แต่บางเรื่องเราก็ไม่มีไฟล์แล้วเหมือนกัน
ทันใดนั้น ไป๋ยี่เฟยก็มีความคิดอย่างหนึ่งขึ้นมา
“เรื่องที่ใช้ตัวเข้าแลก ฉันรู้สึกว่าสามารถลองใคร่ครวญดูได้” ไป๋ยี่เฟยกล่าวกับเจิ้งหยู่ยานยิ้มๆ
เจิ้งหยู่ยานเห็นไป๋ยี่เฟยท่าทางไม่คล้ายกับล้อเล่น ก็พลันลนลานทันที โบกมือติดๆ กันก่อนจะกล่าวว่า “ไม่ๆๆ คุณอา ความหมายของฉันคือจะให้คุณแกล้งเป็นแฟนฉันต่างหาก เพื่อเกทับทางฝั่งพ่อฉัน ถ้าพ่อฉันจะให้ฉันแต่งงานกับคุณจริงๆ พวกเราก็จะแต่งกันหลอกๆ คุณเข้าใจความหมายของฉันใช่ไหมคะ?”
“ถึงเวลาฉันจะต้องตอบแทนคุณอย่างงามแน่นอน”
ไป๋ยี่เฟยนับว่าเข้าใจขึ้นมาแล้ว เจิ้งหยู่ยานแค่ต้องการที่หลบภัยสักแห่ง หรือก็คือโล่กำบังนั่นเอง ก็เลยบังเอิญมาหมายตาตนเองใช่หรือไม่
นี่ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะไม่มองผู้หญิงตรงหน้านี้ใหม่เสียแล้ว
เจิ้งหยู่ยานยังอายุไม่มาก แต่ใบหน้ากลับแต่งแต้มเครื่องสำอางหนาเตอะ จึงไม่สามารถมองเห็นหน้าตาของเธอได้ชัดเจนทั้งหมด
จู่ๆ ไป๋ยี่เฟยก็กล่าวยิ้มๆ ว่า “แล้วเธอจะตอบแทนฉันยังไง?”
“ให้เงินคุณไงคะ!” เจิ้งหยู่ยานกล่าวอย่างเป็นธรรมชาติ
ไป๋ยี่เฟยกล่าวขึ้นอีกว่า “เธอรู้สึกว่าฉันดูเป็นคนไม่มีเงินงั้นเหรอ?”
“เปล่าค่ะ” เจิ้งหยู่ยานส่ายหน้า “ตอนคุณอยู่ที่ผับบอกว่าต้องการจะเลี้ยงเหล้าพวกพี่จาง คุณจะต้องไม่ขาดเงินแน่”
ไป๋ยี่เฟยยักไหล่ “ดังนั้นเธอจึงรู้สึกว่าฉันจะสนใจเงินแค่นั้นของเธอเหรอ?”
แต่เจิ้งหยู่ยานกลับยิ้ม แล้วชี้ไปที่บ้านใหญ่ของตระกูลเจิ้งพร้อมกับพูดว่า “คุณมีเงินน่ะมีเงิน แต่ต่อให้คุณมีเงินแค่ไหนยังจะสามารถมีเงินมากกว่าตระกูลเราได้หรือ?”
“อีกทั้งยิ่งเป็นคนมีเงิน ก็ยิ่งไม่ถือสาว่าจะมีเงินมาก คุณว่าจริงไหม?”
มองสีหน้าท่าทางของเจิ้งหยู่ยาน ราวกับคว้าจับความคิดของไป๋ยี่เฟยได้อย่างแม่นยำ
ไป๋ยี่เฟยเห็นเช่นนี้ก็ยิ้มออกมา ถือโอกาสพูดตามน้ำไปด้วย “เธอพูดได้ถูกต้อง ไม่มีใครไม่ชอบเงิน”
เจิ้งหยู่ยานได้ยินคำนี้ก็ยิ้มแย้ม ทำท่าทางราวกับมันก็เป็นเช่นนี้แหละ จากนั้นก็พูดว่า “อย่างนั้นคุณก็รับปากแล้ว?”
ไป๋ยี่เฟยพยักหน้าก่อนจะกล่าวอีกว่า “อย่างนั้นพวกเราจะไปพบพ่อเธอเดี๋ยวนี้เลยไหม?”
“เดี๋ยวนี้?” เจิ้งหยู่ยานประหลาดใจเป็นอย่างมาก “ทำไมคุณร้อนใจยิ่งกว่าฉันอีก?”
ไป๋ยี่เฟยกล่าวขึ้นยิ้มๆ ว่า “ย่อมเป็นเพราะฉันอยากจะจับก้อนทองจนแทบจะรอคอยไม่ไหว”
เจิ้งหยู่ยานได้ยินก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพียงแค่พูดว่า “อย่างนั้นคุณรอฉันเดี๋ยว ฉันจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้า”
“ใส่ชดนี้ไม่ได้เหรอ?” ไป๋ยี่เฟยถาม
เจิ้งหยู่ยานถลึงตาใส่ไป๋ยี่เฟยแวบหนึ่ง “หากให้พ่อฉันเห็น จะต้องตีฉันตายแน่!”
พอกล่าวจบ เจิ้งหยู่ยานก็หมุนตัววิ่งเข้าไปในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งที่อยู่ในละแวกนั้น
ไป๋ยี่เฟยเห็นเธอกุลีกุจอวิ่งเข้าไป ก็อดส่ายศีรษะไม่ได้ “ที่จริงมันก็ดีอยู่นะ”
ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง สาวสวยในชุดเดรสลายดอกไม้สีขาวคนหนึ่งก็เดินออกมา เธอเดินมาหยุดตรงหน้าไป๋ยี่เฟย จากนั้นก็เอื้อมมือมาคล้องแขนเขาไว้ “คุณอา พวกเราไปกันเถอะค่ะ”
ไป๋ยี่เฟยชะงักไป
ผู้หญิงที่ดูสวยบริสุทธิ์ราวกับดอกบัวสีขาวคนนี้ ถึงกับเป็นเจิ้งหยู่ยานที่แต่งหน้าหนาเตอะคนเมื่อกี้!
แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ไม่ได้ทำให้ไป๋ยี่เฟยประหลาดใจที่สุด สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจที่สุดคือ เพราะการที่เขาพบว่าผู้หญิงคนนี้หน้าตาเหมือนกับเหลียงยู่มาก
ไม่ใช่แค่เหมือนเพียงไม่กี่ส่วน แต่เหมือนราวกับฝาแฝดเลยทีเดียว
ทั้งสองคนเหมือนกันมากเกินไปจริงๆ เขาแทบจะมีความรู้สึกแบบเดียวกับที่มองเหลียงยู่
ไป๋ยี่เฟยอดไม่ได้ที่จะคิดถึงคนเหล่านี้ขึ้นมา
เหมือนกันได้ถึงขนาดนี้ จะต้องมีความเกี่ยวข้องกันอย่างแน่นอน เห็นทีความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาดูจะไม่ธรรมดาเสียแล้ว
ทั้งสองคนเดินไปยังบ้านใหญ่ตระกูลเจิ้งพร้อมกัน
ตอนที่เดินไปถึงหน้าประตู คนที่มีหน้าที่เฝ้าประตูก็รีบก้มหน้าทักทาย “คุณหนูรอง”
แต่สายตาของพวกเขาต่างมองไปที่ไป๋ยี่เฟย จากนั้นก็ทำสีหน้าแปลกใจ
เจิ้งหยู่ยานไม่ได้สนใจ เธอเกี่ยวแขนของไป๋ยี่เฟยไว้ เดินเข้าไปด้วยความสง่างามเป็นอย่างยิ่ง
คนเหล่านั้นเห็นคนเดินจากไปแล้ว ก็กระซิบกระซาบกันเสียงต่ำ
“คนคนนั้นเป็นใครกัน?”
“ท่าทางพวกเขาดูสนิทสนมกันมาก”
“แต่ผู้ชายคนนั้นน่าจะอายุสี่สิบได้แล้วนะ?”
พร้อมกับที่พวกเขาเดินเข้าไป ยังไม่ทันเดินผ่านจุดใดก็ได้ยินคำวิจารณ์เสียงเบาเช่นนี้หมดแล้ว
ไป๋ยี่เฟยไม่ได้สนใจเช่นเดียวกัน และลอบสังเกตสภาพแวดล้อมโดยรอบของบ้านใหญ่ตระกูลเจิ้ง
พวกเขาทะลุผ่านระเบียงทางเดินก่อน จากนั้นค่อยเข้าไปทางประตูใหญ่บานหนึ่ง ทั้งสองด้านของประตูล้วนมีคนเฝ้ายามอยู่
จากนั้นก็เข้าไปในห้องโถงอันโอ่อ่า แล้วมาหยุดยืนอยู่ตรงลิฟต์ ก่อนจะกดไปที่ลิฟต์
หลังจากขึ้นลิฟต์แล้ว พวกเขาก็กดมาที่ชั้นบนสุด ที่นี่คือสถานที่ทำงานของประมุขบ้านตระกูลเจิ้ง
โดยจะเห็นได้ว่า เขตที่สองแตกต่างกับเขตอื่นๆ อย่างมาก
บ้านใหญ่หลังนี้เหมือนกับอาคารบริษัทแห่งหนึ่ง ไม่เหมือนกับบ้านใหญ่ตระกูลจาง บ้านใหญ่ตระกูลหงอะไรนั่นของก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง
ไป๋ยี่เฟยเดาว่าเมื่อก่อนตอนที่เจิ้งซงมาที่หลันเต่าน่าจะเป็นนักธุรกิจคนหนึ่ง
สุดท้ายลิฟต์ก็มาหยุดที่ชั้นยี่สิบแปดชั้นบนสุด
พวกเขาเพิ่งจะเดินออกมาจากลิฟต์ ก็เห็นหญิงสาวในชุดเซ็กซี่คนหนึ่งเดินเข้ามาหา โดยมีบอดี้การ์ดในชุดเครื่องแบบสองคนกำลังเดินตามอยู่ด้านหลังของเธอ
หลังผู้หญิงคนนั้นเห็นไป๋ยี่เฟยกับเจิ้งหยู่ยาน ก็ชะงักไปเล็กน้อยก่อน จากนั้นก็พูดยิ้มๆ ด้วยท่าทางเกินจริงว่า “ตายจริง นี่มันคุณหนูรองตระกูลเจิ้งไม่ใช่เหรอ?”
หลังพูดจบก็พูดกับบอดี้การ์ดคนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังว่า “ยังไม่รีบไปแจ้งเจ้าบ้านอีก บอกว่าคุณหนูรองกลับมาแล้ว?”
บอดี้การ์ดรีบพยักหน้าทันที จากนั้นก็หมุนตัวจากไป
ผู้หญิงคนนั้นยิ้มแย้ม ก่อนที่สายตาจะหยุดลงบนตัวไป๋ยี่เฟย “หยู่ยานจ๊ะ เขาคือ……อ้อ จริงสิ หรือว่าเขาก็คือผู้ชายที่เธอกำลังตามหาอยู่ข้างนอกใช่ไหม?”
“ดูท่าจะอายุสี่สิบกว่าแล้ว ก็เหมาะสมกับเธอดีนะ”
ไป๋ยี่เฟยสังเกตเห็นได้ทันที สองคนนี้เกรงว่าจะไม่ถูกกัน กำลังคิดจะพูดอะไรบางอย่าง เจิ้งหยู่ยานก็เอ่ยปากขึ้นมาก่อน ถามด้วยสีหน้าสงสัยว่า “พี่สะใภ้ คุณได้กลิ่นอะไรแปลกๆ ไหม?”
พอผู้หญิงคนนั้นได้ยินคำพูดนี้ ก็อดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้ “ไม่นี่ เธอได้กลิ่นอะไร?”
“อย่างนั้นพี่สะใภ้ได้ฉีดน้ำหอมหรือเปล่า วันนี้คุณใช้น้ำหอมอะไร?” เจิ้งหยู่ยานถามด้วยหน้าไร้เดียงสา
ผู้หญิงคนนั้นรีบตอบทันที “น้ำหอมของดิออร์ ทำไมเหรอ?”
เจิ้งหยู่ยานกลับไม่ได้ตอบคำถามของผู้หญิงคนนั้น แต่พูดกับไป๋ยี่เฟยแทนว่า “ขอแนะนำให้คุณรู้จัก นี่คือพี่สะใภ้ฉันเองค่ะ ปกติเธอมักจะพูดจาประหลาดพิกลเช่นนี้ ฟังแล้วนึกอยากจะตีคนขึ้นมา”
“เธอ!” ผู้หญิงคนนี้ก็ได้ยินคำพูดนี้เช่นกัน จึงถลึงตาใส่เธออย่างเดือดดาลทันที
โดยที่เจิ้งหยู่ยานดึงไป๋ยี่เฟยเดินไปข้างหน้า จงใจพูดเหน็บแนมเธอว่า “น้ำหอมดิออร์พอมาอยู่บนตัวเธอแล้ว ทำไมถึงได้ฉุนขนาดนี้นะ?”
พอผู้หญิงคนนั้นได้ยินก็โกรธขึ้นมาในพริบตา “เจิ้งหยู่ยาน! หยุดให้ฉันเดี๋ยวนี้นะ!”
พอไป๋ยี่เฟยเห็นฉากที่เกิดขึ้นนี้ ในใจก็รู้สึกหดหู่
เจิ้งหยู่ยานทำตัวไม่เหมือนคนอายุยี่สิบกว่าปีเลยแม้แต่น้อย
เจิ้งหยู่ยานไม่สนใจเสียงร้องตะโกนของพี่สะใภ้ พาไป๋ยี่เฟยเดินมาหยุดตรงหน้าประตูใหญ่บานหนึ่ง จากนั้นก็ออกแรงผลักเปิดออก
หลังประตูเปิดออก ไป๋ยี่เฟยก็เห็นการตกแต่งที่อยู่ด้านใน
พื้นที่กว้างขวางมาก มีโต๊ะทำงานตัวหนึ่งครอบครองพื้นที่เป็นวงกว้าง ทั้งยังมีประตูสองบาน ประตูแต่ละบานล้วนมีบอดี้การ์ดในชุดเครื่องแบบสี่คนกำลังยืนอยู่
ผู้ที่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะทำงาน เป็นชายวัยกลางคนคนหนึ่งกำลังก้มหน้าอ่านบางอย่างอยู่บนโต๊ะ
นี่ก็คือเจิ้งซงบิดาของเจิ้งหยู่ยาน
พอเจิ้งซงเห็นเจิ้งหยู่ยานกลับมาก็ไม่ได้แสดงท่าทางดีใจออกมาเลยสักนิด ถึงขั้นเรียบเฉยอย่างยิ่งด้วยซ้ำ
เจิ้งหยู่ยานพาไป๋ยี่เฟยมาหยุดอยู่ตรงหน้าเจิ้งซง แล้วพูดกับเจิ้งซงว่า “คุณพ่อคะ เขาคือแฟนหนูค่ะ หนูจะแต่งงานกับเขา”
เจิ้งซงเพียงพยักหน้ามองไป๋ยี่เฟยแวบหนึ่ง หลังเห็นไป๋ยี่เฟยก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็ไม่มีท่าทีอะไรอีก ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบว่า “อืม ฉันรู้แล้ว”
เจิ้งหยู่ยานตกตะลึง “แค่นี้?”
“แสดงว่าพ่อแค่อยากจะให้หนูแต่งออกไป แต่คนที่หนูแต่งด้วยจะเป็นใครก็ไม่สำคัญ ต่อให้เป็นคุณอาคนหนึ่งก็ไม่ว่าอะไรใช่ไหมคะ?”
เจิ้งซงตอบเสียงเรียบ “แกโตแล้ว ควรจะรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร ฉันไม่จำเป็นต้องไปก้าวก่ายแก”
เจิ้งหยู่ยานหน้าง้ำทันที “แล้วทำไมพ่อต้องบีบให้หนูแต่งงานกับคนอื่นด้วย?”
“คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็แค่อยากจะให้ลูกสาวของตัวเองแต่งงานไม่ใช่หรอกเหรอ?” เจิ้งซงตอบเสียงราบเรียบ
เจิ้งหยู่ยานโกรธเป็นอย่างมาก “หนูไม่พูดกับพ่อแล้ว ฮึ!”
พูดจบเธอก็พาไป๋ยี่เฟยจากไป