กระบี่จงมา Sword of Coming – บทที่ 497.7 นับแต่โบราณมาเซียนกระบี่ล้วนต้องดื่มสุรา

บทที่ 497.7 นับแต่โบราณมาเซียนกระบี่ล้วนต้องดื่มสุรา

หลี่หลิ่วพลันหัวเราะ ราวกับคิดถึงเรื่องอะไรบางอย่างที่ทำให้อารมณ์ดีขึ้นมาได้ นางในเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นสายตาหรือสีหน้ากลับอ่อนโยนดุจสายน้ำได้ถึงเพียงนี้

แม้แต่น้ำเสียงของนางก็ยังนุ่มนวลตามไปด้วย ดวงตาคู่นั้นที่เดิมทีมีเพียงความเย็นชาถูกหลี่หลิ่วที่คลี่ยิ้มทำให้กลายเป็นวงโค้งพระจันทร์เสี้ยว “คาดว่าอีกไม่นานน้องชายของข้าก็คงใกล้จะได้ออกจากสำนักศึกษาไปฝึกประสบการณ์แล้ว ข้างกายยังขาดสาวใช้ที่ช่วยยกชาส่งน้ำให้พอดี ถ้าอย่างนั้นก็เป็นเจ้าแล้วกัน”

นางยื่นนิ้วที่ประกบกันออกมาปาดตรงกรอบตาข้างนั้นของปีศาจจิ้งจอกเบาๆ

เหวยไท่เจินรู้สึกเพียงความเยียบเย็นเสียดลึกถึงกระดูก จิตวิญญาณสะท้านไหว ทว่าเพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น ความเจ็บปวดตลอดทั้งร่างของนางกลับปลาสนาการหายไป

หลี่หลิ่วเอ่ยเสียงเบา “ก่อนหน้านี้ไม่ทันนึกเรื่องนี้ก็เลยบีบดวงตาเดิมข้างนี้ของเจ้าแหลกเละไปแล้ว ตอนนี้ก็ได้เปลี่ยนลูกตาใหม่ชดเชยให้ หวังเพียงว่าน้องชายข้าคนนั้นจะไม่รังเกียจเจ้าที่มีดวงตาแตกต่างกัน”

เหวยไท่เจินพลันร่วงลงสู่พื้น โชคดีที่ลอยพ้นพื้นมาไม่สูงนัก นางลุกโงนเงนอยู่เล็กน้อยก่อนจะยืนได้มั่นคง ลองกระพริบตาแรงๆ ถึงแน่ใจว่าอาการเจ็บปวดไม่หลงเหลืออยู่อีกแล้วจริงๆ

เหวยเกาอู่ผู้นั้นวิ่งตะบึงมาอีกครั้ง พออยู่ห่างจากหญิงสาวอีกสิบกว่าก้าวก็พลันคุกเข่าลงหมอบกราบอยู่กับพื้น พูดเสียงสะอื้นไห้ “ขอเทพธิดาโปรดถ่ายทอดมรรคกถาให้แก่ข้า! เหวยเกาอู่ยินดีเป็นวัวเป็นม้าให้กับเทพธิดา วันหน้าเมื่ออยู่บนเส้นทางการฝึกตน ไม่ว่าขอบเขตจะสูงหรือต่ำ แม้ตายเหวยเกาอู่ก็ไม่เสียดาย!”

หลี่หลิ่วหัวเราะ “เจ้าก็คู่ควรจะเป็นวัวเป็นม้าให้ข้าด้วยหรือ?”

น้ำตาไหลนองอาบหน้าเหวยเกาอู่ โขกหัวไม่หยุด เอาแต่วิงวอนให้นางถ่ายทอดวิชาให้

เด็กสาวปีศาจจิ้งจอกขยับปากจะพูด หลี่หลิ่วกลับคว้าใบหน้าเล็กๆ ของนางเอาไว้ บนใบหน้าของฝ่ายหลังก็พลันมีรูเลือดปรากฏห้ารู หลี่หลิ่วเอ่ยอย่างเฉยชาว่า “ในเมื่อมีชีวิตรอดแล้วก็ต้องหัดรู้จักทะนุถนอมเอาไว้ให้ดี”

หลี่หลิ่วเหวี่ยงตัวเด็กสาวปีศาจจิ้งจอกให้ลอยคว้างไปกระทบกับหน้าผาหินที่ห่างไปไกล ร่างของนางอ่อนยวบนอนพังพาบอยู่กับพื้น นางยกสองมือปิดหน้าเอาไว้แน่น เลือดสดไหลซึมออกมาจากร่องนิ้วไม่หยุด แต่นางก็ยังไม่กล้าส่งเสียงเล็ดรอดออกมาแม้แต่น้อย

หลี่หลิ่วมองเหวยเกาอู่ผู้นั้นแล้วถาม “เจ้าอยากจะฝึกตน?”

เหวยเกาอู่ไม่ได้เงยหน้าขึ้น กลับกันยังโขกศีรษะลงกับพื้นหินแรงยิ่งกว่าเก่าหนึ่งครั้ง จากนั้นก็แนบหน้าผากที่เลือดโชกติดกับพื้น ตะโกนตอบเสียงดังว่า “อยาก!”

หลี่หลิ่วกล่าว “ง่ายมาก เจ้าไปฆ่าปีศาจจิ้งจอกเฒ่าตัวนั้น แล้วข้าจะถ่ายทอดมรรคกถาที่เป็นระบบสืบทอดที่แท้จริงซึ่งทำให้เจ้ามีหวังเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนได้ให้หนึ่งวิชา เจ้าน่าจะรู้ว่าข้าไม่มีอารมณ์จะมาล้อเล่นกับเจ้า”

ร่างของเหวยเกาอู่แข็งทื่อ จมสู่ความเงียบงัน

หลี่หลิ่วยิ้มเอ่ย “เสียใจภายหลังตอนนี้ก็สายไปแล้ว หากเจ้าไม่ฆ่า ก็ต้องเปลี่ยนมาเป็นเจ้าที่ตาย หนึ่งคือชีวิตด้อยค่าแก่ๆ ที่ใกล้ตายเต็มทีชีวิตหนึ่ง กับอีกหนึ่งที่เป็นเส้นทางอนาคตยาวไกลบนมหามรรค เจ้าเลือกเอาเอง อยู่แค่ที่ความคิดเดียวของเจ้าเท่านั้น”

เหวยเกาอู่พลันลุกขึ้นยืนด้วยน้ำตาอาบหน้า หันหน้ากลับไปมองจิ้งจอกเฒ่าภูเขาตะวันตกที่ยังคงสลบไสลแวบหนึ่ง แล้วค่อยหันไปมองเด็กสาวปีศาจจิ้งจอกที่ส่ายหน้าอย่างแรงคนนั้น สุดท้ายเขาก็หัวเราะทั้งน้ำตา “หากข้าตาย ท่านพ่อของข้าและไท่เจินสามารถมีชีวิตรอดได้หรือไม่?”

หลี่หลิ่วพยักหน้ารับ

เหวยเกาอู่หัวเราะเสียงดังอย่างเศร้ารันทด หันหน้าไปถ่มน้ำลายแรงๆ อีกทาง “สวรรค์ชาติสุนัข!”

เขาหันหน้าไปมองทางหน้าผาหินอีกครั้ง ทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดไป เดิมทีเขาอยากจะบอกนางว่าบุรุษผู้นั้นไม่ใช่คนดีอะไร อย่าไปชอบเขา อย่าได้ไปชอบเขาเด็ดขาด

แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้พูดมันออกมา

เหวยเกาอู่มองสตรีที่สูงส่งยิ่งกว่าหยางฉงเสวียนแล้วพูดเสียงสั่น “เทพเซียนที่สูงส่งอย่างพวกเจ้า ผู้ฝึกตนอย่างพวกเจ้า คือมนุษย์…อย่าได้หลอกข้าอีกเลย อย่าได้หลอกข้าอีกเลย ข้าก็แค่มดตัวน้อยตัวหนึ่ง ไม่มีค่าพอให้พวกเจ้ามาหลอกลวงหรอก…”

น้ำตาของเหวยเกาอู่ไหลไม่หยุด ทว่าสายตาพลันฉายประกายเด็ดเดี่ยว ควักเอามีดกระดูกขาวปลายแหลมเล่มหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ เดิมทีคิดจะเอามาใช้ต่อสู้แลกชีวิตกับหยางฉงเสวียน แต่เวลานี้กลับถูกเขาแทงเข้าที่หัวใจของตัวเองเต็มแรง

เหวยไท่เจินกรีดร้องเสียงดัง “ไม่นะ!”

หลี่หลิ่วคลี่ยิ้มมีเลศนัย พึมพำกับตัวเองว่า “วิธีที่โง่ที่สุด การเลือกที่ถูกต้องที่สุด”

……

ภูเขาโปลั่วและภูเขากระจกวิเศษในวันนี้ต่างก็เกิดเรื่องสะท้านสะเทือนจนภูเขาโยกคลอนพื้นดินแตกแยก

บนเส้นทางลงใต้

หญิงสาวผู้หนึ่งทอดสายตามองไปเบื้องหน้า พูดเบาๆ กับเด็กสาวปีศาจจิ้งจอกที่อยู่ด้านหลังว่า “น้องชายคนนั้นของข้าเป็นคนซื่อที่สุดแล้ว มักจะปฏิบัติกับคนอื่นด้วยความใจดีมีเมตตา แล้วก็ไม่ซุกซนเกเรเลยสักนิด…สรุปก็คือ วันหน้าเมื่อเจ้าเป็นสาวใช้ติดตามอยู่ข้างกายเขาก็ต้องคอยปกป้องเขาให้ดี อีกเดี๋ยวข้าจะถ่ายทอดวิชาลับอย่างหนึ่งให้กับเจ้า พอไปถึงยอดเขาสิงโต ขอบเขตของเจ้าจะทะยานสูงขึ้นเร็วสักหน่อย ดังนั้นถึงเวลานั้นก็ไม่ต้องกลัวตัวเอง”

ปีศาจจิ้งจอกพยักหน้ารับอย่างแรงพลางรับคำว่าอืมๆ

จากนั้นเด็กสาวปีศาจจิ้งจอกก็หันไปมองด้านหลังแล้วเม้มปากยิ้ม

บุรุษร่างกำยำที่เดินโผเผตามมาด้านหลังนางผู้นั้น แม้จะมีใบหน้าซีดขาว แต่ก็สามารถเดินเหินได้เป็นปกติ ก็แค่ตรงหัวใจยังมีเลือดสดไหลซึมทะลุผ้าออกมาเล็กน้อยเท่านั้น

เขาคลี่ยิ้มกว้าง

แต่เขาก็ยังอดไม่ไหวหันหน้ากลับไป มองไม่เห็นเงาร่างของบิดาแล้ว คาดว่าคงไม่กล้าติดตามมาไกลขนาดนี้

ด้านหลังของเขาก็คือบุรุษที่ชื่อว่าเจี่ยงชวีเจียงและเทพหญิงสิงอวี่

เด็กสาวเหวยไท่เจินที่อยู่ด้านหน้าในเวลานี้รู้สึกประหลาดใจ ประหลาดใจอย่างมาก สายตาของนางเต็มไปด้วยความสงสัย

เพราะเมื่อนางมองบุรุษผู้นั้นอีกครั้งก็ราวกับว่าจะไม่เหลืออารมณ์ใดๆ ล้อมวนเวียนอยู่ในห้องหัวใจอีกเลย

หลี่หลิ่วที่เดินอยู่ด้านหน้าสุดเอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งแกว่งส่ายเบาๆ อยู่ด้านหน้า ปลายนิ้วมีเส้นด้ายสีแดงกลุ่มหนึ่งรัดพัน และเวลานี้มันกำลังค่อยๆ สลายหายไป

เมื่อด้ายแดงเสี้ยวสุดท้ายหายไปสิ้น

หลี่หลิ่วก็หลุบตาลงต่ำ ถอนหายใจอยู่ในใจ ความรักระหว่างชายหญิงบางคู่บนโลกใบนี้ที่สัญญาว่าจะอยู่เคียงข้างกันไม่ว่าเป็นหรือตาย แท้จริงแล้วกลับไม่อาจทนรับแรงกระทบกระเทือนได้เลยแม้แต่น้อย

หลี่หลิ่วไม่ได้หันหน้ากลับไป เพียงเอ่ยกับเทพหญิงสิงอวี่ว่า “พวกเจ้าไม่ต้องตามมาแล้ว ซูสื่อ จำไว้ว่าเจ้ามีสัญญาหกสิบปี อย่าได้ตายไปง่ายๆ เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นข้าก็ย่อมมีวิธีที่จะทำให้เจ้าอยู่ก็ไม่ได้ตายก็ไม่ดี ต้องทนรับกับความทุกข์ทรมานที่เจ้าไม่อาจจินตนาการได้ถึงเลย”

เดิมทีเทพหญิงสิงอวี่ไม่ควรมีความหวาดกลัวต่อความเป็นความตาย ทว่าเวลานี้ในใจนางกลับหวาดผวาเป็นที่สุด ความตื่นตระหนกทบทวี แต่ขณะเดียวกันก็คล้ายจะโล่งอก หลังจากที่นางผงกศีรษะ ‘รับคำสั่ง’ แล้วก็คว้าไหล่ของเจี่ยงชวีเจียงที่ท่าทางหมดอาลัยตายอยากทะยานลมจากไป

……

ณ ตำหนักหยางฉาง

ตรงประตูใหญ่ที่เดิมทีมีแค่ภูตลูกกระจ๊อกสองตนที่กอดทวนไม้ไว้ในอ้อมอก เวลานี้เหลือเพียงตนเดียวแล้ว

เฉินผิงอันยิ้มพลางเดินเข้าไปหาช้าๆ

ภูตหนูตนนั้นอึ้งตะลึงอยู่กับที่ ก่อนจะรีบลุกขึ้นยืน มือถือทวน พูดเสียงดัง “เจ้าเป็นใคร จงบอกชื่อแซ่มาเดี๋ยวนี้!”

อันที่จริงมันจำคนตรงหน้าผู้นี้ได้แล้ว แต่ก็ยังต้องตวาดถามพอเป็นพิธี

เฉินผิงอันโบกมือบอกเป็นนัยกับมันว่าไม่ต้องแสร้งทำแล้ว เขาถามว่า “ตำราพิชัยยุทธของบรรพบุรุษเจ้าหายไปทั้งหีบ เขาไม่ได้มาระบายความโกรธใส่เจ้าหรือ?”

หากเซียนใหญ่จัวเยาตนนั้นยังกล้าอยู่ที่ตำหนักหยางฉาง เฉินผิงอันก็ยินดีที่จะเรียกมันว่าเซียนใหญ่ด้วยความเลื่อมใสจากใจจริง

ความเคลื่อนไหวที่ริมลำคลองเฮยเหอไม่ใช่เล็กๆ จุดจบอันน่าสงสารของขุนพลเทพชื่อเหลยก็น่าจะทำให้ผู้คนที่ผ่านทางรับรู้กันถ้วนทั่วแล้ว

แม้ว่าลูกสมุนผู้นี้จะจำแลงใบหน้าของมนุษย์ได้แล้ว แต่กลับยังพอจะมองร่างเดิมที่เป็นภูตหนูออกอย่างเลือนราง ถึงอย่างไรตบะของอีกฝ่ายก็ยังตื้นเขินเกินไป

มันเกาหัว “เรียนนายท่านผู้เฒ่าเซียนกระบี่ บรรพบุรุษของข้ากลับมาช้า ตอนนั้นข้าฟื้นขึ้นมาด้วยตัวเองแล้ว กลัวว่าท่านบรรพบุรุษจะเคลือบแคลงก็เลยเอาหัวกระแทกประตูใหญ่แรงๆ อีกสองครั้งกว่าจะทำให้ตัวเองสลบไปได้ คิดไม่ถึงว่าพอฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ท่านบรรพบุรุษก็ยังคงไม่กลับมา ข้าก็เลยตัดสินใจเอาหัวพุ่งชนอีกครั้ง คราวนี้ในที่สุดท่านบรรพบุรุษก็กลับมาได้สักที พอเขาเอาเท้าเตะให้ข้าตื่น ข้าก็บอกไปว่าไม่รู้ว่าทำไมอยู่ดีๆ ถึงได้สลบไป ท่านบรรพบุรุษจึงรีบวิ่งไปตรวจสอบในเส้นทางใต้ดินโดยไม่สนใจข้าอีก ข้าเลยรีบหนีไปขุดดินหลบอยู่ใต้ดินห่างจากตำหนักหยางฉางไปไกล พอท่านบรรพบุรุษหาข้าไม่เจอก็ขี่เมฆทะยานหมอกจากไป”

เฉินผิงอันนั่งลงบนขั้นบันได ภูตหนูลังเลเล็กน้อย ก่อนจะนั่งตามไป เพียงแต่ว่าอยู่ห่างมาค่อนข้างไกล

มันเองก็อยากนั่งใกล้ๆ สัมผัสกลิ่นอายเซียนของนายท่านผู้เฒ่าเซียนกระบี่ผู้นี้บ้าง แต่ไม่กล้าขนาดนั้น

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ตำราเล่มที่ให้เจ้าไปเล่า?”

ภูตหนูชี้ไปยังตำแหน่งที่ฝังตำราแล้วยิ้มอย่างอารมณ์ดี “เรียนนายท่านผู้เฒ่าเซียนกระบี่ ยังซ่อนอยู่ตรงนั้นเป็นอย่างดี ข้าไม่กล้าเอาออกมา คิดว่ารอให้ผ่านไปสักหลายๆ วันหน่อยค่อยไปเอาออกมาอ่าน ก็เหมือนอย่างที่นายท่านผู้เฒ่าเซียนกระบี่พูดนั่นแหละ หากให้ท่านบรรพบุรุษของข้าเห็นเข้า ย่อมต้องกลายเป็นปัญหาใหญ่ ในตำราก็บอกไว้แล้วว่า นี่เรียกว่าไม่อดทนข่มกลั้นต่อเรื่องเล็กน้อยจะทำให้แผนการใหญ่วุ่นวาย นายท่านผู้เฒ่าเซียนกระบี่ คำกล่าวนี้น่าจะเอามาใช้แบบนี้ได้กระมัง?”

เฉินผิงอันกลั้นยิ้มพยักหน้ารับ “สามารถใช้แบบนี้ได้”

ภูตหนูที่กอดทวนไม้ไว้ในอ้อมอกจึงหัวเราะอย่างโง่งม

คงจะรู้สึกว่าตัวเองได้ทำเรื่องที่ร้ายกาจมากกระมัง?

เฉินผิงอันเอาสองมือสอดไว้ในชายแขนเสื้อ ก้มตัวลงน้อยๆ หันหน้ามาถาม “หากเป็นไปได้ เจ้าอยากออกไปดูโลกภายนอกหรือไม่?”

ภูตหนูพยักหน้ารับ “ต้องอยากอยู่แล้ว ท่านบรรพบุรุษของข้าบอกไว้ว่าตำราของด้านนอก ไม่ต้องสนว่าเขียนถึงเรื่องอะไร หรือเป็นอริยะคนใดที่เขียน ก็ล้วนสามารถซื้อมาได้ในราคาที่ถูกมากๆ ราวกับยกให้เปล่าอย่างไรอย่างนั้น ข้าก็เลยอยากจะไปซื้อตำราบางอย่างกลับมา”

เฉินผิงอันจึงถามอีก “ยังจะกลับมาอีกหรือ?”

ภูตหนูร้องอืมรับหนึ่งที สีหน้าเขินอายเล็กน้อย “ก็บ้านข้าอยู่ที่นี่นี่นา”

มันไม่กล้านั่งเลียนแบบนายท่านผู้เฒ่าเซียนกระบี่ แต่นั่งงอเข่า เอาสองแขนวางไว้บนหัวเข่า นั่งห่อตัวอยู่อย่างนั้น

มันพูดเสียงเบาว่า “ข้ารู้ว่านายท่านผู้เฒ่าเซียนกระบี่ไม่ค่อยชอบท่านบรรพบุรุษของข้า ไม่แน่ว่าเมื่อได้เจออาจจะยังสังหารเขา ดังนั้นนายท่านผู้เฒ่าเซียนกระบี่มาเยือนที่ตำหนักหยางฉางสองครั้ง แต่กลับไม่ได้เจอกับท่านบรรพบุรุษของข้าเลยสักครั้ง ข้าดีใจอย่างมาก”

เฉินผิงอันหัวเราะ แล้วหยิบเหล้ากาหนึ่งออกมาจากในวัตถุจื่อชื่อ “ดื่มหรือไม่?”

ภูตหนูส่ายหน้าเบาๆ “หากท่านบรรพบุรุษมาเจอเข้าต้องแย่แน่”

เฉินผิงอันกล่าว “ช่วงนี้อย่างน้อยสิบวันครึ่งเดือน เซียนใหญ่จัวเยาผู้นี้ไม่มีทางกล้ากลับมาแน่”

ภูตหนูโบกมือเป็นพัลวัน “ขอบคุณที่นายท่านผู้เฒ่าเซียนกระบี่หวังดี ข้าน้อยไม่ดื่มเหล้าอยู่แล้ว ก็คือ…ข้าได้ยินมาว่าดื่มเหล้าแล้วจะแผดเผาลำไส้”

กล่าวมาถึงตรงนี้ สีหน้าของภูตหนูก็หม่นหมองลงเล็กน้อย

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ เขาเปิดผนึกดินออก จิบเหล้าคำเล็กหนึ่งคำแล้วหรี่ตาลง เพียงแต่ครั้งนี้เฉินผิงอันรู้สึกถึงเพียงความผ่อนคลายอันอบอุ่น นั่งอาบแดด จิบเหล้าคำเล็กๆ ข้างกายมีภูตน้อยแห่งหุบเขาผีร้ายที่ชอบอ่านหนังสือ แล้วยังรู้จักเขียนบันทึกลงไป เวลานี้เฉินผิงอันกลับรู้สึกว่าตัวเองมีชีวิตดุจดั่งเทพเซียน

ภูตหนูปลุกความกล้าถามอย่างระมัดระวัง “นายท่านผู้เฒ่าเซียนกระบี่มาฝึกประสบการณ์ที่หุบเขาผีร้ายเราหรือ?”

เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที “แล้วก็ยังมาเพื่อหารายได้ด้วย”

สามปีใหม่สามปีเก่า ปะชุนซ่อมแซมก็ผ่านไปอีกสามปี

วันเวลาเช่นนี้ช่างเป็นวันเวลาที่ดีจริงๆ

แล้วนับประสาอะไรกับที่หุบเขาผีร้ายแห่งนี้ช่วยให้เขาหาเงินเทพเซียนมาได้ไม่น้อยจริงๆ

เฉินผิงอันดื่มเหล้าอีกสองสามอึกก็เก็บไป ลุกขึ้นยืนเอ่ยว่า “ไปล่ะ”

หยิบงอบขึ้นมาสวมบนศีรษะ ปลดหน้ากากคนแก่ที่สวมอยู่ออก เผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริง

ภูตหนูมองแวบหนึ่งแล้วก็รีบลุกขึ้นยืนตัวตรง “ข้าขอน้อมส่งนายท่านผู้เฒ่าเซียนกระบี่ที่ยังอ่อนเยาว์!”

กล่าวประโยคที่ออกมาจากใจจริงนี้จบ

ภูตหนูก็พลันรู้สึกว่าตัวเองช่างมีไหวพริบเสียจริง!

เฉินผิงอันไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอาใจ “คำประจบนี้ของเจ้าใช้เรียกผู้เฒ่าเซียนกระบี่มากี่มากน้อยแล้ว? อันที่จริงความสามารถในการยกยอคนอื่นของเจ้ายังไม่เก่งกาจพอ ดังนั้นวันหน้าต้องอ่านหนังสือให้มาก”

ภูตหนูมึนงง ในใจคิดว่าตนไม่ได้ประจบสอพลอสักหน่อย แต่ว่าเรื่องที่ต้องอ่านหนังสือให้มากนั้นแน่นอนอยู่แล้ว

ตอนนี้สมบัติของตนเปลี่ยนจากตำราหนึ่งเล่มมาเป็นตำราสองเล่ม ร่ำรวยใหญ่แล้ว!

เฉินผิงอันยิ้มถาม “เคยเห็นผู้ฝึกกระบี่ขี่กระบี่หรือไม่?”

ภูตหนูส่ายหน้าอย่างแรง “เรียนนายท่านผู้เฒ่าเซียนกระบี่! ชีวิตนี้ไม่เคยมาก่อนเลย!”

เฉินผิงอันกลับถามขึ้นกะทันหัน “นอกจากอ่านตำรา ยังชอบฝึกตนไหม?”

ภูตหนูกำทวนไม้ในมือแน่น หลุดปากพูดไปว่า “ชอบ!”

เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าจะเอ่ยประโยคหนึ่งที่อ่านเจอมาจากในตำรา เจ้าจะฟังหรือไม่?”

ภูตหนูสูดลมหายใจเข้าลึก ยืดอกตั้ง พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “นายท่านผู้เฒ่าเซียนกระบี่โปรดกล่าวถ้อยคำล้ำค่าดุจทองคำนี้!”

เฉินผิงอันเกือบจะกลืนคำพูดประโยคนั้นกลับลงท้องไปทันควัน

เมื่อเป็นเช่นนี้เขาก็ไม่มีความฮึกเหิมใดๆ หลงเหลืออยู่แล้ว ดังนั้นเฉินผิงอันจึงยิ้มพูดด้วยท่าทางที่ผ่อนคลายคล้ายคุยเรื่องทั่วๆ ไป “ในตำราบอกไว้แล้วว่า ผู้ฝึกตนฝึกพละกำลังเพื่อปกป้องจิตแห่งมรรคาของตน หาใช่ตั้งใจฝึกตนแสวงหามรรคาอย่างยากลำบากเพียงแค่เพื่อเพิ่มพูนพละกำลัง”

ภูตหนูกึ่งเข้าใจกึ่งไม่เข้าใจ

เฉินผิงอันประคองงอบ เตรียมจะออกเดินทางต่อ

ภูตหนูเอ่ยขึ้นว่า “คราวหน้าหากได้พบกับนายท่านผู้เฒ่าเซียนกระบี่อีกครั้ง ข้าจะต้องดื่มเหล้าอย่างแน่นอน”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่มีปัญหา เจ้าคงไม่รู้กระมัง อันที่จริงตอนนี้ข้ายังไม่ใช่เซียนกระบี่ เป็นแค่มือกระบี่ ทว่าแต่ไหนแต่ไรมามือกระบี่ก็มักต้องดื่มเหล้าถึงจะสามารถกลายเป็นเซียนกระบี่ได้”

เฉินผิงอันกลั้นยิ้ม เจี้ยนเซียนที่อยู่ด้านหลังออกจากฝักมาลอยอยู่ด้านหน้าเขาด้วยตัวเองแล้ว

เฉินผิงอันกระโดดหนึ่งก้าวขึ้นไปยืนบนเจี้ยนเซียนแล้วขี่กระบี่จากไปไกล พลังอำนาจน่าครั่นคร้าม ปราณกระบี่ท่วมทะยานฟ้า ท่องเดินทางอยู่ท่ามกลางฟ้าดิน

กระบี่จงมา Sword of Coming

กระบี่จงมา Sword of Coming

Status: Ongoing
” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์  ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์  หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า  แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “
เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา
เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม
และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง
ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้
–ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท