บทที่ 393
ตํารวจหญิงยังคงประหลาดใจกับสิ่งที่ไป๋ยี่เฟยเพิ่งพูดไป เขาไม่ใช่เด็กเสเพลเหรอ? แล้วต่อสู้กับกรุปเหล่านั้นทำไม มันคือความจริงงั้นเหรอ? ทําไมฟังแล้วมันดูลึกลับยังก็ไม่รู้?
กู่หรงไม่ได้สนใจตำรวจหญิงคนนั้นเลย แต่กลับจ้องมองไปที่ไป๋ยี่เฟยอย่างเดียว
ไป๋ยี่เฟยนึกถึงฉินหีวเมื่อไหร่ จิตใจของเขาก็ยิ่งแย่ลงเมื่อนั้น
ขณะที่กู่หรงคิดว่าไป๋ยี่เฟยพูดไม่ออก เขาจึงเอ่ยปากขึ้นว่า “ที่จริงแล้วพวกนายรู้ว่าเป็นฉุงโยวเวย และก็เคยไปถามกับเจ้าตัวแล้ว แต่พวกนายแค่ไม่มีหลักฐาน ”
กู่หรงตะลึง และดวงตาก็ลู่ลงมาเล็กน้อย
ไป๋ยี่เฟยพูดขึ้นอีกว่า “แต่ หากไม่มีหลักฐาน ฉุงโยวเวยสมควรได้รับอิสระงั้นเหรอ” แล้วคนเหล่านั้นที่เขาฆ่าล่ะ? พี่ชายก็ยังคงนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยอยู่เลย และจะไม่สามารถลุกขึ้นได้อีกตลอดชีวิต”
“นี่นายพูด หมายความว่ายังไง?”
“ การฆ่าคนมันผิดกฎหมายไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมเขาถึงฆ่าคนล่ะ?”
กู่หรงจ้องไปที่ไป๋ยี่เฟยอย่างงุนงง เขารู้สึกไม่สบายใจกับคำพูดของไป๋ยี่เฟย“ นายไม่สามารถจับกุมใครโดยไม่มีหลักฐานได้ แต่ตราบใดที่มีหลักฐานเพียงพอ ก็จะไม่มีใครรอดพ้นจากการลงโทษทางกฎหมายได้เช่นกัน”
“เหอะ…” ไป๋ยี่เฟยส่งเสียงเย็นชา “จริงเหรอ?”
กู่หรงขมวดคิ้ว“ ถ้าทุกคนเป็นเหมือนเช่นนาย มันจะไม่วุ่นวายไปกันหมดเหรอ? แล้วประเทศจะก่อตั้งสถานีตำรวจไปทำไมกันล่ะ? ถ้างั้นทุกคนคงเป็นตำรวจกันหมดล่ะ!”
ไป๋ยี่เฟยไม่ได้พูดอะไร แต่กลับหันหน้ามองออกไปดูวิวนอกหน้าต่าง
กู่หรงขมวดคิ้วเล็กน้อย “ดูเหมือนนายก็คิดว่าที่ฉันพูดนั้นถูก”
เมื่อเห็นดังนั้นตำรวจหญิงก็ส่งเสียงเบาๆ ดวงตาของหล่อนนั้นเต็มไปด้วยความรังเกียจและเหยียดหยามไป๋ยี่เฟย
ในความเป็นจริงนั้น มันไม่ใช่ไป๋ยี่เฟยไม่อยากตอบโต้ แต่มันแค่ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำอย่างนั้น เพราะความรู้สึกนึกคิดของตัวเรา เป็นสิ่งที่คนอื่นไม่อาจเข้าใจได้ ยิ่งไปกว่านั้นแล้วอีกฝ่ายก็ยังเป็นตํารวจอีก
ในตอนนั้นเอง ไป๋ยี่เฟยก็หันหน้าไปมองตํารวจหญิง แววตาเฉียบคม ทําให้ตํารวจหญิงหดตัวลงโดยไม่รู้ตัว จากนั้นหล่อนจึงแกล้งทำเป็นสร้างสถานการณ์ตบตา “ทำอะไรของนายน่ะ?” ไม่ใช่ว่านายอยากจะฆ่าคนอีกแล้วงั้นเหรอ? ”
ไป๋ยี่เฟยส่งเสียงหัวเราะอย่างเย็นชา “ไม่หรอก ผมแค่อยากเล่าเรื่องให้คุณฟัง”
“เมื่อนานมาแล้ว เด็กคนหนึ่งถูกพ่อแม่ทอดทิ้งหลังจากที่เขาเพิ่งเกิดมาได้เพียงไม่กี่วัน เขาต้องกลายเป็นเด็กกำพร้า แต่ในภายหลัง เขาก็ถูกผู้ชายคนหนึ่งเก็บไปเลี้ยง”
“ชายผู้นั้นให้อาหาร และที่อยู่แก่เขา แต่เมื่อเขาอายุเพียงสามขวบ ชายคนนั้นก็ปล่อยให้เขาเรียนรู้การต่อสู้ทุกประเภท และสุดท้าย ชายผู้นั้นก็ให้เขาฆ่าคน เมื่อเขาอายุได้เพียงห้าขวบ
เมื่อเสียงเล่าเบาลง ตำรวจหญิงก็ตัวสั่นโดยไม่รู้ตัว
ไป๋ยี่เฟยพูดต่ออีกว่า “เขาไม่รู้ว่าทําไมต้องฆ่าคนด้วย เขารู้แค่ว่า มีเพียงการฆ่าคนเท่านั้น เขาถึงจะมีอาหารในมื้อต่อไป และมีที่อยู่อาศัยได้ ”
“ดังนั้น เขาถึงได้ฆ่าคน”
“การฆ่าคนครั้งแรกนั้น ทําให้เขารู้สึกกลัวมาก ถึงกับต้องฝันร้ายมา 5ปี ซึ่งในระหว่าง 5ปีที่ผ่านมานั้น เขาก็ถูกผู้ชายคนนั้นสั่งให้ฆ่าคนอีก โดยเขาไม่รู้เลยว่าเขาฆ่าคนไปแล้วกี่คน”
เขาค่อยๆเย็นชาลงเรื่อยๆ จนในที่สุด ในหัวของเขาก็มีเพียงความคิดเดียว คือ…”
“ฆ่าคน”
ตำรวจหญิงตัวสั่น “คุณต้องการจะบอกอะไรกันแน่”
ไป๋ยี่เฟยพูดอย่างเฉยเมยว่า “ไม่มีอะไร”
ตำรวจหญิงคนนั้นไม่เชื่อ แต่ก็ไม่เห็นสาระสำคัญอะไรจากเรื่องนี้
ความจริงแล้วไป๋ยี่เฟยแค่หยอกให้หล่อนตกใจกลัวเท่านั้นเอง เพื่อให้หล่อนรู้ว่าอะไรถึงจะเรียกว่าการฆ่าคน
ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าเขาก็เป็นพลเมืองที่ดีคนหนึ่ง ที่ไม่เคยกล้าทําสิ่งผิดกฎหมายเลย แต่ต่อมานั้น เขาก็ได้เรียนรู้ว่า ไม่ว่าคุณจะใช้ชีวิตอย่างมีระเบียบวินัยแค่ไหนก็ไม่ได้แปลว่าคุณจะสามารถมีชีวิตที่มั่นคงและปลอดภัยเสมอไป
เขาฆ่าคน ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว
แต่เขาจะไม่ฆ่าผู้บริสุทธิ์ตามอำเภอใจอย่างแน่นอน ซึ่งคนเหล่านั้นที่เขาฆ่า ล้วนเป็นพวกที่สมควรตายอยู่แล้ว
กู่หรงขมวดคิ้ว แล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที “การที่นายอยู่สถานีตำรวจนั้นปลอดภัยที่สุดแล้ว แต่ครอบครัวนายล่ะ? ต้องการให้ผมส่งคนไปคุ้มกันหน่อยไหม? ”
“ไม่ต้องหรอก” ไป๋ยี่เฟยส่ายหัว
กู่หรงถามขึ้นว่า “นายไม่กังวลเหรอ ท่านฉุงสามดูท่าไม่น่าไว้ใจเลยนะ ยิ่งนายฆ่าฉุงโยวเวยด้วย ไม่กลัวว่าเขาจะใช้ครอบครัวนายมาข่มขู่นายเหรอ หรือบางทีเขาอาจไม่จําเป็นต้องข่มขู่นายเลย เขาอาจลงมือโดยตรงเลยก็ได้ ”
ไป๋ยี่เฟยแสดงสีหน้าเรียบเฉย “เขาจะไม่ทําอย่างนั้นหรอก ผมเคยอ่านรายการระบบกฎหมาย และเผอิญเห็นคดีอาญาอยู่คดีหนึ่ง”
“ในหมู่บ้านที่ยากจนแห่งหนึ่ง มีชายคนหนึ่งชื่อ ต้าฉุยเขาได้ออกไปทำงานที่ห่างไกลบ้าน แต่ช่วงเวลาดีๆมักอยู่กับเราได้ไม่นาน เพราะเขาเผลอก่อเรื่องผิดใจกับนายจ้าง และถูกไล่ออกในที่สุด”
“สุดท้าย เขาก็ทำได้แค่กลับไปอยู่ที่หมู่บ้านสักพัก”
“แต่เมื่อเขากลับมาถึงบ้าน เขาก็ได้ยินเสียงตะโกนของภรรยาดังมาจากในบ้าน เขารีบพุ่งเข้าไปทันที และพบว่าลูกชายของเลขาฯประจำหมู่บ้านกําลังข่มขืนภรรยาของเขา”
“ต้าฉุยไม่พูดไม่จาอะไร เขาหยิบมีดทําครัวขึ้นมา และฟันคนนั้นจนตาย”
“จากนั้น เขาก็หนีไป”
ดูเหมือนว่าตำรวจหญิงจะตั้งใจฟังมาก และถามขึ้นว่า “แล้วทุกอย่างก็จบเพียงเท่านี้เหรอ?”
ไป๋ยี่เฟยเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แล้วพูดต่อว่า “ต่อมาเลขาฯประหมู่บ้านก็มักจะนําของดีๆไปปลอบใจภรรยาของต้าฉุย และทุกครั้งที่มีเรื่องดีๆเกิดขึ้นในหมู่บ้าน หล่อนก็จะเป็นคนแรกที่ถูกนึกถึง ”
ตํารวจหญิงตะลึง “แล้วเขาทําอะไรกันล่ะ?” ”
แล้วเขาไม่แก้แค้นเหรอ? ทำไมยังทำดีกับภรรยาของศัตรูอีกล่ะ?
ไป๋ยี่เฟยไม่ได้อธิบายอะไร แต่พูดต่อว่า “เมื่อวันเวลาผ่านไปนานเข้า กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย จนกระทั่งต้าฉุยอดไม่ได้ที่จะกลับไปหาภรรยาของเขา”
“แต่ในทันทีที่เขาเดินเข้าไปใกล้ประตูบ้าน เลขาฯประจำหมู่บ้านกลับซ่อนตัวอยู่ที่ประตู และฟันต้าฉุยจนตายในที่สุด”
ตํารวจหญิงอุทานออกมาว่า “ทําไมเป็นแบบนี้ไปได้?” ”
กู่หรงครุ่นคิดและพูดว่า “เลขาฯประจำหมู่บ้านไม่ใช่ว่าไม่เกลียดต้าฉุยแต่เขาแค่อยากลงมือเมื่อต้าฉุยรู้สึกผ่อนคลายที่สุดเท่านั้นเอง ”
“ที่เขาดีกับภรรยาต้าฉุย แน่นอนว่าต้าฉุยรู้ดี แต่ต้าฉุยคิดว่าการฆาตกรรมของเขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับครอบครัวของเขา ดังนั้นเขาจึงวางใจ และถึงกลับมาหาภรรยาของเขาไงล่ะ”
“และช่วงเวลานั้น ก็เป็นช่วงที่ ต้าฉุย รู้สึกผ่อนคลายที่สุดด้วย”
เมื่อพูดจบ กู่หรงก็พลันนึกอะไรบางอย่างได้ และพูดกับไป๋ยี่เฟยว่า “ดังนั้น นายจึงมั่นใจว่าท่านฉุงสามจะไม่ทําร้ายคนในครอบครัวนายงั้นเหรอ”
“ไม่” ไป๋ยี่เฟยยักไหล่ “ผมไม่ได้บอกเหรอว่า นี่เป็นเพียงคดีอาญาที่เห็นในรายการกฎหมายเท่านั้น”
กู่หรงหลุบตาลง ราวกับกําลังครุ่นคิดบางอย่าง
ในตอนนั้นเองตํารวจหญิงก็ได้มีปฏิกิริยาตอบกลับ แล้วมองอย่างไป๋ยี่เฟยด้วยความสงสัย
……
ณ คฤหาสน์ตระกุลฉุง
ตรงหน้าของฉุงเฉ่าเจว๋คือป้ายวิญญาณของฉุงโยวเวย และด้านหน้าป้ายวิญญาณมีกระถางธูปขนาดเล็ก ที่กำลังเสียบธูปอยู่สามดอก และกําลังไหม้ลงอย่างช้าๆ พร้อมกับมีควันลอยออกมาอย่างไม่ขาดสาย
คนที่อยู่ด้านหลังเขาต่างก็ก้มหน้าลง และไม่กล้าที่จะทําให้เขาโกรธในเวลานี้
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว แต่ในที่สุดฉุงเฉ่าเจว๋ก็หันตัวกลับมา ในขณะนั้นก็มีคนเสนอขึ้นว่า “ท่านสามจะให้คนไปจับภรรยาของไป๋ยี่เฟยมาหรือไม่? ”