“เรื่องนี้ยังคงว่างเปล่ามากในตอนนี้ ก็จริงค่ะ ถ้าในชุมชนหนึ่งมีผู้ป่วยที่มีอาการทางประสาทย่อมสร้างความไม่สะดวกให้กับเพื่อนบ้านที่อยู่รอบๆได้ แต่เขาไม่ได้มีพฤติกรรมที่เป็นภัยต่อชาติ ดังนั้นทางการจึงไม่มีทางมาจับตัวเขาไปบังคับให้รักษาค่ะ”
“อย่างนั้นเหรอ…”
“นี่ยังดีนะคะแม่ที่เขาแค่ตะโกนโวยวาย พี่ฟู่กุ้ยเล่าให้ฟังว่า เขาเคยเจอเคสผู้ป่วยแบบนี้ มีคนแก่สองคนนั่งกินข้าวอยู่ในบ้านดีๆ อยู่ๆก็มีผู้ป่วยโรคประสาทเอามีดมาฟันพวกเขาตาย”
“หา โหดร้ายอย่างนั้นเลยเหรอ” แม่บุญธรรมหลิวเหมยฟังแล้วก็หวั่นใจ
“และที่น่าหดหู่ยิ่งกว่าก็คือ หลังจากที่พวกพี่ฟู่กุ้ยทำการวินิจฉัยแล้ว ผู้ต้องหากระทำความผิดตอนที่อาการกำเริบ เลยตัดสินโทษตายไม่ได้ ลูกสาวกับลูกชายของผู้ตายร้องไห้เสียใจมาก ไปถือป้ายยืนตะโกนขอความเป็นธรรมที่หน้าสำนักงานพี่ฟู่กุ้ยทุกวัน ลูกชายผู้ตายยังทำร้ายพี่ฟู่กุ้ยด้วยนะคะ”
“นี่ถ้าเขาไม่ได้เป็นว่าที่ลูกเขยนะ แม่จะบอกว่าสมควรแล้ว…” แม่บุญธรรมหลิวเหมยพูดเสียงเบา พอหันไปเห็นเสี่ยวเชี่ยนก็รีบยิ้มให้
“แม่ล้อเล่นน่ะ เห็นเป็นคนกันเองเลยพูด”
เสี่ยวเชี่ยนยิ้มให้ เธอเข้าใจความรู้สึกของแม่บุญธรรมหลิวเหมย
คนทั่วไปได้ฟังเรื่องแบบนี้ก็ย่อมรู้สึกว่าไม่ยุติธรรม โดยเฉพาะหน่วยงานของฟู่กุ้ยนั้นเป็นหน่วยงานที่สร้างศัตรูให้ตัวเองได้เป็นอย่างดี ถ้าวินิจฉัยว่าแกล้งเป็นโรคประสาท ผู้ต้องหาก็จะพยายามติดสินบนหรือถึงขนาดข่มขู่พวกฟู่กุ้ยเลยก็มี พวกฟู่กุ้ยต้องทำงานอยู่ท่ามกลางผู้ต้องหาที่คิดจะแกล้งป่วยเพื่อหนีความผิด
ถ้าเป็นผู้ป่วยที่เป็นโรคประสาทจริงๆ หลังจากที่พวกฟู่กุ้ยทำการวินิจฉัยเสร็จแล้ว ญาติผู้เคราะห์ร้ายก็จะโกรธแค้นพวกฟู่กุ้ย
ชาวบ้านพอได้ฟังก็โมโห ฆ่าคนตายแต่ไม่ถูกกฎหมายลงโทษเพราะเป็นคนบ้า ทุเรศสิ้นดี
“หนูรู้สึกว่าหนูกับพี่ฟู่กุ้ยเกิดมาคู่กันจริงๆ รู้ไหมคะแม่ โรงเรียนที่หนูเปิดอยู่ใกล้ๆกับหน่วยงานที่พี่ฟู่กุ้ยกำลังจะย้ายมา ต่อไปพวกเราก็ไปทำงานแล้วกลับพร้อมกันได้ ถ้ามีใครกล้ามาพาลใส่พี่ฟู่กุ้ยที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วยล่ะก็ หนูจะเตะให้กระเด็นเลย”
หลิวเหมยพูดอย่างมุ่งมั่น
“เด็กคนนี้นี่ ยังไม่ทันแต่งก็พี่ฟู่กุ้ยอย่างนั้นอย่างนี้ ดูทำเข้า” แม่บุญธรรมเอามือเขกหัวหลิวเหมยหนึ่งที หลิวเหมยยิ้มฮี่ๆ
“พี่ฟู่กุ้ยบอกว่า รอพี่สะใภ้กับพี่หลางแต่งก่อนพวกเราค่อยไปจดทะเบียน พอจดเสร็จก็ไปฮันนีมูนที่มัลดีฟ”
“รีบร้อนเกินไปหรือเปล่า สองบ้านต้องใช้เวลาเตรียมตัวนะ เด็กคนนี้ทำไมถึงได้รีบร้อนแต่งงานแบบนี้ หรือว่า—-”
สายตาของแม่บุญธรรมย้ายไปที่ท้องหลิวเหมย ท้องแล้วเหรอ?
“คิดอะไรอยู่คะ พวกเราเป็นแค่แฟนกันอย่างบริสุทธิ์ใจนะคะ” หลิวเหมยหน้าแดง เธอกับพี่ฟู่กุ้ยยังอยู่ในขอบเขตแค่จูบเท่านั้นเอง
กลัวว่าแม่บุญธรรมจะพูดเรื่องท้องต่อหลิวเหมยจึงเปลี่ยนเรื่องคุย
“พี่สะใภ้ว่าถ้าคนที่มีอาการทางประสาทมาเป็นเพื่อนบ้านเราจะทำไงดีคะ?”
“ผู้ป่วยที่มีอาการทางประสาทส่วนใหญ่ไม่มีการประทุษร้าย ดังนั้นต่อให้มีเพื่อนบ้านแบบนี้ก็ไม่ต้องหวาดกลัวจนเกินไป และก็ไม่ควรจะไปดูถูกเขา ยามปกติก็อย่าไปรังแกเขาเพียงเพราะเขามีอาการทางประสาท ไม่อย่างนั้นจะเป็นการกระตุ้นให้อาการรุนแรงขึ้น ถ้ามีแนวโน้มใช้ความรุนแรง…”
เสี่ยวเชี่ยนถอนหายใจ “ไปแจ้งผู้นำชุมชน มีคณะกรรมที่ดูแลความสงบในชุมชน ให้พวกเขาพาผู้ป่วยไปโรงพยาบาล หากเจอเจ้าหน้าที่ที่เป็นตายก็ไม่ยอมพาไปโรงพยาบาลล่ะก็ งั้นทางออกที่ดีที่สุดก็คือย้ายบ้านเถอะ”
“หา?” หลิวเหมยกับแม่บุญธรรมทำสีหน้าแบบเดียวกัน ไม่ถามก็ไม่รู้ ถามทีก็อึ้งไปเลยทีเดียว แบบนี้มันไม่ยุติธรรม
“ถ้าคุยกับทางผู้นำชุมชนแล้วเจ้าหน้าที่ยังไม่พาผู้ป่วยส่งโรงพยาบาล หากผู้ป่วยก่อเหตุขึ้นมาเจ้าหน้าที่ก็ต้องรับผิดชอบตามกฎหมาย แต่ปัญหาคือหากเกิดเหตุขึ้นมาก็แสดงว่าเราก็ถูกทำร้ายไปแล้ว ไม่สู้รีบย้ายบ้านหนีก่อนดีกว่า”
โลกนี้มีเรื่องที่ยุติธรรมร้อยเปอร์เซ็นต์ด้วยเหรอ? ถ้าจะไล่บี้หาความยุติธรรมจริงๆ งั้นผู้ป่วยที่เป็นโรคประสาทจากกรรมพันธุ์ก็เป็นมาตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ ผู้สร้างสิ่งมีชีวิตก็ไม่ยุติธรรมตั้งแต่แรกแล้วหรือเปล่า?
“ยังดีนะที่เพื่อนบ้านพาคนป่วยไปโรงพยาบาลแล้ว ไม่อย่างนั้นเราคงต้องย้ายบ้านจริงๆ ได้ยินว่าตอนแรกพวกเขาพาลูกชายไปรักษาที่โรงพยาบาลในตัวเมือง ต่อมาแบกรับค่ารักษาไม่ไหวเลยย้ายมาโรงพยาบาลในอำเภอแทน…”
“ย้ายมาที่โรงพยาบาลในอำเภอเหรอคะ?” เสี่ยวเชี่ยนเอะใจ คงไม่มั้ง?
วันนี้คนไข้โรคประสาทที่เสี่ยวเชี่ยนเจอในโรงพยาบาลก็เป็นโรคหลงผิดเรื่องความรักไม่ใช่เหรอ?
มิน่าล่ะตอนที่แม่บุญธรรมหลิวเหมยพูดเรื่องนี้เธอถึงรู้สึกตะหงิดๆ ฟังมาถึงตรงนี้ก็เข้าใจแล้ว
“ที่คุณน้าบอกว่าเขาชอบออกมาตะโกนชื่อผู้หญิงตอนกลางคืน คงไม่ใช่ชื่อเหม่ยเหวยใช่ไหมคะ?”
“ใช่ๆๆ ชื่อนี้แหละ ไม่รู้ว่าผู้หญิงดวงซวยคนไหนโดนคนบ้านี่ชอบเข้าแล้ว วันๆออกมาตะโกนตอนเที่ยงคืน แถมยังตรงเวลาด้วยนะ เที่ยงคืนครึ่ง อย่างกับผีหลอก”
“หนูเองค่ะ คนที่ซวยคือหนูเอง” เสี่ยวเชี่ยนเอามือกุมหน้าผาก
เที่ยงคืนครึ่ง เป็นเวลาที่รายการเธอจบพอดี
อ้อมมาตั้งไกล สุดท้ายมาอยู่บ้านข้างๆคนบ้า
หลิวเหมยเองก็นึกออกแล้ว เธอหันไปมองเสี่ยวเชี่ยนด้วยสีหน้าตกใจ “พี่สะใภ้ สเน่ห์พี่นี่ล้นเหลือจริงๆ คนบ้ายังมาชอบพี่เลยนะ”
เสี่ยวเชี่ยนมองหลิวเหมยด้วยสีหน้าจนใจ “สเน่ห์แบบนี้ให้เธอ เธอเอาไหม?”
“ฮ่าๆ งั้นช่างเถอะ ดีนะที่คนๆนั้นถูกจับส่งโรงพยาบาลไปแล้ว ไม่งั้นพี่มาอยู่บ้านฉัน ถ้าเขาเห็นพี่เข้าจะปีนข้ามกำแพงมาหาไหม?”
หลิวเหมยพูดจบยังรู้สึกขนลุกเอง น่ากลัวจัง
เสี่ยวเชี่ยนเองก็ขยะแขยงไม่แพ้กัน ถ้าดึกดื่นมีคนมาตะโกนชื่อเธอ แถมสมองยังจินตนาการว่าเธอเป็นเมีย เธอจะให้เสี่ยวเฉียงออกไปจัดการแน่
“เราสองคนพูดถึงอะไรกันน่ะ?” แม่บุญธรรมหลิวเหมยไม่เข้าใจ
หลิวเหมยจึงลากแม่ไปนั่งอธิบายให้ฟัง
เสี่ยวเชี่ยนหมดอารมณ์จะคุยต่อแล้ว เธอรู้สึกโหวงๆใจยังไงบอกไม่ถูก คล้ายกับเหมือนกำลังจะเกิดเรื่องขึ้น อาจเป็นเพราะข้างนอกฝนเริ่มตกหนักอีกแล้ว ทำให้เธอเป็นห่วงเสี่ยวเฉียงที่อยู่ในภูเขา และก็อาจเป็นเพราะสายตาที่คนไข้แฟนคลับที่เป็นโรคประสาทมองเธอตอนอยู่ในโรงพยาบาล
เสี่ยวเชี่ยนยืนริมหน้าต่าง มองสายฝนที่ตกหนักจนมองแทบไม่เห็นอะไรด้านนอก แสงไฟจากบ้านข้างๆที่เป็นบ้านของคนไข้โรคประสาทคนนั้นดับลงแล้ว
เสี่ยวเชี่ยนลองโทรหาอวี๋หมิงหลางอีกครั้ง ครั้งนี้โทรติด
“เสียวเหม่ยนอนหรือยัง?”
“ยัง วันนี้นอนบ้านหลิวเหมย”
พอได้ยินเสียงของเขาเสี่ยวเชี่ยนก็เบาใจ “นายอยู่ไหน?”
เสียงจากทางด้านอวี๋หมิงหลางค่อนข้างเงียบ คล้ายกับอยู่ในที่ปลอดภัย
“พวกเราถอยมาในเขตตำบลเล็กๆแล้ว คงอยู่ไม่ไกลจากคุณ”
“ทดสอบเสร็จหรือยัง?”
“เสร็จแล้ว พวกเราได้รับคำสั่งจากเบื้องบน อากาศเลวร้ายอาจมีเส้นทางบางส่วนถูกตัดขาดหรือมีหินจากภูเขาถล่มลงมา พวกเราอยู่ที่นี่พอดี พอพรุ่งนี้ฝนหยุดจะได้ช่วยทางหน่วยงานจราจรเคลียร์ทางด้วย”
“… นี่อยู่ในขอบเขตงานของพวกนายด้วยเหรอ?” เรื่องนี้จะว่าไปตามหลักการไม่ถึงกับต้องให้พวกเขาลงมือทำเลยนะ
“อำเภอนี้มีทรัพยากรคนที่ใช้ในงานสาธารณะจำกัด พวกเราอยู่นี่ก็ไปช่วยหน่อย บริการประชาชน”