เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven – บทที่ 356 เศษเสี้ยววิญญาณ

บทที่ 356 เศษเสี้ยววิญญาณ

บทที่ 356 เศษเสี้ยววิญญาณ
สามารถติดตามข่าวสารได้ที่แฟนเพจ: แปลได้แล้ว
“ไม่ได้ผลไม่ได้! มันยังไม่ได้ผล!”
ผ่านไปสิบสองชั่วโมงแล้วมีเวลาเพียงยี่สิบสี่ชั่วโมงและมันก็หมดไปครึ่งวันแล้วเจียงอี้ก็ยังไม่สามารถจับทิศทางของเวทย์มนตร์ได้เลย
หากมันเป็นทักษะการต่อสู้ระดับมนุษย์ธรรมดาหรือทักษะการต่อสู้ระดับพิภพขั้นต่ำเจียงอี้คงเข้าใจพวกมันได้อย่างง่ายดาย เผลอๆเขายังอาจจะเรียนรู้ไปถึงระดับพิภพขั้นสูงหรือระดับสวรรค์เลยก็เป็นได้
เจียงอี้พบว่าเวทย์มนตร์นี้มีความยากกว่าทักษะระดับสวรรค์ถึงร้อยเท่าเพราะมันเกี่ยวข้องกับรูปแบบเต๋านี่เป็นครั้งแรกที่เจียงอี้เรียนศาสตร์เวทย์ แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขาที่จะบรรลุและตรัสรู้ได้ในเวลาอันสั้น
เหลืออีกเพียงครึ่งวันเจียงอี้ก็เริ่มสู้ต่อ เขาจะเปลี่ยนไปลองเวทย์โบราณอีกสองอันดีไหมนะ? ถ้าหากพวกนั้นง่ายกว่าล่ะ?
“ช่างมัน!ให้ข้าจดจ่อกับเวทย์โบราณนี่ก่อน เวทย์โบราณพวกนี้คงยากพอๆกันแหละ มันคงไม่มีทางลัดในการเรียนรู้เรื่องพวกนี้ได้ ข้าควรจะสู้กับการเรียนรู้หุ่นเชิดมนุษย์โคลนต่อไป”
เจียงอี้กลับมาอยู่กับความเป็นจริงในเวลาอันสั้นเขาปัดความคิดฟุ้งซ่านออกไปและจดจ่อกับการเข้าถึงอย่างเดียว
ความรู้สึกกระวนกระวายเริ่มมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านพ้นไปราวกับมีมีดห้อยอยู่ด้านบนและค่อยๆตกลงมาหาเขา ช่างน่าเวทนาจริงๆ ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังยังไม่สามารถทำได้ เช่นนั้นก็ไม่ต้องพูดถึงเจียงอี้เลย
มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะรู้สึกกลัวตื่นเต้นและไม่สบายใจเมื่อต้องเผชิญกับวิกฤติ ชีวิต และความตาย ไม่มีทางที่จะอยู่เหนือสิ่งเหล่านี้ได้แม้แต่คนที่มีจิตใจที่ทรงพลังมากที่สุด
แม้ว่าหลายๆคนจะไม่กลัวความตายรวมไปถึงเจียงอี้ด้วย แต่เมื่อยามเผชิญหน้ากับความตายเข้าจริงๆ ความนึกคิดถึงทุกๆสิ่งก็จะหลั่งไหลออกมา
การทรมานอย่างเชื่องช้าเช่นนี้เป็นการทำให้ทรมานมากที่สุดในขณะนี้ เจียงอี้ต้องเอาชนะสิ่งเร้ารอบตัวเหล่านี้และมุ่งเน้นและอุทิศตนให้กับการทำความเข้าใจกับเวทย์มนตร์โบราณ นอกจากนี้ ร่างกายของเขายังได้รับบาดเจ็บ และที่สำคัญที่สุดคือดวงจิตของเขานั้นเหนื่อยล้าเนื่องจากใช้ศาสตร์แปรผันดวงจิตตามล่าหยุนลู่อย่างไม่หยุดหย่อน ยิ่งเขาคิดมากขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งยากที่จะทำความเข้าใจเวทย์มนตร์โบราณมากขึ้นเท่านั้น
มันเป็นวงจรอุบาทว์เขาวิตกและสับสนมากขึ้นเรื่อยๆและนำไปสู่ความคิดที่กวนใจเขามากขึ้นซึ่งมันก็เสียเวลามากขึ้น จากนั้นเขาก็เครียดขึ้นเพราะเวลาก็เดินไปเรื่อยๆ หากมันยังคงวนเวียนอยู่เช่นนี้ เวลาครึ่งวันก็จะผ่านไปในพริบตา
“ข้าไม่ทำความเข้าใจอีกต่อไปแล้วหากข้าจะต้องตาย เช่นนั้นก็ให้มันเป็นไป”
หลังจากศึกษาเวทย์มนตร์โบราณได้อีกหนึ่งชั่วโมงเจียงอี้ก็ลืมตาขึ้นมาและนอนแผ่ลงไป ทำให้สมองเขาปลอดโปร่ง เขาเริ่มรู้สึกหนักตา
เขาเหนื่อยล้ามากและต้องการพักผ่อนดีๆแน่นอนว่าเขาจะตายถ้าหากเขายังคงนั่งศึกษาอยู่เช่นนั้น แทนที่จะต้องตายอย่างวิตกกังวล เขาก็สามารถนอนหลับให้สบายสักห้าถึงหกชั่วโมง และนั่นก็จะทำให้เขาผ่อนคลายทั้งร่ายกายและจิตใจและมีแรงเฮือกสุดท้าย
คงต้องบอกว่าเจียงอี้นั้นเป็นคนแปลกจริงๆอาจจะไม่มีใครเชื่อว่าเขาผล็อยหลับไปขณะที่มีดค่อยๆตกลงมาและเหลือเวลาน้อยกว่าครึ่งวันแล้ว
แล้วถ้าหากเขานอนเลยเวลาไปล่ะ?เมื่อหมดเวลาและอาคมยับยั้งถูกปิดโดยอัตโนมัติ เขาจะกลายเป็นประวัติศาสตร์
เขานอนหลับสนิทและกรนเล็กน้อยสองชั่วโมงหลังจากที่เขาหลับไป อาคมยับยั้งในห้องโถงก็สว่างขึ้น พลังฟ้าดินกำลังไหลเวียนอย่างเงียบๆและเผยภาพจางๆขึ้นทีละนิด นั่นคือจอมเวทย์!
ภาพของจอมเวทย์นั้นดูชัดเจนมากคราวนี้มันขยับ หัวของเขาหันไปทางเจียงอี้ จากนั้น ภาพก็ค่อยๆจางหายไป มันแปลกเหลือเกิน
“คร่อกก….ฟี้….”
เสียงกรนเป็นจังหวะของเจียงอี้ดังขึ้นเป็นครั้งคราวเขานอนหลับไปหกชั่วโมงเต็มและตื่นขึ้นมาอย่างสบาย
เขาถูใบหน้าของเขาและรู้สึกกระปรี้กระเปร่าเขาไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหนแล้ว เขาค่อยๆบิดขี้เกียจและไปศึกษาเวทย์มนตร์ต่ออย่างไม่รีบร้อน
เมื่อเวลาผ่านไปเจียงอี้ก็ไม่ตื่นตระหนกอีกต่อไป ยิ่งเขาใกล้ความตายมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งสงบมากขึ้น สี่ชั่วโมงต่อมาเขาก็ลืมตาขึ้นและหยุดศึกษาวิชา
แม้ว่าเขาจะไม่ทราบเวลาที่แน่ชัดแต่เขาก็รู้สึกเหมือนว่าผ่านไปหนึ่งวันแล้ว และเขาไม่สามารถเข้าใจเวทย์มนตร์โบราณได้ เช่นนั้นเขาจึงรอความตายของเขาอย่างสงบ
เขานึกถึงใบหน้าผู้คนมากมายซูรั่วเสวี่ย, เจียงเสี่ยวนู๋, เจียงหยุนไฮ่, เฉียนว่านก้วน, จ้านอู๋ซวง, จักรพรรดินีสัตว์อสูร, จิ้งจอกน้อยและใบหน้าที่เลือนลางของอีเพียวเพียว เพียงสิ่งเดียวที่เขาเสียใจก็คือเขาไม่แน่ใจว่าอีเพียวเพียวอยู่ที่ไหน หากนางยังมีชีวิตอยู่และเขาได้เห็นนางเป็นครั้งสุดท้ายเขาก็คงจะตายอย่างไม่เสียใจ
เป็นเวลาไม่นานก่อนที่อาคมยับยั้งในวังจะส่องสว่างพลังฟ้าดินรวมกันเป็นภาพจอมเวทย์ลางๆอีกครั้ง เสียงสลัวๆดังก้องอยู่ในห้องโถงกลาง “หนุ่มน้อย หมดเวลาแล้ว เจ้าเข้าใจหนึ่งในศาสตร์เวทย์โบราณหรือไม่? หากไม่ เจ้าจะถูกขังอยู่ที่นี่กับข้าตลอดไป”
เจียงอี้มองภาพนั้นและพบว่ามันไม่เคลื่อนไหวเพราะสายตานั้นได้จ้องมองไปยังทิศทางเช่นคราวก่อนเขาคิดว่ามันเป็นภาพที่เกิดขึ้นมาจากอาคมยับยั้งเลยไม่ได้สนใจอะไรนัก เขาเม้มปากพร้อมพูดออกมาว่า “ผู้อาวุโส ตามนั้นเถิด ข้ามันไร้สามารถและไม่บรรลุเป้าหมาย ข้ายินดีจะตาย!”
เขาไม่ได้สนใจว่าภาพนี้จะเข้าใจเขาได้อย่างไรและมันจะตัดสินได้อย่างไรว่าเขาใช้เวทย์มนตร์โบราณได้หรือไม่เจียงอี้นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น เขาค่อนข้างสงบและพร้อมที่จะตาย
“เต็มใจตาย?เจ้าโหยหาความตายด้วยอายุเพียงเท่านี้? หรือเจ้าไม่สนุกกับการมีชีวิตจึงได้ต้องการจบชีวิตอย่างสิ้นหวังเร็วเช่นนี้?”
เสียงนั้นดังขึ้นมาอีกครั้งและทำให้เจียงอี้เกิดความประหลาดใจอีกครั้งเหมือนว่าภาพกำลังคุยกับเขาหรือ? ตาของเขาเบิกกว้างทันทีและอ้าปากค้างให้ภาพตรงหน้า ภาพนั้นไม่ได้หันไปหาเขาและยังคงมองไปด้านหน้าซึ่งทำให้เจียงอี้ตกตะลึง
จอมเวทย์น่าจะตายไปแล้วสิภาพนั้นเขาได้ทิ้งเอาไว้ด้วยอาคมยับยั้ง แล้วอย่างนั้น เสียงของใครกัน? ใครกำลังคุยกับเขา?
แม้ว่าจิตใจเขาจะอ่อนไหวแต่เจียงอี้ก็เรียกสติกลับคืนมาได้อย่างรวดเร็วและตอบด้วยเสียงต่ำว่า “จริงๆข้าไม่ได้อยากตายหรอก ข้ายังอยากที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป ข้ามีหลายสิ่งหลายอย่างที่จะทำให้สำเร็จ มีผู้คนมากมายที่อยากปกป้องและมีศัตรูอีกมากมายที่อยากฆ่า! อย่างไรเสีย ข้าก็ยังไม่เก่งพอและไม่สามารถทำความเข้าใจกับเวทย์โบราณได้ ดังนั้นหากผู้อาวุโสต้องการที่จะจบชีวิตข้า เช่นนั้นก็ลงมือเถิด”
“เยี่ยม!”
เสียงนั้นดังออกมาสั้นๆภาพของจอมเวทย์ก็ขยับเช่นกันและหันไปที่เจียงอี้ เขาพยักหน้าและพูดว่า “ดีมาก หนุ่มน้อย ข้าชอบที่เจ้าเป็นเจ้ายิ่งนัก ยินดีกับเจ้าด้วยที่ผ่านการทดสอบทั้งหมด เจ้าจะได้เป็นผู้สืบทอดของข้า ข้าหวังว่าเจ้าจะสมกับชื่อข้าและเจ้าจะต้องสัญญาแก่ข้าสิ่งหนึ่ง ตราบใดที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่ เจ้าต้องพยายามปกป้องตระกูลหยุนของข้าอย่างสุดความสามารถ”
“อ่า?”
คราวนี้เจียงอี้ตกใจแน่ๆแล้ว ร่างของเขาหลุดลอยออกไป เขาจ้องมองไปยังภาพจอมเวทย์ด้วยความสยอง หลังจากนั้นไม่นานเขาก็กลืนน้ำลายและถามว่า “ผู้อาวุโส ท่านเป็นคนหรือ…เอ่ออ ข้าหมายถึงว่าท่านยังมีชีวิตอยู่หรือ?”
“เจ้าจะตระหนกไปใย?”
จอมเวทย์มองเจียงอี้และพูดอย่างเฉยเมยว่า“แน่นอน ข้าตายไปแล้ว ถึงแม้ว่าข้าจะบรรลุไปถึงขอบเขตเทียนจุนเมื่อคราวที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าก็ไม่ได้คิดจะกระโดดไปยังจุดสุดท้ายหรือบรรลุการเป็นอมตะ เหตุผลที่ข้ายังมีปัญญาอยู่เพราะข้าใช้อาคมยับยั้งและเวทย์มนตร์เพื่อรักษาเศษเสี้ยววิญญาณของข้าเอาไว้ก่อนที่ข้าจะตายไป สองพันปีที่ผ่านมา วิญญาณที่ยังอยู่ที่นี่นั้นเกือบจะหมดไปแล้ว ข้าจะตายในอีกไม่เกินครึ่งปี”
“ช่างทรงพลังนักเสี้ยววิญญาณของท่านที่เหลืออยู่ที่นี่สามารถอยู่มาได้สองพันปีเชียว!”
เจียงอี้ตกตะลึงกับความลับนี้จิตใจของเขาเต็มไปด้วยคำถาม แต่เขาก็หยุดอย่างช่วยไม่ได้และถามว่า “ผู้อาวุโส ข้านั้นไม่เข้าใจ ข้าไม่สามารถเข้าใจเวทย์โบราณได้ แล้วทำไมท่านจึงบอกข้าว่าข้าผ่านการทดสอบ? ทำไมท่านไม่ฆ่าข้า?”
“เหอะๆ!”
จอมเวทย์ปล่อยความหยอกเย้าออกมาจากมุมปากและพูดออกมาอย่างเยือกเย็นว่า “มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะเข้าใจเวทย์โบราณเหล่านี้ได้ เพราะตำราคู่มือลับพวกนี้ไม่ถูกต้องอยู่แล้ว! อย่าว่าแต่วันเดียวเลย เจ้าจะไม่มีวันได้เข้าถึงแม้ว่าเจ้าจะได้เวลาหลายร้อยหรือเป็นพันปี!”

เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven

เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven

Status: Ongoing

เรื่องย่อ

ตั้งแต่ครั้งเยาว์วัย เจียงอี้ต้องทนทุกข์ทรมานจากความอัปยศและการ

ถูกเหยียดหยามเนื่องจากจุดตันเทียนของเขาถูกผนึกไว้

วันหนึ่งเขาตื่นขึ้นมาพร้อมกับพบว่าผนึกในตันเทียนของเขาได้ถูก

ทำลายและถูกแทนที่ด้วยพลังอันยิ่งใหญ่ ด้วยการบ่มเพาะเปลวไฟ

ศักดิ์สิทธิ์เก้าสวรรค์ของเขา การเดินทางอันแสนท้าทายของเจียงอี้

จึงได้อุบัติขึ้น!

หากมวลมนุษย์กล้าปฏิบัติกับข้าอย่างไม่เป็นธรรม ศพนับล้านจะต้อง

เกลื่อนปฐพี!

หากแม้แต่สวรรค์ยังไม่ยุติธรรมกับข้า ข้าก็จะแผดเผาสวรรค์ทิ้งเสีย!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท