16 – คนดี
คนงานทั้งห้ากำลังคุยกันทั้งเรื่องแต่งงาน, คุยเรื่องป้าเรื่องลุงของตัวเอง, คุยเรื่องลูกๆ
แต่ไม่ได้คุยเรื่องงานที่ตงเฉิง พวกเขาคุยกันอย่างสนุกสนานพร้อมกับวาดฝันถึงอนาคตของตัวเอง
เพื่อนร่วมงานกลุ่มนี้คุยกันด้วยสำเนียงเทียนหนานเหอเป่ยแต่ไม่น่าจะใช่คนในเมืองดูเหมือนว่าพวกเขาจะมาจากชนบท
ตงเฉิงอยู่ใกล้กับเซี่ยงไฮ้และอยู่ในภูมิภาคสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซี แม้ว่าจะเทียบไม่ได้กับเซี่ยงไฮ้แต่ความต้องการของช่างแรงงานก็มีเป็นจำนวนมาก
ตราบใดที่คุณเต็มใจที่จะอดทนต่อความยากลำบากงานของที่นี่ก็จะมีอย่างมากมายเพียงพอที่จะทำให้พวกเขาเลี้ยงดูครอบครัวเล็กๆได้
โจวเจ๋อพูดกับเด็กหนุ่มคนแรกที่เข้ามาในร้านของเขา
“ คุณอายุเท่าไหร่แล้วคุณจะไม่กลับบ้านในช่วงปีใหม่จริงๆเหรอ”
“ ไม่มีโอกาสได้กลับเลยครับแต่คิดว่าครอบครัวคงสบายดีแค่นี้ผมก็พอใจแล้ว”
“ การกลับไปกลับมาเป็นเรื่องยุ่งยาก ยังมีงานให้ทำตั้งแต่ต้นๆเดือนด้วย อีกทั้งเจ้านายยังให้อั่งเปาพวกเราสามารถนำเงินพวกนี้ส่งกลับบ้านได้” มีคนกล่าวเสริม
“ ฮ่าฮ่าดีจังวันนี้มีนิยายให้อ่านมีบุหรี่ให้สูบปีนี้คงเป็นปีที่ดีของพวกเราจริงๆ”
“ เถ้าแก่คุณจะปิดร้านเมื่อไหร่” เด็กหนุ่มอีกคนถาม
“ เปิดเรื่อยๆไม่ปิด” โจวเจ๋อตอบ
“ เถ้าแก่คุณไม่กลับบ้านเหรอ”
“ สาวๆที่บ้านทำให้ฉันหงุดหงิดนิดหน่อยฉันเลยทิ้งพวกเธอไว้ที่นั่นและออกมาอยู่ที่นี่คนเดียว”
โจวเจ๋อรู้สึกหยิ่งผยองเมื่อกล่าวประโยคนี้!
คนงานทั้งห้าต่างยกนิ้วให้โจวเจ๋อด้วยความยกย่อง
แน่นอนว่านี่เป็นความเข้าใจกันของพวกผู้ชายเท่านั้นพวกเขาจึงไม่ได้พยายามซักไซ้ไล่เลียงมากไปกว่านี้ จากสำเนียงของโจวเจ๋อทุกคนเราว่าเขาน่าจะเป็นคนท้องถิ่น
นอกจากนี้คนท้องถิ่นของที่นี่มักจะไม่กลับบ้านในวันปีใหม่ ซึ่งแตกต่างจากพวกเขาที่ไม่ได้กลับบ้านเพราะต้องต้องทำงานอยู่ตลอดเวลา
ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาแต่ละคนเป็นกระดูกสันหลังของครอบครัว พวกเขาออกมาทำงานหาเงิน คนแก่และเด็กๆในครอบครัวล้วนอยู่ที่บ้านรอพวกเขาส่งเงินไปเลี้ยงดู
ชีวิตคืองานหนักและงานหนักคือชีวิต มันไม่ง่ายเลยที่จะมีชีวิตรอดอยู่ในเมืองใหญ่?
ในขณะที่โจวเจ๋อกำลังสูบบุหรี่อีกมวนก็มีเสียงตะโกนมาจากอีกฟากของถนน
“ ซูเล่อ!”
โจวเจ๋อเงยหน้าขึ้นและพบกับปอร์เช่คาเยนน์ซึ่งเป็นรถที่คุ้นเคยมันจอดอยู่บนถนนฝั่งตรงข้าม รถของแม่ยายเขานั่นเอง
เสียงตะโกนดังออกมาจากปากของน้องภรรยาตัวน้อยที่หวาดกลัวเขาเป็นอย่างมากตอนเข้าห้องน้ำ แต่ตอนนี้เธอกลับมาเป็นปกติแล้วเพราะเธอรู้ว่าพี่เขยของเธอไม่ได้เป็น ‘ผี’ เธอรู้สึกว่าตัวเองไร้สาระไปหน่อย
แน่นอนว่าเธอย่อมไม่ได้แสดงความเป็นมิตรต่อโจวเจ๋อเหมือนเดิม!
“ ซูเล่อกลับบ้านไปกินข้าว!”
เสียงตะโกนของน้องภรรยาดังมาอีกครั้ง
“ ฉันไม่กลับช่วงนี้กำลังยุ่งๆ” โจวเจ๋อโบกมือ
เรื่องตลกอะไร วันส่งท้ายปีเก่าเขาต้องกลับไปอยู่กับพ่อตาและแม่ยายหน้าบึ้งอีกครั้ง และที่สำคัญที่สุดต่อให้เขากลับบ้านไปกับพวกเธอเขาก็ต้องนอนอยู่บนเตียงคนเดียวแล้วมันจะแตกต่างอะไรกับการที่เขาอยู่ที่นี่
“ พี่ใหญ่ผู้ชายคนนี้เป็นโรคประสาทหรือเปล่า! เขาไม่ได้กลับบ้านหลายวันแล้วดูเหมือนว่าเขาจะไม่สนใจพี่เลย!”
น้องภรรยาบ่นพึมพำอยู่ที่เบาะหลัง
หมอหลินยิ้ม “ กลับบ้านไปกินข้าวกับพ่อแม่ก่อนเถอะ”
“ พี่ใหญ่หลังจากทานข้าวเสร็จพวกเราออกไปเที่ยวกันไหม”
“ ฉันแต่งงานแล้ว” หมอหลินไม่ได้พูดอะไรอีกจากนั้นรถก็วิ่งออกไปจากหน้าร้านหนังสือ
โจวเจ๋อหันมาพูดกับเพื่อนร่วมงานทั้งห้าด้วยรอยยิ้ม “ พวกคุณคิดว่าภรรยาของผมสวยไหม”
“น่ารัก!”
“ ยอดเยี่ยม!”
“สวยเกินไปแล้ว!”
“ฮ่าๆๆๆ”
ซูชิงหลางออกมาจากร้านพร้อมถาดขนาดใหญ่
“ มากินข้าวหมูตุ๋นพร้อมกันเถอะ!”
คนงานเหล่านั้นรู้สึกอายเล็กน้อย คนงานที่อายุมากที่สุดกล่าวว่า
“ พวกเราไม่ได้พกเงินมาด้วย…”
“ อย่างที่เคยบอกไปว่ามื้อนี้ฉันเลี้ยงเอง! ถ้าพวกพี่ๆพูดเรื่องเงินอีกแสดงว่าทุกคนดูถูกฉัน วันหนึ่งฉันอาจจะเดินทางลงใต้และคงได้รบกวนพวกพี่ๆดังนั้นวันนี้อย่าเกรงใจ”
“ตกลง!”
“ ผมรอให้พี่มาเยี่ยมบ้านผมเลย” เด็กหนุ่มที่อายุน้อยที่สุดตะโกน
“มา!”
คนงานทุกคนหอบข้าวชามใหญ่เข้าไปในร้านหนังสือ พวกเขานั่งยองๆบนพื้นและวางชามลงบนม้านั่งพลาสติกเพื่อรับประทานอาหาร
เด็กหนุ่มคนหนึ่งยังคงอ่านนิยายไปด้วยและกินไปด้วยก่อนที่คนงานอายุมากที่สุดจะใช้ตะเกียบเคาะหัวของเขา
“ ถ้านายทำหนังสือสกปรกเถ้าแก่จะขายหนังสือพวกนี้ได้อย่างไร”
“ ใช่กินก่อน”
บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก โจวเจ๋อกลับไปที่เคาน์เตอร์และทานเกี๊ยวเย็นๆเขากินอีกสามคำ คราวนี้ไม่รู้ทำไมอาจจะเป็นเพราะบรรยากาศ อาการคลื่นไส้ของเขาน้อยลงกว่าเดิมมาก
หลังอาหารทั้งห้าคนก็อ่านหนังสือต่อ ในบ้านมีเครื่องทำความร้อนและมันเข้ากันดีกับการนั่งอ่านนิยายไปเรื่อยๆ
เผลอแป๊บเดียวก็ 22:00 แล้ว
คนงานที่มีอายุมากที่สุดยืนขึ้นและพูดว่า“ น้องชายถึงเวลากลับกันแล้วมาช่วยกันทำความสะอาดกันเถอะ”
“ตกลง!”
เพื่อนร่วมงานห้าคนช่วยโจวเจ๋อทำความสะอาดอย่างขยันขันแข็ง
“ เถ้าแก่พวกเรากลับแล้ววันนี้ขอบคุณสำหรับน้ำใจของคุณจริงๆ”
“ ยินดีครับ” โจวเจ๋อโบกมือ
พวกเขาไปแล้ว,
พวกเขาไม่เหมือนกับสาวคอร์กี้ที่นั่งอ่านหนังสือแป๊บเดียวก็จ่าย 100 หยวน คนทั้งห้าอ่านหนังสืออยู่ที่นี่มากกว่าครึ่งวันแต่ไม่จ่ายเงินแม้แต่แดงเดียว
แต่โจวเจ๋อไม่สนใจเรื่องนี้และไม่ได้มีความไม่พอใจแม้แต่น้อย
โจวเจ๋อยืดเอวขึ้นเขาตั้งใจที่จะเรียกซูชิงหลางมาเอาอุปกรณ์บนโต๊ะอาหารคืน เมื่อเดินไปที่ร้านบะหมี่โจวเจ๋อเห็นซูชิงหลางนั่งอยู่ที่โต๊ะและอ่านหนังสือพิมพ์
มันเป็นหนังสือพิมพ์เก่าที่โจวเจ๋อมอบให้เขาเมื่อตอนกลางวันนั้นเอง
ซูชิงหลางสวมแว่นตากรอบทองและมีท่าทีคร่ำครึเล็กน้อยในขณะที่อ่านหนังสือพิมพ์
“ ถ้วยชามพวกนั้นคุณไปเก็บมาได้แล้ว” โจวเจ๋อกล่าว
“ ตกลง”
ซูชิงหลางวางแว่นลงขยี้ตาแล้วลุกไปหยิบถ้วยชามที่อยู่ในร้านของโจวเจ๋อกลับมา
ด้านบนของหนังสือพิมพ์กองใหญ่เป็นข่าวภาคค่ำของเจ็ดวันที่แล้ว
ในหน้าปกของหน้าแรกของหนังสือพิมพ์มีข่าวใหญ่ซึ่งถูกพิมพ์ด้วยตัวหนา
“ ไฟไหม้อาคารที่พักคนงานก่อสร้าง”
เมื่อสัปดาห์ที่แล้วย่านที่อยู่อาศัยของครอบครัวคนงานก่อสร้างซึ่งมีประชากรหนาแน่นในตงเฉิงเกิดเพลิงลุกไหม้อย่างรุนแรง
คนงานก่อสร้างอายุน้อยห้าคนวิ่งเข้าไปในเปลวเพลิงพร้อมกับช่วยเหลือผู้หญิงและเด็กให้รอดชีวิตได้ถึง 20 คน แต่หลังจากที่พวกเขาเข้าไปในกองไฟครั้งสุดท้ายพวกเขาก็ไม่ได้กลับมาอีก
มีภาพใหญ่บนหน้าปกของหนังสือพิมพ์ แยงซีอีฟวินิ่งนิว
นี่คือภาพหมู่ของบุคคลทั้งห้านี้
พวกเขายืนเคียงข้างกันดูเหมือนว่าจะเป็นภาพที่ถ่ายมาได้สักพักแล้ว
ในภาพรอยยิ้มของทุกคนเต็มไปด้วยความอบอุ่น
ซูชิงหลางเดินเข้าไปในร้านหนังสือและมองไปที่ชามข้าวห้าใบบนม้านั่งพลาสติกตรงหน้า ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงวางอยู่ที่เดิมกับข้าวที่อยู่ในชามไม่ได้ถูกแตะต้องแม้แต่น้อย ข้าวแต่ละชามมีตะเกียบคู่เสียบตั้งตรง
“ พี่ชายไปสู่สุคติเถิดนะ”
ซูชิงหลางบ่นพึมพำ
ด้านนอก เสียงนับถอยหลังดังขึ้นอย่างกึกก้องหลังจากนั้นไม่นานก็มีพลุไฟถูกยิงขึ้นสู่ท้องฟ้า
โจวเจ๋อเงยศีรษะขึ้นและมองออกไปอย่างเศร้าโศก