เย้นหว่านน้ำตาอาบน้ำ
เธอหันหน้ากลับมาอย่างแข็งทื่อ แล้วมองไปที่โห้หลีเฉินด้วยสายตาที่สั่นเทา
สายตานั้นเต็มไปด้วยความอาลัยรัก และรักอย่างสุดขีด
ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า จะจากลาไปจนชั่วนิรันดรอย่างนี้ และไม่เคยคิดมาก่อนด้วยเหมือนกันว่า จะถูกคนบังคับจนตกอยู่ในสภาพที่อับจนเช่นนี้
“ที่รักคะ”
นิ้วมือของเย้นหว่านลูบคิ้ว สันจมูก และริมฝีปากของเขาเบาๆ…
เธอพรรณนาถึงอวัยวะทั้งห้าบนใบหน้าที่งดงามและละเอียดอ่อนของเขา พร้อมกับลูบสัมผัสโครงหน้าของเขา แล้วค่อยสลักมันไว้ในจิตวิญญาณของตัวเองอย่างละเอียด
เพื่อให้เธอจะได้จดจำตลอดไปและไม่มีวันลืม
“ขอโทษนะคะ…”
เสียงของเย้นหว่านแผ่วเบาอย่างมาก จากนั้นน้ำตาของเธอ ก็ค่อยๆ ร่วงหล่นลงมา
เย้นหว่านจึงตัดสินใจ
เพราะทางหนึ่งก็เป็นสิ่งที่จะทำให้เธอต้องละอายใจ และอีกทางหนึ่งก็เป็นสิ่งที่จะทำให้เธอไม่สามารถสั่นคลอนการตัดสินใจได้
เธอนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย และถูกเข็นเข้าไปในห้องผ่าตัดฉุกเฉิน ด้วยกันกับโห้หลีเฉิน
เธอได้รับยาสลบ และสติก็ค่อยๆ เลือนรางไป
จากนั้นก็ตกอยู่ในความมืดมิด
ณ นอกปราสาท ทั้งสองฝ่ายก็ต่อสู้กัน
ฉากนั้นรุนแรงและดุเดือด และเต็มไปด้วยการหลั่งเลือดอย่างต่อเนื่อง
แต่ท้ายที่สุดแล้วมันก็เป็นการรับมือกับที่ฉุกละหุก และเป็นสถานการณ์ที่น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟเท่านั้น เพราะภายใต้การโจมตีที่ต้องการบดขยี้ของหยูฉู่สองนั้น เว่ยชีจึงพ่ายแพ้ไป
เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส และถูกคนเหยียบย่ำ
หยูฉู่สองพร้อมด้วยกลุ่มบอดี้การ์ดจำนวนมาก พุ่งเข้าไปอย่างดุร้าย
เว่ยชีลืมตามองไปที่ภาพด้านหลังของพวกเขาอย่างยากลำบาก เขาน้ำตาคลอเบ้า และหัวใจของเขาก็เต็มไปด้วยความเศร้าโศก
ขอโทษด้วยครับคุณผู้ชาย เป็นเพราะผมไร้ความสามารถเอง
……
เก้าเดือนต่อมา
ณ วิลล่าเดี่ยวของตระกูลหยู โห้หลีเฉินกับเย้นหว่าน
ในห้องห้องหนึ่งที่อยู่ชั้นบนสุด
ม่านผืนหนาถูกดึงขึ้น ทั้งๆ ที่เป็นตอนกลางวันแท้ๆ แต่กลับไม่มีแสงส่องเข้ามาเลยแม้แต่น้อย มันราวกับค่ำคืนที่เงียบสงัดยังไงอย่างงั้นเลย
มันทั้งมืด และอึดอัด
และในขณะนั้นก็มีเงาร่างหนึ่งกำลังนั่งอยู่ริมหน้าต่าง แล้วหันหน้าเข้าหาม่านราวกับตกอยู่ในการนั่งสมาธิ และไม่มีการขยับเขยื้อนใดๆ
และเวลาก็ผ่านไปเรื่อยๆ และเขาก็สงบนิ่งจนแม้แต่การหายใจขึ้นลงของเขายังไม่อาจสังเกตเห็นได้ง่ายๆ ราวกับว่าเขาเป็นแค่รูปปั้นรูปหนึ่งเท่านั้น
และราวกับว่า เขาตายไปตั้งนานแล้ว
“ก๊อกๆ”
เสียงเคาะประตูเบาๆ ก็ดังขึ้นจากข้างนอก พร้อมด้วยเสียงที่พยายามพูดอย่างเบาที่สุดของชายคนหนึ่ง “คุณผู้ชายครับ ได้เวลาทานยาแล้วครับ”
แต่ก็ไม่มีการตอบรับใดๆ
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ประตูห้องก็ถูกเปิดออกจากด้านนอก จากนั้นจึงมีแสงสาดส่องเข้ามา
ซึ่งคนที่เข้ามานั้นคือเว่ยชีนั่นเอง
บนใบหน้าของเขา มีแผลเป็นบนดวงตาของเขา แม้ว่าแผลจะหายสนิทแล้ว แต่ก็ยังดูอัปลักษณ์และน่ากลัว เพราะมันทำลายใบหน้าที่หล่อเหลาทั้งใบของเขาไปแล้ว
เขาเดินเข้ามา พร้อมกับถือชามยา
“คุณผู้ชายครับ ได้เวลาทานยาแล้วครับ”
เขาพูดอีกครั้ง
แต่ชายคนนั้นยังไม่มีการตอบรับใดๆ
จึงทำให้เว่ยชีตื่นกลัวอย่างไม่มีเหตุผล เขาเลยอยากเข้าไปสำรวจดูว่า เขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่
เขาระงับอารมณ์ในหัวใจไว้ แล้วพูดเกลี้ยกล่อมอย่างอดทนไปว่า
“คุณผู้ชายครับ สุขภาพของคุณผู้ชายยังไม่หายดี แล้วมันก็เอาแต่จะกำเริบแล้วกำเริบอีก ยังต้องทานยาถึงจะหายดีนะครับ”
“ดีงั้นเหรอ?”
ในที่สุดชายคนนั้นก็ส่งเสียงออกมา อย่างแหบแห้งราวกับว่าลำคอของเขาเสียหายอย่างหนัก
และน้ำเสียงของเขาก็ยังดูเยาะเย้ยอย่างมาก
“ดีขึ้นแล้วมันจะไปมีประโยชน์อะไร ยังไงมันก็เหมือนกับชีวิตที่ตายยังดีกว่าเป็นอยู่ก็เท่านั้น แล้วมันจะไปต่างอะไรกับการตายล่ะ”
เว่ยชีทนดูข้างใบหน้าของชายคนนั้นไม่ได้ เพราะใบหน้านั้นมันซูบผอมจนเห็นกระดูก และมันก็ซีดจนไม่มีร่องรอยของเลือดฝาดเลยแม้แต่น้อย
และแม้แต่หางตาของเขา ยังมีรอยย่นบางๆ อยู่ด้วย
ทั้งๆ ที่เป็นเวลาเพียงเก้าเดือนเท่านั้น แต่โห้หลีเฉินที่ครั้งหนึ่งเคยกระฉับกระเฉงมีชีวิตชีวาและทะนงองอาจนั้น ตอนนี้กลับโทรม ราวกับหุ่นเชิดที่ไร้ซึ่งจิตวิญญาณ
และบนตัวเขาก็ไม่พบร่องรอยของความมีชีวิตชีวาเลย สายตาของเขา ว่างเปล่าจนเหลือเพียงความสิ้นหวังที่มืดมิด
หลังจากเหตุการณ์เมื่อเก้าเดือนที่แล้วนั้นโห้หลีเฉินจึงรอดชีวิตมาได้
แต่เขาก็อยู่ในอาการโคม่ามาครึ่งปีแล้ว หลังจากที่ฟื้นขึ้นมา เขาก็เป็นกลายเป็นคนบ้าไป จากนั้นตัวเขาก็ว่างเปล่าราวกับว่าไร้ซึ่งจิตวิญญาณ ตกต่ำและไม่อาจปลุกกำลังใจลุกขึ้นสู้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
เขาสูญเสียพลังในการมีชีวิตอยู่ทุกอย่าง ซึ่งในทุกๆ วัน เขามักจะเอาแต่อยู่ในความมืด ราวกับซากศพที่เดินได้
การมีชีวิตอยู่แบบนี้ มันยังเจ็บปวดยิ่งกว่า การตายไปแล้วซะอีก
เว่ยชีถอนหายใจ “คุณนายช่วยชีวิตคุณผู้ชายไว้อย่างไม่คิดชีวิต ก็เพื่อให้คุณผู้ชายได้ใช้ชีวิตอยู่ต่อไปนะครับ…”
สายตาที่เย็นชานั้นของโห้หลีเฉินก็สั่นไหวขึ้นมาในทันใด และคำว่าคุณนายนั้น ก็ทิ่มแทงเข้าที่หน้าอกของเขาราวกับหนามแหลม
เขาส่งเสียงร้องตะโกนอย่างดัง “ไสหัวออกไปซะ!”
เสียงของเว่ยชีจึงหยุดลงอย่างกะทันหัน เมื่อเห็นท่าทางที่โกรธของคุณผู้ชาย นี่อาจเป็นความรู้สึกอย่างเดียวของเขาในตอนนี้
ซึ่งมีแต่ความเย็นชา และความโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
หลังจากเหตุการณ์นั้น เย้นหว่านก็กลายเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับเขา และไม่สามารถพูดถึงมันได้อีกต่อไป
เว่ยชีปะทะกับความโกรธของโห้หลีเฉินโดยไม่ได้ออกไปทันที แต่เขากลับมองไปที่ชามยาในมือด้วยสายตาที่หนักแน่น
คุณผู้ชายไม่ได้ทานยามาสามวันแล้ว ถ้ายังเป็นอย่างนี้ต่อไป ร่างกายของเขาคงจะไม่สามารถรับได้
เว่ยชีสับสนอยู่นาน ก่อนจะรวบรวมความกล้าแล้วพูดไปอีกครั้งว่า
“คุณผู้ชายครับ ต่อให้ไม่ทำเพื่อตัวท่านเอง อย่างน้อยก็ทำเพื่อคุณหนูนะครับ ดังนั้นคุณผู้ชายจะต้องดื่มยา เพราะตอนนี้คุณหนูเพิ่งจะอายุเก้าเดือนเอง และคุณหนูเองยังห่างจากคุณผู้ชายไม่ได้”
ความโกรธที่ฉุนเฉียวง่ายของโห้หลีเฉินก็ค่อยๆ ลดลงเล็กน้อย
เขาจับนิ้วมือที่ผอมบางของตัวเองไว้แน่น จนเวลาผ่านไปอยู่นาน ก่อนจะพูดออกมาไม่กี่คำว่า
“แกดูแลเธอก็พอแล้วนิ”
“แต่คุณผู้ชายถึงจะเป็นพ่อของคุณหนูนะครับ คุณหนูยังต้องการพ่อนะครับ…”
“ฉันไม่มีความสามารถพอที่จะเป็นพ่อของเธอได้ และไม่คู่ควรที่จะเป็นพ่อของเธอด้วย”
โห้หลีเฉินขยับนิ้วมือ และเก้าอี้ที่เขานั่งอยู่นั้น ก็หันไปยังอีกทาง
จากนั้นเขาก็หันหลังให้กับเว่ยชีอย่างสิ้นเชิง
แต่สิ่งที่ตัวเขานั่งอยู่นั้น คือรถเข็นคันหนึ่ง
เขารอดชีวิตมาได้ แต่เขาก็ได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัส โดยเขาทั้งได้รับบาดเจ็บ และพิการด้วยเช่นกัน
หัวใจของเขา ถูกทำร้ายจนถึงที่สุด
เว่ยชีมองไปที่ภาพด้านหลังของเขา เขารู้สึกหนักอึ้ง แล้วถอนหายใจด้วยความเศร้าโศกอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
เก้าเดือนที่แล้ว เย้นหว่านได้ทำข้อแลกเปลี่ยนกับแคทเธอรีน โดยเธอยอมเสียสละตัวเองและลูกของเธอ เพื่อช่วยโห้หลีเฉิน
แคทเธอรีนผ่าท้องของเย้นหว่านและนำทารกที่อายุเพียง 5 เดือนครึ่งออกมาในขณะนั้น ซึ่งนั่นเป็นคู่แฝดชายหญิงที่ผอมบางและเล็ก
โดยเธอได้ใช้เลือดจากสายสะดือเพื่อช่วยโห้หลีเฉิน
แต่เย้นหว่านกับลูก กลับได้เดินมาถึงจุดจบของชีวิต
แคทเธอรีนอยากจะทิ้งพวกเขาลงถังขยะอย่างโหดร้าย แต่ในขณะนั้นเอง ป่ายฉีก็ไล่ตามมาทัน
ทั้งตัวเขาถูกปกคลุมไปด้วยเลือด และไม่รู้ว่าเขาถูกฆ่าตายที่ไหน
เขาทำร้ายแคทเธอรีน และควบคุมที่เกิดเหตุ แล้วแย่งคืนชีวิตออกจากมือของมัจจุราช ดังนั้นเขาจึงช่วยชีวิตของเด็กทั้งสองและเย้นหว่านอย่างหวาดเสียว
แต่ในท้ายที่สุด ประตูขุมนรกต่างหากที่แย่งชีวิตไปก่อน และฝีมือการผ่าของแคทเธอรีนนั้นโหดร้ายเกินไป ทำให้มันถลอกและฉีกขาด และสถานการณ์ของเย้นหว่านก็เลวร้ายขึ้น
ป่ายฉีช่วยชีวิตเธอไว้ แต่เธอกลับเสียชีวิต และเละจนกลายเป็นผัก
เด็กทั้งสองก็เกิดก่อนกำหนด และได้รับการสูญเสียภายในหลายอย่าง เนื่องจากพวกเขาเกิดมาพร้อมกับโรคทางพันธุกรรม ที่มีสุขภาพร่างกายที่พิเศษ และอ่อนแออย่างมาก จึงเป็นเรื่องยากที่จะเลี้ยงดูต่อไปได้
คนที่เป็นน้องสาวป่วยหนัก และวิธีเดียวที่ป่ายฉีคิดได้ในขณะนั้น ก็คือพาเธอไปพักฟื้นร่างกายในบ่อน้ำพุร้อนที่ขุมทรัพย์ของตระกูลหยูซึ่งต้องแช่อยู่ในนั้นทุกวัน ถึงจะสามารถรอดชีวิตมาได้
ด้วยสถานการณ์นี้ หยูฉู่สองจึงโจมตีเข้ามาอีกครั้ง หลังจากคิดพิจารณาการกันแล้วป่ายฉีจึงทำได้แค่พาเย้นหว่านและเด็กทารกทั้งสอง ออกไปจากสถานการณ์ที่วุ่นวาย
โห้หลีเฉินและเด็กทารกหญิงนั้นอยู่ที่ตระกูลหยู
เด็กหญิงยังมีชีวิตอยู่ และจะต้องพึ่งพาน้ำพุร้อนที่ขุมทรัพย์ของตระกูลหยูและนี่ก็เป็นการผูกมัดโห้หลีเฉินให้อยู่ในตระกูลหยูอีกด้วย
เพราะโห้หลีเฉินไม่เพียงแต่สูญเสียเด็กทารกชายไปเท่านั้น เขายังสูญเสียเบาะแสของตระกูลเย้นไปอีกด้วย
หลังจากวันนั้น ตระกูลที่ยิ่งใหญ่ตระกูลหนึ่งของตระกูลเย้นก็หายไปจากอาณาเขตและป้อมปราการทั้งหมด ก็หายไปราวกับหายไปจากโลกนี้
พวกเขาทอดทิ้งอำนาจและทรัพย์สมบัติทั้งหมดไป