แล้วมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ บอดี้การ์ดคนนั้นไปที่หมู่บ้านข้างหน้า แล้วไปแอบอยู่ในมุมมืดเพื่อรอเหล่าหญิงสาวที่ทำงานตอนดึก จะได้ปลดปล่อยสักหน่อย
แต่มันก็เป็นแค่สิ่งที่เขาคิดไว้เท่านั้น เพราะตอนที่เขาเดินไปได้แค่ครึ่งทางก็เห็นแสงไฟที่ส่องมาจากไหลๆ
แสงไฟส่องมาที่บอดี้การ์ดคนนั้น มันแสบตามาก บอดี้การ์ดจึงยกมือขึ้นมาบัง “แม่งเอ๊ย ดึกดื่นป่านนี้แล้วยังจะขับรถออกมาอีก?”
หลังจากนั้น แสงไฟก็สว่างขึ้นเรื่อยๆ เพราะจากไฟหนึ่งดวงกลายเป็นสองสามดวง และเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ดวงไฟมากมายสาดส่องเข้ามา บอดี้การ์ดคนนั้นถึงกับอึ้งไปเลย
เพราะนี่มันรถจำนวนหลายคันมาก
พวกเขากำลังมุ่งมาทางนี้
และทางนี้ก็มีแค่วิลล่าที่ สิบอันดับยักษ์ใหญ่เป็นเจ้าของร่วมกันแค่หลังเดียวเท่านั้น แล้วพวกเขามาที่นี่เพื่ออะไร อันนี้ไม่บอกก็คงพอรู้อยู่แล้ว
บอดี้การ์ดคนนั้นอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย ในใจก็รู้สึกร้อนรนขึ้นมา
เมื่อแสงไฟที่เคลื่อนใกล้เข้ามา บอดี้การ์ดก็ต้องตกใจกับคนที่นั่งอยู่ในรถ
จำนวนรถที่วิ่งมานั้นนับไม่ถ้วน แต่ในรถทุกคันนั้นยังมีคนนั่งอยู่เยอะมาก สีหน้าของทุกคนต่างก็ซีเรียสมาก แค่เห็นก็รู้แล้วว่าอย่าไปมีเรื่องด้วยดีกว่า
ส่วนบอดี้การ์ดของสิบอันดับยักษ์ใหญ่ก็มีกันแค่สามสิบกว่าคนเท่านั้น เมื่ออยู่ต่อหน้าคนพวกนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับลูกไก่ที่ต้องเผชิญหน้ากับพ่อไก่วัยเจริญพันธุ์ที่แสนดุดันเลย
ถึงบอดี้การ์ดคนนั้นจะรู้สึกกลัว แต่เขาก็ไม่กล้าวิ่งกลับไป และไม่กล้าหยิบมือถือขึ้นมาโทรหาพวกของตัวเอง ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้แต่ยืนดูรถพวกนี้วิ่งผ่านไปพร้อมกับร่างกายที่สั่นเทา
ไม่นานรถเหล่านั้นก็วิ่งเข้าไปใกล้วิลล่า
เหล่าบอดี้การ์ดที่วิลล่าจึงสังเกตเห็นรถพวกนั้น
“มีคนมา เหมือนจะมุ่งมาทางเราด้วย”
“จะกลัวทำไม? ถึงมาหาเรา แต่เราก็เป็นถึงคนของ สิบอันดับยักษ์ใหญ่เลยนะ!”
จู่ๆ ก็มีคนถามขึ้นว่า “แล้วถ้าเป็นคนของสี่ตระกูลใหญ่ล่ะ?”
แต่ก็มีคนแย้งขึ้นว่า “แล้วพวกสี่ตระกูลใหญ่จะมาทำไม? ตระกูลเย่กับตระกูลฉุงต่างก็ไม่ถูกกับไป๋ยี่เฟย ตระกูลหลินก็ไม่เคยยุ่งเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ส่วนตระกูลไป๋ก็ได้ยินว่ากำลังขัดแย้งภายในกันอยู่ ต่อให้ตระกูลไป๋มาจริง สิบอันดับยักษ์ใหญ่อย่างเราก็ยังอยู่นี่ กับแค่ตระกูลไป๋มีอะไรให้กลัว?”
“มันก็จริง เรามีกันเยอะขนาดนี้ อีกอย่าง ต่อให้เกิดเรื่องขึ้นจริง ก็ยังมีคนที่อยู่เบื้องบนอีกจริงมั้ย?”
“แค่อัดพวกมันก็พอแล้ว!”
พอพูดจบ แสงไฟที่อยู่ไกลๆ ก็สาดส่องเข้ามาเป็นการใหญ่
พอตอนที่รถเกือบร้อยคันมาจอดอยู่หน้าประตูของวิลล่านั่น พวกบอดี้การ์ดต่างก็งงและอึ้งไปตามๆ กัน
พวกเขาก็ไม่ต่างจากบอดี้การ์ดคนเมื่อกี้ ที่พอเห็นรถมากมายขนาดนี้แล้วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกลัวขึ้นมา
บอดี้การ์ดพวกนี้มีกันแค่สามสิบกว่าคนเท่านั้น แต่รถพวกนี้มากันเป็นร้อย ไม่ต้องให้นั่งเต็มหรอก แค่นั่งกันคันละคนแค่นั้น พวกนั้นก็มีคนมากกว่าแล้ว
รถจำนวนนับไม่ถ้วนได้ล้อมวิลล่าเอาไว้
พอประตูรถเปิดออก ทุกคนที่ลงมาจากรถต่างก็ทำหน้าบึ้งตึง พรึบพรับๆ เพียงไม่นานก็ลงจากรถจนหมด สุดท้าย ไป๋ยี่เฟยกับไป๋หยุนเผิงก็ลงจากรถ แล้วเดินตรงไปทางวิลล่า
พอบอดี้การ์ดพวกนั้นเห็นเข้า ต่างก็ยืนนั่งไม่กล้าขยับ กลัวจนไม่รู้จะกลัวยังไงแล้ว
แต่หนึ่งในนั้นก็ยังพูดห้ามขึ้นมาว่า “ไม่ทราบว่านายท่านทั้งสองมาทำอะไรที่นี่เหรอครับ?
“พวกแกเอาผู้หญิงที่จับมาไปซ่อนไว้ไหน? พาฉันไปเดี๋ยวนี้!” ไป๋หยุนเผิงถามไปตรงๆ พร้อมกับน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยจิตสังหารที่เยือกเย็น
ที่สำคัญ ฟังจากน้ำเสียงแล้วคำพูดนั้นมันไม่ใช่ประโยคคำถาม หากแต่เป็นคำพูดที่ห้ามปฏิเสธเด็ดขาด
ไป๋ยี่เฟยหันไปมองไป๋หยุนเผิง เขาไม่เคยเห็นไป๋หยุนเผิงเป็นแบบนี้มาก่อน จึงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
บอดี้การ์ดคนหนึ่งตอบมาว่า “นายท่านเข้าใจผิดแล้วครับ……ที่เราไม่มีผู้หญิง……”
“ตุ๊บ!”
บอดี้การ์ดคนนั้นยังไม่ทันได้พูดจบ ก็ถูกไป๋หยุนเผิงชกกระเด็นไป
บอดี้การ์ดคนนั้นลอยออกไปกระแทกกับกำแพงของวิลล่าอย่างจัง จากนั้นก็หล่นลงพื้น ทุกคนต่างพากันมองไป แล้วก็ได้เห็นว่าที่กำแพงได้แตกเป็นรูไปแล้ว
พอเห็นแบบนั้น ทุกคนต่างก็ตกใจกันถ้วนหน้า
บอดี้การ์ดพวกนั้นต่างยกมือขึ้นมากุมอก ราวกับว่าหมัดเมื่อกี้ได้ชกใส่หน้าอกของตัวเองยังไงอย่างนั้น
ไม่ใช่แค่พวกบอดี้การ์ดเท่านั้น แม้แต่คนของสี่ตระกูลใหญ่กับไป๋ยี่เฟยก็ยังรู้สึกตกใจเลย
พละกำลังของไป๋หยุนเผิงนั้นมากมายมหาศาล ไม่เพียงเท่านั้น เขายังไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้อธิบายเลยด้วยซ้ำ
เพียงแค่แสดงท่าทีที่ไม่ให้ความร่วมมือ ก็เท่ากับตายสถานเดียว
พวกบอดี้การ์ดเริ่มขาสั่นกันแล้ว
ไป๋หยุนเผิงชี้ไปที่บอดี้การ์ดคนหนึ่ง “แกพาฉันไป!”
บอดี้การ์ดคนนั้นตกใจจนคุกเข่าลงกับพื้น
“ตุ๊บ!”
ไป๋หยุนเผิงยังคงไม่ให้โอกาสเขาเหมือนเดิม ยกขาขึ้นมาถีบใส่บอดี้การ์ดคนนั้นจนลอยออกไปเหมือนกับคนก่อนหน้านี้
คนอื่นๆ ที่เห็นแบบนั้นก็ทนต่อไปไม่ไหวแล้ว ทุกคนต่างพากันคุกเข่าลงกันหมด
จากนั้นไป๋หยุนเผิงก็ชี้ไปที่บอดี้การ์ดอีกคน
บอดี้การ์ดคนนั้นได้รับบทเรียนแล้ว จึงรีบพยักหน้า “เดี๋ยวผมพาคุณไปเองครับ! เดี๋ยวผมพาไป!”
จากนั้นบอดี้การ์ดก็ค่อยๆ ลุกขึ้นมาอย่างยากลำบาก แล้วก้มหน้าก้มตาเดินนำไป๋หยุนเผิงไปที่ประตูของวิลล่า เปิดประตูออก แล้วทำท่าส่งสัญญาณให้เข้าไปข้างใน
“เชิญครับ”
บอดี้การ์ดเป็นคนเดินนำ ไป๋หยุนเผิง ไป๋ยี่เฟย ซาเฟยหยาง เฉินอ้าวเจียวและคนอื่นๆ เดินตามอยู่ด้านหลัง รวมถึงเย่เจี่ยกับหลินขวางด้วย
พวกเขาเดินเข้าไปในลานหน้าบ้าน บอดี้การ์ดที่เฝ้าอยู่ด้านในก็หันมาเห็น เขาจึงรีบวิ่งเข้ามา แล้วชี้มาทางกลุ่มคนพร้อมกับถามว่า “พวกแกเป็นใคร?”
“หลีกไป!”
ไป๋หยุนเผิงพูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์
บอดี้การ์ดคนนั้นน่าจะเคยเห็นไป๋หยุนเผิงมาก่อน เพราะทันทีที่เห็นว่าเป็นใคร เขาก็รีบหลบไปทันที
เมื่อไม่มีคนเข้ามาขวาง คนกลุ่มนี้ก็พากันเดินเข้าไปในห้องใต้ดิน
ส่วนไป๋ยี่เฟยนั้นรู้สึกประหลาดใจมาตลอดทาง
ประหลาดใจกับออร่าที่ไป๋หยุนเผิงปล่อยออกมา
ตลอดทางที่เดินมา ไป๋หยุนเผิงนั้นดูน่าเกรงขามมาก เห็นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา ถ้าเทียบกับไป๋หยุนเผิงในตอนนี้ ไป๋ยี่เฟยก็ดูมีเมตตาขึ้นมาทันที เพราะต่อให้เป็นศัตรู เขาก็ยังเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้อธิบายก่อน แต่ก็มีบางครั้งที่เป็นข้อยกเว้นเหมือนกัน
แต่ไป๋หยุนเผิงนั้นไม่ เพราะมันไม่จำเป็น
ไม่ว่าคุณจะมีข้อแก้ตัวอะไร มีเหตุผลอะไร หรือเป็นใครก็ตาม ขอแค่มาขวางทางฉัน หรือทำตามเป้าหมายที่ฉันต้องการ ถ้าไม่หลีกทาง ก็มีแต่ต้องตายเท่านั้น
มันแค่ง่ายๆ และหยาบคายแบบนั้นเอง
แต่พอมาถึงที่ห้องใต้ดิน บอดี้การ์ดก็ต้องอึ้งไป
เพราะตรงทางเดินที่จะไปยังห้องใต้ดิน ได้มีศพของคนที่ชื่อเสี่ยวชีนอนอยู่ มีดยังปังคาอกอยู่ ตลอดทางเดินอบอวลไปด้วยกลิ่นคาวเลือด
พอเห็นแบบนั้นเข้า ทุกคนต่างก็พากันตกใจทันที
โดยเฉพาะหลินขวาง เขาเดินเข้าไปหายร่างของเสี่ยวชี ดูอย่างละเอียด แล้วพูดขึ้นว่า “คนติดตามของอาสาม เขาตายแล้ว”
เย่เจี่ยพยักหน้าเบาๆ แล้วพูดอย่างไตร่ตรองว่า “ดูแล้วน่าจะเกิดความขัดแย้งขึ้นภายใน”
“ตระกูลหูกับตระกูลจูนั้นอยู่ภายใต้การดูแลของอาสาม ถ้าบอกว่าเรื่องนี้ตระกูลหูกับตระกูลจูเป็นคนทำ ถ้าอย่างนั้นอาสามก็ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องแน่นอน”
“แต่ตอนนี้ดูแล้ว ตระกูลหูกับตระกูลจูน่าจะเป็นคนจับตัวพี่สะใภ้มา แต่อาสามไม่เห็นด้วย พวกเขาจึงขัดแย้งกัน ส่วนเสี่ยวชีก็น่าจะถูกหูเฟยหงกับจูฉวนอู่ฆ่าตาย”
หลินขวางดึงมีดที่ปักอยู่ตรงอกของเสี่ยวชีออกมาอย่างระมัดระวังจากนั้นก็ส่งมันให้ลูกน้องคนหนึ่ง พร้อมกับพูดว่า “เอาไปตรวจสอบลายนิ้วมือ ดูซิว่าพวกเขาเป็นคนทำรึเปล่า”
“ครับ” ลูกน้องคนนั้นเดินจากไปทันที
จากนั้นคนทั้งกลุ่มก็เดินต่อไป
พอประตูของห้องใต้ดินเปิดออก ทุกคนก็พากันพุ่งเข้าไปด้านใน
ทว่า ภายในนั้นกลับว่างเปล่า
พอเห็นแบบนั้น บอดี้การ์ดที่นำทางมาก็คุกเข่าลงทันที แล้วพูดออกมาอย่างหวาดกลัวว่า “นายท่าน นายท่านทุกคนผมไม่ได้พามาผิดนะครับ ก่อนหน้านี้ผู้หญิงคนนั้นถูกขังอยู่ในห้องนี้จริงๆ ผมสาบานได้เลยว่ามันเป็นความจริง!”
ทันใดนั้น บอดี้การ์ดก็นึกขึ้นได้ “จริงด้วย ห้องใต้ดินยังมีเส้นทางอีกเส้นครับ”
เส้นทางอีกเส้นเหรอ?