคำ

หากฉู่สวินหยางอยากรู้ตัวคนที่อยู่เบื้องหลังนั้นจริงๆ เขาใช้ยาแค่เพียงครั้งเดียวก็สามารถทำให้ซื่อหรงเอ่ยปากสารภาพได้ แต่ตอนนี้ส่วนหนึ่งก็เพราะซูอี้ และอีกส่วนก็เพราะท่าทีของฉู่สวินหยางเองอีก…

เขาจึงไม่คิดจะไปแตะต้องสิ่งต้องห้ามนี้เช่นกัน

ซื่อหรงมองตามแผ่นหลังของเขาจากไป ทว่ากว่านางจะดึงสายตากลับมาจากที่ไกลได้ก็หลังจากนั้นนานมากทีเดียว นางมองประตูห้องของซูอี้ที่อยู่ไกลมากอย่างครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่แล้วก็ตัดสินใจเดินเข้าไปข้างใน

เวลานี้โม่เสว่เพิ่งจะตั้งยาที่ยกเข้ามาในห้องทิ้งไว้ให้เย็นลง แล้วก็พยุงตัวซูอี้ขึ้นเพื่อจะป้อนยาให้เขา ทว่าพอได้ยินเสียงเปิดประตูจึงหันกลับไปมองและเห็นนางเข้ามา โม่เสว่ลังเลอยู่ชั่วครู่ก็วางถ้วยยาลงอีกและลุกออกมาเพื่อหลีกทางให้นาง เอ่ยว่า “ข้าจะไปห้องครัวเตรียมของกินให้พวกท่านสักหน่อย ใต้เท้าเหยียนหลิงบอกว่ากินยาแล้ว คุณชายก็จะฟื้นขึ้น มาภายในหนึ่งชั่วยาม”

ซื่อหรงเม้มมุมปากโดยไม่พูดไม่จา

โม่เสว่พยักหน้าให้นางเล็กน้อย แล้วก็เดินออกไปก่อน

——————————

หลังจากซูอี้กับซื่อหรงออกไปจากวังแล้ว ฮ่องเต้ก็ยกเลิกคำสั่งห้ามที่ส่งไปยังแต่ละเมืองด้วยเช่นกัน

เหยียนหลิงจวินออกมาจากบ้านของซูอี้แล้วก็ไม่ได้กลับไปจวนเฉินอีก แต่ควบม้าออกไปนอกเมืองอย่างเร็วที่สุดเพื่อไปรวมตัวกับฉู่สวินหยางและรีบไปเมืองฉู่อย่างเร็วที่สุด

รีบเดินทางทั้งวันทั้งคืน ในที่สุดคนทั้งกลุ่มก็ไปถึงนอกเมืองฉู่ในคืนที่สี่

เดิมทีเวลาช่วงเย็นก็ไม่ถือว่าดึกมากนัก แต่ว่าชาวบ้านที่เข้าออกไปมาแถวประตูเมืองกลับมีไม่มากนัก เงาคนรีบเดินแลดูบางตาจนดูเงียบเหงาอยู่บ้าง

“ตอนที่รุ่ยชินอ๋องมาก่อนหน้านี้ก็นำพระราชโองการมาด้วย ดังนั้นตอนนี้ชาวบ้านในเมืองมากกว่าเจ็ดส่วนจึงอพยพไปยังเมืองและอำเภออื่นที่อยู่ใกล้เคียงเพื่อหลบภัยสงครามแล้ว” เหยียนหลิงจวินเอ่ย พลางหยิบแส้ม้าในมือขึ้นมาดูตามใจชอบ

ทุกคนต่างลงจากม้านอกประตูเมือง แล้วค่อยๆ เดินตามชาวบ้านที่เข้าเมืองไปทางประตูเมือง เพื่อรอรับการซักถามและตรวจสอบ

“พวกเรารีบร้อนมา ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกท่านพี่ทางนี้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว” ฉู่สวินหยางเอ่ย สายตาลึกซึ้งและยาวไกลมองทะลุผ่านภาพยามค่ำคืนไปยังประตูเมืองข้างหน้า

“หากเกิดเรื่องอะไรใหญ่โตขึ้นจริง ก็น่าจะได้ยินข่าวตั้งแต่ระหว่างทางแล้ว ดังนั้นเวลานี้ไม่ได้ข่าวก็ถือว่าเป็นข่าวดี” เหยียนหลิงจวินเอ่ย พลางยกมือตบบ่านาง

แม้จะรู้ดีว่าเขาตั้งใจเอ่ยปลอบใจ แต่ฉู่สวินหยางก็ค่อยๆ รู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง จึงหันกลับไปส่งยิ้มให้เขา “อื้ม!”

“เดี๋ยวเจอคังจวิ้นอ๋องแล้ว เจ้าก็ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ไปนอนหลับดีๆ ก่อนสักตื่น รีบเดินทางติดต่อกันมาหลายคืน ไม่รู้สึกเหนื่อยบ้างหรือ?” เหยียนหลิงจวินยิ้มมุมปาก เขาเอ่ยเสียงต่ำอย่างเชื่องช้าแต่กลับปนตำหนิอยู่บ้าง แล้วก็ยกมือขึ้นมาลูบรอยคล้ำใต้ตาของนางที่เห็นได้อย่างชัดเจนเบาๆ

“เจ้าก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ?” ฉู่สวินหยางเงยหน้าขึ้นและยิ้มกว้าง

ขณะที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น กลับเห็นชายร่างกำยำที่สวมชุดทหารเดินออกมาจากประตูเมืองและตรงเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว

“นายท่าน!” อิ้งจื่อสังเกตเห็นก่อนเป็นคนแรกและเอ่ยเตือนเสียงเบา

ตอนที่ทั้งสองคนมองไปตามเสียง คนนั้นก็มาถึงตรงหน้าแล้ว สายตาของเขาคล้ายจะจ้องมองฉู่สวินหยางอย่างประหลาดใจ พลางลองถามว่า “ท่านคือท่านหญิงสวินหยางใช่หรือไม่?”

“หื้ม?” นัยน์ตาของฉู่สวินหยางทอประกายวาบ แต่สีหน้ากลับไม่แสดงความรู้สึกอะไรออกมาเป็นพิเศษ นางมองเขาหัวจรดเท้าว่า “ข้าไม่เคยเจอเจ้านี่นา!”

“เป็นท่านหญิงจริงๆ ด้วย!” คนนั้นได้ยินแล้วก็ดีใจจนรีบคุกเข่าลงไปคารวะ

ฉู่สวินหยางหันกลับไปมองเหยียนหลิงจวิน นางแค่รู้สึกแปลกใจ “ลุกขึ้นเถอะ เจ้าจำข้าได้อย่างไร?”

นางจำคนที่อยู่ข้างกายฉู่ฉีเฟิงได้ทุกคน แต่กลับไม่คุ้นหน้าคนนี้สักนิด ดังนั้นแสดงว่าต้องไม่เคยเจอกัน

“ท่านหญิงอาจจะจำข้าไม่ได้แล้ว ฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้วท่านหญิงติดตามองค์รัชทายาทมาว่างานราชการที่นี่ แล้วก็เดินผ่านประตูเมืองด้านนี้ของเมืองฉู่ ตอนนั้นก็เพราะข้าเข้าเวร จึงโชคดีได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของท่านหญิงด้วยตาตนเองพอดี” คนนั้นเอ่ยอย่างดีใจ สีหน้ารู้สึกเป็นเกียรติตามไปด้วย “ข้าชื่อหูเฉิงขอรับ”

“เช่นนั้นหรือ?” ฉู่สวินหยางยิ้มเล็กน้อย แต่กลับไม่ได้มองเขานานนัก “สายตาเจ้านี่เฉียบคมมาก!”

“แหะๆ ข้ารับราชการป้องกันเมืองมานาน ไม่มีความสามารถอื่น นอกจากจำหน้าคนและแยกแยะสิ่งต่างๆ ที่พอจำได้แล้วก็จะมั่นใจ อย่าว่าแต่ชนชั้นสูงอย่างท่านหญิงเลย แม้แต่แมลงวันสักตัวบินผ่านตรงนี้ไปสองรอบ ข้าก็สามารถจำได้เช่นกัน”

คนนี้พูดจาไหลลื่นไปเรื่อย ฝีมือสอดแทรกมุขตลกถือได้ว่าเป็นมือวางอันดับหนึ่ง เฉี่ยนลวี่ที่เป็นคนเข้ากับคนง่ายกลั้นไม่ไหวจนหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น

ฉู่สวินหยางเม้มปากและยิ้มตามไปด้วย พลางพยักเพยิดไปทางในเมืองว่า “ข้ามาไกลจากเมืองหลวง เพื่อมาเยี่ยมท่านพี่ เวลานี้เขาอยู่ในเมืองหรือไม่?”

“ข้ากำลังจะบอกท่านเลยว่า ท่านหญิงมาได้ไม่ประจวบเหมาะเอาเสียเลยจริงๆ” ทหารที่ชื่อหูเฉิงเอ่ย พลางตีหน้าขรึมปนจริงจัง “ขบวนคุ้มกันสินค้าที่ส่งเสบียงและหญ้ามาจากเมืองชางใกล้จะมาถึงแล้ว วันนี้คังจวิ้นอ๋องจึงพาคนกลุ่มหนึ่งออกนอกเมืองไปรับด้วยตนเองตั้งแต่เช้ามืดแล้ว ตอนนี้ยังไม่กลับมาเลยขอรับ”

—————————————————

[1] ทำมากเกินไปก็เท่ากับทำได้ไม่ดีพอ หมายถึง ทำอะไรต้องมีขอบเขต

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

Status: Ongoing

วังหลวงโรยแสงกับสุราพิษหนึ่งจอก พี่ชายฝาแฝดสละชีพ สีเลือดชโลมลาน ตระกูลรัชทายาทถูกประหารยกครัว

โลหิตย้อมคม เทียนแดงร่ำไห้ เขาว่า จะไม่มีใครบนโลกนี้ล่วงรู้ฐานะแท้จริงของเจ้า เจ้าก็รั้งอยู่ข้างกายข้าอย่างสบายใจเถอะ

นางเป็นกากเดนในราชวงศ์ก่อน ฉากนองเลือดครั้งนี้ ก็แค่อุบายสวยหรูที่อ้างชื่อของความรัก!

นางฟื้นตื่นจากฝันร้าย ลืมตาอีกครั้ง…

นางยังเป็นองค์หญิงสวินหยางผู้ไร้เทียมทานคนเก่า

บิดาผู้ชุบเลี้ยงยังมี ชายผู้เป็นพี่ยังอยู่เคียงข้าง ทุกสิ่งทุกอย่าง ยังไม่สายเกินแก้

นางรวบรวมไพร่พล สวมชุดนักรบกรุยทางแห่งอำนาจ นางจะพลิกบัลลังก์ด้วยคมดาบเปื้อนเลือดในมือ

ของของนาง นางจะปกป้อง

ของที่อยากได้ นางก็จะแย่งมา!

กบฏแห่งใต้หล้า นางมารล่มเมือง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน