บทที่ 412 ลงมือ
ถึงอย่างไรวันนี้ก็เป็นวันฉลองปีใหม่ แม้พวกเขาจะได้นั่งบนตั่งเย็นที่บ้านของหลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋ แต่กับฝ่ายคนแก่คนเฒ่าอย่างท่านพ่อโจวและท่านแม่โจว พวกเขากลับได้รับความสำคัญให้ร่วมการเฉลิมฉลองปีใหม่มากกว่าฝั่งนั้น
จากเรื่องนี้ มันทำให้พวกเขาได้ร่วมโต๊ะอาหารมื้อหนึ่ง
แม้อาหารมื้อนี้จะไม่ใช่โอกาสหายากขนาดนั้น แต่ใบหน้าของจ้าวจวินก็ไม่บูดบึ้งนักยามกู้หน้ากลับมาได้จากสิ่งที่เกิดขึ้นที่บ้านของหลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋
ทว่าโจวเสี่ยวเหมยกลับมีความคิดเหมือนกับพี่สะใภ้สี่ของหล่อน
เมื่อหล่อนมาหาหลินชิงเหอเพื่อไปอาบน้ำด้วยกันที่โรงอาบน้ำ หล่อนก็บ่นพึมพำกับพี่สะใภ้ “เสียดายที่พี่ไม่ได้เห็น สีหน้าแบบนั้นน่ะทำให้ฉันอยากเตะเขากระเด็นออกจากบ้านเลยล่ะค่ะ ไม่รู้ทำไมพวกเขาถึงคิดว่าเราอยากจะบูชาเท้าเน่า ๆ ของเขากันนะ!”
แค่พูดถึงเรื่องนี้หล่อนก็ฉุนขึ้นมาเล็กน้อย เป็นเพราะจ้าวจวินดูถูกต้าหลินของหล่อนในเรื่องที่เขาพูดติดอ่างนิดหน่อย นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงเมินต้าหลินของหล่อน
“ถ้าไม่ใช่เพราะคุณพ่อกับคุณแม่ยังไว้หน้าพวกเขาบ้าง ก็อย่าคิดที่จะได้กินข้าวบ้านฉันแม้แต่คำเดียวเลย” โจวเสี่ยวเหมยฮึดฮัด
ไม่ใช่ว่าพวกเขากินข้าวตระกูลจ้าวนี่นะ ทำไมเขาต้องดูถูกด้วย?
คนอย่างหวังหยวนที่เป็นคนหนุ่มผู้ประสบความสำเร็จแถมเป็นเถ้าแก่โรงงานเสื้อผ้าขนาดใหญ่ยังไม่ดูถูกต้าหลินของหล่อนเลย แล้วจ้าวจวินคิดว่าเขาเป็นใครกัน?
และต่อให้ครอบครัวหล่อนมีฐานะปานกลาง กิจการร้านซาลาเปาตอนนี้ก็คงตัวแล้ว ไม่มีปัญหาเลยที่จะหาเงินได้เป็นร้อย ๆ หยวนต่อเดือน ต่อให้พวกเขายังห่างไกลจากคำว่าร่ำรวย ก็ไม่จำเป็นที่พวกเขาจะมาเลียแข้งเลียขาจ้าวจวินเลยสักนิด
“เขาเป็นพวกที่ชอบเหยียบคนอื่นเพื่อให้ตัวเองดูสูงส่งขึ้นน่ะ เธออย่าเก็บไปใส่ใจเลย” หลินชิงเหอบอก
“เชิ่งเหม่ยกำลังท้องอยู่แต่เขาก็ไม่ใส่ใจไยดีหล่อนเลย นับจากนี้หล่อนจะมีชีวิตอยู่อย่างไรกันคะ?” โจวเสี่ยวเหมยเอ่ยขึ้น
แม้หล่อนจะไม่ชอบการกระทำของสวี่เชิ่งเหม่ยนัก แต่อีกฝ่ายเป็นลูกสาวของพี่สาวใหญ่ หล่อนจึงหวังว่าเด็กคนนี้จะได้รับสิ่งที่ดีที่สุด แต่จากที่โจวเสี่ยวเหมยเห็น หล่อนดูเหมือนสาวใช้ประจำจวนขุนนางที่กำลังรับใช้คุณชายน้อยอยู่อย่างไรอย่างนั้น?
ในฐานะที่เป็นน้าของหล่อนโดยสายเลือด โจวเสี่ยวเหมยจึงรู้สึกไม่สบายใจนักเมื่อเห็นแบบนี้
“หล่อนเลือกเส้นทางของตัวเองแล้วก็ต้องเดินต่อไป แม้จะต้องเดินจนเท้าเต็มไปด้วยแผลก็ตาม ยิ่งกว่านั้น ต่อให้เธอไม่เห็นว่าเป็นเรื่องดี หล่อนอาจจะคิดว่ามันดีเยี่ยมก็ได้” หลินชิงเหอคิดต่างไปอีกทางหนึ่ง
เธอรู้สึกว่าสวี่เชิ่งเหม่ยไม่ได้เปราะบาง การทำตัวแบบสาวใช้รับใช้คุณชายน้อยก็เป็นแค่การถอยไปตั้งหลักเพื่อจะเดินหน้าต่อ เธอแค่ไม่รู้ว่าการกระทำนี้จะได้ผลเมื่อรับมือกับจ้าวจวินหรือไม่
ถ้าสวี่เชิ่งเหม่ยยังมีความกล้าที่จะพาจ้าวจวินมาเยี่ยมในวันปีใหม่นับจากปีนี้ หลินชิงเหอก็ไม่คิดที่จะประมาทหลานสาวคนนี้อีกต่อไป
หล่อนมีความคิดไม่ธรรมดา ไม่อย่างนั้นคงไม่กล้ามาเยี่ยมถึงที่นี่ ดูจากสีหน้าของสวี่เชิ่งเหม่ยแล้วมีความอับอายใด ๆ ไหมล่ะ? ไม่เลย หล่อนดูสงบอย่างยิ่ง
หล่อนต้องการใช้ตระกูลโจวมาคานอำนาจตระกูลจ้าว เมื่อเป็นแบบนี้ตระกูลจ้าวจะได้รู้ว่าหล่อนไม่ได้อยู่ตามลำพัง เพราะยังมีตระกูลโจวหนุนหลังหล่อนอยู่
หลินชิงเหอรู้ดีเกี่ยวกับความคิดเหล่านี้
“เมื่อวานนี้ดูเหมือนฉันจะเห็นเอ้อร์นีไม่สบายใจด้วยล่ะค่ะ” โจวเสี่ยวเหมยพูดต่อ
ไม่กี่วันในช่วงปีใหม่นี้ โจวเอ้อร์นีได้มาอยู่ที่บ้านของหล่อน
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ?” หลินชิงเหอถาม
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ หล่อนไม่ได้พูดอะไรเลย” โจวเสี่ยวเหมยส่ายหน้า
หลินชิงเหอไม่ได้พูดอะไร ไม่ว่าจะคิดไปทางไหนก็เป็นเรื่องครอบครัวของหวังหยวนแน่
โจวเอ้อร์นีมีอายุ 20 ปีแล้ว พวกเธอจำเป็นต้องพูดอะไรกับเด็กสาวที่โตขนาดนี้ด้วยหรือ? พวกเธอควรปล่อยให้หล่อนได้แก้ปัญหาด้วยตัวเอง หากหล่อนแก้ไม่ได้ หลานสาวคนนี้ก็จะมาขอคำปรึกษากับเธอเอง
นอกจากจ้าวจวินกับสวี่เชิ่งเหม่ยแล้วก็ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีก
โดยภาพรวมของช่วงปีใหม่นี้ นับว่าทั้งครอบครัวมีความสุขดี
ส่วนจางเหมยเหลียนที่อยู่ห้องข้าง ๆ ก็ดูเหมือนสุภาพนอบน้อมในทุกครั้งที่พวกเขาเห็นหล่อน ซึ่งหลินชิงเหอไม่สนใจเรื่องนี้ หล่อนเป็นแค่เพื่อนบ้านคนหนึ่ง ปัญหาที่หล่อนสร้างช่างห่างไกลจากสิ่งที่สวี่เชิ่งเหม่ยทำนัก
แต่สวี่เชิ่งเหม่ยกำลังตั้งครรภ์ ในสภาพอากาศที่มีแต่น้ำแข็งและหิมะเช่นนี้หล่อนควรจะอยู่ที่บ้านตระกูลจ้าว
หลินชิงเหอจึงบอกหม่าเฉิงหมินให้จับตาดูขณะที่เขาเยี่ยมญาติสนิทมิตรสหายในช่วงปีใหม่ หากมีคนลักษณะดีเข้าตาเขาก็ให้เลือกคน 2-3 คนมาทำงานด้วย
เธอวางแผนจะเปิดร้านขายเสื้อผ้าผู้หญิงอีกร้านหนึ่งในปีหน้าเพราะร้านเสื้อผ้าผู้หญิงทำกำไรได้ดีจริง ๆ กำไรของร้านเสื้อผ้าผู้ชายไม่ได้ต่ำเตี้ยนักก็จริง แต่อย่างมากมันก็มีค่าแค่สองในสามของรายได้ของร้านเสื้อผ้าผู้หญิง
อย่างน้อยที่สุดมันก็ทำเงินได้เพียงหนึ่งในสาม ซึ่งแสดงให้เห็นว่าไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยไหน เสื้อผ้าผู้หญิงก็ยังเป็นที่ต้องการของตลาดอยู่ดี
ความต้องการซื้อเสื้อผ้าของผู้ชายมีไม่สูงนัก โดยเฉพาะผู้ชายในยุคนี้ อย่างมากพวกเขาก็ไม่ซื้อเสื้อผ้าใหม่หนึ่งหรือสองชุดในปีหนึ่ง ๆ
หลินชิงเหอจึงอยากเปิดร้านเสื้อผ้าผู้หญิงอีกร้านหนึ่ง ซึ่งมันเป็นความคิดที่เยี่ยมยอด เพราะในอนาคตจะมีเหตุให้เงินทองต้องขาดมือ หากเธอไม่เปิดร้านค้าเพิ่มในตอนนี้และหาเงินให้มากขึ้นแล้วถึงตอนนั้นจะทำอย่างไรล่ะ?
แต่เธอยังไม่ได้ไปสำรวจร้านค้าเลย เรื่องนี้คงต้องรอหลังเทศกาลปีใหม่ หากสำนักงานจัดการที่อยู่อาศัยเปิดทำการแล้วเธอก็จะไปสอบถามในตอนนั้น
วันนั้นโจวชิงไป๋กับหลินชิงเหอก็ได้ไปดูหนังกัน ปล่อยให้โจวเฉวี่ยนกับหู่จืออยู่ที่บ้าน ส่วนกังจือกับโจวกุยหลายนั้นไปเดินเล่นที่ไหนสักที่พร้อมกับพกกล้องถ่ายรูปไปด้วย
จากที่โจวกุยหลายพูดสามารถจับความได้ว่ามันเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องใช้กล้องมาบันทึกภาพความทรงจำเหล่านี้ไว้ ยิ่งกว่านั้นฟิล์มที่หวังหยวนซื้อมาให้ยังมีจำนวนมากพอที่เขาจะใช้อย่างมันมืออีกด้วย
“พี่จะไปที่บ้านของคุณตา นายจะมาด้วยไหม?” หู่จือดูโทรทัศน์อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถาม
โจวเฉวี่ยนกำลังนั่งอ่านหนังสือภาษาอังกฤษอยู่ ความรู้ภาษาอังกฤษของเขาในตอนนี้นับว่าสูงมากเนื่องจากมีหลินชิงเหอเป็นคนสอน เมื่อไหร่ที่เขาอ่านหนังสือเล่มนี้จบ เขาก็จะส่งไปให้กับพี่ใหญ่ หนังสือเล่มนี้เนื้อหาดีมากจนเขายังรู้สึกชื่นชอบขึ้นมานิด ๆ
“พี่ไปเถอะ” โจวเฉวี่ยนตอบขณะหยิบแอปเปิลมากัดกิน
หู่จือจึงปล่อยให้เขาอ่านหนังสือต่อไป เขาเดินออกมาพร้อมกับกัดกินแอปเปิลไปด้วย
เมื่อเขาเดินลงมายังชั้นล่าง เขาก็เห็นจางเหมยเหลียนเดินตามมา หู่จือเหลือบมองหล่อนแวบหนึ่ง แม้พวกเขาจะคุยกันแล้วไม่กี่คำ แต่ก็ยังไม่รู้จักกันดีนัก เขาจึงเมินหล่อนเสีย
“หู่จือ ฉันกำลังจะไปซื้อแป้งน่ะค่ะ แล้วมันก็ค่อนข้างหนัก คุณมาช่วยฉันได้ไหมคะ?” จางเหมยเหลียนกัดริมฝีปากขณะมองหน้าเขา
“ผมชื่อหวงหู่ เรียกผมว่าหวงหู่เถอะครับ” หู่จือตอบ
การถูกผู้หญิงแปลกหน้าเรียกด้วยชื่อเล่นฟังแล้วช่างแปลกหูไม่น้อย เขาจึงแก้ไขคำพูดให้หล่อน
จางเหมยเหลียนยิ้มและเอ่ยขึ้น “หวงหู่…ถูกไหมคะ? ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ ฉันขอแนะนำตัวเองอีกครั้งแล้วกัน ฉันชื่อจางเหมยเหลียน เป็นเพื่อนบ้านของคุณนะคะ”
หู่จือพยักหน้าและทำท่าจะผละจากไป ตระกูลจางมีความสัมพันธ์งั้น ๆ กับครอบครัวของคุณน้า ดังนั้นจึงไม่มีอะไรต้องพูดด้วย
“หวงหู่ ฉันต้องการความช่วยเหลือจากคุณจริง ๆ นะคะ” จางเหมยเหลียนเอ่ยและเดินตามไป
หวงหู่ตอบเสียงห้วน “คุณก็ซื้อให้น้อย ๆ หน่อยสิ ผมกำลังจะไปบ้านคุณตา ไม่มีเวลาหรอกครับ”
“คราวที่แล้วครอบครัวของฉันลืมซื้อแป้งมาเก็บไว้น่ะค่ะ จึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะซื้อในคราวนี้ทีเดียว ฉันต้องต่อแถวรอซื้อ แถมซื้อรอบเดียวก็ไม่พอด้วย ฉันจะซื้อน้อย ๆ ได้อย่างไรล่ะคะ?” จางเหมยเหลียนอธิบาย ขณะเดียวกันหล่อนก็อดไม่ได้ที่จะดูถูกเขาอยู่ในใจ ‘ฉันอุตส่าห์เปิดโอกาสดี ๆ ให้นายขนาดนี้แต่นายกลับไม่รู้จักเห็นค่าเอาเสียเลย!’
“ยิ่งกว่านั้นครอบครัวของเราสองคนเป็นเพื่อนบ้านกันทั้งซ้ายและขวา คุณจะไม่ช่วยเหลือฉันหน่อยเหรอคะ?” จางเหมยเหลียนพูดต่อ
หู่จือยังมีน้ำใจกับคนอื่นอยู่มาก เขาไม่รู้จักมักจี่ว่าจางเหมยเหลียนเป็นอย่างไร จึงอ้ำอึ้งไปครู่หนึ่งและพยักหน้า
จางเหมยเหลียนรู้สึกพอใจจนยิ้มกว้าง “ขอบคุณค่ะ คุณเป็นคนดีเหลือเกิน ตอนนี้คุณช่วยงานที่บ้านของคุณน้าเหรอคะ?”
“ครับ” หู่จือพยักหน้า ทุกคนในชุมชนรู้เรื่องนั้นหมด ดังนั้นจึงไม่มีอะไรต้องพูด
……………………………………………………………………………………………………………………