บทที่ 680 เหม่ยเจี่ยท้อง
“คอนโดนี่ดีขนาดนั้นเลยเหรอคะ?” โจวเสี่ยวเหมยเอ่ย
หลินชิงเหอยิ้มพลางบอก “ไม่แย่อยู่แล้ว ถ้าเธอกับสามีเธอซื้อได้สักห้องก็เท่ากับบ่มเพาะนักศึกษาปริญญาเอกออกมาได้คนหนึ่งเลยล่ะ”
นักศึกษาปริญญาเอกในยุคหลังจากนี้ก็ใช่ว่าจะซื้อคอนโดมิเนียมที่ปักกิ่งไหว
โจวเสี่ยวเหมยประหลาดใจ หันมองพี่สะใภ้สี่ของหล่อน “พี่สะใภ้สี่คิดว่าฉันควรซื้อเหรอคะ?”
“ต่อให้บ้านพวกเธอจะไม่เล็ก แต่อีกหน่อยลูก ๆ ก็โตแล้ว จากนั้นก็แต่งภรรยา ถึงเธอจะอยากอยู่กับพวกลูกสะใภ้เธอ ก็ใช่ว่าพวกลูกสะใภ้เธอจะอยากอยู่กับพวกเธอนี่” หลินชิงเหอบอกยิ้ม ๆ
เธอกับโจวชิงไป๋ถึงให้ค่าสร้างบ้านกับลูกชายและลูกสะใภ้ไป 100,000 หยวน ถ้าอยากออกไปอยู่ข้างนอกก็ออกไปอยู่ได้ ถ้าอยากกลับมาอยู่ที่บ้านก็กลับมาอยู่ได้เหมือนกัน จะเลือกอย่างไรก็แล้วแต่พวกเขาเลย
“ไม่อยากอยู่กับพวกเราเหรอ งั้นพวกเราก็ไม่อยากอยู่กับลูกสะใภ้เหมือนกันแหละค่ะ ที่ดี ๆ ยังไม่เท่าไหร่ ถ้าเจอพวกชอบคิดเล็กคิดน้อยฉันได้กระอักเลือดตาย” โจวเสี่ยวเหมยบอก
“ก็ให้เฉิงเฉิงกับสวิ่นสวิ่นเบิกตาดูให้ดีแล้วกัน” หลินชิงเหอหัวเราะ “แต่เตรียมคอนโดไว้ให้พวกเขาสองห้องก็ดี ถ้าทำได้ก็เตรียมไว้ให้เถียนเถียนกับหย่าหย่าด้วยเลย”
โจวเสี่ยวเหมยแทบกระอักเลือด “ห้องเดียวยังไม่มีเงินซื้อเลย จะให้ซื้อสี่ห้องเลยเหรอคะ”
“ปีนี้ขายของเป็นไงล่ะ?” หลินชิงเหอถาม
“ต้าหลินออกไปตั้งแผงขายของแล้ว รวมกับหน้าร้านถือว่าไม่เลว แต่รายจ่ายเยอะมาก เลี้ยงพวกเขาสี่คนไม่ง่ายเลยค่ะ” โจวเสี่ยวเหมยถอนหายใจ
ดีนะที่หล่อนตามพี่สะใภ้สี่มาเปิดร้านที่ปักกิ่ง ถ้าเป็นเมื่อก่อนสมัยอยู่อำเภอ ด้วยเงินเดือนแค่นั้นของต้าหลิน อย่าว่าแต่เลี้ยงนักเรียนสี่คนให้รอดเลย แต่ละคนน่าจะต้องออกไปหางานทำก่อนวัยอันควรด้วย
ภาระใหญ่หลวงมากจริง ๆ
สมัยปี 1986 เริ่มใช้มาตรการการศึกษาภาคบังคับ 9 ปีแล้ว และเก็บค่าเทอมแค่นิดหน่อย ลูกสาวสองคนที่เกิดทีหลังจึงใช้เงินไม่มาก แต่ลูกชายสองคนก่อนหน้านั้นอย่าให้ต้องพูดเลย
บวกกับค่าใช้จ่ายประจำวันอย่างอื่น เท่ากับซื้อบ้านได้หนึ่งหลังแบบไม่โม้เลยล่ะ
“อีก 2 ปีเฉิงเฉิงก็เรียนจบแล้ว ถึงตอนนั้นพวกเขาออกมาทำงาน พวกเธอสองคนก็ไม่ต้องรับภาระอีก จะว่าไปเฉิงเฉิงคิดหรือยังว่าจะทำอะไร หรือให้ทางมหาวิทยาลัยจัดสรรให้?” หลินชิงเหอเอ่ย
ยุคนั้นเด็กจบมหาวิทยาลัยถือว่าหาได้ยาก แต่ก็ไม่ถึงขั้นสมัยยุคต้นทศวรรษ 80 ที่หายากยิ่งราวกับหมีแพนด้า
ที่มหาวิทยาลัยมีการจัดสรรงานให้ก็จริง แต่ก็มีพวกที่มีแผนของตัวเอง แล้วยกโอกาสนั้นให้คนอื่น
“ฉันยังไม่รู้ว่าเลยว่าเขาอยากทำอะไร เราไม่เคยคุยกันเรื่องนี้เลย คราวหน้าเขากลับมา ฉันจะลองถามเขาดูค่ะ” โจวเสี่ยวเหมยเอ่ย
“ถ้าเขายอม ให้เขาไปอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ก็ได้ ร้านขายชาที่นั่นฉันปล่อยให้เจียงเหิงดูแลอยู่ เขาไปช่วยได้ เงินเดือนไม่ต่ำกว่าเวลาเขาไปทำงานแน่นอน ส่วนสวัสดิการตอนนี้ยังไม่มี อีกหน่อยจะทำให้เหมือน ๆ กันทั้งหมด” หลินชิงเหอกล่าว
“ฉันจะลองถามดูค่ะ ถ้าเขายอม ให้เขาไปอยู่นู่นก็ไม่เลว” โจวเสี่ยวเหมยพูด
หล่อนไม่คิดว่าลูกชายตัวเองเป็นถึงเด็กจบมหาวิทยาลัยแล้วออกมาขายใบชาจะเป็นปัญหาอะไร ดูร้านไวน์ของเจ้าสามสิ นั่นก็เด็กจบมหาวิทยาลัยเหมือนกัน!
เนื่องจากขายดี เงินเดือนทุกคนเกิน 200 หยวนหมด มีระดับเท่ากับคนเงินเดือนสูงอย่างแน่นอน
และเป็นเพราะซูเฉิงเรียนเอกการตลาดด้วย หลินชิงเหอถึงถามแบบนี้ ถ้าเขาเรียนคณะอื่นหลินชิงเหอคงไม่ถามมาก
พริบตาเดียวก็ถึงเดือนสี่ อากาศอบอุ่นขึ้นเรื่อย ๆ
วันนี้หลินชิงเหอได้รับโทรศัพท์จากเวิงเหม่ยเจี่ย ครั้นได้ยินเสียงลูกสะใภ้คนโตอย่างเวิงเหม่ยเจี่ย หลินชิงเหอก็เริ่มใจเต้นแรง
เธอจะเป็นย่าคนแล้วใช่ไหม?
และก็จริง เวิงเหม่ยเจี่ยไม่ทำให้เธอต้องผิดหวังเลย หล่อนแจ้งข่าวดีผ่านทางโทรศัพท์
หล่อนท้องตั้งแต่เดือนที่แต่งงาน จนถึงเดือนนี้ นับว่าอายุครรภ์ครบหนึ่งเดือนพอดี
“นี่ก็ท้องได้หนึ่งเดือนแล้วถึงเพิ่งโทรมาบอก” หลินชิงเหอบ่น
“ขอโทษด้วยค่ะคุณแม่ หนูมัวแต่ยุ่งจนลืมไปเลย” เวิงเหม่ยเจี่ยบอกยิ้ม ๆ
หล่อนยุ่งจนลืมจริง ๆ วันนี้เพิ่งนึกได้ว่ายังไม่ได้โทรไปบอก เลยรีบโทรมาบอกทันที
“ดูแลตัวเองดี ๆ นะ อย่าหักโหมเกินไป เดี๋ยวฉันจะไปบอกแม่เธอเอง หลังจากนั้นจะหาทางไปเยี่ยมเธอพร้อมกับแม่ของเธอนะ” หลินชิงเหอกล่าว
แม่สามีและลูกสะใภ้คุยกันไปสักพักถึงวางสาย
ครั้นวางสายแล้ว โจวชิงไป๋ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็ยืดตัวตรง “ท้องเหรอ?”
“อื้ม คุณกำลังจะเป็นคุณปู่แล้วนะคะ” หลินชิงเหอหัวเราะ แน่นอนว่าเธอดีใจมาก
แววตาโจวชิงไป๋ก็ยิ้มแย้มเหมือนกัน “ถือว่าเขามีน้ำยา”
หลินชิงเหอมองบนใส่เขาพลางหัวเราะ ก่อนจะขับรถไปหาคุณแม่เวิง พอคุณแม่เวิงได้ยินก็ดีใจมากเหมือนกัน “ฉันก็ว่าสองสามีภรรยารักกันขนาดนั้น ต้องท้องแน่ ๆ นี่ยังคิดอยู่เลยว่าจะโทรมาบอกกันไหม ที่แท้ก็ยุ่งจนลืมนี่เอง”
“ฉันบอกเหม่ยเจี่ยว่าหล่อนท้องระยะหลังเมื่อไหร่ เราสองคนหาเวลาไปเยี่ยมหน่อยดีไหมคะ?” หลินชิงเหอถาม
“ได้สิ ถึงเวลานั้นก็ไปเยี่ยมสักหน่อย” คุณแม่เวิงพยักหน้า
การที่เวิงเหม่ยเจี่ยท้อง ในฐานะลูกสะใภ้คนโตของที่บ้าน และถือว่าเป็นลูกสะใภ้คนโตของบ้านโจวแล้ว มันก็ทำให้ท่านพ่อโจวและท่านแม่โจวดีใจมาก ๆ
เฒ่าหวังถึงกับเอ่ยขึ้น “ปีนี้ไม่รู้ว่าเจ้าสามจะว่างเมื่อไหร่ ไปดูที่นู่นกันไหม?”
“ถึงตอนนั้นฉันกับพี่เวิงก็ว่าจะไปค่ะ พอถึงระยะหลัง ๆ แล้ว ถึงตอนนั้นคุณอาหวังไปด้วยกันกับพวกเราไหมคะ” หลินชิงเหอยิ้ม
แม้เฒ่าหวังจะมีสุขภาพร่างกายไม่ค่อยดี แต่ก็เป็นเฉพาะหน้าหนาวเท่านั้น หน้าร้อนเขาไม่เป็นอะไรมาก จึงพยักหน้า
ท่านพ่อโจวก็อยากไปด้วย จึงมีสมาชิกเพิ่มมาอีกหนึ่ง ส่วนท่านแม่โจวนั้นอย่าเลย สมัยนั้นที่นั่งรถไฟมาปักกิ่ง การเดินทางบนท้องถนนในครั้งนั้นก็กลายเป็นปมในใจของท่านแม่โจวไปแล้ว นางจึงกลัวการขึ้นรถไฟมาก
ไม่อย่างนั้นนางคงต้องกลับไปหาเพื่อนที่ยังอยู่บ้านเกิดปีละครั้งเพื่อเล่าเรื่องของทางปักกิ่งให้ฟัง
เป็นเพราะหลินชิงเหอกำชับไว้ เวิงเหม่ยเจี่ยจึงโทรศัพท์กลับมาอาทิตย์ละครั้ง ช่วงก่อนยุ่งมากจริง ๆ เลยไม่ค่อยได้โทร เดี๋ยวนี้อากาศอบอุ่นขึ้นเยอะ จึงว่างขึ้นเยอะ
แม่สามีและลูกสะใภ้คู่นี้ไม่กลัวว่าจะไม่มีอะไรให้คุย ทุกครั้งที่โทรมาจะต้องคุยกัน 7-8 นาที
ต่อให้รู้ว่าสิ่งแวดล้อมที่นู่นไม่ดีเท่าไร แต่ก็ไม่ถึงกับล้าหลัง หลินชิงเหอจึงเบาใจลงมาก
โจวข่ายออกไปทำภารกิจ กว่าจะกลับมาก็อีกหนึ่งเดือนให้หลัง ตอนที่เขาออกไปทำภารกิจยังไม่รู้เลยว่าภรรยาตั้งครรภ์แล้ว กลับมาถึงได้รู้
ตอนโทรมาหาแม่ของเขา น้ำเสียงนั้นก็แฝงความดีใจอย่างยากจะปิดบัง
“ไอ้เด็กตัวเหม็น จำไว้ว่าต้องดูแลเหม่ยเจี่ยให้ดี ๆ ลูกไม่อยู่บ้านทีเหม่ยเจี่ยต้องดูแลลูกชายเพียงคนเดียว มันไม่ง่ายเลยนะ!” หลินชิงเหอเตือน
“ผมรู้ครับผมรู้ พรุ่งนี้ผมจะไปซื้อแอปเปิ้ลและสาลี่ในเมืองสักสองลัง” โจวข่ายยิ้มกว้าง
“ซื้อนมผงกับผงมอลต์มาด้วย” หลินชิงเหอบอก
“ผมรู้ครับ ผมจะซื้อทุกอย่างเลย” โจวข่ายรับปากรัว ๆ เห็นได้ชัดว่ามีความสุขที่สุด
………………………………………………………………………………………………………………………….