AST
บทที่1809 – โฮ่วเฟิง ผู้โง่เขลา
ชิงสุ่ยใช้เวลาที่เหลือส่วนใหญ่อยู่ภายในบ้านเขารู้ว่าเขาจะต้องไม่จากไปไหนเพราะว่าอีกไม่นานศิษย์พี่ศิษย์น้องของเฉินหวงอาจจะมาตามหาเขา ใครจะไปคาดเดาได้ว่าทั้งสองคนที่จะมาเป็นคนประเภทใด?
ในวันรุ่งขึ้นช่วงเที่ยงในที่สุดสิ่งที่ชิงสุ่ยรอคอยก็มาถึง ชิงสุ่ยมองเห็นคนที่มีลักษณะคล้ายวัยกลางคนช่วงต้นปรากฏกายยจากสถานที่ที่ห่าง
หากเทียบจากคำอธิบายของเฉินหวงเขาสามารถระบุตัวตนได้ทันทีว่าทั้งสองคนจะต้องเป็นโฮ่วเฟิง และจินเฟิง
ที่สำคัญกลิ่นอายที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างกายของทั้งสองคนเป็นกลิ่นอายที่น่ากลัวอย่างเด่นชัดชิงสุ่ยไม่สามารถบ่งบอกชนิดของกลิ่นอายได้ แต่ความรู้สึกของเขาบ่งบอกว่าทั้งสองคนไม่ได้มีความแข็งแกร่งเทียบเท่าเฉินหวง
จากจุดที่เขายืนเขาสามารถพิจารณาพลังทั้งสองคนได้อย่างคร่าวๆถ้าหากไม่มีอะไรนอกเหนือจากสิ่งที่เขาคาดการณ์ พลังของทั้งสองควรจะอยู่ที่ประมาณ 400,000 เต๋า และอาจสูงสุดที่พลัง 450,000 เต๋า
ส่วนทางด้านของชิงสุ่ยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขามีค่าประมาณ340,000 เต๋า ซึ่งถ้าหากรวมพลังปราณแล้วจะมีค่าประมาณ 450,000 เต๋าเช่นกัน อย่างไรก็ตามชิงสุ่ยก็ไม่ได้วิตกกังวล ถ้าหากเกิดการต่อสู้จริงๆและจำเป็นต้องสังหารทั้งสองคน เขาสามารถระเบิดพลังสูงสุดอยู่ที่ 2,000,000 เต๋าซึ่งมากพอที่จะฆ่าทั้งสองคนให้กลายเป็นเพียงแค่ฝุ่นผงในพริบตา
ชายทั้งสองคนมีรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูดีพวกเขามีดวงตาที่ลึกซึ้งเต็มไปด้วยเสน่ห์มากมาย จำนวนอายุไม่ได้สร้างริ้วรอยหรือร่องรอยใดให้เห็นบนใบหน้า
ชายหนุ่มทั้งสองคนสูงกว่าชิงสุ่ยเพียงแค่เล็กน้อยหรืออาจจะสูงกว่าเพียงแค่ประมาณ 1 นิ้วเท่านั้น
”เจ้าคงจะเป็นชิงสุ่ยใช่หรือไม่?”ชายที่สวมชุดคลุมสีทองคำกล่าวจากลักษณะภายนอกตามข้อมูลที่ได้รับ เขาจะต้องเป็นจินเฟิง
ส่วนชายอีกคนนึงที่สวมเสื้อคลุมสีแดงเข้มคงเป็นใครอื่นไม่ได้นอกจากโฮ่วเฟิง แน่นอนว่าชิงสุ่ยย่อมต้องไม่รู้วัตถุประสงค์ว่าทำไมสองคนนี้ถึงมาหาเขา
”แล้วพวกเจ้าล่ะ?”ชิงสุ่ยไม่ตอบคำถามแต่เลือกที่จะถามคำถามกลับไป
เขาไม่ค่อยชอบคนที่มาถามคำถามผู้อื่นทั้งที่ยังไม่เคยพบหน้ากันนอกจากนี้น้ำเสียงที่พวกเขาใช้มันเหมือนกับตำรวจที่กำลังสอบสวนผู้ต้องสงสัย ยิ่งทำให้เขารู้สึกไม่ดีและไม่อยากจะตอบคำถาม
เห็นได้ชัดเจนว่าคำตอบของชิงสุ่ยทำให้พวกเขารู้สึกไม่พอใจอย่างมาก จากนั้นชายในชุดคลุมสีทองก็กล่าวอย่างเชื่องช้าว่า “ข้ามีนามว่าจินเฟิง ส่วนทางนั้นคือโฮ่วเฟิง ข้าเชื่อว่าเจ้าจะต้องรู้เรื่องราวของพวกข้าอยู่แล้วใช่หรือไม่?”
หลังจากคิดเล็กน้อยชิงสุ่ยก็ตอบกลับอย่างรวดเร็ว ” ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับพวกเจ้าเลย”
คำตอบของชิงสุ่ยทำให้ทั้งสองคนรู้สึกกระอักกระอ่วนโฮ่วเฟิงและจินเฟิงเป็นคนที่มีชื่อเสียงอย่างมากภายในมหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำ มันยิ่งทำให้พวกเขาคิดว่าเมื่อพวกเขาบอกชื่อของตัวเองออกไป การแสดงออกของชิงสุ่ยจะต้องเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือ
”ถ้าหากเจ้าไม่เคยได้ยินชื่อของพวกเรามาก่อน ก็ถือซะว่าเจ้าได้ยินตอนนี้แล้วกัน ข้าขอถามว่าเจ้าคือชิงสุ่ยใช่หรือไม่?”โฮ่วเฟิงเริ่มจะหมดความอดทน
”พวกเจ้ามาที่นี่เพื่อสิ่งใด?ข้าเชื่อว่ามันคงไม่ใช่การเดินทางมาเพื่อเล่นสนุก”ชิงสุ่ยตอบกลับ ”พวกเราแค่อยากจะดูหน้าคนที่ศิษย์น้องของพวกเราเชิญเข้าร่วมกลุ่มแล้วพวกเรามาที่นี่เพื่อแจ้งให้เจ้าทราบถึงสิ่งหนึ่ง”ในตอนนี้โฮ่วเฟิง และจินเฟิง เริ่มพูดจาด้วยน้ำเสียงที่ดูไม่เป็นมิตร
แต่ชิงสุ่ยก็ยิ้มแล้วตอบกลับไปว่า”ข้าขอเดาว่าพวกเจ้าคงอยากให้ข้าออกจากภาคีวิหคอัคคีเทวะ และห้ามไม่ให้ไปเจอเธออีกใช่หรือไม่”
”เจ้าเป็นคนฉลาดจริงๆพูดกับคนฉลาดทำให้เรื่องง่ายขึ้น”โฮ่วเฟิงตกตะลึงอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะกล่าวด้วยความดีใจ
”มีสิ่งหนึ่งที่ข้าอยากรู้จริงๆตอนที่พวกเจ้าสองคนพยายามบีบบังคับให้คนอื่นออกจากภาคีวิหคอัคคีเทวะ พวกเจ้าทำคนเหล่านั้นตายไปแล้วกี่คน?”ชิงสุ่ยกล่าวถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
”เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเจ้าแต่สิ่งที่เจ้าต้องทำคือทำตามคำพูดของข้า มิฉะนั้นเจ้าจะกลายเป็นรายต่อไป”โฮ่วเฟิงกลับมาพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจอีกครั้ง
ชิงสุ่ยจ้องมองโฮ่วเฟิงเขาสังเกตได้ว่าชายคนนี้มีความเป็นตัวเองสูง อาจเป็นเพราะว่าเขาครอบครองพลังที่แข็งแกร่ง จึงจะทำทุกอย่างด้วยความโง่เขลาแตกต่างจากจินเฟิงที่ยังคงยืนสงบนิ่ง
”ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าทำไมพวกเจ้าถึงไม่สมหวังในความรักเพราะคนประเภทนี้ก็ทำไปด้วยความโง่เขลา ยึดมั่นแล้วคิดว่าตัวเองคือศูนย์รวมจักรวาล เจ้าไม่แปลกใจในการกระทำที่ดูโง่เง่าของตัวเองบ้างรึ?”ชิงสุ่ยกล่าวคำพูดโดยตรงกับโฮ่วเฟิง
”เจ้ากล้าเรียกพวกเราว่าคนโง่อย่างนั้นรึ?สงสัยเจ้าจะไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกแล้ว เจ้าคิดจริงๆหรอว่า นางจะปกป้องเจ้าไปได้ตลอด”จินเฟิงกล่าว
โฮ่วเฟิงกำลังจะทำอะไรบางอย่างแต่ก็ถูกขัดจังหวะโดยจินเฟิง
ตัวตนของโฮ่วเฟิงนั้นมีนิสัยหุนหันพลันแล่นเขาชอบแก้ปัญหาด้วยกำลัง แม้จะดูเป็นคนแข็งทื่อ แต่เขาก็ไม่ได้โง่ และก็ไม่ได้ชอบเข้าสังคม ด้วยความคิดที่เรียกง่าย แต่ทำอะไรสุดโต่ง มันจึงนำพาให้เขามาประสบความสำเร็จจนถึงทุกวันนี้
”การมีชีวิตอยู่ของข้าไม่ได้ขึ้นอยู่กับพวกเจ้าและข้าก็ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาปกป้องข้า ข้าพร้อมจะรับมือพวกเจ้าทั้งสองคน แต่พวกเราก็คงไม่คณามือข้า”ชิงสุ่ยกล่าวอย่างเรียบง่าย แต่ก็ยังคงทัศนคติในทางดีมากกว่าทางลบ
”โอ้ดูเหมือนเจ้าจะแสดงท่าทีใหญ่โตเพราะคิดว่าตัวเองแข็งแกร่งมากสินะ คิดว่าตัวเองได้เป็นสมาชิกของกลุ่มภาคีวิหคอัคคีเทวะ แล้วจะอยู่อย่างสบายไม่มีใครกล้าท้าประลองกับเจ้าใช่หรือไม่?”จินเฟิงชี้นิ้วขณะกล่าวถาม
การกระทำของเขาค่อนข้างจะสร้างความประทับใจให้กับชิงสุ่ย”ก็แล้วแต่เจ้าจะคิด”
ทั้ง3 คนค่อยๆลอยขึ้นไปเหนือท้องฟ้า สูงกว่า 100 กิโลเมตร สภาพแวดล้อมบนชั้นฟ้ากว้างใหญ่ไพศาลไร้ขอบเขต ที่ที่พวกเขาอยู่อยู่เหนือเมฆจึงมองเห็นรอบข้างได้โดยชัดเจน แต่ก็ยังอยู่ภายใต้แรงโน้มถ่วงของโลก ดาวเคราะห์ของโลกเก้ามหาทวีปใบนี้มีขนาดใหญ่โตมโหฬาร และแรงโน้มถ่วงของมันก็ไม่อาจอ้างอิงมาจากโลกมนุษย์ได้ เพราะยิ่งสูงจากพื้นดิน แรงโน้มถ่วงก็จะยิ่งมาก
”พวกเจ้าวางแผนจะเข้ามาทีละคนหรือจะเข้ามาทีเดียวพร้อมกัน?”ชิงสุ่ยยิ้มขณะกล่าวถาม
”ข้าจะเป็นคนจัดการเจ้าเองและมันก็ไม่ได้อยู่ในขอบเขตที่พวกเราจะต้องลงมือสังหารเจ้า ในความจริงเราทั้งสองฝ่ายต่างไม่เคยมีเรื่องโกรธแค้นขุนเคืองอะไรกันมาก่อน แต่ครั้งนี้ข้าจะเป็นคนสอนเจ้าเองว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เจ้าคิดว่าตัวเองแข็งแกร่งแล้วย่อมมีคนที่แข็งแกร่งกว่าเจ้า ตัวของเจ้านั้นหยิ่งยโสเกินไป”โฮ่วเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
บทที่1809 – โฮ่วเฟิง ผู้โง่เขลา
ชิงสุ่ยใช้เวลาที่เหลือส่วนใหญ่อยู่ภายในบ้านเขารู้ว่าเขาจะต้องไม่จากไปไหนเพราะว่าอีกไม่นานศิษย์พี่ศิษย์น้องของเฉินหวงอาจจะมาตามหาเขา ใครจะไปคาดเดาได้ว่าทั้งสองคนที่จะมาเป็นคนประเภทใด?
ในวันรุ่งขึ้นช่วงเที่ยงในที่สุดสิ่งที่ชิงสุ่ยรอคอยก็มาถึง ชิงสุ่ยมองเห็นคนที่มีลักษณะคล้ายวัยกลางคนช่วงต้นปรากฏกายยจากสถานที่ที่ห่าง
หากเทียบจากคำอธิบายของเฉินหวงเขาสามารถระบุตัวตนได้ทันทีว่าทั้งสองคนจะต้องเป็นโฮ่วเฟิง และจินเฟิง
ที่สำคัญกลิ่นอายที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างกายของทั้งสองคนเป็นกลิ่นอายที่น่ากลัวอย่างเด่นชัดชิงสุ่ยไม่สามารถบ่งบอกชนิดของกลิ่นอายได้ แต่ความรู้สึกของเขาบ่งบอกว่าทั้งสองคนไม่ได้มีความแข็งแกร่งเทียบเท่าเฉินหวง
จากจุดที่เขายืนเขาสามารถพิจารณาพลังทั้งสองคนได้อย่างคร่าวๆถ้าหากไม่มีอะไรนอกเหนือจากสิ่งที่เขาคาดการณ์ พลังของทั้งสองควรจะอยู่ที่ประมาณ 400,000 เต๋า และอาจสูงสุดที่พลัง 450,000 เต๋า
ส่วนทางด้านของชิงสุ่ยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขามีค่าประมาณ340,000 เต๋า ซึ่งถ้าหากรวมพลังปราณแล้วจะมีค่าประมาณ 450,000 เต๋าเช่นกัน อย่างไรก็ตามชิงสุ่ยก็ไม่ได้วิตกกังวล ถ้าหากเกิดการต่อสู้จริงๆและจำเป็นต้องสังหารทั้งสองคน เขาสามารถระเบิดพลังสูงสุดอยู่ที่ 2,000,000 เต๋าซึ่งมากพอที่จะฆ่าทั้งสองคนให้กลายเป็นเพียงแค่ฝุ่นผงในพริบตา
ชายทั้งสองคนมีรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูดีพวกเขามีดวงตาที่ลึกซึ้งเต็มไปด้วยเสน่ห์มากมาย จำนวนอายุไม่ได้สร้างริ้วรอยหรือร่องรอยใดให้เห็นบนใบหน้า
ชายหนุ่มทั้งสองคนสูงกว่าชิงสุ่ยเพียงแค่เล็กน้อยหรืออาจจะสูงกว่าเพียงแค่ประมาณ 1 นิ้วเท่านั้น
”เจ้าคงจะเป็นชิงสุ่ยใช่หรือไม่?”ชายที่สวมชุดคลุมสีทองคำกล่าวจากลักษณะภายนอกตามข้อมูลที่ได้รับ เขาจะต้องเป็นจินเฟิง
ส่วนชายอีกคนนึงที่สวมเสื้อคลุมสีแดงเข้มคงเป็นใครอื่นไม่ได้นอกจากโฮ่วเฟิง แน่นอนว่าชิงสุ่ยย่อมต้องไม่รู้วัตถุประสงค์ว่าทำไมสองคนนี้ถึงมาหาเขา
”แล้วพวกเจ้าล่ะ?”ชิงสุ่ยไม่ตอบคำถามแต่เลือกที่จะถามคำถามกลับไป
เขาไม่ค่อยชอบคนที่มาถามคำถามผู้อื่นทั้งที่ยังไม่เคยพบหน้ากันนอกจากนี้น้ำเสียงที่พวกเขาใช้มันเหมือนกับตำรวจที่กำลังสอบสวนผู้ต้องสงสัย ยิ่งทำให้เขารู้สึกไม่ดีและไม่อยากจะตอบคำถาม
เห็นได้ชัดเจนว่าคำตอบของชิงสุ่ยทำให้พวกเขารู้สึกไม่พอใจอย่างมาก จากนั้นชายในชุดคลุมสีทองก็กล่าวอย่างเชื่องช้าว่า “ข้ามีนามว่าจินเฟิง ส่วนทางนั้นคือโฮ่วเฟิง ข้าเชื่อว่าเจ้าจะต้องรู้เรื่องราวของพวกข้าอยู่แล้วใช่หรือไม่?”
หลังจากคิดเล็กน้อยชิงสุ่ยก็ตอบกลับอย่างรวดเร็ว ” ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับพวกเจ้าเลย”
คำตอบของชิงสุ่ยทำให้ทั้งสองคนรู้สึกกระอักกระอ่วนโฮ่วเฟิงและจินเฟิงเป็นคนที่มีชื่อเสียงอย่างมากภายในมหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำ มันยิ่งทำให้พวกเขาคิดว่าเมื่อพวกเขาบอกชื่อของตัวเองออกไป การแสดงออกของชิงสุ่ยจะต้องเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือ
”ถ้าหากเจ้าไม่เคยได้ยินชื่อของพวกเรามาก่อน ก็ถือซะว่าเจ้าได้ยินตอนนี้แล้วกัน ข้าขอถามว่าเจ้าคือชิงสุ่ยใช่หรือไม่?”โฮ่วเฟิงเริ่มจะหมดความอดทน
”พวกเจ้ามาที่นี่เพื่อสิ่งใด?ข้าเชื่อว่ามันคงไม่ใช่การเดินทางมาเพื่อเล่นสนุก”ชิงสุ่ยตอบกลับ ”พวกเราแค่อยากจะดูหน้าคนที่ศิษย์น้องของพวกเราเชิญเข้าร่วมกลุ่มแล้วพวกเรามาที่นี่เพื่อแจ้งให้เจ้าทราบถึงสิ่งหนึ่ง”ในตอนนี้โฮ่วเฟิง และจินเฟิง เริ่มพูดจาด้วยน้ำเสียงที่ดูไม่เป็นมิตร
แต่ชิงสุ่ยก็ยิ้มแล้วตอบกลับไปว่า”ข้าขอเดาว่าพวกเจ้าคงอยากให้ข้าออกจากภาคีวิหคอัคคีเทวะ และห้ามไม่ให้ไปเจอเธออีกใช่หรือไม่”
”เจ้าเป็นคนฉลาดจริงๆพูดกับคนฉลาดทำให้เรื่องง่ายขึ้น”โฮ่วเฟิงตกตะลึงอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะกล่าวด้วยความดีใจ
”มีสิ่งหนึ่งที่ข้าอยากรู้จริงๆตอนที่พวกเจ้าสองคนพยายามบีบบังคับให้คนอื่นออกจากภาคีวิหคอัคคีเทวะ พวกเจ้าทำคนเหล่านั้นตายไปแล้วกี่คน?”ชิงสุ่ยกล่าวถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
”เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเจ้าแต่สิ่งที่เจ้าต้องทำคือทำตามคำพูดของข้า มิฉะนั้นเจ้าจะกลายเป็นรายต่อไป”โฮ่วเฟิงกลับมาพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจอีกครั้ง
ชิงสุ่ยจ้องมองโฮ่วเฟิงเขาสังเกตได้ว่าชายคนนี้มีความเป็นตัวเองสูง อาจเป็นเพราะว่าเขาครอบครองพลังที่แข็งแกร่ง จึงจะทำทุกอย่างด้วยความโง่เขลาแตกต่างจากจินเฟิงที่ยังคงยืนสงบนิ่ง
”ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าทำไมพวกเจ้าถึงไม่สมหวังในความรักเพราะคนประเภทนี้ก็ทำไปด้วยความโง่เขลา ยึดมั่นแล้วคิดว่าตัวเองคือศูนย์รวมจักรวาล เจ้าไม่แปลกใจในการกระทำที่ดูโง่เง่าของตัวเองบ้างรึ?”ชิงสุ่ยกล่าวคำพูดโดยตรงกับโฮ่วเฟิง
”เจ้ากล้าเรียกพวกเราว่าคนโง่อย่างนั้นรึ?สงสัยเจ้าจะไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกแล้ว เจ้าคิดจริงๆหรอว่า นางจะปกป้องเจ้าไปได้ตลอด”จินเฟิงกล่าว
โฮ่วเฟิงกำลังจะทำอะไรบางอย่างแต่ก็ถูกขัดจังหวะโดยจินเฟิง
ตัวตนของโฮ่วเฟิงนั้นมีนิสัยหุนหันพลันแล่นเขาชอบแก้ปัญหาด้วยกำลัง แม้จะดูเป็นคนแข็งทื่อ แต่เขาก็ไม่ได้โง่ และก็ไม่ได้ชอบเข้าสังคม ด้วยความคิดที่เรียกง่าย แต่ทำอะไรสุดโต่ง มันจึงนำพาให้เขามาประสบความสำเร็จจนถึงทุกวันนี้
”การมีชีวิตอยู่ของข้าไม่ได้ขึ้นอยู่กับพวกเจ้าและข้าก็ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาปกป้องข้า ข้าพร้อมจะรับมือพวกเจ้าทั้งสองคน แต่พวกเราก็คงไม่คณามือข้า”ชิงสุ่ยกล่าวอย่างเรียบง่าย แต่ก็ยังคงทัศนคติในทางดีมากกว่าทางลบ
”โอ้ดูเหมือนเจ้าจะแสดงท่าทีใหญ่โตเพราะคิดว่าตัวเองแข็งแกร่งมากสินะ คิดว่าตัวเองได้เป็นสมาชิกของกลุ่มภาคีวิหคอัคคีเทวะ แล้วจะอยู่อย่างสบายไม่มีใครกล้าท้าประลองกับเจ้าใช่หรือไม่?”จินเฟิงชี้นิ้วขณะกล่าวถาม
การกระทำของเขาค่อนข้างจะสร้างความประทับใจให้กับชิงสุ่ย”ก็แล้วแต่เจ้าจะคิด”
ทั้ง3 คนค่อยๆลอยขึ้นไปเหนือท้องฟ้า สูงกว่า 100 กิโลเมตร สภาพแวดล้อมบนชั้นฟ้ากว้างใหญ่ไพศาลไร้ขอบเขต ที่ที่พวกเขาอยู่อยู่เหนือเมฆจึงมองเห็นรอบข้างได้โดยชัดเจน แต่ก็ยังอยู่ภายใต้แรงโน้มถ่วงของโลก ดาวเคราะห์ของโลกเก้ามหาทวีปใบนี้มีขนาดใหญ่โตมโหฬาร และแรงโน้มถ่วงของมันก็ไม่อาจอ้างอิงมาจากโลกมนุษย์ได้ เพราะยิ่งสูงจากพื้นดิน แรงโน้มถ่วงก็จะยิ่งมาก
”พวกเจ้าวางแผนจะเข้ามาทีละคนหรือจะเข้ามาทีเดียวพร้อมกัน?”ชิงสุ่ยยิ้มขณะกล่าวถาม
”ข้าจะเป็นคนจัดการเจ้าเองและมันก็ไม่ได้อยู่ในขอบเขตที่พวกเราจะต้องลงมือสังหารเจ้า ในความจริงเราทั้งสองฝ่ายต่างไม่เคยมีเรื่องโกรธแค้นขุนเคืองอะไรกันมาก่อน แต่ครั้งนี้ข้าจะเป็นคนสอนเจ้าเองว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เจ้าคิดว่าตัวเองแข็งแกร่งแล้วย่อมมีคนที่แข็งแกร่งกว่าเจ้า ตัวของเจ้านั้นหยิ่งยโสเกินไป”โฮ่วเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง