บทที่ 47: ฝึกไทชิ? ดีต่อสุขภาพ~
หลังเลิกเรียน โรงเรียนก็มีเสียงดังมาก
นักเรียนจากปีต่างๆเดินออกจากห้องเรียน พวกเขารวมกันกลายเป็นแม่น้ำมนุษย์และพุ่งไปที่ประตูเข้าโรงเรียน
ในเวลานั้น หวังเต็งก็ได้ตรงไปที่ห้องพักครู เขาไปที่นั่นเพื่อตามหาครูใหญ่ฟ่านเว่ยหมิงเพื่อลงทะเบียนสอบหลักสูตรศิลปะการต่อสู้
ห้องพักครูมีชีวิตชีวากว่าที่หวังเต็งคาดไว้ ในห้องพักครูนั้นเต็มไปด้วยเหล่านีกเรียนที่มาท่นี่เพื่อลงทะเบียน
เมื่อหวังเต็งเคาะประตู เขาก็ได้ดึงดูดความสนใจของทุกคนไปในทันที
ท้ายที่สุดแล้ว หวังเต็งก็ค่อนข้างโด่งดังมากในหมู่ปีที่สาม
“ นั่นเขานี่”
“ เขามาทำอะไรที่นี่? เขาจะมาลงทะเบียนหรอ?”
“ ลูกเศรษฐีที่ร่ำรวยต้องการเข้าร่วมในการสอบหลักสูตรศิลปะการต่อสู้ด้วยอย่างงั้นหรอ? เขาเคยฝึกศิลปะการต่อสู้มาก่อนรึเปล่า? หรือเขาแค่จะมาลองดูเล่นๆ?”
“ ไม่ใช่ว่าเขาเคยพูดว่าเขาไม่เคยฝึกศิลปะการต่อสู้มาก่อนอย่างงั้นหรอ?”
ความสงสัยต่างก็ปรากฎอยู่ในแววตาของนักเรียนทุกคนที่อยู่ที่นั่น
“ อืม~ เขาไม่เคยพูดแบบนั้นนะ”
…
O((⊙_⊙))o
การสนทนาหยุดชะงักลงอย่างกะทันหัน
จากนั้นทุกคนก็รวมตัวกันรอบๆครูใหญ่และลงทะเบียนชื่อของพวกเขาอย่างจริงจัง และทำราวกับว่าเรื่องเมื่อกี้ไม่เคยเกิดขึ้น
“ หวังเต็ง!” ฟ่านเว่ยหมิงอุทานออกมาเมื่อเขาเห็นหวังเต็ง เห็นได้ชัดว่าเขากำลังประหลาดใจเป็นอย่างมาก “เธอก็มาลงทะเบียนด้วยหรอ เข้ามาก่อนสิ!”
ในฐานะครูใหญ่มืออาชีพ เขาก็รู้ได้อย่างชัดเจนว่านักเรียนในชั้นเรียนของเขานั้นมีโอกาสเข้าเรียนในหลักสูตรศิลปะการต่อสู้กี่คน
และมันก็เห็นได้ชัดว่าหวังเต็งเห็นไม่ใช่หนึ่งในนั้น
แม้ว่าพ่อของหวังเต็งจะมอบของขวัญให้เขาเป็นครั้งคราว แต่เขาก็ยังยึดมั่นในหลักการของเขา
“ ฉันจะเกลี้ยกล่อมเด็กคนนี้ในภายหลัง การสอบหลักสูตรศิลปะการต่อสู้นั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาควรจะ”
ฟ่านเว่ยหมิงแอบคิดในใจ จากนั้นเขาก็พูดต่อ “ รอที่ด้านข้างสักครู่ ฉันจะช่วยให้พวกเขาลงทะเบียนให้เสร็จก่อน”
“ ตกลง” หวังเต็งพยักหน้า
เขาจ้องมองไปที่เพื่อนร่วมชั้นของเขา มันมีไม่กี่คนที่เขาไม่คุ้นเคย ในพวกนั้น มันก็มีหยางเจี้ยนซึ่งนั่งอยู่ข้างหน้าเขาและ…
เพื่อนร่วมโต๊ะและหัวหน้าห้องของเขา หลินซัวหาน!
หยางเจี้ยงนั้นดูสบายดี เขามีลุงที่ทำงานอยู่ในกระทรวงศึกษาธิการ ดังนั้นเขาจึงได้รับข้อมูลวงในมาก่อนคนปกตินานมาก เขามีเวลาเตรียมตัวมากกว่าคนอื่น ดังนั้นความมั่นใจของเขาจึงชัดเจน
สำหรับหลินซัวหาน ลืมเรื่องความสามารถของเธอไปก่อน แค่ ‘การสอบศิลปะการต่อสู้ห้าปี เอกสารจำลองสามปี‘ นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เธอต้องทนทุกข์ทรมาน
อย่างไรก็ตาม เธอก็ยังมาลงทะเบียนในวันรุ่งขึ้นหลังจากที่ประกาศออก
ควรจะรู้ว่าหลายคนยังลังเลอยู่ พวกเขาไม่สามารถตัดสินใจได้ในเวลาอันสั้น
การสอบหลักสูตรศิลปะการต่อสู้นั้นตัดขาดกับการสอบเข้ามหาวิทยาลัยตามปกติ หากใครสมัครเข้าสอบหลักสูตรศิลปะการต่อสู้ พวกเขาก็จะไม่สามารถมีส่วนร่วมในการสอบของบางหลังสูตรได้
ดูเหมือนว่าปณิธานของหลินซัวหานจะค่อนข้างแน่วแน่!
“ หลินซัวหาน เธอคิดเรื่องนี้อย่างรอบคอบแล้วหรอ?” หวังเต็งเดินเข้าไปหาหลินซัวหานและถามเธอด้วยเสียงต่ำ
“ ใช่แล้วหัวหน้าห้อง การสอบหลักสูตรศิลปะการต่อสู้นั้นไม่ใช่เรื่องเล่นๆ มันมีคนตายในการสอบด้วย ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องที่เธอจะมองข้ามได้”
หยางเจี้ยนอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกในขณะนี้ เขาไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี ด้วยเหตุนี้เมื่อเขาได้ยินหวังเต็งเริ่มพูดหัวข้อนี้ เขาจึงกระโดดเข้าสู่การสนทนาและเกลี้ยกล่อมหลินซัวหาน
“ ฉันรู้ ฉันคิดมาดีแล้ว” หลินซัวหานพยักหน้าและตอบ
“ พ่อแม่ของเธอเห็นด้วยรึเปบ่า?” หวังเต็งถามขณะขมวดคิ้ว
“ พ่อแม่ของฉัน… ฉันตัดสินใจเองได้น่า!” หลินซัวหานลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เธอจะตอบพวกเขาอย่างมั่นคง
มุมปากของหวังเต็งกระตุก เห็นได้ชัดว่าพ่อแม่ของเธอยังไม่รู้เรื่องนี้
เขาต้องการจะห้ามปรามเธออีกครั้ง แต่เมื่อเขาเห็นใบหน้าที่ดื้อรั้นและน่ารักของเธอ เขาก็กลืนคำพูดกลับเข้าไปในปากของเขา
“ เฮ้อ ลืมมันไปซะ ทุกคนมีสิทธิในการตัดสินใจ และเนื่องจากเธอตัดสินใจแล้ว มันก็ไม่มีประโยชน์ที่ฉันจะห้ามเธอ”
เมื่อหยางเจี้ยนเห็นว่าหวังเต็งไม่ได้ห้ามเธอ เขาก็เลือกที่จะเงียบปากไปเช่นกัน
ในขณะนี้ นักเรียนคนอื่นๆทั้งหมดก็ได้เสร็จสิ้นการลงทะเบียนแล้ว เขาเดินไปข้างหน้าและมอบค่าลงทะเบียนของเขา จากนั้นเขาก็กรอกแบบฟอร์มลงทะเบียน และขั้นตอนการลงทะเบียนก็เสร็จสิ้น
กระบวนการนี้ง่ายอย่างน่าประหลาดใจ!
หยางเจี้ยนก้าวออกไปหลังจากที่เขาลงทะเบียนเสร็จสิ้น ฟ่านเว่ยหมิงหยิบถ้วยน้ำที่อยู่ข้างๆขึ้นมาและเขาแล้วเปิดฝาออก เขาเป่าน้ำในถ้วย
ด้วยดวงตาที่เฉียบคมของเขา หวังเต็งก็สามารถสังเกตเห็นโกจิเบอร์รี่ในถ้วยที่พลิกตัวไปมาอย่างไร้เยื่อใย
─━_─━✧
หลินซัวหานพยายามอย่างดีที่สุดที่จะคงไว้ซึ่งการแสดงออกที่เข้มงวดบนใบหน้าของเธอ
ฟ่านเว่ยหมิงไม่ได้รู้สึกถึงการจ้องมองของหวังเต็ง เขาจิบชาโกจิเบอร์รี่และมองดูคนสองคนที่อยู่ข้างหน้าเขา หัวของเขารู้สึกปวดเล็กน้อย
คนหนึ่งเป็นนักเรียนดีเด่น เธอเป็นหนึ่งในเด็กที่มีพรสวรรค์ที่ดีที่สุดในชั้นปีที่สามและมีศักยภาพในการเข้ามหาวิทยาลัยอันดับต้นๆ
อย่างไรก็ตาม เด็กคนนี้กลับต้องการที่จะเข้าร่วมในการสอบหลักสูตรศิลปะการต่อสู้
เขาไม่ได้บอกว่าการสอบหลักสูตรศิลปะการต่อสู้นั้นไม่ดี เพราะมันเป็นเรื่องของบุคคล
พูดกันตามตรง ในแง่ของการศึกษา หลินซัวหานก็เก่งที่สุดในโรงเรียนแห่งนี้ อย่างไรก็ตาม หากพูดถึงในแง่ของการสอบศิลปะการต่อสู้ หากเธอสามารถสอบผ่านได้จริงๆ เธอก็คงจะผ่านไปได้อย่างฉิวเฉียดเท่านั้น
หลินซัวหานรีบมาที่นี่ทันทีหลังจากคาบเรียนของเธอจบลง ฟ่านเว่ยหมิงเกลี้ยกล่อมเธออยู่เป็นเวลานาน กระนั้นจิตใจของเธอก็ยังคงมั่นคง เขาไม่สามารถโน้มน้าวใจเธอได้แม้ว่าเขาจะพยายามมากแค่ไหนก็ตาม อย่างงี้แล้วจะไม่ให้เขาปวดหัวได้อย่างไร
ส่วนอีกคน หวังเต็ง!
เขาเป็นลูกเศรษฐีที่ร่ำรวย และในแง่ของการศึกษา เขาก็แย่มาก มันไม่มีอะไรดีๆให้พูดเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย อย่างไรก็ตาม การสอบหลักสูตรศิลปะการต่อสู้นั้นก็ไม่ใช่การสอบธรรมดาๆ ดังนั้นฟ่านเว่ยหมิงจึงไม่ต้องการให้เขาเอาชีวิตของเขาไปทิ้งที่นั่น
ดังนั้นเขาจึงกล่าวว่า “ หวังเต็ง ฉันเคยพูดมาก่อนแล้วใช่ไหมว่าการสอบหลักสูตรศิลปะการต่อสู้นั้นอันตรายมาก เธอคงไม่ได้ตั้งใจฟังตอนที่ฉันบอกเรื่องน้ใช่ไหม?”
“ ครูครับ ผมได้ยินชัดเจนดีเลยแหละ” หวังเต็งกลอกตา ทำไมเขาถึงไม่เชื่อใจฉัน
“ เธอได้ยินฉัน… งั้นแล้วทำไมเธอถึงยังต้องการลงทะเบียนอยู่อีกล่ะ?” ฟ่านเว่ยหมิงรู้สึกผิดหวัง
“ ครูครับ ผมเข้าใจว่าครูกำลังทำสิ่งนี้เพื่อผม แต่ผมก็รู้ว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ ดังนั้นครูไม่ต้องกังวลไป” หวังเต็งสังเกตว่าครูของเขายังคงดูไม่มั่นใจ ดังนั้นเขาจึงเปิดเผยไพ่เด็ดของเขา “ พ่อผมก็เห็นด้วย”
“ โอ้! พ่อของเธอเห็นด้วยอย่างงั้นหรอ!” ฟ่านเว่ยหมิงตกตะลึงเล็กน้อย เขาสงสัยในตัวเอง ดูเหมือนว่าหวังเต็งจะมีเส้นทางเป็นของเขาเองแล้ว ร่ำรวยนี่มันดีจริงๆ…
ในที่สุดเขาก็พยักหน้า “ ถ้าอย่างนั้นก็มาลงทะเบียนกันเถอะ”
เขายื่นแบบลงทะเบียนให้หวังเต็ง
หวังเต็งจ่ายค่าธรรมเนียมและลงนามในแบบฟอร์ม จากนั้นทุกอย่างก็เสร็จสิ้น!
ในเวลาเดียวกัน ฟ่านเว่ยหมิงก็พูดกับหลินซัวหานอีกครั้ง “ ซัวหาน ฉันยังหวังว่าเธอจะพิจารณาเรื่องนี้อีกครั้ง การสอบเข้ามหาวิทยาลัยนั้นเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในชีวิต เธอไม่ควรที่จะคล้อยไปตามกระแสที่คนเขาเลือกกันหรอกนะ”
“ ครูคะ ฉันไม่ได้คล้อยไปตามกระแส ฉันคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ดีแล้ว” หลินซัวหานตอบด้วยรอยยิ้มขมขื่น
เธอไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเธอจะเป็น… ครูใหญ่
เธอรู้ว่าเขาทำสิ่งนี้เพื่อเธอ แต่เธอก็ต้องการมีส่วนร่วมในการสอบหลักสูตรศิลปะการต่อสู้จริงๆ เธอมีความมุ่งมั่นเป็นอย่างมาก ดังนั้นหากเธอไม่ได้เข้าร่วม เธอก็อาจจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต
“ ครูคะ แม้ว่าฉันจะเข้าร่วมในการสอบหลักสูตรศิลปะการต่อสู้ แต่ฉันก็จะยังไม่ยอมแพ้ในหลักสูตรวิชาการทั่วไปของฉันแน่นอน”
หลินซัวหานกัดริมฝีปากของเธอและพูดต่อ “ ถ้าปีนี้ฉันสอบหลักสูตรศิลปะการต่อสู้ไม่ผ่าน ฉันก็จะยอมแพ้อย่างสุดใจ และฉันก็จะไปสอบเข้ามหาวิทยาลัยตามปกติ”
เนื่องจากเธอได้ตัดสินใจไปแล้ว ฟ่านเว่ยหมิงจึงไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้ไม่ว่าเขาจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม เขาถอนหายใจและอนุมัติใบสมัครของเธอ
หลังจากที่ทั้งสองออกจากออฟฟิศ ครูที่อยู่ข้างๆก็พูดกับฟ่านเว่ยหมิงว่า “ คุณฟ่าน นั่นมันนักเรียนอันดับหนึ่งของคุณไม่ใช่หรอ ปล่อยเธอไปแบบนี้จะดีหรอ?”
“ แล้วฉันจะทำอะไรได้ล่ะในเมื่อเธอตั้งมั่นขนาดนี้?” ฟ่านเว่ยหมิงเหลือบมองไปที่อีกฝ่าย
“ เฮ้อ นั่นเป็นเรื่องจริง และพูดกันตามตรง ความน่าดึงดูดใจของเส้นทางแห่งศิลปะการต่อสู้นั้นก็ช่างน่ากลัวจริงๆ ถ้าฉันอายุน้อยกว่านี้สักสองสามปี ฉันก็อาจจะอยากลองดูมันสักตั้งเหมือนกัน” ครูพูด
“ ทำไมอายุมากแล้วจะฝึกไม่ได้? คุณรู้จักไทชิไหม? มันถ่ายทอดมาจากโลกของเรานี่แหละ หลังจากดัดแปลงโดยนักสู้ ตอนนี้ไทชิก็เหมาะมากสำหรับผู้สูงวัยที่จะฝึกฝน และแม้ว่าคุณจะไม่ใช่นักสู้ แต่คุณก็ยังสามารถใช้มันเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับร่างกายของคุณได้”
ฟ่านเว่ยหมิงจิบชาโกจิเบอร์รี่ในขณะที่เขาพูดอย่างใจเย็น
“ โอ้? คุณฟ่าน คุณเคยฝึกมาก่อนหรือเปล่า?” ดวงตาของครูเป็นประกาย
“ ฮ่าฮ่า แน่นอน” ฟ่านเว่ยหมิงภูมิใจเล็กน้อย ความสนใจของเขาเพิ่มขึ้นทันที “ ฉันจะบอกให้นะ ไทชินั้นยอดมากสำหรับสุขภาพของเรา เมื่อฝึกแล้วมันก็ทำให้ไม่รู้สึกปวดหลัง ,ไม่หัวล้าน และนั่นก็ทำให้ฉันมีพลังมากในตอนกลางคืนด้วย!”
“╰(*°▽°*)╯คุณฟ่าน ช่วยสอนฉันทีเมื่อคุณว่าง (*^▽^*)”
“ ไม่มีปัญหา ตอนเย็นเจอกันที่สวนสาธารณะไหม?”
“ ได้เลย แล้วเจอกันที่สวนสาธารณะ!”