Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน – ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด ตอนที่ 50 แปรพักตร์

ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด ตอนที่ 50 แปรพักตร์

ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่กล้าเชื่อ ตอนนี้ยอดเคารพซื่อฝาเผชิญกับแรงดึงดูดของ ‘หยาดน้ำพันเนตร’ ก็ย่อมสามารถทำการล้อมโจมตีโดยไม่สนใจหน้าตาได้อย่างสิ้นเชิง เช่นนี้ เพื่อรักษาชีวิต จักรพรรดิเป่ยเหออาจยอมประนีประนอม แต่รอจนใกล้จะออกจากเกาะซื่อฝาแห่งนี้ได้แล้วเกรงว่าจักรพรรดิเป่ยเหออาจจะแปรพักตร์เพื่อหยาดน้ำพันเนตรก็ได้

“จักรพรรดิเป่ยเหอ สิ่งที่ยอดเคารพซื่อฝาพูดนั้นถูกต้อง” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูด “ข้ามิได้สำเร็จเป็นขั้นสุดยอด ถึงแม้ว่าจะมีความสนใจในการเข้าไปยังทางเดินเขี้ยวอสรพิษอยู่บ้า แต่ก็มิได้ความมุ่งมาดปรารถนาอย่างบ้าคลั่งถึงเพียงนั้น”

จักรพรรดิเป่ยเหอได้ฟังแล้วก็หัวใจสั่นไหว

“แต่หยาดน้ำพันเนตรนี้ก็มีความพิเศษอยู่บ้าง ข้าอยากลองหยั่งรู้ดูสักหน่อย” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูดอีก “เอาอย่างนี้ ให้ข้าหยั่งรู้หยาดน้ำพันเนตรนี่สักล้านล้านปี หลังจากล้านล้านปีแล้วค่อยคืนให้ท่าน ว่าอย่างไรเล่า ถ้าหากท่านเป็นกังวลว่าข้าจะนำเอาหยาดน้ำพันเนตรหนีไป เช่นนี้ร่างแยกของข้าที่พกหยาดน้ำพันเนตรเอาไว้ก็จะอยู่ข้างกายท่านตลอดเวลา แล้วก็สามารถอยู่ภายในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ของท่านก็ได้ ทำเช่นนี้พวกเราทั้งสองฝ่ายก็สามารถให้สัตย์สาบานกันได้! เชื่อว่าท่านก็รู้ว่าคำสาบานนั้นมีความสำคัญต่อพวกเราผู้บำเพ็ญอย่างที่สุด!”

“ดีๆๆ” จักรพรรดิเป่ยเหอยินดีเป็นอย่างยิ่งแล้วถ่ายเสียงพูดว่า “น้องหิมะเหินมีบุญคุณยิ่งใหญ่เช่นนี้ ไม่รู้ว่าจะตอบแทนเช่นไรดี นี่ล้วนเป็นข้าที่ติดหนี้น้องหิมะเหินทั้งสิ้น รอให้เสร็จเรื่องแล้วน้องหิมะเหินอยากจะให้ข้าตอบแทนเช่นไรก็จงพูดมาให้หมด”

“แต่ต้องให้สัตย์สาบานด้วยนะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูด

“สาบานสิ น้องหิมะเหินให้สัตย์สาบาน ข้าก็จะให้สัตย์สาบานเช่นกัน” จักรพรรดิเป่ยเหอพูด

คนทั้งสองต่อรองกันอย่างเงียบเชียบ แล้วต่างก็ให้สัตย์สาบาน

ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็ไม่มีหนทาง

ให้เชื่อใจ ‘ยอดเคารพซื่อฝา’ อย่างนั้นหรือ เขาก็ยังไม่กล้าไว้ใจยอดเคารพของเผ่ามรณะทมิฬเลยจริงๆ!

เช่นนั้นก็ได้แต่เชื่อใจจักรพรรดิเป่ยเหอแล้ว!

ถ้าหากไม่ให้ผลประโยชน์มากพอ แม้กระทั่งให้สัตย์สาบาน ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รู้สึกว่าด้วยอุปนิสัยของ ‘จักรพรรดิเป่ยเหอ’ เกรงว่าจะต้องแปรพักตร์อย่างแน่นอน

ช่วยไม่ได้…

พลังยุทธ์อ่อนแอ! ก็ได้แต่ทำเช่นนี้!

“จ้าวหิมะเหิน เจ้าคงเลือกดีแล้วสินะ จะเชื่อใจข้า หรือว่าเชื่อใจเขากันเล่า” ยอดเคารพซื่อฝาเอื้อนเอ่ย

“ยอดเคารพ ขออภัยด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด

“เอาล่ะ หวังว่าเจ้าจะไม่นึกเสียใจภายหลังนะ” ยอดเคารพซื่อฝาสีหน้าเย็นชา เขาก็รู้ว่ายอดเคารพทั้งสามของเผ่ามรณะทมิฬล้วนมีชื่อเสียงไม่ค่อยดีนัก อีกฝ่ายเลือกที่จะเชื่อใจจักรพรรดิเป่ยเหอก็เป็นเรื่องปกติอย่างยิ่ง

ยอดเคารพซื่อฝามองไปทางจักรพรรดิเป่ยเหอ “เป่ยเหอ เจ้าช่างโชคดีเสียจริง ต้องการให้ข้าช่วยส่งพวกเจ้าจากไปหรือไม่เล่า”

“ไม่ต้องหรอก” จักรพรรดิเป่ยเหอพูด “เหาะเหินออกไปก็คงไม่นานสักเท่าใดนักหรอก!”

พรึ่บ!

จักรพรรดิเป่ยเหอโบกมือเก็บตัวตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าไปแล้วเหินทะยานมุ่งออกไปยังที่ไกลๆ อย่างรวดเร็ว กลายเป็นกระแสน้ำสายหนึ่งเคลื่อนผ่านบนเกาะลอยคว้างไปด้วยความเร็วสูง

……

ภายในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์

ร่างแยกกลุ่มหนึ่งของตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่กันที่นี่

“หยาดน้ำพันเนตร” ตงป๋อเสวี่ยอิงกุมหยาดน้ำพันเนตรเอาไว้พลางรับสัมผัสโดยละเอียดแล้วก็ต้องหลงใหลและตกตะลึงเพราะสิ่งนี้

‘โลกลวง’ ที่แฝงอยู่ในหยาดน้ำพันเนตรช่างหน้าอัศจรรย์เหลือเกิน ส่วนประกอบเขตลวงภายในดวงตาสีทองและดวงตาสีเทาทั้งหมดที่จดจำเอาไว้ก่อนหน้าต่างก็สามารถแทรกซึมเข้าไปกลายเป็นส่วนหนึ่งของมันได้ทั้งสิ้น คล้ายกับไม่มีส่วนใดแยกออกจากกันเลย

“แก่นแท้ของโลกคือการรวมเข้าด้วยกัน”

“ทุกสิ่งอย่างล้วนสามารถรวมเข้าด้วยกันได้”

“โลกลวงภายในหยาดน้ำพันเนตรหยดนี้ยังไม่สมบูรณ์แบบพอ ถึงอย่างไรสิ่งมีชีวิตคละถิ่นตนนั้นก็ตายไปแล้ว ความมหัศจรรย์ของหยาดน้ำพันเนตรก็ลดต่ำลงไปอย่างมหาศาล” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ แต่ถ้าหากมีชีวิตอยู่ ตนเองจะมีโอกาสหยั่งรู้โดยละเอียดเสียที่ไหนกัน

ขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ระหว่างกระบวนการหยั่งรู้นั้นเอง

ทันใดนั้นเงาร่างสายหนึ่งก็ปรากฏขึ้นข้างกาย ซึ่งก็คือร่างแปรของจักรพรรดิเป่ยเหอนั่นเอง

“จักรพรรดิ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปทางจักรพรรดิเป่ยเหอที่อยู่ข้างๆ “ว่าอย่างไร ใกล้จะบินออกจากเกาะลอยคว้างแล้วหรือ”

“เกือบแล้วล่ะ” จักรพรรดิเป่ยเหออมยิ้มพยักหน้า “คราวนี้ต้องขอบคุณน้องหิมะเหินมากจริงๆ เป็นเพราะน้องหิมะเหินแท้ๆ ข้าจึงรวบรวมน้ำค้างบุปผาของดอกใบไม้ดำได้มากพอสมควรเลยทีเดียว หรือแม้กระทั่งที่น้องหิมะเหินรับปากข้าว่าอีกล้านล้านปีให้หลังจะยกหยาดน้ำพันเนตรให้กับข้า บุญคุณอันยิ่งใหญ่นี้ไม่รู้ว่าควรจะตอบแทนอย่างไรดีเลยจริงๆ! ถึงแม้ว่าข้าเองก็สามารถรวบรวมสุดยอดสมบัติลับล้ำค่ามาได้ชิ้นสองชิ้น แต่เมื่อเทียบกับหยาดน้ำพันเนตรแล้วก็ยังห่างชั้นกันมากมายเหลือเกิน บุญคุณอันยิ่งใหญ่นี้คงยากจะตอบแทนได้ ก็ได้แต่จดจำเอาไว้ด้วยใจแล้วล่ะ”

“จดจำเอาไว้ด้วยใจหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึง มิได้บอกว่าจะมอบสุดยอดสมบัติลับล้ำค่าให้แทนคำขอบคุณหรือไร เขารู้สึกผิดแปลกขึ้นมาในทันใด

“ยังมีอีก หยาดน้ำพันเนตรนั้นล้ำค่าเหลือเกิน ความจริงแล้วข้าก็ไม่วางใจที่จะให้น้องหิมะเหินครอบครองเป็นเวลายาวนานถึงล้านล้านปีหรอก เอามาไว้ในมือเสียตั้งแต่เนิ่นๆ จะดีกว่า ข้าจึงจะวางใจได้” รอยยิ้มของจักรพรรดิเป่ยเหอยิ่งสว่างไสว

ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวง “เป่ยเหอ นี่ท่านจะ…”

“ถูกต้อง เจ้าก็มิได้โง่เขลาเลยนี่” จักรพรรดิเป่ยเหอโบกมือคราหนึ่ง ครืน… ประกายกระบี่อันปั่นป่วนน่าหวาดหวั่นราวกับกระแสน้ำหลั่งไหลมา จักรพรรดิเป่ยเหอยิ้มตาหยีมองตงป๋อเสวี่ยอิง

ตงป๋อเสวี่ยอิงหมายจะสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา แต่ตอนนี้ร่างกายยังคงอยู่ในอาณาบริเวณของเกาะลอยคว้าง ก็ย่อมไม่สามารถส่งถ่ายทลายโลกาหลบหนีไปได้

“ข้ามันตาบอดไปแล้วจริงๆ!” ตงป๋อเสวี่ยอิงนัยน์ตาเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง

ปัง!

ร่างแยกมากมายของเขายามอยู่ต่อหน้ากระแสน้ำประกายกระบี่ของจักรพรรดิเป่ยเหอก็ไม่มีเรี่ยวแรงต้านทานเลยแม้แต่น้อย แหลกสลายไปจนหมดสิ้น

หลังจากที่แหลกสลายไปแล้วกลับมีหยาดน้ำพันเนตรหยดหนึ่งไหลลงมา

จักรพรรดิเป่ยเหอเผยสีหน้าตื่นเต้นออกมา เขายื่นมือออกมาคว้าหยาดน้ำพันเนตรเอาไว้ ร่างกายก็สั่นสะท้านน้อยๆ “ได้หยาดน้ำพันเนตรมาไว้ในมือแล้ว! ช่างโง่เง่าเสียจริง ล้านล้านปีอย่างนั้นหรือ ถึงแม้ว่าเจ้าจะให้สัตย์สาบาน แต่เนิ่นนานถึงล้านล้านปี ระยะเวลายาวนานเช่นนี้ ใครจะไปรู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์อันใดขึ้นบ้าง เอามาไว้ในมือเสียตั้งแต่เนิ่นๆ ข้าจึงจะวางใจได้”

“ฮ่าฮ่า คราวนี้ได้ผลตอบแทนมหาศาลนัก น้ำค้างบุปผาก็รวบรวมได้มากพอแล้ว ทั้งยังได้หยาดน้ำพันเนตรมาไว้ในมืออีกด้วย”

“จ้าวหิมะเหินผู้นี้ช่างโง่เง่าเสียจริง ถึงกับเชื่อคำสาบานของข้าได้ลงคอ ฮ่าฮ่าฮ่า…” จักรพรรดิเป่ยเหอห้วเราะเสียงเย็น

ยามที่เขายังอ่อนแอก็เคยใช้ชีวิตอยู่ที่ดินแดนจิตโลกามาก่อน

เหล่าผู้บำเพ็ญของดินแดนจิตโลกาก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นชนพื้นเมืองดั้งเดิมของหุบเขาเขี้ยวหัก ดังนั้นจึงได้อาศัยลูกไม้ ‘การสาบาน’ ขุดหลุมพรางผู้บำเพ็ญมานักต่อนักแล้ว!

“พวกเจ้าผู้บำเพ็ญใส่ใจกับคำสาบาน แต่ข้ามิได้ใส่ใจด้วยเสียหน่อย!” จักรพรรดิเป่ยเหอแค่นหัวเราะ ในบรรดาชนพื้นเมืองดั้งเดิมก็มีผู้แกร่งกล้าชนพื้นเมืองดั้งเดิมบางคนที่ศึกษา ‘ผู้บำเพ็ญ’ พากเพียรบำเพ็ญจิต แล้วก็ใส่ใจกับคำสาบาน แต่กลับมีผู้แกร่งกล้าบางคนที่มิได้แยแส จักรพรรดิเป่ยเหอก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย!

……

ยามที่จักรพรรดิเป่ยเหอลงมือนั้นก็กำลังบินมาถึงชายขอบของเกาะลอยคว้างแห่งนี้พอดี อาศัยแรงกดดันของเกาะลอยคว้าง ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่สามารถส่งถ่ายทลายโลกาหลบหนีไปได้

ในขณะที่สังหารนั้นเขาก็ออกมาจากเกาะลอยคว้างแล้ว

“เป่ยเหอ เจ้าก็ลงมือจริงๆ เสียด้วย” เงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้นยังที่ไกลๆ ซึ่งก็คือยอดเคารพซื่อฝาที่เคลื่อนที่ในพริบตามาปรากฏตัวขึ้น

“หึๆ” จักรพรรดิเป่ยเหอมองไปทางยอดเคารพซื่อฝา “น่าเสียดายที่ข้าออกมาจากเกาะลอยคว้างแล้ว ท่านก็ทำอะไรข้ามิได้หรอก”

พูดจบแล้วก็เคลื่อนที่ในพริบตาหายลับไปในทันที

ยอดเคารพซื่อฝาเห็นแล้วก็หัวเราะเยาะเบาๆ คราหนึ่ง “จ้าวหิมะเหินที่น่าสงสาร ข้าเคยบอกแล้วว่าเจ้าจะต้องนึกเสียใจภายหลังแน่! ถ้าหากเจ้ายืนอยู่ฝ่ายเดียวกับข้า ในภายหน้าข้าก็ยังสามารถมอบผลประโยชน์ให้กับเจ้าได้บ้าง ยืนอยู่ฝั่งเดียวกันกับเป่ยเหอกลับถูกช่วงชิงสมบัติล้ำค่าไปในทันที สุดท้ายพลังยุทธ์ในการสังหารซึ่งหน้าก็ยังอ่อนแอเกินไป! อาศัยเพียงแค่เคล็ดวิชาวิญญาณ การต่อสู้ซึ่งหน้าก็ได้แต่พึ่งพาผู้อื่นเท่านั้น”

“เป่ยเหอ การแปรพักตร์ของเจ้าก็อยู่ในความคาดหมายของข้าด้วย”

“แต่หยาดน้ำพันเนตรหยดนี้ เจ้าช่วงชิงเอาไปแล้วแต่ก็สร้างความแค้นต่อจ้าวหิมะเหินผู้นั้น พลังรบของตัวเขานั้นธรรมดาๆ แต่พลังคุกคามกลับมหาศาลยิ่งนัก” ยอดเคารพซื่อฝามีแววเยียบเย็นในดวงตา

หยาดน้ำพันเนตรที่อยู่ต่อหน้าต่อตา ในที่สุดก็ถูกจักรพรรดิเป่ยเหอเอาไปครอบครองเสียแล้ว ยอดเคารพซื่อฝาก็ย่อมไม่มีทางปล่อยให้จักรพรรดิเป่ยเหออยู่อย่างเป็นสุขอยู่แล้ว

******

“แปรพักตร์จริงๆ เสียด้วย”

“ข้าให้สัตย์สาบาน ตัวเขาเองก็ให้สัตย์สาบานเช่นกัน แต่กลับยังแปรพักตร์อีกหรือ” ที่โลกแสงดาว ร่างแยกร่างหนึ่งที่กำลังจิบสุราตามลำพังอยู่ในลานบ้านของตงป๋อเสวี่ยอิงเผยสีหน้าโกรธเคืองออกมา

ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้ดีว่าไม่ว่าจะเลือกช่วยเหลือใครต่างก็มีอันตรายทั้งคู่

เขารับปากจะมอบหยาดน้ำพันเนตรให้แล้ว เพียงแค่ต้องการใช้บำเพ็ญเป็นเวลาล้านล้านปีเท่านั้น ทั้งสองฝ่ายต่างก็ให้สัตย์สาบาน บวกกับอิทธิพลของเขา ตงป๋อเสวี่ยอิงทั่วทั้งหุบเขาเขี้ยวหัก ในเมื่อแปรพักตร์ ในภายหน้าจักรพรรดิเป่ยเหอย่อมมิได้อยู่อย่างเป็นสุขแน่! แต่จักรพรรดิเป่ยเหอก็ยังแปรพักตร์อยู่ดี

“สมควรตาย”

ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็จนใจ

ช่วยไม่ได้ ก็ตนเองพลังยุทธ์อ่อนแอ! ถึงแม้พลังยุทธ์ของบรรดาจักรพรรดิและเหล่ายอดเคารพจะลดลงไปจนเหลือเพียงแค่ส่วนเดียว การจะบดขยี้เขาให้ตายนั้นก็ยังคงง่ายดายเป็นอย่างยิ่งอยู่ดี

“น้องหิมะเหิน เจ้าถึงกับได้หยาดน้ำพันเนตรมาจากเกาะซื่อฝาแต่ถูกเป่ยเหอช่วงชิงไปเสียแล้วอย่างนั้นหรือ”

“จ้าวหิมะเหิน ได้ยินว่าเจ้าช่วยเหลือเป่ยเหอ แต่เป่ยเหอกลับแปรพักตร์แล้วช่วงชิงหยาดน้ำพันเนตรไปอย่างนั้นหรือ เขาได้รับความช่วยเหลือจากเจ้า แต่กลับยังแปรพักตร์อย่างไร้น้ำใจ จะปล่อยเขาไปง่ายๆ ได้อย่างไรกัน จ้าวหิมะเหิน ข้ามาช่วยเจ้าแล้ว พวกเราบุกสังหารโลกเป่ยเหอแล้วไปหาตัวจักรพรรดิเป่ยเหอผู้นั้นกันเถิด!”

“น้องหิมะเหิน! เป่ยเหอผู้นั้นรังแกกันเกินไปแล้ว! จะปล่อยไปมิได้นะ!”

มีข้อความส่งมาอยู่แทบจะตลอดเวลา

บรรดาจักรพรรดิเหล่านี้มีการข่าวที่ฉับไวเป็นอย่างยิ่ง ถึงขนาดที่ได้รับข่าวสารอย่างต่อเนื่อง จนมีผู้ที่เอ่ยปากจะมาช่วยเหลือตงป๋อเสวี่ยอิงกันเป็นจำนวนมาก

ล้อเล่นแล้ว

ได้ยินว่า ‘หยาดน้ำพันเนตร’ พวกเขาส่วนใหญ่ก็อิจฉาตาร้อนแล้ว

พูดถึงพลังยุทธ์ พวกเขาหนึ่งต่อหนึ่ง ถึงแม้ว่าจักรพรรดิเป่ยเหอจะแข็งแกร่งกว่านี้อีกสักเล็กน้อย แต่ก็ยังคงเป็นระดับขั้นเดียวกันอยู่! เพียงแต่ว่าใต้บังคับบัญชาของจักรพรรดิเป่ยเหอมีสามสิบหกแม่ทัพเทพอยู่ ดังนั้นจึงมีอิทธิพลแกร่งกล้าเป็นที่สุด แต่เพียงแค่จ้าวหิมะเหินปรากฏตัวก็เกรงว่าสามสิบหกแม่ทัพเทพคงจะพากันหนีเตลิดเปิดเปิงกันไปหมดแล้ว ใครจะไม่รู้จักรักตัวกลัวตายพาตัวเองมาห้ำหั่นกันเล่า! สำหรับจักรพรรดิเป่ยเหอน่ะหรือ มีจ้าวหิมะเหินบุกเข้าไปด้วย พวกเขาคนไหนๆ ต่างก็สามารถเหยียบย่ำจักรพรรดิเป่ยเหอกันได้ทั้งสิ้น!

ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบประหลาดใจ ข่าวนี้ก็ช่างฉับไวเสียเหลือเกิน เป็นยอดเคารพซื่อฝาแห่งเผ่ามรณะทมิฬที่เผยแพร่ออกไปหรือไร

ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร

เขาก็ไม่สามารถทนต่อการกระทำอันเลวร้ายนี้ได้!

“เอาล่ะ พี่วายุทิพย์ จักรพรรดิซ่วนถู พี่ตงเจี่ยน รบกวนพวกท่านทั้งสามด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่งสารให้กับจักรพรรดิสามท่าน วันเวลาก่อนหน้านี้เขาก็ตอบรับคำเชิญไปเข้าร่วมงานเลี้ยงของจักรพรรดิจำนวนมากพอสมควร ในบรรดาคนเหล่านั้นก็มีความสัมพันธ์กับพวกวายุทิพย์สามคนนี้ดีที่สุด ดังนั้นจึงได้เชิญสามท่านนี้ให้มาทำการเคลื่อนไหวด้วยกัน

ผู้ที่เอ่ยปากว่าจะช่วยมีอยู่ถึงห้าท่าน!

ดูจากจุดนี้ก็รู้แล้วว่าความสัมพันธ์ของจักรพรรดิเป่ยเหอกับบรรดาจักรพรรดิคนอื่นๆ ช่างย่ำแย่จริงๆ

ช่วยไม่ได้

เขาทำอะไรโดยไม่คำนึงถึงวิธีการ เพื่อให้ได้มาซึ่งดินแดนที่จักรพรรดิเฉินเป็นผู้บัญชาการแต่เดิมผืนนั้นก็วางแผนเดิมพัน จนในท้ายที่สุดก็ได้ดินแดนผืนนั้นมาครอบครองจริงๆ กับจักรพรรดิที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของ ‘ยอดเคารพเฮ่ากู่’ เช่นเดียวกัน จักรพรรดิเป่ยเหอก็เป็นเช่นนี้! กับจักรพรรดิใต้บังคับบัญชาของ ‘ยอดเคารพนภาอสนี’ ยอดเคารพชนพื้นเมืองดั้งเดิมอีกท่าน จักรพรรดิเป่ยเหอก็มิได้ไว้ไมตรีเช่นเดียวกัน

วิธีการของคนผู้นี้โหดเหี้ยมเกินไป

เพื่อหลีกเลี่ยงภัยพิบัติ ตอนแรกตงป๋อเสวี่ยอิงก็ให้โลกแสงดาวกับโลกอื่นๆ จำนวนนับไม่ถ้วนหลีกเลี่ยงสงคราม จึงได้รับปากช่วยเหลือเขาในเรื่องนี้ บวกกับจักรพรรดิเป่ยเหอในตอนนั้นก็ยังรู้จักวางตัว รักษามารยาทต่างๆ นานา เพียงแต่ยามที่แปรพักตร์ก็เหี้ยมโหดไร้น้ำใจ

……

ที่กลางเวหาของหุบเขาเขี้ยวหัก

ตงป๋อเสวี่ยอิงในรูปลักษณ์หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาว หญิงสาวงามล้ำเลิศในอาภรณ์สีม่วงท่านหนึ่ง จักรพรรดิวายุทิพย์ผู้มีเส้นผมแผ่สยายมาถึงกลางเอว มือกุมดาบเล่มหนึ่ง และชายวัยกลางคนผู้เย็นชาคนหนึ่ง พวกเขาสี่คนรวมตัวกันอยู่กลางอากาศ

“น้องหิมะเหิน เชื่อมั่นในตัวเป่ยเหอผู้นั้นมากเกินไปแล้วจริงๆ” จักรพรรดิวายุทิพย์พูด “จนประสบเคราะห์ร้ายนี้เข้าเสียแล้ว”

“อย่าพูดเรื่องพวกนี้อีกเลย น้องหิมะเหิน เรื่องที่เป่ยเหอลงมือกับเจ้านี้เพิ่งจะเกิดขึ้นหมาดๆ เลยใช่หรือไม่” ‘จักรพรรดิซ่วนถู’ หญิงสาวงามล้ำเลิศในอาภรณ์สีม่วงพูด

“ใช่แล้ว เพิ่งผ่านไปเมื่อครู่นี้เอง ข้ายังแปลกใจอยู่ว่าการข่าวของทุกท่านช่างฉับไวยิ่งนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด

“ยอดเคารพซื่อฝาเป็นผู้ปล่อยข่าวออกมาน่ะ” ‘จักรพรรดิตงเจี่ยน’ ชายวัยกลางคนผู้เย็นชาที่อยู่ข้างๆ พูด “หยาดน้ำพันเนตรนี้อยู่บนเกาะลอยคว้างของเขา ในท้ายที่สุดยอดเคารพซื่อฝาก็ยังไม่ได้ไปครอง แล้วเขาจะปล่อยให้เป่ยเหอเป็นสุขได้อย่างไรกันเล่า เป่ยเหอทำอะไรก็ไม่สนใจวิธีการ ก็ควรจะให้บทเรียนกับเขาสักหน่อย เรื่องนี้ยังไม่สายเกินไป พวกเราก็ไปที่โลกเป่ยเหอกันเดี๋ยวนี้เลย”

“ดี ไปกันเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

พรึ่บ

พวกเขาทั้งสี่คนเปิดห้วงอากาศออกแล้วทำการส่งถ่ายทลายโลกาไปถึงภายในโลกเป่ยเหอในทันที

“ครืน…”

ที่ท้องฟ้าเบื้องบนของวังเทพเป่ยเหอ พวกตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งสี่คนปรากฏตัวขึ้นแล้วมองลงมายังหมู่อาคารวังที่ทอดตัวยาวต่อเนื่องกัน

“ใครน่ะ!”

“ใครกันที่กล้าบุกเข้ามายังวังเป่ยเหอของข้า”

กล้าส่งถ่ายทลายโลกาบุกตรงเข้ามายังอาคารของวังเทพเป่ยเหอ นี่ก็เท่ากับตบหน้าจักรพรรดิเป่ยเหอเลยทีเดียว! ทันใดนั้นเงาร่างสายแล้วสายเล่าภายในวังก็พุ่งขึ้นมาจากฟากฟ้า จำนวนมากต่างก็เดือดดาล พวกเขาก็คือผู้ใต้บังคับบัญชาของจักรพรรดิเป่ยเหอ ตอนนี้จักรพรรดิเป่ยเหอมีไมตรีอันดีต่อ ‘จ้าวหิมะเหิน’ ใครกันที่บังอาจถึงเพียงนี้ กล้าบุกสังหารเข้ามาถึงที่นี่

เมื่อเงยหน้าขึ้นไป แม่ทัพเทพจำนวนหนึ่งที่นำมาและเหล่ายามรักษาการณ์คนอื่นๆ ต่างก็งงงันกันอยู่บ้าง

สี่ท่านที่อยู่กลางอากาศ คนหนึ่งก็คือ ‘จ้าวหิมะเหิน’ ส่วนคนอื่นๆ อีกสามคนต่างก็เป็นจักรพรรดิกันทั้งสิ้น!

“เป็นอย่างไรบ้าง” จักรพรรดิซ่วนถูเอ่ยถาม

“หาไม่พบ หาตัวเขาทั่วทั้งโลกเป่ยเหอก็หาไม่พบเลย เขาคงจะยังมิได้กลับมา” จักรพรรดิวายุทิพย์พูด

“ไม่พบเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ส่ายศีรษะเช่นกัน ถึงแม้ว่าเขตพลังของเขาจะไม่สามารถปกคลุมทั่วทั้งโลกเป่ยเหอได้ แต่ก็สามารถครอบคลุมได้เป็นส่วนใหญ่ ก็หาร่องรอยของจักรพรรดิเป่ยเหอไม่พบเช่นเดียวกัน

จักรพรรดิตงเจี่ยนมองลงไปยังเบื้องล่างแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มเย็นว่า “เป่ยเหอขอให้จ้าวหิมะเหินช่วยเหลือแต่กลับแปรพักตร์ผลาญสังหารร่างแยกของจ้าวหิมะเหินเพียงเพื่อจะช่วงชิงสิ่งล้ำค่า! ตอนนี้เขาไม่กล้าแม้แต่จะกลับมายังโลกเป่ยเหอ พวกเจ้ายังจะช่วยชีวิตเขาอีกหรือ ช่างน่าขันเสียจริง!” พูดแล้วจักรพรรดิตงเจี่ยนก็โบกมือคราหนึ่งในทันใด พลั่ก…

รอยแยกสีดำสนิทฉีกแยกลงไปยังเบื้องล่าง ทั่วทั้งวังเป่ยเหอถูกฉีกทึ้งจนกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในทันใด

บรรดาแม่ทัพเทพและบรรดายามรักษาการณ์เหล่านี้ต่างก็พากันตื่นตระหนกตกใจ

จักรพรรดิสามท่านร่วมมือกันก็แล้วไปเถิด ยังมี ‘จ้าวหิมะเหิน’ ร่วมมือสังหารด้วย พวกเขาแม่ทัพเทพก็ถูกกวาดล้างและสังหารหมู่อย่างสมบูรณ์แบบ

“ไป”

พวกตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งสี่คนเคลื่อนที่ในพริบตาจากไปในทันที

และวังเป่ยเหอในตอนนี้ก็แหลกสลายย่อยยับ บรรดาแม่ทัพเทพแต่ละคนที่เหลืออยู่ต่างก็มองหน้ากันไปมา

“ถามพี่ใหญ่ประจัญทมิฬดูสิ”

“ถามแม่ทัพเทพโครงกระดูกสิ”

บรรดาแม่ทัพเทพเหล่านี้ไถ่ถามกันไปเป็นทอดๆ แม่ทัพเทพสิบคนเช่นแม่ทัพเทพประจัญทมิฬก็ติดตามจักรพรรดิเป่ยเหอไปยัง ‘เกาะซื่อฝา’ ด้วยกัน

ไม่นานนัก…

“ไปเถิด ไปกันเถิด อย่าได้สนใจโลกเป่ยเหอเลย”

“จักรพรรดิเขาแปรพักตร์อย่างไร้น้ำใจ สังหารร่างแยกของจ้าวหิมะเหินแล้วช่วงชิงหยาดน้ำพันเนตรไป! ตอนนี้บรรดาจักรพรรดิคนอื่นๆ ต่างก็ต้องการกันอย่างอิจฉาตาร้อน เกรงว่าแม้แต่ยอดเคารพก็ยังอยากจะได้มาครอง จ้าวหิมะเหินย่อมไม่มีทางยอมปล่อยไปแน่นอน!”

“จักรพรรดิมีหยาดน้ำพันเนตรแล้วจะแยแสพวกเราอีกเสียที่ไหนกัน พวกเราก็กลับไปยังโลกของแต่ละคนกันเสียเถิด พวกเราอย่าได้ไปข้องเกี่ยวกับการต่อสู้ของบรรดาจักรพรรดิอีกเลย”

“มีจ้าวหิมะเหินอยู่ พวกเราระดับแม่ทัพเทพก็อย่าได้ไปข้องเกี่ยวเลย ถ้าหากถึงแก่ชีวิต จะมานึกเสียใจภายหลังก็สายเกินไปแล้ว”

แม่ทัพเทพสิบคนนั้นโต้ตอบกัน

นี่ทำให้บรรดาแม่ทัพเทพจำนวนหนึ่งภายในวังเป่ยเหออันพังพินาศย่อยยับปากอ้าตาค้างอยู่บ้าง ‘จักรพรรดิเป่ยเหอ’ หัวหน้าของพวกเขาได้ครอบครองผลประโยชน์มหาศาลแล้วตนก็ไปเสพสุขเพียงคนเดียว ไม่สนใจพวกเขาอีกต่อไปแล้ว

“ไปกันเถิด พวกเราจะยังอยู่ที่นี่ไปทำไมกันอีกเล่า”

“ไปๆๆ”

บรรดาแม่ทัพเทพคนแล้วคนเล่าจากไป รวมถึงบรรดายามรักษาการณ์ที่อ่อนแอเหล่านั้นแต่ละคนต่างก็กลับไปยังบ้านเกิดของตนแล้ว

******

พวกตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งสี่คนหาตัวจักรพรรดิเป่ยเหอภายในหุบเขาเขี้ยวหักอย่างบ้าคลั่ง แต่น่าเสียดายที่หาไม่พบ ตอนนี้จักรพรรดิเป่ยเหอผู้นี้ก็มิได้โง่เขลา ก็ย่อมไม่มีทางปรากฏตัวอยู่แล้ว

“หืม”

กลางห้วงอากาศแห่งหนึ่ง พวกตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งสี่คนอยู่กันที่นี่ จักรพรรดิตงเจี่ยนขมวดคิ้วมุ่นพลางเอ่ยปากพูดว่า “ข้าได้ข่าวมาว่าผู้ใต้บังคับบัญชาที่ยอดเคารพเฮ่ากู่จัดเอาไว้รักษาการณ์ที่ด้านนอกทางเดินเขี้ยวอสรพิษพบว่าก่อนหน้านี้ไม่นานจักรพรรดิเป่ยเหอก็ได้เข้าไปยังทางเดินเขี้ยวอสรพิษแล้ว!”

ทางเดินเขี้ยวอสรพิษนั้นเป็นสถานที่ต้องห้ามในตำนาน

มีเพียงยอดเคารพห้าท่านเท่านั้นที่มีสิทธิ์จัดผู้ใต้บังคับบัญชาไปรักษาการณ์บริเวณรอบๆ ส่วนจักรพรรดิคนอื่นๆ นั้นต่อให้จัดผู้ใต้บังคับบัญชาไปก็จะถูกสังหารในทันที

“ก่อนหน้านี้ไม่นานหรือ” จักรพรรดิซ่วนถูขมวดคิ้วพูด “หากพูดเช่นนี้ก็แปลว่าพอเขาได้รับหยาดน้ำพันเนตรไปแล้วก็คงจะตรงไปที่ทางเดินเขี้ยวอสรพิษในทันที ไม่เนิ่นช้าเลยไม่แต่วินาทีเดียวอย่างนั้นหรือ”

“ถึงแม้ว่าจะไม่ชอบหน้าเป่ยเหอผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง แต่เป่ยเหอนี่ช่างมีลูกไม้แพรวพราวโดยแท้ ทั้งยังตัดสินใจเด็ดขาดอีกด้วย” จักรพรรดิวายุทิพย์พยักหน้า “เขาคงจะไปจากเกาะซื่อฝาแล้วปล่อยตัวแม่ทัพเทพใต้บังคับบัญชาสิบคนแล้วตรงไปยังทางเดินเขี้ยวอสรพิษ!”

“ไปดูกันหน่อยดีกว่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอื้อนเอ่ย

“ไป ไปดูที่ทางเดินเขี้ยวอสรพิษกัน” จักรพรรดิซ่วนถูพยักหน้า

พรึ่บๆๆๆ…

พวกเขาสี่คนเคลื่อนที่ผ่านอากาศออกเดินทางไปในทันที หากผู้แกร่งกล้าธรรมดาสามัญอาจหาญเข้าไปก็ต้องถูกสังหารในทันที แต่ ‘ระดับจักรพรรดิ’ ก็ไม่เหมือนกันเสียแล้ว ยอดเคารพจะสังหารก็ยังยากลำบากอย่างยิ่ง ก็ย่อมไม่มีใครขัดขวางบรรดาจักรพรรดิมิให้ไปสังเกตการณ์ทางเดินเขี้ยวอสรพิษด้วยตนเองอยู่แล้ว

“พรึ่บ”

เคลื่อนที่ผ่านอากาศ

รอจนภาพเหตุการณ์ตรงหน้ากระจ่างชัด ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มองเห็นหัวอสรพิษขนาดมหึมาสูงตระหง่านหาใดเปรียบที่อยู่ไกลออกไป หัวอสรพิษนี้คล้ายกับสลักเสลาขึ้นมาจากก้อนหิน มหึมาหาใดเปรียบ มีขนาดใหญ่กว่าเกาะลอยคว้างเกาะใดๆ มากมายเหลือเกิน

หัวอสรพิษอ้าปากอันกระหายเลือดเผยคมเขี้ยวออกมา ภายในปากลึกล้ำยากหยั่งคะเน ปากอสรพิษที่อ้าออกมานี้เกิดเป็นกระแสน้ำวนมืดมิดอันน่าหวาดหวั่นดูดกลืนบริเวณรอบๆ อย่างบ้าคลั่ง กระแสน้ำวนมืดมิดแผ่ปกคลุมอาณาเขตที่ตงป๋อเสวี่ยอิงคะเนด้วยสายตาว่ามีขนาดใหญ่พอๆกันกับ ‘รัฐเมฆทักษิณา’ เลยทีเดียว! กระแสน้ำวนมืดมิดอันน่าหวาดหวั่นนี้ก่อให้เกิดเป็นทางเดินเส้นหนึ่งตรงเข้าไปในส่วนลึกของปากของหัวอสรพิษ ลึกเข้าไปด้านใน

ทางเดินกระแสน้ำวนมืดมิดสายนี้ก็คือ ‘ทางเดินเขี้ยวอสรพิษ’ นั่นเอง

ว่ากันว่าเข้าไปข้างในแล้วก็สามารถมองเห็นเขี้ยวอสรพิษซี่แล้วซี่เล่าตลอดสองข้างทาง!

“น่ากลัวยิ่งนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงเพียงแค่มองดูอยู่ห่างๆ ก็รู้สึกได้ถึงพลังฉีกทึ้งทำลายอันน่าหวาดหวั่นเช่นนั้นของกระแสน้ำวนมืดมิดได้แล้ว

ในตำนานว่ากันว่าถ้าหากยอดเคารพฝืนบุกเข้าไป ก็ยังต้องถูกกระแสน้ำวนมืดมิดฉีกทึ้งจนแหลกสลายเป็นชิ้นๆ

………………………

จอมกระบี่ยืนอยู่กลางท้องฟ้าอันเวิ้งว้างของโลกทิพย์กิเลนบูรพา การสัมผัสรับรู้ปกคลุมทั่วทั้งโลกทิพย์

“น่าเสียดาย เส้นทางที่ข้าบำเพ็ญคือวิถีทำลายล้าง หากเป็นวิถีระลอกคลื่นหรือวิถีอากาศที่เชี่ยวชาญทางด้านบริเวณ ข้าก็สามารถสำแดงบริเวณปกคลุมทั้งอากาศอันสับสนอลหม่าน และทำให้จักรพรรดิจวินผู้นั้นมิอาจหลบหนีไปทั่วได้แล้ว” จอมกระบี่ลอบรู้สึกจนใจ เขาฝึกวิถีทำลายล้าง จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ฝึกวิถีอสนีบาต เจ้าศิลาเป็นพวกฝึกกาย ไม่มีสักคนที่เชี่ยวชาญทางด้านบริเวณ

ตามปกติแล้วพวกเขาก็สามารถสัมผัสรับรู้ความเคลื่อนไหวทั่วทั้งอากาศอันสับสนอลหม่านได้

หากเป็นการสะกดรอย ก็สามารถสะกดรอยเทพจักรวาลได้แทบจะทั้งหมด!

แต่ว่า ‘ขั้นสุดยอด’ นั้นครบสมบูรณ์อย่างแท้จริง หากเก็บงำกลิ่นอายวิญญาณจนหมดก็มิอาจสะกดรอยได้เลย! แม้จอมกระบี่ จอมเทพศักดิ์สิทธิ์และเจ้าศิลาล้วนสามารถสัมผัสรับรู้ทั้งอากาศอันสับสนอลหม่านได้ แต่กลับมิอาจสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของจักรพรรดิจวินเลย นอกเสียจากจักรพรรดิจวินจะเป็นฝ่ายปะทุพลังออกมาเอง! แต่หากเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญกระบวนท่าทางด้านบริเวณ บริเวณสามารถปกคลุมทั้งโลกกำเนิดอันกว้างใหญ่ไพศาลได้ เช่นนั้น ก็สามารถสอดส่องดูสิ่งมีชีวิตทั้งหมดทั่วทั้งบริเวณได้

ความเคลื่อนไหวทั้งหมดของจักรพรรดิจวิน

ไม่ว่าจะเป็น ‘การเปลี่ยนแปลง’ ‘เก็บงำกลิ่นอาย’ ‘บินเคลื่อนที่’ ‘เคลื่อนที่ในพริบตา’ หรือ ‘ทะลุอากาศ’ หากอยู่ภายในบริเวณก็สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ไม่มีที่ให้หลบหนีได้แล้ว

น่าเสียดาย…ที่พวกเขาล้วนแต่ไม่เชี่ยวชาญทั้งสิ้น!

เขาก็ยังดี อาศัยเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งที่ได้รับมา แม้จะไม่เชี่ยวชาญทางด้านบริเวณ แต่บริเวณทำลายล้างที่สำแดงออกมาก็ยังคงสามารถปกคลุมโลกทิพย์แห่งหนึ่งได้ สามารถประจำการโลกทิพย์กิเลนบูรพาได้

แต่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์และเจ้าศิลามิอาจทำได้แม้แต่การสำแดงบริเวณเพื่อปกคลุมโลกทิพย์เสียด้วยซ้ำ!

“ขั้นสุดยอดคนหนึ่ง หากจงใจหลบหนี สิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูก็ยากที่จะฆ่าให้ตายได้ จักรพรรดิจวินผู้นี้หลบหนีและทำลายล้างอย่างไม่หยุดหย่อน…หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ทั้งโลกกำเนิดบ้านเกิดก็ต้องถูกทำลายลงไปเป็นแน่” จอมกระบี่ร้อนใจขึ้นมา แต่กลับคิดวิธีไม่ออก

“จอมกระบี่ ข้าจะช่วยท่านอีกแรงหนึ่งเอง” ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งลอยมา

“เอ๊ะ” จอมกระบี่ที่ยืนอยู่กลางท้องฟ้าของโลกทิพย์กิเลนบูรพาสะดุ้ง “เป็นเสวี่ยอิงหรือ เขาจะช่วยข้า จะช่วยข้าอย่างไรกัน”

……

ฃวิ้ง

กลางท้องฟ้าเหนือโลกทิพย์นิจนิรันดร์ ตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏกายขึ้นพลางมองดูแผ่นดินที่ถูกฉีกทึ้งไกลออกไป เขาส่ายหน้าน้อยๆ

ในโลกจอมมารดา ก็มีตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏขึ้นอีกร่างหนึ่ง แล้วเหลือบมองลงไปยังสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วน

ในโลกทิพย์ ก็มีตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏขึ้นอีกร่างหนึ่ง สำหรับสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนที่สวามิภักดิ์ต่อจอมเทพศักดิ์สิทธิ์จากใจ ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้มีความอาฆาตด้วยเลย มีเพียงความสงสารเท่านั้น นี่คือพวกคนที่น่าสงสารกลุ่มหนึ่ง “ใกล้แล้ว พวกเจ้าใกล้จะได้คืนสู่อิสรภาพแล้ว”

บวกกับที่เดิมทีก็มีร่างแยกร่างหนึ่งอยู่ในโลกทิพย์กิเลนบูรพาอยู่แล้ว

ร่างแยกสี่ร่างสำแดงกระบวนท่าทางด้านบริเวณอออกมาพร้อมกัน

“ตู้มมม…”

โลกทิพย์นิจนิรันดร์

‘บรรพชนทิพย์’ และ ‘บรรพชนโลกา’ ผู้นำดั้งเดิมทั้งสองของโลกทิพย์แห่งนี้ต่างก็ร้อนรนใจขึ้นมา

“ทำอย่างไรดี แม้พลังของจอมกระบี่จะเกินกว่าที่จินตนาการไว้ แข็งแกร่งกว่าอาจารย์ของข้าและจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ แม้จะสามารถกดดันมารผลาญทำลายนั่นได้อย่างสิ้นเชิง แต่กลับฆ่าให้ตายมิได้ มารผลาญทำลายขั้นสุดยอดตนนั้นยังคงทำลายล้างต่อไป…หากทำลายล้างอย่างไม่หยุดหย่อนเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เกรงว่าสักพันปี ก็เพียงพอจะทำให้ทั้งอากาศอันสับสนอลหม่านเข้าสู่การทำลายล้างครั้งใหญ่แล้ว” บรรพชนโลกากำหมัดแน่น

ไม่ยอมจำนน

หากโลกกำเนิดแตกสลาย พวกเขาก็ต้องตาย! เดิมทีเขาก็ยังคิดจะโจมตีขั้นสุดยอด ตอนนี้โลกกำเนิดกำลังจะถูกทำลายไปต่อหน้าต่อตา เวลาน้อยนิดเท่านี้ เขาไม่มีหวังจะบรรลุได้แล้ว

“ขัดขวางเขาเอาไว้มิได้หรือ ขัดขวางมิได้เลยหรือ” บรรพชนทิพย์ก็เจ็บปวดใจ

เจ้าศิลาส่ายหน้าทอดถอนใจพลางมองดูทุกสิ่ง “หมดกัน ยุคนี้กำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว จะแตกสลายครั้งใหญ่แล้ว”

จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ยืนอยู่กลางอากาศอย่างเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง สีหน้าเย็นชา

มองเห็น ‘จักรพรรดิจวิน’ ผลาญทำลายอยู่ต่อหน้าต่อตา จวนจะได้รับรางวัลใหญ่จากกฎเกณฑ์อันสูงส่ง แต่กลับมิอาจขัดขวางได้ ทำให้จอมเทพศักดิ์สิทธิ์จิตใจย่ำแย่นัก

ทันใดนั้น…

ระลอกคลื่นอันน่าหวาดหวั่นก็พลันปกคลุมทั่วทั้งโลกทิพย์นิจนิรันดร์ ระลอกคลื่นนี้ ราวกับคลื่นใต้น้ำใต้ห้วงสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาลที่โหมซัดและบีบอัดเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แม้ดูเหมือนจะค่อนข้างสงบ ต่อให้เป็นต้นไม้ใบหญ้าในโลกทิพย์นิจนิรันดร์ก็มิได้รับผลกระทบแต่อย่างใด แต่พวกจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ เจ้าศิลา บรรพชนโลกาและบรรพชนทิพย์ล้วนสัมผัสได้ว่า นี่คือสาเหตุที่ระลอกคลื่นอันน่าหวาดหวั่นนี้ต้องเก็บงำเอาไว้

ราวกับทะเลใหญ่ที่ยามสงบ ทั้งหมดก็สงบนิ่งมาก

แต่หากปะทุขึ้นมา อานุภาพก็จะน่าหวาดหวั่นขึ้นเป็นอันมาก

“ระลอกคลื่นนี้ปกคลุมทั่วทั้งโลกทิพย์เลยหรือ เป็นระลอกคลื่นมาจากที่ใดกัน” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ เจ้าศิลา บรรพชนโลกาและบรรพชนทิพย์ต่างก็เริ่มตรวจสอบดู

ไม่นานนักก็พบชายหนุ่มในอาภรณ์สีขาวทั้งร่าง

“ตงป๋อเสวี่ยอิงหรือ”

“เป็นเขาหรือ”

……

ณ โลกจอมมารดา

ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงท่าไม้ตายที่สี่ของยุทธวิธีหิมะเหิน…‘มหาสมุทรคละถิ่น’ ออกมาเช่นกัน นี่เป็นการสั่งสมทางด้านวิถีอากาศของตงป๋อเสวี่ยอิงเองซึ่งห่างจากขั้นสุดยอดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อผสานกับการรับรู้เคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่ง และอ้างอิงการรับรู้มิติชั้นสูงยิ่งขึ้นเป็นตัวอย่าง เขาเสียเวลาไปนานแสนนานจึงคิดค้นท่าไม้ตายขึ้นมาได้ในที่สุด

ไม่ว่าจะเป็นท่าไม้ตายใด ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ล้วนแต่พึงพอใจอย่างแท้จริง อานุภาพก็น่าพึงพอใจเช่นกัน

“นี่มันอะไรน่ะ” ‘จอมมารดา’ผู้ที่เก็บตัวกบดานอยู่ในโลกจอมมารดามาตลอดแหงนศีรษะมหึมาขึ้นแล้วมองดูท้องฟ้า นางมองเห็นบุรุษอาภรณ์ขาวที่สำแดงบริเวณอันน่าหวาดหวั่นออกมา

“ตงป๋อเสวี่ยอิงรึ เขา เขาแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน” จอมมารดารู้สึกหนาวเหน็บไปถึงขั้วหัวใจ

ในยามนี้เอง

บัดนี้ยังมีโลกทิพย์คงอยู่อีกสี่แห่ง…โลกทิพย์โบราณ โลกทิพย์นิจนิรันดร์ โลกจอมมารดาและโลกทิพย์กิเลนบูรพา ร่างแยกทั้งสี่ของตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงกระบวนท่ามหาสมุทรคละถิ่นออกมาพร้อมกัน บริเวณปกคลุมโลกทิพย์แต่ละแห่งจนทั่ว

อันที่จริงเดิมทีวิถีอากาศก็เชี่ยวชาญทางด้านบริเวณเป็นอย่างยิ่งอยู่แล้ว ‘มหาสมุทรอากาศ’ ซึ่งมีคุณสมบัติพอจะจัดเป็นท่าไม้ตายของยุทธวิธีหิมะเหินได้ก็ยิ่งร้ายกาจเข้าไปใหญ่ ต่อให้อยู่ในดินแดนจิตโลกา ก็สามารถปกคลุมบริเวณอันกว้างใหญ่อย่างยิ่งได้ เมืองใหญ่โดยทั่วไปก็สามารถปกคลุมได้อย่างง่ายดาย! ส่วนโลกทิพย์ทั้งสี่แห่งในโลกกำเนิดบ้านเกิด มีบริเวณค่อนข้างเล็ก อีกทั้งการกดดันของกฎเกณฑ์ก็อ่อนแออย่างยิ่งอีกด้วย

โลกทิพย์โบราณนั้นถูกจอมเทพศักดิ์สิทธิ์หลอมแปรและถูกควบคุมอย่างสิ้นเชิงไปนานแล้ว

ส่วนโลกทิพย์อีกสามแห่ง ล้วนแต่สร้างขึ้นโดยเหล่าเทพจักรวาล! กฎเกณฑ์พื้นฐานที่สร้างขึ้นก็เป็นเพียงกฎเกณฑ์ระดับเทพจักรวาลเท่านั้น

มิอาจเทียบเคียงกับ ‘โลกทิพย์โบราณดั้งเดิม’ ได้เลย! ยิ่งไม่ต้องพูดถึงดินแดนจิตโลกาแล้ว ดินแดนจิตโลกานั้นมีหยวนเป็นผู้ควบคุม การกดดันของกฎเกณฑ์เข้มงวดกว่า ยิ่งเป็นผู้แกร่งกล้าหรือว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรู ก็ล้วนได้รับผลกระทบจากพันธนาการอันไร้รูปร่าง

“กฎเกณฑ์กดดันน้อยนิดเท่านี้” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบรำพึงในใจ

พลังของเขาในตอนนี้ สามารถเพิกเฉยต่อกฎเกณฑ์ที่กดดันของโลกทิพย์ได้แล้ว! แม้แต่การกดดันโลกทิพย์โบราณ เขาก็ยังสามารถกดดันกลับไปได้

……

“ไม่มีประโยชน์หรอก ข้าจะไม่พัวพันกับเจ้า หนีไปพลาง ทำลายล้างไปพลาง แม้จะช้าหน่อยแต่ถึงอย่างไรก็ทำให้โลกกำเนิดแห่งนี้แตกสลายครั้งใหญ่ได้อย่างแน่นอน” จักรพรรดิจวินกลับหัวเราะเสียงเย็นเยียบ นัยน์ตาทั้งคู่ฉายแววสนุกสนานกับการทำลายล้าง เขาเกิดมาก็เพื่อทำลาย แม้บัดนี้พลังจะสามารถข่มความปรารถนาที่จะทำลายล้างเช่นนี้ได้แล้ว แต่ถึงอย่างไรความปรารถนานี้ก็ลึกล้ำเข้าไปถึงวิญญาณ

ยิ่งทำลายล้างก็ยิ่งพึงพอใจ

“สวบ”

เขาทะลุทะลวงไปอีกครั้ง จนมาถึงโลกจอมมารดา

“ทำลาย” เมื่อมาถึงโลกจอมมารดา หางของจักรพรรดิจวินก็สะบัดคราหนึ่ง ฟ้าดินราวกับถูกแยกออก

แต่จากนั้น

สีหน้าของจักรพรรดิจวินก็เปลี่ยนแปรไป!

เดิมทีเขายังหัวเราะอย่างเย็นชาด้วยความรังเกียจ เขาไม่เห็น ‘จอมมารดา’ แห่งโลกจอมมารดาผู้นั้นอยู่ในสายตาเลย ดังนั้นเมื่อมาถึงจึงลงมือทำลายทันที แต่เพิ่งจะทำลาย เขาก็สัมผัสได้ว่าพละกำลังอันน่าหวาดหวั่นหาใดเปรียบโหมซัดเข้ามา!

“กดดัน!” ร่างแยกร่างหนึ่งของตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งทำหน้าที่ประจำการอยู่ที่โลกจอมมารดาเป็นหนึ่งในเก้าร่างแยกที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา แววหนาวเหน็บในดวงตาของตงป๋อเสวี่ยอิงกะพริบวาบขึ้นมา อานุภาพของบริเวณปะทุขึ้นมาทันใด

จักรพรรดิจวินรู้สึกเพียงว่าพละกำลังอันน่ากลัวอย่างไร้ที่สิ้นสุดรอบด้านโหมซัดเข้ามาโอบล้อมและบีบอัดเข้าไป เดิมทีหางของเขาสะบัดออกไปโจมตีคราหนึ่ง ภายใต้บริเวณอันน่ากลัวนี้ก็เผาผลาญไปจนสิ้นแล้ว

ภายใต้บริเวณนี้ จักรพรรดิจวินรู้สึกเพียงว่าทนรับได้ยากนัก แต่ละแห่งล้วนถูกบริเวณขัดขวาง

“ไยจึงมีบริเวณที่น่าหวาดหวั่นเช่นนี้ได้เล่า” จักรพรรดิจวินไม่อยากจะเชื่อ “บริเวณเช่นนี้ ทำเอาพลังของข้าเสียหายอย่างใหญ่หลวง!”

“ฟิ้ว”

ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวกลับปรากฏกายขึ้นจากกลางระลอกคลื่นอากาศ แล้วมาถึงตรงหน้าจักรพรรดิจวินในทันใด

“เป็นเจ้าหรือ ตงป๋อเสวี่ยอิง” จักรพรรดิจวินไม่อยากจะเชื่อ เขายังคงตะปบฝ่ามือออกไปพลางยิ้มเหี้ยมเกรียม ต่อให้มีบริเวณขัดขวาง ก็ยังคงมีเส้นสายบิดเบี้ยวจำนวนนับไม่ถ้วนปกคลุมไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง

“เชือดเฉือนฟ้าดินครั้งใหญ่!”

ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับใช้ฝ่ามือสะบัดออกไปราวกับดาบ ฟันฟาดออกไปเบื้องหน้า

ฟิ้ว!

เส้นสีดำสายหนึ่งปรากฏขึ้น ฟ้าดินแยกออกมาจากใจกลาง แล้วปรากฏขึ้นตรงหน้าจักรพรรดิจวิน จักรพรรดิจวินตะปบออกไปคราหนึ่ง ก็มีเส้นสายบิดเบี้ยวจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น มันเชือดเฉือนออกไปอย่างต่อเนื่องภายใต้ ‘เส้นสีดำ’ นี้ แต่อานุภาพของเส้นสีดำก็ถูกเผาผลาญไปไม่หยุด จนถึงตอนสุดท้าย เส้นสายบิดเบี้ยวก็ถูกหักสะบั้นลง เส้นสีดำนั้นยังคงฟันลงบนร่างของจักรพรรดิจวิน

ร่างกายของจักรพรรดิจวินบิดเบี้ยวไปคราหนึ่ง รอบด้านราวกับถ้ำดำมืด แล้วเขาก็ต้านทานอานุภาพสายหนึ่งที่หลงเหลืออยู่เอาไว้ได้

ใบหน้าของจักรพรรดิจวินเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น “พลังของเขาไม่แพ้ข้าเลยหรือนี่”

ไหนเลยเขาจะรู้ว่า

ตงป๋อเสวี่ยอิงเคยห้ำหั่นกับจอมเคารพมาก่อน และมีประสบการณ์ประมือกับประมุขเกาะจันปาด้วย สำหรับขั้นสุดยอดแล้ว เขาไม่หวาดหวั่นเลยแม้แต่น้อย

“ฟิ้ว”

ประกายกระบี่สายหนึ่งพลันตัดผ่านร่างของจักรพรรดิจวินทันที ทำให้ร่างของจักรพรรดิจวินแยกออกเป็นสองส่วน จากนั้นก็กลายเป็นแสงสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนรวมตัวกันขึ้นอย่างรวดเร็ว เขามองดูจอมกระบี่ที่ปรากฏกายขึ้นไกลออกไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วมองดูตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีขาวทั้งร่างแวบหนึ่ง “มีขั้นสุดยอดปรากฏกายขึ้นสองคนได้อย่างไรกัน”

แม้เขาจะเดือดดาลและไม่อยากจะเชื่อ แต่ร่างของจักรพรรดิจวินก็ยังคงกะพริบวาบคราหนึ่งทันที มิติรอบด้านบิดเบี้ยวแล้วก่อตัวเป็นเส้นสายจำนวนนับไม่ถ้วนขึ้นมา แล้วเขาก็หายวับไป

จอมกระบี่มองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วก็เผยรอยยิ้มออกมา เขาถ่ายเสียงพูดว่า “อิงซานเสวี่ยอิง คนวิถีจิตฟ้าหรือ”

ร่างแยกเพียงร่างหนึ่ง ก็มีพลังเทียบกับขั้นสุดยอดได้แล้ว

ยามนี้จอมกระบี่จะเดาไม่ออกได้อย่างไรกันว่า ‘อิงซานเสวี่ยอิง’ ก็คือคนวิถีจิตฟ้า!

“จอมเคารพกระบี่ปีศาจหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ถ่ายเสียงพูดยิ้มๆ

พวกเขาเชี่ยวชาญในการใช้กระบี่เช่นเดียวกัน

เป็นขั้นสุดยอดเหมือนกัน! จอมเคารพกระบี่ปีศาจรุ่งโรจน์ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เมื่อทำนายจากช่วงเวลาที่จอมเคารพกระบี่ปีศาจถือกำเนิดขึ้นมาในสกุลชาง ก็เป็นเวลาเดียวกับที่จอมกระบี่เพิ่งจะเข้าไปในวังทวีสูญได้ไม่นานเท่าไหร่พอดี นอกจากนี้เขายังปฏิบัติต่อตนดีถึงเพียงนั้น ความคุ้นเคยอันไร้ชื่อเรียกนั้น ขณะเดียวกับที่จอมกระบี่ปะทุพลังออกมา ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มั่นใจในสิ่งที่คาดเดาเอาไว้ในใจ!

ทั้งสองมองสบตากันแล้วก็เผยรอยยิ้มออกมา

“หากเจ้าสามารถประจำการอยู่ที่โลกทิพย์ทั้งสี่ได้ ร่างแยกสองร่างของข้าก็สามารถไล่สังหารเขาได้ เพียงแต่ว่าเขาหนีไปทั่วทุกทิศทุกทาง อากาศอันสับสนอลหม่านกว้างใหญ่ไพศาล การจะสกัดเขาเป็นเรื่องยากมาก” จอมกระบี่ถ่ายเสียงพูด

“ข้ามีวิธี” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มออกมา

………………………………

หากพูดถึงความสามารถในการรักษาชีวิตแล้ว

พลังรบเท่ากัน สิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดนั้นเหนือกว่าชาวโลกเทพและผู้เหินทะยานมาก

แม้แต่การสังหารสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดซึ่งมีพลังรบระดับ ‘จักรพรรดิเทพช่วงต้น’ และ ‘จักรพรรดิเทพช่วงกลาง’ ก็ยากเย็นยิ่งนัก หากสามารถสำแดงพลังรบระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์สามออกมาได้ เช่นนั้นแล้ว หากบรรพเทวะคละถิ่นไม่ออกหน้า ก็ทำอะไรมิได้เลย อย่างจ้าวหุบเขาฝูหลิ่วและจักรพรรดิเทพหงส์อัคคีก็ล้วนแต่เป็นเช่นนี้

“วางใจเถิด หงส์อัคคีกับข้ารักกันดั่งพี่น้อง เรื่องเล็กน้อยเท่านี้ไม่นับเป็นอะไรหรอก” เจ้าเมืองหงส์เมฆามองไปทางจักรพรรดิเทพหงส์อัคคีที่อยู่ไกลออกไป

สวบ

เปลวเพลิงสายหนึ่งกะพริบวาบ จักรพรรดิเทพหงส์อัคคีก็มาถึงตรงหน้าแล้ว นางมองตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยความตกตะลึง “จักรพรรดิเทพหิมะเหิน ท่านจะจากโลกเทพไปหรือ”

“ยังหีอก ทว่าเพียงแค่เตรียมการไว้ก่อนเท่านั้นเอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว เขาพูดค่อนข้างคลุมเครือ

“ได้ๆๆ วางใจเถิด ข้ารับรองศิษย์คนนั้นของท่านให้เอง!” จักรพรรดิเทพหงส์อัคคีพยักหน้ารัว จากนั้นก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมา “ทว่าข้ามีเงื่อนไขอยู่ข้อหนึ่ง”

“เชิญพูดมาเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว

เจ้าเมืองหงส์เมฆาที่อยู่อีกด้านหนึ่งกลับสะดุ้งน้อยๆ ระดับอย่างพวกเขาแล้ว เพียงรับศิษย์คนหนึ่งเอาไว้เพื่อปกป้อง เป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก ยังจะเสนอเงื่อนไขอีกหรือ ด้วยสถานะของจักรพรรดิเทพหิมะเหินแล้ว หากขอให้ระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์คนอื่นๆ ช่วยเหลือ ก็เกรงว่าคงจะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น เพียงแต่เห็นว่าเจ้าเมืองหงส์เมฆาเป็นถึงอันดับหนึ่งของรายนามจักรพรรดิเทพ จึงได้เป็นฝ่ายเอ่ยปากเอง

ดังนั้นเมื่อได้ยินว่าน้องสาวจะเสนอเงื่อนไข เจ้าเมืองหงส์เมฆาก็อดรู้สึกจนใจขึ้นมามิได้

“ในภายหน้าหากท่านสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นได้ ก็อย่าลืมมาพาข้าไปจากโลกใบนี้ด้วย” จักรพรรดิเทพหงส์อัคคีมองตงป๋อเสวี่ยอิง

“สำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม “ได้ ข้าสามารถรับปากได้ เพียงแต่ท่านเชื่อในตัวข้ามากถึงเพียงนี้เชียวหรือ”

“ข้ารู้สึกว่าความหวังที่ท่านจะสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นยังคงริบหรี่” จักรพรรดิเทพหงส์อัคคีส่ายหน้า “ได้ยินมาว่าผู้เหินทะยานไม่มีสายเลือดคละถิ่น จะสำเร็จถึงขั้นคละถิ่นได้ก็ยากนัก ทว่าก็ต้องได้ประโยชน์อะไรสักหน่อยใช่หรือไม่เล่า ไม่แน่ว่าในภายหน้าท่านอาจจะสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นก็ได้ เช่นนั้นข้าก็จะได้พลิกกายแล้วมิใช่หรือ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้ายิ้มๆ “ดี ขอให้สมพรปากท่านก็แล้วกัน”

เขาก็พอจะเข้าใจรางๆ

ในบรรดาสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดที่ธรรมดาสามัญที่สุดเหล่านี้ พลังก็เป็นเพียงระดับจักรพรรดิเทพหรือระดับจักรพรรดิเท่านั้น เกรงว่าวันคืนคงมิได้ผ่านพ้นไปอย่างราบรื่นนัก

******

ธุระมิอาจชักช้าได้

ตงป๋อเสวี่ยอิงกลัวว่าสามบรรพเทวะคละถิ่นอาจจะมาพาตนไปเมื่อไหร่ก็ได้ เช่นเดียวกับที่พาตัวผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์คนอื่นๆ ไป! ในวันนั้น อวี้เฟิงชิงอินจึงได้คารวะเข้าอยู่ในสำนักของจักรพรรดิเทพหงส์อัคคี

“ศิษย์คารวะท่านอาจารย์” แม้อวี้เฟิงชิงอินจะไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ก็ยังคงฟังคำตงป๋อเสวี่ยอิงและคารวะจักรพรรดิเทพหงส์อัคคีเป็นอาจารย์อย่างเป็นทางการโดยดี

“ดีๆๆ” จักรพรรดิเทพหงส์อัคคีมองอวี้เฟิงชิงอินแล้วก็พึงพอใจนัก “วันนี้ข้าจะกลับไปยังเมืองหงส์เมฆา เจ้าตามพวกข้ากลับไปก็แล้วกัน”

อวี้เฟิงชิงอินมองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยความลังเลเล็กน้อย

เห็นได้ชัดว่านางเชื่อใจตงป๋อเสวี่ยอิงมากกว่า

“ไปเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “เดิมทีข้าก็วางแผนจะซ่อนตัวเพื่อบำเพ็ญอยู่แล้ว บัดนี้ชื่อเสียงเลื่องลืออยู่ภายนอก สำหรับข้าแล้ว เมืองจวิ้นซานมิใช่สถานที่ซ่อนตัวที่เหมาะสมที่สุด ข้าจึงคิดจะจากไป เจ้าก็ไปยังเมืองหงส์เมฆาเถิด ที่นั่นเหมาะกับการบำเพ็ญของเจ้ามากกว่า”

“ท่านอาจารย์จะไปแล้วหรือเจ้าคะ” อวี้เฟิงชิงอินตกใจและรู้สึกทำใจไม่ได้เป็นอย่างมาก

“ตอนนั้นได้พบกัน ตอนนี้ก็ถึงเวลาจากกันแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว

“เอาล่ะ” จักรพรรดิเทพหงส์อัคคีที่อยู่อีกฟากหนึ่งพูดขึ้น “ท่านอาจารย์หิมะเหินของเจ้าจะเก็บตัวบำเพ็ญให้ดีๆ แล้ว เจ้าก็อย่าได้รบกวนเขาอีกเลย ตอนที่เขาเก็บตัวบำเพ็ญ เกรงว่าต่อให้เจ้าส่งสารไป เขาก็คงจะไม่สนใจหรอก”

ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้งก่อนจะพยักหน้า “ถูกต้อง การเก็บตัวเพื่อบำเพ็ญในครั้งนี้ ข้าจะไม่ยอมถูกรบกวนเป็นอันขาด”

อวี้เฟิงชิงอินทำใจไม่ได้เป็นอันมาก

แม้แต่ส่งสารก็มิได้หรือ

“เมื่อไหร่จะได้พบท่านอาจารย์อีกหรือเจ้าคะ” อวี้เฟิงชิงอินถาม

“คงจะนานแสนนานหลังจากนี้เลยล่ะ” ในใจของตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกซับซ้อนไปหมด

เมื่อจากโลกใบนี้ไป เมื่อไหร่จะได้พบศิษย์คนนี้อีกหนอ ตนก็บอกชัดเจนมิได้เช่นกัน

……

ราตรีนั้นเอง

ตงป๋อเสวี่ยอิงมอบที่เก็บสมบัติล้ำค่าอันหนึ่งเอาไว้ให้ศิษย์ จากนั้นก็จากไปอย่างไร้สุ้มเสียง

“ควรไปได้แล้ว”

ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่กลางทุ่งร้างนอกเมืองจวิ้นซาน มองดูตัวเมืองที่อยู่ไกลออกไป

มาถึงโลกใบนี้แล้ว เขาก็แทบจะซ่อนตัวอยู่ในเมืองแห่งนี้มาตลอด

“หากช้าก็จะเกินความเปลี่ยนแปลง ยิ่งถ่วงเวลาไปนานเท่าไหร่ ไม่แน่ว่าสักเวลาหนึ่ง บรรพเทวะคละถิ่นทั้งสามก็อาจจะมาพาข้าไปก็ได้” จากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็มองไปที่ข้อมือของตน บนข้อมือมีรอยประทับสีแดงโลหิตปรากฏขึ้นมา จากนั้นเพียงชั่วความคิดหนึ่ง เขาก็กระตุ้นมันขึ้นมา

สวบ!

ฟองวารีสีแดงโลหิตฟองหนึ่งโอบล้อมตนเอาไว้ ทั้งร่างถูกห่อหุ้มไว้จนสิ้น

จากนั้นรอบด้านก็เลือนรางไป

สวบ

แล้วเขาก็หายวับไปในโลกใบนี้ มุ่งหน้าไปยังโลกอีกแห่งหนึ่งแล้ว

******

ครึ่งเดือนหลังจากตงป๋อเสวี่ยอิงจากโลกเทพแห่งนี้ไป

เจ้าแม่จิตฟ้าและบรรพเทวะคละถิ่นคนอื่นรวมสามคนยืนอยู่กลางอสนีบาตสีทอง รอคอยด้วยความอดทน

“มาแล้ว” บรรพเทวะทิพย์ทองเอ่ยปาก

พวกเขาทั้งสามเงยหน้าอย่างรอคอย

ทันใดนั้น ก็เห็นสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมาตัวหนึ่งบินอยู่กลางมิติคละถิ่นไกลออกไป เมื่อเข้ามาใกล้ จึงแปรเป็นรูปร่างมนุษย์ ลักษณะเป็นชายชราร่างผอมเล็กปากแหลมแก้มย้อยราววานร

“พี่ใหญ่เฉิง” เจ้าแม่จิตฟ้าเป็นฝ่ายเข้าไปต้อนรับ บรรพเทวะทิพย์ทองและบรรพเทวะดาวเหนือตามอยู่ด้านหลัง เพราะถึงอย่างไรหากพูดถึงความสัมพันธ์แล้ว ผู้แกร่งกล้าระดับคละถิ่นที่เจ้าแม่จิตฟ้าผูกสัมพันธ์เอาไว้ก็มีมากกว่าพวกเขาสองคนมากมายนัก อย่างผู้ที่มาอยู่ตรงหน้าในตอนนี้ ก็มีความสัมพันธ์อันดียิ่งกับเจ้าแม่จิตฟ้า

“คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้จะเป็นพี่ใหญ่เฉิงที่เข้ามา” เจ้าแม่จิตฟ้ากระตือรือร้นเป็นอย่างมาก “พวกเราสองพี่น้องไม่ได้พบหน้ากันนานมากแล้วกระมัง

“น้องหญิงจิตฟ้า” ชายชราร่างผอมเล็กผู้นี้ลูบหนวดที่กระดกขึ้นมา พลางทอดถอนใจ “ไม่ได้พบกันนานแสนนานแล้ว ดูเหมือนน้องหญิงจิตฟ้าคงจะใกล้บรรลุแล้วกระมัง ฮ่าฮ่า ถึงตอนนั้นก็ไม่ต้องประจำการอยู่ในกลุ่มโลกอสนีบาตแห่งนี้ไปตลอดแล้ว”

“ไหนเลยจะสู้พี่ใหญ่เฉิงได้ พี่ใหญ่เฉิง บัดนี้ท่านรับผิดชอบเรื่องอันใดออยู่หรือ เจ้าดินแดนให้ท่านมาชี้นำสหายน้อยหรือไร” เจ้าแม่จิตฟ้าถาม

ชายชราร่างผอมเล็กรู้สึกได้ใจเป็นอันมาก “วันนี้พี่ชายอย่างข้ามารับงานลาดตระเวนเล็กๆ ในแดนที่ห้าใต้บังคับบัญชาของเจ้าดินแดน พวกเจ้ากลุ่มโลกอสนีบาตอยู่ในแดนที่ห้าพอดี ก็นับว่าอยู่ในขอบเขตอำนาจของข้า ข้าจึงย่อมต้องมาชี้นำสหายน้อยเสียหน่อย”

“ลาดตระเวนหรือ”

พวกเจ้าแม่จิตฟ้าทั้งสามคนตกใจเป็นอย่างมาก

พวกเขาต่างก็เป็น ‘เผ่าสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิด’

ซึ่งในดินแดนใต้บังคับบัญชาของเจ้าดินแดน ทั้งหมดแบ่งออกเป็นเก้าแดนหลักๆ! เก้าแดนหลัก มีผู้ลาดตระเวนทั้งหมดเก้าคน!

ผู้แกร่งกล้าคละถิ่นแบ่งออกเป็นสองประเภทด้วยกัน

ประเภทแรก ก็คือตระกูลสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิด อย่างพวกที่มีสายเลือดคละถิ่นและตื่นรู้ขั้นสุดยอดเหล่านั้น เนื่องจากบรรพบุรุษของพวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิด หลังจากตื่นรู้ขั้นสุดยอดก็คืนสู่บรรพชน จึงกลายเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกับบรรพบุรุษ และกลายเป็นส่วนหนึ่งของเผ่าสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิด

ประเภทที่สองก็คือฝึกฝนด้วยตนเองตั้งแต่ยังอ่อนแอขึ้นมาทีละก้าวๆ บ้างก็ปกครองโลกกำเนิด สำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่น หรือไม่ก็ใช้พลังทำลายกฎสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่น ซึ่งประเภทที่สองนี้แข็งแกร่งกว่า

เมื่อเทียบกันแล้ว…

ประเภทที่หนึ่งนั้นได้รับการดูถูกอยู่บ้าง

สามารถรับตำแหน่ง ‘ลาดตระเวน’ ได้ ก็ต้องเป็นแม่ทัพใหญ่คนหนึ่งใต้บังคับบัญชาของเจ้าดินแดนแล้ว

“พี่ใหญ่เฉิงเก่งกาจเช่นนี้ ข้าจำได้ว่าผู้ลาดตระเวนอีกแปดคนล้วนมิใช่เผ่าสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิด พี่ใหญ่ถือกำเนิดจากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิด สามารถสำเร็จเป็นผู้ลาดตระเวนได้ ก็ช่างเยี่ยมยอดโดยแท้”

“พี่ใหญ่เฉิง” บรรพเทวะทิพย์ทองและบรรพเทวะดาวเหนือก็เข้ามาพูดยกยออย่างอดมิได้

ทว่าการพูดยอนี้ ก็ออกมาจากส่วนลึกของหัวใจ

พี่ใหญ่เฉิงผู้นี้เป็นผู้ที่น่าภาคภูมิใจในหมู่พวกเขาอย่างแท้จริง

“ก็เป็นท่านเจ้าดินแดนที่มอบให้” ชายชราร่างผอมเล็กลูบหนวด “ใช่แล้ว สหายน้อยผู้นั้นอยู่ที่ใดกันเล่า วิญญาณแข็งแกร่งจนทำให้ร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นถูกกระทบจนบาดเจ็บสาหัสเหมือนกับที่พวกเจ้าพูดไว้หรือไม่”

“เรื่องใหญ่โตเช่นนี้ พวกเราจะกล้าพูดมั่วซั่วได้อย่างไรกัน พี่ใหญ่เฉิง เชิญ พวกเราจะพาสหายน้อยที่มีนามว่าจักรพรรดิเทพหิมะเหินผู้นั้นมา” เจ้าแม่จิตฟ้ากล่าว

พวกเขาทั้งสามพาผู้ลาดตระเวนผู้นี้ไปยังจวนของพวกเขาก่อน

ขณะเดียวกันพวกเขาก็แบ่งสมาธิไปเริ่มตรวจสอบโลกเทพ เพื่อตามหาจักรพรรดิเทพหิมะเหินผู้นั้น

“เอ๊ะ เมืองจวิ้นซานไม่มีหรือ”

“จักรพรรดิเทพหิมะเหินเล่า”

“หายไปไหนเล่า”

สามบรรพเทวะคละถิ่นตรวจสอบดูแล้วก็ตะลึงงันไป

จากนั้นพวกเขาก็ตรวจสอบทั้งโลกเทพอย่างบ้าคลั่ง! ถึงขั้นเริ่มตรวจสอบกลุ่มโลกอสนีบาตด้วย

ไม่มี ไม่มี ยังคงหาไม่พบ!

“ไม่มีแล้วหรือ” ชายชราร่างผอมเล็กลูบหนวดพลางขมวดคิ้ว

“เจ้าค่ะ เขาอยู่กลางทุ่งร้างนอกเมืองจวิ้นซาน แต่จู่ๆ ก็มาหายไปอย่างไร้ร่องรอย” พวกเจ้าแม่จิตฟ้าทั้งสามคนกังวลเป็นอย่างมาก พวกเขาใช้วิธีการตรวจสอบมากมาย ในที่สุดก็ตรวจพบภาพที่ตงป๋อเสวี่ยอิงจากไป เพียงแต่พวกเขาแค่ ‘มองเห็น’ ตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึงทุ่งร้างแล้วก็จากไปเท่านั้น ส่วนภาพที่ฟองวารีสีแดงโลหิตเข้ามาห่อหุ้มเอาไว้ กลับมิอาจตรวจสอบได้เลย

“สามารถอันตรธานไปได้อย่างไร้ร่องรอย พวกเจ้าต่างก็ตรวจสอบไม่ได้” ชายชราร่างผอมเล็กขมวดคิ้ว ในใจคาดการณ์ขึ้นมาทันที

ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิด สามารถมาถึงระดับสูงเช่นนี้ได้ สามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนกับผู้แกร่งกล้าคละถิ่นที่ปกครองโลกกำเนิดแห่งหนึ่งได้อย่างเสมอหน้ากัน ก็ย่อมไม่ธรรมดา

“พวกเจ้าสามคนนี่จริงๆเลย ตอนแรกที่ปรากฏตัวขึ้นมา ทำไมจึงไม่จับตัวไว้เสียเล่า” ชายชราร่างผอมเล็กพูดพลางขมวดคิ้ว

“พวกเราก็คิดไม่ถึงว่าในกลุ่มโลกอสนีบาตจะยังสามารถหายตัวไปได้อีก” พวกเจ้าแม่จิตฟ้าทั้งสามคนต่างก็จนใจนัก เพียงแต่ในใจของพวกเขาก็คาดเดาถึงความเป็นไปได้ต่างๆ ไม่ว่าอย่างไร พวกเขาก็ไม่กล้าแทรกตัวเข้าไป

ชายชราร่างผอมเล็กยืดกายขึ้น “เอาล่ะ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ข้ายังต้องรายงานไปยังท่านเจ้าดินแดนอยู่ดี”

ชายชราร่างผอมเล็กพูดจบก็ยืดกายขึ้นก่อนจะสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง จากนั้นก็ไปจากโลกเทพแห่งนี้แล้วทะลุไปกลางมิติคละถิ่นอันกว้างใหญ่ทันที

(จบบทที่ 37)

………………………

ณ ส่วนลึกของความรกร้างนอกเมืองจวิ้นซาน

จักรพรรดิเทพหงส์อัคคีชมดูอยู่ข้างๆ มองดูคนทั้งสองซึ่งยืนประจันหน้ากันอยู่กลางอากาศไกลออกไป คนหนึ่งคือบุรุษอาภรณ์ขาว อีกคนหนึ่งคือสตรีอาภรณ์ขาว! ตงป๋อเสวี่ยอิงและเจ้าเมืองหงส์เมฆาต่างก็สวมอาภรณ์สีขาวพิสุทธิ์ทั้งร่าง เพียงแต่ท่าทางของคนทั้งสองกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง กลิ่นอายที่เจ้าเมืองหงส์เมฆาปลดปล่อยออกมาในยามนี้ยิ่งใหญ่จนบดบังฟ้าและดวงตะวันเอาไว้ แม้แต่ฟ้าดินก็ยังต้องสั่นสะท้านด้วยกลิ่นอายของนาง แต่กลิ่นอายของตงป๋อเสวี่ยอิงกลับเลือนรางริบหรี่ ทั้งยังทำให้ผู้อื่นเกิดความคร้ามเกรงขึ้นมาอย่างมิอาจควบคุม เพราะถึงอย่างไรวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงก็เรียกได้ว่าไร้ศัตรูในบรรดาผู้ที่ต่ำกว่า ‘ผู้แกร่งกล้าคละถิ่น’ ลงมา เมื่อปลดปล่อยกลิ่นอายออกมาโดยไม่ยับยั้ง ก็ย่อมทำให้ผู้แกร่งกล้าคนอื่นๆ รู้สึกคร้ามเกรงเป็นธรรมดา

“จักรพรรดิเทพหิมะเหิน ได้โปรดสู้สุดกำลังด้วย เนื่องจากในโลกเทพ นับตั้งแต่ข้าบรรลุถึงระดับขั้นปัจจุบันนี้เป็นต้นมา ก็มีแต่ข้าที่รังแกผู้อื่น คนอื่นๆ ไม่เคยมีผู้ใดคุกคามข้าได้มากพอเลย” หว่างคิ้วของเจ้าเมืองหงส์เมฆาก็แฝงแววโหดเหี้ยมเอาไว้

“ข้าจะไม่ทำให้เจ้าเมืองหงส์เมฆาผิดหวังแน่นอน” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีแววกระหายการต่อสู้พลุ่งพล่าน

“ตู้ม!”

แววคมกริบในดวงตาของเจ้าเมืองหงส์เมฆากะพริบวาบ บริเวณหลายล้านลี้รอบด้านบิดเบี้ยวไปหมด ระลอกคลื่นอันน่าหวาดหวั่นก็แผ่กำจายไปทั่วบริเวณหลายล้านลี้

ตงป๋อเสวี่ยอิงได้ยินเสียงร้องแหลมบาดหู ราวกับเสียงร้องของสัตว์ปีกอย่างไรอย่างนั้น! เสียงร้องนี้ทำเอาฟ้าดินรอบด้านบิดเบี้ยวไปหมด และแทรกซึมเข้าไปในกายของตงป๋อเสวี่ยอิง สั่นสะท้านไปทั้งวิญญาณและอวัยวะต่างๆ รวมไปถึงเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อต่างๆ ด้วย เพียงครู่เดียวร่างกายของตงป๋อเสวี่ยอิงก็อ่อนยวบลงอย่างมิอาจควบคุม ทำให้เขาตกใจใหญ่ “เมื่อสำแดงบริเวณออกมา ก็ทำให้พลังของข้าลดลงกว่าครึ่งเชียวหรือ หากบุกเข้ามาอีก เกรงว่าเพียงสองสามกระบวนท่าข้าก็คงต้องสิ้นชีวิตเสียแล้วกระมัง!”

เมื่อเทียบกับระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์ที่แท้จริงแล้ว กายหยาบของเขาก็อ่อนแอกว่ามากทีเดียว

หากห้ำหั่นซึ่งหน้าโดยไม่ใช้กระบวนท่าทางด้านวิญญาณ เขาก็สามารถต่อสู้กับผู้แกร่งกล้าคนอื่นๆ ได้ จะมีก็แต่เจ้าเมืองหงส์เมฆาเพียงคนเดียวเท่านั้น…ที่ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงถูกบีบบังคับจนต้องเผยพลังที่แท้จริงทั้งหมดออกมาในทันใด

“ใช้พละกำลังสายเลือดของตนเองเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ฟ้าดินและลดบริเวณลง” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ

สิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดไม่ว่าหน้าไหน ร่างกายก็ล้วนแต่เปลี่ยนแปรมาจากกฎเกณฑ์ทั้งสิ้น

ดังนั้นอย่างจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์เหล่านี้ ขอเพียงตื่นรู้ขั้นสุดยอด คืนสู่บรรพชน ก็สามารถสำเร็จเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดได้แล้ว เนื่องจากพวกเขาควบคุมตนเองได้ร้ายกาจยิ่งกว่า เมื่อบรรลุก็เป็น ‘สิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับสูง’ แล้ว! และร่างกายของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นก็เหมือนกับ ‘โลก’ ใบหนึ่ง อย่างหุบเขาเขี้ยวหัก อันที่จริงแล้วก็เปลี่ยนแปรมาจากซากของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นขนาดมโหฬารสองตนนั่นเอง

ตนเองก็คือโลก! จึงย่อมสามารถลดกฎเกณฑ์และลดบริเวณลงได้

สิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดระดับยอดสุดล้วนแต่สามารถทำให้ ‘หยวน’ บาดเจ็บได้ ตนเองก็เพียงพอจะเทียบได้กับโลกกำเนิดใบหนึ่งแล้ว

เห็นได้ชัดว่าบริเวณที่เจ้าเมืองหงส์เมฆาสำแดงออกมาในตอนนี้ ก็สามารถแปรกฎเกณฑ์บางส่วนที่แฝงอยู่ในสายเลือดแล้วสำแดงออกมาได้! นางมีหวังจะ ‘ตื่นรู้ขั้นสุดยอด’ มากกว่าจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์เสียอีก!

“เขตลวงโลกเทียม” เพียงชั่วความคิดเดียวของตงป๋อเสวี่ยอิง โลกลวงอันยิ่งใหญ่ก็ร่อนลงไป หมายจะฉุดดึงวิญญาณของเจ้าเมืองหงส์เมฆาเข้าไปในนั้น

“เอ๊ะ” สีหน้าของเจ้าเมืองหงส์เมฆาเปลี่ยนแปรไปเล็กน้อย เพียงพริบตาเดียวสมาธิเกือบเจ็ดส่วนก็ต้องใช้ไปกับการต้านทานเขตลวง “เป็นกระบวนท่าทางด้านวิญญาณที่ร้ายกาจนัก”

นางแบ่งสมาธิไปต้านเขตลวง เหลือสมาธิเพียงสามส่วนไว้ใช้กับการต่อสู้ พลังจึงเริ่มลดลงทันที

บริเวณซึ่งเดิมทีน่าหวาดหวั่นก็สลายไปทันที!

เนื่องจากบริเวณนี้ต้องให้เจ้าเมืองหงส์เมฆาแบ่งสมาธิสองสามส่วนจึงสามารถคงเอาไว้ได้ ยามนี้จึงต้องละทิ้งบริเวณไปเป็นธรรมดา แล้วพยายามสำแดงพลังของตนออกมา

“แคว่ก…”

เจ้าเมืองหงส์เมฆาถลาไปคราหนึ่ง มือทั้งคู่วาดออกไปราวกับปีก

ฟ้าดินแยกเป็นสองส่วน!

หอกยาวเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในมือตงป๋อเสวี่ยอิง หอกยาวตีวงคราหนึ่ง มิติชั้นแล้วชั้นเล่าก็ก่อตัวขึ้นเป็นน้ำวน สกัดกั้นการต้านทานของเจ้าเมืองหงส์เมฆาเอาไว้อย่างต่อเนื่อง

“ยังดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงถอนหายใจคราหนึ่ง บริเวณกระจายตัวออกไป ตนก็สามารถรักษาพลังรบระดับยอดเอาไว้ได้ สมาธิสามส่วนของเจ้าเมืองหงส์เมฆาก็สามารถสำแดงพลังร่างกายระดับยอดออกมาได้ครึ่งหนึ่ง พลังระดับนี้ก็เกือบจะเท่ากับระดับเจ้าเมืองมังกรเหล็กแล้ว

เมื่อพลังของทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันไม่มากนัก ความพิสดารของกระบวนท่าจึงยังสามารถชดเชยความแตกต่างระหว่างกันได้

……

“ตู้มๆๆ…”

สนามรบของทั้งสองฝ่ายรั้นมืดฟ้ามัวดินไปหมด

ผู้ที่แกร่งกล้าที่สุดสองคนของทั้งโลกเทพกำลังห้ำหั่นกัน

“พลังของท่านพี่ลดลงไปมากถึงเพียงนี้เชียวหรือนี่” จักรพรรดิเทพหงส์อัคคีมองดูอยู่ห่างๆ แล้วก็อดตกตะลึงมิได้ “จักรพรรดิเทพหิมะเหินนี่ช่างน่ากลัวนัก กระบวนท่าทางด้านวิญญาณร้ายกาจถึงเพียงนี้เชียวหรือ”

ทั้งสองฝ่ายห้ำหั่นกันอย่างสูสี

เจ้าเมืองหงส์เมฆารวดเร็วยิ่งนัก กระบวนท่าก็งดงาม มือทั้งคู่ของนางประหนึ่งปีกอันพลิ้วไหวและคมกริบหาใดเปรียบ

ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยิ่งพิสดารยากเกินคาดเดา มิติชั้นแล้วชั้นเล่ารอบด้านถูกเขาควบคุมเอาไว้ หอกยาวเล่มหนึ่งสำแดงออกมา มิติก็กดดันลงมาตลอดเวลาราวกับกระดาษแผ่นหนึ่ง ราวกับฟองอากาศที่กลายเป็นกรงขัง! ซ้อนทับกันชั้นแล้วชั้นเล่าอยู่ตลอดเวลา แม้จะใกล้เพียงคืบเดียว แต่กลับประหนึ่งห่างกันราวฟ้ากับเหว ทำให้เจ้าเมืองหงส์เมฆากระทบไม่ถูกตงป๋อเสวี่ยอิงเลย!

พละกำลังของตนสำแดงออกมาผ่านกระบวนท่าอันพิสดารต่างๆ อานุภาพจึงย่อมยิ่งใหญ่กว่ามากทีเดียว

แม้กระบวนท่าของเจ้าเมืองหงส์เมฆาจะงดงามเสียจนน่าตื่นตะลึง แต่กลับยังคงด้อยกว่าอยู่ขุมหนึ่ง เพียงแต่อาศัยที่อานุภาพแข็งแกร่งพอ จึงสามารถต่อสู้ได้อย่างสูสี!

“ระวัง”

“โอ๊ย เกือบไปแล้ว” จักรพรรดิเทพหงส์อัคคีมองดูแล้วก็กังวลเป็นอันมาก “กระบวนท่าของจักรพรรดิเทพหิมะเหินผู้นี้อันตรายเกินไปแล้ว เคราะห์ดีที่ร่างกายของท่านพี่แข็งแกร่งพอ”

******

ศึกครั้งนี้ดำเนินไปกว่าครึ่งชั่วยาม

ในที่สุดทั้งสองก็หยุดมือลง

สำหรับตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว สิ่งที่ได้รับนั้นสามารถมองข้ามไปได้! เพราะเขาเคยประลองกับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์คนอื่นๆ มาแล้ว ส่วนใหญ่ก็ล้วนแต่ไม่ต้องสำแดงกระบวนท่าทางด้านวิญญาณออกมาเพื่อประลอง เมื่อสำแดงกระบวนท่าทางด้านวิญญาณออกมา อีกฝ่ายก็ยอมแพ้ทันที

“นานแล้วที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ” เจ้าเมืองหงส์เมฆามองตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วรำพึงออกมาว่า “วันนี้กลับถูกจักรพรรดิเทพหิมะเหินทำร้ายเสียหลายครั้ง”

“สำหรับท่านเจ้าเมืองแล้ว อาการบาดเจ็บแค่เท่านี้คงสามารถมองข้ามไปได้กระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ เมื่อครู่ที่ได้ประมือกันเขาก็สัมผัสได้แล้วว่า เจ้าเมืองหงส์เมฆาจึงจะเป็นระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์ที่ร่างกายแข็งแกร่งที่สุดที่เขาเคยพบมา ต่อให้เป็นเจ้าเมืองมังกรเหล็ก หากพูดถึงความแข็งแกร่งของร่างกายแล้วก็ด้อยกว่าเจ้าเมืองหงส์เมฆาอยู่ขุมหนึ่ง

“ถูกท่านจักรพรรดิเทพหิมะเหินทำให้บาดเจ็บได้ แสดงว่ากระบวนท่าของข้ายังคงไม่สมบูรณ์แบบพอ” เจ้าเมืองหงส์เมฆาพูดด้วยความยินดี

นางแตกต่างจากผู้เหินทะยาน

ผู้เหินทะยานนั้นรู้แจ้งวิถี

แต่นางขุดค้นพลังสายเลือดของตนเอง หลังจากบรรลุถึงขั้นครบสมบูรณ์แล้ว นางก็เริ่มขัดเกลา ‘กฎเกณฑ์’ ที่แฝงอยู่ในสายเลือด และนำมันมาปรับใช้กับการต่อสู้ นางยังถึงขั้นเคี่ยวกรำบริเวณอันน่าหวาดหวั่นนั่นและท่าไม้ตายมากมายขึ้นมา! เพียงแต่การประมือครั้งนี้ทำให้นางพบข้อบกพร่องของตนเอง จึงย่อมต้องชดเชยข้อบกพร่องนี้

ระหว่างการชดเชยข้อบกพร่อง ก็เป็นการยกระดับด้วยเช่นกัน

“เจ้าเมืองหงส์เมฆา ข้ามีเรื่องหนึ่งที่อยากจะรบกวนให้ท่านเจ้าเมืองช่วยเหลือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย

“อ้อ พูดมาเถิด” เจ้าเมืองหงส์เมฆากล่าว

“ข้าหวังจะให้ ‘อวี้เฟิงชิงอิน’ ศิษย์ข้าคารวะเข้าอยู่ในสำนักของท่าน ท่านสามารถรับนางเป็นศิษย์ได้หรือไม่” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว เดิมทีเขาคิดว่าหลังจากศิษย์สาวบรรลุถึงระดับจักรพรรดิเทพช่วงต้นแล้ว เขาก็จะจากโลกใบนี้ไปเงียบๆ แต่บัดนี้เขามีชื่อเสียงระบือไกล เพื่อป้องกันมิให้ในภายภาคหน้า หลังจากตนจากไปแล้ว มีศัตรูมาลงมือกับศิษย์ตน จึงย่อมต้องเตรียมการเอาไว้ให้ดี

“อวี้เฟิงชิงอินรึ” เจ้าเมืองหงส์เมฆาสะดุ้งก่อนจะมองตงป๋อเสวี่ยอิง “จักรพรรดิเทพหิมะเหิน หรือว่าท่านจะจากโลกเทพแห่งนี้ไปอย่างนั้นหรือ”

“จากไปหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้ง

เจ้าเมืองหงส์เมฆากล่าวว่า “ในประวัติศาสตร์โลกเทพของเรา เคยมีผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์ถือกำเนิดขึ้นมาก่อน แต่เพิ่งจะถือกำเนิดขึ้นมาได้ไม่นานเท่าใดนัก พวกเขาก็อันตรธานไปแล้ว มาถึงระดับนี้ ไม่มีทางตายจากไปเงียบๆ หรอก สามบรรพเทวะคละถิ่นก็ไม่จำเป็นต้องสังหารพวกเขาโดยตรง ข้าเดาว่าพวกเขาคงจะจากโลกใบนี้ไปหมด จักรพรรดิเทพหิมะเหินท่านก็เป็นผู้เหินทะยาน นอกจากนี้เส้นทางวิญญาณยังบรรลุถึงขั้นที่น่าเหลือเชื่ออีกด้วย ข้ารู้สึกว่าท่านเก่งกาจกว่าผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์ก่อนหน้านี้เสียอีก! หากสามบรรพเทวะคละถิ่นพาท่านไปจากโลกใบนี้ ก็เป็นเรื่องปกตินัก”

ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบตกใจ

เขาก็เดาได้แล้ว

จากเบาะแสต่างๆ ก่อนหน้านี้ เขาก็วิเคราะห์ได้ว่า โลกเทพแห่งนี้น่าจะเคยมีผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์ถือกำเนิดขึ้นมาก่อน!

ครั้งนี้มียอดฝีมือมากมายถึงเพียงนั้นมาเยี่ยมเยียนเขา ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เคยได้ติดต่อมาก่อน จึงย่อมรู้ว่า การคาดการณ์ของเขาถูกต้อง ! เนื่องจากผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์เหล่านี้ล้วนแต่เคยต่อกรกับผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์ที่น่าหวาดหวั่นมาก่อนทั้งสิ้น

“จากโลกใบนี้ไปหรือ สามบรรพเทวะคละถิ่นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบหวั่นเกรงขึ้นมา

หากจากโลกใบนี้ไป เขาก็ยอมจากไปเองเสียจะดีกว่า

สามบรรพเทวะคละถิ่นพาตนไปหรือ

หรือว่า สามบรรพเทวะคละถิ่นจะมิได้มีเจตนาร้าย เพียงแค่ช่วยเหลือตนเองเท่านั้น

แต่ก็อาจจะมี ‘เจตนาร้าย’ ได้เช่นกัน เช่นนั้นก็จบเห่แล้ว! เพราะเมื่อเทียบกันแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงเชื่อใจเจ้าเมืองหลัวและเชื่อใจ ‘หยวน’ มากกว่า!

“สามบรรพเทวะคละถิ่นไม่เคยติดต่อกับข้ามาก่อนเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “ทว่าก็ต้องเตรียมตัวไว้ก่อน ศิษย์ของข้า ข้าไม่ค่อยวางใจเท่าใดนัก ดังนั้นจึงหวังว่าเจ้าเมืองหงส์เมฆาจะช่วยเหลือ”

“นี่เป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น” เจ้าเมืองหงส์เมฆาเอ่ย “แต่ปณิธานของข้าไม่อยู่กับเรื่องนี้น่ะสิ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ให้อวี้เฟิงชิงอินคารวะหงส์อัคคีน้องสาวข้าเป็นอาจารย์ดีกว่า น้องสาวข้ามิใช่ชาวโลกเทพ หากแต่เป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิด! แม้พลังที่นางสำแดงออกมาจะเป็นระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์ แต่หากพูดถึงความสามารถในการรักษาชีวิตแล้ว ก็แข็งแกร่งกว่าชาวโลกเทพมากนัก นอกจากนี้นางยังไม่มีทางจากไปไหนด้วย นางจะอยู่ในโลกเทพไปตลอดกาล”

ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยสีหน้ายินดีออกมาทันใด “ดีๆๆ ไม่รู้ว่าจักรพรรดิเทพหงส์อัคคีจะยอมหรือไม้”

…………………

“ที่ท่านจักรพรรดิเทพนางแอ่นเหินพูด เป็นสิ่งที่ข้าคิดจะทำอยู่พอดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย

วิถีอากาศบรรลุถึงขั้นสุดยอด

เมื่อความเร้นลับทางสายอากาศล้วนๆ ก็บรรลุถึงขั้นครบสมบูรณ์แล้ว ถัดขึ้นไปอีก อันที่จริงแล้วก็เป็นการซึมซับความเร้นลับอื่นๆ เข้ามาหลอมรวมกับ ‘วิถีอากาศ’ โดยใช้วิถีอากาศเป็นแกนหลัก เมื่อนำความเร้นลับอื่นๆ มา…ท้ายที่สุดก็สามารถก่อให้เกิด ‘วิถี’ ระดับสูงยิ่งกว่าขึ้นมาได้ อย่าง ‘จักรพรรดิเซี่ย’ แม้จะเชี่ยวชาญทางด้านวิถีอากาศเหมือนกัน แต่ทิศทางที่เขาใฝ่หานั้น กลับเป็นการที่กายหยาบระดับคละถิ่นถือกำเนิดขึ้นในครรภ์มารดาในมิติคละถิ่น ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงกลับเป็นการยึดเอาวิถีอากาศเป็นรากฐาน อาศัยพลังคละถิ่นปรับปรุงกายหยาบให้สมบูรณ์ขึ้นไปทีละขั้นๆ ระหว่างกระบวนการปรับปรุงนั้น ก็เป็นกระบวนการทำให้ ‘วิถี’ สมบูรณ์ขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อกายหยาบบรรลุระดับคละถิ่น ‘วิถี’ ของตนก็จะเป็นระดับคละถิ่นเช่นเดียวกัน!

ที่ตงป๋อเสวี่ยอิงทำเช่นนั้น ข้อแรกก็เพราะเจ็ดกระบวนคละถิ่นนั้นส่งผลกระทบต่อเขา ข้อสอง วิญญาณของเขาแข็งแกร่งพอ สามารถกลับมาหล่อเลี้ยงกายหยาบได้ ทำให้กายหยาบสมบูรณ์ขึ้นบ้างตามธรรมชาติ วิญญาณหล่อเลี้ยงกายหยาบ…จะทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจข้อบกพร่องของตนเอง และมีทิศทางที่ชัดเจนยิ่งขึ้น

“ข้าฝึกฝนทีละก้าวๆ จากโลกที่อ่อนแอมาจนถึงบัดนี้ ในโลกบ้านเกิดที่ข้าถือกำเนิดขึ้นมา ผู้ที่มีพลังระดับเหนือธรรมดาก็หาได้ยากแล้ว ข้าถือเอาฐานะที่ข้าเป็นผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งที่เคยมีในประวัติศาสตร์เหินทะยานขึ้นมา จากโลกระดับต่ำ ทะยานขึ้นมาถึงโลกที่สูงขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง…ทุกครั้งที่เหินทะยานขึ้นมาหนึ่งครั้ง พลังก็สามารถทนรับโลกได้แข็งแกร่งขึ้น” จักรพรรดิเทพนางแอ่นเหินกล่าว “อาจารย์ที่ข้าคารวะมาตลอดทางนั้นมีนับร้อย อาศัยคัมภีร์สำหรับบำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วน ก็ได้คิดค้นคัมภีร์สำหรับบำเพ็ญขึ้นมามากมายเช่นเดียวกัน”

จักรพรรดิเทพนางแอ่นเหินพลิกมือคราหนึ่ง ในมือก็มีตำราโปร่งใสที่เปล่งแสงสีทองระยิบระยับเล่มหนึ่งขึ้นมา “คัมภีร์นางแอ่นแปดสิบกระบวน นี่คือผลสำเร็จทางสายอากาศที่สูงที่สุดตลอดระยะเวลาการบำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนของข้า ข้าพยายามคิดค้นกระบวนที่แปดสิบเอ็ดขึ้นมาโดยตลอด หากสามารถคิดค้นขึ้นมาได้ เกรงว่าคงจะเป็นร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นแล้ว”

เขาพูดพลางส่งตำราอันโปร่งใสเล่มนี้มาให้

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็พลิกมือหยิบคัมภีร์สีเทาหม่นเล่มหนึ่งออกมาเช่นกัน “ฝึกกายคละถิ่น บนเส้นทางการบำเพ็ญของข้าก็ได้ซึมซับภูมิปัญญาของคนรุ่นก่อนมามากมายเช่นกัน และได้คารวะอาจารย์หลายท่าน รับรู้ฟ้าดิน ค้นคว้าสิ่งมีชีวิตคละถิ่น จึงบำเพ็ญมาถึงขั้นเช่นทุกวันนี้ได้ และเป็นเพียงระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายเช่นเดียวกัน”

การฝึกกายคละถิ่นนี้

เดิมทีเป็นเพียงเคล็ดวิชาฝึกกายในปุจฉวิถีคละถิ่นที่จักรพรรดิเซี่ยคิดค้นขึ้นมาเท่านั้น ตอนที่ตงป๋อเสวี่ยอิงได้มาก็มีเพียงสองชั้นแรกเท่านั้น เมื่อบำเพ็ญสำเร็จก็แค่พอจะเทียบได้กับกายหยาบของขั้นสุดยอดทางสายฝึกกายเท่านั้น

ภายหลังตงป๋อเสวี่ยอิงพลังก้าวหน้าขึ้นเป็นอย่างมาก ถึงขั้นเริ่มเหนือกว่าต้นกำเนิดแล้ว! และได้คิดค้นระดับที่สูงขึ้นขึ้นมา จักรพรรดิเซี่ยก็ได้มาติดต่อและรับรู้ไปกับตงป๋อเสวี่ยอิงด้วย แต่ตอนนั้นพวกเขาทั้งสองร่วมแรงกันก็เพียงแค่ทำให้การฝึกกายคละถิ่นนี้บรรลุถึง ‘ระดับอ๋องครบสมบูรณ์’ หรือจ้าวเทพครบสมบูรณ์เท่านั้น ห่างจากระดับจักรพรรดิหรือขั้นจักรพรรดิเทพเทพอยู่อีกก้าวหนึ่ง ตอนนั้นทั้งสองก็ได้แยกทางกันแล้ว

ช่วยไม่ได้ที่พวกเขาเลือกเส้นทางที่แตกต่างกัน

ตงป๋อเสวี่ยอิงบรรลุไปบนเส้นทางสายนี้ก้าวแล้วก้าวเล่า จักรพรรดิเทพช่วงต้น ช่วงกลาง ช่วงท้าย แต่ละก้าวก็ไม่ง่ายเอาเสียเลย เคราะห์ดีที่วิญญาณของเขาเรียกได้ว่าเป็นวิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุดในระดับต่ำกว่าคละถิ่นลงมา! ด้านอื่นๆ เช่นการรับรู้ก็บรรลุถึงขั้นที่น่าเหลือเชื่อ นอกจากนี้วิญญาณยังสามารถกลับมาหล่อเลี้ยงกายหยาบได้ด้วย เส้นทางที่ชี้นำทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงสำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว ถึงขั้นค้นคว้าซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดทางสายอากาศร่างนั้นอยู่สามแสนล้านปี ก็บรรลุถึงระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายแล้ว

ยากเย็นเพียงใดกัน!

“ฟิ้ว” จักรพรรดิเทพนางแอ่นเหินถอนหายใจออกมาเบาๆ คราหนึ่งก่อนจะรับคัมภีร์มา

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รับคัมภีร์มาด้วยท่าทางนอบน้อมเช่นกัน

นี่คือการตกผลึกปัญญาของพวกเขา! เนื่องจากตนบำเพ็ญอย่างยาลำบาก ทำให้พวกเขาเตารพอีกฝ่ายมากยิ่งขึ้น

“คัมภีร์นางแอ่นแปดสิบกระบวน…” หลังจากตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูแล้วก็ดำดิ่งลงไป

คัมภีร์นางแอ่นแปดสิบกระบวนเริ่มต้นจากกระบวนท่าแรกที่อ่อนแอเป็นอย่างมาก ตงป๋อเสวี่ยอิงคาดว่ากระบวนท่าแรกเป็นเพียงแค่ระดับ ‘ผู้ปกครองเทพแท้’ เท่านั้น นอกจากนี้ยังเป็นกระบวนท่าทางด้านการต่อสู้ มิใช่ฝึกกายอีกด้วย

กระบวนท่าที่หนึ่ง กระบวนท่าที่สอง กระบวนท่าที่สาม…

เติบโตไปอย่างไม่หยุดหย่อน

จะเห็นได้ถึงกระบวนการก้าวหน้าของจักรพรรดิเทพนางแอ่นเหิน กระบวนท่าการต่อสู้ซึ่งเดิมทีก็ยอดเยี่ยมอยู่แล้ววิชานี้ ยิ่งนานไป ท่าไม้ตายการต่อสู้กลับเริ่มหันหลับมาหล่อเลี้ยงและปรับปรุงกายหยาบ ทำให้กายหยาบเหมาะแก่การต่อสู้มากยิ่งขึ้น! ระหว่างนี้ กายหยาบแข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง และปรับปรุงให้สอดคล้องกับวิธีการต่อสู้ใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า

“เปลี่ยนแปลงกายหยาบจากมุมที่สอดคล้องกับการต่อสู้”

“ใช้การต่อสู้มาเป็นการบำเพ็ญ”

ทิศทางนี้มิอาจพูดได้ว่าสูงส่งกว่าคัมภีร์ฟ้าดิน คัมภีร์ไร้ขอบเขตและคัมภีร์แมลงมารห้วงอากาศ เส้นทางไม่มีการแบ่งสูงต่ำ แต่กลับมีการแบ่งสั้นและยาว! เห็นได้ชัดว่าบนเส้นทางของจักรพรรดิเทพนางแอ่นเหิน เขาเดินมาถึงขั้นจักรพรรดิเทพช่วงท้ายได้ อย่างน้อยในโลกเทพแห่งนี้ ผู้เหินทะยานทางสายอากาศคนอื่นๆ ก็เดินมาไม่ได้ไกลเท่าจักรพรรดิเทพนางแอ่นเหิน ไม่นับตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งเป็นผู้มาเยือนมาจากโลกใบอื่นนั้น

“ใช้พลังคละถิ่นบำเพ็ญ” จักรพรรดิเทพนางแอ่นเหินมองตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยความเคารพเทิดทูนเป็นอย่างมาก “นับถือๆ จักรพรรดิเทพหิมะเหินนึกถึงการนำพละกำลังของ ‘หยกแก้วคละถิ่น’ มาบำเพ็ญ ตอนที่พลังอ่อนแอ สำหรับข้าแล้วหยกแก้วคละถิ่นก้อนหนึ่งช่างล้ำค่าหาใดเปรียบ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวเราะโดยไม่อธิบายอะไร

ในโลกกำเนิด หากทุบผนังเยื่อให้แตกออกก็จะมีพลังคละถิ่นแผ่กำจายเข้ามา

แต่ในโลกใบนี้…คิดจะได้พลังคละถิ่นมานั้นกลับยากพอสมควร อย่างแรกคือหยกแก้วคละถิ่นนั้นเป็นผลึกที่เกิดจากพลังคละถิ่นอันบริสุทธิ์อย่างยิ่งรวมตัวกัน อย่างที่สองคือในโลกเทพมีสถานที่พิเศษบางแห่งที่มีพลังคละถิ่นซ่อนอยู่! หลักๆ แล้วก็มีสองวิธีนี้ แน่นอนว่าก็มีสมบัติล้ำค่าบางอย่างที่มีพลังคละถิ่นแฝงอยู่และสามารถนำมาใช้ได้เช่นกัน

ช่วงแรกที่ตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึงโลกใบนี้ แม้ร่างกายจะไม่เสถียรเพราะถูกกฎเกณฑ์กดดัน แต่พลังคละถิ่นที่แฝงอยู่ในกายก็ยังคงยิ่งใหญ่ รอจนฝึกศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาได้สำเร็จ เดิมทีเขาคิดจะไปดูดซับพลังคละถิ่นตามสถานที่พิเศษต่างๆ แต่ต่อมาก็พบว่า ‘พลังคละถิ่น’ที่แฝงอยู่ในหยกแก้วคละถิ่นก้อนหนึ่งนั้นยิ่งใหญ่หาใดเปรียบ นอกจากนี้ยังนุ่มนวลกับร่างกายเป็นอย่างมากอีกด้วย จึงได้ใช้หยกแก้วคละถิ่นบำเพ็ญมาตลอด

“พวกเราประลองกันสักยกดีหรือไม่” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ

“ดี” จักรพรรดิเทพนางแอ่นเหินพยักหน้าด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย

การต่อสู้ก็เป็นการฝึกฝนวิถีอากาศอย่างหนึ่ง

……

ในเมืองจวิ้นซาน

ภายในหอสุราแห่งหนึ่ง มีสตรีสองนางนั่งอยู่ตรงข้ามกัน

“พี่สาว พวกเรารออยู่ตรงนี้มาสามวันแล้วนะ” จักรพรรดิเทพหงส์อัคคีพูดอย่างไม่พอใจอยู่บ้าง

“อย่าร้อนใจไป รอให้จักรพรรดิเทพคนอื่นๆ จากไปก่อน พวกเราค่อยไป” เจ้าเมืองหงส์เมฆนั่งอ้อยอิ่งอยู่ตรงนั้น นางย่อมมาพบตงป๋อเสวี่ยอิงเช่นเดียวกัน แต่ด้วยนิสัยของนาง ก็ย่อมคร้านที่จะไปพบยอดฝีมือระดับจักรพรรดิเทพคนอื่นๆ ยอดฝีมือระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์มากมายถึงเพียงนั้นไปเยี่ยมเยียนตงป๋อเสวี่ยอิง…เจ้าเมืองหงส์เมฆายอมรอคอยให้ถึงท้ายที่สุดเสียก่อนค่อยไปพบ

“รอมาตั้งนานแสนนานแล้ว แค่ไม่กี่วันนี้ไม่ต้องร้อนใจไปหรอก” เจ้าเมืองหงส์เมฆาเผยรอยยิ้มออกมา “คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าผู้ที่ลงมือกับหลานชายข้าในตอนนั้น จะเป็นจักรพรรดิเทพหิมะเหินไปได้ นอกจากนี้ยังร้ายกาจถึงเพียงนี้อีกด้วย มียอดฝีมือเช่นนี้ได้ ช่างเป็นเรื่องโชคดีจริงๆ”

เจ้าเมืองหงส์เมฆาเบิกบานใจมากอย่างแท้จริง

นางไร้ศัตรูในโลกเทพแห่งนี้มาตั้งนานแล้ว! พลังของนางสูงกว่าอันดับสองของรายนามจักรพรรดิเทพอยู่ขุมใหญ่

บัดนี้ ผู้แกร่งกล้าที่มีพลังรบระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์ในโลกเทพนั้นแบ่งออกเป็นสองประเภทด้วยกัน ประเภทแรกก็คือเจ้าเมืองหงส์เมฆา ส่วนอีกประเภทคือผู้ที่มีพลังรบระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์คนอื่นๆ แตกต่างจากตงป๋อเสวี่ยอิงที่อาศัยกระบวนท่าทางด้านวิญญาณทำให้พลังของเหล่าจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์เสียหายเป็นอย่างมาก! เจ้าเมืองหงส์เมฆานั้นต่อกรซึ่งหน้า ระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์เหล่านั้น ต่อให้สามารถสำแดงพลังออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ เจ้าเมืองหงส์เมฆาก็สามารถกดดันพวกเขาได้อย่างสุดกำลังเช่นเดียวกัน ผู้ที่มีการรักษาชีวิตที่อ่อนแอในจำนวนนั้น ก็อาจจะต้องตายตกไป!

“เคยมีผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์ปรากฏขึ้น” เจ้าเมืองหงส์เมฆาเอ่ย “ต่อมาก็สูญหายไปหมดแล้ว! ข้าเดาว่าคงจะจากโลกใบนี้ไป จะทำถึงขั้นนี้ได้ เกรงว่าคงจะต้องเกี่ยวข้องกับบรรพเทวะคละถิ่นทั้งสามเป็นแน่”

“แต่ว่า…ข้ากลับมิอาจจากไปได้มาตลอด”

เจ้าเมืองหงส์เมฆาหัวเราะเยาะเสียงเบา “เพราะรังเกียจที่ข้าอ่อนแออย่างนั้นหรือ”

จักรพรรดิเทพหงส์อัคคีที่อยู่อีกข้างหนึ่งเงียบงันไป

นางก็เข้าใจดีว่า พี่สาวของนางหาใดเปรียบในโลกเทพ เงียบเหงาหาใดเปรียบ! นางใฝ่หาการตื่นรู้ขั้นสุดยอด สำเร็จระดับคละถิ่น แต่กลับทำไม่สำเร็จมาตลอด

“จักรพรรดิเทพนางแอ่นเหินไปแล้ว” เจ้าเมืองหงส์เมฆายืดกายขึ้น “ไป ไปพบจักรพรรดิเทพหิมะเหินผู้นี้เสียหน่อย”

“ในที่สุดก็ได้พบแล้ว จักรพรรดิเทพนางแอ่นเหินผู้นี้ถ่วงเวลามานานถึงเพียงนี้ ข้ารอจนร้อนรนไปหมดแล้ว” จักรพรรดิเทพหงส์อัคคีผุดลุกขึ้น

“บำเพ็ญจิต!” เจ้าเมืองหงส์เมฆาส่ายหน้าเบาๆ อย่างจนใจ

“สิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดอย่างข้าคนหนึ่งยังต้องบำเพ็ญจิตอีกหรือ” จักรพรรดิเทพหงส์อัคคีแค่นเสียงเบาๆ สิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิด ต่อให้ธรรมดาสามัญที่สุด เกิดมาก็เป็นระดับจักรพรรดิหรือจักรพรรดิเทพแล้ว นางรู้จักกับเจ้าเมืองหงส์เมฆา ด้วยความช่วยเหลือของเจ้าเมืองหงส์เมฆา ก็ค่อยๆ รับรู้พลังของตนเอง และสำแดงพละกำลังของตนออกมา บัดนี้ก็เป็นระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์แล้ว

……

ตงป๋อเสวี่ยอิงเพิ่งจะส่งจักรพรรดิเทพนางแอ่นเหินไป เพิ่งจะนั่งลงเพื่อไตร่ตรองภาพการประมือกับจักรพรรดิเทพนางแอ่นเหินเมื่อครู่เสียหน่อย จู่ๆ เขาก็สัมผัสได้ว่ามีกลิ่นอายสองสายมาเยือน

“มีแขกมาเยือน” ตงป๋อเสวี่ยอิงผุดลุกขึ้น

“มีแขกอีกแล้วหรือนี่” อวี้เฟิงชิงอินที่รินสุราให้ท่านอาจารย์งุนงงไปหมด นางหยิบไหสุราแล้วหันไปมอง กลางอากาศมีเงาร่างสองสายกำลังร่อนลงมา สตรีอาภรณ์ขาวคนหนึ่ง สตรีอาภรณ์สีแดงคนหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าทั้งสองคนนี้มิได้เก็บซ่อนตัวตน พวกนางต่างก็เผยโฉมที่แท้จริงออกมา

อวี้เฟิงชิงอินมองปราดเดียวก็จำทั้งสองคนได้ นางอดตกใจมิได้ “เจ้าเมืองหงส์เมฆากับจักรพรรดิเทพหงส์อัคคีหรือนี่”

เจ้าเมืองหงส์เมฆา…อันดับหนึ่งของรายนามจักรพรรดิเทพ!

“จักรพรรดิเทพหิมะเหิน ออกไปเดินเล่นเสียหน่อยดีไหม” เจ้าเมืองหงส์เมฆาพูดยิ้มๆ

“ยินดีจนถึงที่สุดเลยขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ เขาก็เข้าใจว่าเจ้าเมืองหงส์เมฆามาด้วยเหตุใด เขาหันไปมองศิษย์สาวที่อยู่ข้างกายแวบหนึ่ง “ชิงอิน อีกประเดี๋ยวข้าค่อยกลับมานะ”

จากนั้นเขาก็จากไปพร้อมกับเจ้าเมืองหงส์เมฆาและจักรพรรดิเทพหงส์อัคคี

อวี้เฟิงชิงอินเงยหน้ามองทั้งหมดนี้

“ท่านอาจารย์…” อวี้เฟิงชิงอินพึมพำเสียงต่ำ

สามวันมานี้ นางได้พบกับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์มากมายด้วยคำสั่งของท่านอาจารย์

แต่อวี้เฟิงชิงอินกลับรู้สึกได้รางๆ ว่า…ความแตกต่างระหว่างตนกับท่านอาจารย์นั้นมากมายเหลือเกิน! อวี้เฟิงชิงอินถึงขั้นรู้สึกว่าไม่จริง ราวกับทั้งหมดเป็นเพียงความฝันอย่างไรอย่างนั้น

“เป็นเรื่องจริงสิ เขาเป็นอาจารย์ของข้า” อวี้เฟิงชิงอินพูดกับตนเองเบาๆ

………………………

ในโลกใบเล็กจิ๋วขนาดเพียงไม่กี่หมื่นลี้ รูปสลักสตรีขนาดมหึมาสูงพันเมตรตั้งตระหง่านอยู่ข้างภูเขาแห่งหนึ่ง ภูเขาสูงด้านข้างยังดูเตี้ยกว่ารูปสลักของสตรีผู้นี้อยู่เล็กน้อย

สิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอในโลกใบนี้พากันคารวะอย่างเทิดทูนสุดหัวใจ

“เจ้าแม่จิตฟ้า”

“เจ้าแม่จิตฟ้า”

ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนพากันคารวะ

เพราะถึงอย่างไรสำหรับโลกใบเล็กอ่อนแอเช่นนี้ แม้แต่เหนือธรรมดาก็ยังมีน้อยเสียจนยกนิ้วนับได้ รูปสลักสูงพันเมตรช่างน่ามหัศจรรย์อย่างแท้จริง

ทันใดนั้น…

รูปสลักสตรีขนาดมหึมาพลันลืมตาขึ้น นัยน์ตาฉายแววตกตะลึง

“สวบ” เงาร่างอันเลือนรางสายหนึ่งทะยานออกมาจากรูปสลักขนาดมหึมานี้ก่อนจะร่อนลงบนเกาะข้างทะเลไกลออกไป เป็นสตรีรูปโฉมงดงามในอาภรณ์สีขาวนวลดุจแสงจันทร์ รูปโฉมของนางเป็นตัวแทนของการเปลี่ยนแปรกฎเกณฑ์ระดับคละถิ่น หากสิ่งมีชีวิตปกติทั่วไปเห็นเข้าก็ต้องโค้งคารวะอย่างมิอาจควบคุมได้

แต่ในยามนี้เอง เงาร่างอีกสองสายก็ร่อนลงมาเช่นเดียวกัน เป็นบุรุษสองคน คนหนึ่งเปล่งแสงเรืองรองออกมาจากทั่วร่าง ส่วนอีกคนหนึ่งก็มีดวงดารารายล้อมนับแสนล้านดวง

“จิตฟ้า”

“น้องหญิงจิตฟ้า” พวกเขาทั้งสองคุ้นเคยกันดีนัก

พวกเขาสามคนก็คือสามบรรพเทวะคละถิ่น

เจ้าแม่จิตฟ้านั่งลงไปพลางสะบัดแขนเสื้อเบาๆ ด้านข้างก็มีศิลาก้อนใหญ่ปรากฏขึ้นมาสองก้อน จากนั้นบรรพเทวะทิพย์ทองและบรรพเทวะดาวเหนือก็นั่งลงไป

“พวกเจ้าสองคนก็ได้ข่าวแล้วเหมือนกันหรือ” เจ้าแม่จิตฟ้าพูดยิ้มๆ

“ขอรับ ได้ยินมาว่าเป็นผู้เหินทะยานคนหนึ่ง” บรรพเทวะทิพย์ทองเอ่ย “กระบวนท่าทางด้านวิญญาณแข็งแกร่งเสียจนทำให้ระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์ต้องแบ่งสมาธิแปดเก้าส่วนไปต้านทาน! กระบวนท่าทางด้านวิญญาณเช่นนี้ ช่างน่าเหลือเชื่อนัก ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเสียด้วยซ้ำ”

“ข้าก็ไม่เคยได้ยินเช่นกัน” บรรพเทวะดาวเหนือส่ายหน้า “ตอนที่ติดต่อกับผู้แกร่งกล้าคละถิ่นคนอื่นก็ไม่เคยได้ยินเช่นกัน”

“ถูกต้อง” เจ้าแม่จิตฟ้าพยักหน้าเบาๆ “พวกเราสำเร็จขั้นคละถิ่นมาจนบัดนี้ ตลอดคืนวันอันยาวนานก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย แม้ในบรรดาผู้แกร่งกล้าคละถิ่น สถานะของพวกเราจะธรรมดาสามัญ แต่ก็เคยพบปะกับผู้แกร่งกล้าคละถิ่นมาหลายคน ถึงขั้นโชคดีเคยได้คารวะท่านเจ้าดินแดนผู้ยิ่งใหญ่ด้วย! ตามหลักแล้วก็กล่าวได้ว่าข่าวสารค่อนข้างจะฉับไว แต่พวกเราก็ไม่เคยได้ยินเสียด้วยซ้ำ ก็หมายความว่า ผู้ที่มีกระบวนท่าทางด้านวิญญาณที่แข็งแกร่งเช่นนี้…มีจำนวนน้อยจนหาตัวจับยาก เกรงว่าคงจะมีจำนวนน้อยกว่าผู้แกร่งกล้าคละถิ่นเสียอีก!”

บรรพเทวะดาวเหนือและบรรพเทวะทิพย์ทองก็พยักหน้า นัยน์ตาเป็นประกายขึ้นมา

สิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับต่ำสุดเหล่านั้นไม่ถูกนับรวมด้วย เพราะถึงอย่างไรสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นก็มีปัญญาธรรมดาทั่วไป จนไม่มีทางสำแดงพลังที่แท้จริงของตนออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ พลังอ่อนแอจนเอาชนะพวกร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นทั้งหลายมิได้เสียด้วยซ้ำ! ผู้ที่สามารถฝึกฝนจนสำเร็จเป็นร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นได้นั้นล้วนแต่สามารถสำแดงพละกำลังของกายหยาบออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบทั้งสิ้น เช่นผู้เหินทะยานบางคนก็ยิ่งสำแดงพละกำลังได้พิสดารยิ่งกว่า จนสังหารพวกสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่อ่อนแอได้อย่างง่ายดาย

อันที่จริงจำนวนผู้แกร่งกล้าคละถิ่นนั้นมีน้อยนัก!

ไม่ต้องพูดถึงพวกผู้ปกครองโลกกำเนิดซึ่งหาตัวจับได้ยากยิ่งกว่าเลย

ต่อให้เป็นผู้ที่สามารถตื่นรู้ขั้นสุดยอดได้สำเร็จ…ก็น้อยเสียจนน่าสงสาร!

“ก่อนหน้านี้พวกเราก็เคยได้อุทิศผู้เหินทะยาน ‘ร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่น’ ไปแล้ว” เจ้าแม่จิตฟ้าเอ่ย “แม้เจ้าดินแดนผู้ยิ่งใหญ่จะส่งเทวทูตมารับไว้ แต่ก็คงไม่เคยใส่ใจอะไรนักมาก่อน”

“อื้ม ต่อให้ผู้เหินทะยานเหล่านั้นบรรลุร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่น คิดจะบรรลุและสำเร็จขั้นคละถิ่นก็ยังมีโอกาสต่ำมากอยู่ดี เจ้าดินแดนผู้ยิ่งใหญ่ไหนเลยจะมาแยแส” บรรพเทวะทิพย์ทองซึ่งอยู่อีกข้างหนึ่งพูดขึ้น “ได้ยินมาว่าเป็นเพราะเจ้าดินแดนผู้ยิ่งใหญ่ที่เก่าแก่ที่สุดอย่าง ‘หยวน’ ต้องการบ่มเพาะผู้ที่อ่อนแออย่างสุดกำลัง บรรดาเจ้าดินแดนคนอื่นๆ จึงได้ยอมบ่มเพาะ”

บรรพเทวะดาวเหนือเอ่ยว่า “ครั้งนี้ในโลกของพวกเรา โลกของพวกเรามีผู้ที่ทางด้านเส้นทางวิญญาณน่าหวาดหวั่นเช่นนี้ปรากฏขึ้นมา หากเจ้าดินแดนผู้ยิ่งใหญ่ล่วงรู้เข้า คงจะชื่นชมยินดีไปด้วย”

“หากเจ้าดินแดนผู้ยิ่งใหญ่เบิกบานใจขึ้นมา บางทีพวกเราอาจจะไม่ต้องประจำการอยู่ที่ชุมชนโลกอสนีบาตนี่ตลอดไปก็เป็นได้” เจ้าแม่จิตฟ้าเอ่ย

“หากก้าวไปอีกขั้นหนึ่ง บรรลุถึงขั้นโลกา พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้แล้ว” บรรพเทวะดาวเหนือไม่ยอมจำนนใจเป็นอย่างมาก

ช่วยไม่ได้

แม้พวกเขาจะกระโดดออกจากกรงขังและเป็นผู้แกร่งกล้าคละถิ่น

แต่พวกเขาทั้งสามต่างก็ ‘ตื่นรู้ขั้นสุดยอด’ ได้สำเร็จในเส้นทางที่ง่ายดายที่สุดด้วยกันทั้งสิ้น! เมื่อสำเร็จการตื่นรู้ขั้นสุดยอด พวกเขาก็กลายเป็น ‘สิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับสูง’ พลังแข็งแกร่งกว่าสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดธรรมดาทั่วไปที่พลังอ่อนแอเหล่านั้นมากมายยิ่งนัก สามารถบดขยี้ร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นให้ตายได้ตลอดเวลา แต่ว่าในบรรดาผู้แกร่งกล้าคละถิ่น ‘สิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับสูง’ นั้นจัดเป็นระดับต่ำสุด เนื่องจากนี่คือวิธีบรรลุที่ง่ายดายที่สุด

หากมี ‘สายเลือดคละถิ่น’ เมื่อเทียบกันแล้วก็ถือว่าบำเพ็ญง่าย จึงทำให้ท่ามกลางมิติคละถิ่นอันกว้างใหญ่ไพศาลมีระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์และระดับยอดเคารพจำนวนมากมาย

และยังมีผู้ที่ตื่นรู้ขั้นสุดยอดได้สำเร็จ!

ผู้ที่สามารถปกครองโลกกำเนิดแห่งหนึ่งได้เหล่านั้น จึงจะเรียกได้ว่าร้ายกาจ! ยังแข็งแกร่งกว่าผู้ตื่นรู้ขั้นสุดยอดอย่างพวกเขาอยู่ระดับหนึ่ง ผู้ที่ปกครองโลกกำเนิดก็ถูกเรียกว่าเป็น ‘สิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับโลกา’ นับได้ว่าเป็นผู้แกร่งกล้าระดับยอดของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นแล้ว หากอยู่ในโลกกำเนิดของตน ก็ยิ่งเรียกได้ว่าไร้ศัตรู

“มีแต่ผู้ที่บรรลุวิถีเหล่านั้นที่กระโดดออกจากกรงขังและสำเร็จขั้นคละถิ่น จึงมีโอกาสปกครองโลกกำเนิดแห่งหนึ่งได้” บรรพเทวะทิพย์ทองพูดพลางส่ายหน้า “มีเพียงระดับนั้นเท่านั้นจึงทำให้เจ้าดินแดนผู้ยิ่งใหญ่มองด้วยสายตาอีกแบบหนึ่งได้ ส่วนพวกเราน่ะหรือ เฮอะๆ…”

“อย่าเพิ่งถอดใจ” เจ้าแม่จิตฟ้ากล่าว “พวกเราตื่นรู้ขั้นสุดยอด คืนสู่บรรพชน จึงสามารถขุดค้นพลังสายเลือดของตนได้อย่างต่อเนื่อง”

“หากเจ้าดินแดนผู้ยิ่งใหญ่ยินดีช่วยเหลือพวกเรา พวกเราก็ยังมีความหวังอยู่หลายส่วน” บรรพเทวะทิพย์ทองพูดพลางส่ายหน้า “จิตฟ้า เจ้ามีพลังแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาพวกเราทั้งสามคน บัดนี้ห่างจากการบรรลุอีกเพียงเส้นบางๆ เท่านั้น ครั้งนี้อุทิศผู้เหินทะยานนามจักรพรรดิเทพหิมะเหินไป หากเจ้าดินแดนผู้ยิ่งใหญ่มอบรางวัลให้ เจ้า จิตฟ้าอาจจะมีหวังบรรลุก็เป็นได้ ถึงตอนนั้นข้าและดาวเหนือก็ต้องอาศัยเจ้าแล้ว”

“พี่ชายทั้งสอง การบรรลุนี้ยากเย็นเพียงใดกัน” เจ้าแม่จิตฟ้าเอ่ยเช่นนี้ นัยน์ตากลับฉายแววรอคอย

“พี่ชายทั้งสอง เช่นนั้นข้าก็จะรายงานตรงขึ้นไปยังจ้าดินแดนผู้ยิ่งใหญ่แล้ว” เจ้าแม่จิตฟ้ากวาดตามองบรรพเทวะทิพย์ทองและบรรพเทวะดาวเหนือที่อยู่ด้านข้าง

“ดี” บรรพเทวะทิพย์ทองและบรรพเทวะดาวเหนือต่างก็พยักหน้า ทั้งยังตื่นเต้นขึ้นมาอีกด้วย

เนื่องจากหากพวกเขาไม่มีเรื่องสำคัญพอ ก็คงไม่กล้าไปรบกวนเจ้าดินแดนผู้ยิ่งใหญ่

******

ขณะที่บรรพเทวะคละถิ่นทั้งสามกำลังติดต่อกับเจ้าดินแดนผู้ยิ่งใหญ่

ในโลกเทพแห่งนั้น

ในจวนหิมะเหิน เมืองจวิ้นซาน

ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังพบผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพคนหนึ่งเพียงลำพัง

“จักรพรรดิเทพนางแอ่นเหิน” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มพลาง หยิบจอกสุราขึ้นมา “ข้าเคยได้ยินชื่อเสียงอันเกรียงไกรของจักรพรรดิเทพ และอยากพบมาตั้งนานแล้ว คิดไม่ถึงว่าเมื่อเกิดเรื่องระดับนี้ขึ้นมา จะทำให้จักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์ทั้งสามท่านนั้นมาล้อมโจมตีข้า แต่ทว่าก็ทำให้ข้าได้พบกับท่านจักรพรรดิเทพก่อนเวลา”

“ลำพังแค่ทางสายอากาศของจักรพรรดิเทพหิมะเหิน พลังก็ไม่แพ้ข้าแล้ว ถึงขั้นเข้าถึงการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นเช่นเดียวกับข้าเสียด้วยซ้ำ” จักรพรรดิเทพนางแอ่นเหินพูดยิ้มๆ “นอกจากนี้ยังมีกระบวนท่าทางด้านวิญญาณที่ร้ายกาจยิ่งกว่าอีกด้วย เกรงว่าในโลกเทพแห่งนี้ ในรายนามจักรพรรดิเทพ ก็มีเพียงเจ้าเมืองหงส์เมฆาเท่านั้นที่สามารถฟาดฟันกับจักรพรรดิเทพหิมะเหินได้”

ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม

คนตรงหน้าผู้นี้ก็คือผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายทางสายอากาศที่มีอยู่เพียงคนเดียวก่อนหน้านี้นั่นเอง!

“ข้าบรรลุระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้าย คิดจะก้าวหน้าไปอีกก็ยากเสียยิ่งกว่ายาก” จักรพรรดิเทพนางแอ่นเหินทอดถอนใจ “พวกเราไม่เหมือนกับชาวโลกเทพพวกนั้น ชาวโลกเทพพวกนั้นมีสายเลือดคละถิ่นโดยกำเนิด เกิดมาแล้วก็ไม่ตาย แม้แต่เด็กน้อยชาวโลกเทพไม่ว่าคนไหน เมื่อไปยังโลกล่างสักแห่งก็ล้วนแต่เป็นอ๋องเป็นผู้ทรงอำนาจได้อย่างง่ายดาย แม้พวกเราจะถึงระดับจักรพรรดิเทพแล้ว แต่ละก้าวที่จะยกระดับขึ้นไปนั้นก็ยากลำบากหาใดเปรียบ พวกเขาชาวโลกเทพกลับมีระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์เป็นกอง”

ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าเห็นด้วย

หากไม่มีพลังสายเลือด อาศัยตนเองยกระดับขึ้นไป ก็ยากเกินไปแล้ว

การบรรลุขั้นสุดยอดนั้น หากนับตามพลังรบก็เป็นเพียงแค่ระดับอ๋องหรือระดับจ้าวเทพเท่านั้น! โลกใบนี้มีสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดมากมาย สามารถทำให้ผู้เหินทะยานเหล่านี้เคี่ยวกรำและบรรลุได้ จึงจะพอมีหวังทำให้ พลังรบบรรลุถึงระดับจักรพรรดิเทพสำเร็จต่อไปได้…แต่จะสำเร็จเป็นร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นก็ยากเกินไปแล้ว!

เพราะว่า

ขอเพียงขุดค้นพลังสายเลือดออกมาจนหมด ขุดค้นจนถึงระดับครบสมบูรณ์ขั้นสุด ก็จะเป็นระดับ ‘จักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์’ แล้ว

แต่ผู้เหินทะยานและพวกตงป๋อเสวี่ยอิงนี้ กลับจัดเป็นพวกที่คิดค้นขึ้นมาด้วยตนเองจากความว่างเปล่า พวกเขาต้องคิดค้นร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นขึ้นมา เนื่องจากยากยิ่งนัก แต่ละก้าวของพวกเขาจึงมั่นคงเป็นอย่างมาก จึงสามารถต่อสู้ข้ามขั้นได้ แต่ต่อให้บรรลุ ‘ร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่น’ แล้ว พวกที่มีสายเลือดคละถิ่นเหล่านั้น ต่อไปเป็น ‘ตื่นรู้ขั้นสุดยอด’ ก็ได้แล้ว

ส่วนผู้เหินทะยานและพวกตงป๋อเสวี่ยอิง หลังจากสำเร็จเป็นร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นแล้ว จะก้าวไปอีกสักก้าวกลับยากยิ่งกว่า เพราะก้าวถัดไปอีกก้าวหนึ่งก็คือรู้แจ้ง ‘วิถี’ ระดับคละถิ่นแล้ว! อาศัยตนเองไปรับรู้ แล้วบรรลุถึงระดับคละถิ่น นี่ก็คือ ‘ใช้พลังทำลายกฎ’

พวกผู้ที่ใช้วิธีการต่างๆ อย่างการเผยแพร่ลัทธิและหลอมแปรต้นกำเนิดเพื่อควบคุมต้นกำเนิดของโลกกำเนิด แล้วอาศัยสิ่งนี้สำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่น เป็นผู้ปกครองโลกกำเนิดแห่งหนึ่ง นับว่าแข็งแกร่งมาก

แต่การอาศัยตนเองบรรลุไปทีละก้าวๆ ไปจนถึงสำเร็จระดับคละถิ่นนั้น ก็ยิ่งยอดเยี่ยมเข้าไปใหญ่!

นี่คือเส้นทางที่แทบจะเป็นไปไม่ได้

มีหลายคนที่หลังจากบรรลุ ‘ร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่น’ แล้ว กลับเริ่มคิดหาวิธีหลอมแปรต้นกำเนิดของโลกกำเนิดสักแห่งขึ้นมาเพื่อปกครองโลกกำเนิดแล้วสำเร็จเป็นระดับคละถิ่น ช่วยไม่ได้ ใช้พลังทำลายกฎนั้นยากกว่าเป็นสิบเท่า ทำได้เพียงเลือกเส้นทางที่รองลงมาระดับหนึ่งเท่านั้น!

“เส้นทางยากเกินไปแล้ว ใต้โลกอสนีบาตมีโลกจำนวนนับไม่ถ้วน ผู้เหินทะยานแต่ละยุคมีมากมายยิ่งนัก ก่อนที่ท่าน จักรพรรดิเทพหิมะเหินจะปรากฏขึ้นมา ข้าก็เป็นขั้นสุดทางสายอากาศของโลกจำนวนนับไม่ถ้วนมานานแสนนานแล้ว” จักรพรรดิเทพนางแอ่นเหินส่ายหน้าพลางพูดอย่างขมขื่น “แต่ก็เป็นเพียงจักรพรรดิเทพช่วงท้ายเท่านั้น จะสำเร็จเป็นร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นก็ยังคงห่างไกลไร้ความหวัง ที่ข้ามาที่นี่ในวันนี้ ก็ด้วยหวังว่าจะแลกเปลี่ยนคัมภีร์สำหรับบำเพ็ญกับพี่หิมะเหินได้ ข้ารู้ว่าท่านคงจะเดินในเส้นทางที่แตกต่างกัน แต่ก็คงจะสามารถแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันได้ เช่นนี้ก็จะมีส่วนช่วยในการบรรลุร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นของข้าและท่าน”

…………………

ณ จวนหิมะเหิน เมืองจวิ้นซาน

ประมุขพรรคเงามารและเจ้าเมืองอูเจ๋อมิได้รีบร้อนจากไป หากแต่ตระเตรียมงานเลี้ยงที่ฟู่ฟ่ามากโดยผ่านหอจิตฟ้า และเชื้อเชิญตงป๋อเสวี่ยอิงมา!

“เป็นเพราะเป่ยเหอผู้นั้นทั้งสิ้นที่ล่อลวงพวกข้ามาจัดการจักรพรรดิเทพหิมะเหิน” ประมุขพรรคเงามารนั่งอยู่ตรงนั้น เขาพูดด้วยความขุ่นเคืองว่า “หากข้าและคนอื่นๆ รู้ว่าพี่หิมะเหินมีพลังเช่นนี้ พวกเราไม่มีทางมาแน่”

“ใช่แล้ว เขาหนีไปได้รวดเร็วนัก! ทั้งยังมิอาจสะกดรอยได้ด้วย เฮอะ หากเป่ยเหอผู้นี้แน่จริงก็ต้องหลบซ่อนไปให้ได้ตลอด หากเขากล้าโผล่หัวออกมาเมื่อไหร่ ข้าจะต้องไม่ปล่อยเขาเอาไว้แน่” เจ้าเมืองอูเจ๋อก็กัดฟันแน่น

“ถูกต้อง! จะละเว้นเขามิได้” ประมุขพรรคเงามารขบกรามกรอด

พวกเขาสองคนโกรธเสียจนคันยุบยิบไปหมด

ก่อนที่เขาจะมา พวกเขาไม่รู้เลยว่าจักรพรรดิเทพหิมะเหินเชี่ยวชาญกระบวนท่าทางด้านวิญญาณ! หากล่วงรู้ว่ากระบวนท่าทางด้านวิญญาณแข็งแกร่งเสียจนน่ากลัวเช่นนี้ เกรงว่าพวกเขาก็คงจะไม่มาแล้ว เนื่องจากทุกคนที่เหยียบย่างลงบนเส้นทางการบำเพ็ญล้วนแต่เข้าใจว่า…วิญญาณจึงจะเป็นแก่นแท้! หากกระบวนท่าทางด้านวิญญาณเป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงต่อ ‘ระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์’ แล้ว เช่นนั้นผลสำเร็จทางด้านวิญญาณก็ต้องเลิศล้ำที่สุดในโลกเทพเป็นแน่

บุคคลพรรค์นี้ ไหนเลยจะเป็นศัตรูด้วยได้ง่ายๆ

เพียงแต่ว่า จักรพรรดิเป่ยเหอก็รู้ในข้อนี้ดี ดังนั้นจึงได้จงใจปิดบัง! ขอแค่จักรพรรดิเป่ยเหอไม่พูด พวกประมุขพรรคเงามารทั้งสองคนก็คงคิดไม่ถึงว่าจะมีผู้ที่ด้านวิญญาณไร้เทียมทานถึงเพียงนี้ พวกเขาทั้งสองก็เหิมเกริมจนเคยชินเสียแล้ว ย่อมคิดไม่ถึงว่าจะมีผู้ใดที่เป็นภัยคุกคามถึงชีวิตพวกเขาเข่นนี้ได้

“เกรงว่าเมื่อเป่ยเหอผู้นี้ซ่อนตัวขึ้นมา ก็คงไม่ปรากฏตัวง่ายๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว เมื่อจากโลกนี้ไป คิดจะกลับมาก็ยากแล้ว

“เขาล่วงเกินท่านจักรพรรดิเทพหิมะเหิน ไหนเลยจะกล้าปรากฏตัวง่ายๆ เล่า” เจ้าเมืองอูเจ๋อพูดยิ้มๆ เนื่องจากตงป๋อเสวี่ยอิงทำอะไรเขาไม่ได้ในตอนนี้ และเจ้าเมืองอูเจ๋อยังมีอันดับต่ำกว่าประมุขพรรคเงามารอยู่เล็กน้อยด้วย การสั่งสมก็น้อยกว่าอยู่บ้าง ตงป๋อเสวี่ยอิงเพียงแค่พูดถึง ‘สมบัติล้ำค่ามูลค่าห้าหมื่นหยกแก้วคละถิ่น’ ทั้งสองฝ่ายก็นับว่าได้บรรเทาความแค้นระหว่างกันลงไปแล้ว

“เอ๊ะ” ทันใดนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็เงยหน้าขึ้น

แสงดาวพราวระยับ

ทางเชื่อมแสงดาวอันเรืองรองปรากฏขึ้นกลางท้องฟ้าเหนือเมืองจวิ้นซาน แล้วก็มีเงาร่างสามสายเดินออกมาจากในนั้น คนหนึ่งก็คือบุรุษอาภรณ์สีเทาเรียบๆ ‘เจ้าเมืองมังกรเหล็ก’ อีกคนหนึ่งก็คือ ‘เจ้าเมืองวายุดารา’ ผู้อ้วนท้วน ส่วนคนสุดท้ายก็คือ ‘นายเรือโอสถแดง’ สตรีร่างอรชรที่สะพายมีดโค้งขนาดมหึมาเอาไว้บนหลัง

“พวกเจ้าเมืองมังกรเหล็กและน้องหญิงโอสถแดงก็มาแล้วหรือ” เจ้าเมืองอูเจ๋อเงยหน้ามองด้วยความตกตะลึงแล้วพูดยิ้มๆ “มาได้รวดเร็วจริงๆ”

“เจ้าเมืองมังกรเหล็กมาถึงได้รวดเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือนี่ หาได้ยากนัก” ประมุขพรรคเงามารก็เอ่ยขึ้น

พวกเขาทั้งสองจงใจเชื้อเชิญตงป๋อเสวี่ยอิงมา ที่ถ่วงเวลาอยู่ที่นี่ ก็เพราะพวกเขารู้ว่า การต่อสู้ครั้งนี้จะต้องแพร่สะพัดไปทั่วทั้งโลกเทพอย่างรวดเร็วที่สุดแน่นอน และจะต้องมีผู้มาเยี่ยมเยียนจักรพรรดิเทพหิมะเหินไม่น้อยเป็นแน่! ถึงตอนนั้น เมื่อผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์กลุ่มใหญ่อยู่ที่นั่น ก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าพวกเขาสองคนญาติดีกับจักรพรรดิเทพหิมะเหินแล้ว

หากในภายหน้าจักรพรรดิเทพหิมะเหิน ‘แก้แค้น’ อีก ก็เกรงว่าคงจะถูกคนลอบหัวเราะเยาะ

พลังมาถึงระดับนี้แล้ว ผู้แกร่งกล้าก็ยังคงต้องไว้หน้าตนเองเป็นอันมาก

“พี่หิมะเหิน” เจ้าเมืองมังกรเหล็กพูดพลางหัวเราะฮ่าฮ่า “ข้ามาหาท่าน ช่างหาได้ยากลำบากนัก”

ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงยืดกายขึ้นแล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า “หิมะเหินเพียงแค่อยากจะซ่อนตัวอยู่อย่างสันโดษเพื่อบำเพ็ญและใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเท่านั้น เจ้าเมืองมังกรเหล็กโปรดอภัยด้วย”

“ให้อภัยสิๆ ไม่ให้อภัยได้ด้วยหรือ บัดนี้เกรงว่าข้าคงจะมิใช่คู่ต่อสู้ของท่านแล้ว” เจ้าเมืองมังกรเหล็กพูดยิ้มๆ

“เจ้าเมืองมังกรเหล็ก น้องหญิงโอสถแดง พี่วายุดารา มา รีบนั่งเร็วเข้า” เจ้าเมืองอูเจ๋อพูดเสียงสูง

พวกเจ้าเมืองมังกรเหล็กและนายเรือโอสถแดงทั้งสามคนพากันรับคำก่อนจะนั่งลง

“จักรพรรดิเทพหิมะเหิน อีกประเดี๋ยวพวกเรามาประลองกันสักหน่อย” นายเรือโอสถแดงมองดูตงป๋อเสวี่ยอิง

“ประลองหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูนาง

อันดับของนายเรือโอสถแดงไม่นับว่าสูงสักเท่าใดนัก นับว่าเป็นระดับกลางๆ ในบรรดาจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์ ทัดเทียมกับเจ้าเมืองอูเจ๋อเท่านั้นเอง

“ควรจะนับว่าเป็นการชี้แนะ ให้จักรพรรดิเทพหิมะเหินชี้แนะโอสถแดงเสียหน่อย” นายเรือโอสถแดงพูดยิ้มๆ

“ข้าก็อยากจะประลองกับพี่หิมะเหินดูสักตั้ง” เจ้าเมืองมังกรเหล็กเอ่ย

ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวเราะพลางพยักหน้า

เขาสัมผัสได้ถึงความอาฆาตและความปรารถนาอันแสนจะกดดันของทั้งสองคนนี้ มาถึงขั้นครบสมบูรณ์แล้ว ต่อไปก็คือต้องตื่นรู้ขั้นสุดยอด! ตามปกติแล้วเจ้าเมืองมังกรเหล็กและนายเรือโอสถแดงต่างก็ไม่สนใจเรื่องทางโลก พวกเขาใฝ่หาการสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่น บัดนี้มีสิ่งมีชีวิตอย่าง ‘ตงป๋อเสวี่ยอิง’ ซึ่งมีพลังไล่เลี่ยกับอันดับหนึ่งของรายนามจักรพรรดิเทพ แน่นอนว่าพวกเขาก็ย่อมปรารถนาจะต่อสู้ด้วยสักตั้ง เพื่อเคี่ยวกรำตนเอง

……

วันนี้มีผู้แกร่งกล้ามายังเมืองจวิ้นซานมากมายยิ่งนัก ผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์กว่าครึ่งของโลกเทพพากันมาที่นี่! แม้แต่ผู้เหินทะยานซึ่งด้านวิถีอากาศแข็งแกร่งที่สุด…ผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้าย ‘จักรพรรดิเทพนางแอ่นเหิน’ ก็มาด้วยเช่นกัน

******

และในวันนี้เอง

สามตระกูลราชันย์ก็ได้จับตามอง ‘จักรพรรดิเทพหิมะเหิน’ ผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพซึ่งพำนักอยู่ในเมืองจวิ้นซานเช่นเดียวกัน!

“ฟิ้วๆๆ…”

ดวงดารานับล้านๆ ดวงโคจรอยู่รอบเกาะที่ลอยคว้างแห่งหนึ่ง ดวงดาราแต่ละดวงล้วนมีขนาดราวพันลี้ แต่ละดวงเปล่งรัศมีออกมา การส่องสะท้อนของดวงดารานับล้านๆ ดวงทำให้เกาะแห่งนี้ราวกับภาพความฝันอย่างไรอย่างนั้น! เกาะแห่งนี้ก็คือเกาะดาวเหนือ ซึ่งเป็นของ ‘ตระกูลดาวเหนือ’ หนึ่งในสามตระกูลราชันย์ซึ่งมีสถานะไม่ธรรมดาอย่างยิ่งในโลกเทพนั่นเอง

บนเกาะดาวเหนือ

ภายในวังอันสูงตระหง่านแห่งหนึ่ง

บุรุษคนหนึ่งและสตรีคนหนึ่งนั่งอยู่ ณ จุดสูงสุดในตำแหน่งประธาน มีผู้อาวุโสทั้งเก้าแห่งสมาคมผู้อาวุโสแห่งเกาะดาวเหนือยืนอยู่

“ข่าวมิได้ผิดพลาดกระมัง” บุรุษอาภรณ์สีดำงดงามหรูหราเหลือบมองลงไปเบื้องล่างพลางพูดเสียงเรียบ

“ฝ่าบาททั้งสอง ข้าเพิ่งยืนยันข่าวนี้กับตระกูลจิตฟ้าเมื่อสักครู่นี้เอง ตระกูลจิตฟ้าได้ใช้ ‘บ่อจิตฟ้า’ ตรวจสอบจนมั่นใจแล้วว่าไม่ผิดพลาด” ผู้อาวุโสที่อยู่ด้านล่างผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยความเคารพ “จักรพรรดิเทพหิมะเหินผู้นั้นสู้กับศัตรูสามคนด้วยตัวคนเดียวจริงๆ จนเอาชนะระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์สามคนได้ ประมุขพรรคเงามารและเจ้าเมืองอูเจ๋อมีชื่อเสียงเลื่องลือก็แล้วไปเถิด จักรพรรดิเทพระดับครบสมบูรณ์ผู้เร้นลับที่เชี่ยวชาญในการใช้กระบี่ผู้นั้น แม้ก่อนหน้านี้จะไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่พลังที่สำแดงออกมาก็น่ากลัวยิ่งนัก พวกเขาทั้งสามล้วนถูกโจมตีจนพ่ายแพ้ไป จะเห็นได้ถึงความแข็งแกร่งของจักรพรรดิเทพหิมะเหิน! นอกจากนี้ข้ายังติดต่อประมุขพรรคเงามารและเจ้าเมืองอูเจ๋อแบบตัวต่อตัว พวกเขาสองคนต่างก็บอกว่า…จักรพรรดิเทพหิมะเหินผู้นี้มีกระบวนท่าทางด้านวิญญาณที่น่าหวาดหวั่นอย่างยิ่ง ต่อให้เป็นพวกเขาสองคน พลังก็ลดเหลือเพียงสองสามส่วนเท่านั้นภายใต้กระบวนท่าทางด้านวิญญาณ”

“กระบวนท่าทางด้านวิญญาณหรือ” บุรุษชุดดำและสตรีอาภรณ์ขาวที่อยู่ด้านข้างสบตากันแวบหนึ่ง

“พี่ใหญ่ โลกเทพเราไม่เคยมียอดฝีมือผู้เชี่ยวชาญกระบวนท่าทางด้านวิญญาณที่ร้ายกาจเช่นนี้ปรากฏขึ้นมาก่อน” สตรีอาภรณ์ขาวเอ่ย “มียอดฝีมือพรรค์นี้รุ่งโรจน์ขึ้นมา ควรจะแจ้งให้ท่านพ่อทราบ”

“อื้ม!” บุรุษชุดดำพยักหน้าน้อยๆ “ได้ แจ้งให้ท่านพ่อทราบ”

พวกเขาสองคนมีสถานะสูงส่งนัก

ก็เพราะว่า…

พวกเขาทั้งสองคือบุตรธิดาของ ‘บรรพเทวะดาวเหนือ’ หนึ่งในสามบรรพเทวะคละถิ่นนั่นเอง!

เพียงแต่สองพี่น้องก็เคารพยำเกรงผู้เป็นบิดายิ่งนัก เพราะถึงอย่างไรบิดาก็เป็นผู้แกร่งกล้าคละถิ่นที่กระโดดออดจากกรงขัง หากมิใช่เรื่องสำคัญ พวกเขาก็ไม่มีทางไปรบกวนบิดา

“ตอนแรกเจ้าเมืองหงส์เมฆาก็เคยดึงดูดความสนใจของท่านพ่อ แต่ต่อมา ก็ไม่มีข่าวคราวแล้ว เจ้าเมืองหงส์เมฆายังคงอยู่ในโลกของเรา” สตรีอาภรณ์ขาวเอ่ย “ไม่รู้ว่าครั้งนี้จักรพรรดิเทพหิมะเหินผู้นี้จะดึงดูดความสนใจได้มากพอหรือไม่”

“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม วิญญาณก็เป็นแก่นแท้ของสิ่งมีชีวิต เขามีผลสำเร็จทางด้านวิญญาณอันน่าเหลือเชื่อเช่นนี้ได้ ก็มีคุณสมบัติพอจะทำให้พวกเราแจ้งท่านพ่อให้ทราบได้แล้ว” บุรุษชุดดำพลิกมือคราหนึ่งแล้วหยิบป้ายคำสั่งกึ่งโปร่งแสงออกมา บนป้ายคำสั่งมีดวงดาราจำนวนนับไม่ถ้วนโคจรอยู่ วงโคจรเหมือนกับดวงดาราที่โคจรอยู่รอบเกาะดาวเหนือทุกประการ

ป้ายคำสั่งนี้ก็คือสมบัติชั้นยอดคุ้มกาย! เขาและน้องสาวมีอยู่คนละก้อน มันสามารถคุ้มกายได้ และสามารถติดต่อท่านพ่อได้เช่นกัน

ผู้อาวุโสทั้งเก้าที่อยู่ด้านล่างเห็นเข้าก็เผยสีหน้าเคารพออกมา

ในตระกูลดาวเหนือ…ก็มีเพียงสองคนนี้เท่านั้นที่มีคุณสมบัติจะติดต่อกับบรรพเทวะคละถิ่นได้

“ท่านพ่อ” บุรุษชุดดำถือป้ายคำสั่งแล้วส่งสารติดต่อทันที

……

ตระกูลทิพย์ทอง

หลังจากสองพี่น้องตระกูลทิพย์ทองสำรวจโดยละเอียดแล้ว จึงได้ส่งผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์คนหนึ่งของตระกูลมุ่งหน้าไปยัง ‘เมืองจวิ้นซาน’ หลังจากทราบข้อมูลโดยละเอียดแล้ว จึงแจ้งให้บิดาของพวกเขาซึ่งก็คือบรรพเทวะทิพย์ทอง หนึ่งในสามบรรพเทวะคละถิ่นทราบ

……

ตระกูลจิตฟ้า

สามพี่น้องตระกูลจิตฟ้าทราบข่าวเร็วที่สุด พวกนางก็ไม่อยากจะเชื่อเช่นเดียวกัน มารดาของพวกนางเคยกำชับเอาไว้ จึงย่อมตัดสินว่า ‘จักรพรรดิเทพหิมะเหิน’ ผู้นี้มีคุณสมบัติพอจะต้องแจ้งให้มารดาทราบ

“ก่อนหน้านี้แม้ในโลกเทพจะมีผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์เช่นกัน แต่ผู้ที่มีกระบวนท่าทางด้านวิญญาณแข็งแกร่งเช่นนี้กลับไม่เคยมีมาก่อน”

“วิญญาณเป็นแก่นแท้ของชีวิต หากเส้นทางวิญญาณบรรลุถึงระดับสูงยิ่ง ก็คงจะไม่เหมือนกับเส้นทางอื่นๆ กระมัง”

พี่น้องสามคนนี้วิพากษ์วิจารณ์กันด้วยความสนใจใคร่รู้เป็นอันมาด

ขณะเดียวกันพวกนางก็ส่งสารติดต่อกับมารดาของพวกนาง…บรรพเทวะจิตฟ้า

……………………

เหนือท้องฟ้าเมืองจวิ้นซาน ประมุขพรรคเงามารและเจ้าเมืองอูเจ๋อ ผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์สองคนนี้กำลังแยกกันหลบหนีไปยังทิศทางที่แตกต่างกัน! เจ้าเมืองอูเจ๋อแปลงร่างเป็นมังกรพิษไอหมอก เรียกได้ว่าเป็นร่างอมตะ เพียงแต่ว่าเขาก็หวาดกลัวตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นที่สุดเฉกเช่นเดียวกัน

“จักรพรรดิเทพหิมะเหินผู้นี้น่ากลัวเหลือเกิน หากเคล็ดวิชาวิญญาณของเขาร้ายกาจกว่านี้อีกสักหน่อยข้าก็คงจบเห่แล้ว รีบหนีโดยเร็วที่สุด! ยิ่งหนีไปได้ไกลก็ยิ่งดี!”

ถึงอย่างไรคราวนี้ก็มาเพื่อล้อมสังหารจักรพรรดิเทพหิมะเหิน สร้างความแค้นอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ก็ย่อมต้องซ่อนตัวให้ห่างไกลสักหน่อย

พรึ่บ!

ความเร็วของประมุขพรรคเงามารพุ่งทะยานจนถึงขีดสุด “ด้วยความเร็วของข้า จักรพรรดิเทพหิมะเหินผู้นี้ก็ย่อมไล่ตามข้าไม่ทันอย่างแน่นอน หืม แย่แล้วสิ!”

เพียงชั่วขณะสั้นๆ ประมุขพรรคเงามารก็เหินทะยานออกมานอกกำแพงเมืองจวิ้นซาน มุ่งหน้าไปยังดินแดนรกร้างของโลกภายนอกแล้ว แต่สีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวงในทันใด กลางท้องฟ้าเบื้องหน้ากลับมีรอยแยกสีดำรอยหนึ่งปรากฏขึ้น ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีขาวตลอดร่างเดินออกมาจากกลางรอยแยกสีดำแล้วขวางอยู่ตรงหน้าประมุขพรรคเงามาร

“ท่านหนีไม่พ้นหรอก!” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปทางเขา

“การส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นหรือ” ประมุขพรรคเงามารตกใจจนหน้าถอดสี

ผู้ที่สามารถทำการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นได้ทั่วทั้งโลกเทพนั้นมีอยู่น้อยจนสามารถนับนิ้วได้ จักรพรรดิเทพหิมะเหินผู้นี้ก็สามารถทำได้อย่างนั้นหรือ

ประมุขพรรคเงามารทั้งเดือดดาลทั้งหวาดหวั่น เขาหมุนกายหมายจะเปลี่ยนทิศทางหลบหนี

“ปัง”

ตงป๋อเสวี่ยอิงคร้านที่จะหยิบหอกยาวออกมา เพียงแค่ผลักมือขวาเบาๆ ห้วงอากาศด้านหน้าก็ถูกบีบอัดเสียจนราวกับกระดาษแผ่นหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น ถึงแม้ว่าวิญญาณของประมุขพรรคเงามารจะเผชิญกับการฉุดลากของโลกลวงขนาดมหึมาอยู่ตลอดเวลา แต่ร่างกายของเขาแข็งแกร่ง จึงยังคงต้านทานการกดดันของห้วงมิติเอาไว้ได้เช่นเดิม

ตู้ม… ห้วงมิติที่ถูกกดดันนี้แหลกสลายไปในที่สุด

แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มาถึงยังเบื้องหน้าของประมุขพรรคเงามารแล้ว

“หยุดนะ” ประมุขพรรคเงามารตะเบ็งเสียง

“หืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงหยุดลงจริงๆ

“คราวนี้พวกเราฟังมนตร์ลวงของเป่ยเหอ จึงได้มาล้อมสังหารจักรพรรดิเทพหิมะเหินถึงที่นี่ เป็นความผิดของพวกเราเอง” ประมุขพรรคเงามารพูด “ข้าอยากจะขอขมาเพื่อแก้ไขเรื่องนี้ ดีหรือไม่เล่า”

ร่างกายของประมุขพรรคเงามารค่อนข้างสูงใหญ่ ตลอดร่างล้วนมีชั้นสีแดงเข้มเคลือบคลุม ทั้งยังมีผ้าคลุมกันลมสีแดงโลหิตขนาดมหึมา นัยน์ตาสีแดงโลหิตทั้งคู่…ประมุขพรรคเงามารขึ้นชื่อไปทั่วทั้งโลกเทพในเรื่องความโอหังและอำมหิต แต่ในขณะนี้กลับก้มหัวขอขมายอมศิโรราบแต่โดยดี เป็นภาพเหตุการณ์ที่หาดูได้ยากยิ่งของโลกเทพ

“ขอขมาหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองประมุขพรรคเงามารคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ลองบอกเงื่อนไขมาเถิด”

ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจกระจ่างดียิ่ง

ประมุขพรรคเงามารไม่เหมือนกับระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์โดยทั่วไป ร่างกายของเขาแข็งแกร่งเหลือเกิน ทั้งยังรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง ตนต้องอาศัยกระบวนท่าที่กินอาณาบริเวณกว้างใหญ่เพื่อพันธนาการเขา แต่กระบวนท่าที่กินอาณาบริเวณกว้างใหญ่นั้นทำให้ร่างกายได้รับบาดเจ็บน้อยลงไปเป็นอย่างมาก ด้วยความแข็งแกร่งของร่างกายของ ‘ประมุขพรรคเงามาร’ อาการบาดเจ็บที่กระบวนท่าที่กินอาณาบริเวณกว้างใหญ่ทำร้ายเขานั้นก็น้อยนิดจนสามารถมองข้ามได้ พันธนาการเอาไว้ก่อนแล้วค่อยเข้าประชิดตัว!

แต่ประมุขพรรคเงามารรวดเร็วเกินไป เกรงว่ากระบวนท่าที่รับมือก็อาจถูกลากออกไปเป็นระยะทางไกลอย่างรวดเร็ว

ตนเองยังต้องสำแดงกระบวนท่าที่กินอาณาบริเวณกว้างใหญ่ไปพันธนาการอีกครั้ง

“ด้วยระดับความแข็งแกร่งของร่างกายประมุขพรรคเงามาร เกรงว่าเคล็ดวิชาต่อสู้ประชิดตัวของข้าหลายร้อยกระบวนท่าจึงจะมีหวังที่จะปลิดชีพเขาได้กระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ “นอกจากนี้เขายังรวดเร็วเกินไป ลื่นไหลเกินไป… ย่อมไม่มีทางโจมตีอย่างต่อเนื่องได้อยู่แล้ว”

อยากจะสังหารประมุขพรรคเงามาร เกรงว่าอย่างน้อยก็ต้องใช้ระยะเวลาชั่วจิบชาหนึ่ง!

ระยะเวลายาวนานเช่นนี้…

ประมุขพรรคเงามารมองไม่เห็นความหวังที่เกิดขึ้น ภายใต้ความโมโห การทำให้ประชากรทั่วทั้งเมืองจวิ้นซานถูกฝังไปเป็นเพื่อนกันทั้งหมดก็เป็นเรื่องธรรมดา

ผู้อื่นไม่รู้อุปนิสัยของตงป๋อเสวี่ยอิง คิดว่าผู้แกร่งกล้าระดับนี้เย็นชากับมดปลวกที่อ่อนแอเป็นอย่างยิ่ง แต่ในความเป็นจริงแล้วตงป๋อเสวี่ยอิงไม่อยากจะเห็นประชากรทั่วทั้งเมืองจวิ้นซานถูกทำลายล้างด้วยเหตุนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะสามารถช่วยผู้คนได้ แต่อย่างมากที่สุดก็ช่วยเหลือได้เพียงแค่ลูกศิษย์หญิงกับคนจำนวนน้อยเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ย่อมไม่มีทางช่วยเหลือผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนทั่วทั้งปราการเมืองได้ทันการณ์อยู่แล้ว

“ราคาห้าหมื่นสมบัติล้ำค่าหยกแก้วคละถิ่น” ประมุขพรรคเงามารค้อมกายลงเล็กน้อย “ข้าเต็มใจจะเสนอให้เพื่อชดเชยเรื่องนี้”

“ชีวิตของท่านประมุขมีมูลค่าเพียงเท่านี้เองน่ะหรือ นอกจากนี้ ก่อนหน้านี้พวกเจ้าก็ยังต้องการเอาชีวิตข้าด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “สมบัติล้ำค่ามูลค่าหนึ่งแสนหยกแก้วคละถิ่น แล้วเรื่องนี้ก็จะปล่อยผ่านไปได้”

แววตาของประมุขพรรคเงามารสว่างไสวขึ้นมาเล็กน้อย เขารอให้ราชสีห์อย่างจักรพรรดิเทพหิมะเหินผู้นี้อ้าปากกว้างมานานแล้ว หนึ่งแสนหยกแก้วคละถิ่นนี้อยู่ในขอบเขตที่เขาสามารถยอมรับได้ เขาเอ่ยในทันทีว่า “เอาล่ะ ก็เป็นสมบัติล้ำค่ามูลค่าหนึ่งแสนหยกแก้วคละถิ่นนี่แหละ ยังมีอีก พี่อูเจ๋อก็อยากจะแก้ไขความแค้นกับจักรพรรดิเทพหิมะเหินเช่นกัน มิทราบว่าจะได้หรือไม่”

“เจ้าเมืองอูเจ๋อหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเหลือบตามองมังกรพิษไอหมอกที่เหินทะยานออกไปไกลจากอาณาเขตปราการเมืองแล้วเช่นกันตนนั้น มังกรพิษไอหมอกหยุดลงเรียบร้อยแล้วลอยตัวอยู่กลางอากาศไกลออกไปพลางมองดูที่นี่อยู่ห่างๆ

ตนมิอาจสังหารเจ้าเมืองอูเจ๋อได้ชั่วคราว เจ้าเมืองอูเจ๋อก็อยากจะจัดการแก้ไขความแค้นเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าถูกต่อตีจนหวั่นกลัวไปเสียแล้ว!

เจ้าเมืองอูเจ๋อ…

ตลอดระยะเวลาอันยาวนานก็มิได้รู้สึกถึงการคุกคามของความตายเลย ร่างมังกรพิษไอหมอกของเขา ที่โลกเทพ ภายใต้สามบรรพเทวะคละถิ่นลงมา ไม่ว่าใครก็มิอาจทำอะไรเขาได้ แต่กับตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้ เจ้าเมืองอูเจ๋อก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของความตาย! เพราะว่าเพียงแค่เคล็ดวิชาวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงแข็งแกร่งขึ้นมาอีกสักเล็กน้อย ก็จะเหนือกว่าขีดจำกัดที่วิญญาณของเจ้าเมืองอูเจ๋อจะทนรับได้ไหวแล้ว

ต่อให้ตอนนี้สามารถหนีไปได้ ก็ไม่แน่ว่าในภายภาคหน้าเมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงก้าวหน้ากว่านี้อีกสักหน่อย ก็จะสามารถผลาญสังหารเขาได้แล้ว

วันเวลาที่หวาดหวั่นไม่สงบสุขนั้นทุกข์ระทมเป็นอย่างยิ่ง หากสามารถแก้ไขได้ก็ย่อมพยายามแก้ไขอย่างสุดกำลังอยู่แล้ว

“ก็ได้ สามารถแลกกับอะไรได้บ้างเล่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด

พรึ่บ

มังกรพิษไอหมอกที่อยู่ห่างออกไปตนนั้นเหินทะยานมุ่งหน้ามาทางตงป๋อเสวี่ยอิงนี้อย่างรวดเร็ว

……

กลางเวหาเบื้องบน เจ้าเมืองอูเจ๋อและประมุขพรรคเงามารต่างก็เกรงใจกันเป็นอย่างยิ่ง วางท่าทีเอาไว้อย่างต่ำยิ่ง เอ่ยขอขมากับตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่กลางเวหา

และภายในเมืองจวิ้นซาน

ผู้คนกลุ่มหนึ่ง ได้แก่อวี้เฟิงจวิ้นซาน อวี้เฟิงเหลย อวี้เฟิงชิงอิน และคนอื่นๆ รวมถึงประมุขหอสิงแห่งหอจิตฟ้า ต่างก็พากันตะลึงงันไปเสียแล้ว

“สวรรค์เอ๋ย”

“ระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์สามท่านล้อมโจมตีจักรพรรดิเทพหิมะเหิน แต่กลับถูกกวาดล้างเสียแล้วอย่างนั้นหรือ”

“หนึ่งต่อสาม ก็เอาชนะระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์สามท่านได้อย่างนั้นหรือ”

“นี่ นี่…ข้ามิได้ดูผิดไปใช่หรือไม่”

ตะลึงงันไปอย่างสิ้นเชิงเสียแล้ว

ระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์สามท่าน จักรพรรดิเป่ยเหอ ยอดฝีมือระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์ผู้ลึกลับหลบหนีไปเสียแล้ว ส่วนอีกสองท่านได้แก่ประมุขพรรคเงามารและเจ้าเมืองอูเจ๋อก็กำลังทำการขอขมาผูกไมตรี

นี่มิใช่เพียงแค่การเอาชนะเสียแล้ว

ที่โลกเทพ การห้ำหั่นซึ่งกันและกันระหว่างผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์ การแพ้หรือชนะนั้นก็เป็นเรื่องปกติธรรมดายิ่ง! โดยทั่วไปแล้วก็ยากที่จะเข่นฆ่ากัน เพราะว่าความแตกต่างของพลังยุทธ์ก็มิได้มากมายสักเท่าใดนัก ต่อให้พ่ายแพ้ในการต่อสู้ก็ไม่มีทางก้มหัวให้ ยิ่งไม่มีทางไปขอขมาอย่างแน่นอน! จะมีก็แต่ ‘เจ้าเมืองหงส์เมฆา’ ที่มีสถานะค่อนข้างสูงส่ง จึงสามารถทำให้จักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์คนอื่นๆ มาขอขมาได้! แต่ขณะนี้ประมุขพรรคเงามารและเจ้าเมืองอูเจ๋อกลับกำลังขอขมา

“เจ้าเมืองอูเจ๋อก็ขอขมาด้วยอย่างนั้นหรือ เขาเป็นร่างอมตะเชียวนะ!” ผู้คนมากมายล้วนตกตะลึงไปเสียแล้ว

“ที่แท้แล้วจักรพรรดิเทพหิมะเหินมีพลังยุทธ์เช่นไรกันแน่”

“เขา เขาแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน”

เพียงคนเดียวก็เอาชนะระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์สามท่านได้

ทั้งยังทำให้อีกฝ่ายตกใจจนยอมขอขมาด้วยอย่างนั้นหรือ

“ผู้แกร่งกล้าเช่นนี้ถึงกับอาศัยอยู่ที่เมืองจวิ้นซานของข้าอย่างนั้นหรือ” อวี้เฟิงจวิ้นซานยากที่จะเชื่อได้

“ผู้ที่สามารถล้ำเลิศถึงเพียงนี้ได้ทั่วทั้งโลกเทพ เกรงว่าคงจะมีเพียงแค่อันดับหนึ่งของบัญชีรายนามจักรพรรดิเทพอย่างเจ้าเมืองหงส์เมฆาเท่านั้น” อวี้เฟิงเหลยก็หัวใจสั่นสะท้านเช่นกัน “ผู้แกร่งกล้าเช่นนี้ถึงกับรับน้องหญิงสามเป็นศิษย์ด้วยอย่างนั้นหรือ”

บนทางเดินของจวนหิมะเหิน อวี้เฟิงชิงอินก็ตกตะลึงอยู่บ้าง

เดิมทีนางเป็นกังวลกับความปลอดภัยของตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการที่ระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์สามท่านล้อมโจมตี ยิ่งทำให้หัวใจนางแทบจะกระเด็นหลุดมาจนถึงคอหอยแล้ว แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นตามมาติดๆ นี้ก็ทำให้นางตกตะลึงไปเสียแล้ว

“ท่านอาจารย์ของข้า ท่านอาจารย์ของข้าเขา…” อวี้เฟิงชิงอินไม่อยากจะเชื่อ

“พลังยุทธ์เช่นนี้อย่างน้อยก็ต้องเป็นลำดับสองของบัญชีรายนามจักรพรรดิเทพแล้วกระมัง” ประมุขหอสิงได้สติกลับมาแล้วจดบันทึกทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นลงไป พร้อมกันนั้นก็รายงานสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง “เขากับเจ้าเมืองหงส์เมฆา ผู้ใดแข็งแกร่ง ผู้ใดอ่อนแอ คงต้องต่อสู้กันสักยกหนึ่งจึงจะรู้ได้กระมัง ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเอาชนะเจ้าเมืองหงส์เมฆา กลายเป็นอันดับหนึ่งในบัญชีรายนามจักรพรรดิเทพก็เป็นได้!”

การย้ายตำแหน่งครั้งแรกของบัญชีรายนามจักรพรรดิเทพอย่างนั้นหรือ

ประมุขหอสิงไม่กล้าเชื่อว่าการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่เช่นนี้จะเป็นสิ่งที่เขาได้บันทึกลงไปเองกับมือ

……

หลังจากที่ข่าวแพร่สะพัดออกไป ผู้แกร่งกล้าจำนวนนับไม่ถ้วนทั่วทั้งโลกเทพก็ตื่นตระหนกเพราะสิ่งนี้ บรรดาจ้าวเทพเหล่านั้นตกตะลึงก็แล้วไปเถิด แม้กระทั่งเหล่าผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์ก็ยังพากันตะลึงลานอยู่บ้าง

สู้กับสามคนด้วยตัวคนเดียวอย่างนั้นหรือ

เอาชนะระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์สามท่านหรือ ประมุขพรรคเงามารและเจ้าเมืองอูเจ๋อก็ขอร้องและขอขมาอย่างนั้นหรือ

“เร็วๆๆ แล้วภาพเหตุการณ์การต่อสู้เล่า”

เหล่าผู้แกร่งกล้าแต่ละคนต่างพากันถามหาภาพเหตุการณ์การต่อสู้ในทันที ภาพเหตุการณ์การต่อสู้นี้กลับเป็นสิ่งที่ต้องซื้อหาจากหอจิตฟ้า

ประมุขหอสิงก็คู่ควรที่จะภาคภูมิใจในตนเองจริงๆ

เพราะว่า!

ภาพเหตุการณ์การต่อสู้ที่เขาบันทึกเอาไว้ มีผู้แกร่งกล้าจำนวนมากมายเหลือเกินที่ชมดูอย่างละเอียด! หอจิตฟ้าก็ทำกำไรจากสิ่งนี้ได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

ในความเป็นจริงแล้ว ทำกำไรได้เท่าไหร่ก็เป็นเรื่องเล็ก เรื่องใหญ่พรรค์นี้ แม้กระทั่งสามตระกูลราชันย์ก็ยังตื่นตระหนก!

……………………………

“แย่แล้ว! จักรพรรดิเทพหิมะเหินตกอยู่ในอันตรายเสียแล้วสิ!” อวี้เฟิงเหลยและอวี้เฟิงจวิ้นซาน ยอดฝีมือระดับจักรพรรดิเทพสองท่านนี้มองปราดเดียวก็เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในที่นั้นอย่างชัดเจน

“เจ้าเมืองอูเจ๋อแปลงร่างเป็น ‘มังกรพิษไอหมอก’ ทำให้พลังยุทธ์ของผู้อาวุโสหิมะเหินอ่อนลงเล็กน้อย ประมุขพรรคเงามารวดเร็วอย่างยิ่ง ผู้อาวุโสหิมะเหินอยากจะต้านทานนั้นเดิมทีก็ยากเย็นเป็นอย่างยิ่งอยู่แล้ว ขณะนี้อีกท่านหนึ่งก็คือชายอาภรณ์เขียวผู้เป็นระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์ พลังคุกคามของกระบี่เล่มนั้นก็ยิ่งน่าหวาดหวั่น ถ้าหากอยากจะต้านทานกระบี่เล่มนี้อย่างสุดกำลัง เขาก็ไม่มีทางต้านทานประมุขพรรคเงามารได้แล้ว” อวี้เฟิงเหลยเอ่ยอย่างตื่นเต้น

“ต้านทานประมุขพรรคเงามาร ก็ไม่มีทางแบ่งจิตใจไปต้านทานกระบี่เล่มนั้นได้แล้ว” อวี้เฟิงจวิ้นซานก็กระวนกระวายใจ

เพราะว่าหากจักรพรรดิเทพหิมะเหินตายไป เกรงว่าพวกเขาสกุลอวี้เฟิงก็คงจะมิได้มีจุดจบที่ดีนัก!

ถึงแม้ว่าขณะนี้จักรพรรดิเทพหิมะเหินจะสำแดงพลังรบที่เทียบเคียงได้กับ ‘ระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์’ ออกมา แต่เมื่อเผชิญหน้ากับการร่วมมือล้อมโจมตีของระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์สามท่าน ก็ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่สิ้นหวัง แม้กระทั่งอวี้เฟิงจวิ้นซานและอวี้เฟิงเหลยทั้งสองคนต่างก็คิดไม่ออกว่าจักรพรรดิเทพหิมะเหินผู้นี้ยังมีวิธีการใดที่สามารถหลบหนีได้พ้น

……

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเห็นประกายกระบี่ดุจน้ำที่ตัดแยกฟ้าดินนั้น มองเห็นชายอาภรณ์เขียวผู้นั้น ในใจก็ไม่มีความสับสนอีกต่อไป

“เป็นท่านจริงๆ เสียด้วย จักรพรรดิเป่ยเหอ! มิน่าเล่าประมุขพรรคเงามารจึงได้หาข้ออ้างมาจัดการข้า” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ “ยังคงระมัดระวังตัวแจจริงๆ ตัวเองก็บรรลุไปถึงระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์แล้ว ยังคิดหาวิธีไปเชื้อเชิญประมุขพรรคเงามารและเจ้าเมืองอูเจ๋อ ยอดฝีมือระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์สองคนนี้ให้มาเคลื่อนไหวพร้อมกัน หมายจะสังหารข้าให้ตาย”

“โชคดีที่พลังยุทธ์ของข้ามิได้เท่ากับตอนอยู่ที่ดินแดนจิตโลกาอีกต่อไปแล้ว”

ตงป๋อเสวี่ยอิงเผชิญกับสถานการณ์ยากลำบากในตอนนี้ การล้อมโจมตีของระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์สามท่าน แต่ในใจกลับมิได้แยแสเลยแม้แต่น้อย

“ต้องสำแดงเสียแล้วสิ!”

“ปัง”

แววตาของตงป๋อเสวี่ยอิงแปรเปลี่ยนเป็นเยียบเย็น

และในขณะนี้เองจักรพรรดิเป่ยเหอ เจ้าเมืองอูเจ๋อ และประมุขพรรคเงามารที่กำลังร่วมมือกันจัดการกับตงป๋อเสวี่ยอิง ในขณะเดียวกันนี้ก็รู้สึกได้ว่าโลกลวงขนาดใหญ่แห่งหนึ่งปรากฏขึ้นแล้ว อีกทั้งยังฉุดลากวิญญาณของพวกเขาอย่างบ้าคลั่งด้วย! นอกจากนี้โลกลวงแห่งนี้ยังมีการโจมตีอันหนักหน่วงครั้งแล้วครั้งเล่า ราวกับระลอกคลื่นที่โจมตีวิญญาณพวกเขาอย่างต่อเนื่องอย่างไรอย่างนั้น

ก่อนหน้านี้ถึงแม้ว่าจะกำลังจัดการกับจักรพรรดิเทพเฮ่อต้ง ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิว คุณชายใหญ่จวนมังกรเหล็ก และเจ้าเมืองมังกรเหล็ก เป็นต้น เขาก็เคยสำแดงเคล็ดสังหารเขตลวงโลกเทียมมาก่อนทั้งสิ้น

แต่นั่นเป็นการซ่อนเร้นตัวตน! ผู้อื่นก็ย่อมไม่รู้ว่าเขาคือใครอยู่แล้ว

แต่ที่สำแดงในขณะนี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เข้าใจว่าตนเองก็จะอยู่ที่เมืองจวิ้นซานอย่างไม่สงบสุขอีกต่อไปแล้ว เชื่อแน่ว่าข่าวที่ตนสามารถสำแดงเคล็ดวิชาวิญญาณอันน่าหวั่นเกรงได้จะต้องแพร่ไปทั่วโลกเทพอย่างรวดเร็วแน่นอน เกรงว่า ‘เจ้าเมืองมังกรเหล็ก’ ‘เจ้าเมืองเมฆาวายุ’ และคนอื่นๆ ก็คงจะตามหาตนเองมาเนิ่นนานแล้วกระมัง

“เปิดเผยก็เปิดเผยไปเถิด ด้วยพลังยุทธ์ของข้า หากสามบรรพเทวะคละถิ่นไม่ออกโรง ข้าก็ไม่กลัวเกรงใครหน้าไหนทั้งนั้น แม้กระทั่งบรรพเทวะคละถิ่น ถึงอย่างไรก็เป็นผู้แกร่งกล้าคละถิ่นที่หนีออกจากกรงขังแล้วถึงขนาดที่เปิดโลกอันยิ่งใหญ่ขึ้นมา สถานะเช่นนี้ก็คงจะไม่มาหาเรื่องห้ำหั่นกับข้าง่ายๆ กระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ

ในขณะนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงมีความคิดต่างๆ มากมาย

ยอดฝีมือระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์คนอื่นๆ สามท่าน กลับเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นเต็มหัวใจแล้ว

“ปัง!” “ปัง!” “ปัง!”

วิญญาณของประมุขพรรคเงามาร เจ้าเมืองอูเจ๋อ และจักรพรรดิเป่ยเหอต่างก็เผชิญกับการฉุดลากของโลกลวงอันน่าหวาดหวั่น แต่ละคนต่างก็หวาดกลัวกันเป็นอย่างยิ่ง พยายามต้านทายอย่างสุดกำลัง

‘พลังจิต’ ที่สามารถนำมาใช้ได้นั้นมีน้อยยิ่งกว่าน้อย ถึงขนาดที่ไม่สามารถควบคุมร่างกายอันน่าหวาดหวั่นของตนได้ ระดับความหยาบกระด้างของกระบวนท่าก็พุ่งสูงขึ้น พลังคุกคามก็ย่อมลดต่ำลงอย่างมหาศาล

“เป็นไปได้อย่างไรกัน นี่ นี่คือเคล็ดวิชาวิญญาณอย่างนั้นหรือ” ประมุขพรรคเงามารตกตะลึงไปเสียแล้ว ถึงขนาดที่เขาร่นถอยหลังไปในทันทีทันใด แล้วหลบหนีออกไปไกลด้วยความเร็วถึงขีดสุด “เป่ยเหอที่สมควรตาย เขาดันไม่บอกว่าจักรพรรดิเทพหิมะเหินผู้นี้มีเคล็ดวิชาวิญญาณที่น่าหวาดหวั่นถึงเพียงนี้ เคล็ดวิชาวิญญาณสามารถแข็งแกร่งได้ถึงระดับนี้ พลังจิตของข้าเกือบเก้าส่วนก็ยังต้องต้านทานอย่างสุดกำลัง”

“เป่ยเหอ! เจ้าช่างอำมหิตเหลือเกิน อำมหิตเหลือเกิน! ข้อมูลสำคัญขนาดนี้ของศัตรูเจ้าก็ไม่ยอมบอก ดีมาก ดีมาก!” ประมุขพรรคเงามารหนีไปพลางส่งสารไปพลาง กระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด

ถ้าหากบอกว่าประมุขพรรคเงามารตกใจจนหลบหนีไปในทันที

เช่นนั้นถึงแม้ว่าเจ้าเมืองอูเจ๋อจะหวั่นกลัวเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน แต่ก็มิได้ตื่นตระหนก เพราะร่างมังกรพิษไอหมอกของเขานั้นแทบจะเรียกได้ว่า ‘เป็นอมตะ’ แม้กระทั่งเจ้าเมืองหงส์เมฆาก็ยังมิอาจทำอะไรเขาได้เลยแม้แต่น้อย

“เกือบไปแล้ว วิญญาณของข้าเกือบจะต้านไม่อยู่แล้ว ถ้าหากวิญญาณต้านไม่อยู่ เช่นนั้นข้าก็อาจจะตายได้อย่างนั้นหรือ” เจ้าเมืองอูเจ๋อเต็มไปด้วยความเดือดดาลเต็มหัวใจอยู่ชั่วขณะ แล้วส่งสารให้กับจักรพรรดิเป่ยเหอ “เป่ยเหอ จักรพรรดิเทพหิมะเหินผู้นี้มีเคล็ดวิชาวิญญาณที่น่าหวาดหวั่นถึงเพียงนี้ ข่าวเช่นนี้เจ้ากลับไม่บอกพวกข้า คราวนี้เจ้าไม่เพียงแต่ต้องทดแทนหนึ่งแสนหยกแก้วคละถิ่นเท่านั้น แต่ยังต้องชดเชยให้กับพวกเราอีกด้วย”

“ปัง…”

ในขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังสำแดงเคล็ดวิชาวิญญาณอยู่นั้นเอง หอกยาวในมือกลับชี้ไปยังประมุขพรรคเงามารที่กำลังหลบหนีอยู่ในทันใด

พรึ่บ…

ถึงแม้ว่าประมุขพรรคเงามารจะกำลังหลบหนีอย่างบ้าคลั่ง แต่ต่อให้หลบหนีอย่างรวดเร็วกว่านี้ จะสู้กับความกว้างของอาณาบริเวณของห้วงมิติได้อย่างไรกัน เห็นเพียงว่าฟองห้วงอากาศขนาดมหึมาฟองหนึ่งปรากฏขึ้นแล้วห่อหุ้มประมุขพรรคเงามารเอาไว้ในทันใด! ผนังของฟองห้วงอากาศชั้นแล้วชั้นเล่า นี่ก็คือเคล็ดวิชาคุมขัง ประมุขพรรคเงามารที่ถูกคุมขังเอาไว้ในนั้นก็โจมตีอย่างสุดกำลังในทันใด

แต่ฟองห้วงอากาศนี้ถ่ายถอนพลังการโจมตีอย่างต่อเนื่อง พลังจิตที่ประมุขพรรคเงามารสามารถใช้ได้ในขณะนี้ก็มีเพียงแค่ส่วนเดียวเท่านั้น ถึงแม้ว่าร่างกายของเขาจะกล้าแกร่งเป็นพิเศษ ถึงขนาดที่พลังจิตเพียงแค่ส่วนเดียวก็ยังคงสามารถแสดงพลังยุทธ์สามส่วนของก่อนหน้านี้ออกมาได้ แต่ก็เป็นเพียงแค่ระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายเท่านั้น มิอาจทลายเปิดฟองห้วงอากาศได้ภายในชั่วพริบตา

“เป่ยเหอ!” ตงป๋อเสวี่ยอิงลงมือกับประมุขพรรคเงามารอย่างส่งๆ เพียงแค่กระบวนท่าเดียวเท่านั้น

เขาแปลงร่างเป็นเงาอันรางเลือน พุ่งตรงเข้าใส่จักรพรรดิเป่ยเหอ!

นี่จึงจะเป็นเป้าหมายที่เขาต้องการสังหาร

“เคล็ดวิชาวิญญาณของเขาแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน” จักรพรรดิเป่ยเหอตะลึงงันไปเสียแล้ว ถึงแม้ว่าเจ้าเมืองอูเจ๋อและประมุขพรรคเงามารต่างก็ส่งสารให้กับเขา แต่จักรพรรดิเป่ยเหอก็คร้านที่จะสนใจคนทั้งสองนั้น สิ่งที่ในใจเขาเป็นกังวลก็คือเคล็ดวิชาวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงในขณะนี้ “ตอนอยู่ที่หุบเขาเขี้ยวหัก ระดับแม่ทัพเทพจำนวนหนึ่งต่างก็สามารถต้านทานเอาไว้ได้ ข้าต้องการพลังจิตถึงแปดส่วนจึงจะสามารถฝืนต้านทานโลกลวงนั่นได้อย่างนั้นหรือ”

“ปัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงบุกเข้ามา พร้อมกันนั้นหอกยาวก็ฟาดฟันลงมาอย่างดุดันคราหนึ่ง

พรึ่บ

ห้วงมิติโดยรอบราวกับก้อนน้ำแข็งขนาดมหึมา ก่อตัวเป็นก้อนเต็มๆ ก้อนหนึ่ง นอกจากนี้ยังบีบอัดให้เล็กลงอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าในชั่วพริบตาก็จะบีบอัดให้บางลงราวกับใบมีดก็มิปาน

“แย่แล้วสิ พลังยุทธ์ของข้าเหลืออยู่เพียงแค่สามสี่ส่วนเท่านั้น เทียบได้กับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายเท่านั้นเอง” จักรพรรดิเป่ยเหอกระวนกระวายขึ้นมาเสียแล้ว

ในบรรดาจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์

ถึงแม้ว่าจะขุดค้นพลังสายโลหิตจนถึงที่สุด สำเร็จเป็นร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่น แต่สายโลหิตที่แตกต่างกันทำให้พลังยุทธ์ของพวกเขาแตกต่างกันไปด้วย อย่างเช่น ‘ประมุขพรรคเงามาร’ และ ‘เจ้าเมืองมังกรเหล็ก’ ทั้งสองคนนี้ต่างก็มีร่างกายที่แข็งแกร่งจนเหนือธรรมดา ร่างกายเจ้าเมืองมังกรเหล็กแข็งแกร่งเหลือเกิน การต่อสู้ซึ่งหน้าก็เป็นรองเพียงแค่เจ้าเมืองหงส์เมฆาเท่านั้น! ร่างกายของประมุขพรรคเงามารแข็งแกร่งเหลือเกิน ความเร็วเพียงอย่างเดียวก็เป็นอันดับสองของโลกเทพแล้ว

ผู้ที่มีร่างกายแข็งแกร่งเป็นที่สุดพรรค์นี้ ถึงแม้ว่าพลังจิตจะเหลืออยู่เพียงน้อยนิด แต่ละกระบวนท่าก็ยังมีพลังคุกคามอันแข็งแกร่งเป็นที่สุด ถึงแม้ว่าจะยืนอยู่ที่นั่นแล้วปล่อยให้ศัตรูโจมตี ศัตรูก็ยังยากที่จะทำร้ายพวกเขาได้

หรืออย่างเช่น ‘เจ้าเมืองอูเจ๋อ’ เจ้าเมืองอูเจ๋อสามารถแปลงร่างเป็นมังกรพิษไอหมอก เรียกได้ว่าเป็นร่างอมตะ ในด้านการพันธนาการศัตรูเขาก็จัดได้ว่าเป็นหนึ่งในสามของโลกเทพ แต่ในด้านอื่นๆ อย่างเช่นการสังหารซึ่งหน้านั้นก็อ่อนแอเป็นอย่างยิ่ง

แต่ละคนมีข้อได้เปรียบ

แต่จักรพรรดิเป่ยเหอกลับเชี่ยวชาญการโจมตีในระยะประชิดเป็นที่สุด! ทว่าร่างกายกลับอ่อนแอกว่าเจ้าเมืองอูเจ๋อและเจ้าเมืองมังกรเหล็กเป็นอย่างมาก นับได้ว่าเป็นเพียงแค่ระดับธรรมดาสามัญในบรรดาจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์เท่านั้น

“เปรี๊ยะ” ห้วงมิติที่กดดันแตกสลายในที่สุด จักรพรรดิเป่ยเหอก็กระอักโลหิตออกมา หลายบริเวณของร่างกายต่างก็มีบาดแผลปรากฏขึ้น โลหิตสาดกระจาย

“ปัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงที่พุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูงแทงหอกเข้ามาอย่างดุดัน

ปลายหอกยังมาไม่ถึง

แต่กลับมีระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างพุ่งตรงเข้าสู่ภายในร่างกายของจักรพรรดิเป่ยเหอ ถึงแม้ว่าจักรพรรดิเป่ยเหอจะต้านทานอย่างสุดความสามารถ แต่กลับมิอาจสกัดกั้นกระบวนท่านี้เอาไว้ได้ มันทะลุผ่านเข้าไปถึงด้านในของร่างกายในทันใด! เริ่มต้นก่อตัวเป็นระลอกคลื่นอันหนาแน่นภายในร่างกาย ในท้ายที่สุดระลอกคลื่นก็รวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียว ทำให้จักรพรรดิเป่ยเหออดที่จะอ้าปากกระอักโลหิตออกมามิได้ ทั้งยังพ่นเอาชิ้นส่วนอวัยวะภายในออกมาด้วย

“แย่แล้ว ความเร้นลับของกระบวนท่าของข้าอ่อนแอกว่าเขาอยู่มากเลยทีเดียว ตอนนี้พลังจิตที่สามารถใช้ได้ก็น้อยลง กระบวนท่าที่ต้านทานก็ยิ่งหยาบกระด้าง” จักรพรรดิเป่ยเหอเข้าใจในจุดนี้ขึ้นมาทันที “ร่างกายของข้าก็มิได้แข็งแกร่งดังเช่นประมุขพรรคเงามาร หากต่อตีเช่นนี้ต่อไปเกรงว่าเพียงแค่สิบกว่ากระบวนท่า อิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้ก็คงผลาญสังหารข้าได้แล้ว”

สิบกว่ากระบวนท่า ด้วยความรวดเร็วในการลงมือระดับตงป๋อเสวี่ยอิงนี้ก็รวดเร็วเป็นที่สุดแล้ว

จักรพรรดิเป่ยเหอสามารถมาถึงตรงจุดนี้ได้ ก็ย่อมมีความเด็ดเดี่ยวอยู่แล้ว

“ฆ่า” ฝีหอกของตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึงอย่างรวดเร็ว

“ไป” จักรพรรดิเป่ยเหอกระตุ้นรอยประทับสีแดงโลหิตบนข้อมือโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย

บุ๋ง

ฟองวารีสีแดงโลหิตฟองหนึ่งล้อมรอบจักรพรรดิเป่ยเหอเอาไว้ ปลายหอกของตงป๋อเสวี่ยอิงที่แทงลงไปในครั้งนี้กลับแทงทะลุผ่านไปเหมือนแทงเข้าไปกลางความว่างเปล่า ฟองวารีสีแดงโลหิตมิได้ก่อให้เกิดระลอกคลื่นขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย หลังจากเสียงซ่า… ฟองวารีสีแดงโลหิตก็พาตัวจักรพรรดิเป่ยเหอที่อยู่ด้านในหายลับไปจากโลกเทพแห่งนี้ในทันทีโดยไม่เหลือร่องรอยใดๆ

“หนีเสียแล้วหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงได้เห็นเหตุการณ์แล้วก็อดที่จะขบกรามมิได้

เขาก็รู้ว่าการจะสังหารเป่ยเหอนั้นยากเย็นยิ่ง เพราะว่าตัวเขาเองก็มีเคล็ดวิชาที่สามารถไปจากโลกแห่งนี้ได้ตลอดเวลาเช่นเดียวกัน

“การฝึกกายคละถิ่นของข้าในตอนนี้ก็ไปถึงเพียงแค่ระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายเท่านั้น พลังคุกคามไม่เพียงพอ ถ้าหากไปถึงระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์! ด้วยระดับความลึกลับของเคล็ดวิชาของข้า… ผนวกกับเคล็ดวิชาวิญญาณ เกรงว่าก็คงจะสังหารจักรพรรดิเป่ยเหอได้ภายในกระบวนท่าเดียวแล้ว”

ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ หลังจากนั้นก็หันหน้ากลับไปมอง เห็นเพียงแค่ว่าประมุขพรรคเงามารพุ่งออกไปจากฟองห้วงอากาศแล้ว และกำลังหลบหนีอย่างบ้าคลั่งมุ่งหน้าออกไปยังที่ห่างไกล ส่วนมังกรพิษไอหมอกก็หลบหนีมุ่งหน้าไปยังอีกทิศทางหนึ่ง

……………………

ประมุขหอสิงของหอจิตฟ้าแห่งเมืองจวิ้นซานกำลังเงยหน้าดูการต่อสู้อยู่อย่างตื่นเต้น มือหนึ่งถือตำราเอาไว้ จดบันทึกเหตุการณ์การต่อสู้ลงไปอย่างไม่หยุดหย่อนพลางส่งเสียงจิ๊จ๊ะเสียงต่ำอย่างพรั่นพรึง “มิน่าเล่า มิน่าเล่าก่อนหน้านี้จักรพรรดิเทพหิมะเหินจึงได้พูดขึ้นมาสองประโยค ก็มิได้ขอความเมตตาแต่อย่างใด ทั้งยังมิได้พยายามเสนอสมบัติให้เพื่อแก้ปัญหา หากแต่ลงมืออย่างรวดเร็วยิ่ง ที่แท้พลังยุทธ์ของเขาก็มิได้ด้อยไปกว่าประมุขพรรคเงามารเลยแม้แต่น้อย!”

“การต่อสู้ของระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์สองคนเลยทีเดียวนะ ข้า ข้าสิงอี้ ชั่วชีวิตนี้ก็มีสิทธิ์ได้จดบันทึกการต่อสู้ระหว่างผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์สองท่านด้วยอย่างนั้นหรือ” ประมุขหอสิงรู้สึกว่าทุกสิ่งอย่างล้วนราวกับภาพฝัน เขาเป็นเพียงแค่ผู้รับผิดชอบหอจิตฟ้าแห่งหนึ่งของเมืองเล็กอันห่างไกลอย่างเมืองจวิ้นซานเท่านั้นเอง ในบรรดาหอจิตฟ้าจำนวนมากมายของเผ่าจิตฟ้า ก็นับว่าเขาเป็นประมุขหอจิตฟ้าระดับล่างสุดแล้ว

แต่เรื่องจริงก็คือขณะนี้เขากำลังจดบันทึกการต่อสู้ในขณะนี้อยู่จริงๆ

“จักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์หรือ เจ้าเถี่ยเฉิงหลิ่วที่สมควรตายผู้นั้น” จ้าวภูเขาค้างคาวมองดูการต่อสู้อันน่าหวาดหวั่นกลางอากาศนั้น น้ำวนห้วงอากาศดำทะมึนอันน่าหวาดหวั่นนั้นห่อหุ้มและกดดันประมุขพรรคเงามารอย่างบ้าคลั่ง ระลอกผลกระทบใดๆ สายหนึ่งล้วนสามารถผลาญสังหารเขา จ้าวภูเขาค้างคาว ได้ทั้งสิ้น!

ตอนนั้นเขา ภูเขาค้างคาว ถึงกับกล้าส่งจ้าวเทพสามคนไปลอบสังหารอย่างนั้นหรือ

“โชคดีที่จักรพรรดิเทพหิมะเหินมีกำลังมาก” จ้าวภูเขาค้างคาวเอ่ยพึมพำ

แต่เขากลับไม่รู้ว่า

ตอนนั้นพลังยุทธ์ของตงป๋อเสวี่ยอิงที่มาในตอนแรกยังมิได้ฟื้นฟูจริงๆ อยากโจมตีภูเขาค้างคาว นอกจากสำแดงเคล็ดวิชาวิญญาณแล้ว แต่การมาเป็นแขกของโลกแห่งอื่น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไม่อยากจะสำแดงเคล็ดวิชาวิญญาณ ถ้าหากเป็นพลังยุทธ์เช่นในตอนนี้ เกรงว่าตงป๋อเสวี่ยอิงพลิกมือครั้งเดียวก็สามารถสังหารจ้าวภูเขาค้างคาวได้แล้ว เพียงแต่ตอนนั้นมิได้กำจัดทิ้ง ในภายหลังจ้าวภูเขาค้างคาวทำการขอขมา หลายปีมานี้ก็ทำดีต่อจวนหิมะเหินมาโดยตลอด ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ย่อมมิได้เอาความอีกต่อไปแล้ว

******

“หืม”

ถึงแม้ว่าจะทำให้ตนได้รับบาดเจ็บได้ แต่ประมุขพรรคเงามารกลับมิได้ใส่ใจ ที่ผิวหนังภายนอกได้รับบาดเจ็บนี้แทบมิได้ส่งผลต่อการสูญเสียพลังชีวิตเลย

“เขาเป็นผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายอย่างนั้นหรือ เห็นได้ชัดว่าพลังคุกคามของเคล็ดวิชามิได้แข็งแกร่งพอ แต่ก็แปลกประหลาดยากคาดเดา ยากที่จะต่อกรด้วยเป็นอย่างยิ่ง” ประมุขพรรคเงามารสีหน้าเปลี่ยนแปรเล็กน้อย “มิน่าเล่า เป่ยเหอจึงได้เชิญข้าและอูเจ๋อมาร่วมลงมือด้วยกัน”

เคล็ดวิชามากมายของตงป๋อเสวี่ยอิงก่อนหน้านี้ล้วนไม่สามารถทำร้ายเขาได้เลย

ต่อมาก็ยังเป็นน้ำวนดำทะมึน หลายร้อยฝีหอก ก่อตัวเป็นน้ำวนห้วงอากาศดำทะมึนมากมายซ้อนทับกันขึ้นมา ถึงจะสามารถทำร้ายประมุขพรรคเงามารได้

“ไม่เล่นเป็นเพื่อนเขาแล้วดีกว่า” ประมุขพรรคเงามารนัยน์ตาเยียบเย็น

“โฮก…”

ประมุขพรรคเงามารอ้าปากกว้าง

เสียงโหยหวนบาดหูอันน่าหวั่นเกรงดังออกมาในทันใด ก่อตัวเป็นระลอกคลื่นที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าพุ่งแหวกน้ำวนห้วงอากาศดำทะมึนเบื้องหน้า อีกทั้งยังพุ่งตรงปะทะไปถึงยังเบื้องหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงอีกด้วย

“หืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผชิญกับการปะทะของเสียงโหยหวนนี้ ถึงแม้ว่าจะสำแดงวิชาหอกต้านทานเอาไว้ แต่ก็ยังมีระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างส่งผลกระทบไปทั่วสรรพางค์กาย การกลายเป็นอากาศธาตุถ่ายถอนการปะทะไปเป็นอันมาก ตอนนี้ร่างกายก็ไปถึงระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกว่าทั่วทั้งร่างกายเกิดอาการชา ห้วงสมองรู้สึกได้ถึงการโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่า แต่วิญญาณกล้าแกร่ง ก็ย่อมสามารถต้านทานการโจมตีเช่นนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบอยู่แล้ว

“ในที่สุดประมุขพรรคเงามารก็ใช้ท่าไม้ตายแล้วหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ ข้อมูลของหอจิตฟ้าได้บันทึกสามท่าไม้ตายของประมุขพรรคเงามารผู้สามารถจัดเป็นลำดับที่เก้าของบัญชีรายนามจักรพรรดิเทพเอาไว้อย่างชัดเจนอยู่แล้ว

พรึ่บ

ด้านหลังของประมุขพรรคเงามารพลันมีเสียงดังขึ้น ปีกโครงกระดูกคู่หนึ่งพลันปรากฏออกมา บนปีกยังมีชั้นเคลือบสีแดงเข้มชั้นหนึ่งอยู่อีกด้วย ความเร็วของประมุขพรรคเงามารก็พุ่งทะยานขึ้นมาในทันที

“พรึ่บๆๆ…” เงารางเก้าสายล้อมโจมตีเข้ามา

ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้ว่าประมุขพรรคเงามารรวดเร็ว สามารถปรากฏตัวภายในเงารางใดๆ ก็ได้

นี่มิใช่การเคลื่อนที่หรือว่าจิตสัมผัสศาสตร์โบราณพรสวรรค์แต่อย่างใด เป็นความเร็วล้วนๆ! อัตราเร็วรวดเร็วกว่า ‘วิถีกายแมลงมารห้วงอากาศ’ ของตนราวๆ เท่าหนึ่ง! ความแตกต่างก็มากมายจนเหนือธรรมดาอยู่บ้างแล้ว ก็เป็นเรื่องปกติ ประมุขพรรคเงามารขึ้นชื่อว่าเป็นผู้มีความเร็วอันดับสองของโลกเทพ แม้กระทั่งเจ้าเมืองหงส์เมฆาและบรรดาผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์คนอื่นๆ จำนวนหนึ่งก็มีความเร็วสู้เขามิได้

“พรึ่บๆๆ” มือทั้งคู่แต่เดิมของประมุขพรรคเงามารกลับกลายเป็นกรงเล็บแหลมคมขนาดมหึมา ผิวเคลือบสีแดงเข้มบนกรงเล็บถึงขนาดที่ตกผลึกอย่างสมบูรณ์แบบ กรงเล็บคู่นี้จึงจะเป็นอาวุธที่น่าหวาดหวั่นที่สุดของเขา

ประมุขพรรคเงามารอ้าปากเป็นครั้งคราว เสียงโหยหวนเสียงแล้วเสียงเล่าพุ่งปะทะ เสียงโหยหวนที่พุ่งปะทะอย่างต่อเนื่องส่งผลกระทบต่อตงป๋อเสวี่ยอิง

ความเร็วที่น่าหวาดหวั่นอย่างที่สุดห่อหุ้มตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ ทุกกรงเล็บกดดันจนตงป๋อเสวี่ยอิงได้แต่สำแดงหอกยาวต้านทาน

“เห็นได้ชัดว่าพลังคุกคามของเคล็ดวิชามากมายต่างๆ แข็งแกร่งกว่าข้า แต่การสำแดงออกจะหยาบไปสักหน่อย ข้าสามารถต้านทานเอาไว้ได้อย่างสิ้นเชิง” ขณะนี้ถึงแม้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะตกเป็นรองอยู่เล็กน้อย แต่การต้านทานก็มิได้รั่วไหลเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้ว่าเหล่าผู้แกร่งกล้าที่ไปถึงระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์ก็กำลังไล่ตามความเร้นลับของเคล็ดวิชา แต่ต่อให้ไล่ตามยิ่งกว่านี้ ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นผู้บำเพ็ญพลังสายโลหิต

เร้นลับยิ่งกว่านี้ จะเปรียบกับพวกตงป๋อเสวี่ยอิงที่หยั่งรู้กฎเกณฑ์ได้อย่างไรกัน! เหล่าผู้เหินทะยานก็กำลังหยั่งรู้วิถีอยู่เช่นกัน

พวกเขาไม่มีพลังสายโลหิต ทำได้เพียงแค่หยั่งรู้วิถีของคนเองเท่านั้น

“ข้าทำอะไรเขามิได้ เป่ยเหอ อูเจ๋อ ลงมือ” ประมุขพรรคเงามารถ่ายเสียงให้กับสหายทั้งสอง

……

จักรพรรดิเป่ยเหอและเจ้าเมืองอูเจ๋อ ผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์สองท่านนี้มาถึงยังเมืองจวิ้นซานอย่างลับๆ ก่อนหน้านี้แล้ว

พวกเขาสองคนต่างก็เก็บงำกลิ่นอายเอาไว้อย่างสมบูรณ์แบบ เพียงแค่แกล้งสำแดงกลิ่นอายจ้าวเทพช่วงต้นออกมาเท่านั้น มาถึงระดับขั้นอย่างจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์นี้แล้ว การสะกดรอยตรวจสอบเหตุปัจจัยอย่างนั้นหรือ ไร้ประโยชน์! ตรวจสอบกลิ่นอายหรือ ก็ย่อมไม่สามารถตรวจสอบพบได้อยู่แล้ว

“เป็นผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายนี่เอง พี่เป่ยเหอ มิน่าเล่าท่านจึงต้องการให้พวกเราสามคนร่วมมือกัน” มุมปากของเจ้าเมืองอูเจ๋อเผยรอยยิ้มออกมา “แต่ก็มีพลังยุทธ์เพียงเท่านี้เอง พวกเราสามคนร่วมมือกันขึ้นมา ก็มีหวังที่จะปลิดชีพเขาได้”

“อืม” จักรพรรดิเป่ยเหอพยักหน้า เพียงแต่ว่าในใจกลับรู้สึกไม่ดีนัก

เพราะมองดูประมุขพรรคเงามารและตงป๋อเสวี่ยอิงที่กำลังห้ำหั่นกันอยู่กลางอากาศนั้น จักรพรรดิเป่ยเหอก็มองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าสิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงนั้นเป็นเพียงแค่เคล็ดวิชาวิถีอากาศเท่านั้น

“เพียงแค่วิถีอากาศ เขาก็ไปถึงจักรพรรดิเทพช่วงท้ายแล้วหรือ ถึงขนาดที่เทียบเคียงได้กับผู้บำเพ็ญสายโลหิตระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์เลยหรือ” จักรพรรดิเป่ยเหอพึมพำ “ถ้าหากเขาสำแดงเคล็ดวิชาวิญญาณอีก เกรงว่าพลังยุทธ์ของพวกเราสามคนก็คงจะได้รับผลกระทบมากพอสมควรเลยทีเดียว”

“ยังดี”

“เคล็ดวิชาวิญญาณของเขา ระดับแม่ทัพเทพในตอนนั้น ก็มีเพียงแค่ผู้ที่อ่อนแอที่สุดเท่านั้นจึงจะจ่อมจมลงไปได้ แม่ทัพเทพที่แข็งแกร่งสักหน่อยก็สามารถต้านทานได้แล้ว” จักรพรรดิเป่ยเหอพึมพำ “ตอนนี้ข้ามาถึงระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์แล้ว เคล็ดวิชาวิญญาณของเขา คาดว่าก็คงจะส่งผลกระทบต่อพลังยุทธ์ของพวกเราถึงสองสามส่วนเลยทีเดียวกระมัง”

“พวกเราสามคนร่วมมือกัน! ถึงแม้ว่าจะอ่อนลงไปสักเล็กน้อย แต่ก็ส่งเสริมซึ่งกันและกันได้” จักรพรรดิเป่ยเหอคิด

นี่คือผู้ช่วยที่เขาตั้งใจเลือกเฟ้นมา

ถ้าหากเลือกจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์สองคนมาอย่างสุ่มๆ ก็อาจจะยากยิ่งที่จะก่อให้เกิดความช่วยเหลืออันยิ่งใหญ่ซึ่งกันและกัน ก็มีเพียงแค่ข้อได้เปรียบทางด้านจำนวนเท่านั้น

แต่พวกเขาสามคนสำแดงเคล็ดวิชาร่วมกันขึ้นมา… ผลลัพธ์ก็ไม่เหมือนกันแล้ว

“ถึงแม้ว่าจะอ่อนลงสองสามส่วน แต่สามคนร่วมมือกันก็ยังพอมีความหวังที่จะสังหารเขาอยู่บ้าง” จักรพรรดิเป่ยเหอเอ่ยพึมพำ

จักรพรรดิเป่ยเหอและเจ้าเมืองอูเจ๋อประสานสายตากันคราหนึ่ง

“ลงมือ!”

……

เปรี้ยง! เปรี้ยง!

เงาร่างสองสายพุ่งแหวกท้องฟ้าราวกับอสนีบาต พุ่งทะลุค่ายกลป้องกันเมืองของเมืองจวิ้นซานอย่างง่ายดายราวกับการเจาะฟองสบู่ให้แตก

กลิ่นอายของเงาร่างสองสายนี้ล้วนน่าหวาดหวั่นไม่ธรรมดา

“ย้าก!!!”

ชายชราอาภรณ์เขียวคิ้วเขียวคนหนึ่งในบรรดานั้นส่งเสียงคำราม แต่ร่างกายกลับกลายร่างเป็นมังกรไอหมอกที่มีศีรษะเป็นมังกรตนหนึ่ง! มังกรไอหมอกนี้พุ่งตรงเข้าใส่ตงป๋อเสวี่ยอิงในทันใด ไอหมอกสีเขียวปริมาณมหาศาลพันธนาการตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้อย่างบ้าคลั่งด้วยความรวดเร็ว ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวง แม้จะสำแดงวิชาหอกต้านทานเอาไว้ก็ไร้ประโยชน์ ไอหมอกเหล่านั้นแผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณรอบๆ แล้วห่อหุ้มเขาเอาไว้อย่างรวดเร็วอย่างไม่มีทางต้านทานเอาไว้ได้เลย

การห่อหุ้มชั้นแล้วชั้นเล่าทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวง พลังยุทธ์และความเร็วของเขาล้วนได้รับผลกระทบอย่างมหาศาล

“เคร้ง…”

ชายอาภรณ์เขียวชักกระบี่ยาวออกมา ประกายกระบี่ราวกับจะแยกฟ้าดินออกจากกัน ประกายกระบี่ที่ราวกับน้ำสายหนึ่งแยกทุกสิ่งทุกอย่างออกจากกัน อีกทั้งยังตัดแยกมาถึงยังตงป๋อเสวี่ยอิงนี่ด้วย ไอหมอกที่เดิมทีห่อหุ้มตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ก็แยกออกเป็นช่องว่างที่เล็กละเอียดอย่างยิ่ง ประกายกระบี่ก็ฟาดฟันเข้าไปพอดิบพอดีโดยไม่ถูกขัดขวางเลยแม้แต่น้อย

“เป่ยเหอ!” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูชายอาภรณ์เขียวผู้นั้น พลังยุทธ์ที่อีกฝ่ายสำแดงนั้นระเบิดเอาพลังยุทธ์ของระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์ออกมา ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ย่อมจำได้ด้วยการมองเพียงปราดเดียวอยู่แล้วว่า ชายอาภรณ์เขียวก็คือ ‘จักรพรรดิเป่ยเหอ’ ผู้มาจากสถานที่แห่งเดียวกันกับตนนั่นเอง

……

เหล่าผู้แกร่งกล้าแต่ละฝ่ายภายในเมืองจวิ้นซาน เดิมทียังตื่นตระหนกกับพลังยุทธ์ของจักรพรรดิเทพหิมะเหิน แม้กระทั่งอวี้เฟิงชิงอินก็ยังเผยสีหน้ายินดีสายหนึ่งออกมา รู้สึกว่าอย่างน้อยปรมาจารย์ของนางก็ยังปกป้องตัวเองได้อย่างไม่มีปัญหา

“นี่มันอะไรกันหรือ”

ผู้แกร่งกล้าแต่ละฝ่ายต่างก็ตะลึงงันไปเสียแล้ว

มองดูเงาร่างสองสายที่พุ่งมาจากฟากฟ้าแล้วพุ่งทะลุค่ายกลป้องกันเมืองได้อย่างง่ายดายนั้น นั่นก็น่าหวาดหวั่นไม่ธรรมดาเช่นกัน มีกลิ่นอายระดับเดียวกันกับประมุขพรรคเงามารเลยทีเดียว

เงารางเก้าสายนั้น!

มังกรพิษไอหมอกตนนั้น!

ประกายกระบี่ที่ตัดแยกฟ้าดินนั้น!

“สามคน ระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์สามคนอย่างนั้นหรือ” ผู้คนทั้งหลายตะลึงลานไปเสียแล้ว

ประมุขหอสิงแห่งหอจิตฟ้าที่รับผิดชอบจดบันทึกเหตุการณ์การต่อสู้ก็รู้สึกว่าปากคอแห้งผาก ผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์สามท่านล้อมโจมตีผู้แกร่งกล้าเพียงคนเดียวอย่างนั้นหรือ ในประวัติศาสตร์ของทั้งโลกเทพนั้นพบเห็นได้ยากยิ่ง ทุกเรื่องล้วนเพียงพอที่จะทำให้ทั่วทั้งโลกเทพต้องสั่นสะเทือนเลยทีเดียว

ประมุขหอสิงรีบรายงานขึ้นไปในทันทีด้วยสัญชาตญาณ “ผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์สามท่านล้อมโจมตีจักรพรรดิเทพหิมะเหินอยู่ที่เมืองจวิ้นซาน ในตอนนี้เลยขอรับ!”

ข่าวคราวแพร่มาถึงศูนย์บัญชาการของหอจิตฟ้าอย่างรวดเร็ว

ส่วนเหล่าผู้แกร่งกล้าระดับสุดยอดของโลกเทพแต่ละคนต่างก็คอยติดตามข่าวสารอยู่ที่หอจิตฟ้าในระยะยาว เมื่อได้ข้อมูลมากจนถึงระดับหนึ่งแล้วก็ต้องถ่ายทอดให้กับบรรดาผู้แกร่งกล้าเหล่านี้ในทันที

แต่ผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์สามท่านล้อมโจมตีผู้แกร่งกล้าเพียงคนเดียวอย่างนั้นหรือ ข้อมูลเช่นนี้จะต้องแจ้งให้ทราบในทันที

ข่าวคราวแพร่สะพัดออกไปอย่างรวดเร็ว

แพร่สะพัดไปยังขุมอำนาจใหญ่แต่ละฝ่ายของโลกเทพ!

………………………………

เป็นเรื่องเสียแล้ว!

ใครบ้างที่จะไม่รู้ว่าสกุลอวี้เฟิงของเขากับ ‘จักรพรรดิเทพหิมะเหิน’ พันผูกเข้าด้วยกันแล้ว ตอนนั้นจักรพรรดิเทพหิมะเหินหยัดยืนขึ้นมาจัดการศัตรูตัวฉกาจอย่างนายท่านแห่งสมาคมจิตมารเพื่อสกุลอวี้เฟิงของเขา นอกจากนี้ ‘อวี้เฟิงชิงอิน’ คุณหนูสามแห่งสกุลอวี้เฟิงยังคารวะอยู่ภายใต้สำนักของจักรพรรดิเทพหิมะเหินอีกด้วย จักรพรรดิเทพหิมะเหินก็พำนักอยู่ที่เมืองจวิ้นซานมาโดยตลอด ขุมอำนาจฝ่ายต่างๆ ทั่วทั้งโลกเทพ เกรงว่าต่างก็คงจะเห็นสกุลอวี้เฟิงและจักรพรรดิเทพหิมะเหินเป็นขุมอำนาจฝ่ายเดียวกันหมดแล้ว

“จะลากสกุลอวี้เฟิงของพวกเราไปข้องเกี่ยวด้วยหรือไม่” อวี้เฟิงจวิ้นซานและอวี้เฟิงเหลยต่างก็ร้อนรนเป็นอย่างยิ่ง

“ประมุขพรรคเงามารมาที่เมืองจวิ้นซานก็เพื่อจัดการจักรพรรดิเทพหิมะเหินอย่างนั้นหรือ”

“ให้จักรพรรดิเทพหิมะเหินไปรับความตายอย่างนั้นหรือ”

เหล่าผู้แกร่งกล้าจำนวนมากภายในเมืองจวิ้นซานต่างพากันกลั้นหายใจ

แต่ประมุขพรรคเงามารยังคงมองลงมายังเบื้องล่างเช่นเดิม จ้องเขม็งบนเงาร่างชายหนุ่มอาภรณ์ขาวที่อยู่บนทางเดินของจวนหิมะเหิน

“ปรมาจารย์ ปรมาจารย์ นี่มันเรื่องอันใดกัน นี่ เหตุใดเขา…” อวี้เฟิงชิงอินตื่นตระหนกเสียแล้ว “ทำอย่างไรดีเล่า หรือว่าจะคิดหาวิธีหนีเอาชีวิตรอดดีเล่าเจ้าคะ”

หลายปีมานี้ นางสามารถรู้สึกได้ว่าปรมาจารย์ปฏิบัติต่อนางเป็นอย่างดีโดยแท้จริง สมบัติล้ำค่ามากมายถึงเพียงนั้นก็มอบให้นางจนหมด นางเห็นปรมาจารย์เป็นเหมือนญาติที่สนิทใจกันเป็นที่สุดแล้ว แต่ตอนนี้ศัตรูเป็นถึงผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์! ลำดับที่เก้าของบัญชีรายนามจักรพรรดิเทพเลยทีเดียว! นั่นคือสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดหวั่นผู้ยืนอยู่ที่จุดสูงสุดของโลกเทพ แล้วอวี้เฟิงชิงอินจะไม่หวั่นเกรงได้อย่างไรกัน

นางกลัว กลัวว่าปรมาจารย์จะตาย!

“ชิงอิน อย่าได้กลัวไปเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงแย้มยิ้ม จากนั้นก็หมุนกายเงยหน้ามองไปทางประมุขพรรคเงามารผู้นั้น เขาก้าวยาวๆ ก้าวหนึ่ง เงาร่างก็แปรเปลี่ยนกลายเป็นเงาราง ตอนนี้ระดับขั้นของเขายิ่งสูง ทั้งยังทำให้วิถีกายแมลงมารห้วงอากาศสมบูรณ์อีกครั้ง ก้าวยาวๆ ก้าวหนึ่ง ระหว่างห้วงฟ้าดินก็เหลือเงารางอยู่ร่างหนึ่ง ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไปเผชิญหน้ากับประมุขพรรคเงามารที่อยู่กลางอากาศผู้นั้น

“ประมุขพรรคเงามาร” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปากถามอย่างสงสัย “ข้าเคยได้ยินชื่อเสียงอันองอาจของท่านมาก่อน เพียงแค่ว่าข้าอยู่ในเมืองจวิ้นซานมาโดยตลอด มุ่งมั่นบำเพ็ญเพียงอย่างเดียว ไม่อยากจะข้องเกี่ยวกับการต่อสู้แก่งแย่งมากมายของโลกเทพ ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยพบท่านประมุขพรรคเงามารมาก่อนเลย ไม่รู้ว่าเหตุใดประมุขพรรคเงามารจึงมาถึงเมืองจวิ้นซานเพื่อหมายจะสังหารข้ากันเล่า”

“ยังจะแกล้งทำอีกหรือ ฉวีเฉินลูกศิษย์ข้าตายไป ข้าตรวจสอบพบแล้วว่าเขาตายด้วยน้ำมือเจ้า” นัยน์ตาสีแดงโลหิตทั้งคู่ของประมุขพรรคเงามารเต็มไปด้วยแววอาฆาต “ถึงเวลานี้แล้วเจ้ายังจะแกล้งทำเป็นไม่รู้อีกหรือ”

“ลูกศิษย์ของเจ้า ฉวีเฉินหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้ง

ประมุขพรรคเงามารมีอิทธิพลมารอันกล้าแกร่ง เป็นถึงพญามารผู้ยิ่งใหญ่ อีกทั้งยังก่อตั้งสำนักวิชาด้วย! ศิษย์ถ่ายทอดเองของเขาก็มีอยู่ถึงหนึ่งร้อยสามคน!

นอกจากนี้ ประมุขพรรคเงามารก็มีเงื่อนไขอันรุนแรงอย่างยิ่งต่อศิษย์ ลูกศิษย์บุกฝ่าแล้วตายตกไปอยู่ข้างนอก สำหรับประมุขพรรคเงามารแล้วก็หมายความว่าลูกศิษย์มีพลังยุทธ์ไม่เพียงพอ ก็ย่อมมิได้ใส่ใจอยู่แล้ว จนถึงตอนนี้ลูกศิษย์ของเขาก็ตายตกไปเป็นส่วนใหญ่แล้ว เหตุใดอยู่ดีๆ จึงตามล่าสังหารตนถึงที่นี่เพราะลูกศิษย์เพียงคนเดียวเล่า

“มิใช่ว่าผิดพลาดไปแล้วหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้วเอ่ยปากพูด

“ไม่ผิดหรอก ฆาตกรก็คือเจ้านั่นแหละ! หึๆ จักรพรรดิเทพหิมะเหิน กล้าสังหารฉวีเฉินลูกศิษย์ข้า แต่ไม่มีความกล้าที่จะยอมรับอย่างนั้นหรือ” แววอาฆาตของประมุขพรรคเงามารยิ่งเข้มข้นขึ้น เขาจ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างละเอียด คล้ายว่าเตรียมพร้อมที่จะลงมือได้ตลอดเวลา

ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบทอดถอนใจ

เขามิได้ลงมือ

นอกจากนี้ระดับขั้นของตนก็ยังไม่สามารถสะกดรอยเหตุปัจจัยมาถึงตนได้ด้วย! บวกกับในอดีตประมุขพรรคเงามารก็ไม่เคยใส่ใจความเป็นความตายของลูกศิษย์มาก่อนเลย แต่คราวนี้กลับมาให้ความสนใจเช่นนี้ อีกทั้งยังเดือดร้อนมาถึงตนด้วย… ทั้งหมดนี้ก็บอกอย่างชัดเจนแล้วว่าอีกฝ่ายนั้นเจตนา!

“ประมุขพรรคเงามาร ในเมื่อต้องการจะลงมือ ก็อย่าได้เปลืองน้ำลายอีกเลย สนใจแต่เรื่องลงมือก็พอแล้ว!” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยเสียงเย็น “หาเหตุผลไร้สาระ ก็ได้แต่ทำให้ข้าดูแคลนท่านเท่านั้นแหละ”

ประมุขพรรคเงามารสะดุ้งคราหนึ่ง มุมปากแสยะยิ้มแล้วหัวเราะขึ้นมา “ฮ่าฮ่า น่าสนใจ น่าสนใจ! เช่นนั้น…”

“เปลืองน้ำลายให้น้อยหน่อยเถิด!”

ตงป๋อเสวี่ยอิงยื่นมือออกมา แล้วหอกยาวสีดำเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือ

ปัง!!!

สองมือกุมหอกยาวแล้วกระแทกไปข้างหน้าอย่างโกรธเกรี้ยว

……

“อะไรกัน จะประมือกันเช่นนี้เลยหรือ”

“จักรพรรดิเทพหิมะเหินเริ่มลงมือก่อนเลยหรือ”

ผู้ที่ชมดูอยู่มากมายทั่วทั้งเมืองจวิ้นซานต่างพากันตกอกตกใจ สำหรับพวกเขาแล้ว ‘ประมุขพรรคเงามาร’ คือผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์เลยทีเดียวนะ! เผชิญกับผู้แกร่งกล้าเช่นนี้ ต้องอธิบายอย่างสุดกำลัง ถึงขนาดที่เสนอสมบัติล้ำค่าให้ ดูว่าจะสามารถจัดการเรื่องนี้ได้หรือไม่ ก็ต้องคิดหาวิธีหนีเอาชีวิตรอด! จะได้พูดเพียงแค่สองประโยคแล้วออกกระบวนท่ากับผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์ในทันทีได้เลยอย่างไรกัน

“พรึ่บ…” ค่ายกลเหนือท้องฟ้าทั่วทั้งเมืองจวิ้นซานปรากฏขึ้น คุ้มครองทั่วทั้งปราการเมืองเอาไว้อย่างสมบูรณ์

ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงและประมุขพรรคเงามารก็อยู่ที่ด้านบนของปราการเมืองแล้ว

อวี้เฟิงเหลยและอวี้เฟิงจวิ้นซาน สองคนที่ควบคุมค่ายกลอยู่ประสานสายตากันคราหนึ่ง

“เฮ้อ ข้าอยากจะเกาะแข้งเกาะขาจักรพรรดิเทพหิมะเหินผู้นี้เอาไว้ สามารถทำให้สกุลอวี้เฟิงของข้าได้รับผลประโยชน์มากมายมหาศาล หลายปีมานี้พวกเราก็ได้ประโยชน์มากมายจริงๆ แม้กระทั่งเจ้า เหลยเอ๋อร์ ก็ยังอาศัยสมบัติล้ำค่าที่จักรพรรดิเทพหิมะเหินมอบให้กับชิงอิน ไปถึงระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางเลย” อวี้เฟิงจวิ้นซานส่ายศีรษะ “จะคิดถึงเสียที่ไหนกันว่าหายนะเช่นนี้จะมาเยือน ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดประมุขพรรคเงามารจึงอยากจะสังหารจักรพรรดิเทพหิมะเหิน ถ้าหากพาลโมโหสกุลอวี้เฟิงของข้าเข้า สกุลอวี้เฟิงของข้าก็ย่อมไม่มีแรงต้านทานอยู่แล้ว”

เพียงแค่กระบวนท่าเดียวเท่านั้น

เกรงว่าทั่วทั้งเมืองจวิ้นซานก็คงกลายเป็นผุยผง! ภายใต้เคล็ดวิชาที่กินอาณาบริเวณใหญ่โตเช่นนี้ เกรงว่าคงจะมีเพียงอวี้เฟิงเหลยผู้เป็นจักรพรรดิเทพช่วงกลางเท่านั้นที่พอจะฝืนเอาชีวิตรอดได้ ถึงเวลานั้นประมุขพรรคเงามารออกกระบวนท่ามาอีกกระบวนท่าหนึ่ง อวี้เฟิงเหลยก็ต้องจบชีวิตอย่างไร้ข้อกังขาแล้ว

“จักรพรรดิเทพหิมะเหินอาศัยอยู่ที่เมืองจวิ้นซานมาโดยตลอด ก็คงจะมิได้มีความแค้นกับประมุขพรรคเงามารหรอกกระมัง” อวี้เฟิงเหลยเอ่ยอย่างกังวลใจ

“ใครจะไปรู้ได้เล่า ไม่แน่ว่าก่อนหน้าที่จะมายังเมืองจวิ้นซานก็อาจเคยมีความแค้นกับประมุขพรรคเงามารมาก่อนแล้วก็เป็นได้” แต่อวี้เฟิงจวิ้นซานกลับไม่สงบเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาต่างก็เข้าใจว่าก่อนหน้านี้จักรพรรดิเทพหิมะเหินซ่อนเร้นพลังยุทธ์มาโดยตลอด ก่อนหน้าที่จะมายังเมืองจวิ้นซาน จักรพรรดิเทพหิมะเหินก็คงจะมีพลังยุทธ์อันน่าหวั่นเกรงเช่นนี้อยู่แล้ว มิฉะนั้นพลังยุทธ์จะยกระดับอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน ตอนแรกเริ่มเพิ่งจะเป็นเพียงจ้าวเทพช่วงต้น มาถึงยังเมืองจวิ้นซานเพียงไม่กี่วันก็มีพลังกดดัน ‘จ้าวภูเขาค้างคาว’ ผู้เป็นจ้าวเทพช่วงสุดยอด อีกแปดล้านปีให้หลังก็สามารถปลิดชีพนายท่านแห่งสมาคมจิตมารได้อีกอย่างนั้นหรือ

สำหรับพวกเขาแล้วจะต้องเป็นพลังยุทธ์ที่ซ่อนเร้นเอาไว้ก่อนหน้านี้อย่างแน่นอน

ในความเป็นจริงแล้วที่ก่อนหน้านี้ยกระดับได้อย่างรวดเร็วก็เป็นเพราะหลังจากที่ตงป๋อเสวี่ยอิงได้ตำราการบำเพ็ญมาครอบครองแล้วก็ฟื้นฟูพลังยุทธ์อย่างรวดเร็วเท่านั้น

“ลำดับที่เก้าของบัญชีรายนามจักรพรรดิเทพเลยเชียวนะ” อวี้เฟิงจวิ้นซานสีหน้าซีดขาวไปหมด

เขาย่อมมิได้มีความเชื่อใจในตัวจักรพรรดิเทพหิมะเหินเลยแม้แต่น้อยอยู่แล้ว

*******

ปัง ปัง ปัง…

สองฝ่ายต่อสู้กันด้วยความเร็วสูงยิ่ง ตงป๋อเสวี่ยอิงถึงขนาดที่ควบคุมอากาศต้านทานผลกระทบที่แผ่ออกมาเอาไว้ ป้องกันมิให้กระทบไปถึงเมืองจวิ้นซานที่อยู่เบื้องล่าง

ถึงแม้ว่าขณะนี้เมืองจวิ้นซานก็รักษาค่ายกลเอาไว้ แต่ภายใต้ผลกระทบจากการต่อสู้ของ ‘ประมุขพรรคเงามาร’ ถ้าหากปะทะเข้าเต็มๆ ค่ายกลคุ้มกันเมืองก็คงต้านทานเอาไว้ไม่ไหวจริงๆ!

อิทธิพลของการต่อสู้ยิ่งใหญ่เกินไป ด้านล่างก็ย่อมมองเห็นได้ไม่ชัดเจนอยู่แล้ว

อวี้เฟิงจวิ้นซาน อวี้เฟิงเหลย ประมุขหอสิง จ้าวภูเขาค้างคาว และคนอื่นๆ ต่างก็เงยหน้าขึ้นมองอย่างตื่นเต้น ก็เห็นเพียงแค่ว่าเบื้องบนเต็มไปด้วยผลกระทบต่างๆ นานาส่งเสียงโครมคราม

“ปัง…”

ห้วงมิติชิ้นโตราวกับก้อนน้ำแข็งขนาดมหึมาที่แขวนลอยอยู่กลางเวหา ภายในก้อนน้ำแข็งก็กดดันประมุขพรรคเงามารผู้นั้นเอาไว้ ทั่วทั้งก้อนน้ำแข็งขนาดมหึมายังกดดันให้เล็กบางลงอย่างหมายจะเอาชีวิตอีกด้วย

ทว่าประมุขพรรคเงามารกลับกระทืบเท้าขวาคราหนึ่งในทันใด ขาขวาของเขาใหญ่หนาขึ้นรอบหนึ่ง หลังจากกระทืบคราหนึ่งแล้วทั่วทั้งก้อนน้ำแข็งขนาดมหึมาก็สั่นสะเทือนไปหมด จากนั้นก็พังทลายลงอย่างรวดเร็ว

“ฉึกๆๆ…” ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับบุกเข้ามาอีกครั้ง เงาหอกทิ่มแทงอย่างดุดันอย่างต่อเนื่อง

เงาหอกทุกสายต่างก็ก่อตัวเป็นกระแสน้ำวนห้วงอากาศดำทะมึนสายหนึ่ง น้ำวนห้วงอากาศนี้โอบล้อมประมุขพรรคเงามารเอาไว้ ที่ศูนย์กลางของน้ำวนก็บดขยี้ทุกสิ่งทุกอย่างอย่างบ้าคลั่ง อีกทั้งยังดำสนิทด้วย!

ในชั่วพริบตาก็มีน้ำวนห้วงอากาศดำทะมึนหลายร้อยสายอยู่กลางอากาศ โคจรหมุนวนต่อเนื่องกัน อีกทั้งยังก่อตัวเป็นน้ำวนที่มีขนาดใหญ่โตยิ่งขึ้น ไล่บี้สังหารประมุขพรรคเงามาร ความเร็วอันน่าหวาดหวั่นของประมุขพรรคเงามารก็มิอาจสำแดงออกมาได้ภายใต้กระแสน้ำวนนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกระแสน้ำวนมากมายรวมตัวเข้าด้วยกันกลายเป็นกระแสน้ำวนขนาดใหญ่ขึ้น ผิวหนังสีแดงเข้มบนร่างเขาที่ถูกบิดก็เริ่มปริแตกออก เผยให้เห็นผิวเนื้อสีแดงที่อยู่ภายใน ผิวเนื้อนี้ถึงแม้จะทนทานแต่ก็ยังคงถูกฉีกทึ้งจนเป็นแผลปรากฏขึ้นมา โลหิตหยดแล้วหยดเล่าหลั่งรินอยู่ภายในน้ำวนห้วงอากาศดำทะมึนแล้วถูกบิดสังหารจนกลายเป็นความว่างเปล่าอย่างรวดเร็ว

“เห็นชัดเจนแล้ว”

หลังจากที่ก้อนน้ำแข็งขนาดมหึมากดดันแล้ว เหล่าผู้แกร่งกล้ามากมายภายในเมืองจวิ้นซานจึงมองเห็นการต่อสู้เบื้องบนได้อย่างชัดเจน

เมื่อยามที่น้ำวนห้วงอากาศดำทะมึนหลายร้อยสายโอบล้อมประมุขพรรคเงามาร แต่ละคนต่างก็ตะลึงงันไปเสียแล้ว

“อะไรกัน ประมุขพรรคเงามารได้รับบาดเจ็บแล้วนี่”

“นี่ นี่มัน…”

“ประมุขพรรคเงามารถึงกับได้รับบาดเจ็บด้วยหรือนี่”

มองดูโลหิตหลั่งรินหยดแล้วหยดเล่า เหล่าผู้แกร่งกล้าภายในเมืองจวิ้นซานต่างก็มองอย่างตกตะลึงไปเสียแล้ว ‘อวี้เฟิงจวิ้นซาน’ และ ‘อวี้เฟิงเหลย’ ที่มิได้มีความเชื่อมั่นในตัวตงป๋อเสวี่ยอิงก็ตะลึงงันไปเสียแล้ว

อะไรกัน

จักรพรรดิเทพหิมะเหินสามารถต่อกรกับประมุขพรรคเงามารโดยไม่ตกเป็นรองเลยแม้แต่น้อยอย่างนั้นหรือ นี่ก็คือจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์! ลำดับที่เก้าของทั้งบัญชีรายนามจักรพรรดิเทพเลยทีเดียวนะ!

…………………………………………

“ไม่ชอบหรือเจ้าคะ” อวี้เฟิงชิงอินผิดหวังอยู่บ้าง

“ก็ยังนับว่ารสชาติพอใช้ได้อยู่ เพียงแต่ว่ามิค่อยจะถูกกับรสนิยมของข้าสักเท่าใดนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงวางจอกสุราลงยิ้มๆ

“อ้อ” อวี้เฟิงชิงอินพลิกฝ่ามือแล้วก็มีไหสุราปรากฏขึ้นอีก “ข้ายังมีอีกนะเจ้าคะ ท่านปรมาจารย์ ลองชิมอันนี้ดูอีกสักหน่อยสิเจ้าคะ”

สุราชั้นเลิศไหแล้วไหเล่าที่ลูกศิษย์หญิงตั้งใจรวบรวมมาให้ท่านปรมาจารย์ลิ้มรส

ในที่สุดตงป๋อเสวี่ยอิงก็เลือกมาสามชนิดด้วยรอยยิ้มร่า อวี้เฟิงชิงอินส่งมาให้เป็นจำนวนมากด้วยความยินดี เพราะว่านางได้เตรียมสุราชั้นเลิศแต่ละชนิดเอาไว้เป็นจำนวนมากแล้ว

“อย่าพูดถึงสุราชั้นเลิศอีกเลย การบำเพ็ญของเจ้าเป็นอย่างไรบ้างแล้วเล่า เหตุใดจึงยังอยู่ที่ระดับจ้าวเทพช่วงสุดยอดอยู่อีก ประสบปัญหาอันใดเข้าหรือ ตลอดมาจึงยังมิได้บรรลุเสียที” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยถาม

ทันใดนั้นอวี้เฟิงชิงอินก็เคอะเขินขึ้นมาบ้าง

ตอนนั้นหลังจากที่ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับมาจากเมืองมังกรเหล็กแล้ว เพียงไม่นานก็มอบใบไม้โลกเฉานั้นให้กับลูกศิษย์หญิง ‘ใบไม้โลกเฉา’ นี้ก็คือสมบัติที่ช่วยส่งเสริมการบำเพ็ญสายโลหิตชิ้นหนึ่ง ล้ำเลิศเป็นที่สุด แม้กระทั่งคุณชายใหญ่จวนมังกรเหล็กก็ยังเจตนาถามหา หมายจะตระเตรียมเอาไว้ให้บุตรสาว หลังจากที่ตงป๋อเสวี่ยอิงมอบให้กับลูกศิษย์หญิงแล้ว ความเร็วในการบำเพ็ญของลูกศิษย์หญิงก็ย่อมพุ่งทะยาน บวกกับตงป๋อเสวี่ยอิงยังมอบสมบัติล้ำค่าชิ้นอื่นๆ จำนวนหนึ่งให้กับลูกศิษย์หญิงเป็นของกำนัลอยู่เป็นประจำอีกด้วย

ถึงอย่างไรเขาก็จัดการจักรพรรดิเทพเฮ่อต้งผู้นั้น จัดการจักรพรรดิเทพสามท่านใต้บังคับบัญชาของประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวไปแล้ว

แล้วยังปล้นชิงสมบัติล้ำค่าของประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวผู้นั้นจนหมด คุณชายใหญ่จวนมังกรเหล็กก็ถูกปล้นชิงเช่นกัน หรือแม้กระทั่งเจ้าเมืองมังกรเหล็กก็ยังส่งมอบสมบัติล้ำค่ามูลค่าหนึ่งแสนหยกแก้วคละถิ่นให้…อันที่จริงแล้วการบำเพ็ญความเร้นลับของกฎเกณฑ์ สมบัติล้ำค่าเหล่านั้นส่วนใหญ่ล้วนไม่มีประโยชน์ต่อเขาเลย บางส่วนที่สุดยอดก็มีจำนวนมากที่พอจะมีประโยชน์ต่อระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายหรือแม้กระทั่งจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์อยู่บ้าง เขาก็ย่อมมิได้มอบให้กับลูกศิษย์หญิงอยู่แล้ว

ถึงอย่างไรลูกศิษย์หญิงก็เพิ่งจะเป็นเพียงแค่ระดับจ้าวเทพเท่านั้น! อีกทั้งสมบัติล้ำค่าที่มากมายเกินไป ก็เป็นกังวลว่าจะดึงดูดเรื่องเดือดร้อนเข้ามา

ใบไม้โลกเฉา นับได้ว่าเป็นชิ้นที่ล้ำค่าที่สุดที่มอบให้ สมบัติล้ำค่าชิ้นอื่นๆ จำนวนหนึ่งที่กระจัดกระจายกัน ทุกชิ้นไม่นับว่าแพง แต่มีอยู่เป็นจำนวนมาก รวมกันขึ้นมาแล้วก็มีราคาเกินกว่าหนึ่งหมื่นหยกแก้วคละถิ่นแล้ว จำนวนมากนั้นล้วนเป็นสมบัติล้ำค่าที่ช่วยส่งเสริมการบำเพ็ญของประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิว

“ข้ารู้สึกว่าใกล้แล้ว ใกล้จะบรรลุแล้วเจ้าค่ะ” อวี้เฟิงชิงอินพูด

“เฮอะ หลังจากที่ข้าออกจากการปลีกวิเวกในครั้งนี้ เหตุใดจึงได้ยินว่าอวี้เฟิงเหลยพี่ชายเจ้าบรรลุไปถึงระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางแล้วเล่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยถาม “เจ้ายกสมบัติล้ำค่าจำนวนหนึ่งให้กับพี่ชายเจ้าอย่างนั้นหรือ”

‘อวี้เฟิงเหลย’ แห่งสกุลอวี้เฟิงนั้นช่างมีพรสวรรค์สูงส่งอย่างแท้จริง

ก่อนหน้าที่ตงป๋อเสวี่ยอิงจะมาถึง อวี้เฟิงเหลยก็คือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาจ้าวเทพช่วงสุดยอด หลังจากที่สำเร็จเป็นจักรพรรดิเทพช่วงต้นแล้ว พลังยุทธ์ของเขาก็สามารถข่ม ‘อวี้เฟิงจวิ้นซาน’ บิดาของเขาได้เลยทีเดียว คราวนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงออกจากการปลีกวิเวกก็ได้รับข่าวว่าอวี้เฟิงเหลยบรรลุไปถึงระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางเรียบร้อยแล้ว

“มิใช่ๆ”

อวี้เฟิงชิงอินเอ่ยอย่างตกใจ “ปรมาจารย์ ท่านดูสิ สมบัติล้ำค่ายังอยู่กับข้านี่แหละ” พูดแล้วบนข้อมือก็มีกำไลเก็บวัตถุวงหนึ่งปรากฏขึ้น

ตงป๋อเสวี่ยอิงกวาดสายตามองปราดหนึ่ง สติรับรู้แทรกผ่านกำไลเก็บวัตถุได้อย่างง่ายดาย ใบไม้โลกเฉายังอยู่! สมบัติล้ำค่าส่วนใหญ่ก็ยังอยู่ทั้งสิ้น

“สมบัติล้ำค่ามีไว้ใช้! หากไม่ใช้สมบัติล้ำค่าแล้วเจ้าจะบรรลุได้อย่างไรกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้ว “ต่อไปอีกร้อยล้านปีข้างหน้า เจ้าจะต้องสมบัติล้ำค่าเหล่านี้ให้หมดไปส่วนหนึ่ง! บรรลุไปถึงระดับจักรพรรดิเทพช่วงต้นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้”

จักรพรรดิเทพช่วงต้น…

สำหรับประชากรโลกเทพที่บำเพ็ญพลังสายโลหิต ถ้าหากมีสมบัติล้ำค่ามากพอ เพียงแค่หยั่งรู้ก็ยังได้ หรือว่ายังสามารถบ่มเพาะมาจนถึงระดับนี้ได้

อย่างเช่นเจ้าเมืองมังกรเหล็กก็บ่มเพาะบุตรชายบุตรสาวที่มีอยู่ทั้งหมดของเขาไปจนถึงระดับขั้นจักรพรรดิเทพ

คนที่ไม่ชมชอบการบำเพ็ญอย่างประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิว แต่ชมชอบการหาความสุขเป็นที่สุด ก็ยังถูกฝืนบ่มเพาะจนไปถึงระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลาง

“เจ้าค่ะๆ” อวี้เฟิงชิงอินรับคำอย่างเชื่อฟัง ในใจลอบทอดถอนใจ

นางได้มอบสมบัติล้ำค่าที่มีผลอันน่าอัศจรรย์ต่อตัว ‘อวี้เฟิงเหลย’ ผู้เป็นพี่ชายให้เป็นของกำนัลกับเขาจริงๆ หลังจากที่พี่ชายได้ใช้ บวกกับการบำเพ็ญที่สั่งสมมาเกือบสามแสนล้านปี ก็มีความหวังที่จะบรรลุไปถึงระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางได้

ยามที่พี่ชายปลีกวิเวก อวี้เฟิงชิงอินก็ให้ยืม ‘ใบไม้โลกเฉา’ เป็นการชั่วคราว! ความสัมพันธ์ของพวกเขาพี่น้องสร้างขึ้นมาเป็นระยะเวลายาวนานแล้ว นางมีความมั่นใจในตัวพี่ชายนางเป็นอย่างยิ่ง

อวี้เฟิงเหลยผู้เป็นพี่ชาย…บรรลุไปถึงระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางแล้วจริงๆ หลังจากบรรลุแล้วก็เพียงแค่คืนใบไม้โลกเฉาให้กับน้องสาว เพราะว่าสมบัติล้ำค่าอย่างใบไม้โลกเฉานี้มีส่วนช่วยเหลือผู้อ่อนแอเป็นอย่างมาก ยิ่งพลังยุทธ์แข็งแกร่งก็ยิ่งมีส่วนช่วยเหลือน้อย ตามปกติเมื่อถึงระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางแล้วก็มีส่วนช่วยเหลือน้อยจนสามารถมองข้ามได้

“รอจนชิงอินบรรลุไปถึงระดับขั้นจักรพรรดิเทพ ข้าก็สามารถไปจากโลกใบนี้ได้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ

เขาได้ซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นทางสายห้วงอากาศมาครองแล้ว โลกใบนี้ก็มีแรงดึงดูดต่อเขาน้อยเหลือเกินแล้ว อย่างมากก่อนหน้าที่จะจากไป ก็ไปประลองยุทธ์กับ ‘เจ้าเมืองหงส์เมฆา’ อันดับหนึ่งของโลกเทพสักคราหนึ่ง! ยังมีตำราการบำเพ็ญของผู้เหินทะยานที่แข็งแกร่งที่สุดของวิถีอากาศผู้นั้นอีก พอถึงเวลานั้นก็คิดหาวิธีไปทำข้อตกลงสักรอบหนึ่ง เมื่อเสร็จเรียบร้อยก็สามารถจากไปได้แล้ว

ที่โลกแห่งนี้…

สิ่งเดียวที่ตงป๋อเสวี่ยอิงให้ความสนใจก็คือลูกศิษย์หญิงผู้นี้ ถึงอย่างไรนางก็กราบตนเป็นอาจารย์ ก็ต้องพยายามจัดการทุกสิ่งทุกอย่างให้ดี เขาเองก็เดาได้ว่าลูกศิษย์หญิงน่าจะมอบสมบัติล้ำค่าให้ ‘อวี้เฟิงเหลย’ ผู้เป็นพี่ชายของนางใช้ เพราะว่าสมบัติล้ำค่าที่ตนมอบให้ในตอนนั้นก็มีบางส่วนที่มีประโยชน์ต่อจักรพรรดิเทพช่วงต้นเป็นอย่างมาก

“ก็ดีเหมือนกัน พี่ชายของนางแข็งแกร่งสักหน่อยก็เป็นผลดีต่อนางเอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ

ในขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงดื่มสุราไปพลาง ไถ่ถามถึงสถานการณ์การบำเพ็ญของลูกศิษย์หญิงไปพลางอยู่นั้นเอง ทันใดนั้น…

“ครืน…”

ทั่วทั้งผืนดินของเมืองจวิ้นซานก็กระเพื่อมคราหนึ่งราวกับคลื่นน้ำ

ในขณะนั้นทั่วทุกหนแห่งของเมืองจวิ้นซานก็ส่งเสียงดังโครมครามกึกก้อง อาคารที่สร้างขึ้นจำนวนหนึ่งก็พังทลายลงมาในทันใด

“เรื่องอันใดกัน”

“ระลอกคลื่นนี้…”

เมืองจวิ้นซานปั่นป่วนขึ้นมาอย่างสิ้นเชิง เหล่าประชากรโลกเทพจำนวนนับไม่ถ้วนแต่ละคนพากันเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ระลอกคลื่นอันน่าหวาดหวั่นเมื่อครู่นี้ทำให้ฟ้าดินทั่วอาณาบริเวณของเมืองจวิ้นซานสั่นสะท้านไปหมด! ราวกับว่าในชั่วพริบตาก็จะทำให้ทั่วอาณาบริเวณของเมืองจวิ้นซานแหลกสลายไปอย่างไรอย่างนั้น

“หืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้วมุ่นแล้วยืนขึ้นในทันใด

“ปรมาจารย์ ข้างนอกเกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ” อวี้เฟิงชิงอินก็ตื่นตระหนกอยู่บ้าง

“อย่าได้กังวลใจไปเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดแล้วนำทางศิษย์เดินออกไปจากห้อง เขายืนอยู่บนทางเดินพลางมองท้องฟ้าไกลออกไปอยู่ห่างๆ เพียงปราดเดียวก็มองเห็นว่ากลางผืนฟ้าไกลออกไปมีเงาร่างที่แผ่กลิ่นอายสีแดงโลหิตสายหนึ่งอยู่ เมื่อเห็นแล้วสีหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงก็แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย

“เป็นเขาหรือ ประมุขพรรคเงามารผู้เป็นลำดับที่เก้าในบัญชีรายนามจักรพรรดิเทพอย่างนั้นหรือ เขามาทำอะไรที่เมืองจวิ้นซานกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งตกตะลึงทั้งสงสัย

ตนเองเป็นผู้มาจากภายนอกคนหนึ่งที่มาเยือนโลกแห่งนี้ ผู้ที่มีความแค้นต่อกันอย่างแท้จริงมีน้อยจนสามารถนับนิ้วได้

ประมุขพรรคเงามารผู้นี้กับตนจะต้องไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันจึงจะถูกต้อง!

เช่นนั้น…

เหตุใดประมุขพรรคเงามารจึงมายังเมืองจวิ้นซานกันเล่า อีกทั้งยังเห็นได้ชัดเจนว่ามิได้มาดี!

……

ในขณะนี้

ประมุขพรรคเงามารยืนอยู่กลางเวหาของเมืองจวิ้นซาน กลิ่นอายอันไร้รูปร่างที่แผ่ออกมาทำให้ทั่วทั้งฟ้าดินสั่นสะเทือนไปหมด ทั่วทุกหนแห่งของทั้งเมืองจวิ้นซานที่อยู่เบื้องล่างล้วนสั่นสะเทือนไปหมด สิ่งปลูกสร้างมากมายทั่วเมืองจวิ้นซานพังทลายลงอย่างต่อเนื่อง อาคารที่มีค่ายกลพยุงไว้อยู่ก็ยังสามารถต้านทานเอาไว้ได้ ประชากรโลกเทพจำนวนมากสีหน้าซีดขาว เพราะว่าความรู้สึกกดดันที่กลิ่นอายที่แผ่ออกมานั้นนำมา ทำให้ในใจของพวกเขาหวาดหวั่นเป็นอย่างยิ่ง

จักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์! นี่หมายถึงสิ่งมีชีวิตระดับขั้นที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกเทพ ภายใต้ความนึกคิดเดียวของพวกเขาก็สามารถทำให้อาณาบริเวณล้านลี้กลายเป็นดินแดนที่พินาศย่อยยับได้แล้ว! บรรดาประชากรของเมืองจวิ้นซานคนไหนจะไม่หวั่นกลัวบ้างเล่า

“เป็นประมุขพรรคเงามาร”

“ประมุขพรรคเงามาร”

ผ้าคลุมกันลมสีแดงโลหิตผืนมหึมานั้น ผิวกายเคลือบคลุมด้วยสีแดงเข้มตลอดร่าง เขาเดี่ยวที่ดูคล้ายว่าจะทิ่มแทงทลายเวหา กับนัยน์ตาสีแดงโลหิตที่มองต่ำลงมายังเบื้องล่าง ภาพของประมุขพรรคเงามารนั้นเป็นเอกลักษณ์อย่างยิ่งแม้แต่ในบรรดาระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์

ผู้แกร่งกล้ามากมายภายในเมืองจวิ้นซานล้วนจำตัวตนของผู้มาเยือนได้

เพราะว่าจำได้ จึงได้หวาดหวั่นไม่เป็นสุข!

ลำดับที่เก้าของบัญชีรายนามจักรพรรดิเทพอย่างนั้นหรือ

ผู้แกร่งกล้าระดับนี้…ไม่เคยมาเยือนเมืองจวิ้นซานมาก่อนเลยในประวัติศาสตร์

“เหตุใดเขาจึงมายังเมืองจวิ้นซานเล่า” ‘ประมุขหอสิง’ ของหอจิตฟ้าแห่งเมืองจวิ้นซานรายงานขึ้นไปด้วยจิตใจไม่เป็นสุข

พรึ่บ! พรึ่บ!

เงาร่างสองสายทะยานออกจากจวนตระกูลอวี้เฟิง ซึ่งก็คืออวี้เฟิงจวิ้นซานและร่างแปรของอวี้เฟิงเหลย พวกเขาสองคนต่างก็ไม่เป็นสุขเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าประมุขพรรคเงามารขึ้นชื่ออยู่ข้างนอก

โหดเหี้ยมข่มพวกเขาสองคน พวกเขามิกล้านำร่างจริงไปพบ ด้วยเกรงว่าประมุขพรรคเงามารพลิกฝ่ามือเพียงครั้งเดียวก็จะล้างผลาญร่างจริงของพวกเขาสองคนได้แล้ว

“ท่านประมุขพรรคเงามารมายังเมืองจวิ้นซานของข้า ช่างเป็นเกียรติแก่เมืองจวิ้นซานของข้ายิ่งนัก” อวี้เฟิงจวิ้นซานคารวะอย่างเคารพนบนอบ “ข้าน้อยเจ้าเมืองจวิ้นซาน มิทราบว่าท่านประมุขพรรคเงามารมายังเมืองจวิ้นซานของข้าด้วยเรื่องอันใดกันหรือขอรับ ขอเพียงแค่มีบัญชาต่อสกุลอวี้เฟิงของข้า สกุลอวี้เฟิงก็จะพยายามสุดความสามารถอย่างแน่นอนขอรับ”

“มาหาพวกเจ้าถึงที่นี่ก็ย่อมมีธุระแน่นอนอยู่แล้วสิ”

เขาเดี่ยวของประมุขพรรคเงามารชี้ขึ้นเล็กน้อย เขากวาดสายตามองทั่วทั้งเมืองจวิ้นซานรอบหนึ่ง จากนั้นก็หยุดลงบนทางเดินแห่งนั้นที่อยู่ในจวนหิมะเหินซึ่งอยู่ไกลออกไป บนร่างของชายหนุ่มอาภรณ์ขาวที่ยืนเคียงไหล่กับอวี้เฟิงชิงอิน

ในขณะนี้

ทั่วทั้งเมืองจวิ้นซานล้วนเต็มไปด้วยความเงียบสงัด ภายใต้ความกดดันของวิญญาณนั้น แม้กระทั่งบรรดาเด็กทารกเหล่านั้นก็ยังมิกล้าส่งเสียงร้อง ประชากรโลกเทพจำนวนนับไม่ถ้วนต่างก็เงยหน้ามอง ‘ประมุขพรรคเงามาร’ ผู้อยู่กลางอากาศที่แผ่กลิ่นอายสีแดงโลหิตล้นฟ้าออกมา

“จักรพรรดิเทพหิมะเหิน ออกมารับความตายแต่โดยดี!” ประมุขพรรคเงามารเอ่ยปากพูด เสียงของเขาดังสนั่นราวกับสายฟ้าฟาด ระเบิดไปทั่วทุกหนแห่งในปราการเมือง ประชากรโลกเทพที่พลังยุทธ์อ่อนแอสักหน่อยบางคนต่างอดที่จะอุดหูแล้วล้มลงบนพื้นอย่างไม่รู้ตัวมิได้ หรือแม้กระทั่งหลายคนที่มีโลหิตรินไหลออกมาจากหู

“จักรพรรดิเทพหิมะเหินหรือ” อวี้เฟิงจวิ้นซานและอวี้เฟิงเหลยที่รอฟังบัญชาอย่างเคารพนบนอบอยู่ข้างๆ ต่างก็สีหน้าแปรเปลี่ยน

…………………………

ณ ส่วนลึกของความรกร้าง เทือกเขาที่ทอดยาวต่อเนื่องกันตั้งตระหง่านมานับล้านล้านปี

แต่ในยามนี้เอง

ทั้งเทือกเขากลับเกิดแรงสั่นสะท้านน้อยๆ เทือกเขามหึมาซึ่งทอดยาวนับล้านลี้แห่งนี้สะท้านสะเทือนไปทุกอณู

“ตู้ม!”

เทือกเขาพลันสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง

รัศมีอันสะดุดตาพลันเติมเต็มทั้งเทือกเขา เทือกเขากลายเป็นผุยผงไปจนสิ้นอย่างไร้วี่แวว จากนั้นรัศมีนี้ก็ถูกเก็บงำไปจนสิ้น เผยให้เห็นเงาร่างในอาภรณ์สีเขียวทั้งร่างสายหนึ่งซึ่งล่องลอยอยู่กลางอากาศ กลิ่นอายของเขายิ่งใหญ่จนทำให้ฟ้าดินทั้งหมดสั่นสะท้าน เขาก็คือจักรพรรดิเป่ยเหอซึ่งเก็บตัวบำเพ็ญเพียรอยู่ที่นี่มานานแสนนานนั่นเอง

“ฮ่าฮ่าฮ่า ฮ่าฮ่าฮ่า…” เป่ยเหอหัวเราะเสียงดังก้องไปทั่วฟ้า เขาหัวเราะอย่างสุขสราญตามอำเภอใจ

“ในที่สุด ในที่สุด ในที่สุดข้าก็บรรลุถึงขั้นนี้เสียที” นัยน์ตาทั้งคู่ของจักรพรรดิเป่ยเหอเต็มไปด้วยความตื่นเต้น “ในบ้านเกิดของข้า นี่เรียกว่าระดับจักรพรรดิครบสมบูรณ์ หรือเรียกว่าระดับยอดเคารพ! ส่วนที่นี่เรียกว่าจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์! ใช่แล้ว ครบสมบูรณ์ พละกำลังของกายหยาบบรรลุถึงขั้นที่สมบูรณ์แบบที่สุดตามหลักการ พลังสายเลือดสามารถสำแดงได้ถึงขั้นสุดแล้ว”

เป็นขั้นสุดอย่างแท้จริง

คิดจะ ‘ตื่นรู้ขั้นสุดยอด’ ก็ต้องบรรลุขั้นสุดไปให้ได้! กระโดดออกจากกรงขังแล้วสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่น แต่เห็นได้ชัดว่าการสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นนี้ยากกว่าการที่เขา จักรพรรดิเป่ยเหอบรรลุจากระดับ ‘จักรพรรดิเทพช่วงท้าย’ ไปถึงระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์มากมายนัก

“สามารถบรรลุถึงระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์ได้ ก็นับว่าบรรลุเป้าหมายที่ข้ามายังโลกใบนี้แล้ว” เป่ยเหอสงบลงมา กลิ่นอายก็ค่อยๆ เก็บงำลงไปภายในจนสิ้น จนไม่เล็ดรอดออกมาภายนอกอีกต่อไป นี่ก็คือจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์! เขามีร่างกึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นแล้ว การควบคุมร่างกายบรรลุถึงขั้นสุดที่ต่ำกว่าระดับคละถิ่นลงมา

“โลกใบนี้ไม่มีส่วนช่วยอะไรต่อข้าอีกต่อไปแล้ว! คงจะได้เวลามุ่งหน้าไปยังโลกใบอื่นเสียที” จักรพรรดิเป่ยเหอก้มหน้าลงมองข้อมือ บนข้อมือมีรอยประทับสีแดงโลหิตปรากฏขึ้นมา “คาดว่าโลกใบใหม่คงจะน่าสนุกกว่าโลกใบนี้”

หยวนจัดเตรียมโลกสามใบนี้เอาไว้

เชื่อว่า ยิ่งเป็นโลกใบหลังๆ ก็ต้องยิ่งร้ายกาจขึ้นจึงจะถูกต้อง!

“ทว่าก่อนหน้าจะจากไป ยังมีอีกคนหนึ่งที่ต้องจัดการ มิเช่นนั้นแล้วเมื่อถึงคราวคับขัน เขาโผล่มาทำลายธุระของข้า เช่นนั้นก็จะยุ่งยากแล้ว” นัยน์ตาของจักรพรรดิเป่ยเหอเยียบเย็น “อิงซานเสวี่ยอิง ข้าจากหุบเขาเขี้ยวหักไป เจ้าก็จากไปด้วย เส้นทางการบำเพ็ญของข้า จะปล่อยให้เจ้ามาขัดขวางได้อย่างไรกัน!”

เขาคาดเดาได้ว่า เขาสามารถมุ่งหน้าไปยังโลกอีกสองแห่งได้ คาดว่าอิงซานเสวี่ยอิงก็ทำได้เช่นเดียวกัน! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ โลกใบนี้ก็มีประโยชน์ต่อตนไม่มากแล้ว เช่นนั้นก็กำจัดอิงซานเสวี่ยอิงในโลกใบนี้เสียเลยก็แล้วกัน

“ลองดูรายงานของหอจิตฟ้าเสียหน่อย”

“อื้ม อิงซานเสวี่ยอิงก็เก็บเนื้อเก็บตัวเก่งใช้ได้ทีเดียว มาถึงยังโลกใบนี้ ก็อยู่ในเมืองจวิ้นซานนั่นมาโดยตลอด” จักรพรรดิเป่ยเหอยิ้มเย็น เขาได้วางเงินไว้ก่อนแล้ว ข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับจักรพรรดิเทพหิมะเหิน หอจิตฟ้าก็จะส่งสารแจ้งให้เขาทราบทั้งหมด

“ในเมื่ออยู่ที่เมืองจวิ้นซานมาตลอด…เช่นนั้นก็ต้องเตรียมตัวให้ดีๆ แล้ว ไม่เคลื่อนไหวก็แล้วไป แต่หากลงมือขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็ต้องสังหารเขาให้ได้ทันที” จักรพรรดิเป่ยเหอไตร่ตรอง “แม้ข้าจะบรรลุถึงระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์แล้ว แต่จะสังหารเขาเกรงว่าคงจะยังไม่พอ”

เมื่อวิเคราะห์จากรายงาน

พลังด้านวิถีอากาศของอิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้เป็นระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลาง ในฐานะผู้บำเพ็ญด้านความเร้นลับของกฎเกณฑ์ พลังก็เพียงพอจะเทียบได้กับระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายได้แล้ว! บวกกับกระบวนท่าทางด้านวิญญาณอันน่าหวาดหวั่น…ก็เพียงพอจะต่อสู้กับระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์ได้แล้ว

“ต้องหาผู้ช่วยแล้ว” จากนั้นจักรพรรดิเป่ยเหอก็กลายเป็นลำแสงสายหนึ่งแล้วทะยานหายวับไปตรงขอบฟ้าไกลออกไปอย่างรวดเร็ว

ช่วยไม่ได้ ในโลกใบนี้ จักรพรรดิเป่ยเหอก็ต้องค่อยๆ ทะยานไปอย่างเชื่องช้า!

*******

ตอนที่จักรพรรดิเป่ยเหอยังอ่อนแอก็เคยท่องไปทั่วดินแดนจิตโลกาแล้วไต่ขึ้นมาทีละขั้นๆ ทั้งยังเป็นจักรพรรดิคนหนึ่งที่รุ่งโรจน์ขึ้นมาได้รวดเร็วที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของหุบเขาเขี้ยวหักอีกด้วย! ลูกไม้ของเขาก็ย่อมร้ายกาจกว่ามากเป็นธรรมดา สองหมื่นล้านปีหลังจากเขาบรรลุถึงระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์…

“สวบ”

เรือบินสีเงินยวงลำหนึ่ง บนเรือบินมีสัตว์ปีกรูปร่างแปลกประหลาดอยู่สามคู่ซึ่งกำลังบินอยู่ท่ามกลางกลีบเมฆด้วยความเร็วอันน่าหวาดหวั่นอย่างยิ่ง

บนเรือบิน

กลับมีผู้แกร่งกล้าสามคนทยอยกันนั่งลงแล้วดื่มสุราพลางสนทนากัน

คนทั้งสามนี้ คนหนึ่งย่อมเป็น ‘จักรพรรดิเป่ยเหอ’ ในอาภรณ์สีเขียว อีกคนหนึ่งคือบุรุษผู้มีเขาเดี่ยวซึ่งมีเสื้อคลุมกันลมสีแดงโลหิตขนาดมหึมา เหนือผิวกายมีเยื่อผิวหนังสีแดงเข้มอยู่ชั้นหนึ่ง ดวงตาทั้งสองก็เป็นสีแดงโลหิต แม้จะเก็บงำกลิ่นอายเอาไว้ แต่เมื่อแววตามองมาครั้งหนึ่งกลับเพียงพอจะทำให้จักรพรรดิเทพทั่วไปรู้สึกหวาดหวั่นจนใจสะท้าน ส่วนคนสุดท้ายคือชายชราคิ้วเขียวสวมอาภรณ์เขียวคนหนึ่ง

หากให้ผู้แกร่งกล้าภายนอกเห็นคนทั้งสาม จะต้องตะลึงงันไปอย่างแน่นอน

เนื่องจากบุรุษผู้มีเขาเดี่ยวที่มีเสื้อคลุมกันลมสีแดงโลหิต ทั้งร่างมีเยื่อผิวหนังสีแดงเข้มผู้นี้ คือ ‘ประมุขพรรคเงามาร’ ซึ่งจัดเป็นอันดับเก้าของรายนามจักรพรรดิเทพ! อานุภาพมารยิ่งใหญ่นัก! จะทำอะไรก็ไร้ข้อห้าม ระดับอานุภาพคุกคามของเขายังเหนือกว่าเจ้าเมืองมังกรเหล็กซึ่งเป็น ‘อันดับที่เจ็ดของรายนามจักรพรรดิเทพ’ เสียอีก เนื่องจากความเร็วในการเหินทะยานของประมุขพรรคเงามารนั้นจัดเป็นอันดับสองของโลกเทพ ความเร็วในการเหินทะยานอันน่าหวาดหวั่นเช่นนี้ เพียงพอจะทำให้เขาเหิมเกริมไปทั่วสารทิศได้แล้ว

ส่วนชายชราคิ้วเขียวสวมอาภรณ์เขียวผู้นั้นก็คือ ‘เจ้าเมืองอูเจ๋อ’ ซึ่งเป็นอันดับที่สิบห้าของรายนามจักรพรรดิเทพ

ผู้ที่มีพลังรบระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์สามสิบกว่าท่าน สามารถจัดอยู่ในอันดับที่สิบห้าได้…ก็จะเห็นได้ถึงพลังของเจ้าเมืองอูเจ๋อแล้ว!

“เงามาร เจ้าคนที่เรียกตนเองว่าเป่ยเหอนี่ มีคุณสมบัติพอจะร่วมมือกับพวกเราสองคนหรือไม่” ชายชราคิ้วเขียวสวมอาภรณ์เขียวเหลือบมองจักรพรรดิเป่ยเหอแวบหนึ่ง

“ฮ่าฮ่าฮ่า” ประมุขพรรคเงามารหัวเราะเสียงแหลมบาดหู เขากวาดตามองจักรพรรดิเป่ยเหอแวบหนึ่งแล้วพูดพลางยิ้มตาหยี “อูเจ๋อ หากท่านไม่เชื่อข้า ท่านจะลองดูด้วยตนเองก็ได้ ทว่าถึงตอนนั้นหากท่านเสียเปรียบ ก็อย่าโทษข้าก็แล้วกัน”

“เสียเปรียบรึ” เจ้าเมืองอูเจ๋อตกตะลึง

“ข้าเคยประมือกับพี่เป่ยเหอมาก่อน พลังของเขาไม่ย่อหย่อนไปกว่าข้าเลยสักนิด” ประมุขพรรคเงามารกล่าว

เจ้าเมืองอูเจ๋อฟังมาถึงตรงนี้ก็พยักหน้าเล็กน้อย “จำสิ่งที่พวกท่านสัญญาเอาไว้ให้ดีก็แล้วกัน”

“วางใจเถิด” จักรพรรดิเป่ยเหอพยักหน้า “เมื่อสังหารจักรพรรดิเทพหิมะเหินนั่นแล้ว สมบัติล้ำค่าทั้งหมดของเขาจะตกเป็นของท่าน หากมูลค่าของสมบัติล้ำค่าไม่ถึงหนึ่งแสนหยกแก้วคละถิ่นแล้วล่ะก็ ข้าจะชดใช้ให้เอง”

“ดี” เจ้าเมืองอูเจ๋อพยักหน้า

“วางใจเถิด ผู้ที่สามารถทำให้พี่เป่ยเหอระมัดระวังถึงเพียงนี้ได้ จนพวกเราสามคนต้องร่วมมือกันจัดการ…จะต้องมีสมบัติล้ำค่าไม่น้อยแน่ ถึงตอนนั้นจะตกเป็นของท่านทั้งหมด” ประมุขพรรคเงามารยิ้มตาหยี ส่วนเขาได้สิ่งที่ตนต้องการจากจักรพรรดิเป่ยเหอมาก่อนแล้ว แน่นอนว่าตอนนี้ให้มาเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น รอให้งานใหญ่สำเร็จก็ค่อยให้มาอีกครึ่งหนึ่ง

“ไม่ต้องสนใจหรอกว่าเขาเป็นใคร พวกเราสามคนร่วมมือกัน ต่อให้สังหารจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์ก็ยังมีหวัง” เจ้าเมืองอูเจ๋อมั่นใจเต็มเปี่ยม

ผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์สามคนร่วมมือกัน

พวกเขาล้วนจัดอยู่ในอันดับต้นๆ ที่สำคัญที่สุดก็คือ ที่จักรพรรดิเป่ยเหอเลือกสองคนนี้…ก็เพราะสองคนนี้ร่วมมือกับเขาได้สมบูรณ์แบบที่สุด! ระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์สามคนซึ่งร่วมมือกันได้สมบูรณ์แบบที่สุด อานุภาพสามารถส่งเสริมซึ่งกันและกันได้ ผลลัพธ์สามารถเทียบได้กับพวกผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์ที่ร่วมมือกันได้ไม่ค่อยดีถึงเจ็ดแปดคนเลยทีเดียว

“ต้องทำให้สำเร็จในรวดเดียว อิงซานเสวี่ยอิง หากจะโทษใคร ก็ต้องโทษที่เจ้าส่งผลกระทบต่อเส้นทางการบำเพ็ญของข้า” ในใจของจักรพรรดิเป่ยเหอมีแรงอาฆาตลุกโชน เขาไม่อยากจะถูกตงป๋อเสวี่ยอิงกระทบถึงสามโลกต่อเนื่องกัน ถูกกระทบไปเสียทุกโลก เขาเข้าใจดีมากว่า ขอเพียงมีโอกาส…ตงป๋อเสวี่ยอิงก็จะสังหารเขาโดยไม่ลังเล

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ต้องขจัดภัยเสียก่อน!

******

เมืองจวิ้นซาน

ภายในเมืองอันเงียบสงบแห่งนี้ นับตั้งแต่ตงป๋อเสวี่ยอิงปักหลักอยู่ที่นี่ ก็ยิ่งสงบสุขขึ้นไปอีก นับตั้งแต่ประมุขสมาคมจิตมารสิ้นใจไป ก็ไม่มีคลื่นลมใดๆ อีก เพราะถึงอย่างไรผู้แกร่งกล้าซึ่งมี ‘พลังรบระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้าย’ คนหนึ่ง ก็มีแรงคุกคามมากพอตัวทีเดียว

“ฟิ้ววว…

ลมพัดโชย กิ่งไม้โบกสะบัด

“ท่านอาจารย์ นี่คือสุราชั้นเลิศที่กองพ่อค้าของตระกูลข้าเก็บรวบรวมมาจากเมืองอื่น นี่คือสุราที่ข้าชอบที่สุด ท่านอาจารย์ลองชิมดูสิเจ้าตะ” อวี้เฟิงชิงอินรินสุราให้เอง แล้วมองดูตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยสายตารอคอย

ตงป๋อเสวี่ยอิงหยิบจอกสุราขึ้นมาแล้วชิมคำหนึ่ง เขารู้สึกวูบวาบคราหนึ่ง สมองก็อื้ออึงไป

“นี่คือสุราอะไรกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงกะพริบตาคราหนึ่ง

“สบายมากใช่หรือไม่เจ้าคะ” อวี้เฟิงชิงอินนัยน์ตาเปล่งประกาย นางเอ่ยว่า “รู้สึกเหมือนถูกน้ำเย็นดั่งน้ำแข็งราดลงบนศีรษะก่อน จากนั้นทั้งร่างก็ล่องลอย วิญญาณก็ลอยลิ่ว รสชาติไม่ธรรมดาเลย อย่างน้อยสุรานี้ก็ต้องเป็นขั้นจ้าวเทพจึงจะสามารถดื่มได้ ผู้ที่ร่างกายอ่อนแอ ดื่มแล้ววิญญาณก็จะทนรับไม่ไหว ข้าชอบที่สุดเลยเจ้าค่ะ”

“ชอบหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงสูดปาก กายหยาบของเขาแข็งแกร่งกว่าศิษย์สาวมากทีเดียว ต่อให้ดื่มสุรานี้ลงท้องไป ก็รู้สึกเพียงว่าสมองถูกกระทบระลอกหนึ่ง ส่วนความรู้สึกลอยละล่องที่ว่านั้น วิญญาณล่องลอยน่ะหรือ ด้วยความแข็งแกร่งของวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิง จะทำให้วิญญาณเขาลอยละล่องนั้นยากเกินไปแล้ว

…………………………………….

“สหายเอ๋ย” แม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่กลับสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของเจ้าเมืองมังกรเหล็กเช่นกัน แม้กระบวนท่าการต่อสู้ของฝ่ายตรงข้ามจะหยาบขึ้นมาก อานุภาพที่สำแดงออกมาก็ลดลงอย่างฮวบฮาบ ตนอาศัยความพิสดารของกระบวนท่ก็สามารถทำให้ฝ่ายตรงข้ามแตะต้องตนมิได้แล้ว! ตนเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างสิ้นเชิง คิดอยากโจมตีเช่นไร ก็โจมตีเช่นนั้นได้!

แต่ทว่า…

“ร่างกายของเขาก็แข็งแกร่งเกินไปแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงชักกระบี่คมกริบขึ้นมาจากด้านหลัง ขณะที่ประกายกระบี่กะพริบวาบคราหนึ่งแล้วฟันลงบนลำคอของเจ้าเมืองมังกรเหล็กนั้น ผิวเกล็ดของเจ้าเมืองมังกรเหล็กมีพละกำลังอยู่ถึงสามชั้น ชั้นนอกสุดยังทำให้อากาศแหลกสลายไปตลอดเวลาอีกด้วย ตงป๋อเสวี่ยอิงทำได้เพียงแทรกซึมเข้าไปภายในกายของศัตรูผ่านกระบวนท่าที่เพิกเฉยต่อการป้องกันของผิวกาย มิอาจทำร้ายเกราะเกล็ดของเจ้าเมืองมังกรเหล็กได้เลยแม้แต่น้อย!

ฟึ่บๆๆ แต่ละครั้งที่ปะทะ กระบี่เทพก็ปะทะเข้ากับพละกำลังอันไร้รูปร่างทั้งสามชั้นเหนือผิวกายของเจ้าเมืองมังกรเหล็ก กระบี่เทพสั่นสะท้านไปหมด

“แค่พละกำลังคุ้มกายก็สามารถทำให้จักรพรรดิเทพช่วงท้ายบาดเจ็บสาหัสได้แล้ว เคราะห์ดีที่ข้าไม่ตาต่อตาฟันต่อฟันกับเขา” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบทอดถอนใจ

ปล่อยให้ตนใช้กระบี่หรือไม่ก็ฝ่ามือ ท่าไม้ตายวิถีอากาศกระบวนท่าแล้วกระบวนท่าเล่าถูกสำแดงออกมา แม้เจ้าเมืองมังกรเหล็กจะถูกโจมตีจนโซซัดโซเซถอยหลังไปหรือถึงขั้นกระเด็นลอยไป แต่ร่างกายของเจ้าเมืองมังกรเหล็กกลับไม่มีความเสียหายเลยแม้แต่น้อย แม้แต่ผิวก็ยังไม่ปริแตก อวัยวะต่างๆ ของเจ้าเมืองมังกรเหล็กก็แข็งแกร่งจนถึงขั้นน่าหวาดหวั่น อย่างน้อยตนก็มิอาจทำร้ายได้!

……

ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าตน ‘ทำร้าย’ ฝ่ายตรงข้ามมิได้

แต่เจ้าเมืองมังกรเหล็กต่างหากที่สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดและอดสูใจ

วิญญาณประสบกับการฉุดรั้งของโลกอันกว้างขวาง จึงพยายามต้านทานอย่างบ้าคลั่งอยู่ตลอดเวลา สมาธิที่หลงเหลืออยู่ก็สามารถต่อสู้ได้ กระบวนท่าของบุรุษอาภรณ์ขาวตรงหน้าก็พิสดารนัก “สมควรตาย หากข้าสามารถสำแดงพลังออกมาได้สิบเต็มสิบส่วน ข้าก็จะสามารถแก้ไขกระบวนท่าพวกนั้นของเขาได้! แต่ตอนนี้ เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่ากายหยาบหนักหน่วงถึงเพียงนี้ เมื่อสำแดงออกมาก็ยากเย็นถึงเพียงนี้”

ร่างกายประหนึ่งขุนเขาหนักอึ้ง งุ่มง่ามเกินไปแล้ว

ต่อสู้กันมาถึงตอนนี้ เขาก็ไม่สามารถโจมตีตงป๋อเสวี่ยอิงได้ตรงๆ เลยแม้แต่ครั้งเดียว!

“ถูกกลั่นแกล้งเล่นอย่างสิ้นเชิง!”

“ต่อให้มีค่ายกลคอยช่วยเหลือ ก็ยังคงถูกกลั่นแกล้งเล่นอยู่ดี” เจ้าเมืองมังกรเหล็กทั้งอดสูใจ ทั้งแตกตื่น เขาแตกตื่นที่กระบวนท่าทางด้านวิญญาณของอีกฝ่ายน่ากลัวนัก! ส่วนการห้ำหั่นประชิดตัวน่ะหรือ เขาไม่เห็นอยู่ในสายตาเลย เนื่องจากเขามองออกว่าเป็นฝ่ายเสียเปรียบ นั่นเป็นเพราะเขาเป็นเหมือน ‘เป้า’ ที่ถูกกระทำอยู่ตลอดเวลา อันที่จริงแล้วอีกฝ่ายไม่สามารถทำลายพละกำลังคุ้มกายพื้นฐานที่สุดของกายหยาบของเขาได้เสียด้วยซ้ำไป

เจ้าเมืองมังกรเหล็กเรียกได้ว่าเป็นอันดับสองของโลกเทพในด้านการต่อสู้ซึ่งหน้า ซึ่งมีสาเหตุมาจากกายหยาบอันแข็งแกร่งของเขานั่นเอง! เนื่องจากสมาธิได้รับผลกระทบ พลังจึงลดลงอย่างรวดเร็ว แต่กายหยาบของเขากลับมิได้อ่อนแอลงเลยแม้แต่น้อย

“ไม่เสียทีที่เป็นเจ้าเมืองมังกรเหล็ก นับถือๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม ทันใดนั้นก็พลันถอยหลังไป เขาโบกมือคราหนึ่ง ด้านข้างก็มีรอยแยกสีดำสายหนึ่งปรากฏขึ้นมา “ขอตัวก่อน”

ตงป๋อเสวี่ยอิงสาวเท้าออกไปก็เข้าไปในรอยแยกสีดำแล้วหายวับไป

โลกอันกว้างขวางที่ฉุดรั้งวิญญาณอยู่อันตรธานไป เจ้าเมืองมังกรเหล็กจึงรู้สึกว่าตนกลับคืนสู่สภาพที่มีสติกลับคืนมาเต็มที่ เขามองดูรอยแยกสีดำสมานกันพลางพูดเสียงต่ำว่า “การส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นหรือ กระบวนท่าทางด้านวิญญาณอันน่าหวาดหวั่นเช่นนี้ ยังมีการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นด้วยหรือนี่”

ศัตรูพรรค์นี้น่าหวาดหวั่นเกินไปแล้ว

อาศัยการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้น ก็สามารถตรงมายังจวนของเขาได้ แล้วใช้กระบวนท่าทางด้านวิญญาณสักท่าหนึ่งปกคลุมจวนของเขาเอาไว้ได้อย่างง่ายดายกระมัง นอกจากเขาที่สามารถต้านทานได้แล้ว คนอื่นๆ ในจวนล้วนมิอาจต้านทานได้เลย!

“ต่อให้เป็นข้าก็ต้องทุ่มเทสมาธิส่วนมากเพื่อต้านทาน ถ้าหาก ถ้าหากกระบวนท่าทางด้านวิญญาณของเขาแข็งแกร่งกว่านี้สักหน่อย เกรงว่าข้าก็คงจะต้องจมดิ่งลงไปในโลกลวงนั่นทันทีเสียแล้วกระมัง!” เจ้าเมืองมังกรเหล็กตัวสั่นระริกทั้งที่มิได้หนาว หากวิญญาณต้านทานเอาไว้ไม่ได้และจมดิ่งลงไปแล้ว ตัวเขาซึ่งบำเพ็ญมานานแสนนานจนมีกายหยาบที่ไร้เทียมทานถึงเพียงนี้ ก็สำแดงประโยชน์ออกมาไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว!

“วิญญาณจึงจะเป็นแก่นแท้”

“โลกเทพมียอดฝีมือทางด้านวิญญาณที่น่าเกรงกลัวถึงเพียงนี้ปรากฏขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน หากเขาก้าวหน้าขึ้นไปอีก ลำพังแค่อาศัยกระบวนท่าทางด้านวิญญาณ ก็คงสามารถกวาดล้างจักรพรรดิเทพทั้งหมดได้แล้วกระมัง” เจ้าเมืองมังกรเหล็กสั่นสะท้าน

ต่อให้เป็นตอนนี้ พลังของอีกฝ่ายก็ไม่ย่อหย่อนไปกว่าเขาเลยแม้แต่น้อย!

เจ้าเมืองมังกรเหล็กมองดูซากปรักหักพังของสิ่งก่อสร้างในลานรอบด้าน ซึ่งล้วนแต่เป็นพวกกำแพงลานของเขาซึ่งถูกโจมตีจนแตกเป็นเสี่ยงๆ จากนั้นเขาก็โบกมือคราหนึ่ง ด้านข้างก็มี เถี่ยหลงอวิ๋นซาน’ คุณชายใหญ่แห่งจวนมังกรเหล็ก‘ ปรากฏกายขึ้น เถี่ยหลงอวิ๋นซานในอาภรณ์สีดำทั้งร่างมองไปทั่วทิศ รอบด้านเต็มไปด้วยซากปรักหักพังเบื้องบนยังมีค่ายกลโหมซัด เห็นได้ชัดว่าค่ายกลทั้งจวนมังกรเหล็กล้วนถูกกระตุ้นขึ้นมาหมดแล้ว

“ท่านพ่อ ท่านจับตัวเขาไว้หรือไม่” เถี่ยหลงอวิ๋นซานถาม

“จับไว้รึ” เจ้าเมืองมังกรเหล็กมองดูเขาแล้วเผยสีหน้าเย็นชาออกมา “บอกข้าสิว่า เขาเป็นใครกัน แล้วเจ้าไปรู้จักได้อย่างไร เล่าเรื่องให้ข้าฟังตั้งแต่ต้นจนจบ”

เถี่ยหลงอวิ๋นซานเห็นสายตาเย็นชาราวน้ำแข็งของผู้เป็นบิดาแล้วก็อดใจสะท้านขึ้นมามิได้ เขาพูดอย่างเชื่อฟังว่า “เป็นเช่นนี้ขอรับ เมื่อวานจักรพรรดิเทพผู้มีนามว่าเมฆาเขียวคนนี้ได้มาพบข้า อยากจะขอซื้อซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นทางสายอากาศร่างหนึ่ง… ” เถี่ยหลงอวิ๋นซานเล่าเรื่องทั้งหมดโดยละเอียดรอบหนึ่งโดยมิกล้าปิดบังเลยแม้แต่น้อย

“…ข้าคิดว่าอยู่ในจวนมังกรเหล็ก ต่อให้เป็นระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์ข้าก็กล้าสู้สักยก ยิ่งไปกว่านั้นยังมีท่านพ่ออยู่ด้วย เขายังโง่งมมอบสมบัติล้ำค่าให้ข้าทันที ข้าก็ย่อมละโมบเอามาเป็นธรรมดา…”

“แล้วผลก็เป็นเช่นนี้!”

เถี่ยหลงอวิ๋นซานพูดจบ

เจ้าเมืองมังกรเหล็กฟังแล้วก็จนคำพูด อีกฝ่ายมาขอเจรจาแลกเปลี่ยนเอง บุตรชายตนกลับละโมบอยากได้สมบัติล้ำค่าของอีกฝ่าย

“คนที่โง่เง่าก็คือเจ้า!” เจ้าเมืองมังกรเหล็กโกรธเสียจนพูดอะไรไม่ออก เขาจับใจความได้ว่า ยอดฝีมือผู้เร้นลับที่ชื่อ ‘จักรพรรดิเทพเมฆาเขียว’ คนนี้นับว่านิสัยดีมาก มิใช่พวกที่เห็นแก่ตัวโหดเหี้ยมอำมหิตเหล่านั้น หากเป็นพวกที่ใจดำอำมหิตเหล่านั้น เกรงว่าคงไม่มาเจรจาด้วยแต่แรก หากแต่คงจะลงมือฆ่าคนชิงทรัพย์เสียเลย

“เป็นข้าที่โง่เอง แต่ท่านพ่อ แล้วคนอื่นๆ เล่า” คุณชายใหญ่ซักไซ้ต่อ

“ท่านพ่อของเจ้าอย่างข้าเกือบจะต้องสะดุดในเงื้อมมือเขาแล้ว” เจ้าเมืองมังกรเหล็กพูดเสียงเย็นเยียบ “ต่อให้ข้าพยายามสุดกำลัง ก็ยังคงตกเป็นรองเขาอยู่ดี!”

“ตกเป็นรองหรือ” คุณชายใหญ่ตกตะลึง

“เขาสำแดงการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นจากไปแล้ว” เจ้าเมืองมังกรเหล็กพูดเสียงเย็นชา “พลังน่ากลัวถึงเพียงนี้ กระบวนท่าทางด้านวิญญาณที่น่าหวาดหวั่นเช่นนี้ ทั้งยังสามารถส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นได้อีกด้วย…เจ้าสามารถยั่วยุผู้แกร่งกล้าระดับนี้ได้ ข้าล่ะนับถือจริงๆ”

“ท่านพ่อ ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้ว” คุณชายใหญ่ละล่ำละลัก เขาก็จนใจ เขามั่นใจว่าทุกสิ่งจะเป็นไปตามแผน ไหนเลยจะคิดว่าจะมีสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวเช่นนี้โผล้ออกมาเสียได้

“นอกจากนี้ เจ้าจงจำเอาไว้ว่า เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ห้ามแพร่งพรายไปภายนอกเด็ดขาด!” เจ้าเมืองมังกรเหล็กพูดเสียงเย็นชา “ข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับจักรพรรดิเทพเมฆาเขียวผู้นี้ อย่าได้เผยออกไปเด็ดขาด”

คุณชายใหญ่ตอบว่า “วางใจเถิดขอรับท่านพ่อ ข้าจะไม่แพร่งพรายออกไปไปภายนอกอย่างแน่นอน ครั้งนี้จวนมังกรเหล็กของเราเสียเปรียบครั้งใหญ่ สมบัติล้ำค่าที่ข้าพกติดตัวไว้ถูกเอาไปหมดแล้ว! เรื่องเข่นนี้จะเผยแพร่ออกสู่ภายนอกได้อย่างไรกัน เฮอะๆ เชื่อว่าอีกไม่นานสักเท่าใดนัก ก็คงจะมีผู้แกร่งกล้าจากขุมอำนาจอื่นๆ ต้องมาสะดุดด้วยน้ำมือของจักรพรรดิเทพเมฆาเขียวผู้นี้อีกเป็นแน่”

เจ้าเมืองมังกรเหล็กเหลือบมองบุตรชายตนแวบหนึ่ง “ไม่ใช่แค่สมบัติล้ำค่าของเจ้าเท่านั้นที่หมดเกลี้ยง เพื่อชีวิตน้อยๆของเจ้า ข้าได้ชดใช้ด้วยสมบัติล้ำค่ามูลค่าหนึ่งแสนหยกแก้วคละถิ่นอีกด้วย”

“หา…” คุณชายใหญ่ชะงักค้างไป

เสียเปรียบใหญ่แล้ว

เมื่อเขาฟื้นขึ้นมาก็พบว่าสมบัติล้ำค่าของเขาหมดเกลี้ยงแล้ว แค่นี้ก็เจ็บปวดใจอยู่แล้ว คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะขูดรีดบิดาของตนอย่างโหดร้ายอีกด้วย

“หากรู้เสียก่อน ข้าแค่แลกเปลี่ยนแต่โดยดีก็ใช้ได้แล้วมิใช่หรือไง” คุณชายใหญ่รู้สึกสำนึกเสียใจเป็นอันมากขึ้นมาในทันที

“เจ้ามีชีวิตรอดมาได้ก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว หากพบคนที่ใจคอโหดเหี้ยมอำมหิตเข้า หากเจ้ากลั่นแกล้งผู้อื่นเช่นนี้ เกรงว่าเจ้าคงถูกสังหารทันทีไปแล้ว” เจ้าเมืองมังกรเหล็กพูดเสียงเย็นชา

คุณชายใหญ่พยักหน้ารัว

ถูกต้อง อีกฝ่ายถึงขั้นสามารถใช้พลังกดดันท่านพ่อได้ ก็ย่อมไม่เกรงกลัวเมืองมังกรเหล็กของพวกเขาเป็นธรรมดา

……

แม้ศึกครั้งนี้จะเป็นตัวแทนของการประมือกันระหว่างยอดฝีมือที่ยอดเยี่ยมซึ่งอยู่ในระดับยอดสุดของโลกทางฟากฝั่งนี้ก็ตามที แต่เจ้าเมืองมังกรเหล็กกลับเก็บไว้เป็นความลับ! อันที่จริงแล้วขณะที่ประมือกัน เขาก็ได้ควบคุมค่ายกลเพื่อตัดขาด มิให้คนอื่นๆ ภายในจวนล่วงรู้ถึงการต่อสู้ครั้งนี้ เนื่องจากศัตรูสามารถจับตัวบุตรชายของเขาเอาไว้ได้ในชั่วพริบตาเดียว เจ้าเมืองมังกรเหล็กจึงรู้แล้วว่าศัตรูน่าหวาดหวั่นอย่างยิ่ง

การต่อสู้ระดับนี้ มิใช่ว่าเหมาะแก่การเปิดเผยให้รู้กันทั่วทุกครั้งไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นไปได้มากว่าจักรพรรดิเทพเมฆาเขียวผู้นี้จะ ‘ปลอมแปลงตัวตน’

*****

ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับไปถึงเมืองจวิ้นซานแล้ว

การต่อสู้ครั้งนี้ก็ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจว่า แม้เขาจะมีพลังด้านวิถีอากาศระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางซึ่งสามารถเทียบได้กับผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้าย แต่เมื่อเทียบกันแล้ว ด้านอานุภาพการโจมตีกลับอ่อนแอเสียแล้ว เพียงแต่อาศัยความพิสดารของกระบวนท่าจึงสามารถเทียบได้กับจักรพรรดิเทพช่วงท้าย เมื่อพบกับ ‘ระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์’ ต่อให้อีกฝ่ายพลังลดลงเป็นอย่างมาก แต่เมื่อยืนอยู่ตรงนั้น ตนก็ทำร้ายฝ่ายตรงข้ามมิได้เลยแม้แต่น้อย

แน่นอนว่าท่าไม้ตายที่สามของเขตลวงโลกเทียมก็ไร้เทียมทานมากเช่นกัน! ทำให้พลังของเจ้าเมืองมังกรเหล็กอ่อนแอลงจนกลายเป็นเช่นนั้น ตนสามารถกลั่นแกล้งได้อย่างง่ายดาย

“หากเขตลวงโลกเทียมของข้าก้าวหน้าไปได้อีกขั้นหนึ่ง! ลำพังแค่พูดถึงอานุภาพเพียงอย่างเดียว ปณิธานวิญญาณของผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์ก็คงต้านเอาไว้ไม่ไหวกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ “เพียงพอให้กวาดล้างผู้แกร่งกล้าที่ต่ำกว่าระดับคละถิ่นได้แล้ว!”

เขายิ่งตั้งตารอคอยมากขึ้น เขตลวงโลกเทียมบรรลุถึงขั้นสุดยอดแล้ว!

“วิถีอากาศก็ต้องค้นคว้าอีก”

วิถีสองสายมุ่งหน้าไปพร้อมกัน

ครั้งนี้เขาได้ซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นทางสายอากาศมาทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงตั้งตารอคอยวันคืนที่จะมาถึงเป็นอันมาก

……

เวลาล่วงเลยไป

แม้ผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์ทั้งสามได้แก่ ‘เจ้าเมืองมังกรเหล็ก’ ‘เจ้าเมืองหงส์เมฆา’ และ ‘จักรพรรดิเทพหงส์อัคคี’ ต่างก็รู้ว่ามียอดฝีมือผู้มีกระบวนท่าทางด้านวิญญาณที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งปรากฏขึ้นมาในโลกเทพ พวกเขาต่างก็รอคอยให้ยอดฝีมือเร้นลับผู้นี้ลงมืออีกสักครั้ง แต่พวกเขากลับต้องผิดหวัง เพราะยอดฝีมือเร้นลับผู้นี้กลับมิได้ลงมืออีกนานแสนนาน ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้มีความสนใจต่อการแย่งชิงในโลกใบนี้ บัดนี้เขากำลังตั้งใจค้นคว้าซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นทางสายอากาศร่างนั้น

วันคืนยาวนาน โลกเปลี่ยนแปลงไปมากมาย ผ่านไปเช่นนี้นานถึงสามแสนล้านปี ผู้แกร่งกล้ายุคใหม่รุ่งโรจน์ขึ้นมาในโลกใบนี้ แต่แน่นอนว่าผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์ซึ่งยืนอยู่ในระดับยอดสุดไม่มีความเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด

…………………………………………

เจ้าเมืองมังกรเหล็กตื่นตระหนกเหลือแสน เขาคิดไม่ถึงว่าภายในจวนของเขา ‘เถี่ยหลงอวิ๋นซาน’ บุตรชายคนโตซึ่งเป็นระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายแล้วจะต้องขอความช่วยเหลือจากเขาและถูกจับตัวไว้รวดเร็วถึงเพียงนี้

“นอกจากนี้ข้ายังสัมผัสความเคลื่อนไหวของการต่อสู้ไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว เหมือนกับว่ายังมิทันได้ประมือก็ยุติแล้วอย่างไรอย่างนั้น” เจ้าเมืองมังกรเหล็กไม่อยากจะเชื่อ เขาเองก็อยู่ในจวน หากมีการต่อสู้กันจริงๆ ไหนเลยจะสามารถปิดบังความเคลื่อนไหวของการต่อสู้จากเขาได้

“เจ้าเมืองมังกรเหล็ก” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปาก

“เจ้าเป็นใครกัน” เจ้าเมืองมังกรเหล็กพูดเสียงเย็นชา “คิดจะลอบทำร้ายบุตรชายข้า ที่แท้แล้วต้องการอะไรกันแน่”

ในสายตาของเจ้าเมืองมังกรเหล็ก

อีกฝ่ายจะต้องวางแผนเอาไว้ก่อนแล้ว เขาจึงสามารถจับตัวบุตรชายคนโตของเขาซึ่งเป็นระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายเอาไว้ได้อย่างไร้สุ้มเสียง! นอกจากนี้เมื่อจับเอาไว้แล้ว เกรงว่าเป้าหมายที่แท้จริงคงจะเป็นเขา เจ้าเมืองมังกรเหล็ก

“พูดมาเถิด! เจ้าต้องการอะไร พูดออกมาให้หมด” เจ้าเมืองมังกรเหล็กพูดเสียงเย็นชา “ข้าขอให้เจ้าอย่าได้ทำร้ายบุตรชายข้าแม้แต่น้อย มิเช่นนั้นแล้วข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่”

ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า “เจ้าเมืองมังกรเหล็ก ข้ามิได้คิดจะทำร้ายบุตรชายท่านจริงๆ และมิได้คิดจะทำร้ายท่านด้วย! ทั้งหมดนี้เป็นบุตรชายท่านที่หาเรื่องใส่ตัวทั้งนั้น”

“เฮอะ” เจ้าเมืองมังกรเหล็กยิ้มเย็น “อย่าพูดเรื่องพวกนี้อีกเลย เจ้าต้องการอะไร จึงจะปล่อยบุตรชายข้าไปได้”

“ปล่อยเขาน่ะหรือ ก็ได้ สมบัติล้ำค่ามูลค่าหนึ่งแสนหยกแก้วคละถิ่น” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “หากท่านนำสมบัติล้ำค่าจำนวนมากเท่านี้มาให้ข้า ข้าก็ปล่อยเขาไปได้”

ก่อนหน้านี้คุณชายใหญ่แห่งจวนมังกรเหล็กแย่งชิงสมบัติล้ำค่าไป ทว่าก็ไม่มีจิตคิดสังหารเขา ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยินดีที่จะไว้ชีวิตคุณชายใหญ่ผู้นี้สักครั้ง! เพียงแต่ว่า…แม้สมบัติล้ำค่าในตัวคุณชายใหญ่จะถูกตนเอาไปหมดแล้ว ทว่าสมบัติล้ำค่าน้อยนิดเท่านี้ อาจจะทำให้คุณชายใหญ่เจ็บปวดใจมาก แต่สำหรับ ‘เจ้าเมืองมังกรเหล็ก’ แล้ว ก็คงเป็นเพียงส่วนเล็กน้อยของเจ้าเมืองมังกรเหล็กผู้ร่ำรวยกระมัง!

ต้องให้พวกเขาเจ็บปวดใจพอ!

“สมบัติล้ำค่ามูลค่าหนึ่งแสนหยกแก้วคละถิ่นหรือ” เจ้าเมืองมังกรเหล็กตกใจเล็กน้อย แม้จะเจ็บปวดใจ แต่เขาก็ยังคงตกใจที่อีกฝ่ายเรียกร้องมูลค่า ‘ต่ำ’ นัก! เขายังคิดว่าอีกฝ่ายจะเรียกร้องอะไรที่ยากกว่านี้ เช่นให้เขา เจ้าเมืองมังกรเหล็กไปทำเรื่องบางอย่างให้ เป็นต้น

“หากข้ามอบให้ เจ้าสามารถรับประกันได้หรือไม่ว่าจะปล่อยบุตรชายข้า” เจ้าเมืองมังกรเหล็กพูดเสียงเคร่งขรึม

“ท่านไม่มีทางเลือก” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย

เจ้าเมืองมังกรเหล็กกัดฟันแน่น เขาโบกมือคราหนึ่ง ก็มีกำไลเก็บวัตถุวงหนึ่งลอยไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง หลังจากตงป๋อเสวี่ยอิงรับไปแล้วก็สัมผัสรับรู้ดูเล็กน้อย แล้วก็อดลอบทอดถอนใจมิได้ ไม่เสียทีที่เป็นสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งซึ่งเป็นอันดับเจ็ดของรายนามจักรพรรดิเทพ สมบัติล้ำค่าที่สั่งสมเอาไว้มากมายนัก แต่คาดว่าเมื่อรวมกับสิ่งที่ได้จากคุณชายใหญ่แล้ว สมบัติล้ำค่ามูลค่าหนึ่งแสนกว่าหยกแก้วคละถิ่น…เกรงว่าเจ้าเมืองมังกรเหล็กก็คงจะต้องเจ็บปวดรวดร้าวไปถึงกระดูกแล้วกระมัง

“ให้ท่าน” ตงป๋อเสวี่ยอิงโยนเถี่ยหลงอวิ๋นซานที่จับไว้ในมือไปให้

เจ้าเมืองมังกรเหล็กรีบรับบุตรชายมา บุตรชายค่อยๆ ฟื้นคืนสติขึ้นมา เจ้าเมืองมังกรเหล็กจึงได้ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง จากนั้นเขาก็โบกมือคราหนึ่งเพื่อเก็บบุตรชายลงไปในคูหาสวรรค์สมบัติล้ำค่าก่อนชั่วคราว

จากนั้นเจ้าเมืองมังกรเหล็กก็มองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง ความชั่วร้ายทวีความเข้มข้นขึ้น มุมปากเผยรอยยิ้มเยียบเย็นออกมา “ช่างกล้าดีจริงๆ ยังคิดว่าเจ้าจะหนีไปนอกเมืองก่อนค่อยมอบบุตรชายให้ข้า คิดไม่ถึงว่าอยู่ในจวนมังกรเหล็กของข้า เจ้าก็จะมอบให้ข้าทันที เห็นที เจ้าคงจะเชื่อมั่นในตนเองมากสินะ”

“ใช่แล้ว หลังจากข้าบำเพ็ญจนพลังสำเร็จ ยังไม่เคยต่อกรกับระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์จนสุดกำลังอย่างแท้จริงเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม “ในเมื่อมีโอกาสนี้ ก็อยากจะประมือกับเจ้าเมืองมังกรเหล็กเสียหน่อย”

“อ้อ ฮ่าฮ่าฮ่า…” เจ้าเมืองมังกรเหล็กหัวเราะขึ้นมา เสียงนั้นทำเอาอากาศรอบด้านสะท้านสะเทือนขึ้นมา ราวกับอสนีบาตที่ม้วนตัวขึ้น “กล้าต่อกรกับข้า เช่นนั้นข้าก็จะดูสิว่า ที่แท้แล้วเจ้าจะมีพลังสักแค่ไหนกันเชียว”

ทั้งจวนมังกรเหล็กพลันมีพายุเมฆฝนกระหน่ำขึ้นมาทันที

ค่ายกลแห่งแล้วแห่งเล่าผุดขึ้นมา

อสนีบาตจำนวนนับไม่ถ้วนเคลื่อนตัวอยู่โดยรอบ ตัดขาดจากรอบด้าน เห็นได้ชัดว่าเจ้าเมืองมังกรเหล็กไม่อยากจะให้ลูกหลงจากการต่อสู้ของพวกเขาต้อกระทบถูกคนอื่นๆ ในจวนไปด้วย

“มาเถอะ” เจ้าเมืองมังกรเหล็กมองดูตงป๋อเสวี่ยอิง เขาคร้านจะใช้ค่ายกลภายในจวนกดดันตงป๋อเสวี่ยอิง ขณะเดียวกันร่างกายของเจ้าเมืองมังกรเหล็กก็เกิดความเปลี่ยนแปลง อาภรณ์ของเขาอันตรธานไป เหนือผิวกายกลับมีเกล็ดสีดำแผ่นแล้วแผ่นเล่าผุดขึ้นมา บนใบหน้าของเขามีแผ่นเกล็ดผุดขึ้นมา บนศีรษะก็มีเขาสองอันงอกขึ้นมา ปลายหางของเขาก็งอกออกมาเป็นหางยาวราวหกเจ็ดเมตรซึ่งเต็มไปด้วยเกล็ด

ขาทั้งสองของเจ้าเมืองมังกรเหล็กขยายใหญ่ขึ้นมา อีกทั้งข้อยังกลับด้านอีกด้วย

มือทั้งสองก็กลายเป็นกรงเล็บคมกริบ

ยามนี้เจ้าเมืองมังกรเหล็กก็เหมือนกับมังกรที่ยืนขึ้นมา! เกล็ดเหนือผิวกายของเขามีพละกำลังชั้นแล้วชั้นเล่าปกคลุมเอาไว้ ชั้นในมีความหนาวเหน็บอันไร้สีหมุนเวียนอยู่ ส่วนชั้นกลางมีพละกำลังสีแดงโลหิตปกคลุมอยู่ ส่วนชั้นนอกสุดส่งเสียงสะท้อนก้องดังฟึ่บๆๆ ทำให้อากาศรอบด้านแหลกสลายไปอย่างต่อเนื่อง ตัวอากาศเองก็ฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยามนี้กลิ่นอายของเจ้าเมืองมังกรเหล็กก็ปะทุออกมาจนสิ้น ทำเอาฟ้าดินรอบด้านสะท้านสะเทือนไปหมด

“ร่างกึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นซึ่งมีร่างกายอันแข็งแกร่งจนสามารถเทียบได้กับท่าน เจ้าเมืองมังกรเหล็กนั้นพบเห็นได้น้อยมาก” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปากชม “ไม่เสียทีที่การห้ำหั่นซึ่งหน้าเป็นอันดับสองของโลกเทพ”

หากพูดถึงพลังโดยรวม เจ้าเมืองมังกรเหล็กจัดเป็นอันดับเจ็ด แต่การห้ำหั่นซึ่งหน้ากลับจัดเป็นอันดับสอง เป็นรองเพียงเจ้าเมืองหงส์เมฆาเท่านั้น

“เจ้ามิได้จะประลองกับข้าหรือไร เจ้ายังบอกว่าเจ้าบำเพ็ญจนสำเร็จ จะประลองกับข้าเสียหน่อย แต่เจ้าโง่งมมากจริงๆ ที่เลือกข้า” เจ้าเมืองมังกรเหล็กพูดยังไม่ทันขาดคำ ร่างกายของเขาก็ยังคงยืนอยู่ตรงนั้น แต่หางกลับฟาดลงมาในทันใด!

ขณะเดียวกับที่หางสะบัดฟาดลงมานั้น หางก็ขยายขึ้นอย่างรวดเร็ว

พละกำลังอันน่าหวาดหวั่นอย่างไร้ที่สิ้นสุด ทำให้อากาศถูกกดดันเสียจนกลายเป็นชั้นๆ อากาศที่ถูกกดดันจนทับซ้อนกันชั้นแล้วชั้นเล่านั้นปรากฏรอยแยกขึ้นมารางๆ เผยให้เห็นอสนีบาตสีทองที่อยู่นอกผนังเยื่อของโลกเทพแห่งนี้!

หางซึ่งเต็มไปด้วยเกล็ดนี้ขยายออกแล้วฟาดเข้ามา อานุภาพรุนแรงเหิมเกริมเกินไปแล้ว เหิมเกริมจนทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงประหวั่นใจหาใดเปรียบ

“วิ้ง”

เพียงชั่วความคิดเดียว เขตลวงอันน่าหวาดหวั่นก็เข้าปกคลุมเจ้าเมืองมังกรเหล็กเอาไว้

เจ้าเมืองมังกรเหล็กรู้สึกเพียงว่ามีโลกอันกว้างใหญ่แห่งหนึ่งกำลังฉุดรั้งวิญญาณของเขาอย่างบ้าคลั่ง เขาสามารถบำเพ็ญมาจนถึงระดับขั้นเช่นทุกวันนี้ได้ ปณิธานวิญญาณก็ย่อมไม่ธรรมดา เขาพยายามต้านทานเอาไว้ได้อย่างพอถูไถ โลกอันกว้างใหญ่นี้ยังโจมตีวิญญาณของเขาอย่างต่อเนื่องอีกด้วย ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดแสนสาหัสระลอกหนึ่ง ราวกับมีดเล่มแล้วเล่มเล่าเชือดเฉือนลงบนวิญญาณของเขา ความรู้สึกเช่นนี้ทนรับได้ยากยิ่งนัก สมาธิส่วนใหญ่ของเขาล้วนต้องถูกแบ่งไปใช้ต้านทานสิ่งเหล่านี้ จนมิอาจรับมือยอดฝีมือเร้นลับผู้นั้นได้อย่างสมบูรณ์แบบ

หางซึ่งเดิมทีน่าหวาดหวั่นหาใดเปรียบ อานุภาพที่สำแดงออกมาก็ลดลงอย่างรวดเร็ว กระบวนท่าก็หยาบขึ้นเป็นอันมาก

“ปัง”

ตงป๋อเสวี่ยอิงโบกมือขวาคราหนึ่ง มิติชั้นแล้วชั้นเล่าก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า เขาสกัดกั้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้อานุภาพนั้นลดลงเป็นอย่างมาก และสามารถสกัดกั้นกระบวนท่าที่ อานุภาพลดลงเป็นอันมากทั้งยังหยาบขึ้นเอาไว้ได้อย่างง่ายดายในที่สุด

“กระบวนท่าที่สามของเขตลวงโลกเทียมช่างร้ายกาจโดยแท้ คุณชายใหญ่ซึ่งเป็นจักรพรรดิเทพช่วงท้ายพอจะครองสติสายหนึ่งได้อย่างพอถูไถ แต่จากนั้นก็จมดิ่งลงไปอยู่ดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ

ระดับจักรพรรดิเทพเป็นระดับขั้นใหญ่

ปณิธานวิญญาณมิได้แตกต่างกันมากนัก เมื่ออยู่ในดินแดนจิตโลกา ตอนนั้นท่าไม้ตายเขตลวงโลกเทียมของตงป๋อเสวี่ยอิงก็สามารถลงมือกับจักรพรรดิเทพช่วงกลางหรือระดับแม่ทัพเทพบางส่วนได้ แต่บัดนี้ท่าไม้ตายที่สามของวิถีเขตลวงโลกเทียมนั้นมีการเปลี่ยนแปลงจากแก่นแท้ พลังก็แข็งแกร่งขึ้นหลายเท่า ต่อให้เป็นจักรพรรดิเทพช่วงท้าย เกรงว่าส่วนมากก็ล้วนต้องจมดิ่งลงไปทันทีกันทั้งสิ้น!

ระดับ ‘จักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์’ ตงป๋อเสวี่ยอิงดูจากกระบวนท่าที่เจ้าเมืองมังกรเหล็กลงมือ ก็พบว่าพลังลดลงไปมากถึงเจ็ดแปดส่วน

“นี่มันกระบวนท่าอะไรกัน นี่…”

เจ้าเมืองมังกรเหล็กรู้สึกว่าตื่นตระหนกจนจิตใจไม่สงบ

ทนรับได้ยากเกินไปแล้ว

ถูกโลกอันกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุดใบหนึ่งฉุดรั้งวิญญาณอย่างบ้าคลั่ง เขารู้ว่า หากจมดิ่งลงไปเมื่อใดเขาก็จบเห่ทันที เขาจะต้องพยายามต้านทานโลกใบนี้ให้ได้อย่างสุดกำลัง! สมาธิที่หลงเหลืออยู่เล็กน้อยจึงจะสามารถสู้กับศัตรูได้ การควบคุมกายหยาบก็กลายเป็นเลือนรางขึ้นมา วิญญาณของเขาถึงขั้นมิอาจควบคุมกายหยาบอันแข็งแกร่งร่างนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว กระบวนท่าที่สำแดงออกมาก็ยิ่งหยาบเข้าไปใหญ่

“ปัง” บุรุษอาภรณ์ขาวผู้นั้นมิทันได้ชักกระบี่ออกมา แค่ตะปบลงไปบนกรงเล็บของเขาคราหนึ่ง

การตะปบครั้งนี้

เจ้าเมืองมังกรเหล็กก็สะดุ้งและถอยโซซัดโซเซไปหลายก้าว สายพลังระลอกแล้วระลอกเล่าแทรกตรงเข้าไปในร่างของเขาอย่างน่าประหลาด

“เสริมความแกร่งของค่ายกล” เจ้าเมืองมังกรเหล็กไม่สนใจแล้ว ในฐานะที่เขาเป็นอันดับเจ็ดของรายนามจักรพรรดิเทพ ก่อนหน้านี้จึงคร้านที่จะควบคุมค่ายกล เนื่องจากมาถึงระดับเช่นเขาแล้ว ค่ายกลธรรมดาสามัญช่วยเพิ่มพลังได้น้อยจนมองข้ามไปได้ แม้แต่ในถิ่นเขาเอง ความช่วยเหลือของค่ายกลนี้ก็ธรรมดามาก แต่ยามนี้เขาจะมัวแต่สนใจมิได้แล้ว ขอเพียงสามารถช่วยเหลือตนเองได้ เขาก็จะทำทันที

โครมมมมม…พละกำลังค่ายกลสายแล้วสายเล่าโหมซัด บ้างก็ปกคลุมเหนือผิวกายเจ้าเมืองมังกรเหล็ก บ้างก็เริ่มกดดันตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม “ไม่ดีแล้ว ข้ามิอาจควบคุมค่ายกลได้อย่างสมบูรณ์แบบเสียแล้ว”

สมาธิส่วนใหญ่ของเขาล้วนต้องสกัดกั้นโลกอันน่ากลัวที่ฉุดรั้งวิญญาณของเขาอยู่

ส่วนสมาธิที่หลงเหลืออยู่ ต้องควบคุมทั้งการต่อสู้ของกายหยาบ ทั้งยังต้องควบคุมค่ายกลด้วย ค่ายกลของจวนมังกรเหล็กทั้งแข็งแกร่งและซับซ้อน แต่สมาธิอ่อนเกินไป ก็ทำได้เพียงควบคุมอานุภาพบางส่วนเท่านั้นเอง

“ที่แท้แล้วเป็นยอดฝีมือที่โผล่มาจากไหนกันแน่ บุตรชายข้าไปรู้จักยอดฝีมือพรรค์นี้ได้อย่างไรกัน” ยามนี้เจ้าเมืองมังกรเหล็กรู้สึกร้อนใจขึ้นมา เขาคิดไม่ถึงว่าเมื่ออยู่ในจวนตนเอง ตอนที่เขาประมือจะตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากได้

…………………………….

ไม่นานนัก

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ได้เข้าไปในจวนมังกรเหล็ก จวนกว้างใหญ่ไพศาล เขาเดินไปตามการนำทางของทหารคุ้มกัน

“เอ๊ะ” ร่างกายของทหารคุ้มกันที่นำทางอยู่ข้างหน้าพลันสั่นสะท้านขึ้นมา เขาตกใจกลัวจนต้องโค้งคำนับด้วยความเคารพนบนอบโดยไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา

ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้งแล้วชะงักไปอย่างมิอาจควบคุม เขามองไปเบื้องหน้า

ตรงหน้ามีบุรุษสวมอาภรณ์สีเทาเรียบๆ อยู่คนหนึ่งกำลังเดินทอดน่องอยู่ในจวนพลางมองดูทิวทัศน์รอบด้าน สาวใช้และทหารคุ้มกันรอบด้านต่างพากันค้อมกายโดยมิกล้าเงยหน้าขึ้นมา บุรุษสวมอาภรณ์สีเทาเรียบๆ ผู้นี้ดูธรรมดาสามัญ มองไม่ออกว่ามีกลิ่นอายพิเศษใดๆ แต่บัดนี้วิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงบรรลุถึงระดับนี้แล้ว การสัมผัสรับรู้จึงไวต่อสัมผัสจนถึงขั้นน่าเหลือเชื่อ เขาสามารถสัมผัสได้ถึงพละกำลังอันน่าหวาดหวั่นอันไร้ที่สิ้นสุดซึ่งแฝงอยู่ในกายของบุรุษสวมอาภรณ์สีเทาเรียบๆ ผู้นี้ นั่นเป็นพละกำลังที่แม้แต่เขาก็ยังต้องสั่นสะท้านโดยมิอาจควบคุมได้!

“เจ้าเมืองมังกรเหล็ก” ตงป๋อเสวี่ยอิงใจสะท้าน “ข้าก็เคยเห็นประมุขวังทะเลปีศาจจากระยะทางอันไกลโพ้น ประมุขวังทะเลปีศาจก็เป็นระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์เช่นเดียวกัน แต่เมื่อข้าสัมผัสรับรู้ ระดับการคุกคามก็ห่างจากเจ้าเมืองมังกรเหล็กผู้นี้ลิบลับ”

จากอันดับของรายนามจักรพรรดิเทพก็สามารถเห็นได้แล้วว่า

ในบรรดาผู้แกร่งกล้าซึ่งมีพลังรบระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์ ประมุขวังทะเลปีศาจจัดเป็นผู้มีบทบาทระดับล่าง

เจ้าเมืองมังกรเหล็กกลับจัดเป็นอันดับเจ็ดของรายนามจักรพรรดิเทพ!

ต้องรู้ไว้ว่า…

อย่างผู้ที่อยู่ในสิบอันดับแรกนั้น มีสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดหลายท่านซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากสามตระกูลราชันย์ ซึ่งล้วนแต่เป็นลูกหลานที่ใกล้ชิดที่สุดของบรรพเทวะคละถิ่นทั้งสาม! และยังมีสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดหวั่นที่สุดในบรรดาสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดอีกด้วย เจ้าเมืองมังกรเหล็กถูกจัดเป็น ‘อันดับเจ็ด’ ได้นั้น เขาก็ย่อมมีส่วนที่น่าหวาดหวั่นเป็นธรรมดา

“เอ๊ะ” เจ้าเมืองมังกรเหล็กในอาภรณ์สีเทาเรียบๆ มองตงป๋อเสวี่ยอิงแวบหนึ่งด้วยความสงสัยเล็กน้อย เพียงมองปราดเดียวเขาก็มั่นใจว่ากลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้าย พลังระดับนี้เขาก็มิได้แยแส เพียงแต่ว่าเขาจำตัวตนของตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้! เห็นได้ชัดว่าเขาอาจจะปลอมแปลงตัวตนขึ้นมา

“เห็นที่จะเป็นแขกของอวิ๋นซานเหมือนกัน” เจ้าเมืองมังกรเหล็กมิได้ให้ความสนใจมากมายอีกต่อไป เรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นเขาล้วนมอบให้บุตรชายคนโตเป็นผู้จัดการทั้งสิ้น ส่วนตัวเขาเองก็ตั้งใจใฝ่หาทางสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นต่อไป!

รอจนเจ้าเมืองมังกรเหล็กจากไปแล้ว

ทหารคุ้มกันจึงกล้ายืดตัวตรงขึ้นมา แล้วหันไปพูดกับตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ข้างๆ ว่า “จักรพรรดิเทพเมฆาเขียว ตามข้ามา”

ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า ในใจกลับพูดเบาๆ ว่า “ระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์เหมือนกัน พลังกลับมีความแตกต่างกัน อันดับหนึ่งของรายนามจักรพรรดิเทพอย่างเจ้าเมืองหงส์เมฆาผู้นั้นก็เคยสังหารจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์คนหนึ่งมาก่อน เกรงว่าคงจะสามารถเทียบได้กับผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์แล้ว เจ้าเมืองมังกรเหล็กผู้นี้ รับมือไม่ได้ง่ายๆ อย่างยิ่ง!”

ผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์…คงเกือบจะเป็นขีดจำกัดชนิดหนึ่งซึ่งอยู่ ‘ต่ำกว่าผู้แกร่งกล้าคละถิ่น’ แล้ว

……

ภายในสวน

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเห็นคุณชายใหญ่แห่งจวนมังกรเหล็กซึ่งยังคงสวมอาภรณ์หลวมโพรกเอนพิงพนักเก้าอี้อย่างสบายๆ หลังจากเห็นตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว คุณชายใหญ่ผู้นี้ก็พูดยิ้มๆ ว่า “เมื่อวานเพิ่งจะได้พบพี่เมฆาเขียว นี่เพิ่งจะวันเดียวเท่านั้น เหตุใดพี่เมฆาเขียวจึงกลับมาหาข้ารวดเร็วถึงเพียงนี้เล่า หรือว่ามีข่าวดี”

คุณชายใหญ่สงสัยมากอย่างแท้จริง

เนื่องจากตงป๋อเสวี่ยอิงเคลื่อนไหวรวดเร็วยิ่งนัก ตอนแรกที่ไปเก็บรวบรวมข้อมูลใช้เวลามากหน่อย ต่อมา หลังจากสังหาร ‘จักรพรรดิเทพเฮ่อต้ง’ แล้ว เพียงแค่กินข้าวปลาอาหารลงไปเล็กน้อยเท่านั้น ก็ไปได้ไข่มุกคละถิ่นอสนีบาตทองมาจากประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวแล้ว! จากนั้นก็อาศัยศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกามาที่นี่อย่างรวดเร็ว

จักรพรรดิเทพเฮ่อต้งเพิ่งสิ้นใจไป หอจิตฟ้ายังคงสอบสวนสถานการณ์โดยละเอียด เพื่อหาว่าที่แท้แล้วฆาตกรคือใคร! หอจิตฟ้ายังมิทันได้เผยแพร่ข้อมูลออกไปภายนอกเลย

“ก่อนหน้านี้คุณชายใหญ่พูดไว้แล้วว่า หากอยากจะได้ซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นทางสายอากาศตนนั้น ก็ต้องนำใบไม้โลกเฉาหนึ่งใบบวกกับไข่มุกคละถิ่นอสนีบาตทองเม็ดหนึ่งมาแลก ถูกต้องหรือไม่” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม

“ถูกต้อง เงื่อนไขนี้ไม่มีอะไรให้ต่อรองอีก ลดไม่ได้อีกแล้ว!” คุณชายใหญ่พยักหน้า จากนั้นก็ยิ้มออกมา “แน่นอนว่าหากท่านมอบสมบัติล้ำค่าที่ล้ำค่ากว่าสักหลายเท่าให้ข้า ข้าก็ไม่สนใจ”

ไม่ว่าจะเป็นไข่มุกคละถิ่นอสนีบาตทองหรือว่าซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นทางสายอากาศตนนั้น ล้วนแต่เป็นสมบัติล้ำค่าระดับยอดสุดของโลกเทพทั้งสิ้น

ต้องล้ำค่ากว่าหลายเท่าอย่างนั้นหรือ

เช่นนั้นก็ต้องเป็นวัตถุล้ำค่าที่มีส่วนช่วยในการบรรลุของระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์กระมัง โลกเทพคงไม่มีทางมีวัตถุล้ำค่าระดับนั้นเป็นแน่ สิงที่บรรพเทวะคละถิ่นทั้งสามท่านมอบให้สามตระกูลราชันย์ ย่อมไม่เผยแพร่สู่ภายนอกอย่างแน่นอน

“ข้าเตรียมใบไม้โลกเฉาและไข่มุกคละถิ่นอสนีบาตทองมาพร้อมแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปาก

คุณชายใหญ่สะดุ้ง

เขาปรายตามองไปด้านข้างแวบหนึ่ง สตรีสองนางที่อยู่ด้านข้างรีบถอยออกไปอย่างรวดเร็ว ภายในสวนเหลือเพียงตงป๋อเสวี่ยอิงและคุณชายใหญ่เพียงสองคนเท่านั้น

“เตรียมพร้อมแล้วหรือ” คุณชายใหญ่ไม่อยากจะเชื่อ เขาถึงขั้นสัมผัสรับรู้สิ่งมีชีวิตสามท่านผ่านเหตุปัจจัย…ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิว เจ้าเมืองปีกทองและจักรพรรดิเทพฉุนอวี๋ ทั้งโลกเทพใบนี้มีไข่มุกคละถิ่นอสนีบาตทองอยู่เพียงสามเม็ดเท่านั้น ซึ่งตกอยู่ในมือของพวกเขาสามคน “เหตุปัจจัยของพวกเขาสามคนล้วนยังอยู่ เห็นได้ชัดว่ายังมีชีวิตอยู่ดี”

“อีกทั้งเมื่อวานนี้เขาเพิ่งจะมาหาข้า วันนี้มาบอกว่าเก็บรวบรวมได้ครบแล้ว หรือจะบอกว่าเขาเตรียมการเอาไว้ก่อนแล้ว” คุณชายใหญ่ครุ่นคิด “ก็ถูกต้องแล้ว เงื่อนไขของข้าก็เคยเสนอให้ผู้แกร่งกล้าคนอื่นที่อยากจะได้ซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นตนนั้นมาก่อนเช่นเดียวกัน เขาอาจจะเคยได้ข่าวมาแล้ว จึงได้เตรียมเอาไว้ก่อน เพียงแต่ใบไม้โลกเฉาเป็นสิ่งที่ข้าขอเพิ่มเติม เขาใช้เวลาเพียงวันเดียวในการเตรียมอย่างนั้นหรือ”

“ทั้งสามคนนั้นยังมีชีวิตอยู่ดี!”

“เห็นทีเขาคงจะเคยติดต่อแลกเปลี่ยนกับสักคนหนึ่งในสามคนนั้นกระมัง” คุณชายใหญ่คาดเดา

ในสายตาของคุณชายใหญ่ หากมิได้สังหารเพื่อชิงทรัพย์ ก็ต้องใช้สมบัติล้ำค่าไปแลกเปลี่ยนมา

“ฮ่าฮ่า…” คุณชายใหญ่หัวเราะขึ้นมา “พี่เมฆาเขียวบอกว่าเตรียมมาพร้อมแล้ว ข้าขอดูสักหน่อยจะได้หรือไม่”

ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าแล้วโบกมือคราหนึ่ง

ทันใดนั้นก็มีวัตถุสองชิ้นล่องลอยอยู่ตรงหน้า

ชิ้นหนึ่งคือใบไม้ที่ดูเหมือนจะเหี่ยวเฉาไม่มีชีวิตชีวาอันใด อักขระบนใบไม้แจ่มชัดหาใดเปรียบ แต่กลับมีพละกำลังอันแปลกประหลาดไหลเวียนอยู่รางๆ เหนือใบไม้อันเหี่ยวเฉานี้

อีกชิ้นหนึ่งก็คือไข่มุกซึ่งมีอสนีบาตสีทองไหลเวียนอยู่บนผิว ภายในไข่มุกเต็มไปด้วยความมืดหม่นยากจะส่องสำรวจได้ บนผิวของไข่มุกมีอักขระลับแห่งกฎเกณฑ์จำนวนนับไม่ถ้วนอยู่ ด้วยอักขระลับแห่งกฎเกณฑ์ ทำให้พละกำลังภายในไข่มุกปรากฏเป็นอสนีบาตสีทองขึ้นมาตามธรรมชาติ พละกำลังที่แฝงอยู่ภายใน เพียงสัมผัสดูเล็กน้อยก็รู้ว่าแข็งแกร่งยิ่งใหญ่หาใดเปรียบ

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูไข่มุกคละถิ่นอสนีบาตทองนี้อีกครั้ง แล้วก็ยังคงอุทานด้วยความชื่นชม เนื่องจากพลังคละถิ่นอันไร้ที่สิ้นสุดที่แฝงอยู่ภายในไข่มุกคละถิ่นอสนีบาตทอง เมื่อมองผ่านตัวไข่มุกเอง พลังคละถิ่นกลับแปรเป็นอสนีบาตสีทอง! ช่างพิสดารหาใดเปรียบโดยแท้

“ดี” คุณชายใหญ่มองดูแล้วนัยน์ตาก็เป็นประกายด้วยความตื่นเต้นขึ้นมา เขาปรารถนาไข่มุกคละถิ่นอสนีบาตทองมานานแสนนานแล้ว

“นับถือๆ พี่เมฆาเขียวเตรียมจนพร้อมได้รวดเร็วถึงเพียงนี้เชียว” คุณชายใหญ่พูดยิ้มๆ เขาพลิกมือคราหนึ่งแล้วหยิบที่เก็บสมบัติล้ำค่าอันหนึ่งออกมา ตงป๋อเสวี่ยอิงสัมผัสมันอยู่ห่างๆ ยังคงมิได้ถูกขัดขวางแต่อย่างใด เขามองเห็นว่าภายในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ที่เก็บวัตถุนี้มีซากศพขนาดมหึมาราวกับเทือกเขาทอดกายอยู่ เขาอดเผยรอยยิ้มสายหนึ่งออกมามิได้

“เช่นนั้นการแลกเปลี่ยนก็สำเร็จแล้วหรือ” คุณชายใหญ่มองตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มๆ

“แน่นอน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

คุณชายใหญ่หยิบที่เก็บสมบัติล้ำค่าออกมา มองดูวัตถุล้ำค่าทั้งสองที่ล่องลอยอยู่ตรงหน้าตงป๋อเสวี่ยอิงพลางยิ้มร่า มิได้พูดให้มากความอีกต่อไป

ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจแจ่มแจ้ง เขาโบกมือคราหนึ่ง ใบไม้โลกเฉาและไข่มุกคละถิ่นอสนีบาตทองที่ล่องลอยอยู่ตรงหน้าก็ลอยไป

“สุขใจนัก” คุณชายใหญ่ก็โบกมือตาม แต่ขณะที่โบกมือนั้นฝ่ากลับขยายออกแล้วคว้าใบไม้โลกเฉาและไข่มุกคละถิ่นอสนีบาตทองเอาไว้ด้วยฝ่ามือเดียว จากนั้นกลับมองตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม

“คุณชายใหญ่ นี่หมายความว่าอะไรกัน” สีหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงเปลี่ยนแปรไป

การแลกเปลี่ยนสมบัติล้ำค่าซึ่งกันและกันระหว่างผู้แกร่งกล้า หากเป็นระหว่างผู้บำเพ็ญด้วยกันอาจจะสามารถใช้สัตย์สาบานผูกมัดได้ แต่สำหรับผู้ที่บำเพ็ญสายเลือดเหล่านี้…กลับผูกมัดได้ยากมาก ทำได้เพียงพยายามแลกเปลี่ยนด้วยวิธีที่ปลอดภัยที่สุดเท่านั้น

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า พี่เมฆาเขียว สมบัติล้ำค่าเช่นนี้ ท่านเชื่อข้าเถี่ยหลงอวิ๋นซานได้อย่างไรกัน” คุณชายใหญ่พูดพลางหัวเราะฮ่าฮ่า “น่าเสียดาย ที่ข้าเองก็ยังไม่เคยเชื่อใจตนเองขนาดนี้ สมบัติล้ำค่ามาอยู่ในมือข้าแล้ว ท่านก็อย่าคิดจะได้ไปอีกเลย”

“ท่านจะแย่งชิงไปอย่างนี้น่ะหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว

“แย่งชิงไปแล้วอย่างไรเล่า ข้าขอเตือนให้ท่านรีบจากไปเสียโดยเร็ว ในเมืองมังกรเหล็กยังไม่เคยมีผู้ใดกล้าเหิมเกริมกับข้ามาก่อน” คุณชายใหญ่ยิ้มหยัน ที่นี่คือเมืองมังกรเหล็ก! มีค่ายกลต่างๆ คอยช่วยเหลือ เขากล้าประมือกับระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์เสียด้วยซ้ำ ยิ่งไปกว่านั้นท่านพ่อก็ยังเป็นถึงอันดับเจ็ดของรายนามจักรพรรดิเทพ แม้การละโมบต่อสมบัติล้ำค่าจะชั่วร้ายน่าละอายสักหน่อย แต่ผู้ใดจะสามารถทำอะไรเขาได้เล่า

“โง่เง่า!” นัยน์ตาของตงป๋อเสวี่ยอิงเย็นเยียบขึ้นมา

ตู้ม!

เขตลวงอันน่าหวาดหวั่นระลอกหนึ่งเข้าปกคลุมคุณชายใหญ่ และลากจูงวิญญาณของคุณชายใหญ่ตรงเข้าไปภายในทันที

คุณชายใหญ่รู้สึกเพียงว่าฟ้าดินกำลังหมุนคว้าง วิญญาณราวกับกำลังจมดิ่งลงไป เขาพยายามดิ้นรนสุดกำลัง แม้แต่การสัมผัสรับรู้กายหยาบก็ยังเลือนรางขึ้นมากทีเดียว เขาพยายามครองสติสายหนึ่งเอาไว้ด้วยความตื่นตระหนกเหลือแสน “ท่านพ่อ ช่วยด้วย!” ด้วยสติสายหนึ่งนี้ เขาพยายามส่งสารให้เจ้าเมืองมังกรเหล็กผู้เป็นบิดา เขาสัมผัสได้เพียงว่าวิญญาณเจ็บปวดแสนสาหัส ภายใต้ความเจ็บปวดแสนสาหัสนี้ วิญญาณก็อ่อนแอลงจนมิอาจต้านทานได้อีกต่อไป เขาจมจ่อมลงไปทันที

จมดิ่งลงไป ลงไป ลงไป…

จมดิ่งลงไปยังโลกเขตลวงอันกว้างใหญ่ซึ่งดูเหมือนจะเต็มไปด้วยแรงดึงดูดอันไร้ที่สิ้นสุดนั้น

“ฟิ้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงสาวเท้าออกไปแล้วก็คว้ากายหยาบของคุณชายใหญ่เอาไว้ เขาโบกมือคราหนึ่ง สมบัติล้ำค่าชิ้นแล้วชิ้นเล่าก็ลอยเข้ามาอยู่ในมือ ไม่ว่าจะเป็นใบไม้โลกเฉา ไข่มุกคละถิ่นอสนีบาตทอง หรือว่าวัตถุต่างๆ ทั้งหมดภายในที่เก็บสมบัติล้ำค่าของคุณชายใหญ่เอง เขาเก็บขึ้นมาจนหมด “มั่นใจในตนเองเกินไปแล้วจริงๆ คิดจริงๆ หรือว่าอยู่ในเมืองมังกรเหล็กแล้วผู้ใดก็จะทำอะไรเจ้าไม่ได้น่ะ”

“ผู้ใดมาบังอาจในจวนมังกรเหล็กของข้า!”

น้ำเสียงเยียบเย็นดุจน้ำแข็งสายหนึ่งดังก้องขึ้นมา เงาร่างของบุรุษสวมอาภรณ์สีเทาเรียบๆ ผู้นั้นเลือนรางไป แล้วก็มาถึงในสวน เขาจ้องตงป๋อเสวี่ยอิงเขม็งด้วยสายตาเย็นชา แรงอาฆาตอันไร้ที่สิ้นสุดปกคลุมเข้ามาราวกับคลื่นทะเลอันไร้ขอบเขตที่หอบม้วนฟ้าดินเอาไว้

…………………………………

“พวกเขาตายกันหมดแล้วหรือ” ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวฟังแล้วก็ใจสั่น เขาสัมผัสรับรู้ดูเล็กน้อย เขาสัมผัสเหตุปัจจัยของพวกเฉินฝูทั้งสามคนไม่ได้แล้วจริงๆ เสียด้วย

“ภาพในฝัน ภาพในฝันปรากฏขึ้นในความจริงแล้ว” ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวตื่นตระหนกเหลือแสน ในความฝันนั้น ผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสามของเขาสิ้นใจไปแล้ว เขาก็สิ้นใจไปแล้วเช่นกัน! แต่ในความเป็นจริง มีเพียงเขาเท่านั้นที่ยังมีชีวิตอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สมบัติล้ำค่าทั้งร่างของเขาก็หมดเกลี้ยงแล้ว สามารถเอาสมบัติล้ำค่าที่เขาพกติดตัวไปได้จนหมด เช่นนั้นการสังหารเขาก็ยิ่งง่ายดายขึ้นไปอีก

ต้องรู้ไว้ว่า เขาหลอมแปรสมบัติล้ำค่าไปตั้งมากมายแล้ว ถึงขั้นสามารถบรรจุเอาไว้ในโลหิตหยดหนึ่งได้ สามารถนำสมบัติล้ำค่าไปได้อย่างง่ายดาย เห็นได้ชัดว่าสามารถควบคุมชีวิตของเขาได้อย่างสิ้นเชิง

ฝ่ายตรงข้ามจัดการผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสามคนนั้นไปแล้ว เรื่องนี้ทำให้ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวตื่นตระหนกจนล้นใจ เกรงว่าครั้งหน้าก็คงจะถึงคราวเขาแล้ว

“รีบแจ้งให้ท่านย่าของข้าทราบเร็วเข้า บอกว่าข้ามีอันตรายถึงชีวิต” ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวเร่งเร้า

“ให้ข้ารายงานท่านเจ้าเมืองหรือ” ชายชราท่าทางเยียบเย็นเผยสีหน้างุนงงเล็กน้อย เหตุประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวจึงไม่แจ้งด้วยตนเองเล่า ไหนเลยเขาจะรู้ว่า สมบัติล้ำค่าทั้งหมดของประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวไม่เหลือเสียแล้ว แม้แต่วัตถุส่งสารก็ไม่เหลือแล้ว

“เร็วเข้า!”

ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวเร่งเร้า

“ขอรับ” ชายชราท่าทางเยียบเย็นรับคำ

ไม่นานนัก

ตู้มมม…

กลิ่นอายอันน่าหวาดหวั่นระลอกหนึ่งร่อนลงมา สตรีรูปโฉมงดงามผมยาวสีขาวเดินเข้ามา กลิ่นอายที่แผ่ซ่านออกมาจากกายนางราวกับโลกอันไร้ขอบเขต ในฐานะที่ชายชราท่าทางเยียบเย็นเป็นยอดฝีมือระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้าย ยามนี้ก็เกรียงไกรนัก เนื่องจาก ‘เจ้าเมืองหงส์เมฆา’ สามารถสังหารเขาซึ่งเป็นระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายได้ในกระบวนท่าเดียว เพราะถึงอย่างไรก็เป็นสิ่งมีชีวิตอันน่าหวาดหวั่นซึ่งเคยสังหารจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์กับมือ ในทั้งรายนามจักรพรรดิเทพ มีเพียงเจ้าเมืองหงส์เมฆาเท่านั้นที่สามารถทำได้

แน่นอนว่าระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์บางคน ดังเช่นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิด ‘จ้าวหุบเขาฝูหลิ่ว’ ร่างเดิมก็เป็นต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง พลังชีวิตแข็งแกร่งเย้ยฟ้า เจ้าเมืองหงส์เมฆาก็ทำอะไรไม่ได้ แต่ก็สามารถ ‘ใช้พลังกดดัน’ ได้

ข้างกายเจ้าเมืองยอดเมฆายังมีสตรีผมแดงนางหนึ่งติดตามมาด้วย กลิ่นอายของสตรีผมแดงไม่ธรรมดาเช่นเดียวกัน ซึ่งก็คือสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิด ‘จักรพรรดิเทพหงส์อัคคี’ ซึ่งมีพลังรบระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์ นางและเจ้าเมืองหงส์เมฆารักกันดั่งพี่น้อง

“อวิ๋นหลิว เป็นอะไรไปน่ะ” เจ้าเมืองหงส์เมฆามองดูหลานของตน น้ำเสียงก็นุ่มนวลขึ้นเป็นอันมาก เมื่อมองเห็นหลาน นางก็นึกถึงบุตรชายหญิงคู่หนึ่งที่สิ้นใจไปแล้ว

“คนอื่นๆ ถอยไปให้หมด ถอยไปให้หมด” ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวกลับแค่นเสียงเฮอะออกมา

ทันใดนั้นคนภายในโถงก็ถอยไปทีละคนๆ

เหลือเพียงเจ้าเมืองหงส์เมฆา จักรพรรดิเทพหงส์อัคคีและประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิว

“ท่านย่า ข้าเกือบสิ้นใจแล้ว” ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวพูดด้วยความตื่นตระหนก

“หา…ไหนเล่ามาสิ” เจ้าเมืองหงส์เมฆาฟังแล้วก็เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง แววเหี้ยมเกรียมผุดขึ้นมา

“ขอรับ” ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวเล่าเรื่องทั้งหมดโดยละเอียด

เจ้าเมืองหงส์เมฆาฟังแล้วก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “สามารถทำให้เจ้าตกเข้าสู่เขตลวงได้อย่างไร้วี่แวว ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นจักรพรรดิเทพช่วงกลาง จักรพรรดิเทพช่วงกลางที่แข็งแกร่งที่สุดสามคนใต้บังคับบัญชาของเจ้าที่สิ้นใจไปล้วนไม่มีแรงต้านทานแม้แต่น้อย! พวกเขาทั้งสามคนวิญญาณสลายไป…หอฝานอวิ๋นมีคนไปมาหาสู่มากมาย ข้ายังจัดยอดฝีมือระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายมาประจำการอยู่ที่นี่ แต่กลับตรวจสอบไม่พบความเคลื่อนไหว”

“เขตลวงเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง” จักรพรรดิเทพหงส์อัคคีซึ่งอยู่อีกข้างหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า “แต่เขตลวง อันร้ายกาจที่ปกคลุมไปทั่วทั้งโลกเทพเช่นนี้ ไม่เคยได้ยินมาก่อนเสียด้วยซ้ำ การบำเพ็ญเขตลวงนั้นยากมาก นี่นับว่าเป็นทิศทางวิญญาณแล้ว”

“อื้ม” เจ้าเมืองหงส์เมฆาพยักหน้า “หนึ่ง อาจจะมียอดฝีมือทางด้านวิญญาณอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนถือกำเนิดขึ้นมา สอง อาจจะเป็นชาวโลกเทพคนใดคนหนึ่งซึ่งเข้าถึงสายเลือดด้านเขตลวงที่ร้ายกาจอย่างยิ่งก็เป็นได้ สาม ก็อาจจะเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดหน้าใหม่สักคนที่มายังโลกของพวกเรา ไม่แน่ว่าอาจจะมีสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดที่เชี่ยวชาญทางด้านเขตลวงก็เป็นได้”

“ไม่ว่าจะเป็นประเภทไหน หากกล้ามายังเมืองหงส์เมฆาและลงมือกับหลานข้า ก็ช่างบังอาจแท้ๆ” เจ้าเมืองหงส์เมฆาพูดเสียงเย็นชา “ไม่ว่าเขาจะแค่ตักเตือน มิได้ทำร้ายหลานของข้า ในภายหน้าข้าก็จะลงโทษคนผู้นั้นให้หนักสักตั้งหนึ่งค่อยค่อยปล่อยเขาไปก็แล้วกัน”

เจ้าเมืองหงส์เมฆากล่าวพลางโบกมือคราหนึ่ง

เขาเริ่มย้อนเวลารอบด้าน ทำให้ภาพที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ปรากฏขึ้นมา เพียงแต่ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงเขตลวงโลกเทียม ภาพในขณะนั้นจึงไม่มีทางปรากฏขึ้นมาได้เลย!

“มิอาจย้อนเวลาได้หรือ”

เจ้าเมืองหงส์เมฆายิ้มเย็น

นางโบกมือเบาๆ คราหนึ่ง มีเมฆหมอกรวมตัวขึ้นเป็นกระจกบานหนึ่ง บนกระจกเริ่มมีภาพของทุกสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ปรากฏขึ้นมาให้เห็น

บนกระจกสะท้อนให้เห็นว่า…ภายในโถง ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิว สาวใช้ และพี่น้องทั้งหกต่างก็ล้มลงและตกเข้าสู่ห้วงนิทราทั้งสิ้น

ประตูถูกผลักออกมา

หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวผู้หนึ่งซึ่งสะพายกระบี่เทพเอาไว้บนหลังเดินเข้ามาเช่นนี้เอง นอกประตูมีคนหลายคนล้มระเนระนาด ในจำนวนนั้นก็มีจักรพรรดิเทพเฉินฝูอยู่ด้วย หลังจากหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวเดินเข้ามาแล้ว โบกมือคราหนึ่ง สมบัติล้ำค่าต่างๆ บนร่างของประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวก็ลอยออกมา แล้วตกมาอยู่ในมือหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวจนสิ้น

“แคว่ก” จากนั้นรอยแยกสีดำสายหนึ่งก็ปรากฏขึ้น หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวสาวเท้าเข้าไปในนั้นก่อนจะหายวับไป

“เอ๊ะ” เจ้าเมืองหงส์เมฆาและจักรพรรดิเทพหงส์อัคคีต่างพากันสะดุ้ง

แม้พวกนางทั้งสองจะแข็งแกร่งหาใดเปรียบ แต่ผู้ที่สามารถทำการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นในโลกเทพได้นั้นมีน้อยเสียจนยกนิ้วนับได้

“เป็นเขตลวงอันน่าหวาดหวั่นชนิดที่ไม่เคยมีมาก่อน ที่แท้แล้วผู้ที่สำแดงการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นผู้นี้คือใครกัน” เจ้าเมืองหงส์เมฆาก็รู้สึกว่าหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวผู้นี้เป็นภัยคุกคามที่สูงยิ่งนัก อย่างน้อยหากจะลอบสังหารหลานชายของนาง นางก็ไม่มีปัญญาจะปกป้องเอาไว้ได้ เพราะถึงอย่างไรนางก็มิอาจช่วยหลานชายสกัดกั้นเขตลวงได้

“รูปลักษณ์เป็นหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวที่สะพายกระบี่เทพเอาไว้ เป็นผู้ใดกันหนอ ในบรรดาผู้แกร่งกล้าระดับยอดสุดในโลกเทพ ไม่มีผู้ที่เป็นเช่นนี้เสียหน่อย” จักรพรรดิเทพหงส์อัคคีสงสัย “เป็นผู้เหินทะยาน เป็นชาวโลกเทพหรือว่าสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดหนอ”

มีรูปลักษณ์เป็นมนุษย์ ก็อาจจะเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดได้เช่นเดียวกัน

เช่นนาง จักรพรรดิเทพหงส์อัคคีก็เป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดที่กลายร่างเป็นมนุษย์เพื่อเคลื่อนไหวอยู่ภายนอก

“รู้แล้วกระมัง” เจ้าเมืองหงส์เมฆามองไปทางประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวหลานชายของตน “ข้าก็มิอาจช่วยเจ้าสกัดกั้นศัตรูทั้งปวงได้ หากยอดฝีมือเร้นลับผู้นี้จะสังหารเจ้า ก็สามารถสังหารได้อย่างไร้ร่องรอย จากนี้ไป เจ้าจงจำเอาไว้ ว่าจะต้องเข้มงวดกับผู้ใต้บังคับบัญชาพวกนั้น ว่าอย่าได้ทำเช่นนี้ต่อไปอีก”

“ข้ารู้ ข้ารู้” ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวกล่าว เมื่อใกล้ความตายเช่นนี้ เขาจะปล่อยปละละเลยต่อไปได้อย่างไรกัน เพราะถึงแม้เขาจะไม่แยแสสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอ แต่ลึกๆ ในใจก็มิได้สนใจการเข่นฆ่าหรือล้างสังหารแต่อย่างใด สิ่งที่เขาชมชอบก็คือ ‘การดื่มด่ำ’

“อื้ม”

เจ้าเมืองหงส์เมฆาลอบถอนหายใจ อีกฝ่ายมิได้สังหารหลานชายของนาง เห็นได้ชัดว่าเพราะมิอยากผูกความแค้นด้วย ครั้งนี้จึงมิได้สังหาร ขอเพียงฝ่ายหลานชายเข้มงวดกับผู้ใต้บังคับบัญชาเสียหน่อย ในภายหน้าเขาก็จะไม่สังหารอีก

หรือว่าครั้งนี้ นับว่าเป็นการ ‘ตักเตือน’ หลานชายนางกระมัง เพื่อให้หลานของนางเข้าใจว่า ในโลกเทพแห่งนี้ก็มีภัยคุกคามที่สามารถเอาชีวิตเขาได้เช่นกัน

“ทว่าที่แท้แล้วคนผู้นี้เป็นใครกันแน่” แม้เจ้าเมืองหงส์เมฆาจะมิได้สัมผัสถึงภัยคุกคามใดๆ แต่นางก็เข้าใจดีว่า ยอดฝีมือเร้นลับผู้นี้เป็นภัยคุกคามต่อจักรพรรดิเทพคนอื่นๆ มากทีเดียว

“ท่านพี่ พลังเช่นนี้ไม่มีทางไร้ชื่อเสียงไปตลอดกาลแน่ หากเวลาผ่านไปนานหน่อก็ต้องเปิดเผยออกมาแน่นอน” จักรพรรดิเทพหงส์อัคคีพูดยิ้มๆ “ถึงตอนนั้นพวกเราค่อยไปประลองกับเขาเสียหน่อย”

……

ตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึงยังเมืองมังกรเหล็กแล้ว

“ในที่สุดก็รวบรวมได้ครบเสียที” หัวใจของตงป๋อเสวี่ยอิงเฝ้ารอคอย ใบไม้โลกเฉาและไข่มุกคละถิ่นอสนีบาตทองครบหมดแล้ว พวกสิ่งที่มีส่วนช่วยชาวโลกเทพเป็นอย่างมากนั้น ตัวเขาเองมิได้ใส่ใจสักนิด แต่เขากลับปรารถนาซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิด ‘ทางสายอากาศ’ ตนนั้นเป็นอันมาก อย่างทางดินแดนจิตโลกา แม้หุบเขาเขี้ยวหักจะมีสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดเช่นเดียวกัน แต่มีจำนวนน้อยนิดยิ่งนัก ทางสายอากาศก็ยิ่งไม่มีเลยแม้แต่ตนเดียว

โลกใบนี้มีสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดมากมาย แต่มีทางสายอากาศเพียงสามตนเท่านั้น

ได้มาสักตนหนึ่งก็เพียงพอแล้ว

เพราะถึงอย่างไรก็เป็นทางสายอากาศ…ซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นตนนี้ ร่างกายส่วนใหญ่ล้วนแปรมาจากวิถีอากาศ นี่มิใช่สัตว์ถิ่นร้างเหล่านั้น โดยทั่วไปแล้วร่างกายของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดล้วนแต่ใหญ่โตหาใดเปรียบ เกล็ดแต่ละเกล็ดล้วนแต่ต้องค้นคว้าโดยละเอียดทั้งสิ้น ลำพังแค่ค้นคว้าทั้งหมดสักรอบหนึ่ง ก็ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานเท่าไหร่แล้ว จะต้องเป็นวัตถุสำหรับบำเพ็ญทางด้าน ‘วิถีอากาศ’ ที่ดีที่สุดของตนอย่างแน่นอน ล้ำค่ากว่าคัมภีร์ใดๆ ทั้งมวล

หน้าประตูจวนมังกรเหล็ก

ทหารคุ้มกันมองดูบุรุษอาภรณ์ขาวผู้สะพายกระบี่เทพเอาไว้บนหลังที่กำลังเดินเข้ามาแล้วก็อดตกตะลึงมิได้ เนื่องจากก่อนหน้านี้ไม่นานนัก จักรพรรดิเทพเมฆาเขียวผู้นี้เพิ่งจะมาเยี่ยมเยียน

“จักรพรรดิเทพเมฆาเขียว” ทหารคุ้มกันสอบถาม “ไม่ทราบว่าท่านจักรพรรดิเทพมาที่นี่ด้วยเรื่องอันใดหรือขอรับ”

“ได้โปรดรายงานให้ด้วย ข้าอยากพบคุณชายใหญ่” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย

……………………………

ผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพผู้นั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงตัดทิ้งไปก่อนแล้ว อีกฝ่ายค่อนข้างเจียมเนื้อเจียมตัว ตั้งหน้าตั้งตาบำเพ็ญเพียงอย่างเดียว ผู้บำเพ็ญประเภทนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง มิได้มีความแค้นอันใดต่อกัน เขาก็ย่อมไม่มีทางลงมือกับผู้บำเพ็ญประเภทนี้อยู่แล้ว

ส่วน ‘เจ้าเมืองปีกทอง’ และ ‘ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิว’ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังสามารถลงมือด้วยได้!

เจ้าเมืองปีกทองทำการสังหารชิงสมบัติ ต่อสู้เข่นฆ่า โหดเหี้ยมและเห็นแก่ตัว ถอนรากถอนโคนเพื่อขจัดปัญหาที่จะตามมาในอนาคต เพื่อความแกร่งกล้าของตนเอง วางแผนชั่วร้ายทำการสังหารอันใดก็ย่อมสามารถทำออกมาได้ทั้งสิ้น นับได้ว่าเป็นวีรบุรุษผู้กล้าอย่างแท้จริง กับคนพรรค์นี้ ถึงแม้ว่าจะมิได้ถูกขนานนามว่าเป็น ‘ระดับพญามาร’ แต่เมื่อสังหารตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิอาจออมมือ

ส่วนประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวนั้นตรงกันข้ามกับเจ้าเมืองปีกทองอย่างสิ้นเชิง! เขาทำการเข่นฆ่าอย่างไร้หัวจิตหัวใจ แต่ตระกูลมากมายต่างก็ล่มสลายไปเพราะอิทธิพลของเขา! สิ่งมีชีวิตตายไปเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวก็นับได้ว่าเป็น ‘พญามาร’ แล้ว เพียงแต่ว่าเรื่องราวมากมายล้วนเป็นสิ่งที่ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาอาศัยอิทธิพลของเขาไปทำทั้งสิ้น!

“แต่ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวผู้นี้ก็มิได้เป็นผู้บริสุทธิ์! ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลาง จะไม่รู้เรื่องที่ผู้ใต้บังคับบัญชาไปทำได้อย่างไรกัน เพียงแต่ว่าผู้ใต้บังคับบัญชาหลายคนนั้นหลอกล่อให้เขาเบิกบานใจ เขาจึงได้หลับตาข้างหนึ่งกับเรื่องนี้” ตงป๋อเสวี่ยอิงคิดใคร่ครวญ

“เอาล่ะ”

“ก็เป็นเขา ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวนี่แล้วกัน”

ตงป๋อเสวี่ยอิงทำการตัดสินใจ

ถึงแม้ว่าเจ้าเมืองหงส์เมฆาผู้เป็นอันดับหนึ่งของบัญชีรายนามจักรพรรดิเทพจะมีพลังป้องกันอันยิ่งใหญ่ แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ถามตนเองแล้วว่ามิอาจเอาชนะได้ อาศัยศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา การรักษาชีวิตก็ยังไม่มีปัญหา! ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นอันดับหนึ่งของโลกเทพ แต่ก็มิได้สำเร็จเคล็ดการเคลื่อนที่ผ่านระยะทางไกลโพ้น ในความเป็นจริงแล้วผู้ที่สามารถเคลื่อนที่ผ่านระยะทางไกลโพ้นภายในโลกเทพได้ไม่กี่คนนั้นนอกจากผู้เหินทะยานแล้วต่างก็อาศัยจิตสัมผัสสายโลหิตด้วยกันทั้งสิ้น!

สายโลหิตบรรพเทวะของเจ้าเมืองหงส์เมฆา เห็นได้ชัดว่าไม่เชี่ยวชาญการเคลื่อนที่ผ่านระยะทางไกลโพ้น เพียงแต่ว่าพลังยุทธ์ของนางแข็งแกร่งเสียจนน่ากลัว

“ไปล่ะนะ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงจ่ายค่าอาหารแล้วก็ไปจากเมืองหลิงเฟิง มุ่งหน้าไปยังเมืองหงส์เมฆาอย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียง

******

เมืองหงส์เมฆากว้างใหญ่เป็นอย่างยิ่ง มีอาณาบริเวณเกือบสิบล้านลี้ และที่กลางเมืองก็มีทิวเขาสูงหมื่นลี้แห่งหนึ่งที่ทอดตัวยาวต่อเนื่องกันหลายแสนลี้อยู่ ยอดเขาก็สูงเหนือเมฆไปเสียแล้ว ตลอดทั้งทิวเขามีหมู่วังทอดตัวยาวต่อเนื่อง และถูกเรียกว่าเป็น ‘จวนหงส์เมฆา’

“จวนหงส์เมฆา”

ตงป๋อเสวี่ยอิงเงยหน้าขึ้นมองทิวเขาที่ทอดตัวยาวต่อเนื่องนั้น สายตามองทะลุผ่านกลุ่มเมฆหมอก มองเห็นคฤหาสน์ขนาดใหญ่บนยอดเขา “ผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งแห่งโลกเทพก็อาศัยอยู่บนนั้นนั่นเอง”

เหนือจากนางขึ้นไปก็คือบรรพเทวะคละถิ่นสามท่านที่เป็นผู้ก่อตั้งโลกแห่งนี้แล้ว

“โชคดีที่ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวไม่สามารถอาศัยอยู่ภายในจวนหงส์เมฆาไปตลอดได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยรอยยิ้มออกมา ด้วยอุปนิสัยหยิ่งยโสของประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวทั้งยังชอบเสพสุข ถึงขนาดที่เขาก่อตั้ง ‘หอฝานอวิ๋น’ แห่งหนึ่งขึ้นมาด้วยตนเอง เขาเป็นประมุขหอ เรื่องที่สุขสันต์ที่สุดของหอฝานอวิ๋นแห่งนี้

เวลาส่วนใหญ่เขาก็อยู่ที่หอฝานอวิ๋น

ไปหาความสุขที่สถานที่แห่งอื่นของเมืองหงส์เมฆาบ้างเป็นครั้งคราว

สำหรับการออกไปจากปราการเมือง ไปบุกฝ่าหาประสบการณ์ยังสถานที่อื่นๆ ของโลกเทพ เช่นนั้นความเคลื่อนไหวก็คงยิ่งใหญ่เหลือเกิน ตามปกติแล้วผู้ที่คอยอารักขาประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวโดยเฉพาะก็มีจักรพรรดิเทพช่วงท้ายอยู่ถึงสามคนแล้ว! ช่วยไม่ได้ เจ้าเมืองหงส์เมฆาแกร่งกล้าถึงเพียงนี้ จักรพรรดิเทพช่วงท้ายที่สวามิภักดิ์อยู่ภายใต้สำนักของนางก็มีอยู่เกินกว่ายี่สิบท่าน!

แต่จักรพรรดิเทพช่วงท้ายก็ให้ความสำคัญกับการบำเพ็ญเป็นอย่างยิ่ง ภายในเมืองหงส์เมฆาก็มีจักรพรรดิเทพช่วงท้ายอยู่เพียงคนเดียวที่คอยติดตามประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวผู้นี้ในระยะยาว

“หลานชายเพียงคนเดียวของเจ้าเมืองหงส์เมฆา” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบรำพึง “ได้ยินว่าเจ้าเมืองหงส์เมฆาเคยมีบุตรชายบุตรสาวอยู่คู่หนึ่ง ในระยะเวลาที่นางถูกศัตรูตัวฉกาจคนหนึ่งกักขังเอาไว้นั้นบุตรชายบุตรสาวของนางก็ตายตกไปจนหมด เหลือเอาไว้เพียงแค่หลานชายโทนผู้นี้เท่านั้น”

เจ้าเมืองหงส์เมฆาพัฒนาขึ้น ก็ต้องผ่านประสบการณ์ขัดเกลาอันทุกข์ยากมากมายจึงจะมาถึงจุดที่อยู่ในวันนี้ได้

“มาถึงหอฝานอวิ๋นแล้ว”

ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินทอดน่องภายในเมืองหงส์เมฆาตามการรับสัมผัสเหตุปัจจัย เพียงไม่นานก็มาถึงเบื้องหน้าหอสูงแห่งหนึ่ง หอสูงมีพื้นที่กว้างขวางยิ่ง ความสูงก็ทะลุเข้าไปในชั้นเมฆ สถานที่แห่งนี้ก็คือสถานที่แสวงหาความสุขอันดับหนึ่งของทั้งเมืองหงส์เมฆา

“เขาอยู่ข้างบน” ตงป๋อเสวี่ยอิงเงยหน้า

……

ณ หอฝานอวิ๋น

“ท่านประมุขหอ” ชายหนุ่มอาภรณ์ดำคนหนึ่งยิ้มตาหยี นัยน์ตาทั้งคู่ราวกับจิ้งจอกก็มิปาน

ด้านหลังของเขามีหญิงสาวติดตามอยู่หกคน แต่ละคนล้วนมีรูปโฉมและบุคลิกอันล้ำเลิศ เพียงแต่ว่าสายตาที่หญิงสาวเหล่านี้มองไปทางเงาร่างด้านหลังของชายหนุ่มอาภรณ์ดำกลับซ่อนเร้นความเกลียดชังสายหนึ่งเอาไว้ แต่พวกนางก็ไร้ซึ่งหนทาง ชีวิตมากมายของคนใกล้ชิดและครอบครัวของพวกนางล้วนอยู่ภายในกำมือของชายหนุ่มอาภรณ์ดำผู้นี้ทั้งสิ้น

“เข้ามาเถิด” ด้านในมีเสียงดังลอยออกมา

ชายหนุ่มอาภรณ์ดำจึงค่อยผลักประตูเปิดออกอย่างระมัดระวัง

ภายในห้องโถงด้านใน

บุรุษร่างอ้วนเป็นอย่างยิ่งกำลังนั่งอยู่ที่นั่น ข้างกายมีสาวใช้อาภรณ์ม่วงคนหนึ่งคอยปรนนิบัติอยู่ เขากำลังกินอาหารคำโต บุรุษร่างอ้วนอย่างที่สุดผู้นี้…ก็คือ ‘ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิว’ หลานชายโทนของเจ้าเมืองหงส์เมฆานั่นเอง

“หืม” ประมุขหออวิ๋นหลิวผู้นี้เงยหน้าขึ้นมอง มองดูสาวน้อยที่มีรูปโฉมและบุคลิกไม่ธรรมดาหกคนที่เดินเข้ามาจากนอกประตู บุคลิกแตกต่างกัน หกคนยืนอยู่ด้วยกันก็ราวกับภาพวาดภาพหนึ่ง เห็นแล้วก็ช่างสุขสันต์ยิ่งนัก

“นี่คือ ‘หกดรุณี’ ที่ข้าน้อยต้องลำบากยากเข็ญกว่าจะหามาได้อย่างไรเล่าขอรับ” ชายหนุ่มอาภรณ์ดำเอ่ยอย่างประจบประแจง “รสชาติของพวกนาง ท่านประมุขหอได้สัมผัสแล้วก็จะรู้ได้เองขอรับ”

“อืม” ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวเผยรอยยิ้มออกมา “ดีๆๆ ไม่เลวเลย เฉินฝู เจ้าก็ออกไปก่อนเถิด”

ถึงแม้เขาจะรู้ว่ามีผู้ใต้บังคับบัญชาบางคนที่หน้าเนื้อใจเสือ แต่เพราะว่าปลอบประโลมเขาได้อย่างน่าเบิกบานใจยิ่ง เขาก็ย่อมไม่ใส่ใจอีกต่อไปแล้ว อย่างเช่นชายหนุ่มอาภรณ์ดำตรงหน้าผู้นี้ก็คือหนึ่งในสามผู้ใต้บังคับบัญชาระดับจักรพรรดิเทพช่วงต้นที่เขารักใคร่ที่สุด ‘จักรพรรดิเทพเฉินฝู’ เชี่ยวชาญในการฝึกฝนหญิงสาวเป็นที่สุด

‘จักรพรรดิเทพเฉินฝู’ ชายหนุ่มอาภรณ์ดำก็ถอยออกไปพร้อมรอยยิ้มด้วยความเคารพในทันที ทั้งยังปิดประตูให้อย่างเรียบร้อย

ภายในห้องโถงเหลืออยู่เพียงแค่ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิว สาวใช้อาภรณ์ม่วง และหญิงสาวหกคนเท่านั้น

“เข้ามานี่ให้หมด” มืออวบอ้วนของประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวกวักพร้อมส่งเสียงเรียก

“เจ้าค่ะ ท่านประมุขหอ”

สาวน้อยทั้งหกคนเข้าไปในทันที

สาวใช้อาภรณ์ม่วงที่อยู่ด้านข้างก็อมยิ้มมองดูเหตุการณ์ทั้งหมด นางสวามิภักดิ์ต่อเจ้านายด้วยกายและใจทั้งหมด ปรนนิบัติเจ้านาย ทั้งยังเป็นสาวใช้คนสนิทที่ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวไว้ใจมากที่สุดอีกด้วย เรื่องราวมากมายล้วนไม่สามารถรอดพ้นจากสาวใช้ผู้นี้ไปได้ สำหรับประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวแล้วสาวใช้ผู้นี้ก็คือญาติสนิทของเขา! ส่วนจักรพรรดิเทพเฉินฝูและคนอื่นๆ ก็เป็นเพียงแค่สุนัขรับใช้ที่เขาเลี้ยงเอาไว้เท่านั้นเอง!

ทันใดนั้น…

ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวก็รู้สึกว่าวิงเวียนศีรษะเล็กน้อย

“ที่นี่มันที่ไหนกัน”

ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวมองไปรอบทิศอย่างตื่นตระหนก นี่คือห้องขังอันมืดมนแห่งหนึ่ง

“เกิดเรื่องอันใดขึ้นกับข้ากัน เหตุใดพละกำลังจึงได้ถูกผนึกไปเสียแล้วเล่า” ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวค้นพบอย่างตื่นตระหนกว่าตนเองถูกมัดเอาไว้กับเสาต้นหนึ่ง และด้านข้างก็ยังมีเสาต้นแล้วต้นเล่า บนเสาก็ยังมีคนอื่นๆ มัดเอาไว้ด้วยเช่นกัน

“เป็นพวกเฉินฝูนี่” ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวมองปราดเดียวก็จำได้ว่าผู้ที่ถูกมัดเอาไว้บนเสาด้านข้างก็คือผู้ใต้บังคับบัญชาสามคนที่เขารักใคร่มากที่สุด

ผู้ใต้บังคับบัญชาสามคนนั้นก็ค่อยๆ ฟื้นคืนสติ

“นี่มันเรื่องอันใดกัน”

“นี่… นี่มัน…”

“ท่านประมุขหอก็อยู่ด้วยเช่นกัน”

“ท่านประมุขหอ รีบเชิญท่านเจ้าเมืองมาช่วยชีวิตเร็วเข้าสิขอรับ”

ผู้ใต้บังคับบัญชาสามคนนั้นต่างพากันตะโกนอย่างตื่นตระหนก

“พลังของข้าถูกผนึกเอาไว้ ไม่สามารถส่งสารได้เลย” ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวก็ร้อนใจเสียแล้ว

“เอี๊ยด”

ประตูของคุกอันมืดมนแห่งนี้เปิดออกในทันใด ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวที่สะพายกระบี่เทพผู้หนึ่งก็เดินเข้ามา เขากวาดสายตามองพวกเขาทั้งสี่คนอย่างเยียบเย็นดุจน้ำแข็งปราดหนึ่ง ทันใดนั้นสายตาก็ไปหยุดอยู่บนร่างของประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิว “ประมุขหออวิ๋นหลิว ท่านก่อกรรมทำเข็ญไปมากมายนับไม่ถ้วน วันนี้ก็เป็นเวลาที่ท่านต้องจบชีวิตลงแล้ว” พูดพลางดึงกระบี่เทพที่สะพายไว้ด้านหลังออกมา

“ข้าเปล่านะ ข้าเปล่า” ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวตื่นกลัวเป็นอย่างยิ่ง

“ยังไม่ยอมรับอีกหรือ ยังต้องให้ข้าพูดออกมาทีละอย่างๆ หรือไร ตระกูลเพลิงเหล็กนั่นก็ถูกผลาญล้างตระกูลเพราะท่าน สำนักกระบี่…” ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวเพิ่งจะเริ่มต้นพูด

“มิใช่ข้าเสียหน่อย เป็นพวกเขา เป็นพวกเขา” ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวพูด

ผู้ใต้บังคับบัญชาสามคนที่ถูกพันธนาการเอาไว้ของเขาต่างก็พากันหวาดหวั่น เพียงแต่ในชั่วขณะนั้นพวกเขาก็มิกล้าบอกปัดเพราะกลัวแต่ว่าจะไปล่วงเกินประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวเข้า

“วางใจเถิด พวกเขาสามคนก็ต้องตายเหมือนกัน” ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวพูด

ทั้งสามคนนั้นสะดุ้งคราหนึ่ง

“ไม่เกี่ยวกับพวกเราเลย”

“พวกเราเป็นเพียงแค่ผู้ใต้บังคับบัญชาของประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวเท่านั้น ล้วนเป็นเพราะท่านประมุขหอชี้นำพวกเราทั้งสิ้น”

“พวกเราจะไม่ฟังคำสั่งก็มิได้ ได้โปรดไว้ชีวิตด้วย ไว้ชีวิตด้วยเถิดขอรับ” ผู้ใต้บังคับบัญชาสามคนนี้ถึงกับร้องขอชีวิต ไม่ว่าอย่างไรก็มีชีวิตรอดให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน

“พวกเจ้า…” ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวได้เห็นเหตุการณ์แล้วก็หายใจสะดุด

“อย่าได้โยนกันไปมาอีกเลย ความชั่วร้ายของพวกเจ้าสามคน ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวก็คอยให้ท้ายพวกเจ้า ล้วนสมควรตายด้วยกันทั้งสิ้น” ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวกวัดแกว่งกระบี่ในทันใดแล้วแทงกระบี่หนึ่งไปบนร่างของผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งที่ถูกมัดเอาไว้ ผู้ใต้บังคับบัญชาผุ้นั้นร่างกายสั่นสะท้านในทันที จากนั้นก็กลายเป็นเถ้าธุลี

ขวับๆๆ

สามกระบี่ต่อเนื่องกัน ผู้ใต้บังคับบัญชาสามคนล้วนกลายเป็นฝุ่นธุลี

ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวเดินไปหาประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิว

ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวหวั่นเกรงเป็นอย่างยิ่ง “อย่าฆ่าข้าเลย อย่าฆ่าข้าเลย เจ้าต้องการสิ่งใดข้าก็จะมอบให้ท่านทั้งหมด! ท่านย่าของข้าคือเจ้าเมืองหงส์เมฆา เจ้ารู้เอาไว้นะ เรื่องราวในวันนี้ข้าสามารถทำเป็นว่ามิได้เกิดขึ้นเลยก็ได้ เจ้าต้องการสิ่งใดข้าก็สามารถช่วยเหลือเจ้าได้ทั้งสิ้น”

“สายไปแล้วล่ะ ตอนที่ท่านให้ท้ายผู้ใต้บังคับบัญชาก่อกรรมทำเข็ญ ก็ต้องคิดเอาไว้แล้วสิว่าจะมีวันนี้” ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวกวัดแกว่งกระบี่

ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวเผยสีหน้าหวาดหวั่นและสิ้นหวังออกมา

ขวับ

……

“ไม่ ไม่…” ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวพลันลืมตาขึ้นในทันใด ก็พบว่าตนเองยังคงอยู่ภายในห้องโถง สาวน้อยหกคน และสาวใช้อาภรณ์ม่วงที่อยู่ข้างกายก็ทรุดลงบนพื้นเช่นเดียวกัน ขณะนี้พวกนางแต่ละคนต่างก็ฟื้นคืนสติขึ้นมา แต่ละคนเผยสีหน้าสงสัย

ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาแล้วก็มองดูตนเองอย่างละเอียด “ข้ายังไม่ตาย ข้ายังไม่ตาย”

เขาเผยสีหน้ายินดีออกมา

“สมบัติล้ำค่าของข้าเล่า สมบัติล้ำค่าไม่มีแล้วหรือ” ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง คลังสมบัติล้ำค่าที่เขารวบรวมเอาไว้และสิ่งของต่างๆ ทั้งหมดล้วนหมดสิ้นไปแล้ว

“วันนี้เป็นเพียงแค่การลงโทษเล็กๆ เท่านั้น ถ้าหากประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวยังเป็นเช่นนี้ต่อไป คราวหน้าก็จะเป็นเวลาที่เจ้าต้องตายจริงๆ แล้ว” เสียงหนึ่งดังก้องสะท้อนอยู่ภายในวิญญาณของประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิว

ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวหน้าถอดสี

เขาทราบดี

ทุกสิ่งทุกอย่างที่ดูเหมือนจะเกิดขึ้นในความฝันเมื่อครู่นี้ อันที่จริงแล้วก็คือมีผู้แกร่งกล้าลึกลับท่านหนึ่งลงมือทำ สามารถทำให้เขาตกอยู่ในห้วงความฝันได้อย่างไร้สุ้มเสียง หากต้องการจะสังหารเขาก็คงจะไร้สุ้มเสียงเช่นเดียวกัน โดยที่เขาไม่มีเรี่ยวแรงต้านทานเลยแม้แต่น้อย

อันที่จริงแล้วตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้สังหารเขาก็เพราะว่าท่านย่าของเขาก็คือเจ้าเมืองหงส์เมฆาผู้เป็นอันดับหนึ่งของโลกเทพ ถ้าหากสังหารไปแล้วจริงๆ เจ้าเมืองหงส์เมฆาก็ต้องคลั่งขึ้นมาอย่างแน่นอน เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะส่งผลกระทบต่อชีวิตอันสงบสุขของตน ข้อสอง ตัวประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวเองยังมิอาจนับได้ว่าเป็นมาร เพียงแต่ผู้ใต้บังคับบัญชาอาศัยที่เขาหลับตาข้างหนึ่ง ลืมตาข้างหนึ่งเท่านั้น

ด้วยสองปัจจัยนี้จึงทำให้ยอมไว้ชีวิตเขา

“ปัง” เงาร่างสายหนึ่งกระแทกประตูแล้วพุ่งเข้ามา ซึ่งก็คือชายชราที่ดูน่ากลัวผู้หนึ่ง ชายชราที่ดูน่ากลัวผู้นี้เห็นประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวปลอดภัยไร้เรื่องราวแล้วจึงค่อยวางใจ เขาเอ่ยขึ้นว่า “ท่านประมุขหอ พวกเฉินฝูทั้งสามคนตายกันหมดแล้วขอรับ”

………………………………………………

“การต่อสู้เมื่อครู่ก็คงจะมีคนไม่น้อยที่พบเห็นกระมัง” บุรุษอ้วนพีพูดยิ้มๆ

“อืม” ประมุขวังทะเลปีศาจพยักหน้า

ทันใดนั้นระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างก็แผ่ปกคลุมลงไป แผ่ไปทั่วทุกทิศทุกทาง แทรกซึมไปยังวิญญาณประชากรโลกเทพกว่าหมื่นคนในบริเวณรอบๆ ที่อยู่ใกล้ที่สุดอย่างรวดเร็ว ประชากรโลกเทพกว่าหมื่นคนนี้ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็เป็นเพียงแค่ระดับจ้าวเทพช่วงกลางเท่านั้น เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้แกร่งกล้าระดับ ‘จักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์’ ความแตกต่างของพลังยุทธ์ก็มากมายเกินไปเสียแล้ว สามารถตรวจตราวิญญาณของพวกเขาและพลิกดูความทรงจำได้อย่างง่ายดาย

ประชากรกว่าหมื่นคนนี้ก็มีอยู่หนึ่งร้อยกว่าคนที่ได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นที่ชั้นสองของหอสุรากับตาตนเอง

ถึงอย่างไรคุณหนูใหญ่ผู้เปล่งประกายจับตาที่สุดของทั้งเมืองหลิงเฟิงถูกจับตัวไป ชาวเมืองที่อยู่ใกล้ๆ ในบริเวณรอบๆ จำนวนมากก็ย่อมลนลานอยู่แล้ว และมองดูอยู่ห่างๆ! ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่กล้ารั้งอยู่ในที่เกิดเหตุ ผู้คนมากมายต่างก็พากันหลบกลับไปยังที่พักอาศัยของตนเอง แต่จะรู้เสียที่ไหนกันว่าผู้ที่หลบอยู่ในบ้านก็ต้องถูกตรวจตราวิญญาณเช่นเดียวกัน

ไม่เพียงแค่ประมุขวังทะเลปีศาจเท่านั้น ‘เจ้าเมืองวายุดารา’ บุรุษอ้วนพีผู้นี้ก็กำลังตรวจตราวิญญาณอยู่เช่นเดียวกัน

“อะไรกัน!” ประมุขวังทะเลปีศาจหน้าถอดสี

“นี่…” เจ้าเมืองวายุดาราก็ตกตะลึงไปเสียแล้ว

พวกเขาพลิกดูความทรงจำมากมาย ภาพเหตุการณ์การต่อสู้ที่ได้เห็นล้วนเป็นว่าบุรุษอาภรณ์ขาวขยับนิ้วมืออยู่ห่างๆ ห้วงอากาศรอบกายจักรพรรดิเทพเฮ่อต้งก็บิดเบี้ยวและสั่นสะเทือนน้อยๆ แล้วจักรพรรดิเทพเฮ่อต้งก็ร่วงหล่นลงสู่พื้นไปในทันใด

“กระบวนท่าเดียวหรือ”

“แค่กระบวนท่าเดียวนี่น่ะหรือ นอกจากนี้ยังผ่อนคลายถึงเพียงนี้เชียวหรือ”

ประมุขวังทะเลปีศาจสีหน้าไม่น่าดู

ก่อนหน้านี้เมื่อดูจากที่อีกฝ่ายหลบๆ ซ่อนๆ ไม่กล้าเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง เขายังคิดว่าอีกฝ่ายเกรงกลัวเขา ‘ประมุขวังทะเลปีศาจ’ แต่ตอนนี้ภาพเหตุการณ์ที่ได้เห็นคืออีกฝ่ายสามารถปลิดชีพจักรพรรดิเทพเฮ่อต้งได้ภายในกระบวนท่าเดียว

“กระบวนท่าเดียวเท่านั้นเอง” เจ้าเมืองวายุดาราอุทานประโยคหนึ่ง “ในบรรดาผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้าย ผู้ที่สามารถสังหารจักรพรรดิเทพเฮ่อต้งได้ภายในกระบวนท่าเดียว เกรงว่าก็คงมีอยู่เพียงแค่สามคนห้าคนเท่านั้นกระมัง ที่น่ากลัวที่สุดก็คือบุรุษอาภรณ์ขาวผู้นี้มิได้เข้าประชิดตัวเลย หากแต่ขยับนิ้วเพียงนิ้วเดียวอยู่ห่างๆ … ยังมีระยะห่างของห้วงอากาศอยู่ ก็ปลิดชีพจักรพรรดิเทพเฮ่อต้งได้แล้ว ทำได้อย่างสบายๆ เช่นนี้ ดูเหมือนว่าจะต้องเป็นระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์อย่างแน่นอน”

“ไม่แน่หรอก ยังมีความเป็นไปได้ว่ามือสังหารผู้นี้เปลี่ยนแปลงภาพเหตุการณ์โดยรอบ เจตนาทำให้ประชากรโลกเทพธรรมดาทั่วไปเหล่านั้นมองเห็น” ประมุขวังทะเลปีศาจขบกรามพูด “เป็นไปได้ว่านี่ล้วนเป็นภาพเหตุการณ์ที่ปลอมแปลงขึ้นมาทั้งหมด มิใช่ความจริงเลย”

“สิ่งที่พี่ทะเลปีศาจพูดก็มีความเป็นไปได้อยู่ แต่ดูจากร่องรอยที่หลงเหลืออยู่ในบริเวณรอบๆ หอสุรา ดูจากความเสียหายที่การหมุนบิดห้วงอากาศก่อให้เกิดขึ้นกับผนังกำแพงและโต๊ะเก้าอี้แล้วก็มีความเป็นไปได้เกินกว่าแปดส่วนว่าภาพเหตุการณ์นี้จะเป็นความจริง ถ้าหากปลอมแปลงขึ้นมา ก็พูดได้เพียงว่าภาพเหตุการณ์ที่เขาปลอมแปลงขึ้นมานี้สมบูรณ์แบบเหลือเกิน” เจ้าเมืองวายุดาราพูด

“ท่านช่วยข้าดูที ในเมืองนี้อาจมียอดฝีมือระดับจักรพรรดิเทพอยู่” ประมุขวังทะเลปีศาจพูด

“ได้สิ”

เจ้าเมืองวายุดาราพยักหน้า

……

ตงป๋อเสวี่ยอิงถือจอกสุรา จิบสุราอยู่ที่นั่น ทันใดนั้นบริเวณรอบๆ ก็มีแสงดาวน้อยๆ ปรากฏขึ้น แสงดาวน้อยๆ นี้แผ่กระจายปกคลุมไปทั่วทั้งปราการเมือง

“อาณาบริเวณของเขตพลังนี้ยิ่งใหญ่น่าดูเลยทีเดียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยสีหน้าตื่นตกใจ แสงดาวนี้คงจะเป็นเจ้าเมืองวายุดาราที่สามารถสำแดง ‘เคล็ดเคลื่อนที่แสงดาว’ ได้ ผู้นั้นกระมัง แสงดาวจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังตรวจตราพลังยุทธ์ของทุกดวงวิญญาณ แต่ทว่าดวงวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนี้มาถึงระดับขั้นเช่นนี้แล้ว ปลอมแปลงขึ้นมา ต่อให้การตรวจตราของเจ้าเมืองวายุดาราร้ายกาจกว่านี้อีกสักสิบเท่าก็ไร้ประโยชน์

“พวกเขาสองคน” ตงป๋อเสวี่ยอิงเงยหน้าขึ้นมอง

เขามองเห็นประมุขวังทะเลปีศาจและเจ้าเมืองวายุดาราเหินออกมาจากหอสุราแล้วบินทะยานไปกลางเวหา พวกเขาสองคนต่างก็กำลังสังเกตการณ์ทั่วทั้งปราการเมือง

“มีเจ้าเมืองวายุดาราอยู่ ประมุขวังทะเลปีศาจก็ไม่น่าจะระบายความโกรธกับผู้บริสุทธิ์กระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ เจ้าเมืองวายุดารานิสัยค่อนข้างดี ผูกไมตรีกับทุกฝ่าย แต่กลับมิได้มีนิสัยชอบเข่นฆ่าผู้อ่อนแอ ถึงแม้ว่าพลังยุทธ์ของเจ้าเมืองวายุดาราจะอ่อนแออยู่สักหน่อย เป็นจักรพรรดิเทพช่วงท้าย! แต่เพราะความเหนือธรรมดาของเคล็ดเคลื่อนที่แสงดาวทำให้สถานะสูงส่งเป็นอย่างยิ่ง เรียกหาเป็นพี่เป็นน้องกับระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์มากมาย สามตระกูลราชันย์ก็ยังต้องรักษามารยาทเป็นอย่างมาก

มีเจ้าเมืองวายุดาราอยู่ ประมุขวังทะเลปีศาจก็ต้องสำรวมสักหน่อย

“กล้าสังหารลูกศิษย์ข้า! แต่กลับมิกล้าเปิดเผยตัวตนอย่างนั้นหรือ” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเป็นอริเสียงหนึ่งดังกึกก้องไปทั่วทั้งปราการเมือง ประชากรโลกเทพจำนวนนับไม่ถ้วนทั่วทั้งเมืองหลิงเฟิงต่างพากันตกใจจนอกสั่นขวัญแขวน ทั่วทั้งปราการเมืองต่างก็เงียบสงบลง เสียงของประมุขวังทะเลปีศาจยังคงก้องสะท้อนไปทั่วทั้งเวหาของปราการเมืองต่อไป “ความแค้นในวันนี้ ข้า ทะเลปีศาจ จดจำเอาไว้แล้ว”

น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความชั่วร้ายหยุดลง

ประมุขวังทะเลปีศาจกวาดตามองไปรอบๆ แล้วรอคอยอยู่ชั่วครู่ จากนั้นจึงพูดกับเจ้าเมืองวายุดาราที่อยู่ข้างๆ หลายประโยค

พรึ่บ!

แสงดาวปรากฏขึ้นอีกครั้ง คนทั้งสองที่อยู่ท่ามกลางแสงดาวก็หายลับไปมิอาจเห็นได้อีก ไปจากเมืองหลิงเฟิง

ความจริงแล้วถึงแม้ว่าประมุขวังทะเลปีศาจจะเป็นพญามาร แต่ก็เพียงแค่ทำเรื่องการสังหารล้างตระกูลเท่านั้น ส่วนเรื่องอย่างการ ‘ทำลายเมือง’ นั้นหาได้ยากยิ่ง! บวกกับครั้งนี้มือสังหารคือตงป๋อเสวี่ยอิง เป้าหมายของประมุขวังทะเลปีศาจก็คือตงป๋อเสวี่ยอิง ถ้าหาก ‘เจ้าเมืองหลิงเฟิง’ จักรพรรดิเทพช่วงต้นผู้นั้นยังอยู่ ก็มีความเป็นไปได้ที่จะถูกจับไป เพียงแต่ว่าตอนนี้ภายในเมืองล้วนแล้วแต่เป็นผู้อ่อนแอด้วยกันทั้งสิ้น เจ้าเมืองวายุดาราสหายผู้นี้ยังอยู่ข้างๆ เขาก็ย่อมมิอาจเปิดฉากสังหารได้โดยง่ายอยู่แล้ว

“ความแค้นนี้ จดจำเอาไว้ดีแล้วหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวเราะ

ตอนนั้นนายท่านแห่งสมาคมจิตมารก็เคยเอ่ยวาจานี้เช่นเดียวกันกระมัง

ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มแล้วก็ดื่มกินสุราอาหารอย่างสบายใจยิ่ง เขาย่อมไม่กลัวประมุขวังทะเลปีศาจผู้นั้นอยู่แล้ว ปลอมแปลงตัวตน เคลื่อนไหวอย่างเจียมตัวก็เพราะว่าเขามาจากโลกอีกแห่งหนึ่งต่างหาก! ไม่ว่าจะเป็นเขา หรือว่า ‘จักรพรรดิเป่ยเหอ’ ที่เจียมเนื้อเจียมตัวเป็นอย่างยิ่ง ต่างก็มาจากโลกอีกแห่งหนึ่ง เมื่ออยู่ที่โลกแห่งนี้ก็ย่อมต้องเจียมตนอย่างสุดกำลังอยู่แล้ว!

เมื่อใดที่ทำตัวโดดเด่นดึงดูดสายตาของทุกฝ่าย ผู้แกร่งกล้าธรรมดาทั่วไปก็ยังดี กลัวก็แต่บรรพเทวะคละถิ่นสามท่านนั้นเท่านั้น! นั่นก็คือผู้แกร่งกล้าคละถิ่นที่สรรสร้างโลกใบนี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงและจักรพรรดิเป่ยเหอ ใครจะไม่หวั่นเกรงบ้างเล่า

ยามที่ทำตัวโดดเด่น…

ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าแรงดึงดูดของโลกใบนี้มีขีดจำกัด ใกล้จะถึงเวลาที่ต้องจากไปแล้ว!

……

อิ่มหมีพีมันแล้ว

“ได้ใบไม้โลกเฉามาไว้ในมือแล้ว ขาดก็แต่ไข่มุกคละถิ่นอสนีบาตทองแล้วสินะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงครุ่นคิด ถึงอย่างไรก็ยังนับว่าในโลกเทพมีใบไม้โลกเฉาอยู่ค่อนข้างมาก การรวบรวมมานั้นก็ยังง่ายดายเป็นอย่างยิ่ง ยามที่สังหารมารก็เก็บไประหว่างทางก็ได้ ผ่อนคลายยิ่งนัก แต่ ‘ไข่มุกคละถิ่นอสนีบาตทอง’ นั้นจึงจะยากเย็นเป็นที่สุด เพราะว่าทั่วทั้งโลกเทพมีอยู่ทั้งหมดเพียงแค่สามเม็ดเท่านั้น!

ต่างก็มีที่มาที่ไปยิ่งใหญ่กันทั้งสิ้น

ท่านหนึ่งคือเจ้าเมืองปีกทอง ผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้าย จัดเป็นแถวหน้าในบรรดาจักรพรรดิเทพช่วงท้าย เขาจัดเป็นลำดับที่สามสิบเก้าใน ‘บัญชีรายนามจักรพรรดิเทพ’ อย่างน่าตกใจ! ปะทะกับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์หรือระดับยอดเคารพขึ้นมา ก็มิได้แตกต่างกันมากสักเท่าใดนัก

ท่านหนึ่งคือผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพ ‘จักรพรรดิเทพฉุนอวี๋’ จักรพรรดิเทพช่วงกลาง เป็นถึงผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพ เขาก็จัดเป็นลำดับที่หนึ่งร้อยหกสิบสองในบัญชีรายนามจักรพรรดิเทพ!

ส่วนอีกท่านหนึ่งคือ ‘ประมุขหออวิ๋นหลิว’ จักรพรรดิเทพช่วงกลาง เขามิใช่ผู้เหินทะยาน มีพลังยุทธ์เพียงแค่ระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางเท่านั้น ก็มิได้ดีไปกว่าจักรพรรดิเทพเฮ่อต้งสักเท่าใดนัก แต่ว่าเขามีไข่มุกคละถิ่นอสนีบาตทอง ผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายมากมายเท่าใดต่างพากันอิจฉาตาร้อน แม้กระทั่งผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์ก็ยังต้องใจสั่นสะท้านน้อยๆ เต็มใจจะไปทำการแย่งชิงเพื่อคนรุ่นหลัง แต่ไม่มีผู้ใดช่วงชิง เพราะเหตุใดกันเล่า

เพราะว่าประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวผู้นี้ก็คือหลานชายของ ‘เจ้าเมืองหงส์เมฆา’ เอาอกเอาใจเขาเป็นอย่างยิ่ง และเจ้าเมืองหงส์เมฆา…ก็คือบุคคลผู้น่าหวาดหวั่นที่จัดเป็นอันดับหนึ่งในบัญชีรายนามจักรพรรดิเทพนั่นเอง!

“ทั้งสามท่านล้วนมิอาจยั่วยุได้โดยง่าย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ

“เจ้าเมืองปีกทองมีพลังยุทธ์แข็งแกร่งที่สุด เป็นถึงประชากรโลกเทพ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป็นจักรพรรดิเทพช่วงท้าย แต่พลังยุทธ์กลับดูเหมือนว่าไปถึงระดับยอดเคารพ! แต่เขาอาศัยวัตถุภายนอกอย่าง ‘ไข่มุกคละถิ่นอสนีบาตทอง’ ส่งเสริม ถ้าหากไม่มีสมบัติล้ำค่าหลายชิ้นนี้ เกรงว่าพลังยุทธ์ก็คงลดลงไปเหลือเพียงแค่ลำดับที่แปดเก้าสิบในบัญชีรายนามจักรพรรดิเทพเท่านั้นกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ ผู้ที่พลังยุทธ์แข็งแกร่งที่สุดผู้นี้ก็เป็นผู้ที่เขาไม่หวั่นเกรงเลย

อาศัยสมบัติล้ำค่า อาศัยพลังสายโลหิต การจัดการนั้นช่างง่ายดายยิ่งนัก ภายใต้ท่าไม้ตายที่สามของวิถีเขตลวงโลกเทียมของตน สมบัติล้ำค่าพลังสายโลหิตล้วนไร้ประโยชน์ทั้งสิ้น! อีกฝ่ายสามารถประคองสติตื่นรู้เอาไว้ได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว

“ผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพ จักรพรรดิเทพช่วงกลาง ทางด้านปณิธานวิญญาณของเขาก็ต้องร้ายกาจเป็นที่สุดอย่างแน่นอนอยู่แล้ว ถ้าหากข้ามิได้คิดค้นท่าไม้ตายที่สามออกมา เกรงว่าก็คงยากที่จะจับตัวเขามาได้อย่างง่ายดาย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ “แต่ตอนนี้การจัดการเขาก็มิใช่เรื่องยากแต่อย่างใด”

“ผู้ที่ยุ่งยากที่สุดกลับเป็นประมุขหออวิ๋นหลิวผู้นี้” ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้ว

ประมุขหออวิ๋นหลิวนั้นพำนักอยู่ที่เมืองหงส์เมฆา! ที่นั่นมีผู้แกร่งกล้าน่าหวาดหวั่นที่จัดเป็นอันดับหนึ่งของโลกเทพอยู่ สามารถจัดเป็นอันดับหนึ่งในบรรดาระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์ได้ อ้างอิงจากบันทึกการต่อสู้แล้ว นางก็คือผู้ที่เคยสังหารระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์คนหนึ่งมาแล้วในประวัติศาสตร์ สำหรับการเอาชนะระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์ซึ่งๆ หน้านั้นก็เกินกว่าสิบท่าน! โดยเฉพาะระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์ก็ต้องเรียนรู้ซึ่งกันและกันเพื่อขัดเกลาตนเองจึงสามารถก่อให้เกิดเป็นบันทึกอันน่าหวาดหวั่นเช่นนี้ได้

ผู้ที่ถูกสังหารนั้นก็คือผู้ที่มั่นใจในตนเองจนเกินไปว่าสามารถยั่วยุเจ้าเมืองหงส์เมฆาได้

“สามารถสังหารจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์ได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ “หรือว่าพลังยุทธ์ของเจ้าเมืองหงส์เมฆาผู้นี้จะเทียบเคียงได้กับผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพ ‘จักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์’ เล่า”

ผู้เหินทะยานแต่สามารถต่อสู้ข้ามชั้นได้

ผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้าย ก็สามารถเทียบเคียงได้กับชาวเมืองระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์! ผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์นั้นน่าหวาดหวั่นเพียงใด

โลกเทพนี้…

ในประวัติศาสตร์ อ้างอิงจากข้อมูลที่ตงป๋อเสวี่ยอิงรวบรวมมาได้ อนุมานจากร่องรอยที่ปรากฏ! ก็น่าจะเคยมีผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์ปรากฏตัวขึ้นอย่างน้อยสองคน ทว่าต่างก็สูญหายไปหมดแล้ว!

“อ้างอิงจากที่อธิบายเอาไว้ในข้อมูล พวกเขาสามคน ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวนั้นค่อนข้างหยิ่งยโสเพราะถูกตามใจมากจนเกินไป บาปกรรมที่ก่อเอาไว้หนาหนักที่สุด แต่เขาก็เพียงแค่หยิ่งยโสเท่านั้น อุปนิสัยที่แท้จริงก็มิได้นับว่าเลวร้ายจนเกินไปนัก! หรือแม้กระทั่งบาปกรรมหลายครั้งที่ก่อก็ล้วนเป็นเพราะถูกหลอกใช้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวมีผู้หนุนหลังที่ยิ่งใหญ่เกินไป ก็ย่อมมีคนใช้เขาเป็นบันได้ หลอกใช้เขาอยู่แล้ว

“บาปกรรมของเจ้าเมืองปีกทอง น่าจะเป็นลำดับถัดมา จัดว่าเป็นผู้แกร่งกล้าในโลกเทพที่ใจคอโหดเหี้ยมคนหนึ่งเลยทีเดียว แต่ก็มิได้ถึงระดับพญามาร” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ เจ้าเมืองปีกทองผู้นี้โหดเหี้ยมต่อศัตรู ไม่ไว้ไมตรีเลยแม้แต่น้อย ถือเป็นเรื่องปกติของผู้แกร่งกล้าในโลกเทพแห่งนี้ เพียงแต่ว่าเจ้าเมืองปีกทองมีส่วนเกี่ยวข้องในการต่อสู้ต่างๆ อยู่บ่อยๆ ทำการสังหารค่อนข้างมากเท่านั้นเอง

“ผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพคนสุดท้าย เป็นผู้ที่เจียมเนื้อเจียมตัวมากที่สุด ตั้งหน้าตั้งตาบำเพ็ญเพียงอย่างเดียว น้อยนักที่จะมีส่วนเกี่ยวข้องในการต่อสู้”

“ไข่มุกคละถิ่นอสนีบาตทองสามเม็ด ข้าต้องการเม็ดหนึ่ง ควรทำเช่นไรดีเล่า”

ตงป๋อเสวี่ยอิงครุ่นคิด

……………………………………

จักรพรรดิเทพเฮ่อต้งตายแล้ว!

ยอดฝีมือระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง เปรียบเทียบกับนายท่านแห่งสมาคมจิตมารแล้ว จักรพรรดิเทพเฮ่อต้งยังเป็นหนึ่งในลูกศิษย์ที่มีอยู่เพียงแค่สามคนของ ‘ประมุขวังทะเลปีศาจ’ ระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์ (ยอดเคารพ) ก็ถูกสังหารเช่นนี้เสียแล้วหรือ บุรุษอาภรณ์ขาวสะพายกระบี่เทพที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ หรือว่าไม่กลัวการแก้แค้นของประมุขวังทะเลปีศาจแม้แต่น้อยเลยหรือ

“น่ากลัวเหลือเกิน” เจ้าเมืองหลิงเฟิงมองดูบุรุษอาภรณ์ขาวที่เดินเข้ามาผู้นั้นอย่างพรั่นพรึง “เพียงแค่ชี้นิ้วครั้งเดียวก็สามารถสังหารจักรพรรดิเทพเฮ่อต้งได้แล้ว ถึงขนาดที่ทำให้ห้วงอากาศโดยรอบสั่นสะเทือนบิดเบี้ยวกันไปหมด ผู้ที่สามารถทำถึงขั้นนี้ได้ เกรงว่าในบรรดาจักรพรรดิเทพช่วงท้ายก็คงจะมีอยู่น้อยจนสามารถนับนิ้วได้เพียงไม่กี่คนเท่านั้นกระมัง โดยทั่วไปก็ต้องเป็นจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์ จึงจะสามารถทำถึงขั้นนี้ได้”

เพียงกระบวนท่าเดียวก็ปลิดชีพจักรพรรดิเทพช่วงกลางได้

ช่างน่าหวาดหวั่นโดยแท้ จักรพรรดิเทพช่วงท้ายเกือบทั้งหมดต่างก็ไม่สามารถแข็งแกร่งเช่นนี้ได้

แต่เขากลับไม่รู้ว่า…ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงเคล็ดวิชาวิถีอากาศที่ฉากหน้า แต่ในความเป็นจริงแล้วก็สำแดง ‘ท่าไม้ตายเขตลวงโลกเทียม’ ไปพร้อมกัน ก่อนที่จะตระหนักรู้ท่าไม้ตายที่สาม ระดับแม่ทัพเทพ (จักรพรรดิเทพช่วงกลาง) ที่อ่อนแอสักหน่อยของหุบเขาเขี้ยวหัก เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาต่างก็สามารถจ่อมจมได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกระบวนที่สามที่พลังคุกคามเพิ่มพูนขึ้นหลายเท่าในตอนนี้เลย จักรพรรดิเทพเฮ่อต้งย่อมวิญญาณสูญสลายไปโดยไร้ซึ่งแรงต้านทานแม้แต่น้อยอยู่แล้ว!

“ขอบคุณผู้อาวุโสที่ช่วยเหลือบุตรสาวข้า ช่วยเหลือทั้งสกุลหลิงเฟิงของข้า” เจ้าเมืองหลิงเฟิงค้อมกายคารวะอย่างซาบซึ้งในทันใด

“ขอบคุณบุญคุณช่วยชีวิตของผู้อาวุโส” ประกายที่ผิวหนังของหลิงเฟิงอวี๋หรงโคจรจนเสื้อผ้าอาภรณ์กลับมารวมตัวกันอย่างสมบูรณ์ดังเดิม นางมองบุรุษอาภรณ์ขาวที่กลิ่นอายราวกับคมกระบี่ตรงหน้า ทั้งซาบซึ้ง ทั้งเกิดความยกย่องชื่นชมสายหนึ่งขึ้นมาด้วย!

“ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก” ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินมาแล้วโบกมือคราหนึ่ง เก็บเอาซากศพของจักรพรรดิเทพเฮ่อต้งขึ้นมา เขามองเจ้าเมืองหลิงเฟิงและหลิงเฟิงอวี๋หรงปราดหนึ่ง “จักรพรรดิเทพเฮ่อต้งตายไปแล้ว เกรงว่าด้วยนิสัยของประมุขวังทะเลปีศาจย่อมไม่มีทางปล่อยให้จบไปง่ายๆ แน่ ข้าไม่เกรงกลัวเขา แต่พวกท่านก็ยังต้องเตรียมตัวกันเอาไว้ให้มากๆ ล่ะ อย่าได้ถูกเขาพาลโกรธเอา”

“ได้” เจ้าเมืองหลิงเฟิงหัวใจบีบรัดแน่น

แต่เขาก็มิได้ตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย

เพราะสถานการณ์ในตอนนี้ดีกว่าเมื่อครู่เป็นอันมากแล้ว!

อย่างเช่นจักรพรรดิเทพเฮ่อต้งให้ทางเลือกกับเขาสองทาง ไม่ว่าทางเลือกไหน เขา เจ้าเมืองหลิงเฟิงก็ต้องตายทั้งสิ้น เป็นเพราะว่าจักรพรรดิเทพเฮ่อต้งระมัดระวังตัวเป็นอย่างยิ่ง! เพื่อจัดการล้างแค้น เจ้าเมืองหลิงเฟิงผู้เป็นจักรพรรดิเทพช่วงต้นก็จำเป็นต้องตาย! เพราะว่าจักรพรรดิเทพช่วงต้น…ถึงแม้ว่าการบรรลุจะยากเย็นเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่แน่ว่าสักวันหนึ่งอาจจะบรรลุไปถึงระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางแล้วก็เป็นได้ ก็มีสิทธิ์คุกคามไปถึงจักรพรรดิเทพเฮ่อต้งได้ ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องสังหาร!

แต่ตอนนี้เล่า

ผู้ที่สังหาร ‘เฮ่อต้ง’ คือยอดฝีมือผู้ลึกลับตรงหน้าผู้นี้ ถึงแม้ว่าประมุขวังทะเลปีศาจจะมีชื่อเสียงฉาวโฉ่อยู่ข้างนอก แต่ถึงอย่างไรก็เป็นบุคคลระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์ (ยอดเคารพ) เรื่องราวในครั้งนี้ พวกเขาสกุลหลิงเฟิงคือฝ่ายที่ถูกกลั่นแกล้ง ขอเพียงแค่พวกเขาไปจากเมืองหลิงเฟิงชั่วคราว ประมุขวังทะเลปีศาจก็คงรังเกียจที่จะสะกดรอยตามสังหารพวกเขา

“รีบไปเตรียมตัวกันเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงโบกมือเบาๆ คราหนึ่งแล้วหมุนกายเดินตรงออกไปด้านนอก จากนั้นก็กลายเป็นลำแสงสายหนึ่งแล้วเหินลอยออกไปจากชั้นสองของหอสุรา

ที่บริเวณไกลออกไปของท้องถนนด้านนอก มีผู้สัญจรจำนวนมากมองดูที่นี่อยู่ห่างๆ อยู่ก่อนแล้ว ประชากรโลกเทพเหล่านี้ถือกำเนิดมาก็แกร่งกล้าเป็นพิเศษอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าระยะทางจะไกล ทั้งยังมีสิ่งปลูกสร้างขวางกั้น แต่พวกเขาก็ยังคงสามารถมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่ชั้นสองของหอสุราได้อย่างชัดเจน แล้วก็รู้ว่าที่ ‘จักรพรรดิเทพเฮ่อต้ง’ ตายไปนั้นเป็นเพราะถูกบุรุษอาภรณ์ขาวผู้นั้นสังหาร

“ร้ายกาจยิ่งนัก”

“กระบวนท่าเดียวก็ปลิดชีพได้แล้ว!”

“จักรพรรดิเทพเฮ่อต้งไม่มีเรี่ยวแรงต้านทานเลยแม้แต่น้อย”

“สกุลหลิงเฟิงนี่ก็ช่างโชคดียิ่งนัก เผชิญกับความยุ่งยากครั้งใหญ่ เจ้าเมืองหลิงเฟิงดูเหมือนว่าต้องตายอย่างไร้ข้อกังขาแล้ว ถึงกับมีสุดยอดผู้แกร่งกล้าเช่นนี้คนหนึ่งอยู่ที่เมืองหลิงเฟิงของข้า เห็นเรื่องไม่ยุติธรรม จึงสังหารจักรพรรดิเทพเฮ่อต้งเพื่อช่วยเหลือพวกเขา”

“จักรพรรดิเทพเฮ่อต้งก็คือลูกศิษย์หนึ่งในสามคนของประมุขวังทะเลปีศาจ มีความเป็นมายิ่งใหญ่เหลือเกิน ยอดฝีมือท่านนี้ก็ยังกล้าสังหาร!”

“เฮอะ ด้วยพลังยุทธ์ของยอดฝีมือท่านนี้ที่สังหารจักรพรรดิเทพเฮ่อต้งได้ภายในกระบวนท่าเดียว ไม่แน่ว่าตัวเขาเองก็คือระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์กระมัง! ถึงได้กล้าสังหารโดยไม่ไว้หน้าประมุขวังทะเลปีศาจเลย”

ประชากรโลกเทพมากมายเห็นแล้วก็พากันถ่ายเสียงวิพากษ์วิจารณ์ พร้อมกันนั้นก็จากไปอย่างรวดเร็ว

สถานที่พรรค์นี้มิอาจรั้งอยู่ได้นาน

ชั้นสองของหอสุรา

“เร็วเข้า”

เจ้าเมืองหลิงเฟิงก็กวาดตามองบริเวณรอบๆ อย่างละเอียดรอบคอบแล้วสั่งการลงไปว่า “พวกเราถูกรังแกอยู่ฝ่ายเดียว ถึงแม้ว่าประมุขวังทะเลปีศาจจะมิได้ไล่สังหารพวกเราคนตัวเล็กตัวน้อยเหล่านี้เป็นการเฉพาะ แต่ก็มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งที่จะระบายความโกรธ ดังนั้น เร็วเข้า! ทั้งตระกูลหลิงเฟิงแบ่งออกเป็นกองกำลังย่อยสิบกอง ประจำเรือใหญ่ เข้าสู่ดินแดนรกร้าง หลีกเลี่ยงปัญหาใหญ่เหล่านี้ไปก่อนเป็นการชั่วคราวรอให้ผ่านวันเวลาไปสักระยะแล้วค่อยกลับมา”

“ขอรับ”

“ขอรับ”

แต่ละคนรับบัญชา

สวบๆๆ…

พวกเขาทั้งหมดแปลงกายเป็นลำแสงแล้วเหินทะยานออกไปจากชั้นสองของหอสุราอย่างรวดเร็ว

ทั้งสกุลหลิงเฟิงเริ่มต้นเคลื่อนพลด้วยอัตราเร็วสูงสุด พวกเขาจะต้องระมัดระวัง! ถ้าหากเคราะห์ไม่ดี กระบวนท่าส่งๆ กระบวนท่าเดียวของประมุขวังทะเลปีศาจผู้นั้น เกรงว่าทั้งตระกูลก็คงจบสิ้นแล้ว

……

ตงป๋อเสวี่ยอิงแปลงกายเป็นบุรุษอาภรณ์ดำตลอดร่าง กลิ่นอายก็อ่อนลงไปเป็นอันมาก เป็นเพียงแค่กลิ่นอายระดับจ้าวเทพช่วงต้น แล้วยังคงรั้งอยู่ที่เมืองหลิงเฟิงต่อไป

ณ โรงสุราริมทางที่ไม่สะดุดตาแห่งหนึ่งในเมืองหลิงเฟิง มีกับข้าวหลายจานและสุราไหหนึ่งจัดวางอยู่

เขาดื่มสุราอย่างช้าๆ และรับประทานอาหารตามลำพัง

“ประมุขวังทะเลปีศาจปกป้องหวงแหนคนใกล้ชิด น่าจะต้องเคลื่อนไหวในทันที” ตงป๋อเสวี่ยอิงคิด ตนสังหารจักรพรรดิเทพเฮ่อต้ง ผู้มีพลังยุทธ์อย่างประมุขวังทะเลปีศาจรับสัมผัสต่อเหตุปัจจัยได้อย่างเฉียบคมเพียงใด การรับสัมผัสต่อเหตุปัจจัยที่เชื่อมโยงกับลูกศิษย์ของตนสูญหายไปอย่างฉับพลัน ก็ย่อมต้องมาตรวจสอบในทันทีอย่างแน่นอนอยู่แล้ว “ถ้าหากบินอย่างช้าๆ กว่าจะบินมาถึง ฆาตกรอย่างข้าผู้นี้ก็คงหายไปไหนไม่รู้เสียแล้ว! ดังนั้นประมุขวังทะเลปีศาจก็น่าจะขอให้ผู้แกร่งกล้าช่วยเหลือ มาถึงที่แห่งนี้โดยเร็วที่สุด”

เคล็ดวิชาเคลื่อนที่อย่างศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาศาสตร์นี้ถึงแม้ว่าจะพบเห็นได้ยากยิ่ง แต่ก็มีเคล็ดวิชาที่คล้ายคลึงกันอยู่

ในบรรดาผู้เหินทะยานวิถีอากาศระดับจักรพรรดิเทพก็มีเพียงแค่ผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายที่แข็งแกร่งที่สุดผู้นั้นเท่านั้นที่สามารถสำแดงออกมาได้! แต่ผู้แกร่งกล้าในโลกเทพมีมากมายดุจเมฆ พรสวรรค์สายโลหิตต่างๆ นานา มากมายนับร้อยพัน ผู้ที่สามารถเคลื่อนที่เป็นระยะทางห่างไกลภายในโลกเทพได้ก็มีอยู่น้อยจนสามารถนับนิ้วได้เพียงแค่ไม่กี่ท่านเท่านั้น! ไม่กี่ท่านนี้แต่ละคนล้วนมีสถานะอันสูงส่ง พลังยุทธ์อย่างอ่อนแอที่สุดก็ต้องเป็นพลังรบระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้าย บวกกับเมื่อเห็นท่าไม่ดีก็เคลื่อนย้ายหลบหนีโดยทันที ก็ย่อมมีเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถจัดการได้

สามารถเคลื่อนที่ผ่านระยะทางไกลโพ้นในโลกเทพได้อย่างสบายๆ…

ก็คือสามตระกูลราชันย์ ต่างก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นระดับสูง!

ผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์มีสถานะสูงส่งเป็นอย่างยิ่งในโลกเทพ ผู้แกร่งกล้าระดับขั้นนี้ทั่วทั้งโลกเทพมีอยู่ทั้งสิ้นเพียงแค่สามสิบกว่าคนเท่านั้น! ในบรรดาพวกเขาส่วนมากต่างก็สามารถขอให้ผู้แกร่งกล้า ‘เคลื่อนที่ผ่านระยะทางไกลโพ้น’ ช่วยเหลือได้!

“หืม”

ดื่มสุราไปชั่วขณะหนึ่ง กับข้าวก็หมดไปแล้วสองจาน ตงป๋อเสวี่ยอิงเงยหน้าขึ้นมองไกลออกไป

กลางท้องฟ้าไกลออกไป

ทันใดนั้นก็มีแสงดาวระยิบระยับ! ณ ทางเดินที่เต็มไปด้วยดวงดาวอันมืดหม่นดารดาษเส้นหนึ่ง เงาร่างสองสายปรากฏตัวขึ้นจากกลางแสงดาว คนหนึ่งก็คือบุรุษอ้วนพีที่สวมอาภรณ์ตัวหลวม หน้าผากของเขายังมีหนามแหลมที่แผ่กำจายแสงดาวอันน่าประหลาดออกมาอยู่ด้วย ส่วนผู้ที่อยู่ด้านข้างของเขาก็คือชายชราร่างผอมเล็กในอาภรณ์ดำที่ดูชั่วร้ายล้นฟ้าผู้หนึ่ง เขากวาดสายตามองปราดหนึ่ง ประชากรจำนวนนับไม่ถ้วนทั่วทั้งเมืองหลิงเฟิง มีบางคนที่มิได้มองเห็นผู้แกร่งกล้าที่อยู่กลางอากาศ ทว่ากลับรู้สึกถึงความรู้สึกกดดันบนดวงวิญญาณได้

“มาแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ในโรงสุราแห่งนี้วางจอกสุราลงแล้วพินิจดูอย่างเงียบๆ “ประมุขวังทะเลปีศาจ ตอนนี้สกุลหลิงเฟิงต่างก็พากันหนีกระจัดกระจายไปแล้ว ที่เหลืออยู่ภายในเมืองล้วนแล้วแต่เป็นชาวเมืองธรรมดาๆ ทั้งสิ้น หวังว่าท่านจะไม่ระบายความโกรธใส่ชาวเมืองธรรมดาเหล่านี้นะ มิฉะนั้นถึงแม้ว่าข้าจะไม่อยากประมือกับระดับยอดเคารพในตอนนี้ แต่ก็มีบางทีที่ร่นถอยมิได้”

ที่ดินแดนจิตโลกา ตอนที่พลังยุทธ์ของเขายังอ่อนแอ ก็ยังกล้างัดข้อกับราชันย์อนธการอมตะเลย! ถึงขนาดที่ทำลายการบูชายัญของราชันย์อนธการอมตะในตอนนั้น

การที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสังหารจักรพรรดิเทพเฮ่อต้งนั้นเป็นเรื่องดี แต่เขาย่อมไม่อยากทำให้ประชากรจำนวนนับไม่ถ้วนภายในเมืองแห่งนี้ถูกลากไปเกี่ยวข้องด้วย!

เมื่อใดที่อีกฝ่ายส่งสัญญาณว่าจะลงมือ

ก็เป็นเวลาที่เขา ตงป๋อเสวี่ยอิงลงมือ!

……

ณ ชั้นสองของหอสุราที่จักรพรรดิเทพเฮ่อต้งตายตกไปแห่งนั้น

พวกประมุขวังทะเลปีศาจทั้งสองคนมาถึงยังที่แห่งนี้พร้อมกัน

กาลเวลาโดยรอบไหลย้อนกลับ ไหลย้อนกลับมาถึงตอนที่ ‘จักรพรรดิเทพเฮ่อต้ง’ จับกุมตัวหลิงเฟิงอวี๋หรงเอาไว้ ภาพเหตุการณ์หลังจากนั้นจึงเริ่มเป็นปกติ ภาพเหตุการณ์ฉากแล้วฉากเล่า การผลาญสังหารแขกคนอื่นๆ และผู้ดูแลในพริบตาเดียว ฉุดคร่าหลิงเฟิงอวี๋หรง คุกคามกดดันสกุลหลิงเฟิง…แต่ยามที่บุรุษอาภรณ์ขาวที่สะพายกระบี่เทพปรากฏตัวขึ้นที่ภาพวาดนั้นเอง เพิ่งเห็นบุรุษอาภรณ์ขาว ภาพทั้งหมดก็พลันแหลกสลายไปเสียแล้ว

“เป็นเขานั่นเอง” ประมุขวังทะเลปีศาจเอ่ยเสียงต่ำ “ข้ายังไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนว่าที่แท้แล้วเกิดอะไรขึ้นในตอนนั้น พลังยุทธ์แข็งแกร่งน่าดูเลยทีเดียว แต่สวมอาภรณ์ขาวและสะพายกระบี่เทพอย่างนั้นหรือ ผู้แกร่งกล้าที่มีรูปลักษณ์เช่นนี้ที่จัดอยู่ในร้อยอันดับแรกของทั้งโลกเทพ กลับมิได้มีคนผู้นี้อยู่ ลับๆ ล่อๆ ไม่กล้าเปิดเผยร่างจริง กล้าเพียงแค่ซ่อนเร้นกลิ่นอายเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์มาเคลื่อนไหวเท่านั้น เกรงว่าพลังยุทธ์คงจะมิได้แข็งแกร่งสักเท่าใดนัก”

อย่างเช่นผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์ จะหลบๆ ซ่อนๆ ไปทำไมกัน เปล่งประกายยิ่งใหญ่ หรือแม้กระทั่งชั่วร้าย! ทั้งยังอุกอาจเอาแต่ใจเป็นอย่างยิ่ง

“ในเมื่อไม่กล้าเคลื่อนไหวด้วยตัวตนที่แท้จริง บุรุษอาภรณ์ขาวผู้นี้ก็คงจะหวั่นเกรงท่านประมุขวังทะเลปีศาจ ดังนั้นตอนจัดการจักรพรรดิเทพเฮ่อต้งจึงได้ปิดบังตัวตน” บุรุษอ้วนพีที่อยู่ด้านข้างเอ่ยพลางหัวเราะหึๆ

“กล้าสังหารลูกศิษย์ข้า ข้าย่อมไม่มีทางปล่อยเขาไปแน่” นัยน์ตาของประมุขวังทะเลปีศาจเต็มไปด้วยความหนาวเหน็บ

……………………………………………

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูข้อมูลที่บันทึกอยู่บนม้วนสาส์น หอจิตฟ้าสามารถสืบหามาได้ว่าผู้ที่ครอบครองใบไม้โลกเฉามีอยู่สิบห้าคน สิบห้าคนนี้ อ้างอิงจากบันทึกของหอจิตฟ้า ผู้ที่บาปกรรมหนาหนักที่สุดมีชื่อว่า ‘จักรพรรดิเทพเฮ่อต้ง’

จักรพรรดิเทพเฮ่อต้ง เป็นยอดฝีมือระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลาง ซึ่งเป็นศิษย์รักของ ‘ประมุขวังทะเลปีศาจ’ ผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์ ประมุขวังทะเลปีศาจนั้นนับได้ว่าเป็นพญามารระดับสุดยอด ส่วนจักรพรรดิเทพเฮ่อต้งนั้นเป็นลูกศิษย์หนึ่งในสามคนของเขา มีอุปนิสัยชั่วร้ายเช่นเดียวกัน สังหารหมู่มานับครั้งไม่ถ้วน แต่มีอาจารย์ที่แกร่งกล้า จักรพรรดิเทพเฮ่อต้งก็นับได้ว่าไม่เลวในบรรดาจักรพรรดิเทพช่วงกลางแล้ว จัดอยู่ในลำดับรั้งท้ายในบัญชีรายนามจักรพรรดิเทพ

“จักรพรรดิเทพเฮ่อต้ง อ้างอิงจากบันทึกของหอจิตฟ้า ก็เป็นพญามารจริงๆ แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ “ไปดูด้วยตนเองเถิด ดูให้เห็นว่าที่แท้แล้วมีเหตุปัจจัยแค้นมากน้อยเท่าใดที่เกี่ยวพันกันอยู่”

ในใจเกิดความอาฆาตขึ้น

ย่อมต้องเกิดเหตุปัจจัยขึ้นอยู่แล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงจิตใจวูบไหว แม้กระทั่งท่ามกลางเหตุปัจจัยมากมายของตน ก็ยังหาจักรพรรดิเทพเฮ่อต้งพบได้อย่างง่ายดาย

“หืม เขาอยู่ที่เมืองเล็กอันห่างไกลแห่งหนึ่งอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงประหลาดใจ “ดูเหมือนว่าจะเป็นเมืองหลิงเฟิงกระมัง”

จากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็สำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาตรงไปที่นั่น

*******

เมืองหลิงเฟิง

เป็นเมืองเล็กที่ไม่สะดุดตาแห่งหนึ่งในโลกเทพอันกว้างใหญ่ไพศาล แต่ถึงอย่างไรก็มีพื้นที่หลายแสนลี้ ประชากรโลกเทพมากมายเป็นที่สุด ขุมอำนาจขนาดเล็กต่างๆ ก็มีอยู่มากมายเป็นอย่างยิ่ง หอจิตฟ้าก็มีสาขาย่อยอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน

“เป็นคุณหนูใหญ่”

“คุณหนูใหญ่ออกมาแล้ว”

บนถนนแห่งหนึ่ง ผู้คนสัญจรไปมามากมาย พวกเขาต่างก็มองไปทางคนหลายคนที่อยู่ห่างออกไป

หญิงสาววัยเยาว์คู่หนึ่ง ด้านหลังมีองครักษ์สองคนติดตามอยู่ หญิงสาววัยเยาว์คู่นี้… คนหนึ่งเป็นเพียงแค่สาวใช้ ส่วนอีกคนหนึ่งจึงจะเป็น ‘หลิงเฟิงอวี๋หรง’ คุณหนูใหญ่ของเมืองหลิงเฟิงแห่งนี้ เจ้าเมืองหลิงเฟิงมีบุตรชายบุตรสาวทั้งสิ้นสี่คน บุตรชายสามคน มีบุตรสาวเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น บุตรสาวผู้นี้เฉลียวฉลาดเป็นที่สุด พรสวรรค์ก็สูงส่งเป็นอย่างยิ่ง ตอนนี้ก็เป็นระดับจ้าวเทพช่วงสุดยอดแล้ว

เพราะบำเพ็ญสายโลหิตเป็นเหตุ เมื่อพลังยุทธ์ยิ่งสูงส่ง ท่าทีของหลิงเฟิงอวี๋หรงก็ยิ่งดูราวกับมิใช่มนุษย์ เมื่อมองเห็นนางก็ราวกับมองเห็นสรรพสิ่งที่งดงามที่สุดในระหว่างฟ้าดิน

ทุกครั้งที่ออกมาล้วนดึงดูดความสนใจของผู้คนมากมายเสมอ

เจ้าเมืองหลิงเฟิงทราบถึงแรงดึงดูดของบุตรสาวของตนดี จึงได้มีคำสั่งเอาไว้นานแล้วว่าห้ามมิให้บุตรสาวของตนไปยังเมืองอื่น เพื่อป้องกันมิให้เกิดเรื่องไม่คาดฝัน

“คุณหนู สายตาของคนผู้นั้นช่างสามหาวยิ่งนัก ข้าจะไปสั่งสอนมันสักหน่อยนะเจ้าคะ” สาวใช้อาภรณ์เขียวมองเห็นคนผู้หนึ่งที่ริมหน้าต่างบนหอสุราไกลออกไปแล้วก็อดที่จะขบกรามเอ่ยขึ้นมิได้

“อย่าใจร้อนนักเลย!” หลิงเฟิงอวี๋หรงตกใจอยู่บ้าง สายตาสามหาวอย่างนั้นหรือ เหตุใดตนเองจึงไม่รู้สึกเลยเล่า ด้วย ‘จิตเขตน้ำแข็ง’ ของตนแล้วควรจะสามารถสัมผัสถึงสายตาที่มุ่งร้ายและละโมบได้จึงจะถูกต้อง แล้วนางก็มองกวาดไปทั่วทิศโดยละเอียดรอบหนึ่ง ทันใดนั้นก็ค้นพบว่าตรงตำแหน่งริมหน้าต่างที่ชั้นสองของหอสุราแห่งหนึ่งห่างออกไปไม่ไกลทางด้านหน้าเยื้องไปทางซ้าย บุรุษจมูกงุ้มราวนกอินทรีที่ถือจอกสุราเอาไว้คนหนึ่งยืนอยู่ที่นั่น กำลังมองนางอย่างตื่นเต้นและละโมบ ราวกับมองเห็นเหยื่อที่สมบูรณ์แบบอย่างไรอย่างนั้น

แววตานี้ทำให้หลิงเฟิงอวี๋หรงรู้สึกไม่สบาย

ทว่าเหตุใด ‘จิตเขตน้ำแข็ง’ ของตนจึงไม่สามารถสัมผัสได้เล่า

“คุณหนูเจ้าคะ เขาทำเกินไปแล้ว จะปล่อยเขาไปง่ายๆ มิได้นะเจ้าคะ” สาวใช้อาภรณ์เขียวก็ร้อนรนขึ้นมา องครักษ์สองคนที่อยู่ด้านข้างก็ค้นพบแล้ว จึงอดที่จะสีหน้าแปรเปลี่ยนมิได้

“ฮ่าฮ่า ท่านนี้ก็คือคุณหนูใหญ่หลิงเฟิงอวี๋หรงอย่างนั้นหรือ” บุรุษจมูกงุ้มราวนกอินทรีตรงริมหน้าต่างหอสุราพูดพลางหัวเราะฮ่าๆ “ขึ้นมาดื่มสุราเป็นเพื่อนข้าสิ” พูดแล้วมือซ้ายของเขาก็ยื่นออกมา มือซ้ายพุ่งพรวดออกไปหลายร้อยเมตรผ่านระยะทางระหว่างคนทั้งสองในพริบตา หลิงเฟิงอวี๋หรงสีหน้าแปรเปลี่ยน แล้วหมายจะพาตัวสาวใช้ถอยหนีไป แต่พลังอันไร้รูปร่างก็ห่อหุ้มนางแล้วพันธนาการนางเอาไว้อย่างง่ายดาย

มือใหญ่นั้นคว้าเอวของหลิงเฟิงอวี๋หรงเอาไว้แล้วจับขึ้นไปบนหอสุราในทันใด

“คุณหนูใหญ่!”

“คุณหนูใหญ่!”

องครักษ์สองคนและสาวใช้อาภรณ์เขียวต่างก็ตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง พร้อมกันนั้นในใจก็หวาดหวั่นยิ่ง เพราะคุณหนูใหญ่หลิงเฟิงอวี๋หรงของพวกเขาเป็นจ้าวเทพช่วงสุดยอด พลังยุทธ์ก็จัดเป็นสิบลำดับแรกในเมืองหลิงเฟิง สามารถจับตัวคุณหนูใหญ่ของพวกเขาได้ภายในกระบวนท่าเดียว ศัตรูจะต้องมีพลังยุทธ์เพียงใดกัน ระดับจักรพรรดิเทพอย่างนั้นหรือ

“รีบไปรายงานท่านเจ้าเมืองเร็วเข้า”

“เร็วเข้า”

พวกเขาต่างก็กระวนกระวายเป็นอย่างยิ่ง สาวใช้อาภรณ์เขียวผู้นั้นอดที่จะพุ่งตัวไปยังหอสุราที่อยู่ห่างออกไปแห่งนั้นมิได้

“คุณหนูใหญ่ถูกจับตัวไปแล้ว”

“ถูกคนที่อยู่บนหอสุราผู้นั้นจับตัวไปแล้ว”

บรรดาผู้สัญจรไปมาบนถนนมากมายได้เห็นเหตุการณ์แล้วต่างก็พากันตกตะลึง หลิงเฟิงอวี๋หรงเป็นผู้ที่โดดเด่นจับตาที่สุดของพวกเขาเมืองหลิงเฟิง ยิ่งพลังยุทธ์ของนางแข็งแกร่งขึ้น ท่าทีก็ยิ่งดูราวกับมิใช่มนุษย์ ประชากรโลกเทพทุกคนได้เห็นแล้วก็มีเพียงแค่ความยกย่องเทิดทูนเท่านั้น ไม่มีใครกล้าเกิดความคิดหยามหมิ่นเลยแม้แต่น้อย แต่ตอนนี้คุณหนูใหญ่ถึงกับถูกบังคับฉุดลากตัวไป ก็ย่อมทำให้ผู้คนมากมายต่างพากันโกรธแค้นหาใดเปรียบ แต่พวกเขาก็เข้าใจว่าผู้ที่สามารถชิงตัวคุณหนูใหญ่ไปได้อย่างง่ายดายนั้น ศัตรูจะต้องน่าหวาดหวั่นสักเพียงใด

ถึงแม้ว่าจะโกรธแค้นแต่ก็ไร้ซึ่งกำลัง

……

ชั้นสองของหอสุรา บรรดาแขกเหรื่อบริเวณรอบๆ ต่างก็พากันตะลึงงันในพฤติกรรมที่เขาชิงตัวคุณหนูใหญ่แห่งเมืองหลิงเฟิง มีส่วนน้อยอยู่เพียงแค่สองคนที่ไถลตัวลงมาชั้นล่างอย่างรวดเร็ว

บุรุษจมูกงุ้มราวนกอินทรีโอบตัวหลิงเฟิงอวี๋หรงเอาไว้ในอ้อมแขน ฝ่ามือหนึ่งวางเอาไว้บนขาของตน สายตาของเขากวาดมองบริเวณรอบๆ คราหนึ่ง ปัง…

ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างแผ่กวาดออกไป แขกเหรื่อทั้งหมดที่มีอยู่รวมทั้งผู้ดูแลหอสุราสูญสลายไปจนหมดสิ้นในพริบตา ไม่เหลือแม้แต่เศษซาก

“นี่” หลิงเฟิงอวี๋หรงตกใจจนสีหน้าซีดขาวไปเสียแล้ว

นางทราบดีว่าศัตรูน่าหวาดหวั่นยิ่งนัก

แต่การสังหารผู้บริสุทธิ์ตามอำเภอใจก็ยังทำให้หัวใจของนางบีบรัด

“ที่แท้แล้วเขาเป็นใครกันแน่ ข้าเองก็มีพลังยุทธ์ระดับจ้าวเทพช่วงสุดยอด ต่อให้เป็นระดับจักรพรรดิเทพช่วงต้นก็ไม่น่าจะจับตัวข้ามาอย่างง่ายดายภายในกระบวนท่าเดียวได้อยู่ดี หรือว่าเขาจะมีพลังยุทธ์ระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางกันเล่า” หลิงเฟิงอวี๋หรงอดที่จะเอ่ยคาดเดามิได้ พลังยุทธ์กล้าแกร่งอีกทั้งยังใจคอโหดเหี้ยม หลิงเฟิงอวี๋หรงรู้สึกกระวนกระวายหาใดเปรียบ แต่พลังยุทธ์ของนางในตอนนี้ถูกผนึกเอาไว้โดยสมบูรณ์ ถึงขนาดที่ไม่สามารถควบคุมวัตถุส่งสารได้เลยเสียด้วยซ้ำ

“อย่าได้กลัวไปเลย”

บุรุษจมูกงุ้มราวนกอินทรีพูดพลางยิ้มน้อยๆ “ข้าสังหารพวกเขา แต่มิอาจตัดใจสังหารเจ้าได้ลงคอหรอก! เจ้าอยู่เป็นเพื่อนข้าเสียดีๆ ก่อนที่ข้าจะเบื่อหน่าย ก็ย่อมไม่มีทางสังหารเจ้าอยู่แล้ว” พูดแล้วก็ดอมดมบนใบหน้าของหลิงเฟิงอวี๋หรง “อืม กลิ่นอายช่างชวนให้คนหลงใหลยิ่งนัก”

“ที่แท้แล้วเจ้าเป็นใครกันแน่ เจ้ามีพลังยุทธ์เช่นนี้ก็คงจะมิได้ไม่มีชื่อเสียงเลยแม้แต่น้อยหรอกกระมัง” หลิงเฟิงอวี๋หรงถูกคนดอมดมแนบชิดใบหน้า ก็อดที่จะเอ่ยขึ้นมิได้

“แน่นอนว่าข้าต้องเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์อยู่แล้ว มิฉะนั้นก็ต้องถูกคนจำได้ตั้งแต่เนิ่นๆ อย่างแน่นอน พวกเจ้าทั่วทั้งเมืองหลิงเฟิงก็ไม่พากันตกใจแย่เลยหรือ” บุรุษจมูกงุ้มราวนกอินทรีหัวเราะ มือใหญ่ทั้งคู่ลูบคลำหลิงเฟิงอวี๋หรง เสียงแคว่กเสียงหนึ่ง ก็ฉีกทึ้งเสื้อผ้าบางส่วนของหลิงเฟิงอวี๋หรง ทำให้หลิงเฟิงอวี๋หรงยิ่งคับแค้นใจมากขึ้นไปอีก แต่พลังยุทธ์ของนางถูกผนึกเอาไว้ ก็ย่อมไม่สามารถต้านทานได้อยู่แล้ว

“หยุดมือนะ!”

หลังจากเสียงตะโกน

เงาร่างสายแล้วสายเล่าเหินบินเข้ามาที่ชั้นสองของหอสุราอย่างต่อเนื่อง ผู้นำก็คือบุรุษร่างบึกบึนผู้หนึ่ง ซึ่งก็คือเจ้าเมืองหลิงเฟิง ที่ติดตามมาด้านหลังก็คือผู้แกร่งกล้าระดับจ้าวเทพช่วงสุดยอดคนอื่นๆ

บรรดาผู้แกร่งกล้าระดับจ้าวเทพช่วงสุดยอดเหล่านี้ได้รวมตัวกันขึ้นมาเป็นค่ายกลรบเรียบร้อยแล้ว

“ปล่อยตัวบุตรสาวข้าเสีย” เจ้าเมืองหลิงเฟิงตะคอกอย่างเดือดดาล เพียงแต่ว่าในใจของเขาก็ยังคงหวาดหวั่นเช่นเดิม

“ปล่อยตัวหรือ” บุรุษจมูกงุ้มราวนกอินทรีหัวเราะ ใบหน้าของเขาเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง บนหน้าผากของเขามีเส้นขนสัตว์สีขาวจำนวนหนึ่งปรากฏขึ้น บนใบหน้ามีแผ่นเกล็ดสีทองน้อยๆ ปรากฏขึ้นรางๆ

“จักรพรรดิเทพเฮ่อต้งหรือ” เจ้าเมืองหลิงเฟิงสีหน้าซีดขาว

จักรพรรดิเทพเฮ่อต้งผู้นี้สังหารหมู่มานับครั้งไม่ถ้วน ทั้งยังชมชอบสาวงามเป็นที่สุด

ที่เขาสังหารหมู่มามากมายนั้นก็ล้วนเป็นเพราะสาวงามทั้งสิ้น!

“ในภายหน้าบุตรสาวเจ้าก็คือหนึ่งในบรรดาของสะสมของข้าแล้วล่ะ” จักรพรรดิเทพเฮ่อต้งเอ่ยอย่างเรียบเฉย “อย่างน้อยพวกเจ้าสกุลหลิงเฟิงก็ยังมีทางเลือกอยู่สองทาง ทางแรก ถูกข้าล้างผลาญเสียให้สิ้น ทางที่สอง เจ้า เจ้าเมืองหลิงเฟิงฆ่าตัวตายเสีย แล้วยอมให้ข้าเลือกเฟ้นหญิงงามหนึ่งร้อยคนจากในตระกูลหลิงเฟิงของพวกเจ้า ข้ายังมีเมตตายอมปล่อยให้คนอื่นๆ ในตระกูลหลิงเฟิงของเจ้ามีชีวิตรอดต่อไปได้นะ”

“จักรพรรดิเทพเฮ่อต้ง นี่คือเมืองหลิงเฟิงของข้า เจ้าอย่าได้รังแกผู้อื่นให้มันมากเกินไปนักเลย” เจ้าเมืองหลิงเฟิงเดือดดาล

สองทางเลือก

ทางหนึ่งคือล้างผลาญทั้งตระกูล

อีกทางคือให้เขาฆ่าตัวตาย แล้วยังต้องยอมให้เลือกหญิงสาวหนึ่งร้อยคน นี่ก็คือความอัปยศของสกุลหลิงเฟิง!

“รีบเลือกเร็วเข้าเถิด ให้เวลาเจ้าสักสิบอึดใจ พอถึงเวลาหากเจ้ายังไม่เลือก ข้าก็จะเลือกแทนเจ้าเอง ล้างผลาญเผ่าพันธุ์สกุลหลิงเฟิงของพวกเจ้าเสียให้สิ้น” จักรพรรดิเทพเฮ่อต้งอยู่ตรงนั้นแล้วยื่นจอกสุราส่งมาถึงริมฝีปากหลิงเฟิงอวี๋หรง “มา ดื่มสุราด้วยกันดีกว่า”

แต่หลิงเฟิงอวี๋หรงกลับส่ายหน้า

แต่พลังอันไร้รูปร่างก็ควบคุมนาง ทำให้นางมิอาจดิ้นรนได้ แล้วอ้าปากดื่มสุราลงไปโดยไม่รู้ตัว

“ในเงื้อมมือข้า เจ้าไม่มีทางฆ่าตัวตายได้ ไม่มีทางต้านทานได้ ฟังคำข้าอย่างเชื่อฟังเสียดีกว่า หลอกให้ข้าเบิกบานใจสักหน่อยน่า มิฉะนั้น เจ้าต้องรู้เอาไว้ว่า… มีบางทีที่ความตายเป็นเรื่องที่แสนเบิกบานใจยิ่งนัก” จักรพรรดิเทพเฮ่อต้งหัวเราะ เพียงแต่ว่ารอยยิ้มนี้ทำให้หลิงเฟิงอวี๋หรงหนาวเหน็บไปทั้งใจ นางสิ้นหวังเสียแล้ว ไม่เพียงแต่เพื่อชะตาชีวิตของตนเองเท่านั้น แต่ยังเพื่อชะตาชีวิตของทั้งสกุลหลิงเฟิงอีกด้วย

“สิบ เก้า แปด…” จักรพรรดิเทพเฮ่อต้งพูดอย่างผ่อนคลาย

เจ้าเมืองหลิงเฟิงกำลังตัวสั่นงันงก

บรรดายอดฝีมือระดับจ้าวเทพภายใต้บังคับบัญชาของเขาต่างก็ตระหนกตกใจและสิ้นหวัง ถึงขนาดที่แต่ละคนพากันถ่ายเสียงอย่างกระวนกระวาย แล้วก็มีวัยเยาว์บางคนที่มองคุณหนูใหญ่ มองคุณหนูใหญ่ถูกดูหมิ่น พวกเขาก็คับแค้นใจเป็นอย่างยิ่ง

“ห้า สี่ สาม…” จักรพรรดิเทพเฮ่อต้งเสพสุขกับสีหน้าของผู้คนรอบๆ

เจ้าเมืองหลิงเฟิงคิดอยากจะต่อสู้จนตายกันไปข้าง

แต่บันทึกการต่อสู้ที่เกี่ยวข้องกับจักรพรรดิเทพเฮ่อต้งก็พิสูจน์ได้อย่างชัดเจนแล้วว่าผลลัพธ์ของการต่อต้านก็คือถูกล้างผลาญทั้งเผ่าพันธุ์

“เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน ใครจะมาช่วยเหลือข้าได้ ใครจะมาช่วยเหลือตระกูลของข้าได้” หลิงเฟิงอวี๋หรงสิ้นหวังเสียแล้ว

ทันใดนั้นเงาร่างสายหนึ่งด้านนอกก็เหยียบย่างอากาศเข้ามายังชั้นสองของหอสุรา

ผู้มาก็คือบุรุษอาภรณ์ขาวที่สะพายกระบี่เทพคนหนึ่ง

“ใครกัน”

ทุกคนหันหน้าไปมอง

จักรพรรดิเทพเฮ่อต้งก็ขมวดคิ้วมองไป เวลานี้ยังมีผู้ที่กล้าเข้ามาอีกหรือ มารนหาที่ตายหรืออย่างไร

บุรุษอาภรณ์ขาวที่สะพายกระบี่เทพผู้นี้เดิมทีมีกลิ่นอายอันแสนธรรมดา ซึ่งก็คือระดับจักรพรรดิเทพ เขากวาดสายตาคราหนึ่งแล้วก็เอ่ยปากพูดว่า “จักรพรรดิเทพเฮ่อต้ง เจ้าฉุดคร่าหญิงสาวอีกแล้วหรือ เหตุปัจจัยแค้นรัดตัวมากมายถึงเพียงนี้ จริงๆ เลยนะ…” บุรุษอาภรณ์ขาวพูดแล้วกลิ่นอายก็ระเบิดออกมาในทันใด แกร่งกล้าจนทำให้คนตกอกตกใจและหวาดหวั่น กลิ่นอายนั้นทำให้จักรพรรดิเทพเฮ่อต้งสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวง แต่บุรุษอาภรณ์ขาวกลับส่ายศีรษะเบาๆ แล้วอุทานเสียงหนึ่งพลางชี้นิ้วมือ

พรึ่บ!

จักรพรรดิเทพเฮ่อต้งร่างกายสั่นสะท้าน ห้วงอากาศโดยรอบต่างก็บิดเบี้ยวสั่นสะเทือน จากนั้นจักรพรรดิเทพเฮ่อต้งก็แววตาริบหรี่แล้วร่วงหล่นลงเสียงดังพลั่กในทันใด ร่างกายร่วงหล่นลงสู่พื้น หลิงเฟิงอวี๋หรงที่อยู่ด้านข้างก็ยืนขึ้นมา มองร่างปราศจากชีวิตของจักรพรรดิเทพเฮ่อต้งที่ร่วงหล่นลงมาอย่างยากที่จะเชื่อได้

……………………………………………

คุณชายใหญ่จวนมังกรเหล็กได้เห็นเหตุการณ์แล้วก็ยืดกายลุกขึ้นในทันใด เขาโบกมือไปทางด้านข้าง สาวใช้สองคนก็ถอยออกไปในทันใด ภายในสวนแห่งนี้เหลืออยู่เพียงแค่คุณชายใหญ่ผู้นี้กับตงป๋อเสวี่ยอิงเท่านั้น

“ซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นซากนี้เป็นทางสายห้วงอากาศ ล้ำค่าเป็นอย่างยิ่ง ด้วยนิสัยของท่านพ่อข้าย่อมไม่อยากขายอยู่แล้ว แต่ท่านพ่อเขามิอาจใช้ได้ จึงได้มอบให้กับข้ามานานแล้วสิทธิ์ในการตัดสินใจอยู่ที่ข้า” คุณชายใหญ่ยิ้มตาหยีมองตงป๋อเสวี่ยอิง “ท่านอยากจะได้มันไปก็ต้องแลกเปลี่ยนด้วย ‘ไข่มุกคละถิ่นอสนีบาตทอง’ หนึ่งก้อน ทั้งยังต้องการ ‘ใบไม้โลกเฉา’ อีกใบหนึ่งด้วย”

ตงป๋อเสวี่ยอิงม่านตาหดเล็กลง

นับตั้งแต่สังหารนายท่านแห่งสมาคมจิตมารและพลังยุทธ์เปิดเผยแล้ว เขาก็ซื้อหาข้อมูลจำนวนมากพอสมควรมาจากทางด้านหอจิตฟ้า อย่างเช่นสมบัติล้ำค่าต่างๆ นานาที่อธิบายโลกเทพ มิฉะนั้นสมบัติล้ำค่าอยู่ตรงหน้าแต่ไม่รู้จัก ถ้าหากพลาดไปแล้วจะไม่น่าเศร้าหรืออย่างไร

ใบไม้โลกเฉาเป็นวัตถุวิเศษที่ใช้สร้างวิญญาณขึ้นมาใหม่ที่ประชากรโลกเทพใช้ส่งเสริมการบำเพ็ญ เป็นวัตถุหายากของการบำเพ็ญพลังสายโลหิต…ในประวัติศาสตร์ หอจิตฟ้าเคยผ่านการประมูลใบไม้โลกเฉามาสามครั้ง ซึ่งสามครั้งนี้ราคาต่ำสุดก็คือสามพันเก้าร้อยหยกแก้วคละถิ่น ครั้งที่ราคาสูงที่สุดก็คือห้าพันแปดร้อยหยกแก้วคละถิ่น! แน่นอนว่าทั่วทั้งโลกเทพมิได้มีเพียงแค่สามใบนี้เท่านั้น ยังมีจำนวนมากพอสมควรที่ถูกผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์ครอบครองเอาไว้มอบให้กับลูกศิษย์และผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นต้น

ไม่ว่าอย่างไรใบไม้โลกเฉานี้ก็มีราคาอยู่ที่ราวๆ ห้าพันหยกแก้วคละถิ่น! ราคานี้ก็สูงจนเกินจริงแล้ว ต้องรู้ไว้ว่างานประมูลที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าร่วมคราวก่อน ราคาสุดท้ายของซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นตนนั้นก็เพียงแค่เกือบๆ สองหมื่นหยกแก้วคละถิ่นเท่านั้น

ใบไม้โลกเฉาก็ช่างเถิด!

เมื่อเปรียบเทียบกับ ‘ไข่มุกคละถิ่นอสนีบาตทอง’ ก็ห่างชั้นกันมากมายเหลือเกินแล้ว ไข่มุกคละถิ่นอสนีบาตทองล้ำค่าไม่ธรรมดา แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยปรากฏในงานประมูลมาก่อนเลย! อ้างอิงจากความรู้ความเข้าใจของตงป๋อเสวี่ยอิง ไข่มุกคละถิ่นอสนีบาตทองที่ปรากฏในในประวัติศาสตร์โลกเทพ มีอยู่ทั้งสิ้นสามเม็ด ราคาไม่ว่าจะของเม็ดใดต่างก็สูงเกินกว่าซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยทั่วไปอยู่แล้ว

ซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นทางสายห้วงอากาศ ถึงแม้ว่าจะหาได้ยากเป็นที่สุดเช่นเดียวกัน แต่ระดับความล้ำค่าในสายตาของผู้แกร่งกล้าของโลกเทพส่วนใหญ่ เกรงว่ามิอาจสู้ ‘ไข่มุกคละถิ่นอสนีบาตทอง’ ได้ ถึงอย่างไรการใช้ประโยชน์จากซากศพก็ไม่สะดวกเท่ากับไข่มุกคละถิ่นอสนีบาตทอง

“ไข่มุกคละถิ่นอสนีบาตทองหรือ คุณชายใหญ่ เงื่อนไขนี้ไม่สูงเกินไปหรอกหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด

“ฮ่า สูงหรือ”

คุณชายใหญ่จวนมังกรเหล็กแค่นหัวเราะ “ไม่สูงหรอก สิ่งมีชีวิตคละถิ่นทางสายห้วงอากาศสามตน ตนหนึ่งอยู่กับข้าที่นี่ ตนหนึ่งอยู่ในความดูแลของ ‘ตระกูลดาวเหนือ’ หนึ่งในสามตระกูลราชันย์ ส่วนตนสุดท้ายถึงแม้ว่าจะเตร็ดเตร่อยู่ภายในโลกเทพ แต่ก็มีพลังยุทธ์และความสามารถในการรักษาชีวิตรอดแข็งแกร่งเป็นที่สุด เคยมีผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์หกท่านร่วมมือกันก็ยังไม่สามารถรั้งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นตนนั้นเอาไว้ได้ พลาดจากข้าไปแล้วท่านจะไปหาซากเช่นนี้อีกที่ไหนกันเล่า ในความเป็นจริงแล้วผู้ที่ต้องการซากศพนี้ก็มีอยู่มากพอสมควรเลยทีเดียว มิได้มีแค่ท่านคนเดียวเสียหน่อย ข้าก็เสนอเงื่อนไขเช่นเดียวกันให้ ไม่มีไข่มุกคละถิ่นอสนีบาตทองก็อย่าแม้แต่จะคิด! ผู้ใดนำไข่มุกคละถิ่นอสนีบาตทองมาได้ก่อน ข้าก็จะมอบซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นนี้ให้กับคนผู้นั้น”

“เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องเอาใบไม้โลกเฉาอีกแล้วกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด

“บุตรสาวข้าบำเพ็ญ กำลังขาดแคลนใบไม้โลกเฉาใบหนึ่งอยู่ ถ้าหากสามารถได้ไข่มุกคละถิ่นอสนีบาตทองมา แน่นอนว่าใบไม้โลกเฉาก็ย่อมง่ายดายกว่ามากแล้ว” คุณชายใหญ่จวนมังกรเหล็กมองตงป๋อเสวี่ยอิง “ข้าเสนอเงื่อนไขไปแล้ว น้องเมฆาเขียว รอให้ท่านได้ไข่มุกคละถิ่นอสนีบาตทองและใบไม้โลกเฉาใบหนึ่งมาครองแล้วค่อยนำมาแลกเปลี่ยนกับซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นทางสายห้วงอากาศของข้าก็แล้วกัน”

“ข้าสามารถดูซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นนั่นสักครั้งก่อนได้หรือไม่” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยถาม

“ได้สิ”

คุณชายใหญ่ก็ใจกว้างเป็นอย่างยิ่ง เขาพลิกมือคราหนึ่ง กลางอุ้งมือก็มีสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์เก็บวัตถุปรากฏขึ้น “ข้าได้ทำการคลายการตัดแยกแล้ว ท่านน่าจะสามารถสอดแนมดูภายในคูหาสวรรค์เก็บวัตถุนี้ได้แล้วล่ะ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไป

ระลอกคลื่นสติรับรู้สายหนึ่งแทรกผ่านเข้าไปอย่างรวดเร็วโดยมิได้พบกับการสกัดกั้นแต่อย่างใดเลยจริงๆ แทรกผ่านไปถึงภายในคูหาสวรรค์เก็บวัตถุ

ทันใดนั้นเขาก็เห็นซากขนาดใหญ่มหึมาที่คดเคี้ยวราวกับทิวเขานอนอยู่บนพื้น ถึงแม้ว่าจะตายไปแล้ว แต่ซากศพก็ยังคงแผ่ระลอกคลื่นอันน่าอัศจรรย์ออกมา ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถมองเห็นความเร้นลับของกฎเกณฑ์ที่ประจักษ์ชัดบนทุกส่วนของร่างกายของมัน ทั้งแผ่นเกล็ดสีเขียวแผ่นแล้วแผ่นเล่าบนร่างกายของมัน หางของมัน หนามแหลมอันแล้วอันเล่าบริเวณส่วนหลังของมัน ลวดลายบนหนามแหลม… ต่างก็สามารถมองเห็นลวดลายลับจำนวนนับไม่ถ้วนแน่นขนัดที่ปรากฏชัดอยู่ด้านบนได้ ช่างลึกลับหาใดเทียม

ตงป๋อเสวี่ยอิงกวาดตามองปราดหนึ่ง

ลำพังแค่พื้นผิวของซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่น เกล็ดหุ้ม หนามแหลม และกรงเล็บ เป็นต้น… มีเกือบเก้าส่วนที่ปรากฏชัดว่าเป็นความเร้นลับของกฎเกณฑ์ทางด้านวิถีอากาศ สูงส่งลึกล้ำเป็นอย่างยิ่งเช่นเดียวกัน แฝงไว้ด้วยความเร้นลับระดับขั้นคละถิ่น ชิ้นส่วนที่แตกต่างกัน สิ่งที่ปรากฏก็ยังมีความแตกต่างกัน ซึ่งก็คือการใช้ประโยชน์จากวิถีอากาศระดับขั้นคละถิ่นที่แตกต่างกันนั่นเอง

“เห็นแล้วกระมัง” คุณชายใหญ่พลิกมือเก็บมันขึ้นมาพลางมองตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มๆ

ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกร้อนรุ่มในใจ

จะต้องได้มาครอบครองให้ได้

เมื่อครู่เขาเพียงแค่ดูอย่างหยาบๆ เท่านั้น! ต้องรู้ไว้ว่าส่วนประกอบอันลึกลับของลูกตาสิ่งมีชีวิตคละถิ่นดวงหนึ่งนั้นเขาต้องมองดูสักระยะหนึ่งจึงจะสามารถจดจำเอาไว้ได้ การจะจดจำซากศพขนาดมโหฬารนั้นทั่วทุกจุด ลำพังแค่จดจำอย่างผิวเผินก็ต้องใช้เวลาร้อยปีพันปีแล้ว ถ้าหากเป็นภายในร่างกาย หรือแม้กระทั่งทำการศึกษากายวิภาค… ทำการพินิจดูทุกส่วนโดยละเอียด เกรงว่าคงต้องใช้ระยะเวลาในการจดจำยาวนานเป็นอย่างยิ่ง

ระยะเวลาในการหยั่งรู้ก็ยิ่งยากที่จะประเมินได้แล้ว

“ต่างก็ว่ากันว่าฟ้าดินเป็นอาจารย์! แต่มาถึงระดับขั้นอย่างข้านี้แล้ว ความเร้นลับวิถีอากาศที่แฝงอยู่ระหว่างฟ้าดินก็ไม่แน่ว่าจะสูงอย่างที่ข้าตระหนักรู้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะ อย่างเช่นโลกเทพแห่งนี้ กฎเกณฑ์มากมายล้วนขาดแคลน ถึงขนาดที่มีการกดขี่อย่างรุนแรง

สิ่งที่ตนไขว่คว้าก็คือระดับขั้นคละถิ่น

นี่มิใช่สิ่งที่ฟ้าดินสามารถแฝงเอาไว้ได้แล้ว ถึงแม้ว่าเจ็ดกระบวนคละถิ่นจะร้ายกาจ แต่เกี่ยวพันไปถึงเพียงแค่กระบวนที่หกและกระบวนที่เจ็ดของระดับขั้นคละถิ่นเท่านั้น นั่นก็เป็นเพียงแค่การใช้ประโยชน์ที่เห็นได้ชัดอย่างยิ่งในบรรดานั้นเท่านั้นเอง การต่อสู้ก็เพียงแค่สามารถเทียบเคียงได้กับสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับล่างธรรมดาทั่วไปเท่านั้นเอง

สำหรับตนแล้ว

ซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่น ‘ทางสายห้วงอากาศ’ ตนหนึ่ง ย่อมเป็นวัตถุที่ดีสำหรับการหยั่งรู้และศึกษาชิ้นหนึ่ง มีส่วนช่วยส่งเสริมตนเป็นอันมาก

“ข้าบอกแล้วว่าท่านพ่อยกซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นซากนี้ให้ข้าแล้ว สิทธิ์ในการตัดสินใจอยู่ที่ข้า” คุณชายใหญ่มองตงป๋อเสวี่ยอิง “ถ้าหากท่านได้สมบัติล้ำค่าที่ข้าต้องการมาครอบครองแล้วก็สามารถมาหาข้าได้เลย”

“ข้าจะพยายาม” ตงป๋อเสวี่ยอิงลุกขึ้น

“เช่นนั้นข้าก็ไม่ไปส่งล่ะนะ” คุณชายใหญ่พูดยิ้มๆ เขามองตงป๋อเสวี่ยอิงจากไปพร้อมหัวเราะหึๆ

ไข่มุกคละถิ่นอสนีบาตทองเป็นสิ่งที่คุณชายใหญ่ปรารถนามากที่สุด!

อาศัยสถานะเช่นเขา ตลอดมาก็ยังมิได้มาครอบครอง

“ถ้าหากมีไข่มุกคละถิ่นอสนีบาตทองแล้ว พลังยุทธ์ของข้าก็ยังสามารถเพิ่มพูนขึ้นได้ถึงห้าเท่า แม้กระทั่งระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์ก็คงจะทำอะไรข้ามิได้แล้ว” คุณชายใหญ่พึมพำ เดิมทีพลังยุทธ์ของเขาก็แข็งแกร่งเป็นที่สุดอยู่แล้ว จัดเป็นแถวหน้าในบรรดาจักรพรรดิเทพช่วงท้าย พอๆ กันกับจักรพรรดิเป่ยเหอในยุคหุบเขาเขี้ยวหักเลยทีเดียว! สมบัติล้ำค่าที่สามารถเพิ่มพูนพลังยุทธ์ของเขาได้อย่างมหาศาลนั้นมีอยู่น้อยนิดเหลือเกิน ไข่มุกคละถิ่นอสนีบาตทองเป็นชิ้นที่ยกระดับพลังยุทธ์ของเขาได้มากที่สุด

……

ไปจากจวนมังกรเหล็กแล้ว จากนั้นก็สำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาอย่างเงียบๆ ภายในถนนเส้นหนึ่งของเมืองมังกรเหล็ก แล้วจากไปอย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียง

ในตอนแรกก็ไปยังเมืองเล็กอันห่างไกลอีกแห่งหนึ่ง เปลี่ยนแปลงกลิ่นอาย ปลอมตัวเป็นยอดฝีมือระดับจ้าวเทพช่วงสุดยอดคนหนึ่ง ไปซื้อหาข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับ ‘ใบไม้โลกเฉา’ และ ‘ไข่มุกคละถิ่นอสนีบาตทอง’ ก่อนหน้านี้ถึงแม้ว่าจะเคยได้รับข้อมูลที่อธิบายเกี่ยวกับสมบัติล้ำค่าต่างๆ ของโลกเทพ แต่นั่นคือข้อมูลคร่าวๆ เท่านั้น ยิ่งเป็นข้อมูลละเอียด ราคาก็ยิ่งสูง

“แพงอะไรเช่นนี้” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบทอดถอนใจ

ข้อมูลโดยละเอียดของใบไม้โลกเฉาและไข่มุกคละถิ่นอสนีบาตทองนั้นเขาต้องสิ้นเปลืองไปมากถึงแปดพันศิลาอสนีเลยทีเดียว

“ผู้ที่มีใบไม้โลกเฉาอยู่ในครอบครองก็มีอยู่ไม่น้อยจริงๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกวาดสายตามอง ข้อมูลของหอจิตฟ้านั้นร้ายกาจอย่างแท้จริง อธิบายเกี่ยวกับผู้ที่ครอบครองเอาไว้ถึงสิบห้าคน

“ไข่มุกคละถิ่นอสนีบาตทองมีอยู่ทั้งหมดสามเม็ด” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มองเห็นที่อยู่ของไข่มุกคละถิ่นอสนีบาตทองสามเม็ดนี้ สามารถรักษาสมบัติล้ำค่าอย่างไข่มุกคละถิ่นอสนีบาตทองนี้เอาไว้ได้ แน่นอนว่าแต่ละคนต้องมีที่มาอันยิ่งใหญ่เป็นที่สุด และมีพลังยุทธ์ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว

“จะเปิดฉากสังหารครั้งใหญ่แล้ว”

ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ “ดูว่าบาปกรรมของใครในบรรดาพวกเขาจะยิ่งใหญ่ที่สุดก็แล้วกัน”

เขามิได้เลือกผู้ที่จัดการได้ง่ายที่สุด หากแต่เลือกผู้ที่บาปกรรมหนาหนักที่สุดต่างหาก! อย่างเช่นคุณชายใหญ่จวนมังกรเหล็กผู้นั้น ถ้าหากเป็นพญามารที่มีบาปกรรมล้นฟ้า เกรงว่าตงป๋อเสวี่ยอิงคงจะเลือกทำการลอบสังหาร สังหารแล้วก็ชิงสมบัติมาโดยตรง แต่คุณชายใหญ่จวนมังกรเหล็กนั้นอย่างมากที่สุดก็เป็นเพียงแค่สังหารผู้แกร่งกล้าธรรมดาทั่วไปเท่านั้น มิได้มีเหตุปัจจัยแค้นจำนวนมากรัดตัว เขาก็ไม่อยากฝืนบังคับด้วยกำลัง แต่อยากจะเจรจาตกลงกันอย่างธรรมดาๆ มากกว่า

อีกทั้งที่นั่นยังเป็นจวนของเจ้าเมืองมังกรเหล็กอีกด้วย! เดิมทีตัวเจ้าเมืองมังกรเหล็กเองก็น่ากลัวพออยู่แล้ว ภายในจวนของตนเอง มีค่ายกลอันแน่นหนาคอยส่งเสริม พลังยุทธ์ของเจ้าเมืองมังกรเหล็กก็ต้องแข็งแกร่งขึ้นอีกส่วนหนึ่ง

มิอาจยั่วยุได้โดยง่าย!

แต่การเปิดฉากสังหารนั้นเดิมทีก็อยู่ในแผนการของเขาอยู่แล้ว เพราะว่าตัวเขาเองไม่มีสมบัติล้ำค่าอันใดอยู่เลย ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้จะสังหารนายท่านแห่งสมาคมจิตมารและจักรพรรดิเทพจำนวนหนึ่ง แต่สมบัติล้ำค่าไข่มุกคละถิ่นอสนีบาตทอง และซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นทางสายห้วงอากาศเหล่านั้น เปรียบเทียบกันกับระดับขั้นนี้ ก็แตกต่างกันอย่างมหาศาลเหลือเกิน! ยังต้องอาศัยตนเองทำการสังหารชิงสมบัติรวบรวมสมบัติล้ำค่า และเขาก็มิปรารถนาจะสังหารผู้แกร่งกล้าธรรมดาทั่วไป

อยากจะเปิดฉากสังหาร ก็ต้องไปหาพญามารเหล่านั้น

……………………………………………

ตงป๋อเสวี่ยอิงยืดกายขึ้น เขายืนอยู่ภายในห้องเงียบ ทันใดนั้นโครงร่างก็แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย รูปโฉมก็เปลี่ยนแปลงไป แม้แต่ท่วงท่าก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย กลายเป็นดูเยียบเย็นราวกับน้ำแข็งหมื่นปีก็มิปาน อันที่จริงแล้วการเปลี่ยนแปลงเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น สำหรับคนระดับอย่างตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว การเปลี่ยนแปลงกลิ่นอายวิญญาณนั้นง่ายดายมาก เพียงแต่จะสกัดกั้นเคล็ดวิชา ‘สอดส่อง’ กลับมิใช่เรื่องง่ายเลย

ผู้แกร่งกล้าของโลกใบนี้ บางคนมีจิตสัมผัสพิเศษ เนื่องจากวิญญาณเป็นเหตุ

จิตสัมผัสบางอย่างสามารถมองเห็นพลังที่แท้จริงของผู้อื่นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง! เช่น ‘ดวงตาทิพย์แสงมรกต’ ของพ่อบ้านอวิ๋นผู้นั้น สายเลือดบรรพเทวะนั้นมีต้นกำเนิดเป็นถึงผู้แกร่งกล้าคละถิ่นสามท่านที่รังสรรค์โลกใบนี้ขึ้นมา แน่นอนว่าย่อมมีสิ่งที่น่าพิศวงต่างๆ เป็นธรรมดา อย่างผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพ หากเชี่ยวชาญทางด้านการสอดส่อง วิธีการทางด้านการสอดส่องก็จะร้ายกาจกว่าพ่อบ้านอวิ๋นผู้นั้นเสียอีก

ก่อนหน้านี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงยังไม่มั่นใจว่าจะสามารถสกัดกั้นการสอดส่องได้!

แต่ตอนนี้…

“ด้วยผลสำเร็จบนเส้นทางวิญญาณของข้า เกรงว่าต่ำกว่าผู้แกร่งกล้าคละถิ่นลงไป คงไม่มีผู้ใดสามารถมองพลังที่แท้จริงของข้าได้ทะลุปรุโปร่งกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ ครั้งนี้กระบวนท่าที่สามของวิถีเขตลวงโลกเทียม วิญญาณวิวัฒน์ไปอีกครั้ง จนไปถึงตรงหน้าขีดจำกัด ‘การเปลี่ยนแปลงจากแก่นแท้’ แล้ว ขอเพียงบรรลุขึ้นมาอีกบ้างสักเล็กน้อย ก็จะเปลี่ยนแปลงจากแก่นแท้ได้สำเร็จ ถึงตอนนั้นวิญญาณก็สามารถหลอมรวมเข้าไปในต้นกำเนิดของโลกใบหนึ่งได้แล้ว หากโลกไม่แตกสลายก็ไม่ตาย!

บัดนี้กลิ่นอายวิญญาณเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงเชื่อว่าไม่มีผู้ใดสามารถมองทะลุการปกปิดวิญญาณของตนแล้วมองตนอย่างทะลุปรุโปร่งได้

“เข้ามาอีกสักกระบี่หนึ่งสิ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยื่นมือออกไป ในมือก็มีกระบี่เทพซึ่งอยู่ในฝักปรากฏขึ้นเล่มหนึ่ง เขายิ้มออกมาแล้วโบกมือคราหนึ่ง ก่อนจะสะพายกระบี่เทพเอาไว้บนหลัง

อาภรณ์สีขาวทั้งร่าง สะพายกระบี่เทพเอาไว้บนหลัง

“วิ้ง”

กลิ่นอายของตงป๋อเสวี่ยอิงเริ่มแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ทะยานขึ้นไปจนถึงระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้าย! กลิ่นอายของเขาเต็มไปด้วยความเฉียบคม

แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้อาศัยความพิเศษของวิญญาณก็สามารถปลอมแปลงได้อย่างง่ายดาย หากเขาปรารถนา ก็สามารถปลอมแปลงเป็นระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์ได้ เพียงแต่ไม่จำเป็น!

“แคว่ก”

ทันใดนั้นภายในห้องเงียบก็มีรอยแยกมิติสีดำสายหนึ่งผุดขึ้นมา

ตงป๋อเสวี่ยอิงสาวเท้าออกไปก้าวหนึ่งก่อนจะเข้าไปในนั้นแล้วหายวับไป มุ่งหน้าไปยังเมืองมังกรเหล็ก

******

เมืองมังกรเหล็ก

นี่คือเมืองใหญ่อันรุ่งเรืองหาใดเปรียบ เจ้าเมืองมังกรเหล็กสามารถจัดอยู่ในอันดับที่เจ็ดของผู้แกร่งกล้าที่มีพลังรบระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์ทั้งหมดสามสิบกว่าคนได้ แน่นอนว่าพลังจะต้องน่าหวาดหวั่นอย่างยิ่ง ต้องรู้ไว้ว่า ‘จ้าวหุบเขาฝูหลิ่ว’ สิ่งมีชีวิตคละถิ่นซึ่งสามารถสำแดงพลังรบระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์ออกมาได้โดยกำเนิดและสามารถปกป้องสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดทั้งฝูงได้ผู้นั้น ก็จัดเป็นแค่อันดับที่สิบสองเท่านั้นเอง

“จวนมังกรเหล็ก” ตงป๋อเสวี่ยอิงแปรเป็นลำแสงสายหนึ่งบินเหินอยู่เหนือท้องฟ้า เขาทะยานลงไป ร่อนลงตรงหน้าจวนขนาดมหึมาอันสูงตระหง่านแห่งหนึ่ง จวนแห่งนี้กินพื้นที่กว้างขวางนัก ใหญ่โตกว่าเมืองจวิ้นซานทั้งเมืองเสียอีก มีอาณาเขตกว่าล้านลี้!

“แฮ่…”

ภายในจวนมีเสียงสะท้อนก้องขึ้นมาเป็นครั้งคราว

ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังแล้วก็พอเดาออกว่า เสียงคำรามนี้น่าจะเปล่งออกมาโดยสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิด ‘มังกรเกล็ดจมเก้าเขา’ ภายในโลกเทพแห่งนี้มีสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิด ‘มังกรเกล็ดจมเก้าเขา’ ทั้งหมดสองคนด้วยกัน พวกมันใช้ชีวิตอยู่ในจวนมังกรเกล็ดเหล็ก! นับได้ว่าพวกมันมีความสัมพันธ์แบบร่วมมือกับเจ้าเมืองมังกรเหล็ก พวกมันต้องให้เจ้าเมืองมังกรเหล็กคอยคุ้มครอง! ส่วนคัมภีร์มังกรเหล็กไร้ทลาย คัมภีร์สำหรับบำเพ็ญซึ่งเจ้าเมืองมังกรเหล็กเป็นผู้คิดค้นขึ้นนั้น ด้วยความช่วยเหลือจากมังกรเกล็ดจมเก้าเขา เมื่อบำเพ็ญแล้วจึงคล่องตัวลื่นไหล บุตรธิดาทั้งห้าของเจ้าเมืองมังกรเหล็กล้วนถูกบ่มเพาะจนถึงระดับจักรพรรดิเทพ ทั้งยังสามารถกล่าวได้ว่าผลาญสมบัติล้ำค่าไปเป็นจำนวนมาก วงศ์วานทางสายเจ้าเมืองมังกรเหล็กที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปนี้ มีจักรพรรดิเทพถือกำเนิดขึ้นมามากนับร้อยคน! ซึ่ง ‘มังกรเกล็ดจมเก้าเขา’ สองตนนั้นมีส่วนช่วยเป็นอย่างมาก

“สิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดของโลกใบนี้ก็ช่างน่าสงสารจริงๆ ผู้แกร่งกล้ามากมายยิ่งนัก แม้สิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดจะสามารถรักษาชีวิตได้อย่างร้ายกาจ แต่เมื่อประสบกับการล้อมโจมตีของผู้แกร่งกล้าจำนวนมากก็ต้องสิ้นชีวิตไปอยู่ดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงรำพึง

ในหุบเขาเขี้ยวหักนั้นใช้งานซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดน้อยมาก ดังนั้นยอดเคารพทั้งห้าจึงคร้านจะไปสังหาร

แต่โลกใบนี้…เห็นได้ชัดว่ามีวิธีการใช้งานที่สูงส่งกว่ามากทีเดียว

“จักรพรรดิเทพท่านนี้ ท่านมายังจวนมังกรเหล็กของเราด้วยธุระอันใดหรือ” เหล่าทหารคุ้มกันมองดูบุรุษอาภรณ์ขาวซึ่งสะพายกระบี่เทพตรงหน้า เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายเฉียบคมอันน่าหวาดหวั่น หัวใจของพวกเขาก็บีบรัดแน่นอย่างมิอาจควบคุม จึงมีท่าทีเกรงอกเกรงใจขึ้นมา

“ข้าเมฆาเขียว มาที่นี่เพื่อคารวะเจ้าเมืองมังกรเหล็ก” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย

“ท่านเจ้าเมืองของเราไม่พบแขกง่ายๆ หรอก” ทหารคุ้มกันคนหนึ่งพูดพลางขมวดคิ้ว แม้บุรุษอาภรณ์ขาวตรงหน้าจะมีกลิ่นอายอันแข็งแกร่งจนพวกเขาต้องเกรงใจ แต่ก็มิได้เกรงกลัว! เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นคนของจวนเจ้าเมืองมังกรเหล็กซึ่งท่านเจ้าเมืองเป็นถึงจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์! ยอดฝีมือระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายก็มีมากถึงแปดท่านด้วยกัน แม้ส่วนใหญ่จะต่างคนต่างสร้างเมืองของตนเองขึ้นมา แต่ที่อยู่ในจวนก็มีจักรพรรดิเทพช่วงท้ายถึงสามคน ทั้งยังมีจักรพรรดิเทพช่วงกลางและช่วงต้นจำนวนมากกว่าอีกด้วย

“ช่วยไปรายงานสักหน่อยเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย

“ก็ได้ ท่านคอยอยู่ตรงนี้ก่อนก็แล้วกัน” เพราะเห็นแก่พลังของคนตรงหน้า ทหารคุ้มกันจึงช่วยไปรายงานให้

ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบทอดถอนใจ

ไม่เสียทีที่เป็นจวนมังกรเหล็ก! หากตนคงกลิ่นอายเอาไว้แค่ระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลาง เกรงว่าหากไม่มีเหตุผลเพียงพอ คงคร้านที่จะไปช่วยตนรายงานกระมัง

ผ่านไปชั่วจอกชาหนึ่ง ทหารคุ้มกันผู้นั้นก็กลับมาแล้วพูดกับตงป๋อเสวี่ยอิงว่า “คุณชายใหญ่ของข้าเชิญท่านเข้าไป โปรดตามข้ามา”

“ประเสริฐ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าไปด้านในทันที คุณชายใหญ่หรือ เจ้าเมืองมังกรเหล็กมีบุตรธิดาห้าคน ผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุดก็คือคุณชายใหญ่ซึ่งเป็นจักรพรรดิเทพช่วงท้าย! ตามที่รายงานบรรยายเอาไว้ คุณชายใหญ่แห่งจวนมังกรเหล็กผู้นี้…ตามปกติแล้วก็เป็นผู้ดำเนินการหลักของจวนมังกรเหล็ก เนื่องจากคนที่มีพลังระดับอย่างเจ้าเมืองมังกรเหล็กนั้นคร้านที่จะทำเรื่องจิปาถะเองแล้ว เขาจดจ่อกับบำเพ็ญเพียงอย่างเดียว ด้วยหมายจะบรรลุเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นให้สำเร็จ

ระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์ไม่ว่าคนไหน ก็ล้วนแต่ถูกขนานนามว่าเป็นร่างกึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่น ยืนอยู่ตรงหน้าเส้นแบ่งของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นแล้ว! ผู้ที่บำเพ็ญสายเลือดเหล่านี้ เมื่อบรรลุและตื่นรู้ในท้ายที่สุดก็จะสามารถสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นได้

“ไปทางนี้ขอรับ” ทหารคุ้มกันนำทางอยู่ด้านหน้า “อย่าได้เดินสุ่มสี่สุ่มห้าเป็นอันขาด จวนมังกรเหล็ก เรามีสถานที่ต้องห้ามมากมายที่ห้ามผู้มาเยือนจากภายนอกเข้าไปเด็ดขาด”

“เข้าใจแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินตามไป

จวนมีขอบเขตนับล้านลี้ และทหารคุ้มกันผู้นี้ก็บินไปค่อนข้างช้า ครู่ใหญ่จึงนำทางตงป๋อเสวี่ยอิงไปถึงในสวนแห่งหนึ่ง

“คุณชายใหญ่ นำจักรพรรดิเทพเมฆาเขียวมาถึงแล้วขอรับ” ทหารคุ้มกันพูดอย่างเคารพนบนอบ

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไป

บุรุษอาภรณ์ดำผู้หนึ่งกำลังเอนพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่าทางสบายๆ ด้านข้างยังมีสาวรูปโฉมงดงามหยดย้อยท่าทีแช่มช้อยสองนางคอยปรนนิบัติ ป้อนสุราชั้นเลิศให้อย่างไม่ขาดสาย

บุรุษอาภรณ์ดำผู้นี้หน้าตาหล่อเหลาเอาการ เขาปรายตามองตงป๋อเสวี่ยอิงแวบหนึ่ง นัยน์ตากลับแฝงไว้ด้วยความเหิมเกริม เขาโบกมือเบาๆ คราหนึ่ง “ถอยไปก่อน…จักรพรรดิเทพเมฆาเขียว หากท่านไม่รังเกียจ ขอเชิญท่านมาร่วมดื่มสุราด้วยกันสักสองสามจอกเถิด”

“ได้ดื่มสุราในจวนมังกรเหล็กสักสองสามจอก ผู้ใดจะรังเกียจได้ลงคอเล่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มก่อนจะนั่งขัดสมาธิลง

บุรุษอาภรณ์ดำผู้นี้ก็คือคุณชายใหญ่แห่งจวนมังกรเหล็ก…‘เถี่ยหลงอวิ๋นซาน’ อันดับที่แปดสิบห้าของรายนามจักรพรรดิเทพ! ที่เขามีพลังเช่นนี้ได้ แน่นอนว่าเป็นเพราะความช่วยเหลือนานัปการจากบิดาของเขาและสมบัติล้ำค่าด้วย! แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม สามารถถูกตระกูลจิตฟ้าจัดให้อยู่ในอันดับที่แปดสิบห้าของรายนามจักรพรรดิเทพได้ จะเห็นได้ถึงความแข็งแกร่งของเขาแล้ว! บวกกับที่ขุมอำนาจอันยิ่งใหญ่อย่างเมืองมังกรเหล็กก็ล้วนแต่มีคุณชายใหญ่ผู้นี้คอยบัญชาการทั้งหมด ท่าทางเหิมเกริมของเขา ก็ถูกบ่มเพาะขึ้นมาจากการที่ตัวเขาอยู่ในสถานะอันสูงส่งมาอย่างยาวนาน

“จักรพรรดิเทพเมฆาเขียว จักรพรรดิเทพช่วงท้ายหรือ ในรายนามจักรพรรดิเทพของตระกูลจิตฟ้าไม่มีชื่อของจักรพรรดิเทพเมฆาเขียวอยู่นี่นา” คุณชายใหญ่แห่งจวนมังกรเหล็กพูดพลางหัวเราะเบาๆ จวนมังกรเหล็กย่อมมีวิธีส่องสำรวจมากมายเป็นธรรมดา เขายังถึงขั้นเคยให้ผู้ใต้บังคับบัญชาระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางคนหนึ่งใช้จิตสัมผัสสอดส่องมาก่อน พวกเขาต่างก็เชื่อว่าพลังของจักรพรรดิเทพเมฆาเขียวผู้นี้เป็นระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายอย่างแท้จริง

“ที่ผ่านมาข้าเก็บตัวบำเพ็ญเพียรมาโดยตลอด จึงมิได้อยู่ในรายนามน่ะขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว

“ฮ่าฮ่า ข้าไม่สนหรอกว่าพี่เมฆาเขียวจะเก็บตัวบำเพ็ญจริงหรือไม่ หรือว่าจะมีจิตสัมผัสแอบซ่อนหรือเก็บงำกลิ่นอายอะไร ข้าล้วนไม่สนใจทั้งสิ้น” คุณชายใหญ่จวนมังกรเหล็กพูดพลางหัวเราะเสียงดังกังวาน “สิ่งที่ข้าสนใจก็คือ พี่เมฆาเขียวมาหาข้าที่นี่ด้วยเรื่องอันใดหรือ”

เขาไม่สนใจตัวตนของผู้มาเยือน

ด้วยพลังของเขาและมีบิดาคอยหนุนหลังอยู่ ในโลกเทพ ต่อให้เป็นสามตระกูลราชันย์ เขาก็ไม่เกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย!

แม้เบื้องหลังของสามตระกูลราชันย์จะมี ‘สามบรรพเทวะคละถิ่น’ อยู่ก็ตามที แต่หากว่ากันตามความหมายจริงๆ แล้ว ชาวโลกเทพจำนวนนับไม่ถ้วนก็ล้วนแต่เป็นชนรุ่นหลังของบรรพเทวะคละถิ่นกันทั้งสิ้น! ดังนั้นขอเพียงไม่ทะเยอทะยานจนถึงขั้นไปโจมตีถิ่นของสามตระกูลราชันย์ โดยทั่วไปแล้วต่อให้เป็นผู้แกร่งกล้าจากสามตระกูลราชันย์มาล่าสังหารอยู่ภายนอกแล้วผู้แกร่งกล้าทั้งหลายสิ้นใจไป บรรพเทวะคละถิ่นก็ไม่เคยปรากฏกายมาก่อน

แต่หากบุกสังหารมาถึงถิ่นของสามตระกูลราชันย์ ก็เป็นการท้าทายบรรพเทวะคละถิ่นแล้ว!

“ข้ามาที่นี่ก็เพื่อซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นทางสายอากาศตนหนึ่ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปาก “ข้าต้องการซากนี้ ไม่ทราบว่าต้องแลกมาด้วยสิ่งแลกเปลี่ยนระดับไหน จวนมังกรเหล็กจึงจะยอมขายให้ข้า”

“ฮ่าฮ่า…” ดวงตาของคุณชายใหญ่จวนมังกรเหล็กเป็นประกายขึ้นมา เขาพูดยิ้มๆ ว่า “ในเมื่อพี่เมฆาเขียวมาที่นี่เพื่อซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นร่างนี้ เชื่อว่าท่านก็คงจะรู้ดีว่าซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นทางสายอากาศนั้นหาได้ยากเพียงใด! ทั้งโลกเทพ มีสิ่งมีชีวิตคละถิ่นเพียงสามตนเท่านั้น สองตนยังมีชีวิตอยู่ ส่วนซากเพียงหนึ่งเดียวนั้นอยู่กับข้า มันเชี่ยวชาญทางด้านการหลบหนีและรักษาชีวิตเป็นอันมาก ความยากในการสังหารมันยากเย็นกว่าการสังหารสิ่งมีชีวิตคละถิ่นทั่วไปมากมายนัก”

“ข้ารู้ดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

และนี่ก็คือสาเหตุที่เขาต้องฝึกฝนท่าไม้ตายที่สามของวิถีเขตลวงโลกเทียมให้สำเร็จเสียก่อนจึงค่อยมาเจรจา

……………………………………….

ชั่วขณะที่กระบวนท่าอันสมบูรณ์แบบก่อตัวขึ้นมาในท้ายที่สุดนั้น ในใจของตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีโลกลวงใบหนึ่งก่อกำเนิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

มันกว้างใหญ่ไพศาล เต็มไปด้วยชีวิตชีวาอย่างไร้ที่สิ้นสุด แต่กลับมีแววอาฆาตแฝงอยู่

ชีวิตชีวาและแววอาฆาตราวกับสองด้านของร่างเดียวกัน พัวพันวึ่งกันและกัน ทำให้ทั้งโลกเจิดจรัสมากยิ่งขึ้น ประหนึ่งมีเกิดก็ต้องมีตาย มีแสงสว่างก็ต้องมีความมืดมิด การพัวพันเช่นนี้ เหมือนกับหลั่งรินทะลุทะลวงไปทั่วทั้งโลกลวง พูดง่ายๆ ก็คือ ‘กฎเกณฑ์การหมุนเวียน’ ของโลกลวงแห่งนี้ มีหัวใจสำคัญก็คือทั้งสองด้านของร่างเดียวกันนี้นั่นเอง

ด้วยหัวใจสำคัญก็คือทั้งสองด้านของร่างเดียวกัน นำการรับรู้ด้านอื่นๆ ของวิถีเขตลวงโลกเทียมหลอมรวมเขาไปในนั้น

ทั้งหมดปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ

“โครมมม…” วิญญาณของร่างแยกแต่ละร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงล้วนสั่นสะท้านและเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้น วิญญาณว่างเปล่าและกระจ่างชัดขึ้น เมื่อสำแดงกระบวนท่าอย่างเดียวกันออกมา ความเร็วกลับเพิ่มขึ้นและมุ่งตรงไปยังแก่นแท้มากยิ่งขึ้น

ไม่เพียงเท่านี้ วิญญาณก็เป็นจริงขึ้นด้วย ทั้งยังมุ่งตรงไปยัง ‘การเปลี่ยนแปลงจากแก่นแท้’ อีกด้วย

“วิญญาณของข้า”

“แข็งแกร่งนัก”

“เหมือนจะแข็งแกร่งกว่ากายหยาบเสียอีก”

ตงป๋อเสวี่ยอิงเกิดความรู้สึกแข็งแกร่งขึ้นมารางๆ ราวกับวิญญาณของตนแข็งแกร่งจนถึงขั้นสามารถหลอมรวมเข้าไปในต้นกำเนิดของโลกใบนี้ได้ หากโลกใบนี้ไม่ถูกทำลาย วิญญาณของตนก็จะไม่ถูกทำลาย! แน่นอนว่า นี่เป็นเพียงความรู้สึกอันเลือนรางเท่านั้น ยังบกพร่องอีกเล็กน้อย บกพร่องเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ฟิ้ว

ทันใดนั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งเดิมทีหลับตาอยู่ในจวนหิมะเหินในเมืองจวิ้นซานก็พลันลืมตาขึ้นมา ดวงตาของเขาฉายแววลึกล้ำหาใดเปรียบ

เดิมทีปรมาจารย์พิณเหลิ่งซินและอวี้เฟิงชิงอินที่อยู่อีกด้านหนึ่งรู้สึกตกใจที่จู่ๆ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็หลับตาลงแล้ว พูดอะไรไปก็ไม่สนใจ แต่เมื่อเห็นตงป๋อเสวี่ยอิงเปิดเปลือกตาขึ้นมา พวกนางทั้งสองคนกลับจมดิ่งเข้าไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ราวกับเป็นดวงตาที่ชวนหลงใหลที่สุดในโลกใบนี้ ทำให้พวกนางทั้งสองยินยอมพร้อมใจถูกล่อลวงให้เข้าไป

“กายหยาบของข้า” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าทั้งร่างกำลังโห่ร้อง วิญญาณหล่อเลี้ยงกายหยาบอย่างไร้รูปร่าง ทำให้กายหยาบสำแดงออกมาได้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น

การเปลี่ยนแปลงบางอย่างของกายหยาบเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น

ตงป๋อเสวี่ยอิงสนใจวิญญาณมากยิ่งกว่า!

“วิญญาณของข้า…ความรู้สึกเช่นนี้…” วิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถสัมผัสได้ถึงต้นกำเนิดอันแข็งแกร่งของโลกเทพแห่งนี้ ต้นกำเนิดของโลกใบนี้หยาบกว่า ‘โลกกำเนิด’ แต่จำนวนกลับมหาศาลกว่ามากทีเดียว วิญญาณ คือพละกำลังที่พิเศษที่สุดของชีวิตหนึ่งๆ อย่างดินแดนจิตโลกาก็มีการบูชาโลหิต และเค้นเอา ‘แก่นวิญญาณโลหิต’ ออกมาจากในนั้น หากดูดซับแก่นวิญญาณโลหิตจากวิญญาณที่ร้ายกาจยิ่งกว่า ผลลัพธ์ก็จะดีกว่าการดูดซับต้นกำเนิดเสียอีก

เห็นได้ชัดว่าวิญญาณและต้นกำเนิดโลกนั้นเป็นพละกำลังที่คล้ายคลึงกัน เพียงแต่พิเศษกว่าอยู่บ้าง

“ข้าสัมผัสได้ว่าขาดอีกเพียงนิดเดียวก็จะสามารถหลอมรวมเข้าไปในต้นกำเนิดโลกได้แล้ว”

เมื่อหลอมรวมเข้าไป

ต้นกำเนิดโลกไม่แตกสลาย วิญญาณของตนก็ไม่แตกสลายเช่นเดียวกัน

เรื่องนี้น่ากลัวเพียงใด

ต่อให้เป็นผู้แกร่งกล้าคละถิ่นซึ่งสามารถปกครองโลกกำเนิดใบหนึ่งได้ ก็มิอาจทำลายต้นกำเนิดโลกได้อยู่ดี เนื่องจากหากทำลายต้นกำเนิดโลกไป ทั้งโลกกำเนิดก็จะมลายหายไปหมด!

“ทางสายวิญญาณบรรลุถึงขั้นสุดยอด ก็สามารถไปถึงขั้นนี้ได้เชียวหรือนี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ

เขาเพิ่งจะรู้แจ้งท่าไม้ตายที่สามของวิถีเขตลวงโลกเทียมขึ้นมา

ท่าไม้ตายที่สามนี้ เป็นการนำเอาท่าไม้ตาย‘ ความสว่างไสวของโลกลวง’ และท่าไม้ตายที่สอง ‘การสังหารของโลกลวง’ ก่อนหน้านี้หลอมรวมเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบ อานุภาพก็เหนือกว่าก่อนหน้านี้เป็นอย่างมาก การเปลี่ยนแปลงจากแก่นแท้เช่นนี้ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงเกิดความรู้สึกว่าเข้าใกล้ ‘วิญญาณขั้นสุดยอด’ ขึ้นมาอย่างหาใดเปรียบ บัดนี้ตนสร้างกระบวนท่านี้ขึ้นมา ห่างจากขั้นสุดยอดเพียงเส้นบางๆ เท่านั้น!

“เส้นทางวิญญาณ หากบรรลุถึงขั้นสุดยอด เห็นทีคงจะเหนือกว่าผู้ที่บรรลุถึงขั้นสุดยอดบนเส้นทางทั่วไปจะสามารถเทียบได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ

ก็ถูกต้องแล้ว

แก่นแท้ของชีวิตก็คือวิญญาณ!

ความยากของการฝึกฝนเส้นทางวิญญาณ เหนือกว่าเส้นทางอื่นๆ มากมายนัก

……

“เอ๊ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเหลียวมองรอบกาย ภายในโถงตำหนักนี้ อวี้เฟิงชิงอิน ปรมาจารย์พิณเหลิ่งซินรวมทั้งเหล่านางระบำและนักดนตรีที่กำลังแสดงอยู่ต่างก็ล้มลง

“เห็นทีตอนที่ข้าบรรลุเมื่อครู่ จะส่งผลกระทบต่อพวกเขาเข้าโดยมิได้ตั้งใจ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกำหนดจิตคราหนึ่ง ระลอกคลื่นหนึ่งก็กวาดไปทั่วทั้งโถงตำหนัก คนทั้งหมดภายในโถงตำหนักต่างพากันฟื้นคืนสติขึ้นมา พวกเขายังรู้สึกงุนงงอยู่บ้าง

อวี้เฟิงชิงอินมองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง ยังคงตกใจอยู่บ้าง “ท่านอาจารย์ เหตุใด เหตุใดข้าจึงหลับไปได้เล่า”

“ข้าส่งผลกระทบต่อพวกเจ้าโดยมิได้ตั้งใจ ใช่แล้ว ข้าเตรียมจะเก็บตัวสักระยะหนึ่ง หากไม่มีเรื่องสำคัญก็อย่ามารบกวนข้าล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกำชับ

“เจ้าค่ะ ท่านอาจารย์” อวี้เฟิงชิงอินรับคำ

“อื้ม”

ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าแล้วยืดกายขึ้น เขาพยักหน้าน้อยๆ ให้กับปรมาจารย์พิณเหลิ่งซินที่อยู่ข้างๆ จากนั้นก็จากไปอย่างรวดเร็วแล้วเริ่มเก็บตัวทันที

******

ภายในห้องเงียบ

ตงป๋อเสวี่ยอิงสัมผัสความเปลี่ยนแปลงที่มาจากการรับรู้ครั้งนี้โดยละเอียด อย่างแรกก็คือฝึกกายคละถิ่น เดิมทีจักรพรรดิเทพช่วงกลางยังไม่มั่นคง แค่สามารถคงการต่อสู้ไว้ได้ราวครึ่งค่อนชั่วยามเท่านั้น แต่บัดนี้วิญญาณส่งผลกระทบต่อกายหยาบ ทำให้กายหยาบสมบูรณ์แบบขึ้นมาบ้าง โดยรวมแล้วแข็งแกร่งขึ้นราวห้าส่วน ส่วนสถานะซึ่งเดิมทีไม่เสถียรนั้น แม้บัดนี้จะยังไม่เสถียรดี แต่ความเสียหายต่อร่างกายกลับลดลงเป็นอันมาก แรงฟื้นฟูของร่างกายเองก็เพียงพอที่จะต้านทานได้

ก็หมายความว่าสามารถคงการต่อสู้เอาไว้ได้อย่างต่อเนื่อง

“ผลกระทบของวิญญาณต่อกายหยาบแค่อยู่บนพื้นฐานของกายหยาบเดิม หากทำให้สมบูรณ์แบบ ก็แค่ยกระดับขึ้นได้ไม่กี่ส่วนเท่านั้นเอง”

“แต่การฝึกกายคละถิ่นของข้า จะต้องวิวัฒน์จากแก่นแท้”

ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจว่า วิญญาณมีประโยชน์ต่อกายหยาบเพียงแค่ช่วยแต่งแต้มสีสันลงไปเท่านั้น การที่ตนจะฝึกกายหยาบให้บรรลุถึง ‘ร่างกึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่น’ ไปจนถึงสำเร็จเป็นผู้แกร่งกล้าคละถิ่น ตนก็ยังต้องยกระดับวิถีอากาศขึ้นต่อไป

“อีกนิดเดียว”

“ท่าไม้ตายที่สามของวิถีเขตลวงโลกเทียมนี้ห่างจากขั้นสุดยอดอีกเพียงนิดเดียวเท่านั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า

เนื่องจากสองท่าไม้ตายก่อนหน้านี้ร้ายกาจมากแล้ว

ท่าไม้ตายที่สามก็ยกระดับขึ้นเป็นอย่างมาก! เมื่อพูดจากเรื่องระดับแล้ว ก็ต่างจากกระบวนท่าขั้นสุดยอดไม่มากสักเท่าใดนักแล้ว

แต่ทว่า…

มิได้บรรลุถึงขั้นสุดยอด! ก็คือมิได้บรรลุ!

‘ขั้นสุดยอด’ เป็นตัวแทนของครบสมบูรณ์!

อย่างตอนที่ตนเป็นเทพจักรวาลชั้นที่สองทางด้านวิถีอากาศ อาศัยเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งก็สามารถสำแดงพลังรบที่เทียบกับขั้นสุดยอดออกมาได้แล้ว กระบวนท่าแข็งแกร่งก็มิได้หมายความว่าระดับขั้นถึงแล้ว

ท่าไม้ตายที่สามนี้ซึมซับความเร้นลับของ ‘ดวงตาสีเทา’ และ ‘ดวงตาสีทอง’ ของสิ่งมีชีวิตพันเนตรนั้น ทั้งยังหลอมรวมกันได้สำเร็จ กระบวนท่าแข็งแกร่งพออย่างแท้จริง! แต่ทางด้านระดับขั้นก็ยังบกพร่องอยู่บ้าง

ความบกพร่องเล็กน้อยเหล่านี้…

ก็ทำให้วิญญาณของตนไม่มีทางครบสมบูรณ์ได้!

“ข้าอยากจะให้ศัตรูจมดิ่งมากเกินไป และยังล้างสังหารวิญญาณของศัตรูด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ เนื่องจากสิ่งที่ท่าไม้ตายที่สามนี้ต้องการก็คือการหลอมรวมท่าไม้ตายทั้งสองนี้เข้าด้วยกัน ดังนั้นตอนแรกเขาก็ได้ใช้สองกระบวนท่านี้เป็นสองด้านของร่างเดียวแล้วคิดค้นท่าไม้ตายขึ้นมาได้สำเร็จในที่สุด

“กระบวนท่านี้ของข้าออกจะสุดโต่งเกินไปหน่อย”

ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้ที่มาของปัญหาแล้ว

“ท่าไม้ตายที่สี่หลังจากนี้…ก็สามารถชดเชยข้อบกพร่องเหล่านี้ได้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ “ตอนที่ข้าคิดค้นท่าไม้ตายที่สี่ขึ้นมานั้น ก็ควรจะถึงคราวที่วิถีเขตลวงโลกเทียมของข้าบรรลุถึงขั้นสุดยอดแล้ว! ข้าตั้งตารอคอยจริงๆ!”

******

หลังจากบรรลุแล้วคิดทบทวนดู เพื่อเสริมพลังให้แข็งแกร่ง

เรื่องนี้ใช้เวลาไม่นานสักเท่าใดนัก ที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเก็บตัว ก็เพราะหลังจากเข้าถึงท่าไม้ตายที่สามของวิถีเขตลวงโลกเทียมแล้ว เขาก็ควรจะจากเมืองจวิ้นซานไปอีกสักครั้งได้แล้ว

“ฟิ้ว”

ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิ โบกมือคราหนึ่ง ตรงหน้าก็มีม้วนสาส์นม้วนหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้า

บนม้วนสาส์นมีข้อมูลเกี่ยวกับ ‘สิ่งมีชีวิตคละถิ่นทางด้านวิถีอากาศ’ บันทึกเอาไว้โดยละเอียด ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ในเมืองจวิ้นซานก็ได้ใช้งานหอจิตฟ้า อย่างแรกก็คือเก็บรวบรวมคัมภีร์ผู้เหินทะยานทางด้าน ‘วิถีอากาศ’ ส่วนอีกอย่างหนึ่งก็คือเก็บรวบรวมข้อมูลข่าวสารของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นทางสายอากาศ อันที่จริงแล้วเขาได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์มานานแล้ว เพียงแต่รู้สึกมาตลอดว่ายังไม่ถึงเวลาเคลื่อนไหว

“เมืองมังกรเหล็กมีซากของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นทางสายอากาศอยู่ร่างหนึ่ง!” ตงป๋อเสวี่ยอิงอ่านดูสิ่งที่รายงานบันทึกเอาไว้

ร่างกายของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นมีกฎเกณฑ์ปรากฏขึ้นมาทุกหนแห่ง

เช่นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นบางตน ทั้งร่างอาจจะมีเพียงส่วนน้อยนิดเท่านั้นที่มีกฎเกณฑ์วิถีอากาศปรากฏขึ้นมาบ้างเล็กน้อย จึงมีส่วนช่วยตงป๋อเสวี่ยอิงน้อยมาก

ส่วน ‘ทางสายอากาศ’ หมายความว่าสิ่งที่สิ่งมีชีวิตคละถิ่นเชี่ยวชาญที่สุดก็คือกระบวนท่าทางสายอากาศ กฎเกณฑ์ปรากฏขึ้นทั่วร่าง ส่วนใหญ่ล้วนเป็นทางสายอากาศทั้งสิ้น ซึ่งนี่ก็เป็นสิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงใฝ่หา เพียงแต่สิ่งมีชีวิตคละถิ่นทางสายอากาศโดยกำเนิดนั้นมีให้เห็นน้อยมาก

“เจ้าเมืองมังกรเหล็กจัดเป็นอันดับเจ็ดของรายนามจักรพรรดิเทพ!” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ

ในโลกใบนี้มีผู้ที่มีพลังรบระดับยอดเคารพมากกว่าสามสิบคน!

เจ้าเมืองมังกรเหล็กจัดเป็นอันดับเจ็ด! เขามีบุตรธิดาห้าคน แต่ละคนล้วนถูกบ่มเพาะจนถึงระดับจักรพรรดิเทพทั้งสิ้น แน่นอนว่ามีเพียงคุณชายใหญ่เท่านั้นที่เป็นจักรพรรดิเทพช่วงท้าย! ขุมอำนาจเจ้าเมืองมังกรเหล็กยังแข็งแกร่งกว่าจ้าวหุบเขาฝูหลิ่วผู้นั้นอยู่ขุมหนึ่ง

“หากได้ซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นทางสายอากาศที่เจ้าเมืองมังกรเหล็กเก็บเอาไว้ร่างนั้นมา ก็จะเป็นประโยชน์ต่อข้ามากมายยิ่งนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ เจ้าเมืองมังกรเหล็กมีแรงคุกคามมากเกินไป เขาก็ไม่เคยคิดจะไปหักหาญเอามา แค่พยายามเจรจาแลกเปลี่ยนก็พอแล้ว แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ เขาก็รอให้คิดค้นท่าไม้ตายที่สามของวิถีเขตลวงโลกเทียมขึ้นมาได้เสียก่อน จึงวางแผนจะเคลื่อนไหว

………………………………….

รายนามจักรพรรดิเทพที่บันทึกอยู่บนม้วนสาส์นนั้นละเอียดมาก เขาใช้สติรับรู้สัมผัสดู ก็สามารถสัมผัสได้ถึงข้อมูลคร่าวๆ ของผู้แกร่งกล้าทุกคนที่จัดอยู่ในรายงาน หากต้องการข้อมูลโดยละเอียด ก็ต้องทุ่มเทบางสิ่งเพื่อซื้อเอาแล้ว!

“โอ้ อันดับที่สองร้อยหกสิบแปดหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าน้อยๆ อันดับนี้ยังนับได้ว่ายุติธรรม

ในโลกใบนี้ ผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์หรือระดับยอดเคารพและจักรพรรดิเทพช่วงท้ายมีทั้งหมดมากกว่าสามสิบท่าน! อย่างจ้าวหุบเขาฝูหลิ่วก็อยู่ในระดับนี้

พลังรบระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้าย มีมากกว่าสองร้อยห้าสิบคน! ในจำนวนนั้นมีผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางกว่าสามสิบคน!

ตนจัดอยู่ในอันดับที่สองร้อยหกสิบแปด ถัดจากตนลงไปยังมีผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายและผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางอยู่อีก

“คาดว่าตอนที่ข้าปะทุพลังที่แท้จริงออกไป กลิ่นอายไม่เสถียร จึงส่งผลกระทบต่ออันดับ แต่ข้าได้สังหารประมุขสมาคมจิตมารกับมือตนเอง ได้พิสูจน์ความสามารถในการห้ำหั่นของข้า จึงได้จัดอยู่ในอันดับที่สองร้อยหกสิบแปดกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงใคร่ครวญ จากนั้นก็มองไปทางประมุขหอสิงแห่งหอจิตฟ้าที่อยู่อีกข้างหนึ่งแล้วพูดยิ้มๆ ว่า “ประมุขหอสิง หอจิตฟ้ายังนับว่าเห็นดีในตัวข้า จึงมิได้จัดข้าให้อยู่ในอันดับสุดท้ายของผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายและจักรพรรดิเทพช่วงกลาง!”

“นี่เป็นเรื่องที่เบื้องบนกำหนดมา ข้าไม่มีสิทธิ์ไปยุ่มย่ามอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว” ประมุขหอสิงกล่าว

“ฮ่าฮ่า”

ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวเราะเบาๆ “ข้าไม่สนใจหรอก ทั้งยังรู้สึกว่าอันดับนี้ไม่เลวเลยเสียด้วยซ้ำไป”

ประมุขหอสิงหัวเราะไปด้วย

“เอาล่ะ หากไม่มีธุระอันใดแล้ว เชิญเจ้ากลับออกไปก่อนเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย

“ขอรับ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนนะขอรับ” ประมุขหอสิงโค้งคำนับก่อนจะถอยไป ช่วยไม่ได้ เขา ประมุขหอสิงเป็นเพียงจ้าวเทพระดับยอดคนหนึ่งเท่านั้น ส่วนจักรพรรดิเทพหิมะเหินตรงหน้าผู้นี้เป็นระดับผู้ทรงอำนาจของทั้งโลกเทพอย่างแท้จริงแล้ว ประมุขหอสิงจึงย่อมต้องเคารพนบนอบไปเสียทุกเรื่อง ต้องทำให้งดงามหน่อย! เพราะถึงอย่างไรเขาก็ประจำการอยู่ที่หอจิตฟ้าแห่งเมืองจวิ้นซาน ผู้ที่มิอาจล่วงเกินได้เป็นที่สุดก็คือจักรพรรดิเทพหิมะเหินผู้นี้นั่นเอง

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองม้วนสาส์นตรงหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาพึมพำเสียงเบาว่า “อันดับที่สองร้อยหกสิบแปด…บัดนี้การฝึกกายคละถิ่นก็ยังไม่เสถียรเลย ลำพังแค่พลังด้านวิถีอากาศ อันดับนี้ก็ออกจะสูงเกินไปหน่อยแล้ว!”

เขาบ่นไปพลางเก็บม้วนสาส์นลงไปยิ้มๆ

สำหรับเขาแล้ว นี่ก็เป็นความสุขอย่างหนึ่ง! อันดับนั้นไม่สำคัญสักเท่าใดนัก ความก้าวหน้าของพลังของตัวเขาเองจึงจะสำคัญที่สุด เขามาถึงโลกใบนี้ ก็เพื่อเคี่ยวกรำตนเอง

******

เมื่อรายนามจักรพรรดิเทพออกมาแล้ว

ก็ทำให้ผู้แกร่งกล้าทั้งหลายของโลกใบนี้จับตามองผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพซึ่งจัดอยู่ในอันดับที่สองร้อยหกสิบแปดผู้นี้ทันที เพราะถึงอย่างไรเรื่องอย่างการที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสังหารประมุขสมาคมจิตมาร ก็มีแต่ผู้ที่สนใจข้อมูลการสิ้นใจของผู้แกร่งกล้าในโลกเทพเป็นพิเศษเท่านั้นจึงได้ให้ทางหอจิตฟ้าเก็บรวบรวมข้อมูลจำพวกนี้มาอย่างยาวนาน ส่วน ‘รายนามจักรพรรดิเทพ’ มีผู้ให้ความสนใจมากกว่ามากมายนัก บรรดาจักรพรรดิเทพไปขนถึงจ้าวเทพในโลกเทพจำนวนนับไม่ถ้วนล้วนให้ความสนใจแทบทั้งสิ้น

“เอ๊ะ”

ณ เมืองเล็กๆ อันไกลโพ้นแห่งหนึ่ง บุรุษอาภรณ์เขียวที่นั่งดื่มสุราอยู่ในหอสุราพลันสีหน้าเปลี่ยนแปรไปเล็กน้อย

เขาเพิ่งจะได้รับข้อมูลที่หอจิตฟ้าส่งมาให้เขา!

“รายนามจักรพรรดิเทพหรือ” บุรุษอาภรณ์เขียวพึมพำเสียงต่ำ “จักรพรรดิเทพหิมะเหิน ผู้เหินทะยานหรือ”

เขาส่งสารให้หอจิตฟ้าเพื่อซื้อรายงานโดยละเอียดเกี่ยวกับจักรพรรดิเทพหิมะเหินทันที

ผ่านไปชั่วครู่

“จ้าวเทพ” บ่าวรับใช้ของหอจิตฟ้าประจำเมืองเล็กๆ อันไกลโพ้นนี้เร่งตรงมายังหอสุราแห่งนี้โดยเฉพาะ แล้วมอบม้วนสาส์นม้วนหนึ่งให้บุรุษอาภรณ์เขียว “รายงานต้องใช้ศิลาอสนีสามก้อนขอรับ”

“ไปเถิด” บุรุษอาภรณ์เขียวโยนศิลาอสนีออกไปสามก้อน

“ขอรับ” บ่าวรับใช้รับศิลาอสนีไปแล้วแล้วออกไปอย่างรวดเร็ว

จากนั้นบุรุษอาภรณ์เขียวก็มองดูโดยละเอียด

ในรายงานฉบับนี้บันทึกข้อมูลชุดหนึ่งของ ‘จักรพรรดิเทพหิมะเหิน’ เอาไว้โดยละเอียด เช่นเขาถูก ‘อวี้เฟิงชิงอิน’ คุณหนูสามสกุลอวี้เฟิงแห่งเมืองจวิ้นซานพากลับมาจากกลางความรกร้าง เวลาอันแม่นยำของเรื่องราวต่างๆ ล้วนถูกบันทึกเอาไว้โดยละเอียด

“เฮอะ ดูจากเวลานี่ ก่อนที่คุณหนูสามสกุลอวี้เฟิงจะพาเขากลับมาจากกลางความรกร้าง หอจิตฟ้าหาบันทึกที่เกี่ยวข้องกับเขาไม่พบเลย” บุรุษอาภรณ์เขียวยิ้มเย็น จ้าวเทพคนหนึ่งทำอะไรอย่างเก็บเนื้อเก็บตัว จะไม่มีบันทึกก็เป็นเรื่องธรรมดานัก

“อิงซานเสวี่ยอิง เจ้าก็มายังโลกใบนี้แล้วหรือ” นัยน์ตาของบุรุษอาภรณ์เขียวฉายแววเยียบเย็น

เขา ก็คือจักรพรรดิเป่ยเหอนั่นเอง!

เขามาที่นี่ก่อนตงป๋อเสวี่ยอิงนานโข

เขามิอาจสะกดรอยตงป๋อเสวี่ยอิงได้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิอาจสะกดรอยเขาได้เช่นกัน อย่างตอนนั้นที่จักรพรรดิเป่ยเหอชิงเอา ‘หยาดน้ำพันเนตร’ ไป พวกตงป๋อเสวี่ยอิงหมายจะไล่สังหาร ก็มิอาจกำหนดตำแหน่งที่แม่นยำของจักรพรรดิเป่ยเหอได้

อย่างผู้ที่ฝึกฝนสายเลือดคละถิ่น แม้จะไม่เชี่ยวชาญทางด้านการเก็บงำกลิ่นอาย แต่เมื่อถึงระดับอย่าง ‘จักรพรรดิเทพช่วงท้าย’ แล้วกลับแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง พวกเขาส่วนมากล้วนสะกดรอยได้อย่างร้ายกาจนัก กลิ่นอายระดับยอดเคารพก็เก็บงำได้อย่างสมบูรณ์แบบ! ตงป๋อเสวี่ยอิงเคยได้พบยอดเคารพเมื่ออยู่ในหุบเขาเขี้ยวหัก หากยอดเคารพจะเก็บงำกลิ่นอาย เขาก็ตรวจสอบไม่พบ ส่วน ‘จักรพรรดิเป่ยเหอ’ เมื่ออยู่ในหุบเขาเขี้ยวหักก็เป็นจักรพรรดิที่ใกล้เคียงกับยอดเคารพที่สุดแล้ว! เขาก็ควบคุมกลิ่นอายของตนได้สมบูรณ์แบบมากเช่นกัน จึงมิอาจสะกดรอยเขาได้เลย

เขามาถึงโลกใบนี้ ในฐานะแขกจากโลกอีกใบ ก็ย่อมต้องถ่อมเนื้อถ่อมตัวเป็นอันมาก

เก็บงำกลิ่นอาย ปลอมแปลงเป็นจ้าวเทพคนหนึ่งแล้วซ่อนตัวอยู่ในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง! เขาออกไปเคลื่อนไหวบ้างเป็นครั้งคราว

“อิงซานเสวี่ยอิง” ในใจจักรพรรดิเป่ยเหอมีความคิดวาบผ่านไปมากมาย

เมื่อดูจากเวลาที่มาถึง ชื่อ กระบวนท่าที่เชี่ยวชาญและสถานะผู้เหินทะยาน บวกกับที่เขาเก็บเนื้อเก็บตัวบำเพ็ญเป็นอันมาก ก็ล้วนสอดคล้องกับอิงซานเสวี่ยอิงทั้งสิ้น! ไม่มีเรื่องบังเอิญถึงเพียงนี้หรอก

“ตามที่รายงานบันทึกเอาไว้ พลังทางด้านวิถีอากาศของเขาก็สามารถเทียบกับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายได้แล้วหรือนี่” จักรพรรดิเป่ยเหอขมวดคิ้วเล็กน้อย “หากนับรวมกับกระบวนท่าทางด้านวิญญาณของเขา เกรงว่าหากข้าเผชิญหน้ากับเขาก็อาจตกเป็นรองได้กระมัง”

“การยกระดับพลังของข้าจึงจะสำคัญที่สุด”

“รอให้ยกระดับขึ้นไปถึงขั้นยอดเคารพเสียก่อน ค่อยไปเล่นกับอิงซานเสวี่ยอิงสักหน่อย” จักรพรรดิเป่ยเหอลอบยิ้มเย็นชา เดิมทีเขาก็สั่งสมมาแน่นหนาอย่างยิ่งอยู่แล้ว เขาบำเพ็ญอยู่ในทางเดินเขี้ยวอสรพิษมานมนานถึงเพียงนั้นก็มีความก้าวหน้าอยู่บ้าง ตอนนั้นถูกตงป๋อเสวี่ยอิงและยอดเคารพเฮ่ากู่พบเข้า เขาจึงถูกบีบบังคับให้เลือกทางเส้นนี้ และถูกส่งมายังโลกใบนี้ เมื่อมาถึงที่นี่ เขาจึงพบว่าการขุดค้นพละกำลังสายเลือดของโลกใบนี้ร้ายกาจกว่าที่หุบเขาเขี้ยวหักมากมายนัก!

เก็บรวบรวมคัมภีร์ อ้างอิงและรู้แจ้งจากมัน

จักรพรรดิเป่ยเหอมั่นใจยิ่งขึ้นว่าตนจะสามารถบรรลุถึงระดับยอดเคารพได้

“รอดูเถอะ” จากนั้นจักรพรรดิเป่ยเหอก็ปล่อยเรื่องนี้ไป

……

เวลาล่วงเลยไป

หลังจากตงป๋อเสวี่ยอิงสังหารประมุขสมาคมจิตมารแล้ว ก็มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทั้งโลกเทพ อย่างน้อยตัวเมืองทั้งหลายในแถบรอบๆ ก็ล้วนส่งกองเทวทูตมาเยี่ยมเยียน แม้แต่เมืองไม้บูรพาก็ยังส่งกองเทวทูตมา

กองเทวทูตโดยทั่วไป ตงป๋อเสวี่ยอิงคร้านที่จะพบ ให้อวี้เฟิงชิงอินไปพบหน้าแทนตนก็เพียงพอแล้ว! จะมีก็แต่กองเทวทูตเมืองไม้บูรพาเท่านั้น ที่ตนยอมไปพบด้วยตนเองสักครั้ง

จากนั้น วันคืนก็ฟื้นคืนสู่ความสงบ

เนื่องจากเขาโจมตีสังหารจักรพรรดิเทพไปหลายคน ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงมีสมบัติล้ำค่ามากมาย และมีจำนวนมากที่เขาไม่เห็นอยู่ในสายตา เขาตั้งใจคัดเลือกชิ้นที่มีประโยชน์ต่อการบำเพ็ญสายเลือดทั้งหลายออกมาให้แก่ ‘อวี้เฟิงชิงอิน’ ผู้เป็นศิษย์เพียงคนเดียวที่เขารับไว้ในโลกใบนี้ ตัวอวี้เฟิงชิงอินเองก็เป็นแม่ทัพเทพระดับยอดอยู่แล้ว เมื่อได้รับสมบัติล้ำค่า ก็บรรลุถึงระดับจ้าวเทพอย่างรวดเร็ว

อันที่จริงแล้ว ผู้แกร่งกล้าระดับแม่ทัพเทพไม่ว่าหน้าไหน หากเผาผลาญสมบัติล้ำค่าที่แม้แต่จักรพรรดิเทพก็ยังต้องเจ็บปวดใจอย่างที่ตงป๋อเสวี่ยอิงทำ ก็ล้วนสามารถบรรลุได้อย่างง่ายดาย

อวี้เฟิงชิงอินบรรลุมิอาจนับเป็นอะไรได้

‘อวี้เฟิงเหลย’ พี่ใหญ่ของนางซึ่งก่อนหน้านี้เป็นยอดฝีมือที่ในเมืองจวิ้นซานเป็นรองเพียงแค่อวี้เฟิงจวิ้นซานเท่านั้นต่างหาก พลังของอวี้เฟิงเหลยถึงขั้นสามารถกดดันจ้าวภูเขาค้างคาวและจ้าวเทพเจียนอิ่นและคนอื่นๆ ได้อยู่เล็กน้อย! เมื่อประสบหายนะครั้งใหญ่นี้ จากความสิ้นหวังจนมีความหวังเต็มเปี่ยม หลังจากประมุขสมาคมจิตมารสิ้นใจไปสามแสนกว่าปี อวี้เฟิงเหลยก็บรรลุถึงระดับจักรพรรดิเทพช่วงต้นแล้ว! ทำให้ทั้งสกุลอวี้เฟิงยินดีปรีดากับเขาเป็นอันมาก อวี้เฟิงชิงอินก็ตื่นเต้นยินดียกใหญ่ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มอบของกำนัลร่วมแสดงความยินดีกับอวี้เฟิงเหลยด้วย

เพียงพริบตาเดียว ประมุขสมาคมจิตมารก็สิ้นใจไปแปดสิบกว่าล้านปีแล้ว

ณ จวนหิมะเหินในเมืองจวิ้นซาน

ภายในจวนมีนักดนตรีกำลังร่วมบรรเลงเพลง และยังมีเหล่านางระบำกำลังระบำอยู่

ตงป๋อเสวี่ยอิง อวี้เฟิงชิงอินและ ‘เหลิ่งซิน’ ปรมาจารย์พิณอันดับหนึ่งแห่งเมืองจวิ้นซานนั่งมองพลางยิ้มอ่อนอยู่ตรงนั้น นับตั้งแต่ได้ฟัง ‘เหลิ่งซิน’ ดีดพิณจนเกิดการกระตุ้นบางอย่างขึ้นมาแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีงานอดิเรกอย่างการฟังเพลงพิณและชอบชมการระบำเพิ่มขึ้นมา

“ท่านอาจารย์ นี่คือเพลงระบำที่พี่เหลิ่งแต่งขึ้นด้วยตนเอง เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” อวี้เฟิงชิงอินเอ่ยถาม

“ท่านอาจารย์”

“ท่านอาจารย์”

อวี้เฟิงชิงอินมองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยความงุนงง

ยามนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังงหลับตา คล้ายกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง อวี้เฟิงชิงอินเห็นเข้าก็ไม่กล้าปริปากอีกต่อไป

“โครมมม…” ขณะนี้ร่างแยกทั้งหมดของตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ในอากาศอันสับสนอลหม่านบ้านเกิดและในดินแดนจิตโลกาล้วนสติรับรู้สั่นสะท้าน ความเร้นลับจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังผสานรวมกันและก่อให้เกิดกระบวนท่าอันสมบูรณ์แบบที่พิสดารจนถึงขั้นน่าเหลือเชื่อขึ้นมา

………………………

ยามราตรี

ภายในโถงตำหนักแห้งหนึ่งของสกุลอวี้เฟิง ขณะนี้อวี้เฟิงจวิ้นซาน พ่อบ้านถง สามผู้อาวุโสประจำตระกูลแห่งสกุลอวี้เฟิงรวมไปถึงสองพี่น้องอวี้เฟิงเหลยและอวี้เฟิงจิ่นล้วนรวมตัวกันอยู่ที่นี่

“นายท่าน คุณหนูสามกลับมาแล้วขอรับ” ยอดฝีมือคนหนึ่งที่เข้ามาจากนอกโถงตำหนักเอ่ยขึ้นด้วยความเคารพ

อวี้เฟิงจวิ้นซาน อวี้เฟิงเหลย อวี้เฟิงจิ่น พ่อบ้านถงและสามผู้อาวุโสประจำตระกูลต่างก็นัยน์ตาเป็นประกาย อวี้เฟิงจวิ้นซานสั่งการว่า “ดี เจ้าถอยออกไปได้”

พวกเขารออยู่ก่อนแล้ว

รอคอยให้อวี้เฟิงชิงอินกลับมา พวกเขากำชับเอาไว้ว่า อวี้เฟิงชิงอินกลับมาเมื่อใด ก็ให้นางตรงมาที่นี่ทันที

“ไม่รู้ว่าที่แท้แล้วผู้อาวุโสหิมะเหินผู้นี้จะคิดอะไรอยู่ในใจ” พ่อบ้านถงเอ่ยปากพูดเสียงต่ำ

“หวังว่าเขาจะสามารถอยู่ในเมืองจวิ้นซานของเราต่อไปได้” อวี้เฟิงจวิ้นซานก็ออกจะประหวั่นใจอยู่บ้าง สามารถรอดพ้นหายนะครั้งใหญ่มาได้ครั้งหนึ่ง ทั้งสกุลอวี้เฟิงก็ล้วนแต่ยินดีปรีดา เพียงแต่อวี้เฟิงจวิ้นซานก็เกิด ‘ความคิดทะเยอทะยาน’ ขึ้นมา หากผู้แกร่งกล้าซึ่งมีพลังรบระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายคนหนึ่งสามารถรั้งอยู่ในเมืองจวิ้นซานได้ ก็จะเป็นประโยชน์ต่อสกุลอวี้เฟิงของพวกเขามากทีเดียว

เสียงฝีเท้าดังเข้ามาจากด้านนอก อวี้เฟิงชิงอินเดินเข้ามา นางมองเห็นบิดา พี่ชายและผู้อาวุโสทั้งหลายมองมา ก็อดสะดุ้งมิได้

“ชิงอิน รีบเข้ามานั่งเร็วเข้า” อวี้เฟิงจวิ้นซานพูดยิ้มๆ

“เจ้าค่ะ ท่านพ่อ” อวี้เฟิงชิงอินนั่งลงด้วยความตื่นเต้นอยู่บ้าง

“น้องสาม ครั้งนี้ผู้อาวุโสหิมะเหินช่วยเหลือสกุลอวี้เฟิงของเรา บุญคุณใหญ่หลวงถึงเพียงนี้ เขามีอะไรอยากให้สกุลอวี้เฟิงเราทำให้หรือไม่” อวี้เฟิงเหลยถาม

อวี้เฟิงชิงอินส่ายหน้ารัว “ไม่มีเจ้าค่ะ ท่านอาจารย์มิได้ให้สกุลอวี้เฟิงเราทำอะไรเลย”

“ผู้อาวุโสหิมะเหินคงมิได้คิดจะจากเมืองจวิ้นซานไปหรอกกระมัง” อวี้เฟิงเหลยไล่ถามต่อ อวี้เฟิงจวิ้นซานและคนอื่นๆ ที่อยู่อีกด้านหนึ่งต่างก็เป็นกังวลขึ้นมา

หากช่วยเหลือสกุลอวี้เฟิงของพวกเขาแล้วก็จากไป!

เช่นนั้นวันคืนในภายหน้าของสกุลอวี้เฟิงก็มิได้แตกต่างอะไรจากตอนนี้มากนัก พวกเขาเมืองจวิ้นซานยังคงเป็นเพียงเมืองเล็กๆ อันไกลโพ้นท่ามกลางโลกเทพจำนวนนับไม่ถ้วนอันกว้างใหญ่ไพศาลดังเดิม ยังคงไม่สะดุดตาดังเดิม! นอกจากนี้ตามที่พวกเขาคาดการณ์เอาไว้ ความเป็นไปได้ที่จักรพรรดิเทพหิมะเหินจะจากไปนั้นมีสูงมาก ข้อแรก โดยทั่วไปแล้วผู้แกร่งกล้าระดับนี้ล้วนมีสิ่งที่ตนเองใฝ่หา เช่นสมบัติล้ำค่าและทรัพยากรต่างๆ มีน้อยมากที่จะอาศัยอยู่ในเมืองเล็กๆ ไปตลอด ข้อสอง ที่ผ่านมาจักรพรรดิเทพหิมะเหินเก็บเนื้อเก็บตัวและรักสันโดษมาตลอด คงจะไม่ชมชอบการปะทะคารม และครั้งนี้เขาสังหาร ‘ประมุขสมาคมจิตมาร’ ไป ก็จะต้องชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทั้งโลกเทพแน่นอน เกรงว่าถึงตอนนั้นก็คงต้องเกิดการปะทะคารมกันขึ้นมา แต่หากจากเมืองจวิ้นซานไปแล้วมุ่งหน้าไปยังเมืองอื่นๆ และเก็บซ่อนตัว คนอื่นคิดจะหาตัวเขาก็หาไม่พบ อย่างน้อยสกุลอวี้เฟิงก็เคยลองมาแล้ว และพบว่ามิอาจสะกดรอย ‘จักรพรรดิเทพหิมะเหิน’ ผู้นี้ได้เลย นอกจากนี้ตามข้อมูล ผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพก็แทบจะมิอาจสะกดรอยได้อยู่แล้ว

“ไม่นี่” อวี้เฟิงชิงอินมองดูบิดาและคนอื่นๆ ด้วยความงุนงง นางส่ายศีรษะ “อาจารย์มิได้บอกว่าจะจากไปเสียหน่อย!”

อวี้เฟิงจวิ้นซานและคนอื่นๆ พากันถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“อาจารย์เพียงแค่กล่าวว่า เขาไม่ชอบการปะทะคารมกัน จึงให้ข้ามาบอกท่านพ่อและทุกท่านว่า หากไม่มีเรื่องสำคัญก็อย่าได้ไปรบกวนเขา” อวี้เฟิงชิงอินพูดขึ้นมาอีกประโยคหนึ่ง

“สมควรอยู่แล้วๆ” อวี้เฟิงจวิ้นซานเผยรอยยิ้มออกมา “การบำเพ็ญของผู้อาวุโสหิมะเหินสำคัญเพียงใด ด้วยสถานะของเขา ใช่ว่าผู้ใดอยากพบก็เข้าพบได้เสียที่ไหนกัน พวกเจ้าได้ยินชัดเจนกันหมดแล้วนะ หากไม่มีเรื่องสำคัญก็ห้ามไปรบกวนเขา”

“ขอรับ” อวี้เฟิงเหลยและคนอื่นๆ พากันรับคำ

อวี้เฟิงจวิ้นซานยิ้มสดใส

ไม่ชอบการปะทะคารมหรือ

ขอเพียง ‘ผู้อาวุโสหิมะเหิน’ พำนักอยู่ในเมืองจวิ้นซานของพวกเขา ขุมอำนาจฝ่ายต่างๆ รอบด้านก็ต้องมองพวกเขาสกุลอวี้เฟิงสูงขึ้นอีกระดับหนึ่ง! พวกเขาสกุลอวี้เฟิงก็จะทำการแลกเปลี่ยนกับเมืองต่างๆ รอบด้านได้สบายขึ้นมากทีเดียว

“ผู้อาวุโสหิมะเหินผู้นี้ไม่ชอบการปะทะคารม แต่ก็ย่อมมีเรื่องจิปาถะที่ต้องจัดการอยู่แล้ว เขาก็ไม่มีลูกน้องที่ไหน ถึงเวลานั้น ก็ย่อมต้องเป็นสกุลอวี้เฟิงเราที่ช่วยเขาจัดการเรื่องจิปาถะจึงจะเหมาะสมที่สุด” อวี้เฟิงจวิ้นซานรู้สึกพึงพอใจมากขึ้น

“ชิงอิน” อวี้เฟิงจวิ้นซานถาม “ผู้อาวุโสหิมะเหินไม่ให้คนไปรบกวน ผู้ที่เป็นศิษย์อย่างเจ้าจะไปพบอาจารย์ คงจะไม่ได้รับผลกระทบกระมัง”

“ข้าสามารถเข้าพบอาจารย์ได้ตลอดเวลา” อวี้เฟิงชิงอินกล่าว

“ดี” อวี้เฟิงจวิ้นซานพูดยิ้มๆ “ชิงอิน ผู้อาวุโสหิมะเหินอาจารย์ของเจ้ามีบุญคุณใหญ่หลวงต่อสกุลอวี้เฟิงเรา บุญคุณนี้จะต้องจดจำเอาไว้ในส่วนลึกของหัวใจ เข้าใจหรือไม่”

“เจ้าค่ะ ข้ารู้” อวี้เฟิงชิงอินพยักหน้า

……

เห็นได้ชัดว่าสกุลอวี้เฟิงอยากจะให้ตนขึ้นไปบนเรือรบของ ‘จักรพรรดิเทพหิมะเหิน’ ลำนี้!

และในราตรีนี้เอง

เมืองไม้บูรพาก็ได้รับข่าวนี้เช่นกัน

“เอ๊ะ” เจ้าเมืองไม้บูรพานั่งอยู่บนยอดเขาภายในเมืองแห่งหนึ่งเพียงลำพัง ตัวเขาหลอมรวมกับโลกใบนี้อยู่ตลอดเวลา เขาสวมอาภรณ์เขียวทั้งร่าง กลิ่นอายยิ่งใหญ่และห่างไกลประหนึ่งผืนดินอย่างไรอย่างนั้น เขาลืมตาขึ้นมา แล้วเผยสีหน้าแตกตื่น “ในเมืองเล็กๆ อย่างเมืองจวิ้นซาน มีผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางคนหนึ่งปรากฏขึ้นมาเสียได้ อีกทั้งพลังยังเทียบได้กับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายเชียวหรือ”

“จักรพรรดิเทพหิมะเหินรึ”

เจ้าเมืองไม้บูรพาขมวดคิ้วเล็กน้อย

จะว่าไปแล้ว ภายในบริเวณอันใหญ่โตรอบด้าน เมืองไม้บูรพาเป็นขุมอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุด! เมืองเล็กๆ อย่างเมืองจวิ้นซานล้วนต้องไว้หน้าเมืองไม้บูรพา แต่บัดนี้ภายในบริเวณแถบนี้ กลับมียอดฝีมือที่มีพลังเทียบเท่ากับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายปรากฏขึ้นมา! ต้องรู้ไว้ว่า เขา เจ้าเมืองไม้บูรพาเป็นเพียงแค่จักรพรรดิเทพช่วงท้ายเท่านั้น

“สามารถทำให้จักรพรรดิเทพจิตมารบาดเจ็บสาหัสได้ในกระบวนท่าเดียว สามกระบวนท่าก็ทำให้เขาแหลกสลายเป็นผุยผงไปได้ พลังนี้เทียบได้กับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายอย่างแท้จริง ยังดีที่ดูนิสัยของเขาแล้วไม่ชมชอบการปะทะคารมสักเท่าใดนัก ก่อนหน้านี้ล้วนแต่ซ่อนตัวอยู่ในเมืองจวิ้นซานโดยไม่เผยพลังออกมา”เจ้าเมืองไม้บูรพาพยักหน้าน้อยๆ “ต้องส่งกองเทวทูตไปเยี่ยมเยียนจักรพรรดิเทพหิมะเหินผู้นี้เสียหน่อย”

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ต้องส่งความปรารถนาดีไปสักหน่อย

เดิมทีนิสัยของเจ้าเมืองไม้บูรพาก็ไม่ชอบการช่วงชิงอยู่แล้ว! เพียงแต่การฝึกฝนสายเลือดบรรพเทวะนั้นต้องการสมบัติล้ำค่าและทรัพยากรเป็นอย่างมาก! บวกกับลูกหลานของทั้งตระกูลไม้บูรพาที่พึงพิงเขาอยู่นั้นมีจำนวนนับไม่ถ้วน ดังนั้นเจ้าเมืองไม้บูรพาจึงจำเป็นต้องแย่งชิงทรัพยากรต่างๆ

……

ข่าวสารฉับไวใช้ได้ทีเดียว เพียงไม่กี่วันหลังจากประมุขสมาคมจิตมารสิ้นใจ พวกเขาก็ทยอยกันทราบข่าว และเข้าใจว่าภายในโลกเทพแห่งนี้ มีผู้ทรงอำนาจเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่งแล้ว! ยังดีที่อยู่ในดินแดนแถบเดียวกับเจ้าเมืองไม้บูรพา ผลกระทบที่มีต่อผู้แกร่งกล้าทั้งหลายในบริเวณอื่นของโลกเทพก็ย่อมสามารถมองข้ามไปได้

******

ณ จวนหิมะเหิน เมืองจวิ้นซาน

ที่ส่วนสูงสุดของหอ

ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิอยู่เพียงลำพัง เขากำลังเคี่ยวกรำการฝึกกายคละถิ่นต่อไป

แม้เขาจะคิดค้นขึ้นมาหลายฉบับ ซึ่งล้วนทำให้ร่างกายของเขามีพลังระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางได้อย่างพอถูไถ แต่ก็ไม่เสถียรนัก! หากมิใช่มีเพียงสองแขนที่แข็งแกร่ง ก็มีเพียงแค่ขาทั้งสอง หรือไม่ก็มีเพียงส่วนท้อง ส่วนหลังเท่านั้น …มิอาจทำให้ทั้งร่างยกระดับอย่างมั่นคงได้เลย

“คิดไม่ถึงว่า จะต้องเผยพลังที่แท้จริงออกมาเพราะเรื่องของศิษย์ข้า”

“เปิดเผยก็เปิดเผยไปเถิด ก็ดีเหมือนกัน! หากเกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นมา อาจจะสามารถทำให้ข้าได้พบกับการเคี่ยวกรำมากขึ้นก็เป็นได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงมั่นใจเต็มเปี่ยม อันที่จริงแล้วต่อให้เปิดเผยพลังออกไป เมื่อถึงระดับอย่างเขาแล้ว ต่อให้เปิดเผยพลังที่แท้จริงออกไป ก็เกรงว่าคงจะมีไม่กี่คนเท่านั้นที่มาหาเรื่องใส่ตัว!

“รอจนรายนามจักรพรรดิเทพเปลี่ยนแปลง…ชื่อของข้าก็จะต้องแพร่ออกไปอย่างกว้างขวางแล้ว หากจักรพรรดิเป่ยเหออยู่ในโลกใบนี้ เขาก็ควรจะล่วงรู้กระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มพลางรอคอย

จักรพรรดิเป่ยเหอถูกส่งถ่ายไป ก็น่าจะร่อนลงมาที่โลกใบนี้เช่นเดียวกัน

ระหว่างเขาและเป่ยเหอนั้นมีความแค้นต่อกันอยู่

“ไม่รู้ว่าเป่ยเหอจะมีปฏิกิริยาเช่นไร” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดเสียงเรียบ

ความนิ่งเฉยนั้นมีสาเหตุมาจากพลังที่แท้จริง

แม้การฝึกกายคละถิ่นของเขายังไม่เสถียรพอ แต่ลำพังแค่วิถีอากาศของเขาก็สามารถคงพลังรบระดับ ‘จักรพรรดิเทพช่วงท้าย’ ได้ครึ่งชั่วยามแล้ว พลังเช่นนี้ อยู่ในหุบเขาเขี้ยวหักก็ถือเป็นระดับจักรพรรดิแล้ว!

ส่วนวิถีเขตลวงโลกเทียมนั้น แม้แต่สำหรับ ‘จักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์’ ก็มีผลกระทบ จักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์เมื่ออยู่ในหุบเขาเขี้ยวหัก ก็ถือเป็นระดับยอดเคารพแล้ว!

ตอนที่เขาลงมือกับประมุขสมาคมจิตมาร ตั้งแต่ต้นจนจบก็มิได้ใช้งาน ‘วิถีเขตลวงโลกเทียม’ เลย

หากเขาปะทุออกมาอย่างสุดกำลัง

วิถีเขตลวงโลกเทียมบวกกับพลังรบระดับ ‘จักรพรรดิเทพช่วงท้าย’ ทางด้านวิถีอากาศ ก็ล้วนสามารถต่อกรกับยอดเคารพได้! ต่อให้ยังตกเป็นรองอยู่เล็กน้อยก็ตาม…การป้องกันตนเองก็มิได้มีปัญหาอันใด ส่วนความยุ่งยากอื่นๆ ในโลกเทพแห่งนี้ ตนก็ยังมี ‘ศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกา’ อยู่ด้วย! เมื่อมีพลังเช่นนี้แล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงยังคงพำนักอยู่ในเมืองจวิ้นซานอย่างสงบได้หลังจากสังหารประมุขสมาคมจิตมารแล้ว

“นายท่าน” ทหารคุ้มกันคนหนึ่งมาถึงด้านล่างหอ เขาพูดเสียงดังด้วยความเคารพว่า “ประมุขหอสิงแห่งหอจิตฟ้ามาเยี่ยมขอรับ”

“อ้อ ให้เขาเข้ามาเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงบัญชา

“ขอรับ” ทหารคุ้มกันจากไปอย่างรวดเร็ว

ไม่นานนัก

ประมุขหอสิงก็ไต่ขึ้นมาบนหอ เมื่อเขาเห็นชายหนุ่มอาภรณ์ขาวที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น ก็โค้งคำนับ “จักรพรรดิเทพ รายนามจักรพรรดิเทพฉบับล่าสุดออกมาแล้วขอรับ” พูดพลาง ม้วนสาส์นม่วนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา

ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มแล้วโบกมือคราหนึ่ง ม้วนสาส์นนั้นก็ลอยมาทางเขา “แค่เรื่องเล็กๆ อย่างการนำม้วนสาส์นมาส่ง แค่สั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาสักคนมาส่งให้ก็พอแล้ว ประมุขหอผู้องอาจอย่างท่านยังต้องมามอบให้ด้วยตนเองด้วยหรือ”

“จักรพรรดิเทพอย่าได้กลั่นแกล้งข้าเล่นเลย ข้าเป็นเพียงประมุขหอจิตฟ้าตัวเล็กๆ ในเมืองจวิ้นซานคนหนึ่งเท่านั้น สามารถมามอบม้วนสาส์นให้จักรพรรดิเทพได้ ก็ถือเป็นเกียรติของข้า” ประมุขหอสิงกล่าว

ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวเราะพลางคลี่ม้วนสาส์นออก แล้วเริ่มพินิจดูรายนามจักรพรรดิเทพที่เปลี่ยนแปลงเพราะเขา ทุกครั้งที่รายนามจักรพรรดิเทพมีการเปลี่ยนแปลง จึงจะมีการออกรายนามจักรพรรดิเทพฉบับใหม่ขึ้นมา

………………………………………

แม้แต่ประมุขหอสิงแห่ง ‘หอจิตฟ้า’ ผู้มีหูตากว้างไกลซึ่งทำการบันทึกกระบวนการต่อสู้นั้น แม้จะมองดูอยู่ห่างๆ ลำคอก็ยังแหบแห้งไปหมด เขาพึมพำเสียงต่ำว่า “เพียงกระบวนท่าเดียวก็ทำให้ประมุขสมาคมจิตมารได้รับบาดเจ็บสาหัสเสียแล้ว สามกระบวนท่าก็ทำให้ร่างกายของประมุขสมาคมจิตมารแตกเป็นเสี่ยงๆ เห็นทีจะเป็นผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางคนหนึ่งจริงๆ พลังคงเกือบจะเทียบได้กับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายแล้วกระมัง”

พลังรบเทียบได้กับจักรพรรดิเทพช่วงท้าย แสดงว่าอะไรหรือ

ยอดฝีมือทั้งหลายในเมืองจวิ้นซานต่างก็เข้าใจว่า อย่าง ‘เจ้าเมืองไม้บูรพา’ ผู้มีสถานะสูงส่งผู้นั้น ก็คือผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายคนหนึ่ง ก่อนหน้านี้อวี้เฟิงจวิ้นซานคิดหาวิธีจะยกบุตรสาวให้สมรสกับคุณชายเก้าแห่งเมืองไม้บูรพา แม้จะมอบของกำนัลให้มากมาย และคิดหาวิธีขอให้ ‘เจ้าเมืองไม้บูรพา’ ช่วยเหลือโดยผ่านบุคคลระดับสูงของเมืองไม้บูรพา แต่อันที่จริงแล้ว กองทูตที่เมืองจวิ้นซานส่งไปนั้นกลับไม่มีคุณสมบัติพอจะได้พบเจ้าเมืองไม้บูรพาเสียด้วยซ้ำไป!

ต่อให้ทอดสายตามองไปทั่วทั้งโลกเทพ จักรพรรดิเทพช่วงท้ายก็ล้วนแต่เป็นผู้ทรงอำนาจอย่างยิ่งทางฟากฝั่งหนึ่งทั้งสิ้น! แม้แต่สามตระกูลราชันย์ก็ยังต้องรักษามารยาท!

“ผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางมีพลังรบระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้าย สามกระบวนท่าก็สามารถทำให้โจรเฒ่าจิตมารซึ่งจัดอยู่ในรายนามจักรพรรดิเทพพิการได้!” อวี้เฟิงจวิ้นซานใจสะท้าน

โจรเฒ่าจิตมารจัดอยู่ในหนึ่งพันอันดับแรกของโลกเทพ

สามกระบวนท่าก็ถูกตีจนพิการเสียแล้ว!

จะเห็นได้ถึงความน่าเกรงกลัวของท่านอาจารย์หิมะเหิน!

“โอกาสครั้งใหญ่ โอกาสครั้งใหญ่ ชิงอินบุตรสาวข้าสามารถคารวะเข้าอยู่ในสำนักของผู้แกร่งกล้าพรรค์นี้ได้ ทั้งยังกอบกู้ทั้งสกุลอวี้เฟิงเอาไว้ด้วยเหตุนี้” อวี้เฟิงจวิ้นซานมองไปทางอวี้เฟิงชิงอินบุตรสาวตน

สองพี่น้องอวี้เฟิงเหลยและอวี้เฟิงจิ่นพากันมองไปทางน้องสาวที่อยู่ข้างๆ พวกเขาทั้งสองออกจะอิจฉาอยู่บ้าง แต่ก็รู้สึกดีใจกับน้องสาวด้วย

“พลังรบระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้าย”

“สวรรค์!”

“ผู้แกร่งกล้าพรรค์นี้มาซ่อนตัวอยู่ในเมืองเล็กๆ ที่ไกลโพ้นอย่างเมืองจวิ้นซานของพวกเราหรือนี่”

ผู้แกร่งกล้าฝ่ายต่างๆ พากันตกตะลึง

พลังแข็งแกร่งเช่นนี้ทำให้พวกเขาต้องมองอย่างเทิดทูน เพราะถึงอย่างไรไม่ว่าจะอยู่ส่วนใดของโลกเทพ พลังรบระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายก็นับว่าเป็นยอดฝีมือตัวยงแล้ว

“ก็ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสหิมะเหินไล่ตามไป จะสามารถสังหารประมุขสมาคมจิตมารผู้นั้นได้หรือไม่” ผู้แกร่งกล้าจำนวนมากต่างทอดสายตามองไปยังทิศที่ประมุขสมาคมจิตมารและตงป๋อเสวี่ยอิงรุกไล่กันแล้วจากไป ความรกร้างไกลออกไปมองไม่เห็นเงาร่างคนแล้ว พวกเขาสองคนรวดเร็วมากจริงๆ

*******

ฟิ้วๆๆ…

เสียงลมพัดหวีดหวิว

ประมุขสมาคมจิตมารกำลังทะยานไปอย่างรวดเร็วจนชวนตกใจภายใต้แสงสีเขียวเข้มที่ห่อหุ้มอยู่ ร่างกายฟื้นฟูกลับมาจนสมบูรณ์ดีแล้ว แน่นอนว่านี่เป็นเพียงผิวเผินเท่านั้น ความเสียหายของพลังชีวิตของเขาจะชดเชยได้ก็ต้องใช้เวลานานมาก

“สมบัติล้ำค่าที่ท่านจ้าวหุบเขามอบให้ ทำให้บัดนี้ความเร็วของข้า จักรพรรดิเทพช่วงท้ายส่วนใหญ่ไล่ตามไม่ทันแล้ว และรวดเร็วกว่าจักรพรรดิเทพหิมะเหินผู้นั้นมากด้วย” ประมุขสมาคมจิตมารมองไปด้านหลังซ้ำแล้วซ้ำเล่า อย่างน้อยก็มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าแล้ว ทว่าเขาก็ยังคงมุ่งหน้าต่อไปด้วยความเร็วสูงสุดโดยมิกล้าชักช้า ยิ่งสลัดไปได้ไกลเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น

การเหินทะยานไปด้วยความเร็วสูงเช่นนี้ ใช้เวลาชั่วจอกชาหนึ่ง แสงสีเขียวเข้มเหนือผิวกายของเขาก็สลายไปในที่สุด

ประมุขสมาคมจิตมารมองดูกิ่งไม้ที่ถืออยู่ในมือ ยามนี้กิ่งไม้กลับทลายลงแล้วกลายเป็นผุยผงไป สมบัติล้ำค่าชิ้นนี้ถูกเผาผลาญไปจนสิ้นแล้ว

“เวลายาวนานถึงเพียงนี้ ข้าคงจะสลัดเขาไปได้ไกลมากแล้ว” ในใจของประมุขสมาคมจิตมารคิดเช่นนี้ ทว่าก็ยังคงทะยานไปอย่างสุดกำลัง เขามิได้หยิบเอาสมบัติล้ำค่าต่างๆ เช่นเรือรบมาด้วย การเหินทะยานนั้นไม่จำเป็นต้องให้เขาแบ่งจิตใจไปควบคุม แต่ความเร็วในการเหินทะยานกลับสู้ความเร็วในการหนีสุดชีวิตของเขาในตอนนี้ไม่ได้เลย

……

ท่ามกลางความรกร้าง

ตงป๋อเสวี่ยอิงควบคุมกายหยาบไว้ก่อนแล้ว ทำให้อณูโครงสร้างของกายหยาบเปลี่ยนแปลงไป และฟื้นคืนสถานะการฝึกกายคละถิ่นอันมั่นคง เขากำลังนั่งขัดสมาธิอย่างสบายๆ อยู่บนศิลาก้อนใหญ่ท่ามกลางความรกร้าง หยิบสุรามาไหนหนึ่งแล้วนั่งดื่มสุราอยู่ตรงนั้น

อีกฝ่ายหนีไปได้รวดเร็วถึงเพียงนั้น เขาไม่มีทางไล่ตามอย่างโง่งมหรอก จะต้องเหน็ดเหนื่อยเพียงใดกัน

“อื้ม ความเร็วของเขาช้าลงแล้ว เห็นทีพลังของสมบัติล้ำค่าคงจะเผาผลาญไปเกือบหมดแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถสัมผัสได้ถึงตำแหน่งคร่าวๆ ของประมุขสมาคมจิตมารผ่านวิชาสะกดรอย เพราะถึงอย่างไรเหตุปัจจัยระหว่างทั้งสองฝ่ายในตอนนี้ก็มิใช่ย่อยเลย

“รออีกสักหน่อย ด้วยวิถีกายแมลงมารห้วงอากาศของข้าที่ไล่ตามอย่างสุดกำลัง ยังต้องใช้เวลาอีกสักครู่จึงจะสามารถไล่ตามได้ทัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงกะเวลาคร่าวๆ แล้วดื่มสุราต่อไป

“เกือบแล้ว”

“ควรออกเดินทางได้แล้ว”

ตงป๋อเสวี่ยอิงพลิกมือคราหนึ่งแล้วเก็บไหสุราลงไป มือทั้งสองเริ่มขยายใหญ่ขึ้น ผิวแขนยังมีเยื่อสีดำชั้นแล้วชั้นเล่าปรากฏขึ้นมา กลิ่นอายปะทุออกมาและกลายเป็นไม่มั่นคงอีกครา มือขวายื่นออกไป เขาถือหอกยาวสีดำเล่มหนึ่งเอาไว้ในมือ

แคว่ก…

ด้านข้างมีรอยแยกสีดำสายหนึ่งปรากฏขึ้น ตงป๋อเสวี่ยอิงกะพริบวาบคราหนึ่งและหายไปในนั้น

ศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกา!

แม้ประมุขสมาคมจิตมารจะกำลังหนีอย่างสุดชีวิต แต่อันที่จริงแล้ว ระยะห่างระหว่างกันก็ไม่นับว่าไกลสักเท่าใดนัก ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงการเหินทะยานเท่านั้น! ใช้ศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกาซึ่งสามารถไปยังที่แห่งใดก็ได้ในโลกเทพอย่างง่ายดายมาไล่ตาม ช่างเป็นการขี่ช้างจับตั๊กแตนจริงๆ ตงป๋อเสวี่ยอิงคร้านที่จะใช้วิถีกายแมลงมารห้วงอากาศมาไล่ตามอย่างยากลำบาก

“แคว่ก” ตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏกายขึ้นท่ามกลางรอยแยกสีดำ และสัมผัสรับรู้ถึงตำแหน่งของประมุขสมาคมจิตมารด้านหน้า แล้วจึงสำแดงวิถีกายแมลงมารห้วงอากาศออกมาอย่างสบายๆ เงาร่างเลือนรางไป เขาไล่ตามไปอย่างรวดเร็ว

เพียงสิบกว่าชั่วลมหายใจ

ประมุขสมาคมจิตมารที่กำลังหลบหนีไปนั้นมองดูเงาร่างที่ยังคงเล็กจิ๋วมากด้านหลังด้วยความแตกตื่น จักรพรรดิเทพหิมะเหินซึ่งกุมหอกยาวเอาไว้นั่นเอง!

“เขาไล่ตามมาแล้วหรือ” ประมุขสมาคมจิตมารตื่นตระหนกเหลือแสน “ข้าสลัดเขาไปได้ไกลถึงเพียงนั้นแล้ว เขาก็ยังคงไม่ปล่อยข้าไป แต่ยังคงไล่ตามจนสุดชีวิตเช่นนี้น่ะหรือ”

ช่วยไม่ได้

ตงป๋อเสวี่ยอิงบรรลุถึงวิถีอากาศขั้นสุดยอดตั้งนานแล้ว อีกทั้งเส้นทางวิญญาณยังบรรลุถึงขั้นที่ไม่เคยมีมาก่อนอีกด้วย วิญญาณยังเคยหลอมรวมโลหิตหัวใจของมารดามังกรหมื่นสัมผัสเข้าไปหยดหนึ่งด้วย ตอนที่เขายังเป็นเทพจักรวาลชั้นที่สองนั้น จักรพรรดิเซี่ยก็ยังมิอาจสะกดรอยเขาได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนนี้เลย ในโลกใบนี้ ผู้ที่สามารถสะกดรอยตงป๋อเสวี่ยอิงได้เกรงว่าคงจะมีเพียงผู้แกร่งกล้าคละถิ่นสามท่านที่สร้างโลกใบนี้ขึ้นมาเท่านั้น

สวบๆๆ…

แม้ประมุขสมาคมจิตมารจะกำลังหนีอย่างสุดกำลัง แต่เงาร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ด้านหลังก็เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เงาร่างอันเลือนรางนั้นใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในสายตาของเขา

“เจ้าหนีไม่พ้นหรอก” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปาก

“จักรพรรดิเทพหิมะเหิน ข้ากับเจ้าไม่มีความขุ่นข้องหมองใจอันใดต่อกัน เจ้าก็สังหารจักรพรรดิเทพใต้บังคับบัญชาของข้าไปสองคนแล้ว เรื่องระหว่างเจ้ากับข้าจบลงแค่นี้ดีหรือไม่ ข้าจะลั่นสัตย์สาบานว่านับจากวันนี้ไปจะไม่มายังเมืองจวิ้นซานอีก จะไม่แก้แค้นสกุลอวี้เฟิงเลยแม้แต่น้อย” ขณะเดียวกับที่ประมุขสมาคมจิตมารหนีไปก็ถ่ายเสียงร้องขอด้วยความร้อนรนไปด้วย

“ไม่มีความขุ่นข้องหมองใจต่อกันหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า “เหตุใดข้าจึงจำได้ว่า ก่อนหน้านี้ ในเมืองจวิ้นซาน เจ้ายังพูดว่า ‘ความแค้นนี้ ข้าจิตมารจะจำเอาไว้’ อะไรสักอย่างอยู่เลยมิใช่หรือ”

ประมุขสมาคมจิตมารขมขื่นใจ

ตอนนั้นก็คือตอนนั้น ตอนนี้ก็คือตอนนี้สิ!

“จักรพรรดิเทพหิมะเหิน ได้โปรดละเว้นด้วย ท่านพูดอะไรข้าก็ยอมทั้งนั้น” ประมุขสมาคมจิตมารวิงวอนอย่างร้อนรน เนื่องจากตงป๋อเสวี่ยอิงไล่ตามมาใกล้แล้ว

แต่สิ่งที่ตอบรับเขา กลับเป็นหอกหนึ่งของตงป๋อเสวี่ยอิงที่แทงออกไปอย่างเยียบเย็น

หอกหนึ่งแทงออกไป

อากาศรอบด้านราวกับฟองอากาศเข้าห่อหุ้มประมุขสมาคมจิตมารเอาไว้ ก้อนจะยุบตัวลงอย่างรวดเร็วกลายเป็นจุดดำจุดหนึ่ง ประมุขสมาคมจิตมารอยู่ในฟองอากาศนี้ก็หดเล็กลงไปตามมันด้วย เขาทั้งโกรธแค้นทั้งสิ้นหวัง เหตุใดตนจึงโชคไม่ดีถึงเพียงนี้! เหตุใดจักรพรรดิเทพหิมะเหินผู้นี้จึงไม่ยอมไว้ชีวิตตนสักครั้ง

……

ผ่านไปเพียงไม่กี่กระบวนท่า

ประมุขสมาคมจิตมารแหลกสลายกลายเป็นผุยผงเถ้าธุลีไปท่ามกลางมิติอันบ้าคลั่ง เหลือทิ้งไว้เพียงวัตถุต่างๆ เท่านั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงโบกมือคราหนึ่งแล้วเก็บลงไป

“เฮอะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงแค่นเสียงอย่างเย็นชาคราหนึ่ง เหตุใดเขาจึงไล่ตามอยู่ตลอด ไม่ยอมเหลือทางรอดให้ประมุขสมาคมจิตมารผู้นี้เลยน่ะหรือ

ก็เพราะในการสัมผัสรับรู้ของเขา เหตุปัจจัยบนร่างของประมุขสมาคมจิตมารนั้นลึกล้ำและหนักหน่วงนัก เหตุปัจจัยซึ่งเต็มไปด้วยความแค้นจำนวนนับไม่ถ้วนพัวพันกับประมุขสมาคมจิตมาร เมื่อเผชิญหน้ากับมารร้ายตัวฉกาจพรรค์นี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ย่อมลงมืออย่างโหดเหี้ยมเป็นธรรมดา! ประมุขสมาคมจิตมารเรียกตนเองว่า ‘จิตมาร’ กระทำการอันใดก็ไร้ข้อห้าม เขาผูกความแค้นกับอวี้เฟิงจวิ้นซาน ด้วยหมายจะทำลายทั้งสกุลอวี้เฟิง เท่านี้ก็สามารถเห็นนิสัยใจคอของเขาได้แล้ว

“สมาคมจิตมาร กำจัดหัวหน้า สังหารจักรพรรดิเทพไปสองคน หนีไปสามคน เกือบแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม แล้วเริ่มเดินทางกลับ

เขามิได้ไล่สังหารต่อไปแล้ว

ด้วยวิธีศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกาของเขาซึ่งสามารถซ่อนเร้นและเปลี่ยนแปลงกลิ่นอายได้อย่างง่ายดาย และศัตรูก็มิอาจสะกดรอยตามได้ เขาสามารถปลอมแปลงตัวตนเพื่อไล่สังหารจักรพรรดิเทพทั้งสามคนนั้นได้อย่างสบายๆ แต่โดยเนื้อแท้ของตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว ก็เพียงแค่ทนมารร้ายตัวฉกาจเหล่านั้นไม่ได้เท่านั้นเอง การช่วงชิงห้ำหั่นเอาเป็นเอาตายระหว่างผู้บำเพ็ญทั่วไปนั้น เขาคร้านจะไปยุ่งเกี่ยวด้วย

หัวหน้าสมาคมจิตมารและจักรพรรดิเทพทั้งห้า!

ผู้ที่สามารถนับได้ว่าเป็นมารร้ายตัวฉกาจอย่างแท้จริงก็มีเพียง ‘ประมุขสมาคมจิตมาร’ และ ‘จักรพรรดิเทพกุ่ยเยี่ยน’ ที่โหดเหี้ยมอำมหิตยิ่งกว่าผู้นั้น ตอนนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงสังหาร ‘จักรพรรดิเทพฉื้อเฟิง’ ก่อน จักรพรรดิเทพฉื้อเฟิงผู้นั้นเพียงแค่อันตรายกว่าอยู่บ้าง หมายจะลงมือกับอวี้เฟิงชิงอินซึ่งอ่อนแอที่สุดก่อน ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงได้กำจัดทิ้งทันที ต่อมาเขาจึงได้เลือกที่จะสังหารจักรพรรดิเทพกุ่ยเยี่ยนผู้นั้น ก็เพราะเห็นเหตุปัจจัยแค้นจำนวนนับไม่ถ้วนที่พันธนาการอีกฝ่ายเอาไว้ได้อย่างแม่นยำว่าหนักหน่วงกว่าประมุขสมาคมจิตมารเสียอีก เขาจึงย่อมลงมือโดยไม่ไว้น้ำใจ

ส่วนอีกสามคนที่หนีไปนั้น…จัดเป็นระดับธรรมดาสามัญในโลกเทพ มิได้มีนิสัยชอบล้างสังหารตามอำเภอใจ หากแต่เข่นฆ่าและต่อสู้ตามปกติเท่านั้น

อันที่จริงแล้ว ในโลกเทพแห่งนี้ เนื่องจากความรกร้างกว้างใหญ่ไพศาล ประชากรก็ล้วนแต่อาศัยอยู่ในเมือง ดังนั้นจึงมีการล้างสังหารครั้งใหญ่น้อยมาก!

จักรพรรดิเทพสามคนนั้นหนีไป กลับไม่รู้ว่าที่พวกเขาสามารถมีชีวิตรอดได้ก็เพราะเหตุปัจจัยแค้นไม่นับว่ามากนัก

******

ณ เมืองจวิ้นซาน

ในที่สุด เงาร่างอันเลือนรางสายหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปก็ทะยานเข้ามาอย่างรวดเร็ว

ภายในจวนสกุลอวี้เฟิงมีผู้แกร่งกล้ากลุ่มใหญ่รวมตัวกันอยู่ก่อนแล้ว แม้แต่ประมุขหอสิงแห่งหอจิตฟ้า จ้าวเทพชวนชิ่งแห่งกองกำลังย่อยเพลิงพิสดารและคนอื่นๆ ล้วนมาถึงที่นี่ แต่ละคนพากันแหงนหน้ามอง เมื่อได้เห็นเงาร่างในอาภรณ์สีขาวนั้นปรากฏกายขึ้นมา พวกเขก็ใจสะท้านด้วยความตื่นเต้น เพราะถึงอย่างไรก็เป็นสิ่งมีชีวิตอันน่าหวาดหวั่นที่มีพลังรบระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้าย

ฟิ้ว

ตงป๋อเสวี่ยอิงร่อนลงไป

“จักรพรรดิเทพหิมะเหิน”

“ผู้อาวุโสหิมะเหิน”

“ท่านอาจารย์หิมะเหิน”

ทันใดนั้นคำเรียกขานต่างๆ ก็ดังขึ้น ทุกคนล้วนเคารพเป็นอันมาก

ตงป๋อเสวี่ยอิงกวาดตามองคราหนึ่งแล้วพูดพลางพยักหน้า “จักรพรรดิเทพจิตมารถูกข้าสังหารแล้ว!”

อวี้เฟิงจวิ้นซาน ประมุขหอสิงและทุกคนในที่นั้นต่างก็หัวใจบีบรัดแน่น แม้พวกเขาจะตามหาเหตุปัจจัยของ ‘ประมุขสมาคมจิตมาร’ ผ่านการสะกดรอยแล้วไม่พบ ก็พอจะเดาได้ว่าประมุขสมาคมจิตมารอาจจะตายไปแล้ว แต่เมื่อพูดออกมาจากปากของตงป๋อเสวี่ยอิง พวกเขาก็ยังคงรู้สึกว่าหัวใจหนักอึ้งไปหมด ถึงอย่างไรนั่นก็เป็นถึงผู้แกร่งกล้าชั้นยอดที่จัดอยู่ในรายนามจักรพรรดิเทพเชียวนะ กลับถูกสังหารไปเช่นนี้น่ะหรือ

“ท่านอาจารย์” อวี้เฟิงชิงอินเดินเข้าไปใกล้แล้วตะโกนขึ้น

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองศิษย์ของตนแล้วจึงเผยรอยยิ้มออกมา พลางพูดว่า “ชิงอิน เรื่องนี้จัดการเรียบร้อยแล้ว เจ้าไม่ต้องกังวลอีกแล้วนะ”

คนรอบด้านต่างพากันมองไปยังอวี้เฟิงชิงอินด้วยความอิจฉา พวกเขาล้วนสัมผัสได้ว่า ผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพผู้นี้ปฏิบัติต่ออวี้เฟิงชิงอินผู้เป็นศิษย์แตกต่างออกไปอย่างเห็นได้ชัด เกรงว่าการลงมือในครั้งนี้ ก็คงมีศิษย์เป็นเหตุกระมัง

“ผู้อาวุโสหิมะเหิน” อวี้เฟิงจวิ้นซานหน้าทนพูดต่อไปว่า “ครั้งนี้ผู้อาวุโสช่วยเหลือทั้งสกุลอวี้เฟิงของข้า สกุลอวี้เฟิงเราไม่มีอะไรตอบแทนเลยจริงๆ”

“เอาล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปากขัดขึ้นมา “ข้ายังมีธุระต้องกลับไปทำ คงไม่ได้อยู่เป็นเพื่อนทุกท่านแล้ว ชิงอิน ไปกับข้า”

“เจ้าค่ะ ท่านอาจารย์” อวี้เฟิงชิงอินรับคำอย่างเชื่อฟัง

ตงป๋อเสวี่ยอิงหมุนกายจากไป

เขาไม่ว่างพอจะมีกะจิตกะใจพูดพล่ามกับคนเหล่านี้

“นี่ นี่เป็นภูเขาที่พึ่งพิง” อวี้เฟิงจวิ้นซานมองดูตงป๋อเสวี่ยอิงและอวี้เฟิงชิงอินบุตรสาวที่จากไปไกล แล้วก็อดรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมามิได้

จะต้องกอดเสาหลักต้นนี้เอาไว้ให้แน่น!

แต่ไหนแต่ไรเขา อวี้เฟิงจวิ้นซานยังไม่เคยมีโอกาสได้ประสบพบเจอกับเสาหลักเช่นนี้มาก่อนเลย!

ส่วนท่ามกลางเหล่าผู้แกร่งกล้า ประมุขหอสิงกลับถือคัมภีร์เอาไว้ในมือ แล้วบันทึกต่อไปว่า “มิอาจสะกดรอยเหตุปัจจัยแค้นของประมุขสมาคมจิตมารได้เลย จักรพรรดิเทพหิมะเหินบินกลับมาจากกลางความรกร้าง หมายความว่าจักรพรรดิเทพจิตมารถูกเขาสังหารไปแล้ว” ข้อมูลนี้ก็ถูกรายงานขึ้นไปอย่างรวดเร็ว ประมุขหอสิงตื่นเต้นเหลือแสน เนื่องจาก ‘รายนามจักรพรรดิเทพ’ จะต้องเกิดความเปลี่ยนแปลงเพราะเรื่องนี้อย่างแน่นอน!

……………………

ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกได้ว่าแขนทั้งสองมีพละกำลังอันพลุ่งพล่านเหนือชั้นกว่าก่อนหน้านี้มากมายนัก เขาลอบพยักหน้า เพราะยามอยู่ที่ดินแดนจิตโลกา การฝึกกายคละถิ่นของเขาก็ไปถึงระดับจักรพรรดิช่วงต้น (จักรพรรดิเทพช่วงต้น) แล้ว เพียงแต่ยังไม่เสถียรเท่านั้น ด้วยพรสวรรค์ของตงป๋อเสวี่ยอิง ทั้งยังมีการตระหนักรู้ตำราผู้แกร่งกล้าของโลกแห่งนี้ ทำให้พลังยุทธ์พุ่งขึ้นไปถึงระดับจักรพรรดิเทพช่วงต้นอีกครั้งอย่างรวดเร็วยิ่ง นอกจากนี้ยังเสถียรอย่างรวดเร็วอีกด้วย

ถึงแม้ว่าจะเริ่มต้นบำเพ็ญพลังยุทธ์กลับมาใหม่เพราะอยู่ภายใต้แหล่งอารยธรรมที่แตกต่างกัน ทำให้การตระหนักรู้ของวิถีของเขาล้ำลึกยิ่งขึ้น! มีความคิดเกี่ยวกับ ‘จักรพรรดิเทพช่วงกลาง’ มากมาย ถึงขนาดที่ขัดเกลาฝึกกายคละถิ่นออกมาได้หลายฉบับ ซึ่งล้วนสามารถฝืนระเบิดไปถึงพลังยุทธ์ระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางได้ เพียงแต่ต่างก็ไม่เสถียรเท่านั้น

เส้นทางของเขาแตกต่างกันกับผู้คิดค้นคัมภีร์ไร้ขอบเขตและคัมภีร์ฟ้าดิน ตำราของผู้แกร่งกล้าคนอื่นก็มีส่วนช่วยส่งเสริมเขาบ้างเพียงแค่ผิวเผินเท่านั้น ‘จักรพรรดิเทพช่วงกลาง’ ที่อยากจะคิดค้นเส้นทางของตัวเองนั้นช่างยากเย็นเหลือเกินจริงๆ ถึงอย่างไรก็ไม่เหมือนกับผู้ที่มีสายโลหิตบรรพเทวะคละถิ่นเหล่านั้นที่เพียงแค่ขุดค้นศักยภาพของสายโลหิตก็เพียงพอที่จะทำให้ยกระดับก้าวแล้วก้าวเล่าได้อย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆ แล้ว

พื้นฐานอันแน่นหนาหาใดเปรียบเช่นนี้ จึงสร้างเป็นโลกใบนี้ขึ้นมาได้ ผู้เหินทะยานสามารถต่อสู้ข้ามชั้นได้!

“ถึงแม้ว่าจะไม่เสถียร ทำให้ร่างกายของข้ามีการสูญเสียอย่างต่อเนื่อง แต่ร่างกายของข้าก็กำลังฟื้นฟูขึ้นมาอยู่ตลอดเวลา ด้วยการฝึกกายคละถิ่นของข้าก็เพียงพอที่จะต้านทานได้ครึ่งชั่วยาม” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ อ้างอิงจากการสูญเสียเช่นนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่ต่อสู้ ในครึ่งชั่วยามให้หลัง พลังชีวิตของร่างกายตนก็จะเหลืออยู่เพียงแค่สามส่วนเท่านั้น! นี่ก็เป็นสัญญาณเตือนภัยชีวิตของตน ภายใต้ความขัดแย้งของกฎเกณฑ์ของโลกใบนี้ ตนเองก็ไม่สามารถบำเพ็ญการเคลื่อนที่ในพริบตาได้สำเร็จ ทั้งยังไม่สามารถบำเพ็ญเคล็ดร่างแยกได้สำเร็จอีกด้วย! ไม่มีเคล็ดร่างแยก ตนเองก็ย่อมต้องรักษาร่างแยกเพียงหนึ่งเดียวที่โลกใบนี้เอาไว้อย่างสุดความสามารถ

“ครึ่งชั่วยามก็เพียงพอแล้ว!” ตงป๋อเสวี่ยอิงกลิ่นอายพุ่งทะยานพลุ่งพล่าน มือหนึ่งกุมหอกยาวสีดำเอาไว้ ก้าวยาวๆ ก้าวหนึ่งก็บุกสังหารไปทางนายท่านแห่งสมาคมจิตมาร

“กลิ่นอายของเขาทะยานขึ้นอย่างมหาศาล แข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านี้มากมายนัก หรือว่าไปถึงระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางแล้วเล่า” ในใจของนายท่านแห่งสมาคมจิตมารไม่สงบเป็นอย่างยิ่ง “เขาเป็นผู้เหินทะยาน ถ้าหากเขามีพลังยุทธ์ระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางจริงๆ เช่นนั้นก็เพียงพอที่จะเทียบเคียงได้กับระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายแล้วสิ เกรงว่ามีความเป็นไปได้ที่จะสังหารข้าสำเร็จเสียด้วยซ้ำ”

“แย่แล้วสิ เขามาแล้ว”

นายท่านแห่งสมาคมจิตมารหางตากระตุกคราหนึ่ง เงาร่างอันรางเลือนของตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่กลางอากาศเบื้องหน้ากลับบุกสังหารเข้ามาอย่างรวดเร็วยิ่ง

“นี่เขากำลังสำแดงเคล็ดต้องห้ามสักอย่างหนึ่งอยู่กระมัง จะต้องต้านทานได้ไม่นานสักเท่าใดอย่างแน่นอน!” นายท่านแห่งสมาคมจิตมารคำรามไปพลาง สังเกตสีหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงไปพลาง พร้อมกันนั้นสองมือก็ยื่นออกไปต้านรับหอกที่ตงป๋อเสวี่ยอิงทิ่มแทงเข้ามา

พรึ่บ

สองมือของนายท่านแห่งสมาคมจิตมารยื่นออกไป เบื้องหน้ากลับเป็นชั้นน้ำแข็งชั้นหนึ่ง ชั้นเปลวเพลิงชั้นหนึ่งอย่างน่าประหลาด… มีชั้นน้ำแข็งทั้งสิ้นสามชั้น ชั้นเปลวเพลิงสามชั้น นี่คือการป้องกันตัวอย่างสุดกำลังครั้งแรกตั้งแต่ที่นายท่านแห่งสมาคมจิตมารเคยประมือกับตงป๋อเสวี่ยอิงมา! ก่อนหน้านี้ล้วนเป็นนายท่านแห่งสมาคมจิตมารเข้าโจมตีอย่างสุดกำลังทั้งสิ้น ตงป๋อเสวี่ยอิงเคลื่อนไหวจู่โจมอย่างลื่นไหลต่อเนื่องมาตลอดเท่านั้นเอง ตอนนี้นายท่านแห่งสมาคมจิตมารก็ไม่กล้าที่จะโจมตีอย่างบ้าคลั่งแล้ว เขากลัวว่าภายใต้หอกเล่มนี้ เขาก็จะบาดเจ็บสาหัส เพียงสองสามฝีหอกก็จะจบชีวิตแล้ว!

ถ้าหากเป็นผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพของจักรพรรดิเทพช่วงกลางจริงๆ ก็ย่อมสามารถทำได้อย่างแน่นอน!

ดังนั้นเขาจึงป้องกันอย่างสุดกำลัง!

“ฉึก”

หอกยาวทิ่มแทงลงบนชั้นเปลวเพลิงชั้นนอกสุด ระลอกคลื่นอันน่าหวาดหวั่นแทรกผ่านไปอย่างรวดเร็ว แทรกผ่านสิ่งกีดขวางหกชั้นอย่างต่อเนื่อง และแทรกผ่านชั้นน้ำแข็งคุ้มร่างที่ผิวนอกของร่างกายนายท่านแห่งสมาคมจิตมาร เข้าไปภายในร่างกายของนายท่านแห่งสมาคมจิตมาร แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้พลังคุกคามก็อ่อนลงไปถึงสองส่วน เคล็ดวิชาป้องกันอย่างสุดกำลังของนายท่านแห่งสมาคมจิตมารนี้ก็ยังคงล้ำเลิศอย่างที่สุด

“หืม” นายท่านแห่งสมาคมจิตมารถลึงตามอง เขารู้สึกว่าระลอกคลื่นที่แกร่งกล้ากว่าก่อนหน้านี้ถึงสามเท่ากำลังพลุ่งพล่านพรั่งพรูอยู่ภายในร่างกายแล้วรวมตัวกันในที่สุด จากนั้นก็ระเบิดออก!

ก่อนหน้านี้เขาสามารถต้านทานเอาไว้ได้ แต่หลังจากที่แกร่งกล้าขึ้นสามเท่าแล้ว

“พรวด!”

นายท่านแห่งสมาคมจิตมารย่อมอดที่จะอ้าปากกว้าง กระอักโลหิตสดพุ่งกระฉูดออกมามิได้ ทั้งยังมีชิ้นส่วนอวัยวะภายในพุ่งออกมาอีกด้วย แล้วก็เริ่มมีบาดแผลฉีกขาดปรากฏขึ้น เขาเผยสีหน้าหวาดหวั่นมองดูตงป๋อเสวี่ยอิง เป็นจักรพรรดิเทพช่วงกลางจริงๆ เสียด้วย!

“เป็นไปได้อย่างไรกัน”

“ไป!”

นายท่านแห่งสมาคมจิตมารมีความรู้สึกว่าการโจมตีเช่นนี้ย่อมมิอาจเอาชีวิตเขาได้ในสามฝีหอก ทว่าเพียงแค่สิบฝีหอกก็สามารถทำได้แล้ว! ภายใต้การห้ำหั่นอย่างเอาเป็นเอาตายเช่นนี้ สิบฝีหอกจะนับเป็นอะไรได้เล่า

ภายใต้การคุกคามถึงชีวิต พร้อมกันกับที่นายท่านแห่งสมาคมจิตมารกำลังบาดเจ็บสาหัส เขาก็หันหน้าเตรียมหลบหนีโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย

พรึ่บ…

พลังน้ำแข็งห่อหุ้มปกคลุมไปทั่วสารทิศ ทั้งยังกดดันความเร็วของตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ด้านหลังอย่างสุดกำลังอีกด้วย ผิวกายของนายท่านแห่งสมาคมจิตมารปรากฏเป็นสีแดงเข้ม ราวกับดาวตกดวงหนึ่ง บินตรงออกไปยังเรือใหญ่ที่อยู่กลางอากาศไกลออกไปลำนั้นอย่างบ้าคลั่ง บนเรือใหญ่ลำนั้นมีจักรพรรดิเทพสามท่านใต้บังคับบัญชาของเขา ทั้งยังมีจ้าวเทพกลุ่มหนึ่งอยู่อีกด้วย! เชื่อว่าน่าจะสามารถถ่วงเวลาจักรพรรดิเทพหิมะเหินผู้นี้เอาไว้ได้เป็นระยะเวลานานพอสมควร

“เจ้าจะหนีพ้นหรือไร” ตงป๋อเสวี่ยอิงก้าวยาวๆ ก้าวหนึ่ง เงาร่างก็เลือนรางขึ้นมา ถึงแม้ว่าขณะนี้ร่างฝึกกายคละถิ่นของเขาจะใช้สองแขนสำแดงออกมาเป็นหลัก พละกำลังพุ่งทะยาน การส่งเสริมด้านความเร็วสามารถมองข้ามได้! แต่ว่าเขาสำแดงวิถีกายแมลงมารห้วงอากาศ ภายใต้การทลายเปิดผลกระทบของไอหนาวเหน็บเหล่านั้น ความเร็วก็ยังมากกว่านายท่านแห่งสมาคมจิตมารอยู่พอสมควรอยู่ดี!

“อะไรกัน!”

“นี่… นี่มัน…”

“หนีเร็วเข้า!”

“แยกกันหนีสิ!”

จักรพรรดิเทพสามท่านและเหล่าจ้าวเทพกลุ่มใหญ่ที่เดิมทีต่างก็กำลังดูการต่อสู้อยู่บนเรือใหญ่กลางอากาศ พวกเขาต่างก็คิดว่าคราวนี้ล้มเหลวเสียแล้ว หัวหน้าทำอะไรจักรพรรดิเทพหิมะเหินผู้นั้นมิได้เลย ส่วนจักรพรรดิเทพหิมะเหินผู้นั้นก็ทำอะไรหัวหน้ามิได้เช่นเดียวกัน! หัวหน้าก็จะกลับมายังเรือใหญ่แล้วจากไปพร้อมกันกับพวกเขา!

แต่ทว่า

เมื่อพลังยุทธ์ของจักรพรรดิเทพหิมะเหินผู้นี้ระเบิดออกมา เพียงแค่กระบวนท่าเดียวก็ต่อตีเสียจนนายท่านแห่งสมาคมจิตมารบาดเจ็บสาหัส เห็นได้ชัดเจนว่าทั้งสองฝ่ายมิได้มีพลังยุทธ์อยู่ในระดับเดียวกันอย่างสิ้นเชิง ถึงแม้ว่าจะมิได้มีความเรียบร้อยหมดจดเหมือนตงป๋อเสวี่ยอิงตอนเป็นยอดฝีมือระดับจักรพรรดิเทพช่วงต้น แต่ก็คงจะใช้กระบวนท่าไม่เท่าไหร่นักก็สามารถสังหารหัวหน้าของพวกเขาได้แล้วกระมัง

“แยกย้ายกันเร็วเข้า”

“หนีสิ”

ยอดฝีมือระดับจักรพรรดิเทพช่วงต้นสามท่านและเหล่าจ้าวเทพกลุ่มหนึ่งกลับตกใจเสียจนกระจายตัวกันออกไป วิ่งหนีไปยังทิศทางที่แตกต่างกันอย่างรวดเร็ว พวกเขามิได้อยากถูกฝังเป็นเพื่อนด้วยอยู่แล้ว!

นายท่านแห่งสมาคมจิตมารที่หนีมาทางเรือใหญ่อย่างรวดเร็วได้เห็นเหตุการณ์แล้วก็สีหน้าแปรเปลี่ยน เมื่อต้นไม้ใหญ่โค่น ฝูงลิงก็แตกกระจาย ต้นไม้ใหญ่อย่างเขาต้นนี้กำลังจะโค่นลงแล้ว บรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาก็ย่อมพากันเอาตัวรอด ย่อมไม่มีทางเต็มใจเสียเวลาเพื่อเขาแม้แต่น้อยอยู่แล้ว

“ปัง…”

ตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ด้านหลังพุ่งหอกอย่างดุดันเข้ามาคราหนึ่ง

ถึงแม้ว่าจะอยู่ห่างกันเป็นระยะทางช่วงหนึ่ง แต่ห้วงมิติโดยรอบกลับบีบอัดลงมาอย่างฉับพลัน ซึ่งก็คือกระบวนท่า ‘งดงามดุจภาพวาด’ นั่นเอง นายท่านแห่งสมาคมจิตมารรู้สึกเพียงว่าห้วงมิติโดยรอบกำลังบีบอัดลงมาอย่างฉับพลัน หมายจะขจัด ‘ความสูง’ ของร่างกายเขา เพื่อที่จะสังหารเขาโดยเฉพาะ นายท่านแห่งสมาคมจิตมารต้านทานอย่างสุดความสามารถ! แต่หอกยาวอันน่าหวาดหวั่นนั้นอยู่ภายใต้ความเร้นลับของกฎเกณฑ์อันแสนพิเศษ ทำให้พลังแทรกผ่านห้วงมิติแล้วกดดันลงมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ เห็นได้ชัดว่าหลังจากที่ร่างฝึกกายคละถิ่นแข็งแกร่งยิ่งขึ้นแล้ว พลังคุกคามของกระบวนท่านี้ก็เพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

“พรึ่บๆๆ” นายท่านแห่งสมาคมจิตมารถูกกดดัน ตลอดร่างมีบาดแผลจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น หยาดโลหิตสาดกระจาย

ห้วงมิติที่หมายจะกดดันจนกลายเป็นกระดาษแผ่นหนึ่งอย่างฉับพลันนี้สลายตัวไปในที่สุด

แต่หลังจากนั้นที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงติดๆ กันก็คือ ‘ทลายเวหา’

“ฉึก”

อีกฝีหอกหนึ่งกระแทกลงมาอย่างดุดัน ห้วงมิติที่กดดันลงมาแล้วเดิมทีกำลังจะสลายตัวไปนั้นกลับระเบิดออกอย่างสมบูรณ์ภายใต้ฝีหอกนี้ แตกกระจายกลางท้องฟ้า!

ปัง ปัง ปัง…

ส่วนนายท่านแห่งสมาคมจิตมารที่อยู่ภายในห้วงมิติก็รู้สึกเพียงว่าบริเวณรอบๆ กำลังแหลกสลายไปหมด ร่างกายของเขาก็เริ่มถูกฉีกทึ้งภายใต้พลังอันน่าหวาดหวั่นนี้เช่นเดียวกัน ชั้นน้ำแข็งหนาวเหน็บที่ผิวกายของเขาก็ต้านทานเอาไว้อย่างสุดกำลัง สองมือก็พยายามสำแดงเคล็ดวิชาต้านทาน แต่ก็ยังคงต้านเอาไว้ไม่อยู่

ท่ามกลางการระเบิด

เขาละทิ้งร่างกายครึ่งล่าง ตั้งแต่ช่วงเอวลงไปแหลกสลายไปจนสิ้น ร่างกายครึ่งบนยังคงฝืนรักษารูปลักษณ์เอาไว้ได้ ภายใต้การป้องกันอย่างสุดกำลังของมือทั้งสอง ร่างกายครึ่งบนนี้ก็ลอยออกจากห้วงมิติที่กำลังระเบิด

เมื่อลอยออกมาแล้ว อาการบาดเจ็บของเขาก็ฟื้นฟูอย่างรวดเร็วที่สุด ทว่าพลังชีวิตกลับสูญเสียไปเกือบครึ่งแล้ว สิ่งนี้ย่อมไม่สามารถชดเชยได้ภายในระยะเวลาอันสั้น!

ในขณะนี้นายท่านแห่งสมาคมจิตมารก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว ภายใต้ความหวาดหวั่น เขาก็พลิกฝ่ามือหยิบเอากิ่งไม้อันแปลกประหลาดออกมากิ่งหนึ่ง นี่คือวัตถุคำมั่นที่เขาได้รับมาตอนที่หลบภัยอยู่ภายใต้สำนักของ ‘จ้าวหุบเขาฝูหลิ่ว’ ซึ่งก็คือวัตถุคุ้มกันชีพชิ้นหนึ่งที่จ้าวหุบเขาฝูหลิ่วมอบให้กับยอดฝีมือภายใต้สำนัก เมื่อใช้วัตถุคุ้มกันชีพชิ้นนี้ไปก็จะไม่มีอีกแล้ว! สถานะอย่างจ้าวหุบเขาฝูหลิ่วนั้นย่อมรังเกียจที่จะมอบให้อีกเป็นครั้งที่สองอยู่แล้ว นอกเสียจากว่าจะมีคุณูปการอย่างใหญ่หลวง ดังนั้นนายท่านแห่งสมาคมจิตมารจึงเลือกที่จะให้ผู้ใต้บังคับบัญชาตายไปจนหมดสิ้นดีกว่าที่จะยอมใช้วัตถุคุ้มกันชีพอันล้ำค่าชิ้นนี้ แต่ตอนนี้เขาก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว! ถ้าหากยังไม่ใช้อีกเขาก็จะถูกจักรพรรดิเทพหิมะเหินผู้นี้ปลิดชีพแล้ว!

“วิ้ง”

กิ่งไม้กิ่งนี้ระเบิดพละกำลังอันกล้าแกร่งออกมาอย่างฉับพลัน แล้วห่อหุ้มนายท่านแห่งสมาคมจิตมารเอาไว้

พรึ่บ!

เขาแปลงกายเป้นลำแสงสีเขียวเข้มสายหนึ่งในทันใด แล้วพุ่งทะยานออกไปไกลด้วยความเร็วอันน่าหวาดหวั่น ความเร็วที่พุ่งทะยานออกไปรวดเร็วกว่าก่อนหน้านี้หลายเท่า ทั้งยังเหนือกว่าวิถีกายแมลงมารห้วงอากาศที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงอยู่มากมายนัก

“หนีหรือ” ถึงแม้ว่าอัตราเร็วของตงป๋อเสวี่ยอิงจะช้าลงไปมาก แต่ก็ยังคงแปลงเป็นเงามายาอันรางเลือนแล้วไล่ตามติดไปอย่างรวดเร็ว

ทั้งสองคนนั้นคนหนึ่งหนีคนหนึ่งไล่ตาม เพียงพริบตาก็ทะยานออกมาจากเมืองจวิ้นซานแล้วหายลับไปท่ามกลางความรกร้างไกลออกไป

……

บรรดายอดฝีมือของเมืองจวิ้นซานแต่ละคนพากันมองอย่างตกตะลึง รวมถึงอวี้เฟิงจวิ้นซานด้วย พวกเขาต่างก็สับสนอยู่บ้าง ความจริงก็คือการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเกินไปเสียแล้ว

เมื่อพลังยุทธ์ของปรมาจารย์หิมะเหินผู้นี้ระเบิดออกมา เพียงกระบวนท่าเดียวก็ต่อตีจนทำให้นายท่านแห่งสมาคมจิตมารบาดเจ็บสาหัสจนหลบหนีไปอย่างหวาดหวั่น กระบวนท่าที่สองที่สามก็ต่อตีจนทำให้ร่างกายของนายท่านแห่งสมาคมจิตมารแหลกลาญเหลือเพียงแค่ร่างกายครึ่งบนเท่านั้น จากนั้นนายท่านแห่งสมาคมจิตมารก็หยิบเอากิ่งก้านต้นไม้อันแปลกประหลาดออกมาแล้วสำแดงวิธีการอันแปลกประหลาดทะยานหนีไปอย่างรวดเร็วเสียแล้ว! ปรมาจารย์หิมะเหินก็ขับไล่ออกไปจากเมืองจวิ้นซาน เข้าไปยังส่วนลึกของดินแดนรกร้างอันกว้างใหญ่เสียแล้ว

การต่อสู้รวดเร็วเหลือเกิน ทุกคนในที่นั้นต่างก็รู้สึกว่าศีรษะมึนงง ภาพเหตุการณ์เมื่อครู่มีความหมายว่าอย่างไร พวกเขาคิดแล้วก็หัวใจสั่นสะท้าน แข้งขาอ่อนยวบอยู่บ้าง!

……………………

เสียงยังคงก้องสะท้อน

เงาร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงรางเลือนไปแล้ว เขาสำแดงวิถีกายแมลงมารห้วงอากาศอีกครั้งแล้วเหินบินไปเหนือท้องฟ้าเบื้องบน มือกุมหอกยาว มุ่งเข้าโจมตีนายท่านแห่งสมาคมจิตมารผู้นั้น

“มาได้ดีนี่!” นายท่านแห่งสมาคมจิตมารข่มกลั้นเพลิงโทสะในใจ ขณะนี้แววอาฆาตล้นฟ้า สองมือของเขายื่นออกไป ไอหนาวเหน็บอันไร้ที่สิ้นสุดก็ห่อหุ้มไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง ห้วงมิติล้วนถูกแช่แข็งเอาไว้ ผิวกายของนายท่านแห่งสมาคมจิตมารต่างก็รวมตัวกันเป็นชั้นน้ำแข็งชั้นหนึ่ง พลังน้ำแข็งนี้… โอหังยิ่งกว่าจ้าวภูเขาค้างคาวมากมายนัก

ตงป๋อเสวี่ยอิงยังมิได้เผชิญกับมันก็รู้สึกไม่ดีรางๆ แล้ว รู้สึกว่ามิอาจถูกแช่แข็งได้ ทันใดนั้นหอกยาวในมือก็หมุนควง

ขวับๆๆ

หัวหอกยาวหมุนโคจร โคจรเอากระแสคลื่นหมุนวนออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า ห้วงมิติที่หมุนโคจรแต่ละชั้นส่งผลกระทบออกไปทั่วทุกสารทิศ ต้านทานไอหนาวเหน็บน่าหวาดหวั่นนั้นชั้นแล้วชั้นเล่า! สิ่งนี้ร้ายกาจกว่า ‘รุดหนีหมื่นโลกา’ เคล็ดวิชาคุ้มกันชีพที่ตงป๋อเสวี่ยอิงคิดค้นขึ้นมาก่อนหน้านี้มากมายเหลือเกิน อาศัยความเร้นลับบางส่วนในคัมภีร์ไร้ขอบเขต บวกกับระดับขั้นในตอนนี้ จึงคิดค้นเคล็ดวิชาหอกในตอนนี้ออกมาได้

ไอหนาวเหน็บดุจน้ำแข็งนั้นผ่านการลดทอนชั้นแล้วชั้นเล่า กว่าจะมาถึงยังตงป๋อเสวี่ยอิงนี้ ถึงแม้ว่าจะยังคงมีพลังคุกคามมหาศาลเช่นเดิม แต่สำหรับตงป๋อเสวี่ยอิงที่ฝึกกายคละถิ่นอีกทั้งยังเชี่ยวชาญการกลายเป็นอากาศธาตุแล้วก็สามารถมองข้ามไปได้

“อะไรกัน” นายท่านแห่งสมาคมจิตมารหน้าถอดสี จักรพรรดิเทพหิมะเหินผู้นี้ถึงกับสามารถฝ่าไอน้ำแข็งหนาวเหน็บตรงมาถึงยังเบื้องหน้าเขาได้

“สวบ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงที่บุกสังหารเข้ามา หอกยาวที่หมุนควงอยู่ในมือทิ่มแทงอย่างฉับพลัน แทงมาทางนายท่านแห่งสมาคมจิตมาร

นายท่านแห่งสมาคมจิตมารรู้สึกเพียงว่าห้วงอากาศกำลังสั่นคลอนและบิดเบี้ยว เขามีความรู้สึกอย่างหนึ่งว่าไม่มีทางหลบหลีกจากฝีหอกนี้ได้เลย “ข้าเองก็รังเกียจที่จะหลบหลีกเช่นกัน! ย่อยยับให้ข้าเสีย!” กำปั้นทั้งสองของนายท่านแห่งสมาคมจิตมารระเบิดพลังทำลายล้างออกมา ถึงขนาดที่กำปั้นมีสีแดงเข้มปรากฏขึ้น กำปั้นทั้งสองระเบิดพุ่งออกไปยังเบื้องหน้าพร้อมกันเสียงดังตูมตาม ยามที่ระเบิดออกไปนั้นกำปั้นก็ขยายขนาดใหญ่ขึ้นทันควัน กำปั้นทั้งสองบดขยี้เสียงดังปึงปังไปทางหัวหอกราวกับภูเขาลูกย่อมๆ สองแห่ง

ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้ดีอยู่แล้วว่าร่างกายของนายท่านแห่งสมาคมจิตมารผู้นี้ล้ำเลิศ ก่อนหน้านี้ก็ทลายเปิดค่ายกลป้องกันเมืองของเมืองจวิ้นซาน แม้กระทั่งมือข้างหนึ่งก็พุ่งออกไปได้ยาวหลายลี้ ตรงไปบดขยี้ค่ายกลป้องกันเมือง

แต่ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงบำเพ็ญอยู่ที่เมืองจวิ้นซานจนถึงบัดนี้ ก็อยากจะหาศัตรูสักคนเพื่อทดสอบกระบวนท่ามานานแล้ว!

“ปัง!!!”

หอกยาวทิ่มแทงลงบนกำปั้นที่กระแทกมาราวกับภูเขาสองลูก

“หืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าแปรเปลี่ยน เขารู้สึกเพียงว่าพลังอันโหดเหี้ยมหาใดเปรียบขุมหนึ่งแพร่ผ่านหอกยาวส่งมาถึงภายในร่างกาย ถึงแม้ว่าการกลายเป็นอากาศธาตุอย่างสุดกำลังของตนจะอ่อนลง พลังขุมนี้ก็ยังคงโจมตีอย่างหนักหน่วงราวกับภูเขาไฟอันดุดัน ตงป๋อเสวี่ยอิงถูกปะทะจนลอยถอยหลังออกไปโดยไม่รู้ตัว ลอยกระเด็นออกไปหลายร้อยเมตรจึงค่อยหยุดยั้งลง

สีหน้าของเขาไม่น่าดูอยู่บ้าง เมื่ออ้าปากก็แฝงไว้ด้วยเปลวเพลิงของสายโลหิตพ่นพรวดออกมา

“ร่างกายจักรพรรดิเทพช่วงต้นของข้านี้ อาศัยความเร้นลับของเคล็ดวิชา ก็สามารถแสดงพลังคุกคามออกมาได้อย่างแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ทั้งยังสามารถสำแดงท่าไม้ตายโดยมุ่งเป้าไปยังจุดอ่อนของศัตรูได้ด้วย การจัดการกับระดับเดียวกันนั้นก็สามารถสังหารได้อย่างสบายๆ หากแต่เผชิญกับจักรพรรดิเทพช่วงกลาง… ถึงแม้ว่ากระบวนท่าของเขาจะโง่งมอยู๋บ้าง แต่ก็ย่อมมีพลังคุกคามแข็งแกร่งพออยู่แล้ว ปะทะกันขึ้นมา ข้าก็ยังต้องเผชิญเคราะห์ร้ายอยู่บ้าง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ

“หืม” ส่วนนายท่านแห่งสมาคมจิตมารที่ยืนอยู่กลางอากาศโดยไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อยก็ทนรับไม่ไหวเช่นกัน ฝีหอกนั้นของตงป๋อเสวี่ยอิงก็เพื่อต่อกรกับท่าไม้ตายของ ‘จักรพรรดิเทพฉื้อเฟิง’ แล้วแพร่ไปถึงภายในร่างกายของนายท่านแห่งสมาคมจิตมารโดยไม่แยแสการป้องกัน ระลอกคลื่นอันปั่นป่วนแผ่กวาดภายในร่างกายเขาอย่างใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังรวมตัวจนถึงขีดสุดแล้วจึงระเบิดออก!

ระเบิดจากภายในเหมือนกับ ‘ร่างกิ้งกือ’ ของจักรพรรดิเทพฉื้อเฟิง

ร่างกายของนายท่านแห่งสมาคมจิตมารแข็งแกร่งยิ่งกว่า แข็งแกร่งเหมือนกันทั้งภายในและภายนอก แรงปะทะของการระเบิดภายในทำให้คอหอยของนายท่านแห่งสมาคมจิตมารก็มีรสหวานปะแล่ม โลหิตคำหนึ่งถูกเขาฝืนกล้ำกลืนลงไปในท้อง

“ร่างน้ำแข็งของข้าถึงกับไม่สามารถต้านทานได้เลยแม้แต่น้อย” นายท่านแห่งสมาคมจิตมารพึมพำ ชั้นน้ำแข็งที่ผิวกายของเขาเป็นเคล็ดวิชาการป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาแล้ว แต่เมื่อเผชิญกับกระบวนท่านี้ของตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วกลับไม่มีประโยชน์อันใดเลยแม้แต่น้อย ก็นับได้ว่าเขาได้สัมผัสถึงความร้ายกาจน่าอัศจรรย์ของเคล็ดวิชาของผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพแล้ว

“เอาใหม่อีกสิ” นายท่านแห่งสมาคมจิตมารบุกเข้ามาพร้อมส่งเสียงคำราม

“เอาใหม่” ตงป๋อเสวี่ยอิงบุกสังหารเข้าไปเช่นกัน

คราวนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงมิอาจสู้หัวชนฝาอย่างทื่อๆ ได้อีกแล้ว เขาสำแดงวิถีกายแมลงมารห้วงอากาศ เงาร่างเลือนราง โอบล้อมนายท่านแห่งสมาคมจิตมารเอาไว้อย่างประหลาด อาศัยข้อได้เปรียบของเคล็ดร่างกายบุกโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่า! สำแดงเคล็ดวิชาวิถีอากาศแต่ละอันอย่างต่อเนื่อง ค้นหาท่าไม้ตายที่มีผลต่อนายท่านแห่งสมาคมจิตมารผู้นี้มากที่สุด ส่วนนายท่านแห่งสมาคมจิตมารก็ต้านรับอย่างบ้าคลั่ง คราวนี้ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขามีจักรพรรดิเทพตายไปแล้วถึงสองคน ไม่ว่าอย่างไรเขาก็มิอาจรามือโดยง่ายได้

“ปัง ปัง ปัง…”

นายท่านแห่งสมาคมจิตมารรุนแรงหาใดเปรียบ ไอหนาวเหน็บบริเวณรอบกายเขาแผ่ไปทั่วทุกทิศ ทว่าการโจมตีจากมือเท้าและส่วนใดๆ ของร่างกายกลับมีพลังอันร้อนแรง

“ตายเสีย!”

นายท่านแห่งสมาคมจิตมารคลั่งไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว เขาถึงขนาดแปลงกายเป็นร่างยักษ์สูงตระหง่านกว่าสิบลี้ และถึงขนาดที่ฝ่ามือทั้งสองฟาดเข้าใส่ตงป๋อเสวี่ยอิงที่ราวกับมดปลวก การฟาดครั้งหนึ่ง ฝ่ามือหนึ่งเป็นน้ำแข็ง ส่วนฝ่ามืออีกข้างเป็นเปลวเพลิงอันร้อนรุ่ม ฝ่ามือทั้งสองร่วมกันโจมตีก็ก่อให้เกิดเสียงดังสนั่นจนทำให้ทั่วทั้งเมืองจวิ้นซานสั่นสะเทือนไปด้วย นายท่านแห่งสมาคมจิตมารก็ถูกทำให้ร้อนรนจนคลั่งไปเสียแล้ว ร่างกายขยายใหญ่ขึ้น ถึงแม้ว่าพลังคุกคามของเขาจะสามารถแข็งแกร่งได้มากขึ้นถึงห้าเท่า แต่ทางด้านความรวดเร็วและความคล่องแคล่วนั้นกลับได้รับผลกระทบอย่างเห็นได้ชัด เพื่อเอาชนะ นายท่านแห่งสมาคมจิตมารก็คิดหาทุกวิถีทาง

……

“นี่ นี่มัน…”

มองดู ‘นายท่านแห่งสมาคมจิตมาร’ ผู้สูงกว่าสิบลี้ที่อยู่กลางอากาศผู้นั้นประมือกับตงป๋อเสวี่ยอิงครั้งแล้วครั้งเล่า นายท่านแห่งสมาคมจิตมารบินออกมาจากค่ายกลของจวนสกุลอวี้เฟิงแล้ว เพราะว่าภายในค่ายกลก็เผชิญกับการกดดันของค่ายกลอยู่เป็นระยะๆ

เหล่ายอดฝีมือจำนวนมากของทั้งจวนสกุลอวี้เฟิงแต่ละคนต่างพากันจิตใจสั่นไหว

“มิเสียทีที่เป็นพลังยุทธ์ที่สามารถมีชื่อจัดอยู่ในบัญชีรายนามจักรพรรดิเทพได้” ทว่าอวี้เฟิงจวิ้นซานกลับจิตใจสั่นไหวด้วยเหตุนี้ “ถ้าหากไม่มีจักรพรรดิเทพหิมะเหิน ผู้ใต้บังคับบัญชาของโจรเฒ่าจิตมาร ถึงแม้ว่าข้าจะมีค่ายกลส่งเสริม โจรเฒ่าจิตมารมีค่ายกลกดดัน ข้าทานทนอีกไม่กี่สิบอึดใจก็เกรงว่าต้องเอาชีวิตไปทิ้งแล้ว”

“นี่คือน้องหิมะเหินหรือ” จ้าวภูเขาค้างคาวตื่นเต้น “ข้า ข้า ภูเขาค้างคาว ถึงกับเคยส่งยอดฝีมือไปปลิดชีพน้องหิมะเหินด้วยอย่างนั้นหรือ”

เขาหวาดหวั่นไปชั่วครู่!

โชคดีที่การท้าทายจ้าวเทพหิมะเหินในเวลาต่อมานั้นอยู่บนเวทีประลองภายในจวนสกุลอวี้เฟิงซึ่งเพียงแค่รู้ผลแพ้ชนะเท่านั้น ไม่ทำร้ายจนถึงชีวิต! โชคดีที่ภายหลังได้ทำการขอโทษขอโพยแล้ว!

“เถี่ยเฉิงหลิ่วที่สมควรตาย” ในขณะนี้จ้าวภูเขาค้างคาวก็อดที่จะด่าทอเถี่ยเฉิงหลิ่วที่ตายไปแล้วในใจประโยคหนึ่งมิได้

“ปรมาจารย์หิมะเหิน…” อวี้เฟิงจิ่นเงยหน้าขึ้นมองแล้วมองน้องสาวที่อยู่ข้างกาย

……

และภายในเมืองจวิ้นซานก็มียอดฝีมือบางส่วนที่มิได้พัวพันกับการต่อสู้ อย่างเช่นประมุขหอสิงแห่งหอจิตฟ้า หรืออย่างเช่นจ้าวเทพชวนชิ่งแห่งกองกำลังย่อยเพลิงพิสดาร

พวกเขาต่างก็เพียงแค่ชมดูอยู่ห่างๆ มองดูคนร่างยักษ์ที่กลางเวหาเหนือจวนสกุลอวี้เฟิงประมือกับจักรพรรดิเทพหิมะเหิน

“น้องหิมะเหินถึงกับมีพลังยุทธ์เช่นนี้ เขามิใช่จ้าวเทพ หากแต่เป็นจักรพรรดิเทพ” จ้าวเทพชวนชิ่งมองแล้วก็อุทานขึ้น “มิเสียทีที่เป็นผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพ ถึงแม้ว่าขณะนี้ผู้นำของสมาคมจิตมารจะพยายามอย่างสุดความสามารถ แต่น้องหิมะเหินกลับมิได้ตกเป็นรองเลยแม้แต่น้อย”

ส่วนประมุขหอสิงแห่งหอจิตฟ้าก็มองดูอยู่ห่างๆ มือหนึ่งถือตำราเล่มหนึ่งเอาไว้ พลางบันทึกภาพเหตุการณ์การต่อสู้ลงไปบนตำราอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังจดบันทึกตัวอักษรลงไปเป็นจำนวนมากด้วย

หอจิตฟ้ารวบรวมข้อมูลจากทุกฝ่าย ทั้งยังจัดทำ ‘บัญชีรายนามจักรพรรดิเทพ’ ด้วย

นายท่านแห่งสมาคมจิตมารก็คือยอดฝีมือบนบัญชีรายนามจักรพรรดิเทพ การต่อสู้เช่นนี้ก็ย่อมมีความสำคัญเป็นที่สุดอยู่แล้ว เพราะมีความเกี่ยวพันกับการเปลี่ยนแปลงการจัดลำดับในบัญชีรายนามจักรพรรดิเทพ

“คิดไม่ถึงว่าข้าผู้อยู่ที่เมืองเล็กอันห่างไกลอย่างเช่นเมืองจวิ้นซานนี้ จะมีวันที่ต้องรับผิดชอบบันทึกการต่อสู้ครั้งใหญ่ที่เกี่ยวพันถึงการเปลี่ยนแปลงการจัดลำดับในบัญชีรายนามจักรพรรดิเทพด้วย” ประมุขหอสิงก็ตื่นเต้นอยู่บ้าง จดบันทึกเหตุการณ์การต่อสู้ไปพลาง บันทึกความคิดเห็นของตนลงไปพลาง

“จักรพรรดิเทพหิมะเหินมีเคล็ดร่างกายอันล้ำเลิศ รวดเร็วกว่านายท่านแห่งสมาคมจิตมารอยู่มากนัก ครองการริเริ่มอย่างสิ้นเชิง เคล็ดวิชามากมายร้ายกาจเร้นลับ แต่ก็ทำอะไรนายท่านแห่งสมาคมจิตมารมิได้ ขณะนี้ถึงแม้ว่านายท่านแห่งสมาคมจิตมารจะพยายามอย่างสุดกำลัง พลังคุกคามแข็งแกร่งเป็นที่สุด แต่กลับมิอาจตีถูกจักรพรรดิเทพหิมะเหินได้เลย…”

จักรพรรดิเทพสามท่านใต้บังคับบัญชาของนายท่านแห่งสมาคมจิตมารที่โชคดีหนีไปถึงยังท้องฟ้าเบื้องบนได้แล้ว พวกเขาต่างก็พากันเหินบินไปถึงบนเรือใหญ่ แล้วยืนอยู่บนเรือใหญ่มองลงมายังการต่อสู้เบื้องล่าง

“เกือบไปแล้ว เกือบไปแล้ว” พวกเขาสามคนประสานสายตากัน ต่างก็หวาดหวั่นพรั่นพรึงยิ่ง พวกเขาย่อมไม่กล้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยอยู่แล้ว เพราะเห็นได้ชัดว่าค่ายกลรบมิได้มีผลอันใดต่อจักรพรรดิเทพหิมะเหินผู้นี้เลย! เคล็ดวิชาการโจมตีของจักรพรรดิเทพหิมะเหินมิได้แยแสการป้องกัน แต่แทรกผ่านเข้าไปภายในร่างกายโดยตรง พวกเขาก็มิกล้าลองเสี่ยงดูแม้สักครั้งเดียว

*******

ทุกฝ่ายกลั้นหายใจชมดูการต่อสู้

ทว่านายท่านแห่งสมาคมจิตมารเกิดความวิตกกังวลขึ้นมาบ้างเสียแล้ว

“โฮก…” นายท่านแห่งสมาคมจิตมารที่สูงตระหง่านสิบกว่าลี้อ้าปาก แต่ในปากกลับพ่นลูกกลมที่มีน้ำแข็งและเพลิงกระหวัดรัดเกี่ยวกันออกมา

ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าเปลี่ยนแปรเล็กน้อยแล้วร่นถอยอย่างรุนแรง พร้อมกันนั้นหอกยาวก็ขยับเล็กน้อย

ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างปะทะลงบนทรงกลมน้ำแข็งเพลิงนั้นจากระยะทางไกลๆ เสียงปังเสียงหนึ่ง ซึ่งก็คือการระเบิดครั้งใหญ่อันน่าหวาดหวั่น!

“ไร้ประโยชน์ ไร้ประโยชน์ทั้งนั้นเลย ถึงแม้ว่าร่างกายจะแปรเปลี่ยนจนถึงขีดสุด ถึงแม้ว่าจะสามารถสำแดงเคล็ดวิชาที่แข็งแกร่งกว่ามากพอสมควรออกมาได้ แต่กลับไม่สามารถปะทะถูกเขาได้เลย” นายท่านแห่งสมาคมจิตมารเดือดดาลหาใดเปรียบ เดิมทีเขาก็รู้สึกว่าจักรพรรดิเทพหิมะเหินผู้นี้ลื่นไหลเกินไปแล้ว หลังจากที่ร่างกายขยายใหญ่ขึ้นก็ยิ่งยากที่จะรับได้มากขึ้นไปอีก

เขาเศร้าโศกและหงุดหงิด ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ลอบบ่นพึมพำเช่นกัน “ดูท่าทาง ด้วยร่างกายของระดับจักรพรรดิเทพช่วงต้น คิดอยากจะโจมตียอดฝีมือระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางคนหนึ่ง ก็คงจะยังทำมิได้กระมัง”

ก็ถูกต้องอยู่

ทั่วทั้งโลกเทพก็ไม่มีใครสามารถทำได้!

แน่นอนว่าถ้าหากสำแดงเคล็ดวิชาเขตลวงโลกเทียมก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้ว แต่เช่นนั้นก็มิใช่พลังยุทธ์วิถีอากาศของตนแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าที่นี่มีผู้แกร่งกล้ามากมายดุจเมฆ ตัวของนายท่านแห่งสมาคมจิตมารเองก็แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ต่อให้พลังยุทธ์ลดลงอย่างมหาศาลภายใต้เคล็ดวิชาเขตลวงของตน เกรงว่าก็ไม่มีทางจ่อมจมได้โดยง่าย! ขอเพียงแค่รักษาสติตื่นรู้เอาไว้ได้ เกรงว่าก็คงสามารถทำให้ข่าวคราวของ ‘เคล็ดวิชาเขตลวงโลกเทียม’ ของตนแพร่ออกไปถึงโลกภายนอกได้

ดูอย่างหุบเขาเขี้ยวหัก เมื่อแสดงเคล็ดวิชาเขตลวงโลกเทียมของตนออกไปก็ทำให้ทั่วทั้งหุบเขาเขี้ยวหักสั่นสะเทือน

ที่โลกแห่งนี้ ถ้าหากเคล็ดวิชาวิญญาณของตนเปิดเผยก็เกรงว่าคงยากที่จะมีชีวิตอันสงบสุขต่อไปได้อีก! นอกจากนี้ผู้แกร่งกล้าของโลกนี้ก็มีอยู่มากยิ่งกว่า เขาก็ยังไม่อยากจะเปิดเผยเคล็ดวิชาเขตลวงโลกเทียมของตนเป็นการชั่วคราว

“พรึ่บ”

ร่างกายของนายท่านแห่งสมาคมจิตมารหดเล็กลงอย่างฉับพลันในทันใด เพียงพริบตาก็กลับมาเป็นรูปลักษณ์ดังเดิม

เขากวาดตามองไปยังอวี้เฟิงจวิ้นซานที่อยู่ไกลออกไปพลางเอ่ยเสียงเย็นว่า “อวี้เฟิงจวิ้นซาน เจ้าช่างโชคดีเสียจริงที่คราวนี้มีผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพคนหนึ่งเต็มใจจะช่วยเหลือเจ้า แต่ข้าก็อยากจะเห็นเหลือเกินว่าผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพผู้นี้จะอยู่คุ้มครองเมืองจวิ้นซานของเจ้าไปได้ชั่วชีวิตเลยหรือไม่!”

อวี้เฟิงจวิ้นซานหัวใจสั่นสะท้านในทันใด

ใช่แล้ว

ผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพ ผู้แกร่งกล้าเช่นนี้จะมาหยุดชะงักอยู่ที่เมืองเล็กจ้อยอันห่างไกลอย่างเมืองจวิ้นซานแห่งนี้ไปตลอดกาลได้อย่างไรกัน

“ยังมีจักรพรรดิเทพหิมะเหินอีก” นายท่านแห่งสมาคมจิตมารมองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มเย็น “ดีมาก ข้าทำอะไรเจ้ามิได้เลย ความแค้นนี้ ข้า จิตมาร ได้จดจำเอาไว้แล้ว หึๆ”

นายท่านแห่งสมาคมจิตมารแยกเขี้ยวอย่างเดือดดาลแล้วหมุนกายหมายจะจากไป

“คิดจะหนีหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับเอ่ยปากพูดขึ้น “กลัวอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ”

“กลัวหรือ”

นายท่านแห่งสมาคมจิตมารเดือดดาลเป็นอย่างยิ่ง เขาหันหน้ามองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง การต่อสู้ในครั้งนี้เห็นได้ชัดว่าเขาแข็งแกร่งเหนือธรรมดา เพียงแต่ว่าผู้เหินทะยานผู้นี้ลื่นไหลเกินไปเท่านั้นเอง

แต่จากนั้นนายท่านแห่งสมาคมจิตมารก็สีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวง

เพราะว่ากลิ่นอายของตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังพุ่งทะยานขึ้น! ก่อนหน้านี้ก็เป็นจักรพรรดิเทพช่วงต้นอยู่ชัดๆ แต่ขณะนี้เห็นเพียงว่าท่อนแขนทั้งคู่ของตงป๋อเสวี่ยอิงเริ่มหนาขึ้น นอกจากนี้พื้นผิวของท่อนแขนก็มีเนื้อเยื่อสีดำชั้นแล้วชั้นเล่าปรากฏชัดขึ้นมา กลิ่นอายของเขาก็เปลี่ยนเป็นพลุ่งพล่านและไม่มั่นคง ตงป๋อเสวี่ยอิงที่มีท่อนแขนหนาใหญ่ก็กำยำขึ้นอย่างเห็นได้ชัด กลิ่นอายพลุ่งพล่านแกร่งกล้า ทั้งยังเหนือชั้นกว่าก่อนหน้านี้มากมายนัก

“หรือว่าก่อนหน้านี้จะมิใช่พลังยุทธ์ทั้งหมดทั้งมวลของเขากัน” นายท่านแห่งสมาคมจิตมารหัวใจสั่นสะท้าน

……………………………

เพราะว่าท่ามกลางดินอันรกร้างมีสัตว์ถิ่นร้างจำนวนนับไม่ถ้วน นับตั้งแต่อวี้เฟิงชิงอินเกิดมาก็แทบจะใช้ชีวิตอยู่ภายในเมืองจวิ้นซานมาโดยตลอด เป็นถึงบุตรสาวของท่านเจ้าเมือง นางก็ย่อมราวกับเป็นบุตรีแห่งสวรรค์ ในเมืองจวิ้นซานไม่มีผู้ใดกล้าวางแผนจัดการนาง การเจริญเติบโตภายใต้สภาวะแวดล้อมเช่นนี้ นางกลับไม่มีความหยิ่งยโสเลยแม้แต่น้อย หากแต่มีจิตใจเมตตา ถึงอย่างไรก็มีชีวิตอยู่มาเป็นระยะเวลายาวนานแล้ว ตัวนางเองก็แทบจะไม่เคยเผชิญกับด้านมืดมาก่อน แต่นางกลับ ‘มองเห็น’ ด้านมืดภายในเมือง

นางเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง

ตระกูลเผชิญกับภัยคุกคามอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ท่านพ่อและพี่ใหญ่ที่เคยบังลมกันฝนให้นางในอดีตต่างก็ตื่นตระหนกด้วยเหตุนี้ ต้องการให้นางทำการเสียสละ นางก็เต็มใจแบกรับภาระ! เพียงแต่‘เมืองไม้บูรพา’ นั้นเห็นได้ชัดว่ามิได้เห็นหญิงสาวผู้หนึ่งอยู่ในสายตาแต่อย่างใด ไม่อยากจะพัวพันเข้ามาด้วย นาง อวี้เฟิงชิงอินไม่สามารถทำอะไรได้เลย ได้แต่มองดูภัยคุกคามสุดท้ายมาเยือนตาปริบๆ

สิ่งที่นางสามารถทำได้ก็คือการอยู่กับพี่ชาย เดินมุ่งหน้าไปสู่ความตายพร้อมกัน!

ค่ายกลกำลังแตกสลาย ‘นายท่านแห่งสมาคมจิตมาร’ ศัตรูผู้น่าหวาดหวั่นนำทัพเหล่ายอดฝีมือใต้บังคับบัญชาบุกสังหารเข้ามา ความใต้เฉียดเข้ามาใกล้อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

แต่ในขณะนี้เอง…

“ท่านปรมาจารย์หรือ” อวี้เฟิงชิงอินมองอย่างตกตะลึง นางรู้สึกว่าตนเองกำลังล่องลอย ลอยเคว้งคว้าง จนวิงเวียน

“สวรรค์เอ๋ย”

“นี่ นี่ นี่…”

“นี่คือจ้าวเทพหิมะเหินอย่างนั้นหรือ”

“บ้าไปแล้ว!”

เหล่าผู้ชมดูที่อยู่ในบริเวณรอบๆ ต่างพากันตกตะลึง

“อะไรกัน!” ภายใต้อิทธิพลอันหนาแน่นของค่ายกล ขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงย่างก้าวก่อให้เกิดกระแสคลื่นอากาศทำให้จ้าวเทพกลุ่มหนึ่งตื่นตระหนกจนเหินบินหนีไปนั้นเอง ‘นายท่านแห่งสมาคมจิตมาร’ ชายชราทรงอำนาจผู้นั้นที่ยังคงกดดันอวี้เฟิงจวิ้นซานอย่างสมบูรณ์อยู่เช่นเดิมหัวใจขมวดรัดแน่น จากนั้นจักรพรรดิเทพฉื้อเฟิงผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาก็ถูกสังหารในชั่วขณะอันแสนสั้นด้วยฝีหอกเพียงแค่สามฝีหอกเท่านั้น

“ร้ายกาจถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน ความแข็งแกร่งของเกราะหุ้มตลอดร่างของจักรพรรดิเทพฉื้อเฟิง คุ้มกันชีวิตได้อย่างแข็งแกร่งเป็นที่สุด ต่อให้ข้าลงมือเองก็ยังต้องใช้หลายสิบกระบวนท่าจึงจะสามารถสังหารเขาได้ ทว่าคนเสื้อขาวผู้นี้กลับสามารถสังหารได้ภายในสามกระบวนท่าเท่านั้นเองหรือ” นายท่านแห่งสมาคมจิตมารตกใจ แต่เขาก็มองออกว่าถึงแม้กลิ่นอายที่คนเสื้อขาวผู้นี้ระเบิดออกมาจะแข็งแกร่ง แต่ก็เป็นเพียงแค่ระดับจักรพรรดิเทพช่วงต้นเท่านั้น นอกจากนี้ยามที่หอกยาวของตงป๋อเสวี่ยอิงแทงไปบนร่างของกิ้งกือนั้นเกราะหุ้มบนร่างของกิ้งกือก็มิได้แตกออก หากแต่ร่างกายระเบิดจากภายใน “เปลือกเกราะด้านนอกถึงกับไร้ประโยชน์ การโจมตีของคนเสื้อขาวผู้นี้แทรกผ่านเข้าไปในร่างกายของจักรพรรดิเทพฉื้อเฟิงโดยตรง! ยังมีกระแสคลื่นอากาศที่ก่อตัวขึ้นจากการย่างก้าวเมื่อครู่ของเขาสามารถทำให้บรรดาจ้าวเทพตกใจจนเหินบินหนีไปได้ เห็นได้ชัดว่าการป้องกันของค่ายกลรบก็ไร้ประโยชน์เช่นเดียวกัน”

นายท่านแห่งสมาคมจิตมารตื่นตกใจ การใช้ประโยชน์จากพลังระดับนี้ช่างร้ายกาจอย่างแท้จริง!

“พี่ใหญ่ คนเสื้อขาวผู้นี้น่าจะเป็นจ้าวเทพหิมะเหินในบันทึกข้อมูล! เขาเป็นผู้เหินทะยานคนหนึ่ง แต่เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นพลังยุทธ์ระดับจ้าวเทพช่วงกลางนะขอรับ”

“จ้าวเทพช่วงกลางหรือ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป็นจักรพรรดิเทพช่วงต้น! นอกจากนี้ยังเป็นผู้เหินทะยานอีกด้วย” นายท่านแห่งสมาคมจิตมารเข้าใจแล้ว ผู้เหินทะยานคนหนึ่งที่ไปถึงระดับจักรพรรดิเทพช่วงต้น พลังยุทธ์ย่อมสามารถเทียบเคียงได้กับจักรพรรดิเทพช่วงกลางแล้ว! นอกจากนี้เคล็ดวิชาของผู้เหินทะยานยังใช้ประโยชน์จากความเร้นลับ ย่อมไม่เหมือนกับพวกเขาประชากรโลกเทพเหล่านี้ที่ทำได้เพียงกระตุ้นพลังสายโลหิต สามารถแสดงเคล็ดวิชาที่ชวนให้คนอุทานมากมายได้อยู่เป็นประจำ

นายท่านแห่งสมาคมจิตมารตื่นตกใจ การจัดการอวี้เฟิงจวิ้นซานก็ย่อมชะลอไป

อวี้เฟิงจวิ้นซานก็ให้ความสนใจกับชะตาชีวิตของบุตรชายบุตรสาวที่อยู่ด้านล่างเช่นกัน

“อะไรกัน จ้าวเทพหิมะเหินเขา…” อวี้เฟิงจวิ้นซานตื่นตระหนกเสียแล้ ‘จักรพรรดิเทพฉื้อเฟิง’ ฝ่ายศัตรูที่มีพลังยุทธ์เทียบเคียงกันกับเขาถึงกับถูกสังหารภายในสามกระบวนท่า “ที่แท้แล้วผู้ที่มีพลังยุทธ์สูงส่งที่สุดในเมืองจวิ้นซานมิใช่ข้า หากแต่เป็นจ้าวเทพหิมะเหิน ไม่สิ เป็นจักรพรรดิเทพหิมะเหินต่างหากเล่า!”

ขณะนี้หัวใจของอวี้เฟิงจวิ้นซานกลับกลายเป็นยินดีจนแทบคลั่ง!

สามารถปลิดชีพจักรพรรดิเทพช่วงต้นได้ภายในสามกระบวนท่า!

นี่คือผู้ทรงพลังคนหนึ่ง!

โอบกอดไว้! จะต้องโอบกอดผู้ทรงพลังคนนี้เอาไว้ ชะตาชีวิตของพวกเขาสกุลอวี้เฟิงก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างสิ้นเชิง!

……

แต่ละฝ่ายมีความคิดที่แตกต่างกัน แต่ไม่มีเลยแม้แต่คนเดียวที่ไม่ตื่นตระหนกเพราะพลังยุทธ์ของตงป๋อเสวี่ยอิง

“เฮอะ” หลังจากที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสังหารจักรพรรดิเทพท่านหนึ่งแล้วกลับมิได้หยุดมือ เขากวาดสายตาปราดหนึ่งก็ร่อนลงบนร่างของหนึ่งในจักรพรรดิเทพสี่ท่านที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของนายท่านแห่งสมาคมจิตมาร นั่นก็คือบุรุษอาภรณ์เทาโฉมหน้าอัปลักษณ์ ผิวกายมีกลิ่นอายสีเทาขาวคุกรุ่นผู้หนึ่ง เดิมทีเขากำลังบัญชาการจ้าวเทพยี่สิบท่านก่อตัวเป็นค่ายกลรบ บุกสังหารไปทางเหล่ายอดฝีมือของสกุลอวี้เฟิง หลังจากที่ตงป๋อเสวี่ยอิงระเบิดออกมาแล้ว บุรุษอาภรณ์เทาผู้นี้ก็มองมาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

พรึ่บ!

ตงป๋อเสวี่ยอิงเงาร่างวูบไหวแล้วสำแดงวิถีกายแมลงมารห้วงอากาศอีกครั้ง เงาร่างรางเลือนไม่ชัดเจน แต่กลับพุ่งเข้าใส่บุรุษอาภรณ์เทาผู้นั้นอย่างรวดเร็วเป็นที่สุด

“แย่แล้ว” บุรุษอาภรณ์เทาสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวงแล้วล่าถอยไปอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย

“ถอยออกไปให้หมด!” นายท่านแห่งสมาคมจิตมารที่อยู่ห่างออกไปได้เห็นเหตุการณ์แล้วก็ตะโกนอย่างร้อนรนเป็นอย่างยิ่ง พร้อมกันนั้นก็ถ่ายเสียงตะคอกว่า “จักรพรรดิเทพหิมะเหิน หากมีความกล้าก็มาสู้กับข้าสิ!”

พูดแล้วเขาก็จะไปช่วยเหลือผู้ใต้บังคับบัญชา

ถึงอย่างไรผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งหมดของเขาก็มีจักรพรรดิเทพอยู่ทั้งสิ้นเพียงห้าคนเท่านั้น ก่อนหน้านี้ก็ถูกสังหารไปคนหนึ่งแล้ว จะถูกสังหารต่อไปอีกได้อย่างไร คราวนี้ต่อให้สามารถล้างผลาญสกุลอวี้เฟิงได้แล้วจะมีจักรพรรดิเทพสักกี่คนกันที่สามารถเอาชีวิตรอดได้ นอกจากนี้ผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพผู้นี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงแค่จักรพรรดิเทพช่วงต้น แต่ก็เห็นได้ชัดว่าฝีมือน่าอัศจรรย์ยากคาดคะเน โดยทั่วไปแล้วการจัดการจักรพรรดิเทพช่วงต้นก็ง่ายราวกับปอกกล้วย!

“คิดจะหนีหรือ” อวี้เฟิงจวิ้นซานพยายามถ่วงเวลาอย่างสุดกำลัง ถึงขนาดที่ควบคุมพลังค่ายกลสกัดกั้นนายท่านแห่งสมาคมจิตมารเอาไว้อย่างสุดกำลัง

“รวดเร็วถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน” บุรุษอาภรณ์เทาที่กำลังหลบหนีสีหน้าไม่น่าดู เงาร่างอันรางเลือนด้านหลังดูคล้ายว่าเพียงชั่วพริบตาก็บีบคั้นเข้ามาใกล้แล้ว รวดเร็วเกินไปเสียแล้ว!

“พรึ่บ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองบุรุษอาภรณ์เทาที่กำลังหลบหนีอย่างรวดเร็วผู้นี้ เพิ่งจะเตรียมตัวลงมือ กลิ่นอายสีขาวเทาที่พลุ่งพล่านอยู่บนผิวกายของบุรุษอาภรณ์เทาที่อยู่ตรงหน้าก็พุ่งทะยานในทันใด ร่างกายของเขาแยกสลายออกอย่างไร้สุ้มเสียง แปลงเป็นกลิ่นอายสีขาวเทาอันเข้มข้นหลบหนีไปทุกทิศทุกทาง นี่คือ ‘จักรพรรดิเทพกุ่ยเยี่ยน’ หนึ่งในห้าจักรพรรดิเทพใต้บังคับบัญชาของนายท่านแห่งสมาคมจิตมาร เป็นผู้ที่มีความอาฆาตหนักแน่นที่สุด ทั้งยังเป็นผู้ที่โหดเหี้ยมที่สุดด้วย ตอนนี้กลับถูกตงป๋อเสวี่ยอิงทำให้ตกใจเสียจนร่างกายแปรเปลี่ยนเป็นร่างเพลิงปีศาจ หมายจะหลบหนี

“ล้างผลาญ!” ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับกุมหอกยาวเอาไว้ด้วยมือทั้งสอง เดือดดาลขึ้นมาในทันใด!

ปัง!

ภายใต้ความเดือดดาล ห้วงมิติเบื้องหน้าก็บีบคั้นลงมาในทันใด

“นี่คือ…” ‘จักรพรรดิเทพกุ่ยเยี่ยน’ ที่แปลงกายเป็นเพลิงปีศาจสีเทาขาวกระจายตัวหลบหนีไปทั่วทุกสารทิศกลับรู้สึกว่าห้วงมิติบริเวณรอบๆ กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน กดดันมาอย่างรวดเร็ว แปรเปลี่ยนจากห้วงมิติปกติเป็นห้วงมิติสองมิติ ราวกับกระดาษแผ่นหนึ่งก็มิปาน! ท่ามกลางความหวาดหวั่น เพลิงปีศาจจำนวนนับไม่ถ้วนที่เดิมทีมีความสูงอยู่ถูกฝืนกดดันด้วยหมายจะสังหาร จักรพรรดิเทพกุ่ยเยี่ยนก็ดิ้นรนอย่างสุดกำลัง

เขามีความรู้สึกอย่างหนึ่งว่าถ้าหากถูกกดดันจนกลายเป็น ‘กระดาษแผ่นหนึ่ง’ เขาก็ต้องตายอย่างแน่นอนแล้ว!

ใช่แล้ว

ระดับขั้นของตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนี้ย่อมเหนือชั้นกว่าท่านอาจารย์ประมุขรัฐเมฆทักษิณาอยู่มากนัก กระบวนท่า ‘งดงามดุจภาพวาด’ นี้ พอสำแดงออกมาก็ห่างชั้นจากตอนแรกแล้ว นอกจากนี้กระบวนท่านี้ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้ทำเพื่อหยุดยั้งศัตรู หากแต่เป็นการสังหารศัตรู หมายจะปลิดชีพศัตรู ก็ย่อมไม่ไว้ไมตรีอยู่แล้ว!

“ปัง ปัง ปัง…” เพลิงปีศาจจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังดิ้นรน ถูกลดทอนลงอย่างต่อเนื่อง

ในที่สุดพลานุภาพของห้วงมิติที่บีบอัดอย่างบ้าคลั่งก็สลายไปจนสิ้น! จักรพรรดิเทพกุ่ยเยี่ยนยังหลงเหลือ ‘เพลิงปีศาจ’ อยู่ไม่น้อย ในใจยินดี แล้วกำลังจะทะยานหนีขึ้นสู่ฟากฟ้า

แต่ในขณะที่ห้วงมิติที่บีบอัดกำลังสลายไปนั้นเอง กลับมีหอกยาวอันน่าหวาดหวั่นเล่มหนึ่งปะทะมาถึงตรงหน้า

“ปัง!”

ห้วงมิติทั้งอันตรงหน้าถูกบีบอัดจนระเบิดออกมาราวกับเต้าหู้ก้อนหนึ่งก็มิปาน

‘เพลิงปีศาจ’ ส่วนหนึ่งที่จักรพรรดิเทพกุ่ยเยี่ยนหลงเหลือเอาไว้ภายในห้วงมิติแห่งนี้สูญสลายไปจนหมดสิ้นตามการระเบิดอันน่าหวาดหวั่นนี้ ไม่เหลือแม้แต่เศษซาก

กระบวนท่านี้ก็คือ ‘ทลายเวหา’ นั่นเอง!

งดงามดุจภาพวาดและทลายเวหา…ก็คือกระบวนท่าที่สร้างชื่อเสียงให้กับประมุขรัฐเมฆทักษิณา ตงป๋อเสวี่ยอิงปรับปรุงบนพื้นฐานนี้ กระบวนท่าทั้งสองนี้ก็ผสานรวมเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบ กระบวนท่าหนึ่งกดดันศัตรูเอาไว้ภายในห้วงมิติแห่งหนึ่ง ส่วนอีกกระบวนท่าก็ทำให้ทั้งห้วงมิติแหลกสลายโดยตรง สองกระบวนท่าผสานรวมกัน พลังคุกคามก็ยิ่งมหาศาล! หลักๆ แล้วเมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นร่างกายของจักรพรรดิเทพผู้นี้แปลงเป็นเพลิงปีศาจสีขาวเทา จึงรู้สึกว่าอาณาบริเวณเล็กๆ เช่นนี้ ใช้สองกระบวนท่าจึงจะเหมาะสมที่สุด

“ตายไปอีกคนแล้ว!”

“สวรรค์เอ๋ย”

“หนีเร็ว!”

จักรพรรดิเทพคนอื่นๆ อีกสามท่านภายใต้บังคับบัญชาของนายท่านแห่งสมาคมจิตมารต่างก็หวาดหวั่นจนท้องไส้ปั่นป่วนเลยจริงๆ กุญแจสำคัญก็คือผู้ที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสังหาร คนหนึ่งคือผู้ที่การป้องกันภายนอกแข็งแกร่งที่สุด ส่วนอีกคนหนึ่งคือผู้ที่ร่างกายแปลงเป็นพลิงปีศาจ รักษาชีวิตได้อย่างแข็งแกร่งที่สุด คนหนึ่งแหลกสลายในสามกระบวนท่า ส่วนอีกคนหนึ่งนั้นแหลกสลายในสองกระบวนท่า! พวกเขาจักรพรรดิเทพสามท่านที่เหลืออยู่ถามตนเอง เกรงว่าก็คงจะเดินหนีภายใต้เงื้อมมือของจักรพรรดิเทพหิมะเหินผู้นี้ได้ไม่เกินสามกระบวนท่าเช่นกัน

“เมืองจวิ้นซานแห่งนี้มียอดฝีมือเช่นนี้โผล่ออกมาได้อย่างไรกัน หนีเร็ว หนีเร็ว” จักรพรรดิเทพสามท่านนี้หนีอย่างตื่นตระหนกมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่แตกต่างกัน

“สมควรตาย!”

เสียงคำรามอย่างโมโหเสียงหนึ่งดังขึ้น

นายท่านแห่งสมาคมจิตมารกลับพุ่งเข้าใส่ตงป๋อเสวี่ยอิง ในที่สุดเขาก็วางมือจากอวี้เฟิงจวิ้นซาน จนใจที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสังหารจักรพรรดิเทพกุ่ยเยี่ยนได้อย่างรวดเร็วเหลือเกิน เขาไม่สามารถเข้ามาได้ทันการณ์

“จักรพรรดิเทพหิมะเหิน หากเจ้ามีความกล้าก็มาสู้กับข้าสักยกหนึ่งสิ!” นายท่านแห่งสมาคมจิตมารเส้นผมปลิวสยายดูราวกับวิปลาส พลังคุกคามล้นฟ้า

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูจักรพรรดิเทพสามท่านที่หลบหนีไปไกลแล้วปราดหนึ่ง ก่อนจะหันหน้ามองไปทางนายท่านแห่งสมาคมจิตมาร มือหนึ่งกุมหอกยาวพลางเอ่ยว่า “ตามที่เจ้าประสงค์เลย!”

………………………

จักรพรรดิเทพห้าท่านทุกคนต่างก็นำขบวนจ้าวเทพยี่สิบท่าน นี่คือข้อได้เปรียบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการที่สมาคมจิตมารโจมตีสกุลอวี้เฟิง! สกุลอวี้เฟิงมีเพียงแค่ ‘อวี้เฟิงจวิ้นซาน’ ที่เป็นจักรพรรดิเทพช่วงต้นอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น แต่สมาคมจิตมารนอกจากหัวหน้าแล้วยังมีจักรพรรดิเทพช่วงต้นอยู่ถึงห้าท่าน! พวกเขานำขบวนจ้าวเทพกลุ่มหนึ่งก่อตัวเป็นค่ายกลรบก็ย่อมเอาชนะทุกสนามรบได้อยู่แล้ว

ถึงแม้ว่าสกุลอวี้เฟิงจะมีค่ายกลช่วยเหลือ แต่ความแตกต่างระหว่างจ้าวเทพและ ‘จักรพรรดิเทพ’ ก็ชัดเจนเกินไป นี่คือการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพของระดับขั้นใหญ่

มิใช่ว่าใครต่อใครต่างก็สามารถต่อสู้ข้ามชั้นเหมือนกับผู้เหินทะยานกันได้ทั้งหมด

“จัดการกับบุตรชายบุตรสาวของอวี้เฟิงจวิ้นซานก่อนเถิด”

“อวี้เฟิงเหลย บุตรชายคนโตของเขาแข็งแกร่งนัก ตอนนี้ก็มีผู้แกร่งกล้ากลุ่มหนึ่งก่อตัวเป็นค่ายกลรบอยู่ ข้าจะไปจัดการเขาเอง”

“บุตรชายบุตรสาวอีกคู่หนึ่งของเขาที่มือชื่อว่าอวี้เฟิงจิ่นและอวี้เฟิงชิงอินนั่นก็ให้ข้าจัดการแล้วกัน ฮ่าฮ่า ข้าต้องจัดการพวกเขาได้อย่างรวดเร็วแน่นอน”

พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ!!!!!

กองกำลังย่อยห้ากองแยกกันเคลื่อนไหวแล้วยังเหลือจ้าวเทพอยู่ถึงสองร้อยท่าน จ้าวเทพสองร้อยท่านนี้ก็ได้เตรียมตัวมาเรียบร้อยแล้ว ก่อตัวเป็นค่ายกลรบแห่งแล้วแห่งเล่าโจมตีเบื้องล่างในทันที!

……

ถ้าหากทางด้านสมาคมจิตมารร่วมมือกันทั้งหมด ทางด้านสกุลอวี้เฟิงร่วมมือกันทั้งหมด อาศัยค่ายกลก็ยังสามารถประคับประคองไปได้

แต่เมื่อแบ่งแยกกันแล้ว

ข้อได้เปรียบของยอดฝีมือสมาคมจิตมารก็แสดงออกมา กองกำลังย่อยที่จักรพรรดิเทพห้าท่านนั้นนำทัพ ก็เป็นเขี้ยวเล็บอันแหลมคม!

“ต้านรับศัตรู” ผุ้อาวุโสของตระกูลสกุลอวี้เฟิงคนหนึ่งคำรามอย่างเดือดดาล

“ฆ่ามัน” บรรดายอดฝีมือของสกุลอวี้เฟิงก็พากันตะเบ็งเสียง

พวกเขาแต่ละคนต่างก็กกกอดความคิดที่จะต่อสู้จนตัวตาย บ้าคลั่งหาใดเปรียบ

“อะไรกัน พอเริ่มต้นก็จะจัดการพวกเราแล้วหรือ” อวี้เฟิงจิ่นและอวี้เฟิงชิงอินสองพี่น้องเงยหน้าขึ้นมอง มองเห็นชายหนุ่มผู้เยียบเย็นคนหนึ่งนำทัพจ้าวเทพถึงยี่สิบท่าน ก่อตัวเป็นค่ายกลรบพุ่งลงมา มุ่งหน้าสังหารมาทางพวกเขาสองคน! ชายหนุ่มผู้เยียบเย็นผู้นั้นกำลังจ้องมองพวกเขาสองพี่น้อง เห็นได้ชัดว่ามีเป้าหมายก็คือพวกเขาสองคน

“ยังอยากจะดูสมาชิกสกุลอวี้เฟิงของข้าสังหารศัตรูให้มากอีกสักหน่อย คิดไม่ถึงว่าพอเริ่มต้น จักรพรรดิเทพก็นำค่ายกลรบมาจัดการพวกเราเลย” อวี้เฟิงจิ่นมองไปทางน้องสาวที่อยู่ข้างๆ

“พวกเราเดินไปก่อนสักก้าวหนึ่งเถิด” อวี้เฟิงชิงอินเผชิญหน้ากับความตายอย่างสงบ นางหันหน้ามองไปยังบริเวณรอบๆ รอบตัวนั้นมีคนที่นางคุ้นเคยมากมายเหลือเกิน ทั้งบิดาของนาง พี่ชายทั้งสองของนาง พี่น้องร่วมตระกูลของนางจำนวนหนึ่ง ทั้งยังมีท่านปรมาจารย์ของนางอยู่อีกด้วย! อวี้เฟิงชิงอินมองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงพลางถ่ายเสียงพูดว่า “ท่านปรมาจารย์ รักษาตัวให้ดีนะเจ้าคะ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นสาวน้อยผู้นี้เป็นเช่นนี้แล้วก็อดที่จะยิ้มมิได้

อวี้เฟิงชิงอินสะดุ้ง ยิ้มหรือ ท่านปรมาจารย์กำลังยิ้มหรือ

“อวี้เฟิงจวิ้นซาน ฮ่าฮ่า นี่คงเป็นบุตรชายบุตรสาวของเจ้ากระมัง!” ชายหนุ่มผู้เยียบเย็นผู้นั้นเอ่ยเสียงสูง

อวี้เฟิงจวิ้นซานที่ฝืนต้านทานอยู่ที่บริเวณไกลออกไปซึ่งกำลังถูกนายท่านแห่งสมาคมจิตมารโจมตีอย่างบ้าคลั่ง ถึงขนาดที่อาศัยพลังค่ายกลแล้วก็ยังตกเป็นรองอย่างสิ้นเชิงสังเกตเห็นบุตรของตนที่ยืนอยู่ที่ประตูโถงตำหนัก เขาอดที่จะเจ็บปวดในใจมิได้ “จิ่นเอ๋อร์ ชิงอิน พวกเจ้าเดินไปก่อนสักก้าวหนึ่งเถิด อีกประเดี๋ยวพ่อก็จะตามไปแล้ว” แต่หลังจากนั้นอวี้เฟิงจวิ้นซานก็ตกตะลึงไปเสียแล้ว

เพราะว่าตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีขาวตลอดร่างที่ยืนอยู่ตรงประตูโถงตำหนักเช่นเดียวกันก็ถูกจัดการให้เป็นสมาชิกส่วนหนึ่งของค่ายกลรบ แต่กลับมิได้สนใจค่ายกลรบแต่อย่างใด แล้วเงยหน้ามองกองกำลังย่อยที่จักรพรรดิเทพท่านหนึ่งนำทัพพุ่งสังหารตรงมานั้น

“สวบ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงก้าวยาวๆ ก้าวหนึ่ง เหยียบย่างไปบนอากาศ

การเหยียบย่างไปบนอากาศก้าวนี้กลับก่อให้เกิดพายุห้วงอากาศอันน่าหวาดหวั่นราวกับกระแสคลื่นปะทะโจมตีตรงออกไปยังเบื้องหน้า ส่งผลกระทบไปถึงชายหนุ่มผู้เยียบเย็นที่สังหารเข้ามาอย่างโหดเหี้ยมเทียมฟ้าและจ้าวเทพใต้บังคับบัญชายี่สิบท่าน! ถึงแม้ว่าพวกเขาจะก่อตัวเป็นค่ายกลรบ แต่ความเร้นลับของกฎเกณฑ์ที่ตงป๋อเสวี่ยอิงตระหนักรู้นั้นมีวิธีการอันละเอียดอ่อนเพียงใด อีกทั้งยุทธวิธีเมฆาแดงก่อนหน้านี้ก็มีวิธีการทำลายค่ายกลรบอยู่ด้วย ตอนนี้ก็ยิ่งทั้งสมบูรณ์แบบทั้งกล้าแกร่ง

“ระวัง” ชายหนุ่มผู้เยียบเย็นสีหน้าเปลี่ยนแปรเล็กน้อย ถึงแม้ว่าจะตื่นตระหนก แต่ก็ยังมีความมั่นใจเป็นอย่างยิ่งต่อการประกอบเป็นค่ายกลรบกับจ้าวเทพใต้บังคับบัญชายี่สิบท่าน

แต่ยามที่กระแสคลื่นอากาศโจมตีบนค่ายกลรบของพวกเขานั้นเอง พลังคุกคามก็ช่างรุนแรงเหลือเกิน!พวกเขาที่เดิมทีพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูงกลับถูกทำให้ตระหนกจนต้องหยุดลงอย่างมิอาจหักห้ามได้

นอกจากนี้ในขณะที่กำลังถูกปะทะนั้นเอง ก็มีระลอกคลื่นแปลกประหลาดแทรกผ่านตรงเข้าไปภายในร่างกายของจักรพรรดิเทพท่านนั้นและจ้าวเทพยี่สิบท่านอย่างไม่แยแสการป้องกันของค่ายกลรบของศัตรู

“ปัง” “ปัง” “ปัง” “ปัง” “ปัง” “ปัง”

ชายหนุ่มผู้เยียบเย็นรู้สึกว่าพลังแปลกประหลาดขุมหนึ่งกำลังระเบิดอยู่ภายในร่างกาย แต่เขาเป็นถึงจักรพรรดิเทพ บำเพ็ญพลังสายโลหิตก็ย่อมปรามเอาไว้ได้อยู่แล้ว

แต่บรรดาจ้าวเทพคนอื่นๆ ยี่สิบท่านกลับเหินบินออกไป มีจำนวนมากพอสมควรที่กระอักเลือดลอยออกไป ร่างกายที่หนักหน่อยก็ระเบิดออกเป็นส่วนใหญ่แล้วพยายามฟื้นฟูร่างกาย!

“อะไรกันนี่” ชายหนุ่มผู้เยียบเย็นตกตะลึง

ผู้ใต้บังคับบัญชาได้รับบาดเจ็บสาหัสและถูกปะทะลอยออกไปกันหมดแล้วอย่างนั้นหรือ เหลือไว้เพียงแค่จักรพรรดิเทพอย่างเขาเพียงคนเดียวที่ไม่ถูกทำให้ตกใจจนบินหนีไปเช่นนั้นหรือ

ก็เพียงแค่ย่างก้าวเดียวเท่านั้น

ในขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงย่างก้าวก็มิได้ปกปิดกลิ่นอายอีกต่อไปแล้ว กลิ่นอายฝึกกายคละถิ่นอันแกร่งกล้าพุ่งทะยานสู่ฟ้า! ถ้าหากมิใช่ลงมือเพื่อช่วยเหลือลูกศิษย์ ถ้าหากสามารถใช้ชีวิตอย่างสงบต่อไปได้ เกรงว่าเขาก็ปรารถนาที่จะใช้ชีวิตอยู่อย่างสันโดษเจียมเนื้อเจียมตัวไปโดยตลอดมากกว่า

จากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็ก้าวยาวๆ อีกครั้ง ทว่าเงาร่างรางเลือน ผู้ที่อยู่ในที่นั้นรวมทั้งนายท่านแห่งสมาคมจิตมารด้วย ไม่มีผู้ใดแม้แต่คนเดียวที่สามารถมองเห็นเงาร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงได้อย่างชัดเจน! ถึงแม้ว่าจะช้ากว่านี้หมื่นเท่าล้านเท่า อัตราเร็วเชื่องช้ากว่านี้ เงาร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงก็รางเลือนอยู่ดี เพราะว่าเคล็ดการหลบหลีกที่เขาแสดงก็คือคัมภีร์แมลงมารห้วงอากาศ ด้วยระดับขั้นของเขา ตอนนี้ก็ย่อมศึกษาเคล็ดการหลบหลีกศาสตร์นี้ได้สำเร็จไปนานแล้ว

เงาร่างอันรางเลือนแต่กลับรวดเร็วจนน่าหวาดหวั่น เพียงพริบตาก็มาถึงเบื้องหน้าของชายหนุ่มผู้เยียบเย็นผู้นี้เสียแล้ว

“ใคร เขาเป็นใครกัน!” ชายหนุ่มผู้เยียบเย็นเกิดความรู้สึกไม่สงบอันแรงกล้า ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวตรงหน้าทำให้เขารู้สึกถึงความหวาดหวั่นอันรุนแรง แต่เป็นถึงผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพ เขาก็มีความมั่นใจในตนเอง ร่างกายของเขาบิดเบี้ยวแล้วแปลงเป็นแมลงเปลือกสีดำที่มีขานับพันอันแน่นขนัดตัวหนึ่ง ร่างของกิ้งกือยาวประมาณร้อยเมตร เลื้อยคดเคี้ยวพุ่งตรงมาทางตงป๋อเสวี่ยอิง ปากใหญ่อันกระหายเลือดนั้นยังมีเมือกอยู่ด้วย ปากใหญ่ก็อ้างับมาทางตงป๋อเสวี่ยอิง

การงับในครั้งนี้ก็คือพลังดูดกลืนอันน่าหวาดหวั่นที่ส่งผลกระทบบนร่างของตงป๋อเสวี่ยอิง

“พรึ่บ”

มือขวาของตงป๋อเสวี่ยอิงมีหอกยาวเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ หอกยาวดำขลับตลอดทั้งเล่ม ดูสามัญกธรรมดายิ่ง แต่ในความเป็นจริงแล้วก็คือหอกเทพเปลวทอง แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงปกปิดเอาไว้เล็กน้อย

หอกยาวอยู่ในมือ

เริ่มต้นก็ทิ่มแทงเลย!

ร่างของกิ้งกือเลื้อยคดเคี้ยว ถึงแม้ว่าปากใหญ่กระหายเลือดหมายจะกลืนกิน แต่ทันใดนั้นก็สะบัดหาง กรงเล็บเท้าจำนวนมากก็ห่อหุ้มไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง ปลายหอกก็ปะทะเข้าด้วยกันกับกรงเล็บเท้าหนึ่งในบรรดานั้น

“ปะทะกับข้าดูสิ” กิ้งกือยิ้มเยาะอยู่ในใจ เปลือกหุ้มสีดำของเขานั้นร้ายกาจอย่างที่สุด คิดจะระเบิดทำลายนั้นยากเย็นยิ่งนัก

“ฉึก”

การทิ่มแทงนี้

ก็คือระลอกคลื่นอันปั่นป่วนไร้ที่สิ้นสุดแทรกผ่านเข้าไปภายในร่างกาย พลุ่งพล่านอยู่ภายในร่างกายเขาครั้งแล้วครั้งเล่า แบ่งออกเป็นระลอกคลื่นถึงสามสาย นอกจากนี้ระลอกคลื่นเหล่านี้ยังถึงกับมาบรรจบกัน ยิ่งทวีความน่าหวาดหวั่นมากขึ้นอีกด้วย ร่างของกิ้งกือยังบิดเบี้ยวขึ้นมา เขานึกอยากจะกดดันระลอกคลื่นอันน่าหวาดหวั่นภายในร่างกายเหล่านี้เอาไว้ แต่ว่าในที่สุดก็เกิดเสียงปังดังขึ้นเสียงหนึ่ง ร่างกายของมันก็ระเบิดกลายเป็นสามชิ้นส่วนในทันใด เลือดเนื้อและเกล็ดจำนวนมหาศาลลอยกระจัดกระจาย

“ไม่ ไม่” ร่างของกิ้งกือที่กระจายออกเป็นสามชิ้นส่วน ลอยมารวมเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว แต่ก็เห็นได้ชัดเจนว่าร่างกายก็หดเล็กลงไปเป็นอันมากแล้ว

มันก็มิกล้าแปลงกลับไปเป็นร่างมนุษย์ ก็ยิ่งยากที่จะหนีเอาชีวิตรอด

“ฉึก!”

แล้วก็ทิ่มแทกอีกคราหนึ่ง

ฝีหอกที่ตงป๋อเสวี่ยอิงทิ่มแทงออกไปรวดเร็วเพียงใด ฝีหอกนี้ทิ่มแทงลงไปบนร่างของกิ้งกือที่เพิ่งจะรวมร่างเข้าด้วยกัน ถึงแม้ว่ากิ้งกือจะหลบหนี แต่ว่าจะรวดเร็วสู้อัตราเร็วของตงป๋อเสวี่ยอิงได้อย่างไรกัน เงาร่างอันรางเลือนของตงป๋อเสวี่ยอิงตามติดราวกับเงา ท่ามกลางฝีหอกที่ทิ่มแทงคราหนึ่ง ร่างของกิ้งกือนั้นก็บิดเบี้ยวอีกครั้งแล้วระเบิดกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย คราวนี้ก็แหลกสลายอย่างสาหัสยิ่งขึ้น

“ทำลายมัน!” ตงป๋อเสวี่ยอิงทิ่มแทงอีกครั้ง

แต่คราวนี้กลับมีฟองอากาศขนาดมหึมาปรากฏขึ้น ฟองอากาศนี้ห่อหุ้มเลือดเนื้อที่กระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยทุกส่วนของกิ้งกือนี้เอาไว้ จากนั้นก็หดตัวลงกลายเป็นจุดสีดำอย่างรวดเร็ว แล้วระเบิดออกมาตรงตำแหน่งปลายหอก

กิ้งกือแหลกลาญ!

เหลือเอาไว้เพียงแค่วัตถุบางอย่างเท่านั้น

ทั่วทั้งสนามรบล้วนเงียบสงบโดยสิ้นเชิงเสียแล้ว กองกำลังย่อยสี่กองที่มีจักรพรรดิเทพนำทางเช่นกัน ‘นายท่านแห่งสมาคมจิตมาร’ ที่กดดันอวี้เฟิงจวิ้นซานเอาไว้อย่างสมบูรณ์แบบท่านนั้น ยังมีจ้าวภูเขาค้างคาว และเหล่าผู้แกร่งกล้าภายในเมืองกลุ่มหนึ่งที่ไม่อยากจะถูกฝังเป็นเพื่อน แต่ละคนล้วนตกตะลึงไปเสียแล้ว!

พูดไปก็ยืดยาว ในความเป็นจริงแล้วก็ช่างรวดเร็วเหลือเกิน

ก้าวย่างเดียวของตงป๋อเสวี่ยอิง จ้าวเทพฝ่ายศัตรูก็หลบหนี! กลิ่นอายอันแกร่งกล้าก็ระเบิดออกมาด้วย!

อีกก้าวย่างหนึ่งก็คือสามฝีหอกทิ่มแทงอย่างต่อเนื่องกัน ผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพช่วงต้นคนหนึ่งก็ถูกล้างผลาญโดยสมบูรณ์แบบ!

“นี่…นี่คือท่านอาจารย์ของข้าหรือ” อวี้เฟิงชิงอินที่ยืนอยู่ข้างพี่ชายมองดูอย่างตกตะลึง ในห้วงสมองเต็มไปด้วยความอลหม่านวุ่นวาย

…………………………………………

ภายในโถงตำหนักกำลังปั่นป่วนเล็กน้อย อวี้เฟิงจวิ้นซานนั่งอยู่บนบัลลังก์ตำแหน่งประธาน สีหน้าเย็นชา นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเยียบเย็น

เขาเลือกที่จะรั้งอยู่ต่อไป เตรียมตัวต่อสู้จนตัวตายเป็นอย่างดี!

สกุลอวี้เฟิงขยายเผ่าพันธุ์มาเป็นระยะเวลายาวนาน สมาชิกตระกูลก็มีอยู่มากมายเป็นอย่างยิ่ง บรรดาคนวัยเยาว์หรือว่าผู้ที่มีพลังยุทธ์ค่อนข้างอ่อนแอจำนวนหนึ่งในนั้นที่ถูกอวี้เฟิงจวิ้นซานคิดว่ามีความคุ้มค่าที่จะบ่มเพาะได้ ต่างก็ถูกส่งตัวไปยังปราการเมืองแห่งแล้วแห่งเล่าในช่วงแปดล้านปีที่ผ่านมา เขายิ่งกำชับอย่างเข้มงวดให้บรรดาสมาชิกตระกูลที่จากไปกบดาน ไม่ให้อาศัยชื่อเสียงของ ‘สกุลอวี้เฟิง’ ไปเดินร่อนเร่อยู่ข้างนอก

“หึ สกุลอวี้เฟิงของข้ามีสมาชิกตระกูลมากมายถึงเพียงนั้นสมาคมจิตมารจะรู้จักมากมายสักเท่าใดกัน ต่อให้สามารถตรวจหารายนาทส่วนใหญ่ออกมาได้! แต่ยอดฝีมือที่สมาคมจิตมารสามารถสะกดรอยได้ทั้งหมดจะมีสักกี่คนกันเล่า จะไปที่เมืองทุกแห่ง เสาะหาทั่วทุกที่อย่างนั้นหรือ”

“สกุลอวี้เฟิงของข้าติดตั้งค่ายกลมากมายโดยไม่เสียดายมูลค่า ต่อสู้กับเจ้า โดยอาศัยความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์”

“คิดจะผลาญสกุลอวี้เฟิงของข้า ก็มาดูกันว่ายอดฝีมือของเจ้าจะต้องตายไปมากมายเท่าใด”

ในขณะนี้ความอาฆาตของอวี้เฟิงจวิ้นซานกำลังพุ่งทะยาน เขาคิดเพียงแต่ว่าจะสังหารศัตรูให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนจะตาย!

……

จ้าวภูเขาค้างคาวและจ้าวเทพเจียนอิ่นต่างก็เดินมาถึงยังตงป๋อเสวี่ยอิงนี้ พวกเขาทั้งสามคนล้ว

เป็นปรมาจารย์ด้านการบำเพ็ญของสกุลอวี้เฟิง

“น้องหิมะเหิน น้องเจียนอิ่น” จ้าวภูเขาค้างคาวถ่ายเสียงพูด “ท่านเจ้าเมืองให้พวกเราอยู่ที่นี่ทั้งหมด อยู่ภายในบ้านประจำตระกูลสกุลอวี้เฟิง ดูท่าทางจะทอดทิ้งเมืองชั้นนอกตั้งแต่เริ่มต้น! หมายจะปกป้องเมืองชั้นในนี้อย่างสุดกำลังแล้ว ศัตรูสามารถบีบให้สกุลอวี้เฟิงละทิ้งเมืองชั้นนอก ปกป้องเมืองชั้นในอย่างสุดกำลัง ศัตรูจะต้องน่าหวาดหวั่นเป็นที่สุดอย่างแน่นอน”

“จ้าวภูเขาค้างคาวพูดก็มีเหตุผล น้องหิมะเหิน เจ้าเห็นว่าอย่างไร” จ้าวเทพเจียนอิ่นมองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง

“ก็ดูกันไปก่อนเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่พูดอะไรมาก

จ้าวภูเขาค้างคาวและจ้าวเทพเจียนอิ่นอดที่จะลอบสงสัยมิได้ ที่พวกเขามาก็หมายจะสร้างทัพหน้าร่วมกันกับจ้าวเทพหิมะเหินผู้นี้ พวกเขาทั้งสามคนต่างก็จัดอยู่ในแถวหน้าในบรรดาจ้าวเทพช่วงสุดยอด สามคนร่วมมือกัน เผชิญกับจักรพรรดิเทพช่วงต้น ก็สามารถรับมือได้พอสมควรแล้ว แต่ตอนนี้ทัศนคติของตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิใคร่จะเป็นเชิงรุกสักเท่าใดนัก

สายตาของตงป๋อเสวี่ยทะลุผ่านประตูโถงตำหนัก เพ่งมองออกไปยังโลกภายนอก

ทั่วทั้งเมืองจวิ้นซานก็มีอาณาเขตอยู่เพียงแค่หนึ่งล้านลี้เท่านั้น ซึ่งก็คือเมืองชั้นนอก ส่วนบ้านประจำตระกูลสกุลอวี้เฟิงก็มีอาณาเขตหลายหมื่นลี้ ค่ายกลที่เป็นแก่นสำคัญที่สุดต่างก็ติดตั้งอยู่ที่บ้านประจำตระกูลสกุลอวี้เฟิง ซึ่งก็คือเมืองชั้นในนั่นเอง

ภายในโถงตำหนัก กาลเวลาค่อยๆ เคลื่อนผ่านไปทีละเล็กละน้อยท่ามกลางความวุ่นวายและไม่สงบ

“ในที่สุดก็มาแล้ว!” อวี้เฟิงจวิ้นซานลุกขึ้นยืนทันควัน มิได้ปิดบังกลิ่นอายบนร่างเลยแม้แต่น้อย กลิ่นอายล้นฟ้า จากนั้นก็เคลื่อนออกไปจากโถงตำหนักราวกับลำแสง

“น้องรอง น้องหญิงสาม พวกเจ้ารักษาตัวพวกเจ้าเองให้ดีล่ะ!” คุณชายใหญ่อวี้เฟิงเหลยมองน้องชายน้องสาวของตนปราดหนึ่งแล้วก็พุ่งตัวออกไปจากโถงตำหนักเช่นเดียวกัน พ่อบ้านถงก็พุ่งตามออกไปด้วย

สวบๆๆ…

เงาร่างกลุ่มหนึ่งเหินทะยานออกมาอย่างต่อเนื่องกัน ยอดฝีมือระดับจ้าวเทพช่วงสุดยอดของสกุลอวี้เฟิงกว่าครึ่งต่างก็ออกไปจากโถงตำหนักแล้ว พวกเขาสร้างค่ายกลรบแห่งแล้วแห่งเล่าอย่างคุ้นเคยยิ่ง

แต่บรรดายอดฝีมืออย่างพวกตงป๋อเสวี่ยอิงนี้ก็มิได้ตื่นตัวเช่นนั้น แต่ละคนก็เดินไปถึงยังปากประตูโถงตำหนัก เพ่งมองท้องฟ้าที่อยู่ไกลๆ

“มาแล้ว”

“เรือรบ”

ทุกคนมองเห็นว่าที่ขอบฟ้าไกลลิบๆ มีเรือใหญ่ลำหนึ่งปรากฏขึ้น

เบื้องล่างทั่วทั้งเมืองจวิ้นซานมีค่ายกลป้องกันเมืองขนาดมหึมาปรากฏขึ้น ราวกับฉากกั้นที่ปกป้องทั่วทั้งปราการเมืองเอาไว้

ทันใดนั้นมือใหญ่ข้างหนึ่งก็ยื่นออกมาจากเรือรบลำนั้น ฝ่ามือขนาดใหญ่ยื่นออกมาครั้งหนึ่งก็มีความยาวหลายลี้ ปกป้องบนที่ครอบแสงของทั่วทั้งปราการเมืองเสียงดังโครมคราม ที่ครอบแสงถูกกระแทกเปิดออกภายใต้ความบิดเบี้ยว เรือรบใหญ่ลำนั้นดูเหมือนว่าจะมิได้ชะลอตัวลงเลย มันทะยานตรงเข้าไปภายในเมืองจวิ้นซานทางปากถ้ำที่ครอบแสงที่ระเบิดออก

“ง่ายดายถึงเพียงนี้เชียวหรือ” บรรดายอดฝีมือของเมืองจวิ้นซานกลุ่มหนึ่งที่รวมตัวอยู่ในโถงตำหนักนี้ได้เห็นเหตุการณ์แล้วก็หน้าถอดสี

“ถึงแม้ว่าท่านเจ้าเมืองจะละทิ้งเมืองชั้นนอก มิได้ต้านรับอย่างสุดกำลัง แต่ค่ายกลป้องกันเมืองถึงกับถูกระเบิดทำลายภายในฝ่ามือเดียว พลังยุทธ์ของศัตรูก็น่าหวาดหวั่นเกินไปแล้ว”

“จักรพรรดิเทพช่วงต้นไม่น่าจะทำได้ถึงขนาดนี้กระมัง”

“หรือว่า…”

ผู้แกร่งกล้าจำนวนมากต่างก็มีความคิดต่างๆ นานาปรากฏขึ้นภายในใจ

การก้าวข้ามทุกระดับขั้นเล็กของระดับจักรพรรดิเทพต่างก็ยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง ร้อยละเก้าสิบเก้าของ ‘จักรพรรดิเทพ’ ทั่วทั้งโลกเทพต่างก็เป็นจักรพรรดิเทพช่วงต้น การจะไปถึงระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางได้นั้นช่างลำบากยากเย็นยิ่งนัก! จักรพรรดิเทพช่วงกลางโดยทั่วไปต่างก็มีสิทธิ์เข้าชื่อในบัญชีรายนามจักรพรรดิเทพแล้ว บนบัญชีรายนามจักรพรรดิเทพทั้งหมดก็เพิ่งจะมีเพียงหนึ่งพันชื่อเท่านั้น! เห็นได้ว่า ‘จักรพรรดิเทพช่วงกลาง’ นั้นหาตัวได้ยากเย็นเพียงใด

……

เรือใหญ่มาถึง

ฝ่ามือหนึ่งระเบิดทำลายค่ายกลป้องกันเมืองของเมืองชั้นนอกแล้วเข้าไปภายในเมือง

บรรดาประชากรจำนวนมากที่ใช้ชีวิตอยู่ภายในโลกเทพเงยหน้าขึ้นมองแล้วต่างก็ตกใจจนหน้าถอดสี มีบางคนถึงขนาดที่หลบซ่อนตัวเข้าไปภายในบ้าน เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากการต่อสู้

“รีบซ่อนตัวเร็วเข้า”

“พวกเจ้าเข้าไปในห้องเงียบใต้ดินกันให้หมด”

ทั่วทั้งปราการเมืองเต็มไปด้วยความชุลมุนวุ่นวาย

ทว่าเรือใหญ่ลำนั้นกลับมิได้สนใจประชากรโลกเทพธรรมดาทั่วไปเลยแม้แต่น้อย แล้วเหินลอยไปถึงยังท้องฟ้าเบื้องบนของจวนสกุลอวี้เฟิงในระยะเวลาเพียงชั่วอึดใจ

“อวี้เฟิงจวิ้นซาน” เสียงหนึ่งดังก้องทั่วฟ้าดิน แฝงไว้ด้วยความอาฆาตอันไร้ที่สิ้นสุด ทั่วทั้งเมืองจวิ้นซานล้วนเงียบสงัดไปชั่วขณะ

ชายชราทรงอำนาจที่สวมอาภรณ์หนาสีดำผู้หนึ่งเดินออกมาจากเรือใหญ่แล้วยืนอยู่กลางอากาศ ด้านหลังเขามีจักรพรรดิเทพห้าท่านติดตามมาด้วย

ชายชราทรงอำนาจผุ้นี้มองดูจวนสกุลอวี้เฟิงพลางหัวเราะอย่างเย็นชา “อวี้เฟิงจวิ้นซาน วันตายของเจ้ามาถึงแล้ว! วันนี้ทั้งสกุลอวี้เฟิงก็จะต้องถูกข้าขุดรากถอนโคน”

“จิตมาร!” อวี้เฟิงจวิ้นซานก็ยืนอยู่กลางท้องฟ้าเหนือจวนเช่นกัน พลานุภาพของค่ายกลบ้านตระกูลอันแน่นหนาส่งเสริมร่างกาย ผิวกายของเขาในขณะนี้มีประกายชั้นแล้วชั้นเล่า เปล่งประกายระยับจับตากว่านายท่านแห่งสมาคมจิตมารอยู่พอสมควรเลยทีเดียว อวี้เฟิงจวิ้นซานเอ่ยอย่างเดือดดาล “คิดอยากจะล้างผลาญสกุลอวี้เฟิงของข้า หึหึ ก็มาดูกันว่ายอดฝีมือที่เจ้าพามาในวันนี้จะรอดชีวิตกลับไปได้สักกี่คนกัน”

“เจ้าก็ยกยอปอปั้นตัวเองเกินไปเสียแล้ว” ชายชราทรงอำนาจเอ่ยเสียงแหบพร่า “ข้าคือจิตมาร ขอเพียงแค่ยอดฝีมือของสกุลอวี้เฟิงภายในเมืองจวิ้นซานไม่เป็นอริต่อข้า ข้าก็จะไม่สร้างความลำบากให้เลยแม้แต่น้อย วันนี้สกุลอวี้เฟิงจะต้องถูกผลาญย่อยยับอย่างแน่นอน พวกเจ้าก็อย่าได้โง่เง่าไปถูกฝังเป็นเพื่อนพวกเขาเลย”

จากนั้นชายชราทรงอำนาจก็โบกมือคราหนึ่ง “ลงมือ”

“ขอรับ”

ทันใดนั้นจักรพรรดิเทพห้าท่านทางด้านหลังและเหล่าจ้าวเทพกลุ่มใหญ่บนเรือก็เหินทะยานออกมาจนหมด ก่อตัวกันเป็นค่ายกลรบขนาดมหึมาแห่งแล้วแห่งเล่าอย่างมีระบบระเบียบยิ่ง แล้วเริ่มต้นโจมตีจวนสกุลอวี้เฟิงตรงหน้า

‘นายท่านแห่งสมาคมจิตมาร’ ชายชราผู้ทรงอำนาจเคลื่อนไหวตามลำพัง และกำลังโจมตีอยู่เช่นเดียวกัน

“ขัดขวางพวกเขาเอาไว้”

อวี้เฟิงจวิ้นซานเข้าไปรับมือกับนายท่านแห่งสมาคมจิตมาร แต่ทั่วทั้งชั้นนอกของจวนสกุลอวี้เฟิงก็มีค่ายกลคุ้มกันอยู่ นอกจากนี้ เพราะว่าอาณาเขตค่อนข้างเล็ก บวกกับเมื่อเร็วๆ นี้ ในช่วงหนึ่งล้านปีนี้ สกุลอวี้เฟิงได้สร้างค่ายกลใหม่แห่งแล้วแห่งเล่าโดยไม่คำนึงถึงราคา พลังคุกคามของค่ายกลของจวนสกุลอวี้เฟิงก็แข็งแกร่งเพียงพอ

“พลั่ก”

อวี้เฟิงจวิ้นซานเคลื่อนผ่านค่ายกลของบ้านเป็นระยะๆ ทำการโจมตีและลอบโจมตี หลังจากโจมตีแล้วก็ซ่อนตัวกลับเข้าไปภายในค่ายกลทันที

เขาควบคุมแก่นสำคัญของทั้งค่ายกลของบ้าน ก็ย่อมเข้าไปถึงหัวใจหลักของค่ายกล แต่นายท่านแห่งสมาคมจิตมารนั้น ก่อนหน้าที่จะระเบิดทำลายค่ายกล ก็ย่อมไม่มีทางเข้ามาได้อย่างแน่นอนอยู่แล้ว

“โครม…”

จักรพรรดิเทพห้าท่านนำขบวนจ้าวเทพสามร้อยท่านก่อตัวเป็นค่ายกลรบ พลังคุกคามยังแข็งแกร่งยิ่งกว่า ‘นายท่านแห่งสมาคมจิตมาร’ หัวหน้าของพวกเขาเสียอีก

นายท่านแห่งสมาคมจิตมารเคลื่อนไหวตามลำพัง ก็มีพลังคุกคามเกือบครึ่งของผู้ใต้บังคับบัญชา!

……

“เตรียมรับการต่อสู้” อวี้เฟิงเหลยกวาดสายตามองจ้าวภูเขาค้างคาว ตงป๋อเสวี่ยอิง จ้าวเทพเจียนอิ่นและผู้แกร่งกล้ากลุ่มใหญ่คนอื่นๆ ปราดหนึ่ง “ตลอดมาสกุลอวี้เฟิงของข้าไม่เคยปฏิบัติไม่ดีต่อทุกท่านเลย ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ทุกท่านต้องแสดงฝีมือแล้ว! หวังว่าทุกท่านจะไม่ทรยศหักหลังในช่วงเวลาวิกฤติ เมื่อใดที่หักหลัง พลังของค่ายกลก็จะไม่ช่วยส่งเสริมทุกท่านอีกต่อไป แต่กลับจะกดดันทุกท่านแทน! ยอดฝีมือสกุลอวี้เฟิงของข้าก่อตัวเป็นค่ายกลรบ แล้วยังมีค่ายกลส่งเสริม พอถึงเวลาก็สามารถสังหารผู้ทรยศได้อย่างสบายๆ นี่คือช่วงเวลาแห่งความเป็นตายของสกุลอวี้เฟิงของข้า ย่อมไม่มีทางอดทนต่อผู้ทรยศคนใดๆ ได้อยู่แล้ว”

เหล่าผู้แกร่งกล้าจำนวนมากต่างก็หวาดหวั่นในใจ

“ตอนนี้ก็ฟังการจัดการของข้า” อวี้เฟิงเหลยจัดการในทันที

แบ่งเหล่าผู้แกร่งกล้าที่อยู่ในสกุลอวี้เฟิงออกเป็นค่ายกลรบแห่งแล้วแห่งเล่า ภายในค่ายกลรบทุกแห่งต่างก็มียอดฝีมือของสกุลอวี้เฟิงคนหนึ่ง เช่นนี้แล้วต่อให้ยอดฝีมือคนอื่นๆ ของค่ายกลรบต่างพากันหักหลัง เพราะว่าระหว่างกลางมียอดฝีมือคนหนึ่งของสกุลอวี้เฟิงอยู่ พวกเขาทรยศแล้วก็ไม่มีทางก่อตัวเป็นค่ายกลรบอันสมบูรณ์แบบได้

“ก็ได้แต่ล่าช้าไปชั่วคราวแล้ว”

“ต้านรับสักหน่อยก็แล้วกัน”

จ้าวภูเขาค้างคาวและคนอื่นๆ สีหน้ามิใคร่จะหน้าดูสักเท่าใดนัก แต่ก็มิกล้าต่อต้าน

พวกเขาต่างก็รู้จักบัญชีรายนามจักรพรรดิเทพ ก็ย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่า ‘นายท่านแห่งสมาคมจิตมาร’ ที่มีชื่ออยู่ในนั้นน่าหวาดหวั่นเพียงใด! มองไม่เห็นอีกฝ่ายส่งตัวผู้ใต้บังคับบัญชาระดับจักรพรรดิเทพห้าท่านกับจ้าวเทพสามร้อยคนมาอย่างง่ายดายหรืออย่างไร ถึงแม้ว่าจะนับรวมยอดฝีมือทุกประเภทในเมืองจวิ้นซาน ก็เพิ่งจะเกินจ้าวเทพสามร้อยท่านมาเท่านั้น แต่ก็มีบางส่วนที่มิได้มาในวันนี้ อย่างเช่นยอดฝีมือของ ‘หอจิตฟ้า’ หรืออย่างเช่นกองกำลังย่อยเพลิงพิสดาร ก็มีจำนวนมากพอสมควรที่ไม่ฟังการจัดการของสกุลอวี้เฟิง

“ปัง ปัง ปัง…”

ท้องฟ้าเบื้องบนส่งเสียงอึกทึกไม่หยุดหย่อน

อวี้เฟิงจวิ้นซานและบรรดายอดฝีมือของสกุลอวี้เฟิงคนอื่นๆ ทะลุผ่านผนังกั้นของค่ายกลแล้วทำการลอบโจมตีเป็นระยะๆ

ถึงแม้ว่าจะลอบโจมตี อิทธิพลของทางด้านสมาคมจิตมารก็ยังครองความได้เปรียบอย่างสิ้นเชิง ยังคงทำให้ทั้งค่ายกลสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่อง

“แย่แล้ว” สองพี่น้องอวี้เฟิงจิ่นและอวี้เฟิงชิงอินที่ยืนอยู่ตรงปากประตูโถงตำหนักมองพื้นดิน ผิวดินของบ้านประจำตระกูลจำนวนมากต่างก็เริ่มแตกร้าว เห็นได้ชัดว่าศัตรูโจมตีอย่างแข็งแกร่งเกินไป ทำให้ค่ายกลจำนวนหนึ่งต่างก็เริ่มสั่นสะท้านและแตกกระจาย ต้องรู้ไว้ว่าในความเป็นจริงแล้วที่ครอบแสงนั้นเกิดขึ้นจากพลังของค่ายกลหลายสิบแห่งซ้อนทับกัน พลังคุกคามของที่ครอบแสงก็อ่อนแอลงเรื่อยๆ หลังจากที่ค่ายกลจำนวนหนึ่งค่อยๆ แตกสลาย

“น้องหญิง” อวี้เฟิงจิ่นมองน้องสาว “พี่ชายไร้ประโยชน์ ปกป้องเจ้ามิได้”

“ไม่มีอะไรหรอก” อวี้เฟิงชิงอินเผยรอยยิ้มออกมา “พวกเราก็อยู่กันที่นี่ ดูท่านพ่อ ดูพวกพี่ใหญ่ต่อสู้ด้วยกันเถิด”

“อืม” อวี้เฟิงจิ่นพยักหน้า

พวกเขาพลังยุทธ์อ่อนแอ ไปเข้าร่วมรบก็ไม่มีความหมายแต่อย่างใด

นอกจากนี้ เมื่อรู้ว่าคราวนี้ต้องพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย พวกเขาสองคนก็ไม่อยากซ่อนตัว หากแต่ดูผู้แกร่งกล้าของตระกูลต่อสู้อยู่ด้วยกัน

“ปัง…”

เมื่อหลายบริเวณของบ้านแตกเปิดออก ค่ายกลจำนวนมากพอสมควรต่างก็แตกสลายไปอย่างควบคุมไม่อยู่ ในที่สุดที่ครอบแสงซึ่งริบหรี่ลงแล้วที่อยู่กลางอากาศก็ส่งเสียงระเบิดเสียงหนึ่ง ถูกค่ายกลรบขนาดมหึมาของจักรพรรดิเทพห้าท่านระเบิดออกเป็นปากถ้ำขนาดใหญ่

“ทลายแล้ว ทลายเปิดเสียแล้ว” จ้าวภูเขาค้างคาวและผู้แกร่งกล้าจำนวนมากตื่นตระหนก พวกเขามิได้อยากจะตายเป็นเพื่อนสกุลอวี้เฟิง

“มาแล้ว! ”อวี้เฟิงชิงอินร้อนรน

“น้องหญิง ดูสิ ดูพวกท่านพ่อเขาต่อสู้เถิด” พี่รองอวี้เฟิงจิ่นเองก็ขบกรามจ้องมอง

“ฆ่ามันให้ข้าเสีย! ล้างผลาญมันทั้งสกุลอวี้เฟิง ไม่ให้เหลือแม้แต่คนเดียว!” เสียงของนายท่านแห่งสมาคมจิตมารทรงพลังกึกก้องทั่วฟ้าดิน

“ขอรับ!” จักรพรรดิเทพห้าท่านและจ้าวเทพสามร้อยคนพากันรับบัญชา!

……………………………..

เกล็ดหิมะใสกระจ่าง ลอยละล่องไปทั่วฟ้าดิน

ตงป๋อเสวี่ยอิงและอวี้เฟิงชิงอินกำลังดื่มสุราด้วยกันพลางฟังเสียงพิณด้านข้าง ด้านข้างไม่ไกลออกไปนักมีสตรีโฉมงามนางหนึ่งกำลังดีดพิณอย่างตั้งอกตั้งใจ เสียงพิณอันไพเราะแผ่ไปทั่วทั้งสวน ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังแล้วก็รู้สึกดื่มด่ำเป็นอันมาก

รอจนเสียงพิณหยุดลง ปรมาจารย์พิณหญิงนางนั้นหยุดแล้วก็ยิ้มร่าพลางมองดูตงป๋อเสวี่ยอิงและอวี้เฟิงชิงอิน

“เชิญจ้าวเทพหิมะเหินและคุณหนูสามแสดงความเห็นเสียหน่อยเถิด” ปรมาจารย์พิณหญิงผู้นี้พูด

“ทุกครั้งที่ได้ฟังพี่เหลิ่งดีดพิณ ก็ราวกับอยู่ในฝันอย่างไรอย่างนั้น ช่างงดงามเหลือเกิน” อวี้เฟิงชิงอินเอ่ยชม ดวงตาเปล่งประกายออกมา

ใบหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงมีรอยยิ้มระบายอยู่บนหน้า ตลอดคืนวันอันยาวนานก่อนหน้านี้ แม้เขาจะชมชอบดนตรีเป็นอันมาก แต่ก็ไม่เคยใส่ใจมาตลอด นับตั้งแต่อวี้เฟิงชิงอินผู้เป็นศิษย์ยืนกรานจะแนะนำปรมาจารย์พิณ ‘เหลิ่งซิน’ ซึ่งเป็นอันดับหนึ่งแห่งเมืองจวิ้นซานให้ ตอนนั้นเขาก็พยักหน้าตกลงให้ปรมาจารย์พิณหญิงผู้นี้มาดีดพิณที่จวนของตน แม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะเก็บซ่อนพลังมาโดยตลอด แต่ดีร้ายอย่างไรพลังที่เผยออกมาภายนอกเพียงผิวเผินก็สามารถสังหารจ้าวภูเขาค้างคาวได้ปรมาจารย์พิณหญิง ‘เหลิ่งซิน’ ผู้นี้ก็ย่อมตั้งใจแสดงเป็นอันมาก

ตอนเริ่มแรก ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกเพียงว่าล้ำเลิศ

แต่หลังจากที่นางมาที่จวนของตนและได้ฟังหลายครั้งเข้า ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ค่อยๆ ขัดเกลาจุดที่เหมือนกันของ ‘เสียงพิณ’ นี้กับ ‘วิถีเขตลวงโลกเทียม’ ของตนออกมาได้ ในวิถีเขตลวงโลกเทียมมี ‘ภาพลวง’ อยู่สายหนึ่ง ทางสายภาพลวงบางครั้งก็สามารถอาศัยเสียงสำแดงออกมาได้

“ไม่เสียทีที่เป็นปรมาจารย์พิณอันดับหนึ่งแห่งเมืองจวิ้นซาน สามารถสำเร็จเป็นปรมาจารย์พิณอันดับหนึ่งได้ มีชื่อเสียงโด่งดังถึงเพียงนี้ ผลสำเร็จทางด้านดนตรีของนางก็บรรลุถึงขั้นสูงส่งอย่างยิ่งทีเดียว สายเลือดบรรพเทวะของนางก็เชี่ยวชาญทางสายนี้เป็นอย่างยิ่ง แม้หลายๆ เสียงของนางยังใช้ได้ค่อนข้างหยาบอยู่มาก แต่ความรู้สึกอิสระที่มาจากใจล้วนๆ กลับเป็นสิ่งที่ข้าสู้ไม่ได้เลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ

วิถีเขตลวงโลกเทียมของเขาเคยรู้แจ้งได้ถึงสองกระบวนท่า หนึ่งคือทำให้ศัตรูจมจ่อมลงไป หนึ่งคือผลาญทำลายวิญญาณของศัตรู ทั้งสองกระบวนท่านี้คือสิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงรับรู้จาก ‘ดวงตาสีเทา’ และ ‘ดวงตาสีทอง’ แต่เขามิอาจทำให้ทั้งสองรวมกันอย่างสมบูรณ์แบบได้

แต่หลังจากได้ฟังเสียงพิณแล้ว เขาก็รู้ปัญหาของตน

“ข้ารู้มาตลอดว่า สิ่งที่แก่นแท้ที่สุดของวิญญาณไม่ว่าดวงไหนปรารถนาก็คือ ‘อิสระ’ นั่นคือเส้นทางของวิถีเขตลวงโลกเทียม” ตงป๋อเสวี่ยอิงรำพึง “ข้าเคยได้เห็นหยาดน้ำพันเนตรในตอนนั้นครั้งหนึ่ง และพยายามทบทวนความทรงจำตลอด พยายามหลอมรวมท่าไม้ตายทั้งสองเข้าด้วยกัน แต่อันที่จริงกลับจงใจเกินไปแล้ว! ข้ารู้ทั้งรู้ว่า ‘อิสระ’ จึงจะเป็นแก่นแท้ของวิญญาณ นี่ต่างหากจึงจะเป็นการหลอมรวมแก่นสำคัญของท่าไม้ตายทั้งสองเข้าด้วยกัน”

ตัวตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็ฮึดฮัด

การบำเพ็ญก็เป็นเช่นนี้เอง

ต่อให้คนอื่นบอกวิธีให้ทราบ หากตนเองไม่เผชิญความลำบากมากพอ ก็มิอาจรู้แจ้งถึงแก่นของวิธีนี้

หลังจากกระจ่างแจ้งในข้อนี้แล้ว

ร่างแยกของเขาที่อยู่ในดินแดนจิตโลกาและอากาศอันสับสนอลหม่านบ้านเกิดเก็บตัวเพื่อรับรู้ในทันที ตงป๋อเสวี่ยอิงมีลางสังหรณ์ว่า เชื่อว่าหากใช้เวลานานพอ ท่าไม้ตายทั้งสองของวิถีเขตลวงโลกเทียมจะต้องสามารถรวมกันได้อย่างแท้จริงแน่นอน

……

นี่เป็นเพราะเสียงพิณนี้ไปกระตุ้นการบำเพ็ญทางด้านวิถีเขตลวงโลกเทียมของเขา ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงมักจะเชิญปรมาจารย์พิณหญิงผู้นี้มาเป็นประจำ

“จ้าวเทพหิมะเหินยังมิได้ออกความเห็นเลย” ปรมาจารย์พิณหญิงมองดูตงป๋อเสวี่ยอิง

“เสียงพิณของแม่นางเหลิ่งเหินทะยานตามอำเภอใจ ทำให้จิตใจคนหลอมรวมกับมัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ทว่าแม่นางเหลิ่งก็สามารถเก็บรวบรวมเคล็ดวิชาทางด้านเสียงต่างๆ แล้วรับรู้ให้มากหน่อย อาจจะมีส่วนช่วยแม่นางเหลิ่งบ้างก็เป็นได้”

ก่อนหน้านี้ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่พูด ก็เพราะกังวลว่าหากนางตั้งใจค้นคว้าทางด้านเสียง อาจทำให้สูญเสียความอิสระที่มีแต่เดิมไป ทว่าเมื่อพูดจากมุมมองทางด้านการบำเพ็ญแล้ว ต่อให้ลำบางบ้าง ก็ยังมีประโยชน์อยู่ดี

“เสียงหรือ” ปรมาจารย์พิณหญิงงุนงง “ดนตรีก็คือดนตรี เสียงก็คือเสียงกระมัง”

“รับรู้ดูเสียหน่อย จะเป็นประโยชน์ต่อตัวเจ้าเอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว

“ขอบคุณจ้าวเทพที่ชี้แนะ” แม้ปรมาจารย์พิณหญิงจะงุนงง แต่ก็ยังคงตัดสินใจฟังคำชี้แนะของผู้เหินทะยานระดับจ้าวเทพคนนี้ และไปตามหาคัมภีร์สำหรับการบำเพ็ญทางด้านเสียงต่างๆ มาบำเพ็ญเสียหน่อย ที่ผ่านมานางบำเพ็ญพละกำลังสายเลือดล้วนๆ ดนตรีนั้นสำแดงออกมาจากพละกำลังของสายโลหิตตามธรรมชาติ เป็นพรสวรรค์

ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

แม้จะอยู่กับศิษย์และกำลังสนทนากับปรมาจารย์พิณหญิงผู้นี้ แต่ในห้วงสมองของตงป๋อเสวี่ยอิงกลับยังคงมีความเร้นลับของกฎเกณฑ์มากมายผุดขึ้นมา ระดับขั้นอย่างเขาแล้ว การแบ่งสมาธิทำหลายสิ่งพร้อมกันนั้นเป็นเรื่องตามธรรมชาติราวกับการกินข้าวหรือดื่มน้ำอย่างไรอย่างนั้น

“ผู้อาวุโสสองท่านนั้นสามารถคิดค้นคัมภีร์จักรพรรดิเทพช่วงกลางอย่างคัมภีร์ฟ้าดินและคัมภีร์ไร้ขอบเขตขึ้นมาได้ ส่วนข้าอยากให้การฝึกกายคละถิ่นบรรลุถึงระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลาง กลับยังมีปัญหามากมาย” ตงป๋อเสวี่ยอิงครุ่นคิด ตอนนี้การฝึกกายคละถิ่นของเขาในระดับ ‘จักรพรรดิเทพช่วงต้น’ นั้นมั่นคงอย่างสิ้นเชิงแล้ว เขายังถึงขั้น คิดค้นขึ้นมาหลายฉบับ แต่การสำแดงพลังระดับ ‘จักรพรรดิเทพช่วงกลาง’ ออกมาอย่างพอถูไถนั้น กลับยังไม่มั่นคง

“ทว่าการบำเพ็ญภายใต้อารยธรรมที่แตกต่างกันก็มีส่วนช่วยอย่างแท้จริง” ยามนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เข้าใจนัยยะของ ‘หยวน’ แล้ว

อารยธรรมที่แตกต่างกัน

ในดินแดนจิตโลกาและโลกปัจจุบันนี้ การกดดันของกฎเกณฑ์แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ตนจะต้องปรับตัวให้เข้ากับกฎเกณฑ์ของอารยธรรมที่แตกต่างกัน ซึ่งระหว่างกระบวนการปรับตัวนี้ ก็ทำให้ ‘วิถี’ ของเขาสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น

ผู้ที่สามารถทะลุผ่านโลกทุกใบได้อย่างแท้จริง จึงจะเป็นนิรันดร์ และมีคุณสมบัติพอจะกระโดดออกจากกรงขัง สำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นได้

“จ้าวเทพหิมะเหิน รีบมาในจวนข้าเร็วเข้า” สารหนึ่งถูกส่งมา

“เอ๊ะ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงที่ถือจอกสุราเอาไว้ในมือพลางไตร่ตรองเรื่องการฝึกกายคละถิ่นพลันสะดุ้งเฮือก “เป็นสารจากท่านเจ้าเมืองอวี้เฟิงจวิ้นซานหรือ”

“ท่านพ่อ” อวี้เฟิงชิงอินสะดุ้งเฮือก นางก็ได้รับสารเช่นกัน

“ชิงอิน ท่านเจ้าเมืองก็เรียกตัวเจ้าไปด้วยหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นสีหน้าของศิษย์ก็พูดยิ้มๆ ขึ้นมา

“เจ้าค่ะ” อวี้เฟิงชิงอินพยักหน้า

“เช่นนั้นก็ไปด้วยกันเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว จากนั้นก็มองไปทางปรมาจารย์พิณหญิงเหลิ่งซินที่อยู่อีกด้านหนึ่ง “แม่นางเหลิ่ง ข้าและชิงอินยังมีธุระบางอย่าง เจ้ากลับไปก่อนเถิด”

ปรมาจารย์พิณหญิงเหลิ่งซินอำลาและจากไปทันที

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็พาอวี้เฟิงชิงอินมุ่งหน้าไปยังจวนท่านเจ้าเมือง

******

ณ จวนท่านเจ้าเมืองซึ่งก็คือที่ตั้งของสกุลอวี้เฟิงที่กินพื้นที่กว้างขวางนัก

ภายในตำหนักหลัก

ยามนี้มีผู้แกร่งกล้ากลุ่มใหญ่รวมตัวกันอยู่ มีลูกหลานสกุลอวี้เฟิงเอง และมีเหล่าผู้แกร่งกล้าอย่างจ้าวภูเขาค้างคาว จ้าวเทพเจียนอิ่นและตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ด้วย คนส่วนใหญ่ที่นี่ล้วนแต่เป็นจ้าวเทพช่วงกลาง และจ้าวเทพช่วงกลางขึ้นไป ผู้ที่มีพลังอ่อนแออย่างอวี้เฟิงชิงอินนั้นมีให้เห็นน้อยมาก เนื่องจากนางมีสถานะสูงส่งเป็นถึงธิดาของท่านเจ้าเมือง จึงมีสิทธิ์มาอยู่ที่นี่ได้

“พี่หิมะเหิน ท่านว่าจู่ๆ ท่านเจ้าเมืองผู้นี้เรียกคนมากมายเช่นนี้มารวมตัวกันทำไม ยอดฝีมือถูกเรียกตัวมาแทบจะครบทั้งเมืองแล้ว” จ้าวภูเขาค้างคาวเดินเข้ามา ศีรษะทรงสามเหลี่ยมอัปลักษณ์โดยแท้ แต่สีหน้ากลับกระติอรือร้นเป็นอันมาก

“ผู้ใดจะไปรู้เล่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับไม่ใส่ใจ เขาอยู่ในเมืองจวิ้นซาน ก็เพื่อพำนักและบำเพ็ญเป็นหลัก

“เมืองจวิ้นซานมิได้เรียกผู้แกร่งกล้ามากมายถึงเพียงนี้มารวมตัวกันตั้งนานแล้ว ข้าว่าต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่” จ้าวภูเขาค้างคาวกล่าว มิใช้แค่เขาเท่านั้น ผู้แกร่งกล้าหลายคนในที่นั้นก็ตื่นตระหนกอยู่ในใจ

จู่ๆ ก็เรียกรวมตัวอย่างกะทันหัน ทั้งยังมิได้บอกสาเหตุ ทุกคนพากันคาดเดากันไปต่างๆ นานา

“มาแล้ว”

“ท่านเจ้าเมืองมาแล้ว”

ในโถงตำหนักเงียบลงทันใด ‘อวี้เฟิงจวิ้นซาน’ บุรุษวัยกลางคนผมสีดอกเลาผู้เจนโลก เดินออกมาจากประตูข้างของโถงตำหนัก มีพ่อบ้านถงติดตามอยู่ข้างกาย

อวี้เฟิงจวิ้นซานผู้นี้ทำให้สกุลอวี้เฟิงรุ่งเรืองขึ้นมา ตนเองสามารถบำเพ็ญจนถึงระดับขั้นจักรพรรดิเทพได้ และถึงขั้นบุกเบิกขุมอำนาจฝ่ายหนึ่งขึ้นมา ช่างเป็นวีรบุรุษโดยแท้ เพียงแต่วันนี้ใบหน้าของอวี้เฟิงจวิ้นซานเคร่งขรึมดุจวารี เขาเดินไปถึงหน้าบัลลังก์ที่ตั้งอยู่ในตำแหน่งประธานแล้วก็ยืนตรงแน่วโดยมิได้นั่งลง เขามองลงไปเบื้องล่างแล้วเอ่ยปากว่า “ข้ารู้ว่าทุกท่านคงกำลังคาดเดากันอยู่ ว่าจู่ๆ ข้าก็เรียกทุกท่านมารวมตัวกันอย่างกะทันหันด้วยเหตุใดกัน!”

ฝูงชนเบื้องล่างพากันเงยหน้ามองอวี้เฟิงจวิ้นซาน

“มีศัตรูที่แข็งแกร่งกำลังมุ่งสังหารมาทางเมืองจวิ้นซานของเรา” อวี้เฟิงจวิ้นซานมองไปเบื้องล่าง “คาดว่าอีกครึ่งชั่วยามให้หลังก็จะมาถึงแล้ว”

“อะไรนะ”

“ศัตรูที่แข็งแกร่งหรือ”

“ครึ่งชั่วยามหรือ”

ทันใดนั้นภายในโถงตำหนักก็เต็มไปด้วยความอลหม่าน ข่าวนี้มาอย่างกะทันหันเกินไปแล้ว

“ท่านเจ้าเมือง ศัตรูที่แข็งแกร่งอะไรกัน เหตุใดจึงมาโจมตีเมืองจวิ้นซานของเราเล่า” เบื้องล่างราวกับเกิดจลาจลขึ้นมา

อวี้เฟิงจวิ้นซานขมวดคิ้วน้อยๆ พลางแค่นเสียงเบาๆ คราหนึ่ง โถงตำหนักเงียบลงทันที

“ศัตรูมีพลังแข็งแกร่งมาก นอกจากนี้ยังเป็นศัตรูตัวฉกาจของสกุลอวี้เฟิงเราอีกด้วย ไม่มีทางแก้ไขได้เลย” อวี้เฟิงจวิ้นซานมองลงไปเบื้องล่าง พูดพลางยิ้มเย็น “ข้ารู้ว่าทุกท่านกำลังคิดว่า มีความแค้นกับสกุลอวี้เฟิงมิได้มีความแค้นกับพวกท่านเสียหน่อย ถูกต้องหรือไม่”

ผู้แกร่งกล้าหลายคนด้านล่างสีหน้าเปลี่ยนแปรไปเล็กน้อย

“ข้าอวี้เฟิงจวิ้นซานปกครองเมืองจวิ้นซานมาจวบจนบัดนี้ ดูแลพวกท่านดีไม่น้อย บัดนี้เมื่อเผชิญกับวิกฤต ก็ขอเชิญให้ทุกท่านช่วยอุทิศแรงสักหน่อย” อวี้เฟิงจวิ้นซานกล่าว แม้ปากจะพูดว่า ‘เชิญ’ แต่ทุกคนในที่นั้นต่างก็สัมผัสได้ถึงปณิธานอันแรงกล้าของอวี้เฟิงจวิ้นซาน! เห็นได้ชัดว่าทุกคนในที่นั้นต้องตอบตกลงสถานเดียว มิเช่นนั้นแล้วค่ายกลต่างๆ ทั่วจวนสกุลอวี้เฟิงก็มีสกุลอวี้เฟิงเป็นผู้ควบคุมทั้งสิ้น

เดิมทีสกุลอวี้เฟิงก็แข็งแกร่งอยู่แล้ว ทั้งยังควบคุมค่ายกลด้วย

แล้วพวกเขาจะกล้าต่อต้านได้อย่างไรกัน

“ข้าและคนอื่นๆ ย่อมทำอย่างสุดกำลังแน่นอน”

“ท่านเจ้าเมือง สกุลอวี้เฟิงมีบุญคุณต่อพวกเรา บัดนี้ย่อมไม่ถอยแน่นอน” ทันใดนั้นก็มีผู้แกร่งกล้หลายคนเป็นฝ่ายเอ่ยปากออกมาเอง ผู้ที่สามารถมีชีวิตรอดมาจนถึงวันนี้ได้ก็ล้วนแต่ไม่โง่งม พวกเขาล้วนรู้ว่าเวลานี้คิดจะหนีก็หนีไม่พ้นแล้ว

“อื้ม” อวี้เฟิงจวิ้นซานพยักหน้า “วางใจให้เต็มที่เถิด ถึงตอนนั้นข้าจะรับมือศัตรูที่อันตรายที่สุดเอง และผู้แกร่งกล้าทั้งหลายของสกุลอวี้เฟิงเราก็จะไปรับมือด้วยเช่นกัน พวกเจ้ามีพละกำลังของค่ายกลคอยช่วยเสริมแรง ศัตรูที่เผชิญหน้าก็แข็งแกร่งไปไม่ถึงไหนหรอก”

ทุกคนในที่นั้นทำได้เพียงเลือกที่จะเชื่อเท่านั้น ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว

ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังอยู่เงียบๆ ท่ามกลางกลุ่มคน

ศัตรูที่แข็งแกร่งหรือ

ทำให้อวี้เฟิงจวิ้นซานต้องบีบบังคับยอดฝีมือทั้งหลายในเมือง เห็นทีศัตรูคงจะมีภัยคุกคามมากทีเดียว

อวี้เฟิงชิงอินซึ่งยืนอยู่ข้างกายเขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ลอบส่งสารให้ตงป๋อเสวี่ยอิงว่า “ท่านอาจารย์ ศัตรูแข็งแกร่งนัก พวกเราสกุลอวี้เฟิงต้านทานเอาไว้ไม่ไหว ท่านอาจารย์จะต้องไปซ่อนตัวให้ไกลหน่อย ถ่อมตัวหน่อย หากสบโอกาสก็รีบหนีไปเสียเถิด ไม่จำเป็นต้องตายไปพร้อมกับสกุลอวี้เฟิงของข้าหรอก” พวกอวี้เฟิงชิงอินได้รับคำสั่งอันเข้มงวดมาก่อนแล้วว่าห้ามแพร่งพรายเรื่องนี้ให้คนภายนอกรู้

“ต้านไว้ไม่ไหวหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกใจ เขาหันกลับไปมองศิษย์ของตน

อวี้เฟิงชิงอินมองเขาพลางพยักหน้าน้อยๆ ขณะเดียวกันก็ส่งสารไปว่า “ท่านอาจารย์ นี่คือหายนะของสกุลอวี้เฟิงเรา ได้รู้จักท่านอาจารย์ก่อนหายนะครั้งใหญ่ นับได้ว่าเป็นโชคดีของชิงอินแล้ว เพียงแต่ครั้งนี้หายนะอันตรายเกินไป อาจารย์อย่าได้ถลำลึกเข้าไปมากนักเลย ไม่มีประโยชน์หรอก ศัตรูแข็งแกร่งเกินไป แข็งแกร่งเกว่าสกุลอวี้เฟิงของข้ามากนัก”

ตงป๋อเสวี่ยอิสัมผัสได้ถึงความร้อนรนใจและความเป็นห่วงของศิษย์

พวกชิงอินเตรียมตัวสู้จนตัวตายแล้วอย่างนั้นหรือ เจ้าศิษย์ทึ่มนี่!

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองอวี้เฟิงชิงอิน ยิ้มแล้วยิ้มอีกก่อนจะถ่ายเสียงบอกว่า “วางใจเถิด แต่ไหนแต่ไรอาจารย์ไม่เคยทำเรื่องที่ไม่มั่นใจอยู่แล้ว”

อวี้เฟิงชิงอินฟังแล้วก็ทั้งวางใจ ทั้งผิดหวังอยู่บ้างที่อาจารย์ไม่สนใจความเป็นความตายของศิษย์อย่างตนเลยแม้แต่น้อย

………………………………

“ทว่าคัมภีร์ก็ศึกษาหมดแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยรอยยิ้มออกมา

เขาได้ต้นฉบับคัมภีร์แมลงมารห้วงอากาศมาอยู่ในมือ ส่วนคัมภีร์ระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางอีกสองวิชาที่เหลือได้แก่คัมภีร์ฟ้าดินและคัมภีร์ไร้ขอบเขต ตนก็ได้ศึกษาแล้ว ตลอดคืนวันอันยาวนานในโลกใบนี้ สติปัญญาที่ตกผลึกของผู้เหินทะยานทางด้านวิถีอากาศระดับยอดสุดก็คือคัมภีร์ ‘ระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้าย’ หนึ่งเล่มและคัมภีร์จักรพรรดิเทพช่วงกลางสองเล่มที่พวกเขาคิดค้นขึ้น

คัมภีร์จักรพรรดิเทพช่วงท้ายเล่มนั้นไม่เคยเผยแพร่ออกไปภายนอก และยังศึกษามิได้ด้วย

ส่วนจักรพรรดิเทพช่วงกลาง เนื่องจากมีเผยแพร่ออกไปสู่โลกภายนอก ตนจึงสามารถใช้ของแลกของเพื่อศึกษาได้

“ซึมซับสติปัญญาของผู้แกร่งกล้าคนอื่นให้ตนเองใช้” ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิแล้วเริ่มตั้งใจรับรู้ขึ้นมา

ผู้แกร่งกล้าคนหนึ่ง ควรจะรู้จักศึกษาสิ่งอื่น

ศึกษาจากฟ้าดิน!

ศึกษาจากหมื่นสรรพสิ่ง!

ศึกษาจากผู้อื่น!

ซึมซับและรับรู้จากบริเวณต่างๆ หลอมรวมเข้าไปในกายตนเอง แล้วบุกเบิกเส้นทางของตนเองขึ้นมา

……

คัมภีร์ทั้งสามเล่มนี้ล้วนแต่เยี่ยมยอดมาก ต่อให้เป็นคัมภีร์แมลงมารห้วงอากาศระดับจักรพรรดิเทพช่วงต้นก็ยอดเยี่ยมมาก เพราะถึงอย่างไรนี่ก็คือเคล็ดวิชาอันมั่นคง สิ่งที่คัมภีร์แมลงมารห้วงอากาศเชี่ยวชาญที่สุดก็คือศาสตร์การเหินทะยาน เมื่อทะยานไปก็เหมือนกับแมลงมารตัวหนึ่งที่เคลื่อนไหว แม้จะมิอาจทะลุอากาศไปได้ แต่ความเร็วกลับเหนือกว่าจักรพรรดิเทพช่วงต้นคนอื่นๆ อยู่มากทีเดียว โดยทั่วไปแล้วจักรพรรดิเทพช่วงกลางก็มิอาจไล่ตามได้ทัน!

ทว่าเคล็ดวิชานี้ หนีเอาชีวิตรอดได้ร้ายกาจ แต่ทางด้านการต่อสู้กลับอ่อนแอกว่าอยู่บ้าง

ส่วนคัมภีร์ระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางทั้งสองคือคัมภีร์ฟ้าดินและคัมภีร์ไร้ขอบเขตนั้นก็ร้ายกาจนัก! พวกมันล้วนแต่เป็นเคล็ดวิชาฝึกกาย

คัมภีร์ฟ้าดิน เป็นการฝึกให้ทั้งร่างกลายเป็นฟ้าดินขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง กล้ามเนื้อก็เหมือนกับผืนดินอันหนักแน่นซึ่งไร้ที่สิ้นสุด กระดูกประหนึ่งเทือกเขา โลหิตดุจดั่งสายน้ำกลางอากาศที่ทอดตัวออกไป และยังมีดาวเคราะห์ เทหวัตถุต่างๆ ล่องลอยอยู่ สายน้ำทอดตัวออกไป…โลกใบนี้กว้างใหญ่หาใดเปรียบ มีเทหวัตถุและผืนดิน

ร่างกายร่างหนึ่ง ภายในมีโลกหลายใบที่หลอมรวมกันอย่างสมบูรณ์แบบ

เมื่อฝึกเคล็ดวิชานี้จนถึงช่วงท้าย ขณะต่อสู้ก็จะถูกบีบบังคับจนเผยให้เห็น ‘ร่างจริง’ อันแข็งแกร่ง ออกมา ต่อให้อยู่ในโลกเทพ ร่างจริงที่เผยออกมาก็ใหญ่โตถึงหลายหมื่นลี้! ใหญ่กว่าชาวโลกเทพระดับจักรพรรดิเทพหลายคนมากทีเดียว ร่างกายใหญ่โต พลังยิ่งใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด! แต่ละกระบวนท่าล้วนเหิมเกริมหาใดเปรียบ ในฐานะผู้เหินทะยาน ต่อให้เป็นจักรพรรดิเทพช่วงกลาง พลังรบก็เทียบได้กับยอดฝีมือระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายแล้ว

แม้คัมภีร์ไร้ขอบเขตจะเป็นเคล็ดวิชาฝึกกายเช่นเดียวกัน แต่กลับแตกต่างกับคัมภีร์ฟ้าดินอย่างสิ้นเชิง

ฟ้าดิน แทบจะเป็นการนำเอาโครงสร้างโลกชนิดต่างๆ หลอมรวมเข้าไปภายในกายหยาบอย่างสมบูรณ์แบบ

ส่วนคัมภีร์ไร้ขอบเขตกลับมีเพียงคำเดียว…ว่างเปล่า!

ทุกอณูภายในกายหยาบล้วนเหมือนกับมิติอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งหนึ่ง ทั้งกายหยาบก็คือมิติใหญ่ห่อหุ้มมิติขนาดเล็ก มิติขนาดใหญ่ยิ่งหุ้มมิติขนาดใหญ่เอาไว้อีกที…ห่อหุ้มชั้นแล้วชั้นเล่า ผู้แกร่งกล้าที่ฝึกฝนเคล็ดวิชานี้ กายหยาบก็คือมิติที่มีจำนวนชั้นจำนวนนับไม่ถ้วน ซึ่งก่อให้เกิดเป็นร่างรวมอันสมบูรณ์แบบขึ้นมาในท้ายที่สุด หากฝึกฝนเคล็ดวิชานี้ ขณะสู้รบก็พิสดารมากทีเดียว

ต่อให้อยู่ภายใต้การกดดันของโลกเทพ ใหญ่ ก็สามารถแปรเป็นยักษ์ตัวใหญ่นับล้านลี้ได้! เล็ก ก็เหมือนมดแมลง

หากยอดฝีมือระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายโจมตีอย่างสุดกำลังครั้งหนึ่งลงบนร่างของเขา มิติซึ่งมีชั้นจำนวนนับไม่ถ้วนภายในกายหยาบก็สามารถดูดซึมพละกำลังที่เข้ามาโจมตีได้อย่างง่ายดาย! เขายืนอยู่ตรงนั้น ปล่อยให้ศัตรูโจมตี ศัตรูก็มิอาจทำให้เขาบาดเจ็บได้แม้แต่น้อย ต่อให้เป็นบรรดาสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดหวั่นซึ่งจัดอยู่ในสามสิบอันดับแรกของโลกใบนี้ ก็ทำได้เพียงทำให้เขาได้รับบาดเจ็บเท่านั้น ยากจะสังหารเขาได้

หากพูดถึงความสามารถในการรักษาชีวิต

คัมภีร์ไร้ขอบเขต เหนือกว่าคัมภีร์ฟ้าดินเสียอีก

แต่เมื่อเทียบกันแล้ว คัมภีร์ฟ้าดินนั้นสมดุลกว่า ไม่ว่าจะเป็นด้านการรักษาชีวิตหรือการห้ำหั่นซึ่งหน้า ล้วนสามารถเทียบได้กับระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้าย

“ผู้คิดค้นเคล็ดวิชานี้ ได้ทุ่มเทเลือดเนื้อและจิตใจไปจำนวนนับไม่ถ้วนบนเส้นทางเหล่านี้” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจดีมากว่า ตนอาจจะสามารถศึกษาได้ แต่ต่อจากนั้นจะคิดค้นต่อไปน่ะหรือ ไหนเลยจะเทียบได้กับผู้คิดค้นซึ่งบุกเบิกขึ้นมาทีละก้าวๆ ด้วยความลำบากยากเข็ญจนถึงทุกวันนี้ได้เล่า

“เคล็ดวิชาทั้งสองนี้ล้วนแต่มีจุดบกพร่อง”

“คัมภีร์ฟ้าดินทะเยอทะยานไปหน่อย จะทำให้ร่างกายกลายเป็นโลก เกี่ยวโยงกับการหมุนเวียนของโลกมากมายเกินไป การหมุนเวียนต่างๆ ซับซ้อนเกินไปแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า “ต่อให้เป็นจักรพรรดิเทพช่วงกลาง ข้าก็รู้สึกว่าซับซ้อนจนถึงขั้นน่าเหลือเชื่อ จะไปถึงช่วงท้าย ไปจนถึงขั้นครบสมบูรณ์ หรือกระทั่งกลายเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นน่ะหรือ คิดๆ ดูก็รู้สึกว่าทางเส้นนี้ยากเกินไปแล้ว”

แน่นอนว่าผู้แกร่งกล้าแต่ละคนรู้เกี่ยวกับเข้าใจเรื่อง ‘วิถี’ แตกต่างกัน

ตัวเขาตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าทางเส้นนี้แทบจะเป็นทางตัน แต่คนอื่นกลับรู้สึกว่าเป็นเส้นทางที่มีความหวังมากที่สุด

“คัมภีร์ไร้ขอบเขตก็สุดโต่งเกินไปแล้ว ใฝ่หาความสามารถในการรักษาชีวิตขั้นสุดเลยทีเดียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ

……

คัมภีร์ทั้งสามเล่มนี้ล้วนมีสิ่งที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งสิ้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เก็บตัวแล้วตั้งใจขัดเกลา ร่างแยกที่อยู่ไกลถึงในดินแดนจิตโลกาและอากาศอันสับสนอลหม่านบ้านเกิดก็ล้วนกำลังรับรู้อยู่เช่นกัน เมื่อรับรู้มัน ซึมซับความเร้นลับของกฎเกณฑ์ หลอมรวมเข้าไปในการฝึกกายคละถิ่นของตน

ด้านการฝึกกายคละถิ่นของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ค่อยๆ ฟื้นฟูพลังจนถึงระดับ ‘จักรพรรดิเทพช่วงต้น’ ในที่สุด แม้แต่เคล็ดวิชาฝึกกายซึ่งเดิมทีไม่มั่นคงเท่าใดนักก็ยังค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป และซึมซับการโอบอุ้มของคัมภีร์ไร้ขอบเขต ซึมซับการหมุนเวียนของคัมภีร์ฟ้าดิน เคล็ดวิชาฝึกกายคละถิ่นของตนก็ค่อยๆ มั่นคงขึ้นมา อีกทั้งเนื่องจากอยู่ในดินแดนจิตโลกาและอยู่ในโลกใบนี้ ได้ใช้ความเร้นลับวิถีอากาศที่แตกต่างกัน บรรลุถึงระดับจักรพรรดิเทพช่วงต้นได้ต่อเนื่องกัน และทำให้เขาสั่งสมได้อย่างหนาแน่นมากขึ้น

******

เพียงพริบตาเดียวก็เป็นเวลาแปดล้านกว่าปีหลังจากที่ตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึงโลกใบนี้แล้ว

……

ท่ามกลางเมฆหมอกอันเวิ้งว้าง เรือใหญ่ลำหนึ่งกำลังบินเหินไปด้วยความเร็วสูง

บนเรือใหญ่ บรรดาทหารรักษาการณ์ซึ่งแผ่กลิ่นอายระดับจ้าวเทพออกมากระจายตัวกันอยู่ทั้งซ้ายขวา

“ฟิ้ว”

เงาร่างองอาจสายหนึ่งเดินออกมาจากห้องโดยสารห้องหนึ่งบนเรือ เขาสวมอาภรณ์สีดำหนาเตอะ เขาเดินไปยังหัวเรือ ด้านหลังเขามีเงาร่างห้าสายติดตามมา ทั้งห้าคนนั้นมีทั้งชายหญิงซึ่งแผ่กลิ่นอายของจักรพรรดิเทพช่วงต้นออกมา

“ใกล้ถึงเมืองจวิ้นซานแล้วกระมัง” ชายชราผู้องอาจผู้นี้เอ่ยปาก

“ด้วยความเร็วในตอนนี้ คาดว่าต้องใช้เวลาราวห้าวัน” สตรีอาภรณ์เขียวคนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังสัมผัสรับรู้ดูห่างๆ คราหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น

“ยังเหลืออีกห้าวัน!” ชายชราผู้องอาจมองดูอยู่ไกลๆ มุมปากกระดกขึ้นเล็กน้อย “อวี้เฟิงจวิ้นซาน วันคืนอันสงบสุขของเจ้าเหลือเพียงห้าวันเท่านั้น”

“พี่ใหญ่ นับตั้งแต่พลังของท่านบรรลุแล้ว สกุลอวี้เฟิงนี่ก็เตรียมกองวาณิชมุ่งหน้าไปยังตัวเมืองอื่นๆ มากมาย แม้จะกล่าวว่าเป็นกองวาณิช แต่อันที่จริงแล้วกลับพาลูกหลานสกุลอวี้เฟิงจำนวนมากไปด้วย ลูกหลานสกุลอวี้เฟิงกระจายตัวกันอยู่ตามตัวเมืองต่างๆ มากมายยิ่งนัก! ลูกหลานเหล่านั้นล้วนแต่เป็นผู้ที่ไม่มีชื่อเสียงเรียงนามอะไรนัก จะหาตัวให้พบก็ยากมาก” บุรุษอาภรณ์ขาวคนหนึ่งเอ่ยขึ้น

“ทำเช่นไรได้เล่า”

ชายชราผู้องอาจพูดเสียงเรียบ “นี่เป็นวิธีที่สง่าผ่าเผย ลูกหลานสกุลอวี้เฟิงกระจัดกระจายไปหลายเมืองถึงเพียงนั้น อีกทั้งแต่ละคนก็ยังเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ อีกด้วย ไม่มีทางตามหาได้พบ และไม่คุ้มค่าที่จะหาด้วย”

ตามหาหรือ

โดยทั่วไปแล้วก็อาศัยวิชาสะกดรอย ซึ่งการสะกดรอยนั้น อย่างแรกจะต้องสร้างเหตุปัจจัยต่อกันเสียก่อน! ลูกหลานทั่วไปของสกุลอวี้เฟิงนั้น จะมาสร้างเหตุปัจจัยกับพวกเขาก็ยากยิ่งนัก คงเล็กละเอียดเสียจนยากจะจะตรวจสอบได้ เพราะถึงอย่างไรบัดนี้ก็หาไม่พบกันหมดแล้ว

“ในภายหน้าก็มีแต่ต้องจับตามองเอาไว้ก็เท่านั้น หากพบว่ามีผู้ใดรุ่งโรจน์ขึ้นมาด้วยชื่อเสียงของสกุลอวี้เฟิง ก็ค่อยไปกำจัดก็เท่านั้นเอง” บุรุษผู้องอาจกล่าว “ขอเพียงพวกเขามิได้รุ่งโรจน์ขึ้นมา ก็ไม่จำเป็นต้องไปใส่ใจลูกหลานที่อ่อนแอเหล่านั้นหรอก”

“ใช่แล้ว ไม่ต้องไปสนใจพวกเขาเลย”

“สกุลอวี้เฟิงเป็นขุมอำนาจเล็กๆ ในโลกเทพ คิดจะมีจักรพรรดิเทพขึ้นมาสักคนก็ทำได้เพียงฝันไปเท่านั้น”

พวกเขาแต่ละคนล้วนรังเกียจ

อัตรส่นที่จะให้กำเนิดจักรพรรดิเทพขึ้นมานั้นยากเย็นเพียงใดกัน

ต่อให้ถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว คนสมาคมจิตมารก็สามารถกำจัดทิ้งได้หมด!

“กำจัดอวี้เฟิงจวิ้นซานและบุตรธิดาที่รักของเขารวมทั้งยอดฝีมือคนสำคัญทั้งหลายของสกุลอวี้เฟิงให้หมด ล้างเผ่าพันธุ์ของทั้งสกุลอวี้เฟิงที่ยังคงอยู่ในเมืองจวิ้นซานให้สิ้นซาก ความแค้นนี้ ก็จะดับลงไปชั่วคราว! ข้ายังเมตตามากนัก” บุรุษผู้องอาจยิ้มน้อยๆ แต่รอยยิ้มกลับเหี้ยมเกรียมอยู่บ้าง “อวี้เฟิงจวิ้นซานผู้นี้ก็นับได้ว่าหาญกล้าอยู่เหมือนกัน อยู่ในเมืองมาตลอด มิได้หนีไปข้างนอกเลย”

“เขาจะหนีก็หนีไม่พ้น! พวกเราสะกดรอยคอยจับตามองเขา เขาไม่มีที่ให้หนีไปหรอก ”

“เกรงว่าเขาอยู่ในเมืองจวิ้นซานก็เพราะจะอาศัยความได้เปรียบทางด้านพื้นที่สู้กับพวกเราให้รู้ดำรู้แดงสักตั้งน่ะสิ”

“สู้กับพวกเราสมาคมจิตมารให้รู้ดำรู้แดงอย่างนั้นหรือ ฮ่าฮ่า ช่างน่าขันนัก ด้วยการโจมตีของพวกเรา เกรงว่าทั้งเมืองจวิ้นซานคงจะต้านรับไม่ได้สักชั่วจอกชาเดียวเสียด้วยซ้ำ”

จักรพรรดิเทพอีกห้าคนพากันยิ้มหยัน

ด้วยพลังของคนสมาคมจิตมารที่บัดนี้จัดอยู่ในรายนามจักรพรรดิเทพ ผู้ใต้บังคับบัญชามียอดฝีมือระดับจักรพรรดิเทพช่วงต้นเพียงห้าคนเท่านั้น สาเหตุเพราะเขาบรรลุได้ไม่นานเท่าใดนัก โดยทั่วไปพลังระดับคนสมาคมจิตมารนั้น มีผู้ใต้บังคับบัญชาระดับจักรพรรดิเทพสิบกว่าคนก็ถือเป็นเรื่องปกตินัก

“แม้พลังของเมืองจวิ้นซานจะธรรมดาทั่วไป แต่เจ้าและคนอื่นๆ ก็ต้องระมัดระวัง อีกฝ่ายจะสู้เอาเป็นเอาตายแล้ว พวกเราไม่ใช่แค่ต้องฆ่าพวกเขาให้เกลี้ยงเท่านั้น แต่ยังต้องลดความเสียหายของตนให้ต่ำที่สุดด้วย” คนสมาคมจิตมารหมุนกายกลับมามองลูกน้องทั้งห้าแวบหนึ่ง

“ขอรับ พี่ใหญ่” จักรพรรดิเทพทั้งห้ารับคำ

คนสมาคมจิตมารพยักหน้าน้อยๆ แล้วก็สาวเท้าเข้าไปในห้องโดยสาร

………………………………

“ใช้ของแลกของ มีปัญหาอยู่สองอย่าง!”

“คัมภีร์ระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลาง เป็นมรดกตกทอดที่สำคัญที่สุดของขุมอำนาจใหญ่ทางฝ่ายหนึ่ง ไม่มีทางเผยแพร่ออกไปภายนอกโดยง่าย! ปัญหาแรกก็คือ จะต้องทุ่มเทมากพอจะให้พวกเขายอมยกเว้นให้ได้ เมื่อกำจัดจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาและจักรพรรดิเทพเฟิงเซียว สมบัติล้ำค่าของข้าก็มีมากพอแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ สมบัติล้ำค่ามูลค่าเทียบเท่าหยกแก้วคละถิ่นหนึ่งพันกว่าก้อน น่าจะพอซื้อคัมภีร์จักรพรรดิเทพช่วงกลางได้สักสองเล่มแล้ว

“ปัญหาที่สองก็คือ เมื่อข้าคิดจะไปแลกเปลี่ยน แม้แต่คนโง่ก็คงจะเดาได้ว่าข้ามีสมบัติล้ำค่ามากพอจะไปแลก” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบร่ำร้องในใจ “เรื่องการฆ่าคนเพื่อชิงทรัพย์ก็อาจจะเกิดขึ้นได้”

หากตนเป็นจักรพรรดิเทพที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก อีกฝ่ายก็อาจจะไม่ลงมือง่ายๆ

สังหารจ้าวเทพคนหนึ่งเพื่อชิงทรัพย์อย่างนั้นหรือ

ยั่วยวนใจมากทีเดียว!

“เฮอะ ข้าใช้ของแลกของ ให้ได้มาอยู่ในมือโดยเร็วที่สุด เมื่อได้มาแล้วก็รีบจากไป หากมีผู้แกร่งกล้าจับตามองข้าจริงๆ เช่นนั้นก็คงทำเพียงนับว่าเขาโชคไม่ดีแล้วล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ ในโลกเทพนี้มีสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดหวั่นจำนวนมากที่ตนรับมือไม่ไหวจริงๆ แต่สิ่งมีชีวิตระดับนั้น ก็คงรังเกียจที่จะมาช่วงชิงสมบัติล้ำค่าน้อยนิดเท่านี้ของตนไป

“เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน!” ตงป๋อเสวี่ยอิงกินดื่มอยู่ในโรงสุราข้างทางแห่งนี้ และตัดสินใจได้ในที่สุด

******

เช้าตรู่วันต่อมา

บุรุษในอาภรณ์สีนวลดุจจันทราแบกกระบี่เทพเล่มหนึ่งเอาไว้บนหลัง มาถึงหน้าประตู ‘วังเมฆจรัส’ วังขนาดมหึมาซึ่งลอยล่องอยู่กลางฟากฟ้าของ ‘เมืองเมฆจรัส’ หนึ่งในเมืองใหญ่ระดับยอดสุดของโลกเทพ

คัมภีร์ผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางทางด้านวิถีอากาศนั้นมีทั้งหมดสองชนิดด้วยกัน แม้จะมีการเผยแพร่สู่ภายนอกทั้งหมด แต่ผู้ที่สามารถเก็บสะสมต้นฉบับเอาไว้ได้ก็ล้วนแต่เป็นขุมอำนาจใหญ่ของโลกเทพทั้งสิ้น! ก่อนหน้านี้ตงป๋อเสวี่ยอิงเก็บรวบรวมรายงานเกี่ยวกับคัมภีร์ จึงย่อมรู้ดีว่าคัมภีร์เหล่านี้อยู่แห่งหนใด เมื่อผ่านการคัดเลือก ตงป๋อเสวี่ยอิงก็กำหนดจุดหมายแรกว่าเป็นวังเมฆจรัส

วังเมฆจรัสแห่งเมืองเมฆจรัสมีชื่อเสียงโด่งดังมากในโลกเทพ แม้พลังของประมุขวังเมฆจรัสจะเป็นเพียงจักรพรรดิเทพช่วงกลางเท่านั้น แต่ว่ากันว่าประมุขวังเมฆจรัสนั้นเป็นถึงหนึ่งในฮูหยินของบรรพเทวะคละถิ่นผู้อยู่เบื้องหลัง ‘ตระกูลจินเซิ่ง’ ซึ่งเป็นหนึ่งในสามตระกูลราชันย์! เมื่อมีสถานะเช่นนี้ สถานะของประมุขวังเมฆจรัสก็ย่อมไม่ธรรมดา

“ได้ยินมาว่า ประมุขวังเมฆจรัสผู้นี้ไม่ชอบการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นที่สุด ในวังของนาง ไม่มีผู้ใดกล้าลงมือสังหารข้าเพื่อชิงทรัพย์หรอก ส่วนเมื่อออกจากวังไปแล้วน่ะหรือ ข้าสามารถหนีจากไปได้อย่างรวดเร็วอยู่แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ

สวบ

ตงป๋อเสวี่ยอิงบินไปถึงหน้าประตูวังเมฆจรัส สายตาของทหารรักษาการณ์หญิงตรงหน้าประคูวังเมฆจรัสกลุ่มนั้นหยุดลงที่ร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงทันใด ตงป๋อเสวี่ยอิงก็หยุดลงทันทีอย่างเชื่อฟัง จากนั้นก็โค้งคำนับแล้วเอ่ยว่า “ข้าน้อยจ้าวเทพชิงเฟิง ผู้เหินทะยานซึ่งบำเพ็ญทางด้านวิถีอากาศบนเส้นทางการบำเพ็ญอันแสนยากลำบาก ตั้งใจมาที่วังเมฆจรัสโดยเฉพาะ ข้ายินดีอุทิศดอกจิ้นหลานอันล้ำค่าสามดอก ขอเพียงได้ยลคัมภีร์ฟ้าดินซึ่งเป็นคัมภีร์ของผู้เหินทะยานสักครั้ง”

“อุทิศดอกจิ้นหลานอันล้ำค่าหรือ” ทหารรักษาการณ์หญิงเหล่านั้นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็มีคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมาว่า “จ้าวเทพท่านนี้ โปรดรออยู่ที่นี่สักครู่ ข้าจะไปรายงานเดี๋ยวนี้แหละ”

แม้อันที่จริงแล้วจะเป็นการใช้ของแลกของ แต่ก็มิอาจพูดออกไปตรงๆ เช่นนี้ได้

ผู้แกร่งกล้าก็ต้องการหน้าเช่นเดียวกัน

“ท่านก็คือจ้าวเทพชิงเฟิงหรือ” ชั่วจอกชาให้หลัง ยายเฒ่าคนหนึ่งก็เดินออกมา กลิ่นอายที่แผ่ออกมาเป็นระดับจักรพรรดิเทพช่วงต้น เพราะถึงอย่างไรก็เป็นวังเมฆจรัสซึ่งมีชื่อเสียงเกรียงไกรในโลกเทพ แม้ประมุขวังจะมีพลังอ่อนแออยู่บ้าง แต่ยอดฝีมือกลับมีไม่น้อย ภายในวังแห่งนี้มีระดับจักรพรรดิเทพกว่าร้อยคนเลยทีเดียว!

“ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงรับคำ วางตนให้เป็นผู้เหินทะยานผู้นอบน้อมคนหนึ่ง

“ตามข้ามาเถิด” ยายเฒ่าหมุนกายเดินเข้าไปข้างใน

ตงป๋อเสวี่ยอิงยินดีอยู่ลึกๆ ในใจ เขารีบตามเข้าไปในวัง

“ภายในวังเมฆจรัสมิอาจเดินสะเปะสะปะได้ จำเอาไว้ เดินตามข้ามาให้ตลอดล่ะ” ยายเฒ่ากวาดตามองตงป๋อเสวี่ยอิงแวบหนึ่ง

“ขอรับๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดอย่างเชื่อฟัง

“ได้ยินมาว่าเจ้าจะอุทิศดอกจิ้นหลานอันล้ำค่าให้หรือ เพราะอยากจะดูคัมภีร์ผู้เหินทะยานอย่างคัมภีร์ฟ้าดินครั้งเดียวน่ะหรือ” ยายเฒ่าเอ่ยขึ้นอีก

“ข้าและผู้เหินทะยานคนอื่นๆไม่มีสายเลือดอย่างบรรพเทวะคละถิ่น บำเพ็ญอย่างยากลำบาก แม้ข้าจะอยากได้คัมภีร์ของบรรพชนมาโดยตลอด แต่ก็ลำบากที่ไม่มีสมบัติล้ำค่า พลังก็อ่อนแออยู่เล็กน้อย เคราะห์ดีที่ก่อนหน้านี้เมื่อบุกฝ่าอยู่ท่ามกลางความรกร้างได้พบดอกจิ้นหลานเข้าสามดอก จึงกล้ามาที่นี่เพื่อวิงวอน” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว ยายเฒ่าฟังแล้วก็พยักหน้าเล็กน้อย “แม้ผู้เหินทะยานอย่างพวกเจ้าจะมีพรสวรรค์สูงส่งอย่างยิ่งกันทั้งนั้น แต่เมื่อไม่มีสายเลือดบรรพเทวะ ผู้ที่สำเร็จเป็นจักรพรรดิเทพก็มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย เจ้าสามารถมอบดอกจิ้นหลานให้ได้สามดอก ก็นับว่ามีความจริงใจอยู่บ้าง ก่อนหน้านี้ท่านรองประมุขวังของเราทราบเรื่องนี้แล้วก็ตอบตกลง หากได้คัมภีร์มา ความหวังที่เจ้าจะสำเร็จเป็นจักรพรรดิเทพก็อาจจะเพิ่มขึ้นหลายส่วนกระมัง”

“ขอบคุณท่านรองประมุขวังที่เมตตา” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว

รองประมุขวังทั้งสามของวังเมฆจรัสล้วนแต่เป็นสตรีทั้งสิ้น ได้ยินมาว่าเป็นคนที่บรรพเทวะคละถิ่นผู้นั้นจัดมาเพื่ออารักขาประมุขวังเมฆจรัส ตามปกติแล้ว ธุระต่างๆล้วนเป็นบรรดารองประมุขวังที่ตัดสินใจ

ทั้งสองเดินไปพลาง สนทนากันไปพลางด้วยความเร็วสูงยิ่งนัก ไม่นานนักก็มาถึงตรงหน้าหอแห่งหนึ่ง

“เทวทูตอิ่ง รองประมุขวังกำชัยมาว่า นี่คือคัมภีร์เจ้าค่ะ” มีทหารรักษาการณ์คนหนึ่งเดินออกมาจากภายในหอทันที แล้วส่งคัมภีร์เล่มหนึ่งให้ยายเฒ่า

“เอ๊ะ” หลังจากยายเฒ่ารับคัมภีร์มาแล้วก็หันกลับมา แต่กลับมิได้มอบให้เขาทันที หากแต่มองมาที่ตงป๋อเสวี่ยอิง

ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจทันที จากนั้นเขาก็พลิกมือหยิบกล่องศิลาใบยาวกล่องหนึ่งออกมาแล้วเปิดออก ภายในก็คือดอกไม้ซึ่งเปล่งแสงสีฟ้ารำไรสามดอก จากนั้นเขาก็ปิดฝากล่องแล้วส่งให้ยายเฒ่าผู้นี้ “นี่ก็คือดอกจิ้นหลาน”

ยายเฒ่าจึงรับกล่องไป แล้วโยนคัมภีร์มาให้ตงป๋อเสวี่ยอิง “รีบอ่านอยู่ตรงนี้ให้เร็วๆ เถิด อ่านจบแล้วก็คืนมาให้ข้า”

“เป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพลิกดูทันที สติรับรู้แทรกซึมเข้าไป ด้วยวิญญาณอันแข็งแกร่งของเขา ไม่นานนักก็จดจำเนื้อหาของคัมภีร์เล่มนี้ได้หมดแล้ว

เพียงอ่านครั้งแรก ก็ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบตกใจ

ไม่เสียทีที่เป็นคัมภีร์ระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลาง

ผู้คิดค้นเคล็ดวิชานี้ขึ้นมามีผลสำเร็จทางด้านวิถีอากาศเหนือกว่าตนอย่างแท้จริง คัมภีร์ฟ้าดินเป็นคัมภีร์ทางด้านวิถีอากาศที่น่าพิศวงมาก ใจความสำคัญก็คือจะฝึกตนให้เป็น ‘ฟ้าดินของโลก’ กายหยาบก็คือโลกใบหนึ่ง ทุกกระบวนท่าจึงย่อมมีพละกำลังหาใดเปรียบ ตงป๋อเสวี่ยอิงอ่านจบแล้วก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมาว่า…ตามเส้นทางของเคล็ดวิชานี้ จุดสุดขั้วตามหลักการ กายหยาบนั้นสามารถเป็นดั่ง ‘โลกกำเนิด’ ใบหนึ่งได้ เช่นนั้นพลังก็ย่อมแข็งแกร่งเสียจนน่ากลัว

แน่นอนว่าบัดนี้เคล็ดวิชานี้ มีขีดจำกัดพลังอยู่ที่จักรพรรดิเทพช่วงกลาง ก็ถือว่าแข็งแกร่งมากแล้ว! อย่างเคล็ดวิชาฝึกกายคละถิ่นที่ตนคิดค้นขึ้นในดินแดนจิตโลกา ท้ายที่สุดก็มีพลังแค่ระดับ ‘จักรพรรดิเทพช่วงต้น’ เท่านั้น ทั้งยังไม่เสถียรอีกด้วย! แน่นอนว่าระยะเวลาในการบำเพ็ญของตนยังสั้นนัก หากนานเข้า เคล็ดวิชาของตนจะต้องเหนือกว่าของอีกฝ่ายอย่างแน่นอน

เพียงแต่โลกใบนี้ทำให้การรับรู้มากมายของตนต้องถูกต้านทาน

การศึกษาคัมภีร์เหล่านี้ สามารถทำให้ตนเติบโตได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

“ได้มาอยู่ในมือแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงดีใจ

……

หลังจากอ่านคัมภีร์จบแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็อำลาจากวังเมฆจรัสมาอย่างรวดเร็ว

“ไม่อยู่แล้วรึ”

เงาร่างสายหนึ่งทะยานออกจากวังเมฆจรัส เป็นสตรีอาภรณ์สีเทานางหนึ่ง นางกวาดตามองรอบด้านด้วยสายตาเย็นชา “หนีได้เร็วจริงๆ”

อุทิศดอกจิ้นหลานให้ถึงสามดอก เพียงเพื่อได้เห็นคัมภีร์ครั้งเดียวเท่านั้น

เมื่อบุคคลระดับสูงของวังเมฆจรัสได้ทราบแล้ว ในจำนวนนั้นก็มีคนที่รู้สึก ‘ใจสั่น’ เพราะถึงอย่างไรการสังหารจ้าวเทพคนหนึ่งก็ง่ายดายยิ่งนัก! พวกนางมิกล้าทำตามอำเภอใจเมื่ออยู่ในวังเมฆจรัส แต่เมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงจากไปก็มีบางคนที่ตามออกมาทันที น่าเสียดายที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาจากไปอย่างเงียบๆ ก่อนแล้ว

******

ครั้งนี้ วังเมฆจรัสนั้นสบายที่สุด

จากนั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ปลอมแปลงตัวตนอีกครั้ง จำแลงกายเป็นมือสังหารไปยัง ‘เมืองฝ่าหมาน’ อีกแห่งหนึ่ง ไหนเลยจะไปคิดว่าเพิ่งจะเข้ามายังจวนท่านเจ้าเมือง ภายในจวนท่านเจ้าเมืองก็มีจักรพรรดิเทพลงมือลอบสังหารตนเสียแล้ว! ช่วยไม่ได้ ตงป๋อเสวี่ยอิงทำได้เพียง ‘ถือโอกาส’ สังหารอีกฝ่ายเท่านั้น ขณะเดียวกับที่สังหารอีกฝ่าย ก็สำแดงศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกาจากมาทันที!

ต่อมา เขาทำได้เพียงแปลงกายไปยัง ‘เมืองหลินเฟิง’ อีกแม้ครั้งนี้จะถูกลอบสังหารเช่นกัน แต่นั่นก็เกิดขึ้นเมื่อเขาศึกษาคัมภีร์เรียบร้อยแล้ว เพิ่งจะออกจากจวนท่านเจ้าเมือง ตนยังมิทันได้หาพื้นที่ลับสักแห่งเพื่อสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกาเลย ศัตรูก็ลงมือเสียแล้ว! ครั้งนี้เป็นจักรพรรดิเทพช่วงต้นสองคนที่ร่วมมือกันจะมาสังหารเขา

ตงป๋อเสวี่ยอิงทำได้เพียง ‘ถือโอกาส’ จัดการไปเท่านั้น จากนั้นก็สำแดงศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกาหนีไปทันที

……

ภายในห้องลับที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเก็บตัวอยู่ในเมืองจวิ้นซาน บุรุษอาภรณ์สีม่วงคนหนึ่งพลันปรากฏกายขึ้นที่นี่ ซึ่งก็คือตงป๋อเสวี่ยอิงที่แปลงกายไปนั่นเอง

“ดิ้นรนไปยกหนึ่ง ก็มีแต่ครั้งที่ไปยังวังเมฆจรัสเท่านั้นที่นับว่าดีหน่อย อีกสองครั้งที่เหลือล้วนต้องลงมือทั้งสิ้น เมื่อนับรวมครั้งที่ไปยังเมืองเจียงหยวนด้วยแล้ว ข้าได้สังหารยอดฝีมือระดับจักรพรรดิเทพช่วงต้นไปทั้งหมดห้าคนตามลำดับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า เขาก็ไม่ยอมอ่อนข้อ เพราะถึงอย่างไร แม้ตนจะไม่รู้ข้อมูลของสามคนหลัง แต่ก็เป็นผู้ที่มาสังหารตนเพื่อชิงทรัพย์เอง ก็ย่อมต้องสังหารกลับโดยไม่ไว้น้ำใจแม้แต่น้อย

………………………………

นัยน์ตาของจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษานั้นหนาวเหน็บและชั่วร้าย แม้จะกำลังมองตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ แต่ก็สอดส่องรอบกายอย่างระมัดระวังไปด้วย จู่ๆ ก็มีจักรพรรดิเทพคนหนึ่งโผล่มาอย่างนั้นหรือ หรือว่าในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ที่จ้าวเทพเมฆาเขียวพกติดตัวจะมีจักรพรรดิเทพแอบซ่อนอยู่แล้ว

“เอ๊ะ สายตาของจ้าวเทพเมฆาเขียวผู้นี้นี่มันอะไรกัน” เมื่อจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาปัดป่ายกรงเล็บ หมายจะตะปบชายหนุ่มชุดดำตรงหน้าให้กลายเป็นผุยผงไปนั้น ก็พบว่า ‘จ้าวเทพเมฆาเขียว’ ที่เดิมทีควรจะเกรงกลัวนั้น กลับยืนอยู่เหนือผิวน้ำอย่างสงบ สายตาฉายแววสงสาร

สายตาที่น่าสงสาร มองตนอย่างนั้นหรือ

จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษามิอาจเข้าใจได้

“ตู้ม”

จากนั้นจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาก็สัมผัสได้ว่ารอบด้านทั้งหมดได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว กลายเป็นโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งหนึ่ง ภายในโลกใบนั้นมีดวงวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วน ซ้ำยังมีบางคนที่เขาคุ้นเคยดีมากตลอดคืนวันอันยาวนานกำลังพูดอะไรบางอย่างกับเขา โลกใบนี้ฉุดรั้งวิญญาณของเขาด้วยแรงดึงดูดอันน่าเหลือเชื่อ ทำให้เขาตกเข้ามา

ในฐานะผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพ แม้จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาจะมิอาจต้านทานได้ แต่ในใจกลับเข้าใจว่า หากปล่อยให้ถูกฉุดรั้งเข้าไปในโลกอันกว้างใหญ่นี้ ก็คงต้องจบเห่

“ไม่…” เขาตื่นตระหนก จิตใจไม่สงบ เขาจะต้านทาน!

แต่เขาก็ต้านทานไม่ได้

ในโลกลวงใบนี้ ฟ้าดินมีแววอาฆาตครั้งใหญ่ร่อนลงมา พละกำลังอันไร้รูปร่างพุ่งตรงเข้าสู่วิญญาณของเขาอย่างต่อเนื่อง วิญญาณของเขาถูกเชือดเฉือนเสียจนแหลกสลายเป็นผุยผงโดยไร้เรี่ยวแรงต้านทาน

ชั่วขณะที่สิ้นใจนั่นเอง จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษานึกถึงสายตาของสายตาสงสารของจ้าวเทพเมฆาเขียวขึ้นมา

“จนตาย ก็ยังไม่รู้เลยว่าคู่ต่อสู้ที่แท้จริงเป็นใคร” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาซึ่งเดิมมีท่าทีสูงส่งเทียมฟ้าตรงหน้า กลิ่นอายดับวูบไปในชั่วพริบตา เหลือเพียงกายหยาบที่ทิ้งกลิ่นอายเอาไว้

ไม่ใช่แค่จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาเท่านั้น

แม้แต่จักรพรรดิเทพเฟิงเซียวที่ยืนอยู่ไม่ไกลออกไป เดิมทียังเตรียมพร้อมอยู่ ขณะเดียวกันก็ยิ้มเย็นพลางมองดูภาพที่ชายหนุ่มชุดดำนาม ‘จ้าวเทพเมฆาเขียว’ ถูกสังหาร แต่ว่า…โลกลวงที่น่าหวาดหวั่นแบบเดียวกันได้เข้าปกคลุมเขา

……

ตงป๋อเสวี่ยอิงจัดการกับจักรพรรดิเทพสองคนพร้อมกันในชั่วพริบตาเดียว

แม้แผนการเดิมจะเพียงแค่สังหารจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาผู้นี้ แต่ ‘จักรพรรดิเทพเฟิงเซียว’ ก็พอจะมีชื่อเสียงอยู่บ้างในเมืองเจียงหยวน และเป็นคนที่โหดเหี้ยมอำมหิต จึงย่อมต้อง ‘ถือโอกาส’ สังหารไปด้วย! อันที่จริงหากจักรพรรดิเทพเฟิงเซียวเกลียดความชั่วร้ายดุจศัตรูคู่แค้น ไม่ชอบเรื่องการเข่นฆ่าสังหารพรรค์นี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็อาจจะไม่ถือโอกาสสังหารไปด้วย แต่หากเป็นเช่นนั้นแล้ว จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาก็คงไม่กล้าเรียกหาเขามาช่วยหรอก!

บัดนี้ ทั้งสองคนนี้ล้วนตายตกไปด้วยน้ำมือของตงป๋อเสวี่ยอิง

“ฟิ้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่เหนือผิวน้ำ เขาโบกมือคราหนึ่งก็เก็บซากของจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาและจักรพรรดิเทพเฟิงเซียวรวมทั้งสมบัติล้ำค่าที่ทิ้งเอาไว้ลงไป

“เมืองเจียงหยวนเป็นถึงหนึ่งในเมืองใหญ่ระดับยอดสุดของโลกเทพ เมืองใหญ่เช่นนี้ มีสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วน มีการรบราฆ่าฟันมากมายเกิดขึ้นทุกวัน การประมือกันลับๆ ครั้งนี้ คาดว่าคงจะมีไม่กี่คนที่ล่วงรู้กระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ โลกใบนี้แตกต่างจากดินแดนจิตโลกา โลกใบนี้มิอาจสำแดงการส่งถ่ายทลายโลกาเพื่อสอดแนมได้ มิอาจสอดแนมจากระยะทางอันไกลโพ้นได้…

แม้แต่ขอบเขตบริเวณก็มีจำกัด!

ดังนั้นหากจะชมดู ก็ต้องเข้าไปค่อนข้างใกล้จึงจะสามารถชมดูได้

ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่า เรื่องที่ตนสังหารจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาและจักรพรรดิเทพเฟิงเซียว ก็คงมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้

“ต่อให้เปิดเผยไปก็ไม่เป็นไร ตัวตนจ้าวเทพเมฆาเขียวนี้ ข้าปลอมแปลงมันขึ้นมา” ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวเราะ เขาโบกมือคราหนึ่ง กลางอากาศของราตรีอันมืดมิดมีรอยแยกสีดำสายหนึ่งปรากฏขึ้น ไม่สะดุดตาอย่างมาก ตงป๋อเสวี่ยอิงกะพริบวาบคราหนึ่งก็หายวับไปเสียแล้ว

******

พี่ใหญ่ของพี่น้องโลหิตทมิฬ กำลังหนีไปทางหอจิตฟ้าด้วยความเร็วสูงสุด

“เจ้าสาม ข่มพิษเงาโลหิตเอาไว้ ข่มเอาไว้นะ” พี่ใหญ่โลหิตทมิฬร้อนใจเป็นอันมาก ร่างแปรร่างหนึ่งของเขากำลังดูแลน้องสามอยู่ในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ “หอจิตฟ้าเชี่ยวชาญด้านข้อมูลเป็นที่สุด จะต้องมีวิธีช่วยเจ้าขับพิษออกไปได้อย่างแน่นอน”

“เอ๊ะ”

พี่ใหญ่โลหิตทมิฬซึ่งกำลังเร่งเหินทะยานไปสีหน้าเปลี่ยนแปรเล็กน้อย เขาหันกลับไปมองแวบหนึ่งอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ตราคำสาปวิญญาณสลายไปแล้วหรือ ตอนนั้นพวกเราได้ลงตราคำสาปวิญญาณเอาไว้บนร่างของจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษา ซึ่งตราประทับนี้ได้ประทับแน่นอยู่บนวิญญาณของเขา แทบจะไม่สามารถกำจัดออกไปได้เลย”

ตราคำสาปวิญญาณเองนั้น มิได้ทำให้บาดเจ็บอะไร เป็นเพียงตราประทับอย่างหนึ่งเท่านั้น

“หากวิญญาณไม่สลาย ตราประทับก็จะคงอยู่ตลอดกาล”

“ตอนนี้ตราคำสาปได้สลายไปแล้ว…หรือว่าวิญญาณของจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาได้สลายไปแล้ว เขาตายไปแล้ว” พี่ใหญ่โลหิตทมิฬไม่อยากจะเชื่ออยู่บ้าง เมื่อครู่นี้เอง จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาและจักรพรรดิเทพเฟิงเซียวยังร่วมมือกันทำให้พวกเขาพี่น้องโลหิตทมิฬเสียเปรียบอย่างใหญ่หลวงอยู่เลย บัดนี้จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาได้ฝึก ‘ร่างทองคำดำไม่ดับสลาย’ อันแข็งแกร่งขึ้นมา เพียงพริบตาเดียวกลับสิ้นใจเสียแล้วหรือนี่

“ช่วยเจ้าสามขับพิษเสียก่อน รอให้พิษเงาโลหิตภายในกายของเจ้าสามถูกข่มไว้จนสงบแล้วค่อยตรวจสอบดู ให้ยอดฝีมือที่เชี่ยวชาญทางด้านการสะกดรอยตรวจสอบดูสักรอบว่าจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษานั้นสิ้นใจไปแล้จริงหรือไม่” พี่ใหญ่โลหิตทมิฬยังคงไม่ยอมเชื่อ

……

ณ เมืองอีกแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากเมืองเจียงหยวนไปไกลลิบลับ

ตัวเมืองแห่งนี้ทัดเทียมกับเมืองจวิ้นซาน

ตงป๋อเสวี่ยอิงคร้านจะสนใจชื่อของเมืองนี้ เขาเพียงแค่สำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาออกมาครั้งหนึ่งเท่านั้น ก็บังเอิญมาอยู่ในตัวเมืองแห่งนี้พอดี ทั้งยังบังเอิญอยู่ในห้องเงียบที่ปิดผนึกของจวนแห่งหนึ่งอีกด้วย ภายในห้องเงียบที่ปิดผนึกนี้ยังมีสตรีนางหนึ่งกำลังบำเพ็ญอยู่ด้วย เมื่อสตรีนางนี้มองเห็นตงป๋อเสวี่ยอิงที่ปรากฏขึ้นจากรอยแยกสีดำก็ตกใจใหญ่

“บังเอิญถึงเพียงนี้เชียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงทำได้เพียงลบความทรงจำช่วงที่อีกฝ่ายพบตนเองออกไปผ่านวิถีเขตลวงโลกเทียม

จากนั้นเขาก็จากจวนแห่งนี้ไปอย่างเงียบเชียบ

เขาตามหาโรงสุราแห่งหนึ่งซึ่งคึกคักอย่างยิ่งริมถนนสายหนึ่งภายในตัวเมืองแห่งนี้

“สามารถคึกคักถึงเพียงนี้ได้ แขกเหรื่อมากมายถึงเพียงนี้ อาหารและสุราชั้นยอดจะต้องไม่ด้อยอย่างแน่นอน” ตงป๋อเสวี่ยอิงหรี่ตาลงแล้วเดินเข้าไปภายในโรงสุรา แล้วหาที่ว่างที่หนึ่งก่อนจะนั่งลง เขากำชับสาวใช้คนหนึ่งของโรงสุราว่า “นำอาหารรสเลิศที่มีชื่อเสียงที่สุดเก้าอย่างของพวกเจ้าและสุราชั้นเลิศที่พวกเจ้าเชี่ยวชาญที่สุดมาสองไห”

“เจ้าค่ะๆ”

สาวใช้รีบไปตระเตรียมสุราอาหารอย่างรวดเร็ว

ภายในโรงสุราแห่งนี้ ชาวโลกเทพส่วนใหญ่มีพลังระดับแม่ทัพเทพ และมีบางคนที่นับได้เพียงว่าเป็น ‘ระดับเทพกำเนิด’ เท่านั้น ระดับเทพกำเนิด…หมายถึง ‘เทพโดยกำเนิด’ เป็นระดับขั้นที่มีพลังอ่อนแอที่สุดในโลกเทพ ทารกที่เพิ่งเกิดมาในโลกเทพล้วนนับได้ว่าเป็นระดับเทพกำเนิดด้วยกันทั้งสิ้น พวกเขาเติบโตขึ้นและฝึกฝน มีเพียงบางส่วนเท่านั้นที่สามารถสำเร็จเป็นระดับแม่ทัพเทพได้

เมื่อสำเร็จเป็นระดับแม่ทัพเทพ จึงมีคุณสมบัติพอจะรับตำแหน่งเป็นทหารรักษาการณ์และอื่นๆ ได้

“อื้ม พอไหว” ตงป๋อเสวี่ยอิงอารมณ์ดี เขากินอาหารและสุราที่มีเอกลักษณ์พิเศษ ขณะเดียวกันก็ใช้สติรับรู้แทรกเข้าไปในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ พลิกดูสิ่งที่ตนได้จากการชนะการต่อสู้!

เขาพลิกดูสมบัติล้ำค่าที่จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาทิ้งเอาไว้ก่อน แล้วพบคัมภีร์สามเล่มนั้นเข้าอย่างรวดเร็ว

“ได้คัมภีร์แมลงมารห้วงอากาศมาอยู่ในมือแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มน้อยๆ แล้วตรวจดูวัตถุอื่นๆ ต่อไป

“สหายเอ๋ย จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาผู้นี้มีชื่อเสียงกระฉ่อนไปทั่ว จักรพรรดิเทพที่รู้กันไปทั่วว่าถูกเขาสังหารนั้นมีถึงสองคนด้วยกัน ส่วนที่มิได้รู้กันไปทั่วก็เกรงว่าคงจะมีกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ หากจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาลอบคิดบัญชีกับจักรพรรดิเทพคนใดคนหนึ่ง เกรงว่าก็คงจะไม่เปิดเผยออกไป เนื่องจากเขายิ่งมีชื่อเสียงโด่งดังเท่าไหร่ ผู้แกร่งกล้าที่จับตามองเขาก็คงยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น

“เอ๊ะ”

ขณะที่ตรวจสอบซากของจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษานั่นเอง ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ค้นพบด้วยความตกตะลึงว่า ในหัวใจของจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษา มี ‘ไข่มุกทองคำดำ’ นั้นอยู่

“ไข่มุกทองคำดำหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึง

ไข่มุกทองคำดำเม็ดนี้ ก็เป็นของชิ้นหนึ่งในงานชุมนุมประมูลสมบัติก่อนหน้านี้ ท้ายที่สุดราคาสูงถึงหยกแก้วคละถิ่นสามร้อยเก้าสิบก้อนเลยทีเดียว

“จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาซื้อมาหรือนี่ เขาวางไข่มุกทองคำดำเอาไว้ในหัวใจ มีวิธีใช้งานพิเศษอะไรหรือ” จากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยิ้มออกมา เขาคว้าจอกสุราแล้วดื่มลงไปคำหนึ่ง ช่างมันเถิด สำหรับเขาแล้วไข่มุกทองคำดำก็แค่สามารถขายได้ในราคาสูงลิ่วเท่านั้นเอง!

เขาตรวจดูสมบัติล้ำค่ามากมายทีละชิ้นๆ

ไม่ใช่แค่ของจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาเท่านั้น แต่ยังมีของจักรพรรดิเทพเฟิงเซียวด้วย เขาตรวจดูทั้งหมดรอบหนึ่ง

“กำไรมหาศาลแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงอุทาน

สังหารจักรพรรดิเทพระดับนี้ ได้กำไรรวดเร็วจริงๆ!

ไม่เสียทีที่จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษามีชื่อเสียงโด่งดัง ทั้งสมบัติล้ำค่าของเขาและคัมภีร์สำหรับบำเพ็ญ เมื่อรวมๆ กันแล้ว มีมูลค่ากว่าหนึ่งพันสองร้อยหยกแก้วคละถิ่น ช่างน่าหวาดหวั่นเสียจริง

แม้จักรพรรดิเทพเฟิงเซียวจะมีวิธีการที่โหดร้ายอำมหิต แต่เนื่องจากไม่มีวัตถุสำหรับลอบสังหารอย่าง ‘เข็มพิษเงาโลหิต’ เมื่อรวมกันแล้ว สมบัติล้ำค่าของเขาจึงมีมูลค่าไม่ถึงห้าร้อยหยกแก้วคละถิ่น!

“ได้กำไรง่ายกว่าที่ข้าไปล่าสัตว์ถิ่นร้างด้วยความยากลำบากตั้งมากมาย” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้าพลางทำเสียงฮึดฮัด การล่าสัตว์ถิ่นร้างนั้น สังหารได้ง่าย แต่จะหาให้พบก็ยากยิ่งนัก ตลอดหนึ่งพันสองร้อยปีนั้นของเขาก็ไม่เคยได้หยุดหย่อนเลย ขนาดที่ว่าเขามีศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกา ไปตามหาแห่งแล้วแห่งเล่าด้วยความยากลำบาก ก็เพิ่งจะพบเพียงร้อยกว่าตัวเท่านั้น

เฉลี่ยสิบปีจึงจะพบสัตว์ถิ่นร้างระดับจ้าวเทพสักตัวหนึ่ง

ตามหาตลอดเวลา สิบปีจึงจะพบสักตัว ความรู้สึกในการหานั้นช่างรับไม่ได้เอาเสียเลย

แต่การสังหารจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาและจักรพรรดิเทพเฟิงเซียวนั้นสบายเพียงใด เพียงพริบตาเดียว ก็จัดการได้แล้ว! สมบัติล้ำค่าที่ได้มาก็ยังมากกว่าตั้งมากโข!

อาชาไร้หญ้าราตรีก็ไม่อ้วน!

ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงทำอะไรก็ขีดเส้นจำกัดเอาไว้แล้ว อย่างจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษา หากมิใช่คนที่ชั่วร้ายถึงเพียงนี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังคงพยายามแลกเปลี่ยนตามปกติ คงไม่มาสังหารหรอก!

ส่วนการสังหารมารร้ายภายในโลกเทพตามอำเภอใจน่ะหรือ ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่า ภายในโลกเทพที่มีบรรพเทวะคละถิ่นอยู่สามท่านนั้น ตนถ่อมเนื้อถ่อมตัวไว้หน่อยจะดีกว่า! นอกจากนี้สำหรับตนแล้ว สมบัติล้ำค่าที่ได้มาในครั้งนี้ก็มากพอแล้ว

“อื้ม” ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งอยู่ตรงมุมหนึ่งของโรงสุรา เขาดื่มสุราเพียงลำพังพลางครุ่นคิด “ครั้งนี้ได้สมบัติล้ำค่ามามากมายถึงเพียงนี้ ก็สามารถ ‘ใช้ของแลกของ’ ได้แล้ว นำสมบัติล้ำค่าไปที่ขุมอำนาจใหญ่แล้วแลกเปลี่ยนเอาคัมภีร์สำหรับบำเพ็ญมา”

คัมภีร์ผู้เหินทะยานทางด้านวิถีอากาศระดับ ‘จักรพรรดิเทพช่วงท้าย’ ทั้งโลกเทพมีเพียงเล่มเดียวเท่านั้น! ไม่เผยแพร่สู่ภายนอกเด็ดขาด

สมบัติล้ำค่าน้อยนิดของตนนี้ ก็ไม่มีทางทำให้ผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายคนหนึ่งละเว้นให้ได้

“มีระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางอยู่สองเล่มซึ่งล้วนแต่เผยแพร่ออกไปภายนอก ข้าอาจจะสามารถใช้ของแลกของได้ก็เป็นได้ แลกได้เล่มหนึ่ง ก็ถือว่าโชคดี สามารถแลกได้สองเล่มน่ะหรือ…” ตงป๋อเสวี่ยอิงตั้งตารอคอย

…………………………………

กลางราตรีอันมืดมิด ตงป๋อเสวี่ยอิงแปรเป็นเส้นสายเล็กละเอียดมุ่งหน้าไปกลางอากาศอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง

“ตู้ม” “แคว่ก…”

ระลอกคลื่นอันน่าหวาดหวั่นพลันปะทุออกมาเบื้องหน้า

“เริ่มประมือกันแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏกายขึ้นบนกิ่งของต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง เขายืนอยู่ตรงนั้นพลางทอดสายตามองไปยังสายน้ำที่ทอดตัวออกไปไกล สายน้ำนั้นกว้างแปดร้อยลี้ ทั้งยังคดเคี้ยวทะลุทะลวงไปทั่วทั้งเมืองเจียงหยวน มีเงาร่างสายหนึ่งยืนอยู่เหนือผิวน้ำนี้ ยามนี้อาภรณ์สีดำของ ‘จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษา’ อันตรธานไป เผยให้เห็นร่างกายที่เต็มไปด้วยเกล็ดของเขา หลังของเขาค้อมลงเล็กน้อย ดวงตาสีเหลืองอำพันคู่นั้นของเขาเต็มไปด้วยความดุร้าย กรงเล็บคมกริบคู่หนึ่งยังคว้าหอกยาวเอาไว้ด้วย

ที่แปลกประหลาดที่สุดก็คือ เกราะเหนือผิวกายของจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษากลับมีลำแสงสีดำชั้นหนึ่งปรากฏขึ้น

“กาเหว่าภูษา ไปตายเสียเถอะ” แสงสีทองกะพริบวาบคราหนึ่ง ค้อนใหญ่เล่มหนึ่งก็ทุบลงมาอย่างกราดเกรี้ยว บุรุษร่างกำยำผู้หนึ่งเปล่งแสงสีทองออกมาจากทั่วร่าง อานุภาพสูงเทียมฟ้า

จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษากลับตั้งหอกยาวขึ้นมา สกัดกั้นค้อนที่น่าหวาดหวั่นนี้เอาไว้ แต่กลับยังคงถูกกระแทกเสียจนกระเด็นลอยถอยหลังไปหลายลี้ สายน้ำรอบกายก่อตัวเป็นคลื่นขนาดมหึมาขึ้นมา

“พลังของกาเหว่าภูษานี้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นแล้ว” บุรุษร่างกำยำซึ่งมีแสงสีทองอาบไล้ไปทั่วร่างเห็นเข้ากลับสีหน้าเปลี่ยนแปรไป เขาเป็นหัวหน้าของสามพี่น้องโลหิตทมิฬซึ่งฝึกฝนพละกำลังอันเหิมเกริมหาใดเปรียบออกมา ที่ผ่านมาเขาไล่สังหารหลายครั้ง แม้จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาจะนับได้ว่ามีร่างกายแข็งแกร่ง แต่กลับไม่กล้าต้านทานกระบวนท่าของเขาซึ่งหน้าเลย ตอนนี้กลับต้านทานขึ้นมา และเพียงแค่ถอยหลังไปหลายลี้เท่านั้นโดยไม่ได้รับบาดเจ็บเลย!

“ฟิ้ว!”

แสงสีเขียวอันแปลกประหลาดสายหนึ่งแทงลงบนร่างของจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาที่กระเด็นถอยไป ลำแสงสีดำเหนือผิวของจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษากลับแข็งแกร่งทนทานหาใดเปรียบและสามารถต้านทานการแทงครั้งนี้ได้อย่างสิ้นเชิง แสงสีเขียวอันแปลกประหลาดนั้นก็ปรากฏเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา…เป็นชายหนุ่มท่าทางเย็นชาที่ถือกริชเอาไว้ด้วยมือข้างเดียว ในมืออีกข้างก็ยังถือกริชเอาไว้อีกเล่มหนึ่ง

ยามนี้ชายหนุ่มท่าทางเย็นชาผู้นี้ก็เผยสีหน้าแตกตื่นขึ้นมา “แทงไม่ทะลุหรือนี่”

“ฮ่าฮ่าฮ่า บัดนี้ข้าสามารถควบคุมไข่มุกทองคำดำได้แล้ว และยังได้อาศัยมันสร้าง ‘ร่างทองคำดำไม่ดับสลาย’ ขึ้นมาอีกด้วย พวกเจ้าสังหารข้ามิได้หรอก ฮ่าฮ่า” จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาหัวเราะดังลั่น ที่ผ่านมาเขามีชื่อเสียงด้านการป้องกันของเกราะเกล็ดอันแข็งแกร่ง แต่พี่น้องโลหิตทมิฬร้ายกาจยิ่งนัก พละกำลังอันเหิมเกริมหาใดเปรียบของพี่ใหญ่ล้วนกระแทกเขาจนได้รับบาดเจ็บจนต้องกระอักโลหิตออกมาทุกครั้ง การแทงสังหารทั้งหลายของเจ้าสามก็สามารถทำให้เขาบาดเจ็บได้เช่นกัน

เคล็ดวิชาที่เขาใช้ปรับปรุงตนเองให้สมบูรณ์ รวมทั้ง ‘ไข่มุกทองคำดำ’ และคัมภีร์สามเล่มนั้นที่ซื้อมาจากงานชุมนุมประมูลสมบัติ ในที่สุดอาศัยพละกำลังของไข่มุกทองคำดำ ทำให้การป้องกันร่างกายของเขาบรรลุถึงระดับขั้นใหม่ เขาเรียกมันว่า ‘ร่างทองคำดำไม่ดับสลาย’

“สังหารเจ้ามิได้รึ”

“วันนี้เจ้าต้องตาย”

พี่น้องโลหิตทมิฬบ้าคลั่งไปแล้ว พวกเขาเริ่มสำแดงวิธีการสู้สุดชีวิตต่างๆ ออกมา

ตู้มๆๆ…

คนหนึ่งเหิมเกริม คนหนึ่งแปลกประหลาด พวกเขาสองคนร่วมมือกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทำเอาจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาแทบจะไร้เรี่ยวแรงต้านทาน แต่ ‘แสงสีดำ’ เหนือผิวกายของจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาชั้นนั้นทนทานยิ่งนัก ต่อให้แทงทะลุแสงสีดำได้อย่างพอถูไถ อานุภาพที่หลงเหลืออยู่ก็เหลือเพียงน้อยนิดเท่านั้น แทบจะคุกคามจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษามิได้เลย

“เจ้าสาม ระวัง!” บุรุษร่างกำยำที่อาบไล้อยู่ภายใต้แสงสีทองสีหน้าเปลี่ยนแปรไป

เดิมทีชายหนุ่มท่าทางเย็นชายังคิดจะลอบโจมตีเข้ามาอีกครั้ง แต่สีหน้ากลับพลันเปลี่ยนแปรไป ท่ามกลางความว่างเปล่าด้านข้างพลันมีลมรวมตัวกันขึ้นมา กลายเป็นเงาร่างอันเลือนรางพุ่งตรงไปยังชายหนุ่มท่าทางเย็นชา

ปัง!!!

เงาร่างอันเลือนรางนั้นพลันออกดาบกว่าหมื่นครั้งในชั่วพริบตา ดูแน่นขนัดประหนึ่งพายุคลั่งอย่างไรอย่างนั้น มือทั้งสองของชายหนุ่มท่าทางเย็นชาถือกริชไว้ข้างละเล่ม ทันใดนั้นลำแสงสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนก็กะพริบวาบ สกัดกั้นประกายดาบอันบ้าคลั่งนั้นเอาไว้

“ฟึ่บ”

ท่ามกลางประกายดาบแน่นขนัด แสงโลหิตสายหนึ่งพลันวาบขึ้นมา

“อ๊ากกก” ชายหนุ่มท่าทางเย็นชาร้องด้วยความเจ็บปวด

“เจ้าสาม” บุรุษร่างกำยำรู้ก่อนแล้วว่าท่าไม่ดี จึงเร่งมาถึงในที่สุด เขาทุบค้อนลงไปเต็มแรงครั้งหนึ่งทันที ค้อนขนาดมหึมาขยายใหญ่ขึ้นตามลม ทุบไปทางเงาร่างอันเลือนรางนั้นเสียงดังโครมคราม

เงาร่างอันเลือนรางนั้นกลับถอยหลบไปทันทีโดยไม่กล้าต้านทาน พี่ใหญ่ของสามพี่น้องโลหิตทมิฬ…มีชื่อเสียงเกรียงไกรในบรรดายอดฝีมือระดับจักรพรรดิเทพช่วงต้น มีไม่กี่คนเท่านั้นที่กล้าต้านทานกระบวนท่าของเขา อย่างน้อยเขาก็ไม่กล้า

“เจ้าสาม เจ้าสาม” บุรุษร่างกำยำคว้าพี่น้องของตนเอาไว้ ร่างกายของชายหนุ่มท่าทางเย็นชาสั่นสะท้านเล็กน้อย ทั้งร่างแผ่ไอหมอกสีแดงโลหิตออกมา ชายหนุ่มท่าทางเย็นชาขบกรามพลางพูดเสียงสั่นเครือว่า “คิดไม่ถึง คิดไม่ถึงเลยว่ากาเหว่าภูษาจะมอบ ‘เข็มพิษเงาโลหิต’ นี้ให้ผู้อื่น”

เข็มพิษเงาโลหิตเป็นอาวุธที่ ‘เจ้าลัทธิเงาโลหิต’ ซึ่งจัดอยู่ในยี่สิบอันดับแรกของโลกเทพหลอมขึ้นมา ‘พิษเงาโลหิต’ ด้านบนนั้นสามารถใช้ได้ครั้งเดียว เมื่อแทรกซึมเข้าไปในร่างกายศัตรูแล้วก็จะหายวับไป แต่เนื่องจากใช้ได้ครั้งเดียวนั่นเอง…อานุภาพของเข็มพิษเงาโลหิตนี้จึงยิ่งใหญ่นัก! โดยทั่วไปแล้วเจ้าลัทธิเงาโลหิตจะมอบเข็มพิษเงาโลหิตให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาสักคนละสามอันห้าอัน

จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาผู้นี้ได้รับเข็มพิษเงาโลหิตมาจำนวนหนึ่งด้วยความบังเอิญ!

“พี่รองถูกเข็มพิษเข้า พลังลดลงเป็นอย่างมากจนถูกเขาสังหาร” ชายหนุ่มท่าทางเย็นชาขบกรามกรอด “คิดไม่ถึงว่าข้าก็จะถูกกระบวนท่าเข้าไปด้วย”

“เฟิงเซียว เจ้าถึงกับกล้าช่วยเหลือจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษา ลงมือกับพวกเราหรือนี่” บุรุษร่างกำยำตะโกนด้วยความแค้นเคือง

เงาร่างอันเลือนรางนั้นก็ปรากฏเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา เป็นบุรุษที่ผอมจนเหมือนหนังหุ้มกระดูกคนหนึ่ง เขาหัวเราะคิกคัก “พี่กาเหว่าภูษาให้ผลประโยชน์มากพอ เมื่อรับผลประโยชน์จากใคร ก็ย่อมต้องลงมือแทนเขา พี่น้องอย่างพวกท่านจะตำหนิข้ามิได้หรอก”

“ประเสริฐๆ”

สายตาของบุรุษร่างกำยำกวาดมองไปทางจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาผู้มีแสงสีดำแผ่ออกมาจากผิวกายซึ่งอยู่ไกลออกไป “จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษา เจ้ากล้ามอบเข็มพิษเงาโลหิตให้แก่จักรพรรดิเทพเฟิงเซียวที่อยู่ไกลออกไป โดยไม่กลัวจักรพรรดิเทพเฟิงเซียวหันกลับมาลอบโจมตีเจ้าเลยหรือ”

จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษายิ้มหยัน

ด้วยนิสัยระมัดระวังของเขา หากไม่มีความมั่นใจมากพอ จะกล้ามอบสมบัติล้ำค่าในการลอบสังหารที่น่าหวาดหวั่นอย่าง ‘เข็มพิษเงาโลหิต’ ให้แก่จักรพรรดิเทพเฟิงเซียวได้อย่างไรกัน

แม้เข็มพิษเงาโลหิตจะร้ายกาจ แต่ก็ต้องแทงเข้าไปในร่างกายก่อนถึงจะสามารถสำแดงเดชได้! แต่บัดนี้จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาฝึก ‘ร่างทองคำดำไม่ดับสลาย’ จนสำเร็จ เขาเชื่อมั่นในตนเองว่าจักรพรรดิเทพเฟิงเซียวมิอาจแทงทะลุร่างเขา และทำให้เขาบาดเจ็บได้ แล้วจะกลัวอะไรกันเล่า

“ครั้งนี้นับว่าเจ้ากาเหว่าภูษาโชคดี” บุรุษร่างกำยำไม่ยอมจำนนเป็นอย่างมาก เขากำหนดจิตคราหนึ่งก็เก็บพี่น้องของตนลงไปในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์

สวบ!

เขาแปรเป็นลำแสงแล้วทะยานออกไปไกลอย่างรวดเร็วทันที

จักรพรรดิเทพเฟิงเซียวและจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาก็ มิได้ไล่ตามไปแต่อย่างใด เพราะพวกเขาเข้าใจดีมากว่าพี่ใหญ่ของพวกเขาเหล่าพี่น้องโลหิตทมิฬรับมือได้ยากเพียงใด… มีพละกำลังที่เหิมเกริมหาได้เปรียบ! ร่างกายแข็งแกร่งไม่แพ้ จักรพรรดิเทพช่วงกลางเลย! และนี่ก็คือสาเหตุว่าทำไมจักรพรรดิเทพเฟิงเซียวลอบลงมือกับเจ้าสามเท่านั้น มิได้ลงมือกับพี่ใหญ่เลย

“ในที่สุดพี่น้องโลหิตทมิฬนี่ก็ไปเสียที ถูกพวกเขาไล่สังหารมาตลอดจนอยู่อย่างสงบสุขไม่ได้เลย” จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาผ่อนลมหายใจออกมา

“พี่กาเหว่าภูษา เจ้าสามของพี่น้องโลหิตทมิฬต้องพิษของเข็มพิษเงาโลหิตเข้า จะต้องคิดหาวิธีถอนพิษเงาโลหิตอย่างแน่นอน แต่การถอนพิษเงาโลหิต มิได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น เกรงว่าคงจะไม่ได้มายุ่มย่ามกับท่านอีกพักใหญ่ ไม่แน่ว่าอาจถึงขั้นไม่อาจถอนพิษเงาโลหิตออกไปและสิ้นชีวิตในที่สุดก็เป็นได้” จักรพรรดิเทพเฟิงเซียวพูดยิ้มๆ

“อื้ม” จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาพยักหน้าน้อยๆ

เขาก็รอคอย

ทว่าเขาเข้าใจดีว่า พี่น้องโลหิตทมิฬจะต้องขอให้ยอดฝีมือคนอื่นช่วยเหลืออย่างแน่นอน แม้จะได้รับความยากลำบากอยู่บ้าง แต่คาดว่าก็คงจะสามารถถอนพิษได้ในท้ายที่สุด

“พี่น้องโลหิตทมิฬไปแล้ว ยังเหลือแมลงตัวจ้อยอีกตัวหนึ่งที่ยังไม่ได้จัดการ” จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษากวาดตามอง “จ้าวเทพเมฆาเขียวออกมาเถิด”

“ออกมา!”

จักรพรรดิเทพเฟิงเซียวก็โบกมือไปมา

ที่ฟ้าดินไกลออกไป พายุคลั่งจำนวนนับไม่ถ้วนราวกับภูเขาแห่งหนึ่งกดดันลงไปบนต้นไม้ใหญ่ที่ตงป๋อเสวี่ยอิเร้นกายอยู่ต้นนั้น ปัง…ลำแสงสายหนึ่งกะพริบวาบแล้วทะยานจากมาอย่างรวดเร็ว ส่วนต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นกลับกลายเป็นผุยผงไปเสียงดังโครมคราม ลำแสงทะยานมาถึงผิวน้ำก่อนจะกลายเป็นชายหนุ่มชุดดำคนหนึ่ง ซึ่งก็คือตงป๋อเสวี่ยอิงนั่นเอง

“คิดไม่ถึงว่าจะถูกพวกเจ้าพบเข้าจนได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองจักรพรรดิเทพเฟิงเซียวผู้นั้นด้วยความตกตะลึงแวบหนึ่ง เขาเข้าใจว่าเป็นจักรพรรดิเทพเฟิงเซียวผู้นี้ที่พบเขาเข้า ยอดฝีมือระดับจักรพรรดิเทพช่างมิอาจดูแคลนได้เลยจริงๆ

จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษากลับไม่เห็นตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ในสายตาเลย หากแต่มองไปรอบด้านพลางพูดเสียงดังลั่นว่า “ไม่ทราบว่าเป็นจักรพรรดิเทพท่านใด ปรากฏกายเสียเถิด! ทำไมรึ ได้แต่ให้จ้าวเทพใต้บังคับบัญชาเอาชีวิตมาทิ้งอย่างนั้นหรือ”

“ทั้งสองท่าน เบื้องหลังข้าไม่มีจักรพรรดิเทพคนอื่นอีก” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปาก

“ไม่มีจักรพรรดิเทพคนอื่นหรือ” จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาและจักรพรรดิเทพเฟิงเซียวต่างก็มองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง ไม่เชื่อเอาเสียเลย

จ้าวเทพคนหนึ่งกล้าตามมา เอาชีวิตมามอบให้หรือ

“บอกมานะ ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเจ้าคือผู้ใดกัน หากพูดออกมาข้าอาจจะให้เจ้าได้ตายอย่างเป็นสุขเสียหน่อย” ใบหน้าเหี่ยวย่นที่เต็มไปด้วยเกราะเกล็ดและรอยยับย่นของจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษานั้นอัปลักษณ์มาก นัยน์ตาสีเหลืองดุจอำพันจับจ้องตงป๋อเสวี่ยอิง เต็ฒไปด้วยแววโหดเหี้ยม

“เจ้าเล่ห์เพทุบาย ร้ายกาจเห็นแก่ตัว” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษา “ตอนนั้น ในงานชุมนุมประมูลสมบัติ ข้าแลกเปลี่ยนกับเจ้าอย่างจริงใจ ทว่าต่อมาเมื่อสืบรู้ข้อมูลเกี่ยวกับเจ้า ก็รู้ว่าคนชั่วร้ายเช่นเจ้าสังหารไปเสียเลยจะดีกว่า! การมอบหยกแก้วคละถิ่นให้เจ้านั้นเป็นเรื่องสิ้นเปลือง เสียดายก็แต่ว่าเจ้าซ่อนตัวอยู่ในหอจิตฟ้ามาโดยตลอด ข้ามิอาจลงมือได้สะดวกในช่วงหมื่นปีนี้ คืนนี้เจ้าหนีออกมา ก็เป็นโอกาสดีที่ข้าจะได้กำจัดเจ้า วางใจเถิด ข้าน่ะวางแผนจะสังหารเจ้าจริงๆ อยู่แล้ว เจ้าก็อย่าได้คิดเพ้อเจ้อสะเปะสะปะว่าเบื้องหลังข้ามีจักรพรรดิเทพคนอื่นๆ อยู่ด้วย ”

“เจ้าจะสังหารข้าหรือ” จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษารู้สึกว่าน่าขันยิ่งนัก

เขาฝึกร่างทองคำดำไม่ดับสลายได้สำเร็จ พี่น้องโลหิตทมิฬก็มิอาจสังหารเขาได้ จ้าวเทพคนหนึ่งมาพูดจาใหญ่โต ไม่ละอายเลยหรือ

ต่อให้เป็นผู้เหินทะยานระดับจ้าวเทพ ระดับยอดสุดก็แค่เทียบได้กับ ‘จักรพรรดิเทพช่วงต้น’ เท่านั้นเอง

จ้าวเทพคนหนึ่งบอกว่าจะสังหารเขาอย่างนั้นหรือ

ช่างเป็นเรื่องตลกอย่างยิ่งจริงๆ!

“เฮอะๆ เช่นนั้นเจ้าก็ตายเสียเลยเถิด! ข้าจะดูสิว่าหากสังหารแล้ว เบื้องหลังเจ้าจะมีจักรพรรดิเทพโผล่ออกมาหรือไม่” จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาคร้านที่จะใช้อาวุธ ร่างกายพุ่งตรงออกไปแล้วกลายเป็นเงาราง ทิ้งร่องรอยคลื่นน้ำเอาไว้เหนือสายน้ำที่ทอดตัวยาวออกไป ทันใดนั้นก็พลันไปถึงตรงหน้าตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วตะปบกรงเล็บเข้ามาทันที

ส่วนจักรพรรดิเทพเฟิงเซียวที่อยู่อีกข้างหนึ่งก็มองไปรอบด้านด้วยความระแวดระวัง แม้จะมิได้พบจักรพรรดิเทพคนอื่น แต่พวกเขากลับถือว่าอีกฝ่ายซ่อนเร้นลูกไม้ไว้ได้อย่างร้ายกาจ

…………………………………

“ซากศพของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดซากนี้ก็ไม่จำเป็นต้องให้ข้าอธิบายอะไรให้มากความ ทุกท่านสามารถตรวจสอบทุกอย่างดูได้โดยตรงเลย ตอนนี้การประมูลสมบัติก็จะเริ่มต้นขึ้นแล้ว ราคาขั้นต่ำหยกแก้วคละถิ่นหนึ่งหมื่นสองพันก้อน การเสนอราคาทุกครั้งต้องไม่ต่ำกว่าหนึ่งชิ้นหยกแก้วคละถิ่น” จักรพรรดิเทพเยี่ยน ชายชราอาภรณ์เงินมองไปรอบทิศพลางพูดเสียงดัง สมบัติล้ำค่าอื่นๆ ทั้งหมดในงานชุมนุมประมูลสมบัติครั้งนี้รวมกันขึ้นมาแล้วจึงพอจะเทียบเคียงกับซากศพนี้ได้อย่างพอถูไถ ราคาขั้นต่ำนี้ก็ทำให้เหล่าผู้แกร่งกล้ามากมายภายในสถานที่จัดงานชุมนุมแห่งนี้ตกตะลึงแล้ว

ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังแล้วก็ทอดถอนใจเช่นกัน

หยกแก้วคละถิ่นหนึ่งหมื่นสองพันก้อนอย่างนั้นหรือ

อ้างอิงจากความรู้ความเข้าใจของตน เกรงว่าผู้แกร่งกล้าระดับ ‘จักรพรรดิเทพช่วงกลาง’ ก็ยังจ่ายหยกแก้วคละถิ่นมากมายถึงเพียงนี้ออกมาไม่ไหวเลย ต้องเป็นบุคคลระดับ ‘จักรพรรดิเทพช่วงท้าย’! อย่าว่าแต่จักรพรรดิเทพช่วงท้ายเลย ตามปกติแล้วต่างก็สามารถมีชื่ออยู่ใน ‘บัญชีรายนามจักรพรรดิเทพ’ แล้วด้วยซ้ำ!

“หนึ่งหมื่นสามพันหยกแก้วคละถิ่น” น้ำเสียงบาดหูเสียงหนึ่งดังขึ้น ผู้แกร่งกล้ามากมายในที่นั้นรวมถึงตงป๋อเสวี่ยอิงด้วย เมื่อได้ยินเสียงนี้แล้วต่างก็รู้สึกว่าร่างกายอ่อนยวบ นี่ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย นี่เพิ่งจะแค่เอ่ยปากพูดเท่านั้นเอง ถ้าหากสำแดงเคล็ดวิชาออกมาจริงๆ เกรงว่าตนเองคงต้านเอาไว้ไม่ไหวแม้แต่กระบวนท่าเดียวกระมัง

“หนึ่งหมื่นสามพันห้าร้อยหยกแก้วคละถิ่น” เสียงของผู้เฒ่าอีกเสียงหนึ่งดังขึ้น

ผู้ที่ประมูลซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดซากนี้หลักๆ ก็คือผู้แกร่งกล้าสามฝ่าย เห็นได้ชัดว่าแต่ละคนล้วนมีที่มาที่ไปไม่ธรรมดา

ราคาสุดท้ายกำหนดอยู่ที่ ‘หนึ่งหมื่นเก้าพันแปดร้อยหยกแก้วคละถิ่น’ ราคานี้ทำให้เหล่าผู้แกร่งกล้ามากมายตกตะลึง แต่สิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดทุกตนต่างก็เป็นหนึ่งไม่มีสอง หากพลาดไปแล้วก็คือพลาดไปตลอดกาล จะมีมูลค่าสูงจนชวนให้คนตื่นตกใจก็เป็นเรื่องปกติ

“เพียงแต่ว่าซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดซากนี้ไม่มีประโยชน์ต่อข้าเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ สิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับต่ำนี้แฝงไว้ด้วยพลังของวารีเพลิง ส่วนใหญ่ของร่างกายต่างก็เป็นการแสดงความเร้นลับของกฎเกณฑ์วารีเพลิงในระดับขั้นอลวน ก็ย่อมมิได้มีประโยชน์อะไรมากมายต่อเขาที่เป็นผู้บำเพ็ญวิถีอากาศและวิถีเขตลวงโลกเทียมคนหนึ่งอยู่แล้ว

******

งานชุมนุมประมูลสมบัติสิ้นสุดลง ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังคงพำนักอยู่ที่หอจิตฟ้าแห่งนี้เป็นการชั่วคราวต่อไป

“หลังจากที่งานชุมนุมประมูลสมบัติของจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาครั้งนี้สิ้นสุดลงแล้ว ก็ปลีกวิเวกอยู่ที่หอจิตฟ้าเลยก็แล้วกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ที่โรงสุราริมถนนแห่งหนึ่งในเมืองเจียงหยวน กินอาหารจานเด็ดและสุราชั้นเลิศที่โรงสุราแห่งนี้เชี่ยวชาญ เขาอาศัยเคล็ดการสะกดรอยก็ย่อมสามารถล่วงรู้ได้อยู่แล้วว่าผู้ที่ซื้อตำราไปก็คือจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษา “จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาผู้นี้ชื่อเสียงไม่ใคร่จะดีนัก ในข้อมูลสาธารณะบันทึกเอาไว้ว่าเขาเคยสังหารจักรพรรดิเทพคนอื่นมาแล้วถึงสองครั้ง”

จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษานั้นเป็นจักรพรรดิเทพช่วงต้น

จักรพรรดิเทพที่เขาเคยสังหาร ก็ย่อมเป็นจักรพรรดิเทพช่วงต้นกันทั้งหมด ในความเป็นจริงแล้ว ‘จักรพรรดิเทพช่วงต้น’ ทั่วทั้งโลกเทพ ก็ปาเข้าไปร้อยละเก้าสิบเก้าของจักรพรรดิเทพทั้งหมดแล้ว อย่างเช่น ‘อวี้เฟิงจวิ้นซาน’ ผู้ปกครองของเมืองจวิ้นซาน ก็เป็นเพียงแค่จักรพรรดิเทพช่วงต้นเท่านั้น มาถึงขั้นนี้แล้ว การยกระดับทุกก้าวต่างก็ยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง

‘การปลิดชีพชิงสมบัติ’ ก็ย่อมทำกำไรได้รวดเร็วแน่นอนอยู่แล้ว

ถ้าหากเสาะหาสัตว์ถิ่นร้างอย่างยากลำบากอยู่ท่ามกลางดินแดนรกร้าง ข้อแรก ไม่มีศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา ตามปกติแล้วภายในอาณาเขตอันใหญ่โตผืนหนึ่งก็จะมีสัตว์ถิ่นร้างระดับจ้าวเทพช่วงสุดยอดอยู่เพียงแค่ตนเดียวเท่านั้น จากอาณาเขตผืนหนึ่งไปยังอาณาเขตที่มีสัตว์ถิ่นร้างระดับจ้าวเทพช่วงสุดยอดอีกแห่งนั้นจำเป็นต้องใช้เวลายาวนาน ข้อสอง สัตว์ถิ่นร้างระดับจ้าวเทพช่วงสุดยอดจำนวนมากต่างก็มีการรักษาชีวิตที่แข็งแกร่งยิ่ง จักรพรรดิเทพช่วงต้นก็ยังสังหารได้ยากนัก พวกเขามิได้เหมือนกับตงป๋อเสวี่ยอิงที่ ‘วิถีเขตลวงโลกเทียม’ กวาดล้างสังหารได้อย่างง่ายดาย

สังหารสัตว์ถิ่นร้างอย่างยากลำบาก กินระยะเวลายาวนาน ทั้งยังลำบากลำบนเป็นอย่างยิ่ง

แต่การปลิดชีพจักรพรรดิเทพคนอื่นๆ น่ะหรือ

สังหารคนหนึ่งก็ได้กำไรงามแล้ว! กำไรที่ได้จากจักรพรรดิเทพที่ถูกสังหาร ก็แทบจะเป็นการสั่งสมมาทั้งชีวิต!

ที่โลกเทพก็มีผู้แกร่งกล้าอยู่มากพอสมควรที่ชอบทำเรื่องพรรค์นี้ ถึงอย่างไรบนเส้นทางของผู้แกร่งกล้า พวกเขาก็จำเป็นต้องต่อสู้เพื่อทรัพยากร นี่คือวิธีการที่เป็นอันตรายแต่สามารถกอบโกยได้มากที่สุด

“จ่ายในราคาสูงพอ หอจิตฟ้าก็สามารถอารักขาความปลอดภัยหมื่นปีของผู้พำนักได้เป็นหมื่นปี” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ “ระยะเวลาหมื่นปีผ่านไป หอจิตฟ้าก็มิอาจอารักขาต่อไปได้อีกแล้ว”

เป็นเรื่องปกติธรรมดาอย่างยิ่ง

หอจิตฟ้ากระจายตัวอยู่แทบทุกเมืองในโลกเทพ ลำพังแค่พลังของเมืองแห่งหนึ่งก็มิได้แข็งแกร่ง ผู้ที่พวกเขาพึ่งพาก็คือ ‘เผ่าจิตฟ้า’ หนึ่งในสามตระกูลราชันย์ที่อยู่เบื้องหลัง ไม่มีผู้แกร่งกล้าหน้าไหนกล้าไปยั่วยุกฎเกณฑ์ที่สามตระกูลราชันย์กำหนดเอาไว้ แต่เผ่าจิตฟ้าก็มิอาจทำอะไรมากเกินไปได้ อารักขาหมื่นปีก็เพียงพอแล้ว ถ้าหาก ‘อารักขาชั่วนิรันดร์’ ก็อาจจะบีบให้บรรดาจักรพรรดิเทพที่แข็งแกร่งจำนวนหนึ่งฉีกหน้าเอาได้!

ไม่ไว้หน้าอย่างแท้จริง ถึงแม้ว่าสามตระกูลราชันย์จะแข็งแกร่ง แต่ถ้าหากบรรพเทวะคละถิ่นไม่มาเยือน พวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรบุคคลที่น่าหวั่นเกรงที่สุดบางคนในบรรดาจักรพรรดิเทพได้เลย

เพียงแค่อารักขาหมื่นปีเท่านั้น ทุกคนยังอยากที่จะไว้หน้าหอจิตฟ้าอยู่

……

เพียงพริบตา งานชุมนุมประมูลสมบัติก็ผ่านพ้นไปแปดพันปีเศษแล้ว

ราตรีกาล

“สวบ”

จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาห่อหุ้มร่างด้วยอาภรณ์สีดำแล้วจากหอจิตฟ้ามาอย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียง เคลื่อนผ่านบนถนนภายใต้มุมมืดราวกับเงาสีดำสายหนึ่งก็มิปาน

“หึ ในที่สุดจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาผู้นี้ก็ไปจากหอจิตฟ้าแล้ว ยังคิดว่าเขาจะหลบซ่อนตัวไปจนถึงระยะเวลาหนึ่งหมื่นปีเต็มเสียอีก” บริเวณข้างหอจิตฟ้าห่างออกไปไม่ไกล เงาร่างสองสายปรากฏตัวกลางอากาศ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมองไม่เห็นจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาที่ซ่อนเร้นร่องรอยระหว่างการหลบหนี ทว่ากลับสามารถรับสัมผัสถึงเขาได้อย่างง่ายดาย

“ตราคำสาปวิญญาณที่พวกเราทิ้งเอาไว้บนร่างของเขา ไม่ว่าเขาจะหนีไปที่ไหน เขาก็ไม่มีทางหนีการล่าสังหารของพวกเราได้พ้นหรอก! สังหารน้องรองแล้วก็ไล่ล่าไปทั่วทั้งโลกเทพด้วยความแค้น ก็จะต้องทำให้เขาชดใช้ด้วยชีวิตให้ได้” บุรุษโหดเหี้ยมร่างบึกบึนผู้หนึ่งขบกรามพูด ข้างกายเขาก็คือหนุ่มน้อยผู้เย็นชาคนหนึ่ง “ความแค้นของพี่รองต้องชำระอย่างแน่นอน ตามไปเร็ว”

“ตามไปเร็วเข้า”

เงาร่างสองสายนี้ไล่ตามไปอย่างรวดเร็วด้วยการรับสัมผัสตามรอยตราคำสาปวิญญาณ

ในขณะเดียวกันกับที่พวกเขาสองคนสะกดรอย

เงาร่างสายหนึ่งก็บินมาจากกลางหอจิตฟ้า ซึ่งก็คือตงป๋อเสวี่ยอิงนั่นเอง

“ผู้ที่ไล่ตามติดจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาไป ก็คือน้องโลหิตทมิฬกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ น้องสามโลหิตทมิฬก็คือสหายร่วมเป็นร่วมตาย เป็นพี่น้องที่สามารถเป็นตายพร้อมกันได้ นับตั้งแต่หลังจากที่พี่น้องรองของพวกเขาถูก ‘จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษา’ ลอบสังหารชิงสมบัติแล้ว สองคนที่น้องโลหิตทมิฬเหลือเอาไว้ ตลอดมาก็ยังไล่ตามมิได้ ไล่ตามจนจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาหนีหัวซุกหัวซุน

ตงป๋อเสวี่ยอิงแย้มยิ้มแล้วตามติดไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงติดตามไปชั่วขณะหนึ่ง

“หืม ไม่มีคนแล้วหรือ”

สายลมอ่อนสายหนึ่งรวมตัวกันเป็นเงาร่างสายหนึ่ง เขามองทิศทางที่น้องโลหิตทมิฬและตงป๋อเสวี่ยอิงไล่ตามไปอยู่ห่างๆ “ฟังสิ่งที่กาเหว่าภูษาพูด น้องโลหิตทมิฬ และเบื้องหลังจ้าวเทพเมฆาเขียวน่าจะยังมีจักรพรรดิเทพคอยจับจ้องเขาอยู่ ข้าสังเกตการณ์อยู่ในความมืดมาเนิ่นนานพอสมควร จ้าวเทพเมฆาเขียวผู้นั้นก็ปรากฏตัวขึ้นจริงๆ เสียด้วย ทว่ากลับไม่เห็นจักรพรรดิเทพที่อยู่เบื้องหลังเขาเลยอย่างนั้นหรือ”

เงาร่างเลือนรางที่เกิดจากสายลมอ่อนรวมตัวกันขึ้นมาร่างนี้มีความเคลือบแคลงสงสัยอยู่บ้าง เขาออกจะไม่เชื่อสักเท่าใดนัก จ้าวเทพผู้หนึ่งถึงกับกล้าสะกดรอยจักรพรรดิเทพคนหนึ่ง! ถึงแม้ว่าจะเป็นผู้เหินทะยานระดับจ้าวเทพ จ้าวเทพช่วงสุดยอดก็เพียงแค่เทียบเคียงได้กับจักรพรรดิเทพช่วงต้นในบรรดาประชากรธรรมดาทั่วไปของโลกเทพเท่านั้น ย่อมไม่สามารถคุกคามไปถึงชีวิตของ ‘จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษา’ ที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ไปไกลได้อยู่แล้ว

แต่เรื่องจริงเป็นเช่นนี้!

“ย่อมไม่มีอะไรสามารถหนีการตรวจสอบของข้าไปได้อยู่แล้ว รอบกายของจ้าวเทพเมฆาเขียวไม่มีจักรพรรดิเทพคนอื่นๆ อยู่แล้วจริงๆ จักรพรรดิเทพผู้ยิ่งใหญ่ คงจะไม่สามารถซ่อนตัวอยู่ภายในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ของจ้าวเทพผู้หนึ่งได้หรอกกระมัง” เงาร่างเลือนรางนี้ลอบบ่นพึมพำ จักรพรรดิเทพต่างก็มีความทะนงตนกันเป็นอย่างยิ่ง มิใคร่จะเห็นจ้าวเทพอยู่ในสายตากันสักเท่าใดนัก

แม่ทัพเทพไปถึงจ้าวเทพเป็นการก้าวข้ามระดับขั้นใหญ่

จ้าวเทพไปถึงจักรพรรดิเทพก็เป็นการก้าวข้ามระดับขั้นใหญ่เช่นเดียวกัน

“น้องโลหิตทมิฬนั้นยากยิ่งที่จะจัดการได้ รีบตามมาด้วยกันเร็วเข้า” วัตถุส่งสารได้รับข้อความที่ส่งมา เงาร่างเลือนรางหัวเราะเยาะเสียงหนึ่งแล้วถ่ายเสียงตอบกลับไปในทันที “กาเหว่าภูษา วางใจเถิด ข้าจะไป!”

พรึ่บ!

ร่างกายของเขากระจัดกระจายกลายเป็นสายลม ไล่ตามไปอย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียง

………………………

ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าเปลี่ยนแปรเล็กน้อย ตนเองก็เพียงแค่ยื่นข้อเสนอให้เท่านั้น อีกทั้งเงื่อนไขก็ยังดียิ่งนัก ถึงขนาดที่เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้อีกฝ่ายโกรธเคือง เขาก็ยังจงใจถ่ายเสียง และมิให้เสียงแพร่กระจายออกไปกระทบกับอีกฝ่าย

“เอี๊ยด” ประตูห้องส่วนตัวเปิดออก

สาวใช้ชุดเขียวคนหนึ่งเดินออกมาจากด้านใน ผู้ดูแลหญิงผู้นี้มองดูตงป๋อเสวี่ยอิงพลางขมวดคิ้วเอ่ยว่า “จ้าวเทพท่านนี้ ตอนนี้งานชุมนุมประมูลสมบัติกำลังดำเนินไปอยู่ ได้โปรดอย่ามารบกวนแขกผู้มีเกียรติภายในห้องส่วนตัวเลยนะเจ้าคะ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองห้องส่วนตัวปราดหนึ่งก่อนจะหันหน้าเดินไป

หลังจากที่ผู้ดูแลหญิงผู้นี้มองส่งตงป๋อเสวี่ยอิงจากไปด้วยสายตาแล้วจึงกลับไปยังห้องส่วนตัว

ภายในห้องส่วนตัว

มีเงาร่างในอาภรณ์ดำตัวหลวมโพรกนั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่น ตลอดร่างของเขาปกคลุมด้วยชั้นหนังกำพร้าที่มีเกล็ดสีเขียว บนใบหน้าเต็มไปด้วยชั้นหนังกำพร้าที่มีเกล็ดอันบิดเบี้ยว อัปลักษณ์เป็นที่สุด นัยน์ตาทั้งคู่ก็ราวกับอำพันสีเหลือง แฝงไว้ด้วยความชั่วร้ายจางๆ เขามองผู้ดูแลหญิงอาภรณ์เขียวที่เดินเข้ามาผู้นั้นอย่างเยียบเย็นปราดหนึ่ง ถึงแม้ว่าผู้ดูแลหญิงจะค่อนข้างเคารพนบนอบ แต่ก็สงบนิ่งเป็นอย่างยิ่ง พวกนางต่างก็เป็นผู้ดูแลของหอจิตฟ้า ถึงแม้ว่าจะปฏิบัติต่อแขกด้วยความเคารพ แต่บรรดาแขกเหรื่อก็ไม่กล้าลงมือกับบรรดาผู้ดูแลเหล่านี้

“จ้าวเทพเมฆาเขียวผู้นั้นจากไปแล้วเจ้าค่ะ” ผู้ดูแลหญิงผู้นี้เอ่ยรายงาน

“เฮอะ หอจิตฟ้าควรจะรักษาข้อมูลของแขกในงานชุมนุมประมูลสมบัติเอาไว้เป็นความลับอย่างสมบูรณ์แบบนะ ข้าเพิ่งจะประมูลตำราสามเล่มนั้นมาได้ เขาหาตัวข้าพบแล้วได้อย่างไรกัน” เงาร่างอาภรณ์ดำนี้เอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ นัยน์ตาสีเหลืองเข้มดุจอำพันจ้องมองผู้ดูแลหญิงอาภรณ์เขียว

ผู้ดูแลหญิงอาภรณ์เขียวกลับกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “จักรพรรดิเทพ ชื่อเสียงของหอจิตฟ้าของข้านั้นไม่มีข้อกังขาเลย หอจิตฟ้าดูเหมือนว่าจะกระจายตัวอยู่ในปราการเมืองทุกแห่งทั่วทั้งโลกเทพ แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีเรื่องการเปิดเผยข้อมูลของแขกในงานชุมนุมประมูลสมบัติมาก่อนเลย นอกจากนี้ ท่านจักรพรรดิเทพเพิ่งจะประมูลได้ จ้าวเทพเมฆาเขียวผู้นี้ก็มาถึงที่นี่แล้ว เกรงว่าคงจะอาศัยพวกเคล็ดการสะกดรอยค้นพบตัวตนของท่านจักรพรรดิเทพ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับหอจิตฟ้าของข้าเลยเจ้าค่ะ! เรื่องที่เกี่ยวพันกับชื่อเสียงของหอจิตฟ้าของข้า ขอท่านจักรพรรดิเทพได้โปรดอย่าเอ่ยถึงอีกเลยนะเจ้าคะ”

เงาร่างอาภรณ์ดำส่งเสียงเฮอะเสียงหนึ่งแล้วก็มิได้พูดอะไรอีก

ตัวเขาเองก็เข้าใจกระจ่างดีว่าหอจิตฟ้าให้ความสำคัญกับชื่อเสียงมากเพียงใด แล้วจะรั่วไหลได้อย่างไรกัน ต่อให้รั่วไหลก็ไม่มีทางรวดเร็วถึงเพียงนี้อยู่แล้ว

“จ้าวเทพผู้หนึ่งหรือ” เงาร่างอาภรณ์ดำมองลงไปยังการประมูลสมบัติที่กำลังดำเนินอยู่ภายในสถานที่จัดงานชุมนุม แต่ความคิดมากมายกลับพรั่งพรู “จ้าวเทพพลังยุทธ์ต้อยต่ำ น่าจะยังไม่สามารถสะกดรอยได้ เบื้องหลังของเขาคงจะมีจักรพรรดิเทพท่านไหนอยู่สักท่านหนึ่ง หรือว่านอกจากน้องโลหิตทมิฬที่กำลังไล่ล่าสังหารข้าแล้ว ยังมีจักรพรรดิเทพคนอื่นเพ่งเล็งข้าอยู่อีกหรือ”

นัยน์ตาดุจอำพันของเงาร่างอาภรณ์ดำนั้นมีความเคลือบแคลงสงสัยอยู่บ้าง

“สมควรตาย! ไม่ว่าอย่างไรก็ได้ร่างไร้ทลายเพลิงทองมาไว้ในมือแล้ว มีตำราการบำเพ็ญศาสตร์นี้เป็นแหล่งอ้างอิง เชื่อว่าข้าก็จะสามารถหลอมแปรควบคุมไข่มุกทองคำดำได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น เมื่อถึงเวลาน้องโลหิตทมิฬจะทำอะไรข้าได้อีกเล่า” นัยน์ตาของเงาร่างอาภรณ์ดำสาดประกายเยียบเย็น “หึๆ ไม่ว่าจะยังมีจักรพรรดิเทพท่านไหนจับจ้องข้า กาเหว่าภูษา ผู้ที่จะหัวเราะจนถึงนาทีสุดท้ายได้ก็ยังคงเป็นข้าเช่นเคย”

ถึงแม้ว่าจะคิดเช่นนี้ แววตาของเงาร่างอาภรณ์ดำก็ยังเยียบเย็นเป็นอย่างยิ่ง แววตาก็ยังมีความกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด ถึงอย่างไรจักรพรรดิเทพที่อยู่เบื้องหลัง ‘จ้าวเทพเมฆาเขียว’ ท่านนั้น ที่แท้แล้วมีพลังยุทธ์เช่นไรก็ยังรู้ไม่กระจ่างชัดนัก

พละกำลังการบำเพ็ญสายโลหิตคละถิ่น โดยทั่วไปแล้วต่างก็ไม่เชี่ยวชาญการสะกดรอย แน่นอนว่าบุคคลผู้น่าหวาดหวั่นจำนวนหนึ่งในบรรดาจักรพรรดิเทพ โดยทั่วไปแล้วฝีมือในการสะกดรอยต่างก็ร้ายกาจเป็นอย่างยิ่ง! ‘จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษา’ รู้สึกว่าบุคคลระดับนั้นคงไม่น่าจะมาคิดบัญชีกับเขา เพราะว่าเพียงแค่ออกคำสั่งเสียงหนึ่ง เขาก็ยอมก้มหัวอย่างเชื่อฟังแล้ว

“ผู้ที่ชื่อว่าจ้าวเทพเมฆาเขียวผู้นี้ จักรพรรดิเทพที่อยู่เบื้องหลังเขา เกรงว่าพลังยุทธ์ก็คงจะมิได้แข็งแกร่งไปกว่าข้าสักเท่าใดนักหรอก! อย่างมากก็แค่เชี่ยวชาญในการสะกดรอยเท่านั้นกระมัง” จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาพึมพำ

ตงป๋อเสวี่ยอิงบำเพ็ญความเร้นลับของกฎเกณฑ์ ฝืมือการสะกดรอยก็เพียงพอที่จะเทียบเคียงได้กับยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่ระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายจำนวนหนึ่งเลยทีเดียว

……

กลับไปถึงห้องส่วนตัวของตน

ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินไปตรงหน้าตั่งแล้วนั่งขัดสมาธิลง พลางยกจอกสุราขึ้นจิบอึกหนึ่ง สาวใช้ด้านข้างช่วยรินสุราเพิ่มให้ในทันใด

“ผู้ที่ประมูลตำราสามเล่มรวมถึงคัมภีร์แมลงมารห้วงอากาศไปได้ผู้นั้นเป็นคนบ้าหรืออย่างไร” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ค่อนข้างเดือดดาล รู้สึกว่าปฏิกิริยาตอบสนองของอีกฝ่ายออกจะ ‘เกินไป’อยู่บ้าง แต่เขาย่อมไม่รู้อยู่แล้วว่าขณะนี้อีกฝ่ายกำลังเป็น ‘กระต่ายตื่นตูม’ เขาไปเจรจาอย่างบริสุทธิ์ใจ แต่อีกฝ่ายกลับเผยความรู้สึกไม่เป็นสุขและความหวาดหวั่นที่ถูกพบตัว

ถ้าหากในใจสงบ ก็ย่อมสามารถเจรจาต่อรองดีๆ ได้อยู่แล้ว

‘กระต่ายตื่นตูม’ ตัวหนึ่ง การคุกคามใดๆ ก็ย่อมทำให้อีกฝ่ายระแวดระวังอย่างหาใดเปรียบอยู่แล้ว!

“คราวนี้มาประมูลสมบัติที่หอจิตฟ้า แต่กลับไม่สามารถประมูลคัมภีร์แมลงมารห้วงอากาศนี้ไปได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงผิดหวังอยู่บ้าง เขาพลิกดูม้วนสาส์นที่บันทึกลำดับการประมูลสมบัติตรงหน้า ถึงอย่างไรก็เข้าร่วมงานชุมนุมประมูลสมบัติในครั้งนี้แล้ว งานชุมนุมประมูลสมบัติระดับนี้ แม้กระทั่งโลกเทพก็ยังนานๆ ครั้ง จึงจะมีได้สักคราหนึ่ง ย่อมไม่มีทางกลับไปมือเปล่าอยู่แล้ว

เพียงแต่ว่างานชุมนุมประมูลสมบัตินี้ สมบัติล้ำค่ามากมายต่างก็มีแรงดึงดูดต่อประชากรโลกเทพเป็นอย่างมาก แต่สำหรับเขา ตงป๋อเสวี่ยอิง กลับมีแรงดึงดูดเพียงน้อยนิดอย่างยิ่ง!

“เอาชิ้นนี้ก็แล้วกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงถูกใจสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่ง

อย่างช้าๆ…

ในที่สุดก็มาถึงสมบัติล้ำค่าชิ้นที่สามสิบสองของงานชุมนุมประมูลสมบัติในครั้งนี้ จักรพรรดิเทพ ชายชราอาภรณ์เงินชี้หอกยาวเล่มหนึ่งที่ลอยอยู่ด้านข้าง หอกยาวเป็นสีทองอร่ามตาตลอดทั้งเล่ม แต่บนปลายหอกกลับมีพื้นผิวสีแดงโลหิต “ทุกท่านล้วนรู้จักหอกเทพเปลวทองกันดีอยู่แล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่บรรพเทวะคละถิ่นแห่งตระกูลจินเซิ่งหลอมขึ้นมาเองกับมือในตอนนั้น เมื่อใดที่ถูกทิ่มแทงเข้าไป ตลอดร่างก็จะราวกับถูกแผดเผา ทำลายร่างกายได้อย่างมหาศาล ฮ่าฮ่า หอกเทพพรรค์นี้ก็คงไม่ต้องให้ข้าพูดอะไรมากแล้ว ราคาต่ำสุดคือหยกแก้วคละถิ่นห้าสิบก้อน ราคาที่เพิ่มขึ้นแต่ละครั้งต้องไม่น้อยกว่าหนึ่งชิ้นหยกแก้วคละถิ่น เริ่มประมูลสมบัติได้!”

“ห้าสิบเอ็ดชิ้นหยกแก้วคละถิ่น”

“ห้าสิบสองชิ้นหยกแก้วคละถิ่น”

มีการเสนอราคาอย่างต่อเนื่องในทันใด

ฟังดูแล้วหอกเทพเปลวทองนี้มีความเป็นมาอันยิ่งใหญ่นัก เป็นถึงสิ่งที่บรรพเทวะคละถิ่นเบื้องหลังตระกูลจินเซิ่ง หนึ่งในสามตระกูลราชันย์ผู้นั้นหลอมขึ้นมาเองกับมือ แต่ในความเป็นจริงแล้วเหล่าผู้แกร่งกล้าของโลกเทพต่างก็รู้กระจ่างกันดีว่าบรรพเทวะคละถิ่นท่านนั้นได้หลอมอาวุธขึ้นมาเป็นจำนวนมากเพื่อลูกหลานรุ่นหลังของตน ในบรรดาอาวุธเหล่านั้น ‘หอกเทพเปลวทอง’ เป็นสิ่งที่ค่อนข้างจะสามัญธรรมดาได้หลอมเอาไว้เป็นจำนวนมากเลยทีเดียว

ว่ากันว่า ‘ตระกูลจินเซิ่ง’ มีพลพรรคอยู่กลุ่มหนึ่ง ยอดฝีมือภายในนั้นดูเหมือนว่าแต่ละคนต่างก็มีหอกเทพเปลวทองกันทั้งสิ้น ร่วมมือกันขึ้นมาแล้วก็ยังสามารถสำแดงเคล็ดการร่วมโจมตีอันน่าหวาดหวั่นได้

ลำพังแค่หอกเทพเปลวทองเล่มหนึ่งก็นับได้ว่าไม่เลวแล้ว แต่ตามปกติแล้วก็มีแต่บรรดายอดฝีมือระดับจักรพรรดิเทพช่วงต้นเท่านั้นที่จะเห็นอยู่ในสายตา

ต่อให้ความเป็นมายิ่งใหญ่กว่านี้แล้วอย่างไรเล่า เหล่าผู้แกร่งกล้าสนใจอาวุธที่มีส่วนช่วยส่งเสริมพลังยุทธ์ของตนเองมากกว่า

“ห้าสิบแปดชิ้นหยกแก้วคละถิ่น”

“หยกแก้วคละถิ่นหกสิบชิ้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เสนอราคาออกไปเช่นกัน

หลังจากที่เขาเสนอออกไปแล้วกลับไม่มีการเสนอราคาตามมาอีกเลย

หอกเทพเปลวทองเล่มนี้ย่อมต้องถูกเขาประมูลมาไว้ในมืออยู่แล้ว เพราะว่าอาวุธมาตรฐานชิ้นหนึ่งที่เป็นของภายในตระกูลจินเซิ่ง ในความเป็นจริงแล้วที่สืบทอดต่อกันมาก็มีอยู่มากพอสมควรแล้ว ราคาโดยทั่วไปน้อยนักที่จะสูงเกินกว่าหยกแก้วคละถิ่นหกสิบก้อน

สิ่งที่มีจำนวนมาก เมื่อเทียบกันแล้วราคาก็ค่อนข้างนิ่งกว่า

จะมีก็แต่พวกที่พบเห็นได้ยากถึงขนาดที่เกิดขึ้นมาอันหนึ่งแล้วยากที่จะมีชิ้นที่สองปรากฎขึ้นมาอีก ราคาก็บอกได้ยากแล้ว

พบเจอกับสิ่งที่อยากได้เป็นที่สุด ราคาจะเพิ่มเป็นเท่าตัวก็เป็นไปได้

เพียงไม่นาน

หอกเทพเปลวทองเล่มนั้นก็ถูกส่งมาถึงยังห้องส่วนตัวของตงป๋อเสวี่ยอิง

“อืม” เมื่อกุมหอกเทพเปลวทองเล่มนี้ หอกยาวก็หนักแน่นราวกับภูเขาสูงพันลี้แห่งหนึ่งภายในโลกเทพ ตงป๋อเสวี่ยอิงหลอมแปรอย่างรวดเร็ว สัมผัสรับรู้แทรกผ่านทุกอณูของหอกยาว หอกยาวดูเหมือนจะหลอมแปรอย่างง่ายๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับเร้นลับเป็นอย่างยิ่ง ถึงอย่างไรก็เป็นสิ่งที่หนึ่งในสามผู้แกร่งกล้าคละถิ่นที่ก่อกำเนิดโลกเทพแห่งนี้หลอมขึ้นมากับมือตนเอง ถึงแม้ว่าจะเป็นอาวุธมาตรฐาน แต่ก็ไม่ธรรมดาเช่นเดียวกัน

เมื่อหลอมแปรแล้วหอกเทพเล่มนี้ยามอยู่ในมือก็เบาลง เขาขัดเกลาโดยละเอียดรอบหนึ่ง “วัสดุของหอกยาวเล่มนี้ดูเหมือนว่าจะมีเม็ดทรายอลวนผสมอยู่ด้วยใช่หรือไม่”

อาวุธเทพคละถิ่น ‘ชิงเหอ’ ของตนเล่มนั้น ดูเหมือนว่าจะมีเม็ดทรายอลวนเป็นองค์ประกอบหลัก อีกทั้งยังเป็นสิ่งที่หยวนตั้งใจดัดแปลงขึ้นเพื่อตน ทว่าหอกเทพเล่มนี้มีเม็ดทรายอลวนเป็นส่วนผสมอยู่น้อยกว่า เมื่อเทียบกันแล้ววัสดุที่ใช้ก็ธรรมดากว่า แต่หลังจากที่ผู้แกร่งกล้าคละถิ่นหลอมขึ้นมาแล้ว พูดถึงความทนทานของอาวุธเพียงอย่างเดียว ‘หอกเทพเปลวทอง’ เล่มนี้ก็ไม่ด้อยไปกว่าหอกเทพชิงเหอเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ว่ามิได้มีส่วนช่วยเหลือต่อการแสดงพลังคละวิถีมากเท่ากับหอกเทพชิงเหอ

ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าน้อยๆแล้วเผยรอยยิ้มหนึ่งออกมา “ไม่ว่าอย่างไร อย่างน้อยความแข็งแรงของวัสดุของหอกเทพเปลวทองเล่มนี้ เกรงว่าก่อนที่จะสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นก็คงยากที่จะทำลายได้ อีกทั้งเมื่อปลายหอกนี้แทงทะลุศัตรูก็มีพลังทำลายล้างอันแข็งแกร่งเป็นที่สุด ก็นับเป็นตัวช่วยที่ดีทีเดียว”

มีอาวุธเทพชิ้นหนึ่งอยู่ในมือ ก็สามารถสำแดงวิชาหอกของตนออกมาได้

เคล็ดวิชาวิถีอากาศของตนจำนวนมากพอสมควรต่างก็มีผลลัพธ์ดีที่สุดเมื่อสำแดงด้วยหอกยาว

……

งานชุมนุมประมูลสมบัติดำเนินต่อไปอีกเป็นระยะเวลากว่าครึ่งวัน ในที่สุดก็มาถึงสมบัติล้ำค่าชิ้นสุดท้ายในครั้งนี้ ทั้งยังเป็นสมบัติล้ำค่าดาวเด่นอีกด้วย

“เมื่อการประมูลสมบัติล้ำค่าชิ้นสุดท้ายสิ้นสุดลงแล้ว งานชุมนุมประมูลสมบัติครั้งนี้ก็จะสิ้นสุดลงด้วยเช่นกัน” จักรพรรดิเทพเยี่ยน ชายชราอาภรณ์เงิน พูดพลางยิ้มน้อยๆ “ฮ่าฮ่า เชื่อว่าจักรพรรดิเทพจำนวนมากคงจะรอคอยกันไม่ไหวแล้ว เชื่อว่าทุกท่านคงจะทราบกันดีว่าสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดทั่วทั้งโลกเทพมีอยู่ทั้งสิ้นกว่าพันชนิด ยังมีบางส่วนที่ถูกผู้แกร่งกล้าอย่างจ้าวหุบเขาฝูหลิ่วและเจ้าลัทธิค้ำฟ้าคุ้มครองเอาไว้อีกด้วย ซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดทุกซากล้วนล้ำค่าเป็นอย่างยิ่ง สมบัติล้ำค่าชิ้นสุดท้ายของงานชุมนุมประมูลสมบัติในครั้งนี้ก็คือซากศพของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดซากหนึ่ง”

พูดแล้วเขาก็โบกมือคราหนึ่ง ห้วงมิติด้านบนก็บิดเบี้ยว ภายในห้วงมิติที่บิดเบี้ยวก็มีซากศพซากหนึ่งล่องลอยอยู่

โลกเทพ ทุกฝ่ายต่อสู้ห้ำหั่นกัน เหล่าผู้แกร่งกล้าและเหล่าผู้เหินทะยานของโลกเทพห้ำหั่นกันก็แล้วไปเถิด พวกเขาล่าสังหารสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับต่ำเหล่านั้นก็เพื่อปีนป่ายไปถึงระดับขั้นที่สูงขึ้นอีกเช่นกัน

………………………………

งานชุมนุมประมูลสมบัติเริ่มต้น ผู้จัดการก็คือชายชราอาภรณ์เงินคนหนึ่ง ซึ่งก็คือ ‘จักรพรรดิเทพเยี่ยน’ เจ้าของหอจิตฟ้าแห่งเมืองเจียงหยวนแห่งนี้ เขาอธิบายสมบัติล้ำค่าชิ้นเปิดงานชิ้นแรกอย่างช่ำชองยิ่ง บอกเล่าประโยชน์ต่างๆ มากมาย แล้วก็บอกราคาต่ำสุด เพียงไม่นานก็เริ่มต้นเสนอราคาประมูลสมบัติครั้งแล้วครั้งเล่า

ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ในห้องส่วนตัวของตนเอง จิบสุราไปพลาง ชมดูการต่อสู้แย่งประมูลสมบัติล้ำค่าชิ้นแล้วชิ้นเล่าไปพลาง

“…ฮ่าฮ่า พูดอะไรมากมายเช่นนี้ หากพูดมากไปอีก เกรงว่าจักรพรรดิเทพมากมายก็จะพากันร้อนรนเสียแล้ว นี่ก็เตรียมตัวจะเริ่มต้นประมูลสมบัติ แต่ท้ายที่สุดแล้วข้าก็ขอเตือนประโยคหนึ่ง ‘ไข่มุกทองคำดำ’ มิได้ปรากฏโฉมต่อโลกมาเนิ่นนาน เนิ่นนานเหลือเกินแล้ว หากพลาดเม็ดนี้ไป เกรงว่าไม่รู้อีกเนิ่นนานเท่าใดจึงจะมีเม็ดใหม่ปรากฏขึ้นมาในโลกเทพอีก หรือแม้กระทั่งอาจจะไม่เกิดขึ้นมาใหม่อีกแล้วตลอดกาลก็เป็นได้” ชายชราอาภรณ์เงินพูดพลางยิ้มน้อยๆ “ราคาประมูลสมบัติต่ำสุดสามร้อยชิ้นหยกแก้วคละถิ่น ราคาทุกครั้งเพิ่มขึ้นอย่างต่ำที่สุดหนึ่งชิ้นหยกแก้วคละถิ่น เริ่มกันเถิด”

ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังแล้วก็ตกตะลึง

นี่คือสมบัติล้ำค่าชิ้นที่สิบสองของงานชุมนุมประมูลสมบัติครั้งนี้ ทั้งยังเป็นชิ้นที่ราคาตั้งต้นแพงที่สุดอีกด้วย ถึงแม้ว่าสมบัติล้ำค่าชิ้นเปิดงานจะมีราคาสูง แต่ในท้ายที่สุดแล้วก็ได้ราคาเพียงแค่หยกแก้วคละถิ่นหนึ่งร้อยก้อนกว่าๆ เท่านั้นเอง

ทั่วทั้งสถานที่จัดงานชุมนุมเต็มไปด้วยความเงียบสงัด

เงียบงันไปเป็นเวลาหลายอึดใจ ในที่สุดเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “สามร้อยเอ็ดชิ้นหยกแก้วคละถิ่น”

หลังจากการเสนอราคานี้ก็มีการเสนอราคาตามติดมาอย่างรวดเร็ว

“หยกแก้วคละถิ่นสามร้อยห้าก้อน”

……

“หยกแก้วคละถิ่นสามร้อยสามสิบก้อน”

เสนอราคากันอย่างต่อเนื่อง

ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็ตะตะลึงเพราะเหตุนี้ เพียงแต่ว่าวัตถุวิเศษที่ใช้สร้างวิญญาณขึ้นมาใหม่ที่มีส่วนช่วยเหลือต่อการบำเพ็ญสายโลหิตคละถิ่นเป็นอย่างมากพรรค์นี้มีแรงดึงดูดต่อตงป๋อเสวี่ยอิงเพียงน้อยนิดจนสามารถมองข้ามได้

ราคาสุดท้ายของ ‘ไข่มุกทองคำดำ’ ชิ้นนี้พุ่งทะยานไปถึงหยกแก้วคละถิ่นสามร้อยเก้าสิบก้อน!

ถึงแม้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะส่งเสียงจุ๊ปากชื่นชม แต่เขาก็รู้ว่าสมบัติล้ำค่าปิดงานของงานชุมนุมประมูลสมบัติในครั้งนี้ก็คือซากศพของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับต่ำซากหนึ่ง! ก็เหมือนกับตอนนั้นที่ราชันย์อนธการอมตะโจมตีบนเส้นทางของสิ่งมีชีวิตคละถิ่น อาศัยซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับต่ำซากหนึ่งก็หลอม ‘ผู้ท่องมรณะ’ ร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นออกมาได้ โลกเทพแห่งนี้ถึงแม้ว่าจะมิได้มีความเชี่ยวชาญในการหลอมหุ่นเชิดเหมือนกับราชันย์อนธการอมตะ แต่กับการใช้งานซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับต่ำเหล่านี้ก็สูงส่งเป็นอย่างยิ่งเช่นเดียวกัน ย่อมนำไปสู่ราคาที่สูงเสียจนเกินจริงเป็นธรรมดาอยู่แล้ว

******

สมบัติล้ำค่าชิ้นแล้วชิ้นเล่าถูกขายออกไปอย่างต่อเนื่อง

“นี่คือสมบัติล้ำค่าชิ้นที่สิบเก้าของงานชุมนุมประมูลสมบัติในครั้งนี้” ชายชราอาภรณ์เงินชี้ตำราสามเล่มที่ลอยอยู่ด้านข้างพร้อมแผ่ระลอกคลื่นของตัวเองออกมา “นี่คือต้นฉบับตำราการบำเพ็ญระดับจักรพรรดิเทพช่วงต้นสามเล่ม แบ่งออกเป็นร่างไร้ทลายเพลิงทอง เงาฉาย และคัมภีร์แมลงมารห้วงอากาศ ในบรรดาตำราเหล่านี้ คัมภีร์แมลงมารห้วงอากาศก็คือตำราผู้เหินทะยานวิถีอากาศ ตำราผู้เหินทะยานวิถีอากาศนั้นพบเห็นได้ยากเป็นที่สุด ส่วนอีกสองเล่มเป็นตำราในระดับจักรพรรดิเทพ ร่างไร้ทลายเพลิงทองนั้นเป็นเคล็ดวิชาที่ขึ้นชื่อว่ามีความเชี่ยวชาญในด้านการรักษาชีวิต ถ้าหากสามารถบำเพ็ญได้สำเร็จแล้วความมั่นใจในการรักษาชีวิตรอดเมื่อเผชิญกับอุปสรรคก็จะเพิ่มพูนขึ้นอย่างมากมายมหาศาล ส่วนเงาฉายเชี่ยวชาญในการลอบสังหาร”

ชายชราอาภรณ์เงินยิ้มพลางกวาดสายตามองไปทั่วทุกทิศ “ต่อให้ตนเองมิอาจใช้ได้ ก็สามารถซื้อเอาไว้เก็บเป็นสมบัติภายในตระกูลของตนได้ สะสมเอาไว้เป็นขุมทรัพย์ของตระกูล ตำราระดับจักรพรรดิเทพพรรค์นี้สามารถเพิ่มพูนพื้นฐานของขุมอำนาจฝ่ายหนึ่งได้ สามารถบ่มเพาะผู้แกร่งกล้าออกมาเพิ่มมากขึ้นได้ จำหน่ายตำราระดับจักรพรรดิเทพสามเล่มพร้อมกัน หรือว่าครั้งต่อไปจะยังมีตำราจำหน่ายออกมาอีก แต่อยากจะพบเจอตำราสามเล่มนี้ได้ก็ยากเย็นแล้ว เอาล่ะ ตำราระดับจักรพรรดิเทพสามเล่มนี้ ราคาขั้นต่ำคือหยกแก้วคละถิ่นแปดสิบก้อน! ทุกครั้งต้องเพิ่มราคาไม่ต่ำกว่าหยกแก้วคละถิ่นหนึ่งชิ้น! เริ่มการประมูลสมบัติได้!”

ตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งตื่นเต้นทั้งแอบโมโห

โมโหที่อีกฝ่ายจำหน่ายตำราระดับจักรพรรดิเทพสามเล่มพร้อมกัน! ต้องรู้ไว้ว่า ผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพจำนวนหนึ่ง อย่างเช่นจักรพรรดิเทพช่วงกลาง ตำราเหล่านี้มิได้มีส่วนช่วยเหลือต่อตัวพวกเขามากมายสักเท่าใดนัก แต่สามเล่มรวมกันขึ้นมาแล้ว จะนำมาใช้เสริมคลังขุมทรัพย์ของขุมอำนาจของพวกเขาก็ไม่เลวเลย เพียงพอที่จะทำให้จักรพรรดิเทพจำนวนหนึ่งยอมจ่ายแล้ว

รอบด้านเต็มไปด้วยความเงียบสงบ

ตามปกติแล้วฝ่ายที่ราคาขั้นต่ำสูงต่างก็ไม่มีทางเสนอราคาง่ายๆ ราคาเช่นนี้ ผู้ที่สามารถเสนอราคาขึ้นมาได้ ตามปกติแล้วก็ต้องเป็นขุมอำนาจของผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพ

“หยกแก้วคละถิ่นแปดสิบเอ็ดก้อน” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังเสนอราคาออกนำไปก่อน เขาสังเกตดูอย่างละเอียดถี่ถ้วน ในใจก็คาดหวังรอคอย หากผู้แกร่งกล้าคนอื่นๆ ล้วนไม่เสนอราคาออกมาเลยจะเป็นการดีที่สุด

“หยกแก้วคละถิ่นแปดสิบห้าก้อน” น้ำเสียงบาดหูเล็กน้อยสายหนึ่งดังขึ้น ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังแล้วก็ขมวดคิ้วมุ่น หัวใจขมวดรัดเล็กน้อย วุ่นวายเสียแล้วสิ! เรื่องราวย่อมไม่มีทางเป็นไปตามที่ใจคนปรารถนาได้ทั้งหมด ก็ได้แต่พยายามอย่างสุดกำลังแล้ว คราวนี้ตำราสามเล่มขายพร้อมกันก็ทำให้ตนรู้สึกเฉยๆ เป็นอย่างยิ่งจริงๆ

“หยกแก้วคละถิ่นแปดสิบหกก้อน” เสียงกังวานอีกเสียงหนึ่งดังขึ้น

ตงป๋อเสวี่ยอิงกระวนกระวายขึ้นมาอีกครั้ง อย่างน้อยก็มีผู้ที่ต้องการจะครอบครองตำราสามเล่มนี้มากถึงสามฝ่ายแล้ว

คิดไปคิดมาก็เป็นเรื่องปกติธรรมดายิ่ง

เช่นสกุลอวี้เฟิงแห่งเมืองจวิ้นซาน เก็บสะสมตำราระดับจักรพรรดิเทพมาเป็นระยะเวลายาวนานจนกระทั่งบัดนี้ก็เพิ่งจะได้เพียงแค่สามชนิดเท่านั้น ตำราสามเล่ม แม้กระทั่งขุมอำนาจที่ค่อนข้างใหญ่จำนวนหนึ่งก็ต้องจิตใจสั่นไหวเพราะสิ่งนี้แล้ว

“หยกแก้วคละถิ่นเก้าสิบก้อน” น้ำเสียงบาดหูนั้นเสนอราคาเพิ่มในทันใด

เงียบสงบไปทั่ว

ตงป๋อเสวี่ยอิงขบกรามแล้วเอ่ยปากในทันใด “หยกแก้วคละถิ่นหนึ่งร้อยก้อน!” จะเพิ่มราคาก็ยกระดับให้มากสักหน่อย เพื่อจะให้อีกฝ่ายยอมแพ้ ค่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละเล็กละน้อย ไม่แน่ว่าก็อาจจะถึงขีดจำกัดราคาที่ตนตั้งไว้อย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียงก็เป็นได้

และการเสนอราคาในครั้งนี้ก็คือขีดจำกัดของตนแล้ว! ขายซากสัตว์ถิ่นร้างเหล่านั้นได้หยกแก้วคละถิ่นมาเก้าสิบหกก้อนกับอีกสามพันศิลาอสนี แต่วันเวลาที่ตนออกล่าอยู่ที่ดินแดนรกร้างมาหนึ่งพันสองร้อยปี, ยามที่ล่าสังหารสัตว์ถิ่นร้างเหล่านั้น ก็ได้ค้นพบสมบัติล้ำค่าต่างๆ ของผู้แกร่งกล้าที่ถูกสัตว์ถิ่นร้างสังหาร รวมกันขึ้นมาแล้วตนก็ประมาณว่าน่ามูลค่าน่าจะเกือบๆ ห้าชิ้นหยกแก้วคละถิ่นกระมัง

“หยกแก้วคละถิ่นหนึ่งร้อยก้อนก็สูงพอแล้ว ควรจะสิ้นสุดได้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงคาดหวัง เขาได้พยายามอย่างสุดกำลังแล้ว ต่อไปก็ขึ้นอยู่กับลิขิตสวรรค์เท่านั้นแล้ว

“หยกแก้วคละถิ่นหนึ่งร้อยสามก้อน” น้ำเสียงอาจหาญนั้นดังขึ้น

ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าซีดเผือดในทันใด

พลาดเสียแล้ว!

สมบัติล้ำค่าหมดเนื้อหมดตัวก็ยังไม่เพียงพอ

เวลาเคลื่อนผ่านไปก็ยังไม่มีการเสนอราคาที่สูงกว่าออกมา

“ยังมีสูงกว่านี้อีกหรือไม่” ชายชราอาภรณ์เงินมองไปรอบพลางพูดเสียงดังพร้อมรอยยิ้ม

ไม่มีการเสนอราคาที่สูงกว่าออกมา

“หากไม่มีราคาที่สูงกว่าแล้ว ตำราระดับจักรพรรดิเทพสามเล่มนี้ก็สิ้นสุดการประมูลสมบัติแล้ว” ชายชราอาภรณ์เงินค่อยๆ ยกมือขวาขึ้นช้าๆ พลางมองไปทั่วทั้งสี่ทิศ จากนั้นเขาก็ยิ้มขึ้นมาในที่สุดพร้อมโบกมือคราหนึ่ง “เอาล่ะ ตำราระดับจักรพรรดิเทพสามเล่มนี้ประมูลสมบัติสิ้นสุดแล้ว! เริ่มการประมูลสมบัติล้ำค่าชิ้นต่อไปได้”

ยามที่เขาโบกมือ ผู้ดูแลที่อยู่ด้านข้างก็เก็บตำราระดับจักรพรรดิเทพสามเล่มขึ้นมาแล้วร่นถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว

แล้วก็มีสมบัติล้ำค่าชิ้นใหม่ ไหสุราหน้าตาแปลกประหลาดใบหนึ่งลอยคว้างอยู่กลางอากาศ ชายชราอาภรณ์เงินก็เริ่มต้นอธิบายสมบัติล้ำค่าชิ้นต่อไป

……

แต่ในใจตงป๋อเสวี่ยอิงกลับไม่เป็นสุขสักเท่าใดนัก เขาก็รู้ว่าเรื่องราวในโลกยากจะเป็นไปได้ตามใจนึกทั้งหมด แต่ว่าราคาสุดท้ายคือหยกแก้วคละถิ่นหนึ่งร้อยสามก้อน! ขาดเพียงแค่หยกแก้วคละถิ่นสามก้อนเท่านั้น ขาดอีกเพียงนิดเดียวแค่นี้เท่านั้นเอง! ทำให้ในใจตงป๋อเสวี่ยอิงทุกข์ระทมเป็นอย่างยิ่ง

“พรึ่บ” ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าเคร่งขรึมพลางรับสัมผัสอย่างละเอียด

เป็นถึงยอดฝีมือระดับวิถีอากาศขั้นสุดยอด โดยเฉพาะในตอนนี้ระดับขั้นของเขาก็ฟื้นฟูขึ้นมาเป็นส่วนใหญ่แล้ว การโคจรกฎเกณฑ์ของโลกเทพนี้ เขาก็ศึกษาจนเข้าใจอย่างกระจ่างชัดยิ่งขึ้นแล้ว สายเหตุปัจจัยสายแล้วสายเล่าในบรรดานั้นเขาก็สามารถตรวจสอบล่วงรู้ได้เช่นกัน คัมภีร์แมลงมารห้วงอากาศที่จะต้องได้มาครอบครองให้จงได้มาถูกผู้อื่นช่วงชิงไป นี่ก็เป็นเหตุปัจจัยอย่างหนึ่งเช่นเดียวกัน! ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถตามสายเหตุปัจจัยนี้ ค้นพบว่าสายเหตุปัจจัยก็เชื่อมต่ออยู่ภายในห้องส่วนตัวอีกแห่งหนึ่งของสถานที่จัดงานชุมนุมประมูลสมบัติแห่งนี้ เห็นได้อย่างชัดเจนว่าผู้ที่ได้ครอบครองตำราสามเล่มนั้นก็อยู่ภายในห้องส่วนตัวแห่งนั้นนั่นเอง

พูดถึงพลังยุทธ์

เขาเป็นจ้าวเทพช่วงสุดยอด แต่สำหรับการควบคุมความเร้นลับของกฎเกณฑ์ก็ผิวเผินเกินไป พูดถึงการสะกดรอยนั้นเกรงว่าเขาจะสามารถเทียบเคียงได้กับยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่ระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายบางคนเลยทีเดียว อย่างเช่นระดับความร้ายกาจของการสะกดรอยของ ‘เจ้าเมืองอนันต์’ ที่ดินแดนจิตโลกานั้นยังร้ายกาจกว่าบรรดายอดเคารพของหุบเขาเขี้ยวหักเสียอีก

“พรึ่บ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยืดกายลุกขึ้นแล้วเดินตรงออกไปจากห้องส่วนตัว

“จ้าวเทพไม่ประมูลสมบัติแล้วหรือเจ้าคะ” สาวใช้ชุดเขียวภายในห้องส่วนตัวเอ่ยถาม

“ออกไปเดินเล่นสักหน่อยน่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “เจ้าไม่ต้องตามมาหรอก”

สาวใช้ชุดเขียวก็ย่อมมิกล้าซักไซ้ต่อไปอีก ได้แต่คอยท่าอยู่ภายในห้องส่วนตัว

ออกมาจากห้องส่วนตัวแล้ว

เดินไปตามทางเดิน ด้านข้างก็มีห้องส่วนตัวอื่นๆ อยู่อีก

ถึงแม้ว่าเมื่อครู่จะต่างคนต่างเสนอราคา แต่ด้วยวิธีการของหอจิตฟ้า ลำพังแค่ฟังเสียงก็ย่อมไม่มีทางแยกแยะได้อยู่แล้วว่าเป็นห้องส่วนตัวห้องไหนที่เสนอราคา

สำหรับ ‘เหตุปัจจัย’ นั้นหอจิตฟ้าก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้

“ห้องนี้แหละ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินมาถึงด้านนอกห้องส่วนตัวห้องหนึ่งแล้วถ่ายเสียงตรงเข้าไปอย่างค่อนข้างเกรงอกเกรงใจ เสียงส่งผ่านเข้าไปภายในห้องส่วนตัวแห่งนี้ “ข้าคือจ้าวเทพเมฆาเขียว อยากจะใช้หยกแก้วคละถิ่นแปดสิบก้อนซื้อต้นฉบับตำราการบำเพ็ญคัมภีร์แมลงมารห้วงอากาศ หรือว่าจะให้หยั่งรู้คัมภีร์แมลงมารห้วงอากาศนี้สักครั้งก็ได้ หยั่งรู้ครั้งหนึ่งจะให้จ่ายราคาเท่าไหร่ก็สามารถเสนอมาได้เต็มที่เลย”

เสียงส่งผ่านเข้าไปเพียงแค่ในห้องส่วนตัว มิได้กระจายออกไปภายนอก

ตงป๋อเสวี่ยอิงรอคอย

หยกแก้วคละถิ่นแปดสิบก้อนเพียงเพื่อคัมภีร์แมลงมารห้วงอากาศ ราคาก็สูงพอสมควรเลยทีเดียว! ต่อให้อีกฝ่ายต้องการจะเก็บสะสมต้นฉบับเอาไว้ ตนศึกษาครั้งหนึ่งก็เพียงพอแล้ว!

“ไสหัวไป!” น้ำเสียงห้าวหาญที่ค่อนข้างจะโกรธเคืองสายหนึ่งส่งถ่ายออกมา พร้อมกันนั้นก็ยังได้ยินเสียงก่นด่า “หอจิตฟ้าของพวกเจ้ารักษาความลับกันเช่นนี้หรือ ให้เขาไสหัวไปให้พ้นหูพ้นตาข้าเสีย!”

…………………………………

ยอดฝีมือหอจิตฟ้าสองท่านนั้นและผู้ดูแลที่อยู่ด้านข้างต่างก็กลั้นหายใจมองดูซากสัตว์ถิ่นร้างที่สะสมมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้หัวใจที่สั่นไหวของพวกเขาขมวดแน่น ซากทุกซากนี้ล้วนเป็นจ้าวเทพช่วงสุดยอดทั้งสิ้น ถึงขนาดที่ในบรรดานั้นมีบางส่วนที่พวกเขาดูแล้วว่าเป็น ‘จักรพรรดิเทพช่วงต้น’ ซึ่งยอดฝีมือก็ยังยากที่จะสังหารได้

“เรียบร้อยแล้ว มีเท่านี้นี่แหละ” ตงป๋อเสวี่ยอิงหยุดลงในที่สุด “ตีราคาเถิด”

“ได้ๆๆ จ้าวเทพท่านนี้โปรดรอสักครู่ พวกเราจะตีราคาให้อย่างละเอียดเลย” ยอดฝีมือหอจิตฟ้าผู้มีเขาเดี่ยวสีแดงคนหนึ่งในนั้นเอ่ยถาม พูดแล้วเขาก็ควบคุมซากสัตว์ถิ่นร้างซากหนึ่งในค่ายกลห้วงมิติให้ลอยไปยังด้านบนสุด “นี่คือซากอันสมบูรณ์ของ ‘อสูรควันพันโอษฐ์’ พวกเราหอจิตฟ้าสามารถจ่ายได้หกพันห้าร้อยศิลาอสนี” พูดแล้วเขาก็มองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง สังเกตสีหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิง ยอดฝีมือจิตฟ้าอีกคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นเช่นกัน “ราคาที่พวกเราหอจิตฟ้าเสนอไม่แย่กับจ้าวเทพอยู่แล้ว”

ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้คิดประเมิน หากแต่เอ่ยอย่างราบเรียบว่า “ต่อไป”

“ได้ พวกเราดูกันต่อเถิด” ยอดฝีมือหอจิตฟ้าสองท่านนี้เอ่ยว่า “ซากสัตว์ถิ่นร้างซากนี้คือ ‘อูฐภูเขามหานคร’ แก่นชีวิตถูกทำลาย แต่ส่วนอื่นๆ ล้วนสมบูรณ์ดี พวกเราหอจิตฟ้าจ่ายให้ได้สามพันหนึ่งร้อยศิลาอสนี”

พวกเขาก็เป็นเพียงแค่ผู้รับผิดชอบประเมินราคาในหอจิตฟ้าเท่านั้น

กับผู้ที่สามารถหยิบเอาซากสัตว์ถิ่นร้างระดับจ้าวเทพช่วงสุดยอดกว่าร้อยร่างออกมาได้ในคราวเดียวเช่นนี้ พวกเขาก็มิกล้าชักช้าเลยแม้แต่น้อย พวกเขาเองก็เคยได้ยินมาก่อนว่ามี ‘ผู้เหินทะยานจ้าวเทพ’ ที่แกร่งกล้าอย่างยิ่งจำนวนหนึ่งที่บุกฝ่าอยู่ในดินแดนรกร้างเป็นเวลานานถึงหมื่นล้านปี สังหารสัตว์ถิ่นร้างฝูงใหญ่ แต่กลับสามารถเอาชนะสัตว์ถิ่นร้างระดับจ้าวเทพช่วงสุดยอดได้ โดยทั่วไปแล้วกลับสังหารได้ยากยิ่ง

“จ้าวเทพผู้ลึกลับท่านนี้คงจะบุกฝ่าอยู่ในดินแดนรกร้างมาเป็นเวลาเนิ่นนานมากแล้ว จึงล่าสังหารได้มากมายถึงเพียงนี้ หรือว่าเป็นจักรพรรดิเทพสักท่านล่าสังหารแล้วจัดแจงให้เขามาเจรจาการค้าที่นี่กันเล่า” ยอดฝีมือหอจิตฟ้าสองท่านนี้มีการคาดเดาขึ้นมา

ความจริงก็คือซากสัตว์ถิ่นร้างกว่าร้อยร่างนี้ มีซากจำนวนมากพอสมควรที่ต่างก็มีความสามารถในการรักษาชีวิตรอดที่แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง จักรพรรดิเทพช่วงต้นต่างก็ยังยากที่จะสังหารได้จึงจะถูกต้อง

ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังการเสนอราคาครั้งแล้วครั้งเล่า

แล้วแอบพยักหน้า

หอจิตฟ้าแห่งนี้มีชื่อเสียงโด่งดังแต่ก็ยังคงตรงไปตรงมา สัตว์ถิ่นร้างเหล่านี้ที่ตนล่าสังหารมีทั้งสิ้นหนึ่งร้อยยี่สิบหกตน ตนเองก็เข้าใจกระจ่างเพียงแค่สิบห้าตนในนั้นเท่านั้นเอง อย่างน้อยราคาของซากสัตว์ถิ่นร้างสิบห้าตนนี้ที่ยอดฝีมือหอจิตฟ้าสองท่านนี้เสนอให้ก็ยังมี ‘สามัญสำนึก’ อยู่! สำหรับสัตว์ถิ่นร้างอื่นๆ เล่า อ้างอิงจากระดับความยากในตอนที่ตนล่าสังหาร ในบรรดานั้นก็มีหลายตนที่ยามที่ตนสำแดงวิถีอากาศ ก็มีบ้างที่มีพลังคุกคามถึงชีวิตตนได้ ทั้งยังถูกบีบให้แสดงวิถีเขตลวงโลกเทียมออกมากวาดล้าง

ตนเองห้ำหั่นครั้งแล้วครั้งเล่าก็มีความเข้าใจในพลังยุทธ์ของพวกมันขึ้นมาบ้าง ก็สามารถประเมินราคาคร่าวๆ ได้

ดูท่าทางเรื่องราคานี้ไม่น่าจะมีปัญหาแต่อย่างใด

“ซากสุดท้ายนี้ อสูรเขมือบเมฆทะมึน ข้ารับผิดชอบประเมินราคาสินค้าอยู่ที่นี่ก็เพิ่งจะเคยเห็นซากอสูรเขมือบเมฆทะมึนเป็นครั้งแรก ซากสมบูรณ์ดี เพียงแต่แก่นชีวิตแตกสลาย หอจิตฟ้าของข้าสามารถให้ราคาห้าชิ้นหยกแก้วคละถิ่นกับอีกแปดพันศิลาอสนี”

“ซากสัตว์ถิ่นร้างทั้งหมดเป็นราคาทั้งสิ้นสิบหกชิ้นหยกแก้วคละถิ่นกับอีกสามพันศิลาอสนี” ยอดฝีมือหอจิตฟ้าเขาเดี่ยวสีแดงผู้นั้นพูด ยอดฝีมือจิตฟ้าอีกคนหนึ่งก็พยักหน้าเห็นด้วย

ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

ซากสัตว์ถิ่นร้างเหล่านี้มีราคาต่ำสุดสองพันกว่าศิลาอสนี ราคาสูงสุดสูงกว่าเก้าชิ้นหยกแก้วคละถิ่น

‘หยกแก้วคละถิ่น’ นั้นว่ากันว่าเป็นสิ่งที่บรรพเทวะสามท่านตกผลึกและเจียระไนขึ้นมาด้วยตนเอง เป็นสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในค่าเงินของทั้งโลกเทพ ส่วน ‘ศิลาอสนี’ นั้นเป็นสิ่งที่บ่มเพาะเกิดขึ้นตามธรรมชาติในโลกเทพ ก็พบเห็นได้ยากยิ่งเช่นกัน

“ถ้าหากจ้าวเทพไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ต่อราคานี้ หอจิตฟ้าของข้าก็สามารถซื้อซากสัตว์ถิ่นร้างเหล่านี้ในราคานี้ได้” ยอดฝีมือหอจิตฟ้าสองท่านต่างก็มองตงป๋อเสวี่ยอิง ราคาของซากสัตว์ถิ่นร้างที่กำหนดเอาไว้นี้ก็ชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง กำหนดราคาอย่างง่ายดายโดยอ้างอิงจากชนิดและระดับความสมบูรณ์ของซาก

“เอาล่ะ ก็เป็นราคานี้แหละ ข้าเชื่อมั่นในชื่อเสียงของหอจิตฟ้า” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

“ฮ่าฮ่า จ้าวเทพท่านนี้โปรดรอสักครู่” ยอดฝีมือหอจิตฟ้าที่มีเขาเดี่ยวสีแดงผู้นั้นอดที่จะเอ่ยอย่างตื่นเต้นมิได้ “ขอบังอาจถามจ้าวเทพท่านนี้สักหน่อย ซากสัตว์ถิ่นร้างเหล่านี้ มีหลายร่างทีเดียวที่พบเห็นได้ยากยิ่ง สังหารได้ยากเป็นที่สุด จ้าวเทพล่าสังหารตามลำพังทั้งหมดเลยหรือ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงเหลือบมองเขาปราดหนึ่ง มิเอ่ยวาจา

“อา เป็นข้าที่ปากมากไปเอง” ยอดฝีมือหอจิตฟ้าผู้นี้เห็นตงป๋อเสวี่ยอิงไม่อยากตอบคำถามจึงแสดงความขอโทษขอโพยในทันที

เพียงไม่นาน

ผู้ดูแลหญิงรูปโฉมงดงามคนหนึ่งเดินเข้ามา นางโบกมือคราหนึ่ง ก็เห็นเพียงแค่หยกแก้วสีเทากึ่งโปร่งแสงชิ้นแล้วชิ้นเล่าลอยมา หยกแก้วสีเทาเหล่านี้มีขนาดครึ่งฝ่ามือ ตัดเป็นก้อนรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่บางอย่างยิ่ง กลิ่นอายจางๆ ที่ปกคลุมทุกก้อนทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง มันบริสุทธิ์กว่า ‘พลังคละวิถี’ เสียอีก แม้กระทั่งมีการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ แต่กลับมิได้เป็นอันตรายต่อตงป๋อเสวี่ยอิงแต่อย่างใด ต้องรู้ไว้ว่าพลังคละวิถีนั้นสามารถกัดกร่อนร่างกายและวิญญาณได้ หยกแก้วนั้นบริสุทธิ์กว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่กลับมิได้เป็นอันตรายเลย ในทางกลับกันกลับผ่อนคลายเป็นอย่างยิ่ง

หยกแก้วคละถิ่นชนิดนี้กลับเป็นสิ่งที่ก่อนหน้านี้ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่เคยพบเห็นมาก่อนเลย

หยกแก้วคละถิ่นเก้าสิบหกก้อนล่องลอยอยู่ทั้งหมด ด้านข้างยังมีศิลาอสนีก้อนแล้วก้อนเล่า ศิลาอสนีนั้นมีสีทองระยิบระยับจับตา มีขนาดใหญ่ประมาณนิ้วมือ แต่ละชิ้นมีขนาดเท่ากันหมด ไม่เพียงแต่ระยิบระยับจับตาเท่านั้น ถึงขนาดที่ยังมีสายฟ้าสีทองแลบแปลบปลาบอยู่ภายใน น่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง

ตงป๋อเสวี่ยอิงกระจ่างแจ้งดีว่าหยกแก้วคละถิ่นนี้เป็นขนาดมาตรฐานที่บรรพเทวะคละถิ่นเจียระไนขึ้นมา หยกแก้วคละถิ่นชิ้นหนึ่งสามารถแลกเปลี่ยนเป็นศิลาอสนีหนึ่งหมื่นก้อนได้พอดี

“จ้าวเทพท่านนี้ หยกแก้วคละถิ่นและศิลาอสนีอยู่ที่นี่หมดแล้วเจ้าค่ะ” ผู้ดูแลหญิงพูดพลางยิ้มน้อยๆ

ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าน้อยๆ แล้วโบกมือคราหนึ่งเก็บเข้าไปจนหมดก่อนจะเอ่ยว่า “ข้าอยากจะเข้าร่วมงานชุมนุมประมูลสมบัติที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นของหอจิตฟ้าของพวกเจ้า เจ้าช่วยข้าจัดการให้ทีสิ”

“จ้าวเทพต้องการจะเข้าร่วมงานชุมนุมประมูลสมบัติหรือ ได้สิเจ้าคะ” ผู้ดูแลหญิงเอ่ยขึ้นในทันใด

“ข้าจะจัดการให้เดี๋ยวนี้ จะจัดแจงห้องหับให้จ้าวเทพเป็นอย่างดีเลยเจ้าค่ะ”

มีหยกแก้วคละถิ่นมากมายถึงเพียงนี้ ก็ย่อมเป็นแขกผู้มั่งคั่งอย่างแน่นอน!

ถึงแม้ว่าเมืองเจียงหยวนจะเป็นเมืองใหญ่ระดับบนสุดของทั้งโลกเทพ แต่ผู้แกร่งกล้าที่งานชุมนุมประมูลสมบัติดึงดูดมาได้นั้นก็มีขีดจำกัด ผู้มั่งมีอย่างเช่นตงป๋อเสวี่ยอิงนี้ย่อมสามารถเทียบเคียงได้กับยอดฝีมือระดับจักรพรรดิเทพช่วงต้นที่มาประมูลสมบัติคนหนึ่งแล้ว ก็ย่อมต้องจัดแจงให้ดีๆ อยู่แล้ว

“จ้าวเทพมีที่พักในเมืองเจียงหยวนแล้วหรือยังเจ้าคะ ถ้าหากไม่มี ก็อยู่เสียที่หอจิตฟ้าของข้า ภายในหอจิตฟ้ามีลานเล็กที่เลิศหรูอยู่มากมาย งานชุมนุมประมูลสมบัติก็ใกล้มาถึงแล้ว จ้าวเทพพักเสียที่นี่ พอถึงเวลาพวกเราก็สามารถแจ้งให้จ้าวเทพทราบได้ อีกทั้งที่หอจิตฟ้าก็ยังปลอดภัยอย่างปน่นอน ไม่มีผู้ใดกล้ามาสามหาวที่หอจิตฟ้าอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ” ผู้ดูแลหญิงผู้นี้พูด

“ก็ดี เช่นนี้ก็อยู่ที่หอจิตฟ้าของพวกเจ้าก็แล้วกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

……

หอจิตฟ้ามีอาณาบริเวณกว้างขวางอย่างยิ่ง อาคารมากมายทอดยาวต่อเนื่องกัน ตงป๋อเสวี่ยอิงพักอาศัยอยู่ชั่วคราวภายในลานเล็กแห่งหนึ่งในนั้น

ระยะเวลาหนึ่งเดือนต่อมา ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มาเยี่ยมเยียนเมืองเจียงหยวนแห่งนี้รอบหนึ่ง ลิ้มชิมรสอาหารเลิศรสมากมาย พร้อมกันนั้นเขาก็ศึกษาหยกแก้วคละถิ่นนี้โดยละเอียด แต่กลับค้นพบว่านอกจากการ ‘หล่อเลี้ยงวิญญาณ’ และ ‘หล่อเลี้ยงร่างกาย’ ที่เคยได้ยินมาก่อนแล้ว ตัวหยกแก้วคละถิ่นนี้เองก็ยังมีความเร้นลับอีกมากมาย เป็นการใช้งานที่พิเศษอย่างยิ่งชนิดหนึ่งของ ‘พลังคละวิถี’

“หยั่งรู้ไม่ทะลุปรุโปร่งในระยะเวลาอันสั้น รอจนธุระในคราวนี้เสร็จเรียบร้อยก่อน พอกลับไปถึงเมืองจวิ้นซานแล้วค่อยศึกษาอย่างละเอียดอีกทีก็แล้วกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ วันเวลาที่โลกแห่งนี้ ตอนนี้เขาก็ตัดสินใจอยู่อาศัยระยะยาวที่เมืองจวิ้นซานแล้ว เพราะว่ามีศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา เขาก็สามารถไปมายังเมืองใหญ่แห่งใดๆ ได้อย่างง่ายดาย อาศัยอยู่ในเมืองเล็กที่อิทธิพลค่อนข้างอ่อนแอสักแห่งหนึ่งก็ยังอาจมีเรื่องวุ่นวายน้อยกว่าสักหน่อย

เมืองใหญ่ระดับยอดสุดเช่นเมืองเจียงหยวนพรรค์นี้ ก็มียอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่ที่เขาทุ่มเทสุดกำลังก็ยังไม่สามารถสู้ได้อยู่

แต่ที่เมืองจวิ้นซานนั้น ในความเป็นจริงแล้วเขาก็ไร้ซึ่งศัตรู

“จ้าวเทพเมฆาเขียว” ภายนอกลานบ้านมีน้ำเสียงเสนาะหูเสียงหนึ่งลอยมา

ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังกุมหยกแก้วคละถิ่นชิ้นหนึ่งพลางรับสัมผัสอย่างละเอียดอยู่ภายในลานเล็กอันงามหรูนี้ เมื่อได้ยินเสียงตะโกน เขาก็พลิกมือเก็บหยกแก้วคละถิ่นขึ้น เดินไปถึงประตูลานบ้านแล้วดึงประตูลานบ้านเปิดออก ก็มองเห็นผู้ดูแลหญิงคนนั้นยืนอยู่ด้านนอก

“จ้าวเทพเมฆาเขียว” ผู้ดูแลหญิงพูดพลางยิ้มน้อยๆ “อีกหนึ่งชั่วยามงานชุมนุมประมูลสมบัติก็จะเริ่มต้นขึ้นแล้ว ตอนนี้จ้าวเทพก็ไปได้แล้วนะเจ้าคะ”

“ดีเลย รบกวนนำทางด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด เขาเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ และถึงขนาดที่ปกปิดเปลี่ยนแปลงกลิ่นอายด้วย พร้อมเปลี่ยนชื่อเป็น ‘จ้าวเทพเมฆาเขียว’ ก็เพราะเป็นกังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อการเปิดเผยตัวตน ‘จ้าวเทพหิมะเหิน’ เขาอยู่อาศัยระยะยาวที่เมืองจวิ้นซาน จึงไม่อยากจะก่อให้เกิดความวุ่นวายมากมายเกินไป

เพียงไม่นาน

ที่ชั้นยอดสุดของหอจิตฟ้า ก็คือสถานที่จัดงานชุมนุมประมูลสมบัติในครั้งนี้ สถานที่จัดงานชุมนุมชิงสมบัมีอาณาบริเวณกว่าร้อยลี้ ตอนนี้มีผู้แกร่งกล้ามากมายมารวมตัวกันอยู่ที่นี่แล้ว จึงเต็มไปด้วยความคึกคัก

“จ้าวเทพ เดินมาทางนี้เจ้าค่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมีสมบัติล้ำค่าอยู่ในครอบครองค่อนข้างมาก จึงเป็น ‘แขกผู้มีเกียรติ’ ของหอจิตฟ้า ผู้ดูแลหญิงผู้นั้นนำทางมาถึงยังห้องส่วนตัวแห่งหนึ่ง ที่นี่มีห้องส่วนตัวอยู่มากมาย ซึ่งต่างก็ต้องเป็นผู้ที่มีสถานะและพลังยุทธ์ไม่ธรรมดา หรือไม่ก็ต้องมีสมบัติล้ำค่ามากเพียงพอ จึงจะมีสิทธิ์เข้าไปข้างในได้

ภายในห้องส่วนตัว

มีสุราผลไม้ชั้นเลิศ ทั้งยังมีสาวใช้ชุดเขียวอีกคนหนึ่งคอยท่าอยู่ที่นี่ด้วย

ตงป๋อเสวี่ยอิงก้าวเข้าไปข้างใน เขานั่งขัดสมาธิลงข้างตั่ง สามารถมองลงไปยังงานชุมนุมเบื้องล่างทั่วทั้งงานได้ สาวใช้ชุดเขียวผู้นั้นช่วยรินสุราชั้นเลิศส่งให้ “จ้าวเทพอยากจะรับประทานสิ่งใดก็สามารถสั่งมาได้เลยนะเจ้าคะ”

“ไม่ต้องแล้วล่ะ เช่นนี้ก็ดีมากแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงหยิบม้วนสาส์นที่อยู่ด้านข้างขึ้นมา บนม้วนสาส์นบันทึกลำดับสมบัติล้ำค่าที่จะประมูลสมบัติกันในคราวนี้เอาไว้โดยละเอียด พอมองดูแล้วสีหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงก็แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนหน้านี้ถึงแม้ว่าหอจิตฟ้าจะปล่อยข่าวออกไปแล้ว เกี่ยวกับว่างานชุมนุมประมูลสมบัติคราวนี้มีสมบัติล้ำค่าประเภทใดบ้าง แต่เมื่อเห็นรายละเอียดแล้วก็ยังทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกไม่ค่อยดีนัก

“ขายตำราระดับจักรพรรดิสามเล่มพร้อมกันอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้ว

คัมภีร์แมลงมารห้วงอากาศที่ตนจะต้องคว้ามาให้ได้นั้นขายพร้อมกันกับตำราผู้บำเพ็ญระดับจักรพรรดิเทพช่วงต้นอีกสองเล่ม! เช่นนี้แล้วราคาของตำราสามเล่มก็ย่อมแพงขึ้นเป็นอย่างมากเลยทีเดียว

“หยกแก้วคละถิ่นที่ข้าเตรียมเอาไว้ในครั้งนี้ค่อนข้างมาก ก็น่าจะได้มาครอบครองอยู่แล้วล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ

เวลาเคลื่อนผ่านไปอย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียง

“เตร๊ง…”

เสียงระฆังเป็นท่วงทำนองดังขึ้น ทั่วทั้งสถานที่จัดงานชุมนุมประมูลสมบัติก็เงียบลง ตงป๋อเสวี่ยอิงก็วิญญาณสั่นสะท้าน

งานชุมนุมประมูลสมบัติครั้งนี้เริ่มต้นขึ้นแล้ว!

…………………………………………..

การควบคุมกลิ่นอายของสัตว์ถิ่นร้างนั้นย่ำแย่เกินไป ต่อให้เก็บงำมากยิ่งกว่านี้ เขตพลังห้วงอากาศของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังสามารถสัมผัสและจัดการได้อย่างง่ายดาย นี่คือระดับขั้นจ้าวเทพช่วงสุดยอด

“สิ้นเปลืองเวลาไปหนึ่งปีกว่าๆ ทำการเสาะหา ในที่สุดก็พบกับจ้าวเทพช่วงสุดยอดเข้าตนหนึ่งเสียที” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบรำพึง สัตว์ถิ่นร้างระดับจ้าวเทพช่วงสุดยอดจึงมีมูลค่าสูงพอ เพราะนี่หมายถึงเกือบจะสุดยอดของสัตว์ถิ่นร้าง อีกทั้งผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพทั่วไปจึงสามารถสังหารได้ แน่นอนว่าผู้เหินทะยานระดับ ‘จ้าวเทพช่วงสุดยอด’ ทั่วไปก็มีหวังที่จะทำได้สำเร็จเช่นกัน “ยังดีที่ข้ามีเวลาหนึ่งพันสองร้อยปี เชื่อว่าจะสามารถสังหารสัตว์ถิ่นร้างได้มากพอ”

พรึ่บ

ตงป๋อเสวี่ยอิงเหินทะยานเคลื่อนผ่านทะเลสาบแห่งนี้โดยแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราว

ตอนที่เหินทะยานไปถึงบริเวณท้องฟ้าสักแห่งหนึ่งเหนือทะเลสาบ

“พรวด!” เงาร่างโปร่งแสงใหญ่มหึมาร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากกลางทะเลสาบในทันใด เงาร่างโปร่งแสงของมันยาวถึงสิบกว่าลี้ การพุ่งออกมานี้ก็รวดเร็วปานสายฟ้าแลบ แล้วเงาร่างโปร่งแสงอ่อนนุ่มก็ห่อหุ้มร่างกายของตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ในทันใด!

“แคว่ก!”

ตงป๋อเสวี่ยอิงโบกมือขวาคราหนึ่ง

รอยแยกห้วงอากาศเส้นหนึ่งก็แผ่ลงมา ทาบทับลงบนร่างมหึมาที่อ่อนนุ่มโปร่งแสงร่างนั้น บนร่างกึ่งโปร่งแสงนี้ยังมีใบหน้าอยู่ใบหน้าหนึ่ง การโจมตีนี้ ร่างโปร่งแสงอ่อนนุ่มร่างนั้นกลายเป็นคลื่นตลอดร่าง ทำให้พลังการโจมตีนี้ถูกถอนไปอย่างสมบูรณ์ แต่อัตราเร็วของมันก็ช้าลงเช่นกัน ตงป๋อเสวี่ยอิงร่นถอยไปในทันที ถอยหลังออกไปตามรอยแยกที่ห่อหุ้มอยู่อย่างรวดเร็ว

“จ้าวเทพช่วงสุดยอดหรือ ฮ่าฮ่า ยากนักที่จะได้พบกับอาหารอันโอชะเช่นนี้” ใบหน้าบนร่างกายอันโปร่งแสงขนาดมหึมาบิดเบี้ยว เสียงโครมครามดังก้องทั่วฟ้าดิน

เสียงยังคงดังสนั่น

มันบินทะยานเข้ามาอีกครั้ง ร่างโปร่งแสงของมันคล้ายกับไม่ได้รับแรงต้านทานใดๆ อัตราเร็วในการเหินทะยานรวดเร็วอย่างที่สุด ถึงแม้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะสำแดงเคล็ดวิชาเหินทะยานวิถีอากาศก็ยังเร็วขึ้นเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น! ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้อยากจะหนี จุดประสงค์ของเขาคือเพื่อสังหารสัตว์ถิ่นร้างตนนี้ต่างหาก

“ปัง ปัง ปัง…”

สัตว์ถิ่นร้างตนนี้พุ่งปะทะไม่หยุด หมายจะห่อหุ้มคุมขังตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้โดยสมบูรณ์

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เห็นสัตว์ถิ่นร้างตนนี้เป็นเป้าหมาย สำแดงเคล็ดวิชาวิถีอากาศต่างๆ มากมายครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็มิอาจทำร้ายสัตว์ถิ่นร้างตนนี้ได้เลย “สัตว์ถิ่นร้างตนนี้มีความสามารถในการรักษาชีวิตรอดแข็งแกร่งเหลือเกิน การโจมตีของข้าก็เป็นการเกาตรงที่คันให้มันล้วนๆ แข็งแกร่งกว่าร่างมังกรค้างคาวของจ้าวภูเขาค้างคาวอยู่มากนัก” ร่างโปร่งแสงอ่อนนุ่มนั้นกระเพื่อมไหวระลอกหนึ่งก็ทำให้พลังการโจมตีทั้งหมดลดลงไปจนสิ้น

“ยังสามารถซ่อนตัวได้จริงๆ ไม่เล่นเป็นเพื่อนเจ้าแล้วดีกว่า” สัตว์ถิ่นร้างโปร่งแสงขนาดมหึมานี้พูดขึ้นมาในทันใด พร้อมกันนั้นร่างโปร่งแสงอ่อนนุ่มของมันกลับแยกออกเป็นเส้นไหมโปร่งแสงจำนวนนับไม่ถ้วน เพราะเส้นไหมโปร่งแสงที่แยกแปรออกมามีมากมายเกินไป ร่างกายของมันจึงหดเล็กลงไปเล็กน้อยด้วยเหตุนี้

เส้นไหมโปร่งแสงจำนวนมหาศาลแน่นขนัดห่อหุ้มเข้ามาทางตงป๋อเสวี่ยอิงจนหมดสิ้น

“หืม”

นิ้วมือที่ยื่นออกมาของตงป๋อเสวี่ยอิงขยับเบาๆ

พรึ่บ

ฟองห้วงอากาศขนาดมหึมาฟองหนึ่งห่อหุ้มสัตว์ถิ่นร้างที่อ่อนนุ่มโปร่งแสงตนนี้เอาไว้ในทันใด อีกทั้งยังห่อหุ้มเส้นไหมโปร่งแสงจำนวนนับไม่ถ้วนนั้นเอาไว้อีกด้วย ทันใดนั้นฟองห้วงอากาศก็หดเล็กลงกลายเป็นจุดดำ! แล้วระเบิดจนหมดสิ้นภายใต้นิ้วมือนิ้วหนึ่ง หลังจากระเบิดแล้วก็เผยตัวสัตว์ถิ่นร้างที่มิได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่ปลายเส้นผมออกมา

“ตายเสีย” สัตว์ถิ่นร้างตนนี้อับอายจนโมโหขึ้นมาบ้างแล้ว เส้นไหมโปร่งแสงจำนวนนับไม่ถ้วนที่มันแยกออกมากระหวัดรัดเกี่ยวกันขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

เกี่ยวกระหวัดกันเป็นแส้โปร่งแสงเก้าอัน

ขวับ ขวับ ขวับ ขวับ…

แส้โปร่งแสงเก้าอันมีพลังคุกคามอันดุร้ายเป็นที่สุด ฟาดฟันตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างอุกอาจครั้งแล้วครั้งเล่า

แต่ถึงแม้ว่าพลังคุกคามจะโหตเหี้ยมยิ่งกว่านี้ ในความเป็นจริงแล้วด้วยพลังยุทธ์ของตงป๋อเสวี่ยอิงกลับต้านทานขึ้นมาได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น เพราะเขาสามารถหลบซ่อนตัวได้อย่างสบายๆ

“ถึงแม้ว่าสัตว์ถิ่นร้างตนนี้จะเป็นจ้าวเทพช่วงสุดยอด แต่การรักษาชีวิตของตัวมันนั้นก็แข็งแกร่งเหลือเกิน เคล็ดวิชาวิถีอากาศของข้ามิอาจทำร้ายมันได้เลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบทอดถอนใจ ถ้าหากสามารถทำร้ายได้ สิ้นเปลืองเวลาก็ยังอาจจะสามารถเอาชีวิตได้ แต่จะทำร้ายก็ยังทำร้ายมิได้เลย! เช่นนั้นห้ำหั่นนานกว่านี้ก็เป็นการสิ้นเปลืองเวลา

“ข้ายังทำร้ายมันมิได้ ในบรรดาสัตว์ถิ่นร้างระดับจ้าวเทพช่วงสุดยอด มันก็คงจะนับได้ว่าเป็นส่วนน้อยแล้วล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยคาดเดา

ใช่แล้ว

ถึงแม้ว่าจะมาออกล่าในถิ่นรกร้าง แต่เขาก็มิได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับสัตว์ถิ่นร้าง ‘จ้าวเทพช่วงสุดยอด’ มาได้อย่างเพียงพอ

หนึ่งก็คือข้อมูลสัตว์ถิ่นร้างที่สกุลอวี้เฟิงแห่งเมืองจวิ้นซานเปิดเผย มีส่วนที่เกี่ยวข้องกับจ้าวเทพช่วงสุดยอดเพียงน้อยนิดยิ่งนัก สองก็คือหอจิตฟ้าสามารถซื้อหาข้อมูลสัตว์ถิ่นร้างโดยละเอียดจำนวนมากพอได้ แต่ก็มีมูลค่าสูงพอดูเลยทีเดียว อีกทั้งตงป๋อเสวี่ยอิงก็ต้องการจะอาศัยสิ่งนี้ขัดเกลาตนเองสักคราหนึ่งด้วย! ถึงอย่างไรสำหรับเขาแล้ว เพียงแค่ได้พบเข้ากับสัตว์ถิ่นร้างของ ‘จ้าวเทพช่วงสุดยอด’ ทั้งหมดก็ล้วนเป็นเหยื่อของเขาทั้งสิ้น ไม่รู้ข้อมูลเลย ถึงอย่างไรก็ยิ่งมีผลในการขัดเกลาดีขึ้นมิใช่หรือ

สำหรับอันตรายเล่า

สัตว์ถิ่นร้างระดับจ้าวเทพช่วงสุดยอด สำหรับเขาแล้ว แต่ไหนแต่ไรก็มิได้เป็นอันตรายต่อเขาเลย

“เอาล่ะ มันก็มีเคล็ดวิชาแค่นี้เท่านั้นแหละ มิได้มีผลในการขัดเกลาอีกแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงจิตใจวูบไหว

ปัง…

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปทางสัตว์ถิ่นร้างโปร่งแสงขนาดมหึมาตนนั้น สัตว์ถิ่นร้างตนนั้นยังอาละวาดอย่างบ้าคลั่ง แต่เขตลวงโลกเทียมอันน่าหวาดหวั่นก็โจมตีตรงเข้าใส่วิญญาณของสัตว์ถิ่นร้างตนนี้แล้ว

พร้อมกันนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็ใช้หมัดหนึ่งโจมตีสัตว์ถิ่นร้างตนนี้ หมัดนี้เป็นเพียงแค่การปกปิดเท่านั้น เพื่อหลีกเลี่ยงหากโลกเทพนี้มีผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอดที่สามารถย้อนเวลามาถึงภาพเหตุการณ์การต่อสู้นี้ เคล็ดวิชาวิญญาณนั้นมิอาจมองเห็นได้ ภายใต้การย้อนเวลาก็สามารถมองเห็นได้แค่เพียงว่าตนโจมตีสัตว์ถิ่นร้างตนนี้จนตายภายในหมัดเดียว!

“พลั่ก” หมัดหนึ่งกระแทกโจมตี

ใบหน้าบนร่างกายโปร่งแสงขนาดมหึมาของสัตว์ถิ่นร้างกลับเผยสีหน้าหวาดหวั่นออกมาในทันใด จากนั้นร่างกายก็ถูกหมัดหนึ่งกระแทกจนลอยกระเด็นออกไปไกล กลิ่นอายของมันกลับลดฮวบลงไปอย่างฉับพลัน กลิ่นอายวิญญาณสลายไปอย่างสมบูรณ์แบบ

ปัง…

ร่างกายใหญ่มหึมากระแทกลงบนผิวทะเลสาบทำให้น้ำในทะเลสาบจำนวนนับไม่ถ้วนสาดกระเซ็นขึ้นมา ร่างกายของมันอ่อนยวบล่องลอยไปบนผิวทะเลสาบ

ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินเข้าไปแล้วยื่นมือออกมาคว้าจับซากของสัตว์ถิ่นร้างตนนี้เอาไว้ ความคิดวูบไหวคราหนึ่งแล้วก็เก็บเข้าไปไว้ภายในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์

ล้อเล่นแล้ว

เคล็ดเขตลวงโลกเทียมของเขาที่หุบเขาเขี้ยวหัก เผ่ามรณะทมิฬที่เป็นระดับจักรพรรดิขั้นกลางและแม่ทัพเทพของชนพื้นเมืองดั้งเดิมจำนวนหนึ่งต่างก็ยังต้องจ่อมจมลงไป! ระดับจักรพรรดิขั้นกลางนั้นก็เทียบเท่ากับ ‘จักรพรรดิเทพช่วงกลาง’ ของโลกแห่งนี้ ผู้แกร่งกล้าจักรพรรดิเทพช่วงกลาง มีบางส่วนที่อาจจะสามารถต้านทานได้ แต่ตนนี้ยังเป็นเพียงแค่จ้าวเทพช่วงสุดยอด อีกทั้งยังเป็นสัตว์ถิ่นร้างสามัญธรรมดาที่มีอุปนิสัยโหดเหี้ยม ก็ย่อมไม่สามารถต้านทานได้อยู่แล้ว

ดังนั้นสัตว์ถิ่นร้างที่โหดเหี้ยม แต่ไหนแต่ไรก็มิได้เป็นอันตรายต่อตงป๋อเสวี่ยอิงเลย เขาสามารถจัดการได้อย่างสบายๆ ที่เขาห้ำหั่นอยู่นี้ก็เพียงเพื่อขัดเกลาวิถีอากาศเท่านั้น!

“ไปหาตัวต่อไปดีกว่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงเสาะหาต่อไป

……

กาลเวลาเคลื่อนผ่าน

สัตว์ถิ่นร้างจ้าวเทพช่วงสุดยอดนั้นยากจะพบเห็นได้จริงๆ หลังจากที่ตงป๋อเสวี่ยอิงล่าไปตนหนึ่งแล้ว ปกติก็จะสามารถสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาไปถึงสถานที่อีกแห่งหนึ่งเพื่อทำการเสาะหาต่อไปได้

เมื่อถึงตอนที่ห่างจากวันจัดงานชุมนุมประมูลสมบัติของหอจิตฟ้าอีกหนึ่งเดือน ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงค่อยหยุดลง

“ควรไปยังเมืองเจียงหยวนได้แล้ว”

ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่กลางท้องฟ้าสูง รอยแยกสีดำสายหนึ่งกะพริบวาบขึ้นที่ด้านข้าง เขาก็ก้าวเข้าไปภายในนั้น

ผ่านการสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาสามครั้งเพื่อการปรับเปลี่ยนเป้าหมายเป็นสำคัญ ถึงอย่างไรเขาก็รู้เพียงแค่ตำแหน่งที่ตั้่งคร่าวๆ ของเมืองเจียงหยวนเท่านั้น

“ถึงแล้ว”

ตงป๋อเสวี่ยอิงเคลื่อนทะยานด้วยความเร็วสูง อยู่ห่างๆ ก็มองเห็นปราการเมืองมโหฬารสูงตระหง่านแห่งหนึ่งเบื้องหน้า เมืองเจียงหยวนก็เป็นเมืองใหญ่ในระดับยอดสุดของทั้งโลกเทพแล้ว เมื่อเปรียบเทียบกับมัน เมืองจวิ้นซานก็เป็นเมืองเล็กจ้อยอันแสนห่างไกลแล้วจริงๆ

พรึ่บ

เขาแปลงร่างเป็นลำแสงสายหนึ่งลอยไปถึงบริเวณประตูเมือง ยามรักษาการณ์ที่อยู่ที่ประตูเมืองมองผู้ที่เข้ามายังเมืองเจียงหยวนแห่งนี้ด้วยสายตาที่แฝงไว้ด้วยความตกตะลึงเล็กน้อย ผู้แกร่งกล้าจากภายนอกที่มายังเมืองเจียงหยวนมีจำนวนมากมายยิ่งนัก มีเรือใหญ่จำนวนหนึ่งมาเยือนอยู่เป็นประจำ

“หอจิตฟ้า”

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูอาคารสูงตระหง่านกว่าพันลี้ตรงหน้า ด้านหลังยังมีหมู่อาคารยาวต่อเนื่องกัน ประกอบกันเป็น ‘หอจิตฟ้า’ แห่งเมืองเจียงหยวน

ถึงแม้ว่าที่นี่จะมีอาณาบริเวณกว้างขวางโอ่อ่ากว่า แต่เค้าโครงก็เหมือนกับหอจิตฟ้าแห่งเมืองจวิ้นซานเป็นอย่างยิ่ง ตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึงยังชั้นที่สามของหอสูงตรงหน้าแห่งนี้ด้วยความคุ้นเคยเป็นอย่างมาก

“ข้ามีซากสัตว์ถิ่นร้างอยู่จำนวนหนึ่ง ต้องการจะขายให้กับหอจิตฟ้า” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดกับผู้ดูแลคนหนึ่งโดยตรง

“ซากสัตว์ถิ่นร้างหรือ” ผู้ดูแลที่ต้อนรับเอ่ยถาม “ไม่ทราบว่ามีพลังยุทธ์เป็นเช่นไรบ้าง”

“จ้าวเทพช่วงสุดยอด” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด

“เชิญตามข้ามา”

ผู้ดูแลตกตะลึง ซากสัตว์ถิ่นร้างที่ยอดฝีมือระดับจ้าวเทพผู้หนึ่งนำมาขาย เป็นถึงระดับขั้น ‘จ้าวเทพช่วงสุดยอด’ เชียวหรือ เขานำทางตงป๋อเสวี่ยอิงเดินไปบนระเบียงทางเดิน เคลื่อนผ่านอาณาบริเวณแห่งแล้วแห่งเล่า ในที่สุดก็เข้ามาภายในโถงตำหนักแห่งหนึ่ง

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูบริเวณรอบๆ แล้วก็ลอบรำพึง “หอจิตฟ้าชั้นที่สามของทางเมืองจวิ้นซานแบ่งออกเป็นโถงตำหนักเพียงแค่สามแห่งเท่านั้น แต่ที่นี่กลับมีอยู่หลายสิบแห่ง ผู้ดูแลก็มีอยู่มากมายกว่าร้อยคน”

“จ้าวเทพท่านนี้ โปรดแสดงซากสัตว์ถิ่นร้างที่ท่านต้องการขายออกมาด้วย” ยอดฝีมือหอจิตฟ้าสองท่านนั่งอยู่ที่นั่น ด้านหน้ายังมีค่ายกลห้วงมิติล่องลอยอยู่ เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นห้วงมิติที่มีอาณาเขตเพียงแค่ร้อยเมตรเท่านั้น แต่ห้วงมิติที่บีบอัดอยู่ภายในกลับมีอาณาเขตถึงร้อยลี้

ตงป๋อเสวี่ยอิงโบกมือคราหนึ่ง

ฟึ่บๆๆ…

ซากสัตว์ถิ่นร้างร่างแล้วร่างเล่าลอยคว้างตรงเข้าไปภายในค่ายกลห้วงมิติแห่งนั้น สัตว์ถิ่นร้างเหล่านี้มีรูปลักษณ์แตกต่างกัน ที่ตัวใหญ่ก็มีรูปลักษณ์คล้ายกิ้งก่าความยาวกว่าสามสิบลี้ ที่ตัวเล็กก็มีความยาวเพียงแค่ไม่ถึงหนึ่งเมตรราวกับแมลง กลิ่นอายก็แตกต่างกัน แต่ละตัวที่ลอยเข้าไปก็ล่องลอยอยู่ภายในค่ายกลห้วงมิติ

“อะไรกันนี่” ยอดฝีมือหอจิตฟ้าสองคนที่รับผิดชอบประเมินสิ่งของมองดูฉากนี้อย่างตกตะลึงอยู่บ้างเพียงพริบตาเดียวก็มีซากสัตว์ถิ่นร้างระดับจ้าวเทพช่วงสุดยอดเกินกว่าสิบร่างแล้วที่ลอยเข้าไป ตอนนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงยังลอยเข้าไปอย่างรวดเร็วด้วย ซากสัตว์ถิ่นร้างร่างแล้วร่างเล่าลอยเข้าไปอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าจะตายไปกันหมดแล้ว แต่กลิ่นอายที่หลงเหลืออยู่ก็ไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง

“ที่แท้แล้วมีซากสัตว์ถิ่นร้างระดับจ้าวเทพช่วงสุดยอดมากน้อยเพียงใดกันแน่ เป็นเขาล่าสังหารแต่เพียงผู้เดียวทั้งหมดเลยหรือ” ยอดฝีมือหอจิตฟ้าสองท่านนี้ต่างพากันกลั้นหายใจ

ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงกลับสงบนิ่งเป็นอย่างยิ่ง เหตุผลที่เขาค่อยๆ ทยอยขว้างเข้าไปก็เพราะเป็นกังวลว่าหากโยนออกไปในคราวเดียวแล้วจะอุดกั้นทางเข้าค่ายกลห้วงมิติ เขาล่าสังหารพวกมันเหล่านี้ก็เพียงเพื่องานชุมนุมประมูลสมบัติที่จะตามมาในภายหลังเท่านั้นเอง!

……………

ตงป๋อเสวี่ยอิงพลิกดูม้วนสาส์นแล้วก็ลอบทอดถอนใจ

โลกใบนี้มีผู้แกร่งกล้ามากมายดุจเมฆ แม้กฎเกณฑ์จะมีข้อบกพร่อง แต่จำนวนผู้แกร่งกล้ายังมากกว่าหุบเขาเขี้ยวหักแห่งดินแดนจิตโลกาเสียอีก! ทั้งยังมีผู้แกร่งกล้าคละถิ่นสามคนที่มีชีวิตอยู่อีกด้วย

ผู้เหินทะยานขั้นจักรพรรดิเทพทางด้าน ‘วิถีอากาศ’ ทั้งแปดคนนี้ ตามรายงาน มีจักรพรรดิเทพช่วงต้น จักรพรรดิเทพช่วงกลางสองคน และมีจักรพรรดิเทพช่วงท้าย! ผู้ที่สามารถสำแดงการส่งถ่ายทลายโลกาทะลุทะลวงได้มีเพียงสองคนเท่านั้น ซึ่งคัมภีร์สำหรับบำเพ็ญของสองคนนั้นไม่เคยเล็ดรอดออกมาเลย! เห็นได้ชัดว่าผู้ที่มีเคล็ดวิชาหลบหนีรักษาชีวิตพรรค์นี้ ก็ไม่อยากจะเผยแพร่เคล็ดวิชาของตนออกมาเลย

“ห้าชนิดที่เผยแพร่อยู่ในโลกภายนอกนั้น มีสามชนิดที่เป็นระดับจักรพรรดิเทพช่วงต้น อีกสองชนิดเป็นจักรพรรดิเทพช่วงกลาง” ตงป๋อเสวี่ยอิงครุ่นคิด

“คัมภีร์เหล่านี้แทบจะถูกขุมอำนาจใหญ่เก็บสะสมเอาไว้หมดแล้ว”

“คิดอยากได้คัมภีร์เหล่านี้ โดยทั่วไปแล้วล้วนต้องเข้าร่วมกับขุมอำนาจใหญ่แล้วอุทิศตนด้วยความภักดี หรือถึงขั้นต้องทำคุณประโยชน์มหาศาล”

ในโลกใบนี้

ในบรรดาคัมภีร์สำหรับบำเพ็ญ ‘ระดับจ้าวเทพ’ ยังนับว่าได้มาค่อนข้างง่าย เพราะถึงอย่างไรจ้าวเทพก็มีมากมายยิ่งนัก นอกจากนี้อาศัยคัมภีร์ ต่อให้บำเพ็ญจนมีจ้าวเทพเกิดขึ้นมาจริงๆ สำหรับขุมอำนาจใหญ่แล้วก็ไม่มีภัยคุกคามแต่อย่างใด ส่วน ‘คัมภีร์ระดับจักรพรรดิเทพ’ นั้นได้มายากเสียยิ่งกว่ายาก อย่างสกุลอวี้เฟิงแห่งเมืองจวิ้นซานก็เก็บสะสมคัมภีร์ระดับจักรพรรดิเทพเอาไว้ถึงสามชนิดเลยทีเดียว และวางเอาไว้ในชั้นสูงสุดของหอสะสมคัมภีร์ทั้งสิ้น!

จะต้อง ‘จงรักภักดีอย่างสิ้นเชิง’ เท่านั้น! จึงจะมีหวังได้คัมภีร์ระดับจักรพรรดิเทพมา

“คัมภีร์ผู้เหินทะยานทั้งห้าชนิดนี้ ยังได้มายากกว่าคัมภีร์ของชาวโลกเทพเสียอีก” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า วัตถุหาได้ยากจึงจะล้ำค่า! ยอดฝีมือเก้าจุดเก้าส่วนของโลกเทพล้วนแต่เป็นชาวโลกเทพซึ่งบำเพ็ญสายเลือด ดังนั้น ‘คัมภีร์จักรพรรดิเทพ’ ทางด้านการฝึกสายเลือดจึงมีมากมาย แต่คัมภีร์ของผู้เหินทะยานกลับน้อยกว่ามากทีเดียว!

“จะต้องจงรักภักดีและสวามิภักดิ์ต่อขุมอำนาจฝ่ายหนึ่งอย่างสิ้นเชิงเช่นนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกต่อต้านขึ้นมา

ในเมืองจวิ้นซาน เขาก็แค่รับหน้าที่ในยามว่างเท่านั้น! มิอาจนับได้ว่าจงรักภักดีอย่างสิ้นเชิง จึงย่อมไม่มีคุณสมบัติพอจะพลิกอ่านคัมภีร์ระดับจักรพรรดิเทพได้

ขุมอำนาจที่สามารถเก็บสะสมคัมภีร์ผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพได้ ล้วนแต่แข็งแกร่งกว่าเมืองจวิ้นซานมากทีเดียว! เมืองจวิ้นซานอยู่ในโลกเทพอันกว้างใหญ่ไพศาล ก็แค่นับได้ว่าเป็นขุมอำนาจที่ค่อนข้างธรรมดาสามัญแห่งหนึ่งเท่านั้น

“มีเพียงสองวิธีเท่านั้น”

“วิธีหนึ่งก็คือได้สมบัติล้ำค่าที่เพียงพอจะทำให้ขุมอำนาจใหญ่ตาเป็นมันอย่างมาก และทำการแลกเปลี่ยน”

“อีกวิธีหนึ่งก็คือ บัดนี้ในหอจิตฟ้าแห่ง ‘เมืองเจียงหยวน’ กำลังจัดงานชุมนุมประมูลสมบัติระดับยอดอยู่ ในจำนวนนั้นก็มีคัมภีร์ผู้บำเพ็ญระดับจักรพรรดิเทพช่วงต้นอยู่เล่มหนึ่งก็คือคัมภีร์แมลงมารห้วงอากาศ ข้าจะไปเข้าร่วมประมูลสมบัติแล้วซื้อคัมภีร์เล่มนั้นมา หรืออาจถึงขั้นไม่จำเป็นต้องซื้อด้วยซ้ำ คิดหาวิธีศึกษาสักครั้งหนึ่งก็เพียงพอแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงครุ่นคิด

ไปแลกเปลี่ยนกับขุมอำนาจใหญ่น่ะหรือ

ขุมอำนาจใหญ่ล้วนแต่มั่งคั่งมาก คัมภีร์ระดับจักรพรรดิเทพเป็นสมบัติล้ำค่าซึ่งเป็นรากฐานของขุมอำนาจใหญ่! ทว่าจงรักภักดีแล้วก็จะศึกษาน่ะหรือ เช่นนั้นก็จะต้องเป็นสมบัติล้ำค่าที่มีแรงดึงดูดมากพอจึงจะสามารถแลกเปลี่ยนได้

“เฮ้อ”

“ตอนนั้นข้าเข้าไปในทางเดินเขี้ยวอสรพิษ ก็ได้เสียสละร่างแยกไปร่างหนึ่ง มิได้พกสมบัติล้ำค่าอะไรติดตัวมาด้วยเลย”

“แม้แต่หอกยาวที่ข้าใช้อยู่เล่มนี้ ก็เป็นของที่สกุลอวี้เฟิงมอบให้ ยากจนเกินไปแล้ว มิอาจไปแลกเปลี่ยนกับขุมอำนาจใหญ่ได้เลย! ทำได้เพียงคิดหาวิธีสะสมสมบัติล้ำค่า เพื่อไปเข้าร่วมงานชุมนุมประมูลสมบัติของเมืองเจียงหยวนเท่านั้น

งานชุมนุมประมูลสมบัติ

ยิ่งมีผู้แกร่งกล้าระดับยอดเข้าร่วมมากเท่าใด ท้ายที่สุดจึงจะดันราคาขึ้นไปได้สูงพอ

ดังนั้นหอจิตฟ้าจึงจงใจปล่อยข่าว ประกาศเรื่องวัตถุล้ำค่าบางอย่างที่จะนำมาประมูลออกมาก่อนแล้ว! เมืองเจียงหยวนก็เป็นเมืองใหญ่ที่จัดอยู่ในร้อยอันดับแรกของโลกเทพ บวกกับการประกาศอย่างเหิมเกริม ถึงตอนนั้นการประมูลสมบัติก็จะยิ่งดุเดือดเข้าไปใหญ่

“งานชุมนุมประมูลสมบัติจะเริ่มต้นในอีกหนึ่งพันสองร้อยปีข้างหน้า เมืองเจียงหยวนห่างจากเมืองจวิ้นซานไกลลิบ โดยสารเรือใหญ่ก็ต้องใช้เวลากว่าล้านปี งานชุมนุมประมูลสมบัติครั้งนี้ก็ประกาศออกมานานแสนนานแล้ว ทว่าหากข้าสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกาออกมากลับสามารถไปถึงได้อย่างรวดเร็ว เวลาก็ยังสบายๆ ในเวลาหนึ่งพันสองร้อยปีนี้ พยายามสะสมสมบัติล้ำค่าให้ได้มากที่สุด การจะสะสมสมบัติล้ำค่า…ก็มีแต่ต้องไปบุกฝ่าความรกร้างเท่านั้น!” ตงป๋อเสวี่ยอิงตัดสินใจออกมา

ความรกร้างนั้นอันตรายมาก

แต่ซากสัตว์ถิ่นร้างระดับยอดทั้งหลายก็ล้ำค่ายิ่งนัก หลายตัวมีส่วนช่วยอย่างมากต่อการบำเพ็ญสายเลือดของชาวโลกเทพ

“ชิงอิน” ตงป๋อเสวี่ยอิงดื่มสุรากับศิษย์อยู่ จู่ๆ ก็เอ่ยปากขึ้นมา

“ท่านอาจารย์” อวี้เฟิงชิงอินมองดูตงป๋อเสวี่ยอิง

“ข้าเตรียมจะเก็บตัว หากเจ้ามีเรื่องสำคัญอันใดก็สามารถส่งสารตรงมาหาข้าได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว

อวี้เฟิงชิงอินสะดุ้ง จากนั้นก็พยักหน้ารัว “เจ้าค่ะ การเก็บตัวของท่านอาจารย์เป็นเรื่องเร่งด่วน”

ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม

ตนจะไปล่าสัตว์ท่ามกลางความรกร้าง รอจนถึงหนึ่งพันสองร้อยปีให้หลัง ก็จะไปยังเมืองเจียงหยวนเพื่อเข้าร่วมงานชุมนุมประมูลสมบัติ! ระยะเวลาช่วงนี้สำหรับคนภายนอกแล้วก็แจ้งว่าเป็นการ ‘เก็บตัว’ ก็แล้วกัน! ต่อให้มีเรื่องสำคัญ เมื่อศิษย์ส่งสารมา ตนแค่สำแดงศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกาออกไปก็สามารถกลับมาได้อย่างรวดเร็ว

“อาจารย์จะเก็บตัวแล้ว” ในใจของอวี้เฟิงชิงอินรู้สึกหดหู่ขึ้นมา “การเก็บตัวครั้งหนึ่งคงจะต้องนานกว่าร้อยล้านปีเลยกระมัง เกรงว่าอาจารย์ยังมิทันได้ออกมา ประมุขสมาคมจิตมารก็คงจะบุกสังหารมาแล้ว”

ลูกหลานที่มิใช่สายตรงของสกุลอวี้เฟิง คนในตระกูลที่ไม่มีชื่อเสียงอะไร อาจจะยังสามารถหนีไปได้

แต่บุคคลระดับสูงคนสำคัญของวงศ์ตระกูลอย่างและบุตรธิดาของ ‘อวี้เฟิงจวิ้นซาน’ เกรงว่าประมุขสมาคมจิตมารคงจะไม่ปล่อยไปแน่

……

หลังจากศิษย์จากไปแล้ว

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ประกาศออกไปว่าจะเก็บตัว!

ภายในห้องเงียบ ร่างกายสั่นเครือคราหนึ่ง รูปร่างก็พลันเปลี่ยนแปรไป กลายเป็นหนุ่มน้อยชุดดำรูปร่างหน้าตาธรรมดาสามัญคนหนึ่ง

“ไป” ข้างกายตงป๋อเสวี่ยอิงมีรอยแยกสีดำสายหนึ่งผุดขึ้นมาจากความว่างเปล่า จากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงกะพริบวาบคราหนึ่งแล้วอันตรธานหายไปในนั้นทันที

เมื่อปรากฏขึ้นอีกครั้ง ก็เป็นกลางความรกร้างแห่งหนึ่งที่ห่างจากเมืองจวิ้นซานลิบลับ หากใช้เรือใหญ่บินไป ก็เกรงว่าคงต้องใช้เวลาหลายแสนปีจึงจะไปถึงที่แห่งนี้ได้

“การล่ากลางความรกร้าง”

รอยแยกสีดำกลางอากาศกะพริบวาบคราหนึ่ง ชายหนุ่มชุดดำคนหนึ่งก็ลอดออกมาจากในนั้น แล้วยืนอยู่กลางอากาศพลางหันมองไปยังความรกร้างรอบกาย “สำหรับข้าแล้ว สัตว์ถิ่นร้างทั่วไปนั้นมีราคาต่ำยิ่งนัก หากจะหาก็ต้องหาสัตว์ถิ่นร้างระดับจ้าวเทพขั้นสุดยอด! หากโชคดี พบสิ่งมีชีวิตคละถิ่นทั่วไปก็ถือว่าโชคดี”

ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบตกใจ

ความรกร้าง…

หากพูดถึงอันตราย นั่นก็คือเป็นอันตรายมากต่อชาวโลกเทพส่วนใหญ่ เพราะสัตว์ถิ่นร้างระดับจ้าวเทพยังคงมีอยู่มากมาย

สำหรับผู้แกร่งกล้าขั้นจักรพรรดิเทพ ความรกร้างก็เหมือนกับทางอันราบรื่น! เพราะสัตว์ถิ่นร้างนั้นแทบจะไม่มีพลังระดับจักรพรรดิเทพเลย! ดังนั้นอย่างเรือใหญ่ลำหนึ่งของเมืองจวิ้นซานสามารถบินมาถึงเมืองไม้บูรพาได้ในเวลาสองพันกว่าปี ก็ไม่กังวลว่าจะประสบกับอันตราย เพราะระหว่างทางแทบจะไม่มีโอกาสได้พบกับภัยคุกคามของระดับจักรพรรดิเทพเลย ระดับจักรพรรดิเทพโดยทั่วไปนั้นล้วนแต่เป็น ‘สิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิด’ ระดับต่ำทั้งสิ้น

สิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิด ร่างกายล้วนแต่แปรมาจากกฎเกณฑ์ทั้งสิ้น! ร่างกายล้วนปรากฏขึ้นมาแล้ว แม้จะเป็นระดับต่ำ แต่สำหรับผู้แกร่งกล้าในโลกใบนี้แล้ว ก็แทบจะเป็นสมบัติล้ำค่าไปหมด! มีจำนวนมากที่สามารถใช้บำเพ็ญพลังสายเลือดได้! แม้แต่สำหรับผู้เหินทะยาน สิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดก็มีส่วนช่วยอย่างมากต่อการบำเพ็ญของพวกเขาเช่นเดียวกัน

สำหรับตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว หากมีซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดที่ปรากฏขึ้นจากวิถีอากาศ ราคาก็คงจะเหนือกว่าคัมภีร์ของผู้เหินทะยานลิบลับ!

“น่าเสียดาย”

“สิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดเหล่านี้ มีสติปัญญาสูงส่งยิ่งนัก ผู้แกร่งกล้าในโลกเทพมีมากเกินไปแล้ว สิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดเหล่านี้จึงไม่ท่องไปทั่วความรกร้างตามอำเภอใจอย่างโง่งม แล้วซ่อนตัวอยู่แทบจะทั้งหมด บางตัวก็ลี้ภัยจากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบทอดถอนใจ

เช่นจ้าวหุบเขาฝูหลิ่วผู้นั้น

จ้าวหุบเขาฝูหลิ่วก็คือสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิด นอกจากนี้หากบรรพเทวะคละถิ่นทั้งสามไม่ออกหน้า ผู้ใดก็ทำอะไรจ้าวหุบเขาฝูหลิ่วมิได้ สิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดที่อ่อนแอหลายสิบตนสวามิภักดิ์ต่อสำนักของจ้าวหุบเขาฝูหลิ่ว!

สิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับต่ำที่กล้าท่องไปท่ามกลางความรกร้างเพียงลำพังนั้น…

โดยทั่วไป ล้วนแต่มีพรสวรรค์ที่ไร้เทียมทาน ยากจะสังหารได้

“หากสามารถสังหารได้ตัวหนึ่ง เช่นนั้นก็จะได้กำไรมากมายแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบรำพึง สิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับต่ำอาจจะสำแดงพลังออกมาได้ธรรมดาๆ แต่ร่างกายก็แข็งแกร่งอย่างยิ่ง จึงยากนักที่จะสังหารมัน ยากลำบากกว่าสังหารชาวโลกเทพและผู้เหินทะยานที่มีพลังทัดเทียมกันมากมายยิ่งนัก! ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงอาศัย ‘วิถีเขตลวงโลกเทียม’ ก็อาจจะพอมีหวังที่จะรับมือกับตัวที่อ่อนแอที่สุดในจำนวนนั้นได้บ้าง

น่าเสียดายที่หาไม่พบเลย

……

ความรกร้างกว้างใหญ่ไพศาล สัตว์ถิ่นร้างระดับ ‘จ้าวเทพขั้นสุดยอด’ ที่ตงป๋อเสวี่ยอิงตามหาอยู่นั้นเรียกได้ว่าเป็นสัตว์ถิ่นร้างระดับยอดสุดแล้ว จำนวนก็มีน้อยยิ่งนัก

มิเช่นนั้นแล้ว พวกที่มีพลังระดับจ้าวเทพก็คงไม่กล้าบุกฝ่าความรกร้างเพื่อเคี่ยวกรำแล้ว

“สัตว์ถิ่นร้างระดับจ้าวเทพขั้นสุดยอดหายากเกินไปแล้ว”

ตงป๋อเสวี่ยอิงตามหาอย่างไม่หยุดหย่อน

เขาอาศัยบริเวณอากาศเป็นฝ่ายออกตามหาเอง หลังจากตามหาได้หนึ่งปีกว่า ในที่สุดก็พบสัตว์ถิ่นร้างตนหนึ่งที่อยู่ในส่วนลึกของทะเลสาบแห่งหนึ่ง

………………………………..

“ประมุขสมาคมจิตมารสวามิภักดิ์ต่อสำนักของจ้าวหุบเขาฝูหลิ่วแล้ว ผู้ใดจะยอมช่วยเมืองจวิ้นซานเล็กๆ ของข้าหยุดยั้งเรื่องนี้อีกเล่า” อวี้เฟิงเหลยยิ้มเยาะ นัยน์ตาฉายแววขมขื่น เขาหยิ่งทะนงเพียงใด ตอนนั้นก็เคยบุกฝ่าความรกร้างเพียงลำพังเพื่อเคี่ยวกรำตนเอง บัดนี้พลังของเขาพอจะพูดได้ว่าเป็นอันดับสองของเมืองจวิ้นซาน เป็นรองเพียงท่านพ่อของเขาเท่านั้น! สิ่งที่น้องสาวเสียสละ ได้ช่วยกอบกู้ทั้งสกุลอวี้เฟิงเอาไว้ สำหรับเขาแล้ว เดิมทีเรื่องพรรค์นี้ก็คือการเหยียดหยามอยู่แล้ว! แต่เพื่อคนสกุลอวี้เฟิงจำนวนนับไม่ถ้วน เขาก็ทำได้เพียงเห็นด้วยกับวิธีนี้เท่านั้น แต่บัดนี้เมื่อมาส่งถึงหน้าประตูเมืองไม้บูรพาก็คร้านจะรับไว้อีก

เหยียดหยาม!

แต่จะทำเช่นไรได้อีกเล่า

“เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี ยังมีวิธีใดอีก” อวี้เฟิงชิงอิงพูดอย่างร้อนรน

“อย่างน้อยน้องสามก็ไม่จำเป็นต้องไปยังเมืองไม้บูรพาอีกต่อไปแล้ว นอกจากนี้ข้าและท่านพ่อก็จะพยายามคิดหาวิธี โจรเฒ่าจิตมารผู้นั้นเพิ่งจะบรรลุได้ไม่นานสักเท่าไหร่นัก คงจะมีธุระมากมาย เกรงว่านานแสนนานหลังจากนี้จึงจะมาโจมตีเมืองจวิ้นซานของพวกเรา ขอเพียงมีเวลานานพอ ทุกสิ่งก็ล้วนเปลี่ยนแปลงได้ ต่อให้เป็นผลลัพธ์ที่แย่ที่สุดก็แค่อาศัยความได้เปรียบทางด้านพื้นที่ของเมืองจวิ้นซานมาต้านทานโจรเฒ่าจิตมารผู้นั้นเท่านั้น! เฮอะๆ อย่างมากก็แค่ต่อสู้อย่างบ้าคลั่งสักยกหนึ่ง ต่อให้สู้จนตัวตาย ก็ต้องสังหารยอดฝีมือใตบังคับบัญชาทั้งหลายของโจรเฒ่าจิตมารให้จงได้ ทำให้โจรเฒ่าจิตมารต้องชดใช้มากพอตัว” อวี้เฟิงเหลยแค่นเสียงเฮอะอย่างเย็นชา

“พี่ใหญ่ คิดหาวิธีอื่นเถอะ” อวี้เฟิงชิงอินกล่าว

“ฮ่าฮ่า” อวี้เฟิงเหลยลูบศีรษะของน้องสาวเบาๆพลางพูดยิ้มๆ ว่า “อย่ากังวลใจไปเลย เรื่องนี้มอบให้เป็นหน้าที่ของข้ากับท่านพ่อเถิด”

อวี้เฟิงชิงอินรู้สึกไม่สบายใจนักแต่นางก็ไม่มีวิธีอื่นได้อีก แล้วอวี้เฟิงเหลยก็จากไป

อวี้เฟิงชิงอินมองเงาหลังของพี่ชายจากไป ในใจก็เต็มไปด้วยตระหนก แม้จะมิต้องแต่งให้กับคุณชายเก้า แต่เมื่อนึกถึงว่าทั้งตระกูลจะต้องเผชิญกับหายนะอันจวนตัว ถึงตอนนั้นท่านพ่อ พี่ใหญ่ พี่รอง ไปจนถึงพี่สาวคนโตที่แต่งงานออกไปไกลลิบ รวมทั้งคนคุ้นเคยมากมายในตระกูลจะต้องตายตกไป หัวใจของนางก็รู้สึกเหมือนโดนมีดกรีดอย่างไรอย่างนั้น

นางยินดีเสียสละเพื่อกอบกู้วงศ์ตระกูลเอาไว้ แต่น่าเสียดายที่เมืองไม้บูรพาไม่ต้องการ!

“ทำอย่างไรดี ทำอย่างไรดี” อวี้เฟิงชิงอินตื่นตระหนกและรู้สึกจิตใจไม่สงบไปหมด นางมองเห็นวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่เข้าประชิดขึ้นเรื่อยๆ ต่อหน้าต่อตา แต่กลับไม่มีวิธีอันใดเลย

******

แม้บุคคลระดับสูงของสกุลอวี้เฟิงจะไม่สบายใจ แต่กลับไม่ได้เผยแพร่ข่าวออกไป ทั้งเมืองจวิ้นซานยังคงสงบสุขเป็นอย่างมาก

ตอนนั้นประมุขสมาคมจิตมารและอวี้เฟิงจวิ้นซาน ก็แค่มีความแค้นส่วนตัวกันเท่านั้น ผู้ที่ล่วงรู้มีน้อยนิดยิ่งนัก

“ฟิ้ว!”

กลางฟากฟ้าเหนือลำธารใหญ่และทุ่งร้างที่ห่างไกลจากเมืองจวิ้นซานลิบลับแห่งหนึ่ง รอยแยกสีดำสายหนึ่งกับกะพริบวาบขึ้นมา เงาร่างอาภรณ์สีขาวสายหนึ่งเดินออกมาจากในนั้นคือตงป๋อเสวี่ยอิงนั่นเอง

“ฮ่าฮ่าฮ่า ในที่สุดก็สำเร็จเสียที!” ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่กลางฟากฟ้าพลางมองดูความรกร้างอันกว้างใหญ่นี้ ความยินดีอดระบายไปทั่วหน้ามิได้ แม้ศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกาที่สร้างขึ้นตามโลกใบนี้จะหยาบอยู่บ้าง แต่การทะลุไปภายในโลกเทพ กลับสามารถทำได้สบายๆ”

“เมื่อมีเคล็ดวิชานี้แล้ว แม้โลกเทพจะกว้างใหญ่ไพศาล แต่ในที่สุดทั้งหมดก็ล้วนนับว่าราบเรียบ” ตงป๋อเสวี่ยอิงอารมณ์ดียิ่งนัก

ก่อนหน้านี้การเร่งเดินทางไปในโลกใบนี้ยากเย็นยิ่งนัก ทำได้เพียงค่อยๆ บินไปอย่างเชื่องช้าเท่านั้น!

จากเมืองแห่งหนึ่งมุ่งหน้าไปยังเมืองอีกแห่ง ต่อให้เป็นตัวเมืองที่อยู่ใกล้ที่สุด ก็เกรงว่าคงจะต้องบินไปหลายสิบปี ที่อยู่ไกลจริงๆ นั้น บินไปเป็นล้านเป็นสิบล้านปีก็เป็นเรื่องปกตินัก

‘เมืองไม้บูรพา’ และ ‘เมืองจวิ้นซาน’ ก็นับว่าค่อนข้างใกล้ มิเช่นนั้นแล้ว ตอนนั้นคุณชายเก้าคงจะไปไม่ถึงเมืองจวิ้นซาน

เนื่องจากการเร่งเดินทางนั้นยุ่งยากเกินไปแล้ว

จึงทำให้สามตระกูลราชันย์และผู้แกร่งกล้าที่น่าหวาดหวั่นบางคน แม้พลังจะแข็งแกร่งอย่างยิ่ง แต่กลับมิอาจก่อให้เกิดประเทศที่มีการปกครองเข้มงวดขึ้นมาได้

“โลกใบนี้ เดิมทีชาวโลกเทพล้วนแต่อาศัยสายเลือดกันทั้งนั้น มีหลายคนที่สายเลือดสามารถส่งถ่ายทลายโลกาได้อย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบส่ายหน้า “ส่วนผู้เหินทะยาน เดิมทีจำนวนก็น้อยอยู่แล้ว ทางด้านวิถีอากาศก็ยิ่งหาได้ยาก! มหาวิถีบกพร่อง การใช้วิถีอากาศที่บกพร่องสร้างศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกาขึ้นมามิใช่เรื่องง่าย ข้ามีประสบการณ์เดิมอยู่ มีทิศทางที่ชัดเจน จึงทำได้สำเร็จ”

เรื่องนี้ทำให้ผู้ที่สามารถเคลื่อนที่ผ่านอากาศในโลกเทพได้นั้นมีน้อยเสียจนยกนิ้วนับได้

แต่บัดนี้ ผู้ที่สามารถทะลุผ่านอากาศในโลกเทพได้ ก็มีตงป๋อเสวี่ยอิงเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่ง!

อย่างผู้ทรงอำนาจที่ไร้เทียมทานซึ่งมีชื่อเสียงเกรียงไกรบางคนอย่างจ้าวหุบเขาฝูหลิ่ว ก็ล้วนมิอาจทะลุผ่านจากที่แห่งหนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่ง ทำได้เพียงค่อยๆ บินไปอย่างเชื่องช้าเท่านั้น!

“ครั้งนี้สามารถทำอะไรต่างๆ ได้มากขึ้นแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยสีหน้ายินดีออกมา

……

ณ เมืองจวิ้นซาน

ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิอยู่ บนโต๊ะยาวตรงหน้ามีม้วนสาส์นหลายม้วนวางอยู่

“วิถีอากาศ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงหยิบม้วนสาส์นม้วนหนึ่งขึ้นมาแล้วมองดูอย่างละเอียด

ม้วนสาส์นเหล่านี้ล้วนแต่เป็นข้อมูลที่เขาเคยซื้อจาก ‘หอจิตฟ้า’ หอจิตฟ้านั้นสร้างขึ้นโดย ‘ตระกูลจิตฟ้า’ซึ่งเป็นหนึ่งในสามตระกูลราชันย์ แทบจะปกคลุมไปทั่วทั้งโลกเทพ ข่าวสารก็ฉับไวที่สุด

“เส้นทางวิญญาณของโลกใบนี้เหมือนจะธรรมดาสามัญ รู้สึกว่าคงจะไม่มีผู้ใดสูงกว่าข้าแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบส่ายหน้า “แม้โลกใบนี้จะมีสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดมากมายเช่นเดียวกัน แต่กลับไม่มีผู้ที่เชี่ยวชาญกระบวนท่าทางด้านวิญญาณเลยแม้แต่คนเดียว”

สิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดที่นี่มีจำนวนมากกว่าหุบเขาเขี้ยวหักเสียอีก

บวกกับที่นี่มีผู้แกร่งกล้ามากยิ่งกว่า ภายใต้การห้ำหั่นกัน ก็มีซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นมากมาย

ระดับขั้นอย่างตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว การค้นคว้าซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นก็มีประโยชน์อย่างมหาศาล! เนื่องจากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นเหล่านั้นมิได้บำเพ็ญจากตอนที่ยังอ่อนแอแล้วก้าวขึ้นมาทีละขั้นๆ หากแต่เป็นเช่นนี้โดยกำเนิด ร่างกายของพวกมันจำนวนมากล้วนปรากฏขึ้นจากกฎเกณฑ์! การค้นคว้าร่างและอวัยวะของพวกมันก็จะทำให้ล่วงรู้ได้ อย่าง ‘สิ่งมีชีวิตพันเนตร’ ของหุบเขาเขี้ยวหักที่สิ้นใจไปแล้วนั้น ก็ได้ชี้นำเส้นทางวิถีเขตลวงโลกเทียม

แต่เห็นได้ชัดว่าสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่เชี่ยวชาญทางด้านวิญญาณก็คงจะแข็งแกร่งอย่างยิ่ง อย่างน้อยในโลกใบนี้ก็หาไม่พบ!

“วิถีเขตลวงโลกเทียมคงทำได้เพียงค้นคว้าด้วยตนเองเสียแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ

โชคดีก็คือ วิถีเขตลวงโลกเทียมอยู่ในโลกใบนี้ มิได้ถูกต่อต้านเลยแม้แต่น้อย สามารถสำแดงออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ

“อาจารย์ อาจารย์” น้ำเสียงเสนาะหูดังขึ้น

ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังแล้วก็ยิ้มออกมา เขาหันกลับไปมองทันที

ในโลกใบนี้ ผู้ที่เขาสนิทสนมด้วยก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ‘อวี้เฟิงชิงอิน’ ศิษย์คนนี้ นับได้ว่าเป็นคนที่เขาใกล้ชิดที่สุดคนหนึ่ง เขาโบกมือคราหนึ่ง บนโต๊ะยาวก็มีจอกสุราเปล่าเพิ่มขึ้นมาอีกใบหนึ่ง

“คุณหนูสาม” สาวใช้สองนางที่อยู่ไกลออกไปต่างก็ทำความเคารพ

อวี้เฟิงชิงอินกลับสาวเท้าเข้ามาอย่างรวดเร็ว แต่ละก้าวกะพริบวาบแล้วมาถึงตรงข้ามตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างรวดเร็วก่อนจะนั่งขัดสมาธิลงไป นางคว้าจอกสุรามารินสุราให้ตนเองโดยไม่เกรงใจแม้แต่น้อย “อาจารย์ ข้ามาดื่มสุราเป็นเพื่อนท่านแล้ว”

“อะไรที่เรียกว่าดื่มสุราเป็นเพื่อนข้า เจ้าชอบดื่มเองหรอกกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ “ก่อนจะรับเจ้าเป็นศิษย์ ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะชอบดื่มสุราถึงเพียงนี้”

“ใครใช้ให้อาจารย์มีสุราชั้นดีตั้งมากมายกันเล่า ที่เมืองจวิ้นซานของข้าไม่มีเลย” อวี้เฟิงชิงอินพูดยิ้มๆ

ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม ที่เขามีสุรามากมายจริงๆ

มีจำนวนมากที่หยิบติดมือมาจากตอนที่ยังอยู่ในดินแดนจิตโลกา สุรานี้ นอกจากจำนวนน้อยนิดอย่างยิ่งที่พิเศษแล้ว ก็ล้วนอยู่ในโลกใบนี้อย่างมั่นคงโดยไม่เผยพิรุธออกมา เพราะถึงอย่างไรโลกเทพก็กว้างใหญ่ไพศาล ผู้ใดจะไปรู้เล่าว่าที่ใดมีสุราใหม่เกิดขึ้นมาอีกแล้ว

“อึ้กๆ” อวี้เฟิงชิงอินดื่มอย่างต่อเนื่องกันหลายจอกก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “เอ๊ะ ท่านอาจารย์ ท่านกำลังดูอะไรอยู่น่ะ”

“พวกรายงานที่ซื้อมาจากหอจิตฟ้าน่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ

“ข้าขอดูหน่อยจะได้หรือไม่” อวี้เฟิงชิงอินพูดอย่างอยากรู้อยากเห็น

“ได้สิ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

จากนั้นอวี้เฟิงชิงอินก็หยิบม้วนสาส์นม้วนหนึ่งขึ้นมาพลิกดู ก่อนจะพูดพลางพยักหน้าว่า “รายงานเกี่ยวกับคัมภีร์สำหรับบำเพ็ญของผู้เหินทะยานจำพวกวิถีอากาศหรือ ทั้งยังเป็นระดับจักรพรรดิเทพอีกด้วย อาจารย์ แม้ผู้เหินทะยานจะร้ายกาจ โดยทั่วไปสามารถเหินทะยานไปถึงโลกเทพได้ ผู้ที่สามารถสำเร็จเป็นจ้าวเทพได้ก็มีมากมาย แต่กลับมีผู้ที่สำเร็จเป็นจักรพรรดิเทพน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย ขีดจำกัดระหว่างจ้าวเทพและจักรพรรดิเทพนั้นบรรลุได้ยากยิ่งนัก!”

“ผู้เหินทะยานขั้นจักรพรรดิเทพนั้นมีน้อยมาก” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า “ผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพทางด้านวิถีอากาศก็ยิ่งมีน้อยเข้าไปใหญ่”

ในโลกเทพ ผู้เหินทะยานขั้นจักรพรรดิเทพทางด้านวิถีอากาศ ที่มีบันทึกเอาไว้มีทั้งหมดแปดคนเท่านั้น!

ทำให้คัมภีร์สำหรับบำเพ็ญของผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพทางด้าน ‘วิถีอากาศ’ มีน้อยมาก

“อาจารย์ ท่านอยากจะหาคัมภีร์ของผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพทางด้านวิถีอากาศ ทั้งโลกเทพก็มีอยู่เพียงแปดชนิดเท่านั้น บางเล่มยังไม่เผยแพร่สู่ภายนอกอีกด้วย! ที่เผยแพร่ออกมานั้นมีน้อยกว่าเสียอีก” อวี้เฟิงชิงอินอ่านสิ่งที่เขียนเอาไว้ในรายงานแล้วก็อดร่ำร้องมิได้

“น้อยมาก” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย

ทว่าก็ยังคงมีอยู่

ผู้เหินทะยานก็มีการแลกเปลี่ยนกับขุมอำนาจอื่นเช่นเดียวกัน อย่างการเขียนต้นฉบับขึ้นมาสักเล่มเพื่อทำการแลกเปลี่ยนสมบัติล้ำค่ากับขุมอำนาจอื่นๆ! ผู้แกร่งกล้าคนหนึ่งสามารถเขียนต้นฉบับขึ้นมาหลายฉบับได้

คัมภีร์ผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพทางด้าน‘วิถีอากาศ’มีทั้งหมดแปดชนิดด้วยกัน มีห้าชนิดที่เผยแพร่ออกมาภายนอก มีต้นฉบับหลายเล่ม แต่โดยทั่วไปแล้วล้วนถูกขุมอำนาจใหญ่เก็บสะสมเอาไว้ เพราะถึงอย่างไรก็ให้ความสำคัญกับคัมภีร์ ‘ระดับจักรพรรดิเทพ’ เป็นอย่างมาก

“กระจัดกระจายอยู่ในโลกเทพ จะตามหาก็ยากยิ่งนัก” อวี้เฟิงชิงอินปิดม้วนสาส์นลง ไม่ดูอีกต่อไป

ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มมองต่อไป เขากำลังเลือกเป้าหมาย

สำหรับเขาแล้ว โลกเทพกว้างใหญ่ยิ่งนัก

แต่สำหรับเขาแล้ว หลังจากสามารถส่งถ่ายมหาทลายโลกาได้แล้ว กลับสามารถไปถึงเมืองใหญ่ในโลกเทพไม่ว่าแห่งใดก็ตามได้อย่างรวดเร็ว

“อึ้กๆ” อวี้เฟิงชิงอินกำลังดื่มสุราอยู่อีกแล้ว “ท่านอาจารย์ มาๆๆ ดื่มสุราด้วยกันเถอะ”

“ดีเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงรับคำ เขากลับไม่รู้ว่า ก่อนหน้าที่จะมีภัยคุกคามมาถึงสมาคมจิตมาร อวี้เฟิงชิงอินดื่มสุราน้อยมาก

………………………………………

ณ ส่วนยอดของหอสูงราวร้อยจ้างแห่งหนึ่ง ภายในจวนของตงป๋อเสวี่ยอิง

เขานั่งขัดสมาธิอยู่เพียงลำพัง ตรงหน้ามีโต๊ะยาวอยู่ตัวหนึ่งซึ่งมีสุราชั้นเลิศที่ตนชมชอบวางอยู่ไหหนึ่ง ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีขาวทั้งร่างขมวดคิ้วเล็กน้อย สายตามองข้ามราวระเบียงตรงหน้าไปยังเมืองจวิ้นซานอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้

“จะสำแดงเคล็ดวิชาทะลุทะลวงทั้งหลายในโลกใบนี้ มีเพียงศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกาเท่านั้นที่มีหวัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพูด

เมื่อมีคัมภีร์กลยุทธ์กระบี่แยกนภากาศเล่มนั้นคอยชี้นำ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ย่อมเข้าใจกฎเกณฑ์วิถีอากาศของโลกใบนี้ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผ่านการรับรู้สองพันกว่าปี กระบวนท่าทางด้านวิถีอากาศมากมายของเขาก็เริ่มไปถึงระดับ ‘จ้าวเทพขั้นสุดยอด’ แล้ว! แม้แต่การฝึกกายคละถิ่นก็บรรลุถึงจ้าวเทพขั้นสุดยอดอีกครั้ง

แต่กลับมิได้เข้าถึงวิธีการทะลุอากาศมาโดยตลอด!

“โลกใบนี้เหิมเกริมเกินไปแล้ว กดดันทั้งหมด อากาศก็เหมือนกับแข็งค้างไปอย่างไรอย่างนั้น มิอาจเคลื่อนที่ในพริบตาได้เลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบส่ายหน้า หากกล่าวว่าโลกกำเนิดก่อนหน้านี้เหมือนกับ ‘สายน้ำ’ ท่ามกลางระลอกคลื่นน้ำ สามารถทะลุผ่านและเคลื่อนที่ในพริบตาได้อย่างง่ายดาย เช่นนั้น อากาศจองโลกใบนี้ กลับเหมือนถูกกดดันจนแข็งค้างไปอย่างสิ้นเชิง

เคลื่อนที่ในพริบตาหรือ ฝันไปเถอะ!

“ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาก็ไม่ได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงย่อมสามารถชมดูแก่นห้วงอากาศได้ เมื่อเขาจะสอดส่องดูอณูทรงกลมหมอกดำลูกแล้วลูกเล่าผ่านรูทรงกลมหมอกดำนั้น กลับพบว่าปลายอีกด้านหนึ่งของรูก็คือสายฟ้าสีทองอันน่าหวาดหวั่น

สายฟ้าสีทองอันสับสนที่ปะทุออกมาทำลายทุกสิ่ง สติรับรู้ของเขาลองแทรกซึมผ่านรูทรงกลมหมอกดำไป เพิ่งจะพบสายฟ้าสีทองของโลกภายนอก ก็ถูกทำลายเสียแล้ว

น่ากลัวเกินไปแล้ว

แม้แต่การจะเฝ้าดูการส่งถ่ายทลายโลกาก็ยังทำไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเปิด ‘ทางเชื่อมส่งถ่ายทลายโลกา’ สายหนึ่งขึ้นมาเลย

“การเคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศหรือ อากาศแข็งค้างเช่นนี้ มิอาจเคลื่อนย้ายได้เลย”

“ห้วงอากาศบิดหมุนระดับบริเวณเมฆาแดงก็ล้วนไร้ประโยชน์ไปสิ้น”

ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบทอดถอนใจ

เคลื่อนที่ในพริบตา การเคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศ ห้วงอากาศบิดหมุนและศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา…ในโลกใบนี้ ไม่มีหวังเลยแม้แต่น้อย

แม้โลกเทพแห่งนี้จะมีผู้แกร่งกล้ามากมายดุจเมฆ แต่ก็มีเพียงสิ่งมีชีวิตในตำนานจำนวนน้อยจนยกนิ้วนับได้เท่านั้นที่สามารถสำแดงการเคลื่อนที่ผ่านอากาศออกมาได้!

“สิ่งที่พวกเขาสำแดงออกมา น่าจะเป็นวิธีการจำพวก ‘ศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกา’” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ

ตามหลักแล้ว ศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกาสามารถทำได้

เนื่องจากในฐานะเคล็ดวิชาทะลุทะลวงระดับยอดสุดวิชาหนึ่ง มันถูกคิดค้นขึ้นมา ก็สามารถเปิดทางเชื่อมเล็กจิ๋วอย่างยิ่งจากโลกกำเนิดแห่งหนึ่ง ทะลุผ่านไปยังมิติคละถิ่นไปถึงโลกกำเนิดอีกแห่งหนึ่งได้!

“แม้มิติจะกดดันโลกที่มีชื่อว่า ‘โลกเทพ’ ใบนี้ได้ร้ายกาจอย่างยิ่ง แต่เมื่อเทียบกับการกดดันของมิติคละถิ่นแล้ว ก็นับได้ว่าเพียงพอจะเทียบกันได้เท่านั้น ข้าสามารถทะลุผ่านไปในมิติคละถิ่นได้ ที่นี่ก็ทำได้เช่นเดียวกัน!” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ “ปัญหาเดียวก็คือ…เดิมทีความเร้นลับของกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่ ‘ศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกา’ ใช้นั้น มีมากมายที่ถูกโลกใบนี้ต้านทาน”

“ต้องเปลี่ยนแปลง”

“ใช้ความเร้นลับวิถีอากาศของโลกใบนี้เป็นหลัก แล้วคิดค้นศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกาขึ้นมาใหม่อีกครั้ง”

ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้ว

เรื่องนี้ไม่ง่ายเลย…

โลกกำเนิดอื่นๆ นั้น กฎเกณฑ์วิถีอากาศครบสมบูรณ์! แต่โลกใบนี้ ทั้งบ้าคลั่งและวุ่นวาย ตัวกฎเกณฑ์เองก็บกพร่อง! ผู้เหินทะยานของพวกเขาเชื่อว่า ‘มหาวิถีมีข้อบกพร่อง’ เป็นฟ้าดินที่สร้างกฎขึ้นมา

“ใช้วิถีที่บกพร่อง…”

“คิดค้นศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกาขึ้นมา ช่างท้าทายดีจริงๆ” จากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็รวบรวมสมาธิผลักดัน เพระาถึงอย่างไรตอนที่เขาเป็นเทพจักรวาลชั้นที่สองก็เข้าถึงศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกาแล้ว หลังจากบรรลุถึงระดับขั้นสุดยอดก็ยังปรับปรุงให้ศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกาสมบูรณ์ขึ้น และสามารถพาคนทะลุผ่านมิติคละถิ่นได้ บัดนี้เมื่ออยู่ในโลกใบนี้ เขาจึงมั่นใจว่าจะสามารถคิดค้นศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาอย่างหยาบๆ ขึ้นมาได้

******

ขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังผลักดันศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกานั้น ภายในสกุลอวี้เฟิง กลับมีข่าวร้ายข่าวหนึ่งแพร่มา

ภายในโถงตำหนักอันหรูหรา

อวี้เฟิงจวิ้นซานนั่งอยู่ในตำแหน่งประธานอันสูงส่ง อวี้เฟิงเหลย พ่อบ้านถงและผู้อาวุโสสกุลอวี้เฟิงทั้งสามคนล้วนอยู่ที่นี่พร้อมหน้ากัน พวกเขาก็คือบุคคลระดับสูงที่สำคัญที่สุดของสกุลอวี้เฟิง

“จิ่นเอ๋อร์ส่งข่าวมาจากเมืองไม้บูรพา” อวี้เฟิงจวิ้นซานมองลงไปเบื้องล่างพลางเอ่ยขึ้น

“น้องรองว่าอย่างไร” อวี้เฟิงเหลยถาม คนอื่นๆ ต่างก็หัวใจรัดแน่นขึ้นมา โลกเทพกว้างใหญ่ไพศาล เรือใหญ่เหินทะยานเร่งไปสองพันกว่าปีแล้ว กองกำลังเทวทูตเมืองจวิ้นซานที่มีอวี้เฟิงจิ่นเป็นผู้นำไปถึงเมืองไม้บูรพาแล้ว เสียเวลาภายในเมืองไม้บูรพาไปกว่าร้อยปี เพื่อมอบของกำนัลเชื่อมสัมพันธ์กับฝ่ายต่างๆ ถึงขั้นยอมให้อวี้เฟิงชิงอินสมรสกับคุณชายเก้าเมืองไม้บูรพา แต่ข่าวที่ส่งมาก่อนหน้านี้ กลับไม่สำเร็จมาโดยตลอด

“ล้มเหลวแล้ว” เสียงของอวี้เฟิงจวิ้นซานเรียบนิ่ง แต่ผู้ใดก็สัมผัสได้ว่า ภายใต้ความสงบนั้นข่มความเคืองแค้นและไม่ยอมจำนนเอาไว้

“ล้มเหลวแล้วรึ”

“นี่…”

แต่ละคนในที่นั้นรู้สึกหัวใจหนักอึ้งไปหมด

แม้จะคาดคะเนไว้ก่อนแล้ว เพราะถึงอย่างไรข่าวที่แพร่สะพัดกลับมาหลายปีก่อนหน้านี้ล้วนแต่ไม่ดีทั้งสิ้น แต่บัดนี้รู้ผลสรุปสุดท้ายแล้ว ก็ยังรู้สึกตระหนกอยู่ดี

“พวกเราสกุลอวี้เฟิงมอบสมบัติล้ำค่าให้ไปตั้งมากมาย เสียไปโดยเปล่าประโยชน์หรอกหรือนี่” ชายชราผมแดงคนหนึ่งของสกุลอวี้เฟิงร้องคำรามอย่างอดมิได้

“ทำไมรึ เจ้าคิดว่าพวกคนโลภในเมืองไม้บูรพาจะยอมคืนมาอย่างนั้นหรือ เฮอะๆ เมืองไม้บูรพา” นัยน์ตาของอวี้เฟิงจวิ้นซานเต็มไปด้วยแววหนาวเหน็บ มอบสมบัติล้ำค่าผูกสัมพันธ์กับบุคคลผู้ทรงอำนาจฝ่ายต่างๆ ของเมืองไม้บูรพาให้ช่วยผลักดันเรื่องนี้ แต่ท้ายที่สุดก็ยังคงไม่สำเร็จ สมบัติล้ำค่าก็ย่อมไม่มีแล้ว

“นายท่าน” พ่อบ้านถงกลับพูดพลางขมวดคิ้ว “หรือว่าคุณชายรองจะทดลองต่อไปมิได้แล้วจริงๆ อย่างนั้นหรือ มั่นใจว่าไม่มีหวังแน่แแล้วหรือ”

“จิ่นเอ๋อร์ส่งข่าวมา บอกว่าเจ้าโจรเฒ่ามารจิตนั่นมิได้สวามิภักดิ์ต่อจ้าวหุบเขาฝูหลิ่วอีกแล้ว” อวี้เฟิงจวิ้นซานกล่าว “เมืองไม้บูรพาจะไล่วงเกินจ้าวหุบเขาฝูหลิ่วเพียงเพราะเมืองจวิ้นซานของเราได้อย่างไรกัน”

อวี้เฟิงเหลย พ่อบ้านถงและบรรพบุรุษทั้งสามต่างพากันชะงักค้างไป

จ้าวหุบเขาฝูหลิ่วหรือ

หุบเขาฝูหลิ่ว…

ในโลกเทพก็มีสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดมากมาย อย่าง ‘จ้าวหุบเขาฝูหลิ่ว’ ก็เป็นคนหนึ่งที่จัดอยู่ในสามอันดับแรก ร่างที่แท้จริงของเขาคือต้นไม้โบราณอันแปลกประหลาดต้นหนึ่งซึ่งถูกขนานนามว่า ‘ต้นฝูหลิ่ว’ ร่างกายของเขาตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น ต่อให้มีจักรพรรดิเทพกลุ่มหนึ่งมาล้อมโจมตีก็แค่จักจี้เท่านั้น ความแข็งแกร่งของเขา ต่อให้เป็นสามตระกูลราชันย์ก็ยังต้องเคาระโดยมิกล้าละเลย

เกรงว่าคงจะมีเพียงบรรพเทวะคละถิ่นสามท่าในตำนานซึ่งเป็นผู้รังสรรค์โลกใบนี้ขึ้นมาเท่านั้น ที่จะสามารถทำลายจ้าวหุบเขาฝูหลิ่วได้กระมัง

สิ่งมีชีวิตระดับอย่าง ‘จ้าวหุบเขาฝูหลิ่ว’ มีสถานะสูงส่งยิ่งนัก

อย่างเจ้าเมืองจวิ้นซานอย่างอวี้เฟิงจวิ้นซานคิดจะสวามิภักดิ์ เกรงว่าจ้าวหุบเขาฝูหลิ่วก็คงดูแคลน!

เนื่องจากพลังของประมุขสมาคมจิตมารก้าวหน้าเป็นอันมาก จัดอยู่ในหนึ่งพันอันดับแรกของ ‘บัญชีรายนามจักรพรรดิเทพ’ ที่ตระกูลจิตฟ้ากำหนดขึ้น นับได้ว่ามีบทบาทสำคัญต่อทั้งโลกเทพแล้ว เขาเป็นฝ่ายเข้าไปสวามิภักดิ์เอง จึงถูกจ้าวหุบเขาฝูหลิ่วรับเข้าไว้ในสำนัก เนื่องจากร่างกายของจ้าวหุบเขาฝูหลิ่วเป็นต้นไม้ จึงแทบจะไม่ค่อยปรากฏกายไปเคลื่อนไหวภายนอกมากสักเท่าใดนัก แต่เขาก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่จัดอยู่ใน ‘สิบสองอันดับแรกของบัญชีรายนามจักรพรรดิเทพ’

สามสิบอันดับแรกของบัญชีรายนามจักรพรรดิเทพ แต่ละคนล้วนมีพลังที่แข็งแกร่งจนน่าเหลือเชื่อด้วยกันทั้งนั้น

“ก็แค่ช่วยเหลือพวกเรากดดันประมุขสมาคมจิตมารผู้นั้นสักแรงหนึ่ง เรื่องราวเล็กน้อยเท่านี้จะสามารถทำให้สิ่งมีชีวิตระดับตำนานอย่างจ้าวหุบเขาฝูหลิ่วแตกตื่นได้หรือ” ผู้อาวุโสประจำตระกูลผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างอดมิได้

“หากเย้ายวนใจพอ เจ้าเมืองไม้บูรพาอาจจะยินยอมก็เป็นได้” อวี้เฟิงจวิ้นซานพูดเสียงเรียบ “แต่ลำพังแค่สมบัติล้ำค่าธรรมดาทั่วไป เพียงแค่ยกธิดาของข้าให้แต่งกับคุณชายเก้า…ผลประโยชน์เล็กน้อยเท่านี้ คุณชายเก้าผู้นั้นก็ไม่ค่อยใส่ใจสักเท่าใดนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเจ้าเมืองไม้บูรพาเลย”

คุณชายเก้าเมืองไม้บูรพาเป็นโจรเด็ดบุปผา

หญิงสาวก็แล้วไปเถิด…

ตอนนั้นเนื่องจากคุณชายเก้าท่องหาประสบการณมาถึงเมืองจวิ้นซาน แม้จะมองอวี้เฟิงชิงอินตาเป็นมัน แต่เนื่องจากไม่อยากยั่วโทสะอวี้เฟิงจวิ้นซาน และไม่อยากบีบบังคับ จึงได้จากไปอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่า หากคุณชายเก้าได้ ‘อวี้เฟิงชิงอิน’ มาก็คงดีใจ แต่หากไม่ได้ ก็ไม่แยแส

“โจรเฒ่าจิตมารสวามิภักดิ์ต่อจ้าวหุบเขาฝูหลิ่ว ผู้ใดจะช่วยพวกเราได้เล่า” พ่อบ้านถงพูดเสียงต่ำ

“ไม่อย่างนั้นก็หนีกันเถิด! หนีไปจากเมืองจวิ้นซาน” ผู้อาวุโสประจำตระกูลผู้หนึ่งกล่าว

“หนีรึ” อวี้เฟิงเหลยยิ้มเย็น “หากเป็นคนตัวเล็กๆ ที่อ่อนแอของตระกูลอวี้เฟิง จะหนีไปยังตัวเมืองอื่น ก็อาจจะพออยู่ได้อย่างอึดอัดเล็กน้อย แต่ระดับอย่างข้าแล้ว เกรงว่าโจรเฒ่าจิตมารคจะไม่ปล่อยไปสักคน ต่อให้สะกดรอย ก็คงจะไล่สังหารไปทีละคนๆ”

……

วันนั้น

อวี้เฟิงชิงอินที่อยู่ในสวนดอกไม้ก็ได้ทราบข่าว

“น้องสาม ทางเมืองไม้บูรพานั่นไม่มีหวังแล้ว!” อวี้เฟิงเหลยมองน้องสาวของตนพลางเอ่ยขึ้น

อวี้เฟิงชิงอินสะดุ้ง “พี่รองมิได้ไปถึงเมืองไม้บูรพาแล้วคิดหาวิธีมาตลอดหรอกหรือ” แม้จะไม่ยินดีเป็นอย่างมาก แต่เพื่อตระกูล อวี้เฟิงชิงอินก็ยอมเสียสละ เพราะถึงอย่างไรหากไร้ผู้แกร่งกล้าปกป้อง เมื่อถึงเวลา ตระกูลอวี้เฟิงก็จะสลายไป! ทายาทสายตรงอย่างนางก็มิอาจดิ้นหลุดไปได้เช่นเดียวกัน

………………………………………

“จัดการเขาอย่างไรหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปทางจ้าวภูเขาค้างคาว“พี่หิมะเหินคิดจะจัดการเช่นไร ก็จัดการตามนั้นเถิด” จ้าวภูเขาค้างคาวถ่ายเสียงพูด

ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ่งทวีความรู้สึกว่าจ้าวภูเขาค้างคาวผู้นี้ไม่มี ‘ความหยิ่งทะนง’ ของยอดฝีมือเลยแม้แต่น้อย ทว่าแม้จะไม่มีความหยิ่งทะนง แต่กลับไม่เปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่าจ้าวภูเขาค้างคาวนับได้ว่าเป็นยอดฝีมือของเมืองจวิ้นซาน หากไม่ใช้ ‘วิถีเขตลวงโลกเทียม’ ตนก็ยากที่จะทำอะไรเขาได้! และเมื่อค้นดูความทรงจำ ผู้ที่มีกระบวนท่าทางด้านวิญญาณเยี่ยมยอดพอจะสู้ตนได้ อย่างน้อยในเมืองจวิ้นซานก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน

ดังนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงจึงไม่ใช้กระบวนท่าทางด้านวิญญาณมาต่อกรกับศัตรูที่แข็งแกร่งง่ายๆ! เพราะหากสำแดงออกไปเมื่อใด แล้วข่าวเล็ดรอดขึ้นมา เกรงว่าตนก็คงจะไม่มีคืนวันอันสงบสุขแล้ว

“ข้าอยากจะไปดูเถี่ยเฉิงหลิ่วผู้นี้เสียก่อน” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูด

“ดีๆๆ บัดนี้เถี่ยเฉิงหลิ่วผู้นี้อยู่ในภูเขาค้างคาวของพวกเรา” จ้าวภูเขาค้างคาวกระตือรือร้นเป็นอันมาก

จากนั้นทั้งสองคนก็ออกจากวังภูเขาลอยมุ่งหน้าไปยังภูเขาค้างคาวพร้อมกัน

……

ภายในเมืองจวิ้นซาน ภูเขาค้างคาวกินพื้นที่ใหญ่โตมาก สิ่งก่อสร้างทอดยาวต่อเนื่องกัน มีผู้ใต้บังคับบัญชาอยู่มากมาย

ภายในตำหนักใหญ่แห่งหนึ่ง

ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าไปด้านในพร้อมกับจ้าวภูเขาค้างคาว ภายในนี้มีจ้าวเทพหลายคนรอคอยอยู่ก่อนแล้ว

“ยังไม่คารวะจ้าวเทพหิมะเหินอีก” เมื่อจ้าวภูเขาค้างคาวเข้ามาก็พูดพลางแค่นเสียงเฮอะ

“คารวะจ้าวเทพหิมะเหิน” จ้าวเทพเหล่านี้พากันทำความเคารพ

บุคคลระดับสูงของภูเขาค้างคาวเหล่านี้ได้ยินมาแล้วว่า ‘เมื่อ จ้าวภูเขาค้างคาว’ หัวหน้าของพวกเขาประลองหยั่งเชิงกับจ้าวเทพหิมะเหินนั้นก็พ่ายแพ้ไป! จ้าวภูเขาค้างคาวกลายร่างเป็น ‘มังกรค้างคาว’ และยังคงได้รับบาดเจ็บ แต่จ้าวเทพหิมะเหินกลับมิได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย ทำให้ผู้ที่คร้ามเกรงต่อ ‘จ้าวภูเขาค้างคาว’ ทั้งหลายคร้ามเกรงต่อจ้าวเทพหิมะเหิน ผู้นี้เช่นเดียวกัน

“พี่หิมะเหิน เร็ว เชิญนั่งเถิด” จ้าวภูเขาค้างคาวพูดอย่างกระตือรือร้น เขาและตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งลงตรงตำแหน่งประธานที่สูงที่สุดเคียงข้างกัน

เมื่อนั่งลง จ้าวภูเขาค้างคาวก็แค่นเสียงพูดว่า “นำตัวเถี่ยเฉิงหลิ่วผู้นั้นมา!”

“ขอรับ”

ไม่นานนัก

เถี่ยเฉิงหลิ่วผู้นั้นก็ถูกนำตัวขึ้นมา บัดนี้ภายในร่างของเขามีตรวนแทงทะลุเข้าไป ทั้งร่างเดินตะกุกตะกัก สีหน้าซีดขาว เขาถูกคุมตัวมาจนถึงตำหนักใหญ่ เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นไปก็มองเห็นจ้าวภูเขาค้างคาวและตงป๋อเสวี่ยอิงที่นั่งอยู่ในตำแหน่งสูงลิ่ว

“เป็นไปได้อย่างไรกัน” เถี่ยเฉิงหลิ่วสะดุ้ง

ภูเขาค้างคาวมิได้ส่งยอดฝีมือทั้งหลายไปลอบสังหารจ้าวเทพหิมะเหินหรอกหรือ มิใช่ว่าจ้าวเทพสิ้นใจไปสามคนแล้วหรอกหรือ ความเสียหายใหญ่โตถึงเพียงนี้ ผูกความแค้นเช่นนี้ จ้าวภูเขาค้างคาวกลับยังเชิญจ้าวเทพหิมะเหินผู้นี้มา ทั้งยังหน้าเคียงกันอยู่บนตำแหน่งสูงสุดอีกต่างหากอย่างนั้นหรือ

เขารู้ดีว่า การสูญเสียจ้าวเทพสามคน สำหรับขุมอำนาจอย่าง ‘ภูเขาค้างคาว’ แล้ว ก็นับได้ว่าเป็นความเสียหายที่ใหญ่หลวงอย่างยิ่งแล้ว หลายวันมานี้ เขาถูกทรมานจนน่าอนาถเป็นอย่างมาก จึงเข้าใจดีว่าจ้าวภูเขาค้างคาวเคืองแค้นเพียงใด

“เดิมทีข้าคิดจะลงทัณฑ์เจ้าให้ตายเสียเลย” จ้าวภูเขาค้างคาวเหลือบมองลงไปเบื้องล่างแล้วพูดเสียงแหบแห้งว่า “แต่พี่หิมะเหินอยากพบเจ้าเสียหน่อย เจ้าจึงยังมีชีวิตอยู่รอดมาจนถึงตอนนี้ได้”

“พี่หิมะเหินหรือ” เถี่ยเฉิงหลิ่วฟังแล้วก็ยิ่งรู้สึกเศร้าใจ

จ้าวภูเขาค้างคาว! ยอดฝีมือตัวยงผู้องอาจที่ได้รับการยอมรับทั่วไปว่าอยู่ในสิบอันดับแรกของเมืองจวิ้นซานอย่างเจ้า จ้าวเทพใต้บังคับบัญชาสิ้นใจไปสามคน แต่กลับเรียกพี่เรียกน้องกับ ‘มือสังหาร’ อย่างนั้นหรือ เจ้ายังมีหน้ามีตาอยู่หรือไม่

“เถี่ยเฉิงหลิ่ว ก่อนจะพบเรือใหญ่ลำนั้น ข้ากับเจ้าไม่เคยพบกันมาก่อนกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปาก

“ไม่เคยรู้จักมาก่อน” เถี่ยเฉิงหลิ่วพูดเสียงต่ำ

“ก่อนหน้านี้ข้าก็ไม่เคยผูกความแค้นกับเจ้ากระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม

“ก่อนหน้านี้ไม่มีความแค้น” เถี่ยเฉิงหลิ่วพยักหน้า

“ก่อนหน้าวันนี้ พวกเราก็ยังไม่เคยพูดจากันสักประโยคเสียด้วยซ้ำ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดต่อ

“ใช่” เถี่ยเฉิงหลิ่วกล่าว

บนเรือใหญ่ ตงป๋อเสวี่ยอิงมีเสน่ห์เพิ่มพูนขึ้นเป็นอันมากด้วยวิธีการของวิถีเขตลวงโลกเทียม มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ไม่มีความรู้สึกดีต่อตงป๋อเสวี่ยอิง ผู้ที่รำคาญตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างแท้จริงมีเพียงเถี่ยเฉิงหลิ่วผู้นี้เท่านั้น ในเมื่ออีกฝ่ายรำคาญตนเอง ตอนนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไม่ได้คิดจะไปสืบสาวราวเรื่อง และคร้านจะไปพูดให้มากความด้วย

“ก่อนหน้านี้เจ้าก็ไม่เคยพูดกับพี่หิมะเหินสักประโยคเดียว เจ้ายังคิดจะสังหารเขาให้ตายอย๋างนั้นหรือ”จ้าวภูเขาค้างคาวปริปากออกมาอย่างอดมิได้

“นั่นน่ะสิ ข้าเองก็อยากรู้มาก” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูเถี่ยเฉิงหลิ่ว “เพราะเรื่องของศิษย์น้องหญิงเจ้าอย่างนั้นหรือ”

เมื่อเถี่ยเฉิงหลิ่วได้ยินคำว่า ‘ศิษย์น้องหญิง’ นั้น สีหน้าไม่น่ามองขึ้นมาทันใด สายตาก็กลายเป็นคลุ้มคลั่งขึ้นมา เขายิ้มเย็นชาพลางมองตงป๋อเสวี่ยอิง “จ้าวเทพหิมะเหินนี่ช่างข่าวสารฉับไวจริงๆ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

หลังค้นดูความทรงจำแล้วเขาจึงล่วงรู้ว่า ก่อนหน้านี้เมืองจวิ้นซานแห่งนี้ก็เคยมีผู้เหินทะยานมาก่อน ทั้งยังมาพร้อมกันสามคนอีกด้วย! บุรุษผู้หนึ่งพาฮูหยินมาสองคน ชายหนึ่งหญิงสองล้วนแต่เป็นผู้เหินทะยานทั้งสิ้น ผู้เหินทะยานชายคนนี้มีนามว่า ‘จ้าวเทพตงฟาง’ ฮูหยินทั้งสองล้วนมีรูปโฉมงดงามเช่นเดียวกัน หลังจากพวกเขามาถึงเมืองจวิ้นซานแล้ว ก็รอเป็นระยะเวลาค่อนข้างนาน

ตอนนั้น ‘จ้าวเทพเซียวซวง’ ศิษย์น้องหญิงของเถี่ยเฉิงหลิ่ว เคยถูก ‘จ้าวเทพตงฟาง’ ช่วยชีวิตเอาไว้ ทั้งสองถึงขั้นมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกันมากขึ้นเรื่อยๆ ท้ายที่สุดจ้าวเทพตงฟางก็รับจ้าวเทพเซียวซวงเป็นภรรยาอย่างเปิดเผย

จ้าวเทพเซียวซวงเป็นจ้าวเทพช่วงต้น

ส่วน ‘เถี่ยเฉิงหลิ่ว’ ซึ่งเป็นศิษย์พี่นั้นเป็นแม่ทัพเทพระดับยอดซึ่งอ่อนแอกว่าอยู่ขุมหนึ่ง! เถี่ยเฉิงหลิ่วมีใจปฏิพัทธ์ต่อศิษย์น้องหญิงมาตลอด เสียดายก็แต่ว่าศิษย์น้องหญิงของเขาไม่เคยเห็นเขาอยู่ในสายตามาก่อน

หลังจากจ้าวเทพตงฟางรับ ‘จ้าวเทพเซียวซวง’ เป็นภรรยาแล้ว เถี่ยเฉิงหลิ่วก็มีความแค้นแน่นเต็มอก และยังทุ่มเทสมบัติล้ำค่าจนสิ้นเพื่อซื้อหายาพิษ หมายจะสังหารจ้าวเทพตงฟาง! จ้าวเทพตงฟางได้รับบาดเจ็บด้วยเหตุนี้…ทว่าเพราะเห็นแก่หน้าของฮูหยินจ้าวเทพเซียวซวงจึงมิได้สังหารเถี่ยเฉิงหลิ่ว หากแต่ผนึกกำลังของเถี่ยเฉิงหลิ่วเอาไว้ แล้วแขวนไว้บนเสาของโรงสุราแห่งหนึ่งภายในเมืองจวิ้นซาน แขวนเอาไว้ถึงสามวันเต็มๆ ระหว่างนั้น ก็ไม่มีผู้ใดกล้าไปปล่อยเถี่ยเฉิงหลิ่วลงมาเลย

“นางเป็นศิษย์น้องหญิงของข้า!” เถี่ยเฉิงหลิ่วพูดพลางขบกรามกรอด “เป็นเพราะตอนนั้นท่านพ่อข้ารับนางเอาไว้ แล้วชี้แนะการบำเพ็ญให้นาง นางจึงมีทุกวันนี้ได้ เดิมทีนางควรจะเป็นของข้า จ้าวเทพตงฟางผู้นั้นหน้าด้านไร้ยางอาย มาแย่งภรรยาข้าไป”

“นางมิใช่ภรรยาเจ้าเสียหน่อย จ้าวเทพเซียวซวงไม่เคยเห็นเจ้าอยู่ในสายตาเลย” จ้าวภูเขาค้างคาวยิ้มหยัน

“หากมิใช่เพราะท่านพ่อข้า นางจะมีวันนี้ได้หรือ” เถี่ยเฉิงหลิ่วดวงตาแดงก่ำขึ้นมา “ท่านพ่อข้าสิ้นใจไปท่ามกลางความรกร้าง นางก็ลืมบุญคุณเสียอย่างนั้น”

“จ้าวเทพเซียวซวงมิได้ลืมบุญคุณเสียหน่อย ช่วยเหลือเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า จ้าวเทพตงฟางก็ทำดีกับเจ้ามาก ปล่อยให้เจ้าวางยาพิษได้สำเร็จ” จ้าวภูเขาค้างคาวยิ้มตาหยี “ท้ายที่สุด จ้าวเทพตงฟางก็ยังใจอ่อน เหลือทางรอดไว้ให้เจ้าอีก”

“ทางรอดอันใดกัน ไอ้คนหน้าด้านไร้ยางอายนี่…” เถี่ยเฉิงหลิ่วยิ่งคลุ้มคลั่งมากขึ้น

“เกี่ยวข้องกับข้าด้วยหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพลันโพล่งขึ้นมา

เถี่ยเฉิงหลิ่วจ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิง “เจ้ากับเขาเป็นผู้เหินทะยานเหมือนกัน!”

ตงป๋อเสวี่ยอิงจนคำพูด

เขาคิดไปคิดมา ก่อนหน้านี้อาจจะเป็นเพราะสาเหตุนี้ แต่เหตุผลนี้ก็ออกจะเกินเหตุไปแล้ว

เถี่ยเฉิงหลิ่วผู้นี้เกลียดชังผู้เหินทะยาน ‘จ้าวเทพตงฟาง’ จึงมาพาลโกรธตนอย่างนั้นหรือ

“ผู้เหินทะยานอย่างพวกเจ้า ถนัดด้านการล่อลวงผู้หญิงเป็นที่สุด ตอนนั้นบรรดาสาวใช้บนเรือใหญ่ไปจนถึงคุณหนูสาม แต่ละคนล้วนกระตือรือร้นเสียเหลือเกิน” เถี่ยเฉิงหลิ่วพูดพลางขบกรามกรอด

“เป็นคนเสียสติจริงๆ ด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า เมื่อรู้สาเหตุที่อีกฝ่ายอยากให้ตนตายอย่างแน่ชัดแล้ว เขาก็ไม่สนใจจะฟังอีกต่อไป จากนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า “จ้าวภูเขาค้างคาว มอบโทษตายให้เขาเสียเถิด”

“ดี” จ้าวภูเขาค้างคาวฟังแล้วก็รับคำทันที

เขายังคิดว่า จ้าวเทพหิมะเหินผู้นี้จะเหมือนกับผู้เหินทะยาน ‘จ้าวเทพตงฟาง’ ก่อนหน้านี้ที่เมตตาเหลือทางรอดชีวิตให้แก่เถี่ยเฉิงหลิ่วเสียอีก

“มอบโทษตายหรือ” เถี่ยเฉิงหลิ่วยิ่งคลุ้มคลั่งมากขึ้นไปอีก ยังคิดจะพูดอะไรบางอย่าง

“ปัง”

จ้าวภูเขาค้างคาวเพียงแค่มองแวบหนึ่ง ความเหน็บหนาวอันไร้ที่สิ้นสุดก็รวมตัวกันขึ้นจากความว่างเปล่าแล้วทำให้เถี่ยเฉิงหลิ่วจับตัวแข็งเป็นน้ำแข็งก้อนโตสูงจั้งกว่าๆ จากนั้นก้อนน้ำแข็งก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ทันที เถี่ยเฉิงหลิ่วจึงถูกทำให้เยือกแข็งและแตกทำลายไปเช่นนี้เอง

หากพูดถึงสถานะแล้ว

จ้าวภูเขาค้างคาวอยู่ในเมืองจวิ้นซานก็มีสถานะสูงส่ง แม้แต่พวกนายน้อยอวี้เฟิงเหลยก็ยังต้องเกรงอกเกรงใจและรักษามารยาทเลย

แต่ ‘เถี่ยเฉิงหลิ่ว’ ผู้นี้เป็นเพียงคนระดับล่างทั่วไปเท่านั้น มิใช่คนสกุลอวี้เฟิงด้วย! ตอนที่ท่านพ่อของเขายังมีชีวิตอยู่ก็ยังดีหน่อย บัดนี้ท่านพ่อเขาสิ้นใจไปแล้ว ศิษย์น้องหญิง ‘จ้าวเทพเซียวซวง’ ก็ติดตามพวกจ้าวเทพตงฟางและจากไปพร้อมกันแล้ว จ้าวภูเขาค้างคาวก็ย่อมไม่มีอะไรให้เกรงกลัว

เรื่องของเถี่ยเฉิงหลิ่วทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดอะไรไม่ออกเป็นอันมาก

“จ้าวเทพตงฟางผู้นั้นมิได้สังหารเขา แต่เขาก็ยังรนหาที่ตายเองอีก” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า ส่วนภูเขาค้างคาว แม้เขาจะมิได้รู้สึกดีกับจ้าวภูเขาค้างคาวผู้นี้ก็ตาม! แต่ข้อแรก เขาสังหารจ้าวเทพของภูเขาค้างคาวไปถึงสามคนด้วยกัน ส่วนตนเองก็มิได้เสียหายอันใดเลย ข้อสอง เขาไม่อยากเปิดเผยกระบวนท่าทางด้านวิญญาณอันน่าหวาดหวั่นของตนออกมาเพราะจ้าวภูเขาค้างคาวผู้นี้ นอกจากนี้จ้าวภูเขาค้างคาวก็กระตือรือร้นมากอย่างแท้จริง และยัง ‘ไม่เห็นแก่หน้า’ ใช้ได้อีกด้วย จึงได้พูดเสียงต่ำว่าจะระบายโทสะเพื่อชดใช้ ตนก็สามารถคลี่คลายเรื่องนี้ไปได้แล้ว

*******

ณ จวนหลังใหม่ของตงป๋อเสวี่ยอิงในเมืองจวิ้นซาน

เนื่องจากการสำแดงพลังออกมา ครั้งนี้นายน้อยอวี้เฟิงเหลยจึงแตกต่างออกไปแล้ว เขามอบจวนอันหรูหราแห่งหนึ่งซึ่งกินพื้นที่กว่าร้อยลี้ให้ ทั้งยังมอบบ่าวรับใช้และสาวใช้กลุ่มใหญ่ให้คอยปรนนิบัติด้วย สำหรับนายน้อยอวี้เฟิงเหลยแล้ว หากในภายหน้าเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่ หากสามารถเกี่ยวโยงกับยอดฝีมือหน้าใหม่ผู้นี้ได้ ก็ต้องพยายามข้องเกี่ยวให้เต็มที่ ขอเพียงเป็นผู้ที่รู้จักตอบแทนบุญคุณ ก็จะยิ่งได้รับผลประโยชน์มากขึ้น ถึงตอนนั้น เมื่อถึงคราวต้านทานศัตรูจากภายนอกก็จะยิ่งตั้งใจสกัดกั้นมากขึ้นไปอีก

วันคืนต่อจากนี้ ก็สงบขึ้นแล้ว

นอกจากจะมีจ้าวเทพมาเยี่ยมเยียนอย่างต่อเนื่อง และมี ‘อวี้เฟิงชิงอิน’ ศิษย์ผู้นี้มาเยี่ยมเยียนและขอให้ชี้แนะแล้ว ตัวตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็สงบจิตบำเพ็ญโดยตลอด เพื่อรับรู้กฎเกณฑ์วิถีอากาศของโลกใบนี้

……………………………..

ยามนี้ในใจของอวี้เฟิงชิงอินรู้สึกซับซ้อนไปหมด เดิมที นางแค่ช่วยเหลือตงป๋อเสวี่ยอิงจากความรกร้างเพียงเพราะนิสัยใจดีของนางเท่านั้น และยังรู้สึกเคารพในตัวสิ่งมีชีวิตที่กล้าหาญบุกฝ่าความรกร้างเพียงลำพังด้วย

ต่อมาเมื่อได้รู้ว่าเป็น ‘ผู้เหินทะยาน’ นางก็ยิ่งสนใจใคร่รู้ในตัว ตงป๋อเสวี่ยอิงมากขึ้นไปอีก

บวกกับ…

ตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึงโลกใบนี้เป็นครั้งแรกโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่ คิดจะเข้ากับโลกใบนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด ดังนั้นจึงลอบสำแดงวิธีการของวิถีเขตลวงโลกเทียมออกมา แม้จะมิได้สำแดงออกมาตามอำเภอใจ แต่ก็ได้เพิ่ม ‘เสน่ห์’ ให้กับเขาเป็นอย่างมาก บนเรือลำใหญ่ในตอนแรกนั้น คนส่วนมากมีความรู้สึกดีอย่างยิ่งต่อตงป๋อเสวี่ยอิง จะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ไม่ชอบตงป๋อเสวี่ยอิง อย่างเช่น ‘เถี่ยเฉิงหลิ่ว’

ส่วน ‘อวี้เฟิงชิงอิน’ ที่ได้รับผลกระทบจากวิถีเขตลวงโลกเทียม กลับรู้สึกดียิ่งต่อตงป๋อเสวี่ยอิง! ถึงขั้นเชื้อเชิญให้ตงป๋อเสวี่ยอิงรับหน้าที่เป็นปรมาจารย์ด้านการบำเพ็ญด้วยตนเอง

“คิดไม่ถึงว่าเขาจะเก่งกาจถึงเพียงนี้” อวี้เฟิงชิงอินลอบพึมพำ

“จ้าวเทพหิมะเหิน” อวี้เฟิงเหลยพูดพลางหัวเราะเสียงดังกังวาน

ฟิ้วๆ

ตงป๋อเสวี่ยอิงและจ้าวภูเขาค้างคาวทะยานออกจากเวทีการต่อสู้ มาถึงช้างกายอวี้เฟิงเหลย

“คุณชายใหญ่” ตงป๋อเสวี่ยอิงและจ้าวภูเขาค้างคาวโค้งคารวะเล็กน้อย

“จ้าวเทพหิมะเหิน นี่คือความไม่ถูกต้องของเจ้า ก่อนหน้านี้เจ้าถ่อมเนื้อถ่อมตัวถึงเพียงนั้น ไหนเลยจะไปคิดว่าพลังยังแข็งแกร่งกว่าจ้าวภูเขาค้างคาวอยู่ขุมหนึ่ง” อวี้เฟิงเหลยหัวเราะพลางมองตงป๋อเสวี่ยอิง

“จะว่าไปแล้วก็ยังต้องขอบคุณคุณชายใหญ่ ขอบคุณคุณหนูสาม” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว

“ขอบคุณข้าหรือ” อวี้เฟิงเหลยตกตะลึง อวี้เฟิงชิงอินที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็สะดุ้ง ปากอ้าค้างเล็กน้อย

ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ ต่อไป “อันที่จริงก่อนหน้านี้พลังของข้าเมื่อเทียบกับจ้าวภูเขาค้างคาวแล้ว เกรงว่าคงจะตกเป็นรองกว่าอยู่เล็กน้อย แต่เพราะคุณชายใหญ่และคุณหนูสาม ข้าจึงได้กลายเป็นปรมาจารย์ด้านการบำเพ็ญและสามารถแลกเปลี่ยนเอาคัมภีร์การบำเพ็ญกลยุทธ์กระบี่แยกนภากาศมาจากในหอสะสมคัมภีร์ได้ หลังจากข้าดูคัมภีร์เล่มนี้แล้ว ได้รับการกระตุ้นก็คิดค้นท่าไม้ตายใหม่ขึ้นมาได้ จึงเหนือกว่าจ้าวภูเขาค้างคาวอยู่ขุมหนึ่งก็เท่านั้นเอง”

“อะไรนะ” จ้าวภูเขาค้างคาวที่อยู่อีกข้างหนึ่งตกตะลึง อ่านคัมภีร์ในหอสะสมคัมภีร์ จึงคิดค้นท่าไม้ตายใหม่ขึ้นมาได้ หรือกล่าวได้ว่า ก่อนหน้าที่จะเข้าไปยังหอสะสมคัมภีร์ จ้าวเทพหิมะเหินยังอ่อนแอกว่าเขาอยู่เล็กน้อยอย่างนั้นหรือ

ก็เพราะระมัดระวังเกินไป

เขาจึงพ่ายแพ้ใน ‘การประลองหยั่งเชิง’ ที่ไม่มีอันตรายถึงชีวิตภายในสกุลอวี้เฟิงอย่างนั้นหรือ

“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ต่อให้ลงมือเร็วกว่านี้ ข้าก็มิอาจทำลายเขาได้แม้แต่น้อย” จ้าวภูเขาค้างคาวลอบปลอบใจตนเอง

ตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่อีกข้างหนึ่งพูดกับอวี้เฟิงเหลยและอวี้เฟิงชิงอินต่อไปว่า “ดังนั้นข้าจึงกล่าวว่า ต้องขอบคุณคุณชายใหญ่และคุณหนูสาม! โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณหนูสามที่ช่วยข้าตอนบาดเจ็บสาหัสและอ่อนแอที่สุด”

“ฮ่าฮ่า นี่เป็นวาสนาทั้งนั้น” อวี้เฟิงเหลยพูดยิ้มๆ “เช่นนี้ วันนี้ข้าจะจัดงานเลี้ยงขึ้นในวังภูเขาลอย จ้าวเทพหิมะเหิน จ้าวภูเขาค้างคาว จ้าวเทพเจียนอิ่นและทุกท่าน มากันให้หมดล่ะ! มาเฉลิมฉลองที่เมืองจวิ้นซานของเรามียอดฝีมืออย่างจ้าวเทพหิมะเหินเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่ง”

……

กลางฟากฟ้าเหนือเมืองจวิ้นซาน มียอดเขาที่ลอยคว้างอยู่สามแห่ง เดิมทีเป็นจุดเชื่อมต่อของการหมุนเวียนค่ายกล

สกุลอวี้เฟิงสร้างวังอยู่ด้านบน กลายเป็นสถานที่เสพสุขซึ่งหรูหราที่สุดของทั้งเมืองจวิ้นซาน บัดนี้วังภูเขาลอยแห่งนี้ก็มียอดฝีมือมากมายรวมตัวกัน ยอดฝีมือระดับจ้าวเทพกลุ่มใหญ่มาที่นี่ก็เพื่อผูกสัมพันธ์กับ ‘จ้าวเทพหิมะเหิน’ ที่สามารถกดดันจ้าวภูเขาค้างคาวได้

“จ้าวเทพหิมะเหิน ข้าน้อยชวนชิ่งเป็นทหารตัวเล็กๆ ของกองกำลังเพลิงพิสดารที่ประจำการอยู่ในเมืองจวิ้นซาน” ชายชราผมเงินคนหนึ่งพูดยิ้มๆ

“ที่แท้แล้วเป็นจ้าวเทพชวนชิ่งแห่งกองกำลังเพลิงพิสดารนี่เอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึงก่อนจะขานรับ

หลังจากค้นดูความทรงจำแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เข้าใจขุมอำนาจฝ่ายต่างๆ ของเมืองจวิ้นซานดีเหมือนกับผู้แกร่งกล้าท้องถิ่นคนหนึ่งเลยทีเดียว ‘กองกำลังเพลิงพิสดาร’ นี้เป็นตัวแทนของ ‘ตระกูลจินเซิ่ง’ ซึ่งเป็นหนึ่งในสามตระกูลราชันย์ซึ่งมีสถานะไม่ธรรมดาที่สุดของทั้งโลกเทพ แม้สามตระกูลราชันย์จะสูงส่งเหนือใคร ไม่ร่วมการแก่งแย่งชิงดีกับขุมอำนาจทั้งหลายในใต้หล้าก็ตามที

แต่พวกเขาก็ยังคง ส่งผลกระทบต่อใต้หล้าผ่านวิธีการต่างๆ อยู่ดี

เช่นเมืองใหญ่แทบจะทุกแห่งของ ‘ตระกูลจิตฟ้า’ ล้วนมี ‘หอจิตฟ้า’ อยู่แห่งหนึ่ง และ ‘ประมุขหอสิง’ ซึ่งเป็นยอดฝีมือที่จัดอยู่ในสิบอันดับแรกผู้มีชื่อเสียงโด่งดังของเมืองจวิ้นซานก็คือประมุขของหอจิตฟ้าแห่งเมืองจวิ้นซาน

หรืออย่าง ‘ตระกูลจินเซิ่ง’ ก็มีกองกำลังย่อยของกองกำลังเพลิงพิสดารอยู่แทบจะในทุกเมืองใหญ่ โดยทั่วไปมีเพียงห้าคนเท่านั้น พลังน้อยนิดเท่านี้ก็ย่อมมิอาจส่งผลกระทบต่อการห้ำหั่นช่วงชิงกันของขุมอำนาจใหญ่ได้ แต่ก็ทำให้ตระกูลจินเซิ่งเข้าใจทุกหนแห่งในใต้หล้านี้ได้ละเอียดยิบหาใดเปรียบ

“จ้าวเทพหิมะเหิน การประลองหยั่งเชิงของท่านกับจ้าวภูเขาค้างคาวรวดเร็วยิ่งนักเกินไปแล้ว ข้าเร่งไปชมการต่อสู้ไม่ทันเลย พวกท่านก็ยุติลงแล้ว” ประมุขหอสิงก็เข้ามาพูดกับตงป๋อเสวี่ยอิงสองสามประโยค

คนแล้วคนเล่ามาพูดคุยผูกสัมพันธ์ด้วย

ผู้ที่กล้าเข้ามาหาเอง อย่างน้อยก็ต้องเป็นจ้าวเทพคนหนึ่ง

เห็นได้ชัดว่า ทุกคนล้วนรู้ว่ายอดฝีมือตัวฉกาจเช่นนี้คนหนึ่งจะต้องส่งผลกระทบต่อการแก่งแย่งของขุมอำนาจต่างๆ ภายในเมืองจวิ้นซานอย่างแน่นอน ในโลกเทพ การ‘เคลื่อนที่ในพริบตา’ ได้กลายเป็นตำนานอย่างหนึ่งไปเสียแล้ว! หากเมืองใหญ่สองแห่งทำศึกกัน ก็ต้องโดยสารเรือลำใหญ่บินร่อนออกไปไกลลิบ ไปถึงเมืองใหญ่อีกแห่งหนึ่ง จากนั้นก็ค่อยโจมตี! ลำพังแค่การเหินทะยานไปก็ยังต้องใช้เวลาเนิ่นนาน ทั้งยังทะลุผ่านความรกร้างอีกด้วย

ดังนั้นจึงหาได้ยากมากที่เมืองใหญ่ต่างๆ จะเปิดศึกกันเอง

เมืองใหญ่แห่งหนึ่งก็เหมือนกับรัฐของฟากฝั่งหนึ่งเลยทีเดียว! อย่างประมุขหอสิงและพวกจ้าวเทพชวนชิ่ง แม้เบื้องหลังต่างมีตระกูลราชันย์อยู่ แต่พวกเขาก็หยั่งรากลึกอยู่ในเมืองจวิ้นซานมาตั้งนานแล้ว

“จ้าวเทพหิมะเหิน” อวี้เฟิงชิงอินเดินเข้ามาเอง เมื่อเดินมาถึงข้างกายตงป๋อเสวี่ยอิงจึงนั่งลง ด้านข้างก็มีบ่าวรับใช้ช่วยรินสุราชั้นเลิศให้ทันที

“คุณหนูสาม” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยรอยยิ้มออกมา ทั้งเมืองจวิ้นซาน ผู้ที่เขารู้สึกดีด้วยที่สุดก็คือคุณหนูสามผู้นี้นั่นเอง

“จ้าวเทพหิมะเหิน วันนี้ช่างโดดเด่นจริงๆ จ้าวเทพฝ่ายต่างๆ ล้วนปฏิบัติต่อท่านอย่างกระตือรือร้นเช่นนี้ แม้แต่พี่ใหญ่ของข้าก็ยังมอบจวน มอบบ่าวรับใช้ให้ท่าน” อวี้เฟิงชิงอินกล่าว น้ำเสียงกลับหดหู่อยู่บ้าง

ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้ง

น้ำเสียงนี้ไม่ถูกต้องเอาเสียเลย เขาทำได้เพียงยิ้มรับเท่านั้น “หากไม่มีคุณหนูสามช่วยข้ามาที่นี่ บางทีข้าอาจจะยังต้องหนีเอาชีวิตรอดอยู่ท่ามกลางความรกร้างก็ได้”

“ด้วยความสามารถของจ้าวเทพหิมะเหินแล้ว จะต้องพ้นช่วงอันตรายมาได้อย่างแน่นอน เกรงว่าคงจะสามารถไปถึงเมืองใหญ่ที่อยู่ใกล้ที่สุดได้” อวี้เฟิงชิงอินแค่นเสียงเฮอะเบาๆ คราหนึ่ง “ท่านทราบไหมว่า ครั้งก่อนที่ข้าโดยสารเรือใหญ่ออกจากเมืองจวิ้นซานไป ก็เพราะคิดจะไปคารวะเจ้าสำนักรุ่งอรุณเป็นอาจารย์”

“ไม่ทราบเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบร่ำร้องในใจ ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรกันว่าเจ้าจะไปคารวะอาจารย์น่ะ

สายตาของอวี้เฟิงชิงอินล่องลอย พลางพูดเสียงเบาว่า “น่าเสียดายที่เจ้าสำนักรุ่งอรุณ ไม่ยอมรับข้าเป็นศิษย์ ก็ถูกต้องแล้ว ข้ายังมิได้บรรลุถึงขั้นจ้าวเทพเลย ทั้งยังมีปัญหายุ่งยากอยู่เป็นกองอีกด้วย เจ้าสำนักรุ่งอรุณ ไหนเลยจะยอมรับข้าเป็นศิษย์ได้”

ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังอยู่ข้างๆ โดยมิได้สอดปากพูด

“อีกไม่นานเท่าใดนัก ข้าก็จะไปยังเมืองไม้บูรพา หรือไม่ก็…” เสียงของอวี้เฟิงชิงอินต่ำลง ไม่ว่าผลจะเป็นเช่นไร ไม่ว่าจะต้องตกเป็นของเล่นของคุณชายเก้าเมืองไม้บูรพา หรือว่าเมืองไม้บูรพาจะไม่ยอมช่วยเหลือ หากสกุลอวี้เฟิงเผชิญหน้ากับหายนะจนจวนตัว เกรงว่านาง อวี้เฟิงชิงอินก็คงคารวะอาจารย์ไม่สำเร็จ

“จ้าวเทพหิมะเหิน” อวี้เฟิงชิงอินกล่าว

“หืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้ง

“ท่านเป็นอาจารย์ของข้าได้หรือไม่” อวี้เฟิงชิงอินพลันปริปากออกมา

“เป็นอาจารย์ของท่านหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึง “สายเลือดที่คุณหนูสามบำเพ็ญเป็นจำพวกอากาศหรือไม่”

“ไม่ใช่” อวี้เฟิงชิงอินตอบ

“เช่นนั้นสิ่งที่ข้าสามารถชี้แนะได้ก็มีน้อยแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงจนใจ

“ข้าแค่ถามท่านว่า เป็นอาจารย์ของข้าได้หรือไม่” อวี้เฟิงชิงอินมองตงป๋อเสวี่ยอิง

“เดิมทีข้าก็เป็นปรมาจารย์ด้านการบำเพ็ญของสกุลอวี้เฟิอยู่แล้ว หากคุณหนูสามต้องการให้ข้าชี้แนะ แน่นอนว่าข้าย่อมสามารถชี้แนะได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว

“ข้าต้องการอาจารย์ที่แท้จริง” อวี้เฟิงชิงอินมองตงป๋อเสวี่ยอิง

ตงป๋อเสวี่ยอิงสัมผัสได้ว่าคุณหนูของตระกูลใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้คล้ายจะตกอยู่ท่ามกลางการครุ่นคิดบางอย่าง แต่จะรับศิษย์น่ะหรือ ตงป๋อเสวี่ยอิงลังเลเล็กน้อยอยู่ครู่หนึ่ง แต่แล้วก็พยักหน้ายิ้มๆ ขึ้นมา “ได้ ข้าจะรับคุณหนูสามเป็นศิษย์ก็ได้”

ตนติดค้างน้ำใจคุณหนูสามอยู่ รับเป็นศิษย์ก็รับเป็นศิษย์

เดิมทีตนเป็นเพียงแขกที่ผ่านโลกใบนี้มาเท่านั้น ไม่เคยคิดจะรับศิษย์มาก่อน แต่ถึงอย่างไรก็ติดค้างน้ำใจคุณหนูสามผู้นี้อยู่ ต่อให้ไม่รับศิษย์ ในภายหน้าก็ต้องหาโอกาสตอบแทนน้ำใจครั้งนี้อยู่ดี

“ชิงอินคารวะท่านอาจารย์” อวี้เฟิงชิงอินยืดกายขึ้นทันที ก่อนจะโค้งคำนับอย่างเป็นทางการ

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รับการคารวะครั้งนี้

ส่วนสองพี่น้องอวี้เฟิงเหลยและอวี้เฟิงจิ่นที่อยู่ไกลออกไปก็มองดูฉากนี้อยู่เงียบๆ พวกเขารู้ดีว่าโอกาสรอดชีวิตเพียงหนึ่งเดียวของทั้ง ‘สกุลอวี้เฟิง’ ในตอนนี้อยู่ที่เมืองไม้บูรพา! แม้คุณชายเก้าเมืองไม้บูรพาจะมีชื่อเสียงกระฉ่อนไปทั่ว หากน้องสาวไปที่นั่น วันคืนก็คงจะค่อนข้างน่าเศร้า แต่ช่วยไม่ได้ จะต้องทำเพื่อความอยู่รอดของคนสกุลอวี้เฟิงจำนวนนับไม่ถ้วน

คารวะอาจารย์หรือ

จ้าวเทพหิมะเหินผู้นี้ก็เป็นยอดฝีมือตัวฉกาจที่จัดอยู่ในอันดับต้นๆ ของเมืองจวิ้นซาน คุณหนูสามสกุลอวี้เฟิงคารวะยอดฝีมือระดับนี้เป็นอาจารย์ก็ไม่นับว่าเสียหน้าอะไร

“คนเหล่านี้ จะร่วมเป็นร่วมตายกับสกุลอวี้เฟิงของเราจริงๆ สักกี่คนกันเชียว” อวี้เฟิงเหลยและอวี้เฟิงจิ่นมองดูเหล่ายอดฝีมือระดับจ้าวเทพภายในโถงตำหนักทั้งหลาย

ลูกหลานสกุลอวี้เฟิงเกิดมาล้วนมีตรา ‘สกุลอวี้เฟิง’ ประทับอยู่

แต่ก็ยังมียอดฝีมือมากมายที่อาจจะช่วยสกุลอวี้เฟิงสกัดกั้นศัตรูจากภายนอกในตอนเริ่มแรก แต่หากต้านทานไม่ไหวจนเมืองแตกขึ้นมาแล้ว เกรงว่ายอดฝีมือเหล่านั้นก็คงจะเก็บไม้เก็บมือแล้วคอยชมอยู่ข้างๆ อย่างรวดเร็ว ‘ประมุขสมาคมจิตมาร’ จะปกครองเมืองนี้ ก็เพื่อที่จะเก็บเอายอดฝีมือกลุ่มใหญ่นี้ไปด้วย สมาคมจิตมารก็ไม่อยากจะรับเมืองร้างแห่งหนึ่งไปอยู๋แล้ว ดังนั้นยอดฝีมือทั้งหลายเช่น ‘จ้าวภูเขาค้างคาว’ ‘ประมุขหอสิง’ และ ‘จ้าวเทพเจียนอิ่น’

ผู้ปกครองตัวเมืองอาจจะเปลี่ยนตัวได้!

แต่บรรดายอดฝีมือเหล่านี้ ส่วนใหญ่ล้วนสามารถยืนหยัดได้โดยไม่ล้มลง!

……

หลังจากอวี้เฟิงชิงอินคารวะอาจารย์แล้วก็เหมือนจะเบิกบานใจขึ้นมาก นางพูดอะไรกับตงป๋อเสวี่ยอิงมากมาย ตงป๋อเสวี่ยอิงก็คอยฟังเป็นเพื่อน

ในที่สุด งานเฉลิมฉลองครั้งนี้ก็ยุติลง

ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังจะจากไปด้วยแล้ว จ้าวภูเขาค้างคาวกลับมาถึงข้างกายตงป๋อเสวี่ยอิง ยิ้มตาหยีพลางลอบถ่ายเสียงพูดว่า “พี่หิมะเหิน ก่อนหน้านี้ข้าภูเขาค้างคาวขัดแย้งกับท่านเล็กน้อย อันที่จริงแล้วก็เพราะเจ้าหนูคนหนึ่งที่มีชื่อว่าเถี่ยเฉิงหลิ่ว”

“เถี่ยเฉิงหลิ่วหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าน้อยๆ เขารู้ความจริงตั้งแต่พลิกดูความทรงจำแล้ว และรู้ว่าเป็นทหารคุ้มกันบนเรือใหญ่ที่เมื่อตนปลดปล่อย ‘เสน่ห์’ ออกมาเล็กน้อยก็ยังคงรังเกียจตนผู้นั้นนั่นเอง

“ข้าอยากจะถามพี่หิมะเหินหน่อยว่า ควรจะจัดการเถี่ยเฉิงหลิ่วผู้นั้นอย่างไรดี เดิมทีข้าคิดว่าจะสังหารเขาตรงๆ เสียเลย แต่ก็อยากจะถามความคิดของพี่หิมะเหินเสียก่อน” จ้าวภูเขาค้างคาวถ่ายเสียงพูด

………………………………………

บอกว่าการต่อสู้ปะทุขึ้นก็ปะทุขึ้นเสียแล้ว

นี่ทำให้ผู้ชมที่นั่งดูอยู่ในบริเวณรอบๆ เวทีประลองจำนวนมากแต่ละคนชมดูอย่างใจจดใจจ่อ แม้กระทั่งผู้ที่หยิ่งยโสอย่างอวี้เฟิงเหลย และจ้าวเทพเจียนอิ่นก็ยังดูอย่างละเอียด เพราะว่าจ้าวภูเขาค้างคาวก็นับได้ว่ามีพลังยุทธ์เทียบเคียงกับพวกเขา

“ฟิ้ว!”

ไอยะเยือกอันน่าหวาดหวั่นเคลื่อนเข้ามาอย่างไร้ซึ่งสัญญาณเตือนใดๆ แม้แต่น้อย แล้วตรงเข้าห่อหุ้มตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ แล้วเยือกแข็งกลายเป็นภูเขาน้ำแข็งสูงสิบกว่าจั้งแห่งหนึ่ง!

“ติดกับเสียแล้วหรือ”

“แล้วก็มิได้ทลายเปิดออกมาด้วยหรือ”

อวี้เฟิงเหลยและอวี้เฟิงจิ่นสองพี่น้องต่างก็ตกตะลึงอยู่บ้าง อวี้เฟิงชิงอินตื่นเต้นขึ้นมา ผู้ใดในเมืองจวิ้นซานจะไม่รู้บ้างเล่า ว่าไอยะเยือกหนาวเหน็บที่ ‘จ้าวภูเขาค้างคาว’ ควบคุมนั้นน่าหวาดหวั่นเพียงใด อีกทั้งยังสามารถทำให้ภูเขาสูงในรัศมีพันลี้เยือกแข็งกลายเป็นผุยผงได้ภายในความนึกคิดเดียวอีกด้วย! กรวดหินดินทรายก้อนใดๆ ของโลกเทพต่างก็ไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง ทิวเขาอาณาบริเวณนับพันลี้… แม้กระทั่งเทพจักรวาลต้องการจะมาทำลายก็ยังต้องสิ้นเปลืองเวลาเนิ่นนาน ความนึกคิดเดียวของจ้าวภูเขาค้างคาวก็สามารถทำให้เยือกแข็งกลายเป็นผุยผงได้แล้ว ก็สามารถเห็นถึงพลังคุกคามได้

ตอนนี้ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงเยือกแข็ง แต่เป็นเพียงแค่ภูเขาน้ำแข็งสูงสิบกว่าจั้งเท่านั้น นี่ก็คือจ้าวภูเขาค้างคาวบีบอัดพลานุภาพจนถึงขีดสุดแล้ว!

“มีพลานุภาพแค่นี้เองน่ะหรือ” น้ำเสียงสายหนึ่งดังขึ้น เห็นเพียงแค่เงาร่างที่รวมตัวอยู่ภายในภูเขาน้ำแข็งสูงสิบกว่าจั้งนั้นกลับก้าวเดินออกมาอย่างน่าประหลาดใจ ภูเขาน้ำแข็งก็มิได้เสียหายเลยแม้แต่น้อย

ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินออกมาแล้วอมยิ้มมองจ้าวภูเขาค้างคาว “จ้าวภูเขาค้างคาว อย่าได้แสดงเคล็ดวิชาอันกระจ้อยร่อยเช่นนี้อีกเลย ให้ข้าชมดูมังกรค้างคาวของท่านดีกว่า”

เขามีความมั่นใจทางด้านห้วงอากาศของโลกแห่งนี้อยู่บ้างแล้ว อย่างน้อยร่างกายก็กลายเป็นอากาศธาตุโดยสมบูรณ์แบบได้อย่างผ่อนคลายยิ่ง

กลายเป็นอากาศธาตุโดยสมบูรณ์แบบ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับแก่นห้วงอากาศ!

ภูเขาน้ำแข็งจะสามารถหยุดยั้งห้วงอากาศได้อย่างไรกัน

ถึงแม้ว่าพลังกัดกร่อนของพลังน้ำแข็งนั้นจะแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง แต่ผ่านการกลายเป็นอากาศธาตุทำให้อ่อนแอลง ด้วยการฝึกกายคละถิ่นของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ย่อมต้านทานเอาไว้ได้อย่างสบายๆ อยู่แล้ว

“ชมดูมังกรค้างคาวของข้าอย่างนั้นหรือ คงมิได้ง่ายดายถึงเพียงนั้นกระมัง” จ้าวภูเขาค้างคาวยิ้มเย็น

ตูม!

ภูเขาน้ำแข็งระเบิดออก

เห็นเพียงแค่กลางอากาศมีกระสวยน้ำแข็งสามร้อยอันรวมตัวกันออกมา กระสวยน้ำแข็งทุกอันต่างก็มีเส้นด้ายสีดำกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าพันเกี่ยวอยู่ ดูอย่างละเอียด เส้นด้ายสีดำนั้นในความเป็นจริงแล้วประกอบขึ้นจากลวดลายลับจำนวนนับไม่ถ้วน ตอนที่กระสวยน้ำแข็งเหล่านี้เพิ่งรวมตัวกันขึ้นมา แต่ละอันก็แปรเป็นลำแสงสังหารไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง

ตงป๋อเสวี่ยอิงแปลงร่างเป็นเส้นด้ายละเอียดเส้นหนึ่งในทันใด

พรึ่บ!

อัตราเร็วในการเหินทะยานรวดเร็วเป็นที่สุด กระสวยน้ำแข็งเหล่านั้นถึงแม้ว่าแต่ละอันจะล้อมสังหารเข้ามา แต่เส้นด้ายละเอียดที่ตงป๋อเสวี่ยอิงแปลงกายนั้น ช่างละเอียดเหลือเกิน มันลอยเคลื่อนไปรอบๆ อย่างง่ายดายอยู่กลางอากาศ ถึงขนาดที่กระสวยน้ำแข็งอันแล้วอันเล่าไม่สามารถสัมผัสถูกเส้นด้ายละเอียดนี้ได้

“มิเสียทีที่เป็นผู้เหินทะยาน เคล็ดวิชาที่สำแดงช่างเร้นลับเหลือเกิน พลังของจ้าวภูเขาค้างคาวดูเหมือนว่าจะมีอิทธิพลแข็งแกร่งอย่างยิ่ง แต่กลับไม่สามารถกระทบถูกจ้าวเทพหิมะเหินผู้นี้ได้เลย” ผู้ที่ชมดูอยู่จำนวนมากตื่นตระหนกในใจ ลำพังแค่เคล็ดการเหาะเหินหลบหนีที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงอยู่ในขณะนี้ ก็ทำให้พวกเขาแต่ละคนตกตะลึงมากพออยู่แล้ว

“หืม”

จ้าวภูเขาค้างคาวยืนอยู่ไกลออกไป มองดูเส้นด้ายละเอียดที่อยู่ห่างออกไปสายนั้นเคลื่อนผ่านเป็นเส้นโค้งสายแล้วสายเล่า หลบเลี่ยงจากกระสวยน้ำแข็งทุกอันได้อย่างง่ายดาย ทั้งยังเคลื่อนตรงมาใกล้เขาอย่างรวดเร็ว นี่ทำให้จ้าวภูเขาค้างคาวสีหน้าแปรเปลี่ยนเสียแล้ว “ค่ายกลผลาญสังหารทำลายล้างนับร้อยของข้าถึงกับไร้ประโยชน์” นี่คือเคล็ดวิชาสังหารหมู่ที่เขาเชี่ยวชาญที่สุด พลังคุกคามของกระสวยน้ำแข็งทุกอันล้วนแข็งแกร่งเป็นที่สุด กวาดล้างออกไปตามอำเภอใจถึงสามร้อยอัน ก็สามารถกวาดล้างยอดฝีมือกลุ่มใหญ่ได้อย่างง่ายดาย

ถึงแม้ว่าจะเชี่ยวชาญการโจมตีหมู่ แต่ลำพังแค่จัดการกับศัตรูเพียงคนเดียว โดยทั่วไปแล้วก็มีผลลัพธ์อันน่าอัศจรรย์ เพียงแต่ว่าเคล็ดการหลบหลีกของจ้าวเทพหิมะเหินผู้นี้ร้ายกาจเกินไป ถึงกับสามารถหลบหลีกไปได้

“ปัง”

เส้นด้ายละเอียดเส้นนั้นแปลงกายเป็นเงาร่างมนุษย์สายหนึ่งในทันใด

ตงป๋อเสวี่ยอิงกุมหอกยาวเล่มหนึ่งเอาไว้ในมือแล้วพุ่งแทงตรงไปบนกระสวยน้ำแข็งอันหนึ่งที่อยู่ตรงหน้า ปลายหอกยาวและปลายกระสวยน้ำแข็งปะทะเข้าด้วยกัน ฟองห้วงอากาศห่อหุ้มกระสวยน้ำแข็งอันนี้เอาไว้แล้วหดตัวลงอย่างรวดเร็วจนกลายเป็น ‘จุดสีดำ’ ปลายหอกยาวแทงออกไปก็ทำให้กระสวยน้ำแข็งเล่มนี้แหลกสลายไปอย่างง่ายดายเสียแล้ว!

“กระสวยน้ำแข็งทุกเล่มล้วนมีพลังคุกคามระดับจ้าวเทพช่วงต้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงทำการคาดการณ์ออกมา “สามร้อยเล่มร่วมมือกันอย่างนั้นหรือ ถึงแม้ว่าทุกเล่มจะตรงไปตรงมาเกินไปสักหน่อย แต่จำนวนก็ชดเชยข้อบกพร่องนั้นได้ ไม่รู้ว่ามังกรค้างคาวที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขาจะมีพลังยุทธ์เช่นไร”

หลังจากที่เจตนาทดสอบพลังคุกคามของกระสวยน้ำแข็งแล้ว

ตงป๋อเสวี่ยอิงเงาร่างกะพริบวาบคราหนึ่งก็บุกไปถึงตรงหน้าจ้าวภูเขาค้างคาว หอกยาวแทงออกไปอย่างบ้าระห่ำราวกับภาพมายาเสียแล้ว

“โฮก…”

ศีรษะทรงสามเหลี่ยมนั้นของจ้าวภูเขาค้างคาวยังคงอัปลักษณ์เช่นเดิม เขาจ้องมองหอกยาวของตงป๋อเสวี่ยอิงที่แทงออกมาแล้วอ้าปากส่งเสียงคำรามออกมาในทันใด!

ยามที่คำราม ศีรษะทรงสามเหลี่ยมของเขาก็เริ่มบิดเบี้ยว มีแผ่นเกล็ดสีดำมากมายงอกขึ้นมา แปรเปลี่ยนเป็นศีรษะทรงสามเหลี่ยมที่มีแผ่นเกล็ดสีดำ ร่างกายของเขากลับแปรเปลี่ยนกลายเป็นร่างกายที่คดเคี้ยวซึ่งมีกรงเล็บแหลมคมคู่หนึ่ง

นี่คือสัตว์เหินทะยานเลื้อยคดเคี้ยวที่มีความยาวราวๆ ร้อยจั้ง ตลอดร่างปกคลุมด้วยแผ่นเกล็ดสีดำ… ‘มังกรค้างคาว’!

ในขณะที่คำราม มังกรค้างคาวก็พุ่งตรงเข้าใส่ตงป๋อเสวี่ยอิง

“ปัง!!!”

ปลายหอกยาวกับกรงเล็บข้างหนึ่งของมังกรค้างคาวปะทะเข้าด้วยกัน

ฟองห้วงอากาศขนาดมโหฬารปรากฏขึ้น ห่อหุ้มมังกรค้างคาวเอาไว้ทั้งตัว แล้วจะหดตัวเล็กลง! แต่แผ่นเกล็ดสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนบนผิวกายมังกรค้างคาวนั้นบนแผ่นเกล็ดสีดำทุกแผ่นล้วนมีลวดลายลับจำนวนนับไม่ถ้วนโคจรอยู่ แล้วประกอบกันเป็นชั้นเกราะป้องกันน้ำแข็งชั้นหนึ่งขึ้นมา

“ฉึก” ถึงแม้ว่าฟองห้วงอากาศที่หดเล็กลงจะระเบิดแตกออกในที่สุดภายใต้การแทงอย่างโหดเหี้ยมของตงป๋อเสวี่ยอิงในครั้งนี้ แต่ชั้นเกราะป้องกันน้ำแข็งบนผิวกายมังกรค้างคาวก็เพียงแค่แตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเท่านั้น ส่วนแผ่นเกล็ดของร่างกายกลับไม่เสียหายเลยแม้แต่น้อย

“ผู้เหินทะยาน จ้าวเทพช่วงกลางคนหนึ่งอย่างเจ้า มาช่วยข้าเกาให้หายคันหรืออย่างไร” มังกรค้างคาวตนนี้ส่งเสียงคำรามออกมา แต่หางกลับกลายเป็นภาพมายาฟาดฟันเข้าใส่ตงป๋อเสวี่ยอิง

……

ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงเคล็ดวิชา ควบคุมพละกำลังเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ อย่างเช่นเคล็ดวิชาที่ฟองห้วงอากาศหดตัวเล็กลงก็ดูคล้ายว่าจะมิได้มีพลานุภาพแผ่กระจายไปทั่วทุกทิศ! อย่างเช่นก่อนหน้านี้ที่ตงป๋อเสวี่ยอิงจัดการจ้าวเทพสามท่านที่มาลอบทำร้ายตน แม้กระทั่งกำแพงสวนของจวนที่ตนพำนักอยู่ก็ยังไม่ได้รับผลกระทบเลย!

จ้าวภูเขาค้างคาวนั้นถึงแม้ว่าการควบคุมพลังจะนับได้ว่าไม่เลว แต่ขณะนี้แปลงร่างเป็น ‘มังกรค้างคาว’ ถึงแม้ว่าจะแผ่พลานุภาพออกไปเพียงเล็กน้อยก็ยังทำให้บริเวณโดยรอบสั่นสะเทือน ทั่วทั้งเวทีประลองก็สั่นสะท้านไม่หยุด

“ปัง ปัง ปัง…”

สองฝ่ายต่อสู้กัน เกิดเสียงโครมครามไม่หยุดหย่อน

ที่นี่เป็นเวทีประลองที่จัดไว้สำหรับการประลองหยั่งเชิงโดยเฉพาะ ก็ย่อมมีค่ายกลโคจรอยู่ ตัดแยกผลกระทบจากการต่อสู้ทั้งหมดอย่างเด็ดขาด

“พลังคุกคามช่างน่าหวาดหวั่นยิ่งนัก”

บรรดาผู้คนที่รายล้อมอยู่เห็นแล้วก็หน้าถอดสี

มังกรค้างคาวที่ยาวกว่าร้อยจั้งตนนั้นเหินทะยานตามอำเภอใจอยู่ในอาณาบริเวณของเวทีประลอง ไล่ล่าสังหารจ้าวเทพหิมะเหินผู้นั้น ทุกกระบวนท่า ทุกความเคลื่อนไหวใดๆ ของมังกรค้างคาวต่างก็แฝงไว้ด้วยพลานุภาพอันน่าหวาดหวั่น ถึงขนาดที่จ้าวเทพหิมะเหินไม่สามารถทำร้าย ‘มังกรค้างคาว’ ตนนี้ได้เลย

“ร่างมังกรค้างคาวที่จ้าวภูเขาค้างคาวบำเพ็ญออกมาช่างร้ายกาจเสียจริง” อวี้เฟิงเหลยเอ่ยชมประโยคหนึ่ง “การควบคุมพลังของจ้าวเทพหิมะเหินก็ร้ายกาจเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าเป็นเพียงแค่พลานุภาพระดับจ้าวเทพช่วงกลาง แม้จะตกเป็นรอง แต่จนถึงตอนนี้กลับยังไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย” ไม่ได้รับบาดเจ็บแล้วอย่างไร เคล็ดวิชาของเขาล้วนไม่สามารถทำร้ายจ้าวภูเขาค้างคาวได้เลย” อวี้เฟิงจิ่นผู้เป็นน้องชายส่ายหน้า

“ถึงอย่างไรจ้าวภูเขาค้างคาวก็เป็นยอดฝีมือที่ติดอันดับในเมืองจวิ้นซานเลยนะ” อวี้เฟิงเหลยพูด “จ้าวเทพหิมะเหินร้ายกาจเป็นอย่างยิ่งแล้ว ถ้าหากเขาสามารถไปถึงระดับจ้าวเทพช่วงสุดยอดได้ ผู้ที่น่าอนาถก็คือจ้าวภูเขาค้างคาวแล้วล่ะ! หืม…”

“นี่มัน…”

บรรดาผู้ชมแต่ละฝ่ายต่างก็พากันตกตะลึง

เพราะว่าจ้าวเทพหิมะเหินที่ถูกไล่ล่าอยู่บนเวทีประลองมาโดยตลอด สองมือกุมหอกยาวเอาไว้สูงเหนือศีรษะแล้วฟาดฟันเข้าใส่มังกรค้างคาวตนนั้นอย่างสุดกำลังในทันใด!

โครม…

หลังจากที่ฟาดฟันลงไปแล้ว ร่องรอยที่หอกยาวฟาดฟันก็มีรอยแยกห้วงมิติอันบิดเบี้ยวปรากฏขึ้น ฟันตรงลงบนร่างกายของมังกรค้างคาว ชั้นน้ำแข็งคุ้มกันบนพื้นผิวร่างกายนั้นก็ถูกทำลายในทันใด แผ่นเกล็ดสีดำก็ถูกฉีกขาด ตัดขาดเป็นบาดแผลฉกรรจ์รอยหนึ่งออกมา หยาดโลหิตปริมาณมหาศาลพุ่งกระฉูดออกมา

“อะไรกันนี่” บรรดาผู้ชมตื่นตะลึง จ้าวภูเขาค้างคาวก็ตื่นตะลึงยิ่งกว่า “เขาสามารถทำร้ายข้าได้ด้วยหรือ”

จ้าวภูเขาค้างคาวระมัดระวังตัวเกินไปจริงๆ ช่างรักตัวกลัวตายมากเกินไปแล้ว

ทันใดนั้นก็เปลี่ยนแปลงกลยุทธ์การต่อสู้ เริ่มเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วโดยเน้นการรักษาตนเองเป็นหลัก แล้วตวัดกรงเล็บออกมาเป็นครั้งคราว หรือตวัดหางลอบโจมตี!

“ช่างรักตัวกลัวตายอะไรอย่างนี้ ช่างเห็นได้ยากยิ่งนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบหัวเราะเยาะ

เคล็ดวิชาที่สำแดงเมื่อครู่ก็คือเคล็ดวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดที่สำเร็จในเบื้องต้นในตอนนี้หลังจากที่เขาศึกษากลยุทธ์กระบี่แยกนภากาศแล้ว

ถึงอย่างไรก็มีตำราให้อ้างอิงได้ เขาสามารถศึกษาความเร้นลับของกฎเกณฑ์ของวิถีอากาศต่างๆ มากมายของโลกแห่งนี้ได้สำเร็จอย่างรวดเร็ว ด้วยพื้นฐานของเขาก็วิวัฒน์ขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วยิ่ง ถึงขนาดที่สามารถรวบรวม ‘พลังวัตรกระบี่อากาศ’ ระดับขั้นที่ห้าออกมาได้อย่างสบายๆ เลยทีเดียว อาศัยสิ่งที่ตระหนักรู้ใหม่ และสิ่งที่ตนสั่งสมมาแต่เดิม คิดค้น ‘สูตรแยกนภากาศ’ นี้ออกมาก่อน

การต่อสู้ของสูตรนี้ ก็พอจะถือได้ว่ามีพลังระดับจ้าวเทพช่วงสุดยอด! การควบคุมพลังของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ร้ายกาจพอ แม้กระทั่งระดับอย่าง ‘ร่างมังกรค้างคาว’ ของจ้าวภูเขาค้างคาวนี้ก็ยังได้รับบาดเจ็บในทันที

“ปัง ปัง ปัง…”

สองฝ่ายประมือกันอย่างต่อเนื่องกว่าสิบรอบ

ก่อนหน้านี้จ้าวภูเขาค้างคาวก็ไม่สามารถทำร้ายตงป๋อเสวี่ยอิงได้ ตอนนี้ก็ยิ่งระมัดระวังตัวมากยิ่งขึ้น ก็ยิ่งทำร้ายไม่ได้เข้าไปอีก! แต่ ‘สูตรแยกนภากาศ’ ที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเพิ่งสำเร็จใหม่นี้ ดูเหมือนว่าจะสามารถโจมตีถูกจ้าวภูเขาค้างคาวได้ครั้งหนึ่งทุกๆ สามรอบห้ารอบ! ทุกครั้งล้วนทำให้จ้าวภูเขาค้างคาวต้องเสียเลือดเสียเนื้อทั้งสิ้น

“หยุดๆๆ” ‘มังกรค้างคาว’ ที่เลื้อยคดเคี้ยวเหินทะยานอยู่กลางอากาศตนนั้นคำรามเสียงสูง

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็หยุดลงอย่างประหลาดใจ

มังกรค้างคาวบิดเบี้ยวและแปรเปลี่ยนหดขนาดเล็กลงในทันใด แปลงร่างกลายเป็น ‘จ้าวภูเขาค้างคาว’ ชายชราอัปลักษณ์ศีรษะทรงสามเหลี่ยมผู้นั้น

จ้าวภูเขาค้างคาวรอยยิ้มระบายเต็มหน้าแล้วเอ่ยอย่างตื่นตะลึงและนับถือว่า “จ้าวเทพหิมะเหินช่างล้ำเลิศอย่างแท้จริง ข้ายอมแพ้ในการประลองคราวนี้ ยอมแพ้แล้ว จ้าวเทพหิมะเหินร้ายกาจกว่าข้าอยู่ขั้นหนึ่งจริงๆ!”

ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้งเล็กน้อย

ช่างไม่รักษาหน้าเลยจริงๆ

“ดี จ้าวเทพหิมะเหินและจ้าวภูเขาค้างคาวก็ช่างล้ำเลิศจริงๆ ตอนนี้พวกเราไม่เพียงแต่ได้เห็น ‘มังกรค้างคาว’ ของจ้าวภูเขาค้างคาวอีกครั้งเท่านั้น แต่ยังโชคดีได้เห็นวิชาหอกของจ้าวเทพหิมะเหินอีกด้วย” อวี้เฟิงเหลยลุกขึ้นพูดยิ้มๆ

“คุณชายใหญ่ ก็ยังเป็นวิชาหอกของจ้าวเทพหิมะเหินที่ร้ายกาจเหลือเกิน หากมาอีกหลายๆ ครั้ง ข้าก็จะต้านทานเอาไว้ไม่อยู่แล้ว” จ้าวภูเขาค้างคาวน้ำเสียงแหบแห้ง แต่ก็ยังคงหัวเราะคิกคักอยู่เช่นเดิม

แต่อวี้เฟิงชิงอินที่อยู่ข้างๆ สองพี่น้องกลับมองตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่บนเวทีประลองอย่างตกตะลึง

……………………………………..

ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่เพียงแต่รู้จักจ้าวภูเขาค้างคาวเท่านั้น แต่ยังรู้อีกด้วยว่าผู้ที่นั่งอยู่ตรงข้ามจ้าวภูเขาค้างคาวคือยอดฝีมือที่มีชื่อว่า ‘จ้าวเทพเจียนอิ่น’ จ้าวเทพเจียนอิ่นก็เป็นหนึ่งในปรมาจารย์ด้านการบำเพ็ญของสกุลอวี้เฟิงแห่งจวิ้นซานเช่นกัน สถานะของเขากับจ้าวภูเขาค้างคาวล้วนพิเศษเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าพวกเขาต่างก็เป็นบุคคลซึ่งเป็นที่รู้กันทั่วทั้งเมืองจวิ้นซานว่าพลังยุทธ์จัดอยู่ในสิบอันดับแรก!

ต้องรู้ไว้ว่าถึงแม้จ้าวเทพช่วงสุดยอดจะได้มายากยิ่ง แต่ยอดฝีมือจ้าวเทพช่วงสุดยอดของทั่วทั้งเมืองจวิ้นซานรวมกันขึ้นมาแล้วก็มีอยู่เกินกว่ายี่สิบท่านเลยทีเดียว! ก็มีเพียงแค่ใต้เท้าเจ้าเมือง นายน้อย ‘อวี้เฟิงเหลย’ พ่อบ้านถง เจ้าหอสิง จ้าวเทพเจียนอิ่น และจ้าวภูเขาค้างคาว หกคนนี้เท่านั้น ส่วนเหล่าจ้าวเทพคนอื่นๆ นั้นความแตกต่างของพลังยุทธ์ก็น้อยกว่า หากไม่แข่งขันห้ำหั่นกันอย่างเอาเป็นเอาตายจริงๆ ก็ยังยากที่จะตัดสินสิบอันดับแรกออกมาจริงๆ ได้

เป็นที่ยอมรับโดยทั่วกัน! ก็หมายความว่าพลังยุทธ์ของหกท่านนี้มีความได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัดเจน

“หืม”

“จ้าวเทพหิมะเหินออกมาแล้ว”

“เขาออกมาแล้ว รวดเร็วถึงเพียงนี้เลยทีเดียว ยังคิดว่าเขาจะอยู่ในหอสะสมคัมภีร์นานเป็นปีสองปีเสียอีก”

สายตาของคนกลุ่มหนึ่งที่นั่งกระจัดกระจายอย่างประปรายอยู่รอบๆ ต่างก็มองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง รวมทั้งจ้าวภูเขาค้างคาวท่านนั้น และจ้าวเทพเจียนอิ่น ต่างก็มองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงเช่นเดียวกัน

ประชากรโลกเทพ เกิดมาก็มีอายุขัยเป็นนิรันดร์ สำหรับพวกเขาแล้วระยะเวลาสามปีห้าปีนั้นช่างแสนสั้นยิ่งนัก! เข้าไปในหอสะสมคัมภีร์ พินิจดูตำราศาสตร์หนึ่งให้ดีๆ ใช้เวลาปีสองปีก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาอย่างยิ่ง

“ฮ่าฮ่าฮ่า…” จ้าวภูเขาค้างคาวหัวเราะเสียงแหลมบาดหู ก้องสะท้อนทั่วเวหาบริเวณรอบๆ

“จ้าวภูเขาค้างคาว มีสิ่งใดน่าขันอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับเอ่ยปากขึ้นขัดจังหวะเสียงหัวเราะของจ้าวภูเขาค้างคาว

จ้าวภูเขาค้างคาวจึงยืดกายลุกขึ้นแล้วยิ้มตาหยีมองตงป๋อเสวี่ยอิง “ได้ยินมานานแล้วว่าเมืองจวิ้นซานของพวกเรามีผู้เหินทะยานมาอีกคนหนึ่ง วันนี้ได้เห็นจ้าวเทพหิมะเหิน ก็ปรากฏว่าไม่ธรรมดาเลยจริงๆ”

“ไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่งเลยทีเดียว” บุรุษวัยกลางคนอาภรณ์ขาวที่อยู่ข้างๆ เอ่ยพลางยิ้มน้อยๆ

“สามารถกำจัดผู้ใต้บังคับบัญชาตัวน้อยสามคนของท่านได้ จะเป็นยอดฝีมือธรรมดาๆ ได้อย่างไรกันเล่า”

จ้าวภูเขาค้างคาวสีหน้าแข็งค้างไปเล็กน้อย

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปทางบุรุษวัยกลางคนผู้นั้น “จ้าวเทพเจียนอิ่นหรือ”

“จ้าวเทพหิมะเหินรู้จักข้าด้วยหรือนี่” บุรุษวัยกลางคนอาภรณ์ขาวพูดยิ้มๆ อย่างประหลาดใจ “ดูท่าทางการข่าวของจ้าวเทพหิมะเหินก็ฉับไวใช้ได้เลยทีเดียวนะ”

“ชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่ของจ้าวเทพเจียนอิ่น ข้าจะไม่รู้จักได้อย่างไรกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ

“จ้าวเทพหิมะเหิน” ‘จ้าวภูเขาค้างคาว’ ชายชราอัปลักษณ์ศีรษะทรงสามเหลี่ยมเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้ง “ผู้ใต้บังคับบัญชาตัวน้อยสามคนของข้าไปขอคำชี้แนะ ไม่ทราบว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่”

ขณะนี้รอบด้านล้วนเงียบสงัดไปเสียแล้ว

คนอื่นๆ ล้วนไม่กล้าสอดปาก แม้กระทั่งจ้าวเทพเจียนอิ่นก็ยังชมความครึกครื้นอยู่ข้างๆ

“พวกเขาไปสังหารข้า แต่สังหารข้ามิได้ ท่านว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่กันเล่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูจ้าวภูเขาค้างคาวผู้นี้

จ้าวภูเขาค้างคาวขมวดคิ้วน้อยๆ พลางเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งว่า “อ้อ เช่นนั้นข้าก็ต้องดูสักหน่อยแล้วว่าที่แท้จ้าวเทพหิมะเหินมีพลังยุทธ์เช่นไร เราสองคนมาประลองหยั่งเชิงกันดูสักรอบหนึ่ง ว่าอย่างไรเล่า”

“ได้สิ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

ผู้ที่ชมดูอยู่รอบๆ จำนวนมากต่างก็เผยสีหน้ายินดี การประลองของสองยอดฝีมือนั้นพวกเขาก็ย่อมคาดหวังรอคอยอยู่แล้ว พวกเขาแต่ละคนถ่อมาถึงที่นี่ก็มิใช่เพื่อชมดูยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่สองคนนี้ประมือกันหรือไร คนหนึ่งคือผู้ที่พลังยุทธ์เป็นที่ยอมรับโดยทั่วกันว่าจัดอยู่ในสิบอันดับแรกของเมืองจวิ้นซาน ส่วนอีกคนหนึ่งก็เป็นผู้เหินทะยาน พลังยุทธ์ยังเป็นปริศนา สามารถล้างผลาญจ้าวเทพสามท่านได้อย่างสบายๆ

“ดูท่าทางจ้าวภูเขาค้างคาวผู้นี้จะมิได้ระมัดระวังตัวอย่างธรรมดาๆ เสียด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ “ก่อนหน้านี้ไม่กล้าไปจัดการข้า แต่กลับเลือกทำการประลองหยั่งเชิงภายในตระกูลอวี้เฟิง”

จ้าวเทพสามคนนั้นไปโจมตีตน ก็ถูกตนสังหารไปแล้ว

ถ้าหากตอนนั้นจ้าวภูเขาค้างคาวก็ไปลงมือด้วย! ตงป๋อเสวี่ยอิงตอบโต้ สองฝ่ายห้ำหั่นกันขึ้นมา แม้ว่าสักฝ่ายหนึ่งตายตกไปก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาอย่างยิ่ง

แต่ภายในตระกูลอวี้เฟิง ที่นี่ห้ามมิให้ห้ำหั่นเอาชีวิตกัน แม้กระทั่ง ‘การประลองหยั่งเชิง’ ก็ยังต้องขึ้นไปบนเวทีประลองเฉพาะ การประลองหยั่งเชิงก็เพียงเพื่อแบ่งระดับสูงต่ำเท่านั้น ห้ามทำร้ายจนถึงแก่ชีวิต

“จ้าวภูเขาค้างคาวผู้นี้ไม่มีความมั่นใจ ดังนั้นจึงต้องการจะประลองหยั่งเชิงกับข้าภายในตระกูลอวี้เฟิง ถ้าหากหลังการประลองไปแล้วรู้สึกว่าสามารถสังหารข้าได้ เกรงว่าหลังไปจากตระกูลอวี้เฟิงแล้วก็คงจะลอบลงมืออย่างรวดเร็วเป็นแน่แท้ทีเดียวกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบหัวเราะเยาะ เขาย่อมมิได้เห็นจ้าวภูเขาค้างคาวผู้นี้อยู่ในสายตาเลย เขามาถึงโลกแห่งนี้ จุดประสงค์หลักก็เพื่อการบำเพ็ญเท่านั้น

การบำเพ็ญภายใต้แหล่งอารยธรรมที่แตกต่างกัน ขัดเกลากายตน รับรองความเป็นนิรันดร์ของวิถี หนีออกจากกรงขัง สำเร็จเป็นคละถิ่น!

……

ทั่วทั้งตระกูลอวี้เฟิงล้วนปั่นป่วนขึ้นมาเสียแล้ว

“เร็วเข้าสิ ที่เวทีประลองยอดเขาอสนีบาต จ้าวภูเขาค้างคาวจะประมือกับจ้าวเทพหิมะเหินแล้ว”

“รีบไปดูเร็วเข้า”

“ก่อนหน้านี้จ้าวภูเขาค้างคาวประสบเคราะห์ใหญ่ ในที่สุดก็จะลงมือแล้ว”

หลังจากที่บรรดาสานุศิษย์สกุลอวี้เฟิงจำนวนมากได้รับข่าวแล้วก็รีบมุ่งหน้าไปยังที่ ‘เวทีประลองยอดเขาอสนีบาต’ ที่สกุลอวี้เฟิงใช้สำหรับการประลองหยั่งเชิงโดยเฉพาะ

แต่ในขณะนี้เอง ภายในสวนดอกไม้แห่งหนึ่งของสกุลอวี้เฟิง

ชายหนุ่มใบหน้าขาวผ่องคนหนึ่งกำลังเดินเคียงไหล่กับหญิงสาวอาภรณ์สีเขียวเข้ม หญิงสาวอาภรณ์สีเขียวเข้มผุ้นั้นก็คือ ‘อวี้เฟิงชิงอิน’ นั่นเอง

“น้องหญิง” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงต่ำ “เจ้ายังโกรธอยู่อีกหรือ”

“ข้ามิได้เคยพูดเอาไว้ก่อนแล้วหรือไร ทุกสิ่งทุกอย่างข้าล้วนฟังคำท่านพ่อ ฟังคำพวกท่านพี่ใหญ่พี่รองทั้งสิ้น” อวี้เฟิงชิงอินพูด

ชายหนุ่มส่ายศีรษะเบาๆ “คราวนี้ให้เจ้าแต่งงานกับคุณชายเก้าเมืองไม้บูรพาผู้นั้น เป็นเพราะสกุลอวี้เฟิงของเราไร้สามารถจริงๆ”

“อย่าได้พูดอีกเลย ข้าไม่ตำหนิท่านพ่อหรอก แล้วก็ไม่ตำหนิพวกท่านพี่ใหญ่พี่รองเช่นเดียวกัน” อวี้เฟิงชิงอินหันหน้ามองไปทางพี่รองของตน “อันที่จริงแล้วข้ามองดูการต่อสู้ห้ำหั่นต่างๆ นานาในเมืองจวิ้นซานมองดูผู้ที่บุกฝ่าความเป็นความตายท่ามกลางดินแดนรกร้าง ข้าก็รู้ว่าผู้ที่อ่อนแอย่อมตกเป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่ง ตอนนี้เผชิญหน้ากับประมุขสมาคมจิตมารผู้นั้น พวกเราก็กลายเป็นผู้อ่อนแอไปแล้ว อย่าได้พูดเรื่องพวกนี้อีกเลย พี่รอง ท่านจะออกเดินทางไปยังเมืองไม้บูรพาเมื่อใดหรือ”

“ยังเตรียมการอยู่เลย” อวี้เฟิงจิ่นพูด “จำเป็นจะต้องตระเตรียมของกำนัลต่างๆ คิดหาวิธีเจรจาต่อรองในเรื่องนี้ เฮ้อ ถึงแม้ว่าจะให้น้องหญิงแต่งงานกับคุณชายเก้าผู้นั้น แต่เมืองไม้บูรพาจะรับปากด้วยหรือไม่นั้นก็ยังต้องว่ากันอีกที”

อวี้เฟิงชิงอินพยักหน้าน้อยๆ แล้วหัวเราะกับตนเอง “ใช่แล้ว ยังต้องว่ากันอีกที”

อยากจะแต่งออกไปให้เขา

ก็ยังไม่แน่ว่าอีกฝ่ายจะต้องการ!

“หืม” อวี้เฟิงจิ่นเผยสีหน้าประหลาดใจออกมาในทันใดแล้วเอ่ยต่อไปว่า “น้องสาว ข้าเพิ่งได้รับข่าวมาว่าจ้าวเทพหิมะเหินที่เจ้าช่วยกลับมาและจ้าวภูเขาค้างคาวกำลังไปที่เวทีประลองยอดเขาอสนีบาต หมายจะประลองกันสักยกหนึ่ง”

“หา… จ้าวเทพหิมะเหินกับจ้าวภูเขาค้างคาวอย่างนั้นหรือ” อวี้เฟิงชิงอินก็เผยสีหน้าประหลาดใจวูบหนึ่งเช่นเดียวกัน

“ไปๆๆ พวกเราไปดูกันหน่อยดีกว่า” อวี้เฟิงจิ่นพูด

เรื่องที่จะแต่งออกไปให้เมืองไม้บูรพาก็จำเป็นจะต้องบอกอวี้เฟิงชิงอินอยู่แล้ว อีกทั้งนางยังต้องให้ความร่วมมือโดยสมัครใจอีกด้วย

อวี้เฟิงชิงอินยอมให้ความร่วมมือก็จริง… แต่ว่าหลายวันมานี้อารมณ์ก็แย่ลงอย่างเห็นได้ชัดเจน! อวี้เฟิงจิ่นก็อยากจะพาน้องสาวไปชมดู ‘การประลองระหว่างจ้าวเทพหิมะเหินกับจ้าวภูเขาค้างคาว’ ก็นับได้ว่าเป็นการผ่อนคลาย

……

เขาอสนีบาตตั้งอยู่ที่มุมด้านตะวันตกเฉียงเหนือของจวนตระกูลอวี้เฟิง

ยอดเขาอสนีบาตมีเวทีประลองอยู่แห่งหนึ่ง เป็นสถานที่ที่เอาไว้ใช้สำหรับการประลองหยั่งเชิงโดยเฉพาะ

ตอนที่อวี้เฟิงจิ่นพาตัว ‘อวี้เฟิงชิงอิน’ ผู้เป็นน้องสาวมาถึงยังยอดเขาอสนีบาต สถานที่แห่งนี้ก็มีผู้มาชมดูการประลองจำนวนมากมารวมตัวกันอยู่ก่อนแล้ว น่าจะมีจำนวนกว่าหมื่นคน โชคดีที่ภายในตระกูลอวี้เฟิงนี้มิใช่ว่าใครหน้าไหนก็มีสิทธิ์เข้ามาในตระกูลอวี้เฟิงได้หมด! ถ้าหากต่อสู้กันที่สถานที่สาธารณะในเมือง เกรงว่าอย่างน้อยต้องมีผู้ชมมากกว่านี้อีกเป็นหมื่นเท่า

“น้องหญิงสาม”

หลังจากที่อวี้เฟิงจิ่นและอวี้เฟิงชิงอินมาถึงแล้วก็ได้ยินเสียงอันคุ้นเคย มองไปแวบหนึ่ง บริเวณไกลออกไปก็มีอวี้เฟิงเหลยรูปร่างสูงใหญ่นั่งอยู่ที่นั่นอยู่ก่อนแล้ว

“พี่ใหญ่”

“พี่ใหญ่” พวกเขาสองคนเดินเข้าไป

“นั่งเสียสิ” อวี้เฟิงเหลยมองดูน้องสาวของตนอย่างรักใคร่หวงแหน ในใจก็รู้สึกผิด เขาเป็นคนหยิ่งยโสเช่นนี้ แต่กลับให้น้องสาวแบกรับความยากลำบากของทั้งตระกูล ก็ย่อมรู้สึกละอายใจเป็นธรรมดา

“คิดไม่ถึงว่าผู้ที่มาชมดูจะมากมายถึงเพียงนี้ การประลองหยั่งเชิงนี้ถูกกำหนดขึ้นอย่างฉุกละหุก

เกรงว่าทั่วทั้งเมืองจวิ้นซานจะมียอดฝีมือจำนวนไม่น้องยังคงปลีกวิเวกอยู่ ต่างก็ยังไม่ทราบข่าวนี้เลย” อวี้เฟิงจิ่นกวาดสายตามองปราดหนึ่งด้วยอารมณ์วูบไหวอยู่บ้าง “มนุษย์น้ำแข็งก็ยังมากันมากมายถึงเพียงนี้”

อวี้เฟิงชิงอินมองดูบนเวทีประลองนั้นอยู่ห่างๆ

บนเวทีประลอง มีเงาร่างสองสายกระจายตัวกันอยู่ที่สองฝั่งของเวทีประลอง ยืนปักหลักอยู่ห่างๆ กัน

“แล้วก็ไม่รู้เลยว่าพลังยุทธ์ที่แท้จริงของจ้าวเทพหิมะเหินผู้นี้เป็นเช่นไร” จ้าวภูเขาค้างคาวหรี่ตามองตงป๋อเสวี่ยอิง ในใจคิดวางแผน “ถ้าหากพลังยุทธ์ของเขาแข็งแกร่งจนน่าหวาดหวั่น อย่างน้อยย้ายมาที่นี่แล้วก็เพียงแค่เสียหน้าเท่านั้น ก็ไม่ต้องเอาชีวิตมาทิ้ง! ถ้าหากพลังยุทธ์ของเขาย่ำแย่กว่าข้ามาก หึหึหึ…ผ่านไปอีกไม่กี่วันก็เป็นเวลาจบชีวิตของเขาแล้วล่ะ”

จ้าวภูเขาค้างคาว คนผู้นี้โหดเหี้ยมอำมหิต ทั้งยังระแวดระวังหาใดเปรียบ

“จ้าวเทพหิมะเหิน เอาชนะจ้าวภูเขาค้างคาว!” ทันใดนั้นน้ำเสียงกระจ่างชัดสายหนึ่งก็ดังขึ้น

ตงป๋อเสวี่ยอิงหันหน้าไปมองอย่างประหลาดใจ เมื่อมองเห็นอวี้เฟิงชิงอินที่อยู่ห่างออกไปกำลังตะโกนเสียงดัง พร้อมกันนั้นนางยังเผยรอยยิ้มออกมาด้วย คล้ายกับกำลังคาดหวังรอคอยอย่างตื่นเต้น

“คุณหนูสามผู้นี้ ตั้งหน้าตั้งตาคอยการต่อสู้อย่างมากเลยหรือไร” ตงป๋อเสวี่ยอิงแย้มยิ้ม เขาจะรู้เสียที่ไหนกันว่าอวี้เฟิงชิงอินในขณะนี้เจตนาตะโกนออกมา เพื่อระบายความคับข้องใจ

“หึ”

จ้าวภูเขาค้างคาวได้ยินเสียงตะโกนนี้แล้วก็อดที่จะขมวดคิ้วมุ่นมิได้ เพียงแต่สังเกตได้ถึงวาจาที่คุณหนูสามตะโกนออกมา ก็ได้แต่อดทนเอาไว้

“จ้าวเทพหิมะเหิน คุณหนูสามช่างเห็นดีเห็นงามในตัวเจ้าเสียเหลือเกิน เช่นนั้นก็ให้ข้าได้เห็นสักหน่อยว่าที่แท้แล้วเจ้ามีฝีมือสักแค่ไหน” จ้าวภูเขาค้างคาวเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้ง น้ำเสียงยังคงก้องสะท้อน ระหว่างนั้นก็ลงมืออย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียงเสียแล้ว

……………………………………….

เพียงแค่ชั่วครู่ ยามรักษาการณ์ชุดเขียวผู้นั้นก็กลับมาแล้วเอ่ยว่า “ปรมาจารย์หิมะเหินขอรับ ข้าหาต้นฉบับตำราเล่มนี้พบแล้วขอรับ” เขาพูดพลางยื่นส่งให้ตงป๋อเสวี่ยอิง

ตงป๋อเสวี่ยอิงรับมาแล้วก็ก้มหน้าลงมองคราหนึ่งพลางพูดยิ้มๆ ว่า “ข้าต้องการห้องเงียบสักห้องเพื่อพินิจดูอย่างละเอียด”

“หอสะสมคัมภีร์มีห้องเงียบมากมายยิ่งนัก ที่ประตูศิลาเปิดอยู่ล้วนเป็นห้องว่างทั้งสิ้น ปรมาจารย์หิมะเหินเลือกเอาสักห้องหนึ่งได้ตามใจชอบเลยขอรับ” ยามรักษาการณ์นำทางอยู่ด้านหน้า ตงป๋อเสวี่ยอิงเลือกมาตามใจชอบห้องหนึ่งแล้วเดินเข้าไป โครม…ประตูศิลาก็ปิดสนิทลงอย่างรวดเร็ว

……

ห้องเงียบของหอสะสมคัมภีร์ก็สามัญธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง มีเพียงความเงียบสงบ ไม่มีการรบกวนจากคนนอก มูลค่าในการก่อสร้างก็ต่ำเป็นอย่างยิ่ง

โดยทั่วไปแล้วต่างก็มาใช้สถานที่แห่งนี้ตอนศึกษาตำราการบำเพ็ญเป็นระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น เพราะว่าเดิมที ‘ตำราการบำเพ็ญ’ ก็ซับซ้อนเป็นอย่างยิ่งอยู่แล้ว นอกจากการจดจำจะต้องใช้ระยะเวลามากพอสมควรแล้ว ส่วนใหญ่แล้วผู้บำเพ็ญโดยทั่วไปก็มักอยากจะพินิจดู ‘ต้นฉบับ’ ให้มากสักหน่อย จะต้องสำเร็จกลยุทธ์กระบี่แยกนภากาศนี้อย่างสมบูรณ์แล้วจึงจะสามารถเขียน ‘ต้นฉบับ’ ลงไปได้ ร่องรอยลายมือรอยพู่กันบนนั้นต่างก็แฝงไว้ด้วยเสน่ห์นานาชนิด เมื่อพินิจดูแล้วก็มีส่วนช่วยเหลือในการบำเพ็ญเป็นอย่างยิ่ง

แต่การพินิจดูต้นฉบับนั้นมีเพียงแค่การศึกษาครั้งแรกเท่านั้นจึงจะมีโอกาส

“กลยุทธ์กระบี่แยกนภากาศเป็นเคล็ดวิชาที่ ‘ผู้เหินทะยาน’ ของโลกแห่งนี้คิดค้นขึ้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงพลิกเปิดดูในทันที สติรับรู้ก็แทรกผ่านเข้าไปในตำราแล้วเริ่มต้นจดจำ

ว่ากันตามจริง

สำหรับผู้เหินทะยานที่เรียกกัน ตงป๋อเสวี่ยอิงก็อัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่ง

บรรดาประชากรของโลกเทพต่างก็เป็นทายาทของ ‘บรรพเทวะคละถิ่น’ เผชิญกับวิญญาณของมิติจำนวนนับไม่ถ้วนของโลกล่าง ก็ย่อมมีความรู้สึกเหนือกว่าอยู่แล้ว แต่เผชิญกับมิติจำนวนนับไม่ถ้วนของ ‘ผู้เหินทะยาน’ ที่สามารถมาถึงยังโลกเทพได้ภายในโลกล่าง บรรดาประชากรโลกเทพก็ค่อนข้างหวาดหวั่น ต่างก็ยอมรับว่าผู้เหินทะยานคนใดๆ ต่างก็ไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง! หรือแม้กระทั่งระดับเดียวกัน ผู้เหินทะยานก็แข็งแกร่งกว่าประชากรโลกเทพอยู่ขั้นใหญ่ การต่อสู้ข้ามชั้นสำหรับผู้เหินทะยานนั้นก็เป็นเรื่องที่พบเห็นได้บ่อยอย่างยิ่ง

“ล้ำเลิศยิ่งนัก” วิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงแกร่งกล้าเพียงใด เพียงไม่นานก็ดูกลยุทธ์กระบี่นี้จนหมดรอบหนึ่งแล้ว ทั้งยังจดจำเอาไว้จนหมดด้วย

หลังจากดูหมดแล้ว สายตาของเขาก็เต็มไปด้วยความหวาดหวั่นพรั่นพรึง

นับถือ!

กลยุทธ์กระบี่ศาสตร์นี้ สำหรับการใช้ความเร้นลับของกฎเกณฑ์ก็ไปถึงขั้นสุดยอดเช่นเดียวกัน ไม่ด้อยไปกว่าวิธีการมากมายที่ตนคิดค้นขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย! แม้กระทั่งเพราะว่าเคล็ดวิชาความเร้นลับของกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่ตนตระหนักรู้ที่ดินแดนจิตโลกา เผชิญกับความขัดแย้งของโลกแห่งนี้ เคล็ดวิชาวิถีอากาศที่ตนแสดงออกมา… ยังห่างชั้นมิอาจเทียบกับกลยุทธ์กระบี่ศาสตร์นี้ได้

“ความสำเร็จทางด้านวิถีอากาศของข้า ต่อให้มีสุดยอดเคล็ดสืบทอดลับช่วยเหลือ ก็เป็นเพียงแค่ข้ากับจักรพรรดิเซี่ยร่วมกันทำให้สมบูรณ์แบบเท่านั้น แล้วหยั่งรู้เขี้ยวอสรพิษห้วงอากาศ ขัดเกลา ‘ฝึกกายคละถิ่น’ ที่ไม่มั่นคงออกมา สามารถกดดันเขาได้ในระดับหนึ่ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ

‘จักรพรรดิระดับต้น’ ในดินแดนจิตโลกาก็เทียบเคียงได้กับ ‘จักรพรรดิเทพช่วงต้น’ ของโลกเทพแห่งนี้

“นอกจากนี้ ตอนนี้ข้าเผชิญกับความขัดแย้งของโลกแห่งนี้ พลังยุทธ์ก็ลดต่ำลงไปอย่างมหาศาลเลยทีเดียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยรอยยิ้มสายหนึ่งออกมา “แต่ว่าตอนนี้สังเคราะห์ความลึกลับของกลยุทธ์กระบี่ศาสตร์นี้ออกมาแล้ว ก็หยั่งรู้ความเร้นลับของกฎเกณฑ์ของโลกแห่งนี้ได้อย่างรวดเร็วแล้ว”

เขาหลับตาลง กระบวนการบำเพ็ญกลยุทธ์กระบี่อันน่าหวาดหวั่นศาสตร์นี้ฉายวาบขึ้นมาในห้วงสมอง

กลยุทธ์กระบี่ศาสตร์นี้…

สิ่งที่บำเพ็ญก็คือ ‘พลังวัตรกระบี่อากาศ’ ‘พลังวัตรกระบี่อากาศ’ ทุกสาย ล้วนคมกริบไร้เทียมทานราวกับอาวุธเทพก็มิปาน! หลังจากที่บำเพ็ญสำเร็จแล้ว ขย้อนออกมาคำหนึ่ง ก็มีประกายกระบี่สายหนึ่งลอยออกมา หรือขยับนิ้วสุ่มๆ คราหนึ่งก็มีประกายกระบี่พุ่งออกมา หรือแม้กระทั่ง… ร่างกายแปรเปลี่ยนเป็นประกายกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนในทันที! เพราะว่าทุกบริเวณทั่วทั้งร่างกาย ต่างก็ประกอบขึ้นจากพลังวัตรกระบี่อากาศ

ร่างกายสามารถเรียกได้ว่าเป็น ‘ร่างกระบี่ห้วงอากาศ’ ร่างกายราวกับอาวุธเทพ รวมตัวและกระจายตัวอย่างไม่ธรรมดา การโจมตีก็แข็งแกร่งอย่างน่าหวาดหวั่น

พลังวัตรกระบี่อากาศนี้ในความเป็นจริงแล้วก็คือเคล็ดการใช้งานพิเศษหลังจากที่ตระหนักรู้ ‘วิถีอากาศ’ แล้ว ทักษะการใช้งานที่แข็งแกร่งก็ย่อมไม่ด้อยไปกว่าสุดยอดเคล็ดสืบทอดลับเลย

‘พลังวัตรกระบี่อากาศ’ แบ่งออกได้ทั้งหมดหกระดับขั้น เมื่อเข้ามาใหม่ก็เป็นแม่ทัพเทพช่วงต้น

สามขั้นแรกเป็น ‘ขั้นแม่ทัพเทพ’

สามขั้นหลังเป็น ‘ขั้นจ้าวเทพ’

“ร้ายกาจ ร้ายกาจ”

“มหาวิถีหนึ่งเดียว”

“ทั่วทั้งวิถีอากาศผสานรวมกันเป็น ‘พลังวัตรกระบี่อากาศ’ ทั้งหมดอย่างสมบูรณ์แบบ วิญญาณก็ก็ผสานเข้ากับพลังทุกสาย ตลอดร่างล้วนเป็นพลังวัตรกระบี่อากาศ มันคือพลังการต่อสู้ ทั้งยังเป็นร่างกาย และยังเป็นวิญญาณด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงประหลาดใจ “ผู้คิดค้นผู้นี้หมายจะอาศัยพลังวัตรกระบี่อากาศนี้ทลายเปิดกรงขัง สำเร็จเป็นคละถิ่น”

ถึงแม้ว่าจะนับถือ แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับไม่รู้สึกว่านี่เป็นวิถีของตน ทางด้านวิถีวิญญาณของเขาไปถึงระดับขั้นสูงยิ่ง ร่างกายและวิญญาณส่งเสริมซึ่งกันและกัน ทำให้เขาสามารถรู้สึกได้ถึงข้อบกพร่องของร่างกายได้อย่างแจ่มชัดมากยิ่งขึ้น เขามีความก้าวหน้าบนเส้นทางการบำเพ็ญร่างกายอย่างรวดเร็วยิ่งนัก

ก็ย่อมต้องการศึกษาฝึกกายคละถิ่นต่อไป! นี่จึงจะเป็นเส้นทางที่เหมาะสมกับเขา

ถึงแม้ว่าจะบำเพ็ญร่างกายเช่นเดียวกัน

แต่เขากับจักรพรรดิเซี่ยนั้นมีเส้นทางที่แยกจากกัน เพราะการฝึกกายคละถิ่นของพวกเขาสองคนนั้นเดินไปในทิศทางที่แตกต่างกัน

ถึงแม้ว่าจะนับถือเคล็ดการบำเพ็ญ ‘พลังวัตรกระบี่อากาศ’ แต่สิ่งที่เขาสนใจยิ่งกว่าก็คือความเร้นลับวิถีอากาศต่างๆ ที่ใช้ได้ในนั้น

“โลกแห่งนี้ไม่เหมือนกันกับโลกกำเนิดสองแห่งที่ข้าเคยมีประสบการณ์มา”

“สิ่งที่ผู้เหินทะยานเหล่านี้เชื่อมั่นก็คือ ‘มหาวิถีมีจุดบกพร่อง’” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะ “ทว่าวิถีขั้นสุดยอดของโลกกำเนิดกลับสมบูรณ์แบบ”

อันหนึ่ง ‘มีจุดบกพร่อง’

ส่วนอีกอันนั้น ‘สมบูรณ์แบบ’

ตงป๋อเสวี่ยอิงไตร่ตรองอยู่ชั่วครู่ เขารู้สึกได้อย่างรางๆ ว่าความเร้นลับของกฎเกณฑ์ของโลกกำเนิดสมบูรณ์แบบมากกว่าจริงๆ แต่โลกแห่งนี้ที่ตนเข้ามาในตอนนี้มี ‘ความรุนแรง’ และ ‘ความอลหม่าน’ ถึงแม้ว่าจะแกร่งกล้ากว่า แต่ก็ดูเหมือนว่าจะหยาบกระด้างกว่ามาก! ความเร้นลับของกฎเกณฑ์มากมายต่างก็มีข้อบกพร่อง แต่ถึงแม้ว่าจะมีข้อบกพร่อง การบำเพ็ญก็ชี้นำไปสู่ ‘คละถิ่น’ ได้เช่นเดียวกัน

“ช่างเถิด ก็เก็บเกี่ยวเอาสิ่งที่มีประโยชน์ต่อข้าไปก็แล้วกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่คิดอะไรมากอีก แล้วหยั่งรู้กลยุทธ์กระบี่ศาสตร์นี้โดยละเอียดต่อไป

การหยั่งรู้ในครั้งนี้ดำเนินไปเป็นระยะเวลาครึ่งวัน

ในระหว่างกระบวนการนี้เขาก็ยังอ่านต้นฉบับนี้ถึงสองรอบ จากนั้นก็ไม่อ่านอีกแล้ว! เพราะว่าต้นฉบับนี้ก็มิได้เป็นประโยชน์ต่อเขาแต่อย่างใดเลย ถึงอย่างไรความสำเร็จทางด้านวิถีอากาศของเขาก็มิได้ด้อยไปกว่าผู้เขียนตำราเล่มนี้เลย

“นี่ก็คือพลังวัตรกระบี่อากาศอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยื่นมือขวาออกไป ปลายนิ้วก็มีประกายกระบี่กึ่งโปร่งแสงเปล่งประกายราวแก้วผลึกสายหนึ่งปรากฏขึ้น ระยะเวลาเพียงแค่ครึ่งวัน เขาก็วิวัฒน์พลังวัตรกระบี่อากาศนี้ไปถึงระดับขั้นที่ห้าแล้ว

“สิ่งที่มีประโยชน์ต่อข้าก็ได้จดจำเอาไว้ในใจหมดแล้ว ต้นฉบับนี้ไม่มีประโยชน์กับข้าแล้ว ต้องการเพียงแค่กลับไปแล้วบำเพ็ญให้ดีๆ เกรงว่าภายในระยะเวลาสามปีห้าปีก็จะสามารถฟื้นฟูไปถึงระดับขั้นจ้าวเทพช่วงสุดยอดได้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงยืดกายลุกขึ้นแล้วเปิดประตูศิลาของห้องเงียบออกไป

……

ประตูศิลาเปิดออกเสียงดังลั่น

“ปรมาจารย์หิมะเหินออกมาอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ” ยามรักษาการณ์ชุดเขียวผู้นั้นเดินเข้าไป

“นี่คือต้นฉบับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยื่นไปให้

ยามรักษาการณ์ชุดเขียวรับมาตรวจดูแล้วพูดยิ้มๆ ว่า “ปรมาจารย์หิมะเหินขอรับ ตอนนี้ด้านนอกหอสะสมคัมภีร์คงจะมีผู้คนจำนวนมากพอดูรอคอยปรมาจารย์หิมะเหินอยู่กระมัง คราวนี้ปรมาจารย์หิมะเหินออกมาอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้ เกรงว่าคงจะเกินกว่าความคาดหมายของพวกเขาแล้วล่ะขอรับ”

“รอข้าอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงประหลาดใจ

“ในนั้นก็มีจ้าวภูเขาค้างคาวอยู่ด้วยนะขอรับ” ยามรักษาการณ์ชุดเขียวถ่ายเสียงพูด

ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวใจสั่นไหวคราหนึ่ง

จ้าวภูเขาค้างคาวหรือ

ยอดฝีมือที่จัดเป็นสิบอันดับแรกในเมืองจวิ้นซานแห่งนี้ แต่ตนเองผลาญสังหารผู้ใต้บังคับบัญชาสามคนของเขาไปก่อนหน้านี้ไม่นาน! สำหรับผู้ที่หมายจะปลิดชีพตนสามคนนั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงย่อมไม่มีทางออมมือให้อยู่แล้ว! ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้จะเตรียมการต่อกรกับจ้าวภูเขาค้างคาวเอาไว้เป็นอย่างดีแล้ว แต่น่าเสียดายที่จ้าวภูเขาค้างคาวผู้นั้นมิได้ลงมือ

“ขอบใจมาก ยังไม่รู้เลยว่าเจ้าเป็นใคร” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองยามรักษาการณ์ชุดเขียวผู้นี้ยิ้มๆ

“ข้าคืออวี้เฟิงเหวินอี้” ยามรักษาการณ์ชุดเขียวถ่ายเสียงพูด

“อ้อ ที่แท้แล้วก็เป็นสานุศิษย์สกุลอวี้เฟิงนี่เอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด ผู้ที่สามารถรับหน้าที่เป็นยามรักษาการณ์ของสถานที่สำคัญอย่างหอสะสมคัมภีร์ได้ พลังยุทธ์ก็ย่อมไม่อ่อนแออยู่แล้ว

“สานุศิษย์สกุลอวี้เฟิงหรือ สกุลอวี้เฟิงสืบเชื้อสายมาจนบัดนี้ก็มีคนในตระกูลมากมายยิ่งนัก” ยามรักษาการณ์ชุดเขียวถ่ายเสียงพูดพร้อมรอยยิ้ม “ข้าก็เป็นเพียงแค่เชื้อสายห่างๆ ของสกุลอวี้เฟิงเท่านั้นเอง ตอนนี้ก็เพิ่งเหยียบย่างเข้าสู่ระดับจ้าวเทพช่วงต้นอย่างหมิ่นเหม่ ตรากตรำบำเพ็ญก็ยากที่จะยกระดับได้แม้แต่นิดเดียว ไม่รู้ว่าในภายหน้าจะยังสามารถขอให้ปรมาจารย์หิมะเหินชี้แนะบ้างสักหน่อยจะได้หรือไม่ขอรับ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเขาปราดหนึ่ง ยามรักษาการณ์ชุดเขียวกระวนกระวายใจอยู่บ้าง

“หากมีเวลาก็สามารถแวะมายังที่พักของข้าได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดจบแล้วก็มุ่งหน้าเดินออกจากตำหนักไป

ถ้าหากก่อนหน้าที่จะศึกษาตำราเล่มนี้ เขาก็ยังไม่กล้าที่จะชี้แนะผู้อื่นอย่างสบายๆ แต่หลังจากที่ศึกษาแล้ว อย่างน้อยเขาก็สามารถชี้แนะทางด้านวิถีอากาศของโลกแห่งนี้ได้บ้าง

ยามรักษาการณ์ชุดเขียวเผยสีหน้ายินดี

เส้นทางการบำเพ็ญก็เป็นเช่นนี้เอง! คิดหาวิธีไขว่คว้าโอกาสใดๆ สักเล็กน้อย พวกเขาต่างก็รู้ว่าผู้เหินทะยานมีความเข้าใจในการบำเพ็ญลึกล้ำเพียงใด สิ่งที่ชี้แนะล้วนมุ่งไปที่สาระสำคัญทั้งสิ้น

“หืม”

หลังจากที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินออกไปจากทางเข้าหลักของหอสะสมคัมภีร์แล้ว มองปราดหนึ่งก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งที่นั่งกระจัดกระจายอย่างประปรายอยู่รอบๆ ในบรรดานั้นก็มีชายชราอัปลักษณ์ศีรษะสามเหลี่ยมคนหนึ่งกับบุรุษวัยกลางคนอาภรณ์ขาวคนหนึ่งนั่งประจันหน้ากัน ร่ำสุราสนทนาเฮฮากันอยู่

เพราะว่าเคยค้นหาความทรงจำที่จ้าวเทพคนหนึ่งในบรรดานี้โจมตีตน ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเพียงปราดเดียวก็ย่อมจำได้อยู่แล้วว่าชายชราอัปลักษณ์ศีรษะสามเหลี่ยมผู้นั้นก็คือจ้าวภูเขาค้างคาวนั่นเอง

…………………………………….

“อ้อ จ้าวเทพหิมะเหินผู้นี้พลังยุทธ์เป็นเช่นไร คงจะเป็นจ้าวเทพช่วงสุดยอดกระมัง” อวี้เฟิงจวิ้นซานเอ่ยถาม

เขาย่อมมิได้ใส่ใจการต่อสู้ห้ำหั่นของขุมอำนาจมากมายภายในเมืองจวิ้นซานอยู่แล้ว ขอเพียงแค่ยังสามารถคงเสถียรภาพที่ฉากหน้าเอาไว้ได้ ใต้ดินมีการห้ำหั่นกันก็เป็นเรื่องเล็ก นอกจากนี้ อวี้เฟิงจวิ้นซานก็ยังเชื่อมั่นว่าต้องมีการต่อสู้ห้ำหั่นจึงจะสามารถขัดเกลาผู้แกร่งกล้าออกมาได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น ถ้าหากทั่วทั้งเมืองจวิ้นซานเต็มไปด้วยความสงบ เกรงว่าจำนวนผู้แกร่งกล้าที่ถือกำเนิดขึ้นมาก้คงจะลดต่ำลงอย่างมหาศาลเสียแล้ว

นี่เป็นสิ่งที่เขาไม่อยากเห็นเลย

ผู้แกร่งกล้ายิ่งมากก็ยิ่งดี เพราะนั่นล้วนเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาทั้งสิ้น! สิ่งที่เขาสนใจที่สุดก็คือระดับขั้น ‘จ้าวเทพช่วงสุดยอด’ นี้ เพราะว่าถ้าหากระดับขั้นนี้มีจำนวนมากพอแล้ว อย่างเช่นสิบคนร่วมมือกันก็เพียงพอที่จะต่อกรกับ ‘จักรพรรดิเทพช่วงต้น’ ได้แล้ว นี่ก็คือเหตุผลที่ผู้แกร่งกล้าระดับจ้าวเทพช่วงสุดยอดอย่าง ‘จ้าวภูเขาค้างคาว’ มีอิทธิพลค่อนข้างยิ่งใหญ่ที่เมืองจวิ้นซาน อวี้เฟิงจวิ้นซานก็ใจกว้างกับพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง

“ผู้เหินทะยานต่างก็ไม่มีสายโลหิตบรรพเทวะคละถิ่น บำเพ็ญขึ้นมาอย่างลำบากยากเย็น พลังยุทธ์ก็สูงกว่าระดับเดียวกันอยู่ขั้นหนึ่ง ถ้าหากมีระดับจ้าวเทพช่วงสุดยอด ก็คงจะสามารถต่อกรกับจักรพรรดิเทพช่วงต้นได้แล้ว ถ้าหากโจรเฒ่าจิตมารมาถึงก็สามารถให้ความช่วยเหลือได้” อวี้เฟิงจวิ้นซานเอ่ยพึมพำ

“เขามิได้เป็นจ้าวเทพช่วงสุดยอดหรอกขอรับ” อวี้เฟิงเหลยส่ายศีรษะ “พ่อบ้านอวิ๋นเคยใช้ดวงตาทิพย์แสงมรกตตรวจสอบเขามาก่อนแล้วขอรับ”

อวี้เฟิงจวิ้นซานก็มองไปทางพ่อบ้านอวิ๋น

พ่อบ้านอวิ๋นเอ่ยอย่างเคารพขึ้นในทันใด “นายท่านขอรับ ตอนนั้นข้ากับคุณหนูสามไปพบกับจ้าวเทพหิมะเหินที่บาดเจ็บสาหัสอยู่ในดินแดนรกร้างระหว่างเดินทางกลับ ตอนนั้นข้าก็สำแดงดวงตาทิพย์แสงมรกตตรวจสอบตื้นลึกหนาบางของเขา จึงได้พบว่าเขามิได้มีสายโลหิตบรรพเทวะคละถิ่นแต่อย่างใด

จะต้องเป็นผู้เหินทะยานอย่างแน่นอน! นอกจากนี้เขายังมิได้รวบรวมจิตเทพ หากแต่บำเพ็ญร่างกาย ระดับความแข็งแกร่งของร่างกายเขาอยู่ที่ระดับจ้าวเทพช่วงต้น นอกจากนี้อาการบาดเจ็บภายในร่างกายยังสาหัสอย่างที่สุด ดูเหมือนจะยากยิ่งที่จะขจัดให้หมดสิ้นไปได้ แต่ต่อมาเขาก็พูดเองว่าแท้จริงแล้วก่อนหน้านี้เขามีพลังยุทธ์ระดับจ้าวเทพช่วงกลาง! แต่เพียงเพราะว่าบาดเจ็บสาหัสเป็นเหตุจึงได้ตกต่ำลง

ถึงอย่างไรเรื่องราวก็ผ่านไปสองปีกว่าแล้ว ถึงแม้ว่าระยะเวลาจะสั้น แต่เขาจัดการจ้าวเทพสามท่านแห่งภูเขาค้างคาวทิ้งไปได้ ข้าเดาว่าในระยะเวลาสองปีกว่านี้ พลังยุทธ์ของเขาอาจจะฟื้นฟูกลับมาแล้วก็เป็นได้นะขอรับ”

“จ้าวเทพสามท่านที่เขาสังหารนั้นสองคนเป็นจ้าวเทพช่วงต้น ส่วนอีกคนเป็นจ้าวเทพช่วงกลาง จ้าวเทพช่วงกลางท่านนั้นสามัญธรรมดาอย่างยิ่ง มิได้เหนือธรรมชาติแต่อย่างใดเลย” อวี้เฟิงเหลยพูด

“อ้อ” อวี้เฟิงจวิ้นซานผิดหวังอยู่บ้างแล้วพยักหน้า “ผู้เหินทะยานระดับจ้าวเทพช่วงกลาง พลังยุทธ์สามารถต่อสู้ข้ามชั้นได้ ผลาญสังหารจ้าวเทพที่ค่อนข้างอ่อนแอสามคนก็เป็นเรื่องปกติอย่างยิ่ง อ้อ จับตามองให้มากหน่อยก็แล้วกัน!”

ถึงแม้ว่าจะผิดหวัง

แต่ผู้เหินทะยานระดับจ้าวเทพช่วงกลางก็เทียบเคียงได้กับ ‘จ้าวเทพช่วงสุดยอด’ ของชาวโลกเทพ แล้ว เกรงว่าพลังยุทธ์จะพอๆ กันกับจ้าวภูเขาค้างคาวเลยทีเดียว ก็นับได้ว่าใต้บังคับบัญชามีแม่ทัพใหญ่เพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่ง เสียดายก็แต่ผู้ที่เขารอคอยมากที่สุดก็คือ ‘ผู้เหินทะยานระดับจ้าวเทพช่วงสุดยอด’ เท่านั้นเอง

“ขอรับ ท่านพ่อ ข้าจะคอยจับตามองตลอดเวลาเลยขอรับ” อวี้เฟิงเหลยรับคำ

แต่ไม่ว่าจะเป็นอวี้เฟิงจวิ้นซานหรือว่าอวี้เฟิงเหลย ในใจก็มิได้ใส่ใจสักเท่าใดนัก เพราะว่าการคุกคามของ ‘ประมุขสมาคมจิตมาร’ อยู่ใกล้สายตาเหลือเกิน พวกเขาก็ย่อมไม่มีเวลามาเฝ้าดู ‘ผู้เหินทะยานระดับจ้าวเทพช่วงกลาง’ คนหนึ่งค่อยๆ พัฒนาไปอย่างช้าๆ อยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าต่อให้มี ‘ผู้เหินทะยานระดับจ้าวเทพช่วงสุดยอด’ เพิ่มขึ้นมาคนหนึ่งจริงๆ เมื่ออยู่ต่อหน้าประมุขสมาคมจิตมารผู้น่าหวาดหวั่น เกรงว่าความช่วยเหลือก็คงจะมีขีดจำกัดเป็นอย่างยิ่งกระมัง

“คุณชายเก้าเมืองไม้บูรพา” อวี้เฟิงจวิ้นซานคาดหวังรอคอยอย่างเงียบๆ ฝากความหวังในการมีชีวิตรอดเอาไว้กับขุมอำนาจอื่น ถึงขนาดที่ยอมเสียสละบุตรสาว มิใช่เรื่องที่จะรับได้ง่ายๆ เลย

แต่ก็ช่วยไม่ได้

เดิมทีความขัดแย้งระหว่างขุมอำนาจมากมายของโลกเทพก็โหดร้ายอยู่แล้ว มีขุมอำนาจมากมายเท่าใดที่ต้องล่มสลายไป อวี้เฟิงจวิ้นซานไม่อยากให้ ‘สกุลอวี้เฟิงแห่งจวิ้นซาน’ กลายเป็นขุมอำนาจต่อไปที่ต้องล่มสลาย ด้วยเหตุนี้เขาจึงทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างโดยไม่เสียดายเลย

******

“ปรมาจารย์หิมะเหิน”

“ปรมาจารย์หิมะเหิน เชิญขอรับ”

ณ ตระกูลอวี้เฟิงแห่งเมืองจวิ้นซาน หลังจากที่ตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึงแล้วก็พบกับองครักษ์ติดตามจำนวนมากของสกุลอวี้เฟิง บรรดาองครักษ์ติดตามเหล่านี้ต่างก็ร้อนใจหาใดเปรียบ ถึงอย่างไรการข่าวของพวกเขาก็ฉับไวเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งระดับจ้าวเทพก็นับได้ว่าเป็นยอดฝีมือของทั่วทั้งเมืองจวิ้นซานแล้ว ตายสิ้นไปถึงสามคนในชั่วครู่เดียวก็ย่อมเป็นเรื่องที่มิอาจปิดบังได้อยู่แล้ว อย่างน้อยเหล่าองครักษ์ติดตา

สกุลอวี้เฟิงก็ดูเหมือนจะรู้กันทั่วว่า ‘ภูเขาค้างคาว’ ประสบเคราะห์หนักอยู่ใต้บังคับบัญชาของจ้าวเทพหิมะเหินผู้นี้! แต่ละคนก็ย่อมมิกล้าละเลยจ้าวเทพหิมะเหินผู้นี้ นอกจากนี้เดิมทีสถานะของ ‘ผู้เหินทะยาน’ ก็ทำให้ใจคนมากมายหวาดหวั่นอยู่แล้ว

ถึงแม้ว่าผู้เหินทะยานจะมีอยู่เพียงน้อยนิด แต่ทุกคนที่สามารถเหินทะยานมาถึงโลกเทพได้ต่างก็ไม่ธรรมดากันทั้งสิ้น

ตงป๋อเสวี่ยอิงแย้มยิ้ม “จัดการแมลงตัวน้อยสามตัวนั้นของภูเขาค้างคาวก็ทำให้ชื่อเสียงของข้าโด่งดังขึ้นมาไม่น้อยเลยทีเดียว”

ราบรื่นไร้ซึ่งการขัดขวางตลอดทาง

มาถึงยังหอสะสมคัมภีร์ของตระกูลอวี้เฟิงอย่างรวดเร็ว

“ปรมาจารย์หิมะเหิน” หอสะสมคัมภีร์ก็ย่อมมียามรักษาการณ์อยู่เช่นกัน เหล่ายามรักษาการณ์ต้อนรับตงป๋อเสวี่ยอิงกันอย่างกระตือรือร้น

“ข้าคงจะมีสิทธิ์เลือกตำราการบำเพ็ญสักเล่มหนึ่งได้กระมัง” ตงป๋อพูดพลางยิ้มน้อยๆ

“ปรมาจารย์หิมะเหินเป็นถึงปรมาจารย์ด้านการบำเพ็ญก็ย่อมมีสิทธิ์อยู่แล้วขอรับ แต่สามารถเลือกได้เพียงแค่ตำราการบำเพ็ญเล่มใดๆ ที่อยู่ในชั้นที่หนึ่งถึงชั้นที่สามของหอสะสมคัมภีร์เท่านั้นนะขอรับ” ยามรักษาการณ์เอ่ยอย่างกระตือรือร้น ปรมาจารย์ด้านการบำเพ็ญเป็นตำแหน่งที่ว่างจากภาระหน้าที่เป็นอย่างยิ่ง ล้วนเป็นผู้ที่มีพลังยุทธ์ มีเคล็ดวิชาพิเศษพอสมควร จึงมีคุณสมบัติพอจะถูกเชิญมาเป็นปรมาจารย์ด้านการบำเพ็ญ

ตงป๋อเสวี่ยอิงก้าวเข้าไปในหอสะสมคัมภีร์ทันที

หอสะสมคัมภีร์มีอยู่ทั้งสิ้นหกชั้น

สามชั้นแรกนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถเลือกได้อย่างอิสระ

ตงป๋อเสวี่ยอิงพลิกดูเล่มแล้วเล่มเล่าอย่างลวกๆ ตำราเหล่ามีเพียงแค่คำอธิบายคร่าวๆ ในหน้าแรกเท่านั้นที่สามารถดูได้ ส่วนหน้าอื่นๆ ที่เหลือนั้นล้วนว่างเปล่าทั้งสิ้น!

……

ตอนที่ตงป๋อเสวี่ยอิงมาเลือกตำราการบำเพ็ญ ข่าวที่เขามาถึงตระกูลอวี้เฟิงก็แพร่สะพัดออกไปอย่างรวดเร็ว ก่อนหน้านี้ถ้าหากพูดชื่อ ‘จ้าวเทพหิมะเหิน’ ก็คงมีอิทธิพลแสนธรรมดายิ่ง ทว่าตั้งแต่ภูเขาค้างคาวตกอยู่ในกำมือของตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว ‘จ้าวเทพหิมะเหิน’ ก็กลายเป็นบุคคลผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทั้งเมืองจวิ้นซานขึ้นมาในทันที ผู้ที่การข่าวฉับไวสักหน่อยต่างก็เข้าใจกันดีว่าพลังยุทธ์ของจ้าวเทพหิมะเหินผู้นี้ เกรงว่าคงจะมีหวังในการปะทะกับสิบอันดับแรกของทั่วทั้งเมืองจวิ้นซานแล้ว

ต่อให้เข้าไปไม่ได้ก็คงจะใกล้เคียงมากเลยทีเดียว

มิฉะนั้นจ้าวเทพสามท่านจะถูกล้างผลาญอย่างง่ายดายเช่นนี้ได้อย่างไรกัน แล้ว ‘จ้าวภูเขาค้างคาว’ จะยอมอดทนอดกลั้นมาจนถึงตอนนี้ได้หรือ

“เร็วๆๆ รีบไปดูเร็วเข้า

“ก่อนหน้านี้อยากจะสร้างความคุ้นเคยกับจ้าวเทพหิมะเหิน แต่น่าเสียดายที่จ้าวเทพหิมะเหินปลีกวิเวกบำเพ็ญมาโดยตลอด พวกเราก็ไม่กล้าไปรบกวน คราวนี้ก็เป็นโอกาสอันดีในการสร้างความคุ้นเคยแล้ว”

“เฮ้ มาดูเร็วเข้า จ้าวภูเขาค้างคาวมาแล้วล่ะ”

“เป็นจ้าวภูเขาค้างคาวนี่”

ผู้คนมากมายต่างก็มองเห็นชายชราอัปลักษณ์ศีรษะทรงสามเหลี่ยมผู้หนึ่งมาถึงยังดินแดนชนเผ่าของตระกูลอวี้เฟิงแล้วเช่นกัน เขาก็เป็นหนึ่งในปรมาจารย์ด้านการบำเพ็ญของสกุลอวี้เฟิง จึงไร้ซึ่งการขัดขวางเช่นเดียวกัน

“น่าสนใจแล้วสิ”

“จ้าวเทพหิมะเหินเพิ่งปรากฏตัวได้ไม่นานเท่าใด จ้าวภูเขาค้างคาวก็มาแล้ว”

“ไม่แน่ว่าอีกประเดี๋ยวอาจยังมีสงครามใหญ่อีกครั้งหนึ่งก็เป็นได้นะ”

……

ถึงแม้ว่าโลกภายนอกจะอึกทึกวุ่นวาย แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ภายในหอสะสมคัมภีร์กลับพลิกดูตำราเล่มแล้วเล่มเล่าอย่างมีสมาธิยิ่ง สำหรับเขาแล้วการต่อสู้ทั้งหลายล้วนเป็นเรื่องเล็กทั้งสิ้น การศึกษากฎเกณฑ์ของโลกแห่งนี้จึงจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขา! เขาเข้าใจได้อย่างรางๆ ถึงความหมายในสิ่งที่หยวนทิ้งเอาไว้ให้อย่าง ‘การขัดเกลาภายใต้แหล่งอารยธรรมที่แตกต่างกัน’ ‘การรับรองความเป็นนิรันดร์ของวิถีนั้น’ ‘หนีออกจากการพันธนาการของแหล่งอารยธรรมจำนวนนับไม่ถ้วน กลายเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่ทรงอิทธิพล’ แล้ว

ความเป็นนิรันดร์ของวิถี

ก็เหมือนกับวิถีของเทพจักรวาล สามารถผ่านไปยังโลกกำเนิดที่แตกต่างกันได้

และเห็นได้ชัดว่าโลกที่ตนเข้าไปในคราวนี้มิใช่โลกกำเนิด วิถีของเทพจักรวาลไม่มีทางเคลื่อนที่ผ่านไปได้ เช่นนั้นวิถีของผู้ใดจะสามารถเคลื่อนผ่านไปได้เล่า ตงป๋อเสวี่ยอิงคิดถึงว่าโลกแห่งนี้เป็นสิ่งที่บรรพเทวะคละถิ่นสามท่านรังสรรค์ขึ้นแล้วก็อดที่จะคาดเดารางๆ มิได้ว่า…‘วิถีของระดับขั้นคละถิ่น’ เท่านั้นจึงจะสามารถเคลื่อนผ่านได้!

“การขัดเกลาภายใต้แหล่งอารยธรรมที่แตกต่างกัน ความเร้นลับอันหยาบกระด้างมากมายถูกละเลย ที่เหลืออยู่และสามารถเคลื่อนผ่านแหล่งอารยธรรมที่แตกต่างกันได้ นั่นจึงจะเป็นนิรันดร์ จึงจะเป็นพื้นฐานที่ประกอบเป็นคละถิ่น” ตงป๋อเสวี่ยอิงมีการคาดการณ์เช่นนี้

ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร

ให้พลังยุทธ์ฟื้นฟูโดยเร็วที่สุดก่อนแล้วค่อยว่ากัน ฟื้นฟูไปถึงระดับตอนที่อยู่ที่ดินแดนจิตโลกาในตอนแรก

แต่การอาศัยตัวเองบำเพ็ญเพียงอย่างเดียวนั้นช้าเกินไป! อาศัยประสบการณ์ของผู้แกร่งกล้าในโลกแห่งนี้ร่วมด้วยก็ย่อมรวดเร็วกว่าเป็นอันมาก

“ประชากรของโลกเทพแห่งนี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นการบำเพ็ญสายโลหิตเช่นเดียวกัน แต่เห็นได้ชัดว่าเคล็ดวิชาต่างๆ นั้นสูงส่งกว่าเป็นอันมาก ถึงขนาดที่ยังสามารถบำเพ็ญสิ่งที่เหนือธรรมชาติออกมาได้ด้วยอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ “เผ่ามรณะทมิฬและกลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิมแห่งหุบเขาเขี้ยวหัก

ถึงแม้ว่าจะมีสายโลหิตคละถิ่นเช่นเดียวกัน แต่นั่นคือผู้แกร่งกล้าคละถิ่นที่น่าหวาดหวั่นสองท่านที่ตกต่ำลงไป เคล็ดวิชาของพวกเขาเป็นสิ่งที่คลำทางกันเอง แต่โลกเทพแห่งนี้ไม่เหมือนกัน พวกเขาเป็นเผ่าพันธุ์สายโลหิตของบรรพเทวะคละถิ่นสามท่านซึ่งยังมีชีวิตอยู่ทีขยายเผ่าพันธุ์มาจนถึงปัจจุบัน… บรรพเทวะคละถิ่นสามท่านนั้นคงจะมีการชี้แนะรุ่นหลังของสายโลหิตของตนอยู่บ้างกระมัง”

“แต่ถึงอย่างไรก็มีสายโลหิตเป็นพื้นฐาน การหยั่งรู้วิถีน้อยนิดยิ่งนัก”

“สิ่งที่ข้าต้องการก็ยังเป็นตำราของผู้เหินทะยานอยู่ดี”

ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ

เขาค้นพบตำราของผู้เหินทะยานแล้วสองเล่ม แต่น่าเสียดายที่ต่างก็มิใช่วิถีอากาศ!

ผู้เหินทะยาน ไม่มีสายโลหิตคละถิ่น

วิธีการบำเพ็ญของพวกเขาแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ดึงเอาพลังจากฟ้าดินมาทำให้ตนเองแกร่งกล้าขึ้นเช่นเดียวกัน ถึงขนาดที่ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าไม่ด้อยไปกว่า ‘ทางสายความเร้นลับของกฎเกณฑ์’ เลย ถึงอย่างไรเส้นทางที่แตกต่างก็มีเป้าหมายเดียวกัน ก็เหมือนกับ ‘ระบบทิพย์’ และ ‘ศาสตร์โบราณ’ ในท้ายที่สุดแล้วต่างก็ครอบครองวิถีที่เป็นขั้นสุดยอดด้วยกันทั้งสิ้น

ผู้เหินทะยานเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนี้! มีเพียงผู้เหินทะยานส่วนน้อยเท่านั้นที่รวบรวมสายโลหิตประชากรโลกเทพมาทำให้ตนเองแข็งแกร่ง เคล็ดวิชาเช่นนี้ดูเหมือนจะเป็นเคล็ดต้องห้ามที่โลกเทพ! ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เพียงแค่ล่วงรู้ตอนที่ตรวจค้นความทรงจำเท่านั้น

“สกุลอวี้เฟิงแห่งเมืองจวิ้นซานสะสมตำราเอาไว้มากพอสมควร ตำราผู้เหินทะยานก็มีอยู่หลายสิบศาสตร์ แต่มีวิถีอากาศอยู่เพียงแค่สองศาสตร์เท่านั้น ศาสตร์หนึ่งยังเป็นระดับแม่ทัพเทพ ส่วนอีกศาสตร์หนึ่งเป็นระดับจ้าวเทพ” ตงป๋อเสวี่ยอิงหยิบตำราสีเขียวเข้มเล่มหนึ่งขึ้นมา บนตำรามีชื่อเคล็ดวิชาหนึ่งอยู่…กลยุทธ์กระบี่แยกนภากาศ

“ไม่ว่าอย่างไร หากสามารถค้นพบสักศาสตร์หนึ่งที่มีประโยชน์ได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยรอยยิ้มออกมา ควรจะนับได้ว่าสามารถไปถึงระดับจ้าวเทพได้ ใช้การประเมินของผู้บำเพ็ญบ้านเกิด… นี่ก็นับได้ว่าเป็นตำราขั้นสุดยอดศาสตร์หนึ่งแล้ว

อีกทั้งการบำเพ็ญในโลกเทพของสายโลหิตบรรพเทวะคละถิ่น และไม่เห็นว่าการบำเพ็ญยากลำบาก อีกทั้งยังจำกัดไว้เพียงแค่ตำราผู้เหินทะยานระดับจ้าวเทพเท่านั้น จึงวางเอาไว้เพียงแค่ชั้นที่สาม

“ปรมาจารย์หิมะเหิน ท่านเลือกได้แล้วหรือขอรับ” ยามรักษาการณ์ผู้หนึ่งเห็นตงป๋อเสวี่ยอิงถือตำราสีเขียวเข้มเล่มหนึ่งเดินมาแล้วก็เอ่ยอย่างกระตือรือร้น

“ใช่แล้ว เล่มนี้แหละ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยื่นออกไป

ยามรักษาการณ์รับมาดูแล้วพูดว่า “ปรมาจารย์หิมะเหินโปรดรอสักครู่ ข้าจะไปหาต้นฉบับสักหน่อย ปรมาจารย์หิมะเหินสามารถทำได้เพียงแค่อ่านต้นฉบับอยู่ภายในหอสะสมคัมภีร์จนจบแล้วก็ต้องส่งคืนนะขอรับ”

“เข้าใจแล้วล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า แต่ในใจของเขากลับคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าตำราศาสตร์นี้จะช่วยเปิดหน้าต่างให้เขาได้เข้าใจโลกแห่งนี้ ช่วยประหยัดเวลาให้เขาได้เป็นอย่างมาก

……………………………………

“จ้าวเทพหิมะเหินผู้นี้มิอาจยั่วยุได้โดยง่าย แต่กลับไม่สามารถอภัยให้เถี่ยเฉิงหลิ่วที่ปล่อยข่าวเท็จได้ง่ายๆ” จ้าวภูเขาค้างคาวสายตาเยียบเย็นแล้วเอ่ยด้วยเสียงหยาบกระด้าง “เจ้าแปด เจ้าไปสักรอบหนึ่ง จับตัวเถี่ยเฉิงหลิ่วมาเสีย”

“ขอรับ พี่ใหญ่ จะปล่อยเจ้าเถี่ยเฉิงหลิ่วผู้นี้ไปมิได้เด็ดขาด บอกว่าจ้าวเทพช่วงต้นยังได้รับบาดเจ็บสาหัสอะไรกัน!” ชายหนุ่มหล่อเหลาคมคายในอาภรณ์ม่วงผู้หนึ่งขบกรามพูด เรื่องนี้พอพูดขึ้นมาแล้วเขาก็ยังมีส่วนรับผิดชอบ ‘ภูเขาค้างคาว’ กลุ่มอิทธิพลนี้ดำเนินการอยู่ที่เมืองจวิ้นซานมาเป็นระยะเวลายาวนาน เรื่องการสังหารปล้นชิงก็ทำมาไม่น้อย คราวนี้เถี่ยเฉิงหลิ่วมาพบและดื่มสุรากับเขาแล้วเอ่ยถึงผู้เหินทะยาน ‘จ้าวเทพหิมะเหิน’ ผู้นี้ขึ้นมา แล้วยังพูดอย่างเป็นตุเป็นตะว่า “จ้าวเทพหิมะเหินผู้นั้นเตร็ดเตร่อยู่ในดินแดนรกร้างเป็นเวลานาน ได้ยินว่าเดิมทีเขามีพลังยุทธ์ระดับจ้าวเทพช่วงกลาง และกำลังได้สมบัติมาครอบครองไม่น้อยในดินแดนรกร้าง แต่ตอนนี้บาดเจ็บสาหัสพลังยุทธ์ลดลงอย่างมหาศาล ไม่เพียงแต่ตกต่ำไปถึงระดับจ้าวเทพช่วงต้นเท่านั้น แต่ในร่างกายยังมีอาการบาดเจ็บสาหัสที่มิอาจขจัดออกไปได้อีกด้วย หึๆ ถ้าหากข้ามีพลังยุทธ์เพียงพอก็จะต้องกำจัดเขาแล้วชิงสมบัติมาทำกำไรงามๆ สักครั้งอย่างแน่นอน”

ดังนั้นเจ้าแปดผู้นี้ก็ดวงตาเป็นประกายในทันใดแล้วรายงานขึ้นไปอย่างรวดเร็ว

อันที่จริงระดับสูงของภูเขาค้างคาวก็ล่วงรู้ว่าเถี่ยเฉิงหลิ่วผู้นั้นคิดจะหลอกใช้ภูเขาค้างคาวกำจัด ‘จ้าวเทพหิมะเหิน’ ผู้นั้น ด้วยเหตุผลที่พวกเขาต่างก็รู้กันดี

ทว่าข่าวคราวเกี่ยวกับ ‘จ้าวเทพหิมะเหิน’ นั้น พวกเขาผ่านการตัดสินใจมาแล้วว่าเป็นเรื่องจริง!

หลังจากที่พวกเขาตรวจสอบแล้ว…ก็ได้รู้ว่าพ่อบ้านอวิ๋นเคยใช้ ‘ดวงตาทิพย์แสงมรกต’ ตรวจสอบมาก่อนแล้ว พวกเขาต่างก็มีความเชื่อมั่นในดวงตาทิพย์แสงมรกตกันเป็นอย่างยิ่ง! ถึงขนาดที่เพื่อผลสำเร็จในการเคลื่อนไหว คราวนี้ไม่เพียงแต่ ‘เจ้าห้าและเจ้าเก้า’ เท่านั้นที่เคลื่อนไหว แม้กระทั่งผู้ที่เป็นจ้าวเทพช่วงกลางอย่าง ‘เจ้าสาม’ ก็ยังถูกส่งตัวไปด้วย! ก็ควรจะมีความมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง จะคิดเสียที่ไหนกันว่า ‘จ้าวเทพหิมะเหิน’ ผู้นี้ไม่เพียงแต่ไม่ได้รับบาดเจ็บเท่านั้น แต่พลังยุทธ์ยังดูเหมือนเกินกว่าที่จะจินตนาการได้อีกด้วย

แม้กระทั่ง ‘จ้าวภูเขาค้างคาว’ ที่พลังยุทธ์จัดอยู่ในสิบอันดับแรกของเมืองจวิ้นซานก็ยังต้องตกตะลึงตาค้าง

……

ภายในเรือนพักอันสามัญธรรมดาแห่งหนึ่ง

‘เถี่ยเฉิงหลิ่ว’ ผู้มีร่างกายสูงใหญ่นั่งดื่มสุราอยู่ที่นั่นตามลำพังด้วยสายตาเยียบเย็น

นับตั้งแต่หลังจากอุบัติเหตุในครั้งนั้นแล้วเขาก็เปลี่ยนเป็นเยียบเย็นและบ้าคลั่ง! ความนิยมก็ย่อมลดน้อยถอยลงไปเป็นธรรมดา

“ผู้เหินทะยาน ผู้เหินทะยานล้วนสมควรตาย สมควรตายกันทั้งสิ้น” เถี่ยเฉิงหลิ่วเอ่ยเสียงต่ำ “อาศัยอะไรกัน อาศัยอะไรกันผู้เหินทะยานจึงสมควรจะถูกมองด้วยสายตาที่แตกต่างไป หึๆ ด้วยวิธีการจัดการเรื่องราวของภูเขาค้างคาว เกรงว่าไม่กี่วันนี้ก็คงมีบทสรุปแล้วกระมัง”

เถี่ยเฉิงหลิ่วดื่มสุราอยู่ที่นั่นแล้วดูคล้ายว่าจะระลึกสิ่งใดขึ้นมาได้

สายตาก็ทวีความบ้าคลั่งมากยิ่งขึ้น

ทันใดนั้น…

“ปัง”

ลำแสงสีม่วงสายหนึ่งก็ตกลงมาภายในลานบ้านในทันใด แล้วแปรเปลี่ยนเป็นชายหนุ่มหล่อเหลาคมคายในอาภรณ์ม่วง เถี่ยเฉิงหลิ่วที่นั่งดื่มสุราอยู่เงยหน้าขึ้นมอง เมื่อเห็นชายหนุ่มหล่อเหลาแล้วสีหน้าก็ไม่น่าดู หัวใจอดที่จะขมวดแน่นคราหนึ่งมิได้ เมื่อได้เห็นเหตุการณ์แล้วก็เอ่ยว่า “น้องเซวี่ย”

“เพราะคนหน้าโง่อย่างเจ้า พวกพี่สามจึงเคราะห์ร้ายกันหมด” ชายหนุ่มหล่อเหลาคมคายในอาภรณ์ม่วงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพูด แต่เขากลับลืมไปเสียแล้วว่าเหตุผลที่พวกเขาลงมือนั้นก็เพราะเห็นแก่ทรัพย์สินที่ ‘จ้าวเทพหิมะเหิน’ ได้มาตอนบุกฝ่าดินแดนรกร้างตามลำพัง และเห็นว่าขณะนี้จ้าวเทพหิมะเหินพลังยุทธ์อ่อนแอลง! ถึงอย่างไรสามารถบุกฝ่าดินแดนรกร้างได้เป็นระยะเวลายาวนาน มูลค่าของสิ่งที่ได้รับมาก็ย่อมสูงเป็นอย่างยิ่งอยู่แล้ว

ดินแดนรกร้าง ถึงแม้ว่าจะอันตราย แต่ซากสัตว์ถิ่นร้างเหล่านั้นก็สูงค่ามากพอแล้ว

“อะไรนะ” เถี่ยเฉิงหลิ่วสีหน้าแปรเปลี่ยน

“ตามข้ามาเถิด ไปพบพี่ใหญ่ของข้า” ชายหนุ่มหล่อเหลาคมคายในอาภรณ์ม่วงเดินก้าวยาวๆ ตรงเข้ามา

“พรึ่บ!”

เถี่ยเฉิงหลิ่วหลบหนีโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย พบจ้าวภูเขาค้างคาวอย่างนั้นหรือ เขาก็สามารถคาดเดาผลลัพธ์ได้แล้ว

ชายหนุ่มหล่อเหลาคมคายในอาภรณ์ม่วงยิ้มเย็นอย่างอำมหิต เขาโบกมือขวาคราหนึ่ง ฝ่ามือก็ระเบิดลำแสงสีม่วงจำนวนมากออกมา ลำแสงสีม่วงบิดเบือนได้ตามใจปรารถนาแล้วพุ่งเข้าใส่เถี่ยเฉิงหลิ่วที่กำลังหลบหนีอย่างรวดเร็ว ห่อหุ้มพันธนาการเถี่ยเฉิงหลิ่วเอาไว้อย่างแน่นหนา

ถึงแม้ว่าพวกเขาสองคน คนหนึ่งจะเป็นแม่ทัพเทพช่วงสุดยอด อีกคนหนึ่งเป็นจ้าวเทพช่วงต้น

ก็ดูเหมือนว่าจะต่างกันอยู่เพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น

แต่ว่า…

แม่ทัพเทพ จ้าวเทพ และจักรพรรดิเทพ ทุกครั้งที่ก้าวข้ามระดับขั้นใหญ่ ความแตกต่างของพลังยุทธ์ก็จะเห็นได้ชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะประชากรโลกเทพของพวกเขา บำเพ็ญสายโลหิตบรรพเทวะคละถิ่น ก้าวข้ามระดับขั้นใหญ่ ก็จะทำให้เขามีการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพเกิดขึ้นได้

******

ตระกูลอวี้เฟิงแห่งเมืองจวิ้นซาน ตระกูลอวี้เฟิงมีอาณาเขตหลายหมื่นลี้ ด้วยสภาพแวดล้อมพิเศษของโลกเทพ อาณาเขตของตระกูลแห่งหนึ่งสามารถใหญ่โตถึงเพียงนี้ได้ ก็สามารถเห็นถึงอิทธิพลได้แล้ว

ขุมอำนาจน้อยใหญ่ทั่วทั้งเมืองจวิ้นซาน ถึงแม้ว่าจะมีสงครามภายในอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อเผชิญหน้ากับตระกูลอวี้เฟิงแล้วกลับยอมสวามิภักดิ์อย่างว่าง่าย! อย่างเช่น ‘ปรมาจารย์ด้านการบำเพ็ญ’ อย่างตงป๋อเสวี่ยอิงและจ้าวภูเขาค้างคาว หรืออย่างบรรดาพลทหารกองทัพเช่นเถี่ยเฉิงหลิ่ว ล้วนมิอาจนับได้ว่าเป็นแกนหลักของตระกูลอวี้เฟิง สานุศิษย์สกุลอวี้เฟิงและข้ารับใช้เก่าแก่จำนวนหนึ่งที่จงรักภักดีอย่างพ่อบ้านอวิ๋นจึงจะเป็นผู้ที่ตระกูลอวี้เฟิงเชื่อใจ

“โครม…”

ณ ตระกูลอวี้เฟิง ที่ยอดเขาสูงสิบลี้เศษแห่งหนึ่ง ประตูศิลาเปิดออกเสียงดังโครมคราม

เงาร่างสองสายยืนอยู่ที่ด้านนอกประตูศิลา

คนหนึ่งคือ ‘อวี้เฟิงเหลย’ นายน้อยแห่งตระกูลอวี้เฟิง สถานะของเขาภายในตระกูลเป็นรองเพียงแค่บิดาของเขาเท่านั้น ส่วนอีกคนหนึ่งก็คือพ่อบ้านอวิ๋นนั่นเอง สถานะของพ่อบ้านอวิ๋นภายในตระกูลอวี้เฟิงนั้นถึงแม้ว่าจะสูงส่งเช่นเดียวกัน แต่แม้กระทั่งในบรรดาพ่อบ้านมากมายเขาก็จัดเป็นเพียงแค่ลำดับสามเท่านั้น สามารถมีสิทธิ์มาต้อนรับ ‘เจ้าของบ้าน’ อยู่ที่นี่พร้อมกับนายน้อยได้ กลับเป็นเพราะเหตุผลอื่นต่างหาก

ประตูศิลาผลักเปิดออก ผู้ที่เดินออกไปจากข้างในก็คือชายวัยกลางคนผมสีดอกเลาคนหนึ่ง เขาก้าวเดินเข้ามาก็ทำให้อวี้เฟิงเหลยและพ่อบ้านอวิ๋นต่างพากันโค้งกายลงทำความเคารพโดยไม่รู้ตัว

“ท่านพ่อ” อวี้เฟิงเหลยค้อมกายพูด

“นายท่าน” พ่อบ้านอวิ๋นก็ค้อมกายเอ่ยขึ้นเช่นกัน

บุคคลตรงหน้าผู้นี้ก็คือผู้ปกครองของทั่วทั้งเมืองจวิ้นซาน! ‘อวี้เฟิงจวิ้นซาน’ ซึ่งเป็นผู้ปกครองที่สูงส่งที่สุดอย่างไร้ข้อโต้แย้ง!

อวี้เฟิงจวิ้นซานพยักหน้าเบาๆ แล้วหันหน้ามองไปทางพ่อบ้านอวิ๋น “คราวนี้เจ้ามุ่งหน้าไปยัง ‘เมืองรุ่งอรุณ’ ผลลัพธ์เป็นเช่นไรบ้างเล่า”

พ่อบ้านอวิ๋นเอ่ยด้วยความเคารพนบนอบว่า “เจ้านายขอรับ ของกำนัลล้วนถูกส่งกลับมาจนหมดสิ้น เจ้าสำนักรุ่งอรุณมิปรารถนาจะรับคุณหนูสามเป็นศิษย์ขอรับ”

อวี้เฟิงจวิ้นซานได้ฟังแล้วม่านตาก็หดลงเล็กน้อย กล้ามเนื้อตรงมุมตาก็บิดเกร็ง เขาเอ่ยเสียงต่ำเบาว่า “เจ้าสำนักรุ่งอรุณนั้นด้วยพลังยุทธ์ของเขาแล้วก็มิใช่เรื่องอย่างสำหรับเขาเลย แต่เขากลับปฏิเสธเสียนี่”

เขาเข้าใจดี

เจ้าสำนักรุ่งอรุณไม่อยากข้องเกี่ยวกับน้ำขุ่นนี้

“ท่านพ่อ ต่อให้อาศัยเมืองจวิ้นซานของพวกเราเอง ข้าก็ไม่เชื่อว่าจะเทียบกับ ‘สมาคมจิตมาร’ นั่นมิได้หรอกนะขอรับ” สายฟ้าปรากฏในดวงตาของอวี้เฟิงเหลย อากาศรอบๆ ดวงตาก็ส่งเสียงเปรี้ยงๆๆ มีสายฟ้าแลบแปลบปลาบ

“พลังยุทธ์ของโจรเฒ่าจิตมารก้าวหน้าเป็นอย่างมาก สามารถถูก ‘เผ่าจิตฟ้า’ กำหนดให้เป็นลำดับที่เก้าร้อยแปดสิบเจ็ดใน ‘บัญชีรายนามจักรพรรดิเทพ’ ได้ ถึงแม้ว่าจะอยู่รั้งท้าย แต่อย่างน้อยก็สามารถเข้าไปอยู่ในบัญชีรายนามได้” อวี้เฟิงจวิ้นซานส่ายหน้าพูดขึ้น “ถึงแม้ว่าท่านพ่อจะไม่อยากเชื่อ แต่เรื่องจริงก็คือพลังยุทธ์ของโจรเฒ่าจิตมารเหนือชั้นกว่าพวกเราอยู่มากนัก อีกทั้งยังครองความได้เปรียบด้านภูมิประเทศของเมืองจวิ้นซานอีกด้วย เกรงว่าคงเอาชนะโจรเฒ่าจิตมารมิได้หรอกขอรับ”

บัญชีรายนามจักรพรรดิเทพบันทึกรายนามจักรพรรดิเทพที่น่าหวั่นเกรงหนึ่งพันท่านทั่วทั้งโลกเทพเอาไว้

ด้วยความกว้างใหญ่ของโลกเทพก็มีขุมอำนาจเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน ผู้ที่สามารถจัดอยู่ในหนึ่งพันอันดับแรกได้นั้น… แต่ละคนก็ต้องเป็นเจ้าในด้านใดด้านหนึ่ง

“เผ่าจิตฟ้าก็คือหนึ่งในสามเผ่าราชันย์ การประเมินของพวกเขาก็ย่อมไม่มีทางผิดพลาดอย่างแน่นอนอยู่แล้ว” อวี้เฟิงจวิ้นซานแววตาเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง “ตอนนั้นข้าก่อความบาดหมางกับโจรเฒ่าจิตมารเอาไว้ ด้วยอุปนิสัยของโจรเฒ่าจิตมารก็ย่อมไม่มีทางปล่อยไปอย่างแน่นอน ตอนนี้พลังยุทธ์ของเขาก้าวหน้าขึ้นเป็นอย่างมาก เพียงแค่ยังมิได้เตรียมตัวอย่างเต็มที่เท่านั้น ถึงอย่างไรเขาก็ไม่คิดจะเสียสละที่เมืองจวิ้นซานของเรามากเกินไปนักอยู่แล้ว และตอนที่พวกเขาลงมือก็คือตอนที่เตรียมตัวอย่างเต็มที่แล้ว!”

“ท่านพ่อ อาศัยความได้เปรียบด้านภูมิประเทศของเมืองจวิ้นซาน พวกเขาก็คงมิอาจจัดการกับตระกูลอวี้เฟิงของเราได้อย่างง่ายๆ หรอกขอรับ” อวี้เฟิงเหลยก็หายใจถี่กระชั้นอย่างเห็นได้ชัด

“อย่าได้วิตกกังวลไปเลย”

อวี้เฟิงจวิ้นซานเอ่ยปาก “พ่อบ้านอวิ๋น เจ้าออกไปกับจิ่นเอ๋อร์รอบหนึ่ง มุ่งหน้าไปยังเมืองไม้บูรพา! คุณชายเก้าแห่งเมืองไม้บูรพามายังเมืองจวิ้นซานของพวกเราในตอนนั้นก็เคยมีใจให้กับชิงอินอยู่บ้าง ไปคราวนี้… ดูว่าจะสามารถสานต่อเรื่องมงคลของชิงอินกับคุณชายเก้าเมืองไม้บูรพา ได้หรือไม่ เพียงแค่เมืองไม้บูรพาเกี่ยวข้องด้วย เจ้าเมืองไม้บูรพามีสถานะอันทรงเกียรติ ให้เขาไกล่เกลี่ยเรื่องนี้ให้ก็ย่อมง่ายดายเป็นอย่างยิ่ง”

“คุณชายเก้าเมืองไม้บูรพาหรือ” อวี้เฟิงเหลยเผยสีหน้ากระวนกระวายออกมา “ท่านพ่อ หรือว่าต้องการจะให้น้องหญิงแต่งงานให้เขาจริงๆ หรือขอรับ…”

แต่งออกไปก็เป็นเนื้อเข้าปากเสืออย่างแท้จริง

ต่อให้น้องสาวจะน่าอนาถยิ่งกว่านี้ พวกเขาเมืองจวิ้นซานก็ยังไม่กล้าท้าทายเมืองไม้บูรพาอยู่ดี

“คุณชายเก้าชื่อเสียงไม่ใคร่จะดีนัก แต่ในขณะนี้ผู้ที่สามารถช่วยเหลือเมืองจวิ้นซานของเราได้ก็มีเพียงแค่เขาเท่านั้น” อวี้เฟิงจวิ้นซานเอ่ยเสียงเย็น “เพื่อทั้งตระกูลอวี้เฟิง ชิงอินต้องเข้าใจเป็นแน่”

อวี้เฟิงเหลยเงียบงันไปเสียแล้ว

ใช่แล้ว

‘โจรเฒ่าจิตมาร’ มีชื่ออยู่ในบัญชีรายนามจักรพรรดิเทพ แล้วในขณะนี้ผู้ใดจะสามารถช่วยเหลือพวกเขาได้เล่า อวี้เฟิงจวิ้นซานคุ้นเคยอยู่เล็กน้อย ส่วนใหญ่ก็อยู่ในระดับเดียวกันกับอวี้เฟิงจวิ้นซาน แม้กระทั่งผู้ที่พลังยุทธ์สูงกว่าอีกขั้นหนึ่งก็ยังไม่อยากจะเป็นอริกับโจรเฒ่าจิตมารเลย ผู้ที่สามารถต่อกรได้อย่างค่อนข้างสบายจริงๆ ก็มีเพียงแค่ ‘เจ้าสำนักรุ่งอรุณ’ เท่านั้น น่าเสียดายที่เจ้าสำนักรุ่งอรุณไม่อยากช่วยเหลือ

สำหรับเจ้าเมืองไม้บูรพาน่ะหรือ

สถานะสูงกว่าก็จริง แต่น่าเสียดายที่อวี้เฟิงจวิ้นซานไม่มีสิทธิ์ติดต่อกับบุคคลระดับนี้ได้ มีเพียงแค่คุณชายเก้าเมืองไม้บูรพาผู้นั้นเท่านั้นที่เคยผ่านทางมายังเมืองจวิ้นซานยามที่ท่องเที่ยว

“เรื่องนี้ก็จัดการเช่นนี้ก็แล้วกัน” อวี้เฟิงจวิ้นซานเข้าใจ ตอนนี้มีเพียงแค่ทางฝ่ายพวกเขานี้เท่านั้นที่ร้อนรน ไม่ได้ล่วงรู้ถึงความคิดของทางด้านเมืองไม้บูรพานั้นเลย! ตอนนี้ก็ได้แต่ผูกสัมพันธ์กับคุณชายเก้าเท่านั้นจึงจะนับได้ว่าไม่เลว ส่ง ‘อวี้เฟิงจิ่น’ บุตรชายคนรองของตนไปเจรจา พูดเกริ่นเอาไว้ก่อนแล้ว ถ้าหากมีความเป็นไปได้ เกรงว่าอวี้เฟิงจวิ้นซานยังต้องไปคารวะเจ้าเมืองไม้บูรพาผู้นั้นด้วยตนเองด้วย!

“ใช่แล้ว ช่วงเวลาที่ข้าปลีกวิเวกนี้ในเมืองเป็นอย่างไรบ้างเล่า” อวี้เฟิงจวิ้นซานเอ่ยปากพูด

อวี้เฟิงเหลยพูดว่า “ในเมืองก็ยังนับได้ว่าสงบเรียบร้อยดี แต่มีผู้เหินทะยานท่านหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘จ้าวเทพหิมะเหิน’ มาถึงยังเมืองจวิ้นซานของพวกเรา เป็นน้องหญิงสามช่วยเขากลับมา ข้าให้เขารับหน้าที่เป็นปรมาจารย์ด้านการบำเพ็ญของสกุลอวี้เฟิงเราชั่วคราวก่อน เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ภูเขาค้างคาวมีจ้าวเทพสามท่านหมายจะลอบสังหารจ้าวเทพหิมะเหินท่านนี้ แต่ในที่สุดกลับตกอยู่ในกำมือเขาแทน”

…………………………………..

“ทำลายให้ข้าเดี๋ยวนี้!!!” บุรุษอาภรณ์เขียวร่างกำยำดิ้นรนอย่างสิ้นหวัง เขาถึงขั้นเกิดความรู้สึกขึ้นมารางๆ ว่า เขากำแหงมาตลอดคืนวันอันยาวนานจนถึงบัดนี้ คงจะต้องสะดุดลงที่ค่ำคืนนี้เสียแล้ว

การโจมตีอย่างสุดกำลังของบุรุษอาภรณ์เขียวร่างกำยำนี้ ก็มีอานุภาพไม่ธรรมดา ถึงขั้นมีการคุ้มกายแฝงไว้ด้วย ขณะเดียวกับที่มีดโค้งฟันลงไปอย่างบ้าคลั่งนั้น ประกายมีดอันไร้รูปร่างก็ปกป้องทั่วทั้งร่าง หมายจะพุ่งออกจากโลกจุดดำที่ระเบิดออกนี้

แต่กระบวนท่านี้ของตงป๋อเสวี่ยอิง

เป็นการระเบิดของอากาศที่หดตัวลงจนถึงขีดสุด เป็นแรงระเบิดรอบด้าน ประกายมีดอันไร้รูปร่างของบุรุษอาภรณ์เขียวร่างกำยำก็ต้านทานเอาไว้มิได้ มีดโค้งในมือเขาก็ยิ่งทำได้เพียงสกัดกั้นเพียงบางทิศเท่านั้น กายหยาบเริ่มระเบิดออกท่ามกลางการระเบิด

“ตู้ม”

“ข้าพุ่งออกมาแล้ว!”

เลือดเนื้อบางส่วนพุ่งออกมาตามมีดโค้งสีแดงโลหิต เลือดเนื้อเหล่านี้บิดเบี้ยวหมายจะรวมตัวกันขึ้นมาเป็นร่างคนอีกครั้ง

แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับแทงออกไปอีกหอกหนึ่งอย่างเยียบเย็น เป็นกระบวนท่าแบบเดียวกัน ไม่ไว้น้ำใจเลยแม้แต่น้อย! อันที่จริงที่เขาสำแดงกระบวนท่านี้ออกไป ก็เพราะนี่คือกระบวนท่าซึ่งมีอานุภาพมากที่สุดที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถสำแดงออกมาได้ในขณะนี้แล้ว! ช่วยไม่ได้ เพราะความเร้นลับมากมายมิอาจใช้ได้ เมื่อประสบกับการปะทะของโลกใบนี้ เขาก็ทำได้เพียงสำแดงกระบวนท่าบางส่วนออกมาเท่านั้น

ทั้งที่มีอานุภาพยิ่งใหญ่ ทั้งหนีเอาชีวิตรอด และที่ใช้รับมือการโจมตีแบบหมู่นั้น…

หลังจากผลักดันหลายกระบวนท่าอย่างง่ายๆ แล้ว เขาก็ค้นคว้าฝึกกายคละถิ่นเป็นหลัก! เนื่องจากขอเพียงร่างกายยิ่งแข็งแกร่งขึ้น อานุภาพของกระบวนท่าที่สำแดงออกมาก็ย่อมสามารถยกระดับขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

“ปัง”

ภายใต้หอกที่สองของบุรุษอาภรณ์เขียวร่างกำยำนี้ ก็สลายไปในทันที

แม้เขาจะเป็น ‘จ้าวเทพช่วงกลาง’ หากพูดถึงพลังของกการห้ำหั่นซึ่งหน้าแล้วก็ยังเหนือกว่าเจ้าเก้าเสียอีก! แต่ร่างกายและความสามารถในการรักษาชีวิตของเขากลับด้อยกว่าขุมหนึ่ง เมื่อเผชิญหน้ากับวิถีหอกอันน่าหวาดหวั่นของตงป๋อเสวี่ยอิง ร่างกายก็ต้องแข็งแกร่ง เขาย่อมน่าอนาถกว่า ‘เจ้าเก้า’ ผู้นั้นมากทีเดียว

“ยังมีคนสุดท้าย” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองออกไปนอกลาน

สตรีอาภรณ์สีแดงผู้นั้นกลับหนีออกไปแล้ว

“หนีพ้นรึ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงพลันกลายร่างเป็นเส้นสายเล็กละเอียดทะลุผ่านลานของตนออกไปไล่สังหารทันที

……

จนถึงบัดนี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงยังไม่พบผู้ใดที่สามารถเคลื่อนที่ในพริบตาในโลกใบนี้ได้! เขาเองก็มิได้ค้นคว้าต่อ แต่ก็มีข้อดีเช่นกัน ก็คือหากศัตรูคิดจะหนีขึ้นมาน่ะหรือ ก็เป็นเรื่องยากมากทีเดียว

แม้สตรีอาภรณ์สีแดงซึ่งจัดเป็น ‘เจ้าห้า’ ซึ่งอยู่ไกลที่สุดเพราะรับหน้าที่สำแดงหมอกพิษและแมลงพิษจะหนีออกไปนอกลานก่อนใครเมื่อเห็นท่าไม่ดี แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงสังหารบุรุษอาภรณ์เขียวร่างกำยำซึ่งเป็นจ้าวเทพช่วงกลางได้รวดเร็วยิ่งนัก แค่แทงหอกออกไปเพียงสองครั้งเท่านั้น เวลาน้อยนิดเท่านี้ สตรีอาภรณ์สีแดงหนีไปได้ไม่ไกลสักเท่าใดนัก

“แกร่งเกินไปแล้ว”

“น่ากลัวเกินไปแล้ว! เหตุใดวิถีหอกของเขาจึงน่ากลัวถึงเพียงนี้ได้ ร่างกายของเจ้าเก้าประหนึ่งอาวุธเทพ แต่กลับถูกทำลายไปด้วยการแทงหอกสามครั้งอย่างนั้นหรือ” สตรีอาภรณ์สีแดงหวาดหวั่นใจเหลือแสน ร่างกายของเจ้าเก้ายังแข็งแกร่งกว่าจ้าวเทพช่วงกลางจำนวนมากเสียอีก หากนางไปแล้วล่ะก็ เกรงว่าคงจะต้านทานไม่ได้แม้แต่หอกเดียว

“ไม่ดีแล้ว”

สตรีอาภรณ์สีแดงค้นพบแล้วว่า

เส้นสายเล็กละเอียดสายหนึ่งด้านหลังทะลุฟ้ามาอย่างรวดเร็วเสียจนน่าตกใจ

“ไล่ตามมาแล้ว!” สตรีอาภรณ์สีแดงตกใจใหญ่ “พี่ใหญ่ ไยท่านจึงยังไม่มาอีก ยังไม่มาอีก!!!”

ตอนที่ตัดสินใจหนีนั้น นางและ ‘พี่สาม’ ก็ได้ขอความช่วยเหลือแล้ว!

แต่พวกพี่ใหญ่เร่งตรงมาจากรัง ก็เกรงว่าต้องใช้เวลาชั่วจอกชาหนึ่ง เวลายาวนานถึงเพียงนี้…ไหนเลยจะมาช่วยพวกเขาได้ทันกาล

“ไว้ชีวิตด้วยๆ จ้าวเทพหิมะเหิน ไว้ชีวิตพวกเราด้วย” สตรีอาภรณ์สีแดงผู้นี้รีบถ่ายเสียงร้องขอชีวิต นางหยุดลงแล้วหันไปมองด้วยท่าทางน่าสงสาร

สตรีผู้งดงามวิงวอนอย่างน่าสงสาร

ตงป๋อเสวี่ยอิงจะทำเช่นนี้ลงหรือ

“ขอชีวิตรึ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงพลิกมือเก็บหอกยาวลงไป ภาพนี้ทำให้สตรีอาภรณ์สีแดงถอนหายใจออกมา “เก็บหอกยาวแล้วหรือ เห็นทีเขาคงจะไม่สังหารข้าแล้ว”

แต่หลังจากนั้นติดๆ มือขวาของเขาก็ยื่นออกมา!

มือขวาปกคลุมเข้ามา อากาศอันไร้รูปร่างโอบล้อมสตรีอาภรณ์สีแดงเอาไว้แล้วกดดันอย่างรวดเร็ว สตรีอาภรณ์สีแดงมองดูอากาศรอบกายถล่มลงไป ตัวนางเองก็หดเล็กลงไปตาม ฝ่ามือข้างนั้นของตงป๋อเสวี่ยอิงขยายใหญ่ขึ้นในสายตาของนาง สิ่งก่อสร้างรอบด้านก็กลายเป็นสูงตระหง่านหาใดเปรียบ

“ฟิ้ว” มือหนึ่งคว้าลูกกลมห้วงอากาศเอาไว้ ลูกกลมเล็กจิ๋วนี้ใหญ่ราวนิ้วมือหนึ่ง มันวางอยู่กลางฝ่ามือ

สวบ

ตงป๋อเสวี่ยอิงกลายร่างเป็นเส้นสายเล็กละเอียดสายหนึ่งแล้วกลับไปอย่างรวดเร็ว “ช้าเกินไปแล้วจริงๆ แรงดึงดูดของโลกใบนี้มากเกินไปแล้ว ต่อให้เป็นข้า ความเร็วในการเหินทะยานก็ช้าเสียยิ่งกว่าช้า เมืองจวิ้นซานแห่งนี้ไม่นับว่าใหญ่โตสักเท่าใดนัก แต่จะทะลุลงมาก็เกรงว่าคงต้องใช้เวลาครู่หนึ่ง”

ภายในจวนของตน

ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องพลางคีบลูกกลมห้วงอากาศลูกหนึ่งเอาไว้ในมือ ภายในลูกกลมห้วงอากาศก็คือ ‘สตรีอาภรณ์สีแดง’ ผู้นั้นนั่นเอง ยามนี้สตรีอาภรณ์สีแดงกลับหลับใหลโดยไม่มีแรงต้านทานเลยแม้แต่น้อย

เนื่องจากตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงเคล็ดลับเขตลวงโลกเทียมออกมา สตรีอาภรณ์สีแดงผู้นี้จึงไม่มีแรงต้านทานเลยแม้แต่น้อย และจมจ่อมลงไปทันที ตงป๋อเสวี่ยอิงอาศัยจังหวะนี้ก็สามารถพลิกความทรงจำของนางได้อย่างง่ายดาย

“ที่แท้แล้วเป็นเช่นนี้เอง”

“ภายในโลกเทพแห่งนี้ ผู้ที่มีสถานะสูงส่งที่สุดก็คือสามตระกูลราชันย์อย่างนั้นหรือ” จวบจนวันนี้ จึงนับได้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจอย่างแท้จริง

ก่อนหน้านี้ที่เขาได้พูดคุยกับทหารคุ้มกันบนเรือใหญ่เหล่านั้น ก็แค่ได้รับข้อมูลยิบย่อยเท่านั้น

ยามนี้เมื่อพลิกความทรงจำดู กลับเข้าใจแจ่มแจ้งทั้งหมด

โลกเทพ…

ตามตำนาน ถูกสร้างขึ้นโดยบรรพเทวะคละถิ่นสามท่าน

บรรพเทวะคละถิ่นทั้งสามท่านได้ทิ้งสายเลือดโดยตรงเอาไว้ ซึ่งก็คือสามตระกูลราชันย์! สามตระกูลราชันย์เองแข็งแกร่งหาใดเปรียบ เบื้องหลังยังมีท่านบรรพชนผู้ลึกล้ำเกินหยั่งอย่างบรรพเทวะคละถิ่นอยู่ด้วย! แน่นอนว่าขุมอำนาจแต่ละฝ่ายทั่วทั้งโลกเทพล้วนแต่คร้ามเกรงสามตระกูลราชันย์เป็นอันมากด้วยกันทั้งสิ้น

นอกจากนี้แล้ว

โลกเทพกว้างใหญ่ไพศาล มีขุมอำนาจมากมาย แก่งแย่งชิงดีกัน

สามตระกูลราชันย์เหนือกว่าใคร พวกเขาชายตามองขุมอำนาจต่างๆ ต่อสู้แย่งชิงกัน!

‘ตระกูลจวิ้นซานอวี้เฟิง’ ก็คือหนึ่งในขุมอำนาจจำนวนมากทั่วทั้งโลกเทพ ในโลกเทพ ชาวบ้านดั้งเดิมของโลกเทพอยู่ในตำแหน่งปกครองอย่างเด็ดขาด เมื่อเทียบกันแล้วผู้เหินทะยานก็น้อยกว่ามากทีเดียว ขุมอำนาจก็เบาบางกว่ามาก มีหลายแห่งที่เข้าร่วมกับขุมอำนาจท้องถิ่น

“บรรพเทวะคละถิ่นทั้งสามท่านรังสรรค์โลกใบนี้ขึ้นมาหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงใจสั่น “สามารถสร้างโลกเช่นนี้ขึ้นมาได้ จะต้องเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นอย่างไร้ข้อกังขา และคงจะเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่แข็งแกร่งมากอีกด้วย!”

นอกจากนี้

ทั้งสามท่านนี้ยังมีชีวิตอยู่ด้วย! เบื้องหลังของสามตระกูลราชันย์แต่ละตระกูลล้วนแต่มีบรรพเทวะคละถิ่นอยู่คนหนึ่ง

“หยวนให้ข้าและคนอื่นๆ มาที่นี่เพื่อขัดเกลาอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบอ้าปากค้าง

“ช่างเถิด สามตระกูลราชันย์มีสถานะเหนือธรรมดา เกรงว่าโดยทั่วไปแล้วข้าคงจะแตะต้องไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ‘บรรพเทวะคละถิ่น’ ที่แทบจะเป็นตำนานเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบโจมตี สถานะของบรรพเทวะคละถิ่นพิเศษยิ่งนัก ชาวโลกเทพทั้งหลายล้วนมีสายเลือดของบรรพเทวะคละถิ่น เห็นได้ชัดว่าเมื่อผ่านคืนวันอันยาวนาน หากไล่ย้อนต้นกำเนิดของชาวโลกเทพไม่ว่าคนใด ก็สามารถสืบย้อนไปถึงบรรพเทวะคละถิ่นได้

มีเพียงผู้เหินทะยานเท่านั้นที่ไม่มีสายเลือดบรรพเทวะคละถิ่นอยู่ในกาย!

“ผู้ที่ลอบโจมตีข้าในครั้งนี้ก็คือขุมอำนาจภายในเมืองจวิ้นซานที่มีชื่อว่า ‘ภูเขาค้างคาว’ อย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ

ภูเขาค้างคาวมีพื้นฐานลึกล้ำอย่างยิ่งในเมืองจวิ้นซาน

จ้าวภูเขาค้างคาวเป็นยอดฝีมือระดับจ้าวเทพขั้นสุดยอด และเป็นหนึ่งในปรมาจารย์ด้านการบำเพ็ญของ ‘สกุลจวิ้นซานอวี้เฟิง’! เพราะถึงอย่างไรเจ้าเมืองจวิ้นซาน…ก็มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น คือสกุลอวี้เฟิงแห่งเมืองจวิ้นซาน! ขุมอำนาจแต่ละฝ่ายล้วนสยบให้กับสกุลจวิ้นซานอวี้เฟิงทั้งสิ้น

……

ยามราตรี

ภายในเรือนหลังหนึ่ง มีเงาร่างห้าสายยืนอยู่บนหอ แต่ละคนทอดสายตามองไปยังจวนซึ่งตั้งอยู่ทางทิศหนึ่ง…จวนของตงป๋อเสวี่ยอิงนั่นเอง!

“พี่ใหญ่ พวกเราจะมัวแต่ดูอยู่อย่างนี้โดยไม่เข้าไปหรือ” อีกสี่คนล้วนร้อนใจเหลือประมาณ

“สมควรตาย”

ผู้ที่เป็นหัวหน้าก็คือชายชราหน้าตาอัปลักษณ์ซึ่งมีศีรษะรูปสามเหลี่ยม เขาก็คือ ‘จ้าวภูเขาค้างคาว’ ผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทั้งเมืองจวิ้นซาน หากพูดถึงพลังแล้ว ก็สามารถจัดอยู่ในสิบอันดับแรกของเมืองจวิ้นซานได้!

จ้าวภูเขาค้างคาวจ้องมองจวนที่อยู่ไกลออกไปเขม็งพลางพูดเสียงแหบแห้งว่า “เจ้าสาม เจ้าห้า เจ้าเก้า พวกเขาทั้งสามร่วมมือกันมิใช่แค่ล้มเหลวเท่านั้น แต่ยังหนีไม่รอดสักคน ภายในสองชั่วลมหายใจ พวกเขาก็แทบจะสลายไปจนสิ้น แม้ข้าจะสามารถเอาชนะพวกเขาทั้งสามคนได้อย่างง่ายดาย แต่ก็ไม่มั่นใจว่าจะสามารถทำลายพวกเขาได้ในสองชั่วลมหายใจ

อีกสี่คนเงียบงันไป

ใช่แล้ว

ขณะที่หนีเอาชีวิตรอดนั้น ต่างคนต่างแยกย้ายกันหนีไป! หากไล่ตามไปทางทิศหนึ่ง อีกสองคนที่เหลือก็สามารถหนีไปได้ไกลโขแล้ว

จะสังหารทั้งสามคนก็ไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากนี้ยังทำได้ภายในสองชั่วลมหายใจ คิดๆ ดูแล้วก็ออกจะน่ากลัวอยู่บ้าง

“ดวงตาทิพย์แสงมรกตของพ่อบ้านอวิ๋นไม่เคยมองพลาดเลย” จ้าวภูเขาค้างคาวพูดเสียงต่ำ “ข้าก็รู้ว่าพ่อบ้านอวิ๋นเคยสำรวจผู้เหินทะยานคนนี้มาก่อน และมั่นใจว่ามีพลังเพียงระดับจ้าวเทพช่วงต้นเท่านั้น นอกจากนี้ยังต้องคอยข่มอาการบาดเจ็บสาหัสของร่างกายเอาไว้ด้วย ข้าจึงได้สั่งให้พวกเขาทั้งสามคนลงมือ คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้…พ่อบ้านอวิ๋นจะมองพลาดไปเสียแล้ว”

“พี่ใหญ่ ทำอย่างไรดี”

“พวกเราจะทำอย่างไรต่อไปกันดี” พวกเขาแต่ละคนพากันมองไปทางจ้าวภูเขาค้างคาว

จ้าวภูเขาค้างคาวพูดเสียงเย็นชาว่า “กลับไปกันก่อนเถอะ”

“ขอรับ”

ทั้งสี่คนที่อยู่อีกด้านหนึ่งพากันรับคำสั่ง แม้เมื่อมองอย่างผิวเผินแล้วจะไม่ยอมจำนนอยู่บ้าง แต่ส่วนลึกในใจกลับพากันถอนหายใจออกมา

พวกเขาพากันมารวมตัวอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของจ้าวภูเขาค้างคาว ก็เพราะอำนาจของเขาเท่านั้นเอง ส่วนเรื่องความรู้สึกระหว่างกันลึกล้ำเท่าไหร่น่ะหรือ เป็นแค่เรื่องน่าขันทั้งเพ!

“จ้าวเทพสิ้นใจไปตั้งสามคน เกรงว่าอีกไม่นานท่านเจ้าเมืองก็คงจะทราบข่าวกระมัง ครั้งนี้เสียหน้าครั้งใหญ่จริงๆ ทว่าจ้าวเทพหิมะเหิน ผู้นี้รับมือไม่ได้ง่ายๆ เลย ควรต้องใคร่ครวญให้ดีเสียก่อนว่าควรจะรับมืออย่างไรดี” สายตาของจ้าวภูเขาค้างคาวเย็นชา ตอนนั้นท่านเจ้าเมืองจวิ้นซาน ‘อวี้เฟิงจวิ้นซาน’ ใช้อำนาจบังคับปกครองเมืองจวิ้นซาน จึงกลายเป็นผู้ปกครองสูงสุดของทั้งเมืองจวิ้นซาน จ้าวเทพสิ้นใจไปตั้งสามคน ไหนเลยจะปิดบังท่านเจ้าเมืองได้

………………………………….

ก่อนหน้านี้เขาโดยสารเรือใหญ่มากว่าสองเดือน ตลอดช่วงนั้นก็ได้สนทนากับเหล่าทหารคุ้มกัน ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงพอจะเข้าใจ ‘เมืองจวิ้นซาน’ อยู่บ้าง แม้ภายในเมืองจวิ้นซานแห่งนี้จะมีขุมอำนาจซับซ้อนยุ่งเหยิงไปหมด แต่ ‘ระดับจ้าวเทพ’ ก็นับได้ว่าเป็นยอดฝีมือแล้ว ตนมาจากดินแดนจิตโลกาอันไกลโพ้น เพิ่งจะมาถึงที่นี่สดๆ ร้อนๆ คนที่รู้จักก็มีน้อยยิ่งนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงศัตรูคู่แค้นเลย

ลอบสังหารยอดฝีมือระดับจ้าวเทพหรือ

“ข้าจะดูสิว่าเป็นใครกันแน่” ตงป๋อเสวี่ยอิงยังคงนั่งขัดสมาธิอย่างสงบ เปลือกตาปิดลง

แต่ยามนี้ บนถนนนอกลาน เงาร่างสามสายเร้นกายท่ามกลางความว่างเปล่าแล้วมาถึงที่นี่อย่างเงียบเชียบ ยอดฝีมือทั้งสามคนนี้มองดูลานตรงหน้า นัยน์ตาฉายแววอาฆาต

“ไม่ผิดกระมัง”

“วางใจเถิด เป็นที่นี่แหละ! ผู้เหินทะยานคนนั้นพำนักอยู่ที่นี่”

“เจ้าห้า เจ้าเก้า ตามแผนเจ้าห้าจะต้องสำแดงบริเวณออกมา ส่วนเจ้าเก้าก็ลอบสังหาร จะให้ดีที่สุดก็คือสังหารได้ในกระบวนท่าเดียว แม้จะฆ่าไม่ตาย ข้าก็จะตามไปสังหารเขาติดๆ” บุรุษอาภรณ์เขียวร่างกำยำซึ่งมีร่างกายสูงใหญ่ที่สุดในนั้นถ่ายเสียงพูด

“พี่สาม! ท่านวางใจเถิด ข้ากับเจ้าห้าร่วมมือกันก็เพียงพอแล้ว”

“พี่สาม คอยดูพวกเราเถิด”

คนตัวผอมเล็กอีกสองคนมั่นใจมาก พวกเขาทั้งสองร่วมมือกันมากมายเกินไปแล้ว

พวกเขาทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง

สวบ สวบ!

พวกเขากะพริบวาบพร้อมกันแล้วเข้ามาในจวนของตงป๋อเสวี่ยอิง ชั่วขณะที่เข้ามานั้น พวกเขาทั้งสองก็สำแดงกระบวนท่าออกมาแล้ว

“ฟิ้วๆๆ” หนึ่งในคนตัวผอมเล็กก็คือสตรีอาภรณ์สีแดง ปากของนางพ่นออกมาเบาๆ ขณะเดียวกันหมอกเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนก็พลันทะลักล้นออกมา แล้วโอบล้อมไปทางห้องเงียบที่ตงป๋อเสวี่ยอิงใช้สำหรับบำเพ็ญแห่งนั้น! ภายใต้การปกคลุมของหมอกสีเขียว ทั้งสิ่งก่อสร้างที่ห้องเงียบแห่งนั้นตั้งอยู่กลายเป็นผุยผงอย่างรวดเร็วเสียงดังฟึ่บๆๆ

“เป็นหมอกพิษที่ร้ายกาจนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องเงียบพลางเลิกคิ้วขึ้นมา รู้สึกแตกตื่นอยู่บ้าง

ต่อให้โลกใบนี้เป็นกรวดหินดินทรายที่หนักอึ้งอย่างยิ่ง ประหนึ่งกรวดหินดินทรายแต่ละชิ้นเกิดจากพลังคละถิ่นรวมตัวกัน แรงดึงดูดก็ยิ่งใหญ่เสียจนเกินจริง ทำให้ลูกหลงจากการต่อสู้ลดขอบเขตลงเป็นอันมาก เนื่องจากเดิมทีวัตถุก็มั่นคงและหนักอึ้งอย่างยิ่งอยู่แล้ว บวกกับเคล็ดลับค่ายกลต่างๆ ที่สร้างจวนแห่งนี้ขึ้นมา คิดจะทำลายกำแพงได้ก็เกรงว่าคงจะต้องมีพลังระดับเทพจักรวาลเลยทีเดียว! จะกัดกร่อนอย่างเงียบเชียบจนกลายเป็นผุยผง ก็ย่อมยากยิ่งเช่นกัน

หมอกพิษกัดกร่อนเข้ามาแล้วชอนไชไปทั่วทุกอณู

อากาศของโลกใบนี้มั่นคงเสียจนน่ากลัว จนถึงบัดนี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงยังมิทันได้เคี่ยวกรำวิธี ‘เคลื่อนที่ในพริบตา’ ออกมาเลย เมื่อเผชิญหน้ากับหมอกพิษพรรค์นี้ ก็ทำได้เพียงสกัดกั้นซึ่งหน้าเท่านั้น! จะหลบก็หลบไม่พ้น!

“เฮอะ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น เพียงแค่นเสียงเฮอะออกมาอย่างเย็นชาคราหนึ่ง รอบด้านพลันมีน้ำวนห้วงอากาศปรากฏขึ้นรายล้อมตงป๋อเสวี่ยอิงทันที และสกัดกั้นหมอกพิษสีเขียวนี้ไว้ภายนอก หมอกพิษกัดกร่อนอย่างบ้าคลั่ง แต่กลับมิอาจทะลุผ่านน้ำวนห้วงอากาศชั้นแล้วชั้นเล่าได้เลย ตงป๋อเสวี่ยอิงที่บำเพ็ญกฎเกณฑ์มาจนถึงระดับนี้ สามารถใช้งานพละกำลังได้อย่างพิสดารจนถึงขั้นน่าเหลือเชื่อเลยทีเดียว หมอกพิษของสตรีอาภรณ์สีแดงซึ่งเป็นเพียง ‘จ้าวเทพช่วงต้น’ ผู้นั้น อาจทำให้จ้าวเทพคนอื่นๆรู้สึกว่ากระบวนท่าที่ชอนไชไปทุกอณูเช่นนี้ยากรับมือ แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับสามารถแก้ไขได้สบายๆ

“หยิ่งผยองเสียจนยังคงนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างนั้นหรือ” คนชุดดำซึ่งจัดเป็น ‘อันดับเก้า’ ลอบโมโหขึ้นมา ทั้งร่างของเขาบิดเบี้ยวไป ก่อนจะกลายเป็นงูตัวเรียวยาวสีแดงเข้มตัวหนึ่ง

งูตัวเรียวยาวสีแดงเข้มตัวนี้มิได้ยาวเพียงหนึ่งเมตรเท่านั้น

ฟิ้ว!

งูตัวเรียวยาวกะพริบวาบคราหนึ่ง ทิ้งร่องรอยสีแดงเข้มสายหนึ่งเอาไว้ หมายจะแทงให้ทะลุร่างของตงป๋อเสวี่ยอิง

ตงป๋อเสวี่ยอิงยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น แต่บนตักของเขากลับมีหอกยาวเล่มหนึ่งวางอยู่ นี่คือหอกยาวที่เขาแลกเปลี่ยนมาด้วยรางวัลที่ได้รับมาเป็นจำนวนมากหลังจากกลายเป็นปรมาจารย์ด้านการบำเพ็ญของ ‘สกุลจวิ้นซานอวี้เฟิง’ ภายในโลกใบนี้ หอกยาวเล่มนี้นับได้เพียงว่าเป็นอาวุธที่ค่อนข้างธรรมดาสามัญเท่านั้น เมื่อเทียบกับอาวุธของทางฝั่งดินแดนจิตโลกาแล้ว ยังหยาบกว่าเสียด้วยซ้ำ

ทว่ามีความพิเศษอยู่อย่างหนึ่ง…ก็คือหนักอึ้งอย่างยิ่ง!

“อสรพิษจำแลงหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงคว้าหอกยาวที่วางไว้บนตักด้วยมือข้างเดียว จากนั้้นก็ส่งตรงไปด้านหน้า ปลายหอกแทงตรงไปทางงูตัวเรียวยาวสีแดงเข้มตัวนั้นทันที

“เฮอะๆๆ ช่างน่าขันนัก” เมื่องูตัวเรียวยาวสีแดงเข้มตัวนั้นโจมตีเข้ามาแล้วเห็นเข้าก็ยิ่งรู้สึกรังเกียจ ทั้งร่างของมันมิใช่แค่คมกริบหาใดเปรียบประหนึ่งอาวุธเทพเท่านั้น แต่ยังคล่องแคล่วอย่างยิ่ง น่ากลัวกว่าอาวุธที่แท้จริงมากนัก

“ฟึ่บๆๆ…”

ขณะที่งูตัวเรียวยาวสีแดงเข้มลอบโจมตีเข้ามานั่นเอง

ท่ามกลางหมอกสีเขียวทั้งหลายด้านข้างที่รายล้อมตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่นั้น กลับมีแมลงมากมายปรากฏขึ้นมาทันที แมลงเหล่านี้รวมตัวเข้าด้วยกันแล้วกัดกินน้ำวนห้วงอากาศพร้อมกันอย่างบ้าคลั่ง แมลงเหล่านี้กำลังฝืนทำลายน้ำวนห้วงอากาศอันไร้รูปร่าง

“ข้าอาจไม่จำเป็นต้องลงมือกระมัง” บุรุษอาภรณ์เขียวร่างกำยำซึ่งมีร่างกายสูงใหญ่ที่สุดถือมีดโค้งสีแดงโลหิตเล่มหนึ่งเอาไว้ในมือ เขาตามมาด้านหลังติดๆ

ยอดฝีมือทั้งสามลอบโจมตี!

ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น แล้วแทงหอกออกมาคราหนึ่งอย่างสงบ ทันใดนั้นอากาศตรงหน้าปลายหอกพลันหดเล็กลงและยุบตัวไปราวกับฟองอากาศ ฟองอากาศนั้นห่อหุ้ม ‘งูตัวเรียวยาวสีแดงเข้ม’ ที่แทงเข้ามาพอดิบพอดี

“นี่มันเรื่องอันใดกัน นี่มัน นี่มันอะไรน่ะ ทำลายให้ข้าเดี๋ยวนี้!”

แม้งูตัวเรียวยาวสีแดงเข้มจะตื่นตระหนกอยู่บ้าง แต่กลับหมายจะทำลายให้ได้ด้วยความมั่นอกมั่นใจอย่างยิ่ง

แต่เมื่อหัวงูอันคมกริบประหนึ่งอาวุธเทพของมันปะทะเข้ากับขอบฟองอากาศกลับสัมผัสได้ถึงอุปสรรคชั้นแล้วชั้นเล่า การโจมตีของมันในครั้งนี้เหมือนไร้เรี่ยวแรง มิอาจโจมตีให้แตกได้เลย นอกจากนี้ฟองอากาศยังหดเล็กลงและยุบตัวไปอย่างรวดเร็วอีกด้วย!

ทันใดนั้น บริเวณที่ปลายหอกแทงออกไป…ฟองอากาศโอบล้อมงูตัวเรียวยาวสีแดงเข้มเอาไว้ แล้วยุบตัวกลายเป็นหลุมดำอย่างรวดเร็ว งูตัวเรียวยาวสีแดงเข้มดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง แต่กลับดิ้นไม่หลุด

แม้ ‘พี่สาม’ และ ‘เจ้าห้า’ ที่อยู่ข้างๆ จะตกใจมากเช่นกัน แต่กลับช่วยเหลือเอาไว้ไม่ทัน นอกจากนี้พวกเขายังมั่นใจในตัว ‘เจ้าเก้า’ เป็นอันมาก ร่างกายของเจ้าเก้าประหนึ่งอาวุธเทพ มิได้ทำลายได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น

“ปัง”

หอกยาวในมือตงป๋อเสวี่ยอิงแทงลงบนจุดดำจุดหนึ่ง จุดดำนี้ก็คือฟองอากาศที่ยุบตัวจนถึงขั้นสุด

จุดดำระเบิดออก!

เผยให้เห็นงูตัวเรียวยาวสีแดงเข้มที่ตัวขาดเป็นสามท่อนอยู่ด้านใน นัยน์ตาทั้งคู่ของงูตัวเรียวยาวสีแดงเข้มเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก ยามนี้มันบาดเจ็บสาหัสยิ่งนัก มันถ่ายเสียงพูดอย่างร้อนรนว่า “พี่สาม พี่ห้า ช่วยข้าด้วย”

“ปัง” “ปัง”

ตงป๋อเสวี่ยอิงยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น หอกยาวในมือแทงออกไปอีกสองครั้งต่อเนื่องกันอย่างสบายๆ

เขาแทงออกไปด้วยความรวดเร็วเพียงใดกัน

ทุกครั้งที่แทงแต่ละหอกออกไป ก็มีฟองอากาศปรากฏขึ้นมาและโอบล้อมงูตัวเรียวยาวสีแดงเข้มเอาไว้ก่อนจะยุบตัวกลายเป็นจุดดำ! หอกยาวแทงลงบนจุดดำ จุดดำก็ระเบิดออก

รวมทั้งหมดสามครั้ง

ครั้งที่หนึ่ง งูตัวเรียวยาวสีแดงเข้ขาดเป็นสามท่อน ยังดิ้นรนขอความช่วยเหลือ

ครั้งที่สอง งูตัวเรียวยาวสีแดงเข้มกลับแหลกสลายเป็นผุยผง เหลือร่างกายเพียงบางส่วน มันสิ้นหวังเสียแล้ว

ครั้งที่สาม ทั้งร่างสลายไปโดยไม่เหลือแม้แต่ซาก

ทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วยิ่งนัก!

ถึงระดับอย่างตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว โดยเฉพาะการโจมตีด้วยหอกยาว รวดเร็วเสียยิ่งกว่ารวดเร็ว ยอดฝีมืออีกสองคนที่อยู่ด้านข้าง คนหนึ่งยังคงควบคุมหมอกพิษและแมลงพิษก็ไม่สามารถทำลายน้ำวนห้วงอากาศได้ดังเดิม ส่วน ‘พี่สาม’ ที่ถือมีดโค้งสีแดงโลหิตไว้ในมือ แม้จะลงมือด้วยความร้อนรน แต่ก็ยังคงช้าไปก้าวหนึ่งอยู่ดี

“นี่คือผู้เหินทะยานระดับจ้าวเทพช่วงต้นหรือ ทั้งยังบาดเจ็บสาหัสด้วยน่ะหรือ”

“สมควรตายนัก”

พี่สามและสตรีอาภรณ์สีแดงผู้นั้นต่างก็หวาดหวั่นและร้อนใจยิ่งนัก

ข้อมูลที่ได้รับมาผิดพลาดอย่างมหันต์

เมื่อสตรีอาภรณ์สีแดงลงมือ ก็ยังคงสามารถสังหาร ‘เจ้าเก้า’ ซึ่งมีร่างกายแข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขาได้ทันทีที่พบหน้า พลังระดับนี้ เกรงว่าจ้าวเทพช่วงกลางคงจะทำมิได้ ต้องเป็นผู้แกร่งกล้าระดับจ้าวเทพช่วงสุดยอดกระมัง!

จ้าวเทพระดับยอด…และจ้าวเทพช่วงต้นที่บาดเจ็บสาหัส พลังแตกต่างกันมิใช่แค่สิบเท่าเท่านั้น!

“ข้อมูลไม่ถูกต้อง พลังของศัตรูเหนือกว่าที่พวกเราคาดการณ์เอาไว้ไปไกลโข! แยกย้าย แยกย้าย” แม้บุรุษอาภรณ์เขียวร่างกำยำผู้นั้นจะเคืองแค้น แต่ก็ยังคงถ่ายเสียงพูด ขณะเดียวกันก็หมายจะหนีโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

“คิดจะมาฆ่าข้าก็มา คิดจะไปก็ไป ไหนเลยจะมีเรื่องดีเช่นนี้ได้!” เดิมทีตงป๋อเสวี่ยอิงยังนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น เงาร่างพลันขยับเขยื้อนขึ้นมาทันใด

ฟิ้ว

การขยับครั้งนี้ ราวกับเส้นสายเล็กละเอียดวาดข้ามขอบฟ้า

ในฐานะยอดฝีมือวิถีอากาศขั้นสุดยอด แม้พลังในการฝึกกายของตงป๋อเสวี่ยอิงจะฟื้นฟูถึง ‘จ้าวเทพช่วงกลาง’ ซึ่งเทียบเท่ากับระดับอ๋องช่วงกลางในหุบเขาเขี้ยวหักแล้ว แต่บัดนี้เขาผลักดันและเข้าถึงความเร้นลับของอากาศบางส่วนของโลกนี้แล้ว ทำให้กระบวนท่าของเขาเก่งกาจกว่ายอดฝีมือที่อาศัย ‘ความสามารถตามสายโลหิตของบรรพเทวะคละถิ่น’ เหล่านี้มากมายยิ่งนัก

“เขารวดเร็วเกินไปแล้ว!” บุรุษอาภรณ์เขียวร่างกำยำหมายจะหนีไปข้างนอก

เขาหนี ตงป๋อเสวี่ยอิงไล่ตาม

แต่ความเร็วของตงป๋อเสวี่ยอิงกลับมากกว่าเขากว่าสองเท่า! ทำเอาบุรุษอาภรณ์เขียวร่างกำยำสีหน้าเปลี่ยนแปรไป

“ฟึ่บ”

แทงออกไปหอกหนึ่งเช่นเดียวกัน! บุรุษอาภรณ์เขียวร่างกำยำสัมผัสได้ว่าอากาศรอบกายตนเริ่มถล่มทลายลงทันที ราวกับฟองอากาศใหญ่เริ่มยุบตัวลงด้วยความเร็วสูงยิ่งนัก จนมันมิอาจขอชีวิตได้ทัน! ทั้งฟองอากาศยุบลงกลายเป็น ‘จุดดำ’ เสียแล้วบุรุษอาภรณ์เขียวร่างกำยำรู้สึกเพียงว่าตนเองกำลังหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว หดเล็กลงจนเหมือนกับมดตัวจ้อยอย่างไรอย่างนั้น ขณะเดียวกับที่ยุบตัวลง บุรุษอาภรณ์เขียวร่างกำยำก็รู้สึกว่าอากาศรอบกายเหนียวหนึบขึ้นมาก เขารู้สึกว่าตนจวนจะถูกบีบจนแบนแล้ว!

ส่วนที่โลกภายนอก ปลายหอกยาวใหญ่โตหาใดเปรียบกำลังแทงลงบนโลกจุดดำซึ่งเขาถูกกักขังอยู่นี้ โลกจุดดำที่ยุบตัวถึงขีดสุดเองก็หมายจะระเบิดออก การแทงจากโลกภายนอกในครั้งนี้…

พลังภายในและภายนอก!

ตู้ม!!!

พูดแล้วเหมือนจะเชื่องช้า แต่อันที่จริงแล้วตงป๋อเสวี่ยอิงเพียงแค่แทงหอกออกไปเพียงครั้งเดียวเท่านั้น กระบวนท่านี้รวดเร็วเพียงใด สิ่งที่บุรุษอาภรณ์เขียวร่างกำยำสามารถทำได้ ก็คือกวัดแกว่งมีดโค้งสีแดงโลหิตในมือออกไปอย่างสุดกำลัง!

…………………………………………

โลกเทพกว้างใหญ่ไพศาล

เรือใหญ่บินไปท่ามกลางเมฆหมอก ตามที่ตงป๋อเสวี่ยอิงได้รู้จากการสอบถาม ยังต้องใช้เวลาอีกสองเดือนกว่าจะไปถึงเมืองจวิ้นซาน

วันคืนบนเรือลำนี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงบำเพ็ญอย่างเงียบๆ เพื่อผลักดันกฎเกณฑ์วิถีอากาศของโลกใบนี้ไปพลาง แล้วค่อยๆ เปลี่ยนแปลงเคล็ดวิชาฝึกกายคละถิ่นของตน ทำให้สถานการณ์การถล่มทลายของร่างกายทุเลาเบาบางลง อีกด้านหนึ่ง ก็คือต้องรับมือกับคุณหนูสาม ‘อวี้เฟิงชิงอิน’ ผู้นี้นั่นเอง

“เจ้าคนที่ชื่อเซี่ยงผางอวิ๋นนั่น สุดท้ายเล่า มิได้สังหารน้องชายเจ้าไปหรอกกระมัง” ภายในห้องส่วนตัวห้องหนึ่งในเรือใหญ่ อวี้เฟิงชิงอินนั่งอยู่ตรงข้ามกับตงป๋อเสวี่ยอิง นางถามด้วยความตื่นเต้น

“เมื่อถึงคราวคับขันที่สุด พลังของข้าก็บรรลุ และสังหารเซี่ยงผางอวิ๋นได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ เมื่อนึกถึงภาพตอนวัยเยาว์ฉากนั้น ก็ยังคงต้องทอดถอนใจ เพียงแต่บัดนี้ พวกท่านพ่อท่านแม่และน้องชายล้วนแต่ไม่อยู่แล้ว ทว่าพวกเขาล้วนมีชีวิตอยู่มานานแสนนาน แม้บัดนี้เขาจะสามารถอาศัย ‘จักรวาลภาพลวง’ สร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นมาใหม่ได้ก็ตามที

แต่ทว่า การสร้างท่านพ่อท่านแม่และน้องชายขึ้นมาใหม่จะมีความหมายอันใดกันเล่า

“เฮ้อ” อวี้เฟิงชิงอินถอนหายใจเสียงหนึ่ง “นี่ก็ดีแล้วๆ ข้าฟังจนตกอกตกใจไปหมดแล้ว”

“คุณหนูสาม หิมะเหินผู้นี้สามารถเหินทะยานขึ้นมาจนถึงโลกเทพได้ จะต้องเป็นบุคคลผู้ไร้เทียมทานในโลกล่างเป็นแน่ ผู้ที่เป็นศัตรูกับเขา ท้ายที่สุดเกรงว่าคงจะต้องมีจุดจบไม่สวยอย่างแน่นอน” พ่อบ้านอวิ๋นที่อยู่ด้านข้างพูดยิ้มๆ

“ก็ใช่” อวี้เฟิงชิงอินพยักหน้า

ทันใดนั้นอวี้เฟิงชิงอินก็โพล่งขึ้นว่า “ใช่แล้ว จ้าวเทพหิมะเหิน นับจากวันนี้ไปท่านวางแผนอันใดเอาไว้หรือไม่”

“ข้าเคยบอกไว้แล้วว่า ข้าอยู่ในโลกเทพก็ไร้บ้าน ได้แต่บุกฝ่าไปทั่วเท่านั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ

“ไม่อย่างนั้น เจ้าก็อยู่ในเมืองจวิ้นซานของพวกเราเถอะ” อวี้เฟิงชิงอินเอ่ย “ความรกร้างนี่อันตรายถึงเพียงนี้ ในเมืองปลอดภัยกว่าอยู่ดี”

“ข้าอยากจะบำเพ็ญอยู่ในเมืองสักช่วงหนึ่งจริงๆ ครั้งนี้พบวิกฤตเข้า ทำให้ข้ารู้สึกว่าพลังยังคงไม่พออยู่ดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

“เพิ่งจะเข้าสู่ขั้นจ้าวเทพก็กล้าบุกฝ่าท่ามกลางความรกร้างแล้ว” พ่อบ้านอวิ๋นที่อยู่ด้านข้างยิ้มหยัน

อวี้เฟิงชิงอินเอ่ยขึ้นว่า “ในเมื่อจ้าวเทพหิมะเหินจะอยู่บำเพ็ญในเมืองนี้ก็เป็นเรื่องดี ใช่แล้ว จ้าวเทพหิมะเหิน ที่แท้แล้วพลังของท่านอยู่ระดับใดกันแน่”

“จ้าวเทพช่วงกลางกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “เพียงแต่เนื่องจากได้รับบาดเจ็บ พลังจึงมิอาจฟื้นฟูได้ตลอดมา คาดว่าอีกสักช่วงหนึ่ง เมื่ออาการบาดเจ็บหายดีอย่างสิ้นเชิงแล้ว ก็จะสามารถฟื้นคืนพลังระดับจ้าวเทพช่วงกลางได้

หลายวันมานี้ เคล็ดวิชาฝึกกายของเขาก็ค่อยๆ ก้าวหน้าขึ้น อาการบาดเจ็บทุเลาเบาบางลง ร่างกายก็แข็งแกร่งขึ้นด้วย

“อ้อ”

พ่อบ้านอวิ๋นที่อยู่อีกข้างหนึ่งเห็นเข้า ในใจก็แตกตื่นเล็กน้อย

จ้าวเทพช่วงกลางหรือ

ผู้เหินทะยานนั้นค่อยๆ บำเพ็ญขึ้นมาจากความอ่อนแอทีละขั้นๆ จริงๆ ถึงขั้นไม่มีแรงช่วยจากสายเลือดบรรพเทวะคละถิ่นด้วย! หากเป็นระดับขั้นเดียวกัน ผู้เหินทะยานก็แข็งแกร่งกว่าชาวโลกเทพดั้งเดิมอยู่ขุมใหญ่ หากจ้าวเทพหิมะเหินผู้นี้พลังฟื้นฟูกลับมาจนสมบูรณ์ดี บรรลุถึงจ้าวเทพช่วงกลาง เกรงว่าพลังก็คงจะแตกต่างกับเขา พ่อบ้านอวิ๋นไม่มากสักเท่าใดนัก

เพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นเพียงจ้าวเทพช่วงท้าย ทว่ามีความพิเศษของ ‘ดวงตาทิพย์แสงมรกต’ ควบคู่กันด้วย! พลังจึงร้ายกาจกว่าจ้าวเทพช่วงท้ายทั่วไปอยู่บ้าง

“ดี”

อวี้เฟิงชิงอินเผยสีหน้ายินดีออกมา “เจ้ามีพลังระดับจ้าวเทพช่วงกลาง ทั้งยังเป็นผู้เหินทะยาน ข้าจะต้องเกลี้ยกล่อมท่านพ่อท่านแม่และพี่ชายข้าได้อย่างแน่นอน ถึงตอนนั้น จ้าวเทพหิมะเหินก็รับงานเสริมเป็น ‘ปรมาจารย์ด้านการบำเพ็ญ’ ให้กับตระกูลอวี้เฟิงของข้าก็แล้วกัน งานเสริมเป็นปรมาจารย์ด้านการบำเพ็ญก็ไม่มีภารกิจอันตรายอันใด จะมีก็แต่ลูกหลานคนสำคัญของตระกูลอวี้เฟิง ของข้าเท่านั้นที่มีคุณสมบัติพอจะเชิญเจ้าไปชี้แนะได้บ้างเล็กน้อย เมื่อมีสถานะนี้ จ้าวเทพหิมะเหินอยู่ในเมืองจวิ้นซานก็จะแตกต่างออกไปแล้ว นอกจากนี้ยังมีการมอบผลประโยชน์ให้เป็นระยะอีกด้วย ถึงขั้นมีคุณสมบัติพอจะเข้าไปใน ‘หอสะสมคัมภีร์ ’ แล้วเลือกคัมภีร์สำหรับการบำเพ็ญได้ด้วย หากจ้าวเทพหิมะเหินยินดี สร้างคุณูปการขึ้นมาบ้าง ก็จะสามารถแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ได้มากขึ้น”

ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังแล้วก็ใจเต้นขึ้นมา

หอสะสมคัมภีร์หรือ

การค้นคว้ากฎเกณฑ์ของโลกสักใบหนึ่ง ต้องทำเช่นไรจึงจะตรงไปตรงมาที่สุดกันเล่า

ก็ย่อมต้องเป็นการชมดูเคล็ดการบำเพ็ญของผู้แกร่งกล้าคนอื่นๆ อยู่แล้ว! ผู้แกร่งกล้าคนอื่นๆ ได้สรุปเส้นทางการบำเพ็ญออกมาแล้ว ขอเพียงมองดู การค้นคว้ากฎเกณฑ์โลกของตนก็จะง่ายดายขึ้นตั้งไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่าแล้ว

“มีคัมภีร์ของผู้เหินทะยานหรือไม่” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม

อวี้เฟิงชิงอินฟังแล้วก็ยิ้มอย่างได้ใจ ดวงตายิ้มเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว “คัมภีร์การบำเพ็ญของผู้เหินทะยานนั้นหายากยิ่งนัก แต่พวกเราสกุลจวิ้นซานอวี้เฟิงก็มีสะสมไว้หลายเล่มด้วยกัน”

“เช่นนั้นหิมะเหินก็คงต้องหน้าหนาแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดอย่างซาบซึ้งขึ้นมาทันที “ขอบคุณคุณหนูสามขอรับ”

“อย่าเพิ่งรีบดีใจจนเกินไป มิใช่ว่าผู้ใดก็มีคุณสมบัติพอจะรับตำแหน่งปรมาจารย์ด้านการบำเพ็ญได้หรอกนะ” พ่อบ้านอวิ๋นพูดเสียงเรียบ “เรื่องนี้ยังต้องให้นายท่านและนายน้อยเห็นด้วยเสียก่อน”

อวี้เฟิงชิงอินกลับพูดอย่างมั่นใจว่า “วางใจเถิด ท่านพ่อกับพี่ใหญ่จะต้องเห็นด้วยแน่”

พ่อบ้านอวิ๋นเห็นเข้าก็รู้สึกจนใจ

ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม

เขาเพิ่งจะรู้จักกับคุณหนูสามผู้นี้เพียงเดือนเดียวเท่านั้น แต่เขาก็ยังสามารถสัมผัสได้ว่าคุณหนูสามผู้นี้จิตใจดีอย่างแท้จริง เพราะทำดีกับตน จึงตั้งใจคิดแทนตนด้วย มิน่าเล่า ก่อนหน้านี้พ่อบ้านอวิ๋นจึงได้ขู่ตนว่า ‘อย่าได้วางแผนร้ายกับคุณหนูสาม’

“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ข้าเพิ่งจะมาถึงโลกใบนี้ และได้รับบุญคุณจากคุณหนูสามผู้นี้ไม่น้อย จากวันนี้ไป มีแต่ต้องหาโอกาสตอบแทนเท่านั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ ถึงอย่างไรตนก็วางแผนจะอยู่ในเมืองจวิ้นซานสักช่วงหนึ่ง! เพราะถึงอย่างไร ขอเพียงเป็นสถานที่ปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นที่ใดในโลกใบนี้ ตนก็ล้วนสามารถค้นคว้ากฎเกณฑ์โลกได้ทั้งสิ้น

……

บนเรือใหญ่ลำนี้ มีแม่ทัพ พลทหาร ทหารคุ้มกันและบ่าวรับใช้รวมหลายร้อยคน

ผลสำเร็จของตงป๋อเสวี่ยอิงทางด้านวิถีเขตลวงโลกเทียมก็นับว่าได้เพิ่มพูน ‘เสน่ห์’ ของตนด้วย ทำให้ผู้อื่นรู้สึกดีกับตนมากขึ้นเป็นกอง แต่ว่าเนื่องจากมิอาจทำอย่างโจ่งแจ้งเกินไปได้ และปณิธานของผู้แกร่งกล้าบางคนก็ไม่สามารถสั่นคลอนได้ง่ายๆ จึงยังคงมีหลายคนที่มิได้รู้สึกดีกับตนสักเท่าใดนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีทหารคุ้มกันผู้หนึ่งถึงกับเรียกได้ว่า ‘เดียดฉันท์’ ตน

ทหารคุ้มกันผู้นี้มีนามว่า ‘เถี่ยเฉิงหลิ่ว’

เถี่ยเฉิงหลิ่วมีร่างกายสูงใหญ่ เพียงแต่นัยน์ตาเย็นชา แม้แต่ในกองกำลังทหารคุ้มกันก็ได้รับความนิยมกลางๆ สายตาของเขาที่มองตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นเยียบเย็นดุจน้ำแข็งและออกจะรำคาญอยู่บ้าง ด้วยความไวสัมผัสด้านวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิง จึงสามารถสัมผัสได้ถึง ‘ความเกลียดชัง’

“คนอย่างข้าที่เพิ่งมาถึงโลกใบนี้ ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยพานพบเขามาก่อน เหตุใดเขาจึงเดียดฉันท์ข้าถึงเพียงนี้กันหนอ” ตงป๋อเสวี่ยอิงอึดอัดด้วยความไม่เข้าใจ

ทว่าเขาก็ไม่ใส่ใจ

ก็แค่ทหารคุ้มกันคนเดียวเท่านั้น พลังก็เป็นแค่แม่ทัพเทพระดับยอด ห่างจากจ้าวเทพอยู่ด้วยเส้นบางๆ เส้นหนึ่ง แต่เส้นนี้กลับเหมือนฟ้ากับเหว พลังก็แตกต่างกันเป็นอย่างมาก

“ถึงแล้ว”

“ถึงเมืองจวิ้นซานแล้ว”

วันหนึ่ง บนเรือก็กึกก้องไปด้วยเสียงโห่ร้อง

คุณหนูสาม พ่อบ้านอวิ๋น แม่ทัพ พลทหารทั้งหลายซึ่งยืนอยู่ตรงหัวเรือ ไปจนถึงบ่าวรับใช้ทั้งปวงล้วนพากันเผยสีหน้ายินดีออกมา เพราะถึงอย่างไรระหว่างมุ่งหน้าไปท่ามกลางความรกร้าง พวกเขาแต่ละคนก็ล้วนมิกล้าประมาทหละหลวม

“เมืองจวิ้นซาน” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ทอดสายตามองออกไปไกล นั่นคือตัวเมืองอันใหญ่โตแห่งหนึ่ง ทว่ามิได้ใหญ่โตมโหฬารจนน่าหวาดหวั่นเหมือนกับตัวเมืองของดินแดนจิตโลกา ตามที่ตงป๋อเสวี่ยอิงคะเนด้วยสายตา เมืองจวิ้นซานแห่งนี้ก็มีขอบเขตแค่ไม่กี่แสนลี้เท่านั้น

เพราะถึงอย่างไร กรวดหินดินทรายเหล่านั้นก็หนักอึ้งเสียจนเกินจริง

การจะสร้างตัวเมืองเช่นนี้ขึ้นมา ก็ยากไม่แพ้การสร้างนครหลวงรัฐเมฆทักษิณาเลย!

******

ผู้ที่ปกครองเมืองจวิ้นซานก็คือตระกูลอวี้เฟิงนี่นั่นเอง!

ในวันที่ไปถึงเมืองจวิ้นซาน ภายในโถงตำหนักแห่งหนึ่งในจวนตระกูลอวี้เฟิง

ตงป๋อเสวี่ยอิงได้พบกับคุณชายใหญ่แห่งตระกูลอวี้เฟิง! ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าคือผู้สืบทอดคนต่อไปของตระกูลอวี้เฟิง…อวี้เฟิงเหลย!

“น้องสาม นี่คือผู้เหินทะยานที่เจ้าชมนักชมหนาหรือ” บุรุษร่างสูงใหญ่คนหนึ่งนั่งอยู่ตรงนั้น นัยน์ตาทั้งคู่มีสายฟ้าไหลเวียนอยู่ ท่าทางไม่ธรรมดา

“คารวะคุณชาย” ตงป๋อเสวี่ยอิงคารวะเล็กน้อย

อวี้เฟิงเหลยเห็นเข้าก็หัวเราะเบาๆ เสียงหนึ่ง “ว่ากันว่าผู้เหินทะยานทะนงตนกันนัก ที่แท้แล้วก็ไม่ใช่ข่าวลวง อยู่ตรงหน้าข้ายังเป็นเช่นนี้อีก”

“เพราะถึงอย่างไรเมื่ออยู่ในมิติโลกล่าง ก็ล้วนแต่เคยเป็นอันดับหนึ่งของบ้านเกิดมาด้วยกันทั้งนั้น ก็ย่อมต้องมีความหยิ่งทระนงอยู่ในใจ” อวี้เฟิงชิงอินซึ่งอยู่ด้านข้างกลับพูดขึ้น “ว่ากันว่าผู้เหินทะยานบำเพ็ญในโลกเทพได้อย่างยากลำบาก โลกเทพ แต่จ้าวเทพหิมะเหิน กลับบรรลุถึงจ้าวเทพช่วงกลางแล้ว นี่ก็ไม่ง่ายเอามากๆ เลยทีเดียว”

อวี้เฟิงเหลยพยักหน้าเล็กน้อย “หาได้ยากนัก ในเมื่อน้องสาวข้าเอ่ยปากออกมาแล้ว จ้าวเทพหิมะเหิน นับแต่นี้ไป เจ้าก็รับตำแหน่งปรมาจารย์ด้านการบำเพ็ญแห่งจวนตระกูลอวี้เฟิง ควบคู่กันไปด้วยก็แล้วกัน ข้าจะจัดเตรียมที่พำนักดีๆ ในเมืองให้เจ้าสักแห่งด้วย”

“ขอบคุณคุณชายใหญ่” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดอย่างนอบน้อม

……

ใช่แล้ว

เมื่ออยู่ต่อหน้าคุณชายใหญ่อวี้เฟิงเหลย ตงป๋อเสวี่ยอิงได้พูดเพียงสองประโยคเท่านั้น ประโยคหนึ่งก็คือ ‘คารวะคุณชายใหญ่’ และอีกประโยคหนึ่งก็คือ ‘ขอบคุณคุณชายใหญ่’ จากนั้นก็ถูกจัดแจงให้จากไปเสียแล้ว เห็นได้ชัดว่าคุณชายใหญ่อวี้เฟิงเหลยผู้นั้นกระตือรือร้นอยากฟังเรื่อง ‘การออกเดินทาง’ ของน้องสาวในครั้งนี้เสียมากกว่า

จวนแห่งซึ่งกินพื้นที่ครึ่งลี้ สมบัติล้ำค่าที่มอบให้เขาก็มีถึงสองหีบใหญ่ด้วยกัน

“ท่านอาจารย์หิมะเหิน ของมาส่งครบหมดแล้ว พวกข้าขอตัวจากไปก่อนแล้วนะขอรับ”

“ขอบใจพวกเจ้ามาก”

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองส่งเหล่าทหารของตระกูลอวี้เฟิงจากไป เมื่อมองดูจวนแห่งนี้เขาก็เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย

ที่นี่จะกลายเป็น ‘บ้าน’ ของตน ในโลกแห่งนี้อีกเป็นเวลานานระยะหนึ่งเลยทีเดียว

……

ดึกสงัดของวันที่สองหลังจากมาถึงเมืองจวิ้นซาน

ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังนั่งขัดสมาธิบำเพ็ญเพียรอยู่ในห้องเงียบ ยามรัตติกาล ดวงจันทร์สีแดงหนึ่งดวงสีขาวเงินหนึ่งดวงกำลังลอยคว้างอยู่กลางท้องฟ้ายามราตรี แสงจันทร์สาดส่องลงมาทั่วลาน ดูแล้วเงียบสงัดนัก

“เอ๊ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้วเล็กน้อย

วิญญาณของเขาไวต่อสัมผัสเพียงใด

แววอาฆาตบีบเข้ามา!

“มีคนจะสังหารข้าหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่เข้าใจ “ข้าเพิ่งมาถึงเมืองจวิ้นซานเป็นวันที่สองเท่านั้น ก็มีคนอยากจะสังหารข้าเสียแล้วหรือนี่”

…………………………………..

ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิอยู่กลางทุ่งร้าง พลางเงยหน้ามองเรือใหญ่สูงตระหง่านกลางฟากฟ้า บนเรือใหญ่มีธงสองผืนโบกสะบัด บนธงสองผืนนั้นต่างก็มีตัวอักษรสองตัวที่แตกต่างกันอยู่ แม้เขาจะเข้าใจเพียงแค่ภาษาพูดของโลกใบนี้เท่านั้น โดยไม่รู้ว่าตัวอักษรเขียนอย่างไร แต่เมื่อได้เห็นอักษรสองตัวนี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังคงเข้าใจความหมายของอักษรเหล่านี้

เห็นได้ชัดว่าระดับขั้นถึงระดับที่ลึกล้ำอย่างยิ่งแล้ว ตัวอักษรยังแฝงไว้ด้วยความพิสดารอันไร้ที่สิ้นสุด

อักษรสองตัวบนธงผืนหนึ่งมีความหมายคือ ‘จวิ้นซาน’ ส่วนอักษรสองตัวบนธงอีกผืนหนึ่งคือ ‘อวี้เฟิง’

“เป็นวิธีสำรวจที่แปลกประหลาดนัก” เมื่อชายชราท่าทางเยียบเย็นบนเรือใหญ่กลางฟากฟ้าลืมตาดวงที่สามขึ้นมา แล้วนัยน์ตาสีเขียวมรกตเหลือบมองลงมาเบื้องล่างนั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีความรู้สึกเหมือนถูกมองทะลุทะลวง แน่นอนว่าวิถีเขตลวงโลกเทียมของเขามิได้รับผลกระทบแต่อย่างใด หากตั้งใจก็สามารถเก็บซ่อนพลังที่แท้จริงได้ แต่เขาก็ยังจงใจเผยออกมาบางส่วน

เขาเก็บงำทางด้านวิญญาณเล็กน้อย ส่วนความแข็งแกร่งของร่างกายนั้นไม่จำเป็นต้องเก็บซ่อนเลย เพราะไม่ว่าจะเป็นสัตว์ปีกที่เหี้ยมโหดตนนั้น หรือว่าเหล่าทหารคุ้มกันบนเรือใหญ่ลำนั้น รวมทั้งยอดฝีมือเช่นชายชราท่าทางเยียบเย็นและคนอื่นๆ แทบทุกคนล้วนแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ดังเช่นร่างกายของชายชราท่าทางเยียบเย็นผู้นั้น ความแข็งแกร่งของกลิ่นอาย…ยังเหนือกว่าตนเสียอีก!

ฟิ้ว!

ทันใดนั้นเงาร่างหกสายก็ถลาลงมาจากเรือใหญ่ลำนั้น นำโดยชายชราท่าทางเยียบเย็นผู้นั้นนั่นเอง ด้านหลังเขามีพลทหารห้านาย ชายชราท่าทางเยียบเย็นมองดูตงป๋อเสวี่ยอิง แล้วพูดเสียงเรียบว่า “ข้าและคนอื่นๆ เป็นคนสกุลจวิ้นซานอวี้เฟิง เห็นเจ้าอยู่ท่ามกลางความรกร้างเพียงลำพัง อีกทั้งร่างกายยังดูเหมือนจะบาดเจ็บสาหัสด้วย อาการบาดเจ็บยังไม่หายดีมาตลอด คุณหนูของข้าใจดีอยากช่วยเหลือเจ้า อยากจะพาเจ้าไปด้วย เจ้ายินดีจะตามข้าและคนอื่นๆ มุ่งหน้าไปยังเมืองจวิ้นซานหรือไม่”

“ข้ากำลังรับมือกับอันตรายอันหนักหน่วงต่างๆ อยู่พอดี หากสามารถหนีไปจากที่แห่งนี้ได้ ย่อมยินดีอยู่แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงยืดกายขึ้นมาก่อนแล้ว ก่อนจะเอ่ยขึ้นมา

เขาต้องการสถานที่เงียบสงบและปลอดภัยแห่งหนึ่งเพื่อบำเพ็ญให้ดีๆ เพื่อยกระดับพลังให้ได้โดยเร็วที่สุด

อีกด้านหนึ่ง ก็ต้องการรวมกลุ่มเข้ากับเหล่าผู้แกร่งกล้าของโลกใบนี้ เพื่อจะได้เข้าใจโลกใบนี้ให้ถ่องแท้มากขึ้น

“เจ้ามีนามว่าอะไร และมาจากไหนหรือ” ชายชราท่าทางเยียบเย็นถาม

“ข้าน้อยหิมะเหิน ไม่มีบ้านอะไรหรอกขอรับ ข้าบุกฝ่าไปตามลำพังตัวคนเดียวมาตลอด” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดอย่างเกรงอกเกรงใจ

ชายชราท่าทางเยียบเย็นพยักหน้าน้อยๆ “ก็ถูกต้องแล้ว บ้านเกิดของผู้เหินทะยานอย่างพวกเจ้าก็คงจะมาจากมิติสักแห่งในโลกล่าง หิมะเหิน เจ้าสามารถเรียกข้าว่าพ่อบ้านอวิ๋นได้ ตอนนี้ตามข้ามาเถอะ”

ชายชราท่าทางเยียบเย็นพูดพลางพาพลทหารทั้งห้านายทะยานมุ่งหน้าไปยังเรือใหญ่กลางฟากฟ้าลำนั้นอย่างรวดเร็ว

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ตามไปแล้วบินไปพร้อมกันทันที

เมื่อบินขึ้นไปบนเรือใหญ่

“ข้าคืออวี้เฟิงชิงอิน” สตรีอาภรณ์สีฟ้าอ่อนผู้หนึ่งนัยน์ตาเป็นประกาย นางมองตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างสนอกสนใจ พลางพูดยิ้มๆ ว่า “ได้ยินพ่อบ้านอวิ๋นบอกว่า เจ้าเป็นผู้เหินทะยานหรือ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม

ผู้เหินทะยานหรือ

นั่นคือสิ่งใดกัน

เมื่อครู่พ่อบ้านอวิ๋นผู้นั้นก็พูดถึงผู้เหินทะยานเช่นกัน แต่ห้วงสมองของตงป๋อเสวี่ยอิงกลับเต็มไปด้วยความมึนงง ยามนี้สตรีที่เห็นได้ชัดว่ามีศักดิ์ค่อนข้างสูงส่งผู้นี้ถามขึ้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ทำได้เพียงยิ้มรับเท่านั้น

“นี่คือคุณหนูสามของบ้านข้า” นัยน์ตาเยียบเย็นของพ่อบ้านอวิ๋นมองตงป๋อเสวี่ยอิงแวบหนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ที่ยอมช่วยเหลือเจ้า และพาเจ้าไปจากที่นี่ด้วยกัน ล้วนแต่เป็นคำสั่งของคุณหนูสามทั้งสิ้น”

“หิมะเหินขอบคุณคุณหนูสามที่ช่วยชีวิตเอาไว้ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยขึ้นทันที

“เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ควรค่าแก่การพูดถึงเลย” คุณหนูสาม ‘อวี้เฟิงชิงอิน’ ผู้นี้กลับไถ่ถามต่อว่า “ได้ยินมาว่าบ้านเกิดของผู้เหินทะยานอย่างพวกเจ้าแตกต่างกับโลกเทพของพวกเราอย่างสิ้นเชิง เจ้าเล่าให้ฟังหน่อยได้หรือไม่ ข้าอยากรู้มากมาตลอด น่าเสียดายที่ชาวโลกเทพอย่างพวกเรามิอาจไปยังโลกล่างได้”

“แค่กๆๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพลันกระแอมไอขึ้นมาหลายที สีหน้าแดงก่ำ มุมปากมีรอยเลือดจางๆ

ทำได้เพียงแสร้งได้รับบาดเจ็บเท่านั้น!

เขาไม่กล้าตอบเลย! เพราะถึงอย่างไรตนก็ ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับผู้เหินทะยานหรือโลกเทพเลย หากตอบไปส่งเดชแล้วเผยพิรุธออกมา ผู้ใดจะไปรู้ว่าจะส่งผลอะไรตามมา ดูท่าแล้ว กองกำลังนี้คงจะมีที่มาไม่ใช่ย่อย ไม่แน่ว่าอาจจะมีวิธีติดต่อกับตระกูล หากตนความแตกขึ้นมา เกรงว่าตระกูลของอีกฝ่ายคงจะล่วงรู้ทันที หากเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา ก็คงไม่ดีต่อตนเองเอามากๆ

เก็บเนื้อเก็บตัวเสียหน่อย แล้วพยายามเข้ากับโลกใบนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุดจะดีกว่า

“เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือ ต้องให้พวกเราช่วยเหลือหรือไม่” อวี้เฟิงชิงอินมองไปทางพ่อบ้านอวิ๋นที่อยู่ข้างๆ “พ่อบ้านอวิ๋น ท่านลองดูทีว่าพอจะมีวิธีรักษาอาการบาดเจ็บของเขาได้หรือไม่”

“อาการบาดเจ็บของเขาพิเศษมาก ข้ามองให้มะลุปรุโปร่งมิได้เลย รู้เพียงว่าแม้ร่างกายของเขาจะพยายามข่มเอาไว้ แต่ก็ไม่มีทางหายดีอย่างสิ้นเชิงได้” พ่อบ้านอวิ๋นส่ายหน้า

“ไม่เป็นไรหรอก ก่อนหน้านี้ข้ามิอาจเยียวยาอาการบาดเจ็บได้ทั้งกายทั้งใจมาตลอด ขอเพียงอยู่ในที่ปลอดภัย แล้วบำเพ็ญให้ดีๆ สักยกหนึ่ง ใช้เวลาสักหน่อยก็สามารถฟื้นฟูได้แล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว

โดยทั่วไปแล้วพลังชีวิตของผู้บำเพ็ญที่แข็งแกร่งล้วนแกร่งกล้าหาใดเปรียบ พลังฟื้นฟูก็แข็งแกร่งยิ่งนัก เมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงพูดว่าตนสามารถจัดการเองได้ ทุกคนก็เชื่อหมด

“อื้ม เช่นนั้นเจ้าระวังหน่อยก็แล้วกัน” คุณหนูสาม ‘อวี้เฟิงชิงอิน’ กำชับ “พ่อบ้านอวิ๋นรีบเตรียมที่ทางให้เขาพักผ่อนเร็วเข้า ให้เขาได้รักษาอาการบาดเจ็บให้ดีๆ หน่อย”

“ขอรับ คุณหนูสาม” พ่อบ้านอวิ๋นรับคำ

เอี๊ยดด…

ณ ห้องเดี่ยวห้องหนึ่งที่ไม่สะดุดตาอันใดภายในเรือใหญ่ พ่อบ้านอวิ๋นผลักประตูเข้ามาแล้วพูดเสียงเรียบว่า “เจ้าอยู่ห้องนี้ก็แล้วกัน อ้อ แล้วก็คุณหนูสามมีนิสัยใจดี ไม่เหมือนกับผู้เหินทะยานอย่างพวกเจ้าที่ไต่ขึ้นมาจากความอ่อนแอทีละขั้นๆ แต่ละคนล้วนเจ้าเล่ห์เพทุบาย เจ้าอย่ามาเล่นลูกไม้เจ้าเล่ห์อะไรกับคุณหนูสามล่ะ คุณหนูสามอาจจะถูกเจ้าหลอกได้ แต่เข้าหลอกข้ามิได้หรอก หากกล้าหลอกตระกูลจวิ้นซานอวี้เฟิงเจ้าจะต้องตายอย่างน่าอนาถมาก เข้าใจแล้วหรือไม่”

“พ่อบ้านอวิ๋นวางใจเถิด คุณหนูสามมีบุญคุณช่วยชีวิตข้า ข้าจะตอบแทนบุญคุณยังไม่ทันเลย ไหนเลยจะเอาความแค้นไปตอบแทนบุญคุณได้เล่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงตอบ

“เฮอะ คนที่เอาความแค้นไปตอบแทนบุญคุณนั้นมีมากมายถมไป วาจาข้าก็ได้พูดไปแล้ว เจ้าจำเอาไว้ในใจให้ดีก็แล้วกัน” พ่อบ้านอวิ๋นมองดูตงป๋อเสวี่ยอิงแวบหนึ่ง นัยน์ตาฉายแววเยียบเย็น จากนั้นก็หมุนกายจากไป

ประตูปิดลง

ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิลงไปเพียงลำพัง จึงนับว่าถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมาได้

ตอนที่เพิ่งจะเข้ามาในโลกแห่งนี้ก็เป็นเวลาที่อ่อนแอและสับสนที่สุด ที่กลัวที่สุดก็คือหากประมาทแล้วความแตก ก็อาจจะดึงดูดศัตรูจำนวนมากขึ้นมา หรือแม้กระทั่งยิ่งก่อเรื่องก็ยิ่งใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ

“ผู้ที่สามารถเข้ามายังสถานที่ต้องห้าม ‘ทางเดินเขี้ยวอสรพิษ’ ได้และเลือกการห้ำหั่นครั้งสุดท้ายเหล่านั้นล้วนถูกหยวนส่งมาที่นี่! สถานที่ระดับนี้จะปกติทั่วไปได้อย่างไรกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า “อย่างน้อยก็ต้องมีสิ่งมีชีวิตที่สามารถคุกคาม ‘ยอดเคารพ’ ระดับจักรพรรดิที่ครบสมบูรณ์ได้อยู่บ้างกระมัง”

เมื่ออยู่ในสถานที่ระดับนี้ เพิ่งเริ่มต้นก็ต้องเก็บเนื้อเก็บตัวเอาไว้หน่อยจะดีกว่า

ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่บนเรือ ก็มิได้ค้นความทรงจำของผู้อื่น เพื่อป้องกันมิให้ถูกจับได้

เขาเพียงแค่ใช้วิธีการง่ายๆ บางอย่างของ ‘เขตลวงโลกเทียม’ ทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกดีๆ ต่อเขา และจงใจดึงดูดให้คนบางคนเล่าเรื่องราวมากมายออกมา ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงค่อยๆ รู้สถานการณ์บางอย่างขึ้นมา เรื่องเกี่ยวกับ ‘ผู้เหินทะยาน’ เขาก็พอจะเข้าใจอยู่บ้าง

“ที่แท้แล้วเป็นเช่นนี้เอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงกระจ่างแจ้งขึ้นมา “โลกใบนี้คือโลกเทพอย่างนั้นหรือ ยังมีมิติระดับต่ำอื่นๆ อีกมากมาย ถูกพวกเขาเรียกว่าโลกล่าง โลกล่างมีมิติตั้งมากมาย ผู้แกร่งกล้าที่สุดในจำนวนนั้นจึงจะมีหวังเหินทะยานมาถึงโลกเทพได้อย่างนั้นหรือ”

“พี่หิมะเหิน”

ผู้ที่กำลังพูดคุยกับตงป๋อเสวี่ยอิงก็คือทหารคุ้มกันที่ยืนอยู่ข้างกราบเรือ ทหารคุ้มกันก็ว่างเสียจนเบื่อหน่าย เขาพูดยิ้มๆ ว่า “ก่อนหน้านี้ข้าก็แค่เคยได้ยินเรื่องผู้เหินทะยานอยู่บ้างเท่านั้น ท่านคือผู้เหินทะยานคนแรกที่ข้าได้พบเสียด้วยซ้ำ! ตามตำนาน แม้จะมีผู้เหินทะยานมาถึงโลกเทพมิใช่น้อย แต่ก็กระจัดกระจายอยู่ทั่วโลกเทพอันกว้างใหญ่ไพศาล จึงย่อมกลายเป็นหาได้ยากเป็นธรรมดา บวกกับต่อให้อยู่ตรงหน้า พวกข้าก็จำแนกไม่ออก! ครั้งนี้เป็นเพราะมีพ่อบ้านอวิ๋นอยู่ ‘ดวงตาทิพย์แสงมรกต’ ของพ่อบ้านอวิ๋นมองออกว่าพี่หิมะเหินไม่มีสายเลือดบรรพเทวะคละถิ่น จึงมั่นใจว่าท่านคือผู้เหินทะยาน”

“ข้าติดค้างพ่อบ้านอวิ๋น เพราะท่านข้าจึงสามารถขึ้นมาบนเรือลำนี้ได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ ในใจกลับแอบจำชื่อ ‘สายเลือดบรรพเทวะคละถิ่น’ เอาไว้ก่อนแล้ว

ไม่มีสายเลือดบรรพเทวะคละถิ่นก็เป็นผู้เหินทะยานแล้วอย่างนั้นหรือ

เช่นนั้น เดิมทีชาวโลกเทพจำนวนนับไม่ถ้วนก็ล้วนแต่มีสายเลือดบรรพเทวะคละถิ่นกันหมดอย่างนั้นหรือ

บรรพเทวะคละถิ่นผู้นี้…เป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นหรือ สิ้นใจไปแล้วหรือยังมีชีวิตอยู่กันแน่หนอ

หากเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่แข็งแกร่งซึ่งยังมีชีวิตอยู่ เช่นนั้นโลกใบนี้ก็ออกจะน่ากลัวอยู่บ้างแล้ว!

“ท่านต้องขอบคุณคุณหนูสาม เคราะห์ดีที่เป็นคุณหนูสาม คุณหนูสามเป็นคนดีจึงช่วยเหลือท่าน” ทหารคุ้มกันผู้นั้นเอ่ย “หากมิใช่เพราะคุณหนูสามเอ่ยปาก พ่อบ้านอวิ๋นไหนเลยจะเปลืองแรงจงใจสำแดงตาทิพย์ออกไปสำรวจท่านได้เล่า”

……………………………………

สัตว์ปีกที่เหี้ยมโหดตนนี้ทะยานลงมา พายุคลั่งที่เกิดจากปีกคู่นั้นก่อให้เกิดคมวายุจำนวนนับไม่ถ้วนตัดเฉือนผ่านอากาศไป มันเชือดเฉือนผืนดินส่วนที่ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่เสียงดังฉึบฉับ เมื่อคมวายุตัดเฉือนเข้ามา รอบกายตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีดอกไม้สีดำดอกหนึ่งปรากฏขึ้น ดอกไม้สีดำหุบเข้าหากันแล้วปกป้องตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ คมวายุเหล่านั้นเชือดเฉือนลงบนดอกไม้สีดำทำให้ดอกไม้สั่นสะท้าน เหมือนจะถล่มทลายลงไป

ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่ตกใจเพราะเรื่องนี้ แต่กลับยินดีเสียด้วยซ้ำ “เป็นสิ่งมีชีวิตที่ร้ายกาจนัก วิถีเขตลวงโลกเทียม ‘ภาพลวงร่อนลงสู่ความจริง’ ของข้า มิได้ทุ่มเทความคิดจิตใจให้กับด้านการห้ำหั่นซึ่งหน้าสักเท่าไหร่นัก แต่กระบวนท่าเหล่านี้ก็มีพลังระดับเทพจักรวาลทั่วไปแล้ว ลำพังแค่คมวายุที่ปีกทั้งคู่ของสัตว์ปีกตัวนี้เหนี่ยวนำขึ้นมาก็มีอานุภาพเช่นนี้แล้ว เกรงว่าการห้ำหั่นซึ่งหน้าคงจะมีพลังระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองแล้วกระมัง”

กระบวนท่าภาพลวงร่อนลงสู่ความจริง

เขาเคยค้นคว้าตอนที่ยังเป็นขั้นอลวน ต่อมาหลังจากวิถีอากาศก้าวเข้าสู่ระดับขั้นเทพจักรวาลแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิได้ค้นคว้ากระบวนท่าจำพวกนี้อีก เพราะต่อให้ทุ่มเทจิตใจมากกว่านี้ก็เกรงว่าคงจะอยู่ที่ระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองเท่านั้น เพราะถึงอย่างไรวิถีเขตลวงโลกเทียมก็ไม่เชี่ยวชาญทางด้านการห้ำหั่นซึ่งหน้าอยู่แล้ว ทำเช่นนี้ก็ออกจะเปลืองเวลาอยู่บ้าง

“มาถึงโลกใบนี้ในที่สุดก็ได้พบสิ่งมีชีวิตตัวหนึ่งแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกยินดีจากก้นบึ้งของหัวใจ

วิ้ง!

เพียงชั่วความคิดเดียว

เขตลวงโลกเทียมก็เข้าปกคลุมสัตว์ปีกที่เหี้ยมโหดตนนั้นเอาไว้ เดิมทีมันยังมุทะลุดุดันผิดธรรมดา จากนั้นสายตาก็หม่นลง ร่างกายโจมตีลงบนผืนดินเสียงดังโครมครามตามความเคยชิน ก่อให้เกิดก้อนกรวดจำนวนนับไม่ถ้วน ก้อนกรวดเหล่านี้หนักอึ้งหาใดเปรียบ สามารถก่อตัวขึ้นมาได้มากมายเช่นนี้ก็หาได้ยากยิ่งแล้ว

“น่าแปลก” ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้วเล็กน้อย สติรับรู้ของสัตว์ปีกที่เหี้ยมโหดตัวนี้ถูกลากดึงเข้าไปในเขตลวงโลกเทียม สติรับรู้ของมันกลับแค่ดีกว่าสัตว์ป่าทั่วไปอยู่เล็กน้อยเท่านั้น ในชีวิตของมันเคยได้พบกับผู้แกร่งกล้าที่มีรูปร่างเป็น ‘มนุษย์’ อยู่บ้าง บางตนก็ถูกมันกินลงไปทันที! บางตนมันก็มองเห็นอยู่ไกลๆ เมื่อสัมผัสได้ถึงอันตราย มันก็หลบหนีไปอย่างรวดเร็วโดยไม่กล้าเยื้องกรายเข้าใกล้

ในความทรงจำตลอดชีวิตอันยาวนานของสัตว์ปีกที่เหี้ยมโหด มีข้อมูลที่มีประโยชน์น้อยมาก ทว่ากลับมีภาพของผู้แกร่งกล้าชาวมนุษย์มากมายซึ่งถูกมันโจมตีจนได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือก่อนจะถูกมันกลืนกินแล้วตะคอกและพูดจาด้วยความโมโห เมื่อรวมๆ กันแล้วก็มีวาจาหลายพันประโยค ตงป๋อเสวี่ยอิงอาศัยสิ่งเหล่านี้วิเคราะห์ภาษาของโลกใบนี้อย่างรวดเร็ว

วาจาหลายพันประโยคนี้ สามารถวิเคราะห์ข้อมูลออกมาได้น้อยเสียจนน่าสงสาร

“มันรู้อะไรน้อยมากจริงๆ”

“ช่างเถิด ปล่อยมันไปก็แล้วกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงกำหนดจิตคราหนึ่ง สำหรับยอดฝีมือชั้นเอกผู้ไร้เทียมทานทางด้านวิถีเขตลวงโลกเทียมอย่างเขาแล้ว ก็สามารถส่งผลกระทบต่อสติรับรู้ของสัตว์ปีกที่เหี้ยมโหดตนนี้ได้ง่ายดายยิ่งนัก

สัตว์ปีกที่เหี้ยมโหดที่กระแทกลงกับพื้นตนนั้นฟื้นคืนสติขึ้นมาอย่างงุนงง มันมองดูรอบกาย เมื่อมองเห็นตงป๋อเสวี่ยอิง กลับทำท่าเหมือนเห็นสิ่งที่น่าหวาดหวั่นบางอย่าง มันกระพือปีกทันที แล้วกลายเป็นลำแสงทะยานไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหายวับไปยังขอบฟ้าไกลออกไป

ตงป๋อเสวี่ยอิงทอดสายตามองออกไปไกลพลางครุ่นคิด “ในความทรงจำของสัตว์ปีกที่เหี้ยมโหดตนนี้ ในบรรดาผู้แกร่งกล้าชาวมนุษย์ที่มันพบนั้น เหมือนจะไม่เคยพบผู้ที่เคลื่อนที่ในพริบตาเลย ในโลกใบนี้ การเคลื่อนที่ในพริบตายากนักหรือไร”

เขาเป็นถึงผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอดทางด้านวิถีอากาศ สำหรับเขาแล้ว การเคลื่อนที่ในพริบตานั้นเหมือนกับสัญชาตญาณ แต่บัดนี้ความเร้นลับของกฎเกณฑ์ของวิถีอากาศมากมายเข้ากับโลกใบนี้ไม่ได้สักเท่าใดนัก แม้แต่กายหยาบอันแข็งแกร่งที่เขาสร้างขึ้นด้วยการฝึกกายคละถิ่นก็กำลังถล่มทลายลง

“ไม่คิดมากแล้ว”

“ทำให้กายหยาบมั่นคงก่อนดีกว่า”

ตงป๋อเสวี่ยอิงพยายามทำให้กายหยาบมั่นคง

ร่างแยกทั้งหลายของเขาที่อยู่ในโลกกำเนิดทั้งสองคือดินแดนจิตโลกาและอากาศอันสับสนอลหม่านรับรู้พร้อมกันจนมีทิศทางอยู่ก่อนแล้ว! แม้ความเร้นลับของกฎเกณฑ์หลายอย่างของ ‘วิถีอากาศขั้นสุดยอด’ จะไม่เข้ากับโลกใบนี้นัก แต่ก็มีบางอย่างที่สามารถใช้ประโยชน์ได้ วิธีการในตอนนี้ก็คือ…อาศัยความเร้นลับของกฎเกณฑ์ที่สามารถใช้ประโยชน์ได้เหล่านี้เป็นพื้นฐาน แล้วพยายามผลักดันความเร้นลับของกฎเกณฑ์ที่สอดคล้องกับโลกใบนี้มากกว่าขึ้นมา

นอกจากนี้ ยังต้องปรับปรุงเคล็ดวิชา ‘ฝึกกายคละถิ่น’ ใหม่ ให้ง่ายดายขึ้นบ้าง

ยิ่งง่ายเท่าไหร่ ก็ยิ่งขัดแย้งกับโลกใบนี้น้อยลงเท่านั้น!

หากเป็นเคล็ดวิชาที่เกิดขึ้นจากความเร้นลับของกฎเกณฑ์ที่สามารถหลอมรวมกับโลกใบนี้ได้ทั้งหมด แล้วสร้างกายหยาบขึ้นมาใหม่ เชื่อว่าก็จะไม่มีความขัดแย้งแล้ว แต่หากเป็นเช่นนั้น กายหยาบก็อ่อนแอยิ่งนัก! ดังนั้นจึงพยายามสร้างความสมดุลทางด้าน ‘ความแข็งแกร่ง’ และ ‘ความมั่นคง’ ให้ได้มากที่สุด

แต่เรื่องนี้ต้องการเวลา!

……

เรือใหญ่ลำหนึ่งกำลังบินไปท่ามกลางชั้นเมฆด้วยความเร็วสูง เรือลำใหญ่หรูหราบนระเบียงมีพลทหารยืนอยู่มากมาย คอยดูแลรอบด้าน

สตรีวัยกำดัดรูปโฉมงดงามคู่หนึ่งอยู่บนดาดฟ้า เกาะราวระเบียงพลางเหลือบมองลงไปยังผืนดินอันกว้างใหญ่ไพศาลเบื้องล่าง ไกลออกไปก็มีทะเลสาบสะท้อนประกายแวววับ เมื่อทอดสายตามองไป ภายในทะเลสาบอันกว้างใหญ่นั้นก็มี ‘สัตว์ถิ่นร้าง’ ตัวเขื่องกำลังดื่มน้ำอยู่

“ภาพของความรกร้างนี่ช่างงดงามจริงๆ” สตรีอาภรณ์สีฟ้าอ่อนนางหนึ่งพูดยิ้มๆ พลางมองภาพความรกร้างใต้แสงตะวันที่สาดส่อง “อยากจะเหมือนกับพี่ใหญ่ในตอนนั้น ที่ท่องไปในความรกร้างเพียงลำพัง”

“คุณหนู ความรกร้างนั้นอันตรายนัก” สาวใช้ชุดเขียวด้านข้างเอ่ยขึ้น “ชนเผ่าที่มีชีวิตรอดอยู่ท่ามกลางความรกร้างนั้นมีน้อยเสียจนน่าสงสาร นอกจากนี้แต่ละคนล้วนใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก เพราะต้องห้ำหั่นกับสัตว์ถิ่นร้างเหล่านั้น! หากคุณหนูพาองครักษ์กลุ่มใหญ่ไปด้วยก็ยังดีหน่อย หากไปบุกฝ่าความรกร้างเพียงลำพังคนเดียวน่ะหรือ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องมีพลังระดับจ้าวเทพกระมัง บัดนี้คุณชายใหญ่มีพลังขั้นจ้าวเทพระดับยอดแล้ว”

“ซีเอ๋อร์ ความหมายของเจ้าคือพลังของคุณหนูบ้านเจ้าเช่นข้าไม่เพียงพอหรือไร” สตรีอาภรณ์สีฟ้าอ่อนมองไปทางสาวใช้พลางแค่นเสียงเฮอะ

“สายเลือดของคุณหนูสูงส่ง มีท่านเจ้าเมืองคอยชี้แนะด้วยตนเอง แน่นอนว่าต้องสำเร็จเป็นจ้าวเทพได้อย่างง่ายดายอยู่แล้วเจ้าค่ะ ทว่าตอนนี้น่ะหรือ ยังคงด้อยไปหน่อยจริงๆ” สาวใช้ชุดเขียวพูดพลางหัวเราะคิกคัก

“เจ้านี้ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วนะ แม้แต่คุณหนูบ้านเจ้าเช่นข้า ก็ยังกล้ามาหัวเราะล้อเลียนอีก” สตรีอาภรณ์สีฟ้าอ่อนแค่นเสียงเย็นชา ทว่าจากนั้นก็หัวเราะออกมา นางรู้จักกับสาวใช้มาเนิ่นนาน ตั้งแต่เล็กก็อยู่เคียงข้างมาจวบจนบัดนี้ จึงสนิทสนมกันดั่งพี่น้องเป็นธรรมดา สตรีอาภรณ์สีฟ้าอ่อนมองดูภาพความรักร้างอันไร้ขอบเขตนี้ด้วยสายตาดื่มด่ำ

ยอดฝีมือกลุ่มใหญ่บนเรือ สัตว์ถิ่นร้างท่ามกลางความรกร้างเหล่านั้นล้วนมิกล้ามาล่วงเกิน

“เอ๊ะ” สตรีอาภรณ์สีฟ้าอ่อนพลันนัยน์ตาเป็นประกายขึ้นมาในทันใด นางรีบชี้ออกไปไกล “รีบดูเร็ว รีบดูเร็วเข้า ตรงนั้นมีคนด้วย”

“โอ๊ะ” สาวใช้ชุดเขียวด้านข้างก็เอ่ยขึ้นด้วยความตกตะลึง “มีคนจริงๆ ด้วยหรือนี่”

ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนทุ่งร้าง เขาก็สัมผัสได้ว่าเรือใหญ่ลำหนึ่งกำลังทะยานเข้ามาจากกลางอากาศไกลออกไป อานุภาพของเรือใหญ่เกรียงไกร และไม่มีสัตว์ถิ่นร้างเช่นพวก ‘สัตว์ปีกที่เหี้ยมโหด’ กล้าเข้าไปล่วงเกิน

“วิเคราะห์ตั้งนมนาน ก็สามารถทำให้กายหยาบนี้สามารถครองพลังรบได้ที่ระดับขั้นสุดยอดอย่างพอถูไถเท่านั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกจนใจอยู่บ้าง เขาใช้ความเร้นลับของกฎเกณฑ์ของวิถีอากาศที่ทำให้โลกใบนี้ไม่ต่อต้านเป็นพื้นฐาน แล้วทำให้เคล็ดวิชา ‘ฝึกกายคละถิ่น’ เรียบง่ายขึ้น! แม้จะทำให้เรียบง่ายขึ้นเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังคงมีหลายความเร้นลับที่ยังคงมีการต่อต้านอยู่

มิเช่นนั้นแล้วลำพังแค่อาศัยความเร้นลับจำนวนน้อยนิดเหล่านั้น ภายในระยะเวลาสั้นๆ มิอาจผลักดันเคล็ดวิชาฝึกกายที่แข็งแกร่งพอขึ้นมาได้แน่

เคล็ดวิชาอ่อนแอเกินไปอย่างนั้นหรือ ตงป๋อเสวี่ยอิงรังเกียจว่าอ่อนแอไป

“บัดนี้ก็พอจะทำให้กายหยาบมั่นคงขึ้นมาได้แล้ว”

“แม้ภายในจะยังมีการถล่มลงเล็กน้อยอยู่ตลอดเวลา แต่การฟื้นฟูตามธรรมชาติของร่างกาย สามารถชดเชยการถล่มทลายเล็กน้อยนี่ได้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ ร่างกายของเขาอยู่ระหว่างการ ‘ได้รับบาดเจ็บ’ และ ‘ฟื้นฟู’ มาตลอดเวลา บัดนี้ความเร็วในการฟื้นฟูนั้นรวดเร็วกว่าการได้รับบาดเจ็บแล้ว จึงสามารถรักษาร่างกายให้มั่นคงได้!

ดีร้ายอย่างไร กายหยาบก็คงพลังรบระดับขั้นสุดยอดเอาไว้

ต้องรู้ไว้ว่า…ก่อนหน้านี้ฉบับแรกของฝึกกายคละถิ่นชั้นที่สามก็เป็นระดับไร้ศัตรูแล้ว! ฉบับที่สองที่เขาขัดเกลาขึ้นมาก็ถึงขั้นเข้าสู่ระดับจักรพรรดิขั้นต้นแล้ว

บัดนี้ เพียงครู่เดียวก็ลดลงมาถึงขีดจำกัดขั้นสุดยอด! ทั้งยังต้องข่มความเจ็บปวดเอาไว้ตลอดเวลา

“ต่อไปก็ต้องใช้เวลา ค่อยๆ ขัดเกลาไป” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ

ฟิ้ว…

เรือใหญ่ลำนั้นกลับบินมาถึงเหนือร่างของตงป๋อเสวี่ยอิง ตรงหัวเรือ สตรีอาภรณ์สีฟ้าอ่อนผู้นั้นเหลือบมองลงมาเบื้องล่างพลางสำรวจตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยความสนใจใคร่รู้ อีกด้านหนึ่งกลับมีชายชราท่าทางเยียบเย็นผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้น ชายชราท่าทางเยียบเย็นเอ่ยขึ้นว่า “คุณหนูสามระวังหน่อยนะขอรับ แต่ละคนที่บุกฝ่าอยู่ท่ามกลางความรกร้างเช่นนี้ล้วนแต่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง คุณหนูสามต้องรักษาระยะห่างกับเขาหน่อย”

“พ่อบ้านอวิ๋น เขาเป็นอะไรไปแล้ว เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าเขาไม่ค่อยชอบมาพากลนัก” สตรีอาภรณ์สีฟ้าอ่อนถาม

ชายชราท่าทางเยียบเย็นผู้นี้ยืนอยู่ที่หัวเรือ ทันใดนั้นก็ลืมตาดวงที่สามตรงหว่างคิ้วขึ้นมา ตาดวงที่สามนี้เปล่งแสงสีเขียวมรกตเรืองรองออกมา มันเหลือบมองลงไปเบื้องล่าง เมื่อมองดูแล้วชายชราท่าทางเยียบเย็นก็ยิ้มหยัน “พลังของคนผู้นี้บรรลุถึงระดับจ้าวเทพได้อย่างพอถูไถ แต่อาการบาดเจ็บของร่างกายสาหัสยิ่งนัก เขากำลังพยายามเยียวยาอาการบาดเจ็บของร่างกาย ผู้ที่เพิ่งเข้าสู่ระดับจ้าวเทพคนหนึ่งก็กล้าบุกฝ่าท่ามกลางความรกร้างด้วย เฮอะๆ ช่างรนหาที่ตายจริงๆ”

“เขาได้รับบาดเจ็บแล้ว พวกเราไปช่วยเขากันเถอะ ท่ามกลางความรกร้าง อาจจะมีสัตว์ถิ่นร้างที่แข็งแกร่งโผล่มาโจมตีเขาได้ตลอดเวลา” สตรีอาภรณ์สีฟ้าอ่อนกล่าว

“คุณหนูสามเมตตาเกินไปแล้ว” ชายชราท่าทางเยียบเย็นส่ายหน้า “ผู้ที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าเช่นนี้ ยังคง…โอ๊ะ”

ทันใดนั้นชายชราท่าทางเยียบเย็นก็เผยสีหน้าตกใจออกมา

“เป็นอะไรไปน่ะ”

“พ่อบ้านอวิ๋น”

รอบด้านยังมีแม้ทัพหลายนายและคนอื่นๆ อยู่ด้วย ทุกคนพากันมองไปทางพ่อบ้านอวิ๋น พ่อบ้านอวิ๋นคือผู้ควบคุมเรือลำนี้อย่างแท้จริง แน่นอนว่าผู้นำในนามก็คือคุณหนูสาม

แสงสีเขียวมรกตสาดส่องจากตาดวงที่สามตรงหว่างคิ้วของชายชราท่าทางเยียบเย็นอย่างไม่ขาดสาย เขาเหลือบมองตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่เบื้องล่างแล้วสำรวจโดยละเอียด “เขามิได้ก่อจิตเทพขึ้นมาหรือนี่ ไม่ได้ก่อจิตเทพ ก็บำเพ็ญถึงระดับขั้นจ้าวเทพได้ ดูท่าแล้วคงจะฝึกกายล้วนๆ ฝึกกายหยาบเพียงอย่างเดียวก็บรรลุถึงขั้นนี้ได้เชียวหรือนี่ นอกจากนี้เมื่อข้าอยู่เหนือร่างเขา ก็สัมผัสรับรู้กลิ่นอายสายเลือดของเขามิได้เลยแม้แต่น้อย เขามิใช่ผู้ที่ถือกำเนิดขึ้นมาในโลกเทพ แต่เป็นผู้เหินทะยานจากโลกล่าง!”

“เป็นผู้เหินทะยานหรือ”

“ได้ยินมาว่าโลกล่างมีมิติมากมาย ผู้ที่สามารถเหินทะยานขึ้นมาถึงโลกเทพของพวกเราได้มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย”

บนเรือพลันวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา

มีผู้เหินทะยานอยู่ในโลกเทพน้อยมาก

“ผู้เหินทะยานคนหนึ่ง มิได้ก่อจิตเทพขึ้นมา ทางด้านฝึกกายสามารถก้าวเข้าสู่ขั้นจ้าวเทพได้” ชายชราท่าทางเยียบเย็นเหลือบมองลงไปยังตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วเผยรอยยิ้มสายหนึ่งออกมา “คุณหนูสาม บ่าวเฒ่ารู้สึกว่าคุณหนูสามพูดได้มีเหตุผล ผู้แกร่งกล้าพรรค์นี้ ควรไปช่วยเหลือเสียหน่อย!”

………………………………………

พรึ่บ!

ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกเพียงแค่ว่าตลอดทั้งร่างถูกกักเอาไว้ ติดกับอยู่ภายในฟองวารีสีแดงโลหิตฟองหนึ่ง จากนั้นก็เคลื่อนย้ายอยู่ภายในมิติคละถิ่นอันกว้างใหญ่อย่างรวดเร็ว

“รวดเร็วเกินไปแล้ว!” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปรอบทิศ มองผ่าน ‘ฟองวารี’ ก็สามารถมองเห็นโลกภายนอกได้ แต่ทั้งหมดก็เปลี่ยนเป็นรางเลือน ถึงขนาดที่ ‘โลกกำเนิด’ อันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปหายลับไปภายในทัศนวิสัยของตน ตนเองก็ยังไม่สามารถมองเห็นรูปลักษณ์ของโลกกำเนิดแห่งนั้นได้อย่างชัดเจน จากนั้นก็ พรึ่บๆๆ…

โลกกำเนิดแห่งแล้วแห่งเล่ากะพริบวาบผ่านไป

หรือแม้กระทั่งมองเห็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นขนาดมหึมาจำนวนหนึ่งอยู่เป็นครั้งคราว สามารถระบุรูปทรงได้อย่างคร่าวๆ อีกฝ่ายก็หายลับไปจากสายตาเสียแล้ว

“นั่นคือใครกัน เคลื่อนที่ภายในมิติคละถิ่นก็ยังร้ายกาจได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ” สัตว์ประหลาดหลายหัวขนาดมหึมาตนหนึ่ง ดวงตากว่าร้อยคู่มองดูทิศทางที่ร่องรอยสายนั้นกะพริบวาบผ่านแล้วก็อดที่จะลอบบ่นพึมพำมิได้ “ผู้แกร่งกล้าคละถิ่นที่น่าหวาดหวั่นพรรค์นี้ เกรงว่าคงจะไม่เห็นข้าอยู่ในสายตา แต่ก็ยังหลบอยู่ไกลพอสมควร” สัตว์ประหลาดหลายหัวนี้เคลื่อนที่เตร็ดเตร่เปลี่ยนทิศทางไปในทันที

……

รวดเร็วยิ่งกว่าการอาศัยป้ายคำสั่งจิตโลกามาถึงดินแดนจิตโลกาในตอนนั้นเสียอีก ทั้งยังรวดเร็วกว่าศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาที่ตนสำแดงเป็นอย่างมาก

‘ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา’ เป็นสิ่งที่ตนสร้างรอยแยกเส้นหนึ่งขึ้นมาอย่างหลบๆ ซ่อนๆ ตัดแยกพลังคละวิถีไปอย่างระมัดระวังแล้วเคลื่อนที่ไปข้างหน้า แต่ในขณะนี้ก็ถูกฟองวารีสีแดงโลหิตนี้ห่อหุ้มและส่งถ่าย เป็นการเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างตรงไปตรงมา! พลังคละวิถีก็ไม่มีทางรบกวนได้ รวดเร็วถึงขนาดที่แม้กระทั่ง ‘สิ่งมีชีวิตคละถิ่น’ ก็ได้แต่มองเห็นร่องรอยที่หลงเหลืออยู่เล็กน้อยได้อย่างทุลักทุเลเท่านั้น แล้วหายลับไปภายในอาณาบริเวณการรับสัมผัสของเขา

รวดเร็วเหลือเกิน

ฟองวารีสีแดงโลหิตนี้ห่อหุ้มตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ ผ่านโลกกำเนิดมาสามร้อยกว่าแห่ง ทุกแห่งที่ผ่านไป ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ได้จดจำเอาไว้จนหมดแล้ว

“ครืน…”

บริเวณไกลออกไปมีโลกสีทองแห่งหนึ่ง

โลกสีทองแห่งนั้นแผ่สายฟ้าสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนมาปะทะโจมตีกับ ‘พลังคละวิถี’ ของมิติคละถิ่นอย่างต่อเนื่อง! นี่ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงประหลาดใจและสงสัย “เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน โลกกำเนิดที่ข้าเคยเห็นต่างก็อยู่ร่วมกันกับมิติคละถิ่นได้อย่างสมบูรณ์แบบทั้งสิ้น! ระลอกคลื่นที่โลกกำเนิดแผ่ออกมาทำให้พลังคละวิถีร่นถอยไปเล็กน้อย ทั้งสองมิได้มีความขัดแย้งกันอย่างรุนแรงแต่อย่างใดเลย แต่เหตุใดโลกใบนี้จึงได้ขัดแย้งกับมิติคละถิ่นอย่างร้ายกาจเช่นนี้เล่า”

ในใจยังคงสงสัยอยู่

ฟองวารีสีแดงโลหิตนี้ห่อหุ้มตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ กะพริบวาบคราหนึ่งก็พุ่งเข้าไปในโลกสายฟ้าสีทองแห่งนั้นแล้ว

รวดเร็วเกินไปแล้ว!

ฟองวารีสีแดงโลหิตเคลื่อนผ่านมิติคละถิ่น เหลือร่องรอยสีแดงโลหิตสายหนึ่งเอาไว้ ถึงแม้ว่าโลกสายฟ้าสีทองจะมีความรุนแรงไม่ธรรมดา แผ่สายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนโจมตีมิติคละถิ่นบริเวณรอบๆ แต่กลับมิอาจสั่นสะเทือนถึง ‘ฟองวารีสีแดงโลหิต’ นี้ได้เลยแม้แต่น้อย ฟองวารีสีแดงโลหิตกระแทกกับสายฟ้าทั้งหมดที่แผ่มาอย่างอุกอาจ อีกทั้งยังพุ่งเข้าไปภายในโลก ‘สายฟ้าสีทอง’ ในทันทีอีกด้วย

“หืม นี่มันเรื่องอันใดกัน”

“ผู้ใดกันที่มายังโลกของพวกเรา”

พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ

หลังจากที่ฟองวารีสีแดงโลหิตที่ปกป้องตงป๋อเสวี่ยอิงฝืนเข้าไปยังโลกแห่งนี้แล้ว เพียงไม่นานก็มีเงาร่างสามสายปรากฏขึ้นมาจากกลางโลกสายฟ้าสีทองอย่างต่อเนื่องกัน พวกเขาทั้งสามต่างก็แผ่กลิ่นอายของผู้แกร่งกล้าคละถิ่นออกมา กลิ่นอายแผ่กระจายอย่างยิ่งใหญ่ไปทั่วทั้งสี่ทิศ ถึงขนาดที่ทำให้สายฟ้าสีทองและพลังคละวิถีที่อยู่รอบๆ อ่อนลงไปเป็นอันมาก

พวกเขาทั้งสามมองไปทั่วทั้งสี่ทิศอย่างละเอียด ทำการสำรวจด้วยวิธีการสะกดรอยและย้อนเวลาต่างๆ

“ไม่มีหรือ”

“รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามีวัตถุภายนอกพุ่งเข้ามาในโลกของพวกเรา! แต่เหตุใดจึงตรวจสอบไม่พบเล่า คราวก่อนก็รู้สึกได้ว่ามีวัตถุภายนอกเข้ามา แต่ก็ไม่สามารถหาพบได้เช่นกัน”

“ประหลาดนัก”

หลังจากที่บุคคลสามท่านนี้ปรึกษากันแล้วก็สิ้นไร้หนทาง ได้แต่ล่าถอยไปชั่วคราวก่อน

******

“ปึงๆๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ภายในฟองวารีสีแดงโลหิต รู้สึกได้เพียงว่าสายฟ้าสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนอันบ้าคลั่งรุนแรงนั้นปะทะกับฟองวารีสีแดงโลหิตนี้ไม่หยุดหย่อน ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกได้ถึงการคุกคามของความตาย แต่ทั้งหมดล้วนถูกฟองวารีสีแดงโลหิตต้านทานเอาไว้เสียแล้ว

“บ้าคลั่งและรุนแรงเช่นนี้ โลกที่รับสัมผัสได้ตอนที่ข้าอยู่ภายในห้วงมิติกลุ่มแสงของทางเดินเขี้ยวอสรพิษนั้นก่อนหน้านี้ ก็คงเป็นโลกแห่งนี้กระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงคาดเดา

พรึ่บ…

ฟองวารีสีแดงโลหิตพุ่งเข้าไปภายในโลกสายฟ้าสีทองแล้ว ถึงขนาดที่ตกลงไปที่ใดสักแห่งอย่างไร้ซึ่งสุ้มเสียง ปราศจากร่องรอย

“ความรวดเร็วนี้”

ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังยืนอยู่บนดินแดนรกร้างแห่งหนึ่งพลางเผยรอยยิ้มขมขื่นออกมา

เห็นอยู่ชัดๆ ว่าก่อนหน้านี้รู้สึกว่าเพิ่งผ่านด้านนอกโลกสายฟ้าสีทอง จากนั้นตนก็มาถึงบนดินแดนรกร้างแห่งนี้! เพราะว่ารวดเร็วเกินไปจริงๆ ตนเองมิอาจมองเห็นให้ชัดเจนได้เลย! แต่ก็เป็นเรื่องปกติอย่างยิ่ง อย่างเช่นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนั้นของโลกกำเนิดแห่งหนึ่ง เคลื่อนที่ผ่านได้ในพริบตาโดยอาศัยความเร็วของฟองวารีสีแดงโลหิต ก็รวดเร็วเสียจนตนเองก็ยังมองเห็นไม่ชัด

“ถ้าหากกระตุ้นจะสามารถมุ่งตรงไปยังโลกแห่งต่อไปได้หรือไม่หนอ” ตงป๋อเสวี่ยอิงก้มหน้าลงมองไปยังข้อมือ บนข้อมือมีรอยประทับสีแดงโลหิตปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน จากนั้นรอยประทับก็เลือนหายไป เกิดการซ่อนเร้นขึ้นมา

พลังที่แฝงอยู่ในฟองวารีสีแดงโลหิตนี้ก็กระตุ้นขึ้นมาอีกสองครั้ง

ทุกครั้งที่กระตุ้นก็ส่งตนมุ่งหน้าไปยังโลกแห่งหนึ่ง

โลกที่แหล่งอารยธรรมแตกต่างกันสามแห่ง…

นี่ก็คือโอกาสที่ ’หยวน’ มอบให้กับผู้แกร่งกล้าที่สามารถไปถึงส่วนลึกของทะเลแห่งการรับรู้ของทางเดินเขี้ยวอสรพิษได้อย่างพวกเขา

“จักรพรรดิเป่ยเหอก็คงจะมาถึงโลกแห่งนี้แล้วเช่นเดียวกันกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าแปรเปลี่ยนในทันใด ทั่วทุกบริเวณของร่างกายตนค่อยๆ เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้น ก็ราวกับก้อนอิฐก้อนแล้วก้อนเล่าของอาคารสูงเสียดฟ้าแห่งหนึ่งกำลังแตกออกเป็นเสี่ยงๆ แน่นอนว่าทั้งอาคารสูงเสียดฟ้าก็ค่อยๆ เข้าสู่ ‘การแตกสลาย’ อย่างช้าๆ เช่นเดียวกัน

“เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน ร่างกายของข้า ร่างกายของข้า เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร…”

ตงป๋อเสวี่ยอิงตื่นตระหนกขึ้นมาบ้างแล้ว

ร่างกายกำลังแตกสลาย!

นอกจากนี้ยังเริ่มแตกสลายจากทุกอนุภาคที่ละเอียดอ่อนที่สุดอีกด้วย

ไม่เพียงแต่เป็นเช่นนี้เท่านั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สัมผัสได้ว่าการรับสัมผัสต่อห้วงอากาศบริเวณรอบๆ ก็กลายเป็นรางเลือนอีกด้วย เป็นถึงผู้แกร่งกล้า ‘วิถีอากาศขั้นสุดยอด’ เดิมทีการควบคุมห้วงอากาศของเขาก็ร้ายกาจเป็นที่สุดอยู่แล้ว แต่ ‘ห้วงมิติ’ ของโลกนี้ก็ดูเหมือนจะไม่ฟังคำเอาเสียเลย ความเร้นลับของวิถีอากาศที่ตนควบคุม เมื่ออยู่ต่อหน้ามิติของโลกแห่งนี้ก็ไม่เป็นผลแต่อย่างใดเลย

“กลายเป็นอากาศธาตุ”

เมื่อทดลองกลายเป็นอากาศธาตุ ห้วงอากาศบริเวณรอบๆ ร่างกายบิดเบี้ยวเล็กน้อย แต่ว่าร่างกายกลับไม่เปลี่ยนแปลงเลย ยังคงค่อยๆ แตกสลายต่อไปเช่นเดิม

“เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน ข้าเป็นถึงวิถีอากาศขั้นสุดยอด เหตุใดวิถีอากาศจึงไร้ผลเสียแล้วเล่า”

“โลกกำเนิดที่แตกต่างกัน กฎเกณฑ์ระดับล่างก็อาจเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นได้ แต่กฎเกณฑ์ที่เหล่าเทพจักรวาลสร้างขึ้นเอง วิถีของเทพจักรวาลก็ควรจะใช้ได้ด้วยกันในทุกโลกกำเนิดสิ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึงในทันใด “แต่ว่าถ้าหากสถานที่ที่ข้าเข้าไปมิใช่โลกกำเนิดเล่า”

เมื่อดูจากสถานการณ์ที่ตนส่งถ่ายตัวเข้ามา

โลกสายฟ้าสีทองนั้นโจมตีมิติคละถิ่นอยู่ตลอดเวลาอย่างรุนแรงและบ้าคลั่ง ทั้งสองมิได้เข้ากันอย่างสมบูรณ์

“นอกจากนี้ ดินแดนแห่งนี้” ตงป๋อเสวี่ยอิงก้มลงมองพื้นดินเบื้องล่างแล้วยื่นมือออกไปสัมผัสเบาๆ กรวดหินดินทรายบนพื้นนั้นหนาแน่นเป็นอย่างยิ่ง ถึงขนาดที่มีกลิ่นอายพลังคละวิถีอยู่อย่างหนาแน่นด้วย! คล้ายกับว่ากรวดหินดินทรายทุกก้อนต่างก็เป็นพลังคละวิถีจำนวนนับไม่ถ้วนรวมตัวกัน กรวดหินดินทรายทุกก้อนล้วนหนาแน่นหาใดเปรียบ เกรงว่าเทพแท้ทั่วไปก็คงไม่สามารถเคลื่อนย้ายก้อนหินขนาดเท่ากำปั้นก้อนหนึ่งได้เลยด้วยซ้ำ! พลังดึงดูดก็ยิ่งใหญ่เหนือธรรมดา

กลิ่นอายอันบ้าคลั่งอันอลหม่านและรุนแรงที่ทั่วทั้งโลกแผ่ออกมา กฎเกณฑ์ก็เอนเอียงไปทางความอลหม่านและความรุนแรง

“นี่คงจะมิใช่โลกกำเนิดหรอก”

“โลกกำเนิด ฟูมฟักสรรพชีวิต ทะนุถนอมสรรพชีวิตให้เจริญเติบโต จะอลหม่านและรุนแรงเช่นนี้ได้อย่างไรกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ

“ข้าเข้าใจแล้ว”

“วิถีของระดับเทพจักรวาลนั้นใช้ได้เหมือนกันในโลกกำเนิดต่างๆ แต่นี่คงจะมิใช่โลกกำเนิด แม้กระทั่งวิถีอากาศของข้าก็ยังได้รับผลกระทบอย่างมหาศาล” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจในจุดนี้ “อ้างอิงจาก ‘ฝึกกายคละถิ่น’ ที่วิถีอากาศสรรสร้างขึ้นก็คงจะเข้ากันไม่ได้กับโลกแห่งนี้จากพื้นฐานที่สุด ดังนั้นร่างกายนี้ของข้าจึงเริ่มแหลกสลายอย่างนั้นหรือ”

ถึงแม้ว่าร่างกายจะกำลังแหลกสลาย

แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับมิได้ตื่นตระหนก เพราะว่านอกจากเขาจะค้นพบข่าวร้ายมากมายแล้วก็ยังมีข่าวดีอยู่ข่าวหนึ่ง!

“วิถีเขตลวงโลกเทียมของข้าไม่มีผลกระทบแต่อย่างใดเลยอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบยินดี

วิถีเขตลวงโลกเทียมก็คือวิถีวิญญาณ

สิ่งที่ต่อต้านก็คือวิญญาณ!

วิญญาณ…

ไม่ว่าจะเป็นที่โลกกำเนิดต่างๆ หรือแม้กระทั่งโลกแห่งนี้ที่เข้ามาในตอนนี้ก็คงจะมีพื้นฐานที่คล้ายคลึงกัน สามารถสำแดงวิถีเขตลวงโลกเทียมได้เช่นเดียวกัน

“แต่ร่างกายของข้า”

ตงป๋อเสวี่ยอิงร้อนรนขึ้นมาบ้างแล้ว ร่างกายเริ่มต้นแหลกสลายจากภายในส่วนที่ละเอียดอ่อนที่สุด หรือว่าตนจะทำได้เพียงแค่เตร็ดเตร่อยู่ข้างนอกโดยอาศัย ‘วิญญาณ’ กันเล่า

“เมื่อครู่ข้าควบคุมวิถีอากาศ ค้นพบข้อบกพร่องมากมาย แต่กลับยังมีส่วนน้อยที่ยังมีประโยชน์อยู่บ้าง” ตงป๋อเสวี่ยอิงวิวัฒน์อย่างรวดเร็ว วิญญาณของเขาแกร่งกล้าเป็นพิเศษ ถึงขนาดที่สามารถเชื่อมต่อความทรงจำกับร่างแยกมากมายที่ดินแดนจิตโลกาและอากาศอันสับสนอลหม่าน ทั้งสองโลกกำเนิดได้! เพียงชั่วครู่ร่างแยกมากมายต่างก็พากันวิวัฒน์เหตุการณ์ในตอนนี้กันอย่างสุดความสามารถเพื่อแก้ไขสภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกโดยเร็วที่สุด

ดีร้ายอย่างไรก็ต้องคงสภาพร่างกายเอาไว้ให้ได้!

……

ในขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนดินแดนรกร้าง ทางหนึ่งก็พยายามถ่วงเวลาที่ร่างกายแหลกสลายไปพลาง ทางหนึ่งก็พยายามวิวัฒน์หยั่งรู้ ระลอกคลื่นที่เกิดขึ้นจากกลิ่นอายอันไม่มั่นคงของร่างกายเขากลับดึงดูดแขกที่ไม่ได้รับเชิญผู้หนึ่งมาเสียแล้ว

“พรึ่บ!” ลำแสงสีดำที่อยู่ไกลออกไปสายหนึ่งพุ่งลงมาจากท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว ตรงมาหาตงป๋อเสวี่ยอิง

ตงป๋อเสวี่ยอิงเงยหน้าขึ้นมอง

นั่นคือสัตว์ปีกที่ปกคลุมด้วยขนนกสีดำตลอดร่างตนหนึ่ง มีนัยน์ตาดุร้ายสีเขียวมรกต ปีกทั้งสองกางออกยาวหลายพันเมตร ในขณะนี้สัตว์ปีกตนนี้เห็นตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นอาหาร จึงพุ่งตรงลงมา!

………………………………………

“แม้กระทั่งทำให้มั่นคงก็ยังทำมิได้ ข้อบกพร่องก็ยิ่งใหญ่เกินไปแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงสงบจิตใจแล้วคิดใคร่ครวญย้อนกลับไปถึงเคล็ดวิชาที่ตนคิดค้นขึ้นมา ถึงขนาดที่แปลงเป็นลำแสงเหินบินไปยังภูเขาเขี้ยวอสรพิษสีดำสูงตระหง่านแห่งแล้วแห่งเล่าในบริเวณรอบๆ ภูเขาเขี้ยวอสรพิษห้วงอากาศแปดแห่ง บริเวณรอบๆ ของแต่ละแห่งมีช่องว่างห้วงอากาศอยู่ มองแล้วก็ทำให้หัวใจคนสั่นสะท้าน รู้สึกได้ถึงความหวาดหวั่น ตงป๋อเสวี่ยอิงหยุดค้างอยู่กลางอากาศ ในทัศนวิสัยของเขาสามารถเห็นภูเขาเขี้ยวอสรพิษได้เพียงแค่บางส่วนเท่านั้น แต่เขากลับคาดเดาถึงปัญหาที่เคล็ดวิชาของตนมีอยู่ได้อย่างรางๆ แล้ว

ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า “เขี้ยวอสรพิษสีดำ แฝงไว้ด้วยความเร้นลับมากมายของวิถีอากาศ เห็นได้ชัดว่าเป็นระดับขั้นคละถิ่น ระดับขั้นสูงกว่าข้ามากมายเหลือเกิน ข้าเห็นแล้วก็ชมชอบหลงใหล! หากแต่เขี้ยวอสรพิษนี้ในท้ายที่สุดแล้วก็มีไว้ใช้โจมตี ส่วนประกอบของใบมีดจำนวนนับไม่ถ้วนที่ยอดเขาเขี้ยวอสรพิษก็เอาไว้ใช้สังหารโจมตีเช่นเดียวกัน ข้าอยากจะดึงเอาความเร้นลับมาซึมซับเข้าสู่ร่างกายก็ย่อมมีการสังหารโจมตีที่แข็งแกร่ง แต่อยากจะทำให้มั่นคงนั้นก็ยากเย็นเสียแล้ว!”

สิ่งที่โจมตีเพียงอย่างเดียวสามารถมั่นคงได้หรือ

ได้!

อย่างเช่นอาวุธเทพคละถิ่น! หรืออย่างเช่นเขี้ยวอสรพิษห้วงอากาศนี้! ต่างก็เป็นวัตถุที่โจมตีในระยะใกล้ ก็สามารถอยู่อย่างมั่นคงชั่วนิรันดร์ได้

แต่เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วการทำให้ทุกด้านของร่างกายสมดุลกันก็ง่ายกว่าอยู่พอสมควร ส่วน ‘การคงความสมดุลแม้การกัดกร่อนแข็งแกร่ง’ ก็ยากกว่าอยู่มากอย่างเห็นได้ชัด

“น่าเสียดาย ข้าไม่มีวัตถุอื่นๆ ที่สามารถศึกษาได้อีกแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า

ถึงแม้ว่าจะได้ดูเศษเสี้ยวความทรงจำมาแล้ว

แต่ก็เพียงแค่ได้เห็นภาพเหตุการณ์จำนวนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีทางวิเคราะห์ได้อย่างแท้จริง อย่างเช่นเขี้ยวอสรพิษนี้ ตนเองก็สามารถมองเห็นส่วนประกอบภายในได้แล้วศึกษาจากมัน ดัดแปลงส่วนประกอบร่างกายของตนเอง

“อาวุธเทพคละถิ่น พื้นฐานคือเม็ดทรายอลวนซึ่งเป็นวัตถุไร้ชีวิต” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะ “ดีร้ายอย่างไรเขี้ยวอสรพิษก็เป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย”

“ไปดูที่อื่นๆ อีกสักหน่อยก็แล้วกัน”

ตงป๋อเสวี่ยอิงจดจำส่วนประกอบภายในเขี้ยวอสรพิษเอาไว้จนหมด ถึงขนาดที่ไม่มีทางก้าวหน้าได้อีกในระยะเวลาอันสั้น จะรั้งอยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด

พรึ่บ!

เขาแปลงเป็นลำแสง เดินทางอยู่ในทางเดินเขี้ยวอสรพิษอย่างต่อเนื่อง เริ่มต้นตรวจตราไปทุกหนทุกแห่ง

……

ในวันต่อมา ตงป๋อเสวี่ยอิงทุ่มเทจิตใจสำรวจทุกหนแห่งของทางเดินเขี้ยวอสรพิษ ช่วยไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะเคยถามยอดเคารพเฮ่ากู่ถึงข้อมูลเกี่ยวกับทางเดินเขี้ยวอสรพิษมาก่อนแล้ว ยอดเคารพเฮ่ากู่ก็ได้บอกมาเป็นจำนวนมาก แต่เกี่ยวกับ ‘วิถีอากาศ’ นั้น วิธีการพูดของยอดเคารพเฮ่ากู่ก็คือ “เขี้ยวอสรพิษห้วงอากาศเก้าอันนั้นสะดุดตาเป็นที่สุด ส่วนสิ่งอื่นๆ นั้นข้าก็มิได้ค้นพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับวิถีอากาศ แน่นอนว่าข้าก็มิได้เชี่ยวชาญทางด้านห้วงอากาศ สายตาไม่กว้างไกลพอ บางทีหากมีวัตถุวิถีอากาศอยู่ต่อหน้า ก็มีความเป็นไปได้ที่ข้าจะมองไม่ออก”

สำหรับ ‘วิถีเขตลวงโลกเทียม’ ถึงแม้ว่าทางเดินเขี้ยวอสรพิษจะเป็นสถานที่ต้องห้ามในตำนาน แต่กลับไม่มีวัตถุใดๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกับมันเลย

******

ณ บ้านเกิด ‘อากาศอันสับสนอลหม่าน’ โลกทิพย์นิจนิรันดร์

ภายในเมืองขนาดเล็กแห่งหนึ่ง

ตงป๋อเสวี่ยอิงและอวี๋จิ้งชิวกำลังอยู่ที่โรงสุราริมทาง เสพสุขกับอาหารเลิศรสสุราชั้นเลิศที่เป็นเอกลักษณ์ของโรงสุราแห่งนี้

เหล่าผู้ดูแลของโรงสุราต่างก็กำลังตั้งอกตั้งใจดูแลบรรดาแขกเหรื่อ วิ่งพล่านอยู่ภายในโรงสุรา คอยยกอาหารเลิศรสสุราชั้นเลิศถาดแล้วถาดเล่า

“เหล่าซาน ค่าคารวะอาจารย์ของเจ้าเพียงพอแล้วหรือ”

“พี่ใหญ่ วางใจเถิด ใกล้แล้วล่ะ คราวหน้าที่สำนักฝูเทียนรับศิษย์อีกครั้ง ข้าก็สามารถคารวะอาจารย์ได้แล้ว พอถึงเวลานั้นข้าก็จะต้องบำเพ็ญจนสำเร็จเป็นเทพอากาศได้อย่างแน่นอน” ที่ด้านข้าง เหล่าผู้ดูแลผ่อนคลายกันเล็กน้อย ผู้ดูแลวัยเยาว์สองคนถ่ายเสียงสนทนาระหว่างกัน

แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงและอวี๋จิ้งชิวมีระดับขั้นเช่นไร วิธีการที่เทพแท้สองคนถ่ายเสียงกัน พวกเขาสองคนก็ได้ยินอย่างง่ายดาย

อวี๋จิ้งชิวเอ่ยเสียงเบาว่า “ในยุคนี้ยังคงมีสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนที่กำลังบำเพ็ญ กำลังดิ้นรน แต่ทั่วทั้งอากาศอันสับสนอลหม่านกลับกำลังขยายใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่องจนใกล้จะถึงมหาวินาศ”

“ยังเร็วไปมากนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ “ยังเหลืออีกกว่าสิบล้านล้านปีเลยทีเดียวนะ”

“ใช่ แต่ยุคนี้แหลกสลายไป ทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นความว่างเปล่า มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่เจ้า เสวี่ยอิงสามารถช่วยพาจากไปได้” อวี๋จิ้งชิวมองบรรดาผู้ดูแลวัยเยาว์ที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาเหล่านั้น

ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

พกพาสิ่งมีชีวิตไปยังโลกกำเนิดแห่งอื่นๆ สำหรับเขาผู้เป็นวิถีอากาศขั้นสุดยอดแล้วก็มิใช่เรื่องง่ายเลย

แม้กระทั่งบรรดาญาติสนิทมิตรสหาย ก็ยังต้องต้องแบ่งออกเป็นหลายครั้งอย่างยิ่งในการพาไป ที่เขาสามารถพาไปได้ก็ถูกกำหนดให้น้อยนิดเป็นอย่างยิ่ง!

“ยุคสมัยนี้…” ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นที่บ้านเกิดหรือว่าที่ดินแดนจิตโลกา ตงป๋อเสวี่ยอิงต่างก็เป็นผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งที่ยืนอยู่ที่จุดยอดสุดทั้งสิ้น แต่เขาก็ยังมีอีกหลายเรื่องที่ยังมิได้ทำให้เสร็จสิ้น อย่างเช่นการสังหารศัตรูของปรมาจารย์กู่ฉี…จอมเทพศักดิ์สิทธิ์! ‘จอมเทพศักดิ์สิทธิ์’ ที่ก่อการสังหารจำนวนนับไม่ถ้วน ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ย่อมไม่อยากให้เขามีชีวิตรอดอยู่แล้ว

“แต่ถ้าหากไปถึงยุคต่อไปแล้ว ถึงแม้ว่าพวกเราจะต้านทานกฎเกณฑ์สูงสุดเอาไว้ได้ ก็ต้องให้กำเนิดตอนแรกเริ่มในยุคต่อไป เข้าสู่ห้วงนิทราอยู่ดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจในจุดนี้ “พลังยุทธ์ของข้าแข็งแกร่งกว่าจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ ระยะเวลาที่ข้าเข้าสู่ห้วงนิทราก็อาจจะเนิ่นนานกว่า ระหว่างช่วงเวลานี้ก็สามารถเกิดการผันแปรขึ้นได้มากมาย”

ภายในโลกกำเนิดก็ไม่มีทางต้านทานกฎเกณฑ์สูงสุดได้เลย

แม้กระทั่งผู้แกร่งกล้าคละถิ่นที่น่าหวาดหวั่นที่กล้าแกร่งอย่าง ’หยวน’ และ ‘เจ้าเมืองหลัว’ เข้าไปยังโลกกำเนิดแห่งหนึ่ง ภายใต้การเผชิญกับความกดดัน พลังยุทธ์ที่สามารถแสดงออกมาได้ก็มีขีดจำกัดเช่นกัน

“อยากจะสังหารเขา ยุคนี้ก็เป็นโอกาสอันดีที่สุดแล้ว”

“แต่ตอนแรกจอมกระบี่ไล่ล่าสังหารหลายครั้ง ก็เพียงแค่ทำให้จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น พลังชีวิตก็สูญเสียไปไม่ถึงครึ่ง ตอนนี้ข้าสามารถรักษาพลังยุทธ์เอาไว้อย่างมั่นคงได้ ก็เป็นเพียงแค่ระดับไร้เทียมทานเท่านั้น แข็งแกร่งกว่าจอมกระบี่อยู่เล็กน้อย” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจกระจ่างแจ้งเป็นอย่างยิ่ง พลังยุทธ์ไร้เทียมทานก็ไม่มีทางสังหารขั้นสุดยอดระดับสามัญในกระบวนท่าเดียวได้

ถึงแม้ว่าตนเองจะมีร่างแยกมากมายก็ยังทำมิได้เช่นกัน

ตอนนี้เขายังซ่อนตัวอยู่ในทางเดินโลกาพิศวง อยากจะหาตัวให้พบนั้นยากเย็นเป็นอย่างยิ่ง ถึงอย่างไรเมื่อใดที่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์แปลงร่างกลายเป็นฝูงมารผลาญทำลายธรรมดา ตนเองก็ไม่มีทางจำได้! ในท้ายที่สุดแล้วตนก็ไม่มีความสามารถในการ ‘สะกดรอย’ ขั้นสุดยอดอยู่ดี

“รอให้ข้าแข็งแกร่งกว่านี้มากอีกหน่อยเถิด”

“ก็จะเริ่มต้นกวาดล้างทางเดินโลกาพิศวง ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่มีทางปล่อยให้จอมเทพศักดิ์สิทธิ์สามารถมีชีวิตรอดไปถึงยุคต่อไปได้หรอก” นัยน์ตาของตงป๋อเสวี่ยอิงมีประกายหนาวเหน็บวาบผ่าน ก่อนหน้านี้เขายังไม่มีความมั่นใจ แต่ความก้าวหน้าในเคล็ดวิชาฝึกกายคละถิ่นทำให้เขามีความมั่นใจขึ้นมาแล้ว

ขอเพียงแค่เคล็ดวิชาฝึกกายก้าวหน้าขึ้นอีกสักหน่อยก็จะมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมในการไปกวาดล้างแล้ว

……

สถานที่ต้องห้ามทะเลแห่งการรับรู้ของ ‘ทางเดินเขี้ยวอสรพิษ’ ภายในห้วงมิติกลุ่มแสงที่ใหญ่ที่สุดแห่งนั้น

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มาถึงยังที่แห่งนี้ ผ่านประสบการณ์สำรวจทุกหนแห่งในระยะเวลานี้ พลังไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษในร่างกายเขาก็ถูกใช้ไปจนเหลือเพียงแค่สายสุดท้ายแล้ว

ยืนอยู่ภายในห้วงมิติกลุ่มแสงนี้ มองดูซากศพของงูยักษ์ขนาดมหึมาตนนั้น และซากศพสัตว์ประหลาดพันเนตรที่อยู่ในหุบเขาเขี้ยวหักอยู่ห่างๆ

“ที่ดินแดนจิตโลกา ที่อากาศอันสับสนอลหม่าน ข้าก็ไร้ซึ่งศัตรูแล้ว เหล่าผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิของหุบเขาเขี้ยวหักก็มีอยู่มากมายที่แข็งแกร่งกว่าข้า แต่สิ่งที่พวกเขาบำเพ็ญล้วนเป็นพลังสายโลหิตทั้งสิ้น มิได้มีส่วนช่วยเหลือต่อข้าแต่อย่างใดเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะ “แต่ถึงแม้ว่าจะบำเพ็ญมาจนถึงระดับในตอนนี้แล้ว วิถีเขตลวงโลกเทียมของข้าก็ยังไปไม่ถึงขั้นสุดยอดเลยเสียด้วยซ้ำ ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคละถิ่นเลย วิถีอากาศ แม้กระทั่ง ‘จักรพรรดิระดับต้น’ ก็ยังไม่มั่นคงพอ ยังห่างไกลจากการสำเร็จเป็นคละถิ่นอยู่มากมายนัก”

“ทุ่มเทบำเพ็ญ”

“นึกอยากจะใช้พลังทำลายกฎสำเร็จเป็นคละถิ่นนั้นยากเย็นเพียงใด” ตงป๋อเสวี่ยอิงทอดถอนใจ

ไปดัดแปลงเส้นทางมากมาย ทดลองควบคุมจุดกำเนิดของโลกกำเนิด บางทีอาจยังมีหวังมากยิ่งกว่าอีกกระมัง

เผยแพร่ความเชื่อ อาศัยศรัทธาของสรรพชีวิตมาควบคุมจุดกำเนิดโลกอย่างนั้นหรือ การที่จะให้ผู้บำเพ็ญที่ไขว่คว้าอิสรภาพอย่างยิ่งใหญ่ศรัทธาได้นั้นยากเย็นเหลือเกิน แต่วิธีการควบคุมวิญญาณนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิได้สนใจมากมายนัก

“ไปลองดูที่แหล่งอารยธรรมอื่นๆ หน่อยดีกว่า”

“ที่แท้แล้วเป็นสถานที่เช่นไรกันแน่ เพียงแค่รับสัมผัสอยู่ห่างๆ ก็สามารถทำให้สัญชาตญาณของข้ารู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาได้แล้ว ส่งผลกระทบต่อพลังยุทธ์ของข้า” ตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึงตรงหน้าก้อนหินใหญ่สีดำนั้น ก่อนหน้านี้จักรพรรดิเป่ยเหอก็เคยเข้าไปและออกมาก่อนแล้ว! อย่างเช่นเหล่าห้ายอดเคารพที่เคยมาถึงที่นี่ ต่างก็รู้สึกได้ว่าการไปนี้ช่างอันตรายเป็นอย่างยิ่ง จึงไม่เลือกทางเส้นนี้ง่ายๆ

ตงป๋อเสวี่ยอิงเยาว์วัยเกินไป

ต่อให้ไม่ออกไปวิ่งบุกฝ่า ทุ่มเทบำเพ็ญอย่างเดียว ด้วยความรวดเร็วในการบำเพ็ญของเขาก็มีความหวังที่จะสำเร็จเป็นคละถิ่น

แต่ว่า…

“ก็มิใช่แค่ร่างแยกร่างเดียวเท่านั้นหรือไร”

ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้มีร่างแยกจำนวนนับไม่ถ้วน เคยใส่ใจร่างแยกร่างเดียวเสียที่ไหนกัน

“ไป ไปดูหน่อยดีกว่า” ร่างกายที่เต็มไปด้วยความใคร่รู้และคาดหวังรอคอยของตงป๋อเสวี่ยอิงสัมผัสบนก้อนหินใหญ่สีดำแล้วแทรกเข้าไปภายใน ถูกดึงดูดเข้าไปในนั้นทันที

………………………………………….

ภายนอกห้วงมิติกลุ่มแสง

ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินทางตามเครือข่ายเส้นทางมาถึงยังเบื้องหน้ายอดเคารพเฮ่ากู่ผู้เต็มไปด้วยความคาดหวังรอคอยอย่างรวดเร็ว

“เป็นอย่างไรบ้าง” ยอดเคารพเฮ่ากู่เอ่ยถาม

“เป็นมิติเศษเสี้ยวความทรงจำ มิได้มีสมบัติล้ำค่าที่สามารถนำติดมาได้แต่อย่างใดเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด

“อ้อ” ยอดเคารพเฮ่ากู่มองไปยังอาณาเขตอื่นๆ อย่างครุ่นคิด เศษเสี้ยวความทรงจำนั้นมีเพียงแค่การเข้าไปดูด้วยตนเองเท่านั้นจึงจะยังนับว่าได้อะไรอยู่บ้าง! ภายใต้ความกดดันวิญญาณพรรค์นั้นเขาก็มิอาจเข้าไปได้ ก็ย่อมไร้ประโยชน์อยู่แล้ว แต่เขาก็มิได้ใส่ใจ เพราะว่ามีเพียงแค่ ‘เศษเสี้ยวความทรงจำ’ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพลังของตนเท่านั้นจึงจะมีประโยชน์อยู่บ้าง มิฉะนั้นก็จะมีประโยชน์เพียงน้อยนิดเท่านั้น…

ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าสู่ทะเลแห่งการรับรู้เป็นครั้งแรกก็ได้ ‘ขนนกแดงเพลิง’ อันนั้นมาครองแล้ว เดิมคิดว่าการนำเอาสมบัติล้ำค่าไปนั้นมิใช่เรื่องยากแต่อย่างใดเลย

แต่ต่อมาเขาก็รู้ว่าตนเองผิดพลาดเสียแล้ว

เพราะว่าทั่วทั้งทะเลแห่งการรับรู้มีกลุ่มแสงอยู่ทั้งสิ้นเพียงไม่กี่ร้อยเท่านั้น! ไม่นับแห่งที่ตนไม่สามารถเข้าไปได้ และไม่รวมแห่งที่ยอดเคารพเฮ่ากู่เคยเข้าไป ก็เหลืออยู่เพียงแค่ห้าสิบหกห้วงมิติกลุ่มแสงที่ตนสามารถบุกเข้าไปได้ ห้าสิบหกห้วงมิติกลุ่มแสงนี้ ที่มีสมบัติล้ำค่าอยู่ก็มีเพียงแค่สามสิบสามแห่งเท่านั้น! ในบรรดานั้นก็มีเป็นจำนวนมากที่มีพลานุภาพน่าหวาดหวั่น ตงป๋อเสวี่ยอิงถูกกวาดล้างโดยสมบูรณ์ ก็ย่อมไม่สามารถหยิบเอาสมบัติล้ำค่าใดๆ ไปได้อยู่แล้ว

มีกลุ่มแสงเพียงเจ็ดแห่งเท่านั้นที่ตงป๋อเสวี่ยอิงมีความหวังที่จะนำสมบัติล้ำค่าไปได้ แต่ก็เพียงแค่มีความหวังเท่านั้น

พรึ่บ

ตงป๋อเสวี่ยอิงโซซัดโซเซออกมาจากห้วงมิติกลุ่มแสงแห่งหนึ่งแล้วร่อนลงบนเครือข่ายเส้นทาง ในมือของเขาถือแผ่นเกล็ดสีดำอันหนึ่งเอาไว้

“ได้มาแล้วหรือ” ยอดเคารพเฮ่ากู่ที่อยู่ไกลออกไปได้เห็นเหตุการณ์แล้วก็เผยสีหน้ายินดีเป็นอย่างยิ่งแล้วบินตรงออกมาในทันที ไม่สนใจแล้วว่าจะสูญเสียพลังไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษไปอีกสายหนึ่ง

“เสี่ยงยิ่งกว่าเสี่ยง โชคดีที่ได้มาครอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูแผ่นเกล็ดสีดำในมือแล้วก็ทอดถอนใจอยู่บ้าง เมื่อครู่สิ่งที่ดึงดูดเขามากที่สุดในห้วงมิติกลุ่มแสงนั้นก็คือฟันเขี้ยวซี่หนึ่งซึ่งคมกริบดุจมีด แต่ฟันเขี้ยวซี่นั้นมีพลังคุกคามแข็งแกร่งเหลือเกิน ถึงขนาดที่พลังคุกคามอันไร้รูปร่างที่ปล่อยออกมาก็กดดันเสียจนตนมิอาจเข้าไปใกล้ได้ ถ้าหากมีพลังยุทธ์ระดับยอดเคารพเฮ่ากู่ก็น่าจะสามารถฝืนทนจนเข้าไปใกล้อย่างต่อเนื่องได้

ถึงแม้ว่าการได้มาซึ่งแผ่นเกล็ดสีดำนี้จะยากเย็นเป็นอย่างยิ่ง แต่ทุ่มเทอยู่ห้าครั้ง ในที่สุดก็สำเร็จจนได้

“ดีจริง” ยอดเคารพเฮ่ากู่หยิบเอาแผ่นเกล็ดสีดำมา รับสัมผัสพลังทำลายล้างที่แฝงอยู่ในส่วนลึกของแผ่นเกล็ดสีดำแล้วเผยสีหน้ายินดีพลางมองตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยรอยยิ้ม “จ้าวหิมะเหิน อ้างอิงจากที่เจ้ากับข้าสัญญากันก่อนหน้านี้ เจ้าเพียงแค่ช่วยข้าให้ได้สมบัติล้ำค่ามาสามชิ้นเท่านั้น เจ้าก็จะสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระแล้ว ตอนนี้เจ้าก็ไปบุกฝ่าอย่างอิสระเถิด”

“ยังคิดว่าการรวบรวมสมบัติล้ำค่าสามชิ้นจะค่อนข้างง่ายเสียอีก คิดไม่ถึงว่าผ่านไปหลายครั้งเช่นนี้ พลังไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษของข้าก็หมดลงไปเป็นส่วนใหญ่แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยอย่างจนใจ “ถ้าหากต้องการได้สิ่งเหล่านั้นกลับคืน ก็เกรงว่าคงต้องกลับคืนแล้วล่ะ”

แต่เขาไม่คิดจะคืนกลับไป

อยากจะใช้พลังไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษจนถึงหยาดหยดสุดท้าย

“ฮ่าฮ่า คราวนี้ต้องขอบคุณจ้าวหิมะเหินแล้ว” ยอดเคารพเฮ่ากู่พึงพอใจกับสิ่งที่ตนได้รับมาเป็นอย่างยิ่ง เขาเอ่ยว่า “พลังไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษของข้าลดลงไปเร็วเหลือเกิน ข้ายังเตรียมตัวจะไปยังสถานที่แห่งอื่นๆ อีก อยากจะไปด้วยกันหรือไม่เล่า”

“ไม่แล้วล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด

ยอดเคารพเฮ่ากู่พยักหน้า “เช่นนั้นข้าไปก่อนล่ะนะ”

พรึ่บ!

เขาแปลงร่างเป็นลำแสงเหินทะยานไปไกลในทันที ทั่วทั้งทางเดินเขี้ยวอสรพิษใหญ่โตเป็นอย่างยิ่ง แม้กระทั่ง ‘ส่วนหัว’ ของอสรพิษก็ยังกว้างขวางเป็นที่สุด ทะเลแห่งการรับรู้เป็นเพียงแค่สถานที่ที่ค่อนข้างพิเศษเท่านั้น พูดถึงอาณาบริเวณก็เป็นเพียงแค่มุมเล็กๆ มุมหนึ่งเท่านั้นเอง ยอดเคารพเฮ่ากู่ทะลุผ่านผนังกั้น ไปจากทะเลแห่งการรับรู้อย่างรวดเร็ว แล้วไปยังสถานที่แห่งอื่นในทางเดินเขี้ยวอสรพิษอีกครั้ง

“พรึ่บ” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไปจากทะเลแห่งการรับรู้อย่างรวดเร็วเช่นกัน

ใช้เวลาหลายอึดใจในการผ่านผนังกั้นสีแดงโลหิตของทะเลแห่งการรับรู้ มุ่งหน้าตามเส้นทางไปอย่างรวดเร็ว ความเร็วในการเหินทะยานของเขาช้ากว่ายอดเคารพเฮ่ากู่อยู่มากนัก เหาะเหินอยู่เป็นเวลากว่าสามวันจึงมาถึงจุดหมาย

“ถึงแล้ว”

ตงป๋อเสวี่ยอิงเหาะมาถึงตรงหน้า ‘เขี้ยวอสรพิษ’ ที่สูงตระหง่านดุจภูเขา เขี้ยวอสรพิษดำสนิท บริเวณรอบๆ มีรอยแยกจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น

พรึ่บ!

พุ่งทะยานด้วยความเร็วสูงเสียดฟ้ามุ่งไปยังส่วนยอดของภูเขาสูงเขี้ยวอสรพิษ

“แคร่กๆๆ” รอยแยกห้วงอากาศจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รู้สึกได้แล้วหลบเลี่ยงออกมาก่อน รอจนตอนที่บินไปถึงส่วนยอดสุดของภูเขาสูงเขี้ยวอสรพิษสีดำ มองปราดเดียวก็เห็นว่าส่วนยอดสุดของเขี้ยวอสรพิษนั้นแหลมคมหาใดเปรียบ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สามารถนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่งูยักษ์ใช้เขี้ยวอสรพิษนี้ขบกัดศัตรูได้ เกรงว่าเขี้ยวอสรพิษนี้ยังน่าหวาดหวั่นยิ่งกว่าอาวุธเทพคละถิ่นที่ตนดัดแปลงอยู่มากพอสมควร

ส่วนยอดสุดของเขี้ยวอสรพิษสีดำสูงตระหง่านคมกริบราวกับใบมีดจำนวนนับไม่ถ้วนประกอบกันเป็นค่ายกล นอกจากนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงดู ‘ใบมีด’ แต่ละอันอย่างละเอียด ใบมีดก็กำลังขยายใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อนภายใต้ทัศนวิสัยของเขา… มีขนาดใหญ่กว่าดินแดนแห่งหนึ่งเป็นอย่างมาก เขามองเห็นส่วนประกอบอันแปลกประหลาดภายใน ‘ใบมีด’ ได้อย่างชัดเจน

“น่าสนใจดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึงในทันใด หัวคิ้วขมวดน้อยๆ แล้วก็ร่อนลงมาอย่างรวดเร็ว นั่งขัดสมาธิอยู่บนส่วนยอดของเขี้ยวอสรพิษ นั่งขัดสมาธิอยู่ระหว่างกลางใบมีดสองอัน

หยั่งรู้อย่างละเอียด

******

ที่ห้วงอากาศเขี้ยวอสรพิษนี้ไม่มีอันตรายใดๆ มากล้ำกราย มิได้ใช้พลังไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษเลยแม้แต่น้อย ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สามารถทุ่มเทจิตใจฝึกฝนได้

ร่างแยกร่างหนึ่งของเขาอยู่ภายในห้วงมิติกลุ่มแสง สังเกตดูเศษเสี้ยวความทรงจำเหล่านั้นครั้งแล้วครั้งเล่าและหยั่งรู้

ร่างแยกที่มีไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษก็หยั่งรู้อยู่บนยอดเขาเขี้ยวอสรพิษห้วงอากาศสีดำ

ในความเป็นจริงแล้ว ตอนที่ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเห็นส่วนประกอบภายในของส่วนยอดของใบมีดอันคมกริบจำนวนนับไม่ถ้วนของ ‘เขี้ยวอสรพิษห้วงอากาศ’ ก็ถูกดึงดูดแล้ว เพราะเหตุใดน่ะหรือ ก็เพราะส่วนประกอบนี้มีส่วนที่คล้ายคลึงกันกับฝึกกายคละถิ่นขั้นที่สามที่เขาวิวัฒน์ขึ้นเองอยู่เป็นอันมาก ฝึกกายคละถิ่นขั้นที่สาม ความตั้งใจเดิมของตงป๋อเสวี่ยอิงก็คือคิดค้นเคล็ดวิชาฝึกกายที่สมบูรณ์แบบออกมา

‘ฉบับแรก’ ก่อนหน้านี้ เป็นสิ่งที่เขากับจักรพรรดิเซี่ยประชันปัญญากันจนสำเร็จก้าวแรกออกมาได้ในท้ายที่สุด ฉบับแรกนี้ก็ทำให้ร่างกายของเขาและจักรพรรดิเซี่ยมีพลังยุทธ์ของผู้แกร่งกล้าไร้เทียมทานระดับสามัญแล้ว

แต่ ‘ฉบับแรก’ ก็ยังคงหยาบกระด้าง มีส่วนที่ยังไม่สมบูรณ์ต่างๆ อยู่

ตงป๋อเสวี่ยอิงและจักรพรรดิเซี่ยต่างก็ต้องการเดินตามเส้นทางของตนเองกันทั้งคู่! จึงต้องต่างคนต่างเดินไปก่อน

“เขี้ยวอสรพิษห้วงอากาศนี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงแทรกเข้าไปในนั้นอย่างยินดี

ส่วนประกอบภายในของใบมีดจำนวนนับไม่ถ้วนนั้นลึกลับหาใดเปรียบ

ตงป๋อเสวี่ยอิงซึมซับมัน

แล้วค่อยผสานรวมกับการตระหนักรู้ที่ตนมีอยู่เดิม ในที่สุด ‘ฉบับที่สอง’ ของฝึกกายคละถิ่นขั้นที่สามก็ค่อยๆ ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา

เพียงพริบตา

ก็เป็นเวลาหนึ่งพันแปดร้อยล้านปีหลังจากที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าสู่ทางเดินเขี้ยวอสรพิษแล้ว

ที่ส่วนยอดของเขี้ยวอสรพิษสีดำอันสูงตระหง่าน ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีขาวตลอดร่า

นั่งขัดสมาธิอยู่ระหว่าง ‘ใบมีด’ สองอัน เขาเผยสีหน้ายินดี “คราวนี้จะต้องสำเร็จอย่างแน่นอน! ข้ารู้สึกว่าสมบูรณ์แบบมากพอแล้ว ลองดูสักหน่อยเถิด!” ทันใดนั้นก็ยื่นมือขวาของตนออกมาแล้วเริ่มเกิดความเปลี่ยนแปลงจากส่วนที่ละเอียดอ่อนที่สุดของร่างกาย ทำให้มือขวาเกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพไปด้วย

การคิดค้นเคล็ดวิชาฝึกกายก็เป็นเช่นนี้ อาศัยร่างกายของตนเองไปทดสอบครั้งแล้วครั้งเล่า ในระหว่างกระบวนการทดลอง ก็อาจทำให้ร่างกายของตนแตกสลายอยู่บ่อยครั้ง

แต่ว่าวิญญาณสมบูรณ์แบบ เพียงความนึกคิดเดียวก็สามารถรวมร่างกายได้อย่างรวดเร็วแล้ว

“พรึ่บๆๆ…” ตงป๋อเสวี่ยอิงทดลองบางส่วนก่อนจากนั้นค่อยทำทั้งร่าง เปลี่ยนแปลงมือขวาของตนเองก่อน เห็นเพียงว่าเล็บมือขวาของตงป๋อเสวี่ยอิงค่อยๆ เปลี่ยนเป็นแหลมคมขึ้นทีละน้อยตามการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ราวกับอาวุธเทพก็มิปาน ผิวหนังนิ้วมือก็เปลี่ยนเป็นแข็งกระด้างและแหลมคม ผิวหนังนิ้วมือราวกับประกอบขึ้นจากใบมีดจำนวนนับไม่ถ้วน พลานุภาพอันน่าหวาดหวั่นสะสมรวมกันอยู่บนมือขวา

“แย่แล้ว”

เพียงแค่เปลี่ยนแปลงมือขวาเท่านั้น สีหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงก็แปรเปลี่ยนไปเสียแล้ว

มือขวามีพลังคุกคามอันน่าหวาดหวั่น ทำให้ทั่วทั้งร่างกายทนรับภาระอันกล้าแกร่ง ดูเหมือนว่าถ้าเปลี่ยนแปลงต่อไป ทั่วทั้งร่างกายก็จะแหลกสลายไปหมดแล้ว

ถึงแม้ว่ารักษา ‘มือขวาอันน่าหวั่นเกรง’ เอาไว้เพียงข้างเดียว พลังที่แฝงอยู่ในร่างกายก็ถูกใช้ไปอย่างบ้าคลั่งแล้ว

“เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน เพียงแค่รักษามือขวาให้คงอยู่เอาไว้ได้ พลังร่างกายก็ถูกใช้ไปอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกระวนกระวายเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าจะเป็นร่างกายของตน เกรงว่าชั่วเวลาจิบชาเดียว ร่างกายก็ต้องแหลกสลายแล้ว

“ล้มเหลวแล้วล่ะ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า

ว่ากันตามเหตุผล

ร่างกายอันสมบูรณ์แบบ ลำพังแค่การคงอยู่ก็สามารถเป็นนิรันดร์ได้ อย่างเช่น ‘ฉบับแรก’ ของฝึกกายคละถิ่นขั้นที่สามก่อนหน้านี้ ยามปกติพลังที่ใช้ก็เพียงแค่น้อยนิดนอกจากนี้ยังมั่นคงเป็นอย่างยิ่งด้วย

ทว่าตอนนี้ ‘ฉบับที่สอง’ ที่ตนตระหนักรู้นั้นกลับไม่มั่นคงเป็นอย่างยิ่ง ถึงขนาดที่เพียงแค่รักษามือขวาเอาไว้ก็มีมูลค่ามหาศาลเป็นอย่างยิ่งแล้ว

“แต่นี่เป็นเคล็ดวิชาที่สมบูรณ์แบบที่สุดที่ข้าหยั่งรู้แล้วนะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะ เขาถามตนเอง สิ่งที่ควรคิดก็คิดถึงหมดแล้ว เขาเองก็รู้สึกว่าสมบูรณ์แบบ ไม่มีทางก้าวหน้าได้อีกแล้ว แต่ตอนนี้ผลลัพธ์กลับยังห่างไกลกับที่เขาจินตนาการไว้เป็นอย่างมาก

“พลังคุกคามเล่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงทดลองโบกมือคราหนึ่ง

พลั่ก…

นิ้วมือทั้งห้าของมือขวา ไม่ว่าจะเป็นเล็บมือหรือว่าผิวหนัง ใบมีดจำนวนนับไม่ถ้วนบนผิวหนังต่างก็รวมพลังเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบในทันใด เพียงพริบตาเดียวก็ตัดแยกออกเป็นรอยแยกห้าสาย ตงป๋อเสวี่ยอิงได้เห็นเหตุการณ์แล้วก็ตกตะลึงอยู่บ้างเล็กน้อย ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นภายในทางเดินเขี้ยวอสรพิษ สามารถมีพลังคุกคามเช่นนี้ได้ก็ถือว่าค่อนข้างร้ายกาจแล้ว “ถึงแม้ว่าจะยังห่างไกลจากระดับขั้นสมบูรณ์ที่ข้าไขว่คว้า แต่พูดถึงพลังคุกคามก็นับได้ว่าเป็นระดับจักรพรรดิแล้ว”

ขั้นสมบูรณ์ที่เขาและจักรพรรดิเซี่ยไขว่คว้า

ว่ากันตามเหตุผล ฝึกกายคละถิ่นขั้นที่สามขั้นสมบูรณ์นั้นอย่างน้อยก็ต้องเป็นร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่น! นั่นก็คือพลังรบ ‘ระดับจักรพรรดิขั้นสมบูรณ์’ แม้กระทั่งพวกเขาสองคนก็ยังมุ่งมาดปรารถนาที่จะอาศัยสิ่งนี้หนีออกจากกรงขังสักครา สำเร็จเป็นคละถิ่น

“ไม่ว่าอย่างไร อย่างน้อยก็นับได้ว่ามีพลังยุทธ์ระดับจักรพรรดิขั้นต้นแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวเราะเยาะตนเองเสียงหนึ่ง “อยากจะสำเร็จเป็นคละถิ่นจะง่ายดายถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน แม้กระทั่งร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นก็ยังห่างไกลเป็นอย่างยิ่ง”

ฝึกกายคละถิ่น ‘ฉบับแรก’ ก่อนหน้านี้เป็นพลังยุทธ์ระดับอ๋องขั้นสมบูรณ์

ตอนนี้ถึงแม้ว่าจะไม่มั่นคง แต่ก็นับได้ว่าเป็นพลังยุทธ์ระดับจักรพรรดิขั้นต้น มีพลังยุทธ์ราวๆ สามส่วนของตนเมื่อใช้อาวุธเทพคละถิ่นหอกชิงเหอกระมัง

…………………………………………

“ปัง”

สติรับรู้แทรกผ่านก้อนหินใหญ่สีดำ นอกจากได้ยินเสียงอันยิ่งใหญ่กังวานนั้นแล้วก็รับสัมผัสได้ถึงทางเดินส่งถ่ายไปพร้อมๆ กัน

นี่คือวิธีการที่ชาญฉลาดยิ่งกว่า ‘ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา’ เสียอีก รับสัมผัสเล็กน้อยก็สามารถรับสัมผัสถึงอาณาเขตอันไกลแสนไกลหาใดเปรียบที่ปลายอีกด้านหนึ่งของเส้นทางได้แล้ว! ห่างไกลจากดินแดนจิตโลกามากมายเหลือเกิน ตงป๋อเสวี่ยอิงเคยไปกลับระหว่างบ้านเกิด ‘อากาศอันสับสนอลหม่าน’ กับดินแดนจิตโลกามาก่อน ระยะทางระหว่างสถานที่ทั้งสองก็นับได้ว่าห่างไกลแล้ว แต่เมื่อเทียบกับระยะทางที่ก้อนหินใหญ่สีดำส่งถ่ายในตอนนี้ก็แตกต่างกันไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า

อาณาเขตอันไกลแสนไกล!

นอกจากนี้ยังรับสัมผัสได้ถึง ‘ความรุนแรง’ และ ‘ความอลหม่าน’ รางๆ อีกด้วย ถึงขนาดที่เพียงแค่รับสัมผัสอยู่ห่างๆ กฎเกณฑ์อันน่าหวาดหวั่นของอาณาเขตแห่งนั้นก็ยังส่งผลกระทบผ่านระยะทางไกลมาถึงตงป๋อเสวี่ยอิงได้ ทำให้ร่างกายตงป๋อเสวี่ยอิงได้รับผลกระทบ พลังยุทธ์ก็ลดลงไปส่วนหนึ่ง

“รับสัมผัสได้แล้วกระมัง” ยอดเคารพเฮ่ากู่พูดอยู่ข้างๆ “อาณาเขตผืนนั้นแตกต่างจากโลกกำเนิดอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง เพียงแค่รับสัมผัสเท่านั้นก็สามารถส่งผลกระทบต่อพลังยุทธ์ของพวกเราได้แล้ว โลกกำเนิดไม่สามารถทำผ่านระยะทางห่างไกลเช่นนี้ได้ นอกจากนี้ มาถึงระดับขั้นอย่างพวกเรา การส่งพวกเราไปยังโลกกำเนิดอื่นนั้นเกรงว่าก็คงจะไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด ข้าสงสัยว่าจะเป็นอาณาเขตที่ค่อนข้างพิเศษในมิติคละถิ่น”

ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังแล้วก็พยักหน้า

ช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก

ระยะทางห่างไกลถึงขนาดนั้น เพียงแค่รับสัมผัสก็สามารถส่งผลกระทบต่อพลังยุทธ์ของตนได้แล้ว ช่างน่าหวาดหวั่นเกินไปเสียแล้ว

“มันอยู่ห่างไกลจากดินแดนจิตโลกามากเกินไป ห่างไกลถึงขนาดที่พอพวกเราจากไปแล้วเกรงว่าคงจะไม่มีทางกลับมาได้อีกตลอดกาล นอกจากนี้ ’หยวน’ ยังบอกว่าการขัดเกลาภายใต้แหล่งอารยธรรมที่แตกต่างกัน โต้ตอบกับผู้แกร่งกล้าจากแหล่งอารยธรรมที่แตกต่างกันด้วย” ยอดเคารพเฮ่ากู่พูด “เกรงว่าพวกเราอาจจะประสบกับคู่ต่อสู้ที่สามารถเทียบเคียงกับพวกเราได้เลยทีเดียว ข้าก็ไปถึงระดับจักรพรรดิขั้นสมบูรณ์ ก็ยังสามารถเผชิญกับคู่ต่อสู้ได้ด้วยหรือ”

“อาณาเขตที่ก้อนหินใหญ่สีดำนี้นำทางไปดูเหมือนจะแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง”

“พวกเรายอดเคารพ หากไม่ถึงวินาทีสุดท้ายก็ไม่มีทางทำการต่อสู้ครั้งสุดท้ายหรอก” ยอดเคารพเฮ่ากู่พูด

ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

“รอจนเสร็จเรื่องแล้วเจ้าก็สามารถมาใคร่ครวญให้ละเอียดอีกทีก็ได้ พวกเราควรไปได้แล้วล่ะ” ยอดเคารพเฮ่ากู่พูดยิ้มๆ

“ไปกันเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงแย้มยิ้มแล้วไปจากห้วงมิติกลุ่มแสงนี้พร้อมกันกับยอดเคารพ

ยามที่จากไป ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังอดที่จะมองไปรอบทิศมิได้ มองผ่านผนังกั้นไปก็สามารถมองเห็นภาพเหตุการณ์ของซากศพสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่น่าหวาดหวั่นสองร่างนั้นที่หุบเขาเขี้ยวหักได้ แล้วก็มองก้อนหินใหญ่สีดำก้อนนั้นอีกแวบหนึ่ง

พรึ่บ พรึ่บ

คนทั้่งสองจากไป

……

อยู่ที่อาณาเขตของทะเลแห่งการรับรู้เคียงข้างยอดเคารพเฮ่ากู่ต่อไป มุ่งหน้าไปยังห้วงมิติกลุ่มแสงแห่งแล้วแห่งเล่า

บนทางเดิน

ตงป๋อเสวี่ยอิงเคลื่อนเข้าไปใกล้อย่างรวดเร็ว แต่แล้วก็ค่อยๆ หยุดลง

“ฟิ้วๆๆ” สายลมดำทะมึนพัดกรรโชก พัดผ่านร่างกายตน ถึงแม้ว่าจะมิได้ดำทะมึนเหมือนกับพายุคลั่งหมุนวนที่บริเวณปากทางเข้าทางเดินเขี้ยวอสรพิษ แต่สายลมดำทะมึนน้อยๆ นี้ก็ยังคงมีพลังกัดกร่อนอันแกร่งกล้ายิ่งนัก ทำให้พลังของไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษที่ตงป๋อเสวี่ยอิงพกติดตัวมาถูกบริโภคไป เขามองข้ามสายลมดำทะมึนเหล่านี้ไปแล้วพยายามเคลื่อนเข้าไปใกล้อย่างต่อเนื่อง แต่ความรู้สึกกดดันที่ห้วงมิติกลุ่มแสงตรงหน้าแผ่ออกมาก็ทวีความแข็งแกร่งขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน

ยิ่งอยู่ใกล้ ความกดดันก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น

“ต้านไม่อยู่แล้ว”

ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าตนเองวิงเวียนศีรษะ สติรับรู้ก็รางเลือน วิญญาณก็เจ็บปวดครั้งแล้วครั้งเล่า

“ถอย!”

ได้แต่แปลงเป็นลำแสงสายหนึ่งร่นถอยไปอย่างรวดเร็ว การเหินทะยานร่นถอยไปอย่างรวดเร็วนี้ แรงกดดันก็ลดทอนลงอย่างรวดเร็วยิ่ง เขาจึงผ่อนคลายลงเป็นอันมาก

“อีกนิดเดียวเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจ้าวหิมะเหินจะเข้าไปมิได้ เช่นนั้นผู้ใดจะสามารถเข้าไปได้กันเล่า”

ยอดเคารพเฮ่ากู่ส่ายหน้า

“แรงกดดันช่างน่าหวาดหวั่นเหลือเกิน” ตงป๋อเสวี่ยอิงถอนหายใจ เขามีความมั่นใจในเคล็ดวิชาวิญญาณของตนเองเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ยังถูกกดดันให้ร่นถอยไปอยู่ดี

“ฮ่าฮ่า ไปที่ต่อไปเถิด” ยอดเคารพเฮ่ากู่มิได้นำมาใส่ใจเลยแม้แต่น้อยแล้วพาตัวตงป๋อเสวี่ยอิงไปด้วยกันต่อ

ถ้าหากเข้าไปด้วยตนเองได้ ยอดเคารพเฮ่ากู่ก็คงเข้าไปนานแล้ว

เขาส่งตงป๋อเสวี่ยอิงไป ตอนนี้ก็เป็นเพราะเขามิอาจเข้าไปได้ จึงให้ตงป๋อเสวี่ยอิงไปทดลองดู

……

ก็เป็นที่ห้วงมิติกลุ่มแสงอีกแห่งหนึ่ง

ถึงแม้ว่าแรงกดดันจะแข็งแกร่งอย่างยิ่งเช่นเดียวกัน แต่เมื่อยิ่งเข้าไปใกล้ ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับยิ่งเกิดความยินดีขึ้นในใจ “ดูเหมือนว่าจะผ่อนคลายขึ้นหน่อยแล้วกระมัง มีหวังที่จะเข้าไปได้แล้วสิ!”

การคาดการณ์นั้นถูกต้อง

ถึงแม้ว่าจะอยู่ใกล้เป็นอย่างยิ่ง แรงกดดันก็ยังแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่งอยู่ดี แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังเข้าไปภายในห้วงมิติกลุ่มแสงนี้ก่อนที่จะไปถึงขีดจำกัดที่จะทนรับได้ไหว

“เยี่ยม!” ยอดเคารพเฮ่ากู่ที่อยู่ตรงจุดเชื่อมต่อของเส้นทางได้เห็นเหตุการณ์แล้วก็เผยสีหน้ายินดีออกมาในทันที

“พรึ่บ”

ภายในห้วงมิติกลุ่มแสง

หลังจากที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้ามาแล้ว มองไปแวบหนึ่ง ‘เกล็ดหิมะ’ แก้วผลึกเกล็ดแล้วเกล็ดเล่ากำลังปลิวว่อน มองไปแวบหนึ่งก็เกินกว่าร้อยล้าน เกล็ดหิมะจำนวนนับไม่ถ้วนปลิวว่อน ทำให้ทั่วทั้งห้วงมิติกลุ่มแสงราวกับภาพมายาแห่งความฝัน

“นี่คืออะไรกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงคาดเดาในทันที “เศษเสี้ยวความทรงจำอย่างนั้นหรือ”

เขาเคยได้ยินยอดเคารพเฮ่ากู่พูดมาก่อนแล้วว่ามีห้วงมิติกลุ่มแสงจำนวนหนึ่งที่ภายในล้วนเป็นเศษเสี้ยวความทรงจำที่เหลือทิ้งเอาไว้ แต่เศษเสี้ยวความทรงจำภายในทะเลแห่งการรับรู้นั้นแบ่งออกเป็นชนิดต่างๆ กัน ภายในกลุ่มแสงทุกกลุ่มถ้าหากมีเศษเสี้ยวความทรงจำอยู่ เช่นนั้นต่างก็เป็นเศษเสี้ยวความทรงจำชนิดเดียวกันทั้งสิ้น

เศษเสี้ยวความทรงจำไม่มีอันตรายแต่อย่างใดเลย

หลังจากที่สิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่น่าหวาดหวั่นเช่นนั้นตายตกไปแล้วก็ยังคงเหลือเศษเสี้ยวความทรงจำทิ้งเอาไว้ ต่างก็เป็นรอยประทับที่ลึกซึ้งเป็นอย่างยิ่งจึงเป็นเช่นนี้ได้

“นี่คืออะไรหรือ” สติรับรู้สายหนึ่งของตงป๋อเสวี่ยอิงแทรกผ่านเข้าสู่เกล็ดหิมะที่ลอยละลิ่วเกล็ดหนึ่งตรงหน้า

ในขณะที่แทรกผ่านนั้นเอง

สติรับรู้ก็คำรามลั่น

เขา ‘มองเห็น’ งูยักษ์ตัวหนึ่งแล้ว งูยักษ์ขนาดมหึมาหาใดเปรียบนอนขดตัวอยู่ในมิติคละถิ่นอันทึบทึมแห่งหนึ่ง มันส่งเสียงคำรามอย่างโมโห เห็นได้ชัดว่าเดือดดาลจนแทบคลั่ง ทันใดนั้นหางงูอันแปลกประหลาดนั้นก็สว่างวาบคราหนึ่งแล้วทะลุผ่านมิตินับล้านล้านแห่ง คล้ายกับร่างแปรหางงูนับล้านล้านในพริบตา! หางงูนับล้านล้านหางทะลุผ่านมิตินับล้านล้านแห่งแล้วแทงเข้าไปยังบุคคลที่น่าหวาดหวั่นเช่นกันคนหนึ่ง

บุคคลผู้นั้นพลานุภาพกว้างใหญ่ไพศาล มีกฎเกณฑ์อันไร้รูปร่างรบกวนอยู่ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ย่อมมองไม่เห็นรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายอย่างชัดเจนได้อยู่แล้ว

เศษเสี้ยวความทรงจำชิ้นนี้ก็ไม่มีอีกต่อไปแล้ว

“ต่อสู้หรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ “เพียงแค่กระบวนท่าเดียวเท่านั้นน่ะหรือ”

สามารถมองออกได้ สนามรบนั้นอยู่ภายในมิติคละถิ่น พลังคละวิถีอันน่าหวาดหวั่นที่กัดกร่อนตนอย่างแข็งแกร่งนั้น… สำหรับงูยักษ์แล้วก็ราวกับอากาศ กระบวนท่าเดียวของงูยักษ์ก็ส่งผลกระทบต่อมิติมากมายถึงเพียงนั้นแล้ว! แต่ผู้แกร่งกล้าที่สามารถห้ำหั่นกับงูยักษ์ได้โดยไม่ตกเป็นรองเลยแม้แต่น้อย พูดถึงพลังยุทธ์ ถึงแม้ว่าจะมิอาจเทียบเคียงกับ ’หยวน’ ได้ แต่เกรงว่าคงจะมิได้แตกต่างกันสักเท่าใดนัก

จากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็ดูเศษเสี้ยวความทรงจำอื่นๆ ต่อไป

เศษเสี้ยวกว่าร้อยล้านชิ้น…

แม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะดูเศษเสี้ยวความทรงจำไปกว่าร้อยชิ้น ต่างก็เป็นงูยักษ์สำแดงเคล็ดวิชาที่หางงูทะลุผ่านห้วงมิตินับล้านล้านแห่งในชั่วพริบตาทั้งสิ้น! กระบวนท่านี้คล้ายกับจะแทงทะลุศัตรูในท้ายที่สุดทั้งหมด

“ในที่สุดก็มีอะไรที่แตกต่างไปบ้างเสียที” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเห็นเศษเสี้ยวความทรงจำชิ้นหนึ่ง ในเศษเสี้ยวความทรงจำนั้น งูยักษ์เลื้อยเหินทะยานท่ามกลางอากาศอันสับสนอลหม่านอันเวิ้งว้าง สามารถมองเห็นได้อย่างกระจ่างชัดเจน ความยาวของร่างกายมันยังยาวกว่าโลกกำเนิดแห่งหนึ่งอยู่มากพอสมควร แต่สำหรับปริมาตรร่างกายนั้นก็เล็กกว่าโลกกำเนิดมากมายนัก

รอจนดูเศษเสี้ยวความทรงจำหมดไปหลายล้านชิ้น

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็คาดเดาขึ้นมาได้บ้างแล้ว

เศษเสี้ยวที่ตนได้เห็นนั้นมีอยู่ทั้งหมดสามชนิด ชนิดหนึ่งคือหางงูสำแดงกระบวนท่าทิ่มแทง อีกชนิดคืองูยักษ์เหินทะยาน ส่วนอีกชนิดหนึ่งก็คือภาพเหตุการณ์ที่งูยักษ์ขดตัว หลังจากนั้นก็กลายเป็นอากาศธาตุเข้าสู่ห้วงนิทรา ทุกครั้งที่เข้าสู่ห้วงนิทราล้วนกลายเป็นอากาศธาตุโดยสมบูรณ์

“ถึงแม้ว่าจะมีเศษเสี้ยวความทรงจำอยู่กว่าร้อยล้านชิ้น แต่ข้าก็สุ่มเลือกมาหลายล้านเศษเสี้ยวความทรงจำอย่างไร้ซึ่งกฎเกณฑ์ ก็มีอยู่ทั้งหมดสามชนิดนี้แหละ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ “เกรงว่าเศษเสี้ยวความทรงจำที่มีอยู่ทั้งหมดนั้นมีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าก็มีอยู่เพียงแค่สามชนิดนี้นี่แหละ”

“แต่สามชนิดนี้ล้วนเป็นเศษเสี้ยวความทรงจำวิถีอากาศอย่างไม่ต้องสงสัยเลยแม้แต่น้อย” ตงป๋อเสวี่ยอิงดวงตาเปล่งประกาย

เขาตื่นเต้นเป็นอย่างมาก

การได้เห็นเศษเสี้ยวความทรงจำนั้นเป็นเรื่องปกติอย่างยิ่ง พวกยอดเคารพเฮ่ากู่ก็เคยดูเศษเสี้ยวความทรงจำกันมาก่อนแล้ว แต่ได้เห็นครั้งแรกก็ค้นพบว่าเป็นเศษเสี้ยวความทรงจำวิถีอากาศ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ย่อมต้องตื่นเต้นยินดีอยู่แล้ว

งูยักษ์เป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิด เคล็ดวิชาที่สำแดงก็เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ เพียงแต่งูยักษ์ได้แสดงไปถึงขั้นสุดยอดสักอย่างหนึ่ง มิฉะนั้นก็ไม่มีสิทธิ์จะไปยั่วยุปลุกเร้า ’หยวน’ ได้ เคล็ดวิชาสามชนิดนี้ก็ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงสัมผัสได้ถึงหนทางที่วิถีอากาศจะไปถึง ‘ระดับขั้นคละถิ่นได้ ว่ากันอย่างจริงจังแล้วนี่ก็คือทิศทางสามเส้นที่แตกต่างกัน

ก็เหมือนกับเจ็ดกระบวนคละถิ่นที่ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงย้อนนึกถึงพื้นฐานของอากาศ…พลังคละวิถี

อย่างเช่นเคล็ดดอกไม้ห้วงอากาศเบ่งบาน สุดยอดเคล็ดสืบทอดลับที่จักรพรรดิเซี่ยได้มาครอง ก็คือพลังชีวิตที่ฟูมฟักขึ้นมาชนิดหนึ่ง ไม่ด้อยไปกว่าพลังคละวิถีเลยแม้แต่น้อย

ทิศทางแตกต่างกันก็ตัดสินพลังที่จะได้มาครองที่แตกต่างกัน

“ข้ายังอยู่ห่างไกลจากระดับขั้นคละถิ่นมากมายนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจในจุดนี้กระจ่างดียิ่ง เทพจักรวาลชั้นที่สองไปถึงระดับสุดยอดนั้นยากเย็นเพียงใด ตนเองผ่านพ้นความยากลำบากมามากมายเพียงใด

ทว่าตั้งแต่ขั้นสุดยอดมาถึงระดับขั้นคละถิ่น

ในความเป็นจริงแล้วเป็นการก้าวข้ามที่สำคัญที่สุดจากสิ่งมีชีวิตของโลกกำเนิดไปสู่สิ่งมีชีวิตคละถิ่น! มีผู้แกร่งกล้าล้ำเลิศมากมายเพียงใดที่ค้างอยู่ที่ก้าวนี้ ตั้งแต่ดินแดนจิตโลกาถือกำเนิดขึ้นมา ราชันย์อนธการอมตะ จักรพรรดิเซี่ย เจ้าเมืองอนันต์ บรรพชนฝานและคนอื่นๆ ก็ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่สามารถสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นได้ หรืออย่างเช่นโลกกำเนิดบ้านเกิดของตงป๋อเสวี่ยอิง ในประวัติศาสตร์ก็ไม่เคยมีใครสามารถสำเร็จเป็นคละถิ่นได้มาก่อนเลยเช่นกัน!

สำเร็จเป็นคละถิ่น ก้าวนี้ช่างยากเย็นจนถึงระดับที่มิอาจจินตนาการได้เลยทีเดียว

จะต้องมีจิตใจแน่วแน่ เตรียมตัวที่จะก้าวไปข้างหน้าทีละก้าวๆ เป็นอย่างดี

“พรึ่บ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ภายในห้วงมิติกลุ่มแสงนี้ แต่ร่างกายกลับแปลงกายออกมาเป็นเงาร่างอาภรณ์ขาวสายหนึ่ง คนคนเดียวก็แปรเปลี่ยนกลายเป็นคนสองคน

“ทิ้งร่างแยกร่างหนึ่งเอาไว้ที่นี่ ที่นี่ไม่มีอันตรายใดๆ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้พลังของไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษคุ้มกัน ให้ร่างแยกอยู่ที่ สามารถหยั่งรู้เศษเสี้ยวความทรงจำเหล่านี้ไปตลอดได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ

ถึงแม้ว่าร่างแยกเพียงร่างเดียวของเขาเข้าสู่ทางเดินเขี้ยวอสรพิษ แต่ด้วยพลังยุทธ์ของเขาก็สามารถสร้างร่างแยกออกมาได้ตลอดเวลา ในตอนนี้ทิ้งร่างแยกร่างหนึ่งเอาไว้ที่นี่แล้วร่างแยกที่พกไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษเอาไว้ก็ไปจากห้วงมิติกลุ่มแสงอย่างรวดเร็ว

…………………………………….

เดิมทีตงป๋อเสวี่ยอิงมีความสับสนเกี่ยวกับหุบเขาเขี้ยวหักเป็นอันมาก อย่างเช่นเกาะลอยคว้างแต่ละแห่ง มีสภาวะแวดล้อมอันรุนแรงเป็นจำนวนมาก อย่างเช่นไอหมอกขุมหนึ่งก็มีพลังกัดกร่อนอันแข็งแกร่งเป็นที่สุด สามารถผลาญสังหารบุคคลผู้ไร้เทียมทานได้ในพริบตา พลังคุกคามแข็งแกร่งยิ่งกว่าผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเสียอีก! สภาพแวดล้อมที่คล้ายคลึงกันก็มีอยู่เป็นจำนวนมาก ในทางกลับกัน ’จักรพรรดิ’ เผ่ามรณะทมิฬบนเกาะแห่งหนึ่ง บุคคลผู้ไร้เทียมทานก็ยังสามารถต่อสู้ด้วยได้ หรือแม้กระทั่งมีหวังที่จะรักษาชีวิตเอาไว้ได้

แต่สภาวะแวดล้อมกลับย่ำแย่จนถึงขนาดนั้น! จนถึงขั้นมิอาจจินตนาการได้อยู่บ้าง

เพราะ ‘ดินแดนจิตโลกา’ เป็นสิ่งที่หยวนสร้างขึ้น สภาวะแวดล้อมโดยรวมก็ยังปลอดภัยเป็นอย่างยิ่ง หุบเขาเขี้ยวหักในตำนานก็เป็นสิ่งที่ ’หยวน’ สร้างขึ้น ต่อให้เพื่อการทดสอบ จะสรรสร้างสภาวะแวดล้อมที่ย่ำแย่ถึงเพียงนั้นออกมาเพื่ออะไรกัน การคุกคามของสภาวะแวดล้อมยังแกร่งถึงเพียงนั้นได้หรือ การจะสร้างสภาวะแวดล้อมที่อันตรายเช่นนั้นออกมา มูลค่าย่อมมิใช่น้อยอย่างแน่นอน ในความเป็นจริงแล้วสภาวะแวดล้อมเหล่านั้นมิได้ให้ผลการทดสอบแต่อย่างใด ในทางกลับกันก็อาศัย ‘โชคชะตา’ มากกว่า อาศัยการสั่งสมประสบการณ์

อย่างเช่นส่งร่างแยกร่างแล้วร่างเล่าไปตายเพื่อสั่งสมประสบการณ์

มิได้มีส่วนช่วยเหลือต่อการทดสอบพลังยุทธ์แต่อย่างใด ใช้จ่ายเป็นมูลค่ามหาศาลเพื่อสร้างสภาวะแวดล้อมเช่นนี้ออกมา ทั้งยังมิได้เป็นผลต่อการทดสอบ เพื่อเหตุใดกัน

ในตำนานก็ได้บอกเล่าเอาไว้ว่าภยันตรายมากมายของหุบเขาเขี้ยวหักนั้นเป็นสิ่งที่ ’หยวน’ เคลื่อนย้ายมาจากสถานที่อื่นๆ ในท้ายที่สุดแล้วก็บอกเล่ากันไปต่างๆ นานา แต่ในท้ายที่สุดแล้วเมื่อไตร่ตรองดูอย่างละเอียดก็มีส่วนที่ขัดแย้งกันอยู่บ้าง

“ที่แท้”

“ที่แท้แล้วก็แปลงมาจากซากศพทั้งสองเพียงอย่างเดียวล้วนๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจขึ้นมา “ก็ถูกต้อง สิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่น่าหวั่นเกรงทั้งสองนี้มีขนาดใหญ่มหึมาหาใดเปรียบ ซากศพร่างหนึ่งก็เทียบเคียงได้พอๆ กันกับหนึ่งในสิบส่วนของโลกกำเนิดธรรมดาๆ แห่งหนึ่งแล้ว ซากศพขนาดมหึมาเช่นนี้สองร่างสร้างขึ้นมาเป็นหุบเขาเขี้ยวหักอันไพศาลเช่นนี้ก็เป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลอยู่” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

ซากศพมีขนาดเป็นหนึ่งในสิบส่วนของโลกกำเนิดธรรมดาๆ แห่งหนึ่ง

ความกว้างยาวต่างๆ นั้น ในความเป็นจริงแล้วก็เกินจริงยิ่งกว่าเสียอีก อย่างเช่นงูใหญ่ตัวนั้น ความยาวของตัวงูก็ยังยาวกว่าโลกกำเนิดแห่งหนึ่งเสียอีก ซากศพของมันบิดหมุนคดเคี้ยว มนุษย์น้ำแข็งก็มีอยู่ทั่วทั้งหุบเขาเขี้ยวหัก

“แต่ซากศพทั้งสองนี้ หยวนก็น่าจะเคยสำแดงเคล็ดวิชามากมายเอาไว้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ

อย่างเช่นทางเดินเขี้ยวอสรพิษ

อย่างเช่นระหว่างหุบเขาเขี้ยวหักกับดินแดนจิตโลกา ก็มีกฎเกณฑ์กำหนดเอาไว้ว่าผู้ที่พลังยุทธ์สูงถึงระดับหนึ่งก็มิอาจเข้าไปในดินแดนจิตโลกาได้

หยาดน้ำพันเนตรและไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษ สมบัติชั้นยอดทั้งสองชิ้นนี้ รับประกันว่าถึงทางเดินเขี้ยวอสรพิษแล้วจึงจะแสดงพลังออกมา เกรงว่าต่างก็เป็นกฎเกณฑ์ที่หยวนบัญญัติเอาไว้ทั้งสิ้น บนพื้นฐานของซากศพทั้งสอง วิวัฒน์เป็นโลก บัญญัติกฎเกณฑ์ ก็ย่อมง่ายดายเป็นอย่างยิ่งอยู่แล้ว

“ร้ายกาจ ช่างเป็นวิธีการที่ร้ายกาจยิ่งนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปากพูด ในที่สุดเขาก็เข้าใจวิธีการที่บุคคลระดับอย่าง ’หยวน’ สรรสร้างโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลแล้ว

“หยวนย่อมร้ายกาจอย่างแน่นอนอยู่แล้ว แม้กระทั่งในตำนานที่พวกเราได้ยินได้ฟังกันมา เขาก็ยังเป็นผู้แกร่งกล้าคละถิ่นระดับยอดสุดเลย” ยอดเคารพเฮ่ากู่ก็รำพึงออกมาประโยคหนึ่ง “อย่างเช่นพวกเรา ต่อให้โชคดีตื่นรู้ขั้นสุดยอด กลายเป็นเผ่าพันธุ์แรกเริ่ม ถึงแม้ว่าเผ่าพันธุ์จะแข็งแกร่ง พวกเราตื่นรู้ก็เป็นเพียงแค่เด็กแรกเกิดเท่านั้น คิดอยากจะไปถึงระดับพลังยุทธ์เช่นซากศพทั้งสอง เกรงว่าคงต้องประสบกับความยากลำบากไม่รู้อีกมากมายเท่าใด ต่อให้ในท้ายที่สุดมีพลังยุทธ์เช่นนี้ก็ยังคงมิอาจเทียบกับ ’หยวน’ ได้อยู่ดี”

ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

หยวนได้โยนซากศพอันน่าหวาดหวั่นทั้งสองแล้วสร้างหุบเขาเขี้ยวหักออกมาเพื่อชนรุ่นหลัง

เกรงว่าสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่ตายด้วยน้ำมือของ ’หยวน’ คงมิใช่เพียงแค่สองตนนี้แน่นอน

……

ตงป๋อเสวี่ยอิงสนทนากับยอดเคารพเฮ่ากู่ แต่ในชั่วขณะหนึ่งก็มิได้ใส่ใจจักรพรรดิเป่ยเหอที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลเลย

“เฮ่ากู่ เจ้าจะไม่เหลือทางให้ข้าเดินเลยจริงๆ น่ะหรือ” จักรพรรดิเป่ยเหอเอ่ยปาก

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปทางจักรพรรดิเป่ยเหอแล้วก็ลอบประหลาดใจ ห้วงมิติกลุ่มแสงนี้ก็เป็นสถานที่อันสุดยอดแล้ว ถึงแม้ว่าก็มีวัตถุวิเศษอยู่หลายชิ้นเช่นกัน แต่ก็ไม่มีสถานที่ให้หลบหนี แต่นี่จักรพรรดิเป่ยเหอกลับดูเหมือนยังมีที่ให้พึ่งพิงด้วยอย่างนั้นหรือ

“เป่ยเหอ เจ้าช่างทำอะไรสุดโต่งเกินไปนัก เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์แล้วก็ไม่เลือกวิธีการ” ยอดเคารพเฮ่ากู่พูด “แม้กระทั่งยอดเคารพห้าท่านในสายตาของเจ้าก็เป็นเพียงแค่คู่ต่อสู้เท่านั้น ข้ายอมรับว่าพลังยุทธ์ของเจ้าก็มิได้แตกต่างจากพวกเรามากมายสักเท่าใดนัก อีกทั้งยังระดมสามสิบหกแม่ทัพเทพเอาไว้อีกด้วย เหล่ายอดเคารพต่างก็คร้านจะเปิดฉากสงครามเพราะเจ้า แต่เจ้ากลับล่วงเกินจ้าวหิมะเหิน นี่ก็เป็นความผิดอันเหนือธรรมดาแล้ว จ้าวหิมะเหินคนเดียวก็มีอิทธิพลต่อการต่อสู้เป็นอย่างมาก เขามีประโยชน์มากกว่าแม่ทัพเทพกลุ่มใหญ่เสียอีก วันนี้แม้แต่ยอดเคารพสองท่านร่วมมือกันก็ยังยากจะกำจัดเจ้า แต่มีจ้าวหิมะเหินอยู่ การกำจัดเจ้าก็เป็นเรื่องง่ายดายเสียแล้ว”

จักรพรรดิเป่ยเหอสีหน้าเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง

ใช่แล้ว

ต่อให้เป็นยอดเคารพสองท่าน อย่างน้อยเขาก็ยังมีความมั่นใจในการหนีเอาชีวิตรอด

แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถทำให้พลังยุทธ์ของเขาลดต่ำลงอย่างมหาศาลได้ ลดต่ำลงไปถึงระดับแม่ทัพเทพ ระดับแม่ทัพเทพจ่อสู้กับยอดเคารพอย่างนั้นหรือ ก็เป็นการรนหาที่ตายอย่างแท้จริงแล้ว!

“เดิมทีข้าคิดจะบำเพ็ญอยู่ที่นี่ดีๆ คว้าโอกาสเหยียบย่างเข้าสู่ระดับขั้นยอดเคารพ” จักรพรรดิเป่ยเหอเอ่ยเสียงต่ำ “แต่คิดไม่ถึงว่าข้าบริโภคพลังหยาดน้ำพันเนตรอย่างประหยัด แต่พวกเจ้าสองคนกลับเข้ามาเสียได้ ข้อแรก ยังมากันถึงสองคนอีกด้วยหรือ สมบัติชั้นยอดได้มาอย่างง่ายๆ เช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน”

“เป่ยเหอ เดิมทีข้าเพียงแค่อยากจะหยั่งรู้หยาดน้ำพันเนตรดูหน่อยก็เท่านั้น มิได้บริโภคพลังเลยแม้แต่น้อย พอถึงเวลาก็ย่อมต้องมอบให้แก่เจ้าอยู่แล้ว ข้าเองก็ได้ให้สัตย์สาบานเอาไว้แล้ว มีหรือที่ข้าจะเลือกตัดขาดเส้นทางการบำเพ็ญแล้วมาตระบัดสัตย์กับเจ้า” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอื้อนเอ่ย “เจ้ามิให้ทางเดินแก่ผู้อื่น ตอนนี้ตัวเองก็ไม่มีทางเดินหรอก!”

“ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางตระบัดสัตย์แน่ แต่ข่าวของหยาดน้ำพันเนตรแพร่ออกไปแล้ว ระยะเวลาอันยาวนาน เหล่ายอดเคารพต่างก็อิจฉาตาร้อนกันทั้งสิ้น ใครจะไปรู้ได้เล่าว่าจะเกิดปัญหาอันใดขึ้น”

จักรพรรดิเป่ยเหอพูด

“เจ้ากับข้าร่วมมือกันแล้วจะต้านทานยอดเคารพมิได้หรืออย่างไร” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด

“เวลาเนิ่นนานไปแล้ว ใครจะไปรู้ได้เล่าว่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงอันใดขึ้นบ้าง ข้าเอามาไว้ในมือเสียตั้งแต่เนิ่นๆ ตรงเข้าสู่ทางเดินเขี้ยวอสรพิษเลยจะดีกว่า” จักรพรรดิเป่ยเหอยิ้มเย็น

แต่ยอดเคารพเฮ่ากู่ที่อยู่ข้างๆ กลับเอ่ยว่า “ถ้าหากเจ้าไม่ทรยศต่อหิมะเหิน ไม่เพียงแค่จะได้เม็ดนี้มาไว้ในมือในท้ายที่สุดเท่านั้น ในภายภาคหน้าบางทีอาจจะยังมีโอกาสได้เม็ดที่สองมาครองอีกด้วย”

“ข้า เป่ยเหอได้สมบัติชั้นยอดชิ้นหนึ่งมาครอบครองตั้งแต่ยังเป็นระดับจักรพรรดิก็พึงพอใจเป็นอย่างยิ่งแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่กล้าวาดหวังว่าจะได้เม็ดที่สองมาครอบครองอีกอยู่แล้ว” จักรพรรดิเป่ยเหอเอ่ยอย่างเรียบเฉย “นอกจากนี้ ด้วยอุปนิสัยของจ้าวหิมะเหิน เกรงว่าก็คงมิได้ชอบคนอย่างข้ามาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ถ้าหากมิใช่ตอนนั้นข้าต้องการจะครอบครองโลกมากมาย หากมิใช่เพราะมดปลวกเหล่านั้น เกรงว่าจ้าวหิมะเหินผู้นี้ก็คงไม่ช่วยเหลือข้าอย่างแน่นอน”

“เจ้าแน่ใจแล้วหรือ” ยอดเคารพเฮ่ากู่เอ่ยขึ้นในทันใด

ตงป๋อเสวี่ยอิงมีความสงสัยอยู่บ้าง

แน่ใจหรือ

แน่ใจอะไรกัน

“พวกเจ้าจะไม่ให้ทางเดินข้าจริงๆ หรือ ข้ามีทางเลือกหรือไร” จักรพรรดิเป่ยเหอหัวเราะเยาะ “หึ พวกเจ้าห้ายอดเคารพแต่ละคนล้วนขลาดกลัวไม่กล้าพนัน เอาแต่หดหัวอยู่ในกระดองภายในหุบเขาเขี้ยวหักมาโดยตลอด ก็ดีเหมือนกัน ให้ข้าไป ก็ไม่แน่ว่าในภายภาคหน้าข้าอาจจะตื่นรู้ขั้นสุดยอดก่อนพวกเจ้าก้าวหนึ่งก็เป็นได้”

จักรพรรดิเป่ยเหอก็มองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วเอ่ยพลางแยกเขี้ยวยิ้ม “จ้าวหิมะเหิน ผู้แกร่งกล้าที่สุดทางด้านวิถีวิญญาณเท่าที่หุบเขาเขี้ยวหักแห่งดินแดนจิตโลกาเคยมีมาอย่างเจ้าผู้นี้ได้ช่วยข้าจัดการงานใหญ่ แต่กลับไม่ให้หนทางถอยกับข้าเลย ฮ่าฮ่า ก็ดี นี่ก็เป็นแนวทางการจัดการของข้าพอดีเลย ไม่ให้หนทางถอยกับตัวเอง ฮ่าฮ่า… เจ้ากับข้าพบกันคราวหน้า บางทีข้าอาจจะสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นแล้วก็เป็นได้ ฮ่าฮ่า…”

เอ่ยวาจาจบ จักรพรรดิเป่ยเหอก็พุ่งตรงเข้าใส่ก้อนหินใหญ่สีดำก้อนหนึ่งที่อยู่ด้านข้าง

ครืน…

พื้นผิวของก้อนหินใหญ่สีดำเกิดระลอกคลื่นขึ้นมา จักรพรรดิเป่ยเหอพุ่งปะทะเข้าไปแล้วก็ตรงเข้าไปภายในก้อนหินใหญ่สีดำ หายลับไปมิอาจเห็นได้อีก

“อะไรกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึง

หนีทางไหนไม่หนี แต่จักรพรรดิเป่ยเหอกลับหนีเข้าไปในห้วงมิติกลุ่มแสงที่ดูเหมือนจะเป็นทางตันแห่งนี้

มาถึงตรงนี้ ยอดเคารพเฮ่ากู่ก็มิได้ลงมือต่ออีกแล้ว จักรพรรดิเป่ยเหอดูคล้ายว่าจะมีสิ่งใดให้พึ่งพาได้อยู่

เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างหมดแล้ว

ที่แท้แล้วเขาสามารถอาศัยก้อนหินใหญ่สีดำข้างกายหลบหนีไปได้อย่างรวดเร็ว

“ก้อนหินใหญ่สีดำนี้คือสิ่งใดกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยถาม

“เจ้ามารับสัมผัสตรวจสอบดูอย่างละเอียดก็จะรู้แล้วล่ะ” ยอดเคารพเฮ่ากู่พูด “ที่นี่เป็นสิ่งที่หยวนเหลือทิ้งเอาไว้ให้กับพวกเรา ทั้งยังเป็นทางอีกเส้นหนึ่งที่เหลือทิ้งเอาไว้ให้พวกเจ้าผู้บำเพ็ญด้วย! ที่นี่คือห้วงมิติกลุ่มแสงที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งภายในทะเลแห่งการรับรู้ เมื่ออยู่ที่นี่ก็สามารถมองเห็นด้านที่แท้จริงของทั่วทั้งหุบเขาเขี้ยวหักได้ พร้อมกันนั้น… ที่นี่มีทางเดินอยู่แห่งหนึ่ง สามารถไปจากหุบเขาเขี้ยวหัก และไปจากดินแดนจิตโลกา ไปยังอาณาเขตที่ค่อนข้างพิเศษแห่งหนึ่งในมิติคละถิ่นได้”

ยอดเคารพเฮ่ากู่ยังคงเอ่ยอย่างทอดถอนใจ ในสายตาก็มีความริษยาและคาดหวังรอคอย

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เดินไปถึงตรงหน้าก้อนหินใหญ่สีดำแล้ว สติรับรู้สายหนึ่งแทรกผ่านเข้าไป

“ปัง…”

“ในเมื่อไม่มีทางให้เข้าไปได้อีกแล้ว ก็ไปยังแหล่งอารยธรรมอื่นเถิด การขัดเกลาภายใต้แหล่งอารยธรรมที่แตกต่างกัน โต้ตอบกับผู้แกร่งกล้าจากแหล่งอารยธรรมที่แตกต่างกัน รับรอง ‘ความเป็นนิรันดร์’ ของวิถีสายนั้น หนีออกจากกรงขังอย่างแท้จริง หนีออกจากการพันธนาการของแหล่งอารยธรรมจำนวนนับไม่ถ้วน กลายเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่กล้าแกร่งคนหนึ่ง” น้ำเสียงกังวานยิ่งใหญ่เสียงหนึ่งก้องสะท้อนอยู่ภายในห้วงความคิด

ตงป๋อเสวี่ยอิงตระหนักได้ในทันใด

น้ำเสียงนี้คงเป็น ’หยวน’ กระมัง และที่นี่ก็คือเส้นทางสุดท้ายที่เหล่าผู้แกร่งกล้าของหุบเขาเขี้ยวหักแห่งดินแดนจิตโลกาสามารถเลือกได้หลังจากที่ไม่มีทางบรรลุ ‘ทางเดินเขี้ยวอสรพิษ’ ได้แล้ว

………………………………………..

แม้จักรพรรดิเป่ยเหอจะเข้าไปในสถานที่ต้องห้าม ‘ทางเดินเขี้ยวอสรพิษ’ กว่าสองแสนล้านปีแล้ว แต่ก็มีสถานที่หลายแห่งภายในทางเดินเขี้ยวอสรพิษที่ปลอดภัยอย่างยิ่ง เช่น ‘จุดเชื่อมต่อ’ ของทางเดินแห่งต่างๆ ซึ่งพายุคลั่งแผ่ไปไม่ถึง หรืออย่างภายในกลุ่มแสงมิติ หากตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้เข้าไปภายในเศษเสี้ยวโลกเอง ก็จะไม่ถูกโจมตีแต่อย่างใด เมื่ออยู่ในสถานที่ปลอดภัยเช่นนี้ ก็ย่อมไม่สูญเสียพลังของไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษหรือหยาดน้ำพันเนตร อยากจะบำเพ็ญนานเท่าใดก็ย่อมได้!

“ยอดเคารพเฮ่ากู่กับจ้าวหิมะเหินหรือ เหตุใดจึงบังเอิญถึงเพียงนี้ได้ มาพบพวกท่านทั้งสองเข้า” จักรพรรดิเป่ยเหอรู้สึกสั่นสะท้านใจ ถึงขั้นคิดไปว่าจ้าวหิมะเหินมาแก้แค้น! เพราะถึงอย่างไรการช่วงชิงสมบัติชั้นยอดระดับอย่างหยาดน้ำพันเนตรไป ก็เพียงพอให้เหล่าผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิใช้ชีวิตเป็นเดิมพันเพื่อมันได้แล้ว

แต่จากนั้นเขาก็ปัดความคิดนั้นทิ้งไป

ยอดเคารพเฮ่ากู่เข้ามาพร้อมกับจ้าวหิมะเหินสองคน ก็ต้องใช้สมบัติชั้นยอดถึงสองชิ้น คงไม่ใช่เพราะความแค้นเพียงเล็กน้อยหรอก!

“คิดไม่ถึงว่ายอดเคารพและจ้าวหิมะเหินจะมายังหุบเขาเขี้ยวหักด้วย ได้พบเข้า ช่างบังเอิญเสียจริง” จักรพรรดิเป่ยเหอเผยรอยยิ้มออกมาพลางพูดว่า “จ้าวหิมะเหิน ครั้งก่อนช่างน่าละอายนัก ข้ามีแต่จิตคิดอยากได้สมบัติล้วนๆ นอกจากนี้ท่านก็ยังเคยรับปากว่า ท้ายที่สุดแล้วก็จะมอบหยาดน้ำพันเนตรนั่นให้ข้า ข้าก็แค่เอามาไว้ในมือล่วงหน้าเท่านั้น แม้จะทำลายร่างแยกของท่านไปร่างหนึ่ง แต่ท่านมีร่างแยกจำนวนนับไม่ถ้วน สำหรับท่านแล้วก็คงมิได้เสียหายอะไรหรอกกระมัง…”

“เฮอะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าเข้มขึ้น พลางมองดูจักรพรรดิเป่ยเหอซึ่งยืนอยู่บนทางเดินเส้นเลือดที่เปล่งแสงรำไรอยู่ไกลออกไป

จักรพรรดิเป่ยเหอเห็นเข้าก็พูดว่า “ข้ารู้ว่าข้าผิดสัญญา จ้าวหิมะเหินโมโหมาก ข้าก็มีสิ่งชดใช้ให้! ขอเพียงจ้าวท่านไม่เก็บมาใส่ใจ ข้ามีสมบัติลับอันสูงส่งอยู่ชิ้นหนึ่ง ยินดีมอบให้จ้าวท่าน ขอจ้าวท่านโปรดคลายความโกรธด้วย”

ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่มีความรู้สึกดีต่อจักรพรรดิเป่ยเหอผู้นี้แม้แต่น้อย

ตอนนั้น รับปากว่าจะช่วยเหลือ ก็เพราะไม่อยากเห็นโลกชนพื้นเมืองดั้งเดิมจำนวนมากต้องประสบกับหายนะ ตนช่วยให้เขาได้ ‘น้ำค้างบุปผาสีดำ’ มา จักรพรรดิเป่ยเหอเคยรับปากว่าจะให้ผลประโยชน์แก่เขาตั้งมากมาย แต่ท้ายที่สุดแล้วก็มิได้ให้อะไรเลย ก็ทำลายร่างแยกของตนก่อนเสียแล้ว

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองอีกฝ่ายจนทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว

เป่ยเหอผู้นี้…โหดเหี้ยมเกินไปแล้ว! เพื่อเส้นทางของตน ก็ไม่สนใจวิธีการมดๆ

“จ้าวหิมะเหิน” ยอดเคารพเฮ่ากู่ที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งกลับพูดยิ้มๆ “เป่ยเหอผู้นี้รังแกเจ้าเช่นนี้ วันนี้เจ้ากับข้ามาพบเขาที่นี่ ก็เป็นลิขิตมาแล้วว่าควรสังหารเขาเสีย! หากเจ้าไม่คัดค้าน พวกเรามาลงมือจัดการเขากันดีหรือไม่”

“ยอดเคารพ!” สีหน้าของจักรพรรดิเป่ยเหอเปลี่ยนแปรครั้งใหญ่ เขาร้องเสียงหลงว่า “เหตุใดยอดเคารพจึงต้องบีบบังคับข้าเช่นนี้ด้วยเล่า”

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สะดุ้งเฮือก

สังหารจักรพรรดิเป่ยเหอทิ้งอย่างนั้นหรือ

พวกเขาทั้งสามต่างก็มีพลังของไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษและหยาดน้ำพันเนตรคุ้มกาย แต่นี่ก็มิได้แปลว่าไร้ศัตรู! เนื่องจากพละกำลังคุ้มกายนี้ได้รับผลกระทบจากสถานที่ต้องห้ามจึงถูกกระตุ้นขึ้นมา และทำได้เพียงคุ้มกายเท่านั้น มิอาจใช้รุกโจมตีได้! หากสามารถรุกโจมตีได้ เกรงว่าตนก็คงจะได้ ‘กริชสีดำ’ ในกลุ่มแสงมิติก่อนหน้านี้มาไว้ในมืออย่างง่ายดายไปแล้ว

เนื่องจากมิอาจรุกโจมตีได้ พลังของไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษและหยาดน้ำพันเนตรเมื่ออยู่บนผิวกายก็เหมือนกับเกราะซึ่งมีการป้องกันอันไร้เทียมทานชั้นหนึ่ง

แต่ต่อให้เกราะป้องกันไร้เทียมทานยิ่งกว่านี้

เมื่อถูกกระแทก ก็ยังต้องถูกกระแทกจนกระเด็นไปอยู่ดี!

ดังนั้นขณะที่พวกตงป๋อเสวี่ยอิงถูกน้ำวนอันดำมืดดูดเข้ามานั้น จึงมิอาจคงร่างกายเอาไว้ให้นิ่งได้ จนถูกหอบม้วนเข้ามาในทางเดินเขี้ยวอสรพิษ! หรือกล่าวได้ว่าหากพวกตงป๋อเสวี่ยอิง ยอดเคารพเฮ่ากู่และจักรพรรดิเป่ยเหอประมือกันขึ้นมา ก็จะต้องถูกกระแทกจนกระเด็นลอยไป หากยอดเคารพเฮ่ากู่สู้กับจักรพรรดิเป่ยเหอแบบตัวต่อตัว แม้จักรพรรดิเป่ยเหอจะตกเป็นรอง แต่ก็พอจะรักษาสถานการณ์เอาไว้ได้อย่างพอถูไถ

แต่กระบวนท่าทางด้านวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงออกไป แสงสีดำคุ้มกายนั้นก็มิอาจคุ้มกันวิญญาณได้ พลังการห้ำหั่นของจักรพรรดิเป่ยเหอลดลงเป็นอย่างมาก ความแตกต่างก็จะเพิ่มมากขึ้น ซึ่งนี่ก็คือความแตกต่างของ ‘ระดับแม่ทัพเทพ’ และยอดเคารพ

ความแตกต่างมากมายขนาดนี้ ฝ่ายหนึ่งได้เปรียบเสียจนน่าอนาถเลยทีเดียว!

เกรงว่าเพียงหนึ่งหรือสองกระบวนท่าก็คงจะถูกกระแทกจนไปถึงความว่างเปล่าด้านข้างแล้ว

ต้องรู้ไว้ว่าพวกเขาบินเลียบทางเดินไป เพราะเหตุใดน่ะหรือ ก็เพราะหลายบริเวณนอกทางเดินมีพายุคลั่งพัดโหม จึงเผาผลาญพลังของไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษและไข่มุกไขกระดูกพันเนตรมากยิ่งกว่า นอกจากนี้พลังแตกต่างกันมากเกินไป ยอดเคารพเฮ่ากู่ก็อาจจะจับจักรพรรดิเป่ยเหอ ‘ทั้งเป็น’ ได้ จากนั้นก็จะส่งเขาไปยังสถานที่ที่อันตรายอย่างยิ่งยวด และทำลายพลังของหยาดน้ำพันเนตรในกายเขาอย่างไม่หยุดหย่อน

เมื่อพลังถูกเผาผลาญจนสิ้น ก็ถึงคราวตายของจักรพรรดิเป่ยเหอแล้ว

“ยอดเคารพ…” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึงในใจ เมื่อครู่ยอดเคารพเฮ่ากู่เพิ่งจะเข้าไปในทางเดินเขี้ยวอสรพิษโดยไม่ยอมเสียพลังแม้สักนิด แต่ตอนนี้กลับยินดีสูญเสียพลังเพื่อจัดการกับเป่ยเหออย่างนั้นหรือ

เขาจะเข้าใจเสียที่ไหนกัน

ข้อแรก จักรพรรดิเป่ยเหอออกจะแข็งกร้าวต่อยอดเคารพเฮ่ากู่อยู่ก่อนแล้ว เขารวบรวมแม่ทัพเทพทั้งสามสิบหกนายขึ้นมาก็เพื่อช่วงชิงทรัพยากรกับเหล่ายอดเคารพ ยอดเคารพเฮ่ากู่จึงไม่ค่อยชมชอบอยู่บ้างแล้ว ทว่าแม้จะสามารถกดดันได้ แต่กลับมิอาจจัดการได้ก็เท่านั้นเอง ครั้งนี้มีตงป๋อเสวี่ยอิงคอยช่วยเหลือ จึงสามารถจัดการได้ค่อนข้างง่าย ข้อสองก็คือเขาได้ขนนกสีแดงเพลิงนั้นมาแล้ว ผลประโยชน์ที่ได้จากการเข้ามาในทางเดินเขี้ยวอสรพิษครั้งนี้ใหญ่พอแล้ว จะเผาผลาญพลังไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษสักเล็กน้อย ยอดเคารพเฮ่ากู่ก็ไม่ค่อยสนใจสักเท่าใดแล้ว นอกจากนี้ยอดเคารพเฮ่ากู่ก็อยากใช้โอกาสนี้สร้างบุญคุณให้ตงป๋อเสวี่ยอิง ทำให้ในภายหน้าตงป๋อเสวี่ยอิงตั้งใจช่วยเขาจัดการเรื่องต่างๆ มากขึ้น

“จ้าวหิมะเหิน ลงมือหรือไม่” ยอดเคารพเฮ่ากู่หัวเราะ

ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นเข้าก็มิได้ลังเลอีกต่อไป “ประเสริฐ ยอดเคารพ ขอบคุณท่านด้วย!”

สวบๆ

ยอดเคารพเฮ่ากู่และตงป๋อเสวี่ยอิงกลายเป็นลำแสงพุ่งไปสังหารจักรพรรดิเป่ยเหอที่อยู่ไกลออกไปพร้อมกัน

“โหดร้ายนัก เฮ่ากู่ เจ้าจะยืมมือจ้าวหิมะเหินมากำจัดข้ากระมัง” จักรพรรดิเป่ยเหอขบกรามกรอดพลางทะยานหนีไปอีกทิศหนึ่งของทางเดินเส้นเลือดอย่างรวดเร็ว

ความเร็วในการบินของยอดเคารพเฮ่ากู่เพิ่มสูงขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัดแม้จะพาตงป๋อเสวี่ยอิงไปด้วยก็ตาม

สวบ,,,

คนหนึ่งรุก คนหนึ่งหนี!

แม้เดิมทีจะห่างกันค่อนข้างมาก แต่ระยะทางก็ลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด

“ช่างมันแล้ว” จักรพรรดิเป่ยเหอมองไปด้านหลังแวบหนึ่ง เขาผ่านจุดเชื่อมต่อของทางเดินเส้นเลือดอย่างรวดเร็ว เข้าไปในทางแยกสายแล้วสายเล่า ทะยานไปทางกลุ่มแสงมิติสายหนึ่งซึ่งอยู่ไกลออกไป

“หนีเข้าไปในกลุ่มแสงมิติหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงงุนงง

หนีเข้าไป ก็มีแต่ทางตันเท่านั้น!

“เอ๊ะ หรือว่า…” นัยน์ตาของยอดเคารพเฮ่ากู่หรี่ลงเล็กน้อย

สวบๆๆ!

จักรพรรดิเป่ยเหอพุ่งเข้าไปภายในมิติกลุ่มแสงนั้นโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ตงป๋อเสวี่ยอิงและยอดเคารพเฮ่ากู่แทบจะทะยานเข้าไปติดๆ ชั่วขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงทะยานเข้าไปก็ต้องตกใจขึ้นมา “กลุ่มแสงนี้ใหญ่โตนัก ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในทะเลแห่งการรับรู้เลยทีเดียว แต่กลับไม่มีอานุภาพกดดันเลยแม้แต่น้อยหรือนี่”

ฟิ้ว

หลังจากทะลุผ่านผนังเยื่อของกลุ่มแสงมาจนถึงมิติภายในแล้ว

หลังจากตงป๋อเสวี่ยอิงเข้ามาแล้วมองดูแวบหนึ่ง ก็อดเบิกตาโพลงมิได้ เขาอ้้าปากค้างอย่างมิอาจควบคุม ด้วยสายตาของเขาในตอนนี้ ก็ทำเอาตะลึงงันไปหมด นี่แทบจะเป็นภาพที่น่าตกตะลึงที่สุดที่เขาได้เห็นด้วยตาตนเองนับตั้งแต่เขาเกิดมาแล้ว

“นี่ นี่ นี่มัน…” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูด้วยความตะลึงงัน

เขายืนอยู่กลางอากาศภายในมิติ เมื่อทอดสายตามองไป ผนังเยื่อรอบด้านล้วนขยับเป็นจังหวะอย่างแปลกประหลาด

เมื่อมองผ่านผนังเยื่อเหล่านี้ไป ก็จะสามารถมองเห็นภาพหุบเขาเขี้ยวหักนอก ‘ทางเดินเขี้ยวอสรพิษ’ ได้! นอกจากนี้เมื่ออยู่ภายในกลุ่มแสงมิตินี้ หุบเขาเขี้ยวหักที่ได้เห็น ก็แตกต่างกับที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิง

อสรพิษตัวเขื่องอันคดเคี้ยวหาใดเปรียบตัวหนึ่งปรากฏขึ้นในสายตา

สถานที่ต้องห้ามทางเดินเขี้ยวอสรพิษแห่งนี้ ก็คือหัวอสรพิษ! ร่างกายของอสรพิษกลับคล้ายมีคล้ายไม่มี มันทะลุทะลวงไปทั่วทั้งหุบเขาเขี้ยวหัก อันที่จริงแล้ว ‘โลกชนพื้นเมืองดั้งเดิม’ แห่งต่างๆ ล้วนแต่เป็นมิติที่ถือกำเนิดขึ้นมาบนร่างกายที่คล้ายมีคล้ายไม่มีของอสรพิษขนาดมหึมาตัวนี้ โลกมิติแห่งต่างๆ ล้วนแต่ดำรงอยู่ตามซากของอสรพิษตัวเขื่องนี้

ที่อีกฟากหนึ่ง

สิ่งมีชีวิตพันเนตรก็ใหญ่โตตระหง่านง้ำเช่นกัน มันมีกรงเล็บหลายสิบอัน บนร่างมีดวงตาแน่นขนัดนับพันดวง ทั้งร่างคล้ายมีคล้ายไม่มีแต่กลับแทบจะสมบูรณ์ดี ‘เกาะลอยคว้าง’ แห่งต่างๆ ล้วนแต่เป็นส่วนหนึ่งของร่างอันใหญ่โตมโหฬารนี้ อย่าง ‘ดวงตาสีเทา’ และ ‘ดวงตาสีทอง’ ต่างๆ นั้น ก็ตรงกับตำแหน่งต่างๆ ของซากศพพอดิบพอดี

ดวงตาอันเร้นลับบนยอดต้นไม้ประหลาดแต่ละต้น อันที่จริงแล้วต้นไม้ประหลาดแต่ละต้นก็คือเส้นเลือดเล็กจิ๋วภายในซากอันใหญ่โตนั่นเอง

การจะเด็ดเอาดวงตาอันเร้นลับจากศพที่แทบจะสมบูรณ์ดี ก็เท่ากับดึงเอาดวงตาไปจากซากศพ ซากของสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดหวั่นระดับนี้ จะทำลายก็ยากยิ่งนัก ไม่ว่าดวงตาดวงไหนก็มิอาจเอาไปได้! บนเกาะลอยคว้างแห่งนี้มีสิ่งประหลาดอยู่หลายสิ่งที่แค่สัมผัสโดนก็จะถูกอานุภาพกดดันอันน่าหวาดหวั่นโจมตี

“ทั้ง..ทั้ง…ทั้งหุบเขาเขี้ยวหักแปรมาจากซากของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่น่าหวาดหวั่นสองร่างอย่างนั้นหรือนี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึงเหลือแสน

เกาะลอยคว้างทั้งหลายล้วนอยู่บนซากของสิ่งมีชีวิตพันเนตร

โลกชนพื้นเมืองดั้งเดิมทั้งหลายล้วนอยู่บนร่างของอสรพิษขนาดมหึมา

มิน่าเล่า เมื่อเหยียบย่างลงบนเกาะลอยคว้างจึงเผชิญกับแรงกดดันอันน่าหวาดหวั่นหาใดเปรียบ แม้แต่ ‘ศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกา’ ก็ยังไร้ประโยชน์ ต้องรู้ไว้ว่าสามารถสำแดงในมิติคละถิ่นได้ แต่เมื่ออยู่ในเกาะลอยคว้างกลับมิอาจสำแดงได้! เห็นได้ชัดว่าถูกอานุภาพที่หลงเหลือจากซากของสิ่งมีชีวิตพันเนตรกดดันเอาไว้

“ผู้แกร่งกล้าจากหลายเผ่าพันธุ์ล้วนพากันตามหาซากศพของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นทั้งสองที่แข็งแกร่งที่สุดในตำนาน พวกเจ้าผู้บำเพ็ญก็คงกำลังตามหาอยู่กระมัง แต่แทบจะไม่รู้กันเลยว่า ทั้งหุบเขาเขี้ยวหักแปรมาจากซากศพสองร่างนี้ พวกเราอยู่บนซากนี้กันตลอดเวลา” แม้ยอดเคารพเฮ่ากู่จะเห็นภาพตรงหน้ามามิใช่แค่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น แต่ก็ยังคงตะลึงงันอยู่ดี

ส่วนจักรพรรดิเป่ยเหอที่อยู่ไกลออกไปกลับมิได้สนใจมองภาพอันงดงาม เขาเคยเห็นมาก่อนแล้ว หากแต่เตรียมพร้อมจะมองดูตงป๋อเสวี่ยอิงและยอดเคารพเฮ่ากู่ก็เท่านั้นเอง

…………………………………

สัตว์ปีกที่หลงเหลืออยู่เพียงสามตัวซึ่งบินล้อมรอบขนนกสีแดงเพลิงอยู่ ยามนี้สัตว์ปีกทั้งสามตัวกลับหยุดลงแล้วพากันจ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิง สัตว์ปีกตัวสีเขียวที่มีร่างกายใหญ่โตที่สุดในจำนวนนั้นยังเปล่งเสียงร้องบาดหูออกมาอีกด้วย

“วี๊ดดดด…”

ระลอกคลื่นที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่ากวาดมาทางตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นรูปพัด มันแผ่กำจายมาอย่างรวดเร็ว ในชั่วพริบตาก็กวาดผ่านพื้นที่ราวสองสามส่วนของเศษเสี้ยวโลกนี้ไปแล้ว จึงย่อมแผ่รัศมีมาถูกตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นธรรมดา

ต่อให้แสงสีดำคุ้มกายตัดขาดการรุกโจมตีของระลอกคลื่นไป แต่ลำพังแค่ได้ยินเสียง ก็รู้สึกทนรับได้ยากแล้ว

“สวบ” “สวบ” สัตว์ปีกอีกสองตนกลับกลายเป็นลำแสงทะยานเข้ามาสังหาร สัตว์ปีกสีเขียวขนาดมโหฬารตนนั้น กลับหยุดลงข้างขนนกสีแดงเพลิงเพื่อปกป้องมัน

“ปังๆ”

การบินเหินของสัตว์ปีกสองตนนี้รวดเร็วเสียจนน่าประหลาด เพียงพริบตาเดียวก็มาถึงตรงหน้าแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงหลบหลีกไม่ทัน จึงถูกตะปบเข้าที่ร่างเต็มแรงจนกระเด็นลอยไปไกลลิบ ขณะเดียวกับที่กระเด็นไปนั้น ร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงก็แยกออกเป็นนับพันนับหมื่นร่างทันที แล้วเริ่มสำแดงกระบวนท่าวิถีอากาศเพื่อล่อหลอกให้คู่ต่อสู้งุนงง

สวบๆ สัตว์ปีกสองตนนี้ทะยานเข้ามาโจมตีต่อ แต่กลับกวาดผ่านเงาร่างทุกร่างไปโดยไม่เหลือไว้แม้แต่ร่างเดียว

แม้พวกมันจะรวดเร็วมาก แต่เมื่อกวาดผ่านร่างนับพันนับหมื่นร่างไป ก็มีเวลาเพียงพอให้ตงป๋อเสวี่ยอิงหลบหนีและสำแดงกระบวนท่าทำให้ศัตรูงุนงงออกมาอีก

“เห็นๆ กันอยู่ว่ากระบวนท่าแข็งแกร่งเสียจนน่าหวาดหวั่น แต่เหมือนจะทึ่มทื่อมากอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบคิด

บรรดาคู่ต่อสู้ภายในเศษเสี้ยวโลกกริชสีดำก่อนหน้านี้ ก็ทึ่มทื่อมากเช่นเดียวกัน

หากตนไม่ไป พวกเขาก็เหมือนกับรูปสลักอย่างไรอย่างนั้น

การโจมตีของพวกเขาก็เป็นกระบวนท่าเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมา

“สวบ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงมุ่งหน้าเข้าไปใกล้ขนนกสีแดงเพลิง นั้นอย่างรวดเร็ว

สัตว์ปีก สองตัวนั้นเหมือนจะตื่นตกใจขึ้นมาในทันใด พวกมันกะพริบวาบคราหนึ่ง ก่อนจะกลับมาอยู่ข้างขนนกสีแดงเพลิง แล้วร่วมมือกับสัตว์ปีกสีเขียวขนาดมโหฬารตนนั้นล้อมรอบขนนกสีแดงเพลิงเอาไว้เพื่อสกัดกั้นข้าศึกทั้งหมดนี้

“ปังๆๆ…”

ทั้งสองฝ่ายประมือกัน

ตงป๋อเสวี่ยอิงอาศัยแสงสีดำอันร้ายกาจพยายามเข้าไปช่วงชิงขนนกสีแดงเพลิงนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ภายใต้การโอบล้อมของสัตว์ปีกสามตนนั้น เพียงแค่เคลื่อนไหวในวงแคบๆ แม้กระบวนท่าจะทึ่มทื่อ แต่กลับทำลายกระบวนท่าของตงป๋อเสวี่ยอิงได้อย่างต่อเนื่อง

“พยายามล่อลวงพวกมันให้แยกจากกันให้ได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงเสียดายพลังของไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษที่ต้องเสียไปในทุกครั้งที่ปะทะกันครั้งหนึ่ง บ้างก็แบ่งเงาร่างออกมามากมาย บ้างก็เคลื่อนย้ายอากาศ หรือแม้กระทั่งสำแดงท่าไม้ตายเขตลวงโลกเทียมออกมาพร้อมกัน เขาดิ้นรนอยู่หลายร้อยครั้ง เมื่อแขนขยายออกไป จึงสามารถคว้าขนนกสีแดงเพลิงนั้นเอาไว้ได้อย่างหวุดหวิดยิ่งนัก

ชั่วขณะที่คว้าขนนกอันนั้นเอาไว้ได้นั่นเอง โลกที่บกพร่องนี้กลับบิดเบี้ยวขึ้นมาทันใด ราวกับมีก้อนหินขว้างลงไปจนผิวทะเลสาบอันเงียบสงบสะเทือนขึ้นมา

โลกที่บกพร่องสลายไปอย่างเงียบเชียบทันทีตามแรงสั่นสะเทือน

หายไปอย่างไร้ร่องรอยทันใด ราวกับภาพฝันฉากหนึ่ง!

ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่กลางอากาศ มือคว้าขนนสีแดงเพลิงเอาไว้ พลางมองดูเศษเสี้ยวโลกอีกหกแห่งที่ลอยคว้างอยู่

“เศษเสี้ยวโลกสลายไปเช่นนี้เองน่ะหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบบ่นพึมพำ “ที่แท้แล้วสัตว์ปีกเหล่านั้นคืออะไรกัน เป็นภาพลวงตาหรือ ไม่ถูกต้องสิ เห็นๆ อยู่ว่าสามารถทำร้ายข้าได้”

ตู้มมมม…

ขณะที่ครุ่นคิดนั้น ภายในกลุ่มแสงมิตินี้กลับมีพละกำลังอันไร้รูปร่างผลักไสร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงออกไปทันที

“เอ๊ะ” ร่างกายของตงป๋อเสวี่ยอิงสั่นคลอนคราหนึ่งก่อนจะยืนได้มั่นคงบนทางเดินเส้นเลือด

“ฮ่าฮ่าฮ่า ออกมาแล้ว ออกมาแล้ว จ้าวหิมะเหิน เร็วๆๆ รีบมาหาข้าเร็ว” ณ จุดเชื่อมต่อทางเดินเส้นเลือดไกลออกไป ยอดเคารพเฮ่ากู่มองเห็นตงป๋อเสวี่ยอิงออกมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งขนนกสีแดงเพลิงที่ตงป๋อเสวี่ยอิงถืออยู่ในมือก้านนั้น ทำให้เขาดวงตาเป็นประกายขึ้นมาทันทีด้วยความตื่นเต้นหาใดเปรียบ เขาโห่ร้องขึ้นมา

ตงป๋อเสวี่ยอิงได้ยินแล้วก็บินมาทางยอดเคารพเฮ่ากู่ทันที

“ยอดเคารพ ที่แท้แล้วกลุ่มแสงมิตินี่มันเรื่องอันใดกัน ไยจึงพิสดารถึงเพียงนี้ได้เล่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงงุนงงเหลือแสน ขณะเดียวกันก็ก้มลงมองขนนกสีแดงเพลิงในมือ อุณหภูมิของขนนกสีแดงเพลิงนี้น่าหวาดหวั่นอย่างยิ่ง เคราะห์ดีที่ผิวกายของเขามีแสงสีดำปกป้องอยู่ทั้งสิ้น

“รีบให้ข้าเร็วเข้า” ยอดเคารพเฮ่ากู่เร่งเร้า

“นี่ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่งไปให้

ยอดเคารพเฮ่ากู่รับมา แต่กลับควบคุมพละกำลังของแสงสีดำให้คุ้มกายเอาไว้ด้วยความระมัดระวังเขายื่นมือขวาอันเปล่าเปลือยออกมา เขาจับขนนกสีแดงเพลิงนั้นไว้เบาๆ โดยไม่มีการป้องกันใดๆ

ฟึ่บๆๆ…

แม้อุณหภูมิของขนนกสีแดงเพลิงจะสูงยิ่งนัก จนมือขวาของยอดเคารพเฮ่ากู่แดงซ่านไปหมด มีเปลวเพลิงรายล้อม แต่มือขวากลับมิได้รับความเสียหายเลยแม้แต่น้อย

“ดี ดีมาก นี่คือพละกำลังที่สูงส่งเพียงใด” ยอดเคารพเฮ่ากู่ตื่นเต้นเหลือประมาณ “พละกำลังแห่งไฟ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูอยู่ข้างหนึ่ง

สิ่งที่เขาฝึกมิใช่วิถีเปลวเพลิง กลิ่นอายของ ‘กริชสีดำ’ และ ‘ขนนกสีแดงเพลิง’ ภายในกลุ่มแสงมิตินั้นแปลกพิสดารเกินคาดเดา แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ล่วงรู้ว่า คงจะเกี่ยวข้องกับวิถีเปลวเพลิง เห็นได้ชัดว่ายอดเคารพเฮ่ากู่ตื่นเต้นยินดีเป็นอันมาก

ยอดเคารพเฮ่ากู่พลิกมือคราหนึ่งแล้วนำขนนกสีแดงเพลิงไปไว้ในอ้อมกอด จากนั้นก็ยิ้มมองตงป๋อเสวี่ยอิง “จ้าวหิมะเหิน ครั้งนี้ติดค้างเจ้ามากทีเดียว หากเป็นข้า คงเข้าไปไม่ได้แน่ คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะได้มันมาจนได้”

“ที่แท้แล้วภายในกลุ่มแสงมิติคือสถานการณ์อันใดกันแน่” ตงป๋อเสวี่ยอิงถามไถ่ “เหตุใดจึงแปลกประหลาดเช่นนั้นได้ ข้าเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ทั้งหลาย พอทำลายแล้วก็เกิดใหม่ขึ้นมาอีก เหมือนจะเป็นภาพลวง แต่พลังกลับแข็งแกร่งเป็นอันมาก”

“ข้าเองก็พูดได้ไม่กระจ่างนัก”

ยอดเคารพเฮ่ากู่พูดยิ้มๆ “แต่ทว่า เจ้าก็รู้จักทะเลแห่งการรับรู้ วิญญาณล้วนแต่บำเพ็ญอยู่ในทะเลแห่งการรับรู้ ส่วนอสรพิษใหญ่ตัวนี้เป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่น่าหวาดหวั่น ทะเลแห่งการรับรู้ของมันจึงพิเศษพิสดารอยู่บ้าง เพียงแต่มันสิ้นใจไปแล้ว วิญญาณสลายไป ‘ทะเลแห่งการรับรู้’ นี้กลับยังคงแปลกพิสดารเหลือแสน บางครั้งก็มีวัตถุจริงๆ แอบซ่อนอยู่ บางครั้งก็ยังถึงขั้นยังมีเศษเสี้ยวความทรงจำเหลืออยู่ด้วย”

ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

“ทว่าขอเพียงได้วัตถุใดก็ตามในกลุ่มแสงมิติเหล่านั้น ก็จะถูกขับออกมา กลุ่มแสงมิติแบบเดิม แต่กลับมิอาจเข้าไปได้อีกแล้ว” ยอดเคารพเฮ่ากู่กล่าว “ข้าขอเดาว่า นี่คือกฎเกณฑ์ที่หยวนตั้งเอาไว้ เพื่อให้พวกเราไม่นำสมบัติออกมามากเกินไปกระมัง”

“อื้ม” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าน้อยๆ

เมื่อครู่เขารู้สึกได้รางๆ ว่าสิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดในมิติแห่งนั้นก็คือกริชสีดำเล่มนั้นนั่นเอง น่าเสียดายที่การจะได้มานั้นยากนัก เพราะ ‘เงาร่างสวมเสื้อเกราะกันลมสีดำ’ จับกริชสีดำเอาไว้โดยตรง พลังการโจมตีครั้งเดียวก็สามารถกระแทกตนออกจากเศษเสี้ยวโลกนั้นได้อย่างง่ายดาย

“แต่ว่าท่านยอดเคารพ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “ข้าเข้าไปแล้วจึงพบว่า เมื่อประสบอันตรายในกลุ่มแสงมิติก็จะเผาผลาญพลังของไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษไปอย่างรวดเร็ว ท่านรอคอยอยู่ตรงจุดเชื่อมต่อ แต่ข้ากลับเสี่ยงอันตรายอยู่ในนั้นอย่างนั้นหรือ ข้าเผาผลาญพลังของไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษไปเรื่อยๆ ไม่แน่ว่าตอนที่ท่านกลับไป พลังไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษของข้าก็อาจจะเผาผลาญไปจนเกลี้ยงแล้วก็เป็นได้ หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็มิอาจสำรวจสถานที่ที่ข้าอยากจะไปได้อีกแล้ว นี่ก็ออกจะไม่ยุติธรรมอยู่บ้างหรือไม่”

สัตย์สาบานได้ตั้งเอาไว้แล้ว

หากยอดเคารพเฮ่ากู่ไม่กลับไป ตนก็ยังคงต้องฟังคำบัญชาของเขา เพียงแต่หากสามารถ ‘เจรจา’ ได้ ตนก็ต้องเจรจาเสียหน่อย

ยอดเคารพเฮ่ากู่สะดุ้งแล้วพูดพลางหัวเราะฮ่าฮ่า “วางใจเถิด เจ้าช่วยข้าจนได้สมบัติสำคัญมาชิ้นหนึ่งแล้ว ขอเพียงเจ้าสามารถนำวัตถุออกมาได้อีกสองชิ้น เจ้าก็จะสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องสนใจข้าอีกแล้ว”

เขาได้ชิ้นหนึ่งมาไว้ในมือ ก็พึงพอใจมากแล้ว

หากมีสามชิ้น…ก็ควรค่าแก่การเฉลิมฉลองแล้ว นอกจากนี้ ยอดเคารพเฮ่ากู่ก็รู้ชัดว่า การเข้าไปในกลุ่มแสงมิใช่เรื่องง่าย วิญญาณจะต้องถูกกดดัน! การจะได้สมบัติภายในนั้นออกมาก็ยากยิ่งกว่า กลุ่มแสงมิติบางกลุ่มถึงขั้นไม่มีวัตถุอยู่เลย เพียงแต่มีเศษเสี้ยวความทรงจำอยู่บางส่วน

“ดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าพลางเผยรอยยิ้มออกมา หากได้มาสามชิ้น อีกฝ่ายก็จะให้ตน ‘เคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ’ เช่นนั้นตนก็จะรักษาสัตย์สาบานและ ‘ฟังคำสั่งของยอดเคารพเฮ่ากู่’ โดยไม่นับว่าเป็นการฝ่าฝืนคำสาบานแล้ว

“ไป ไปยังที่ต่อไปเถอะ” ยอดเคารพเฮ่ากู่พูดยิ้มๆ

เขาเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว

ไปบุกฝ่าทีละแห่งๆ ตามลำดับความสำคัญ

ทั้งสองบินเลียบไปตามทางเดินเส้นเลือดที่เปล่งแสงรำไรออกมา ผ่านจุดเชื่อมต่อแห่งแล้วแห่งเล่า ทางเดินเส้นเลือดเหล่านี้พันพาดกัน เชื่อมต่อกลุ่มแสงมิติแห่งแล้วแห่งเล่า

ระหว่างที่พวกเขาทั้งสองบินไปนั่นเอง…

“ล้มเหลวอีกแล้ว สมควรตาย”

สิ้นเสียงที่กราดเกรี้ยวเป็นอย่างมาก คนอาภรณ์เขียวคนหนึ่งก็บินออกจากกลุ่มแสงมิติกลุ่มหนึ่งด้วยสีหน้าเย็นชา เห็นได้ชัดว่าออกมามือเปล่าด้วยความผิดหวังเป็นอย่างมาก

“เอ๊ะ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงและยอดเคารพเฮ่ากู่ซึ่งเดิมทีกำลังบินเหินอยู่พากันสะดุ้ง แล้วหันไปมอง

คนอาภรณ์เขียวก็เงยหน้าขึ้นมามองราวกับสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง

สายตาของทั้งสองฝ่ายสานสบกัน

“ยอดเคารพเฮ่ากู่ จ้าวหิมะเหินหรือ” คนอาภรณ์เขียวมึนงงไปทันที

“จักรพรรดิเป่ยเหอหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ตกตะลึงไปเช่นกัน

……………………………………

“อานุภาพกดดันแข็งแกร่งนัก”

ตงป๋อเสวี่ยอิงมุ่งหน้าเลียบทางเดินไป กลุ่มแสงก็ดูใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ อานุภาพกดดันทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าทนรับได้ยากนัก

ยอดเคารพเฮ่ากู่ยืนอยู่ตรงจุดเชื่อมต่อของทางเดินเส้นเลือดพลางมองดูด้วยความตื่นเต้น “ต้องเข้าไป ต้องเข้าไปให้ได้ ในบรรดากลุ่มแสงมิติมากมายภายในทะเลแห่งการรับรู้ นี่คือกลุ่มแสงที่มีเสียงเพรียกร้องข้าแข็งแกร่งที่สุดแล้ว”

ครั้งนี้เขาเสีย ‘ไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษ’ ไปเม็ดหนึ่งเพื่อให้ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้ามา กลุ่มแสงมิติตรงหน้านี้ก็คือเป้าหมายหลักที่สุดแล้ว

“เข้าไปแล้ว” ยอดเคารพเฮ่ากู่เผยสีหน้ายินดีออกมา

……

ฟิ้ว

ตงป๋อเสวี่ยอิงทะยานเข้าไปในกลุ่มแสงมิติขนาดมหึมา

“กลุ่มแสงมิตินี้” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยสีหน้าตกใจ กลุ่มแสงมิตินี้มีขอบเขตหลายพันล้านลี้ ภายในกลับมีเศษเสี้ยวโลกหลายเสี้ยวลอยคว้างอยู่ เมื่อทอดสายตามองไป ก็มีเศษเสี้ยวโลกซึ่งดูเหมือนกับ ‘กระดาษขนาดมหึมา’ ถึงเจ็ดแผ่นด้วยกัน ภายในเศษเสี้ยวโลกแต่ละชิ้นล้วนมีต้นกำเนิดอันร้อนระอุที่น่าหวาดหวั่น

ภายในเศษเสี้ยวโลกทั้งเจ็ด แต่ละเสี้ยวล้วนมีวัตถุที่โดดเด่นสะดุดตาที่สุดอยู่

มีกริชสีดำอยู่ด้วย เศษเสี้ยวโลก!

และมีเปลวเพลิงสีน้ำเงินเข้มอันลุกโชนกลุ่มหนึ่ง เศษเสี้ยวโลกก่อตัวขึ้นโดยมีเปลวเพลิงสีน้ำเงินเข้มเป็นศูนย์กลาง

“ไปอันไหนดีล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงสัมผัสได้ถึงวิกฤตที่แฝงเอาไว้ในเศษเสี้ยวโลกเหล่านี้

“อื้ม”

“อันที่มีกริชสีดำก็แล้วกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงตัดสินใจขึ้นมาทันที นี่เป็นเศษเสี้ยวโลกเพียงหนึ่งเดียวในเจ็ดเสี้ยวที่มีอาวุธเป็นต้นกำเนิด!

สวบ

ตงป๋อเสวี่ยอิงทะยานไปทางเศษเสี้ยวโลกนั้น เมื่อมุ่งหน้าเข้าไปใกล้ ‘เศษเสี้ยวโลก’ ซึ่งมีรูปร่างเหมือนแผ่นกระดาษขนาดมหึมาก็ดูดเขาเข้าไปอย่างรวดเร็ว

“เข้ามาแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงสัมผัสได้ว่าภาพตรงหน้าเลือนรางไป แล้วเขาก็ยืนอยู่กลางทุ่งร้างขนาดมหึมา กลางทุ่งร้างมีทหารเกราะดำยืนอยู่แน่นขนัดไปหมด ส่วนตรงกลางสุดของทุ่งร้างกลับมีบัลลังก์สูงตระหง่านราวขุนเขาตั้งอยู่ บนบัลลังก์นั้นมีเงาร่างสวมเสื้อเกราะกันลมสีดำร่างหนึ่งนั่งอยู่ ในมือกำลังถือกริชสีดำเล่มนั้นพลิกเล่นไปมา นัยน์ตาทั้งคู่เหลือบมองตงป๋อเสวี่ยอิงไกลๆ แวบหนึ่ง ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงสัมผัสได้ถึงอานุภาพกดดันอันทำให้ต้องหยุดหายใจ

“ฆ่ามัน” เดิมทีทหารเกราะดำทั้งหมดยืนนิ่งไม่ไหวติงราวกับหุ่นอย่างไรอย่างนั้น แต่หลังจากตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึง ทหารเกราะดำทั้งหมดก็พากันมองมาทางตงป๋อเสวี่ยอิง

บรรดาทหารเกราะดำกลายเป็นลำแสงพุ่งตรงเข้ามาราวกับสายน้ำที่ทะลักล้น

ลำแสงปกคลุมไปทั่วฟ้าดิน โอบล้อมตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้จากทุกทิศทุกทาง

“ทำลาย!”

ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่กลางทุ่งร้าง เผชิญหน้ากับทหารเกราะดำจำนวนนับไม่ถ้วน เขาสำแดงท่าไม้ตายเขตลวงโลกเทียมออกมาทันที

ตู้มมม…

เขตลวงพลันปกคลุมลงไป ปกคลุมทั่วทุกบริเวณของเศษเสี้ยวโลกรวมทั้งบนบัลลังก์นั้นด้วย เขตลวงโจมตีทหารเกราะดำตนแล้วตนเล่า กระบวนท่านี้ให้ผลดียิ่งนัก ทหารเกราะดำจำนวนนับไม่ถ้วนพลันสลายไปราวกับฟองอากาศที่แตกออก ในชั่วพริบตาเดียว นอกจากตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว บนทุ่งร้างก็เหลือเงาร่างเพียงสิบสามสายเท่านั้น

นอกจากเงาร่างสวมเสื้อเกราะกันลมสีดำที่นั่งอยู่บนบัลลังก์แล้ว เบื้องล่างยังมีพลทหารเกราะดำร่างสูงใหญ่อีกสิบสองนายที่ยังคงสมบูรณ์ดีอยู่

“สวบๆๆ…” พลทหารสิบสองคนที่สามารถต้านทานเขตลวงได้แข็งแกร่งกว่ามากอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาล้อมโจมตีเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง

“ปังๆๆ”

พวกเขาต่างก็ถือกริชเข้ามาลอบโจมตีอย่างแปลกพิสดารยากเกินคาดเดา ถึงขั้นเหนือกว่าที่ตงป๋อเสวี่ยอิงจะสามารถเข้าใจได้ วิธีการต้านทานของเขาไม่มีประโยชน์เอาเสียเลย กริชเหล่านั้นทะลุผ่านการป้องกันของเขาแล้วโจมตีลงบนร่างราวกับเงารางอย่างไรอย่างนั้น ทว่าแสงสีดำรำไรที่คุ้มกันอยู่เหนือผิวกายกลับต้านทานการลอบโจมตีเหล่านี้เอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น

“เกรงว่าต่อให้เป็นยอดเคารพมาเอง ลำพังแค่อาศัยพลังของตน ก็คงต้านทานเอาไว้มิได้กระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าเปลี่ยนแปรไปเล็กน้อย

ในขณะนั้นเอง ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ค้นพบด้วยความตกตะลึงว่า บนทุ่งร้างไกลออกไปมีทหารเกราะดำจำนวนนับไม่ถ้วนรวมตัวกันขึ้นมาอีกครั้ง

“ทำลายไปแล้วก็ปรากฏขึ้นมาใหม่อีกอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงรีบสำแดงวิถีกายออกมา วิถีกายของยอดฝีมือทางด้านวิถีอากาศก็เยี่ยมยอดมาก ทหารเกราะดำสิบสองนายมีกระบวนท่าโจมตีอันแข็งแกร่งและพิสดารอย่างเห็นได้ชัด แต่วิถีกายกลับทึ่มทื่อกว่าอย่างชัดเจน

ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงเขตลวงไปพลาง กวาดล้างทหารเกราะดำจำนวนนับไม่ถ้วนไปพลาง

และอาศัยวิถีกายพุ่งทะยานไปทางเงาร่างสวมเสื้อเกราะกันลมสีดำบนบัลลังก์ผู้นั้น เพราะถึงอย่างไรเป้าหมายก็คือ ‘กริชสีดำ’ ที่เงาร่างสวมเสื้อเกราะกันลมสีดำถือเล่นอยู่ในมือ พละกำลังที่แผ่ออกมาจากกริชสีดำเล่มนั้นยิ่งใหญ่ น่าจะเป็นต้นกำเนิดของเศษเสี้ยวโลกนี้

สวบ

บรรดาทหารเกราะดำสลายไปราวกับฟองอากาศที่แตกออก จากนั้นก็ถือกำเนิดขึ้นใหม่อีก! ส่วนทหารเกราะดำเหล่านั้นก็ถูกตงป๋อเสวี่ยอิงสะบัดออกไปอย่างต่อเนื่อง ขัดขวางเอาไว้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็อาศัยแสงสีดำคุ้มกายนั้นฝืนต้านทานเอาไว้

“เอามา” ตงป๋อเสวี่ยอิงบีบเข้าไปใกล้บัลลังก์ เงาร่างราวกับภูตผีปีศาจปรากฏขึ้นนับพันนับหมื่นร่าง เงาร่างแต่ละร่างก่อตัวเป็นจริงขึ้นมา เพียงแต่มีมิติในระดับชั้นที่แตกต่างกัน เงาร่างนับพันนับหมื่นพุ่งตรงไปทางบัลลังก์พร้อมกัน

“ตู้ม”

เงาร่างสวมเสื้อเกราะกันลมสีดำเล่นกริชในมือ เขากวัดแกว่งกริชสีดำพลางยิ้มเย็นออกมาในที่สุด

แคว่กก…

กริชหนึ่งวาดผ่านตงป๋อเสวี่ยอิงไป

“ตู้ม!”

ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกเพียงว่าสติรับรู้อื้ออึงไปหมด รอจนได้สติกลับคืนมา กลับพบว่าร่างกายอยู่นอกเศษเสี้ยวโลกนั้นแล้ว กระบวนท่านั้นกระแทกเขาออกมาเสียแล้ว!

“ข้าออกมาแล้วหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงสัมผัสรับรู้ดูเล็กน้อย แต่สีหน้ากลับเปลี่ยนแปลงไป “กระบวนท่านั้นเผาผลาญพละกำลังไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษของข้าไปมากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ”

แม้เมื่อกริชนั้นโจมตี อาศัยแสงสีดำคุ้มกายจะสามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้ แต่กลับเผาผลาญมากมายยิ่งนัก ราวร้อยละหนึ่งของพละกำลังทั้งหมดภายในไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษ

เขามองดูเศษเสี้ยวโลกตรงหน้าเสี้ยวนั้น

เศษเสี้ยวโลกยังคงเลือนรางไปหมด มองเห็นได้เพียงต้นกำเนิดซึ่งสะดุดตาที่สุดของทั้งเศษเสี้ยวโลก…กริชสีดำเล่มนั้นนั่นเอง! ส่วนทหาร นายพลและเงาร่างสวมเสื้อเกราะกันลมสีดำเหล่านั้น กลับมองได้ไม่ชัดเจนจากโลกภายนอก

“ทหารพวกนั้นมันอะไรกัน ทำลายไปตั้งหลายครั้งก็ยังคงเกิดขึ้นมาใหม่ เงาร่างสวมเสื้อเกราะกันลมสีดำก็แข็งแกร่งเสียจนเกินจริง” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบร่ำร้องในใจ ทว่าก่อนที่จะเข้ามา ยอดเคารพเฮ่ากู่ก็ได้เตือนเอาไว้ว่า ภายในกลุ่มแสงมิติของทะเลแห่งการรับรู้ อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งสิ้น ขอเพียงเขา ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถนำวัตถุออกมาได้สำเร็จ ก็ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมหาศาลแล้ว

“เข้าไปอีกสักครั้ง”

ตงป๋อเสวี่ยอิงลองเข้าไปภายในเศษเสี้ยวโลกกริชสีดำนั้นอีกครั้ง

โครม…

เมื่อเขาเข้าไปในโลก แล้วร่อนลงบนทุ่งร้างอีกครั้ง ตรงหน้าก็ยังคงมีทหารเกราะดำจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมา ไกลออกไปยังคงมีบัลลังก์สูงตระหง่านดุจขุนเขาซึ่งด้านบนมีเงาร่างสวมเสื้อเกราะกันลมสีดำที่ถือ ‘กริชสีดำ’ เล่นอยู่ ราวกับทุกสิ่งไม่เคยเปลี่ยนแปลงมาก่อน

ดังนั้นสายตาของเงาร่างมากมายที่จับจ้องร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงนั้น ก็กำลังจะเปิดฉากรุกเข้ามาอีกอย่างเห็นได้ชัด

“ไป” ตงป๋อเสวี่ยอิงเลือกที่จะปล่อยไปโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ด้วยผลสำเร็จทางด้านอากาศของเขา จึงสามารถจากเศษเสี้ยวโลกนี้ไปได้อย่างง่ายดาย

……

“เศษเสี้ยวโลกกริชสีดำอันตรายเกินไปแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปยังเศษเสี้ยวโลกอีกหกแห่งที่เหลือ

สายตาของเขาหยุดลงที่เศษเสี้ยวโลกขนาดมหึมาแห่งหนึ่งในจำนวนนั้น ต้นกำเนิดของเศษเสี้ยวโลก แห่งนี้คือ ‘ขนนกสีแดงเพลิงหนึ่งก้าน’ ตงป๋อเสวี่ยอิงลองคาดคะเนดูว่า เมื่อเทียบกันแล้วอาจจะง่ายกว่าอยู่บ้างก็เป็นได้กระมัง

เขาตัดสินใจโดยอาศัยสัญชาตญาณล้วนๆ

สวบ

เขาทะยานตรงไปทางเศษเสี้ยวโลกขนนกสีแดงเพลิงนี้ แล้วถูกดูดเข้าไปอีกครั้ง

ที่นี่ก็เป็นโลกที่บกพร่องเช่นกัน พรมแดนโลกเต็มไปด้วยความว่างเปล่า ตรงกลางโลกคือต้นไม้ขนาดมหึมาต้นหนึ่ง ซึ่งบนยอดสุดของต้นไม้มีขนนกสีแดงเพลิงหนึ่งก้านลอยคว้างอยู่ รอบด้านมีสัตว์ปีกสามตัวบินรายล้อมอยู่ บนต้นไม้ขนาดมหึมาต้นนั้นก็มีสัตว์ปีกและนกน้อยมากมายหยุดพักผ่อนอยู่

ชั่วขณะเดียวกับที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าไปนั่นเอง สัตว์ปีกทั้งมวลก็หันมามองตงป๋อเสวี่ยอิงพร้อมกัน นัยน์ตาของพวกมันฉายแววโหดเหี้ยมและแค้นเคือง

ชั่วพริบตาเดียว เสียงกรีดร้องอันแสบเก้าหูดังก้องขึ้นมา

ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างแทรกซึมเข้ามา ก็ทำให้แสงสีดำรำไรเหนือผิวกายของตงป๋อเสวี่ยอิงสั่นสะท้านน้อยๆ พละกำลังของไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษก็กำลังได้รับความเสียหาย

“ทำลาย” ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงเขตลวงโลกเทียมออกมาปกคลุมโลกอันบกพร่องนี้เอาไว้ทันที ภายใต้เขตลวง สัตว์ปีกจำพวกนกจำนวนนับไม่ถ้วนบนต้นไม้ต้นนั้นต่างก็หายวับไปเสียงดังพึ่บพั่บ เหลือเพียงสัตว์ปีกที่มีอานุภาพแข็งแกร่งกว่าอย่างเห็นได้ชัดซึ่งกำลังบินอยู่รอบ ‘ขนนกสีแดงเพลิง’ ที่ยังคงอยู่

“เหลือสัตว์ปีกแค่สามตัวแล้ว ขนนกนี่ก็ไม่มีผู้ใดควบคุมหรอกกระมัง ดูท่าแล้วคงจะง่ายกว่าเศษเสี้ยวโลกกริชสีดำนั่นอยู่เล็กน้อยกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบร่ำร้องในใจ อย่างน้อยเศษเสี้ยวโลกนั้น สิ่งมีชีวิตที่สามารถคงอยู่ต่อภายใต้เขตลวงของเขานั้นมีถึงสิบสามคนด้วยกัน เศษเสี้ยวโลกนี้เหมือนจะอ่อนแอกว่าอยู่บ้าง

……………………………………………

เขี้ยวอสรพิษแต่ละซี่ล้วนแต่สูงตระหง่านราวขุนเขา แผ่กลิ่นอายสังหารอันไร้ที่สิ้นสุดออกมา ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงเกิดความเกรงกลัวด้วยสัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิต

นี่ก็เป็นเรื่องปกตินัก เดิมทีเขี้ยวอสรพิษก็เป็น ‘อาวุธ’ ซึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นอันน่าหวาดหวั่นใช้ต่อกรกับศัตรูอยู่แล้ว อย่าง ‘หุบเขาเขี้ยวหัก’ เหตุใดจึงได้ชื่อว่าเขี้ยวหักเล่า ก็เพราะว่าเทือกเขาอันยิ่งใหญ่นี้ มีฟันที่หักอยู่ซี่หนึ่ง และเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของดินแดนจิตโลกา! ตำนานกล่าวไว้ว่า บนยอดเขาซึ่งมีฟันที่หักอยู่นี้…ก็คือฟันซี่ที่ทำให้ ‘หยวน’ บาดเจ็บนั่นเอง หยวนจึงจงใจทำเช่นนี้

“เอ๊ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็พบความเปลี่ยนแปลง

เขาบินไปด้วยความเร็วสูงภายใต้การนำทางของยอดเคารพเฮ่ากู่ ได้ผ่านเขี้ยวอสรพิษไปแปดซี่แล้ว! เขี้ยวอสรพิษอยู่ทางซ้าย เมื่อทอดสายตามองไปก็จะเห็นเป็นสองแถวด้วยกัน ทางขวาก็มีสองแถวด้วยกัน!

หรือกล่าวได้ว่า ภายในปากของอสรพิษตัวนี้ มีเขี้ยวอสรพิษทั้งหมดสี่แถวด้วยกัน

บัดนี้เพิ่งบินผ่านไปแปดซี่เท่านั้น จะเห็นได้ว่าช้ามาก

“เฮ้อ ฟันแปดซี่ก่อนหน้านี้ล้วนแผ่กลิ่นอายดำมืดที่ชวนให้คนประหวั่นใจออกมา ส่วนเขี้ยวอสรพิษตรงหน้านี้ กลับให้ความรู้สึกคมกล้าอย่างไร้ที่สิ้นสุด” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูด้วยความงุนงง เขาทอดสายตามองออกไปยังฟันมหึมาสูงตระหง่านซี่หนึ่งที่อยู่ไกลออกไป ฟันที่อยู่ถัดออกไปจากนั้นอีก ก็มีรูปร่างฟันที่คมยิ่งขึ้น กลิ่นอายที่แผ่กำจายออกไปก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

……

เมื่อบินไปเรื่อยๆ

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็พบว่า ทุกๆ แปดซี่ กลิ่นอายของฟันก็จะเปลี่ยนแปลงไปครั้งหนึ่ง ฟันบางซี่ยังถึงขั้นมีรูปร่างเปลี่ยนแปลงไปด้วย

บินมานานแสนนาน

เขี้ยวอสรพิษที่ได้เห็นก็เกินกว่าแปดสิบซี่แล้ว

“นั่นมันอะไรน่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงนัยน์ตาเป็นประกาย เขี้ยวอสรพิษสีดำอันสูงตระหง่านที่ผุดขึ้นมาใหม่ไกลออกไปกลับมีรอยแยกมิติจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นโดยรอบ “วิถีอากาศหรือ”

เขาสัมผัสได้ว่า

เขี้ยวอสรพิษที่ผุดขึ้นมาใหม่นี้ แฝงไว้ด้วยการใช้วิถีอากาศเป็นรากฐานเป็นหลัก ทั้งยังมีระดับขั้นสูงกว่าด้วย

เพียงครู่เดียว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รู้สึกคันยุบยิบในใจ เขาอยากจะเข้าไปดู เข้าไปสำรวจใกล้ๆ เสียหน่อย!

“จ้าวหิมะเหิน ข้ารู้ว่าวิถีอากาศของเจ้าบรรลุถึงขั้นสุดยอดแล้ว” ยอดเคารพเฮ่ากู่ที่อยู่ข้างๆ เหลือบมองออกไปไกลแวบหนึ่ง เขาถ่ายเสียงพูดว่า “เขี้ยวอสรพิษแปดซี่นี้มีความเร้นลับของวิถีอากาศแฝงเอาไว้มากมายอย่างแท้จริง และมีโอกาสมากมายแฝงเอาไว้ภายในด้วย แต่การจะเข้าไปบุกฝ่านั้นต้องเผาผลาญพลังงานของไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษ เจ้าไปกับข้าเสียโดยดีเถิด รอข้ากลับไปแล้ว เจ้าค่อยมาใหม่ก็ยังไม่สาย”

“วางใจเถิด ในเมื่อข้ากับท่านสัญญากันแล้ว ข้าเองก็ตั้งสัตย์สาบานแล้ว ข้าก็ย่อมไม่ฝ่าฝืนอย่างแน่นอน” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว

“จ้าวท่านเข้าใจก็ดีแล้ว” ยอดเคารพเฮ่ากู่มิได้พูดให้มากความอีกต่อไป อันที่จริงเขาเข้าใจดีอยู่แล้ว ว่าสำหรับผู้บำเพ็ญคนหนึ่ง โอกาสภายในทางเดินเขี้ยวอสรพิษนั้นหมายความว่าอะไร ดังนั้นจึงจงใจเตือนไว้

เขาไม่สามารถสิ้นเปลืองพละกำลังอีกสายหนึ่งเพิ่มเพื่อตงป๋อเสวี่ยอิงได้

“เขี้ยวอสรพิษอากาศแปดอัน”

“นี่ช่าง…”

ระหว่างที่ตงป๋อเสวี่ยอิงบินไปนั้น ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกคันไม้คันมือไปหมด แม้จะมองดูอยู่ไกลๆ เขาก็ยังสัมผัสรับรู้ได้รางๆ “รอให้อยู่เป็นเพื่อนยอดเคารพเฮ่ากู่เสร็จแล้ว ข้าจะต้องมาสำรวจที่นี่สักตั้งอย่างแน่นอน”

สวบๆ

ทั้งสองบินเหินไปอย่างต่อเนื่อง

ลำพังแค่เขี้ยวอสรพิษที่สามารถมองเห็นได้ก็บินผ่านมาถึงหนึ่งร้อยยี่สิบซี่แล้ว โดยไม่นับเขี้ยวอสรพิษ ที่อยู่ในน้ำวนอันดำมืดที่มองเห็นได้ไม่ชัดเหล่านั้น ในที่สุดเส้นทางการบินเหินของพวกตงป๋อเสวี่ยอิงก็มาถึงทางแยก

ทางแยกสายหนึ่งตรงต่อไปข้างหน้า ส่วนอีกสายหนึ่งขึ้นไปข้างบน

“ไปตามทางนี้”

ทางเดินกว้างขวาง

และยิ่งสงบขึ้นเรื่อยๆ บางครั้งก็มีพายุคลั่งพัดผ่านมาบ้าง จึงทำให้พละกำลังของไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษเหนือผิวกายของพวกเขาถูกเผาผลาญไปบ้างเล็กน้อย

ยอดเคารพเฮ่ากู่และตงป๋อเสวี่ยอิงบินตรงขึ้นไปด้านบน ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับเหมือนคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงถามขึ้นว่า “ยอดเคารพ ตอนที่พวกเราเข้ามา พละกำลังของน้ำวนอันดำมืดนั้นน่าหวาดหวั่นยิ่งนัก จนพวกเรามิอาจควบคุมเค้าร่างได้เลย ทั้งยังมิอาจบินเหินไปได้อีกด้วย ทำได้เพียงเข้ามาตามทางเท่านั้นเช่นนั้นตอนออกไปควรจะออกไปอย่างไรเล่า พวกเรามิอาจต้านน้ำวนออกไปได้หรอกกระมัง”

“ฮ่าฮ่า แน่นอนว่ามิอาจต้านน้ำวนออกไปได้อยู่แล้ว น้ำวนอันดำมืดเป็นทางเข้า พวกเราเข้ามาทางปากของอสรพิษ แต่ตอนออกไปกลับต้องออกไปตามทางเดินตรงรูจมูกของอสรพิษ” ยอดเคารพเฮ่ากู่พูดยิ้มๆ “ในปากของเขี้ยวอสรพิษนั้นก่อตัวเป็นน้ำวนดูดกลืนลงไป แต่รูจมูกกลับมีลมหายใจที่พ่นออกไปภายนอก เพียงแต่อานุภาพถูกน้ำวนอันดำมืดบดบังเอาไว้ก็เท่านั้น”

“ที่แท้แล้วเป็นเช่นนี้เอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

“สำหรับจ้าวหิมะเหินแล้ว เกรงว่าคงไม่จำเป็นต้องออกไปอีกแล้วล่ะ” ยอดเคารพเฮ่ากู่พูดยิ้มๆ “นอกเสียจากจะได้สมบัติล้ำค่าอะไรบางอย่างแล้วอยากจะนำออกไป”

……

ทางเดินก็คือเส้นเลือดต่างๆ ที่ก่อตัวขึ้นภายในหัวอสรพิษ กลางทางเดินก็มีทางแยกมากมาย

แน่นอนว่า ‘จุดเชื่อมต่อ’ มากมายกลับมั่นคงมาก ถึงขั้นมีสถานที่หลายแห่งที่ไม่มีระลอกพายุคลั่งเลย หากรอคอยอยู่ตรงนั้น พละกำลังของไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษก็ไม่ถูกเผาผลาญแต่อย่างใด!

เมื่อทางเดินค่อยๆ แคบลงเรื่อยๆ และบินทะยานมาเป็นเวลานานเกินไปแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ถามขึ้นอย่างอดมิได้ว่า “ที่แท้แล้วพวกเราจะบินไปที่ใดกันแน่”

“ใกล้ถึงแล้ว” ยอดเคารพเฮ่ากู่ยิ้ม “อีกประเดี๋ยวเจ้าก็จะรู้เอง อย่าตกใจนักล่ะ”

“ตกใจหรือ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงทำได้เพียงข่มความอยากรู้อยากเห็นเอาไว้

แม้ทางเดินจะค่อยๆ แคบลงเรื่อยๆ แต่กลับยังคงกว้างถึงร้อยล้านลี้ เพียงแต่เมื่อเทียบกับความใหญ่โตของ ‘หัวอสรพิษ’ นี่ก็นับว่ายิบย่อยมากแล้ว

“นั่นมัน…”

ตรงหน้าคือผนังเยื่อสีแดงโลหิตขนาดมหึมา บดบังเส้นทางตรงหน้าเอาไว้

กล่าวว่าเป็นผนังเยื่อสีแดงโลหิต แต่อันที่จริงแล้วก็มีลำแสงจำนวนนับไม่ถ้วนเคลื่อนไหวอยู่ ราวกับม่านน้ำตกสีแดงโลหิตขนาดมหึมาอย่างไรอย่างนั้น

“ทะลุผ่านไป!” ยอดเคารพเฮ่ากู่ตื่นเต้นอยู่บ้าง

สวบๆ

ทั้งสองทะลุผ่านผนังเยื่อสีแดงโลหิตนั้นไปพร้อมกัน

ผนังเยื่อสีแดงโลหิตมิได้ขัดขวางแต่อย่างใด เพียงแต่มีพละกำลังพิเศษบางอย่างวาบผ่านร่างของตนไป พิเศษมาก ผนังเยื่อสีแดงโลหิตนั้นหนามาก บินผ่านไปหลายชั่วลมหายใจจึงทะลุผ่านไปได้ในที่สุด

“ถึงแล้ว!” ยอดเคารพเฮ่ากู่หัวเราะพลางหยุดลง

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปเบื้องหน้าด้วยความตกตะลึง

ตรงหน้าคือมิติกว้างใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งภายในมีทางเดินเส้นเลือดซึ่งแผ่รัศมีอันอบอุ่นสายแล้วสายเล่าออกมา! ทางเดินเส้นเลือดเหล่านี้พันพาดกัน และมีกลุ่มแสงมหึมาหลายร้อยกลุ่มกระจายตัวกันอยู่ภายในมิตินี้ กลุ่มแสงแต่ละกลุ่มล้วนมีทางเดินเส้นเลือดเส้นหนึ่งเชื่อมต่อเอาไว้ แม้กลุ่มแสงจะใหญ่โตมาก แต่ขนาดก็ยังคงเล็กใหญ่ต่างกันอยู่ดี

“นี่คือที่ไหนน่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงสงสัย ตามเส้นทางที่บินมา เขาก็วิเคราะห์ออกมาว่า “สมองของอสรพิษหรือ”

“สมองอสรพิษใหญ่กว่าที่นี่มากนัก หากพูดให้ถูกต้อง ควรจะเรียกว่าเป็นทะเลแห่งการรับรู้ของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่น่าหวาดหวั่นตนนี่ต่างหาก” ยอดเคารพเฮ่ากู่กล่าว

“ทะเลแห่งการรับรู้หรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึง

ทะเลแห่งการรับรู้ของสิ่งมีชีวิตตนหนึ่งคือส่วนที่พิเศษที่สุด

“ไป มุ่งหน้าไปยังกลุ่มแสงแรกกันก่อน” ยอดเคารพเฮ่ากู่เต็มไปด้วยความรอคอย เขาพาตงป๋อเสวี่ยอิงบินมุ่งหน้าต่อไป

ทางเดินเส้นเลือดของทะเลแห่งการรับรู้เล็กละเอียดขึ้นเรื่อยๆ แม้เส้นทางที่พวกเขาโบยบินไปจะเป็นเส้นที่กว้างที่สุดแล้ว แต่กลับกว้างแค่ล้านลี้เท่านั้น ทางเดินเส้นเลือดก็พันพาดกันและมีจุดเชื่อมต่อเช่นกัน ตรง ‘จุดเชื่อมต่อ’ กลับสงบเงียบมาก ไม่มี ‘พายุดำ’ ใดๆ รุกราน! ใช่แล้ว ภายในทะเลแห่งการรับรู้ ก็ยังคงมีพายุดำพัดหวีดหวิว รุกล้ำร่างกายของพวกตงป๋อเสวี่ยอิง

บินเหินไปครู่หนึ่ง

ยอดเคารพเฮ่ากู่จึงหยุดลงตรงจุดเชื่อมต่อแห่งหนึ่งก่อนจะชี้ไปยังกลุ่มแสงกลุ่มหนึ่งที่อยู่ห่างออกไป “ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่นี่ เจ้ามุ่งหน้าต่อไป เข้าไปในกลุ่มแสงนั้น ข้าสามารถสัมผัสได้ถึงเสียงที่กลุ่มแสงนั้นเพรียกหาข้า เป็นแรงดึงดูดชีวิตข้า! แต่ว่าภายในทะเลแห่งการรับรู้ของอสรพิษ กลุ่มแสงแต่ละกลุ่มล้วนมีแรงกดดันวิญญาณทั้งสิ้น ซึ่งแรงกดดันก็มีทั้งอ่อนแอและแข็งแกร่ง ข้ามิอาจเข้าไปในกลุ่มแสงตรงหน้ากลุ่มนี้ได้เลย! ระดับขั้นอานุภาพกดดันของมันเทียบเท่ากับทะเลสาบใบไม้ดำ คิดว่าเจ้าจะต้องเข้าไปได้แน่”

“อ้อ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกระจ่างแจ้งขึ้นมา

กลุ่มแสงภายในทะเลแห่งการรับรู้ ล้วนแต่มีแรงกดดันวิญญาณอยู่อย่างนั้นหรือ

มิน่าเล่า มิน่าเล่าจึงให้ตนมาด้วย

“จำเอาไว้ว่าสัตย์สาบานของเจ้ากล่าวเอาไว้ว่า ทั้งหมดจะฟังที่ข้ากำชับ” ยอดเคารพเฮ่ากู่กล่าว “หลังจากเจ้าเข้าไปแล้ว หากพบสิ่งที่สามารถนำออกมาได้ ก็นำออกมาให้ข้าให้หมด หากเก็บซ่อนอะไรเอาไว้ หรือมิได้พยายามนำออกมาอย่างสุดกำลังแล้วล่ะก็ เช่นนั้นก็จะเป็นการฝ่าฝืนสัตย์สาบาน”

ยอดเคารพเฮ่ากู่ตักเตือนอีกครั้ง

เขาส่งไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษเม็ดหนึ่งให้ตงป๋อเสวี่ยอิง เพื่อให้เขาช่วยเหลือ

“ได้ ยอดเคารพวางใจได้เต็มที่ ถึงตอนที่ข้าออกมา ท่านสามารถค้นตัวได้เลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ ล้อเล่นหรือ ก็แค่ของนอกกายเท่านั้น จะทำให้เขาฝ่าฝืนสัตย์สาบานได้อย่างไรกัน ต่อให้เป็นอาวุธเทพคละถิ่น ก็ไม่มีคุณสมบัติพอให้เขาฝ่าฝืนสัตย์สาบานได้ เพราะถึงอย่างไรหากฝ่าฝืน เกรงว่าเส้นทางการบำเพ็ญก็คงจะถูกตัดขาดไป

ฟิ้ว

ตงป๋อเสวี่ยอิงทะยานมุ่งหน้าไปยังกลุ่มแสงตรงหน้า ตามทางเดินเส้นเลือดที่เล็กลงเรื่อยๆ

“ฟิ้วๆๆ” พายุดำก็พัดหวีดหวิวลงบนร่าง แสงสีดำชั้นหนึ่งเหนือผิวกายสกัดกั้นเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย เพียงแต่พละกำลังของไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษก็ถูกเผาผลาญไปช้าอย่างยิ่ง

“เอ๊ะ” เมื่อห่างออกไปเพียงล้านลี้ เขาก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันวิญญาณ เมื่อบินเข้าไปใกล้ แรงกดดันวิญญาณนี้ก็พุ่งทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว

“ข้าจะดูสิว่า ที่แท้แล้วภายในกลุ่มแสงนี้คืออะไรกันแน่” ตงป๋อเสวี่ยอิงบินไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นเป็นอย่างมาก

……………………………..

“จ้าวหิมะเหิน เรื่องที่เจ้าต้องทำนั้นง่ายมาก” ยอดเคารพเฮ่ากู่กล่าว “ตามข้าเข้าไปยังทางเดินเขี้ยวอสรพิษ ต่อจากนี้ไปจะทำเรื่องใดก็ต้องฟังที่ข้าจัดการ จะตัดสินเอาเองตามอำเภอใจมิได้ ทว่าเจ้าวางใจได้เต็มที่ ภายในทางเดินเขี้ยวอสรพิษมีสถานที่อันตรายมากมาย ที่ล้วนต้องอาศัย ‘ไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษ’ คุ้มกายเอาไว้! เมื่อพละกำลังภายในไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษถูกเผาผลาญไปถึงระดับหนึ่งแล้ว ข้าก็จะต้องกลับมา หากไม่สามารถกลับมายังหุบเขาเขี้ยวหักได้ก่อนพลังงานของไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษจะเผาผลาญจนสิ้นไป เช่นนั้นก็จะกลับมามิได้อีกแล้ว”

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เข้าใจ

ทางเดินเขี้ยวอสรพิษนั้นอันตรายหาใดเปรียบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณน้ำวนตรงทางเข้าออก หากอาศัยตนเองก็ไม่มีทางต้านทานได้เลย จะต้องอาศัยพละกำลังที่แฝงอยู่ใน ‘ไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษ’ หรือว่า ‘หยาดน้ำพันเนตร’ เท่านั้น

จะเข้าไปหรือจะออกมา ล้วนแต่ต้องอาศัยพลังทั้งสิ้น

หากระหว่างทางที่ออกมา…พละกำลังของไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษเผาผลาญจนหมดเสียแล้ว ภายใต้น้ำวนของทางเดิน เกรงว่าชีวิตน้อยๆ ก็คงจะหาไม่แล้ว

“ดังนั้นขณะที่ไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษยังเหลือพละกำลังราวสามส่วน ข้าก็ต้องเดินทางกลับแล้ว” ยอดเคารพเฮ่ากู่มองตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มๆ “แต่เจ้านั้นไม่เหมือนกัน เจ้ามีร่างแยกมากมาย เจ้าสามารถบุกฝ่าภายในทางเดินเขี้ยวอสรพิษต่อไปได้ จนกว่าพละกำลังของไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษจะเผาผลาญไปหมด! ต่อให้ร่างแยกร่างหนึ่งของเจ้าไม่กลับมา ก็คงไม่มีผลกระทบใดต่อเจ้าหรอกกระมัง”

ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

“ก่อนข้าจะเดินทางกลับ ทุกสิ่งเจ้าต้องฟังข้า รอให้ข้ากลับไปแล้ว เจ้าก็สามารถไปบุกฝ่าอย่างอิสระได้” ยอดเคารพเฮ่ากู่กล่าว “เงื่อนไขของข้า เจ้าสามารถรับปากได้หรือไม่”

“ฮ่าฮ่า ยอดเคารพยินยอมมอบของล้ำค่าอย่าง ‘ไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษ’ ให้แก่ข้าทั้งที ก็แค่ส่งร่างแยกไปช่วยเท่านั้นเอง สำหรับข้าแล้ว เรื่องพรรค์นี้ยิ่งมีมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพลางหัวเราะฮ่าฮ่า

ยอดเคารพเฮ่ากู่เผยรอยยิ้มออกมาในทันใด

เขาก็รู้สึกว่าจ้าวหิมะเหินผู้นี้คงจะไม่ปฏิเสธ แต่ก็กลัวว่านิสัยของเขาจะหยิ่งผยองเกินไปจนไม่ยอมฟังการปรับเปลี่ยนใดๆ

“ไม่ทราบว่าต้องการให้ข้าส่งร่างแยกไปสักกี่ร่างหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม

“ร่างแยกร่างเดียวก็ใช้ได้แล้ว” ยอดเคารพเฮ่ากู่อธิบาย “ไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษสามารถปกป้องร่างแยกได้เพียงร่างเดียวเท่านั้น”

“เข้าใจแล้วขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

ร่างแยกของตนมีจำนวนนับไม่ถ้วน หากสุดท้ายแล้วร่างแยกร่างหนึ่งจะต้องสูญสิ้นไปในทางเดินเขี้ยวอสรพิษ ก็เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น

สามารถเข้าไปได้สักรอบหนึ่ง ร้องขอก็ยังไม่ได้มาเลย!

“ก่อนจะมอบไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษให้แก่จ้าวหิมะเหิน ขอเชิญจ้าวหิมะเหินตั้งสัตย์สาบานด้วย” ยอดเคารพเฮ่ากู่กล่าว สมบัติล้ำค่าอันสูงส่งพรรค์นี้ เขามิกล้าเชื่อตงป๋อเสวี่ยอิงง่ายๆ

“ได้สิ” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ตั้งสัตย์สามบานขึ้นมาทันที

ยอดเคารพเฮ่ากู่ก็เบิกบานใจนัก เขารู้ว่า ผู้บำเพ็ญทั้งหลายล้วนให้ความสำคัญกับสัตย์สาบานเป็นอันมาก

……

ทั้งสองฝ่ายตรงไปตรงมาเป็นอันมาก ยอดเคารพเฮ่ากู่เตรียมพร้อมเอาไว้ตั้งนานแล้ว ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงก็แค่ส่งร่างแยกออกไปเพียงแค่ร่างเดียวเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเตรียมการอันใด วันนั้น พวกเขาทั้งสองก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังทางเดินเขี้ยวอสรพิษ

“ตู้มๆๆ…”

พวกเขาทั้งสองมาถึงบริเวณใกล้กับน้ำวนดำมืดอันน่าหวาดหวั่นของทางเดินเขี้ยวอสรพิษ

แรงฉีกทึ้งของน้ำวนแข็งแกร่งนัก คลื่นสะท้อนและระลอกคลื่นที่ก่อตัวขึ้นมาทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงใจสั่นเล็กน้อย ลำพังแค่เสียงก็ไม่ถึงขั้นนี้ แต่น้ำวนก่อให้เกิดระลอกคลื่นอันไร้รูปร่าง ระลอกคลื่นทะลุผ่านทั้งกายหยาบและวิญญาณ ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงอดหวาดหวั่นใจขึ้นมามิได้ เขาเงยหน้ามองดูหัวอสรพิษสูงตระหง่านหาใดเปรียบซึ่งมีขนาดใหญ่โตพอๆ กันกับอาณาเขตของรัฐเมฆทักษิณา “สิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่น่าหวาดหวั่นซึ่งมีพลังระดับใกล้เคียงกับ ‘หยวน’ ต่อให้สิ้นใจไปไม่รู้นานเท่าไหร่แล้ว อานุภาพบางส่วนที่หลงเหลืออยู่ก็ยังน่าเหลือเชื่อเช่นนี้! น่ากลัว ช่างน่ากลัวเสียจริง! นอกจากนี้ ตามปกติแล้วหัวอสรพิษก็กินพื้นที่แค่ส่วนเล็กมากของตัวอสรพิษเท่านั้น ต่อให้สิ่งมีชีวิตคละถิ่นตนนี้มีสัดส่วนร่างกายแตกต่างจากอสรพิษทั่วไปอยู่บ้าง แต่หัวอสรพิษก็ยังคงกินพื้นที่ร่างกายเล็กอย่างยิ่งอยู่ดี ขนาดหัวอสรพิษยังใหญ่โตถึงเพียงนี้ หากร่างกายสมบูรณ์ดี จะใหญ่โตมโหฬารสักแค่ไหนกัน”

หัวอสรพิษก็เทียบได้กับรัฐเมฆทักษิณาแล้ว

ร่างกายจะยาวใหญ่เพียงใด

อย่าได้มองว่า ‘รัฐโบราณคิมหันตวายุ’ ใหญ่โตกว่ารัฐเมฆทักษิณาตั้งมากมายเลย เพราะนั่นก็เพียงพื้นที่เท่านั้น! ลำพังแค่ความยาวของอาณาเขตรัฐ ก็ไม่กี่เท่าแค่นั้นเอง

ความยาวของร่าง ‘อสรพิษ’ ตัวนี้…เกรงว่าคงจะยาวกว่าอาณาเขตรัฐโบราณคิมหันตวายุมากมายนัก

“นั่นใครน่ะ”

“ยอดเคารพเฮ่ากู่ จ้าวหิมะเหินหรือ”

รอบทางเดินเขี้ยวอสรพิษ ก็มีผู้เฝ้าดูที่ยอดเคารพทั้งห้าจัดเตรียมเอาไว้ พวกเขาพบตงป๋อเสวี่ยอิงและยอดเคารพเฮ่ากู่อย่างรวดเร็ว

คนหนึ่งคือยอดเคารพ อีกคนหนึ่งคือจ้าวหิมะเหินผู้มีชื่อเสียงเกรียงไกร ผู้ที่คอยเฝ้าดูอยู่ก็ย่อมมิกล้ามารบกวนเป็นธรรมดา

“ทุกครั้งที่มองดูใกล้ๆ ก็รู้สึกหวาดหวั่นหาใดเปรียบ” ยอดเคารพเฮ่ากู่กล่าว “สิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดเหล่านี้ ร่างกายใหญ่โตเสียจนถึงขั้นน่าเหลือเชื่อ ส่วนผู้แกร่งกล้าคละถิ่นอย่าง ‘หยวน’ นั้น บำเพ็ญขึ้นไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ยังตัวเล็กอ่อนแอ ร่างกายของพวกเขาทัดเทียมกับพวกข้า แต่พลังแข็งแกร่งถึงขั้นเหนือกว่าสิ่ง มีชีวิตคละถิ่นที่น่าหวาดหวั่นตรงหน้าผู้นี้อยู่บ้าง เมื่อย้อนคิดดู ก็ทั้งอิจฉาและนับถือเขา”

ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

“ไปเถอะ พวกเราเข้าไปกันเถอะ” ยอดเคารพเฮ่ากู่กล่าว “อย่ากังวลไปเลย เมื่อเข้าใกล้ทางเดินเขี้ยวอสรพิษ พละกำลังที่แฝงอยู่ภายในไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษก็จะถูกกระตุ้นขึ้นเองตามธรรมชาติ”

สวบๆ

ทั้งสองทะยานไปยังน้ำวนดำมืดอย่างรวดเร็ว

เมื่อถลาเข้าไปใกล้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รู้สึกว่าไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษที่วางเอาไว้ในอ้อมแขนก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงพิเศษบางอย่าง ทันใดนั้นไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษก็เปล่งแสงสีดำรำไรออกมา แสงสีดำล้อมรอบผิวกายของตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ ส่วนเหนือผิวกายของยอดเคารพเฮ่ากู่ก็มีแสงสีดำรำไรปรากฏขึ้นมาคุ้มกันเช่นเดียวกัน

“พวกเขาเข้าไปแล้ว”

“ยอดเคารพเฮ่ากู่และจ้าวหิมะเหินเข้าไปในทางเดินเขี้ยวอสรพิษกันแล้วหรือ”

ผู้ที่เฝ้าดูอยู่ไกลออกไปต่างก็ตกใจเป็นอันมาก ยอดเคารพเฮ่ากู่เข้าไปก็แล้วไปเถิด แม้แต่จ้าวหิมะเหินก็ยังเข้าไปในทางเดินเขี้ยวอสรพิษแล้วหรือ ส่วนผู้เฝ้าดูที่ยอดเคารพอีกสี่คนส่งมา ต่างก็ถ่ายเสียงให้แก่ยอดเคารพซึ่งเป็นเจ้านายตนทันที

ข่าวแพร่ออกไป

ยอดเคารพหลายคนได้ข่าว

“เข้าไปหมดแล้ว จ้าวหิมะเหินก็เข้าไปในทางเดินเขี้ยวอสรพิษแล้วอย่างนั้นหรือ ในเมื่อเข้าไปด้วยกัน เห็นทียอดเคารพเฮ่ากู่คงจะมอบสมบัติชั้นยอดเป็นหลักประกันให้จ้าวหิมะเหินเข้าไป ครั้งนี้ยอดเคารพเฮ่ากู่ จะสำรวจบริเวณทะเลแห่งการรับรู้” ยอดเคารพนภาอสนีได้รับข่าว ก็อดขมวดคิ้วแล้วคาดเดาขึ้นมาเล็กน้อยมิได้

“เจ้าเฮ่ากู่ตัวดี! มีสมบัติชั้นยอดตั้งสองชิ้นเป็นหลักประกัน”

“เขาช่างโชคดีเสียจริง”

ยอดเคารพคนอื่นอีกสี่คนพากันอิจฉา

ไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษและหยาดน้ำพันเนตรล้วนได้มายากนัก ได้มาชิ้นหนึ่งก็แล้วไปเถิด แต่จะได้มาสองชิ้นนั้นยากเกินไปแล้ว! เดิมทียอดเคารพเฮ่ากู่ก็มีไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษอยู่เม็ดหนึ่งอยู่แล้ว เพียงแต่เขาอยากเตรียมตัวให้พร้อมก่อนจึงค่อยเข้าไป ไหนเลยจะไปคิดว่าระหว่างนั้น…ตงป๋อเสวี่ยอิงจะรุ่งโรจน์ขึ้นมาก่อน จากนั้น ยอดเคารพเฮ่ากู่ก็โชคดีได้ไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษมาอีกเม็ดหนึ่ง

ดังนั้น จึงกระตุ้นให้เกิดการเดินทางครั้งนี้ขึ้นมา

ยอดเคารพคนอื่นๆ ก็ได้แต่อิจฉาเท่านั้น

……

“โครมมม…”

รอบด้านมีคลื่นสะท้อนอย่างต่อเนื่อง

เพิ่งจะทะยานเข้าไปกลางน้ำวนอันดำมืด ก็ถูกฉีกทึ้งเสียจนมิอาจควบคุมเค้าร่างได้อีกต่อไป ทำได้เพียงถูกหอบม้วนให้จมดิ่งลงไปกลางน้ำวนเท่านั้น

เคราะห์ดีที่เหนือผิวกายมีแสงสีดำคุ้มกันอยู่ แสงสีดำนี้ดูเหมือนจะเป็นแค่ชั้นบางๆ ชั้นหนึ่ง แต่ต่อให้พลังจากโลกภายนอกฉีกทึ้งทำลายอย่างไร ก็มิอาจทำลายได้ทั้งสิ้น เพียงแต่ตงป๋อเสวี่ยอิงสัมผัสได้ว่า พละกำลังอันยิ่งใหญ่ที่แฝงอยู่ใน ‘ไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษ ค่อยๆ ถูกเผาผลาญไปเรื่อยๆ

สวบๆ

ยอดเคารพเฮ่ากู่และตงป๋อเสวี่ยอิงทำได้เพียงร่วงดิ่งลงไปกลางทางเดินเขี้ยวอสรพิษอย่างรวดเร็วตามการดูดกลืนและลื่นไหลไปตามคลื่นเท่านั้น

มุ่งหน้าเข้าไปภายในน้ำวน มิติก็บิดเบี้ยวและแหลกสลายกลายเป็นผุยผง รวดเร็วยิ่งนัก

แต่ภายในปากกว้างดุจแอ่งโลหิตของอสรพิษตัวนี้ใหญ่โตเกินไปแล้วจริงๆ เพราะถึงอย่างไรทั้งหัวอสรพิษก็ใหญ่โตจนเทียบได้กับอาณาเขตของรัฐเมฆทักษิณา ลำพังแค่ถูกหอบม้วนแล้วบินร่อนไป คงเอาไว้กว่าครึ่งชั่วยาม แรงฉีกทึ้งของน้ำวนรอบด้านจึงจะลดลงอย่างรวดเร็ว ไม่นานนัก ยอดเคารพเฮ่ากู่และตงป๋อเสวี่ยอิงต่างก็สามารถควบคุมเค้าร่างได้

“ตอนนี้พวกเราอยู่ในปากอสรพิษอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูรอบด้าน เพียงแวบเดียวก็เห็นเขี้ยวอสรพิษขนาดมหึมาที่อยู่ไกลออกไปซี่นั้น

เขี้ยวอสรพิษแผ่กลิ่นอายที่น่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงออกมา

“อย่ารั้งอยู่ที่นี่เลย ลมที่นี่ทำให้พละกำลังของไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษถูกเผาผลาญไป” ยอดเคารพเฮ่ากู่เร่งเร้า “มุ่งหน้าต่อไปเถิด”

ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า อันที่จริงแล้ว อานุภาพน้ำวนลดต่ำลง บัดนี้ไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษเผาผลาญน้อยมากแล้ว แต่เห็นได้ชัดว่ายอดเคารพเฮ่ากู่ให้ความสำคัญกับพละกำลังแต่ละสายมากทีเดียว

สวบ สวบ!!

ยอดเคารพเฮ่ากู่พาตงป๋อเสวี่ยอิงทะยานไปในปากอสรพิษอันกว้างขวางด้วยความเร็วสูงพร้อมกัน

พวกเขาบินไปนานสองนาน จึงสามารถบินผ่านเขี้ยวอสรพิษขนาดมหึมาซี่หนึ่งไปได้ ฟันหักซี่หนึ่งยังสูงกว่ายอดเขาบนดินแดนจิตโลกาตั้งมากมาย

“พวกเราจะไปไหนกันหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม

“เจ้าสนใจแค่ตามข้ามาก็พอ ถึงเมื่อไหร่เจ้าก็จะรู้เองนั่นแหละ” ยอดเคารพเฮ่ากู่ยิ้มน้อยๆ เห็นได้ชัดว่าเขาคุ้นเคยดีมาก เมื่อเคยมาหลายครั้งแล้ว เขาก็ไม่อยากเสียพลังไปอีกสักสายเมื่ออยู่กลางทาง เขาพาตงป๋อเสวี่ยอิงทะยานไปด้วยความเร็วสูงไปตลอดทาง

…………………………………..

“ข้าเองก็ชมชอบโลกเช่นนี้เหมือนกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่บนยอดเขาพลางมองดูโลกอันกว้างใหญ่แห่งนี้แล้วก็เผยรอยยิ้มออกมา

เมื่อก่อนภายในใจอยากจะเปลี่ยนแปลงทั้งโลก ทำให้เหล่ามารไม่มีทางเหิมเกริมทำตามอำเภอใจได้อีกต่อไป แม้กระทั่งตัวเองก็ยังคิดว่าเป้าหมายนี้ช่างห่างไกลเป็นอย่างยิ่ง ถึงขนาดที่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มองเขาในแง่ดี เหล่าผู้แกร่งกล้าของดินแดนจิตโลกาในตอนนั้นคุ้นเคยกับความเป็นระเบียบในตอนนั้นอยู่ก่อนแล้ว คุ้นเคยกับการที่ผู้แกร่งกล้า ‘ขั้นสุดยอด’ เป็นอิสระเสรี ไม่มีใครสามารถคุกคามได้

แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไปในที่สุด!

“แต่เจ้าเห็นภัยร้ายที่แฝงอยู่เบื้องหลังแล้วหรือไม่” จักรพรรดิเซี่ยพูด

“ภัยร้ายที่แฝงอยู่เบื้องหลังหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้ง

“จำนวนคนอย่างไรเล่า” จักรพรรดิเซี่ยพูด“ ถึงแม้ว่าเหล่าผู้บำเพ็ญจะขยายเผ่าพันธุ์อย่างเนิ่นช้ายิ่ง โดยทั่วไปแล้วก็ต้องใช้ชีวิตอยู่ในเมืองจึงจะปลอดภัยกว่า ที่ว่างภายในเมืองก็มีอยู่จำกัด แต่ในที่สุดก็ผ่านไปสองแสนล้านปีแล้ว ตอนนี้การสร้างปราการเมืองก็มากขึ้นเรื่อยๆ จำนวนผู้บำเพ็ญก็เพิ่มพูนขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภาระรับผิดชอบต่อดินแดนจิตโลกาก็ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ด้วย เท่าที่ข้ารู้ ดินแดนจิตโลกานั้นไม่เหมือนกับโลกกำเนิดแห่งอื่นๆ โลกกำเนิดอื่นสามารถเกิดมหาวินาศขึ้นได้ ทั้งหมดทั้งมวลกลับไปสู่จุดเริ่มต้น แล้วเริ่มขยับขยายใหม่อีกครั้ง ทว่าดินแดนจิตโลกาเป็นสิ่งที่ ‘หยวน’ สร้างขึ้น จะคงอยู่ไปชั่วนิรันดร์ ไม่มีทางเกิดมหาวินาศ แต่จำนวนคนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดินแดนจิตโลกาไม่มีทางทนรับได้อย่างไร้ซึ่งขีดจำกัดหรอก”

ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าน้อยๆ “ใช่แล้ว”

“ตอนนี้สองแสนล้านปี ภาระรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้นยังอยู่ในอาณาบริเวณที่ดินแดนจิตโลการับได้ แต่หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็ต้องมีสักวันที่เกรงว่าดินแดนจิตโลกาจะเกิดการตอบโต้ขึ้นมา” จักรพรรดิเซี่ยพูด “หรือว่า ‘หยวน’ จะกำหนดกฎเกณฑ์ขึ้นมาใหม่ ในท้ายที่สุดก็จะต้องกดดันผู้คนทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาอย่างแน่นอน”

“ฮ่าฮ่า หยวนกำหนดกฎเกณฑ์ ก็ไม่มีทางสังหารหมู่ในทันทีหรอก” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด อย่างเช่นโอกาสที่วังเทพจิตโลกาเหลือเอาไว้ โอกาสเพื่อให้เหล่าขั้นสุดยอดแต่ละคนเตรียมตัว และสุดยอดสมบัติลับล้ำค่าต่างๆ เป็นต้น เห็นได้ชัดว่า ‘หยวน’ ก็ยังปฏิบัติต่อผู้อ่อนแอด้วยความปรานีเป็นอย่างยิ่ง

จักรพรรดิเซี่ยก็พยักหน้าน้อยๆ

พวกเขาสองคนมิได้พูดอะไรกันมากมายอีก เพราะ ‘หยวน’ จะทำเช่นไรนั้นพวกเขาก็มิอาจพูดให้ชัดเจนได้

อาจจะมีเมตตาสักหน่อย อย่างเช่นเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์โดยตรง กำหนดให้ระดับความยากในการขยายเผ่าพันธุ์ของผู้บำเพ็ญเพิ่มพูนขึ้น! เช่นนี้การเพิ่มจำนวนประชากรก็ย่อมยากเย็นเป็นธรรมดา

แล้วก็เป็นไปได้ว่าจะโหดเหี้ยมกว่า เช่นให้ผู้อ่อนแอเป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่ง เป็นต้น……

ทั้งหมดล้วนมีความเป็นไปได้ทั้งสิ้น

“ไปกันเถิด”

เงาร่างของคนทั้งสองหายลับไปกลางอากาศในทันใด

……

ณ คีรีมารสกุลฝาน

“ท่านอาจารย์ ข้าพลิกอ่านตำราภายในชนเผ่า ได้ทราบมาว่าภายในสกุลฝานของพวกเรามี ‘ต้นไม้เทพผลาญจิต’ อยู่ ซึ่งมันมีส่วนช่วยเหลือในการบำเพ็ญวิถีวิญญาณอย่างมหาศาล ตอนนี้ข้าห่างจากการเป็นเทพจักรวาลอีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น สามารถให้ข้าไปบำเพ็ญภายใต้ต้นไม้เทพผลาญจิตได้หรือไม่ขอรับ” ชายหนุ่มคนหนึ่งพูดกับชายชราอาภรณ์ดำข้างกาย

“ต้นไม้เทพผลาญจิตหรือ” ชายชราอาภรณ์ดำถลึงตาจ้องมอง “ตอนนี้สกุลฝานของข้ายกให้จ้าวหิมะเหินผู้นั้นไปหมดแล้ว โอกาสที่จะได้สมบัติล้ำค่ามาก็เพิ่มขึ้นมิใช่น้อย เช่นนี้ข้าส่งเจ้าไปยัง ‘ตำหนักมารลวง’ ก็แล้วกัน ส่วนต้นไม้เทพผลาญจิตนั่น เจ้าก็อย่าได้ไปนึกถึงมันอีกเลยนะ”

ชายหนุ่มเอ่ยว่า “เพราะเหตุใดกัน ข้าพลิกอ่านตำรา ในตำราบันทึกเอาไว้ว่าตั้งแต่บรรพชนคิดค้นเคล็ดวิเศษไร้ภาพออกมาภายใต้ต้นไม้เทพผลาญจิต ก็ใช้ต้นไม้เทพผลาญจิตในการบำเพ็ญเพียงน้อยนิดยิ่งนัก ศิษย์ภายในเผ่าก็ควรจะสามารถแลกเปลี่ยนกันได้ แต่ข้ากลับหาของสิ่งนี้ไม่พบบนสายพานแลกเปลี่ยนเลยนะขอรับ”

“หาไม่พบก็ถูกต้องแล้วนี่! ”ชายชราอาภรณ์ดำถ่ายเสียงพูด “ตอนนี้จ้าวหิมะเหินผู้นั้นก็บำเพ็ญอยู่ใต้ต้นไม้เทพผลาญจิตนั่นแหละ!”

“จ้าวหิมะเหินหรือ” ชายหนุ่มจับจ้อง

จ้าวหิมะเหิน

ผู้ที่มีผลกระทบยิ่งใหญ่เหลือเกินในดินแดนจิตโลกาในตอนนี้ เป็นที่ยอมรับโดยทั่วกันว่าเป็นผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งแห่งดินแดนจิตโลกา! นั่นเป็นเพราะอิทธิพลของการสังหาร ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ ผู้เคยเป็นอันดับหนึ่งแห่งดินแดนจิตโลกา ทำให้บรรดาบุคคลผู้ไร้เทียมทานและขั้นสุดยอดระดับสามัญต่างก็ต้องพรั่นพรึง ไม่รู้ว่าผู้บำเพ็ญมากมายเท่าใดที่เคารพนบนอบต่อ ‘จ้าวหิมะเหิน’ ผู้นี้

อย่างเช่นรัฐโบราณคิมหันตวายุ เพราะว่ามีความสัมพันธ์อันดีกับจ้าวหิมะเหิน ก็ได้รับผลประโยชน์มากพอสมควร ตอนนี้ก็มีอิทธิพลแข็งแกร่งกว่ารัฐโบราณสหโลกาอยู่ขั้นหนึ่ง

“รู้แล้วกระมัง ข้าจะส่งเจ้าไปยังตำหนักมารลวง อย่าได้คิดถึงต้นไม้เทพผลาญจิตเป็นการชั่วคราว รอให้จ้าวหิมะเหินผู้นั้นจากไปแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นก็คงมีโอกาสแล้วล่ะ” ชายชราอาภรณ์ดำเอ่ยแนะนำ

“ท่านอาจารย์ ท่านบอกว่าจ้าวหิมะเหินก็อยู่บนคีรีมารสกุลฝานของพวกเราอย่างนั้นหรือ ข้า ข้า ข้าใช้ชีวิตอยู่ที่นี่แต่ก็ไม่เคยรู้เลย” ชายหนุ่มตื่นเต้นอย่างที่สุด “ท่านอาจารย์ขอรับ ข้าจะไปคารวะเขาสักคราหนึ่งได้หรือไม่ขอรับ”

ยามเยาว์วัย ก็โตขึ้นมากับการฟังเรื่องราวของจ้าวหิมะเหินผู้นี้นั่นเอง

“คารวะหรือ จ้าวหิมะเหินกำลังสงบจิตใจบำเพ็ญ เจ้าว่าจะไปรบกวนได้หรืออย่างไรกัน” ชายชราอาภรณ์ดำเอ่ยเสียงแข็ง “ท่านบรรพชนเคยมีบัญชาเอาไว้แล้วว่าห้ามไปรบกวนเขาเด็ดขาด”

โอ้” ชายหนุ่มฟังแล้วก็คันยุบยิบในใจ

“ท่านอาจารย์ ท่านสามารถบอกข้าได้หรือไม่ว่าต้นไม้เทพผลาญจิตอยู่ในทิศทางใดหรือขอรับ” ชายหนุ่มเอ่ยถาม

ชายชราอาภรณ์ดำส่ายหน้าพลางแย้มยิ้มแล้วชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง “อยู่ที่นั่น”

ชายหนุ่มมองตามไปไกล นัยน์ตาเผยแววตื่นเต้นคาดหวัง

ทิศทางนั้นนั่นเอง…

อยู่ที่คีรีมารสกุลฝาน ‘จ้าวหิมะเหิน’ ผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งแห่งดินแดนจิตโลกาผู้นั้น บำเพ็ญอยู่ที่นั่นเอง!

……

ในความเป็นจริงแล้วเหล่าเทพจักรวาลส่วนใหญ่ต่างก็รู้ว่า ‘จ้าวหิมะเหิน’ มีความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับรัฐโบราณคิมหันตวายุ

อย่างเช่น ‘จ้าวหิมะเหิน’ และ ‘จักรพรรดิเซี่ย’ ก็สนทนากันอยู่บ่อยๆ คนทั้งสองดื่มสุราด้วยกันอยู่เป็นประจำ และปรากฏตัวขึ้นที่ใดสักแห่งในดินแดนจิตโลกาเพื่อประลองเรียนรู้ซึ่งกันและกันอยู่เสมอ! พวกเขาสองคนต่างก็เป็นยอดฝีมือขั้นสุดยอดทางด้าน ‘วิถีอากาศ’ นอกจากนี้คนทั้งสองต่างก็ได้รับสุดยอดเคล็ดสืบทอดลับ สื่อสารระหว่างกันขึ้นมาก็มีประโยชน์ต่อทั้งคู่เป็นอย่างยิ่ง

ส่วนความสัมพันธ์ระหว่าง ‘จ้าวหิมะเหิน’ กับ ‘บรรพชนฝาน’ ก็แพร่หลายออกไปนานแล้ว

บรรพชนฝานถึงกับจงใจปล่อยข่าวให้แพร่ออกไปภายนอก ทำให้เหล่าเทพจักรวาลทั่วหล้าล่วงรู้ว่าจ้าวหิมะเหินมีร่างแยกร่างหนึ่งที่อาศัยบำเพ็ญอยู่ที่คีรีมารสกุลฝานเป็นระยะเวลายาวนาน! นี่ทำให้เหล่าเทพจักรวาลทั่วหล้าต่างพากันอิจฉาตาร้อน เพราะพวกเขาแต่ละคนต่างก็มุ่งมาดปรารถนาที่จะได้สัมผัสกับจ้าวหิมะเหินผู้นี้ เพราะว่านอกจาก ‘จ้าวหิมะเหิน’ จะมีพลังยุทธ์กล้าแกร่งแล้วก็ยังมีอิทธิพลภายในหุบเขาเขี้ยวหักเป็นอย่างยิ่ง มีโอกาสได้สมบัติล้ำค่าจำนวนนับไม่ถ้วน

ไม่เห็นหรือว่าจักรพรรดิเซี่ย บรรพชนฝาน จอมกระบี่ปีศาจ และจักรพรรดิชางได้รับประโยชน์ด้วยเหตุนี้

ไม่เห็นหรือว่าตอนนี้ประมุขรัฐเมฆทักษิณาเดินยืดอกไปทั่ว

ไม่เห็นหรือว่าตอนนี้แม่เฒ่าอิงซานก็สำเร็จเป็นเทพจักรวาลแล้ว

“พรึ่บ…”

ภายใต้ต้นไม้เทพผลาญจิต ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีขาวตลอดร่างนั่งขัดสมาธิอยู่ ใบไม้สีม่วงเข้มปลิวว่อนตามสายลม เขาลืมตาขึ้น นัยน์ตามีแววเศร้าสลดสายหนึ่ง

“ก็ยังไม่สำเร็จอยู่ดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำเสียงต่ำกับตนเอง “ตอนนั้นระยะเวลาที่สังเกตการณ์หยาดน้ำพันเนตรสั้นเกินไปเสียแล้ว ถ้าหากสามารถให้ข้าหยั่งรู้โดยละเอียดได้ก็ไม่แน่ว่าตอนนี้อาจจะคิดค้นท่าไม้ตายที่สามของวิถีเขตลวงโลกเทียมออกมาได้แล้วก็เป็นได้”

ระยะเวลาเนิ่นนานเช่นนี้

เกาะลอยคว้างที่มีดวงตาลึกลับของหุบเขาเขี้ยวหัก เขาเคยบุกเข้าไปทั้งหมดแล้วรอบหนึ่ง และได้จดจำส่วนประกอบโลกเขตลวงภายในดวงตาลึกลับเหล่านั้นเอาไว้จนหมด ตอนนั้นเขาอ้างอิงจากส่วนประกอบโลกเขตลวงของดวงตาสีเทา จนในที่สุดก็ตระหนักรู้ท่าไม้ตายแรกของวิถีเขตลวงโลกเทียม…ความสว่างไสวของโลกลวง! เพราะเคยสำรวจดวงตาสีทองมาหมดแล้ว หลังจากที่สังหารราชันย์อนธการอมตะไปแปดหมื่นล้านปี เขาก็คิดค้นท่าไม้ตายที่สองของวิถีเขตลวงโลกเทียม…การสังหารของโลกลวง ออกมาได้!

“เหมือนกันกับที่ข้าคาดการณ์เอาไว้เลย ท่าไม้ตายทั้งสองนี้ไม่สามารถใช้การกับศัตรูคนหนึ่งๆ พร้อมกันได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า

ความสว่างไสวของโลกลวงคือการดึงดูดศัตรูให้จ่อมจมและหลงใหล

ส่วนการสังหารของโลกลวงคือความต้องการที่จะผลาญสังหารวิญญาณของศัตรูโดยตรง สังหารมิได้ก็ต้องได้รับบาดเจ็บ!

ทั้งสองเป็นโลกลวงที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

วิญญาณของศัตรูสามารถเข้าไปในโลกลวงได้เพียงแห่งเดียวในชั่วขณะหนึ่งๆ

“นอกจากโลกลวงของข้า การจะสามารถรวบรวม ‘ความสว่างไสว’ และ ‘การสังหาร’ เข้าไว้ด้วยกันนั้นช่างยากเย็นยิ่งนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงอยากจะลองดูหยาดน้ำพันเนตรอีกครั้งเป็นอย่างยิ่ง เพราะส่วนประกอบภายในหยาดน้ำพันเนตรก็คือโลกพันเนตรอันกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง

“จักรพรรดิเป่ยเหอ!”

ตงป๋อเสวี่ยอิงนึกถึงตรงนี้แล้วก็ไม่ยอมจำนนใจอยู่บ้าง

ถ้าหากมีหยาดน้ำพันเนตรก็ไม่แน่ว่าอาจจะคิดค้นท่าไม้ตายที่สามออกมาได้ ท่าไม้ตายที่สามผสานรวมกับท่าไม้ตายทั้งสองก่อนหน้าอย่างสมบูรณ์แบบ ก็ย่อมมีการยกระดับพื้นฐานเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ไม่แน่ว่าตนเองก็อาจจะสามารถอาศัยงวิถีเขตลวงโลกเทียมนี้ไปถึง ‘ขั้นสุดยอด’ ได้! แน่นอนว่าการไปถึงขั้นสุดยอดก็มิได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น ยังจำเป็นต้องเผชิญกับอุปสรรคอันสาหัสต่างๆ แต่อย่างน้อยคิดค้นออกมาได้ ความเข้าใจต่อวิถีเขตลวงโลกเทียมของตนก็สามารถลึกล้ำยิ่งขึ้นไปได้อีกขั้นหนึ่ง

แต่ทั้งหมดนี้กลับถูกทำลายเสียแล้ว

“จักรพรรดิเป่ยเหอผู้นี้เข้าไปในทางเดินเขี้ยวอสรพิษ เข้าไปคราวนี้แล้วก็มิได้กลับออกมาอีกเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ “กลัวว่าข้าจะแก้แค้น ดังนั้นจึงคอยอยู่ข้างในมาโดยตลอดเลยอย่างนั้นหรือ ขอเพียงแค่พลังของหยาดน้ำพันเนตรหมดสิ้นไป เขาก็จำเป็นต้องออกมาแล้ว มิฉะนั้นก็จะมิอาจออกมาได้อีกไปตลอดกาลแล้วล่ะ”

ต่อให้เขาออกมา

เกรงว่าหยาดน้ำพันเนตรก็คงมลายหายไปเพราะพลังภายในหมดสิ้นไป!

“หยาดน้ำพันเนตร” หลายปีมานี้ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไปยังเกาะลอยคว้างมากมาย แต่ก็ไม่เคยได้หยาดน้ำพันเนตรหรือว่าไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษใดๆ มาอีกเลยสักอันเดียว! ในประวัติศาสตร์ การจะได้มาซึ่งสมบัติชั้นยอดทั้งสองนี้ช่างลำบากยากเย็นเป็นอย่างยิ่ง โดยทั่วไปล้วนเป็นห้ายอดเคารพที่ได้มาครอง อย่างเช่นคราวก่อนที่ ‘ทะเลสาบใบไม้ดำ’ มีเพียงแค่แรงกดดันที่มีต่อวิญญาณ ไม่มีอันตรายอื่นๆ ตนก็โชคดีมีโอกาสสามารถได้หยาดน้ำพันเนตรหยดหนึ่งมาครอบครอง แต่กลับไม่เคยมีโอกาสอีกเลย

“ไม่มีโอกาสได้หยาดน้ำพันเนตรมาครองอีกแล้วหรือ เอาเถิด ต่อให้ไม่มี ข้าก็สามารถคิดค้นออกมาได้อยู่ดี บางทีการที่เป็นเช่นนี้ การสั่งสมวิถีเขตลวงโลกเทียมของข้าก็อาจจะสามารถแข็งแกร่งขึ้นอีกก็เป็นได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ได้แต่ปลอบประโลมตนเองเช่นนี้ สงบจิตใจลงในทันทีแล้วสำรวมจิตใจบำเพ็ญต่อไป ขัดเกลาท่าไม้ตายทั้งสองของวิถีเขตลวงโลกเทียมที่ผสานรวมกัน

………………………………………..

บรรพชนราตรีนิรันดร์และบรรพชนนิจรัตติกาลสองคนยืนเคียงบ่ากัน ผ้าคลุมไหล่โบกสะบัด แต่ละคนมองดูจุดกำเนิดของความเคลื่อนไหวอันน่าหวาดหวั่นอยู่ห่างๆ… ผนังกั้นโลกกำเนิดโพรงดำทะมึนระเบิดออก เงาร่างในอาภรณ์ขาวก็ทะยานออกมาจากโพรงดำทะมึน มือหนึ่งถือหอกชิงเหอ อีกมือถือมงกุฎมรณะ กลิ่นอายร้ายกาจอันไร้รูปร่างนั้น แม้กระทั่งอยู่ห่างออกไปเป็นระยะทางไกลก็ยังสามารถรู้สึกได้

“โชคดีนะ โชคดีที่เจ้า ราตรีนิรันดร์ยอมก้มหัวไปก่อนหน้านี้แล้ว” บรรพชนนิจรัตติกาลพูดยิ้มๆ

“มิฉะนั้นหลังจากราชันย์อนธการอมตะ บุคคลผู้ไร้เทียมทานคนต่อไปที่จะต้องตายก็คือเจ้าแล้วล่ะ”

“ถูกต้อง” บรรพชนราตรีนิรันดร์ก็มองดู นัยน์ตาของเขามีประกายสีทองจางๆ “โชคดีที่ยอมก้มหัว ข้าคาดการณ์ว่าเมื่อใดที่เขาสำเร็จเป็นขั้นสุดยอด ถึงแม้จะเป็นวิถีอากาศ แต่พลังยุทธ์ก็ยังสามารถกดดันราชันย์อนธการอมตะได้เลยทีเดียว ภายใต้เคล็ดวิชาวิญญาณของเขา พลังยุทธ์ของข้าก็ลดต่ำลงอย่างมหาศาล ถึงแม้จะอยู่ที่เมืองราตรีนิรันดร์ เกรงว่าข้าก็อาจจะต้องเอาชีวิตไปทิ้งอยู่ดี แต่คิดไม่ถึงว่าแม้กระทั่งราชันย์อนธการอมตะก็ยังถูกสังหารได้อย่างง่ายดายเช่นนี้”

ถึงแม้ว่ากระบวนการจะพลิกผันไปบ้างเล็กน้อย แต่ผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งแห่งดินแดนจิตโลกาก่อนหน้านี้ตายไปอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้ก็ยังเรียบง่ายและตรงไปตรงมาเกินไปอยู่ดี!

“ราชันย์อนธการช่างร้ายกาจยิ่งนัก ในท้ายที่สุดก็ใช้เคล็ดวิชาต่างๆ นานาอย่างสุดชีวิต มีเป็นจำนวนมากที่ข้าเองก็ยังมองไม่ทะลุปรุโปร่ง ถึงขนาดที่รู้สึกว่ามีพลังคุกคามอย่างมหาศาลเลยทีเดียว” บรรพชนนิจรัตติกาลพูดยิ้มๆ “เพียงแต่ว่าเคล็ดวิชาของเขาล้วนไร้ประโยชน์ต่อจ้าวหิมะเหินก็เท่านั้นเอง”

“ต่อจากนี้เป็นต้นไป เหนือศีรษะก็มีหอกยาวอันน่าหวาดหวั่นเพิ่มขึ้นมาอีกเล่มหนึ่งแล้ว ถ้าหากพวกเราตระบัดสัตย์ก็สามารถปลิดชีวิตพวกเราได้ตลอดเวลาเลยสินะ” บรรพชนราตรีนิรันดร์หัวเราะเยาะตนเองเสียงหนึ่ง

พวกเขาบุคคลผู้ไร้เทียมทานเหล่านี้

แม้กระทั่งเหล่าบุคคลขั้นสุดยอดระดับสามัญก็ดำรงชีวิตเป็นอิสระมาโดยตลอด มีบางทีที่เรียกได้ว่า ‘ทำอะไรตามใจชอบ’ สังหารหมู่เมืองสักแห่งหนึ่งแล้วจะนับเป็นอะไรได้ ทำการบูชาโลหิตแล้วจะนับเป็นอะไรได้ ถึงอย่างไรก็มิได้เกรงกลัวฟ้าดิน ไม่มีผู้ใดสามารถคุกคามเอาชีวิตพวกเขาได้ ต่อให้เป็น ‘หยวน’ ผู้สูงส่ง ขอเพียงแค่ไม่ส่งผลกระทบต่อความเป็นระเบียบของสิ่งมีชีวิตทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา หยวนก็คร้านที่จะมาสนใจมดปลวกจำนวนนับไม่ถ้วน

แต่ตอนนี้พวกเขาก็ไม่กล้า ‘ทำอะไรตามใจชอบ’ อีกแล้ว

ซ่อนตัวอยู่ในที่มั่นก็ไร้ประโยชน์! การจะสร้างค่ายกลขนาดใหญ่แต่ละแห่งใน ‘ที่มั่น’ และยิ่งเป็นสุดยอดค่ายกล มูลค่าก็ยิ่งมหาศาล! พลังยุทธ์ไปถึงระดับไร้เทียมทาน พลังยุทธ์ยิ่งยกระดับขึ้นไปอีกอย่างนั้นหรือ มูลค่าก็ยิ่งสูงเกินไปเสียแล้ว! อย่างเช่นจักรพรรดิเซี่ย บรรพชนราตรีนิรันดร์ และคนอื่นๆ ที่ร้ายกาจอย่างยิ่งเมื่ออยู่ในที่มั่นของตน แต่การเพิ่มพูนขึ้นของพลังยุทธ์ก็ไม่สามารถเพิ่มได้อย่างมหาศาลมากนัก ก็เป็นเพราะว่าพวกเขาก็ไม่สามารถสร้างค่ายกลระดับสุดยอดได้มากเพียงพออย่างไร้ซึ่งขีดจำกัด

ในทางกลับกัน พลังยุทธ์ยิ่งอ่อนแอกลับยิ่งยกระดับได้อย่างน่าเหลือเชื่อกว่า

อย่างเช่นขั้นสุดยอดระดับสามัญ เพราะไม่มีสุดยอดสมบัติลับล้ำค่า พลังรบของตนเองก็อ่อนแอเป็นอย่างยิ่ง ได้รับความช่วยเหลือของค่ายกลในที่มั่นจึงเด่นชัดยิ่งขึ้น มีพลังรบเทียบได้กับ ‘ระดับไร้เทียมทาน’ ภายในที่มั่น

ก็เหมือนกับตงป๋อเสวี่ยอิง!

มาถึงระดับขั้นเช่นเขา การสร้างค่ายกลมากมายที่เหมาะสมกับระดับขั้นในตอนนี้ภายในที่มั่น มูลค่าก็ต้องสูงจนเหนือธรรมดาแล้ว จะต้องเสาะหาวัสดุที่สามารถทนต่อค่ายกลเจ็ดกระบวนคละถิ่นกระบวนที่เจ็ดได้ ช่างหาได้ยากยิ่ง! ราชันย์อนธการอมตะก็อึดอัดใจเป็นอย่างยิ่ง ถ้าหากก่อสร้างที่มั่นโดยไม่คำนึงถึงมูลค่า แต่อาศัยพลังยุทธ์ซึ่งที่มั่นแสดงออกมา เกรงว่าผลลัพธ์ก็ไม่แน่ว่าจะสู้ผลของการเผาผลาญโลหิตหัวใจได้!

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่า แม้กระทั่งยอมจ่ายมูลค่ามหาศาลในการก่อสร้างที่มั่น ยึดติดกับที่มั่น! ถึงแม้ว่าผลลัพธ์จะเทียบเคียงได้กับการเผาผลาญโลหิตหัวใจอย่างพอถูไถ ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ง ‘ประมุขโลก’ กลุ่มใหญ่ไป สร้างเป็นค่ายกลรบล้อมโจมตี เขาก็ยังต้องหนีเอาชีวิตรอด!

“ร่างกายแกร่งกล้า!”

“เคล็ดวิชาวิญญาณน่าอัศจรรย์!”

“ทั้งยังสามารถเรียกตัวประมุขโลกกลุ่มใหญ่มาได้อย่างง่ายดายอีกด้วย”

เหล่าบุคคลผู้ไร้เทียมทานต่างก็หวาดหวั่นพรั่นพรึง

‘จ้าวหิมะเหิน’ ที่มีพรสวรรค์ล้ำเลิศผู้นี้ก็คือขั้นสุดยอดที่มีพลังคุกคามกล้าแกร่งที่สุดคนหนึ่งเท่าที่ในประวัติศาสตร์เคยมีมา

“สังหารราชันย์อนธการ หลังกลับมาแล้วยังระเบิดทำลายผนังกั้นโลกกำเนิด ก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวใหญ่โตอีกด้วย ถึงขนาดที่ยังเจตนาถือมงกุฎมรณะเอาไว้ในมือข้างหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะข่มขู่ทั้งใต้หล้า ในภายภาคหน้าดินแดนจิตโลกาแห่งนี้ก็จะเปลี่ยนแปลงไปแล้วล่ะ!” ผู้แกร่งกล้ามากมายต่างก็คาดการณ์กันถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้าได้อย่างรางๆ จากการที่ตงป๋อเสวี่ยอิงจงใจถือมงกุฎมรณะ

******

เรื่องจริงก็เป็นเช่นนี้

นอกจากพญามารที่ยอมก้มหัวศิโรราบให้สัตย์สาบานตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว ตนอื่นๆ ที่จองหองอหังการจำนวนหนึ่ง เดิมทียังคิดจะลองทดสอบดูสักหน่อย ยังไม่อยากจะยอมก้มหัวไปให้สัตย์สาบานผูกมัดตนเอง! แต่ตอนนี้นึกอยากจะขอร้องก็สายเกินไปเสียแล้ว!

“จ้าวท่าน ข้าอยากจะให้สัตย์สาบาน ข้า…”

“สายไปแล้วล่ะ”

……

“จ้าวท่าน ข้าจะไม่ทำการสังหารอีกแล้ว ข้าจะไม่ทำการสังหารตลอดไป”

“แต่เจ้าเคยทำการสังหารมาก่อนแล้วนี่”

……

เพียงแค่คืนเดียวเท่านั้น

ก็ทำให้ทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาพลิกผัน ในรายนามก็มีชื่อของบรรดาพญามารที่มีชื่อเสียงเลื่องลือจำนวนมากพอสมควรที่ล้วนเป็นระดับจอมเคารพ ขอเพียงแค่มิได้มาก้มหัว มาให้สัตย์สาบานก่อนหน้าที่ตนจะต่อสู้กับ ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ ก็จะไม่มีโอกาสอีกต่อไปแล้ว!

“เฮอะ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่กลางผืนฟ้ายามราตรี มองดูมารตนหนึ่งที่สูญสลายอยู่ไกลออกไป “ถ้าหากข้าอภัยให้เจ้า แล้วใครจะไปชดใช้ให้กับล้านล้านชีวิตที่ถูกเจ้าสังหารหมู่ไปกันเล่า”

สำหรับบรรดามาร รวมถึงพญามารมากมายอย่างบรรพชนราตรีนิรันดร์ ประมุขรัฐจันทร์บุปผา และประมุขเกาะจันปา ในใจของตงป๋อเสวี่ยอิงก็นึกอยากสังหารอยู่แล้ว เพราะว่าบรรดามารเหล่านี้มือเปื้อนหยาดโลหิตมากมายเหลือคณา

แต่ก่อนหน้านี้ ก่อนที่จะสำเร็จเป็นเทพจักรวาล เขาก็ไม่มีพลังยุทธ์เพียงพอ

บรรดาพญามารฝ่ายต่างๆ ล้วนสามารถคาดเดาได้ว่า… เมื่อใดที่จ้าวหิมะเหินผู้นี้สำเร็จเป็นขั้นสุดยอดก็เป็นวันจบชีวิตของพวกเขาแล้ว จำนวนมากมายต่างก็มาก้มหัวให้! ถ้าหากตนไม่ให้โอกาส ‘รอดชีวิต’ กับพวกเขาสักหน่อยก็เกรงว่าบรรดาพญามารเหล่านี้อาจจะบ้าคลั่งขึ้นมาก็เป็นได้

ดังนั้นก็ได้แต่ ‘ประนีประนอม’

เพียงแค่ยอมก้มหัว ให้สัตย์สาบานผูกมัด ก็จะยอมมองข้ามอดีตไป!

“ตอนนี้ข้ามีพลังยุทธ์ที่จะลงโทษได้แล้ว! ขอความปรานีอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเกิดความโหดเหี้ยมอย่างยิ่งขึ้นในใจ “ไม่ทำการสังหารให้มากพอแล้วจะข่มชนรุ่นหลังได้หรือ จะเปลี่ยนแปลงยุคสมัยได้อย่างไรกัน”

******

มารระดับเทพจักรวาล ถ้ามิได้มาก้มหัวให้สัตย์สาบานแต่เนิ่นๆ ผู้ที่ไม่ยอมก้มหัวก็ถูกผลาญไปจนหมดสิ้น!

หลังจากผ่านวารวันอันน่าหวาดหวั่นที่ขนานนามว่าเป็น ‘ราตรีผลาญมาร’ ไปแล้ว บรรยากาศทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างมหาศาล ทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาก็ไม่มี ‘การบูชาโลหิต’ อีกต่อไปแล้ว เพราะว่าผู้ที่รู้จักการหลอมแก่นวิญญาณโลหิตออกมาก็มีเพียงแค่พญามารระดับสุดยอดไม่กี่คนเท่านั้น ซึ่งพวกเขาก็ไม่กล้าทำตัวชั่วช้าอีกต่อไปแล้ว การบูชาโลหิตสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนก็ไม่มีความหมายอีกต่อไปแล้ว นอกจากนี้ก็ไม่มีมารที่กล้ารนหาที่ตายเช่นนี้อีกต่อไปแล้ว

เมื่อใดที่มารถูกค้นพบ

ก็ไม่จำเป็นต้องรอให้ตงป๋อเสวี่ยอิงลงมือ เหล่าผู้แกร่งกล้าที่ตนเองมิอาจทนเห็นความชั่วร้ายได้จำนวนมากก็จัดการลงมือกันเองไปแล้ว

……

“ยุคสมัยเปลี่ยนไปจริงๆ เสียแล้วสิ”

“เขาเปลี่ยนแปลงทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาจริงๆ เสียด้วย”

เทพจักรวาลมากมายมองดูความเปลี่ยนแปลงของดินแดนจิตโลกาแล้วก็อดตระหนกตกใจเป็นอย่างยิ่งมิได้

……

ตามกาลเวลาที่เคลื่อนผ่าน

บนดินแดนจิตโลกา ผู้บำเพ็ญยุคใหม่จำนวนมากต่างก็พากันตกตะลึง “อะไรนะ ในอดีตมีการบูชาโลหิตด้วยหรือ สิ่งมีชีวิตนับล้านล้านชีวิตในเมืองแห่งหนึ่งถึงกับถูกสังหารหมู่บูชาโลหิตจนหมดสิ้นไม่เหลือเลยแม้แต่คนเดียวอย่างนั้นหรือ จริงหรือเท็จกันนี่”

“พญามารในอดีตสามารถทำการสังหารสิ่งมีชีวิตนับล้านล้านชีวิตได้อย่างง่ายดายเลยหรือ เป็นไปไม่ได้หรอกกระมัง! จะมีมารที่บ้าคลั่งเช่นนี้ได้อย่างไรกัน”

พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อนก็ย่อมไม่เชื่ออยู่แล้ว

เพราะดินแดนจิตโลกาในตอนนี้ ‘มาร’ นั้นเป็นที่รังเกียจของทุกคน! เมื่อใดที่ค้นพบมารก็จะมีเหล่าผู้บำเพ็ญกลุ่มหนึ่งไปทำการไล่ล่าสังหาร แต่ละคน ‘รักความยุติธรรม’ กันเป็นอย่างยิ่ง ในความเป็นจริงแล้วมารที่เรียกกันในตอนนี้… ก่อนหน้าที่ตงป๋อเสวี่ยอิงจะรุ่งเรืองขึ้นมาก็นับได้เป็นเพียงแค่ตัวเล็กตัวน้อยบางส่วนที่รวมตัวกันอยู่ที่สถานที่รวมตัวของมารเหล่านั้นเท่านั้นเอง

“มารเฒ่าลวี่ซา เจ้าหนีไม่พ้นหรอก”

“พลพรรคที่ทดลองหลอมหลายกลุ่มถูกทำลายอย่างต่อเนื่อง พวกเรายังคิดว่าทดลองหลอมแล้วประสบกับอันตรายจนถึงแก่ชีวิต คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเจ้า มารเฒ่าผู้นี้ รับความตายเสียเถิด!”

เงาร่างเจ็ดสายไล่ตามชายชราอาภรณ์เขียวที่วิ่งหนีอย่างรวดเร็วผู้หนึ่ง

และบนยอดเขาที่อยู่ห่างไกลออกไปแห่งหนึ่ง

มีเงาร่างสองสายยืนอยู่ คนหนึ่งก็คือตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาว ส่วนอีกคนหนึ่งก็คือจักรพรรดิเซี่ยในอาภรณ์ดำตัวหลวม พวกเขาสองคนยืนเคียงบ่ากันมองดูทุกสิ่งทุกอย่างนี้

“ฮ่าฮ่า หิมะเหิน ช่างล้ำเลิศเสียจริง เหมือนเจ้าเพิ่งปลิดชีพราชันย์อนธการอมตะไปเมื่อวานนี้เอง

ตอนนี้บรรยากาศทุกระดับทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาล้วนเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงเสียแล้ว ก่อนหน้านี้ข้าเองก็ยังไม่กล้าคิดเลยว่า…ดินแดนจิตโลกาจะเปลี่ยนมาเป็นดังเช่นทุกวันนี้ได้” จักรพรรดิเซี่ยพูดยิ้มๆ “แบบนี้ยังถูกเรียกว่ามารเฒ่าได้ด้วยหรือ ถึงขนาดที่ถูกไล่ล่าสังหารอย่างน่าอนาถหาใดเปรียบเช่นนี้น่ะหรือ”

“เมื่อวานนี้อะไรกัน นี่ผ่านไปกว่าสองแสนล้านปีแล้วนะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยอย่างอดมิได้ สำหรับจักรพรรดิเซี่ยแล้วช่างเป็นเวลาแสนสั้น แต่สำหรับเขา ตงป๋อเสวี่ยอิง ก็ผ่านมาเป็นระยะเวลาเนิ่นนานพอดูเลยทีเดียว

สองแสนล้านปี

ก็เพียงพอที่จะมีผู้มีพรสวรรค์ขั้นอลวนยุคแล้วยุคเล่าถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว! จำนวนสิ่งมีชีวิตบนดินแดนจิตโลกาก็มากมายกว่าเมื่อก่อนอย่างมหาศาลเหลือเกินแล้ว เพราะว่าเมืองเล็กแห่งหนึ่งมีความปลอดภัยมากกว่า แม้กระทั่งมารระดับขั้นอลวนก็ยังพบเห็นได้ยากยิ่ง

“สองแสนล้านปีกว่า ช่างแสนสั้นนัก” จักรพรรดิเซี่ยรำพึง “แต่พูดขึ้นมาแล้วข้าก็ยังชมชอบโลกเช่นนี้มากกว่านะ”

………………………………………………….

ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าตามการเหินทะยานด้วยความเร็วสูง ถึงแม้ว่าจะหันหน้าไปมอง โลกกำเนิดดินแดนจิตโลกาก็ยังคงอยู่ด้านหลังในระยะใกล้อย่างยิ่งอยู่ดี! แต่นั่นเป็นเพราะอาณาเขตที่กว้างใหญ่เกินไปของ ‘ดินแดนจิตโลกา’ เป็นเหตุ! ตำแหน่งที่พวกเขาสองคนต่อสู้กันก็ยังคงได้รับผลกระทบของพลังของดินแดนจิตโลกาอยู่ดี แต่ภายใต้การเหินทะยานด้วยความเร็วสูงก็สามารถรู้สึกได้ว่าระดับความเข้มข้นของพลังคละวิถีกำลังยกระดับขึ้นอย่างต่อเนื่อง ระดับความเข้มข้นเช่นนี้ยังเหนือชั้นกว่าพลังคละวิถีที่ตนใช้ในยามบำเพ็ญเสียอีก

โชคดีที่มีหอกชิงเหอควบคุม ทำให้พลังคละวิถีเปิดแยกทางเส้นหนึ่งออกมา ทำให้การกัดกร่อนที่ตนได้รับนั้นต่ำลงอย่างที่สุด

“ปัง ปัง ปัง”

ตงป๋อเสวี่ยอิงไล่ตามติดไปอย่างรวดเร็วในทันใดแล้วลงมืออย่างไม่ไว้ไมตรี

ราชันย์อนธการอมตะมุ่งตรงเข้าไปในส่วนลึกอย่างบ้าคลั่งโดยไม่แยแสชีวิตเลย! แต่ร่างกายของเขากลับเริ่มต้นค่อยๆ เปลี่ยนสี เปลี่ยนเป็นสีเทาขาว

“เขาไม่ไหวแล้วล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยสีหน้ายินดี

“ต้านไม่ไหวอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้เชียว การห้ำหั่นภายในดินแดนจิตโลกาก่อนหน้านี้ทำให้ข้าได้รับบาดเจ็บสาหัสเหลือเกิน ถ้าหากร่างกายของข้าสมบูรณ์ดี ก็ยังสามารถทนอยู๋ได้นานกว่านี้!” ห้วงสมองของราชันย์อนธการอมตะในขณะนี้มีภาพเหตุการณ์ภาพแล้วภาพเล่าเคลื่อนผ่าน ตั้งแต่ในตอนแรกที่ยังอ่อนแอขึ้นมาครอบครองดินแดนจิตโลกา เขาโดดเด่นจับตา เขาทำให้ผู้แกร่งกล้าจำนวนนับไม่ถ้วนทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาหวาดหวั่น คิดว่าเขาคือร่างแปรของความตาย ความแกร่งกล้าของเขาถึงขนาดที่ทำให้เคยได้รับความชื่นชอบจาก ‘หยวน’ หรือแม้กระทั่งเขาโจมตีเส้นทางของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นด้วยความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม

เขาไปจากบ้านเกิด

การไปในครั้งนี้… เขาจึงรู้ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือกว่าผู้มีพรสวรรค์ก็ยังมีผู้มีพรสวรรค์เหนือกว่า! เขาล้มเหลวเสียแล้ว ล้มเหลวเช่นเดียวกันกับผู้แกร่งกล้าที่เคยรุ่งเรืองจำนวนมากมายมหาศาล ผู้แกร่งกล้าเหล่านั้นมีบางคนที่ตายไป มีบางคนที่ถึงกับถูกเนรเทศ เขาสามารถหนีรอดกลับมาได้ก็นับว่าโชคดีเป็นอย่างมากแล้ว

“หนีกลับมา ก็มาเจอะเจอกับจ้าวหิมะเหินที่ร้ายกาจผู้นี้อีก ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่นเลย เคล็ดวิชาวิญญาณของเขานั้นน่าหวาดหวั่นที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นมาเลยจริงๆ” ราชันย์อนธการอมตะมองตงป๋อเสวี่ยอิง ทันใดนั้นก็แยกเขี้ยวยิ้มออกมา รอยยิ้มบนใบหน้าขาวเทาที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายผุพังนี้ของเขากลับทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงประหลาดใจเล็กน้อย ตงป๋อเสวี่ยอิงมีการคาดเดาขึ้นมาบ้างแล้ว

พรึ่บ…

ทันใดนั้นประกายดำทะมึนบริเวณรอบๆ ร่างกายของราชันย์อนธการอมตะก็เคลื่อนที่รอบหนึ่ง แล้วเขาก็วิ่งหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว

“จะหนีหรือ มาถึงตอนนี้แล้ว ท่านยังคิดหนีอีกหรือ” ถึงแม้ว่าร่างกายของอีกฝ่ายจะถูกกัดกร่อนจนอยู่ห่างจากความตายอีกไม่มากแล้ว แต่เคล็ดการหลบหลีกนั้นแยกขาดจากการสึกกร่อน ถ้าหากอีกฝ่ายหนีไปได้จริงๆ ก็สามารถมีชีวิตอยู่รอดต่อไปได้อย่างแน่นอน

พรึ่บ

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาไล่ล่าสังหารติดตามไปในทันใด หลังจากไปถึงขั้นสุดยอดแล้วร่างกายของเขาก็สามารถสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาได้

“พรึ่บ”

เขาสะกดรอยตำแหน่งของราชันย์อนธการอมตะแล้วไล่ล่าสังหารติดตามไปแล้วก็ไล่ตามไปได้อย่างรวดเร็ว

เคล็ดการหลบหลีกสองศาสตร์

เห็นได้ชัดว่าเคล็ดการหลบหลีกทลายโลกาของวิถีอากาศนั้นมีความเร็วสูงกว่า

“ตายเสีย” ในขณะที่ไล่ตามไปนั้นหอกยาวเล่มหนึ่งก็ฟาดฟันไปบนร่างของราชันย์อนธการอมตะ ทำให้ร่างของเขาถูกกระแทกออกจากเส้นทางการหลบหนี ยามที่หลบหนีก็ไม่สามารถรับการโจมตีใดๆ ได้เลย!

ตัวตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็ออกจากเส้นทางการหลบหนีโดยอัตโนมัติ

“ฉึก ฉึก ฉึก!!!”

ถึงแม้ว่าจะเตรียมตัวเอาไว้ก่อนแล้ว อีกทั้งยังอาศัยหอกชิงเหอควบคุมพลังคละวิถีในบริเวณรอบๆ อย่างสุดกำลัง

แต่ว่าพลังคละวิถีในบริเวณรอบๆ ก็น่าหวาดหวั่นเกินไปเสียแล้ว!

ถึงแม้ว่าจะเป็นการหลบหนีในชั่วพริบตา แต่กลับมีระยะทางไกลกว่าการเหินทะยานไล่ล่าสังหารในตอนแรกกว่าพันเท่า! การไล่ล่าสังหารก่อนหน้านี้ก็ยังใกล้กับดินแดนจิตโลกาเป็นอย่างยิ่ง ตอนนี้กลับห่างไกลจากดินแดนจิตโลกาเป็นอย่างมากแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงอาศัยหอกชิงเหอควบคุมพลังคละวิถี ก็ยังรู้สึกว่าพลังคละวิถีในบริเวณรอบๆ นั้นหนาแน่นหาใดเปรียบ หนาแน่นกว่าที่ควบคุมก่อนหน้านี้กว่าพันเท่า พลังคละวิถีปริมาณมหาศาล ชะล้างผ่านร่างกายและวิญญาณของตนอย่างยิ่งใหญ่ ร่างกายถูกกัดกร่อนจนได้รับบาดเจ็บอย่างฉับพลัน ถึงขนาดที่ผิวหนังภายนอกเปลี่ยนเป็นสีเทาขาวอย่างเห็นได้เด่นชัด สีเทาขาวนี้ยังแทรกทะลุเข้าไปภายในร่างกายด้วย ในทางกลับกันวิญญาณนั้นกลับมีความสูญเสียน้อยกว่าเป็นอย่างมาก

“ภายใต้การกัดกร่อนเช่นนี้ ข้ามีหอกชิงเหอส่งเสริม ร่างกายก็สามารถทานทนได้เพียงแค่ชั่วอึดใจเดียวเท่านั้น”

“แต่วิญญาณของข้ากลับสามารถทานทนได้หลายสิบอึดใจเลยทีเดียว”

ตงป๋อเสวี่ยอิงตระหนักในจุดนี้ขึ้นมาทันที

พรึ่บ

เขาแทบจะพุ่งขึ้นไปในทันที หอกยาวในมือแทงออกมาอย่างรวดเร็ว หอกยาวพุ่งทะยาน ฉึก… แทงทะลุทรวงอกของราชันย์อนธการอมตะในทันที ก่อนที่จะสำแดงเคล็ดการหลบหลีก ร่างกายของราชันย์อนธการอมตะก็ต้านไม่ไหวแล้ว ขณะนี้ท่ามกลางพลังคละวิถีอันหนาแน่น ภายในร่างกายก็เริ่มต้นค่อยๆ แหลกสลายไปทีละน้อย เมื่อหอกเล่มนี้แทงทะลุเขา เขาก็ไม่มีเรี่ยวแรงจะต้านทานเลยแม้แต่น้อย แล้วร่างกายก็แหลกสลายอย่างสมบูรณ์เสียแล้ว

พรึ่บ! ยามที่ถูกแทงทะลุ ราชันย์อนธการอมตะก็จ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิง

หลังจากที่ร่างกายแหลกสลายอย่างสมบูรณ์มลายหายไปกลางมิติคละถิ่น เสื้อผ้าบนร่างกายของเขาก็ฉีกขาดรุ่งริ่งภายใต้การกัดกร่อน คลังสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ก็ถูกกัดกร่อนจนกระจัดกระจายเช่นเดียวกัน เผยวัตถุต่างๆ มากมายที่อยู่ภายในออกมา วัตถุต่างๆ มากมายก็เผชิญกับการกัดกร่อนอย่างรวดเร็ว มีเพียงจำนวนน้อยเท่านั้นที่ยังคงสภาพสมบูรณ์ดีอยู่ในมิติคละถิ่นได้

อย่างเช่นวัสดุล้ำค่าที่พิเศษอย่างที่สุด อย่างเช่นซากศพของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นร่างนั้น หรืออย่างเช่น ‘มงกุฎ’ ของราชันย์อนธการอมตะ นั่นคือมงกุฎมรณะ…สุดยอดสมบัติลับล้ำค่าของเขานั่นเอง

“พรึ่บ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงโบกมือคราหนึ่ง ควบคุมอากาศเก็บวัตถุเหล่านี้ขึ้นมา พร้อมกันนั้นก็หยิบคว้าเอา ‘มงกุฎมรณะ’ นั้นเอาไว้ด้วยมือข้างเดียว

เขาก้มหน้าลงมองมงกุฎมรณะแวบหนึ่ง

นี่คือสุดยอดสมบัติลับล้ำค่าที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วหล้าของราชันย์อนธการอมตะ ทั้งยังเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าตนราชันย์อนธการอมตะด้วย! อาศัยสิ่งนี้ก็ยิ่งทำให้มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วหล้า! ตนเองสามารถสังหารได้แม้กระทั่งราชันย์อนธการอมตะ บรรดามารเหล่านั้นคงต้องถามตัวเองก่อนว่าสามารถเอาชนะราชันย์อนธการอมตะได้หรือไม่

“พรึ่บ!”

ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาในทันใด เดินทางมุ่งหน้าไปยังส่วนไกลของดินแดนจิตโลกาอย่างรวดเร็ว

ในระยะเวลาอันสั้น ผิวหนังและร่างกายบางส่วนของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีเทาขาวไปแล้ว การกัดกร่อนชนิดนี้ช่างรวดเร็วเหลือเกิน

……

บุคคลผู้ไร้เทียมทานจำนวนน้อยจนสามารถนับนิ้วได้ไม่กี่คนอย่างจักรพรรดิเซี่ย ผู้พเนจร และเจ้าเมืองอนันต์ สังเกตการณ์เห็นการไล่ล่าสังหารของตงป๋อเสวี่ยอิงและราชันย์อนธการอมตะบริเวณใกล้ๆ ด้านนอกดินแดนจิตโลกา ในที่สุดร่างกายของราชันย์อนธการอมตะก็เปลี่ยนเป็นสีเทาขาว สำแดงเคล็ดการหลบหลีกหลบหนีไปยังส่วนลึกยิ่งขึ้นของมิติคละถิ่นอย่างต่อเนื่อง พวกเขาก็ไม่มีทางที่จะสังเกตการณ์ต่อไปได้อีกแล้ว

“ร่างกายของราชันย์อนธการอมตะถูกกัดกร่อนจนทานทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว”

“จ้าวหิมะเหินยังตามติดเข้าไปจริงๆ หรือ”

พวกเขาแต่ละคนดูตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาไล่ล่าสังหารอย่างต่อเนื่องแล้วก็อดที่จะตกตะลึงอย่างที่สุดมิได้

“คราวนี้เขาจะต้องสังหารราชันย์อนธการอมตะให้ได้จริงๆ สินะ!”

“แต่นี่ก็ประมาทเกินไปเสียแล้ว เมื่อครู่ถึงแม้ว่าคนหนึ่งหนี คนหนึ่งไล่ตาม แต่ในความเป็นจริงแล้วก็ยังอยู่ในบริเวณใกล้กับโลกกำเนิดดินแดนจิตโลกาเป็นอย่างยิ่ง แต่ในขณะนี้สำแดงการหลบหนี แม้กระทั่งในขณะที่หลบหนี… ในชั่วพริบตานั้นก็สามารถหลบหนีไปได้ไกลแสนไกล นั่นก็เป็นส่วนลึกของมิติคละถิ่นจริงๆ แล้ว การกัดกร่อนของที่แห่งนั้นก็น่าหวาดหวั่นเป็นอย่างยิ่งแล้ว ด้วยสถานการณ์ของร่างกายของราชันย์อนธการอมตะ จ้าวหิมะเหินไล่ตาม ขอเพียงแค่รบกวนและทำลายการหลบหนีสักเล็กน้อย ราชันย์อนธการอมตะก็ต้องตายอย่างไร้ข้อกังขาแล้ว!”

“จ้าวหิมะเหินไล่ตามไป ราชันย์อนธการอมตะก็ต้องตายแน่ แต่จ้าวหิมะเหินจะสามารถมีชีวิตรอดกลับมาได้หรือไม่เล่า”

“ถึงแม้ว่าเขาจะมีร่างแยกมากมาย แต่ร่างแยกร่างนี้กลับเป็นร่างที่ครอบครองอาวุธเทพคละถิ่นน่ะสิ”

พวกจักรพรรดิเซี่ยแต่ละคนต่างก็ร้อนรนขึ้นมา

ภาพวาดที่พวกเขาสร้างขึ้นก็ทำให้จักรพรรดิชาง บรรพชนฝาน จอมกระบี่ และบุคคลผู้ไร้เทียมทานจำนวนหนึ่งมองเห็นได้เช่นกัน

ทุกคนต่างก็ประหลาดใจกันเป็นอย่างยิ่ง

ด้านหนึ่ง

พวกเขาตกตะลึงในพลังยุทธ์ของจ้าวหิมะเหิน รู้สึกว่าผู้ที่สามารถสังหาร ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ ที่เคยเป็นอันดับหนึ่งของดินแดนจิตโลกาในสมัยก่อนได้จนถึงขั้นนี้ ถึงขนาดที่ดูเหมือนว่าจะรู้จัก ‘เคล็ดวิชาการสะกดรอย’ ทำให้ราชันย์อนธการอมตะไร้ซึ่งหนทางหลบหนี! ฝีมือที่สามารถสังหารราชันย์อนธการอมตะได้เช่นนี้ เกรงว่าก็คงสามารถสังหารบุคคลผู้ไร้เทียมทานคนอื่นๆ ในใต้หล้านี้ได้เช่นเดียวกัน

ต่อให้มีร่างแยกมากมายมหาศาล เกรงว่าจ้าวหิมะเหินก็คงสามารถสังหารร่างแยกของศัตรูได้เช่นเดียวกัน! คงมีเพียงร่างแยกที่ซ่อนตัวอยู่ที่โลกกำเนิดอื่นๆ ของศัตรูเท่านั้นกระมังจึงจะสามารถมีชีวิตรอดอยู่ได้

พลังคุกคามเช่นนี้…

เพียงพอที่จะทำให้ใต้หล้าต้องหวั่นเกรง! ไม่ต้องพูดถึงเหล่ามารเลย แม้กระทั่งบุคคลผู้ไร้เทียมทานก็ยังรู้สึกได้ถึงแรงกดดัน

“จ้าวหิมะเหินพลังยุทธ์แข็งแกร่งก็ช่างเถิด สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการหลบหนีและซ่อนเร้นร่องรอยรอยล้วนไม่มีประโยชน์เลยเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา” จักรพรรดิเซี่ยรำพึง “ก่อนหน้านี้ขั้นสุดยอดระดับสามัญคนหนึ่งๆ ต่างก็สามารถคุกคามใต้หล้าได้ตามอำเภอใจ ก็เป็นเพราะว่าเมื่อใดที่ซ่อนเร้นร่องรอย แม้กระทั่งข้าก็ยังไม่สามารถสะกดรอยได้ ‘เจ้าเมืองอนันต์’ ผู้เดียวที่สามารถสะกดรอยได้ก็ไม่อยากข้องเกี่ยว”

“แต่ว่าจ้าวหิมะเหิน ไม่เพียงแต่มีพลังยุทธ์ในการล่าสังหารเท่านั้น แต่ยังมีความสามารถในการสะกดรอยด้วย เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาก็ไม่มีทางหนีได้พ้นเลย”

“แต่ถ้าหากเขาไม่มีอาวุธเทพคละถิ่น พลังคุกคามก็จะลดลงอย่างมหาศาลเลยทีเดียว”

จักรพรรดิเซี่ยพูด “การไล่ล่าสังหารในครั้งนี้ เขาออกจะประมาทเกินไปหน่อยเสียแล้ว”

ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงการไล่ล่าสังหารการหลบหนีก็เพราะว่าที่บริเวณใกล้ๆ การกัดกร่อนส่งผลกระทบต่อเขาต่ำยิ่งนัก เขาจึงได้กล้าไล่ตาม!

“แต่จ้าวหิมะเหินจะทำการใด หากไม่มีความมั่นใจก็ไม่มีทางทำอยู่แล้ว เหมือนก่อนหน้านี้เขาก็เคยต้องการจะล้อมสังหารราชันย์อนธการอมตะ เพราะมิอาจขอให้เจ้าเมืองอนันต์ช่วยได้ ก็มิได้รีบร้อนลงมือแต่อย่างใด” บรรพชนฝานพูดขึ้น “ในเมื่อเขากล้าไล่ตาม เกรงว่าคงจะมีความมั่นใจแล้วล่ะ”

“ถ้าหากเขาสังหารราชันย์อนธการอมตะได้แล้วยังสามารถพกเอาอาวุธเทพคละถิ่นกลับไปยังดินแดนจิตโลกาได้ด้วย เช่นนั้นก็น่าหวาดหวั่นเสียแล้วล่ะ!” จักรพรรดิชางรำพึง “ทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา เกรงว่าคงไม่มีใครไม่หวั่นกลัวหรอก”

“ใช่แล้ว” จักรพรรดิเซี่ยพยักหน้า ไปถึงระดับนั้นแล้ว ต่อให้เขาอยู่ในนครรัฐอันเป็นที่มั่นก็ยังไม่มั่นใจว่าจะต้านทานตงป๋อเสวี่ยอิงได้เลย

เขา จักรพรรดิเซี่ย ก็เป็นเช่นนี้

บุคคลผู้ไร้เทียมทานคนอื่นๆ แม้อยู่ ณ ที่มั่น ก็ยังมิอาจเอาชนะจ้าวหิมะเหินผู้นี้ได้!

“หืม”

“นี่มัน…”

เหล่าบุคคลผู้ไร้เทียมทานทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาและเหล่าเทพจักรวาลจำนวนมากดูเหมือนว่าจะสัมผัสรับรู้ได้เสียแล้ว! กระจกยลฟ้าแต่ละบานต่างก็หันไปทางจุดกำเนิดของระลอกคลื่นอันน่าหวาดหวั่นนั้น

ปัง!!!

แรงระเบิดนั้นแข็งแกร่งพอที่จะระเบิดทลายผนังโลกกำเนิดได้ หลังจากที่ระเบิดเป็นโพรงดำทะมึนขนาดมหึมาหลายร้อยเมตรแล้ว ก็มีเงาร่างสายหนึ่งทะยานออกมาจากโพรงอันดำทะมึน

ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีขาวตลอดร่าง มือหนึ่งกุมหอกชิงเหอ มือหนึ่งถือมงกุฎมรณะ

“มงกุฎหรือ มงกุฎมรณะหรือ”

“นั่นคือมงกุฎมรณะของราชันย์อนธการอมตะหรือ”

มองเห็นจ้าวหิมะเหินกุมหอกชิงเหอกลับมา บุคคลผู้ไร้เทียมทานมากมายต่างก็หัวใจสั่นสะท้าน ฝันหวานในใจของพวกเขาที่คาดหวังให้จ้าวหิมะเหินผู้นี้ทิ้งหอกชิงเหอเอาไว้ในนั้น หมดกัน! ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครอยากให้มีบุคคลผู้น่าหวาดหวั่นที่สามารถคุกคามมาถึงชีวิตของพวกเขาได้โผล่ขึ้นมาเหนือหัวอยู่แล้ว

แต่เหล่าเทพจักรวาลจำนวนมากเมื่อได้เห็น ‘มงกุฎมรณะ’ นั้นแล้วก็เต็มไปด้วยความพรั่นพรึง

พวกเขาต่างก็เข้าใจดี

นั่นคือสุดยอดสมบัติลับล้ำค่าของราชันย์อนธการอมตะ! สุดยอดสมบัติลับล้ำค่าต่างก็ถูกตงป๋อเสวี่ยอิงคว้าเอาไว้ในมือ ชะตาชีวิตของราชันย์อนธการอมตะ ไม่ต้องคิดก็ทราบได้แล้ว

“กลับมาแล้ว กลับมาแล้ว” ณ รัฐเมฆทักษิณา ประมุขรัฐเมฆทักษิณา แม่เฒ่าอิงซาน และคนอื่นๆ ต่างก็ตื่นเต้นยินดีหาใดเปรียบ

“น่ากลัวยิ่งนัก”

“ในที่สุดราชันย์อนธการอมตะก็ตายเสียที ตายเสียที!!!”

เหล่าผู้แกร่งกล้ามากมายทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาต่างก็หัวใจสั่นสะท้านด้วยเหตุนี้

‘เจ้าสำนักเหยียนโม๋’ แห่งทะเลสาบมารทมิฬมองดูเงาร่างในอาภรณ์ขาวผู้ซึ่งมือหนึ่งกุมหอกชิงเหอ อีกมือถือมงกุฎมรณะบนกระจกยลฟ้าผู้นั้นแล้วกลับทอดถอนใจเสียงต่ำว่า “จากวันนี้เป็นต้นไป ดินแดนจิตโลกาก็เข้าสู่ยุคสมัยใหม่แล้ว! ยุคสมัยที่เป็นของจ้าวหิมะเหิน ยุคที่ไม่มีที่ว่างให้เหล่ามาร”

(จบบทที่ 36)

……………………………………………..

“ไม่ต้องเลือกแล้ว มีแต่การรอดจากความตายเท่านั้น!” ราชันย์อนธการอมตะขบกราม ถึงแม้ว่าเขาจะไม่อยากเลือก แต่เมื่อใดที่เผาผลาญโลหิตหัวใจไปจนหมด เช่นนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็จะครองความได้เปรียบเหนือกว่า เขาก็ไม่มีแม้แต่สิทธิ์ที่จะเลือกได้แล้ว

ปัง ปัง…

ขณะที่ฝ่ามือสีทองคู่หนึ่งกำลังต้านทานหอกยาวอันน่าหวาดหวั่นอยู่นั้นเอง ผืนฟ้ายามราตรีบริเวณรอบๆ ก็กลายเป็นผุยผง แม้กระทั่งรอยแยกอันดำสนิทมากมายต่างก็สามารถมองเห็น ‘มิติคละถิ่น’ ที่อยู่อีกด้านหนึ่งของรอยแยกได้ ต่างก็มีพลังคละวิถีมากมายแทรกผ่านรอยแยกแล้วแผ่เข้ามา นั่นคือมิติระดับที่สูงกว่า เป็นสถานที่ซึ่งบุคคลระดับชีวิตขั้นสูงกว่าเท่านั้นจึงจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้จริงๆ

พรึ่บ!

ราชันย์อนธการอมตะพุ่งเข้าไปยังมิติคละถิ่นตามรอยแยกที่ฉีกขาดโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย

“หืม”ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าแปรเปลี่ยน แต่เขาก็มิได้ลังเลแล้วแทรกตัวตรงเข้าไปยังมิติคละถิ่นเช่นเดียวกัน

“อะไรกันน่ะ!”

“ราชันย์อนธการอมตะหนีเข้าไปในมิติคละถิ่นแล้วจ้าวหิมะเหินผู้นั้นก็ไล่ตามเข้าไปเช่นกันอย่างนั้นหรือ ต่างก็มิได้สำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาแล้วบุกเข้าไปกันเช่นนี้น่ะหรือ พวกเขาไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรืออย่างไร”

“คนหนึ่งไล่ตามคนหนึ่งหลบหนี แล้วพากันบุกเข้าไปยังมิติคละถิ่นอย่างนั้นหรือ มิได้ว่ากันว่าหากมิได้หนีออกจากกรงขัง หลังจากที่เข้าไปยังมิติคละถิ่นแล้วก็อาจถูกพลังคละวิถีกัดเซาะจนต้องตายในที่สุดหรือไร”

“เจ้ารู้อะไรบ้างไหม ราชันย์อนธการอมตะมีพลังยุทธ์เช่นไร บุคคลผู้ไร้เทียมทานทั่วๆ ไปล้วนมิใช่คู่ต่อสู้ของเขาทั้งสิ้น ส่วนจ้าวหิมะเหินผู้นั้นก็ล้ำเลิศยิ่งกว่าราชันย์อนธการอมตะเสียอีก มาถึงระดับขั้นอย่างพวกเขา บางทีก็อาจจะสามารถดำรงชีวิตอยู่ภายในมิติคละถิ่นได้เป็นระยะเวลาสั้นๆ กระมัง”

เหล่าผู้ที่สังเกตการณ์อยู่ทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาต่างก็ปากอ้าตาค้าง

บุกเข้าไปในมิติคละถิ่นอย่างนั้นหรือ

เห็นได้ชัดว่ามิได้รนหาที่ตาย

นี่เกินกว่าจินตนาการของพวกเขาเสียแล้ว สำหรับเทพจักรวาลธรรมดาทั่วไปนั้น นอกจากเคล็ดการหลบหลีกที่พิเศษจำนวนหนึ่ง ถ้าหากร่างกายตรงเข้าไปยังมิติคละถิ่นก็คงต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยเลย

“จ้าวหิมะเหินมีจิตสังหารต่อราชันย์อนธการอมตะอย่างหนักหน่วงจริงๆ” จักรพรรดิเซี่ยดูอยู่ห่างๆ แล้วก็ทอดถอนใจประโยคหนึ่ง แต่เขากลับรู้ว่าร่างกายพุ่งออกจากโลกกำเนิด ที่บริเวณรอบๆ โลกกำเนิด…

ขอเพียงแค่มิได้จากไปไกลเกินไป ก็ยังสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง อย่างเช่นเคล็ดวิชาฝึกกายคละถิ่นของเขา ก็คือเคล็ดวิชาที่อาศัยพลังคละวิถีบำเพ็ญร่างกาย

“ตอนนี้สถานการณ์ของพวกเขาสองคนเป็นอย่างไรบ้าง” บรรพชนฝานที่อยู่ข้างๆ เอ่ยถาม ตอนนี้ตัวเขาเองก็ไม่รู้สถานการณ์การต่อสู้เลย

จักรพรรดิชางและจอมกระบี่ก็มองไปทางจักรพรรดิเซี่ยเช่นเดียวกัน

“ดูเอาเถิด” จักรพรรดิเซี่ยโบกมือคราหนึ่ง กลางอากาศด้านข้างก็มีจอภาพปรากฏขึ้น ซึ่งก็คือภาพเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในมิติคละถิ่น

ราชันย์อนธการอมตะบุกเข้าไปในมิติคละถิ่น พลังคละวิถีที่อยู่ในบริเวณรอบๆ ต่างก็ถูกปะทะจนกระจายตัวไปเสียแล้ว ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงผู้กุมหอกชิงเหอเอาไว้ในมือกลับไล่ล่าสังหารเข้าไปด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นอีก!

……

ตอนนี้ทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา ผู้ที่ยังสามารถสังเกตการณ์การต่อสู้ได้อยู่ก็มีน้อยจนสามารถนับนิ้วได้ แม้กระทั่งบุคคลผู้ไร้เทียมทานส่วนใหญ่ก็ไม่มีทางสังเกตการณ์การต่อสู้ได้เลย!

“เสวี่ยอิง!” ที่รัฐเมฆทักษิณา แม่เฒ่าอิงซานก็ยังกระวนกระวายขึ้นมา

บุกเข้าไปยังมิติคละถิ่นหรือ

“ช่างบ้าบิ่นนัก บ้าบิ่นเกินไปแล้ว” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาก็กังวลใจเป็นอย่างยิ่ง “ต่อให้สังหารราชันย์อนธการอมตะจนตาย ถ้าหากไม่ระวังตนเองก็ต้องสู้จนตัวตายเช่นกัน เหลืออาวุธคละถิ่นทิ้งเอาไว้ที่มิติคละถิ่น เช่นนั้นมานึกเสียใจภายหลังก็สายเกินไปแล้ว”

บนดินแดนจิตโลกา สิ่งที่เหล่าบุคคลผู้ไร้เทียมทานพึ่งพาก็คือสุดยอดสมบัติลับล้ำค่า ตงป๋อเสวี่ยอิงมีพลังรบในตอนนี้ ส่วนใหญ่ก็เพราะอาศัยอาวุธคละถิ่น แน่นอนว่าเขายังมีเคล็ดเขตลวงโลกเทียมส่งเสริมอีกด้วย

“ก็ไม่รู้เลยว่าเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”

“มองไม่เห็นอีกแล้ว”

“บุกเข้าไปยังมิติคละถิ่นก็ไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น”

ผู้แกร่งกล้ามากมายต่างก็ตื่นเต้นกระวนกระวายกันเป็นอย่างยิ่ง

นี่คือการห้ำหั่นอย่างเอาเป็นเอาตายของบุคคลที่น่าหวั่นเกรงที่สุดในดินแดนจิตโลกาในตอนนี้สองคน พวกเขาอยากจะรู้ผลลัพธ์เป็นอย่างยิ่ง

******

ภายในมิติคละถิ่น

“ปัง”

ตงป๋อเสวี่ยอิงตามติดเข้าไปยังมิติคละถิ่นผ่านทางรอยแยกสีดำโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย

หลังจากไปถึงขั้นสุดยอดแล้ว เขาก็เสียเวลาไปหกร้อยปีในการรวบรวมพลังยุทธ์ ระหว่างนั้นเขาก็เคยทดลองคิดค้นฝึกกายคละถิ่นขั้นที่สามอยู่เล็กน้อย! ทั้งยังเคยเข้าไปยังมิติคละถิ่นมาก่อนด้วย เพราะว่ามาถึงระดับขั้นนี้แล้วก็เป็นปกติอย่างยิ่ง ภายใต้การระเบิดของหอกชิงเหอของเขา ก็สามารถระเบิดเป็นหลุมยักษ์ที่กินพื้นที่กว่าร้อยตารางเมตรออกมาได้อย่างง่ายดาย พลังคละวิถีจำนวนมากเอ่อท้นเข้ามา มิได้แตกต่างกับมิติคละถิ่นของร่างกายตนมากสักเท่าใดนัก

ร่างแยกที่เขาส่งมามิได้พกพาอาวุธเทพคละถิ่น ทั้งยังเคยเข้าไปในมิติคละถิ่น เคยรับสัมผัสมันมาก่อนแล้วด้วย!

เพราะมีประสบการณ์ ดังนั้นราชันย์อนธการอมตะจึงพุ่งเข้าไปยังมิติคละถิ่นอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย!

“ปัง…”

การเข้าไปอีกครั้ง

ถึงแม้ว่าจะมีประสบการณ์ แต่ก็ยังคงพรั่นพรึงและหลงใหลอยู่ดี

‘วิถีอากาศ’ นั้นพิเศษอย่างยิ่ง เทียบกับวิถีต่างๆ ส่วนใหญ่แล้วก็เหมาะสมที่จะสอดแนมความมหัศจรรย์ต่างๆ ของมิติคละถิ่นมากกว่า ตงป๋อเสวี่ยอิงพุ่งเข้าไป พลังคละวิถีในบริเวณรอบๆ ที่หอกชิงเหอควบคุมอยู่ดูคล้ายว่าจะกระจัดกระจายไปจนหมดสิ้น จนใจที่พลังคละวิถีไร้ซึ่งขอบเขต ก็ยังคงมีส่วนที่มาสัมผัสร่างกายตนเล็กน้อย เมื่อสัมผัสแล้วก็สึกกร่อนไปอย่างรวดเร็ว!

ร่างกายราวกับอากาศ พลังคละวิถีแทรกผ่านร่างกาย แทรกผ่านวิญญาณ กระบวนการแทรกผ่านนั้นก็คือกระบวนการของการสึกกร่อน

เพราะว่ามีหอกชิงเหอควบคุมอยู่! ทั้งยังมี ‘วิถีอากาศขั้นสุดยอด’ กับการควบคุมการกลายเป็นอากาศธาตุก็ไปถึงระดับที่มิอาจคาดคะเนได้ สามารถลดการสึกกร่อนได้อย่างสุดกำลัง นำไปสู่พลังคละวิถีอันเบาบางนี้ ซึ่งการกัดกร่อนร่างฝึกกายคละถิ่นของเขาอ่อนแอเป็นอย่างยิ่ง พลังในการฟื้นฟูของตัวเขาเองก็เพียงพอที่จะฟื้นฟูได้แล้ว

“พรึ่บๆๆ…”

ดินแดนจิตโลกา โลกกำเนิดขนาดใหญ่โตมโหฬารนี้ช่างกว้างใหญ่ไพศาล

มันแผ่ระลอกคลื่นอันไร้ซึ่งขอบเขตออกมาโจมตีพลังคละวิถีในบริเวณรอบๆ อยู่ตลอดเวลา ความเป็นจริงแล้วในบริเวณใกล้ที่สุดของดินแดนจิตโลกา พลังคละวิถีก็ได้รับผลกระทบจากพลานุภาพของดินแดนจิตโลกา ยิ่งอยู่ใกล้โลกกำเนิดดินแดนจิตโลกาแห่งนี้ พลังคละวิถีก็ยิ่งเบาบาง! ยิ่งอยู่ไกล…ยิ่งเป็นส่วนลึกของมิติคละถิ่น พลังคละวิถีก็ยิ่งทวีความไพศาล!

พลังที่โลกกำเนิดแห่งหนึ่งมีอยู่ช่างแกร่งกล้าเป็นอย่างยิ่ง

ดังนั้นถึงแม้ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่น ถ้าหากควบคุมโลกกำเนิดแห่งหนึ่ง พึ่งพาอาศัยโลกกำเนิดแห่งหนึ่ง พลังยุทธ์ก็ยกระดับจนชวนให้คนตื่นตกใจ ถึงอย่างไรนั่นก็เป็นร่างที่ทำให้พลังของโลกอันใหญ่โตมโหฬารรวมเข้าด้วยกันจนหมด

“บุกเข้ามาจริงๆ เสียด้วย” ราชันย์อนธการอมตะเหลือบตามองตงป๋อเสวี่ยอิงที่ไล่ล่าสังหารเข้ามาอย่างรวดเร็วอยู่ด้านหลังแล้วก็อดที่จะเผยสีหน้าไม่น่ามองมิได้ “เช่นนั้นก็มาเถิด! เพื่อสังหารข้าก็เสียสละร่างแยกร่างนี้ เจ้าสามารถตัดใจได้หรือไร ไม่มีร่างแยกแล้ว ก็จะไม่มีอาวุธเทพคละถิ่นเล่มนี้อีกแล้วนะ”

ราชันย์อนธการอมตะพุ่งไปด้านหน้าอย่างทวีความบ้าคลั่งมากขึ้นเรื่อยๆ

ยามที่เพิ่งพุ่งออกมาจากดินแดนจิตโลกา ความเข้มข้นของพลังคละวิถีที่อยู่บริเวณรอบๆ ก็ยังค่อนข้างต่ำ นอกจากนี้อิทธิพลของกฎเกณฑ์สูงสุดอันไร้รูปร่างของดินแดนจิตโลกาก็ยังส่งผลกระทบไปยังบริเวณรอบๆ ด้วย การกัดกร่อนยังไม่นับว่าแข็งแกร่งนัก

เมื่อเขาเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆ

เบื้องหน้าก็ยิ่งทวีความมืดมนและเงียบงันมากขึ้นเรื่อยๆ พลังคละวิถีก็ทวีความเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยแล้วกวาดผ่านร่างกายและวิญญาณของราชันย์อนธการอมตะอย่างไม่หยุดหย่อน! ร่างกายและวิญญาณของเขาเผชิญกับ ‘การกัดกร่อน’ อย่างต่อเนื่อง

“เจ้าหนีไม่พ้นหรอก!” น้ำเสียงเดือดดาลเสียงหนึ่งส่งทะลุผ่านพลังคละวิถีไปถึงยังข้างหูของราชันย์อนธการอมตะ

หอกยาวเล่มหนึ่งฟาดฟันไปถึงตรงหน้าราชันย์อนธการอมตะ

“รวดเร็วถึงเพียงนี้เชียว!” ราชันย์อนธการอมตะกระวนกระวายไม่ยอมจำนนเป็นอย่างยิ่ง ตอนแรกที่เขาไปจากดินแดนจิตโลกาก็เป็นเพราะได้รับโอกาสโจมตีสิ่งมีชีวิตคละถิ่น ด้วยเคล็ดการหลบหลีกที่ ‘หยวน’ มอบให้ จึงสามารถหลบหลีกมิติคละถิ่นได้ แต่ในระยะเวลาอันยาวนานของโลกภายนอก ความหวาดกลัวที่เขามีต่อมิติคละถิ่นก็ค่อยๆ ลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ ถึงขนาดที่เคยเข้าไปยังมิติคละถิ่นมาหลายครั้งแล้ว

เขามีประสบการณ์! แม้กระทั่งคิดหาวิธีการมากมายออกมา

เขารู้สึกว่าในการห้ำหั่นในมิติคละถิ่น เขาน่าจะยังมีความได้เปรียบเหนือกว่าขั้นสุดยอดที่เพิ่งบรรลุใหม่ผู้นี้อยู่พอสมควร ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นยอดฝีมือวิถีอากาศก็ตาม

แต่เขาผิดเสียแล้ว!

ข้อหนึ่ง ตงป๋อเสวี่ยอิงเคยได้รับปุจฉวิถีคละถิ่นมาก่อน นี่คือเคล็ดวิชาที่จักรพรรดิเซี่ยใช้พลังคละวิถีบำเพ็ญขึ้นมา ตงป๋อเสวี่ยอิงทดลองดัดแปลง ถึงขนาดที่เคยเข้าไปยังมิติคละถิ่นมาก่อน เคยมีประสบการณ์มาแล้ว อีกทั้งร่างกายที่ใช้พลังคละวิถีบำเพ็ญ ยามที่ต้านทานพลังคละวิถีที่เข้มข้นยิ่งกว่า ผลลัพธ์ก็ดียิ่งขึ้น

ข้อสอง วิถีอากาศมีข้อได้เปรียบมากที่สุดเมื่ออยู่ในมิติคละถิ่น ไม่ว่าจะเป็นร่างกายที่กลายเป็นอากาศธาตุลดแรงปะทะลง หรือว่าความเร็วในการเหินทะยาน ต่างก็สามารถก่อให้เกิดประโยชน์ได้เป็นอันมาก ในทางกลับกันวิถีอื่นๆ ผลลัพธ์ในมิติคละถิ่นกลับอ่อนแอลงอย่างฉับพลัน

ข้อสาม การควบคุมของอาวุธคละถิ่น ‘หอกชิงเหอ’ ที่มีต่อพลังคละวิถีก็ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถมีชีวิตรอดอยู่ในมิติคละถิ่นได้นานยิ่งขึ้น

เหตุผลมากมายล้วนทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงตามติดไปได้อย่างรวดเร็ว

“ฉึก”

หอกยาวพุ่งแทงมาอย่างเดือดดาล

แต่ราชันย์อนธการอมตะกลับต้านทานเอาไว้ด้วยสองมือ อาศัยพลังปะทะอันบ้าคลั่งนี้ ทำให้เขาเหินทะยานออกไปไกลอย่างได้เปรียบ ห่างไกลจากดินแดนจิตโลกา โลกกำเนิดอันใหญ่โตแห่งนี้ออกไปเรื่อยๆ

“มาสิ หากมีความกล้าพอก็มาเถิด มาอีกสิ เข้ามาในมิติคละถิ่นให้ลึกขึ้นอีกสิ” ยามที่ราชันย์อนธการอมตะเหินทะยานก็จ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วทวีความบ้าคลั่งมากยิ่งขึ้น

…………………………………………

ผู้แกร่งกล้าจำนวนมากต่างก็เชื่อว่าศึกครั้งนี้น่าจะยุติลงแล้ว และมีจำนวนน้อยนิดยิ่งนักยังคงหวังว่าจะมี ‘ปาฏิหาริย์’ เกิดขึ้น พวกเขาอยากให้ราชันย์อนธการอมตะตายไปเสีย!

แต่จักรพรรดิเซี่ย ผู้พเนจรและเจ้าเมืองอนันต์ทั้งสามคนต่างก็สัมผัสได้ถึงปัญหาแล้ว

“บริเวณอากาศนี่ปกคลุมวังหลวงแล้ว ผู้พเนจรยังอยู่ในรัฐโบราณสหโลกา ห่างจากรัฐโบราณคิมหันตวายุของข้าไกลลิบลับ แผ่คลุมมาไม่ถึงที่นี่อย่างแน่นอน เช่นนั้นก็มีแต่จ้าวหิมะเหินผู้นี้เท่านั้น!” จักรพรรดิเซี่ยทอดสายตามองออกไปไกล “จุดที่เขาและราชันย์อนธการห้ำหั่นกันก็ห่างจากรัฐโบราณคิมหันตวายุของข้ามาก ไกลลิบถึงเพียงนี้ บริเวณอากาศของเขาก็ยังสามารถแผ่คลุมมาถึงอย่างนั้นหรือ หรือจะบอกว่าอาศัยร่างแยกจำนวนมากมาสำแดงบริเวณกันแน่”

อันที่จริงแล้ว

ต่อให้อาศัยร่างแยก บริเวณก็ยังไม่พอ

ร่างแยกที่แข็งแกร่งที่สุดของตงป๋อเสวี่ยอิงอาศัยเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่ง บริเวณก็ปกคลุมขอบเขตได้เพียงสองเท่าของรัฐโบราณคิมหันตวายุเท่านั้น และเขาคงร่างแยกระดับยอดได้อย่างมากเก้าร่างเท่านั้น ในดินแดนจิตโลกา สถานที่ที่มีพื้นที่กว้างขวางก็มีมากมายนัก! และยังมีมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาลด้วย อย่าง ‘รัฐโบราณหิมะน้ำแข็ง’ หากพูดถึงขอบเขตแล้วก็ใหญ่โตเสียจนเกินจริง

……

ณ พรมแดนแห่งหนึ่งของดินแดนจิตโลกา

“โครมมม…”

จุดสิ้นสุดของผืนดินก็คือลมพายุโหมกระหน่ำ ซึ่งรอบนอกของลมพายุก็คือผนังเยื่อของโลกกำเนิด

“หนีจนถึงที่สุดแล้ว” ราชันย์อนธการอมตะยืนอยู่ตรงขอบลมพายุ โดยไม่สนใจลมพายุอันน่าหวาดหวั่นข้างกายเลยแม้แต่น้อย แต่ก็ยังกังวลอยู่บ้าง “ที่นี่และบริเวณที่ประมือกันเมื่อครู่ห่างกันมาก หนีข้ามมาตั้งครึ่งค่อนดินแดนจิตโลกาแล้ว! ระยะทางห่างไกลถึงเพียงนี้ ลำพังอาศัยแค่บริเวณ แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีผู้ใดที่บริเวณสามารถปกคลุมได้เป็นวงกว้างขนาดนี้มาก่อน”

“มีพรมแดนตั้งมากมาย ข้าเลือกที่นี่ไปส่งๆ เท่านั้น ต่อให้จ้าวหิมะเหินมีร่างแยกแล้วบังเอิญถูกบริเวณของร่างแยกนี้พบเข้า ก็มีโอกาสต่ำมาก ต่อให้พบครั้งหนึ่ง ข้าก็สามารถหนีไปได้อีก! ขอเพียงหนีออกจากขอบเขตบริเวณของเขาได้ เขาก็จะหาข้าไม่พบแล้ว”

“นอกเสียจากเขาจะสามารถสะกดรอยได้”

“เฮอะ”

“ด้วยระดับขั้นของข้าและการควบคุมวิญญาณของข้า กลิ่นอายจึงไม่เล็ดรอดออกไปภายนอกแม้แต่น้อย มีแต่เจ้าเมืองอนันต์เท่านั้นที่สามารถสะกดรอยข้าได้ แต่เจ้าเมืองอนันต์ก็ไม่เคยแทรกเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเหตุปัจจัยที่ใหญ่โตมาตลอด” ราชันย์อนธการอมตะพยักหน้าน้อยๆ

เขารู้สึกว่า มีความเป็นไปได้ต่ำมากที่จ้าวหิมะเหินจะหาตัวเขาพบ

“ราชันย์อนธการ เจ้าเตรียมตัวจะหนีไปไหนหรือ” เสียงหนึ่งดังก้องขึ้น

ราชันย์อนธการอมตะร่างกายสั่นสะท้านอย่างมิอาจควบคุมได้ เมื่อหันไปมอง หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวผู้กุมหอกยาวสีดำเอาไว้ในมือก็ทะลุอากาศมาถึงที่นี่แล้ว ก็คือจ้าวหิมะเหินผู้นั้นนั่นเอง สิ่งที่ตามมา ยังมีวิถีหอกของตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งไม่ไว้น้ำใจเลยแม้แต่น้อย หอกยาวแผ่คลุมเข้ามา ราชันย์อนธการอมตะรีบเผาผลาญโลหิตหัวใจเพื่อสกัดกั้นกระบวนท่าอย่างเต็มที่ทันที เขาแหวกทางเชื่อมขึ้นมาสายหนึ่งแล้วเผ่นหนีไปอีกครา

“ถูกพบเข้าแล้วรึ หรือว่าร่างแยกของเขาบังเอิญรักษาการณ์อยู่ที่นี่พอดีอย่างนั้นหรือ”

……

“อย่าหนีอีกเลย”

ที่ป่าพรมแดนอีกแห่งหนึ่งของดินแดนจิตโลกา ราชันย์อนธการอมตะเพิ่งจะปรากฏกายขึ้น หอกยาวเล่มหนึ่งก็ไล่สังหารเข้ามาติดๆ โจมตีเสียจนร่างกายของราชันย์อนธการอมตะปริแตกออกบางส่วน ร่างกายของเขารวมตัวกลายเป็นความดำมืดขึ้นมา ก่อนจะหลบหนีไปอีกครั้ง

……

หนี หนี หนี!

ราชันย์อนธการอมตะหนีไปสิบกว่าครั้งต่อเนื่องกัน เขาค่อยๆ หนาวเหน็บหัวใจมากขึ้นเรื่อยๆ!

เนื่องจากต่อให้บริเวณของร่างแยกปกคลุมก็ตามที แต่ไหนเลยจะบังเอิญถึงเพียงนี้ได้ ตำแหน่งที่หลบหนีไปในแต่ละครั้งล้วนบังเอิญอยู่ในบริเวณทั้งหมดเลยอย่างนั้นหรือ

“เขาสะกดรอยได้รึ หรือเจ้าเมืองอนันต์กำลังช่วยเหลือเขาอยู่” ราชันย์อนธการอมตะหยุดลง เขายืนอยู่เหนือมหาสมุทรตรงพรมแดนแห่งหนึ่งของโลกพลางหันไปมองตงป๋อเสวี่ยอิงที่กำลังบุกสังหารเข้ามาจากที่ไกลๆ ยามนี้นัยน์ตาของราชันย์อนธการอมตะฉายแววตัดสินใจเด็ดขาด เขาสกัดท่าไม้ตายของตงป๋อเสวี่ยอิงไปพลาง และรีบถ่ายเสียงอย่างร้อนรนไปพลาง “จ้าวหิมะเหิน เจ้าอยากให้ขาตายหรือ เช่นนั้นข้าก็จะให้สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนลงหลุมไปกับข้าด้วย!”

ตงป๋อเสวี่ยอิงหยุดลง มิได้ออกกระบวนท่าต่อไป หากแต่ยืนมองเขาอยู่กลางอากาศพลางเอ่ยปากพูดว่า “ลงหลุมไปด้วยรึ”

“ข้านับถือเจ้าจริงๆ สามารถสะกดรอยข้าได้อย่างนั้นหรือ หรือว่าเกลี้ยกล่อมเจ้าเมืองอนันต์ให้ช่วยเจ้าจนได้เล่า” นัยน์ตาของราชันย์อนธการอมตะฉายแววบ้าคลั่ง วิญญาณของเขากำลังสั่นสะท้าน สั่นสะท้านด้วยความคลุ้มคลั่งเมื่ออยู่ตรงหน้าความตาย “แม้พลังของเจ้าจะแข็งแกร่งกว่าข้า แต่ข้าก็สามารถทำให้สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนลงหลุมไปกับข้าได้อยู่ดี”

“ด้วยอาการบาดเจ็บของเจ้าในตอนนี้ จะสามารถทนต่อไปได้สักกี่น้ำกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดเสียงเย็นชา

“เจ้าจะลองดูก็ได้ เจ้ามิได้ใส่ใจมดปลวกเหล่านั้นมากหรือไร หรือไม่ เจ้าก็ปล่อยข้าไปเสีย หรือไม่ก็ปล่อยให้สรรพชีวิตลงหลุมไปพร้อมกับข้า!” ราชันย์อนธการอมตะคำรามเสียงต่ำ

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูราชันย์อนธการอมตะผู้นี้

ราชันย์อนธการคนนี้ ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงความหวั่นเกรงสายหนึ่งอย่างแท้จริง

เนื่องจากนี่คือคนสติฟั่นเฟือนที่ไม่มีอะไรให้ห่วงพะวงโดยแท้! นอกจากนี้พลังก็แข็งแกร่ง เป็นรองเพียงตนเท่านั้น ตนไม่มีทางปล่อยให้คนที่ตนเป็นห่วง เช่นคนตระกูลอิงซานต้องหลบซ่อนอยู่ในเมืองหิมะเหินไปตลอดกาลหรอก หากพวกเขาออกไปเมื่อใด แล้วราชันย์อนธการอมตะเกิดแปรพักตร์ขึ้นมาในชั่วพริบตา เช่นนั้นก็เกรงว่าคงจะเกิดการเข่นฆ่าครั้งใหญ่ขึ้น

“ข้ารู้สึกว่าการปล่อยให้เจ้ามีชีวิตรอดต่อไปจะเป็นภัยคุกคามต่อสรรพชีวิตมากกว่าน่ะสิ อีกทั้งข้าก็ไม่เชื่อว่าเจ้าจะสามารถสังหารผู้บำเพ็ญได้มากสักเท่าไหร่เมื่ออยู่ต่อหน้าข้า” นัยน์ตาของตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นประกายคมกล้า หอกยาวในมือแทงตรงออกไป

“ตู้ม!”

“จ้าวหิมะเหิน!!!” เสียงอันบ้าคลั่งของราชันย์อนธการอมตะสะท้อนก้องไปทั่วฟ้าดิน

……

เนื่องจากราชันย์อนธการอมตะหนีไปอย่างไม่หยุดหย่อน ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไล่ล่าอย่างต่อเนื่อง สนามรบของพวกเขาทั้งสองก็ปรากฏขึ้นแห่งแล้วแห่งเล่าทั่วดินแดนจิตโลกา ความเคลื่อนไหวที่ประมือกันก็ใหญ่โตนัก เมื่อประมือกัน ก็ทำให้เหล่าผู้แกร่งกล้าในดินแดนจิตโลกาสัมผัสได้กันหมด แต่ละคนร่วมชมการต่อสู้ในทันใด

พวกเขาก็เห็นการสนทนาระหว่างตงป๋อเสวี่ยอิงและราชันย์อนธการอมตะ

ราชันย์อนธการอมตะเอาคำว่า ‘ให้สรรพชีวิตลงหลุมไปด้วย’ มาขู่ แต่จ้าวหิมะเหินก็ยังคงลงมืออยู่ดี!

“ดี!”

ผู้แกร่งกล้าจำนวนมากชมเปาะเมื่อเห็นตงป๋อเสวี่ยอิงลงมือ

เหล่าผู้แกร่งกล้าทั้งหลายรวมทั้งจักรพรรดิเซี่ยต่างก็อุทานออกมาอย่างอดมิได้! พวกเขาตกใจที่เห็น ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ หนีอย่างไรก็ยังถูกไล่ล่า และอุทานที่เห็น ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ ซึ่งเหนือกว่าผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนคงจะต้องตายตกไปในครั้งนี้จริงๆ เสียแล้ว

“งดงาม” ณ นครหลวงรัฐเมฆทักษิณา ในที่สุดประมุขรัฐเมฆทักษิณาซึ่งเงียบงันมาตลอดก็เอ่ยปากขึ้น เขาจ้องมองกระจกยลฟ้าบานนั้น

ขณะที่ราชันย์อนธการอมตะหลบหนี เขาก็กลัวว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะมิอาจสะกดรอยได้

เมื่อสะกดรอยได้ครั้งแล้วครั้งเล่า เขาก็ตื่นเต้นยินดีขึ้นมา

เมื่อราชันย์อนธการอมตะขู่ว่าจะให้สรรพชีวิตลงหลุมไปด้วย ประมุขรัฐเมฆทักษิณาก็กังวลขึ้นมา ว่าศิษย์จะมือไม้อ่อน

“ในที่สุด ในที่สุดก็จะหลุดพ้นแล้วหรือ เจ้าบ้านี่ ในที่สุดก็จะตายแล้วหรือ” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาตั้งตารอคอย

“ร้ายกาจ ร้ายกาจจริงๆ ข้ามีศิษย์น้องเช่นนี้คนหนึ่ง ผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งแห่งดินแดนจิตโลกาเป็นศิษย์น้องของข้าเสียนี่” จ้าวทานเผิงทอดถอนใจเสียงฮึดฮัด

“แข็งแกร่งจนน่าหวาดหวั่นทีเดียว ข้าเป็นศิษย์พี่หญิงของเขาหรือนี่” ท่านหญิงกุ่ยลี่ก็อุทานอยู่ด้านข้าง

“แม้แต่ราชันย์อนธการอมตะ…ก็ยังถูกเสวี่ยอิงสังหารอย่างนั้นหรือ” แม่เฒ่าอิงซานรู้สึกว่าทุกสิ่งเป็นดั่งความฝัน

นางยังจำได้อย่างชัดเจน

สหายตัวน้อยผู้เปี่ยมพรสวรรค์ทางสายของท่านโหวหั่วเลี่ยแห่งตระกูลอิงซานที่เกิดมาก็เป็นเทพอากาศ เขารุ่งโรจน์ขึ้นมาได้อย่างร้ายกาจเกินไปแล้ว ตอนแรกสหายน้อยผู้นี้ยังอยากได้หัวหอกของ ‘หอกเทพเมฆาแดง’ ก็เป็นนาง แม่เฒ่าอิงซานที่ช่วยไปซื้อมามอบให้! ต่อมา เมื่อ ‘การบูชาโลหิตเมืองอัคคีโชติ’ เกิดขึ้นนั้น คุณชายน้อยอิงซานเสวี่ยอิงในตอนนั้นก็ปะทุพลังรบอันน่าหวาดหวั่นออกมาทำเอาคนตกอกตกใจกันหมด ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วสี่รัฐมารทมิฬและทะเลสาบมารทมิฬ

ขั้นอลวนชั้นที่สิบคนหนึ่งกลายเป็นเค่อชิงระดับบนของสกุลฝานได้

หลังจากสำเร็จเป็นเทพจักรวาลแล้ว ก็ไปยัง ‘วังเทพจิตโลกา’ และถูกบรรพชนราตรีนิรันดร์สังหาร จึงเก็บเนื้อเก็บตัวกบดานไป

การกบดานครั้งนี้…

กลับเคลื่อนไหวด้วยสถานะของ ‘คนวิถีจิตฟ้า’ และทำให้มารร้ายในใต้หล้าต้องสะท้านสะเทือนด้วยพลังของตัวคนเดียว

“บัดนี้แม้แต่ราชันย์อนธการอมตะ เขาก็จะสังหารเสียแล้ว” แม่เฒ่าอิงซานพูดเสียงเบา “ผู้แกร่งกล้าที่ไร้เทียมทานเช่นนี้ เป็นคนตระกูลอิงซานเราหรือนี่”

ยามนี้ แม่เฒ่าอิงซานยินดีจนล้นหัวใจและภาคภูมิใจในตนเองเป็นอย่างยิ่ง

……

เมื่อราชันย์อนธการอมตะถูกไล่สังหารอยู่ตลอดจนหนีไปไหนไม่พ้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไม่สนใจการข่มขู่ของเขา ผู้แกร่งกล้าทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาต่างก็เชื่อว่า ครั้งนี้ราชันย์อนธการอมตะอาจจะต้องสิ้นใจไปอย่างแท้จริง มีหลายคนที่กำลังโห่ร้อง ปรบไม้ปรบมือเห็นดีเห็นงามด้วย!

แต่ว่า…

ตงป๋อเสวี่ยอิงเองกลับรู้สึกคันยุบยิบในใจ เนื่องจากการจะสังหารราชันย์อนธการอมตะนั้นต้องแลกมาด้วยอะไรบางอย่าง!

“ตาย ตายไปด้วยกันเสียเถอะ!” ราชันย์อนธการอมตะหลบหนีไปถึงกลางท้องฟ้าเหนือตัวเมืองใหญ่แห่งหนึ่ง ก่อนจะถลาลงไปเบื้องล่างแล้วลงมือโจมตีด้วยตนเอง

ตู้ม!

ห้วงอากาศบิดเบี้ยวและสะท้านสะเทือนไปหมด เขาพยายามสกัดกั้นการโจมตีของราชันย์อนธการอมตะอย่างสุดกำลัง ตงป๋อเสวี่ยอิงบุกสังหารเข้ามาอีกครั้ง แม้เขาจะเชี่ยวชาญการกดดันด้านบริเวณเป็นอย่างยิ่ง และพยายามไล่สังหารอย่างสุดกำลังด้วยความเร็วสูงสุด แต่ก็ยังคงมีสิ่งมีชีวิตจำนวนมากที่ถูกสังหารไปอยู่ดี! สิ่งมีชีวิตมากมายถึงขั้นมิทันมีปฏิกิริยาตอบโต้ก็ถูกล้างสังหารเสียแล้ว เรื่องนี้ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ่งแค้นเคืองมากขึ้น ถึงจะต้องแลกมาด้วยอะไรบางอย่าง ก็ต้องกำจัดเขาทิ้งให้จงได้!

“ดูท่าแล้ว เขาคงจะทนได้อีกไม่นานสักเท่าใดนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงค่อนข้างมั่นใจว่าอาการบาดเจ็บของราชันย์อนธการอมตะหนักหนามาก เกรงว่าโอกาสรอดคงเหลือราวสองส่วนเท่านั้น

“ต้านทานเอาไว้มิได้แล้ว!”

ยามนี้สถานการณ์ของราชันย์อนธการอมตะย่ำแย่กว่าที่ตงป๋อเสวี่ยอิงคาดการณ์เอาไว้เสียอีก

เนื่องจากแต่ละครั้งที่ห้ำหั่นกันเขาล้วนแต่ต้องเผาผลาญโลหิตหัวใจทั้งสิ้น เมื่อเผาผลาญโลหิตหัวใจ เขาก็ยังมีพลังราวสามสี่ส่วนของตงป๋อเสวี่ยอิงเท่านั้น! หากไม่เผาผลาญก็เกรงว่าคงจะมีพลังเพียงส่วนสองส่วนเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนั้นก็คงจะสิ้นใจเร็วขึ้นไปอีก

“โลหิตหัวใจของข้าจวนจะหมดแล้ว”

หัวใจเปลวทองภายในกาย เหลือโลหิตน้อยเสียจนน่าสงสาร คือเพียงสามหยดเท่านั้น!

ราชันย์อนธการอมตะออกจะสิ้นหวังอยู่บ้าง

………………………………

ปัง! ปัง! ปัง!

ทันใดนั้น บริเวณที่ตงป๋อเสวี่ยอิงประมือกับราชันย์อนธการอมตะก็มีระลอกคลื่นโจมตีปะทะเข้ามาอย่างต่อเนื่องจากทุกทิศทุกทาง! ส่วนบริเวณตรงใจกลางสุดที่กำลังห้ำหั่นกันอยู่ก็ยิ่งแหลกละเอียดและสับสนอลหม่านวุ่นวายไปหมด เมื่อถึงระดับอย่างพวกเขาแล้ว ประมือกันรวดเร็วเพียงใด พวกเขาออกท่าไม้ตายออกมาอย่างบ้าคลั่งหลายสิบกระบวนท่าในชั่วพริบตาเดียว ผู้ที่มีพลังอ่อนแอนั้นมิอาจชมการต่อสู้ให้ชัดเจนได้เลย

แต่ผู้ที่ชมการต่อสู้อยู่ในขณะนี้ ล้วนแต่เป็นเหล่าผู้แกร่งกล้าระดับยอดของดินแดนจิตโลกา พวกเขามองออกว่า ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ เป็นฝ่ายตกเป็นรองอย่างสิ้นเชิง ถึงขั้นกระอักโลหิตออกมาไม่หยุด! ร่างกายก็ประสบกับการโจมตีอันแสนสาหัสอย่างต่อเนื่อง!

ถูกโจมตีอยู่ฝ่ายเดียว!

‘จ้าวหิมะเหิน’ ครองความได้เปรียบอย่างสิ้นเชิง ส่วนผู้ที่น่าอนาถก็คือ ‘ราชันย์อนธการอมตะ’

“ห้ำหั่นกันซึ่งหน้าก็ไม่มีโอกาสเลยแม้แต่นิดเดียว” ราชันย์อนธการอมตะพลันร้องคำรามขึ้นมา

แฮ่!

ร่างกายของเขาพลันมีเงาร่างอันเลือนรางสายหนึ่งผุดขึ้นมา นี่คือสิงโตจำแลงตัวเขื่องซึ่งบดบังท้องฟ้าเอาไว้ ความแข็งแกร่งของอานุภาพทำให้สีหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงเปลี่ยนแปรไปเล็กน้อย เขาเงยหน้าขึ้นมองสิงโตจำแลงตัวนี้ “นี่มันกระบวนท่าอะไรกัน อยู่ในดินแดนจิตโลกาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยเสียด้วยซ้ำ เป็นกระบวนท่าที่ราชันย์อนธการอมตะใช้เหยียบย่างลงบนเส้นทางของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นหรือ”

สิงโตจำแลงขนาดมหึมาอ้าปากเขมือบลงไป

ฟ้าดินดับมืด

ตงป๋อเสวี่ยอิงถูกกลืนลงไปโดยไม่มีที่ให้หลบหลีก

ชั่วขณะที่ถูกกลืนลงไปนั่นเอง ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าระลอกความชั่วร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนโจมตีวิญญาณของตน เพียงแต่ในฐานะสิ่งมีชีวิตที่เดินไปถึงระดับยอดสุดบนเส้นทางวิญญาณของโลกกำเนิดทั้งหลาย จึงย่อมป้องกันได้อย่างไม่บกพร่องเลยแม้แต่น้อย ‘โลกเขตลวง’ ที่พลังวิญญาณของเขาสร้างขึ้นมาได้โอบล้อมและสลายการโจมตีทั้งปวง ความคิดที่เต็มไปด้วย ‘ความเคียดแค้น’ ‘ความตาย’ และ ‘การห้ำหั่น’ ถูกหลอมแปรอย่างต่อเนื่อง

“ปัง!” ตัวตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีสติแจ่มแจ้งนัก เขาไม่หยุดลงเลยแม้แต่น้อย หอกยาวกวัดแกว่ง แล้วพุ่งทะยานออกจากสิงโตจำแลงที่กำลังอ่อนกำลังลงอย่างรวดเร็วตัวนี้

“ไม่มีผลกระทบเลยจริงๆ ด้วย” ราชันย์อนธการอมตะเห็นเข้าสีหน้าก็ไม่น่ามองขึ้นมาทันที เดิมทีเขาบำเพ็ญเส้นทางมรณะจนถึงขั้นสุดยอดแล้ว ตอนที่โจมตีไปบนเส้นทางสิ่งมีชีวิตคละถิ่นนั้น ก็เคยได้พบกับผู้แกร่งกล้าจากอารยธรรมอื่นที่บรรลุถึงระดับขั้นที่น่าหวาดหวั่นอย่างยิ่งเช่นเดียวกัน ผู้แกร่งกล้าผู้นั้นก็เชี่ยวชาญการควบคุมความตาย หลังจากสิ้นใจไป สมบัติล้ำค่าบางส่วนก็ตกมาอยู่ในมือราชันย์อนธการอมตะ ราชันย์อนธการอมตะอาศัยระดับขั้นของตนทำความเข้าใจและควบคุม ก็นับว่าเป็นท่าไม้ตายหนึ่งแล้ว

“กระบวนท่าเหล่านี้ไม่มีประโยชน์กับข้าหรอก” หอกยาวอันยิ่งใหญ่ของตงป๋อเสวี่ยอิงแฝงไว้ด้วยอานุภาพอันไร้ที่สิ้นสุดกดดันเข้ามา

……

ทั้งสองฝ่ายห้ำหั่นกัน ความแข็งแกร่งและอ่อนแอก็ยิ่งเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ

ตอนนั้นราชันย์อนธการอมตะช่วงชิงกับผู้แกร่งกล้าหลากอารยธรรม กระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือผู้ท่องมรณะ รองลงมาก็คือ ‘หัวใจเปลวทอง’ แน่นอนว่ากระบวนท่าอย่าง ‘สิงโตทิพย์คำสาปพิฆาต’ และอื่นๆ นั้น ก็ลดความสำคัญลงทุกทีๆ

ผู้ท่องมรณะวางมือตั้งนานแล้วเพื่อหนีกลับบ้านเกิด

โลหิตจากหัวใจเปลวทองแผดเผาอย่างต่อเนื่องจนหายไปกว่าครึ่งแล้ว! นอกจากนี้การห้ำหั่นซึ่งหน้าก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้อย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไม่มีข้อด้อยเลยแม้แต่น้อย เขาห้ำหั่นอย่างร้ายกาจโดยต่อเนื่อง กระบวนท่าทางด้านวิญญาณก็น่าหวาดหวั่น ทำให้วิธีการอันพิสดารต่างๆ ของราชันย์อนธการอมตะไร้ประโยชน์ไปเสียสิ้น ราชันย์อนธการอมตะก็ได้รับบาดเจ็บอย่างต่อเนื่องจากการห้ำหั่นกัน

“ดี ฆ่าเขา ฆ่าเขาเสีย”

“ฆ่าราชันย์อนธการอมตะผู้นี้เสียเถอะ! จ้าวหิมะเหิน ฆ่าเขาเสีย”

ยามนี้ผู้แกร่งกล้าทั้งดินแดนจิตโลกา ในหกรัฐโบราณรวมไปถึงรัฐชั้นสองชั้นสามจำนวนมากหรือแม้กระทั่งขุมอำนาจต่างๆ ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง ทั้งที่มีชื่อเสียงขจรขจายและรักสันโดษเก็บเนื้อเก็บตัวชมการต่อสู้อย่างรวดเร็ว พวกเขาถึงขั้นส่งสารแจ้งมิตรสหาย ทำให้จำนวนผู้แกร่งกล้าที่ชมการต่อสู่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ

เบื้องหน้ากระจกยลฟ้าบานหนึ่งอาจจะมีผู้บำเพ็ญทั้งกลุ่มจับตามองอยู่

“ราชันย์อนธการอมตะก็มีวันนี้ด้วย!” ชายชราผู้หนึ่งกล่าวด้วยความตื่นเต้น “นับตั้งแต่เขากลับมาได้อย่างปลอดภัยไร้เรื่องราว ข้าก็รอคอยวันนี้มาโดยตลอด ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงแล้ว มาถึงแล้ว!”

“ยินดีกับท่านอาจารย์ด้วยขอรับ จ้าวหิมะเหินจะต้องสามารถสังหารราชันย์อนธการอมตะผู้นี้ได้สำเร็จแน่นอน” ศิษย์กลุ่มหนึ่งด้านข้างแสดงความยินดีกับอาจารย์ของตน ตระกูลดั้งเดิมของท่านอาจารย์ถูกราชันย์อนธการอมตะทำลายลงไป ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องตั้งแต่ก่อนสงครามรัฐโบราณครั้งที่หนึ่งแล้ว

ยามนี้

ผู้แกร่งกล้ามากมายปรบมือเห็นดีเห็นงามด้วย และถึงขั้นตั้งตารอคอยด้วยความตื่นเต้น

เนื่องจาก ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ ลงมือได้ร้ายกาจนัก ลงมือสังหารไปทั่วทิศด้วยความเห็นแก่ตัวของตนเพียงคนเดียว! ในตำนานเขาเป็นตัวแทนของ ‘ความตาย’! ในบรรดาสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรู แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีใครหน้าไหนที่บ้าคลั่งและโหดเหี้ยมเช่นเดียวกับราชันย์อนธการอมตะเลย ท่ามกลางการเข่นฆ่าตามอำเภอใจเช่นนี้ เขาได้สร้างศัตรูคู่แค้นเอาไว้มากมายยิ่งนัก! ผู้บำเพ็ญที่อ่อนแอบางคนในตอนนั้น บัดนี้ได้สำเร็จเป็นเทพจักรวาลแล้ว

แต่ราชันย์อนธการอมตะไม่สนใจเลย!

เนื่องจากเขาเป็นผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งแห่งดินแดนจิตโลกา! ศัตรูคู่แค้นเหล่านั้นล้วนไม่กล้าปรากฏกายต่อหน้าเขา

“ดี”

ภายในวังหลวงแห่งนครหลวงรัฐเมฆทักษิณา

ประมุขรัฐเมฆทักษิณามองดูกระจกยลฟ้าที่ล่องลอยอยู่ แม่เฒ่าอิงซาน จ้าวทานเผิง จ้าวฉุนอวี้และคนอื่นๆ บ้างก็เป็นร่างจริง บ้างก็เป็นร่างแปร พวกเขาต่างกำลังมองดูกระจกยลฟ้า

“ศิษย์น้องหิมะเหิน ทำได้สวยงามมาก” จ้าวทานเผิงอดชมเชยมิได้ คนอื่นๆ ต่างมองดูด้วยความตื่นเต้น

แม้ประมุขรัฐเมฆทักษิณาจะมิได้เปล่งเสียง แต่ดวงตาของเขาก็กำลังทอประกาย

สำหรับ ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ นั้น เขาเกลียดชังเสียจนอยากให้ตายๆ ไป! เขายอมรับว่าตอนนั้นมีโอกาสได้รับ ‘ดาบทวิภพ’ มา ก็เป็นหลักประกันให้เขากลับตัวได้ แต่อย่างแรก ตอนนั้นเขาก็ต้องฟันฝ่าอันตรายมากมายจึงได้มา นอกจากนี้ราชันย์อนธการอมตะก็ได้คุกคามหลายครั้ง ให้เขาช่วยเก็บรวบรวมวัตถุล้ำค่ามากมาย ซึ่งวัตถุล้ำค่าเหล่านั้นเหนือกว่าสมบัติลับระดับยอดสุดชิ้นหนึ่งไปตั้งมากมาย

หากไม่ยอมทำตาม ก็ขู่ว่าจะทำลายทั้งนครหลวงรัฐเมฆทักษิณาให้สิ้นซากไป

ภัยคุกคามเช่นนี้ทำให้วีรบุรุษผู้ไร้เทียมทานอย่างประมุขรัฐเมฆทักษิณาผู้นี้ความแค้นแน่นทรวงไปหมด! แต่ก็ไร้หนทาง เขามิอาจต่อต้านราชันย์อนธการอมตะได้เลย

……

ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น

มีผู้บำเพ็ญมากมายยิ่งนักที่อยากให้ราชันย์อนธการอมตะตาย!

ทว่าราชันย์อนธการอมตะนั้นสูงส่งเหนือใครมาโดยตลอด ก่อนหน้าสงครามรัฐโบราณครั้งที่หนึ่ง ก็เป็นผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งแห่งดินแดนจิตโลกาแล้ว หลังจากกลับมาครั้งนี้ ชื่อเสียงก็ยิ่งโด่งดังขึ้นไปอีก แม้แต่ ‘จักรพรรดิเซี่ย’ ก็ยังยอมรับเองว่าด้อยกว่าเขาอยู่ขุมหนึ่ง

อย่างประมุขรัฐเมฆทักษิณา ก่อนหนานี้ก็ถอดใจไปแล้ว เขารู้สึกว่าไม่มีหวัง ทำได้เพียงปล่อยให้เขาบีบคั้นเท่านั้น! บรรดาศัตรูคู่แค้นของราชันย์อนธการอมตะเหล่านั้นก็เพียงแค่ปล่อยให้ความเกลียดชังคงอยู่ในส่วนลึกของหัวใจต่อไปเท่านั้น โดยไม่กล้าคิดจะ ‘แก้แค้น’ เสียด้วยซ้ำ! เพราะแตกต่างกันมากมายเกินไปแล้ว

แต่กระนั้นภาพที่ได้เห็นในวันนี้ ก็ทำให้พวกเขาแต่ละคนตื่นเต้นนัก!

จ้าวหิมะเหิน ‘อิงซานเสวี่ยอิง’ โจมตีเสียจนราชันย์อนธการอมตะได้รับบาดเจ็บอย่างต่อเนื่องด้วยพลังที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด

“นับแต่วันนี้เป็นต้นไป ตำแหน่งผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งแห่งดินแดนจิตโลกาได้เปลี่ยนคนแล้ว”จักรพรรดิเซี่ยยืนอยู่ในวังพลางทอดสายตามองออกไปไกกลลิบก่อนจะรำพึงออกมาประโยคหนึ่ง “เป็นดังที่พวกเราได้คาดการณ์ไว้ ในที่สุดจ้าวหิมะเหินผู้นี้ได้ก้าวเข้าสู่ตำแหน่งผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งแห่งดินแดนจิตโลกาแล้ว”

“จะว่าไปแล้ว เขาสำเร็จเป็นเค่อชิงระดับบนของสกุลฝานเรา ก็เป็นเรื่องที่เห็นชัดอยู่กับตาอยู่แล้ว” บรรพชนฝานรำพึง

“เขาจะกลายเป็นอันดับหนึ่งแห่งดินแดนจิตโลกาก็เป็นเรื่องสมควรอยู่แล้ว” จักรพรรดิชางที่อยู่อีกด้านหนึ่งเอ่ย “ในบรรดาขั้นสุดยอดทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา ผู้ที่มีทั้งเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งและอาวุธเทพคละถิ่นก็มีแต่จ้าวหิมะเหินผู้นี้เท่านั้น! นอกจากนี้กระบวนท่าทางด้านวิญญาณของเขาก็ยังมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วหุบเขาเขี้ยวหัก เมื่อสองวิธีการรวมตัวกันขึ้นมา ก็ทำเอาราชันย์อนธการอมตะไม่มีทางตอบโต้ได้”

จอมกระบี่ที่ยืนอยู่กับทั้งสามคนเผยรอยยิ้มออกมา “เสวี่ยอิง แอบซ่อนได้มิดชิดทีเดียว”

บัดนี้ ในใต้หล้า

สิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูทั้งปวงและขั้นสุดยอดธรรมดาสามัญ ต่างก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องสมควรอยู่แล้ว

เนื่องจากก่อนหน้านี้จ้าวหิมะเหินโดดเด่นสะดุดตายิ่งนัก

ขณะที่อยู่ในระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองนั้น ร่างแยกร่างหนึ่งก็เทียบได้กับขั้นสุดยอด! กระบวนท่าทางด้านวิญญาณถึงกับทำให้หุบเขาเขี้ยวหักสั่นสะท้าน อาวุธเทพคละถิ่นก็ทำให้คนละโมบขึ้นมาได้ เป็นเทพจักรวาลชั้นที่สองที่น่าหวาดหวั่นที่สุดในประวัติศาสตร์ของทั้งดินแดนจิตโลกา

บัดนี้สำเร็จเป็นขั้นสุดยอดแล้ว ก็เป็นขั้นสุดยอดที่น่าหวาดหวั่นที่สุด!

……

ระหว่างที่เหล่าผู้แกร่งกล้าทั่วฟ้าดินกำลังชมการต่อสู้ด้วยอารมณ์อันซับซ้อนนับพันนับหมื่นนั้น อาการบาดเจ็บของราชันย์อนธการอมตะก็หนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ

“ไปตายเสียเถอะ” ราชันย์อนธการอมตะกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง

ตู้มมม…

แมลงจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นจากความว่างเป่า แล้วปกคลุมเข้ามาทางตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างมืดฟ้ามัวดิน

ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ตรงนั้น เพียงชั่วความคิดเดียว แมลงทั้งหมดก็สูญสิ้นสติรับรู้และร่วงกรูลงไปจนสิ้น

ราชันย์อนธการอมตะมองดูทุกสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยสีหน้าไม่น่ามอง เขาเองก็รู้ว่าเมื่อปล่อยแมลงพิษที่เก็บรวบรวมมาด้วยความยากลำบากออกไปก็ยังไม่เป็นผล เพียงแต่ภายใต้ความสิ้นหวัง ก็นำออกมาลองใช้ดูก็เท่านั้น ส่วนลึกของหัวใจก็ยังคงตั้งตารอคอยให้มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น

“ทำเช่นไรดี ตอนนี้ข้าจะทำเช่นไรดี” ราชันย์อนธการอมตะขบกรามกรอด

“จะมัวแต่สนใจมิได้แล้ว เอาชีวิตให้รอดเสียก่อนเถอะ อย่างมากก็แค่นับจากนี้ไปจะไม่ปรากฏกายอีกไปตลอดกาล”

สวบ

เงาร่างของราชันย์อนธการอมตะพลันแทรกตัวเข้าไปในทางเดินอันดำมืดก่อนจะหายวับไป

“หนีรึ”

“หนีไปแล”

“ราชันย์อนธการอมตะหนีไปแล้ว!”

บรรดาผู้ชมการต่อสู้ที่อยู่รอบๆ ต่างก็เข้าใจจุดนี้ดี

“เห็นทีคงจะยอมแพ้อย่างสมบูรณ์เสียแล้ว” เหล่าผู้แกร่งกล้าจำนวนมากเข้าใจในข้อนี้ดี เพราะเรื่องนี้มีให้เห็นในดินแดนจิตโลกาบ่อยนัก บรรดามารร้ายขั้นสุดยอดมักจะใช้กระบวนท่านี้เป็นประจำ เมื่อหนีไปแล้วก็ยากนักที่จะไล้สังหารได้อีก

“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม การต่อสู้ในครั้งนี้ก็พิสูจน์แล้วว่า นับแต่นี้ไป ผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งแห่งดินแดนจิตโลกาก็คือจ้าวหิมะเหินผู้นี้ ส่วนราชันย์อนธการอมตะ เมื่อได้เห็นจ้าวหิมะเหินก็คงต้องเผ่นแน่บไปแล้วกระมัง” ผู้แกร่งกล้าจำนวนมากวิพากษ์วิจารณ์กัน พวกเขาต่างก็เชื่อว่าศึกครั้งนี้ได้สำเร็จลงแล้ว

“หรือว่าเขาหนีไปแล้ว เรื่องนี้ก็ยุติลงแล้วอย่างนั้นหรือ” มีหลายคนรอเห็นราชันย์อนธการอมตะสิ้นใจมิได้ เมื่อเห็นเข้าก็รู้สึกไม่ยอมจำนน

แต่พวกเขาก็เข้าใจดี

ผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอด จะเอาชนะนั้นง่าย แต่จะสังหารนั้นยาก!

“หนีรึ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่กลางอากาศพลางกุมอาวุธเทพคละถิ่นหอกชิงเหอเอาไว้ในมือ สติรับรู้ของเขาหลอมรวมเข้าไปกับระลอกคลื่น และปกคลุมทุกหนแห่งทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา และเพื่อป้องกันมิให้ราชันย์อนธการอมตะหนีพ้น เขาจึงได้ปกคลุมบริเวณทั้งหมดแม้แต่อาณาเขตของจักรพรรดิเซี่ย ผู้พเนจรและเจ้าเมืองอนันต์ด้วย จะมัวแต่กลัวพวกเขาแตกตื่นมิได้แล้ว

บริเวณปกคลุมทุกบริเวณทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา

ร่องรอยการหลบหนีของราชันย์อนธการอมตะ ตงป๋อเสวี่ยอิงล้วนสามารถ ‘มองเห็น’ ได้ชัดเจนแจ่มแจ้งทั้งสิ้น

……………………………….

เขายืนอยู่กลางห้องเงียบของตนพลางกุมหอกชิงเหอเอาไว้ในมือ ปลดปล่อยบริเวณอากาศออกมา

บริเวณอันกว้างใหญ่ไพศาลพลันปกคลุมไปทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา เพียงแต่หลบเลี่ยงบริเวณบางแห่งไป แล้วเขาก็พบราชันย์อนธการอมตะในทันที ที่แห่งนั้นคือราชวังใหญ่มหึมาอันรกร้างซึ่งอยู่ลึกลงไปใต้ดิน ภายในวังมีโถงตำหนักมากมายซึ่งล้วนแต่เป็นสถานที่ทดลองของราชันย์อนธการอมตะ วิญญาณจำนวนมากกำลังเผชิญกับการทดลอง

มีเสาศิลาสิบสองต้น บนเสาแต่ละต้นมีวิญญาณอาฆาตอันแข็งแกร่งอยู่ อานุภาพของวิญญาณอาฆาตทั้งสิบสองแข็งแกร่งอย่างยิ่ง

ยังมีวิญญาณพิเศษอีกด้วย บางตนทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกแปลกพิกล

“ที่แท้แล้วการทดลองเหล่านี้ต้องใช้วิญญาณมากเท่าไหร่กัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองจนดวงตาแดงก่ำไปหมด แม้ผู้ที่ต้องสิ้นชีวิตไปด้วยเหตุนี้จะน้อยกว่าจำนวนมหาศาลอย่างสิบห้ารัฐมากมายนัก แต่กลับสู้จำนวนประชากรในรัฐชั้นสามทั่วไปแห่งหนึ่งได้แล้ว “เจ้าบ้า หากต้องเดินไปบนเส้นทางการบำเพ็ญอันชั่วร้ายเช่นนี้ ก็ควรจะสังหารไปเสีย”

แคว่ก…

รอยแยกสีดำสายหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ ตงป๋อเสวี่ยอิงสาวเท้าออกมาก่อนจะหายวับไปทันที

การส่งถ่ายทลายโลกา!

******

ภายในวังอันสูงตระหง่าน

ราชันย์อนธการอมตะยังคงทำการทดลองต่างๆ ต่อไปอย่างอดทน เขาถึงขั้นยังไม่เริ่มทดลองกับซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นตนนั้น ในสายตาของเขา ยังเร็วเกินไปมาก! เมื่อการทดลองก่อนหน้าแน่นอนแล้ว ก็ต้องมีความมั่นใจอย่างน้อยเก้าส่วนจึงจะสามารถทำการทดลองกับซากของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นได้ นอกจากนี้ ครั้งก่อนที่พูดจาตัดรอนกับตงป๋อเสวี่ยอิง ก็เพิ่งจะผ่านไปไม่กี่หมื่นปีเท่านั้นเอง

“การทดลองราบรื่นมาก”

“ตอนนั้นข้าสามารถหลอมผู้ท่องมรณะที่สมบูรณ์ขึ้นมาได้ บัดนี้มีของไม่พอ มิอาจทำการบูชาขนาดใหญ่ได้อีกแล้ว แต่การจะหลอมผู้ท่องมรณะที่ไม่สมบูรณ์ขึ้นมาก็มิใช่เรื่องยากแต่อย่างใด เดิมทีข้าวางแผนว่าจะทำให้สำเร็จให้ได้ภายในล้านล้านปี แต่เมื่อดูจากการทดลองในตอนนี้แล้ว เกรงว่าไม่ต้องรอให้ถึงล้านล้านปีหรอก! สักแสนล้านปีก็คงจะเพียงพอแล้ว” ราชันย์อนธการอมตะอารมณ์ดีมาก

“หากฝึกสำเร็จเมื่อไหร่ เฮอะๆ อิงซานเสวี่ยอิง ถึงตอนนั้นข้าจะไปทำลายเมืองหิมะเหินของเจ้าก่อนเลย เจ้ามิได้อพยพตระกูลอิงซานเข้าไปหมดแล้วหรือไร ถึงตอนนั้นทั้งตระกูลอิงซานดับสลายไปจนสิ้น จึงจะสามารถดับความแค้นภายในใจของข้าลงไปได้” ราชันย์อนธการอมตะตั้งตารอคอย

ผู้ท่องมรณะที่สมบูรณ์นั้นมีกายกึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่น ซึ่งสามารถเทียบกับยอดเคารพได้

ส่วนที่ไม่สมบูรณ์นั้น ในสายตาของราชันย์อนธการอมตะก็สามารถเทียบกับระดับจักรพรรดิได้!

ทำลายเมืองหิมะเหินน่ะหรือ ง่ายดายนัก!

“เฮอะๆ รอดูไปเถิด ใครหน้าไหนจะมาช่วยเจ้าได้”

“นอกเสียจากเจ้าจะสามารถบรรลุถึงขั้นสุดยอดได้ก่อนที่ข้าจะหลอมสำเร็จน่ะ” ราชันย์อนธการอมตะไม่เชื่อเลยสักนิด

แคว่ก!

ทันใดนั้นกลางอากาศเหนือโถงตำหนักอันสูตระหง่านก็มีรอยแยกสีดำสายหนึ่งปรากฏขึ้น หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวผู้หนึ่งเดินออกมาจากในนั้น ซึ่งก็คือจ้าวหิมะเหินผู้ไร้เทียมทานนั่นเอง เขากุมหอกยาวดำทะมึนเอาไว้ในมือ พลางมองดูราชันย์อนธการอมตะด้วยสายตาเยียบเย็นดุจน้ำแข็งแล้วแค่นเสียงเฮอะพูดว่า “ราชันย์อนธการ คราวตายของเจ้ามาถึงแล้ว!”

“อิงซานเสวี่ยอิงรึ” ราชันย์อนธการอมตะตกตะลึง ยามนี้กลิ่นอายของตงป๋อเสวี่ยอิงยิ่งใหญ่และเฉียบคม ทว่ากลิ่นอายก็อาจจะปลอมแปลงกันได้ แต่อาวุธเทพคละถิ่นในมือเล่มนั้นกลับทำให้ราชันย์อนธการอมตะเข้าใจว่า จ้าวหิมะเหินอาจจะมาเสี่ยงอันตราย แต่ก็คงไม่นำอาวุธเทพคละถิ่นเล่มหนึ่งมาเสี่ยงด้วย สูญเสียร่างแยกไปก็เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น แต้หากไม่มีอาวุธเทพคละถิ่น ก็เป็นการสูญเสียครั้งใหญ่แล้ว

กล้านำอาวุธเทพคละถิ่นมาด้วย เห็นได้ชัดว่ามั่นใจพอตัวทีเดียว สถานการณ์ย่ำแย่ที่สุดได้ปรากฏขึ้นแล้ว!

“เจ้า เจ้าสำเร็จเป็นขั้นสุดยอดแล้วหรือ” เสียงของราชันย์อนธการอมตะแหบแห้งอยู่บ้าง

“แฮ่…”

“อ๊าก!”

วิญญาณอาฆาตบนเสาศิลาทั้งสิบสองต้นในโถงตำหนักพบคนจากภายนอกเข้า หลายตนแผดเสียงคำรามบาดหูออกมา

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูวิญญาณอาฆาตเหล่านั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า วิญญาณอาฆาตส่วนใหญ่บ้าคลั่งและดุดัน ในใจของตงป๋อเสวี่ยอิงมีเพียงความรู้สึกสงสารวิญญาณอาฆาตเหล่านี้เท่านั้น “วางใจเถิด อีกไม่นานข้าจะแก้แค้นให้พวกเจ้าเอง”

“ข้าบรรลุถึงขั้นสุดยอดแล้ว ทำไมรึ ผิดคาดมากเลยล่ะสิ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองราชันย์อนธการอมตะ

“ผิดคาด ผิดคาดมาก”

ราชันย์อนธการอมตะเข้าใจ

เขาพบวิกฤตใหญ่หลวงที่สุดเข้าเสียแล้ว! บนเส้นทางฟันฝ่าเพื่อสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นนั้น เขาพบวิกฤตใหญ่อยู่หลายครั้ง แต่ตอนนั้นผู้แกร่งกล้ามากมายดุจเมฆ เขาเป็นเพียงแค่หนึ่งในจำนวนนั้น เขาสามารถเล็ดรอดจากความตายมาได้หลายครั้ง

แต่ในดินแดนจิตโลกา ยามนี้ไม่มีผู้ใดสามารถช่วยเหลือเขาได้

“ข้าพอจะเดาได้ว่ามีโอกาสมากที่เจ้าจะสำเร็จเป็นขั้นสุดยอดได้ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าจะรวดเร็วถึงเพียงนี้ได้” ราชันย์อนธการอมตะยืดกายขึ้น

“เจ้าคงคาดไม่ถึงว่าคราวตายของเจ้าจะมาถึงรวดเร็วถึงเพียงนี้มากกว่ากระมัง! พูดจาไร้สาระให้น้อยหน่อย รับกระบวนท่าเสียเถอะ!” ประกายคมกล้าในดวงตาของตงป๋อเสวี่ยอิงกะพริบวาบ ตู้ม เขตลวงโลกเทียมร่อนลงมาทันที เป็นท่าไม้ตายเพียงหนึ่งเดียวของวิถีเขตลวงโลกเทียมที่เขารับรู้ในตอนนี้…ความสว่างไสวของโลกลวง! โลกอันสว่างไสวชวนให้คนลุ่มหลง ทำเอาราชันย์อนธการอมตะที่เพิ่งจะสัมผัสเข้าไปต้องเผชิญกับแรงดึงดูดที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งทันที

“ไม่ดีแล้ว” ราชันย์อนธการอมตะรู้สึกหัวใจหนักอึ้ง

หากพูดถึงปณิธานวิญญาณแล้ว

เขตลวงโลกเทียมส่งผลกระทบต่อจิตใจของเขาไม่แตกต่างจากที่ส่งผลกระทบต่อยอดเคารพมากนัก

แต่ว่าห้ายอดเคารพแห่งหุบเขาเขี้ยวหักล้วนแต่มีสายเลือดอันแข็งแกร่ง เดิมทีพวกเขาก็ไม่ให้ความสำคัญกับความพิสดารของระดับขั้นอยู่แล้ว ต่อให้จิตใจอ่อนแอกว่าอยู่บ้าง ก็ยังคงสามารถปะทุพลังที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งออกมาได้อยู่ดี! แต่ว่าผู้บำเพ็ญนั้นไม่เหมือนกัน กระบวนท่าที่เหล่าผู้บำเพ็ญสำแดงออกมาล้วนแต่พิสดารเป็นอย่างยิ่ง เมื่อพลังจิตได้รับความเสียหาย พลังก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัดยิ่งนัก

“มันส่งผลกระทบต่อพลังของข้ามากกว่าที่ข้าคาดไว้เสียอีก” ราชันย์อนธการอมตะรู้ว่าท่าไม่ดีเสียแล้ว

“ตู้ม!”

หอกชิงเหอในมือของตงป๋อเสวี่ยอิงแทงออกไปทันที

การแทงครั้งนี้

ฟ้าดินอันไร้ที่สิ้นสุดรอบด้านพลันถล่มทลายลงทันที มันกดดันและพันธนาการราชันย์อนธการอมตะเอาไว้อย่างบ้าคลั่ง แต่ดวงใจที่ราวกับโลหะภายในร่างของราชันย์อนธการอมตะกลับแผดเผาโลหิตสีทองสองหยดต่อเนื่องกัน พละกำลังสีทองอันพิสดารทะลักเข้าไปในฝ่ามือทั้งคู่ทันที เขารับการแทงครั้งนี้ของตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งหน้าโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย การแทงครั้งนี้ดูเหมือนจะธรรมดาสามัญ แต่อันที่จริงแล้วเพิ่งจะแทงออกไป ก็แทงลงบนฝ่ามือสีทองข้างหนึ่งเข้าอย่างจังเสียแล้ว

ปัง…

ราชันย์อนธการอมตะกระเด็นลอยไปทันที กระแทกเข้ากับโถงตำหนักด้านหลังจนแหลกละเอียด และเกิดเป็นลำธารยาวราวหมื่นลี้ขึ้นมา ราชันย์อนธการอมตะลอยจากใต้ดินขึ้นมาถึงเหนือผิวดินทันที

“กระบวนท่าดาวตก”

ตงป๋อเสวี่ยอิงสาวเท้าออกไปก้าวหนึ่งก็ออกจากใต้ดินมายังกลางท้องฟ้า หอกยาวในมือฟันออกไปอย่างดุเดือดอีกครั้ง

ตู้ม!

ฟ้าดินสั่นคลอน

แสงสีเทามืดมนอันสับสนอลหม่านจำนวนนับไม่ถ้วนรายล้อมหอกยาวเอาไว้ แล้วพลิกหมุนรวมตัวกัน ตรงปลายหอกกลายเป็นดวงดาราดำมืดดวงหนึ่ง หอกยาวฟันออกไปอย่างดุเดือด ดวงดาราดำมืดวาดข้ามท้องฟ้าไป แล้วพุ่งตรงไปทางราชันย์อนธการอมตะผู้นั้น กระบวนท่านี้รวดเร็วเกินไปแล้ว ราชันย์อนธการอมตะแค่รู้สึกมึนงง ดวงดาราดำมืดก็กลิ้งหลุนๆ มาถึงตรงหน้า เขาทำได้เพียงใช้สองมือสกัดกั้นอย่างรีบร้อนเท่านั้น จากนั้นก็รู้สึกว่าฝ่ามือเจ็บปวดแสนสาหัส กร๊อบๆๆ กระดูกฝ่ามือแตกหักจนหมด หอกยาวได้ทีปะทะเข้ากับร่างของราชันย์อนธการอมตะอีกครั้ง

ทำเอาราชันย์อนธการอมตะกระเด็นลอยถอยหลังข้ามขอบฟ้าไป โลหิตสดๆ พุ่งทะลักออกมาจากปาก

“แตกต่างกันมากถึงเพียงนี้เชียว!” ราชันย์อนธการอมตะสกัดกั้นซึ่งหน้าสองครั้งต่อเนื่องกัน ก็เพราะคิดจะอาศัยมันในการหยั่งรู้ความแตกต่างระหว่างกัน เขาคาดว่าเขามีพลังเพียงราวสามสี่ส่วนของจ้าวหิมะเหินในตอนนี้เท่านั้น!

“เขตลวงโลกเทียมของเขาส่งผลกระทบต่อพลังของข้าเป็นอันมาก ทำให้พลังของข้าสามารถสำแดงออกมาได้เพียงห้าส่วนเท่านั้น เมื่อคำนวณดูเช่นนี้แล้ว ต่อให้ข้าทุ่มเทพลังทั้งหมดมิให้ถูกรบกวนแม้สักนิด ก็ยังอ่อนแอกว่าเขาเล็กน้อยอยู่ดีอย่างนั้นหรือ”

พลังที่เขาสู้อย่างสุดชีวิต ก็แค่ราวเจ็ดส่วนของตงป๋อเสวี่ยอิงเท่านั้น!

แม้พอจะเดาได้ตั้งนานแล้ว

ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงบรรลุเมื่อใด ก็เกรงว่าคงจะเป็นอันดับหนึ่งของดินแดนจิตโลกาแน่นอน! แต่ความเป็นจริงกลับทำให้ราชันย์อนธการอมตะหัวใจเย็นวาบ “ครั้งนี้อันตรายแล้วจริงๆ”

เขาถึงขั้นได้กลิ่นของความตายแล้ว

……

แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะเพิ่งประมือกัน แต่ความเคลื่อนไหวของตงป๋อเสวี่ยอิงที่บรรลุถึงขั้นสุดยอดแล้วสำแดงอาวุธเทพคละถิ่นออกมาอย่างสุดกำลัง พลังรบก็ปะทุออกมาถึงขีดสุด! ส่วนอีกฝ่าย พลังของราชันย์อนธการอมตะก็ไม่ธรรมดาเลย

ทั้งสองฝ่ายปะทะกัน อานุภาพดุดันเพียงใด แม้แต่วังที่ราชันย์อนธการอมตะตระเตรียมเอาไว้เป็นอย่างดีก็ยังถูกกระแทกจนทะลุไปในชั่วพริบตา!

ระลอกคลื่นของการต่อกรกันนั้น…

ทำให้เทพจักรวาลทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจน

“นี่มันเรื่องอันใดกัน”

“ระลอกคลื่นน่าหวาดหวั่นถึงเพียงนี้เชียวหรือ”

แต่ละคนสัมผัสอยู่ห่างๆ บางคนถึงขั้นส่องดูผ่านกระจกยลฟ้า บางคนอาศัยพลังของตนเฝ้าดูอยู่ไกลๆ จักรพรรดิเซี่ย บรรพชนฝาน จักรพรรดิชาง จอมกระบี่ เจ้าเมืองอนันต์ ประมุขรัฐเสียดฟ้าและคนอื่นๆ ต่างก็ดูอยู่ห่างๆ เดิมทีในใจของพวกเขายังสงสัยอยู่ แต่เมื่อ ‘ได้เห็น’ ต้นกำเนิดของระลอกคลื่นอันน่าหวาดหวั่น พวกเขาก็พากันตะลึงงันไป

พวกเขา ‘มองเห็น’ เงาร่างอันน่าหวาดหวั่นซึ่งมีกลิ่นอายสูงเทียมฟ้าสองสายปะทะกัน คนหนึ่งคือจ้าวหิมะเหิน ส่วนอีกคนคือราชันย์อนธการอมตะที่มีชื่อเสียงกระฉ่อนไปทั่ว ราชันย์อนธการอมตะได้รับบาดเจ็บอย่างเห็นได้ชัด

………………………………………

ณ จวนอันเงียบสงบห่างไกลผู้คนแห่งหนึ่งในโลกทิพย์กิเลนบูรพา ตงป๋อเสวี่ยอิงและอวี๋จิ้งชิวผู้เป็นภรรยาพำนักอยู่ที่นี่

“จิ้งชิว จิ้งชิว” ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่หน้าประตูห้องเงียบแห่งหนึ่งพลางตะโกนขึ้น เสียงนั้นลอยตรงเข้าไป

“โครม”

ประตูห้องเงียบเปิดออกเสียงดังโครมคราม อวี๋จิ้งชิวเดินออกมาอย่างจนใจอยู่บ้าง นางมองสามีของตนแวบหนึ่งด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก “เสวี่ยอิง ท่านไม่รู้หรือว่าข้ากำลังเก็บตัวบำเพ็ญอยู่น่ะ หากไม่มีเรื่องสำคัญก็อย่ามารบกวนข้าสิ การทดลองเมื่อครู่เพิ่งผ่านไปเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ก็ถูกท่านทำลายลงเสียแล้ว ท่านยังมายิ้มหน้าบานอยู่ได้ แม้ข้า ภรรยาของท่านจะมีพลังสู้ท่านมิได้ แต่การบำเพ็ญก็สำคัญมากนี่นา”

“ฮ่าฮ่า ไม่ว่าจะบำเพ็ญอะไร วันนี้ก็หยุดให้หมดเถิด มาๆๆ พวกเราสองสามีภรรยามาดื่มสุราฉลองกันเสียหน่อย” ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับดึงตัวภรรยามา

“ฉลองกันเสียหน่อยหรือ” อวี๋จิ้งชิวงุนงงอยู่บ้าง “ฉลองอะไรกัน มีเรื่องอันใดควรค่าแก่การฉลองด้วยหรือ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับจงใจไม่พูด เขาดึงภรรยาเข้าไปในสวนแห่งหนึ่ง ทั้งสองนั่งลงตรงข้ามกัน

เขาโบกมมือคราหนึ่ง

มวลบุปผารอบด้านก็เบ่งบาน กลิ่นหอมขจรขจายไปทั่ว ต้นไม้ก็แตกหน่อใหม่ ผีเสื้อทั้งหลายก็ผุดขึ้นมาจากความว่างเปล่าแล้วบินฉวัดเฉวียนไปรอบดอกไม้ นกน้อยก็ร้องจิ๊บๆ ทะเลสาบไกลออกไปก็มีสัตว์ประหลาดต่างๆ ปรากฏขึ้น เรื่องน่ายินดีทั้งหลายเกิดขึ้นมา

“จิ้งชิว ข้ารินสุราให้เจ้านะ เป็นสุราป่าฝนที่ข้าหมักเองกับมือเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงรินสุรา

อวี๋จิ้งชิวตกตะลึงอยู่บ้าง นางมองไปรอบๆ พลางเอ่ยขึ้นอย่างอดมิได้ว่า “ท่านรีบพูดมาเถิด ว่าที่แท้แล้วมีเรื่องันใดกันแน่ที่ควรค่าแก่การฉลองขนาดนี้”

ตงป๋อเสวี่ยอิงส่งจอกสุราให้ภรรยา “พวกเรามาชนจอกกันสักหน่อยก่อนเถิด”

“ก็ได้ๆๆ ตามใจท่าน” อวี๋จิ้งชิวจนใจ

หลังสองสามีภรรยาชนจอกกันแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงพูดเสียงต่ำว่า “ข้าจะบอกความลับใหญ่เรื่องหนึ่งกับเจ้า!”

“ไหน ข้าจะฟังดูสิว่าเรื่องใหญ่แค่ไหนกันเชียว” อวี๋จิ้งชิววางจอกสุราลง

“วิถีอากาศ ข้าบรรลุถึงขั้นสุดยอดแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพลางยิ้มตาหยี

อวี๋จิ้งชิวชะงักค้างไป

จากนั้นนัยน์ตาของนางก็เบิกกว้าง! จ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิง

“จริงหรือ” หลังจากชะงักไปครู่หนึ่ง อวี๋จิ้งชิวจึงเอ่ยขึ้น

“จริงสิ!” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

อวี๋จิ้งชิวตื่นเต้นหาใดเปรียบ พวกเขารู้มาตั้งนานแล้วว่าโลกกำเนิดบ้านเกิดจวนจะถึงการแตกสลายครั้งใหญ่แล้ว อย่างตงป๋ออวี้และตงป๋อชิงเหยาก็ขะมักเขม้นกับการบำเพ็ญ แต่อันที่จริงแล้วพวกเขาก็เข้าใจดีว่า การคิดจะเอาชีวิตรอดจากการแตกสลายครั้งใหญ่ให้ได้นั้น ความหวังริบหรี่ยิ่งนัก แม้แต่พวกบรรพชนเทียนอวี๋ก็ยังรู้สึกเลยว่าเป็นความฝันลมๆ แล้งๆ ที่สูงเกินเอื้อม

ที่เป็นไปได้มากที่สุดก็คือตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถก้าวเข้าสู่วิถีอากาศขั้นสุดยอดก่อนการแตกสลายครั้งใหญ่จะมาถึง!

หลังจากบรรลุถึงขั้นสุดยอดแล้ว การควบคุมอากาศก็เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก หากเขาสำแดง ‘ศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกา’ ออกมา ก็สามารถพาสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ทะลุผ่านไปได้

“ทว่าตอนนี้ข้าบอกเรื่องนี้แก่เจ้าเท่านั้น เจ้าไม่ต้องแพร่งพรายออกไปล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “ข้ายังมีเรื่องใหญ่อีกเรื่องที่ต้องทำในดินแดนจิตโลกา รอทำเรื่องนี้เสร็จแล้ว ค่อยประกาศออกไปก็ยังไม่สาย”

“ได้สิ” อวี๋จิ้งชิวพยักหน้า เรื่องใหญ่เร่งด่วนกว่า

“ค่อยยังชั่วหน่อย” อวี๋จิ้งชิวถอนหายใจคราหนึ่ง

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยิ้มออกมา พวกเขาสองสามีภรรยามองความเป็นความตายทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว ตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นเหนือธรรมดา เชื่อว่าตงป๋ออวี้และตงป๋อชิงเหยาบำเพ็ญมาจนมีพลังเช่นทุกวันนี้ก็คงมองได้ทะลุปรุโปร่งแล้ว แต่พวกเขาสองสามีภรรยาก็ยังหวังว่าจะสามารถปกป้องลูกๆ ได้

……

ณ เมืองหิมะเหินแห่งรัฐเมฆทักษิณา ดินแดนจิตโลกา

ร่างแยกของตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งประจำการอยู่ที่เมืองหิมะเหินกุมอาวุธเทพคละถิ่นเอาไว้ในมือ ทำความคุ้นเคยกับพลังหลังจากบรรลุแล้ว

“น่าแปลกนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ในห้องเงียบ มือกุมหอกชิงเหอเอาไว้ แต่กลับเผยสีหน้าตกใจออกมา

นับตั้งแต่วิถีอากาศบรรลุถึงขั้นสุดยอด

สติรับรู้ของตงป๋อเสวี่ยอิงก็สามารถทะลุผ่านอณูหมอกดำทรงกลมไปได้อย่างง่ายดาย อณูหมอกดำทรงกลมอันเร้นลับในอดีต บัดนี้กลับเหมือนกับอณูเล็กๆ ในร่างกายตนอย่างไรอย่างนั้น ตนสามารถควบคุมได้อย่างง่ายดาย สติรับรู้ของตนถึงขั้นสามารถทะลุผ่านมิติคละถิ่นอันเวิ้งว้างได้! โลกกำเนิดอันกว้างใหญ่ไพศาลเกิดระลอกคลื่นขึ้นทุกชั่วขณะ ทำให้พลังคละถิ่นรอบด้านเกิดระลอกคลื่นขึ้นมา

“เมื่อกุมหอกชิงเหอเอาไว้ การสัมผัสรับรู้มิติคละถิ่นก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ระยะทางที่แทรกเข้าไปได้ก็ไกลขึ้นมากทีเดียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงรำพึง

“ยังมีเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งกระบวนท่าที่หกและกระบวนท่าที่เจ็ดอีก”

สองกระบวนท่าสุดท้ายของเจ็ดกระบวนคละถิ่น อานุภาพไม่ธรรมดาเลยทีเดียว

ต่อให้สำเร็จเป็นขั้นสุดยอดและมีเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งชี้แนะก็ยังสำแดงออกไปมิได้ ต้องอาศัยอาวุธเทพคละถิ่นจึงจะสามารถทำได้! ต้องอาศัยสองกระบวนท่านี้ พลังของตงป๋อเสวี่ยอิงจึงจะสามารถเหนือกว่าสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูทั่วไปได้ อันที่จริงแล้ว หากไม่มีหอกชิงเหอ ลำพังแต่คละถิ่นห้ากระบวนท่าแรก…อาศัยสมบัติลับระดับยอดสุดต่างๆ ก็สามารถเทียบได้กับสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูได้ เหมือนกับจอมกระบี่!

“สองกระบวนท่าสุดท้ายนี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงทอดถอนใจ แน่นอนว่าเขาคงจะไม่ทำตามอย่างโง่งม หากแต่ซึมซับสิ่งสำคัญในนั้นแล้วหลอมรวมเข้าไปในกระบวนท่าของตน

ทำให้วิธีการของตนสมบูรณ์มากขึ้น

******

ทำให้กระบวนท่าวิถีอากาศขั้นสุดยอดซึมซับเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งแล้วสำแดงออกไปด้วยอาวุธเทพคละถิ่น

วันหนึ่ง

ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังทดลองทำให้กระบวนท่าแข็งแกร่งขึ้น เขาสำแดงกระบวนท่าจำพวกบริเวณออกมา เดิมทีวิถีอากาศก็มีชื่อเสียงด้านบริเวณเป็นอย่างยิ่งอยู่แล้ว

“วิ้ง”

อาศัยหอกชิงเหอ เดิมทีการสัมผัสรับรู้ก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัดอยู่แล้ว

ยามนี้

สติรับรู้หลอมรวมอณูหมอกดำทรงกลมจำนวนนับไม่ถ้วนเข้าไปอย่างต่อเนื่องแล้วแผ่กำจายออกมา แทบจะในชั่วพริบตาเดียวก็แพร่ไปทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา สถานที่ต่างๆ ภายในดินแดนจิตโลกา รวมทั้งที่พำนักของสามบรรพชนอย่างบรรพชนราตรีนิรันดร์ บรรพชนนิจรัตติกาลและรัฐโบราณหิมะน้ำแข็ง ล้วนแต่ถูกตงป๋อเสวี่ยอิงตรวจสอบอย่างละเอียด นอกจากวังเทพจิตโลกาและหุบเขาเขี้ยวหักแล้ว ยังมีสถานที่อีกสามแห่งที่เขามิได้ตรวจสอบ

สถานที่สามแห่งนี้ได้แก่สถานที่พำนักและบำเพ็ญของจักรพรรดิเซี่ย ผู้พเนจรและเจ้าเมืองอนันต์

เพื่อหลบเลี่ยงมิให้ถูกจับได้

ตงป๋อเสวี่ยอิงสัมผัสได้ถึงค่ายกลต้องห้ามที่พวกจักรพรรดิเซี่ยทิ้งเอาไว้ และรู้ว่าหากล่วงล้ำเข้าไปก็จะถูกพบเข้า จึงมิได้ตรวจสอบดู

“การตรวจสอบของข้าสามารถครอบคลุมไปทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาได้เลยหรือนี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงตื่นตะลึง

ดินแดนจิตโลกายิ่งใหญ่นัก ใหญ่โตกว่าโลกกำเนิดทั่วไปมากนัก

กฎเกณฑ์อันสูงส่งก็ยังกดดันอย่างมหาศาล!

โดยทั่วไปขอบเขตการตรวจสอบด้วยบริเวณของผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอดก็มีจำกัดมาก ห่างจากคำว่าปกคลุมทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาไกลลิบลับ ต่อให้เป็นตอนที่ทั้ง ‘โลกทิพย์โบราณดั้งเดิม’ ยังสมบูรณ์ดีนั้น แม้จะเล็กกว่าดินแดนจิตโลกามาก ผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอดก็มิอาจทำได้ถึงขั้นปกคลุมทั้งหมดภายในชั่วความคิดเดียวอยู่ดี!

“หากไม่มีหอกชิงเหอ…” ตงป๋อเสวี่ยอิงลองสัมผัสรับรู้ด้วยตนเองล้วนๆ โดยไม่อาศัยหอกชิงเหอ

ขอบเขตการสัมผัสรับรู้ก็หดเล็กลงอย่างรวดเร็วในทันที

ต่อให้มีวิธีการอย่างเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่ง ก็คาดว่าขอบเขตที่สามารถปกคลุมได้ในชั่วความคิดหนึ่งนั้น ก็แค่มากกว่าสองเท่าของอาณาเขต ‘รัฐโบราณคิมหันตวายุ’ ไปเล็กน้อยเท่านั้น! ยังห่างจากปกคลุมทั่วทั้งขอบเขตดินแดนจิตโลกามากนัก

“สามารถปกคลุมทั้งผืนดินได้เชียวหรือนี่ หากเป็นเช่นนี้แล้ว ราชันย์อนธการอมตะผู้นั้นก็มิใช่ว่าหนีไม่พ้นจากขอบเขตการตรวจตราของข้าหรอกหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเยสีหน้ายินดีออกมา

หากศัตรูอยู่ภายในขอบเขตบริเวณของตนโดยตลอด

ต่อให้หนีจากที่แห่งหนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่งแล้วซ่อนเร้นร่องรอยแก้ไขกลิ่นอายในทันที แต่เนื่องจากอยู่ภายใต้การตรวจตราของเขาตลอดเวลา ตนก็จะสามารถ ‘มองเห็น’ การปลอมแปลตัวตนของคนผู้นั้นได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง จึงย่อมหนีไม่พ้น! หากขอบเขตบริเวณของตนค่อนข้างเล็ก เช่นมีเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งเพียงแค่สองเท่าของรัฐโบราณคิมหันตวายุเท่านั้น ทันทีที่ศัตรูหนีพ้นจากขอบเขตบริเวณ ก็จะแก้ไขกลิ่นอายและรูปลักษณ์ทันที ก็จะตามรอยไม่พบ หากเป็นเช่นนั้นตนก็จะตามหาศัตรูไม่พบเลย!

“แต่ว่าบริเวณของข้าครอบคลุมทั่วทุกหนแห่งนี่นา” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยสีหน้ายินดีออกมา

“หากไม่สนใจว่าจะถูกพบ ก็สามารถฝืนไปตรวจสอบจักรพรรดิเซี่ย ผู้พเนจรและเจ้าเมืองอนันต์ได้เลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ หากฝืนไปตรวจสอบเมื่อใด ก็จะต้องถูกพบอย่างแน่นอน

เหมือนกับเมื่อพวกจักรพรรดิเซี่ยมาตรวจสอบตน ก็จะถูกตนพบทันทีเช่นเดียวกัน

“ราชันย์อนธการอมตะ! สวรรค์ต้องการให้เจ้าสูญสิ้นไปจริงๆ!”

นัยน์ตาของตงป๋อเสวี่ยอิงฉายแววอาฆาตออกมา บัดนี้ เจ้าคนบ้านี่กำลังเก็บเกี่ยววิญญาณของสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนอย่างบ้าคลั่งตามอำเภอใจ ตนมิอาจขัดขวางได้มาตลอด ก่อนหน้านี้ เจ้าเมืองอนันต์ซึ่งเป็นคนเดียวที่สามารถสะกดรอยเขาได้ไม่ยอมช่วยเหลือ เคราะห์ดีที่ตนมีเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่ง มีอาวุธเทพคละถิ่น บริเวณอากาศก็กว้างใหญ่ไพศาล สามารถปกคลุมทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาได้!

ศัตรูไม่มีที่ให้หนีไปไหนได้!

แม้แต่หุบเขาเขี้ยวหัก ตนก็สามารถจัดเตรียมร่างแยกไปไว้ยังพรมแดนที่บริเวณปกคลุมไปถึง หากราชันย์อนธการอมตะหนีไปยังหุบเขาเขี้ยวหัก ก็จะสิ้นใจเร็วขึ้นไปอีก!

“ดีมาก” ตงป๋อเสวี่ยอิงข่มความอาฆาตเอาไว้ “เนิ่นนานถึงเพียงนี้แล้ว ทำให้พลังแข็งแกร่งขึ้นอีกสักหน่อยก็แล้วกัน”

การยกระดับขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ ต้องยกระดับและเสริมความแข็งแกร่งเสียก่อน

ส่วนเรื่องที่ซับซ้อนอย่างการฝึกกายคละถิ่น ด้วยระดับขั้นของตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนี้ ก็รู้สึกว่าสามารถไปทดลองคิดค้นฝึกกายคละถิ่นชั้นที่สามได้แล้ว แต่ความยากก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มิใช่สามารถสำเร็จได้ในช่วงสั้นๆ

เพียงแค่ทำให้แข็งแกร่งขึ้นอีกสักเล็กน้อย ก็สามารถลงมือได้แล้ว!

……

เรื่องที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสำเร็จเป็นขั้นสุดยอด นอกจากจะบอกภรรยาและถูกเจ้าเมืองหลัวพบเข้าแล้ว ก็มิได้บอกให้ผู้ใดล่วงรู้อีก

หลังจากบรรลุได้หกร้อยปี พลังของเขาก็แข็งแกร่งขึ้นอีกเป็นกอง เขาทำให้กระบวนท่าที่ใช้เป็นประจำสมบูรณ์ขึ้น

“ใกล้แล้ว พลังของข้าสามารถบรรลุถึงระดับยอดสุดได้ในช่วงเวลาสั้นๆ มิอาจยกระดับขึ้นได้อย่างชัดเห็นได้ชัดอีกแล้ว ได้เวลาลงมือแล้วล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ ก่อนหน้านี้เขายังวางแผนจะตามหาประมุขโลกสักกลุ่มหนึ่งมาร่วมมือกัน บัดนี้พลังของตนเพิ่มพูนขึ้นเป็นอันมาก หากต่อสู้กันตัวต่อตัวก็เพียงพอแล้ว

…………………………………..

ณ ‘อากาศอันสับสนอลหม่าน’ ของโลกกำเนิดบ้านเกิด เรือแบนราบราวใบไม้ลำหนึ่งกำลังลอยละล่องอยู่กลางอากาศ ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงหัวเรือ

บัดนี้เขาบำเพ็ญมาจนถึงช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อแล้ว

ไม่ว่าจะเป็นร่างแยกในดินแดนจิตโลกา หรือว่าร่างแยกทางบ้านเกิด หรือแม้กระทั่งร่างแยกที่อยู่ใต้ ‘ต้นไม้เทพผลาญจิต’ ก็หยุดการรับรู้วิถีเขตลวงโลกเทียมลงชั่วคราว ร่างแยกทั้งหมดล้วนค้นคว้าวิถีอากาศจนหมดทั้งกายและใจ!

“ฟ้า ดิน ลวง แท้ ปะทุ ห้าภาพพันพาดกัน ภาพอากาศ โอบล้อมพวกมันไว้ ภาพสาย ร้อยเชื่อมพวกมันไว้!”

ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนหัวเรือ มือขวายกขึ้นมาเบาๆ

แคว่ก…

รอยแยกสีดำสายหนึ่งพลันแหวกฟ้าดินออกมา และแหวกอากาศอันสับสนอลหม่าน รวมไปถึงฉีกทึ้งผนังเยื่อของโลกกำเนิดด้วย นอกจากรอยแยกสีดำสายนี้แล้ว ก็มีพลังคละถิ่นที่ม้วนตัวเข้ามา รอยแยกสายนี้ยาวประมาณร้อยกว่าลี้ ขนาดกว้างราวนิ้วมือหนึ่ง!

แคว่ก! แคว่ก! แคว่ก!

ทุกครั้งที่ยกมือขึ้นมาเบาๆ คราหนึ่ง หรือลากนิ้วไป โลกกำเนิดก็จะถูกตัดเฉือนออกจนกลายเป็นรอยแยก

ตงป๋อเสวี่ยอิงทดลองกระบวนท่าอยู่ที่นี่ ส่วนร่างแยกที่อยู่ในเจดีย์เจ็ดระฆังแห่งดินแดนจิตโลกาก็พยายามผลักดันการบำเพ็ญอย่างสุดกำลัง การบำเพ็ญในเจดีย์เจ็ดระฆังนั้นมีประสิทธิภาพสูงยิ่งนัก แสงทิพย์ผุดขึ้นมา แล้วทำให้กระบวนท่าสมบูรณ์ขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตงป๋อเสวี่ยอิงต้องทดลองครั้งแล้วครั้งเล่าจึงจะทำให้สมบูรณ์ขึ้นได้ครั้งหนึ่ง

“แคว่ก แคว่ก”

เสียงฉีกทึ้งผนังเยื่อโลกกำเนิดทำให้คนหวาดหวั่นใจ

เสียงนี้ค่อยๆ แผ่วเบาลงเรื่อยๆ รอยแยกที่แหวกออกมาก็ยิ่งไม่สะดุดตาขึ้นเรื่อยๆ

สิบกว่าวันให้หลัง

“ฟิ้ว”

เสียงนุ่มนวลราวกับหายใจ

ฝ่ามือโบกเบาๆ ระหว่างฟ้าดินก็มีรอยแยกยาวต่อเนื่องสายหนึ่งปรากฏขึ้น รอยแยกนี้ยาวมาก ยาวถึงสามร้อยลี้ ทั้งยังบางมาก บางเสียจนแทบจะแยกไม่ออกด้วยตาเปล่า ร่องรอยของมันยังขยับเป็นจังหวะน้อยๆ มิได้ตรงแน่วหรือว่าคดโค้งเสียทีเดียว

“ใกล้แล้ว ควบคุมได้ถึงขั้นนี้ก็เพียงพอแล้ว ต่อไปก็คือ ‘ภาพสาย’ สามสายผสานรวมซึ่งกันและกัน เมื่อ ‘พหุธาตุ’ หลอมรวมเป็นหนึ่งก็จะกลับสู่การทำลายล้างร่วมกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงครุ่นคิด

วิถีอากาศมีทั้งหมดเก้าสาย ก็คือฟ้า ดิน ลวง แท้ ปะทุ สาย อากาศ พหุธาตุและทำลายล้าง

“ภาพสายพัวพัน พหุธาตุรวมเป็นหนึ่ง ทั้งหมดคืนกลับสู่การทำลายล้าง”

ตงป๋อเสวี่ยอิงบ่นพึมพำเสียงต่ำ

มือขวาโบกออกไปอีกครั้ง

เพียงแต่ครั้งนี้ นิ้วมือแต่ละนิ้วโบกเบาๆ

ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว

รอยแยกสามสายที่ฉีกทึ้งผนังเยื่อโลกกำเนิดปรากฏขึ้นต่อเนื่องกัน หลังจากทั้งสามสายปรากฏขึ้นแล้วก็ประสานกันอย่างรวดเร็ว แล้วกระแทกจนเกิดเป็นคูหาดำทะมึนซึ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลางสิบกว่าเมตรขึ้นมาทันที

“ไม่ถูกต้อง โง่เง่าเกินไปแล้ว”

เขาโบกมืออีกครั้ง

ทดลองกระบวนท่าแล้วกระบวนท่าเล่า

ความทรงจำของร่างแยกทั้งหลายเชื่อมต่อกัน ความรู้สึกทั้งหลายก็หลอมรวมกันอย่างต่อเนื่อง ความคิดบางอย่างเมื่อผ่านการพิสูจน์แล้วก็กำจัดทิ้งไปอย่างรวดเร็ว ส่วนที่ถูกต้องก็ดูดซับเอาไว้! แล้วเข้าใกล้ภาพความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ที่จินตนาการเอาไว้มากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากตงป๋อเสวี่ยอิงถือครองอาวุธเทพคละถิ่น และมีสมบัติลับระดับยอดสุด ดังนั้นจึงเคยสัมผัสวิถีอากาศ ‘ขั้นสุดยอด’มาแล้ว! เขามุ่งหน้าเข้าใกล้วิถีอากาศขั้นสุดยอดอย่างต่อเนื่อง

……

“ห้าสายรวมเป็นหนึ่งนี่เอง” หลังจากตงป๋อเสวี่ยอิงทดลองมาครึ่งปีจึงพบข้อผิดพลาด ท่าไม้ตายที่หกที่เขาเกิดแสงทิพย์ขึ้นมาและหมายจะคิดค้นขึ้นมานั้นอ้างอิงจากการโบยบินและเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่น่าหวาดหวั่นตนนั้น แต่เนื่องจากทดลองครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ย่อมมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง เมื่อหวนนึกถึงภาพที่ได้ ‘เห็น’ สิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่น่าหวาดหวั่นตนนั้นโบยบินและเคลื่อนไหวโดยละเอียดหลายครั้งเข้า จึงมั่นใจได้อย่างเต็มที่

คือห้าสายรวมเป็นหนึ่งอย่างแท้จริง

หางที่เคลื่อนไหวนั้นเป็นสามสายจริงๆ

แต่ร่างกายอันใหญ่โตกลับเป็น ‘หนึ่งสาย’ แล้ว ส่วนพลังคละถิ่นที่โหมซัดอยู่รอบด้านผสานรวมกับร่างกายที่เคลื่อนไหวอยู่อย่างสมบูรณ์แบบ ก็เป็น ‘หนึ่งสาย’ เช่นเดียวกัน

นี่จึงจะเป็น ‘ห้าสาย’

“ห้าสายรวมเป็นหนึ่ง”

“หนึ่งคือดึงดูด สองคือท่วงท่า สามคือแก่นแท้”

“พหุธาตุรวมเป็นหนึ่ง กลับคืนสู่ความเงียบเหงา!”

ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิอยู่ที่หัวเรือ ยามนี้เขาทดลองกระบวนท่าครั้งแล้วครั้งเล่า แค่ละครั้งอานุภาพของกระบวนท่าก็ดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ ‘จอมกระบี่’ และ ‘เจ้าศิลา’ ตกใจจนต้องมาดู พวกเขาทั้งสองมองดูอยู่ห่างๆ ก่อนจะจากไปพลางหัวเราะร่า ตงป๋อเสวี่ยอิงบำเพ็ญจนมีความเคลื่อนไหวเช่นนี้ก็เป็นเรื่องปกตินัก

******

ต่อให้มีแบบจำลองแล้ว และยังมีเจดีย์เจ็ดระฆังคอยช่วยเหลือด้วย ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ต้องเสียเวลาไปสองหมื่นกว่าปีจึงสำเร็จได้

ระหว่างนั้นก็พบปัญหามากมายยิ่งนัก

เช่นห้าสายรวมเป็นหนึ่ง แต่ละสายเกิดความเปลี่ยนแปลงนับพันนับหมื่นอย่างและช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน พหุธาตุพันพาด รวมตัวกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ

“ตู้ม”

วันหนึ่งในระหว่างสองหมื่นกว่าปีที่ตงป๋อเสวี่ยอิงบำเพ็ญอยู่ที่หัวเรือนั้น จู่ๆ นัยน์ตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นมา กำปั้นหนึ่งต่อยออกไปข้างหน้า

ตู้ม…

อากาศรอบกำปั้นนี้พลันเงียบสงบไป แล้วแตกสลายกลายเป็นผุยผงจนสิ้น ทำเอาผนังเยื่อของโลกกำเนิดแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ระลอกคลื่นอันน่าหวาดหวั่นปะทะเข้าไปกลางมิติคละถิ่นอันเวิ้งว้าง

กำปั้นนี้ราวกับการโบยบินของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่น่าหวาดหวั่นตนนั้น ใหญ่โตมโหฬาร มิอาจต้านทานได้!

เหิมเกริม!

ท่วงท่าแข็งแกร่ง!

วิถีอากาศเก้าสายของตงป๋อเสวี่ยอิงรวมเป็นหนึ่ง โดยมี ‘ผลาญเอกา’ เป็นจุดสิ้นสุดสุดท้าย ทุกสิ่งกลับคืนสู่ผลาญเอกา

“ท่าไม้ตายที่หกสำเร็จแล้ว ขั้นสุดยอดก็สำเร็จแล้ว” หัวใจของตงป๋อเสวี่ยอิงเต้นรัว บนใบหน้าฉายรอยยิ้มอันยากจะปกปิด ท่าไม้ตายที่หกก็คือเก้าสายรวมเป็นหนึ่งอย่างครบสมบูรณ์! ในที่สุดเขาก็รู้แจ้งวิถีอากาศอย่างสมบูรณ์แล้ว

“ขั้นสุดยอด ในที่สุดข้าก็บรรลุขั้นสุดยอดแล้ว!”

“ขั้นสุดยอดด้านวิถีอากาศ!”

“ฮ่าฮ่าฮ่า ฮ่าฮ่าฮ่า…”

ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวเราะฮ่าฮ่าขึ้นมาอย่างอดมิได้

นานเกินไปแล้ว

นับตั้งแต่รู้ว่าบ้านเกิดเข้าใกล้การแตกสลายครั้งใหญ่อยู่ทุกชั่วขณะจิต เขาก็รู้สึกมาตลอดว่าภาระหนักหน่วงอันไร้รูปร่างกดดันเขาเอาไว้ตลอดเวลา! เขามิอาจทนรับการแตกสลายครั้งใหญ่ของบ้านเกิดได้ คนใกล้ชิดค่อยๆ ล่วงลับไปทีละคนๆ มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่รอดชีวิตภายใต้การแตกสลายครั้งใหญ่อย่างโดดเดี่ยวเพียงลำพัง ความเงียบเหงาเช่นนี้ทำให้เขาคลุ้มคลั่งเอาได้! เขาไม่กล้าย่อหย่อนมาตลอด หลังจากแปดสายหลอมรวมกันแล้ว ก็ค้างเติ่งอยู่ เขาไม่มีหนทางอื่น ทำได้เพียงพยายามคิดค้นกระบวนท่าที่ตนคิดว่าสมบูรณ์แบบพอขึ้นมาอย่างสุดกำลังเท่านั้น

เขาใฝ่หาความสมบูรณ์แบบอย่างไม่หยุดหย่อน ท่าไม้ตายที่หนึ่ง ท่าไม้ตายที่สอง ท่าไม้ตายที่สาม…เขาคิดค้นขึ้นมากระบวนท่าแล้วกระบวนท่าเล่า แต่ละกระบวนท่าล้วนทำให้เขาสั่งสมหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ

ในที่สุด พื้นฐานก็หนาแน่นพอ รอเพียงถึงคราวเหมาะเจาะก็จะสำเร็จ

ภายใต้การกระตุ้นด้วยความเร้นลับที่แฝงเอาไว้ในท่วงท่าการโบยบินและก้าวเดินของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นตนนั้น แสงทิพย์ก็วาบขึ้นมา ท่าไม้ตายที่หกถูกคิดค้นขึ้นมา ซึ่งนี่ก็คือกระบวนท่าที่เก้าสายหลอมรวมกัน

“ขั้นสุดยอดทางด้านวิถีอากาศ ความรู้สึกไม่เหมือนกันเลยจริงๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ เมื่อยืนอยู่ที่หัวเรือ เพียงชั่วความคิดเดียวเขาก็แผ่กำจายปกคลุมไปทั่วทั้งโลกกำเนิด ตามอณูมิติจำนวนนับไม่ถ้วน เขามองเห็นบริเวณต่างๆ มองเห็นจอมกระบี่ เจ้าศิลา บรรพชนเทียนอวี๋และราชันย์มีด ยังมีอวี๋จิ้งชิวผู้เป็นภรรยา ตงป๋ออวี้บุตรสาว และตงป๋อชิงเหยา…ล้วนไม่รู้ตัว

เมื่อเห็นผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วน พวกเขาล้วนไม่รู้ตัว

เพราะถึงอย่างไรนี่ก็เป็นการสัมผัสรับรู้ผ่านอณูหมอกดำทรงกลมซึ่งเป็นแก่นแท้ของอากาศ

มีคนหนึ่งที่สามารถสัมผัสได้แล้ว

“โอ๊ะ” เจ้าเมืองหลัวซึ่งจำแลงกายเป็นช่างเหล็กอยู่ในจักรวาลธรรมดาแห่งหนึ่งกำลังตีดาบเล่มหนึ่งขึ้นมาอย่างตั้งใจ ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นราวกับสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง สายตามองทะลุผ่านระยะทางอันไกลโพ้น เขาหัวเราะร่าพลางมองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง ขณะเดียวกันก็เอ่ยปากพูดว่า “ตงป๋อเสวี่ยอิง ยินดีกับเจ้าด้วย ที่วิถีอากาศสามารถก้าวเข้าสู่ขั้นสุดยอดและสามารถช่วยเหลือคนที่เจ้าเป็นห่วงก่อนการแตกสลายครั้งใหญ่จะมาถึงได้”

บัดนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รู้ตัวตนของเจ้าเมืองหลัวผู้นี้แล้ว

ภายในหุบเขาเขี้ยวหัก มีตำนานของเจ้าเมืองหลัวอยู่ทั่วไปหมด

นี่คือสิ่งมีชีวิตคละถิ่นหน้าใหม่ที่เพิ่งรุ่งโรจน์ขึ้นมา ใช้พลังทำลายกฎและสำเร็จขั้นคละถิ่นได้ นอกจากนี้ ตามตำนานยังว่ากันว่าเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับยอดสุดของยอดสุดที่น่าหวาดหวั่นเป็นอย่างยิ่งด้วย เกรงว่าพลังคงไม่ด้อยไปกว่า ‘หยวน’ เลย หากต้องมีคำบรรยายสักประโยค สิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่น่าหวาดหวั่นทั้งสองแห่งหุบเขาเขี้ยวหักซึ่งสิ้นใจไปแล้วนั้น พลังคงจะสู้เจ้าเมืองหลัวไม่ได้เสียด้วยซ้ำ!

นี่คือความแตกต่างระหว่างผู้บำเพ็ญและสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิด

ต่อให้สิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดแข็งแกร่งกว่านี้ การควบคุมและใช้งานพละกำลังก็ด้อยกว่าอยู่มาก ผู้บำเพ็ญจึงจะค่อยๆ บำเพ็ญขึ้นมาทีละขั้นๆ จึงสามารถควบคุมความเร้นลับของกฎเกณฑ์ได้อย่างละเอียดลอออย่างยิ่ง ต่อให้เจ้าเมืองหลัวมีพลังทัดเทียมกับสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่น่าหวาดหวั่นนั้น แต่ความสามารถในการรักษาชีวิตก็น่าจะแข็งแกร่งกว่าเป็นสิบเป็นร้อยเท่า

อย่าง ‘จักรพรรดิเซี่ย’ แห่งดินแดนจิตโลกาและบรรดาประมุขโลกในหุบเขาเขี้ยวหักเหล่านั้น หากพูดถึงอานุภาพแล้ว ก็แค่ระดับจักรพรรดิขั้นต้นเท่านั้น!

แต่เมื่อเผชิญหน้ากับจักรพรรดิ!

บรรดาประมุขโลกก็แทบจะไร้เรี่ยวแรงต้านทาน จักรพรรดิเซี่ยกลับสามารถหนีเอาชีวิตรอดได้ หากห้ำหั่นกันซึ่งหน้า ตัวคนเดียวก็สามารถสู้กับหลายคนได้ ความสามารถในการรักษาชีวิตและหนีเอาชีวิตรอดก็แข็งแกร่งกว่ามากทีเดียว

“หากไม่มีบุปผาโลกาของเจ้าเมืองหลัว ข้าก็คงไม่รู้ว่าจะต้องรอไปถึงเมื่อใด” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปาก

“คนรอบข้างสามารถมอบโอกาสให้ได้ แต่พลังก็ยังต้องไขว่คว้าด้วยตนเอง” เจ้าเมืองหลัวยิ้มน้อยๆ “บำเพ็ญให้ดีๆ เถิด หากเจ้าสามารถทำให้เขตลวงโลกเทียมบรรลุถึงขั้นสุดยอดได้ ข้าก็จะนับถือเจ้ามากทีเดียว”

วิถีอากาศสำเร็จขั้นสุดยอดหรือ

ระดับอย่างเจ้าเมืองหลัวซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่ยืนอยู่ในระดับยอดสุดและเหลือบมองลงมายังโลกกำเนิดจำนวนนับไม่ถ้วนมิได้ใส่ใจจริงๆ หรอก!

เส้นทางวิญญาณต่างหากเล่า

จวบจนบัดนี้ยังไม่มีผู้ที่สำเร็จเป็นขั้นสุดยอดเลยแม้แต่คนเดียว หากตงป๋อเสวี่ยอิงสำเร็จได้ แน่นอนว่าเจ้าเมืองหลัวก็ต้องนับถือ ไม่ว่าผู้แกร่งกล้าคละถิ่นหน้าไหนก็ต้องนับถือด้วยกันทั้งนั้น

“ข้าจะพยายามอย่างแน่นอน” ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้รู้สึกกดดันแต่อย่างใด

เมื่อไม่มีการกดดันจากการแตกสลายครั้งใหญ่ เขาก็มีเวลาบำเพ็ญเพียงพอ

แต่เขาก็เข้าใจดีว่า แม้จะมองเห็นหนทางที่วิถีเขตลวงโลกเทียมจะสำเร็จเป็นขั้นสุดยอดแล้ว แต่กลับมิได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น! ตั้งแต่วิถีอากาศสำเร็จเป็นขั้นสุดยอด ก็สามารถล่วงรู้ได้วายากเย็นเพียงใด เขาถึงขีดจำกัดตั้งนานแล้ว ทั้งยังมีเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งและคิดค้นท่าไม้ตายที่หกขึ้นมาได้ จึงสำเร็จเป็นขั้นสุดยอดได้!

เจ้าเมืองหลัวก้มหน้าก้มตาตีดาบในมือต่อไปพลางพูดเสียงแผ่วเบา “หากเส้นทางวิญญาณบรรลุถึงขั้นสุด ไม่รู้ว่าจะน่าอัศจรรย์เพียงใด ตงป๋อเสวี่ยอิงน่ะหรือ ไม่แน่ว่าอาจจะมีหวังสำเร็จขั้นคละถิ่นก็เป็นได้! ถึงตอนนั้นข้าก็จะไม่จำเป็นต้องรักษาการณ์อยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว”

เสียงค้อนตอกเหล็กดังก้องขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“ช่างเหล็ก ช่างเหล็ก เอาดาบที่แข็งแกร่งที่สุดของเจ้ามาให้ขาเดี๋ยวนี้ ข้าต้องการดาบที่แข็งแกร่งที่สุด! หากพบดาบที่ข้าพอใจ ข้าย่อมไม่เอาเปรียบเจ้าแน่” เสียงหนึ่งลอยมาจากด้านนอก บุรุษร่างกำยำคนหนึ่งบุกเข้ามา

“มาแล้ว” เจ้าเมืองหลัวพูดพลางหัวเราะ

………………………………….

“หืม”

“เป็นจักรพรรดิสามท่าน ท่านนั้นก็คือจ้าวหิมะเหิน”

ผู้ที่เฝ้าสังเกตการณ์บริเวณรอบๆ มาเป็นระยะเวลานานสังเกตเห็นจักรพรรดิสามท่านและตงป๋อเสวี่ยอิงแต่ก็มิได้เข้ามาขัดขวางห้ามปราม

ถึงอย่างไรไม่ว่าใครๆ ก็รู้ว่าจักรพรรดิท่าหนึ่งร่วมมือกับจ้าวหิมะเหิน ต่างก็สามารถต่อสู้กับยอดเคารพได้แล้ว

“พลังคุกคามน่าหวาดหวั่นนัก” จักรพรรดิวายุทิพย์มองดูกระแสน้ำวนมืดมิดอันใหญ่มหึมาหาใดเปรียบกว้างใหญ่ไพศาลและหัวอสรพิษขนาดใหญ่มหึมาอันดุร้ายหาใดเปรียบแล้วรำพึงว่า “ได้ยินว่าหัวอสรพิษนี้ก็คือหัวอสรพิษของงูใหญ่ตัวหนึ่งที่เป็นหนึ่งในสองสิ่งมีชีวิตคละถิ่นผู้ยิ่งใหญ่ที่ตายตกไปนั่นเอง

ถึงแม้ว่าจะตายไปแล้ว กระแสน้ำวนที่เกิดขึ้นก็ยังไม่มลายหายไปตลอดกาล พวกเราฝืนเข้าไปก็ยังต้องตาย”

ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้ามองดูหัวอสรพิษสูงตระหง่านหาใดเปรียบที่ราวกับสลักเสลาขึ้นจากก้อนหิน ขนาดของหัวอสรพิษก็พอๆ กันกับกระแสน้ำวนมืดมิด ก็เทียบเคียงได้กับอาณาเขตของนครแห่งหนึ่งของรัฐเมฆทักษิณาแล้ว ถ้าหากงูใหญ่ทั้งตัวยังคงอยู่ จะใหญ่โตมโหฬารสักเพียงใดกัน

ร่างกายนี้ใหญ่โตจนยากจะหยั่งคะเนได้แล้ว มิเสียทีที่เป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิด ทั้งยังเป็นสิ่งที่งดงามในบรรดาพวกเขาอีกด้วย อย่างเช่น ‘จักรพรรดิเหวศิลา’ และ ‘ลูกมังกรหมื่นสัมผัส’ เมื่อเปรียบเทียบกับพวกเขา ก็เหมือนกับตั๊กแตนน้อยต่อหน้ามังกรยักษ์

“เป่ยเหอหนีเข้าไปยังทางเดินเขี้ยวอสรพิษแล้ว พวกเราก็ไม่มีทางไล่ล่าสังหารได้”

“นับได้ว่าเขาหนีอย่างรวดเร็วเลยทีเดียว”

“ขอบคุณทั้งสามท่านด้วย เป่ยเหอเข้าไปยังทางเดินเขี้ยวอสรพิษแล้ว เช่นนั้นเรื่องนี้ก็ต้องปล่อยเลยตามเลยไปชั่วคราวก่อนแล้วล่ะ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงและจักรพรรดิสามท่านแยกย้ายกันจากไปตามลำพัง

……

เรื่องนี้เกี่ยวพันไปถึง ‘หยาดน้ำพันเนตร’ นั่นก็คือสมบัติชั้นยอดที่สามารถช่วยให้เข้าไปยังทางเดินเขี้ยวอสรพิษได้ เรื่องราวยังเกี่ยวพันไปถึง ‘ยอดเคารพซื่อฝา’ หนึ่งในห้ายอดเคารพด้วย จักรพรรดิเป่ยเหอและ ‘จ้าวหิมะเหิน’ ผู้บำเพ็ญของดินแดนจิตโลกาผู้นั้นด้วย ดังนั้นข่าวสารจึงแพร่สะพัดไปได้อย่างรวดเร็วยิ่งนัก แพร่ไปถึงผู้แกร่งกล้าระดับยอดสุดของหุบเขาเขี้ยวหักอย่างรวดเร็ว

แต่ละคนต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องนี้

อิจฉา ‘จักรพรรดิเป่ยเหอ’ ผู้นั้น แล้วก็รู้สึกว่า ‘จ้าวหิมะเหิน’ ผู้นี้ช่างน่าสงสารนัก

“เขาช่วยเหลือจักรพรรดิเป่ยเหอ ก็มีความสามารถเทียบได้กับยอดเคารพซื่อฝา แต่นอกจากเคล็ดวิชาวิญญาณแล้ว พลังยุทธ์ของตัวเขาเองก็อ่อนแอเกินไปแล้ว! เผชิญหน้ากับจักรพรรดิเป่ยเหอก็ไม่มีความสามารถที่จะต้านทานได้เลยแม้แต่น้อย ถูกผลาญสังหารได้อย่างง่ายดาย”

“ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงแค่ผู้บำเพ็ญเท่านั้น เดิมทีพลังยุทธ์ของผู้บำเพ็ญก็อ่อนแอเป็นที่สุดอยู่แล้ว”

“พลังยุทธ์ไม่เพียงพอก็ย่อมรักษาหยาดน้ำพันเนตรเอาไว้มิได้อยู่แล้ว”

“หยาดน้ำพันเนตรนั้นเป็นสมบัติล้ำค่าของหุบเขาเขี้ยวหักของข้า ผู้บำเพ็ญของดินแดนจิตโลกาจะมีคุณสมบัติคู่ควรที่จะครอบครองมันได้เสียที่ไหนกัน”

ถึงแม้ว่าผู้แกร่งกล้าระดับยอดสุดภายในหุบเขาเขี้ยวหักจะค่อนข้างเคารพจ้าวหิมะเหิน แต่ก็ยังมีอยู่จำนวนหนึ่งที่ไม่เห็นผู้บำเพ็ญของดินแดนจิตโลกาอยู่ในสายตาเอาเสียเลย ถึง ‘จ้าวหิมะเหิน’ จะมีชื่อเสียงเช่นนี้ แต่ก็มิได้ยอมรับมาโดยตลอด คราวนี้จ้าวหิมะเหินประสบเคราะห์หนัก ก็ย่อมรู้สึกสุขใจเป็นอย่างยิ่งอยู่แล้ว

******

การส่งข่าวสารระหว่างดินแดนจิตโลกาและหุบเขาเขี้ยวหักเชื่องช้าอย่างยิ่ง แต่ว่าหลังจากเรื่องราวเกิดขึ้นไปห้าปีให้หลัง ก็ค่อยๆ แพร่สะพัดมาถึงยังดินแดนจิตโลกาแล้วเช่นกัน

ภายในโถงตำหนักอันมืดสลัวเยียบเย็นแห่งหนึ่ง

เสาที่มีภาพค่ายกลอันแปลกประหลาดต้นแล้วต้นเล่า บนเสาทุกต้นต่างก็มีวิญญาณอาฆาตที่แข็งแกร่งอยู่ตนหนึ่ง

“พรึ่บ” สติรับรู้สายหนึ่งเคลื่อนเข้ามา พลังฟ้าดินรวมตัวกันกลายเป็นชายหนุ่มรูปงามที่มีเสื้อคลุมกันลมผู้หนึ่ง ซึ่งก็คือร่างแปรของบรรพชนราตรีนิรันดร์

ยามที่ร่างแปรของบรรพชนราตรีนิรันดร์มาถึงก็กระตุ้นเตือนวิญญาณอาฆาตบนเสาแต่ละต้นที่อยู่ด้านข้างในทันใด วิญญาณอาฆาตเหล่านี้มีบางส่วนที่ดิ้นรนขึ้นมาแล้วส่งเสียงคำรามพลางจ้องมองบรรพชนราตรีนิรันดร์อย่างขุ่นเคือง มีบางส่วนที่ลืมตาขึ้นมองบรรพชนราตรีนิรันดร์ปราดหนึ่งแล้วก็หลับใหลต่อไป มีบางส่วนที่จ้องมองบรรพชนราตรีนิรันดร์อย่างเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง เสาต้นหนึ่งก็มีวิญญาณอาฆาตที่แข็งแกร่งอยู่หนึ่งตน มีวิญญาณอาฆาตอยู่ทั้งสิ้นสิบสองตน

“ไม่รู้ว่าราชันย์อนธการอมตะผู้นี้กำลังทำอะไรอยู่อีก” บรรพชนราตรีนิรันดร์ลอบบ่นพึมพำ

“ราตรีนิรันดร์ เจ้ามาแล้วสินะ” ราชันย์อนธการอมตะในอาภรณ์ทองงามหรู ศีรษะสวมมงกุฎที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ไกลออกไปลืมตาขึ้นแล้วมองลงมายังบรรพชนราตรีนิรันดร์ “ตอนนี้เจ้าไม่ช่วยเหลือข้าแล้วจะมาหาข้าที่นี่ทำไมกัน”

บรรพชนราตรีนิรันดร์เอ่ยว่า “ราชันย์อนธการ นี่จะมาตำหนิข้ามิได้หรอกนะ ท่านก็รู้ถึงชื่อเสียงของอิงซานเสวี่ยอิงผู้นั้นในตอนนี้ เขามีอิทธิพลอันยิ่งใหญ่ถึงเพียงนั้นในหุบเขาเขี้ยวหัก ผู้แกร่งกล้าของหุบเขาเขี้ยวหักเหล่านั้นต่างก็พากันส่งมอบสมบัติล้ำค่ามากมายให้กับเขา ในภายหน้าก็มีความหวังที่จะไปถึงขั้นสุดยอดได้ เมื่อใดที่ไปถึงขั้นสุดยอด ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเป็นอันดับหนึ่งของดินแดนจิตโลกาก็ได้ ข้ายังอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกนะ! โชคดีที่ข้าขอให้ ‘นิจรัตติกาล’ ช่วยเหลือ ไปพูดคุยให้ รับปากคำสัญญามากมาย จ้าวหิมะเหินนั่นก็รับปากจะแก้แค้นให้”

“หึ ก็แค่กลัวตายเท่านั้นแหละ” ถึงแม้ว่าราชันย์อนธการอมตะจะเข้าใจ แต่ก็ยังหัวเราะเยาะอยู่ดี

“ช่วยไม่ได้นี่” บรรพชนราตรีนิรันดร์ส่ายหน้า

เขาก็รู้สึกเสียเกียรติเช่นเดียวกัน

แต่เขาก็กังวลว่าในภายหน้าจะเผชิญกับการไล่ล่าสังหารของตงป๋อเสวี่ยอิ ถึงขนาดที่มิกล้าไปพูดจาด้วยตนเอง เพราะว่าถึงอย่างไรก็มีความแค้นกัน ขอให้ ‘บรรพชนนิจรัตติกาล’ ช่วยเหลือ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยอมรับปาก ตอนที่เรื่อง ‘หยาดน้ำพันเนตร’ เพิ่งเกิดขึ้นเพียงแค่หนึ่งปีให้หลัง บรรพชนราตรีนิรันดร์ก็ไปพบตงป๋อเสวี่ยอิงตามลำพังอย่างเงียบๆ แล้วขอขมาอีกทั้งยังให้สัตย์สาบานต่อหน้าตงป๋อเสวี่ยอิงด้วย

ผู้บำเพ็ญก็ยังให้ความสำคัญกับการสาบานเป็นอย่างยิ่ง!

อันที่จริงแล้ว

บรรดามารเหล่านี้ อย่างเช่นราชันย์อนธการอมตะ บรรพชนราตรีนิรันดร์ ประมุขรัฐจันทร์บุปผา และมารขั้นสุดยอดคนอื่นๆ จำนวนหนึ่ง ตงป๋อเสวี่ยอิงย่อมมิให้หนทางรอดชีวิตอยู่แล้ว! แต่เพียงแค่ให้สัตย์สาบานตามเงื่อนไข ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รับปากจะไม่ไล่ล่าสังหาร ตงป๋อเสวี่ยอิงทำเช่นนี้ก็เพราะตอนนี้เขาก็ไม่สามารถสังหารขั้นสุดยอดเหล่านั้นได้ ถ้าหากไม่ให้หนทางรอดชีวิตแล้วขั้นสุดยอดเหล่านี้เกิดบ้าคลั่งขึ้นมาจริงๆ ก็จะก่อให้เกิดมหันตภัยครั้งแล้วครั้งเล่าขึ้นมาได้

มีผู้ที่มาขออภัยและให้สัตย์สาบานกันเป็นจำนวนมาก

ก็เหมือนกับพวก ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ นี้ที่มีใจคิดจะสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นเพียงอย่างเดียว ลำพังอาศัยแค่ตนเองบำเพ็ญก็ไม่มีความหวังแต่อย่างใด เขาหมดความมั่นใจไปนานแล้ว คิดแต่จะเข้าไปยัง ‘ทางเดินเขี้ยวอสรพิษ’ เพียงอย่างเดียว ดังนั้นจึงฉีกหน้าตงป๋อเสวี่ยอิง ตอนนี้ก็กำลังจับกุมรวบรวมวิญญาณจำนวนมหาศาลอย่างบ้าคลั่ง สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนต้องจบชีวิตลงเพราะเขา ตอนนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิอาจต้านทานสิ่งนี้ได้!

“เขา อิงซานเสวี่ยอิงอยู่ที่หุบเขาเขี้ยวหัก คราวนี้ก็จะไม่ประสบเคราะห์อีกเหมือนกันหรือ” ราชันย์อนธการอมตะยิ้มหยัน “เขาถึงกับโชคดีเคยได้ ‘หยาดน้ำพันเนตร’ มาครอบครอง แต่พลังยุทธ์ไม่เพียงพอ ในที่สุดก็ถูกผู้อื่นชิงสมบัติไป ก่อนหน้านี้จักรพรรดิเป่ยเหอรักษามารยาทต่อเขาเป็นอย่างยิ่ง แต่บอกว่าแปรพักตร์ไม่แปรพักตร์น่ะหรือ หึๆ ยามปกติเหล่าผู้แกร่งกล้าของหุบเขาเขี้ยวหักก็ยังสามารถไว้หน้าเขาได้บ้าง แต่เมื่อเกี่ยวพันไปถึงโอกาสในการสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่น เขา อิงซานเสวี่ยอิงจะนับเป็นอะไรได้เล่า”

“ถูกต้อง ผู้แกร่งกล้าเหล่านั้นของหุบเขาเขี้ยวหักก็เพียงแค่รู้สึกว่าเขามีประโยชน์ใช้ได้อย่างคุ้มค่าเท่านั้นแหละ” บรรพชนราตรีนิรันดร์พยักหน้า “ถึงอย่างไรเมื่อพูดถึงพลังยุทธ์ สุดท้ายแล้วพวกเราผู้บำเพ็ญก็ด้อยกว่าผู้แกร่งกล้าของหุบเขาเขี้ยวหักมากมายนัก หยวนเองก็ได้บัญญัติกฎเกณฑ์เอาไว้ ทำให้สุดยอดผู้แกร่งกล้าของหุบเขาเขี้ยวหักไม่สามารถเข้ามายังดินแดนจิตโลกาได้”

……

เหล่าสุดยอดผู้บำเพ็ญของดินแดนจิตโลกา

มีบางคนที่ยอมจำนนต่ออิทธิพลของตงป๋อเสวี่ยอิง ยอมขอขมาและยอมแพ้ มีบางคนที่อิจฉาริษยา หลังจากที่ได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นในหุบเขาเขี้ยวหักแล้วต่างก็ลอบหัวเราะเยาะกันเป็นจำนวนมาก

“ดูจากความโอหังของเขา ก็ยังพูดว่าในอนาคตอาจเป็นผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งของดินแดนจิตโลกา แต่ตอนนี้ที่หุบเขาเขี้ยวหัก ผู้แกร่งกล้าของหุบเขาเขี้ยวหักเหล่านั้นไม่บอกว่าแปรพักตร์ก็แปรพักตร์อย่างนั้นหรือ”

“ถึงอย่างไรพลังยุทธ์ก็อ่อนแออยู่ดี”

“ต่างก็ว่ากันว่าเขามีหวังที่จะสำเร็จเป็นขั้นสุดยอด แต่ก็ไม่แน่ว่าเมื่อติดขัดแล้วก็ไม่รู้ว่าจะค้างอยู่เป็นเวลาเนิ่นนานเท่าใด”

แต่ละฝ่ายลอบวิพากษ์วิจารณ์

สิ่งที่ทุกคนพูดก็มีเหตุผล! อยากจะไปถึงขั้นสุดยอดนั้นช่างยากเย็นเป็นอย่างยิ่ง อาวุธเทพคละถิ่น เพราะว่าจ้าวหิมะเหินที่ร่ำลือกันมีสุดยอดเคล็ดสืบทอดลับ บวกกับโอกาสมากมายในหุบเขาเขี้ยวหัก ต่างก็คิดว่าความหวังในการสำเร็จเป็นขั้นสุดยอดของเขานั้นมีมากมายนัก แต่ต่อให้มีความหวังมากกว่านี้ก็เป็นเพียงแค่ ‘ความหวัง’ เท่านั้น ตราบใดที่ยังไม่บรรลุ ก็ไม่รู้ว่าจะหยุดยั้งอยู่ที่จุดคอขวดไปเนิ่นนานเพียงใด

******

โลกภายนอกอันวุ่นวาย ภายในเมืองหิมะเหิน ตงป๋อเสวี่ยอิงผ่านวารวันไปอย่างเรื่อยเปื่อยเช่นเดิม

บอกว่าเป็นอันดับหนึ่งของดินแดนจิตโลกาในอนาคตอะไรกัน

บอกว่าจะติดค้างอยู่ที่จุดคอขวด ค้างเนิ่นนานเพียงใดกัน

บอกว่าที่หุบเขาเขี้ยวหักก็จะถูกรังแกได้อย่างง่ายดายอันใดกัน

“เสวี่ยอิง เรื่องหยาดน้ำพันเนตรนั่นเป็นความจริงหรือ” ประมุขรัฐเมฆทักษิณามาถามไถ่ด้วยตนเอง

“ท่านอาจารย์ เชิญนั่ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงดูเมฆที่บางครั้งก็รวมตัว บางครั้งก็กระจายตัว มองเห็นอาจารย์มาถึงก็เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม

“ถามเรื่องของเจ้านั่นแหละ” หลังจากที่ประมุขรัฐเมฆทักษิณานั่งลงแล้วตนเองก็รินสุราให้กับคนเอง ดื่มสุราไปจอกหนึ่งแล้วก็จ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิง

“เป็นความจริงขอรับ! นี่ก็เป็นเรื่องปกติ นอกจากเคล็ดวิชาวิญญาณแล้ว พูดถึงพลังยุทธ์ในการห้ำหั่นซึ่งหน้า ข้าจะนับเป็นอะไรที่หุบเขาเขี้ยวหักได้เล่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ

“โธ่! ช่างน่าเสียดายนัก โอกาสในการเข้าไปยังสถานที่ต้องห้ามในตำนานของหุบเขาเขี้ยวหักอยู่ตรงหน้าแล้วก็ต้องมาพลาดพลั้งไปเช่นนี้” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาเอ่ย ก่อนหน้านี้เขาก็ไม่รู้ว่าทางเดินเขี้ยวอสรพิษคืออะไร แต่พอข่าวนี้แพร่ออกไปแล้วเขาจึงได้ถามไถ่ดูอย่างละเอียด จึงได้รู้ถึงความลึกลับอันแสนพิเศษของทางเดินเขี้ยวอสรพิษ แม้กระทั่งห้ายอดเคารพของหุบเขาเขี้ยวหักก็ยังอยากเสี่ยงชีวิตเข้าไปเลย

“ไม่มีสิ่งใดให้เสียดายเลยขอรับ แต่ไหนแต่ไรข้าก็ไม่คิดว่าตนเองจะสามารถครอบครองหยาดน้ำพันเนตรหยดนั้นเอาไว้เพียงคนเดียวได้อยู่แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด เขาสงบนิ่งมาโดยตลอด ไม่เคยคาดหวังมาก่อนเลย “เพียงแต่ข้ามองจักรพรรดิเป่ยเหอผิดไป ข้าได้ให้สัญญาและสาบานไปมากมายแล้ว ถึงขนาดที่รับปากว่าร่างแยกร่างนั้นจะติดตามอยู่ข้างกายเขาไปตลอด เขาก็ยังไม่วางใจแล้วกลับเลือกที่จะล่วงเกินข้า และต้องการจะช่วงชิงหยาดน้ำพันเนตรหนีไปในทันที”

ประมุขรัฐเมฆทักษิณาฟังแล้วก็พยักหน้า “อืม เสียดาย ถ้าหากพลังยุทธ์ของเจ้า เสวี่ยอิง แข็งแกร่งพอ สามารถเทียบเคียงได้กับระดับอย่างจักรพรรดิเซี่ยนี้ บวกกับเคล็ดเขตลวง ก็คงไร้ซึ่งความหวาดหวั่นแม้แต่น้อย”

ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวเราะ

สุดท้ายพลังยุทธ์ก็สู้ผู้อื่นมิได้ ไม่มีอะไรให้น่าพูดถึงเลย

……

เรื่องหยาดน้ำพันเนตรแพร่กระจายไปยังหุบเขาเขี้ยวหักและดินแดนจิตโลกา แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับเจียมเนื้อเจียมตัวบำเพ็ญมาโดยตลอด

วันนี้

ณ จวนจ้าวในเมืองหิมะเหิน

ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งอยู่ใต้ศาลา มองดูฝูงปลาแหวกว่ายกลางทะเลสาบ ทันใดนั้นก็นึกถึงภาพเหตุการณ์ที่เคยเกิดนั้นขึ้นมา

ภาพเหตุการณ์ที่สิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่น่าหวาดหวั่นตนนั้นเหินทะยานอยู่กลางห้วงมิติคละถิ่นอันไร้ซึ่งขอบเขต

“สิ่งมีชีวิตคละถิ่นเช่นนี้ ทุกการเคลื่อนไหวต่างก็มีพลังคุกคามอย่างยากที่จะจินตนาการได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงจดจำเอาไว้อย่างล้ำเลิศยิ่ง สามารถจดจำทุกสิ่งอย่างเอาไว้ได้อย่างแจ่มชัด ยามที่สิ่งมีชีวิตคละถิ่นนั้นเหินทะยานแหวกว่ายมีความเร้นลับอื่นๆ แฝงเอาไว้บนร่างก็แล้วไปเถิด แต่ ‘วิถีอากาศ’ เป็นความเชี่ยวชาญที่สุดของเขา ขณะนี้ก็ระลึกถึงภาพเหตุการณ์นั้นอย่างต่อเนื่องอย่างห้ามมิได้ ใคร่ครวญถึงความเร้นลับวิถีอากาศที่แฝงอยู่ในการเหินทะยานแหวกว่ายของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นนั้น

เหินทะยานแหวกว่าย

การสั่นสะท้านครั้งหนึ่งก็สามารถบินผ่านระยะทางห่างไกลของโลกกำเนิดแห่งหนึ่งได้อย่างง่ายดายแล้ว การควบคุมวิถีอากาศก็ไปถึงระดับที่ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึงได้อย่างง่ายดาย

“ช่างงดงามสมบูรณ์แบบเหลือเกิน”

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไม่เห็นข้อบกพร่องใดๆ ของการเหินทะยานแหวกว่ายนี้เลย

ทั้งหมดทั้งมวลรวมกันเป็นหนึ่งเดียว!

เขาชื่นชมในความงดงามนี้ ชื่นชมความไม่ธรรมดาทุกการเคลื่อนไหวยามที่สิ่งมีชีวิตคละถิ่นขนาดมหึมานั้นเหินทะยานแหวกว่าย

“ภาพฟ้าภาพดินผสานรวม!”

“ภาพสาย กลับงดงามถึงเพียงนี้”

“ภาพปะทุ ก็สามารถบ้าคลั่งได้ถึงเพียงนี้”

ตงป๋อเสวี่ยอิงชื่่นชม แล้วในห้วงสมองก็มีแสงทิพย์วิญญาณ์สายหนึ่งวาบผ่านอย่างช้าๆ

ร่างแยกของเขาภายใน ‘เจดีย์เจ็ดระฆัง’ ก็ปลีกวิเวกหยั่งรู้วิถีอากาศมาโดยตลอด ก็ได้รับอะไรมามากมาย เขาต้องการที่จะคิดค้นท่าไม้ตายที่หกของวิถีอากาศออกมาโดยตลอด ตอนนี้ในขณะนี้ แสงทิพย์วิญญาณ์ปรากฏขึ้น การตระหนักรู้มากมายในอดีตถูกร้อยเรียงเข้าด้วยกันราวกับลูกปัดก็มิปาน

“ภาพฟ้า ภาพดิน ภาพลวง ภาพปะทุ และภาพแก่นพัวพันรัดเกี่ยวกัน รวมกันด้วยภาพอากาศ! แล้วสร้างความเชื่อมโยงกันด้วย ‘ภาพสาย’…” ในห้วงสมองของตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏภาพยามที่สิ่งมีชีวิตคละถิ่นขนาดมหึมาตนนั้นโบกสะบัดหางยามที่เหินทะยาน โบกสะบัดครั้งหนึ่งก็มี ‘ภาพสาย’ มากมาย ภาพสายที่แตกต่างกันผสานรวมเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบ

“ภาพสายสามเส้นก็ใช้ได้แล้ว”

“ภาพสายสามเส้นผสานรวมเข้าด้วยกัน รวมกันด้วยวิถี ‘ทวีคูณ’”

“รวมกำลัง กลับคืนสู่มหาวิบัติ!”

ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยสีหน้าตื่นเต้นยินดีออกมา เขาอยากทำให้เก้าสายผสานรวมกันมาโดยตลอด จนถึงขนาดสั่งสมไปจนถึงระดับที่หนาแน่นหาใดเปรียบ ขาดเพียงแค่แสงทิพย์วิญญาณ์สุดท้ายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ในที่สุดขณะนี้เขาก็ตระหนักรู้แล้ว ตระหนักรู้แสงทิพย์วิญญาณ์จุดหนึ่งขึ้นมาจากการชื่นชมภาพเหตุการณ์ที่สิ่งมีชีวิตคละถิ่นอันน่าหวาดหวั่นนั้นแหวกว่าย ซึมซับการหยั่งรู้จำนวนนับไม่ถ้วนอย่างรวดเร็ว

…………………………………………………

ในมือของจักรพรรดิเป่ยเหอก็มีกระบี่เล่มหนึ่งปรากฏขึ้น ประกายกระบี่แปรเปลี่ยนกลายเป็นกระแสน้ำเชี่ยวกรากสายหนึ่ง กระแสน้ำไหลมาล้อมรอบตงป๋อเสวี่ยอิงและจักรพรรดิเป่ยเหอเอาไว้

แต่ยอดเคารพซื่อฝาได้รับอิทธิพลของเขตลวง ฝ่ามือที่โจมตีเข้ามาชะงักไปอย่างเห็นได้ชัด พลังคุกคามลดทอนลงไปไม่น้อย แต่ก็ยังคงทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกถึงพลังคุกคามอันไร้ที่สิ้นสุด

“ครืน…”

ฝ่ามือนี้โจมตีเข้ามาเป็นลำแสงสีดำอันไร้ที่สิ้นสุด ทำให้กระแสน้ำประกายกระบี่ของจักรพรรดิเป่ยเหอบิดเบี้ยวไปเสียแล้ว จักรพรรดิเป่ยเหอพาตัวตงป๋อเสวี่ยอิงร่นถอยไปอย่างรวดเร็วในทันที!

บริเวณที่ฝ่ามือปะทะกับกระแสน้ำประกายกระบี่ก็มีกลิ่นอายดำทะมึนจำนวนนับไม่ถ้วนแปรเปลี่ยนเป็นงูเล็กหลายตัวเลื้อยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง! งูเล็กเหล่านี้ส่งเสียง ฉึกๆๆ ภายใต้การขัดขวางของประกายกระบี่ หดตัวลงอย่างต่อเนื่องจนหมดสิ้นไปในที่สุด แต่ก็ยังมีงูเล็กสีดำจำนวนหนึ่งเลื้อยมาถึงตัวตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างรวดเร็ว จักรพรรดิเป่ยเหอก็ฟาดฟันกระบี่อย่างต่อเนื่องด้วยความเดือดดาลจึงฝืนเปิดออกได้จนหมด

“ยอดเคารพซื่อฝา ท่านต้านทานพวกเราไม่อยู่หรอก” จักรพรรดิเป่ยเหอเอ่ยคำราม

ระลอกการโจมตีต่อสู้ของสองฝ่ายปะทะไปทุกทิศทุกทาง ทั้งยังส่งผลกระทบบนร่างตงป๋อเสวี่ยอิง ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงมิอาจหายใจได้ ผิวหนังก็เจ็บแปลบราวกับถูกฉีกทึ้ง มีบาดแผลจำนวนหนึ่งปรากฏขึ้น

“น้องหิมะเหิน แม้กระทั่งสิ่งนี้เจ้าก็ต้านทานไม่ไหวหรือ” จักรพรรดิเป่ยเหอได้เห็นเหตุการณ์แล้วก็อดถ่ายเสียงไม่ได้ พลังคุกคามอันร้ายกาจเขาก็ต้านทานเอาไว้ไม่อยู่แล้ว เพียงแค่ระลอกคลื่นการโจมตีเท่านั้น ระดับอ๋องสามัญธรรมดาของเผ่ามรณะทมิฬและชนพื้นเมืองดั้งเดิมต่างก็สามารถต้านทานได้ แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับต้านไม่อยู่

“น่าอายนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงจนใจ พลังยุทธ์ของตัวเขาอ่อนแอเกินไป ได้แต่เอาร่างกายไปต้านทานเท่านั้น ถึงแม้ว่าร่างกายจะนับว่าร้ายกาจในบรรดาผู้บำเพ็ญ พลังถอดถอนก็นับได้ว่าค่อนข้างแข็งแกร่ง แต่กลับไม่มีทางเทียบกับผู้แกร่งกล้าชนพื้นเมืองดั้งเดิมที่มีสายโลหิตได้ ก็ยิ่งไม่มีทางเปรียบกับเผ่ามรณะทมิฬได้เลย ร่างกายของเผ่ามรณะทมิฬก็แข็งแกร่งกว่าชนพื้นเมืองดั้งเดิมอยู่ขั้นหนึ่ง

ยอดเคารพซื่อฝาหยุดลงเสียแล้ว

เขายืนอยู่บนใบไม้สีดำใบไม้สีดำใบหนึ่งอย่างเงียบๆ ใบไม้สีดำและดอกไม้สีม่วงที่อยู่บริเวณรอบๆ ก็เต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง ดอกไม้แหลกสลายไปมากพอสมควร แต่ยอดเคารพซื่อฝาก็มิได้ใส่ใจ เพราะดอกไม้ก็จะเบ่งบานได้ใหม่ตามกาลเวลา

“พวกเจ้าช่างโชคดีเสียจริง” ยอดเคารพซื่อฝาเอ่ยเสียงต่ำ

“เป็นน้องหิมะเหินต่างหากที่โชคดี” จักรพรรดิเป่ยเหอพูดยิ้มๆ การประมือเมื่อครู่ทำให้เขายิ่งมีความมั่นใจว่าพลังยุทธ์ของยอดเคารพซื่อฝายังคงเหลืออยู่ราวๆ เจ็ดส่วน! ถึงแม้ว่าจะแข็งแกร่งกว่าจักรพรรดิเป่ยเหออย่างเขาอยู่บ้าง แต่ข้อได้เปรียบเล็กน้อยนี้ก็สามารถห้ำหั่นได้เป็นแสนเป็นล้านปีโดยยากจะบอกแพ้ชนะได้! ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าใต้บังคับบัญชาของเขา จักรพรรดิเป่ยเหอจะยังมีแม่ทัพเทพสิบคนอยู่ด้วย

นี่ก็เป็นเพราะเขาเจตนาเลือกสิบอันดับแรกในบรรดาสามสิบหกแม่ทัพเทพมา แต่ผู้ใต้บังคับบัญชาของยอดเคารพซื่อฝา ภายใต้อิทธิพลของเขตลวง ก็สามารถเพิกเฉยต่อภัยคุกคามได้

“ข้าต้านทานพวกเจ้าไม่อยู่” ยอดเคารพซื่อฝาพยักหน้ายอมรับ “แต่ว่าหยาดน้ำพันเนตรมีอยู่เพียงหยดเดียวเท่านั้น พวกเจ้าสองคนจะแบ่งกันอย่างไรเล่า”

ตงป๋อเสวี่ยอิงและจักรพรรดิเป่ยเหอประสานสานตากันคราหนึ่ง

แบ่งกันอย่างไรหรือ

“น้องหิมะเหิน ตอนนี้พวกเราสองคนลงเรือลำเดียวกันแล้ว ไม่สามารถแยกจากกันได้หรอก”

จักรพรรดิเป่ยเหอถ่ายเสียง “มีเพียงการร่วมมือกันเท่านั้นจึงจะสามารถจากไปได้อย่างปลอดภัย”

“จ้าวหิมะเหิน” ยอดเคารพซื่อฝาร่อนลงบนใบไม้สีดำใบหนึ่งเบาๆ พลางเอ่ยปากพูดว่า “พลังยุทธ์ของเจ้าในตอนนี้ ไปยังทางเดินเขี้ยวอสรพิษก็มิได้มีความหมายมากมายสักเท่าใดนักหรอก ถึงอย่างไรเจ้าก็ยังไปไม่ถึงขั้นสุดยอดเลยเสียด้วยซ้ำ! เช่นนี้มิสู้เจ้ากับข้าทำข้อตกลงกันสักอย่าง ให้เจ้าทอดทิ้งเป่ยเหอผู้นี้ เอาหยาดน้ำพันเนตรให้ข้า แล้วเจ้าอยากจะได้อะไรก็จงบอกมาให้หมด! ข้าจะทุ่มเทอย่างสุดกำลังเพื่อให้เจ้าได้มันมาครอง”

ห้ายอดเคารพ นี่เป็นครั้งแรกที่มียอดเคารพให้คำมั่นสัญญาเช่นนี้กับตงป๋อเสวี่ยอิง

“เป่ยเหอ” ยอดเคารพซื่อฝามองไปทางจักรพรรดิเป่ยเหอ “ถึงแม้ว่าจ้าวหิมะเหินผู้นี้จะอยู่ภายใต้การคุ้มกันของเจ้า แต่เจ้าก็สามารถสังหารเขาได้ตลอดเวลา แต่ได้ยินมาว่าเขามีร่างแยกจำนวนนับไม่ถ้วน ถึงเจ้าจะทำลายร่างแยกเหล่านี้ของเขาทิ้งไปก็ไม่มีผลกระทบอันใดต่อเขาหรอก สำหรับ ‘หยาดน้ำพันเนตร’ เมื่อไม่มีความช่วยเหลือของจ้าวหิมะเหินแล้ว เจ้าคิดว่าเจ้าจะสามารถหนีออกไปจากเกาะซื่อฝาอันรกร้างของข้าไปได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่กันเล่า เพื่อหยาดน้ำพันเนตรหยดนี้ ข้ายอมขายหน้าสักครั้งหนึ่ง ล้อมโจมตีเจ้าพร้อมกับผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าได้นะ! พอถึงเวลา เจ้าไม่เพียงแต่จะไม่มีหยาดน้ำพันเนตรเท่านั้น แม้กระทั่งชีวิตก็จะไม่มีด้วย!”

จักรพรรดิเป่ยเหอสีหน้าไม่น่าดู

ใช่แล้ว

ถ้าหากตงป๋อเสวี่ยอิงเลือกที่จะช่วยยอดเคารพซื่อฝา จักรพรรดิเป่ยเหอก็จะประสบภยันตรายถึงชีวิตจริงๆ หากเป็นยามปกติ ยอดเคารพก็ย่อมรังเกียจการล้อมโจมตีอยู่แล้ว

แต่ ‘หยาดน้ำพันเนตร’ นั้นเกี่ยวโยงกับโอกาสในการเข้าสู่ทางเดินเขี้ยวอสรพิษ สำหรับห้ายอดเคารพแล้วก็มีเพียงการสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นเท่านั้นจึงจะสามารถทำให้พวกเขาไม่สนใจหน้าตา ลงมือโดยไม่เลือกวิธีการได้!

“น้องหิมะเหิน ยอดเคารพซื่อฝาผู้นี้เชื่อถือมิได้หรอก” จักรพรรดิเป่ยเหอถ่ายเสียงพูด “หรือว่าเจ้ายังไม่รู้อุปนิสัยของเผ่ามรณะทมิฬอีกเล่า อารมณ์เปลี่ยนแปรไปมา เป็นมารไปจนเข้ากระดูก!”

ตงป๋อเสวี่ยอิงเงียบงัน

จักรพรรดิเป่ยเหอยิ่งกระวนกระวาย!

เขาก็อยากได้หยาดน้ำพันเนตรมาครองเป็นที่สุด อีกทั้งยังเป็นกังวลถึงความปลอดภัยในชีวิตอีกด้วย

“แปลกประหลาดนัก” ขณะนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงกุมหยาดน้ำพันเนตรเอาไว้ แต่กลับสัมผัสได้ถึงระลอกคลื่นสายแล้วสายเล่า หลังจากที่สติรับรู้แทรกซึมไปแล้วก็รู้สึกได้อย่างลางๆ ว่าภายในคือโลกลวงแห่งหนึ่ง คือ ‘โลกพันเนตร’ อันลึกลับหาใดเปรียบ!

“นี่ก็คือสิ่งมีชีวิตคละถิ่นอันน่าหวาดหวั่นตนนั้น เป็นสถานที่ซึ่งความลึกลับของดวงตาสีเทา และการผลาญสังหารของดวงตาสีทองสามารถสำแดงออกมาได้พร้อมกันอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเริ่มเข้าใจ เป็นถึงยอดฝีมือทางด้านวิถีเขตลวงโลกเทียม เขาก็เข้าใจกระจ่างดียิ่งว่าอย่างเช่นท่าไม้ตายแรกของวิถีเขตลวงโลกเทียมที่ตนคิดค้นขึ้นนั้นสามารถทำให้ศัตรูจ่อมจมได้

ศักยภาพของท่าไม้ตายนี้ก็คือโลกลวงแห่งหนึ่งไปห่อหุมศัตรูเอาไว้! แล้วฉุดลากวิญญาณของศัตรูให้เข้าไปภายในเขตลวงนี้

ส่วนดวงตาสีทองนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็จดจำส่วนประกอบเขตลวงภายในดวงตาสีทองมากมายเอาไว้แล้ว ถึงขนาดที่ตอนนี้ยังมีร่างแยกไปบุกเกาะแก่งแต่ละแห่งที่มีดวงตาสีเทาและดวงตาสีทองกับ ‘แม่ทัพเทพรัศมีศิลา’ แม่ทัพเทพอันดับหนึ่งภายใต้บังคับบัญชาของจักรพรรดิวายุทิพย์อย่างต่อเนื่องอีกด้วย เขาจดจำส่วนประกอบเขตลวงของดวงตาลึกลับเอาไว้มากขึ้นเรื่อยๆ

กับการจดจำส่วนประกอบเขตลวงของดวงตาสีทอง การเข้าใจและเรียนรู้มัน ไปตระหนักรู้ท่าไม้ตายที่สอง ก็เริ่มมีโครงร่างคร่าวๆ แล้ว

แต่ท่าไม้ตายที่หนึ่งกับท่าไม้ตายที่สองในจินตนาการนั้นไม่มีทางที่จะสำแดงต่อศัตรูคนหนึ่งพร้อมกันได้

เพราะว่าท่าไม้ตายทั้งสองล้วนเป็นโลกเขตลวงทั้งสิ้น!

โลกเขตลวงแห่งหนึ่งทำให้ศัตรูหลงใหล

โลกเขตลวงอีกแห่งหนึ่งผลาญสังหารศัตรูภายในเขตลวง

เขตลวงทั้งสองแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

และวิญญาณของศัตรูก็สามารถถูกฉุดลากเข้าไปยังเขตลวงได้เพียงแห่งเดียวเท่านั้น เมื่อเข้าไปในเขตลวงแห่งหนึ่งแล้วก็ไม่มีทางเข้าไปยังเขตลวงแห่งที่สองในเวลาเดียวกันได้อีก ทั้งสองนั้นเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกัน! ถึงอย่างไรยามอยู่ที่เทพจักรวาลชั้นที่หนึ่ง เวลานั้นห้าสายของวิถีโลกเทียมก็มิได้ผสานรวมซึ่งกันและกัน เคล็ดวิชาค่อนข้างผิวเผิน อย่างเช่นการล่อลวงก็เป็นการล่อลวงเพียงอย่างเดียวล้วนๆ ‘โลก’ ก็เป็นโลกเขตลวง ‘ผลาญสังหาร’ ก็ผลาญสังหารวิญญาณโดยตรง! ในทางกลับกันก็สามารถสำแดงพร้อมๆ กันได้

แต่มาถึงระดับพลังยุทธ์อย่างตงป๋อเสวี่ยอิง เขตลวงโลกเทียมกระบวนท่าเดียวก็แฝงเอาไว้ด้วยความเร้นลับมากมาย ‘วิถีโลกา’ ก็ผสานรวมกันไปก่อนแล้วจึงมีพลังคุกคามอันน่าหวาดหวั่นเช่นนั้นได้

มีเขตลวงแห่งหนึ่งก็ไม่มีทางทำให้ศัตรูเข้าไปสู่เขตลวงแห่งที่สองในเวลาเดียวกันได้

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงรับสัมผัสหยาดน้ำพันเนตรหยดนี้

ภายในหยาดน้ำพันเนตรก็มีโลกลวงแห่งหนึ่งอยู่รางๆ

โลกแห่งนี้ทำให้เขตลวงมายาของดวงตาสีเทากับเขตลวงผลาญสังหารของดวงตาสีทองผสานเข้าด้วยกันโดยสมบูรณ์

“หยาดน้ำพันเนตรหยดนี้มีประโยชน์ต่อข้าเป็นอย่างยิ่ง”

“ดวงตาสีเทาและดวงตาสีทองทำให้ข้าสามารถมองวิถีสองสายออกได้”

“แต่หยาดน้ำพันเนตรหยดนี้กลับสามารถทำให้วิถีสองสายรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ นี่จึงจะเป็นท่าไม้ตายที่แท้จริงของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นอันน่าหวั่นเกรงนั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ สองกระบวนท่ารวมเป็นหนึ่ง น่าหวาดหวั่นเพียงใด ในขณะเดียวกันกับที่ศัตรูกำลังต่อต้านภาพลวงอยู่นั้น เดิมทีพลังจิตก็ลดต่ำลงอย่างมหาศาลแล้ว ทั้งยังเผชิญกับการโจมตีผลาญสังหารวิญญาณ เกรงว่าคงจะได้รับบาดเจ็บสาหัสยิ่งขึ้นอีก พอวิญญาณได้รับบาดเจ็บแล้วการต้านทานภาพลวงก็จะยิ่งกินแรงมากยิ่งขึ้นอีก

สองกระบวนท่าส่งเสริมซึ่งกันและกัน

“หยาดน้ำพันเนตรมีความสำคัญต่อข้าเป็นอย่างยิ่ง แต่ถ้าหากข้าจะยึดครองเอาไว้คนเดียวเล่า ยอดเคารพซื่อฝาย่อมไม่มีทางรับปากแน่นอน ส่วนจักรพรรดิเป่ยเหอก็เกรงว่าคงจะไม่รับปากเช่นเดียวกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ “ต่อให้เห็นด้วยชั่วคราวเพราะความปลอดภัยของชีวิต เกรงว่ายามที่ไปจากเกาะแห่งนี้แล้วก็อาจจะลงมือสังหารได้!”

“ยอดเคารพซื่อฝาเป็นชนเผ่ามรณะทมิฬ ไม่ควรค่าแก่การเชื่อถือ จักรพรรดิเป่ยเหอก็ยังพอจะเชื่อถือได้อยู่บ้าง”

“แต่ข้าไม่สามารถยึดครองเอาไว้คนเดียวได้ ก็ได้แต่ทำข้อตกลงกับเขาแล้วกระมัง”

ตงป๋อเสวี่ยอิงใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว

เขามีความสนใจในทางเดินเขี้ยวอสรพิษเป็นอย่างยิ่ง

แต่เขาก็ยังไม่มุ่งมาดปรารถนาเป็นการชั่วคราว! ข้อแรกคือเขาหวังจะไปถึงขั้นสุดยอดให้เร็วหน่อยมากกว่า เช่นนี้จึงจะสามารถช่วยเหลือญาติสนิทมิตรสหายของตนได้ก่อนมหาวินาศของโลกกำเนิดบ้านเกิด ข้อสอง ‘โลกลวง’ ที่แฝงอยู่ภายในหยาดน้ำพันเนตรต่างหากที่เป็นสิ่งที่เขาให้ความสำคัญ เข้าไปเผชิญอันตรายในทางเดินเขี้ยวอสรพิษหรือ รอให้ตนสำเร็จเป็นขั้นสุดยอดก่อนค่อยว่ากันเถิด

“จักรพรรดิเป่ยเหอ ท่านต้องการหยาดน้ำพันเนตรมากอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูด

“พูดตามจริง ข้าย่อมต้องอยากได้มาครองแน่นอนอยู่แล้ว” จักรพรรดิเป่ยเหอหัวใจเต้นรัวเร็วยิ่งขึ้น เขามองตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วถ่ายเสียงพูด “บนเส้นทางการบำเพ็ญของข้าห่างจากระดับจักรพรรดิขั้นสมบูรณ์อีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้น แต่ข้าเป็นผู้ที่เยาว์วัยที่สุดในบรรดาจักรพรรดิทั้งหมด ก็ยังไม่เคยไปที่ทางเดินเขี้ยวอสรพิษมาก่อนเลย! ถ้าหากข้าสามารถไปได้ บางทีก็อาจจะสามารถสำเร็จเป็นยอดเคารพได้ แต่ถ้าหากน้องหิมะเหินต้องการ ก็สามารถคุยกันได้นะ”

……………………………………………

ประกายสีม่วงที่ดอกใบไม้ดำดอกใหญ่ที่สุดซึ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลางหลายสิบลี้ดอกนั้นแผ่ออกมา ช่างระยิบระยับจับตาถึงเพียงนั้น ช่างชวนให้คนมึนเมา แม้กระทั่งยอดเคารพซื่อฝา จักรพรรดิเป่ยเหอและบรรดาผู้คนที่ชมดูอยู่ข้างๆ จำนวนหนึ่งทั้งพรั่นพรึงทั้งถูกดึงดูดด้วยสิ่งนี้ พวกเขามองดูเงาร่างหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวที่เดินมาถึงบนใบไม้ดำตรงกึ่งกลางผู้นั้นแล้ว แต่ละตนต่างก็เกิดความพรั่นพรึง ความอิจฉาริษยา และความเหลือเชื่อขึ้นในใจ…

ความรู้สึกต่างๆ นานา ช่างสลับซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง

“เขาถึงกับสามารถขึ้นไปแล้วเดินไปถึงจุดศูนย์กลางได้เชียวหรือ” ยอดเคารพซื่อฝามีสถานะเช่นนี้ ก็ยังอดที่จะเอ่ยพึมพำเสียงต่ำกับตนเองมิได้ ทะเลสาบใบไม้ดำก็อยู่บนเกาะของเขา เขาทดสอบดูตั้งไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว ภายใต้ความกดดันอันน่าหวาดหวั่นนั้น วิญญาณของเขาก็ต้านทานไม่อยู่ ได้แต่หยุดฝีเท้าเอาไว้เท่านั้น

“คิดไม่ถึงว่าข้าเชิญเขามาช่วยเหลือ ในท้ายที่สุดแล้วกลับกลายเป็นเขาที่ได้รับผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่ที่สุดไป!” จักรพรรดิเป่ยเหอก็หยุดลงเก็บสะสมน้ำค้างบุปผา เขาเป็นจักรพรรดิที่ก้าวหน้าขึ้นมาใหม่ที่สุด แต่กลับกลายเป็นผู้ที่มีพลังยุทธ์แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาจักรพรรดิในตอนนี้ ก็เพราะพยายามไขว่คว้าโอกาสทุกครั้งเอาไว้ ขณะนี้เขาเข้าใจโดยสัญชาตญาณว่าใบไม้ดำที่อยู่ตรงกลางนั้นให้ความรู้สึกกดดันน่าหวาดหวั่นถึงเพียงนี้ และประกายอันลึกลับที่ดอกไม้สีม่วงแผ่ออกมาในขณะนี้ หากไม่มี ‘โอกาสอันยิ่งใหญ่’ ตัวเขาเองก็ยังไม่เชื่อเลย!

เขาปรารถนาให้โอกาสเช่นนี้หล่นมาใส่มือตน

แต่เขาย่อมไม่มีทางเหยียบไปบนใบไม้ตรงกลางจุดศูนย์กลางได้ ไม่มีคุณสมบัติจะไปสู้ ไม่ต้องพูดถึงเขาเลย แม้กระทั่งยอดเคารพก็ยังไม่สามารถป่ายปีนขึ้นไปได้เลย

ในขณะนั้นทุกคนต่างก็กำลังมองดูอยู่ มองอย่างอิจฉาริษยา แต่กลับไม่สามารถไปสู้ด้วยได้

“นั่นคือสิ่งใดหรือ”

“ของสิ่งใดกัน”

ยอดเคารพซื่อฝาและคนอื่นๆ ตกตะลึงในทันใด

เห็นเพียงว่าในขณะที่ดอกใบไม้ดำที่เป็นแก่นสำคัญที่สุดนั้นกำลังเปล่งประกายสีม่วงระยิบระยับไปทั่วทุกทิศทุกทาง ทันใดนั้นหยาดน้ำค้างเรืองรองหยดแล้วหยดเล่าก็ลอยขึ้นมา หยาดน้ำค้างหยดแล้วหยดเล่านั้นสามารถมองเห็นได้อย่างลางๆ กลางอากาศ มันหักเหแสงภายใต้ประกายระยิบระยับ เพียงแต่ว่าในหยาดน้ำค้างนี้มีเงาร่างสิ่งมีชีวิตอันแปลกประหลาดอยู่ร่างหนึ่ง หยาดน้ำค้างเหล่านี้คล้ายจะได้รับแรงดึงดูดอันไร้รูปร่างแล้วลอยไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงจนหมดสิ้น ก่อนจะดูดซึมเข้าไปในร่างกายเขา

“ใช่น้ำค้างบุปผาหรือไม่”

“น้ำค้างบุปผาของดอกใบไม้ดำหรือ ไม่ถูกสิ ดูคล้ายว่าจะแตกต่างกันอยู่บ้าง” พวกยอดเคารพซื่อฝาและจักรพรรดิเป่ยเหอสังเกตการณ์อยู่ทว่ากลับได้แค่คาดเดาอย่างสุ่มๆ เท่านั้น

******

ขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินไปถึงใบไม้ดำตรงกลางนั้นเอง ดอกไม้ดอกนั้นก็เปล่งประกายสีม่วงระยับจับตาออกมา หยาดน้ำค้างที่หักเหแสงสายนั้นลอยเข้ามา สามารถมองเห็นเงาร่างสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดภายในนั้นได้รางๆ ถึงแม้จะรู้ว่าหยาดน้ำค้างนี้ไม่ธรรมดา แต่สิ่งมีชีวิตก็มีความมุ่งมาดปรารถนาอย่างหนึ่งตามธรรมชาติ บวกกับนี่เป็นเพียงแค่ร่างแยกร่างหนึ่งเท่านั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิได้หลบเลี่ยง ปล่อยให้หยาดน้ำค้างเหล่านั้นหยดลงบนร่างกาย แล้วถูกร่างกายดูดซึมไป

“ปัง!”

ในขณะที่หยาดน้ำค้างตกกระทบร่างกายนั้นเอง

สติรับรู้ของตงป๋อเสวี่ยอิงก็คำรามดังลั่น

ในขณะนี้เขา ‘มองเห็น’ แล้ว

เห็นอย่างกระจ่างชัดเป็นอย่างยิ่งว่าที่กลางมิติคละถิ่นอันมืดสลัวมีสัตว์ตัวใหญ่สูงตระหง่านหาใดเปรียบกำลังบินทะยานอยู่ มันมีกรงเล็บหลายสิบอัน บนร่างกายมีดวงตากว่าพันดวงอยู่กันอย่างแน่นขนัด ดวงตาเหล่านี้บ้างก็เป็นดวงตาสีเทา บ้างก็เป็นดวงตาสีทอง เพียงแต่ว่าในขณะนี้ดวงตาเหล่านี้ต่างก็ปิดสนิทอยู่

เพราะก่อนหน้านี้ตงป๋อเสวี่ยอิงเคยเห็นดวงตาสีเทาและดวงตาสีทองมามากมายเหลือเกิน ถึงแม้ดวงตาเหล่านี้จะปิดอยู่ทั้งหมด แต่มองปราดเดียวก็สามารถตัดสินได้แล้ว ก็เพราะเคยเห็นดวงตาลึกลับเหล่านั้นบนเกาะลอยคว้างแห่งแล้วแห่งเล่ามาก่อนแล้ว

ที่บริเวณไกลออกไปมีประกายสว่างไสวเรืองรอง นั่นคือโลกกำเนิดอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งหนึ่งที่ปล่อยระลอกคลื่นซัดสาดออกมาปะทะกับมิติคละถิ่นบริเวณรอบๆ

แต่สัตว์ร่างใหญ่มหึมาตนนี้เหินบินอย่างช้าๆ ดูเหมือนว่าจะเชื่องช้า แต่การบินตลอดความยาวของโลกกำเนิดแห่งหนึ่ง กลับใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้นเอง เพราะว่าสัตว์ร่างใหญ่มหึมานี้ตัวโดเหลือเกิน!

มีโลกกำเนิดอันกว้างใหญ่ไพศาลที่อยู่ไกลออกไปแห่งนั้นเปรียบเทียบ! ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงประมาณได้ว่า ‘สัตว์ร่างใหญ่มหึมา’ ตนนี้มีขนาดใหญ่ราวๆ หนึ่งในสิบเท่าของโลกกำเนิดแห่งหนึ่ง!

“ตัวมันเองมีขนาดใหญ่โตถึงเพียงนี้เลยทีเดียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงตื่นตระหนก

สัตว์ร่างใหญ่มหึมานี้งดงามเกินไปแล้ว

แฝงไว้ด้วยความงดงามของ ‘กฎเกณฑ์’

แผ่นเกล็ดบนร่างและระหว่างเกล็ดประกอบกันเป็นมิติแห่งแล้วแห่งเล่า บริเวณต่างๆของร่างกายขนาดใหญ่มหึมา การไหลของเวลากำลังเปลี่ยนแปลงและบิดเบือน แต่ไม่ว่ากาลเวลาจะเปลี่ยนแปลงไปเช่นไร เจ้าสัตว์ร่างใหญ่มหึมานี้กลับมีอยู่ในทั้งอดีต อนาคตและปัจจุบัน ไม่เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล ตงป๋อเสวี่ยอิงถึงขนาดที่มีความรู้สึกอย่างหนึ่งว่ามาถึงระดับขั้นเช่นนี้แล้ว สัตว์ร่างใหญ่มหึมานี้ควรจะ ‘เป็นอมตะตลอดกาล’ จึงจะถูกต้อง

ดูคล้ายว่าเดิมทีมันก็ควรจะปรากฏตัวในอนาคตอยู่แล้ว!

เพียงแต่ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงก็รู้อยู่รางๆ ว่าสัตว์ร่างใหญ่มหึมานี้น่าจะเป็นหนึ่งในสองสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่น่าหวาดหวั่นเป็นที่สุดที่ตายไปของ ‘หุบเขาเขี้ยวหัก’ ทำให้หยวนได้รับบาดเจ็บ แต่ก็ยังตายตกไปเสียแล้ว! ไม่รู้ว่าถูกหยวนโจมตี หรือว่าถูกหยวนและผู้แกร่งกล้าคละถิ่นคนอื่นๆ ล้อมสังหารจนตายกันแน่

“ช่างงดงามเสียจริง” สติรับรู้ของตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังตื่นตะลึง

กรงเล็บนั้นแฝงไว้ด้วยกฎเกณฑ์การทำลายล้างอันน่าหวาดหวั่นตามธรรมชาติ

ยามที่ร่างกายของมันแหวกว่ายก็มีความเร้นลับของห้วงอากาศที่ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าเร้นลับหาใดเปรียบ

ร่างกายของมันเกิดแรงดึงดูดอันน่าหวาดหวั่นอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าหากอยู่ใกล้มันมากๆ กลับก่อให้เกิดแรงผลักอันน่าหวั่นเกรง แรงดึงดูดและแรงผลักที่แฝงอยู่ในร่างกายตามธรรมชาติ ก่อให้เกิดระลอกคลื่นพลังคละวิถีระลอกแล้วระลอกเล่าในมิติคละถิ่นหม่นสลัวอันกว้างใหญ่ไพศาลบริเวณที่มันผ่านไป

“พรึ่บ”

ทันใดนั้น

ดวงตาบนร่างของสัตว์ร่างใหญ่มหึมานี้ก็ลืมตาขึ้นมาจนหมดแล้วมองไปยังทิศทางหนึ่ง

ดวงตากว่าพันดวง ครึ่งหนึ่งล้วนเป็นดวงตาสีทอง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งล้วนเป็นดวงตาสีเทา ถึงแม้ว่าจะมิได้จ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิง แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังรู้สึกว่าดวงตาสีเทามากมายมีแรงดึงดูดอันไร้ที่สิ้นสุด และดวงตาสีทองเหล่านั้นทั้งหมดต่างก็มีการโจมตีอันน่าหวาดหวั่น ทั้งสองรวมเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบ หนึ่งทำให้ศัตรูหลงใหลจนความระแวดระวังและการป้องกันอ่อนแอลง หนึ่งคอยรับการโจมตีของวิญญาณศัตรู รวมเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบ จึงเป็นเคล็ดวิชาอันน่าหวาดหวั่น!

“พรึ่บ!”

จากนั้นภาพเหตุการณ์ที่เห็นก็เลือนหายไปจนสิ้น

ตงป๋อเสวี่ยได้สติกลับคืนมา ดอกใบไม้ดำที่อยู่เบื้องหน้าดอกนั้นยังคงเปล่งประกายสีม่วงอันชวนให้คนหลงใหลออกมาเช่นเดิม ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินเข้าไป เมื่อเข้าไปใกล้แล้วกลับพบว่ากลีบดอกไม้บานออกอย่างช้าๆ จนในที่สุดก็บานออกอย่างสมบูรณ์แบบ ภายในเกสรดอกไม้มีน้ำค้างบุปผาอยู่จำนวนหนึ่ง และที่ตรงกลางสุดคล้ายกับมี ‘หยาดฝน’ ที่ดูราวกับไข่มุกแก้วผลึกประดับอยู่ตรงกลางดอกไม้

เพราะว่าโปร่งแสงไปหมด มีประกายระยิบระยับ มองแวบแรกก็เหมือนกับหยาดน้ำค้างเป็นอย่างยิ่ง

แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับรู้ว่านั่นมิใช่หยาดน้ำค้างแต่อย่างใด

“หยาดน้ำพันเนตร” ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวใจเต้นเร็วยิ่งขึ้น

“หยาดน้ำพันเนตร!”

ไม่เพียงแค่ตงป๋อเสวี่ยอิงเท่านั้น แม้กระทั่งยอดเคารพซื่อฝาที่คอยสังเกตการณ์ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่บนฝั่ง และจักรพรรดิเป่ยเหอที่หยุดเพื่อเก็บน้ำค้างบุปผา สายตาของพวกเขาล้ำเลิศเป็นอย่างยิ่ง จึงมองเห็นไข่มุกที่อยู่ตรงกลางเกสรดอกไม้นั้นได้อย่างกระจ่างชัด

หยาดน้ำพันเนตร!

สมบัติชั้นยอดภายในหุบเขาเขี้ยวหัก!

หุบเขาเขี้ยวหักมีสมบัติชั้นยอดอยู่ทั้งสิ้นสองชิ้น หนึ่งก็คือ ‘หยาดน้ำพันเนตร’ ส่วนอีกอย่างคือ ‘ไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษ’

พวกมันสามารถทำให้ผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอดคนใดๆ ของหุบเขาเขี้ยวหักริษยาจนแทบคลั่งได้ เพราะว่าเมื่อใดที่ได้มาครอง ก็สามารถอาศัยสิ่งนี้เข้าไปยัง ‘ทางเดินเขี้ยวอสรพิษ’ สถานที่ต้องห้ามในตำนานของหุบเขาเขี้ยวหักได้ ทางเดินเขี้ยวอสรพิษอันตรายเกินไป บริเวณทางเข้าน่ากวาดกลัวยิ่งนัก ถ้าหากเหล่ายอดเคารพเข้าไปทั้งอย่างนั้นก็ยังต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยเลย จำเป็นต้องพกเอาหยาดน้ำพันเนตรหรือไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษเข้าไปด้วย

“แย่แล้ว”

ในขณะที่ดอกใบไม้ดำบานออกมาอย่างสมบูรณ์ เผยหยาดน้ำพันเนตรหยดนั้นให้เห็น แรงกดดันอันน่าหวาดหวั่นที่เดิมทีแผ่ปกคลุมไปทั่วทุกหนแห่งกลับจางหายไปในทันที

ในขณะที่หายลับไปนั้นเอง ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รู้ว่าไม่ได้การเสียแล้ว!

เหตุผลที่เขาอยู่ที่นี่โดยไม่มีใครสามารถมาขัดขวางหรือทำลายได้ ก็เพราะแรงกดดันอันน่าหวาดหวั่นทำให้พวกยอดเคารพซื่อฝาไม่สามารถเข้ามาได้

“สวบ” ตงป๋อเสวี่ยอิงโบกมือคราหนึ่ง ตอบสนองโดยสัญชาตญาณ แขนพุ่งสะบัดราวกับสายฟ้า นิ้วมือก็คว้าจับหยาดน้ำพันเนตรหยดนั้นเอาไว้แล้วเก็บเข้าไปอย่างรวดเร็ว!

ปัง! ปัง!

ยอดเคารพซื่อฝาและจักรพรรดิเป่ยเหอต่างก็เคลื่อนไหวแล้ว

“หยาดน้ำพันเนตร” ยอดเคารพซื่อฝาเองก็ยังคิดไม่ถึงว่าตรงจุดศูนย์กลางทะเลสาบใบไม้ดำของตนจะเก็บซ่อนหยาดน้ำพันเนตรหยดหนึ่งเอาไว้ ถึงแม้ว่า ‘หยาดน้ำพันเนตร’ และ ‘ไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษ’ จะมีอยู่เป็นจำนวนพอสมควร แต่ก็กระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกหนแห่งในหุบเขาเขี้ยวหักอันกว้างใหญ่ อีกทั้งการจะได้มาครองนั้นก็ยังยากลำบากเป็นอย่างยิ่งอีกด้วย! ในประวัติศาสตร์คล้ายว่าจะมีเพียงเหล่ายอดเคารพเท่านั้นที่ได้มาครอง ก็เพราะว่าความยากลำบากในการได้มาครองนั้นช่างมากมายเหลือเกิน

จำนวนครั้งที่บรรดาจักรพรรดิทั้งหลายได้มาครองก็มีอยู่เพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น

ในประวัติศาสตร์ ยอดเคารพซื่อฝาเข้าไปในทางเดินเขี้ยวอสรพิษทั้งหมดสามครั้ง! ก็เพราะเคยเข้าไปแล้ว เขาก็ยังคิดอยากจะเข้าไปอีก!

“ยอดเคารพซื่อฝา หยุดมือนะ!” จักรพรรดิเป่ยเหอช่างล้ำเลิศอย่างแท้จริง การตอบสนองของเขารวดเร็วกว่ายอดเคารพซื่อฝาอยู่ขั้นหนึ่ง! บวกกับเดิมทีก็อยู่ในระยะใกล้กับใบไม้ดำเป็นอย่างยิ่งอยู่แล้ว ระยะทางสั้นๆ เพียงแค่พันกว่าลี้สำหรับจักรพรรดิเป่ยเหอก็เป็นเพียงแค่ก้าวยาวๆ ก้าวเดียวเท่านั้นเอง

ถึงแม้ว่ายอดเคารพซื่อฝาจะสามารถเคลื่อนที่ในพริบตาได้

แต่ในความเป็นจริงแล้วระยะทางเล็กน้อยเพียงแค่นี้ การเคลื่อนที่ในพริบตาก็ยังเร็วสู้เหินทะยานมิได้! การเคลื่อนที่ในพริบตานั้นจะมาจากห้วงมิติแห่งหนึ่ง ไปยังมิติอีกแห่งหนึ่งก็จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาเพียงน้อยนิด

“ไสหัวไป!” ยอดเคารพซื่อฝาสะบัดฝ่ามือออกไปอย่างเดือดดาล นี่เป็นครั้งแรกที่เขาลงมือกับพลพรรคของพวกตงป๋อเสวี่ยอิง

“น้องหิมะเหิน เขตลวง!” จักรพรรดิเป่ยเหอก็ตะโกนถ่ายเสียง

“ทราบแล้ว!” ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย เขตลวงโลกเทียมอันน่าหวาดหวั่นเคลื่อนตรงเข้ามา สำแดงการจัดการกับยอดเคารพซื่อฝาผู้นั้นอย่างสุดกำลัง

…………………………………………………

ตงป๋อเสวี่ยอิงอ้าปากค้าง

ผู้แกร่งกล้าทั่วไปล้วนพยายามสกัดกั้นเขตลวง แต่ยอดเคารพซื่อฝาผู้นี้กลับเป็นฝ่ายปล่อยให้ตนเองเข้าสู่เขตลวง ช่างมั่นใจในตนเองเกินไปแล้ว! ทว่าเกลับกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด จนต้องถูกบีบบังคับให้ทำลายเขตลวงอย่างสุดกำลัง กลิ่นอายอันน่าหวาดหวั่นของตนจึงแผ่ออกมาภายนอกบ้าง เดิมทีกลิ่นอายของเผ่ามรณะทมิฬก็ชั่วร้ายและน่าหวาดหวั่นอยู่แล้ว ตามปกติแล้ว ยอดเคารพซื่อฝา’ ผู้นี้เพียงแค่เก็บงำเอาไว้เท่านั้น หากแพร่ออกมาภายนอกตามปกติ ก็เพียงพอจะสังหารระดับอ๋องทั้งหมดได้แล้ว แม้แต่บรรดาแม่ทัพเทพในระดับจักรพรรดิก็ต้องถูกกระแทกจนกระเด็นไป หรือถึงขั้นได้รับบาดเจ็บ จะมีก็แต่ระดับ ‘จักรพรรดิ’ เท่านั้นที่ยังคงสามารถต้านทานการโจมตีของกลิ่นอายเอาไว้ได้ค่อนข้างสบาย

“ให้พวกเราเข้าไปหรือ” จักรพรรดิเป่ยเหอเผยสีหน้ายินดีออกมา ขอบคุณยอดเคารพซื่อฝา”

“มีจ้าวหิมะเหินอยู่ทั้งคน ต่อให้ข้าขัดขวาง ก็ขวางพวกเต้าเอาไว้มิได้อยู่ดี” ยอดเคารพซื่อฝากล่าว “ไป ข้าจะพาพวกเจ้าไปเอง หากพวกเจ้าค่อยๆ บินไป ก็ไม่รู้ว่าจะต้องบินไปถึงเมื่อใด”

จักรพรรดิเป่ยเหอก็มิได้ปฏิเสธ

ขณะเดียวกันเขาก็ลอบมองสำรวจตงป๋อเสวี่ยอิงและยอดเคารพซื่อฝา เขาอยากรู้มากว่า ที่แท้แล้วเมื่อยอดเคารพซื่อฝาอยู่ภายใต้กระบวนท่าทางด้านวิญญาณของจ้าวหิมะเหิน จะส่งผลกระทบต่อพลังมากน้อยสักเท่าใดกัน ทว่าในเมื่อหาญกล้า เป็นฝ่ายเข้าสู่เขตลวงเอง จะต้องต้านทานเขตลวงล้วนๆ ผลกระทบก็คงไม่มากสักเท่าใดนัก

“หากร่วมมือกับจ้าวหิมะเหินไปจัดการกับยอดเคารพ เกรงว่าคงจะเปลืองแรงอยู่บ้าง” จักรพรรดิเป่ยเหอลอบพึมพำ “ทว่าอย่างน้อยก็ลดความแตกต่างระหว่างข้ากับยอดเคารพลงได้บ้าง! นอกจากนี้ เมื่อมีจ้าวหิมะเหินอยู่ ข้าก็ไม่เกรงกลัวการล้อมโจมตีอันใดอีกแล้ว เสียดายก็แต่ว่า จ้าวหิมะเหินไม่ยินยอมติดตามข้า ก่อนหน้านี้ยังถึงขั้นเคยช่วยเหลือวายุทิพย์มาครั้งหนึ่งด้วย!”

“ฟิ้ว”

พละกำลังอันไร้รูปร่างของยอดเคารพซื่อฝาปกคลุมโดยรอบ จักรพรรดิเป่ยเหอยังคงปกป้องตงป๋อเสวี่ยอิงและแม่ทัพเทพทั้งสิบเอาไว้

สวบ!

พวกเขาทะลุตรงผ่านอากาศไป จนถึงส่วนลึกที่ใจกลางของเกาะแห่งนี้

“ถึงแล้ว”

เสียงของยอดเคารพซื่อฝาสะท้อนก้อง

มิติตรงหน้าเปลี่ยนแปรไป ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปรอบด้าน ด้านข้างกลับเป็นทะเลสาบสีแดงเพลิงแห่งหนึ่ง น้ำทะเลสาบสีแดงเพลิงแผ่อุณหภูมิสูงเสียจนชวนให้คนตกใจ ทำเอาอากาศบิดเบี้ยวไปหมด เหนือทะเลสาบแห่งนี้ยังมีใบไม้สีดำมากมายลอยละล่องอยู่ ใบไม้สีดำจำนวนนับไม่ถ้วนปกคลุมพื้นที่กว่าหมื่นลี้ รายล้อมวงแล้ววงเล่า ยิ่งถัดเข้าไปวงด้านใน ใบไม้สีดำก็ยิ่งใหญ่โตขึ้น

ใบไม้สีดำตรงใจกลางสุดมีเส้นผ่านศูนย์กลางกว่าร้อยลี้ ส่วนใบไม้รอบนอกสุด เพียงพอให้คนทั่วไปยืนได้สามคนห้าคนเท่านั้น

นอกจากใบไม้สีดำ ยังมีดอกไม้สีม่วงมากมายผลิบานอยู่

เมื่อทอดสายตามองไป ก็เห็นดอกไม้อันงดงามกว่าร้อยดอก ยิ่งเข้าใกล้ศูนย์กลางเท่าไหร่ ดอกไม้สีม่วงที่เบ่งบบานก็ยิ่งใหญ่โตขึ้นเช่นกัน ใบไม้สีดำตรงกลางสุดนั้น ก็มีดอกไม้สีม่วงขนาดใหญ่ที่สุดดอกหนึ่งผลิบานอยู่ตรงนั้นด้วย ดอกไม้สีม่วงดอกนั้น…กินพื้นที่ราวหนึ่งในสามของใบไม้สีดำตรงกลางใบนั้น

“ฟิ้ว…”

ใบไม้สีดำและดอกไม้สีม่วงซึ่งแผ่กำจายปกคลุมทั่วพื้นที่กว่าหมื่นลี้ของทั้งทะเลสาบ ได้แผ่กลิ่นอายของแรงกดดันอันไร้รูปร่างออกมา ทำให้ผู้แกร่งกล้าทั้้งหลายในที่นั้นรู้สึกเหมือนหยุดหายใจ

“เป่ยเหอ” ยอดเคารพซื่อฝาที่อยู่ด้านข้างพูดยิ้มๆ “ทะเลสาบใบไม้ดำอยู่ตรงนี้แล้ว ข้าจะไม่ขัดขวางเจ้า เจ้าสามารถเก็บน้ำค้างบุปผาได้มากเท่าไหร่ ข้าก็จะปล่อยให้เจ้าเอาไป แต่เจ้าควรรู้ไว้ว่าน้ำค้างบุปผาของทะเลสาบใบไม้ดำมิได้เก็บได้ง่ายถึงเพียงนั้น”

“วางใจเถิด ข้าเตรียมพร้อมไว้ก่อนแล้ว” จักรพรรดิเป่ยเหอโบกมือคราหนึ่งแล้วเก็บแม่ทัพเทพทั้งสิบด้านข้างลงไป เขากังวลว่าเมื่อถึงคราวเก็บเกี่ยวน้ำค้างบุปผา เหล่าแม่ทัพเทพใต้บังคับบัญชาจะถูกยอดเคารพซื่อฝาโจมตี ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงน่ะหรือ ครั้งนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงมาก็เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น จึงได้นำร่างแยกมามากมาย ร่างแยกบางร่างอยู่ภายในคูหาสวรรค์สมบัติล้ำค่าที่จักรพรรดิเป่ยเหอพกติดตัวเอาไว้

ต่อให้ร่างแยกที่อยู่ภายนอก ถูกลอบสังหารและทำลายล้างไป ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อภาพรวม

จักรพรรดิเป่ยเหอเหลือบมองตงป๋อเสวี่ยอิงแวบหนึ่ง

“จักรพรรดิเข้าไปเก็บเกี่ยวน้ำค้างบุปผาให้เต็มที่เถิด ข้าจะดูอะไรไปเรื่อย” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูรอบด้านด้วยความสนอกสนใจ

“ได้” จักรพรรดิเป่ยเหอพยักหน้า จากนั้นก็สาวเท้าออกไปก้าวหนึ่งแล้วทะยานไปยังใบไม้สีดำรอบนอกสุด หลังจากร่อนลงบนใบไม้ใบหนึ่งอย่างแผ่วเบาแล้วก็เดินมุ่งหน้าไปยังดอกไม้สีม่วงดอกหนึ่งที่อยู่ใกล้ที่สุด…

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองจักรพรรดิเป่ยเหอหยิบเครื่องมืออันซับซ้อนที่เตรียมมาเป็นอย่างดีเก็บเกี่ยวน้ำค้างบุปผาด้วยความระมัดระวังแวบหนึ่ง แล้วก็มองไปรอบๆ แทน รอบด้านมีสิ่งก่อสร้างทอดยาวต่อเนื่องกัน แม้แต่ทะเลสาบแห่งนี้ก็ยังอยู่ภายนอกสวนดอกไม้ขนาดมหึมาแห่งหนึ่ง รอบด้านยังมีกำแพงลานอยู่ด้วย

“ครั้งนี้ก็เป็นเพราะมีจ้าวหิมะเหินอยู่ มิเช่นนั้นแล้ว เป่ยเหอผผู้นั้นก็คงมาไม่ถึงตรงหน้าทะเลสาบใบไม้ดำหรอก” ยอดเคารพซื่อฝาเดินมาถึงข้างกายตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วพูดยิ้มๆ ว่า “จ้าวหิมะเหิน ด้วยผลสำเร็จบนเส้นทางวิญญาณของเจ้า ไยจึงต้องช่วยเหลือเป่ยเหอด้วยเล่า เชื่อว่าบัดนี้จักรพรรดิเหล่านั้นก็คงต้องแย่งกันมาผูกสัมพันธ์กับเจ้ากระมัง หากเจ้าไม่ช่วยเป่ยเหอ เป่ยเหอก็คงทำอะไรเจ้ามิได้”

ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวเราะ

ที่เขาช่วยเหลือจักรพรรดิเป่ยเหอ ก็เพราะต้องการหลบเลี่ยงการต่อสู้เป็นหลัก แน่นอนว่าเป็นเพราะจักรพรรดิเป่ยเหอเกรงอกเกรงใจเขามาตลอดด้วย ช่วยก็ช่วยเถิด

“จักรพรรดิเป่ยเหอสามารถให้ในสิ่งที่ข้าต้องการได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดจบก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ยอดเคารพ เหตุใดแรงกดดันของทะเลสาบใบไม้ดำแห่งนี้จึงน่าหวาดหวั่นถึงเพียงนี้ได้เล่า”

ตนยืนอยู่ริมตลิ่ง ก็รู้สึกเหมือนหยุดหายใจ

“มีเพียงตรงริมตลิ่งเท่านั้นที่จะสามารถสัมผัสถึงอานุภาพกดดันได้บ้าง” ยอดเคารพซื่อฝาพูดยิ้มๆ “หากเหยียบลงไปบนใบไม้นั่นแล้ว เข้าไปใกล้ใจกลางมากขึ้น แรงกดดันก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น และถึงขั้นน่าหวาดหวั่นขึ้นเรื่อยๆ ด้วย ต่อให้เป็นข้า ก็มิอาจเหยียบย่างลงบนใบไม้สีดำตรงกลางสุดใบนั้นได้”

“ยอดเคารพก็มิอาจขึ้นไปได้อย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึง

ยอดเคารพมีพลังระดับใดกัน เพียงแค่แรงกดดันเท่านั้น ก็ทำให้ยอดเคารพมิอาจเดินไปถึงใบไม้ตรงกลางสุดได้อย่างนั้นหรือ

“ทะเลสาบใบไม้ดำแห่งนี้เกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่น่าหวาดหวั่นอย่างยิ่งสักท่านหนึ่งในสองท่านที่สิ้นชีวิตไปตอนนั้น” ยอดเคารพซื่อฝาทอดถอนใจ “สิ้นใจไปตั้งนานแล้ว ทะเลสาบใบไม้ดำที่เปลี่ยนแปรมาจากพละกำลังที่หลงเหลือเพียงน้อยนิดก็ยังทำให้ข้ามิอาจเข้าใกล้ได้ ไม่รู้จริงๆ ว่า หากทั้งสองท่านนั้นยังมีชีวิตอยู่ จะน่าหวาดหวั่นสักเพียงใดกัน”

ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า เพราะถึงอย่างไรก็สามารถทำให้หยวนได้รับบาดเจ็บได้ ต่อให้สู้หยวนไม่ได้ ก็เกรงว่าคงจะแตกต่างกันไม่มากสักเท่าใดนัก

“แม้จะมีดอกใบไม้ดำกว่าร้อยดอก แต่ความสามารถในการต้านทานแรงกดดันของเป่ยเหอก็ยังสู้ข้ามิได้เลย เกรงว่าเขาคงทำได้เพียงเก็บเกี่ยวน้ำค้างบุปผาบนดอกใบไม้ดำได้เพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น นอกจากนี้ดอกใบไม้ดำครึ่งหนึ่งก็ยังเป็นดอกที่เล็กที่สุดอีกต่างหาก” ยอดเคารพซื่อฝาพูดพลางหัวเราะเบาๆ ยิ่งเข้าใกล้ศูนย์กลางมากขึ้นเท่าไหร่ ดอกไม้ก็ยิ่งใหญ่โตขึ้นเท่านั้น ดอกไม้สีม่วงตรงกลางสุดมีเส้นผ่านศูนย์กลางถึงหลายสิบลี้เลยทีเดียว เกรงว่าน้ำค้างบุปผาภายในนั้นคงจะมากกว่าดอกอื่นๆ ทั้งหมดรวมกันเสียอีก

“ข้าสามารถลองขึ้นไปดูได้หรือไม่” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว

“แน่นอนว่าต้องได้อยู่แล้ว” ยอดเคารพซื่อฝาพูดยิ้มๆ “ทว่าจะต้องระวังด้วย อย่าได้แตะต้องน้ำทะเลสาบเหล่านั้นเป็นอันขาด น้ำทะเลสาบร้อนระอุ ด้วยพลังของเจ้า เกรงว่าเมื่อแตะถูกก็คงจะต้องกลายเป็นเถ้าธุลีไปทันที”

“เข้าใจแล้ว”

จากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็ทะยานขึ้นไป มุ่งหน้าไปยังใบไม้สีดำด้านนอกสุด

“เขาก็ไปด้วยหรือ”

“จ้าวหิมะเหินผู้นี้ก็ไปด้วยอย่างนั้นหรือ” ผู้ใต้บังคับบัญชาของยอดเคารพซื่อฝามองดูอยู่ไกลๆ พวกเขาวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา ส่วนใหญ่รู้สึกไม่ยินยอมสักเท่าใดนัก! เผ่ามรณะทมิฬไม่มีคนอารมณ์ดีสักคน

จักรพรรดิเป่ยเหอที่กำลังเก็บเกี่ยวน้ำค้างบุปผาก็หันมามองตงป๋อเสวี่ยอิงแวบหนึ่ง เมื่อเห็นเข้าก็ยิ้มร่า เขาถ่ายเสียงพูดประโยคหนึ่งว่า “พี่หิมะเหิน ต้องระวังหน่อยล่ะ” จากนั้นเขาก็เก็บเกี่ยวน้ำค้างบุปผาต่อไป

เขาร่อนลงเบาๆ ปลายเท้าแตะลงบนใบไม้สีดำ ใบไม้สีดำนุ่มหยุ่นสามารถรั้งเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย

“เป็นอานุภาพกดดันที่แข็งแกร่งนัก”

ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้สนใจน้ำค้างบุปผาเหล่านั้นเลย อย่างแรกคือตนมิได้ต้องการ อีกอย่างคือตนมิได้มีเครื่องมือพิเศษในการเก็บเกี่ยวน้ำค้างบุปผา

เขาสนอกสนใจอานุภาพกดดันของทะเลสาบใบไม้ดำมาก ใบไม้ตรงกลางสุด ถึงขั้นทำให้ยอดเคารพมิอาจขึ้นไปได้ นี่มันออกจะแข็งแกร่งเกินไปแล้ว

“ตึ้กๆๆ…”

ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินไปก้าวแล้วก้าวเล่าอย่างสบายๆ ราวกับเดินเล่นอย่างไรอย่างนั้น

เพราะถึงอย่างไรใบไม้จำนวนนับไม่ถ้วนก็แผ่คลุมบริเวณกว่าหมื่นลี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังนับว่าเดินไปได้ค่อนข้างเร็ว เขาเดินผ่านใบไม้สีดำใบแล้วใบเล่า ใบไม้สีดำใต้ฝ่าเท้าก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แรงกดดันนั้นก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ด้วย

“เป็นอานุภาพกดดันที่แข็งแกร่งนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบรำพึงในใจ

อานุภาพกดดันนั้นพุ่งเป้าตรงไปที่วิญญาณ

เมื่อเข้าไปใกล้ ก็ประหนึ่งภูเขาใหญ่อันไร้ที่สิ้นสุดกดทับลงบนวิญญาณอย่างไรอย่างนั้น

“ยากจริงๆ เสียด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยายามเดินไป

“อะไรกัน”

ยอดเคารพซื่อฝาที่อยู่ริมตลิ่งเห็นเข้าก็ตกใจใหญ่ “เดินมาไกลขนาดนี้แล้วหรือ”

“เป็นไปได้อย่างไร เดินไปได้ไกลถึงเพียงนั้นโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลยหรือ” ยอดฝีมือเผ่ามรณะทมิฬเหล่านั้นต่างก็ตกตะลึงเหลือแสน

“นี่ นี่มันเป็นไปได้อย่างไรกัน” แม้จะกำลังเก็บเกี่ยวน้ำค้างบุปผา จักรพรรดิเป่ยเหอก็จับตามองรอบด้านตลอดเวลา เมื่อพบว่าตงป๋อเสวี่ยอิงเดินไปได้ไกลลิบ ก็อดตกใจมิได้ เขาสนใจ ‘ทะเลสาบใบไม้ดำ’ เป็นอย่างยิ่ง จึงได้เก็บรวบรวมข้อมูลมาเป็นจำนวนมาก และรู้ว่าต่อให้เป็นตัวเขาเองก็ไม่แน่ว่าจะสามารถเดินไปได้ไกลถึงเพียงนั้น

เวลาค่อยๆ ล่วงเลยไป

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เผยสีหน้าเหน็ดเหนื่อยออกมา แต่ก็เดินไปถึงใบไม้อีกใบหนึ่งที่อยู่ใกล้ใบไม้ตรงกลางมากที่สุดแล้ว ใบไม้ใบนั้นมีเส้นผ่านศูนย์กลางถึงสิบลี้

“เอ๊ะ แม้ข้าจะรู้สึกว่ายากมาก แต่ข้าก็อยู่ห่างจากใบไม้ตรงกลางสุดเพียงแค่ช่วงสุดท้ายแล้วนี่นา” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกใจมาก แม้วิญญาณของเขาจะเคยดูดซับโลหิตหัวใจของ ‘มารดามังกรหมื่นสัมผัส’ หยดหนึ่งมาก่อน ,แต่ถึงอย่างไรก็มีพื้นฐานเพียงเทพจักรวาลชั้นที่สองเท่านั้น โลหิตหัวใจของมารดามังกรหมื่นสัมผัสเพียงแค่ทำให้วิญญาณของร่างแยกของตงป๋อเสวี่ยอิงร่างนี้ แข็งแกร่งกว่าขั้นสุดยอดทั่วไปอยู่บ้างก็เท่านั้นเอง

เมื่อเทียบกับยอดเคารพแล้ว ก็ยิ่งแตกต่างกันมากเข้าไปใหญ่

ทว่าทางด้านปณิธาน ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สูงส่งกว่าเผ่ามรณะทมิฬและชนพื้นเมืองซึ่งอาศัยพละกำลังสายเลือดล้วนๆ เหล่านี้มากนัก และนี่ก็คือข้อได้เปรียบของผู้บำเพ็ญ

นอกจากนี้ เมื่อคิดค้นท่าไม้ตายของวิถีเขตลวงโลกเทียมออกมาได้นั้น วิญญาณของเขาก็เกิดการวิวัฒน์พิเศษบางอย่างขึ้นมา นอกจากนี้ในฐานะที่เป็นอันดับหนึ่งทางสายวิญญาณอย่างไร้ข้อกังขา เขาสามารถควบคุมพละกำลังของวิญญาณให้แปรเปลี่ยนเป็นโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลและสกัดกั้นแรงกดดันของวิญญาณเออาไว้ได้อย่างง่ายดาย!

“คงไม่หรอกกระมัง!” ยอดเคารพซื่อฝาตกตะลึง

“หรือว่า.” แม้แต่จักรพรรดิเป่ยเหอที่กำลังเก็บเกี่ยวน้ำค้างบุปผาอยู่ก็หยุดการเก็บเกี่ยวลงชั่วคราว แล้วมองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง

ภายใต้การสอดส่องของพวกเขา ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เดินไปก้าวแล้วก้าวเล่าอย่างไม่หยุดหย่อน ในที่สุดก็เหยียบลงบนใบไม้สีดำตรงกลางสุดที่ใหญ่ที่สุดของทั้งทะเลสาบใบไม้ดำจนได้

“วิ้ง!”

ชั่วขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเหยียบลงบนใบไม้ตรงกลางสุดนั่นเอง ดอกใบไม้ดำที่ใหญ่ที่สุดดอกนั้นก็เปล่งแสงสีม่วงอันสะดุดตาออกมา สาดส่องไปทั่วทุกทิศทุกทาง และสาดส่องลงบนร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยเช่นกัน

………………………………………

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูผู้แกร่งกล้าสวมเกราะซึ่งกุมหอกยาวสีดำไว้ในมือคนนี้ มองเพียงแวบเดียวเขาก็จำได้ว่า นี่คือขุนพลใหญ่ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งของยอดเคารพซื่อฝานาม ‘นั่วฟ่านตั่ว’

จักรพรรดิเป่ยเหอไม่หงุดหงิดเลยแม้แต่น้อย เขายิ้มมองเงาร่างบึกบึนดำทะมึนตรงหน้า “นั่วฟ่านตั่ว เจ้าไม่ดูเสียหน่อยเลยว่าผู้ที่อยู่ข้างกายข้าตอนนี้คือใคร เจ้าก็แหกปากร้องแล้วอย่างนั้นรึ”

เงาร่างบึกบึนดำทะมึนนั้นกวาดสายตาไป ก็มองเห็นชายหนุ่มอาภรณ์ขาวข้างกายจักรพรรดิเป่ยเหอ ‘นั่วฟ่านตั่ว’ ขุนพลใหญ่ใต้บังคับบัญชาของยอดเคารพก็อดหัวใจบีบรัดแน่นมิได้ เมื่อข่าวแพร่ออกไปหลายปี แม้แต่ผู้แกร่งกล้าระดับยอดสุดในดินแดนจิตโลกาก็ยังรู้เรื่องที่ตงป๋อเสวี่ยอิงทำลงไปในหุบเขาเขี้ยวหัก แม้ข่าวสารของเผ่ามรณะทมิฬจะมิได้ฉับไวสักเท่าใดนัก แต่บรรดาขุนพลใต้บังคับบัญชาของ ‘ยอดเคารพซื่อฝา’ ซึ่งเป็นหนึ่งในยอดเคารพก็ยังรู้จักชื่อเสียงอันโด่งดังของ ‘จ้าวหิมะเหิน’

“เป็นจ้าวหิมะเหินนั่นเอง มิน่าเล่า เจ้าเป่ยเหอจึงกล้ามาที่นี่ได้” นั่วฟ่านตั่วจ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิง

“ข้าก็กล้าแค่เท่านี้แหละ” จักรพรรดิเป่ยเหอพูดยิ้มๆ

ทันใดนั้น…

“ฟิ้ว”

อากาศด้านข้างบิดเบี้ยวก่อนจะแหวกออกเป็นทางเส้นหนึ่ง เงาร่างสายหนึ่งเดินออกมาจากรอยแยกกลางอากาศบิดเบี้ยวนั้น นำมาโดยชายชราท่าทางใจดีที่ห่มอาภรณ์สีทองทั้งร่าง ด้านหลังกลับมีผู้แกร่งกล้าเผ่ามรณะทมิฬที่มีกลิ่นอายยิ่งใหญ่ถึงเจ็ดคนอยู่ด้วย

“ยอดเคารพ” ขุนพลใหญ่นั่วฟ่านตั่วร่อนลงข้างๆ ทันทีก่อนจะโค้งคำนับด้วยความเคารพนบนอบหาใดเปรียบ

“ยอดเคารพซื่อฝา” จักรพรรดิเป่ยเหอก็มิได้ผ่อนคลายเช่นก่อนหน้านี้แล้ว แต่กลับสงบเสงี่ยมขึ้นเป็นอันมาก

แม่ทัพเทพทั้งสิบใต้บังคับบัญชาของจักรพรรดิเป่ยเหอต่างก็กังวลอยู่ไม่น้อย

“ยอดเคารพหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงสนใจใคร่รู้ แต่หัวใจก็บีบรัดแน่นอย่างมิอาจควบคุม

ชื่อของคน เงาของต้นไม้

แรงคุกคามของยอดเคารพยิ่งใหญ่เกินไปแล้ว เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา เกรงว่าเมื่อยอดเคารพเป่าลมออกไปคราหนึ่ง ก็สามารถทำลายสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูทั่วๆ ไปในดินแดนจิตโลกาได้แล้ว! ต่อให้เป็น ‘จักรพรรดิเซี่ย’ ก็ต้องถูกล้างสังหารในพริบตาโดยไร้แรงต้านทาน ต่อให้เป็น ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ ซึ่งสามารถแผดเผาโลหิตหัวใจและหนีเอาชีวิตรอดต่อหน้าจักรพรรดิได้ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้า ‘ยอดเคารพ’ สามารถต้านทานได้สักสองสามกระบวนท่าก็ควรจะภาคภูมิใจในตนเองแล้ว

นี่ก็คือ ‘ยอดเคารพ’!

ต่อให้เป็น ‘ผู้วิเศษใหญ่ทั้งแปด’ ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับล่างของหุบเขาเขี้ยวหัก เมื่ออยู่ต่อหน้ายอดเคารพก็ยังอ่อนแอกว่าอยู่ขุมใหญ่ จนต้องถูกยอดเคารพเหยียบย่ำ!

“ตามที่จักรพรรดิเป่ยเหอกล่าวไว้ ยอดเคารพได้ฝึกฝนพลังสายเลือดจนบรรลุถึงขั้นครบสมบูรณ์ถึงขีดสุดอย่างแท้จริงแล้ว หากก้าวไปอีกก้าวหนึ่ง ก็จะสามารถตื่นรู้ได้อย่างแท้จริงและคืนสู่บรรพชน! กลายเป็นเผ่าพันธุ์ของบรรพบุรุษแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบรำพึง

พละกำลังเช่นนี้น่าหวาดหวั่นเกินไปแล้ว

ราชันย์เหวศิลาและผู้วิเศษใหญ่ทั้งแปดคนอื่นๆ ล้วนถูกเหยียบย่ำ

ต่อให้เป็น ‘จักรพรรดิเป่ยเหอ’ ซึ่งจัดได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งในระดับจักรพรรดิ เมื่อเผชิญหน้ากับยอดเคารพ ก็ยังต่ำกว่าอยู่ขุมหนึ่ง หากตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้ปรากฏกาย เขามายังเกาะซื่อฝาก็ถือเป็นการรนหาที่ล้วนๆ

“เห็นทีคงจะไม่ค่อยเหมือนกับเผ่ามรณะทมิฬเสียแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูมองดู ‘ยอดเคารพซื่อฝา’ ชายชราซึ่งห่มอาภรณ์สีทองที่กำลังเดินมาจากกลางอากาศผู้นี้ บนร่างของยอดเคารพซื่อฝาไม่มีกลิ่นอายชั่วร้ายซ่อนลับลมคมในเอาไว้แต่อย่างใด หากแต่ทำให้คนสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น เขาห่มอาภรณ์สีทองอันโดดเด่นสะดุดตาเอาไว้ ใบหน้ายิ้มแย้ม ‘ยอดเคารพซื่อฝา’ ผู้นี้มองดูตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มๆ จากนั้นก็มองไปทางจักรพรรดิเป่ยเหอแล้วเอ่ยปากว่า “เป่ยเหอ เมื่อได้รู้ว่าก่อนหน้านี้เจ้าได้เชื้อเชิญจ้าวหิมะเหินแห่งดินแดนจิตโลกามา ข้าก็เดาได้แล้วว่า เจ้าคงจะมาหาข้าที่นี่เป็นแน่”

“แน่นอนว่าต้องมาอยู่แล้ว” จักรพรรดิเป่ยเหอพูดเสียงหนักแน่น “ครั้งนี้ ยอดเคารพจะยังขัดขวางเส้นทางของข้าอีกหรือไม่”

“ขัดขวางเส้นทางของเจ้าหรือ แต่ไหนแต่ไรข้าก็ไม่เคยขัดขวางเส้นทางของเจ้า” ยอดเคารพซื่อฝาพูดยิ้มๆ “หากจะขัดขวางเส้นทางของเจ้า ข้าก็สามารถล่อลวงเจ้าให้ถลำลึกเข้าไปในเกาะ รอจนเข้าไปถึงส่วนลึก ข้าค่อยร่วมมือกับผู้ใต้บังคับบัญชาล้อมสังหารเจ้าก็ได้…ในเกาะลอยคว้าง พวกเราสามารถไล่ตามและโจมตีจนแตกหักกันไปข้างหนึ่งได้อยู่แล้ว ท้ายที่สุดเมื่อข้าร่วมมือกับลูกน้อง การสังหารเจ้าก็มิใช่เรื่องยากแต่อย่างใด”

จักรพรรดิเป่ยเหอสีหน้าเปลี่ยนแปรไปเล็กน้อย

ใช่แล้ว

นี่คือเรื่องจริง!

เขาสามารถนำพาผู้ใต้บังคับบัญชากลุ่มหนึ่งมาได้ เหล่ายอดเคารพก็สามารถเรียกผู้ใต้บังคับบัญชาให้มาร่วมมือกันเคลื่อนไหวได้เช่นกัน เพียงแต่ตลอดคืนวันอันยาวนานที่ผ่านมา แต่ไหนแต่ไรห้ายอดเคารพก็ไม่เคยทำเช่นนี้มาก่อน! ระดับอย่างพวกเขาแล้ว พวกเขาก็รังเกียจที่จะทำเช่นนี้

“สมบัติล้ำค่าบนเกาะของข้า มีผู้แกร่งกล้าอยากได้ตั้งมากมาย ไม่ใช่ว่าผู้ใดมา ข้าก็ปล่อยให้พวกเขาเอาไปตามอำเภอใจได้หรอกกระมัง” ยอดเคารพซื่อฝาพูดยิ้มๆ “ต้องแลกเปลี่ยนกันอย่างยุติธรรม หรือไม่ก็ต้องโจมตีการสกัดกั้นของลูกน้องข้าเหล่านี้ให้แตกให้ได้! แล้วค่อยทำลายการขัดขวางของข้า ก็ย่อมสามารถนำสมบัติล้ำค่าไปได้แล้ว น่าเสียดายที่เจ้าทำมิได้ แล้วจะตำหนิใครได้เล่า”

ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังดูอยู่ด้านข้างก็เห็นด้วยเป็นอย่างมาก

แม้จะกล่าวว่าสมบัติล้ำค่าในหุบเขาเขี้ยวหักบนเกาะลอยคว้างแทบจะทั้งหมด เผ่าชนพื้นเมืองก็จะมาช่วงชิงไป!

แต่การช่วงชิงก็ขึ้นอยู่กับพลังด้วย!

“น่าสนใจดี แม้จะกล่าวว่าภายในเผ่ามรณะทมิฬแทบจะไม่สามารถแลกเปลี่ยนได้ แต่ยอดเคารพซื่อฝาผู้นี้กลับยอมแลกเปลี่ยนด้วย” ในใจของตงป๋อเสวี่ยอิงอุทาน เขาสัมผัสมิได้ถึงความชั่วร้ายบนร่างของยอดเคารพซื่อฝาเลยแม้แต่น้อย “เพียงแต่เขาชมชอบการ ‘ทำทาน’ ทำให้สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนกลับคืนสู่ความตาย นิสัยนี้ก็ออกจะน่ากลัวอยู่บ้างจริงๆ”

……

ขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงมีความคิดมากมายผุดขึ้นมานั้น

จักรพรรดิเป่ยเหอกลับพูดเสียงหนักแน่นว่า “ยอดเคารพ ครั้งนี้ต้องสู้กันยกหนึ่งหรือ ข้ามีพี่หิมะเหินคอยช่วยเหลือ ผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านก็ไม่มีประโยชน์อันใดแล้ว”

“สู้กันรึ แน่นอนว่าต้องประมือกันอยู่แล้ว” ยอดเคารพซื่อฝากล่าว

จักรพรรดิเป่ยเหอ แม่ทัพเทพทั้งสิบและตงป๋อเสวี่ยอิงต่างก็หัวใจบีบรัดแน่น

จะเปิดศึกแล้วหรือ

ที่แท้แล้วยอดเคารพแข็งแกร่งเพียงใดกัน!

“ดีมาก ยอดเคารพ วันนี้ก็อย่าหาว่าข้าร่วมมือกันจัดการท่านก็แล้วกัน” นัยน์ตาของจักรพรรดิเป่ยเหอสาดประกายหนาวเหน็บ

“ต้องประมือกันสิ ทว่าแค่ต้องประมือกับจ้าวหิมะเหิน ผู้บำเพ็ญแห่งดินแดนจิตโลกาก็เป็นอันใช้ได้แล้ว” ยอดเคารพซื่อฝามองดูตงป๋อเสวี่ยอิงพลางหัวเราะคิกคัก “ข้าไม่สนใจยอดฝีมือชนพื้นเมืองอย่างพวกเจ้า เพียงแค่สนใจจ้าวหิมะเหินอยู่บ้างก็เท่านั้น จ้าวหิมะเหิน ได้ยินมาว่าเจ้าสามารถทำให้ระดับจักรพรรดิบางคนจมดิ่งลงไปได้ทันที ข้าอยากจะลิ้มรสกระบวนท่าทางด้านวิญญาณของเจ้าดูเสียหน่อย”

“ข้าประมือกับยอดเคารพอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้งเฮือก

ให้อย่างไร อย่างมากที่สุดตนก็คงทำให้พลังของยอดเคารพเสียหายได้เท่านั้นเอง เกรงว่าพลังเพียงส่วนเดียวของยอดเคารพก็คงสามารถสังหารตนได้อย่างง่ายดายแล้ว เพราะถึงอย่างไรตนก็แตกต่างกับพวกบรรพชนราตรีนิรันดร์อย่างมหาศาล จึงย่อมแตกต่างจากยอดเคารพมากเสียจนน่าตกใจแล้ว

“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าแค่ออกกระบวนท่าก็พอแล้ว” ยอดเคารพซื่อฝาพูดยิ้มๆ “ข้าไม่รังแกผู้บำเพ็ญที่อ่อนแอคนหนึ่งหรอก”

ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง

ผู้บำเพ็ญที่อ่อนแอ

ในสายตาของยอดเคารพ ผู้บำเพ็ญดินแดนจิตโลกาก็คงอ่อนแอกันหมดกระมัง! ต่อให้พวกจักรพรรดิเซี่ยและราชันย์อนธการอมตะมา ก็คงมีแต่เอาชีวิตมาทิ้งเท่านั้น เคราะห์ดีที่มีกฎเกณฑ์ของ ‘หยวน’ จำกัดเอาไว้ ทำให้ยอดเคารพไม่สามารถเข้ามายังดินแดนจิตโลกาได้

ทว่าแม้จะรู้ข้อนี้เป็นอย่างดี แต่เมื่อโดนดูถูกเข้า เขาก็ยังรู้สึกไม่ค่อยสบายใจอยู่ดี

“ได้”

ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปาก ประกายในดวงตาก็เพิ่มพูนขึ้นเป็นอย่างมาก

ตู้ม…

เขตลวงโลกเทียมร่อนลงไปแล้ว! ปกคลุมยอดเคารพซื่อฝาผู้นั้นเอาไว้

แม้กระบวนท่าที่สำแดงออกไปจะมิได้ส่งลูกหลงไปถูกบรรดาลูกมือของยอดเคารพ และมิได้ส่งผลต่อจักรพรรดิเป่ยเหอและแม่ทัพเทพทั้งสิบ ทว่าพวกเขาแต่ละคนก็ล้วนรู้สึกว่า ‘ดวงตา’ ของตงป๋อเสวี่ยอิงมีแรงดึงดูดถึงชีวิต ทำให้พวกเขาแต่ละคนอยากจะมองไปทางดวงตาของตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างมิอาจควบคุมตนเองได้ ซึ่งท่าไม้ตายนี้คือสิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงรับรู้จาก ‘ดวงตาสีเทา’ ดวงตาของเขาก็กลายเป็นเต็มไปด้วยแรงดึงดูด ทำให้ผู้คนอยากจะจมดิ่งลงไป

เคราะห์ดีที่เพียงแค่มองดูอยู่ไกลๆ เท่านั้น มิได้ตกเข้าสู่เขตลวง แต่ละคนจึงยังสามารถต้านทานเอาไว้ได้ทว่าแต่ละคนก็ลอบอุทานอยู่ในใจ

“เป็นกระบวนท่าทางด้านวิญญาณที่ร้ายกาจนัก ไม่รู้ว่าหากข้าถูกกระบวนท่าเข้า พลังจะเหลือสักกี่ส่วนกัน” จักรพรรดิเป่ยเหอและยอดฝีมือคนอื่นๆ พากันตกตะลึง

“เอ๊ะ”

แต่เดิมยอดเคารพซื่อฝายังดีอยู่ แต่ทันใดนั้นสีหน้าก็พลันเปลี่ยนแปรไป

ตู้ม…

กลิ่นอายดำมืดอันน่าหวาดหวั่นระลอกหนึ่งปะทุออกจากผิวกายของยอดเคารพซื่อฝาแล้วโจมตีไปทั่วทุกทิศทุกทาง เพียงพริบตาเดียวก็หอบม้วนไปทั่วฟ้าดินรอบด้าน ทำเอาฟ้าดินดำมืดไปหมด ยอดฝีมือเผ่ามรณะทมิฬอย่าง ‘นั่วฟ่านตั่ว’ ก็ยังถูกกระแทกเสียจนกระเด็นลอยถอยหลังไป บ้างก็ได้รับบาดเจ็บ แต่ละคนเผยสีหน้าตื่นตระหนกออกมา

“กำหนด” จักรพรรดิเป่ยเหอตวาดออกมา

รอบกายจักรพรรดิเป่ยเหอพลันมีประกายกระบี่โหมซัดออกมาทันที ประกายกระบี่แผ่คลุมไปรอบด้าน ปกป้องตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ และปกป้องแม่ทัพเทพทั้งสิบข้างกายเอาไว้ด้วย

ฟึ่บๆๆ…

กลิ่นอายดำมืดปะทะเข้ากับประกายกระบี่ที่โหมซัดอย่างไม่หยุดหย่อน ประกายกระบี่เสียหายไปอย่างต่อเนื่อง

“นี่ นี่มันแข็งแกร่งเกินไปแล้ว” ภายใต้การคุ้มกันของประกายกระบี่ ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูกลิ่นอายดำมืดที่ทำลายประกายกระบี่อย่างต่อเนื่องอยู่รอบนอก เขารู้สึกหวาดหวั่นด้วยสัญชาตญาณของชีวิต! เขาเกิดความรู้สึกเหมือนกับว่า หากร่างกายถูกกลิ่นอายดำมืดนี้สัมผัสเข้า ก็จะแหลกสลายไป

“เฮอะ!”

ทันใดนั้นยอดเคารพซื่อฝาที่อยู่ไกลออกไปก็คำรามเสียงต่ำคราหนึ่ง แล้วฝืนเก็บงำกลิ่นอายเอาไว้ เขาลืมตาขึ้นแล้วมองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง “จ้าวหิมะเหิน เก็บกระบวนท่าทางด้านวิญญาณลงไปได้แล้วล่ะ”

จากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็เก็บกระบวนท่าลงไปในชั่วความคิดเดียว

“เป็นเขตลวงที่ร้ายกาจนัก” ยอดเคารพซื่อฝาทอดถอนใจคราหนึ่ง “ข้าคิดเอาเองว่าจะสามารถครองสติเอาไว้ได้ ทั้งยังจงใจเข้าไปในเขตลวงหมายจะสำรวจดูสักหน่อย ไหนเลยจะคิดว่าจะเสียเปรียบได้ จนแผ่กลิ่นอายออกไปภายนอก วันนี้ได้พบเห็นกระบวนท่าทางด้านวิญญาณระดับนี้ ก็นับว่าได้เปิดหูเปิดตามากทีเดียว จ้าวหิมะเหิน เป่ยเหอ ตอนนี้พวกเจ้าเข้าไปได้แล้วล่ะ!”

………………………………………

ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังจนเข้าใจแล้ว หลังจากบรรลุขั้นสุดยอด ต่อไปก็จะค่อยๆ มุ่งหน้าเข้าใกล้ ‘สิ่งมีชีวิตคละถิ่น’มากขึ้นเรื่อยๆ! อย่างเจ้าศิลาก็ตั้งใจเดินในเส้นทาง ‘ใช้พลังทำลายกฎ’ มาตลอด เจ้าเมืองอนันต์ก็เดินไปตามเส้นทางของตนเองเช่นกัน เขาอาศัยการสอดส่องระเบียบกฎเกณฑ์มาวิเคราะห์กฎเกณฑ์อันสูงส่ง! ส่วนเรื่องการเข้าร่วมสังหารราชันย์อนธการอมตะนั้น เห็นได้ชัดว่าคงจะส่งผลกระทบต่อเส้นทางของเขาเป็นอันมาก

ทำให้เส้นทางของเขายากลำบากขึ้นเป็นพันเป็นหมื่นเท่า เรื่องเช่นนี้ เจ้าเมืองอนันต์จะต้องไม่ยอมทำอย่างแน่นอน!

‘ตัดเส้นทางการบำเพ็ญ’ ไม่ว่าผู้แกร่งกล้าคนใด ก็ถือว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจทั้งสิ้น!

“ท่านเจ้าเมือง ท่านผิดแล้วล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับยังไม่ยอมแพ้ หากแต่แค่นเสียงต่อไปว่า “ท่านคิดว่าเส้นทางของท่านทำเช่นนี้แล้วจะถูกต้องอย่างนั้นหรือ ไม่หรอก ผิดต่างหาก”

“ผิดรึ อ้อ ข้าผิดตรงไหนกัน” เจ้าเมืองอนันต์กลับเป็นฝ่ายถามขึ้นเสียเอง

“วิญญาณ…คือแก่นแท้ของผู้บำเพ็ญ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดเสียงหนักแน่น “แต่ท่านเจ้าเมืองทราบหรือไม่ว่า สิ่งที่วิญญาณปรารถนาที่สุดคือสิ่งใด”

“ปรารถนาสิ่งใดหรือ” เจ้าเมืองอนันต์อยากรู้ขึ้นมา ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวตรงหน้าผู้นี้ คือผู้ที่เดินไปได้ไกลที่สุดบนเส้นทางวิญญาณในประวัติศาสตร์ของดินแดนจิตโลกา

“อิสรภาพ!”

ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดเสียงเบา เขาจำได้ไม่ลืมว่า ตอนที่ช่วยเหลือสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนที่ถูกจอมเทพศักดิ์สิทธิ์จับตัวไปเป็นทาสนั้น วิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนได้เปล่งเสียงโห่ร้องออกมา เป็นเสียงโห่ร้องอย่างอิสระ! วิญญาณเป็นอิสระโดยกำเนิดอยู่แล้ว

“วิญญาณแต่ละดวงล้วนแต่ปรารถนาอิสรภาพทั้งสิ้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปาก “ปรารถนาอิสรภาพ ปรารถนาจะหลุดพ้น แล้วบำเพ็ญอย่างไม่หยุดหย่อน ต้องมีปณิธานเช่นนี้จึงจะมีหวังกระโดดออกจากกรงขังแล้วสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นได้ แต่ท่านเจ้าเมืองกลับกลัวแต่ว่าจะทำลายระเบียบกฎเกณฑ์ พยายามระมัดระวังให้แปดเปื้อนเหตุปัจจัยน้อยที่สุด ราวกับผู้ชมดูอยู่ข้างๆ คนหนึ่ง ท่านเฝ้าดูอย่างระมัดระวัง จนกลายเป็นผู้รักษา ‘ระเบียบกฎเกณฑ์’ ไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว กลายเป็นส่วนหนึ่งของกฎเกณฑ์ไปเสียแล้ว”

“เดิมทีพวกเราก็เป็นส่วนหนึ่งของกฎเกณฑ์อันสูงส่งที่เปลี่ยนแปรไปอยู่แล้วนี่” เจ้าเมืองอนันต์กลับส่ายหน้า

“พวกเราถือกำเนิดขึ้นจากกฎเกณฑ์อันสูงส่งเปลี่ยนแปรไป แต่พวกเรามิใช่ส่วนหนึ่งของกฎเกณฑ์อันสูงส่งเสียหน่อย กฎเกณฑ์อันสูงส่งเป็ฯเพียงเปลของพวกเราเท่านั้น ถึงอย่างไรพวกเราก็ต้องกระโดดออกจากกรงขังให้ได้อยู่ดี!” ตงป๋อเสวี่ยอิงจ้องมองเจ้าเมืองอนันต์ “หากยินยอมเป็นส่วนหนึ่งของกฎเกณฑ์อันสูงส่ง一 จนถึงขั้นมิกล้าส่งผลกระทบต่อระเบียบกฎเกณฑ์เป็นอย่างมาก เช่นนั้นก็จะยิ่งไม่มีหวังหลุดพ้นแล้ว”

“ท่านพูดได้มีเหตุผล”

เจ้าเมืองอนันต์ส่ายหน้า “แต่ข้ามีเส้นทางของข้าเอง! ท่านไม่จำเป็นต้องพูดอีกแล้วล่ะ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงเงียบงัน

เขาไม่ยอมจำนน

แต่เขาก็เข้าใจว่า ผู้ที่สำเร็จเป็นขั้นสุดยอดคนหนึ่ง และกำลังยกระดับขึ้นไปด้วย ผู้บำเพ็ญระดับขั้นเช่นนี้ มิอาจโน้มน้าวได้ง่ายๆ อย่างแน่นอน

นอกเสียจากตัวเขาเองจะได้พบปัญหาต่างๆ มากมายระหว่างการบำเพ็ญ แล้วทบทวนตนเองจนรู้แจ้ง จึงเปลี่ยนเส้นทางของตนเอง คนอื่นจะพูดไปก็ไร้ประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตนไม่เข้าใจเส้นทางของเขา!

……

ณ เมืองหิมะเหิน

“มิน่าเล่า ผู้บำเพ็ญที่อ่อนแอจึงรู้สึกว่าเขาสุขุมที่สุดและนิสัยดีที่สุด แม้เมืองอนันต์ของเขาจะมีกฎระเบียบเข้มงวด แต่ขอเพียงรักษาระเบียบไว้ ก็จะไม่เป็นไร” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า “ถือตนเองเป็นผู้ชมระเบียบกฎเกณฑ์ทั้งหมดโดยไม่สอดมือยุ่งเกี่ยว ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ นิสัยนี้…ช่างเป็นคนที่แปลกพิกลคนหนึ่งจริงๆ”

เข้าใจเส้นทางของเขา ยังสามารถเข้าใจได้

เมื่อเทียบกับเจ้าเมืองอนันต์ผู้นี้แล้ว บรรพชนราตรีนิรันดร์ บรรพชนนิจรัตติกาล บรรพชนฝาน จักรพรรดิเซี่ย ราชันย์อนธการอมตะ ประมุขรัฐเสียดฟ้า ประมุขรัฐจันทร์บุปผาและคนอื่นๆ ก็อยู่กับความเป็นจริงกว่ามาก พวกเขาต่างก็มีสิ่งที่รักและชังเป็นของตนเอง

“ทำเช่นไรดี”

“เขาไม่ยอมรับปาก ก็ไม่มีผู้ที่สะกดรอยได้”

“หรือจะต้องทำถึงขั้นเมื่อล้อมสังหารก็ต้องสังหารได้เลยทันที” ตัวตงป๋อเสวี่ยอิงเองรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้สักเท่าใดนัก ประมุขโลกกลุ่มหนึ่งล้อมสังหารเพื่อลอบโจมตี เมื่อราชันย์อนธการอมตะรู้ว่าท่าไม่ดีแล้วก็ต้องหลบหนีไปเป็นแน่ ทำให้เขาไร้ทางหนีรอดหรือ สามารถมองข้ามความเป็นไปได้ไปได้เลย! เพราะถึงอย่างไรหากพูดถึงความพิสดารของกระบวนท่าแล้ว ราชันย์อนธการอมตะก็สูงชั้นกว่าประมุขโลกชนพื้นเมืองมากมายนัก

ขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังเค้นสมองครุ่นคิดนั้น ร่างแยกของเขาที่ทิ้งเอาไว้ในโลกแสงดาวก็ได้รับสารจากจักรพรรดิ

เป่ยเหอ

“จ้าวหิมะเหิน ข้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว ควรเคลื่อนไหวได้แล้ว” จักรพรรดิเป่ยเหอถ่ายเสียงบอก

“เคลื่อนไหวหรือ ได้สิ!” ตงป๋อเสวี่ยอิงรับปากทันที

เรื่องสังหารราชันย์อนธการอมตะ เขาของพักไว้ด้านหนึ่งก่อนชั่วคราว เพื่อไตร่ตรองให้ดีๆ ว่ายังมีวิธีใดอีก

เขาจะไปช่วยจักรพรรดิเป่ยเหอก่อน เพราะถึงอย่างไรก็รับปากเอาไว้ก่อนแล้ว

******

ณ โลกเป่ยเหอ

ตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึงภายในโถงตำหนัก

“พี่หิมะเหิน” ‘จักรพรรดิเป่ยเหอ’ ในอาภรณ์สีเขียวทั้งร่างที่นั่งรออยู่บนบัลลังก์ก่อนแล้วผุดลุกขึ้นมา ภายในตำหนักใหญ่ก็มีแม่ทัพเทพคนอื่นๆ อยู่ด้วย รวมมีแม่ทัพเทพทั้งหมดสิบคน ซึ่งก็คือแม่ทัพเทพที่จัดอยู่ในสิบอันดับแรกจากทั้งสามสิบหกคน ตามปกติแล้วพวกเขาล้วนค่อนข้างหยิ่งทะนง และรักอิสระเป็นอย่างมาก ครั้งนี้เขาสามารถเรียกตัวมาได้ทั้งหมด จะเห็นได้ว่าจักรพรรดิเป่ยเหอจริงจังเพียงใด

“จักรพรรดิ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ “เตรียมตัวพร้อมแล้วหรือขอรับ”

“เตรียมพร้อมแล้ว!”

จักรพรรดิเป่ยเหอมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า “พี่หิมะเหิน สามารถออกเดินทางได้ตลอดเวลากระมัง”

ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า “ไม่ทราบว่าจะไปที่ใด เป็นท่านใดในยอดเคารพทั้งสามหรือขอรับ”

“ยอดเคารพซื่อฝา” จักรพรรดิเป่ยเหอกล่าว

ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า ยอดเคารพซื่อฝาถือได้ว่าเป็นคนที่ไม่เลวในบรรดายอดเคารพทั้งสามแห่งเผ่ามรณะทมิฬ แต่ก็ โหดเหี้ยมอำมหิตเช่นเดียวกัน ถือเป็นมารร้ายตัวฉกาจโดย สมบูรณ์ อาจจะเพราะถือกำเนิดขึ้นมาท่ามกลางความตาย ยอดเคารพซื่อฝาจึงรู้สึกว่าการสังหารสิ่งมีชีวิตอื่นๆ และทำให้พวกเขากลับคืนสู่ความตายได้ เป็นการ ‘ทำทาน’ อย่างหนึ่ง ดังนั้นเขาผู้ชมชอบการทำทาน จึงได้ร่อนลงไปในโลกของชนพื้นเมือง เขาถึงขั้นทำพิธีก่อนการทำทาน จากนั้นก็ทำทานครั้งหนึ่ง ทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนโลกแห่งหนึ่งกลับสู่ ‘ความตาย’

ยอดเคารพซื่อฝาเชื่อว่า นี่คือการทำทาน เป็นความเมตตา

แต่สำหรับชนพื้นเมืองจำนวนนับไม่ถ้วนแล้ว กลับรู้สึกว่าน่าหวาดหวั่นเกินไปแล้ว ต่อให้เป็นตงป๋อเสวี่ยอิง ก็ยังรู้สึกว่านี่คือ มารร้ายโดยกำเนิด!

“ที่ผ่านมาแม้ข้าจะเคยไปยังเกาะซื่อฝาแล้ว แต่ยังมิทันได้พบหน้ายอดเคารพ ก็ถูกโจมตีและไล่ตะเพิดออกมาแล้ว ครั้งนี้มีพี่หิมะเหินอยู่ ข้าจึงมั่นใจ” จักรพรรดิเป่ยเหอพูดยิ้มๆ “บุญคุณใหญ่หลวงครั้งนี้ ข้าจะจดจำเอาไว้ รอให้กลับออกมาจากเกาะซื่อฝา ข้าจะต้องตอบแทนพี่หิมะเหินมิให้เสียเปรียบเลย”

“ไปก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ ถึงอย่างไรก็เป็นยอดเคารพ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว หนึ่งในห้ายอดเคารพคงมิได้รับมือง่ายถึงเพียงนั้น

“ได้ ไป ออกเดินทางกันเถิด!”

จักรพรรดิเป่ยเหอหัวเราะเสียงดัง

เขาและตงป๋อเสวี่ยอิงเดินเคียงข้างกัน ส่วนแม่ทัพเทพคนอื่นๆ ทั้งสิบก็ตามมาด้านหลัง พวกเขาทะลุอากาศตรงไปยังโลกเป่ยเหอ

……

เกาะซื่อฝา

สามารถถูกยอดเคารพผู้หนึ่งครอบครองและใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ได้ หากพูดถึงพื้นที่แล้ว ก็ย่อมสามารถจัดอยู่ในสามอันดับแรกของเกาะลอยคว้างในหุบเขาเขี้ยวหักได้ ที่นี่มีทั้งอันตรายและโอกาสอยู่ร่วมกัน ที่นี่น่ากลัวกว่า เกาะของ ‘ราชันย์เหยี่ยน’ ซึ่งเป็นหนึ่งในสิบสามราชันย์มากนัก! ลำพังแค่ ‘ยอดเคารพซื่อฝา’ เพียงคนเดียวก็มีแรงคุกคามอันน่าหวาดหวั่นแล้ว

สวบๆๆๆๆๆ!!!!!!

พวกเขาทั้งสิบสองคนร่อนลงบนเกาะซื่อฝาแห่งนี้

แม้เกาะซื่อฝาจะกว้างใหญ่ไพศาล แต่กลับมีทางเดินหินปูลาดเอาไว้ทั่ว ทางเดินหินตัดผ่านไปมา ครอบคลุมทั่วทั้งเกาะ

ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นเข้าก็ลอบตกใจ แม้เขาจะเคยไปยังเกาะลอยคว้างมากมาย แต่เกาะลอยคว้างอื่นๆ ก็ล้วนแต่ดั้งเดิมมาก มีเพียงดินแดนชนเผ่าเท่านั้นจึงจะสร้างขึ้นมาเป็นพิเศษอยู่บ้าง! ต้องรู้ไว้ว่าในโลกของผู้บำเพ็ญมีอาหารชั้นเลิศนานาชนิด มีสิ่งก่อสร้างซึ่งมีเอกลักษณ์แตกต่างกันไป มีคูเมืองรายล้อม…พวกมันต่างก็มีลักษณะแตกต่างกันไป แต่เกาะลอยคว้างนั้นมีแต่รูปแบบดั้งเดิมมาโดยตลอด

“ไม่เสียทีที่ยอดเคารพซื่อฝาผู้นี้เป็นยอดเคารพ อย่างน้อยก็ได้สร้างเกาะลอยคว้างขึ้นมาบ้างในขั้นต้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ

รายงานบันทึกเอาไว้ว่า ยอดเคารพซื่อฝานั้นอยู่ระหว่างความจริงและความลวง

แล้วศัตรูของเขาก็จะสิ้นใจไปอย่างไร้สุ้มเสียง

เป็นผู้ที่มีวิธีการสังหารศัตรูที่แปลกประหลาดที่สุดในบรรดายอดเคารพทั้งห้า

พวกเขาทั้งสิบสองคนร่อนลงบนเกาะซื่อฝา ยังมิทันได้เคลื่อนไหว แสงสีดำรำไรที่เปล่งออกมาจากทางเดินหินด้านข้าง ก็สาดส่องลงบนร่างของพวกเขาทั้งสิบสอง

“ถูกพบเข้าแล้ว” จักรพรรดิเป่ยเหอพูดพลางหัวเราะเบาๆ

“เป่ยเหอ เจ้าถึงกับกล้าบุกรุกเกาะซื่อฝาเชียวรึ” สิ้นเสียงตวาดอย่างโกรธเกรี้ยว เงาร่างกำยำผิวสีดำทะมึนซึ่งสวมเกราะตลอดร่างก็เคลื่อนที่ในพริบตามาปรากฏกายขึ้น เขากุมหอกยาวสีดำขนาดมหึมาเล่มหนึ่งเอาไว้ในมือขณะยืนอยู่กลางอากาศ

…………………………………..

ในสายตาของผู้บำเพ็ญที่อ่อนแอจำนวนนับไม่ถ้วนหรือแม้กระทั่งเทพจักรวาลทั่วไปบางคน เจ้าเมืองอนันต์คือสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูซึ่งสุขุมที่สุด และนิสัยดีที่สุดในดินแดนจิตโลกาแล้ว!

แต่ในสายตาของขั้นสุดยอดทั่วไปและบรรดาสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูคนอื่นๆ เจ้าเมืองอนันต์กลับมีนิสัยแปลกพิกลที่สุด

เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าเขามีนิสัยแปลกประหลาดยากทำนายเป็นที่สุด! แรงคุกคามก็จัดได้ว่าเป็นที่หนึ่งในบรรดาห้าบรรพชนแห่งรัฐโบราณสหโลกา ความสามารถในการรักษาชีวิตก็เยี่ยมยอด การตรวจสอบและสะกดรอยก็เป็นที่หนึ่งในดินแดนจิตโลกา

“มีแขกมาเยือน”

เจ้าเมืองอนันต์ผู้มีผิวกายสีเขียวทั้งร่าง ยืนเอามือไพล่หลังอยู่บนยอดของตำหนักที่สูงที่สุดในจวนท่านเจ้าเมือง รอบด้านมีกลุ่มเมฆรายล้อม เหนือศีรษะของเขามีเขาโค้งสีแดงโลหิตอยู่คู่หนึ่ง นัยน์ตาสุขุม ต่อให้เป็นผู้ที่อ่อนแอเช่นสัตว์โลกทั่วไปต่างก็มิอาจสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามของเจ้าเมืองอนันต์เลยแม้แต่น้อย เขาราวกับเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนจิตโลกา ไม่มีกลิ่นอายอันใด ดูธรรมดาสามัญเป็นที่สุด

หากซ่อนเร้นร่องรอย ก็เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดสามารถหาเขาได้พบ

เจ้าเมืองอนันต์มองไปเบื้องหน้า

ตรงหน้ามีระลอกก่อตัวขึ้น ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวผู้หนึ่งเดินออกมาจากในนั้น เหยียบย่างอากาศเข้ามา

“จ้าวหิมะเหินมายังเมืองอนันต์ของข้า ช่างหาได้ยากนัก” เจ้าเมืองอนันต์พูดยิ้มๆ

“ข้ามาเยี่ยมเยียนโดยไม่ดูกาลเทศะ ขอท่านเจ้าเมืองอย่าได้ถือสาเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินเข้าม

“ชะตาชีวิตท่ามกลางความมืดมิดถูกกำหนดไว้ตั้งนานแล้ว ท่านมาที่นี่ ย่อมมิอาจนับได้ว่าไม่ดูกาลเทศะหรอก” เจ้าเมืองอนันต์กล่าว จากนั้นมือสีเขียวก็ชี้ไปทางด้านหนึ่ง “จ้าวท่านเชิญนั่ง”

ทั้งสองคนเดินเคียงข้างกัน

มีโต๊ะหินและม้าหินหน้าตาธรรมดาสามัญตั้งอยู่ พวกเขานั่งลงตรงข้ามกัน

เจ้าเมืองอนันต์รินสุราให้ตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยตนเอง สุรานั้นเป็นสุราทั่วๆ ไป

“ได้ยินมาว่ากระบวนท่าทางด้านวิญญาณของจ้าวท่านแข็งแกร่งเสียจนทำให้ยอดฝีมือระดับจักรพรรดิในหุบเขาเขี้ยวหักจมดิ่งไปกันหมด” เจ้าเมืองอนันต์กล่าว “แม้ข้าและผู้บำเพ็ญคนอื่นๆ จะบรรลุถึงขั้นสุดยอด ภายใต้กระบวนท่าทางด้านวิญญาณของพวกท่าน เกรงว่าพลังก็คงต้องลดลงเป็นอันมาก ขอบังอาจถามจ้าวท่านว่า วิถีวิญญาณของท่านบรรลุถึงขั้นสุดยอดแล้วหรือ”

“ยังหรอก” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “เพียงแต่เคราะห์ดีสบโอกาสเข้า จึงได้รับรู้กระบวนท่าบางอย่างขึ้นมาน่ะ”

เจ้าเมืองอนันต์เอ่ยว่า “โลกกำเนิดกว้างใหญ่ไพศาล ทุกสิ่งหมุนเวียนไปภายใต้กฎเกณฑ์อันสูงส่ง มีต้นไม้ใบหญ้าเติบโต มีมดและแมลงผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป มีสิ่งมีชีวิตทรงปัญญาถือกำเนิด แต่กระนั้น ‘วิญญาณ’ กลับพิเศษที่สุด เป็นถึงแก่นแท้ของชีวิต และถึงขั้นเป็นแก่นแท้ของโลกกำเนิดเลยทีเดียว”

ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นด้วย

‘แก่นวิญญาณโลหิต’ ซึ่งได้จากการเข่นฆ่าสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนเพื่อบูชาโลหิต ให้ผลที่ดีกว่าศิลาปฐมโลกา

และหากสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนนับถือและสวามิภักดิ์ต่อใครสักคน ปณิธานของชีวิตทั้งหลายก็จะส่งผลกระทบต่อปณิธานโลกกำเนิด โลกกำเนิดก็จะสวามิภักดิ์ต่อคนผู้นั้น จนกลายเป็นประมุขโลกกำเนิดได้!

วิญญาณ…พิเศษที่สุดในโลกกำเนิดแห่งหนึ่งอย่างแท้จริง และเป็นแก่นแท้ของชีวิตหนึ่งๆ อย่างแท้จริงด้วย ทางสายนี้จึงได้บรรลุถึงขั้นสุดยอดยากเย็นเช่นนี้!

“ข้ามองดูสรรพสิ่งในโลกกำเนิดหมุนเวียนไป แต่กลับมิอาจมองวิญญาณให้ทะลุปรุโปร่งได้” เจ้าเมืองอนันต์กล่าว

“ข้าก็ยังห่างจากการมองให้ทะลุปรุโปร่งอยู่ไม่น้อย” ปากของตงป๋อเสวี่ยอิงพูดเช่นนี้ แต่ในใจกลับลอบร่ำร้องว่า เมื่อมาถึง เจ้าเมืองอนันต์ผู้นี้ก็เอาแต่พูดเรื่องวิญญาณ พูดเรื่องการหมุนเวียนของโลก พูดเรื่องสรรพชีวิตในโลกกำเนิดกับตน ตนก็เอ่ยปากเปิดเรื่องที่ตนต้องการเสียเลยก็แล้วกัน เขาจึงพูดขึ้นว่า “ท่านเจ้าเมือง ที่ข้ามายังเมืองอนันต์ เพราะมีเรื่องหนึ่งอยากรบกวนท่านเจ้าเมืองน่ะขอรับ”

“เชิญพูดมาเถิด” เจ้าเมืองอนันต์ยังคงสงบนิ่ง

“บัดนี้ราชันย์อนธการอมตะบ้าคลั่งอย่างแท้จริงไปแล้ว หากไม่ขัดขวางเขา เกรงว่าหายนะครั้งใหญ่จะเกิดขึ้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว

“เหตุใดจ้าวท่านจึงพูดเช่นนี้เล่า” เจ้าเมืองอนันต์กล่าว “ราชันย์อนธการบรรลุถึงระดับขั้นเช่นนี้แล้ว จู่ๆ จะบ้าคลั่งได้อย่างไรกัน”

“ก่อนหน้านี้ไม่นานนัก เขาเคยมาหาข้า” ตงป๋อเสวี่ยอิงเล่าอย่างละเอียด

เขาพูดถึงภัยคุกคามทั้งหมดของราชันย์อนธการอมตะ

“ข้อเรียกร้องของเขาสูงเกินไปแล้ว ข้าทำไม่ได้หรอก” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า “หลังจากการเจรจาล้มเหลว เขาก็เริ่มต้นเก็บเกี่ยววิญญาณอย่างบ้าคลั่งทันที ข้าเคยตรวจสอบดู เหมือนเขาจะกำลังทำการทดลองบางอย่างเกี่ยวกับวิญญาณอยู่”

เจ้าเมืองอนันต์พยักหน้าน้อยๆ “ตอนนั้นราชันย์อนธการเหยียบย่างบนเส้นทางปะทะกับสิ่งมีชีวิตคละถิ่นแล้วล้มเหลว หลังจากกลับมาก็ใจจดใจจ่ออยู่กับการหลอมแปรผู้ท่องมรณะ หมายจะมุ่งหน้าไปยังหุบเขาเขี้ยวหัก แต่แล้วก็ถูกท่านทำลายเรื่องของเขาลงไปอีก บัดนี้เมื่อท่านอยู่ในหุบเขาเขี้ยวหัก แค่ร้องคำเดียวก็มีคนนับร้อยขานรับ เขารู้สึกว่าความหวังที่จะได้เข้าไปในทางเดินเขี้ยวอสรพิษในภายภาคหน้าริบหรี่มากแล้ว จึงย่อมเริ่มลงมือขั้นสุดท้าย นี่คือนิสัยของราชันย์อนธการ”

“เกรงว่าการลงมือขั้นสุดท้าของเขาคงจะทำให้สิ่งมีชีวิตผู้บริสุทธิ์ต้องสิ้นใจไปอีกตั้งไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “จะมองดูสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอจำนวนนับไม่ถ้วนตายไปต่อหน้าต่อตาอย่างนั้นหรือ ข้าทำมิได้หรอก ดังนั้นจึงได้เตรียมจะกำจัดราชันย์อนธการอมตะอยู่”

“กำจัดราชันย์อนธการหรือ” นัยน์ตาของเจ้าเมืองอนันต์ฉายแววสนใจใคร่รู้ออกมา

“ข้าจะเรียกตัวประมุขโลกของชนพื้นเมืองหุบเขาเขี้ยวหักกลุ่มใหญ่มารวมตัวกันเป็นค่ายกลรบแล้วล้อมสังหารเขา” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “เพียงแต่ในฐานะที่เป็นขั้นสุดยอด เมื่อหลบหนีและเก็บงำกลิ่นอาย ก็ยากที่จะสะกดรอยได้ สิ่งที่ข้าล่วงรู้ก็คือ บัดนี้คนเพียงผู้เดียวในดินแดนจิตโลกาที่สามารถสะกดรอยราชันย์อนธการอมตะได้ ก็คือท่านเจ้าเมืองเท่านั้น ดังนั้นขอท่านเจ้าเมืองโปรดช่วยเหลือด้วยเถิด”

“ข้าสะกดรอยได้จริงๆ นั่นแหละ บัดนี้ หากระดับขั้นอย่างจักรพรรดิเซี่ยก็ยังมิอาจตามรอยได้ เกรงว่าก็คงจะมีข้าเพียงคนเดียวแล้ว” เจ้าเมืองอนันต์ยอมรับ

“ขอท่านเจ้าเมืองโปรดช่วยเหลือด้วยเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “ท่านเจ้าเมืองต้องการสิ่งใด เชิญพูดมาได้เต็มที่ ต่อให้เป็นสมบัติลับอันสูงส่งสักชิ้น ขอเพียงท่านเจ้าเมืองรับปากว่าจะช่วยเหลือ ข้าก็จะมอบให้ท่านเจ้าเมืองทั้งหมด”

“ไม่เสียทีที่บัดนี้จ่าวท่านเป็นผู้แกร่งกล้าที่มั่งคั่งที่สุดในดินแดนจิตโลกา ได้ยินแล้วจิตใจข้าก็หวั่นไหวเลยทีเดียว” เจ้าเมืองอนันต์ส่ายหน้าพลางพูดอย่างจนใจว่า “น่าเสียดายที่ข้าไร้หนทางช่วยเหลือท่าน”

“ไร้หนทางหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงร้อนใจขึ้นมา “ไยจึงไร้หนทางเล่า ท่านเจ้าเมืองแค่ต้องสืบตำแหน่งพิกัดที่ราชันย์อนธการอมตะอยู่เท่านั้นเอง ไม่ว่าราชันย์อนธการจะอยู่ที่ใดเขาก็สามารถหาพบได้ ส่วนเรื่องการล้อมโจมตี ข้าจะเชิญประมุขโลกทั้งหลายมาร่วมมือกันล้อมโจมตีเอง ท่านเจ้าเมืองไม่จำเป็นต้องกังวลไปเลย”

เจ้าเมืองอนันต์กล่าวว่า “เชิญจ้าวท่านกลับไปเถิด”

“ท่านเจ้าเมืองก็คงใส่ใจสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดอย่างร้อนรน “โอกาสและสมบัติล้ำค่าต่างๆ ข้าล้วนสามารถช่วยเหลือท่านเจ้าเมืองได้”

“ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้หรอก” เจ้าเมืองอนันต์ส่ายหน้า

“ไยท่านเจ้าเมืองจึงไม่ยอมลงมือเล่า หรือผูกสัมพันธ์อันดียิ่งกับราชันย์อนธการอมตะผู้นั้นเอาไว้กันแน่” ตงป๋อเสวี่ยอิงถามด้วยความร้อนรน เขามิอาจไม่รีบร้อนได้ บัดนี้ เจ้าเมืองอนันต์ตรงหน้าผู้นี้เป็นคนเพียงคนเดียวที่สามารถตามรอยราชันย์อนธการอมตะได้

เจ้าเมืองอนันต์หัวเราะเบาๆ “ผูกสัมพันธ์รึ ข้าจะไปมีความสัมพันธ์ล้ำลึกกับเขาได้อย่างไรกัน ถ้าเขาตายไป เกรงว่าข้าก็คงจะดื่มสุราสักหลายจอกเพราะอารมณ์ดียิ่งเสียอีก”

“เช่นนั้นเป็นเพราะเหตุใดเล่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่เข้าใจ

มิได้ผูกสัมพันธ์

ตนเสนอผลประโยชน์มากมายเพื่อให้เขาช่วยเหลือ เหตุใดเจ้าเมืองอนันต์จึงไม่ยอมรับปากกันเล่า

“ข้าสามารถสะกดรอยเขาได้จริงๆ ไม่เพียงแต่สามารถสะกดรอยเขาได้เท่านั้น แต่ขั้นสุดยอดคนอื่นๆ หรือแม้กระทั่งสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรู ข้าก็สามารถสะกดรอยได้” เจ้าเมืองอนันต์กล่าว “แต่ท่านเคยได้ยินหรือไม่ว่า ข้าไล่สังหารขั้นสุดยอดน่ะ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้งเฮือก

ใช่แล้ว

เนื่องจากเขาเพิ่งได้ข่าวจากจักรพรรดิเซี่ยว่าเจ้าเมืองอนันต์สามารถสะกดรอยราชันย์อนธการอมตะได้ ดังนั้นเขาจึงรีบมาเชื้อเชิญทันที แต่กลับลืมไปว่า สามารถสะกดรอยราชันย์อนธการอมตะได้ ก็ต้องสามารถสะกดรอยขั้นสุดยอดคนอื่นๆได้ด้วยเช่นกัน

แต่เหตุใดมารร้ายตัวฉกาจทั้งหลายอย่างประมุขเกาะจันปาจึงยังคงลอยชายเหิมเกริมอยู่ได้เล่า

“เนื่องจากไม่สามารถสังหารได้”

เจ้าเมืองอนันต์กล่าว

“ไม่สามารถสังหารได้หรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ่งไม่เข้าใจมากขึ้นไปอีก

“พวกเราสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนล้วนแต่เป็นส่วนหนึ่งของโลก” เจ้าเมืองอนันต์ยิ้มน้อยๆ “ตั้งแต่มดปลวกที่ต่ำต้อยที่สุดไปจนถึงเทพจักรวาล ก็ล้วนแต่เป็นส่วนหนึ่งของโลกกำเนิดทั้งสิ้น เป็นส่วนหนึ่งของการสำแดงกฎเกณฑ์อันสูงส่ง ภายใต้กฎเกณฑ์อันสูงส่ง ทุกสิ่งล้วนหมุนเวียนไป สิ่งมีชีวิตวิวัฒน์ไป บำเพ็ญ รัก โลภ โกรธ หลง…ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นการหมุนเวียนรูปแบบหนึ่งของกฎเกณฑ์อันสูงส่ง เช่นวันนี้ท่านมาหาข้า ก็เป็นการปรากฏของการหมุนเวียนของกฎเกณฑ์อันสูงส่งเช่นกัน”

ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้ง

“สมบัติล้ำค่าและโอกาส ข้าก็ไม่ค่อยสนใจสักเท่าใดนัก” เจ้าเมืองอนันต์กล่าว “สมบัติลับอันสูงส่ง ข้าก็ไม่สนใจ ข้าสำเร็จเป็นขั้นสุดยอดตั้งนานแล้ว และรับรู้กฎเกณฑ์อันสูงส่งอยู่ตลอดเวลาด้วย”

“วิญญาณของข้าหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับโลกกำเนิดอยู่ตลอดเวลา เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว จึงจะสามารถสัมผัสรับรู้การหมุนเวียนของกฎเกณฑ์อันสูงส่งได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น”

“กฎเกณฑ์อันสูงส่งพิสดารไม่เป็นสองรองใคร”

“กฎเกณฑ์หมุนเวียนไป ก็ย่อมมีระเบียบอยู่ ข้าเป็นผู้สอดส่องระเบียบกฎเกณฑ์นี้” เจ้าเมืองอนันต์มองตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มๆ “ข้าไม่ยอมให้ระเบียบถูกทำลายหรอก ขั้นสุดยอดไม่ว่าหน้าไหนก็ล้วนแต่เป็นสิ่งมีชีวิตอันยิ่งใหญ่ซึ่งถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกกำเนิดแห่งนี้ ทั้งแข็งแกร่งและทำให้คนใจสะท้านเป็นที่สุด การสอดส่องพวกเขาทำให้ข้าปีติยินดีจนล้นใจ หากข้าลงมือสังหารพวกเขา ก็จะทำให้ระเบียบได้รับผลกระทบอย่างยิ่ง สิ่งที่ข้าไม่ชอบที่สุดก็คือการทำลายระเบียบ”

“โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวข้าเอง ลำพังแค่ลงมือห้ำหั่นก็แล้วไปเถิด หากสังหารขั้นสุดยอดคนหนึ่งเข้าจริงๆ แล้ว ก็จะส่งผลกระทบใหญ่หลวงอย่างยิ่งต่อการหมุนเวียนของระเบียบกฎเกณฑ์ หากข้าถลำลึกลงไป ตัวเองถูกเหตุปัจจัยผูกพันอยู่ในนั้น การสอดส่องดูระเบียบของข้าก็จะทวีความยากขึ้นไปอีกมาก”

“ราชันย์อนธการอมตะเป็นผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งของดินแดนจิตโลกาในตอนนี้ หากจ้าวหิมะเหินจะเรียกประมุขโลกกลุ่มหนึ่งมารวมตัวกันได้ แล้วข้าก็ช่วยท่านสังหารเขาอีก”

“ผลกระทบก็จะยิ่งใหญ่เกินไปแล้ว ระเบียบกฎเกณฑ์ต่างๆ ก็จะถูกทำลายและเปลี่ยนแปลงมากเกินไป ระเบียบกฎเกณฑ์ที่ข้าสอดส่องอยู่ก็จะยากขึ้นเป็นพันเป็นหมื่นเท่า”

“ดังนั้น จ้าวท่านโปรดเข้าใจด้วยว่าข้ามิอาจช่วยเหลือท่านได้” เจ้าเมืองอนันต์กล่าว

…………………………………..

หลังจากรับม้วนสาส์นมาแล้วราชันย์อนธการอมตะก็หายตัวจากไป

ประมุขรัฐเมฆทักษิณาหยิบเอาม้วนสาส์นมา ทว่ากลับตื่นตระหนกขึ้นในใจ “ถึงแม้ว่าในอดีตราชันย์อนธการอมตะผู้นี้จะให้ข้าช่วยจัดการธุระให้ แต่อย่างน้อยมองเผินๆ ก็ยังรักษาท่าทีเอาไว้อยู่ คราวนี้ให้ข้าจัดการธุระให้ จัดการไม่สำเร็จก็จะทำลายรัฐเมฆทักษิณา โหดเหี้ยมอำมหิตถึงเพียงนี้! ช่างผิดแผกนัก!”

ผ่านไปชั่วครู่

ณ เมืองหิมะเหิน ร่างแยกหนึ่งของประมุขรัฐเมฆทักษิณามาถึงที่นี่เพื่อพบตงป๋อเสวี่ยอิง

“อาจารย์” ตงป๋อเสวี่ยอิงยังคงนั่งอยู่ใต้ศาลา พอเห็นอาจารย์มาถึงแล้วก็ลุกขึ้นต้อนรับ

“เสวี่ยอิง ข้าเพิ่งเคยพบราชันย์อนธการอมตะ รู้สึกว่าช่างผิดแผกนัก” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาเล่าเรื่องให้ฟังรอบหนึ่ง

ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังจบแล้วก็เอ่ยว่า “ล้วนเป็นเพราะข้าทั้งสิ้น”

“เป็นเพราะเจ้าหรือ” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาประหลาดใจ

“เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะรู้สึกถึงภัยคุกคามอันยิ่งใหญ่เสียแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงทอดถอนใจ “พูดขึ้นมาแล้วก็เป็นเพราะข้าสร้างชื่อเสียงเอาไว้ที่หุบเขาเขี้ยวหักมากพอสมควร”

“เจ้าสร้างชื่อเสียงเอาไว้ที่หุบเขาเขี้ยวหัก ชื่อเสียงอันใดกันหรือ” ประมุขรัฐเมฆทักษิณายิ่งสงสัย ยามผู้บำเพ็ญของดินแดนจิตโลกาอย่างพวกเขาอยู่ที่หุบเขาเขี้ยวหักก็ระมัดระวังตนเองเป็นอย่างยิ่ง เผชิญหน้ากับเผ่ามรณะทมิฬ พวกเขาก็ต้องระวัง เผชิญหน้ากับชนพื้นเมืองดั้งเดิมก็ต้องระวังเช่นเดียวกัน! แม้กระทั่งเหล่าบุคคลผู้ไร้เทียมทาน ถ้าหากไม่จำเป็นจริงๆ ต่างก็มิกล้าพกเอาสุดยอดสมบัติลับล้ำค่าไปด้วย

“เป็นเช่นนี้แหละ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่จำเป็นต้องปิดบังอาจารย์ จึงพูดอย่างละเอียดลออ

ประมุขรัฐเมฆทักษิณายิ่งฟังก็ยิ่งตกตะลึง

สวรรค์เอ๋ย!

ต่อสู้กับบรรดาแม่ทัพเทพ ถึงขนาดที่กล้าเป็นอริกับจักรพรรดิเป่ยเหอ! จักรพรรดิเป่ยเหอไม่เพียงแต่ไม่โกรธเท่านั้น ในทางตรงข้ามกลับมาเชื้อเชิญด้วยตนเอง รักษามารยาทเป็นอย่างมาก จักรพรรดิแต่ละท่านเชื้อเชิญ ‘จักรพรรดิวายุทิพย์’ ร่วมมือกับเขา ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ข่มขู่ให้ ‘ราชันย์เหยี่ยน’ ผู้ที่มีอิทธิพลยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาสิบสามราชันย์ยอมก้มหัว

“เจ้า เจ้า…” วิสัยทัศน์ของประมุขรัฐเมฆทักษิณายิ่งกว้างขึ้น ขณะนี้เขามองดูลูกศิษย์ของตนอย่างหวาดหวั่นพรั่นพรึงยิ่ง

น่ากลัวยิ่งนัก!

น่ากลัวเกินไปแล้ว!

ผู้บำเพ็ญของดินแดนจิตโลกา ก่อนหน้านี้ในประวัติศาสตร์ก็ไม่มีใครเหมือนกับตงป๋อเสวี่ยอิงที่มีชื่อเสียงเลื่องลือทั่วทั้งหุบเขาเขี้ยวหักเช่นนี้ได้มาก่อนเลย! แม้กระทั่งระดับขั้นอย่างจักรพรรดิแปดท่านและสิบสามราชันย์ก็ยังต้องแย่งกันผูกไมตรี

“วิถีเขตลวงโลกเทียมของเจ้าไปถึงขั้นสุดยอดแล้วหรือไม่ เคล็ดวิชาวิญญาณจึงได้ร้ายกาจถึงเพียงนี้” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาเอ่ยถามอย่างอดมิได้

“เปล่าหรอกขอรับ เพียงแค่ไปถึงขีดจำกัดคอขวดเท่านั้นเอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “ข้ามีโอกาสในหุบเขาเขี้ยวหักอยู่บ้าง อาศัยสิ่งนี้ จึงได้ตระหนักรู้ท่าไม้ตายเขตลวงโลกเทียมกระบวนหนึ่งขึ้นมา! อาศัยท่าไม้ตายนี้จึงมีอิทธิพลเช่นนี้ได้”

“สามารถทำให้ระดับจักรพรรดิมากมายภายในหุบเขาเขี้ยวหักจมดิ่งกันหมด ขั้นสุดยอดของพวกเราผู้บำเพ็ญเมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้า เกรงว่าพลังยุทธ์ต่างก็ต้องลดลงไปอย่างมหาศาล! เทพจักรวาลชั้นที่สองและบรรดาผู้เคารพโดยทั่วไป… เมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าเกรงว่าต่างก็ต้องจมลงสู่ห้วงนิทราในทันใด รวมทั้งข้าด้วย” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาส่ายหน้าพลางถอนหายใจ “ถึงแม้ว่าพวกเราจะมีร่างแยกมากมาย แต่ความคิดเดียวของเจ้าก็สามารถผลาญร่างแยกทั้งหมดของข้าจนสิ้นได้แล้ว”

ในขณะนี้

ประมุขรัฐเมฆทักษิณาเกิดจิตใจหวาดหวั่นต่อลูกศิษย์ผู้นี้ขึ้นมาวูบหนึ่ง เคล็ดวิชาวิญญาณช่างน่าหวาดหวั่นเหลือเกิน ร่างแยกร่างหนึ่งจ่อมจมไป ความทรงจำของร่างแยกที่มีอยู่ทั้งหมดเชื่อมต่อกันด้วยเหตุนี้ ต่างก็สามารถเข้าสู่เขตลวงได้เช่นเดียวกัน!

แม้กระทั่งร่างแยกที่อยู่ไกลออกไปยังโลกกำเนิดอื่นๆ ในขณะนี้ประมุขรัฐเมฆทักษิณาก็ตัดสินใจว่าจะตัดการเชื่อมต่อความทรงจำของร่างแยกโลกาที่อยู่ไกลออกไป! เพราะโลกกำเนิดทีาแยกจากกัน การเชื่อมโยงความทรงจำนั้นเดิมทีก็กินแรงเป็นอย่างมากอยู่แล้ว ขอเพียงแค่มิได้เชื่อมโยงกันอยู่ ก็ย่อมตัดขาดจากกันไปโดยธรรมชาติอยู่แล้ว “หลายปี ความทรงจำเชื่อมต่อกันครั้งหนึ่ง เพื่อป้องกันมิให้ร่างแยกเกิดอุปนิสัยที่แตกต่างกัน”

เคล็ดวิชาวิญญาณช่างชวนให้คนตกใจเหลือเกิน แม้กระทั่งประมุขรัฐเมฆทักษิณาผู้เป็นอาจารย์ผู้นี้ เป็นถึงผู้บำเพ็ญ ก็ย่อมต้องปกป้องตนเองโดยสัญชาตญาณอยู่แล้ว

“กับเทพจักรวาลชั้นที่สอง ก็น่าจะสามารถจัดการได้ภายในความนึกคิดเดียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า ตอนนี้ผู้ที่เขาไม่สามารถจัดการได้บนดินแดนจิตโลกาก็มีเพียงแค่ขั้นสุดยอดเท่านั้น

“ราชันย์อนธการอมตะผู้นั้นคงจะรู้ข้อมูลนี้เข้าแล้ว เขาเกรงกลัวข้า” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยอย่างสงบนิ่ง

“เกรงกลัวเจ้าหรือ” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาฉงนใจ

“ใช่แล้ว เขาอยากจะเข้าไปยังหุบเขาเขี้ยวหัก แต่ข้าอยู่ที่หุบเขาเขี้ยวหัก ถ้าหากพบตัวเขาเข้า ส่งเสียงเรียกเพียงครั้งเดียวก็สามารถเชิญตัวยอดฝีมือกลุ่มหนึ่งมาล้อมสังหารเขาได้อย่างง่ายดายแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “และยังเป็นเพราะว่าตอนนี้ข้าสามารถได้สมบัติล้ำค่าและโอกาสมาครอบครองได้อย่างง่ายดาย บรรดาประมุขแสงดาวเหล่านั้นหรือแม้กระทั่งจักรพรรดิ ต่างก็พากันส่งสมบัติล้ำค่ามาให้ข้า ด้วยการสั่งสมวิถีอากาศของข้า และความสำเร็จของวิถีเขตลวงโลกเทียม ก็เป็นไปได้ที่เขาจะคิดว่าวิถีสองสายนี้ ไม่ว่าจะสายใดข้าก็มีความหวังที่จะไปถึงขั้นสุดยอดได้ทั้งสิ้น”

ประมุขรัฐเมฆทักษิณาเห็นด้วย

ใช่แล้ว

เขาก็คิดว่าวิถีสองสายของลูกศิษย์ผู้นี้ ไม่ว่าสายใดต่างก็สามารถไปถึงขั้นสุดยอดได้ด้วยกันทั้งสิ้น! แน่นอนว่านี่ก็เป็นสิ่งที่ผู้บำเพ็ญบนดินแดนจิตโลกายังไม่รู้ว่าวิถีวิญญาณนั้นยากเย็นสักเพียงใด!

“ถ้าหากวิถีเขตลวงโลกเทียมของข้าไปถึงขั้นสุดยอด เคล็ดวิชาวิญญาณร้ายกาจยิ่งขึ้น บางทีอาศัยเคล็ดวิชาวิญญาณก็อาจจะสามารถล้างผลาญเขาได้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “ถึงแม้ว่าจะสังหารไม่ได้ ก็เกรงว่าพลังยุทธ์ของเขาคงเหลือเพียงแค่สองสามส่วนเท่านั้น การสังหารเขาก็ยิ่งง่ายดายขึ้นแล้ว”

ตอนนี้เคล็ดวิชาวิญญาณร้ายกาจถึงเพียงนี้ หากไปถึงขั้นสุดยอดก็ต้องยิ่งล้ำเลิศ

ผลาญสังหารในความคิดเดียว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รู้สึกได้รางๆ ว่ามีหวัง!

“ถ้าหากเป็นวิถีอากาศไปถึงขั้นสุดยอด! อาศัยอาวุธเทพคละถิ่น แล้วไปเสาะหาความช่วยเหลืออีกสักหน่อย ข้าก็มีความหวังที่จะสังหารเขาได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด

ประมุขรัฐเมฆทักษิณาลอบพรั่นพรึง

เจ้าลูกศิษย์ของตนผู้นี้…ช่างล้ำเลิศ ร้ายกาจยิ่งนัก! เพียงพริบตาเดียวก็สามารถคุกคามไปถึงชีวิตของราชันย์อนธการอมตะได้!

“ดังนั้นเขาจึงต้องการจะดิ้นรน” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้าพลางเอ่ยว่า “ข้าเองก็ไม่อยากจะเร่งรัดเขา ขอเพียงแค่เขาไม่ทำการสังหารใหญ่โต ข้าก็ถึงขนาดที่เต็มใจสาบานว่าจะไม่ลงมือกับเขา น่าเสียดายนัก สิ่งที่เขาไขว่คว้าก็คือการสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่น ข้อเรียกร้องที่เสนอขึ้นมาจึงบ้าคลั่งเหลือเกิน ข้าก็ย่อมไม่สามารถทำให้เขาพึงพอใจได้อยู่แล้ว ดังนั้นเกรงว่าเขาคงจะวางแผนอะไรบางอย่าง เขาย่อมมิได้ยืนรอความตายอยู่เฉยๆ อย่างแน่นอน”

“อืม เขาไม่มีทางยืนรอความตายอยู่เฉยๆ หรอก” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาพูด

……

ณ ปราการเมืองขนาดใหญ่โตมโหฬารแห่งหนึ่ง

ท่ามกลางราตรีอันมืดมิด ราชันย์อนธการอมตะมาถึงด้านบนของปราการเมืองแห่งนี้ เขามองลงไปยังปราการเมืองแห่งนี้อย่างเย็นชา

ภายในปราการเมืองมีผู้บำเพ็ญจำนวนมากใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ มีทั้งชายและหญิง เด็กและผู้เฒ่า มีผู้บำเพ็ญตามลำพัง มีผู้ที่ไปเป็นผู้ดูแล เป็นคนรับใช้ เพื่อให้ได้มาซึ่งแก้วผลึกจักรวาล

“เฮือก!”

ราชันย์อนธการอมตะสูดลมหายใจเข้าปากคราหนึ่งในทันใด

ความมืดมิดอันไร้ที่สิ้นสุดปกคลุมทั่วทั้งปราการเมืองในทันที เหล่าประชากรจำนวนนับไม่ถ้วนภายในเมืองแต่ละคนต่างก็ไม่สามารถต้านทานได้ แต่ละคนวิญญาณลอยออกจากร่าง ราชันย์อนธการอมตะกลืนกินจนเกิดเป็นหุบเหวลึกดำมืด วิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนเหินลอยไปยังกลางหุบเหวลึกดำมืดอย่างไม่หยุดหย่อน ภายในปราการเมืองนี้มีประชากรบางส่วนที่มีร่างแยกอยู่ข้างนอก ก็ได้แพร่กระจายข่าวสารออกไป

ความเคลื่อนไหวอันใหญ่โตเช่นนี้ ราชันย์อนธการอมตะก็รังเกียจที่จะปิดบังเอาไว้

ไม่เพียงแต่มีประชากรเท่านั้นที่ส่งข่าว ความเคลื่อนไหวนี้ก็ทำให้สุดยอดผู้แกร่งกล้าจำนวนหนึ่งรู้สึกได้ด้วยเช่นกัน

“หืม ราชันย์อนธการผู้นี้ทำอะไรกัน” บรรพชนฝานรับสัมผัสอยู่ห่างๆ สังเกตการณ์ที่นี่แล้วก็มีความสงสัยเป็นอย่างยิ่ง “ต่อให้อยากจะจับวิญญาณกลุ่มใหญ่ เขาคิดวิธีดึงดูดผู้อ่อนแอบางคนให้ไปจับก็ใช้ได้แล้ว เหตุใดจึงต้องลงมือเองด้วยเล่า”

แต่เขากลับไม่รู้ว่า

ราชันย์อนธการอมตะต้องการจับมาทำการทดสอบในระยะเวลากระชั้นที่สุด และการดึงดูดมารที่อ่อนแอให้ไปจับนั้นต้องสิ้นเปลืองเวลา! จะได้วิญญาณกลุ่มแรกมาไว้ในมืออย่างรวดเร็วที่สุด ก็ย่อมต้องลงมือด้วยตนเองอย่างรวดเร็วที่สุด!

“เฮือก”

ในที่สุดราชันย์อนธการอมตะก็ดูดวิญญาณทั้งหมดที่มีอยู่เข้าไปในร่างกายจนหมด เข้าไปยังมิติภายในร่างกาย

เขารอคอยอยู่ที่เดิมอย่างเงียบๆ ชั่วขณะ ในที่สุดด้านข้างก็มีหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น

“ราชันย์อนธการ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปยังปราการเมืองเบื้องล่าง ร่างกายของประชากรจำนวนนับไม่ถ้วนสูญเสียดวงวิญญาณกันไปจนหมดสิ้น กลายเป็นเมืองมรณะแห่งหนึ่ง เขาอดที่จะมองไปทางราชันย์อนธการอมตะอย่างโกรธแค้นมิได้ “ท่านเตรียมจะทำอะไรกัน”

เพียงแค่เมืองแห่งหนึ่ง การบูชายัญย่อมไม่เพียงพออย่างแน่นอน

“ข้าทำอะไรหรือ”

“เจ้าไม่เหลือทางให้ข้าเดิน ข้าก็ได้แต่เปิดเส้นทางเดินให้ตัวเองแล้วล่ะ” ราชันย์อนธการอมตะยิ้มเย็นให้ตงป๋อเสวี่ยอิงคราหนึ่ง “จ้าวหิมะเหิน จ้าวหิมะเหินผู้มีชื่อเสียงยิ่งใหญ่ ในภายหน้าเกรงว่ายังสามารถเป็นผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งแห่งดินแดนจิตโลกาได้ น่าเสียดายที่เจ้าต้านทานข้าเอาไว้มิได้”

พูดจบแล้วเงาร่างของราชันย์อนธการอมตะก็หายลับจากไป

เขาจงใจรั้งอยู่ที่นี่ก็เพื่อรอตงป๋อเสวี่ยอิง!

“สมควรตาย”

ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าไม่น่าดู มารธรรมดาๆ ลงมือ เขาก็ยังสามารถสังหารได้ แต่ราชันย์อนธการอมตะลงมือนั้น เขาก็ย่อมทำอะไรมิได้อยู่แล้ว

……

กาลเวลาเคลื่อนผ่าน

ตงป๋อเสวี่ยอิงสร้างชื่อเสียงยิ่งใหญ่เอาไว้ที่หุบเขาเขี้ยวหัก ในที่สุดข่าวสารมากมายก็แพร่ออกไปยังบรรดาระดับยอดสุดของดินแดนจิตโลกาแล้ว จักรพรรดิเซี่ย จักรพรรดิเทพผลาญโลกา ประมุขรัฐเสียดฟ้า บรรพชนฝาน บรรพชนราตรีนิรันดร์ และบรรพชนนิจรัตติกาล หลังจากที่แต่ละคนได้รู้แล้วต่างก็ปากอ้าตาค้าง บรรพชนฝานก็ยิ่งเอ่ยอย่างตกใจว่า “วิถีเขตลวงโลกเทียมของเขาอ อย่างน้อยก็ไปถึงขีดจำกัดคอขวด หรือแม้กระทั่งเป็นไปได้ที่จะสำเร็จเป็นขั้นสุดยอดแล้ว!”

พวกเขาถึงขนาดที่ล่วงรู้ได้แล้ว

เหล่าจักรพรรดิต่างก็เห็นตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นแขกรับเชิญ!

สิบสามราชันย์ต่างก็หวั่นเกรงจ้าวหิมะเหินผู้นี้!

ประมุขโลกกลุ่มใหญ่ต่างก็เคยพากันส่งสมบัติล้ำค่าจำนวนมากมาให้ สมบัติลับล้ำค่านั้นว่ากันว่ามีแม้แต่สุดยอดสมบัติลับล้ำค่าอยู่ด้วย!

บ้าไปแล้ว!

ระดับยอดสุดของทั้งดินแดนจิตโลกาต่างก็พากันพรั่นพรึงด้วยเหตุนี้ ขั้นสุดยอดจำนวนหนึ่งที่ไม่มีสุดยอดสมบัติลับล้ำค่าต่างก็อิจฉาตาร้อนจนแทบคลั่ง อิจฉาริษยา! แต่ก็ทำอะไรมิได้

ยามที่บุคคลผู้ไร้เทียมทานและเหล่าขั้นสุดยอดมาเยี่ยมเยียนตงป๋อเสวี่ยอิง ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับกำลังให้ความสนใจกับข่าวคราวของราชันย์อนธการอมตะ

ราชันย์อนธการอมตะ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงอารมณ์มิใคร่จะดีนัก

ระยะเวลาเพียงแค่สามปี

นอกจากราชันย์อนธการเองที่ปล้นชิงวิญญาณกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งแล้ว ต่อมาท่ามกลางความมืดก็มีวิญญาณไม่น้อยถูกปล้นชิงอยู่เป็นประจำ ตอนนี้ทั้งดินแดนจิตโลกาและหกรัฐโบราณต่างก็ไว้หน้าตงป๋อเสวี่ยอิงกันเป็นอย่างยิ่ง เขาอาศัยข้อมูลของแต่ละฝ่ายตรวจสอบ วิญญาณที่มาปล้นชิงเหล่านั้น…ทั้งหมดทั้งมวลต่างก็ขึ้นตรงต่อราชันย์อนธการอมตะผู้นั้น!

“ราชันย์อนธการ ปล่อยเอาไว้ไม่ได้!” ตงป๋อเสวี่ยอิงขบกราม “จะต้องคิดหาวิธีกำจัดเขา!”

หากปล่อยไว้เช่นนี้ต่อไปก็ไม่รู้จริงๆ ว่ายังต้องตายกันอีกมากมายเท่าใด

ยังหวังว่า ‘หยวน’ จะมาหรือ ด้วยอุปนิสัยของหยวน เกรงว่าถ้าหากยังไม่ตายจนถึงขนาดที่ส่งผลกระทบต่อระเบียบของทั้งดินแดนจิตโลกาก็ไม่มีทางมาลงโทษเขาหรอก

…………………………………………….

“ถูกต้อง” ราชันย์อนธการอมตะแววตาร้อนรุ่ม

“ด้วยสถานะของจ้าวหิมะเหินที่หุบเขาเขี้ยวหักในตอนนี้ เชื่อว่าต้องมีวิธีจัดการได้อย่างแน่นอนกระมัง”

“ราชันย์อนธการ ท่านรู้เกี่ยวกับทางเดินเขี้ยวอสรพิษมากน้อยเพียงใดกัน” ในใจตงป๋อเสวี่ยอิงก็รู้สึกประหลาดใจ ราชันย์อนธการอมตะถึงกับคิดว่าจะได้รับโอกาสเข้าไปในทางเดินเขี้ยวอสรพิษจากตน

ราชันย์อนธการอมตะเอ่ยเสียงต่ำ “ทางเดินเขี้ยวอสรพิษเป็นสถานที่ต้องห้ามในตำนานของหุบเขาเขี้ยวหัก ได้ยินว่าในนั้นยังแฝงไว้ด้วยความลับของการสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นด้วย ถึงขนาดที่ทำให้ห้ายอดเคารพต่างก็เข้าไปสืบหากันอย่างต่อเนื่อง”

“ถูกต้อง ห้ายอดเคารพต่างก็เข้าไปสืบหา”

ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “ต่างก็ว่ากันว่าความลับของการสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่น ห้ายอดเคารพคนใดจะไม่อยากสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นบ้างเล่า พวกเขาย่อมไม่สามารถยกโอกาสนี้ให้กับผู้อื่นอยู่แล้ว ต่อให้เป็นจักรพรรดิแปดท่านและสิบสามราชันย์ก็ยังคาดหวัง ข้าสามารถบอกเจ้าได้อย่างชัดเจน! ทั่วทั้งหุบเขาเขี้ยวหัก โอกาสเข้าไปในทางเดินเขี้ยวอสรพิษ แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยทำข้อตกลงมาก่อนเลย ระหว่างยอดเคารพก็ไม่มีข้อตกลงกัน แล้วก็ยิ่งไม่เคยมอบให้กับจักรพรรดิแปดท่านและสิบสามราชันย์มาก่อนเลย”

“ไม่เคยมีมาก่อนเลย! หน้าตาของข้า จ้าวหิมะเหิน ยามอยู่ต่อหน้าจักรพรรดิแปดท่านและสิบสามราชันย์ก็ยังมีประโยชน์อยู่บ้าง แค่ยามอยู่ต่อหน้าห้ายอดเคารพ อย่างมากที่สุดก็แค่มองด้วยสายตาที่แปลกไปจากผู้อื่นเท่านั้น อยากจะได้รับโอกาสเข้าไปในทางเดินเขี้ยวอสรพิษหรือ ฝันไปเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยอย่างสงบ

เขามิได้โป้ปด

เพราะว่าได้รับข้อมูลมากเพียงพอ เรียนรู้จากจักรพรรดิเป่ยเหอและจักรพรรดิวายุทิพย์นั้นเป็นอันมาก ถึงขนาดที่เมื่อเร็วๆ นี้ บรรดาจักรพรรดิคนอื่นๆ ก็ยังมาเชื้อเชิญตน

ตนนั้นสามารถนับได้ว่าเป็นสมาชิกระดับสุดยอดของหุบเขาเขี้ยวหักแล้ว เข้าใจความลับต่างๆ มากมาย

ห้ายอดเคารพ…

สถานะนั้นช่างพิเศษเป็นอย่างยิ่ง!

อย่างเช่นสิบสามราชันย์และแปดจักรพรรดิยังคงต่อสู้กันอยู่ ยังคงต่อสู้กันอยู่! แต่ห้ายอดเคารพย่อมมิใคร่จะสนใจในอิทธิพลสักเท่าใดนักอยู่แล้ว แม้กระทั่งสมบัติล้ำค่าก็ยังมิใคร่จะใส่ใจกันสักเท่าใดนัก! เพราะว่าพวกเขาไปถึงระดับจักรพรรดิขั้นสมบูรณ์กันแล้ว แต่โอกาสบนเกาะลอยคว้างมีประโยชน์ต่อพวกเขาลดน้อยลงแล้ว ที่ยังมีประโยชน์เป็นอย่างมากต่อห้ายอดเคารพก็มีเพียงแค่ทางเดินเขี้ยวอสรพิษ..

สถานที่ต้องห้ามในตำนานเท่านั้น!

พวกเขาต่อสู้กันก็เพื่อโอกาสในการเข้าไปยังทางเดินเขี้ยวอสรพิษ

เพราะมีเพียงการเข้าไปยังทางเดินเขี้ยวอสรพิษเท่านั้น จึงจะมีความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นได้ มิฉะนั้นก้มหน้าก้มตาบำเพ็ญไป การจะสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นได้นั้นก็ยากเย็นเหลือเกิน

โอกาสในการเข้าไปแต่ละครั้งนั้นก็ล้ำค่าเป็นอย่างยิ่ง ถึงขนาดเพียงพอที่จะทำให้เหล่ายอดเคารพเข่นฆ่าซึ่งกันและกันเลยทีเดียว! นี่มิใช่สิ่งที่จะยอมกันได้ ‘โอกาสแห่งความสำเร็จ’ จะให้ยอมกันได้อย่างไร ผู้บำเพ็ญคนหนึ่งอย่างตงป๋อเสวี่ยอิงนึกอยากจะร้องขอโอกาสเช่นนี้ก็ย่อมเป็นการวาดฝันอยู่แล้ว เคล็ดวิชาเขตลวงของเขาแม้จะยังนับว่ามีผลกระทบต่อจักรพรรดิอย่างค่อนข้างแข็งแกร่ง แต่ผลกระทบต่อห้ายอดเคารพก็ต่ำลงไปอีกขั้นหนึ่ง

ห้ายอดเคารพ ถ้าหากพลังยุทธ์ลดลงเพียงแค่สองสามส่วน! พวกเขาก็ยังคงไม่หวั่นเกรงยอดเคารพคนอื่นๆ เช่นเดิม

โลกมากมายของผู้บัญชาการอย่างนั้นหรือ

การต่อสู้

พวกเขาล้วนไม่สนใจ สิ่งที่พวกเขาไขว่คว้าก็มีอยู่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น…การหนีออกจากกรงขัง สำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่น!

“ไม่มีโอกาสแม้แต่น้อยเลยหรือ” ราชันย์อนธการอมตะสีหน้าแปรเปลี่ยนเสียแล้ว สิ่งที่เขาสามารถสัมผัสได้ที่หุบเขาเขี้ยวหักมิอาจนับได้ว่าเป็นระดับสุดยอด รู้จักเพียงแค่เศษเสี้ยวเล็กๆ เท่านั้น

“ไม่มีโอกาสเลย”

ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะ “ราชันย์อนธการ การเข้าสู่ทางเดินเขี้ยวอสรพิษนั้นแต่ไหนแต่ไรก็มิอาจร้องขอมาได้ มีแต่ไปดิ้นรนเอาด้วยตนเองเท่านั้น บนเกาะลอยคว้างแต่ละแห่ง บางทีอาจมีโอกาสเข้าไปปรากฏขึ้นมา ก็ต้องแย่งชิงมาไว้ในมือให้ได้”

“แย่งชิงหรือ ข้าจะอาศัยสิ่งใดไปแย่งชิงกันเล่า” ราชันย์อนธการอมตะมองตงป๋อเสวี่ยอิง “ถ้าหากข้าหลอมผู้ท่องมรณะขึ้นมาได้สำเร็จ อาศัยผู้ท่องมรณะ ก็ย่อมสามารถไปแย่งชิงมาได้ แต่ตอนนี้ข้าจะไปแย่งชิงมาได้อย่างไรกัน เผชิญหน้ากับห้ายอดเคารพ ข้าก็ไม่มีแม้แต่ความหวังในการหนีเอาชีวิตรอดเลยเสียด้วยซ้ำ”

“ข้าสามารถช่วยท่านรวบรวมดอกอนธการสิบห้าดอกให้ครบได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “แต่ท่านต้องให้สัตย์สาบานก่อน”

“ฮ่าฮ่าฮ่า…”

แต่ราชันย์อนธการอมตะกลับหัวเราะเสียงดังขึ้นมา เขาหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “จ้าวหิมะเหิน เจ้านี่ช่างน่าขันเสียจริง บำเพ็ญมาจนถึงระดับขั้นอย่างข้า นึกอยากจะก้าวหน้าไปอีกขั้นนั้นยากเย็นสักเพียงใด สมบัติล้ำค่าธรรมดาๆ มีประโยชน์ต่อข้าอย่างน้อยนิดเหลือเกิน แม้กระทั่งดอกอนธการก็ยังเป็นเพียงแค่การเพิ่มดอกไม้ประดับตกแต่งเท่านั้นเอง ถ้าหากมิอาจเข้าไปยังทางเดินเขี้ยวอสรพิษได้ เช่นนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็สูญเปล่า! สูญเปล่าทั้งนั้น!”

“เดิมที เดิมทีข้าสามารถเข้าไปได้ หากมีผู้ท่องมรณะ ข้าก็สามารถได้รับโอกาสเข้าไปในนั้นได้อย่างแน่นอน” ราชันย์อนธการอมตะจ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิง แววตาเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง “แต่ล้วนเป็นเพราะเจ้าที่ทำลายการบูชายัญของข้า”

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเขาอย่างสงบนิ่ง มองดูราชันย์อนธการอมตะที่วิปลาส

“ข้าจะทำการการบูชายัญอีกครั้งแล้วเจ้าจะขัดขวางข้าหรือไม่” ราชันย์อนธการอมตะเอ่ยอย่างบ้าคลั่ง

“ขัดขวางสิ!” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

“เจ้า… เจ้ามาขวาง ข้าก็จะสังหารหมู่ชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนเช่นกัน”

ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะ “ข้าไม่ขัดขวางท่าน การบูชายัญครั้งหนึ่งก็ต้องหมายถึงชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนเหมือนเดิมอยู่ดี ท่านเข่นฆ่าเอง เข่นฆ่าไปมากๆ แล้ว ก็รอรับการลงโทษของ ‘หยวน’ เอาเองเถิด!”

นอกจากนี้ถ้าหากอีกฝ่ายหลอมผู้ท่องมรณะได้สำเร็จ เช่นนั้นผู้ใดก็มิอาจขัดขวางราชันย์อนธการผู้นี้เอาไว้ได้แล้วจริงๆ

ว่ากันว่ามิอาจล่วงรู้ได้ว่าผู้ท่องมรณะมีความแข็งแกร่งเพียงใด!

แต่พลังยุทธ์ของตัวราชันย์อนธการอมตะเองก็แข็งแกร่งจนเกินคาดเดา พอเสี่ยงชีวิตแล้วก็เทียบเคียงได้กับระดับแม่ทัพเทพ เขาสนใจจะหลอมผู้ท่องมรณะขึ้นมาถึงเพียงนี้ ก็ย่อมต้องเหนือชั้นกว่าพลังยุทธ์ในตอนนี้อย่างมหาศาล มิฉะนั้นจะต้องหลอมไปทำไมกัน

เมื่อใดที่หลอมได้สำเร็จ!

ผู้ใดก็มิอาจขัดขวางเขาเอาไว้ได้แล้ว!

“ดีมาก ดีมาก” ราชันย์อนธการอมตะบ้าคลั่งแล้วเงาร่างก็เลือนหายไปในทันใด

การเจรจาล่มเสียแล้ว!

“วุ่นวายเสียแล้วสิ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำเสียงต่ำ แต่เขาไม่ต้องเลือกเลย เพราะขอโอกาสเข้าสู่ทางเดินเขี้ยวอสรพิษให้กับราชันย์อนธการอมตะนั้น เขา ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังมิได้มีความสามารถถึงเพียงนั้น!

……

ณ สถานที่อีกแห่ง

บนบัลลังก์อันสูงตระหง่านในห้องโถง ราชันย์อนธการอมตะผู้สวมอาภรณ์ทองหรูหรางดงาม ศีรษะสวมมงกุฎ นัยน์ตามีเปลวเพลิงลุกโชนขึ้นมาในทันใด ปัง… บริเวณรอบๆ ผิวกายล้วนเต็มไปด้วยเปลวเพลิง เปลวเพลิงแผ่ไปทุกทิศทุกทาง สาวใช้ภายในโถงตำหนักต่างก็แปรเปลี่ยนกลายเป็นความว่างเปล่

ท่ามกลางความหวาดหวั่น โถงตำหนักแห่งนี้ถูกเผาไหม้กลายเป็นเศษธุลี ราชันย์อนธการอมตะยืนอยู่ท่ามกลางเศษธุลี

“ข้าไม่มีทางให้เดินแล้ว”

“เจ้าไม่เหลือทางให้ข้าเดินเลย!”

ราชันย์อนธการอมตะอาละวาดอย่างบ้าคลั่ง

ถ้าหากไม่เข่นฆ่าอย่างว่าง่าย แล้วตงป๋อเสวี่ยอิงสำเร็จเป็นขั้นสุดยอด เชื่อว่าก็จะรับปากว่าจะไว้ชีวิตเขา

แต่สำหรับราชันย์อนธการอมตะ… หากมิอาจสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นแล้วใช้ชีวิตเช่นนี้ต่อไป เขาก็รับไม่ไหว! การใช้ชีวิตอยู่อย่างไม่มีความหวังก็เป็นการขัดเกลาอย่างหนึ่ง อายุขัยของเขายาวนานเกินไปแล้ว สิ่งที่ทำให้เขามีความมุ่งมาดปรารถนาอย่างแรงกล้าก็เหลือเพียงแค่การวิวัฒน์ของระดับชีวิตเท่านั้น เขาปรารถนาที่จะไปถึงระดับชีวิตอันมิอาจคาดเดาได้นั้น ประหนึ่งผีเสื้อที่ออกจากรังดักแด้

เขาเคยสัมผัสกับระดับขั้นที่สูงขึ้นอีกในระยะประชิด ดังนั้นเขาจึงยิ่งมุ่งมาดปรารถนา

“เช่นนั้นก็ต่อสู้เป็นครั้งสุดท้ายเถิด”

“ก่อนหน้านี้ข้าสามารถหนีกลับมาได้ แล้วใช้ชีวิตมาได้เนิ่นนานถึงเพียงนี้แล้ว! ข้าไม่มีความหวังกับเส้นทางบำเพ็ญปกติ มีเพียง ‘ทางเดินเขี้ยวอสรพิษ’ อันลึกลับเท่านั้นจึงจะมีโอกาส” เปลวเพลิงในดวงตาของราชันย์อนธการอมตะกำลังลุกโชน “ก่อนที่จ้าวหิมะเหินจะสำเร็จเป็นขั้นสุดยอด การต่อสู้ครั้งสุดท้าย ไม่ร้องขอผู้ท่องมรณะที่สมบูรณ์แบบแล้ว แค่สามารถควบคุมได้โดยง่ายก็ใช้ได้แล้ว”

ผู้ท่องมรณะที่สมบูรณ์แบบนั้นก็คือร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่น พลังรบเพียงพอที่จะเทียบเคียงกับห้ายอดเคารพได้แล้ว

ถ้าหากหลอมได้สำเร็จ เขาก็จะกลายเป็นบุคคลที่เทียบเคียงกับยอดเคารพได้ในทันที ก็ย่อมมีคุณสมบัติที่จะไปแย่งชิงโอกาสในการเข้าสู่ทางเดินเขี้ยวอสรพิษที่หุบเขาเขี้ยวหักได้แล้ว!

แม้กระทั่งผู้ท่องมรณะที่ไม่สมบูรณ์ พลังรบก็แข็งแกร่งเพียงพอ

“ลุยเลย”

ราชันย์อนธการอมตะมิได้ร่นถอย

“จ้าวหิมะเหินผู้นี้บำเพ็ญอย่างรวดเร็วยิ่งนัก สักสิบล้านล้านปีก็น่าจะสำเร็จเป็นขั้นสุดยอดได้แล้วกระมัง ข้าต้องการให้สำเร็จภายในสิบล้านล้านปี” ราชันย์อนธการอมตะเอ่ยพึมพำ สิบล้านล้านปีในสายตาของเทพจักรวาลมิได้นับว่าเนิ่นนานเกินไป สำเร็จเป็นขั้นสุดยอดด้วยเวลาเนิ่นนานเช่นนี้ ราชันย์อนธการอมตะก็รู้สึกว่าประเมินตงป๋อเสวี่ยอิงสูงไปมากแล้ว

เช่นโอกาสที่เจ้าเมืองหลัวให้กับตงป๋อเสวี่ยอิงและจอมกระบี่ในตอนนั้นก็เป็นเพียงแค่การให้ใจเท่านั้น มิได้มีความมั่นใจว่าพวกเขาสองคนจะสามารถสำเร็จเป็นขั้นสุดยอดได้ก่อนมหาวินาศ

เพียงแต่ว่าต่อมา ไม่ว่าจะเป็นจอมกระบี่หรือว่าตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีการพัฒนาชนิดที่ทำให้เจ้าเมืองหลัวและหยวนทั้งสองคนนี้ตกตะลึงอยู่บ้าง

จอมกระบี่สำเร็จเป็นขั้นสุดยอดแล้ว! ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีความสำเร็จทางด้านวิถีวิญญาณไปถึงระดับที่มิอาจคาดเดาได้

“สิบล้านล้านปี”

ราชันย์อนธการอมตะรู้สึกว่าเวลากระชั้นชิดเป็นอย่างยิ่ง แต่ภายในสิบล้านล้านปีก็ยังพอมีความหวังอยู่

……

วันนั้นเอง

ราชันย์อนธการอมตะก็มาถึงนครหลวงรัฐเมฆทักษิณาแล้ว

“อาจารย์” ประมุขรัฐเมฆทักษิณายังคงประนีประนอมเป็นอย่างยิ่งเช่นเคย ช่วยไม่ได้ เขาไม่กล้าล่วงเกินราชันย์อนธการอมตะผู้นี้

“เฮอะ” ราชันย์อนธการอมตะส่งเสียงเฮอะเยียบเย็นคราหนึ่ง เขาไม่ชมชอบประมุขรัฐเมฆทักษิณาเป็นอย่างมาก เพราะว่าจ้าวหิมะเหินที่ทำให้เขาเดือดดาลหาใดเปรียบผู้นั้นก็เป็นลูกศิษย์ของประมุขรัฐเมฆทักษิณาเช่นกัน! เพียงแต่ว่าตอนนี้เขายังต้องการความช่วยเหลือของประมุขรัฐเมฆทักษิณาผู้นี้อยู่

“ช่วยข้ารวบรวมวัสดุเหล่านี้ที” ราชันย์อนธการอมตะโยนม้วนสาส์นม้วนหนึ่งให้กับประมุขรัฐเมฆทักษิณา “จะต้องรวบรวมให้ได้ภายในหมื่นล้านปี หากรวบรวมมิได้ รัฐเมฆทักษิณาของเจ้าก็เตรียมตัววอดวายได้เลย”

ประมุขรัฐเมฆทักษิณาฟังแล้วก็อกสั่นขวัญแขวน พลางยื่นมือไปรับม้วนสาส์นมา

……………………………………………….

ราชันย์อนธการอมตะสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างไม่หยุดหย่อน

ข่าวคราวในครั้งนี้โจมตีเขาอย่างหนักหน่วงเหลือเกิน เพราะก่อนหน้านี้แม้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะทำลาย ‘การบูชายัญ’ เพื่อหลอมผู้ท่องมรณะของเขา แต่ในส่วนลึกของจิตใจ เขาก็มิได้รู้สึกว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะคุกคามเขาได้

ข้อแรก ระดับความสำเร็จของ ‘จ้าวหิมะเหิน’ ผู้นี้ ก็ไม่รู้ว่าจะต้องสิ้นเปลืองเวลาอีกเนิ่นนานเท่าใด ดูจากจำนวนผู้บำเพ็ญของดินแดนจิตโลกาที่สำเร็จเป็นขั้นสุดยอดก็รู้แล้วว่าการจะไปถึงขั้นสุดยอดได้นั้นช่างยากเย็นเหลือเกิน

ข้อสอง ถึงแม้ว่าจะสำเร็จเป็นขั้นสุดยอดแล้วก็มีอาวุธเทพคละถิ่นด้วย! ราชันย์อนธการอมตะรู้สึกว่าหากเผาผลาญหยาดโลหิตภายในหัวใจ เกรงว่าพลังยุทธ์ก็คงใกล้เคียงกัน จ้าวหิมะเหินไม่สามารถคุกคามเอาชีวิตเขาได้ ถึงแม้จะไม่อยากเผาผลาญหยาดโลหิตภายในหัวใจมากเกินไป เขาก็ยังสามารถหนีเข้าไปใน ‘หุบเขาเขี้ยวหัก’ ได้ ถึงอย่างไรเขาก็ไม่มีความกังวลอันใดต่อดินแดนจิตโลกา

มาถึงระดับขั้นเช่นเขาแล้ว

ไร้ซึ่งความวิตกกังวล ก็แค่ไล่ตามการสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นเพียงอย่างเดียวแล้ว! ก่อนหน้านี้การโจมตีล้มเหลว ตอนนี้ก็เหลือเพียงแค่หุบเขาเขี้ยวหักนั้นเพียงเส้นทางเดียวแล้ว!

“เช่นนั้นมิสู้หลบเข้าไปในหุบเขาเขี้ยวหักเสียดีกว่า” เดิมทีราชันย์อนธการอมตะก็สงบนิ่งเป็นอย่างยิ่ง

แต่ตอนนี้กลับตะลึงลานไปเสียแล้ว!

“ชื่อเสียงของจ้าวหิมะเหินผู้นี้ภายในหุบเขาเขี้ยวหักช่างยิ่งใหญ่เกินไปแล้ว ทุกฝ่ายแย่งกันผูกไมตรี ถ้าหากข้าหนีเข้าไปในหุบเขาเขี้ยวหัก เขาแค่ออกคำสั่งเพียงคำเดียว ก็เกรงว่าคงจะมีจักรพรรดิบางคน หรือแม้กระทั่งยอดเคารพเต็มใจจะลงมือเพื่อเขาแล้วกระมัง เช่นนั้นข้าก็ต้องตายอย่างแน่นอนแล้ว!” ราชันย์อนธการอมตะกระวนกระวายอยู่ในใจ

“ที่ดินแดนจิตโลกาก็ไม่ปลอดภัยเป็นอย่างยิ่ง ข้าดูแคลนจ้าวหิมะเหินผู้นี้เกินไปแล้ว”

“เมื่อใดที่เขาสำเร็จเป็นขั้นสุดยอด ครอบครองอาวุธเทพคละถิ่น พลังรบก็มิได้ด้อยไปกว่าข้าที่เผาผลาญโลหิตหัวใจเลย และเขายังมีเคล็ดวิชาเขตลวงโลกเทียมอันน่าหวาดหวั่นอีกด้วย แม้กระทั่งระดับจักรพรรดิก็ยังต้องจมดิ่ง เกรงว่าข้าเองก็ต้องพลังยุทธ์ลดต่ำลงด้วยเหตุนี้” ราชันย์อนธการอมตะเอ่ยพึมพำ “พอพลังยุทธ์ลดต่ำลง ข้าก็มิใช่คู่ต่อสู้ของเขาแล้ว ก็จะถูกเขาไล่ล่าสังหาร! รอจนโลหิตภายในหัวใจของข้าถูกใช้ไปจนหมดสิ้น พลังยุทธ์ก็จะลดลงอย่างมหาศาลอีกครั้ง เช่นนั้นก็มิใช่เพียงแค่ถูกไล่ล่าสังหาร เกรงว่าคงจะต้องเอาชีวิตไปทิ้งเสียแล้ว”

ราชันย์อนธการอมตะสามารถจินตนาการถึงฉากนั้นได้อย่างสมบูรณ์แบบ

สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ…

เชาวน์ปัญญาบอกกับเขาว่าเหตุการณ์นี้มีโอกาสเป็นความจริงขึ้นมาได้!

ด้วยความเร็วอันน่าหวาดหวั่นของการบำเพ็ญของจ้าวหิมะเหินผู้นี้ เห็นได้ชัดว่าพรสวรรค์ร้ายกาจเป็นที่สุด! ทางด้านวิถีอากาศ การต่อสู้ของเมืองหิมะเหินก็ทำให้เห็นชัดเจนแล้วว่าการสั่งสมของจ้าวหิมะเหินนั้นหนาแน่นเป็นอย่างมากแล้ว อีกทั้งยังมีสุดยอดเคล็ดสืบทอดลับอยู่ในมือด้วย! ชื่อเสียงภายใน ‘หุบเขาเขี้ยวหัก’ ก็ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ เกรงว่าประมุขโลกมากมายก็คงพากันส่งผลประโยชน์ต่างๆ นานามาให้ โอกาสต่างๆ ในเกาะลอยคว้างก็คงได้มาโดยง่ายเช่นเดียวกัน

ด้วยความช่วยเหลือของทุกฝ่าย เกรงว่าการที่จ้าวหิมะเหินผู้นี้จะสำเร็จเป็นขั้นสุดยอดก็คงจะอยู่ไม่ไกลแล้ว!

“หากเขาสำเร็จเป็นขั้นสุดยอด ข้าก็จบเห่แล้ว”

“ห้ำหั่นในระยะประชิด เขาก็ยังมีเคล็ดวิชาเขตลวงอีก ต่อให้เผาผลาญโลหิตหัวใจจนหมดสิ้นเกรงว่าก็ยังต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย หนีไปยังหุบเขาเขี้ยวหักหรือ ก็ยิ่งรนหาที่ตายน่ะสิ!”

“ไม่มีทางให้เดินแล้ว!”

“ไม่มีทางให้ข้าเดินแล้ว!”

แววตาของราชันย์อนธการอมตะเปลี่ยนเป็นอึมครึมและบ้าคลั่ง

แต่เขาไม่มีทางยอมแพ้ง่ายๆ อยู่แล้ว ตอนนั้นต่อสู้ดิ้นรนกับผู้แกร่งกล้าที่น่าหวาดหวั่นของโลกกำเนิดแห่งแล้วแห่งเล่าที่ต่างภาษาต่างวัฒนธรรมกัน ถึงขนาดที่เขาขัดเกลาตระหนักรู้วิธีการหลอมผู้ท่องมรณะ อีกทั้งยังเคยประสบความสำเร็จในการหลอมผู้ท่องมรณะมาก่อน นั่นก็ทำให้มีชื่อเสียงเลื่องลือ ในที่สุดหลังจากที่บูชายัญผู้ท่องมรณะแล้วก็หนีกลับมายังดินแดนจิตโลกาบ้านเกิดได้สำเร็จ

ต้องรู้ไว้ว่าผู้ที่พลังยุทธ์มิได้ด้อยไปกว่าเขา หรือแม้กระทั่งผู้ที่ล้ำเลิศยิ่งกว่า ก็มีบางส่วนที่จมดิ่งลงไปในท้ายที่สุด ติดเข้าไปในโลกแห่งความสิ้นหวัง

“จ้าวหิมะเหิน ก็ต้องมาดูกันแล้วล่ะว่าเจ้าจะเลือกเช่นไร” ราชันย์อนธการอมตะตัดสินใจ

“ข้ากลับก่อนล่ะ วันหลังค่อยมาพบกันใหม่” ราชันย์อนธการอมตะยืนขึ้นมา

“คราวนี้รีบร้อนถึงเพียงนี้เชียวหรือ” ชายชราอ้วนพีดื่มสุราพลางพูดยิ้มๆ

“อืม ควรกลับได้แล้วล่ะ”

ราชันย์อนธการอมตะไม่พูดอะไรมากอีก แล้วหมุนกายก้าวยาวๆ จากไป

ถ้าหากรู้ชื่อเสียงของตงป๋อเสวี่ยอิงที่หุบเขาเขี้ยวหักมาก่อน เขาก็ไม่มีทางเข้าไปที่หุบเขาเขี้ยวหักหรอก เพราะการมาที่นี่นั้นอันตรายเกินไป!

……

ราชันย์อนธการอมตะกลับมายังดินแดนจิตโลกาอย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียง ที่ดินแดนจิตโลกามีกฎเกณฑ์ที่ ‘หยวน’ กำหนดเอาไว้ขัดขวางอยู่ สุดยอดผู้แกร่งกล้าที่แท้จริงของหุบเขาเขี้ยวหักก็ยังเข้ามามิได้ ก็ย่อมไม่มีใครสามารถคุกคามเขาได้อยู่แล้ว แต่ว่านี่ก็เป็นการชั่วคราวเท่านั้น เมื่อใดที่ตงป๋อเสวี่ยอิงไปถึงขั้นสุดยอด เช่นนั้นหายนะก็มาเยือนแล้ว

“ฟิ้วๆๆ”

พายุคลั่งพัดกรรโชก หิมะตกหนักปลิวว่อน

ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งจิบสุราอยู่ใต้ศาลาตามลำพัง บริเวณรอบๆ ศาลามีระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างอยู่ ทำให้พายุคลั่งมิอาจแทรกตัวเข้ามาได้เลยแม้แต่น้อย เกล็ดหิมะโปรยปรายปลิวว่อน ฟ้าดินมืดมัวไปหมด แต่ทว่าใต้ศาลากลับเต็มไปด้วยความเงียบสงบ กลิ่นหอมของสุราแผ่กำจาย

“หืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้วพลางเงยหน้าขึ้นมอง

ระลอกคลื่นขุมหนึ่งเคลื่อนเข้ามา

สายลมรอบๆ หยุดนิ่ง หิมะกระจายตัว ระลอกคลื่นระลอกนั้นรวบรวมพลังฟ้าดินอยู่ที่ด้านบนของทะเลสาบแล้วรวมตัวกันกลายเป็นเงาร่างสายหนึ่ง ซึ่งก็คือชายหนุ่มรูปงามในอาภรณ์ทองงดงามหรูหรา ศีรษะสวมมงกุฎผู้หนึ่ง

“ราชันย์อนธการอมตะ เขามาหาข้าที่นี่หรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึง เมืองหิมะเหินของเขาก็มีบุคคลผู้ไร้เทียมทานมาเยี่ยมเยียนอยู่เหมือนกัน! แต่การที่ราชันย์อนธการอมตะมาเยี่ยมเยียนนั้นกลับเหนือความคาดหมายของเขาอยู่บ้าง ถึงอย่างไรความแค้นระหว่างคนทั้งสองก็เป็นสิ่งที่รู้กันทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา

“ราชันย์อนธการมาหาข้าถึงที่นี่ มิทราบว่ามีเรื่องอันใดกันหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปากพูด

“ไม่เชิญให้ข้านั่งสักหน่อยหรือ” ราชันย์อนธการอมตะผู้มีใบหน้าหล่อเหลาอมยิ้มเอ่ยขึ้น

ตงป๋อเสวี่ยอิงเลิกคิ้วขึ้น ถ้าหากเป็นร่างจริงของราชันย์อนธการอมตะเกรงว่ายังมิทันเข้ามาใกล้ ‘หอกชิงเหอ’ อาวุธเทพคละถิ่นของเขาก็คงกวาดออกไปใส่ในทันทีแล้ว ย่อมไม่มีทางปล่อยให้อีกฝ่ายเข้ามาในเมืองหิมะเหินได้แม้เพียงครึ่งก้าว แต่ลำพังแค่ร่างแปรร่างเดียว เขาก็ย่อมไม่เห็นอยู่ในสายตาอยู่แล้ว อีกฝ่ายกล้าเข้ามา เขา ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ย่อมรอคอยได้อยู่แล้ว

“ราชันย์อนธการ เชิญนั่ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่นเช่นเดิม มิได้ลุกขึ้นมาต้อนรับ เขาไม่ชอบหน้าราชันย์อนธการอมตะผู้นี้เอาเสียเลย

“ฮ่าฮ่าฮ่า…” ราชันย์อนธการอมตะหัวเราะแล้วเดินมานั่งลง ก่อนจะหยิบไหสุราข้างๆ ขึ้นมาอย่างเป็นธรรมชาติยิ่ง เขาโบกมือคราหนึ่ง พลังฟ้าดินก็รวมตัวกันเป็นจอกสุราใบหนึ่งออกมา เขารินสุราให้ตนเองแล้วดื่มอึกหนึ่งก่อนจึงเอ่ยขึ้นว่า “สุรานี่ช่างธรรมดายิ่งนัก แต่พอเป็นสุราของจ้าวหิมะเหิน ราคาของสุรานี้ก็เพิ่มขึ้นไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่าแล้ว”

ตงป๋อเสวี่ยอิงสังเกตราชันย์อนธการอมตะผู้นี้โดยละเอียด

ถึงกับพูดจาเกรงอกเกรงใจถึงเพียงนี้ ทั้งยังตบบ่าตนคราหนึ่งด้วย ช่างไม่เหมือนอุปนิสัยของราชันย์อนธการอมตะเอาเสียเลย ก่อนหน้านี้สองฝ่ายมีความแค้นต่อกันอย่างใหญ่หลวงยิ่ง ตนทำลายธุระสำคัญของเขา ราชันย์อนธการอมตะก็อยากจะทำลายล้างทั้งเมืองหิมะเหินอย่างเดือดดาลบ้าคลั่งเพื่อระบายเพลิงโทสะ ตอนนี้ยังมาตบบ่าตนอีกหรือ

“จ้าวหิมะเหิน ก่อนหน้านี้เจ้ากับข้ามีความแค้นต่อกันก็จริง” ราชันย์อนธการอมตะพูด “แต่จะว่าไปแล้ว ก็ด้วยนิสัยของเจ้าที่แข็งทื่อจนเกินไป มิอาจทานทนต่อมารได้ เจ้าก็มิได้เป็นอริต่อข้าเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น หากแต่ต่อต้านมารทั้งหมดที่มีอยู่”

“ใช่แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า “ราชันย์อนธการเข้าใจก็ดี”

“แต่สุดท้ายก็ยังทำลายเรื่องสำคัญของข้าอยู่ดี” ราชันย์อนธการอมตะพูด “เส้นทางการบำเพ็ญนี้ เจ้าตัดเส้นทางของข้า ก็เป็นความแค้นที่มิอาจอยู่ร่วมใต้ฟ้าเดียวกันได้!”

ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังอย่างเงียบสงบต่อไป

“แต่ตอนนี้ ความแค้นนี้สามารถแก้ไขได้แล้ว” ราชันย์อนธการอมตะพูดพลางยิ้มน้อยๆ

“แก้ไขอย่างไรหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด

“ฮ่าฮ่า ที่จ้าวหิมะเหินซ่อนเอาไว้มิได้ลึกล้ำอย่างธรรมดาๆ ตอนนี้เจ้ามีชื่อเสียงเลื่องลือทั่วทั้งหุบเขาเขี้ยวหัก เกรงว่าทั้งสิบสามราชันย์ จักรพรรดิแปดท่าน และห้ายอดเคารพ… คงจะไม่มีผู้ใดเลยแม้แต่คนเดียวที่กล้าดูแคลนเจ้าสามารถเป็นแขกรับเชิญของยอดเคารพได้อย่างสบายๆ เกรงว่าจักรพรรดิต่างก็ยังต้องเชื้อเชิญเจ้า ต้องส่งของกำนัลให้เจ้าเลยกระมัง” ราชันย์อนธการอมตะพูด

ตงป๋อเสวี่ยอิงเลิกคิ้วพลางพูดยิ้มๆ “ข่าวสารของราชันย์อนธการช่างเฉียบแหลมเสียจริง”

“เพียงแต่ว่าชนพื้นเมืองดั้งเดิมกับดินแดนจิตโลกาของพวกเรามิได้ส่งข่าวคราวซึ่งกันและกัน มิฉะนั้นข่าวนี้ก็คงแพร่ออกมาก่อนแล้ว เกรงว่าผ่านไปหลายปี เหล่าบุคคลผู้ไร้เทียมทานก็คงจะล่วงรู้เรื่องนี้กันหมด” ราชันย์อนธการอมตะพูด “ข้ามาที่นี่ก็เพราะหวังว่าจ้าวหิมะเหินจะช่วยเหลือข้าสักเรื่อง พอช่วยแล้ว เช่นนั้นในภายภาคหน้าพวกเราก็คือสหายกัน แล้วข้าก็จะไม่ไปเข่นฆ่ามดปลวกตัวเล็กตัวน้อยเหล่านั้นอีกต่อไปแล้ว”

“ช่วยเหลืออย่างไรหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปาก หากวุ่นวายขึ้นมาก็ไม่ใช่เรื่องดีแล้ว หากราชันย์อนธการอมตะทำการสังหารขึ้นมาจริงๆ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ขัดขวางเอาไว้ไม่อยู่

“ช่วยข้ารวบรวม ‘ดอกอนธการ’ สิบห้าดอก แล้วส่งข้าเข้าไปยัง ‘ทางเดินเขี้ยวอสรพิษ’ อีกครั้ง” ราชันย์อนธการอมตะเอ่ยปากพูด “เพียงแค่เจ้าช่วยข้าในเรื่องนี้ เช่นนั้นความแค้นของเราก็จะถูกสะสางแล้ว เจ้าจะมาถามหาผลประโยชน์จากข้าที่นี่ ข้าก็สามารถรับปากเจ้าได้ทั้งสิ้น ต้องการให้ข้าช่วยเจ้าจัดการธุระอันใดก็ได้ทั้งสิ้น! หรือแม้กระทั่งไม่ให้ข้าเข่นฆ่าอีกอย่างนั้นหรือ ฮ่าฮ่า ขอเพียงแค่เข้าไปสู่ทางเดินเขี้ยวอสรพิษ ข้าก็จะไม่กลับมาที่ดินแดนจิตโลกาอีก ก็ย่อมไม่มีทางก่อความวุ่นวายที่ดินแดนจิตโลกาได้อยู่แล้ว”

ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับฟังแล้วหน้าถอดสี

ดอกอนธการทุกดอกต่างก็ล้ำค่าเป็นที่สุด มูลค่าไม่น้อยไปกว่า ‘น้ำนมทิพย์ลำแสง’ หยดหนึ่งเลย

แต่สิบห้าดอก ด้วยอิทธิพลของตนที่หุบเขาเขี้ยวหัก คิดวิธีการอาศัยน้ำใจคนสักเล็กน้อย ก็ยังสามารถทำได้อยู่!

แต่ ‘ทางเดินเขี้ยวอสรพิษ’ นั้นเป็นสถานที่ต้องห้ามในตำนานของหุบเขาเขี้ยวหัก!

อยากจะเข้าไปอย่างนั้นหรือ

ในบันทึกของกลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิมนั้นก็ยังเป็นตำนาน! เป็นไปได้ว่ามีเพียงแค่เหล่าห้ายอดเคารพเท่านั้นที่เคยเข้าไป ส่วนเหล่าจักรพรรดินั้นดูเหมือนว่าจะไม่เคยเข้าไปมาก่อนเลย

ทางเดินเขี้ยวอสรพิษอันลึกลับ ตนเองก็คิดอยากจะเข้าไปเช่นกัน แต่เกรงว่าคงต้องไปขอร้องห้ายอดเคารพ! ถ้าหากโชคดีได้เข้าไป ยอดเคารพโดยทั่วไปก็เข้าไปด้วยตนเองแล้ว แม้กระทั่งเหล่าจักรพรรดิก็ยังมิอาจได้ผลประโยชน์เช่นนี้มาครองเลย

“ท่านอยากจะเข้าไปในทางเดินเขี้ยวอสรพิษหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองราชันย์อนธการอมตะผู้นี้ คำขอร้องนี้สูงเกินธรรมดาไปเสียแล้ว

…………………………………………..

ตอนแรกที่ได้ยินเสียงระฆังนี้ก็รู้สึกเพียงแค่ว่าไพเราะเสนาะหูเป็นอย่างยิ่ง

และจากนั้นระฆังใบอื่นๆ แต่ละใบก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เสียงที่แตกต่างกันผสานรวมกันขึ้นมาแล้วส่งผ่านเข้าไปภายในเจดีย์ ขณะที่สะท้อนก้องอยู่ภายใต้โครงสร้างอันแปลกประหลาดภายในเจดีย์นั้นเองกลับก่อให้เกิดระลอกคลื่นอันแปลกประหลาดส่งผลกระทบต่อวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิง วิญญาณเข้าไปสู่สถานะอันแปลกประหลาดภายใต้การเหนี่ยวนำ

“ฟิ้ว…”

เงียบสนิท!

วิญญาณเงียบสงบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มีระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างชนิดหนึ่งกำลังแผ่ซ่านไปทั่ววิญญาณ ประคับประคองทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้

“วิญญาณก็สามารถเงียบสงบถึงเพียงนี้ได้ด้วยหรือ”

ก็คล้ายกับอยู่ท่ามกลางความมืดมิดอันไร้ขอบเขต ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนหายลับไป กฎเกณฑ์ทั้งหมดก็หายลับไปด้วย! ความมืดมิดเงียบงันพรรค์นี้กำลังแผ่ซ่านไปทั่วทุกบริเวณของดวงวิญญาณ วิญญาณเงียบงันเสียจนราวกับติดเข้าไปอยู่ในการหยุดชะงัก ในขณะนี้มีเพียงวิญญาณ มีเพียงร่างกายเท่านั้น! ต้องการเพียงแค่ความนึกคิดเดียวก็สามารถรู้สึกถึงร่างกายตนเองได้อย่างง่ายดายแล้ว

การสัมผัสรับรู้ร่างกายนั้นแรงกล้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนราวกับแผ่นดินอันใหญ่โตไร้ซึ่งขอบเขตแห่งหนึ่งอยู่ตรงหน้า

“ผู้แกร่งกล้าชนพื้นเมืองดั้งเดิมก็อาศัยเจดีย์เจ็ดระฆังนี้มาสำรวจสายโลหิตในร่างกายตนอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นไม่จำเป็นต้องสำรวจ เพราะว่าร่างกายของเขาเข้าสู่การเปลี่ยนแปลง ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นความเข้าใจและใช้ประโยชน์ต่อกฎเกณฑ์ของเขา และไม่เหมือนกับผู้แกร่งกล้าชนพื้นเมืองดั้งเดิมที่มีสายโลหิตสิ่งมีชีวิตคละถิ่นอยู่ในตัว พวกเขาบำเพ็ญพลังสายโลหิตก็สามารถมีพละกำลังอันมิอาจจินตนาการได้

“ละทิ้งร่างกายไปทางหนึ่ง”

ความนึกคิดหนึ่ง

วิญญาณอันเงียบงันหาใดเปรียบ ตัดแยกการรับสัมผัสต่อร่างกายได้อย่างง่ายดาย

การตัดแยกนี้

ในการรับสัมผัสวิญญาณก็เข้าสู่ความมืดมิดอันไร้ซึ่งขอบเขตที่ ‘แท้จริง’ แล้ว ท่ามกลางความมืดมิด ไม่มีอะไรทั้งสิ้น! แม้กระทั่งร่างกายก็ไม่มี!

แต่ว่าท่ามกลางความเงียบสงบที่วิญญาณเกือบจะกลายเป็นขั้นสุดยอด

ความคิดกลับ ‘มีชีวิตชีวา’ อย่างมิอาจจินตนาการได้!

“แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยสบายเช่นนี้มาก่อน ดูเหมือนว่าวิญญาณจะไม่มีข้อจำกัดใดๆ เลย ศักยภาพก็คล้ายว่าจะถูกขุดออกมาจนหมด”

“ยังบำเพ็ญวิถีอากาศดีกว่า”

ความเข้าใจในความเร้นลับปริมาณมหาศาลเกี่ยวกับวิถีอากาศพลุ่งพล่านขึ้นมาในทันใด และวิวัฒน์อย่างต่อเนื่อง ความคิดอันน่าอัศจรรย์อันแล้วอันเล่าปรากฏขึ้นมา ความเร็วในการบำเพ็ญรวดเร็วกว่าสถานะปกติมากมายยิ่งนัก คล้ายกับวิญญาณในยามปกติ ได้รับผลกระทบของกฎเกณฑ์สูงสุด ได้รับผลกระทบของร่างกาย ได้รับผลกระทบมากมายเหลือเกิน… ยามที่บำเพ็ญ ผลลัพธ์ห่างไกลจากตอนนี้มากมายนัก

“มหัศจรรย์เหลือเกิน”

ลอบรำพึง

ตามความคิดอันมีชีวิตชีวาหาใดเปรียบ ก็เจาะลึกเข้าไปในวิถีอากาศอย่างรวดเร็วแล้ว

ห้ากระบวนท่าไม้ตายที่คิดค้นออกมาจากวิถีอากาศก่อนหน้านี้ การสั่งสมอันมากมายมหาศาล รวมถึงประสบการณ์แสวงโชคต่างๆ ที่เคยบุกผ่านเกาะลอยคว้างห้าร้อยกว่าแห่ง ต่างก็ปรากฏขึ้นในห้วงสมองในขณะนี้ แล้วกระทบกระแทกอย่างต่อเนื่อง…

ความคิดอันไร้ซึ่งการยับยั้งระเบิดออกไปทุกทิศทุกทางผ่านไปยังทิศทางที่แตกต่างกันกำลังบำเพ็ญอย่างรวดเร็ว

******

ด้านนอกเจดีย์

ตงป๋อเสวี่ยอิง จักรพรรดิวายุทิพย์ และแม่ทัพเทพแปดท่านต่างก็อยู่ที่นี่

“น่าอัศจรรย์หรือไม่” จักรพรรดิวายุทิพย์มองตงป๋อเสวี่ยอิง

“มหัศจรรย์ยิ่งนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยสีหน้าซับซ้อน ร่างแยกที่บำเพ็ญอยู่ภายในเจดีย์ก็เชื่อมต่อกับร่างแยกที่มีอยู่ของเขาตามธรรมชาติ ก็เพราะเป็นเช่นนี้ ความรู้สึกจึงยิ่งเป็นเอกลักษณ์มากขึ้นไปอีก

ร่างแยกที่บำเพ็ญอยู่ภายในเจดีย์เจ็ดระฆังนี้ ความคิดของวิญญาณคล้ายกับอยู่ใน ‘มิติ’ อีกแห่งหนึ่ง ที่มิติแห่งนั้น ความคิดก็มีชีวิตชีวาหาใดเปรียบ วิญญาณไม่มีการยับยั้งใดๆ เลย การบำเพ็ญรวดเร็วเป็นที่สุด

ส่วนร่างแยกอื่นๆ ที่ตงป๋อเสวี่ยอิงมีอยู่ ต่างก็ต่ำลงไปอีกมิติหนึ่ง!

ถึงแม้ว่าความทรงจำจะสามารถติดต่อกันได้ แต่เห็นได้ชัดว่าความคิดมิได้ไปด้วยกัน

“ยังมีสมบัติชั้นยอดพรรค์นี้อยู่ด้วยหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูเจดีย์เจ็ดระฆังที่อยู่ตรงหน้าแล้วสองตาก็เปล่งประกาย ที่หุบเขาเขี้ยวหัก เจดีย์เจ็ดระฆังนี้เอาไว้ใช้เพียงแค่ช่วยให้เหล่าชนพื้นเมืองดั้งเดิมตระหนักรู้สายโลหิตภายในร่างกายของตนเท่านั้น แต่สำหรับผู้บำเพ็ญแล้วกลับมีส่วนช่วยมากกว่าอย่างมหาศาล! นี่คล้ายกับการคลายพันธนาการต่างๆ นานาออก ขุดเอาพรสวรรค์และศักยภาพตามหลักการของตนออกมาจนหมดสิ้น

“ฮ่าฮ่า น้องหิมะเหิน ต่อจากนี้เจ้าวางแผนจะไปที่ใดกันหรือ” จักรพรรดิวายุทิพย์พูดยิ้มๆ “มีสิ่งใดที่ต้องการให้ข้าช่วยเหลือก็จงพูดมาให้หมด”

“มีอยู่เรื่องหนึ่ง แต่ก็ไม่จำเป็นต้องให้จักรพรรดิลงมือหรอก” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองแม่ทัพเทพผู้สวมชุดเกราะคนหนึ่งที่อยู่ข้างๆ “แม่ทัพเทพรัศมีศิลา ข้าวางแผนจะไปบุกเกาะลอยคว้างบางแห่ง ราชันย์เผ่ามรณะทมิฬบนเกาะลอยคว้างเหล่านั้น มีบางคนที่สามารถต้านทานเคล็ดวิชาเขตลวงของข้าได้ พลังยุทธ์ของพวกมันเหลืออยู่เพียงหนึ่งหรือสองส่วน ข้าก็ยังมิใช่คู่ต่อสู้ของพวกมันอยู่ดี ต้องการให้ท่าน แม่ทัพเทพรัศมีศิลาช่วยเหลือ สมบัติล้ำค่าบนเกาะ ท่านก็สามารถเลือกเอาได้ตามใจชอบเลย”

“เรื่องเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องรบกวนพี่ใหญ่รัศมีศิลาหรอก ข้าเอง”

“จ้าวหิมะเหิน ข้าก็ได้นะ! มีเจ้าอยู่ ไม่ว่าสิบสามราชันย์คนไหนๆ ข้าก็มีความมั่นใจทั้งนั้นแหละ”

“เรื่องดีๆ เช่นนี้ เหตุใดจึงให้พี่ใหญ่รัศมีศิลาเสียเล่า”

แม่ทัพเทพคนแล้วคนเล่าเอ่ยขึ้นในทันใด

พวกเขาต่างก็อิจฉาตาร้อนกันขึ้นมาบ้างแล้ว

ข้อหนึ่ง การไปบุกเกาะลอยคว้างแต่ละแห่งเคียงข้างจ้าวหิมะเหินนั้นเป็นเรื่องดีที่อยากจะทำแม้กระทั่งในความฝัน! มีจ้าวหิมะเหิน ผู้ที่จะสามารถทำให้พวกเขาหวั่นเกรงได้ในเผ่ามรณะทมิฬ เกรงว่าคงมีเพียงแค่สามมหายอดเคารพเท่านั้น คนอื่นๆ ล้วนมิได้อยู่ในสายตาเลย นอกจากนี้ มิได้ยินที่บอกว่า ‘เลือกสมบัติล้ำค่าเอาตามใจชอบ’ หรือไร ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นแม่ทัพเทพผู้สูงส่ง แต่กับสมบัติล้ำค่าทั้งหลายบนเกาะลอยคว้าง ก็ยังคงตาลุกวาวอยู่ดี แต่เพียงแค่ไม่มีความมั่นใจว่าจะได้มาครอบครองเท่านั้นเอง

ข้อสอง การไปบุกด้วยกันก็ย่อมทำให้ความสัมพันธ์ล้ำลึกมากยิ่งขึ้นเป็นธรรมดา!

โอกาสอันดีที่จะได้ผูกไมตรีกับจ้าวหิมะเหิน ต่อให้ไม่ได้สมบัติล้ำค่าอะไรมาเลยก็ยังคุ้มค่าอยู่ดี! มีสหายที่ดีอย่างจ้าวหิมะเหินผู้นี้อยู่ ไม่ว่าจะเป็นใครทั่วทั้งหุบเขาเขี้ยวหักก็มิกล้าเป็นศัตรูกับพวกเขาง่ายๆ แล้ว

“จ้าวหิมะเหินจะให้ข้าช่วย พวกเจ้าก็อย่าได้มาแย่ง” แม่ทัพเทพรัศมีศิลาเอ่ยคำราม “ว่าอย่างไร อยากจะประลองกันสักหน่อยหรือไม่เล่า”

ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวเราะ

เขาก็รู้สึกว่ามีแม่ทัพเทพคนหนึ่งช่วยเหลือก็เพียงพอแล้ว นอกจากนี้คนเหล่านี้ต่างก็เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของจักรพรรดิวายุทิพย์ ย่อมไม่สามารถถูกตนเองพาตัวไปหมดได้หรอกกระมัง

นอกจากนี้ พูดถึงพลังยุทธ์ แม่ทัพเทพรัศมีศิลาก็เป็นอันดับหนึ่งในบรรดาแม่ทัพเทพทั้งแปด!

……

จากนี้ต่อไปในภายภาคหน้า ตงป๋อเสวี่ยอิงพาตัวแม่ทัพเทพรัศมีศิลาไปบุกเกาะลอยคว้างอย่างต่อเนื่องแล้ว เขามีข้อมูลโดยละเอียด ก็ย่อมไปยังเกาะแก่งที่มีดวงตาลึกลับแห่งแล้วแห่งเล่านั้นได้อยู่แล้ว

เขาต้องการจดจำส่วนประกอบเขตลวงที่อยู่ภายในดวงตาลึกลับให้มากยิ่งขึ้น

ถึงแม้ว่าจะคิดค้นท่าไม้ตายกระบวนแรกของวิถีเขตลวงโลกเทียมออกมาแล้ว แต่ในเมื่อดวงตาลึกลับนี้มีส่วนช่วยเหลือตน เช่นนั้นก็ย่อมต้องจดจำเอาไว้ให้มากยิ่งขึ้น! ทำให้ตนเองไปถึง ‘ระดับสุดยอด’ ของวิถีเขตลวงโลกเทียม ทำให้เส้นทางราบรื่นขึ้นพอสมควร

******

และที่หุบเขาเขี้ยวหัก

ข่าวหนึ่งแพร่กระจายออกไป

จักรพรรดิวายุทิพย์มี ‘จ้าวหิมะเหิน’ ช่วยเหลือ บุกเข้าไปสู่เกาะราชันย์เหยี่ยนแล้วจับเป็นผู้อาวุโสยี่สิบสองท่าน กดดันให้ราชันย์เหยี่ยนยอมก้มหัว ส่งมอบน้ำนมทิพย์ลำแสงให้ ข่าวนี้แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วเสียแล้ว! จักรพรรดิวายุทิพย์ก็ยิ่งเติมฟืนใส่กองไฟ เขาอยากให้ทุกฝ่ายรู้ว่าเขามีความสัมพันธ์อันดียิ่งกับจ้าวหิมะเหิน พร้อมกันนั้นก็อาศัยสิ่งนี้แสดงถึงความต้องการของตน!

ภายในระยะเวลาอันยาวนานก่อนหน้านี้ เขาพ่ายแพ้ด้วยน้ำมือราชันย์เหยี่ยนมามากมายหลายครั้งเหลือเกินแล้ว คราวนี้ในที่สุดก็กดดันให้ราชันย์เหยี่ยนต้องก้มหัวให้จนได้ เรื่องเช่นนี้ แน่นอนว่าต้องแพร่กระจายไปให้รู้กันทั่วทั้งหุบเขาเขี้ยวหัก! มิฉะนั้นหากหลบๆ ซ่อนๆ ก็จะไม่สาแก่ใจ

“จ้าวหิมะเหินผู้นี้มีผลกระทบต่อพลังยุทธ์มากมายเหลือเกิน”

“ที่เกาะลอยคว้างของตน ราชันย์เหยี่ยนก็ถูกกดดันให้ก้มหัวอย่างนั้นหรือ”

“จับเป็นผู้อาวุโสยี่สิบสองท่านหรือ เมื่อระดับแม่ทัพเทพอยู่ต่อหน้าจ้าวผู้นี้ จำนวนก็ไม่มีความหมายเลยหรือไร”

ทุกหนแห่งพากันวิพากษ์วิจารณ์

ชื่อเสียงของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยิ่งทวีความโด่งดัง สามมหายอดเคารพแห่งเผ่ามรณะทมิฬ และสองมหายอดเคารพของกลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิมต่างก็ให้ความสนใจกับจ้าวหิมะเหินผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง!

……

ข่าวแพร่กระจายออกไป แล้วก็แพร่ไปถึงหูของผู้บำเพ็ญแห่งดินแดนจิตโลกาเช่นเดียวกัน

เช่นจักรพรรดิเซี่ยและราชันย์อนธการอมตะ พวกเขาต่างก็ให้ความสนใจกับหุบเขาเขี้ยวหักเป็นอย่างมาก ทั้งยังสืบหาข้อมูลจำนวนหนึ่งของกลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิมอยู่เป็นประจำ

โดยเฉพาะ ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ หลังจากที่กลับมาจากการโจมตีสิ่งมีชีวิตคละถิ่นล้มเหลวแล้ว เขาก็เคยเข้าไปยังหุบเขาเขี้ยวหักหลายครั้ง ครั้งนี้เขาก็เป็นคนแรกๆ ในบรรดาบุคคลผู้ไร้เทียมทานของดินแดนจิตโลกาที่รู้เรื่องราวของ ‘จ้าวหิมะเหิน’

“อะไรนะ สิ่งที่เจ้าพูดเป็นความจริงหรือ” ชายหนุ่มรูปงามที่สวมอาภรณ์สีเทาเอ่ยอย่างยากที่จะเชื่อได้

ยามอยู่ที่ดินแดนจิตโลกา เขาก็เป็นผู้ที่ใส่อาภรณ์หรูหรางดงามสีทองและสวมมงกุฎ แต่เมื่ออยู่ที่หุบเขาเขี้ยวหัก ราชันย์อนธการอมตะก็เจียมเนื้อเจียมตัวเป็นอย่างมาก สวมเพียงแค่อาภรณ์สีเทา

ช่วยไม่ได้

เขาไม่มีสิทธิ์แสดงตัวที่กลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิม เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเขามิได้มีร่างแยกเหมือนตงป๋อเสวี่ยอิงและจักรพรรดิเซี่ย!

“แน่นอนว่าต้องเป็นความจริงสิ ข่าวก็แพร่ออกมาก่อนแล้ว นี่ก็เป็นจังหวะที่ดีแล้วล่ะ” ชายชราร่างอ้วนพีคนหนึ่งนั่งดื่มสุราอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามพลางพูดว่า “ราชันย์อนธการ เจ้ามิได้บอกหรือว่าเจ้าเป็นผู้บำเพ็ญอันดับหนึ่งแห่งดินแดนจิตโลกา เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าเจ้าอ่อนแอกว่าจ้าวหิมะเหินมากมายถึงเพียงนั้นเล่า เมื่ออยู่ต่อหน้าจ้าวหิมะเหิน ระดับจักรพรรดิธรรมดาทั่วไปต่างก็ต้องจมดิ่งลงไป ระดับแม่ทัพเทพต่างก็ต้องตัวสั่นงันงก หรือแม้กระทั่งเหล่าจักรพรรดิก็ยังต้องแย่งกันสร้างสัมพันธไมตรี! แม้กระทั่งห้ายอดเคารพต่างก็ยังมิกล้าละเลย”

ราชันย์อนธการอมตะเงียบงัน

ริษยาหรือ

เขาเกิดความริษยาขึ้นมาวูบหนึ่งจริงๆ ถ้าหากเขาอยู่ที่หุบเขาเขี้ยวหักและมีสถานะที่สูงส่งเช่นนี้เหมือนกัน เช่นนั้นจะทำอะไรก็คงง่ายดายกว่านี้มากแล้ว

นอกจากจะริษยาแล้วเขาก็ยังกระวนกระวายด้วย!

“เขาบำเพ็ญเขตลวงโลกเทียมมาจนถึงระดับนี้แล้วหรือ ทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา ผู้ที่วิญญาณไปถึงระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองก็พอมีอยู่บ้าง ทว่าแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีที่น่าหวาดหวั่นถึงเพียงนี้เลย หรือว่าเขาไปถึงขั้นสุดยอดแล้วเล่า หรือว่าจะมีสุดยอดเคล็ดสืบทอดลับแล้วด้วย” ราชันย์อนธการอมตะเกิดความตื่นตระหนกขึ้นในใจ เขาย่อมไม่รู้อยู่แล้วว่าแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีใครไปถึงขั้นสุดยอดทางด้านวิญญาณมาก่อนเลย ก็ยิ่งไม่มีสุดยอดเคล็ดสืบทอดลับอยู่แล้ว

“สามารถทำให้ระดับจักรพรรดิจมดิ่งได้ เช่นนั้นยามที่ขั้นสุดยอดอย่างข้าเผชิญกับเขตลวงโลกเทียมของเขา ถึงแม้ว่าจะสามารถต้านทานเอาไว้ได้ เกรงว่าก็คงต้องกระจายพลังจิตไปมิใช่น้อยเลย” ราชันย์อนธการอมตะเอ่ยพึมพำ ระดับจิตใจของผู้บำเพ็ญขั้นสุดยอดต่างก็ล้ำเลิศเป็นอย่างยิ่ง แต่คาดว่าความสามารถในการต้านทานเขตลวงโลกเทียมนั้นอย่างมากที่สุดก็แค่เทียบเคียงได้กับห้ายอดเคารพ ก็ต้องกระจายพลังจิตไปมากพอสมควรอย่างไม่ต้องสงสัยเลยแม้แต่น้อย ทำให้พลังยุทธ์ต้องถูกทำลาย

“ทำเช่นไรดีเล่า”

“เขามีร่างแยกมากมาย อยู่ที่หุบเขาเขี้ยวหัก พูดคำเดียวก็มีร้อยเสียงตอบรับ ผู้แกร่งกล้าแย่งกันผูกไมตรี ทรัพยากรมากมายเหลือล้น ทั้งยังมีวิถีอากาศของเขาด้วย เขามีอาวุธเทพคละถิ่นอยู่ในมือ ด้วยการสั่งสมของเขา บวกกับเคราะห์ดีของหุบเขาเขี้ยวหัก ความหวังในการสำเร็จเป็นขั้นสุดยอดก็ยิ่งเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลแล้ว”

“เป็นเช่นนี้ต่อไป เขาก็มีแต่จะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ” ราชันย์อนธการอมตะเกิดความรู้สึกร้อนรนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

…………………………………………….

ราชันย์เหยี่ยนถูกตงป๋อเสวี่ยอิงปฏิเสธ ก็รู้สึกผิดหวังและโกรธแค้น แต่จักรพรรดิวายุทิพย์กลับเผยสีหน้ายินดี เขารู้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ฝ่ายเดียวกันกับเขา ก็ดูเหมือนว่าเขาจะชนะแน่นอนแล้ว! นอกเสียจากว่าราชันย์เหยี่ยนเลือกที่จะสู้กันจนวอดวายไปข้างหนึ่ง

“เหตุใดจึงช่วยเขา ไม่ช่วยข้าเล่า” นัยน์ตาสีเงินของราชันย์เหยี่ยนจ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างเยียบเย็น ระงับความโกรธเอาไว้ “เจ้าต้องการสิ่งใด ข้าก็จะทุ่มเทอย่างสุดกำลังเพื่อช่วยให้เจ้าได้มันมา”

“ราชันย์เหยี่ยน อย่าได้ดันทุรังอีกเลยดีกว่า” จักรพรรดิวายุทิพย์ที่อยู่ข้างๆ พูดด้วยรอยยิ้มหยัน “ในเมื่อน้องหิมะเหินไม่ช่วยเจ้า เจ้าก็อย่าได้ทำให้เขาลำบากใจอีกเลย”

ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ข้างๆ แววตาสงบนิ่ง

ราชันย์เหยี่ยนได้เห็นเหตุการณ์แล้วก็เข้าใจว่าโน้มน้าวไปก็ไม่มีประโยชน์อีกแล้ว

“ตัดสินใจดีแล้วใช่หรือไม่” ขณะนี้จักรพรรดิวายุทิพย์รู้สึกสุขใจเป็นอย่างยิ่ง นอกจากความตื่นเต้นที่จะได้รับสมบัติล้ำค่ามาในเร็วๆ นี้แล้ว ยังมีความอิ่มเอมใจที่สามารถกดดันจนราชันย์เหยี่ยนยอมก้มหัวให้ได้ด้วย! เพราะเขากับราชันย์เหยี่ยนต่อสู้กันมาเนิ่นนานเหลือเกินแล้ว พ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า ตอนนี้ในที่สุดก็สามารถกดดันจนราชันย์เหยี่ยนยอมก้มหัว กดดันจนราชันย์เหยี่ยนต้องเลือกได้! ทำให้จักรพรรดิวายุทิพย์มีความสุขล้นหัวใจ

“ตัดสินใจหรือ” ราชันย์เหยี่ยนหุบปีกที่ปกคลุมด้วยเกล็ดที่สยายออกเข้าด้วยกันแล้วห่อหุ้มตนเองเอาไว้ นัยน์ตาสีเงินยวงถลึงมองจักรพรรดิวายุทิพย์

“คิดจะลงมือ ได้เลย!” นัยน์ตาของจักรพรรดิวายุทิพย์เผยแววบ้าคลั่งออกมา มือก็วางอยู่บนด้ามมีดตรงหว่างอก “ดูว่าผ่านการต่อสู้ยกนี้ไป ใต้บังคับบัญชาของเจ้า ราชันย์เหยี่ยน จะยังมีผู้อาวุโสสักกี่คนที่สามารถรอดชีวิตไปได้! อย่างน้อยแม่ทัพที่ถูกข้าจับเป็นก็ดับสูญจนหมด คาดว่าหลังจากการต่อสู้คราวนี้อันดับในสิบสามราชันย์ของเจ้าก็ต้องตกต่ำลงมาแล้วกระมัง”

ราชันย์เหยี่ยนเงียบขรึมไปชั่วครู่แล้วจึงเอ่ยว่า “เจ้าต้องการเท่าไหร่”

จักรพรรดิวายุทิพย์ยิ้ม ยิ้มอย่างสว่างสดใส “ไม่มากหรอก ในเมื่อข้าคุมขังผู้อาวุโสเอาไว้ยี่สิบสองท่าน เช่นนั้นต้องการเพียงแค่ยี่สิบสองหยดก็พอแล้ว!”

“เจ้าบ้าไปแล้วหรือ” ราชันย์เหยี่ยนสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวง “ยี่สิบสองหยดอย่างนั้นหรือ เจ้ารู้หรือไม่ว่านานเท่าใด ‘น้ำนมทิพย์ลำแสง’ จึงจะกลั่นตัวออกมาได้สักหยดหนึ่ง”

“ข้ามิได้บ้าเสียหน่อย”

จักรพรรดิวายุทิพย์พูด “ระยะเวลาอันยาวนานจนถึงบัดนี้ แค่ยี่สิบสองหยด เจ้า ราชันย์เหยี่ยน ก็ยังนำเอาออกมามิได้เลยหรือ พอเจ้าให้ข้าแล้วพวกเราก็จะจากไป นอกจากนี้ก็จะส่งตัวผู้อาวุโสที่ถูกคุมขังไว้คืนให้กับเจ้าด้วย”

“มากที่สุดเก้าหยด!” ราชันย์เหยี่ยนขบกรามพูด “ไม่อย่างนั้นก็เปิดศึกเสียเถิด อยู่ที่เกาะลอยคว้าง พวกเราเผ่ามรณะทมิฬต่างก็สามารถเคลื่อนที่ในพริบตาได้ ถึงเจ้าจะไล่ตามก็ไล่ตามพวกเรามิได้หรอก แล้วเจ้าก็จะไม่ได้น้ำนมทิพย์ลำแสงไปเลยแม้แต่หยดเดียว!”

จักรพรรดิวายุทิพย์สีหน้าเยียบเย็น “เช่นนั้นผู้อาวุโสใต้บังคับบัญชาของเจ้าก็ต้องตายกันไปจนเกือบหมดแล้วล่ะ! สำหรับน้ำนมทิพย์ลำแสง สระทิพย์ของน้ำนมทิพย์นั่น…รวมถึงสถานที่ล้ำค่าอื่นๆ ทั้งหลายบนเกาะลอยคว้างแห่งนี้ ก็อย่าตำหนิว่าข้าไปทำลายล้างมันก็แล้วกัน!”

ราชันย์เหยี่ยนยิ่งทวีความเดือดดาลขึ้นไปอีก

“ข้าถอยให้ก้าวหนึ่งก็ได้ ยี่สิบหยด! น้อยไปหยดเดียวก็ไม่ได้!” จักรพรรดิวายุทิพย์จงใจพูดว่าถอยให้ก้าวหนึ่ง เพื่อให้ดูเหมือนยอมถอย แต่ในความเป็นจริงแล้วก็มิได้น้อยไปกว่ากันสักเท่าใดเลย

ราชันย์เหยี่ยนสีหน้าไม่น่าดู ทั้งยังมองตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ข้างๆ เมื่อใดที่ฉีกหน้าขึ้นมาจริงๆ ก็มิอาจคาดเดาถึงผลที่ตามมาได้แล้วจริงๆ ราชันย์เหยี่ยนมองตงป๋อเสวี่ยอิงพลางเอ่ยเสียงต่ำว่า “จ้าวหิมะเหิน ตราวนี้ข้าต้องเสียน้ำนมทิพย์ลำแสงยี่สิบหยด เจ้าสามารถรับรองได้หรือไม่ว่าจะไม่ช่วยเหลือจักรพรรดิวายุทิพย์มาวางแผนช่วงชิงสมบัติล้ำค่าของข้าที่นี่”

“วางใจเถิด บนเกาะลอยคว้างแห่งนี้ของเจ้าก็มีแต่น้ำนมทิพย์ลำแสงเท่านั้นที่ต้องตาข้า ข้ารับรองว่าจะไม่มาที่นี่อีกแล้ว” จักรพรรดิวายุทิพย์พูด พร้อมกันนั้นก็ถ่ายเสียงพูดกับตงป๋อเสวี่ยอิง

“รับรองได้เลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

ราชันย์เหยี่ยนพยักหน้าน้อยๆ

จ้าวหิมะเหินและจักรพรรดิวายุทิพย์…ต่างก็มีชื่อเสียงจัดอยู่ในระดับเดียวกัน วาจาที่พูดออกไป ย่อมไม่มีทางตระบัดสัตย์ได้โดยง่าย

“เอาล่ะ” ราชันย์เหยี่ยนเหลือบตามองจักรพรรดิวายุทิพย์ปราดหนึ่ง “วายุทิพย์ เจ้าช่างโชคดีเสียจริง สามารถขอให้จ้าวหิมะเหินช่วยเหลือเจ้าได้ มิฉะนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่มีทางได้น้ำนมทิพย์ลำแสงยี่สิบหยดไปครองตลอดกาล”

ก่อนหน้านี้น้ำนมทิพย์ลำแสงเพียงแค่หยดเดียว ข้อตกลงระหว่างราชันย์เหยี่ยนกับจักรพรรดิวายุทิพย์ ก็กดดันสมบัติล้ำค่ามากมายของจักรพรรดิวายุทิพย์เอาไว้แล้ว!

จักรพรรดิวายุทิพย์ย่อมไม่มีทางยอมรับได้อยู่แล้ว!

อย่าตำหนิว่าก่อนหน้านี้ราชันย์เหยี่ยนเรียกราคาสูง ดูทั่วทั้งหุบเขาเขี้ยวหัก ในบรรดาผู้แกร่งกล้าระดับยอดสุด น้ำนมทิพย์ลำแสงมีผลลัพธ์อันน่าอัศจรรย์ที่สุดต่อสายโลหิตวายุทิพย์ของ ‘จักรพรรดิวายุทิพย์’ มีผลต่อพลังดูดซับของบรรดาจักรพรรดิคนอื่นๆ ต่ำกว่ามาก แน่นอนว่ากับระดับจักรพรรดิธรรมดาทั่วไป ก็ยังมีส่วนช่วยเหลือเป็นอย่างมาก! อย่างเช่นบรรดาผู้อาวุโสใต้บังคับบัญชาของราชันย์เหยี่ยน ต่างก็ต้องสร้างผลงานอันยิ่งใหญ่ จึงจะได้รับสักหยดหนึ่งได้

“ขวับๆๆ…” ราชันย์เหยี่ยนตวัดกรงเล็บ ทันใดนั้นขวดใบแล้วใบเล่าก็ลอยออกมา มากถึงยี่สิบขวด “ภายในขวดทุกใบล้วนมีน้ำนมทิพย์ลำแสงอยู่หยดหนึ่ง”

ผู้อาวุโสแห่งสถานที่ต้องห้ามห้าท่านที่อยู่ด้านหลังราชันย์เหยี่ยนได้เห็นเหตุการณ์แล้วต่างก็เศร้าและคับแค้น

จนกระทั่งบัดนี้ พวกมันทั้งห้า อย่างมากที่สุดก็เพิ่งจะได้เพียงแค่สองหยดเท่านั้นเอง!

แต่วันนี้หัวหน้าของพวกมัน…‘ราชันย์เหยี่ยน’ หัวหน้าของสิบสามราชันย์ก็ถึงกับถูกกดดันจนต้องยอมก้มหัว ต้องยอมสละน้ำนมทิพย์ลำแสงยี่สิบหยด นี่เป็นการดูหมิ่นดูแคลนเป็นอย่างยิ่ง!

“ในที่สุดก็ได้มาไว้ในมือเสียที” จักรพรรดิวายุทิพย์โบกมือคราหนึ่ง ขวดยี่สิบใบนี้ก็มาถึงตรงหน้าเขาแล้ว เขาเปิดจุกขวดแต่ละใบแล้วทำการตรวจสอบดูในทันที ยามที่ตรวจสอบ ดวงตาก็เปล่งประกาย เขารอคอยมาเนิ่นนานเหลือเกินแล้ว!

“ฮ่าฮ่า ราชันย์เหยี่ยนช่างมีความสุขเสียจริง ข้าเองก็มิใช่คนใจแคบ” จักรพรรดิวายุทิพย์หัวเราะแล้วก็ปล่อยตัวผู้อาวุโสยี่สิบสองท่านที่คุมตัวเอาไว้ออกมาในทันใด

“ได้รับน้ำนมทิพย์ลำแสงไปแล้ว ก็ควรจากไปได้แล้วกระมัง” ราชันย์เหยี่ยนมองเขาอย่างเย็นชาดุจน้ำแข็ง

“ไปๆๆ ตอนนี้ราชันย์เหยี่ยนอารมณ์ไม่ดี พวกเราก็อย่าได้รั้งอยู่ที่นี่อีกเลย” จักรพรรดิวายุทิพย์ยิ้มตาหยี “น้องหิมะเหิน พวกเราไปกันเถิด”

พรึ่บ…

กลุ่มคนทั้งเจ็ดแปลงร่างกลายเป็นสายลมหอบหนึ่งในทันใดแล้วจากไปอย่างรวดเร็ว

ราชันย์เหยี่ยนมองดูอย่างเงียบๆ ผู้อาวุโสแห่งสถานที่ต้องห้ามห้าท่าน และผู้อาวุโสยี่สิบสองคนซึ่งถูกปล่อยตัวออกมาหมาดๆ ด้านหลังเขาต่างก็เต็มไปด้วยความเงียบงัน

คราวนี้ช่างเสียหน้าอย่างยิ่งใหญ่จริงๆ!

ทั่วทั้งเผ่ามรณะทมิฬ สถานะของราชันย์เหยี่ยนก็เป็นรองเพียงแค่สามมหายอดเคารพเท่านั้น! แต่ถึงกับถูกกดดันให้ก้มหัวยอมสละสมบัติล้ำค่า

“บรรพชนเหยี่ยน เดิมทีท่านก็สามารถเคลื่อนที่ในพริบตาจากไปในทันที ไม่จำเป็นต้องแยแสการคุกคามของพวกเขาก็ได้ แต่กลับเป็นเพราะพวกเรา…”

“หากไม่มีบรรพชนเหยี่ยน เกรงว่าพวกเราก็คงถูกจักรพรรดิวายุทิพย์สังหารเสียแล้ว”

บรรดาผู้อาวุโสเหล่านี้แต่ละคนต่างพากันพูดแสดงความซาบซึ้ง แล้วก็ประจบสอพลอราชันย์เหยี่ยนไปด้วย

ถึงอย่างไรเหตุผลที่พวกมันสวามิภักดิ์ต่อราชันย์เหยี่ยน จนถึงขนาดที่เรียกหาว่า ‘บรรพชนเหยี่ยน’ก็เพราะ ‘หยาดโลหิต’ ของราชันย์เหยี่ยนมีประโยชน์ต่อพวกเขาส่วนใหญ่เป็นอย่างมาก ดังนั้นแต่ละคนจึงได้จงรักภักดีเช่นนี้

“ไม่ต้องพูดมากหรอก ความอับอายขายหน้าในครั้งนี้ เกรงว่าเจ้าวายุทิพย์ผู้นั้นจะต้องเผยแพร่ออกไปสู่ภายนอกอย่างรวดเร็วยิ่ง เกรงว่าทั่วทั้งหุบเขาเขี้ยวหักก็จะต้องล่วงรู้กันหมด” ราชันย์เหยี่ยนเอ่ยอย่างเย็นชา “แต่ว่าข้ามิได้พ่ายแพ้ด้วยน้ำมือของเขา วายุทิพย์ แต่พ่ายแพ้ด้วยน้ำมือของจ้าวหิมะเหินต่างหากเล่า!”

พูดจบแล้วราชันย์เหยี่ยนก็เคลื่อนที่ในพริบตาหายไป

ผู้อาวุโสแห่งสถานที่ต้องห้ามห้าท่านและผู้อาวุโสยี่สิบสองท่านที่เหลืออยู่ต่างก็มองหน้ากันไปมา ต่างก็รู้กันว่าราชันย์เหยี่ยนอารมณ์ไม่ดี แต่ละคนจึงพากันจากไปอย่างว่าง่าย

พวกมันไม่มีความคิดที่จะ ‘ล้างแค้น’ เลยแม้แต่น้อย! เพราะว่าจ้าวหิมะเหินผู้นั้นช่างน่าหวาดหวั่นเกินไปหน่อยแล้วจริงๆ! ในบรรดาพวกมัน ผู้ที่พลังยุทธ์อ่อนแอหน่อยก็ตกลงสู่ห้วงนิทราในทันที ส่วนผู้ที่แข็งแกร่งนั้นพลังยุทธ์ก็ลดลงอย่างมหาศาล ถูกเหยียบย่ำอย่างง่ายดายจนกระทั่งถูกจับเป็นในที่สุด

……

ณ โลกวายุทิพย์

จักรพรรดิวายุทิพย์กลับมาถึงแล้ว ในใจก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ถึงขนาดที่ส่งสมบัติล้ำค่ากองหนึ่งไปให้กับตงป๋อเสวี่ยอิงเพื่อแสดงความซาบซึ้ง และก็เพื่อรักษาความสัมพันธ์อันดีเอาไว้ด้วย! เพราะว่ายอดฝีมือทางด้านวิญญาณผู้น่าหวั่นเกรงที่สามารถทำให้พวกเขาพลังยุทธ์ลดลงอย่างมหาศาล นั้นช่างมีผลกระทบต่อสถานการณ์อย่างเด่นชัดเหลือเกิน

“นี่ก็คือเจดีย์เจ็ดระฆัง”

จักรพรรดิวายุทิพย์ ตงป๋อเสวี่ยอิง และแม่ทัพเทพแปดท่านต่างก็มาถึงตรงหน้าเจดีย์แห่งหนึ่ง

เจดีย์เจ็ดระฆังมีชั้นเจดีย์อันธรรมดาสามัญยิ่ง ขอบของเจดีย์มีระฆังแขวนอยู่เจ็ดใบ มองเผินๆ ก็ไม่เห็นความพิเศษแต่อย่างใดเลย

“เพียงแค่น้องหิมะเหินเข้าไป ขณะที่เขย่าระฆังใบหนึ่งในนั้น ระฆังทั้งเจ็ดใบก็จะส่งเสียงอย่างต่อเนื่องกัน เสียงนั้นก็จะชักนำน้องหิมะเหินเข้าไปในสถานะการบำเพ็ญที่พิเศษอย่างที่สุด จักรพรรดิวายุทิพย์พูด “แต่สามารถส่งร่างแยกเข้าไปข้างในได้เพียงแค่ร่างเดียวเท่านั้นนะ”

“ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณจักรพรรดิมาก” แต่ในใจของตงป๋อเสวี่ยอิงกลับตั้งตาคอยอย่างไร้ที่สิ้นสุด

“ฮ่าฮ่า เป็นข้าต่างหากที่ควรต้องขอบคุณน้องหิมะเหิน” จักรพรรดิวายุทิพย์พูดยิ้มๆ

พรึ่บ

เห็นเพียงว่าตงป๋อเสวี่ยอิงที่ยืนอยู่ที่นั่นแบ่งร่างแยกร่างหนึ่งออกมาแล้วเดินมุ่งหน้าตรงเข้าไปภายในเจดีย์เจ็ดระฆังทันที ความแข็งแกร่งของวิญญาณของร่างแยกนี้ยังยกระดับขึ้นอีกด้วย! ยกระดับขึ้นเรื่อยๆ จนถึงสถานะอันสุดยอดที่สมบูรณ์แบบ แต่ในบรรดาร่างแยกจำนวนมากมายที่ตงป๋อเสวี่ยอิงพกติดตัวกลับมีร่างแยกจำนวนมากพอสมควรที่วิญญาณต่างก็กำลังอ่อนแอลง เพราะว่ากฎเกณฑ์อันไร้รูปร่างกำลังยับยั้งทุกสิ่งทุกอย่างนี้เอาไว้

ในตอนนี้ที่ดินแดนจิตโลกา ในบรรดาร่างแยกจำนวนมากมายของตงป๋อเสวี่ยอิง ร่างแยกที่รักษาการณ์อยู่ที่เมืองหิมะเหิน ร่างแยกภายใต้ต้นไม้เทพผลาญจิต และร่างแยกที่มุ่งหน้าไปยังเจดีย์เจ็ดระฆังอยู่ในขณะนี้ วิญญาณของร่างแยกสามร่างนี้ต่างก็เป็นระดับสุดยอดที่สมบูรณ์แบบที่สุดด้วยกันทั้งสิ้น

ร่างแยกอื่นๆ ที่ต่อสู้อยู่ข้างนอกนั้น วิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุดก็รักษาเอาไว้ได้เพียงแค่เจ็ดส่วนเท่านั้น! นี่ก็เพียงพอแล้ว เพราะว่าเคยดูดซับโลหิตหัวใจมารดามังกรหมื่นสัมผัสมาก่อนเป็นเหตุ ส่งผลให้วิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงแกร่งกล้าเหนือธรรมดา ถึงแม้ว่าเพียงแค่เจ็ดส่วน การสำแดงท่าไม้ตายวิถีเขตลวงโลกเทียมก็สามารถทำได้อย่างสบายๆ ถึงขนาดที่ยังมีพลังเหลือไปสำแดงเคล็ดวิชาอื่นๆ ได้อีกด้วย

……

ภายในเจดีย์

ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินเข้าไป แต่แล้วก็ค้นพบความพิเศษของเจดีย์แห่งนี้ โครงสร้างภายในลึกลับแปลกประหลาดเป็นที่สุด ขอบมุมภายในแต่ละที่ล้วนซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง เพิ่งจะนั่งลง ตงป๋อเสวี่ยอิงก็อดที่จะผ่อนคลายอยู่บ้างมิได้ คล้ายกับว่าการยึดโยงของร่างกายต่อวิญญาณนั้นลดน้อยลงไปเสียแล้ว

“เจดีย์เจ็ดระฆังถูกขนานนามว่าเป็น ‘สมบัติชั้นยอดอันดับหนึ่งของการสงบจิตบำเพ็ญ’ ก็ลองดูสักหน่อยว่าที่แท้แล้วมีความมหัศจรรย์สักเพียงใดกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงจิตใจวูบไหวแล้วทำการควบคุมอากาศเขย่าระฆังเล็กใบหนึ่งที่แขวนอยู่เบาๆ

“กรุ๊งกริ๊งๆ” เสียงระฆังอันเสนาะหูดังขึ้น

……

ภายในโถงตำหนักอันเงียบสงัด ราชันย์เหยี่ยนและบรรดาผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างพากันจับจ้องผู้อาวุโสที่มีร่างกายเป็นสัตว์ หัวเป็นมนุษย์ผู้นี้เป็นตาเดียว ผู้อาวุโสผู้นี้ตกใจ เท้าทั้งสี่วางลงไปแล้วรีบพูดด้วยความตื่นตระหนกว่า “บรรพชนเหยี่ยน ก่อนหน้านี้ไม่นานนัก ข้ากำลังหลับใหลอยู่ ร่างแปรของข้าได้ไปพบเอ๋อลั่วพี่น้องของข้า เมื่อข้าได้พูดคุยกับเอ๋อลั่ว เอ๋อลั่วก็ได้พูดถึงเรื่องในเผ่าชนพื้นเมืองมีจ้าวหิมะเหินที่เก่งกาจอย่างยิ่งผู้หนึ่งปรากฏขึ้นมา ได้ยินมาว่ากระบวนท่าทางด้านวิญญาณของเขาสามารถทำให้ระดับจักรพรรดิจมดิ่งลงไปได้ ทั้งยังกล่าวว่าจ้าวหิมะเหินเป็นผู้บำเพ็ญที่มาจากดินแดนจิตโลกา ทว่าเอ๋อลั่วรู้สึกว่าข่าวนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้สักเท่าใดนัก ข้าก็เชื่อว่าน่าจะเป็นข่าวลือ ผู้บำเพ็ญดินแดนจิตโลกาไหนเลยจะเก่งกาจถึงเพียงนี้ได้ แต่เมื่อครู่นี้ ผู้อาวุโสกลุ่มหนึ่งก็ได้ตกเข้าสู่ห้วงนิทรา ผู้อาวุโสที่เหลืออยู่แต่ละคน พลังก็ล้วนเสียหายเป็นอย่างมากจนถูกจับกุมเอาไว้อย่างรวดเร็ว ข้าก็มีแต่นึกถึงจ้าวหิมะเหินในตำนานผู้นี้แล้ว”

“ทำไมไม่ยอมบอกข้าเสียตั้งแต่เนิ่นๆ เล่า” ราชันย์เหยี่ยนขบกรามกรอด เผยให้เห็นเขี้ยวคมกริบ

ผู้อาวุโสผู้นี้แตกตื่นอยู่บ้าง เขาละล่ำละลักว่า “ก่อนหน้านี้ข้ายังคิดว่าเป็นเพียงข่าวลือเท่านั้น นอกจากนี้บรรพชนเหยี่ยนยังฝึกฝนอยู่ด้วย หากไม่มีเรื่องสำคัญ ข้าก็มิกล้ารบกวน”

ราชันย์เหยี่ยนเงียบงันไป

เดิมทีเผ่ามรณะทมิฬก็เผยแพร่ข่าวสารได้รวดเร็วอยู่แล้ว บวกกับที่พวกมันมีข้อแตกต่างจากเผ่าชนพื้นเมืองชัดเจนอย่างยิ่ง จึงมิอาจแทรกซึมเข้าไปได้ อีกทั้งนิสัยของผู้แกร่งกล้าเผ่ามรณะทมิฬก็ไม่เหมาะกับการเป็นสายลับ! แม้ราชันย์เหยี่ยนจะมีผู้แกร่งกล้าใต้บังคับบัญชามากมายนัก นับได้ว่าข่าวสารฉับไว แต่ก็เป็นเพียงการเปรียบเทียบเท่านั้น! จักรพรรดิวายุทิพย์นั้นแพ้ไม่ได้ นี่คือครั้งที่เขาเข้าใกล้ความสำเร็จมากที่สุดแล้ว จึงได้ให้ตงป๋อเสวี่ยอิงปลอมแปลงรูปโฉมและกลิ่นอาย อันที่จริงแล้ว ณ ก้นบึ้งของหัวใจ จักรพรรดิวายุทิพย์ก็เชื่อว่า…ราชันย์เหยี่ยนน่าจะยังไม่รู้ว่า ‘จ้าวหิมะเหิน’ มีตัวตน

“จ้าวหิมะเหินโผล่มาจากไหนกัน” ราชันย์เหยี่ยนเงียบงันไป

อานุภาพของมันเป็นอันดับหนึ่งในบรรดาสิบสามราชันย์!

เพราะอาศัยผู้อาวุโสใต้บังคับบัญชาทั้งหลาย แต่ตอนนี้ เพียงครู่เดียวก็ถูกจังไปทั้งเป็นถึงยี่สิบสองคนด้วยกัน! เมื่อพลังลดลงเป็นอย่างมาก ราชันย์เหยี่ยนก็ตื่นตระหนกขึ้นมาแล้ว

“ผู้บำเพ็ญที่มาจากดินแดนจิตโลกาสามารถทำให้ระดับจักรพรรดิจมดิ่งลงไปด้วยกระบวนท่าทางด้านวิญญาณอย่างนั้นหรือ เมื่อดูจากเมื่อครู่นี้แล้ว ในบรรดาผู้อาวุโส ก็มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่จมดิ่งลงไปทันที ส่วนใหญ่ก็ยังคงมีพลังหลงเหลืออยู่บ้าง” ราชันย์เหยี่ยนลอบพึมพำ “หากเป็นข้า ก็คงจะเหลือพลังมากกว่านี้”

ในหมู่ผู้ใต้บังคับบัญชาก็ยังมีคนที่เหลือพลังสามส่วนได้

เขาคาดการณ์ว่า ตนมีหวังจะเหลือพลังห้าส่วนได้ เมื่อเผชิญหน้ากับจักรพรรดิวายุทิพย์ ก็มั่นใจว่าพอจะหนีเอาชีวิตรอดได้! เพราะถึงอย่างไรที่นี่ก็คือเกาะลอยคว้าง มันสามารถเคลื่อนที่หนีไปได้อย่างรวดเร็ว

“ผู้อาวุโสแห่งสถานที่ต้องห้ามทั้งห้า ตามข้ามา” ราชันย์เหยี่ยนยืดกายขึ้น

“ขอรับ”

ผู้อาวุโสซึ่งมีกลิ่นอายแกร่งกล้าที่สุดห้าคนรับคำอย่างนอบน้อม พวกมันทั้งห้าคือผู้ใต้บังคับบัญชาที่แข็งแกร่งที่สุดของราชันย์เหยี่ยน

สวบๆๆๆๆๆ…

ราชันย์เหยี่ยนและคนอื่นๆ รวมหกคนต่างก็แปรเป็นลำแสงทะยานออกไปจากโถงตำหนัก จากนั้นก็หายวับไป ก่อนจะทะลุอากาศไปพบจักรพรรดิวายุทิพย์ผู้นั้นทันที

……

กองกำลังของพวกจักรพรรดิวายุทิพย์และตงป๋อเสวี่ยอิงจับกุมตัวผู้อาวุโสยี่สิบสองคนเอาไว้ แต่ละคนต่างก็เผยรอยยิ้มออกมา นับว่าแผนการในครั้งนี้สำเร็จไปกว่าครึ่งแล้ว!

“ขอแค่ราชันย์เหยี่ยนฉลาดสักหน่อย ครั้งนี้พวกเราก็จะสามารถสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ได้ ต่อให้มันโง่เง่าจริงๆ มัวแต่สกัดกั้นต่อไปจนต้องสูญเสียผู้อาวุโสยี่สิบสองคน นอกจากนี้ยังเป็นผู้อาวุโสที่มีกายหยาบแข็งแกร่งอย่างยิ่งอีกด้วย เมื่อเผชิญหน้ากับกระบวนท่าทางด้านวิญญาณของพี่หิมะเหิน เกรงว่าผู้อาวุโสที่หลงเหลืออยู่เหล่านั้นก็คงจะยิ่งน่าอนาถเข้าไปใหญ่ จะมีก็แต่ผู้อาวุโสแห่งสถานที่ต้องห้ามห้าท่านเท่านั้นที่ออกจะรับมือได้ยากอยู่บ้าง ต่อให้พวกเราบุกไปซึ่งๆ หน้าจริงๆ ก็มีโอกาสมากที่จะคว้าชัย” จักรพรรดิวายุทิพย์มีรอยยิ้มระบายเต็มหน้า เขารอคอยวันนี้มานานแสนนานแล้ว

ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มอยู่ข้างๆ แต่กลับสงบมาก

เขามาก็เพื่อการแลกเปลี่ยนครั้งหนึ่งเท่านั้น สิ่งที่เขาใส่ใจก็คือการบำเพ็ญภายใน ‘เจดีย์เจ็ดระฆัง’ ต่างหาก เผื่อจะได้บรรลุถึงขั้นสุดยอดในคราวเดียว!

ส่วนการจัดการเผ่ามรณะทมิฬน่ะหรือ

ว่ากันตามตรงแล้ว ยอดเคารพทั้งสามของเผ่ามรณะทมิฬ แต่ละคนล้วนเป็นมารร้ายตัวฉกาจที่ชั่วร้ายอย่างยิ่ง ในบรรดาสิบสามราชันย์ นอกจากคนหนึ่งที่ค่อนข้างเก็บตัว มีความเคลื่อนไหวน้อยมากแล้ว อีกสิบสองคนที่เหลือ คนใดบ้างที่มิได้เข่นฆ่าจำนวนนับไม่ถ้วน และกลืนกินชนพื้นเมืองจำนวนนับไม่ถ้วน

“รู้สึกว่าเผ่ามรณะทมิฬนี้คล้ายคลึงกับฝูงมารผลาญทำลายมาก ตรงที่เกิดมาก็รู้จักแต่การกลืนกินและเข่นฆ่า ข้อแตกต่างเพียงข้อเดียวก็คือ ฝูงมารผลาญทำลายถือกำเนิดขึ้นมาจากกฎเกณฑ์อันสูงส่ง แฝงไว้ด้วยบัญชาที่ให้ทำลายล้างยุคหนึ่งๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ “ส่วนเผ่ามรณะทมิฬ ชาวเผ่ามรณะทมิฬเก้าจุดเก้าส่วนที่มีสติปัญญาค่อนข้างต่ำเหล่านั้นยังดีกว่าอยู่บ้าง พวกเขาจะไม่จากเกาะลอยคว้างไป ส่วนเผ่ามรณะทมิฬระดับยอด…มีปัญญาสูงส่งมากทีเดียว ความใฝ่ฝันก็สูงยิ่งนัก ไม่จากเกาะลอยคว้างไปก็แล้วไปเถิด แต่หากจากไปก็จะเป็นการกลืนกินตามอำเภอใจแล้ว”

เมื่อเทียบกันแล้ว เผ่าชนพื้นเมืองยังปกติกว่า มีหญิงชายให้กำเนิดลูกหลานสืบสกุล และมีความรู้สึกอยู่บ้าง ถือว่าคล้ายคลึงกับผู้บำเพ็ญมาก

ส่วนเผ่ามรณะทมิฬนั้น ถือกำเนิดขึ้นมาในเกาะลอยคว้างตามธรรมชาติอย่างแท้จริง

“มาแล้ว”

“พวกเขามาแล้ว”

จักรพรรดิวายุทิพย์ ตงป๋อเสวี่ยอิงและแม่ทัพเทพทั้งห้า แต่ละคนต่างก็มองไปเบื้องหน้า

เบื้องหน้ามีเงาร่างหกสายปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่า

เงาร่างซึ่งเป็นหัวหน้านั้นผอมแห้ง บนร่างเต็มไปด้วยเกล็ด เมื่อปีกหุ้มเกล็ดของมันสยายออกเต็มที่ ปีกคู่นี้ก็ใหญ่เสียจนน่าตกใจ ใหญ่โตกว่าผู้อาวุโสแห่งสถานที่ต้องห้ามทั้งห้าข้างกายมันมากมายยิ่งนัก แต่ร่างกายของมันกลับดูเหมือนเป็นเพียงหนึ่งในพันของปีกเท่านั้น

ราชันย์เหยี่ยนสยายปีกออกมา นัยน์ตาสีเงินคู่หนึ่งมองปราดผ่านจักรพรรดิวายุทิพย์ไป จากนั้นสายตาก็หยุดลงที่ร่างของตงป๋อเสวี่ยอิง

“ท่านผู้นี้คือจ้าวหิมะเหินหรือ” หลังจากราชันย์เหยี่ยนปรากฏกายแล้ว ประโยคแรกที่เอ่ยออกมาก็คือเรียกหาจ้าวหิมะเหิน

“เจ้าเคยได้ยินชื่อของพี่หิมะเหินมาก่อนด้วยหรือ” จักรพรรดิวายุทิพย์ออกจะตกตะลึงอยู่บ้าง ขณะเดียวกันก็ลอบดีใจ เคราะห์ดีที่ให้ตงป๋อเสวี่ยอิงเก็บซ่อนกลิ่นอายและแปลงโฉมเสียก่อน

ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นเข้าก็มิได้ปลอมแปลงอีกต่อไป กลิ่นอายปกติกลับคืนมา และกลับคืนสู่รูปลักษณ์หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวแห่งดินแดนจิตโลกาดังเดิม ขณะเดียวกันก็พูดยิ้มๆ ว่า “ว่ากันว่าการเผยแพร่ข่าวสารภายในเผ่ามรณะทมิฬเชื่องช้ายิ่งนัก คิดไม่ถึงว่าราชันย์เหยี่ยนจะรู้ชื่อข้าได้รวดเร็วถึงเพียงนี้”

“เป็นผู้อาวุโสใต้บังคับบัญชาของข้าคนหนึ่งที่รู้จักชื่อเสียงของจ้าวหิมะเหิน” ราชันย์เหยี่ยนคร้านจะสนใจจักรพรรดิวายุทิพย์ หากแต่มองดูตงป๋อเสวี่ยอิงต่อไปแล้วเอ่ยว่า “มันยังคิดว่าเรื่องเล่าเกี่ยวกับจ้าวหิมะเหินเป็นเพียงข่าวลือเท่านั้น เมื่อเห็นอานุภาพที่จ้าวหิมะเหินสำแดงออกมาในครั้งนี้ จึงรู้ว่าทั้งหมดเป็นเรื่องจริง! เมื่ออยู่ต่อหน้าจ้าวหิมะเหิน ครั้งนี้ข้าจะพ่ายแพ้ก็ไม่ละอายอะไรนัก”

“ยอมรับว่าแพ้แล้วรึ” จักรพรรดิวายุทิพย์หัวเราะเบาๆ

“วายุทิพย์ ก่อนหน้านี้เจ้าพ่ายแพ้มาตั้งไม่รู้กี่ครั้งแล้ว ครั้งนี้ข้ามิได้แพ้เจ้า แต่แพ้จ้าวหิมะเหินต่างหากเล่า” ราชันย์เหยี่ยนกล่าว “นี่เป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ของดินแดนจิตโลกาและหุบเขาเขี้ยวหักที่สามารถทำให้ระดับจักรพรรดิจมดิ่งลงไปได้! จะพ่ายแพ้ให้แก่ผู้แกร่งกล้าเช่นนี้ ก็ถือเป็นเรื่องปกตินัก”

ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกตกใจนัก

เขาเผชิญกับเผ่ามรณะทมิฬมาหลายคนแล้ว แต่กลับเป็นคนแรกที่พูดจาอย่างมีเหตุมีผลเช่นนี้!

“จ้าวหิมะเหิน เหตุใดท่านจึงต้องช่วยเหลือวายุทิพย์ผู้นี้ด้วยเล่า หากพูดถึงความมากมายของสมบัติล้ำค่า แน่นอนว่าก็ต้องเป็นเผ่ามรณะทมิฬของเราที่มีมากที่สุด พวกเราต่างหากจึงจะเป็นเผ่าพันธุ์ที่ถือกำเนิดขึ้นบนเกาะลอยคว้าง” ราชันย์เหยี่ยนกล่าว “หากท่านมาช่วยข้า ท่านต้องการสมบัติล้ำค่าอันใด ข้าก็จะช่วยให้ท่านได้มาให้ได้ ดีหรือไม่เล่า”

“โน้มน้าวข้าอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึงยิ่งขึ้นไปอีก

ด้วยนิสัยของเผ่ามรณะทมิฬ ต่อให้มีระดับสติปัญญาสูงส่ง ก็ไม่อยากจะประนีประนอม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเป็นฝ่ายโน้มน้าวเองด้วย

ราชันย์เหยี่ยนเป็นอีกจำพวกหนึ่งจริงๆ

แต่เมื่อดูจากรายงาน ก็เป็นเช่นนี้จริงๆ! ในบรรดาสิบสามราชันย์ ราชันย์เหยี่ยนก็เป็นอีกจำพวกหนึ่งจริงๆ มันตั้งใจมากที่จะทำให้ราชันย์เผ่ามรณะทมิฬแต่ละคนอุทิศกำลังเพื่อมัน และกลายเป็นผู้อาวุโสใต้บังคับบัญชาของมัน! แน่นอนว่า ‘สายเลือด’ ของตัวมันเองมีส่วนช่วยผู้อาวุโสเหล่านี้เป็นอย่างมากก็เป็นเเหตุผลข้อหนึ่ง แต่อีกด้านหนึ่ง ตัวมันเองก็สามารถใช้ข้อได้เปรียบเหล่านี้ได้เช่นเดียวกัน

ดังนั้น เขาจึงกลายเป็นผู้ที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาสิบสามราชันย์

“สิ่งที่พี่หิมะเหินมี เจ้าไม่มีเสียหน่อย” จักรพรรดิวายุทิพย์สีหน้าเปลี่ยนแปรไปเล็กน้อย เขากลัวตงป๋อเสวี่ยอิงจะรับปาก

“ผู้บำเพ็ญต้องการอะไรน่ะหรือ” ราชันย์เหยี่ยนมองดูตงป๋อเสวี่ยอิง “ได้ยินมาว่าผู้บำเพ็ญอย่างพวกท่านให้ความสนใจกับสมบัติลับอันสูงส่งเป็นที่สุด ทั้งยังมีการบำเพ็ญระดับขั้นอีกด้วย ฮ่าฮ่า จะว่าไปก็บังเอิญสหายรักผู้หนึ่งของข้ามีสมบัติลับอันสูงส่งอยู่ชิ้นหนึ่งพอดี! ข้าถึงขั้นสามารถคิดหาวิธีช่วยท่านหาสมบัติลับอันสูงส่งอีกสักชิ้นสองชิ้นได้ สิ่งเหล่านี้ล้วนสามารถมอบให้ท่านได้ทั้งสิ้น! ส่วนการบำเพ็ญระดับขั้นนั้นไม่สนใจวัตถุช่วยเหลือภายนอกอะไรเลย จึงคุยกันง่ายหน่อย”

จักรพรรดิวายุทิพย์หน้าถอดสีไปแล้วจริงๆ

“มาช่วยข้า เป็นอย่างไรเล่า ท่านเป็นผู้บำเพ็ญ ทั้งยังมิใช่คนของเผ่าชนพื้นเมือง ท่านช่วยจักรพรรดิวายุทิพย์ก็เป็นการช่วยเหลือ ท่านมาช่วยข้า ก็เป็นการช่วยเหลือเช่นกัน” ราชันย์เหยี่ยนสยายปีกขนาดมหึมาออกมา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร เขาให้ความสำคัญกับจ้าวหิมะเหินผู้นี้ชนิดที่ไม่เคยมีมาก่อน

“ทำให้ราชันย์เหยี่ยนผิดหวังแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปากพูด

ราชันย์เหยี่ยนสีหน้าเปลี่ยนแปรไปในทันใด สายตาก็เยียบเย็นขึ้นเป็นอันมาก

…………………………………

ราชันย์เหยี่ยนขยับเปลือกตาครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา นัยน์ตาสีเงินคู่หนึ่งมองดูยักษ์มีเกล็ดในตำหนักผู้นั้น “วายุทิพย์มาหรือ”

“ถูกต้องขอรับ เขาพาลูกมือมาด้วยหกคน ข้าปรากฏกายตะเพิดพวกเขาให้ออกไป แต่จักรพรรดิวายุทิพย์ผู้นี้ยังลงมืออีก” ยักษ์มีเกล็ดบ่นอุบ บาดแผลเล็กน้อยที่ถูกแผดเผาย่อมหายดีตั้งนานแล้ว

ราชันย์เหยี่ยนควบคุมเกาะลอยคว้างแห่งนี้ได้ในระดับที่สูงอย่างยิ่งแล้ว อาศัยกลิ่นอายดำมืดที่ปกคลุมไปทั่วทุกหนแห่งในเกาะลอยคว้าง ราชันย์เหยี่ยนสัมผัสดูเล็กน้อย ก็สัมผัสได้ว่ามี ‘ลม’ ระลอกหนึ่งกำลังทะยานเข้ามาด้วยความเร็วสูง ลมระลอกนี้ ดูเหมือนจะนุ่มนวลไร้สุ้มเสียง แต่ภายในกลับแฝงไว้ด้วยความเหิมเกริม

“เฮอะ” ราชันย์เหยี่ยนกวัดแกว่งกรงเล็บเบาๆ

ภาพกลางอากาศบิดเบี้ยวไป เผยให้เห็นภาพ ณ บริเวณหนึ่งของเกาะ

ลมกลุ่มหนึ่งกำลังทะยานไปอย่างรวดเร็ว

ภายในลมกลุ่มนี้ ก็คือจักรพรรดิวายุทิพย์ ตงป๋อเสวี่ยอิงและแม่ทัพเทพทั้งห้า ยามนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงปลอมแปลงกลิ่นอายจนเท่ากันกับแม่ทัพเทพทั้งห้ารอบกาย

“มาอีกแล้ว! ไม่ยอมตัดใจเลยจริงๆ” หว่างคิ้วของราชันย์เหยี่ยนฉายแววโหดเหี้ยยมออกมา มันหยิ่งผยองอย่างยิ่งแม้พลังของตนจะอยู่ในระดับกลางๆ ของสิบสามราชันย์ แต่อาศัยยอดฝีมือใต้บังคับบัญชากลุ่มใหญ่ มันกลับดูแคลนอีกสิบสองราชันย์ที่เหลืออยู่บ้าง! สถานะของมันในเผ่ามรณะทมิฬออกจะคล้ายกับจักรพรรดิเป่ยเหออยู่บ้าง จักรพรรดิเป่ยเหอก็มีแม่ทัพเทพใต้บังคับบัญชาถึงสามสิบหกคนด้วยกัน! ทว่าพลังของจักรพรรดิเป่ยเหอเองนั้นใกล้เคียงกับยอดเคารพที่สุดแล้ว

“ฆ่าก็ฆ่าไม่ตาย ยังจะมาดิ้นทุรนทุรายอีก” ราชันย์เหยี่ยนโมโหเป็นอย่างมาก

“มานี่ให้หมด!”

ราชันย์เหยี่ยนเอ่ยปสากตะคอก

เมื่อเสียงแพร่ออกไป ก็ดังก้องขึ้นข้างหูผู้อาวุโสแต่ละจุดในเกาะลอยคว้าง

สวบๆๆๆๆๆ…

เหล่าผู้อาวุโสคนแล้วคนเล่าได้ยินคำสั่งของพวกบรรพชนเหยี่ยน แต่ละคนก็เร่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ต่อให้เป็นผู้อาวุโสที่อยู่ในห้วงนิทราก็ยังต้องตื่นแล้วรีบตรงมาทันที

รออยู่พักใหญ่! เพราะถึงอย่างไรผู้อาวุโสที่เพิ่งตื่นเหล่านั้นก็ออกจะเชื่องช้าอยู่บ้าง

“อื้ม” ราชันย์เหยี่ยนเหลือบมองลงไปเบื้องล่าง “มากันครบแล้ว พวกเจ้าก็เห็นแล้วว่าจักรพรรดิวายุทิพย์มายังเกาะลอยคว้างของพวกเราอีกแล้ว!”

ด้านล่างมีผู้อาวุโสถึงห้าสิบห้าคนรวมตัวกันอยู่ ซึ่งนี่ก็คือผู้อาวุโสใต้บังคับบัญชาทั้งหมดของราชันย์เหยี่ยนแล้ว มีเพียงผู้แกร่งกล้าเผ่ามรณะทมิฬจำนวนน้อยนิดเท่านั้นที่ไปเคลื่อนไหวอยู่ภายนอก โดยทั่วไปก็ฝึกฝน นอนหลบและกิน! ต่อให้ออกไปเคลื่อนไหว โดยทั่วไปก็เพื่อ ‘กิน’ เพื่อช่วงชิงทรัพยากร! และในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชาของราชันย์เหยี่ยน หากไม่ได้รับอนุญาตจากราชันย์เหยี่ยน พวกมันก็ไม่มีสิทธิ์ออกนอกเกาะ

ยามนี้ พวกมันก็มองเห็นภาพที่ปรากฏขึ้นกลางอากาศด้านข้างแล้ว ภายในลมกลุ่มนั้น มีพวกจักรพรรดิวายุทิพย์ทั้งเจ็ดคนอยู่

“จักรพรรดิวายุทิพย์ผู้นี้ช่างไม่รักษาหน้าเลยจริงๆ ครั้งก่อนหนีไปอย่างเสียหน้าถึงเพียงนั้น ครั้งนี้ยังมาอีก”

“ถูกโจมตีไปตั้งกี่ครั้งแล้ว”

“เพียงแต่สายเลือด ‘วายุทิพย์’ ของเขารักษาชีวิตได้ร้ายกาจนัก ตอนนั้นพวกเราเชิญให้ราชันย์อี้ช่วยเหลือ บรรพชนเหยี่ยนและราชันย์อี้ร่วมมือกัน ทั้งยังมีพวกเราผู้อาวุโสทั้งกลุ่มล้อมโจมตี ก็มิอาจสังหารเขาได้”

ผู้อาวุโสเหล่านี้โมโหเป็นอย่างมาก

“หากปล่อยให้วายุทิพย์บุกมาถึงวังของข้าได้ ก็จะยุ่งยากบ้างแล้ว” ราชันย์เหยี่ยนนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น พลางกำชับว่า “ผู้อาวุโสฉี ใช้แผนเดิม เจ้านำผู้อาวุโสยี่สิบคนไปสกัดวายุทิพย์เอาไว้ ออกเดินทางเดี๋ยวนี้!”

“ขอรับ” ชายชราผิวสีดำร่างสูงผอมซึ่งมีรอยเหี่ยวย่นเต็มหน้าเอ่ยปาก ผู้อาวุโสฉีผู้นี้กวาดตามองปราดหนึ่ง “พวกเราออกเดินทางกันเถิด”

“ไป”

“ดูสิว่าครั้งนี้เจ้าจักรพรรดิวายุทิพย์นี่จะมาไม้ไหนอีก”

ผู้อาวุโสทั้งยี่สิบสองคนนี้มีทั้งรูปร่างเป็นมนุษย์และรูปร่างเป็นสัตว์ มีทั้งร่างสูงตระหง่านและร่างเตี้ยเล็ก ทว่าแต่ละคนมีกลิ่นอายแข็งแกร่งเกรียงไกรนัก พวกมันเป็นผู้ที่มีกายหยาบแข็งแกร่งอย่างยิ่งในบรรดาผู้อาวุโสใต้บังคับบัญชาของราชันย์เหยี่ยน เนื่องจากกายหยาบแข็งแกร่งอย่างยิ่ง เมื่อเผชิญอันตรายจึงสามารถต้านทานได้ดีกว่า!

เมื่อต้องรับมือจักรพรรดิวายุทิพย์ พวกมันก็มีตัวอย่างอยู่ก่อนแล้ว

ส่งผู้อาวุโสที่มีกายหยาบอันแข็งแกร่งทั้งยี่สิบสองคนคนบุกออกไปก่อน ผู้อาวุโสแต่ละคนล้วนมีพลังระดับแม่ทัพเทพ เมื่อร่วมมือกันมากถึงเพียงนี้ ต่อให้เผชิญหน้ากับ ‘ยอดเคารพ’ ก็สามารถต้านทานได้ระยะหนึ่งแล้ว เมื่อเผชิญหน้ากับจักรพรรดิเทพวายุทิพย์และผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา ก็เพียงพอจะพันธนาการได้แล้ว สามารถอาศัยสิ่งนี้ตรวจสอบจักรพรรดิวายุทิพย์ให้รู้ดำรู้แดงกันไปได้! จักรพรรดิวายุทิพย์กล้ามาทดลอง โดยทั่วไปก็ต้องมีหลักประกันบางอย่าง

“เฮอะๆๆ” ราชันย์เหยี่ยนนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงหินหยกใส พลางมองดูภาพกลางอากาศ นัยน์ตาสีเงินยวงเยียบเย็นนัก

******

ครั้งนี้พวกจักรพรรดิวายุทิพย์และตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งเจ็ดคนทะยานไปด้วยความเร็วสูงอยู่ครู่หนึ่ง ศัตรูก็ปรากฏกายขึ้น

“โครมมมม…”

ผู้อาวุโสยี่สิบสองคนเคลื่อนที่ในพริบตามาปรากฏกายขึ้นพร้อมกัน ฟ้าดินรอบด้านพลันสับสนวุ่นวายขึ้นมา

“จักรพรรดิวายุทิพย์ เจ้ายังกล้ามาอีกรึ!”

“ครั้งนี้เจ้าจะมาไม้ไหนอีก”

“ครั้งก่อนเตะก้นเจ้าไปเต็มแรง ครั้งนี้ยังอยากถูกถีบอีกรึ”

“ฮ่าฮ่าฮ่า รับขวานข้าเสีย!”

“ครั้งก่อนกินแม่ทัพเทพลงไปตั้งครึ่งตัว ช่างสุขสราญนัก ตอนนั้นเจ้าทำอะไรช้าไปหน่อย แม่ทัพเทพใต้บังคับบัญชาของเจ้าจึงถูกพวกเรากินเสียแล้ว”

ผู้อาวุโสเผ่ามรณะทมิฬเหล่านี้พากันลงมือ เนื่องจากแต่ละคนเชี่ยวชาญกระบวนท่าที่แตกต่างกัน เมื่อปะทุออกมาพร้อมกัน จึงทำให้ฟ้าดินรอบด้านสับสนไปหมด ราวกับข้าวต้มที่กำลังเดือดพล่าน กระบวนท่าต่างๆ กลับลอบโจมตีไปยังคนทั้งหกรอบกายจักรพรรดิวายุทิพย์จนหมด! ใช่แล้ว ปากกำลังก่นด่าจักรพรรดิวายุทิพย์ แต่การโจมตีกลับหลบเลี่ยงจักรพรรดิวายุทิพย์ไปจนสิ้น

เนื่องจากพวกมันรู้ว่าหากโจมตีจักรพรรดิวายุทิพย์ก็เสียแรงเปล่า! การสังหารแม่ทัพเทพใต้บังคับบัญชาของจักรพรรดิวายุทิพย์สักคนหนึ่ง จึงทำให้จักรพรรดิวายุทิพย์เจ็บปวดใจได้จริงๆ

“เฮอะ”

จักรพรรดิวายุทิพย์กลับเป็นฝ่ายลงมือเสียเอง

มือซ้ายของเขาป้องไปข้างหน้าเล็กน้อย ทันใดนั้น ฟ้าดินที่กลายเป็นข้าวต้มที่กำลังเดือดพล่านตรงหน้ากลับมีกระแสอากาศจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น กระแสอากาศโหมซัดแล้วแผ่กำจายออกไปเป็นหย่อมๆ แล้วปกคลุมผู้อาวุโสเผ่ามรณะทมิฬเหล่านั้นเอาไว้ ผู้อาวุโสแต่ละคนล้วนถูกกระแสอากาศจำนวนมากพันธนาการเอาไว้ ทำให้พลังของพวกมันแต่ละคนได้รับผลกระทบ

หากวิเคราะห์โดยละเอียด จะเห็นว่าอันที่จริงแล้วกระแสอากาศแต่ละหย่อมก่อตัวขึ้นจากเส้นสายนับล้านๆ เส้นที่พันพาดกันไปมา หากเส้นสายเหล่านี้เผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรู ก็สามารถเชือดเฉือนร่างกายได้อย่างง่ายดาย

แต่กระบวนท่าทางด้านบริเวณระดับนี้ กลับเพียงแค่ทำให้ผู้อาวุโสเหล่านี้ถูกพันมัดเล็กน้อยและพลังลดลงหนึ่งหรือสองส่วนเท่านั้น ผู้อาวุโสเหล่านี้ยังคงบุกเข้ามาโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น แม่ทัพเทพใต้บังคับบัญชาของจักรพรรดิวายุทิพย์ทั้งห้าลงมือพร้อมกัน ตัวจักรพรรดิวายุทิพย์เองก็ดึงดาบที่เหน็บไว้ตรงหว่างเอวออกมาทันที ประกายดาบกลายเป็นสายลม แผ่คลุมไปทางผู้อาวุโสเหล่านั้น

“พี่หิมะเหิน ตาท่านลงมือแล้วล่ะ” จักรพรรดิวายุทิพย์มองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ด้านข้าง

“ได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มน้อยๆ เขารออยู่แล้ว

จากนั้นเขาก็มองไปทางพวกจักรพรรดิวายุทิพย์ที่กำลังห้ำหั่นกับผู้อาวุโสยี่สิบสองคนอย่างดุเดือดเลือดพล่าน

วิ้ง…

เขตลวงโลกเทียม ร่อนลงไป!

ท่าไม้ตายที่หนึ่งของวิถีเขตลวงโลกเทียม คือโลกที่ดวงจิตของแต่ละชีวิตปรารถนาเป็นที่สุด โลกใบนี้ถึงขั้นเรียกได้ว่า ‘แท้จริงไม่หลอกลวง’! เขตลวงโลกเทียมที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสร้างขึ้นมานี้ ในบางระดับก็คือความจริง! หากยอมทุ่มเทบางสิ่ง ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตใดในเขตลวงก็สามารถกลายเป็นความจริงได้ทั้งนั้น

เดิมทีผู้อาวุโสยี่สิบสองคนยังห้ำหั่นอย่างบ้าคลั่งอยู่ แต่เมื่อเขตลวงโลกเทียมอันน่าหวาดหวั่นดึงดูดและฉุดรั้งวิญญาณของพวกเขา กลับมีผู้อาวุโสที่จมดิ่งลงไปทันที

เพียงพริบตาเดียว

ก็มีผู้อาวุโสถึงเจ็ดคนที่จมดิ่งลงไป! ผู้อาวุโสสิบหกคนพอจะครองสติไว้ได้อย่างพอถูไถ ยังมีพลังเหลืออยู่หนึ่งหรือสองส่วน! ผู้ที่สามารถรักษาพลังได้สามส่วนมีเพียงสี่คนเท่านั้น แน่นอนว่าทั้งสี่คนนี้มิได้มีปณิธานที่เยี่ยมยอดกว่าแม่ทัพเทพโครงกระดูกแต่อย่างใด หากแต่เป็นเพราะโดยทั่วไปแล้วเผ่ามรณะทมิฬมีร่างกายที่แข็งแกร่ง ผู้อาวุโสกลุ่มนี้ก็ยิ่งมีกายหยาบที่แข็งแกร่งเหลือประมาณ พลังที่กายหยาบสำแดงออกมา นั้นเป็นภาระต่อพลังจิตน้อยมาก ดังนั้นจึงมีสี่คนที่สามารถรักษาพลังเอาไว้ได้สามส่วน!

อันที่จริงโดยทั่วไปแล้ว ปณิธานของผู้อาวุโสใต้บังคับบัญชาของราชันย์เหยี่ยน ออกจะด้อยกว่าแม่ทัพเทพทั้งสามสิบหกคนของจักรพรรดิเป่ยเหออยู่บ้าง

“เก็บ!” จักรพรรดิวายุทิพย์ที่เตรียมตัวไว้ก่อนแล้วเริ่มจับตัวทันที

เจ็ดคนที่จมดิ่งลงไปนั้นง่ายดายที่สุด สามารถเก็บลงไปได้เลย!

ส่วนผู้อาวุโสสิบเอ็ดคนที่มีพลังเหลืออยู่หนึ่งหรือสองส่วนนั้น เดิมทีพวกมันก็แตกต่างกับจักรพรรดิวายุทิพย์อยู่แล้ว บัดนี้ก็ยิ่งแตกต่างเข้าไปใหญ่ ภายใต้บริเวณของจักรพรรดิวายุทิพย์ และด้วยการพันธนาการของกระแสอากาศหย่อมแล้วหย่อมเล่าก็ถูกจับตัวไว้ในทันที โดยมิอาจต้านทานได้แม้แต่น้อย

เพียงพริบตาเดียว ทั้งสิบแปดคนก็ถูกจับตัวเอาไว้จนเกลี้ยง

ส่วนอีกสี่คนที่รักษาพลังได้สามส่วนนั้น จักรพรรดิวายุทิพย์ก็ได้ส่งดาบออกไปสำแดงกระบวนท่าหนึ่ง! ประกายกระบี่เข้าพันธนาการผู้อาวุโสเผ่ามรณะทมิฬคนแล้วคนเล่าราวกับถูกฝึกมา ผู้อาวุโสเผ่ามรณะทมิฬคิดจะแยกร่างหลบหนีไปก็ทำไม่ได้ จึงถูกลมอันไร้ที่สิ้นสุดแทรกซึมเข้าไปยังส่วนลึกที่สุดของร่างกาย ถูกจับไปทั้งเป็น หนึ่งดาบต่อหนึ่งคน!

……

ราชันย์เหยี่ยนนั่งอยู่บนเตียงหินหยกใส นัยน์ตาสีเงินยวงมองดูภาพที่ปรากฏกลางอากาศ

ผู้อาวุโสอีกสามสิบกว่าคนก็กำลังดูอยู่เช่นกัน พวกมันอยากจะดูว่าครั้งนี้จักรพรรดิวายุทิพย์มีลูกไม้อันใด ต้องดูให้รู้แน่ชัด จึงสามารถตัดสินใจวางแผนรับมือขั้นต่อไปได้ดีขึ้น

“อะไรกัน” ใบหน้าซึ่งเดิมทีสงบนิ่งของราชันย์เหยี่ยนพลันกลายเป็นตื่นตระหนกไปในทันใด เขาไม่อยากจะเชื่อทุกสิ่งที่ปรากฏในภาพตรงหน้า

ผู้อาวุโสสิบแปดคน ถูกจับตัวไปในพริบตาเดียว

ที่เหลืออีกสี่คนก็ถูกจับไปทั้งเป็น หนึ่งดาบต่อหนึ่งคน! จักรพรรดิวายุทิพย์ออกดาบได้รวดเร็วเกินไปแล้ว ราชันย์เหยี่ยนมิทันได้ตอบโต้ ผู้อาวุโสที่ส่งออกไปในคราวนี้ก็ถูกจับทั้งเป็นไปหมดเสียแล้ว

“ทำไม ทำไม…” ราชันย์เหยี่ยนใจสะท้าน แต่ไหนแต่ไรมามันไม่เคยพบเจอสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน ต่อให้เผชิญหน้ากับ ‘ยอดเคารพ’ มันก็ไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้

“บรรพชนเหยี่ยน ข้ารู้ ข้ารู้ หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวผู้นั้นจะต้องเป็นจ้าวหิมะเหินในตำนานอย่างแน่นอน! จะต้องเป็นเขา เป็นเขาแน่ จ้าวหิมะเหิน!” ในบรรดาผู้อาวุโสใต้บังคับบัญชาสามสิบกว่าคน มีผู้อาวุโสที่มีร่างกายเป็นสัตว์ หัวเป็นมนุษย์ผู้หนึ่ง เขากรีดร้องเสียงแหลมออกมาด้วยความตื่นตระหนก

โถงตำหนักซึ่งเดิมทีเงียบเชียบ

มีเพียงเสียงกรีดร้องของผู้อาวุโสผู้นี้เท่านั้น ‘จะต้องเป็นเขา เป็นเขาแน่ จ้าวหิมะเหิน’ เสียงสะท้อนก้องไปทั่วทั้งโถงตำหนัก

ราชันย์เหยี่ยนหันขวับไปทางผู้อาวุโสผู้นี้ทันทีแล้วตวาดว่า “รีบพูดมาเร็วเข้า ผู้ใดคือจ้าวหิมะเหิน เหตุใดข้าจึงไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย”

………………………………………….

ตงป๋อเสวี่ยอิงรับปากอย่างสุขใจ จักรพรรดิวายุทิพย์ก็ยินดีจนล้นใจ แล้วเริ่มอธิบายแผนการของเขาโดยละเอียด

“เข้าใจแล้ว”

“ข้าเข้าใจแล้ว จักรพรรดิวางใจได้เต็มที่” ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังไปพลางพยักหน้าไปพลาง

จักรพรรดิวายุทิพย์เล่าแผนการให้ฟังรอบหนึ่ง จากนั้นก็กำชับว่า “สุดท้ายพี่หิมะเหินก็เก็บงำกลิ่นอายและแปลงโฉมเสียจะดีที่สุด ชื่อเสียงของท่านแพร่ไปในหมู่ผู้แกร่งกล้าที่แท้จริงของเผ่าชนพื้นเมืองแล้ว แม้ภายในเผ่ามรณะทมิฬจะมีการส่งสารภายในที่เชื่องช้ามาก แต่ถึงอย่างไรราชันย์เหยี่ยนก็เป็นหนึ่งในสิบสามราชันย์ ทั้งยังเป็นผู้ที่มีลูกมือมากที่สุดในบรรดาสิบสามราชันย์ด้วย เมื่อเทียบกันแล้ว ข่าวสารของเขาก็น่าจะค่อนข้างฉับไว อาจจะเคยได้ยินเรื่องของท่านมาบ้าง หากเขาจำท่านได้ในทันทีและเตรียมพร้อมแล้ว เช่นนั้นก็จะยุ่งยากแล้ว!”

“ได้ เขาจะต้องจำข้ามิได้แน่นอน” ตงป๋อเสวี่ยอิงมั่นใจในตนเองเต็มเปี่ยม นับตั้งแต่คิดค้นท่าไม้ตายที่หนึ่งของเขตลวงโลกเทียมขึ้นมาได้ วิธีการปลอมแปลงกลิ่นอายของเขาก็ยิ่งสูงส่งลึกล้ำมากขึ้น ถึงขั้นที่ตนเป็นส่วนหนึ่งของเขตลวง วิธีการแปลงกายของเขา ก็เรียกได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งในดินแดนจิตโลกาเชนกัน

“ข้าเตรียมตัวไว้เล็กน้อยแล้ว พรุ่งนี้ก็สามารถออกเดินทางได้! ดีหรือไม่” นัยน์ตาทั้งสองของจักรพรรดิวายุทิพย์เป็นประกาย

“ข้าสามารถเคลื่อนไหวได้ตลอดเวลา” ตงป๋อเสวี่ยอิงโพล่งออกมา

……

วันต่อมา

จักรพรรดิวายุทิพย์ก็พาแม่ทัพเทพทั้งห้าและตงป๋อเสวี่ยอิงออกเดินทางมุ่งหน้าไปยัง ‘เกาะราชันย์เหยี่ยน’ แม่ทัพเทพใต้บังคับบัญชาของจักรพรรดิวายุทิพย์มีน้อยเกินไปแล้ว ทั้งหมดเพียงแปดคนเท่านั้น! แม่ทัพเทพห้าคนที่เลือกมา นับได้ว่าเป็นผู้ที่มีพลังรบร้ายกาจที่สุดในจำนวนนั้นแล้ว จักรพรรดิเทพวายุทิพย์ก็ใช้ผลประโยชน์บางอย่างหรือไม่ก็ใช้บุญคุณมาล่อลวง ทำให้แม่ทัพเทพที่แข็งแกร่งบางคนยินยอมอุทิศตนเพื่อเขาได้

“เกาะราชันย์เหยี่ยน ถึงแล้ว”

หลังจากเคลื่อนที่ในพริบตา

จักรพรรดิวายุทิพย์ ตงป๋อเสวี่ยอิงและคนอื่นๆ รวมเจ็ดคนก็ยืนอยู่กลางอากาศ พลางมองดูเกาะลอยคว้างขนาดมหึมาที่อยู่ไม่ไกลออกไปนัก เหนือเกาะลอยคว้างมีกลิ่นอายดำมืดอันเยียบเย็นปกคลุมอยู่ ความใหญ่โตของเกาะแห่งนี้…ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบตกใจ เนื่องจากเป็นเกาะลอยคว้างที่ใหญ่โตที่สุดเท่าที่เขาเคยพบมา!

“หลังเข้าไปในเกาะราชันย์เหยี่ยนแล้ว ทั้งหมดก็ทำตามแผน” จักรพรรดิวายุทิพย์เอ่ยปาก แล้วมองแม่ทัพเทพใต้บังคับบัญชาทั้งห้าแวบหนึ่ง “พวกเราจะล้มเหลวไม่ได้ หากล้มเหลวครั้งหนึ่งแล้วเปิดเผยตัวตนของจ้าวหิมะเหินออกมา ทำให้ราชันย์เหยี่ยนระวังตัวขึ้นมา ครั้งหน้าต่อให้เชิญจ้าวหิมะเหินมาช่วยอีก ก็เกรงว่าคงยากที่จะทำสำเร็จได้แล้ว”

“องค์จักรพรรดิโปรดวางใจ”

“ทุกอย่างฟังบัญชาจากองค์จักรพรรดิ” ที่ผ่านมา แม่ทัพเทพทั้งห้าต่างก็ไม่เป็นโล้เป็นพายนัก แต่ยามนี้พวกเขาต่างก็เข้าใจถึงความสำคัญ ‘สมบัติล้ำค่า’ ที่จักรพรรดิวายุทิพย์ตั้งตารอคอยมานานแสนนาน เนื่องจากความรุ่งโรจน์ของจ้าวหิมะเหิน ครั้งนี้เขามีหวังจะได้มามากที่สุดแล้ว! หากล้มเหลว จักรพรรดิวายุทิพย์จะต้องโกรธจนแทบคลั่งอย่างแน่นอน

จักรพรรดิวายุทิพย์มองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง “อีกประเดี๋ยวก็ต้องพึ่งพี่หิมะเหินแล้ว”

“การต่อสู้หลักๆ ก็ยังขึ้นอยู่กับจักรพรรดิและแม่ทัพเทพทุกท่านอยู่ดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ

“หากไม่มีจ้าวหิมะเหิน พวกเรามาก็ต้องถูกผลักไสออกไป”

“มีจ้าวหิมะเหินอยู่ พวกเราถึงมั่นใจ”

แม่ทัพเทพทั้งห้าผลัดกันเอ่ยปากเมื่ออยู่ต่อหน้าจ้าวหิมะเหินผู้นี้ พวกเขาก็ไม่มีความหยิ่งผยองเลยแม้แต่น้อย ผู้ที่สามารถอาศัย ‘เส้นทางวิญญาณ’ มาจนถึงดินแดนจิตโลกาและหุบเขาเขี้ยวหักได้ ก็ย่อมต้องเป็นผู้แกร่งกล้าระดับยอดสุดอย่างไร้ข้อกังขา อย่าว่าแต่พวกเขาเลย ต่อให้เป็นห้ายอดเคารพก็ยังต้องเหลียวแล! เพราะเมื่อเทียบกับวิธีการต่างๆ เช่นทางด้านกายหยาบแล้ว วิญญาณต่างหากจึงจะเป็นแก่นหลักของชีวิตอย่างแท้จริง!

“เคลื่อนไหว” จักรพรรดิวายุทิพย์พูดเสียงเบา

สวบๆๆๆๆๆๆ!!!!!

พวกเขาทั้งเจ็ดถลาลงไปเบื้องล่างแล้วตรงเข้าสู่เกาะราชันย์เหยี่ยน และได้สัมผัสกับกลิ่นอายดำมืดอันเยียบเย็นเหนือเกาะราชันย์เหยี่ยน เมื่อร่างกายสัมผัสเข้าไป ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ถึงกับบ่นอุบออกมาอย่างมิอาจควบคุมได้ นั่นเป็นความรู้สึกหนาวยะเยือกที่แทรกซึมเข้าไปทั่วทุกอณูของร่างกาย กายหยาบของเขาแข็งแกร่งพอแล้ว แต่ก็ยังคงรู้สึกว่าไม่ค่อยสบายนัก

“ไม่เสียทีที่เป็นเกาะราชันย์เหยี่ยน คงจะจัดอยู่ในสิบอันดับแรกของทั้งหุบเขาเขี้ยวหักได้กระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบคิด “เกาะระดับนี้มีโอกาสและผลประโยชน์แฝงเอาไว้มากมายยิ่งนัก แต่อันตรายก็ใหญ่หลวงมากเช่นกัน ในประวัติศาสตร์ของดินแดนจิตโลกา ไม่เคยมีผู้ใดสามารถแทรกซึมเข้าไปได้อย่างแท้จริง”

ในบรรดาสิบสามราชันย์ หากพูดถึงพลังแล้ว นับได้ว่าราชันย์เหยี่ยนเป็นระดับกลางๆ แต่หากพูดถึงขุมอำนาจกลับเป็นที่หนึ่ง! ผู้แกร่งกล้าใต้บังคับบัญชามีมากที่สุด! อาศัยยอดฝีมือใต้บังคับบัญชากลุ่มใหญ่ เกาะลอยคว้างที่ครอบครองแห่งหนึ่งก็มีสมบัติล้ำค่ามากมายยิ่งนัก ขณะเดียวกันก็มีการเตรียมการที่แน่นหนาอย่างยิ่ง เมื่อเข้าไป ไม่นานนักก็จะถูกจับได้ ด้วยพลังของผู้บำเพ็ญดินแดนจิตโลกา แม้แต่การป้องกันชั้นนอกสุด พวกจักรพรรดิเซี่ยก็ยังมิอาจทำลายได้

เมื่อทะลุผ่านกลิ่นอายดำมืดที่ราวกับหมอกพิศวง อากาศก็เปลี่ยนแปลงไป แล้วตัวพวกเขาก็ร่อนลงบนเกาะ

พืชพรรณบนเกาะราชันย์เหยี่ยนเป็นสีดำทั้งหมด ดูบิดเบี้ยวและแปลกประหลาดนัก!

“มุ่งหน้าไป”

จักรพรรดิวายุทิพย์ปลดปล่อยระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างออกมาปกคลุมพวกตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งหกคนเอาไว้โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ก่อนจะแปรเป็นลมอันไร้รูปร่าง ทะยานไปเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว

รวดเร็วเกินไปแล้ว! ความเร็วระดับจอมกระบี่นั้น มิอาจเทียบกับจักรพรรดิวายุทิพย์ได้เลย!

“ความเร็วนี่ช่าง…” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบอ้าปากค้าง ไม่เสียทีที่เป็นจักรพรรดิวายุทิพย์ ความเร็วของเขานับได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งหรือสองในบรรดาจักรพรรดิทั้งแปดแห่งเผ่าชนพื้นเมืองเลยทีเดียว ทว่าคู่ต่อสู้ในครั้งนี้อย่าง ‘ราชันย์เหยี่ยน’ ก็มีความเร็วเป็นอันดับหนึ่งหรือสองในบรรดาสิบสามราชันย์ด้วยเช่นเดียวกัน

พวกเขาทั้งเจ็ดคนถูกลมกลุ่มหนึ่งโอบล้อมเอาไว้

ลมกลุ่มนี้ คล้ายจะทะลุผ่านป่ามาโดยมิได้ถูกขัดขวางแต่อย่างใด

“มีผู้บุกรุก” การป้องกันของเกาะราชันย์เหยี่ยนแน่นหนายิ่งนัก พวกจักรพรรดิวายุทิพย์และตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งเจ็ดคนเกาะราชันย์เหยี่ยนเพิ่งจะเข้ามาได้ไม่กี่ชั่วลมหายใจ ก็ถูกทหารรักษาการณ์คนหนึ่งพบเข้าเสียแล้ว

“ผู้อาวุโส พบผู้บุกรุกขอรับ” ทหารรักษาการณ์รายงานขึ้นไป

……

พวกเขาถูกลมกลุ่มหนึ่งห่อหุ้มเอาไว้ ขณะเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงจนน่าเหลือเชื่อ รวดเร็วเสียจนตงป๋อเสวี่ยอิงแทบจะมองเห็นภาพรอบด้านได้ไม่ชัดเจนแล้ว ทำได้เพียงอาศัยบริเวณตรวจสอบรอบด้านเท่านั้น

นี่คือพลังของจักรพรรดิ! เมื่อจักรพรรดิวายุทิพย์ที่มีชื่อเสียงด้านความเร็วปะทุพลังออกมาอย่างสิ้นเชิง ระดับอ๋องก็มองได้ไม่ชัดเลยจริงๆ!

“ตู้มมม…”

ระลอกคลื่นอันน่าหวาดหวั่นร่อนลงมา กระแสลมปะทุและโหมซัด ทำให้ต้นไม้ใหญ่ต้นแล้วต้นเล่าถูกทำลายจนแหลกละเอียด ทำให้บริเวณสิบล้านลี้รอบด้านถูกลูกหลงไปด้วย

ยักษ์ร่างสูงตระหง่านที่มีเกล็ดเต็มร่างยืนอยู่ตรงนั้น กุมค้อนเล่มมหึมาเอาไว้ในมือ ต้นไม้ทั่วๆ ไปสูงเพียงระดับเข่าของเขาเท่านั้น ยักษ์มีเกล็ดตนนี้อ้าปาก เผยให้เห็นฟันคมกริบเต็มปาก มุมปากเขายกยิ้ม พลางเปล่งเสียงหัวเราะดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วฟ้าดิน เสียงหัวเราะม้วนตัวราวกับเกลียวคลื่น ทำเอาฟ้าดินรอบด้านสั่นสะท้านไปหมด “ฮ่าฮ่าฮ่า นี่มิใช่จักรพรรดิวายุทิพย์หรอกหรือ ครั้งก่อนถูกพวกเราโจมตีเสียจนต้องหนีไปอย่างน่าอนาถ ไยความจำจึงสั้นนัก มาหาเรื่องอีกแล้วหรือ ข้าขอเตือนให้เจ้ารีบถอยกลับไปเสีย มิเช่นนั้นแล้วไม่ต้องให้บรรพชนเหยี่ยนของข้าลงมือหรอก ข้าและผู้อาวุโสทั้งกลุ่มจะโจมตีให้พวกเจ้าต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปเลย ข้าจำได้ว่าครั้งก่อนก้นเจ้าถูกพี่น้องของข้าถีบเข้าไปเต็มแรงเลยนี่ ฮ่าฮ่าฮ่า…”

ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นเข้าก็ลอบตกใจ

ยักษ์มีเกล็ดตนนี้ น่าจะเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งที่ทำหน้าที่รักษาการณ์รอบนอกของเกาะราชันย์เหยี่ยน! หากพูดถึงพลังแล้ว รู้สึกว่าจะแข็งแกร่งกว่า ‘จักรพรรดิ’ ผู้นั้นที่ตนได้พบตอนมายังเกาะลอยคว้างแห่งแรกในหุบเขาเขี้ยวหักอยู่บ้าง ทว่าก็เป็นเรื่องปกตินัก เพราะถึงอย่างไรก็เป็นผู้อาวุโสใต้บังคับบัญชาของ ‘ราชันย์เหยี่ยน’ ซึ่งเป็นหนึ่งในสิบสามราชันย์

“บังอาจ!”

“โอหัง!”

ทันใดนั้นก็มีแม่ทัพเทพตะคอกอย่างโกรธเกรี้ยว!

ในบรรดาแม่ทัพเทพทั้งห้าที่จักรพรรดิวายุทิพย์พามาด้วยนั้น มีอยู่คนหนึ่งที่อ้าปากสำรอกออกมาทันที ตู้ม…

เปลวเพลิงสีดำแกมม่วงพลันถูกพ่นออกมา โหมซัดและหอบม้วนฟ้าดินเอาไว้ เมื่อต้นไม้รอบด้านปะทะถูกเปลวเพลิงนี้ก็พลันถูกแผดเผาจนกลายเป็นความว่างเปล่าไปในทันที เปลวเพลิงก็ปกคลุมผู้อาวุโสผู้นั้นเอาไว้ ยักษ์มีเกล็ดตนนั้นกวัดแกว่งค้อนมหึมาในมือด้วยความโมโหทันทีแต่เปลวเพลิงอันไร้รูปร่างได้โอบล้อมมันเอาไว้ก่อนแล้ว ก่อนจะแผดเผาเสียจนยักษ์มีเกล็ดต้องร้องคำรามออกมาด้วยความโมโห

“ให้พวกเจ้าไสหัวไป ก็ไม่ยอมไป เช่นนั้นก็คอยดูเถิด!” ยักษ์มีเกล็ดก็มิได้คิดว่า ลำพังแค่อาศัยผู้อาวุโสอย่างเขาคนหนึ่งก็ประมือกับจักรพรรดิวายุทิพย์ได้แล้ว เพียงแต่เดิมทีเขาคิดว่าจะข่มขู่ให้จักรพรรดิวายุทิพย์ผู้นี้ไสหัวไปเสีย! ในประวัติศาสตร์ แม้จักรพรรดิวายุทิพย์จะบุกมาหลายครั้ง แต่ทุกครั้งก็ต้องพ่ายแพ้จนจากไปในท้ายที่สุด

ยักษ์มีเกล็ดเคลื่อนที่ในพริบตาคราหนึ่งแล้วก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย

……

ในเผ่าชนพื้นเมือง มีกฎเกณฑ์อันเข้มงวด

แต่ภายในเผ่ามรณะทมิฬกลับหย่อนกว่ามากทีเดียว ต่อให้เป็น ‘ราชันย์เหยี่ยน’ ซึ่งมีผู้แกร่งกล้าใต้บังคับบัญชาจำนวนมากที่สุดในบรรดาสิบสามราชันย์ ผู้อาวุโสใต้บังคับบัญชาทั้งหมด ไม่ว่าคนใดก็สามารถพบเขาได้โดยตรง

วังราชันย์เหยี่ยน

เป็นวังที่เลียนแบบการก่อสร้างวังของชนพื้นเมือง ที่สร้างแนบกับเทือกเขาอันสูงตระหง่าน ดูยิ่งใหญ่นัก

“ฟิ้ว”

ยักษ์มีเกล็ดเข้าไปในวัง แล้วสาวเท้าก้าวใหญ่ ไม่นานนักก็มาถึงโถงตำหนักมหึมาอันเยียบเย็นแห่งหนึ่ง เพียงแวบเดียวก็เห็นว่าบนเตียงหินหยกใสอันเย็นเยียบดุจน้ำแข็งในตำหนัก มีราชันย์เหยี่ยนนั่งขัดสมาธิอยู่! ราชันย์เหยี่ยนตัวเล็กจนออกจะผอมแห้งอยู่บ้าง ทั้งร่างมีแผ่นเกล็ดปกคลุมเอาไว้ชั้นหนึ่ง และมีปีกที่เต็มไปด้วยเกล็ดคู่หนึ่งด้วย มันนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงหินหยกใสเช่นนั้น กรงเล็บคมกริบคู่หนึ่งพาดอยู่บนตัก เขาค้อมตัวก้มหลังลงเล็กน้อย ปีกหุ้มเกล็ดก็บดบังร่างกายกว่าครึ่งเอาไว้ เขาหลับตาลงราวกับกำลังอยู่ในห้วงนิทรา

“บรรพชนเหยี่ยน จักรพรรดิวายุทิพย์ผู้นั้นมาอีกแล้ว!” ยักษ์มีเกล็ดเข้าไปในโถงตำหนัก เสียงตะโกนดังก้องไปทั่ว ทำเอาทั้งโถงตำหนักสั่นสะท้านน้อยๆ

…………………………………….

“ฟิ้ว”

ตงป๋อเสวี่ยอิงทะลุอากาศไปอย่างง่ายดาย และมาถึงโลกวายุทิพย์ในพริบตาเดียว

ในฐานะที่โลกวายุทิพย์เป็นโลกของจักรพรรดิผู้หนึ่ง จึงเตรียมการเอาไว้อย่างเข้มงวด ตงป๋อเสวี่ยอิงเพิ่งจะเข้าสู่โลกใบนี้ ยังไม่ทันได้มองโลกใบนี้ให้เต็มตา ก็ได้ยินเสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวดังขึ้นมาเสียแล้ว

“กล้าบุกรุกโลกวายุทิพย์เชียวรึ!” เสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวสะท้อนก้องไปทั่วฟ้าดิน

ทหารกลุ่มหนึ่งทะลุอากาศมาปรากฏกายขึ้น พลทหารที่เป็นผู้นำมองตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างโกรธเคือง

“รบกวนช่วยถ่ายทอดสารให้ด้วย ว่าข้าอยากจะพบจักรพรรดิวายุทิพย์” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว

“เฮอะ ยังกล้าเหิมเกริมอีก! องค์จักรพรรดิมีสถานะระดับใดกัน เป็นผู้ที่เจ้าอยากจะพบก็จะได้พบหรือไร” พลทหารที่เป็นผู้นำคำราม “รีบไสหัวไปเสีย พวกข้ายังสามารถไว้ชีวิตเจ้าได้ มิเช่นนั้นแล้ว อย่าหาว่าข้าแล้งน้ำใจก็แล้วกัน”

องค์จักรพรรดิมีสถานะสูงส่งยิ่งนัก

พวกเขาเป็นตัวแทนยอดเคารพจัดการดินแดนอันกว้างใหญ่ ! อย่าง ‘ประมุขโลก’ ของโลกต่างๆ โดยทั่วไปแล้วก็ไม่มีสิทธิ์ได้พบองค์จักรพรรดิ

กลิ่นอายของประมุขโลก ดีร้ายอย่างไรก็เป็นผู้ที่เพิ่งเข้าสู่ระดับจักรพรรดิ จึงไม่มีคุณสมบัติพอจะได้พบ ตงป๋อเสวี่ยอิงมีกลิ่นอายอ่อนแอยิ่งกว่า ทหารเหล่านี้ไหนเลยจะไม่ชักสีหน้าได้เล่า

“ข้าคือจ้าวหิมะเหิน มาเพื่อคารวะจักรพรรดิวายุทิพย์โดยเฉพาะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปากอีกครา ตนมาขอร้องผู้อื่น ท่าทีก็ต้องดีหน่อย เขาประกาศนามของตนออกไป คิดว่าทหารเหล่านี้จะต้องรู้จักเป็นแน่

“จ้าวหิมะเหินรึ จ้าวหิมะเหินอะไรกัน ช่างบังอาจนัก ถึงกับกล้าเรียกตนว่าเป็นจ้าว!” ทหารผู้นั้นตะคอก “ลงมือ ขับไล่มันออกไปเสีย!”

ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาทันใด

อีกฝ่ายไม่เคยได้ยินชื่อของตนมาก่อนเลยหรือ

ในงานเลี้ยงก่อนหน้านี้ ยังคิดว่าชื่อของตนจะแพร่ไปทั่วหุบเขาเขี้ยวหักจนคนรู้จักกันถ้วนหน้าแล้วเสียอีก

เขากลับคิดผิดไปเสียแล้ว!

ชื่อของเขาเผยแพร่ไปทั่วบรรดาบุคคลระดับยอดสุดในหุบเขาเขี้ยวหัก อย่างดินแดนที่ ‘จักรพรรดิเฉินเย่า’ ปกครองอยู่แต่เดิม เนื่องจากกองทัพที่โจมตีถอยไปอย่างรวดเร็ว โลกเหล่านั้นก็ย่อมล่วงรู้ทันที

แต่ดินแดนอื่นๆ…หากมีสถานะสูงส่งพอ ก็อาจได้ยินข่าวเช่นกัน ส่วนผู้ที่มีสถานะต่ำต้อย ก็ไม่รู้จักจ้าวหิมะเหินจริงๆ!

ยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง!

ตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึงได้รวดเร็วเกินไปแล้ว! หลังจากต้อนรับประมุขโลกทั้งหลายเสร็จ เขาก็รีบมาพบจักรพรรดิวายุทิพย์ทันที หากผ่านไปอีกสักระยะหนึ่ง ชื่อของเขาก็จะค่อยๆ เผยแพร่ออกไป เชื่อว่าผู้แกร่งกล้าของดินแดนอื่นๆ ที่มีพลัง ‘ระดับอ๋อง’ ส่วนมากก็คงจะรู้จักแล้ว ตอนนี้น่ะหรือ ยังไม่ทันได้เผยแพร่ไปในหมู่ผู้ที่มีพลังอ่อนแอเลย!

“ตู้ม”

พลทหารที่เป็นหัวหน้าออกคำสั่ง ทหารคนอื่นๆ ก็ลงมือทันที

“หยุดมือนะ!”

คลื่นอันน่าหวาดหวั่นระลอกหนึ่งร่อนลงมา นั้นเป็นระลอกคลื่นของผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิ ทันใดนั้นก็มีสตรีอาภรณ์เขียวนางหนึ่งเดินออกมาจากกลางอากาศ อานุภาพกดดันอันน่าหวาดหวั่นปกคลุมทหารกลุ่มนั้นเอาไว้

“แม่ทัพเทพฉินอวี่” ทหารเหล่านี้เห็นเข้าก็ตระหนกเสียจนต้องรีบคารวะด้วยความเคารพ แม่ทัพเทพใต้บังคับบัญชาของจักรพรรดิวายุทิพย์มิได้มีมากเท่ากับจักรพรรดิเป่ยเหอ ทั้งหมดมีเพียงแปดคนเท่านั้น! จักรพรรดิวายุทิพย์เชื่อมั่นในตัวพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง อำนาจจึงมากนัก

“คารวะจ้าวหิมะเหิน” สตรีอาภรณ์เขียวยิ้มพลางคารวะตงป๋อเสวี่ยอิง “ทหารลาดตระเวนเหล่านี้มิเคยได้ยินชื่อเสียงอันเกรียงไกรของจ้าวท่านมาก่อน จนล่วงเกินจ้าวท่านไป ขอจ้าวท่านอย่าได้ถือสาเลย”

เหล่าทหารด้านข้างเห็นเข้าก็ถลึงตาอ้าปากค้าง

แม่ทัพเทพฉินอวี่ผู้องอาจเกรงอกเกรงใจหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวผู้นี้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ

“ยังไม่รีบขออภัยจ้าวท่านอีก!” สตรีอาภรณ์เขียวหันไปมองพลางแค่นเสียงตำหนิ

เหล่าทหารมึนงงไปหมด ทั้งเผ่าชนพื้นเมือง ผู้ที่กล้าเรียกตนเองว่าจ้าวนั้นมีน้อยเสียจนยกนิ้วนับได้ ที่แท้แล้วจ้าวหิมะเหินผู้นี้โผล่มาจากไหนกัน

แม้จะไม่เข้าใจ ทว่าก็ยังคงรีบคารวะด้วยความเคารพทันที “จ้าวท่านโปรดอภัยด้วย!”

“เรื่องนี้ตำหนิพวกเจ้ามิได้หรอก” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม เป็นเพราะประมุขโลกจำนวนมากมายถึงเพียงนั้นซาบซึ้งต่อตน ตนจึงคิดว่าชื่อเสียงเรียงนามของตนได้แพร่ไปทั่วทุกแห่งหนของเผ่าชนพื้นเมืองแล้ว

“จ้าวหิมะเหินมายังโลกวายุทิพย์ของข้า จักรพรรดิของข้าก็ยินดีเป็นอย่างมาก และบัญชาให้ข้ามาต้อนรับโดยเฉพาะ ผู้ใดจะไปคิดว่าอีกนิดเดียวทหารลาดตระเวนก็จะโจมตีจ้าวท่านเสียแล้ว” สตรีอาภรณ์เขียวพูดด้วยความกระตือรือร้น “จ้าวท่าน เชิญเจ้าค่ะ”

“เชิญ”

ทั้งสองแหวกอากาศมุ่งหน้าไปยังตำหนักเทพวายุทิพย์ทันที

ปล่อยให้ทหารเหล่านั้นงุนงงต่อไป

“จ้าวหิมะเหิน ที่แท้แล้วเป็นจ้าวท่านไหนกัน บัดนี้ผู้ใต้บังคับบัญชาของยอดเคารพทั้งสองก็มีจ้าวทั้งหมดแปดท่านเท่านั้น ไม่มีคนที่ชื่อจ้าวหิมะเหินอยู่กระมัง หากมีจ้าวคนใหม่ถือกำเนิด พวกเราก็คงจะต้องรู้แล้วกระมัง”

“ไม่เคยได้ยินมาก่อน”

“แต่ใต้เท้าแม่ทัพเทพนอบน้อมถึงเพียงนั้น ไม่ได้ยินหรือ แม้แต่องค์จักรพรรดิก็ยังบัญชาให้แม่ทัพเทพฉินอวี่มาต้อนรับด้วยตนเองเลย”

“ข้าถามท่านแม่ทัพเสียหน่อยดีกว่า ดูสิว่าท่านแม่ทัพจะรู้จักหรือไม่”

พวกเขาถ่ายเสียงสอบถาม

ในโลกวายุทิพย์ ระดับยอดสุดต่างก็รู้จักกันทั้งนั้น

“อะไรนะ”

“แม่ทัพเทพที่ค่อนข้างอ่อนแอ เมื่ออยู่ต่อหน้าจ้าวหิมะเหินผู้นี้ก็ต้องล้มลงทันที ความเป็นความตายก็ต้องถูกเขาควบคุมเลยหรือ”

“‘แม่ทัพเทพโครงกระดูก’ แม่ทัพเทพอันดับสองในบรรดาแม่ทัพเทพใต้บังคับบัญชาทั้งสามสิบหกคนของจักรพรรดิเป่ยเหอ เมื่ออยู่ต่อหน้าจ้าวหิมะเหิน พลังก็เสียหายอย่างใหญ่หลวง จนถูกประมุขโลกแสงดาวที่แสนจะธรรมดาคนหนึ่งโจมตีจนต้องหนีไปอย่างน่าอนาถเลยหรือ”

“เพื่อผูกสัมพันธ์อันดีกับจ้าวหิมะเหินผู้นี้ จักรพรรดิเป่ยเหอถึงกับออกคำสั่งให้ล้มเลิกการโจมตีโลกทั้งหมดซึ่งเดิมทีอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของจักรพรรดิเฉินเย่าทันทีเลยหรือ”

หลังจากทหารเหล่านี้สืบข่าวคราวแล้ว ก็อดอ้าปากค้างมิได้

จักรพรรดิเป่ยเหอคงจะไม่ปฏิบัติต่อจักรพรรดิวายุทิพย์ของพวกตนอย่างเกรงอกเกรงใจเช่นนี้หรอกกระมัง ได้ยินมาว่าเพื่อดินแดนใต้บังคับบัญชาของจักรพรรดิเฉินเย่า จักรพรรดิเป่ยเหอยังวางแผนเรื่องเอาชนะในศึกเดิมพัน แต่เพราะจ้าวหิมะเหิน กลับล้มเลิกไม่ทำศึกแล้วอย่างนั้นหรือ บ้าคลั่งเกินไปแล้วกระมัง

“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาก็มีปูมหลังใหญ่โตนัก” ทหารเหล่านี้เข้าใจในข้อนี้ดี ระดับจักรพรรดิโดยทั่วไปล้วนต้องถูกจ้าวผู้นี้กวาดล้าง จะเป็นคนที่พวกเขาสามารถระรานได้เสียที่ไหนกัน

******

ณ ตำหนักเทพวายุทิพย์

“ข้าเพิ่งจะได้ยินเรื่องของจ้าวหิมะเหิน ยังรำพึงอยู่เลยว่าใต้หล้านี้มีผู้แกร่งกล้าเช่นนี้ด้วย กระบวนท่าทางด้านวิญญาณสามารถทำให้ระดับจักรพรรดิจมดิ่งลงไปได้ ผู้ใดจะไปคิดว่าจ้าวท่านก็จะมาเยี่ยมข้าเสียแล้ว ทำให้ข้าอดยินดีมิได้เลย” เมื่อจักรพรรดิเทพวายุทิพย์เห็นตงป๋อเสวี่ยอิงก็เป็นฝ่ายปรี่เข้ามาต้อนรับ

“จักรพรรดิเกรงใจเกินไปแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มองสำรวจจักรพรรดิวายุทิพย์ผู้นี้เช่นเดียวกัน

ตรงหว่างเอวของจักรพรรดิวายุทิพย์เหน็บดาบเล่มหนึ่งเอาไว้ ผมของเขาสยายลงมา อาภรณ์หลวมโพรก ดูง่ายๆ สบายๆ นัก

“มาๆๆ นั่งลงเถิดๆ จ้าวท่านจากดินแดนจิตโลกามายังหุบเขาเขี้ยวหักของข้า แม้จะอยู่ในโลกแสงดาวมาระยะหนึ่ง แต่ก็คงจะมีอาหารเลิศรสและสุราชั้นเลิศมากมายของหุบเขาเขี้ยวหักที่ยังมิได้ลิ้มรสกระมัง” จักรพรรดิวายุทิพย์พูดยิ้มๆ ด้วยความกระตือรือร้น ยามนี้ก็มีสาวใช้นำอาหารและสุรารสเลิศมากมายมาวางให้ หากเป็นจ้าวคนอื่นๆ จักรพรรดิวายุทิพย์ก็คงจะไม่เกรงอกเกรงใจถึงเพียงนี้

แต่กับตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว ก้ออกจะไม่เหมือนกันอยู่บ้าง

เนื่องจากจักรพรรดิคนอื่นๆ กับเขากำลังชิงดีชิงเด่นกันอยู่! แต่ผู้บำเพ็ญอย่างตงป๋อเสวี่ยอิงคนหนึ่ง กลับสนใจแต่ระดับขั้น มิใช่สมบัติล้ำค่าที่มีส่วนช่วยทางด้านพลังสายเลือดแต่อย่างใด

ก่อนหน้านี้พวกจักรพรรดิวายุทิพย์ยังคงกังวลว่า ‘จ้าวหิมะเหิน’ ผู้นี้จะสวามิภักดิ์ต่อจักรพรรดิเป่ยเหอ แล้วผูกติดกับเรือรบของจักรพรรดิเป่ยเหอลำนั้นเพียงอย่างเดียว! ตอนนี้จ้าวหิมะเหินมาเยี่ยมเยียนเขา ดูๆ แล้ว ก็คงจะมิได้ยืนอยู่ข้างเดียวกันกับจักรพรรดิเป่ยเหออย่าสิ้นเชิง

คนหนึ่งมีใจคิดผูกสัมพันธ์ ส่วนอีกคนก็มีเรื่องมาขอความช่วยเหลือ

แขกและเจ้าบ้านจึงย่อมพูดคุยกันอย่างเบิกบานเป็นธรรมดา

“พี่หิมะเหินมาหาข้าที่นี่ ไม่ทราบว่าด้วยเรื่องอันใดหรือ มีอะไรก็เชิญพูดมาให้เต็มที่เถิด” ในที่สุดจักรพรรดิวายุทิพย์ก็เอ่ยปากถาม

“จักรพรรดิ พวกเราผู้บำเพ็ญสนใจในการบำเพ็ญระดับขั้น ข้ามาที่นี่เพราะหวังว่าจะสามารถยืมเจดีย์เจ็ดระฆังเพื่อเก็บตัวสักหน่อย” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “ข้ารู้ดีว่าเจดีย์เจ็ดระฆังได้รับการยอมรับว่าเป็น ‘สมบัติชั้นยอดอันดับหนึ่งด้านการสงบจิตบำเพ็ญ’ ในหุบเขาเขี้ยวหัก หากกระตุ้นครั้งหนึ่ง ภายในล้านล้านปีก็มิอาจใช้ได้อีกเป็นครั้งที่สอง ข้าบากหน้ามาที่นี่เพื่อขอให้จักรพรรดิช่วยเหลือ จักรพรรดิต้องการอะไรแลกเปลี่ยน หากข้าสามารถรับปากได้ จักรพรรดิก็เชิญพูดมาได้เต็มที่”

จักรพรรดิวายุทิพย์ได้ยินแล้วก็ยิ้มออกมา

ล้านล้านปีจึงได้ใช้ครั้งหนึ่ง ดูเหมือนนานแสนนานจึงจะได้ใช้สักครั้ง

แต่อันที่จริงแล้วตัวเขาใช้จนหนำใจมาตั้งนานแล้ว! หากใช้อีก ก็ไม่มีส่วนช่วยในการทำให้สายเลือดตื่นรู้อีกต่อไปแล้ว โดยทั่วไปก็ใช้เพื่อแลกเปลี่ยนกับคนภายนอกเท่านั้น

“พี่หิมะเหินจะใช้เจดีย์เจ็ดระฆังบำเพ็ญ แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้นเอง” จักรพรรดิวายุทิพย์พูดยิ้มๆ “ส่วนเงื่อนไข ข้าแค่ต้องการขอร้องเรื่องเล็กๆ เรื่องหนึ่งเท่านั้น หวังว่าพี่หิมะเหินจะรับปาก”

“จักรพรรดิเชิญพูดมาเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบถอนหายใจคราหนึ่ง

“ช่วยส่งร่างแยกสักสองสามร่างตามข้าไปยังเกาะราชันย์เหยี่ยนสักครั้งเถิด” จักรพรรดิวายุทิพย์กล่าว “ครั้งนี้ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว หลังจบเรื่องนี้ พี่หิมะเหินก็สามารถใช้เจดีย์เจ็ดระฆังเพื่อบำเพ็ญได้”

ตงป๋อเสวี่ยอิงได้รับรายงานมามากมายถึงเพียงนั้น จึงย่อมรู้ดีว่าเกาะราชันย์เหยี่ยนเป็นสถานที่เช่นไร

ราชันย์เหยี่ยน เป็นหนึ่งใน ‘สิบสามราชันย์’ ซึ่งอยู่ถัดลงมาจากสามยอดเคารพแห่งเผ่ามรณะทมิฬ มีพลังทัดเทียมกับเหล่าจักรพรรดิ! เกาะลอยคว้างที่คนระดับอย่างสิบสามราชันย์แห่งเผ่ามรณะทมิฬครอบครองนั้น ก็ล้วนแต่จัดอยู่ในอันดับต้นๆ ของเกาะลอยคว้างจำนวนนับไม่ถ้วน มันกว้างใหญ่หาใดเปรียบ อันตรายก็แสนหนักหนา อันตรายในตัวเกาะเองก็แล้วไปเถิด แต่ ‘เกาะราชันย์เหยี่ยน’ แห่งนี้ยังเป็นหนึ่งในเกาะที่มีจำนวนผู้แกร่งกล้ามากที่สุดในบรรดาเกาะลอยคว้างทั้งหมดของสิบสามราชันย์ด้วย!

“เมื่อมีจ้าวหิมะเหิน ที่น่ากลัวที่สุดก็คือการล้อมโจมตีเท่านั้นเอง” จักรพรรดิวายุทิพย์ลอบยินดีในใจ ก่อนหน้านี้เขขาก็คิดจะเชื้อเชิญจ้าวหิมะเหินมาอยู่แล้ว เพียงแต่จ้าวหิมะเหินผู้นี้ถูกจักรพรรดิเป่ยเหอเชิญตัวไปเสียก่อน! เพียงพริบตาเดียว จ้าวหิมะเหินก็มาเยี่ยมด้วยตนเอง! อีกฝ่ายมีเรื่องขอร้อง ตนก็มีเรื่องขอร้อง ต่างคนต่างมีสิ่งที่อยากขอ ต่างคนต่างก็ยินดีเป็นอย่างมาก!

…………………………………………

“แม้ข้ารับปากว่าจะช่วยแล้ว แต่เขากลับกลัวว่าในยามคับขัน จะไม่ทำสุดกำลังแล้วลอบคิดบัญชีกับเขาอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบคิดในใจ ขณะเดียวกันเขาก็ต้อนรับกองกำลังจากโลกต่างๆที่มาเยี่ยมเยียน เหล่าประมุขโลกและผู้อาวุโสทั้งหลายที่นำกองกำลังมานั้น ต่างพากันมองดูตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยสายตาซาบซึ้งเป็นอย่างมาก พวกเขาต่างเอ่ยวาจาแสดงความขอบคุณออกมา

“จ้าวท่านมีบุญคุณใหญ่หลวง ช่วยเผ่าของข้าเอาไว้ โลกฝูหนีของข้าไร้สิ่งตอบแทน ต่อแต่นี้ไป หากจ้าวท่านมีบัญชาอันใด ขอแค่เอ่ยมาคำเดียว โลกฝูหนีของเราจะไม่รอช้าอย่างแน่นอน!”

“จ้าวหิมะเหิน ก่อนหน้านี้ข้าและคนอื่นๆ ไม่เคยรู้จักกับจ้าวท่านมาก่อน แต่จ้าวท่านก็ยังเมตตา ยอมช่วยเหลือข้าและเผ่าบ้านเกิดเอาไว้…”

คนที่มาเยี่ยมคารวะเหล่านี้ ล้วนมีความรู้สึกล้นเหลือกว่าวาจาที่เอ่ยมา

บ้างก็นัยน์ตาแดงก่ำ ถึงขั้นน้ำตาไหลรินออกมาก็มี! พวกเขาหลั่งน้ำตา มิใช่เพียงเพราะความซาบซึ้งเท่านั้น แต่เพราะนึกถึงชาวเผ่ามากมายที่ต้องเสียสละไปในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ด้วย!

ยากลำบากเกินไปแล้ว

เคราะห์ดีที่มีจ้าวหิมะเหินออกหน้า ช่วยเหลือโลกมากมายเอาไว้

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิได้วางมาดแต่อย่างใด หากแต่ต้อนรับทีละคนๆ วันนั้นยังถึงกับจัดงานเลี้ยงอันยิ่งใหญ่ขึ้นมาด้วย กองกำลังของโลกทั้งหลายต่างก็เข้าร่วมงานเลี้ยงนี้กันถ้วนหน้า

“จ้าวหิมะเหินไม่ธรรมดาจริงๆ”

“สถานะอย่างเจ้าท่าน แม้แต่พวกแม่ทัพเทพที่อ่อนแอหน่อยก็ยังต้องจมดิ่งและล้มลงไปทันทีต่อหน้าเขา พวกแม่ทัพเทพโครงกระดูกต่างก็พลังเสียหายเป็นอย่างมาก พลังอย่างจ้าวท่าน ยังปฏิบัติต่อพวกเราด้วยความเกรงอกเกรงใจถึงเพียงนี้”

“ได้ยินว่าเมื่อจ้าวท่านอยู่ในดินแดนจิตโลกาก็ได้ปราบปรามมารร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนด้วยพลังของตัวคนเดียว และช่วยเหลือสรรพชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนเอาไว้”

“โอ้ เมื่อจ้าวท่านอยู่ในดินแดนจิตโลกา มีเรื่องอันใดบ้าง พอจะเล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่”

แต่ละแห่งในงานเลี้ยงวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา

พวกเขามาจากโลกคนละแห่ง ที่ผ่านมาบางคนไม่เคยติดต่ออะไรกันมาก่อนถึงขั้นมีความแค้นต่อกัน! แต่วันนี้พวกเขาต่างก็มีผู้มีพระคุณคนเดียวกัน…จ้าวหิมะเหินนั่นเอง! เรื่องนี้ทำให้พวกเขา พูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติ บรรยากาศภายในงานเลี้ยงดีเป็นพิเศษ เนื่องจากทุกคนรู้ดีว่า นับแต่นี้ไป บ้านเกิดก็จะไม่ถูกโจมตีอีกต่อไปแล้ว

ขอเพียงจักรพรรดิเป่ยเหอไม่โจมตี!

เช่นนั้นบ้านเกิดก็จะปลอดภัยมากแล้ว เนื่องจากนี่คือดินแดนที่เป็นของจักรพรรดิเป่ยเหอ จักรพรรดิคนอื่นๆ ล้วนไม่มีสิทธิ์ลงมือ

……

ตงป๋อเสวี่ยอิงได้รู้จักประมุขโลกมากมาย และได้รับของกำนัลมากมายยิ่งนัก

“ของกำนัลมากมายถึงเพียงนี้”

“กองเป็นภูเขาเลากาเลยทีเดียว”

ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งอยู่ในงานเลี้ยงพลางสัมผัสสมบัติล้ำค่าที่กองเป็นภูเขาเลากาอยู่ในโลกคูหาสวรรค์สำหรับเก็บวัตถุ

สมบัติล้ำค่าเหล่านี้ มีหลายชิ้นที่กลิ่นอายเกรียงไกรหาใดเปรียบ

มีสมบัติลับอันสูงส่งสองชิ้น! มีสมบัติลับระดับยอดสุดหนึ่งร้อยหกชิ้น! วัตถุพิสดารต่างๆ ยิ่งมีมากมายเสียจนนับไม่หวาดไม่ไหว

“บ้าไปแล้วๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกชาหนึบขึ้นมาบ้างแล้ว “ตอนนี้ข้าคงนับได้ว่าเป็นผู้ที่มั่งคั่งที่สุดคนหนึ่งในบรรดาผู้บำเพ็ญดินแดนจิตโลกาแล้วกระมัง”

ว่ากันว่าภายในหุบเขาเขี้ยวหักมีโอกาสหาสมบัติล้ำค่าพบจำนวนนับไม่ถ้วน แต่อันที่จริงแล้วเผ่าชนพื้นเมืองมีพลังแข็งแกร่งกว่า พวกเขาบุกฝ่าครั้งแล้วครั้งเล่า จนได้สมบัติล้ำค่ามากมายไปอยู่ในมือก่อนแล้ว! อย่างสมบัติลับอันสูงส่งหรือสมบัติลับระดับยอดสุดนั้น…กลิ่นอายไม่ธรรมดาเพียงใด แค่เห็นก็รู้แล้วว่าเป็นสมบัติล้ำค่า! แม้ชนพื้นเมืองจะลองแล้วลองอีก แต่เนื่องจากพวกเขาล้วนแต่ฝึกพลังสายเลือด จึงมิอาจใช้งานสมบัติลับระดับยอดสุดและสมบัติลับอันสูงส่งได้!

แต่ถึงจะใช้งานไม่ได้ หากพบเข้าแล้วก็ต้องเก็บเอาไว้!

อย่างพวกบรรพชนนิจรัตติกาลที่เคยกลืนกินชนพื้นเมืองตามอำเภอใจมาก่อน และได้ชิงเอาสมบัติล้ำค่ามาจากชนพื้นเมือง และเคยมีสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูมาเจรจาแลกเปลี่ยนเอาไป! เพียงแต่สิ่งที่เผ่าชนพื้นเมืองต้องการนั้นล้วนแต่เป็นสมบัติล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่ง โดยทั่วไปแล้วล้วนแต่มีส่วนช่วยพลังสายเลือดเป็นอย่างมาก ตามปกติแล้ว เผ่ามรณะทมิฬก็ต้องการสมบัติล้ำค่าพรรค์นี้เช่นเดียวกัน!

ในเกาะลอยคว้าง การจะได้สมบัติล้ำค่าระดับนั้นมา ยังยากกว่าการตามหาสมบัติลับระดับยอดสุดมากมายนัก!

“โลกทั้งหลายได้ค้นพบสมบัติลับอันสูงส่งสองชิ้น ชิ้นหนึ่งเป็นทางสายเปลวเพลิง ส่วนอีกชิ้นหนึ่งเป็นทางสายพละกำลัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบคิด อย่างประมุขเกาะจันปาผู้นั้นเป็นทางสายพละกำลัง หากได้พลองยาวอันเร้นลับชิ้นนี้ไป ก็จะกลายเป็นไร้ศัตรูในทันที! หรืออย่าง ‘เจ้าเมืองอัคคีทิพย์’ ผู้นั้นก็บำเพ็ญทางสายเปลวเพลิง

เพียงแต่เจ้าเมืองอัคคีทิพย์และประมุขเกาะจันปาล้วนแต่เป็นมารร้ายตัวฉกาจ ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่มีทางแลกเปลี่ยนกับพวกเขาอย่างแน่นอน

“จักรพรรดิเซี่ยบำเพ็ญทางสายเปลวเพลิงและอากาศควบคู่กันกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบคิด จักรพรรดิเซี่ยก็มีสมบัติลับอันสูงส่งทางด้านอากาศเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น!

“สมบัติลับระดับยอดสุด…”

ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มเยาะตนเอง

สมบัติลับระดับยอดสุดมากมายนัก! อย่างรัฐโบราณคิมหันตวายุ ในฐานะที่เป็นหนึ่งในหกรัฐโบราณ สกุลฝานมีมหาเคารพหกท่าน สกุลเซี่ยมีมหาเคารพเก้าท่าน สกุลชางมีมหาเคารพเจ็ดท่าน และยังมีจอมเคารพซึ่งมิใช่คนจองสามตระกูลใหญ่อีกโขยงหนึ่ง ต่อให้มีส่วนหนึ่งที่มีสมบัติลับระดับยอดสุดหลายชิ้น เช่นมหาเคารพฝูอี่ก็ตาม แต่เมื่อรวมๆ กันแล้ว ก็มีสมบัติลับระดับยอดสุดเพียงไม่กี่สิบชิ้นเท่านั้น

ตนเพียงคนเดียวก็เกินร้อยชิ้นแล้ว! มากกว่าที่รัฐโบราณแห่งหนึ่งสั่งสมมาตลอดคืนวันอันยาวนานเสียอีก!

“เพราะถึงอย่างไรก็มีโลกชนพื้นเมืองตั้งมากมายมอบให้” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบรำพึงในใจ เมื่อรวมกับวัตถุล้ำค่าจำนวนมากแล้ว ตนก็ร่ำรวยจนแทบจะเหนือกว่าสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูทั้งหมดแล้ว ต่อให้เป็นราชันย์อนธการอมตะซึ่งโจมตีเส้นทางสิ่งมีชีวิตคละถิ่น ก็ไม่แน่ว่าจะสู้ตนได้!

“ในบรรดาสมบัติลับระดับยอดสุด มีวิถีอากาศมากถึงเก้าชิ้นด้วยกัน ที่แข็งแกร่งกว่าดอกบัวเพลิงห้วงอากาศมีถึงสามชิ้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ

สมบัติลับระดับยอดสุดในดินแดนจิตโลกา บ้างก็ได้มาจากวังเทพจิตโลกา บ้างก็ได้มาจากหุบเขาเขี้ยวหัก บ้างก็เป็นสิ่งที่เหล่าผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอดหลอมขึ้นมา!

ส่วนภายในหุบเขาเขี้ยวหัก…

ต้องเป็นสิ่งที่ ‘หยวน’ ทิ้งไว้ให้แทบจะทั้งหมด

หยวนทิ้งโอกาสเอาไว้มากมาย

ก็เพราะอยากให้เหล่าผู้บำเพ็ญไปฝ่าฟันกันหรือถึงขั้นช่วงชิงกับชนพื้นเมือง! ไหนเลยจะไปคิดว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะทำให้ชนพื้นเมืองทั้งหลายซาบซึ้งหาใดเปรียบ และพากันพลิกหาสิ่งที่เผ่าของตนสั่งสมไว้ เพื่อหาสิ่งที่อาจจะมีประโยชน์ต่อผู้บำเพ็ญแล้วส่งมาจนหมด! หากจะมอบสิ่งที่มีประโยชน์ต่อชนพื้นเมืองมาก พวกเขาก็อาจจะเจ็บปวดใจนัก แต่หากจะมอบวัตถุสำหรับผู้บำเพ็ญที่พวกเขาใช้งานไม่ได้ให้ พวกเขาก็ยินดีเป็นอย่างมาก

สมบัติลับอันสูงส่งนั้นล้ำค่า แต่พวกเขาใช้งานไม่ได้! อย่างมากที่สุดก็แค่นำไปแลกเปลี่ยนกับผู้บำเพ็ญดินแดนจิตโลกาเท่านั้น เพื่อแสดงความซาบซึ้งในบุญคุณอันใหญ่หลวงที่ช่วยเหลือเผ่าพันธุ์เอาไว้ จึงมอบให้เสียเลย!

*******

งานเลี้ยงยุติลง

ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกา เพื่อส่งสมบัติล้ำค่าจำนวนมากกลับไปยังเมืองหิมะเหิน

“ต่อไปควรจะไปที่ใดดีหนอ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพลิกดูรายงานเกาะลอยคว้างฉบับแล้วฉบับเล่าซึ่งโลกต่างๆ มอบให้เขา เมื่อรวมรายงานจำนวนมากเข้าด้วยกัน ก็เรียกได้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจเกาะลอยคว้างในหุบเขาเขี้ยวหักเป็นอันดับหนึ่งในดินแดนจิตโลกาทันที!

“โอ้โฮ”

“มีดวงตาอันเร้นลับถึงหนึ่งพันสองร้อยแห่ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า “ลำพังแค่พลังของเผ่าเซวี่ยเหยียนเพียงเผ่าเดียว ก็รู้อะไรน้อยนัก ข้ายังต้องคิดหาวิธีสืบเสาะให้ทั่วทั้งหนึ่งพันสองร้อยแห่งให้ได้”

“ทว่าเรื่องนี้ก็ไม่รีบร้อน แม้การบำเพ็ญวิถีเขตลวงโลกเทียมจะสำคัญ แต่กลับสำคัญสู้วิถีอากาศมิได้”

โลกกำเนิดบ้านเกิดยิ่งขยายใหญ่ขึ้น เข้าใกล้การแตกสลายครั้งใหญ่เข้าไปทุกทีๆ

จะต้องสำเร็จวิถีอากาศขั้นสุดยอดให้ได้ก่อนการแตกสลายครั้งใหญ่จะมาถึง!

“ที่มีส่วนช่วยในการบำเพ็ญวิถีอากาศของข้า” ตงป๋อเสวี่ยอิงครุ่นคิด “ที่บันทึกเอาไว้ในรายงาน ก็มีเกาะลอยคว้างหลายแห่งที่มีโอกาสทางด้านวิถีอากาศ แต่ข้อแรก โอกาสเหล่านั้นช่วยเหลือข้าได้อย่างจำกัดนัก สู้ ‘บุปผาโลกา’ ที่เจ้าเมืองหลัวมอบให้ข้ามิได้เลย! ข้อสอง ก่อนหน้านี้เมื่อบุกฝ่าเกาะลอยคว้างห้าร้อยแห่ง ก็ได้พบโอกาสมากมาย ตอนนี้สำหรับข้าแล้ว ต้องการสงบจิตบำเพ็ญเป็นที่สุด”

“และหากพูดถึงการสงบจิตบำเพ็ญแล้ว ภายในหุบเขาเขี้ยวหักมีสมบัติชั้นยอดอยู่อย่างหนึ่ง”

“เจดีย์เจ็ดระฆัง!”

นัยน์ตาของตงป๋อเสวี่ยอิงเปล่งประกาย

เจดีย์เจ็ดระฆังเป็นสมบัติล้ำค่าจำพวกเดียวกันกับ ‘ต้นไม้เทพผลาญจิต’ และ ‘ตำหนักเทพโลกาดั้งเดิม’ ในดินแดนจิตโลกา ที่ไม่จำเป็นต้องควบคุมแต่อย่างใด

เจดีย์เจ็ดระฆังแข็งแกร่งกว่าต้นไม้เทพผลาญจิตและตำหนักเทพโลกาดั้งเดิมมากนัก ถึงขั้นที่อยู่ในหุบเขาเขี้ยวหัก ถูกขนานนามว่าเป็น ‘สมบัติชั้นยอดอันดับหนึ่งด้านการสงบจิตบำเพ็ญ’ ต่อให้ไม่ได้สำคัญกับเผ่าชนพื้นเมืองและเผ่ามรณะทมิฬที่ฝึกพลังสายเลือดสักเท่าใดนัก แต่ก็ยังคงก่อให้เกิดการช่วงชิงอย่างบ้าคลั่ง ท้ายที่สุดก็ถูก ‘จักรพรรดิวายุทิพย์’ ชิงมาไว้ในมือจนได้

เจดีย์เจ็ดระฆังนั้นพิเศษมาก มีระฆังเจ็ดใบแขวนอยู่ข้างเจดีย์ เมื่อควบคุมพลังไปผลักมันเบาๆ ระฆังทั้งเจ็ดก็จะดังขึ้นมาต่อเนื่องกัน และเหนี่ยวนำให้ผู้บำเพ็ญเข้าสู่เขตการบำเพ็ญที่พิสดารเป็นอย่างยิ่ง

แต่ว่า ทุกๆ ล้านล้านปี จึงจะสามารถลั่นระฆังทั้งเจ็ดได้ครั้งหนึ่ง

หลังจากลั่นระฆังแล้ว หากผลักระฆังอีกครั้ง ก็จะไม่เกิดเสียงขึ้น จะต้องรออีกล้านล้านปีให้หลัง ระฆังจึงจะเตรียมพละกำลังอันพิสดารขึ้นมาจนพร้อมอีกครั้ง

เหล่าจักรพรรดิที่ฝึกฝนสายเลือด ไปจนถึงบรรดายอดเคารพเหล่านั้น ล้วนแต่เคยเจรจากับ ‘จักรพรรดิวายุทิพย์’ เพื่อจะฝึกฝนสักครั้งกันทั้งนั้น! เพราะภายใต้สภาพจิตใจเช่นนั้น ก็จะรู้แจ้งสายเลือดของตนเองได้แจ่มชัดขึ้น

“ข้ารู้สึกว่า การสั่งสมทางด้านวิถีอากาศของข้าหนาแน่นพอ มีเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่ง และยังคิดค้นท่าไม้ตายทั้งห้าขึ้นมา และยังผ่านการฝึกฝนจากเกาะลอยคว้างถึงห้าร้อยแห่ง หากเก็บตัวสงบจิตบำเพ็ญ อาจจะสามารถบรรลุได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบคิด หากเก็บตัวอยู่ใน ‘สมบัติชั้นยอดอันดับหนึ่งด้านการสงบจิตบำเพ็ญ’ ของหุบเขาเขี้ยวหักก็ เชื่อว่าจะมีส่วนช่วยมากขึ้น

“ไปพบจักรพรรดิวายุทิพย์ดีกว่า!”

ตงป๋อเสวี่ยอิงทิ้งร่างแยกเอาไว้ที่เผ่าแสงดาว ขณะเดียวกันก็มุ่งหน้าไปยัง ‘โลกวายุทิพย์’ อย่างเงียบเชียบ

จักรพรรดิวายุทิพย์เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของยอดเคารพเฮ่ากู่เช่นเดียวกัน! พลังรบของเขาแข็งแกร่งจนเทียบได้กับระดับขั้นศักดิ์สิทธิ์ในบรรดาสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับล่าง แต่ในศึกเดิมพันก่อนหน้านี้ไม่นานนัก จักรพรรดิทั้งสามรวมถึงตัวเขาก็ได้พ่ายแพ้ให้กับจักรพรรดิเป่ยเหอต่อเนื่องกัน! วิธีดำเนินศึกเดิมพันของพวกเขามิได้เผยแพร่สู่ภายนอก หากห้ำหั่นเอาเป็นเอาตายกันขึ้นมาจริงๆ พลังก็แตกต่างกันไม่มากนัก ยากมากที่จะตัดสินแพ้ชนะได้

………………………………………….

“ไม่ดูความโง่เง่าและป่าเถื่อนของบรรดาเผ่ามรณะทมิฬ เชาวน์ปัญญาของระดับอ๋องก็ไม่เลวแล้ว เชาวน์ปัญญาของระดับจักรพรรดิก็ย่อมไม่ต่ำต้อยอยู่แล้วล่ะ” จักรพรรดิเป่ยเหอพูด “เผ่ามรณะทมิฬและพวกเรากลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิม ต่างก็ไล่ตามการวิวัฒน์ของการตื่นรู้ขั้นสุดยอด! ต่างก็แย่งชิงวัตถุภายนอกอันล้ำค่านานาชนิด! เพราะเผ่ามรณะทมิฬต่างก็ถือกำเนิดขึ้นบนเกาะลอยคว้าง จึงครองความได้เปรียบ ครอบครองทรัพยากรจำนวนมากเอาไว้”

“น้องหิมะเหิน” จักรพรรดิเป่ยเหอมองตงป๋อเสวี่ยอิง “ข้าต้องการให้เจ้าช่วย! ข้ากับเจ้าร่วมมือกัน ยังมีจุดบกพร่องน้อยกว่ายอดเคารพเสียอีก”

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองจักรพรรดิเป่ยเหอที่อยู่ตรงหน้า

แววตาของจักรพรรดิเป่ยเหอจริงใจอย่างยิ่ง

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เข้าใจกระจ่างดีเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาที่มีชีวิตเป็นอมตะนั้นไม่พอใจเพียงใดที่รู้สึกว่าตนเองเป็นมดปลวกที่อยู่ภายในกรงขัง มีความมุ่งมาดปรารถนาเพียงใดต่อการหนีออกจากกรงขังและการยกระดับพื้นฐานชีวิต

แต่ทว่า…

ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่ชมชอบวิธีการของจักรพรรดิเป่ยเหอเอาเสียเลย!

เพื่อเป้าหมายของตนเองก็ไม่เลือกวิธีการ โลกที่อ่อนแอจำนวนหนึ่งในบรรดาโลกมากมายของกลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิมที่ไม่ยอมสวามิภักดิ์ จักรพรรดิเป่ยเหอก็ถึงกับจะผลาญสังหารให้สิ้น! เปลี่ยนให้เป็นโลกที่ยอมสวามิภักดิ์ต่อตน อาศัยวิธีการอันอำมหิตเช่นนี้มาป้องปราม ทำให้โลกอื่นๆ จำนวนหนึ่งยอมสวามิภักดิ์อย่างรวดเร็ว

“ไม่เลือกวิธีการจนเกินไป ไม่สนใจความเป็นความตาย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ

“จักรพรรดิ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปากพูด “ท่านกับข้าร่วมมือกันแล้ว เช่นนั้นในภายภาคหน้า ถ้าหากยอดฝีมือคนอื่นๆ หรือแม้กระทั่งยอดเคารพมาขอให้ข้าช่วยเหลือเล่า”

“ก็ย่อมมิอาจรับปากโดยง่ายอย่างแน่นอน” จักรพรรดิเป่ยเหอพูด “พวกเขาไม่มีเจ้าช่วยเหลือ เช่นนี้พวกเราก็ยิ่งครองความได้เปรียบ! ถึงอย่างไรทรัพยากรก็มีอยู่อย่างจำกัด คนอื่นฉกชิงเอาไป พวกเราก็มีน้อยลงไปแล้ว”

“ข้าเข้าใจแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “ขอจักรพรรดิโปรดอภัย ข้ายังไม่คิดจะผูกตัวเองติดกับเรือลำใดลำหนึ่งในตอนนี้”

จักรพรรดิเป่ยเหอนิ่งงันไปชั่วขณะ

“ข้าชอบความเป็นอิสระมากกว่า เผชิญกับเรื่องราวมากมาย ก็ชอบที่จะตัดสินใจด้วยตัวเอง ไม่อยากผูกติดกับผู้อื่น” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด หนึ่งก็คือเขาไม่ชอบนิสัยของจักรพรรดิเป่ยเหอ! สองก็คือทรัพยากรที่ชนพื้นเมืองดั้งเดิมและเผ่ามรณะทมิฬมุ่งมาดปรารถนาหาใดเปรียบ โดยส่วนใหญ่แล้วเขาก็มิได้สนใจเลย! สิ่งที่ผู้บำเพ็ญสนใจมากกว่าก็คือการยกระดับขั้นของตนเองให้สูงขึ้น

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีความจำเป็นต้องผูกติดกับจักรพรรดิเป่ยเหอ ไปเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายอย่างนั้นหรือ

“เจ้าสามารถช่วยเหลือเผ่าแสงดาว ช่วยเหลือบรรดาโลกที่อ่อนแอ และช่วยเหลือข้าได้กระมัง” จักรพรรดิเป่ยเหอมองตงป๋อเสวี่ยอิง

“ย่อมได้อย่างแน่นอน” ตงป๋อเสวี่ยอิงอมยิ้มน้อยๆ “แต่ก็ต้องดูก่อนว่าเป็นเรื่องอันใด”

“ฮ่าฮ่า ข้าก็เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนแล้วว่าอุปนิสัยของน้องหิมะเหิน รังเกียจความชั่วร้ายดุจคู่แค้น

เกรงว่าคงจะไม่ชมชอบวิธีการจัดการเรื่องราวต่างๆ ของข้าสินะ” จักรพรรดิเป่ยเหอแย้มยิ้มอย่างสบายๆ “แต่ข้าอยากจะขอให้เจ้าช่วยเหลือ วัตถุประสงค์หลักก็คือเพื่อจัดการยอดเคารพคนหนึ่งในเผ่ามรณะทมิฬ”

“หืม”

ตงป๋อเสวี่ยอิงกระจ่างแจ้ง “ได้สิ ข้ารับปากก็ได้”

ถึงแม้ว่าเขาจะมีเคล็ดลับอยู่มากมาย แต่ก็ไม่อยากจะยั่วโมโหจักรพรรดิเป่ยเหอจนทำให้โลกแสงดาวและโลกมากมายต้องเดือดร้อน!

นอกจากนี้ ที่ต้องจัดการก็คือยอดเคารพของเผ่ามรณะทมิฬ

เผ่ามรณะทมิฬมียอดเคารพอยู่ทั้งหมดสามท่าน มีความเป็นไปได้ว่าพวกมันฟูมฟักถือกำเนิดขึ้นมาจากความตายเป็นเหตุ ยอดเคารพสามท่านนี้แต่ละคนมีวิธีลงมืออันโหดเหี้ยม ต่างก็เป็นพญามารร้ายอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง! โชคดีที่มียอดเคารพชนพื้นเมืองดั้งเดิมสองท่านคอยข่มขู่ ขัดขวางในยามคับขัน กลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิมจึงสามารถมีวันวารเช่นนี้ได้

“ก่อนหน้านี้ข้าก็ไม่กล้าคิดเลย มีน้องหิมะเหินอยู่ ข้าจึงมีความมั่นใจมากขึ้นหลายส่วน” จักรพรรดิเป่ยเหอได้ยินตงป๋อเสวี่ยอิงรับปากแล้วก็ปิติยินดีอย่างยิ่งในทันที “ข้ายังต้องเตรียมการให้ดีๆ ก่อน รอให้เตรียมการเสร็จแล้วก็จะแจ้งให้น้องหิมะเหินทราบก็แล้วกัน”

“ข้าจะทิ้งร่างแยกเอาไว้ที่โลกแสงดาว จักรพรรดิต้องการหาตัวข้า ก็ไปหาที่โลกแสงดาวได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด

“ดี เจ้าช่วยข้า ข้าก็ย่อมไม่มีทางผิดต่อเจ้าอย่างแน่นอน” จักรพรรดิเป่ยเหออมยิ้ม “ก่อนหน้านี้โจมตีโลกจำนวนมาก ก็จะหยุดเอาไว้ ก็นับได้ว่าเป็นของกำนัลแล้วกระมัง”

ตงป๋อเสวี่ยอิงได้ฟังแล้วก็ยินดียิ่ง “เช่นนั้นก็ต้องขอบคุณจักรพรรดิแล้ว คิดว่าโลกทั้งหลายก็ต้องซาบซึ้งต่อจักรพรรดิอย่างแน่นอน”

“พวกเขาควรต้องขอบคุณเจ้าต่างหากเล่า!” จักรพรรดิเป่ยเหอพูด

……

รอจนสนทนากับจักรพรรดิเป่ยเหอเสร็จแล้วแยกจากกันแล้ว

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็จากไปพร้อมกับร่างแปรประมุขแสงดาว

“นี่จะไปแล้วหรือ” ประมุขแสงดาวถ่ายเสียงเอ่ยถาม

“อืม”

“จักรพรรดิเคลื่อนไหวใหญ่โตเช่นนี้ งานเลี้ยงดอกนกกางเขนนี้ก็เพื่อต้อนรับเจ้า พูดคุยกับเจ้าเพียงไม่กี่ประโยคก็จะให้เจ้าไปแล้วอย่างนั้นหรือ” ประมุขแสงดาวมีหมอกทึบทึมเต็มหัวสมอง

ตงป๋อเสวี่ยอิงเหลือบมองเขาปราดหนึ่งแล้วมิได้พูดอะไรมาก เหินลอยออกไปข้างนอกในทันที

“รอข้าด้วยสิ” ร่างแปรประมุขแสงดาวตามไปติดๆ

ร่างแปรนั้นไม่สำคัญ! แต่ร่างแปรที่พก ‘กลีบดอกนกกางเขน’ ติดตัวเอาไว้ต่างหากเล่าที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง!

……

หลังจากที่งานเลี้ยงนี้สิ้นสุดลง

นามของจ้าวหิมะเหินก็ค่อยๆ แพร่สะพัดออกไป โดยเฉพาะระดับสูงสุดของกลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิมทั่วทั้งหุบเขาเขี้ยวหักก็ยิ่งสั่นสะเทือนเพราะเรื่องนี้

“หืม เคล็ดวิชาวิญญาณ ถึงกับสามารถทำให้ระดับจักรพรรดิจมดิ่งลงไปได้อย่างง่ายดาย

แม้กระทั่งแม่ทัพเทพควันวายุของสามสิบหกแม่ทัพเทพก็ยังจมดิ่งลงไปชั่วขณะอย่างนั้นหรือ” ชายชราอาภรณ์ม่วงร่างผอมสูง กลิ่นอายน่าหวาดหวั่นเหนือธรรมดาแผ่ปกคลุมไปทั่วทุกทิศทุกทาง บริเวณรอบๆ ก็มีสายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏออกมาจากความว่างเปล่า ล้อมรอบอยู่รอบกายเขา เขาก็คือ ‘ยอดเคารพนภาอสนี’ หนึ่งในสองมหายอดเคารพของกลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิมนั่นเอง

เขาปลุกพลังสายโลหิตไปถึงระดับจักรพรรดิขั้นสมบูรณ์แล้ว สามารถสัมผัสได้ถึงพลังของอีกระดับขั้นหนึ่งได้ตลอดเวลา

นั่นคือพลังที่น่าหวั่นเกรงชนิดหนึ่ง

สามารถหนีออกไปจากโลกทางนี้ได้ หนีออกไปจากการสกัดกั้นกฎเกณฑ์ของ ‘หยวน’ สามารถทะลุผ่านห้วงมิติอันไร้ที่สิ้นสุดได้อย่างแท้จริง มุ่งหน้าไปสู่สถานที่อันเร้นลับต่างๆ นานาได้

“ไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับเคล็ดวิชาวิญญาณเช่นนี้มาก่อนเลยด้วยซ้ำ เกรงว่าแม้แต่ยอดเคารพก็ยังต้องแบ่งพลังจิตมากมายไปต้านทาน” ชายชราอาภรณ์ม่วงพึมพำ “เป่ยเหอผู้นั้นก็เจ้าเล่ห์น่าดูเลยจริงๆ เชิญตัวจ้าวหิมะเหินผู้นั้นไปในทันทีเลย”

……

“จ้าวหิมะเหินถึงกับมีเคล็ดวิชาวิญญาณเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ”

ยอดเคารพเฮ่ากู่มีคลื่นความร้อนแผ่ซ่านทั่วร่าง ถึงขนาดที่ผู้ที่พลังยุทธ์อ่อนแอต่างก็ไม่สามารถมองตรงๆ ได้ ยอดเคารพเฮ่ากู่แผ่ประกายระยับจับตาตามธรรมชาติ ราวกับลูกไฟขนาดมหึมาลูกหนึ่ง

“ถึงแม้ว่าพลังรบซึ่งๆ หน้าของเขาจะธรรมดาอย่างยิ่ง พลังยุทธ์ในการต่อสู้ระยะประชิดก็ต่ำเสียจนสามารถมองข้ามได้ แต่เคล็ดวิชาวิญญาณกลับสามารถส่งผลกระทบต่อพวกเราได้เลยทีเดียว ดินแดนจิตโลกานี่ก็นับได้ว่ามีผู้แกร่งกล้าล้ำเลิศเกิดขึ้นมาคนหนึ่งแล้ว” ยอดเคารพเฮ่ากู่พึมพำ ตลอดระยะเวลาอันยาวนาน แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่เคยใส่ใจผู้บำเพ็ญของดินแดนจิตโลกามาก่อนเลย แต่คราวนี้เขาก็เห็นความสำคัญขึ้นมาเสียแล้ว

ถึงขนาดที่ในใจของเขา ‘พลังคุกคาม’ ของจ้าวหิมะเหินผู้นี้ยังสูงกว่าบรรดาจักรพรรดิเสียอีก

……

“เป่ยเหอผู้นี้ช่างเจ้าเล่ห์เสียจริง ริเริ่มเชิญตัวไป จัดงานเลี้ยงรวมตัวในทันที! เขาเคลื่อนไหวได้เร็วน่าดู กว่าข้าจะได้ข่าวก็สายไปเสียแล้ว” บุรุษเขาเดี่ยวอาภรณ์ดำคนหนึ่งส่ายหน้าน้อยๆ

……

“ช้าไปก้าวหนึ่งแล้ว หวังว่าจ้าวหิมะเหินผู้นั้นจะมิได้สวามิภักดิ์ต่อเป่ยเหอเสียล่ะ” หญิงสาวงามล้ำที่พลังฟ้าดินรวมตัวกันประกอบเป็นร่างนางผู้หนึ่งมองไปยังทิศทางของโลกแสงดาวอยู่ห่างๆ พลางเอ่ยเสียงต่ำ “เป่ยเหอมีความทะเยอทะยานมากเกินไป จักรพรรดิคนอื่นอีกสามคนภายใต้บังคับบัญชาของยอดเคารพเฮ่ากู่ต่างก็ถูกเขาลอบคิดบัญชีจนพ่ายแพ้หมดหน้าตัก คราวนี้ถ้าหากได้รับความช่วยเหลือจากจ้าวหิมะเหินผู้นี้อีก ก็ไม่แน่ว่าเผ่าของข้าอาจจะมียอดเคารพท่านที่สามปรากฏขึ้นมาจริงๆ เสียแล้ว”

******

ระดับสูงสุดของกลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิมก็ย่อมได้รับข่าวคราวอย่างฉับไวอยู่แล้ว ต่างก็ให้ความสนใจกับจ้าวหิมะเหินผู้นี้

ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงก็กลับมาถึงยังโลกแสงดาวแล้ว

นอกจากนี้เพียงไม่นานข่าวหนึ่งก็แพร่สะพัดออกไปอย่างรวดเร็ว…

พลทหารใต้บังคับบัญชาของจักรพรรดิเป่ยเหอที่เดิมทีโจมตีโลกชนพื้นเมืองดั้งเดิมนั้นพากันถอยทัพกลับไปจนหมดสิ้น!

“ถอนทัพกันไปแล้ว”

“ถอนทัพกันไปหมดแล้ว พลทหารใต้บังคับบัญชาของจักรพรรดิเป่ยเหอ อาณาเขตที่จักรพรรดิเฉินเย่าเคยเป็นผู้บัญชาการแต่เดิมต่างก็กลับเป็นอิสระแล้ว”

“ทหารที่ถอยทัพกลับไปเหล่านั้นก็บอกแล้วว่าเป็นคำขอของจ้าวหิมะเหิน! จักรพรรดิเป่ยเหอรับปากแล้วว่าจะไม่โจมตีอีก”

“เป็นจ้าวหิมะเหินที่มีเมตตาต่อโลกทุกแห่ง จักรพรรดิเป่ยเหอจึงรับปากว่าจะหยุดมือ”

ข่าวคราวต่างๆ แพร่สะพัดอย่างบ้าคลั่ง

เดิมทีโลกจำนวนมากต่างก็สิ้นไร้ความหวังไปเสียแล้ว ตอนนี้จักรพรรดิเป่ยเหอถอนทัพกลับไป บ้านเกิดของพวกเขาก็กลับคืนสู่ความเงียบสงบ พวกเขาก็สามารถสุขสบายเป็นอิสระดังเช่นในอดีต หลังจากที่เคย ‘สิ้นหวัง’ ไปแล้ว กลับมามีอิสรภาพใหม่ พวกเขาจึงยิ่งซาบซึ้งมากขึ้นไปอีก

เป็นที่รู้กันว่าเป็นข้อตกลงระหว่างจ้าวหิมะเหินกับจักรพรรดิเป่ยเหอ จักรพรรดิเป่ยเหอจึงได้ยอมถอยไป

ทุกฝ่ายต่างก็ซาบซึ้งหาใดเปรียบ

นี่คือบุญคุณช่วยเหลืออันยิ่งใหญ่ต่อทั้งโลกบ้านเกิด! บุญคุณอันยิ่งใหญ่ที่ช่วยเหลือเผ่าพันธุ์ของพวกเขา!

“ผู้มีพระคุณยิ่งใหญ่”

“จ้าวหิมะเหินช่วยเหลือเผ่าพันธุ์ของพวกเรา!”

“ด้วยอุปนิสัยของจักรพรรดิเป่ยเหอ ไม่มีทางหยุดการโจมตีอย่างไม่มีเหตุมีผลหรอก ถึงอย่างไรก็เป็นอาณาเขตที่ใหญ่โตถึงเพียงนี้ แน่นอนว่าจ้าวหิมะเหินต้องเสียสละสิ่งใดแน่”

“ขอบคุณจ้าวหิมะเหินมาก”

โลกแต่ละแห่งต่างก็ส่งพลพรรคมุ่งหน้ามายังโลกแสงดาวเพื่อคารวะ ‘จ้าวหิมะเหิน’ ผู้มีพระคุณยิ่งใหญ่ของพวกเขา

……

พลพรรคเข้ามาอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย

“จักรพรรดิ”

“จ้าวหิมะเหิน”

พลพรรคเทวทูตที่มาจากโลกต่างๆ มีจำนวนมากที่เป็นประมุขโลกสักแห่งหนึ่งนำทัพมาด้วยตนเอง ดวงตาของทุกคนเต็มไปด้วยความซาบซึ้งและขอบคุณ ต่างก็มาคารวะตงป๋อเสวี่ยอิง พวกเขาแต่ละคนต่างก็ตระเตรียมของกำนัลมา! บุญคุณยิ่งใหญ่อย่างการช่วยเหลือโลกบ้านเกิด ช่วยเหลือเผ่าพันธุ์นี้… พวกเขาจะเตรียมมาน้อยนิดได้อย่างไรกัน สิ่งใดก็ตามที่รู้สึกว่ามีประโยชน์ต่อ ‘จ้าวหิมะเหิน’ ที่เป็นผู้บำเพ็ญจิตโดยกำเนิด พวกเขาก็ตระเตรียมมากันเป็นอย่างดีแล้ว

เมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงเผชิญกับพลพรรคที่เข้ามาอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย พบกับสมบัติล้ำค่าที่กองเป็นภูเขาเลากาแล้วกลับปากอ้าตาค้างอยู่บ้าง

“จักรพรรดิเป่ยเหอท่านนี้เจตนาพูดว่าเป็นเพราะข้าขอเอาไว้ บอกว่าเป็นเพราะข้า ก็เพื่อจะมอบน้ำใจนี้ให้แก่ข้าสินะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจในความคิดของจักรพรรดิเป่ยเหอ

……………………………………………………

จักรพรรดิเป่ยเหอยืนอยู่บนเรือปีกบินประกายทอง แล้วเพียงแค่มองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงเท่านั้น มิได้มองคนอื่นๆ เลยแม้แต่ปราดเดียว ทว่าประมุขแสงดาวกับเหล่าประมุขโลกยี่สิบกว่าท่าน แต่ละคนต่างก็ตื่นเต้นหาดใดเปรียบ เพียงแต่พวกเขาต่างก็ไม่มีหนทางให้ถอยกลับแล้ว! พวกเขาที่ไม่อยากตกเป็นทาสก็ได้แต่สู้ยิบตาเพียงทางเดียวเท่านั้น

“จะเปิดศึกแล้วใช่หรือไม่”

“ไม่รู้ว่าภายใต้เคล็ดวิชาวิญญาณของจ้าวหิมะเหิน พลังยุทธ์ของจักรพรรดิเป่ยเหอจะเหลืออยู่สักกี่ส่วนกัน!”

“จักรพรรดิเป่ยเหอเป็นผู้ที่เยาว์วัยทีสุดในบรรดาจักรพรรดิทั้งหมด แต่กลับเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในตอนนี้ ใกล้เคียงกับยอดเคารพ หวังว่าภายใต้เคล็ดวิชาวิญญาณของจ้าวหิมะเหิน พลังยุทธ์ของเขาจะสามารถลดลงไปได้สักครึ่งหนึ่งเป็นอย่างน้อยนะ”

“ไม่ว่าอย่างไร สุดท้ายแล้วเขาก็เป็นระดับจักรพรรดิอยู่ดี! ไม่ต้องพูดถึงเขาเลย ต่อให้มิใช่ยอดเคารพ ก็เป็นระดับจักรพรรดิขั้นสมบูรณ์ วิญญาณก็คงจะมิได้แตกต่างกันสักเท่าใดนัก เพียงแต่ปณิธานมีความแตกต่างกันอยู่บ้างเท่านั้นเอง” บรรดาประมุขโลกเหล่านี้ถ่ายเสียงระหว่างกัน ต่างก็ระแวดระวังและเตรียมพร้อมเปิดศึกอยู่ตลอดเวลา

แต่ในขณะนี้บริเวณรอบๆ เกรงว่ามีเพียงสองคนเท่านั้นที่ค่อนข้างผ่อนคลายกว่าใคร

คนหนึ่งคือตงป๋อเสวี่ยอิง ถึงอย่างไรเขาก็มีร่างแยกมากมาย อยู่ที่นี่ เขาทุ่มเทอย่างสุดกำลังก็ใช้ได้แล้ว

ส่วนอีกคนหนึ่งก็คือจักรพรรดิเป่ยเหอ! เขาเป็นผู้ถือสิทธิ์ริเริ่ม จะเปิดศึกหรือไม่ล้วนให้เขาเป็นผู้ตัดสินใจทั้งสิ้น

สำหรับคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเหล่าประมุขโลก บรรดาชนเผ่าแสงดาว หรือแม้กระทั่งเหล่าแม่ทัพเทพด้านหลังจักรพรรดิเป่ยเหอเหล่านั้นต่างก็มีความกระวนกระวายอยู่บ้าง แม้กระทั่งแม่ทัพเทพอันดับหนึ่ง ‘แม่ทัพเทพประจัญทมิฬ’ ก็ยังมิกล้าลำพองใจ ถึงอย่างไรทางด้านการต้านทานเคล็ดวิชาวิญญาณ เขาถามตัวเองแล้วก็ยังไม่แน่ใจว่าจะสามารถทำได้ดีกว่าแม่ทัพเทพโครงกระดูก! และตอนนี้ยังมีประมุขโลกกลุ่มใหญ่อยู่ที่นี่อีกด้วย! เมื่อใดที่เผชิญกับการล้อมโจมตี ที่นี่ก็มีแต่จักรพรรดิเป่ยเหอที่สามารถอยู่อย่างสบายๆ ได้กระมัง

“ฮ่าฮ่าฮ่า…”

เสียงหัวเราะสะท้อนก้องไปทั่วท้องฟ้าบริเวณรอบๆ “ได้ยินว่าในบรรดาผู้บำเพ็ญของดินแดนจิตโลกา มีบุคคลที่ล้ำเลิศอย่างที่สุดอยู่คนหนึ่ง เคล็ดวิชาวิญญาณถึงขนาดที่สามารถทำให้ผู้ที่ไปถึงระดับจักรพรรดิจมดิ่งลงไปได้ในทันที หลังจากที่ข้าได้รู้แล้วก็นับถือเป็นอย่างยิ่ง! พวกแม่ทัพเทพโครงกระดูกก็บ้าบิ่นเช่นเดียวกัน รู้พลังยุทธ์ของเจ้าก็ยังเปิดศึกอย่างต่อเนื่อง ถ้าหากตอนนั้นข้าอยู่ที่นั่นก็คงหยุดยั้งไปนานแล้ว”

ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้งเล็กน้อย

ประมุขแสงดาวและเหล่าประมุขโลกแต่ละคนตะลึงงัน บรรดาประมุขเผ่าแสงดาวต่างก็ตกตะลึงเช่นกัน

หมายความว่าอย่างไรกัน

หยุดการต่อสู้อย่างนั้นหรือ

“พูดถึงความสำเร็จทางด้านวิถีวิญญาณ ไม่ว่าจะเป็นดินแดนจิตโลกาหรือว่าหุบเขาเขี้ยวหัก จ้าวหิมะเหินต่างก็เป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ทั้งสิ้น! ได้ยินเกี่ยวกับบุคคลที่ล้ำเลิศเช่นนี้ ข้าก็ชมชอบอยู่เต็มหัวใจ ได้รู้ว่าก่อนหน้านี้พวกแม่ทัพเทพโครงกระดูกปะทะกับจ้าวหิมะเหิน จึงได้มาเชื้อเชิญด้วยตนเอง ขอเชิญไปเป็นแขกที่โลกเป่ยเหอของข้าแห่งนั้น ไม่รู้ว่าจ้าวหิมะเหินจะช่วยไว้หน้าข้าสักหน่อยได้หรือไม่”

จักรพรรดิเป่ยเหอยืนด้วยมืออยู่ที่หัวเรือพลางมองตงป๋อเสวี่ยอิง

“เชื้อเชิญข้าหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงดูเผินๆ เหมือนสงบนิ่ง แต่ในใจกลับลอบประหลาดใจ ทันใดนั้นก็ถ่ายเสียงให้กับประมุขแสงดาวที่อยู่ข้างๆ ว่า “พี่แสงดาว ท่านว่าจักรพรรดิเป่ยเหอนี่หมายความว่าอย่างไรกัน”

“ข้าก็ประหลาดใจเช่นกัน” ประมุขแสงดาวแปลกใจพลางถ่ายเสียงพูด “ถ้าหากต้องการจะเปิดศึกก็ไม่จำเป็นต้องเอ่ยวาจาเหล่านี้เลย หรือว่ามิได้มีเจตนาจะเป็นศัตรู คิดจะผูกมิตรกับน้องหิมะเหินจริงๆ กันแน่ น้องหิมะเหิน เจ้าก็ต้องระวังตัวหน่อยล่ะ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะมีแผนลวงอันใดอยู่ก็เป็นได้”

“แผนลวงหรือ ข้าจะไปกลัวแผนลวงอันใดกัน ก็เพียงแค่ร่างแยกร่างหนึ่งเท่านั้นเอง นึกคิดคราหนึ่งก็มลายหายไปแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูด “ในเมื่อเขา จักรพรรดิเป่ยเหอมาเชื้อเชิญ เช่นนั้นข้าก็จะลองรับคำเชิญดูก็แล้วกัน ดูว่าแท้ที่จริงแล้วเขาจะทำอะไรกันแน่ วางใจเถิด ร่างแยกร่างหนึ่งของข้าไป ร่างแยกอื่นๆ ก็ยังคงรั้งอยู่ที่นี่เหมือนเดิม”

“อืม น้องหิมะเหิน ก็ระวังตัวหน่อยก็แล้วกัน” ประมุขแสงดาวก็เห็นด้วย ในขณะนั้นเขาก็คิดไม่ถึงว่าจะมีอะไรสามารถคุกคามร่างแยกของผู้แกร่งกล้าที่สามารถละทิ้งได้ตลอดเวลาเช่นนี้ได้ ต่อต้านวิญญาณอย่างนั้นหรือ เคล็ดวิชาที่ต่อต้านวิญญาณได้ ต่อให้สามารถส่งผลกระทบต่อร่างแยกอื่นๆ ได้ แต่ตัวตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็เป็นผู้แกร่งกล้าที่สุดทางด้านวิถีวิญญาณในประวัติศาสตร์ที่ดินแดนจิตโลกาและหุบเขาเขี้ยวหักเคยมีมา!

……

“หรือว่าจ้าวหิมะเหินยังคาใจอยู่ คาใจในการรุกรานของพวกแม่ทัพเทพโครงกระดูกก่อนหน้านี้” จักรพรรดิเป่ยเหอพูดยิ้มๆ

“ในเมื่อจักรพรรดิเป่ยเหอเชื้อเชิญด้วยตนเอง เช่นนั้นข้าก็จะไปดูสักหน่อยก็ได้ ยังไม่เคยไปที่โลกเป่ยเหอมาก่อนเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มพลางเอ่ยอย่างสบายๆ

จักรพรรดิเป่ยเหอพยักหน้า พร้อมกันนั้นก็เหลือบมองไปทางประมุขแสงดาวที่อยู่ข้างกายตงป๋อเสวี่ยอิง เขารู้ว่าเหตุผลที่ตงป๋อเสวี่ยอิงช่วยเหลือเผ่าแสงดาวก็เพราะมีภูมิหลังกับประมุขแสงดาว! จึงเอ่ยปากพูดในทันที “ถ้าหากประมุขโลกแสงดาวต้องการก็ไปด้วยกันได้นะ”

ประมุขแสงดาวลังเลอยู่ชั่วครู่

ไปด้วยกันอย่างนั้นหรือ

จ้าวหิมะเหินสามารถละทิ้งร่างแยกได้ตลอดเวลา แต่เขาก็มิได้มีร่างแยกด้วยเสียหน่อย

“ขอบคุณจักรพรรดิ” ประมุขแสงดาวพูด แต่กลับแยกร่างแปรออกมาร่างหนึ่งติดตามไปกับตงป๋อเสวี่ยอิง

เพียงแค่ส่งร่างแปรร่างหนึ่งติดตามตงป๋อเสวี่ยอิงไปยังโลกเป่ยเหอ เห็นได้ชัดว่าเป็นกังวลว่าร่างของตนจะดับสูญ! ตัวจักรพรรดิเป่ยเหอเองก็มิได้ใส่ใจ เพียงแต่เหล่าแม่ทัพเทพกลุ่มหนึ่งด้านหลังเขาได้เห็นเหตุการณ์แล้วก็ลอบยิ้มหยัน จักรพรรดิมีสถานะเช่นไร ต่อให้ใช้แผนลวง ก็ไม่มีทางไปจัดการกับประมุขโลกธรรมดาๆ คนหนึ่งหรอก! เสียหน้าเกินไปแล้ว!

ประมุขแสงดาวก็รู้ในจุดนี้ดี เพียงแต่เขาไม่กล้าเสี่ยงอันตราย ถึงอย่างไรคราวนี้พวกเขาก็กำลังยั่วยุจักรพรรดิเป่ยเหออยู่

สวบ! สวบ!

ตงป๋อเสวี่ยอิงพาตัวร่างแปรประมุขแสงดาวบินตรงไปยังเรือปีกบินประกายทองนั้น

“ได้ยินเรื่องราวของจ้าวหิมะเหินแล้วก็อยากจะไปพบหน้าจ้าวท่านในทันที วันนี้ได้พบแล้วก็ได้รู้ว่าไม่ธรรมดาจริงๆ เสียด้วย” จักรพรรดิเป่ยเหอต้อนรับอย่างกระตือรือร้น พร้อมกันนั้นก็ออกคำสั่ง “ไป กลับได้”

เรือปีกบินประกายทองออกเดินทางอีกครั้ง มุ่งสู่เส้นทางกลับ

******

ณ โลกเป่ยเหอ

ภายในวังอันตระการตา ภายในโถงตำหนักหลัก จักรพรรดิเป่ยเหอนั่งอยู่ที่ตำแหน่งประธาน เขาจัดที่นั่งทางซ้ายมือที่แรกให้กับตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยตนเอง ส่วนประมุขแสงดาวก็จัดเป็นตำแหน่งที่สองทางซ้ายมือ ส่วนตำแหน่งอื่นๆ ก็เป็นเหล่าแม่ทัพเทพกลุ่มหนึ่ง

“พรึ่บๆๆ…”

แม่ทัพเทพมาถึงคนแล้วคนเล่า

“จักรพรรดิ”

“จักรพรรดิ”

หลังจากเหล่าแม่ทัพเทพมาถึงแล้วก็พากันทำความเคารพ หลังจากนั้นก็เข้าประจำที่นั่ง

รอจนพร้อมหน้ากันแล้ว แม่ทัพเทพสามสิบหกคนก็มากันถึงสามสิบสี่คน สองคนที่ไม่ได้มาก็คือแม่ทัพเทพควันวายุและแม่ทัพเทพเขมือบเมฆาที่ถูกจับเป็นเชลย! จักรพรรดิเป่ยเหอก็มิได้เอ่ยปากถามถึงเชลยสองคนนั้นเลย

“วันนี้สามารถเชิญตัวจ้าวหิมะเหินมาที่นี่ได้ ข้าก็เบิกบานใจเป็นอย่างยิ่ง ทางด้านวิถีวิญญาณ จ้าวหิมะเหินก็เดินไปไกลกว่าพวกเรามากนัก แม้กระทั่งยอดเคารพ เมื่อเปรียบเทียบกับจ้าวท่านทางด้านวิถีวิญญาณก็ยังด้อยกว่าอยู่มากนัก” จักรพรรดิเป่ยเหอพูด ที่หุบเขาเขี้ยวหัก ตามปกติแล้วก็ต้องให้การเคารพนับถือยอดเคารพอยู่มากพอสมควร! ก็เพราะจักรพรรดิเป่ยเหอมีสถานะสูงส่งพอ จึงกล้าพูดเช่นนี้ออกมาได้

มิฉะนั้นลำพังแค่โทษของการไม่ให้ความเคารพ ก็ต้องมีผู้แกร่งกล้าใต้บังคับบัญชาของยอดเคารพมาสังหารแล้ว!

“หืม”

“จักรพรรดิให้ความสำคัญกับผู้บำเพ็ญหิมะเหินผู้นี้มากเกินไปแล้วกระมัง”

“ให้ความสำคัญมากเกินไปแล้ว”

เหล่าแม่ทัพเทพคิดไปต่างๆ นานา พลางลอบวางแผนอยู่ในใจ

แต่จักรพรรดิเป่ยเหอก็ตบมือเบาๆ

ทันใดนั้นกลุ่มสาวใช้รูปงามก็ยกสุราชั้นเลิศและอาหารอันโอชะนานาชนิดขึ้นมา อาหารอันโอชะวางอยู่ตรงหน้า ตรงกลางของสิ่งเหล่านั้นก็มีจานลายอยู่ใบหนึ่ง บนจานลายก็มีกลีบดอกไม้สีม่วงน้ำเงินกลีบหนึ่งวางอยู่ กลีบดอกไม้มีขนาดใหญ่ประมาณฝ่ามือ มีเนื้ออวบอิ่ม ดมแล้วก็ยังมีกลิ่นหอมด้วย ชวนให้คนน้ำลายสอขึ้นมาอย่างประหลาด ทุกอณูในร่างกายคล้ายกับพากันส่งเสียงร้องตะโกนอยากจะกินกลีบดอกไม้นี้เสียให้เกลี้ยง

“นี่คืออะไรหรือ” ประมุขแสงดาวที่นั่งอยู่ข้างตงป๋อเสวี่ยอิงมองเห็นอาหารอันโอชะมากมาย ถึงแม้ว่าจะตกตะลึง แต่ยามที่ได้เห็นกลีบดอกไม้กลีบนี้แล้วกลับปากอ้าตาค้าง “ดอกนกกางเขนหรือ”

ดอกนกกางเขน วัตถุที่อยู่ในตำนานของหุบเขาเขี้ยวหัก

ดอกนกกางเขนดอกหนึ่งมีอยู่สิบแปดกลีบ งานเลี้ยงคราวนี้ แม่ทัพเทพสามสิบสี่คนรวมกับตงป๋อเสวี่ยอิงและประมุขแสงดาวก็มีอยู่สามสิบหกคนพอดี ก็สิ้นเปลืองดอกนกกางเขนมากถึงสองดอก

‘งานเลี้ยงดอกนกกางเขน’ ของจักรพรรดิเป่ยเหอก็จัดเป็นอันดับต้นๆ ของทั้งหุบเขาเขี้ยวหัก พูดถึงมูลค่า กลีบดอกไม้กลีบหนึ่งก็เทียบเคียงได้กับ ‘ผลวิญญาณทิพย์’ ที่ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้เสี่ยงชีวิตเพื่อให้ได้มาในตอนนั้นเลยทีเดียว สิ่งที่สำคัญก็คือกลีบดอกนกกางเขนมีผลลัพธ์อันน่าอัศจรรย์ต่อชนพื้นเมืองดั้งเดิมทุกคน ไม่เหมือนกับผลวิญญาณทิพย์ที่มีผลลัพธ์อันน่าอัศจรรย์ต่อผู้ที่มีส่วนของสายโลหิตอยู่เท่านั้น

จักรพรรดิเป่ยเหอสามารถสั่งการสามสิบหกแม่ทัพเทพได้ ‘ดอกนกกางเขน’ ก็เป็นองค์ประกอบที่สำคัญยิ่ง แต่ ‘ต้นดอกนกกางเขน’ กลับถูกจักรพรรดิเป่ยเหอครอบครองแต่เพียงผู้เดียวมานานแล้ว!

“ข้าจะได้ จะได้กลีบดอกนกกางเขนกลีบหนึ่งจริงๆ น่ะหรือ” ประมุขแสงดาวตื่นเต้นหาใดเปรียบ ในอดีตเขาเพียงแค่เคยได้ยินคนเล่ามาเท่านั้น แม้แต่เห็นก็ยังไม่เคยเห็นวัตถุในตำนานนี่มาก่อนเลยเสียด้วยซ้ำ

“ทุกท่าน พวกเรายกแก้วแล้วดื่มด้วยกันดีกว่า!” จักรพรรดิเป่ยเหอชูแก้วขึ้นพลางส่งเสียงพูดยิ้มๆ

……

งานเลี้ยงคราวนี้มีระดับสูงส่งยิ่งนัก วัตถุวิเศษที่ใช้สร้างวิญญาณขึ้นมาใหม่ และอาหารเลิศรสนานาชนิด ไม่เสียทีที่เป็นงานเลี้ยงดอกนกกางเขน

นี่ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงที่เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างลอบประหลาดใจว่าจักรพรรดิเป่ยเหอผู้นี้กระตือรือร้นมากเกินไปแล้วหรือไม่ นึกอยากจะชดเชยให้กับการพิพาทก่อนหน้านี้ แต่ก็ไม่เห็นจำเป็นจะต้องทำเช่นนี้เลย

งานเลี้ยงใช้เวลาไปครึ่งวันจึงสิ้นสุดลง

จักรพรรดิเป่ยเหอมาเชื้อเชิญตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยตนเอง คนทั้งสองเดินเคียงไหล่กันอยู่ท่ามกลางสวนอันกว้างใหญ่

“จักรพรรดิมีสิ่งใดที่อยากพูด ตอนนี้ก็ได้โปรดพูดมาให้หมดเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด

“เจ้าเดาได้ด้วยหรือว่าข้ามีเรื่องที่อยากจะพูดกับเจ้า” จักรพรรดิเป่ยเหออมยิ้มน้อยๆ

“ถ้าหากไม่มีเรื่องอันใด ดอกนกกางเขนสองดอกสำหรับตกแต่งงานเลี้ยงงานหนึ่งก็เป็นสิ่งที่ฟุ่มเฟือยมากเกินไปแล้วล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด แม้กระทั่งเขาที่เป็นผู้บำเพ็ญคนหนึ่ง ยามที่กินกลีบดอกนกกางเขนกลีบนั้นลงไปก็ยังรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า รู้สึกได้ถึงพลังอันไร้รูปร่างแผ่ซ่านภายในร่างกายหล่อเลี้ยงไปทั่วทั้งร่าง ทำให้ร่างกายเกิดความเปลี่ยนแปลงในจุดที่ละเอียดอ่อนมากมาย ระดับความแข็งแกร่งของร่างกายก็เพิ่มพูนขึ้นถึงสองส่วนด้วยเหตุนี้

แน่นอนว่าก่อนหน้านี้ถึงแม้ว่าจะเทียบเคียงได้กับเทพจักรวาลขั้นสุดยอดอย่างพอถูไถ ฝึกกายไหลเวียนในร่างกาย แต่ร่างกายเช่นนี้เมื่อเปรียบเทียบกับระดับจักรพรรดิของหุบเขาเขี้ยวหักก็แตกต่างกันอย่างมหาศาลเลยทีเดียว

กลีบดอกนกกางเขนนี้ทำให้ร่างกายของตนยกระดับขึ้นถึงสองส่วน ในความเป็นจริงแล้วก็ช่างสิ้นเปลืองนัก! หากให้ผู้แกร่งกล้าระดับอ๋องของชนพื้นเมืองดั้งเดิมได้ใช้ ผลลัพธ์ก็จะยิ่งมหัศจรรย์

“ฮ่าฮ่า งานเลี้ยงต้อนรับจ้าวหิมะเหินทั้งที ดอกนกกางเขนแค่สองดอกจะนับเป็นอะไรได้เล่า”

จักรพรรดิเป่ยเหอมองไปยังฟากฟ้าอันไร้ที่สิ้นสุดไกลออกไปแล้วพูดพลางยิ้มน้อยๆ “ไม่รู้ว่าจ้าวหิมะเหินอยากจะแบ่งปันใต้หล้านี้กับข้าหรือไม่ สมบัติล้ำค่าของข้าก็เป็นของข้าครึ่งหนึ่ง ของเจ้าครึ่งหนึ่ง!”

ตงป๋อเสวี่ยอิงตะลึงงันไปเสียแล้ว

……………………………………………….

“ฮ่าฮ่า ตอนนี้พวกเจ้าก็ออกเดินทางติดตามข้ามาเสีย ข้าอดใจรอพบจ้าวหิมะเหินไม่ไหวแล้ว”

จักรพรรดิเป่ยเหอเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“ขอรับ จักรพรรดิ” เหล่าแม่ทัพเทพได้แต่รับคำสั่งอย่างเชื่อฟัง

เพียงไม่นาน ‘เรือปีกบินประกายทอง’ ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทั้งหุบเขาเขี้ยวหักลำนั้นก็ไปจากโลกเป่ยเหออย่างยิ่งใหญ่ เคลื่อนตัวคราหนึ่งก็มุ่งตรงไปยังโลกแสงดาว

……

ณ โลกแสงดาว

ตงป๋อเสวี่ยอิงและประมุขแสงดาว กับคนกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันอยู่ที่โถงตำหนัก พร้อมที่จะรับมือกับศัตรูจากภายนอกตลอดเวลา

“น้องหิมะเหิน ข้ากำลังติดต่อสื่อสารกับเหล่าประมุขโลกอยู่” ประมุขแสงดาวพูดต่อ “พวกเขาได้ยินว่าน้องหิมะเหินเต็มใจช่วยเหลือ ทุกคนต่างก็ตื่นเต้นหาใดเปรียบ น้องหิมะเหินมีความต้องการอันใดก็จงพูดมา บุญคุณอันใหญ่หลวงอย่างการช่วยเหลือทั้งเผ่าพันธุ์นี้ ขอเพียงแค่พวกเขาสามารถให้ได้ เกรงว่าก็คงไม่มีทางลังเลเลย!”

ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงทัศนคติของประมุขแสงดาว

ยามที่ตนเองมาถึงในตอนแรก ประมุขแสงดาวปฏิบัติต่อตนเหมือนเป็นสหาย แต่ตอนนี้กลับเห็นตนเป็น ‘ผู้มีพระคุณ’ มีความซาบซึ้งเกินกว่าที่จะพรรณนาได้

“ข้าต้องการข้อมูลของเกาะลอยคว้าง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ

“ข้อมูลน่ะไม่ควรค่าแก่การพูดถึงหรอก” ประมุขแสงดาวกลับเอ่ยต่อไปว่า “ข้อมูลนั้นจะว่าไปแล้วก็ล้ำค่ายิ่ง โลกแต่ละแห่งต่างก็ไม่ปล่อยให้รั่วไหลโดยง่าย แต่ในความเป็นจริงต่อให้ตกลงกันแล้วก็มิได้เป็นการสูญเสียต่อเผ่าพันธุ์ของตนมากสักเท่าใดนัก! อย่างบุญคุณอันยิ่งใหญ่เช่นการช่วยรักษาเผ่าพันธุ์ ถ้าหากน้องหิมะเหินเพียงแค่หยิบยกพูดถึงเงื่อนไขนี้ เกรงว่าพวกเขาก็คงจะลำบากใจเช่นกัน! มิได้ให้ผลประโยชน์มากเพียงพอ พวกเขาก็อาจจะไม่เชื่อว่าน้องหิมะเหินจะสามารถช่วยเหลือเผ่าพันธุ์ของพวกเขาในยามคับขันได้”

ตงป๋อเสวี่ยอิงนิ่งงัน ก็ยังเข้าไปส่งสมบัติล้ำค่าให้

เกรงว่าผู้บำเพ็ญของดินแดนจิตโลกาจะยังไม่มีเลยแม้แต่คนเดียวที่มีประสบการณ์เช่นเดียวกับตนกระมัง! อย่างเช่นบรรดาประมุขของโลกชนพื้นเมืองดั้งเดิมเหล่านี้ เกรงว่าก่อนหน้านี้ต่างก็ไม่เห็นผู้บำเพ็ญอยู่ในสายตากันเลย

“ถ้าหากมีวัตถุวิเศษที่ใช้สร้างวิญญาณขึ้นมาใหม่บางอย่างที่ไร้ประโยชน์ต่อชนพื้นเมืองดั้งเดิม แต่มีประโยชน์เป็นอย่างมากต่อผู้บำเพ็ญ ข้าก็สามารถเก็บเอาไปได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด

“น้องหิมะเหิน เงื่อนไขนี้ของเจ้านั้นต่ำเกินไปเสียแล้ว ข้าจะให้พวกเขาดูแลจัดเตรียมของขวัญก็แล้วกัน เมื่อถึงเวลาเจ้าก็ไปเลือกเอา” ประมุขแสงดาวกลับพูดขึ้น ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนแปร อดที่จะอุทานมิได้ “เรือปีกบินประกายทอง! ช่างมาได้อย่างรวดเร็วนัก! ข้าต้องไปเรียกรวมตัวเหล่าประมุขโลกคนอื่นๆ เดี๋ยวนี้”

“เรือปีกบินประกายทองหรือ”

“อะไรกัน จักรพรรดิเป่ยเหอมาถึงได้อย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ”

เหล่าผู้อาวุโสภายในโถงตำหนักเผ่าแสงดาวและเหล่าหัวหน้าทัพหน้าถอดสีกันทุกคน

จักรพรรดิเป่ยเหอมีสถานะเช่นไร

โลกชนพื้นเมืองดั้งเดิมมีจำนวนมากมายมหาศาล ประมุขโลกที่โลกบ้านเกิดของคน มีพลังแห่งโลกบ้านเกิดส่งเสริม พลังยุทธ์ก็ยังนับได้ว่าไม่เลว เมื่อใดที่ออกไปจากบ้านเกิด พลังยุทธ์ก็จะลดต่ำลงไปส่วนหนึ่งในทันที! ‘ประมุขแสงดาว’ อยู่ที่หุบเขาเขี้ยวหักอันไพศาลก็ย่อมมิอาจจัดอันดับได้อยู่แล้ว เพียงแต่สมาชิกธรรมดาๆ คนหนึ่งในบรรดาประมุขโลกจำนวนมาก อย่างเช่นก่อนหน้านี้ราชันย์อนธการอมตะเคยพบกับประมุขแสงดาวแล้วต่างก็ไม่รู้จักกัน สถานะอย่างประมุขแสงดาวนี้ ตามปกติแล้วไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะพบจักรพรรดิเป่ยเหอเลยด้วยซ้ำ ถึงอย่างไรจักรพรรดิเป่ยเหอก็ถูกกล่าวขานว่าเป็นบุคคลที่เข้าใกล้ระดับยอดเคารพมากที่สุดแล้ว

******

นครแสงดาว แสงดาวอันเข้มข้นส่องประกายระยับไปทั่วทั้งนครหลวง นอกจากนี้ยังปกคลุมไปทั่วทั้งสี่ทิศ กดดันทั่วทั้งโลก

ประมุขแสงดาวและตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏตัวขึ้นเคียงข้างกันที่นอกประตูเมือง พร้อมกันนั้นบริเวณรอบๆ ก็ยังมีระลอกคลื่นห้วงมิติสายแล้วสายเล่าปรากฏขึ้นด้วย ประมุขโลกคนแล้วคนเล่ากำลังมาถึงอย่างต่อเนื่อง! บรรดาประมุขโลกเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ที่ ‘ประมุขแสงดาว’ อนุญาต จึงมิได้เผชิญกับการสกัดกั้น ถูกเหนี่ยวนำให้เคลื่อนที่ในพริบตามาถึงที่นี่โดยตรง แต่ ‘เรือปีกบินประกายทอง’ ของจักรพรรดิเป่ยเหอก็ปรากฏขึ้นยังบริเวณไกลๆ แล้วเช่นกัน และกำลังฝืนทลายเปิดการสกัดกั้นของแสงดาวเคลื่อนเข้ามาด้วยความเร็วสูง

“พี่แสงดาว”

“พี่แสงดาว จักรพรรดิเป่ยเหอมาอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ”

ประมุขโลกแต่ละคนมาถึง พวกเขาต่างก็คุ้นเคยกับประมุขแสงดาวเป็นอย่างยิ่ง ต่างก็เป็นสหายเก่าแก่กันแล้ว! ถึงอย่างไรผู้ที่ประมุขแสงดาวติดต่อไปก่อนต่างก็เป็นประมุขโลกกลุ่มหนึ่งที่สนิทสนมคุ้นเคยที่สุด แต่หุบเขาเขี้ยวหักใหญ่โตยิ่งนัก มีโลกชนพื้นเมืองดั้งเดิมมากมาย ก็มีโลกจำนวนมากที่มิได้มีปฏิสัมพันธ์กับโลกแสงดาวแต่อย่างใด คราวนี้ประมุขแสงดาวรวบรวมสหายมาได้เกินกว่ายี่สิบท่าน

เมื่อรวมตัวได้แล้ว แต่ละคนก็เคลื่อนที่ผ่านอากาศเข้ามา!

พวกเขามองมาทางตงป๋อเสวี่ยอิงในรูปลักษณ์หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาว ทุกคนล้วนมีท่าทีตื่นเต้นและคาดหวังอยู่บ้าง

“นี่ก็คือน้องหิมะเหินของข้า” ประมุขแสงดาวแนะนำ พร้อมกันนั้นเขาก็มองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง “น้องหิมะเหิน คนเหล่านี้ก็คือสหายที่สนิทสนมที่สุดของข้า ต่างก็เป็นประมุขโลกที่อยู่บริเวณรอบๆ นี่! ล้วนมิใช่มาร พวกที่โหดร้ายนั่นข้าย่อมไม่เสวนาด้วยอยู่แล้ว”

“คารวะจ้าวหิมะเหิน” เหล่าประมุขโลกกลุ่มนี้มีรูปลักษณ์ต่างๆ นานา บ้างก็มีร่างกายเป็นสัตว์ มีศีรษะเป็นมนุษย์ บ้างก็มีสองหัวว บ้างก็มีเรือนผมแผ่สยาย มีขนาดใหญ่กว่าลำตัวอย่างเห็นได้ชัด…

กลิ่นอายก็แตกต่างกัน สายโลหิตก็ไม่เหมือนกัน

พวกเขาแต่ละคนต่างก็ทักทายตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยความเคารพเป็นอย่างยิ่ง!

“ประมุขโลกทุกท่าน จักรพรรดิเป่ยเหอมาถึงแล้ว พวกเรามาต้อนรับจักรพรรดิเป่ยเหอผู้นี้กันก่อนเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด

“ได้ มาต้อนรับจักรพรรดิท่านนี้กันก่อน”

“รอให้เสร็จเรื่องแล้วพวกเราค่อยมาสนทนากับจ้าวหิมะเหินโดยละเอียด”

ประมุขโลกแต่ละคนต่างก็พยายามอดกลั้นความคิดมากมายในหัวใจเอาไว้ ทุกคนหันหน้ามองไปทางห้วงอากาศที่อยู่ไกลออกไป

ครืน…

เรือปีกบินประกายทองลำนั้นเคลื่อนเข้ามาใกล้จากบริเวณไกลๆ อย่างรวดเร็ว มันมีขนาดใหญ่โตมโหฬารยิ่ง แม้กระทั่งทั้งสองข้างของกราบเรือใหญ่ยังมีประกายทองรวมตัวกันเป็นปีก เรือบินทั้งลำแหวกผ่านอากาศ ประกายทองระยิบระยับจับตาหาใดเปรียบ! พูดถึงพลังคุกคามก็ทำให้ประมุขแสงดาวและเหล่าประมุขโลกกลุ่มหนึ่งได้เห็นแล้วก็อดที่จะรู้สึกถึงแรงกดดันอันไร้นามที่ทำให้หัวใจบีบรัดมิได้

ถ้าหากไม่มีตงป๋อเสวี่ยอิง! ไม่ต้องพูดถึงพวกเขายี่สิบเก้าคนเลย ต่อให้รวบรวมประมุขโลกได้หนึ่งร้อยคนก็ไม่กล้าเรียกรวมตัวต่อต้านจักรพรรดิเป่ยเหอหรอก!

ลำพังแค่ส่งแม่ทัพเทพที่ร้ายกาจมาไม่กี่คนก็สามารถทำลายล้างสังหารทั่วทั้งสี่ทิศได้อย่างสบายๆ แล้ว!

กล้ารวบรวมประมุขโลกร้อยคนมาอยู่ด้วยกันอย่างนั้นหรือ ก็ส่งสามสิบหกแม่ทัพเทพออกมาจัดการ! ผลาญสังหารเสียให้สิ้น!

ดังนั้นถึงแม้ว่าจักรพรรดิเป่ยเหอจะอหังการเป็นอย่างยิ่ง ต้องการจะควบคุมโลกทุกแห่ง แต่บรรดาโลกเหล่านั้นก็เพียงแค่ต่างคนต่างต้านทานเท่านั้น ย่อมมิกล้ารวมตัวกันขึ้นมาต่อต้านอยู่แล้ว เพราะว่าเมื่อใดที่รวมตัวกันก็ย่อมต้องเผชิญกับ ‘การกระหน่ำโจมตี’ อยู่แล้ว

“มีน้องหิมะเหิน พลังยุทธ์ของเหล่าแม่ทัพเทพก็ย่อมต้องลดฮวบลงอย่างฉับพลันยยู่แล้ว ผู้ที่พลังยุทธ์อ่อนแอก็จะจมดิ่งในทันที แม้กระทั่งแม่ทัพเทพที่จัดอยู่ในสิบอันดับแรก เกรงว่าพลังยุทธ์ก็คงจะใกล้เคียงกันกับทุกท่าน” ประมุขแสงดาวถ่ายเสียงปลุกใจ “ถึงแม้ว่าจักรพรรดิเป่ยเหอจะแกร่งกล้า แต่พลังยุทธ์ก็ต้องลดลงอย่างมหาศาลเช่นเดียวกัน ข้ากับประมุขโลกสิบท่านร่วมมือกันก็เพียงพอที่จะเทียบเคียงได้แล้ว!”

“พูดถึงพลังยุทธ์ พวกเราก็มิได้อ่อนด้อยไปกว่าพวกเขาเลย” ประมุขแสงดาวถ่ายเสียงพูด

เหล่าประมุขโลกคนอื่นๆ แต่ละคนต่างพากันพยักหน้า เพื่อเผ่าพันธุ์ บวกกับมีความมั่นใจที่จ้าวหิมะเหินนำมาให้ ทำให้พวกเขากล้าเผชิญหน้ากับจักรพรรดิเป่ยเหอในที่สุด!

“ตึง!”

เรือปีกบินประกายทองหยุดลง

เรือขนาดมหึมาเปล่งประกายสีทองระยับจับตา ที่หัวเรือมีเงาร่างกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้น ที่นำมาก็คือชายหนุ่มอาภรณ์เขียวคนหนึ่ง ด้านหลังคือเหล่าแม่ทัพเทพกลุ่มหนึ่ง แม่ทัพเทพเหล่านั้นแต่ละคนกลิ่นอายยิ่งใหญ่ไม่ธรรมดา ทุกคนต่างกล้าแกร่งกว่าบรรดาประมุขโลกเหล่านี้มากมายอย่างเห็นได้ชัด ส่วน ‘จักรพรรดิเป่ยเหอ’ ก็ยิ่งแฝงไว้ด้วยแรงกดดันอันน่าหวาดหวั่น

เขายืนอยู่ที่นั่นคนเดียวก็ทำให้ชนพื้นเมืองดั้งเดิมทั้งหมดทั่วทั้งนครแสงดาวหวาดหวั่นไม่เป็นสุขแล้ว

คนเดียวทำลายล้างโลก

สำหรับจักรพรรดิเป่ยเหอ…มิใช่เรื่องยากแต่อย่างใดเลย!

“จักรพรรดิเป่ยเหอ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเงยหน้า ก็มองเห็นจักรพรรดิเป่ยเหอที่มีชื่อเสียงเลื่องลือผู้นั้น ผู้ที่ยืนอยู่ที่จุดยอดสุดของหุบเขาเขี้ยวหักอย่างไม่ต้องสงสัย และมีพลังยุทธ์ใกล้เคียงกับยอดเคารพ!

จักรพรรดิเป่ยเหอก็กวาดสายตามามอง

ในขณะนี้เอง

สายตาของพวกเขาสองคนก็ปะทะเข้าด้วยกัน

มุมปากของจักรพรรดิเป่ยเหอปรากฏรอยยิ้มขึ้น อาจพูดได้ว่ายอดฝีมือกลุ่มใหญ่ของนครแสงดาวกลุ่มนี้ก็มีเพียงแค่จ้าวหิมะเหินคนเดียวที่คู่ควรให้เขาสนใจ

…………………………………………………

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองชายหนุ่มในชุดเกราะกระดูกสีขาวหนีห่างออกไป รอจนการกดดันของแสงดาวอ่อนลงพอสมควรแล้วจึงฝืนฉีกห้วงอากาศเคลื่อนที่จากไป

“สามารถถูกจัดเป็นอันดับสองในสามสิบหกแม่ทัพเทพได้ ดูท่าทางก็สามารถนับได้ว่าเป็นสุดยอดผู้แกร่งกล้าของทั่วทั้งหุบเขาเขี้ยวหักแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ “มิน่าเล่าชนพื้นเมืองดั้งเดิมและเผ่ามรณะทมิฬ สองเผ่าพันธุ์ใหญ่นี้ของหุบเขาเขี้ยวหักถึงมิใคร่จะเห็นผู้บำเพ็ญอยู่ในสายตานัก ความจริงแล้วความแตกต่างช่างมากมายนัก”

พูดขึ้นมาแล้ว

ผู้บำเพ็ญกับสองเผ่าพันธุ์ใหญ่ของหุบเขาเขี้ยวหัก ทางด้านพลังยุทธ์ ‘ระดับจักรพรรดิ’ ก็น้อยลงไปขั้นหนึ่ง!

‘ไร้เทียมทาน’ ในบรรดาผู้บำเพ็ญ พูดถึงพลังรบก็นับได้เพียงว่าเป็นระดับอ๋องขั้นสมบูรณ์เท่านั้น! เพราะเคล็ดวิชาเร้นลับเพียงพอ จึงสามารถเทียบเคียงได้กับ ‘จักรพรรดิระดับต้น’ อย่างพอถูไถเท่านั้น เช่นจอมกระบี่ก็เทียบเคียงได้กับผู้อาวุโสใหญ่ผู้นั้นอย่างพอถูไถ! หรือแม้กระทั่งยามที่ ’จักรพรรดิ’ ที่แข็งแกร่งกว่าผู้นั้นลงมือ ก็อาศัยเขตลวงของตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนแรก ทำให้ ’จักรพรรดิ’ ผู้นั้นพลังยุทธ์ลดลงอย่างมหาศาล จอมกระบี่เพียงแค่หนีเอาชีวิตรอดก็ยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง

อย่างเช่นจักรพรรดิเซี่ย วิถีสองสายนี้ต่างก็ไปถึงขั้นสุดยอดแล้ว ทั้งยังมีสุดยอดสมบัติลับล้ำค่าอยู่อีกด้วย! พูดถึงพลังรบก็เป็นขั้นจักรพรรดิระดับต้น! อาศัยเคล็ดวิชาอันเร้นลับก็สามารถต่อสู้กับ ’จักรพรรดิ’ ธรรมดาสามัญของเกาะลอยคว้างได้แล้ว หรือแม้กระทั่งเผชิญหน้ากับ ‘แปดผู้วิเศษ’ ในบรรดาสิ่งมีชีวิตคละถิ่นชั้นต่ำ ก็ยังมีความหวังที่จะรักษาชีวิตเอาไว้ได้

ราชันย์อนธการอมตะ…ถ้าหากเผาผลาญโลหิตหัวใจ พลังรบก็สามารถเทียบเคียงได้กับแม่ทัพเทพ อาศัยเคล็ดวิชาอันเร้นลับก็สามารถต่อสู้กับ ‘แม่ทัพเทพโครงกระดูก’ ได้

“ทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาก็มีเพียงแค่พวกเขา จักรพรรดิเซี่ยและราชันย์อนธการอมตะสองคนเท่านั้น พูดถึงพลังรบของผู้บำเพ็ญคนอื่นๆ ก็อ่อนด้อยกว่าอยู่มากโข ความแตกต่างมากมายถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้าน้อยๆ

“น้องหิมะเหิน!” ด้านข้างมีเสียงตื่นเต้นของประมุขแสงดาวดังขึ้น

ผู้อาวุโสเก้าท่านของเผ่าแสงดาว สุดยอดผู้นำทัพมากมาย และชาวเผ่าที่อยู่ห่างไกลออกไปจำนวนมาก แต่ละคนมองตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างตื่นเต้นและกระตือรือร้น

ในขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังตะลึงงัน ทอดถอนใจในความแตกต่างระหว่างผู้บำเพ็ญกับเผ่ามรณะทมิฬและกลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิมอยู่นั้น เผ่าโลกแสงดาวกลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและนับถือต่อผู้บำเพ็ญ ‘จ้าวหิมะเหิน’ ผู้นี้ ขณะเดียวกันในใจของพวกเขาทุกคนต่างก็ตื่นตระหนกไปด้วย

“พี่แสงดาว” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มน้อยๆ พลางเอ่ยอย่างราบเรียบ

“ก่อนหน้านี้ข้าก็รู้สึกว่าเคล็ดวิชาวิญญาณของน้องหิมะเหินแกร่งกล้าเสียเหลือเกิน! เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าจะยังประเมินน้องหิมะเหินต่ำเกินไปเสียแล้ว” ประมุขแสงดาวมองตงป๋อเสวี่ยอิง แววตาเต็มไปด้วยความนับถือ “แม้กระทั่งระดับจักรพรรดิ เมื่อเผชิญหน้ากับเคล็ดวิชาวิญญาณของน้องหิมะเหิน ถ้าไม่จ่อมจม พลังยุทธ์ก็ต้องลดลงอย่างมหาศาล! นี่ช่างล้ำเลิศ ล้ำเลิศยิ่งนัก ตั้งแต่ดินแดนจิตโลกาและหุบเขาเขี้ยวหักกำเนิดขึ้นมา น้องหิมะเหินก็เป็นคนแรกเลยนะ!”

อันที่จริง

เคล็ดวิชาวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิง แม้กระทั่งผู้แกร่งกล้าชนพื้นเมืองดั้งเดิม และจักรพรรดิระดับต้นโดยทั่วไปต่างก็ถูกกวาดล้างจนเรียบ

หัวหน้ามนุษย์สามตาผู้นั้น เพราะวิญญาณแข็งแกร่งเป็นพิเศษ จึงสามารถฝืนรักษาสติอันแจ่มชัดเอาไว้ได้

อย่างเช่นระดับแม่ทัพเทพที่แข็งแกร่งกว่าอยู่ขั้นหนึ่ง โดยทั่วไปแล้วเหล่าแม่ทัพเทพที่อ่อนแอสักหน่อยยังมีความสามารถในการต้านทานไม่เท่าหัวหน้ามนุษย์สามตาเลย! อย่างเช่นแม่ทัพเทพควันวายุก็ยังจมดิ่งลงไปในทันที แม่ทัพเทพเขมือบเมฆาฝืนดิ้นรน มีเพียงผู้ที่โดดเด่นจับตาอย่าง ‘แม่ทัพเทพโครงกระดูก’ เท่านั้นจึงสามารถรักษาพลังรบเอาไว้ได้ถึงสามส่วน!

ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่แปลกใจกับสิ่งนี้เลย เพราะว่ายามที่เขากำลังบุกผ่านเกาะลอยคว้างแห่งแล้วแห่งเล่า ’จักรพรรดิ’ ของเกาะลอยคว้างนั้น โดยทั่วไปแล้วต่างก็เป็นระดับแม่ทัพเทพทั้งสิ้น ถึงแม้ว่าเผ่ามรณะทมิฬจะเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีเชาวน์ปัญญาต่ำต้อยอย่างยิ่ง แต่พูดถึงจำนวนผู้แกร่งกล้า ก็มีข้อได้เปรียบยิ่งใหญ่กว่าอยู่มากในระดับอ๋องและระดับจักรพรรดิ หรือแม้กระทั่งเชาวน์ปัญญาต่ำต้อยยิ่งกว่า ยิ่งมุ่งขึ้นไปการบำเพ็ญก็ยิ่งยาก แต่ผู้ที่สำเร็จเป็นยอดเคารพก็มีอยู่แค่สามท่านเหมือนเดิม! มากกว่ากลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิมอยู่คนหนึ่ง

เผชิญกับท่าไม้ตายของตงป๋อเสวี่ยอิง บรรดาราชันย์เหล่านั้นก็มีจำนวนมากที่ตกลงสู่ห้วงนิทราในทันที

บางส่วนสามารถรักษาสติตื่นรู้เอาไว้ได้เพราะตอนนั้นตนมิได้มีพวก ‘ประมุขแสงดาว’ ยื่นมือเข้าช่วย เพียงแค่ครองสติเอาไว้ได้ มีพลังยุทธ์หนึ่งหรือสองส่วน ก็สามารถทำลายร่างแยกร่างหนึ่งของตนได้อย่างง่ายดายแล้ว

“เพียงแต่เผ่ามรณะทมิฬมิได้ร่วมแรงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมากพอ แม้กระทั่งเกาะลอยคว้างสองแห่งที่อยู่ใกล้ๆ… ก็มีปฏิสัมพันธ์ต่อกันน้อยนิดเหลือเกิน เมื่อเทียบกันแล้วการปกครองของกลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิมก็มีเสถียรภาพมากกว่า! ผู้แกร่งกล้าก็สามารถมารวมตัวกันได้อย่างรวดเร็ว แต่ไม่รู้ว่า จักรพรรดิเป่ยเหอผู้นั้น ในภายหน้าจะมีปฏิกริยาโต้ตอบเช่นไรบ้าง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ

“น้องหิมะเหิน ควรจะจัดการกับหัวหน้าห้าเผ่าและแม่ทัพเทพสองคนที่เป็นเชลยเช่นไรดี จะต้องชิงอุปกรณ์ติดต่อสื่อสารของพวกเขาไปหรือไม่” ประมุขแสงดาวเอ่ยถามตงป๋อเสวี่ยอิง

“พี่แสงดาว ท่านตัดสินใจเอาเถิด ไม่ต้องเป็นห่วงข้าหรอก” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด

“เช่นนั้นก็ไม่ต้องชิงไปแล้วล่ะ ปล่อยให้พวกเขาติดต่อกับโลกภายนอกไปเถิด” ประมุขแสงดาวรอคอย “เรื่องการต่อสู้ครั้งนี้แพร่หลายออกไป ก็จะทำให้ชื่อเสียงของน้องหิมะเหินเพิ่มพูนขึ้นอย่างมหาศาล เชื่อว่าเพียงไม่นานโลกทั้งหุบเขาเขี้ยวหักจำนวนนับไม่ถ้วนก็จะต้องให้ความสนใจกับน้องหิมะเหิน นี่ก็จะต้องเป็นเรื่องดีต่อน้องหิมะเหินแน่ บางทีอาจจะมีความวุ่นวายอยู่บ้าง แต่ผู้ที่สามารถเข้าสู่ดินแดนจิตโลกาได้ อย่างมากที่สุดก็เป็นเพียงแค่จักรพรรดิระดับต้นเท่านั้น เกรงว่าพวกเขาคงไม่กล้าเข้าไป หากไปแล้วเผชิญกับเคล็ดวิชาวิญญาณของน้องหิมะเหิน เกรงว่าก็คงจะจมดิ่งลงไปในทันทีแล้วล่ะ”

“ฮ่าฮ่า”

ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ “การเผยแพร่ออกไปคงจะเป็นเรื่องดีจริงๆ”

หุบเขาเขี้ยวหักไม่เห็นผู้บำเพ็ญอยู่ในสายตาเลย

ถ้าหากชื่อเสียงของตนแพร่กระจายออกไป สถานะที่หุบเขาเขี้ยวหักสูงมากพอ เช่นนั้นก็เชื่อว่าจะมีส่วนช่วยเหลือเป็นอย่างมากต่อการรวบรวมข้อมูลต่างๆ นานา และการสำรวจสถานที่อันตรายภายในหุบเขาเขี้ยวหักที่มีประโยชน์ต่อการบำเพ็ญของตน

“ต่อไปในภายหน้า ข้ากังวลว่าจักรพรรดิเป่ยเหอจะมาสังหารด้วยตนเอง” ประมุขแสงดาวถ่ายเสียงพูด “เท่าที่ข้ารู้ จักรพรรดิสี่ท่านที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของยอดเคารพเฮ่ากู่ในตอนนี้ต่างก็มีพลังยุทธ์อยู่ในระดับขั้นศักดิ์สิทธิ์ในบรรดาสิ่งมีชีวิตคละถิ่น! และดูจากเดิมพันการประลองก่อนหน้านี้ จักรพรรดิเป่ยเหอก็จัดเป็นอันดับหนึ่งในบรรดาจักรพรรดิทั้งสี่ท่าน พูดถึงพลังยุทธ์ก็ด้อยกว่ายอดเคารพอยู่เพียงนิดเดียวเท่านั้น!”

ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าเบาๆ

“สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือใต้บังคับบัญชาของเขามีสามสิบหกแม่ทัพเทพอยู่ ถึงแม้ว่าจะถูกพวกเราจับเป็นเชลยแล้วสองคน แต่ต่างก็จัดเป็นอันดับท้ายๆ เท่านั้น! อย่างเช่นแม่ทัพเทพโครงกระดูกก่อนหน้านี้ พวกเราก็ไม่สามารถจับตัวเอาไว้ได้ ”ประมุขแสงดาวถ่ายเสียงพูดด้วยความกังวลใจอยู่บ้าง “ถ้าหากจักรพรรดิเป่ยเหอนำแม่ทัพเทพกลุ่มหนึ่งบุกสังหารเข้ามา เช่นนั้นก็อันตรายแล้ว”

“ใช่” ตงป๋อเสวี่ยอิงตอบโดยสัญชาตญาณ “แม่ทัพเทพโครงกระดูกสามารถรักษาพลังรบเอาไว้ได้ถึงสามส่วนยามที่เผชิญกับข้า พลังยุทธ์ที่จักรพรรดิเป่ยเหอรักษาเอาไว้ได้ก็น่าจะสูงกว่าอยู่พอสมควร พลังคุกคามก็ยิ่งใหญ่กว่าอยู่มากจริงๆ”

“ใช่แล้ว ข้ามีความคิดอย่างหนึ่ง”

ประมุขแสงดาวถ่ายเสียง “ข้าสามารถติดต่อกับโลกอื่นๆ ได้ ตอนนี้จักรพรรดิเป่ยเหอต่อสู้กับโลกจำนวนมาก ผู้ที่ต่อต้านเขาก็มีอยู่มากมายนัก! มีน้องหิมะเหินอยู่ สามารถทำให้คนทางฝั่งจักรพรรดิเป่ยเหอแต่ละคนพลังยุทธ์ลดลงอย่างมหาศาล! แม้กระทั่งแม่ทัพเทพที่อ่อนแอสักหน่อยก็อาจจะจมดิ่งลงไปได้ และถ้าหากพวกเราประมุขโลกแต่ละแห่งร่วมมือกัน ก็มีความหวังที่จะต้านทานพวกเขาได้แล้ว เพียงแต่พวกเราขอให้ประมุขโลกอื่นๆ แต่ละท่านช่วยเหลือ ถ้าหากพวกเขาประสบกับอันตราย ข้าก็จะต้องไปช่วยเหลืออย่างแน่นอน นอกจากนี้ต้องการให้พวกเขาเข้าร่วม ก็เป็นไปได้ว่าพวกเขาอาจจะคาดหวังให้น้องหิมะเหินช่วยเหลือพวกเขาในยามวิกฤติด้วย”

“เรื่องนี้สามารถพูดคุยกันได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

เขาไม่ชมชอบวิธีการอำมหิตเช่นนี้ของจักรพรรดิเป่ยเหอเช่นกัน

ทำตามข้ารุ่งเรือง ต่อต้านข้าต้องตาย!

หากกล้าต่อต้านก็ถึงกับทำลายเผ่าพันธุ์หนึ่ง ให้เผ่าพันธุ์ที่เชื่อฟังเขายึดครองและขยายเผ่าพันธุ์ ดังนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงจึงรู้สึกว่าสามารถช่วยเหลือโลกจำนวนหนึ่งได้

“ดีๆๆ มีคำพูดนี้ของน้องหิมะเหิน เชื่อว่าประมุขโลกจำนวนมากก็ต้องตื่นเต้นหาใดเปรียบ พวกเขาจำนวนมากต่างก็สิ้นหวังเป็นอย่างยิ่ง รอคอยให้วันนี้มาถึงกันอยู่นานแล้ว” ประมุขแสงดาวก็ตื่นเต้นเช่นกัน

เพียงแค่ประมุขโลกกลุ่มหนึ่งร่วมมือกันขึ้นมา

ทั้งยังมีตงป๋อเสวี่ยอิงด้วย พวกเขาก็มีความกล้าในการเปิดศึกซึ่งหน้ากับจักรพรรดิเป่ยเหอแล้ว!

……

และที่อีกด้านหนึ่ง

ณ โลกเป่ยเหอ ภายในโถงตำหนักขนาดใหญ่อันสูงตระหง่านตระการตา ขณะนี้มีแม่ทัพเทพสิบกว่าคนมารวมตัวกันอยู่แล้ว เพราะว่าข่าวแพร่กระจายรวดเร็วเกินไป ประมุขตระกูล แม่ทัพเทพควันวายุ และแม่ทัพเทพเขมือบเมฆาที่ถูกคุมขังอยู่ต่างก็กำลังติดต่อสื่อสารกับโลกภายนอก เห็นได้ชัดว่าพวกเขาก็อยากจะมีชีวิตรอด

“น่ากลัวถึงเพียงนี้เชียว”

“แม่ทัพเทพควันวายุยังมิทันได้ต้านทานก็จมดิ่งลงไปเสียแล้ว ได้ยินว่าแม่ทัพเทพเขมือบเมฆาเหลือพลังยุทธ์อยู่เพียงแค่ส่วนเดียวเท่านั้น เช่นนั้นถ้าหากข้าเผชิญกับเคล็ดวิชาวิญญาณเช่นนี้ คาดว่าก็คงจะเหลือพลังยุทธ์อยู่เพียงแค่หนึ่งหรือสองส่วนเช่นกันกระมัง แม้กระทั่งจักรพรรดิระดับต้นก็ยังสู้มิได้เลย”

แม่ทัพเทพเหล่านี้ถ่ายเสียงระหว่างกันอย่างเงียบเชียบ

จักรพรรดิเป่ยเหอในอาภรณ์เขียวตลอดร่างนั่งสูงอยู่บนบัลลังก์พลางมองอย่างเย็นชาลงมาเบื้องล่าง

เบื้องล่างเต็มไปด้วยความเงียบงัน ทุกคนเพียงแค่ถ่ายเสียงกันเท่านั้น ไม่มีใครกล้าส่งเสียงเลย! จักรพรรดิเป่ยเหอนั้นมีชื่อเสียงในด้านการฆ่า เขาสร้างปาฏิหาริย์ขึ้นมามากมายเหลือเกิน ทุกคนต่างก็เชื่อว่า แม่ทัพเทพโครงกระดูกจะสามารถหนึกลับมาได้อย่างปลอดภัย กำลังของจักรพรรดิเป่ยเหอเพียงคนเดียว… ถึงแม้ว่าจะอ่อนแอลงเล็กน้อยเมื่อเผชิญกับเคล็ดวิชาวิญญาณ เกรงว่าก็ยังสามารถกดดันประมุขแสงดาวได้ สามารถสังหารหมู่โลกแสงดาวตามอำเภอใจได้กระมัง

นอกจากนี้ ใครจะไปรู้ว่าจักรพรรดิเป่ยเหอมีท่าไม้ตายซ่อนเร้นเอาไว้อีกหรือไม่

วันใดที่จักรพรรดิเป่ยเหอระเบิดออกมาแล้วเทียบได้กับยอดเคารพ พวกเขาก็คงไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้จักรพรรดิเป่ยเหอก็เป็นผู้ที่ใกล้เคียงกับยอดเคารพที่สุดในบรรดากลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิมแล้ว ถึงอย่างไรการที่สามารถเอาชนะจักรพรรดิสามท่านที่มีสายโลหิตแตกต่างกันอย่างต่อเนื่อง ก็พิสูจน์ถึงความน่าหวาดหวั่นของจักรพรรดิเป่ยเหอได้แล้ว

“จ้าวหิมะเหินหรือ”

จักรพรรดิเป่ยเหอนั่งอยู่ด้านบนอย่างเงียบๆ

พรึ่บ

ทันใดนั้นจักรพรรดิเป่ยเหอก็ยืนขึ้น

เหล่าแม่ทัพเทพสิบกว่าคนที่อยู่เบื้องล่างต่างก็พากันตกใจพลางมองไปทางหัวหน้าของพวกเขา

จะเปิดฉากสังหารแล้วอย่างนั้นหรือ

ถึงอย่างไรในประวัติศาสตร์ เมื่อจักรพรรดิเป่ยเหอเผชิญกับความยุ่งยาก วิธีการที่ใช้เป็นประจำก็คือ ฆ่า ฆ่า แล้วก็ฆ่า!

“จ้าวหิมะเหินตัวดี” จักรพรรดิเป่ยเหอเอ่ยปาก เสียงสะท้อนก้องทั่วทั้งโถงตำหนัก” คิดไม่ถึงว่าในบรรดาผู้บำเพ็ญจะมีผู้แกร่งกล้าเช่นนี้อยู่ด้วย พูดถึงเคล็ดวิชาวิญญาณ ก็เป็นคนแรกของดินแดนจิตโลกาและหุบเขาเขี้ยวหัก การมีผู้แกร่งกล้าเช่นนี้อยู่ช่างทำให้ข้ามีความสุขนัก ไปๆๆ ติดตามข้าออกเดินทางไปยังโลกแสงดาว ข้าจะไปเชิญจ้าวหิมะเหินไปเป็นแขกของโลกเป่ยเหอของข้าด้วยตัวเอง”

เหล่าแม่ทัพเทพสิบกว่าคนที่อยู่เบื้องล่างต่างก็ตกตะลึง ปากอ้าตาค้างไปในทันที

ไปเชิญด้วยตนเองอย่างนั้นหรือ

เป็นแขกหรือ

……………………………………………

ในบรรดาผู้นำทั้งห้าเผ่า มีเพียงผู้นำสามตาเท่านั้นที่ยังฝืนครองสติไว้ได้เล็กน้อย แต่เขารู้สึกเหมือนร่างกายตนได้จมดิ่งลงไปในน้ำวนขนาดมหึมา ด้านล่างของน้ำวนก็คือโลกที่ทำให้เขาจมดิ่งลงไป เขาคิดอยากจะจมดิ่งลงไปโดยไม่ต่อต้านมากเพียงไหนกัน! แต่ปัญญาก็บอกเขาว่า…หากจมดิ่งลงไป เขาจะต้องจบเห่ ความเป็นความตายก็มีเขาเป็นผู้ควบคุมแล้ว

เขาพยายามดิ้นรนสุดแรง แต่ก็ครองสติไว้ได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แม้แต่ความเร็วในการบินเหินไปก็ยังช้ามาก เนื่องจากที่นี่คือโลกแสงดาว รอบด้านจึงมีแสงดาวอันไร้ที่สิ้นสุดกดดันเอาไว้ก่อนแล้ว จึงมิอาจเคลื่อนที่ในพริบตาได้

ค่อยๆ บินไปหรือ

“ฟิ้ว” ฝ่ามือแสงดาวขนาดมหึมาปกคลุมลงมา แล้วคว้าผู้นำสามตาเอาไว้ได้ในคราวเดียว และจับผู้นำอีกสี่คนที่เหลือเอาไว้ได้ด้วย

ยามนี้ ผู้นำสามตาอ่อนแอเสียจนหากส่งระดับอ๋องมาคนหนึ่งก็เกรงว่าคงจะสามารถกดดันเขาได้แล้ว เมื่ออยู่ต่อหน้า ‘ประมุขแสงดาว’ ซึ่งมีพลังของโลกบ้านเกิดส่งเสริม ก็ไร้แรงตอบโต้อย่างแท้จริง

“นี่ นี่มันเป็นไปได้อย่างไรกัน” แม่ทัพเทพโครงกระดูก แม่ทัพเทพควันวายุและแม่ทัพเทพเขมือบเมฆาทั้งสามคนงงงันไปหมด

สวรรค์!

เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์!

ทำให้พวกเขาสั่นสะท้านจนมึนงงไปหมด! เนื่องจากพวกเขารู้ดีมากว่า ระดับอ๋องที่ก้าวเข้าสู่ระดับจักรพรรดิ เป็นการก้าวข้ามระดับขั้นหนึ่ง วิญญาณวิวัฒน์ไปอย่างชัดเจนมาก แต่ในระดับจักรพรรดิ แม้พลังจะค่อยๆ ยกระดับขึ้น แต่วิญญาณก็มิได้ยกระดับมากมายอะไรนัก ต่อให้เป็นเหล่ายอดเคารพที่เป็น ‘ระดับจักรพรรดิครบสมบูรณ์’ หากพูดถึงวิญญาณ ก็แข็งแกร่งกว่าผู้ที่เพิ่งเข้าสู่ระดับจักรพรรดิเหล่านี้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น อย่างมากก็ทางด้านปณิธานก็เท่านั้นเอง

เพราะถึงอย่างไรผู้ที่สามารถสำเร็จเป็นยอดเคารพได้ ปณิธานก็ต้องเยี่ยมยอดมากเป็นธรรมดา

“ไม่ดีแล้ว” แม่ทัพเทพโครงกระดูก แม่ทัพเทพควันวายุและแม่ทัพเทพเขมือบเมฆาเห็นฝ่ามือแสงดาวขนาดมหึมาที่ประมุขแสงดาวสำแดงออกมาคว้าตัวผู้นำทั้งห้าเผ่าเอาไว้ได้ในรวดเดียว จึงได้สติกลับคืนมาจากความตกตะลึง

แต่ระดับพวกเขาแล้ว ลงมือได้รวดเร็วเพียงใด

เมื่อพวกเขาได้สติกลับคืนมา ผู้นำทั้งห้าเผ่าก็ถูกจับตัวไปเสียแล้ว

“ทำเช่นไรดี”

“จะสู้หรือไม่สู้”

พวกแม่ทัพเทพโครงกระดูกทั้งสามคนลังเลขึ้นมาทันที

พวกเขาก็เป็นเพียงระดับจักรพรรดิเท่านั้น ผู้นำสี่คนจากห้าเผ่าล้มลงทันที ยังมีคนหนึ่งที่ยังพอจะครองสติเอาไว้ได้ พลังก็อ่อนแอเสียจนสามารถมองข้ามไปได้! พวกเขาสามแม่ทัพเทพเผชิญหน้ากับกระบวนท่าทางด้านวิญญาณอันน่าหวาดหวั่นเช่นนี้จะเป็นอย่างไรกัน วิญญาณของพวกเขาแข็งแกร่งกว่าผู้นำทั้งห้าเผ่าอยู่บ้าง ทางด้านปณิธานก็อาจจะได้เปรียบกว่าอยู่บ้าง

แต่จากที่คาดการณ์ ต่อให้ไม่ล้มลง ก็เชื่อว่าพลังจะต้องเสียหายเป็นอย่างมากอยู่ดี!

“จ้าวหิมะเหินผู้นี้แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน แต่ไหรแต่ไรไม่เคยมีมาก่อน! ไม่เคยมีกระบวนท่าทางด้านวิญญาณที่ระดับจักรพรรดิต้านทานมิได้มาก่อนเลย” พวกแม่ทัพเทพโครงกระดูกทั้งสามคนต่างมองไปทางหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวที่อยู่ไกลออกไป ในใจสับสนวุ่นวายไปหมด

ลำพังแค่กระบวนท่าเดียว

ก็ทำให้สามแม่ทัพเทพซึ่งเดิมทีมั่นใจเต็มเปี่ยมจิตใจวุ่นวายไปหมด เดิมทีพวกเขาดูแคลนผู้บำเพ็ญทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา แต่ในยามนี้ ก็ไม่กล้ามีความคิดเช่นนี้แล้ว

“พวกเรารีบไปกันเถอะ ผู้นำทั้งห้าเผ่ามีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยังพอจะฝืนครองสติไว้ได้ เชื่อว่าพลังอย่างพวกเราก็คงจะครองสติไว้ได้ แต่เกรงว่าพลังคงจะต้องลดลงเป็นอย่างมาก! พี่รอง หลังจากพลังของท่านเสียหายเป้นอย่างมาก ก็เกรงว่าคงจะแค่ทัดเทียมกับประมุขแสงดาวเท่านั้น ส่วนข้าและน้องสาวก็เกรงว่าคงจะมิอาจเอาชนะการล้อมโจมตีด้วยค่ายกลรบของผู้อาวุโสกลุ่มนั้นได้เป็นแน่” แม่ทัพเทพเขมือบเมฆาถ่ายเสียงพูดอย่างร้อนรน

“อย่าแตกตื่นไป คนสามตาผู้นั้นยังสามารถครองสติเอาไว้ได้ พวกเราไม่จำเป็นต้องกลับไปหรอก พวกเจ้าถอยไปก่อน ข้าจะดูสิว่าที่แท้แล้วกระบวนท่าทางด้านวิญญาณของจ้าวหิมะเหินผู้นี้จะร้ายกาจสักแค่ไหนกัน” แม่ทัพเทพโครงกระดูกถ่ายเสียงกำชับ

ถึงอย่างไรแม่ทัพเทพโครงกระดูกก็เป็นถึงแม่ทัพเทพอันดับสองของแม่ทัพเทพทั้งสามสิบหกนาย

ต่อให้ทอดสายตามองไปทั่วทั้งหุบเขาเขี้ยวหัก ก็ยังนับได้ว่าเป็นผู้แกร่งกล้าที่สุดยอด เมื่อเขาเผชิญหน้ากับพวกจักรพรรดิเป่ยเหอก็ไม่เคยหนีโดยที่ไม่สู้มาก่อนเลย!

“เอาล่ะ พี่รอง ด้วยพลังของท่าน คิดจะสู้ก็สู้ได้ คิดจะไปก็ไปได้ พวกเขาจะต้องต้านทานเอาไว้ไม่ได้แน่ ข้ากับน้องสาวขอตัวล่วงหน้าไปก่อนก้าวหนึ่งนะขอรับ” แม่ทัพเทพเขมือบเมฆาถ่ายเสียงพูด

“พี่รองระวังด้วย” แม่ทัพเทพควันวายุก็ถ่ายเสียงพูดเช่นกัน

สวบๆ พวกเขาทั้งสองหนีไปทันที

“หนีรึ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงที่ยังคงยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเรียบเฉยยิ้มออกมา เขตลวงโลกเทียมพลันขยายตัวและแผ่กำจายออกไป ต้องรู้ไว้ว่า ในเกาะลอยคว้าง เขตลวงโลกเทียมของเขาประสบกับการกดดันก็ยังสามารถคงขอบเขตเอาไว้ได้สามร้อยล้านลี้ เมื่ออยู่ในโลกชนพื้นเมืองนี้ไม่มีการกดดันอันใด เพียงชั่วความคิดเดียว เขตลวงโลกเทียมของเขาก็สามารถปกคลุมไปได้กว่าครึ่งค่อนโลก ภายใต้การสาดส่องของแสงดาวอันไร้ที่สิ้นสุด แม่ทัพเทพควันวายุและแม่ทัพเทพเขมือบเมฆาก็ทำได้เพียงทะยานหนีไปด้วยความเร็วสูงเท่านั้น ไหนเลยจะหนีออกจากขอบเขตของโลกเขตลวงได้

“ตู้มมม…”

เขตลวงโลกเทียมอันน่าหวาดหวั่นปกคลุมแม่ทัพเทพควันวายุ แม่ทัพเทพเขมือบเมฆาและแม่ทัพเทพโครงกระดูกเอาไว้ทันที

สายตาของแม่ทัพเทพควันวายุดูลุ่มหลง เพียงพริบตาเดียวก็จมดิ่งลงไปเสียแล้ว!

“ไม่ดีแล้ว” แม่ทัพเทพเขมือบเมฆาเผยสีหน้าเหี้ยมเกรียมออกมาพลางขบกรามกรอด นัยน์ตาถึงขั้นฉายแววสิ้นหวังออกมา! เมื่อเผชิญหน้ากับการชักจูงของเขตลวงโลกเทียมอันน่าหวาดหวั่นอย่างแท้จริง จึงรู้ว่าน่าเกรงกลัวเพียงใด แม่ทัพเทพเขมือบเมฆารู้ว่า พวกเขายังคงประเมินจ้าวหิมะเหินผู้นั้นต่ำไป ยามนี้ แม่ทัพเทพเขมือบเมฆาเหลือพลังราวหนึ่งส่วนเท่านั้น และนี่ก็คือสาเหตุที่ทำให้กายหยาบของเขาค่อนข้างแข็งแกร่ง

สิ่งที่เผ่าชนพื้นเมืองบำเพ็ญก็คือสายเลือด เมื่อสายเลือดแตกต่างกัน พลังก็แตกต่างกัน บางคนกายหยาบแข็งแกร่งเป็นพิเศษ บางคนถนัดการควบคุมสายฟ้า เป็นต้น

แม่ทัพเทพเขมือบเมฆาสามารถครองสติเอาไว้ได้สายหนึ่ง แม้จะสามารถสำแดงพลังออกมาได้ส่วนหนึ่ง แต่ว่า…

“ฟิ้ว”

ฝ่ามือหนึ่งของประมุขแสงดาวกลับคว้าไปทางแม่ทัพเทพโครงกระดูก อีกมือหนึ่งคว้าไปทางแม่ทัพเทพเขมือบเมฆา

“จ้าวหิมะเหิน!” แม่ทัพเทพโครงกระดูกแผดเสียงคำราม มือทั้งสองต่างกุมดาบรบเล่มหนึ่งเอาไว้ แล้วฟาดฟันไปทางประมุขแสงดาวอย่างดุเดือด ปัง…ฝ่ามือมหึมาของประมุขแสงดาวกวัดแกว่งแล้วตะปบลงไป กระบวนท่าที่แม่ทัพเทพโครงกระดูกสำแดงออกมาขณะกำลังต้านทานการรบกวนของเขตลวงอันน่าหวาดหวั่น เมื่ออยู่ภายใต้ฝ่ามือแสงดาวก็ยังคงกระจัดกระจายไปอยู่ดี เขาถูกกระแทกเสียจนกระเด็นลอยถอยหลังไป

ฟิ้ว

อีกมือหนึ่งปะทะเข้ากับแม่ทัพเทพเขมือบเมฆา แม่ทัพเทพเขมือบเมฆากลับบาดเจ็บสาหัสจนกระอักโลหิตออกมาทันที ขณะเดียวกัน เหล่ายอดฝีมือระดับยอดในบรรดาผู้อาวุโสเผ่าแสงดาวก็รวมตัวกันขึ้นเป็นค่ายกลรบ แต่ละคนก็บุกสังหารออกมา พวกเขารวมตัวกันเป็นค่ายกลรบ ก็สามารถเทียบกับผู้ที่เพิ่งจะเข้าสู่ระดับจักรพรรดิได้ หากเป็นยามปกติ ต่อให้รวมตัวกันเป็นค่ายกลรบ ไหนเลยจะมีคุณสมบัติพอจะประมือกับแม่ทัพเทพเขมือบเมฆาได้ แต่บัดนี้ค่ายกลรบของพวกเขาก็สามารถโจมตีแม่ทัพเทพเขมือบเมฆาได้เช่นกัน!

ทั้งยังมีฝ่ามืออันน่าหวาดหวั่นของประมุขแสงดาวด้วย

ปังๆๆ เพียงชั่วพริบตาเดียว แม่ทัพเทพเขมือบเมฆาก็ถูกฝ่ามือมหึมาคว้าเอาไว้และพันธนาการไว้ได้ในฝ่ามือเดียว

“สมควรตาย” แม่ทัพเทพเขมือบเมฆาโศกเศร้าหาใดเปรียบ หากมิได้รับผลกระทบ ประมุขแสงดาวอาศัยพลังของโลกบ้านเกิดก็เพียงแค่ทัดเทียบกับเขาเท่านั้น แต่บัดนี้พลังของเขาลดฮวบลงอย่างรวดเร็ว ทั้งยังประสบกับการลอบโจมตี แม่ทัพเทพผู้องอาจถูกจับไปทั้งเป็นเสียนี่

ส่วนแม่ทัพเทพควันวายุน้องสาวเขาน่ะหรือ แม่ทัพเทพควันวายุที่ตกเข้าสู่ห้วงนิทราถูกจับไปทั้งเป็นตั้งนานแล้ว

“ตู้ม ตู้ม ตู้ม…”

แม่ทัพเทพโครงกระดูกผู้นั้นกราดเกรี้ยวผิดธรรมดา แล้วถือดาบรบคู่หนึ่งเอาไว้

อานุภาพแผ่ไปทั่วสารทิศ ทำเอาค่ายกลรบแต่ละแห่งต้องถอยหลังไป มีเพียงประมุขแสงดาวเท่านั้นที่สามารถกดดันเขาได้ แต่ข้อได้เปรียบระดับนี้ก็ยังไม่สามารถทำร้ายแม่ทัพเทพโครงกระดูกได้ ช่วยไม่ได้ กายหยาบของแม่ทัพเทพโครงกระดูกแข็งแกร่งเกินไปแล้ว! แม้จะประสบกับผลกระทบของกระบวนท่าเขตลวง แต่กายหยาบของเขาก็มิได้อ่อนแอลงเลยแม้แต่น้อย

“กายหยาบของเขาแข็งแกร่งยิ่งนัก เกรงว่ายังคงรักษาพลังเอาไว้ได้สามส่วน” ประมุขแสงดาวถ่ายเสียงให้ตงป๋อเสวี่ยอิง “ข้าอาศัยพลังของโลกบ้านเกิด ยามนี้พลังของเขายังคงเป็นหกเจ็ดส่วนของข้า ข้าจับตัวเขาเอาไว้มิได้ กายหยาบของเขาแข็งแกร่งเกินไป ข้าทำร้ายเขามิได้เลย”

ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังแล้วก็ตกตะลึงไป

นี่เป็นพลังเพียงสามส่วนเท่านั้นเองน่ะหรือ

หากพลังฟื้นคืนมาทั้งหมด แม่ทัพเทพโครงกระดูกก็จะแข็งแกร่งกว่าจักรพรรดิเซี่ยและราชันย์อนธการอมตะอยู่ขุมใหญ่! ทว่าบรรดาผู้บำเพ็ญมีกระบวนท่าแปลกพิสดาร พวกจักรพรรดิเซี่ยมิอาจเอาชนะได้ การรักษาชีวิตก็ไม่มีปัญหา

“จ้าวหิมะเหิน ดีมาก ดีมาก ข้าจำเจ้าเอาไว้แล้ว” แม่ทัพเทพโครงกระดูกที่อยู่ไกลออกไปแผดเสียงคำราม เขาถูกประมุขแสงดาวกดดันเอาไว้อย่างสิ้นเชิงจนมิอาจพุ่งเข้าไปในนครแสงดาวได้ ทำได้เพียงเริ่มจากไปและแผดเสียงอย่างไม่ยอมจำนนออกมาเท่านั้น

อดสู

โมโห

ไม่ยอมจำนน!

เขา แม่ทัพเทพโครงกระดูก ต่อให้เป็นจักรพรรดิเป่ยเหอก็ยังเกรงอกเกรงใจเขาเป็นอันมาก ครั้งนี้กลับต้องมาสะดุดด้วยน้ำมือของผู้บำเพ็ญดินแดนจิตโลกาคนหนึ่งเสียนี่! แม้ตัวเขาเองจะสามารถหนีรอดไปได้ แต่เขาก็นำผู้ใต้บังคับบัญชามาด้วย ผู้นำทั้งห้าเผ่าและแม่ทัพเทพอีกสองคนถูกจับตัวไปหมดแล้ว นี่คือความอดสูของเขา แม่ทัพเทพโครงกระดูก!

ขณะเดียวกัน…

แม่ทัพเทพโครงกระดูกก็ถ่ายเสียงให้จักรพรรดิเป่ยเหอ “องค์จักรพรรดิ! ผู้นำทั้งห้าเผ่า แม่ทัพเทพควันวายุและแม่ทัพเทพเขมือบเมฆาถูกเผ่าแสงดาวจับตัวไปทั้งเป็นหมดแล้วขอรับ!”

…………………………

แม่ทัพเทพโครงกระดูกมองตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างสำรวจตรวจตรา มุมปากแฝงรอยยิ้มหยอกเย้าเอาไว้ “ผู้บำเพ็ญดินแดนจิตโลกาอย่างเจ้าคนหนึ่ง ไม่ยอมบำเพ็ญให้ดีๆ แต่กลับมายังหุบเขาเขี้ยวหักแล้วสอดมือยุ่งเกี่ยวเรื่องของเผ่าชนพื้นเมือง อาจหาญไม่เบาจริงๆ ตลอดคืนวันอันยาวนานมาจนบัดนี้ ผู้บำเพ็ญดินแดนจิตโลกาที่เข้ามายังเทือกเขานี้ก็ล้วนแต่นะมัดระวังกันทั้งนั้น มีแต่เจ้าเท่านั้นที่กล้าดีถึงเพียงนี้! แม้ข้าและแม่ทัพเทพคนอื่นๆ จะมิอาจผ่านสิ่งกีดขวางแล้วเข้าสู่ดินแดนจิตโลกาได้ แต่การจะส่งคนที่เพิ่งเข้าสู่ระดับจักรพรรดิเข้าไปในดินแดนจิตโลกานั้นก็ทำได้สบายนัก!”

“อ้อ ข้าตั้งตารอคอยเลยล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มอย่างสงบ

แม่ทัพเทพโครงกระดูกเห็นเข้าก็ขมวดคิ้ว จากนั้นก็ยิ้มเยาะ “ทำไมรึ อาศัยว่าค่ายกลเมืองหิมะเหินของเจ้ายอดเยี่ยมนักอย่างนั้นหรือ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้พูดให้มากความ

เพิ่งเข้าสู่ระดับจักรพรรดิหรือ

ก็แค่ระดับเดียวกับผู้อาวุโสใหญ่ของเกาะลอยคว้างแห่งแรกที่ตนไปบุกฝ่าเท่านั้น! เมื่อวิเคราะห์จากการทดลองของตน แม้โดยรวมแล้ว สติปัญญาของเผ่าชนพื้นเมืองจะสูงกว่าเผ่ามรณะทมิฬมากนัก แต่ในด้าน ‘การบำเพ็ญจิต’ ของพวกเขาก็แตกต่างกับผู้บำเพ็ญอย่างชัดเจนมาก ผู้ที่เพิ่งเข้าสู่ระดับจักรพรรดิ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไม่หวั่นเกรงเลยแม้แต่น้อย

“ร่างแยกมากมาย อาศัยว่ามีเมืองหิมะเหิน ก็โอหังถึงเพียงนี้ ไม่ดูเลยว่าตนมีพลังสักแค่ไหนกัน” แม่ทัพเทพโครงกระดูกคร้านจะพูดให้มากความ บรรดาผู้ไร้เทียมทานระดับยอดในเผ่าชนพื้นเมืองของพวกเขาไม่เห็นผู้บำเพ็ญดินแดนจิตโลกาอยู่ในสายตาอยู่แล้ว

พวกเขามีสายเลือดของสิ่งมีชีวิตคละถิ่น ทำให้พวกเขาแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ต่างจากผู้อื่นโดยกำเนิด

สายตาของแม่ทัพเทพโครงกระดูกหยุดลงที่ร่างของประมุขแสงดาวและผู้อาวุโสกลุ่มนั้น “แสงดาว อย่าหาว่าจักรพรรดิไม่ให้ทางรอดกับเจ้าก็แล้วกัน ตอนนี้มีทางสองสายให้พวกเจ้าเลือกเดิน”

ประมุขแสงดาวและบรรดายอดฝีมือคนอื่นๆ ของเผ่าแสงดาวต่างก็สั่นสะท้านไปถึงวิญญาณ

ทางสองสายหรือ

เห็นทีจักรพรรดิเป่ยเหอจะยังคงใส่ใจชีวิตของเชลยเหล่านั้นอยู่เล็กน้อย

“ทางแรก ก็คือดื้อดึงต่อต้านต่อไป ข้าก็จะลงมือทำให้เผ่าแสงดาวของพวกเจ้าถูกทำลายไป เฮอะๆ สายเลือดของเผ่าชนพื้นเมืองมีมากมายยิ่งนัก สายเลือดที่อ่อนแออย่างสายเลือดแสงดาวก็ควรจะสลายหายไปได้แล้ว ปล่อยให้สายเลือดที่แข็งแกร่งกว่าดำรงอยู่ต่อไปในโลกใบนี้” แม่ทัพเทพโครงกระดูกพูดเสียงเรียบ “ข้าล่ะรอคอยให้พวกเจ้าเลือกทางสายนี้เป็นอันมาก”

บุคคลระดับสูงของเผ่าแสงดาวต่างก็โศกเศร้า แต่กลับข่มกลั้นเอาไว้

ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบส่งเสียงฮึดฮัดอยู่อีกด้านหนึ่ง

“ทางสายที่สอง ก็คือพวกเจ้าจะต้องสวามิภักดิ์ต่อองค์จักรพรรดิ! นอกจากนี้ประมุขแสงดาวและผู้อาวุโสทั้งเก้าจะต้องมุ่งหน้าไปยังโลกเป่ยเหอ เพื่อฟังการโยกย้ายขององค์จักรพรรดิ พร้อมกับมอบเชลยให้ด้วย จักรพรรดิก็จะสามารถรับรองได้ว่า พวกเจ้าเผ่าแสงดาวจะสามารถดำรงอยู่ต่อไปภายในโลกใบนี้ได้ และนับจากนี้ไป ก็จะระดมพลยอดฝีมือจากโลกแสงดาวอย่างมากที่สุดเพียงแค่สิบคนเท่านั้น” แม่ทัพเทพโครงกระดูกกล่าว

“เป็นไปไม่ได้”

“ฝันไปเถอะ”

“เช่นนั้นก็ทำศึกกันเถอะ ไหนๆ ก็เตรียมพร้อมแล้วนี่ หากเอาไว้ไม่ไหวเมื่อไหร่ ก็สังหารเชลยทั้งสามสิบคนทิ้งเสียก่อน”

คนของทางเผ่าแสงดาวต่างก็พากันคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว

นี่คือเรื่องที่พวกเขามิอาจประนีประนอมได้! การบำเพ็ญนั้น ใฝ่หาสิ่งใดกัน ใฝ่หาความอิสระเสรีน่ะสิ! อิสระอย่างเต็มที่! ผู้ใดจะอยากเป็นทาสของจักรพรรดิเป่ยเหอไปตลอดกาลกันเล่า หากรับปากแล้ว เช่นนั้นเผ่าแสงดาวก็จะดิ้นไม่หลุดจากการควบคุมของจักรพรรดิเป่ยเหอไปตลอดกาล

“โง่เง่า พวกเจ้ากำลังรนหาที่ตาย หรือว่าพวกเจ้าเผ่าแสงดาวอยากจะทำลายเผ่าพันธุ์กัน” ผู้นำทั้งห้าเผ่าต่างก็ร้อนใจขึ้นมา เนื่องจากพวกเขาทั้งห้าเผ่ามียอดฝีมือระดับยอดถึงสามสิบกว่าคนที่ถูกจับไปเป็นเชลย พวกเขาไม่อยากเห็นการแตกหัก แต่พวกเขาก็ไม่กล้าทรยศจักรพรรดิเป่ยเหอ จึงได้แต่หวังว่าเผ่าแสงดาวจะยอมสวามิภักดิ์

“หากพวกเจ้าขัดขวาง เมืองต้องล่ม เผ่าต้องสลายอย่างแน่นอน!”

“ประมุขแสงดาว หรือว่าพวกเจ้ารักตัวกลัวตาย เสียสละพวกเจ้าแค่สิบคน ทั้งเผ่าพันธุ์ของพวกเจ้าก็จะเป็นอิสระ!”

ผู้นำทั้งห้าเผ่าพากันแค่นเสียงด้วยความโมโห

“น่าขันนัก เผ่าพันธุ์ล่มสลายหรือ อาศัยแค่พวกเจ้าน่ะนะ” ประมุขแสงดาวแค่นเสียงเฮอะด้วยความโกรธเกรี้ยว

“หากพวกเราคิดจะหนีไปจริงๆ ก็คงจะหนีไปจากโลกแสงดาวตั้งนานแล้ว เพียงแต่ว่าไม่อยากจากบ้านเกิดไปก็เท่านั้นเอง” บรรดาผู้อาวุโสด้านข้างก็พูดขึ้นอย่างโกรธเกรี้ยว

“น้องหิมะเหิน ทำตามที่พูดกันเอาไว้ก่อนหน้านี้แหละ หากต้านทานไม่ไหว เผ่าแสงดาวของข้ามีสองกองด้วยกัน ก็รบกวนเจ้าช่วยสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกาพาพวกเขากลับไปยังดินแดนจิตโลกาด้วย” ประมุขแสงดาวเอ่ยปากออกมาเสียงดังกังวานอย่างคร้านจะปิดบัง

“วางใจเถิด ข้าต้องทำได้อย่างแน่นอน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

หากท้ายที่สุดมิอาจต้านทานได้ขึ้นมา

บรรดดาผู้ที่อ่อนแอก็จะแบ่งเป็นกองกำลังย่อยๆ แล้วเริ่มหลบหนีไป! ก่อนหน้านี้เมื่ออยู่ในหอสุรา ประมุขแสงดาวก็ได้ขอให้ตงป๋อเสวี่ยอิงช่วยเหลือ

อันที่จริงแล้ว ในประวัติศาสตร์มีชาวเผ่าชนพื้นเมืองที่อ่อนแอหนีไปยังดินแดนจิตโลกามากมายนัก เพียงแต่ว่าโดยทั่วไปแล้วมักจะปิดบังตัวตน ผู้บำเพ็ญโดยทั่วไปจึงไม่ทราบ! อย่างตอนที่ ‘จักรพรรดิเป่ยเหอ’ อ่อนแอก็เคยหนีเข้ามาในดินแดนจิตโลกา

แต่ทว่า…

เผ่าชนพื้นเมืองและเผ่ามรณะทมิฬ ทั้งสองเผ่านี้ล้วนแต่มีเงื่อนไขของสภาพแวดล้อมที่จำกัดมาก

เผ่ามรณะทมิฬแทบจะรั้งอยู่ในเกาะลอยคว้างมานานแสนนาน ภายในเกาะลอยคว้าง เมื่อเทียบกันแล้วพลังของพวกมันก็ยกระดับได้ง่ายกว่า ถึงขั้นมีแต่อยู่ในเกาะลอยคว้างเท่านั้น เผ่ามรณะทมิฬจึงจะสามารถวิวัฒน์ไปได้!

เช่นเดียวกัน มีแต่โลกชนพื้นเมืองที่ถือกำเนิดขึ้นในหุบเขาเขี้ยวหักเท่านั้น จึงจะสามารถวิวัฒน์ไปและรอดชีวิตในโลกได้ หากไปยังดินแดนจิตโลกา ล้วนมิอาจวิวัฒน์ได้! สายเลือดสิ่งมีชีวิตคละถิ่นอันแข็งแกร่งภายในกายของพวกเขา ทำให้พวกเขามิอาจมีทายาทสืบสกุลในดินแดนจิตโลกาได้ นอกจากนี้หากไม่มีโลกบ้านเกิด พลังก็จะยกระดับยากขึ้นเป็นพันเป็นหมื่นเท่า นอกเสียจากจะมีสมบัติล้ำค่าที่ไร้เทียมทาน

อย่างท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ ผู้ไร้เทียมทานเพียงหนึ่งเดียวแห่งเผ่าเซวี่ยเหยียนของพวกเขา ทุ่มเททุกสิ่งอย่างเพื่อให้ได้ผลวิญญาณทิพย์มา แต่สมบัติล้ำค่าระดับนี้ได้มายากเกินไปแล้ว

มิอาจวิวัฒน์ได้ พลังก็ยกระดับได้ยากลำบากขึ้นเป็นพันเป็นหมื่นเท่า เมื่อเวลาผ่านไป ชาวเผ่าก็จะกระจายตัวออกจากกัน บ้างก็ได้ทีรวมเข้ากับผู้บำเพ็ญดินแดนจิตโลกาเสียเลย หรือไม่ก็แอบเข้าไปในโลกชนพื้นเมืองอื่นๆ แล้วหลอมรวมเข้ากับโลกอื่น…และนี่ก็คือสาเหตุว่า เหตุใดเมื่อไร้โลกบ้านเกิด เผ่าหนึ่งๆ จึงต้องสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ไปในท้ายที่สุด

“ช่างโง่เง่าเสียจริง ไม่รู้จักประมาณตนเลย” แม่ทัพเทพโครงกระดูกยิ้มเย็น แม่ทัพเทพควันวายุและแม่ทัพเทพเขมือบเมฆาก็ส่ายศีรษะเล็กน้อย

“พวกเจ้าห้าคนลงมือเถิด” แม่ทัพเทพโครงกระดูกเอ่ยปาก “ฆ่าให้เกลี้ยง! ข้าจะดูสิว่าที่แท้แล้วเผ่าแสงดาวนี่จะทนได้สักกี่น้ำกัน จะยืนหยัดได้นานสักเท่าไหร่กันเชียว”

“ขอรับ”

ผู้นำทั้งห้าเผ่าทั้งโกรธทั้งร้อนใจ

“แสงดาว หากวิงวอนตอนนี้ยังทันนะ!” บุรุษผิวสีแดงเพลิงหน้าตาอัปลักษณ์แค่นเสียงด้วยความโมโห

“วิงวอนรึ เฮอะๆ” ประมุขแสงดาวหัวเราะเสียงเย็นชา

“รีบลงมือ” แม่ทัพเทพโครงกระดูกขมวดคิ้วพลางเร่งเร้า

ผู้นำของทั้งห้าเผ่ามองสบตากัน

“ฆ่ามัน!”

“ฆ่ามัน!”

พวกเขาทั้งห้ามีเพลิงโทสะแน่นเต็มอก พวกเขามั่นใจว่าจะทำลายเผ่าแสงดาวทิ้งได้ เนื่องจากเบื้องหลังพวกเขายังมีแม่ทัพเทพอีกสามท่านอยู่! แต่สิ่งที่พวกเขาสามารถเห็นได้ล่วงหน้าก็คือ…เผ่าแสงดาวคงจะทำลายยอดฝีมือระดับยอดสามสิบคนของทั้งห้าเผ่าอย่างเด็ดขาด

ตู้มๆๆๆๆ!!!!!

ผู้นำทั้งห้าเผ่ามีพลังกล้าแกร่ง หากอยู่ภายในโลกบ้านเกิดของตน พวกเขาแต่ละคนก็ล้วนสามารถเทียบกับประมุขแสงดาวได้ แม้อยู่ที่นี่จะไม่มีพลังของโลกคอยช่วยส่งเสริม แต่ทั้งห้าคนร่วมมือกันก็น่าหวาดหวั่นพอสมควร

“ล้มเสียเถอะ!” นัยน์ตาของตงป๋อเสวี่ยอิงมีประกายคมกล้ากะพริบวาบ

เขตลวงโลกเทียมอันน่าหวาดหวั่นปกคลุมไป โลกแห่งหมื่นภาพเจิดจ้าขึ้นมา เหนี่ยวนำความปรารถนาต่างๆ ณ ส่วนลึกของจิตใจออกมา ผู้นำทั้งห้ารู้สึกเพียงว่าทุกสิ่งที่ตนใฝ่หาอยู่ตรงหนน้า เพียงแค่เอื้อมมือคว้าเท่านั้น! ภายใต้การชักนำของพละกำลังอันไร้รูปร่าง วิญญาณก็จมดิ่งลงไปยังโลกลวงนั้น มีเพียงดวงตาตรงหว่างคิ้วของคนสามตาเท่านั้นที่เปล่งแสงสว่างเจิดจ้า สีหน้าลุ่มหลงในตอนแรกกลับเผยสีหน้าดิ้นรนออกมา เขาเบิกตากว้าง แล้วเปล่งเสียงตะโกนออกมาว่า “ช่วยข้าด้วย ช่วยข้าด้วย!!!”

ส่วนอีกสี่คนที่เหลือ ทั้งยักษ์แปดกร ทั้งสตรีร่างมนุษย์ที่มีหางงู…แม้พวกเขาแต่ละคนจะมีท่าทีสูงส่งเทียมฟ้า และเริ่มสำแดงกระบวนท่าออกมาแล้ว จากนั้นอานุภาพในมือก็ลดลงอย่างรวดเร็ว ใบหน้าเผยสีหน้าลุ่มหลงมัวเมาออกมา ร่างกายก็พลันอ่อนยวบลงไป จากนั้นก็ล่องลอยไปตามความเคยชิน

ท่าไม้ตายที่หนึ่งของวิถีเขตลวงโลกเทียม…โลกลวง อันเฉิดฉาย!

โลกเฉิดฉายและชวนลุ่มหลง!

เพียงพริบตาเดียวผู้นำสี่คนจากห้าคนก็ล้มลงอย่างไร้แรงต้านทาน มีเพียงผู้นำสามตาคนนั้นที่ยังครองสติไว้ได้ส่วนหนึ่ง

และก่อนที่ตงป๋อเสวี่ยอิงจะออกกระบวนท่าก็ได้ถ่ายเสียงพูดกับประมุขแสงดาวข้างๆ แล้วว่า “พี่แสงดาว ข้าจะสำแดงกระบวนท่าทางด้านวิญญาณจัดการกับพวกเขา ต่อให้พวกเขาไม่ล้มลง พลังก็จะต้องเสียหายเป็นอย่างมาก ท่านก็ต้องออกกระบวนท่าทันที แล้วจับพวกเขาเอาไว้ให้ได้โดยเร็วที่สุด!”

เดิมทีประมุขแสงดาวยังคงสงสัยอยู่ในใจ

สามารถจัดการระดับอ๋องได้หรือ หรือว่าจะสามารถจัดการกับระดับจักรพรรดิได้ด้วย ในเผ่าชนพื้นเมืองและเผ่ามรณะทมิฬ ระดับอ๋องที่ก้าวเข้าสู่ระดับจักรพรรดิ วิญญาณก็ล้วนแต่มีการเปลี่ยนแปลงจากแก่นแท้ ระดับจักรพรรดิก็เป็นระดับขั้นที่สูงที่สุดของพวกเขาแล้ว

“อะไรกัน! ล้มลงไปแล้ว ล้มลงไปแล้วจริงๆ น่ะหรือ” ประมุขแสงดาวถลึงตาอ้าปากค้าง แต่ไหนแต่ไรมา ในประวัติศาสตร์ไม่เคยมีระดับจักรพรรดิที่จมจ่อมไปกับกระบวนท่าทางด้านวิญญาณมาก่อน นี่ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์เลยทีเดียว! หากไม่มีตงป๋อเสวี่ยอิงเตือนเอาไว้ก่อน ประมุขแสงดาวจะต้องตกตะลึงจนมีปฏิกิริยาโต้ตอบไม่ทันแน่นอน เคราะห์ดีที่เตือนเอาไว้ก่อน ประมุขแสงดาวจึงออกกระบวนท่าไปในทันที ฝ่ามือใหญ่เทียมฟ้าซึ่งเกิดจากแสงดาวรวมตัวกันตะปบตรงไปทางผู้นำทั้งห้าเผ่านั้นเสียงดังฟิ้ว

…………………………………………..

แม่ทัพเทพควันวายุเป็นสตรีเกราะเงินรูปร่างอรชรนางหนึ่ง ส่วนแม่ทัพเทพเขมือบเมฆาเป็นบุรุษเกราะดำร่างบึกบึน พวกเขาทั้งสองคนเป็นพี่น้องคลานตามกันมาอย่างแท้จริง เป็นแม่ทัพเทพอันดับที่ห้าและแม่ทัพเทพคนอันดับที่ยี่สิบเก้าในบรรดาแม่ทัพเทพสามสิบหกนาย

ต้องรู้ไว้ว่า

จักรพรรดิเป่ยเหอคัดเลือกแม่ทัพเทพสามสิบหกนายมาจากยอดฝีมือระดับจักรพรรดิในโลกทั้งหลายที่เขาบัญชาการอยู่! แต่ละคนล้วนมีพลังอันแข็งแกร่ง อย่างผู้นำของห้าเผ่าซึ่งเพิ่งเข้าสู่ระดับจักรพรรดินั้น ล้วนไม่มีคุณสมบัติพอจะได้รับเลือกให้เข้าอยู่ในแม่ทัพเทพสามสิบหกนายได้

“เชิญแม่ทัพเทพมังกรโครงกระดูกหรือ” แม่ทัพเทพเขมือบเมฆาและแม่ทัพเทพควันวายุสบตากัน พวกเขาทั้งสองไม่ค่อยคุ้นเคยกับแม่ทัพเทพมังกรโครงกระดูกสักเท่าใดนัก

แม่ทัพเทพมังกรโครงกระดูก

เป็น ‘แม่ทัพเทพอันดับสอง’ ในบรรดาแม่ทัพเทพทั้งสามสิบหกนาย ด้วยสถานะของแม่ทัพเทพมังกรโครงกระดูก จึงไม่มีทางทำหน้าที่แม่ทัพเทพอารักขาคอยติดตามจักรพรรดิเป่ยเหอ แม้จะกล่าวว่าข้างกายจักรพรรดิเป่ยเหอมักจะมีแม่ทัพเทพเก้าท่านคอยคุ้มกัน แต่โดยทั่วไปแล้วก็มักจะเป็นผู้ที่มีอันดับค่อนข้างรั้งท้าย ส่วนผู้ที่อยู่ในห้าอันดับแรก…ก็คือผู้ที่จักรพรรดิเป่ยเหอทำให้พวกเขายินยอมมาติดสอยห้อยตามด้วยการเจรจาแลกเปลี่ยนบางสิ่งบางอย่างกัน ตามปกติแล้วก็เป็นอิสระ มีเพียงยามสงครามเท่านั้นจึงให้พวกเขาลงมือ

“ไปเถิด พวกเจ้าไปพบแม่ทัพเทพมังกรโครงกระดูกเถิด ให้เขานำพวกเจ้าไปยังโลกแสงดาว” จักรพรรดิเป่ยเหอออกคำสั่ง

เขาไม่ยอมให้เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นเป็นอันขาด!

จะต้องสะอาดหมดจด!

“ขอรับ!”

แม่ทัพเทพเขมือบเมฆา แม่ทัพเทพควันวายุและผู้นำของทั้งห้าเผ่าพากันรับคำ

……

แม่ทัพเทพเขมือบเมฆา แม่ทัพเทพควันวายุและผู้นำทั้งห้า โดยสารเรือใหญ่ลำนี้ออกจากโลกเป่ยเหอแล้วทะลุอากาศไป ไม่นานนักก็มาถึงโลกโครงกระดูก

“ฟิ้ว”

แม้โลกโครงกระดูกจะเป็นบริเวณที่จักรพรรดิเป่ยเหอปกครองเช่นเดียวกัน แต่เนื่องจากแม่ทัพเทพโครงกระดูกแข็งแกร่งพอ จึงค่อนข้างเป็นอิสระมาก ตลอดคืนวันอันยาวนาน ‘แม่ทัพเทพโครงกระดูก’ ถูกโยกย้ายแค่เพียงบางครั้งเท่านั้น เท่านั้น! เพราะถึงอย่างไรด้วยสถานะของจักรพรรดิเป่ยเหอ…ก็หาได้ยากนักที่จะโยกย้ายแม่ทัพเทพโครงกระดูก

ณ ตำหนักอันสูงตระหง่านซึ่งสร้างขึ้นจากโครงกระดูกสีขาว

‘แม่ทัพเทพโครงกระดูก’ คือชายหนุ่มรูปโฉมหล่อเหลาผู้หนึ่ง บนร่างมีเกราะกระดูกขาวหุ้มอยู่ เขากำลังสวาปามกะดูกชนิดแล้วชนิดเล่าตรงหน้าคำโต กร๊อบๆๆ เขาเคี้ยวจนละเอียดแล้วกลืนลงไปอย่างง่ายดาย

รอบด้านเขาก็มีทหารคุ้มกันซึ่งเป็นยอดฝีมือแห่งเผ่าโครงกระดูกอยู่

เมื่อแม่ทัพเทพเขมือบเมฆาและคนอื่นๆ เข้ามาเยี่ยมเยียนนั้น

แม่ทัพเทพโครงกระดูกเพิ่งจะกินกระดูกในถาดขนาดมหึมาตรงหน้าลงไปจนเกลี้ยง แล้วเขาก็ยืนขึ้นมา พลางเอ่ยว่า “กินเสร็จพอดี ไปเถอะ ไปโลกแสงดาวกัน”

เรือใหญ่ทะยานออกจากโลกโครงกระดูกไป

“ทุกครั้งที่เห็นน้องควันวายุ ก็รู้สึกว่างามขึ้นทุกครั้งเลย” แม่ทัพเทพโครงกระดูกพูดยิ้มๆ “น้องควันวายุ มาเป็นฮูหยินข้าเป็นอย่างไรเล่า เผ่าโครงกระดูกของข้ากำลังขาดประมุขหญิงพอดีน่ะ!”

“ทุกครั้งที่ได้พบพี่รอง พี่รองก็หยอกข้าเล่นอยู่เรื่อย” แม่ทัพเทพควันวายุพูดอย่างจนใจ

“น่าเสียดายที่ข้าชอบน้องควันวายุ แต่น้องควันวายุกลับไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาเลย” แม่ทัพเทพโครงกระดูกทอดถอนใจ เขามองดูแม่ทัพเทพเขมือบเมฆาที่อยู่ด้านข้าง “เขมือบเมฆา เจ้าช่วยข้าเกลี้ยกล่อมน้องสาวเจ้าทีสิ”

“ข้ากล่อมนางมิได้หรอก” แม่ทัพเทพเขมือบเมฆาพูดเสียงต่ำ “พี่รอง ท่านก็รู้ มีแต่น้องสาวข้าเท่านั้นที่ยุ่งเรื่องข้าได้ ข้าจะกล้าไปยุ่งกับนางเสียที่ไหนกันเล่า”

“ช่างไร้ประโยชน์เสียจริง!” แม่ทัพเทพโครงกระดูกแค่นเสียง “ข้าล่ะรู้สึกขายหน้าแทนเจ้าจริงๆ”

แม่ทัพเทพควันวายุและแม่ทัพเทพเขมือบเมฆาต่างก็จนใจ

อันที่จริงแล้วพวกเขาก็มิได้สนิทชิดเชื้ออะไรกับแม่ทัพเทพโครงกระดูกขนาดนั้น เพียงแต่ว่า ‘แม่ทัพเทพโครงกระดูก’ มีนิสัยพิกลอยู่อย่างหนึ่ง…ก็คือเมื่อได้พบแม่ทัพเทพหญิงไม่ว่าคนใดในบรรดาแม่ทัพเทพสามสิบหกนาย ก็ล้วนเสนอว่าจะให้ไปเป็นภรรยาของเขา! ทว่าสตรีที่สามารถสำเร็จเป็นแม่ทัพเทพได้ แต่ละคนก็ล้วนไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง คิดจะให้พวกนางจิตใจหวั่นไหวจึงมิได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น

……

พวกเขาพูดคุยหยอกล้อกันอยู่บนเรือใหญ่ ไม่นานนักก็เข้าสู่โลกแสงดาวแล้วเร่งมุ่งหน้าตรงไปยังนครแสงดาวทันที

ภายในนครแสงดาว

ชาวเผ่าแสงดาวกำลังเฉลิมฉลองอยู่ แม้จะรู้ดีว่าเป็นชัยชนะเพียงชั่วคราว เพราะเบื้องหลังของศัตรูเป็นถึง ‘จักรพรรดิเป่ยเหอ’ ผู้มีพลังอันแข็งแกร่ง! แต่พวกเขาทนอดสูใจมานานแสนนานแล้ว ท่ามกลางความสิ้นหวัง ก็มีความตื่นตระหนกอยู่ด้วย ยากนักที่จะได้รับชัยชนะครั้งใหญ่สักครั้ง ทั้งยังจับเชลยมากลุ่มใหญ่อีกด้วย แต่ละคนล้วนเฉลิมฉลองอย่างเต็มที่ แม้แต่เหล่ายอดฝีมือระดับยอดของเผ่าแสงดาวก็เข้ารายล้อมตงป๋อเสวี่ยอิงพร้อมกับ ‘ประมุขแสงดาว’

พวกเขาร่ำสุราพลางหัวร่อต่อกระซิกไปพลางอย่างสุขสราญใจ

“พวกเขาไม่กล้าโจมตีง่ายๆ อีกแล้ว นอกเสียจากพวกเขาจะไม่แยแสชีวิตของเชลยเหล่านั้น”

“เฮอะๆ หากจะให้พวกเราตาย เชลยพวกนั้นก็ต้องตายเสียก่อน”

“จ้าวหิมะเหินจะต้องช่วยพวกเราแน่ พวกเขามิได้ชนะง่ายๆ ถึงเพียงนั้นหรอก”

แต่ละคนพากันพูดเสียงสูง

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูอยู่ข้างๆ ในใจกลับลอบรำพึงว่า ตอนที่เพิ่งมาถึง ผู้อาวุโสและแม่ทัพเหล่านี้ล้วนกล่าวว่า ‘หากศัตรูจะสังหารพวกเขา ก็คงจะต้องตายตกไปกว่าครึ่ง’ แม้แต่ผู้ที่มีความคิดว่าจะชี้เป็นชี้ตายกันไปข้างหนึ่ง ก็ไม่มีความคิดที่จะคว้าชัยได้เลย! แม้ตอนนี้จะดีขึ้นมาบ้าง และมองเห็นความหวังอยู่เล็กน้อยแล้ว แต่ในใจกลับไม่เป็นสุขนัก

ช่วยไม่ได้ ชื่อเสียงอันเกรียงไกรของจักรพรรดิเป่ยเหอได้ฝังรากลึกลงในจิตใจของชนพื้นเมืองทุกผู้เสียแล้ว

“ตอนนั้นประมุขแสงดาวมาช่วยข้า ครั้งนี้ข้าก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด!” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ

สำหรับเขาแล้ว

เขาไม่กลัวเผ่ามรณะทมิฬและชาวเผ่าชนพื้นเมืองเลยแม้แต่น้อย เผ่าที่มีพลังอันน่าหวาดหวั่นที่สุดนั้นมิอาจเข้าไปในดินแดนจิตโลกาได้! พวกเขาได้รับขีดจำกัดของกฎเกณฑ์ที่ ‘หยวน’ ทิ้งเอาไว้ และผู้ที่สามารถเข้าไปในดินแดนจิตโลกาได้ โดยทั่วไปก็เป็นผู้ที่เพิ่งจะเข้าสู่ระดับจักรพรรดิ ระดับนี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าท่าไม้ตายของวิถีเขตลวงโลกเทียมของตน ทันทีที่พบหน้าก็เกรงว่าคงจะต้องหลับใหลเสียแล้ว!

“ไม่ดีแล้ว” สีหน้าของประมุขแสงดาวพลันเปลี่ยนแปรครั้งใหญ่

“เป็นอะไรไปหรือ” คนกลุ่มหนึ่งที่เฉลิมฉลองอยู่ภายในโถงตำหนักต่างก็มองไปทางประมุขแสงดาว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มองมาเช่นกัน

สีหน้าของประมุขแสงดาวคล้ำเขียว ในฐานะที่เขาเป็นประมุขของโลกแสงดาวแห่งนี้ ในสายตาของ ‘แม่ทัพเทพโครงกระดูก’ เรือใหญ่ที่พวกเขาโดยสารอยู่นั้น เพิ่งจะเข้าสู่โลกแสงดาว ก็ถูกพบเข้าทันที

“ฟิ้ว”

ประมุขแสงดาวโบกมือคราหนึ่ง กลางอากาศด้านข้างก็มีภาพฉากหนึ่งปรากฏขึ้น

นั่นคือเรือใหญ่

บนเรือใหญ่มีเงาร่างทั้งหมดรวมแปดสาย ผู้ที่ยืนอยู่ตรงหัวเรือ ก็คือชายหนุ่มชุดเขียวซึ่งสวมเกราะกระดูกขาวเอาไว้และคนอื่นๆ รวมสามคน ได้แก่แม่ทัพเทพโครงกระดูก แม่ทัพเทพควันวายุและแม่ทัพเทพเขมือบเมฆา ด้านหลังพวกเขาทั้งสามจึงจะเป็นผู้นำของทั้งห้าเผ่า

เพียงแปดคน มิได้พาผู้ใต้บังคับบัญชาคนอื่นๆ มาด้วย! เนื่องจากพวกเขาเข้าใจดีมากว่า ผู้ที่มีพลังอ่อนแอ เมื่ออยู่ต่อหน้ากระบวนท่าทางด้านวิญญาณก็ล้วนต้องถูกกวาดล้างทั้งสิ้น

“นี่มัน…”

ประมุขแสงดาว ผู้อาวุโสทั้งเก้าและบรรดายอดฝีมือทั้งหลายสีหน้าพลันเปลี่ยนแปรไปจนไม่น่ามอง ภรรยาและบุตรสาวของประมุขแสงดาวก็สีหน้าซีดขาวเช่นเดียวกัน

“แม่ทัพเทพควันวายุ แม่ทัพเทพเขมือบเมฆา และยังมี…แม่ทัพเทพโครงกระดูกด้วย! แม้แต่แม่ทัพเทพโครงกระดูกก็ยังมาด้วย ช่างเห็นโลกแสงดาวของเราอยู่ในสายตาจริงๆ” ร่างของประมุขแสงดาวสั่นเครือ หากอยู่ภายนอก หากไม่มีพละกำลังของเผ่าแสงดาวคอยส่งเสริมตนเอง แม่ทัพเทพโครงกระดูกก็คงจะสามารโจมตีเขาจนสลายไปได้อย่างง่ายดาย! แต่ต่อให้มีพละกำลังของเผ่าช่วยส่งเสริม เกรงว่าพลังของเขาก็คงจะแค่สามารถเทียบกับแม่ทัพเทพควันวายุที่อ่อนแอที่สุดได้อย่างพอถูไถเท่านั้น

โจมตีอย่างไรเล่า

“รับศัตรู!!!” ประมุขแสงดาวขบกรามพลางคำรามเสียงต่ำ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ก็ต้องขัดขวางไว้

“อำมหิตใช้ได้ที จักรพรรดิเป่ยเหอก็อำมหิตใช้ได้เลยทีเดียว!”

“เห็นทีเขาจะไม่แยแสชีวิตของเชลยพวกนั้นเสียแล้ว”

“ให้แม่ทัพเทพโครงกระดูกมาจัดการโลกแสงดาวของเรา”

ผู้คนทั้งหลายรวมทั้งผู้อาวุโสทั้งเก้าต่างก็คลุ้มคลั่งขึ้นมา

สวบๆๆ…

พวกเขาต่างก็มาถึงประตูเมืองอย่างรวดเร็ว แล้วยืนอยู่กลางอากาศ ภายใต้แสงดาวที่สาดส่อง แต่ละคนต่างก็ทอดสายตามองออกไปไกล ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ข้างประมุขแสงดาวพลางมองดูทุกสิ่ง เขาได้รับรายงานที่เผ่าเซวี่ยเหยียนมอบให้ แล้วก็รู้จักแม่ทัพเทพทั้งสามสิบหกนายภายใต้บังคับบัญชาของจักรพรรดิเป่ยเหอผู้มีชื่อเสียงเลื่องลืออีกด้วย! ตงป๋อเสวี่ยอิงสนใจใคร่รู้นัก

ก่อนหน้านี้ ท่าไม้ตายวิถีเขตลวงโลกเทียมของเขา ล้วนแต่เป็นการลงมือกับเหล่าจักรพรรดิของเกาะแต่ละแห่งของเผ่ามรณะทมิฬเท่านั้น ไม่รู้ว่าเมื่อลงมือกับชนพื้นเมืองจะให้ผลเช่นไร! ทว่าเมื่อดูๆ แล้ว แม้ปัญญาของชนพื้นเมืองจะดีกว่าเผ่ามรณะทมิฬอยู่บ้าง แต่ทางด้านการฝึกจิตทิพย์นั้นก็ยังห่างชั้นกับผู้บำเพ็ญอยู่มากโขชนิดเทียบไม่ติด เพียงแต่อาศัยความพิเศษของสายเลือดและความพิเศษของวิญญาณจึงสามารถต้านทานได้เล็กน้อยก็เท่านั้นเอง

“มาแล้ว”

“เป็นแม่ทัพเทพโครงกระดูก”

“เตรียมตัวสู้ให้สุดชีวิตเถอะ หากสู้มิได้ ก็ค่อยหนีตายตามแผนสุดท้ายที่วางเอาไว้ก็แล้วกัน” ประมุขแสงดาวและเหล่าผู้อาวุโสถ่ายเสียงให้กันเบาๆ นัยน์ตาของแต่ละคนฉายแววคลุ้มคลั่งออกมา

ที่นี่คือบ้านเกิดของพวกเขา! พวกเขาจึงไม่มีทางถอดใจไปง่ายๆ จะสู้สุดชีวิตทั้งที ก็ต้องสู้จนถึงชั่วขณะ!

ฟิ้ว…

เรือใหญ่ลำนั้นทะลุผ่านอากาศ ก่อนจะปรากฏขึ้นนอกนครแสงดาวแล้วหยุดอยู่ไกลลิบตรงนั้น แรงกดดันอันไร้รูปร่างทำให้ชาวเผ่าแสงดาวจำนวนนับไม่ถ้วนรู้สึกจิตใจไม่เป็นสุข แม้พวกเขาจะรู้ว่า ‘จักรพรรดิเป่ยเหอ’ น่าหวาดหวั่นมากก็จริง แต่พวกเขาคิดไม่ถึงว่า เพิ่งจะได้รับชัยชนะมายกหนึ่ง ก็ส่งแม่ทัพสามคนจากแม่ทัพเทพสามสิบหกนายมาอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้แล้ว

“อ้อ เผ่าแสงดาว ช่างกล้าดีนัก!” บนหัวเรือใหญ่ บุรุษสวมเกราะกระดูกสีขาวผู้นั้นกวาดตามองคราหนึ่ง แล้วกล่าวว่า “ผู้ใดคือจ้าวหิมะเหิน”

ตงป๋อเสวี่ยอิงก้าวออกมา แล้วพูดยิ้มๆ ว่า “ข้าเองคือจ้าวหิมะเหิน!”

…………………………………..

ณ โลกเป่ยเหอ ผู้นำทั้งห้าทะยานมาถึงหน้าประตูตำหนักของตำหนักอันสูงตระหง่านที่ลอยคว้างอยู่กลางอากาศ

“พี่เทียนเฉิน” ยักษ์แปดกรในบรรดาผู้นำทั้งห้าเอ่ยขึ้น “รบกวนท่านช่วยส่งสารให้ที ว่าพวกเราอยากจะเยี่ยมคารวะองค์จักรพรรดิ”

“อ้อ”

ผู้ที่ยืนอารักขาอยู่หน้าประตูคือบุรุษผมเงินผู้หนึ่ง เขาก็ก้าวเข้าสู่ระดับจักรพรรดิแล้วเช่นเดียวกัน มิเช่นนั้นแล้วก็คงไม่มีคุณสมบัติพอจะรับหน้าที่เป็นผู้อารักขาทั้งวังเทพเป่ยเหอเพียงลำพังได้ บุรุษผมเงินผู้นี้พูดยิ้มๆ ว่า “พวกเจ้าทั้งห้าเผ่ามิได้ไปโจมตีโลกแสงดาวหรอกหรือ ในฐานะผู้นำ พวกเจ้าก็ควรจะประจำการอยู่ที่นั่นสิ เหตุใดจึงมาที่นี่กันหมดเสียเล่า”

“อย่าพูดถึงเลย จู่ๆ โลกแสงดาวนั่นก็มียอดฝีมือเร้นลับโผล่ออกมาคนหนึ่ง ทำให้พวกเราเสียหายใหญ่หลวงนัก” ยักษ์แปดกรกล่าว “พี่เทียนเฉิน ท่านรีบไปส่งสารเถิด”

“ก็ได้ๆ ข้าจะไปส่งสารเดี๋ยวนี้แหละ” บุรุษผมเงินรีบแบ่งร่างแปรร่างหนึ่งมุ่งหน้าไปในตำหนักอย่างรวดเร็วทันที

……

หน้าแปลงดอกไม้สีม่วงแห่งหนึ่ง

คนอาภรณ์เขียวผู้หนึ่งยืนเอามือไพล่หลังอยู่หน้าแปลงดอกไม้สีม่วงพลางมองดูดอกไม้เหล่านี้อย่างเงียบงัน สายตาลึกล้ำราวกับห้วงสมุทร แม้เขาจะยืนอยู่ตรงนี้ แต่ก็มีกลิ่นอายเข่นฆ่าที่ชวนให้คนประหวั่นใจแผ่ซ่านออกมา!

ชื่อเสียงของ ‘จักรพรรดิเป่ยเหอ’ นั้นโด่งดังเพราะการเข่นฆ่าโดยแท้

ประกายกระบี่ราวกับนทีสวรรค์อันโดดเด่นสะดุดตา สังหารจนทั่วทุกสารทิศต้องยอมก้มหัวให้ แม้แต่การเดิมพันของจักรพรรดิใต้บังคับบัญชาของยอดเคารพเฮ่ากู่ทั้งสี่คน จักรพรรดิเป่ยเหอก็เอาชนะจักรพรรดิอีกสามท่านได้อย่างต่อเนื่องกัน ภายในอาณาบริเวณอันกว้างใหญ่ไพศาลที่ยอดเคารพเฮ่ากู่ปกครองนี้ เขาได้กลายเป็นรองเพียงสิ่งมีชีวิตอันน่าหวาดหวั่นอย่างยอดเคารพเฮ่ากู่เท่านั้น! เมื่อเขาออกคำสั่งคราหนึ่ง ก็ทำให้โลกจำนวนนับไม่ถ้วนต้องสั่นสะท้านและยอมศิโรราบ

สวบ

ลำแสงสายหนึ่งพุ่งทะยานเข้ามาจากที่ไกลๆ แล้วร่อนลงมา เป็นร่างแปรของบุรุษผมเงินนั่นเอง เขาพูดด้วยความเคารพว่า “องค์จักรพรรดิ”

“มีเรื่องอันใด” จักรพรรดิเป่ยเหอยังคงเหม่อมองดูดอกไม้พลางเอ่ยปากเสียงเรียบ

“หัวหย่งและหัวหน้าของห้าเผ่าคนอื่นๆ มาขอเข้าพบขอรับ” บุรุษผมเงินกล่าว

“อ้อ ให้พวกเขาเข้ามา” จักรพรรดิเป่ยเหอกำชับ

“ขอรับ”

ร่างแปรของบุรุษผมเงินถอยออกไปอย่างรวดเร็ว

เพียงไม่กี่ชั่วลมหายใจ

หัวหน้าของทั้งห้าเผ่าก็มาถึงที่นี่ พวกเขาพากันคารวะด้วยความเคารพ “คารวะองค์จักรพรรดิ”

จักรพรรดิเป่ยเหอจึงหมุนกายกลับมา เขามองดูทั้งห้าคนด้วยสายตาเรียบนิ่ง “พวกเจ้าไม่ทำศึก แต่กลับมาหาข้าที่นี่ เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นในการต่อสู้หรือ”

“ขอรับ” บุรุษหน้าตาอัปลักษณ์ผิวสีแดงก่ำกล่าวด้วยความเคารพ “พวกเราทั้งห้าเผ่าโจมตีโลกแสงดาว ทุกอย่างเป็นไปตามแผน ก่อนหน้านี้ก็ราบรื่นดีมาก ผู้ใดจะไปคิดว่าจู่ๆ จะมีหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวนามจ้าวหิมะเหินปรากฏกายขึ้นมาเสียนี่ เขาเชี่ยวชาญกระบวนท่าทางด้านวิญญาณอันน่าหวาดหวั่น เพียงชั่วความคิดเดียว ก็ทำให้ยอดฝีมือระดับยอดถึงสาบสิบคนที่พวกเราทั้งห้าเผ่าส่งไปถูกกระบวนท่าจนตกเข้าสู่ห้วงนิทรากันหมด ยอดฝีมือของพวกเราทั้งห้าเผ่ากลุ่มนี้ต้องตกเป็นเชลยจนสิ้น เมื่อเผชิญหน้ากับกระบวนท่าทางด้านวิญญาณของเขา จำนวนมากกว่านี้ก็ไร้ประโยชน์! นอกจากนี้ หากมีแค่พวกเราทั้งห้าคนร่วมมือกัน แม้มั่นใจว่าจะสามารถต้านทานกระบวนท่าทางด้านวิญญาณนั่นได้ แต่เกรงว่าพลังก็คงจะต้องถูกลดทอนลง ขณะเดียวกันพวกเราก็ยังต้องประสบกับการล้อมโจมตีของค่ายกลรบที่ประมุขแสงดาวและผู้แกร่งกล้าแห่งโลกแสงดาวร่วมมือกันสร้างขึ้นมาด้วย ข้าและคนอื่นๆ เกรงว่าจะต้องตกเป็นรอง นอกจากนี้ผู้ใต้บังคับบัญชาของพวกเราก็มีอันตรายถึงตาย ดังนั้นพวกเราจึงต้องถอยออกมาก่อนชั่วคราวขอรับ”

“ในบรรดายอดฝีมือที่ตกเป็นเชลยทั้งสามสิบคน คงไม่มีระดับจักรพรรดิกระมัง” จักรพรรดิเป่ยเหอเอ่ยปาก

“ขอรับ ไม่มีระดับจักรพรรดิเลย” บุรุษหน้าตาอัปลักษณ์ผิวสีแดงก่ำพูดด้วยความเคารพ

“ควันวายุ” จักรพรรดิเป่ยเหอกล่าว

ทันใดนั้นไอหมอกอันไร้รูปร่างก็รวมตัวกันขึ้นด้านข้าง กลายเป็นสตรีเกราะเงินรูปร่างอรชรนางหนึ่ง สตรีเกราะเงินรูปร่างอรชรนางนี้คารวะด้วยความเคารพทันที “องค์จักรพรรดิ”

“จ้าวหิมะเหิน เจ้าเคยได้ยินสมญานามนี้หรือไม่” จักรพรรดิเป่ยเหอเอ่ยถาม

สตรีเกราะเงินรูปร่างอรชรสะดุ้งน้อยๆ นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ภายในหุบเขาเขี้ยวหักของข้า ไม่เคยได้ยินว่ามีผู้แกร่งกล้าระดับนี้มาก่อน แต่ภายในดินแดนจิตโลกา มีผู้ที่ชื่อมหาเคารพหิมะเหินคนหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังยิ่งนัก! เขาเคยใช้นามแฝงว่า ‘คนวิถีจิตฟ้า’ แล้วทำให้มารร้ายทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาสั่นสะท้านด้วยพลังของตัวคนเดียว ทั้งยังทำลายเรื่องมงคลของราชันย์อนธการอมตะผู้นั้นอีกด้วย ทำเอาราชันย์อนธการอมตะโกรธแค้นมาก ราชันย์อนธการอมตะมองตัวตนที่แท้จริงของเขาออก แล้วบุกสังหารไปจนถึงเมืองหิมะเหิน…ศึกครั้งนั้น ประมุขแสงดาวก็เคยปรากฏกายออกมาเพื่อสกัดกั้นราชันย์อนธการอมตะไว้ จากนั้นพลังของราชันย์อนธการอมตะก็ปะทุออกมา แล้วเหิมเกริมไปทั่วสารทิศ ภายหลังมหาเคารพหิมะเหินผู้นั้นอาศัยค่ายกลมากมายในตัวเมือง จึงสามารถสกัดกั้นราชันย์อนธการอมตะได้อย่างพอถูไถ”

“จากการวิเคราะห์ พลังของมหาเคารพหิมะเหินน่าจะเป็นเทพจักรวาลชั้นที่สอง ได้ยินมาว่ามีอาวุธเทพคละถิ่น พลังของตนไม่ควรค่าแก่การพูดถึงเอาเสียเลย” สตรีเกราะเงินรูปร่างอรชรพูดอธิบาย

ในฐานะที่นางเป็นหนึ่งในเก้าแม่ทัพเทพประจำตัวของจักรพรรดิเป่ยเหอในตอนนี้ จึงได้เก็บรวบรวมข้อมูลของแต่ละฝ่ายอยู่ตลอดเวลา

อันที่จริงแล้ว

ไม่ว่าจะเป็นดินแดนจิตโลกาหรือเผ่าชนพื้นเมือง ก็ล้วนแต่เผยแพร่ข้อมูลรวดเร็วยิ่งนัก!

หากแต่การเผยแพร่ข้อมูลภายใน ‘เผ่ามรณะทมิฬ’ กลับช้าเสียยิ่งกว่าช้า พวกมันกว่าเก้าจุดเก้าส่วนมีสติปัญญาประหนึ่งสัตว์ป่า ต่อให้เป็นผู้ที่มีสติปัญญาค่อนข้างสูง การส่งสารก็ล้วนแต่อาศัยการ ‘ถ่ายเสียง’ ทั้งสิ้น อย่าง ‘จักรพรรดิ’ ของเกาะลอยคว้างสักแห่ง ก็จะไม่จากเกาะลอยคว้างไปไหนนานแสนนาน! ดังนั้นจึงติดต่อกับโลกภายนอกน้อยมาก

แม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะใช้กระบวนท่าไม้ตายของวิถีเขตลวงโลกเทียมกวาดล้างเผ่ามรณะทมิฬในเกาะลอยคว้างหลายแห่งแต่กลับไม่มีชื่อเสียงอันใด

แต่เขาเพิ่งจะทดลองกระบวนท่าในเผ่าชนพื้นเมืองไปเพียงเล็กน้อย! นอกจากนี้ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดที่ลงมือด้วยก็เป็นเพียง ‘ระดับอ๋อง’ เท่านั้น ข่าวสารกลับแพร่มาถึงจักรพรรดิเป่ยเหอเสียแล้ว!

“ประมุขแสงดาวเคยไปช่วยเหลือเขาหรือ” จักรพรรดิเป่ยเหอพยักหน้าเบาๆ “เห็นที คงจะเป็นจ้าวหิมะเหินผู้นี้นั่นแหละ”

“นี่คือรูปโฉมของจ้าวหิมะเหิน” สตรีเกราะเงินรูปร่างอรชรโบกมือคราหนึ่ง ด้านข้างก็มีรูปร่างหน้าตาของหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวปรากฏขึ้น

“เขานี่แหละ”

“ถูกต้อง เขานั่นแหละ”

ผู้นำของทั้งห้าเผ่าต่างก็นัยน์ตาเป็นประกาย

จักรพรรดิเป่ยเหอพยักหน้าน้อยๆ “อาจหาญใช้ได้ทีเดียว ที่มาเป็นศัตรูกับข้า แม้แต่รูปโฉมก็มิได้ปลอมแปลง! ในเมื่อพวกเจ้าห้าเผ่ามีพลังไม่เพียงพอ ก็ส่งยอดฝีมือออกไปช่วยพวกเจ้าอีกก็ใช้ได้แล้ว!”

“จักรพรรดิ พวกเราห้าเผ่ามียอดฝีมือระดับยอดสามสิบกว่าคนที่ถูกจับไปเป็นเชลย หากพวกเราโจมตีแล้วเผ่าแสงดาว บ้าคลั่งขึ้นมาล่ะก็…” คนสามตาพูดอย่างร้อนรน

“เอาล่ะ” จักรพรรดิเป่ยเหอพูดเสียงเย็นชา นัยน์ตาก็เย็นเยียบขึ้นมา ราวกับประกายกระบี่อันเยียบเย็นดุจน้ำแข็งแทงตรงเข้ามา

คนสามตาชะงัก ไม่กล้าเปล่งเสียงออกมาอีกต่อไป

พวกเขาติดตามจักรพรรดิเป่ยเหอมานานยิ่งนัก จึงรู้จักนิสัยของจักรพรรดิเป่ยเหอเป็นอย่างดี

“กรำศึกทั่วสารทิศ เรื่องนี้จะเกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดขึ้นไม่ได้เป็นอันขาด” จักรพรรดิเป่ยเหอพูดเสียงเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง “ไม่ว่าใครหน้าไหนก็มิอาจขัดขวางข้าได้ทั้งนั้น”

เขาคือจักรพรรดิคนล่าสุดที่เพิ่งรุ่งโรจน์ขึ้นมา

แต่บัดนี้กลับเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างนั้นหรือ เพราะเหตุใด ก็เพราะเขาโหดร้ายกับตนเองและผู้ใต้บังคับบัญชามากพอ!

เพราะถึงอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นเขาหรือ ‘ยอดเคารพ’ ผู้สูงส่งเหนือใคร อันที่จริงแล้วก็ยังคงเป็นระดับจักรพรรดิ! ยอดเคารพก็เป็นเพียงระดับจักรพรรดิระดับขั้นครบสมบูรณ์เท่านั้น หากมี ‘ระดับจักรพรรดิ’ กลุ่มใหญ่สักกลุ่มร่วมแรงร่วมใจกัน ก็สามารถใช้กำลังโจมตียอดเคารพคนหนึ่งได้! เพราะถึงอย่างไรระดับขั้นก็มิได้แตกต่างกันมากนัก จำนวนสามารถชดเชยความแตกต่างระหว่างกันได้

อย่างเขา จักรพรรดิเป่ยเหอ เดิมทีปกครองดินแดนทางฝ่ายหนึ่ง ซึ่งเป็นการปกครองอย่างเด็ดขาด! ยอดฝีมือทางฝั่งนั้นล้วนฟังคำบัญชาการของเขาทั้งสิ้น แล้วรวมตัวกันขึ้นมาเป็น ‘แม่ทัพเทพสามสิบหกนาย’

แม่ทัพเทพสามสิบหกนาย เมื่อร่วมมือกันแล้วก็สามารถโจมตียอดเคารพคนหนึ่งได้!

ก็มีแต่เขา จักรพรรดิเป่ยเหอเท่านั้นที่ทำถึงขั้นนี้ได้

อย่างจักรพรรดิคนอื่นๆ บางคน ปกครองผู้ใต้บังคับบัญชาในดินแดนได้อ่อนแอยิ่งนัก เมื่อมองอย่างผิวเผินแล้ว โลกชนพื้นเมืองแต่ละฝ่ายล้วนทำตามบัญชา แต่อันที่จริงแล้วกลับต่างคนต่างอยู่! ดังนั้นจักรพรรดิคนอื่นๆ อีกสามคนภายใต้บังคับบัญชาของ ‘ยอดเคารพเฮ่ากู่’ จึงมียอดฝีมือที่ควบคุมรวมกันแล้วสู้ยอดฝีมือภายใต้การนำของจักรพรรดิเป่ยเหอมิได้เลย

“อาศัยยอดฝีมือทั้งหลายร่วมแรงกัน ข้าจึงสามารถครองครองทรัพยากรจำนวนมากขึ้นได้ บัดนี้จัดเป็นอันดับหนึ่งในบรรดาจักรพรรดิทั้งสี่แล้ว!”

“เมื่อคำนวณจากเดิมพัน จึงสามารถชิงเอาดินแดนหลังจากจักรพรรดิเฉินเย่าสิ้นใจไปมาไว้ในมือได้”

“หากสามารถบัญชาการได้ทั้งหมด ขุมอำนาจภายใต้การบัญชาการของข้าก็จะเพิ่มพูนขึ้นเป็นอันมาก”

จักรพรรดิเป่ยเหอลอบพึมพำ

เขาไม่กลัวยอดเคารพเฮ่ากู่เลย! ต่อให้สู้กันตัวต่อตัว เขาก็แค่ตกเป็นรองเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีแม่ทัพเทพผู้ภักดีอีกสามสิบหกนายด้วย!

การจะบัญชาการดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาลนั้น หากค่อยเป็นค่อยไป ก็จะมีโอกาสเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก แต่จักรพรรดิเป่ยเหอมิได้มีความอดทนถึงเพียงนั้น! เขาเชื่อว่าบัดนี้ตนเองมีพลังแข็งแกร่งพอ แม่ทัพเทพสามสิบหกนายที่อยู่ใต้บังคับบัญชาก็แกร่งกล้าพอ สามารถฝืนกรำศึกได้ ที่ตอนนี้ ‘ถ่วงเวลา’ ออกไปนั้น ก็เพื่ออาศัยการห้ำหั่นระหว่างสงครามในการเคี่ยวกรำผู้แกร่งกล้าภายใต้บังคับบัญชาเท่านั้นเอง

ในการห้ำหั่นระหว่างความเป็นความตาย ผู้ที่แข็งแกร่งก็ยิ่งมีโอกาสสายเลือดตื่นรู้ และพลังยกระดับขึ้น

“จ้าวหิมะเหินหรือ” จักรพรรดิเป่ยเหอมิได้เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย

ไม่ว่าใครก็มิอาจขัดขวางเส้นทางของเขาได้

เขาจะต้องสำเร็จเป็นยอดเคารพคนที่สามของเผ่าชนพื้นเมืองให้จงได้!

“ยุ่งยากเสียแล้ว” ผู้นำทั้งห้ามองสบสายตากันอย่างเงียบงัน ด้วยความรู้สึกจนใจอยู่บ้าง พวกเขาต่างก็สัมผัสได้ว่าครั้งนี้จักรพรรดิเป่ยเหอมีปณิธานอันแรงกล้า ไม่ว่าผู้ใดก็มิอาจขัดขวางเขาได้!

“ในเมื่ออยู่ต่อหน้ากระบวนท่าทางด้านวิญญาณ ต่อให้มีผู้อ่อนแอจำนวนมากกว่านี้ก็ไร้ประโยชน์” จักรพรรดิเป่ยเหอพูดเสียงเรียบ “เขมือบเมฆา ควันวายุ พวกเจ้าสองพี่น้องไปเชิญ ‘แม่ทัพเทพมังกรโครงกระดูก’ เสีย แล้วพวกเจ้าสามแม่ทัพเทพก็ไปช่วยเหลือผู้นำทั้งห้าเก็บกวาดโลกแสงดาวเสียเถอะ! ไม่จำเป็นต้องไปเคี่ยวกรำในโลกแสงดาวอีกต่อไปแล้ว”

ผู้นำทั้งห้าได้ยินชื่อของสองแม่ทัพเทพคือเขมือบเมฆาและควันวายุ ก็ยังคงนิ่งเฉย

แต่เมื่อได้ยินชื่อของ ‘แม่ทัพเทพมังกรโครงกระดูก’ ก็อดตกตะลึงมิได้

“แม่ทัพเทพมังกรโครงกระดูกหรือ”

“เห็นได้ชัดว่าจักรพรรดิอยากจะคว้าชัยชนะอย่างหมดจดเลยทีเดียว” ผู้นำทั้งห้าตกตะลึง

……………………………..

“ขอรับ ท่านประมุข”

ผู้อาวุโสร่างอ้วนเตี้ยคนหนึ่งในบรรดาผู้อาวุโสทั้งเก้าที่ตื่นขึ้นมาหยิบขวดหยกที่เปล่งประกายแสงดาว ขวดหนึ่งออกมาแล้วดึงจุกออก ทันใดนั้น พละกำลังที่ดูดกลืนลงไปก็ปกคลุมยอดฝีมือทั้งห้าเผ่าที่อยู่ในห้วงนิทราเอาไว้ แต่ละคนล้วนถูกเก็บลงไปในขวด จากนั้นผู้อาวุโสร่างอ้วนเตี้ยผู้นี้ก็อุดจุกขวดกลับลงไปด้วยความตื่นเต้นยินดีเป็นอันมาก ก่อนจะรีบรายงานว่า “ท่านประมุข ยอดฝีมือของทั้งห้าเผ่ารวมสามสิบคนถูกจองจำเอาไว้จนสิ้นแล้ว และยังมิเคยทำร้ายพวกเขาเลยแม้แต่ชีวิตเดียว”

เสียงที่ผู้อาวุโสร่างอ้วนเตี้ยผู้นี้พูดสะท้อนก้องเป็นพิเศษ มันแพร่ไปทั่วทั้งนครแสงดาว แม้แต่บรรดายอดฝีมือของทั้งห้าเผ่าซึ่งอยู่บนเรือใหญ่นอกเมืองหลายลำก็ได้ยินอย่างชัดเจน

ยอดฝีมือทั้งห้าเผ่ามองไปทาง หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวที่ตอนนี้ถูกห้อมล้อมอยู่ด้วยความแตกตื่นระคนหวาดหวั่น ประมุขแสงดาวก็ยังต้อนรับด้วยความกระตือรือร้นหาใดเปรียบ

“เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน”

“ผู้แกร่งกล้าระดับยอดสุดที่พวกเราห้าเผ่าคัดเลือกมากลับถูกกระบวนท่ากันหมดในพริบตา ดูเหมือนจะเป็นกระบวนท่าทางด้านวิญญาณทั้งหมดเลยหรือ”

ศัตรูที่มองไม่เห็นลงมือขึ้นมา

ยอดฝีมือทั้งสามสิบคนทางฝ่ายตนอ่อนยวบไปกันหมด แล้วตกเข้าสู่ห้วงนิทรา นี่จะต้องเป็นกระบวนท่าทางด้านวิญญาณอย่างไร้ข้อกังขา กระบวนท่าระดับนี้ทำให้ยอดฝีมือทั้งห้าเผ่าตัวสั่นทั้งที่ไม่หนาวได้! เนื่องจากผู้ที่ส่งออกไป ก็คือเหล่าผู้แกร่งกล้าที่เป็นรองเพียงผู้นำทั้งห้าเท่านั้น เมื่อเทียบกันแล้ว พลังของทหารคุ้มกันทั้งหลายบนเรือรบก็อ่อนแอกว่ามากทีเดียว

เชื่อว่ากระบวนท่าทางด้านวิญญาณซึ่งมีขอบเขตกว้างใหญ่เหมือนกัน ก็สามารถกวาดล้างพวกเขาได้ในกระบวนท่าเดียว

ไม่เห็นหรือว่าก่อนหน้านี้ แม้แต่ยอดฝีมือกลุ่มใหญ่ของโลกแสงดาว ก็ล้มลงไปกันหมดแล้ว เห็นได้ชัดว่าเมื่ออยู่ต่อหน้ากระบวนท่าเช่นนี้ จำนวนกลับไม่มีความหมายอันใดเลย!

“ทำเช่นไรดี”

“ผู้อาวุโสฟูเฉินยังถูกกระบวนท่าเข้าอย่างไร้ทางตอบโต้เสียแล้ว พวกเราหน้าไหนจะสามารถต้านทานได้เล่า”

“การโจมตีเช่นนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว”

ยอดฝีมือทั้งห้าเผ่าตื่นตระหนก

ทางด้านผู้นำทั้งห้าก็อยู่ไม่สุขเช่นกัน พวกเขามองสบตากันและกันอยู่ห่างๆ บนเรือใหญ่ของตนเอง แล้วถ่ายเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันเบาๆ อย่างรวดเร็ว

“ท่านพี่ทั้งสี่ พวกผู้อาวุโสฟูเฉินถูกกระบวนท่าเข้าอย่างไร้ทางตอบโต้เสียแล้ว พวกเราทั้งห้าล้วนก้าวเข้าสู่ระดับจักรพรรดิแล้ว! เมื่อเทียบกับพวกเขา ทางด้านวิญญาณของพวกเราก็เกิดการเปลี่ยนแปลงจากแก่นแท้แล้ว เชื่อว่าคงไม่ถึงกับถูกกระบวนท่าและตกเข้าสู่ห้วงนิทราหรอก” สตรีร่างมนุษย์ที่มีหางงูในบรรดาผู้นำทั้งห้าถ่ายเสียงพูด “แต่ไหนแต่ไรมา ไม่เคยได้ยินว่ามีผู้ใดในโลกจำนวนนับไม่ถ้วน รวมทั้งเผ่ามรณะทมิฬเหล่านั้น สามารถทำให้ระดับจักรพรรดิตกเข้าสู่ห้วงนิทราได้เลย”

“ใช่ คิดจะทำให้พวกเราถูกกระบวนท่า เป็นไปไม่ได้หรอก”

“พวกเราก้าวเข้าสู่ระดับจักรพรรดิแล้ว”

แต่ละคนพากันถ่ายเสียงวิพากษ์วิจารณ์

ระดับจักรพรรดิ

ไม่ว่าจะเป็นเผ่ามรณะทมิฬ หรือว่าเผ่าชนพื้นเมือง ก็ล้วนเรียกได้ว่าเป็นระดับขั้นสูงที่สุดแล้ว ส่วนยอดเคารพในตำนาน พวกเขาก็เชื่อว่าเป็นเพียงแค่ระดับจักรพรรดิที่ระดับขั้นครบสมบูรณ์เท่านั้น

อย่าง ‘ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้’ ที่ตงป๋อเสวี่ยอิงพบในตอนนั้นก็มิได้บรรลุถึงระดับจักรพรรดิ ดังนั้นในเกาะลอยคว้าง เขาจึงมิอาจใช้แรงต้าน ‘ผู้อาวุโสใหญ่’ ได้!

บรรลุถึง ‘ระดับจักรพรรดิ’ จึงจะมีคุณสมบัติพอจะกลายเป็นผู้นำของเผ่าหนึ่งได้อย่างไร้ข้อกังขา

“ทว่ายอดฝีมือจำนวนมากถูกกระบวนท่าในพริบตาเดียว กระบวนท่าทางด้านวิญญาณของหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวผู้นี้น่ากลัวยิ่งนัก แม้พวกเราจะสามารถต้านทานได้ แต่เกรงว่าพลังก็คงต้องลดลงสามสี่ส่วนเลยทีเดียว” สตรีหางงูถ่ายเสียงพูดต่อไป “ในโลกแสงดาว ประมุขแสงดาวอาศัยพละกำลังของเผ่า พลังจึงเพิ่มพูนขึ้นเป็นอันมาก เพียงคนเดียวก็สามารถต้านทานพวกเราทั้งห้าคนได้แล้ว ด้วยกระบวนท่าทางด้านวิญญาณของหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาว ทำให้ข้าและคนอื่นๆ พลังลดลงเป็นอย่างมาก เกรงว่าคงจะมิใช่คู่ต่อสู้ของประมุขแสงดาวแล้ว”

“ตอนนี้พวกเราไม่มีข้อได้เปรียบมากพอแล้ว”

“ถอย”

“ถอยไปก่อน แล้วรายงานองค์จักรพรรดิ”

ยอดฝีมือทั้งห้าเผ่าจิตใจไม่สงบอยู่บ้าง พวกเขาไม่มีจิตคิดต่อสู้เลย

ไม่นานนัก

สวบๆๆๆๆ…

เรือใหญ่ลำแล้วลำเล่าทะลุอากาศจากไป

“ประมุขแสงดาว” เงาร่างอันเลือนรางสายหนึ่งหยุดอยู่กลางอากาศ เป็นร่างแปรของสตรีร่างมนุษย์ที่มีหางงูผู้นั้นนั่นเอง นางเอ่ยปากพูดว่า “ข้าและคนอื่นๆ รับบัญชาของจักรพรรดิเป่ยเหอมาที่นี่ เจ้าปล่อยคนของพวกเราออกมาให้หมดจะดีที่สุด นั่น…”

“ไม่ต้องพูดมาก”

ประมุขแสงดาวกลับตัดบทขึ้นมา แล้วพูดตะคอกว่า “ในเมื่อถูกข้าและคนอื่นๆ จับมาทั้งเป็น ข้าก็ย่อมไม่ปล่อยไปอยู่แล้ว! ช่วงที่ผ่านมาพวกเจ้าโจมตีโลกแสงดาวของข้า ชาวเผ่าแสงดาวเราสู้รบจนต้องตายไปมากมาย พวกเรามิได้สังหารเชลยทันทีก็ถือว่าเมตตามากแล้ว! หวังว่าพวกเจ้าจะถอยไปแต่โดยดี หากมาโจมตีอีก ก็อย่าโทษว่าพวกเราแล้งน้ำใจก็แล้วกัน”

สตรีร่างมนุษย์ที่มีหางงูจ้องประมุขแสงดาวเขม็ง

นางก็เข้าใจดีว่า ก่อนหน้านี้เมื่อพวกเขาทั้งห้าเผ่าโจมตี วิธีการก็ดุเดือดยิ่งนัก ซึ่งล้วนแต่เป็นการทำตามบัญชาของจักรพรรดิเป่ยเหอทั้งสิ้น…หมายจะทำลายเผ่าแสงดาวให้หมด! เมื่อจะล้างเผ่าพันธุ์ ขณะต่อสู้ก็ย่อมไม่ไว้น้ำใจอยู่แล้ว บัดนี้คิดจะทำให้อีกฝ่ายปล่อยเชลยคืนมา ก็ย่อมยากเสียยิ่งกว่ายาก

“ไม่ทราบว่ามีเงื่อนไขใด พวกเจ้าจึงจะยอมรับปากว่าจะปล่อยพวกเขากลับมา” สตรีร่างมนุษย์ที่มีหางงูเอ่ย

“ขอเพียงจักรพรรดิเป่ยเหอมีโองการลงมาด้วยตนเอง แล้วเจ้าส่งโองการมา โองการก็ต้องเขียนให้ชัดเจนว่านับแต่นี้ไป เผ่าแสงดาวของเราจะไม่ฟังการโยกย้ายจากจักรพรรดิเป่ยเหออีกต่อไปแล้ว และจะไม่มาโจมตีโลกแสงดาวของข้าอีก” ประมุขแสงดาวกล่าว ขอเพียงจักรพรรดิเป่ยเหอเขียนโองการด้วยมือตนเอง เพื่อรักษาหน้าตา เขาก็ย่อมไม่มีทางตระบัดสัตย์

“เงื่อนไขของเจ้านี่ช่างสูงเสียจริง” สตรีร่างมนุษย์ที่มีหางงูพูดเสียงต่ำ

จักรพรรดิเป่ยเหอมีนิสัยเช่นใดกัน แล้วจะยอมออกโองการเช่นนี้มาได้อย่างไร

“เงื่อนไขก็อยู่ตรงนี้แล้ว พวกเจ้าเลือกเอาเองก็แล้วกัน!” ประมุขแสงดาวตะคอก “ตอนนี้ เจ้าออกจากโลกแสงดาวไปเสียเถอะ”

ประมุขแสงดาวพูดพลางสะบัดชายเสื้อ

ฟิ้ว

ไกลออกไป อากาศกวาดออกไป ร่างแปรของสตรีร่างมนุษย์ที่มีหางงูผู้นั้นก็หายวับไปทันที นางเผชิญหน้ากับทุกสิ่งอย่างเงียบเชียบ

……

พลังของประมุขแสงดาวสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าศัตรูได้จากโลกแสงดาวไปจนสิ้นแล้ว

“ยอดฝีมือทั้งห้าเผ่าจากไปหมดแล้ว” ประมุขแสงดาวประกาศเสียงดังกังวาน “ศัตรูถอยไปหมดแล้ว”

“พวกเราชนะแล้ว”

“ถอยไปแล้ว พวกเขาถอยไปแล้ว”

“ในที่สุด ในที่สุดพวกเราก็ชนะแล้ว”

ชาวเผ่าแสงดาวจำนวนนับไม่ถ้วนในนครแสงดาวโห่ร้องด้วยความตื่นเต้น แม้พวกเขาจะรู้ว่าเป็นการแก้ไขวิกฤตเพียงชั่วคราว แต่ต่อให้ชนะเพียงชั่วคราว ก็ล้วนเป็นสิ่งที่พวกเขารอคอยมานานแสนนานเกินไปแล้ว

นอกจากนี้ ครั้งนี้ในมือของพวกเขายังมีเชลยที่สำคัญ ซึ่งเป็นยอดฝีมือระดับยอดกว่าครึ่งของฝ่ายศัตรูทั้งห้าเผ่าอยู่ด้วย เมื่อมีเชลยเช่นนี้อยู่กลุ่มหนึ่ง ทั้งห้าเผ่าก็ต้องกลัวจะตีวัวกระทบคราด! ‘จักรพรรดิเป่ยเหอ’ อาจจะไม่สนใจความเป็นความตายของผู้ใต้บังคับบัญชา แต่ผู้นำของทั้งห้าเผ่าก็นับว่าเป็นบุคคลระดับสูงในบรรดาคนของจักรพรรดิเป่ยเหอแล้ว พวกเขามีสหายมากมาย ผู้ใต้บังคับบัญชาคนอื่นของจักรพรรดิเป่ยเหอจึงต้องเห็นแก่หน้าอยู่บ้าง ไม่มีทางดันทุรังโจมตีต่อไปแล้วปล่อยให้เชลยเสี่ยงถูกสังหารตายเป็นแน่

นอกเสียจากจักรพรรดิเป่ยเหอจะมีบัญชาลงมา!

“พวกเราจับตัวเชลยเอาไว้ แล้วยังมีน้องหิมะเหินอยู่ด้วย” ประมุขแสงดาวมองดูตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยความตื่นเต้นอย่างยิ่ง “น้องหิมะเหิน ข้าคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าตอนนั้นได้ทีช่วยเจ้าครั้งหนึ่งตามเรื่องตามราว เจ้ากลับช่วยทั้งเผ่าของข้าเอาไว้ในตอนนี้”

ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ ว่า “สำหรับข้าแล้ว ก็แค่ใช้แรงเหมือนยกฝ่ามือเท่านั้นเอง”

ประมุขแสงดาวฟังแล้วก็ยิ้มขึ้นมา “เอาล่ะ ไม่ต้องพูดแล้ว บุญคุณใหญ่ครั้งนี้ ข้าจะจดจำเอาไว้ อ้อ ใช่แล้ว เมื่อครู่ตอนที่เจ้าสำแดงกระบวนท่าออกมา แม้แต่ยอดฝีมือของเผ่าแสงดาวเราก็ยังถูกกระบวนท่ากันหมด สามารถแยกฝ่ายเราและศัตรูออกจากกันได้หรือไม่”

“ไม่ ไม่ แยกฝ่ายเราและศัตรูหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้ายิ้มๆ “กระบวนท่าที่ผู้บำเพ็ญเราสำแดงออกมานั้นวิจิตรพิสดารมาก ไม่มีทางเกิดความผิดพลาดระดับนี้ได้อย่างแน่นอน ที่เมื่อครู่ถูกกระบวนท่ากันหมด ก็เพราะข้ากังวลว่า หากข้าลงมือกับยอดฝีมือทั้งห้าเผ่า แต่ยอดฝีมือเผ่าแสงดาวกลับมิอาจหยุดมือได้ทันทีแล้วสังหารยอดฝีมือทั้งห้าเผ่าจนเกลี้ยง เช่นนั้นก็จะน่าเสียดายแย่”

“ฮ่าฮ่า ถูกต้อง ขณะห้ำหั่นระหว่างความเป็นความตาย กระบวนท่าทางด้านวิญญาณของท่านก็เงียบเชียบไร้สุ้มเสียง ยอดฝีมือของพวกเราเผ่าแสงดาก็คงหยุดมือไม่ได้จริงๆ” ประมุขแสงดาวกระจ่างแจ้งขึ้นมา “เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว เป็นเชลยให้หมดก็เป็นเรื่องดีต่อเผ่าแสงดาวเรา สามารถทำให้ศัตรูมิกล้าเปิดศึกขึ้นมาง่ายๆ อีก”

“ท่านประมุข” ผู้อาวุโสผมเงินด้านข้างคนหนึ่งพูดเสียงต่ำ “ชัยชนะครั้งใหญ่เช่นนี้ จ้าวหิมะเหินช่วยพวกเราทั้งเผ่าเอาไว้อีกแล้ว ยามนี้ ก็ควรเฉลิมฉลองให้ดีๆ สักตั้งหนึ่ง!”

“ใช่แล้ว ควรเฉลิมฉลอง ควรเฉลิมฉลอง” ประมุขแสงดาวหัวเราะดังลั่น เขายื่นมือออกไปจับมือตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ทันที “น้องหิมะเหิน นับแต่วันนี้ไป เจ้าคือผู้ที่มีบุญคุณใหญ่หลวงต่อเผ่าแสงดาวของเรา”

ส่วนไกลออกไป องค์หญิงแห่งเผ่าแสงดาวที่ยืนอยู่กับมารดาก็มองดูตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ห่างๆ นัยน์ตาทั้งคู่เป็นประกายเจิดจ้า นางพึมพำกับตนเองว่า “หิมะเหิน…นี่คือพรหมลิขิตหรือ”

******

ณ ที่อีกแห่งหนึ่ง

ยอดฝีมือทั้งห้าเผ่ากลับโดยสารเรือลำใหญ่ ทะลุผ่านอากาศอันไกลโพ้นไปถึง ‘โลกเป่ยเหอ’

“ไม่ใช่แค่มิอาจโจมตีได้เท่านั้น ยอดฝีมือมากมายถึงเพียงนั้นกลับกลายเป็นเชลยไปหมดอีกด้วย ตอนนี้พวกเราอับจนหนทางแล้ว ได้แต่รายงานองค์จักรพรรดิเท่านั้น” ผู้นำทั้งห้าร้อนรนขึ้นมา ร้อนรนที่ยอดฝีมือของเผ่าตนกลายเป็นเชลยไป

…………………………………………

“ประมุขแสงดาวคงจะรู้ว่าข้ามีร่างแยกจำนวนนับไม่ถ้วน แล้วข้าจะยังต้องกลัวถูกลากมาลำบากอันใดกันเล่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ

ประมุขแสงดาวได้ฟังแล้วก็ตะลึงงันในทันใด ก่อนจะหัวเราะฮ่าฮ่า “ใช่แล้ว จ้าวหิมะเหินมีร่างแยกจำนวนนับไม่ถ้วน ในเมื่อเจ้าอยากจะรู้ ข้าก็จะบอกเจ้าให้ละเอียดยิบเลยทีเดียว เจ้าคงจะรู้ว่าภายในหุบเขาเขี้ยวหัก กลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิมของพวกเรามียอดเคารพอยู่สองท่าน”

ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

ยอดเคารพห้าท่าน สามท่านมาจากเผ่ามรณะทมิฬ ส่วนอีกสองท่านเป็นกลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิม ว่ากันว่าพลังยุทธ์ของยอดเคารพห้าท่านต่างก็แข็งแกร่งเหนือธรรมดา จักรพรรดิเซี่ยและราชันย์อนธการอมตะเผชิญหน้ากับยอดเคารพก็ต้องเอาชีวิตไปทิ้ง

“ยอดเคารพสองท่าน กลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิมทั่วทั้งหุบเขาเขี้ยวหักแบ่งอาณาบริเวณอันกว้างใหญ่ไพศาลออกเป็นสองส่วน แบ่งออกเป็นแดนใต้ปกครองของผู้บัญชาการยอดเคารพสองท่าน” ประมุขแสงดาวพูด “โลกแสงดาวของพวกเราก็อยู่ใต้ปกครองของผู้บัญชาการ ‘ยอดเคารพเฮ่ากู่’”

“เดิมทีใต้บังคับบัญชาของยอดเคารพเฮ่ากู่ก็มีจักรพรรดิทั้งห้าอยู่ พลังยุทธ์ของจักรพรรดิทั้งห้าต่างก็แข็งแกร่งเป็นที่สุด ต่างก็มีระดับที่ใกล้เคียงกันกับสิ่งมีชีวิตคละถิ่น ‘ผู้วิเศษแปดท่าน’

ถึงแม้ว่าจะไม่มีความสามารถในการรักษาชีวิตรอดอันล้ำเลิศเหมือนสิ่งมีชีวิตคละถิ่น แต่ก็มีพลังยุทธ์พอๆ กันกับพวกเขา อ่อนแอกว่ายอดเคารพเพียงแค่ขั้นเดียวเท่านั้น” ประมุขแสงดาวพูด

“ความสัมพันธ์ระหว่างยอดเคารพกับพวกเขาก็เบาบางเป็นอย่างยิ่ง”

ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

จักรพรรดิทั้งห้าและยอดเคารพเฮ่ากู่มีพลังยุทธ์แตกต่างกันเพียงแค่ขั้นเดียวเท่านั้น มิได้มีความแตกต่างกันมากพอ พลังคุกคามก็ย่อมมีขีดจำกัด

“ยอดเคารพเฮ่ากู่สูงส่งเหนือผู้ใด เป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่แท้จริงที่มุ่งมั่นไขว่คว้าความสำเร็จเพียงอย่างเดียว คร้านจะไปวุ่นวายกับเรื่องหยุมหยิม ล้วนเป็นจักรพรรดิทั้งห้าที่จัดการดูแลทั้งสิ้น แต่ทว่าก่อนหน้านี้ไม่นานจักรพรรดิเฉินเย่าก็ตายไปเสียแล้ว!” ประมุขแสงดาวพูด “อาณาเขตที่จักรพรรดิเฉินเย่าปกครองในตอนนั้น ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ได้ยินว่าทำการประลองเดิมพันคราหนึ่ง ยังเป็นยอดเคารพเฮ่ากู่ที่จัดการ ในท้ายที่สุดจักรพรรดิสี่ท่าน จักรพรรดิเป่ยเหอก็เอาชนะท่านอื่นๆ อีกสามท่าน อาณาบริเวณของผู้บัญชาการจักรพรรดิเฉินเย่า ก็กลับไปอยู่ใต้การบัญชาการของเขาเสียแล้ว แต่โลกแสงดาวของพวกเรา ยังมีโลกเซวี่ยเหยียนก่อนหน้านี้ ทั้งยังมีโลกอีกมากมาย ต่างก็เป็นอาณาเขตแต่เดิมของผู้บัญชาการจักรพรรดิเฉินเย่า”

“ผู้บัญชาการจักรพรรดิเฉินเย่าเป็นอิสระอย่างยิ่ง พวกเราก็มีความสุขสบายกันดี”

“แต่จักรพรรดิเป่ยเหอกลับโหดเหี้ยมอำมหิต เพียงเพราะต้องการจะกดขี่พวกเราเป็นทาส เขาก็ให้พวกเราต่อสู้เพื่อเขา สละชีวิตเพื่อเขา” ประมุขแสงดาวยิ้มหยัน “พลังยุทธ์ของจักรพรรดิเป่ยเหอก็เป็นผู้นำของสี่จักรพรรดิในตอนนี้ แม้กระทั่งยอดเคารพเฮ่ากู่ก็ยังไม่ยุ่งกับเรื่องนี้เลย พวกเราก็ได้แต่ดิ้นรนกันเอาเองแล้ว คิดอยากจะผลาญเผ่าโลกแสงดาวของข้า ลูกน้องพวกเขาก็ต้องตายตกกันไปเป็นกลุ่มใหญ่”

“แต่พูดตามจริง ด้วยอุปนิสัยของจักรพรรดิเป่ยเหอแล้ว เกรงว่าก็คงจะมิได้ใส่ใจความเป็นความตายของลูกน้องกระมัง” ประมุขแสงดาวส่ายศีรษะเบาๆ

ผู้อาวุโสสองท่านที่อยู่ข้างๆ ภรรยาและบุตรสาวของเขาต่างก็เงียบงัน

พลังกดดันของจักรพรรดิเป่ยเหอแผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งเผ่าโลกแสงดาว ใครๆ ต่างก็รู้กันดีว่าการจะให้จักรพรรดิเป่ยเหอล้มเลิกแผนการนั้นเป็นเรื่องที่ยากเย็นเพียงใด

“เข้าใจแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าเบาๆ

ที่โลกกำเนิดบ้านเกิดของตน จอมเทพศักดิ์สิทธิ์สามารถควบคุมวิญญาณของสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนได้ ส่วน ‘จักรพรรดิจวิน’ ฝูงมารผลาญทำลาย เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่กฎเกณฑ์สูงสุดมอบให้ ก็ยิ่งต้องทำเรื่องการมหาทำลายล้าง

เพื่อวิถีของตนเอง ผู้แกร่งกล้าจำนวนมากก็ย่อมไม่สนใจชีวิตของผู้อื่นอยู่แล้ว แม้กระทั่งเผ่าพันธุ์เดียวกันก็ตาม!

เท่าที่ ‘ชนพื้นเมืองดั้งเดิม’ ดู บนดินแดนจิตโลกาก็เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน… เผ่าพันธุ์ผู้บำเพ็ญ! เผ่าพันธุ์ผู้บำเพ็ญมิได้บุกสังหารอย่างบ้าคลั่งเช่นเดียวกัน ถึงขนาดที่ราชันย์อนธการอมตะก็ยังต้องสละชีวิตในสิบห้าประเทศไปครั้งหนึ่ง

“เพราะความเห็นแก่ตัว ก็ต้องทำให้สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนเดือดร้อน ทั้งยังเป็นมารตนหนึ่งอีกด้วย!” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยเสียงเบา นัยน์ตามีประกายหนาวเหน็บ

ประมุขแสงดาวที่อยู่ข้างๆ ฟังแล้วก็ตกใจจนสะดุ้งคราหนึ่ง

องค์หญิงผู้นั้นฟังแล้วสายตาก็ทอประกายวูบหนึ่ง

พวกเขาต่างก็รู้อุปนิสัยของตงป๋อเสวี่ยอิง เพื่อข่มขู่มาร ก็ต่อกรกับเหล่ามารทั้งหมดทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาด้วยกำลังของตนเองเพียงคนเดียว

“น้องหิมะเหิน!” ประมุขแสงดาวกุมมือของตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ “เจ้าอย่าได้บุ่มบ่ามไปเลย”

“วางใจเถิด ข้าไม่บุ่มบ่ามหรอก จะทำอะไรก็ต้องทำตามกำลังอยู่แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ

“ใช่แล้ว ทำตามกำลัง” ประมุขแสงดาวส่ายศีรษะ “แต่พวกเราต่อกรกับจักรพรรดิเป่ยเหอ ก็ออกจะไม่ประมาณตนเสียแล้ว พวกเราก็ได้แต่ถ่วงเวลาออกไปอย่างสุดกำลังเท่านั้น อาณาเขตของผู้บัญชาการจักรพรรดิเฉินเย่า มีโลกมากมายที่กำลังต่อต้านอยู่! เชื่อว่าเมื่อเวลาผ่านนานไปแล้วก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น”

……

งานเลี้ยงครั้งนี้เพิ่งผ่านไปเพียงครึ่งทางเท่านั้น

“ปัง!” มีระลอกคลื่นอันแรงกล้าปรากฏขึ้น

“จะโจมตีเข้ามาแล้วหรือ” ประมุขแสงดาวสีหน้าแปรเปลี่ยน “น้องหิมะเหิน เจ้าอยู่ที่นี่แหละ”

“พวกเราไปกัน!”

ประมุขแสงดาวนำทางผู้อาวุโสสองท่านผละจากไปอย่างรวดเร็วในทันที กะพริบวาบคราหนึ่งก็หายลับไปเสียแล้ว

ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนขึ้นอย่างสงสัย จากนั้นก็เดินออกไป

ยอดฝีมือทั่วทั้งนครหลวงของเผ่าแสงดาวก็มิได้มากมายนัก เพราะว่าจำนวนของพวกเขาเมื่อเปรียบเทียบกับผู้บำเพ็ญแล้วก็น้อยกว่าอยู่มากมายนัก ตอนนี้ด้านนอกประตูของเมืองแห่งหนึ่ง เรือใหญ่ลำแล้วลำเล่าหยุดอยู่กลางอากาศ ผู้แกร่งกล้าจากเผ่าภายนอกยืนอยู่บนเรือใหญ่พลางมองลงมายังนครหลวงของยอดฝีมือเผ่าแสงดาว

“แสงดาว หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวที่มาเมื่อครู่ผู้นั้นเป็นใครกันหรือ” บนเรือใหญ่ลำหนึ่ง บุรุษอัปลักษณ์ ผิวกายสีแดงก่ำตลอดร่าง เส้นผมสีแดงสดคนหนึ่งตะเบ็งเสียง “ข้ารู้สึกได้ว่าศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาขุมนั้นเข้าไปภายในนครหลวงของเจ้า ยอดฝีมือเผ่าแสงดาวของเจ้าถูกกักตัวเอาไว้เนิ่นนานถึงเพียงนี้ ยังจะมีผู้มาจากภายนอกกล้าเข้าไปอีก!”

“หัวหย่ง ใครจะเข้าไปในเผ่าแสงดาวของข้า แล้วเจ้า เผ่าหัวหย่งมีสิทธิ์ที่จะมายุ่งวุ่นวายด้วยหรือไร” ประมุขแสงดาวตะคอก ด้านหลังมีผู้อาวุโสติดตามมาด้วยถึงเก้าท่าน ทั้งยังมีสุดยอดผู้แกร่งกล้าคนอื่นๆ อีกกลุ่มหนึ่งตามมาด้านหลังอีกด้วย

“หึหึ จักรพรรดิได้ให้สัญญาเอาไว้แล้วว่าเมื่อใดที่โจมตีโลกแสงดาว โลกใบนี้ก็จะเป็นของข้า เผ่าหัวหย่ง ตอนนี้พวกเราต่างก็ยึดครองไปได้เกือบหมดแล้ว ข้าก็ย่อมมีสิทธิ์ยุ่งได้อยู่แล้วสิ” บุรุษอัปลักษณ์ผู้นี้โบกมือคราหนึ่ง “ในเมื่อเจ้าโง่เง่าถึงเพียงนี้ หึๆ ไป ตีนครแสงดาวให้ข้าเสีย”

“ขอรับ”

บริเวณโดยรอบมีเงาร่างสิบห้าสายพุ่งออกมาในทันใด

บ้างก็เป็นเงาร่างผิวหนังสีแดงเพลิง บ้างก็เป็นเงาร่างลำแสงสายฟ้า บ้างก็ร่างเป็นมนุษย์หางเป็นงู บ้างก็เป็นมนุษย์สามตา

ผู้แกร่งกล้าระดับสุดยอดของเผ่าพันธุ์ทั้งห้าร่วมมือกันสังหารออกมาอีกครั้ง

“ไป”

“เข้าไปอีก”

“ฆ่ามัน”

ผู้อาวุโสเก้าคนเป็นหัวหน้า นำทางเหล่าผู้แกร่งกล้ากลุ่มหนึ่งของโลกแสงดาวพุ่งตัวออกไปจากนครหลวงในทันใด ตั้งรับการต่อสู้อยู่นอกเมืองค่ายกลรบแห่งแล้วแห่งเล่าก่อตัวขึ้น ห้ำหั่นกันอย่างบ้าคลั่งขึ้นมา

“ปัง!” “ปัง!” “ปัง!”…

ฟ้าดินสั่นสะเทือน

พลังคุกคามโครมคราม การห้ำหั่นของยอดฝีมือทั้งสองฝ่ายส่งผลกระทบมากยิ่งกว่าบุคคลผู้ไร้เทียมทานเสียอีก

ประมุขแสงดาวมองอย่างเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง เขาไม่กล้าสอดมือยุ่งเกี่ยว เพราะว่าผู้นำทั้งห้าของห้าเผ่าพันธุ์ฝ่ายตรงข้ามต่างก็มิได้ลงมือเลย! โชคดีที่อยู่ที่บ้านเกิด อาศัยพลังของเผ่าพันธุ์ พลังยุทธ์ของเขาก็แข็งแกร่งกว่าหัวหน้าทั้งห้าอยู่เล็กน้อย

“เข้าไปอีก” หญิงสาวหางงูร่างมนุษย์คนหนึ่งออกคำสั่ง

ทันใดนั้นคนกลุ่มหนึ่งก็บุกสังหารเข้าไป เพียงชั่วพริบตายอดฝีมือห้าเผ่าพันธุ์ก็ครองความได้เปรียบในทันที

“ปัง!”

ทันใดนั้นลำแสงทั่วทั้งนครแสงดาวก็ไปรวมตัวกันบนร่างของผู้อาวุโสทั้งเก้า และบนร่างของยอดฝีมือเผ่าแสงดาวทุกคน

“เป็นคนบ้าจริงๆ เสียด้วย” ประมุขแสงดาวได้เห็นเหตุการณ์แล้วก็เดือดดาล การโจมตีขนานใหญ่ทุกครั้งของห้าเผ่า ต่างก็ห้ำหั่นจนสูญเสียผู้แกร่งกล้าไปมากพอสมควรจึงได้ล่าถอยไป! เขาก็รู้ว่าใต้บังคับบัญชาของจักรพรรดิเป่ยเหอ… บรรดาผู้แกร่งกล้าเหล่านี้ต่างก็เคยชินกับการที่ ‘ผู้อ่อนแอตกเป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่ง’ เสียแล้ว บางทีการห้ำหั่นจนสูญเสียผู้แกร่งกล้าไปมากพอสมควรพรรค์นี้คงเป็นวิธีการขัดเกลาคัดกรองผู้แกร่งกล้าของพวกเขากระมัง

เพียงแต่ว่าเดิมทีโลกแสงดาวมีผู้อาวุโสสิบแปดท่าน ตอนนี้ก็เหลืออยู่เพียงครึ่งเดียวแล้ว

“ท่านแม่”

องค์หญิงผู้นั้นกับมารดามองดูอยู่ไกลๆ อย่างกระวนกระวาย

ไม่เพียงแต่พวกเขาเท่านั้น ยอดฝีมือทั้งเผ่าแสงดาวจำนวนมากมายต่างก็ดูอยู่อย่างกระวนกระวายและเป็นกังวล ที่กำลังต่อสู้อยู่นั้นก็คือยอดฝีมือทั้งเผ่าแสงดาวแล้ว เป็นบรรดาบุคคลที่ยืนอยู่ในระดับยอดสุด! ส่วนพวกเขาชาวเผ่าธรรมดาสามัญเหล่านี้ก็มีพลังยุทธ์อ่อนด้อยกว่ามากมายนัก เมื่อใดที่บรรดาผู้อาวุโสและเหล่าผู้นำทัพพากันต้านไม่อยู่ พวกเขาชนเผ่าที่อ่อนแอเหล่านี้ก็คงถูกผลาญสังหารกวาดล้างไปอย่างง่ายดายเสียแล้ว

“ใครกันที่มาช่วยเหลือพวกเขา”

“ที่แท้แล้วเมื่อใดกันแน่ที่วันเวลาเช่นนี้จะสิ้นสุดลงเสียที” บรรดาชาวเผ่าธรรมดาสามัญเหล่านี้หวาดหวั่นไม่เป็นสุข พวกเขาทำได้เพียงรอคอยคำพิพากษาของโชคชะตาเท่านั้น

……

“หืม”

ตงป๋อเสวี่ยอิงที่สังเกตการณ์อยู่ข้างๆ มาโดยตลอดสีหน้าเปลี่ยนแปรเล็กน้อย “ท่าไม่ดีแล้วสิ!”

ผู้อาวุโสในบรรดายอดฝีมือเผ่าแสงดาวคนหนึ่งยาดเจ็บสาหัส เห็นได้ว่าไม่ไหวแล้ว แต่ประมุขแสงดาวก็ยังคงยืนนิ่งไม่ยอมลงมืออยู่อย่างนั้น

“เขากลัวหัวหน้าห้าเผ่านั่น ไม่อยากก่อให้เกิดการต่อสู้พัวพันในท้ายที่สุดอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะเบาๆ ประมุขแสงดาวมีบุญคุณต่อตน ก้าวออกมาช่วยเหลือตนในช่วงเวลาวิกฤติ

“พรึ่บ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงนึกคิดคราหนึ่ง

เขตลวงขนาดใหญ่มหึมาแผ่ปกคลุมออกไปในทันใด ปกคลุมเหล่ายอดฝีมือทั้งสองฝ่ายที่กำลังห้ำหั่นกันเอาไว้

พลั่ก พลั่ก พลั่ก…

เหล่ายอดฝีมือกลุ่มใหญ่ทั้งสองฝ่ายแววตาหม่นมัว ทุกคนหยุดมือแล้วทรุดตัวลงมา

“เป็นอะไรไปเสียแล้วเล่า” ประมุขโลกแสงดาว ภรรยาและบุตรสาวของเขา รวมถึงบรรดาชาวเผ่าโลกแสงดาวจำนวนหนึ่งต่างก็พากันตะลึงงันไปเสียแล้ว!

ยอดฝีมือห้าเผ่าพันธุ์ที่อยู่บนเรือใหญ่ไกลออกไปต่างก็ตะลึงงันไปแล้วเช่นกัน

“พรึ่บ” “พรึ่บ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงนึกคิดคราหนึ่งก็เคลื่อนย้ายยอดฝีมือทั้งสองกลุ่มใหญ่ที่จ่อมจมอยู่ในเขตลวงเข้าไปในนครหลวงจนหมดสิ้น ในบรรดาคนเหล่านี้ ผู้อาวุโสเก้าคนของยอดฝีมือเผ่าแสงดาวและเหล่ายอดฝีมือจำนวนหนึ่งยังคงครองสติเอาไว้ได้ ส่วนบรรดายอดฝีมือห้าเผ่าพันธุ์กลับยังคงจ่อมจมอยู่ท่ามกลางเขตลวง

“ประมุขแสงดาว คุมตัวยอดฝีมือห้าเผ่าพันธุ์เอาไว้ชั่วคราวก่อนเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับเอ่ยปากว่า “แล้วก็ไม่จำเป็นต้องลงมือรุนแรงจนเกินไปนัก พวกเขาก็เพียงแค่รับคำสั่งมาให้ต่อสู้เท่านั้น ก็แค่ทหารไม่กี่คนเท่านั้นเอง”

ในขณะนี้เอง

บรรดาชาวเผ่าจำนวนมากมายของเผ่าโลกแสงดาว และเหล่ายอดฝีมือห้าเผ่าพันธุ์ที่อยู่บนเรือใหญ่ลำแล้วลำเล่าต่างก็มองไปทางหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวที่เอ่ยปากพูดอยู่อย่างไม่อยากจะเชื่อ

“น้องหิมะเหินช่างมีเมตตา ข้าก็จะไม่ลงมือรุนแรงแน่” ประมุขแสงดาวดวงตาเป็นประกายขึ้นมา

เขารู้สึกร้อนวูบวาบขึ้นมาตลอดทั่วทั้งร่างกาย หัวใจที่สิ้นหวังไร้เรี่ยวแรงมาโดยตลอดเต็มไปด้วยกำลังวังชา โลหิตก็เดือดพล่าน อีกทั้งน้ำเสียงของเขาก็สว่างไสวขึ้นมาเช่นกัน “จับพวกเขาไปขังให้หมด ฟังคำสั่งน้องหิมะเหินของข้า อย่าได้ทำร้ายพวกเขาจนถึงแก่ชีวิต พวกเขาเป็นเพียงแค่ทหารเท่านั้น”

…………………………………….

โลกชนพื้นเมืองดั้งเดิมต่างก็ซ่อนเร้นอยู่กลางห้วงอากาศ มิอาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นเป็นยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่แห่งวิถีอากาศ ก็ย่อมสามารถสังเกตได้ถึงโลกที่ซ่อนเร้นอยู่เหล่านี้ได้อยู่แล้ว

“พรึ่บ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงในรูปลักษณ์หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวปรากฏตัวขึ้นกลางห้วงอากาศแห่งหนึ่งแล้วมองเกาะลอยคว้างที่มีขนาดเท่าเมล็ดงาที่อยู่ไกลออกไป พลางพยักหน้าน้อยๆ “อ้างอิงจากเกาะลอยคว้าง โลกอันลึกลับตรงหน้าข้าแห่งนี้ก็คือโลกแสงดาวแล้วล่ะ”

พรึ่บ

ร่างกายกะพริบวาบคราหนึ่งก็เข้าไปภายในโลกอันลึกลับนี้ได้อย่างง่ายดาย

……

โลกแสงดาวก็คือดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง

ไม่เหมือนกับ ‘เกาะลอยคว้าง’ กดดันและขับไล่ กดดันให้ต่ำอย่างที่สุดภายในโลกแสงดาว เพียงความคิดเดียวก็สามารถสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาได้

“หืม”

หลังจากที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าไปสู่โลกแสงดาวแล้ว กวาดสายตาคราหนึ่งก็เห็นว่าที่บริเวณไกลออกไปมีอาคารที่พังทลาย บริเวณรอบๆ ก็มีร่องน้ำตามรอยแยกของแผ่นดิน ป่าไม้ที่อยู่ไกลออกไปก็มีซากปรักหักพังเป็นบริเวณกว้างใหญ่ไพศาล

“ดูคล้ายว่าจะผ่านศึกใหญ่มาอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิได้ประหลาดใจ เหล่าประชากรภายในโลกแห่งหนึ่งก็อาจมีการต่อสู้กันได้

“พรึ่บ!”

เขาปล่อยเขตพลังห้วงอากาศออกมาแล้วรับสัมผัสอยู่ห่างๆ โลกแสงดาวมิได้ขับไล่ แต่กลับแผ่ปกคลุมทั่วทั้งโลกแสงดาวในชั่วพริบตา ที่จุดศูนย์กลลางของดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้กลับมีพลังแสงดาวอันเข้มข้นเป็นที่สุดรวมตัวกันอยู่ ทั้งยังขับไล่การตรวจหาทั้งหมดอีกด้วย เขตพลังห้วงอากาศของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ประสบกับการขับไล่เช่นเดียวกัน

ทว่าด้านนอกบริเวณที่แสงดาวแผ่ปกคลุมกลับมีเรือใหญ่หลายลำล่องลอยอยู่ ยามรักษาการณ์ที่ยืนอยู่บนเรือใหญ่ต่างก็แผ่กลิ่นอายของสายฟ้าออกมา

“อ้างอิงจากสิ่งที่ข้ารู้ กลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิมแบ่งออกเป็นหลายเผ่าพันธุ์ตามสายโลหิต” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ “อย่างเช่นเผ่าเซวี่ยเหยียนต่างก็มีบรรพชนที่มีสายโลหิตเซวี่ยเหยียนอันแกร่งกล้ายิ่งอยู่คนหนึ่ง นอกจากนี้ทั้งเผ่าพันธุ์ต่างก็กำลังศึกษาวิธีการปลุกเร้าสายโลหิตเซวี่ยเหยียน ด้วยเหตุผลเดียวกัน เผ่าโลกแสงดาว ที่เข้มข้นที่สุดในร่างกายก็คงจะเป็นสายโลหิตแสงดาว สายการบำเพ็ญหลักก็ควรจะเป็นสายโลหิตแสงดาว แต่เห็นได้ชัดว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเหล่านี้แผ่กลิ่นอายสายฟ้าออกมา เห็นได้ชัดว่ามิใช่เผ่าโลกแสงดาว”

“ที่แท้นี่มันเรื่องอันใดกันแน่”

ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงการสอดแนมส่งถ่ายทลายโลกาสังเกตการณ์ดูอยู่ห่างๆ

ศูนย์กลางโลกแสงดาวมีกลุ่มอาคารที่ทอดตัวต่อเนื่องกัน งามล้ำเลิศเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังเป็นที่รวมตัวของชาวเผ่ากลุ่มใหญ่ มองไปปราดหนึ่งก็เห็นชาวเผ่าโลกแสงดาวกว่าร้อยล้านคนรวมตัวกันอยู่ที่นั่น และบริเวณรอบๆ ก็มีแสงดาวคุ้มกันอยู่อย่างแน่นหนา! แต่แสงดาวนี้กลับเผชิญกับห้วงมิติปิดผนึกและตัดแยก ซึ่งก็คือเรือใหญ่หลายลำที่ล่องลอยอยู่ในบริเวณรอบๆ นั่นเองที่ปลดปล่อยห้วงมิติปิดผนึกออกมา

“โลกแสงดาวเผชิญกับศัตรูที่แข็งแกร่งอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิได้โง่งม มองเพียงปราดเดียวก็มองออกแล้วว่าเป็นกลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิมอีกกลุ่มหนึ่งโจมตีเผ่าโลกแสงดาว

“ประหลาดนัก เผ่าเซวี่ยเหยียนที่ข้าพบเจอในครั้งก่อน ฟังจากที่เซวี่ยเหยียนจี้พูดเอาไว้ในตอนท้ายสุด พวกเขาเผ่าเซวี่ยเหยียนก็ถูกขับออกมาจากบ้านเกิด หลบหนีออกมาอย่างน่าอนาถ เผ่าโลกแสงดาวก็เผชิญกับการโจมตีด้วยเหมือนกันหรือ ดูท่าทางภายในกลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิมก็คงจะต่อสู้กันอย่างร้ายกาจเลยทีเดียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบขบคิดเงียบๆ

คิดๆ ดูแล้วก็เป็นเรื่องธรรมดา

ขนาดเล็กๆ อย่างภายในตระกูลสักแห่งหนึ่งต่างก็มีสงครามภายในด้วยกันทั้งสิ้น! การต่อสู้นั้นก็มีอยู่ทั่วทุกหัวระแหงจริงๆ

“สวบ”

ก้าวยาวๆ ก้าวหนึ่ง

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มาถึงยังด้านนอกของห้วงมิติปิดผนึกแล้ว ที่นั่นยามรักษาการณ์ซึ่งแผ่กลิ่นอายสายฟ้าออกมาที่กำลังเฝ้ายามอยู่คนหนึ่งพอดี เมื่อได้เห็นหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวปรากฏตัวขึ้นก็ตะคอกใส่ในทันที “เจ้าเป็นใคร!”

“ข้าเป็นใครน่ะหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงแย้มยิ้มน้อยๆ เขตลวงก็แผ่ปกคลุมยามรักษาการณ์ตัวจ้อยที่น่าสงสารผู้นี้เอาไว้เสียแล้ว! เขาจงใจเคลื่อนที่ในพริบตามาถึงยังข้างกายของยามรักษาการณ์ผู้นี้ พลังยุทธ์ของยามรักษาการณ์อ่อนแอเป็นอย่างยิ่ง เป็นเพียงแค่ระดับขั้นอลวนเท่านั้น ปณิธานของชนพื้นเมืองดั้งเดิมก็ยิ่งอ่อนแอกว่าผู้บำเพ็ญเสียอีก ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สามารถตรวจดูความทรงจำของเขาได้อย่างง่ายดาย

การตรวจดูความทรงจำในครั้งนี้ก็ทำให้รู้ว่ายามรักษาการณ์ผู้นี้มาจาก ‘เผ่าอสนีอสรพิษ’ ได้ติดตาม ‘ประมุขอสนีอสรพิษ’ มาที่นี่เพื่อโจมตีโลกแสงดาว ต้องการจะทำลายล้างเผ่าแสงดาวแล้วยึดครองโลกแห่งนี้!

“ทำลายเผ่าหนึ่งอย่างนั้นหรือ โหดร้ายถึงเพียงนี้เชียวหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงประหลาดใจอยู่บ้าง

“ใครน่ะ!”

“ผู้ใดมายั่วโมโหเผ่าอสนีอสรพิษของข้ากัน” บนเรือใหญ่ลำหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล ได้ค้นพบความผิดปกติที่เกิดขึ้นที่นี่เข้าแล้ว

ตงป๋อเสวี่ยอิงเหลือบตามองผู้แกร่งกล้ากลุ่มหนึ่งที่บุกสังหารเข้ามาจากที่ไกลๆ หัวใจก็วูบไหวคราหนึ่ง เปรี้ยง… รอยแยกสีดำสายหนึ่งกะพริบวาบลงมา ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เข้าไปตามรอยแยกสีดำ เข้าไปภายในศูนย์กลางโลกแสงดาวแล้ว

พรึ่บๆๆ…

ผู้แกร่งกล้ากลุ่มใหญ่กรูกันเข้ามา

“หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวผู้นั้นเป็นใครกัน เหตุใดเพียงชั่วพริบตาจึงได้หายลับไปเสียแล้ว”

“เขาไปไหนเสียแล้วเล่า”

“คล้ายว่าสิ่งที่เขาสำแดงจะเป็นการส่งถ่ายทลายโลกา ไม่รู้เลยว่าไปที่ไหน!”

บรรดาผู้แกร่งกล้าเหล่านี้เคร่งเครียดกันเป็นอย่างยิ่ง มองไปทางยามรักษาการณ์ผู้น่าสงสารที่เพิ่งตื่นขึ้นมาผู้นั้นในทันทีแล้วทำการสอบถามโดยละเอียด เพราะว่ายามรักษาการณ์ผู้นั้นเพียงแค่เคลื่อนไหวตามคำสั่งเท่านั้น ตนเองมิได้เป็นมาร ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ย่อมมิได้เปิดฉากสังหารอยู่แล้ว!

*******

อาศัยศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกามุ่งตรงเข้าไปในที่มั่นศูนย์กลางโลกแสงดาว ก็ย่อมกระตุ้นเตือนยอดฝีมือกลุ่มใหญ่อยู่แล้ว

“ใครน่ะ!”

“ผู้ใดกันที่เข้ามา”

“หรือว่าห้าเผ่านั้นจะกล้าบุกเข้ามาสังหารถึงที่นี่ ต้องการจะทำลายล้างเผ่าโลกแสงดาวของข้า พวกเขาก็ต้องตายกันเป็นส่วนใหญ่แล้ว” ยอดฝีมือระดับบนของโลกแสงดาวกลุ่มใหญ่มากันอย่างรวดเร็ว

พวกเขามองปราดหนึ่งก็เห็นหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวผู้ซึ่งใบหน้าเจือรอยยิ้มน้อยๆ ยืนอยู่บนพื้นหญ้า ตงป๋อเสวี่ยอิงใบหน้าเจือรอยยิ้มน้อยๆ พลางมองไปทางบุรษในอาภรณ์แสงดาวที่เป็นผู้นำของยอดฝีมือกลุ่มใหญ่ที่กำลังร้อนรนผู้นั้น “ประมุขโลกแสงดาว ข้ามาที่หุบเขาเขี้ยวหัก จึงได้แวะมาเยี่ยมเยือนระหว่างทาง”

ยอดฝีมือกลุ่มใหญ่นี้ต่างก็มีความสงสัยอยู่บ้างพลางมองไปยังผู้นำของพวกเขา

“ท่านประมุข ท่านรู้จักเขาหรือขอรับ”

“เขาคือใครกัน”

“แม้กระทั่งข้าก็ยังมิอาจมองทะลุกลิ่นอายของเขาได้เลยแม้แต่น้อย ท่านประมุข เขามีความเป็นมาอย่างไรหรือขอรับ”

บรรดาระดับสูงเหล่านี้ หรือเหล่าผู้อาวุโส หรือเหล่าผู้นำทัพคนสำคัญ ต่างก็ระแวดระวังกันเป็นอย่างยิ่ง

ตงป๋อเสวี่ยอิงตะลึงงัน หลังจากที่ตระหนักรู้ท่าไม้ตายของวิถีเขตลวงโลกเทียมแล้ว กลิ่นอายของเขาก็เลือนรางยิ่งขึ้น ผู้อื่นล้วนมิอาจมองเห็นตัวตนจริงได้อย่างชัดเจน ภายในหุบเขาเขี้ยวหักก็กลายมาเป็นสัญชาตญาณของเขา จากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็เปิดเผยกลิ่นอายอันแท้จริงออกมาเล็กน้อย

ประมุขโลกแสงดาวได้เห็นเหตุการณ์แล้วกลับพูดยิ้มๆ “ทุกท่านโปรดวางใจ นี่คือจ้าวหิมะเหิน สหายผู้มาจากดินแดนจิตโลกาที่ข้าเคยพูดถึงอย่างไรเล่า”

“อ้อ จ้าวหิมะเหินหรือ”

“เขาก็คือจ้าวหิมะเหินที่ช่วยเหลือองค์หญิงอย่างไรเล่า”

พวกเขาต่างพากันตกตะลึง

“จ้าวหิมะเหิน ก่อนหน้านี้ได้เชื้อเชิญเจ้ามายังโลกแสงดาวของข้า คิดไม่ถึงว่าจะได้พบกันในสถานการณ์เช่นนี้ ช่างน่าอายเหลือเกิน” ประมุขโลกแสงดาวยิ้มอย่างขมขื่นแล้วเอ่ยขึ้นทันควัน “จ้าวหิมะเหิน ไปที่จวนของข้าดีกว่า”

“ดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินไปพร้อมกัน

……

ณ โลกแสงดาว ภายในจวน

ประมุขโลกแสงดาวพาตัวภรรยาและบุตรสาว อีกทั้งยังมีผู้อาวุโสติดตามมาด้วย มาจัดงานเลี้ยงรับรองตงป๋อเสวี่ยอิง

“บุตรสาวของข้าผู้นี้วางอำนาจและทะนงตนเหลือเกิน อีกทั้งยังมีความสนใจในดินแดนจิตโลกามากเกินไป จนถึงกับหนีไปจากโลกแสงดาวอย่างเงียบๆ แล้วเข้าไปในดินแดนจิตโลกาเลยทีเดียว” ประมุขโลกแสงดาวมองดูบุตรสาวของตนเอง แล้วแค่นเสียงเอ่ยว่า “ใครจะไปคิดว่าพอเข้าไปยังดินแดนจิตโลกาแล้วจะไปเจอะกับพญามารตนหนึ่งเข้า โชคดีที่มีร่างแปรคนวิถีจิตฟ้าของจ้าวหิมะเหินในตอนนั้นมาสังหารมาร ช่วยชีวิตนางเอาไว้ได้”

ตงป๋อเสวี่ยอิงตะลึงงัน

“ขอบคุณจ้าวท่านที่มีพระคุณช่วยชีวิตเจ้าค่ะ” บุตรสาวของประมุขแสงดาวเอ่ยอย่างอ่อนน้อม

“เรื่องเล็กน้อยเท่านั้นเอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ

ชายชราร่างอ้วนพี ผมสีเงิน ที่อยู่ด้านข้างคนหนึ่งเอ่ยว่า “จ้าวหิมะเหินบังเอิญช่วยคุณหนูเอาไว้ได้พอดี นี่ก็เป็นชะตาลิขิต”

“เผ่าแสงดาวของข้ามีบุญคุณก็ต้องทดแทน” ประมุขแสงดาวเอ่ยอย่างซาบซึ้ง “จ้าวหิมะเหินมายังหุบเขาเขี้ยวหัก เดิมทีเผ่าแสงดาวของข้าก็ควรจะช่วยเหลือเจ้าให้ดีๆ เพียงแต่ว่าเจ้าก็เห็นว่าตอนนี้เผ่าแสงดาวของข้าก็เหลือจะรับแล้ว โอ้ จ้าวหิมะเหินรีบจากไปโดยเร็วก็จะเป็นการดีที่สุด มิฉะนั้นก็จะถูกเผ่าแสงดาวของข้าลากให้มาติดร่างแหไปด้วย ก็จะยิ่งรู้สึกผิดต่อจ้าวท่านเข้าไปใหญ่”

“ที่แท้แล้วนี่มันเรื่องอันใดกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยถามอย่างสงสัย “โลกแสงดาวจะเผชิญกับการโจมตีได้อย่างไรกัน ก่อนหน้านี้ข้าก็เคยปะกับเผ่าเซวี่ยเหยียนมาก่อนแล้ว พวกเขาก็เผชิญกับการโจมตีเช่นเดียวกัน บ้านเกิดก็ยังถูกยึดครองไปแล้วด้วย ก็ได้แต่หนีเอาชีวิตรอดอยู่ข้างนอกเท่านั้น”

“นี่ล้วนเป็นเพราะ ‘จักรพรรดิเป่ยเหอ’ ทั้งสิ้น” ประมุขแสงดาวพูด “ข้าก็รู้จักเผ่าเซวี่ยเหยียน ก็เป็นเพราะพวกเขาไม่อยากตกเป็นทาสของจักรพรรดิเป่ยเหอ ดังนั้นจึงได้ถูกโจมตี แม้กระทั่งพี่เซวี่ยเหยียนก็ยังตายเพราะการต่อสู้ ได้ยินว่ามีเพียงแค่คนกลุ่มหนึ่งที่เซวี่ยเหยียนจี้พาไปด้วยเท่านั้นที่หนีรอดไปได้ เผ่าแสงดาวของข้าก็ไม่อยากตกเป็นทาสของจักรพรรดิเป่ยเหอเช่นเดียวกัน”

“เฮอะ” ผู้อาวุโสหน้าดำอีกคนหนึ่งที่อยู่ข้างๆ ก็แค่นเสียงเฮอะเยียบเย็นเช่นเดียวกัน “อยากจะทำลายเผ่าโลกแสงดาวของพวกเรา ลูกน้องที่จักรพรรดิเป่ยเหอส่งมาก็ต้องตายกันเป็นกลุ่มใหญ่ โลกหลายแห่งยอมสวามิภักดิ์ ก็ต้องดูว่าที่แท้แล้วจักรพรรดิเป่ยเหอจะยอมตัดใจสูญเสียลูกน้องได้มากมายสักเพียงใดกัน”

“ถูกรังแกกดขี่เป็นทาส ก็ยังมิสู้ต่อสู้จนตัวตายหรอก!” ผู้อาวุโสผมเงินร่างอ้วนพีก็เอ่ยอย่างเรียบเรื่อย

ประมุขแสงดาวมองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง “จ้าวหิมะเหิน เจ้าก็ไม่ต้องถามอะไรให้มากความอีกแล้วล่ะ พอกินเสร็จข้าจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับเกาะลอยคว้างกับเจ้าจำนวนหนึ่ง แล้วเจ้าก็รีบจากไปให้เร็วที่สุดเลยนะ อย่าได้ถูกพวกเราลากมาลำบากด้วยเลย”

………………………………………………..

เกาะลอยคว้างแห่งหนึ่งถูกกวาดล้างโดยสมบูรณ์

นี่คือ ‘ปาฏิหาริย์’ ที่ผู้บำเพ็ญแห่งดินแดนจิตโลกาไม่เคยทำได้มาก่อนเลยในประวัติศาสตร์! แม้กระทั่งพวกจักรพรรดิเซี่ยและราชันย์อนธการอมตะก็เพียงแค่มีความหวังที่จะสูสีกันกับ ‘จักรพรรดิ’ ท่านหนึ่งเท่านั้น คิดอยากจะสังหาร ‘จักรพรรดิ’ สักท่านหนึ่งก็ไกลเกินเอื้อมเสียแล้ว! ถ้าหากราชันย์อนธการอมตะสร้าง ‘ผู้ท่องมรณะ’ ออกมาได้ก็พอจะมีหวังอยู่บ้าง เพียงแต่ว่าเขาไม่สามารถหลอมขึ้นมาได้สำเร็จเท่านั้น

ผู้บำเพ็ญทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา ก็มีเพียงแค่ตงป๋อเสวี่ยอิงเท่านั้นที่สามารถทำได้!

นี่คือท่าไม้ตายของ ‘วิถีเขตลวงโลกเทียม’! ซึ่งต่อต้านปณิธานวิญญาณโดยตรง!

เคล็ดวิชาวิญญาณน่าหวาดหวั่นเป็นอย่างยิ่ง ต่อให้มีสุดยอดเคล็ดสืบทอดลับ สมบัติลับล้ำค่าขั้นสูง ผู้ท่องมรณะ และอื่นๆ ต่างก็ไม่มีประโยชน์ทั้งสิ้น! เพราะว่าเผชิญกับเคล็ดวิชาวิญญาณ ที่สามารถพึ่งพิงได้ก็มีเพียงแค่วิญญาณของตนเท่านั้น สามารถต้านทานได้ก็เพียงแค่แบ่งพลังจิตออกไปเล็กน้อยเท่านั้น

มิอาจต้านทานได้จนต้องจ่อมจมลงไป! ความเป็นความตายก็อยู่ในมืออีกฝ่าย

“ข้าเข้ามายังหุบเขาเขี้ยวหักเป็นครั้งแรก ตอนนั้นข้าสำแดงเขตลวงก็ทำให้พลังยุทธ์ของ ‘จักรพรรดิ’ ของเกาะลอยคว้างแห่งนั้นลดต่ำลงไปถึงสามส่วน” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ “และในตอนนี้ ในที่สุดข้าก็คิดค้นท่าไม้ตายท่าหนึ่งออกมาได้ ก็มีความเต็มเปี่ยมสมบูรณ์บางส่วน แต่ก็ทำให้ ‘จักรพรรดิ’ ธรรมดาๆ คนหนึ่งจ่อมจมอยู่ในนั้นได้แล้ว”

เขาเลือกคู่ต่อสู้ที่จะพิสูจน์ ก็เป็นข้อมูลที่เผ่าเซวี่ยเหยียนมอบให้ได้อธิบายรายละเอียดเอาไว้ นับว่าเป็นระดับจักรพรรดิธรรมดาสามัญ นี่เป็นระดับขั้นของ ‘จักรพรรดิ’ ที่พบเห็นได้บ่อยที่สุดในบรรดาเกาะลอยคว้างจำนวนมากมายของหุบเขาเขี้ยวหัก

“ท่าไม้ตายเขตลวงของข้าจะมีผลลัพธ์ดีที่สุดที่หุบเขาเขี้ยวหัก”

มองดูชนเผ่ามรณะทมิฬที่ล่องลอยอยู่ในบริเวณรอบๆ แม้กระทั่งจักรพรรดิร่างใหญ่มหึมาผู้นั้นก็ยังหลับใหลในห้วงนิทราล่องลอยอยู่ด้วยเช่นกัน ตงป๋อเสวี่ยอิงก็อารมณ์ปั่นป่วน!

ถูกตนกวาดล้าง สมบัติล้ำค่าบนเกาะลอยคว้างแห่งนี้ก็ต้องตกเป็นของตนแล้ว

“ไม่เพียงแค่เกาะลอยคว้างแห่งนี้เท่านั้น แต่ยังมีเกาะลอยคว้างแห่งอื่นๆ ด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงมีความหวัง สามารถกวาดล้างที่แห่งนี้ได้ก็หมายความว่าตนก็มีหวังที่จะกวาดล้างเกาะลอยคว้างจำนวนมากมายได้ทั้งสิ้น!

และที่หุบเขาเขี้ยวหัก ตนก็สามารถมีความสุขได้มากถึงเพียงนี้

พูดถึงการต้านทานเขตลวง…

ผู้บำเพ็ญก็แข็งแกร่งที่สุด! กลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิมอ่อนแอกว่าเป็นอย่างมาก ชนเผ่ามรณะทมิฬก็ยิ่งอ่อนแอเข้าไปอีก!

อย่างเช่นขั้นสุดยอดในบรรดาผู้บำเพ็ญนั้นต่างก็ไปถึงขั้นสุดยอดในวิถีใดวิถีหนึ่ง ไปถึงความสมบูรณ์แบบ วิญญาณแต่ละดวงต่างก็แข็งแกร่ง ปณิธานก็ไปถึงระดับที่มิอาจจินตนาการได้ ท่าไม้ตายโลกลวงของตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนี้ถึงแม้ว่าจะแกร่งกล้าถึงขนาดที่มีความรู้สึกเต็มเปี่ยมสมบูรณ์บางส่วน แต่ถ้าหากจัดการกับผู้บำเพ็ญขั้นสุดยอด ตงป๋อเสวี่ยอิงคาดว่าความเป็นไปได้ในการทำให้อีกฝ่ายหลับใหลในทันทีนั้นคงจะค่อนข้างต่ำ น่าจะเพียงแค่ทำให้ขั้นสุดยอดต้องแบ่งพลังจิตบางส่วนมาเท่านั้น!

“ร้ายกาจมากแล้ว ไม่ว่าจะเป็นขั้นสุดยอดธรรมดาทั่วไปหรือบุคคลผู้ไร้เทียมทาน เมื่อเผชิญกับท่าไม้ตายเขตลวงของข้าก็ล้วนต้องประสบเคราะห์ร้ายเช่นเดียวกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ

บรรพชนราตรีนิรันดร์ บรรพชนฝาน และประมุขรัฐจันทร์บุปผาแต่ละคนนั้น…

ปณิธานวิญญาณของพวกเขากับขั้นสุดยอดธรรมดาทั่วไปมิได้มีความแตกต่างกันเลย!

“หืม”

อาศัยเขตลวง

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็พยายามสืบหาข้อมูลบางอย่างจากการรับรู้ของ ‘จักรพรรดิ’ ที่กำลังหลับใหล “เผ่ามรณะทมิฬก็โง่เง่าเกินไปแล้วกระมัง แม้กระทั่งข้อมูลก็ยังหยาบกระด้างถึงเพียงนี้เชียวหรือ”

ไม่ตรวจหาก็ไม่รู้ แต่พอตรวจหาแล้วก็ตกใจจนตัวลอย! เผ่ามรณะทมิฬนี้เป็นเผ่าพันธุ์ที่พิเศษเผ่าหนึ่งอย่างแท้จริง

เผ่ามรณะทมิฬจำนวนมากมีเชาวน์ปัญญาต่ำต้อยราวกับสัตว์เดรัจฉานก็แล้วไปเถิด ระดับสุดยอดของเผ่ามรณะทมิฬที่เหลือ ถึงแม้ว่าจะพอมีเชาวน์ปัญญาอยู่บ้างแต่ก็ยังคงป่าเถื่อนอยู่ดี รู้จักก็แต่การกิน การแย่งชิง และการฆ่าเท่านั้น! เหล่าอ๋องที่เป็นสุดยอดในบรรดาพวกเขาและจักรพรรดิจึงมีความรู้ความเข้าใจต่อโลกภายนอกอยู่บ้าง! รู้จักโลกชนพื้นเมืองดั้งเดิมที่อยู่ในบริเวณรอบๆ รู้จักนามอันเลื่องลือของ ‘ห้ายอดเคารพ’ รู้จัก ‘แปดผู้วิเศษ’

อย่างเช่นกลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิมก็รู้ข้อมูลของเกาะลอยคว้างบางแห่งอย่างละเอียดยิ่งนัก

ส่วนชนเผ่ามรณะทมิฬนั้นกลับรู้ข้อมูลของบริเวณรอบๆ อย่างเลือนรางยิ่ง เพียงแค่ประมาณการความแข็งแกร่งได้อย่างคร่าวๆ เท่านั้น นี่ยังเป็นเหตุผลที่ ‘จักรพรรดิ’ ออกไปล่าและกลืนกินเป็นครั้งคราวอีกด้วย…

นึกอยากจะได้รับข้อมูลโดยละเอียดจากชนเผ่ามรณะทมิฬ แผนนี้ก็ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง

ตงป๋อเสวี่ยอิงยังรวบรวมสมบัติล้ำค่าวัตถุวิเศษที่ใช้สร้างวิญญาณขึ้นมาใหม่บางอย่างจากเกาะลอยคว้างแห่งนี้

……

วันต่อมาเขาก็ไปบุกเกาะลอยคว้างแห่งแล้วแห่งเล่า

ต้องการไปเยือนเกาะลอยคว้างที่มีดวงตาลึกลับในข้อมูลที่เผ่าเซวี่ยเหยียนบันทึกเอาไว้ทั้งหมดสักรอบหนึ่ง! แม้กระทั่งเกาะลอยคว้างจำนวนหนึ่งที่ล้มเหลวไปก่อนหน้านี้ เขาก็ไปบุกซ้ำอีกครั้ง เพราะครั้งนี้เขาอาศัยพลังยุทธ์!

เกาะลอยคว้างแห่งหนึ่ง เมื่อเผชิญกับท่าไม้ตายเขตลวงของตงป๋อเสวี่ยอิง ก็มีเพียงแค่ ‘จักรพรรดิ’ เท่านั้นที่มีหวังในการรักษาสติอันแจ่มชัดเอาไว้

เหล่า ‘จักรพรรดิ’ ธรรมดาสามัญ ถึงแม้ว่าพลังยุทธ์จะพอๆ กัน ก็มีทั้งปณิธานที่แข็งแกร่งและอ่อนแอ มีบางคนที่ปณิธานแข็งแกร่งก็สามารถรักษาสติอันแจ่มชัดสายหนึ่งเอาไว้ได้ ก็สามารถฟาดตงป๋อเสวี่ยอิงให้ตายในฝ่ามือเดียวได้! เพราะว่าเพียงแค่ครองสติอันแจ่มชัดสายหนึ่งเอาไว้ได้ ด้วยร่างกายอันน่าหวั่นเกรงของพวกเขา ต่างก็สามารถแสดงพลังยุทธ์ออกมาได้หนึ่งถึงสองส่วน ก็เพียงพอที่จะผลาญสังหารร่างแยกของตงป๋อเสวี่ยอิงได้อย่างง่ายดายแล้ว

ส่วนที่ปณิธานย่ำแย่กว่าสักหน่อยก็มิอาจต้านทานการจ่อมจมเอาไว้ได้แล้ว

แม้กระทั่งผู้ที่สามารถรักษาสติอันแจ่มชัดสายหนึ่งเอาไว้ได้ โดยทั่วไปแล้วตงป๋อเสวี่ยอิงก็ควบคุมความเป็นความตายของชนเผ่ามรณะทมิฬกลุ่มใหญ่เอาไว้ มาทำการเจรจากับจักรพรรดิ เจตนาจะถ่วงเวลา ดังนั้นแม้กระทั่งในท้ายที่สุด ‘คู่ต่อสู้’ ถูกผลาญสังหารร่างแยก โดยทั่วไปต่างก็จดจำส่วนประกอบเขตลวงของดวงตาลึกลับเอาไว้ก่อนแล้ว

เพียงชั่วพริบตา

ระยะเวลาเพียงแค่ครึ่งปีเท่านั้น เกาะลอยคว้างที่มีดวงตาลึกลับห้าร้อยยี่สิบสองแห่งซึ่งมีอยู่ในบันทึก ตงป๋อเสวี่ยอิงก็จดจำส่วนประกอบเขตลวงของดวงตาลึกลับเอาไว้ได้สำเร็จถึงห้าร้อยหกดวง ในบรรดานั้นมีดวงตาสีเทาอยู่สามร้อยยี่สิบเก้าดวง และดวงตาสีทองหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเจ็ดดวง

ถึงแม้ว่าจะจดจำเอาไว้มากมายถึงเพียงนี้ แต่ในความเป็นจริงแล้วมีมากพอสมควรที่เจตนาถ่วงเวลา ในท้ายที่สุดยามที่ลงมือก็มีจักรพรรดิของเกาะลอยคว้างเกินกว่าสองร้อยแห่งที่ต่างก็สามารถรักษาสติอันแจ่มชัดสายหนึ่งเอาไว้ได้

“ถ้าหากข้าพกเอาอาวุธเทพคละถิ่นชิงเหอมาด้วย ก็จะยิ่งได้สมบัติล้ำค่ามาครองมากขึ้นแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ

จักรพรรดิเหล่านั้นรักษาสติอันแจ่มชัดสายหนึ่งเอาไว้ได้ พลังยุทธ์ก็มีเพียงแค่หนึ่งถึงสองส่วนเท่านั้น!

ถ้าหากตงป๋อเสวี่ยอิงถืออาวุธเทพคละถิ่น ‘ชิงเหอ’ เอาไว้ในมือ ก็สามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้แล้ว สามารถรักษาชีวิตไว้ได้ก็ย่อมสามารถสะสมรวบรวมสมบัติล้ำค่าได้มากยิ่งขึ้น เพียงแต่ว่า ข้อแรก ไม่กล้าเสี่ยง! หากเสียอาวุธเทพคละถิ่นไป เช่นนั้นก็น่าอนาถแล้ว ข้อสอง เขาก็มิได้ใส่ใจในสมบัติล้ำค่าสักเท่าใดนัก มีท่าไม้ตายเขตลวงแล้ว เสาะหารวบรวมสมบัติล้ำค่า เขาก็นับได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งของผู้บำเพ็ญทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาแล้ว

อีกทั้งสมบัติล้ำค่าวัตถุวิเศษที่ใช้สร้างวิญญาณขึ้นมาใหม่แต่ละชิ้น เมื่อไปถึงจำนวนหนึ่งก็ไม่มีความหมายอีกแล้ว

‘ระดับขั้นการบำเพ็ญ’ ต่างหากที่เป็นพื้นฐาน!

“ข้าอยากจะใช้สมบัติล้ำค่าเหล่านั้นไปแลกเปลี่ยนให้วิถีอากาศของตัวเองไปถึงขั้นสุดยอด!” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบอุทาน ถึงแม้ว่าทางด้านเคล็ดวิชาวิญญาณ ผู้ที่ยืนอยู่ที่ระดับขั้นสูงสุดแล้ว ต่างก็เพียงพอที่จะทำให้ยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของฝ่ายหนึ่งที่หุบเขาเขี้ยวหักหวั่นกลัวได้แล้ว แต่เขาก็ยังมุ่งมาดปรารถนาที่จะให้ ‘วิถีอากาศ’ไปถึงขั้นสุดยอด! เพราะมีเพียงแค่การไปถึงขั้นสุดยอดเท่านั้นจึงจะสามารถพาญาติสนิทมิตรสหายหนีไปก่อนที่โลกกำเนิดจะสูญสลายได้!

“ขั้นสุดยอด”

“วิถีอากาศของข้าต่างก็คิดค้นห้าท่าไม้ตายออกมาได้แล้ว อีกทั้งยังมีสุดยอดเคล็ดสืบทอดลับด้วย ที่แท้แล้วเมื่อใดจึงจะสามารถไปถึงขั้นสุดยอดได้เล่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ “บางทีข้าอาจจะควรปลีกวิเวกบำเพ็ญอย่างสงบให้ดีๆ เสียแล้วสิ”

บุกเกาะแก่งมากว่าห้าร้อยแห่ง

อีกทั้งยังผ่านประสบการณ์แสวงโชคในวิถีอากาศมามากพอดู เพียงแต่ว่าเพราะเอาแต่บุกมาตลอด ตลอดมาก็ไม่สามารถสงบจิตใจค่อยๆ บำเพ็ญได้เลย อย่างเช่นจอมกระบี่ก็กำลังปลีกวิเวกบำเพ็ญ

“อืม ก่อนที่จะไปจากหุบเขาเขี้ยวหัก ก็ไปกล่าวลาประมุขโลกแสงดาว สหายของข้าท่านนั้นเสียหน่อยดีกว่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงแย้มยิ้มน้อยๆ ตอนนั้นราชันย์อนธการอมตะโจมตีเมืองหิมะเหิน แต่ประมุขโลกแสงดาวก็ออกมายืนหยัดช่วยเหลือตน

พรึ่บ!

ทันใดนั้นก็เคลื่อนที่ในพริบตาคราหนึ่ง ผ่านระยะทางอันห่างไกล ไปถึง ‘โลกแสงดาว’ หนึ่งในบรรดาโลกมากมายของกลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิม

ตอนนั้นประมุขโลกแสงดาวท่านนั้นก็เคยส่งข่าวแจ้งให้ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้ถึงที่ตั้งของ ‘โลกแสงดาว’ นอกจากนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงยังบุกผ่านเกาะลอยคว้างมามากมายถึงเพียงนั้น ก็ได้รวบรวมข้อมูลง่ายๆ จาก ‘จักรพรรดิ’ ที่หลับในห้วงนิทรามาได้จำนวนหนึ่ง อย่างน้อยก็ยังตรวจหาการกระจายตัวของ ‘โลก’ ออกมาได้ โลกแสงดาวก็นับได้ว่าเป็นโลกชนพื้นเมืองดั้งเดิมที่มีชื่อเสียงอยู่พอสมควร

…………………………………………

ท่ามกลางการรู้แจ้ง แสงทิพย์วิญญาณ์ปรากฏออกมาอย่างต่อเนื่อง เขตลวงพิเศษแห่งนี้ก็ถูกชดเชยอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน ความเร้นลับของกฎเกณฑ์จำนวนนับไม่ถ้วนซึมซาบเข้าไป เคล็ดวิชาเขตลวงโลกเทียมที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเคยสำแดงในอดีต แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยซับซ้อนเช่นนี้มาก่อนเลย! ทว่าในคราวนี้ การสั่งสมอันหนักแน่นและส่วนประกอบเขตลวงภายในดวงตาลึกลับที่ได้เห็นดวงแล้วดวงเล่าทำให้เขาติดเข้าไปสู่ความคลั่งไคล้ชนิดหนึ่ง…

สถานะรู้แจ้งชนิดนี้ต่อเนื่องมานานกว่าหนึ่งแสนปีแล้ว จนกระทั่งเขตลวงขนาดใหญ่มหึมาแห่งนั้นก่อรูปร่างขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ที่จุดศูนย์กลาง

“พรึ่บ”

โลกลวงอันขมุกขมัวซึ่งมีรูปร่างคล้ายจานกลมปรากฏชัดขึ้นในห้วงทะเลแห่งการรับรู้

มันงดงามและสว่างไสว

ถึงขนาดที่การมีอยู่ของมันทำให้วิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงเปลี่ยนเป็นเพิ่มการรวมตัวเป็นความจริงมากยิ่งขึ้นตามธรรมชาติ หลังจากที่ดูดซับ ‘โลหิตหัวใจมารดามังกรหมื่นสัมผัส’ แล้ว วิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีความก้าวหน้าขึ้นมาอีกครั้งเป็นครั้งแรก

‘วิถีเขตลวงโลกเทียม’ ก็เป็นวิถีชนิดหนึ่งของวิญญาณเช่นกัน!

การยกระดับของมันก็เป็นการยกระดับของความเข้าใจต่อพื้นฐานวิญญาณ การยกระดับย่อมสามารถทำให้วิญญาณแปลงสภาพไปได้อยู่แล้ว

“ข้า… ข้าถึงกับสร้างโลกลวงพรรค์นี้ขึ้นมาได้เลยทีเดียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเองรู้สึกถึงโลกลวงที่กฎเกณฑ์ประกอบกันขึ้นมาในห้วงทะเลแห่งการรับรู้แล้วก็อดที่จะพรั่นพรึงอีกทั้งยังยากที่จะเชื่อมิได้ “นี่เป็นสิ่งที่ข้าสรรสร้างขึ้นมาเองจริงๆ น่ะหรือ”

สมบูรณ์แบบ

ขณะนี้วิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงถึงกับมีความรู้สึกเต็มเปี่ยมสมบูรณ์ชนิดหนึ่งอย่างเลือนราง วิญญาณและร่างกายหล่อเลี้ยงเติมเต็มซึ่งกันและกัน ร่างกายถึงกับมีความรู้สึกว่ากำลังยกระดับอย่างช้าๆ ชนิดหนึ่งขึ้นมา

“ในอดีตล้วนเป็นร่างกายหล่อเลี้ยงวิญญาณ ขณะนี้ข้าถึงกับรู้สึกได้ว่าวิญญาณกำลังส่งผลต่อร่างกาย ทำให้ร่างกายของข้าทวีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง เมื่อก่อนทำอย่างไรร่างกายของเขาก็ไม่มีทางที่จะยกระดับได้เลย แม้กระทั่งอาศัยปุจฉวิถีคละถิ่นที่จักรพรรดิเซี่ยคิดค้นขึ้น และอ้างอิงจากสุดยอดเคล็ดสืบทอดลับที่ตนได้รับมา การฝึกกายคละถิ่นทำให้ร่างกายของตนเทียบเคียงได้กับสายฝึกกายระดับขั้นสุดยอดแล้ว

ตอนนี้ร่างกายก็ยกระดับแล้ว

คราวนี้เป็นเพราะวิญญาณนำทาง

“โลกลวงที่ข้าคิดค้นขึ้นในครั้งนี้ต่างก็มีความรู้สึกเต็มเปี่ยมสมบูรณ์อยู่บางส่วนด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงอุทาน แต่เขาก็เข้าใจว่านี่เพียงแค่มีความรู้สึกอันเลือนรางเท่านั้น

เป็นเพราะซึมซับเอาความวิเศษบางอย่างของโครงสร้างเขตลวง ใน ‘ดวงตาสีเทา’ และ ‘ดวงตาสีทอง’ จึงคิดค้นโลกลวงเช่นนี้ออกมาได้

“ถ้าหากวิถีเขตลวงโลกเทียมไปถึงขั้นสุดยอด! เกรงว่าวิญญาณก็จะสามารถเต็มสมบูรณ์ได้อย่างแท้จริงแล้ว ”ตงป๋อเสวี่ยอิงมีความกระจ่างแจ้งอย่างหนึ่งว่าในตอนนี้เขามีความรู้สึกเต็มเปี่ยมสมบูรณ์ชนิดหนึ่งอย่างรางๆ ราวกับดอกไม้กลางไอหมอก เขาสามารถรู้สึกได้ถึงระดับขั้นนั้นอย่างรางๆ แล้ว เมื่อใดที่วิญญาณเต็มสมบูรณ์ เกรงว่าจะสามารถเกิดความเปลี่ยนแปลงอันน่าอัศจรรย์ออกมาได้มากมาย

……

ภายใต้ต้นไม้เทพผลาญจิต

ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิอยู่ที่นี่ ถึงแม้ว่าหัวใจจะเกิดระลอกกระเพื่อมไหว มุ่งมาดปรารถนาต่อการเกิดขึ้นของ ‘วิญญาณเต็มสมบูรณ์’ แต่ก็ยังสงบเย็นเป็นอย่างยิ่ง “ทางด้านวิถีวิญญาณ ข้าก็เดินไปถึงจุดที่สูงที่สุดของทั้งดินแดนจิตโลกาแล้ว นอกจากนี้ข้ายังมองเห็นทิศทางอย่างทะลุปรุโปร่งแล้วอีกด้วย ถึงขนาดที่สัมผัสได้ถึงความเต็มสมบูรณ์ ขอเพียงแค่ใช้เวลามากเพียงพอก็จะต้องสามารถไปถึงขั้นสุดยอดได้อย่างแน่นอน แน่นอน!”

การช่วยเหลือสรรพชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนในตอนนั้น ทำให้สรรพชีวิตหลุดพ้นจากการควบคุมของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ วิญญาณกลับคืนสู่อิสรภาพ คราวนั้นก็มองเห็นทิศทางแล้ว

คราวนี้ก็ยิ่งก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่ง ถึงขนาดที่สัมผัสได้ถึงความเต็มสมบูรณ์แล้ว

ถึงขนาดที่รวบรวมเอาสิ่งที่ได้จากดวงตาลึกลับ คิดค้นท่าไม้ตายเขตลวงที่ไม่เคยมีมาก่อนออกมาได้

“โลกแห่งนี้ช่างงดงามเหลือเกิน”

ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวใจสั่นไหวคราหนึ่งโดยไม่รู้ตัว

‘จักรวาลโลกเทียม’ ภายในร่างกายของตนวิวัฒน์อย่างฉับพลัน อ้างอิงจากส่วนประกอบโลกลวงที่ตระหนักรู้ใหม่ มาใช้ปรับปรุงแก้ไขทั้งจักรวาลโลกเทียม เป็นถึงผู้คิดค้น การเปลี่ยนแปลงด้วยความนึกคิดเดียวก็ทำให้จักรวาลโลกเทียมเกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ ขยายใหญ่ขึ้นอีกครั้งอย่างไม่คาดคิด

ความเร็วในการเคลื่อนของเวลาในจักรวาลโลกเทียมก็เปลี่ยนเป็นรวดเร็วยิ่งขึ้น วิญญาณมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ภายในก็กำลังขยายเผ่าพันธุ์ ดำรงชีวิต และบำเพ็ญ ในบรรดาสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นก็มีผู้ที่เลิศล้ำไร้เทียมทานปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“โลกลวงนี้ทำให้ข้ามีแรงกระตุ้นที่จะเข้าไปภายในนั้นแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ

“เคล็ดวิชาโลกเขตลวงนี้ก็เรียกว่า…”

“โลกลวง…สว่างไสว!” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ

โลกสว่างไสว มีทุกสิ่งทุกอย่างรวมอยู่ในนั้น แม้กระทั่งเทพจักรวาลผู้สูงส่งก็ยังต้องการจมดิ่งเข้าไป

******

ณ เกาะลอยคว้างแห่งหนึ่งของหุบเขาเขี้ยวหัก

ตงป๋อเสวี่ยอิงเหินบินอยู่ในเกาะลอยคว้างตามลำพัง โลกลวงที่สว่างไสวอย่างยิ่งแห่งหนึ่งแผ่ไปทั่วบริเวณรอบๆ ปกคลุมพื้นที่ถึงสามร้อยล้านลี้ สามารถรักษาอาณาบริเวณอันใหญ่โตถึงเพียงนี้ภายใต้การกดดันของเกาะลอยคว้างได้ ก็สามารถเห็นได้ถึงพลานุภาพของเคล็ดวิชาเขตลวงนี้ของตงป๋อเสวี่ยอิงในปัจจุบันแล้ว

ตนเองคิดค้นท่าไม้ตายกระบวนที่หนึ่งของวิถีเขตลวงโลกเทียมออกมา ที่แท้แล้วมีพลานุภาพมากเพียงใดกันแน่ ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็ยังไม่รู้กระจ่างชัดนัก

เขาสามารถรู้สึกได้อย่างเลือนรางว่าน่าจะไปถึงพลังคุกคามระดับที่สามขั้นสุดยอดแล้ว

ถึงขนาดที่มีความรู้สึกเต็มเปี่ยมสมบูรณ์บางส่วน! พลังคุกคามที่แท้จริงนั้นก็ยังต้องอาศัยการต่อสู้ที่แท้จริงมาพิสูจน์

“นั่นคือใครกัน เหตุใด เหตุใดจึงมีชนเผ่ามรณะทมิฬลอยคว้างอยู่รอบกายมากมายถึงเพียงนั้นเล่า” มีผู้แกร่งกล้าของเผ่ามรณะทมิฬมองเห็นชนเผ่ามรณะทมิฬที่หลับอยู่ในห้วงนิทรากลุ่มหนึ่งที่ลอยคว้างอยู่รอบกายหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวคนหนึ่งอยู่ห่างๆ

อาณาบริเวณสามร้อยล้านลี้ก็กว้างใหญ่อย่างยิ่งแล้ว

ผู้ที่อยู่ในห้วงนิทรารอบๆ กายตงป๋อเสวี่ยอิงเหล่านั้นล้วนถูกเขตลวงห่อหุ้มเอาไว้ทั้งสิ้น ก็ย่อมต้องอยู่ท่ามกลางการโจมตีอยู่แล้ว ถึงขนาดที่พวกมันต่างก็มิทันได้พบตัวตงป๋อเสวี่ยอิงเลยด้วยซ้ำ

และผู้แกร่งกล้าคนนี้ยังปรากฏตัวขึ้นเป็นครั้งแรกอีกด้วย! มองเห็นจากที่ไกลๆ บนท้องฟ้า ห่างออกไปหลายร้อยล้านลี้

“พรึ่บ”

ชนเผ่ามรณะทมิฬที่มีปีกผู้นี้เคลื่อนที่ในพริบตาอย่างโกรธเคืองในทันใดแล้วไล่บี้ตงป๋อเสวี่ยอิง

จากนั้น… ผลุบ! ก็ตกลงสู่ห้วงนิทราเช่นกัน แล้วล่องลอยอยู่ข้างกายตงป๋อเสวี่ยอิง

ก็เป็นเช่นนี้เอง…

ตงป๋อเสวี่ยอิงมุ่งตรงไปจนถึงดินแดนชนเผ่า!

“พรึ่บ!”

ทั่วทั้งอาณาบริเวณของดินแดนชนเผ่าก็มีพื้นที่ราวๆ หนึ่งพันล้านลี้ อาณาบริเวณเขตลวงของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ปกคลุมไปเกือบครึ่งแล้ว เมื่อสัมผัสกับเขตลวง ชนเผ่ามรณะทมิฬเหล่านั้นต่างก็ตกลงสู่ห้วงนิทรากันกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า แต่ละคนไม่มีเรี่ยวแรงต้านทานเลยแม้แต่น้อย เหล่าผู้แกร่งกล้าของชนเผ่ามรณะทมิฬคนอื่นๆ ที่อยู่นอกอาณาบริเวณเขตลวง เมื่อได้เห็นเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ตกลงสู่ห้วงนิทรากันไปคนแล้วคนเล่า ต่างก็ตกใจเสียจนต้องไปปลุก ‘จักรพรรดิ’ ของพวกเขาขึ้นมา

“ใครกัน! เป็นใครกันที่บุกรุกเข้ามาในดินแดนชนเผ่า!” จักรพรรดิคือสัตว์ประหลาดสี่กีบเท้าที่มีปีกสีดำขนาดมหึมาตนหนึ่ง ดวงตาสีแดงก่ำทั้งคู่ของมันจ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิง ร่างกายใหญ่โตมโหฬารราวกับภูเขาขนาดย่อม ทรงพลังล้นฟ้า

ชนเผ่ามรณะทมิฬที่ลอยคว้างอยู่อย่างแน่นขนัดรอบๆ กายตงป๋อเสวี่ยอิง แน่นอนว่าเป็นเพราะลูกน้องของเขาออมมือ แม้กระทั่งชนเผ่ามรณะทมิฬที่มิได้มีเชาวน์ปัญญาใดๆ กลุ่มหนึ่ง เขาก็ยังแค่ให้พวกมันหลับใหลนิทราอยู่ในเขตลวงเท่านั้นเอง

“จักรพรรดิแห่งเผ่ามรณะทมิฬ ที่ข้ามานี้มิได้มีเจตนาไม่ดีแต่อย่างใดเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดไปเรื่อยเปื่อยเพื่อจงใจประวิงเวลา เขตพลังของเขากว้างใหญ่เหลือเกิน ก็ได้ค้นพบดวงตาสีเทาดวงนั้นบนเกาะลอยคว้างแห่งนี้เรียบร้อยแล้ว

ดวงตาสีเทาดวงนี้ก็อยู่บนเรือนยอดของต้นพืชประหลาดต้นหนึ่งเช่นเดียวกัน

พินิจดูและจดจำ

“มิได้มีเจตนาร้าย แต่ทำให้ชนเผ่ามรณะทมิฬมากมายถึงเพียงนี้ถูกเจ้าควบคุมจนสิ้นอย่างนั้นหรือ” จักรพรรดิคำรามเสียงต่ำ แต่ก็มีความระมัดระวังอยู่บ้าง มันมองเจตนาที่แท้จริงของหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวตรงหน้าผู้นี้ไม่ออก

ใช่แล้ว

ตงป๋อเสวี่ยอิงในอดีต ดีร้ายอย่างไรบรรดาชนเผ่ามรณะทมิฬก็สามารถรับสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายเทพจักรวาลชั้นที่สองของเขา

แต่ในขณะนี้ผู้ที่ควบคุมเขตลวงอันน่าหวาดหวั่นนี้ในความรู้สึกของพวกเขา แม้กระทั่งตัวตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของเขตลวง ก็ย่อมมิอาจสังเกตกลิ่นอายใดๆ พบได้เลยแม้แต่น้อย

ชนเผ่ามรณะทมิฬกว่าหมื่นคนล่องลอยอยู่บริเวณรอบๆ อย่างแน่นขนัด แม้กระทั่ง ‘จักรพรรดิ’ ก็ยังตื่นตกใจอยู่บ้าง มันก็มิได้ไร้เทียมทานเสียหน่อย!

‘แปดผู้วิเศษ’ ในบรรดาสิ่งมีชีวิตคละถิ่น

ในบรรดากลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิมก็มีระดับ ‘ยอดเคารพ’อยู่ เป็นถึง ‘จักรพรรดิ’ ของเกาะลอยคว้างแห่งนี้ เชาวน์ปัญญาของมันก็สูงมากแล้ว เมื่อมันเผชิญกับการวิงวอนของผู้อ่อนแอมันก็มิได้แยแสสนใจ แต่เผชิญหน้ากับผู้แกร่งกล้าแล้วกลับหวาดหวั่น

“พวกมันต่างก็มิได้ตาย เพียงแต่หลับใหลอยู่ในห้วงนิทราเท่านั้น ที่ข้ามาก็เพียงเพื่อเก็บรวบรวมวัสดุเท่านั้นเอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดไปเรื่อยเปื่อย แล้วจดจำไปพลางๆ เพียงชั่วครู่ก็จดจำส่วนประกอบโลกเขตลวงภายในดวงตาสีเทานั้นได้ทั้งหมด ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะคิดค้นท่าไม้ตายกระบวนที่หนึ่งออกมาได้แล้ว แต่เมื่อเปรียบเทียบกับเขตลวงของดวงตาลึกลับแล้วก็ยังมีความแตกต่างกันเป็นอย่างมาก

“ถูกต้องแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดู ‘จักรพรรดิ’ ผู้อยู่ท่ามกลางความระแวดระวังที่อยู่ห่างออกไปตนนั้น “ข้ายังมีเรื่องที่สำคัญมากอีกเรื่องหนึ่งด้วย”

จักรพรรดิเอ่ยเสียงต่ำ “ข้าอนุญาตให้เจ้าเก็บเอาวัสดุชนิดหนึ่งแล้วจากไปได้แล้ว ยังมีเรื่องใดอีกเล่า”

“ประลองฝีมือกับท่าน ดูความแตกต่างระหว่างพลังยุทธ์ของท่านกับข้า” ตงป๋อเสวี่ยอิงอมยิ้ม

“ประลองฝีมือหรือ”

ในที่สุดจักรพรรดิที่อดทนอดกลั้นมาโดยตลอดก็โมโหขึ้นมาเสียแล้ว!

เผ่ามรณะทมิฬอารมณ์มิสู้ดีกันสักเท่าใดนัก เขาเพียงแค่หวาดกลัวผู้แกร่งกล้าคนหนึ่งเท่านั้น จึงได้ยอมเสียสละวัสดุที่เขามิได้สนใจบางอย่าง ให้หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวผู้ลึกลับผู้นี้จากไปเขาก็เต็มใจอยู่ ตอนนี้ยังจะมาต้องการประลองฝีมืออีกอย่างนั้นหรือ

“เจ้ามันรนหาที่ตาย!!!” สัตว์ประหลาดสี่กีบเท้าปีกสีดำขนาดมหึมาที่ราวกับภูเขาลูกย่อมๆ ตนนี้แผดเสียงคำรามออกมาในทันใดแล้วพุ่งเข้าใส่ตงป๋อเสวี่ยอิง

ปัง…

เขตลวงที่หดพื้นที่เล็กลงโดยเจตนา ขณะนี้กลับขยายใหญ่ขึ้นในทันใด แล้วห่อหุ้ม ‘จักรพรรดิ’ ผู้นั้นเอาไว้ภายใน

ดวงตาสีแดงก่ำทั้งคู่ของจักรพรรดิจ้องมองไปยังบริเวณรอบๆ ในทันทีพร้อมกับเผยสีหน้าดิ้นรน แต่พร้อมกันนั้นปีกของมันก็ยังอ่อนยวบแล้วห้อยตกลงมา แววตาก็ขมุกขมัว ร่างกายใหญ่มหึมาลอยคว้างอยู่กลางอากาศ จากนั้นก็ตกลงสู่ห้วงนิทราเสียแล้ว

ตงป๋อเสวี่ยอิงผ่อนลมหายใจ “สำเร็จจริงๆ แล้วหรือ ถ้าหากไม่สำเร็จ แค่ฝ่ามือเดียวของเขาก็ฟาดข้าตายได้แล้วกระมัง!”

เพื่อพิสูจน์พลังยุทธ์ เขาได้เตรียมพร้อมให้ร่างแยกถูกผลาญทำลายเอาไว้เรียบร้อยแล้ว

และดูจากผลลัพธ์แล้ว… การมาที่นี่ เกาะลอยคว้างแห่งนี้ก็ถูกเขากวาดล้างเรียบร้อยแล้ว! รวมถึงจักรพรรดิผู้นั้นด้วย!

……………………………………………

ภายในหุบเขาเขี้ยวหัก

กลางเกาะลอยคว้างแห่งหนึ่ง ตงป๋อเสวี่ยอิงมุ่งเข้าไปตามลำพังด้วยความระมัดระวัง เขาปลดปล่อยเขตลวงโลกเทียมห่อหุ้มบริเวณโดยรอบเอาไว้ สังเกตการณ์รอบทิศอย่างระแวดระวัง

เผ่ามรณะทมิฬตนหนึ่งสังเกตพบผู้บำเพ็ญที่อ่อนแอผู้นี้ ผู้บำเพ็ญประสบกับการขับไล่ของกลิ่นอายเกาะลอยคว้าง ดังนั้นอาศัยเคล็ดซ่อนเร้นที่ร้ายกาจยิ่งกว่า ขอเพียงแค่อยู่ในระยะที่ใกล้สักหน่อย เผ่ามรณะทมิฬต่างก็สามารถรับรู้ได้อย่างง่ายดาย

“โฮก”

ถ้าหากบอกว่ากลิ่นอายของบรรพชนแมลงและจอมกระบี่มีพลังรบกวน

เช่นนั้นกลิ่นอายของตงป๋อเสวี่ยอิงที่เป็นเพียงเทพจักรวาลชั้นที่สองก็ไม่มีพลังรบกวนเลยจริงๆ

นัยน์ตาของชนเผ่ามรณะทมิฬตนนี้เต็มไปด้วยความละโมบ หมายจะกิน ‘เหยื่ออันโอชะ’ ตรงหน้าเสียให้เกลี้ยง จากนั้นก็กะพริบร่างคราหนึ่งแล้วเคลื่อนที่ผ่านระยะทางไกลมาถึงข้างกายตงป๋อเสวี่ยอิง แต่มันเพิ่งจะปรากฏตัวขึ้นแล้วหมายจะเขมือบกินผู้บำเพ็ญตรงหน้าให้เกลี้ยงในคำเดียวอยู่นั้นเองก็รู้สึกว่าสติรับรู้สั่นไหวแล้วก็ไม่รับรู้สิ่งใดอีกต่อไปแล้ว

พลั่ก!

ร่วงหล่นลงสู่พื้นในทันใด

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูชนเผ่ามรณะทมิฬที่ร่วงหล่นอยู่ข้างกาย หลังจากที่วิญญาณของชนเผ่ามรณะทมิฬตนนี้แหลกสลายไปแล้วร่างกายก็มลายหายไปราวกับไอหมอก มลายหายไปท่ามกลางฟ้าดิน ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบส่ายหน้า “ชนเผ่ามรณะทมิฬธรรมดาทั่วไปก็เหมือนกับสัตว์เดรัจฉาน แต่กลับมีพลังยุทธ์แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ การฟูมฟักช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ”

ในข้อมูลที่รัฐโบราณคิมหันตวายุมอบให้ก็เคยมีการอิงถึงมาก่อน

ต่างก็เล่าลือกันว่ากลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิมมีสายโลหิตสิ่งมีชีวิตคละถิ่นอยู่สายหนึ่ง ทว่าเผ่ามรณะทมิฬกลับถูกสงสัยว่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่ถือกำเนิดมาจากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่ตายไปแล้ว เชาวน์ปัญญาโดยทั่วไปต่ำต้อยกว่ากลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิมมากมายเหลือเกิน ส่วนใหญ่ก็ราวกับสัตว์เดรัจฉาน

“พรึ่บ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเคลื่อนเข้าไปอย่างต่อเนื่อง นี่คือการบุกเกาะลอยคว้างตามลำพังเป็นครั้งแรกของเขา โชคชะตาไม่เลวเลยทีเดียว ถึงขนาดที่มาถึงศูนย์กลางสำคัญของเกาะลอยคว้างแห่งนี้อย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียง มิได้ก่อให้เกิดระลอกคลื่นเลยตลอดทาง

แต่ในขณะที่ผ่านบริเวณรอบนอกของดินแดนชนเผ่าของเกาะลอยคว้างนั้นเอง กลับไปกระตุ้นเตือนยามรักษาการณ์เข้า

“มีผู้บุกรุก”

“มีผู้มาจากภายนอก”

ทั่วทั้งดินแดนชนเผ่าปั่นป่วนขึ้นมาในทันใด

สิ่งมีชีวิต ‘ระดับอ๋อง’ ของดินแดนชนเผ่านำคนใต้ปกครองบุกสังหารเข้ามาในทันใด เมื่อได้เห็นหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวที่บินเข้ามาด้วยความเร็วสูง เหล่าระดับสุดยอดของเผ่ามรณะทมิฬในดินแดนชนเผ่ากลับรู้สึกตื่นตระหนกและนึกรังเกียจ! สามารถอยู่ที่ดินแดนชนเผ่าได้ พลังยุทธ์ก็มิได้อ่อนแอ โดยทั่วไปก็มีเชาวน์ปัญญาที่ค่อนข้างสูงแล้ว

“ผู้บำเพ็ญที่อ่อนแอถึงเพียงนี้ ถึงกับทำให้เขาเคราะห์ดีมาถึงดินแดนชนเผ่าได้เลยหรือ ชนเผ่ามรณะทมิฬบนเกาะมากมายถึงเพียงนั้นกลับมิอาจพบตัวได้เลยเช่นนั้นหรือ” ระดับสุดยอดของเผ่ามรณะทมิฬเหล่านี้มิได้เห็นตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ในสายตาเลย เพราะว่าในประวัติศาสตร์ เหล่าผู้แกร่งกล้าระดับจอมเคารพของผู้บำเพ็ญมิได้พกพาสุดยอดสมบัติลับล้ำค่า มาด้วย เพียงแค่ส่งร่างแยกมาแล้วประสบโชคดีก็พอมีอยู่บ้าง

แล้วก็เคยมีผู้ที่ประสบโชคใหญ่ ได้เข้าไปใส่ส่วนลึกที่สุดของเกาะลอยคว้างด้วย

เพียงแต่ว่าผู้ที่สามารถโชคดีมาถึงดินแดนชนเผ่าได้ตลอดนั้นยังพบเห็นได้น้อยนิดยิ่งนัก!

“กินเขาให้เกลี้ยง” เผ่ามรณะทมิฬเหล่านี้ไม่ไว้ไมตรีเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้ว่าเหล่าผู้บำเพ็ญจะมาถึง การรวมตัวโดยปกตินั้นย่อมเป็นสิ่งที่เผ่ามรณะทมิฬไม่เห็นอยู่ในสายตาอยู่แล้ว แต่เผ่ามรณะทมิฬก็ยังคงไม่ยอมอยู่ดี ยังคงไล่สังหารกลืนกินเช่นเดิม!

“พรึ่บ”

บรรดาชนเผ่ามรณะทมิฬกลุ่มหนึ่งมาถึงข้างกายตงป๋อเสวี่ยอิงในชั่วพริบตา ทันใดนั้นแต่ละคนก็ร่วงหล่นลงบนพื้นเสียงดังตุ้บ แม้กระทั่ง ‘อ๋อง’ ที่เป็นผู้นำผู้นั้นก็ยังตื่นตระหนกจนทรุดลงบนพื้น! คิดจะรักษาสติอันแจ่มชัดเอาไว้ภายใต้เขตลวงของตงป๋อเสวี่ยอิง โดยทั่วไปก็ต้องเป็นระดับสุดยอดในบรรดาระดับอ๋องแล้ว เห็นได้ชัดว่า ‘อ๋อง’ ตรงหน้าผู้นี้มิได้มีความมุ่งหมายเช่นนั้น

แต่คราวนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับมิได้ทำการสังหารอย่างเอิกเกริก เพียงแค่ทำให้ชนเผ่ามรณะทมิฬเหล่านี้จมดิ่งเข้าไปในเขตลวงเท่านั้น และมิได้ผลาญสังหารวิญญาณของพวกเขาเลย

“ฟิ้ว” เผ่ามรณะทมิฬกลุ่มหนึ่งต่างก็สูญสิ้นสติรับรู้ ถูกตงป๋อเสวี่ยอิงควบคุมให้ลอยคว้างอยู่กลางอากาศ รายล้อมอยู่บริเวณรอบๆ ตงป๋อเสวี่ยอิง

ตงป๋อเสวี่ยอิงเคลื่อนเข้าไปอย่างต่อเนื่อง

“นี่มันเรื่องอันใดกัน”

“นี่… นี่มันอะไรกัน”

อาณาบริเวณของดินแดนชนเผ่าก็กว้างใหญ่ถึงเพียงนั้น อาณาบริเวณเขตลวงของตงป๋อเสวี่ยอิงก็นับได้ว่าไม่เล็ก เชื่อมต่อโอบล้อมระดับสุดยอดที่อยู่บริเวณรอบๆ จำนวนหนึ่ง ชั่วพริบตาก็มีระดับสุดยอดของเผ่ามรณะทมิฬหลายสิบคนเข้าสู่ห้วงนิทราแล้วลอยคว้างอยู่บริเวณรอบๆ ตงป๋อเสวี่ยอิง

“ผู้บำเพ็ญ! เจ้ามันรนหาที่ตาย” เสียงคำรามอย่างโกรธแค้นเสียงหนึ่งดังขึ้น สถานการณ์อันแปลกประหลาดพรรค์นี้ย่อมทำให้ดินแดนชนเผ่าปลุก ‘จักรพรรดิ’ ให้ตื่นในทันทีอยู่แล้ว

ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงกลับมองเห็นสายธารสีแดงโลหิตเชี่ยวกรากแห่งหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป สายธารสีแดงโลหิตล้อมรอบต้นไม้ผลประหลาดเอาไว้ ที่เรือนยอดของต้นไม้ผลก็มีดวงตาสีเทาดวงหนึ่งอยู่เช่นกัน

“พรึ่บๆๆ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงความคิดวูบไหวคราหนึ่งแล้วก็ปล่อยร่างแยกกลุ่มใหญ่ออกมา เหินบินมุ่งหน้าไปทุกทิศทุกทาง

“จักรพรรดิของเผ่ามรณะทมิฬ ที่ข้ามาที่นี่ก็มิได้มีเจตนาร้ายหรอกนะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “ชนเผ่ามรณะทมิฬเหล่านี้ก็เพียงแค่จมดิ่งเป็นการชั่วคราวเท่านั้น ข้ามิได้จะสังหารพวกเขา” พูดไปอย่างนั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังจดจำองค์ประกอบของเขตลวงภายในดวงตาสีเทาดวงนั้นอยู่

“มิได้มีเจตนาร้ายหรือ” นี่คือผู้แกร่งกล้าแห่งเผ่ามรณะทมิฬที่ดูราวกับแมงมุมตัวอ้วนพีคนหนึ่ง ชนเผ่ามรณะทมิฬลักษณะเหมือนแมงมุมผู้นี้ยังมีศีรษะเป็นมนุษย์ จ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิง

“ที่ข้ามาก็เพียงเพื่อเสาะหาวัสดุที่ข้าต้องการบางอย่างเท่านั้น วัสดุเหล่านี้มิได้มีประโยชน์ใดๆ ต่อเผ่ามรณะทมิฬเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด พูด “จักรพรรดิของเผ่ามรณะทมิฬ ท่านโปรดวางใจได้ สมบัติล้ำค่าที่เผ่ามรณะทมิฬของพวกท่านสนใจ ข้าย่อมไม่มีทางแตะต้องอย่างแน่นอน เมื่อข้าได้เสาะหาและเก็บเกี่ยววัสดุที่ต้องการไปแล้วก็จะจากไปในทันที”

“ทุกสิ่งทุกอย่างบนเกาะลอยคว้างล้วนเป็นของเผ่ามรณะทมิฬทั้งสิ้น เจ้าไม่มีสิทธิ์เอาไปได้ทั้งนั้น”

“ไม่มีประโยชน์อันใดกับพวกท่านเลยนะ”

“ไม่ เจ้าไม่มีสิทธิ์เอาไป” จักรพรรดิผู้นั้นจ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิงพลางส่งเสียงคำราม “ปล่อยพวกเขาลงมาเสีย แล้วไสหัวไปให้ข้า ข้าก็จะเว้นโทษตายให้เจ้า”

ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยอย่างโมโหอยู่บ้าง “วัสดุชิ้นเดียวก็มิได้เลยเชียวหรือ”

“ไม่ได้หรอก! ยอมเว้นโทษตายให้เจ้าก็นับว่าบุญโขแล้ว” จักรพรรดิตะคอกอย่างเดือดดาล

“ก็ได้ ข้าไปก็ได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงขบกรามพลางเอ่ยอย่างเศร้าสร้อยและคับแค้น “แต่ว่าท่านจะไม่ไล่ล่าสังหารข้าจริงๆ น่ะหรือ ชนเผ่ามรณะทมิฬเหล่านั้นจะเชื่อฟังคำพูดของท่านกันหมดเลยหรือ”

“วางใจเถิด พวกเขาย่อมต้องฟังในสิ่งที่ข้าพูดอยู่แล้ว ไม่มีใครกล้าไม่เชื่อฟังหรอก ไสหัวไปเสียเถิด”

จักรพรรดิเอ่ยเสียงเย็น

ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงโบกมือคราหนึ่ง ร่างแยกทั้งหมดที่อยู่ไกลออกไปต่างก็มุ่งหน้าไปยังจุดรวมตัวอย่างรวดเร็ว ยามที่รวมตัวก็ย่อมต้องใช้เวลาล่าช้าออกไปมากพอสมควร

“จดจำเอาไว้หมดแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบผ่อนลมหายใจคราหนึ่ง

เขาพูดไปมากมายถึงเพียงนี้ก็เพื่อถ่วงเวลาออกไปให้ได้มากที่สุด ขอเพียงแค่จดจำส่วนประกอบเขตลวงของดวงตาสีเทาดวงนี้ได้ก็ประสบความสำเร็จแล้ว

“ตุ้บ ตุ้บ ตุ้บ…”

ชนเผ่ามรณะทมิฬซึ่งหลับใหลแล้วลอยคว้างอยู่บริเวณรอบๆ ร่วงหล่นลงสู่พื้นจนหมด

ตงป๋อเสวี่ยอิงร่นถอยไปอย่างรวดเร็ว “หวังว่าจักรพรรดิจะปฏิบัติตามคำมั่นสัญญา”

จักรพรรดิมองทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง

มาถึงระดับขั้นเช่นเขา ก็นับได้ว่าเชาวน์ปัญญาสูงส่งเป็นอย่างยิ่งแล้ว เพียงแต่การกำเนิดของชนเผ่ามรณะทมิฬทำให้ในจิตใจของพวกเขายังคงเต็มไปด้วยความอาฆาตอันไร้ที่สิ้นสุด ความอาฆาตเติมเต็มหัวสมอง! สามารถควบคุมจนทำให้อีกฝ่ายเอาชีวิตรอดได้ ก็เป็นบรรทัดฐานที่ใหญ่โตที่สุดของจักรพรรดิแล้ว ทั้งยังคิดจะนำเอาวัสดุชิ้นหนึ่งไปด้วยอย่างนั้นหรือ นี่คือการดูหมิ่น ‘จักรพรรดิ’ อย่างแท้จริง!

……

ณ เกาะลอยคว้างอีกแห่งหนึ่ง

“พวกเขามิได้ตาย” รอบกายของตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีชนเผ่ามรณะทมิฬที่หลับอยู่ในห้วงนิทราจำนวนหนึ่งลอยเคว้งคว้างอยู่เช่นกัน และที่บริเวณไกลออกไป เผ่ามรณะทมิฬกลุ่มหนึ่งก็มองดูที่นี่อย่างตกตะลึง ย่อมมิกล้าเฉียดเข้าใกล้ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่แล้ว

“ข้าเพียงแค่ต้องการวัสดุที่ไม่มีประโยชน์อันใดต่อพวกเจ้าเผ่ามรณะทมิฬเลยแม้แต่น้อยเท่านั้นเอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังคงเอ่ยอย่างเร่งร้อน

ยังมิทันได้เอ่ยคำพูดอธิบายจนจบ

“ผู้บุกรุกดินแดนชนเผ่า ตายเสีย!” ฝ่ามือขนาดยักษ์อันหนึ่งแทรกผ่านอากาศเข้ามาในทันใด ปกคลุมผืนฟ้าแล้วล้อมโจมตีลงมา

“เจ้าบ้า” ภายใต้ความคิดหนึ่งของตงป๋อเสวี่ยอิงก็สังหารชนเผ่ามรณะทมิฬคนหนึ่งในบรรดาผู้ที่ล่องลอยอยู่รอบๆ เหล่านั้น มิได้สังหารคนอื่นๆ

พรึ่บ

ร่างแยกร่างนี้ถูกเผาผลาญไป

เพียงแค่มาถึงดินแดนชนเผ่า ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ปล่อยร่างแยกกลุ่มหนึ่งออกไปแล้ว ร่างแยกร่างอื่นกระจายตัวกันออกไป ทั้งยังมีดวงตาสีทองดวงหนึ่งที่จ้องมองไกลออกไปมองดูอยู่อย่างต่อเนื่อง

“ข้าต้องการเพียงแค่ความนึกคิดเดียวเท่านั้นก็สามารถสังหารเผ่ามรณะทมิฬได้แล้ว จักรพรรดิ ท่านก็อย่าได้บีบคั้นข้าเลยนะ” ร่างแยกกว่าร้อยร่างที่อยู่รอบกายตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปากขึ้นพร้อมกัน ส่งเสียงอึกทึก บริเวณรอบๆ ยังคงมีชนเผ่ามรณะทมิฬที่หลับอยู่ในห้วงนิทราลอยคว้างอยู่เช่นเดิม

“ตายเสีย”

จักรพรรดิผู้เดิมทีร่างกายสูงตระหง่านผู้นั้นกลับรังเกียจยิ่งนัก

สำหรับเขาแล้ว ต่อให้ชนเผ่ามรณะทมิฬคนอื่นๆ ทั่วทั้งเกาะลอยคว้างตายไปกันจนหมดสิ้น เขาก็ไม่แยแส ต้องรู้ไว้ว่าชนเผ่ามรณะทมิฬต่างก็สามารถสังหารและกลืนกินซึ่งกันและกันเองได้ทั้งสิ้น! ผู้ที่แยแสผู้ใต้บังคับบัญชาก็เป็นเพียงแค่ ‘จักรพรรดิ’ บางส่วนเท่านั้นเอง มี ‘จักรพรรดิ’ บางคนที่ไม่แยแสผู้ใต้บังคับบัญชาเลยด้วยซ้ำ นี่ก็เป็นเพราะว่าจักรพรรดิมีเชาวน์ปัญญาและจิตใจที่สูงส่งพอ

อย่างเช่นเหล่าอ๋องบางกลุ่มก็ยิ่งไม่สนใจความเป็นความตายของผู้ใต้บังคับบัญชาแล้ว

……

“เป็นคนบ้าจริงๆ เสียด้วย ข้าเพียงแค่เจรจาต่อรองเท่านั้นเอง แม้กระทั่งเจรจาก็ยังไม่เจรจากับข้าเลยหรือ ยังมิได้จดจำส่วนประกอบเขตลวงของดวงตาลึกลับดวงนั้นเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็จนใจเป็นอย่างยิ่ง เขารู้ว่าตั้งแต่จักรพรรดิของเกาะลอยคว้างผู้นั้นฟื้นคืนสติ เกรงว่าคงจะไม่หลับใหลภายในระยะเวลาอันสั้น เกาะลอยคว้างแห่งนั้นก็ไม่เหมาะสมที่จะให้ไปบุกอีกต่อไปแล้ว

******

กาลเวลาเคลื่อนผ่าน

ตงป๋อเสวี่ยอิงไปบุกเกาะลอยคว้างแห่งแล้วแห่งเล่า มีบางทีที่โชคดีประสบความสำเร็จ มีบางทีที่ล้มเหลวจนร่างแยกกว่าร้อยร่างถูกผลาญจนสิ้น แต่เขามีร่างแยกกว่าหมื่นร่าง การจะสร้างร่างแยกขึ้นมาใหม่นั้นเป็นเรื่องที่รวดเร็วอย่างยิ่ง

วัตถุวิเศษที่ใช้สร้างวิญญาณขึ้นมาใหม่ที่มีประโยชน์ต่อผู้บำเพ็ญเป็นอย่างมากจำนวนหนึ่ง อาจจะสามารถพบได้ที่ส่วนลึกของเกาะลอยคว้าง แต่ดูเหมือนว่าจะต้องมีอยู่ที่ดินแดนชนเผ่าอย่างแน่นอน!

เพียงชั่วพริบตา

หลังจากเคลื่อนไหวตามลำพังแล้วตงป๋อเสวี่ยอิงก็บุกเข้าไปในเกาะแก่งกว่าสามร้อยแห่ง

ที่สามารถเข้าไปในส่วนลึกได้สำเร็จทั้งยังกลับออกมาได้อย่างปลอดภัยก็มีเพียงแค่เกาะห้าสิบห้าแห่งเท่านั้น ส่วนที่เหลือก็ร่างแยกสูญสลาย เห็นได้ชัดว่าเงื่อนไขของตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นต่ำมากๆ แล้ว ทั้งยังมี ‘จักรพรรดิ’ บางคนที่ปรารถนาจะเก็บตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ไม่ให้ตาย ห้าสิบห้าครั้งนี้ก็ย่อมไม่มีแม้แต่ครั้งเดียวที่ปล่อยให้ตงป๋อเสวี่ยอิงไปเก็บรวบรวมวัสดุ ตงป๋อเสวี่ยอิงล้วนค้นพบวัตถุวิเศษที่ใช้สร้างวิญญาณขึ้นมาใหม่จำนวนหนึ่งที่ด้านนอกดินแดนชนเผ่าทั้งสิ้น ทั้งหมดทั้งมวลรวมกันขึ้นมาก็สามารถเทียบเคียงได้กับสุดยอดสมบัติลับล้ำค่าสองชิ้นแล้ว

ช่วยไม่ได้

ตอนนั้นมี ‘จอมกระบี่’ อยู่ พวกเขาก็สามารถปะทะกับจักรพรรดิได้

ตอนนี้เมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงเผชิญหน้ากับ ‘จักรพรรดิ’ ก็ไม่มีพลังต้านทานเลยแม้แต่น้อย ผู้ที่สามารถต้านทานเขตลวงได้ ต่างก็สามารถผลาญสังหารเขาได้โดยง่ายทั้งสิ้น

แต่ทว่า…

ถึงแม้ว่าร่างแยกที่เข้าไปในเกาะลอยคว้างจำนวนมากมายจะถูกผลาญสังหารจนสิ้น แต่ขณะที่ถ่วงเวลายามที่ถูกผลาญสังหารกลับจดจำส่วนประกอบโลกเขตลวงของดวงตาลึกลับเอาไว้ได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

กว่าสามร้อยเกาะเหล่านี้

ส่วนประกอบโลกเขตลวงภายในดวงตาลึกลับที่ตงป๋อเสวี่ยอิงจดจำเอาไว้ทั้งหมดก็มีอยู่ถึงหนึ่งร้อยสองดวงแล้ว นับรวมกับอีกสามสิบสามดวงที่ค้นพบไปแล้วก็มีดวงตาลึกลับอยู่ถึงหนึ่งร้อยสามสิบห้าดวง แต่เกาะลอยคว้างที่มีดวงตาลึกลับที่มีอยู่ในข้อมูลที่เผ่าเซวี่ยเหยียนบันทึกเอาไว้ ก็เคยบุกผ่านมาเป็นส่วนใหญ่แล้ว ทว่าในตอนนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับหยุดยั้งการผจญภัยเอาไว้

……

ณ คีรีมารสกุลฝาน

ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวนั่งขัดสมาธิอยู่ภายใต้ต้นไม้เทพผลาญจิตต้นเตี้ย

ในขณะนี้ดูเหมือนว่าร่างแยกที่มีอยู่ทั้งหมดของตงป๋อเสวี่ยอิงจะทุ่มเทจิตใจไปกับการบำเพ็ญทั้งหมดแล้ว ดังนั้นจึงหยุดการผจญภัย ก็เพราะว่าเขาเข้าสู่สถานะรู้แจ้งแล้ว ส่วนประกอบเขตลวงของดวงตาลึกลับหนึ่งร้อยสามสิบห้าดวง ในบรรดานั้นมีดวงตาสีเทาอยู่แปดสิบสองดวง มีดวงตาสีทองห้าสิบสามดวง ส่วนประกอบเขตลวงเหล่านี้มีจำนวนมากมาย ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าสู่ความรู้แจ้ง

เขาหยั่งรู้อย่างสุดกำลัง ไม่รับการรบกวนใดๆ จากโลกภายนอกเลย

และเขตลวงที่พิเศษแห่งหนึ่งก็กำลังก่อรูปร่างขึ้นภายในใจของเขา…

………………………..………….

จักรพรรดิเหวศิลาปรากฏร่างกว่าครึ่งออกมาจากความว่างเปล่า สะท้านสะเทือนไปทั่วทั้งเกาะลอยคว้าง ชาวเผ่ามรณะทมิฬของเกาะลอยคว้างเหล่านั้นรวมทั้ง ’จักรพรรดิ’ ผู้นั้นที่ตื่นขึ้นมาแล้วก็พากันประหวั่นใจ

“เขาล่าเหยื่ออีกแล้ว” ’จักรพรรดิ’ แห่งเกาะลอยคว้างผู้นี้ดูละม้ายคล้ายกับสตรีอาภรณ์สีแดงผู้หนึ่ง นางยืนอยู่ในดินแดนชนเผ่า ด้านหลังมีผู้ใต้บังคับบัญชาอยู่กลุ่มหนึ่ง แต่ละคนต่างก็ทอดสายตามองออกไปยังร่างมโหฬารหาใดเปรียบไกลออกไป นับตั้งแต่ ‘จักรพรรดิเหวศิลา’ มาถึงเกาะลอยคว้างแห่งนี้ เจ้าของเกาะลอยคว้างก็กลายเป็นจักรพรรดิเหวศิลาไปแล้ว ส่วนจักรพรรดิเผ่ามรณะทมิฬนั้นมิกล้าไปท้าทายเลย

แม้จะสามารถรักษาชีวิตรอดได้ แต่ก็ถูกจักรพรรดิเหวศิลาเหยียบย่ำอย่างสิ้นเชิง! เคราะห์ดีที่จักรพรรดิเหวศิลาไม่ชอบกินเผ่ามรณะทมิฬเหล่านี้เอามากๆ ตามปกติเขาก็หลับใหลอยู่บนเกาะลอยคว้างแห่งนี้ จะมีก็แต่เมื่อพบชนพื้นเมืองและบรรดาผู้บำเพ็ญเท่านั้นจึงจะยอมกินลงไป

“ซู้ด!”

ปากใหญ่โตดุจแอ่งโลหิตของจักรพรรดิเหวศิลาแผ่คลุมลงไปเบื้องล่าง แล้วสูดเข้าไป

ลำแสงบิดเบี้ยวกลายเป็นความมืดหม่น กาลเวลาและกาลมิติก็บิดเบี้ยวไป พละกำลังอันไร้ที่สิ้นสุดตกต้องร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงบรรพชนแมลงและจอมกระบี่

“พี่กระบี่ปีศาจ ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว ทว่าสิ้นใจไปก็ไม่เป็นไร เพียงแต่ว่าหากข้าจะฟื้นฟูกลับมาอีกครั้ง ก็ต้องทุ่มเทไปค่อนข้างมาก เวลาที่ต้องใช้ก็ต้องนานหน่อยก็เท่านั้นเอง!” บรรพชนแมลงถ่ายเสียงพูด

“จอมกระบี่ ต้องอาศัยเจ้าสู้สุดชีวิตเสียแล้ว ข้าไร้หนทางแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ถ่ายเสียงพูด

จอมกระบี่กลับโบกมืออย่างเยียบเย็นคราหนึ่ง แล้วเก็บตงป๋อเสวี่ยอิงและบรรพชนแมลงข้างกายลงไป

ร่างแยกพลังรบหลักร่างหนึ่งของตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งไปสำรวจล่วงหน้าก่อนหน้านี้กลับไม่ทันการเสียแล้ว ภายใต้พละกำลังดูดกลืนอันน่าหวาดหวั่น เขาก็รู้สึกว่าทั้งร่างล้วนถูกห่อหุ้มแล้วตกเข้าไปอย่างรวดเร็ว ภายในปากมหึมาของจักรพรรดิเหวศิลา ที่ส่วนลึกของปากนั้นเป็นสีแดงเข้มบิดเบี้ยว เมื่อถูกกลืนเข้าไป ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สัมผัสได้ถึงความร้อนระอุถึงขั้นสุด!

แม้ร่างกายของเขาจะฝึกฝนมาจนเทียบได้กับเทพจักรวาลสามชั้นสายฝึกกายแล้ว แต่ภายใต้ความร้อนระอุระลอกนี้ ร่างกายก็ยังคงแยกออกอยู่ดี

“ร่างแยกร่างหนึ่ง เมื่ออยู่ต่อหน้าสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดหวั่นพรรค์นี้ ก็ไม่มีเรี่ยวแรงจะตอบโต้แม้แต่น้อยอย่างแท้จริง” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบรำพึงในใจ จักรพรรดิเหวศิลายังแข็งแกร่งกว่า ‘ลูกมังกรหมื่นสัมผัส’ ที่ถูกจองจำตนนั้นตั้งมากมาย! ทว่าพลังโดยรวมของดินแดนจิตโลกาแข็งแกร่งมาก นอกจากนี้สิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดหวั่นที่สุดในบรรดาสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับล่าง ชนพื้นเมืองและเผ่ามรณะทมิฬ ก็ล้วนมิอาจทะลุสิ่งกีดขวางจากหุบเขาเขี้ยวหักเข้ามายังดินแดนจิตโลกาได้

ตามรายงาน

สิ่งมีชีวิตคละถิ่นทั่วทั้งหุบเขาเขี้ยวหักล้วนเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับล่างเท่านั้น จำนวนก็น้อยอย่างยิ่ง บนเกาะลอยคว้างจำนวนนับไม่ถ้วนพบสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับล่าได้ยากมาก! ในหมู่พวกมัน ส่วนใหญ่ล้วนมีพลังธรรมดามาก หากสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูพบเข้า โดยทั่วไปก็สามารถรักษาชีวิตไว้ได้อย่างไร้ปัญหา แต่ในจำนวนนั้นมีอยู่แปดตนที่เป็นระดับยอดสุด และได้รับการขนานนามว่าเป็นผู้วิเศษใหญ่

จักรพรรดิเหวศิลาก็ได้รับการเรียกขานว่า ‘ผู้วิเศษใหญ่แห่งเหวศิลา’! เป็นหนึ่งในผู้วิเศษใหญ่! หากเป็นจักรพรรดิเซี่ยที่ถือสมบัติลับขั้นสุดยอดเอาไว้เกิดพบเข้า ก็ยังมีหวังหนีเอาชีวิตรอดได้ แต่พวกตงป๋อเสวี่ยอิงจะเอาชีวิตรอดน่ะหรือ ความหวังก็ริบหรี่มากแล้ว!

แน่นอนว่าทั่วทั้งหุบเขาเขี้ยวหัก ที่น่าหวาดหวั่นที่สุดก็ยังคงเป็นสิ่งมีชีวิตของเผ่ามรณะทมิฬและชนพื้นเมืองที่บรรลุถึงระดับยอดสุดอย่างแท้จริงห้าท่าน ซึ่งถูกเรียกว่าเป็น ‘ห้ายอดเคารพ’

ห้ายอดเคารพ!

สามท่านมีต้นกำเนิดจากเผ่ามรณะทมิฬ ส่วนอีกสองท่านจากเผ่าชนพื้นเมือง

ระดับอย่างผู้ปกครองหุบเขาเขี้ยวหักอันกว้างใหญ่ไพศาลอย่างแท้จริงนั้น ต่อให้ราชันย์อนธการอมตะและจักรพรรดิเซี่ยทำทุกวิถีทางก็ยังสามารถถูกทำลายได้อย่างง่ายดายอยู่ดี! ดังนั้นราชันย์อนธการอมตะจึงคิดจะหลอม ‘ผู้ท่องมรณะ’ ขึ้นมาอยู่ตลอด จึงได้ทุ่มเทไปมูลค่ามหาศาลเพื่อบูชาครั้งใหญ่ หมายจะสำเร็จให้ได้ในคราวเดียว ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงกลับลงมือทำลายธุระของเขา ทำให้แม้ราชันย์อนธการอมตะจะกระหายสถานที่อยู่ลึกที่สุดต่างๆ ของหุบเขาเขี้ยวหักมาก แต่กลับมิกล้าถลำลึกเข้าไป”

เนื่องจากทั้งหุบเขาเขี้ยวหัก ทรัพยากรที่ดีที่สุด สถานที่พิเศษสุดอย่างแท้จริงก็ล้วนแต่มีห้ายอดเคารพครอบครองแล้ว!

……

ห้ายอดเคารพนั้นไม่ต้องสนใจแล้ว

จักรพรรดิเหวศิลาตรงหน้าก็ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิง บรรพชนแมลงและจอมกระบี่ตื่นเต้นหาใดเปรียบแล้ว

“มิได้บอกว่าสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับล่างมีน้อยมากหรอกหรือ พวกเราบุกฝ่าเกาะลอยคว้างมาสามสิบกว่าแห่ง ได้พบสิ่งมีชีวิตคละถิ่นก็แล้วไปเถิด แต่ยังปะทะเข้ากับจักรพรรดิเหวศิลา หนึ่งในผู้วิเศษใหญ่อีกด้วย!” ภายในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ บรรพชนแมลงมีสีหน้าขมขื่น

ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับส่งผลังผ่านสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ไป เขายังคงพยายามสำแดงเขตลวงออกมาอย่างสุดกำลัง

ตู้มมม…

เขตลวงแผ่คลุมรอบด้าน แม้เพียงแค่ปะทะถูกร่างกายเพียงส่วนน้อยนิดของจักรพรรดิเหวศิลาเท่านั้น แต่กลับรุกรานเข้าไปในวิญญาณของจักรพรรดิเหวศิลาด้วย เพียงแต่สิ่งมีชีวิตคละถิ่นพิเศษอย่างยิ่งจริงๆ หลายส่วนของร่างกายเป้นการปรากฏของกฎเกณฑ์อันสูงส่ง เกล็ดหรือกระดูกสักแผ่นหนึ่งก็มีความเร้นลับมากมาย วิญญาณของมันก็ย่อมแข็งแกร่งหาใดเปรียบ ต่อให้ปัญญาทั่วไปมาก ก็ได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น พลังก็คงลดลงเพียงส่วนเดียวเท่านั้นเอง

“สิ่งที่ข้าสามารถทำได้ก็มีเพียงราวๆ นี้ จอมกระบี่ ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้วนะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบถอนหายใจ แม้ตนจะพกดอกบัวเพลิงห้วงอากาศมาด้วย แต่ร่างแยกทั้งเก้าร่างร่วมมือกัน ก็มิอาจต้านทานการดูดกลืนของจักรพรรดิเหวศิลาได้

“ฟิ้ว!”

ประกายกระบี่อันโดดเด่นสะดุดตาแหวกความมืดหม่นอันไร้ที่สิ้นสุดออกไป

จอมกระบี่ถือกระบี่เล่มหนึ่งเอาไว้ในมือ เขาทำลายพละกำลังหลายชั้นที่พันธนาการเอาไว้ แล้วพยายามพุ่งออกไปข้างนอกอย่างสุดกำลัง!

“แคว่ก!” กรงเล็บมหึมาของจักรพรรดิเหวศิลาราวกับก่อตัวขึ้นจากหินผา มันปรากฏขึ้นมาท่ามกลางความมืดหม่นอันไร้ที่สิ้นสุด แล้วแผ่คลุมไปทางจอมกระบี่ด้วยความเร็วสูง จอมกระบี่พยายามต้านทานและถ่ายแรงอยากสุดกำลัง

ปัง!

ประกายกระบี่สลายไป

จอมกระบี่กระอักเลือดแล้วบินทะยานต่อไปอย่างน่าอนาถ

“ฮ่าฮ่าฮ่า…” จักรพรรดิเหวศิลาเปล่งเสียงหัวเราะออกมา สะท้อนก้องไปทั่วทั้งเกาะลอยคว้าง เหมือนกับสนุกสนานตื่นเต้นดีใจนัก

……

ภายในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์

ตงป๋อเสวี่ยอิงและบรรพชนแมลงตรวจดูโลกภายนอกด้วยความกังวล พลางมองดูจอมกระบี่ดิ้นรนด้วยความยากลำบาก

“แข็งแกร่งเกินไปอยู่ดี” บรรพชนแมลงพูดขึ้นอย่างอดไม่ได้ “กระบี่ปีศาจมีพลังที่ไร้ศัตรู นอกจากนี้วิธีการต่างๆ ก็ยังสมบูรณ์แบบมาก ต่อให้เป็นพวกบรรพชนราตรีนิรันดร์หรือประมุขรัฐจันทร์บุปผามาเอง ก็เกรงว่าคงจะสู้พี่กระบี่ปีศาจไม่ได้เสียด้วยซ้ำ”

“ใครใช้ให้พบจักรพรรดิเหวศิลาเข้ากันเล่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงจนใจ “นอกจากนี้ ดูๆ แล้วจักรพรรดิเหวศิลาก็เห็นนี่เป็นเรื่องสนุกอย่างหนึ่ง มิได้สู้อย่างสุดกำลัง น่าเสียดายที่เมื่ออยู่ในเกาะลอยคว้าง พวกเราผู้บำเพ็ญก็ต้องเผชิญกับการผลักไส มิอาจเคลื่อนที่ในพริบตาได้ ทำได้เพียงค่อยๆ บินไปอย่างเชื่องช้าเท่านั้น! จักรพรรดิเหวศิลาจึงไม่กลัวเลยว่าพวกเราจะหนีพ้นได้”

“อ๊าก!” แผ่นเกล็ดบนหน้าของบรรพชนแมลงหดลง

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ขมวดคิ้วคราหนึ่ง เนื่องจากร่างของจอมกระบี่ถูกเชือดเฉือนออก แม้จะสมานกันอย่างรวดเร็ว แต่บนร่างของจอมกระบี่กลับมีพละกำลังสีเทาอันแปลกประหลาดพันธนาการเอาไว้

ผ่านไปราวสิบกว่าชั่วลมหายใจ

“เสวี่ยอิง บรรพชนแมลง ต้านทานไว้ไม่ได้แล้ว” เงาร่างสายหนึ่งของจอมกระบี่ส่งเสียงมา

ตู้ม!

ไม่นานนัก สมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ก็ระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ

ตงป๋อเสวี่ยอิงและบรรพชนแมลงมองสบตากันยิ้มๆ แม้ท้ายที่สุดจะดิ้นรนเสียจนต้องหนีไปทั่วสารทิศ แต่ภายใต้การกดดันของ ‘จักรพรรดิเหวศิลา’ ซึ่งดุจดั่งการดูดกลืนของหุบเหวลึกอันไร้ที่สิ้นสุด ก็ยังคงถูกดูดกลืนเข้าไปจนสิ้น

“ข้าต้องใช้เวลานานมากจึงจะฟื้นฟูกลับมาได้ รอหลังจากฟื้นฟูแล้ว ก็จะมายังเมืองหิมะเหิน พี่ใหญ่หิมะเหิน สมบัติล้ำค่าต่างๆ ช่วยข้าเก็บเอาไว้ให้ดีก่อนก็แล้วกัน” ขณะที่บรรพชนแมลงถูกกลืนลงไปก็ยังถ่ายเสียงพูด

“วางใจเถิด ข้าไม่เอาเปรียบเจ้าแน่” ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวเราะใหญ่

กองกำลังสามคนของจอมกระบี่ ตงป๋อเสวี่ยอิงและบรรพชนแมลงก็ดับสลายไปเช่นนี้เอง!

******

ณ เมืองหิมะเหิน

กองหิมะปกคลุมสวนดอกไม้เอาไว้ ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ภายในสวนดอกไม้เพียงลำพังพลางแหงนหน้ามองดูท้องฟ้า มีเงาร่างสายหนึ่งรวมตัวกันขึ้นกลางอากาศ ซึ่งก็คือร่างแปรของจอมกระบี่ที่ร่อนลงมานั่นเอง

“เสวี่ยอิง” จอมกระบี่ร่อนลงมา บนใบหน้าของเขาก็เผยแววจนใจสายหนึ่งออกมา “ทำให้เจ้าและคนอื่นๆ ผิดหวังเสียแล้ว เมื่อเผชิญหน้ากับจักรพรรดิเหวศิลาก็ไม่สามารถต้านทานได้เลย”

“อย่างน้อยเจ้าก็ยังสามารถต้านทานได้ ข้ายังไม่ไม่มีแม้แต่โอกาสเสียด้วยซ้ำไป” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ “นอกจากนี้ก่อนหน้าที่จะเข้าไปในหุบเขาเขี้ยวหัก พวกเราก็ได้เตรียมการที่จะสูญเสียร่างแยกเอาไว้แล้ว แม้เมื่อต้องสูญเสียสมบัติล้ำค่าก็เสียใจ แต่หากพูดถึงสิ่งที่ได้รับมา ก่อนหน้านี้พวกเราก็ได้อะไรมาจากเกาะลอยคว้างสามสิบสามแห่งตั้งมากมายแล้ว”

จอมกระบี่พยักหน้า “ไม่ต้องรีบร้อนไป รอจนบรรพชนแมลงมาแล้วค่อยแบ่งกันก็ได้”

“พลังของเขาจะฟื้นฟู ก็ยังต้องใช้เวลาอยู่บ้าง” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “เขาไม่มีร่างแยก คงจะเป็นเคล็ดลับฟื้นคืนชีพของแมลงขั้นสุดยอดกระมัง”

“เข้ามายังหุบเขาเขี้ยวหักในครั้งนี้ ได้บุกฝ่าเกาะลอยคว้างตั้งหลายแห่งติดต่อกัน เนื่องจากมีเจ้า เสวี่ยอิง จึงได้ผลประโยชน์มามากกว่าที่คาดเอาไว้มาก และได้สบโอกาสตั้งหลายครั้ง” จอมกระบี่กล่าว “ในเมื่อครั้งนี้สูญเสียร่างแยกไป อาวุธข้าก็สูญหายไปด้วย ภายในระยะเวลาสั้นๆ พลังของข้ากับเจ้าก็จะไม่ต่างอะไรกันมากนัก ข้าจะยังไม่ไปที่หุบเขาเขี้ยวหักก่อนชั่วคราว แล้วเตรียมตัวเก็บตัว บำเพ็ญเพียรอย่างเงียบๆ โอกาสที่ได้พบในหุบเขาเขี้ยวหักพวกนั้น ยังไม่มีเวลาลองรับรู้ดูเลย”

“เจ้าไม่ไปแล้วหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึง

“ตอนนี้ยังไม่ไปก่อนแล้วกัน” จอมกระบี่เอ่ย

ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าน้อยๆ “แต่ข้าก็ยังจะไปอยู่ดี ข้ายังต้องไปดูดวงตาเร้นลับดวงอื่นๆ ด้วย”

“ฮ่าฮ่า ร่างแยกของเจ้ามีตั้งมากมาย ลองอีกสักสองสามครั้ง ก็มีโอกาสมองเห็นดวงตาเร้นลับนั่นได้” จอมกระบี่พูดยิ้มๆ

“อื้ม”

ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

แม้ครั้งนี้จะได้อะไรมามากมาย แต่เมื่อร่างแยกของจอมกระบี่ร่างนั้นตายไป สูญเสียสมบัติลับของวิถีทำลายล้างที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งไปชิ้นหนึ่ง จอมกระบี่มีเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่ง เมื่อบวกกับสมบัติลับระดับยอดสุดที่เหมาะสมอย่างยิ่งนั้น จึงจะมีพลังที่ไร้ศัตรูได้! บัดนี้ตามหาสมบัติลับที่เหมาะสมไม่พบ พลังของเขาลดลง หากใช้พลังเช่นนี้ไปบุกฝ่าเกาะลอยคว้าง ก็ไม่มั่นใจว่าจะ ‘ฆ่าแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน’ ได้ ต้องอาศัยโชคเต็มๆ

หากพูดถึงร่างแยก จอมกระบี่มิได้มีมากเท่ากับตงป๋อเสวี่ยอิง สูญเสียร่างแยกไป ก็ต้องค่อยๆ ฝึกฝนร่างแยกร่างหนึ่งกลับมา

ข้อแรกก็คือเขาไม่อยากเป็นตัวถ่วงของตงป๋อเสวี่ยอิง ข้อสองก็คือเขาอยากสงบจิตใจเพื่อบำเพ็ญ และซึมซับสิ่งที่ได้รับจากช่วงเวลานี้!

“จอมกระบี่จะเก็บตัวบรรพชนแมลงเพื่อบำเพ็ญ ส่วนพลังของบรรพชนแมลงก็มิอาจฟื้นฟูได้ชั่วคราว หากอาศัยตัวข้าเอง…ก็ทำได้เพียงอาศัยร่างแยกทั้งหลายและศาสตร์เขตลวงโลกเทียมเท่านั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ หากพูดถึงว่ามีร่างแยกมากเพียงอย่างเดียว เขาก็ไม่กล้าคิดว่าตนจะสามารถทะลุไปตลอดทางจนถึงใจกลางของเกาะลอยคว้างแห่งหนึ่งได้ ทว่าเขามีลูกไม้เขตลวงโลกเทียมที่สามารถกวาดล้างระดับอ๋องได้ด้วย ทำให้เขาพอจะมีความมั่นใจอยู่บ้าง

………………………………………….

แม้จะสัมผัสสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่น่าหวาดหวั่นนั้นได้อย่างเลือนราง แม้แต่จำนวนที่แน่ชัดของ ‘ดวงตา’ ก็ยังไม่รู้เลย

แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สามารถจินตนาการได้ว่า เมื่อดวงตาอันแน่นขนัดของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นมองดูศัตรู ศัตรูก็จะต้องประสบกับการดึงดูดของเขตลวงก่อน แล้วค่อยถูกเขตลวงล้างสังหาร! ภายใต้การโจมตีหลายชั้น ต่อให้ไม่ตาย ก็เกรงว่าวิญญาณคงจะได้รับผลกระทบอย่างยิ่ง พลังที่สำแดงออกมาก็คงจะลดลง

“ร่างกายของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับนั้นยังใหญ่โตกว่าโลกทิพย์เสียอีก! เกรงว่าหากร่างกายปะทะเข้าไปครั้งหนึ่ง รัฐระดับเดียวกับรัฐโบราณคิมหันตวายุก็คงถูกกระแทกจนละเอียดเป็นผุยผง” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบรำพึงในใจ เคราะห์ดีที่สิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดหวั่นระดับนั้น ก็ย่อมมี ‘หยวน’ และ ‘เจ้าเมืองหลัว’ ซึ่งเป็นผู้แกร่งกล้าคละถิ่นที่น่าหวาดหวั่นเช่นเดียวกันไปรับมือให้

……

ณ คีรีมารสกุลฝาน นครหลวงรัฐโบราณคิมหันตวายุ

ต้นไม้เทพผลาญจิตต้นเตี้ยบึกบึน ยอดไม้อันใหญ่โตปกคลุมเบื้องล่าง ชายหนุ่มชุดขาวก็นั่งขัดสมาธิอยู่ที่นี่

เพื่อป้องกันมิให้ราชันย์อนธการอมตะพบเข้า ร่างแยกที่บำเพ็ญอยู่ใต้ต้นไม้เทพผลาญจิตก็เปลี่ยนแปลงรูปโฉมและกลิ่นอาย แต่ทว่าด้วยการป้องกันของนครหลวงคิมหันตวายุและสกุลฝาน ราชันย์อนธการอมตะก็ตรวจสอบที่นี่ได้ยากมาก

“ฟิ้ว”

ใบไม้ซึ่งดุจดั่งแกะสลักขึ้นมาจากหยกสีม่วงเข้มร่วงหล่นลงตรงหน้า ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดู มุมปากมีรอยยิ้มผุดขึ้นมา

ในห้วงสมองของเขากลับจำโครงสร้างเขตลวงของดวงตาอันเร้นลับทั้งสามสิบสามดวงที่เคยเห็นก่อนหน้านี้ได้อย่างชัดเจน เขตลวงสองชนิดนั้น ชนิดหนึ่งคือดึงดูดศัตรูให้ลุ่มหลง ส่วนอีกชนิดหนึ่งคือเขตลวงล้างสังหารวิญญาณ ดวงตาสีเทายี่สิบห้าดวงคือส่วนของโครงสร้างที่แตกต่างกันของเขตลวงชนิดเดียวกัน เมื่อรวมกันขึ้นมาก็ยังคงบกพร่องมากนัก ทว่าสำหรับตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว แม้จะบกพร่องหาใดเปรียบ ก็ยังคงเต็มไปด้วยความงดงาม!

งดงามเกินไปแล้ว

‘เข้าใกล้วิถี’ ‘รับรู้วิถี’

บัดนี้ตงป๋อ ‘เข้าใกล้วิถี’ แล้วห่างจากการบรรลุถึงขั้นสุดยอดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ดังนั้นจึงสามารถมองจุดที่ไม่ธรรมดาของดวงตาอันเร้นลับแต่ละดวงออกได้

“ด้วยระดับขั้นของข้า ไม่กล้าเพ้อฝันว่าจะเข้าถึงท่าไม้ตายที่สิ่งมีชีวิตคละถิ่นอันน่าหวาดหวั่นตนนั้นครอบครองได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ “ทว่ารับรู้มัน แล้วคิดค้นท่าไม้ตายที่เหมาะสมกับตนเองออกมา ก็ยังพอมีหวัง”

อะไรกันที่เรียกว่าท่าไม้ตาย

อย่างวิถีอากาศทั้งหมดเก้าสาย ในจำนวนนั้นห้าสายหลอมรวมกัน ก็สามารถคิดค้น ‘เคล็ดผนึกห้าภาพ’ ที่สมบูรณ์แบบขึ้นมาได้ ความแข็งแกร่งของอานุภาพนี้ ก็บรรลุถึงขีดจำกัดของเทพจักรวาลชั้นสามแล้ว

ระดับขั้นอย่างเดียวกัน เคล็ดวิชาที่ใช้ก็แตกต่างกัน ทำให้อานุภาพของกระบวนท่ามีระดับสูงต่ำแตกต่างกัน

เนื่องจากการรับรู้เคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่ง ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงได้คิดค้นท่าไม้ตายด้านวิถีอากาศห้าสายขึ้นมาได้! ท่าไม้ตายใดๆ ก็ตาม ล้วนแต่มีพลังรบขั้นสุดยอดทั่วไป เยี่ยมยอดเพียงใดกัน

ส่วนทางด้าน ‘วิถีเขตลวงโลกเทียม’ แม้จะสั่งสมอย่างหนาแน่นมาก แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิได้มีท่าไม้ตายอะไรที่ไร้เทียมทานมากจริงๆ แต่อย่างใด เนื่องจากการคิดค้นท่าไม้ตายก็ต้องการวิญญาณสัมผัส และต้องการการกระตุ้นสัมผัส! หากมิใช่ชมดูคนอื่นสำแดงออกมา ก็ต้องดูอานุภาพของสมบัติลับอันสูงส่งเป็นตัวอย่าง หรือไม่ก็ต้องมีเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งชี้นำโดยสรุปก็คือ โดยทั่วไปแล้วจะต้องมีการกระตุ้นสัมผัสบ้าง

หรือถึงขั้นหากมีการชี้นำ ก็จะสบายขึ้นมากทีเดียว

บัดนี้ดวงตาสีเทาและดวงตาสีทองก็ได้ชี้นำตงป๋อเสวี่ยอิง

“ทำให้มันเรียบง่ายขึ้น และซึมซับมัน ก็จะมีหวังคิดค้นท่าไม้ตายของข้าขึ้นมาเองได้ คิดค้นท่าไม้ตายก็สามารถทำให้ข้าสั่งสมได้หนาแน่นขึ้น และยิ่งมีหวังบรรลุถึงขั้นสุดยอดมากขึ้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงรอคอย

เขาหลับตาลง

เมื่อบำเพ็ญต่อไป โครงสร้างเขตลวงของดวงตาอันเร้นลับทั้งสามสิบสามดวงนั้นถูกเขาวิเคราะห์และค้นคว้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อสำแดงออกมาร่วมกับวิถีเขตลวงโลกเทียมที่ตนรับรู้

เมื่อมีการช่วยเหลือจาก ‘ต้นไม้เทพผลาญจิต’ สมบัติล้ำค่าชิ้นนี้ บำเพ็ญขึ้นมาก็ได้ผลดียิ่งนัก

ร่างแยกของตงป๋อเสวี่ยอิง ก็มีเพียงร่างแยกที่อยู่ใต้ต้นไม้เทพผลาญจิตร่างนี้ และร่างแยกที่ถือหอกเทพคละถิ่นเอาไว้ในมือซึ่งประจำการอยู่ที่เมืองหิมะเหินเท่านั้น จึงจะมีวิญญาณครบเต็มสิบ ส่วนวิญญาณอื่นๆ รวมทั้งร่างแยกซึ่งเป็นพลังรบหลักทั้งหลายที่เสี่ยงอันตรายอยู่ในหุบเขาเขี้ยวหัก อันที่จริงแล้วโดยทั่วไปก็มีวิญญาณเพียงเจ็ดส่วนเท่านั้น!

เนื่องจากเคยดูดซับโลหิตหัวใจของมารดามังกรหมื่นสัมผัส วิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงจึงแข็งแกร่งหาใดเปรียบ

ต่อให้มีวิญญาณเจ็ดส่วน ก็สามารถสำแดงกระบวนท่าเขตลวงออกมาได้อย่างเต็มที่ ทั้งยังสามารถแบ่งสมาธิไปสำแดงท่าไม้ตายอื่นๆ ออกมาได้อีกด้วย

“เมื่อระดับขั้นของข้ายิ่งสูงขึ้น ต้นไม้เทพผลาญจิตก็ช่วยเหลือข้าได้น้อยลงทุกทีๆ แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สัมผัสได้ถึงแรงช่วยจากต้นไม้เทพผลาญจิต ทว่ายิ่งระดับขั้นสูงขึ้น ผลของต้นไม้เทพผลาญจิตก็ยิ่งอ่อนแอลงเรื่อยๆ ทว่าก็ยังคงให้ผลดีกว่าวัตถุอื่นๆ ที่คอยช่วยส่งเสริมการบำเพ็ญของเขามากทีเดียว

******

พวกตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งสามคนร่อนลงเหนือเกาะลอยคว้างแห่งหนึ่ง นี่คือเกาะลอยคว้างแห่งที่สามสิบสี่ที่พวกเขาจะสำรวจแล้ว

“หวังว่าเกาะลอยคว้างแห่งนี้จะมีสมบัติล้ำค่าบางอย่างรอคอยพวกเราอยู่ บนเกาะลอยคว้างแห่งที่แล้ว พวกเราได้อะไรมาน้อยเสียจนแทบจะมองข้ามไปได้” บรรพชนแมลงกล่าว

“ผลประโยชน์บนเกาะลอยคว้างย่อมมีมากบ้างน้อยบ้างเป็นธรรมดา แม้สำหรับผู้บำเพ็ญอย่างเราจะมีประโยชน์มหาศาล สำหรับเผ่ามรณะทมิฬและชนพื้นเมืองก็ไม่มีประโยชน์อันใด ทว่าตลอดคืนวันอันยาวนานมาจนบัดนี้ ผู้บำเพ็ญดินแดนจิตโลกามาสำรวจอย่างไม่ขาดสาย บรรดาสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูก็มาสำรวจเช่นกัน เกรงว่าพวกเขาคงจะเคยสำรวจเกาะลอยคว้างมาหลายแห่งแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม “จะว่าไป ก็ถือว่าพวกเราได้ผลประโยชน์มามากมายทีเดียว”

“โชคดีที่มีพี่ใหญ่หิมะเหินและกระบี่ปีศาจ” บรรพชนแมลงพูดพลางหัวเราะฮิฮิ “ทำเอาข้าเสียเปรียบไม่น้อยเลยทีเดียว”

“ต้องขอบคุณเผ่าเซวี่ยเหยียนเป็นอย่างมาก” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย “ไปเถิด พวกเราระวังหน่อยก็แล้วกัน แม้เกาะลอยคว้างแห่งนี้จะไม่อันตรายมากนัก รายงานก็ค่อนข้างละเอียด แต่ก็ยังต้องระวังหน่อยอยู่ดี อย่าได้ทำเรือล่มในหนอง เหยียบย่ำเข้าไปในสภาพแวดล้อมที่อันตราย”

รายงานค่อนข้างละเอียด เพียงแต่ว่าบันทึกอันตรายเอาไว้เพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้นเอง

“ไปกันเถอะ” อาภรณ์สีดำบนร่างของบรรพชนแมลงพลันปริแตกออกแล้วกลายเป็นแมลงจำนวนนับไม่ถ้วน มุ่งหน้าไปกบดานรอบด้านอย่างรวดเร็ว

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สำแดงเขตลวง

จอมกระบี่นั้นผ่อนคลายที่สุด มีแต่พบศัตรูที่แข็งแกร่งที่แท้จริงเท่านั้น จึงต้องให้จอมกระบี่เป็นผู้ลงมือ

ฟิ้ว

พวกเขาทั้งสามคนมุ่งหน้าไปอย่างรวดเร็วด้วยความคล่องแคล่ว และรักษาวิธีการปกปิดเช่นการหลบซ่อนในอากาศเอาไว้ด้วย

พวกเขามีประสบการณ์มาก่อนแล้ว วิธีการปกปิดพรรค์นี้มีประโยชน์ไม่มากนัก พวกเขาถูกกลิ่นอายอันไร้รูปร่างของเกาะลอยคว้างผลักไส เมื่อเผ่ามรณะทมิฬเข้าใกล้ ก็สามารถสัมผัสถึงการมีอยู่ของพวกเขาได้อย่างง่ายดาย! ทว่าเมื่อสำแดงออกมาแล้ว ก็ย่อมดีกว่าการทะยานไปด้วยความเร็วสูงอย่างโจ่งแจ้งมากแน่นอน

จากประสบการณ์ของพวกเขา

เมื่ออยู่ในเกาะลอยคว้างนั้นมิอาจชักช้าได้ จะต้องรวดเร็ว! ยิ่งช้าก็ยิ่งถูกพบตัวได้ง่ายขึ้น

เผ่ามรณะทมิฬทั้งหมดที่พบ ก็ต้องสังหารให้เกลี้ยง! ด้วยกระบวนท่าเขตลวงของตงป๋อเสวี่ยอิง ต่อให้เป็น ‘อ๋อง’ ก็ต้องถูกสังหารในพริบตา นอกเสียจากจะเป็น ‘อ๋องระดับยอดสุดของเผ่ามรณะทมิฬ’ เท่านั้น ขอเพียงสังหารแล้ว เผ่ามรณะทมิฬก็จะไม่ได้รับรายงานอย่างรวดเร็วถึงเพียงนั้น มีครั้งหนึ่งที่พวกเขาทะยานเข้าไปยังใจกลางสุดของเกาะลอยคว้างโดยใช้เวลาขั่วยามกว่าๆ จึงถูกเผ่ามรณะทมิฬพบเข้า พวกเขาสังหารบรรดา ‘อ๋อง’ เหล่านั้น แม้แต่ระดับยอดสุดก็ยังต้องหนีไปอย่างน่าอนาถ…เนื่องจากเขตลวงปกคลุม เผ่ามรณะทมิฬจึงไม่กล้าไปแจ้ง ’จักรพรรดิ‘

ดังนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงจึงทิ้งร่างแยกร่างหนึ่งเอาไว้เพื่อข่มขู่

และทำให้ฝ่ายตนจากไปได้สบายๆ

ครั้งนั้น พวกเขาได้กวาดล้างดินแดนชนเผ่าจนก้นชี้ฟ้า! ได้อะไรมามากมายยิ่งนัก

ตอนที่พวกเขาจากไป ’จักรพรรดิ‘ ของเกาะลอยคว้างแห่งนั้นก็ยังคงหลับใหล ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิกล้าลงมือกับจักรพรรดิ เขตลวงของเขาถึงขั้นปกคลุมแค่รอบด้านเท่านั้น ไม่กล้าส่งผลกระทบต่อ ’จักรพรรดิ‘ เพราะหากปลุกเขาจนตื่นขึ้นมาก็คงยุ่งยากไปกันใหญ่แล้ว ส่วนการสังหารจักรพรรดิที่หลับใหลน่ะหรือ ต่อให้จักรพรรดิอยู่ตรงนั้นโดยไม่ขัดขวาง พวกเขาก็มิอาจสังหารให้ตายได้ เนื่องจากตัวตนของ ‘เผ่ามรณะทมิฬ’ และ ‘เผ่าชนพื้นเมือง’ เองนั้นแข็งแกร่งอย่างยิ่งจริงๆ

ไม่เหมือนกับผู้บำเพ็ญ ที่อาศัยสมบัติลับระดับยอดและพลังภายนอกอื่นๆ

แต่ว่า…

เมื่อท่องไปในเกาะลอยคว้างแห่งหนึ่ง และสู้เสียจนราบคาบไปหมด ขณะที่จากมานั้น จักรพรรดิของเกาะลอยคว้างก็ยังคงอยู่ในห้วงนิทรา เรื่องพรรค์นี้ พวกตงป๋อเสวี่ยอิงก็ทำสำเร็จเพียงครั้งเดียวเท่านั้น

แน่นอนว่า ‘ประสบการณ์’ เหล่านี้ก็ทำให้พวกเขาถ่วงเวลาถูกพบตัวออกไปให้ได้มากที่สุด

“สวบๆๆ!”

พวกตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งสามคนกำลังมุ่งหน้าไปด้วยความเร็วสูง

“ไม่ถูกต้องแล้ว หยุดก่อน” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปเบื้องหน้า จับจ้องไปยังทะเลสาบขนาดมหึมาแห่งหนึ่งไกลออกไป ทะเลสาบแห่งนั้นกินพื้นที่กว่าร้อยล้านลี้ กว้างใหญ่ไพศาล ระลอกคลื่นน้ำซัดสาดน้อยๆ

“เหตุใดจึงมีทะเลสาบที่ใหญ่โตถึงเพียงนี้ได้เล่า” จอมกระบี่ก็ตกใจ

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ส่งรายงานให้จอมกระบี่และบรรพชนแมลง เขาเชื่อใจจอมกระบี่เต็มเปี่ยม ส่วนบรรพชนแมลงปาถัวเฉินนั้นสามารถมาช่วยตนได้ในยามวิกฤต ตนก็เชื่อใจมากเช่นเดียวกัน

พวกเขาสามคนต่างก็ล่วงรู้ข้อมูล ดังนั้นจึงมองดูทะเลสาบขนาดมหึมาตรงหน้าแห่งนี้อย่างจริงจัง

“รายงานที่เผ่าเซวี่ยเหยียนมอบให้ กาะลอยคว้างสิบแปดแห่งที่มีรายงานโดยละเอียด พวกเราก็ได้ไปมาหมดแล้ว แม้เกาะลอยคว้างแห่งนี้จะมีรายงานที่ค่อนข้างละเอียด บางส่วนยังคงมีแค่หยาบๆ แต่ทว่า…ทะเลสาบขนาดมหึมาเช่นนี้ ไม่มีทางไม่บันทึกอะไรเอาไว้เลย” บรรพชนแมลงปาถัวเฉินก็พูดเสียงต่ำ “รายงานของเผ่าเซวี่ยเหยียนมิอาจปลอมแปลงขึ้นมาได้ แล้วทะเลสาบนี่มาจากไหนกันเล่า”

เกาะลอยคว้างสามสิบสามแห่งที่สำรวจก่อนหน้านี้ทำให้พวกเขาไม่กังขาในรายงานของเผ่าเซวี่ยเหยียนเลย

“ทะเลสาบแห่งนี้…” พวกตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งสามคนสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลขึ้นมารางๆ

ข้าจะตรวจสอบดูเสียหน่อย” ตงป๋อเสวี่ยอิงโบกมือคราหนึ่ง ร่างแยกพลังรบหลักร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้น ร่างแยกมุ่งหน้าต่อไป ทั้งยังสำแดงเขตลวงออกมาด้วย เมื่อเข้าไปในระยะค่อนข้างประชิด ขอบเขตของเขตลวงจึงสัมผัสถูกทะเลสาบแห่งนั้นเข้าจนได้!

ชั่วขณะที่กระทบกันนั้น

ทะเลสาบมหึมาแห่งนั้นพลันขยับไหว

โครมมม…

ประหนึ่งโลกพลิกย้อนกลับ! ทะเลสาบขนาดมหึมากลับกลายเป็นปากใหญ่สีแดงดุจแอ่งโลหิต ซึ่งเป็นเพียงแค่ปากของสิ่งมีชีวิตขนาดมโหฬารหาใดเปรียบตนหนึ่งเท่านั้น ร่างกายของสิ่งมีชีวิตนี้ใหญ่โตเกินไป ร่างกายกว่าครึ่งปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า ยังมีร่างกายส่วนหนึ่งอยู่กลางอากาศ ปากของมันกลับปกคลุมเข้ามาเสียแล้ว แม้พวกตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งสามคนจะทะยานไปด้วยความเร็วสูง แต่กลับมิอาจทะยานออกจากขอบเขตของปากสีแดงดุจแอ่งโลหิตได้ทันกาล

“เป็นมัน! สิ่งมีชีวิตคละถิ่น ‘จักรพรรดิเหวศิลา’!” จอมกระบี่ตกใจใหญ่

สีหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงและบรรพชนแมลงก็แปรเปลี่ยนเป็นไม่น่ามองขึ้นมา นี่คือศัตรูที่น่าหวาดหวั่นที่สุดที่พวกเขาได้พบตั้งแต่มาถึงเกาะลอยคว้าง ถึงขั้นทำให้พวกเขาเกิดความคิดสิ้นหวังขึ้นมา!

“เกรงว่าครั้งนี้คงจะหนีไม่พ้นเสียแล้ว” บรรพชนแมลงพึมพำ

“มีเกาะลอยคว้างหลายแห่งที่มีอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตาเป็นประกายขึ้นมา

“ถูกต้อง” ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้พูดพลางพยักหน้า “ดวงตาอันน่าหวาดหวั่นพรรค์นี้ กระจัดกระจายกันอยู่ทั่วเกาะลอยคว้างทั้งหลาย ลำพังแค่ที่เผ่าเซวี่ยเหยียนเราบันทึกเอาไว้ก็มีถึงห้าร้อยยี่สิบสองดวงแล้ว ทว่าจ้าวหิมะเหิน ข้าต้องบอกท่านว่า ดวงตาเหล่านี้มิอาจนำไปได้ หากสัมผัสก็ต้องถูกลงโทษ พลังอ่อนแอก็ต้องถูกอานุภาพที่เปล่งออกมาจากดวงตากดดันจนตาย!”

“มิทราบว่าจะสามารถขายรายงานของเกาะลอยคว้างที่บันทึกเกี่ยวกับ ‘ดวงตา’ นี้เอาไว้ให้ข้าได้หรือไม่” แม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะรู้ดีว่าคำขอนี้ออกจะเกินเลยไปบ้าง แต่ก็ยังคงวิงวอน

รายงานของเกาะลอยคว้าง…

ไม่ว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญดินแดนจิตโลกาหรือว่าเผ่าชนพื้นเมือง ก็ล้วนแต่เป็นรายงานสำคัญที่สุดของที่สุด!

ล้วนแต่เกิดจากบรรพชนใช้ชีวิตเพื่อแลกมา! เมื่อมองอย่างผิวเผินแล้ว สภาพแวดล้อมอันตรายต่างๆ เหมือนจะธรรมดาทั่วไปมาก เมื่อถึงคราวลำบากจริงๆ จึงได้ล่วงรู้ สั่งสมกันมายุคแล้วยุคเล่า! โลกชนพื้นเมืองแห่งต่างๆ ก็อาจจะมีการแลกเปลี่ยนซื้อขายรายงานซึ่งกันและกันบ้าง รายงานโดยละเอียดของเกาะลอยคว้างแต่ละแห่งล้วนล้ำค่ามาก มิอาจมอบให้อีกฝ่ายได้ง่ายๆ

“จ้าวหิมะเหิน ท่านมีบุญคุณใหญ่หลวงต่อเผ่าเซวี่ยเหยียนเรา” เซวี่ยเหยียนจี้มองตงป๋อเสวี่ยอิง บรรดาผู้แกร่งกล้าระดับยอดคนอื่นๆ ของเผ่าเซวี่ยเหยียนที่อยู่ด้านหลังเซวี่ยเหยียนจี้มองสบตากันไปมา แล้วถ่ายเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างเงียบเชียบ

“ในเมื่อท่านอยากได้รายงาน เผ่าเซวี่ยเหยียนเราก็สามารถมอบให้ท่านได้” ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้กล่าว หากเวลาที่เผ่าเซวี่ยเหยียนแข็งแกร่ง ก็ยากนักที่จะร้องขอรายงานระดับนี้ แต่บัดนี้เผ่าเซวี่ยเหยียนเหลือเพียงพวกเขากลุ่มนี้เท่านั้น เซวี่ยเหยียนจี้ก็เป็นผู้นำเผ่าเซวี่ยเหยียนในตอนนี้ด้วย! ก่อนหน้านี้ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ช่วยเหลือพวกเขาเอาไว้อย่างมากมายจริงๆ

หากมิใช่เพราะตงป๋อเสวี่ยอิง พวกเขาอาจจะต้องสิ้นเผ่าพันธุ์กันแต่เพียงเท่านี้!

นอกจากนี้เผ่าชนพื้นเมืองก็ยังแบ่งออกเป็นอีกหลายเผ่าย่อย เดิมที ‘เผ่าเซวี่ยเหยียน’ ก็แบ่งแยกบุญคุณความแค้นชัดเจนอยู่แล้ว! หากพบคนที่แอบเห็นแก่ตัว พวกตงป๋อเสวี่ยอิงก็คงไม่ได้รับรายงานมาง่ายๆ เช่นนี้แล้ว

“ทว่าข้าต้องพูดให้ชัดเจนเสียก่อน” ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้กล่าว “ตลอดคืนวันอันยาวนานมาจนบัดนี้ แม้เผ่าเราจะทราบว่ามีเกาะลอยคว้างห้าร้อยยี่สิบสองแห่งที่มีดวงตาอันน่าหวาดหวั่นเช่นนี้อยู่! แต่เผ่าเซวี่ยเหยียนเราก็มิได้สำรวจเกาะลอยคว้างแต่ละแห่งอย่างสุดกำลังด้วยความโง่งม อย่างผลวิญญาณทิพย์บนเกาะเมื่อครู่สำคัญต่อเผ่าเซวี่ยเหยียนเราเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นจึงได้สำรวจครั้งแล้วครั้งเล่า จึงได้ล่วงรู้อย่างชัดเจนถึงเพียงนั้น แต่ในบรรดาเกาะลอยคว้างทั้งห้าร้อยยี่สิบสองแห่งนี้ เผ่าเรามีรายงานโดยละเอียดจริงๆ แค่สิบแปดแห่งเท่านั้น! และยังมีที่ค่อนข้างละเอียดอีกแปดสิบเก้าแห่ง ที่เหลือก็มีแค่คร่าวๆ เท่านั้น”

“เพียงพอแล้วล่ะ แค่ท่านชายช่วยข้าได้ ข้าก็ซาบซึ้งใจมากแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว

“ฮ่าฮ่า…จ้าวหิมะเหินไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้หรอก หากมิใช่เพราะท่าน เกรงว่าเผ่าเซวี่ยเหยียนเราก็คงมิอาจรอดพ้นจากหายนะครั้งนี้ได้” ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้กล่าว เขาพูดพลางพลิกมือแล้วหยิบม้วนสาส์นฉบับหนึ่งออกมามอบให้ตงป๋อเสวี่ยอิง

ตงป๋อเสวี่ยอิงรับไป

เมื่อเขาใช้สติรับรู้สสำรวจดู ข้อมูลจำนวนมากก็โหมซัดเข้าสู่ห้วงสมองอย่างรวดเร็ว

“เดิมทียังคิดว่าจะเชิญพวกจ้าวหิมะเหินไปเป็นแขกของโลกเซวี่ยเหยียนเรา เพียงแต่บัดนี้พวกเราก็หนีเอาชีวิตรอดอย่างน่าอนาถอยู่ภายนอก รอให้เผ่าเราแย่งชิงโลกเซวี่ยเหยียนกลับมาได้เสียก่อน ข้าก็จะส่งเทวทูตมุ่งหน้าไปยังดินแดนจิตโลกาเพื่อเชื้อเชิญท่าน” ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้กล่าว

“ข้าอาศัยอยู่ที่เมืองหิมะเหินแห่งรัฐเมฆทักษิณา! ข้าจะรอท่านชายมาเชิญพวกข้าไป” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ ยามนี้เขารู้สึกซาบซึ้งใจต่อเซวี่ยเหยียนจี้มาก ก่อนหน้านี้เมื่ออีกฝ่ายขอความช่วยเหลือ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รู้สึกเพียงว่าจะอยู่เป็นเพื่อนสักตั้งหนึ่งเท่านั้น ต่อให้ร่างแยกร่างหนึ่งของตนต้องสูญเสียไปก็เป็นแค่เรื่องเล็กน้อย ดังนั้นจึงได้ช่วยเหลืออย่างไม่ลังเลเลย บัดนี้กลับได้รับรายงานอันล้ำค่ามาเสียนี่!

เขาช่วยเหลือไปตามเรื่องตามราวเท่านั้นเอง แต่กลับได้รับการตอบแทนเช่นนี้

ทีใครทีมันก็เป็นเช่นนี้เอง!

หากตงป๋อเสวี่ยอิงมีจิตคิดร้าย มองดูกองกำลังชนพื้นเมืองห้ำหั่นกับจักรพรรดิอย่างเย็นชาโดยไม่สอดมือเข้าช่วย หรือคิดว่ากองกำลังชนพื้นเมืองเช่นนั้นจะสามารถถ่วงเวลาออกไปได้นานขึ้น! เกรงว่าก็คงจะมิได้รับประโยชน์เช่นนี้แล้ว

……

สองฝ่ายร่ำลากัน

รอจนกองกำลังเผ่าเซวี่ยจากไปจนลับตาแล้ว จอมกระบี่จึงเอ่ยขึ้นว่า “เสวี่ยอิง เจ้าบอกว่าดวงตาสีเทาบนยอดของผลวิญญาณทิพย์หรือ”

“ข้ามิได้อยู่ต่อเพื่อช่วยเหลือพวกท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้หรอกหรือ จึงได้เห็นดวงตาสีเทานั่นเข้า” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “ดวงตานั้นเร้นลับเหลือประมาณ มีประโยชน์ต่อการบำเพ็ญของข้า บุกฝ่าเกาะลอยคว้างแห่งนี้แล้ว ต่อไปพวกเราจะไปที่ไหนกันดี”

“ฮ่าฮ่า พี่ใหญ่หิมะเหิน อยากจะไปยังเกาะลอยคว้างห้าร้อยยี่สิบสองแห่งที่มีดวงตาอันเร้นลับนั่นใช่หรือไม่” บรรพชนแมลงพูดยิ้มๆ

ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม “บุกฝ่าไปแห่งหนึ่งแล้ว หากพูดกันจริงๆ ก็ยังเหลืออีกห้าร้อยยี่สิบเอ็ดแห่ง”

“พวกเราไม่มีเป้าหมายที่แน่นอนอยู่แล้ว” จอมกระบี่พยักหน้า “มายังเกาะลอยคว้างก็เพื่อเคี่ยวกรำตนเอง เพื่อโอกาส ในเมื่อเจ้ารู้สึกว่าดวงตาอันเร้นลับเหล่านี้มีประโยชน์ต่อเจ้า พวกเราก็ไปยังเกาะลอยคว้างเหล่านี้กันเถิด นอกจากนี้ เมื่อมีรายงานที่พวกท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้มอบให้ พวกเราก็สบายขึ้นมากทีเดียว”

แม้รัฐโบราณคิมหันตวายุจะมีรายงานโดยละเอียดของเกาะลอยคว้างบางแห่ง

แต่สถานที่ระดับนั้น ก็ถูกพวกจักรพรรดิเซี่ยและบรรพชนฝานสำรวจมาก่อนแล้ว!

แต่เกาะลอยคว้างหลายแห่งที่เผ่าเซวี่ยเหยียนมอบรายงานให้ รัฐโบราณคิมหันตวายุกลับไม่เคยสำรวจอย่างลึกซึ้งมาก่อน

“ต้องขอบคุณแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “เช่นนั้นพวกเราก็ไล่ไปตามความอันตรายของเกาะลอยคว้างก็แล้วกัน หากอันตรายค่อนข้างต่ำ และมีรายงานละเอียด พวกเราก็ไปสำรวจกันก่อน”

บรรพชนแมลงพยักหน้า

“ตามใจเจ้าเลย” จอมกระบี่ก็โพล่งออกมา

……

จากนั้นพวกตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งสามคนก็เริ่มสำรวจเกาะลอยคว้างแห่งแล้วแห่งเล่าตามรายงาน

รายงานละเอียดพอ

อันตรายค่อนข้างต่ำ ก็สำรวจก่อน!

เนื่องจากรายงานที่เผ่าเซวี่ยเหยียนมอบให้เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณนั้น มีหลายแห่งที่ผู้แกร่งกล้าแห่งดินแดนจิตโลกาไม่เคยสำรวจอย่างลึกซึ้งมาก่อน!

เกาะลอยคว้างพิสดารยิ่งนัก อย่าง ‘ดวงตาสีเทา’ นั้นมีประโยชน์ต่อวิถีเขตลวงโลกเทียมของตงป๋อเสวี่ยอิง และมีภาพอันพิสดารที่มีประโยชน์ต่อจอมกระบี่เช่นเดียวกัน!

ภูเขาสูงสีแดงโลหิตแห่งหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่บนเกาะลอยคว้าง แผ่อานุภาพทำลายล้างที่ชวนให้ผู้คนคนใจสะท้านออกมา จอมกระบี่มองดูด้วยความลุ่มหลง…จากภูเขาสูงแห่งนี้ จอมกระบี่ก็มองเห็นทิศทางที่เขาจะมุ่งหน้าไป

……

“เด็กดี ผลไผ่แดงมากมายถึงเพียงนี้!”

ผลไม้สีแดงกองหนึ่งสะบัดพลิ้ว กลิ่นหอมยั่วยวนใจคนแผ่กำจายออกมา แมลงจำนวนมากถาโถมขึ้นไป แล้วห่อหุ้มเอาผลไม้ทั้งหมดไป ขณะเดียวกันก็เอ่ยขึ้นว่า “พี่ใหญ่หิมะเหิน พี่กระบี่ปีศาจ ผลไผ่แดงนี่มีประโยชน์มหาศาลต่อเหล่าแมลง ข้าขอทั้งหมดเลยก็แล้วกัน”

“ได้สิ เป็นของเจ้าทั้งหมด” ตงป๋อเสวี่ยอิงและจอมกระบี่ต่างก็พูดยิ้มๆ มีประโยชน์มหาศาลต่อเหล่าแมลง แต่ก็ไม่มีประโยชน์อันใดสำหรับพวกเขาสองคน อย่างมากก็แค่ใช้แลกเป็นสมบัติล้ำค่ามาก็เท่านั้นเอง

……

“เก่งกาจยิ่งนัก”

เหนือสายน้ำอันมืดมิดที่โหมซัด ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิอยู่ สายน้ำโลดแล่นไป

สายน้ำเชื่อมกันเป็นวง ไหลไปวงหนึ่งเป็นระยะทางราวแสนล้านลี้

ตงป๋อเสวี่ยอิงสัมผัสได้ถึงการหมุนเวียนของวิถีอากาศในระดับสูงยิ่งกว่านั้น นั่นคือการใช้งานพิเศษในระดับคละถิ่นชนิดหนึ่ง

“เสวี่ยอิง รีบไปเร็วเข้า เผ่ามรณะทมิฬมาแล้ว”

“พี่ใหญ่หิมะเหิน ไปกันเถิด”

บรรพชนแมลงและจอมกระบี่ถ่ายเสียงทันที

“ไปๆๆ”

เหนือสายน้ำอันมืดมิด ตงป๋อเสวี่ยอิงที่สัมผัสรับรู้อยู่นานแสนนานก็รีบทะยานหนีไปพร้อมกับบรรพชนแมลงและจอมกระบี่ทันที

******

เวลาล่วงเลยไป

พวกตงป๋อเสวี่ยอิงสำรวจเกาะลอยคว้างแห่งแล้วแห่งเล่าอย่างเต็มที่ เนื่องจากเกาะที่พวกเขาเลือกล้วนแต่มีรายงานที่ค่อนข้างละเอียด ระดับความอันตรายค่อนข้างเบา บวกกับกระบวนท่าเขตลวงของตงป๋อเสวี่ยอิงที่สามารถกวาดล้าง ‘ระดับอ๋อง’ ได้ สำหรับ ’จักรพรรดิ‘ เผ่ามรณะทมิฬก็มีผลกระทบ พลังรบของจอมกระบี่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง วิธีการก็สมบูรณ์แบบมาก แมลงจำนวนนับไม่ถ้วนของบรรพชนแมลงสำรวจทุกทิศทุกทาเอาไว้แต่เนิ่นๆ…

พวกเขาสำรวจเกาะลอยคว้างสำเร็จถึงสามสิบสองแห่งต่อเนื่องกัน ผลประโยชน์ที่ได้มีทั้งมากและน้อย สมบัติล้ำค่าที่มีส่วนช่วยในการบำเพ็ญนั้น พวกเขาก็เก็บไว้ก่อน ลำพังแค่สมบัติล้ำค่ารวมกัน ก็เพียงพอจะทำให้สิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูอิจฉาตาร้อนได้แล้ว

แน่นอนว่า ท้ายที่สุดพวกเขาสามคนก็ต้องแยกจากกัน

ในบรรดาพวกเขาสามคน ตงป๋อเสวี่ยอิงและจอมกระบี่ให้ความสำคัญกับการบำเพ็ญมากกว่า ส่วนบรรพชนแมลงกลับสนใจสมบัติล้ำค่ามากกว่า

“ประหลาดนัก”

เกาะลอยคว้างสามสิบสองแห่งที่พวกเขาสำรวจในภายหลัง เนื่องจากทำตามรายงานทั้งหมด เกาะลอยคว้างแต่ละแห่งก็ย่อมพบดวงตาอันเร้นลับนั้นเป็นธรรมดา

โครงสร้างของดวงตาแต่ละดวง ภายใต้การสำรวจของตงป๋อเสวี่ยอิง ก็สามารถมองทะลุโครงสร้างลึกที่สุดได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ทำเอาเขาจมจ่อมไปหมด

“ทว่าดวงตาอันเร้นลับสามสิบสามดวงที่ข้าพบในตอนนี้ มียี่สิบห้าดวงที่เป็นดวงตาสีเทา มีแปดดวงที่เป็นดวงตาสีทอง ดวงตาสีเทาเป็นโครงสร้างของเขตลวงชนิดหนึ่ง ส่วนดวงตาสีทองกลับเป็นเขตลวงอีกชนิดหนึ่ง”

“เขตลวงของดวงตาสีเทาน่าจะดึงดูดศัตรู ทำให้ศัตรูลุ่มหลงและติดกับ ส่วนดวงตาสีทองกลับสังหารในเขตลวงทันที”

ตงป๋อเสวี่ยอิงจดจำโครงสร้างภายในดวงตาแต่ละดวงเอาไว้ ในฐานะผู้บำเพ็ญที่ยืนอยู่ในระดับยอดสุดทางด้านวิถีเขตลวงโลกเทียมของโลกกำเนิด เขาก็ย่อมวิเคราะห์ออกมาได้เป็นธรรมดา! แม้แต่เจ้าของเดิมของ ‘ดวงตาสีเทา’ และ ‘ดวงตาสีทอง’…สิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่น่าหวาดหวั่นอย่างยิ่งแต่ละตัวเหล่านั้น ก็ทำได้เพียงสำแดงกระบวนท่าโดยกำเนิดออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบเท่านั้น ส่วนความพิสดารของกระบวนท่านี้ กลับไม่เข้าใจเลย

เมื่อเข้าไปในเกาะลอยคว้างแห่งแล้วแห่งเล่า และมองดูดวงตาเหล่านั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ได้ส่งร่างแยกออกไปสัมผัสหลายต่อหลายครั้ง

แต่ละครั้งที่สัมผัส ร่างแยกก็ล้วนแต่ถูกกดดันจนแตกสลายไป แต่กลับสัมผัสรับรู้ได้ถึงสิ่งมีชีวิตคละถิ่นอันน่าหวาดหวั่นนั้นรางๆ

…………………………………

เมื่อร่างแยกร่างนี้ของตงป๋อเสวี่ยอิงถูกทำลายไป ร่างแยกอีกร่างหนึ่งกลับแทรกซึมเข้าไปในตำหนักผู้อาวุโสอย่างเงียบเชียบ

ต้องรู้ไว้ว่าเมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงตัดสินใจจะช่วยเหลือกองกำลังชนพื้นเมือง เขาก็ได้ทิ้งร่างแยกเอาไว้หลายร่าง แน่นอนว่ามีร่างแยกที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งอยู่เพียงร่างเดียวเท่านั้น

“ดวงตาสีเทาคู่นี้” ร่างแยกของตงป๋อเสวี่ยอิงร่างนี้กะพริบวาบคราหนึ่งแล้วก็มาถึงตรงหน้าต้นไม้ผลแปลกพิสดารต้นนั้น แม้ดวงตาสีเทาบนยอดต้นไม้ผลแปลกพิสดารคู่นั้นจะยังคงมีอานุภาพกดดันทั่วทั้งตำหนักผู้อาวุโสแผ่กำจายออกมา แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังคงเอื้อมมือขึ้นไปอย่างไม่ลังเล แต่ชั่วขณะที่มือของเขาปะทะเข้ากับดวงตาสีเทาคู่นั้นนั่นเอง…

“ตู้ม!”

ท่ามกลางความเลือนราง

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเห็นสิ่งมีชีวิตร่างมหึมาสูงตระหง่านหาใดเปรียบตนหนึ่ง มันใหญ่โตมโหฬาร ใหญ่กว่าที่ตงป๋อเสวี่ยอิงจินตนาการเอาไว้ ลำพังแค่รูปร่างของมันอย่างเดียวก็ใหญ่โตกว่าโลกทิพย์ใบหนึ่งมากมายยิ่งนัก

ถึงขั้นไม่สามารถใช้เรื่องขนาดเพียงอย่างเดียวมาเข้าใจสิ่งมีชีวิตพรรค์นี้ได้ การดำรงอยู่ของมัน เหมือนกับตัวมันเองแฝงไว้ด้วยกฎเกณฑ์มากมายยิ่งนัก บนร่างของมันมีมิติแปลกประหลาดมากมายหลายชั้นยิ่งนัก ราวกับอยู่ในทั้งอดีต ปัจจุบันและอนาคต นี่เป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดหวั่นอย่างยิ่ง! น่าหวาดหวั่นกว่า ‘ลูกมังกรหมื่นสัมผัส’ ที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเคยพบมามากมายยิ่งนัก

หากลูกมังกรหมื่นสัมผัสนับว่าเป็นมดตัวน้อย เช่นนั้นเงาร่างสูงตระหง่านที่เห็นในตอนนี้ก็เหมือนกับมังกรตัวเขื่องซึ่งสูงใหญ่กว่าสวรรค์เก้าชั้นเสียอีก!

“มันคือ…” ตงป๋อเสวี่ยอิงพอมองเห็นได้บ้าง ว่านี่คือสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดที่มีหลายสิบอุ้งเท้า เหนือร่างกายของมันกลับมีดวงตาดวงแล้วดวงเล่าอยู่แน่นขนัดไปหมด ดวงตามากมายยิ่งนัก

“ตู้ม!”

ชั่วขณะที่นิ้วมือปะทะเข้ากับดวงตาสีเทานั้น ก็มองเห็นสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดหวั่นนั้นได้อย่างเลือนราง

จากนั้นอานุภาพที่น่าหวาดหวั่นอย่างยิ่งสายหนึ่งก็ปะทะเข้ากับร่าง การปะทะระลอกนี้ น่าหวาดหวั่นกว่าการโจมตีด้วยความโกรธเกรี้ยวของ ’จักรพรรดิ‘ เสียอีก ร่างแยกของตงป๋อเสวี่ยอิงร่างนี้สลายหายไปอย่างไร้สุ้มเสียงเสียแล้ว

“เฮอะ”

‘จักรพรรดิ’ ยักษ์ร่างดำทะมึนที่ปรากฏกายขึ้นตรงประตูตำหนักผู้อาวุโสแค่นเสียงเฮอะอย่างเย็นชาคราหนึ่ง “ช่างโง่เง่าเสียจริง กล้าไปปะทะเสียด้วย หากเป็นชนพื้นเมืองคงจะไม่โง่เง่าเช่นนี้เป็นแน่”

แม้จักรพรรดิจะไม่เชี่ยวชาญกระบวนท่าทางด้านบริเวณอันแข็งแกร่งสักเท่าใดนัก แต่เขาอยู่ในเกาะลอยคว้างก็ยังคงเหมือนปลากระดี่ได้น้ำ พละกำลังอันไร้รูปร่างปกคลุมทั่วทั้งดินแดนชนเผ่าตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว! เขาพบร่างแยกของตงป๋อเสวี่ยอิงหลายร่างแล้ว

สวบๆๆ!!!

แม้จะพบแล้ว แต่ก็ยังคงเคลื่อนที่ในพริบตาครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อทำลายร่างแยกเหล่านี้ของตงป๋อเสวี่ยอิงให้สิ้นซากไป

หลังจากสังหารจนหมดแล้ว

จักรพรรดิยังคงรู้สึกเดือดดาล สูญเสียผู้ใต้บังคับบัญชาไปบ้างเขาก็ไม่แยแส สิ่งที่เขาสนใจมากที่สุดก็ยังคงเป็นความแข็งแกร่งของตนเอง ตามปกติแล้วผลวิญญาณทิพย์เป็นเขาเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ครอบครอง ครั้งนี้ ถูกแย่งชิงไปผลหนึ่งที่เหลืออยู่ก็เป็นผลที่ยังไม่สุกดี สำหรับคนระดับอย่างเขาก็ไร้ประโยชน์แล้ว

“ครั้งนี้เผ่าเซวี่ยเหยียนนี่มิใช่แค่พาผู้แกร่งกล้าพวกนั้นเข้ามาด้วยตั้งหลายคนเท่านั้น ทั้งยังพกสมบัติประจำเผ่ามาด้วย ท้ายที่สุดยังหนีรอดไปได้อีก เป็นใบไม้ทิพย์แห่งเผ่าเซวี่ยเหยียนที่ ‘ผู้วิเศษเก้าหาง’ มอบให้พวกเขากระมัง ใช้ไปเช่นนี้เองน่ะหรือ” จักรพรรดิลอบร่ำร้องในใจ ผู้วิเศษเก้าหาง เป็นถึงหนึ่งในแปดผู้วิเศษซึ่งยืนอยู่ในระดับยอดสุดในบรรดาสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับล่างซึ่งมีน้อยนิดอย่างยิ่งของหุบเขาเขี้ยวหักเลยทีเดียว

“ยังมีผู้บำเพ็ญที่ใช้กระบี่คนนั้นอีก” จักรพรรดิหายวับไปอย่างรวดเร็ว เพื่อไปไล่สังหารจอมกระบี่

******

จอมกระบี่ผู้มีเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งนั้นรอบด้านมากจริงๆ

ไม่ว่าจะเป็นการรุกโจมตี ป้องกัน รักษาชีวิตหรือหลบหนี เขาก็ล้วนเชี่ยวชาญไปเสียทุกด้าน เมื่อปะทุความเร็วออกมาอย่างสุดแรง ทั้งร่างของจอมกระบี่ก็กลายเป็นประกายกระบี่อันสะดุดตาสายหนึ่งหนีไปอย่างรวดเร็วเสียจนน่าตกใจโดยมิได้รับผลกระทบจากตงป๋อเสวี่ยอิง บรรพชนแมลงและกองกำลังชนพื้นเมืองแต่อย่างใด

เขาเดินทางไปตามเส้นทางคร่าวๆ เช่นเดียวกับตอนมา

เขาทะยานหนีไปตลอดทางโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย!

ร่างแยกหลักของตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ภายในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ที่จอมกระบี่พกติดตัวเอาไว้ เขตลวงที่สำแดงออกไปภายนอกส่งผลกระทบต่อผู้อาวุโสใหญ่ที่ตามมาอยู่ด้านหลัง! หลังจากพลังของผู้อาวุโสใหญ่ลดลงไปอย่างมากแล้ว ก็เป็นภัยคุกคามต่อจอมกระบี่น้อยมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระบวนท่านั้น ถือได้ว่าหยาบนัก

“ตู้มมม…”

ยักษ์ร่างดำทะมึนที่น่าหวาดหวั่นเดินเหยียบอากาศเข้ามา ขาข้างหนึ่งย่ำลงมา

ขาใหญ่ของเขาแผ่คลุมลงมา ใหญ่เกินไปแล้ว เพียงพริบตาเดียวจอมกระบี่ก็มิอาจหนีออกจากขอบเขตของขาอันน่าหวาดหวั่นนี้ได้ ทำได้เพียงสกัดกั้นเอาไว้เท่านั้น!

“ตู้ม….” ประกายกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนสลายไป จอมกระบี่ก็กระเด็นลอยไปอย่างน่าอนาถ ภายใต้สถานะสุดยอดของผู้อาวุโสใหญ่ จอมกระบี่ก็ไม่เคยน่าอนาถถึงเพียงนี้มาก่อน เขาถึงขั้นสามารถพัวพันกับผู้อาวุโสใหญ่ได้อย่างพอถูไถ

เมื่อเผชิญหน้ากับ ’จักรพรรดิ‘ ที่พลังลดลงไปสามส่วนแล้ว การต่อสู้ก็กลับโอนเอียงไปฝ่ายหนึ่ง! จอมกระบี่มิอาจพัวพันฝ่ายตรงข้ามได้เลย ทำได้เพียงพยายามรักษาชีวิตเอาไว้เท่านั้น

“น่าหวาดหวั่นนัก”

“เสวี่ยอิง นี่คือสิ่งที่เจ้าพูดไว้ พลังลดลงสามส่วนแล้วอย่างนั้นหรือ” จอมกระบี่ถ่ายเสียงพูดไปพลาง หลบหนีอย่างสุดกำลังไปพลางและยังรับมือกับจักรพรรดิไปพร้อมกัน

“ข้าเคยเห็นอานุภาพที่เขาปะทุออกมาอย่างสุดกำลัง ไม่แพ้ตอนที่ราชันย์อนธการอมตะสู้สุดชีวิตเลยทีเดียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ภายในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ตอบ

“ต่อให้อานุภาพลดลง อานุภาพของเขาก็ยังน่าหวาดหวั่นกว่าจักรพรรดิเซี่ยอยู่บ้าง อย่างน้อยก็แข็งแกร่งกว่าเท่าหนึ่ง! เคราะห์ดีที่กระบวนท่าหยาบกว่ามาก ข้ายังพอจะสามารถต้านทานได้ หากระดับขั้นของเขาสามารถสู้พวกจักรพรรดิเซี่ยได้ ข้าจะต้องหนีจากเกาะลอยคว้างไม่พ้นเป็นแน่” จอมกระบี่ถ่ายเสียงพูด

“อานุภาพจะแข็งแกร่งเทียมฟ้า และระดับขั้นก็สูงเสียจนเกินจริงได้อย่างไรกันเล่า แม้แต่เกาะลอยคว้างแห่งหนึ่งก็ยังน่าหวาดหวั่นถึงเพียงนี้ สำหรับผู้บำเพ็ญอย่างพวกเรา ก็มิใช่การเคี่ยวกรำแล้ว!” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูด “จอมกระบี่ ขึ้นอยู่กับท่านแล้ว หากหนีออกจากเกาะลอยคว้างมิได้ ร่างแยกของพวกเราจะเสียก็เสียไปเถิด แต่สมบัติล้ำค่า”ก็จะหมดไปด้วย

“วางใจเถิด”

จอมกระบี่ก็สู้สุดชีวิต

หากไม่มีผลกระทบจากเขตลวงของตงป๋อเสวี่ยอิง โอกาสที่จอมกระบี่จะหนีรอดออกไปได้ก็มีเพียงครึ่งต่อครึ่งเท่านั้น! บัดนี้กลับมีโอกาสถึงเก้าส่วน

เพราะถึงอย่างไรหากพูดถึงการรักษาชีวิตและหลบหนีแล้ว ในบรรดาสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรู จอมกระบี่ผู้มีเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งก็จัดอยู่ในอันดับต้นๆ แล้ว

……

ภายใต้การเร่งความเร็วอย่างสูง

ผ่านไปถึงหนึ่งชั่วยามเต็มๆ สวบ ในที่สุดประกายกระบี่สายหนึ่งก็พุ่งออกจากอาณาเขตของเกาะลอยคว้าง

“แฮ่…” ’จักรพรรดิ’ ยักษ์ร่างดำทะมึนยืนอยู่บนขอบของเกาะลอยคว้าง พลางเปล่งเสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว เขาจ้องมองประกายกระบี่ที่อยู่ไกลออกไปด้วยสายตาเย็นชาดุจน้ำแข็ง

ประกายกระบี่ที่อยู่ไกลออกไปแปรเป็นจอมกระบี่ จอมกระบี่กะพริบวาบคราหนึ่งก่อนจะเคลื่อนที่ในพริบตาจากไป

“สมควรตาย”

จักรพรรดิเดือดแค้นเป็นอันมาก

สมบัติล้ำค่าที่ผู้บำเพ็ญทั้งสามคนนี้นำไป ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เผ่ามรณะทมิฬมิได้ใส่ใจ ดังนั้นรอบบริเวณดินแดนชนเผ่า จึงมิได้ตั้งใจเก็บซ่อนเอาไว้! เพียงแต่การให้ผู้บำเพ็ญเหล่านี้ได้สมบัติล้ำค่าไป ทั้งยังหนีไปได้อย่างปลอดภัย ก็ทำให้จักรพรรดิรู้สึกอดสูใจขึ้นมา

ทว่าจักรพรรดิมิได้ไล่ตามแต่อย่างใด เพราะที่โลกภายนอก อีกฝ่ายสามารถเคลื่อนที่ในพริบตาได้อย่างง่ายดาย จนมิอาจไล่ตามได้ทัน ถึงเขาจะไม่ยอมจำนนใจ แต่ก็ทำได้เพียงกลับไปเท่านั้น

******

กลางท้องฟ้านอกเกาะลอยคว้าง

ตงป๋อเสวี่ยอิง จอมกระบี่และบรรพชนแมลงอยู่ที่นี่ พวกเขาสามคนตรวจนับสมบัติล้ำค่าอย่างเบิกบานใจ!

“ฮ่าฮ่า ครั้งนี้ได้ผลประโยชน์มามากมายจริงๆ หากสามารถสมหวังได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ทุกครั้ง ก็คงจะได้อะไรมามากมายจนน่าเหลือเชื่อแล้ว” บรรพชนแมลงอุทาน

จอมกระบี่ส่ายหน้าเบาๆ “ครั้งนี้เป็นเพราะอาวุธลับของเสวี่ยอิงร้ายกาจยิ่งนัก สามารถกวาดล้างยอดฝีมือระดับยอดของเผ่ามรณะทมิฬได้ตั้งมากมาย ขณะเดียวกันก็ปะทะเข้ากับกองกำลังชนพื้นเมือง เมื่อมีพวกเขานำทาง พวกเราก็สามารถหลบเลี่ยงสภาพแวดล้อมอันตรายต่างๆ ภายในตัวเกาะลอยคว้างได้อย่างง่ายดาย บวกกับศัตรูเหล่านั้น ก็มีชนพื้นเมืองคอยช่วยจำกัดเอาไว้! พวกเราจึงได้ผลประโยชน์มากมายถึงเพียงนี้”

“อื้ม” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า “ตามกฎเดิม ต้องส่งสิ่งที่ได้จากการรบชนะกลับไปก่อน เพื่อป้องกันมิให้เมื่อร่างแยกถูกทำลาย แล้วต้องเสียสมบัติล้ำค่าไปหมด”

“ดี”

“ฝากไว้ที่เมืองหิมะเหินก่อนก็แล้วกัน” บรรพชนแมลงและจอมกระบี่เชื่อใจตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างเต็มเปี่ยม

ฟิ้ว

รอยแยกดำทะมึนสายหนึ่งปรากฏขึ้นด้านข้าง ร่างแยกสีขาวร่างหนึ่งปรากฏขึ้น ภายในหุบเขาเขี้ยวหัก ก็มีแต่ภายในเกาะลอยคว้างเท่านั้นที่มิอาจสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกาได้ บริเวณอื่นๆ ล้วนสามารถทำได้ทั้งสิ้น

ร่างแยกร่างนี้พกสมบัติล้ำค่าเอาไว้ เขาสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกาตรงกลับไปยังเมืองหิมะเหินทันที

“จ้าวหิมะเหิน!”

ไกลออกไป เงาร่างกลุ่มหนึ่งเช่นท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ก็ปรากฏกายขึ้นจากความว่างเปล่า แล้วรีบบินเข้ามา

“เมื่อพบเสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวของจักรพรรดิแห่งเผ่ามรณะทมิฬผู้นั้นเข้า พวกเราก็รีบมาหาพวกท่านทันที หาตั้งรอบใหญ่จึงพบเข้าจนได้ พวกท่านเคลื่อนที่ในพริบตามาไกลใช้ได้ทีเดียว” ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้พูดยิ้มๆ

“เพื่อป้องกันมิให้จักรพรรดิผู้นั้นไล่ตามต่อ จึงต้องเคลื่อนที่ในพริบตามาไกลหน่อยน่ะ” จอมกระบี่กล่าว

ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้เอ่ยว่า “ครั้งนี้ติดค้างพวกท่านมากทีเดียว และติดค้างจ้าวหิมะเหินด้วย มิเช่นนั้นพวกเราจะต้องมิได้ผลวิญญาณทิพย์มาเป็นแน่ ข้าเคยพูดไว้ว่า เผ่าเซวี่ยเหยียนเราจะต้องตอบแทนท่านให้สาสม นี่คือสมบัติลับต่างๆ ของพวกท่านเหล่าผู้บำเพ็ญที่เผ่าเซวี่ยเหยียนเราได้พบมาในประวัติศาสตร์ อยู่ที่นี่ทั้งหมดแล้ว” ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้โยนที่เก็บสมบัติล้ำค่าอันหนึ่งออกมา

สมบัติลับของผู้บำเพ็ญ พวกเขาใช้งานไม่ได้

เนื่องจากสมบัติลับอันแข็งแกร่งซับซ้อนเกินไป เผ่าชนพื้นเมืองบำเพ็ญพละกำลังสายเลือดเป็นหลักเท่านั้น!

กำไลวงนั้นลอยมาตรงหน้าตน

“โอ๊ะ” หลังตงป๋อเสวี่ยอิงรับมา เขาก็ตรวจสอบดู และได้พบสมบัติลับชนิดต่างๆ มากมาย ทั้งระดับสูงและระดับต่ำ สูงสุดนั้นเป็นถึงสมบัติลับระดับยอด ซึ่งมีถึงสองชิ้นด้วยกัน

“มีสองชิ้นที่เป็นสมบัติลับระดับยอด” ตงป๋อเสวี่ยอิง จอมกระบี่และบรรพชนแมลงกล่าว

“ทั้งหมดนี่เป็นของเจ้าแล้ว เป็นเพราะเจ้า เขาจึงมอบสิ่งเหล่านี้ให้พวกเรา” จอมกระบี่เอ่ย บรรพชนแมลงก็พยักหน้า

“ถึงเวลาก็ค่อยแบ่งสรรกันก็แล้วกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับเอ่ยขึ้น ถึงระดับอย่างเขาแล้ว ก็สนใจการยกระดับของระดับขั้นเสียมากกว่า เช่นเดียวกับพวกบรรพชนฝาน เพื่อการยกระดับขั้น ก็สามารถทุ่มเทสมบัติล้ำค่ามากมายได้

เขาจัดเตรียมร่างแยกแล้วสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกาเพื่อนำสมบัติล้ำค่ากลับไปอีก

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปทางพวกท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ “ท่านชายทราบรู้จักดวงตาสีเทาบนยอกของต้นผลวิญญาณทิพย์ดวงนั้นหรือไม่”

ดวงตาสีเทาดวงนั้น จึงจะเป็นผลประโยชน์ใหญ่ที่สุดที่ตงป๋อเสวี่ยอิงได้จากบนเกาะลอยคว้าง!

แม้ชั่วขณะที่สัมผัสกับดวงตาสีเทานั้น จะพอมองเห็นสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดหวั่นอย่างยิ่งได้รางๆ แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับเข้าใจดีว่า ‘ดวงตาสีเทา’ นี้สำคัญกับเขามากเพียงใด! เขามองเห็นโครงสร้างของ ‘เขตลวง อันพิสดารชนิดหนึ่งบนดวงตาสีเทาดวงนี้! มันแปลกพิสดารเป็นอย่างมาก

อันที่จริงแล้ว

เมื่อทอดสายตามองไปทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา เกรงว่าคงจะมีเพียงตงป๋อเสวี่ยอิงเท่านั้นที่เมื่อมองเห็นดวงตาสีเทาดวงนี้ แล้วสามารถมองโครงสร้างเขตลวงของดวงตาสีเทาให้เข้าใจได้

หากระดับขั้นไม่เพียงพอ ต่อให้สมบัติล้ำค่าอยู่ตรงหน้าก็คงไม่เข้าใจ

ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ในขั้นตอนห้าสายหลอมรวมกันแล้ว เขาถึงขั้นมองเห็นทิศทางของ ‘วิถีเขตลวงโลกเทียม’ แล้ว ต่อให้ไม่มีแรงช่วยจากภายนอก หลังผ่านไปนานแสนนาน ก็มีหวังบรรลุถึงขั้นสุดยอดได้อยู่ดี! ผลสำเร็จทางด้านนี้ของเขา เรียกได้ว่าจัดอยู่ในระดับยอดสุดของ ‘วิถีเขตลวงโลกเทียม’ ในโลกกำเนิดจำนวนนับไม่ถ้วนแล้ว การสั่งสมเช่นนี้ ห่างจากขั้นสุดยอดเพียงแค่เยื่อบางๆ กั้นไว้เท่านั้น

ดังนั้นเมื่อมองเห็นดวงตาสีเทาดวงนี้ แม้จะมีการรบกวนจากโครงสร้างอันซับซ้อนจำนวนนับไม่ถ้วนของดวงตาสีเทาเอง เขาก็ยังคงพบส่วน ‘โครงสร้างเขตลวง’ ในนั้นได้อยู่ดี!

โครงสร้างเขตลวงนี้ถึงขั้นบกพร่องอยู่บ้าง!

อย่างพวกบรรพชนฝาน หากสั่งสมไม่เพียงพอก็มองไม่ออก

“โครงสร้างเขตลวงภายในดวงตาสีเทาดวงนี้นั้นบกพร่อง คงจะต้องใช้ดวงตาอื่นๆ มาประกอบกันจึงจะสามารถสำแดงออกมาได้!” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ เขาบำเพ็ญมาจนถึงขั้นนี้ แม้แต่ผู้แกร่งกล้าคละถิ่นระดับยอดสุดอย่างหยวนและเจ้าเมืองหลัวก็มิอาจชี้แนะได้ ทว่าสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดบางท่าน เกิดมาร่างกายก็มีกฎเกณฑ์อันสูงส่งต่างๆ แฝงอยู่มากมายอยู่แล้ว

บนดวงตาสีเทาดวงนี้ แฝงไว้ด้วยเขตลวงระดับคละถิ่น

แม้สิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่น่าหวาดหวั่นตนนั้นจะมิได้รับรู้ขึ้นมาด้วยตนเอง หากแต่สามารถสำแดงออกมาได้เองโดยกำเนิดอยู่แล้ว! แต่เมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงรับรู้มัน ก็ยังคงสามารถชี้แนะเขาได้อย่างมหาศาล

หากกล่าวว่าให้เขาค่อยๆ บำเพ็ญไป การทำให้ห้าสายหลอมรวมกันก็อาจต้องใช้เวลายาวนานมาก แต่หาก ‘โครงสร้างเขตลวง’ อันสมบูรณ์แบบนี้ทำให้เขารับรู้ อาจจะทำให้เขาประหยัดเวลาที่จะบรรลุถึงขั้นสุดยอดได้อย่างมากมาย

“สิ่งมีชีวิตขนาดมหึมาอันน่าเหลือเชื่อที่ข้ามองเห็นได้รางๆ นั้น เหมือนจะตายไปแล้วหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ “ดวงตาสีเทานั่นก็ไม่มีชีวิตชีวาอันใด แต่ต่อให้ตายไปแล้ว ก็ยังคงมีอานุภาพหลงเหลืออยู่ เมื่อข้าจะสัมผัสก็ล้างสังหารร่างแยกร่างหนึ่งของข้าไปได้อย่างง่ายดาย ช่างน่าหวาดหวั่นเกินไปแล้ว ในตำนานกล่าวไว้ว่า…ภายในหุบเขาเขี้ยวหักมีซากศพของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่น่าหวาดหวั่นที่เคยทำให้หยวนบาดเจ็บสาหัสได้อยู่ด้วย”

ภายในหุบเขาเขี้ยวหัก แม้จะมีสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับล่างอาศัยอยู่ ทว่าก็ล้วนแต่อ่อนแอมาก จนหยวนไม่เห็นอยู่ในสายตาเลย

ผู้ที่น่าหวาดหวั่นมากอย่างแท้จริง อยู่ภายในหุบเขาเขี้ยวหักก็มีแต่โครงกระดูกเท่านั้น

“ดวงตาสีเทาหรือ” ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ตกตะลึง “รู้สิ ต้องรู้อยู่แล้ว เท่าที่ข้ารู้ ภายในเกาะลอยคว้างทั้งหลาย มีเกาะลอยคว้างตั้งหลายแห่งที่มีดวงตาอันน่าหวาดหวั่นพรรค์นี้อยู่ ตามที่เล่าลือกันมา เป็นสิ่งที่หลงเหลือจากซากศพของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นอันน่าหวาดหวั่นที่หยวนโยนทิ้งไว้ อานุภาพน่าหวาดหวั่นยิ่งนัก มิอาจแตะต้องได้”

……………………………..

ดวงตาสีเทาบนยอดต้นไม้ผลแปลกพิสดารต้นนี้ มีอานุภาพกดดันเช่นเดียวกับล้านล้านปีที่แล้วมา มันปลดปล่อยออกมาตลอดเวลา โครงสร้างภายในดวงตาคู่นี้ยิ่งพิสดารเป็นอย่างมาก บัดนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นมีระดับขั้นใดกัน ต่อให้เป็นฝุ่นผง ภายใต้สายตาของเขา ก็ล้วนกลายเป็นผืนดินมหึมาแห่งหนึ่งได้ สามารถเฝ้าดูโครงสร้างอันลึกซึ้งอย่างยิ่งของฝุ่นสีเทาได้ ก็สามารถเฝ้าดูการปรากฏของการหมุนเวียนกฎเกณฑ์บนวัตถุของโลกกำเนิดได้เช่นเดียวกัน

แต่ในยามนี้!

ขณะเดียวกับที่ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูดวงตาสีเทาคู่นี้ ก็อดเผยสีหน้าแตกตื่นออกมามิได้ เขามองดูดวงตาสีเทาคู่นี้โดยละเอียดอย่างมิอาจควบคุมได้

ในสายตาของเขา ดวงตาสีเทาขยายใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้น และใหญ่ขึ้นอีกอย่างรวดเร็ว…

ไร้ที่สิ้นสุด!

โครงสร้างของดวงตาสีเทานี้ เดิมทีก็เร้นลับมากถึงเพียงนั้นอยู่แล้ว!

อย่างกายหยาบของตงป๋อเสวี่ยอิงที่เทียบเท่ากับกายหยาบของ ‘เทพจักรวาลขั้นสุดยอดทางสายฝึกกาย’ นั้น ก็แฝงไว้ด้วยจุดที่น่าเหลือเชื่อต่างๆ เลือดแต่ละหยด แต่ละอณูล้วนแฝงไว้ด้วยความพิสดารเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุผลอย่างเดียวกัน ‘ดวงตาสีเทา’ คู่นี้จึงพิสดารกว่ากายหยาบของตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นอันมาก!

“งดงามเกินไปแล้ว”

“ขั้นสุดของความงาม”

ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำเสียงต่ำ เขามองดูดวงตาสีเทาคู่นี้ด้วยความลุ่มหลง

“จ้าวหิมะเหิน พวกเราเตรียมจะจากไปแล้ว ท่านจะให้พวกเราพาท่านจากไปพร้อมกันด้วยหรือไม่” ทันใดนั้น เสียงหนึ่งก็ดังก้องขึ้นในห้วงสมอง

ตงป๋อเสวี่ยอิงเหลือบมองท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ซึ่งกำลังห้ำหั่นกับ ‘จักรพรรดิ’ แห่งเผ่ามรณะทมิฬอยู่ไกลออกไป

“จากไปรึ ท่านมั่นใจหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงด้วยความตกตะลึง จะออกจากดินแดนชนเผ่าแล้วหนีออกไปนอกขอบเขตของทั้งเกาะลอยคว้างก็ยังต้องใช้เวลาอยู่บ้าง

“พวกเรามีวิธีของพวกเราเอง” ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ถ่ายเสียงพูด “พวกเราจะเคลื่อนไหวแล้ว ท่านจะไปด้วยหรือไม่”

“มิต้องสนใจข้าหรอก นี่เป็นเพียงหนึ่งในร่างแยกจำนวนมากของข้าเท่านั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูด เขาพูดอย่างเรียบเฉยมาก ร่างแยกมีตั้งมากมาย เขาไม่สนใจสักนิดว่าร่างแยกเหล่านี้จะสลายไปหรือไม่! นอกจากนี้เขาก็ยังต้องชมดูดวงตาสีเทาคู่นั้นให้ดีอีกด้วย

ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ถ่ายเสียงพูดว่า “บุญคุณครั้งใหญ่ของจ้าวหิมะเหินในครั้งนี้ เผ่าเซวี่ยเหยียนของเราะจะต้องตอบแทนอย่างแน่นอน พวกเราค่อยพบกันนอกเกาะลอยคว้างแห่งนี้ก็แล้วกัน”

“ได้สิ ไว้พบกันนอกเกาะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงรับคำ

ขณะเดียวกันตงป๋อเสวี่ยอิงก็อยากรู้อยากเห็นมาก

กองกำลังชนพื้นเมืองนี้กำลังพยายามพุ่งไปทางต้นไม้ผลแปลกพิสดารต้นนั้นอย่างสุดชีวิต ส่วน ’จักรพรรดิ‘ แห่งเผ่ามรณะทมิฬผู้นั้นก็ขัดขวางไม่หยุด ขณะเดียวกันก็โจมตีอย่างโกรธแค้นไปที่ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ผู้นั้นเป็นหลัก

“ตู้ม ตู้ม ตู้ม…” ทุกท่วงท่าของยักษ์ร่างดำทะมึนล้วนแฝงไว้ด้วยอานุภาพอันน่าเหลือเชื่อ เพียงแต่กระบวนท่าของเขาเรียบง่ายและตรงไปตรงมาเกินไป เมื่อท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้รับมือ ก็แค่ต้านรับอย่างทื่อๆ ครั้งแล้วครั้งเล่าเท่านั้น! เคราะห์ดีที่มีเขตลวงของตงป๋อเสวี่ยอิงปะทุออกมาอย่างสุดกำลัง ทำให้พลังของ ’จักรพรรดิ‘ ผู้นั้นเหลือเพียงเจ็ดส่วนของก่อนหน้านี้เท่านั้น ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้จึงสามารถต้านทานต่อไปได้

“ต้านทานได้เก่งจริงๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบสีหน้าเปลี่ยนแปรไป

ตอนที่อานุภาพของยักษ์ร่างดำทะมึนยังมิได้อ่อนกำลังลงนั้น ก็เพียงพอจะเทียบได้กับพลังของ ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ ในตอนที่ปะทุออกมาเพื่อโจมตีเมืองหิมะเหินอย่างสุดชีวิตในตอนนั้น ต้องรู้ไว้ว่า ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ ก็มิอาจคงสภาพน่าหวาดหวั่นเอาไว้ได้เป็นเวลานาน หากทั้งสองฝ่ายประจันหน้ากัน…เมื่อราชันย์อนธการอมตะปะทุออกมา ก็สามารถครองความได้เปรียบในระยะเวลาสั้นๆ ได้

แต่เมื่อเวลานานเช้า หากราชันย์อนธการอมตะไม่สามารถคงสภาพที่แข็งแกร่งที่สุดเอาไว้ได้ ก็ต้องถูก ’จักรพรรดิ‘ ผู้นี้กดดันฝ่ายเดียวแล้ว แน่นอนว่าราชันย์อนธการอมตะสามารถป้องกันตนเองได้อย่างไร้ปัญหา

“ภายในหุบเขาเขี้ยวหักอันกว้างใหญ่ไพศาล นี่เป็นเพียงเกาะลอยคว้างที่แสนจะธรรมดาแห่งหนึ่งเท่านั้น แต่ก็แข็งแกร่งถึงเพียงนี้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบอ้าปากค้าง

แม้ทางฝ่ายผู้บำเพ็ญจะมีกระบวนท่าพิสดาร เมื่ออานุภาพค่อนข้างอ่อนแอก็สามารถรักษาชีวิตได้

แต่หนึ่งแรงก็มิอาจสู้พลังอันยิ่งใหญ่ได้!

เมื่ออานุภาพแตกต่างกันถึงระดับหนึ่ง ก็ต้องถูกกวาดล้างไปเช่นกัน

“ว่ากันว่าเผ่าชนพื้นเมืองมีสายเลือดของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นอยู่ กายหยาบแข็งแกร่งเสียจนเกินจริง ส่วนท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ผู้นี้ กายหยาบน่าหวาดหวั่นยิ่งกว่าเสียอีก” ตงป๋อเสวี่ยอิงวิเคราะห์

เขาจับตามองอยู่ครู่หนึ่ง

แล้วก็มองดูดวงตาสีเทาคู่นั้นโดยละเอียดต่อไป เขาขัดเกลาไปพลาง จมดิ่งอยู่ในนั้นไปพลาง บนใบหน้าถึงขั้นเผยรอยยิ้มสายหนึ่งออกมาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว

……

ยามนี้ ’จักรพรรดิ‘ ผู้นั้นโกรธแค้นมาก โกรธแค้นเสียจนอยากจะลงมือกับตงป๋อเสวี่ยอิง

เนื่องจากเพราะผู้บำเพ็ญที่สมควรตายคนนี้ ทำให้เขาต้องแบ่งสมาธิไปต้านทาน จนพลังได้รับความเสียหาย! แต่เหล่าผู้อาวุโสและอ๋องคนอื่นๆ หนีไปได้กันหมดแล้ว แม้แต่ ‘ผู้อาวุโสใหญ่’ ก็มิได้มาช่วยเหลือเขา! ผู้อาวุโสใหญ่สั่งให้คนมาถ่ายเสียงบอกว่าเขาไปสะกดรอยตามผู้บำเพ็ญที่ใช้กระบี่ผู้นั้นแล้ว!

ไม่มีคนช่วย

ค่ายกลรบทั้งสี่ของท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้และผู้ใต้บังคับบัญชา แต่ละค่ายกลรบล้วนสามารถเทียบเคียงกับท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ได้!

หากจักรพรรดิต้องขัดขวางพวกเขาพร้อมกัน มือไม้ก็ต้องพันกันวุ่นวายอยู่บ้าง เขามิอาจออกกระบวนท่าไปจัดการกับตงป๋อเสวี่ยอิงได้! เพราะหากเขาไปจัดการเมื่อใด เกรงว่าชนพื้นเมืองเหล่านี้ก็คงจะสามารถหาโอกาสช่วงชิงผลวิญญาณทิพย์ไปได้

“ตู้ม”

หนึ่งในค่ายกลรบของผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้

เหนือผิวกายของยอดฝีมือทั้งสามของค่ายกลรบนี้ ต่างก็มีเกราะสีแดงโลหิตอันแปลกประหลาดอยู่ ภายใต้การกระตุ้น เกราะสีแดงโลหิตทั้งสามก็มีอักขระลับจำนวนนับไม่ถ้วนรวมตัวกันขึ้นมาเป็นหนึ่งเดียว อานุภาพของค่ายกลรบแห่งนี้ปะทุขึ้นมาอีกครั้งทันใด! หากพูดถึงอานุภาพแล้วก็ถึงระดับ ‘ผู้อาวุโสใหญ่’ เลยทีเดียว! แข็งแกร่งกว่าท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้อยู่ขุมใหญ่ หลังจากอานุภาพปะทุขึ้นมาแล้ว ค่ายกลรบนี้ก็พุ่งตรงไปทางต้นไม้ผลแปลกพิสดารต้นนั้น

“เผ่าเซวี่ยเหยียน แม้แต่สมบัติประจำเผ่าพวกเจ้าก็พกมาด้วยหรือ” จักรพรรดิตกใจมาก

เกราะทิพย์เซวี่ยเหยียน

มีทั้งหมดสามอันด้วยกัน! เป็นสมบัติประจำเผ่าของเผ่าเซวี่ยเหยียน ตอนที่ภายในยังไม่มีผู้แกร่งกล้าที่สุดยอดคอยปกป้องทั้งเผ่านั้น ก็มีผู้อาวุโสประจำเผ่าสามคนพกเกราะทิพย์เซวี่ยเหยียนคนละอัน แล้วร่วมมือกันก็เพียงพอจะปกป้องทั้งเผ่าได้แล้ว

สมบัติประจำเผ่าระดับนี้มิอาจสูญเสียไปได้ง่ายๆ! มาเสี่ยงอันตรายที่เกาะลอยคว้าง ยังจะพกสมบัติประจำเผ่ามาด้วยหรือ ต้องรู้ไว้ว่าหากผู้บำเพ็ญหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวผู้นั้นมิได้ปรากฏกายขึ้นมา แล้วผู้อาวุโสใหญ่ ผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสามอยู่พร้อมหน้ากันตรงนั้นแล้ว…เกรงว่าสถานการณ์ของเผ่าเซวี่ยเหยียนก็คงจะเลวร้ายกว่านี้ หากพ่ายแพ้และสู้จนตัวตาย ก็จะต้องสูญเสียสมบัติประจำเผ่าไป!

“เผ่าเซวี่ยเหยียน บ้าไปแล้วหรือ” จักรพรรดิมิอาจเข้าใจได้ มันและเผ่าเซวี่ยเหยียนติดต่อกันหลายครั้งแล้ว เนื่องจากสมบัติล้ำค่าที่สำคัญที่สุดในเกาะลอยคว้างแห่งนี้อย่าง ‘ผลวิญญาณทิพย์’ นั้นมีผลน่าอัศจรรย์ต่อการทำให้พละกำลังของสายเลือดเผ่าเซวี่ยเหยียนตื่นรู้ ดังนั้นตลอดคืนวันอันยาวนาน ผู้แกร่งกล้ายยุคแล้วยุคเล่าของเผ่าเซวี่ยเหยียนต่างก็มาที่นี่เพื่อคิดหาวิธีช่วงชิงผลวิญญาณทิพย์ไป

แต่ก็ไม่เคยบ้าคลั่งถึงเพียงนี้มาก่อน!

“สมควรตาย”

พลังของจักรพรรดิได้รับผลกระทบ ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้และค่ายกลรบทั้งสี่ล้วนรับมือไม่ได้ง่ายๆ ในจำนวนนั้นพลังของค่ายกลรบแห่งหนึ่งก็ยังปะทุขึ้นอย่างรวดเร็ว จักรพรรดิและผู้อาวุโสใหญ่นั้นแตกต่างกัน สิ่งที่จักรพรรดิถนัดก็คือใช้กายหยาบเข้าต่อสู้ประชิดตัว กระบวนท่าทางด้านบริเวณซึ่งกินวงกว้างนั้นไม่เชี่ยวชาญนัก เพียงครู่เดียวจึงมิอาจสกัดกั้นได้ทันท่วงที

ฟิ้ว…

พลังของค่ายกลรบแห่งนั้นปะทุออกมา เมื่อเทียบกับจักรพรรดิ ความแตกต่างก็มิได้มากมายนักแล้ว เมื่อปะทุออกมาในระยะใกล้ๆ ทั้งยังมีสหายคอยช่วยเหลือ เพียงพริบตาเดียวก็มาถึงตรงหน้าต้นไม้ผลแปลกพิสดารต้นนั้นแล้ว

“ไม่!”

จักรพรรดิเดือดดาลขึ้นมา เขาไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นแล้ว เขาโบกมือคราหนึ่งแล้วตะปบไปทางผลวิญญาณทิพย์บนต้นไม้ผลแปลกพิสดารต้นนั้น

ต้นไม้ผลต้นนี้ มีผลอยู่ทั้งหมดสองผลด้วยกัน

จักรพรรดิและค่ายกลรบแห่งนั้น คว้าผลไม้เอาไว้คนละผลแทบจะพร้อมกัน!

“ยังไม่ทันสุกเลย พวกเจ้าก็มาชิงเอาไปแล้วหรือ” จักรพรรดิคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว

“หากรอจนสุกแล้ว จะยังเหลือมาถึงมือพวกเราหรือ”

พวกท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ดีใจใหญ่

แม้จะยังไม่สุกเต็มที่ แต่ก็ให้ผลถึงห้าส่วนแล้ว

“ไป!”

พวกท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ทั้งกลุ่มรวมตัวกันทันที ค่ายกลรบสลายไปจนสิ้น เหลือเพียงท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้คนเดียวเท่านั้น ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ถือใบไม้เหลืองซีดเอาไว้ในมือ ใบไม้ถูกบี้จนแตก

วิ้ง!

ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างปกคลุมท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ สายตาของท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้มองดูตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ไกลออกไปพลางยิ้มน้อยๆ

จากนั้นก็อันตรธานไป!

“สมควรตาย สมควรตาย สมควรตาย!!!” จักรพรรดิแหงนหน้าคำราม เสียงตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดดังก้องไปทั่วทั้งตำหนักผู้อาวุโส และยังแพร่ออกไป ระลอกการโจมตีอันน่าหวาดหวั่นก็พุ่งตรงไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สีหน้าเปลี่ยนแปลงไปและถอยหนีทันที! เคราะห์ดีที่เขามีพลังรบขั้นสุดยอด กายหยาบก็แข็งแกร่งพอ เสียงคำรามครั้งหนึ่งจึงไม่ถึงกับล้างสังหารเขาได้

“หนีรึ”

จักรพรรดิสาวเท้าออกไปแล้วบุกตรงไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง

เขาเดือดดาลหาใดเปรียบ! หากมิใช่ผู้บำเพ็ญผู้นี้ เขามีผู้ช่วยกลุ่มใหญ่ ก็สามารถสกัดกั้นกองกำลังเผ่าเซวี่ยเหยียนเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย ทั้งยังครองความได้เปรียบอย่างสิ้นเชิงอีกด้วย!

ผู้บำเพ็ญผู้นี้นี่เอง…ที่ทำให้ผู้ที่จะมาช่วยเขาหวั่นกลัวจนหนีหายไปหมด แต่เขาก็มิได้ตำหนิผู้ใต้บังคับบัญชาแต่อย่างใด เนื่องจากมีอ๋องกลุ่มหนึ่งสิ้นใจด้วยเงื้อมมือของผู้บำเพ็ญแล้ว

เดิมทีผลไม้ที่สุกแล้วทั้งสองผล ก็มีหวังจะทำให้พลังของเขายกระดับขึ้นได้บ้าง แต่บัดนี้ มีเพียงผลที่ยังไม่สุกเพียงผลเดียว สำหรับจักรพรรดิผู้นี้ ก็ไร้ประโยชน์เสียแล้ว! พอจะมีประโยชน์สำหรับพวก ‘อ๋อง’ บ้างก็เท่านั้น คิดจะรอให้ผลต่อไปเกิดขึ้นและสุกงอมน่ะหรือ ก็ต้องรอคอยอีกนานแสนนานหาใดเปรียบแล้ว

“รวดเร็วนัก” หลบหนีไปอย่างรวดเร็ว

แม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะหลบหนีไปด้วยความเร็วสูง

แต่เดิมทีจักรพรรดิก็สามารถเคลื่อนที่ในพริบตาได้อยู่แล้ว ก่อนหน้านี้เพื่อสกัดกั้นชนพื้นเมืองเหล่านั้น เขาจึงมิอาจออกกระบวนท่ามาลงมือกับเขาได้ บัดนี้เพียงแค่ทะยานไปคราหนึ่ง เพียงพริบตาเดียวก็ไล่ตามตงป๋อเสวี่ยอิงที่หลบหนีไปอย่างรวดเร็วได้ทัน ฝ่ามือมหึมาอันดำทะมึนก็ปกคลุมเข้ามา! ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รู้สึกว่าไม่มีที่ให้หลบหนีไปได้ เมื่ออยู่ภายใต้อานุภาพอันน่าเกรงกลัวเช่นนี้ กระบวนท่าถ่ายแรงของเขาก็ดูน่าขันนัก

“ปัง”

เมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรู ร่างแยกซึ่งเป็นพลังรบหลักร่างหนึ่งของตงป๋อเสวี่ยอิงก็สามารถถูกทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสได้อย่างง่ายดาย

เมื่อเผชิญหน้ากับ ’จักรพรรดิ‘ ผู้นี้ สิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูทั่วไปก็ล้วนต้องบาดเจ็บสาหัสด้วยกระบวนท่าเดียว! มีเพียงคนอย่างท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ที่ปะทุพลังออกมาแล้วอยู่ในขั้นไร้ศัตรู และกายหยาบก็แข็งแกร่งถึงขั้นสุดเท่านั้น จึงสามารถต้านทานได้นานถึงเพียงนั้น แต่ก็ยังคงได้รับบาดเจ็บสาหัสมากอยู่ดี

“ฟิ้ว…” ภายใต้อานุภาพอันน่าหวาดหวั่น กายหยาบของตงป๋อเสวี่ยอิงร่างนี้ก็สลายไปทันทีโดยไม่ทิ้งไว้แม้แต่ซาก ทว่าขณะที่ร่างแยกสลายไปนั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังคงเรียบเฉยมาก มุมปากยังถึงขั้นแฝงรอยยิ้มเอาไว้เล็กน้อย เขามีร่างแยกนับหมื่น จึงย่อมไม่สนใจร่างแยกแค่ร่างเดียวอยู่แล้ว

ส่วนอีกด้านหนึ่ง

พวกพลพรรคชนพื้นเมืองและตงป๋อเสวี่ยอิงพุ่งตัวเข้าไปในดินแดนชนเผ่าตามๆ กันไปอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าบริเวณรอบๆ ดินแดนชนเผ่าจะมีระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างขัดขวางอยู่ แต่ก็ขัดขวางได้อย่างอ่อนแอยิ่งนัก

“ผู้บำเพ็ญของดินแดนจิตโลกา!” ผู้อาวุโสใหญ่เดือดดาลหาใดเปรียบ แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่เคยประสบกับการโจมตีของเขตลวงที่ยากจะต้านรับเช่นนี้มาก่อนเลย แรงปรารถนาดึงดูดอันน่าหลงใหลนั้นฉุดลากวิญญาณของเขาอย่างไม่หยุดหย่อน เขาบรรลุขั้นนั้นมาถึงระดับจักรพรรดิแล้ว แต่ก็ยังคงต้องแบ่งพลังจิตมากมายไปต้านทานอยู่ดี พลังคุกคามของกระบวนท่าที่สำแดงก็ลดต่ำลงอย่างมหาศาล

เดิมทีกระบวนท่าของเขาก็หยาบอยู่แล้ว พลังคุกคามลดต่ำลงอย่างมหาศาล แรงกดดันต่อจอมกระบี่ก็ต่ำลงไปเป็นอย่างมากแล้ว จอมกระบี่ก็เหาะเหินหลบเลี่ยงอย่างสบายๆ ไม่หยุดหย่อน

พรึ่บ

ทะลุผ่านระลอกคลื่น ด้านหน้าก็คือภูเขาสูงของดินแดนชนเผ่าที่ตั้งอย่างตระหง่านเป็นที่สุดแห่งนั้น

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองภูเขาสูงของดินแดนชนเผ่าที่อยู่ไกลออกไป ทันใดนั้นจิตใจก็วูบไหวคราหนึ่ง

พรึ่บๆๆ…

เงาร่างสายแล้วสายเล่าแน่นขนัดของหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวก็เหินบินไปทุกทิศทุกทาง! แต่เขามีร่างแยกกว่าหมื่นร่าง ร่างแยกที่มายังหุบเขาเขี้ยวหักในคราวนี้ที่มีพลังรบแข็งแกร่งก็คือร่างแยกทั้งเก้าเป็นหลัก!

ส่วนร่างแยกอื่นๆ นั้นพลังยุทธ์อ่อนแอกว่ามาก พอๆ กันกับพลังยุทธ์ของเทพจักรวาลธรรมดาๆ เท่านั้น

แต่นำมาใช้สำหรับ ‘หาสมบัติ’ ก็เพียงพอแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ปล่อยร่างแยกออกมาหลายร้อยร่างตามอำเภอใจ

“พรืด!” บรรพชนแมลงหัวเราะเสียงดัง อาภรณ์สีดำของเขาแปลงเป็นแมลงจำนวนนับไม่ถ้วนแล้วบินตรงไปทุกทิศทุกทางเพื่อไปหาสมบัติ

“สมควรตาย”ผู้อาวุโสใหญ่เดือดดาล ที่ผ่านมาล้วนเป็นพวกเขาเผ่ามรณะทมิฬที่กลืนกินผู้แกร่งกล้าเผ่าอื่นมาโดยตลอด เคยถูกบุกเข้ามาในดินแดนชนเผ่าเพื่อช่วงชิงสมบัติตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

น่าเสียดาย

บรรดาเผ่ามรณะทมิฬระดับยอดสุดของดินแดนชนเผ่าร่นถอยไปจนหมดสิ้นแล้ว เพราะว่าพวกเขารู้อยู่แล้วว่าเผชิญหน้ากับเคล็ดวิชาวิญญาณอันน่าหวาดหวั่นของผู้บำเพ็ญของดินแดนจิตโลกาผู้นั้น กระทั่งเหล่าอ๋องโดยทั่วไปก็ยังต้านไม่อยู่ ผู้ที่พลังยุทธ์อ่อนแอกว่าสักหน่อยเหล่านั้นไปก็เท่ากับส่งไปตาย!

……

หุบเขาเขี้ยวหักเป็นสถานที่ที่ ‘หยวน’ ก่อตั้งขึ้น แล้วยังเป็นสถานที่ขัดเกลาซึ่ง ‘หยวน’ ทิ้งเอาไว้ให้กับผู้บำเพ็ญอีกด้วย

ที่นี่มีภยันตราย แล้วก็มีสมบัติวิเศษด้วย

แต่ว่าเกาะลอยคว้างมีอยู่มากมายเหลือเกิน เกาะลอยคว้างเพียงแห่งเดียว ถึงอย่างไรสมบัติล้ำค่าก็มีอยู่อย่างจำกัด! อีกทั้งยังมีบางส่วนที่ถูกระดับสูงของเผ่ามรณะทมิฬเห็นเป็นสมบัติล้ำค่าแล้วเก็บซ่อนเอาไว้ ก็มีแค่เพียงบางส่วนที่เผ่ามรณะทมิฬมิชมชอบ ไม่เห็นอยู่ในสายตา จึงโยนเอาไว้ข้างนอกเช่นเดิม

ในท้ายที่สุดแล้ว ‘เผ่ามรณะทมิฬ’ กับผู้บำเพ็ญก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่แตกต่างกัน! สมบัติล้ำค่าที่มีค่ากับผู้บำเพ็ญอย่างที่สุดกลับไม่มีประโยชน์อันใดต่อเผ่ามรณะทมิฬเลยแม้แต่น้อย

ในทางกลับกันสมบัติล้ำค่าที่ ‘ชนพื้นเมือง’ กับ ‘เผ่ามรณะทมิฬ’ ให้ความสำคัญนั้นโดยปกติแล้วก็เหมือนๆ กัน

“หืม”

ร่างแยกหลายร้อยร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงบินไปยังทิศทางที่แตกต่างกันพร้อมกับตรวจตราอย่างรวดเร็ว

“นั่นมันอะไรกัน” ร่างแยกร่างหนึ่งในบรรดาร่างแยกเหล่านั้นค้นพบว่าภูเขาสูงของดินแดนชนเผ่ามีกระแสน้ำกระทบโจมตี เบื้องล่างของการกระทบนั้นกลับมีก้อนหินแปลกประหลาดอยู่มากมายหลายก้อน

ก้อนหินเหล่านี้แต่ละก้อนมีสีดำขลับ มีประกายแวววาว ถ้าหากดูอย่างละเอียดจะเห็นว่าที่พื้นผิวของก้อนหินสีดำมีลวดลายชั้นแล้วชั้นเล่า ลวดลายนี้ราวกับแผ่นเกล็ดอันงดงามเป็นอย่างยิ่ง

“ศิลาเกล็ดนิลหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงคาดเดาออกมาได้ในทันทีแล้วเหินบินเข้าไป ร่างแยกร่างนี้โบกมือคราหนึ่ง แล้วควบคุมอากาศคว้าเอาศิลาเกล็ดนิลก้อนแล้วก้อนเล่าเหล่านี้ขึ้นมา

ศิลาเกล็ดนิลล้ำค่าเป็นอย่างยิ่ง ทนทานยากทำลาย บุคคลผู้ไร้เทียมทานก็ยังมิอาจทำลายซึ่งๆ หน้าได้ สามารถใช้ประโยชน์ได้เฉพาะยามที่ผสมผสานกับกับวัสดุเสริมหลายชนิดเท่านั้น เป็นวัตถุหายากในการหลอมสมบัติลับล้ำค่า

“ศิลาเกล็ดนิลมากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ หกร้อยยี่สิบห้าก้อนเชียวหรือนี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงยินดีอยู่ในใจ

ศิลาเกล็ดนิลมากมายถึงเพียงนี้ มูลค่าก็สูงพอๆ กับสุดยอดสมบัติลับล้ำค่าชิ้นหนึ่งแล้ว!

“สมกับที่เป็นหุบเขาเขี้ยวหัก การค้นพบในครั้งนี้ก็เทียบเคียงได้กับสุดยอดสมบัติลับล้ำค่าชิ้นหนึ่งเลยทีเดียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเบิกบานใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ในความเป็นจริงแล้วผู้บำเพ็ญของดินแดนจิตโลกาที่เข้ามายังหุบเขาเขี้ยวหัก จะมีสักกี่คนที่สามารถบุกเข้ามายังดินแดนชนเผ่าที่เป็นศูนย์กลางสำคัญของเกาะลอยคว้าง ได้ ต่อให้เข้ามายังดินแดนชนเผ่าได้ แต่จะมีสักกี่คนที่จะมีร่างแยกจำนวนมากมายจนสามารถสำรวจได้อย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับเขาบ้างเล่า

……

ก่อนหน้าที่จะเข้ามา ตงป๋อเสวี่ยอิง จอมกระบี่ และบรรพชนแมลงก็เคยหารือกันมาก่อนแล้วว่าจะแบ่งสมบัติล้ำค่าที่ได้รับจากหุบเขาเขี้ยวหักกันตามผลงาน! แน่นอนว่าผู้ใดที่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่สุดก็สามารถหยิบเอาไปได้ทันที แต่ก็ต้องชดเชยให้กับอีกสองฝ่ายที่เหลือด้วย

ถึงอย่างไรในบรรดาพวกเขา ตงป๋อเสวี่ยอิงอาศัยเคล็ดวิชาวิญญาณ จึงเชี่ยวชาญในการโจมตีหมู่! จอมกระบี่พลังรบแข็งแกร่งที่สุด บรรพชนแมลงก็รับผิดชอบหาสมบัติ เพราะแมลงจำนวนนับไม่ถ้วนของเขาหาสมบัติได้อย่างร้ายกาจที่สุด

“ไม่มีแล้ว”

ร่างแยกหลายร้อยร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังเสาะหา นอกจากค้นพบศิลาเกล็ดนิลแล้วในตอนนี้ก็ยังมิได้ค้นพบสมบัติล้ำค่าอื่นๆ เลย

ทันใดนั้นเอง…

ปัง!!!

กลิ่นอายอันน่าหวาดหวั่นขุมหนึ่งระเบิดขึ้นที่บริเวณไกลๆ

ตงป๋อเสวี่ยอิง บรรพชนแมลง และจอมกระบี่ต่างก็สังเกตได้ในทันทีว่าที่บริเวณไกลออกไปนั้น นั่นก็คือสถานที่แห่งหนึ่งในส่วนลึกของภูเขาสูง สถานที่แห่งนั้นก็เป็นสถานที่ที่พลพรรคชนพื้นเมืองบุกสังหารเข้าไปเช่นเดียวกัน ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีร่างแยกที่เข้าไปได้ใกล้เป็นอย่างยิ่ง

กลิ่นอายที่ระเบิดออกมาขุมนั้นช่างน่าหวาดหวั่นเหลือเกิน ยิ่งใหญ่เสียจนทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิง จอมกระบี่ และบรรพชนแมลงต่างก็หน้าถอดสี ที่ด้านบนของภูเขาสูงของดินแดนชนเผ่าก็มีหมอกดำที่แผ่กลิ่นอายแห่งความตายเริ่มรวมตัวเข้าด้วยกัน ล่องลอยอย่างดำทะมึนอยู่ที่บริเวณยอดภูเขาสูง

“เผ่าเซวี่ยเหยียนหรือ จะมาขโมยผลวิญญาณทิพย์ของข้าอีกแล้วหรือ” น้ำเสียงอันโอ่อ่าเสียงหนึ่งดังขึ้น เสียงนี้ทำให้ทั่วฟ้าดินล้วนสั่นสะเทือน

“เป็นจักรพรรดิ”

“มันฟื้นแล้ว”

“พวกเรารีบหนีไปเร็วเข้า”

จอมกระบี่ บรรพชนแมลง และตงป๋อเสวี่ยอิงรู้ได้ในทันทีว่าท่าไม่ดีเสียแล้ว

“รีบหนีโดยเร็วที่สุด เหล่าแมลงของข้าค้นพบสมบัติล้ำค่าแล้วสี่แห่ง พวกท่านเล่า” แมลงจำนวนนับไม่ถ้วนบินมาจากที่ไกลๆ ตรงไปหาบรรพชนแมลงแล้วรวมตัวกันเป็นอาภรณ์สีดำห่อหุ้มอยู่บนร่างของบรรพชนแมลง “ข้าค้นพบแล้วแห่งหนึ่ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยตอบ ร่างแยกร่างแล้วร่างเล่าเหินลอยมาจากทุกทิศทุกทาง

“เร็วเข้า ตอนนี้พลพรรคชนพื้นเมืองกำลังจัดการกันอยู่ อีกประเดี๋ยวจักรพรรดิผู้นั้นก็จะมาจัดการพวกเราแล้ว” จอมกระบี่เอ่ยอย่างเป็นกังวลและกระวนกระวาย

“จ้าวหิมะเหิน ได้โปรดช่วยเหลือเผ่าเซวี่ยเหยียนของข้าด้วย เผ่าเซวี่ยเหยียนของข้าก็จะขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง” น้ำเสียงกระวนกระวายเสียงหนึ่งลอยเข้าหูตงป๋อเสวี่ยอิง

“ข้าทิ้งร่างแยกหลายร่างเอาไว้ที่นี่เพื่อช่วยพวกเขาอีกแรง” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูดกับจอมกระบี่ในทันที

เขามีร่างแยกมากมาย

ในบรรดาร่างแยกหลายร่างที่ทิ้งเอาไว้ ร่างแยกที่มีพลังรบแข็งแกร่งอย่างแท้จริงนั้นมีอยู่เพียงแค่ร่างเดียวเท่านั้น! ส่วนร่างแยกอื่นๆ ล้วนมีพลังยุทธ์ค่อนข้างอ่อนแอ หลักๆ แล้วก็ใช้เพื่อทำให้ศัตรูสับสนเมื่อยามต้องเผชิญกับอันตรายเท่านั้นเอง

“เอาล่ะ”

จอมกระบี่โบกมือคราหนึ่งแล้วเก็บตัวบรรพชนแมลงกับตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ภายในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์

ภายในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์แห่งนี้ ความนึกคิดของตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้ถูกขัดขวางการแทรกผ่านไปยังโลกภายนอก ยังคงสามารถสำแดงเคล็ดวิชาเขตลวงโลกเทียมได้เช่นเดิม

“ไป!”

เก็บตัวเพื่อนร่วมทางแล้วก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลอีก จอมกระบี่ก็หลบหนีอย่างสุดความสามารถในทันที!

พรึ่บ!

อัตราเร็วพุ่งสูงขึ้นถึงขีดสุด! สิ่งที่ได้รับจากการมายังเกาะลอยคว้างแห่งนี้ในครั้งนี้ก็เพียงพอแล้ว ต้องรู้ไว้ว่าการหนีออกไปนั้นยังต้องใช้เวลาอีกนานพอสมควร จอมกระบี่เองก็มิได้มีความมั่นใจมากนักว่าจะสามารถหนีจากผู้ใต้บังคับบัญชาของ ‘จักรพรรดิ’ ไปได้หรือไม่ ดังนั้นจึงต้องหนีไปให้เร็วที่สุด! ถ้าหากตัวตายไป สูญเสียร่างแยกก็แล้วไปเถิด แต่ก็ต้องทิ้งสมบัติล้ำค่าต่างๆ ไปด้วย

พวกเขามายังหุบเขาเขี้ยวหัก… ด้านหนึ่งก็เพื่อขัดเกลาตนเองภายใต้อันตราย…! ส่วนอีกด้านหนึ่งก็เพื่อรวบรวมสมบัติวิเศษ มีสมบัติวิเศษบางอย่างที่มีส่วนช่วยเหลือในการบำเพ็ญด้วย

“ไล่ตามไป” ผู้อาวุโสใหญ่ก็ไล่ตามอยู่ด้านหลังอย่างเอาเป็นเอาตาย เขาเข้าใจกระจ่างดีว่าเมื่อใดที่ถูก ‘ทิ้งห่าง’ ด้วยเคล็ดลับการซ่อนเร้นกลิ่นอายของอีกฝ่าย หากนึกอยากจะพบตัวอีกครั้งนั้นเกรงว่าคงจะต้องสิ้นเปลืองเวลามิใช่น้อยเลยทีเดียว

ก็จะต้อง ‘ติดตาม’ ไปตลอด รอให้จักรพรรดิมาถึงแล้วก็เป็นเวลาที่ผู้บุกรุกเหล่านี้จะต้องชดใช้!

*******

ส่วนอีกด้านหนึ่ง

ณ ตำหนักผู้อาวุโส

ร่างแยกที่แข็งแกร่งเป็นที่สุดร่างหนึ่งของตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึงที่นี่แล้ว มองปราดเดียวก็เห็นสถานการณ์ของตำหนักผู้อาวุโส

ทางด้านพลพรรคชนพื้นเมือง บริเวณหว่างคิ้วของท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ผู้นั้นก็มีอัญมณีสีแดงโลหิตชิ้นหนึ่งปรากฏขึ้น พลังยุทธ์พลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างชัดเจน เพิ่มพูนขึ้นมาหลายเท่าจนไปถึงระดับไร้เทียมทาน! เหล่าชนเผ่าด้านหลังเขาก็ก่อตัวกันเป็นค่ายกลรบ หว่างคิ้วของทุกคนล้วนมีของเหลวสีแดงโลหิตหยดหนึ่งปรากฏขึ้น กลิ่นอายก็พุ่งสูงขึ้นมาหลายเท่า

ทว่าศัตรูกลับแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง

ผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสาม ทุกคนล้วนสามารถนับได้ว่ามีพลังรบระดับไร้เทียมทาน! อ๋องฝูซาและบรรดาอ๋องคนอื่นๆ ก็แข็งแกร่งอย่างที่สุดเช่นเดียวกัน

สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือผู้ที่กดดันให้ ‘ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้’ ต้องต่อสู้ในคราวนี้ก็คือยักษ์ตัวดำขลับคนหนึ่ง!เขามีร่างกายอันดำขลับไปทั้งร่าง มีดวงตาสามดวง ท่อนแขนใหญ่ทั้งคู่ยามที่โบกสะบัดก็แฝงเอาไว้ด้วยความรู้สึกอันลึกลับ ต่อตีเสียจนท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้กระอักเลือดครั้งแล้วครั้งเล่า โชคดีที่ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้เป็นถึงชนพื้นเมืองจึงมีร่างกายแข็งแกร่งเป็นที่สุด

“เสี่ยงชีวิตหรือ เผาผลาญพลังสายโลหิตอย่างนันหรือ ไม่มีประโยชน์หรอก!” ยักษ์ตัวดำขลับผู้นี้ฟาดฝ่ามือเดียวก็ทำให้ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้จมลงไปอยู่ใต้ดิน ร่างกายอันบาดเจ็บสาหัสของเซวี่ยเหยียนจี้ก็บิดเบี้ยวแล้วฟื้นฟูขึ้นมาอีกครั้ง ในขณะเดียวกันกับที่เขากำลังต่อสู้อย่างดุเดือดก็พุ่งไปทางต้นไม้ผลต้นโค้งอันแปลกพิสดารกลางบ่อน้ำด้านข้างต้นนั้น

“เสี่ยงชีวิตถึงเพียงนี้ ก็ยังอยากจะพุ่งไปหาต้นไม้ผลอันแปลกพิสดารต้นนั้นอีกหรือ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่สนใจสิ่งอื่นใด

สำแดงกระบวนท่าเขตลวงอย่างสุดกำลังก่อน

ปัง…

โลกเขตลวงเคลื่อนเข้าโอบล้อมทั่วทั้งตำหนักผู้อาวุโสในทันใด ผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสาม รวมถึงบรรดาอ๋องคนอื่นๆ ภายในตำหนักผู้อาวุโสก็มีสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวงในทันใด แล้วสำแดงการเคลื่อนที่ในพริบตาหลบหนีไป สำหรับ ‘ท่านอ๋องฉี่ตู้’ เพราะรู้ว่าศัตรูบุกเข้าไปในดินแดนชนเผ่า ดังนั้นจึงได้หลบหนีไปไกลก่อนแล้ว เขาเข้าใจกระจ่างดียิ่งว่าการเผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญของดินแดนจิตโลกาที่น่าหวั่นเกรงผู้นั้น พบหน้ากันเพียงแค่ครั้งเดียวเขาก็ต้องเอาชีวิตไปทิ้งแล้ว

ทางด้านเผ่ามรณะทมิฬคนอื่นๆ ล้วนหลบหนีไปจนหมด

แต่ ‘จักรพรรดิ’ ก็ยังคงมิได้เคลื่อนไหวเช่นเดิม

“หืม” ยักษ์ตัวดำขลับผู้นี้หันหน้ามองไปทางหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวที่ปรากฏตัวขึ้นภายนอกตำหนักผู้อาวุโสผู้นั้น ภายใต้การปะทะโจมตีของเขตลวงอันน่าหวาดหวั่น แม้กระทั่งจักรพรรดิก็ยังต้องแบ่งจิตใจไปต้านทาน พลังยุทธ์ก็ลดต่ำลงไปถึงสามส่วนในทันใด

ถึงแม้ว่าเขาจะมีพลังยุทธ์กล้าแกร่งยิ่งกว่าผู้อาวุโสใหญ่เสียอีก

แต่ในความเป็นจริงแล้วเขากับผู้อาวุโสใหญ่ต่างก็เป็นระดับจักรพรรดิด้วยกันทั้งสิ้น! ความแข็งแกร่งของวิญญาณของผู้อาวุโสใหญ่มีความแตกต่างพื้นฐานกับพวกผู้อาวุโสรองแต่ละคน แต่จักรพรรดิและผู้อาวุโสใหญ่กลับไม่มีความแตกต่างพื้นฐานระหว่างกันเลย

“เร็วเข้า!” ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ได้เห็นเหตุการณ์แล้วก็ถ่ายเสียงให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาในทันที

“ชิงผลวิญญาณทิพย์มา!”

“ผลวิญญาณทิพย์!”

ชาวเผ่าเซวี่ยเหยียนเหล่านั้นพุ่งเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง

……

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สังเกตต้นไม้ผลอันแปลกพิสดารต้นนั้น ของเหลวภายในบ่อน้ำที่ต้นไม้ผลต้นนี้เจริญอยู่เต็มไปด้วยสีดำสนิท ส่วนต้นไม้ผลก็โค้งงอและเจริญเติบโตจนสูงราวๆ สิบกว่าจั้ง ‘เปลือกผล’ ของผลไม้ทั้งสองลูกล้วนบางเฉียบจนสามารถมองเห็นประกายจำนวนนับไม่ถ้วนไหลเวียนอยู่ภายในผลได้เลยทีเดียว

“ผลไม้นี้ดูแล้วไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง แต่ในข้อมูลก็มิได้มีบันทึกเอาไว้เลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองสำรวจไปถึงเรือนยอดของต้นไม้ผลประหลาดต้นนี้ในทันใด ตรงนั้นมี ‘ดวงตาสีเทา’ อยู่ดวงหนึ่ง ดวงตาสีเทาดวงนี้คล้ายกับถูกฝังติดเอาไว้ภายในต้นไม้ผลอย่างไรอย่างนั้น พลังคุกคามที่มันแผ่ออกมาก็แผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งตำหนักผู้อาวุโสอยู่ตลอดเวลา

เพียงแต่ว่ากลิ่นอายที่จักรพรรดิระเบิดออกมาในตอนนี้มีพลังคุกคามแกร่งกล้ายิ่งกว่า ก่อนหน้านี้ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงมิได้สังเกตเห็นดวงตาสีเทาดวงนี้เลย

ยามที่มองไปนั้นเอง…

ดวงตาของตงป๋อเสวี่ยอิงกับดวงตาสีเทาดวงนั้นก็จ้องมองซึ่งกันและกัน

……………………………………………………

เพียงแค่กระบวนท่าเดียวก็กวาดเอาเผ่ามรณะทมิฬที่มีอยู่แทบทั้งหมดไป บ้างก็ตาย บ้างก็หนี ผู้อาวุโสใหญ่ที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวก็พลังยุทธ์ลดลงอย่างมหาศาล พลังคุกคามต่อจอมกระบี่ก็มิได้มากมายถึงเพียงนั้นแล้ว ผู้อาวุโสใหญ่ต้านทานการปะทะพลางมองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างเดือดดาล

“นี่มัน…”

ถ้าหากพูดถึงจอมกระบี่และบรรพชนแมลง ก็ยังนับได้ว่าเตรียมใจเอาไว้อยู่บ้าง เช่นนั้นเหล่าผู้แกร่งกล้าระดับสุดยอดที่เหลืออยู่กลุ่มหนึ่งของเผ่าเซวี่ยเหยียนนี้กลับยินดีจนแทบคลั่งอย่างยากที่จะเชื่อได้แล้ว!

“จู่ๆ ก็โดนกวาดไปเช่นนี้น่ะหรือ”

“เป็นจ้าวหิมะเหินผู้นั้นหรือ”

“เขา…ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นผู้ที่อ่อนแอที่สุดในบรรดาผู้บำเพ็ญทั้งสามคน แต่กลับแข็งแกร่งถึงเพียงนี้เชียวหรือ”

พวกเขาตื่นเต้นหาใดเปรียบ!

คราวนี้พวกเขาเดิมพันด้วยชะตาของทั้งเผ่าเซวี่ยเหยียน หากสำเร็จ เผ่าเซวี่ยเหยียนก็ยังมีหวังที่จะได้ลุกขึ้นแล้วกลับไปยังบ้านเกิด หากล้มเหลว เช่นนั้นก็จบสิ้นจริงๆ เสียแล้ว เกรงว่าเผ่าเซวี่ยเหยียนก็จะเลือนหายไปเหมือนกับชนพื้นเมืองเผ่าอื่นๆ บางกลุ่มในประวัติศาสตร์ เมื่อครู่ผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสามต้องการจะร่วมมือกับเหล่าอ๋องกลุ่มหนึ่งล้อมโจมตีพวกเขา ก็ทำให้พวกเขาทำการต่อสู้ครั้งสุดท้ายอย่างสิ้นหวังแล้ว

ใครจะไปคิดว่าสถานการณ์จะพลิกผัน! ฟ้าหลังฝนช่างแสนสดใส!

“เร็ว เร็วเข้า รีบไปที่ดินแดนชนเผ่าเร็วเข้า รีบไปคว้าผลวิญญาณทิพย์มาครองก่อนที่จักรพรรดิแห่งเผ่ามรณะทมิฬจะฟื้นตื่น!” ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ถ่ายเสียงเร่งเร้า

“เร็วเข้า!”

“ดินแดนชนเผ่า!”

บรรดาชนพื้นเมืองเหล่านี้แต่ละคนบ้าคลั่ง พุ่งตรงไปยังดินแดนชนเผ่าภายใต้การนำของท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้อย่างบ้าคลั่ง

นี่เป็นการแข่งกับเวลา! เมื่อใดที่จักรพรรดิของเผ่ามรณะทมิฬปรากฏตัว เช่นนั้นก็จะน่าหวาดกลัวยิ่งกว่าผู้อาวุโสใหญ่เสียอีก!

“เสวี่ยอิง เหตุใดมือสังหารผู้นี้ของเจ้าจึงได้ร้ายกาจถึงเพียงนี้เล่า เกรงว่าบรรพชนฝานมาสำแดง ผลลัพธ์ก็ยังไม่แน่ว่าจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้เลยกระมัง!” พร้อมกันกับที่จอมกระบี่ต้านทานผู้อาวุโสใหญ่ สู้ไปพลาง มุ่งตรงไปยังดินแดนชนเผ่าไปพลาง พร้อมกันนั้นก็ถ่ายเสียงเอ่ยถามไปด้วย

ยามต่อสู้ สามารถแบ่งจิตใจมาสนทนาได้ด้วย เห็นได้ว่าตอนนี้จอมกระบี่ก็ผ่อนคลายเป็นอย่างมากแล้วจริงๆ

“พี่ใหญ่หิมะเหิน นี่ช่างแข็งแกร่งเกินไปแล้ว ถึงแม้ในข้อมูลจะบอกว่าเผ่ามรณะทมิฬค่อนข้างจะอ่อนแอทางด้านปณิธานวิญญาณอยู่สักหน่อย แต่นี่ท่านก็มากมายเกินจริงไปเสียแล้ว” บรรพชนแมลงยากที่จะเชื่อได้

“เมื่อครู่ข้าก็พยายามอย่างสุดกำลังแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูดยิ้มๆ สูญสิ้นสติรับรู้ จากนั้น ‘อ๋อง’ แปดคนที่ถูกผลาญสังหารวิญญาณต่างก็แปลงร่างกลายเป็นไอหมอกสลายหายไป เหลือเอาไว้เพียงแค่อาวุธต่างๆ ทิ้งเอาไว้เท่านั้น อย่างเช่น ‘กรงเล็บสีแดงโลหิตอันแปลกประหลาด’ ‘ไม้เท้าที่ดูธรรมดาๆ อันหนึ่ง’ ซึ่งตงป๋อเสวี่ยอิงก็เก็บวัตถุเหล่านี้ขึ้นมาตามอำเภอใจ

เผ่ามรณะทมิฬเป็นชนเผ่าที่เชาวน์ปัญญาต่ำต้อยอย่างที่สุด

เกือบทั้งหมดของชนเผ่า ยามที่มองดูผู้มาจากภายนอกทั้งหมดทั้งมวล ต่างก็มีเพียงแค่การประเมินว่า ‘กินได้’ กับ ‘กินไม่ได้’ ราวกับสัตว์เดรัจฉานเท่านั้น! มีเพียงระดับสุดยอดของชนเผ่าเท่านั้นที่นับว่าเชาวน์ปัญญายังพอใช้ได้ แต่ก็คิดจะสังหารผู้มาจากภายนอกทั้งหมดทั้งมวลลูกเดียวเช่นกัน! ยากที่จะร่วมมือด้วยได้

อย่างเช่นชนพื้นเมืองยังสามารถร่วมมือด้วยได้ หรือแม้กระทั่งทำข้อตกลง ทำการแลกเปลี่ยนกัน

แต่เผ่ามรณะทมิฬน่ะหรือ

แม้กระทั่งภายในเผ่ามรณะทมิฬ เกือบทั้งหมดก็ราวกับสัตว์เดรัจฉาน ต่างก็กลืนกินซึ่งกันและกัน ที่พักอาศัยของพวกมันก็หยาบแสนหยาบ แต่โดยทั่วไปแล้ววัตถุสำหรับทำอาวุธล้วนไม่ธรรมดา! ถ้ามิได้ฟูมฟักออกมาด้วยตนเอง เช่นนั้นก็เป็นวัตถุวิเศษบนเกาะลอยคว้าง

“ถึงแม้ว่าเผ่ามรณะทมิฬจะมีเชาวน์ปัญญาต่ำต้อย แต่ว่ากันว่าเป็นชนเผ่าที่ฟูมฟักออกมาจากซากศพของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่แกร่งกล้า มีชีวิตที่วิเศษ ต่อให้เชาวน์ปัญญาและระดับจิตใจต่ำต้อยกว่านี้ การต้านทานของวิญญาณต่อโลกภายนอกก็ยังแข็งแกร่งอย่างที่สุด” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจในจุดนี้ อ้างอิงจากข้อมูลที่ผู้บำเพ็ญของดินแดนจิตโลกาสำรวจหุบเขาเขี้ยวหักสั่งสมเอาไว้ ถึงแม้ว่าวิญญาณของเผ่ามรณะทมิฬจะมีความพิเศษ แต่เชาวน์ปัญญาและระดับจิตใจต่ำเกินไป ทางด้านการต้านทานเคล็ดวิชาวิญญาณ…

กลับมิอาจสู้ผู้บำเพ็ญที่ป่ายปีนขึ้นมาจากผู้อ่อนแอทีละก้าวๆ ได้!

แม้กระทั่งเผ่าชนพื้นเมืองที่การต้านทานเคล็ดวิชาวิญญาณค่อนข้างร้ายกาจ ถึงแม้ว่าจะดีกว่าเผ่ามรณะทมิฬอยู่พอสมควร แต่กลับมิอาจเทียบชั้นกับผู้บำเพ็ญได้เลย

ผู้บำเพ็ญแข็งแกร่งที่สุดในด้านระดับจิตใจ

“เคล็ดวิชาวิญญาณ โดยทั่วไปแล้วมีผลลัพธ์ดีเป็นที่สุด”

“แต่ว่าทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา ผู้ที่เคล็ดวิชาวิญญาณไปถึงระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองนั้นมีอยู่น้อยเสียจนน่าสงสารเลยทีเดียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบรำพึง “ส่วนใหญ่ยังไม่มีร่างแยกอีกด้วย! ย่อมไม่กล้าเอาชีวิตมาเสี่ยงอยู่แล้ว”

“แต่สมบัติลับล้ำค่าทางด้านวิญญาณที่ไปถึงพลังคุกคามระดับเทพจักรวาลชั้นที่สอง ในท้ายที่สุดแล้วก็มีน้อยนิดยิ่งนัก อยากจะควบคุมและกระตุ้น วิถีวิญญาณก็ต้องไปถึงระดับเทพจักรวาลชั้นที่หนึ่ง อีกทั้งเมื่อใดที่สูญเสียร่างแยกไป สมบัติลับล้ำค่าก็ต้องถูกทิ้งไปแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด ถึงแม้ว่าดินแดนจิตโลกาจะรู้กันทั่วว่าเคล็ดวิชาวิญญาณจัดการเผ่ามรณะทมิฬให้ผลลัพธ์ดียิ่ง แต่ก็ยังยากนักที่จะใช้ในบริเวณกว้างขวาง

เคล็ดวิชาระดับเทพจักรวาลชั้นที่สอง โดยทั่วไปแล้วก็จะมีผลต่อระดับ ‘อ๋อง’ ในเผ่ามรณะทมิฬ

กับระดับจักรพรรดิ ก็สามารถมองข้ามไปได้เลย

ไม่ว่าอย่างไร นี่ก็เป็นเคล็ดวิชาโจมตีหมู่ที่กินอาณาบริเวณกว้างใหญ่ ทั้งยังเป็น ‘มือสังหาร’ ที่เคลื่อนไหวในครั้งนี้ของพวกตงป๋อเสวี่ยอิงด้วย! การโจมตีหมู่อาศัยตงป๋อเสวี่ยอิง ส่วนการตอบสนองผู้แกร่งกล้าที่สุดก็ยกให้จอมกระบี่แล้ว!

“ที่แท้วิถีเขตลวงโลกเทียมของเสวี่ยอิงไปถึงระดับขั้นใดแล้วกันแน่” จอมกระบี่อดที่จะแอบคิดมิได้

เขารู้เพียงแค่ว่า

ตงป๋อเสวี่ยอิงอาศัยตำราวิถีเขตลวงโลกเทียมทำข้อตกลงกับรัฐโบราณคิมหันตวายุจนได้ของอย่างดอกบัวเพลิงห้วงอากาศและเม็ดทรายอลวนหนึ่งแสนชั่งมาครอง

แต่กลับไม่รู้เลยว่าตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนี้ได้ผสานรวมสี่สายทางด้าน ‘วิถีเขตลวงโลกเทียม’ ไปแล้ว กำลังผสานรวมสายที่ห้าอยู่ กระทั่งเพราะว่าตอนที่ช่วยเหลือสรรพชีวิตซึ่งถูกจอมเทพศักดิ์สิทธิ์กดขี่เป็นทาส ก็ยิ่งตระหนักรู้ทางด้านวิถีวิญญาณ มีแนวทางอันแม่นยำในการผสานรวมสายที่ห้าแล้ว ทางด้านวิถีวิญญาณ ไม่ต้องพูดถึงที่ดินแดนจิตโลกาเลย แม้จะดูในโลกกำเนิดจำนวนมากมาย ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังยืนอยู่ที่จุดยอดสุดอยู่ดี

เป็นคนแรกของวิถีวิญญาณที่ดินแดนจิตโลกาอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง!

เช่นสมบัติลับล้ำค่าอย่าง ‘อาภรณ์ราชันย์มาร’ นี้ เป็นเพียงแค่สองสายผสานรวมกันเท่านั้น!

ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับเป็นผู้ที่ห้าสายต่างก็เริ่มค่อยๆ ผสานเข้าด้วยกันแล้ว… เขาสำแดงเคล็ดวิชาวิญญาณอย่างสุดกำลัง ผลลัพธ์ก็ย่อมล้ำเลิศที่สุดเท่าที่ดินแดนจิตโลกาเคยมีมาอยู่แล้ว!

“อย่าเพิ่งด่วนดีใจเร็วไปนักเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูด “เมื่อมือสังหารผู้นี้ของข้าออกมา

แน่นอนว่าจะต้องทำให้เผ่ามรณะทมิฬตื่นตระหนก เกรงว่าพวกเขาจะต้องไปปลุกจักรพรรดิของพวกเขาขึ้นมาเสียแล้ว! แม้กระทั่งผู้อาวุโสใหญ่ผู้นี้ เมื่ออยู่ภายใต้เคล็ดวิชาวิญญาณของข้าก็ยังคงสามารถรักษาพลังเอาไว้ได้ถึงห้าส่วนเกรงว่าข้าจะส่งผลกระทบต่อจักรพรรดิผู้นั้นต่ำลงไปอีก! ดังนั้นพวกเราก็ต้องรีบจัดการโดยเร็วที่สุด”

“ถูกต้อง”

“เร็วๆๆ ข้าไม่อยากจะเผชิญกับจักรพรรดิผู้นั้นเลยจริงๆ”

จอมกระบี่โต้ตอบกับผู้อาวุโสใหญ่ไปพลาง เคลื่อนเข้าใกล้ดินแดนชนเผ่าไปพลาง ส่วนอัตราเร็วของตงป๋อเสวี่ยอิงและบรรพชนแมลงก็ยิ่งรวดเร็วขึ้นไปอีก

……

จักรพรรดิ

เกาะลอยคว้างแห่งใดๆ กลุ่มชนเผ่ามรณะทมิฬต่างก็มีจักรพรรดิอยู่คนหนึ่ง มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าหวั่นเกรงที่สุดในทั้งเกาะลอยคว้าง และถือครองทรัพยากรที่ดีที่สุดในเผ่ามรณะทมิฬแต่เพียงผู้เดียว

โดยทั่วไปแล้วมักจะบำเพ็ญอยู่ในห้วงนิทราโดยตลอด! อ้างอิงจากข้อมูลที่จอมกระบี่ให้กับพวกตงป๋อเสวี่ยอิง การบำเพ็ญของบรรดาชนเผ่ามรณะทมิฬโดยทั่วไปแล้วล้วนอยู่ในห้วงนิทรากันทั้งสิ้น

การกลืนกินก็เป็นการบำเพ็ญอย่างหนึ่ง

ดูดซับทรัพยากรอยู่ในห้วงนิทราก็เป็นการบำเพ็ญเช่นกัน

ที่เกาะลอยคว้าง อย่าได้คิดที่จะเอาชนะ ‘จักรพรรดิ’ สักคนหนึ่งซึ่งๆ หน้าเลย! ถ้าหากมีพลังยุทธ์อย่างราชันย์อนธการอมตะและจักรพรรดิเซี่ยอาจจะยังสามารถพอสูสีกันได้ แต่สิ่งที่พวกตงป๋อเสวี่ยอิงคิดก็คือสามารถคว้าเอาสมบัติล้ำค่าหนีออกไปจากเกาะลอยคว้างได้ก็นับว่าประสบความสำเร็จแล้ว

“สมควรตาย”

“ถึงกับ… ถึงกับมีผู้บำเพ็ญที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ได้”

“จักรพรรดิ! ปลุกจักรพรรดิสิ!”

“ปลุกจักรพรรดิเร็วเข้า!”

ณ ดินแดนชนเผ่า

‘ระดับอ๋อง’ ที่แกร่งกล้าเป็นที่สุดสามคน ได้แก่ผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสามที่เคลื่อนที่ในพริบตาหลบหนีกลับมา รวมถึงอ๋องฝูซาด้วย หญิงสาวอาภรณ์ดำ‘อ๋องฝูซา’ นับได้ว่าเป็นระดับล่างที่สุดในบรรดาคนทั้งสามแล้ว

พลังยุทธ์ระดับพวกเขานี้จึงจะสามารถฝืนคงสติอันแจ่มชัดเอาไว้ภายใต้เคล็ดวิชาวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิง ทำได้เพียงแค่สำแดงเคล็ดการหลบหนีออกมาเท่านั้น

พวกเขาแต่ละคนพรั่นพรึง เดือดดาล และตื่นตระหนกไม่เป็นสุข

ปลุกจักรพรรดิ!

มีเพียง ‘จักรพรรดิ’ เท่านั้น จึงจะสามารถจัดการศัตรูได้

“ปลุกจักรพรรดิหรือ” อ๋องฉี่ตู้ผู้อยู่ที่ตำหนักผู้อาวุโสมองพวกผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสามที่กลับมาอย่างสะบักสะบอมด้วยความตกตะลึง

“เร็วเข้า” พวกผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสามเร่งฝีเท้ามุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่จักรพรรดินิทราอยู่

“เป็นอะไรไปเล่า ที่แท้แล้วเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่” อ๋องฉี่ตู้ติดตามพวกผู้อาวุโสรองไปพลาง ถามไถ่เหล่าอ๋องคนอื่นๆ อีกสามคนไปพลาง

“ตายแล้ว เหล่าอ๋องที่ไปด้วยกัน มีแค่พวกเราเท่านั้นที่รอดชีวิตมาได้ ท่านอ๋องคนอื่นๆ ตายไปกันหมดแล้ว” สัตว์ประหลาดสี่กีบเท้าสีเทาเงินตนหนึ่งส่งเสียงทุ้มต่ำ

“อะไรนะ อ๋องคนอื่นๆ ตายไปกันหมดแล้วอย่างนั้นหรือ” อ๋องฉี่ตู้ตื่นตระหนก

พลังยุทธ์ของเขานับได้เพียงว่าธรรมดาทั่วไปในบรรดาอ๋องเท่านั้นเอง

ถ้าหากไปด้วยกันน่ะหรือ เกรงว่าก็คงต้องตายกระมัง!

อ๋องฉี่ตู้ทั้งหวาดหวั่นทั้งตื่นตระหนก

“ที่แท้นี่มันเรื่องอันใดกันแน่ เป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ต่อให้เหล่าอ๋องจะกำราบยอดฝีมือไร้เทียมทานที่ใช้กระบี่ผู้นั้นมิได้ ก็ควรจะต้องมีหวังในการรักษาชีวิตเอาไว้ได้สิ” อ๋องฉี่ตู้ถ่ายเสียงเอ่ยถามอย่างกระวนกระวาย เขารู้อยู่ก่อนแล้วว่าจอมกระบี่ร้ายกาจ เหล่าอ๋องควรต้องระแวดระวังจึงจะถูกต้อง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าคราวนี้แม้กระทั่งผู้อาวุโสใหญ่ก็ยังออกไปต่อกรเลย

“เป็นผู้บำเพ็ญระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองผู้นั้น บอกว่าเป็นผู้บำเพ็ญที่มีพลังยุทธ์อ่อนแอที่สุด! เขาต่างหากเล่าที่น่าหวั่นเกรงที่สุด”

“น่าหวั่นเกรง”

เหล่าอ๋องที่โชคดีรอดชีวิตมาได้ เมื่อคิดถึงเขตลวงโลกเทียมอันน่าหวาดหวั่นเคลื่อนใกล้เข้ามา แรงดึงดูดชวนหลงใหลต่างๆ นานา ฉุดลากวิญญาณของพวกเขาเข้าไปในโลกลวงนั้นอย่างบ้าคลั่ง พวกเขาก็รู้สึกหวาดหวั่นแล้ว

พวกเขาก็เพียงแค่คงสติอันแจ่มชัดสายหนึ่งเอาไว้ได้เท่านั้น ถ้าหากเวลายาวขึ้นอีกหน่อยก็อาจจะควบคุมไม่อยู่จนติดกับได้เช่นกัน แม้กระทั่งสติสัมปชัญญะและพลังยุทธ์ที่สามารถแสดงออกมาได้ก็ต่ำเสียจนน่าอนาถ

ปัง…

ผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสามนำทางเหล่าอ๋องคนอื่นๆ อีกสี่คนมาถึงตรงหน้แอ่งน้ำขนาดมหึมาแห่งนั้น ภายในแอ่งน้ำมีของเหลวสีเขียวเข้ม ร่างกายมหึมาสีดำขลับร่างหนึ่งเอนกายอยู่กลางแอ่งน้ำ เพราะในความเป็นจริงแล้วมีขนาดใหญ่เกินไป ผิวกายก็โผล่พ้นผิวของเหลวในแอ่งน้ำออกมา มันอยู่ในห้วงนิทราแต่กลับไม่มีระลอกคลื่นเลยแม้แต่น้อยราวกับร่างไร้ชีวิตอย่างไรอย่างนั้น

อย่างเช่นผู้บำเพ็ญและเหล่าชนพื้นเมืองต่างก็มิอาจรู้สึกได้ถึงความพิเศษของจักรพรรดิที่อยู่ในห้วงนิทราผู้นี้

แต่ผู้ที่เป็นเผ่ามรณะทมิฬเช่นเดียวกันทั้งผู้อาวุโสและเหล่าอ๋องกลับสามารถรู้สึกได้ว่า ‘จักรพรรดิ’ ที่เอนกายอยู่ที่นั่น ซ่อนเร้นพละกำลังอันน่าหวาดหวั่นเพียงใดเอาไว้ภายในกาย ถ้าหากสามารถกินจักรพรรดิลงไปได้ เกรงว่าพวกเขาก็อาจจะสามารถเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นมาได้บ้างกระมัง ด้วยพลังยุทธ์ของพวกเขา เกรงว่าคงจะมิอาจทำลายผิวหนังของจักรพรรดิได้เสียด้วยซ้ำ!

“จักรพรรดิ” พวกผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสามแต่ละคนค้อมศีรษะลงต่ำด้วยความเคารพอย่างที่สุดแล้วเอ่ยปากเรียกจักรพรรดิของพวกเขา!

………………………………………………….

แต่ละฝ่ายในสนามรบห้ำหั่นกัน และกำลังจับตามองสถานการณ์ของทั้งสนามรบ

อ๋องฝูซาหญิงสาวอาภรณ์ดำ…สามารถเทียบเคียงกับท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ซึ่งหน้าได้! ตอนนั้นผู้อาวุโสพ่ายแพ้แล้วจึงจากดินแดนชนเผ่าไป พลังรบไร้ข้อกังขา

ผู้คนเชื่อว่าเป็นเพียงเทพจักรวาลชั้นที่สอง เป็นผู้บำเพ็ญที่มีระดับการคุกคามต่ำที่สุด ส่วนเรื่องที่เทียบเคียงกับอ๋องฝูซาได้น่ะหรือ เรื่องนี้ทำให้แต่ละฝ่ายตื่นตระหนกกันไปหมด

“พวกเราต่อสู้ไปพลาง มุ่งหน้าไปยังดินแดนชนเผ่าไปพลาง” ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้เห็นเหตุการณ์แล้วก็ดีใจใหญ่ ขณะเดียวกันก็ถ่ายเสียงให้แต่ละฝ่าย

“ดี มุ่งหน้าไปยังใจกลางกันเถิด” จอมกระบี่ยังคงผ่อนคลายเป็นอย่างมาก แม้เขาจะมิอาจโจมตีผู้อาวุโสทั้งสองนี้ให้พ่ายแพ้ไปได้ แต่ก็ได้อาศัยกระบี่เล่มนี้พันธนาการผู้อาวุโสที่มีพลังอันน่าหวาดหวั่นทั้งสองคนนี้เอาไว้ได้ ไม่ให้พวกเขาทั้งสองไปลงมือกับคนอื่น

“พลังของเขารึ” อ๋องฝูซาหญิงสาวอาภรณ์ดำออกกระบวนท่าต่อเนื่องกันด้วยความโมโห แต่ละกระบวนท่าของนางล้วนแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย อานุภาพก็ยิ่งใหญ่พอ แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับรู้สึกว่าผ่อนคลายมาก เนื่องจากอีกฝ่ายแค่มีอานุภาพยิ่งใหญ่เกินไปเท่านั้น ความพิสดารที่แฝงเอาไว้กลับเรียบง่ายกว่ามากทีเดียว ตนถึงขั้นสามารถเป็นฝ่ายได้เปรียบบ้างเล็กน้อย

“มหาสมุทรคละถิ่น!”

ตงป๋อเสวี่ยอิงยังแบ่งสมาธิไปสำแดงมหาสมุทรคละถิ่นออกมาอีกด้วย

โครมม…

บริเวณรอบด้านพลันโหมซัดและกดดันเข้ามา บวกกับ ‘พลังแห่งโลกา’ จากดอกบัวเพลิงห้วงอากาศ นี่จึงจะเป็นกระบวนท่าที่มีอานุภาพยิ่งใหญ่ที่สุดที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถสำแดงออกมาได้ ผู้อาวุโสที่มีพลังแข็งแกร่งพอสองคนนั้นก็แล้วไปเถิด แต่เมื่อบรรดา ‘อ๋อง’ คนอื่นๆ ของเผ่ามรณะทมิฬสัมผัสได้ว่าตนถูกกดดันและพันธนาการต่างๆ มากมาย แต่ละกระบวนท่าล้วนแต่ได้รับผลกระทบ พลังก็พลันลดลงเป็นอย่างมากทันที!

แม้มหาสมุทรคละถิ่นที่อยู่ในเกาะลอยคว้างจะมีขอบเขตไม่ใหญ่นัก แต่ปกคลุมทั่วทั้งสนามรบได้ก็เพียงพอแล้ว

ชาวเผ่ามรณะทมิฬเหล่านี้จะหนีออกจากขอบเขตบริเวณก็ง่ายดายมาก เพียงแต่ว่าพวกเขามาก็เพื่อสังหารผู้บุกรุกเหล่านี้! หนีหรือ แล้วจะสกัดกั้นบุกรุกได้อย่างไรกันเล่า

“เขายังอ่อนแออีกหรือ” ในขณะนี้ บรรดาอ๋องทั้งหลายรวมทั้งผู้อาวุโสทั้งสองต่างก็ลอบก่นด่าในใจ

ผู้บำเพ็ญหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวคนนี้ทำให้พวกเขารู้สึกทนรับได้ยากนัก

อย่างท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ผู้นำชนพื้นเมืองออกจะมีกระบวนท่าตรงไปตรงมาอยู่บ้าง แต่กระบวนท่าของหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวคนนี้กลับพิสดารกว่ามากทีเดียว ขณะที่คงบริเวณเอาไว้ ก็ยังคงสามารถจำกัดอ๋องฝูซาหญิงสาวอาภรณ์ดำได้อยู่ดี

“พวกเราไม่สามารถสกัดชนพื้นเมืองเหล่านี้เอาไว้ได้แล้ว”

“บริเวณนี้ทำให้พวกเราสำแดงพลังออกมาได้ไม่หมด”

อ๋องสิบคนที่ล้อมชนพื้นเมืองเอาไว้พากันร้อนใจขึ้นมา

พลพรรคของชนพื้นเมืองในครั้งนี้แข็งแกร่งกว่าที่บรรยายเอาไว้ในรายงานเสียอีก! ก่อนหน้านี้ ‘ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้’ ทำให้ศัตรูงุนงงและเพื่อเคี่ยวกรำคนในเผ่าเป็นหลัก บัดนี้ เผ่ามรณะทมิฬได้โผล่ออกจากรังแล้ว ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ก็ย่อมเรียกตัวยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าซึ่งแอบซ่อนไว้ออกมาอีกสี่คนแล้วสร้างค่ายกลรบขึ้นมาสี่แห่งโดยมียอดฝีมือทั้งสี่เป็นศูนย์กลาง

ค่ายกลรบทั้งสี่ และตัวเขาท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้มีพลังรบแข็งแกร่งกว่าที่อยู่ในรายงานก่อนหน้านี้มากนัก

มนุษย์น้ำแข็งและชนพื้นเมืองยังคงเป็นฝ่ายได้เปรียบ เพียงแต่สามารถรักษาชีวิตเอาไว้ และพยายามมุ่งหน้าไปทางดินแดนชนเผ่าได้

แต่ตอนนี้เมื่อสำแดง ‘มหาสมุทรคละถิ่น’ ออกไป ก็ทำให้ทั้งสองฝ่ายเท่าเทียมกันขึ้นมาทันที!

ทางฝ่ายชนพื้นเมืองมุ่งหน้าไปด้วยความเร็วที่เพิ่มพูนขึ้นทันที!

“ปลุกผู้อาวุโสใหญ่!” ผู้อาวุโสรอง ซึ่งมีร่างกายสูงตระหง่านหาใดเปรียบถ่ายเสียงพูดทันที

“ปลุกผู้อาวุโสใหญ่”

“ปลุกผู้อาวุโสใหญ่”

เนื่องจากเดิมทีที่นี่ก็อยู่ใกล้กับดินแดนชนเผ่ามากอยู่แล้ว เมื่อถ่ายเสียงสองครั้ง ก็ไปถึงหูของท่านอ๋องฉี่ตู้ซึ่งครองดินแดนชนเผ่าผู้นั้นแล้ว

ท่านอ๋องฉี่ตู้ไม่กล้าลังเลเลย เขารีบไปปลุกผู้อาวุโสใหญ่ให้ตื่นทันที

******

ภายในแอ่งน้ำขนาดเล็กแห่งหนึ่งจากสามแห่งรอบแอ่งน้ำขนาดมหึมา ผู้อาวุโสใหญ่กำลังหลับใหล

“ผู้อาวุโสใหญ่ ผู้อาวุโสใหญ่” ท่านอ๋องฉี่ตู้เรียกอยู่ที่นี่ เสียงระลอกคลื่นส่งถ่ายเข้าไปในกายของผู้อาวุโสใหญ่อย่างต่อเนื่อง

ผู้อาวุโสใหญ่ค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นมา

จากนั้นร่างกายของสลายไปราวกับหมอก ก่อนจะรวมตัวกันขึ้นตรงหน้าท่านอ๋องฉี่ตู้

ผู้อาวุโสใหญ่จ้องมองท่านอ๋องฉี่ตู้ด้วยสายตาเยียบเย็น

“ผู้อาวุโสใหญ่” ท่านอ๋องฉี่ตู้ถ่ายเสียงรายงานรอบหนึ่ง “สถานการณ์ของศัตรูก็เป็นเช่นนี้เอง พวกผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสามนำอ๋องสิบเอ็ดคนรวมทั้งอ๋องฝูซาบุกเข้าไปสังหาร ทว่าบัดนี้กลับให้ให้ข้าปลุกผู้อาวุโสใหญ่ เกรงว่าสถานการณ์คงจะพลิกผันขึ้นมา ไม่ทราบว่าต้องปลุกจักรพรรดิด้วยหรือไม่”

“ไม่ต้องหรอก หากศัตรูแข็งแกร่งเกินไปจริงๆ ก็คงไม่ใช่แค่กำชับให้เจ้ามาปลุกข้าหรอก หากไม่ถึงชั่วขณะสุดท้าย ก็ยังไม่ต้องปลุกจักรพรรดิ มิเช่นนั้นแล้วหากจักรพรรดิพิโรธขึ้นมา เฮอะๆ”

“ขอรับ” ท่านอ๋องฉี่ตู้ขานรับ

ผู้อาวุโสใหญ่มองดูท่านอ๋องฉี่ตู้แวบหนึ่งด้วยสายตาเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง จากนั้นก็หายวับไปกลางอากาศราวกับหมอก

ท่านอ๋องฉี่ตู้จึงถอนหายใจคราหนึ่ง

ผู้อาวุโสใหญ่…

หากกล่าวว่าผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสามยังคงเป็นระดับอ๋อง เพียงแต่นับว่าเป็นระดับอ๋องขั้นสุดยอด เช่นนั้นผู้อาวุโสใหญ่ก็ได้บรรลุระดับอ๋องและไปถึงระดับที่สูงกว่าอีกขั้นหนึ่งแล้ว!

เกรงว่าพลังของผู้อาวุโสใหญ่คงจะน่าหวาดหวั่นกว่าผู้อาวุโสทั้งสิบคนรวมกันเสียอีก

……

พวกชนพื้นเมืองห้ำหั่นกับอ๋องทั้งสิบอย่างสูสี ห้ำหั่นไปพลาง มุ่งหน้าไปยังดินแดนชนเผ่าไปพลาง จนมาถึงบริเวณใกล้ๆ

“ใกล้แล้ว จะถึงแล้ว”

พวกชนพื้นเมืองต่างก็ตื่นเต้นหาใดเปรียบ เดิมทีครั้งนี้พวกเขาห้ำหั่นอย่างสุดชีวิต หากล้มเหลว โอกาสที่คิดจะพลิกกระดานก็ต่ำเสียยิ่งกว่าต่ำแล้ว เกรงว่าทั้งเผ่าเซวี่ยเหยียนก็คงจะล่มสลายไปในที่สุด เคราะห์ดี ระหว่างที่พวกเขาเคี่ยวกรำชาวเผ่าอยู่ภายนอก ก็ได้พบกับกองกำลังผู้บำเพ็ญกองหนึ่ง! พลังของกองกำลังผู้บำเพ็ญแข็งแกร่งใช้ได้ทีเดียว

สวบ

จอมกระบี่ ตงป๋อเสวี่ยอิงและบรรพชนแมลงก็ยิ่งผ่อนคลายเข้าไปใหญ่

พลังของจอมกระบี่แข็งแกร่งยิ่งนัก กระบวนท่าก็พิสดารไม่เป็นสองรองใคร กระบี่เล่มหนึ่งต้านทานผู้อาวุโสใหญ่ทั้งสองได้ นอกจากนี้ยังมีหนึ่งหรือสองกระบี่ที่พลัดไปถูกอ๋องฝูซาเข้า ทำเอาอ๋องฝูซาอดสูใจเป็นอันมาก เพราะถึงอย่างไรหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวที่ขับดอกบัวเพลิงสีแดงสดทะยานไปนั้นก็รับมือได้ยากมากทีเดียว ทั้งยังประสบกับการลอบโจมตีที่แข็งแกร่งกว่าของบุคคลผู้ไร้เทียมทานที่ใช้กระบี่

“เฮอะ” ทันใดนั้นเสียงเย็นชาก็ดังก้องขึ้นมา อุณหภูมิของฟ้าดินลดต่ำลงอย่างฮวบฮาบ บนผืนดินมีเกล็ดน้ำแข็งชั้นหนึ่งปกคลุมอยู่ พวกตงป๋อเสวี่ยอิงแต่ละคนรู้สึกใจสะท้านไปหมด กลิ่นอายเยียบเย็นดุจน้ำแข็งระลอกหนึ่งได้รุกคืบเข้าไปในกายของพวกเขาแล้ว

เงาร่างสายหนึ่งปรากฏกายขึ้นกลางอากาศ

เป็นชายชราอาภรณ์ดำซึ่งยืนเอามือไพล่หลังอยู่ ผมของเขาสยายออกไป เขามองดูคนทั้งกลุ่มด้วยสายตาเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง เขาอ้าปากขึ้นแล้วพ่นเมฆสีดำที่ม้วนตัวอยู่ออกมา…

ฟ้าดินเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาล

เขาจมเข้าไปในโลกดำมืด มหาสมุทรคละถิ่นของตงป๋อเสวี่ยอิงเริ่มแหลกสลาย กระจายตัวออกเป็นเสี่ยงๆ ภายใต้ความดำมืดอันไร้ที่สิ้นสุด

“แตก”

ต่อสู้มาจนบัดนี้ จอมกระบี่ที่ทุ่มเทอย่างสุดกำลังเป็นครั้งแรกอย่างแท้จริง ประกายกระบี่อันโดดเด่นสะดุดตาสายหนึ่งเชือดเฉือนจนโลกดำมืดอันไร้ที่สิ้นสุดเกิดเป็นรอยแยกขึ้นมา ในที่สุดโลกดำมืดก็สลายไปตามประกายกระบี่

ชั่วขณะที่ความมืดสลายไปนั้น เบื้องหลังความดำมืดกลับมีเชือกหมอกดำจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมาแล้วพันธนาการไปทางจอมกระบี่อย่างบ้าคลั่ง

“ข้าจะรั้งเขาเอาไว้เอง” จอมกระบี่ก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันเช่นกัน เขามีความรู้สึกเหมือนกำลังเผชิญหน้ากับจักรพรรดิเซี่ยและราชันย์อนธการอมตะ เคราะห์ดีที่แม้อานุภาพของกระบวนท่าของผู้อาวุโสใหญ่จะน่าหวาดหวั่น แต่ก็ยังคงหยาบเกินไป จอมกระบี่ยังสามารถพันธนาการได้อย่างพอถูไถ หากผู้ที่มาคือ ‘จักรพรรดิเซี่ย’ หรือ ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ อานุภาพแข็งแกร่งพอ ระดับความลึกลับยังอาจเป็นฝ่ายได้เปรียบเสียด้วย จอมกระบี่ทำมิได้แม้แต่พันธนาการเสียด้วยซ้ำ

เมื่อเผชิญหน้ากับผู้อาวุโสใหญ่และจอมกระบี่ ก็ทำได้เพียงพันธนาการเท่านั้น!

“ผู้อาวุโสใหญ่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้เชียวหรือ” บรรพชนแมลงตกใจใหญ่

“เฮอะ” ผู้อาวุโสรอง ผู้อาวุโสสามและอ๋องอีกสิบเอ็ดคนกลับดีใจใหญ่ ขณะเดียวกันก็มั่นอกมั่นใจในตนเองเป็นอันมาก

“ทิ้งผู้บำเพ็ญสองคนนี้ไปก่อนร่วมแรงสังหารชนพื้นเมืองเสียก่อน แล้วค่อยลงมือกับพวกเขา” ผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสามถ่ายเสียงบัญชา

“ขอรับ”

ผู้อาวุโสรอง ผู้อาวุโสสาม และอ๋องฝูซาหญิงสาวอาภรณ์ดำบุกสังหารไปทางชนพื้นเมืองพร้อมกัน หมายจะร่วมมือกับอ๋องทั้งสิบท่าน

ตงป๋อเสวี่ยอิงกับบรรพชนแมลงต่างก็ร้อนใจขึ้นมา

บรรพชนแมลงนั้นช่วยไม่ได้ เขามีการรักษาชีวิตอันแข็งแกร่ง วิธีการก็พิสดารกว่าอยู่บ้าง แต่พลังรบก็ยังคงอ่อนแอ!

ส่วนเหล่าผู้แกร่งกล้าชนพื้นเมืองเหล่านั้น พวกเขาควบคุมท่านอ๋องทั้งสิบคนเอาไว้ ทันทีที่พวกเขาจบเห่ แล้วบรรดาอ๋องทั้งสิบคนร่วมมือกันลงมือขึ้นมา ตงป๋อเสวี่ยอิงถามตนเองแล้วก็รู้สึกว่ามิอาจต้านรับได้!

“เสวี่ยอิง ปกป้องพวกเขาเอาไว้” จอมกระบี่ทุ่มเทอย่างสุดกำลัง เขาควบคุมผู้อาวุโสใหญ่ผู้นั้นเอาไว้แล้วถ่ายเสียงด้วยความกระวนกระวาย

“พี่ใหญ่หิมะเหิน ได้แต่ดูอาวุธลับของท่านแล้ว” บรรพชนแมลงก็ถ่ายเสียงพูดเช่นกัน

“ได้สิ”

ก็ไม่มีวิธีอื่นอีกแล้ว

ตงป๋อเสวี่ยอิงที่ยืนอยู่บนดอกบัวเพลิงห้วงอากาศนัยน์ตาหนาวเหน็บ

ปัง…

ระลอกคลื่นอันน่าหวาดหวั่นพลันปกคลุมไปทั่วทุกทิศทุกทาง

ผู้อาวุโสทั้งสองและอ๋องทั้งสิบเอ็ดคนที่ล้อมโจมตีชนพื้นเมืองอยู่ต่างก็ร่างกายสั่นสะท้าน ในจำนวนนั้นมีอ๋องแปดคนที่ล้มลงไปจากกลางอากาศ แต่ละคนสิ้นสติรับรู้ไป

ผู้อาวุโสทั้งสองและท่านอ๋องทั้งสามที่ยังเหลืออยู่ต่างพากันเผยสีหน้าเจ็บปวดและแตกตื่นออกมา สติรับรู้รางๆ สายหนึ่งทำให้พวกเขาเคลื่อนที่ในพริบตาเสียงดังสวบๆๆๆๆ แล้วหนีหายไปหมดทันที…

ทันใดนั้น

ก็เหลือเพียงผู้อาวุโสใหญ่ผู้นั้นแล้ว! ผู้อาวุโสใหญ่ซึ่งเดิมมีพลังสูงเทียมฟ้า พลังก็แข็งแกร่งหาใดเปรียบ ยามนี้กลับเผยสีหน้าตื่นตระหนกออกมา แต่พลังของเขากลับลดลงตลอดอย่างรวดเร็ว จนเหลือเพียงครึ่งหนึ่งของตอนที่เป็นระดับสุดยอกเท่านั้น ส่วนจอมกระบี่และบรรพชนแมลงก็พากันมองไปยังตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ ผลของอาวุธลับดีขนาดนี้เชียวหรือนี่

เรียกได้ว่าหนึ่งกระบวนท่ากวาดล้างทั่วสารทิศจริงๆ!

…………………………………………………..

ตำหนักผู้อาวุโสที่แสนหยาบและอึมครึม

ผู้อาวุโสทั้งสองนั่งอยู่ด้านบน พร้อมกันนั้นเงาร่างสายแล้วสายเล่าก็เหินบินเข้ามาจากด้านนอกอย่างต่อเนื่อง เข้ามาภายในโถงตำหนัก บ้างก็เป็นร่างมนุษย์ บ้างก็เป็นร่างสัตว์ แต่หญิงสาวอาภรณ์ดำ ‘อ๋องฝูซา’ กลับยืนมองทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความเย็นชาอยู่ที่ริมห้อง

“มาอยู่ที่นี่กันหมดแล้ว” ผู้อาวุโสสามที่มีรูปลักษณ์สัตว์ประหลาดสีดำในร่างมนุษย์ นัยน์ตาสีเทามองลงไปเบื้องล่าง

“ผู้อาวุโส”

เงาร่างสิบเอ็ดสายค้อมศีรษะลงทำความเคารพ แม้กระทั่งอ๋องฝูซาหญิงสาวอาภรณ์ดำที่อยู่ด้านข้างก็ยังก้มศีรษะลงน้อยๆ เพื่อแสดงความเคารพ

ผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสามประสานสายตากันคราหนึ่ง

แล้วผู้อาวุโสสามก็เปิดปากเอ่ยว่า “ผู้บุกรุกในครั้งนี้ นอกจากชนพื้นเมืองเหล่านั้นแล้วยังมีผู้บำเพ็ญของดินแดนจิตโลกาด้วย ท่านอ๋องฉี่ตู้คอยอยู่ที่ดินแดนชนเผ่า ฟังบัญชาของข้าและผู้อาวุโสรอง เหล่าอ๋องคนอื่นๆ อีกสิบคนรวมทั้งอ๋องฝูซาก็จะเคลื่อนไหวพร้อมกันกับพวกเรา อ๋องฝูซา… เจ้าคงไม่ปฏิเสธกระมัง”

อ๋องฝูซาหญิงสาวอาภรณ์ดำแย้มยิ้มน้อยๆ พลางเอ่ยว่า “ยินดีที่ได้รับใช้ดินแดนชนเผ่า”

“อืม”

ผู้อาวุโสสามพยักหน้าน้อยๆ

อ๋องฝูซาจัดเป็นระดับสุดยอดในบรรดา ‘อ๋อง’ ตอนนั้นผู้อาวุโสเจิงล้มเหลวในการจัดอันดับ แต่ก็ไม่ยอมจำนนรับการขับออกไป แล้วนำผู้ใต้บังคับบัญชากลุ่มหนึ่งตรงออกไปจากดินแดนชนเผ่า

ถึงอย่างไรอ๋องฝูซาก็เป็นผู้ที่มีพลังรบแข็งแกร่งยิ่งคนหนึ่ง ผู้อาวุโสทั้งสองก็ยังต้องใช้การ

“ในบรรดาผู้บุกรุกมีผู้บำเพ็ญของดินแดนจิตโลกาอยู่ทั้งสิ้นสามคน ผู้ที่ใช้กระบี่ก็คือบุคคลผู้ไร้เทียมทาน ข้ากับผู้อาวุโสรองจัดการพร้อมกัน! ผู้บำเพ็ญสองคนที่เหลือ คนหนึ่งน่าจะเป็นขั้นสุดยอด ส่วนอีกคนหนึ่งน่าจะเป็นเทพจักรวาลชั้นที่สอง ก็ไม่ควรค่าแก่การพูดถึงแล้ว อ๋องฝูซาเจ้าก็มาจัดการสองคนนั้นเถิด

อ๋องคนอื่นๆ ทั้งหมด… รวมพลังกันผลาญทำลายพลพรรคของชนพื้นเมืองให้เร็วที่สุดแล้วค่อยไปช่วยเหลืออ๋องฝูซา!”

“ขอรับ”

รวมทั้งอ๋องฝูซาเข้าไปด้วย ‘อ๋อง’ ทั้งสิบเอ็ดคนก็รับบัญชา

“อย่ามัวเสียเวลาอยู่อีกเลย ผลาญสังหารศัตรูเสียที่นอกดินแดนชนเผ่า! ไป!” ผู้อาวุโสสามและผู้อาวุโสรองยืดกายลุกขึ้นพร้อมกัน

เหล่าอ๋องทั้งหมดหลีกทางออกเป็นสองฝั่งในทันใด

สวบๆ!

ผู้อาวุโสทั้งสองเหินออกไปจากโถงตำหนักในทันใด จากนั้นเหล่าอ๋องคนอื่นๆ อีกสิบเอ็ดคนก็ติดตามไปในทันที

พวกเขาแต่ละคนแปลงกายเป็นหมอกดำที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายแล้วหายลับไปในดินแดนชนเผ่า ตรงไปทำการล่าสังหาร เหลือเอาไว้เพียงแค่ท่านอ๋องฉี่ตู้ผู้นั้นอยู่รักษาดินแดนชนเผ่า

เผ่ามรณะทมิฬอยู่ที่เกาะลอยคว้างก็สามารถหลบหนีและเคลื่อนย้ายได้อย่างสบายๆ ดังนั้นจึงไม่ต้องเป็นกังวลถึงความปลอดภัยของดินแดนชนเผ่าเลย เพราะว่าพวกเขาสามารถกลับมาได้ตลอดเวลา!

……

สวบ สวบ สวบ…

พวกตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังมุ่งหน้าเข้าไปยังดินแดนชนเผ่าด้วยความเร็วสูงสุด

ระหว่างที่เดินทางอยู่ในเกาะลอยคว้างซึ่งเต็มไปด้วยอันตราย ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้แห่งพลพรรคชนพื้นเมืองก็ถ่ายเสียงแจ้งให้ทราบเกี่ยวกับสถานที่อันตรายบางแห่ง

“ปัง”

ทันใดนั้นกลิ่นอายอันน่าหวาดหวั่นพลันเคลื่อนเข้ามา

เงาร่างสิบสามสายปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ ไม่ว่าจะเป็นเคล็ดการเตือนภัยของบรรพชนแมลง การตรวจตราโลกเขตลวงของตงป๋อเสวี่ยอิง หรือว่าการระวังภัยของชนพื้นเมือง ต่างก็ค้นพบได้เมื่อศัตรูปรากฏตัวขึ้นแล้วเท่านั้น!

เงาร่างสิบสามสายนี้ทุกร่างต่างก็แผ่กลิ่นอายอันน่าหวาดหวั่น พวกตงป๋อเสวี่ยอิงและบรรพชนแมลงต่างก็รู้สึกได้ถึงความรู้สึกคุกคามอันแรงกล้า

เงาร่างสองสายที่เป็นผู้นำ

คนหนึ่งมีลักษณะเป็นสัตว์ประหลาดที่ปกคลุมด้วยเกล็ดในร่างมนุษย์ ส่วนอีกคนหนึ่งคือชายชราหลังค่อมที่มีหมอกเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนล้อมรอบ พวกเขาสองคนมีกลิ่นอายยิ่งใหญ่ ล้ำเลิศไร้เทียมทานยิ่งกว่าความรู้สึกที่บรรพชนราตรีนิรันดร์ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกเสียอีก

และเงาร่างสิบเอ็ดสายด้านหลังพวกเขา บ้างก็เป็นรูปร่างมนุษย์ บ้างก็เป็นรูปร่างสัตว์ กลิ่นอายของแต่ละคนยิ่งใหญ่เกรียงไกร หญิงสาวอาภรณ์ดำที่เคยมาโจมตีก่อนหน้านี้เป็นเพียงแค่สมาชิกคนหนึ่งในกลุ่มนี้เท่านั้นเอง

“ระวังด้วย! เป็นผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสามแห่งดินแดนชนเผ่ากับอ๋องสิบเอ็ดท่าน!” ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้สีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวงพลางถ่ายเสียงพูด

“ผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสามหรือ”

ตงป๋อเสวี่ยอิง บรรพชนแมลง และจอมกระบี่ต่างก็หัวใจขมวดรัด

เพราะพลพรรคชนพื้นเมืองที่ให้ความร่วมมือกับพวกเขาอย่างจริงใจเคยบอกพวกเขาเอาไว้ก่อนแล้วว่าผู้ที่น่าหวาดหวั่นที่สุดของดินแดนชนเผ่าแห่งเกาะลอยคว้างนี้ก็คือ ‘จักรพรรดิ’ และผู้อาวุโสทั้งสามที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชา! ผู้อาวุโสใหญ่มีพลังยุทธ์แข็งแกร่งที่สุด รองมาก็คือผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสาม ถัดมาก็เป็น ‘อ๋อง’ แล้ว

“พี่กระบี่ปีศาจ พี่ใหญ่หิมะเหิน นอกจากจักรพรรดิผู้นั้นกับผู้อาวุโสใหญ่ ผู้แกร่งกล้าระดับยอดสุดของเผ่ามรณะทมิฬแห่งเกาะลอยคว้างนี้ดูเหมือนว่าจะแห่กันมาจนหมดสิ้นแล้วล่ะ” บรรพชนแมลงถ่ายเสียงพูด “พวกเราก็นับได้ว่าเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วมากแล้ว มุ่งหน้าตรงมายังดินแดนชนเผ่าพร้อมกับชนพื้นเมืองด้วยความเร็วสูงสุดแล้ว ต่างก็มิได้ถูกสภาวะแวดล้อมที่เป็นอันตรายถ่วงเวลาให้เนิ่นช้าเลย! แต่ก็ยังถูกขัดขวางเอาไว้ล่วงหน้าเสียแล้ว พวกเรามาถึงเกาะลอยคว้าง แต่ก็มิได้ทรัพย์สมบัติอันใดเลย”

“สมบัติล้ำค่าภายในหุบเขาเขี้ยวหักก็มิได้มาได้อย่างง่ายดายถึงเพียงนั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูด

“อ้างอิงตามแผนการ เสี่ยงเถิด” จอมกระบี่ถ่ายเสียง

แต่ไหนแต่ไรพวกเขาก็ไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลยว่าจะสามารถประจัญบานกับเผ่ามรณะทมิฬซึ่งๆ หน้าได้

เมื่อใดที่เผ่ามรณะทมิฬทุ่มเทอย่างสุดกำลังก็ย่อมไม่มีทางต้านทานได้อยู่แล้ว! พวกเขาก็ได้แต่พยายามรักษาชีวิตเอาไว้ ลองเสี่ยงดูสักตั้งว่าจะสามารถคว้าเอาสมบัติล้ำค่ามาได้หรือไม่ ตามปกติแล้วสมบัติล้ำค่าต่างก็อยู่ที่พื้นที่ศูนย์กลางของเกาะลอยคว้าง

“โชคดีนะ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบยินดี

ต่างกันระดับขั้นเดียว โดยทั่วไปแล้วความแตกต่างก็มากมายมหาศาล อย่างเช่นตงป๋อเสวี่ยอิงเอง ถึงแม้ว่าทุกร่างแยกต่างก็เป็นขั้นสุดยอด แต่ร่างแยกทั้งเก้าผสานรวมกับดอกบัวเพลิงห้วงอากาศ ก็ยังมีความแตกต่างกับบุคคลผู้ไร้เทียมทานอยู่ดี!

ถ้าหาก ‘จักรพรรดิ’ ผู้นั้นมาเยือน แค่คนเดียวก็น่าหวาดหวั่นยิ่งกว่าผู้อาวุโสทั้งสองตรงหน้ารวมกับอ๋องทั้งสิบเอ็ดคนเป็นอย่างมาก

……

แต่เซวี่ยเหยียนจี้กลับโบกมือคราหนึ่งในทันใด

เพื่อนร่วมทางทั้งสามคนข้างกายเขาถูกเก็บตัวเข้าไปในทันที พร้อมกันนั้นก็มีเพื่อนร่วมทางสี่คนปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ

ชาวเผ่าที่ปรากฏตัวขึ้นใหม่มีกลิ่นอายแกร่งกล้ากว่ามากอย่างเห็นได้ชัด

“ผู้อาวุโสทั้งสองก็ไล่สังหารลงมาแล้ว ถ้าหากยังต้านทานพวกเราเอาไว้มิได้ เกรงว่าผู้อาวุโสใหญ่ก็จะต้องค้นพบแน่! คราวนี้พวกเราใช้พลังทั้งหมดทั้งมวลของเผ่าเซวี่ยเหยียน ก็ได้แต่ทำสำเร็จเท่านั้น” ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ถ่ายเสียง “พวกเราคือผู้แกร่งกล้าที่เหลืออยู่ทั้งหมดของเผ่าเซวี่ยเหยียนแล้ว ได้รับผลวิญญาณทิพย์มา พวกเรายังมีความหวังที่จะช่วงชิงบ้านเกิดของพวกเรากลับคืนมาได้ มิฉะนั้นเผ่าของพวกเราก็จะแหลกสลายสูญสิ้นไปเหมือนกับโลกแห่งอื่นๆ บางแห่งในประวัติศาสตร์หุบเขาเขี้ยวหัก”

“เสี่ยงชีวิตเต็มที่ก็จะต้องได้รับผลวิญญาณทิพย์มาครองแน่”

“เสี่ยงเลย”

ในดวงตาทั้งสองของบรรดาชนเผ่าเหล่านี้แต่ละคนมีจิตวิญญาณการต่อสู้อันแรงกล้าลุกโชน

ตงป๋อเสวี่ยอิง บรรพชนแมลง และจอมกระบี่ พวกเขาสามคนตกตะลึงอยู่บ้าง ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ผู้นี้เก็บตัวเพื่อนร่วมทางที่อ่อนแอสามคน แล้วปล่อยตัวคนที่แข็งแกร่งกว่าออกมาสี่คนอย่างนั้นหรือ เห็นได้ชัดว่าท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ผู้นี้พกสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ติดตัวเอาไว้ตลอด เกรงว่าภายในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์คงจะเก็บชาวเผ่าเอาไว้ไม่น้อยเลยทีเดียว! ดูจากกลิ่นอายของชนเผ่าเหล่านี้แล้ว แต่ละคนมีกลิ่นอายแกร่งกล้า ดูเหมือนว่าต่างก็มีพลังรบระดับขั้นสุดยอดด้วยกันทั้งสิ้น

นี่ทำให้พวกเขาทอดถอนใจ ขุมอำนาจชนพื้นเมืองในโลกเขี้ยวหักนั้นแข็งแกร่งน่าดูเลยทีเดียว พลังรบระดับจอมเคารพก็มีมากมายถึงเพียงนี้ ทว่าพวกเขากลับไม่รู้ว่านี่คือสุดยอดผู้แกร่งกล้าทั้งหมดที่หลบหนีมาได้ซึ่งเหลือรอดมาจากโลกแห่งหนึ่งในนั้นแล้ว

……

พูดไปก็ยืดยาว

ในความเป็นจริงแล้วเมื่อเผ่ามรณะทมิฬปรากฏตัวขึ้น ทางด้านชนพื้นเมืองก็จะเปลี่ยนแปลงในทันที

การต่อสู้ปะทุขึ้นในทันใด!

“โฮก…” เงาร่างของผู้อาวุโสรองแปรเปลี่ยนเป็นภาพลวง แปรกลายเป็นยักษ์ไอหมอกสีเขียวขนาดมหึมาหาใดเปรียบตนหนึ่ง ยักษ์ตนนี้ร่างกายสูงตระหง่าน เล็บเท่ายังมีขนาดใหญ่กว่าต้นไม้ในบริเวณรอบๆ เสียอีก เขาก้มหน้าลงมาพลันส่งเสียงคำราม ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างห้อมล้อมจอมกระบี่เอาไว้ในทันใด

ทว่าผู้อาวุโสสามกลับคำรามแล้วบุกสังหารเข้ามาในระยะประชิด เขาเต็มไปด้วยเกล็ดสีดำตลอดร่าง หาง และกรงเล็บ ทุกส่วนล้วนเป็นอาวุธอันน่าหวาดหวั่นทั้งสิ้น

โบกมือคราหนึ่ง

ท่อนแขนก็ราวกับใบมีดกรีดผ่านห้วงอากาศ ลำแสงสีดำขลับสายหนึ่งฟาดฟันเข้าใส่จอมกระบี่

“เฮอะ”

จอมกระบี่ยืนอยู่กลางอากาศ ในมือถือกระบี่ยาว กระบี่ยาวกวัดแกว่งคราหนึ่ง

ทั่วทั้งฟ้าดินต่างก็หมุนโคจรขึ้นมาตามกระบี่ยาว ผู้อาวุโสสามและผู้อาวุโสรองดูเหมือนว่าจะมีพลังคุกคามอันอำมหิตยิ่งกว่า แต่กลับได้รับผลกระทบโดยไม่รู้ตัว! ช่วยไม่ได้ นี่ก็เพราะระดับขั้นต่ำเกินไป!

ถึงแม้ว่าจะมีพละกำลังอันแกร่งกล้า แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าจอมกระบี่ที่มีสุดยอดเคล็ดสืบทอดลับ ก็ได้แต่แสดงออกมาอย่างหยาบๆ เสียแล้ว จอมกระบี่ตระหนักรู้สุดยอดเคล็ดสืบทอดลับ วิธีการก็ครอบคลุมอย่างยิ่ง

นี่ก็คือหนึ่งในเหตุผลที่สุดยอดเคล็ดสืบทอดลับนั้นล้ำค่า

อย่างเช่นสุดยอดสมบัติลับล้ำค่า ขั้นสุดยอดก็ได้แต่อาศัยลูกไม้อันลึกลับที่แฝงอยู่ในสุดยอดสมบัติลับล้ำค่ามาสำแดงเท่านั้น ถ้าหากไม่มีเคล็ดวิชาที่แฝงอยู่ก็ไม่มีทางสำแดงออกมาได้!

แต่สุดยอดเคล็ดสืบทอดลับ… สิ่งที่ถ่ายทอดก็คือ ‘วิถี’ ซึ่งครอบคลุมกว่ามาก ถึงขนาดที่สามารถอนุมานเชื่อมโยงไปยังสิ่งอื่นๆ ได้ ซึมซับเข้าไปสู่ร่างกายตน เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วกระบวนท่าที่เชี่ยวชาญก็มากกว่าอยู่มากนัก

“ตายเสีย” อ๋องฝูซาหญิงสาวอาภรณ์ดำวางอำนาจบาตรใหญ่ ตวัดกรงเล็บคราหนึ่งก็ทำให้บรรพชนแมลลอยกระเด็นไป ร่างกายแปรเปลี่ยนเป็นแมลงจำนวนนับไม่ถ้วนกระจายตัวกันออกไป

“พี่ใหญ่หิมะเหิน ศัตรูผู้นี้แข็งแกร่งเกินไป ข้าต้านไม่ไหว” บรรพชนแมลงถ่ายเสียง

“ยกให้ข้าจัดการ”

หลังจากมาถึงเกาะลอยคว้างแล้วตงป๋อเสวี่ยอิงก็ลงมือต่อสู้เป็นครั้งแรก

สวบๆๆๆๆๆ…

ดอกบัวเพลิงห้วงอากาศดอกหนึ่งปรากฏขึ้น บนดอกบัวมีหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวปรากฏตัวขึ้นถึงเก้าคน

ทำให้อ๋องฝูซาหญิงสาวอาภรณ์ดำตกตะลึงแล้วยิ้มเย็นในทันใด “มีจำนวนมากแล้วมีประโยชน์อันใดกันเล่า ทำลายมันให้ข้าเสีย!” กรงเล็บของนางพลันเปลี่ยนเป็นขนาดมหึมา แผ่กลิ่นอายสีดำอันไร้ที่สิ้นสุดแล้วตะปบตรงลงมา

“ปึง”

หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวเก้าคนต่อยหมัดออกมาพร้อมกัน

กำปั้นจำนวนนับไม่ถ้วนกลับปรากฏออกมารวมกัน รวมตัวกันเป็นกำปั้นขนาดมหึมาหลายอัน พลังคละวิถีจำนวนนับไม่ถ้วนในกำปั้นพลุ่งพล่านพรั่งพรู ตามมาด้วยการปะทะ…กำปั้นปะทะเข้าด้วยกันกับกรงเล็บขนาดยักษ์นั้น

หญิงสาวอาภรณ์ดำสีหน้าแปรเปลี่ยน นางอดที่จะตระหนกจนร่างกายร่นถอยหลังไปหลายก้าวมิได้ พละกำลังอันแปลกประหลาดเจาะตรงเข้าไปในร่างกายของนาง

“ผู้ที่อ่อนแอที่สุดในบรรดาผู้บำเพ็ญสามคนอย่างนั้นหรือ” อ๋องฝูซาหญิงสาวอาภรณ์ดำยากที่จะเชื่อได้ “นี่ นี่คือผู้ที่อ่อนแอที่สุดแล้วหรือ เขาคือผู้ที่แข็งแกร่งเป็นอันดับสองในบรรดาผู้บุกรุกคราวนี้ ยากที่จะจัดการยิ่งกว่าหัวหน้าของชนพื้นเมืองนั่นเสียอีก!”

………………………………….

พวกตงป๋อเสวี่ยอิงมุ่งหน้าไปยังสถานที่ตั้งของศูนย์กลางเกาะลอยคว้างพร้อมกับพลพรรคชนพื้นเมืองด้วยความเร็วสูงสุด มีชนพื้นเมืองนำทางก็ทำให้ราบรื่นตลอดทาง

และที่สถานที่อีกแห่งหนึ่ง

ฟึ่บๆๆ…

หมอกดำกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันแปรเปลี่ยนกลายเป็นเผ่ามรณะทมิฬคนแล้วคนเล่า พวกเขามีรูปลักษณ์ดุจสัตว์ประหลาด มีรูปร่างมนุษย์ โดยมีผู้นำคือหญิงสาวอาภรณ์ดำผู้นั้น

“ท่านอ๋อง ผู้บุกรุกเหล่านี้แกร่งกล้ายิ่งนัก”

“ลำพังอาศัยแค่พวกเราก็ต้านเอาไว้ไม่อยู่หรอก!”

พวกเขาแต่ละคนต่างก็มองหญิงสาวอาภรณ์ดำ

กรงเล็บทั้งคู่ของหญิงสาวอาภรณ์ดำตวัดหมุนอย่างเอาแต่ใจ ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเยียบเย็นพลางเอ่ยอย่างเรียบเฉยว่า “ผู้บุกรุกนี้เกินกว่าความสามารถในการต้านทานของพวกเราไปแล้ว พวกเจ้าก็ร่นถอยไปเสียเถิด จำเอาไว้ให้ดี หลีกเลี่ยงพวกเขา อย่าได้ส่งตัวเองไปตายล่ะ! คราวนี้พวกเราสูญเสียอย่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน ข้าจะรายงานเรื่องนี้ขึ้นไป ยกให้เหล่าผู้อาวุโสไปจัดการเถิด”

“ขอรับ ท่านอ๋อง” ผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งหมดก้มศีรษะลงพลางเอ่ยอย่างเคารพ

หญิงสาวอาภรณ์ดำแปลงร่างเป็นหมอกดำในทันใดแล้วกะพริบร่างหายไปอย่างไร้ร่องรอย

บรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาเหล่านี้ก็แปรเปลี่ยนกลายเป็นหมอกดำหนีเข้าไปใต้ดินจนหมดสิ้น

เกาะลอยคว้างก็เป็นสถานที่เกิดของพวกมัน อยู่ที่นี่ พวกมันก็สามารถครองความได้เปรียบอย่างสมบูรณ์คิดจะสู้ก็สู้ คิดจะหนีก็หนี

……

ศูนย์กลางของเกาะลอยคว้างคือภูเขาใหญ่ที่คล้ายถูกขุดเจาะแห่งหนึ่ง ภายในของภูเขาใหญ่ถูกขุดเจาะเป็นโถงตำหนักอย่างหยาบๆ จำนวนหนึ่ง เผ่ามรณะทมิฬสามารถก่อสร้างโถงตำหนักเหล่านี้ออกมาได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว สติปัญญาของเผ่ามรณะทมิฬจำนวนหนึ่งมิได้แตกต่างจากสัตว์อสูรและเดรัจฉานสักเท่าใดนัก สติปัญญาของยอดฝีมือระดับสุดยอดในบรรดาพวกมันเหล่านั้นจึงจะสูงขึ้นมาสักหน่อย

ระดับบนที่เป็นหลักสำคัญอย่างที่สุด สติปัญญาก็สูงที่สุด แต่เมื่อเปรียบเทียบกับผู้บำเพ็ญและชนพื้นเมืองสักเผ่าหนึ่งแล้วก็แตกต่างกันอย่างมากมายเหลือเกิน

ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างกระเพื่อมไหว

หมอกดำกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าระลอกคลื่นที่กำลังกระเพื่อมไหวแล้วรวมตัวแปรเปลี่ยนเป็นหญิงสาวอาภรณ์ดำ หญิงสาวอาภรณ์ดำยืนอย่างเยียบเย็นดุจน้ำแข็งอยู่ที่นั่น

ท่ามกลางระลอกคลื่นกระเพื่อมไหวมีใบหน้าสัตว์ประหลาดดำทะมึนใบหน้าหนึ่งปรากฏขึ้น จ้องมองหญิงสาวอาภรณ์ดำที่อยู่ด้านนอก

“อ๋องฝูซา เหตุใดจึงมาที่ดินแดนชนเผ่าเล่าขอรับ” ใบหน้าสัตว์ประหลาดอัปลักษณ์นั้นส่งเสียง

“ข้ามีเรื่องสำคัญต้องรายงานให้จักรพรรดิทราบ! รีบไปถ่ายทอดคำพูดเร็วเข้า” หญิงสาวอาภรณ์ดำเอ่ยเสียงเย็นชา นางย่อมไม่สนใจที่จะพูดจามากความกับยามรักษาการณ์ผู้นี้อยู่แล้ว

“รายงานให้จักรพรรดิทราบหรือ” ใบหน้าสัตว์ประหลาดนั้นตื่นตกใจ “อ๋องฝูซา ท่านมีเรื่องต้องการรายงานให้จักรพรรดิทราบจริงๆ หรือขอรับ”

“เรื่องพรรค์นี้ข้าจะกล้าโป้ปดหรือไร” หญิงสาวอาภรณ์ดำตะคอก “อย่าทำให้เสียเวลา รีบไปเร็วเข้า”

ใบหน้าสัตว์ประหลาดลังเลเล็กน้อย ถึงแม้ว่าเหล่าเผ่ามรณะทมิฬกลุ่มนี้ของดินแดนชนเผ่าจะไม่เห็นเผ่ามรณะทมิฬที่อยู่ภายนอกอยู่ในสายตาเลย แต่ถึงขนาดที่มีข่าวกล้ารายงานขึ้นไปถึงจักรพรรดิ

หลอกลวงผู้อื่นได้ แต่เกรงว่าก็คงไม่มีผู้ใดกล้าหลอกลวงจักรพรรดิ

พรึ่บ

ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างกระเพื่อมไหวแล้วแยกออกเป็นทางเดินเส้นหนึ่งในทันใด

“ขอเชิญไปรอที่ตำหนักผู้อาวุโสก่อน” สัตว์ประหลาดขนาดยักษ์ที่มีหัวสีแดงเพลิงร่างกายสีดำตนหนึ่งส่งเสียงคำรามต่ำอยู่ข้างๆ

“เฮอะ” หญิงสาวอาภรณ์ดำคร้านจะมองยามรักษาการณ์แล้วเร่งฝีเท้ามุ่งหน้าไปยังตำหนักผู้อาวุโส

ภูเขาใหญ่แห่งนี้กินพื้นที่กว้างขวางอย่างที่สุด ซึ่งก็คือสถานที่ตั้งของศูนย์กลางที่สำคัญอย่างที่สุดของเกาะลอยคว้าง

หญิงสาวอาภรณ์ดำก็มิได้เร่งรีบ เพราะมาถึงตำหนักผู้อาวุโสแล้ว

ตำหนักผู้อาวุโส…

คือโถงตำหนักใหญ่ที่มืดหม่นแห่งหนึ่ง ด้านบนของโถงตำหนักก็มีบัลลังก์อยู่สามอัน และตรงกลางของโถงตำหนักอันแสนหยาบแห่งนี้ก็มีแอ่งน้ำขนาดมหึมาอยู่แอ่งหนึ่ง ของเหลวภายในแอ่งน้ำเป็นสีดำขลับ แต่กลับมีต้นไม้ผลโค้งงออันแปลกประหลาดต้นหนึ่งอกออกมา บนต้นไม้ผลมีผลไม้สองผลเจริญอยู่ เปลือกผลไม้นั้นบางเป็นอย่างยิ่งจนสามารถมองเห็นได้ว่าภายในผลไม้นั้นมีประกายจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังโคจรอยู่

และต้นไม้ผลต้นนี้สูงราวๆ สิบจั้งเศษ ส่วนยอดสุดของต้นไม้ผลกลับมี ‘ดวงตาสีเทา’ อันแปลกประหลาดอยู่ดวงหนึ่ง

ดวงตาสีเทาแผ่แรงกดดันอันไร้รูปร่างกำจายออกมา ทั่วทั้งภายในโถงตำหนักต่างก็เต็มไปด้วยความเงียบงัน

“อ๋องฝูซา ได้โปรดรอสักครู่” ยามรักษาการณ์สองคนด้านนอกตำหนักผู้อาวุโสมองอ๋องฝูซาอย่างเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง

อ๋องฝูซาส่งเสียงเฮอะเยียบเย็นคราหนึ่งพลางยืนคอยอยู่ภายในตำหนักผู้อาวุโสเช่นนั้น

ด้วยอุปนิสัยของนาง หากมิใช่เพราะคราวนี้ผู้บุกรุกมีพลังยุทธ์แข็งแกร่งอย่างที่สุด ต่อให้นางจำเป็นจะต้องรายงาน นางก็คร้านจะมายังดินแดนชนเผ่า พลังยุทธ์ของผู้บุกรุกนั้นสูงถึงระดับที่เพียงพอจะให้ดินแดนชนเผ่าต้องระแวดระวังแล้ว หากไม่รายงานข่าวคราวเช่นนี้แล้วเมื่อใดที่ถูกตรวจพบภายหลัง นางก็จะเกิดเรื่องยุ่งยากใหญ่โตเสียแล้ว

“อ๋องฝูซา ที่แท้มันเรื่องอันใดกันแน่ เจ้าถึงกับต้องรายงานต่อจักรพรรดิ หรือเจ้าไม่รู้ว่าจักรพรรดิกับเหล่าผู้อาวุโสต่างก็กำลังอยู่ในห้วงนิทรา” บุรุษผอมสูงคนหนึ่งเดินเข้ามา เขามีหางเรียวยาวเส้นหนึ่งทอดตัวอยู่บนพื้นดิน บุรุษผอมสูงพูดด้วยรอยยิ้มหยัน “เจ้าคงจะรู้นะว่าการตื่นขึ้นมาจากห้วงนิทรา จักรพรรดิและเหล่าผู้อาวุโสจะเดือดดาลสักเพียงใด หากไม่มีเรื่องที่สำคัญมากพอ เกรงว่ายังจะพาลให้ได้รับการลงโทษด้วย”

“ท่านอ๋องฉี่ตู้ ที่ดินแดนใต้อาณัติของข้าพบผู้บุกรุก” อ๋องฝูซากลับเอ่ยอย่างเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง “ผู้บุกรุกประกอบด้วยพลพรรคชนพื้นเมืองกลุ่มหนึ่งกับผู้บำเพ็ญสามคนของดินแดนจิตโลการ่วมมือกัน

หัวหน้าของพลพรรคชนพื้นเมืองนั้นมีพลังยุทธ์ไม่ด้อยไปกว่าข้าเลย! และมีคนหนึ่งในบรรดาผู้บำเพ็ญสามคนของดินแดนจิตโลกาที่พลังยุทธ์เหนือกว่าข้าเสียอีก อย่างน้อยก็เป็นสุดยอดของระดับอ๋องแล้ว”

“หา” บุรุษผอมสูงเผยสีหน้าตื่นตระหนก “ผู้บุกรุก ยังมีดินแดนจิตโลกาด้วย แล้วอย่างน้อยก็เป็นสุดยอดของระดับอ๋องอย่างนั้นหรือ”

ผู้บำเพ็ญของดินแดนจิตโลกานั้นพบเห็นได้ยากยิ่ง

แม้จะบอกว่าเหล่าเทพจักรวาลของดินแดนจิตโลกามีร่างแยกแล้วอาจจะเข้าไปในส่วนลึกของหุบเขาเขี้ยวหักเพื่อแสวงโชคอยู่บ่อยครั้ง แต่ถึงอย่างไรหุบเขาเขี้ยวหักก็ใหญ่โตเหลือเกิน ในประวัติศาสตร์ของเกาะลอยคว้างแห่งนี้ เผชิญกับผู้บำเพ็ญของดินแดนจิตโลกาน้อยนัก ‘อย่างน้อยก็เป็นสุดยอดของระดับอ๋อง’ ในอดีตก็เคยพบเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น

ที่พวกเขาประสบพบเจอบ่อยที่สุดก็คือเผ่าชนพื้นเมือง!

“รู้แล้วกระมังว่าผู้บุกรุกมีพลังยุทธ์ไม่ธรรมดา รีบไปรายงานโดยเร็วที่สุดเถิด” หญิงสาวอาภรณ์ดำพูด

“อย่าได้รีบร้อนนักเลย ไม่ว่าจะเป็นการปลุกผู้อาวุโสหรือว่าปลุกจักรพรรดิต่างก็มิใช่เรื่องธรรมดาทั้งสิ้น ข้ายังต้องปรึกษากับบรรดาอ๋องคนอื่นๆ ก่อน” บุรุษผอมสูงพูด

“ยังต้องปรึกษาอีกหรือ” หญิงสาวอาภรณ์ดำร้อนรนขึ้นมาบ้างแล้ว “รอให้พวกเจ้าปรึกษากันเสร็จ ผู้บุกรุกก็คงใกล้จะมาถึงแล้วล่ะ”

บุรุษผอมสูงเพียงแค่แค่นหัวเราะคราหนึ่ง

‘อ๋อง’ ที่มิใช่ดินแดนชนเผ่าคนหนึ่งย่อมไม่มีสิทธิ์คลางแคลงในการกระทำของดินแดนชนเผ่าอย่างพวกเขาอยู่แล้ว

ดินแดนชนเผ่าจึงจะเป็นผู้ปกครองของทั้งเกาะลอยคว้างแห่งนี้

“เฮอะ” หญิงสาวอาภรณ์ดำได้เห็นเหตุการณ์แล้วส่งเสียงเฮอะเยียบเย็นคราหนึ่ง “ข้าได้แจ้งข่าวให้ทราบแล้ว ถ้าหากเกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นมาแล้วจักรพรรดิตำหนิลงมาก็มิอาจโทษข้าได้นะ”

“วางใจเถิด” บุรุษผอมสูงพูดไปส่งๆ พร้อมกันนั้นก็ถ่ายเสียงส่งข่าวติดต่อกับบรรดาอ๋องคนอื่นๆ ของดินแดนชนเผ่าด้วย

ผ่านการวิพากษ์วิจารณ์ยิบย่อยจำนวนหนึ่ง

ผ่านไปเป็นเวลาชั่วจิบชาหนึ่ง

“ผ่านการหารือกันแล้ว ในบรรดาผู้บุกรุกมีระดับอ๋องขั้นสุดยอดอยู่คนหนึ่ง มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งที่จะเป็นระดับไร้เทียมทานที่ดินแดนจิตโลกาเรียกกัน ปลุกผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสามเดี๋ยวนี้! อย่าเพิ่งปลุกผู้อาวุโสใหญ่กับจักรพรรดิเป็นการชั่วคราวก่อน” บุรุษผอมสูงพูด

“บางทีพลังยุทธ์ของศัตรูยังอาจซ่อนเร้นเอาไว้อีกก็เป็นได้” หญิงสาวอาภรณ์ดำพูด

“ฮ่าฮ่า ก็มิใช่ว่ายังมีพวกเราเหล่าอ๋องอีกมากมายหรอกหรือ หึๆ พวกเราต่างก็ฟูมฟักถือกำเนิดขึ้นมาจากความตายของสิ่งมีชีวิตคละถิ่น และสายโลหิตคละถิ่นเหล่านั้นหลงเหลือเอาไว้… ในร่างกายก็แฝงเอาไว้ด้วยสายโลหิตสิ่งมีชีวิตคละถิ่น” บุรุษผอมสูงแค่นยิ้ม “เทียบกันกับสองชนเผ่า ผู้บำเพ็ญก็อ่อนแอกว่ามากแล้ว อีกทั้งยังอยู่ที่เกาะลอยคว้าง พวกเราถือครองอาณาเขตทั้งหมด ก็เพียงพอที่จะจัดการพวกเขาแล้วล่ะ”

“ผู้บำเพ็ญนั้นค่อยๆ บำเพ็ญขึ้นมาทีละก้าวๆ จากผู้อ่อนแอ การใช้พลังของพวกเขานั้นลึกลับเหลือเกิน ข้ารู้สึกว่าอย่างน้อยก็ควรต้องปลุกผู้อาวุโสใหญ่นะ”

“ผู้อาวุโสทั้งสองท่านต่างก็เป็นระดับอ๋องขั้นสุดยอด พวกเราดินแดนชนเผ่าระดับอ๋องกลุ่มหนึ่ง… ถ้าหากต้านไม่อยู่แล้วค่อยปลุกผู้อาวุโสใหญ่ก็ยังไม่สายเกินไปหรอก”

บุรุษผอมสูงพูดยิ้มๆ “เจ้าก็คอยอยู่ที่นี่เถิด ข้าจะไปปลุกผู้อาวุโสทั้งสองท่าน”

ในเวลาเดียวกันกับที่บุรุษผอมสูงเดินออกจากตำหนักผู้อาวุโสนั้นเอง…

เงาร่างสายหนึ่งก็เคลื่อนเข้ามาอย่างรวดเร็ว

“เร็วๆๆ มีผู้บุกรุก ผู้บุกรุกผ่านบริเวณรอบนอกเข้ามาแล้ว ช่างรวดเร็วยิ่งนัก มาถึงดินแดนชนเผ่าอย่างรวดเร็วเหลือเกิน” บุรุษเขาเดี่ยวที่สวมอาภรณ์ดำส่งเสียงคำราม เขาก็คือท่านอ๋องคนหนึ่งที่รับผิดชอบรักษาการณ์อยู่ที่รอบนอกสุดของดินแดนชนเผ่า “มีผู้บำเพ็ญของดินแดนจิตโลกาคนหนึ่งที่พลังยุทธ์แข็งแกร่งอย่างที่สุด เป็นระดับอ๋องขั้นสุดยอด ระดับเดียวกันกับผู้อาวุโสเลยทีเดียว”

“อะไรกัน รวดเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ” บุรุษผอมสูงตกตะลึง

หญิงสาวอาภรณ์ดำภายในตำหนักผู้อาวุโสได้ยินแล้วก็ตะโกนขึ้นในทันใด “ท่านอ๋องฉี่ตู้ ข้าบอกแล้วว่าให้ท่านเร็วหน่อย ดูสิ ไล่สังหารมาจนจะถึงดินแดนชนเผ่าแล้ว”

ท่านอ๋องฉี่ตู้บุรุษร่างผอมสูงไม่พูดอะไรมากอีก แปลงเป็นหมอกดำแล้วไปพบผู้อาวุโสอย่างรวดเร็ว

ณ ส่วนลึกของชั้นล่างของภูเขาสูงแห่งนี้

ที่นี่มีแอ่งน้ำขนาดมหึมาอยู่แอ่งหนึ่ง ภายในแอ่งน้ำมีของเหลวสีเขียวเข้มอยู่ ร่างกายมหึมาดำขลับร่างหนึ่งเอนตัวอยู่ในของเหลวสีเขียวเข้ม เป็นเพราะร่างกายใหญ่โตเหลือเกินจึงมีบางส่วนที่โผล่พ้นผิวน้ำออกมา

และรอบๆ แอ่งน้ำนี้ยังมีแอ่งน้ำขนาดเล็กสามแอ่งเชื่อมต่อกันอยู่

ภายในแอ่งน้ำขนาดเล็กทั้งสาม แต่ละแอ่งก็มีร่างเอนอยู่ร่างหนึ่ง

“ผู้อาวุโสรอง ผู้อาวุโสสาม”

ท่านอ๋องฉี่ตู้บุรุษร่างผอมสูงมาถึงที่นี่แล้วก็ถ่ายเสียงพูดในทันที ระลอกคลื่นสายแล้วสายเล่าแทรกเข้าไปยังร่างที่เอนกายอยู่ภายในแอ่งน้ำขนาดเล็กสองแห่งในนั้นอย่างต่อเนื่อง

เพียงไม่นาน

แอ่งน้ำขนาดเล็กสองแอ่งนั้นก็กระเพื่อมไหว ร่างกายสองร่างต่างก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา

พรึ่บ พรึ่บ

ร่างกายทั้งสองกลายเป็นหมอกดำหายลับไป จากนั้นก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าท่านอ๋องฉี่ตู้บุรุษร่างผอมสูง

“อ๋องฉี่ตู้ มาปลุกพวกเราด้วยเรื่องอันใดกัน” ผู้อาวุโสทั้งสองท่านมองดูอ๋องฉี่ตู้

ท่านอ๋องฉี่ตู้ค้อมกายเล็กน้อยพลางเอ่ยว่า “มีผู้บุกรุก ผู้บุกรุกคือพลพรรคชนพื้นเมืองกลุ่มหนึ่งกับผู้บำเพ็ญของดินแดนจิตโลกาสามคน ในบรรดาผู้บำเพ็ญสามคนของดินแดนจิตโลกามียอดฝีมือที่ใช้กระบี่ผู้หนึ่ง พลังยุทธ์คาดว่าน่าจะเป็นระดับอ๋องขั้นสุดยอด ระดับขั้นของผู้บำเพ็ญสูงส่งยิ่งนัก พวกเรามิได้ห่วงตัวเอง แต่เกรงว่าจะไม่สามารถต้านทานพวกเขาได้ขอรับ”

……

และที่อีกด้านหนึ่ง

พวกตงป๋อเสวี่ยอิงสามคนกับพลพรรคชนพื้นเมืองเพิ่งจะกำราบเผ่ามรณะทมิฬที่ลอบโจมตีเข้ามาราวกับไม้ไผ่หักๆ กลุ่มหนึ่งได้ เผ่ามรณะทมิฬกลุ่มนี้คงจะไม่รู้ถึงพลังยุทธ์ของพวกเขากระจ่างสักเท่าใดนัก ด้วยพลังยุทธ์ของจอมกระบี่ก็สามารถสังหารเผ่ามรณะทมิฬห้าคนได้อย่างง่ายดาย ทำให้ร่างกายของเผ่ามรณะทมิฬสิบสองคนแหลกสลาย เผ่ามรณะทมิฬคนอื่นๆ ที่มีอยู่ก็หลบหนีไปในทันที

“พวกเรารวดเร็วใช้ได้เลยทีเดียว น่าจะมีเผ่ามรณะทมิฬจำนวนมากที่ยังไม่รู้ข้อมูลเกี่ยวกับพวกเรา เร็วเข้า ใกล้จะถึงดินแดนชนเผ่าที่เป็นแก่นสำคัญที่สุดของเผ่ามรณะทมิฬแล้ว” พลพรรคชนพื้นเมืองแต่ละคนรอคอยอย่างตื่นเต้น ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ผู้นั้นก็ถ่ายเสียงพูดกับพวกตงป๋อเสวี่ยอิงสามคน “พวกเราไล่ล่ามาถึงดินแดนชนเผ่าด้วยความเร็วสูงสุด พวกเจ้ามองเห็นสมบัติล้ำค่าที่พวกเจ้าต้องการแล้วก็คว้าเอามาโดยเร็ว เอามาได้แล้วพวกเราก็จะจากไปโดยเร็วที่สุด”

“เข้าใจแล้ว”

พวกตงป๋อเสวี่ยอิงก็คาดหวังรอคอยขึ้นมา ใกล้จะถึงดินแดนชนเผ่าที่เป็นแก่นสำคัญที่สุดแล้วหรือ

ใบหน้าหมอกดำขนาดมหึมานั้นกลับทะยานตรงไปทางท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ที่อารมณ์ดีมาตลอดผู้นั้น

“ตู้ม!” ผิวกายของท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้กลับมีเปลวเพลิงพวยพุ่งขึ้นมา กลิ่นอายก็ปะทุขึ้น หมัดหนึ่งของเขาต่อยออกไป อากาศเบื้องหน้ากลับถูกแผดเผาจนบิดเบี้ยวไปหมด ใบหน้าหมอกดำกลับก่อตัวขึ้นเป็นสาวน้อยชุดดำคนหนึ่ง สาวน้อยชุดดำต้านทานการโจมตีของเปลวเพลิงเอาไว้แล้วบุกตรงไปเบื้องหน้าท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ จากนั้นกรงเล็บหนึ่งก็ปกคลุมเข้าไปทันที

มือทั้งคู่ของสาวน้อยชุดดำคนนี้กลับดำทะมึนและใหญ่โต ทั้งยังคมกริบราวกับมีด

ยังมีเผ่ามรณะทมิฬอีกยี่สิบกว่าคนที่ล้อมโจมตีไปทางยอดฝีมือชนพื้นเมืองคนอื่นๆ ยอดฝีมือชนพื้นเมืองเหล่านี้ก่อตัวขึ้นเป็นค่ายกลรบอันหนึ่งเพื่อรับมือศัตรูทันที

……

ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับเป็นผู้ที่สบายที่สุดในที่นั้น เขาไม่รีบร้อนลงมือ หากแต่มองดูสถานการณ์การต่อสู้อย่างสบายอกสบายใจ

“ท่านชายชนพื้นเมืองผู้นี้ หากพูดถึงอานุภาพแล้วสามารถบีบบังคับบุคคลผู้ไร้เทียมทานได้ ทว่ากระบวนท่ากลับหยาบกร้านกว่ามาก ห่างชั้นกับผู้บำเพ็ญอยู่มากโข” ตงป๋อเสวี่ยอิงวิเคราะห์ อานุภาพของพละกำลังแข็งแกร่ง แต่ด้านความเร้นลับของกฎเกณฑ์กลับบกพร่องมากยิ่งนัก ควรจะเทียบกับพลังสองถึงสามส่วนของของบรรพชนราตรีนิรันดร์

ส่วนผู้ใตับังคับบัญชาคนอื่นๆ อีกสิบห้าคน แต่ละคนกลับไม่อ่อนแอเลย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่ายกลรบที่ทั้งสามคนร่วมกันสร้างขึ้นมา ค่ายกลรบที่อ่อนแอที่สุดก็มีพลังรบขั้นสุดยอดแล้ว ส่วนที่แข็งแกร่งที่สุดก็บีบบังคับระดับท่านชายผู้นั้นได้โดยตรง

“มิน่าเล่าจึงกล้ามายังเกาะลอยคว้าง พลังของกองกำลังนี้แข็งแกร่งนัก ทว่าจอมกระบี่เพียงคนเดียวก็เพียงพอจะกดดันพวกเขาได้แล้วกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงคิด

เผ่ามรณะทมิฬทั้งห้าตนบุกสังหารเข้ามาทางพวกตน

อาภรณ์สีดำของบรรพชนแมลงปาถัวเฉินกลายเป็นแมลงจำนวนนับไม่ถ้วนห้อมล้อมเผ่ามรณะทมิฬผู้นั้นเอาไว้ เพียงแต่ครั้งนี้ใช้ไม่ได้แล้ว ชายชราอาภรณ์ดำหน้าตาอัปลักษณ์เป็นผู้นำของเผ่ามรณะทมิฬ ร่างกายของเขาบิดเบี้ยวแล้วแปรเป็นศีรษะสีดำขนาดมหึมาอ้าปากกว้าง ปากมหึมากลืนแมลงอันแน่นขนัดทั้งหมดลงไปในคำเดียว

แมลงจำนวนนับไม่ถ้วนดิ้นรนอีกครั้ง

หลังจากปากของศีรษะมหึมานั้นปิดลง ศีรษะจำนวนนับไม่ถ้วนก็บิดเบี้ยวไปอย่างไม่หยุดหย่อน แล้วล้อมมฃ“เอ๊ะ” นัยน์ตาของบรรพชนแมลงปาถัวเฉินมีแววเหี้ยมเกรียมกะพริบวาบขึ้นมาปีกทั้งสองขยับไหวแล้วบุกเข้าไปสังหาร

สวบๆๆๆ…

เงาร่างอีกสี่สายล้วนพุ่งตรงไปทางจอมกระบี่และตงป๋อเสวี่ยอิง

“เฮอะ”

จอมกระบี่กลับส่ายศีรษะเบาๆ เขามองออกว่า ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่ามรณะทมิฬนี้ก็คือผู้ที่เซวี่ยเหยียนจี้ประมือด้วยนั่นเอง ทั้งห้าตนที่ล้อมโจมตีพวกเขาอยู่นี้ แม้จะนับว่าร้ายกาจนัก แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าจอมกระบี่ก็ยังคงไม่พอดูอยู่ดี

“ฟึ่บๆๆ…” ประกายกระบี่งดงามแพรวพราว ราวกับเส้นแสงสายแล้วสายเล่ากลางอากาศ กวาดผ่านเผ่ามรณะทมิฬแต่ละคนไป

ประกายกระบี่ของจอมกระบี่นุ่มนวลมาก

เหมือนเขาคิดจะอาศัยมันเพื่อให้รู้พลังของเผ่ามรณะแต่ละคนอย่างแน่ชัด

แต่ร่างกายของเผ่ามรณะทมิฬเหล่านี้ก็ยังคงถูกประกายกระบี่เชือดเฉือน บ้างก็กลายร่างเป็นไอหมอกหนีเข้าไปในผืนดินอย่างรวดเร็วด้วยความแตกตื่น บางตนที่อ่อนแอหน่อยก็หนีไม่ทันและต้องสูญสลายไปปอย่างแท้จริง

เพียงพริบตาเดียว เผ่ามรณะทมิฬทั้งสี่ตนก็สิ้นใจไปสอง และอีกสองคนก็อันตรธานหนีหายไป

ส่วนศีรษะขนาดมหึมาที่พันธนาการแมลงจำนวนนับไม่ถ้วนเอาไว้ เห็นเข้าก็ตกใจเสียจนสะดุ้ง มันก็เริ่มทนไม่อยู่แล้ว จากนั้นก็สลายตัวไปเอง กลายเป็นหมอกดำแทรกซึมลงไปในผืนดิน หนีไปเองเลยหรือนี่!

“อ๊าก”

“ไม่ ไม่…

“ไปตายเสียเถอะ”

ขณะที่ทางพวกตงป๋อเสวี่ยอิงรับมืออย่างสบายๆ นั้น ทางด้านชนพื้นเมืองถูกเผ่ามรณะทมิฬโจมตีเป็นหลีก ภายใต้การล้อมโจมตีของเผ่ามรณะทมิฬยี่สิบกว่าตน ทางฝ่ายชนพื้นเมืองกลับมีค่ายกลรบสองแห่งที่ทลายลงแล้ว ค่ายกลรบสองแห่งก็คิดเป็นหกคน บ้างก็ได้รับบาดเจ็บจนบาดเจ็บสาหัสและสิ้นใจไป ส่วนบางคนก็ปะทุออกมาท่ามกลางความบ้าคลั่ง

“แตก” ชนพื้นเมืองคนหนึ่งกำลังตกอยู่ท่ามกลางความบ้าคลั่ง กลิ่นอายเหนือผิวกายพลันทะยานขึ้นเป็นอันมาก พลังที่ออกกระบวนท่าก็เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก บรรลุถึงระดับขั้นขั้นสุดยอดทันที ความสามารถในการรักษาชีวิตก็เพิ่มพูนขึ้นเป็นอย่างมาก

“ฟิ้ว!”

จอมกระบี่เห็นเข้าก็ขมวดคิ้ว ค่ายกลรบสองแห่งนั้นสลายตัวได้รวดเร็วเกินไปแล้ว เขายังช่วยไว้ไม่ทัน จากนั้นก็โบกมือแล้วนำกระบี่เทพออกมา

ประกายกระบี่วาดข้ามท้องฟ้า โจมตีเผ่ามรณะทมิฬตนแล้วตนเล่า

อานุภาพที่จอมกระบี่ออกกระบวนท่านั้นเหมือนจะอ่อนแอกว่า ‘ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้’ อยู่บ้าง แต่กระบวนท่าพิสดารไม่เป็นสองรองใคร ผลที่ได้ก็น่าหวาดหวั่นยิ่งกว่า ตัวผู้บำเพ็ญเองมีข้อได้เปรียบมากเรื่องกระบวนท่าอันพิสดาร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจอมกระบี่ยังฝึกฝนสมบัติลับอันสูงส่งอีกด้วย

“ถอย”

สาวน้อยชุดดำที่ห้ำหั่นกับท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้เห็นเข้า ก็เปล่งเสียงกรีดร้องแหลมสูงทันที

ฟิ้วๆๆ…

เผ่ามรณะทมิฬท้้งหมดกลายเป็นหมอกดำแทรกตัวเข้าไปใต้ดินหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว หากพูดถึงความสามารถในการหลบหนีแล้ว ผู้มาจากภายนอกไม่มีทางสู้สิ่งมีชีวิตภายในเกาะลอยคว้างอย่างเผ่ามรณะทมิฬ ได้เลย เผ่ามรณะทมิฬอยู่ที่นี่สามารถเคลื่อนที่ในพริบตาได้สบายๆ และทะลุพื้นดินไปได้ง่ายๆ อีกทั้งพวกตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิอาจเคลื่อนที่ในพริบตาหรือท่องผืนดินได้ นอกเสียจากพลังจะแข็งแกร่งอย่างยิ่งจนสามารถสังหารเผ่ามรณะทมิฬได้ในระยะเวลาสั้นๆ มิเช่นนั้นแล้ว การจะสังหารเผ่ามรณะทมิฬคนหนึ่งก็ยากมากทีเดียว

“เผ่ามรณะทมิฬถอยแล้ว”

“พวกมันไปแล้ว”

ทางด้านชนพื้นเมืองถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เพียงแต่บรรยากาศกลับเศร้าโศกอยู่บ้าง

เนื่องจากภายในชั่วพริบตาสั้นๆ พวกเขาก็เสียสหายไปถึงสี่คนด้วยกัน

“จอมเคารพกระบี่ปีศาจ ขอบคุณที่ท่านลงมือ มิเช่นนั้นแล้วครั้งนี้ความเสียหายคงจะมากกว่านี้อีก” ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้เดินเข้ามา เขาพูดด้วยความซาบซึ้งใจ ขณะเดียวกันสายตาที่มองไปทางจอมกระบี่ก็แตกต่างออกไปแล้ว สายตาของผู้ใต้บังคับบัญชาคนอื่นๆ ของเขาที่มองไปยังจอมกระบี่แฝงไว้ด้วยความเคารพ เห็นได้ชัดว่าปรองดองกับพวกตงป๋อเสวี่ยอิงขึ้นมากทีเดียว

ก่อนหน้านี้พวกเขาเชื่อว่า ระหว่างผู้ที่น่าสงสัยว่าจะเป็นขั้นสุดยอดทั้งสองคน อาจจะมีบุคคลผู้ไร้เทียมทานอยู่ก็เป็นได้

นี่ก็เป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น!

บัดนี้เพิ่งผ่านไปเพียงศึกเดียวเท่านั้น…ให้พวกเซวี่ยเหยียนจี้ได้รู้เสียบ้างว่า พลังของผู้ที่มีนามว่า ‘จอมเคารพกระบี่ปีศาจ’ ผู้นั้น เหนือกว่า ‘ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้’ ผู้แข็งแกร่งที่สุดที่ยังหลงเหลืออยู่น้อยนิดในโลกเซวี่ยเหยียนเสียอีก เกรงว่าพลังคงจะเป็นระดับไร้ศัตรูแล้ว

ผู้ช่วยระดับนี้ แน่นอนว่าพวกเขายิ่งต้องผูกสัมพันธ์ให้ดีเข้าไว้! เมื่อเป็นเช่นนี้ ความหวังที่พวกเขาจะได้ผลวิญญาณทิพย์มาก็เพิ่มสูงขึ้นแล้ว

‘จอมเคารพกระบี่ปีศาจ’ เป็นระดับไร้ศัตรู บรรพชนแมลงผู้นั้นก็มีวิธีการแปลกประหลาด มิอาจรับมือได้ง่ายๆ ส่วนมหาเคารพหิมะเหิน หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวผู้นั้น พวกเขาต่างก็รู้ว่าผู้ที่สำเร็จเป็น ‘มหาเคารพ’ ในดินแดนจิตโลกาล้วนแต่เป็นเพียงเทพจักรวาลระดับชั้นที่สองเท่านั้น คงจะเป็นผู้ที่อ่อนแอที่สุดในบรรดากองกำลังทั้งสามคน

“ในเมื่อพวกเราเคลื่อนไหวด้วยกันทั้งที เป็นสหายร่วมทาง ก็ย่อมต้องลงมือช่วยเหลือกัน เพียงแต่การลงมื่วยเหลือของข้าช้าไปหน่อยก็เท่านั้นเอง” จอมกระบี่กล่าว

“พลังของพวกเขาไม่เพียงพอ ยังกล้าเสี่ยงอันตรายเช่นนี้อีกรึ” บรรพชนแมลงปาถัวเฉินพูดพลางขมวดคิ้ว “สำหรับท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้แล้ว พลังของพวกเขาคงจะไม่มีส่วนช่วยท่านมากสักเท่าใดหรอกกระมัง ไยต้องให้พวกเขาเอาชีวิตไปมอบให้ด้วยเล่า”

“นี่มิใช่การเอาชีวิตไปมอบให้ นี่คือการเคี่ยวกรำ”

“แม้พวกเราจะสู้จนสังหารได้สี่ตน แต่เฟยอวิ๋นหลินก็ปลุกสายเลือดในตัวขึ้นมาได้สำเร็จ พลังเพิ่มพูนขึ้นเป็นอันมาก”

ชนพื้นเมืองเหล่านั้นกลับคัดค้าน

พวกตงป๋อเสวี่ยอิงฟังแล้ว ก็อดสงสัยขึ้นมาในใจมิได้

พวกเขามิได้ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับชนพื้นเมืองเลย ด้วยการสำรวจ ‘รัฐโบราณคิมหันตวายุ’ ครั้งแล้วครั้งเล่าตลอดคืนวันอันยาวนาน จึงเข้าใจชนพื้นเมืองมากทีเดียว ชนพื้นเมืองนั้นกระจัดกระจายกันอยู่ตามโลกอันเร้นลับแต่ละแห่ง ซึ่งโลกแต่ละใบ…ก็คือหนึ่งเผ่า! เนื่องจากพวกเราสามารถทำให้สายเลือดตื่นรู้แล้วยกระดับพลังได้ ว่ากันว่ามีสายเลือดของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นอยู่

วิธีการตื่นรู้ ในจำนวนนั้นก็มีการเคี่ยวกรำระหว่างความเป็นความตายด้วย!

ภายใต้วิกฤตความตายที่แท้จริงนั้น ความหวังในการตื่นรู้ก็จะเพิ่มขึ้นมากกว่า พลังก็จะสามารถยกระดับขึ้นได้ แต่ว่า ก็มีจำนวนมากที่ล้มลงตรงหน้าความตาย

ดังนั้น…

ผู้เข้าไปในเกาะลอยคว้างเพื่อสู้สุดชีวิตอย่างแท้จริง โดยทั่วไปก็ล้วนแต่เป็นระดับเดียวกันทั้งสิ้น

เช่นกองกำลังทั้งกองที่เข้ามาพร้อมกันนี้ ที่มีพลังแข็งแกร่งก็แล้วไปเถิด ความหวังที่จะรอดชีวิตนั้นสูงมาก อย่างพวกที่พลังอ่อนแอ สามคนร่วมมือกันสำแดงค่ายกลรบ ออกมาก็มีพลังรบขั้นสุดยอดได้อย่างพอถูไถเท่านั้น เมื่อมายังเกาะลอยคว้างก็อันตรายอย่างยิ่งโดยแท้! เหล่าผู้บำเพ็ญของดินแดนจิตโลกามีร่างแยก ไม่กลัวร่างแยกเสียหายก็แล้วไปเถิด แต่โดยทั่วไปบรรดาชนพื้นเมืองก็ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้

“พวกเราเคี่ยวกรำระหว่างความเป็นความตาย” ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้พูดอย่างง่ายๆ ประโยคหนึ่ง “ในเมื่อเลือกการฝึกฝน เช่นนั้นก็ต้องเตรียมตัวตายเอาไว้ให้ดี ครั้งนี้มีจอมเคารพกระบี่ปีศาจอยู่ ระดับความปลอดภัยก็สูงกว่ามากทีเดียว แต่ข้าก็ต้องเตือนพวกท่านเอาไว้! พลังของจอมเคารพกระบี่ปีศาจจะทำให้เผ่ามรณะทมิฬเกรงกลัว เผ่ามรณะทมิฬที่อ่อนแอคงไม่กล้ามาอีก แต่ว่าเกาะลอยคว้างแห่งนี้มีเผ่ามรณะทมิฬอยู่หลายกลุ่ม ยิ่งแข็งแกร่งเท่าไร่ก็ยิ่งอาศัยอยู่ใกล้ใจกลางมากขึ้นเท่านั้น แม้พวกมันจะมีปัญญาธรรมดาสามัญ แต่ก็สามารถติดต่อสื่อสารกันได้”

“พวกเขาล่วงรู้พลังของพวกเรา เช่นนั้นเมื่อมาครั้งหน้า ก็จะอันตรายยิ่งขึ้นไปอีก เกรงว่าพลังของจอมเคารพกระบี่ปีศาจ คงจะมิอาจปกป้องพวกเราได้” เซวี่ยเหยียนจี้กล่าว “สิ่งที่พวกเราสามารถทำได้ก็คือมุ่งหน้าไปให้เร็วที่สุดก่อนหน้าที่พวกเขาจะส่งข้อมูลให้กันและลงมือโจมตีครั้งใหม่”

“ก็ดี ท่านชายพวกท่านเข้าใจเกาะลอยคว้างดีกว่า เช่นนั้นก็รีบมุ่งหน้าไปเถิด” จอมกระบี่กล่าว

“เรื่องจะปล่อยให้เนิ่นช้าไปมิได้ ออกเดินทางกันตอนนี้เลย ความเร็วต้องสูงกว่านี้อีก” ครั้งนี้เซวี่ยเหยียนจี้พาคนจำนวนมากทะยานไปด้วยความเร็วสูง เขาล่วงรู้พลังของทางฝ่ายตงป๋อเสวี่ยอิง จึงไม่กังวลว่าจะตามไม่ทัน

ตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งสามคนยังคงอยู่ด้านหลัง

“ได้ยินสิ่งที่ท่านชายผู้นั้นพูดแล้วหรือไม่ ครั้งนี้กระบี่ปีศาจสำแดงพลังออกมา ครั้งหน้าเมื่อเผ่ามรณะทมิฬปรากฏขึ้น เกรงว่ากระบี่ปีศาจก็คงต้านทานเอาไว้มิได้แล้ว” บรรพชนแมลงปาถัวเฉินถ่ายเสียงบ้าง

“แต่ไหนแต่ไรพวกเราก็คิดไม่ถึงเลยว่าจะสามารถอุกอาจในเผ่ามรณะทมิฬได้ สิ่งที่พวกเราต้องทำ คือเอาชีวิตรอดได้ภายใต้การไล่สังหารในเผ่ามรณะทมิฬก็เป็นอันใช้ได้แล้ว หากได้สมบัติล้ำค่ามาบ้างก็จะดียิ่งขึ้นไปอีก” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูดยิ้มๆ

“เสวี่ยอิง เจ้าเป็นอาวุธลับของพวกเรา อีกประเดี๋ยวเมื่อข้าต้านทานเอาไว้ไม่ได้ ก็ต้องอาศัยท่าไม้ตายของเจ้าแล้ว” จอมกระบี่ถ่ายเสียงพูด

“ท่าไม้ตายนี้จะมีผลเช่นไร อีกประเดี่ยวจึงจะรู้กัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูด

“พี่ใหญ่หิมะเหิน ข้าว่ากองกำลังชนพื้นเมืองกองนี้ พวกเขาเหมือนจะเห็นว่าท่านเป็นคนที่อ่อนแอที่สุดในบรรดาพวกเราทั้งสามคน! พวกเขากลับไม่รู้เอาเสียเลยว่า ข้าต่างหากคือคนที่อ่อนแอที่สุด” บรรพชนแมลงปาถัวเฉินถ่ายเสียงพูดยิ้มๆ พวกเขาอารมณ์ผ่อนคลายมาก

………………………………………….

บุรุษผมสั้นสีแดงผู้มีกลิ่นอายแข็งแกร่งยืนอยู่กลางอากาศ พลางเหลือบมองลงไปยังพวกตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งสามคนที่อยู่เบื้องล่าง ในบรรดาทั้งสามคนนี้ บรรพชนแมลงปาถัวเฉิน แมลงตัวใหญ่ที่มีเค้าร่างมนุษย์มีกลิ่นอายแปลกประหลาด เดิมทีกลิ่นอายของแมลงขั้นสุดยอดก็อุกอาจอย่างน่าประหลาดอยู่แล้ว รับมือมิได้ง่ายๆ เลย! ส่วนจอมกระบี่ ในฐานะผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอดทางด้านวิถีทำลายล้าง ก็ย่อมมีกลิ่นอายเฉียบคมระลอกหนึ่งเป็นธรรมดา ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นมิได้เสแสร้งเลย กลิ่นอายของเขาอ่อนแอที่สุดอย่างเห็นได้ชัด

“ท่านชาย เมื่อตัดสินจากกลิ่นอายแล้ว ในบรรดาผู้มาเยือนทั้งสาม มีสองคนที่น่าสงสัยว่าจะเป็นขั้นสุดยอดขอรับ” บุรุษผมสั้นสีแดงถ่ายเสียงกลับไป “ควรจะรับมือเช่นไรดี”

“มีสองคนที่น่าสงสัยว่าจะเป็นขั้นสุดยอดรึ”

“มีบุคคลผู้ไร้เทียมทานของดินแดนจิตโลกาหรือไม่”

ทันใดนั้นก็มีการถ่ายเสียงมาต่อเนื่องกัน

“บุคคลผู้ไร้เทียมทานที่มีชื่อเสียงที่สุดของดินแดนจิตโลกาเหล่านั้น ไม่อยู่ในนี้ด้วยขอรับ” บุรุษผมสั้นสีแดงถ่ายเสียงตอบ

“รายงานของพวกเราล้วนแต่นานแสนนานมาแล้ว ไม่แน่ว่าขั้นสุดยอดบางคนในดินแดนจิตโลกาอาจจะมีผู้ใดได้รับสมบัติลับอันสูงส่งไปอีกก็เป็นได้! ข้าว่าผู้บำเพ็ญจากดินแดนจิตโลกาทั้งสามคนนี้…พวกเราสามารถผูกสัมพันธ์กับพวกเขาได้ ให้พวกเขาเป็นแรงช่วยของพวกเรา!”

“ระวังเอาไว้หน่อยก็แล้วกัน! ผู้บำเพ็ญจากดินแดนจิตโลกาเหล่านี้มีบางคนที่ร้ายกาจยิ่งนัก อย่างอ๋องสัตว์โลกาและบรรพชนนิจรัตติกาลนั่น ในตำนานกล่าวว่ากลืนกินสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนเลยทีเดียว!”

“พวกเราร่วงลงมาถึงระดับเช่นทุกวันนี้แล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่า ‘เผ่าเซวี่ยเหยียน’ ของพวกเราคงจะต้องดับสลายลงแล้ว! ครั้งนี้พวกเราจะต้องได้ ‘ผลวิญญาณทิพย์’ มา และทำให้พลังของท่านชายยกระดับขึ้นได้อีกครั้ง เมื่อพลังของท่านชายยกระดับขึ้น พวกเราจึงจะสามารถช่วงชิงโลกของพวกเรากลับคืนมาได้ เผ่าเซวี่ยเหยียนของเราจึงจะดำรงอยู่ต่อไปได้! ผลวิญญาณทิพย์มีประโยชน์มหัศจรรย์ต่อพวกเรา แต่สำหรับผู้บำเพ็ญในดินแดนจิตโลกาเหล่านี้ ก็มีประโยชน์ค่อนข้างต่ำ พวกเขาไม่มีทางแย่งชิงสุดชีวิตเพื่อพวกเราหรอก”

“ดี! ผูกสัมพันธ์กับพวกเขาให้ดี เพื่อให้พวกเขากลายเป็นแรงช่วยของพวกเรา อิ่งอี เจ้าไปจัดการพวกเขาเสีย”

“ขอรับ ท่านชาย”

พวกเขาตัดสินใจอย่างรวดเร็ว

พูดแล้วเหมือนจะเชื่องช้า แต่อันที่จริงแล้วกลับถ่ายเสียงพูดอย่างรวดเร็วยิ่งนัก

เงาร่างสายหนึ่งทะยานข้ามท้องฟ้าไปอย่างรวดเร็ว นี่คือสตรีรูปงามผมสีเงินซึ่งสวมเกราะสีเงินเอาไว้ บนเกราะมีลวดลายสีแดง

“เป็นผู้บำเพ็ญจากดินแดนจิตโลกา มิใช่ศัตรูของพวกเรา พี่ใหญ่ไม่จำเป็นต้องตื่นเต้นไปหรอก” สตรีผมเงินพูดกับบุรุษผมแดงประโยคหนึ่งแล้วร่อนลงไป ใกล้พวกตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งสามคน สตรีผมเงินพูดยิ้มๆ ว่า “ข้ามีนามว่าอิ่งอี ครั้งนี้กองกำลังของพวกเราเข้ามาในเกาะลอยคว้างเพื่อเสาะหาสมบัติล้ำค่า แต่ภายในเกาะลอยคว้างมีอันตรายซ่อนอยู่ทุกหนแห่ง เผ่ามรณะทมิฬก็ยิ่งบ้าคลั่ง หากข้าและคนอื่นๆ ร่วมมือกันก็จะสามารถตัดการกับเผ่ามรณะทมิฬได้ และสามารถเดินไปในเกาะลอยคว้างได้ไกลยิ่งขึ้น โอกาสที่จะได้สมบัติล้ำค่ามาก็จะยิ่งใหญ่ขึ้น ทั้งสามท่านรู้สึกว่าอย่างไรบ้าง”

ตงป๋อเสวี่ยอิง จอมกระบี่และบรรพชนแมลงปาถัวเฉินสบตากันไปมา

ภายในโลกหุบเขาเขี้ยวหัก

แม้เผ่ามรณะทมิฬและชนพื้นเมืองต่างก็ใหญ่โตมาก ทว่าชนพื้นเมืองนั้นคล้ายกับผู้บำเพ็ญจากโลกภายนอกมาก ปัญญาก็สูงยิ่งนัก แท้จะมีจิตคิดระวังสิ่งมีชีวิตจากภายนอก แต่ก็ยังคงสามารถร่วมมือด้วยได้! ข้อแตกต่างข้อใหญ่ที่สุดระหว่างชนพื้นเมืองกับโลกภายนอก…ก็คือตำนานที่ว่าภายในกายของพวกเขาล้วนมีสายเลือดของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นอยู่

“ดี หากพูดถึงความเข้าใจเกาะลอยคว้างแล้ว พวกท่านคงต้องเหนือกว่าพวกเราแน่นอน หากสามารถเคลื่อนไหวด้วยกันได้ก็ถือเป็นเรื่องดี” จอมกระบี่เอ่ยปาก

“พวกท่านชายของข้าอยู่ไม่ไกลออกไปนัก เชิญเจ้าค่ะ” สตรีผมเงินยิ้มแล้วนำทางไป

……

ไม่นานนัก

ทั้งสองฝ่ายรวมตัวกันแล้ว แม้พวกตงป๋อเสวี่ยอิงจะเตรียมการเคี่ยวกรำเอาไว้แล้ว แต่สิ่งที่มีไม่ขาดเลยในหุบเขาเขี้ยวหักก็คืออันตราย! สามารถร่วมมือกับชนพื้นเมืองได้ ก็ถือเป็นเรื่องดี อันที่จริงแล้วมีชนพื้นเมืองในโลกบางคน…ที่ไม่ยอมร่วมมือกับผู้บำเพ็ญในดินแดนจิตโลกา

ทั้งสองฝ่ายพบหน้ากัน แล้วสนทนากันอย่างง่ายๆ ครู่หนึ่ง

พวกตงป๋อเสวี่ยอิงก็รู้ว่า ผู้ที่เป็นผู้นำของกองกำลังนี้ก็คือหัวหน้าที่ชื่อว่า ‘เซวี่ยเหยียนจี้’ คนอื่นๆ ล้วนเรียก ‘เซวี่ยเหยียนจี้’ ว่าท่านชาย!

“เผ่ามรณะทมิฬต่างก็มีแดนใต้อาณัติของตนเอง” ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้เป็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่รูปโฉมหล่อเหลาสวมอาภรณ์สีเขียว เขายิ้มพลางพูดแนะนำว่า “พวกเรารุกรานเข้ามาในแดนใต้อาณัติของพวกเขา ก็ต้องประสบกับการลอบโจมตีของพวกเขา แน่นอนว่า หากพวกเราแข็งแกร่งพอ พวกเขาก็จะคร้ามเกรง พวกเราก็จะมุ่งหน้าไปยังใจกลางสุดของเกาะลอยคว้างอย่างต่อเนื่องได้ หากพวกท่านสัมผัสได้ถึงอันตราย ก็สามารถจากไปได้ตลอดเวลา”

“มาที่นี่ก็มิอาจเกรงกลัวอันตรายได้ อย่างมากก็แค่สูญเสียกายหยาบไปร่างหนึ่งก็เท่านั้นเอง” บรรพชนแมลงปาถัวเฉินพูดเสียงแหบแห้ง

“ดี”

ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้กล่าวว่าดีขึ้นมาทันที สมาชิกคนอื่นๆ ในกองกำลังใต้บังคับบัญชาของเขาต่างก็มองมาทางพวกตงป๋อเสวี่ยอิง เหมือนจะปรองดองขึ้นมาไม่น้อยเลยทีเดียว

“ช่างสุขสราญจริงๆ ข้าและคนอื่นๆ อิจฉาผู้บำเพ็ญแดนจิตโลกามาก เพราะพวกท่านมีร่างแยกได้ ต่อให้เป็นอันตรายที่น่าหวาดหวั่นกว่านี้ก็กล้ามุ่งหน้าไปได้” ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้พูดพลางทอดถอนใจ

“ภายในดินแดนจิตโลกาของพวกเรา ผู้ที่มีร่างแยกก็น้อยเสียยิ่งกว่าน้อย” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว

“ก็ยังดีกว่าพวกเราอยู่ดี พวกเราคิดจะบำเพ็ญร่างแยกแต่กลับไม่มีทางให้หนีได้” สีหน้าของท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ซับซ้อน หากมีร่างแยก ก็คงจะไม่ตกต่ำลงมาถึงขั้นทุกวันนี้แล้ว

จอมกระบี่กล่าวว่า “ตอนนี้พวกเราออกเดินทางได้เลยหรือไม่”

“ออกเดินทางกันเถิด ให้พวกเรานำทางดีไหม” ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้เอ่ย

“ได้”

จอมกระบี่ บรรพชนแมลงปาถัวเฉินและตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้คัดค้านแต่อย่างใด

ทั้งสองฝ่ายเคลื่อนพลไปด้วยกัน กองกำลังของพวกท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ทั้งสิบหกคนเดินอยู่ด้านหน้าเพื่อนำทาง ส่วนพวกตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งสามคนเดินอยู่ด้านหลัง ทั้งสองฝ่ายระแวดระวัง เพื่อระวังเผ่ามรณะทมิฬเป็นหลัก

เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปหนึ่งชั่วยามกว่าแล้ว

‘โลกลวง’ ที่พวกตงป๋อเสวี่ยอิงคงเอาไว้หลบหลีกชนพื้นเมืองทั้งสิบหกคนได้อย่างเป็นธรรมชาติ เพื่อป้องกันมิให้เกิดการขัดแย้งกัน หนึ่งชั่วยามกว่านี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับพบว่ามีเผ่ามรณะทมิฬมาเฝ้าดูอยู่รอบๆ มากขึ้น

“พวกท่านสามคนต้องระวัง ก่อนหน้านี้พวกเราเคยประมือกับเผ่ามรณะทมิฬมาก่อน พวกเขารู้ว่าพวกเรารับมือไม่ได้ง่ายๆ! พวกท่านเพิ่งมาใหม่…ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าการลอบโจมตีใหม่จะพุ่งเป้าไปที่พวกท่าน” ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้หันไปพูดกับพวกตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งสามคนที่อยู่ด้านหลัง

“ขอบคุณท่านชาย พวกเราจะระวัง” จอมกระบี่ก็ยิ้มตอบ

พูดยังไม่ทันขาดคำ…

จู่ๆ ก็มีเงาดำหกสายโผล่ขึ้นมาจากพื้นดินแล้วล้อมโจมตีไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง บรรพชนแมลงปาถัวเฉินและจอมกระบี่ทั้งสามคน

มาได้กะทันหันเกินไปแล้ว! เมื่อสัมผัสรับรู้ด้วยโลกเขตลวงได้ เผ่ามรณะทมิฬก็มาถึงแล้ว

“ไสหัวไป!!!”

บรรพชนแมลงปาถัวเฉินตะคอกขึ้นมาทันที ปากของเขาขยายใหญ่ขึ้นอย่างน่าประหลาด เสียงตวาดอย่างโกรธเกรี้ยวแฝงไว้ด้วยระลอกคลื่นอันแปลกประหลาดที่แพร่ออกไป ทำให้เงาดำหกสายถูกระลอกคลื่นกระทบแล้วสั่นสะท้านน้อยๆ นอกจากนี้อาภรณ์สีดำบนร่างของบรรพชนแมลงปาถัวเฉินก็พลันกระจายตัวออกแล้วกลายเป็นแมลงจำนวนนับไม่ถ้วน แล้วแบ่งออกไปล้อมโจมตีเงาดำหกสาย

เงาดำแต่ละสายต่างก็ประสบการโจมตีของแมลงอันแน่นขนัด เงาร่างแต่ละสายล้วนแต่มีรูปร่างเป็นสัตว์ประหลาดผิวหนังสีดำ แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายดำมืดของความตาย

แมลงขั้นสุดยอด…เดิมทีวิธีการก็แปลกประหลาดยากทำนายอยู่แล้ว นับตั้งแต่เจรจากับราชันย์อนธการอมตะเป็นต้นมา พลังของบรรพชนแมลงปาถัวเฉินก็แกร่งกล้าขึ้นไม่น้อยเลยทีเดียว

ฟิ้ว…ฟิ้ว…ฟิ้ว…

เงาร่างทั้งหกสายรู้ว่าท่าไม่ดีเสียแล้ว จึงพากันกลายเป็นหมอกสีดำสลายไปกลางอากาศ

“อาภรณ์สามารถกลายเป็นแมลงมากมายถึงเพียงนั้นได้ด้วยหรือ ลำพังแค่อาศัยแมลง ก็ทำให้เผ่ามรณะทมิฬหกตนนี้ถอยไปได้แล้วอย่างนั้นหรือ” ชนพื้นเมืองทั้งสิบหกเห็นเขาก็ตกตะลึงไปหมด วิธีการของบรรพชนแมลงปาถัวเฉินนั้นไม่เหมือนกับวิธีการปกติทั่วไปที่ผู้บำเพ็ญรู้ นี่ทำให้พวกเขาไม่กล้าดูแคลน ‘บรรพชนแมลงปาถัวเฉิน’ ที่มีหน้าตาค่อนข้างอัปลักษณ์อีกต่อไป

รังแกไม่ได้ง่ายๆ เลย!

“การโจมตีกระบวนท่าหนึ่งของราชันย์อนธการอมตะในตอนนั้น ปาถัวเฉินก็ใช้อาภรณ์ไปสกัดกั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ “อาภรณ์นั้นก็ไม่เสียหายเลยแม้แต่น้อย เป็นสมบัติลับหรือ หรือว่าเป็นแมลงจำนวนนับไม่ถ้วนรวมตัวกัน”

เพราะถึงอย่างไรก็เป็น ‘แมลงขั้นสุดยอด’ ที่แข็งแกร่งที่สุดของดินแดนจิตโลกาซึ่งรวมกับผู้บำเพ็ญ ต่อให้เป็นตงป๋อเสวี่ยอิงและจอมกระบี่ ก็รู้จักปาถัวเฉินน้อยมาก

“ฮ่าฮ่า พลังของบรรพชนแมลงไม่ธรรมดาเลย” ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้พูดยิ้มๆ “ทว่านี่เป็นเพียงการสัมผัสเพื่อให้รู้พลังของท่านเท่านั้นได้ชัดเจนเท่านั้น คนที่เผ่ามรณะทมิฬส่งมาล้วนแต่เป็นลูกน้องที่พลังค่อนข้างต่ำต้อย ผู้ที่แข็งแกร่งจริงๆ ยังไม่ได้เคลื่อนไหว”

จากนั้นกองกำลังก็มุ่งหน้าต่อไป

พวกเขาท่องไปในเกาะลอยคว้างอันกว้างใหญ่ไพศาล ชนพื้นเมืองเหล่านี้เข้าใจอันตรายของสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติได้ดีกว่าตงป๋อเสวี่ยอิง ตลอดทางจึงสามารถหลบเลี่ยงอันตรายแห่งแล้วแห่งเล่าได้อย่างง่ายดาย

“ฮ่าฮ่าฮ่า…”

ใบหน้าอัปลักษณ์ที่ก่อตัวขึ้นจากหมอกดำกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นด้านบน พลางเหลือบมองลงไปยังกองกำลังนี้แล้วเปล่งเสียงหัวเราะอันบาดหูขึ้นมา เสียงหัวเราะนั้นโจมตีตรงไปยังวิญญาณ แฝงไว้ด้วยความชั่วร้ายและแรงอาฆาต!

“มาแล้ว”

ตงป๋อเสวี่ยอิง บรรพชนแมลงปาถัวเฉินและจอมกระบี่ต่างก็สัมผัสได้ถึงแรงคุกคามอันยิ่งใหญ่ของใบหน้าหมอกดำขนสดมหึมากลางอากาศ

ฟิ้วๆๆๆๆๆ…

ทันใดนั้นเงาร่างหลายสิบสายก็โผล่ออกมาจากผืนดิน กว่าแปดส่วนก็คือผู้ที่โจมตีไปทางกองกำลังชนพื้นเมืองทั้งสิบหกคนนั้น เผ่ามรณะทมิฬที่เหลือเพียงห้าคนซึ่ง เป็นเผ่ามรณะทมิฬที่มีเค้าร่างเป็นมนุษย์สามคน และรูปลักษณ์สัตว์ประหลาดอีกสองตนจึงสามารถโจมตีไปทางพวกตงป๋อเสวี่ยอิงทั้ง

สวบ!

บุรุษที่สะพายกระบี่เทพ แมลงตัวใหญ่ในเค้าร่างมนุษย์ที่ห่มอาภรณ์สีดำและหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวคนหนึ่งปรากฏกายขึ้นกลางท้องฟ้าของหุบเขาเขี้ยวหัก

“เทือกเขาทอดยาวต่อเนื่องกัน ไกลสุดลูกหูลูกตา” พวกตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งสามคนเหลือบมองลงไปเบื้องล่าง รู้สึกว่ามิติของเทือกเขาเบื้องล่างบิดเบี้ยว

“ไป ลงไปกันเถอะ”

พวกเขาสามคนทะยานลงไปพร้อมกัน เมื่อเข้าไปใกล้ มิติก็ยิ่งบิดเบี้ยวอย่างน่าประหลาด

ฟิ้ว

ตงป๋อเสวี่ยอิงและบรรพชนแมลงปาถัวเฉินเผยสีหน้าแปลกใจออกมา พวกเขารู้สึกว่าตนเหมือนกับออกจากโลกใบหนึ่งแล้วเข้าไปยังโลกอีกใบหนึ่ง! เนื่องจาก ‘กฎเกณฑ์อันสูงส่ง’ ได้เปลี่ยนแปลงไป! กฎเกณฑ์อันสูงส่งซึ่งเดิมทีปกคลุมทุกหนแห่งของดินแดนจิตโลกา เมื่ออยู่ในส่วนลึกของหุบเขาเขี้ยวหัก กลับกลายเป็นกฎเกณฑ์อันสูงส่งอีกชนิดหนึ่งเสียแล้ว

“น่าประหลาดนัก”

เมื่อพวกตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งสามคนเข้าไปภายในมิติของหุบเขาเขี้ยวหัก เทือกเขาแต่ละแห่งที่เห็นก่อนหน้านี้ล้วนกลายเป็นเกาะลอยคว้างมากมาย!

มืติกว้างใหญ่ไพศาล

เกาะลอยคว้างแห่งแล้วแห่งเล่าลอยคว้างอยู่กลางมิติอันไร้ที่สิ้นสุด

“ในโลกหุบเขาเขี้ยวหัก จะมีก็แต่เกาะลอยคว้างที่มีอันตรายต่างๆ อยู่! อย่างมิติอันไร้ขอบเขตนี้ และโลกต่างๆ ที่ซ่อนเร้นอยู่ ล้วนไม่มีอันตรายแต่อย่างใด” จอมกระบี่ยิ้ม “เกาะลอยคว้างเบื้องหน้าเราแห่งนี้ มีหมายเลขแทนว่า ‘หยินสามเก้าเจ็ดห้า’”

เมื่อรู้จุดอ้างอิง

จอมกระบี่ ตงป๋อเสวี่ยอิงและบรรพชนแมลงปาถัวเฉินต่างก็เคลื่อนที่ในพริบตามุ่งหน้าไปทันที

แม้จะระมัดระวัง แต่เคลื่อนที่ในพริบตาสิบกว่าครั้งก็ไปถึงจุดหมายปลายทางแล้ว

“หยินห้าสองเก้าเก้า” พวกจอมกระบี่ทั้งสามคนยืนอยู่กลางอากาศ พลางมองดูเกาะลอยคว้างขนาดมหึมาตรงหน้า “ถึงแล้ว”

เมื่อประเมินด้วยสายตา เกาะลอยคว้างมีเส้นผ่านศูนย์กลางกว่าสามแสนล้านลี้ ซึ่งนับได้ว่าเป็นเกาะลอยคว้างที่มีขนาดค่อนข้างเล็กของหุบเขาเขี้ยวหักแล้ว

“พวกเจ้าสองคนไม่เคยไปยังเกาะลอยคว้างมาก่อน ข้าขอเตือนอีกครั้งหนึ่งว่า อันตรายของหุบเขาเขี้ยวหักอยู่ภายในเกาะลอยคว้างเหล่านี้” จอมกระบี่พูดอย่างจริงจัง “อีกประเดี๋ยวเข้าไป ก็ทำตามที่พวกเราตกลงกันเอาไว้นะ”

“อื้ม” ตงป๋อเสวี่ยอิงและบรรพชนแมลงปาถัวเฉินก็ไม่กล้าประมาท

ทั้งสามคนแลกเปลี่ยนสายตากัน นัยน์ตาแฝงแววรอคอย

สวบๆๆ!

จากนั้นก็พากันทะยานมุ่งหน้าไปยังเกาะลอยคว้าง

บนเกาะลอยคว้างที่ล่องลอยอยู่ มีเทือกเขาทอดยาวต่อเนื่องกัน หากมองดูจากโลกภายนอก เทือกเขาที่ทอดยาวต่อเนื่องกันนี้เชื่อมต่อกันกับเทือกเขาภายนอก! แต่เมื่อเข้าไปภายใน ‘โลกหุบเขาเขี้ยวหัก’ กลับกลายเป็นภาพที่แปลกพิสดารเช่นนี้

“กลิ่นอายแปลกประหลาดนัก” เมื่อทะยานเข้าไปใกล้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สีหน้าเปลี่ยนแปรไปเล็กน้อย ทั้งเกาะลอยคว้างมีกลิ่นอายที่เยียบเย็นอย่างยิ่งแผ่ซ่านออกมา กลิ่นอายนี้ทำให้เขาไม่สบายใจเอามากๆ

“เอ๊ะ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงและร่างแยกที่โลกภายนอกต่างก็ได้รับผลกระทบ “มิอาจใช้การส่งถ่ายมหาทลายโลกาได้แล้วหรือนี่”

ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาเป็นวิธีการเคลื่อนที่ที่เยี่ยมยอดมาก!

ตามรายงาน ภายในโลกหุบเขาเขี้ยวหัก อย่างภายในโลกอันเร้นลับต่างๆ ที่ชนพื้นเมืองที่ใช้ชีวิตอยู่หรือว่าอากาศอันกว้างใหญ่ไพศาลล้วนแต่สามารถสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาไปถึงได้โดยตรง! ต่อให้ไม่อาศัย ‘ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา’ แล้วเคลื่อนที่ในพริบตาเป็นระยะทางไกลโพ้นไปยังชายแดนก่อน หลังจากทะลุผ่านชายแดนแล้วก็สามารถกลับดินแดนจิตโลกาได้อย่างง่ายดาย

แต่ภายในเกาะลอยคว้างกลับมีพละกำลังอันเร้นลับผลักไสสิ่งกีดขวางออกไป จนมิอาจสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาได้!

“เฮอะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกำหนดจิตคราหนึ่ง บริเวณอากาศก็จะขยายออกไป แต่กลับได้รับการกีดขวางจากพละกำลังอันเยียบเย็นนี้ อาศัย ‘ดอกบัวเพลิงห้วงอากาศ’ ที่พกติดตัวมาจึงสามารถแผ่ออกไปเป็นขอบเขตล้านลี้ได้อย่างพอถูไถ! และมิอาจขยายออกไปได้อีกแล้ว พละกำลังอันเยียบเย็นนั้นกว้างใหญ่ไพศาลไร้ที่สิ้นสุด การกดดันของพละกำลังอันเยียบเย็นนี้ถึงขั้นทำให้เกิดระลอกคลื่นที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าขึ้นมา

“เป็นอย่างไรบ้าง” จอมกระบี่และบรรพชนแมลงปาถัวเฉินต่างก็มองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง

“ถูกขัดขวางอย่างแรงโดยแท้ บริเวณของข้าสามารถคงไว้ได้ที่ล้านลี้เท่านั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูด ขณะเดียวกันก็กำหนดจิตคราหนึ่ง แล้วเขาก็สำแดงโลกเขตลวงออกมา

โลกเขตลวงเป็นการสำแดงพละกำลังของวิญญาณ

“เอ๊ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยสีหน้าแตกตื่นออกมา

โลกเขตลวงถูกขัดขวางก็อ่อนแอลงมากอย่างเห็นได้ชัด ทว่าเนื่องจากมีพละกำลังอันเยียบเย็นอยู่ โลกเขตลวงจึงสามารถปกคลุมได้เพียงสิบแปดล้านลี้เท่านั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้สำแดงวิธีการด้านความปรารถนาและภาพลวงต่างๆ อย่างสุดกำลัง เพราะถึงอย่างไรก็แค่ตรวจดูรอบด้านเท่านั้น แค่พยายามขยายขอบเขตการสำรวจของโลกเขตลวงก็เป็นอันใช้ได้แล้ว!

“เกาะลอยคว้างกดดันวิธีการด้านกฎเกณฑ์ต่างๆ อย่างร้ายกาจนัก” จอมกระบี่ถ่ายเสียงพูด “พวกเราอยู่ที่นี่ ล้วนมิอาจเคลื่อนที่ในพริบตาได้ แต่เมื่อ ‘เผ่ามรณะทมิฬ’ อยู่ในเกาะลอยคว้างกลับมิได้ถูกขัดขวางแต่อย่างใด สามารถเคลื่อนที่ในพริบตาได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นพวกเราจึงเสียเปรียบมาก”

“โลกเขตลวงของข้าถูกกดดันค่อนข้างต่ำ สามารถคงขอบเขตไว้ได้ที่สิบแปดล้านลี้” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูด

“อ้อ” จอมกระบี่และบรรพชนแมลงปาถัวเฉินต่างก็แสดงสีหน้ายินดีออกมา

ขอบเขตสิบแปดล้านลี้ก็นับว่าใหญ่มากแล้ว

“ข้าจะไปตรวจสอบรอบด้าน” บรรพชนแมลงปาถัวเฉินพูดพลางโบกมือคราหนึ่ง ทันใดนั้นแมลงหลายสิบตัวก็บินออกมา แล้วมุ่งหน้าไปทุกทิศทุกทางอย่างรวดเร็ว

……

บรรพชนแมลงปาถัวเฉินส่งแมลงออกไปสำรวจภายนอก ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงโลกเขตลวง ก็ย่อมหลบหลีกบรรพชนแมลงปาถัวเฉินและจอมกระบี่เป็นธรรมดา ส่วน ‘จอมกระบี่’ เป็นผู้ที่มีพลังรบแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาพวกเขาทั้งสามคน! เพราะไม่ว่าจะเป็นตงป๋อเสวี่ยอิงหรือจอมกระบี่ก็ล้วนนำสมบัติลับมาด้วย และเป็นเพียง ‘สมบัติลับระดับยอด’ เท่านั้น ต่อให้พวกเขาโชคไม่ดีสู้จนตัวตายและต้องสูญเสียขึ้นมา พวกเขาก็ทำใจสูญเสียได้!

พวกเขาจำเป็นต้องพกสมบัติลับติดตัวมาด้วย เพราะยิ่งพลังแข็งแกร่งเท่าใด โอกาสที่จะได้สมบัติล้ำค่ามาก็จะเพิ่มขึ้น

“หาทางเจอแล้ว” บรรพชนแมลงปาถัวเฉินนำทางไป เพราะถึงอย่างไรสกุลชางก็เคยมีเทพจักรวาลมาเยือนแล้ว

“ฟิ้วๆๆ…” ไกลออกไปมีไอหมอกสีขาวกลุ่มหนึ่งล่องลอยอยู่

ตงป๋อเสวี่ยอิง บรรพชนแมลงปาถัวเฉินและจอมกระบี่สีหน้าเปลี่ยนแปรไปเล็กน้อย

ตามรายงานของเทพจักรวาลสกุลชางที่สูญเสียร่างแยกที่นี่ ‘หมอกขาวทรงกลม’ บนเกาะลอยคว้างแห่งนี้มีแรงกัดเซาะที่น่ากลัวอย่างยิ่ง เทพจักรวาลที่สัมผัสมันล้วนแต่ต้องสลายไปในพริบตา! ต่อให้สมบัติลับปะทะมัน สมบัติลับก็ต้องแหลกสลายกลายเป็นผุยผงไป! จะเห็นได้ว่าร่างกายของเทพจักรวาลขั้นสุดยอดสัมผัสถูกมัน ก็เกรงว่าคงจะมีผลอย่างเดียวกันคือกลายเป็นผุยผง

เป็นอันตรายอย่างหนึ่งที่น่ากลัวอย่างยิ่งของเกาะลอยคว้าง! แน่นอนว่าขอเพียงสามารถหลบหลีกไปได้ ก็ไม่เป็นไรแล้ว

มุ่งหน้าไปตลอดทาง

เนื่องจากทำได้เพียงบินไปอย่างช้าๆ นานแสนนานจึงทะลุผ่านระยะทางหมื่นล้านลี้ได้ ตลอดทางก็พบ ‘สภาพแวดล้อมอันตราย’ อยู่ตลอด

ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่า สภาพแวดล้อมธรรมชาติที่อันตรายเช่นนี้ อาจจะมิใช่สิ่งที่ ‘หยวน’ จงใจสร้างขึ้นมา เพราะผลของการทดสอบมีจำกัด! อาจจะเป็นสถานที่อันตรายที่ ‘หยวน’ เคลื่อนย้ายเข้ามาก็เป็นได้

“เอ๊ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงหันกลับไปมองทันควัน

“เป็นอะไรไปน่ะ” บรรพชนแมลงปาถัวเฉินและจอมกระบี่ต่างก็สะดุ้งเฮือก

“เผ่ามรณะทมิฬ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดเสียงต่ำ

โลกเขตลวงของเขา พบเผ่ามรณะทมิฬซึ่งมีรูปลักษณ์เป็นสัตว์ประหลาดผิวสีดำเมื่อมทั้งร่าง เผ่ามรณะทมิฬตนนั้นน่าจะแอบจับจ้องเงียบๆ อยู่ไกลออกไป มันเพิ่งจะเข้าไปในขอบเขต ‘โลกเขตลวง’ ของตงป๋อเสวี่ยอิง ก็ต้องถอยหนีไปด้วยความแตกตื่น

“เผ่ามรณะทมิฬเริ่มปรากฏขึ้นมาแล้ว” จอมกระบี่ก็ถ่ายเสียงพูดขึ้น “ในเมื่อพบตนแรกแล้ว เชื่อว่าอีกไม่นานเท่าใดนักก็จะถูกลอบโจมตีเป็นครั้งแรก”

จอมกระบี่พูดพลางชักกระบี่เทพที่สะพายไว้ที่หลังขึ้นมา

เขาถือกระบี่เทพเอาไว้ในมือ สายตาของจอมกระบี่ราบเรียบ เขาเตรียมพร้อมแล้ว

บรรพชนแมลงก็หรี่ตาลง แม้เขาจะส่งเหล่าแมลงออกไปสำรวจ แต่กลับไม่พบเผ่ามรณะทมิฬเลยแม้แต่คนเดียว

……

พวกเขาทั้งสามมุ่งหน้าต่อไป

ตงป๋อเสวี่ยอิงพบเผ่ามรณะทมิฬซ่อนตัวอยู่เป็นครั้งคราว เผ่ามรณะทมิฬเหล่านี้สามารถจำแนกออกมาได้อย่างง่ายดาย เพราะผิวกายของแต่ละตนล้วนแต่มีกลิ่นอายแห่งความตายอันชั่วร้ายแผ่ซ่านออกมา! แต่ละตนที่ตงป๋อเสวี่ยอิงพบนั้น มีผิวหนังสีดำเมื่อมแทบทั้งหมด

“ข้ารู้สึกว่าพวกเขาเหมือนจะกำลังจับตามองเหยื่ออย่างพวกเราอยู่” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูด “ข้าพบเผ่ามรณะทมิฬหกตนที่แตกต่างกันแล้ว ห้าตนมีรูปร่างเป็นสัตว์ประหลาด มีตนหนึ่งที่เป็นรูปร่างมนุษย์ ทั้งยังมีอาภรณ์ห่มคลุมไว้ด้วย”

“เอ๊ะ” ทันใดนั้นบรรพชนแมลงปาถัวเฉินก็มองไปทิศหนึ่งด้วยความตกตะลึง

“เกิดอะไรขึ้น” จอมกระบี่และตงป๋อเสวี่ยอิงพากันสงสัย

“ใครน่ะ!”

เสียงตวาดอย่างโกรธเกรี้ยวดังก้องขึ้นไกลออกไป เงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้นกลางฟากฟ้า แล้วมองไปรอบด้าน นัยน์ตาทั้งคู่ของเขามีเปลวเพลิงอันแปลกประหลาดลุกโชน มองมาแวบหนึ่งก็เห็นพวกตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งสามคนที่แฝงกายอยู่ท่ามกลางแมกไม้

สวบ!

เงาร่างสายนั้นทะยานข้ามระยะทางกว่าร้อยล้านลี้มาอย่างรวดเร็วจนมาถึงกลางท้องฟ้าเหนือพวกตงป๋อเสวี่ยอิง นี่คือบุรุษผมสั้นสีแดงที่มีแววอาฆาตอันรุนแรงคนหนึ่ง เขาเหลือบมองลงมายังพวกตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งสามคน นัยน์ตาแฝงแววระแวดระวัง เขาพูดเสียงต่ำว่า “ผู้บำเพ็ญจากดินแดนจิตโลกาหรือ”

“ชนพื้นเมืองหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงและจอมกระบี่ย่อมจำได้เป็นธรรมดา

“พี่ใหญ่หิมะเหิน พี่กระบี่ปีศาจ ไกลออกไปมีค่ายอยู่แห่งหนึ่ง ที่นั่นมีชนพื้นเมืองถึงสิบหกคนด้วยกัน” บรรพชนแมลงปาถัวเฉินถ่ายเสียงพูด “พวกเขาระมัดระวังเป็นอย่างมาก บรรดาลูกน้องที่ข้าส่งไปเพิ่งจะพบพวกเขาเข้า ก็ถูกพวกเขาสังหารเสียแล้ว”

“น่าจะเป็นทหารรบชนพื้นเมืองซึ่งมายังเกาะลอยคว้างเพื่อเคี่ยวกรำระหว่างความเป็นความตาย” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงคาดเดา

จอมกระบี่กลับพูดยิ้มๆ เสียงดังกังวานว่า “พวกเจ้ามายังเกาะลอยคว้างเพื่อเคี่ยวกรำระหว่างความเป็นความตายหรือ พวกข้ามาที่นี่ก็เพื่อผจญอันตรายเช่นเดียวกัน”

……………………………………..

ไม่นานนัก

บรรพชนแมลงปาถัวเฉินก็เร่งไปถึงเมืองหิมะเหิน พวกเขาทั้งสามคนนั่งลง ตงป๋อเสวี่ยอิงเตรียมอาหารและสุราชั้นเลิศไว้พร้อมสรรพเช่นเคย

“ไปสิ ต้องไปอยู่แล้ว!” นัยน์ตาเยียบเย็นของบรรพชนแมลงปาถัวเฉินแฝงไว้ด้วยความเย็นชาเฉพาะตัวของเหล่าแมลง เพียงแต่ยามนี้กลับมีความตื่นเต้นแผดเผา “ข้าอยากจะไปหุบเขาเขี้ยวหักมาตั้งนานแล้ว เพียงแต่ว่าถามตนเองแล้วรู้สึกว่าพลังอ่อนแอเกินไป ได้มุ่งหน้าไปพร้อมกับพี่ใหญ่หิมะเหินและพี่กระบี่ปีศาจ จะวอนขอก็ยังไม่ได้เลย”

ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดขึ้นว่า “ปาถัวเฉิน ข้าและกระบี่ปีศาจต่างก็มีร่างแยกอยู่ ต่อให้สิ้นใจไปในหุบเขาเขี้ยวหักก็เป็นเรื่องเล็ก แต่เจ้าเล่า”

ร่างกายของบรรพชนแมลงปาถัวเฉินพลันอันตรธานไป แล้วกลายเป็นแมลงจำนวนนับไม่ถ้วนแน่นขนัดไปหมด จากนั้นก็รวมตัวกันขึ้นมานั่งอยู่ตรงนั้น แล้วพูดพลางหัวเราะฮิฮิ “หากพูดถึงพลังแล้ว ข้าอาจจะอ่อนแอกว่าพวกท่านสองคนอยู่บ้าง แต่หากพูดถึงการรักษาชีวิตแล้ว ต่อให้ร่างจริงร่างนี้ของข้าถูกทำลายไป ข้าก็สามารถรอดชีวิตได้เช่นเดียวกัน เพียงแต่ต้องใช้เวลานานหน่อยเท่านั้นเอง! อันที่จริงแล้วข้ามิอาจนับได้ว่าเป็นผู้บำเพ็ญปกติทั่วไปแล้ว แต่ควรนับว่าเป็นแมลงขั้นสุดยอด! ตอนนั้นจักรพรรดิกลืนโลกาไม่ยอมให้ร่างกายหลอมรวมเข้ากับแมลง จนกลายเป็นแมลงไป และต้องรับการผูกมัดของแมลง ท้ายที่สุดกลับต้องทิ้งชีวิตไป…หากเขาสามารถสำเร็จเป็นแมลงขั้นสุดยอดได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ก็คงจะไม่สิ้นใจง่ายๆ เช่นนั้นแล้ว”

“แมลงขั้นสุดยอดหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงและจอมกระบี่ฟังแล้วก็พยักหน้าน้อยๆ

แมลงนั้นถูกบ่มเพาะขึ้นมา ซึ่งการบ่มเพาะแมลงนั้นมิได้ระมัดระวังเหมือนกับการบำเพ็ญ

โดยทั่วไปแล้วการบ่มเพาะนั้นบ้าคลั่งกว่า

เช่นทำให้แมลงน้อยที่อ่อนแอนับแสนล้านตัวเข่นฆ่าและกลืนกินกันเอง เพื่อเฟ้นหาตัวที่แข็งแกร่งที่สุดออกมา ซึ่งนี่จัดเป็นวิธีการคัดเลือกระดับต่ำที่สุด

การให้แมลงกินวัสดุพิเศษต่างๆ เช่นให้แมลงกินสมบัติล้ำค่าที่พบในหุบเขาเขี้ยวหัก! ระหว่างที่ ‘จักรพรรดิกลืนโลกา’ เพาะเลี้ยงแมลงนั้น แม้จะรับรู้เส้นทางกฎเกณฑ์สายนั้นเช่นกัน แต่ทางสายนี้กลับยากลำบากสำหรับ ‘แมลง’ เป็นอย่างยิ่ง แต่แมลงที่ค้นคว้าขึ้นมาก็วิปริตเป็นอย่างยิ่ง

หากเป็นขั้นสุดยอดเหมือนกัน แมลงก็จะบินทะยานได้รวดเร็วกว่าผู้บำเพ็ญทั่วไป! ร่างกายก็น่าหวาดหวั่นยิ่งกว่า! โลหิตหยดหนึ่งอาจจะเป็นพิษที่รุนแรงก็เป็นได้!

ตอนนั้นจักรพรรดิกลืนโลกาค้นคว้าวิธีหลอมรวม ‘แมลงขั้นสุดยอด’ ขึ้นมา แต่แมลงขั้นสุดยอดแต่ละตัวล้วนแต่มีเงื่อนไขเรื่องการหลอมรวมวิญญาณของผู้บำเพ็ญที่จำกัดอย่างยิ่ง…ปาถัวเฉินสามารถหลอมรวมได้สำเร็จ ก็มีส่วนของโชคเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

“ดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า “ปาถัวเฉินมั่นใจว่าจะสามารถรักษาชีวิตได้ก็ดีแล้ว พวกเราไปครั้งนี้ ก็ได้เตรียมตัวตายเอาไว้แล้ว!”

“อื้ม” จอมกระบี่พยักหน้า “พวกเจ้าทั้งสองคงจะรู้จักหุบเขาเขี้ยวหักน้อยยิ่งนัก ข้าจะส่งรายงานฉบับหนึ่งให้พวกท่าน”

รายงานเรื่องหุบเขาเขี้ยวหักล้ำค่าเป็นอันมาก

แม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะมีความสัมพันธ์กับ ‘ประมุขรัฐเมฆทักษิณา’ และรู้รายงานมากมาย แต่พลังของประมุขรัฐเมฆทักษิณาอ่อนแอยิ่งนัก รายงานก็ย่อมห่างชั้นกับรัฐโบราณคิมหันตวายุเป็นอย่างมาก ปาถัวเฉินถึงขั้นมีสิ่งสืบทอดจากจักรพรรดิกลืนโลกา คาดว่าเขาคงจะเข้าใจหุบเขาเขี้ยวหักมากกว่าตงป๋อเสวี่ยอิง!

“ไม่เสียทีที่เป็นรัฐโบราณคิมหันตวายุ เข้าใจหุบเขาเขี้ยวหักดีกว่าจักรพรรดิกลืนโลกามากนัก” เมื่อบรรพชนแมลงปาถัวเฉินตรวจดู ก็เผยสีหน้ายินดีออกมาทันที “พี่กระบี่ปีศาจ ต้องขอบคุณท่านแล้ว”

“ในเมื่อจะมุ่งหน้าไปด้วยกัน ก็แค่รายงานเท่านั้น พวกเจ้าสองคนอย่าเผยแพร่ไปภายนอกก็พอแล้ว” จอมกระบี่พูดยิ้มๆ บัดนี้สถานะของเขาในรัฐโบราณคิมหันตวายุสูงส่งอย่างยิ่ง รายงานนี้ย่อมไม่นับเป็นอะไรได้ อันที่จริงแล้วนี่เป็นแค่เก้าส่วนของรายงานที่รัฐโบราณคิมหันตวายุสำรวจหุบเขาเขี้ยวหักเท่านั้น ส่วน ‘หนึ่งส่วน’ ที่เหลือ จอมกระบี่ไม่มีสิทธิ์เผยแพร่ออกไป! นั่นจึงจะเป็นความลับสุดยอดที่รัฐโบราณคิมหันตวายุสืบเสาะมาได้

ทว่ารายงานเก้าส่วนนี้ก็เหนือกว่ารัฐโบราณทั้งหลายเช่นรัฐโบราณเสียดฟ้าและรัฐโบราณจันทร์บุปผาแล้ว

เพราะถึงอย่างไรร่างแยกของจักรพรรดิเซี่ยก็มีมากมาย จึงสามารถสำรวจหุบเขาเขี้ยวหักได้ลึกซึ้งอย่างยิ่ง

“อ้อ หุบเขาเขี้ยวหัก…” ตงป๋อเสวี่ยอิงได้เปิดหูเปิดตาขึ้นมา

หุบเขาเขี้ยวหักกินพื้นที่กว้างขวางยิ่งนัก เทียบได้กับรัฐโบราณคิมหันตวายุประมาณสามแห่ง

แม้ภายนอกจะเป็นเทือกเขาทอดยาวต่อเนื่องกัน แต่อันที่จริงแล้วเมื่อเข้าไปในหุบเขาเขี้ยวหัก กลับกลายเป็นเข้าสู่มิติพิเศษอันกว้างขวางหาใดเปรียบเสียแล้ว…

มิติพิเศษนี้ มีโลกพิเศษแห่งแล้วแห่งเล่าที่แอบซ่อนอยู่ ภายในโลกแต่ละใบล้วนแต่มีชนพื้นเมืองดั้งเดิมของหุบเขาเขี้ยวหักอยู่!

นอกจากในมิติพิเศษอันกว้างขวางแล้ว ที่สะดุดตาที่สุดก็คือเกาะที่ลอยคว้างอยู่มากมาย! เกาะลอยคว้างแต่ละแห่งล้วนแต่มีเทือกเขาที่ทอดยาวต่อเนื่องกัน

ขอบเขตของเกาะลอยคว้างกว้างใหญ่มาก เกาะลอยคว้างแต่ละแห่งแทบจะมีอันตราอยู่ทั้งหมด โดยทั่วไปแล้วยิ่งเกาะลอยคว้างใหญ่เท่าไหร่…ก็แปลว่าอันตรายมากขึ้นเท่านั้น

“ชนพื้นเมือง! เผ่ามรณะทมิฬ! สิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับล่าง” ตงป๋อเสวี่ยอิงครุ่นคิด

ภายในโลกแต่ละใบที่ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาเขี้ยวหัก ชนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ในโลกจำนวนมากสั่งสมขึ้นมา…แล้วก่อตัวเป็นขุมอำนาจที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง…ขุมอำนาจชนพื้นเมืองนั่นเอง! ชนพื้นเมืองภายในหุบเขาเขี้ยวหักแข็งแกร่งเป็นอันมาก

ส่วนเผ่ามรณะทมิฬและสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับล่างแทบจะอาศัยอยู่ในเกาะลอยคว้างจำนวนนับไม่ถ้วนแทบทั้งหมด

แน่นอนว่าสิ่งแวดล้อมของเกาะลอยคว้างเองก็มีอันตรายอยู่มากมาย แต่ในอันตรายก็มีโอกาสแฝงอยู่ด้วย…

“ว่ากันว่าชนพื้นเมืองภายในหุบเขาเขี้ยวหักต่างก็มีสายเลือดของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่มีน้อยอย่างยิ่งอยู่ในกาย” จอมกระบี่กล่าว “ดังนั้นเมื่อเทียบกันแล้วการวิวัฒน์ของพวกเขาก็ยากเย็นกว่ามากทีเดียว ทว่าร่างกายของแต่ละคนล้วนแข็งแกร่งอย่างยิ่ง แม้แต่ทารกที่เพิ่งเกิดมาก็เป็นระดับเทพอากาศแล้ว ประมุขของโลกแต่ละใบ โดยทั่วไปก็ล้วนแต่เป็นระดับไร้ศัตรูทั้งสิ้น! ในจำนวนนั้นมีประมุขโลกซึ่งแข็งแกร่งเป็นพิเศษอยู่บ้าง บางคนแข็งแกร่งกว่าราชันย์อนธการอมตะเสียอีก! เคราะห์ดีที่หุบเขาเขี้ยวหักมีข้อจำกัดที่หยวนทิ้งเอาไว้ ชนพื้นเมืองที่แข็งแกร่งเกินไปนั้นมิอาจออกมาได้”

ตงป๋อเสวี่ยอิงและบรรพชนแมลงปาถัวเฉินพยักหน้า

เผ่าอันแปลกพิสดาร…

ล้วนแต่มีสายเลือดของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นอย่างนั้นหรือ

“บรรพชนนิจรัตติกาลและอ๋องสัตว์โลกาล้วนแต่เคยเข้าไปในโลกจำนวนหนึ่งของหุบเขาเขี้ยวหัก และเคยกลืนกินชนพื้นเมืองตามอำเภอใจ ดังนั้นบรรดาชนพื้นเมืองของโลกจึงรู้สึกเป็นปฏิปักษ์ต่อผู้บำเพ็ญจากดินแดนจิตโลกาเป็นธรรมดา! อย่างน้อยก็มีจิตระแวดระวัง มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้สึกเป็นมิตร” จอมกระบี่กล่าว

“เจ้าบ้าสองคนนี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงได้ล่วงรู้เรื่องที่บรรพชนนิจรัตติกาลและอ๋องสัตว์โลกาจะทำจากรายงานที่จอมกระบี่มอบให้

อ๋องสัตว์โลกาชอบการกลืนกิน

บรรพชนนิจรัตติกาล…สนใจสายเลือดคละถิ่นภายในกายของชนพื้นเมืองเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงได้กินๆๆๆๆ ลงไป!

กินมากเกินไปแล้ว! ผูกความแค้นใหญ่หลวง ! ทำให้เมื่อผู้บำเพ็ญคนอื่นๆ ในดินแดนจิตโลกาเข้าไปต้องยุ่งยากอย่างต่อเนื่อง

“เผ่ามรณะทมิฬและสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับล่าง ตามปกติแล้วก็อยู่ในเกาะลอยคว้าง ส่วนเกาะลอยคว้างก็คือสถานที่ที่พวกเราจะเข้าไปเสาะหาโอกาสนั่นเอง!” จอมกระบี่กล่าว “จำนวนของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับล่างน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย หรือว่าจะสามารถพบเข้าได้จริงๆ! แต่เผ่ามรณะทมิฬกลับมีจำนวนมหาศาล พวกมันและชนพื้นเมืองก็คือสองเผ่าใหญ่แห่งหุบเขาเขี้ยวหัก

หุบเขาเขี้ยวหักมีสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับล่าง นี่เป็นความลับอย่างแท้จริง

ทว่าเมื่อดูจากสิ่งที่ทราบอยู่แล้ว

ที่เรียกว่าเป็น สิ่งมีชีวิตคละถิ่น ‘ระดับล่าง’ ก็เพราะความสามารถมีจำกัด หนึ่ง การใช้พละกำลังนั้นหยาบมาก สอง โดยทั่วไปแล้วบุคคลผู้ไร้เทียมทานล้วนสามารถรักษาชีวิตได้อย่างง่ายดาย มีแต่สิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับล่างเท่านี้เท่านั้นที่หยวนคร้านจะสนใจ จึงปล่อยให้พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในหุบเขาเขี้ยวหัก

ส่วนสองเผ่าใหญ่อย่างเผ่ามรณะทมิฬและชนพื้นเมือง เนื่องจากมีจำนวนมหาศาล ทำให้ผู้ที่เป็นระดับยอดน่าเกรงกลัวอย่างแท้จริง! บุคคลผู้ไร้เทียมทานอาจจะสิ้นใจไปก็เป็นได้

“ชนพื้นเมืองคล้ายกับผู้บำเพ็ญอย่างพวกเรามาก ก่อนหน้านี้ประมุขโลกแสงดาวผู้นั้นยังเคยมาช่วยเจ้าเลย”จอมกระบี่กล่าว “แม้พวกเขาจะระมัดระวังพวกเรา แต่ก็ยังนับว่าสามารถผูกสัมพันธ์ได้! เผ่ามรณะทมิฬ…มีสติปัญญาค่อนข้างต่ำ ในสายตาของพวกมัน ผู้บำเพ็ญแต่ละคนก็แตกต่างกันตรงที่กินได้หรือกินไม่ได้เท่านั้นเอง มิอาจเจรจาด้วยได้เลย เนื่องจากพวกเราจะตรงไปสำรวจเกาะลอยคว้างทันที คู่ต่อสู้ของพวกเราก็คือเผ่ามรณะทมิฬเป็นหลัก! นอกจากนี้ยังต้องพบกับเผ่ามรณะทมิฬจำนวนไม่น้อยด้วย”

“อื้ม” ตงป๋อเสวี่ยอิงและบรรพชนแมลงปาถัวเฉินพยักหน้าน้อยๆ

“ครั้งนี้ข้าวางแผนจะไปยังเกาะลอยคว้างแห่งนี้ สกุลชางของข้ามีเทพจักรวาลถึงสองชุดแล้วที่เข้าไปสิ้นใจในนั้น ดังนั้นครั้งนี้ ข้าวางแผนจะเข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริงเสียหน่อย!”จอมกระบี่กล่าว “ข้าเตรียมการเอาไว้ดีแล้ว สามารถออกเดินทางได้ตลอดเวลา”

เช่นผู้ที่มีร่างแยก

เช่นประมุขรัฐเมฆทักษิณาและคนอื่นๆ โดยทั่วไปแล้วล้วนแต่อยากไปบุกฝ่าหุบเขาเขี้ยวหักกันทั้งสิ้น

อย่างมากก็แค่เสียร่างแยกไปเท่านั้นเอง! หากโชคดี ก็จะได้อะไรมามหาศาล!

“ฮ่าฮ่า ร่างแยกของข้ามากมายยิ่งนัก สามารถออกเดินทางได้ตลอดเวลา” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยิ้มออกมา

“ข้าตัวคนเดียว ก็ย่อมสามารถไปได้ตลอดเวลา” บรรพชนแมลงปาถัวเฉินเอ่ยขึ้นมา

“ดี ดื่มสุรานี่หมดแล้ว วันนี้พวกเราก็ออกเดินทางกันได้!” จอมกระบี่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น นี่คือการสำรวจครั้งแรกหลังจากเขาสำเร็จเป็นขั้นสุดยอด บัดนี้นับได้ว่าเขามีพลังระดับไร้ศัตรู พลังระดับนี้มีคุณสมบัติพอจะสำรวจหุบเขาเขี้ยวหักได้รอบหนึ่งแล้ว อันตรายระดับที่ทำให้ผู้ที่มีพลังระดับไร้ศัตรูคนหนึ่งหนีไม่ทันจนเสียชีวิตได้นั้น…แม้ในหุบเขาเขี้ยวหักจะมีไม่น้อย แต่ถึงอย่างไรหุบเขาเขี้ยวหักก็กว้างใหญ่ไพศาล อันตรายที่น่ากลัวระดับนั้นมิได้พบได้ง่ายๆ

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยิ่งไม่สนใจเข้าไปใหญ่ ร่างแยกมากมาย เขาทำไปก็เพื่อเคี่ยวกรำระหว่างความเป็นความตาย! เพื่อกระตุ้นการบรรลุของตน จะต้องก้าวออกจากก้าวนั้นและบรรลุเป็นขั้นสุดยอดให้ได้โดยเร็วที่สุด!

ราตรีเยียบเย็นดั่งวารี

ณ ตำหนักใต้ดินอันเย็นเยียบ ตัวตำหนักกว้างใหญ่ ภายในกลับดูใหญ่โตยิ่งกว่าเมื่อผ่านค่ายกลมิติ

ตำหนักมีหกชั้นด้วยกัน

สามชั้นบนเป็นสถานที่พำนักของประมุขตำหนักและบรรดาศิษย์ของท่านประมุข

ส่วนสามชั้นล่างเป็นสถานที่ทดลอง

บัดนี้ ณ ชั้นล่างสุด ชั้นนี้มืดมน พื้นดินส่องเป็นแสงสีแดงเข้ม กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปหมด

“ในที่สุดก็รวบรวมตัวอย่างสำหรับทดลองได้ครบแล้ว” นัยน์ตาของประมุขตำหนักอาภรณ์ดำเต็มไปด้วยแววรอคอย เขาหยิบขวดหยกขวดหนึ่งออกมาแล้วดึงจุกขวดออก ทันใดนั้น เงาร่างคนจำนวนนับไม่ถ้วนก็ลอยออกมาเสียงดังพึ่บพั่บไปหมด ผู้บำเพ็ญนับล้านล้านคนถูกเคลื่อนย้ายออกมาจนหมด ผู้บำเพ็ญที่ถูกปล่อยออกมาเหล่านี้มองดูรอบด้านด้วยความแตกตื่น

ผืนดินอันแดงเข้มมืดมิด แผ่กลิ่นคาวโลหิตออกมา

ทำให้พวกเขาจิตใจไม่สงบมากยิ่งขึ้น

“จะต้องรวดเร็ว หากชักช้าอาจเกิดความเปลี่ยนแปลงได้”

“มหาเคารพหิมะเหินที่สมควรตาย ยุ่งเรื่องคนอื่นดีนัก เหตุใดจึงต้องสนใจเรื่องความเป็นความตายของมดปลวกเหล่านี้อยู่ได้” ประมุขตำหนักอาภรณ์ดำลอบพึมพำ “ทำให้การทดลองของข้าต้องระมัดระวังมากขึ้น จนไม่กล้าทดลองตัวอย่างมากนัก ทว่าครั้งนี้สำคัญเกินไปแล้ว จะต้องมีตัวอย่างทดลองมากพอ! มัวแต่สนใจไม่ได้แล้วข้าต้องทดลองให้เร็วที่สุด”

ประมุขตำหนักอาภรณ์ดำก็อดสูใจนัก

เดิมทีเขาก็ค้นคว้ากายหยาบและวิญญาณของผู้บำเพ็ญอยู่แล้ว ทดลองครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อคลำทางสำหรับบำเพ็ญ

นับตั้งแต่ ‘คนวิถีจิตฟ้า’ ผุดขึ้นมาในโลก เขาก็ระมัดระวังมากขึ้นทันที ตัวอย่างในการทดลองแต่ละครั้งก็น้อยลงเป็นอันมาก อย่างการเข่นฆ่าเล็กๆ น้อยๆ ในดินแดนจิตโลกาก็พบเห็นได้บ่อยยิ่งนัก อย่างการฆ่าล้างแค้น ในดินแดนจิตโลกาก็ต้องมีสิ่งมีชีวิตนับหมื่นที่ตายไป ตงป๋อเสวี่ยอิงจะจัดการก็ไม่ทัน! มีเพียงการล้างสังหารขนาดใหญ่เท่านั้น เขาจึงจะมาจัดการ

เพียงแค่มีบางการทดลองที่ต้องใช้ตัวทดลองมากมายอย่างยิ่งจริงๆ

“วัสดุอื่นๆ ที่ข้าเก็บรวบรวมมา เพียงพอสำหรับการทดลองเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ครั้งนี้จะต้องสำเร็จให้จงได้”

“ทำให้เต็มที่”

ประมุขตำหนักอาภรณ์ดำพลันปรากฏกายขึ้นกลางอากาศในมิติชั้นนี้ เงารางของร่างกายขนาดมหึมาทำให้สิ่งมีชีวิตเบื้องล่างจำนวนนับไม่ถ้วนตื่นตระหนกหาใดเปรียบ ร่างกายใหญ่โตของประมุขตำหนักอาภรณ์ดำปกคลุมเบื้องล่าง ดวงตาเยียบเย็นกลับสำแดงเคล็ดวิชาอันน่าหวาดหวั่นออกมา ทำให้สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ประหวั่นพรั่นพรึงมากขึ้นไปอีก “ข้าต้องการลูกมือเพียงสิบคนเท่านั้น คนที่ต้านทานไว้ไม่ไหวก็มีแต่ต้องตายเท่านั้น!”

พูดยังไม่ทันขาดคำ ประมุขตำหนักอาภรณ์ดำก็สาดจุดแสงสีม่วงอันไร้ที่สิ้นสุดลงมา

จุดแสงสีม่วงยังคงร่อนลงมา

ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวคนหนึ่งปรากฏกายขึ้นกลางอากาศ พลางมองดูประมุขตำหนักอาภรณ์ดำผู้นั้นด้วยสายตาเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง

“มหาเคารพหิมะเหิน!” ประมุขตำหนักอาภรณ์ดำกลัวเสียจนแข้งขาอ่อนไปหมด

เขากลัวฉากนี้จะเกิดขึ้น แต่ต่อให้กลัวมากกว่านี้ ก็ยังคงถูกมหาเคารพหิมะเหินพบเข้าอยู่ดี!

ประมุขตำหนักอาภรณ์ดำตะโกนขึ้นทันทีว่า “ท่านจะสังหารข้าไม่ได้ ข้าทำไปเพื่อการบำเพ็ญเท่านั้น”

“ฟิ้ว”

ตงป๋อเสวี่ยอิงโบกมือคราหนึ่ง จุดแสงสีม่วงจำนวนนับไม่ถ้วนก็กลายเป็นความว่างเปล่าไปหมดตามระลอกคลื่นอากาศ

“เพื่อการบำเพ็ญหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดเสียงเย็นชา

“ข้ากำลังฝึกกายหยาบสำหรับสายฝึกกาย และกำลังค้นคว้าวิญญาณ ข้าจำเป็นต้องทดลอง” ประมุขตำหนักอาภรณ์ดำตะโกน “ข้ามิใช่มารร้าย ข้าแค่ต้องการทดลองเท่านั้นเอง”

สายตาของตงป๋อเสวี่ยอิงกวาดมองไปยังเบื้องล่าง “ผู้บำเพ็ญสามหมื่นแปดล้านคนเพื่อการทดลองของเจ้าเพียงครั้งเดียวเท่านั้น เจ้ายังมิใช่มารร้ายอีกรึ”

“ข้าใช้พวกมดปลวกมาทดลอง นี่ก็มีความผิดด้วยหรือ”ประมุขตำหนักอาภรณ์ดำคำรามเสียงต่ำ

“มดปลวกหรือ เช่นนั้นในสายตาของข้า เจ้าก็เป็นเพียงมดปลวกเท่านั้น!” ตงป๋อเสวี่ยอิงโบกมือคราหนึ่ง บริเวณที่ประมุขตำหนักอาภรณ์ดำอยู่ก็ถูกกดดันจนกลายเป็นภาพผืนหนึ่งทันที เมื่อภาพนี้สลายไป ประมุขตำหนักอาภรณ์ดำก็กลายเป็นความว่างเปล่าไปจนสิ้น

จากนั้นสีหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงก็เปลี่ยนแปรไป “ไม่ดีแล้ว”

“ตู้ม!!!”

ทั้งวังพลันระเบิดออก

ท้ายที่สุดตงป๋อเสวี่ยอิงก็ควบคุมอากาศทันที เพื่อปกป้องสิ่งมีชีวิตที่บริสุทธิ์ทั้งหมดเอาไว้ ต่อให้เป็นศิษย์และผู้ใต้บังคับบัญชาของประมุขตำหนักอาภรณ์ดำผู้นั้น หากเป็นผู้ที่ ‘ความแค้น’ น้อย เขาก็ได้ปกป้องเอาไว้เช่นกัน ส่วนผู้ที่มีความแค้นอันน่าหวาดหวั่นอยู่กับตัว ก็สลายหายไปจนสิ้นตามการระเบิด

“สวบ”

เขาพาสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนเคลื่อนย้ายไปยังทุ่งร้างแห่งหนึ่งด้านข้าง

“ทิ้งลูกหลงเอาไว้ด้วยหรือนี่ หากตัวตายไป ทั้งคูหาก็จะทำลายตัวเองอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงแค่นเสียงเย็นชา สำหรับเทพจักรวาลทั่วไป การทำลายตัวเองอาจจะเป็นภัยคุกคามอยู่บ้าง แต่สำหรับเขาแล้ว บริเวณของเขาก็สามารถปกป้องสิ่งมีชีวิตที่เขาต้องการจะปกป้องได้ทั้งหมด

“ความเคลื่อนไหวใหญ่โตมากทีเดียว”

เสียงหนึ่งดังก้องขึ้น

ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าเปลี่ยนแปรไป บนทุ่งร้างอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้ สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนซึ่งได้รับการช่วยเหลือก็ซาบซึ้งใจขึ้นมา บรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาของประมุขตำหนักอาภรณ์ดำก็ไม่สบายใจอยู่บ้าง แต่ทันใดนั้นความมืดระลอกหนึ่งก็ร่อนลงมาในทันใด ความมืดระลอกนี้กวาดทุกสิ่งไปอย่างมืดฟ้ามัวดิน สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนนั้นถูกทำลายไปท่ามกลางความมืดอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ถูกกระแทกเสียจนกระเด็นลอยไป ปากกระอักเลือดออกมาก่อนจะหยุดอยู่กลางอากาศ

“ความเคลื่อนไหวใหญ่โตนัก” เสียงแผ่วเบายังคงสะท้อนก้องอยู่ข้างหูในตอนนี้

ตงป๋อเสวี่ยอิงจ้องมองออกไปไกล

ไกลออกไปมีเงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้นกลางฟากฟ้า ซึ่งก็คือ ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ ชายหนุ่มอาภรณ์สีทองหรูหราที่สวมมงกุฎเอาไว้บนศีรษะนั่นเอง เขามองมาทางตงป๋อเสวี่ยอิงด้วนสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง “สิ่งมีชีวิตนับล้านล้านชีวิตซึ่งตนอุตส่าห์ช่วนเอาไว้ต้องมาสลายไปในพริบตา ไม่สบายใจมากเลยใช่หรือไม่”

สีหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงคล้ำเขียว

แน่นอนว่าเขาโกรธแค้น!

สิ่งมีชีวิตผู้บริสุทธิ์จำนวนมากเหล่านั้นถูกทำลายไปจนหมดเช่นนี้เอง

“ฮ่าฮ่าฮ่า…” ราชันย์อนธการอมตะกลับหัวเราะตามอำเภอใจ “ข้าพูดไว้ก่อนแล้วว่า ขอเพียงเจ้ากล้าไปจากเมืองหิมะเหิน หากพบเจ้าหนึ่งครั้ง ข้าก็จะทำลายหนึ่งครั้ง! เจ้าคิดจะช่วยเหลือพวกมดปลวกเหล่านั้น เช่นนั้นข้าก็จะทำลายพวกเขาทิ้งเสีย ฮ่าฮ่า หากเจ้าไม่ลงมือ อาจจะพวกเขามีบางคนที่เคราะห์ดีรอดชีวิตจากหายนะก็เป็นได้ แต่หากเจ้าช่วยเหลือพวกเขา เจ้าก็จะช่วยเอาไว้ไม่ได้แม้แต่คนเดียว”

“ครั้งนี้เป็นข้าที่ประมาทเอง ครั้งหน้า เมื่อข้าช่วยคนแล้วก็จะรีบพากลับไปยังเมืองหิมะเหินทันที” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดเสียงเย็นชาราวกับน้ำแข็ง

“ฮ่าฮ่า พากลับเมืองหิมะเหินหรือ ง่ายดายมาก ข้าก็จะจงใจก่อการเข่นฆ่าครั้งแล้วครั้งเล่าขึ้นมาเลย” ราชันย์อนธการอมตะพูดยิ้มๆ

“เข่นฆ่ามากเข้า ระวังหยวนจะลงมือสังหารเจ้า” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดเสียงเย็นชา

“ฮ่าฮ่า วางใจเถิด ข้าคงไม่ลงมือเองหรอก ช้าจะให้พวกผู้ใต้บังคับบัญชาลงมือ” ราชันย์อนธการอมตะยิ้มจนตาหยี

“เช่นนั้นผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้าก็จะถูกสังหารไปจนหมดนะ!” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว

“งั้นรึ วางใจเถิด เรื่องก่อสงครามหรือสร้างหายนะ การเข่นฆ่าต่างๆ เป็นเรื่องที่ข้าถนัดมากอยู่แล้ว” ราชันย์อนธการอมตะมองดูตงป๋อเสวี่ยอิง “ถึงตอนนั้นเมื่อสิ่งมีชีวิตรุ่นแล้วรุ่นเล่าตายไป ก็จะเจ็บปวดใจและเคืองแค้นมากใช่หรือไม่”

หากเป็นผู้ที่เห็นผู้ที่อ่อนแอจำนวนนับไม่ถ้วนเป็นมดปลวก แน่นอนว่าย่อมไม่สนใจ

พวกคนที่เห็นแก่ตนอย่างยิ่งก็คงไม่แยแสเช่นกัน

ราชันย์อนธการอมตะจงใจยั่วยุนิสัยของตงป๋อเสวี่ยอิง เพราะถึงอย่างไรราชันย์อนธการอมตะก็มีเพลิงโทสะสุมเต็มอกอย่างแท้จริง! ครั้งก่อนการบูชาถูกทำลาย ความเสียหายของเขาจึงใหญ่หลวงเกินไปแล้ว

“ตอนที่ข้าอ่อนแอ แม้ดินแดนจิตโลกาจะมีการบูชาโลหิต มีการเข่นฆ่า ข้าก็จะเผชิญหน้าอย่างเยียบเย็นเช่นเดียวกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปาก “หากข้าสามารถลงมือได้ก็ย่อมต้องลงมือเป็นธรรมดา หากข้าช่วยไม่ไหว ข้าก็หมดหนทาง ถ้าทำสุดกำลังทั้งหมดก็จะไม่ละอายแก่ใจแล้ว”

ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดจบก็หมุนกายจากไปทันที

“ไปรึ”

ราชันย์อนธการอมตะตะปบฝ่ามือหนึ่งลงไป ความดำมืดอันไร้ที่สิ้นสุดเข้าปกคลุม

ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับยิ้มเย็นพลางทำให้ร่างแยกร่างนี้สลายไปเอง เขามีร่างแยกมากมายนัก ฝึกร่างแยกขึ้นมาก็รวดเร็วนัก เขาจึงไม่สนใจเลย

……

ราชันย์อนธการอมตะมิได้พูดปดจริงๆ

เขาเริ่มก่อความวุ่นวายขึ้นมา และนำมาซึ่งการเข่นฆ่าครั้งใหญ่ แม้จะมิใช่เขาที่ลงมือด้วยตนเอง แต่กลับมีเขาที่คอยขับเคลื่อนไป

เคราะห์ดีก็คือ ผู้ที่พอจะมีเบื้องหลังหรือมีพลังอยู่บ้างต่างก็รู้ถึงภัยคุกคามของ ‘มหาเคารพหิมะเหิน’ กันทั้งนั้น จึงมิกล้าเข่นฆ่าครั้งใหญ่!

“สมควรตาย”

“เจ้าบ้า”

“เห็นทีราชันย์อนธการอมตะผู้นี้คงจะจงเกลียดจงชังข้ามากทีเดียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ในเมืองหิมะเหินก็เดือดแค้นเป็นอันมาก

สวบ

เงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้น

“จอมกระบี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงแหงนหน้ามอง จอมกระบี่ร่อนลงมาจากกลางฟากฟ้า แล้วนั่งลงตรงข้ามตงป๋อเสวี่ยอิง แล้วหยิบไหสุราของตงป๋อเสวี่ยอิงมารินให้ตนเองอย่างคล่องไม้คล่องมือ เมื่อดื่มลงไปแก้วหนึ่งจึงเอ่ยขึ้นยิ้มๆ ว่า “ราชันย์อนธการอมตะก่อความวุ่นวายทั้งหลายขึ้นมาและนำมาซึ่งการเข่นฆ่าครั้งใหญ่ก็เพื่อพุ่งเป้ามาที่เจ้ากระมัง”

“ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าพลางพูดเสียงเย็นชา “ราชันย์อนธการอมตะผู้นี้ทำเรื่องเหล่านี้เพียงเพื่อระบายความโกรธเท่านั้น”

“นั่นเพราะเขารู้สึกว่าสูญเสียมากเกินไป นอกจากนี้ยังต้องมาสะดุดด้วยน้ำมือของเจ้าอีกด้วย จึงรู้สึกว่าเป็นการดูหมิ่นอย่างหนึ่ง” จอมกระบี่กล่าว “หากพลังของเจ้าแข็งแกร่งพอ สามารถคุกคามเขาได้ เกรงว่าเขาก็คงจะเตรียมการอย่างระมัดระวังกว่านี้มากทีเดียว”

ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

เมื่อตนออกจากเมืองหิมะเหิน ก็ถูกราชันย์อนธการอมตะเหยียบย่ำอย่างสิ้นเชิง!

ดังนั้นเขาจึงทำตามอำเภอใจเช่นนี้!

“เสวี่ยอิง แม้บ้านเกิดของพวกเราจะห่างจากการแตกสลายครั้งใหญ่อีกค่อนข้างนาน” จอมกระบี่กล่าว “แต่เจ้าก็ต้องพยายามบรรลุถึงขั้นสุดยอดให้ได้โดยเร็วที่สุด! แม้ข้าจะบรรลุถึงขีดสุดกก็จริง แต่ข้ากลับไม่รู้ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา เจ้าต้องบรรลุถึงขั้นสุด อาศัยศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาจึงสามารถพาคนจากไปได้”

“ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า เขาไม่เคยผ่อนคลายมาก่อนเลย

“เจ้าก้มหน้าก้มตาบำเพ็ญอยู่ที่นี่ และติดอุปสรรคอยู่ ข้ารู้สึกว่าเจ้าเหมาะกับการออกไปเผชิญกับการเคี่ยวกรำด้วยความเป็นความตายเสียมากกว่า” จอมกระบี่กล่าว “ข้าก็วางแผนจะมุ่งหน้าไปยังหุบเขาเขี้ยวหักสักรอบหนึ่ง เจ้าไปด้วยกันกับข้าเถิด ยังมีบรรพชนแมลงด้วย หากเขายินดี ก็ไปด้วยกันให้หมด”

“ไปหุบเขาเขี้ยวหักหรือ” นัยน์ตาของตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นประกาย

หุบเขาเขี้ยวหักอันตรายอย่างยิ่งโดยแท้ แม้แต่บุคคลผู้ไร้เทียมทานเข้าไปก็อาจจะต้องตายตกไป

ทว่าตนมีร่างแยก จึงไม่กลัวตาย

“อื้ม ข้าเพิ่งจะสำเร็จเป็นขั้นสุดยอดจึงวางแผนเข้าไปสำรวจดูสักหน่อย นอกจากนี้ข้าก็มีจุดหมายปลายทางอยู่แห่งหนึ่งด้วย” จอมกระบี่พูดยิ้มๆ “สิ่งที่รัฐโบราณคิมหันตวายุรู้เกี่ยวกับหุบเขาเขี้ยวหักนั้นสูงกว่ารัฐเมฆทักษิณาตั้งไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่”

“ท่านมีจุดหมายปลายทางแล้วหรือขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า “ดี เช่นนั้นข้าย่อมยินดีไปอย่างแน่นอน ส่วนปาถัวเฉิน ข้าจะไปถามเขาเสียหน่อย”

………………………………….

จักรพรรดิเซี่ย บรรพชนฝาน และจักรพรรดิชาง บุคคลผู้ไร้เทียมทานสามท่านมาถึง ความสัมพันธ์ของจอมกระบี่กับพวกเขาไม่ธรรมดา ก็ย่อมเพียงแค่ประสานสายตากันคราหนึ่งเท่านั้น ทว่าบรรพชนแมลงปาถัวเฉินกลับมีแววตาเย็นชา มิได้เอ่ยวาจาอันใดฃ

เขามีความแค้นกับสกุลฝาน ทั้งยังเคยสังหารยอดฝีมือของสกุลฝานอีกด้วย!

ล่วงเกินสกุลฝาน…ก็เท่ากับล่วงเกินสามตระกูลใหญ่แห่งรัฐโบราณคิมหันตวายุ! ด้วยอุปนิสัยของบรรพชนแมลงปาถัวเฉิน ก็ไม่รังเกียจที่จะก้มศีรษะอยู่แล้ว

“บรรพชนแมลง” บรรพชนฝานเอ่ยปากพูดพลางยิ้มน้อยๆ “ได้ยินว่าเจ้ากับเด็กรุ่นหลังของสกุลฝานของข้าบางคนมีความแค้นต่อกันอยู่บ้าง ไม่ทราบว่าพวกเขาเด็กรุ่นหลังเหล่านั้นไปล่วงเกินเจ้าเมื่อไหร่กัน เจ้าก็ไปติดตามจักรพรรดิกลืนโลกาตั้งแต่ก่อนหน้านี้เนิ่นนานแล้ว เด็กรุ่นหลังของสกุลฝานของข้าพวกนั้นคงจะไม่มีโอกาสไปสร้างความแค้นกับเจ้าหรอกกระมัง!”

ถ้าหากเป็นบรรพชนแมลงที่แท้จริงก็ย่อมมิอาจมีความแค้นต่อกัน

แต่ปาถัวเฉินผสานรวมกับแมลงอสูรขั้นสุดยอด สามารถสวมรอยเป็นบรรพชนแมลงได้อย่างสมบูรณ์แบบ สำหรับบรรพชนแมลงตัวจริง…ในความเป็นจริงแล้วก็ได้ตายไปก่อนหน้านี้นานแล้ว เพียงแต่ตายไปอย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียง ดังนั้นก่อนหน้านี้เพื่ออยู่อย่างเจียมเนื้อเจียมตัว เพื่อปิดบังการยกระดับอย่างฉับพลันของตนเอง บรรพชนแมลงปาถัวเฉินจึงได้จงใจปิดบังตัวตนนี้ สำหรับในตอนนี้น่ะหรือ ถึงแม้จะไม่กลัวว่าตัวตนจะเปิดเผยออกไป แต่เพื่อหลีกเลี่ยงความยุ่งยาก จึงยังอาศัยตัวตนของบรรพชนแมลงเคลื่อนไหวเช่นเดิม

อย่างไรก็ตาม ญาติสนิทมิตรสหายของเขาก็ไม่อยู่นานแล้ว ถึงแม้ว่าดินแดนจิตโลกาจะกว้างใหญ่ไพศาล เขาก็เป็นเพียงแค่ตัวคนเดียวเท่านั้น ในทางกลับกัน ‘อิงซานเสวี่ยอิง’ ผู้มีพระคุณก็เป็นผู้ที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับเขามากที่สุดแล้ว

บรรพชนแมลงปาถัวเฉินเอ่ยเสียงเย็นชา “ไม่มีความแค้นกับข้า แต่ก็มีความแค้นกับศิษย์ของข้า! หึๆ สกุลฝาน เด็กรุ่นหลังของพวกเจ้าช่างกำเริบเสิบสานจริงๆ น่าเสียดายที่มาย่ำยีถึงบนหัวข้า ข้าก็มิอาจทนได้หรอก!”

“ฮ่าฮ่า… ก็แค่เรื่องเล็กๆ เรื่องเดียวเท่านั้น เจ้าก็เป็นเพื่อนสนิทของเค่อชิงเฟยเสวี่ย เค่อชิงเฟยเสวี่ยกับสกุลฝานของข้ามีความสัมพันธ์ค่อนข้างดีต่อกัน ความขุ่นข้องหมองใจเล็กๆ น้อยๆ ในอดีตก็ปล่อยผ่านไปเช่นนี้เถิด ดีไหมเล่า” บรรพชนฝานพูดพลางยิ้มน้อยๆ เขาสูงส่งเหนือผู้ใด ก็ย่อมมิใคร่จะใส่ใจความขุ่นข้องหมองใจเล็กๆ น้อยๆ ของศิษย์สกุลฝานอยู่แล้ว ถึงอย่างไรสกุลฝานก็ใหญ่โตยิ่งนัก เพียงแต่วา ‘บรรพชนแมลง’ ผู้นี้ ทั้งเป็นขั้นสุดยอด ทั้งยังไร้ห่วงไร้กังวลอีกด้วย

ศัตรูเช่นนี้ไม่เหมาะสมที่จะมีความแค้นด้วย

เพราะว่าเขามิอาจคาดเดาได้ อีกทั้งยังมิอาจฆ่าเขาให้ตายได้ด้วย

“วางใจเถิด ผู้ที่ควรสังหารข้าก็ได้สังหารไปก่อนแล้ว! ผู้ที่ไม่ควรสังหาร ข้าก็ไม่มีทางไปยุ่งด้วยอยู่แล้ว” บรรพชนแมลงปาถัวเฉินเอ่ยอย่างเย็นชา

“ฮ่าฮ่า” บรรพชนฝานพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม แต่กลับรู้สึกว่าบรรพชนแมลงผู้นี้มีอุปนิสัยเย็นชาน่าดูเลยทีเดียวเขาหันไปมองทางตงป๋อเสวี่ยอิง “เค่อชิงเฟยเสวี่ย ต่างก็ว่ากันว่ายามที่เจ้าอยู่ที่วังเทพจิตโลกาก็ประสบเคราะห์ใหญ่ ถูกบรรพชนราตรีนิรันดร์ผลาญสังหาร สมบัติล้ำค่าถูกช่วงชิงไปจนหมดสิ้น! ตอนนี้ดูแล้วสิ่งที่เจ้าได้รับมาจริงๆ จากวังเทพจิตโลกาจะเป็นสุดยอดเคล็ดสืบทอดลับสินะ!”

จักรพรรดิเซี่ยและจักรพรรดิชางก็มองตงป๋อเสวี่ยอิงเช่นกัน

“ใช่แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า “ได้มาโดยบังเอิญเมื่อครั้งแรกที่เข้าไปยังวังเทพจิตโลกาน่ะ”

“ข้าก็ได้รับมาตอนที่เข้าไปครั้งแรกเช่นเดียวกัน” จอมกระบี่ปีศาจที่อยู่ข้างๆ ก็รำพึงขึ้น

“พวกเจ้าสองคนมาจากโลกกำเนิดแห่งเดียวกัน สำนักเดียวกัน พรสวรรค์ในการหยั่งรู้นี้ต่างก็สูงส่งอย่างแท้จริง” จักรพรรดิเซี่ยรำพึง “ตอนนั้นที่หยวนสรรสร้างดินแดนจิตโลกา สรรสร้างวังเทพจิตโลกา อยากจะได้รับ ‘สุดยอดเคล็ดสืบทอดลับ’ มา แต่ก็ยังยากเย็นกว่าสุดยอดสมบัติลับล้ำค่าอยู่ขั้นหนึ่ง! ตอนนี้พวกเจ้าสองคนก็ได้มาครองแล้ว ขอเพียงแค่สำเร็จเป็นขั้นสุดยอด เข้าไปยังวังเทพจิตโลกาอีกครั้ง การจะได้สุดยอดสมบัติลับล้ำค่ามาก็เป็นเรื่องสบายๆ แล้ว กระบี่ปีศาจสำเร็จเป็นขั้นสุดยอดแล้ว… สำหรับเค่อชิงเฟยเสวี่ยก็เชื่อว่าใกล้แล้วล่ะ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้าพลางพูดยิ้มๆ อย่างจนใจ “ข้าก็อยากจะเหยียบย่างเข้าสู่ขั้นสุดยอดเช่นกัน แต่ก้าวนี้ง่ายดายเช่นนั้นเสียที่ไหนกันเล่า”

“ข้าอยากถามว่าอาวุธเทพคละถิ่นนั้นของเจ้า คงจะใช้เม็ดทรายอลวนหลอมขึ้นมากระมัง” จักรพรรดิเซี่ยพูด

“จักรพรรดิเซี่ยรู้ด้วยหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึง

เขาก็พูดกับบรรพชนแมลงและจอมกระบี่แล้ว ต่อให้จอมกระบี่บอกให้พวกจักรพรรดิเซี่ยล่วงรู้ ก็ต้องบอกตนสักคำล่วงหน้าก่อน

“เป็นเพียงแค่การคาดเดาเท่านั้น!” จักรพรรดิเซี่ยพูด “ตอนนั้นเจ้าถูกผลาญสังหารที่วังเทพจิตโลกา ร่างแยกสลายไปจนสิ้น มิได้นำสมบัติล้ำค่าใดๆ ออกมาเลย สิ่งที่สามารถนำออกมาได้…ก็เพียงแค่ความทรงจำเท่านั้น! บวกกับก่อนหน้านี้เจ้าซื้อเม็ดทรายอลวนจากข้าไปมากถึงหนึ่งแสนชั่ง เช่นนี้เมื่อมารวมกันแล้วข้าก็คาดเดาได้ว่าคงจะเป็นอาวุธเทพคละถิ่นที่เจ้าหลอมขึ้นมา”

“ใช่แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าแล้วมิได้ปิดบังอีกต่อไป “เพียงแต่ว่าเคล็ดวิชาสืบทอดนี้ เจ้าก็รู้ว่ามิอาจเผยแพร่สู่ภายนอกได้”

พวกเขาสามคนทั้งจักรพรรดิเซี่ย จักรพรรดิชาง และบรรพชนฝานต่

สุดยอดเคล็ดสืบทอดลับและเคล็ดวิชาสืบทอดอันล้ำค่ามากมาย ถึงแม้ว่าหยวนจะถ่ายทอดลงมาให้ แต่กลับไม่สามารถเผยแพร่สู่ภายนอกได้!

สิ่งที่พวกเขาเผยแพร่สู่ภายนอกอย่างเช่นปุจฉวิถีคละถิ่น และเคล็ดวิเศษไร้ภาพเป็นต้น ล้วนเป็นสิ่งที่พวกจักรพรรดิเซี่ยคิดค้นขึ้น

“พวกข้าบำเพ็ญมาจนถึงระดับขั้นในตอนนี้ ก้าวต่อไปต่างก็อยากจะก้าวออกจากกรงขังแห่งนี้ สำเร็จเป็นคละถิ่นแล้ว!” จักรพรรดิเซี่ยเอ่ยปาก จักรพรรดิชางและบรรพชนฝานก็มองตงป๋อเสวี่ยอิง

จักรพรรดิเซี่ยพูดต่อไปอย่างเคร่งขรึมว่า “เช่นนั้นข่าวที่ราชันย์อนธการอมตะแพร่ออกไป พวกเราก็มิอาจเชื่อได้ทั้งหมดอย่างแน่นอน แต่อาวุธเทพคละถิ่น ก่อนหน้านี้พวกข้ายังไม่เคยได้ยินกันมาก่อนเลยเสียด้วยซ้ำ! ดังนั้นหวังว่าเจ้าจะช่วยอธิบายสักหน่อย ให้พวกเราได้เข้าใจอะไรๆ ขึ้นมาบ้าง”

ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ “เรื่องนี้ง่ายดายนัก”

เขาก็เข้าใจเจตนาของพวกจักรพรรดิเซี่ย! ว่ามีความมุ่งมาดปรารถนาต่อการหนีออกจากกรงขังมากมายเพียงใด

อย่างเช่นจักรพรรดิเซี่ย ก่อนหน้านี้ก็เป็นอันดับหนึ่งของดินแดนจิตโลกาแล้ว ต่อให้เป็น ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ ก็ได้แต่ใช้ไพ่ใบสุดท้ายถึงจะกดดันจักรพรรดิเซี่ยได้เท่านั้น ยอดฝีมือผู้โดดเดี่ยว! จักรพรรดิเซี่ยนั้นโดดเดี่ยวอย่างแท้จริง มุ่งมาดปรารถนาต่อการหนีออกจากกรงขังมากมายเหลือเกิน ถ้าหากความต้องการแค่นี้ตนยังมิอาจสนองได้ เช่นนั้นก็คงจะผิดต่อพวกเขาเกินไปแล้ว

“อาวุธเทพคละถิ่น ที่จริงแล้วเป็นอาวุธของสิ่งมีชีวิตคละถิ่น” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยอธิบาย “พวกเราเทพจักรวาลโดยทั่วไปแล้วย่อมไม่สามารถใช้การได้ ทั้งยังไม่สามารถหลอมแปรได้ด้วย แต่ว่า ‘หยวน’ กลับคิดวิธีการออกมาได้ ทำให้ข้าหลอมอาวุธเทพคละถิ่นชิ้นหนึ่งขึ้นมากับมือตัวเอง เพราะว่าเป็นกระบวนการที่ข้าหลอมขึ้นมาเองกับมือ วัสดุทุกชิ้นส่วนล้วนเคยผ่านการหลอมแปรของข้า อาวุธที่หลอมขึ้นมาได้สำเร็จ เมื่อเทียบกันการหลอมแปรก็ผ่อนคลายแล้ว เพราะทำให้เทพจักรวาลคนหนึ่งอย่างข้าก็ยังสามารถหลอมแปรได้สำเร็จ ข้อหนึ่ง จะต้องเป็นวิถีที่ข้าเชี่ยวชาญ ข้อสอง จะต้องง่ายดายมากพอ ดังนั้นอาวุธคละถิ่นชิ้นนี้จึงเป็นอาวุธคละถิ่นทางด้านวิถีอากาศ! นอกจากนี้เมื่อเปรียบเทียบกับอาวุธคละถิ่นที่แท้จริงก็ผ่านการดัดแปลงให้ง่ายดายขึ้นแล้วด้วย”

“โอ้” จักรพรรดิเซี่ย จักรพรรดิชาง และบรรพชนฝานต่างก็พยักหน้าน้อยๆ

“เชิญดู” ตงป๋อเสวี่ยอิงโบกมือคราหนึ่ง หอกชิงเหอก็ปรากฏขึ้นในมือ เขากระตุ้นเล็กน้อย ลวดลายลับบนหอกชิงเหอจำนวนนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นมาในทันใด “พวกท่านดูก็รู้แล้วล่ะ”

จักรพรรดิเซี่ย จักรพรรดิชาง และบรรพชนฝานพินิจดูอย่างละเอียดต่อไป

จักรพรรดิชางและบรรพชนฝานก็มีความสับสนอยู่บ้าง

จักรพรรดิเซี่ยกลับดูเข้าใจได้เป็นส่วนใหญ่ในทันที เขาเข้าใจในส่วนที่เกี่ยวข้องกับวิถีอากาศทั้งหมด แต่ยังมีอีกหลายด้านที่เขาก็ยังมีความสับสนอยู่บ้าง ถ้าหากมีการชี้นำของสุดยอดเคล็ดสืบทอดลับ ก็จะยิ่งเข้าใจได้อย่างง่ายดาย แต่เพียงแค่ลวดลายลับที่ปรากฏอยู่ภายนอกเท่านั้น ยากยิ่งนักที่จะเข้าใจทะลุปรุโปร่งทั้งหมด ถึงอย่างไรเคล็ดลับมากมายที่เกี่ยวข้องกับพลังคละวิถีก็ละเอียดอ่อนเกินธรรมดา

นอกจากนี้ ลวดลายลับบางส่วนที่หลอมขึ้นมา ตงป๋อเสวี่ยอิงก็แค่สลักเสลาลงไปทีละชิ้นส่วนเท่านั้น เมื่อแยกส่วนกันเขาก็เข้าใจ แต่พอประกอบเข้าด้วยกันทั้งหมดแล้วแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่เข้าใจเลย

“เป็นอาวุธคละถิ่นวิถีอากาศจริงๆ ด้วย” จักรพรรดิเซี่ยพยักหน้า “วิถีอื่นๆ ได้ไปก็ไร้ประโยชน์ นอกจากนี้ ดูเหมือนว่าจะเชี่ยวชาญทางด้านการระดมพลังคละถิ่นเป็นที่สุดด้วย เค่อชิงเฟยเสวี่ย ขอบใจมาก! ที่ให้พวกข้าได้ชมดูลวดลายลับของอาวุธเทพคละถิ่น”

ตงป๋อเสวี่ยอิงแย้มยิ้ม “เรื่องเล็กเท่านั้นน่า”

ดูลวดลายลับแล้วอยากจะวิวัฒน์เคล็ดวิชาออกมานั้นยากเย็นเพียงใด

ก็อย่างเช่นสุดยอดสมบัติลับล้ำค่าทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาก็มีอยู่มิใช่น้อย ลวดลายลับของสุดยอดสมบัติลับล้ำค่า กระตุ้นคราหนึ่งก็ปรากฏชัดขึ้นมาแล้ว แต่ให้ผู้อื่นดูแล้วอย่างไร ด้วยระดับขั้นสุดยอด ชมดูความเร้นลับที่เกี่ยวข้องกับระดับไร้ถิ่น ก็ได้แต่รู้สึกว่าเลือนรางยิ่งนัก

ความซับซ้อนของอาวุธเทพคละถิ่นไม่ด้อยไปกว่าสุดยอดสมบัติลับล้ำค่าเลย

ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็รู้สึกว่ามันแบ่งออกเป็นขั้นตอนยิบย่อยมากเกินไป สิ้นเปลืองเวลาไปยาวนานจึงจะสามารถหลอมสำเร็จได้

……

ในวันต่อมามีผู้มาเยี่ยมเยียนตงป๋อเสวี่ยอิงมากมาย

ห้าบรรพชนของรัฐโบราณสหโลกาก็แบ่งออกเป็นสองกลุ่มมาเยี่ยมเยือน รัฐโบราณเสียดฟ้าและรัฐโบราณหิมะน้ำแข็งต่างก็มาเยี่ยมเยือนเช่นเดียวกัน ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ต้อนรับ แล้วยังใจกว้างอย่างยิ่งให้พวกเขาได้ชมดูลวดลายลับของอาวุธเทพคละถิ่นด้วย! อันที่จริงแล้วทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาก็มีแค่ ‘ผู้พเนจร’ และ ‘จักรพรรดิเซี่ย’ เท่านั้นที่สามารถดูเข้าใจได้เป็นส่วนใหญ่ สิ่งที่ดูเข้าใจหลักๆ ก็ยังเป็นส่วนของวิถีอากาศทั้งสิ้น

ในความเป็นจริงแล้วคนอื่นๆ ต่างก็เลือนรางเหลือเกิน ได้แต่ตัดสินได้อย่างรางๆ เท่านั้นว่าลวดลายลับเหล่านั้นเกี่ยวข้องกับวิถีอากาศ

บวกกับผู้พเนจรและจักรพรรดิเซี่ยต่างก็ช่วยพูดออกไปอย่างเปิดเผยแล้วว่า…นั่นคืออาวุธเทพคละถิ่นทางด้านวิถีอากาศ! ยอดฝีมือวิถีอากาศเท่านั้นจึงจะสามารถใช้การได้ นอกจากนี้ยังดูเหมือนว่าเทพจักรวาลต่างก็ไม่สามารถหลอมแปรได้ด้วย

คำพูดสุดท้ายที่ว่า ‘ดูเหมือนว่าต่างก็ไม่สามารถหลอมแปรได้’ ในความเป็นจริงแล้วก็เป็นการไว้หน้าตงป๋อเสวี่ยอิง! ตัวจักรพรรดิเซี่ยเองก็มีความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับตงป๋อเสวี่ยอิง แต่ผู้พเนจรนั้นเพราะว่าอุปนิสัย ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ปฏิบัติต่อเขาอย่างมีมารยาทยิ่งทำให้ผู้พเนจรมีความรู้สึกที่ดีต่อตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นจึงได้พูดสิ่งเหล่านี้ออกไปสู่สาธารณะ

บวกกับพลังยุทธ์ที่แกร่งกล้าของตงป๋อเสวี่ยอิง ที่เมืองหิมะเหิน ก็เรียกได้ว่าเทียบเคียงกับขุมอำนาจอันดับหนึ่งของดินแดนจิตโลกาแล้ว!

เดิมทีราชันย์อนธการอมตะยังคิดจะอาศัยเรื่องนี้นำพาเรื่องยุ่งยากครั้งใหญ่มาให้ตงป๋อเสวี่ยอิง แต่กลับกลายเป็นว่าคว้าน้ำเหลวเสียแล้ว!

“เฮอะ ประมุขรัฐจันทร์บุปผาหรือ เขาก็อยากจะดูลวดลายลับของอาวุธเทพคละถิ่นของข้าด้วยหรือไร”

ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับขับไล่ร่างแปรของอีกฝ่ายในทันที

ประมุขรัฐจันทร์บุปผา บรรพชนราตรีนิรันดร์ บรรพชนนิจรัตติกาลและเหล่ามารขั้นสุดยอดจำนวนหนึ่ง ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับไม่ไว้หน้าเลย อยากจะดูอาวุธเทพคละถิ่นอย่างนั้นหรือ ฝันไปเถิด! อย่างไรก็เกลียดชังพวกเขามาตั้งนานแล้ว! มารในรัฐโบราณจันทร์บุปผา ตงป๋อเสวี่ยอิงสังหารขึ้นมาก็ไม่ไว้ไมตรีเลยแม้แต่น้อย

……………………………………………..

สมบัติล้ำค่าของจักรพรรดิเป่ยเหอ จะแบ่งให้ตนครึ่งหนึ่งอย่างนั้นหรือ

ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้กระจ่างดียิ่งว่า ‘จักรพรรดิเป่ยเหอ’ ผู้จัดเป็นอันดับหนึ่งภายใต้ยอดเคารพนั้นมีอำนาจอยู่ในระดับใด สมบัติล้ำค่าที่มีอยู่มากมายเพียงใด! ต่างก็ว่ากันว่าสมบัติล้ำค่าจำนวนนับไม่ถ้วนของ ‘หุบเขาเขี้ยวหัก’ ต้องอาศัยโชคชะตาเป็นอย่างมาก ทำให้ผู้บำเพ็ญและเหล่าผู้แกร่งกล้าเข้ามาเสี่ยงอันตรายแสวงโชคกันกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า แต่ในความเป็นจริงแล้วที่เป็นสุดยอดจริงๆ ส่วนใหญ่ต่างก็ถูกยึดครองไปแต่เพียงผู้เดียวแล้ว!

ห้ายอดเคารพ และแปดผู้วิเศษในหมู่สิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับล่าง รวมถึงบรรดาจักรพรรดิกลุ่มหนึ่งด้วย…

ผู้ที่พลังยุทธ์แข็งแกร่งในบรรดาคนเหล่านี้ อะไรที่ครอบครองได้ก็ครอบครองกันไปนานแล้ว!

ก็มีแต่สิ่งที่ไม่เห็นอยู่ในสายตาเท่านั้นที่ยอมปล่อยให้บรรดาผู้บำเพ็ญไปแย่งชิงกัน

“ว่าอย่างไร ไม่เชื่อหรือ” จักรพรรดิเป่ยเหอมองตงป๋อเสวี่ยอิง

“จักรพรรดิพูดเช่นนี้มีเจตนาอะไรหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองจักรพรรดิเป่ยเหอ

“ก็อย่างที่ข้าพูดนั่นแหละ! สมบัติล้ำค่าของข้า หรือแม้กระทั่งสมบัติล้ำค่าที่จะได้มาในภายภาคหน้า ทั้งหมดก็เป็นของเจ้าครึ่งหนึ่ง ของข้าครึ่งหนึ่ง! ทั้งหมดทั้งมวลแบ่งเป็นครึ่งหนึ่งเท่าๆ กัน!” จักรพรรดิเป่ยเหอมองตงป๋อเสวี่ยอิง “แม้กระทั่งสามสิบหกแม่ทัพเทพใต้บังคับบัญชาของข้า แต่ไหนแต่ไรข้าก็ไม่เคยพูดกับพวกเขาเช่นนี้มาก่อนเลยแม้แต่คนเดียว! เจ้าเป็นคนแรกที่มีคุณสมบัติพอจะให้ข้าพูดเช่นนี้ได้”

“บนโลกนี้ไม่มีผลประโยชน์อันใดที่ไม่มีเหตุมีผลหรอก สมบัติล้ำค่าของจักรพรรดิคงจะไม่ได้ได้มาอย่างง่ายๆ หรอกกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “ข้าต้องแลกมาด้วยอะไรหรือ”

“ฮ่าฮ่าฮ่า… ก็ไม่เห็นจะมีอะไร ก็แค่เป็นพี่น้องร่วมเป็นร่วมตายกับข้าเท่านั้นเอง” จักรพรรดิเป่ยเหอพูด “ขุมอำนาจทางด้านนี้ของข้า นับจากวันนี้เป็นต้นไป สถานะของเจ้าก็อยู่ในระดับเดียวกันกับข้า เป็นจักรพรรดิหิมะเหิน! คำสั่งของเจ้าก็คือคำสั่งของข้า”

“สถานะของอยู่ในระดับเดียวกันอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้ว “หากข้าบอกว่าให้หยุดการโจมตีโลกมากมายเหล่านั้นเล่า”

“เช่นนั้นก็ต้องหยุดสิ!” จักรพรรดิเป่ยเหอพูดยิ้มๆ

“อาณาเขตที่จักรพรรดิเคยปกครองในตอนแรก ให้พวกเขากลับคืนสู่อิสรภาพเล่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดอีก

“ข้าบอกแล้วอย่างไรเล่า คำพูดของเจ้า ก็คือคำพูดของข้า!” จักรพรรดิเป่ยเหอมองตงป๋อเสวี่ยอิง

ตงป๋อเสวี่ยอิงสัมผัสได้ถึงความจริงใจของจักรพรรดิเป่ยเหอแล้ว

แต่การทอดทิ้งใต้หล้า

แบ่งสมบัติล้ำค่าทั้งหมดให้ตนครึ่งหนึ่ง เพื่ออะไรกัน

“น้องหิมะเหิน! เจ้าอย่าได้ดูถูกตนเอง” จักรพรรดิเป่ยเหอพูดยิ้มๆ “ที่ก่อนหน้านี้ข้าพยายามควบคุมโลกมากมายเอาไว้ใต้บังคับบัญชาก็เพื่อทำให้มีผู้แกร่งกล้ามาให้ข้าใช้ประโยชน์มากยิ่งขึ้น! ฟังคำสั่งของข้า เช่นนี้ข้าจึงจะสามารถครองความได้เปรียบของการต่อสู้ทั่วทั้งหุบเขาเขี้ยวหัก จึงจะได้สิ่งที่ข้าต้องการมามากยิ่งขึ้นได้”

“ถ้าหากมีเพียงแค่ชื่อจักรพรรดิเพียงอย่างเดียว ผู้ใต้บังคับบัญชาแต่ละคนเป็นอิสระ ผู้ที่ฟังคำสั่งข้าจริงๆ ก็คงมีน้อยยิ่งกว่าน้อย เช่นนั้นเป็นจักรพรรดิไปแล้วจะมีประโยชน์อันใดกันเล่า” จักรพรรดิเป่ยเหอมองตงป๋อเสวี่ยอิง “แต่ถ้าหากข้ามีเจ้าช่วยเหลือ เช่นนั้นก็ไม่เหมือนกันแล้วล่ะ”

“เมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้า จำนวนก็ไม่มีความหมายเลย”

จักรพรรดิเป่ยเหอส่ายศีรษะ “เหล่าแม่ทัพเทพที่อ่อนแอสักหน่อย เมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าก็เป็นเรื่องน่าขันแล้ว! อย่างเช่นระดับแม่ทัพเทพโครงกระดูกไม่กี่คนนั้นน้อยจนสามารถนับนิ้วได้ ถึงแม้ว่าจะฝืนรักษาพลังรบเอาไว้ได้สักเล็กน้อย แต่พลังยุทธ์เล็กน้อยที่ฝืนรักษาเอาไว้ได้นั้นสำหรับข้าแล้วก็ไม่ควรค่าแก่การพูดถึงเลย”

ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นด้วย

แม่ทัพเทพโครงกระดูก เดิมทีก็อ่อนกว่าจักรพรรดิเป่ยเหออยู่ขั้นหนึ่งอยู่แล้ว

เมื่ออยู่ภายใต้เขตลวงของตน พลังยุทธ์ก็เหลืออยู่เพียงแค่สามส่วนเท่านั้น! ก็ยิ่งห่างชั้นกับจักรพรรดิเป่ยเหอเข้าไปใหญ่ จะสามารถเอาชีวิตรอดจากการเผชิญหน้ากับจักรพรรดิเป่ยเหอได้หรือไม่นั้นก็ยังยากที่จะพูดได้

“ส่วนจักรพรรดิคนอื่นๆ น่ะหรือ! เมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้า พลังยุทธ์ก็จะลดลงไปอย่างมหาศาลเช่นกัน เดิมทีข้าก็เข้าใกล้ระดับยอดเคารพมากที่สุดอยู่แล้ว ถ้าหากพลังยุทธ์ของบรรดาจักรพรรดิเหล่านั้นยิ่งลดลงไปอีกก็มิใช่คู่ต่อสู้ของข้าแล้วล่ะ” จักรพรรดิเป่ยเหอมองตงป๋อเสวี่ยอิง “ส่วนห้ายอดเคารพ! ห้ายอดเคารพก็เป็นเพียงแค่ระดับจักรพรรดิขั้นสมบูรณ์เท่านั้น วิญญาณมิได้มีการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพไปจากระดับจักรพรรดิขั้นต้นเลย เพียงแต่ปณิธานไม่ธรรมดามากกว่าเท่านั้น เมื่อพวกเขาอยู่ภายใต้เคล็ดวิชาวิญญาณของเจ้า เกรงว่าพลังยุทธ์ก็ต้องลดต่ำลงไปไม่น้อย! หลังจากที่พลังยุทธ์ลดต่ำลงไปแล้วก็คงจะมิได้แตกต่างไปจากข้าสักเท่าใดนัก”

“เจ้ากับข้าร่วมมือกัน! ก็เทียบเคียงได้กับยอดเคารพ!”

“เจ้ากับข้าร่วมมือกัน ระดับจักรพรรดิกลุ่มหนึ่งร่วมมือกันอยู่ตรงหน้าพวกเราก็เป็นเรื่องน่าขันทั้งสิ้น” จักรพรรดิเป่ยเหอมองตงป๋อเสวี่ยอิง “เหล่ายอดเคารพ เมื่อเผชิญหน้ากับระดับจักรพรรดิจำนวนมากพอสมควรร่วมมือกันก็ต้องยุ่งยากอยู่บ้าง แต่พวกเรากลับไม่มีข้อบกพร่องอันใดเลย เจ้ากับข้าร่วมมือกันถึงจะลงตัวที่สุด เพียงพอที่จะกร่างไปทั่วทั้งหุบเขาเขี้ยวหักได้เลย! ทรัพยากรที่พวกเราได้รับมาก็จะมากมายกว่าตอนนี้เสียอีก!”

จักรพรรดิเป่ยเหอมองตงป๋อเสวี่ยอิง “น้องหิมะเหิน เจ้าคงจะเข้าใจในความจริงใจของข้าแล้วกระมัง!”

ตงป๋อเสวี่ยอิงกระจ่างแจ้ง

ใช่แล้ว

เดิมทีจักรพรรดิเป่ยเหอก็อ่อนแอกว่ายอดเคารพอยู่เพียงแค่ขั้นเดียวเท่านั้น หากมีตนช่วยเหลือก็ต้องสามารถต่อสู้อย่างสูสีกับยอดเคารพได้อย่างแน่นอน! ต่อให้ยังมีความแตกต่างอยู่ ความแตกต่างก็น้อยนิดเสียจนสามารถมองข้ามได้แล้ว

สำหรับการล้อมโจมตีอย่างนั้นหรือ เมื่อเผชิญกับเคล็ดวิชาวิญญาณก็เป็นเรื่องน่าขันเช่นเดียวกัน!

“พวกข้าบำเพ็ญมาจนถึงระดับในตอนนี้ เพื่อไขว่คว้าอะไรกันหรือ” จักรพรรดิเป่ยเหอแววตาสว่างไสว “สิ่งที่ไขว่คว้าก็คือระดับคละถิ่นอันลึกลับนั่นอย่างไรเล่า! ระดับขั้นนั้นจึงจะเรียกได้ว่าหนีออกจากกรงขังอย่างแท้จริง! ตอนนี้พวกเราก็เป็นเพียงแค่มดปลวกที่อยู่ภายในกรงขังเท่านั้นเอง”

ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นด้วยอยู่ในใจ

หนีออกจากกรงขังหรือ

ยามที่สอดแนมโลกระดับที่สูงขึ้น ‘เคล็ดวิชาการสอดแนมส่งถ่ายทลายโลกา’ ตนเองสามารถสอดแนมโลกกำเนิดสักแห่งหนึ่งได้ในทันที เพียงแต่ว่ายิ่งเป็นสถานที่ไกลออกไปก็ยิ่งเลือนราง! ได้ยินว่าหลังจากไปถึง ‘ขั้นสุดยอด’ แล้ว วิธีการต่างๆ ก็จะยิ่งน่าอัศจรรย์ เช่นเจ้าศิลา ร่างกายสามารถไปอยู่ได้ทั่วทุกหนแห่ง สามารถตรวจสอบทั่วทุกหนแห่งในโลกกำเนิดได้ในทันที

นี่จึงจะเป็นวิธีการของเทพจักรวาลขั้นสุดยอด

ถ้าหากหนีออกจากกรงขังได้ วิธีการก็จะยิ่งเหนือจินตนาการ! ยิ่งเข้าไปใกล้ก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงความพิเศษของระดับขั้นนั้น นั่นก็คือการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพของการหนีออกจากกรงขัง!

ถ้าหากความมุ่งมาดปรารถนาของเหล่าเทพจักรวาลต่อการเป็น ‘ขั้นสุดยอด’ เป็นหนึ่งแล้วล่ะก็ ความมุ่งมาดปรารถนาต่อการหนีออกจากกรงขังนั้นก็คือหนึ่งร้อย หนึ่งพัน หนึ่งหมื่น!

“พวกเราชนพื้นเมืองดั้งเดิมกับพวกเจ้าผู้บำเพ็ญนั้นไม่เหมือนกัน” จักรพรรดิเป่ยเหอพูด “พูดขึ้นมาแล้ว พวกเรากับชนเผ่ามรณะทมิฬจึงจะนับได้ว่ามีต้นกำเนิดเดียวกัน”

ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวใจสั่นไหว

“เจ้ารู้หรือไม่ ในตำนานบอกว่ามีซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่น่าหวาดกลัวสองร่างอยู่ที่หุบเขาเขี้ยวหัก”

จักรพรรดิเป่ยเหอพูด “ซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นสองร่างนี้จึงจะเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่มีความหมายจริงๆ วิธีการเหนือกว่าจะจินตนาการได้ พวกมันต่างก็เคยห้ำหั่นกับ ‘หยวน’ อย่างบ้าคลั่งมาก่อน ถึงแม้ว่าหยวนจะถูกโจมตีอย่างสาหัส ซากศพทั้งสองนี้ก็ถูกโยนไปกลางหุบเขาเขี้ยวหัก พวกมันแข็งแกร่งเกินไปแล้ว แม้กระทั่งกลิ่นอายเล็กน้อยที่เหลือทิ้งเอาไว้ก็ยังเพียงพอที่จะทำให้ระดับอ๋องธรรมดาๆ ตกใจตาย และกดดันระดับจักรพรรดิได้!”

ตงป๋อเสวี่ยอิงนึกถึงดวงตาสีเทานั้นขึ้นมา ตนเองเพียงแค่สัมผัสเท่านั้น ร่างแยกก็สูญสลายไปในทันทีแล้ว

“พวกเราชนพื้นเมืองดั้งเดิมและชนเผ่ามรณะทมิฬก็มีต้นกำเนิดมาจากซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่แข็งแกร่งสองร่างนี้แหละ” จักรพรรดิเป่ยเหอพูด “พวกเราชนเผ่าพื้นเมืองดั้งเดิมยังดี ได้ครองสายโลหิตของสิ่งมีชีวิตคละถิ่น เชาวน์ปัญญาก็นับได้ว่าสูง ชายหญิงให้กำเนิดบุตรออกมา ก็ย่อมขยายเผ่าพันธุ์ได้”

“แต่เผ่ามรณะทมิฬไม่เหมือนกัน! เหตุใดเผ่ามรณะทมิฬจึงถูกเรียกด้วยชื่อนี้ ก็เพราะพวกมันกำเนิดมาจากความตาย พวกมันไม่มีบิดามารดา ถือกำเนิดออกมาจากกลิ่นอายความตายของเกาะลอยคว้างเพียงอย่างเดียวล้วนๆ” จักรพรรดิเป่ยเหอพูด “ดังนั้นเชาวน์ปัญญาของพวกมันเกือบทั้งหมดจึงได้ต่ำต้อยไม่ต่างจากสัตว์เดรัจฉาน! รู้จักแต่การสังหารและกลืนกินเท่านั้น!”

จักรพรรดิเป่ยเหอมองตงป๋อเสวี่ยอิง “พวกเราสองเผ่าพันธุ์นี้ เพราะสิ่งที่สิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่แกร่งกล้าสองร่างนั้นเหลือทิ้งเอาไว้ให้ พลังยุทธ์จึงได้แข็งแกร่งกว่าพวกเจ้าผู้บำเพ็ญ มีสิ่งที่เรียกว่า ‘ระดับจักรพรรดิ’ เพิ่มขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง”

“อืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

ระดับจักรพรรดิ

เป็นระดับขั้นที่เพิ่มขึ้นมาอีกขั้นหนึ่งจริงๆ!

ในบรรดาผู้บำเพ็ญ แม้กระทั่งผู้ที่มี ‘สุดยอดเคล็ดสืบทอดลับ’ อยู่ อย่างเช่นจอมกระบี่ พลังรบก็เพียงแค่เทียบเคียบกับระดับอ๋องขั้นสมบูรณ์เท่านั้น!

บุคคลผู้ไร้เทียมทานที่มีความช่วยเหลือจากพลังภายนอกอย่างสุดยอดสมบัติลับล้ำค่า! บรรพชนราตรีนิรันดร์ บรรพชนฝาน จักรพรรดิชาง บรรพชนนิจรัตติกาล และประมุขรัฐเสียดฟ้า ก็นับได้ว่าเป็นระดับอ๋องขั้นสมบูรณ์อย่างพอถูไถเท่านั้น

จักรพรรดิเซี่ยและราชันย์อนธการอมตะต่างก็มีวิถีสองสายที่ไปถึงขั้นสุดยอด…จึงได้ทำลายขีดจำกัดของโลกนี้ได้!

“ระดับจักรพรรดินั้นยากเย็นเกินไปสำหรับผู้บำเพ็ญเสียแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด

“ยากหรือ” จักรพรรดิเป่ยเหอแค่นหัวเราะ “ข้าได้ยินมาว่ายิ่งพวกเจ้าผู้บำเพ็ญระดับขั้นยิ่งสูงส่งลึกล้ำ มีบางคนที่สามารถควบคุมแหล่งกำเนิดของโลกกำเนิดสักแห่งหนึ่ง กลายเป็นเจ้านายของโลกกำเนิดสักแห่งหนึ่งได้ มีโลกกำเนิดอันใหญ่โตมโหฬารสักแห่งหนึ่งเป็นพื้นฐาน กลายเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่แกร่งกล้าได้ในทันที มีบางคนที่เผยแพร่ความเชื่อ ทำให้สรรพชีวิตเชื่อถือศรัทธา แล้วอาศัยปณิธานของสรรพชีวิตส่งผลกระทบต่อแหล่งกำเนิดของโลกกำเนิด ควบคุมโลกกำเนิด หรือแม้กระทั่งมีบางคนที่ระดับขั้นสูงขึ้นไปอีก ก็ยิ่งล้ำเลิศ ถึงกับใช้พลังทำลายกฎ! จนไปถึงระดับขั้นที่สูงยิ่งกว่าทางด้านกฎเกณฑ์ได้”

“พวกเจ้าเป็นผู้ที่เดินขึ้นมาทีละก้าวๆ จากผู้อ่อนแอ”

“สำเร็จเป็นขั้นคละถิ่น นั่นก็ต้องแทรกผ่านกฎเกณฑ์ สำหรับการสำแดงพละกำลังนั้นก็ลึกลับเป็นที่สุด” จักรพรรดิเป่ยเหอเอ่ยอย่างขมขื่น “พวกเราแตกต่างกัน ตอนนี้ในภาพรวมพวกเราก็แข็งแกร่งกว่าพวกเจ้าผู้บำเพ็ญแต่ก็เป็นเพียงเพราะความพิเศษของความเป็นมาของเผ่าพันธุ์เท่านั้น สิ่งที่พวกเราบำเพ็ญก็คือพลังของสายโลหิต เมื่อเทียบกันแล้วพลังเช่นนี้ก็ยกระดับขึ้นมาได้เร็วกว่า แต่ยิ่งไปในภายหน้าก็ยิ่งยาก”

“แต่ระดับจักรพรรดิขั้นสมบูรณ์ก็เป็นจุดสูงสุดที่พวกเรารู้แล้ว!” จักรพรรดิเป่ยเหอพูด “หยวนเคยบอกกับเผ่าพันธุ์ของพวกเรา บอกว่าเพียงแค่ก้าวออกไปจากระดับจักรพรรดิขั้นสมบูรณ์อีกเพียงก้าวเดียว ก็คือสายโลหิตการตื่นรู้ขั้นสุดยอดแล้ว! กลับคืนสู่บรรพบุรุษอย่างแท้จริง เปลี่ยนแปลงกลายเป็นสายพันธุ์เดียวกันกับ ‘บรรพบุรุษ’ ของเผ่าพันธุ์เรา เป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่แท้จริง เผ่าพันธุ์ของบรรพบุรุษของพวกเราก็มิใช่สิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับล่างอย่างหุบเขาเขี้ยวหักจะสามารถเปรียบได้”

“แต่ก้าวนี้ ในตำนานก็เคยมีผู้ที่ทำได้มาก่อน แต่จนกระทั่งถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีที่หุบเขาเขี้ยวหักเลย” จักรพรรดิเป่ยเหอมองตงป๋อเสวี่ยอิง “เส้นทางการตื่นรู้ขั้นสุดยอดของพวกเรานั้นยากลำบากอย่างยิ่ง

นอกจากตัวเองแล้วก็ยังต้องการความช่วยเหลือจากวัตถุภายนอกต่างๆ ด้วย”

……………………………………………..

เมืองหิมะเหินกว้างใหญ่ไพศาล ภายในก็มียอดเขาและหุบเขามากมาย อย่างเช่นแม่เฒ่าอิงซานก็ถือครองทิวเขาแห่งหนึ่งแล้วสร้างที่พำนักอยู่ที่นั่น

ภายในหุบเขาแห่งหนึ่ง ตงป๋อเสวี่ยอิง บรรพชนแมลงปาถัวเฉิน และจอมกระบี่ พวกเขาสามคนกำลังประลองเรียนรู้จากกันและกัน

“ขวับ ขวับ ขวับ”

บรรพชนแมลงปาถัวเฉินกะพริบร่างแปรเปลี่ยนไม่หยุดหย่อน ปีกของเขากระพือไหวคราหนึ่ง อัตราเร็วรวดเร็วถึงขีดสุด

ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงก็กุมหอกชิงเหอเอาไว้ในมือ ถึงแม้ว่าจะมิได้ควบคุมให้ค่ายกลเมืองหิมะเหินลงมือ แต่ก็ยังคงต่อตีจนบรรพชนแมลงปาถัวเฉินยับเยินอยู่บ้าง สถานที่มากมายในหุบเขาแห่งนี้กลายเป็นผุยผงไปหมดแล้ว แน่นอนว่าบริเวณรอบๆ ก็มีค่ายกลตัดแยกอยู่ ทำให้พวกเขาทั้งสามคนต่อสู้กันโดยไม่ส่งผลกระทบไปถึงโลกภายนอก

“หยุดๆๆ” บรรพชนแมลงปาถัวเฉินตะโกนขึ้น “สมแล้วที่เป็นอาวุธเทพคละถิ่น ร้ายกาจๆ ดูท่าทางข่าวที่ราชันย์อนธการอมตะผู้นั้นปล่อยออกมาก็เป็นความจริงอยู่หลายส่วนเลยทีเดียว!”

“จริงหรือ จริงกับผีน่ะสิ!”

ตงป๋อเสวี่ยอิงหยุดลง อุปนิสัยของเขานับได้ว่าดีแล้ว แต่ก็ยังอดที่จะเอ่ยด่าออกมามิได้ “ยังพูดว่าอะไรอีก ไม่ว่าขั้นสุดยอดที่บำเพ็ญวิถีใดๆ ได้รับอาวุธเทพคละถิ่นมา ต่างก็สามารถเพิ่มพูนพลังยุทธ์ได้อย่างมหาศาล! พูดจาเหลวไหลได้เต็มปากเต็มคำนัก อาวุธเทพคละถิ่นนี่เป็นสิ่งที่ข้าหลอมขึ้นมาเองกับมือจึงสามารถหลอมแปรได้ นอกจากข้า เทพจักรวาลคนอื่นใดต่างก็ไม่มีทางหลอมแปรได้หรอก! ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะเอาไปใช้เลย ข้อสอง นี่คืออาวุธที่ผสานรวมกับสุดยอดเคล็ดสืบทอดลับที่ข้าได้มา ผู้ที่บำเพ็ญวิถีอื่นๆ ต่อให้สามารถหลอมแปรได้ก็ไม่สามารถใช้งานได้อยู่ดีนั่นแหละ! ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าแค่หลอมแปรก็ยังทำมิได้เลย!”

“ฮ่าฮ่า พี่ใหญ่หิมะเหิน ใครใช้ให้การต่อสู้ครั้งเดียวของท่านทำให้หวาดหวั่นพรั่นพรึงไปทั่วดินแดนจิตโลกากันเล่า ทั้งยังฝังแค้นกับราชันย์อนธการอมตะด้วย เขาคิดบัญชีกับท่านก็เป็นเรื่องธรรมดานี่” บรรพชนแมลงปาถัวเฉินพูดยิ้มๆ

“ก็ไม่ต้องไปใส่ใจหรอก อยู่ที่เมืองหิมะเหิน แม้กระทั่งราชันย์อนธการอมตะก็ยังทำอะไรเสวี่ยอิงมิได้ บุคคลผู้ไร้เทียมทานคนอื่นๆ ก็ยังไร้ความหวังยิ่งกว่าอีก” จอมกระบี่พูด

แม้กระทั่งจักรพรรดิเซี่ยก็ยังอ่อนแอกว่าอยู่ขั้นหนึ่ง

ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า “ก็ยังเกิดเรื่องยุ่งยากมากขึ้นอีกเป็นกอง”

จิตใจละโมบ…

บุคคลผู้ไร้เทียมทานที่ตกต่ำไปก่อนหน้านี้อย่างเช่นจักรพรรดิกลืนโลกาตายไปด้วยเหตุใดน่ะหรือ มีผู้ที่เข้าไปในหุบเขาเขี้ยวหักแล้วต้องตาย! แล้วก็มีผู้ที่ตายเพราะเผชิญกับการล้อมโจมตีของบุคคลผู้ไร้เทียมทานที่ดินแดนจิตโลกา ตกอยู่ภายใต้การล้อมโจมตีเพราะเหตุใดน่ะหรือ พูดกันจริงๆ แล้วก็ล้วนเป็นเพราะ ‘ความละโมบ’ ทั้งสิ้น พูดให้น่าฟังหน่อยก็ล้วนเป็นเพราะแสวงหาทางเดินบนเส้นทางการบำเพ็ญให้ไกลยิ่งขึ้น

“เสวี่ยอิง เจ้ากับข้าก็มาประลองกันดูหน่อยสิ” จอมกระบี่พูดยิ้มๆ

“ได้เลย”

ตงป๋อเสวี่ยอิงดวงตาเป็นประกาย “เจ้าก็ระวังด้วยล่ะ”

พูดแล้วหอกชิงเหอในมือก็แทงออกมาในทันใด!

ฝีหอกนี้กระตุ้นห้วงอากาศจนทั้งห้วงอากาศต่างก็เปลี่ยนเป็นดำทะมึน พลังคละวิถีอันไร้ที่สิ้นสุดท่ามกลางความดำทะมึนพุ่งเข้าใส่จอมกระบี่ราวกับกระแสน้ำวนตามการพุ่งของหอกชิงเหอ

ปลายหอกไม่จำเป็นต้องปะทะถูกศัตรู พลังคุกคามอันน่าหวาดหวั่นของฝีหอกนี้ก็ทะลุผ่านอากาศแพร่ไปถึงจอมกระบี่นี้แล้ว

“พรึ่บ” ประกายกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนบนผิวกายของจอมกระบี่ก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า คุ้มกันกายตน ต้านทานการโจมตีนี้เอาไว้ ถึงแม้ว่าเคล็ดวิชาคุ้มกันร่างกายที่เขาตระหนักรู้จากในสุดยอดเคล็ดสืบทอดลับจะร้ายกาจ แต่ก็ยังรู้สึกได้ว่าพลังแทรกผ่านอันแปลกประหลาดบางส่วนแพร่มาถึงในร่างกายของเขา แต่ร่างกายของเขากลับดุจดังประกายกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนรวมตัวกัน บดทำลายพลังโจมตีอย่างรวดเร็วอยู่ภายใน เพียงแต่ว่าก็ยังอดที่จะร่นถอยหลังไปก้าวหนึ่งมิได้

“วิถีอากาศช่างน่าสนใจจริงๆ” จอมกระบี่กลับหัวเราะเสียงดัง “เจ้าก็รับกระบี่ข้าด้วยล่ะ”

พรึ่บ

ประกายกระบี่กะพริบวาบ ประกายโลหิตสายหนึ่งกะพริบวาบแล้วก็มาถึงตรงหน้าตงป๋อเสวี่ยอิง

ดูเหมือนจะเงียบงันไร้สุ้มเสียง แต่กลับทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึงในทันใด แล้วหอกก็หมุนเบาๆ คราหนึ่ง จากนั้นห้วงมิติชั้นแล้วชั้นเล่าจำนวนนับไม่ถ้วนก็ขัดขวางเอาไว้ ทว่าประกายโลหิตสายนั้นกลับน่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง ทะลุผ่านห้วงมิติชั้นแล้วชั้นเล่าอย่างง่ายดาย ห้วงมิติชั้นแล้วชั้นเล่ากลับมิได้สูญสิ้นไป พลังคุกคามของประกายโลหิตอ่อนลงเพียงแค่สามสี่ส่วนเท่านั้นแล้วแทงทะลุเข้าไปภายในร่างกายของตงป๋อเสวี่ยอิง

ผ่านวิธีการถ่ายถอนพลังต่างๆ ของการกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอด ทรวงอกของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังมีบาดแผลปรากฏขึ้นรอยหนึ่งที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าปากแผลสมานเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว

“ร่างกายนี้ของเจ้าช่างแข็งแกร่งเสียจริง” จอมกระบี่อดที่จะพูดขึ้นมิได้

“กระบี่ท่านนั่นแหละที่ยากจะต่อกร” หอกยาวในมือตงป๋อเสวี่ยอิงหมุนปั่นคราหนึ่ง ฟ้าดินก็ปั่นป่วนหมุนวนขึ้นมา…

……

สองฝ่ายขับเคี่ยวกัน

ฝ่ายหนึ่งเป็นวิถีทำลายล้าง วิธีการที่สำแดงออกมาก็แฝงเอาไว้ด้วยสุดยอดเคล็ดสืบทอดลับ ส่วนอีกฝ่ายก็คือตงป๋อเสวี่ยอิงที่กุมอาวุธเทพคละถิ่นไว้ในมือ เคล็ดวิชาวิถีอากาศที่สำแดงออกมาก็ใกล้เคียงกันเลยทีเดียว

แต่ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงก็ตกเป็นรองอย่างเห็นได้ชัด!

“เสวี่ยอิง มิใช่ว่าเจ้ามีร่างแยกมากมายหรือไร รวมเคล็ดลับที่มีอยู่ทั้งหมดออกมาพร้อมกันเลยสิ!” จอมกระบี่เอ่ยกระตุ้น

“ฮ่าฮ่าฮ่า นี่เป็นสิ่งที่เจ้าเป็นฝ่ายต้องการเองนะ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวเราะเสียงดัง

ด้านข้างมีดอกบัวเพลิงห้วงอากาศขนาดมหึมาดอกหนึ่งปรากฏขึ้นมาพร้อมกันในทันใด บนดอกบัวเพลิงห้วงอากาศอันจับตามีตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่เก้าคน แต่ละคนต่างก็สำแดงเคล็ดวิชาออกมาพร้อมกัน

ถ้าหากพูดว่าตงป๋อเสวี่ยอิงกุมหอกชิงเหอเอาไว้ในมือ มีพลังสามส่วนของบรรพชนราตรีนิรันดร์

เช่นนั้นร่างแยกทั้งเก้าผสานรวมกับดอกบัวเพลิงห้วงอากาศก็พอๆ กันกับพลังสามส่วนของบรรพชนราตรีนิรันดร์! เพราะร่างแยกทั้งเก้าทุกร่างต่างก็มีวิญญาณเจ็ดส่วนของระดับขั้นสูงสุด เพราะเคยดูดซับโลหิตหัวใจของ ‘มารดามังกรหมื่นสัมผัส’ มาก่อนแล้ว ถึงแม้ว่าจะเป็นวิญญาณเจ็ดส่วน ร่างแยกทุกร่างล้วนไม่ด้อยไปกว่าวิญญาณของขั้นสุดยอดโดยทั่วไปเลย พลังจิตก็เพียงพอสำหรับสำแดงเคล็ดวิชาโดยทั่วไปแล้ว

พลังรบขั้นสุดยอดเก้าคน ทั้งยังมีพลังแห่งโลกาของดอกบัวเพลิงห้วงอากาศส่งเสริมอีกด้วย! สิ่งที่สำคัญก็คือในดอกบัวเพลิงห้วงอากาศแฝงเอาไว้ด้วย ‘วิถีอากาศขั้นสุดยอด’ ผ่านเคล็ดการร่วมโจมตีที่วิถีอากาศขั้นสุดยอดติดตั้งอยู่ทำให้ร่างแยกทั้งเก้าร่วมมือกันขึ้นมา ผลลัพธ์จึงจะดีเยี่ยมเป็นที่สุด จึงทำให้พลังยุทธ์เพิ่มขึ้นกว่าตอนที่ไม่มีดอกบัวเพลิงห้วงอากาศหลายเท่า

ตอนนี้มีอาวุธเทพคละถิ่นแต่ก็มีส่วนที่ติดขัดอยู่บ้าง

ก็คือมี ‘หอกชิงเหอ’ อาวุธเทพคละถิ่น อยู่เพียงแค่เล่มเดียวเท่านั้น! พลังยุทธ์ที่ร่างแยกที่ถือหอกชิงเหอสำแดงออกมาเหนือกว่าร่างแยกอื่นๆ มากมายนัก (ร่างแยกอื่นๆ เก้าร่าง ผนวกรวมกับดอกบัวเพลิงห้วงอากาศจึงจะสามารถเทียบเท่าได้) ความแตกต่างมากเกินไป การผสานรวมก็ดูจะไม่สมเหตุสมผลสักเท่าใดนัก

อย่างเช่น ‘เมืองหิมะเหิน’ ก็แตกต่างกันแล้ว

ค่ายกลมากมายที่ติดตั้งอยู่ภายในเมืองหิมะเหินก็เป็นเพียงแค่ส่วนเดียวเท่านั้น อย่างเช่นจวนจ้าวก็มีค่ายกลอยู่ ถึงขนาดที่ตงป๋อเสวี่ยอิงต้องพกแก่นสำคัญติดตัวเอาไว้

เขานึกคิดคราหนึ่ง

ก็สามารถเหนี่ยวนำค่ายกลมากมายได้แล้ว จากนั้นตนเองก็สำแดงท่าไม้ตายอันแข็งแกร่งที่สุดออกมา

ค่ายกลเหล่านี้…ต่างก็ผสานรวมเจ็ดกระบวนคละถิ่นคิดค้นออกมา ต่างก็เป็นเลิศในการกระตุ้นพลังคละวิถี! ผสานรวมกันขึ้นมากับอาวุธเทพคละถิ่น…ก็เป็นคู่ที่เหมาะสมกันอย่างแท้จริง!

ทว่าพลังแห่งโลกาของ ‘ดอกบัวเพลิงห้วงอากาศ’ กับหอกชิงเหอผสานรวมกันขึ้นมา ผลลัพธ์กลับย่ำแย่ลงไปเป็นอันมาก

“ปัง ปัง ปัง…”

ดอกบัวเพลิงห้วงอากาศและร่างแยกทั้งเก้าสำแดงเคล็ดการร่วมโจมตี!

ร่างแยกอีกร่างหนึ่งที่กุมหอกชิงเหอเอาไว้ในมือก็ลงมือเช่นกัน ร่วมมือกัน แต่ก็ยังคงถูกจอมกระบี่โจมตีจนยับเยินอยู่บ้าง ถึงอย่างไรจอมกระบี่ระเบิดพลังยุทธ์อย่างสุดกำลังก็มีแปดส่วนของบรรพชนราตรีนิรันดร์แล้ว

“ยังสำแดงเคล็ดวิชาเขตพลังร่วมกับหอกชิงเหอก็จะเหมาะสมกว่า” หลังจากที่ตงป๋อเสวี่ยอิงทดสอบหลายครั้งแล้วจึงได้เปลี่ยนแปลงเคล็ดวิชา

พรึ่บ…

ร่างแยกทั้งเก้าสำแดงเคล็ดการร่วมโจมตี สำแดงเคล็ดวิชาเขตพลังที่แข็งแกร่งที่สุดออกมา

ตัวดอกบัวเพลิงห้วงอากาศเองก็เป็นสมบัติของโลกอยู่แล้ว ก็เชี่ยวชาญทางด้านเขตพลังเป็นที่สุด

“ครืน…” เขตพลังอันแกร่งกล้าราวกับคลื่นใต้น้ำบีบตัวออกมาแล้วโอบล้อมจอมกระบี่เอาไว้ เพียงพริบตา จอมกระบี่ก็เผชิญกับการกดดันของเขตพลังตลอดเวลา อีกทั้งเขตพลังคุกคามก็แปรเปลี่ยนไม่หยุดหย่อน ทำให้พลังยุทธ์ของจอมกระบี่ได้รับผลกระทบ

ทันใดนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงกุมหอกชิงเหอเอาไว้ในมือ พลังยุทธ์บีบคั้นจอมกระบี่

ถึงแม้ว่าจะยังคงไม่สามารถครองความเหนือกว่าได้เช่นเดิม แต่ก็ผ่อนคลายลงไม่น้อยอย่างเห็นได้ชัด

“ฮ่าฮ่าฮ่า…” ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวเราะขึ้นมาในที่สุด

“เขตพลังนี้ของเจ้าช่างทำให้คนปวดเศียรเวียนเกล้าอย่างแท้จริง” จอมกระบี่ก็รู้สึกว่ายากจะรับได้เป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าเขาจะได้ครอบครองสุดยอดเคล็ดสืบทอดลับแล้วก็มีเคล็ดเขตพลัง แต่กลับมิอาจสู้กับ ‘ดอกบัวเพลิงห้วงอากาศ’ ที่เดิมทีก็เป็นสมบัติของโลกอยู่แล้ว ภายใต้การร่วมมือกันของร่างแยกทั้งเก้า เขตพลังนี้ก็แกร่งกล้าอย่างแท้จริง

ทั้งสองฝ่ายหยุดมือแล้วร่อนลงบนพื้นดิน

“ต่อให้อยู่ที่โลกภายนอก ประมือกับพวกบรรพชนราตรีนิรันดร์ เจ้าก็สามารถทำได้อย่างสบายๆ แล้ว” จอมกระบี่พูดยิ้มๆ

“น่าเสียดาย เพียงแค่ข้าเคลื่อนไหวใหญ่โตข้างนอกนั่น ราชันย์อนธการอมตะผู้นั้นก็จะต้องมาสังหารข้าอย่างแน่นอน” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะ “ถึงแม้ว่าเขตพลังของข้าจะนับว่าร้ายกาจ แต่ในสายตาของบุคคลผู้ไร้เทียมทานที่เชี่ยวชาญทางด้านเขตพลังอย่างแท้จริงก็ยังคงไม่แข็งแกร่งพอหรอก เมื่ออยู่ต่อหน้า ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ ‘โลกแห่งความตาย’ ของเขาเคลื่อนลงมา ก็เพียงพอที่จะกดดันเขตพลังของข้าแล้ว เขตพลังก็ย่อมไม่สามารถช่วยเหลือข้าได้ ข้าถืออาวุธเทพคละถิ่นเอาไว้ในมือแล้วสู้กับเขา ถ้าหากหลบหนีช้าก็อาจจะถูกเขาสังหารเอาก็ได้ ร่างแยกร่างหนึ่งสูญสลายก็สลายไปเถิด แต่การที่อาวุธเทพคละถิ่นถูกช่วงชิงไปนั้นต่างหากจึงจะเป็นสิ่งที่ข้ามิอาจทนรับได้”

จอมกระบี่พยักหน้า

เขตพลังกดดันศัตรู ก็ต้องมีความสุขอย่างแน่นอน

แต่ถ้าหากเป็นเขตพลังของศัตรูที่แข็งแกร่งกว่า… เช่นนั้นเคล็ดเขตพลังที่สำแดงออกมาก็เป็นผลจากการถูกกดดัน!

“ในวันหน้าที่เจ้าออกไป ไม่คิดจะเอาอาวุธเทพคละถิ่นไปด้วยหรือไร” จอมกระบี่เอ่ยถาม

“ไม่ล่ะ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะ “รอให้ถึงวันที่ข้าสำเร็จเป็นขั้นสุดยอด จึงจะเป็นเวลาที่อาวุธเทพคละถิ่นออกจากเมืองหิมะเหิน!”

“ถูกต้อง ราชันย์อนธการอมตะผู้นั้นก่อให้เกิดคลื่นลม แพร่ข่าวลือออกไป การต่อสู้ครั้งนั้นของพี่ใหญ่หิมะเหินก็ชวนให้คนตกตะลึงเกินไป ผู้ที่เกิดจิตใจละโมบขึ้นมาจะต้องมีมากมายอย่างแน่นอน! พวกเขาไม่กล้ามารนหาที่ตายที่เมืองหิมะเหิน แต่ถ้าหากออกไป… ก็ยุ่งยากเสียแล้วล่ะ” บรรพชนแมลงปาถัวเฉินก็เห็นด้วย

“อืมๆ เสวี่ยอิง การบำเพ็ญของเจ้าสั่งสมมาอย่างแน่นหนาอย่างยิ่งแล้ว นึกอยากจะบรรลุไปถึงขั้นสุดยอดก็ต้องการเพียงแค่จุดวิกฤติให้บรรลุอีกครั้งก็ใช้ได้แล้ว” จอมกระบี่พูด

“บรรลุอีกครั้งหรือ ข้าก็รู้ว่าบรรลุอีกครั้งก็ใช้ได้แล้ว แต่การบรรลุก้าวสุดท้ายนี้ยากเย็นขนาดไหน” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า

“เค่อชิงเฟยเสวี่ย”

น้ำเสียงสายหนึ่งดังขึ้นที่บริเวณรอบๆ ในทันใด

ตงป๋อเสวี่ยอิง จอมกระบี่ และบรรพชนแมลงปาถัวเฉินต่างก็หันไปมอง เห็นเพียงว่าด้านข้างตรงที่ว่างกลางอากาศมีพลังฟ้าดินรวมตัวกัน รวมตัวกันออกมาเป็นเงาร่างสามสายของพวกจักรพรรดิเซี่ย บรรพชนฝาน และจักรพรรดิชาง แต่นี่ก็เป็นพลังฟ้าดินรวมตัวกัน เป็นเพียงแค่ร่างแปรเท่านั้น! เห็นได้ชัดว่าพวกจักรพรรดิเซี่ยส่งร่างแปรมา ก็หมายความว่าไม่มีจิตคิดเป็นปรปักษ์

มิฉะนั้นหากร่างจริงมา ตงป๋อเสวี่ยอิงก็จะต้องตื่นตัวระแวดระวังอย่างแน่นอน!

“จักรพรรดิเซี่ย บรรพชนฝาน จักรพรรดิชาง” ตงป๋อเสวี่ยอิงทักทายพลางพูดยิ้มๆ “ทั้งสามท่านมายังเมืองหิมะเหินของข้า ช่างเป็นเกียรติแก่เมืองหิมะเหินของข้าจริงๆ”

“ฮ่าฮ่า… ตอนนี้ใต้หล้า ใครจะไม่รู้จักชื่อมหาเคารพหิมะเหินบ้างเล่า ที่เมืองหิมะเหิน แม้กระทั่งราชันย์อนธการก็ยังต้องล่าถอยเลย” จักรพรรดิเซี่ยพูดพลางหัวเราะฮ่าๆ

ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มรับแขกผู้มาเยือน

ทว่าในใจก็เข้าใจรางๆ ว่าการที่อีกฝ่ายมานั้น เกรงว่าจะเกี่ยวข้องกับอาวุธเทพคละถิ่น

…………………………………………..

ตอนนั้นที่รัฐถูฮวา เขาเพียงแค่หนทางไม่ราบรื่นแล้วช่วยเหลือปาถัวเฉินเอาไว้ กลัวว่าปาถัวเฉินจะเผชิญกับการล้างแค้นที่รัฐถูฮวา ดังนั้นจึงตั้งใจส่งเขาไปยัง ‘นครหลวงคิมหันตวายุ’ เมืองใหญ่อันดับหนึ่งแห่งดินแดนจิตโลกาที่มีระบบระเบียบดีที่สุด ทั้งยังสามารถเสาะหาสำนักให้คารวะเข้าไปได้ด้วย ในภายหลังที่นครหลวงคิมหันตวายุ เพราะเหตุปัจจัยรับรู้ได้ว่า ‘ปาถัวเฉิน’ เกิดเรื่องยุ่งยากครั้งใหญ่ขึ้น ดังนั้นจึงได้ไปช่วยเหลือเขาในคุกใต้ดิน

สำหรับตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว ถึงแม้ว่าจะเป็นคนคนหนึ่งที่ไม่รู้จัก เมื่อเผชิญกับความไม่สงบสุข เผชิญกับภยันตราย ถ้าเขาได้เห็นแล้ว ขอเพียงแค่พลังพอจะสู้ได้ เขาก็จะไปช่วย!

อย่างเช่นเรื่องการสังหารหมู่ก็สังเกตการณ์ผ่านข้อมูลของสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ เมื่อใดที่ค้นพบก็จะไปจัดการในทันที

“ปาถัวเฉินหรือ เจ้าคือบรรพชนแมลงอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่กล้าเชื่อ

ตนเองก็บำเพ็ญอย่างรวดเร็วพอดูแล้ว จอมกระบี่บำเพ็ญยาวนานกว่าตนมาก แต่สำเร็จเป็นขั้นสุดยอดได้ในระยะเวลาอันสั้นเช่นนี้ก็ยังคงล้ำเลิศอย่างยิ่งอยู่ดี

แต่ปาถัวเฉิน ตอนนั้นยังเป็นเพียงแค่ขั้นรวมเป็นหนึ่ง แต่ระยะเวลาสั้นๆ เพียงแค่ไม่กี่แสนล้านปีก็สำเร็จเป็นขั้นสุดยอดแล้วอย่างนั้นหรือ เปรียบเทียบกับเขาแล้วผู้บำเพ็ญทั้งหลายต่างก็ต้องรู้สึกขายหน้ากันหมดแล้วกระมัง!

นอกจากนี้ ‘บรรพชนแมลง’ ควรจะต้องเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของ ‘จักรพรรดิกลืนโลกา’ บุคคลผู้ไร้เทียมทานในตำนานที่ตกต่ำไปแล้วผู้นั้นสิ

“ปาถัวเฉินคือใครกัน” จอมกระบี่ที่อยู่ด้านข้างเอ่ยถาม “เสวี่ยอิง เจ้ารู้จักกับบรรพชนแมลงหรือ”

บรรพชนแมลงปาถัวเฉินเอ่ยเสียงเบา “ปาถัวเฉินเป็นเพียงแค่เจ้าเด็กน้อยที่สามัญธรรมดาอย่างยิ่งคนหนึ่ง เพียงแต่บังเอิญโชคดีจึงมาถึงขั้นนี้ได้เท่านั้น”

“บังเอิญโชคดีอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ่งสงสัยเข้าไปใหญ่

การบำเพ็ญต้องอาศัยพลังยุทธ์!

ต่อให้มีบุปผาโลกาและสุดยอดเคล็ดสืบทอดลับก็จำเป็นต้องตระหนักรู้

ถ้าหากมิได้ตระหนักรู้ บุปผาโลกาเบ่งบาน ตนเองจะได้ประสบการณ์มากน้อยสักเท่าใดกัน สุดยอดเคล็ดสืบทอดลับวางอยู่ตรงหน้าแล้วจะสามารถหยั่งรู้ได้สักเท่าใด

“จ้าวหิมะเหิน ถ้าหากไม่รังเกียจ ข้าขอเรียกว่าพี่ใหญ่หิมะเหินก็แล้วกัน” บรรพชนแมลงปาถัวเฉินพูดยิ้มๆ

“นับเป็นเกียรติของข้า” ตงป๋อเสวี่ยอิงรับคำแล้วเอ่ยต่อไปว่า “เกรงว่านี่จะเกี่ยวพันกับความลับ ปาถัวเฉินเจ้าไม่จำเป็นต้องบอกพวกเราก็ได้นะ”

“ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย”

บรรพชนแมลงปาถัวเฉินพูด “ถ้าหากยังเป็นตอนก่อนที่จะสำเร็จเป็นขั้นสุดยอด ข้าก็ยังจำเป็นต้องระมัดระวัง แต่สำเร็จเป็นขั้นสุดยอดแล้วก็ไม่มีอะไรให้กลัวอีกต่อไปแล้ว พูดถึงแล้วก็ยังต้องขอบคุณพี่ใหญ่หิมะเหินด้วย ตอนนั้นได้ท่าน พี่ใหญ่หิมะเหินช่วยชีวิตข้า ส่งตัวข้าจากรัฐถูฮวาไปยังนครหลวงคิมหันตวายุ แล้วข้าก็คารวะเข้าสู่สำนักในนครหลวงคิมหันตวายุ อยากจะพากเพียรบำเพ็ญ!”

“เพียงแต่ว่าการบำเพ็ญมิได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น ตอนที่ข้าเสาะหาวัตถุที่ใช้ในการบำเพ็ญอยู๋ที่ชุมชนของล้ำค่าก็ได้ค้นพบรูปสลักแมลงสีดำชิ้นหนึ่งเข้า รู้สึกเพียงว่ามีชะตาต่อข้าเป็นอย่างมาก เห็นแล้วก็เกิดความชอบจากก้นบึ้งของจิตใจเลยทีเดียว ก็เลยซื้อมา”

“ใครจะไปคิดว่านี่จะเป็นสมบัติที่จักรพรรดิกลืนโลกาผู้ตกต่ำไปแล้วผู้นั้นทิ้งเอาไว้กันเล่า”

“จักรพรรดิกลืนโลกาหรือ”

“เป็นเขาหรือ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงและจอมกระบี่ต่างก็กระจ่างในทันใด

จักรพรรดิกลืนโลกาก็เป็นบุคคลผู้ไร้เทียมทาน คิดค้นศาสตร์ลับคัมภีร์กลืนโลกาที่เพาะเลี้ยงแมลงอสูรออกมาด้วยตนเอง กระทั่งจนถึงปัจจุบัน แมลงอสูรมากมายที่ศึกษาก็ยังเคารพจักรพรรดิกลืนโลกาเป็นอย่างยิ่ง ยังมีเรื่องเล่าขานมากมายเกี่ยวกับเขาที่แพร่สะพัดอยู่ในดินแดนจิตโลกาอันไพศาล ผู้แกร่งกล้ามากมายต่างก็กำลังเสาะหาโบราณสถานที่เกี่ยวข้องกับจักรพรรดิกลืนโลกาอยู่เลย!

“พวกท่านคงจะรู้” บรรพชนแมลงปาถัวเฉินพูด “ถึงแม้ว่าจักรพรรดิกลืนโลกาจะเพาะเลี้ยงแมลงอสูร แต่แมลงอสูรมีเชาวน์ปัญญาไม่สูงนัก มีประโยชน์ต่อกฎเกณฑ์ต่ำเหลือเกิน ดังนั้นจักรพรรดิกลืนโลกาจึงได้ศึกษาหาวิธีที่จะทำให้ ‘แมลงพิษ’ กับ ‘ผู้ใต้บังคับบัญชา’ ผสานรวมกันเป็นหนึ่งเดียว!

ผู้ใต้บังคับบัญชาที่พลังยุทธ์ค่อนข้างอ่อนแอคนหนึ่งผสานรวมกับแมลงพิษ ก็สามารถสำเร็จเป็นยอดฝีมือระดับสุดยอดในด้านใดด้านหนึ่งได้ในทันทีแล้ว”

ตงป๋อเสวี่ยอิงและจอมกระบี่พยักหน้า พวกเขาต่างก็รู้ดี! จักรพรรดิกลืนโลกาอาศัยสิ้งนี้จึงได้มีขุมอำนาจที่แข็งแกร่งได้

“ด้วยความสำเร็จในการเพาะเลี้ยงแมลงอสูรของจักรพรรดิกลืนโลกา ก็ได้เพาะเลี้ยงแมลงอสูรระดับขั้นสุดยอดออกมา!” บรรพชนแมลงปาถัวเฉินพูด “หนึ่งในนั้นมีแมลงอสูรขั้นสุดยอดอยู่ตนหนึ่ง จักรพรรดิกลืนโลกาก็ได้ศึกษาหาวิธีการที่จะผสานรวมกับผู้บำเพ็ญออกมา! เพียงแต่ว่าการผสานรวมนั้นมีเงื่อนไขที่รุนแรงกับจิตวิญญาณมากเกินไป มิทันรอให้จักรพรรดิกลืนโลกาเสาะหาผู้บำเพ็ญที่เหมาะสมพบเขาก็เผชิญกับการล้อมโจมตีเสียแล้ว”

“ยามที่เขาเผชิญกับการล้อมโจมตีก็หลบหนีอย่างไม่หยุดหย่อน”

“ระดับไร้เทียมทานอยากจะหนี… ตอนนั้นสนามรบก็กินบริเวณไปทั่วพื้นที่ต่างๆ มากมายของดินแดนจิตโลกา จักรพรรดิกลืนโลกาก็ซ่อนเคล็ดวิชาสืบทอดอันล้ำค่าที่สุดเอาไว้ ในทางกลับกันก็จงใจทิ้งต้นฉบับส่วนหนึ่งของคัมภีร์กลืนโลกาเอาไว้! เพราะว่าการคิดจะยกระดับวิถีการเพาะเลี้ยงแมลงอสูรก็มิได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น”

“ข้าได้รับเคล็ดวิชาสืบทอดของเขาก็เพราะว่าวิญญาณของข้าสามารถผสานรวมกับแมลงอสูรขั้นสุดยอดตนนั้นได้พอดี!” บรรพชนแมลงปาถัวเฉินพูดยิ้มๆ “แต่ตอนนั้นข้าอ่อนแอเหลือเกิน หากฝืนบังคับให้ผสานรวมกันไปอย่างนั้น ก็ได้แต่รนหาที่ตาย ได้แต่ทำร่างกายและวิญญาณให้แกร่งกล้าก่อน! จากนั้นก็ค่อยๆ ผสานรวมไปทีละก้าว ยิ่งระดับการผสานรวมยิ่งสูง… พลังยุทธ์ของข้าก็แข็งแกร่งขึ้นตามไปด้วย จนกระทั่งผสานรวมเสร็จสมบูรณ์ก็กลายเป็นขั้นสุดยอดแล้ว!”

ตงป๋อเสวี่ยอิงและจอมกระบี่ต่างก็ฟังอย่างตื่นตะลึง

พวกเขาต่างก็รู้ดี

จักรพรรดิกลืนโลกามีผู้ใต้บังคับบัญชา แล้วก็รู้ว่าแมลงพิษผสานรวมกับผู้ใต้บังคับบัญชา ทำให้พลังยุทธ์ของผู้ใต้บังคับบัญชายกระดับขึ้นอย่างฉับพลัน แต่คิดค้นพลังรบระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองออกมาก็แล้วไปเถิด

คิดไม่ถึงว่าวิธีการเช่นนี้ยังสามารถคิดค้นพลังรบขั้นสุดยอดออกมาได้ด้วย!

แต่คิดๆ ดูแล้ว…

อย่างเช่น ‘เก้าผู้ท่องราตรีนิรันดร์’ ที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของบรรพชนราตรีนิรันดร์ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาพวกเขาเหล่านั้นก็เป็นพลังรบระดับจอมเคารพ อาจจะมิได้สมบูรณ์แบบเช่นบรรพชนแมลงปาถัวเฉิน ในความเป็นจริงแล้วระดับจอมเคารพก็มีพลังคุกคามขั้นสุดยอดในบางด้านแล้ว

“ข้าไม่เหมือนกันกับพวกท่าน” ปาถัวเฉินส่ายศีรษะ “เส้นทางการยกระดับของข้าเกือบจะถูกตัดขาดแล้ว ได้แต่อาศัยการชี้นำของจักรพรรดิกลืนโลกาเท่านั้น คิดอยากหาวิธีที่จะทำให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น คิดอยากยกระดับขึ้นอีกอย่างนั้นหรือ นอกเสียจากว่าข้าจะทำให้วิถีแมลงอสูรไปถึงขั้นสุดยอด! เพาะเลี้ยงแมลงอสูรของข้าเองแล้วทำให้แมลงอสูรเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่การทำให้แมลงอสูรขั้นสุดยอดตนหนึ่งเจริญเติบโตอย่างแข็งแกร่งยิ่งขึ้นนั้น นี่เป็นสิ่งที่จักรพรรดิกลืนโลกาในตอนนั้นก็ยังทำมิได้เลย”

“สำหรับระดับขั้น ระดับขั้นของตัวข้าเองช่างต่ำต้อยนัก การหยั่งรู้กฎเกณฑ์นั้นยังมิใช่เทพจักรวาลเลยเสียด้วยซ้ำ!”

“ข้าได้แต่อาศัยเคล็ดลับมากมายที่แมลงอสูรขั้นสุดยอดมีอยู่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น” ปาถัวเฉินพูด

เขาอยากจะป่าวประกาศก็เพราะอยากบอกให้อิงซานเสวี่ยอิงล่วงรู้

ตระกูลของเขาพินาศย่อยยับ…

ใช้ชีวิตอยู่บนโลกตามลำพัง ที่ก้นบึ้งของจิตใจ ปาถัวเฉินไม่มีคนใกล้ชิดใดๆ อยู่แล้วจริงๆ จนถึงขนาดที่เขารู้สึกว่าอิงซานเสวี่ยอิงเป็นผู้ที่ใกล้ชิดกับเขาที่สุดคนหนึ่งแล้ว

“กระบี่ปีศาจ ได้โปรดเก็บเรื่องของปาถัวเฉินเป็นความลับก่อนนะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงหันหน้ามองไปทางจอมกระบี่

“แน่นอน ปาถัวเฉินเต็มใจเผยความลับนี้ให้ข้าล่วงรู้แล้วข้าจะเผยแพร่สู่ภายนอกได้อย่างไรกัน” จอมกระบี่พูดเขาก็มีศักดิ์ศรีเป็นที่สุด ปาถัวเฉินบอกเขา เขาก็ไม่อยากทำตัวเป็นคนไร้เกียรติ!

ถึงแม้ว่าปาถัวเฉินจะไม่กลัวข่าวคราวรั่วไหลด้วยพลังยุทธ์ในตอนนี้

มิฉะนั้นเขาก็คงไม่ทำข้อตกลงกับราชันย์อนธการอมตะแล้ว

แต่ก็ยังไม่เผยแพร่ออกไปจะดีกว่า!

เพราะถ้าหากเปิดเผยสู่สาธารณะแล้วเกรงว่าคงมีบุคคลผู้ไร้เทียมทานทำลายเจตจำนงของปาถัวเฉินมากยิ่งขึ้น!

“จอมกระบี่ปีศาจสามารถลงมือเพื่อพี่ใหญ่หิมะเหินได้ ข้าก็นับถือเป็นอย่างยิ่ง” ปาถัวเฉินมองไปทางจอมกระบี่แล้วก็พูดยิ้มๆ

“ความสัมพันธ์ของข้ากับเสวี่ยอิงแตกต่างกับผู้อื่น” จอมกระบี่พูด “พูดถึงแล้วพวกเราสองคนต่างก็มาจากโลกกำเนิดแห่งเดียวกัน พวกเราสองคนต่างก็กลับชาติมาเกิด ที่โลกกำเนิดอีกแห่งหนึ่ง พวกเราสองคนก็ร่วมสำนักเดียวกันอีกด้วย”

“หา” บรรพชนแมลงปาถัวเฉินตกตะลึง บังเอิญถึงเพียงนี้เชียวหรือ

“สำนักวิชาของพวกท่านสามารถมีผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอดสองคนออกมาได้ในชั่วพริบตา ดูท่าทางโลกกำเนิดของพวกท่านก็จะต้องแกร่งกล้ามากทีเดียวกระมัง” บรรพชนแมลงปาถัวเฉินรำพึง

ตงป๋อเสวี่ยอิงและจอมกระบี่ต่างก็หัวเราะ แต่ก็มิได้พูดให้ละเอียด

“ไม่มีทางเทียบกับกระบี่ปีศาจได้เลย เขาก็เป็นขั้นสุดยอดแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด

“เจ้ามิได้สำเร็จเป็นขั้นสุดยอด ความสามารถก็ต้านทานราชันย์อนธการอมตะได้ไม่เหมือนกัน” จอมกระบี่ปีศาจพูด

บรรพชนแมลงที่อยู่ด้านข้างเอ่ยถามอย่างตกตะลึง “มิได้สำเร็จเป็นขั้นสุดยอดหรือ แต่พลังยุทธ์ของท่าน…”

“ถูกต้อง พวกข้าทั้งสองคนต่างก็ได้รับสุดยอดเคล็ดสืบทอดลับ แต่ท่านอาศัยเมืองหิมะเหินแล้วสามารถแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน” จอมกระบี่ปีศาจเอ่ยถาม

ทุกคนต่างก็เปิดเผยจริงใจ

อีกทั้งมาถึงพลังยุทธ์ในตอนนี้ ก็ย่อมไม่รังเกียจที่จะพูดความลับออกมาอยู่แล้ว

“เพราะมัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงโบกมือคราหนึ่ง ในมือก็มีหอกยาวดำทะมึนปรากฏขึ้น “หอกนี้มีชื่อว่า ‘ชิงเหอ’ ซึ่งเป็นอาวุธเทพคละถิ่น”

“อาวุธเทพคละถิ่นหรือ” จอมกระบี่ปีศาจและบรรพชนแมลงสงสัยไม่เข้าใจ

“อาวุธเทพคละถิ่นยังล้ำค่าหายากยิ่งกว่าสุดยอดสมบัติลับล้ำค่าเสียอีก” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “หากไม่มีมัน ข้าอยู่ที่เมืองหิมะเหินก็มีความสามารถสู้ได้กับบุคคลผู้ไร้เทียมทานธรรมดาเท่านั้น แต่พอมีมัน ราชันย์อนธการอมตะก็มิอาจทำอะไรข้าได้”

……

ยามที่ตงป๋อเสวี่ยอิงบอกจอมกระบี่ปีศาจและบรรพชนแมลงเกี่ยวกับข้อมูลของอาวุธเทพคละถิ่นนั้นเอง

บนดินแดนจิตโลกากลับมีข่าวของ ‘อาวุธเทพคละถิ่น’ ชิ้นหนึ่งแพร่หลายออกไปอย่างรวดเร็ว

“อิงซานเสวี่ยอิงมีอาวุธเทพคละถิ่น อาวุธเทพคละถิ่นนั้นเป็นอาวุธที่ล้ำค่ากว่าสุดยอดสมบัติลับล้ำค่าเสียอีก! การครอบครองอาวุธนี้มีประโยชน์ต่อการระดมและควบคุมพลังคละวิถีอย่างมหาศาล! เขาผู้เป็นเทพจักรวาลชั้นที่สองคนหนึ่งอยู่ที่เมืองหิมะเหินของเขาแล้วอาศัยอาวุธเทพคละถิ่นนี้จึงสามารถต้านทานข้าเอาไว้ได้ อาวุธเทพคละถิ่นลึกลับเกินคาดเดา เทพจักรวาลชั้นที่สองใช้ประโยชน์ พลังยุทธ์ก็สามารถเพิ่มพูนขึ้นได้อย่างมหาศาล ถ้าหากขั้นสุดยอดได้มันมาก็จะมีส่วนช่วยเหลือมากยิ่งกว่าสุดยอดสมบัติลับล้ำค่าเสียอีก! ไม่ว่าจะเป็นขั้นสุดยอดที่บำเพ็ญวิถีใดก็ตาม ขอเพียงแค่ได้ถืออาวุธเทพคละถิ่นเอาไว้ในมือ ต่างก็สามารถควบคุมพลังคละวิถีได้อย่างสบายยิ่งขึ้น! พลังยุทธ์ก็สามารถเพิ่มพูนขึ้นได้อย่างมหาศาลทั้งสิ้น!”

ข่าวนี้แพร่สะพัดอย่างบ้าคลั่งในหมู่ผู้แกร่งกล้าของดินแดนจิตโลกา

ผู้ใดต่างก็มองออกได้

ราชันย์อนธการอมตะแพร่ข่าวนี้ออกมาด้วยจิตใจอกุศล!

ทว่าทุกฝ่ายก็ยังอดจิตใจไหวสั่นมิได้

“อาวุธเทพคละถิ่น ให้เทพจักรวาลชั้นที่สองคนหนึ่ง สามารถมีพลังยุทธ์ได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ”

“อาวุธเทพคละถิ่นนี้ก็ร้ายกาจเกินไปเสียแล้ว”

ทุกฝ่ายพากันอุทาน ผู้แกร่งกล้ามากมายต่างก็เกิดความละโมบขึ้นในใจ

แม้กระทั่งพวกจักรพรรดิเซี่ยก็ยังตระหนักได้ในทันที

“ข้าว่าแล้วเชียว แค่มีค่ายกลเมืองหิมะเหินส่งเสริม เคล็ดวิชาที่เขาสำแดงจะมีพลังคุกคามอันแข็งแกร่งถึงเพียงนั้นได้อย่างไรกัน ที่แท้แล้วในมือก็มีอาวุธเทพคละถิ่นอยู่เล่มหนึ่งนี่เอง” จักรพรรดิเซี่ยอุทาน “อาวุธเทพคละถิ่น ยังล้ำค่ายิ่งกว่าสุดยอดสมบัติลับล้ำค่าอีกอย่างนั้นหรือ” ในขณะนี้เองจักรพรรดิเซี่ยก็นึกถึงเม็ดทรายอลวนจำนวนมากที่ซื้อให้กับตงป๋อเสวี่ยอิง

“เพิ่งจะเคยได้ยินเกี่ยวกับอาวุธเทพคละถิ่นนี่เป็นครั้งแรกเลย” บรรพชนฝานก็ดวงตาเป็นประกายเช่นกัน

……

ราชันย์อนธการอมตะปล่อยข่าวออกไป เหล่าบุคคลผู้ไร้เทียมทานและเหล่าขั้นสุดยอดก็เพิ่งจะได้รู้ว่ามี ‘อาวุธเทพคละถิ่น’ อยู่เป็นครั้งแรก

ทว่าเหล่าเทพจักรวาลจำนวนมากที่มีพลังยุทธ์อ่อนแอเกินไปก็ย่อมมิกล้าคิดจะไปช่วงชิงอาวุธเทพคละถิ่นอยู่แล้ว

พวกเขาเพียงแต่ประหลาดใจเท่านั้น!

“จ้าวหิมะเหินถึงกับเป็นเทพจักรวาลชั้นที่สองจริงๆ อย่างนั้นหรือ”

“ข่าวคราวที่ผู้พเนจรแห่งรัฐโบราณสหโลกาแพร่ออกมาก่อนหน้านี้บอกว่าจ้าวหิมะเหินเป็นเทพจักรวาลชั้นที่สอง ข้าก็ยังไม่เชื่อเลย แต่ก็ยังเป็นเทพจักรวาลชั้นที่สองจริงๆ เสียด้วย!”

“เทพจักรวาลชั้นที่สองคนหนึ่งถึงกับสามารถมีพลังยุทธ์เช่นนี้ได้เชียวหรือ”

“มิอาจคาดคิดได้เลย”

เทพจักรวาลชั้นที่สองสามารถกดดันมารจำนวนนับไม่ถ้วนทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาได้เชียวหรือ

อยู่ที่เมืองหิมะเหินสามารถเป็นผู้ไร้เทียมทานอย่างแท้จริงได้ด้วยหรือ

“ล้ำเลิศยิ่งนัก”

“ร้ายกาจเกินไปแล้ว”

“นับถือ”

ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่อิจฉาริษยาหรือละโมบ แต่ทุกฝ่ายทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาก็ยังค่อยๆ ยอมรับกันอย่างกว้างขวางว่า ‘จ้าวหิมะเหิน’ ผู้นี้เป็นระดับจอมเคารพที่แข็งแกร่งที่สุดผู้หนึ่งที่ดินแดนจิตโลกาเคยมีมา!

แข็งแกร่งกว่าพวกมหาเคารพฝูอี่และเจียลัวซาเป็นอันมาก! ถึงขนาดที่ยามเรียกขาน ผู้บำเพ็ญจำนวนมากก็ยังต้องเรียกว่า ‘มหาเคารพหิมะเหิน’

มหาเคารพหิมะเหิน มหาเคารพที่แข็งแกร่งที่สุดที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ของดินแดนจิตโลกา!

(จบบทที่ 35)

……………………………………………..

“หรือว่าอิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้ไปถึงระดับเทพจักรวาลขั้นสุดยอดแล้วเล่า” บรรพชนฝานพูด เขากับจักรพรรดิเซี่ยและจักรพรรดิชางยืนอยู่ด้วยกัน พวกเขาสามคนต่างก็มองดูห้วงอากาศทางทิศใต้อยู่ห่างๆ

“เปล่าหรอก!” จักรพรรดิเซี่ยกลับเอ่ยอย่างเรียบเฉย “ถึงแม้ว่าค่ายกลอันแน่นหนาของเมืองหิมะเหิจะมีพลังคุกคามอย่างมหาศาล แต่ความเร้นลับของค่ายกลก็ใช้วิถีอากาศเป็นหลัก ชักนำพลังคละวิถี! ข้าสามารถแน่ใจได้ว่าค่ายกลเหล่านั้นเพียงแค่ระดมพลังคละวิถีได้อย่างร้ายกาจเลิศล้ำเป็นที่สุด ทางด้านวิถีอากาศจะต้องยังไปไม่ถึงขั้นสุดยอดอย่างแน่นอน!”

บรรพชนฝานและจักรพรรดิชางฟังแล้วก็มิได้สงสัย

ถึงอย่างไรจักรพรรดิเซี่ยก็เป็นบุคคลที่ ‘อากาศและเปลวเพลิง’ วิถีสองสายไปถึงขั้นสุดยอดแล้ว การตระหนักรู้ในพลังคละวิถีก็ลึกล้ำเป็นที่สุด

“มิได้ไปถึงขั้นสุดยอดแล้วแข็งแกร่งถึงเพียงนี้เชียวหรือ ต่อให้มีสุดยอดเคล็ดสืบทอดลับก็ไม่ควรเป็นเช่นนี้กระมัง!” บรรพชนฝานสงสัย

“การยกระดับพลังยุทธ์ไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง!” จักรพรรดิชางก็พยักหน้า

“อืม”

จักรพรรดิเซี่ยเอ่ยอย่างครุ่นคิด “ก่อนหน้านี้เขาทำลายเรื่องการบูชาของราชันย์อนธการอมตะ ร่างแยกที่ส่งออกมา พลังยุทธ์ที่แสดงออกมาก็เป็นพลังรบระดับขั้นสุดยอด! แต่การระดมพลังคละวิถีก็แข็งแกร่งขึ้นเป็นหลัก… ข้าว่าเขาจะต้องได้รับสุดยอดเคล็ดสืบทอดลับมาแล้วแสดงพลังรบขั้นสุดยอดออกมา ด้วยระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองขั้นสุดยอดผสานรวมกับสุดยอดเคล็ดสืบทอดลับ ”

เป็นถึงวิถีอากาศขั้นสุดยอดคนหนึ่ง เขาก็มองเห็นได้อย่างแม่นยำยิ่งนัก!

“แต่พลังรบขั้นสุดยอด อาศัยค่ายกลอันแน่นหนาของเมืองแห่งหนึ่งส่งเสริม โดยทั่วไปแล้วก็จะยกระดับไปถึงระดับไร้เทียมทานขั้นสามัญ” จักรพรรดิเซี่ยพูด

อย่างเช่นมารขั้นสุดยอดอย่างประมุขเกาะจันปาและเจ้าเมืองอัคคีทิพย์ เป็นต้น

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่มีสุดยอดสมบัติลับล้ำค่า แต่กลับควบคุมที่มั่นของตนเอาไว้ได้อย่างแน่นหนา พวกเขาสามารถเทียบเคียงได้กับขั้นไร้เทียมทานในที่มั่นของตนเอง!

แล้วก็เป็นเพราะ ‘ประมุขรัฐเมฆทักษิณา’ มั่งมีเกินไป ใช้จ่ายไปเป็นมูลค่ามหาศาล จึงสามารถมีพลังยุทธ์เทียบเคียงได้กับขั้นไร้เทียมทานที่รัฐเมฆทักษิณาได้!

“แต่ในยามปกติ พลังยุทธ์ที่ราชันย์อนธการระเบิดออกมา…ก็ไม่ด้อยไปกว่าข้าเลย! ร่างแยกหลายร่างของข้าร่วมมือกันก็ได้แค่เทียบเคียงกับเขาเท่านั้นเอง” จักรพรรดิเซี่ยพูด ถึงแม้ว่าวิถีสองสายจะไปถึงขั้นสุดยอดเช่นเดียวกัน แต่เขาก็มองออกว่าราชันย์อนธการมีพื้นฐานแน่นหนากว่า พลังยุทธ์ที่สำแดงออกมาแข็งแกร่งกว่า โชคดีที่จักรพรรดิเซี่ยมีร่างแยกจำนวนมาก!

“ยามที่เขาทุ่มเทสุดชีวิต พลังสีทองอันแปลกประหลาดนั้นก็ปกคลุมฝ่ามือของเขา! พลังยุทธ์ที่ระเบิดออกมาก็ยังแข็งแกร่งกว่าหลายเท่า พลังยุทธ์เช่นนี้… เกรงว่าคงสามารถเทียบเคียงกับสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่อ่อนแอบางส่วนได้แล้ว” จักรพรรดิเซี่ยพรั่นพรึง “พลังยุทธ์เช่นนี้ ต่อให้เป็นบุคคลผู้ไร้เทียมทาน เพียงแค่กระบวนท่าเดียวหรือสองกระบวนท่าก็ต้องได้รับบาดเจ็บสาหัส! จะต้องหลบหนีมิกล้าต้านทานอย่างแน่นอน”

“พลังรบระดับนี้…อาศัยเพียงแค่ค่ายกลเมืองหิมะเหิน แต่อิงซานเสวี่ยอิงกลับสามารถเผชิญหน้าได้อย่างไม่เป็นรองแล้ว!” จักรพรรดิเซี่ยส่ายศีรษะ “ข้าดูแล้วไม่เข้าใจเลย!”

ดูแล้วไม่เข้าใจจริงๆ

การโคจรของค่ายกลเมืองหิมะเหิน จักรพรรดิเซี่ยก็สามารถดูเข้าใจได้!

เคล็ดวิชาที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดง จักรพรรดิเซี่ยก็สามารถมองทะลุปรุโปร่งได้เป็นส่วนใหญ่ แต่พลังคุกคามออกมาก็เหนือความคาดหมายแล้ว! พลังคละวิถีที่พรั่งพรูเดือดพล่านนั้น พลานุภาพอันน่าหวาดหวั่นที่แฝงอยู่ในทุกกระบวนท่า ทุกการเคลื่อนไหว ทำให้จักรพรรดิเซี่ยก็ยังตื่นตระหนก

“ไม่ว่าอย่างไรที่เมืองหิมะเหิน แม้กระทั่งราชันย์อนธการอมตะพยายามสำแดงเคล็ดลับอย่างสุดกำลังก็ได้แต่ต้องหนีจากไปอย่างน่าอนาถ! ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกเราเลย” บรรพชนฝานรำพึง “อย่างน้อยที่เมืองหิมะเหิน เขาก็เป็นผู้ไร้เทียมทานแล้ว”

“เขามีความแค้นอันยิ่งใหญ่กับราชันย์อนธการอมตะแล้ว ราชันย์อนธการอมตะก็พูดแล้วว่าขอเพียงแค่พบตัวเขาออกมาข้างนอก ก็จะสังหารในกระบวนท่าเดียว!” จักรพรรดิชางพูด

“เฮอะ”

จักรพรรดิเซี่ยหัวเราะเย้ยหยัน “ก็แค่คำพูดหยาบคายเท่านั้นเอง! เมื่อใดที่อิงซานเสวี่ยอิงซ่อนเร้นเปลี่ยนแปลงกลิ่นอาย พวกเราต่างก็ไม่มีทางสะกดรอยได้เลย! เขายืนอยู่ตรงเบื้องหน้าราชันย์อนธการอมตะ บางทีราชันย์อนธการอมตะก็อาจจะมองทะลุผ่านไปได้! แต่ขอเพียงแค่ไม่เคลื่อนไหวต่อหน้าต่อตาราชันย์อนธการอมตะ… ข้าก็ไม่เชื่อว่าราชันย์อนธการอมตะจะสามารถสะกดรอยไปถึงร่องรอยของตงป๋อเสวี่ยอิงในดินแดนจิตโลกาอันกว้างใหญ่ไพศาลได้หรอก”

มองทะลุปรุโปร่งกับสะกดรอยเป็นสองทิศทางที่ต่างกัน

ราชันย์อนธการอมตะสามารถมองทะลุปรุโปร่งได้ก็ทำให้จักรพรรดิเซี่ยตกตะลึงแล้ว เขาไม่เชื่อว่าราชันย์อนธการอมตะจะสามารถ ‘สะกดรอย’ ไปถึงร่างแยกของตงป๋อเสวี่ยอิงได้

“ถูกต้อง” บรรพชนฝานก็ยิ้มเสียแล้ว “อิงซานเสวี่ยอิงมีร่างแยกมากมายกระจายตัวอยู่ทั่วทุกหนแห่งในดินแดนจิตโลกา ถ้าหากสามารถสะกดรอยไปถึงได้ ด้วยอุปนิสัยของราชันย์อนธการอมตะก็คงจะสังหารจนเกลี้ยงไปก่อนแล้ว”

“ฮ่าฮ่า…” จักรพรรดิชางพูดพลางหัวเราะฮ่าๆ “ขอเพียงแค่เจียมเนื้อเจียมตัวสักหน่อย ราชันย์อนธการอมตะก็จะมิอาจทำอะไรอิงซานเสวี่ยอิงได้เลยจริงๆ นอกเสียจากว่าอิงซานเสวี่ยอิงจะสำแดงพลังยุทธ์!”

……

ขุมอำนาจแต่ละฝ่ายต่างก็พากันวิพากษ์วิจารณ์

รัฐโบราณคิมหันตวายุและรัฐโบราณสหโลกา เพราะว่ามีจักรพรรดิเซี่ยและผู้พเนจรอยู่ ดังนั้นจึงแน่ใจว่าตงป๋อเสวี่ยอิงมิใช่ขั้นสุดยอด!

แต่ขุมอำนาจอื่นๆ กลับยังมีความสงสัยไม่เข้าใจอยู่บ้าง ถึงอย่างไรผู้ที่มิใชยอดฝีมือวิถีอากาศขั้นสุดยอดก็มองพลังยุทธ์ที่แท้จริงของตงป๋อเสวี่ยอิงไม่ออกเลยจริงๆ! เพียงแต่พวกเขาสามารถแน่ใจในจุดนี้ได้… ที่เมืองหิมะเหิน อิงซานเสวี่ยอิงนั้นไร้เทียมทาน!

สิ่งนี้พิสูจน์ได้ด้วยการประลองอันน่าตื่นตา!

ขับไล่ ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ ผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งแห่งดินแดนจิตโลกา ก็พิสูจน์พลังยุทธ์ของตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว

“ฟังจากที่ท่านบรรพชนพูด อิงซานเสวี่ยอิงมิได้เป็นขั้นสุดยอด แต่ยังคงเป็นเพียงแค่เทพจักรวาลชั้นที่สองเช่นเดิมอย่างนั้นหรือ”

“อะไรน่ะ นี่มันเป็นไปได้อย่างไรกัน”

ข่าวคราวเรื่องที่ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้เป็นขั้นสุดยอดก็แพร่ออกไปตามกาลเวลา

เพียงแต่ผู้แกร่งกล้ามากมายก็ยังเคลือบแคลงสงสัย

******

กลางท้องฟ้าเบื้องบนของเมืองหิมะเหิน

ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับมิได้สนใจสายตาที่โลกภายนอกมองเขาเลย หากแต่คารวะบรรพชนแมลงปาถัวเฉิน จอมกระบี่และประมุขโลกแสงดาวผู้นั้น “ขอบคุณทั้งสามท่านที่มาช่วยเหลือข้าได้ในเวลานี้”

สามารถยืนขึ้นมาช่วยเหลือตนในเวลาเช่นนี้ได้! ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่ง

“ฮ่าฮ่า ตอนนี้ดูแล้วก็ไม่จำเป็นต้องให้พวกข้าลงมือแล้วล่ะ” บุรุษในอาภรณ์ดุจแสงดาวพูดพลางยิ้มน้อยๆ “พลังยุทธ์ของจ้าวหิมะเหินช่างล้ำเลิศ ล้ำเลิศยิ่งนัก”

“จ้าวหิมะเหิน มิเสียทีที่เป็นจ้าวหิมะเหิน” บรรพชนแมลงปาถัวเฉินก็พูดยิ้มๆ เขาซาบซึ้งต่อตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างแท้จริง ถึงขนาดที่เกิดความรู้สึกในใจว่า ‘อิงซานเสวี่ยอิง’ ผู้นี้เป็นผู้แกร่งกล้าล้ำเลิศที่มีพรสวรรค์ร้ายกาจคนหนึ่งอย่างแท้จริง ไม่เหมือนกันกับเขาที่อาศัยเคล็ดลับบางอย่าง อิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้เป็นผู้ที่บำเพ็ญอย่างสามัญธรรมดาขึ้นมาทีละก้าวๆ

“เสวี่ยอิง นับถือๆ” จอมกระบี่แย้มยิ้มน้อยๆ พวกเขาสองคนย่อมไม่จำเป็นต้องพูดอะไรให้มากความ

“ข้าอยู่ที่เมืองหิมะเหินก็ยังสามารถฝืนต้านทานได้ แต่ถ้าหากอยู่ที่โลกภายนอก… ก็มีแต่ถูกล้างผลาญอย่างเดียวเท่านั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้ายิ้มๆ จากนั้นก็เอ่ยว่า “ทั้งสามท่าน ยังขอเชิญไปรวมตัวกันที่จวนข้าด้วย”

“ไม่ล่ะ”

บุรุษในอาภรณ์ดุจแสงดาวพูดพลางยิ้มน้อยๆ “ข้าควรจะไปได้แล้ว! ถ้าหากวันหน้าจ้าวหิมะเหินไปยังหุบเขาเขี้ยวหัก ยามที่ผ่านไปทางโลกแสงดาวก็สามารถไปพบข้าได้นะ” พูดแล้วร่างกายของเขาก็เปลี่ยนเป็นแสงดาวสลายหายไป

“แน่นอน” ตงป๋อเสวี่ยอิงรับคำ

บรรพชนแมลงปาถัวเฉินและจอมกระบี่กลับมิได้ปฏิเสธ ต่างก็เห็นตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นคนกันเอง ต่างก็ร่อนตรงลงมาเข้าไปยังเมืองหิมะเหิน

ตงป๋อเสวี่ยอิงต้อนรับคนทั้งสองแล้วพาเขาไปในจวนจ้าวของตนพร้อมกัน

……

“ตระกูลอิงซานของข้ามีผู้แกร่งกล้าล้ำเลิศเกิดขึ้นมาคนหนึ่ง” แม่เฒ่าอิงซานยืนอยู่บนยอดเขา มองดูตงป๋อเสวี่ยอิงนำทางบรรพชนแมลงและจอมกระบี่เหินบินเข้ามาในจวนจ้าวพร้อมกันแล้วก็อดที่จะจิตใจสั่นไหวมิได้

พูดถึงพลังยุทธ์ ร่างแยกใดๆ ที่ส่งออกไปภายนอกต่างก็เป็นพลังรบขั้นสุดยอดด้วยกันทั้งสิ้น

ที่เมืองหิมะเหินก็ยิ่งสามารถเทียบกับ ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ ผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งแห่งดินแดนจิตโลกาได้!

“ล้ำเลิศ”

“เป็นบุตรของอิงซานเลี่ยฮู่บุตรชายข้าผู้นั้นจริงๆ น่ะหรือ ข้าไม่กล้าคิดเลยจริงๆ!”

“รู้อยู่แล้วว่าในภายหน้าจ้าวหิมะเหินจะต้องล้ำเลิศอย่างแน่นอน ได้ยินว่าสูญเสียอย่างมหาศาลด้วยน้ำมือของบรรพชนราตรีนิรันดร์ในวังเทพจิตโลกา ข้ายังเป็นกังวลแทนจ้าวหิมะเหินอยู่เลย คิดไม่ถึงว่าจะกลับกลายเป็นว่าจ้าวหิมะเหินจะอาศัยตัวตน ‘คนวิถีจิตฟ้า’ ข่มขู่มารจำนวนนับไม่ถ้วนทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาด้วยพลังของตนเพียงคนเดียว แม้กระทั่งพวกบรรพชนราตรีนิรันดร์ก็ยังต้องจนใจมิอาจทำอะไรได้ ตอนนี้ถึงกับยุแหย่ราชันย์อนธการอมตะที่น่าหวาดหวั่นยิ่งกว่า แต่ก็ทำอะไรเมืองหิมะเหินมิได้เช่นกัน! ฮ่าฮ่าฮ่า รอให้ในอนาคตพลังยุทธ์ของจ้าวหิมะเหินแข็งแกร่งขึ้นอีกหน่อย ไม่แน่ว่าอาจจะสำเร็จเป็นขั้นไร้เทียมทาน สร้างรัฐโบราณสักแห่งหนึ่งขี้นมาก็ได้!”

เหล่าขั้นอลวนตระกูลอิงซานทุกคนที่อยู่รอบๆ ต่างก็พากันยกย่องชื่นชม

การต่อสู้เมื่อครู่ พวกเขาก็รู้สึกหวาดหวั่นไม่เป็นสุข

เพราะว่า…

ปราการเมืองถูกทำลาย พวกเขาก็พากันจบสิ้นเสียแล้ว

แต่ตอนนี้ทุกคนต่างก็ทั้งตื่นเต้นทั้งภาคภูมิใจ มีผู้ล้ำเลิศไร้เทียมทานเช่นนี้กำเนิดขึ้นมาในตระกูลอิงซาน ก็จะทำให้ในภายหน้าตระกูลอิงซานไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

ถึงแม้ว่าจะต้องอยู่ในเมืองหิมะเหินไปตลอดชั่วระยะเวลาหนึ่ง แต่ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นปราการเมืองขนาดค่อนข้างใหญ่ จำนวนผู้คนก็ไม่น้อยไปกว่าเมืองระดับสามจำนวนหนึ่งเลย! บำเพ็ญอยู่ที่นี่ พวกเขาก็มิได้รู้สึกเศร้าเสียใจแต่อย่างใด ในทางกลับกัน จิตวิญญาณการต่อสู้กลับผงาดขึ้นและเต็มไปด้วยความคาดหวังรอคอย!

……

ณ จวนจ้าว

ตงป๋อเสวี่ยอิงจัดงานเลี้ยงรับรองบรรพชนแมลงปาถัวเฉินและจอมกระบี่ขึ้น ทั้งสามคนแยกกันนั่งลง เบื้องหน้าต่างก็มีตั่งวางอยู่ ตงป๋อเสวี่ยอิงหยิบเอาสุราชั้นเลิศที่สะสมเอาไว้ และสุราผลไม้ที่แปลกพิสดารหายากจำนวนหนึ่งออกมากับมือตนเอง

“บรรพชนแมลง” ตงป๋อเสวี่ยอิงยกจอกสุราขึ้นพลางพูดยิ้มๆ “คราวนี้เจ้าสามารถลงมือได้ ช่างทำให้ข้าตกตะลึงจริงๆ ไม่รู้ว่าเจ้ากับสมาชิกตระกูลอิงซานของข้าคนใดมีความหลังต่อกันอย่างนั้นหรือ”

ตนกับบรรพชนแมลงผู้นี้ย่อมไม่รู้จักกันอยู่แล้ว

“มีความหลังกับท่านนั่นแหละ!” บรรพชนแมลงปาถัวเฉินแย้มยิ้มน้อยๆ แต่ใบหน้าที่เต็มไปด้วยเกล็ดของเขากลับมีความแปลกประหลาดอย่างเห็นได้ชัด

“กับข้าหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้งคราหนึ่ง

บรรพชนแมลงปาถัวเฉินก็มิได้ปิดบัง ถึงอย่างไรบำเพ็ญมาจนถึงขั้นนี้ก็ไม่จำเป็นต้องเก็บตัวตนเป็นความลับถึงขนาดนั้นอีกแล้ว เห็นเพียงว่าร่างกายของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลง ใบหน้าเกิดการเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนเป็นชายหนุ่มที่ดูแล้วสามัญธรรมดาอย่างยิ่ง เขากำลังอมยิ้มมองตงป๋อเสวี่ยอิง “ผู้อาวุโสอิงซานเสวี่ยอิง ยังจำข้าได้หรือไม่”

ตงป๋อเสวี่ยอิงเบิกตากว้างอย่างยากที่จะเชื่อได้ “ปาถัวเฉินหรือ”

……………………………………………………

“อะไรกันนี่!”

เหล่าผู้แกร่งกล้าระดับขั้นสุดยอดจำนวนมากทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาอย่างเช่นประมุขรัฐเมฆทักษิณา จักรพรรดิเซี่ย บรรพชนฝาน จักรพรรดิชาง เจ้าเมืองอนันต์ อ๋องสัตว์โลกา จักรพรรดิเทพผลาญโลกา ประมุขรัฐจันทร์โรจน์ บรรพชนราตรีนิรันดร์ และคนอื่นๆ ที่ชมดูการต่อสู้ครั้งนี้อยู่ต่างก็ปากอ้าตาค้างดูฉากนี้! พวกเขาต่างก็มองออกว่าพลังคุกคามของฝ่ามือนั้นของราชันย์อนธการอมตะ จะต้องเป็นระดับสุดยอดของทั้งดินแดนจิตโลกาอย่างแน่นอน! แม้กระทั่งจักรพรรดิเซี่ยเองก็เกรงว่าจะด้อยกว่าอยู่ขั้นหนึ่ง

ฝ่ามือนี้ฟาดลงไป เกรงว่าเมืองหิมะเหินคงจะต้องกลายเป็นเถ้าธุลีกระมัง

แต่ผลลัพธ์กลายเป็นว่ากลับถูกต้านเอาไว้เสียอย่างนั้นหรือ

“นี่ นี่ นี่เป็นเรื่องจริงหรือ” แม่เฒ่าอิงซานผู้ซึ่งเดิมทีเงยหน้ามองไปทางด้านบนก็ยังเตรียมพร้อมรับความตายแล้ว แต่ทว่า ‘อิงซานเสวี่ยอิง’ หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวที่กุมหอกยาวเอาไว้ในมือผู้นั้นกลับขัดขวางฝ่ามือนั้นเอาไว้ซึ่งๆ หน้าเสียแล้ว มิได้ตกเป็นรองเลยแม้แต่น้อย! ถึงขนาดที่ว่ากันตามความจริงแล้ว มือของราชันย์อนธการอมตะยังได้รับบาดเจ็บอีกด้วย

“ข้าก็รู้ ข้าก็รู้ว่าเสวี่ยอิงทำเช่นนี้ เป็นไปได้ว่าจะมีหลักประกันอยู่แล้ว” จอมกระบี่ได้เห็นเหตุการณ์แล้วกลับเผยสีหน้าตื่นเต้นออกมา “เขาเผชิญหน้ากับการคุกคามของราชันย์อนธการอมตะ ก็ยังต้องการจะช่วยเหลือวิญญาณมีชีวิตของสิบห้าประเทศนั้น ข้าก็เดาว่าเขาคงจะมีหลักประกันอะไรบางอย่างอยู่! เพียงแต่คิดไม่ถึงว่า… ที่แท้แล้วอาศัยสิ่งใดกันแน่ คิดไม่ถึงว่าที่เมืองหิมะเหิน พลังยุทธ์ของเขาจะสามารถแข็งแกร่งได้ถึงระดับนี้!”

“อาศัยค่ายกลเมืองหิมะเหิน เขาก็สามารถแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือนี่” จักรพรรดิเซี่ยก็พรั่นพรึงอยู่บ้าง

“ถ้าหากแม้แต่ราชันย์อนธการอมตะก็ยังทำอะไรเขามิได้ ที่เมืองหิมะเหิน เขาก็ไร้ซึ่งศัตรูอย่างแท้จริงแล้วล่ะ” บรรพชนฝานก็อุทานขึ้น

……

ณ ที่มั่นของตน อาศัยค่ายกลอันแน่นหนา พลังยุทธ์เพิ่มพูนขึ้นอย่างมหาศาล นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดาอย่างยิ่ง

แต่ต่อให้อาศัยค่ายกล การยกระดับพลังยุทธ์โดยทั่วไปแล้วก็มีขีดจำกัดอยู่ อย่างเช่นประมุขรัฐเมฆทักษิณาต้องทุ่มเททรัพย์สมบัติมหาศาลจึงจะสามารถบริหารจัดการนครหลวงรัฐเมฆทักษิณาให้มั่นคงได้! ที่นครหลวง เขาจึงสามารถต่อกรกับบุคคลผู้ไร้เทียมทานซึ่งๆ หน้าโดยไม่สนใจสิ่งใดได้!

อย่างเช่นพวกจักรพรรดิเซี่ย บรรพชนฝาน และจักรพรรดิชาง แต่ละคน…

พลังยุทธ์ของตนเองก็กล้าแกร่งอยู่แล้ว

ถ้าหากอยู่ภายในเมืองของตน พลังยุทธ์ของจักรพรรดิเซี่ยที่ ‘นครหลวงคิมหันตวายุ’ ก็ยังแข็งแกร่งขึ้นอีก ราชันย์อนธการอมตะไปก็เป็นการหาเรื่องใส่ตัว!

“เป็นไปได้อย่างไรกัน” ราชันย์อนธการอมตะเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันจ้องมองลงไปยังเบื้องล่าง“ ณ ที่มั่นของตัวเอง ต่อให้มีค่ายกลส่งเสริม พลังยุทธ์เพิ่มพูนขึ้นอย่างมหาศาล สามารถเทียบเคียงได้กับบุคคลผู้ไร้เทียมทานธรรมดาทั่วไปก็ช่างเถิด แต่สามารถต้านทานข้าเอาไว้ได้อย่างไรกัน”

“ล้างผลาญให้ข้าเสีย!”

ราชันย์อนธการอมตะไม่เชื่อ เขาส่งเสียงคำราม หัวใจที่พิเศษราวกับโลหะในร่างกายนั้นก็มีหยาดโลหิตสีทองสองหยดเผาไหม้อย่างต่อเนื่องอีกครั้ง

เขาโมโหแล้วอย่างเห็นได้ชัด

ไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องทำให้อิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้ได้ชดใช้!

“ปัง!” “ปัง!”

ฝ่ามือสีทองอันน่าหวาดหวั่นทั้งคู่เคลื่อนเข้ามาอีกครั้ง เพียงแต่ว่าครั้งนี้ฝ่ามือทั้งสองแผ่ปกคลุมลงมาพร้อมกัน ความยิ่งใหญ่ของพลังคุกคามทำให้จอมกระบี่ บรรพชนแมลงและคนอื่นๆ ต่างก็หน้าถอดสีมิกล้าต้านทาน และประมุขโลกแสงดาวที่รีบเร่งกลับมาก็มิได้เร่งร้อนลงมือ ”คิดไม่ถึงว่า ก่อนหน้านี้จ้าวหิมะเหินผู้นี้จะถึงกับสามารถทำลายกระบวนท่านั้นได้ซึ่งๆ หน้า อย่างน้อยในที่มั่นเมืองหิมะเหินของเขาก็ดูเหมือนว่าพลังยุทธ์ของเขาจะยังแข็งแกร่งกว่าข้าอยู่พอสมควรทีเดียวกระมัง”

“ปัง…”

ตงป๋อเสวี่ยอิงมือกุมหอกยาว ค่ายกลทุกแห่งทั่วทั้งเมืองหิมะเหินโคจรส่งเสริมร่างกายตน เหนี่ยวนำฟ้าดินและห้วงอากาศโดยรอบผ่าน ‘หอกชิงเหอ’ อาวุธเทพคละถิ่น

ทั่วทั้งเมืองหิมะเหินตกอยู่ท่ามกลางความมืดมิดในชั่วพริบตา พลังคละวิถีจำนวนนับไม่ถ้วนแทรกเข้าสู่ห้วงอากาศ พรั่งพรูกดดันราชันย์อนธการอมตะผู้นั้น!

ตงป๋อเสวี่ยอิงได้รับอาวุธเทพคละถิ่นมานานสามแสนล้านปีได้แล้ว นับตั้งแต่ได้รับอาวุธเทพคละถิ่นเล่มนี้มา ก็ย่อมต้องศึกษาอยู่แล้วว่าจะทำอย่างไรให้แสดงพลังคุกคามที่แข็งแกร่งขึ้นออกมาได้! ถ้าหากค่ายกล ‘เมืองหิมะเหิน’ ผสานรวมกับหอกยาวเล่มนี้อย่างสมบูรณ์แบบขึ้นมา… ดังนั้นก็จะปรับปรุงเคล็ดวิชาได้มากมายแล้ว

“หืม”

เขตพลังคละถิ่นอันมืดมิดที่พรั่งพรูแผ่ปกคลุมไปทั่วทุกหนแห่ง กดดันราชันย์อนธการอมตะ กดดันฝ่ามือสีทองคู่นั้น

ราชันย์อนธการอมตะอดที่จะหน้าถอดสีมิได้

จากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงจึงสำแดงวิชาหอกอีกครั้ง เห็นเพียงว่าเพียงแค่ฝีหอกอย่างง่ายๆ ของวิชาหอกแทงออกมาฝีหอกหนึ่ง ก็มีฟองจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมาแล้วพังทลายแตกสลายอย่างต่อเนื่อง พลังของการแตกสลายนั้นปะทะเข้ากับฝ่ามือสีทองคู่นั้นในที่สุด

“โครม…”

เสียงกระแทกดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ราชันย์อนธการอมตะกลับยังมีสีหน้าดุร้ายเช่นเดิม ฝ่ามือทั้งคู่ฝืนต้านทานทั้งหมดทั้งมวลเอาไว้ เคลื่อนลงมาอย่างต่อเนื่องไม่หยุดเลยแม้แต่น้อย

“คละถิ่น รุดหนีหมื่นโลกา” ตงป๋อเสวี่ยอิงแทงหอกยาวคราหนึ่งก็มีน้ำวนคละถิ่นอันไร้ที่สิ้นสุดคุ้มกาย

หอกยาวทิ่มแทงลงบนฝ่ามือสีทอง

แรงปะทะน่าหวาดหวั่นอันรุนแรงถูกน้ำวนคละถิ่นอันไร้ที่สิ้นสุดถอนไปอย่างไม่หยุดหย่อนจนไม่มีพลังส่งผลกระทบต่อร่างกายเลย

ประกายสีทองบนฝ่ามือทั้งสองของราชันย์อนธการอมตะก็ริบหรี่ลงไปแล้ว

“อะไรกันนี่” ราชันย์อนธการอมตะร้อนรนจริงๆ เสียแล้ว เขามองตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างไม่อยากจะเชื่อ ในขณะนี้เขาเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้วว่าต่อให้เขาเผาผลาญหยาดโลหิตในหัวใจอันล้ำค่าก็ได้แค่เทียบเคียงกันเท่านั้นเอง

“กรอด”

ราชันย์อนธการอมตะขบกราม

เขาต้องการที่จะหลบหนีเข้าไปในเมืองหิมะเหิน เขาไม่คิดที่จะเอาชนะจ้าวหิมะเหินผู้นี้อีกต่อไปแล้ว เขาต้องการจะแฝงตัวเข้าไปในเมืองหิมะเหินแล้วทำลายตามใจชอบ!

แต่ทั่วทั้งเมืองหิมะเหินต่างก็อยู่ในบริเวณเขตพลังของตงป๋อเสวี่ยอิง ราชันย์อนธการอมตะเพิ่งจะฝืนทะลุผ่านการขัดขวางของระลอกคลื่นโลกาชั้นแล้วชั้นเล่าเข้าไปภายในเมืองหิมะเหิน ห้วงมิติระลอกคลื่นอันน่าหวาดหวั่นขุมหนึ่งก็ห่อหุ้มเขาเอาไว้แล้วเคลื่อนย้ายเขาออกไป!

เบื้องหน้าเขาไหวสั่น

ก็มาถึงด้านนอกเมืองหิมะเหินแล้ว

พูดถึงการควบคุมเขตพลัง ถึงแม้ว่าเขาจะบำเพ็ญ ‘ความตายและเปลวเพลิง’ วิถีขั้นสุดยอดสองสายควบคู่กัน แต่ทางด้านการควบคุมเขตพลังก็มิอาจสู้ยอดฝีมือวิถีอากาศได้ ตงป๋อเสวี่ยอิงบำเพ็ญสุดยอดเคล็ดสืบทอดลับ มีค่ายกลมากมายส่งเสริมร่างกาย มีอาวุธเทพคละถิ่นอยู่ในมือ อยู่ที่อื่นก็แล้วไปเถิด แต่ที่เมืองหิมะเหินนี้เขาก็ย่อมสามารถควบคุมทุกกระเบียดนิ้วได้อย่างสบายๆ อยู่แล้ว!

“พรึ่บๆๆ”

“ปัง”

ราชันย์อนธการอมตะสำแดงเคล็ดวิชาออกมามากมาย

จะฝืนหลบหนี หรือแฝงตัวเข้าไป หรือว่าจะโจมตีอย่างอันธพาล แต่ก็ถูกตงป๋อเสวี่ยอิงขัดขวางเอาไว้จนหมด หรือว่าจะเคลื่อนย้ายออกไป

“พรึ่บ”

ถึงขนาดที่เมื่อเผชิญหน้ากับหอกยาวอันน่าหวาดหวั่นของตงป๋อเสวี่ยอิง ราชันย์อนธการอมตะที่เผาผลาญโลหิตในหัวใจอีกครั้งอย่างเสียไม่ได้ก็ยังถูกโจมตีอย่างน่าอนาถเหลือทนจนโลหิตอาบไปทั่วร่าง!

“เจ้า เจ้าสามารถระดมพลังคละวิถีมากมายถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน” ราชันย์อนธการอมตะไม่อยากจะเชื่อ พลังคละวิถีที่อิงซานเสวี่ยอิงที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้เคลื่อนย้ายมาทุกการเคลื่อนไหวช่างน่าหวาดหวั่นเกินไปเสียแล้ว แม้กระทั่งเหล่าบุคคลผู้ไร้เทียมทาน อาศัยสุดยอดสมบัติลับล้ำค่า ก็เพียงแต่ร้ายกาจขึ้นทางด้านกฎเกณฑ์เท่านั้น มิได้เชี่ยวชาญทางด้านการระดมพลังคละวิถี

แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงระดมพลังคละวิถี ก็ระดมมาได้มากมายเกินไปแล้ว!

ถึงขนาดที่มีลักษณะของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่แท้จริงอยู่หลายส่วน

“หรือว่า…” ราชันย์อนธการอมตะมองไปทางหอกยาวในมือของตงป๋อเสวี่ยอิงเล่มนั้น “ในมือของเจ้าคืออาวุธเทพคละถิ่นหรือ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึงอยู่บ้าง

ถูกเดาออกเสียแล้วหรือ

“มิผิด ต้องใช่อย่างแน่นอน! ต่อให้มีค่ายกลส่งเสริมก็ไม่ควรจะเหนือธรรมดาเช่นนี้ จะต้องมีอาวุธเทพคละถิ่นอยู่อย่างแน่นอน อาวุธเทพคละถิ่น…เชี่ยวชาญการระดมพลังคละวิถีมากที่สุดแล้ว” ราชันย์อนธการอมตะมองไปทางหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวตรงหน้า นอกเหนือไปจากแววอาฆาตแล้ว ในดวงตาก็มีความริษยาอยู่!

เขาอิจฉาจริงๆ

เพราะยามที่เขากำลังโจมตีสิ่งมีชีวิตคละถิ่นแต่ก็รู้ดีว่าในโลกกำเนิดแต่ละแห่งมีผู้บำเพ็ญที่ล้ำเลิศร้ายกาจบางคนที่พรสวรรค์ในการหยั่งรู้ไปเข้าตาเหล่าสิ่งมีชีวิตคละถิ่นเข้า! เหล่าสิ่งมีชีวิตคละถิ่นก็จะจัดเตรียมอาวุธคละถิ่นที่ ‘ดัดแปลง’ ชิ้นหนึ่งให้กับพวกเขาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เพราะว่าเทพจักรวาลไม่สามารถใช้อาวุธคละถิ่นที่แท้จริงได้

แต่ราชันย์อนธการอมตะกลับไม่รู้ว่า ไม่เพียงแต่ต้องดัดแปลงเท่านั้น แต่ยังต้องให้เทพจักรวาลหลอมขึ้นกับมือเองด้วย จึงจะสามารถหลอมอาวุธคละถิ่นสักชิ้นหนึ่งขึ้นมาได้

“พรสวรรค์ของเขาไปเข้าตาใครเข้ากันหนอ ใช่หยวนหรือไม่” ราชันย์อนธการอมตะเอ่ยพึมพำ “แต่ต่อให้อิจฉาอย่างไร บนเส้นทางการโจมตีสิ่งมีชีวิตคละถิ่น แต่ละคนก็พากันล้มเหลวไป ผู้ที่ทำได้สำเร็จก็มีน้อยยิ่งกว่าน้อย!”

“อิงซานเสวี่ยอิง!”

ราชันย์อนธการอมตะมองดูหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวที่เบื้องบนของเมืองหิมะเหินอยู่ห่างๆ “ดีมาก มิน่าเล่าเจ้าจึงได้บังอาจมาทำลายธุระของข้า แต่ว่าเจ้าก็สามารถมีพลังยุทธ์เช่นนี้ได้ก็ต่อเมื่ออยู่ที่เมืองหิมะเหินเท่านั้นแหละ ในภายหน้าขอเพียงแค่เจ้าไปจากเมืองหิมะเหิน พบกันเมื่อใดข้าก็จะล้างผลาญเจ้า”

พูดจบแล้วราชันย์อนธการอมตะก็หมุนกายจากไป หายลับไปกลางอากาศ

ทั้งหมดทั้งมวลกลับคืนสู่สภาพเดิม

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ผ่อนลมหายใจเล็กน้อย “ยังอยู่ในการคาดการณ์ของข้า”

ก่อนหน้านี้ที่ยังไม่มีอาวุธคละถิ่น ‘หอกชิงเหอ’ อาศัยการส่งเสริมของค่ายกลอันแน่นหนาแห่งเมืองหิมะเหิน เขาก็สามารถเทียบเคียงกับบุคคลผู้ไร้เทียมทานได้

แต่หอกชิงเหอก็สามารถทำให้เขาผ่อนคลายขึ้นได้ยามที่ควบคุมพลังคละวิถี ถ้าหากสำแดงกระบวนท่าหนึ่งด้วยมือเปล่าไร้อาวุธก็จะมีพลังคุกคามพียงแค่ส่วนเดียวเท่านั้น พอมีหอกชิงเหอแล้ว… พลังคละวิถีที่ระดมมาก็ยิ่งใหญ่ขึ้นเป็นอย่างมาก พลังคุกคามก็จะสูงถึงสิบส่วน! เนื่องด้วยพลังยุทธ์ที่ยกระดับขึ้นอย่างมหาศาลทำให้เขาสามารถเผชิญหน้าต้านทานกับราชันย์อนธการอมตะได้!

“แต่ว่าพลังยุทธ์ของราชันย์อนธการอมตะนั้นแข็งแกร่งอย่างแท้จริง! ถ้าหากข้าไม่มีค่ายกลจำนวนมากส่งเสริมร่างกาย! ที่โลกภายนอก ข้าก็มิใช่คู่ต่อสู้ของเขาอย่างแน่นอน” ในใจตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจตรงจุดนี้ดี

แน่นอนว่าที่โลกภายนอก ถ้าหากในมือมีอาวุธเทพคละถิ่นก็มีพลังยุทธ์ราวๆ สามส่วนของบรรพชนนิรันดร์เท่านั้นเอง!

สามารถมีพลังยุทธ์เช่นนี้ได้…ในที่มั่น จึงจะสามารถต้านทานราชันย์อนธการอมตะได้!

……

ในยามที่ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังคิดและไตร่ตรองถึงการต่อสู้ในครั้งนี้อยู่นั้นเอง ขุมอำนาจแต่ละแห่งทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาต่างก็งงงันกันอยู่บ้าง!

พลังยุทธ์ของราชันย์อนธการอมตะช่างน่าหวาดหวั่นอย่างแท้จริง! เรียกได้ว่าเป็นผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งแห่งดินแดนจิตโลกาในตอนนี้เลยทีเดียว!

และที่เมืองหิมะเหิน จ้าวหิมะเหินเผชิญกับราชันย์อนธการอมตะอย่างบ้าบิ่น ถึงขนาดที่กดดันเสียจนราชันย์อนธการอมตะได้แต่จากไปอย่างจนใจ ก็น่าพรั่นพรึงเกินไปเสียแล้ว!

……………………………………………

จอมกระบี่ บรรพชนแมลงและประมุขโลกแสงดาวผู้เร้นลับยืนอยู่กลางท้องฟ้าเหนือเมืองหิมะเหิน ขวางอยู่หน้าราชันย์อนธการอมตะ

ฉากนี้กลับทำให้คนในดินแดนจิตโลกาที่กังวลใจและเป็นห่วง ‘อิงซานเสวี่ยอิง’ พากันถอนหายใจออกมาได้เฮือกหนึ่ง

“ผู้แกร่งกล้าทั้งสามมาช่วยเหลือ ประมุขโลกจากหุบเขาเขี้ยวหักผู้นั้นยิ่งลึกล้ำเกินหยั่งเข้าไปใหญ่” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาใจร้อนจนแทบลุกไหม้มาตลอด ยามนี้ก็ผ่อนคลายลงได้บ้างเล็กน้อย เมื่อมีพวกเขาช่วยเหลือ เสวี่ยอิงคงจะสามารถผ่านภัยครั้งนี้ไปได้”

“‘ประมุขโลกแสงดาว’ จากหุบเขาเขี้ยวหักผู้นี้เป็นใครกัน เหมือนว่าจะทำให้ราชันย์อนธการอมตะหวั่นเกรงอยู่บ้าง” ภายในเมืองหิมะเหิน แม่เฒ่าอิงซานก็จับตามองอยู่ทุกขณะจิต เพราะถึงอย่างไรก็เกี่ยวพันถึงการคงอยู่หรือดับไปของทั้งตระกูลอิงซาน หากเมืองหิมะเหินถูกทำลาย ตระกูลอิงซานอยู่ต่อหน้าราชันย์อนธการอมตะก็ไร้แรงตอบโต้อย่างสิ้นเชิง

……

“มีพระคุณหรือ จ้าวหิมะเหินมีพระคุณต่อท่านอย่างนั้นหรือ” ราชันย์อนธการอมตะพูดอย่างโกรธเคือง “ประมุขโลกจากหุบเขาเขี้ยวหักผู้องอาจอย่างท่านคนหนึ่ง พลังของท่านคงเหนือกว่าเขาอีกกระมัง เขามีพระคุณต่อท่านหรือ”

“เขาช่วยบุตรสาวของข้าเอาไว้” บุรุษสวมอาภรณ์แสงดาวพูดยิ้มๆ “ราชันย์อนธการ เดิมทีจ้าวหิมะเหินก็มีร่างแยกจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่แล้ว ท่านจะสังหารเขา จำเป็นด้วยหรือ ถอยไปเสียจะดีกว่า!”

“ดีมาก”

ราชันย์อนธการอมตะกวาดสายตาไป กวาดผ่านจอมกระบี่ บรรพชนแมลง และจับจ้องไปที่บุรุษสวมอาภรณ์แสงดาวผู้นั้นในที่สุด “เจ้าก็แค่ประมุขโลกของโลกใบหนึ่งจากโลกมากมายในหุบเขาเขี้ยวหักเท่านั้นเอง บัดนี้เจ้าก็ออกจากโลกของตนแล้ว ข้าจะดูสิว่าเจ้าจะมีพลังสักเท่าใดกันเชียว! ส่วนจอมเคารพกระบี่ปีศาจและบรรพชนแมลง…พวกเจ้ารีบไสหัวไปเสีย วันนี้ผู้ใดขัดขวางข้าก็ไร้ประโยชน์!”

พูดยังไม่ทันขาดคำ

มือทั้งคู่ของราชันย์อนธการอมตะก็บดบังท้องฟ้าเอาไว้ในทันใด ภายในฝ่ามือแต่ละข้างต่างก็มีโลกเปลวเพลิงสีดำอยู่ เมื่อเห็นแล้วก็ชวนใจสั่นและเกิดความสิ้นหวังขึ้นมา!

มือใหญ่มหึมาทั้งสองข้างตะปบเข้ามา

ฝ่ามือกวาดไปทางบรรพชนแมลงและจอมกระบี่

ฝ่ามือข้างหนึ่งกวาดไปทางบุรุษสวมอาภรณ์แสงดาว

ฝ่ามือใหญ่โตเกินไปแล้ว ถึงขั้นโอบอุ้มฟ้าดินเอาไว้ได้ จะหลบอย่างไรก็ไม่พ้น!

“แตก!”

จอมกระบี่กลับชักกระบี่ออกมา ประกายกระบี่ฟันฟาดไป ฟ้าดินปริแตก อานุภาพไร้ที่สิ้นสุด

“เฮอะๆๆ” บรรพชนแมลงกลับแค่นเสียงต่ำ อาภรณ์สีดำที่คลุมร่างเอาไว้แปรเป็นพลองสีดำเล่มหนึ่งในทันใด นี่เป็นอาวุธที่เหมาะสมกับเขาที่สุด บรรพชนแมลงถือพลองสั้นสีดำเอาไว้ในมือ แล้วทิ่มตรงขึ้นไปด้านบนทันใด! แขนขยายใหญ่ขึ้น พลองสีดำในมือก็ขยายใหญ่ขึ้นเช่นกัน ราวกับเสาค้ำฟ้าที่แทงตรงไปยังโลกเปลวเพลิงสีดำกลางฝ่ามือมหึมานั้นทันที

“ฟิ้ว…” ภายใต้การออกแรงเต็มฝ่ามือของราชันย์อนธการอมตะ ประกายกระบี่ของจอมกระบี่แหลกสลายกลายเป็นผุยผงไปอย่างง่ายดาย บรรพชนแมลงถือพลองสีดำเอาไว้ในมือ มันแตกออกกลายเป็นแมลงจำนวนนับไม่ถ้วนอีกครั้ง

ตัวจอมกระบี่เองถอยไปพลาง สำแดงศาสตร์กระบี่สุดกำลังเพื่อถ่ายแรงไปพลาง

บรรพชนแมลงขยับปีกคราหนึ่ง แล้วถอยผ่านอุปสรรคของมิติชั้นแล้วชั้นเล่าด้วยความเร็วสูง

“อ๊าก!”

แม้ราชันย์อนธการอมตะจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่ทันใดนั้นกลับร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดขึ้นมา!

เนื่องจากประมุขโลกแสงดาวถือหอกยาวเล่มหนึ่งเอาไว้ในมือ แล้วแทงตรงเข้าไปกลางฝ่ามือมหึมาอีกข้างหนึ่งของราชันย์อนธการอมตะ ถึงขั้นแทงทะลุโลกเปลวเพลิงสีดำ ทำให้โลกนั้นถล่มทลายลง ฝ่ามือของราชันย์อนธการอมตะก็เผยรูปโฉมที่แท้จริงออกมา มันถูกแทงทะลุจนกลายเป็นรู

“ประมุขโลกแสงดาวตัวดี! หากอยู่ในโลกของเจ้า ข้าก็จะยอมให้เจ้าบ้าง แต่อยู่ในดินแดนจิตโลกาน่ะหรือ ไสหัวไปให้ข้าเสีย!!!” ราชันย์อนธการอมตะคลุ้มคลั่งไปแล้ว ในหัวใจอันพิเศษประหนึ่งโลหะภายในร่างของเขา โลหิตสีทองหยดหนึ่งแผดเผาขึ้นมา พละกำลังสีทองอันแปลกประหลาดโหมซัดเข้าไปภายในมือซ้ายของเขาทันใด

มือซ้ายกลายเป็นสีทอง ดูสูงส่งหาใดเปรียบ ราชันย์อนธการอมตะขยับมือซ้ายทันที แล้วกวาดอย่างดุเดือดไปทางประมุขโลกแสงดาวอีกครั้ง

“นี่มันอะไรน่ะ” ประมุขโลกแสงดาวสีหน้าเปลี่ยนแปรไป เขาสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามจากฝ่ามือสีทองมหึมานั้น! หากอยู่ในโลกของตน เขาก็จะไม่เกรงกลัวเลย แต่ตอนนี้อยู่ในดินแดนจิตโลกา พลังของเขาก็อ่อนแอลงขุมหนึ่งแล้ว

“ฟิ้ว”

หอกยาวในมือหมุนคว้างน้อยๆ แล้วเข้าไปสกัดกั้นเอาไว้

“ปัง!!!”

ฝ่ามือสีทองขนาดมหึมาตะปบลงไป เวลาหยุดนิ่ง มิติแหลกสลายกลายเป็นผุยผง ไม่มีที่ให้หลบได้เลย ประมุขโลกแสงดาวถูกตะปบเสียจนหอกยาวในมือสั่นสะท้าน มือทั้งสองถูกกระแทกเสียจนเต็มไปด้วยโลหิต ก่อนจะกลายเป็นลำแสงสายหนึ่งกระเด็นลอยออกไปอย่างมิอาจควบคุมได้

ส่วนบรรพชนแมลงและจอมกระบี่ แม้ ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ จะมิได้งัดไพ่ใบสำคัญออกมาใช้ พวกเขาทั้งสองก็ถูกกำราบไปเรียบร้อยแล้ว

เพราะถึงอย่างไรหากพูดถึงพลังแล้ว จอมกระบี่ก็ยังดีหน่อย เพราะมีพลังราวแปดส่วนของ ‘บรรพชนราตรีนิรันดร์’ ซึ่งนับได้ว่าถึงขั้นไร้ศัตรูแล้ว ส้วน ‘บรรพชนแมลง’ เมื่อเทียบกันก็ด้อยกว่าไม่น้อย เพราะเขาไม่มีเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่ง หากพูดถึงพลังรบก็แค่สูงกว่าขั้นสุดยอดทั่วไปเพียงไม่กี่ส่วนเท่านั้นเอง ตงป๋อเสวี่ยอิงส่งร่างแยกไปสักสองสามร่างแล้วร่วมมือกัน ก็ไม่แพ้บรรพชนแมลงแล้ว

ทว่าบรรพชนแมลงมีการรักษาชีวิตที่แข็งแกร่งเป็นอันมาก!

……

“อะไรกัน!” ภายในวังหลวงแห่งรัฐโบราณคิมหันตวายุ จักรพรรดิเซี่ยมองดูการต่อสู้ดำเนินไปอยู่ตลอดเวลา ยามนี้สีหน้าก็เปลี่ยนแปลงไปในที่สุด “ราชันย์อนธการอมตะผู้นี้ยังมีลูกไม้เช่นนี้ด้วยหรือนี่”

เขาจ้องมองฝ่ามือมหึมาซึ่งเปล่งแสงสีทองเจิดจ้าออกมาอย่างตาไม่กะพริบ!

หากกล่าวว่าลูกไม้ที่ราชันย์อนธการอมตะปะทุออกมาก่อนหน้านี้ แค่ทัดเทียมกับจักรพรรดิเซี่ยเท่านั้น ยามนี้ อานุภาพของฝ่ามือสีทองนี้ก็เหนือกว่าจักรพรรดิเซี่ยไปแล้ว!

“พลังของเขา แข็งแกร่งกว่าข้าอยู่บ้างจริงๆ” จักรพรรดิเซี่ยลอบพึมพำ “ทว่าต่อให้ถูกอิงซานเสวี่ยอิงทำลายการบูชาไปแล้ว เขาก็มิได้สำแดงพลังระดับนี้ออกมา เมื่อถูกประมุขโลกแสงดาวบีบจนร้อนใจจึงสำแดงออกมา เมื่อสำแดงกระบวนท่าออกมา อาจจะต้องแลกมาด้วยอะไรบางอย่างก็เป็นได้”

หากเป็นกระบวนท่าที่ใช้เป็นประจำ

ไยจึงต้องแอบซ่อนมาถึงตอนนี้ด้วยเล่า

“แข็งแกร่งนัก”

“ร้ายกาจ”

“พลังของราชันย์อนธการอมตะเหนือกว่าจักรพรรดิเซี่ยจริงๆ”

“หากพูดถึงพลังแล้ว สิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุดของทั้งดินแดนจิตโลกาก็ยังคงเป็นราชันย์อนธการอมตะอยู่ดี!”

“ราชันย์อนธการอมตะ…เป็นผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งแห่งดินแดนจิตโลกา”

สิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูคนแล้วคนเล่ามองเห็นฉากนี้ ก็ตัดสินในใจขึ้นมา

“ไสหัวไป”

ราชันย์อนธการอมตะยืนอยู่กลางอากาศ กลิ่นอายดำมืดที่สำแดงออกมาหอบม้วนฟ้าดินเอาไว้ ฝ่ามือหนึ่งแฝงโลกเปลวเพลิงสีดำเอาไว้ กดดันจอมกระบี่และบรรพชนแมลงเอาไว้ ทำให้จอมกระบี่และบรรพชนแมลงต้องหนีหัวซุกหัวซุนไป ฝ่ามืออีกข้างหนึ่งกลับแปรเป็นฝ่ามือสีทองใหญ่โตอันโดดเด่นสะดุดตา เพียงฝ่ามือหนึ่งก็ตะปบจนประมุขโลกแสงดาวผู้นั้นต้องล่าถอยไป แล้วอีกฝ่ามือหนึ่งก็ตะปบตามไปติดๆ

กระแทกจนเกิดทางเชื่อมมิติสายหนึ่งขึ้นมา แล้วเขาก็ตะปบประมุขโลกแสงดาวเลียบทางเชื่อมมิติออกไป

“อิงซานเสวี่ยอิง ข้าเคยพูดแล้วว่า ผู้ใดก็ช่วยเจ้าไม่ได้!!!” สายตาของราชันย์อนธการอมตะกลับมองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่กลางท้องฟ้าเหนือเมืองหิมะเหิน นัยน์ตาแฝงแววอาฆาตที่น่าหวาดหวั่นเอาไว้

ฝ่ามือสีทองขนาดมหึมาของเขาเก็บกลับมา แต่กลับตะปบลงไปยังเมืองหิมะเหินเบื้องล่าง

“พังไปเสียเถอะ!!!”

อานุภาพของฝ่ามือสีทองสูงเทียมฟ้า ฝ่ามือนี้เป็นการออกแรงเต็มที่ของผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งแห่งดินแดนจิตโลกา! และเป็นการโจมตีอันเต็มไปด้วยความโกรธเคืองหาใดเปรียบอีกด้วย!

ยามนี้ แต่ละฝ่ายต่างก็ร้อนรนขึ้นมา

บรรดาผู้บำเพ็ญเหล่านั้นที่ได้รับบุญคุณใหญ่หลวงของตงป๋อเสวี่ยอิงร้อนใจหาใดเปรียบ

พวกคนที่นับถือตงป๋อเสวี่ยอิงก็ร้อนใจ

ประมุขรัฐเมฆทักษิณาก็เผยสีหน้าร้อนรนและสิ้นหวังออกมา “ข้าเคยพูดว่า ให้เขาอดทนสักหน่อย ก็ควรจะอดทนสิ!”

“นี่…นี่คือจุดจบของตระกูลอิงซานของข้าหรือนี่” แม่เฒ่าอิงซานยืนอยู่ภายในเมืองหิมะเหิน เงยหน้ามองดู ฝ่ามือสีทองมหึมากลางท้องฟ้าร่อนลงมา

ในยามนี้…

จอมกระบี่และบรรพชนแมลงที่ถูกกระแทกจนกระเด็นไป พวกเขาพากันร้อนใจหาใดเปรียบ

“อิงซานเสวี่ยอิง” บรรพชนแมลงปาถัวเฉินอยากจะช่วยเหลือผู้มีพระคุณของตนจริงๆ

“เสวี่ยอิง!” จอมกระบี่ร้อนรนยิ่งกว่า

ทว่าไร้ประโยชน์…

พวกเขาล้วนแต่ไม่มีเรี่ยวแรงพอทั้งสิ้น แม้แต่ประมุขโลกแสงดาวก็ยังถูกกระแทกจนกระเด็นไป แม้เขาจะเร่งเดินทางกลับมาด้วยความร้อนใจ ก็สกัดกั้นฝ่ามือนี้ไว้ไม่ทัน!

ฝ่ามือนี้ เรียกได้ว่าฝ่ามือทำลายล้างโลก!

แม้ดินแดนจิตโลกาจะมีกฎเกณฑ์เข้มงวด แต่ฝ่ามือนี้ก็ยังสามารถทำลายล้างทั้งเมืองหิมะเหินได้สบายๆ

“ชิงเหอ!”

ตงป๋อเสวี่ยอิงยื่นมือออกไป หอกยาวสีดำทะมึนเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือ

มือทั้งสองของเขายกหอกยาวเล่มนี้ขึ้นมาโดยพลัน

“โครมมมม…” ค่ายกลแห่งแล้วแห่งเล่าทั่วทั้งเมืองหิมะเหินหมุนเวียนขึ้นมา อักขระลับจำนวนนับไม่ถ้วนหมุนเวียนไป ลำแสงสายแล้วสายเล่ารวมตัวกันบนร่างของตงป๋อเสวี่ยอิง ในยามนี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงที่พกศูนย์กลางของจานค่ายกลเอาไว้ก็กลายเป็นศูนย์กลางของค่ายกลทั่วทั้งเมืองหิมะเหิน!

“คละถิ่น ทั้งฟ้าดิน เชือดเฉือน!!!”

นัยน์ตาของตงป๋อเสวี่ยอิงเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง เขากวัดแกว่งหอกยาวในมือ แล้วฟันออกไปเบื้องบนอย่างดุเดือด!!!

ทันใดนั้นฟ้าดินรอบด้านก็มีรอยแยกจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น พลังคละถิ่นอันดำมืดโหมซัดออกมาจากรอยแยก แล้วรวมตัวกันอยู่บนหอกยาวเล่มนี้จนสิ้น จากนั้นฝ่ามือทั้งสองของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ฟันลงไปอย่างดุเดือด!

แคว่ก….

ฟ้าดินปริแตกออกแล้ว!

ปริแตกออกจริงๆ ทั้งโลกกำเนิดปริแตกออกแล้ว รอยแยกดำทะมึนสายหนึ่งเหมือนจะแบ่งแยกฟ้าดินออกจากกัน และกรีดลงบนฝ่ามือสีทองมหึมานั้นจนเกิดเป็นรอยแยกสีดำสายหนึ่งขึ้นมา! ฟึ่บๆๆ แสงสีทองที่ผิวของฝ่ามือสีทองที่มีอยู่เดิมมอดดับลงทันใด จากนั้นแสงสีทองก็สลายหายไป ฝ่ามือมหึมานั้นแยกออกเป็นสองท่อน อีกทั้งอานุภาพนี้ยังกัดเซาะและทำลายฝ่ามือไปบางส่วน จากนั้นฝ่ามือก็สมานกันอย่างรวดเร็ว

เพียงแต่ราชันย์อนธการอมตะกำลังเบิกตาโพลงมองดูฉากนี้อย่างไม่อยากจะเชื่อ ท่าไม้ตายของตนถูกสกัดกั้นแล้วอย่างนั้นหรือ

…………………………….

“ปัง!”

ฝ่ามือมหึมาซึ่งมีโลกดำมืดอันไร้ที่สิ้นสุดแฝงเอาไว้ตะปบเข้ามา ทำให้จอมกระบี่ที่เตรียมตัวเอาไว้ก่อนแล้วยังสัมผัสได้ถึงแรงกดดันดังเดิม “จักรพรรดิเซี่ยเตือนเอาไว้ไม่มีผิดว่าพลังของราชันย์อนธการอมตะผู้นี้เป็นระดับเดียวกับเขาอย่างแท้จริง ช่างน่ากลัวนัก”

เค้ามาออกหน้าขัดขวางก็ย่อมบอกกับจักรพรรดิเซี่ยเอาไว้ก่อนแล้วเป็นธรรมดา ตอนนั้นจักรพรรดิเซี่ยก็พูดไว้แล้วว่า “กระบี่ปีศาจ พลังของราชันย์อนธการอมตะผู้นี้แข็งแกร่งอย่างยิ่ง ไม่แพ้ข้าเลย หรืออาจจะแข็งแกร่งกว่าข้าเสียด้วยซ้ำ เขาจากดินแดนจิตโลกาแห่งนี้ไปนานยิ่งนัก ข้ามองพลังของเขาไม่ออกเลยจริงๆ”

เมื่อมาดูตอนนี้แล้ว

ก็เป็นระดับเดียวกับจักรพรรดิเซี่ยอย่างแท้จริง ส่วนเรื่องแข็งแกร่งกว่าน่ะหรือ เห็นได้ไม่ชัดนัก หรือหากแข็งแกร่งกว่าก็มีข้อจำกัดอยู่

จอมกระบี่กลับไม่รู้เลยว่า ข้อแรก ราชันย์อนธการอมตะ มิได้พยายามสุดชีวิตเพื่อสำแดงลูกไม้ที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาข้อสอง สิ่งที่ราชันย์อนธการอมตะประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดคืนวันอันยาวนานก็คือขัดเกลาและหลอมแปรเคล็ดวิชา ‘ผู้ท่องมรณะ’ ขึ้นมา ถ้าหากทำให้เขาบูชาสำเร็จ และหลอมผู้ท่องมรณะขึ้นมาได้สักร่างหนึ่ง! ก็มีคุณสมบัติพอจะเรียกได้ว่า ‘กายกึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่น’ แล้ว หากพูดถึงพลังรบ กลับเทียบได้กับพวกสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่อ่อนแอที่สุดแล้ว!

“กระบี่ปีศาจ จำเอาไว้ เจ้าไปก็เพื่อปกป้องพวกคนที่อ่อนแอเหล่านั้น มิใช่จ้าวหิมะเหิน อย่าได้แตกหักกับราชันย์อนธการอมตะเข้าจริงๆ ล่ะ! แค่เกลี้ยกล่อมก็พอ เค้าคงจะไม่โง่เง่าจนถึงขั้นเป็นศัตรูกับรัฐโบราณคิมหันตวายุของข้าด้วยเหตุนี้จริงๆ หรอก” ตอนนั้นจักรพรรดิเซี่ยก็ได้กำชับเอาไว้แล้ว

พวกจักรพรรดิเซี่ย ก็ไม่กลัวเลยจริงๆ

จักรพรรดิเซี่ยมีร่างแยกมากมาย ลำพังแค่ ‘นครหลวงคิมหันตวายุ’ ก็เป็นเมืองใหญ่อันดับหนึ่งของทั้งดินแดนจิตโลกา ซึ่งมีประชากรจำนวนนับไม่ถ้วนแล้ว เมืองใหญ่แต่ละแห่งที่สมาชิกคนสำคัญที่แท้จริงของสกุลเซี่ยแบ่งสรรกันไปก็ล้วนแต่มีร่างแยกของเขาประจำการอยู่!

ดังนั้นหากแตกหักกันขึ้นมาจริงๆ ตัวเมืองซึ่งเป็นหัวใจสำคัญก็ไร้กังวล

เขาเชื่อว่าก่อนที่จะมี ‘ความแค้นครั้งใหญ่’ นั้น ราชันย์อนธการอมตะก็คงไม่โง่เง่าถึงเพียงนี้!

จริงๆ แล้วผู้ที่ทำลายการบูชาในครั้งนี้ก็คือ ‘จ้าวหิมะเหิน’ ราชันย์อนธการอมตะก็ย่อมเกลียดชังจ้าวหิมะเหินผู้นั้นเป็นธรรมดา คงจะไม่สร้างศัตรูตัวฉกาจที่น่าหวาดหวั่นเพียงเพราะเรื่องเล็กน้อย!

……

ตู้มมม…

ฝ่ามือมหึมาตะปบลงไป ประกายกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนก็หายวับไป

จอมกระบี่ถูกกระแทกเสียจนกระเด็นลอยถอยหลังไป ก่อนจะกระทบลงบนที่ครอบแสงซึ่งเป็นค่ายกลคุ้มกันเมืองหิมะเหินเอาไว้ แล้วเขาก็ลอยขึ้นไปทันที

“เฮ้อ สิ่งที่อยู่ในมือเจ้ามิใช่สมบัติลับอันสูงส่ง แต่เจ้า กลับมีพลังขั้นไร้ศัตรูแล้วหรือนี่” ราชันย์อนธการอมตะเห็นเข้าก็ยิ้มเย็นชา “น่าเสียดายที่เมื่ออยู่ต่อหน้าข้า พวกเจ้าก็ยังไม่มีคุณสมบัติพอจะเรียกได้ว่าไร้ศัตรูอยู่ดี”

ทั้งดินแดนจิตโลกา

อันที่จริงแล้วยังมีอีกสองท่านที่ยังเหนือกว่าขั้นไร้ศัตรูเสียอีก

คนหนึ่งก็คือจักรพรรดิเซี่ย! ซึ่งสามารถโจมตีบรรพชนราตรีนิรันดร์ให้บาดเจ็บสาหัสจนต้องหนีไปอย่างรวดเร็ว

ส่วนอีกคนหนึ่งก็คือราชันย์อนธการอมตะ ผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งของดินแดนจิตโลกาคนก่อน ซึ่งบัดนี้กลับมาก็แข็งแกร่งขึ้นไปอีก

พวกเขาสองคนล้วนแต่วิถีสองสายบรรลุถึงขั้นสุดยอด! พลังแข็งแกร่งกว่าขุมหนึ่งอย่างแท้จริง

ทว่าแข็งแกร่งกว่าขุมหนึ่ง…ระหว่างการต่อสู้ก็มิได้ได้เปรียบมากนัก เพียงแต่ครองความได้เปรียบเท่านั้นเอง!

บรรดาสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูจะถอยหรือจะหนี ก็ล้วนทำได้สบายทั้งสิ้น

“ปัง ปัง!!”

จอมกระบี่ออกกระบี่ไปอย่างต่อเนื่อง

ราชันย์อนธการอมตะตะปบฝ่ามือใหญ่ลงไปหลายฝ่ามือต่อเนื่องกัน แม้จะโจมตีจนจอมกระบี่ได้รับบาดเจ็บแล้ว แต่ก็แค่มีรอยโลหิตที่มุมปากบ้างเล็กน้อยเท่านั้น อาการบาดเจ็บเพียงเท่านี้ถือว่าเบามาก

“จอมเคารพกระบี่ปีศาจ ข้าไม่มีความอดทนพอจะมาพูดพล่ามกับเจ้า!” ราชันย์อนธการอมตะโมโหขึ้นมาบ้างแล้ว มือขวาของเขาตะปบลงไปอีกครั้ง ฝ่ามือในครั้งนี้กลับเป็นเปลวเพลิงสีดำลุกโชติช่วง ฝ่ามือขนาดมหึมาที่บดบังฟ้าดินตะปบเข้ามา แม้จอมกระบี่จะออกกระบี่ไปขัดขวาง แต่กลับถูกตะปบโดยตรงเสียจนกระเด็นลอยออกไปไกล ทั้งยังกระอักเลือดออกมาจากปากอีกด้วย

ขณะเดียวกันกับที่ตะปบจอมกระบี่กระเด็นไปนั้น ราชันย์อนธการอมตะตะปบฝ่ามือลงไปยังเมืองหิมะเหินเบื้องล่างอีกครั้ง

“หยุดมือนะ” เสียงตะคอกดังขึ้นมา

เมฆดำอันไร้ที่สิ้นสุดปรากฏขึ้น สกัดกั้นฝ่ามือนั้นของราชันย์อนธการอมตะเอาไว้

ปัง!

เมฆดำถูกตะปบโดยตรงจนกระจายออกไปทั่วทิศ แล้วกลับกลายเป็นแมลงจำนวนนับไม่ถ้วน

แมลงตัวเล็กละเอียดจำนวนนับไม่ถ้วนบินไปทางเงาร่างสายหนึ่งอย่างรวดเร็ว เมื่อบินไปถึงบนร่างกายของเงาร่างสายนั้น ก็กลายเป็นอาภรณ์สีดำยาวตัวหลวมตัวหนึ่ง

นี่คือผู้แกร่งกล้าซึ่งเป็นแมลงบินได้มีและรูปร่างเหมือนมนุษย์คนหนึ่ง ทั้งร่างล้วนแต่มีเกล็ดสีดำทะมึนอยู่ บนหน้าผากมีหนวดรับสัมผัสอยู่สองเส้น ด้านหลังยังมีปีกบางใสดุจปีกจักจั่นอยู่สองข้าง บัดนี้อาภรณ์สีดำซึ่งรวมตัวขึ้นจากแมลงจำนวนนับไม่ถ้วนกลับห่อหุ้มร่างกายเอาไว้ เขาเงยหน้ามองไปทางราชันย์อนธการอมตะ “ราชันย์อนธการ โปรดหยุดมือด้วยเถิด”

“บรรพชนแมลงหรือ” ราชันย์อนธการอมตะโมโหอยู่บ้าง “ท่านมาขัดขวางข้ารึ”

บรรพชนแมลงพอจะมีความสัมพันธ์กับเขาอยู่บ้าง

พวกเขาเคยซื้อขาย ‘น้ำทิพย์กลืนโลกา’ กันมาก่อน ราชันย์อนธการอมตะถึงขั้นไม่คิดจะงัดกระบี่กับบรรพชนแมลงเลย! เนื่องจากการบูชาครั้งนี้ล้มเหลว เขาก็ยังอยากจะซื้อ ‘น้ำทิพย์กลืนโลกา’ จากบรรพชนแมลงอีกครั้ง

“จ้าวหิมะเหินมีร่างแยกตั้งมากมาย ท่านก็มิอาจสังหารเขาให้ตายได้ ไปลงกับผู้บริสุทธิ์เพียงเพื่อระบายโทสะ ไยต้องทำเช่นนี้ด้วยเล่า” เสียงของบรรพชนแมลงแหบแห้ง

จอมกระบี่ด้านข้างตกตะลึงไป

ขุมอำนาจฝ่ายต่างๆ ทั่วทั้งดินแดนจิตโลกากำลังที่กำลังเฝ้ามองที่นี่อยู่ต่างพากันตกอกตกใจ จอมเคารพกระบี่ปีศาจลงมือขัดขวางพวกเขาก็ยังพอเข้าใจได้ เพราะถึงอย่างไร เดิมทีจ้าวหิมะเหินก็เป็นเค่อชิงของรัฐโบราณคิมหันตวายุ! อีกทั้งว่ากันว่ามีความสัมพันธ์ส่วนตัวอันดียิ่งกับจอมเคารพกระบี่ปีศาจด้วย

แล้วบรรพชนแมลงเล่า

บรรพชนแมลงมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับรัฐโบราณคิมหันตวายุนี่นา! ตอนนั้นเมื่ออยู่ใต้บังคับบัญชาของ ‘จักรพรรดิกลืนโลกา’ บรรพชนแมลงยังเข่นฆ่าผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วน แล้วเขาจะสนใจผู้บริสุทธิ์เหล่านั้นไปไย

“ท่านสนใจมดปลวกเหล่านั้นด้วยหรือนี่” ราชันย์อนธการอมตะไม่อยากจะเชื่อ “บรรพชนแมลง ข้าฟังผิดไปหรือไร”

“ตระกูลอิงซานมีความหลังกับข้าน่ะ” บรรพชนแมลงเอ่ยปากพูด “จะว่าไปแล้ว ข้ายังติดค้างตระกูลอิงซานอย่างใหญ่หลวงอยู่ครั้งหนึ่ง ดังนั้นที่ข้ามาในครั้งนี้ ด้วยหวังว่าราชันย์อนธการจะยั้งมือได้”

……

ขณะที่ขุมอำนาจใหญ่แต่ละฝ่ายทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาต่างกำลังจับจ้องเมืองหิมะเหินนั่นเอง

กลับมีข่าวหนึ่งที่ส่งไปยังส่วนลึกของหุบเขาเขี้ยวหัก

“นายท่าน ตัวตนที่แท้จริงของคนวิถีจิตฟ้าคือจ้าวหิมะเหินขอรับ! เขาลงมือช่วยเหลือสิ่งมีชีวิตทั้งสิบห้ารัฐ แต่กลับทำลายเรื่องใหญ่ของราชันย์อนธการอมตะ ราชันย์อนธการอมตะบุกสังหารมายังเมืองหิมะเหิน,หมายจะกวาดล้างทั้งตระกูลอิงซานหรือแม้กระทั่งทั้งเมืองหิมะเหิน ”ข่าวนี้แพร่มาถึงโลกใบหนึ่งภายในหุบเขาเขี้ยวหักอย่างรวดเร็ว

โลกอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้ สิ่งมีชีวิตมีจำนวนไม่มากนัก ทว่าทุกคนล้วนแข็งแกร่งเป็นอันมาก จำนวนสิ่งมีชีวิตกลับไม่มากนัก แต่ทุกคนล้วนแข็งแกร่งมาก แม้แต่ทารกที่อ่อนแอที่สุดก็ยังเป็นระดับเทพอากาศ

แต่ประมุขของโลกใบนี้กลับกำลังอยู่เป็นเพื่อนบุตรของตน

“เอ๊ะ” ตอนแรกบุรุษสวมอาภรณ์แสงดาวก็ยังคงมองดูบุตรสาวทั้งยังหัวเราะคิกคักอยู่กับบุตรสาว ทันใดนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย

“คนวิถีจิตฟ้า ท่านเคยช่วยบุตรสาวข้าเอาไว้ เรื่องนี้ ข้าไม่ยุ่งไม่ได้จริงๆ!” บุรุษสวมอาภรณ์แสงดาวยังคงอยู่ที่เดิม แต่อันที่จริงแล้วที่หลงเหลืออยู่ก็เป็นเพียงร่างแปรเท่านั้น ร่างจริงกลับจากไปและเร่งเดินทางไปยังเมืองหิมะเหินในดินแดนจิตโลกาแล้ว

……

เมืองหิมะเหิน

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองบรรพชนแมลงที่ปรากฏกายขึ้นด้วยความตกตะลึง

“บรรพชนแมลงก็มาช่วยข้าหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่อยากจะเชื่อ “เขาและตระกูลอิงซานมีความหลังต่อกัน ทำไมหรือ ในประวัติศาสตร์ตระกูลอิงซานเราไม่เคยบันทึกเอาไว้เลยหรือ”

‘แม่เฒ่าอิงซาน’ บรรพบุรุษของทั้งตระกูลอิงซานก็ยังมีชีวิตอยู่ แต่กลับไม่รู้เลย

บรรพชนแมลงที่อยู่ไกลออกไปหันกลับมามองตงป๋อเสวี่ยอิงแวบหนึ่ง บนใบหน้าที่เต็มไปด้วยเกล็ดราวกับศีรษะแมลงเผยรอยยิ้มสายหนึ่งออกมา เห็นได้ชัดว่าใจดีเป็นอย่างมาก ในใจของบรรพชนแมลงกลับซับซ้อนนัก “แม้แต่ตัวข้าเอง ก็ไม่รู้จักตัวเองแล้ว เพียงแต่ข้าลืมไม่ลง…นามที่แท้จริงของข้าคือปาถัวเฉิน! ลูกหลานหลักเพียงหนึ่งเดียวของสกุลปาถัว”

ปาถัวเฉินลืมไม่ลง

ในรัฐถูฮวา ตระกูลล่มสลาย ภรรยาก็เป็นสายลับที่ศัตรูส่งมา…ในเวลาที่เขาสิ้นหวังที่สุด กลับมีชายหนุ่มอาภรณ์ขาวนามว่าอิงซานเสวี่ยอิงยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเขา! และส่งเขาไปยังรัฐโบราณคิมหันตวายุ

ในนครหลวงรัฐโบราณคิมหันตวายุ ก็เป็นจุดเริ่มต้นของปาฏิหาริย์ของเขา!

แต่ก่อนที่เขาจะเติบโตและรุ่งโรจน์ขึ้นมานั้น กลับถูกจองจำอยู่ในคุกเนื่องจากผูกความแค้นกับสกุลฝาน แม้จะกล่าวว่าพลังของเขาเพิ่มขึ้นช้าๆ อย่างลับๆ จนท้ายที่สุดสามารถหนีออกมาได้ แต่เมื่ออยู่ในคุก การเติบโตของเขาก็ช้าเสียยิ่งกว่าช้า ก็ยังเป็น ‘อิงซานเสวี่ยอิง’ ที่ปรากฏกายขึ้นมาช่วยเหลือเขา และส่งเขาจากไป! เขาจึงได้กลายเป็นมังกรทะยานห้วงสมุทร เริ่มยกระดับขึ้นอย่างรวดเร็ว

เขาเกลียด เกลียดคนมากมาย

ถึงขั้นรู้สึกว่าโลกใบนี้เลือดเย็นและโหดร้าย ผู้ที่อ่อนแอย่อมตกเป็นเหยื่อของผู้ที่แข็งแกร่ง ต่อให้สิ้นหวังกว่านี้ แต่ ‘อิงซานเสวี่ยอิง’ ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวผู้นั้นกลับทำให้เขารู้สึกว่าถึงอย่างไรโลกนี้ก็ยังมีแสงสว่างอยู่

ดังนั้น!

ต่อให้สิ่งมีชีวิตอื่นสิ้นใจไปมากกว่านี้ เขาก็จะไม่สนใจได้ แต่ ‘อิงซานเสวี่ยอิง’ จะต้องช่วยเหลือให้ได้!

“เพียงแต่ครั้งนี้คู่ต่อสู้แข็งแกร่งเกินไปแล้ว” บรรพชนแมลง ‘ปาถัวเฉิน’ มองดุเบื้องหน้า ภายในเวลาสั้นๆ พลังยกระดับขึ้นไปถึงขีดสุด แต่เมื่อเทียบกับราชันย์อนธการอมตะแล้ว ก็ยังแตกต่างกันมากอยู่ดี!

“ฟิ้ว…”

ทันใดนั้นแสงดาวอันสะดุดตาหาใดเปรียบก็ปรากฏขึ้นกลางท้องฟ้าเหนือเมืองหิมะเหิน และกำลังรวมตัวกัน

“เอ๊ะ”

จอมกระบี่และบรรพชนแมลง ‘ปาถัวเฉิน’ ต่างก็ตกตะลึง

แม้แต่ราชันย์อนธการอมตะที่แค้นเคืองอยู่ก็สีหน้าเปลี่ยนแปรไปเล็กน้อย จากแสงดาวที่แผ่กำจายไปทั่วบริเวณนั้น เขาสัมผัสได้ถึงแรงคุกคาม

แสงดาวรวมตัวกัน

กลายเป็นบุรุษสวมอาภรณ์แสงดาวอันหรูหรางดงามผู้หนึ่ง ท่วงท่าของเขาสูงส่งเหนือธรรมดา ยืนอยู่ตรงนั้นพลางมองดูราชันย์อนธการอมตะที่อยู่ฝั่งตรงข้าม “ราชันย์อนธการอมตะหรือ”

“ท่านเป็นใครน่ะ” ราชันย์อนธการอมตะเคร่งขรึมขึ้นมา ทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาเกรงว่าคงมีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถสัมผัสได้ถึงความพิเศษของผู้มาเยือน เนื่องจากเขาเคยพบผู้แกร่งกล้าจำพวกนี้มาตั้งนานแล้ว!

“ประมุขโลกแสงดาวแห่งหุบเขาเขี้ยวหัก” บุรุษสวมอาภรณ์แสงดาวพูดยิ้มๆ

“ประมุขโลกหรือ” ราชันย์อนธการอมตะสีหน้าเปลี่ยนแปรไปเล็กน้อย

เขารู้ดีมากว่า ผู้ที่สามารถสำเร็จเป็น ‘ประมุขโลก’ ภายในหุบเขาเขี้ยวหักได้นั้นล้วนแต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดหวั่นเพียงใด! และนี่ก็คือสาเหตุว่า ทำไมเขาจึงตั้งใจจะหลอมผู้ท่องมรณะขึ้นมาให้ได้เสียก่อนจึงกล้าไปบุกฝ่า! แน่นอนว่า ประมุขโลกก็เป็นเพียงส่วนที่อันตรายส่วนหนึ่งของหุบเขาเขี้ยวหักเท่านั้น ลำพังแค่ประมุขโลกเพียงคนเดียว ทั้งยังไม่อยู่ในหุบเขาเขี้ยวหัก ราชันย์อนธการอมตะก็ไม่หวั่น

“ประมุขโลกในหุบเขาเขี้ยวหักอย่างท่านคนหนึ่ง มาที่นี่ด้วยเรื่องอันใดหรือ” ราชันย์อนธการอมตะเอ่ยปาก

“จ้าวหิมะเหินมีพระคุณต่อข้า ข้าก็ย่อมต้องมาปกป้องเขาเป็นธรรมดา!” บุรุษสวมอาภรณ์แสงดาวกล่าว

……

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูด้วยความตกตะลึง จอมกระบี่ช่วยเขา เขาสามารถเข้าใจได้ แต่บรรพชนแมลงและ ‘ประมุขโลกแสงดาว’ ผู้เร้นลับแห่งหุบเขาเขี้ยวหักคนนี้ เขาไม่รู้จักเลยจริงๆ แต่บัดนี้พวกเขากลับแสดงตนออกมาในช่วงที่คับขันเสียอย่างนั้น

เขาลงมือช่วยเหลือสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนครั้งแล้วครั้งเล่า แต่กลับมีผู้แกร่งกล้าที่ยินดีออกมาช่วยเขาขัดขวางราชันย์อนธการอมตะอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว

“ทีใครทีมัน นี่คือการหมุนเวียนอย่างหนึ่งของกฎเกณฑ์อันสูงส่งกระมัง” ทันใดนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็กระจ่างแจ้งขึ้นมา นับตั้งแต่เขาสัมผัสได้ถึงเสียงโห่ร้องของวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนที่ได้รับอิสรภาพคืนมา และรู้แจ้งทิศทางของเส้นทางวิญญาณ ก็พอจะมองเห็นทิศทางหลอมรวม ‘เขตลวงโลกเทียม’ ห้าสายเข้าด้วยกันแล้ว ตอนนั้น เขาก็สัมผัสได้ถึงกฎเกณฑ์ที่สูงกว่าในระดับชั้นวิญญาณ

เขาพอจะเข้าใจการหมุนเวียนกฎเกณฑ์อันสูงส่งขึ้นมารางๆ แล้ว

เขาช่วยเหลือสรรพชีวิต และสัมผัสได้ถึงทิศทางของวิถีเขตลวงโลกเทียมจากสรรพชีวิตเหล่านั้น

เขาช่วยเหลือสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนภายในดินแดนจิตโลกา ในคราวที่ตกระกำลำบาก จึงมีผู้แกร่งกล้าแสดงตนออกมา

………………………………….

ชายหนุ่มอาภรณ์สีเทาผู้หนึ่งยืนอยู่ข้างกายอาจารย์ พลางมองไปยังกระจกยลฟ้าที่ล่องลอยอยู่ตรงหน้า บนกระจกยลฟ้า คำว่า ‘อิงซานเสวี่ยอิง’ ที่ราชันย์อนธการอมตะคำรามออกมา ทำให้ชายหนุ่มอาภรณ์สีเทาผู้นี้สีหน้าเปลี่ยนแปรไป

“ผู้มีพระคุณของข้า ผู้มีพระคุณใหญ่หลวง…ที่แท้แล้วคือจ้าวหิมะเหินหรอกหรือ” ชายหนุ่มอาภรณ์สีเทาใจสะท้าน เขาทั้งกังวลใจแทนผู้มีพระคุณอิงซานเสวี่ยอิง ทั้งเดือดดาลกับความบ้าคลั่งตามอำเภอใจของราชันย์อนธการอมตะ

“ดินแดนจิตโลกากว้างใหญ่ไพศาล จะไม่มีผู้ใดสามารถขัดขวางมารร้ายตนหนึ่งได้เลยหรือไร หรือว่ามารร้ายทำเรื่องร้ายกาจก็เป็นเรื่องสมควรอยู่แล้วหรือ ผู้ที่ขัดขวางมารร้ายกลับต้องทนทุกข์ทรมานอย่างนั้นหรือ” ชายหนุ่มอาภรณ์สีเทากำหมัดทั้งสองข้างแน่น ดวงตาแดงก่ำ

นางผู้เป็นที่รักของเขา บุตรสาวของเขา

ญาติมิตรทั้งหมดไปจนถึงชนร่วมเผ่าของเขาล้วนแต่ได้รับการช่วยเหลือจาก ‘คนวิถีจิตฟ้า’ ทั้งสิ้น! เป็นเพียงหนึ่งในตัวเมืองที่ไม่สะดุดตาซึ่งคนวิถีจิตฟ้ากอบกู้เอาไว้ตลอดเวลาอันยาวนานหลายแสนล้านปีเท่านั้นเอง

เรื่องเช่นนี้ สำหรับ ‘คนวิถีจิตฟ้า’ แล้วเป็นเรื่องธรรมชาติราวกับหายใจอย่างไรอย่างนั้น สิ่งมีชีวิตที่เขาช่วยเอาไว้มีมากเกินไปแล้ว! ผ่านคืนวันยาวนานเช่นนี้ สิ่งมีชีวิตมากมายที่เขาช่วยเหลือเอาไว้ก็ได้บำเพ็ญจนเป็นผลสำเร็จแล้ว ผู้ที่สำเร็จเป็นขั้นอลวนก็มีหลายคน

“ศิษย์เอ๋ย” อาจารย์ของชายหนุ่มอาภรณ์สีเทาซึ่งอยู่ด้านข้างปรายตามองเขาแวบหนึ่งแล้วกล่าวว่า “ข้ารู้ว่าตัวเมืองที่ทั้งตระกูลของเจ้าอยู่นั้นถูกคนวิถีจิตฟ้าช่วยเอาไว้ ทว่าราชันย์อนธการอมตะแข็งแกร่งเกินไป พวกเรารัฐโบราณสหโลกาไม่เหมาะแก่การฉีกหน้าเขาเลย”

“เข้าใจแล้วขอรับ” ชายหนุ่มอาภรณ์สีเทาขบกรามกรอด

เขาเกลียด

ถ้าหาก ถ้าหากเขามีพลังมากพอ สามารถต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้มีพระคุณได้ เช่นนั้นจะดีเพียงไร!

บัดนี้ขั้นอลวนตัวเล็กๆ อย่างเขาคนหนึ่ง ไม่มีแม้แต่พลังที่จะเร่งเดินทางไปที่นั้นเสียด้วยซ้ำ! เกรงว่าเพียงสายตาหนึ่งของราชันย์อนธการอมตะก็สามารถสังหารเขาได้แล้ว

……

“ผู้มีพระคุณ”

“ตัวตนที่แท้จริงของผู้มีพระคุณคือจ้าวหิมะเหินหรือ”

พ่อลูกคู่หนึ่งอยู่ในจวน ตรงหน้ามีคลื่นน้ำโหมซัด บนคลื่นน้ำก็มีภาพจากที่ไกลออกไปปรากฏขึ้น

“ผู้มีพระคุณมีบุญคุณใหญ่หลวงต่อพวกเราพ่อลูก เนื่องจากเขาช่วยข้าและคนอื่นๆ เอาไว้ ข้าจึงมีโอกาสสำเร็จเป็นเทพจักรวาลได้ น่าเสียดายที่ช่วยเหลือผู้มีพระคุณไม่ได้!”

……

บรรดาผู้บำเพ็ญจำนวนมากที่ตงป๋อเสวี่ยอิงมีบุญคุณช่วยชีวิตเอาไว้ก็กังวลและร้อนใจหาใดเปรียบ ยังมีผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนที่พลังอ่อนแอ ไม่รู้เลยว่าตัวตนของผู้มีพระคุณ ‘คนวิถีจิตฟ้า’ ที่พวกเขาซาบซึ้งมาตลอดได้เปิดเผยออกมาแล้ว พวกเขายังคงใช้ชีวิตธรรมดาสามัญ เพียงแต่รู้สึกซาบซึ้งต่อผู้มีพระคุณผู้นั้นอยู่ที่ก้นบึ้งของหัวใจเท่านั้นเอง

“ตลอดคืนวันอันยาวนาน ดินแดนจิตโลกาเพิ่งจะมีคนวิถีจิตฟ้าเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ทำให้มารร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนสั่นสะเทือน ตอนนี้เสาหลักต้นนี้จะล้มลงแล้วอย่างนั้นหรือ เฮ้อ!” ใบหน้าของเทพจักรวาลที่นั่งขัดสมาธิอยู่คนหนึ่งยากจะปกปิดความโกรธเอาไว้ได้

“ข้าก็กลัว กลัวว่าจะมีวันนี้ นับตั้งแต่คนวิถีจิตฟ้าฮึกเหิมไปทั่วโลก กลัวว่าจะมีสักวันที่ตัวตนของเขาต้องเปิดเผยออกมา!”

“ก่อนหน้านี้ราชันย์อนธการอมตะก็เคยคุกคามจ้าวหิมะเหินมาก่อน แต่จ้าวหิมะเหินไม่สนใจว่าตัวตนจะเปิดเผย ยังคงช่วยเหลือสิ่งมีชีวิตทั้งสิบห้ารัฐต่อไป! เขากล้าทำเช่นนี้ จะมีหลักประกันหรือไม่”

“มีหลักประกัน หลักประกันอะไรกัน แม้แต่รัฐโบราณคิมหันตวายุและรัฐโบราณสหโลกาก็ยังไม่อยากจะพัวพันกับคนบ้าอย่างราชันย์อนธการอมตะผู้นี้ จ้าวหิมะเหินจะยังมีหลักประกันใดได้อีกเล่า ต่อให้เขาโชคดีรักษาชีวิตเอาไว้ได้ คนใกล้ชิดที่เขาใส่ใจและชาวเผ่าจำนวนนับไม่ถ้วนก็จะประสบกับหายนะ”

ผู้บำเพ็ญจำนวนมากพากันทอดถอนใจ

บำเพ็ญ ส่วนมากก็มีผู้ที่ใส่ใจอยู่

ไม่ว่าจะเป็นคนสนิท สหายร่วมเป็นร่วมตาย หรือว่าชาวเผ่า…ที่สนใจแค่ตนเองอย่างแท้จริง โดยไม่สนใจคนอื่นๆ ใต้ฟ้าดินนั้นมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย! อย่าง ‘จอมเทพศักดิ์สิทธิ์’ นั้นถือกำเนิดขึ้นมาในฝูงมารผลาญทำลาย อย่าง ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ นั้นบำเพ็ญเส้นทางสายมรณะ เดิมทีนิสัยก็สุดโต่งอยู่แล้ว ขอเพียงมีนิสัยปกติสักหน่อย ก็ไม่อยากอยู่คนเดียวเพียงลำพังกันทั้งนั้น

******

ผู้ที่เป็นห่วงและกังวลใจนั้นมีอยู่ แต่ผู้ที่จงเกลียดจงชัง อยากให้ ‘คนวิถีจิตฟ้า’ ผู้นี้ต้องจบเห่ก็มีเช่นกัน เช่นนั้นขุมอำนาจมารร้ายแต่ละฝ่ายก็จะโห่ร้องยินดี พวกเขาล้วนกำลังรอคอยสิ่งที่จะเกิดขึ้นทั้งหมดหลังจากนี้

“ฮ่าฮ่า ทำให้ราชันย์อนธการอมตะเดือดแค้นขึ้นมา เกรงว่าชนร่วมเผ่าของเขาก็คงต้องตายจนสิ้นซากกันหมด! ต่อให้เป็นตัวเขาเอง เกรงว่าเพิ่งจะปรากฏกายก็คงจะถูกราชันย์อนธการอมตะสังหารกระมัง! ร่างแยกทั้งหมดของเขาคงทำได้เพียงใช้ชีวิตอย่างอัตคัต ไม่กล้าโผล่หัวออกมา”

“ไม่แน่ว่า…ราชันย์อนธการอมตะอาจจะมีวิธีสังหารเขาก็เป็นได้! เพราะถึงอย่างไรราชันย์อนธการอมตะก็สามารถมองตัวตนของเขาออก ทั้งยังสามารถนำศพของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นร่างหนึ่งออกมาได้ ราชันย์อนธการอมตะอาจจะมีวิธีการบางอย่างที่เหนือกว่าที่ข้าจินตนาการเอาไว้ก็เป็นได้”

“ฮ่าฮ่า พูดมาตั้งนานแล้วว่า ไม่มีผู้ใดสามารถกดดันข้าและคนอื่นๆ ไปได้ตลอดหรอก! คนวิถีจิตฟ้าที่โง่เง่า เป็นเขาที่ไปยั่วยุราชันย์อนธการอมตะ เป็นเขาเองที่รนหาที่ตาย”

“ฮ่าฮ่าฮ่า ดูสิว่าเขาจะมีจุดจบอย่างไร”

มารร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนรอคอย

……

แต่ละฝ่ายต่างก็จับตามองด้วยความสนใจ ส่วนราชันย์อนธการอมตะก็บ้าคลั่งขึ้นมาอย่างแท้จริง หลังจากเขาโบกมือคราหนึ่งเพื่อเก็บซากศพของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นร่างนั้นลงไปแล้ว ก็เริ่มทำการโจมตีอย่างบ้าคลั่ง

ตู้ม

ร่างกายกะพริบวาบคราหนึ่งก็ทะลุผ่านระยะทางอันไกลโพ้นได้แล้ว เขามุ่งหน้าตรงไปสังหารร่างแยกร่างหนึ่งของตงป๋อเสวี่ยอิง

“ตายเสียเถอะ”

ฝ่ามือมหึมาของราชันย์อนธการอมตะราวกับมีโลกดำมืดอันไร้ที่สิ้นสุดแฝงเอาไว้ ภายใน ฝ่ามือหนึ่งตะปบออกไป หลบจนมิอาจหลบได้อีกแล้ว จึงตกเข้าไปในนั้นเสียแล้ว! อานุภาพของฝ่ามือนี้ยังน่ากลัวกว่าการลอบโจมตีอย่างสุดกำลังของบรรพชนราตรีนิรันดร์เสียอีก ถึงขั้นมีความรู้สึกเหมือนกับตกเข้าสู่มิติคละถิ่นอย่างไรอย่างนั้น ทั้งโลกมรณะอันดำมืดกำลังเชือดเฉือนเข่นฆ่าตนเอง

“ปัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่งร่างแยกนับร้อยร่างออกไปทำลายค่ายกล ร่างแยกเหล่านี้มีทั้งแข็งแกร่งและอ่อนแอ ถึงอย่างไรผู้ที่มีพลังระดับขั้นสุดยอดได้ก็มีน้อยยิ่งนัก

ร่างแยกร่างนี้มีพลังเพียงระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองเท่านั้น

จึงถูกทำลายไปในพริบตา!

“ตายเสียเถอะ ไปตายให้หมดเสียเถอะ”

ราชันย์อนธการอมตะยืนอยู่ตรงนั้น บนใบหน้าราวกับมีเกล็ดน้ำแข็งชั้นหนึ่งฉาบเอาไว้ มือทั้งสองก็ทะลุผ่านระยะทางอันยาวไกลไร้ที่สิ้นสุดมา แล้วตะปบลงบนร่างแยกร่างหนึ่งทันที

สวบๆๆๆ…

ฝ่ามือของเขาตะปบลงไป ร่างแยกแต่ละร่างก็สลายไป

และมีร่างแยกที่ค่อนข้างแข็งแกร่งร่างหนึ่งที่ต้านทานได้สองฝ่ามือจึงจะสลายไป

หลังจากราชันย์อนธการอมตะทำลายร่างแยกไปได้สามสิบกว่าร่างแล้ว ร่างแยกร่างอื่นๆ ทั้งหมดของตงป๋อเสวี่ยอิงก็หนีจากไปหมดแล้ว อันที่จริงหากจะหนีจริงๆ คาดว่าราชันย์อนธการอมตะก็คงจะสังหารร่างแยกทันเพียงแค่สองสามร่างเท่านั้น ที่เขาสามารถสังหารได้มากมายถึงเพียงนี้…ก็เพราะตงป๋อเสวี่ยอิงอยากจะอาศัยสิ่งนี้ ให้เห็นชัดๆ ไปเลยว่าที่แท้แล้วราชันย์อนธการอมตะแข็งแกร่งเพียงใด

“หนีรึ เจ้าหนีได้พ้นรึ” สีหน้าของราชันย์อนธการอมตะเหี้ยมเกรียม

ตู้ม

เงาร่างของราชันย์อนธการอมตะหายวับไปกับอากาศ

……

เมื่อปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง

ก็มาถึงกลางท้องฟ้าเหนือเมืองหิมะเหินอันใหญ่โต เมืองหิมะเหินกว้างใหญ่ไพศาล เป็นตัวเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองของรัฐเมฆทักษิณาในปัจจุบันนี้ ประชากรมีมากมายนับไม่ถ้วน,ประชากรในตัวเมืองเพียงแห่งเดียวก็มากกว่ารัฐชั้นสามทั่วไปแห่งหนึ่งแล้ว

“อิงซานเสวี่ยอิง!” เสียงคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยวของราชันย์อนธการอมตะสะท้อนก้องไปทั่วฟ้าดิน แล้วสะท้อนไปทั่วท้องฟ้าเหนือเมืองหิมะเหิน ทว่าค่ายกลของเมืองหิมะเหินหมุนเวียนไปตั้งนานแล้ว แสงรำไรปกคลุมไปทั่วทั้งตัวเมืองและตัดขาดการส่งถ่ายเสียงด้วย! เพราะถึงอย่างไรด้วยวิธีการของราชันย์อนธการอมตะ แค่เสียงของเขาก็เพียงพอให้ผู้อ่อนแอทั้งหลายตายตกไปได้แล้ว

“ผู้ใดก็ช่วยเจ้ามิได้ นอกจากนี้ทั้งเมืองหิมะเหินยังต้องถูกฝังไปเป็นเพื่อนเจ้าด้วย!” ราชันย์อนธการอมตะคำราม

แม้เขาจะแค้นเคืองหาใดเปรียบ แต่ถึงอย่างไรก็เคยปะทะกับสิ่งมีชีวิตคละถิ่นมาก่อน และพบอุปสรรคมามากพอ เขายังคงความมีเหตุมีผลเอาไว้! แม้ปากจะพูดจาร้ายกาจ แต่อันที่จริงแล้วเขากลับไม่กล้าเข่นฆ่ามากเกินไปนัก! เนื่องจากหากการเข่นฆ่ามากเกินไป ถ้าในภายหน้าจะบูชาอีก แล้วจะทำเช่นไรเล่า หากล้างสังหารสองครั้งเป็นจำนวนมากเกินไปจน ‘หยวน’ โมโหขึ้นมา ผลที่ตามมาก็จะน่ากลัวแล้ว!

หากหยวนจะสังหารเขา แค่พลิกฝ่ามือก็ทำลายได้แล้ว!

ดังนั้นต่อให้ราชันย์อนธการอมตะแก้แค้น ทำลายทั้งเมืองหิมะเหินก็นับว่าถึงขีดสุดแล้ว! เนื่องจากประชากรของเมืองหิมะเหินก็มากกว่ารัฐชั้นสามทั่วไปแล้ว

ก่อนหน้านี้เขาหวังว่าเมื่อการบูชาสิ้นสุดลงแล้วจะพา ‘ผู้ท่องอมตะ’ เข้าไปในหุบเขาเขี้ยวหัก โดยไม่จำเป็นต้องกลับมาอีกแล้ว ดังนั้นจึงหาญกล้าบูชารัฐเกือบสิบห้าแห่ง! แต่บัดนี้การบูชาล้มเหลว เขาก็ต้องวางแผนอยู่ในดินแดนจิตโลกาต่อไปอีกนาน…เช่นนั้นเมื่อสังหารขึ้นมา ก็ต้อง ‘เบามือ’ หน่อยแล้ว

“ราชันย์อนธการ ท่านจะลงมือกับจ้าวหิมะเหินก็แล้วไปเถิด ชาวเมืองหิมะเหินจำนวนนับไม่ถ้วนนั้นไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรด้วย ได้โปรดปล่อยไปเถิด” เงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้น ซึ่งก็คือจอมเคารพกระบี่ปีศาจผู้สะพายกระบี่เทพเอาไว้

“จอมเคารพกระบี่ปีศาจหรือ”

“จอมเคารพกระบี่ปีศาจแห่งรัฐโบราณคิมหันตวายุปรากฏกายแล้วหรือ”

“เขาจะขัดขวางราชันย์อนธการอมตะหรือ”

แต่ละฝ่ายมองดูฉากนี้แล้วต่างก็ตกใจเป็นอย่างมาก

“จอมกระบี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่เหนือท้องฟ้าของเมืองหิมะเหินแล้วตกตะลึงอยู่บ้าง เขาถ่ายเสียงพูดว่า “จอมกระบี่ ท่านก็ไม่จำเป็นต้องเข้ามากวนน้ำให้ขุ่นแล้วล่ะขอรับ ราชันย์อนธการอมตะเป็นแค่คนฟั่นเฟือนคนหนึ่งเท่านั้น”

จอมเคารพกระบี่ปีศาจกลับยังคงยืนอยู่กลางอากาศตรงข้ามราชันย์อนธการอมตะ

ราชันย์อนธการอมตะยิ้มเหี้ยมเกรียมพลางพูดว่า “เฮอะ จอมเคารพกระบี่ปีศาจรึ ทำไมกัน พวกเจ้ารัฐโบราณคิมหันตวายุจะเข้าร่วมกับเรื่องนี้ด้วยหรือ”

แม้เขาจะโกรธแค้น แต่กลับไม่รีบร้อนลงมือแต่อย่างใด

เนื่องจากจอมเคารพกระบี่ปีศาจมิใช่ขั้นสุดยอดทั่วๆ ไป ระยะเวลาในการบำเพ็ญของเขาสั้นนัก เป็นขั้นสุดยอดเพียงคนเดียวในรัฐโบราณคิมหันตวายุต่อจากสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูทั้งสาม จักรพรรดิเซี่ย บรรพชนฝานและจักรพรรดิชางจะต้องปกป้องจอมเคารพกระบี่ปีศาจผู้นี้อย่างเอาเป็นเอาตายแน่นอน!

“มิใช่รัฐโบราณคิมหันตวายุของข้าจะเข้าร่วม เพียงแต่ว่าตัวข้าจะมาเกลี้ยกล่อมท่านเท่านั้นเอง” จอมกระบี่เอ่ยปาก

“รีบไสหัวไปให้พ้นจากข้าเสีย ไม่มีเวลาพูดพล่ามกับเจ้าแล้ว!”

นัยน์ตาของราชันย์อนธการอมตะฉายแววหนาวเหน็บ มือขวาบดบังท้องฟ้าเอาไว้ ภายในฝ่ามือมีโลกดำมืดอันไร้ที่สิ้นสุดอยู่ เขาตะปบตรงเข้ามา

จอมกระบี่ก็พลันถอนกระบี่ขึ้นมาในทันใด ชั่วขณะที่ประกายกระบี่ด้านหลังเขาออกจากฝักนั้น บริเวณนับล้านล้านลี้รอบด้านก็กลายเป็นโลกแห่งประกายกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วน อานุภาพยังแข็งแกร่งกว่าจอมกระบี่เมื่ออยู่ในโลกกำเนิดอากาศอันสับสนอลหม่านเป็นอันมาก เพราะถึงอย่างไรจักรพรรดิเซี่ย จักรพรรดิชางและบรรพชนฝานก็ให้ความสำคัญกับจอมกระบี่เป็นอันมาก หากทุ่มสุดกำลังเพื่อช่วยเหลือเขา สมบัติล้ำค่าที่จอมกระบี่ได้มาก็ดีกว่าดอกบัวเพลิงห้วงอากาศมากนัก

เป็นสมบัติลับที่แข็งแกร่งที่สุดชิ้นหนึ่งของรัฐโบราณคิมหันตวายุทางสายวิถีทำลายล้างที่แปรรูปลักษณ์เป็นรูปกระบี่

ด้วยลูกไม้ของเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งของจอมกระบี่ เมื่อถือสมบัติลับชิ้นนี้เอาไว้ในมือ พลังที่สำแดงออกมาก็ย่อมแข็งแกร่งกว่าตอนที่อยู่ในบ้านเกิดของเขาเป็นธรรมดา กล่าวคือมีพลังเป็นแปดส่วนของบรรพชนราตรีนิรันดร์เลยทีเดียว

………………………….

ผู้แกร่งกล้าระดับยอดทั้งหลายของดินแดนจิตโลกาใช้วิธีการต่างๆ นานาเพื่อชมดูการประจันหน้ากันระหว่างราชันย์อนธการอมตะและคนวิถีจิตฟ้า

ยามนี้ สีหน้าของคนวิถีจิตฟ้าไม่น่ามองเอาเสียเลย! ราชันย์อนธการอมตะกลับยิ้มเย็นอย่างได้ใจ…

“เห็นทีราชันย์อนธการอมตะผู้นี้ตะพบตัวตนที่แท้จริงของคนวิถีจิตฟ้าเข้าจริงๆ เสียแล้ว”

“รีบเปิดเผยออกไปเร็วเข้า”

“รีบเปิดเผยเร็วเข้า”

“ดูท่าแล้วคงจะกำลังถ่ายเสียงพูดคุยกัน ราชันย์อนธการอมตะผู้นี้ไม่มีทางเปิดเผยออกมาอย่างแน่นอน!”

“ราชันย์อนธการอมตะผู้นี้จะเปิดเผยออกไปได้อย่างไร เพราะทันทีที่เขาเปิดเผยตัวตนของคนวิถีจิตฟ้า คนวิถีจิตฟ้าก็จะต้องบ้าคลั่งยิ่งขึ้นเป็นแน่ เขาจะต้องไม่เหลือที่ให้แม้แต่น้อย และทำลายค่ายกลมหึมาแห่งนั้นลงไป เมื่อไม่มีค่ายกลมหึมาแห่งนั้นคอยควบคุมแล้ว ภายใต้การกดดันของกฎเกณฑ์ภายในดินแดนจิตโลกาจะสามารถควบคุมวิญญาณของสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนของทั้งสิบห้ารัฐได้อย่างไรกัน”

“ข้ารอมานานเกินไปแล้ว อยากจะรู้ตัวตนของคนวิถีจิตฟ้านัก ราชันย์อนธการอมตะผู้นั้นกลับไม่เปิดเผยออกมาเสียนี่!”

แต่ละฝ่ายจับตามอง

ในจำนวนนั้นบรรดามารร้ายต่างพากันรอคอยด้วยความร้อนรนใจ

และมีบางคนที่เยียบเย็นและสันโดษ ที่อยากจะรู้ตัวตนของคนวิถีจิตฟ้าด้วยความอยากรู้อยากเห็นล้วนๆ

แน่นอนว่าก็มีผู้ที่เคารพ ‘คนวิถีจิตฟ้า’ อย่างบ้าคลั่งเป็นจำนวนมาก บางคนเป็นผู้แกร่งกล้าที่รุ่งโรจน์ขึ้นมาจากการที่คนวิถีจิตฟ้าช่วยเหลือสิ่งมีชีวิตเอาไว้ บางคนเคารพเทิดทูนเนื่องจากการกระทำของคนวิถีจิตฟ้าล้วนๆ ผู้แกร่งกล้ากลุ่มนี้กลับหวังว่าตัวตนของคนวิถีจิตฟ้าจะไม่เปิดเผยออกมา นี่คือเสาหลักที่กดดันมารร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนเอาไว้! จะล้มลงมิได้เด็ดขาด!

……

“ศิษย์หลานรึ” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูด “ท่านอาจารย์ ราชันย์อนธการอมตะผู้นี้คืออาจารย์ทวดหรือขอรับ”

แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยได้ยินเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประมุขรัฐเมฆทักษิณากับราชันย์อนธการอมตะมาก่อนเลย

“เขาพบตัวตนของเจ้าเข้าจริงๆ แล้วหรือ เฮ้อ เสวี่ยอิง ราชันย์อนธการอมตะผู้นี้กลายเป็นอาจารย์ของข้า ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากเจ้าคารวะข้าเป็นอาจารย์แล้ว! ตอนนั้น เพื่อให้ได้ ‘ดาบทวิภพ’ มา ก็ต้องตั้งสัตย์สาบาน คารวะ ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ เจ้าของดาบทวิภพนี้เป็นอาจารย์ และอุทิศตนเพื่อเขา” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาถ่ายเสียงพูด “เดิมทีข้าคิดว่าเขาสิ้นใจไปนานแล้ว ไหนเลยจะคิดว่าผ่านไปนานแสนนาน เขาจะกลับมาเสียนี่! เสวี่ยอิง ข้าขอให้เจ้าอดทนเอาไว้ เขาพบตัวตนของเจ้าแล้ว ก็อย่าได้ฝืนต้านทานต่อไปอีกเลย ราชันย์อนธการอมตะผู้นี้เป็นคนสติฟั่นเฟือนคนหนึ่ง ตอนแรกพูดว่าเขาเป็นตัวแทนของความตาย ก็เพราะเขาเคยชินกับการเข่นฆ่าเสียแล้ว หากเจ้าเป็นศัตรูกับเขาจริงๆ…เขาไม่มีทางปล่อยเจ้าไว้แน่!”

ตงป๋อเสวี่ยอิงกระจ่างแจ้งขึ้นมา

จะว่าไปแล้ว อาจารย์ประมุขรัฐเมฆทักษิณาก็น่าสงสาร ที่ถูกพันธนาการเอาไว้ด้วยสัตย์สาบาน

“รีบถอยไปโดยเร็วเถิด” ราชันย์อนธการอมตะมองตงป๋อเสวี่ยอิงพลางยิ้มน้อยๆ แล้วถ่ายเสียงพูดว่า “เจ้าเป็นศิษย์หลานของข้า อย่าได้กลั่นแกล้งรังแกอาจารย์ทวดเลย”

“เดิมทีข้าคารวะอาจารย์อย่างอิสระมากอยู่แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงตอบ “ราชันย์อนธการ ข้าขอให้ท่านวางมือเสียเถิด บัดนี้ท่านเก็บวัตถุจานค่ายกลของค่ายกลจำนวนนับไม่ถ้วนที่วางเอาไว้เสีย ท่านยังสามารถลดความเสียหายลงไปให้ต่ำที่สุดได้ มิเช่นนั้นแล้ว หากข้าลงมือเมื่อไหร่ ท่านก็จะเสียหายใหญ่หลวงแล้ว”

ราชันย์อนธการอมตะสีหน้าเข้มขึ้น “อิงซานเสวี่ยอิง เจ้าจะเป็นศัตรูกับข้ารึ”

“หากท่านไม่เข่นฆ่าสรรพชีวิต ข้าก็ย่อมไม่เป็นศัตรูกับท่านแน่ ราชันย์อนธการ…ท่านเข่นฆ่าอย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้ นานจนป่านนี้แล้ว ท่านก็ยังมิอาจสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นได้ หรือท่านจะไม่คิดดูให้ดีเสียหน่อยเล่า ว่าบางทีทางเส้นนี้ของท่านอาจผิดพลาดก็ได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูด “เมื่อเดินจนสุดทางแล้วมิอาจบรรลุได้หากหันกลับมาก็อาจจะมีฟ้าดินอีกแห่งหนึ่งอยู่ก็เป็นได้ ตอนนี้ล้มเลิกการเข่นฆ่า ล้มเลิกความคิดทั้งหลายที่แล้วมา หากโอบอ้อมอารีต่อสรรพชีวิต ท่านอาจจะรับรู้อีกอย่างหนึ่งขึ้นมาก็เป็นได้ การประสบผลสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นด้วยเหตุนี้ก็ใช่ว่าจะเป็นไปมิได้”

เมื่อทางหนึ่งเดินต่อไปไม่ได้

หักลับมาแล้วค่อยลองดูอีกทีหรือ

“นานแสนนานก่อนหน้านี้ข้าเคยลองแล้ว แต่ก็ไร้ประโยชน์ เรื่องของการบำเพ็ญ ข้าไม่ต้องให้เจ้ามาคอยชี้แนะหรอก!” สีหน้าของราชันย์อนธการอมตะเข้มขึ้น “ตอนนี้เจ้ารีบจากไปให้เร็วเสียเถอะ ข้ายังถือว่าเจ้าเป็นศิษย์หลานของข้า ต่อจากนี้ไปเจ้ามีอะไรให้ข้าช่วยเหลือ ข้าก็ยังสามารถช่วยเจ้าได้ หากเจ้าจะขัดขวางข้าจริงๆ ก็อย่าโทษว่าข้าไร้น้ำใจก็แล้วกัน ทั้งตระกูลอิงซานของเจ้าข้าจะล้างสังหารให้สิ้นซากไป และยังมีรัฐเมฆทักษิณาด้วย! รัฐเมฆทักษิณาก็ต้องชดใช้แทนเจ้าด้วยเช่นกัน!”

ปากของราชันย์อนธการอมตะก็พูดไปอย่างนั้นเอง

ทำลายตระกูลอิงซาน แน่นอนว่าเขาไม่ลังเลเลย

แต่จะทำลายรัฐเมฆทักษิณาหรือ

รัฐเมฆทักษิณารัฐหนึ่ง ก็ใกล้เคียงกับรัฐชั้นสามสิบห้าแห่งแล้ว นอกจากนี้หากทำเช่นนั้น ‘ประมุขรัฐเมฆทักษิณา’ ก็ต้องบ้าคลั่งขึ้นมาเป็นแน่ หากประมุขรัฐเมฆทักษิณาผู้มีร่างแยกจำนวนนับไม่ถ้วนคนหนึ่งบ้าคลั่งขึ้นมา แรงทำลายล้างก็คงไม่ต่ำกว่าตงป๋อเสวี่ยอิงสักเท่าใดนัก

……

ราชันย์อนธการอมตะกดดันและเกลี้ยกล่อมไปพลาง และถ่ายเสียงให้ประมุขรัฐเมฆทักษิณาไปพลาง “รีบเกลี้ยกล่อมศิษย์ของเจ้าคนนี้เสีย อย่าให้เขาโง่งมเช่นนี้ต่อไปเลย! หากทำลายการของข้า มิใช่แค่ตระกูลอิงซานของเขาเท่านั้น รัฐเมฆทักษิณาของเจ้าก็ต้องมีจุดจบไม่สวยแน่”

“อะไรนะขอรับ ท่านอาจารย์ ท่านหมายความว่าคนวิถีจิตฟ้าคืออิงซานเสวี่ยอิงอย่างนั้นหรือ”

“เจ้าไม่รู้หรอกหรือนี่”

“ความลับระดับนี้ ต้องเก็บเป็นความลับอย่างสิ้นเชิง ไม่เปิดเผยให้ใครล่วงรู้อีกเป็นคนที่สองอยู่แล้ว ข้าไม่ทราบเลยจริงๆ ขอรับ” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาถ่ายเสียงพูด

“เฮอะ” ราชันย์อนธการอมตะก็รู้สึกว่าเรื่องพรรค์นี้จะต้องเก็บเป็นความลับเต็มที่อยู่แล้ว “อิงซานเสวี่ยอิงศิษย์ของเจ้าก็คือคนวิถีจิตฟ้าคนนั้น บัดนี้เขาคลุ้มคลั่งอยากจะขัดขวางข้า เจ้ารีบเกลี้ยกล่อมเขาเสีย ให้เขาอย่ามาทำลายเรื่องของข้า”

“ขอรับ ข้าจะเกลี้ยกล่อมเขาเดี๋ยวนี้” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาตอบ

……

ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่กลางอากาศ สีหน้าเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก เขาจ้องมองราชันย์อนธการอมตะที่อยู่ฝั่งตรงข้ามแล้วถ่ายเสียงพูดว่า “ราชันย์อนธการ ท่านจะหาใครมาเกลี้ยกล่อมข้าก็ไร้ประโยชน์ ท่านควรจะรู้ว่าข้ากลับชาติมาจุติ…ตอนนั้นแม้แต่จะคารวะบรรพชนฝานเป็นอาจารย์ข้าก็ไม่สน ที่ข้ายอมคารวะประมุขรัฐเมฆทักษิณาเป็นอาจารย์เพราะอะไรน่ะหรือ ก็เพราะคารวะประมุขรัฐเมฆทักษิณาเป็นอาจารย์เป็นอิสระกว่า ไม่มีอะไรผูกมัด คัมภีร์และสมบัติล้ำค่าของรัฐเมฆทักษิณาข้าก็ล้วนไม่สนใจทั้งสิ้น ท่านคิดว่าเขาจะสามารถเกลี้ยกล่อมข้าได้อย่างนั้นหรือ”

ราชันย์อนธการอมตะสีหน้าไม่น่ามองยิ่งขึ้นไปอีก

บ้าไปแล้ว บ้าไปแล้ว!

อิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้กลับชาติมาจุติ ไม่สนใจประมุขรัฐเมฆทักษิณา ไม่แน่ว่าความรู้สึกผูกพันต่อตระกูลอิงซานก็มีจำกัด!

“ไม่มีประโยชน์หรอกขอรับ เมื่อครู่ข้าเกลี้ยกล่อมเขามาตลอด แต่แม้ข้าจะรับเขาเป็นศิษย์ กลับมิได้สอนอะไรเขาจริงๆ เลย ตอนนี้พลังของเขาแข็งแกร่งกว่าข้าเสียอีก ข้าผูกมัดอะไรเขามิได้ และเกลี้ยกล่อมเขามิได้ด้วย” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาถ่ายเสียงด้วยความร้อนรน “ทำอย่างไรดี ท่านอาจารย์ ตอนนี้ข้าควรทำอย่างไรดี”

“เจ้าคนไร้ค่า” ราชันย์อนธการอมตะถ่ายเสียงพูดด้วยความโกรธเคืองหาใดเปรียบ ตามปกติแล้วเขาก็ยังไว้หน้าประมุขรัฐเมฆทักษิณาอยู่บ้าง บัดนี้เขาคลุ้มคลั่งขึ้นมาแล้วจริงๆ

“ข้าอับจนหนทางจริงๆ ท่านอาจารย์!” ประมุขรัฐเมฆทักษิณากลับถ่ายเสียงพูดอย่างร้อนรน

เขาจงใจทำเพื่อขีดขอบเขตให้ชัดเจน

เพื่อป้องกันมิให้ตอนที่ราชันย์อนธการอมตะบ้าคลั่งขึ้นมา แล้วมาพาลลงมือกับรัฐเมฆทักษิณาไปด้วย ซึ่งนี่ก็เป็นสิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบตกลงกับประมุขรัฐเมฆทักษิณาไว้อย่างดิบดีแล้ว

……

“ราชันย์อนธการ อย่าถ่วงเวลาอีกเลย ท่านจะถอยหรือไม่” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงตะคอก

“ถอยรึ ถอยอย่างไรเล่า ข้าแผดเผาวิญญาณแค้นขั้นสุดยอด และวางค่ายกลเพื่อการบูชาในครั้งนี้ แล้วข้าจะถอยได้อย่างไรกัน” ราชันย์อนธการอมตะจ้องตงป๋อเสวี่ยอิงเขม็งแล้วถ่ายเสียงตะโกนว่า “หากข้าถอยไป ก็จะเสียวิญญาณแค้นขั้นสุดยอดไปเปล่าๆ การบูชาล้มเหลว มิอาจสร้างจิตวิญญาณขึ้นมาได้ พลังชีวิตของศพนี้ก็จะค่อยๆ สลายหายไป แล้วคืนสู่ความตายดังเดิม น้ำทิพย์กลืนโลกาและสมบัติล้ำค่ามากมายที่ข้าเสียไป ก็จะสิ้นเปลืองไปเปล่าๆ สิ่งที่ข้าทุ่มเทไปเพื่อการบูชาในครั้งนี้ก็เปล่าประโยชน์แล้ว เจ้าจะให้ข้าถอยได้อย่างไรกันเล่า”

เขาทุ่มเทมากเกินไปแล้ว

หากครั้งนี้ล้มเหลวก็มีเพียงศพสิ่งมีชีวิตคละถิ่นเท่านั้นที่ยังคงสมบูรณ์ดี สมบัติล้ำค่าอื่นๆ จำนวนนับไม่ถ้วนล้วนแต่เสียไปเปล่าๆ ทั้งสิ้น

คิดจะถวายสมบัติล้ำค่าเพื่อบูชาอีกครั้ง ก็ไม่รู้ว่าต้องรอไปถึงเมื่อใดแล้ว!

นอกจากนี้มีคนฟั่นเฟือนอย่างอิงซานเสวี่ยอิงอยู่ จะบูชาอีกครั้ง ก็คงต้องถูกทำลายเหมือนกันกระมัง!

“อิงซานเสวี่ยอิง เจ้าเดินไปตามทางของเจ้า ข้าเดินไปตามทางของข้า อย่าได้บีบบังคับข้าเลย” ผิวกายของราชันย์อนธการอมตะมีเปลวเพลิงสีทองลุกโชน

“ข้าไม่ได้คิดจะบีบบังคับท่าน เป็นท่านต่างหากที่บีบบังคับให้สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนไร้หนทางจะเดิน” ตงป๋อเสวี่ยอิงชี้ไปทางวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนที่ลอยค้างเติ่งอยู่รอบๆ วิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนเหล่านั้นก็จับจ้องมาที่นี่เช่นกัน แต่ละตนล้วนตั้งตารอคอย “ท่านจะเดินไปตามทางของท่าน แต่กลับทำให้วิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนต้องสูญสิ้นไป นี่เป็นเส้นทางของมารร้าย ควรต้องทำลายเสีย”

“ในเมื่อท่านไม่ยอมถอยไปเอง เช่นนั้นข้าก็ได้แต่ต้องลงมือแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปากตะคอกอย่างโกรธเคืองเป็นครั้งแรก

“เจ้ากล้ารึ!”

ราชันย์อนธการอมตะคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว

ร่างกายของเขาราวกับความมืดอันไร้ที่สิ้นสุด กลิ่นอายราวกับหอบม้วนฟ้าดินเอาไว้ ฝ่ามือทั้งคู่กลับมีเปลวเพลิงสีทองอันสะดุดตาแฝงเอาไว้ มันปกคลุมเข้ามาทันที

ยามนี้ รอบด้านราวกับตกเข้าสู่โลกแห่งความตายอันดำมืดก็มิปาน

ในโลกแห่งความตาย มีเปลวเพลิงสีทองอันน่าหวาดหวั่นอยู่…ทำให้ทุกสิ่งกลับคืนสู่ความตาย

“น่ากลัวนัก เป็นพละกำลังที่น่ากลัวนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงสัมผัสได้แล้วว่าราชันย์อนธการอมตะผู้นี้แข็งแกร่งกว่าบรรพชนราตรีนิรันดร์อยู่ขุมใหญ่อย่างเห็นได้ชัด

ครั้งนี้ผิวกายของตงป๋อเสวี่ยอิงมีน้ำวนปรากฏขึ้นมา แล้วพยายามแหวกหลุมดำทะมึนให้ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง นี่ก็คือหนึ่งในศาสตร์การป้องกันและหลบหนีในบรรดาท่าไม้ตายของยุทธวิธีหิมะเหินของตงป๋อเสวี่ยอิง…‘รุดหนีหมื่นโลกา’ นั่นเอง!

แต่ครั้งนี้กลับล้มเหลวเสียแล้ว!

ภายใต้เปลวเพลิงสีทองที่ปกคลุมอยู่ ภายใต้แรงกดดันของโลกอันดำมืด น้ำวนเหนือผิวกายของตงป๋อเสวี่ยอิงก็แหลกสลายไปจนสิ้น ร่างกายของเขามิอาจพุ่งทะยานออกไปได้ ประสบกับพละกำลังอันไร้ที่สิ้นสุดโจมตีเข้าสู่ร่างกาย แม้เขาจะดิ้นรนต้านทานเอาไว้ แต่ก็ต้านทานได้เพียงสองกระบวนท่าเท่านั้น ร่างกายของเขาก็แหลกสลายหายไปจนสิ้นในที่สุด

แต่กระนั้น…

ก็ไร้ประโยชน์!

เมื่อเผชิญหน้ากับราชันย์อนธการอมตะ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไม่กล้าเสี่ยงอันตราย แม้แต่ดอกบัวเพลิงห้วงอากาศเขาก็ยังมิได้พกมาด้วย! ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอาวุธเทพคละถิ่นอย่าง ‘หอกชิงเหอ’ เลย! เขาแค่เตรียมร่างแยกที่แข็งแกร่งร่างหนึ่งเอาไว้ก็เท่านั้นเอง เมื่อไม่มีสมบัติลับคอยช่วยเหลือ ร่างแยกก็มีพลังรบเพียงขั้นสุดยอดเท่านั้น ทางด้านการรักษาชีวิต การหลบหนีและด้านอื่นๆ เมื่อเทียบกับขั้นสุดยอดที่แท้จริงแล้วก็ยังห่างชั้นอยู่มากโข

ราชันย์อนธการอมตะจริงจังขึ้นมาก็สามารถสังหารร่างแยกร่างนี้ได้

“เอ๊ะ” สีหน้าของราชันย์อนธการอมตะเปลี่ยนแปรไป

สามารถทำลายขั้นสุดยอดคนหนึ่งได้ง่ายดายถึงเพียงนี้เชียวหรือ

นอกจากนี้ สมบัติลับอะไรก็ไม่เหลือทิ้งไว้เลยหรือ

“สวบ” “สวบ” “สวบ”…

ในยามนี้เอง

ภายในขอบเขตของทั้งสิบห้ารัฐ ต่างก็มีบุรุษชุดขาวคนแล้วคนเล่าปรากฏขึ้น ในพริบตาเดียวก็มีร่างแยกกว่าร้อยร่างกระจายตัวกันอยู่ตามบริเวณต่างๆ

“ไม่นะ” ราชันย์อนธการอมตะแตกตื่นเหลือแสน เขาถ่ายเสียงอย่างร้อนรนว่า “อิงซานเสวี่ยอิง ขอเพียงเจ้าไม่ทำลายการของข้า ทุกสิ่งก็สามารถพูดกันดีๆ ได้”

“ขอเพียงท่านไม่บูชา ทุกสิ่งข้าก็สามารถพูดด้วยดีๆ ได้”ร่างแยกนับร้อยร่างต่างก็เอ่ยปากขึ้น

“เป็นเจ้าที่ไม่ให้ทางข้าเดินเลย!” ราชันย์อนธการอมตะบ้าคลั่งไปแล้ว

ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!…

ร่างแยกกว่าร้อยร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงมีทั้งที่แข็งแกร่งและอ่อนแอ ที่แข็งแกร่งก็มีพลังขั้นสุดยอดอย่างสมบูรณ์ เมื่อปะทุออกมา อากาศก็ปริแตกออก ค่ายกลมหึมาที่วางเอาไว้ก็ถูกซัดกระจายไป แทบจะในพริบตาเดียว จุดหลักของค่ายกลในบริเวณกว่าสิบแห่งก็ถูกทำลายไป ค่ายกลสีดำขนาดมหึมาซึ่งเดิมทีปกคลุมเหนือท้องฟ้าทั้งสิบห้ารัฐกลับกำลังสั่นสะท้าน เมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงทำลายใจกลางอย่างต่อเนื่อง ค่ายกลสีดำขนาดมหึมานั้นก็สลายหายไปในที่สุด

กลางท้องฟ้าเหนือรัฐทั้งสิบห้า ในที่สุดก็กลับคืนสู่สภาพปกติ

ท้องฟ้าสว่างรำไร งดงามและเงียบสงบดังที่เคยเป็นมา

ส่วนวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนที่ล่องลอยอยู่เหนือทั้งสิบห้ารัฐกลับดิ้นหลุดจากแรงพันธนาการนั้นจนสิ้น และกลับคืนสู่อิสรภาพกันถ้วนหน้า

“ถอยไป ถอยไป” วิญญาณแต่ละดวงรีบลอยไปทางกายหยาบของตนตามการสัมผัสรับรู้ในทันที

“ไม่ ไม่…”

ขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงลงมือทำลายนั้น ราชันย์อนธการอมตะก็พยายามขัดขวางอย่างสุดกำลัง

แต่ก็ไม่ทันการเสียแล้ว ร่างแยกของตงป๋อเสวี่ยอิงมีมากมายเกินไป!

“อิงซานเสวี่ยอิง!!!” ราชันย์อนธการอมตะแหงนหน้าคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว

เสียงคำรามนี้

สะท้อนก้องไปนับล้านล้านลี้ ทำเอาสะท้านสะเทือนไปทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา

ในยามนี้เอง บรรดาผู้แกร่งกล้าระดับยอดของดินแดนจิตโลกาจึงได้ล่วงรู้อย่างแท้จริงว่า คนวิถีจิตฟ้า…ก็คือจ้าวหิมะเหินแห่งรัฐเมฆทักษิณา ‘อิงซานเสวี่ยอิง’ นั่นเอง!

………………………………

“เสวี่ยอิงเขา…” ประมุขรัฐเมฆทักษิณามองเห็นฉากนี้อยู่ลิบๆ ผ่านการส่งถ่ายทลายโลกา สีหน้าเปลี่ยนแปลงไปอย่างมิอาจควบคุมได้ เขาส่ายหน้าเล็กน้อย

เขาไม่อยากเห็นฉากนี้เลยจริงๆ!

แม้จะรำคาญใจอยู่ลึกๆ ถึงขั้นหวังว่าราชันย์อนธการอมตะจะตายตกไป แต่ถึงอย่างไรเขาก็เคยลั่นสัตย์สาบานเอาไว้ จึงกลายเป็นศิษย์ของราชันย์อนธการอมตะ

อีกฝั่งหนึ่ง ก็คือศิษย์ที่เขามีความสัมพันธ์อันดียิ่งอย่างแท้จริง เขาไม่อยากให้ตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นปฏิปักษ์กับราชันย์อนธการอมตะผู้น่าหวาดหวั่นนี่เลยจริงๆ!

“เสวี่ยอิงเก็บงำกลิ่นอาย กระบวนท่าการต่อสู้ที่เขาเชี่ยวชาญก็ไม่เคยสำแดงโดยใช้สถานะ ‘จ้าวหิมะเหิน’ มาก่อน ความคงไม่แตกหรอกกระมัง” จอมกระบี่ที่ใส่ใจเป็นอย่างยิ่งเช่นกันก็มองดูอยู่ห่างๆ “กลัวก็แต่ว่าราชันย์อนธการอมตะผู้นี้…จะมีวิธีการใดที่ยังไม่รู้อีกบ้าง”

สิ่งที่ไม่รู้ จึงจะน่ากลัวที่สุด

ราชันย์อนธการอมตะโยนศพของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นร่างหนึ่งออกมา ทำให้บรรดาผู้แกร่งกล้าระดับยอดสุดของทั้งดินแดนจิตโลกาหวาดหวั่นพรั่นพรึงไปหมด

“ไม่ว่าอย่างไร ครั้งนี้คนวิถีจิตฟ้ากล้าปรากฏกาย ข้าก็นับถือเขา เยี่ยมยอดนัก” เมื่อพวกจักรพรรดิเซี่ยถอยไป ผู้แกร่งกล้าทั้งหลายสัมผัสได้ถึงความอดสูใจแต่ก็ไร้กำลัง บัดนี้ ‘คนวิถีจิตฟ้า’ ปรากฏกาย แม้พวกเขาจะไม่มั่นใจในคนวิถีจิตฟ้าสักเท่าใดนัก แต่ในเมื่อกล้าปรากฏกาย พวกเขาก็นับถือในความกล้าหาญของคนวิถีจิตฟ้าแล้ว

……

ไม่ต้องสนใจว่าโลกภายนอกจะคิดอย่างไร

ตงป๋อเสวี่ยอิงยอมออกมา ก็เพื่อสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนเหล่านั้น

ตู้ม เพียงชั่วความคิดเดียวก็ควบคุมอากาศให้ควบคุมวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนเอาไว้ เขาใช้การกระทำแสดงจุดยืนของตนเอง จากนั้นจึงเอ่ยปากพูดว่า “ราชันย์อนธการ…”

เพิ่งจะปริปากไป!

“บังอาจนัก เจ้าคู่ควรมาสอดมือยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของข้าด้วยหรือ” เสียงของราชันย์อนธการอมตะสะท้อนก้องไปทั่วฟ้าดิน มือหนึ่งกลับปกคลุมเข้ามา ฝ่ามือนั้นประหนึ่งความดำมืดอันไร้ที่สิ้นสุด เพียงมือเดียวก็ยังใหญ่โตกว่าทั้งจักรวาลมากนัก ความดำมืดอันไร้ที่สิ้นสุดปกคลุมมาทางตงป๋อเสวี่ยอิง แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับถอยไปทันที

ฟิ้ว

ขณะเดียวกับที่ถอยไปนั้น รอบด้านกลับมีน้ำวนอากาศอันบิดเบี้ยวปรากฏขึ้น ที่ปลายสุดของน้ำวนเป็นทางเชื่อมอันดำมืด

“สวบ”

อานุภาพของฝ่ามือหนึ่งของราชันย์อนธการอมตะแข็งแกร่งอย่างยิ่ง น้ำวนอากาศกำลังสลายไป ร่างกายของตงป๋อเสวี่ยอิงประสบกับการรุกรานอันดำมืดนั้นก็ฝืนทะลุผ่านทางเชื่อมอันดำมืดไป แล้วหลบไปไกลกว่าสิบล้านลี้

เมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏกายห่างออกไปสิบล้านลี้ บนร่างก็เต็มไปด้วยโลหิตสดๆ ร่างกายกำลังฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว

“กายหยาบของเขานี่เทียบได้กับขั้นสุดยอดด้านฝึกกายคนหนึ่งเลยทีเดียว ร้ายกาจๆ ถึงด้านพลังชีวิตจะอ่อนแอกว่าขุมใหญ่ แต่วิธีการป้องกันก็เหมือนจะร้ายกาจยิ่งกว่า” ราชันย์อนธการอมตะเอ่ยปากขึ้น “สามารถรับกระบวนท่าหนึ่งของข้าได้โดยไม่ตาย ก็มีคุณสมบัติพอจะเอ่ยวาจาได้ มีอะไรอยากพูดก็พูดมาให้เต็มที่เถิด”

ราชันย์อนธการอมตะจ้องมองคนวิถีจิตฟ้าตรงหน้าเขม็ง

นี่เป็นเพียงร่างแยกร่างหนึ่งเท่านั้น ก็ยังมิอาจฆ่าให้ตายได้! แม้จะกล่าวว่าเขามิได้ทุ่มสุดกำลัง แต่คนวิถีจิตฟ้าก็มีร่างแยกตั้งหลายร่าง!

“ราชันย์อนธการ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย “ท่านเข่นฆ่าสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนเช่นนี้ ไม่กลัวหยวนจะลงโทษเอาหรอกหรือ ท่านบอกว่าท่านเข้าใจนิสัยของหยวนดี แต่เวลาล่วงเลยไป…ความคิดของหยวนเกี่ยวกับเรื่องจะจัดการโลกกำเนิดอย่างไรอาจจะเปลี่ยนแปลงไปบ้างก็ได้ เท่าที่ข้ารู้ ‘เจ้าเมืองหลัว’ คงจะเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่แข็งแกร่งมากท่านหนึ่ง เขาเวทนาผู้ที่อ่อนแอมากยิ่งกว่า ภายใต้ผลกระทบจากเจ้าเมืองหลัว เกรงว่าความคิดของหยวนคงจะเปลี่ยนแปลงไปบ้างเล็กน้อย”

ราชันย์อนธการอมตะสีหน้าเปลี่ยนแปรไปเล็กน้อย

เป็นไปได้จริงๆ เสียด้วย!

เขารู้อะไรมากกว่า เจ้าเมืองหลัว สิ่งมีชีวิตที่ ‘ใช้พลังทำลายกฎ’ จนสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นผู้นั้น ค่อนข้างปกป้องผู้ที่อ่อนแออย่างแท้จริง เขาเมตตามากกว่า ‘หยวน’ อยู่บ้าง

“ท่านเข่นฆ่าเช่นนี้ เมื่อหยวนลงโทษ ท่านจะสามารถทนรับได้หรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม

“เฮอะๆ หยวนมีสถานะเช่นใดกัน ความคิดของเขาจะเปลี่ยนแปลงไปง่ายๆ ได้อย่างไร” ราชันย์อนธการอมตะพูดเสียงเย็นชา เขาไร้ทางเลือก! หากไม่หลอมแปรผู้ท่องมรณะออกมา เขาก็ไม่มีความมั่นใจว่าจะเข้าไปในส่วนลึกของหุบเขาเขี้ยวหักได้เลย

“นอกจากหยวนอาจจะลงโทษแล้ว ข้า คนวิถีจิตฟ้าก็จะพยายามขัดขวางการเข่นฆ่าสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนของท่านด้วย” นัยน์ตาของตงป๋อเสวี่ยอิงมีแววหนาวเหน็บกะพริบวาบขึ้นมา

“เจ้ากล้ารึ!” ราชันย์อนธการอมตะโมโหใหญ่

“แน่นอนว่าข้าต้องกล้าอยู่แล้ว! ราชันย์อนธการมีพลังแข็งแกร่ง ข้าทำอะไรท่านมิได้หรอก แต่ว่าค่ายกลของเจ้าในครั้งนี้ปกคลุมไปถึงสิบเก้ารัฐ! ค่ายกลอันใหญ่โตเช่นนี้ ราชันย์อนธการคงต้องทุ่มเทความคิดจิตใจไปมากมายจึงจะหลอมแปรขึ้นมาได้สำเร็จกระมัง ข้าเลือกที่แห่งหนึ่งตามอำเภอใจ แล้วทำลายจุดสำคัญของค่ายกลสักแห่งก็ใช้ได้แล้ว ด้วยผลสำเร็จทางด้านอากาศของข้า ร่างแยกของข้ามีมากมาย…หากใช้ศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกากระจายตัวกันไปทั่วทุกหนทุกแห่งแล้วทำลายตามอำเภอใจ ท่านจะสามารถขัดขวางได้สักกี่แห่งกัน”

ราชันย์อนธการอมตะฟังแล้วสีหน้าก็ไม่น่ามองสักเท่าใดนัก

หากร่างแยกนับร้อยร่างแยกกันลอบโจมตีทั่วทุกหนแห่ง ราชันย์อนธการอมตะนั้นไม่เข้าใจศาสตร์ร่างแยก! เขาทำได้เพียงขัดขวางแค่แห่งหรือสองแห่งเท่านั้น

ด้วยพลังของคนวิถีจิตฟ้าผู้นี้ การทำลายค่ายกลก็เป็นเรื่องง่ายมาก

“หากเจ้ากล้าทำเช่นนี้”

ราชันย์อนธการอมตะพูดเสียงต่ำว่า “ข้าก็จะเข่นฆ่าสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนเช่นเดียวกัน เจ้าขัดขวางข้ามิได้หรอก”

ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับส่ายหน้า “ถึงข้าไม่ขัดขวางท่าน ท่านก็เข่นฆ่าสิ่งมีชีวิตทั้งสิบห้ารัฐอยู่ดี ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดข้าจึงยังต้องถอยอีกเล่า”

ขอเพียงขัดขวางและทำลายล้าง

ต่อให้ราชันย์อนธการอมตะระบายโทสะออกมา เชื่อว่าการเข่นฆ่าสิ่งมีชีวิตก็คงไม่เกินกว่าจำนวนสิ่งมีชีวิตทั้งสิบห้ารัฐ เพราะหากมากกว่านี้ ‘หยวน’ ก็อาจจะมาลงโทษแล้ว

ราชันย์อนธการอมตะถึงขั้นไม่กล้าระบายโทสะเช่นนี้ เนื่องจากเมื่อเขาระบายโทสะออกไปตามอำเภอใจครั้งหนึ่ง ในภายหน้าหากคิดจะ ‘บูชา’ เนื่องจากเข่นฆ่าสิ่งมีชีวิตเพื่อระบายโทสะมากเกินไป เขาก็มิอาจบูชาขนานใหญ่อย่างแท้จริงได้

“เจ้า…เจ้า…”

นัยน์ตาทั้งสองของราชันย์อนธการอมตะมีแววอาฆาตเดือดพล่าน

จักรพรรดิเซี่ยและคนอื่นๆ ต่างก็ถอยกันไปหมดแล้ว แต่คนวิถีจิตฟ้าผู้นี้ยังคงไม่ล่าถอย

ถึงตนจะเอาสรรพชีวิตมาขู่ คนวิถีจิตฟ้าก็ยังไม่สนใจอยู่ดี

“จักรพรรดิเซี่ย เจ้าเมืองอนันต์ พวกท่านรัฐโบราณคิมหันตวายุและรัฐโบราณสหโลกาจะไม่ขัดขวางเขากันสักคนเลยหรือ จะปล่อยให้เขาทำลายการใหญ่ของข้าหรือ” ราชันย์อนธการอมตะถ่ายเสียงพูด

“รัฐโบราณสหโลกาของข้าไม่มียอดฝีมือพรรค์นี้”

“รัฐโบราณคิมหันตวายุของข้าก็ไม่มียอดฝีมือระดับนี้เช่นกัน”

แต่ละคนพากันถ่ายเสียงตอบ

เห็นได้ชัดว่ารัฐโบราณต่างๆ เช่นรัฐโบราณคิมหันตวายุและรัฐโบราณสหโลกาล้วนดูอยู่ข้างๆ โดยไม่สอดมือยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ แม้แต่บรรพชนราตรีนิรันดร์และบรรพชนนิจรัตติกาลแห่ง ‘รัฐโบราณบรรพชน’ ก็พากันชมดูเรื่องสนุกอยู่ข้างๆ พวกเขาไม่ชอบคนวิถีจิตฟ้า และไม่ชอบ ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ ผู้นี้เช่นกัน! ทั้งสองคนนี้ คนหนึ่งตัวตนเป็นปริศนา ไร้เรื่องที่ต้องห่วงพะวง เป็นยอดฝีมือขั้นสุดยอด ส่วนอีกคนก็ไร้เรื่องห่วงพะวงเช่นกัน แต่กลับเป็นผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งของดินแดนจิตโลกาในตอนนี้

ราชันย์อนธการอมตะลอบหงุดหงิดใจ

เขาก็มิอาจใช้อานุภาพกดดันอีกฝ่ายได้

มิเช่นนั้นแล้วสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูทั้งหลายร่วมมือกัน ราชันย์อนธการอมตะก็ยุ่งยากใหญ่แล้ว

“ดีมาก”

“คนวิถีจิตฟ้า เจ้านี่ช่างบังอาจดีจริงๆ ยอมออกมาเพื่อมดปลวกจำนวนนับไม่ถ้วนเหล่านี้ เพียงคนเดียวก็สามารถบีบมารร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาได้แล้ว” ราชันย์อนธการอมตะยิ้มหยัน “มิใช่เพราะว่าไม่มีผู้ใดล่วงรู้ตัวตนที่แท้จริงของเจ้าหรือไร น่าเสียดายที่ข้ารู้ตัวตนที่แท้จริงของเจ้าเข้าเสียแล้ว!”

ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าเปลี่ยนแปรไปเสียแล้ว

รู้จักตัวตนของตนอย่างนั้นหรือ

ราชันย์อนธการอมตะน่ะหรือ จริงหรือหลอกกันแน่

“อะไรนะ”

“เขารู้จักตัวตนของคนวิถีจิตฟ้าอย่างนั้นหรือ”

“เป็นไปได้อย่างไรกัน”

“ที่แท้แล้วคนวิถีจิตฟ้าคือใครกัน ที่แท้แล้วคือใครกัน รีบพูดมาเร็วเข้า พูดออกมา” บรรดาผู้แกร่งกล้าระดับยอดทั้งหลายทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาที่จับตามองที่นี่อยู่พากันกังวลใจเป็นอันมาก บ้างก็ตกตะลึง บ้างก็โห่ร้องด้วยความตื่นเต้น บรรดามารร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนนั้น รอคอยวันนี้มาตั้งนานแล้ว! รอคอยวันที่จะตรวจสอบจนพบตัวตนที่แท้จริงของคนวิถีจิตฟ้า!

เพียงแต่พวกเขาก็ทำไม่ได้ ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ ในตำนานผู้นี้ถึงกับเอ่ยวาจานี้ออกมา กล้าพูดเช่นนี้ จะต้องมั่นใจอย่างแน่นอน

ราชันย์อนธการอมตะมองดูตงป๋อเสวี่ยอิง มุมปากมีรอยยิ้มผุดขึ้นมา “ทำไม ไม่เชื่อรึ”

วิ้ง

ราชันย์อนธการอมตะขบกรามกรอด

หัวใจของเขาเป็นสีทองอย่างน่าประหลาด ราวกับโลหะอย่างไรอย่างนั้น ยามนี้โลหิตสีทองหยดหนึ่งกำลังแผดเผา นัยน์ตาทั้งคู่ของราชันย์อนธการอมตะฉายแสงสีทองออกมา นัยน์ตาสีทองทั้งคู่ราวกับมองทะลุอดีตและอนาคต ประหนึ่งมองทะลุปรุโปร่งทุกสิ่ง และมองเห็นคนวิถีจิตฟ้าตรงหน้าผู้นั้น คนวิถีจิตฟ้าเก็บงำกลิ่นอายวิญญาณจนหมด ยามนี้กลับถูก ‘ดวงตาสีทองอันแปลกประหลาด’ คู่นี้มองเห็นได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง การปลอมแปลงนั้นไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง!

ราชันย์อนธการอมตะตอกตะลึงไปบ้าง จากนั้นก็มองตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มๆ แล้วถ่ายเสียงพูดว่า “รัฐเมฆทักษิณา อิงซานเสวี่ยอิงใช่ไหม ที่ข้าพูดถูกต้องหรือไม่”

เขาถ่ายเสียงพูด เห็นได้ชัดว่าไม่อยากฉีกหน้า

สีหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงเปลี่ยนแปรไป

ถูกพบเข้าแล้ว

ถูกพบเข้าแล้วจริงๆ

“จะว่าไปแล้ว เจ้าก็มีศักดิ์เป็นศิษย์หลานของข้าอีกต่างหาก” ราชันย์อนธการอมตะถ่ายเสียงพูด “ศิษย์หลานคนดี รีบจากไปโดยเร็วเถิด อย่าทำให้งานใหญ่ของข้าเสียหายเลย แล้วครั้งนี้ข้าก็จะละเว้นเจ้า มิเช่นนั้นแล้ว อย่าได้โทษว่าข้าแล้งน้ำใจก็แล้วกัน”

………………………………

ความเคลื่อนไหวของราชันย์อนธการอมตะในครั้งนี้ใหญ่โตเกินไปแล้วจริงๆ ส่งผลกระทบต่อรัฐประเทศถึงสิบห้าแห่ง

ถึงแม้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงและเหล่าเทพจักรวาลคนอื่นๆ จำนวนหนึ่งจะมิได้มีการรับสัมผัสอันเฉียบแหลมเทียบเคียงได้กับเหล่าขั้นอลวน แต่เมื่อค่ายกลขนาดใหญ่มหึมานั้นโคจรต่างก็รับสัมผัสได้แล้ว

แม้กระทั่งเหล่าขั้นอลวนที่อยู่ใกล้ๆ กับรัฐประเทศสิบห้าแห่งนั้นต่างก็สามารถรับสัมผัสกันได้แล้วทั้งสิ้น

“นี่มันอะไรกัน” เดิมทีตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งอยู่ใต้ศาลาแต่ก็ผุดลุกขึ้นยืนในทันใดแล้วมองไปยังห้วงอากาศไกลออกไป

อาศัยการสอดแนมส่งถ่ายทลายโลกา

เขาก็มองเห็นมหาภัยพิบัติที่กำลังเกิดขึ้นที่ชายขอบของดินแดนจิตโลกา เขามองไปยังปราการเมืองแห่งหนึ่งแล้วก็มองเห็นวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วน มองไปยังปราการเมืองอีกแห่งหนึ่ง ก็เห็นวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังดิ้นรน วิญญาณมากมายเหลือคณา…กำลังเหินลอยปกคลุมแผ่นฟ้าบดบังดวงตะวัน

“จอมกระบี่ ท่านรู้หรือไม่ว่าที่แท้แล้วเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่งสารไปถามไถ่จอมกระบี่ แล้วก็ถามไถ่ท่านอาจารย์ประมุขรัฐเมฆทักษิณาด้วยเช่นกัน

ถึงอย่างไรการสอดแนมส่งถ่ายทลายโลกาของเขาก็ได้แต่สอดแนมไปทั่วทุกหนแห่งเท่านั้น

“หืม”

สอดแนมพบแล้ว

ตามกลิ่นอายอันน่าหวาดหวั่นนั้นไปจนสอดแนมพบต้นตอแล้ว

นั่นก็คือซากสัตว์ประหลาดสี่กีบเท้าขนาดมหึมาร่างหนึ่ง ซากศพถูกโซ่ตรวนเสาสำริดสิบหกต้นพันธนาการเอาไว้ ด้านบนมีกระแสน้ำวนสีดำสีดำขนาดมหึมาสามแอ่ง ภายในกระแสน้ำวนมีวิญญาณกำลังร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา บริเวณรอบๆ ยังมีวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนถูกตรึงเอาไว้กลางอากาศอีกด้วย

จักรพรรดิเซี่ย เจ้าเมืองอนันต์ และประมุขรัฐเสียดฟ้ากำลังเผชิญหน้าอยู่กับชายหนุ่มอาภรณ์ทองหรูหรา ศีรษะสวมมงกุฎอีกคนหนึ่ง

“เป็นราชันย์อนธการอมตะ” ทางด้านจอมกระบี่ส่งสารมา “ดูเหมือนว่าราชันย์อนธการอมตะจะกำลังสำแดงเคล็ดการบูชาอะไรสักอย่างอยู่ ซากศพนั้นคือซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่น เขาอาศัยวิญญาณทั้งหมดของรัฐประเทศสิบห้าแห่งรอบๆ รวมทั้งวิญญาณเทพจักรวาลของประมุขรัฐประเทศเหล่านั้นมาทำการบูชา! การบูชาเพิ่งเริ่มต้น พวกจักรพรรดิเซี่ยก็เข้าไปทำการขัดขวางแล้ว”

“บ้าคลั่งเกินไปแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงหน้าถอดสี

บูชามากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ

เปรียบเทียบกับวิธีการของราชันย์อนธการอมตะแล้ว การบูชาโลหิตเมืองสักแห่งหนึ่งก็ไม่ควรค่าแก่การพูดถึงเลย รัฐประเทศแห่งหนึ่งมีเมืองมากมายเพียงใด รัฐประเทศเกือบสิบห้าแห่งเลยทีเดียวนะ! น่าจะเป็นประชากรราวๆ หนึ่งหรือสองส่วนในร้อยส่วนของดินแดนจิตโลกาเลยทีเดียว! ดินแดนจิตโลกาเจริญรุ่งเรืองกว่าโลกกำเนิดบ้านเกิดของตนเป็นอันมาก ด้านหนึ่งก็เพราะบ้านเกิดเคยผ่าน ‘การแหลกสลายของโลกทิพย์โบราณดั้งเดิม’ จนแหล่งต้นกำเนิดสูญสิ้นไปอย่างมหาศาล ส่งผลให้จำนวนประชากรน้อยกว่ายุคโลกทิพย์โบราณดั้งเดิม สอง ดินแดนจิตโลกาเป็นสิ่งที่หยวนตั้งใจสรรสร้างและปกป้องดูแล จำนวนผู้บำเพ็ญก็ต้องเหนือกว่าโลกกำเนิดธรรมดาทั่วไปเป็นอันมากอยู่แล้ว

เพียงแค่หนึ่งหรือสองส่วนในร้อยส่วนของดินแดนจิตโลกาก็มากพอที่จะเทียบเคียงได้กับผู้คนราวๆ ส่วนหนึ่งของบ้านเกิดได้แล้ว

ตนเองจัดการกับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ที่บ้านเกิด ช่วยเหลือสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วน ทั้งยังช่วยเหลือได้เป็นอันมาก เขามิอาจลืมเลือนแรงปะทะที่เกิดขึ้นจากเสียงแซ่ซ้องตามสัญชาตญาณของวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนพรรค์นั้นได้เลย

“บูชาสิ่งมีชีวิตมากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเดือดดาลอย่างยากที่จะเชื่อได้

ต่างก็ว่ากันว่าราชันย์อนธการอมตะเป็นตัวแทนของ ‘ความตาย’

เพียงแต่เมื่อได้เห็นกับตาตนเองเขาก็ยังพรั่นพรึงอยู่ดี!

“เขากล้าทำเช่นนี้ได้อย่างไรกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงโมโหเป็นอย่างยิ่ง

……

ภายใต้การติดตามของตงป๋อเสวี่ยอิงและจักรวาลต่างๆ มากมาย เรื่องนี้ก็มีผลกระทบยิ่งใหญ่เหลือเกิน เหล่าผู้แกร่งกล้าส่งข่าวสื่อสารกัน แม้กระทั่งขั้นอลวนต่างก็ล่วงรู้กันทั้งสิ้น เพียงชั่วพริบตาผู้แกร่งกล้าจำนวนนับไม่ถ้วนทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาต่างก็ให้ความสนใจกับภูเขาร้างไร้นามแห่งนั้นกันหมด! ให้ความสนใจว่าพวกจักรพรรดิเซี่ยจะสามารถขัดขวาง ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ ได้หรือไม่

“จักรพรรดิเซี่ย ได้ยินว่าเจ้าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาบุคคลผู้ไร้เทียมทานของดินแดนจิตโลกาในยุคปัจจุบันนี้อย่างนั้นหรือ” ราชันย์อนธการอมตะผู้หล่อเหลางดงามอมยิ้มน้อยๆ “สามารถบำเพ็ญวิถีสองสายไปจนถึงขั้นสุดยอดได้ ก็นับว่าเจ้าไม่เลวเลยจริงๆ แต่ก็ยังไร้เดียงสาไปสักหน่อยอยู่ดี”

จักรพรรดิเซี่ยสีหน้าเข้มขึ้นเล็กน้อยแต่ก็ตะเบ็งเสียงเอ่ยว่า “ราชันย์อนธการ ท่านถึงกับสำแดงเคล็ดวิชาลับดูดกลืนวิญญาณมากมายมหาศาลถึงเพียงนนี้ ส่งผลกระทบต่อรัฐประเทศสิบห้าแห่ง ทั่วทั้งดินแดนจิตโลกามีรัฐประเทศอยู่ทั้งหมดเพียงแค่เท่าไหร่เอง ท่านทำเกินไปแล้วนะ เรื่องพรรค์นี้เกรงว่า ‘หยวน’ ก็จะต้องมีบทลงโทษลงมาอย่างแน่นอน”

“ราชันย์อนธการ ท่านเพิ่งจะกลับมาได้ไม่นานสักเท่าไหร่ ก็อย่าทำอะไรให้มันมากเกินไปนักเลยดีกว่า สังหารสิ่งมีชีวิตมากมายเช่นนี้ นี่เป็นบาปมหันต์เลยทีเดียวนะ” เจ้าเมืองอนันต์ก็กล่าวอย่างเคร่งขรึมเช่นกัน

ประมุขรัฐเสียดฟ้าก็เอ่ยว่า “ราชันย์อนธการ ได้โปรดปฏิบัติต่อผู้อ่อนแอเหล่านี้ด้วยจิตใจเมตตากรุณาสักหน่อยเถิดนะ”

ราชันย์อนธการอมตะแค่นหัวเราะเสียงหนึ่ง “เอาล่ะ อย่าได้สิ้นเปลืองวาจากันอีกเลย การบูชาในครั้งนี้มีความสำคัญต่อข้าเป็นอย่างมาก พวกเจ้าหน้าไหนก็อย่าได้มาขัดขวางข้า”

เขาโบกมือขวาคราหนึ่ง

บนฝ่ามือก็มีเปลวเพลิงลุกโชน

เปลวเพลิงนั้นแฝงไว้ด้วยการทำลายล้างและความตาย

จักรพรรดิเซี่ย เจ้าเมืองอนันต์ และประมุขรัฐเสียดฟ้าได้เห็นเหตุการณ์แล้วต่างก็หน้าถอดสี สามารถมองออกได้จากกระบวนท่านี้ว่าพลังยุทธ์ของราชันย์อนธการอมตะมิได้ด้อยไปกว่าจักรพรรดิเซี่ยเลย!

“ดินแดนจิตโลกาแห่งนี้เป็นสถานที่ที่หยวนปกป้องดูแลอยู่นะ” จักรพรรดิเซี่ยเอ่ยเสียงเย็น

“ข้ารู้จักอุปนิสัยของหยวนดียิ่งกว่าเจ้าเสียอีก” ราชันย์อนธการอมตะเอ่ยด้วยรอยยิ้มหยัน “ในบรรดาสิ่งมีชีวิตคละถิ่น หยวนก็นับได้ว่าปฏิบัติต่อผู้อ่อนแอได้ไม่เลวเลยทีเดียว แต่ก็ไม่มีทางมาขัดขวางแม้กระทั่งเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้หรอก อย่างเช่นสถานที่ที่มีสิ่งมีชีวิตคละถิ่นคุ้มครองอยู่บางแห่ง ที่ให้สรรพชีวิตในโลกกำเนิดทั้งหมดตายไปเพียงเพื่อให้ผู้แกร่งกล้าคนหนึ่งได้ก้าวหน้าขึ้นก็มีให้เห็นอยู่บ่อยๆ ข้าก็เพียงแค่บูชาชีวิตในดินแดนจิตโลกาเพียงแค่ส่วนสองส่วนในร้อยส่วนเท่านั้นเอง นี่จะนับเป็นอะไรได้เล่า สำหรับทั้งดินแดนจิตโลกาแล้ว เพียงไม่นานก็ขยายพันธุ์มาทดแทนได้แล้วล่ะ”

“ดินแดนจิตโลกาในตอนนี้แย่ตรงที่ดินแดนไม่กว้างใหญ่พอ การขยายเผ่าพันธุ์สิ่งมีชีวิตไปถึงขีดสุดเสียแล้ว บูชาเพียงนิดเดียวก็ยังอาจทำให้ทั่วทั้งดินแดนเกิดระลอกคลื่นมากสักหน่อย มีความสนุกมากสักหน่อย”

ราชันย์อนธการอมตะเอ่ยตามใจชอบ “ไม่ส่งผลกระทบต่อความเป็นระเบียบ หยวนก็ไม่มีทางมายุ่งวุ่นวายหรอก”

“ยังมีพวกเจ้าสามคนนี่อีก”

“รีบๆ จากไปเร็วๆ เสียจะดีกว่านะ” มุมปากของราชันย์อนธการอมตะผุดรอยยิ้มเย็นรอยหนึ่งขึ้นมา

จักรพรรดิเซี่ยกวาดตามองปราดหนึ่งแล้วเอ่ยด้วยเสียงเย็นว่า “ราชันย์อนธการ เกรงว่าพลังยุทธ์ของท่านกับข้าจะมิได้แตกต่างกันสักเท่าไหร่หรอกนะ ถึงจะคุกคามท่านมิได้ แต่การจะทำลายงานของท่าน ทำลายค่ายกลของท่านนั้นสามารถทำได้อย่างสบายๆ ข้าขอเตือนว่าท่านเบามือสักหน่อยจะดีกว่า”

“เจ้าช่างบังอาจนัก!”

ราชันย์อนธการอมตะเผยสีหน้าดุร้ายออกมา น้ำเสียงเยียบเย็นราวกับลอยออกมาจากหุบเหวลึกอันไร้ที่สิ้นสุด “ข้าใช้ซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่น ข้าใช้สิ่งล้ำค่ามากมาย ทุ่มเทอะไรไปมากมายนับไม่ถ้วนเพื่อการบูชาในครั้งนี้! ผู้ใดบังอาจทำลายงานของข้า ข้าขอสาบานว่าจะต้องทุ่มเทอย่างสุดกำลังเพื่อให้มันต้องนึกเสียใจภายหลัง! ศิษย์รุ่นหลังของพวกเจ้า บรรดาเจ้านายของพวกเจ้า รัฐประเทศของพวกเจ้า เมืองของพวกเจ้า… ข้าจะฆ่า ฆ่า ฆ่า เสียให้สิ้น!”

จักรพรรดิเซี่ย เจ้าเมืองอนันต์ และประมุขรัฐเสียดฟ้าได้ยินเสียงนี้แล้วต่างก็อดที่จะหัวใจสั่นสะท้านคราหนึ่งมิได้

พวกเขาต่างก็รู้ว่าราชันย์อนธการอมตะมิได้โป้ปด

เพราะก่อนหน้าสงครามประเทศโบราณครั้งที่หนึ่ง เขาก็เป็นเช่นนี้อยู่แล้ว! เขาเป็นตัวแทนของ ‘ความตาย’!

“เส้นทางการบำเพ็ญอื่นๆ ของข้าล้วนไม่มีหวังแล้วทั้งสิ้น ข้าคร้านจะต่อสู้กับพวกเจ้า! รอให้การบูชาสิ้นสุดลงแล้วข้าก็จะเข้าไปในหุบเขาเขี้ยวหักแล้วไม่กลับออกมาอีกเลย” ราชันย์อนธการอมตะเอ่ยด้วยเสียงเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง “พวกเจ้ารู้เอาไว้เสีย อย่าได้มารบกวนข้า มิฉะนั้น… พวกเจ้าก็คงรู้นะว่าข้าจะทำเช่นไร”

จักรพรรดิเซี่ยมีสีหน้าไม่น่าดู

คนบ้า

ราชันย์อนธการอมตะก็คือคนบ้าคนหนึ่ง! นอกจากนี้ยังเป็นคนบ้าที่ไร้ซึ่งความกังวลใดๆ อีกด้วย เขาไม่มีรัฐประเทศ ไม่มีขุมอำนาจใต้บังคับบัญชาใดๆ ให้ต้องสนใจ ราชันย์อนธการอมตะเดือดดาลขึ้นมา เช่นนั้นก็ไม่อยากคิดถึงผลลัพธ์ที่ตามมาเลย

“เฮ้อ ราชันย์อนธการ ท่านวิปลาสเช่นนี้ ในที่สุดก็จะต้องนึกเสียใจภายหลังอย่างแน่นอน” เจ้าเมืองอนันต์ถอนหายใจเสียงหนึ่งแล้วหายไปกลางอากาศอย่างไร้ร่องรอย

“ไปเถิด” ประมุขรัฐเสียดฟ้าก็ส่ายศีรษะ

จักรพรรดิเซี่ยมองราชันย์อนธการอมตะอย่างลึกซึ้งปราดหนึ่งแล้วก็หายไปกลางอากาศอย่างไร้ร่องรอยเช่นเดียวกัน

พวกเขาต่างก็รู้สึกได้ถึงจิตใจอันแน่วแน่ของราชันย์อนธการอมตะเป็นอย่างยิ่ง ตอนนี้เรื่องนี้มีความสำคัญกับราชันย์อนธการอมตะเป็นอย่างยิ่ง ไปทำลายเรื่องของเขา เช่นนั้นพวกเขาก็ไม่อยากทนรับผลลัพธ์ที่จะตามมาเลย

“เฮอะ” ราชันย์อนธการอมตะยิ้มเย็น

ไม่มีการขัดขวางของพวกจักรพรรดิเซี่ยแล้ว

วิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนกลางอากาศก็เหินลอยไปยังกลางกระแสน้ำวนสีดำสีดำขนาดมหึมาสามแอ่งอีกครั้ง

“ไม่นะ…”

“ช่วยพวกเราด้วย ช่วยพวกเราด้วย”

“ไม่อยากตาย ไม่อยากตาย”

วิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนที่ก่อนหน้านี้หยุดค้างอยู่กลางอากาศได้เห็นพวกจักรพรรดิเซี่ย ผู้แกร่งกล้าที่น่าหวาดหวั่นทั้งสามคนจากไปแล้วต่างก็กระวนกระวายกันขึ้นมาในทันใด แล้วพากันร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ

……

ทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา ผู้แกร่งกล้าแต่ละฝ่ายล้วนนิ่งเงียบ

พวกจักรพรรดิเซี่ยร่นถอยไปแล้ว

ทุกฝ่ายต่างก็ล่วงรู้ถึงการคุกคามของ ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ แล้ว แม้แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงที่พินิจดูการเปลี่ยนแปลงของริมฝีปากของพวกเขา พินิจดูกระแสอากาศระลอกคลื่นบริเวณรอบๆ ผ่านการสอดแนมส่งถ่ายทลายโลกา ก็ยังสามารถล่วงรู้เนื้อความในคำพูดได้

สำหรับพวกจักรพรรดิเซี่ยแล้ว

ไปช่วยเหลือสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนที่ชายของของรัฐประเทศสิบห้าแห่ง เกรงว่ารัฐประเทศทางฝ่ายตนก็จะบาดเจ็บล้มตายจำนวนนับไม่ถ้วน แม้กระทั่งพลังยุทธ์ของจักรพรรดิเซี่ยก็ยังสามารถคุ้มครองได้เพียงแค่ปราการเมืองไม่กี่แห่งเท่านั้น รัฐโบราณคิมหันตวายุใหญ่โตเกินไป ‘สกุลเซี่ย’ สืบเชื้อสายมาเป็นระยะเวลาอันยาวนาน เชื้อสายก็กระจายไปทั่วปราการเมืองทุกแห่งของรัฐโบราณคิมหันตวายุ! ชีวิตที่ตายไปในรัฐประเทศสิบห้าแห่งนั้น กับการตายของเผ่าพันธุ์ตน… พวกจักรพรรดิเซี่ยก็ได้ทำการเลือกเรียบร้อยแล้ว

แม้กระทั่งบุคคลผู้ไร้เทียมทานทั้งสามที่มีจิตใจเมตตาต่อผู้อ่อนแอต่างก็ร่นถอยกันไปแล้ว

หรือกระทั่งประมุขรัฐจันทร์บุปผา บรรพชนราตรีนิรันดร์ อ๋องสัตว์โลกา และคนอื่นๆ ก็ยิ่งไม่สามารถขัดขวางได้แล้ว พวกเขาบางคนถึงขนาดที่ชมดูเรื่องวุ่นวายนี้อย่างสนุกสนาน

“เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน”

ในบรรดาเทพจักรวาลก็มีบางคนที่มีใจเมตตาสงสาร ก็โมโหและกระวนกระวายขึ้นมา

“หรือว่าจะมองดูทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นตาปริบๆ เช่นนี้เล่า”

“ใครจะกล้าไปกันเล่า ราชันย์อนธการอมตะสามารถหยิบเอาซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นออกมาได้ตามใจชอบ ก่อนหน้าสงครามประเทศโบราณครั้งที่หนึ่ง เขาก็เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาบุคคลผู้ไร้เทียมทานอยู่แล้ว ใครจะไปรู้ว่าตอนนี้เขามีพลังยุทธ์เช่นไรแล้ว ไม่แน่ว่าแม้กระทั่งรัฐโบราณก็ยังไม่สามารถขัดขวางการแก้แค้นของเขาได้เลยเสียด้วยซ้ำ! แล้วใครจะกล้าไปขัดขวางเขากันเล่า”

“เฮ้อ…”

ผู้แกร่งกล้าจำนวนมากโศกสลดอยู่ในใจ มองดูทั้งหมดนี้อย่างเงียบๆ

“มิใช่ว่าคนวิถีจิตฟ้าผู้นั้นจะขัดขวางมารทั้งหมดทั้งมวลหรือไร คราวนี้เขากล้าโผล่ออกมาหรือไม่เล่า”

“นี่คือราชันย์อนธการอมตะเชียวนะ! มารธรรมดาทั่วไปจะมาเปรียบเทียบได้อย่างไรกัน แต่ว่าตัวตนของคนวิถีจิตฟ้าเป็นความลับ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะปรากฏตัวขึ้นมาจริงๆ ก็เป็นได้” ทุกฝ่ายพากันวิพากษ์วิจารณ์ อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่กล้าออกมา

……

ภายในเมืองหิมะเหิน

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูทุกสิ่งทุกอย่าง ยามที่มองดูพวกจักรพรรดิเซี่ยร่นถอย สีหน้าก็แปรเปลี่ยนเสียแล้ว

“เสวี่ยอิง เจ้าอย่าได้ปรากฏตัวเป็นอันขาดเชียวนะ ราชันย์อนธการเป็นคนบ้าคนหนึ่ง เขาเป็นร่างแปรของความตาย อย่าได้ไปยั่วยุเขาเลย” ประมุขรัฐเมฆทักษิณากำลังส่งสารให้กับตงป๋อเสวี่ยอิง เขาถ่ายเสียงอย่างกระวนกระวาย “เจ้าเคยบอกว่าหากพลังยุทธ์ไม่เพียงพอก็ต้องอดทน มีพลังยุทธ์ยิ่งใหญ่เพียงใดก็ยิ่งทำการใหญ่ได้มากเท่านั้น…พลังยุทธ์ของราชันย์อนธการอมตะล้ำลึกจนมิอาจคาดเดาได้เลยทีเดียวนะ”

“เสวี่ยอิง! เคล็ดวิชาลับของราชันย์อนธการยากคาดเดาได้ ฟังที่จักรพรรดิเซี่ยพูดเถิด ราชันย์อนธการเคยไปยังสถานที่ที่ค่อนข้างลึกลับบางแห่งในห้วงมิติคละถิ่นมาแล้ว มีประสบการณ์มากมาย ถ้าหากเจ้าปรากฏตัวก็จะต้องอันตรายเป็นอย่างมาก” จอมกระบี่ถ่ายเสียงพูด

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดู

การสอดแนมส่งถ่ายทลายโลกาของเขามองเห็นวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนที่ท้องฟ้าเบื้องบนของปราการเมืองแต่ละแห่งและอาณาบริเวณแห่งแล้วแห่งเล่าเหล่านั้น

มีพวกเขาบางคนที่ยังคงเป็นเพียงแค่วิญญาณเด็กเท่านั้น มีบางส่วนที่เป็นวิญญาณเยาว์วัยที่อ่อนแอ มีบางส่วนที่เป็นวิญญาณผู้บำเพ็ญที่แกร่งกล้า ทั้งชายหญิง ทั้งเด็กและคนชรา ผู้บำเพ็ญทุกเผ่าพันธุ์… จำนวนมากมายเหลือคณา แต่พวกเขาดิ้นรนไปก็ไร้ประโยชน์ ในขณะนี้ผู้ใดบนดินแดนจิตโลกาจะสามารถช่วยเหลือพวกเขาได้กันเล่า

มองดูพวกเขาถูกดูดกลืนไปตาปริบๆ เช่นนี้น่ะหรือ

“ราชันย์อนธการอมตะ คงจะต้องเผชิญหน้ากับท่านจริงๆ เสียแล้วสินะ” ยามที่ห้ำหั่นกับมารจำนวนนับไม่ถ้วนทั่วทั้งดินแดนจิตโลกานั้นตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็เคยคิดมาก่อนว่าอาจจะต้องเผชิญกับราชันย์อนธการอมตะ บุคคลที่ชั่วร้ายน่าหวาดหวั่นที่สุดในตำนานเล่าขานผู้นั้นเข้าสักวัน!

……

ณ ภูเขาร้างไร้นาม

ซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นขนาดมหึมา กระแสน้ำวนสีดำขนาดยักษ์สามสายกำลังดูดกลืนวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วน ราชันย์อนธการอมตะผู้หล่อเหลางดงามที่อยู่ด้านข้างยืนอยู่กลางอากาศ มองดูทั้งหมดนี้อย่างเย็นชา เขาเชื่อว่าทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาไม่มีผู้ใดสามารถขัดขวางเขาได้!

“หืม” ราชันย์อนธการอมตะหันหน้าไปมอง “ยังมีผู้ที่บังอาจถึงเพียงนี้อยู่อีกหรือ”

รอยแยกสีดำปรากฏวาบขึ้นที่กลางอากาศ บุรุษอาภรณ์ขาวคนหนึ่งเดินออกมา ซึ่งก็คือรูปลักษณ์ของ ‘คนวิถีจิตฟ้า’ หลังจากที่เปลี่ยนแปลงกลิ่นอาย ดัดแปลงรูปลักษณ์แล้วนั่นเอง

“คนวิถีจิตฟ้า!”

“คนวิถีจิตฟ้าปรากฏตัวขึ้นจริงๆ เสียแล้ว”

……………………………………….

เพราะว่าเคยมีประสบการณ์การหลอมผู้ท่องมรณะมาก่อนแล้ว แต่เคล็ดลับการหลอมนี้เป็นสิ่งที่ ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ ฟันฝ่าอุปสรรคอันสาหัสนานาแล้วคิดค้นขึ้นมา ในขณะนี้ก็ย่อมเปี่ยมไปด้วยทักษะและผ่อนคลายเป็นธรรมดาอยู่แล้ว

“ฟึ่บ”

แก้วผลึกสีเขียวชิ้นนั้นแทรกเข้าไปในร่างกายของสัตว์ประหลาดสี่กีบเท้าร่างมหึมาหาใดเปรียบนั้น

ราชันย์อนธการอมตะจ้องมองอย่างระมัดระวังอยู่ด้านข้าง ผ่านไปครึ่งชั่วยามเต็มๆ เขาจึงรู้สึกได้ว่ากลิ่นอายของซากสัตว์ประหลาดสี่กีบเท้านี้เกิดความเปลี่ยนแปลงอันละเอียดอ่อนอย่างยิ่งสายหนึ่งขึ้นมา

“ทุกอย่างเหมือนกับที่คาดการณ์เอาไว้ไม่มีผิดเลย”

“หลังจากที่โลหิตดั้งเดิมหลอมแปรพลังชีวิตอันบริสุทธิ์และยิ่งใหญ่ขุมนั้นแล้ว ในที่สุดก็เหนี่ยวนำให้เกิด ‘ความมีชีวิตชีวา’ ของซากศพนี้ขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว”

“น้ำทิพย์กลืนโลกา ไป!” ราชันย์อนธการอมตะเอื้อมมือไปคว้าวัตถุประหลาดที่ราวกับอำพันเอาไว้แล้วโยนตรงออกไป วัตถุประหลาดนั้นลอยมาถึงด้านบนของซากสัตว์ประหลาดสี่กีบเท้า ภายใต้การควบคุมของราชันย์อนธการอมตะ ทันใดนั้นของเหลวเจ็ดสีหยดหนึ่งก็ลอยออกมาจาก ‘วัตถุประหลาดสีอำพัน’ แล้วตกลงไปในร่างของซากสัตว์ประหลาดสี่กีบเท้าเบื้องล่าง เห็นเพียงว่าลวดลายลับจำนวนนับไม่ถ้วนที่สลักอยู่บนพื้นผิวของซากศพนี้ก็ถูกกระตุ้นเช่นเดียวกัน ของเหลวเจ็ดสีเพิ่งสัมผัสโดนก็ถูกดูดกลืนและแปรสภาพในทันที

หนึ่งหยด สองหยด สามหยด…

ราชันย์อนธการอมตะ ‘ให้อาหาร’ อย่างระมัดระวัง ซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นซากนี้ก็ค่อยๆ มีชีวิตชีวามากขึ้น กลิ่นอายต่างก็หมุนกลิ้งอยู่เป็นระลอกๆ แต่บริเวณโดยรอบมีค่ายกลกดดันอยู่ จึงมิได้แพร่กระจายไปสู่ภายนอก

ใช้เวลาไปสองชั่วยามก็ให้ ‘น้ำทิพย์กลืนโลกา’ หนึ่งร้อยหยดเป็นอาหารจนหมดสิ้น ส่วนท้องของซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นก็กระเพื่อมขึ้นลงบ้างแล้ว ยามที่หายใจ ลมหายใจก็แผ่กวาดไปโดยรอบ เพียงแต่ยังคงไม่มีสติรับรู้ใดๆ เช่นเดิม

ในท้ายที่สุดสิ่งที่ต้องการควบคุมก็คือซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นซากหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับต่ำมากก็ตาม แต่ก็มิใช่ว่าวิธีการทั่วไปจะสามารถควบคุมได้ เช่นหุ่นเชิดธรรมดาทั่วไป หรือแม้กระทั่งอาวุธ ต่างก็สามารถก่อเกิดจิตวิญญาณได้อย่างง่ายดายยิ่ง! ในทางกลับกัน การจะให้ซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นก่อเกิดจิตวิญญาณนั้น…ยากเย็นกว่าตั้งไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า

“ช่วงเวลาวิกฤตที่สุดมาถึงแล้ว หึๆ บนดินแดนจิตโลกาคงจะไม่มีใครกล้าทำลายการบูชาของข้ากระมัง” นัยน์ตาของราชันย์อนธการอมตะมีประกายหนาวเหน็บ “ใครกล้าขวางข้า ทำลายมันเสีย!”

“เริ่มได้!”

ราชันย์อนธการอมตะประทับตราที่หน้าอก ทุ่มเทอย่างสุดกำลังเหนี่ยวนำควบคุมลวดลายลับที่สลักเสลาอยู่ภายในซากศพนี้อยู่ก่อนแล้ว

ปัง! ปัง! ปัง!

ซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นขนาดมหึมาที่เอนกายนอนอยู่ตรงนั้นแต่กลับกำลังหายใจอย่างแปลกประหลาด ที่บริเวณช่วงหน้าอกและท้องของมันมีกระแสน้ำวนสีดำสามแอ่งปรากฏขึ้นในทันใด

“เร็วเข้าสิ”

ราชันย์อนธการอมตะนึกคิดคราหนึ่งแล้วโยนวิญญาณแค้นขั้นสุดยอดสามตนนั้นออกมา

วิญญาณแค้นขั้นสุดยอดก็หมายถึงระดับสุดยอดของวิญญาณแค้น เป็นวิญญาณแค้นที่น่าหวั่นเกรงที่สุดในบรรดาวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนที่บรรพชนราตรีนิรันดร์จับไปแล้วเคี่ยวกรำบ่มเพาะออกมาในที่สุด วิญญาณแค้นนั้นเป็นวิญญาณกล้าแกร่งอย่างแท้จริง เพียงแต่ว่าเต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชังอาฆาตอย่างไร้ที่สิ้นสุด ความเคียดแค้นชิงชังเช่นนี้ก็เพียงพอที่จะผลาญสังหารขั้นอลวนได้เลย! เทพจักรวาลลำพังอาศัยแค่ความโมโห ต่างก็ไม่สามารถมาถึงขั้นนี้ได้

พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ!

ต่อให้วิญญาณแค้นขั้นสุดยอดสามตนนี้น่าหวาดหวั่นกว่านี้ แต่กลับถูกกระแสน้ำวนสีดำสามแห่งนั้นดูดกลืนลงไปในพริบตาเสียแล้ว ไม่มีแรงต้านทานเลยแม้แต่น้อย

วิญญาณแค้นขั้นสุดยอดทุกตนร้องโหยหวน ไม่ยอมจำนน แต่ก็ได้แต่จมเข้าไปในกระแสน้ำวนสีดำ

“อ๊ากกกก”

“ไม่…”

“ฆ่าๆๆ…”

หลังจากที่กระแสน้ำวนสีดำสามแห่งดูดกลืนวิญญาณแค้นขั้นสุดยอดไปแล้วก็พุ่งทะยานขึ้น กระแสน้ำวนสีดำทุกสายต่างก็มีเส้นผ่านศูนย์กลางถึงล้านลี้ สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนบนซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นขนาดมหึมา

ภายในกระแสน้ำวนสีดำยังมีใบหน้าของวิญญาณแค้นขั้นสุดยอดปรากฏขึ้นมาเป็นระยะๆ! ทุกใบหน้าต่างก็ร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดทรมาน ถึงอย่างไรตอนนี้พวกมันก็กำลังถูกเผาไหม้เป็นพลังงานอยู่

“มาเถิด มาเถิด มาเถิด” ราชันย์อนธการอมตะเผยสีหน้าตื่นเต้นอย่างบ้าคลั่งออกมา

โครม…

รัฐประเทศแต่ละแห่งที่อยู่บริเวณรอบๆ ทุกแห่งล้วนมีอาณาบริเวณกว้างใหญ่ ถึงแม้ว่าจะตั้งอยู่บริเวณชายขอบของดินแดนจิตโลกา แต่เมื่อรวมกันขึ้นมาแล้วก็ยังคงมีพื้นที่ใหญ่โตมโหฬารอยู่ดี

ในขณะนี้เหนือท้องฟ้าของพื้นที่เหล่านี้กลับมีค่ายกลอันร้ายกาจสีดำปรากฏขึ้น ตอนนี้เป็นยามฟ้าสว่างแจ้งแล้ว แต่ค่ายกลอันร้ายกาจนี้กลับปกคลุมท้องฟ้าอย่างไร้ซึ่งขอบเขต ปกคลุมส่งผลกระทบกินบริเวณรัฐประเทศสิบห้าแห่ง!

ภายในเมืองจำนวนมากในอาณาบริเวณที่ถูกปกคลุมนี้ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ สัตว์ประหลาด หรือเหล่าพืชพรรณมีชีวิตต่างๆ เหล่าผู้บำเพ็ญเผ่าต่างๆ ล้วนสัมผัสได้ว่าพลังดูดกลืนดำทะมึนขุมหนึ่งกำลังส่งผลต่อวิญญาณของพวกเขา พวกเขามีบางคนที่กำลังนอนหลับ มีบางคนที่กำลังบำเพ็ญ มีบางคนที่กำลังใช้แรงงานอยู่อย่างยากลำบาก แต่ในขณะนี้วิญญาณแต่ละดวงล้วนพากันออกจากร่างอย่างมิอาจควบคุมได้เลย

“เจ็บปวดเหลือเกิน”

พวกเขาต่างก็รู้สึกว่าวิญญาณเจ็บปวดรวดร้าวราวกับมีดกรีดเฉือนก็มิปาน

“เป็นอะไร พวกเราเป็นอะไรไปกันนี่”

พวกเขามองไปรอบๆ

พวกเขากำลังลอยขึ้น วิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนต่างก็กำลังลอยขึ้น!

ก้มหน้ามองลงไปยังปราการเมืองเบื้องล่าง ร่างกายร่างแล้วร่างเล่าภายในปราการเมืองต่างก็ร่วงหล่นอยู่ที่นั่น

“ไม่ ไม่…”

ไม่ว่าจะเป็นทารกน้อยที่ยังอยู่ภายในครรภ์มารดา หรือว่าประมุขรัฐแห่งหนึ่งที่สูงส่งไปจนถึงระดับเทพจักรวาลแล้ว ต่างก็ถูกดูดกลืนวิญญาณออกไปจากร่างกายอย่างมิอาจควบคุมได้เช่นเดียวกันทั้งสิ้น

ปราการเมืองแห่งหนึ่ง วิญญาณนับล้านล้านดวงกำลังลอยขึ้นไป

นครหลวงของประเทศแห่งหนึ่ง วิญญาณก็ยิ่งปกคลุมฟ้าบดบังดวงตะวันอย่างแน่นขนัดแล้วถูกดูดกลืนให้ลอยไปยังทิศทางหนึ่ง

กว้างใหญ่ไพศาล…

วิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนทนรับความเจ็บปวดอันแรงกล้า พวกเขากำลังดิ้นรน กำลังร้องโหยหวน แต่ก็ล้วนไร้ประโยชน์ แม้กระทั่งเทพจักรวาลก็ยังมิอาจดิ้นหลุดออกไปได้

……

รัฐประเทศสิบสองแห่งในรัฐประเทศสิบห้าแห่งที่ได้รับผลกระทบต่างก็ถูกปกคลุมไปทั่วทุกหนแห่ง ความมากมายของดวงวิญญาณก็ย่อมมิอาจคาดคะเนได้อยู่แล้ว วิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังถูกดูดกลืนให้ลอยไปทาง ‘จุดหนึ่ง’ นั้นไป

“มาเถิดๆ”

ราชันย์อนธการอมตะยืนอยู่กลางอากาศ ควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง

ฟิ้ว

ดวงวิญญาณกลุ่มใหญ่จำนวนมหาศาลที่อยู่ไกลออกไปถูกเคลื่อนย้ายตรงเข้ามา ถูกกระแสน้ำวนสีดำขนาดยักษ์สามแอ่งที่ปรากฏอยู่กลางเวหาเหนือซากศพขนาดมหึมาของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นดูดกลืนเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง

การดูดกลืนนี้ก็จำเป็นจะต้องค่อยๆ เข้ามาทีละก้าว! ราชันย์อนธการอมตะรับผิดชอบจัดหา ‘อาหาร’ เคลื่อนย้ายวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนทั่วบริเวณเข้ามา! และตอนนี้วิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนก็กำลัง ‘ลอย’ เพียงแค่ได้รับผลกระทบของการดูดกลืนแล้วก็ลอยมาเท่านั้น

“คาดว่าวิญญาณมากมายขนาดนี้ก็เพียงพอสำหรับระยะเวลาสิบสองวันเป็นอย่างมากที่สุด เผาไหม้วิญญาณแค้นขั้นสุดยอดเป็นการเหนี่ยวนำ ด้วยการบูชาสรรพชีวิตก็เพียงพอที่จะกระตุ้นจิตวิญญาณของร่างสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่เริ่มแฝงความมีชีวิตชีวานี้เล็กน้อยแล้ว! จิตวิญญาณส่วนหนึ่งก็สามารถหลอมเป็นผู้ท่องมรณะสำเร็จได้แล้ว” ราชันย์อนธการอมตะตั้งหน้าตั้งตาคอยเป็นอย่างยิ่ง

“อะไรกัน”

“นี่…”

ทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา เหล่าผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอดรับสัมผัสฟ้าดินได้เฉียบแหลมกว่าเป็นอันมาก ความเข้าใจในกฎเกณฑ์ของพวกเขาก็ยังลึกล้ำกว่าอีกด้วย

ยามที่ค่ายกลบูชานี้เริ่มต้นระเบิด พวกเขาต่างก็รู้สึกได้กันแล้วทั้งสิ้น

“บ้าคลั่ง บ้าคลั่งเกินไปแล้ว” ‘จักรพรรดิเซี่ย’ ซึ่งอยู่ที่พระราชวังหลวงรัฐโบราณคิมหันตวายุดูฉากนี้อยู่ห่างๆ อาศัยความสำเร็จของวิถีอากาศ เขาก็เห็นวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนที่ส่งผลกระทบต่อรัฐประเทศสิบห้าแห่งนั้นแล้ว วิญญาณจำนวนมหาศาลกำลังลอยขึ้นมา ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้เขาอกสั่นขวัญแขวน

ในแวบแรกเขาก็นึกถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมาในทันใด!

ราชันย์อนธการอมตะ!

ราชันย์อนธการอมตะ… นั่นคือบุคคลร้ายกาจผู้น่าหวั่นเกรงก่อนสงครามประเทศโบราณครั้งที่หนึ่ง ในบรรดาบุคคลผู้ไร้เทียมทาน ราชันย์อนธการอมตะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดคนหนึ่ง เขาเป็นตัวแทนของ ‘ความตาย’ ไม่รู้ว่าสิ่งมีชีวิตมากมายเท่าใดที่ต้องตายไปเพราะเขา

ดินแดนจิตโลกาในตอนนั้น พลังยุทธ์ทั้งหมดทั้งมวลก็ไม่สู้ปัจจุบันนี้ บวกกับที่ไม่มีผู้ใดสามารถคุกคามราชันย์อนธการอมตะได้เลย

“เป็นเขา” จักรพรรดิเซี่ย ‘มองเห็นแล้ว’ มองเห็นซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นอันน่าหวาดหวั่นโซ่ตรวนเสาสำริดสิบหกต้นขนาดมหึมาพันธนาการเอาไว้ร่างนั้นแล้ว มองเห็นกระแสน้ำวนสีดำขนาดมหึมาสามแห่งกำลังดูดกลืนวิญญาณจำนวนมหาศาล

……

“เป็นราชันย์อนธการอมตะอย่างนั้นหรือ ได้ยินว่าเนิ่นนานก่อนหน้านี้เขาก็อหังการมากมิใช่หรือ”

จักรพรรดิเทพผลาญโลกานั่งสูงอยู่บนบัลลังก์พลางดูอยู่ห่างๆ เขาในตอนนี้เป็นผู้ที่รู้กันทั่วว่าเป็นบุคคลผู้ไร้เทียมทานที่หยิ่งผยองอหังการที่สุดคนหนึ่ง เพียงแต่ได้เห็นฝีไม้ลายมือเช่นนี้ของราชันย์อนธการอมตะ มองเห็นวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนที่กำลังลอยขึ้นมาเหล่านั้น ได้เห็นซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นร่างนั้น จักรพรรดิเทพผลาญโลกาก็ยังอดที่จะอกสั่นขวัญแขวนมิได้

พวกเขายังมีความแตกต่างระหว่างกันอยู่

อย่างเช่นซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นอันสมบูรณ์แบบซากหนึ่ง มองดูดินแดนจิตโลกา ก็ไม่มีผู้แกร่งกล้าคนอื่นๆ สามารถนำเอาออกมาได้อีกแล้ว

……

“เขาทำเช่นนี้ได้อย่างไรกัน” เจ้าเมืองอนันต์เดือดดาลอย่างยิ่ง

……

“นับถือ นับถือ” ประมุขรัฐจันทร์บุปผาดูอยู่ห่างๆ แต่ก็เผยรอยยิ้มออกมา “สมกับที่เป็นราชันย์อนธการอมตะจริงๆ พอกลับมาแล้วก็มีฝีไม้ลายมือเช่นนี้”

……

“แผนการของเขาถึงกับต้องใช้ซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่น ไปเอาซากมาจากไหนกัน เอามาจากในหุบเขาเขี้ยวหักหรือ หรือว่าได้รับมาจากโลกภายนอกเล่า” บรรพชนราตรีนิรันดร์และบรรพชนนิจรัตติกาลก็ดูอยู่ห่างๆ เช่นกัน พวกเขาต่างก็ช่วยจัดหาทรัพยากรบางส่วนมา เพียงแต่ตลอดมาก็ไม่เคยรู้ว่าราชันย์อนธการอมตะต้องการจะทำอะไรกันแน่ ตอนนี้ในที่สุดก็ได้ล่วงรู้เสียที

……

“นี่มันอะไรกัน” บรรพชนแมลงมองดูอยู่ห่างๆ สีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย “เขาถามหาน้ำทิพย์กลืนโลกาก็เพื่อสิ่งนี้เองหรือ”

……

“คนวิปลาสคนหนึ่งแท้ๆ” บรรพชนสามท่านของรัฐโบราณหิมะน้ำแข็งมองดูอยู่ห่างๆ แล้วต่างก็พากันยิ้มหยัน พวกเขาต่างก็เดินบนวิถีใช้พลังทำลายกฎ รังเกียจสิ่งเหล่านี้เป็นอย่างยิ่ง

……

ถึงแม้ว่าผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอดแต่ละคนจะค้นพบได้ตั้งแต่ในครั้งแรกแล้ว แต่ว่าผู้ที่ลงมือจริงๆ ก็มีอยู่เพียงแค่สามคนเท่านั้น!

“พรึ่บ” พรึ่บ” “พรึ่บ”

เงาร่างสามสายปรากฏตัวขึ้นที่บริเวณไม่ห่างจากซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นขนาดมหึมาแทบจะในเวลาเดียวกัน นั่นก็คือจักรพรรดิเซี่ย เจ้าเมืองอนันต์ และประมุขรัฐเสียดฟ้า

จักรพรรดิเซี่ยก็ทำการควบคุมอากาศ ทำให้วิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนที่เดิมทีถูกเคลื่อนย้ายหยุดลงในทันใด

“หยุดมือนะ” จักรพรรดิเซี่ยตะโกนอย่างโกรธเคือง

……………………………….

ภายในสวนอันเงียบสงัดแห่งหนึ่งในดินแดนจิตโลกา

“พลั่กๆๆ” มือหนึ่งถือไหสุรา มือหนึ่งถือจอกสุรารินให้กับตนเองอย่างสบายใจ

‘ราชันย์อนธการอมตะ’ ผู้สวมอาภรณ์สีทองงามหรูตลอดร่าง ศีรษะสวมมงกุฎกำลังนั่งขัดสมาธิ รินเองดื่มเองอยู่ เขากำลังดื่มสุราอย่างตั้งอกตั้งใจ สัมผัสกับรสชาติของสุรา

ทันใดนั้นกลางอากาศด้านข้างก็มีเงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้น ก็คือ ‘บรรพชนแมลง’ แมลงมีปีกบินที่ดูคล้ายกับรูปร่างมนุษย์นั่นเอง

“บรรพชนแมลงหรือ” ราชันย์อนธการอมตะดวงตาเป็นประกายแล้ววางจอกสุราลงพลางเอ่ยถามว่า “มาหาข้าถึงที่นี่ เจ้าพร้อมแล้วหรือไร”

“สิ่งของที่ข้าต้องการเล่า” บรรพชนแมลงหยิบเอาวัตถุกึ่งโปร่งแสงที่ดูราวกับอำพันชิ้นหนึ่งออกมา ด้านในก็มี ของเหลวเจ็ดสีที่หายากเป็นที่สุดไหลเวียนอยู่ เขาส่งวัตถุประหลาดชิ้นนี้ตรงไป

เมื่อราชันย์อนธการอมตะได้เห็นแล้วก็เผยสีหน้ายินดี ก่อนจะตรวจสอบโดยละเอียดพลางเอ่ยว่า ”วางใจเถิด เจ้ากับข้าลั่นสัตย์สาบานเอาไว้แล้ว ข้าจะตระบัดสัตย์ได้อย่างไรกัน โอ้ หนึ่งร้อยหยด ไม่เกินมาเลยแม้แต่หยดเดียว เจ้านี่ช่างใจแคบเสียจริงเชียว แต่ว่าค่อนข้างบริสุทธิ์เลยทีเดียวนะ ฮ่าฮ่า บรรพชนแมลง มิเสียแรงที่เป็นแม่ทัพใหญ่ใต้บังคับบัญชาของจักรพรรดิกลืนโลกาในตอนนั้น จักรพรรดิกลืนโลกาปฏิบัติต่อเจ้าไม่เลวเลยจริงๆ ให้เจ้าได้สืบทอดต่อจากเขา แม้กระทั่ง ‘น้ำทิพย์กลืนโลกา’ นี่ ก็สามารถเอาออกมาได้ถึงหนึ่งร้อยหยดเลยทีเดียว”

“พรึ่บ” ราชันย์อนธการอมตะพลิกมือ ในมือก็มีกำไลข้อมือวงหนึ่งปรากฏขึ้นมาแล้วโยนออกไป “นี่คือสิ่งที่เจ้าต้องการ ได้เตรียมเอาไว้ให้เจ้าก่อนแล้วล่ะ”

“ดี”

หลังจากบรรพชนแมลงรับมาแล้วก็ตรวจตราดูอย่างละเอียดรอบหนึ่งพลางเผยสีหน้ายินดีออกมา

“เช่นนั้นข้าไปก่อนล่ะนะ”

“ฮ่าฮ่า ถ้าหากเจ้ายังต้องการสมบัติล้ำค่าอันใดก็มาหาข้าได้เลย ล้วนสามารถใช้น้ำทิพย์กลืนโลกามาแลกเปลี่ยนได้ทั้งสิ้น” ราชันย์อนธการอมตะเอ่ยวาจา

“หากมีความต้องการก็จะมาหาฝ่าบาทราชันย์อนธการอย่างแน่นอน” บรรพชนแมลงพูดจบแล้วปีกแก้วผลึกทั้งคู่ที่อยู่ด้านหลังก็ขยับไหวน้อยๆ แล้วเขาก็หายลับสายตาไป

“หึๆ สามารถเอาออกมาได้ถึงหนึ่งร้อยหยด เกรงว่าผลประโยชน์มหาศาลที่จักรพรรดิกลืนโลกาเหลือทิ้งเอาไว้ในตอนนั้นคงตกอยู่ในมือของเขาจนหมดเลยทีเดียวกระมัง” ราชันย์อนธการอมตะมองดูบรรพชนแมลงหายลับไปแล้วก็พึมพำกับตนเอง จากนั้นก็เผยรอยยิ้มพลางก้มหน้าลงมองดูวัตถุประหลาดในมือ นัยน์ตาเปล่งประกายค่อนข้างตื่นเต้น “ในที่สุดก็รวบรวมมาได้แล้ว หลังจากกลับมาแล้วก็สิ้นเปลืองเวลาไปยาวนานถึงเพียงนี้ ในที่สุดก็รวบรวมทั้งหมดมาได้เสียที”

น้ำทิพย์กลืนโลกาเป็นสิ่งที่ในตอนนั้นบุคคลผู้ไร้เทียมทาน ‘จักรพรรดิกลืนโลกา’ อาศัยสมบัติลับล้ำค่าขั้นสูงเก็บรวบรวมมาจากห้วงมิติคละถิ่นระดับสูงกว่า

การรวบรวมทุกหยาดหยดนั้นยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง

นี่คือ ‘ส่วนผสม’ ที่ดีที่สุดที่จักรพรรดิกลืนโลกาใช้เพาะเลี้ยงแมลงอสูร ให้เหล่าแมลงอสูรกิน แมลงอสูรอยกจะไปถึงพลังรบระดับเทพจักรวาล น้ำทิพย์กลืนโลกานั้นมีประสิทธิผลดีที่สุด เพียงแต่ว่าตั้งแต่จักรพรรดิกลืนโลกาตกต่ำไป…น้ำทิพย์กลืนโลกานี้ก็กลายเป็นตำนานเล่าขานไปเสียแล้ว! ถึงแม้ว่าตอนนั้นจักรพรรดิกลืนโลกาจะถูกล้อมสังหาร แต่ก่อนที่จะตายก็ได้ซ่อนเร้นสิ่งที่สำคัญที่สุดเอาไว้

ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะถูก ‘บรรพชนแมลง’ แม่ทัพใหญ่ผู้เป็นลูกน้องของจักรพรรดิกลืนโลกาผู้นี้ครอบครองเอาไว้เสียแล้ว! บรรพชนแมลงก็สำเร็จเป็นขั้นสุดยอดแล้วเช่นกัน จึงกล้าเปิดเผยสิ่งเหล่านี้ออกมา!

“ราตรีนิรันดร์เพาะเลี้ยงวิญญาณแค้นขั้นสุดยอดออกมาสามตน โลหิตดั้งเดิมของนิจรัตติกาล ‘ศิลาอัคคีทิพย์’ ที่เจ้าเมืองอัคคีทิพย์ส่งมา บวกกับ ‘น้ำทิพย์กลืนโลกา’ ของจักรพรรดิกลืนโลกาในตอนนั้น ยังมีซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นอันสมบูรณ์แบบที่ข้าได้มาก่อนหน้านี้อีกร่างหนึ่งด้วย” ราชันย์อนธการอมตะดวงตาเปล่งประกาย ตื่นเต้นหาใดเปรียบ “ตอนนี้ขาดเพียงแค่การบูชาสุดท้ายให้พลังเพียงพอเท่านั้นก็จะสำเร็จได้ในคราวเดียว หลอม ‘ผู้ท่องมรณะ’ ออกมาได้สำเร็จแล้ว”

“ตอนนั้นข้าหลอมผู้ท่องมรณะร่างหนึ่งออกมาอย่างลำบากยากเข็ญ น่าเสียดายที่ข้าล้มเหลวในการต่อสู้ครั้งนั้น ให้ผู้ท่องมรณะไปต้านทานศัตรูตัวฉกาจ แล้วข้าจึงได้หนีกลับมา” ราชันย์อนธการอมตะระลึกวันเวลาในอดีตแล้วโลหิตก็พลุ่งพล่าน

เขาเหยียบย่างบนวิถีของการโจมตีสิ่งมีชีวิตคละถิ่น

เส้นทางสายนี้

มิใช่เพียงแค่เขาคนเดียวเท่านั้น มีผู้แกร่งกล้าของโลกกำเนิดคนอื่นๆ ที่เริ่มต้นมุ่งหน้าเหยียบย่างบนเส้นทางของการโจมตีสิ่งมีชีวิตคละถิ่นภายใต้การช่วยเหลือและชี้แนะอยู่ เพิ่งเริ่มต้น เขาก็ยังได้รับการช่วยเหลืออยู่บ้าง แต่พอล้มเหลวอย่างต่อเนื่องสามครั้งก็ไม่มีความช่วยเหลือใดๆ อีกต่อไป เริ่มต้นดิ้นรนอยู่ท่ามกลางความสิ้นหวังกับผู้แกร่งกล้าคนอื่นๆ อีกมากมายที่ล้มเหลวเช่นเดียวกัน

เขาสามารถสละ ‘ผู้ท่องมรณะ’ หนีกลับดินแดนจิตโลกาได้ก็นับว่าโชคดีมากแล้ว

“โชคดีที่ข้ายังมีซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นอยู่ร่างหนึ่ง เมื่อใดที่หลอมได้สำเร็จ ก็เป็น ‘ร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่น’ แล้ว นี่จึงจะเป็นเคล็ดวิชาลับที่แข็งแกร่งที่สุดของข้า อาศัยสิ่งนี้ข้าก็มีความมั่นใจในการไปบุกหุบเขาเขี้ยวหักแล้ว” ราชันย์อนธการอมตะเผยรอยยิ้มออกมา “อาศัยโอกาสบางอย่างของหุบเขาเขี้ยวหัก บางทีการใช้พลังทำลายกฎของข้าก็อาจมีหลักประกันขึ้นมาบ้าง”

เส้นทางสายนี้ช่างยากเหลือเกิน เพียงแค่สามารถได้รับความช่วยเหลือมาได้ เขาก็ย่อมคิดหาทุกวิถีทางอยู่แล้ว

“พวกบรรพชนราตรีนิรันดร์และบรรพชนนิจรัตติกาล แต่ละคนต่างก็รู้สึกว่าข้าแกร่งกล้ากว่าเมื่อก่อนพอสมควรแล้ว แต่ก็แค่แกร่งกล้ากว่าอยู่เล็กน้อยเท่านั้น ข้าประสบกับการเกิดและตายอย่างหนักหน่วงมาตลอดระยะเวลาอันยาวนานเช่นนี้จนศึกษาวิธีการหลอม ‘ผู้ท่องมรณะ’ ออกมาได้ จึงจะเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของข้า” ราชันย์อนธการอมตะเอ่ยพึมพำ

ตอนนั้นผู้ร่วมทางจำนวนหนึ่งบนเส้นทางนั้นของเขา มีบางคนที่ตายตกไป แล้วก็มีผู้มีพรสวรรค์ล้ำเลิศน่าอัศจรรย์บางคนที่เดินบนวิถีทางที่เป็นเอกลักษณ์ ถึงแม้ว่าเส้นทางจะผิด แต่ก็ทำให้ตนสำเร็จเป็น ‘ร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่น’ ได้

ราชันย์อนธการอมตะมิได้เลือกทำเช่นนั้น

เพราะว่าเมื่อใดที่เดินไปถึงก้าวนั้น เส้นทางของการ ‘สำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่น’ ก็จะถูกตัดขาดเสียแล้ว ดังนั้นเขาจึงทำให้เคล็ดวิชาการหลอม ‘ผู้ท่องมรณะ’ ในอดีตของเขาสมบูรณ์แบบอย่างต่อเนื่อง รวบรวมเคล็ดวิชาของผู้ร่วมทางคนอื่นๆ มากมาย หรือแม้กระทั่งวัสดุบางอย่างไปทดสอบ ก็ทำให้เขายกระดับวิธีการหลอม ‘ผู้ท่องมรณะ’ ไปจนถึงขั้นที่สูงกว่าได้ในที่สุด

อาศัยซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นเป็นพื้นฐาน ‘ผู้ท่องมรณะ’ ที่หลอมออกมาจึงจะกล้าแกร่งพอ!

ราชันย์อนธการอมตะประสบกับทุกสิ่งอย่างเหล่านั้นแล้วจึงเข้าใจว่าความแตกต่างระหว่าง ‘สิ่งมีชีวิตคละถิ่น’ นั้นช่างยิ่งใหญ่ อย่างเช่นผู้ที่บำเพ็ญขึ้นมาจากขั้นอ่อนแอที่สุดมาตลอดทางก็สามารถควบคุมการใช้ประโยชน์จากวิถีได้อย่างแข็งแกร่งที่สุด ถึงขนาดที่มีโลกกำเนิดแห่งหนึ่งเป็นพื้นฐาน! นั่นจึงจะเรียกได้ว่าแข็งแกร่ง! ส่วนสิ่งมีชีวิตคละถิ่นแต่กำเนิดจำนวนหนึ่งนั้น การใช้ประโยชน์จากวิถีล้วนงุ่มง่ามเป็นอย่างยิ่ง อาศัยสัญชาตญาณล้วนๆ ผู้อ่อนแอจำนวนหนึ่งในบรรดานั้น… ถ้าหากเขามีสมบัติลับล้ำค่าขั้นสูงแล้วมาต่อสู้กัน ก็ย่อมตกเป็นรองอย่างแน่นอน!

“ดินแดนจิตโลกาเป็นสิ่งที่หยวนสรรสร้างขึ้น”

“หยวนเป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตคละถิ่นซึ่งดูเหมือนว่าจะยืนอยู่ที่จุดสูงสุดที่โบร่ำโบราณที่สุด ไม่ด้อยไปกว่าเจ้าเมืองหลัวผู้เป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่ประสบความสำเร็จด้วยการใช้พลังทำลายกฎเลย”

ราชันย์อนธการอมตะมีประสบการณ์อยู่ข้างนอกมากมายถึงเพียงนั้นจึงได้เข้าใจสถานะของหยวนและเจ้าเมืองหลัว

“ได้ยินว่าซากงูใหญ่อันน่าหวาดหวั่นซากหนึ่งที่ทำให้แม้แต่หยวนยังได้รับบาดเจ็บสาหัสจึงจะฆ่าให้ตายได้ในตอนนั้นก็ถูกหยวนโยนเอาไว้ในโลกสักแห่งหนึ่งในหุบเขาเขี้ยวหัก” นัยน์ตาของราชันย์อนธการอมตะมีความมุ่งมาดปรารถนา สิ่งที่ขึ้นชื่อที่สุดของหุบเขาเขี้ยวหักก็คือชิ้นส่วนของซากงูใหญ่ซากนั้น ‘มณีอสรพิษเขี้ยวหัก’ อะไรนั่นก็เป็นเพียงแค่ชิ้นส่วนหนึ่งที่ไม่สลักสำคัญอันใดของงูใหญ่ตนนั้นเท่านั้นเอง

……

หุบเขาเขี้ยวหักอันตรายเกินไป

ยิ่งเป็นสถานที่สำคัญก็ยิ่งอันตราย! ถึงแม้ว่าราชันย์อนธการอมตะจะเคยเข้าไปหลายครั้งแล้ว แต่ก็มิกล้าบุกเข้าไปในสถานที่ต้องห้ามจำนวนหนึ่ง ถ้าหากมี ‘ผู้ท่องมรณะ’ เขาก็มีความมั่นใจแล้ว

รัตติกาลลึกล้ำยิ่งนัก

ที่ชายขอบของดินแดนจิตโลกา ณ ภูเขาร้างอันแห้งแล้งไร้นามแห่งหนึ่ง ชายหนุ่มอาภรณ์ทองหรูหรา ศีรษะสวมมงกุฎเข้ามายังที่แห่งนี้

“มาแล้ว ช่วงเวลาวิกฤติมาถึงแล้ว”

ราชันย์อนธการอมตะโบกมือคราหนึ่ง

ปัง ปัง ปัง!!!

เสาสำริดต้นแล้วต้นเล่าปรากฏขึ้นกลางอากาศ เสาสำริดมากถึงสิบหกต้นเจาะลึกเข้าไปในแผ่นดิน พวกมันมีขนาดใหญ่ขึ้นและหนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพียงพริบตาก็คล้ายกับว่าเสาสูงเสียดฟ้าสิบหกต้นกระจายตัวไปอยู่ทุกหนแห่งของภูเขาร้างแห่งนี้

“โครม” แล้วราชันย์อนธการอมตะก็โบกมือคราหนึ่ง ซากศพของสัตว์ประหลาดสี่กีบเท้าขนาดใหญ่มหึมาหาใดเปรียบร่างหนึ่งเอนอยู่บนภูเขาร้าง บนร่างของมันมีลวดลายลับจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังโคจรอยู่ บนแขนขาทั้งสี่ล้วนมีโซ่ตรวนพันธนาการอยู่ ตอนนี้โซ่ตรวนเหล่านี้เชื่อมต่อ ‘เสาสำริด’ ที่ราวกับเสามหึมาสูงเสียดฟ้าสิบหกต้นนั้นอย่างรวดเร็ว บนโซ่ตรวนก็มีลวดลายลับโคจรอยู่เช่นกัน ส่งเสริมซึ่งกันและกันกับลวดลายลับบนพื้นผิวซากศพ ก่อตัวเป็นผนึกขนาดมโหฬารขึ้นมา กดดันทั้งซากศพเอาไว้

“ส่วนอื่นๆ ของบรรพชนนิจรัตติกาล โลหิตดั้งเดิมของมันหาได้ยากยิ่ง แข็งแกร่งกว่าพลังชีวิตของหยาดโลหิตภายในกายผู้แกร่งกล้าทางสายหลอมกายไม่รู้ตั้งกี่เท่า” ราชันย์อนธการอมตะเอ่ยชื่นชม

ถึงอย่างไรร่างจริงของบรรพชนนิจรัตติกาลก็คือทะเลโลหิตแห่งหนึ่ง

เบื้องหน้าของราชันย์อนธการอมตะมีเตาใหญ่อันหนึ่งปรากฏขึ้น ภายในเตาใหญ่มีศิลาอัคคีทิพย์อันล้ำค่าอยู่เก้าชิ้น กระตุ้นเล็กน้อยก็มีเพลิงสีขาวซีดลุกโชติช่วงขึ้นมาแล้ว

จากนั้นราชันย์อนธการอมตะก็ควบคุมอย่างระมัดระวัง เห็นเพียง ‘ทรงกลมหยาดโลหิต’ ที่มีขนาดประมาณศีรษะของคนธรรมดากกลุ่มหนึ่งลอยอยู่ด้านบนของเตาใหญ่อันนี้ ถูกเปลวเพลิงสีขาวซีดนี้เผาไหม้

พรึ่บๆๆ ลวดลายลับจำนวนนับไม่ถ้วนบนพื้นผิวของทรงกลมหยาดโลหิตกะพริบวาบไหลเวียน ภายในก็ถูกเผาไหม้อย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นความว่างเปล่า ภายในของเหลวค่อยๆ เริ่มปรากฏประกายสีเขียวอันแปลกประหลาดชนิดหนึ่งขึ้นมาอย่างช้าๆ

เผาไหม้มาจนถึงท้ายที่สุดก็เปลี่ยนแปรกลายเป็นแก้วผลึกสีเขียวขนาดเท่านิ้วมืออันหนึ่งที่รวมตัวเข้าด้วยกัน

ราชันย์อนธการอมตะกลั้นหายใจ

“ไป”

ชี้ไปยังที่ไกลๆ

แก้วผลึกสีเขียวอันนี้ก็ลอยไปทางซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นขนาดมหึมานั้น

…………………………………………..

ณ วังทวีสูญ ภายในสวนที่เต็มไปด้วยเสียงนกร้องและบุปผานานาพรรณส่งกลิ่นหอมอบอวล เหล่าเทพจักรวาลกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันอยู่ที่นี่ ดื่มสุราเฮฮา มีความสุขกันเป็นอย่างยิ่ง

“มา มา มา เสวี่ยอิง เราสองคนมาดื่มกันสักจอกหนึ่งเถิด” บรรพชนห้วงอากาศอยู่ข้างกายตงป๋อเสวี่ยอิง นั่งอยู่บนพื้นหญ้าพลางถือจอกสุราดื่ม “น่าเสียดายที่ท่านอาจารย์ของเจ้ามิได้อยู่จนเห็นวันนี้ ถ้าหากเขาได้เห็นก็จะต้องเบิกบานใจยิ่งอย่างแน่นอน”

ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าเบาๆ

ปรมาจารย์กู่ฉี

สิ้นชีพด้วยน้ำมือของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์! เสียดายเพียงแต่ว่าตอนนี้ตนมิอาจสังหารจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ให้ตายได้ ต่อให้ตนเองกลายเป็นขั้นสุดยอดก็ไม่มีหวัง บางที ‘วิถีเขตลวงโลกเทียม’ ไปถึงขั้นสุดยอด จึงจะมีความหวังที่จะสังหารจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ให้ตายได้อยู่บ้างกระมัง นี่ก็เป็นเพียงแค่การคาดเดาเท่านั้น! เพราะว่าแต่ไหนแต่ไรบนดินแดนจิตโลกาก็ไม่เคยมีใครไปถึงขั้นสุดยอดทางด้านวิถีวิญญาณมาก่อนเลย

“อาจารย์ของเจ้าเขามีความสุขกับการเป็นอิสระ แต่ก็มีจิตใจเมตตาต่อสรรพชีวิต ดังนั้นเขาจึงเป็นอริกับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์” บรรพชนห้วงอากาศเอ่ยพึมพำเสียงต่ำ “เขาอาศัยเคล็ดลับวิถีอากาศหนีไปในทันทีที่เห็นสถานการณ์ไม่ดี แต่ว่าในอดีตจอมเทพศักดิ์สิทธิ์มิได้เห็นเขาอยู่ในสายตาเท่านั้นเอง เมื่อใดที่โมโหขึ้นมาจริงๆ แล้วใช้พละกำลังของร่างแปรทิพย์โบราณ เขาก็ไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะต้านทานเลยเสียด้วยซ้ำ”

“ข้าก็อยากจะแก้แค้นให้กู่ฉีอยู่เหมือนกัน แต่ข้าก็กลัวว่าจะตายอย่างไม่มีประโยชน์อันใดเลยแม้แต่น้อยภายใต้เงื้อมมือของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์”

ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังอยู่ข้างๆ ใช่แล้ว ก่อนที่พลังยุทธ์ของเขาและจอมกระบี่จะก้าวหน้าอย่างมหาศาล ก็ไม่มีหนทางใดๆ ในการเผชิญหน้ากับ ‘จอมเทพศักดิ์สิทธิ์’ เลยจริงๆ ต้องเป็นฝ่ายรับโดยตลอด! พวกประมุขโลกและบรรพชนทิพย์ยังสามารถต้านทานต่อหน้าได้ แต่ก็จนใจมิอาจทำอะไรจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ได้ สำหรับระดับอย่างบรรพชนเทียนอวี๋และบรรพชนห้วงอากาศนั้นถ้าหากต้านทานแล้วเมื่อใดที่ไม่ระวังก็อาจถึงแก่ชีวิตได้แล้ว ต่างก็อาศัยสมบัติลับล้ำค่าคุ้มกายต้านทาน เพียงชั่วพริบตาก็สามารถหลบหนีไปได้ในทันทีแล้ว หรือจะขอความช่วยเหลือให้ประมุขโลก ราชันย์มีด และคนอื่นๆ มาช่วยเหลือ

น่าเสียดาย

ความผิดหวังเช่นนี้ผ่านเลยมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้แล้ว

“ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้เขาก็ได้แต่หลบซ่อนตัวอยู่ที่ทางเดินโลกาพิศวงเท่านั้น! มีจอมกระบี่และเสวี่ยอิงอยู่ เช่นนั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ได้แต่หลบซ่อนตัวเช่นนี้ไปตลอดกาล” ท่านบรรพชนคีรีมารน้ำเสียงแข็งกร้าว

“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าบำเพ็ญมาเนิ่นนานเช่นนี้ ในภายหน้าก็มีสหายได้มากขึ้นหน่อยแล้ว” เจ้าศิลาแยกเขี้ยวยิ้ม “ข้ามองออกว่าการหยั่งรู้ของพวกเจ้าสองคนล้วนสูงส่งเป็นที่สุด ก็มีความหวังที่จะประสบความสำเร็จสูงสุดก่อนที่จะเกิดมหาวินาศ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าพวกเจ้าสองคนจะประสบความสำเร็จสูงสุดอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ต่อไปพวกเราก็คงจะได้เป็นสหายกันไปอย่างเนิ่นนานแล้วล่ะ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงและจอมกระบี่ประสานสายตากันคราหนึ่ง

ตัวพวกเขาสองคนเองต่างก็รู้กระจ่างดีว่า หนึ่งคือพวกเขามีเจ้าเมืองหลัวให้โอกาส สองคือพวกเขาต่างก็ได้รับเคล็ดสืบทอดลับขั้นสูงสุดที่ดินแดนจิตโลกา ก็มีแรงช่วยเหลืออย่างสูงถึงสองอย่าง จึงยกระดับได้รวดเร็วกว่าที่เจ้าศิลาคาดการณ์เอาไว้ นอกจากนี้ในความเป็นจริงแล้วตงป๋อเสวี่ยอิงยังไปไม่ถึงขั้นสุดยอด! เพียงเพื่อให้ ‘จักรพรรดิจวิน’ และ ‘จอมเทพศักดิ์สิทธิ์’ หวาดหวั่น ตงป๋อเสวี่ยอิงและจอมกระบี่จึงได้ลอบหารือกันอย่างลับๆ

ความเข้าใจผิดที่ว่าเขา ตงป๋อเสวี่ยอิง ‘สำเร็จเป็นขั้นสุดยอด’ แล้ว ก็ปล่อยให้เข้าใจผิดเช่นนี้ต่อไปเถิด!

วิถีอากาศขั้นสุดยอด! เขตพลังแกร่งกล้า

ทำให้จักรพรรดิจวินและจอมเทพศักดิ์สิทธิ์มิอาจมีความคิดที่จะดิ้นรนได้เลยแม้แต่นิดเดียว!

ถ้าหากพวกเขาล่วงรู้…ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงอาศัยร่างแยกจำนวนมากมายพยายามอย่างสุดกำลัง จึงสามารถแผ่ปกคลุมอาณาบริเวณส่วนใหญ่ของอากาศอันสับสนอลหม่านได้ เกรงว่าจอมเทพศักดิ์สิทธิ์และจักรพรรดิจวินก็ยังอาจมาวุ่นวายด้วยได้อยู่ดี!

“ข้าต้องสำเร็จเป็นขั้นสุดยอดให้ได้โดยเร็วที่สุด” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำกับตนเอง

ไม่ว่าจะเพื่อช่วยเหลือญาติมิตรจำนวนหนึ่งให้ออกจากโลกกำเนิดมาเสาะหาหนทางดำรงชีวิตอีกเส้นหนึ่งก่อนเกิดมหาวินาศ หรือเพื่อเพิ่มพลังคุกคามต่อ ‘จอมเทพศักดิ์สิทธิ์และจักรพรรดิจวิน’ พลังยุทธ์ก็ต้องยกระดับอย่างรวดเร็วทั้งสิ้น

……

ตอนนี้วังทวีสูญมีสถานะสูงส่งอย่างที่สุดเพราะว่ามีขั้นสุดยอดอยู่ภายในสำนักถึงสองคน!

แต่เพื่อมิให้ลดทอนพลังต้นกำเนิดของอากาศอันสับสนอลหม่าน พวกตงป๋อเสวี่ยอิงจึงมิได้สรรสร้างโลกทิพย์ต่อไป เพียงแต่รักษาความเป็นระเบียบเอาไว้ต่อไป พยายามทำให้ยุคนี้ของโลกกำเนิด ‘อากาศอันสับสนอลหม่าน’ คงอยู่ต่อไปได้นานขึ้นอีกสักระยะ

“ฟิ้ว”

กลิ่นกำยานหอมฟุ้ง

กลิ่นหอมแผ่ไปทั่วทั้งภายในห้องเงียบ ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิอยู่ที่นี่ตามลำพัง สติรับรู้เริ่มเข้าไปรวมตัวกับกฎเกณฑ์สูงสุดที่แผ่ปกคลุมไปทั่วทุกหนแห่ง

ในที่สุดตงป๋อเสวี่ยอิงก็รับสัมผัสได้ถึงห้วงมิติอันแปลกประหลาดที่มีอยู่ในกฎเกณฑ์สูงสุด ดูคล้ายว่ามันมีขนาดเล็กอย่างที่สุด เล็กจนถึงขนาดที่เคล็ดลับห้วงอากาศของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังตรวจหาไม่พบ แล้วก็ดูเหมือนว่าใหญ่โตเหลือคณา จนทั่วทุกหนแห่งของโลกกำเนิดล้วนมี ‘มัน’ อยู่ทั้งสิ้น

“ฟิ้ว”

ตงป๋อเสวี่ยอิงจิตใจวูบไหว

สติรับรู้เข้าไปสู่ห้วงมิติอันแปลกประหลาดแห่งหนึ่งอย่างง่ายดาย

นี่คือ ‘ห้วงมิติต้นกำเนิด’ ที่เป็นแก่นสำคัญที่สุดของโลกกำเนิดอากาศอันสับสนอลหม่าน มีความคล้ายคลึงกับหัวใจของโลกเผ่าเซี่ยอยู่เล็กน้อย แต่มีความลึกลับมากยิ่งกว่า มีเพียงด้านสติรับรู้ของวิญญาณเท่านั้นจึงจะสามารถเข้ามาได้ สารอื่นใดต่างก็ไม่สามารถเข้ามาได้ทั้งสิ้น! ขนาดของมันไม่สามารถใช้ขนาดของสารธรรมดาทั่วไปมาใช้วัดได้ ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกเพียงว่าภายในห้วงมิติต้นกำเนิดอันลึกลับแห่งนี้ แหล่งต้นกำเนิดหลากสีสันแห่งแล้วแห่งเล่าเกี่ยวเนื่องซึ่งกันและกันจนดูเหมือนจะโกลาหล แต่ในความเป็นจริงแล้วมันโคจรด้วยร่างที่ก่อตัวขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบ ทุกกลุ่มต้นกำเนิดต่างก็แสดงถึงวิถีสายหนึ่ง!

พลังต้นกำเนิดของโลกกำเนิดก็ได้สูญสลายไปเป็นอันมากตอนที่โลกทิพย์โบราณดั้งเดิมแหลกสลาย ต่างก็รวมตัวกันเป็นโลกกำเนิดแห่งแล้วแห่งเล่าออกมา แหล่งต้นกำเนิดในตอนนั้นก็ ‘สูญไปอย่างมหาศาล’ แล้ว ดังนั้นจึงมีทางเดินโลกาพิศวงปรากฏขึ้นมาได้ ฟูมฟัก ‘ฝูงมารผลาญทำลาย’ ที่เป็นตัวแทนของการผลาญทำลายออกมา ให้พวกมันมาเพิ่มความเร็วของการทำลายล้างทั้งโลกกำเนิด

สัญชาตญาณของโลกกำเนิดก็คือการเริ่มฟูมฟักโลกที่แกร่งกล้าสมบูรณ์แบบเพียงพอออกมาใหม่ ถึงแม้ว่าจะสูญเสียพลังไปอย่างมหาศาลก็ตาม

แต่กฎเกณฑ์ก็ยังคงสูงส่งเป็นที่สุดเช่นเดิม

“หืม”

ตงป๋อเสวี่ยอิง ‘พินิจดู’ แหล่งต้นกำเนิดหลากสีสันแห่งแล้วแห่งเล่า พวกมันเกี่ยวเนื่องผสมปนเปกัน ในเจ้ามีข้า ในข้ามีเจ้า ถึงขนาดที่ยากจะพูดได้อย่างชัดเจนว่ามีแหล่งต้นกำเนิดอยู่มากน้อยเพียงใดกันแน่

เพราะมีบางส่วนที่มีความเกี่ยวเนื่องซึ่งกันและกัน

อย่างเช่น ‘แสงสว่าง’ กับ ‘ลำแสง’ แหล่งต้นกำเนิดสองแหล่งนี้มีด้านที่ตรงกันมากมายหลายด้าน

อย่างเช่น ‘ไร้ภาพ’ กับ ‘ไร้กำลัง’ แหล่งต้นกำเนิดสองสายนี้ก็มีส่วนที่ตรงกันมากมาย

แต่ในนั้นมีแหล่งต้นกำเนิดอยู่สองแห่งที่ทำให้เขารู้สึกได้ถึงความสนิทสนมคุ้นเคย

กลุ่มต้นกำเนิดขยายตัวออกไปอย่างมากที่สุด มันแผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งห้วงมิติต้นกำเนิด มันก็คือแหล่งต้นกำเนิดของ ‘วิถีอากาศ’

ต้นกำเนิดอีกกลุ่มหนึ่ง ก็คือภาพลวงอันมิอาจคาดเดาได้ ทั้งยังแพร่ผ่านพื้นที่เขตพลังขนาดมหึมา นอกจากนี้มันยังลึกลับยิ่งกว่า ดูเหมือนว่าจะแทรกผ่านส่วนลึกของแหล่งต้นกำเนิดจำนวนหนึ่งอีกด้วย มันก็คือแหล่งต้นกำเนิดของ ‘เขตลวงโลกเทียม’

“แทรกซึมเข้าไป”

สติรับรู้ของตงป๋อเสวี่ยอิงแทรกซึมเข้าไปในแหล่งต้นกำเนิดวิถีอากาศก่อน

ปัง!

ข้อมูลจำนวนมหาศาลปะทะสติรับรู้ของตน มันกว้างใหญ่ไพศาลและทานทน เพียงแค่ไปถึงวิถีอากาศระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองก็จะสามารถประทับรอยประทับวิญญาณของตนเองได้สำเร็จ สามารถควบคุมพลังต้นกำเนิดสายนี้ได้แล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ห่างจากขั้นสุดยอดเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น ก็ยิ่งง่ายดายขึ้นไปอีก อาศัยเวลาอีกเพียงแค่เล็กน้อยก็สามารถประทับรอยได้แล้ว!

หลังจากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็ใช้เวลาอีกชั่วจิบชาหนึ่ง ประทับรอยประทับวิญญาณบนแหล่งต้นกำเนิดวิถีเขตลวงโลกเทียม

ตัดสินจากมุมมองนี้ ถึงแม้ว่าขาดอีกเพียงวิถีเดียวก็จะผสานรวมได้สำเร็จแล้ว แต่การสั่งสมทางด้านวิถีอากาศของตนก็ยังลึกซึ้งกว่าทางด้าน ‘วิถีเขตลวงโลกเทียม’

“ขอเพียงแค่ประทับรอยได้สำเร็จเกินครึ่งของแหล่งต้นกำเนิด ก็สามารถอาศัยสิ่งนี้ควบคุมกฎเกณฑ์สูงสุด สำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นในคราวเดียวได้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบรำพึง

ทำให้วิถีสายหนึ่งสำเร็จเป็นเทพจักรวาลชั้นที่สองอย่างนั้นหรือ

ยากเย็นยิ่งนัก

อย่างเช่นจอมกระบี่ บรรพชนฝาน จักรพรรดิเทพผลาญโลกา บรรพชนราตรีนิรันดร์และคนอื่นๆ อีกมากพอสมควรสำเร็จเป็นขั้นสุดยอด พวกเขาจำนวนมากต่างก็มุ่งมาดปรารถนาว่าจะสามารถสำเร็จเป็นเทพจักรวาลทางด้านวิถีอากาศได้ เช่นนี้ก็สามารถบำเพ็ญร่างแยกออกมาได้มากมายแล้ว! แต่ก็ช่วยไม่ได้ ถึงอย่างไรเส้นทางการพัฒนาของผู้บำเพ็ญทุกคนก็มีประสบการณ์ต่างๆ นานา อุปนิสัย จิตแห่งวิถี และโชคชะตาที่แตกต่างกัน… หรือความรอบรู้เกี่ยวกับโลก เป็นต้น ต่างก็เป็นตัวกำหนดให้พวกเขาเชี่ยวชาญอย่างยิ่งในบางวิถี ไม่เชี่ยวชาญอย่างยิ่งในบางวิถี!

ทำให้วิถีหนึ่งไปถึงเทพจักรวาลก็ยากเย็นเป็นอย่างยิ่งแล้ว การจะไปถึง ‘เทพจักรวาลชั้นที่สอง’ ได้ ก็ยิ่งยากเย็นขึ้นไปอีก

เกินกว่าครึ่งของแหล่งต้นกำเนิดอย่างนั้นหรือ

ไม่ต้องพูดถึงคู่แข่ง ลำพังแค่ ‘วิถี’ เกินครึ่ง ไปถึงเทพจักรวาลชั้นที่สอง ก็ทำให้ขั้นสุดยอดคนใดๆ ต่างก็พากันรู้สึกสิ้นหวังแล้ว

“การควบคุมแหล่งต้นกำเนิดสองสายสามารถระดมพลังต้นกำเนิดจักรวาลจำนวนมากเหล่านี้ไว้ใช้เองได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบส่ายศีรษะ สำหรับเทพจักรวาลชั้นที่สองแล้วการเคลื่อนย้ายพลังต้นกำเนิดจักรวาลก็สามารถทำให้พลังยุทธ์ยกระดับขึ้นไม่น้อยเลยทีเดียว แต่สำหรับตนที่มีพลังรบขั้นสุดยอด พลังต้นกำเนิดเท่านี้มารวมอยู่บนร่างก็มิอาจนับเป็นอะไรได้เลย

“น่าเสียดาย ไม่มีทางหยั่งรู้อย่างละเอียดได้เลย”

แหล่งต้นกำเนิดที่มีอยู่ทั้งหมดเกี่ยวเนื่องสอดประสานกันเข้าเป็นหนึ่งเดียว ก่อรูปร่างเป็นกฎเกณฑ์สูงสุดอันสมบูรณ์แบบ

ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่สามารถตระหนักรู้แหล่งต้นกำเนิดแหล่งใดแหล่งหนึ่งโดยเฉพาะได้ เขาทำได้เพียงแค่มองเห็นกฎเกณฑ์สูงสุดอันไพศาลอย่างทุลักทุเลเท่านั้น ซับซ้อนเกินไปเสียแล้ว!

“เปรียบเทียบกับการตระหนักรู้กฎเกณฑ์สูงสุด หรือว่าการใช้พลังทำลายกฎสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่น ค่อยมาควบคุมกฎเกณฑ์สูงสุดได้ง่ายดายกว่ากระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ ต่างก็ว่ากันว่าการควบคุมกฎเกณฑ์สูงสุด ทว่าแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีใครมีความมั่นใจในตนเองขนาดที่ไปหยั่งรู้กฎเกณฑ์สูงสุดเลย เพราะในความเป็นจริงแล้วไม่มีทางหยั่งรู้ได้เลย

……

ทางด้านโลกกำเนิดบ้านเกิดนี้กลับสู่ความเงียบสงบ จอมเทพศักดิ์สิทธิ์และจักรพรรดิจวินก็มิได้มายุ่มย่ามอีก บางทีพวกเขาอาจจะยอมรับโชคชะตา รอคอยไปจนถึงยุคต่อไปแล้วก็เป็นได้

ยุคต่อไป โลกกำเนิดบ่มเพาะดินแดนขนาดมหึมาออกมาใหม่ ภายใต้แหล่งต้นกำเนิดอันแข็งแกร่งที่สุด ดินแดนกว้างใหญ่ กฎเกณฑ์สูงสุดกดดันอย่างแกร่งกล้าที่สุด! แม้กระทั่งเป็นขั้นสุดยอด นึกอยากจะให้เขตพลังแผ่ปกคลุมทั่วทั้งดินแดนโลกกำเนิดก็เป็นเรื่องเพ้อฝันแล้ว ถึงยุคนั้น พวกเขาสองคนก็ยังมีความมั่นใจที่จะต่อสู้กับตงป๋อเสวี่ยอิงและจอมกระบี่

แต่ทางด้านดินแดนจิตโลกานี้ก็เงียบสงบกว่าเช่นกัน

ร่างแยกหนึ่งของตงป๋อเสวี่ยอิงยังคงบำเพ็ญภายใต้ต้นไม้เทพผลาญจิตต่อไป มองเห็นวิถีทางผสานรวมห้าสาย ก็ย่อมทุ่มเทจิตใจศึกษา ‘วิถีเขตลวงโลกเทียม’ มุ่งเป้าหมายไปยังขั้นสุดยอด! การบำเพ็ญภายใต้ต้นไม้เทพผลาญจิตมีผลลัพธ์ดีเยี่ยมเป็นที่สุด บำเพ็ญโดยใช้ร่างแยกเดียวก็เพียงพอแล้ว

ส่วนร่างแยกอื่นๆ ก็ศึกษาวิถีอากาศต่อไป วิถีอากาศของเขาสั่งสมได้ล้ำลึกเป็นอย่างยิ่งแล้ว กำลังศึกษากระบวนสังหารที่หกแล้ว

ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่มีวิธีการอื่น บุปผาโลกาก็ใช้ไปจนหมดสิ้นแล้ว! ตอนนี้เขาก็ได้แต่สั่งสม สั่งสม และสั่งสมเท่านั้น จนกระทั่งไปถึงย่างก้าวนั้นได้สำเร็จ!

……………………………………….

หลังจากที่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ส่งเสียงคำรามต่ำอย่างบ้าคลั่งแล้วก็ค่อยๆ เงียบสงบลง

นัยน์ตาทั้งสองของเขาเย็นเยียบ

ด้วยเพลิงโทสะและไอสังหารในใจเขา ก็นึกอยากจะสังหารหมู่ผู้ศรัทธาจำนวนมากในการควบคุมเสียให้หมดสิ้นในความคิดเดียวเสียจริงๆ ถึงแม้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะตัดแยกรอยประทับของผู้ศรัทธาไปถึงร้อยละเก้าสิบเก้าแล้ว แต่สำนักทิพย์โบราณสืบทอดคำสอนอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลาอันยาวนาน เผยแพร่ไปเป็นอาณาบริเวณกว้างเหลือเกิน แม้กระทั่งมีการสืบทอดคำสอนไปถึงจักรวาลและแผ่นดินอลหม่านที่ไม่อยู่ในสายตาจำนวนหนึ่งด้วย

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ได้แต่บันทึกสิ่งที่ตรวจจับได้ในข้อมูลเท่านั้น

เพลิงโทสะในอกของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์กำลังลุกโชน แต่เขากลับมิได้สังหารหมู่ ข้อแรก ผู้ศรัทธาน้อยนิดเพียงเท่านี้ก็ยังสามารถมอบศรัทธาให้ได้เล็กน้อย ข้อสอง เขาก็อยากจะอาศัยสิ่งนี้ในการล่วงรู้ความเปลี่ยนแปลงของโลกทิพย์แต่ละแห่ง ถ้าหากผู้ศรัทธาตายไปหมด เช่นนั้นเขาก็จะกลายเป็น ‘คนตาบอด’ อย่างแท้จริงแล้ว ไม่รู้อะไรที่โลกภายนอกเลยแม้แต่น้อย

“ซ่อนไว้ได้ลึกเสียจริง”

“จอมกระบี่ไม่เพียงแต่ไปถึงขั้นสุดยอดเท่านั้น แต่พลังยุทธ์ยังเหนือกว่าข้ามากอีกด้วย ดูเหมือนว่าการคาดการณ์ของข้าจะถูกต้อง เขาจะต้องได้ป้ายคำสั่งจิตโลกาไปครอบครองแล้วอย่างแน่นอน!” นัยน์ตาของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์มีประกายหนาวเหน็บกะพริบวาบ “เจียมเนื้อเจียมตัว ไม่เคยประสบกับการขัดเกลาความเป็นความตายเช่นนี้มาโดยตลอด สามารถไปถึงขั้นสุดยอดเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ไปถึงแล้วก็ช่างเถิด แต่อยู่ดีๆ มีพลังยุทธ์แข็งแกร่งเช่นนี้ได้อย่างไร”

“ยังมีตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นั้นอีก! ตอนนั้นข้าก็ควบคุมเขาเอาไว้ได้แล้วอยู่ชัดๆ แต่เขากลับฆ่าตัวตายเสียนี่ ข้ายังคิดอยู่ว่ามีเคล็ดลับอันใด ตอนนี้ดูแล้วก็คงจะเป็นป้ายคำสั่งจิตโลกากระมัง” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์พึมพำ “คราวก่อนผู้ที่เข้าไปในโลกทิพย์โบราณของข้าเพื่อช่วยเหลืออวี๋จิ้งชิวผู้เป็นภรรยาเขาก็จะต้องเป็นเขาอย่างแน่นอน! ข้ายังคิดอยู่เลยว่าที่แท้แล้วเป็นผู้แกร่งกล้าผู้ลึกลับที่โผล่มาจากไหนกัน”

“ป้ายคำสั่งจิตโลกา”

จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ขบกราม

เขาใช้ชีวิตอยู่มายุคแล้วยุคเล่า ก็เคยได้ยินเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับป้ายคำสั่งจิตโลกามาก่อนแล้ว แต่ละยุคในอดีตก็มีผู้ที่ได้รับป้ายคำสั่งจิตโลกากลับชาติมาเกิดไปยังดินแดนจิตโลกา แต่ผู้ที่ได้รับป้ายคำสั่งจิตโลกาเหล่านั้นกลับไม่มีใครสำเร็จเป็นขั้นสุดยอดเลยแม้แต่คนเดียว!

ผู้ที่ได้รับป้ายคำสั่งจิตโลกา โดยทั่วไปแล้วล้วนเป็นผู้มีพรสวรรค์ล้ำเลิศวัยเยาว์ทั้งสิ้น

ไม่ว่าจะเป็นตงป๋อเสวี่ยอิงหรือว่าจอมกระบี่ ต่างก็ได้รับป้ายคำสั่งจิตโลกามาครองตอนที่ยังเป็นขั้นอลวนกันทั้งสิ้น ผู้มีพรสวรรค์ขั้นอลวนคนหนึ่งกลับชาติมาเกิดยังดินแดนจิตโลกา… ในท้ายที่สุดยังคิดจะไปถึงขั้นสุดยอดด้วยอย่างนั้นหรือ ความหวังช่างริบหรี่ยิ่งนัก!

“คิดไม่ถึงว่าเพียงพริบตาเดียว ยุคนี้ก็ถือกำเนิดขึ้นมาถึงสองคนแล้ว” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์รู้สึกเศร้าสลด พ่ายแพ้ได้อย่างน่าเศร้าสลดเหลือเกิน

ถูกผู้แกร่งกล้าล้ำเลิศสองคนร่วมมือกัน เพียงชั่วครู่ก็ต่อตีเสียจนเขา จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีเรี่ยวแรงจะต่อกรเลยแม้แต่น้อย ได้แต่อาศัยทางเดินโลกาพิศวงประทังชีวิตไปเท่านั้น!

******

ณ โลกทิพย์โบราณ

ตงป๋อเสวี่ยอิงสามคนแยกกันอยู่ที่ท้องฟ้าเบื้องบนในบริเวณที่แตกต่างกันของโลกทิพย์โบราณแล้วสำแดงโลกเขตลวงปกคลุม ทำให้สิ่งมีชีวิตที่มีอยู่ทั้งหมดในโลกทิพย์โบราณติดอยู่ภายในเขตลวง แต่ละคนต่างก็จมดิ่งอยู่ภายในนั้น มิได้ต้านทานเลยแม้แต่น้อย ล้วนทำตามการควบคุมของตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งสิ้น

ถ้าหากต้านทานแม้แต่น้อย เช่นนั้นรอยประทับที่ตัดแยกเอาไว้ก็จะล้มเหลว!

“สวบๆๆๆ…”

เงาร่างสายแล้วสายเล่าปรากฏตัวขึ้นที่ท้องฟ้าเบื้องบนของโลกทิพย์โบราณ

เจ้าศิลาร่างผอมเล็ก จอมกระบี่บุรุษอาภรณ์ขาว บรรพชนเทียนอวี๋ บรรพชนห้วงอากาศ ราชันย์มีด บรรพชนโลกา บรรพชนทิพย์ ท่านบรรพชนคีรีมาร จักรพรรดิงูเมฆา บรรพชนกฎฉุนอี ประมุขเหยากวง บรรพชนกู่ และเทพจักรวาลคนอื่นๆ ทั้งหมดต่างก็ปรากฏตัวขึ้นพลางมองดูตงป๋อเสวี่ยอิง ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวที่ยืนหลับตาอยู่กลางอากาศอยู่ห่างๆ แล้วมองไปยังสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนที่ร่วงหล่นลงบนพื้นแผ่นดินอันไพศาลเบื้องล่าง

ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือว่าสัตว์ประหลาด ผู้บำเพ็ญทุกเผ่าพันธุ์ต่างก็ติดอยู่ในห้วงนิทราทั้งสิ้น

โลกทิพย์โบราณเงียบสงบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“ผู้ที่ศรัทธาในตัวจอมเทพศักดิ์สิทธิ์อย่างสมบูรณ์ บนวิญญาณต่างก็มีรอยประทับกันหมดแล้ว ก็สามารถช่วยเหลือได้ด้วยหรือ” ราชันย์มีดอุทาน “ล้ำเลิศยิ่งนัก”

“จอมมารดาตายไป ผู้ศรัทธาจำนวนนับไม่ถ้วนที่นางควบคุมเอาไว้ก็กลับเป็นอิสระจนหมด แต่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ยังไม่ตาย ก็ได้แต่ช่วยทีละคนแล้ว” จอมกระบี่พูดยิ้มๆ “โชคดีที่เสวี่ยอิงมีความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ทางด้านโลกเทียม สามารถช่วยเหลือพวกเขาได้! ถึงแม้ว่าสำนักทิพย์โบราณและลัทธิจอมมารดาจะเป็นสองสำนักใหญ่ แต่พูดถึงด้านจำนวนแล้ว สำนักทิพย์โบราณกลับมากมายกว่าลัทธิจอมมารดาอยู่มากนัก”

“อืม”

ทุกคนในที่นั้นพยักหน้า

“นี่เป็นคุณความดีครั้งใหญ่เลยทีเดียว” บรรพชนเทียนอวี๋เอ่ยอย่างทอดถอนใจ

“หวังว่าจะไม่เกิดปัญหาอันใดระหว่างนั้นนะ” บรรพชนทิพย์จ้องมองดูต่อไป พวกเขาต่างก็รู้กระจ่างดียิ่งว่าการพัวพันไปถึงวิญญาณนั้นมีความยุ่งยากมากเพียงใด! ในอดีต เมื่อใดที่ประทับรอยประทับวิญญาณ นั่นก็ดูเหมือนว่าไม่มีทางช่วยเหลือได้แล้ว ให้จอมเทพศักดิ์สิทธิ์และจอมมารด

ปลดปล่อยอย่างนั้นหรือ หรือว่าสังหารจอมเทพศักดิ์สิทธิ์และจอมมารดาให้ผู้ศรัทธากลับคืนสู่อิสรภาพ หรือว่าตัดแยกรอยประทับเช่นเดียวกันกับตงป๋อเสวี่ยอิงนี้เล่า

ในอดีต วิธีการทั้งสามอย่างนี้ล้วนมิใช่ความจริง

ตอนนี้ จอมมารดาตายไปแล้ว

จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ได้แต่หลบซ่อนตัว ใช้ชีวิตอยู่ในทางเดินโลกาพิศวง

“ครืน…”

ระหว่างฟ้าดินมีระลอกคลื่นจำนวนนับไม่ถ้วนรางๆ

จอมกระบี่ เจ้าศิลา บรรพชนเทียนอวี๋และคนอื่นๆ ที่อยู่กลางอากาศต่างก็กลั้นหายใจมองดู พวกเขาต่างก็รู้สึกได้ถึงระลอกคลื่นอันแปลกประหลาดนั้น

“กำจัดเสีย” ร่างแยกทั้งสามของตงป๋อเสวี่ยอิงทุ่มเทอย่างสุดกำลัง ค่อยๆ ขจัดรอยประทับเหล่านั้นอย่างช้าๆ

“สลาย”

ในขณะนี้

สิ่งมีชีวิตที่มิอาจนับจำนวนได้ของโลกทิพย์โบราณ ที่นี่เป็นโลกทิพย์โบราณที่มีอาณาบริเวณราวๆ หนึ่งในร้อยส่วนของ ‘โลกทิพย์โบราณดั้งเดิม’ ในขณะนี้สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนต่างก็สลัดพันธนาการออกไปจนหมดสิ้นแล้ว รอยประทับในดวงวิญญาณรอยนั้นสลายตัวไป แต่ละคนต่างก็ได้รับอิสรภาพและหลุดจากพันธนาการในที่สุด!

“ฮ่า!”

สิ่งมีชีวิตของโลกทิพย์โบราณจำนวนนับไม่ถ้วน ดวงวิญญาณก็ย่อมแผ่ระลอกคลื่นออกมา นั่นคือระลอกคลื่นที่สุขสันต์หาใดเปรียบ ระลอกคลื่นแห่งอิสรภาพ ระลอกคลื่นแห่งการหลุดพ้น!

ผู้บำเพ็ญเกิดมาก็เป็นอิสระ!

เกิดมาเพื่อไล่ตามความอิสระเสรี!

ถูกกดขี่เป็นทาสมาเนิ่นนาน ถูกกดขี่เป็นทาสยุคแล้วยุคเล่า สามารถสังหารคนที่ตนรักโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยเพื่อจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ หรือแม้กระทั่งฆ่าตัวตาย! นี่มิใช่ผู้บำเพ็ญอีกต่อไปแล้ว ถึงแม้ว่ามีชีวิตอยู่ก็เหมือนกับซากศพที่เดินได้! มีเพียงในขณะนี้ที่สามารถขจัดพันธนาการออกไปได้อย่างแท้จริง อิสรเสรีที่มาจากจิตวิญญาณเช่นนั้น จิตใจสว่างไสว จึงเป็นสิ่งที่พวกเขาสมควรมี

วิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนต่างก็พากันส่งเสียงแซ่ซ้องโดยสัญชาตญาณ! เสียงแซ่ซ้องเช่นนั้นทำให้เจ้าศิลา จอมกระบี่ บรรพชนเทียนอวี๋และคนอื่นๆ ที่ชมดูเหตุการณ์นี้อยู่ที่โลกทิพย์โบราณต่างก็รู้สึกได้ถึงความพรั่นพรึง

วิญญาณ…

เดิมทีก็ลึกลับอยู่แล้ว

ในที่สุดวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนก็กลับคืนสู่อิสรภาพ เสียงแซ่ซ้องจากจิตวิญญาณและระลอกคลื่นที่เหนี่ยวนำขึ้นมานั้นกวาดล้อมไปทั่วทั้งโลกทิพย์โบราณ แล้วก็ส่งผลกระทบไปถึงเทพจักรวาลเหล่านี้ พวกเขาต่างก็ได้รับผลพวงด้วยกันทั้งสิ้น ต่างก็รู้สึกว่าวิญญาณของตนสั่นสะท้านด้วยความตื่นเต้น

“อิสรภาพ!”

“อิสรภาพ!”

ไม่เพียงแต่โลกทิพย์โบราณเท่านั้น ผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนทั้งมนุษย์และสัตว์ประหลาดเผ่าต่างๆ ที่ได้รับความช่วยเหลือตามสถานที่อื่นๆ อย่างเช่นดินแดนเก้าเมฆา ต่างก็ฟื้นคืนสติแล้ว

พวกเขาหลั่งน้ำตาแห่งความตื่นเต้นและยินดีอย่างที่สุด

ถึงแม้ว่าดวงวิญญาณจะมีรอยประทับตลอดระยะเวลาอันยาวนาน แต่พวกเขาก็มีสติแจ่มชัดอยู่ตลอด ยุคแล้วยุคเล่าก็ล้วนเป็นเช่นนี้ทั้งสิ้น ที่แปลกประหลาดที่สุดก็คือพวกเขายังคงสวามิภักดิ์และศรัทธาต่อจอมเทพศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริงจากก้นบึ้งของหัวใจราวกับหุ่นเชิดก็มิปาน มีเพียงแค่ในขณะนี้เท่านั้นที่ความรู้สึกอันแปลกประหลาดนั้นเพิ่งจะมลายหายไป แล้วจึงรู้สึกได้ถึงความสุขกายสบายใจอย่างแท้จริง

“นับจากตอนนี้เป็นต้นไป ข้าจึงจะเป็นตัวข้า!” เทพจักรวาลวิถีอสนีบาตเพียงหนึ่งเดียวก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเบื้องบน มองผ่านสิ่งกีดขวางของห้วงอากาศ มองเห็นบุรุษอาภรณ์ขาวที่อยู่ไกลออกไป

ถึงแม้ว่าผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนจะไม่รู้ว่าผู้ใดช่วยเหลือพวกเขา ทว่าต่างก็รู้สึกซาบซึ้งจากก้นบึ้งของหัวใจ

ซาบซึ้งที่ช่วยเหลือพวกเขาออกมาจากหุบเหวลึกอันดำมืด

……

กลางเวหา

ตงป๋อเสวี่ยอิงสามคนยังคงหลับตาอยู่เช่นเดิม เขาและร่างแยกอื่นๆ ช่วยเหลือสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วน ยามที่สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนเหล่านั้นได้รับอิสรภาพ วิญญาณก็ส่งเสียงแซ่ซ้องโดยสัญชาตญาณ

เสียงแซ่ซ้องอย่างพร้อมเพรียงกันของสิ่งมีชีวิตจำนวนมากมายเหลือคณา ทำให้แม้แต่พวกเจ้าศิลาและจอมกระบี่ที่ชมดูอยู่ต่างก็พากันพรั่นพรึง ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยิ่งมีความรู้สึกแรงกล้า

เสียงแซ่ซ้องระลอกแล้วระลอกเล่าพุ่งปะทะใส่ตน

“วิญญาณ”

“อิสรภาพ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงน้ำตาหลั่งรินโดยไม่รู้ตัว

น้ำตาแห่งความซาบซึ้ง

ซาบซึ้งกับความมุ่งมาดปรารถนาที่วิญญาณมีต่ออิสรภาพ

ในขณะนี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงมีหนทางสำหรับผสานรวม ‘วิถีวิญญาณ’ สายสุดท้ายของการผสานรวมห้าสาย ของ ‘วิถีเขตลวงโลกเทียม’ แล้ว ก่อนหน้านี้เขาไม่มีแม้กระทั่งทิศทางที่ถูกต้องแม่นยำเลยด้วยซ้ำ! แต่ตอนนี้เขามองเห็นหนทางแล้ว

“วิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วน จึงจะเป็นพื้นฐานของโลกกำเนิดแห่งนี้”

“ความปรารถนาของสรรพชีวิตสามารถส่งผลกระทบต่อความปรารถนาของโลกกำเนิดได้! แต่การกดขี่สรรพชีวิตเป็นทาส… วิถีทางนี้ก็เป็นเรื่องที่ผิดแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงถึงขนาดที่เกิดความรู้สึกชนิดหนึ่งขึ้น ถึงแม้ว่าการเผยแพร่ความศรัทธาจะมีหวังที่จะทำให้สรรพชีวิตศรัทธาในการควบคุมกฎเกณฑ์สูงสุดได้ แต่ทว่าเขากลับมีความรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าการทำให้สรรพชีวิตศรัทธานั้นมิใช่เรื่องผิด แต่วิธีการกดขี่ดวงวิญญาณเป็นทาสนั้นน่าจะละเมิดข้อห้ามระดับที่ลึกล้ำกว่าบางอย่าง

วิถีทางสายนี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงมีลางสังหรณ์ว่าจะไม่สามารถควบคุมกฎเกณฑ์สูงสุดได้!

อย่างเช่นหยวนและเจ้าเมืองหลัว ต่างก็มิได้มีความสำเร็จล้ำลึกทางด้านวิถีวิญญาณ ตอนนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยืนอยู่ที่จุดสูงสุดของวิถีวิญญาณของห้วงมิติจำนวนนับไม่ถ้วน แต่ตอนนี้เขาก็มีเพียงแค่ลางสังหรณ์อย่างหนึ่งเท่านั้น

“เมื่อห้าสายผสานรวมกันแล้ว บางทีข้าอาจจะเข้าใจได้มากยิ่งขึ้นกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ

เมื่อก่อนหน้านี้

ห้าสายผสานรวม ‘วิถีเขตลวงโลกเทียม’ ของเขาไปถึงขั้นสุดยอดแล้ว ก็มิได้มีความมั่นใจ แต่วันนี้เขาเห็นหนทางก็มีความแน่ใจแล้ว

“ให้เวลากับข้าอย่างเพียงพอ ก็มีความหวังที่ข้าจะเดินบนทางเส้นนี้ไปถึงขั้นสุดยอดแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงลืมตา มองเห็นเหล่าผู้บำเพ็ญของโลกทิพย์โบราณจำนวนนับไม่ถ้วนเต็มไปด้วยความซาบซึ้งและปิติยินดีแล้วก็เผยรอยยิ้มออกมา

เขาช่วยเหลือสรรพชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วน

และสรรพชีวิตก็ได้ชี้เส้นทางการบำเพ็ญของวิญญาณออกมาให้เขา

ยื่นหมูยื่นแมวกัน นี่ก็เป็นการโคจรของกฎเกณฑ์อย่างหนึ่งกระมัง

“เสวี่ยอิง”

“ฮ่าฮ่า ช่างมีความสุขเหลือเกิน”

“นี่เป็นวันที่มีความสุขที่สุดวันหนึ่งในชีวิตข้าเลย จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ที่ข่มขู่คุกคามพวกเรามาโดยตลอดถึงกับตกใจกลัวจนต้องหลบซ่อนตัวเพื่อรักษาชีวิตรอดเลยทีเดียว ฮ่าฮ่า”

บริเวณไกลออกไปมีเสียงลอยมา เจ้าศิลา จอมกระบี่ บรรพชนเทียนอวี๋ และเหล่าเทพจักรวาลกลุ่มหนึ่งต่างพากันเข้ามาจนหมด แต่ละคนเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ทุกคนมีความสุขเบิกบานใจ ในวันนี้ พวกเขาได้เห็นจอมมารดาที่ชั่วร้ายมาอย่างยาวนานสิ้นชีพ และได้เห็นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้ทั่วทั้งโลกกำเนิดโกลาหลมาโดยตลอดเป็นดังสุนัขจนตรอก วันนี้พวกเขาได้หลุดพ้นจากการเผชิญกับภัยของมหาวินาศ วันนี้พวกเขาได้เห็นทั้งจอมกระบี่และตงป๋อเสวี่ยอิงไปถึงขั้นสุดยอด วันนี้ยังได้เห็นสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนเกือบหนึ่งส่วนของอากาศอันสับสนอลหม่านกลับคืนสู่อิสรภาพ ได้ยินเสียงแซ่ซ้องของวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วน…

ทุกคนรู้สึกสุขสันต์และสบายใจ ชนิดที่ไม่เคยมีความสุขเช่นนี้มาก่อนเลย

ตงป๋อเสวี่ยอิงแย้มยิ้มแล้วก้าวเข้าไปหา!

……………………………………

ณ โลกจอมมารดา

จอมมารดาขวัญหนีดีฝ่อ มองดูตงป๋อเสวี่ยอิงที่ยืนอยู่กลางอากาศไกลออกไปอย่างระแวดระวัง

“ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน” จอมมารดาจิตใจไม่สงบขึ้นมา

ทันใดนั้น…

ประกายกระบี่สีเขียวสองสายก็ผุดขึ้นจากความว่างเปล่าแล้วเข้าสู่ร่างกายของจอมมารดาอย่างไร้สุ้มเสียง ร่างกายมหึมาของจอมมารดาสั่นสะท้าน จากนั้นก็พังสลายไปอย่างไร้ร่องรอย ยามนี้จอมกระบี่ทั้งสองร่างจึงปรากฏขึ้นข้างกาย พลางมองดูทุกสิ่งอย่างเยือกเย็น เพื่อความมั่นใจเต็มเปี่ยม ร่างทั้งสองของเขาจึงเคลื่อนไหวพร้อมกัน! จอมกระบี่บำเพ็ญจนมีเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่ง ต่อให้ไม่มีสมบัติลับอันสูงส่งหรือาวุธเทพคละถิ่น ก็มีพลังสามส่วนของปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์แล้ว

สังหารเทพจักรวาลชั้นที่สองคนหนึ่งหรือ

เพียงกระบวนท่าเดียวก็สามารถสังหารได้อย่างง่ายดายแล้ว

“จอมมารดาสิ้นใจไปเช่นนี้เองหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงทอดถอนใจ

เขายังจำได้ว่าตอนนั้น ในจักรวาลที่ตนเกิดมา ‘ลัทธิจอมมารดา’ ได้รุกรานเข้าไปในจักรวาลของตน ทั้งยังนำมาซึ่งหายนะครั้งใหญ่ด้วย

บัดนี้ จอมมารดา…’ต้นตอ’ ของลัทธิจอมมารดาทั้งโลกกำเนิดกลับถูกทำลายไปเช่นนี้เอง! นางกบดานมานานแสนนาน เกรงว่าคงจะสั่งสมอะไรเอาไว้มากมาย ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าพลังอันสมบูรณ์กลับกลายเป็นว่างเปล่าไปหมด! แม้แต่จักรพรรดิจวินซึ่งเป็นขั้นสุดยอด เมื่ออยู่ต่อหน้าจอมกระบี่ในตอนนี้ ก็มิอาจต้านทานได้เลย แล้วจอมมารดาจะทำเช่นไรได้อีกเล่า

“ไป” จอมกระบี่ถ่ายเสียงพูด “ไปยังโลกทิพย์”

“รีบไล่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ไปเร็ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รอคอย พวกเขามิกล้าถ่วงเวลาให้ชักช้าออกไป ด้วยกลัวว่าจอมเทพศักดิ์สิทธิ์จะตระหนักได้ถึงอันตราย

……

ณ โลกทิพย์

เนื่องจากสงครามที่จักรพรรดิจวินก่อขึ้นมาได้ยุติลงแล้ว แม้แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงที่ปกป้องที่นี่อยู่ก่อนหน้านี้ก็จากไปแล้ว

“เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ในชุดคลุมสีดำทั้งร่างนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงศิลาดำ ในใจซับซ้อนเหลือประมาณ

จักรพรรดิจวินมิอาจทำลายล้างได้สำเร็จ มิอาจได้รับสิ่งที่กฎเกณฑ์สูงสุดมอบให้ เขาก็ย่อมมองดูฉากนี้อย่างมีความสุขเป็นธรรมดา

แต่พลังของจอมกระบี่และตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังคงทำให้จอมเทพศักดิ์สิทธิ์หงุดหงิดใจเป็นอันมาก

“พวกเขาเติบโตได้รวดเร็วเกินไปแล้ว” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ไม่อยากจะเชื่อ “จอมกระบี่ก็แล้วไปเถิด เพราะถึงอย่างไรก็นับว่าบำเพ็ญมาค่อนข้างนาน ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นั้นเพิ่งจะบำเพ็ญมานานสักเท่าใดกัน เป็นขั้นสุดยอดแล้วหรือ ตั้งแต่เมื่อใดกัน ขั้นสุดยอดง่ายดายถึงเพียงนี้เชียวหรือ หรือว่าพรสวรรค์ของเขาร้ายกาจหาใดเปรียบจริงๆ”

จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ถึงขั้นมีลางสังหรณ์อย่างหนึ่งขึ้นมา

ต่อให้เข้าไปในยุคหน้า หรือยุคถัดไปอีก

หากต้องช่วงชิงกับพวกจอมกระบี่และตงป๋อเสวี่ยอิง เขาคิดจะปกครองกฎเกณฑ์สูงสุดนั้นก็มีหวังไม่มากนัก

“เมื่อมีพวกเขาขัดขวาง ยุคหน้าก็จะเผยแพร่ลัทธิได้ยากขึ้น” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ลอบพึมพำ “ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นั้นก็ยังเชี่ยวชาญเขตลวงโลกเทียมอีกด้วย การควบคุมวิญญาณไม่แพ้ข้าเลย”

เขากลับไม่รู้ว่าบัดนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงสำเร็จเป็นเทพจักรวาลชั้นที่สองทางด้านเขตลวงโลกเทียมไปแล้ว

“ต้องวางมือจากเส้นทางการเผยแพร่ลัทธิเสียก่อน!”

“รับรู้วิถีสายอื่นๆ ก็แล้วกัน พยายามควบคุมต้นกำเนิดจักรวาลให้มากหน่อย นอกจากนี้ยังต้องบำเพ็ญสายต่างๆ ควบคู่กัน ก็อาจจะสามารถผสานรวมกันและทำให้ข้าใช้พลังทำลายกฎได้ในท้ายที่สุดกระมัง” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ครุ่นคิด แม้จะสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันหนักหน่วง แต่กลับไม่ย่อท้อเลยแม้แต่น้อย เนื่องจากเขาเข้าใจดีมากว่าการกระโดดออกจากกรงขังนั้นยากเย็นเพียงด “จอมกระบี่และตงป๋อเสวี่ยอิงนั่นคงจะมิอาจกระโดดออกจากกรงขังนี้ได้ไปหลายยุคเลยกระมัง ท้ายที่สุดผู้ใดจะคว้าชัย ก็ยังบอกได้ยาก!”

“เอ๊ะ”

จอมเทพศักดิ์สิทธิ์สัมผัสได้ถึงคลื่นอีกระลอกหนึ่ง “นี่มันเรื่องอันใดกัน หรือยังไล่ล่าจักรพรรดิจวินอยู่ จักรพรรดิจวินมิได้หนีไปแล้วหรือไร”

จอมเทพศักดิ์สิทธิ์สัมผัสรับรู้ไปตามระลอกคลื่นทันที ก็พบว่าในโลกจอมมารดา ‘จอมมารดา’ แห่งโลกจอมมารดาได้สิ้นใจไปแล้ว!

เขายังมิทันได้แตกตื่น

“สวบ สวบ”

ประกายกระบี่สีเขียวเจิดจ้าดูอันตรายทั้งสองสายด็แทงเข้ามาในกายของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์体内,ประกายกระบี่เสียแล้ว รวดเร็วและกะทันหันนัก ด้วยพลังของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ยังมิอาจหลบได้ทัน

ตู้ม!

ร่างกายของเขาระเบิดออกทันทีก่อนจะสลานหายไป

“โครมมม…” ตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏกายขึ้นกลางท้องฟ้าเหนือโลกทิพย์อันกว้างใหญ่ไพศาล แล้วสำแดง ท่าไม้ตาย ‘มหาสมุทรคละถิ่น’ ของยุทธวิธีหิมะเหินออกมา

แสงสีดำที่กระจายออกจากร่างกายของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์รวมตัวกันขึ้นอีกครั้งไกลออกไป ในฐานะฝูงมารผลาญทำลาย ความสามารถในการรักษาชีวิตของเข้าก็ไม่แพ้จักรพรรดิจวินเลย

เขามองดูจอมกระบี่และตงป๋อเสวี่ยอิงที่สำแดงบริเวณอันน่าหวาดหวั่นอยู่ไกลออกไปด้วยความตื่นตระหนก

“สมควรตาย”

จอมเทพศักดิ์สิทธิ์เดือดดาลเหลือแสน

เขารู้แล้ว

จอมกระบี่และตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้ลงมือกับจักรพรรดิจวิน แล้วยังมาลงมือกับเขาอีก! ‘ร่างแปรทิพย์โบราณ’ ของเขาได้เสียไปจนหมดแล้วในสงครามกับเจ้าศิลา จนถึงตอนนี้ ก็ยังคงสั่งสมได้น้อยอย่างยิ่งอยู่ดี ต่อให้สั่งสมอย่างแน่นหนา เมื่อเผชิญหน้ากับจอมกระบี่ก็ไร้ประโยชน์เช่นกัน

“หนี”

จอมเทพศักดิ์สิทธิ์แทบจะเลือกทางเส้นนี้ทันทีด้วยสัญชาตญาณ

จักรพรรดิจวินใช้การต่อสู้ครั้งแล้วครั้งเล่าพิสูจน์ข้อหนึ่งว่าเมื่อเผชิญหน้ากับ ‘จอมกระบี่’ ก็จะไร้แรงตอบโต้ ยิ่งประมือมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งบาดเจ็บสาหัสมากขึ้นเท่านั้น!

สวบ สวบ!

ร่างแปรทิพย์โบราณหลอมรวมเป็นหนึ่งกับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์แทบจะในพริบตาเดียว อีกทั้งสายฟ้าก็ลั่นครั่นครืนในพริบตา ทำให้มิติแยกออกเป็นทางเชื่อมน้ำวนสายหนึ่งในทันใด เขาแทรกตรงเข้าไปแล้วหายวับไปทันที

“ไล่ตาม!”

ด้วยวิธีการเดียวกับที่ไล่สังหารจักรพรรดิจวิน

ร่างแยกที่ค่อนข้างอ่อนแอร่างหนึ่งของตงป๋อเสวี่ยอิง พาจอมกระบี่สองท่านสำแดงการเคลื่อนที่ในพริบตา แล้วไล่สังหารจอมเทพศักดิ์สิทธิ์อย่างไม่หยุดหย่อน!

……

ไล่สังหารจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ไปพลาง

ส่วนในโลกทิพย์กลับมีร่างแยกอันแข็งแกร่งของตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่สามร่าง

“ตู้ม” “ตู้ม” “ตู้ม”

โลกเขตลวงขนาดมหึมาร่อนลงไป ขอบเขตของโลกเขตลวงห่างชั้นกับบริเวณห้วงอากาศของตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่มากโข อย่างบริเวณห้วงอากาศ ร่างแยกขนาดใหญ่ปกคลุมโลกทิพย์และยังเกินไปอีกมาก! ส่วนโลกเขตลวง ร่างแยกสามร่างร่วมมือกันจึงสามารถปกคลุมได้อย่างพอถูไถ

“ต้องเร่งช่วยเหลือพวกเขา” ร่างแยกทั้งสามของตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงโลกเขตลวงขนาดมหึมาปกคลุมทั่วทั้งโลกทิพย์เอาไว้

ทุกชีวิตบนโลกทิพย์

ตั้งแต่อ่นแอไปจนถึงเทพจักรวาลด้านอสนีบาตเพียงคนเดียวล้วนแต่ตกอยู่ในนั้นทั้งสิ้น เทพจักรวาลผู้นั้นเป็นเพียงเทพจักรวาลชั้นที่หนึ่ง บัดนี้วิถีเขตลวงโลกเทียมทั้งสี่สายของตงป๋อเสวี่ยอิงหลอมรวมกันแล้ว! ห่างจากขั้นสุดยอดอีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้น เขตลวงของเขาน่าเกรงกลัวเพียงใดกัน

“วิญญาณ”

“พละกำลังสายนั้น”

ตกเข้าไปในเขตลวง สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนภายในโลกทิพย์ก็มิได้ต้านทานแต่อย่างใด วิญญาณของพวกเขาก็มิได้ขัดขืน ปล่อยให้ควบคุมแต่โดยดี

พละกำลังสายนั้นที่ประทับอยู่บนวิญญาณถูกตงป๋อเสวี่ยอิงแทรกซึมเข้าไปอย่างระมัดระวัง

“เทพจักรวาลอสนีบาตผู้นั้นออกจะยุ่งยากอยู่บ้าง”

“อื้ม แทรกซึมได้สำเร็จแล้ว”

“ตัดขาดหมดแล้ว”

ตัดขาดก่อน แล้วค่อยๆ ทำลายไป

ตัดขาด…ก็เพื่อป้องกันจอมเทพศักดิ์สิทธิ์อาศัยรอบประทับนี้สังหารผู้ศรัทธาเหล่านี้นั่นเอง

……

ไม่เพียงแต่โลกทิพย์เท่านั้น ยังมีสถานที่ที่ค่อนข้างใหญ่ของขุมอำนาจของลัทธิทิพย์โบราณอย่างดินแดนเก้าเมฆาที่เขาส่งร่างแยกไป ทว่าสถานที่เหล่านั้นเล็กกว่าโลกทิพย์มากนัก ผู้ศรัทธาในโลกทิพย์คิดเป็นเก้าส่วนของผู้ศรัทธาจอมเทพศักดิ์สิทธิ์จำนวนนับไม่ถ้วนแล้ว! เป็นเพราะโลกทิพย์ใหญ่โตยิ่งนัก

……

จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ประสบกับการร่วมมือไล่ล่าของตงป๋อเสวี่ยอิงและจอมกระบี่ เพลิงโทสะก็อัดแน่นเต็มอก เขามิได้นึกถึงการเข่นฆ่าผู้ศรัทธาตนเลย ด้วยสัญชาตญาณ เขาก็ยังคิดว่าผู้ศรัทธาคือแหล่งกำเนิดพละกำลังของร่างแปรทิพย์โบราณ จะปกป้องยังไม่ทันเลย แล้วจะเข่นฆ่าได้อย่างไรกัน

“พวกเขากล้าได้อย่างไร กล้าได้อย่างไรกัน!”

จอมเทพศักดิ์สิทธิ์แค้นเคืองหาใดเปรียบ

นานเกินไปแล้ว

ตลอดคืนวันอันยาวนาน ตั้งแต่ยุคต่างๆ ก่อนหน้านี้

เขาคุ้นชินกับการสูงส่งเหนือใคร คุ้นชินกับการทำให้ผู้แกร่งกล้าจำนวนนับไม่ถ้วนหวั่นเกรง ความเคยชินเช่นนี้ดำเนินต่อเนื่องมาหลายยุคสมัยแล้ว! เมื่อยามนี้มาถึง เมื่อเขาถูกถอดบัลลังก์ออก ถูกไล่สังหารจนเหมือนกับสุนัขไร้บ้าน จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็รู้สึกอดสูใจอย่างใหญ่หลวง จะแค้นเคืองไปก็ไร้ประโยชน์! พลังของจอมกระบี่ผู้นั้นสามารถกดดันเขาได้อย่างสิ้นเชิง ส่วนวิถีอากาศของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ทำให้เขามิอาจหลบหลีกไปไหนได้

“จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ เจ้าหนีไม่พ้นหรอก” เงาร่างสามสายปรากฏขึ้นอีกครั้ง ประกายกระบี่却เฉียดผ่านร่างกายไป

ร่างของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ระเบิดออกมาอีกครั้ง

“จะหนีไปไหนก็ต้องถูกไล่สังหารทั้งนั้นแหละ” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์กลับไม่รู้เลยว่า เนื่องจากตงป๋อเสวี่ยอิงต้องสำแดงโลกเขตลวง จึงได้ย้ายร่างแยกทั้งสามซึ่งประจำการอยู่ที่โลกทิพย์นิจนิรันดร์ โลกจอมมารดาและโลกทิพย์กิเลนบูรพาไปยังโลกทิพย์โบราณเสียแล้ว

แต่ทว่า จอมเทพศักดิ์สิทธิ์กำลังหนีเอาชีวิตรอด ก็ย่อมมุ่งหน้าไปทางพื้นที่อันห่างไกลเป็นธรรมดา ไม่มีทางมุ่งหน้าไปยังโลกทิพย์ทั้งหลายเองเป็นแน่

ฟิ้ว!

ตู้ม!

ประกายกระบี่ส่งเสียงอื้ออึง

ถูกโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่า พลังชีวิตถูกเผาผลาญไปอย่างรวดเร็ว ในชั่วระยะเวลาสั้นๆ เพียงพริบตานั้น เขาถูกลอบโจมตีถึงห้าครั้งติดต่อกัน พลังชีวิตสูญเสียไปถึงสามส่วนแล้ว เพราะถึงอย่างไรจอมกระบี่ก็ใช้สองร่างร่วมมือกันเคลื่อนไหว

“จะเป็นเช่นนี้ต่อไปมิได้แล้ว ได้แต่ต้องไปยังทางเดินโลกาพิศวงเท่านั้น” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์เดือดดาลขึ้นมา แต่กลับทำได้เพียงเลือกเส้นทางเดียวกับจักรพรรดิจวินเท่านั้น

สวบ!

อสนีบาตอันน่าหวาดหวั่นสายหนึ่งแหวกทางเชื่อมสายหนึ่งขึ้นมา จอมเทพศักดิ์สิทธิ์เดินเลียบทางสายนี้ไป แล้วตรงเข้าสู่ทางเดินโลกาพิศวง

ทางเดินโลกาพิศวง

ที่นี่คือสถานที่ให้กำเนิดฝูงมารผลาญทำลาย และเป็นเขาวงกตขนาดมหึมาอย่างยิ่งอีกด้วย! มิติที่นี่แปลกประหลาดยากเกินคาดเดา

สวบๆๆ!

เงาร่างสามสายของพวกตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึงที่นี่

“ทางเดินโลกาพิศวง” ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้วเล็กน้อย นอกจากรอบด้านจะมีแรงกดดันและมิติเปลี่ยนแปลงอย่างน่าพิศวงแล้ว ยังมีมิติมากมายที่เป็นรอยเลื่อน! ขอบเขตการตรวจตราของตนเพิ่งจะแผ่ออกไปได้เล็กน้อยเท่านั้น บริเวณก็ถูกตัดขาดเสียแล้วเพราะรอยเลื่อน! รอยเลื่อนจำนวนนับไม่ถ้วนเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่หยุดหย่อน ทำให้ที่นี่เกิดเป็นเขาวงกตขนาดใหญ่

เทพจักรวาลคิดจะตามหาฝูงมารผลาญทำลายที่นี่ก็ทำได้ยากมาก และนี่ก็คือกฎเกณฑ์สูงสุดที่ปกป้องฝูงมารผลาญทำลายเอาไว้

“พวกเราหาเขาไม่พบหรอก ต่อให้ใช้เวลาตามหาจอมเทพศักดิ์สิทธิ์พบอย่างยากลำบาก จอมเทพศักดิ์สิทธิ์เล็ดรอดไปครั้งหนึ่ง พวกเราก็หาไม่พบอีกแล้ว ไปกันเถิด เขาก็ทำได้แค่หลบอยู่ที่นี่เท่านั้น เพราะหากเป็นที่อื่น พวกเราก็สามารถไล่สังหารเขาได้อย่างง่ายดาย” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว

“อื้ม ให้เขาหลบอยู่ที่นี่ตลอดไปก็แล้วกัน” จอมกระบี่ก็พยักหน้าแล้วเผยรอยยิ้มออกมา

……

ภายในมิติปิดผนึกแห่งหนึ่งของทางเดินโลกาพิศวง

จอมเทพศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่นี่เพียงลำพัง

รอบด้านเต็มไปด้วยความเวิ้งว้างขาวโพลนราวหิมะ จอมเทพศักดิ์สิทธิ์มองดูทุกสิ่งอย่างเงียบเชียบ ในใจรู้สึกวังเวงนัก

เขาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้เสียได้

เขาถุกไล่ล่าเสียจนขึ้นไปก็ไม่มีทางเดิน ลงไปก็ไร้ประตู ทำได้เพียงหนีเข้ามาในทางเดินโลกาพิศวงเท่านั้น! และทางเดินโลกาพิศวงนี้ก็ยังกดดันเขาอีกต่างหาก! จะมีก็แต่พวกเผ่ามารผลาญทำลายที่ถือกำเนิดขึ้นมาในยุคนี้เท่านั้น ที่อยู่ในทางเดินโลกาพิศวงแล้วจะไม่ถูกกดดัน

“ข้ากลายเป็นเช่นนี้ไปแล้วหรือ” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ยืนอยู่ตรงนั้น

ทันใดนั้น…

“ผู้ศรัทธาของข้า” ทันใดนั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็สัมผัสได้แล้ว

ร่างแยกหลายร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงแทรกซึมเข้าไปตัดขาดรอยประทับทั้งหมดภายใต้โลกเขตลวง ทำให้การติดต่อระหว่างเขาและเหล่าผู้ศรัทธาถูกตัดขาด แม้จะมิกล้ากล่าวว่าสำเร็จเต็มร้อย แต่รอยประทับของผู้ศรัทธาเก้าสิบเก้าส่วนก็ถุกตัดขาดหมดแล้ว

“เขาสามารถทำลายรอยประทับวิญญาณของข้าได้อย่างไรกัน” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ไม่อยากจะเชื่อ

ถูกไล่สังหารจนต้องมาหลบอยู่ที่นี่

แม้แต่ผู้ศรัทธาก็ยังถูกช่วงชิงไปด้วยอย่างนั้นหรือ

ไม่มีอะไรอีกแล้วหรือ

ต่อให้โลกกำเนิดยุคหน้ามาถึง มีศัตรูตัวฉกาจอย่างจอมกระบี่และตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ วันคืนของเขาก็คงจะต้องเศร้าโศกมากเช่นเดียวกัน

ขณะนี้ จอมเทพศักดิ์สิทธิ์รู้สึกว่าในใจเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง!

“ข้าไม่ยอมจำนนหรอก!” ใบหน้าที่สงบนิ่งมาตลอดของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์บูดเบี้ยว เผยให้เห็นด้านที่เป็นฝูงมารผลาญทำลายของเขา ร่างกายก็มีหมอกดำม้วนตัวขึ้นมา เขาคำรามเสียงต่ำว่า “ข้าไม่ยอมจำนนหรอก!”

เสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวของเขา สะท้อนก้องอยู่ในมิติอันเงียบเหงาแห่งนี้

……………………….

จอมกระบี่พูดยิ้มๆ ว่า “ข้าบรรลุถึงเทพจักรวาลชั้นที่สองแล้ว ทั้งยังบำเพ็ญมาอย่างยาวนาน รู้สึกมั่นใจว่าจะใช้ด้าน ‘วิถีทำลายล้าง’ กดดันจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ได้สักตั้งหนึ่ง จึงได้ปะทุออกมาแล้วช่วงชิงต้นกำเนิดบางส่วนของโลกกำเนิดมา ภายใต้เงื่อนไขและทรัพยากรที่ดีที่สุดของรัฐโบราณคิมหันตวายุ ท้ายที่สุดยังได้รับเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งในวังเทพจิตโลกามาอีก รับรู้อยู่นานแสนนานจึงก้าวเข้าสู่ขั้นสุดยอดได้ในรวดเดียว”

“อื้ม” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

“จะว่าไปแล้ว วิถีอากาศและเขตลวงโลกเทียมของเจ้า น่าจะเป็นอันดับหนึ่งในโลกกำเนิดของพวกเราแล้วกระมัง” จอมกระบี่เอ่ย “วิถีอากาศจวนจะถึงขั้นสุดยอดแล้วกระมัง เหตุใดเจ้าจึงยังไม่ไปควบคุมพลังต้นกำเนิดนี้อีกเล่า”

“เพราะข้ากลัวหมาจนตรอกน่ะสิขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “ข้าบำเพ็ญวิถีอากาศและเขตลวงโลกเทียมควบคู่กันสองสาย ข้าก้าวหน้าได้รวดเร็วเสียจนกลัวว่าจะส่งผลกระทบต่อจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ เป็นไปได้มากว่าเขาจะเหมือนกับจักรพรรดิจวิน ที่เลือกให้ยุคนี้สิ้นสุดลงเสียก่อน ถึงอย่างไรข้าก็ยังมิได้บรรลุถึงขั้นสุดยอด! เมื่ออากาศอันสับสนอลหม่านถูกทำลายลงไป ร่างจริงของข้าอยู่ที่นี่ก็ต้านทานมิได้ ต้องสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกาจากไป หลังจากถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ในโลกกำเนิดอีกครั้งแล้ว ต่อให้ข้ากลับมาใหม่ ก็จัดเป็นผู้มาจากภายนอกแล้ว”

จอมกระบี่กระจ่างแจ้งขึ้นมา “ก็จริง ด้วยนิสัยของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ เป็นไปได้มากว่าอาจจะกระทบถูกเขาเข้าจริงๆ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

กระโดดออกจากกรงขัง สำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่น คือสิ่งที่เทพจักรวาลขั้นสุดยอดทุกคนปรารถนา!

เท่าที่เขารู้ในตอนนี้ วิธีกระโดดออกจากกรงขังได้แก่…

หนึ่ง ควบคุมกฎเกณฑ์สูงสุด

สอง ก็คือใช้พลังทำลายกฎ ตนเองแข็งแกร่ง เหนือกว่าพันธนาการของกฎเกณฑ์สูงสุดทั้งปวง หากเป็นเช่นนั้น จะหันกลับมาหลอมแปรและควบคุมโลกกำเนิดแห่งหนึ่งก็ง่ายดายแล้ว

ส่วนวิธีควบคุมกฎเกณฑ์สูงสุด

ผู้บำเพ็ญขั้นสุดยอดโดยทั่วไปล้วนแต่เหมือนกับ ‘จอมเทพศักดิ์สิทธิ์’ ที่เผยแพร่ลัทธิแก่สรรพชีวิต ให้สรรพชีวิตศรัทธาเขา สิ่งมีชีวิตอันทรงปัญญานี้จึงจะเป็นการรวมตัวของแก่นหลักแห่งฟ้าดินของโลกกำเนิด! ‘วิญญาณ’ เป็นเอกลักษณ์และลี้ลับ แม้แต่สำหรับเทพจักรวาล พละกำลังซึ่งเป็นแก่นแท้ที่สุดที่แฝงอยู่ในวิญญาณก็ยังเป็นประโยชน์ต่อวิญญาณเช่นกัน

หากในโลกกำเนิดแห่งหนึ่ง สิ่งมีชีวิตจำนวนมากล้วนศรัทธาผู้แกร่งกล้าคนเดียวกัน!

ปณิธานของสรรพชีวิต! ก็คือปณิธานของโลกกำเนิด!

หากสรรพชีวิตศรัทธาผู้แกร่งกล้าคนเดียวกัน ปณิธานของโลกกำเนิดก็จะศรัทธาผู้แกร่งกล้าคนเดียว หากเป็นเช่นนี้ ก็ย่อมสามารถปกครองทั้งกฎเกณฑ์สูงสุดได้อย่างสบายๆ และสำเร็จเป็นเจ้านายของโลกกำเนิดได้ในรวดเดียว! อาศัยพละกำลังอันมหาศาลของโลกกำเนิดหล่อเลี้ยงตนเอง ก็ย่อมสามารถก้าวออกจากก้าวนั้น และสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นได้

เพียงแต่ทางเส้นนี้ก็ยากมากเช่นกัน

ข้อแรก โลกกำเนิดแห่งนั้นจะต้องมีสิ่งมีชีวิตมากพอ หากในช่วงแรกที่โลกกำเนิดถือกำเนิดขึ้นมามีสิ่งมีชีวิตน้อยนิดเกินไป ปณิธานของสิ่งมีชีวิตก็จะส่งผลกระทบต่อโลกกำเนิดเบาบางมาก มีแต่ต้องถึงยุคที่รุ่งโรจน์อย่างยิ่งที่สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนบรรลุถึงขีดจำกัดที่โลกกำเนิดจะสามารถรับได้เท่านั้น ปณิธานของสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนจึงจะมีคุณสมบัติพอจะส่งผลกระทบต่อปณิธานของโลกกำเนิดได้!

ข้อต่อมา ศรัทธาจะต้องเป็นศรัทธาอย่างแท้จริงที่เกิดจากวิญญาณเท่านั้น! หากศรัทธาไม่บริสุทธิ์พอก็ไร้ประโยชน์ ดังนั้นพวกจอมเทพศักดิ์สิทธิ์จึงสำแดงรอบประทับหลอมรวมเข้าไปในวิญญาณของผู้นับถือแต่ละคน

ไร้ข้อกังขา

ว่าบนเส้นทางนี้ จะต้องถูก ‘กฎเกณฑ์สูงสุด’ ขัดขวาง ผู้แกร่งกล้าคนอื่นๆ ก็จะต้องขัดขวางเช่นกัน!

เช่นพวก ‘จอมเทพศักดิ์สิทธิ์’ สามารถต้านรับการแตกสลายครั้งใหญ่ของโลกกำเนิดได้ เมื่อถือกำเนิดขึ้นมาใหม่นั้น จอมเทพศักดิ์สิทธิ์และเจ้าศิลาก็ต้องตกอยู่ในห้วงนิทรา! รอจนพวกเขาตื่นขึ้นมา โลกกำเนิดก็ได้มีสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนวิวัฒน์ขึ้นมาแล้ว และมีเทพจักรวาลบางส่วนปรากฏขึ้นแล้ว…กฎเกณฑ์สูงสุดของโลกกำเนิดหมุนเวียนไป ก็เพื่อให้สิ่งมีชีวิตใหม่ที่ถือกำเนิดขึ้นมามีแรงต้านทานเพียงพอ ‘ความสมดุล’ ก็เป็นหนึ่งในแก่นแท้ที่สำคัญของกฎเกณฑ์สูงสุด

……

นอกจากเผยแพร่ลัทธิ ทำให้ปณิธานของสรรพชีวิตช่วยตนปกครองกฎเกณฑ์สูงสุดแล้ว

ยังมีอีกวิธีหนึ่ง…ก็คือควบคุมต้นกำเนิดให้ได้!

โลกกำเนิดก็มีต้นกำเนิดเช่นกัน!

ต้นกำเนิดคือกฎเกณฑ์สูงสุดซึ่งเกิดจาก ‘วิถีขั้นสุดยอด’ แต่ละสายรวมตัวกันอย่างสมบูรณ์แบบ เนื่องจากไม่ว่าจะเป็นต้นกำเนิดสายไหน…ก็ล้วนแต่เป็นระดับขั้นสุดยอด คิดจะควบคุม อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเป็นระดับเทพจักรวาลชั้นที่สอง

หากต้นกำเนิดที่ปกครองมีจำนวนเกินครึ่งหนึ่ง ก็สามารถอาศัยสิ่งนี้ปกครองกฎเกณฑ์สูงสุดได้แล้ว!

แต่ปกครองได้เกินครึ่ง หมายความว่าอย่างไรน่ะหรือ

ก็หมายความว่าบนเส้นทางจำนวนมากล้วนแต่ต้องบรรลุถึงระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองทั้งสิ้น!

“วิถีอากาศของข้าบรรลุถึงระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองตั้งนานแล้ว แม้แต่วิถีเขตลวงโลกเทียมก็เป็นเช่นนี้ ดังนั้นข้าจึงต้องระมัดระวังยิ่งขึ้น ไม่ให้ไปกระทบถูกจอมเทพศักดิ์สิทธิ์เข้า” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว เมื่อเผชิญหน้ากับจอมกระบี่ก็ไม่จำเป็นต้องปิดบัง จอมกระบี่เป็นขั้นสุดยอดของรัฐโบราณคิมหันตวายุ เกรงว่าอีกไม่นานก็คงจะล่วงรู้ความลับมากมายเข้าอยู่ดี

“วิถีเขตลวงโลกเทียมก็บรรลุถึงชั้นที่สองแล้วหรือ” จอมกระบี่ตกตะลึง

“ข้อเจรจาตกลงกับรัฐโบราณคิมหันตวายุไปยกหนึ่งแล้ว และได้รับดอกบัวเพลิงห้วงอากาศมาจากที่นั่นด้วย ดังนั้นพวกจักรพรรดิเซี่ยจึงรู้สถานะคนวิถีจิตฟ้าของข้ามาตั้งนานแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว

“ฮ่าฮ่า มิน่าเล่า จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นบำเพ็ญมาหลายยุคแล้ว วิถีอสนีบาตเป็นขั้นสุดยอด บรรลุถึงระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองแล้ว ทั้งยังมี ‘วิถีทำลายล้าง’ ‘วิถีความมืด’ และ ‘วิถีแสงสว่าง’ ด้วย” จอมกระบี่กล่าว “ก่อนหน้านี้ข้ามีผลสำเร็จทางด้านวิถีทำลายล้างลึกล้ำกว่าเขา และฝืนชิงเอาสิทธิ์การปกครอง ‘วิถีทำลายล้าง มาได้ ที่เขาควบคุมก็น้อยกว่า แต่เจ้าบำเพ็ญเป็นระยะเวลาสั้นกว่าข้ามาก หาชิงเอาต้นกำเนิดสองสายได้ต่อเนื่องกัน จะต้องส่งผลกระทบต่อเขาเป็นแน่”

ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า “ใช่แล้ว เดิมทีข้าคิดว่าจะเก็บเนื้อเก็บตัวไปตลอด รอให้บรรลุถึงขั้นสุดยอดแล้วข้าค่อยลงมือ!”

หากไม่สำเร็จเป็นขั้นสุดยอด

ถ้าจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ล้มกระดานขึ้นมา ตนก็มิอาจต้านทานการแตกสลายครั้งใหญ่ได้

แม้จะกล่าวว่ามีขั้นสุดยอดเพิ่มมาอีกสักคนสองคน จะช่วยเคี่ยวกรำด้าน ‘การบำเพ็ญ’ แต่หากคู่ต่อสู้น่ากลัวเกินไป ก็มิใช่การเคี่ยวกรำ แต่เป็นหายนะแทนแล้ว!

ก่อนหน้านี้จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ไม่กลัว ‘จอมกระบี่’ เลย เนื่องจากจอมกระบี่เชี่ยวชาญเพียงแค่ ‘วิถีทำลายล้าง’ เพียงสายเดียวเท่านั้น วิถีเส้นนี้ก็ไม่เชี่ยวชาญด้านการเผยแพร่ลัทธิและควบคุมวิญญาณ ทั้งยังไม่เชี่ยวชาญด้านการปกครองต้นกำเนิดจำนวนมากเสียด้วย! ดังนั้นเขายังตั้งตารอคอยให้จอมเทพศักดิ์สิทธิ์เติบโตขึ้น เนื่องจากโลกกำเนิดมีเขาและเจ้าศิลาเพียงสองคนเท่านั้นที่เป็นขั้นสุดยอด เจ้าศิลาก็อยู่ในห้วงนิทราตลอดเวลา เขารู้สึกว่าเงียบเหงาเกินไปแล้ว

แต่หากตงป๋อเสวี่ยอิงบำเพ็ญไม่ถึงสองล้านล้านปีก็ปกครองต้นกำเนิดสองสายต่อเนื่องกันแล้วล่ะก็ จะต้องส่งผลกระทบต่อเขาอย่างแน่นอน

บางทีเขาอาจจะมั่นใจที่จะเผชิญหน้ากับภัยคุกคามจากตงป๋อเสวี่ยอิงก็เป็นได้

แต่ก็เป็นไปได้ว่าอาจจะล้มกระดาน ทำลายล้างโลกตั้งแต่เนิ่นๆ เสียเลย!

“เจ้ายังมิได้สำเร็จเป็นขั้นสุดยอดหรือ” จอมกระบี่มองดูตงป๋อเสวี่ยอิง “ได้รับเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งจากวังเทพจิตโลกาแล้วกระมัง”

“ใช่แล้ว ข้ากับท่านเข้าไปในวังเทพจิตโลกาพร้อมกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “แม้จะมีเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่ง แต่จะบรรลุถึงขั้นสุดยอดก็ยังคงยากมากอยู่ดี”

จอมกระบี่พยักหน้า นัยน์ตาแฝงแววอึดอัดเอาไว้ “ใช่ ยากมาก”

เมื่อเดินผ่านทางเส้นนี้ไป จึงเข้าใจถึงความยาก

ผู้อื่นรู้เพียงว่าเขาบำเพ็ญได้รวดเร็วมาก แต่กลับไม่รู้ว่าเขาประสบกับอะไรมามากน้อยเพียงใด

“ข้าอยู่ในสกุลชาง การช่วงชิงภายในดุเดือดนัก ก่อนหน้านี้ข้ายังค่อนข้างอ่อนแอ จึงมิอาจแย่งชิงอันดับเข้าไปในวังเทพจิตโลกาได้ หลังจากสำเร็จเป็นจอมเคารพแล้ว จึงช่วงชิงอันดับมาได้” จอมกระบี่กล่าว

“เคราะห์ดีที่ท่านบรรลุ มิเช่นนั้นครั้งนี้จักรพรรดิจวินอุกอาจเช่นนี้ ก็คงยุ่งยากใหญ่แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย

“โชคดีมากเช่นกันที่มีเจ้าอยู่ ลำพังข้าคนเดียวคงมิอาจหยุดยั้งเขาได้” จอมกระบี่ยิ้ม

ทั้งสองสบสายตากัน

แล้วก็ยิ้มออกมา

ใช่แล้ว

โชคดีอยู่บ้างจริงๆ พวกเขาทั้งสอง แค่คนเดียวมีพลังไม่พอ จึงมิอาจขัดขวางการทำลายล้างโลกของฝูงมารผลาญทำลายขั้นสุดยอดตนหนึ่งได้! ตอนนั้น ‘เจ้าเมืองหลัว’ สงสารสรรพชีวิต จำนวนนับไม่ถ้วนอย่างแท้จริง จึงได้มอบโอกาสให้ตงป๋อเสวี่ยอิงและจอมกระบี่คนละครั้ง เจ้าเมืองหลัวก็มิได้มั่นใจอะไร เพียงแค่มอบความหวังให้เท่านั้น บัดนี้ก็สำเร็จขึ้นมาแล้วจริงๆ!

พวกเขาทั้งสองช่วยเหลือสรรพชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนเอาไว้

“ในเมื่อท่านจอมกระบี่บรรลุแล้ว เช่นนั้นข้าก็ไม่จำเป็นต้องอดทนต่อไปอีกแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “ไล่ล่าจักรพรรดิจวินจนต้องหลบเข้าไปในทางเดินโลกาพิศวงแล้ว เช่นนั้นพวกเราก็ยิ่งไม่จำเป็นต้องอดทนจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นเข้าไปใหญ่”

“จอมเทพศักดิ์สิทธิ์หรือ” จอมกระบี่นัยน์ตาเป็นประกาย “เจ้าหมายความว่า…”

“ข้ากับท่านสองคนร่วมมือกัน สามารถบีบจักรพรรดิจวินจนเป็นเช่นนี้ได้! ก็สามารถบีบให้จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ทำได้แต่หลบซ่อนเช่นกัน” แววตาของตงป๋อเสวี่ยอิงคมปลาบ “วิธีการเผยแพร่ลัทธิของเขาคือการทำให้สรรพชีวิตต้องตกเป็นทาส เข้าควบคุมวิญญาณของพวกเขาโดยตรง สามารถช่วยเหลือสรรพชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนเหล่านั้นได้เร็วเท่าไหร่ก็ทำให้เร็วที่สุดเถิด”

จอมกระบี่มองตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วเอ่ยว่า “เจ้ามั่นใจว่าจะสามารถช่วยเหลือได้หรือ”

“ทำให้สรรพชีวิตต้องตกเป็นทาส ก็แค่วิธีควบคุมวิญญาณบางอย่างเท่านั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม “พูดถึงการควบคุมวิญญาณแล้ว ท่านคิดว่าจอมเทพศักดิ์สิทธิ์จะสามารถสู้วิถีเขตลวงโลกเทียมระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองของข้าได้อย่างนั้นหรือ ข้าเคยตรวจสอบวิญญาณของสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนนั่นแล้ว ยังมีโอกาสแก้ไขได้ เพียงแต่ก่อนหน้านี้ข้ามิกล้าลงมือ ด้วยกลัวว่าจะทำให้เขาแตกตื่น”

“ดี” จอมกระบี่รอคอยด้วยความตื่นเต้น “ในเมื่อเจ้าสามารถช่วยเหลือสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนที่ตกเป็นทาสได้ เช่นนั้นก็สามารถลงมือได้ตลอดเวลาแล้ว”

“ครั้งนี้ต้องไล่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์นั่นไปในรวดเดียวให้ได้!” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รอคอย

ส่วนการสังหารน่ะหรือ

แน่นอนว่าเขาปรารถนา คนที่สิ้นชีวิตไปเพราะจอมเทพศักดิ์สิทธิ์มีมากมายยิ่งนัก แต่ว่าก็ยังคงสังหารมิได้! ผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอดนั้น ต่อให้เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูก็ยากจะสังหารได้

สวบๆๆๆๆ…

ในยามนี้

ท่ามกลางอากาศอันสับสนอลหม่านอันกว้างใหญ่ไพศาล มีตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวปรากฏกายขึ้นตามสถานที่ต่างๆ บ้างก็อยู่กลางท้องฟ้าเหนือแผ่นดินอลหม่าน บ้างก็อยู่ข้างจักรวาลแห่งหนึ่ง บ้างก็ท่องไปทั่วอากาศอันสับสนอลหม่าน แต่ทว่า บัดนี้อันตรายที่กำเนิดขึ้นมาในอากาศอันสับสนอลหม่านตามธรรมชาตินั้นทำอะไรร่างแยกของตงป๋อเสวี่ยอิงไม่ได้สักร่างแล้ว

ด้วยผลสำเร็จทางด้านวิถีอากาศของเขาในตอนนี้ ก็ย่อมมีร่างแยกนับหมื่นเป็นธรรมดา! ที่ประจำการอยู่ในโลกทิพย์ทั้งสี่ ก็แค่ร่างแยกสี่ร่างเท่านั้น

ร่างแยกที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งที่หลงเหลืออยู่อีกห้าร่าง ตงป๋อเสวี่ยอิงสลายวิญญาณบางส่วนเองเพื่อทำให้อ่อนแอลง เนื่องจากบัดนี้พลังของเขายังคงถูกกฎเกณฑ์สูงสุดของโลกกำเนิดบ้านเกิดของตนจำกัดเอาไว้

ร่างแยกนับหมื่น วิญญาณของแต่ละร่างค่อนข้างอ่อนแอ แต่ระดับขั้นกลับเหมือนกันหมด

อาศัยระดับขั้นที่สูงส่งอย่างยิ่ง ร่างแยกแต่ละร่างล้วนแข็งแกร่งจนมีพลังระดับเทพจักรวาลเลยทีเดียว

“วิ้ง”

พลังระดับนี้มิอาจสำแดงท่าไม้ตายอันซับซ้อนของยุทธวิธีหิมะเหินออกมาได้ สำแดงได้เพียงกระบวนท่าจำพวกบริเวณที่เคี่ยวกรำในช่วงต้นเท่านั้น

ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวที่อ่อนแอคนหนึ่งยืนอยู่กลางอากาศอันสับสนอลหม่าน

อณูทรงกลมหมอกดำของแก่นห้วงอากาศจำนวนนับไม่ถ้วนรอบด้านล้วนถูกตงป๋อเสวี่ยอิงควบคุมเอาไว้ เขามิได้ต้องการท่าไม้ตายที่น่าหวาดหวั่นอย่าง ‘มหาสมุทรคละถิ่น’ เขาต้องการเพียงให้บริเวณที่ปลดปล่อยออกมากว้างขวางพอเท่านั้น! ร่างแยกแต่ละร่างล้วนแต่สำแดงบริเวณออกมาอย่างสุดกำลัง แม้เขาจะบำเพ็ญ ‘วิถีอากาศ’ และ ‘วิถีเขตลวงโลกเทียม’ ไปควบคู่กัน ขอบเขตของโลกเขตลวงก็นับว่าใหญ่พอ แต่หากพูดถึงกระบวนท่าทางด้านบริเวณ ก็ยังคงเชี่ยวชาญทางด้านวิถีอากาศมากกว่า

แต่การกดดันของกฎเกณฑ์ ‘อากาศอันสับสนอลหม่าน’ นั้นอ่อนแอเสียยิ่งกว่าอ่อนแอ

ขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงยังเป็นผู้ปกครองเทพแท้นั้น ก็พเนจรไปในอากาศอันสับสนอลหม่าน บริเวณที่สำแดงออกมาก็กว้างใหญ่หาใดเปรียบ

แต่บัดนี้น่ะหรือ

“วิ้ง”

แม้ร่างแยกเหล่านี้จะอ่อนแอ แต่ทุกร่างล้วนแต่มีระดับเทพจักรวาลทั้งสิ้น

บริเวณอากาศที่สำแดงออกมาล้วนแต่กว้างขวางอย่างยิ่งเช่นเดียวกัน

หนึ่งร่าง สองร่าง สามร่าง…

ร่างนับหมื่นร่างกระจัดกระจายกันอยู่ท่ามกลางอากาศอันสับสนอลหม่านแล้วสำแดงออกไปจนสิ้น

“อื้ม”

ร่างแยกนับหมื่นกลับเชื่อมโยงกับวิญญาณทั้งหมด ความทรงจำและความคิดล้วนเชื่อมโยงกันหมด

ยามนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงใช้บริเวณนับหมื่นปกคลุมอากาศอันสับสนอลหม่านกว่าครึ่งในพริบตา

“ขอบเขตอากาศอันสับสนอลหม่านราวเจ็ดส่วนถูกข้าปกคลุมเอาไว้แล้ว ทว่าหลายพื้นที่ล้วนแต่รกร้าง ที่ข้าต้องการปกป้องก็คือจักรวาลและแผ่นดินอลหม่านที่มีสิ่งมีชีวิตอยู่” ตงป๋อเสวี่ยอิงกำหนดจิตคราหนึ่ง ร่างแยกบางร่างก็เริ่มเคลื่อนที่และเปลี่ยนตำแหน่งแล้ว บัดนี้ด้วยผลสำเร็จทางด้านวิถีอากาศของตงป๋อเสวี่ยอิงที่เหนือกว่าพวกจักรพรรดิเก้าเมฆา แค่เคลื่อนที่ในพริบตาคราหนึ่งก็สามารถไปได้ทั่วอากาศอันสับสนอลหม่านแล้ว

อากาศอันสับสนอลหม่านนั้น

บางบริเวณกว้างขวางอย่างยิ่ง แต่กลับไม่มีจักรวาลใดอยู่เลย สิ่งมีชีวิตบนแดนดินไม่ว่าหน้าไหนก็ต้องแห้งแล้งตายซากไปหมด

บางบริเวณกลับเป็นบริเวณที่จักรวาลและแผ่นดินอลหม่านค่อนข้างแน่นขนัด

ดังนั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงละทิ้งพวกบริเวณที่เวิ้งว้างไป

ร่างแยกนับหมื่นร่างของเขาสามารถครอบคลุมอาณาเขตเจ็ดส่วนของอากาศอันสับสนอลหม่านได้ เมื่อละทิ้งพื้นที่รกร้างว่างเปล่าไป ก็ครอบคลุมพื้นที่ของอากาศอันสับสนอลหม่านที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่เอาไว้แทบทั้งหมดแล้ว !

“ตายให้หมดเถอะ!”

กลางอากาศอันสับสนอลหม่านแห่งหนึ่ง จักรพรรดิจวินปรากฏกายขึ้น เขาโบกมือคราหนึ่งก็ปกคลุมทั้งจักรวาลไกลออกไป

หากกล่าวว่า ‘มหาสมุทรคละถิ่น’ มีอานุภาพยิ่งใหญ่กว่า เมื่อเข้าไปก็สามารถสัมผัสรับรู้ได้แล้ว แต่ยามนี้ร่างแยกนับหมื่นของตงป๋อเสวี่ยอิงกลับแค่อาศัยอณูทรงกลมหมอกดำสำแดงบริเวณออกไปเท่านั้น แม้อานุภาพจะอ่อนแออย่างยิ่ง แต่ผลลัพธ์ของการ ‘ตรวจสอบ’ กลับดียิ่งนัก! ขอบเขตกว้างขวาง จักรพรรดิจวินก็ยากที่จะตรวจพบได้

“เขาอยู่นี่”

สวบๆๆ!!!

เงาร่างสามสายปรากฏขึ้นไกลออกไป ร่างหนึ่งคือตงป๋อเสวี่ยอิง อีกสองร่างล้วนแต่เป็นจอมกระบี่ ชั่วขณะที่ปรากฏขึ้นนั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ได้ลงมือคุ้มกันจักรวาลแห่งนั้นเอาไว้แล้ว

“รวดเร็วถึงเพียงนี้เชียว” จักรพรรดิจวินตกใจใหญ่ เขาเพิ่งจะสำแดงออกมา จอมกระบี่ก็มาแล้วหรือนี่

“สวบ สวบ”

จอมกระบี่สองคนออกกระบวนท่าพร้อมกัน

สวบ

จักรพรรดิจวินสาวเท้าเดินมาอีกครั้ง

“ข้าพบแล้ว ไล่ตามไป” บัดนี้บริเวณของตงป๋อเสวี่ยอิงปกคลุมขอบเขตเจ็ดส่วนของอากาศอันสับสนอลหม่าน จักรพรรดิจวินหายวับไปจากจุดหนึ่ง แล้วปรากฏขึ้นจากอีกจุดหนึ่ง ทั้งกระบวนการทะลุผ่านนี้ ทำให้อณูทรงกลมหมอกดำเกิดความเปลี่ยนแปลง เขาจึง ‘มองเห็นได้อย่างชัดเจน’ ขณะเดียวกับที่จักรพรรดิจวินทะลุผ่านไปนั้น ก็เก็บงำกลิ่นอายอย่างสิ้นเชิงแล้ว น่าเสียดาย ที่แม้เขาจะทะลุผ่านระยะทางอันยาวไกลมาก แต่ก็ยังอยู่ในขอบเขตบริเวณของตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ดี

สวบๆๆ!

ร่างแยกของตงป๋อเสวี่ยอิงพาจอมกระบี่ไล่ตามไปทันที

“ครั้งก่อนเหตุใดจึงบังเอิญถึงเพียงนั้น ข้าเพิ่งจะออกกระบวนท่าไปเขาก็ปรากฏกายขึ้นแล้ว รวดเร็วเกินไปแล้ว” จักรพรรดิจวินทะลุไปยังอีกจุดหนึ่งด้วยความระมัดระวัง ขณะเดียวกันก็ลอบสงสัย และไม่สบายใจอยู่บ้าง ตามปกติแล้ว หากสัมผัสรับรู้ได้ถึงระลอกคลื่นที่อยู่ไกลออกไปแล้วสำแดงกระบวนท่าเร่งตามไป ก็ต้องใช้เวลาชั่วอึดใจหนึ่ง

“แคว่ก”

ประกายกระบี่อันน่าหวาดหวั่นสองสายปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า แล้วฟาดลงบนร่างของจักรพรรดิจวิน ทำให้ร่างกายของเขากลายเป็นแสงสีดำไป เขารวมตัวกันขึ้นอีกครั้งไกลออกไป ก่อนจะมองไปยังจอมกระบี่และตงป๋อเสวี่ยอิงที่ปรากฏขึ้นห่างออกไปด้วยสีหน้าตื่นตระหนก

“เป็นไปได้อย่างไร”

“หนี!”

จักรพรรดิจวินข่มโลหิตอันเดือดพล่านภายในกายเอาไว้ แล้วหนีโซซัดโซเซไป

เขาเพิ่งไปถึงอีกจุดหนึ่งอย่างระมัดระวัง ยังไม่ทันได้ถอนหายใจเสียด้วยซ้ำ

ประกายกระบี่ก็ร่อนลงมาอีกครั้ง!

“แคว่ก”

อาการบาดเจ็บทวีคูณขึ้นอีกครั้ง

……

หนี!

หนี!

หนี!

จักรพรรดิจวินรู้สึกราวกับว่า ไม่ว่าตนจะหนีไปที่ใดก็จะประสบกับการลอบโจมตีของประกายกระบี่ทันที! รวดเร็วเกินไปแล้ว! ไหนเลยเขาจะรู้ว่า เพื่อประหยัดเวลา ตงป๋อเสวี่ยอิงก็จะให้ร่างแยกร่างหนึ่งพาจอมกระบี่ ‘เคลื่อนที่ในพริบตา’ ไล่ตามไป จักรพรรดิจวินเพิ่งจะไปถึงจุดหนึ่ง เขาก็เคลื่อนที่ในพริบตาไปถึงจุดเดียวกันแล้ว

บริเวณครอบคลุมพื้นที่ถึงเจ็ดส่วน หากจักรพรรดิจวินหนีออกไปอีกสักหลายครั้ง ก็จะพบว่า ‘พื้นที่รกร้าง’ ไม่อยู่ในขอบเขตของบริเวณ

แต่ว่าเมื่อเขาถูกโจมตีอย่างรุนแรงต่อเนื่องกันหลายครั้ง แต่ละครั้งล้วนเป็นจอมกระบี่สองคนที่ร่วมมือกันออกท่าไม้ตายมา อาการบาดเจ็บก็ยิ่งรุนแรงขึ้น! จักรพรรดิจวินสัมผัสได้ว่าความตายใกล้เข้ามาแล้ว

“จะต้องเป็นตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นั้นอย่างแน่นอน เขามีกระบวนท่าทางด้านวิถีอากาศ เป็นผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอดทางด้านวิถีอากาศ จะต้องใช้บริเวณปกคลุมทั้งอากาศอันสับสนอลหม่านเอาไว้แน่ ดังนั้นไม่ว่าข้าจะหนีไปที่ใด ก็ล้วนแต่อยู่ในสายตาเขาทั้งนั้น!” จักรพรรดิจวินถูกไล่สังหารหลายครั้ง จึงเดาสาเหตุออกทันที

แม้เขาจะเข้าใจผิดว่าตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นขั้นสุดยอด

แต่ก็มิได้นับว่าผิดจนนอกลู่นอกทางอะไรนัก เพราะถึงอย่างไรพลังของตงป๋อเสวี่ยอิงก็เทียบเท่ากับขั้นสุดยอดแล้ว

“เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน มีสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดหวั่นอย่างจอมกระบี่โผล่มา โจมตีข้าจนไม่มีแรงตอบโต้ก็แล้วไปเถิด แต่ยังมีตงป๋อเสวี่ยอิงโผล่มาอีกคนอย่างนั้นหรือ ทั้งยังเป็นด้านวิถีอากาศอีกด้วยหรือ” จักรพรรดิจวินเดือดดาลอยู่ในใจ

สวบ

ครั้งนี้เขาตรงกลับไปยังทางเดินโลกาพิศวงแล้ว

ทางเดินโลกาพิศวงคือรังที่ให้กำเนิดฝูงมารผลาญทำลาย ซึ่งจำกัดผู้บำเพ็ญในทุกด้าน หากพวกตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าไปในทางเดินโลกาพิศวงแล้วสำแดงกระบวนท่าทางด้านบริเวณ ก็ล้วนแต่ต้องได้รับแรงกดดันมหาศาล! ดังนั้นจึงได้ตามหา ‘รัง’ ด้วยความยากลำบากถึงเพียงนั้น ที่นี่ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่มีทางปกคลุมขอบเขตอันกว้างขวางเพื่อตรวจสอบได้เลย

ที่นี่กฎเกณฑ์สูงสุดลำเอียงเข้าข้างฝูงมารผลาญทำลาย

“เขาหนีไปยังทางเดินโลกาพิศวงแล้ว”

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปยังจอมกระบี่ทั้งสองคนข้างกาย แล้วเอ่ยปากพูดว่า “ทางเดินโลกาพิศวงคือสถานที่ให้กำเนิดฝูงมารผลาญทำลาย ที่นั่นบริเวณของข้ามิอาจปกคลุมเป็นวงกว้างได้ นอกจากนี้มิติที่นั่นยังแปลกประหลาดยากเกินคาดเดาอีกด้วย”

“หนีไปยังทางเดินโลกาพิศวงแล้วหรือ” จอมกระบี่ก็เผยรอยยิ้มออกมา ส่วนร่างแยกอีกร่างหนึ่งก็หายวับไป “ก็ดี โจมตีเสียจนจักรพรรดิจวินผู้นั้นไม่กล้าปรากฏกายแล้ว แม้จะไม่สามารถสังหารเขาได้ มีบางคนที่ไม่ยอมจำนน แต่ถึงอย่างไรก็ขจัดภัยที่อากาศอันสับสนอลหม่านจะแตกสลายครั้งใหญ่ไปได้”

ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

จอมกระบี่มองดูตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วยิ้มออกมา “เสวี่ยอิง เจ้าเก็บงำได้ร้ายกาจนัก คนวิถีจิตฟ้าหรือ ยอดเยี่ยมใช้ได้ทีเดียว ตัวคนเดียวกลับใช้อานุภาพกดดันมารร้ายทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาได้”

……

ขณะเดียวกับที่ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังสนทนากับจอมกระบี่นั้น

เทพจักรวาลคนอื่นๆ ทั้งหมดล้วนจับตามองการต่อสู้ด้วยความตื่นเต้น บรรพชนเทียนอวี๋ บรรพชนทิพย์ บรรพชนโลกา ท่านบรรพชนคีรีมาร ประมุขเหยากวง จักรพรรดิงูเมฆา ราชันย์มีดและบรรพชนกู่ต่างก็ตื่นเต้น! ไม่มีทางไม่ตื่นเต้น เพราะเมื่อจักรพรรดิจวินทำให้ทั้งอากาศอันสับสนอลหม่านเข้าสู่การแตกสลายครั้งใหญ่ในท้ายที่สุดจริงๆ แล้ว พวกเขาที่มิได้บรรลุถึงขั้นสุดยอดเหล่านี้ล้วนแต่ต้องตายทั้งสิ้น!

“คิดไม่ถึงว่าเสวี่ยอิงก็จะบรรลุถึงขั้นสุดยอดแล้วเช่นกัน ช่าง ช่างน่าเหลือเชื่อเสียจริง” ราชันย์มีดเอ่ยอย่างตกตะลึง ท่านบรรพชนคีรีมาร ประมุขเหยากวง บรรพชนห้วงอากาศ บรรพชนเทียนอวี๋ บรรพชนโลกาและบรรพชนทิพย์และคนอื่นๆ ก็อยู่ข้างกายเขา เบื้องหน้าพวกเขามีภาพมากมายลอยล่องอยู่ ซึ่งได้แก่ภาพของโลกทิพย์ทั่งสี่ ในโลกทิพย์ทั้งสี่ แต่ละใบล้วนมีตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวคนหนึ่งประจำการอยู่เหนือฟากฟ้า

ภาพการประมือของตงป๋อเสวี่ยอิงและจักรพรรดิจวินเมื่อครู่ พวกเขาได้เห็นหมดแล้ว

“ไม่ว่าจักรพรรดิจวินจะหนีไปที่ใด ก็มิอาจหนีพ้นจากบริเวณของเสวี่ยอิงได้! เขายังคงถูกเสวี่ยอิงและจอมกระบี่ไล่ล่าอยู่ตลอดเวลา อาการบาดเจ็บก็สาหัสมากขึ้นทุกทีๆ ฮ่าฮ่า เขาหนีไปแล้ว คาดว่าคงจะหลบเข้าไปในทางเดินโลกาพิศวงแล้ว! ทั้งอากาศอันสับสนอลหม่าน ก็มีเพียงทางเดินโลกาพิศวงเท่านั้นที่เป็นสถานที่คุ้มกันสุดท้ายของฝูงมารผลาญทำลายอย่างพวกเขากระมัง” เจ้าศิลาก็ปรากฏกายขึ้นที่นี่

เทพจักรวาลกลุ่มใหญ่ล้วนอยู่ที่นี่ เจ้าศิลาเอ่ยวาจาชุดหนึ่งออกมา ทำให้เทพจักรวาลในที่นั้นต่างก็ทอดถอนใจคราหนึ่ง

อันตรายจากการแตกสลายครั้งใหญ่ได้รับการแก้ไขแล้ว!

“จอมกระบี่สำเร็จเป็นขั้นสุดยอดแล้ว เสวี่ยอิงก็สำเร็จเป็นขั้นสุดยอดแล้วหรือ” บรรพชนห้วงอากาศส่ายหน้าพลางทอดถอนใจ ก็ยังคงไม่อยากจะเชื่อ

“วังทวีสูญของข้ามีขั้นสุดยอดสองคนอย่างนั้นหรือ” บรรพชนเทียนอวี๋กะพริบตาคราหนึ่ง

นี่ช่างเป็นการเข้าใจผิดอันงดงามโดยแท้

สายตาของพวกเขามีจำกัด เมื่อมองเพียงผิวเผินว่าตงป๋อเสวี่ยอิงห้ำหั่นกับเผ่ามารขั้นสุดยอดอย่าง ‘จักรพรรดิจวิน’ ด้วยพลังที่เท่าเทียมกัน ก็ย่อมคาดว่าตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นขั้นสุดยอดแล้ว

……

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เทพจักรวาลทั้งปวงต่างก็เบิกบานใจเป็นอย่างมาก เมื่อความตายเข้ามาประชิด จนบัดนี้สามารถหลบหลีกจากหายนะอันใหญ่หลวงได้ พวกเขาต่างก็โล่งใจและสุขสราญนัก

ณ อีกฟากฝั่งหนึ่ง

ตงป๋อเสวี่ยอิงและจอมกระบี่ก็กำลังพูดคุยกัน

“ถูกต้อง ตอนที่ข้ายังมิได้เข้าไปในวังทวีสูญก็ได้รับป้ายคำสั่งจิตโลกามาแล้ว! เพียงแต่ข้ายังไม่อยากละทิ้งสิ่งมีชีวิตทั้งหลายแล้วไปจุติยังโลกกำเนิดอีกแห่งหนึ่งเท่านั้นเอง ต่อมาข้าได้บำเพ็ญเคล็ดวิชาศาสตร์โบราณ และโชคดีสามารถบำเพ็ญร่างแยกร่างหนึ่งออกมาได้ ข้าจึงให้ร่างแยกกลับชาติไปจุติยังดินแดนจิตโลกาโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย” จอมกระบี่ยิ้ม “ดังนั้น ดูเหมือนข้าจะเก็บตัวอยู่ตลอด และมิได้เผชิญอุปสรรคเพื่อเคี่ยวกรำตลอดมา แต่อันที่จริงแล้ว ข้าบุกฝ่าและเคี่ยวกรำอยู่ในดินแดนจิตโลกามาตลอด หากมิได้เผชิญอุปสรรคเพื่อเคี่ยวกรำเลย คิดจะสำเร็จเป็นเทพจักรวาล บรรลุถึงเทพจักรวาลชั้นที่สอง หรือกระทั่งขั้นสุดยอดน่ะหรือ การบำเพ็ญไหนเลยจะผ่อนคลายและง่ายดายถึงเพียงนั้นได้เล่า!”

“แต่ความเร็วในการบำเพ็ญของท่านก็ยังคงรวดเร็วเกินไปอยู่ดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “สามารถสำเร็จเป็นขั้นสุดยอดได้ในระยะเวลาสั้นๆ แค่นี้!”

……………………………………

“จอมกระบี่ เขาก็เป็นขั้นสุดยอดด้วยหรือ บรรลุตั้งแต่เมื่อใดกัน” เจ้าศิลาและจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ต่างก็ตื่นตะลึงเหลือแสน ยามนี้พวกเขาย่อมมอง ออกอย่างแน่นอนว่าจอมกระบี่เป็นขั้นสุดยอดอย่างไร้ข้อกังขา อีกทั้งพลังก็ยังแข็งแกร่งกว่าพวกเขาอีกด้วย!

ฟิ้ว

ร่างของจักรพรรดิจวินที่ถูกแทงทะลุแผ่นอกกลับแยกออกทันใด แปรเป็นแสงสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนรวมตัวกันอีกครั้งไกลออกไป เพียงแต่เห็นได้ชัดว่าได้รับบาดเจ็บไม่เบา

เขามองมองดูบุรุษอาภรณ์ขาวตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เจ้า เจ้าทำร้ายข้าได้อย่างไรกัน ข้าเป็นถึงขั้นสุดยอด เจ้าออกกระบวนท่ามา แล้วข้าสัมผัสรับรู้มิได้ได้อย่างไรกัน”

“ขั้นสุดยอดก็ทำร้ายมิได้หรือ” จอมกระบี่กลับออกกระบี่อย่างเยียบเย็นไปอีกครั้ง

ฟิ้ว

ประกายกระบี่พาดข้ามท้องฟ้า ดูเหมือนว่าจะยังแลบแปลบปลาบอยู่ไกลออกไป แต่อันที่จริง ‘ดวงตา’ หลอกลวงตนเอง ประกายกระบี่ได้แทงเข้าไปในร่างกายแล้ว

“ตู้ม” สีหน้าของจักรพรรดิจวินเปลี่ยนแปรครั้งใหญ่ ก่อนร่างกายจะระเบิดออกอีกครั้งตามท่วงท่า เส้นสายจำนวนนับไม่ถ้วนบิดเบี้ยวแล้วรวมตัวกันขึ้นอีกครั้งไกลออกไป

“ข้าไม่เชื่อ ข้าไม่เชื่อ” จักรพรรดิจวินไม่อยากจะเชื่อ ตัวเขาเป็นผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอด แต่กลับไม่มีแม้แต่แรงจะตอบโต้ แต่ละกระบี่เขาล้วนได้รับบาดเจ็บไม่เบา

จอมกระบี่กลับเพียงแค่ยิ้มอย่างเยียบเย็นเท่านั้น

ฟิ้ว…

กระบี่หนึ่งฟาดฟันออกมาอีกครั้ง

ประกายกระบี่เหมือนจะใหญ่โตตระหง่านง้ำกว่าท้องฟ้าเสียอีก หัวจิตหัวใจของจักรพรรดิจวินสั่นคลอนไปหมดด้วยเหตุนี้ ปังงง…เขาถูกฟันอีกครั้งจนร่างกายแปรเป็นแสงสีดำจำนวนนับไม่ถ้วน รอยเลือดที่อยู่กลางอากาศล้วนกลายเป็นแสงสีดำไปหมด เคราะห์ดีที่เขาเป็นฝูงมารผลาญทำลาย! ฝูงมารผลาญทำลายเชี่ยวชาญทางด้านการรักษาชีวิตเป็นอย่างยิ่งโดยกำเนิดอยู่แล้ว หากการรักษาชีวิตอ่อนแอกว่านี้สักหน่อย เกรงว่าอาการบาดเจ็บของเขาคงจะรุนแรงกว่านี้มาก

“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน เหตุใดข้าจึงมิอาจสกัดกั้นได้ เป็นไปได้อย่างไรกัน” จักรพรรดิจวินทั้งตกตะลึงทั้งโกรธเคือง ทั้งไม่ยอมจำนน

ครั้งนี้เขามิได้ทดลองอีก

หากแต่มิติรอบร่างกายบิดเบี้ยวไป แล้วเขาก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอยเสียแล้ว

ผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอด หากจะหลบหนีไปก็ทำได้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก

“หนีรึ” จอมกระบี่รวบรวมสมาธิสัมผัสรับรู้ทั่วทั้งอากาศอันสับสนอลหม่าน ทันใดนั้นก็สัมผัสได้ถึงระลอกคลื่นพละกำลังของฝูงมารผลาญทำลายนั้น เขาเร่งไปในทันใด ร่างกายกะพริบวาบคราหนึ่งก็แหวกอากาศไปราวกับประกายกระบี่สายหนึ่งทันที

ส่วนจอมเทพศักดิ์สิทธิ์และเจ้าศิลาที่อยู่ไกลออกไปต่างก็มองฉากนี้ด้วยความตกตะลึง

พวกเขาสองคนชะงักค้างไป

มองจนตาลายไปหมดแล้ว

“เป็นไปได้อย่างไรกัน” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์รู้สึกวิงเวียนไปหมด

“พลังแข็งแกร่งถึงเพียงนี้เชียวหรือ” เจ้าศิลาไม่อยากจะเชื่ออยู่บ้าง “ต่อให้สำเร็จเป็นขั้นสุดยอด ก็ไม่ควรจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้กระมัง แข็งแกร่งกว่าพวกเราตั้งขุมใหญ่”

ส่วนจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ใบหน้าบูดเบี้ยวขึ้นมา “เป็นไปได้อย่างไรกัน จักรพรรดิจวินผู้นั้นก็เป็นขั้นสุดยอด เหตุใดจึงไม่มีแม้แต่แรงต้านทานจนถูกเหยียบย่ำอย่างสิ้นเชิงเช่นนั้นเล่า”

หากเปลี่ยนเป็นเขา จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ต้องถูก ‘จอมกระบี่’ เหยียบย่ำตามอำเภอใจเช่นเดียวกัน

ขณะเข่นฆ่า แต่ละกระบี่ของจอมกระบี่ เขา จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ล้วนหลบไม่พ้น! เขาถึงขั้นต้องสูญเสียพลังชีวิตไปกับทุกกระบี่ เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า ก็จะถูกโจมตีจนตายไปต่อหน้าต่อตา

นอกเสียจากจะหลบหนี

“อานุภาพประกายกระบี่ของเขาเก็บงำไว้ภายใน เมื่อปะทุออกมากลับน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ ต่อให้ข้าแผดเผาร่างแปรทิพย์โบราณออกมาโจมตีสุดกำลังก็ทำได้เท่านี้เอง” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์รู้สึกว่าหัวใจสั่นสะท้านไปหมด หากแผดเผาร่างแปรทิพย์โบราณออกมาโจมตีสุดกำลัง ก็จะสำแดงออกมาได้เพียงกระบวนท่าเดียวเท่านั้น! แต่จอมกระบี่กลับดูเหมือนจะสบายมาก แต่ละกระบี่ล้วนแต่น่าสะพรึงกลัว

ต่อสู้อย่างผ่อนคลายมาก แต่อานุภาพกลับใหญ่โตเสียจนทำให้เจ้าศิลาและจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ใจสะท้านไปหมด

“หากข้าฝืนต้านทานเอาไว้ ก็ต้องได้รับบาดเจ็บ” เจ้าศิลาก็เข้าใจในจุดนี้ดี กระบวนท่าเช่นนี้มิอาจฝืนต้านทานได้เด็ดขาด “คิดไม่ถึงว่าในโลกกำเนิดแห่งนี้ ผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งจะเป็นจอมกระบี่ผู้นี้ไปได้”

“เขาแข็งแกร่งกว่าข้ามากมายยิ่งนัก” ทันใดนั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็รู้สึกทั้งอดสูทั้งโมโห

เขาคุ้นชินกับการเป็นผู้สูงส่งเหนือใคร

คุ้นชินกับการที่สิ่งมีชีวิตทั้งอากาศอันสับสนอลหม่านจำนวนนับไม่ถ้วนหวั่นเกรงเขา แต่วันนี้พลังของจอมกระบี่กลับเหนือกว่าเขาอย่างสิ้นเชิง

……

ครั้งนี้จักรพรรดิจวินมาอย่างรวดเร็วเฉียบพลันเกินไปแล้ว

นอกจากโลกทิพย์นิจนิรันดร์แล้ว ก็มีเพียงผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอดอย่าง ‘เจ้าศิลา’ ‘จอมเทพศักดิ์สิทธิ์’ และ ‘จอมกระบี่’ ที่สามารถสัมผัสรับรู้ทั่วทั้งโลกกำเนิดได้ตลอดเวลาเท่านั้นที่สัมผัสได้ทันที พวกเขาเร่งมาในทันใด

อย่างตงป๋อเสวี่ยอิง แม้จะรับรู้เคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งเจ็ดกระบวนคละถิ่นและคิดค้นยุทธวิธีหิมะเหินขึ้นมาได้ ทำให้พลังของเขาไม่ย่อหย่อนไปกว่าขั้นสุดยอดเลย แต่ส่วนที่น่าอัศจรรย์ทั้งหลายกลับสู้ไม่ได้ เช่นวิธีการรักษาชีวิต เช่นการสัมผัสรับรู้โลกกำเนิด ก็ห่างจากขั้นสุดยอดอยู่ขุมใหญ่ เขาแค่มีพลังในการต่อสู้ซึ่งหน้าที่ยอดเยี่ยมอย่างยิ่งเท่านั้นเอง

ร่างแยกของตงป๋อเสวี่ยอิง ส่วนใหญ่ล้วนกำลังเก็บตัวเพื่อบำเพ็ญอยู่

มีร่างแยกจำนวนน้อยนิดเพียงไม่กี่ร่างเท่านั้นที่รับผิดชอบเรื่องสัพเพเหระอยู่

ใน ‘วังทวีสูญ’ แห่งโลกทิพย์กิเลนบูรพา เขาก็เตรียมร่างแยกร่างหนึ่งเอาไว้ที่นี่

“อะไรนะ”

“จักรพรรดิจวินสำเร็จเป็นขั้นสุดยอดแล้ว อยากจะทำลายล้างโลกทิพย์นิจนิรันดร์ แต่ถูกจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ ผู้อาวุโสศิลาและจอมกระบี่ขัดขวางอย่างนั้นหรือ จอมเทพศักดิ์สิทธิ์และผู้อาวุโสศิลาต่างก็ขัดขวางเอาไว้ไม่ได้ จอมกระบี่สำแดงสามกระบี่ออกไปต่อเนื่องกัน แต่ละกระบี่ล้วนทำให้จักรพรรดิจวินบาดเจ็บสาหัส จักรพรรดิจวินจึงต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปอย่างนั้นหรือ”

เทพจักรวาลเช่นตงป๋อเสวี่ยอิง บรรพชนเทียนอวี๋ บรรพชนห้วงอากาศ ราชันย์มีด ประมุขเหยากวงและท่านบรรพชนคีรีมารต่างก็ได้รับข่าว พวกเขาอดตกตะลึงจนตาค้างไม่ได้

จักรพรรดิจวินสำเร็จเป็นขั้นสุดยอดแล้วหรือ

จอมกระบี่ก็เป็นขั้นสุดยอดหรือ นอกจากนี้พลังยังเหนือกว่าเจ้าศิลา จอมเทพศักดิ์สิทธิ์และจักรพรรดิจวินอีกหรือ

“นี่มันเรื่องอันใดกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงการส่งถ่ายทลายโลกาออกไปสอดส่องดู หมายจะจับตาดูการต่อสู้

……

จักรพรรดิจวินปรากฏกายขึ้นท่ามกลางอากาศอันสับสนอลหม่าน พลางมองดูแผ่นดินอลหม่านตรงหน้า บนแผ่นดินอลหม่านมีสิ่งมีชีวิตอยู่จำนวนนับไม่ถ้วน

“ทำลายให้หมดเถิด” จักรพรรดิจวินโบกมือคราหนึ่ง ตู้มมม ระลอกคลื่นอันน่าหวาดหวั่นปกคลุมทั่วทั้งแผ่นดินอลหม่านในพริบตา แผ่นดินอลหม่านแห่งนี้สลายไปในทันทีโดยไม่เหลือไว้แม้แต่ซาก! เห็นได้ชัดว่าภายใต้การโจมตีของขั้นสุดยอด ทั้งแผ่นดินอลหม่านไม่มีอะไรโชคดีเหลือรอดมาได้เลย รวมไปถึงอาวุธต่างๆ ด้วย

“ไป” จักรพรรดิจวินหนีไปอีกทันทีโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย

สวบ

อากาศด้านข้างบิดเบี้ยว จักรพรรดิจวินหายวับไป

แคว่ก จักรพรรดิจวินเพิ่งจะอันตรธานไป ก็มีประกายกระบี่สายหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ แล้วรวมตัวขึ้นเป็นจอมกระบี่

“สมควรตาย” จอมกระบี่มองไปทางด้านข้าง ตามที่บันทึกเอาไว้ในแผนที่ดาวของอากาศอันสับสนอลหม่าน มีแผ่นดินอลหม่านแห่งหนึ่งตั้งอยู่ที่นี่แท้ๆ บัดนี้กลับหายไปแล้ว

“ไล่ตามไป” จอมกระบี่ไล่ตามต่อไป

จักรพรรดิจวินหลบหนีอย่างบ้าคลั่ง

ระหว่างหลบหนีก็เก็บงำกลิ่นอายทั้งหมดเอาไว้ จอมกระบี่จึงยากจะค้นพบได้ นี่เป็นเรื่องปกตินัก เหมือนอย่างตงป๋อเสวี่ยอิงที่เก็บซ่อนกลิ่นอาย สิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูก็หาไม่พบเช่นกัน!

หากจักรพรรดิจวินจะเก็บงำกลิ่นอายเพื่อซ่อนตัว จอมกระบี่ก็มิอาจพบได้จริงๆ แต่ขอเพียงมีระลอกคลื่นมากพอ จอมกระบี่ก็สามารถพบได้ แต่เมื่อพบเข้าและเร่งตามมานั้น กลับช้าไปก้าวหนึ่ง!

“ฮ่าฮ่าฮ่า จอมกระบี่ พลังของเจ้ายอดเยี่ยม แต่ก็สังหารข้าไม่ได้หรอก หากข้าตั้งใจจะทำลาย…เจ้าก็ต้านทานเอาไว้ไม่ได้หรอก” เสียงของจักรพรรดิจวินเหมือนประทับเอาไว้กลางอากาศอันสับสนอลหม่านรอบด้านอย่างไรอย่างนั้น มันสะท้อนไปมาไม่หยุด ทำให้จอมกระบี่ที่เร่งมาถึงสีหน้าคล้ำเขียวไปหมด

สวบ

……

ครั้งนี้จักรพรรดิจวินปรากฏกายขึ้นในโลกทิพย์กิเลนบูรพา

“ตู้ม!”

จักรพรรดิจวินเพิ่งปรากฏกาย ก็หมายจะโบกฝ่ามือหนึ่งไปยังตัวเมืองเบื้องล่างทันที

“ฟิ้ว”

ประกายกระบี่สายหนึ่งพลันวาดผ่านร่างจักรพรรดิจวินไป ทำให้ร่างกายของเขาถูกตัดเฉือนออก ร่างกายของจักรพรรดิจวินแยกออกจากกันทันที พลังทำลายล้างอันชั่วร้ายรวมตัวขึ้นอีกครั้งไกลออกไป เขามองดูจอมกระบี่ที่อยู่ไกลออกไปอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา “เจ้า เจ้าไล่ตามข้าทันได้อย่างไรกัน”

ก่อนเขาจะลงมือก็เก็บงำกลิ่นอายเอาไว้ตลอด

“ไม่ใช่สิ อาวุธไม่เหมือนกันเสียหน่อย” จักรพรรดิจวินมองไปทางจอมกระบี่ที่อยู่ไกลออกไปแล้วยิ้มพูดเสียงต่ำว่า“คิดไม่ถึงจริงๆ ว่า จอมกระบี่จะยังมีร่างแยกอีกร่างหนึ่งด้วย ทำไมรึร่างแยกของเจ้าร่างนี้มีไว้เพื่อปกป้องทั้งโลกทิพย์กิเลนบูรพาอย่างนั้นหรือ ก็ใช่สินะ วังทวีสูญพรรคของเจ้าตั้งอยู่ในโลกทิพย์กิเลนบูรพา เจ้าจะจัดร่างแยกร่างหนึ่งเอาไว้คุ้มกันที่นี่ก็เป็นเรื่องปกตินัก เพียงแต่ข้าอยากรู้มากว่า เจ้ามีร่างแยกสักกี่ร่างกัน”

สวบ

จักรพรรดิจวินหายวับไป เขาเร่งมุ่งหน้าไปยังโลกทิพย์นิจนิรันดร์แล้ว

ยามนี้โลกทิพย์นิจนิรันดร์กลับไม่มีจอมกระบี่คอยคุ้มกันอยู่ จักรพรรดิจวินปรากฏกายขึ้นในโลกทิพย์นิจนิรันดร์ แล้วก็รีบร้อนซัดฝ่ามือหนึ่งออกไปตามอำเภอใจ จากนั้นก็หนีไปทันที

ฟิ้ว จากนั้นจอมกระบี่ก็ปรากฏกายขึ้น

“จักรพรรดิจวินผู้นี้เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก นอกจากข้าจะต้องมีร่างแยกหลายร่างประจำการอยู่ทั่วทุกหนแห่ง มิเช่นนั้นก็มิอาจขัดขวางเขาได้เลย” จอมกระบี่โกรธแค้น น่าเสียดาย อันที่จริงเขามีร่างแยกเพียงร่างเดียวเท่านั้น ทั้งยังเป็นเพราะเคล็ดวิชาศาสตร์โบราณอีกด้วยจึงมีร่างแยกได้หนึ่งร่าง

“พวกเจ้าศิลาและจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ แม้จะเป็นขั้นสุดยอดเหมือนกัน แต่พวกเขาล้วนแต่ไม่เชี่ยวชาญวิธีการจำพวกบริเวณทั้งสิ้น ยากที่จะคุ้มกันโลกทิพย์แห่งหนึ่งได้” จอมกระบี่ลอบส่ายหน้า

……

ชั่วขณะที่จักรพรรดิจวินมาถึงโลกทิพย์กิเลนบูรพา ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงได้มองเห็นจักรพรรดิจวินเข้าจริงๆ แล้วก็เห็นกระบี่หนึ่งของจอมกระบี่ทำให้จักรพรรดิจวินผู้นั้นบาดเจ็บด้วย

“พลังของจอมกระบี่ร้ายกาจยิ่งนัก รู้สึกว่าน่าจะมีพลังสามส่วนของสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองแวบหนึ่งก็สามารถตัดสินได้แล้วว่า เนื่องจากตัวเขาเองมีอาวุธคละถิ่น ‘หอกชิงเหอ’ อยู่ในมือ จึงมีพลังราวสามส่วนของสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูเช่นกัน แน่นอนว่าสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูที่นี่…ยึดเอาปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์เป็นมาตรฐาน ในบรรดาสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรู ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์ดีที่สุด

ในอากาศอันสับสนอลหม่าน

ทุกคนล้วนไม่มีสมบัติลับอันสูงส่ง ไม่มีอาวุธคละถิ่น จอมกระบี่มีพลังเช่นนี้ ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงอดสงสัยไม่ได้…ว่าจอมกระบี่ก็ได้รับเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งเช่นกัน!

“ทุกคนระวังเอาไว้ อยู่ในโลกทิพย์กิเลนบูรพา อย่าได้ออกไปเด็ดขาด จักรพรรดิจวินผู้นั้นหลบหนีไปทั่วทุกแห่งในอากาศอันสับสนอลหม่าน และเข่นฆ่าไปทั่วทุกหนแห่ง ข้ามีร่างแยกเพียงร่างเดียวซึ่งสามารถปกป้องโลกทิพย์กิเลนบูรพาเอาไว้ได้ตลอดเวลา ส่วนโลกทิพย์อื่นๆ…ข้ากลับมิอาจปกป้องได้แล้ว ร่างจริงของข้ายังต้องไล่ตามเขาต่อไป เพราะหากไม่ไล่ล่า เกรงว่าเขาก็คงจะยิ่งทำลายล้างตามอำเภอใจเข้าไปใหญ่” จอมกระบี่ถ่ายเสียงพูด

เขาไล่ตามตลอดเวลา

จักรพรรดิจวินก็ทำได้เพียงทำลายล้างชั่วครู่แล้วหนีไปทันที ระดับการทำลายล้างก็ยังนับว่าค่อนข้างต่ำ

หากทำลายล้างเป็นระยะเวลายาวนาน…โลกทิพย์แห่งหนึ่งก็สามารถแตกทำลายได้เลยทีเดียว

“อะไรกัน”

“ยังทำลายล้างอยู่อีกหรือ”

“ทำอย่างไรดี จักรพรรดิจวินผู้นั้นทำลายที่แห่งหนึ่งแล้วก็หลบหนีไปทันที หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ทั้งอากาศอันสับสนอลหม่านจะต้องถูกทำลายจนเป็นอะไรไปแล้ว หรือการทำลายล้างครั้งใหญ่จะมาถึงเร็วกว่ากำหนดเล่า”

เทพจักรวาลแต่ละคนพากันร้อนรน

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เข้าใจความยุ่งยากของจอมกระบี่ทันที จอมกระบี่มีร่างเพียงสองร่าง ร่างแยกร่างหนึ่งประจำการ ส่วนร่างจริงก็กำลังไล่ล่า มีหลายสถานที่ที่จอมกระบี่มิอาจประจำการเพื่อคุ้มกันได้

“จอมกระบี่ ข้าจะช่วยท่านอีกแรงหนึ่งเอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูดทันที

…………………………………………

ณ อากาศอันสับสนอลหม่านบ้านเกิด

ที่แห่งนี้สงบเงียบกว่าดินแดนจิตโลกามากมายนัก หากแต่เป็นความสงบเงียบก่อนพายุฝนจะมา!

‘จอมเทพศักดิ์สิทธิ์’ ผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งของทั้งอากาศอันสับสนอลหม่านทุ่มเทจิตใจเก็บตัวเพื่อบำเพ็ญ ได้รับความศรัทธาของเหล่าประชากรจำนวนนับไม่ถ้วนในโลกทิพย์โบราณอันกว้างใหญ่ อาศัยร่างแปรทิพย์โบราณเปลี่ยนเป็นพลังต้นกำเนิด สถานที่แต่ละแห่งอย่างเช่นแผ่นดินอลหม่าน ก็มีคนจำนวนนับไม่ถ้วนที่ศรัทธาในตัวเขา ส่งพลังศรัทธาให้อย่างต่อเนื่อง ‘จอมเทพศักดิ์สิทธิ์’ ก็สะสมอยู่ตลอด เตรียมตัวสำหรับการโจมตีสุดท้ายอีกครั้งยามที่มหาวินาศมาถึง ทดลองดูว่าสามารถควบคุม ‘กฎเกณฑ์สูงสุด’ ที่ยุคนี้ได้หรือไม่ ให้ตนเองสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่น ถ้าหากล้มเหลวก็ได้แต่รอยุคต่อไปแล้ว

ส่วนเหล่าเทพจักรวาลคนอื่นๆ อย่างเช่นตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นต้น ต่างก็กำลังทุ่มเทเก็บตัวเพื่อบำเพ็ญ

ไม่สำเร็จเป็นขั้นสุดยอด ก็ไม่มีทางต้านทานการแหลกสลายของโลกกำเนิดและถือกำเนิดขึ้นใหม่ได้

……

และที่ทางเดินโลกาพิศวง

ภายในมิติปิดผนึกแห่งหนึ่ง มีดอกไม้สีดำดอกหนึ่งแขวนลอยอยู่ กลีบของดอกไม้ประสานปิดโดยสมบูรณ์

หลังจากผ่านไปเป็นระยะเวลาอันยาวนาน ดอกไม้สีดำดอกนี้ก็แย้มบานอย่างช้าๆ ในที่สุด เผยตัวบุรุษผอมบางที่มีหางหุ้มเกล็ดยาวเหยียดผู้ดูร้ายกาจที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่คนหนึ่งออกมา ซึ่งก็คือฝูงมารผลาญทำลายคนหนึ่ง ทั้งยังเป็นผู้นำของฝูงมารผลาญทำลายทั้งหมดที่มีอยู่ในทางเดินโลกาพิศวงในตอนนี้อีกด้วย… นั่นก็คือจักรพรรดิจวิน

จักรพรรดิจวินค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ นัยน์ตากลับมีสีอันแปลกประหลาดอยู่

“ในที่สุดข้าก็ไปถึงขั้นสุดยอดแล้ว!” จักรพรรดิจวินมิอาจปิดบังความตื่นเต้นได้ เขามองดูห้วงมิติเบื้องหน้า เส้นสายพลังจำนวนนับไม่ถ้วนแผ่ปกคลุมทั่วทุกหนแห่ง และกฎเกณฑ์ทั้งหมดก็ถูกเขาควบคุมเอาไว้จนสิ้น เขาก็สามารถควบคุมพลังขั้นสุดยอดขุมนี้เอาไว้ได้อย่างสบายๆ

“ไปถึงขั้นสุดยอด อย่างน้อยต่อให้โลกกำเนิดแห่งนี้เกิดมหาวินาศ ข้าก็สามารถต้านทานได้อย่างง่ายดาย สามารถมีชีวิตอยู่รอดไปถึงยุคหน้าได้อย่างง่ายดายแล้ว” จักรพรรดิจวินหรี่ตาคิดใคร่ครวญ “ฟังผู้อาวุโสชี้แนะ ภายในโลกกำเนิดแห่งนี้มีเจ้าศิลาและจอมเทพศักดิ์สิทธิ์สองคนที่ไปถึงขั้นสุดยอด จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นฝูงมารผลาญทำลายของสักยุคหนึ่งเมื่อเนิ่นนานมาแล้วก่อนหน้า แต่ว่าโลกกำเนิดแห่งหนึ่ง ในท้ายที่สุดแล้วก็มีคนที่ควบคุมกฎเกณฑ์สูงสุดได้เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น พวกเขาล้วนเป็นคู่ต่อสู้ของข้าทั้งสิ้น”

หลังจากที่จักรพรรดิจวินไปถึงขั้นสุดยอดแล้วก็วางแผนหนีออกจากกรงขัง ไปถึงสิ่งมีชีวิตคละถิ่นแล้ว

แต่สำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่น…

รูปแบบที่เห็นได้บ่อยที่สุดก็คือควบคุมโลกกำเนิดแห่งหนึ่ง อาศัยพลังมหาศาลของโลกกำเนิดแห่งหนึ่งมาเป็นพลังของตน ทำให้ตนไปถึงระดับชีวิตอีกขั้นหนึ่งได้

สำหรับอีกรูปแบบหนึ่งนั้นก็คือการใช้พลังทำลายกฎ! บำเพ็ญตนเอง ก็สามารถฝืนหลบหนีออกจากกรงขังแห่งนี้ได้ เมื่อถึงเวลานั้น ในทางกลับกันก็สามารถควบคุมโลกกำเนิดแห่งหนึ่งได้อย่างง่ายดายแล้ว

“เจ้าศิลาและจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ ต่างก็สำเร็จเป็นขั้นสุดยอดมาเนิ่นนานเหลือเกินแล้ว พื้นฐานของพวกเขาต่างก็ล้ำลึกกว่าข้าทั้งสิ้น”

“ข้าจะต้องคว้าโอกาสมาให้ได้ ตอนนี้ ยุคนี้ ข้าก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่กฎเกณฑ์สูงสุดให้กำเนิดออกมา เกิดมาก็เพื่อทำลายล้าง ขอเพียงแค่ข้ายิ่งทำลายล้างได้มาก กฎเกณฑ์สูงสุดก็ยิ่งมอบผลประโยชน์ให้มาก” จักรพรรดิจวินเอ่ยพึมพำ “ไม่ลงมือก็แล้วไปเถิด แต่พอลงมือแล้วก็ไม่ให้โอกาสจอมเทพศักดิ์สิทธิ์และเจ้าศิลาเลยแม้แต่น้อย จะต้องทำลายล้างทั้งโลกกำเนิดให้เร็วที่สุด ทำให้มันเข้าสู่มหาวินาศอย่างรวดเร็ว”

เมื่อใดที่เกิดมหาวินาศ

มิได้เป็นขั้นสุดยอดก็ต้องตายจนหมดสิ้น ก็คือฝูงมารผลาญทำลายเหล่านั้น ก็อาจถูกผลาญทำลายจนหมดสิ้น

แต่จักรพรรดิจวินกลับมิได้สนใจ

สิ่งที่เขาสนใจก็คือตนเองสามารถได้รับผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่ของกฎเกณฑ์สูงสุด! เขาผลาญทำลายก็เพราะทำไปตามครรลอง ทำไปตามอิทธิพลของกฎเกณฑ์สูงสุดเท่านั้น

แต่ว่าสำหรับผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนอย่างเช่นตงป๋อเสวี่ยอิง พวกเขากลับไม่ยอมจำนนสูญสลายไปเช่นนี้ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดล้วนมีความปรารถนาที่จะอยู่รอด ก็ย่อมพยายามรักษายุคนี้เอาไว้อย่างสุดกำลังอยู่แล้ว

“รวบรวมพลังยุทธ์ก่อน”

“เมื่อใดที่เหมาะสม ก็เป็นเวลาลงมือแล้ว” จักรพรรดิจวินเผยรอยยิ้มหนึ่งออกมา “ถึงแม้ว่าพวกจอมเทพศักดิ์สิทธิ์จะมิได้ด้อยไปกว่าข้า แต่ก็มิอาจคุกคามข้าได้ มิอาจต้านทานข้าได้เช่นกัน”

……

เพียงแค่ไม่กี่หมื่นปีให้หลัง จักรพรรดิจวินก็คิดว่าตนรวบรวมพลังยุทธ์ได้แล้ว

“ควรลงมือได้แล้วสินะ”

จักรพรรดิจวินแสยะยิ้ม

พรึ่บ… ห้วงอากาศโดยรอบพลันบิดเบี้ยวกลายเป็นถ้ำดำมืดออกมา จักรพรรดิจวินก้าวยาวๆ ก้าวหนึ่งก็หายลับเข้าไปภายในถ้ำมืดนั้นแล้ว

เมื่อปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งก็มาอยู่ที่โลกทิพย์นิจนิรันดร์แล้ว

“โลกทิพย์นิจนิรันดร์”

จักรพรรดิจวินเดินออกมาจากถ้ำดำมืดแล้วมองลงไปยังเบื้องล่าง มองเห็นว่าท่ามกลางความเวิ้งว้างว่างเปล่าอันไกลโพ้นนั้นมีชนเผ่าอยู่เผ่าหนึ่ง ภายในเผ่ายังมีประชากรจำนวนมากดำรงชีวิตอยู่ที่นี่ บริเวณที่ไกลออกไปลิบๆ มีปราการเมืองขนาดมหึมาอยู่แห่งหนึ่ง

“หึๆๆ”

จักรพรรดิจวินหัวเราะเยียบเย็นเสียงหนึ่ง หางยาวเป็นเกล็ดของเขาก็แกว่งไกว

จากนั้นจึงโบกมือที่เต็มไปด้วยเกล็ดของเขาออกมา

“ครืน…”

ห้วงอากาศอันไร้ขอบเขตเบื้องหน้าพลันเริ่มบิดเบี้ยว แผ่นดินถูกบิดเบี้ยวทำลายล้างอย่างสมบูรณ์ แม้กระทั่งส่วนที่ลึกที่สุดของแผ่นดินก็ยังถูกทะลุทะลวงจนมองเห็นอากาศอันสับสนอลหม่านที่อีกฟากหนึ่งของส่วนล่างสุดของโลกทิพย์นิจนิรันดร์ การบิดเบี้ยวนี้ก็แผ่ระลอกคลื่นไปทุกทิศทุกทาง ชนเผ่านั้นพลันแปรเปลี่ยนเป็นความว่างเปล่า ปราการเมืองขนาดมหึมาที่อยู่ไกลออกไปก็ถูกระลอกคลื่นบิดเบี้ยวผลาญทำลายไปในทันที

เหล่าประชากรจำนวนนับไม่ถ้วนภายในปราการเมือง อีกทั้งยังมีเจ้าเมืองขั้นอลวนคนหนึ่งอยู่อีกด้วย!

แต่ก็ไร้ประโยชน์ ไม่มีกำลังต้านทานเลยแม้แต่น้อย ปราการเมืองขนาดมหึมาแห่งนั้นพร้อมกับสิ่งมีชีวิตที่อยู่ภายในถูกล้างผลาญไปราวกับเช็ดถูทิ้งจากบนรูปภาพอย่างไรอย่างนั้น

กระบวนท่าของจักรพรรดิจวินโหดเหี้ยมเกินไป เขามิได้จงใจจะไปสังหารหมู่ วัตถุประสงค์ที่แท้จริงของเขาก็คือต้องการจะทำลายล้างทั้งโลกทิพย์นิจนิรันดร์! โลกทิพย์นิจนิรันดร์เป็นสถานที่ซึ่งพวกบรรพชนทิพย์และบรรพชนโลกาสั่งสมมาเป็นเวลาช้านานอย่างลำบากยากเข็ญจึงจะสร้างขึ้นมาได้ ต่อให้ขั้นสุดยอดอยากจะทำลายล้างให้หมดสิ้นก็ยังต้องอาศัยเวลาสักเล็กน้อย

“อะไรกัน”

ณ โลกทิพย์โบราณ

‘จอมเทพศักดิ์สิทธิ์’ ที่เป็นถึงผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอดรับสัมผัสได้อย่างเฉียบแหลมเพียงใด เคล็ดวิชาที่สำแดงอย่างสุดกำลังตามอำเภอใจนั้นของจักรพรรดิจวิน ขณะที่เพิ่งสำแดง จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็รับสัมผัสได้แล้ว

เขาสวมอาภรณ์ผ้าโปร่งสีดำ มองบริเวณไกลๆ อยู่ห่างๆ มองปราดเดียวก็เห็นภาพเหตุการณ์ภายในโลกทิพย์นิจนิรันดร์แล้ว

“เขาสำเร็จเป็นขั้นสุดยอดแล้วหรือ” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ตกตะลึงอยู่บ้าง สีหน้าก็แปรเปลี่ยนไปเสียแล้ว

ถึงแม้ว่าจะเป็นฝูงมารผลาญทำลายเช่นเดียวกัน

ทว่าจอมเทพศักดิ์สิทธิ์กลับมิได้มีความยินดีเลยแม้แต่น้อย ในทางตรงข้ามกลับมีเพียงแค่ความโมโหเท่านั้น!

“อยากจะได้รับผลประโยชน์จากกฎเกณฑ์สูงสุดผ่านการทำลายล้างหรือ ในอนาคตก็ยิ่งมีความมั่นใจในการถือครองกฎเกณฑ์ขั้นสูงกว่าอย่างนั้นหรือ” ประกายหนาวเหน็บในดวงตาของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์กะพริบวาบแล้วเขาก็หายตัวไปกลางอากาศ ก็เหมือนกับเจ้าศิลาที่เห็นอยู่ชัดๆ ว่าตัดสินใจเดินบนเส้นทางการใช้พลังทำลายกฎ แต่ทุกๆ ช่วงเวลาวิกฤติก็ยังดึงลากขาจอมเทพศักดิ์สิทธิ์อยู่! เพราะว่าเมื่อใดที่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ควบคุมกฎเกณฑ์สูงสุด ความเป็นความตายของเจ้าศิลาก็ขึ้นอยู่กับการควบคุมของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์แล้ว

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจักรพรรดิจวินไม่มีทางเดินบนเส้นทางอันยากเข็ญเป็นที่สุดอย่างการ ‘ใช้พลังทำลายกฎ’ ถึงแปดเก้าส่วนในสิบส่วน

เพราะว่าเจ้าศิลาเป็นสายฝึกกาย ไม่มีหนทางจึงได้เลือกการใช้พลังทำลายกฎ!

ดังนั้น…

จักรพรรดิจวินจึงจะเป็นคู่ต่อสู้ตัวฉกาจที่สุดของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ในอนาคต

……

“หืม”

เจ้าศิลาที่หลับสนิทอยู่ที่ดวงอาทิตย์ดั้งเดิม ถึงแม้ว่าจะหลับ แต่การรับสัมผัสต่อโลกภายนอกก็ยังคงเฉียบแหลมเช่นเดิม

พละกำลังอันน่าหวาดหวั่นขุมนั้นระเบิดออก แต่กลับแตกต่างกับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์อย่างสิ้นเชิง ชั่วครู่เดียวก็ทำให้เจ้าศิลาตื่นขึ้นมาเสียแล้ว

ร่างกายใหญ่มหึมาของเขาพุ่งขึ้นมาจากดวงอาทิตย์ดั้งเดิม

“ขั้นสุดยอดคนใหม่ อีกทั้งยังเป็นฝูงมารผลาญทำลายอีกด้วยหรือ” ชายชราร่างผอมเล็กก้าวยาวๆ ก้าวหนึ่งก็หายลับไปจากบนดวงอาทิตย์ดั้งเดิม เขาไม่มีทางทำให้ขั้นสุดยอดอีกคนหนึ่งได้รับผลประโยชน์จากกฎเกณฑ์สูงสุดไปอย่างง่ายๆ อยู่แล้ว

……

“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน”

“ก็ได้แต่ขอร้องท่านอาจารย์แล้วล่ะ” บรรพชนโลกาและบรรพชนทิพย์ทั้งสองท่านเป็นถึงผู้นำของโลกทิพย์นิจนิรันดร์ ก็ย่อมต้องรับสัมผัสได้ในทันทีอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเผชิญหน้ากับการทำลายตามอำเภอใจของจักรพรรดิจวิน พวกเขาก็ยังปวดเศียรเวียนเกล้า

จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ในตอนนั้น เพื่อสืบทอดคำสอน เพื่อให้สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนศรัทธาในตัวเขา แต่มิใช่ตั้งหน้าตั้งตาทำลายล้างเพียงอย่างเดียว

จักรพรรดิจวินนั้นไม่เหมือนกัน

แม้กระทั่งบรรพชนโลกาและบรรพชนทิพย์ไปขัดขวาง จักรพรรดิจวินก็อาจสำแดงเคล็ดวิชาขนาดใหญ่ตามอำเภอใจ ยอดฝีมือระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองขั้นสุดยอดสองคนก็ย่อมไม่สามารถคุ้มครองผู้อ่อนแอได้อยู่แล้ว

“หยุดมือนะ” เสียงตะโกนอย่างเย็นชา จอมเทพศักดิ์สิทธิ์มาแล้ว

“โลกกำเนิดนี้กำลังค่อยๆ คืบคลานเข้าใกล้มหาวินาศทีละน้อยแล้ว ท่านจำเป็นต้องสังหารหมู่ด้วยหรือไร” เจ้าศิลาร่างผอมเล็กก็มาแล้วเช่นกัน

พวกเขาสองคนลงมือพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย

“จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ ท่านก็คือมารผู้ยิ่งใหญ่ในอากาศอันสับสนอลหม่าน ถึงกับมาช่วยสิ่งมีชีวิตเหล่านี้เชียวหรือ” จักรพรรดิจวินหัวเราะเสียงดัง แต่กลับเคลื่อนย้ายไปเป็นระยะทางกว่าครึ่งของโลกทิพย์นิจนิรันดร์ในทันใด ไปยังสถานที่อีกแห่งหนึ่งเพื่อทำลายล้างต่อไป

“ปัง”

เจ้าศิลาปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศข้างกายจักรพรรดิจวินแล้วกระแทกออกไปหมัดหนึ่ง

ทว่าจักรพรรดิจวินกลับยิ้ม เส้นสายจำนวนนับไม่ถ้วนในบริเวณรอบๆ บิดเบี้ยว ทำให้หมัดอันน่าหวาดหวั่นของเจ้าศิลาถูกขจัดออกไปเป็นส่วนใหญ่ พละกำลังที่เหลืออยู่ ทว่าเงาร่างของจักรพรรดิจวินกลับกะพริบวาบราวกับภูตผีแล้วหลบหลีกไปไกลแสนไกลเสียแล้ว

“เปรี้ยง…” สายฟ้าสีเทาฟาดลงมา จอมเทพศักดิ์สิทธิ์กุมหอกยาวเอาไว้ในมือแล้วพยายามขัดขวางอย่างสุดกำลัง

“ฮ่าฮ่า…”

จักรพรรดิจวินหัวเราะเสียงดัง เส้นสายบริเวณรอบๆ จำนวนนับไม่ถ้วนบิดเบี้ยว เขาทำได้เพียงแค่ป้องกันและหลบหนีเท่านั้น ไม่มีอิทธิพลคุกคามเลยแม้แต่น้อย

ถึงอย่างไรก็เป็นขั้นสุดยอดเช่นเดียวกัน ความสามารถในการรักษาชีวิตรอดต่างก็แข็งแกร่งเป็นที่สุด ถ้าหากตั้งใจจะหลบหนีหรือซ่อนตัว จอมเทพศักดิ์สิทธิ์และเจ้าศิลาต่างก็ยากยิ่งที่จะทำร้ายเขาได้

“พลั่ก…” แต่จักรพรรดิจวินยังคงสำแดงเคล็ดวิชาอยู่ เขาฟาดฟันฝ่ามือคราหนึ่ง ห้วงอากาศจำนวนนับไม่ถ้วนก็บิดเบี้ยวแหลกสลาย เคล็ดวิชาการโจมตีของเขายิ่งกินอาณาบริเวณกว้างมากขึ้น วิถีอสนีบาตของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ไปถึงขั้นสุดยอดแล้ว ส่วนเจ้าศิลานั้นเป็นสายฝึกกายเชี่ยวชาญการต่อสู้ประชิดตัวเป็นที่สุด ภายในชั่วครู่เดียวพวกเขาต่างก็ยากที่จะต้านทานการทำลายล้างตามอำเภอใจของจักรพรรดิจวินได้

“ชิ้ง”

ประกายกระบี่สายหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างฉับพลันยิ่ง

แทงตรงเข้ามาจากด้านหลังของจักรพรรดิจวิน ทะลุออกมาจากทรวงอก

จักรพรรดิจวินก้มหน้าลงมองปลายกระบี่ที่ทรวงอกอย่างยากจะเชื่อแล้วหันหน้าไปมองทางด้านหลัง ก็คือบุรุษผมขาวคนหนึ่ง

“จอมกระบี่หรือ” จักรพรรดิจวินจ้องมองบุรุษผมขาว

“จอมกระบี่หรือ” เจ้าศิลาและจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ที่จนใจไม่รู้จะทำอย่างไรกับจักรพรรดิจวินมาโดยตลอดก็มองดูภาพเหตุการณ์นี้อย่างตื่นตะลึง กระบี่ที่เงียบงันไร้สุ้มเสียงแต่กลับน่าหวาดหวั่นอย่างที่สุดนั้น เจ้าศิลาและจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ยังค้นพบหลังจากที่จักรพรรดิจวินถูกกระบี่แทงแล้ว พวกเขาต่างก็รู้สึกได้ถึงพลังคุกคามอันแรงกล้า พลังคุกคามที่จอมกระบี่นำพามานั้นยังเหนือกว่าจักรพรรดิจวินเสียอีก

………………………………………

จอมกระบี่ปีศาจนั่งอยู่ที่นั่น สายตากวาดมองลงมายังเบื้องล่าง แลกเปลี่ยนสายตากับคนคุ้นเคยบางคนอย่างง่ายๆ หรือแม้กระทั่งถ่ายเสียงทักทาย

เขาก็มองมาทางตงป๋อเสวี่ยอิงนี้เช่นกันแล้วแย้มยิ้มน้อยๆ พลางถ่ายเสียงพูดว่า “น้องเฟยเสวี่ย ยังจำตอนที่เจ้ากับข้าบุกผ่านด่านสิบแปดกัลป์นั่นด้วยกันที่วังเทพจิตโลกาได้หรือไม่ ถ้าหากครั้งนั้นข้าสามารถไปถึงขั้นสุดยอดได้ ก็มีความหวังที่จะพาเจ้าหนีไปได้แล้วล่ะ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงเผชิญกับความเมตตาและความกระตือรือร้นของอีกฝ่ายแล้วก็ตกตะลึงอยู่บ้าง เขาถ่ายเสียงตอบกลับไปว่า “ตอนนั้นพี่กระบี่ปีศาจก็ทุ่มเทเพื่อข้าอย่างสุดกำลัง ข้าก็ซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่งแล้ว”

ในเวลานั้นจอมกระบี่ปีศาจที่ยังเป็นเพียงแค่จอมเคารพแต่ก็ไปขัดขวาง ถ้าหากมิใช่เพราะบรรพชนราตรีนิรันดร์ไม่อยากจะฉีกหน้ารัฐโบราณคิมหันตวายุ เกรงว่าแค่โบกมือก็ล้างผลาญจอมกระบี่ปีศาจในตอนนั้นได้แล้ว

จอมกระบี่ปีศาจแย้มยิ้มแล้วก็ถ่ายเสียงพูดคุยกับมิตรสหายที่คุ้นเคยคนอื่นๆ อีกหลายประโยค

และในขณะเดียวกันนั้นเอง…

จักรพรรดิชางก็กำลังจัดการพิธีฉลองในครั้งนี้ ถึงอย่างไรผู้ที่สำเร็จเป็นขั้นสุดยอดในครั้งนี้ก็เป็นศิษย์สกุลชางของเขา

……

พวกจักรพรรดิเซี่ยอารมณ์ดีมากอย่างเห็นได้ชัด จัดพิธีเฉลิมฉลองอย่างมีชีวิตชีวายิ่งนัก การแสดงมากมายทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงได้เปิดวิสัยทัศน์กว้าง พิธีเฉลิมฉลองครั้งนี้จัดอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาเก้าวันจึงค่อยเลิกราไป

“ประมุขรัฐเมฆทักษิณา พวกเราสองคนก็มิได้พบกันนานมากแล้วกระมัง คืนนี้ข้าจัดงานเลี้ยงสังสรรค์เล็กๆ งานหนึ่งขึ้นที่เมืองจักรพรรดิชาง พอจะมีเวลาไปพบปะสังสรรค์กันสักหน่อยหรือไม่เล่า พี่สวรรค์โบราณก็อยู่ด้วย อ้อ พอถึงเวลา จ้าวหิมะเหินไปด้วยกันสิ”

“พี่เมฆทักษิณา”

“เมฆทักษิณา…”

เพราะเทพจักรวาลที่เข้าร่วมงานพิธีเฉลิมฉลองมีเป็นจำนวนมาก ยากนักที่ทุกคนจะได้มาพบปะกัน รอจนงานเลี้ยงเลิกราไปแล้ว ทว่าแต่ละคนที่ได้รับเชิญมากลับไปจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ขนาดย่อมๆ กันขึ้นมาเสียแล้ว

ถึงอย่างไรแม้ว่าพิธีเฉลิมฉลองครั้งนี้จะคึกคัก แต่ก็ค่อนข้างเคร่งครัด งานเลี้ยงสังสรรค์เล็กๆ จึงจะมีความผ่อนคลายมากกว่า

ประมุขรัฐเมฆทักษิณาเป็นถึงจอมเคารพที่มั่งคั่งที่สุด เป็นผู้ก่อตั้งสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ที่เป็นถึงหนึ่งในสิบสำนักใหญ่ เป็นหนึ่งในวีรบุรุษผู้ล้ำเลิศแห่งดินแดนจิตโลกา ผู้ที่มาเชื้อเชิญเขาก็ย่อมต้องมีมากมายอยู่แล้ว หลายคนก็ไว้หน้า เชิญ ‘จ้าวหิมะเหิน’ ให้ไปด้วยกัน จ้าวหิมะเหินที่เป็นเพียงแค่เทพจักรวาลชั้นที่สองคนหนึ่ง ธรรมดาสามัญเหลือเกินในหมู่เทพจักรวาลที่มาเข้าร่วมงาน

“น้องเฟยเสวี่ย อย่ารีบไปนักเลย” ทว่าจอมกระบี่ปีศาจกลับมาเชื้อเชิญ ลากตัวตงป๋อเสวี่ยอิงเดินไปด้วย “ข้ามีงานเลี้ยงสังสรรค์เล็กๆ งานหนึ่ง จัดเลี้ยงมิตรสหายจำนวนหนึ่งเป็นการส่วนตัว เจ้ากับข้าเคยร่วมเป็นร่วมตายมาด้วยกัน อย่างไรก็อย่าได้ปฏิเสธเลยนะ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงมิอาจปฏิเสธได้ ก็ได้แต่ไปด้วยกันเท่านั้น

นี่ทำให้เหล่าเทพจักรวาลกลุ่มใหญ่ที่อยู่ข้างๆ ต่างพากันปากอ้าตาค้างอยู่บ้าง

“จอมกระบี่ปีศาจกับจ้าวหิมะเหินผู้นี้มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันถึงเพียงนี้เชียวหรือ”

“ได้ยินว่าพวกเขาบุกผ่านด่านสิบแปดกัลป์ของวังเทพจิตโลกาด้วยกัน”

“ก็แค่บุกผ่านวังเทพจิตโลกาเท่านั้น ความสัมพันธ์ก็สนิทชิดเชื้อกันเช่นนี้เลยหรือ”

เทพจักรวาลจำนวนมากต่างพากันริษยาเป็นอย่างยิ่ง

มาถึงระดับอย่างขั้นสุดยอดนี้ จอมกระบี่ปีศาจก็ทำอะไรตามอำเภอใจอย่างยิ่ง เขาอยากจะเชิญใครก็เชิญคนนั้น! ก็ไม่กลัวว่าจะล่วงเกินผู้ใด ถึงอย่างไรขั้นสุดยอดหากตัวเป็นมาร ก็จะเป็นพญามารผู้ไร้เทียมทานในทันที… บุคคลผู้ไร้เทียมทานก็ยากที่จะจัดการได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าระยะเวลาในการบำเพ็ญของเขา จอมกระบี่ปีศาจนั้นแสนสั้น มีความหวังที่จะได้สมบัติลับล้ำค่าขั้นสูงมาครอง เบื้องหลังยังมีพันธมิตรที่กล้าแข็งอย่างจักรพรรดิเซี่ย จักรพรรดิชางและบรรพชนฝานอยู่อีกด้วย

ดังนั้นจอมกระบี่ปีศาจก็เชื้อเชิญเพียงแค่ผู้ที่มีความสัมพันธ์อันใกล้ชิดที่สุดเพียงแค่สิบกว่าคนเท่านั้น แม้กระทั่งประมุขรัฐเมฆทักษิณาเขาก็ยังมิได้เชิญมาเลย

งานเลี้ยงสังสรรค์ในคืนนั้น

จอมกระบี่ปีศาจก็ได้แนะนำตงป๋อเสวี่ยอิงให้กับมิตรสหายจำนวนหนึ่ง ให้ผู้อื่นได้รู้ว่าจ้าวหิมะเหินก็คือสหายร่วมเป็นร่วมตายของเขา จอมกระบี่ปีศาจ เพียงชั่วครู่ในสายตาของเทพจักรวาลจำนวนมากมายทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา จ้าวหิมะเหินผู้นี้ก็มีอาจารย์อย่าง ‘ประมุขรัฐเมฆทักษิณา’ อีกทั้งยังมีจอมกระบี่ปีศาจที่ร้ายกาจยิ่งกว่าเป็นสหายร่วมเป็นร่วมตาย เทพจักรวาลจำนวนมากก็มีความเคารพยำเกรงในตัวจ้าวหิมะเหินเป็นอย่างยิ่ง

ถ้าหากขอให้คนช่วยเหลือ ก็คงจะง่ายดายเป็นอย่างมาก

แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนี้กลับทุ่มเทจิตใจให้กับการบำเพ็ญเพียงอย่างเดียว อาศัยร่างแปรคนวิถีจิตฟ้ามาห้ำหั่นเหล่ามารเป็นครั้งคราวเท่านั้น

……

ณ คีรีมารสกุลฝาน

ต้นไม้เทพผลาญจิตที่ต้นเตี้ยกว้างใหญ่แข็งแกร่ง กิ่งก้านสาขาขนาดมหึมาสีม่วงเข้มแผ่ปกคลุมเบื้องล่างหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวนั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่น

เวลาเคลื่อนผ่านไป มีใบไม้ที่ราวกับหินหยกสีม่วงเข้มสลักเสลาใบแล้วใบเล่าปลิดปลิวร่วงหล่นลงมา

นับตั้งแต่หลังจากทำข้อตกลงตำราโลกเทียมในตอนนั้นแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีร่างแยกร่างหนึ่งบำเพ็ญอยู่ที่นี่มาโดยตลอด อ้างอิงจากเงื่อนไขของข้อตกลง เขาก็มีสิทธิ์บำเพ็ญภายใต้ต้นไม้เทพผลาญจิตเป็นเวลานานล้านล้านปี! แต่ถึงตอนนี้ก็ผ่านไปสามแสนล้านปีแล้ว

หลังจากจอมกระบี่ปีศาจสำเร็จเป็นขั้นสุดยอดเพียงแค่หมื่นกว่าปีเท่านั้น

ตงป๋อเสวี่ยอิงลืมตาขึ้นในทันใด นัยน์ตาเต็มไปด้วยความมืดมัวคล้ายกับมีการทำลายล้างอันน่าหวาดหวั่นอยู่

อีกพริบตาเดียว นัยน์ตาก็กลับเป็นปกติ

“สี่สายผสานรวมสำเร็จแล้ว”

ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยรอยยิ้มหนึ่งออกมา “วิถีเขตลวงโลกเทียม ข้าก็ผสานรวมสี่สายได้สำเร็จโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ห่างจากห้าสายผสานรวมไปถึงขั้นสุดยอดอีกเพียงแค่ก้าวสุดท้ายก้าวเดียวเท่านั้นเอง”

ห่างอีกเพียงก้าวเดียววิถีอากาศก็จะกลายเป็นขั้นสุดยอดแล้ว

ตอนนี้วิถีเขตลวงโลกเทียมก็เป็นเช่นนี้!

แต่ทั้งสองมีความหมายที่แตกต่างกัน

‘วิถีเขตลวงโลกเทียม’ เป็นถึงวิถีทางด้านวิญญาณ ระดับความยากก็ย่อมสูงเป็นอย่างยิ่ง ดูทั้งดินแดนจิตโลกา ผู้ที่สำเร็จเป็นเทพจักรวาลทางด้านวิถีวิญญาณนั้นมีน้อยยิ่งกว่าน้อย! ผู้ที่วิถีวิญญาณไปถึงระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองนั้นมีน้อยยิ่งกว่าขั้นสุดยอดของวิถีอื่นๆ เสียอีก!

วิถีนี้ยากเย็นเป็นอย่างยิ่ง

แม้กระทั่งตำราก็ยังล้ำค่าหาใดเปรียบ!

“สี่สายผสานรวม” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มน้อยๆ “ข้าเองก็รู้สึกว่าไม่เลวเลย พรสวรรค์ทางด้านโลกเทียมของข้ายังสูงส่งกว่าวิถีอากาศเสียอีก”

ก็จริงอยู่

วิถีอากาศ เป็นเพราะว่ามีคนเดินไปก่อนหน้ามากมายเหลือเกิน ดังนั้นตนเองจึงได้รับโอกาสมามากมาย อย่างเช่นชุดเกราะของแม่ทัพโม่กู่ ศาสตร์ลับสี่ภาพวาดของจักรพรรดิเก้าเมฆา วิชาลับผู้ท่องของบรรพชนห้วงอากาศ เป็นต้น… ผลประโยชน์ต่างๆ นานา ซึ่งได้รับที่ดินแดนจิตโลกา อย่างเช่นยุทธวิธีเมฆาแดง วิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่า และปุจฉวิถีคละถิ่นอันใดก็ช่างเถิด บุปผาโลกาเก้าดอกที่เจ้าเมืองหลัวมอบให้ เคล็ดสืบทอดลับขั้นสูงที่วังเทพจิตโลกาของหยวนที่ตนได้มา!

โอกาสอันดีมากมาย บวกกับพรสวรรค์ของตน จึงเดินมาถึงก้าวที่อยู่ในทุกวันนี้ได้

เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว วิถีเขตลวงโลกเทียม โอกาสของโลกภายนอกก็น้อยนิดเป็นอย่างยิ่ง

ที่อากาศอันสับสนอลหม่านบ้านเกิด ตนสำเร็จเป็นขั้นอลวน ก็คือคนแรกของวิถีเขตลวงโลกเทียมแล้ว! ตนเองก็เป็นคนเปิดทางเลยทีเดียว

และมาถึงดินแดนจิตโลกาก็ต้องลำบากลำบนกว่าจะได้รับตำราโลกจิตของบรรพชนฝานมา แม้กระทั่งตนเองเหนือกว่าบรรพชนฝานได้อย่างรวดเร็ว แม้กระทั่งบรรพชนฝานนึกอยากจะศึกษาตำราโลกเทียมที่ตนคิดค้นขึ้น ตอนนี้ตนผสานรวมสี่สาย… มองดูทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา วิถีเขตลวงโลกเทียมก็มีเพียงแค่เขา ตงป๋อเสวี่ยอิงเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่เป็นสี่สายผสานรวม

เรียกได้ว่าเป็นวิถีเขตลวงโลกเทียมคนแรกของทั้งดินแดนจิตโลกา!

……

ณ สถานที่อันไกลโพ้นแห่งหนึ่งของห้วงมิติระดับที่สูงกว่า

ชายชราผู้หนึ่งนั่งประจันหน้าจิบน้ำชาอยู่กับเจ้าเมืองหลัว

“หืม”

ชายชรากลับมองไกลออกไปยังทิศทางหนึ่งในทันใด

“ผู้อาวุโส เป็นอะไรไปหรือ” เจ้าเมืองหลัวถาม

“วิถีเขตลวงโลกเทียมของตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นั้น สี่สายผสานรวมเรียบร้อยแล้ว” หยวนตกใจเป็นอย่างยิ่ง เขาเป็นผู้สร้างดินแดนจิตโลกาขึ้นมา ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงก็คือหนึ่งในผู้ที่เขาให้ความสนใจในโลกกำเนิดจำนวนมากมาย มิฉะนั้นเขาก็คงไม่ขัดเกลาวิธีการหลอมอาวุธคละถิ่นที่ดัดแปลงให้ง่ายขึ้นมาให้เป็นการเฉพาะหรอก แล้วก็ยิ่งไม่มีทางมอบโลหิตหัวใจของมารดามังกรหมื่นสัมผัสให้ด้วย

“สี่สายผสานรวมก็มิได้อยู่ห่างจากขั้นสุดยอดอีกเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้นแล้วหรือไร” เจ้าเมืองหลัวตกตะลึง “ที่ดินแดนจิตโลกาของท่านแห่งนั้น ผู้ที่วิถีทางด้านวิญญาณห่างจากขั้นสุดยอดอีกเพียงแค่ก้าวเดียวก็มีแต่ตงป๋อเสวี่ยอิงเพียงผู้เดียวเท่านั้นกระมัง”

“ถูกต้อง มีแค่เขาเพียงคนเดียวเท่านั้น!” หยวนก็อุทานเช่นกัน

วิถีวิญญาณก้าวหน้าได้ยากเย็นเหลือเกิน

ตัวตงป๋อเสวี่ยอิงเองคิดว่าเป็นวิถีเขตลวงโลกเทียมคนแรกของดินแดนจิตโลกา แต่เขากลับไม่รู้ว่าตัวเขานั้นเป็นวิถีทางด้านวิญญาณคนแรกของดินแดนจิตโลกาอีกด้วย!

“โลกกำเนิดแต่ละแห่ง ส่วนใหญ่ต่างก็มิได้มีผู้แกร่งกล้ามากเท่าดินแดนจิตโลกาหรอก” หยวนอุทาน “ถึงแม้จะอาศัยจำนวนที่มากมายมหาศาล นับรวมทั้งผู้บำเพ็ญจำนวนหนึ่งของสถานที่พิเศษบางแห่งของมิติคละถิ่น… ผู้ที่ทางด้านวิญญาณห่างจากขั้นสุดยอดอีกเพียงแค่ก้าวเดียวนั้นถึงแม้ว่าจะมีอยู่เกินกว่าร้อยคน ทว่าแต่ไหนแต่ไรก็ไม่มีเลยแม้แต่คนเดียวที่บำเพ็ญเป็นระยะเวลาอันสั้นถึงเพียงนี้เหมือนกับตงป๋อเสวี่ยอิง!”

“ใช่แล้ว” เจ้าเมืองหลัวพยักหน้า

เท่าที่พวกเขาสองคนรู้

แต่ไหนแต่ไร…

แต่ไหนแต่ไรก็ไม่มีวิถีวิญญาณไปถึงขั้นสุดยอดเกิดขึ้นมาเลย! ไม่มีเลยแม้แต่คนเดียว! ดังนั้นหยวนก็ไม่มีหนทางมอบตำราลงมาให้กับดินแดนจิตโลกาได้เลย เพราะถึงแม้ว่าพวกเขาต่างก็เป็นผู้แกร่งกล้าในบรรดาสิ่งมีชีวิตคละถิ่นด้วยกันทั้งสิ้น แต่ก็มิได้เชี่ยวชาญทางด้านวิถีวิญญาณ

ตอนนี้เท่าที่พวกเขาล่วงรู้ ผู้ที่ลึกซึ้งที่สุดทางด้านวิถีวิญญาณก็คือเหลืออีกเพียงก้าวเดียวก็จะเป็นขั้นสุดยอดแล้ว

“ระยะเวลาในการบำเพ็ญของเขาสั้นเกินไปแล้ว” เจ้าเมืองหลัวก็ทอดถอนใจ “นับรวมกับระยะเวลาที่เขามีประสบการณ์ที่โลกกำเนิดบ้านเกิดของเขาและที่ดินแดนจิตโลกา รวมกันขึ้นมาแล้วก็ยังไม่ถึงสองล้านล้านปีเลยด้วยซ้ำ! ไม่ถึงสองล้านล้านปีก็ยกระดับวิถีเขตลวงโลกเทียมมาถึงขั้นนี้ได้แล้ว… ช่างน่าหวาดหวั่นเหลือเกิน พรสวรรค์ทางด้านเขตลวงโลกเทียมของเขาช่างชวนให้คนตื่นตกใจจริงๆ”

“อืม” สองตาของหยวนก็เปล่งประกาย “ข้ามีการคาดการณ์อย่างหนึ่งว่าถ้าหากเขตลวงโลกเทียมของเขาไปถึงขั้นสุดยอดแล้วเกรงว่าการจะสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นก็มิใช่เรื่องยากแล้วล่ะ ฮ่าฮ่า เขาคงจะบำเพ็ญจนบรรลุที่ดินแดนจิตโลกาของข้า ดูจากอุปนิสัยของเขายังใส่ใจผู้อ่อนแอเหล่านั้นมากกว่าเจ้ากับข้าเสียอีกนะ ช่างมีใจรำลึกถึงความหลัง รู้จักสำนึกบุญคุณ เมื่อถึงเวลาก็น่าจะเข้าร่วมกับพวกเราทางนี้ได้อย่างง่ายดาย”

“ใช่แล้ว” เจ้าเมืองหลัวยิ้มตาหยี “ก่อนหน้านี้ข้าก็ได้ส่งมอบบุปผาโลกาเก้าดอกให้กับเขา แต่ว่าเงื่อนไขทั้งหมดก็คือเขตลวงโลกเทียมของเขาไปถึงขั้นสุดยอด! วิถีทางตามปกติ การบรรลุไปถึงก้าวสุดท้ายของขั้นสุดยอดนั้นก็ยากเย็นเป็นที่สุดอยู่แล้ว เกรงว่าการจะบรรลุเขตลวงโลกเทียมได้นั้นก็คงจะยากเย็นยิ่งขึ้นไปอีก! โลกกำเนิดมากมาย ร้อยกว่าคนนั้นที่ทางด้านวิญญาณอยู่ห่างจากก้าวสุดท้ายเพียงแค่ก้าวเดียว ทว่าแต่ละคนต่างก็ติดค้างอยู่ที่นั่น ไม่มีผู้ใดสามารถก้าวออกจากก้าวสุดท้ายนั้นได้เลยแม้แต่คนเดียว”

หยวนพยักหน้าเบาๆ “ข้าเคยมอบโลหิตหัวใจมารดามังกรหมื่นสัมผัสหยดหนึ่งให้กับเขา สำหรับเขา เทพจักรวาลผู้ที่มิได้หนีออกจากกรงขังคนหนึ่งแล้ว นี่ก็คือขั้นสุดยอดของวิญญาณของเขาแล้ว พวกเราช่วยเขามิได้หรอก เขาก็ยืนอยู่ที่จุดสูงสุดของวิถีเขตลวงโลกเทียมแล้ว หลังจากนี้ไปก็ต้องให้เขาเดินไปเองแล้วล่ะ”

“อัตราเร็วในการบำเพ็ญของเขาช่างรวดเร็วจริงๆ พรสวรรค์ทางด้านนี้ก็ห่างชั้นกับคนอื่นๆ ที่รู้จักทั้งหมด” เจ้าเมืองหลัวก็พยักหน้า “ถึงแม้ว่าก้าวสุดท้ายจะยากเย็นเป็นอย่างยิ่ง แต่ถ้าหากพูดถึงความหวัง เขาก็มีหวังมากที่สุด”

“รอก่อนเถิด” หยวนแย้มยิ้มน้อยๆ “ใครๆ ก็ว่ากันว่าการที่ข้ารังสรรค์ดินแดนจิตโลกานั้นเป็นเรื่องเสียเวลา ทว่าพวกเขากลับไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานพอ แล้วยังต้องมีความอดทนมากพอ จึงจะมีผู้แกร่งกล้าที่แท้จริงปรากฏตัวขึ้น”

พวกเขาสองคนให้ความสนใจอยู่รอบหนึ่งแล้วก็มิได้ใส่ใจอะไรมากอีกแล้ว พวกเขาก็รู้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้อยากจะให้เขตลวงโลกเทียมไปถึงขั้นสุดยอด เกรงว่าคงจะมิได้ง่ายดายเช่นนั้น

……………………………………………..

ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินไปถึงตรงหน้าหอกยาวสีดำสนิทที่แขวนลอยอยู่ เขาเงยหน้าขึ้นมองแล้วยื่นมือออกไปจับบนด้ามหอก

มือกุมเอาไว้แล้วก็เกิดความรู้สึกสบายเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังมีความรู้สึกวิญญาณสั่นสะท้านอีกด้วย คล้ายกับว่าวิญญาณเชื่อมต่อเข้าด้วยกันกับหอกยาว

“อาวุธเทพคละถิ่น คิดไม่ถึงว่าข้าจะได้ครอบครองอาวุธเทพคละถิ่นเล่มหนึ่งด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงสองตาเปล่งประกาย มองดูทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา มีสมบัติลับล้ำค่าขั้นสูงอยู่สิบกว่าชิ้น รวมกับชิ้นที่สูญหายไปหลังจากที่บุคคลผู้ไร้เทียมทานตายตกไปอีกจำนวนหนึ่งก็มีอยู่เพียงแค่ยี่สิบกว่าชิ้นเท่านั้นเอง! ส่วนอาวุธเทพคละถิ่นน่ะหรือ ต้องรู้ไว้ว่า ดูจากความยากในการได้มา เคล็ดสืบทอดลับขั้นสูงนั้นได้มายากกว่าสมบัติลับล้ำค่าขั้นสูง

และอาวุธเทพคละถิ่นก็พบเห็นได้ยากยิ่งกว่าเคล็ดสืบทอดลับขั้นสูงเสียอีก

เหล่าบุคคลผู้ไร้เทียมทานของดินแดนจิตโลกาสะสมเม็ดทรายอลวนเอาไว้ไม่น้อยเป็นระยะเวลายาวนาน แต่กลับมีเพียงแค่เขา ตงป๋อเสวี่ยอิง เพียงคนเดียวเท่านั้นที่สะสมเอาไว้อย่างมหาศาล! อ้างอิงจากสิ่งนี้ก็มีความเป็นไปได้เป็นอย่างมากว่าอาวุธเทพคละถิ่นบนดินแดนจิตโลกาก็มีแค่ชิ้นนี้เพียงชิ้นเดียวเท่านั้น

“พรึ่บ”

นั่งขัดสมาธิลงไป

หอกยาววางอยู่บนหน้าตัก ด้านหนึ่งจิตวิญญาณก็ผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกับวิญญาณหอกยาวไปพลาง อีกด้านหนึ่งก็ค่อยๆ หลอมแปรหอกยาวไปพลาง

เดิมทีการหลอมแปรอาวุธเทพคละถิ่นก็ยากเย็นอยู่แล้ว ว่ากันตามเหตุผล เทพจักรวาลก็ไม่มีหวังที่จะสามารถหลอมแปรได้ แต่โชคดีที่ทุกชิ้นส่วนของหอกยาวเล่มนี้ล้วนเป็นสิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงหลอมขึ้นเองกับมือ กระบวนการหลอมที่ยุ่งยากซับซ้อนนั้นอันที่จริงแล้วก็ได้ผ่านการ ‘หลอมแปรตั้งแต่ก้าวแรก’ มาแล้ว ตอนนี้การหลอมแปรอีกครั้งก็กลับง่ายดายขึ้นเป็นอย่างมาก

ระยะเวลาเพียงแค่สามร้อยปี หอกชิงเหอก็ได้ดังใจทั้งหมดแล้ว

“เดิมทีข้าสามารถสำแดงได้เพียงแค่สามกระบวนแรกของเจ็ดกระบวนคละถิ่นเท่านั้น ตอนนี้อาศัยหอกชิงเหอก็สามารถสำแดงห้ากระบวนแรกได้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง ถ้าหากไม่มีหอกชิงเหอ ต่อให้สำเร็จเป็นขั้นสุดยอด ตนเองก็สามารถสำแดงได้ถึงเพียงแค่ขั้นนี้เท่านั้น

“ต้องศึกษาให้ดีๆ”

……

ถึงแม้ว่าพลังยุทธ์จะเพิ่มพูนขึ้นไม่น้อย แต่ ‘หอกชิงเหอ’ อาวุธเทพคละถิ่นก็เป็นเพียงแค่ก้อนกรวดที่ขวางเท้าก้อนหนึ่งเท่านั้น ให้เขาหยั่งรู้วิถีอากาศและพลังคละวิถีให้ดีจะดีกว่า

……

เรื่องที่ตงป๋อเสวี่ยอิงหลอม ‘หอกชิงเหอ’ อาวุธเทพคละถิ่นออกมา ไม่มีผู้ใดบนดินแดนจิตโลกาล่วงรู้เลย ทุกสิ่งทุกอย่างในดินแดนจิตโลกาอันกว้างใหญ่ไพศาลก็หมุนไปข้างหน้าเช่นเดิม การปรากฏตัวของ ‘คนวิถีจิตฟ้า’ ก็ทำให้ความเป็นระเบียบของดินแดนจิตโลกาดีขึ้นเป็นอย่างมากแล้ว เรื่องของ ‘การสังหารหมู่ครั้งใหญ่’ ก็น้อยลงไปกว่าเมื่อก่อนเป็นร้อยเท่า นี่ก็คือพลังการยับยั้งของผู้แกร่งกล้าไร้เทียมทานคนหนึ่ง

พริบตาเดียวก็ผ่านไปอีกสามแสนล้านปีแล้ว

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็อยู่ระหว่างการกบดานบำเพ็ญเช่นเดิม แม้กระทั่งอาศัยการตระหนักรู้ของบุปผาโลกา และ ‘หอกชิงเหอ’ อาวุธเทพคละถิ่นสำแดงการหยั่งรู้บางส่วนของคละถิ่นกระบวนที่ห้า…ตงป๋อเสวี่ยอิงยังคิดค้นกระบวนสังหารที่ห้าของยุทธวิธีหิมะเหินออกมาได้แล้วด้วย พลานุภาพน่าหวาดหวั่นเป็นที่สุด อีกทั้งยังมีประสิทธิภาพในการหลบหนีที่ล้ำเลิศเป็นที่สุด ประสิทธิภาพในการหลบหนีสามารถนับได้ว่าเป็นการผันแปรของ ‘ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา’ เลยทีเดียว

อันที่จริงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังค่อนข้างอ่อนแออยู่

หากเป็นศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาที่ผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอดสำแดงออกมา เช่นนั้นก็ลึกลับและสมบูรณ์แบบมากมายแล้ว ไม่เพียงแต่ตนเองจะสามารถหลบหนีได้เท่านั้น แต่ยังสามารถพาสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ไปได้ด้วย!

วันนี้

ข่าวอย่างหนึ่งถูกส่งมาถึงตงป๋อเสวี่ยอิง

“อะไรนะ จอมเคารพกระบี่ปีศาจบรรลุไปถึงขั้นสุดยอดแล้วอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงได้เห็นข่าวนี้แล้วก็ตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง “รวดเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ”

จอมเคารพกระบี่ปีศาจเคยต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับตนตอนอยู่ที่วังเทพจิตโลกา แม้กระทั่งบรรพชนราตรีนิรันดร์ลงมือกับตน จอมเคารพกระบี่ปีศาจก็เคยไปขัดขวางอย่างสุดกำลัง เป็นมิตรสหายที่ดีต่อตนอย่างแท้จริง เพียงแต่ว่า…

จอมเคารพกระบี่ปีศาจเป็นจอมเคารพถือกำเนิดใหม่คนหนึ่งของสกุลชางแห่งรัฐโบราณคิมหันตวายุ ทั้งยังเป็นจอมเคารพที่เยาว์วัยที่สุดคนหนึ่งของรัฐโบราณคิมหันตวายุอีกด้วย

เยาว์วัยเช่นนี้แต่กลับเหนือกว่าจอมเคารพคนใดๆ เหนือกว่ามหาเคารพฝูอี่ มหาเคารพซือเทียน และคนอื่นๆ ก้าวสู่ขั้นสุดยอดได้สำเร็จก่อนใคร

“ขั้นสุดยอด” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยเสียงต่ำ

เขาตรากตรำบำเพ็ญด้วยตนเองจึงได้เข้าใจว่าการจะไปถึงขั้นสุดยอดนั้นยากเย็นเพียงใด

เขาไปถึงแปดสายผสานรวมก่อนหน้านี้แล้ว ทั้งยังมีบุปผาโลกา มีเคล็ดสืบทอดลับขั้นสูง การตระหนักรู้ของตนก็ยังสูงเป็นที่สุด แต่ก้าวสุดท้าย ตอนนี้ตนเองก็คิดค้นห้ากระบวนสังหารออกมาได้! สั่งสมอย่างแน่นหนาหาใดเปรียบ แต่ก็ยังรู้สึกว่าขาดอยู่อีกเล็กน้อย ไม่รู้จริงๆ ว่าเมื่อใดจึงจะสามารถก้าวออกจากก้าวสำคัญก้าวนี้ได้เสียที

มหาเคารพฝูอี่ ประมุขรัฐเมฆทักษิณา มหาเคารพซือเทียนและคนอื่นๆ ต่างก็ติดอยู่ที่จุดคอขวดกันทั้งสิ้น

ดูที่ดินแดนจิตโลกา! นอกจากบุคคลผู้ไร้เทียมทาน ขั้นสุดยอดคนอื่นๆ คงมีจำนวนราวๆ สองหยิบมือเท่านั้น

จำนวนนี้น้อยนิดเพียงใด

รัฐโบราณคิมหันตวายุ นอกจากบุคคลผู้ไร้เทียมทานทั้งสามท่าน ก็ไม่มีขั้นสุดยอดอยู่อีกแล้ว! จอมเคารพกระบี่ปีศาจเป็นขั้นสุดยอดเพียงคนเดียวที่ถือกำเนิดขึ้นในรัฐโบราณคิมหันตวายุ นอกเหนือจากบุคคลผู้ไร้เทียมทานทั้งสามท่าน ตลอดระยะเวลาอันยาวนาน

“พิธีฉลองขั้นสุดยอดหรือ จอมเคารพกระบี่ปีศาจดีต่อข้าเป็นที่สุด จะต้องเลือกของขวัญสักหน่อยแล้วรีบไป” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ

……

ในที่สุดรัฐโบราณคิมหันตวายุก็มีขั้นสุดยอดถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว

งานพิธีเฉลิมฉลองอันยิ่งใหญ่เพื่อแสดงความยินดีกับขั้นสุดยอดที่ถือกำเนิดขึ้นใหม่ก็ถูกจัดขึ้นที่ ‘เมืองจักรพรรดิชาง’ เมืองหลักของ ‘สกุลชาง’ หนึ่งในสามตระกูลใหญ่แห่งรัฐโบราณคิมหันตวายุ ผู้แกร่งกล้าแต่ละฝ่ายต่างก็มาเข้าร่วม!

นครรัฐหลายสิบแห่งที่อยู่บริเวณรอบๆ ก็ย่อมมิกล้าไม่มาอยู่แล้ว

แม้กระทั่งอีกห้ารัฐโบราณอื่นๆ ก็ยังส่งเทวทูตมาเข้าร่วม ทั้งยังมีเมืองเล็กๆ อีกเป็นจำนวนมากที่ถึงกับส่งประมุขรัฐมาเข้าร่วมด้วยตนเองเลยทีเดียว

“แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเห็นเทพจักรวาลมากมายถึงเพียงนี้มาก่อนเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงในร่างหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวเคียงบ่ามากับประมุขรัฐเมฆทักษิณา ส่งมอบของขวัญแล้วก็เข้าไปภายในโถงตำหนักขนาดมโหฬาร ก่อนจะแยกกันนั่งลงภายใต้การนำทางของผู้ดูแล

มองไปปราดหนึ่ง เทพจักรวาลภายในโถงตำหนักแห่งนี้ก็อยู่กันอย่างคับคั่ง มีจำนวนเกินกว่าห้าร้อยคน! นี่ยังเป็นเพียงแค่ผู้ที่มาร่วมแสดงความยินดีเท่านั้น ก็สามารถเห็นความแตกต่างระหว่างดินแดนจิตโลกากับอากาศอันสับสนอลหม่านได้จากสิ่งนี้

“ขั้นสุดยอดถือกำเนิดขึ้นมาได้ เดิมทีก็ยากเย็นเป็นอย่างยิ่งอยู่แล้ว อย่างเช่นผู้ที่บำเพ็ญตามลำพัง หรือว่าขั้นสุดยอดที่กำเนิดขึ้นมาในรัฐเล็กๆ โดยทั่วไปต่างก็มิอาจจัดพิธีเฉลิมฉลองเช่นนี้ขึ้นมาได้อยู่แล้ว ก็มีเพียงแค่รัฐโบราณเท่านั้นจึงจะเฉลิมฉลองตามอำเภอใจเช่นนี้ได้” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาที่อยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้น “นอกจากนี้ ความเร็วในการบรรลุของจอมกระบี่ปีศาจผู้นี้ก็รวดเร็วเหลือเกิน สำเร็จเป็นเทพจักรวาลได้อย่างรวดเร็ว สำเร็จเป็นจอมเคารพได้อย่างรวดเร็ว ตอนนี้ยังสำเร็จไปถึงขั้นสุดยอดด้วย ระยะเวลาในการบำเพ็ญของเขาช่างแสนสั้น ถึงแม้ว่าจะยาวกว่าเจ้าอยู่มากก็ตาม แต่เขาก็เพิ่งจะเคยเข้าไปในวังเทพจิตโลกาเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นเอง!”

“ตอนนี้สำเร็จเป็นขั้นสุดยอดแล้ว ด้วยความเร็วในการบำเพ็ญอันชวนให้คนตกตะลึงเช่นนี้ของเขา เกรงว่าอยู่ที่วังเทพจิตโลกาก็ยังมีหวังที่จะได้สมบัติลับล้ำค่าขั้นสูงมาครอบครอง”

“นอกจากนี้พวกเขาสามคน ทั้งจักรพรรดิเซี่ย จักรพรรดิชาง และบรรพชนฝาน ก็จะต้องทุ่มเทอย่างสุดกำลังเพื่อช่วยเหลือจอมกระบี่ปีศาจ… ดังนั้นก็พูดได้ว่าคราวหน้าที่วังเทพจิตโลกาเปิดออก ก็มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจอมกระบี่ปีศาจผู้นี้จะได้สมบัติลับล้ำค่าขั้นสูงมาครอบครอง” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาทอดถอนใจ “เทพจักรวาลมากมายถึงเพียงนี้มาเข้าร่วม ด้านหนึ่งก็คือเป็นการให้เกียรติรัฐโบราณคิมหันตวายุ ส่วนอีกด้านหนึ่งก็คือเพื่อแสดงความปรารถนาดีต่อจอมกระบี่ปีศาจ! ถึงอย่างไรก็มีความเป็นไปได้เป็นอย่างยิ่งที่จะเป็นบุคคลผู้ไร้เทียมทานคนใหม่”

ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

“แน่นอน ระหว่างขั้นตอนของงานพิธี จอมกระบี่ปีศาจมีความเป็นไปได้อย่างยิ่งที่จะก้มหน้าก้มตาบำเพ็ญบนวิถีของขั้นสุดยอดสักรอบหนึ่ง นี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ดึงดูดเทพจักรวาลส่วนหนึ่งมากระมัง” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาพูด เพียงแต่ในดวงตาก็มีแววคาดหวังอยู่บ้างรางๆ

กระหายอยากเป็นอย่างยิ่ง

กระหายอยากให้ตนเองไปถึงขั้นสุดยอดด้วยเช่นเดียวกัน

“ขั้นสุดยอด” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำเสียงต่ำ

คราวนี้มาเข้าร่วมงานเฉลิมฉลองของผู้อื่น ไม่รู้ว่าเมื่อใดตนเองจะสามารถบรรลุได้บ้าง ตนเองบรรลุแล้วจึงจะสามารถช่วยเหลือได้แม้กระทั่งเหล่าญาติมิตร พาพวกเขาไปจากอากาศอันสับสนอลหม่าน มุ่งหน้าไปใช้ชีวิตยังโลกกำเนิดแห่งอื่นได้!

“นั่นมิใช่จ้าวหิมะเหินหรอกหรือ”

“จ้าวหิมะเหินมาพร้อมกันกับประมุขรัฐเมฆทักษิณา จ้าวหิมะเหินผู้นี้เก็บเนื้อเก็บตัวเป็นอย่างยิ่ง คราวก่อนที่วังเทพจิตโลกาเปิดออก ว่ากันว่าเขาได้รับอะไรในนั้นกลับไปอย่างยิ่งใหญ่ที่สุดเลยทีเดียว แต่น่าเสียดายที่ในท้ายที่สุดกลับถูกบรรพชนราตรีนิรันดร์ผลาญสังหาร ไม่เพียงแต่ร่างแยกสลายไปจนสิ้นเท่านั้น สมบัติล้ำค่าก็ยังถูกช่วงชิงไปจนหมดอีกด้วย เดิมทีก็มีพลังยุทธ์ของจอมเคารพอยู่ ตอนนี้ไม่มีสมบัติล้ำค่าแล้ว พลังยุทธ์ก็คงลดต่ำลงไปเป็นอันมาก น่าเสียดายจริงๆ เลย”

“การสำเร็จเป็นจอมเคารพนั้นมิใช่เรื่องง่ายเลย ได้มาแล้วก็ต้องมาสูญเสียไป”

เทพจักรวาลที่รวมตัวกันอยู่ภายในโถงตำหนักมีมากเกินกว่าห้าร้อยคน ยามปกติพวกเขาต่างก็เป็นบุคคลผู้ทรงอำนาจของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ไม่เป็นประมุขรัฐ ก็เป็นระดับสูงสุดเพียงไม่กี่คนของรัฐสักแห่ง ตามปกติแล้วก็ยากที่จะพบเจอได้สักครั้ง ตอนนี้งานฉลองในครั้งนี้…พวกเขาแต่ละคนกลับกำลังสนทนากับคนอื่นๆ อยู่

ยามที่สนทนามาถึงเรื่อง ‘จ้าวหิมะเหิน’ มีเทพจักรวาลบางคนที่เห็นใจ มีบางคนที่มีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น

แน่นอนว่า…

ต่างก็ถ่ายเสียงสื่อสารกัน ยังไม่ถึงขนาดที่พูดออกมาอย่างเปิดเผย! พวกเขาจะไม่ไว้หน้าจ้าวหิมะเหินก็ได้ แต่ก็ยังต้องไว้หน้าประมุขรัฐเมฆทักษิณาอยู่!

“เสวี่ยอิง เทพจักรวาลจำนวนไม่น้อยยังรู้สึกเสียดายแทนเจ้าเลย” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาก็สังเกตได้ถึงบริเวณรอบๆ ว่าบรรดาเทพจักรวาลเหล่านั้นมองมาทางนี้ ถึงแม้ว่าจะยิ้มแย้มหัวเราะ แต่ก็มีบางคนที่มองตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยสายตาที่แฝงไว้ด้วยความหมายบางอย่าง “ถ้าหากพวกเขารู้ว่าเจ้าก็คือคนวิถีจิตฟ้า ก็ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าสีหน้าจะแปรเปลี่ยนไปเช่นไร”

“เทพจักรวาลเหล่านี้ก็ไม่มีอะไรให้น่าสนใจหรอก” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ถ่ายเสียงพูด เขามิได้ใส่ใจบรรดาเทพจักรวาลเหล่านั้นเลย “สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับคนอย่างข้าก็ยังเป็นการที่สามารถไปถึงขั้นสุดยอดได้อยู่ดี ตอนนี้ที่ข้ามีพลังยุทธ์เช่นนี้ได้ก็เพราะอาศัยวัตถุภายนอกเท่านั้นเอง”

“ใช่แล้ว ไปถึงขั้นสุดยอด” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาพยักหน้าน้อยๆ

สองศิษย์อาจารย์ต่างก็มุ่งมาดปรารถนาจะไปให้ถึงขั้นสุดยอด

“มาแล้ว”

ทั่วทั้งภายในโถงตำหนักพลันเงียบสงัดลงมาในทันใด ด้านบนของตำหนักใหญ่ก็มีเงาร่างสี่สายปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ จักรพรรดิชาง จักรพรรดิเซี่ย และบรรพชนฝาน พวกเขาสามคนอยู่ตรงกลาง ส่วน ‘จอมกระบี่ปีศาจ’ กลับอยู่ที่ตำแหน่งทางด้านซ้ายมือของจักรพรรดิชาง

………………………………………..

เผชิญหน้ากับบรรพชนราตรีนิรันดร์และบรรพชนนิจรัตติกาล ตงป๋อเสวี่ยอิงก็แย้มยิ้มน้อยๆ แล้วค้อมกายลงเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพ ก่อนจะหายตัวไปกลางอากาศ

เขาจากไปและแสดงความเคารพก็เพื่อไว้หน้า ‘บรรพชนราตรีนิรันดร์และบรรพชนนิจรัตติกาล’ เขามองออกว่าบรรพชนราตรีนิรันดร์มีจิตคิดล่าถอยแล้ว ด้วยตัวตนของอีกฝ่ายย่อมมิอาจเอ่ยปากยอมแพ้อย่างแน่นอน ในทางกลับกัน เขา ‘คนวิถีจิตฟ้า’ ยังค้อมกายแสดงความเคารพแล้วจากไป ให้อีกฝ่ายเหนือกว่าขั้นหนึ่ง

“พวกบรรพชนราตรีนิรันดร์เป็นผู้นำของรัฐโบราณแห่งหนึ่ง แต่ตัวตนของข้า คนวิถีจิตฟ้าผู้นี้ กลับไม่มีจุดบกพร่องเลยแม้แต่น้อย แต่ก็มิอาจดูหมิ่นพวกเขามากจนเกินไปนัก เพื่อป้องกันมิให้พวกเขาโกรธเคือง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจในจุดนี้

ถ้าหากเขา ตงป๋อเสวี่ยอิง ก็เป็นบุคคลผู้ไร้เทียมทานเช่นเดียวกัน ดูหมิ่นกันด้วยวาจาก็แล้วไปเถิด ถึงอย่างไรก็เป็นบุคคลในระดับเดียวกัน

แต่ตอนนี้ถึงอย่างไรพลังยุทธ์ของเขาก็ด้อยกว่า ‘บุคคลผู้ไร้เทียมทาน’ อยู่มากนัก พลังยุทธ์ไม่สู้คน คราวนี้อีกฝ่ายต้องอดทน เดิมทีก็ไม่พอใจอยู่แล้ว ถ้าหากดูหมิ่นตามใจชอบ ก็ยากที่จะให้พวกบรรพชนราตรีนิรันดร์ไม่บ้าคลั่งอาละวาดใส่ผู้ใต้บังคับบัญชา!

“ไป”

บรรพชนนิจรัตติกาลหัวเราะเบาๆ เสียงหนึ่งแล้วก็หายตัวไปมิอาจเห็นได้อีก

บรรพชนราตรีนิรันดร์มองออกไปไกลอย่างเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง คราวนี้ในที่สุดเขาก็ถูกกดดันจนต้องยอมก้มหัวเป็นการชั่วคราว แล้วเขาก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยในทันที

……

ผู้ที่ได้เห็นการต่อสู้นี้มีน้อยนิดยิ่งนัก แม้กระทั่งเทพจักรวาลส่วนใหญ่ก็มิได้เห็นการต่อสู้ครั้งนี้

ก็มีเพียงแค่บุคคลผู้ไร้เทียมทานและบุคคลขั้นสุดยอดที่มีเพียงน้อยนิด ที่เพราะว่ารู้สึกได้ถึงระลอกคลื่นของการต่อสู้ จึงได้ ‘ชมดู’ การต่อสู้ครั้งนี้อยู่ห่างๆ! ถึงแม้ว่าจำนวนของผู้แกร่งกล้าที่ชมดูการต่อสู้ครั้งนี้จะน้อยนิดเป็นที่สุด แต่ผลกระทบกลับยิ่งใหญ่เหลือเกิน

“บรรพชนทั้งสองของรัฐโบราณบรรพชนร่วมมือกันลอบจัดการก็ยังไม่สามารถทำให้คนวิถีจิตฟ้าเปิดเผยตัวตนได้เลย หลังการต่อสู้ครั้งนี้ ภายในระยะเวลาอันสั้น ก็ยากยิ่งที่จะสั่นคลอนคนวิถีจิตฟ้าผู้นี้แล้วล่ะ”

“อืม บรรดามารเหล่านั้นตั้งตารอให้คนวิถีจิตฟ้าเปิดเผยตัวตน เกรงว่าคงต้องรอนานมากเสียแล้วล่ะ”

“ช่างร้ายกาจเสียจริง บรรพชนทั้งสองของรัฐโบราณบรรพชนร่วมมือกันขึ้นมาก็น่าหวาดหวั่นเป็นที่สุด พวกเขาสองคนร่วมมือกันก็ยังจัดการคนวิถีจิตฟ้ามิได้ เกรงว่าคงต้องเป็นรัฐโบราณสหโลกาและรัฐโบราณคิมหันตวายุจึงมีหวังที่จะจัดการคนวิถีจิตฟ้าได้กระมัง เหล่าบุคคลผู้ไร้เทียมทานต่างก็ให้ความสำคัญกับสถานะ คงมีไม่กี่คนหรอกที่จะไม่รักษาหน้าตาแล้วทำการลอบโจมตีเหมือนพวกบรรพชนราตรีนิรันดร์”

“ในระยะเวลาสั้นๆ นี้ คนวิถีจิตฟ้า ไร้กังวล!”

แต่ละฝ่ายต่างก็ทำการคาดการณ์ออกมา

บุคคลผู้ไร้เทียมทานทำการลอบโจมตีขั้นสุดยอดที่พลังยุทธ์อ่อนแออีกทั้งยังไม่มีสมบัติลับล้ำค่าขั้นสูงคนหนึ่งอย่างนั้นหรือ เดิมทีก็ไร้ยางอายอยู่พอสมควรแล้ว

ร่วมมือลอบโจมตีหรือ

ก็ยิ่งหน้าไม่อายเข้าไปใหญ่แล้ว

ก็มีแต่สองท่านนั้นของรัฐโบราณบรรพชนที่สามารถทำเช่นนี้ได้อย่างสบายๆ นิสัยอย่าง ‘จักรพรรดิเซี่ย’ หรืออย่าง ‘จักรพรรดิเทพผลาญโลกา’ หากให้พวกเขาทำเช่นนี้ก็เป็นเรื่องน่าอับอายขายหน้าอย่างยิ่ง! นอกเสียจากว่าจะมีผู้ที่ส่งผลกระทบไปถึงความหวังในการบรรลุ ‘คละถิ่น’ ของพวกเขาปรากฏตัวขึ้น พวกเขาจึงจะไม่เสียดายสิ่งใด อย่างเช่นสงครามประเทศโบราณครั้งที่หนึ่งและสงครามประเทศโบราณครั้งที่สอง

ในยามปกติ คนส่วนใหญ่ต่างก็ให้ความสำคัญกับสถานะและหน้าตากันเป็นอย่างยิ่ง

*******

ชายหนุ่มหล่อเหลางดงามในอาภรณ์ทองงามหรูผู้สวมมงกุฎไว้บนศีรษะนั่งอยู่บนราชบัลลังก์ตามลำพัง ถือสุราผลไม้สีแดงเลือดหมูเอาไว้ เขามองออกไปไกล สายตาของเขามองเห็นลำดับเหตุการณ์การต่อสู้เมื่อครู่ทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย

“ตั้งแต่กลับมาถึงยังดินแดนจิตโลกาก็ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายมาโดยตลอด” ชายหนุ่มผู้หล่อเหลางดงามเอ่ยด้วยเสียงเบาทุ้มต่ำ มุมปากผุดรอยยิ้มขึ้นมา “ก็มีแต่หุบเขาเขี้ยวหักเท่านั้นจึงจะทำให้ข้าได้รู้สึกถึงกลิ่นอายอันตรายของวันคืนเมื่อครั้งกระโน้นได้ใหม่อีกครั้ง”

หุบเขาเขี้ยวหัก

สถานที่อันตรายอันดับหนึ่งแห่งดินแดนจิตโลกา ซากศพของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นจำนวนหนึ่งถูกโยนเอาไว้ที่นั่นทั้งยังมีบุคคลผู้ไร้เทียมทานที่ตายตกอยู่ที่นั่นด้วยเช่นกัน

กลับมาถึงบ้านเกิด สำหรับราชันย์อนธการอมตะแล้ว ก็มีเพียงแค่หุบเขาเขี้ยวหักเท่านั้นที่ยังมีแรงดึงดูดต่อเขาบ้าง

“หยวน”

“ข้าล้มเหลวเสียแล้ว ก็จะไม่ให้โอกาสกับข้าอีกแล้วหรืออย่างไรกัน” ชายหนุ่มผู้หล่อเหลางดงามเงยหน้าขึ้นมอง สายตาทะลุผ่านผนังโถงตำหนัก ทะลุผ่านอากาศอันเวิ้งว้างกว้างใหญ่ แล้วก็ได้เห็นห้วงมิติระดับที่สูงกว่าอย่างรางๆ

เขาไม่ยอมจำนนหรอก

ไม่ยอมจำนนใจจริงๆ!

“ยอมไม่ได้จริงๆ ก็แค่มดปลวกในกรงขังตัวหนึ่งเท่านั้นเองนะ” ชายหนุ่มผู้หล่อเหลางดงามเอ่ยเสียงต่ำ

“ราชันย์อนธการ ท่านก็ได้เห็นแล้วนี่ขอรับ คนวิถีจิตฟ้าผู้นั้นยากที่จะไปพัวพันด้วยจริงๆ ดังนั้นยังขอให้ท่านราชันย์อนธการโปรดขยายเวลาให้อีกสักหน่อยเถิด ภายใต้ความจำกัดของระยะเวลาแต่เดิมนั้นข้าไม่มีความมั่นใจเลยจริงๆ นะขอรับ” บรรพชนราตรีนิรันดร์ถ่ายเสียงพูด

มุมปากของชายหนุ่มผู้หล่อเหลางดงามผุดรอยยิ้มเย็น “ราตรีนิรันดร์ ตอนนั้นเจ้าเองก็ได้ให้คำสัตย์สาบานเอาไว้แล้ว ตัวเองก็ต้องยอมรับสิ! สำหรับเวลาน่ะหรือ ข้าอนุญาตให้เจ้าได้มากที่สุดเป็นระยะเวลาสองเท่าของกำหนดเวลาเดิม แต่เมื่อใดที่เวลาขยายออกไปถึงสองเท่า ผลประโยชน์ที่ข้ารับปากเอาไว้ก็ต้องลดลงครึ่งหนึ่งล่ะนะ”

บรรพชนราตรีนิรันดร์เงียบงันไปในทันที

“แน่นอน ถ้าหากทำสำเร็จภายในระยะเวลาเท่าเดิม ก็จะเหมือนกับที่ตกลงไว้แต่แรกอย่างแน่นอน” ชายหนุ่มผู้หล่อเหลางดงามพูด

เงื่อนไขของเขาก็นับได้ว่าผ่อนคลายแล้ว

อ้างอิงตามเงื่อนไขเดิม เมื่อใดที่เวลาน่าพึงพอใจ เช่นนั้นก็เป็นการผิดคำสาบานเสียแล้ว

ตอนนี้ขยายเวลาออกไปถึงสองเท่า ก็ยังอยู่ในขอบเขตของคำสาบานอยู่

“เอาล่ะ ข้าเห็นด้วย” บรรพชนราตรีนิรันดร์รับคำ

ชายหนุ่มผู้หล่อเหลางดงามส่งเสียงหัวเราะเย้ยหยัน จากนั้นนัยน์ตาทั้งสองก็มีเปลวเพลิงสีดำลุกโชน เขาเอ่ยด้วยเสียงเบาทุ้มต่ำว่า “คนวิถีจิตฟ้าหรือ น่าสนใจทีเดียว จะคุกคามเหล่ามารทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาด้วยกำลังของตนเพียงคนเดียว จะสิ้นเปลืองแรงไปหน่อยหรือไม่ ตรวจสอบตัวตนของเขาแล้วหรือ”

สำหรับเหล่าบุคคลผู้ไร้เทียมทานของดินแดนจิตโลกา กลิ่นอายที่ปลอมแปลงขึ้นมาของคนวิถีจิตฟ้านั้นไร้ซึ่งจุดบกพร่อง แต่สำหรับราชันย์อนธการอมตะที่ประสบกับภยันตรายจำนวนนับไม่ถ้วนจากภายนอกมาแล้วกลับมีวิธีสอดแนมได้

“โง่เง่านัก”

ชายหนุ่มผู้หล่อเหลางดงามขมวดคิ้วมุ่น “พละกำลังที่สะสมมาอย่างยากลำบาก จะมาใช้กับเรื่องที่เพียงเพราะ ‘ใคร่รู้’ เช่นนี้ได้อย่างไรกัน ดูท่าทางกลับมายังดินแดนจิตโลกาแล้วจะสุขสบายมานานเกินไป ไม่มีอันตราย บวกกับการตัดโอกาส ความคิดจิตใจของข้าจึงได้เปลี่ยนแปลงไปเสียแล้ว ความคิดจิตใจเช่นนี้ยังนึกอยากจะไปศึกษา ‘การใช้พลังทำลายกฎ’ ที่เจ้าเมืองหลัวอาศัยความทุ่มเทพากเพียรพยายามอย่างมหาศาลอีกหรือ”

สลัดความคิดที่อยากจะสอดแนมตัวตนของคนวิถีจิตฟ้าทิ้งไปจากสมองอย่างรวดเร็ว

สำหรับราชันย์อนธการอมตะแล้ว ‘คนวิถีจิตฟ้า’ ก็เป็นเพียงแค่ความสนุกเท่านั้น ไม่มีการคุกคามเลยแม้แต่นิดเดียว

……

กาลเวลาเคลื่อนผ่าน

เช่นเดียวกันกับที่สุดยอดผู้แกร่งกล้าจำนวนมากตระหนักดี ถึงแม้ว่าการเผชิญหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงกับบุคคลผู้ไร้เทียมทานทั้งสองของรัฐโบราณบรรพชนจะมีผู้แกร่งกล้าที่ได้เห็นเพียงน้อยนิดอย่างยิ่ง แต่ผลกระทบก็ยังแผ่ขยายออกมาอยู่ดี

ความเป็นระเบียบทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาก็เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นเป็นอย่างมาก

แม้กระทั่งสถานที่แต่ละแห่งที่มารมารวมตัวกันก็ยังเก็บเนื้อเก็บตัวลงไปเป็นอันมาก! ถึงแม้ว่าจะยังมีเรื่องโหดร้ายทารุณเกิดขึ้นอยู่บ้างเช่นเคย แต่ก็ยังห่างไกล มิอาจเทียบได้กับการสังหารหมู่ ตงป๋อเสวี่ยอิงห้ำหั่นกับบรรดาผู้แกร่งกล้าที่โหดเหี้ยมเหล่านั้น ‘วิธีการคัดกรองของวิถีมาร’ เขาก็มิได้สอดมือยุ่งเกี่ยวเลย

ในระหว่างที่กาลเวลาเคลื่อนผ่านไป

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังคงอาศัยตัวตนของคนวิถีจิตฟ้าออกมาสังหารกำจัดมารที่สังหารหมู่ตามอำเภอใจบ้างเป็นครั้งคราว

มีผู้ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์อยู่ตลอด

มีผู้ที่คิดว่าคงโชคดีรอดพ้นได้อยู่ตลอด

มีผู้ที่ระงับความบ้าคลั่งในจิตใจเอาไว้มิได้อยู่ตลอด

กำจัดให้สิ้น!

เพียงพริบตาก็ผ่านไปหมื่นล้านปีแล้ว

สำหรับเทพจักรวาลแล้วระยะเวลาเล็กน้อยเท่านี้ก็เป็นเพียงแค่ช่วงเวลาปลีกวิเวกระยะสั้นช่วงหนึ่งเท่านั้นเอง สำหรับตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็เป็นระยะเวลาบำเพ็ญที่ค่อนข้างสั้น แม้กระทั่งอาศัย ‘บุปผาโลกา’ ถึงแม้ว่าเขาจะมีความก้าวหน้าในด้านวิถีอากาศมากพอสมควรอีกครั้ง ถึงขนาดที่ทดลองขัดเกลากระบวนสังหารที่ห้าอย่างต่อเนื่อง แต่ระยะเวลา ‘ผ่านไปหมื่นล้านปี’ นี้ สำหรับเขาแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ…

อาวุธคละถิ่น ในที่สุดก็หลอมได้สำเร็จแล้ว!

“ฟึ่บๆๆ”

ที่กลางห้องเงียบ

กลิ่นหอมแผ่กระจาย ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวนั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่น ที่เบื้องหน้าเขา หอกยาวสีดำสนิทเล่มหนึ่งแขวนลอยอยู่ตรงนั้น ดูเหมือนว่าจะเยือกเย็นและธรรมดา แต่ถ้าหากรับสัมผัสอย่างละเอียดแล้วกลับรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนอย่างมิอาจอธิบายได้! นั่นคือพลังที่มาจากโลกระดับขั้นที่สูงขึ้นอีก วัสดุหลักที่สำคัญที่เป็นหัวใจของอาวุธคละถิ่นก็คือ ‘เม็ดทรายอลวน’

เม็ดทรายอลวนหนึ่งแสนชั่ง ปล้นชิงเม็ดทรายอลวนทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาไปกว่าครึ่ง

โชคดีที่ ‘เม็ดทรายอลวน’ สูงส่งเกินไป เป็นมวลสารระดับขั้นที่สูงขึ้นอีก กลับทำให้เหล่าบุคคลผู้ไร้เทียมทานมิอาจใช้ประโยชน์ได้ รู้ดีว่าความเป็นมาไม่ธรรมดา ราคาก็ถูกกำหนดไว้อย่างเรียกได้ว่าแพงลิบลิ่ว แต่ไม่มีวิธีเอาไปใช้ประโยชน์ได้ ตงป๋อเสวี่ยอิงอาศัยตำราโลกเทียมก็ยังได้มาไว้ในครอบครองจนได้

หล่อหลอมอย่างยากลำบากทีละขั้นละตอนมาเป็นเวลาหมื่นล้านปี ในที่สุดตอนนี้ก็มาถึงช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสุดท้ายแล้ว

“สวบ”

ของเหลวสีม่วงทองกลางอากาศสายหนึ่งเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้น ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงกลายเป็นค่ายกลแห่งหนึ่งกลางอากาศ ความเร็วในการเปลี่ยนแปลงนั้นเชื่องช้าเป็นอย่างยิ่ง

ช่วยไม่ได้ ค่ายกลระดับสูงเกินไป

ตงป๋อเสวี่ยอิงได้แต่อาศัยเจ็ดกระบวนคละถิ่น ภาพค่ายกลที่มีวิธีการหลอมติดมาด้วย ค่อยๆ ทำการควบคุมอย่างช้าๆ ถ้าหากให้เขาทำออกมาทั้งหมดในคราวเดียวนั้นเขาก็มิอาจทำได้

กว่าหนึ่งชั่วยามเต็มๆ ผ่านไป ค่ายกลที่แปรเปลี่ยนจากของเหลวสีม่วงทองจึงเสร็จสมบูรณ์ เมื่อค่ายกลสำเร็จ ทั้งหมดก็กึ่งโปร่งแสง วับๆ แวมๆ คล้ายว่าจะอยู่ภายในโลกกำเนิด แล้วก็คล้ายว่าจะเชื่อมต่อกับมิติที่สูงกว่านอกโลกกำเนิด

“พรวด”

ค่ายกลนี้พุ่งเข้าใส่หอกยาวเล่มนี้ตามการควบคุมของตงป๋อเสวี่ยอิง

ในขณะที่พุ่งเข้าไปนั้นเอง

รัศมีค่ายกลจำนวนนับไม่ถ้วนสว่างวาบขึ้นบนหอกยาวในทันที พลังอันน่าหวาดหวั่นพุ่งปะทะออกไปทุกทิศทุกทาง ผิวกายของตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีห้วงมิติชั้นแล้วชั้นเล่าต้านทานอย่างต่อเนื่อง ถึงขนาดที่พลังของการปะทะนี้ยังพุ่งทะลุการต้านทานทั้งหมด ปะทะบนร่างของตงป๋อเสวี่ยอิง ทำให้ร่างกายที่แกร่งกล้าของเขายังรู้สึกได้ถึงแรงปะทะอันน่าหวาดหวั่น ถูกทำให้ตื่นตระหนกเสียจนเหินลอยถอยออกไปอย่างไม่รู้ตัวแล้วกระแทกเข้ากับผนังห้องเงียบ

โชคดีที่ห้องเงียบมีค่ายกลคุ้มกันอยู่อย่างหนาแน่น ด้วยเป็นถึงหัวใจสำคัญของทั้งเมืองหิมะเหิน จึงยังสามารถระงับกลิ่นอายที่ระเบิดออกมานี้เอาไว้ได้

หลังจากที่เก็บกลิ่นอายของหอกยาวสีดำสนิทเล่มนี้เอาไว้แล้ว ความคิดของตงป๋อเสวี่ยอิงก็แทรกผ่านเข้าไปในทันที อาศัยเคล็ดวิชาเริ่มต้นปลอบประโลมอาวุธคละถิ่นอันน่าหวาดหวั่นเล่มนี้ อาวุธคละถิ่น เดิมทีก็เป็นอาวุธที่สิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับที่สูงกว่าใช้งานอยู่แล้ว แต่ ‘หยวน’ ก็พิจารณาให้กับตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นการเฉพาะ หลอมอาวุธคละถิ่นที่เรียบง่ายที่สุดออกมาโดยอาศัยเม็ดทรายอลวนที่ธรรมดาที่สุดและพบเห็นได้บ่อยที่สุดของห้วงมิติระดับที่สูงกว่าเป็นพื้นฐาน

สำหรับวิธีการหลอมนั้นก็เรียบง่ายอย่างที่สุด

มีเพียงการทำเช่นนี้เท่านั้น…จึงจะสามารถให้เทพจักรวาลใช้การอาวุธคละถิ่นเช่นนี้ได้

แม้กระทั่งอย่างเช่น ‘สมบัติลับล้ำค่าขั้นสูง’ ก็เป็นสิ่งที่หยวนมอบให้ หากมิใช่เขามอบให้ ขั้นสุดยอดจะสามารถมีอาวุธระดับนี้ได้อย่างไร อันที่จริงแล้ว ‘สมบัติลับล้ำค่าขั้นสูง’ ก็เพียงแค่แฝงเอาไว้ด้วยความเร้นลับของระดับคละถิ่นเท่านั้นเอง

“ในที่สุดก็สำเร็จแล้ว หลอมสำเร็จเสียที” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกได้ถึงพลังอันน่าหวาดหวั่นที่แฝงอยู่ในหอกยาวเล่มนี้ แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความยินดี

“หอกยาวเล่มนี้ จะช่วยให้ข้าเหยียบย่างไปถึงวิถีคละถิ่นได้ ก็เรียกมันว่า…ชิงเหอ ก็แล้วกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ

ชิงเหอ

ชื่อนี้หมายความถึงเมืองชิงเหออันเป็นบ้านเกิด ทั้งยังหมายความถึงภรรยาและบุตรชายบุตรสาว นั่นจึงจะเป็นบุคคลที่สำคัญที่่สุดในชีวิตเขา

บรรพชนราตรีนิรันดร์จ้องมองบุรุษชุดขาวตรงหน้า ผ่านการลอบโจมตีเมื่อครู่ เขาก็เข้าใจว่าหากสู้กันตัวต่อตัว เขาก็ไม่สามารถต้าน ‘คนวิถีจิตฟ้า’ ผู้ลึกลับผู้นี้เอาไว้ได้

“น้องรอง” บรรพชนราตรีนิรันดร์เริ่มต้นติดต่อกับ ‘บรรพชนนิจรัตติกาล’ พี่น้องร่วมเป็นร่วมตายของเขา

“ฮ่าฮ่าฮ่า ท่านจัดการคนวิถีจิตฟ้าผู้นั้นไม่ได้หรือ ต้องให้ข้าช่วยแล้วหรือ” บรรพชนนิจรัตติกาลถ่ายเสียงพูดเย้ยหยัน แม้จะบอกว่าคนทั้งสองเป็นพี่น้องร่วมเป็นร่วมตาย ผจญภัยมาด้วยกันตั้งแต่ก่อนหน้าสงครามประเทศโบราณครั้งที่หนึ่งเป็นระยะเวลายาวนาน แต่อุปนิสัยก็ยังมีความแตกต่างกันอยู่

บรรพชนราตรีนิรันดร์มีความสันโดษกว่าอยู่พอสมควร เคล็ดวิชาลับก็ร้ายกาจกว่า ดูอย่างผิวเผินก็ยังใส่ใจรักษาหน้าตาอยู่ เพียงแค่ถึงช่วงเวลาวิกฤติเท่านั้นจึงจะสามารถฉีกหน้ากากลง จึงจะนับได้ว่าไร้ยางอายพอ ยามปกติทั่วไปก็ยังต้องรักษาหน้าตาเอาไว้

ส่วนบรรพชนนิจรัตติกาลนั้นไม่สนใจหน้าตาโดยสิ้นเชิงเลยจริงๆ! ถึงขนาดที่ทำการ ‘รังแก’ ‘สาป’ และอื่นๆ ต่อผู้อ่อนแออย่างเป็นธรรมชาติราวกับหายใจก็มิปาน

คู่นี้…

วิถีที่เชี่ยวชาญกลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ผสานรวมกันขึ้นมาแล้วพลังรบก็แข็งแกร่งอย่างที่สุด

“อย่ามัวเปลืองน้ำลายอยู่เลย เจ้ามาให้เร็วที่สุดเถิด ร่วมมือกันจับเป็นร่างแยกนี้ของคนวิถีจิตฟ้าเอาไว้ให้ได้” บรรพชนราตรีนิรันดร์ถ่ายเสียงเร่งเร้า

“เขาเป็นยอดฝีมือวิถีอากาศ มีร่างแยกมากมาย”

“ขอเพียงแค่จับร่างแยกนี้แล้วผนึกวิญญาณของเขาเอาไว้ให้ได้ ทำให้เขามิอาจฆ่าตัวตายได้ ก็จะสามารถสอดแนมตัวตนของเขาได้อย่างแท้จริงแล้วล่ะ” บรรพชนราตรีนิรันดร์พูด “เจ้ากับข้าร่วมมือกันทำการลอบโจมตีก็ยังพอมีหวังที่จะจับกุมตัวเอาไว้ได้”

“ได้ แต่ว่าจะต้องส่งศิษย์คราวก่อนของท่านที่สู้ร่วมกันกับข้ามาให้เป็นศิษย์ของข้านะ”

“ได้สิ! แต่จะต้องจับกุมตัวมาให้สำเร็จล่ะ”

……

พวกเขาสองคนลอบวางแผนกันอย่างลับๆ แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับยืนอยู่กลางเวหา มองดูบรรพชนราตรีนิรันดร์ที่ยืนประจันหน้ากันอยู่ผู้นั้น “บรรพชนราตรีนิรันดร์ ท่านเป็นถึงหนึ่งในสองบรรพชนของรัฐโบราณบรรพชน จำเป็นจะต้องลงมือกับผู้บำเพ็ญที่อ่อนแอเหล่านั้นโดยไม่สนใจสถานะด้วยหรือไร”

“ข้าคิดอยากจะทำเช่นไร เจ้าสมควรที่จะตั้งคำถามอย่างนั้นหรือ” บรรพชนราตรีนิรันดร์ยิ้มเย็น

“แน่นอนว่าข้ามีสิทธิ์ที่จะสงสัยอยู่แล้ว ท่านสังหารข้ามิได้ หรือแม้กระทั่งคุกคามข้าไม่ได้เสียด้วยซ้ำ แต่ข้ากลับสามารถคุกคามท่านได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยต่อไป

บรรพชนราตรีนิรันดร์สีหน้าเคร่งขรึม

เป็นถึงประมุขรัฐคนหนึ่ง… แน่นอนว่าต้องมีผู้ใต้บังคับบัญชามากมาย และเขาย่อมไม่สามารถจัดการธุระต่างๆ มากมายก่ายกองได้ด้วยตนเองทั้งหมดอยู่แล้ว ก็จำเป็นต้องให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไปจัดการ

ด้วยอุปนิสัยของคนวิถีจิตฟ้าผู้นี้ รังเกียจความชั่วร้ายดุจคู่แค้น ไม่ยอมอ่อนข้อให้กับมารเลยแม้แต่น้อย และตัวเขา บรรพชนราตรีนิรันดร์ก็มีอุปนิสัยเช่นนี้ เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชากลุ่มใหญ่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่มีนิสัยเป็นมารร้าย ‘คนวิถีจิตฟ้า’ ผู้นี้ก็จะทำการลอบสังหารจริงๆ ยอดฝีมือวิถีอากาศคนหนึ่งทำการลอบสังหาร รัฐโบราณบรรพชนก็ต้องมีเทพจักรวาลตายตกไปเป็นจำนวนมากพอดูเลยทีเดียว

“เจ้าคุกคามข้าอย่างนั้นหรือ” นัยน์ตาของบรรพชนราตรีนิรันดร์มีประกายหนาวเหน็บกะพริบวาบ

“บรรพชนราตรีนิรันดร์ ท่านจำเป็นด้วยหรือไร” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะ “ต้องการจะรวบรวมวิญญาณจริงๆ เชื่อว่าเดิมทีทั่วทั้งรัฐโบราณบรรพชนก็ใหญ่โตเหลือคณาอยู่แล้ว มีนักโทษที่ละเมิดกฎเหล็กของรัฐโบราณมากมาย นักโทษที่ถูกคุมขังเอาไว้เหล่านั้นถูกตัดสินโทษตายไปชุดแล้วชุดเล่า ท่านก็รวบรวมวิญญาณของพวกเขาเอาไว้ ข้าก็ย่อมไม่มีทางไปยุ่งวุ่นวายอยู่แล้วล่ะ”

บรรพชนราตรีนิรันดร์เงียบขรึม

วิญญาณของนักโทษหรือ

แน่นอนว่าเขาย่อมต้องรวบรวมเอาไว้ก่อนแล้ว! ด้วยอาณาเขตอันกว้างใหญ่ไพศาลของรัฐโบราณ จำนวนที่รวบรวมเอาไว้ก็มิใช่น้อย แต่เมื่อเทียบกับความต้องการของ ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ แล้วก็ยังห่างกันมากมายเหลือเกิน

การเก็บรวบรวมครั้งใหญ่จำนวนนับล้านล้านจึงจะได้มาอย่างรวดเร็วกว่า!

“สิ่งที่เจ้าพูดมา…” บรรพชนราตรีนิรันดร์ขมวดหัวคิ้วเล็กน้อย “แม้จะมีเหตุผลอยู่บ้าง แต่ว่า…”

เอ่ยวาจายังมิทันจบ

ปัง! ปัง!

พลานุภาพอันน่าหวาดหวั่นสองขุม

ด้านหนึ่งคือรัศมีอันระยิบระยับจับตาไร้ที่สิ้นสุด ส่วนอีกด้านหนึ่งก็คือความมืดมืดที่ชวนให้คนใจสั่น

ความมืดมิดและรัศมีก็มีความสุดยอดราวกับฟ้าดินก็มิปาน

ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกเพียงว่าโลกบริเวณรอบๆ เคลื่อนหมุน เคลื่อนหมุนอย่างต่อเนื่อง วิญญาณของตนก็ยังรู้สึกวิงเวียนอยู่บ้างภายใต้ ‘การเคลื่อนหมุน’ เช่นนี้ แต่ร่างเดิมของเขาเองก็เป็นยอดฝีมือเขตลวงโลกเทียมระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองอยู่แล้ว อีกทั้งยังมีโลหิตหัวใจมารดามังกรหมื่นสัมผัสหยดหนึ่งผสานรวมเข้าไปอีกด้วย วิญญาณแกร่งกล้าเพียงพอก็ยังสามารถรักษาสติอันแจ่มชัดที่เป็นพื้นฐานเอาไว้ได้

“เป็นการลอบโจมตี” ความคิดในใจของตงป๋อเสวี่ยอิงวูบไหว

พรึ่บ

ร่างแยกร่างนี้กระจายตัวหายไปอย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียงราวกับฝุ่นผงก็มิปาน หายไประหว่างฟ้าดิน ไม่เหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย

“อะไรกันนี่”

บุรุษผ้าคลุมดำอีกคนหนึ่งก็ค้นพบแล้ว ด้านบนผ้าคลุมของเขาดำสนิททั้งผืน สามารถมองเห็นลวดลายสีแดงโลหิตมากมายได้อย่างรางๆ เขาก็คือบรรพชนนิจรัตติกาลนั่นเอง

บรรพชนราตรีนิรันดร์และบรรพชนนิจรัตติกาล

“พ่ายแพ้เสียแล้วหรือ” บรรพชนนิจรัตติกาลส่ายศีรษะเบาๆ “คนวิถีจิตฟ้าผู้นี้วิญญาณแข็งแกร่งน่าดู ถึงกับสามารถรักษาสติอันแจ่มชัดเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์ สามารถสลายร่างแยกนี้ไปได้ในทันทีเลยทีเดียว”

เพียงแค่มึนงงไปชั่วขณะเท่านั้นเอง

รอให้สติแจ่มชัดยิ่งกว่านี้ วิญญาณก็ต้องถูกผนึกแล้ว! ถึงแม้ว่าจะมีเคล็ดวิชาลับที่ซ่อนเร้นกลิ่นอายบางอย่างอยู่ แต่เมื่อถึงเวลาบรรพชนราตรีนิรันดร์และบรรพชนนิจรัตติกาลต่างก็สามารถให้พละกำลังแทรกผ่านเข้าสู่วิญญาณได้โดยตรง แล้วค้นพบกลิ่นอายวิญญาณที่แท้จริงของ ‘คนวิถีจิตฟ้า’ ได้อย่างง่ายดาย! แล้วอาศัยสิ่งนี้ค้นพบตัวตนของคนวิถีจิตฟ้า

เหตุใดคนวิถีจิตฟ้าจึงได้โอหังเช่นนี้ สามารถทำให้เหล่ามารทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาสิ้นไร้หนทางเช่นนี้ได้เล่า

ก็เป็นเพราะว่าตัวตนของเขายังคงเก็บเป็นความลับ ไม่มีจุดอ่อนให้ตามได้อย่างไรเล่า!

“คราวนี้ล้มเหลวเสียแล้ว คราวหน้าก็ยิ่งไม่มีทางประสบความสำเร็จได้เลยน่ะสิ” บรรพชนราตรีนิรันดร์ทั้งโมโหทั้งจนใจ

พรึ่บ

บุรุษชุดขาวคนหนึ่งเดินออกมาจากความว่างเปล่า

“บรรพชนทั้งสองร่วมมือกันจัดการข้า ข้า คนวิถีจิตฟ้าช่างหน้าใหญ่เสียจริงเชียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพลางหัวเราะฮ่าๆ ในเมื่อเขาเป็นผู้เริ่ม ‘กระตุ้น’ ยืนหยัดขึ้นมา! ก็ย่อมไม่มีทางไม่ระมัดระวังอยู่แล้ว!

ถึงแม้ว่าร่างแยกทั้งเก้าผสานรวมกับดอกบัวเพลิงห้วงอากาศ เขาก็ย่อมมีความมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ว่าเขายืนหยัดขึ้นมาก็เป็นเป้าหมายเสียแล้ว!

ใครจะไปรู้ว่าบรรพชนราตรีนิรันดร์จะมีกลเม็ดอย่างไรบ้าง อย่างเช่นร่วมมือกับบุคคลผู้ไร้เทียมทานสองสามคนทำการล้อมจับ หรืออย่างเช่น ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ ที่ร้ายกาจยิ่งกว่าผู้นั้นมาร่วมวงด้วยก็เป็นได้มิใช่หรือ

เขามิอาจพ่ายแพ้ได้!

ตอนนี้เขาไม่อยากเปิดเผยตัวตนเลย

ดังนั้นจึงได้ส่งแค่ร่างแยกธรรมดาๆ มาร่างหนึ่ง มิได้พกพาสมบัติล้ำค่าใดๆ มาด้วยเลย

ร่างแยกของเขามีเกินกว่าหมื่นร่าง ร่างแยกธรรมดาๆ ร่างหนึ่งมา สลายตัวไปแล้วก็ไม่ควรค่าแก่การพูดถึงเลย

“สองท่านหรือ ยังต้องการจะจัดการข้าอยู่หรืออย่างไร” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองบรรพชนราตรีนิรันดร์และบรรพชนนิจรัตติกาลที่อยู่ตรงหน้าแล้วก็แย้มยิ้มน้อยๆ พรึ่บ ร่างแยกนี้ของเขาสลายตัวไปอีกครั้ง

จากนั้น…

ก็มีบุรุษชุดขาวคนหนึ่งเดินออกมาจากความว่างเปล่าอีก

“เป็นถึงผู้บำเพ็ญวิถีอากาศระดับสุดยอด มีร่างแยกมากมายนัก สลายไปร่างหนึ่งก็มีมาอีกร่างหนึ่ง ไม่จบไม่สิ้นหรอก! ความเร็วในการสลายตัวของข้ายังสู้ความเร็วในการบำเพ็ญร่างแยกของข้ามิได้เลย” ร่างแยกที่ปรากฏขึ้นใหม่ของตงป๋อเสวี่ยอิงร่างนี้ยิ้มตาหยีมองบรรพชนนิจรัตติกาลและบรรพชนราตรีนิรันดร์ที่อยู่ตรงหน้า

บรรพชนราตรีนิรันดร์และบรรพชนนิจรัตติกาลประสานสายตากันคราหนึ่ง

คนวิถีจิตฟ้าผู้นี้…

ไม่เหมือนกับขั้นสุดยอดธรรมดาทั่วไป เขาเป็นขั้นสุดยอดทางด้านวิถีอากาศ! ร่างแยกมากมายเหลือเกิน! พวกเขาคิดจะจับเป็นแล้วผนึกเอาไว้อย่างนั้นหรือ แต่วิญญาณของอีกฝ่ายดูเหมือนจะแกร่งกล้าเป็นอย่างยิ่ง ภายใต้การร่วมมือลอบโจมตีอย่างสุดกำลังของพวกเขาก็ยังไม่สามารถควบคุมเอาไว้ได้เลย พวกเขาสองคนก็ยิ่งหมดหนทางแล้ว

“สวบ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ที่นั่น แล้วด้านข้างก็มีบุรุษชุดขาวเดินออกมาจากความว่างเปล่าอีกคนหนึ่ง หยิบเอาสุราไหหนึ่งออกมาแล้วเงยหน้าดื่มสุรา

สีหน้าของบรรพชนราตรีนิรันดร์เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมในทันใด

สุราไหนี้…

อยู่ภายใน ‘เมืองราตรีนิรันดร์’ แห่งรัฐโบราณบรรพชน เมื่อสักครู่นี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงได้ส่งร่างแยกร่างหนึ่งสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาแฝงตัวเข้าไปยังห้องเงียบที่บรรพชนราตรีนิรันดร์ใช้บำเพ็ญตามปกติ แล้วคว้าเอาสุรามาไหหนึ่ง ก่อนจะมายังที่แห่งนี้ในทันที

“ข้าจะสังหารมารจำนวนหนึ่งในรัฐโบราณบรรพชนก็เป็นเรื่องง่ายดายอย่างยิ่ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งสองคนต่างก็ถือจอกสุราขึ้นดื่มพลางเอ่ยว่า “แน่นอนว่าข้าย่อมมิได้มีเจตนาจะเป็นอริกับท่านบรรพชนทั้งสองเลย ข้าก็แค่นึกอยากจะช่วยเหลือผู้บำเพ็ญอ่อนแอที่น่าสงสารเหล่านั้นก็เท่านั้นเอง ท่านบรรพชนทั้งสองก็ช่วยมีความกรุณา มีจิตเมตตา ให้หนทางรอดแก่พวกเขาสักทางหนึ่งเถิด การรวบรวมวิญญาณหรือ ก็ยังมีหนทางอื่นอยู่ ก็แค่สิ้นเปลืองเวลาสักหน่อยก็ใช้ได้แล้วนี่”

บรรพชนนิจรัตติกาลและบรรพชนราตรีนิรันดร์ประสานสายตากัน

ในใจทั้งเดือดดาลทั้งจนใจ

นี่ก็คือเหล่าบุคคลผู้ไร้เทียมทาน เผชิญหน้ากับความจนใจของเหล่าพญามารผู้ไร้เทียมทานบนดินแดนจิตโลกาบางคน บรรดาพญามารผู้ไร้เทียมทานเหล่านั้นต่างก็หยิ่งทระนงกันเป็นอย่างยิ่ง ถึงขนาดที่กล้าไปก่อให้เกิดภัยพิบัติในหกรัฐโบราณกันเป็นประจำ!

เพื่ออะไรน่ะหรือ

ก็เพราะเหล่าพญามารผู้ไร้เทียมทาน อาศัยการที่บุคคลผู้ไร้เทียมทานก็ยังฆ่าพวกเขาไม่ตาย และการที่บุคคลผู้ไร้เทียมทานมีภารกิจในมือมากมาย ย่อมไม่กล้าฉีกหน้าพวกเขาอยู่แล้ว

แต่ตอนนี้ ‘คนวิถีจิตฟ้า’ผู้นี้เป้นปฏิปักษ์ต่อเหล่าพญามารผู้ไร้เทียมทาน เขานึกอยากจะช่วยเหลือผู้บำเพ็ญที่อ่อนแอเหล่านั้น ว่ากันตามจริงแล้วเขาก็มีความคล้ายคลึงกันกับเจ้าเมืองอนันต์เป็นอย่างยิ่ง! เจ้าเมืองอนันต์ก็กำลังปกปักรักษา รักษาความเป็นระเบียบของดินแดนจิตโลกา รักษาให้ผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนเพิ่มจำนวนกันตามปกติ แต่เห็นได้ชัดว่า ‘ความเป็นระเบียบ’ ในสายตาของเจ้าเมืองอนันต์นั้นกินพื้นที่กว้างใหญ่กว่า แม้ว่าเมืองสักแห่งหนึ่งจะถูกสังหารหมู่ก็ไม่ควรค่าแก่การพูดถึง

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ต้องการจะรักษาความเป็นระเบียบในความคิดของเขาเช่นเดียวกัน!

ความเป็นความตาย การต่อสู้ และการตกต่ำของการบำเพ็ญตามปกตินั้นเขาก็ย่อมไม่ใส่ใจอยู่แล้ว

แต่การสังหารหมู่นับล้านล้านชีวิตนั้น…ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวอย่างแน่นอน!

“ทำอย่างไรดีเล่า” บรรพชนนิจรัตติกาลถ่ายเสียงพูดกับบรรพชนราตรีนิรันดร์ “ราตรีนิรันดร์ พวกเรายังไม่รู้ความเป็นมาของคนวิถีจิตฟ้าผู้นี้อย่างแน่ชัด คุกคามเขาไม่ได้หรอก สำหรับการรวบรวมวิญญาณ ก่อนหน้านี้ท่านก็คงจะรวบรวมอย่างเงียบๆ มาเนิ่นนานมากแล้วกระมัง”

“รวบรวมมากว่าร้อยล้านปีแล้วล่ะ ข้าก็ระมัดระวังมากแล้วนะ แค่คิดไม่ถึงว่าตอนนี้ก็ยังถูกค้นพบเข้าเสียแล้ว” บรรพชนราตรีนิรันดร์ถ่ายเสียงพูด

“ท่านรวมรวมมากว่าร้อยล้านปีเพิ่งจะถูกค้นพบ เช่นนั้นก็รับปากเขาไปชั่วคราว แอบรวบรวมอย่างเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้นไปก่อนก็แล้วกัน! แม้กระทั่งยามที่รวบรวมก็ต้องพยายามอย่างสุดกำลังอย่าให้คนวิถีจิตฟ้าผู้นี้ค้นพบได้ว่ามีความเกี่ยวข้องกับท่าน” บรรพชนนิจรัตติกาลถ่ายเสียงพูด “ขอเพียงแค่ระมัดระวังมากยิ่งขึ้น เจียมเนื้อเจียมตัวมากขึ้นสักหน่อย…คนวิถีจิตฟ้าผู้นี้อยากจะค้นให้พบก็มิได้ง่ายดายถึงเพียงนั้นแล้วล่ะ”

“ก็คงได้แต่เป็นเช่นนี้แล้วสินะ” บรรพชนราตรีนิรันดร์เอ่ยพึมพำ

ในใจเขาก็รู้สึกเศร้า แต่กลับจนใจไม่รู้จะทำเช่นไรได้

เผชิญหน้ากับผู้แกร่งกล้าที่ไร้ซึ่งความกังวลแม้แต่น้อยพรรค์นี้ จะฆ่าก็ฆ่าไม่ตาย อีกทั้งยังมีร่างแยกจำนวนนับไม่ถ้วน แล้วจะทำเช่นไรได้เล่า

“วางใจเถิด เขาไม่สามารถรักษาตัวตนเอาไว้เป็นความลับอย่างสมบูรณ์แบบเช่นนี้ได้ตลอดไปหรอก ในท้ายที่สุดก็ต้องเปิดเผยตัวตนอยู่ดี” บรรพชนนิจรัตติกาลถ่ายเสียงพูด “ตอนนี้พวกเราก็อดทนกันไปก่อน รอให้ถึงเวลาที่เขาเปิดเผยตัวตน แล้วค่อยเอาคืนจากเขา! ไม่เพียงแค่พวกเราเท่านั้น เหล่ามารจำนวนนับไม่ถ้วนที่ถูกทำให้ตื่นตระหนก เมื่อถึงเวลาก็จะต้องเอาคืนอย่างหนักหน่วงอยู่แล้ว รอให้ถึงวันที่ตัวตนของเขาเปิดเผย เขาก็จะได้เข้าใจว่าเหตุใดแต่ไหนแต่ไรที่ดินแดนจิตโลกาจึงไม่เคยมีผู้ใดกล้าทำเช่นนี้มาก่อนเลย”

“อืม” บรรพชนราตรีนิรันดร์พยักหน้า “ก็ทนเอาหน่อยแล้วกัน”

บำเพ็ญมาอย่างยาวนานไร้ที่สิ้นสุด พวกเขาก็มีความอดทนกันเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาตั้งหน้าตั้งตารอคอยวันที่คนวิถีจิตฟ้าเปิดเผยตัวตนวันนั้น

เดิมทีตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังใช้ร่างแยกร่างหนึ่งหลอมอาวุธเทพอลวนอยู่อย่างระมัดระวัง ร่างแยกร่างอื่นๆ ล้วนกำลังบำเพ็ญอยู่ หมายจะบรรลุถึงขั้นสุดยอดให้ได้โดยเร็วที่สุด

แต่ระบบข่าวสารของสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ได้ส่งสารมา เขาจึงส่งร่างแยกมาลงมือสังหารมารร้ายอย่างสบายๆ เท่านั้น

ก่อนจะสังหารมารร้าย แม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะตรวจสอบทั่วทั้งตัวเมืองภายในชั่วความคิดเดียว แต่เขาก็ไม่พบบรรพชนราตรีนิรันดร์เลยจริงๆ เห็นได้ชัดว่าเมื่อมี ‘สมบัติลับอันสูงส่ง’ วิธีการบางอย่างของบรรพชนราตรีนิรันดร์ก็ยิ่งยอดเยี่ยมขึ้นไปอีก

“ช่วงชิงวิญญาณไปมากมายเพียงนี้เชียวหรือนี่” เงาร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงกะพริบวาบคราหนึ่ง แล้วปรากฏกายขึ้นภายในจวนอันผุพังหลังหนึ่ง เทพจักรวาลผู้นั้นกลายเป็นผุยผงไป แต่เขากลับทิ้งวัตถุบางอย่างเอาไว้ ตงป๋อเสวี่ยอิงใช้กระบวนท่าควบคุมเอาไว้อย่างประณีต เพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อวัตถุภายนอกเหล่านี้ เขาหยิบขวดสีดำขวดหนึ่งขึ้นมา พลางตรวจดูวิญญาณจำนวนมากภายในขวด แความเหี้ยมเกรียมสายหนึ่งผุดขึ้นตรงหว่างคิ้วอย่างมิอาจควบคุม

“มารร้ายที่ถูกข้าสังหารไปเมื่อครู่เป็นคนของรัฐโบราณบรรพชน” ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้วเล็กน้อย

ก่อนที่ตัวตนของเขาจะถูกเปิดเผยออกไป เขาก็ไม่กลัวบรรพชนราตรีนิรันดร์และบรรพชนนิจรัตติกาลเลย

กลัวก็แต่ว่า ตัวตนจะถูกเปิดเผยออกไปเท่านั้น!

ดังนั้นเขาจึงพยายามเต็มที่ที่จะไม่ไปหาเรื่องพวกบรรพชนราตรีนิรันดร์และบรรพชนนิจรัตติกาล

“สิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูผู้องอาจ ก่อนหน้านี้ผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างจวินอ๋องดำทำลายตัวเมืองสิบเก้าแห่ง บัดนี้ ‘น๋าฟูย่า’ เทพจักรวาลทั่วไปคนนี้ก็เก็บรวบรวมวิญญาณอย่างโหดเหี้ยมตามอำเภอใจเช่นนี้ น๋าฟูย่าก็เป็น เทพจักรวาลที่มีร่างแยก เมื่อครู่ที่ข้าทำลายไปก็เป็นเพียงร่างแยกร่างหนึ่งของเขาเท่านั้นเอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นต่อมารร้ายเหล่านี้ “บรรพชนราตรีนิรันดร์ตามใจผู้ใต้บังคับบัญชาเช่นนี้เลยหรือ”

เขายังไม่ทันได้คิดอะไรมาก

“ไม่ดีแล้ว”

ในฐานะยอดฝีมือด้านวิถีอากาศ เขาจึงสามารถสัมผัสรับรู้และควบคุมอณูหมอกดำทรงกลมแต่ละอณูโดยรอบได้ ยามนี้เขาพลันสัมผัสได้ว่าพละกำลังระลอกหนึ่งกำลังโหมซัดเข้ามา

“บรรพชนราตรีนิรันดร์”

พละกำลังนี้คุ้นเคยเกินไปแล้ว

อาศัยการสัมผัสอากาศนี้ เขาก็ ‘พบ’ บรรพชนราตรีนิรันดร์ผู้สวมเสื้อคลุมกันลมสีดำแล้ว

“ไป”

ตงป๋อเสวี่ยอิงคร้านที่ตะประมือด้วย เขาสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกาออกมาทันที

แคว่กกก…

รอยแยกสีดำสายหนึ่งผุดขึ้นมา

ร่างกายของตงป๋อเสวี่ยอิงกลับถูกพละกำลังอันน่าหวาดหวั่นโจมตี แต่เขากลับยังคงสาวเท้าก้าวเข้าไปในรอยแยกสีดำ จะเห็นได้ถึงความแตกต่างของ ‘ศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกา’ และศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา ‘ศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกา’ นั้นมั่นคงกว่า! ต่อให้อยู่ภายใต้การโจมตีอันบ้าคลั่ง ก็ยังคงสามารถเปิดทางเชื่อมสายหนึ่งขึ้นมาได้อย่างพอถูไถ

เพราะถึงอย่างไรโดยแก่นแท้แล้ว ศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกาก็เป็นการเปิดทางเชื่อมสายหนึ่งในมิติชั้นสูงยิ่งกว่าที่น่าหวาดหวั่นขึ้นมา เพื่อเชื่อมต่อโลกกำเนิดสองแห่งอยู่แล้ว

หากไม่เสถียรพอ ไหนเลยจะสามารถต้านทานการกดดันโจมตีมิติชั้นสูงยิ่งกว่าได้

“ฟิ้ว!”

ต่อให้ตงป๋อเสวี่ยอิงพยายามควบคุมอากาศให้กดดันอย่างเต็มที่ แต่บริเวณหลายหมื่นลี้รอบจวนแห่งนี้ก็ยังคงพังทลายลงไปอยู่ดี

เงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ ซึ่งก็คือบรรพชนราตรีนิรันดร์ในชุดเสื้อคลุมกันลมสีดำซึ่งสะบัดพลิ้วไปตามลม สีหน้าของบรรพชนราตรีนิรันดร์ราวกับมีน้ำแข็งชั้นหนึ่งปกคลุมไว้ เขาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ไปแล้วรึ รับสักกระบวนท่าหนึ่งของข้าก็หนีไปแล้วอย่างนั้นหรือ ร่างกายของเขาสามารถต้านทานการโจมตีของข้าได้อย่างง่ายดายหรือนี่ ยอดฝีมือด้านวิถีอากาศ ต่อให้ค่อนข้างเชี่ยวชาญทางด้านการถ่ายแรงและการป้องกัน กายหยาบของเขาก็ไม่น่าแข็งแกร่งเช่นนี้จึงจะถูกต้อง!”

วิธีการต่างๆ เช่น ‘ศาสตร์การกลายเป็นอากาศธาตุ’ หรือ ‘การควบคุมอากาศ’ ทำให้ผู้แกร่งกล้าวิถีอากาศขั้นสุดยอดเชี่ยวชาญทางด้านการรักษาชีวิตเป็นอย่างมาก

แต่กายหยาบน่ะหรือ โดยทั่วไปล้วนแต่ไม่แข็งแกร่งนัก

ก็มีเพียงจักรพรรดิเซี่ยเท่านั้นที่คิดค้นปุจฉวิถีคละถิ่นขึ้นมา แล้วตงป๋อเสวี่ยอิงก็ผนวกเอาเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งเจ็ดกระบวนคละถิ่นซึ่งเป็นการใช้งานพลังคละถิ่นชนิดต่างๆ เข้าไป ทำให้ฝึกกายคละถิ่นชั้นที่สองสมบูรณ์และยกระดับขึ้นได้บ้าง ความแข็งแกร่งของร่างกายนั้นเพียงพอจะเทียบได้กับผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอดที่ฝึกกายแล้ว

……

ฟิ้วๆๆ…

กลางท้องฟ้าเหนือทะเลกาฬอเวจีอันกว้างใหญ่ไพศาล ตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏกายขึ้นที่นี่ สีหน้าของเขาซีดขาวอยู่บ้าง ปากมีรอยโลหิตอยู่

แม้วิถีอากาศจะขัดขวางและทำให้อ่อนกำลังลงไปมากแล้ว อีกทั้งกายหยาบของตนก็แข็งแกร่ง แต่การโจมตีครั้งหนึ่งของผู้ที่มีระดับอันสูงส่งนั้น…ก็ยังทำให้โลหิตในกายของตนเดือดพล่านอยู่ดี เพียงแต่มิได้สูญเสียพลังชีวิตไป เคราะห์ดีที่เขาพกสมบัติลับระดับยอดสุด ‘ดอกบัวเพลิงห้วงอากาศ’ ไปด้วย หากไม่มีดอกบัวเพลิงห้วงอากาศ เกรงว่าตนก็คงต้องบาดเจ็บสาหัสด้วยการลอบโจมตีนั่นแล้ว

“อาศัยดอกบัวเพลิงห้วงอากาศ ข้าก็มีคุณสมบัติพอจะเอาชีวิตรอดได้แล้ว หากฝึกฝนอาวุธเทพอลวนได้สำเร็จ ไหนเลยจะเกรงกลัวบรรพชนราตรีนิรันดร์ผู้นั้นกันเล่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงมั่นใจในตนเองเป็นอันมาก

เขารับรู้เคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่ง และหลอมรวมเอาความเร้นลับชนิดต่างๆ ของเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งเข้าไปในกาย และทำให้เคล็ดวิชาฝึกกายสมบูรณ์ แล้วขัดเกลาเอายุทธวิธีหิมะเหินที่เหมาะสมกับตนเองที่สุดขึ้นมา! และเมื่อมีดอกบัวเพลิงห้วงอากาศคอยส่งเสริม พลังของเขาก็ไม่แพ้มหาเคารพฝูอี่แล้ว

เมื่ออาวุธเทพอลวนมาอยู่ในมือ…พลังจะต้องแข็งแกร่งกว่ามหาเคารพฝูอี่อยู่ขุมหนึ่งอย่างแน่นอน

กลัวว่าน่าจะเป็นจอมเคารพที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของทั้งดินแดนจิตโลกา!

“บรรพชนราตรีนิรันดร์ผู้นี้ซ่อนตัวอยู่ที่นั่นได้อย่างไรกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงสอดส่องดูที่นั่นอยู่ไกลๆ ผ่านการส่งถ่ายทลายโลกา

******

แม้ทั้งสองฝ่ายจะประมือกันเพียงกระบวนท่าเดียว

หากพูดอย่างเคร่งครัดแล้ว เป็นบรรพชนราตรีนิรันดร์ที่ลอบโจมตี ตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นฝ่ายป้องกัน ขัดขวางและหลบหนีไป! แต่เนื่องจากบรรพชนราตรีนิรันดร์แค้นเคืองถึงขั้นสุด ที่ธุระในตัวเมืองทั้งสิบเก้าเมื่อครั้งก่อนถูกตงป๋อเสวี่ยอิงทำลายเสียแล้ว! จวินอ๋องดำก็ถูกสังหารไปด้วย! เขาอยู่ที่นั่นกับ ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ ยังข่มโทสะเอาไว้ได้ แต่ครั้งนี้เก็บรวบรวมวิญญาณจำนวนมาก ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มาอีก แล้วบรรพชนราตรีนิรันดร์จะไม่โมโหได้อย่างไรกันเล่า

การลอบโจมตีนี้ ย่อมต้องพยายามแอบซ่อนท่าไม้ตายสุดกำลังเป็นธรรมดา!

อานุภาพของท่าไม้ตายระดับนี้ ผู้แกร่งกล้าจำนวนไม่น้อยทั่วดินแดนจิตโลกา ทั้งสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูและขั้นสุดยอดล้วนแต่สัมผัสได้

พวกเขาแต่ละคนพากันจับตามองมาทางนี้

“เกิดเรื่องอันใดขึ้นน่ะ”

“ระลอกคลื่นของระดับขั้นอันสูงส่งหรือ”

แต่ละคนพากันเฝ้าดู

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เฝ้าดูเช่นกัน คิดจะดูว่าที่แท้แล้วบรรพชนราตรีนิรันดร์จะทำอะไร เพียงครู่เดียวเขาก็ ‘มองเห็น’ ซากปรักหักพังขอบเขตหลายหมื่นลี้ กลางท้องฟ้าเหนือซากปรักหักพังนั้น มีบรรพชนราตรีนิรันดร์ยืนอยู่

“สมควรตาย” เมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงพบซากปรักหักพังเหล่านั้นเข้า คิ้วก็ขมวดเล็กน้อย บรรพชนราตรีนิรันดร์ผู้นี้เห็นเหล่าผู้บำเพ็ญระดับล่างเป็นมดปลวกจริงๆ จะสำแดงกระบวนท่าก็ไม่รู้จักควบคุมขอบเขตเลย

บรรพชนราตรีนิรันดร์ยืนอยู่กลางอากาศ

สายตาเยียบเย็น ไม่แยแสรอบด้าน เขาพูดเสียงดังกังวานว่า “คนวิถีจิตฟ้า ข้ารู้ว่าเจ้าลอบซ่อนตัวอยู่”

มุมปากของตงป๋อเสวี่ยอิงมีรอยยิ้มเย็นเยียบผุดขึ้นมา

“เจ้าทำลายธุระของข้าครั้งแล้วครั้งเล่า คิดจริงๆ หรือว่าตัวเจ้าเองจะไม่เผยร่างจริงออกมาได้ตลอดกาลน่ะ” แววเหี้ยมเกรียมในสายตาของบรรพชนราตรีนิรันดร์เข้มข้นขึ้น “เจ้ามิได้จะทำลายธุระของข้าอีกหรือไร เฮอะๆ ข้าลงมือทำด้วยตนเอง ดูสิว่าเจ้าจะขัดขวางอย่างไรได้”

แม้จะใช้การส่งถ่ายทลายโลกาสอดส่องดู มิอาจได้ยินเสียง แต่กลับสามารถวิเคราะห์ผ่านระลอกมิติและการขยับปากได้ว่าบรรพชนราตรีนิรันดร์พูดอะไรออกมา

“ไปทำด้วยตนเองหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงหน้าถอดสี

เขาสามารถสังหารมารร้ายธรรมดาสามัญได้

แต่จะสังหารบรรพชนราตรีนิรันดร์ได้อย่างไรกันเล่า จะสังหารสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูสักคนนั้นยากเกินไปแล้ว! ในสภาพแวดล้อมอันเลวร้ายอย่าง ‘วังเทพจิตโลกา’ จักรพรรดิเซี่ยจะไล่สังหารบรรพชนราตรีนิรันดร์ บรรพชนราตรีนิรันดร์ก็ยังสามารถหลบหนีไปได้อย่างง่ายดายเลย

อยู่ในดินแดนจิตโลกาที่ฟ้าดินกว้างใหญ่ไพศาล ไม่มีค่ายกลสกัดกั้น สามารถหนีไปได้ทุกหนแห่ง

ต่อให้เป็นผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอดทั่วไป ก็สามารถหลบหนีจากเงื้อมมือของสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูได้อย่างง่ายดาย! บรรพชนราตรีนิรันดร์…อยู่ในดินแดนจิตโลกา จะไปไหนก็ไปได้ทั้งนั้น

ต่อให้ไม่หนีไป แล้วห้ำหั่นกันซึ่งหน้า ก็เป็นบรรพชนราตรีนิรันดร์ที่เป็นฝ่ายกดดันตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ดี!

……

“ราตรีนิรันดร์ ช่างไม่รักษาหน้าตนเองเลยจริงๆ” จักรพรรดิเซี่ยส่ายหน้าเบาๆ

“ไร้ยางอาย” จักรพรรดิชางมองดูฉากนี้แล้วก็พูดเสียงเย็นชาขึ้นมา

สิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูแห่งรัฐโบราณคิมหันตวายุทั้งสามมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับสองบรรพชนแห่งรัฐโบราณบรรพชนมาโดยตลอด

“เอ๊ะ”

เจ้าเมืองอนันต์กลับเกาะราวระเบียงพลางทอดสายตามองออกไปยังท้องฟ้ายามราตรีอันไร้ที่สิ้นสุด เขามองไปอีกฝั่งหนึ่งแล้วพลันเอ่ยปากขึ้น เสียงนั้นถูกส่งไปยังอีกฟากหนึ่งของดินแดนจิตโลกา “ราชันย์อนธการ ช่วงนี้ราตรีนิรันดร์ส่งผู้ใต้บังคับบัญชาออกไปก่อหายนะทั่วตัวเมืองทั้งสิบเก้าเพื่อเก็บรวบรวมวิญญาณอีกแล้ว วันนี้ยังข่มขู่คนวิถีจิตฟ้าผู้นั้นอย่างน่าไม่อายอีกด้วย เส้นทางการบำเพ็ญของเขาคงไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้กระมัง เป็นเพราะเจ้าใช่หรือไม่”

“ฮ่าฮ่า ปิดบังเจ้าไม่ได้จริงๆ สหายเก่าของข้า” ราชันย์อนธการอมตะก็ถ่ายเสียงพูด

“เจ้าเลือกผู้ช่วยได้ดีจริงๆ ทั้งดินแดนจิตโลกา ผู้ที่ร้ายกาจพอและไม่รักษาหน้าเลยก็มีแต่ราตรีนิรันดร์และนิจรัตติกาลสองคนนี้เท่านั้น และสามารถรวมเอาประมุขรัฐจันทร์บุปผาผู้นั้นเข้าไปได้อย่างพอถูไถด้วย” เจ้าเมืองอนันต์พูดยิ้มๆ

“ก็แค่การแลกเปลี่ยนกันอย่างเท่าเทียมเท่านั้นเอง เจ้าเมืองอนันต์ เจ้าอยากจะแลกเปลี่ยนกับข้าดูสักตั้งไหมเล่า”

“แลกเปลี่ยนกับเจ้า ราชันย์อนธการน่ะหรือ เฮอะๆ ข้าไม่สนใจเลยแม้แต่นิดเดียว”

“เอ๊ะ”

“เขาปรากฏกายแล้วหรือนี่”

เจ้าเมืองอนันต์และราชันย์อนธการอมตะที่สนทนากันอยู่ต่างก็พากันตกตะลึงไป

……

ไม่เพียงแต่พวกเขาเท่านั้น บรรดาผู้แกร่งกล้าระดับยอดทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาที่จับตามองที่นี่อยู่ต่างก็มองดูด้วยความตกตะลึง กลางอากาศ ห่างจากบรรพชนราตรีนิรันดร์ไม่ไกลออกไปนัก มีรอยแยกสีดำสายหนึ่งกะพริบวาบขึ้นมา บุรุษอาภรณ์ขาวผู้หนึ่งเดินออกมาจากในนั้น

คนวิถีจิตฟ้า!

เป็นเขา!

“เจ้ากล้าปรากฏกายด้วยหรือนี่” บรรพชนราตรีนิรันดร์มองดูตงป๋อเสวี่ยอิงที่เดินออกมาด้วยความตกตะลึงอยู่บ้าง

“ท่านบรรพชนราตรีนิรันดร์ไม่ต้องการแม้แต่หน้าตนเองแล้ว แน่นอนว่าข้าก็ต้องเจรจากับท่านให้ดีๆ เสียหน่อย เพื่อเตือนท่านบรรพชนราตรีนิรันดร์ว่าดีร้ายอย่างไรก็ต้องรักษาหน้าตนเองเอาไว้บ้าง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ

ภายในโถงตำหนักอันหรูหราแห่งหนึ่ง

ชายหนุ่มรูปโฉมหล่อเหลาผู้สวมอาภรณ์สีทองทั้งร่างและสวมอาภรณ์สีทองอันหรูหรางดงามนั่งอยู่ตรงที่นั่งประธานอย่างสบายใจ ยังมีหญิงสาวรูปร่างอรชรในชุดแพรสีดำนั่งอยู่ช้างๆ คอยป้อนสุราให้ชายหนุ่มผู้หล่อเหลา

ถัดลงมาด้านล่าง มีแขกนั่งขนาบอยู่ฝั่งละคน พวกเขาล้วนมีสาวงามคอยปรนนิบัติ

แขกผู้หนึ่งคือชายชราอาภรณ์ดำรูปร่างอ้วนเตี้ย เขาคือเจ้าเมืองแห่ง ‘เมืองอัคคีทิพย์’ ซึ่งเป็นสถานที่รวมตัวอันดับหนึ่งของมารร้ายทั้งหลายทั่วดินแดนจิตโลกา ในฐานะผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอดคนหนึ่ง เมืองอัคคีทิพย์ที่เขาปกครองก็ได้รับการยอมรับว่าเป็นสถานที่รวมตัวอันดับหนึ่งของมารร้าย และด้วยเหตุที่พี่น้องร่วมเป็นร่วมตายของเขาคือสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรู ‘ประมุขวังอินทรีเหล็ก’ ด้วย

ทั้งดินแดนจิตโลกา นอกจากหกรัฐโบราณและราชันย์อนธการอมตะแล้ว ยังมีสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูอีกสองท่าน

มิใช่ว่าผู้ที่ไร้ศัตรูทุกคนจะต้องสร้างรัฐโบราณขึ้นมา

ประมุขวังอินทรีเหล็กก็เป็นหนึ่งในนั้น เรียกได้ว่าเขาเป็นผู้ที่ถ่อมเนื้อถ่อมตัวมากที่สุดคนหนึ่งในบรรดาสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรู เขาไม่เผยแพร่ลัทธิ ไม่ปกครองขุมอำนาจใหญ่ หากแต่บำเพ็ญอยู่ภายในวังอินทรีเหล็กของเขาตลอดเวลา แต่เมื่อมีพี่น้องร่วมเป็นร่วมตายเช่นนี้ บวกกับที่ตัวเจ้าเมืองอัคคีทิพย์เองก็เป็นผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอดอยู่แล้ว ดังนั้น ‘เมืองอัคคีทิพย์’ จึงได้ชื่อว่าเป็นสถานที่รวมตัวอันดับหนึ่งของมารร้าย

ส่วนอีกคนหนึ่งคือสิ่งมีชีวิตที่ดูเหมือนแมลงบินได้ บนร่างมีเกล็ดสีดำอยู่ ด้านหลังมีปีกใสกระจ่างอยู่ครู่หนึ่ง บนหน้าผากมีหนวดสองเส้น เขาก็คือบรรพชนแมลงผู้ลึกลับอย่างยิ่งนั่นเอง

“เฮ้อ นี่มันวันอะไรกัน มีแขกมาอีกแล้วรึ” ชายหนุ่มรูปงามในอาภรณ์สีทองอันหรูหราซึ่งนั่งอยู่บนตำแหน่งประธานยิ้มพลางพูดเสียงเบา

รัศมีรวมตัวกันขึ้นภายในโถงตำหนัก รวมตัวกันเป็นบุรุษเสื้อคลุมกันลมสีดำปักลวดลายสีทอง ใบหน้าขาวซีด นัยน์ตาเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง เขาก็คือหนึ่งในสองสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูแห่งรัฐโบราณบรรพชนผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือ ‘บรรพชนราตรีนิรันดร์’ นั่นเอง

“ราตรีนิรันดร์ เจ้ามาแล้ว” ชายหนุ่มรูปงามในอาภรณ์สีทองอันหรูหรายิ้มพลางโบกมือเบาๆ คราหนึ่ง ตรงหน้าสุดด้านล่างมีโต๊ะยาวพร้อมที่นั่งปรากฏขึ้นอีกชุด “มาๆๆ ข้ากำลังต้อนรับเจ้าเมืองอัคคีทิพย์และบรรพชนแมลงอยู่พอดี เจ้ามาได้บังเอิญจริงๆ มาชิมอาหารรสเลิศที่ข้าเตรียมเอาไว้เร็วเข้า”

บรรพชนราตรีนิรันดร์กวาดตามองแวบหนึ่ง

เจ้าเมืองอัคคีทิพย์เอย บรรพชนแมลงเอย

ก็แค่ขั้นสุดยอดสองคนเท่านั้น ไม่มีสมบัติลับอันสูงส่งเลย

“ราชันย์อนธการ” บรรพชนราตรีนิรันดร์พูดเสียงเรียบ “การเจรจาของเจ้าและข้าในตอนนั้น ต้องแก้ไขสักหน่อยแล้ว”

“แก้ไข มีอะไรต้องแก้ไขรึ” ราชันย์อนธการอมตะยังคงอิงแอบสาวงามข้างกาย แย้มยิ้มพลางมองลงไปด้านล่าง

“เจ้าต้องการวิญญาณแค้น ‘ขั้นสุดยอด’ สามดวง เดิมทีข้าใช้เวลามากหน่อยก็สามารถค่อยๆ บ่มเพาะวิญญาณแค้นเช่นนี้ขึ้นมาได้ แต่บัดนี้ คนวิถีจิตฟ้าผู้นั้นบ้าคลั่งเกินไปแล้ว หากในดินแดนจิตโลกาเกิดเรื่องการเข่นฆ่าตามอำเภอใจขึ้นมา เขาก็จะลงมือสังหารมารร้ายโดยไม่ไว้น้ำใจแม้แต่น้อย เมื่อเป็นเช่นนี้ จะทำตามที่ราชันย์อนธการขอไว้ก็ยากเสียแล้ว” บรรพชนราตรีนิรันดร์กล่าว “ข้ารู้สึกว่าวิญญาณแค้น ‘ขั้นสุดยอด’ ตนหนึ่งก็เพียงพอแล้ว”

วิญญาณแค้น

หมายถึงวิญญาณซึ่งเต็มไปด้วยความเคียดแค้นอย่างไร้ที่สิ้นสุด ทำให้วิญญาณเกิดความเปลี่ยนแปลงพิเศษบางอย่างขึ้นมา วิญญาณแค้น ‘ขั้นสุดยอด’ เป็นตัวแทนของตำนานชนิดหนึ่ง วิญญาณแค้นระดับนี้…มีความเคียดแค้นและความอาฆาตอันไร้รูปร่าง เพียงพอให้สังหารขั้นอลวนทั่วไปคนหนึ่งได้แล้ว

แต่นี่ก็คือขีดสุดแล้ว

ต่อให้เป็นวิญญาณแค้นที่แข็งแกร่งกว่านี้ก็มิอาจเอาชนะเทพจักรวาลได้! ดังนั้น ‘วิญญาณแค้น’ จึงเป็นเพียงวิถีเล็กๆ ที่ไม่ควรค่าแก่การพูดถึงสายหนึ่งเท่านั้น

แต่ ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ ต้องการ ตอนนั้นบรรพชนราตรีนิรันดร์ได้เจรจาตกลงกันเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้ว ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้นำของรัฐโบราณแห่งหนึ่ง จึงทำเรื่องพวกนี้ได้สะดวกกว่าราชันย์อนธการอมตะซึ่งจากดินแดนจิตโลกาไปนานแสนนานผู้นี้อยู่มากทีเดียว

“เจ้าเป็นถึงหนึ่งในสองบรรพชนแห่งรัฐโบราณบรรพชน เรื่องเล็กน้อยเท่านี้ก็ทำมิได้หรือ” ราชันย์อนธการอมตะส่ายหน้า

“หากเจ้าเตรียมเรื่องพรรค์นี้อยู่ในรัฐโบราณของข้า คนวิถีจิตฟ้าผู้นั้นก็จะลงมือขัดขวางเช่นเดียวกัน” บรรพชนราตรีนิรันดร์ส่ายหน้า “บ่มเพาะวิญญาณแค้นขั้นสุดยอด จะต้องใช้วิญญาณจำนวนมหาศาลจึงจะมีหวัง”

ราชันย์อนธการอมตะเหลือบมองลงไปยังบรรพชนราตรีนิรันดร์ที่อยู่เบื้องล่างพลางหัวเราะเบาๆ

บรรพชนราตรีนิรันดร์สีหน้าเปลี่ยนแปรไปเล็กน้อย

เขาสัมผัสได้ว่ารอบยิ้มของราชันย์อนธการอมตะแฝงแววเหยียดหยันเอาไว้

ด้วยความหยิ่งผยองของบรรพชนราตรีนิรันดร์ ในดินแดนจิตโลกาแห่งนี้ ผู้ใดจะกล้าดูแคลนเขาเล่า

“ราตรีนิรันดร์ ข้ากับเจ้าเจรจาตกลงกันเอาไว้แล้ว ก่อนหน้านี้ยังได้ตั้งสัตย์สาบานกันเอาไว้เป็นอย่างดีแล้วด้วย ผลประโยชน์ที่ข้าควรจะมอบให้เจ้า ข้าก็มอบให้ไปส่วนหนึ่งแล้ว” ใบหน้าหล่อเหลาของราชันย์อนธการอมตะเยียบเย็นขึ้นมา นัยน์ตาแฝงแววหนาวเหน็บเอาไว้ “ทำไมรึ ตอนนี้เจ้าจะบอกว่าทำไม่ได้ จะแก้ไขสัญญาอย่างนั้นหรือ รู้สึกว่าข้าต่อรองด้วยง่ายนักหรือไร”

กลิ่นอายมรณะอันไร้รูปร่างแผ่กำจายลงมา แล้วปกคลุมทั่วทั้งโถงตำหนัก

บรรพชนแมลงและเจ้าเมืองอัคคีทิพย์ที่อยู่เบื้องล่างต่างก็สีหน้าเปลี่ยนแปรไปเล็กน้อย

ส่วนบรรพชนราตรีนิรันดร์ซึ่งถูกพุ่งเป้ามาโดยตรง ภายใต้การกดดันของกลิ่นอายมรณะอันน่าเกรงกลัว หัวใจของเขาก็ยิ่งบีบรัดแน่น เขาเกิดความรู้สึกครั่นคร้ามราวกับเผชิญหน้ากับมิติระดับสูงยิ่งกว่าอย่างไรอย่างนั้น

“ตอนนั้นราชันย์อนธการอมตะผู้นี้ ใช้กำลังกดดันฝ่ายต่างๆ แล้วชิงโอกาสเหยียบขึ้นไปบนเส้นทางโจมตีสิ่งมีชีวิตคละถิ่นได้ เมื่อคืนวันอันยาวนานผ่านพ้นไป เขาก็กลับมาแล้ว ดูเหมือนจะล้มเหลวเสียแล้ว ทว่าก็รู้สึกว่าพลังของเขาจะเพิ่มพูนขึ้นไม่น้อยเลยทีเดียว” บรรพชนราตรีนิรันดร์ลอบโกรธแค้น แต่ก็ต้องข่มเพลิงโทสะเอาไว้

นานแสนนานก่อนหน้านี้

พลังของราชันย์อนธการอมตะ บรรพชนราตรีนิรันดร์นั้นรู้จักดี ถึงตอนนั้น ก็เป็นอันดับหนึ่งของดินแดนจิตโลกาแล้ว เกรงว่าคงไม่ต่างจากจักรพรรดิเซี่ยในตอนนี้มากสักเท่าใดนัก

ส่วนตอนนี้น่ะหรือ

บรรพชนราตรีนิรันดร์ก็เดาไม่ถูกแล้ว เขาเพียงแค่รู้สึกว่าวิธีการของราชันย์อนธการอมตะพิสดารกว่าตอนนั้นมากทีเดียว

“ราชันย์อนธการ ข้ากล้ารังแกผู้อื่น จะกล้ารังแกเจ้าได้อย่างไรกัน เพียงแต่เจ้าก็รู้ว่า คนวิถีจิตฟ้าผู้นั้นรับมือได้ยากนัก พลังมิได้นับว่าแข็งแกร่งสักเท่าใดนัก แต่จะสังหารเขานั้นยากมาก เขายังตั้งใจสร้างความเสียหายอยู่ตลอดด้วย จะเก็บรวบรวมวิญญาณแค้นขั้นสุดยอดสามดวงให้ครบในเวลาที่กำหนดไว้ ยากนัก” บรรพชนราตรีนิรันดร์กล่าว

“ยากก็ไปทำเถอะ สัตย์สาบานเป็นสิ่งที่เจ้าเองก็ตกลงในตอนนั้น ก็ต้องทำต่อไปสิ หากเจ้าฝ่าฝืนสัตย์สาบาน ก็ได้ แค่คอยรับผลที่จะตามมาให้ดีๆ ก็พอแล้ว” ราชันย์อนธการอมตะเหลือบมองลงไปเบื้องล่างพลางยิ้มเข็นชา

บรรพชนราตรีนิรันดร์เงียบงันอยู่ชั่วลมหายใจหนึ่ง ก่อนจะพูดเสียงต่ำว่า “ได้”

จากนั้นเงาร่างของเขาก็หายวับไปทันที

“เฮอะๆ”

ราชันย์อนธการอมตะหัวเราะเสียงเยียบเย็น

บรรพชนแมลงและเจ้าเมืองอัคคีทิพย์กลับสบตากันแวบหนึ่ง พวกเขามิได้เปล่งเสียงออกมา แม้พวกเขาจะไม่เกรงกลัวสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูเช่นกัน แต่เรื่องของสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรู พวกเขาก็ไม่ขอยุ่งเกี่ยวด้วยแล้ว

……

“สมควรตาย!” บรรพชนราตรีนิรันดร์โกรธแค้นมากจริงๆ

นานเท่าไหร่แล้ว นานเท่าไหร่ที่มิมีผู้ใดกล้าเมินเฉยต่อเขาเช่นนี้!

แต่บรรพชนราตรีนิรันดร์ก็เข้าใจว่าจักรพรรดิเซี่ยสามารถทำร้ายเขาได้ในระยะเวลาสั้นๆ ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ ที่ลึกล้ำเกินหยั่งมากกว่าผู้นั้น เป็นไปได้มากว่าพลังยังอาจแข็งแกร่งกว่าจักรพรรดิเซี่ยเสียอีก และนี่ก็คือเหตุผลที่บรรพชนราตรีนิรันดร์หวั่นเกรงเขาเป็นอย่างยิ่ง

แต่ทว่า…

วิธีการของบรรพชนราตรีนิรันดร์และบรรพชนนิจรัตติกาลนั้นช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เมื่อทั้งสองร่วมมือกันก็กล้าห้ำหั่นกับสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูทั้งสามของรัฐโบราณคิมหันตวายุแล้ว! ดังนั้นหากจะฉีกหน้าจริงๆ เขาและนิจรัตติกาลร่วมมือกันก็มั่นใจพอจะรับมือราชันย์อนธการอมตะได้ เพียงแต่ตอนนั้นได้ตั้งสัตย์สาบานเอาไว้ ทั้งยังเป็นเขาที่เรียกร้องอีกด้วย! เขากลัวว่าราชันย์อนธการอมตะจะไม่รักษาสัญญา

แต่ตอนนี้ สัญญาได้ถูกตกลงเอาไว้แล้ว ราชันย์อนธการอมตะไม่เห็นด้วยกับการแก้ไข หากเขาฝ่าฝืนสัตย์สาบานก็จะส่งผลกระทบต่อจิตแห่งวิถีเป็นอย่างยิ่ง คิดจะกระโดดออกจากรงขังก็ยิ่งไม่มีหวังแล้ว

“รอก่อนเถิด” บรรพชนราตรีนิรันดร์พูดเสียงเบา

“วิญญาณแค้นขั้นสุดยอดหรือ ครั้งนี้ข้าจะลอบจับตามองด้วยตนเอง คนวิถีจิตฟ้ารึ เฮอะๆ กล้าสอดมือยุ่งเกี่ยว ข้าก็ต้องสืบเสาะตัวตนของเจ้าให้พบอย่างแน่นอน”

……

บรรพชนราตรีนิรันดร์เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว

เขาเริ่มส่งเทพจักรวาลที่มีร่างแยกไปเก็บรวบรวมวิญญาณ โดยมิได้ทำการบ่มเพาะตามธรรมชาติในตัวเมืองทั้งสิบเก้าแห่งอย่างไม่หยุดหย่อนอย่างโอหังเหมือนก่อนหน้านี้ แม้การทำเช่นนั้นจะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า แต่ก็จะถูก ‘คนวิถีจิตฟ้า’ ขัดขวางได้ง่ายกว่าเช่นกัน ครั้งนี้เขาจะพยายามเก็บรวบรวมวิญญาณให้ได้มากที่สุดก่อนแล้วค่อยๆ สำแดงวิธีการออกมา บางทีจำนวนวิญญาณที่ต้องการอาจจะมหาศาลกว่า แต่ขอเพียงไม่ส่งผลกระทบต่อระเบียบของทั้งดินแดนจิตโลกา ‘หยวน’ ผู้นั้นก็จะไม่สนใจการแก่งแย่งชิงดีกันของมดปลวกจำนวนนับไม่ถ้วนภายในกรงขัง

วิญญาณจำนวนมากถูกเก็บรวบรวมอย่างต่อเนื่อง

บรรพชนราตรีนิรันดร์ลอบตั้งใจจับตามองโดยเฉพาะ

เพียงพริบตาเดียวการเก็บรวบรวมนี้ก็ดำเนินไปถึงกว่าร้อยล้านปีอย่างเงียบเชียบ เนื่องจากไม่อยากจะส่งผลกระทบต่อระเบียบต่างๆ และไม่อยากถูกคนวิถีจิตฟ้าพบเข้าด้วย

แม้บรรพชนราตรีนิรันดร์จะมีแผนการรับมือคนวิถีจิตฟ้า แต่หากไม่ถูกพบเข้าก็ย่อมดีกว่าแน่นอน

“สร้างหายนะให้สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วน เจ้าและคนอื่นๆ สมควรตาย”

กลางท้องฟ้ายามราตรีเหนือตัวเมืองแห่งหนึ่งมีบุรุษอาภรณ์ขาวผู้หนึ่งปรากฏขึ้น ใบหน้าของเขาฉายแววโกรธขึ้ง เสียงของเขาสะท้อนก้องไปทั่วทั้งฟ้าดิน เมื่อโบกมือคราหนึ่ง รอยแยกมิติอันน่าหวาดหวั่นสายหนึ่งก็ร่อนลงมาจากฟากฟ้า ทันใดนั้นก็โจมตีลงบนร่างของเทพจักรวาลที่อยู่ไกลออกไปผู้หนึ่ง ก่อนจะทำให้ร่างของเขาแหลกสลายเป็นผุยผงไปในทันที! นี่เป็นเพียงแค่เทพจักรวาลทั่วไปเท่านั้น ซึ่งบรรพชนราตรีนิรันดร์ได้จงใจจัดเตรียมผู้ที่มีร่างแยกเอาไว้เป็นพิเศษอยู่แล้ว

ผู้ที่ไม่มีร่างแยก แม้แต่จวินอ๋องดำก็ยังสิ้นใจไปแล้ว ผู้ใต้บังคับบัญชาของบรรพชนราตรีนิรันดร์ก็ไม่อยากเสี่ยงอันตราย ตัวบรรพชนราตรีนิรันดร์เองก็ทำใจให้ผู้ใต้บังคับบัญชาที่สำคัญที่สุดทั้งหลายต้องเสี่ยงอันตรายด้วยไม่ได้เช่นกัน

“เอ๊ะ”

บนยอดเขาแห่งหนึ่งภายในเมืองอันใหญ่โตแห่งนี้ บรรพชนราตรีนิรันดร์ผู้สวมเสื้อคลุมกันลมสีดำประดับลวดลายสีทองกำลังมองไปทางบุรุษอาภรณ์ขาวไกลออกไป ตงป๋อเสวี่ยอิงลงมือรวดเร็วเกินไปแล้ว เมื่อร่อนลงไปก็มีท่าไม้ตายร่อนลงไปเป็นระยะไกลลิบ เพียงกระบวนท่าเดียวก็ปลิดชีพได้! บรรพชนราตรีนิรันดร์มิทันได้ขัดขวาง ทว่าก็เป็นเพียงร่างแยกร่างหนึ่งของผู้ใต้บังคับบัญชาเท่านั้น เสียแล้วก็เสียไปเถิด

“มาทำลายเรื่องดีๆ ของข้าจริงๆ ด้วย ข้าอุตส่าห์ระวังและหลบซ่อนมากแล้ว ไม่ไปหาเรื่องเจ้า เจ้ายังมาหาเรื่องข้าอีกรึ” โทสะของบรรพชนราตรีนิรันดร์พุ่งสูงเทียมฟ้าทันที

“ข้าต้องการให้การบูชาโลหิตในโลกกำเนิดอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้สิ้นซากไป การเข่นฆ่าครั้งใหญ่สูญหายไปจากผืนดินนี้ ผู้ที่กล้าก่อการเข่นฆ่าครั้งใหญ่ จะต้องถูกทำลายจนสิ้น บางทีข้าอาจจะยังจัดการมารร้ายตัวฉกาจที่ไร้เทียมทานมิได้ แต่เมื่อมีทางเส้นนี้ ข้าก็ยังคงมุ่งหน้าต่อไป ไม่แน่ว่าอาจจะมีสักวันหนึ่งที่ข้าสามารถจัดการกับพวกเขาได้ก็เป็นได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองอาจารย์ยิ้มๆ

ประมุขรัฐเมฆทักษิณามองดูรอยยิ้มของศิษย์ ทันใดนั้นก็เข้าใจความแตกต่างระหว่างกันขึ้นมาทันที

สำหรับผู้บำเพ็ญส่วนมากแล้ว เขาสนใจ ‘การทำตนเองให้ดี’ เสียมากกว่า เนื่องจากมีแต่มีชีวิตรอดเท่านั้น จึงจะมีหวังไต่ขึ้นสู่ยอดแห่งมหาวิถีได้

แล้วศิษย์ของตนเล่า

กลับมีจิตแห่งวิถีคมปลาบดุจมีด แม้ข้างหน้าจะไร้ทางเดิน เขาก็ฟันฝ่าหาทางเส้นใหม่ขึ้นมา! เขายอมบุกเบิกเส้นทางเส้นหนึ่งขึ้นมาเพื่อสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอจำนวนนับไม่ถ้วน! บางทีความเพียรพยายามเช่นนี้ จิตใจที่แน่วแน่เช่นนี้ สภาพจิตใจเช่นนี้…อาจจะเป็นสาเหตุที่ศิษย์ของตนมีพลังก้าวหน้าเช่นนี้ก็ได้กระมัง

“หากอยากจะจัดการกับมารร้ายที่ไร้เทียมทานเหล่านั้น เกรงว่าคงจะต้องกระโดดออกจากกรงขังจึงจะใช้ได้” ประมุขรัฐเมฆทักษิณากล่าว

“อาจจะมีสักวันหนึ่งที่ข้าสามารถกระโดดออกไปก็เป็นได้ ผู้บำเพ็ญอย่างพวกเรา ผู้ใดไม่ใฝ่ฝันอยากกระโดดออกจากกรงขังนี้บ้างเล่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มน้อยๆ “ท่านอาจารย์ขอรับ ศิษย์ขอตัวก่อน”

เขายังต้องรีบกลับไปหลอมอาวุธอีก

เรื่องการหลอมอาวุธคละถิ่นมิอาจชักช้าได้

******

วันนั้น

กลางห้องลับใต้ดินแห่งหนึ่งซึ่งซ่อนตัวอยู่ภายในจวนจ้าวแห่งเมืองหิมะเหิน

“โครมมม…” ประตูห้องลับพลันปิดลง ด้านบนมีอักขระลับจำนวนนับไม่ถ้วนลอยคว้างอยู่ ทั้งเมืองหิมะเหินถูกตงป๋อเสวี่ยอิงเสริมสร้างเสียจนแข็งแกร่ง ช่วงการหลอมอาวุธคละถิ่นเป็นช่วงเวลาสำคัญที่สุดและต้องระมัดระวังที่สุดด้วย

ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีขาวทั้งร่างนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะรองนั่งภายในห้องเงียบ เขาโบกมือคราหนึ่ง ธูปดอกหนึ่งถูกจุดขึ้น กลิ่นหอมแผ่กำจายไปทั่วทั้งห้องเงียบ

ต้องสงบจิตเสียก่อน

ภายในห้วงสมองมีกระบวนการหลอมอาวุธเทพอลวนซึ่งแนบมากับเจ็ดกระบวนคละถิ่นผุดขึ้นมา ด้วยระดับขั้นของเขาในตอนนี้ กระบวนการหลอมก็ไม่นับว่ายากสักเท่าใดนัก เพียงแต่ละเอียดยิบย่อยมาก เห็นได้ชัดว่า ‘หยวน’ ก็ได้คำนึงถึงว่าจะมอบให้แก่ชนรุ่นหลัง ว่าจะให้ชนรุ่นหลังสามารถหลอมอาวุธคละถิ่นขึ้นมาได้ เขาจึงตั้งใจแบ่งกระบวนการหลอมออกเป็นขั้นตอนต่างๆ กว่าหมื่นขั้น แต่ละขั้นตอนก็ง่ายดายขึ้นไม่น้อย

“คาดว่าใช้เวลาสักหมื่นล้านปีก็สามารถหลอมสำเร็จได้แล้ว แม้กระบวนการหลอมจะซับซ้อน แต่กลับไม่นับว่ายากนัก แค่ต้องเตรียมร่างแยกร่างหนึ่งแล้วหลอมอย่างสุดกำลังก็เป็นอันใช้ได้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ

แม้เขาจะสามารถทำให้ร่างแยกทั้งเก้ารักษาพลังที่แทบจะสมบูรณ์แบบเอาไว้ได้

แต่การหลอมอาวุธนั้นมิอาจรีบร้อนได้ ต้องค่อยๆ ทำไปทีละขั้น ร่างแยกเพียงร่างเดียวก็เพียงพอแล้ว

“ฟิ้ว”

วัสดุทั้งหมดเตรียมเอาไว้อย่างเพียงพอแล้ว

ตงป๋อเสวี่ยอิงกำหนดจิตคราหนึ่ง ก็มีวัสดุสิบหกชนิดปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า ในจำนวนนั้นมีเชื้อเพลิงชนิดพิเศษ มีของเหลว และมีดอกไม้…วัสดุต่างๆ ทั้งของเหลว ดอกไม้และผงต่างๆ หลอมรวมเข้าไปในเชื้อเพลิงอย่างไม่หยุดหย่อน แต่ละขั้นของตงป๋อเสวี่ยอิงล้วนแต่สำแดงความเร้นลับของค่ายกลชนิดต่างๆ ออกมา เหนี่ยวนำพลังคละถิ่นหลอมรวมเข้าไปในนั้น ทำให้เปลวเพลิงที่ปะทุออกจากเชื้อเพลิงมีอานุภาพแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นบรรลุถึงขั้นที่น่าเหลือเชื่อในท้ายที่สุด นี่เป็นเพียง ‘เพลิง’ ใสตอนแรกสุดเท่านั้น การจะหลอมรวมเม็ดทรายอลวนนั้นไม่ง่ายเลย

……

บรรดามารร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนในดินแดนจิตโลกาล้วนกำลังรอคอย รอคอยวันที่ตัวตนของคนวิถีจิตฟ้าจะเปิดเผยออกมา

พวกเขากลับไม่รู้ว่า…

‘คนวิถีจิตฟ้า’ ผู้นี้กลับกำลังหลอมอาวุธคละถิ่นอันน่าหวาดหวั่นอยู่

เวลาล่วงเลยไป

ขณะเดียวกัน ทุกครั้งที่ในดินแดนจิตโลกามีเรื่องการเข่นฆ่าหรือหายนะครั้งใหญ่เกิดขึ้น เขาก็จะปรากฏกายและลงมือโดยอาศัยตัวตนของคนวิถีจิตฟ้า!

แม้จะกล่าวว่าเขาลั่นวาจาอย่างเปิดเผยไปก่อนหน้านี้แล้วว่า คนของตระกูลใหญ่แห่งหกรัฐโบราณก็จะต้องถูกพันธนาการด้วยเช่นกัน แต่ถึงอย่างไรดินแดนจิตโลกาก็ใหญ่โตเกินไปแล้ว! ไม่แน่ว่าสักวันหนึ่งก็จะมีมารร้ายสักตนหนึ่งรุ่งโรจน์ขึ้นมา! เพราะถึงอย่างไรการบำเพ็ญตลอดคืนวันอันยาวนาน ก็นับว่ามีผู้เดินไปตามเส้นทางแห่งมารร้ายมากมายนัก เนื่องจาก ‘เส้นทางแห่งมารร้าย’ นั้นต้องแก่งแย่งชิงดีกัน สามารถแย่งชิงทรัพยากรมาได้เป็นจำนวนมาก ทั้งยังมีเคล็ดวิชาใช้วิญญาณของผู้อื่นฝึกฝนวิชาด้วย วิธีแย่งชิงเหล่านี้ ยิ่งร้ายกาจเท่าใด กลับยิ่งรวดเร็วขึ้นเท่านั้น

ดังนั้นในฐานะที่เป็นโลกกำเนิดที่กว้างใหญ่ไพศาลแห่งหนึ่งในดินแดนจิตโลกา มารร้ายก็ย่อมมีมากมายนับไม่ถ้วน มีคนมากมายยิ่งนักที่ไม่มีเบื้องหลัง มารร้ายที่ไม่มีเบื้องหลังและมีพลังอ่อนแอ ไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของ ‘คนวิถีจิตฟ้า’ มาก่อน

ส่วนผู้ที่ไม่มีเบื้องหลัง หรือมีพลังอ่อนแอเหล่านั้น พลังทำลายล้างของพวกเขากลับไม่อ่อนแอเลยแม้แต่น้อย

……

“การตายเพื่อเจ้าลัทธิของเรา เป็นเกียรติของเจ้าและคนอื่นๆ” มารเฒ่าตนหนึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์ พลางมองดูผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนที่ถูกจับมาไว้ตรงหน้า

ทันใดนั้น…

บุรุษอาภรณ์ขาวผู้หนึ่งก็เดินออกมาจากความว่างเปล่า มองดูมารเฒ่าผู้นี้ด้วยสายตาเย็นชา “สร้างหายนะให้สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนตามอำเภอใจ ควรฆ่าทิ้งเสีย”

เมื่อมารเฒ่ามองเห็นตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏกายขึ้นก็รู้สึกหนาวสั่นจากก้นบึ้งหัวใจ แม้เขาจะไม่รู้จัก ‘คนวิถีจิตฟ้า’ แต่แรงกดดันอันน่าหวาดหวั่นที่แผ่ออกมาจากอีกฝ่ายแล้วแผ่กำจายผ่านอากาศมานั้น ก็ทำให้มารเฒ่าหวาดหวั่นเหลือแสน เขาเข้าใจว่าแตกต่างกัปอีกฝ่ายมากมายยิ่งนัก มารเฒ่าไถลจากบัลลังก์ลงไปคุกเข่าทันที

เขาคุกเข่าวิงวอน “ไว้ชีวิตด้วยๆ ผู้อาวุโสโปรดไว้ชีวิตด้วย ข้าผิดไปแล้ว ข้าจะปรับปรุง ข้ายินดีอุทิศชีวิตให้ผู้อาวุโสขอรับ”

มารเฒ่าบำเพ็ญมาถึงระดับขั้นทุกวันนี้ เขาเคยชินกับการก้มหัวเมื่อเผชิญหน้ากับผู้แกร่งกล้าเสียแล้ว

เมื่อเหล่าผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนเบื้องล่างมองเห็น มารเฒ่าที่อยู่สูงขึ้นไปผู้นั้นคุกเข่าลงอ้อนวอน ก็อดกังวลใจขึ้นมามิได้ กังวลว่าผู้แกร่งกล้าผู้นั้นจะไม่สังหารมารร้าย และไม่ช่วยเหลือพวกเขา

“อุทิศชีวิตให้ข้ารึ เจ้าคู่ควรหรือไร” ตงป๋อเสวี่ยอิงแค่นเสียงเย็นชา

ระลอกคลื่นมิติกดดันออกไป

ร่างกายของมารเฒ่ากระจัดกระจายไปอย่างไร้สุ้มเสียง

ตงป๋อเสวี่ยอิงหันมองไปทางผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนเบื้องล่างแล้วโบกมือคราหนึ่ง “รอดชีวิตกันเถิด”

เขาอพยพพวกเขาออกไปนอกประตูเมืองใหญ่ทันที

……

เขาสังหารมารร้ายครั้งแล้วครั้งเล่า และช่วยเหลือสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนครั้งแล้วครั้งเล่า

แม้มารร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนจะเกลียดชังเขามาก แต่ก็มีผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนที่ซาบซึ้งใจต่อผู้อาวุโสท่านนี้เป็นอันมาก

“รอดชีวิตก็ดีแล้วๆ”

“ท่านปู่ เป็นคนชุดขาวผู้หนึ่งที่ช่วยเหลือพวกเราเอาไว้ขอรับ”

“อื้มๆ ท่านพ่อเจ้าก็จากไปแล้ว หากเจ้าก็ประสบเรื่องที่ไม่คาดคิดด้วย ข้าก็ไม่รู้จริงๆ ว่าควรทำเช่นไรดี” ผู้บำเพ็ญคนหนึ่งกอดเด็กน้อยเอาไว้พลางพูดพึมพำ ในใจรู้สึกซาบซึ้งต่อผู้ช่วยชีวิตคนนั้นเป็นอันมาก

……

“พวกเรารอดแล้ว” มีสหายร่วมวิถีที่ยินดีจนน้ำตาร่วงหลังหายนะผ่านพ้นไป

……

“บุญคุณช่วยชีวิตในครั้งนี้ ข้าจะไม่มีทางลืมเลย” ผู้บำเพ็ญจำนวนมากพากันจดจำบุญคุณเอาไว้

……

ผู้ที่ซาบซึ้งใจต่อตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นมีมากมายเกินนับไหว

ในจำนวนนั้นมีเด็กหญิงตัวน้อยซึ่งมีที่มาอันเร้นลับคนหนึ่ง

“องค์หญิง ท่านประมุขกล่าวไว้ก่อนแล้วว่า ดินแดนจิตโลกาแห่งนี้อันตรายมาก ห้ามบุกเข้าไปมั่วซั่วเป็นอันขาด แต่ท่านก็ยังลอบออกมา ท่านดูเอาเถิด ท่านเพิ่งจะออกมาก็ประสบกับมารร้ายเสียแล้ว! ถ้าหาก ถ้าหากท่านสิ้นใจด้วยเงื้อมมือของมารร้ายนั่นจริงๆ ท่านประมุขจะเศร้าโศกเสียใจเพียงใดขอรับ” คนชุดดำผู้หนึ่งพูดเสียงต่ำ เสียงนั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

เด็กหญิงข้างๆ กลับแหงนหน้า ทอดสายตามองไปยังขอบฟ้าไกลออกไป “ข้ารู้ตัวแล้วว่าผิด รู้ตัวแล้วว่าผิด ท่านอาฉิว ผู้ที่ช่วยข้าเอาไว้ผู้นั้นเป็นใครกันน่ะ”

“ตามข้อมูลเกี่ยวกับดินแดนจิตโลกาที่พวกเราทราบ คนชุดขาวผู้นั้นก็คือผู้แกร่งกล้าคนหนึ่งซึ่งอาศัยพลังของตัวคนเดียวทำให้มารร้ายทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาหวาดหวั่น มีนามว่าคนวิถีจิตฟ้า” คนชุดดำกล่าว “ครั้งนี้ติดค้างคนวิถีจิตฟ้ามากนัก มิฉะนั้น มิฉะนั้น…”

“คนวิถีจิตฟ้าหรือ” เด็กหญิงกลับนัยน์ตาเป็นประกายขึ้นมา

“ไปกันเถิดขอรับๆ รีบกลับกันเถิด” คนชุดดำกล่าว

“คนวิถีจิตฟ้าอาศัยอยู่ที่ใดกัน ข้าอยากจะไปเยี่ยมเขาสักหน่อย” เด็กหญิงเอ่ย

“ตัวตนของคนวิถีจิตฟ้าเป็นปริศนา ข้าไหนเลยจะทราบว่าเขาอยู่ที่ใดขอรับ” คนชุดดำกล่าว

“พวกเจ้าตรวจสอบให้ข้าที ข้าจะไปหาเขา ข้าจะไปหาเขา” เด็กหญิงลั่นวาจา

“องค์หญิง ไม่มีทางตรวจสอบได้หรอกขอรับ! คนวิถีจิตฟ้ากระทำการเช่นนี้ เป็นการล่วงเกินมารร้ายทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา เขาไม่กล้าเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงหรอกขอรับ แล้วข้าจะหาพบได้อย่างไรกัน” คนชุดดำกล่าว เขาพูดยังไม่ทันขาดคำ ด้านข้างกลับมีแสงดาวรวมตัวกันขึ้นมา กลายเป็นบุรุษผู้สวมอาภรณ์แสงดาวอันหรูหราผู้หนึ่ง

“ท่านประมุข” คนชุดดำผู้นี้รีบคารวะทันที

บุรุษผู้สวมอาภรณ์แสงดาวมองดูบุตรสาวของตน แล้วก็เกิดความหวั่นกลัวขึ้นมา เขาเอ็ดตะโรว่า “เจ้านี่มันช่างดื้อดึงจริงๆ หนีออกมาเช่นนี้ แล้วกลัวข้าจะรู้เข้า แม้แต่วัตถุส่งสารจึงไม่เอามา อีกนิดเดียว อีกนิดเดียวเจ้าก็จะไม่มีชีวิตรอดแล้ว!”

“มิใช่ว่าข้าไม่เป็นอะไรหรอกหรือ” เด็กหญิงกลับก้มหน้าพูดเสียงอ่อน

“เฮอะ เจ้าชักจะบังอาจขึ้นเรื่อยๆ แล้ว เห็นทีคงจะต้องดูแลอย่างเข้มงวดเสียแล้ว” บุรุษผู้สวมอาภรณ์แสงดาวคว้ามือเด็กหญิงเอาไว้ “ไป”

“ท่านพ่อ ท่านพ่อ ข้าอยากจะพบคนวิถีจิตฟ้าเจ้าค่ะ” เด็กหญิงตะโกน

บุรุษผู้สวมอาภรณ์แสงดาวสะดุ้งเฮือกก่อนจะพูดเสียงเรียบว่า “ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบทั่วดินแดนจิตโลกาเอง ทันทีที่รู้ตัวตนของคนวิถีจิตฟ้า ข้าจะพาเจ้าไปคารวะเขาเอง เพราะถึงอย่างไรเขาก็มีบุญคุณช่วยชีวิตเจ้าเอาไว้”

เขาพูดพลางพาเงาร่างของบุตรสาวและผู้ใต้บังคับบัญชาด้านข้างอันตรธานไปพร้อมกัน

……

ช่วยเหลือสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วน ผู้ที่ซาบซึ้งต่อคนวิถีจิตฟ้าก็มีจำนวนนับไม่ถ้วน ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยิ่งเบิกบานใจและพึงพอใจ วันคืนค่อยๆ ล่วงเลยผ่านไปเช่นนี้เอง

ตงป๋อเสวี่ยอิงยื่นฝ่ามือออกไป ฝ่ามือดูเลือนราง ภายในมีน้ำวนถือกำเนิดขึ้นมา กลางน้ำวนมีพลังคละถิ่นปรากฏขึ้น น้ำวนนี้กำลังหมุนคว้างอยู่ ราวกับระลอกคลื่นที่โหมซัดและบีบอัดอย่างต่อเนื่อง

ระลอกคลื่นนับพันนับหมื่นโหมซัด ภายในยังมีคลื่นใต้น้ำซัดสาดอีกด้วย

พละกำลังมากมายบ้างก็บีบอัดเข้ามา บ้างก็โอบล้อม บ้างก็กดดัน…

เป็นการจำลองการรับรู้ของตงป๋อเสวี่ยอิงขณะท่องไปในมิติชั้นสูงยิ่งกว่าออกมา ซึ่งนี่เป็นการใช้การรับรู้เจ็ดกระบวนคละถิ่นและวิถีอากาศอย่างที่สุดของเขาแล้ว! เป็นกระบวนท่าที่เขาพึงพอใจมากอย่างแท้จริง แม้จะมีท่าไม้ตายเพิ่มขึ้นมาอีกท่าหนึ่ง ซึ่งขณะต่อสู้นั้นท่าไม้ตายจำพวกบริเวณจะมีส่วนช่วยเป็นอย่างมาก แต่ที่ตงป๋อเสวี่ยอิงดีใจ ก็เพราะสามารถสัมผัสได้ว่า ค้นคว้า ‘วิถีอากาศ’ ได้ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้นแล้ว

การยกระดับขั้นนั้น ฟังดูเหมือนจะลึกลับมาก

แต่อันที่จริงแล้วตนสามารถสัมผัสได้อย่างแข็งแกร่งยิ่งนัก แปดสายหลอมรวมกัน ห่างจาก ‘ขั้นสุดยอด’ เพียงก้าวเดียวเท่านั้น แต่เพราะขาดไปนิดเดียวเท่านี้นั่นเอง ทำให้แม้ขั้นสุดยอดจะอยู่ตรงหน้า ก็เลือนรางราวกับค้นบุปผากลางหมอก

ทุกครั้งที่ระดับขั้นยกระดับขึ้นไป ก็เหมือนกับทำให้ ‘หมอก’ บางส่วนกระจายตัวไป! ทำให้ตนมองเห็นบางส่วนในนั้นได้อย่างชัดเจน

“เมื่อฝึกกระบวนท่านี้สำเร็จ ข้ารู้สึกว่าข้าก้าวหน้าเป็นอย่างมาก เข้าใกล้ขั้นสุดยอดมากขึ้นอีกก้าวหนึ่งแล้ว!”

“เพียงแต่การฝึกกระบวนท่านี้ให้สำเร็จ ก็ได้ทุ่มเทการรับรู้ในช่วงเวลานี้ทั้งหมดไปแล้ว คิดจะยกระดับขึ้นอีกในช่วงสั้นๆ กลับกลายเป็นเรื่องยากเสียแล้ว”

“แต่ข้าจะสิ้นเปลืองเวลาเช่นนี้ไม่ได้”

ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ

หากเป็นการบำเพ็ญตามปกติ หลังการสั่งสมอย่างยาวนานก็จะบรรลุ จากนั้นก็ใช้เวลามากขึ้นในการสั่งสม! อย่างการปะทะขั้นสุดยอดนั้น…ยากมากอยู่แล้ว จะต้องสั่งสมครั้งแล้วครั้งเล่า และบรรลุครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อการบรรลุไปถึงขั้นแน่นหนาหาใดเปรียบแล้ว จึงสามารถบรรลุถึงขั้นสุดยอดได้ตามธรรมชาติ! ถึงเวลานั้น สำหรับเขาแล้วก็จะสิ้นความกังขาเรื่องวิถีอากาศ!

ต่อให้เป็นผู้แกร่งกล้าผู้มีพรสวรรค์ทั้งหลายอย่างประมุขรัฐเมฆทักษิณาหรือมหาเคารพฝูอี่ก็ล้วนแต่ติดอุปสรรคอยู่ มิอาจบรรลุถึงขั้นสุดยอดได้

แม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะมีพรสวรรค์ล้ำเลิศ แต่การจะบรรลุถึงขั้นสุดยอดให้ได้ก่อนโลกกำเนิดบ้านเกิดจะแตกสลายนั้น ก็ยังคงยากเสียยิ่งกว่ายากอยู่ดี

“ใช้บุปผาโลกาอีกสักดอกดีกว่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ

ตอนนี้เมื่อหวนนึกไป

ตอนอยู่ในวังเทพจิตโลกา เขาใช้บุปผาโลกาต่อเนื่องกันอย่างฟุ่มเฟือยนัก ทว่าเมื่อดูจากผลลัพธ์แล้ว เขาได้เคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งเจ็ดกระบวนคละถิ่นมา ทั้งยังมีวิธีหลอมอาวุธคละถิ่นที่เข้ากันได้ดีแนบมาด้วย เท่านี้ก็คุ้มค่าแล้ว! เพราะถึงอย่างไรเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งวิชานี้ก็ทำให้ตนเข้าใจวิถีอากาศได้ลึกล้ำอย่างยิ่ง เพราะ ‘วิถีอากาศ ผสานกับ พลังคละถิ่น’ ตัวมันเองก็เป็นการใช้งานวิถีอากาศที่ซับซ้อนอย่างยิ่งอยู่แล้ว

……

ณ บ้านเกิด บุปผาโลกาดอกหนึ่งเบ่งบาน ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เข้าไปในนั้นเพื่อสัมผัสทุกสิ่ง

……

ขณะเดียวกับที่ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังบำเพ็ญนั้น บางครั้งก็จะออกมา ‘สังหารมารร้าย’ บ้าง

ขอแค่มีมารร้ายบังอาจเข่นฆ่า สร้างหายนะตามอำเภอใจ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็จะไม่อ่อนข้อให้เลยแม้แต่น้อย

ภายในรัฐโบราณสหโลกา ณ ตำหนักใต้ดินของจวนอันหรูหราในตัวเมิองใหญ่แห่งหนึ่ง

ชายหนุ่มรูปงามท่าทางชั่วร้ายนั่งขัดสมาธิอยู่ ตรงหน้าวางขวดสีดำขวดหนึ่งเอาไว้ เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ภายในขวดสีดำพลันมีวิญญาณจำนวนมากลอยออกมา แล้วก็ถูกชายหนุ่มผู้นี้สูดเข้าปากไป

“อื้ม ‘ไฟผลาญสามกัลป์’ ของข้าจวนจะฝึกสำเร็จแล้ว” ชายหนุ่มรูปงามท่าทางชั่วร้ายเผยรอยยิ้มออกมา เขาอ้าปากสำรอกออกมาเบาๆ ก็มีเปลวเพลิงสีดำลอยออกมา กลิ่นอายชั่วร้ายคลุ้งคาวเลือดแผ่กำจายออกมา

“เป็นเพราะเจ้าคนวิถีจิตฟ้านั่นที่คุกคามไปทั่วทุกสารทิศ ทำให้ข้าต้องเก็บรวบรวมวิญญาณเหล่านี้อย่างระมัดระวังถึงเพียงนี้ ระดับขั้นของข้าเพียงพอแล้ว ขาดแต่เพียงวิญญาณเท่านั้นเอง” นัยน์ตาของชายหนุ่มรูปงามท่าทางชั่วร้ายฉายแววโกรธเกรี้ยว แม้จะโกรธเกรี้ยว แต่เขาก็ไร้หนทาง คนวิถีจิตฟ้าผู้นั้นแข็งแกร่งเกินไปแล้ว! ต่อให้เป็นบรรพบุรุษของตระกูล แม้จะแข็งแกร่งกว่าคนวิถีจิตฟ้า แต่กลับยากที่จะโจมตีสังหารได้

อาจารย์ของเขาออกคำสั่งอย่างเคร่งครัดมานานแล้วว่า ให้เขาอดทนเอาไว้ก่อนชั่วคราว

แต่ความปรารถนาที่จะทำให้พลังยกระดับขึ้นไปนั้น ก็ทำให้เขายังคงลอบเก็บสะสมวิญญาณด้วยความระมัดระวัง

“เหิมเกริมถึงเพียงนี้ จะต้องอยู่ได้ไม่ยืดแน่ ในภายหน้าเขาต้องไม่มีจุดจบที่ดีแน่นอน” ชายหนุ่มรูปงามท่าทางชั่วร้ายเกลียดชังคนวิถีจิตฟ้าผู้นั้นมากเช่นเดียวกับมารร้ายทั่วไป เพียงแต่พวกเขาล้วนไม่กล้าเป็นปฏิปักษ์ด้วยก็เท่านั้นเอง

“ฟึ่บ”

รอยแยกสีดำกะพริบวาบคราหนึ่ง

บุรุษอาภรณ์ขาวผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้นภายในโถงตำหนักใต้ดินแห่งนี้

ชายหนุ่มรูปงามท่าทางชั่วร้ายมองดูบุรุษอาภรณ์ขาวปรากฏกายขึ้นมา ราวกับน้ำแข็งถังหนึ่งรดลงบนศีรษะ เขามองดูอย่างตกตะลึง ใจก็สั่นไหว แข้งขาก็อ่อนยวบ สีหน้าก็ซีดขาว

“จิต จิต จิตฟ้า…” ชายหนุ่มรูปงามท่าทางชั่วร้ายตื่นตะลึงเหลือแสน

คนวิถีจิตฟ้า

เพียงคนเดียวก็มีอานุภาพกดดันขุมอำนาจมารร้ายทั้งหมดในดินแดนจิตโลกาแล้ว!

เขาเอาชนะมารร้ายขั้นสุดยอดผู้ไร้เทียมทานอย่าง ‘ประมุขเกาะจันปา’ ได้

‘จวินอ๋องดำ’ แห่งรัฐโบราณสหโลกาก็น่าสงสัยว่าจะสิ้นใจด้วยน้ำมือของเขา

แม้ชายหนุ่มรูปงามท่าทางชั่วร้ายผู้นี้จะเคืองแค้นและเต็มไปด้วยความอาฆาต แต่เมื่อมองเห็น ‘คนวิถีจิตฟ้า’ ความอาฆาตก็มลายหายไปจนสิ้น เหลือทิ้งไว้เพียงความหวาดหวั่นเท่านั้น! น่ากลัวเกินไปแล้ว! ผู้ทรงอิทธิพลที่ไร้เทียมทานเช่นนี้ ยอดฝีมือขั้นอลวนชั้นที่เก้าอย่างเขาคนหนึ่งไหนเลยจะรับมือได้

“คิดไม่ถึงว่าจะปล่อยให้เจ้าทำร้ายสิ่งมีชีวิตมากมายถึงเพียงนี้ได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูขวดหยกสีดำนั้นแวบหนึ่ง วิญญาณภายในขวดมีนับพันล้านดวง เกรงว่าที่ถูกเขาทำร้ายคงจะมีมากมายตั้งไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ เพียงแต่วิธีการเร้นลับเกินไป แม้แต่เครือข่ายข่าวสารองสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ก็เพิ่งจะตรวจสอบพบ ทั้งยังเป็นเพราะนางผู้เป็นที่รักของศิษย์ขั้นรวมเป็นหนึ่งของสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์คนหนึ่งถูกสังหาร เขาจึงตามหาศัตรูคู่แค้นมาตลอด จึงได้พบความจริงเข้า!

“ข้าเป็นคนสกุลฉื้อ เจ้าจะสังหารข้ามิได้” ชายหนุ่มรูปงามท่าทางชั่วร้ายตะโกนก้อง

“ตายเสียเถอะ”

นัยน์ตาของตงป๋อเสวี่ยอิงสาดประกายเย็นวาบ

ชายหนุ่มรูปงามท่าทางชั่วร้ายเบิกตากว้าง นัยน์ตาแฝงแววตื่นตระหนกเอาไว้ ทั้งสำนึกเสียใจและไม่ยอมจำนน เขาไม่อยากตาย ไม่อยากตายจริงๆ! เขายังอยากสำเร็จเป็นเทพจักรวาลอยู่นี่นา ในฐานะลูกหลานคนหนึ่งของสกุลฉื้อ เขาสร้างหายนะทั่วทิศตามอำเภอใจ วันคืนที่ทำตามใจตนเองอย่างสุขอุรานั้น เขายังอิ่มเอมกับมันไม่พอเลย

ปัง

ร่างกายของเขาแหลกสลายกลายเป็นผุยผงไป

“เฮ้อ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปทางขวดหยกสีดำนั้น แล้วถอนหายใจเบาๆ คราหนึ่ง เขาโบกมือคราหนึ่งแล้วเก็บขวดหยกลงไป ที่นี่อยู่ในขอบเขตอำนาจของสกุลฉื้อ เขาจะปลดปล่อยคนที่น่าสงสารเหล่านี้ออกมา ก็ให้พ้นจากรัฐโบราณสหโลกาไปก่อนเถิด

เพียงหนึ่งชั่วลมหายใจให้หลัง

“คนวิถีจิตฟ้า!” เสียงตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยวสะท้อนไปทั่วท้องฟ้าทั้งตัวเมือง สกุลฉื้อเป็นตระกูลที่สร้างขึ้นโดยสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรู ซึ่งแตกต่างจากผู้แกร่งกล้ารัฐโบราณคิมหันตวายุซึ่งเป็นชนพื้นเมืองดั้งเดิมทั่วไป ห้าบรรพชนแห่งรัฐโบราณสหโลกาล้วนแต่เป็นผู้มาจากภายนอกที่อาศัยจิตโลกากลับชาติมาจุติ ตระกูลใหญ่ที่วิวัฒน์ขึ้นมาที่นี่อย่างแท้จริงมีเพียงสองตระกูลเท่านั้น

ตระกูลสกุลฉื้อ เป็นถึงหนึ่งในสองตระกูลใหญ่แห่งรัฐโบราณสหโลกา

ขุมอำนาจเช่นนี้…

กลับปล่อยให้คนวิถีจิตฟ้าบุกสังหารเข้ามาภายในรัฐโบราณสหโลกาและสังหารลูกหลานคนสำคัญของพวกเขาได้อย่างนั้นหรือ นี่มิใช่การท้าทายคนทั้งสกุลฉื้อหรือไร

“ลูกหลานสกุลฉื้อเข่นฆ่าสิ่งมีชีวิตไปนับล้านล้านชีวิต ในเมื่อเป็นมาร เช่นนั้นข้าก็จะสังหารเช่นกัน!” เสียงหนึ่งสะท้อนก้องไปทั่วทั้งฟากฟ้าเหนือตัวเมือง จากนั้นคนวิถีจิตฟ้าก็จากไป

……

เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์

คนวิถีจิตฟ้าโหดเหี้ยมมากอย่างแท้จริง

ไม่ว่าผู้ใด ไม่ว่าจะมีเบื้องหลังใหญ่โตเพียงไหน หากกล้าสร้างหายนะตามอำเภอใจก็ต้องถูกสังหารหมดโดยไม่ละเว้น!

เขาสังหารเสียจนทำเอาคนสำคัญของขุมอำนาจใหญ่ฝ่ายต่างๆ สั่นสะท้านขึ้นมาบ้างแล้ว ที่ผ่านมาพวกเขาจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต ถึงขั้นทำร้ายสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนเพียงเพื่อ ‘เอาสนุก’ เท่านั้น! หรือถึงขั้นทำการทดลองกระบวนท่าหรือทำการประลองบางอย่าง ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอ จำนวนนับไม่ถ้วน สำหรับพวกเขาแล้ว พวกเขาไม่สนใจเลย เหมือนกับเหยียบมดปลวกตายไปอย่างไรอย่างนั้น

บัดนี้พวกเขาล้วนแต่ได้รับคำสั่งอันเข้มงวด! บวกกับที่คนวิถีจิตฟ้าบุกสังหารออกมาจนชื่อเสียงกระฉ่อน คนของตระกูลใหญ่แห่งหกรัฐโบราณจึงพากันเก็บเนื้อเก็บตัวขึ้นเป็นอันมาก

*******

ณ นครหลวงรัฐเมฆทักษิณา

“ท่านอาจารย์ขอรับ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงมาพบประมุขรัฐเมฆทักษิณา ประมุขรัฐเมฆทักษิณาส่งกำไลข้อมือสีทองวงหนึ่งมาให้พลางพูดยิ้มๆ ว่า “เสวี่ยอิง ของล้ำค่าที่เจ้าต้องการเหล่านี้ แม้แต่ละอันจะมิได้นับว่าได้มายากนัก แต่ถึงอย่างไรจำนวนก็มากเกินไป ข้าใช้เวลาไปแปดสิบกว่าล้านปีจึงสามารถเก็บรวบรวมได้ครบ”

“อีกไม่นานแล้ว เร็วกว่าที่ข้าคิดเอาไว้เสียอีก” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ เขาเข้าใจดีมากว่า ของล้ำค่าเหล่านี้เรียกว่าหาได้ค่อนข้างง่ายเมื่อเทียบกับ ‘เม็ดทรายอลวน’ แต่ถึงอย่างไรก็ซับซ้อนอยู่ดี เครือข่ายสายสัมพันธ์ของตนนั้นสู้ท่านอาจารย์มิได้ นอกจากนี้ก่อนจะขายสมบัติลับระดับยอดสุดออกไป นอกจากจะใช้มหาคุณูปการแลกเปลี่ยนสมบัติล้ำค่าจำนวนมากในรัฐโบราณคิมหันตวายุมา มิเช่นนั้นแล้วเขาก็คงไม่มีผลึกแก้วจักรวาลมากพอจะซื้อไหว

เม็ดทรายอลวนนั้นได้มาจากการเจรจาตกลงกับรัฐโบราณคิมหันตวายุ

ส่วนวัสดุอื่นๆ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไม่ค่อยอยากจะเก็บรวบรวมจากที่นั่นสักเท่าใดนัก! แม้จะกล่าวว่าเมื่อไม่มีเคล็ดวิชาหลอมแปร เขาเชื่อว่าพวกจักรพรรดิเซี่ยเพียงแค่ดูจากรายการวัสดุก็มองอะไรไม่ออก แต่ก็ยังคงไม่อยากให้เกิดอุปสรรคอะไรขึ้นมา

“ในที่สุดก็ครบเสียที” ตงป๋อเสวี่ยอิงหยิบกำไลสีเงินขึ้นมา แล้สัมผัสรับรู้วัสดุภายในทั้งหมด จากนั้นก็ตรวจดูรอบหนึ่งแล้วเผยรอยยิ้มออกมา

ครบหมดแล้ว

ในที่สุดก็สามารถเริ่มหลอมแปรอาวุธคละถิ่นได้แล้ว!

“เสวี่ยอิง” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาเอ่ยขึ้น “หลายปีมานี้ เจ้าอาศัยตัวตนของคนวิถีจิตฟ้าสังหารมารร้ายเหล่านั้นก็นับว่าระมัดระวังดีอยู่ แต่เมื่อทำเช่นนี้ ท้ายที่สุดเจ้าก็สร้างความแค้นมากขึ้นทุกทีๆ! แม้แต่ลูกหลานตระกูลใหญ่ของรัฐโบราณเจ้าก็ไม่ละเว้น คู่แค้นมากขึ้นทุกทีๆ ตัวตนของเจ้ายังไม่ถูกเปิดโปงก็ยังดี หากเปิดเผยออกมาเมื่อไหร่ เจ้าก็คงมีศัตรูเกลื่อนโลกไปหมดแล้ว”

“ไหนเลยจะนับได้ว่ามีศัตรูเกลื่อนโลกเล่าขอรับ พูดได้เพียงว่ามารร้ายเป็นศัตรูของข้าหมดก็เท่านั้นเอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพลางยิ้มเจื่อน “ต่อให้มีศัตรูมากกว่านี้แล้วอย่างไรเล่า แม้จะมีเป็นสิบล้านคน ข้าก็จะมุ่งหน้าต่อไป! นอกจากนี้มารร้ายก็รู้จักกลัวเช่นกัน เมื่อฆ่าจนพวกมันกลัวกันหมดแล้ว พวกมันก็ไม่กล้าทำชั่วแล้วล่ะขอรับ”

ประมุขรัฐเมฆทักษิณาพยักหน้าเบาๆ

ตัวเขาเองออกจะหวั่นเกรงอันตรายที่ศิษย์จะต้องเผชิญอยู่บ้าง แต่เห็นได้ชัดว่าศิษย์มีใจแน่วแน่เป็นอันมาก

และบัดนี้บรรดามารร้ายในดินแดนจิตโลกาก็ถูก ‘คนวิถีจิตฟ้า’ เพียงคนเดียวคุกคามเข้าแล้วจริงๆ!

“เจ้าระวังเอาไว้เถิด ตลอดคืนวันอันยาวนานมาจนถึงบัดนี้ ดินแดนจิตโลกาไม่มีผู้ใดสามารถทำให้พวกเขาคร้ามเกรงไปตลอดกาลได้อย่างแท้จริงเลย” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาเตือน

“ท่านอาจารย์ ท่านไม่ต้องกังวลใจไปหรอกขอรับ แม้ก่อนหน้านี้จะไม่มีผู้ทำได้มาก่อนก็ตาม” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม “แต่เส้นทางก็มีคนเป็นผู้เดิน! ถึงอย่างไรก็ต้องมีคนแรกที่เดินบนทางเส้นนี้”

สำหรับตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว การทำให้วิถีอากาศบรรลุถึงขั้นสุดยอดจึงจะเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ที่ตั้งสมญาว่า ‘คนวิถีจิตฟ้า’ ขึ้นมา เขาก็แค่ไม่อยากจะทำให้รัฐเมฆทักษิณาและตระกูลอิงซานพาลเดือดร้อนไปด้วยเท่านั้นเอง! บัดนี้พลังของเขามีจำกัด แรงคุกคามก็แค่กล่าวได้ว่าทำให้ขุมอำนาจฝ่ายมารเหล่านั้นหวั่นเกรงเท่านั้น! หากตนสามารถบรรลุถึงขั้นสุดยอดได้ ก็ไม่ใช่แค่สามารถช่วยพวกคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของตนที่บ้านเกิดได้ นอกจากนี้หากมีอาวุธเทพอลวนอยู่ในมือ เกรงว่าก็คงมีคุณสมบัติพอจะสามารถช่วงชิงสมญานาม ‘ผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งของดินแดนจิตโลกา’ ได้แล้ว

หากถึงระดับนั้น ก็คงจะเป็นภัยคุกคามบรรดามารร้ายมากยิ่งขึ้น

“เรื่องนี้ต้องอาศัยพลังจึงจะเอ่ยคำพูดได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจในข้อนี้ดี

ยิ่งพลังแข็งแกร่งขึ้น จึงจะสามารถรับผิดชอบภาระที่หนักหน่วงขึ้นได้

“ท่าไม้ตายที่สี่…”

ในศาลาข้างทะเลสาบภายในจวนจ้าว

หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวนั่งขัดสมาธิ สุราไหนหนึ่งร้อนกรุ่น เขาดื่มสุราไปพลาง ครุ่นคิดไปพลาง ร่างแยกจำนวนมากของเขาก็กำลังรับรู้และสำแดงอย่างสุดกำลัง

“ดอกบัวเพลิงห้วงอากาศเป็นสมบัติลับวิถีอากาศจำพวกโลกา สิ่งที่มันเชี่ยวชาญที่สุดก็คือปลดปล่อยบริเวณโลกาออกมา หรือไม่ก็เสริมพลังโลกาให้กับร่างกาย” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ สมบัติลับระดับยอดสุด ‘ดอกบัวเพลิงห้วงอากาศ’ หลอมขึ้นโดยอาศัยสมบัติล้ำค่าอย่าง ‘แหล่งพลังเขตเพลิง’ เป็นพื้นฐาน แหล่งพลังเขตเพลิงคล้ายคลึงกับแหล่งกำเนิดห้วงสมุทรที่ตนเคยได้มามาก เพราะเป็นแหล่งให้กำเนิดเช่นเดียวกัน

จักรพรรดิเซี่ยนำความเร้นลับต่างๆ ของวิถีอากาศขั้นสุดยอดหลอมรวมเข้าไปในนั้นแล้วหลอมแปรเป็นสมบัติลับระดับยอดสุด

ปลดปล่อยพลังแห่งโลกาออกไปภายนอก เสริมความแข็งแกร่งให้ร่างแยกแต่ละร่าง พลังรบของร่างแยกแต่ละร่างก็จะแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ซึ่งก็เป็นวิธีที่ตงป๋อเสวี่ยอิงซ่อน ‘เจ็ดกระบวนคละถิ่น’ เอาไว้

“ปลดปล่อยบริเวณโลกาออกไป ภายในบริเวณนี้ ข้าเป็นเจ้าของ”

“ที่เหมาะสมกับสมบัติลับระดับยอดสุดมากที่สุดก็คือกระบวนท่าจำพวกบริเวณ” นัยน์ตาทั้งสองของตงป๋อเสวี่ยอิงมีอักขระลับจำนวนนับไม่ถ้วนหมุนเวียนเปลี่ยนผันไป ท่าไม้ตายที่สี่ที่เขาต้องการคิดค้นขึ้นมาก็คือท่าไม้ตายจำพวกบริเวณนั่นเอง

สามท่าไม้ตายก่อนหน้านี้

เป็นจำพวกการโจมตีทั้งหมด!

ในขณะที่ทำลายมารร้ายเหล่านั้น เนื่องจากเพียงกระบวนท่าเดียวก็ปกคลุมแทบทั้งตัวเมือง ลงมือหลายครั้ง แววอาฆาตที่โหมซัดออกไป…กลับกระตุ้นแสงทิพย์ภายในห้วงสมองของตงป๋อเสวี่ยอิง ท่าไม้ตายที่สี่มีแบบจำลองคร่าวๆ ก่อนแล้ว

“บริเวณทั้งหมดทั่วทุกสารทิศก็คือมิติ”

“แม้แต่โลกชั้นสูงกว่านอกโลกกำเนิดก็เป็นประเภทหนึ่งของมิติเช่นเดียวกัน”

“เดิมทีมิติก็บรรจุสิ่งมีชีวิตทั้งปวงและโอบอุ้มทุกสิ่งเอาไว้อยู่แล้ว ‘บริเวณ’ ก็คือลักษณะพิเศษตามธรรมชาติของมัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจในข้อนี้ดี

เดิมทีเขาก็รู้จักกระบวนท่าจำพวกบริเวณบางอย่างอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นบริเวณเมฆาแดงหรือว่ากระบวนท่าจำพวกบริเวณต่างๆ ที่คิดค้นขึ้นมาก็ล้วนไม่มีคุณสมบัติพอจะจัดอยู่ในท่าไม้ตายยุทธวิธีหิมะเหินของเขาได้! กระบวนท่าที่สามารถจัดอยู่ในท่าไม้ตายได้ ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าสมบูรณ์แบบพอ และสามารถทำให้ความเร้นลับต่างๆ มากมายหลอมรวมเข้าไปในเจ็ดกระบวนคละถิ่นได้สำเร็จอย่างแท้จริง อานุภาพก็ยิ่งใหญ่พอ ไม่แพ้กระบวนท่าเจ็ดกระบวนคละถิ่นเลย

“บริเวณ…”

ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งอยู่ใต้ศาลาพลางถือจอกสุราซึ่งมีสุราอยู่เต็มเอาไว้ จู่ๆ เขาก็พลันหลับตาลง

เขานึกถึงโลกในระดับชั้นที่สูงยิ่งกว่า

เขาเคยสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกามุ่งหน้าไปยังโลกกำเนิดอื่นๆ! ลำพังแค่ทะลุผ่านทางเชื่อมที่เหมือนกับ ‘ด้าย’ สายหนึ่งไปยังมิติชั้นสูงยิ่งกว่าที่เต็มไปด้วยพลังคละถิ่นอันไร้ที่สิ้นสุดอย่างระมัดระวัง แม้แต่กายหยาบก็ยังมิอาจเข้าไปได้ มีเพียงวิญญาณที่มุ่งหน้าอย่างรวดเร็วไปตามทางเชื่อมเล็กจิ๋ว

ความรู้สึกเคว้งคว้างเช่นนั้น

ความรู้สึกกดดันอันใหญ่หลวงที่มาจากโลกระดับขั้นสูงกว่า เขายังจำได้แม่นยำราวกับเพิ่งเกิดขึ้นหมาดๆ!

สิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงอยากจะทำก็คือใช้วิถีอากาศผสานความเร้นลับในเจ็ดกระบวนคละถิ่นแล้วใช้พลังคละถิ่นคิดค้นสิ่งที่ให้ผลเหมือนกับ ‘บริเวณ’ ของโลกระดับขั้นสูงกว่าขึ้นมาใหม่ ภายใต้บริเวณเช่นนั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนี้ก็ทำได้เพียงละทิ้งกายหยาบแล้ววิญญาณอาศัยศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกาทะลุผ่านไปเท่านั้น น่าหวาดกลัวเพียงใดกัน

ขอเพียงกระบวนท่าที่คิดค้นขึ้นมาสามารถสำแดงผลออกมาได้บางส่วนก็เพียงพอแล้ว

“วิ้ง…”

นอกศาลา อากาศกำลังสั่นสะท้านน้อยๆ

อณูหมอกดำทรงกลมแต่ละอณูของแก่นห้วงอากาศภายในสวนมหึมาแห่งนี้กำลังสั่นสะเทือนตามระลอกความคิดของตงป๋อเสวี่ยอิง ฝูงปลาที่ก้นทะเลสาบเหล่านั้นถูกพละกำลังอันไร้รูปร่างตัดขาดและปกป้องเอาไว้ บริเวณอื่นๆ กลับมิได้รับการปกป้องใดๆ ทันใดนั้น…ฟึ่บๆๆ…น้ำทะเลสาบ กระเบื้องบนศาลา ต้นไม้ใบหญ้าริมตลิ่ง แปลงดอกไม้ ทางเดินหิน ดินโคลน…

ทั้งหมดดูเหมือนจะยังคงสภาพเดิม

แต่อันที่จริงแล้วอณูหมอกดำทรงกลมสั่นสะเทือน ทำให้โครงสร้างภายในของพวกมันสั่นสะเทือนไปด้วยจนแตกออกเป็นเสี่ยงๆ จนสิ้น เพียงแต่คงรูปร่างภายในเอาไว้ชั่วคราว ยังมิได้พังทลายลงมาเท่านั้นเอง

“ตู้ม!”

สวนใหญ่มหึมานี้ พลันสลายไปทั้งหมดในทันใด แล้วตกเข้าสู่ความมืดมิดอย่างสมบูรณ์

ตงป๋อเสวี่ยอิงยังคงถือจอกสุรานั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น โต๊ะยาว ไหสุราตรงหน้าเขารวมไปถึงเบาะรองนั่งล้วนไม่ได้รับความเสียหายเลยแม้แต่น้อย ในความมืดมิดไกลออกไปยังมีเหล่าปลาที่ถูกโอบล้อมเอาไว้ ส่วนบริเวณอื่นๆ ล้วนถูกทำลายและเต็มไปด้วยความมืดมน

แม้ภายในสวนมหึมาจะเป็นเช่นนี้ แต่โลกภายนอกกลับมิได้รับรู้เลยแม้แต่น้อย! ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังบำเพ็ญเพียร จึงห้ามมิให้คนภายนอกเข้ามาอย่างเด็ดขาด

“ฟิ้วๆๆ…” ฝูงปลาเหล่านั้นถูกโอบล้อมและลอยมาข้างกายตงป๋อเสวี่ยอิง พวกมันแต่ละตัวเบิกตากว้าง มองดูรอบด้าน มองดูตงป๋อเสวี่ยอิง

“วิ้ง”

มิติรอบด้านมีรอยแยกจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น และมีพลังคละถิ่นโหมซัดเข้าไป

ภายในเมืองหิมะเหิน เนื่องจากมีค่ายกลเสริมความแข็งแกร่งเอาไว้อย่างแน่นหนา พลังของตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถเทียบเท่ากับสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูได้ เมื่อมาทดลองกระบวนท่าที่นี่จึงผ่อนคลายกว่า ดังเช่นตอนนี้ เขาสามารถปรับเปลี่ยนพลังคละถิ่นจำนวนมากได้อย่างง่ายดาย

“ไม่มีรูใดที่เล็ดรอดไปได้เลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงลืมตาขึ้น มองดูพลังคละถิ่นจำนวนนับไม่ถ้วนที่ซัดสาดเข้ามาทางรอยแยกอันดำมืด พลังคละถิ่นผสานกับอากาศอย่างเป็นธรรมชาติ แล้วเริ่มกดดันทุกทิศทุกทาง

กดดัน กดดัน!

กระบวนท่ากดดันนี้ เทพจักรวาลทั่วไปล้วนต้องถูกกดดันจนตายในพริบตาเดียว!

แต่เห็นได้ชัดว่านี่ยังไม่เพียงพอ สิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงต้องการก็คือท่าไม้ตาย อย่างน้อยก็ต้องให้สิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูรู้สึกว่า ‘ยุ่งยาก’ อยู่บ้าง หากล้วนแต่มิอาจส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูได้ กระบวนท่าเช่นนี้ก็ไร้ความหมาย

“บัดนี้แค่มีแบบจำลองได้อย่างพอถูไถเท่านั้น ยังต้องปรับปรุงให้สมบูรณ์ต่อไป”

พลังคละถิ่นภายในสวนมหึมาแห่งนี้หมุนเวียนและผสานกับอากาศในแบบต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ตามความคิดต่างๆ ที่ผุดขึ้นมาในห้วงสมอง

เขาทดลองอยู่ราวเดือนกว่าๆ

“ฟิ้ว”

ภายในสวนกลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง พลังคละถิ่นถอยออกไป อากาศกลับคืนสู่สภาพปกติ รัศมีจากโลกภายนอกส่องสะท้อนมาถึงที่นี่

ทางเดินหิน ดินโคลน ต้นไม้ใบหญ้า น้ำในทะเลสาบ รวมไปถึงศาลา กลับถือกำเนิดขึ้นโดยตรงจากความว่างเปล่าแล้วร่อนลงไปยังตำแหน่งเดิม แม้แต่ฝูงปลาเหล่านั้นที่อยู่ข้างกายตงป๋อเสวี่ยอิงตลอดเวลาก็ยังถูกโยนลงไปในทะเลสาบ ‘บุ๋ง’ ปลากระโดดผลุงขึ้นมาเหนือผิวทะเลสาบก่อนจะทอดสายตามองรอบด้าน แล้วมุดกลับลงไปในน้ำแล้วดำผุดดำว่ายอย่างสุขอุรา

ตงป๋อเสวี่ยอิงรินสุราจอกหนึ่งให้ตนเอง ภายในสวนแห่งนี้ล้วนแต่เป็นวัตถุธรรมดาสามัญทั้งสิ้น สำหรับเทพจักรวาลวิถีโลกเทียมนั้น สามารถสร้างวัตถุขึ้นมาจากความว่างเปล่าได้อย่างง่ายดาย

“ลองคิดดูอีกหน่อย”

การทดลองราวครึ่งเดือนก่อนหน้านี้ พบปัญหาต่างๆ มากมาย ยังต้องค้นคว้าโดยละเอียดและบำเพ็ญเพื่อปรับปรุงให้สมบูรณ์ต่อไป

******

ขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังค้นคว้าเพื่อทำให้ท่าไม้ตายที่สี่สมบูรณ์ บรรดาขุมอำนาจมารร้ายภายในดินแดนจิตโลกาเหล่านั้นก็รู้สึกขวัญหนีดีฝ่ออยู่บ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาเทพจักรวาลระดับยอดสุดทั้งหลายต่างก็พากันรักตัวกลัวตายเป็นอย่างมาก! ในเมื่อ ‘คนวิถีจิตฟ้า’ ลั่นวาจาออกมาอย่างเปิดเผย ประมุขเกาะจันปาอ่อนแอกว่าพวกเขาอยู่ขุมหนึ่ง คนเถื่อนผู้ไร้เทียมทาน ผู้ใดจะกล้ารังแกกันเล่า

“หรือว่าเขาจะใช้อานุภาพข่มมารร้ายทั้งดินแดนจิตโลกาด้วยตัวคนเดียวจริงๆ”

“บ้าคลั่งถึงเพียงนี้จริงๆ หรือ”

ต่อให้เป็นบรรดามารร้ายเหล่านั้นก็ยังไม่อยากจะเชื่ออยู่บ้าง

บรรดามารร้ายระดับเทพจักรวาลข่าวสารฉับไว จึงล้วนแต่รู้ว่าคนวิถีจิตฟ้ามีตัวตนอยู่ และรู้ถึง ‘แรงคุกคาม’ ของคนวิถีจิตฟ้า แต่ดินแดนจิตโลกาใหญ่โตเกินไปแล้ว! บรรดามารร้ายระดับขั้นอลวนทั้งหลาย พวกที่พอจะมีคนหนุนหลังใหญ่โตก็ยังดีหน่อย หากไม่มีคนหนุนหลัง ก็ยังมีหลายคนที่ไม่รู้เรื่อของ ‘คนวิถีจิตฟ้า’ เลย

……

เวลาล่วงเลยไป

เป็นเวลาสามล้านปีหลังจากคนวิถีจิตฟ้าประมือกับประมุขเกาะจันปาแล้ว

“ฮ่าฮ่าฮ่า ยิ่งบ้าคลั่ง ยิ่งเกลียดชังอย่างเข้มข้นเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น ฮ่าฮ่าฮ่า ท่านบรรพชนต้องการให้พวกเจ้าเกลียดข้า ฮ่าฮ่าฮ่า…” ชายชราอาภรณ์แดงคนหนึ่งอยู่ภายในโลกสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ ภายในมีวิญญาณ ที่เปี่ยมไปด้วยความขุ่นแค้นจำนวนนับไม่ถ้วน วิญญาณนับล้านล้านดวงกำลังร้องเสียงโหยหวนด้วยความเคียดแค้นชิงชัง มีผู้ที่แข็งแกร่งบางคนสามารถหลุดจากพันธนาการได้ และโจมตีไปทางชายชราอาภรณ์สีแดงครั้งแล้วครั้งเล่า

แต่ชายชราอาภรณ์สีแดงเป็นถึงผู้แกร่งกล้าขั้นอลวน วิญญาณขั้นรวมเป็นหนึ่งที่แข็งแกร่งที่สุดในพวกนี้ไหนเลยจะสามารถคุกคามเขาได้

“เฮอะ”

รอยแยกสีดำกะพริบวาบคราหนึ่ง บุรุษอาภรณ์ขาวคนหนึ่งปรากฏกายขึ้นภายในโลกสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์แห่งนี้

ในฐานะที่ชายชราอาภรณ์สีแดงเป็นเจ้าของสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ ก็อดตกใจจนสะดุ้งโหยงมิได้ สมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ของข้า ผู้อื่นก็สามารถเข้ามาได้อย่างนั้นหรือ

สายตาของบุรุษอาภรณ์ขาวผู้นี้ที่มองมายังเขา ทำเอาชายชราอาภรณ์สีแดงรู้สึกว่าวิญญาณแข็งค้างไปแล้ว

“ตู้ม”

จากนั้นร่างของชายชราอาภรณ์สีแดงก็กลายเป็นผุยผงไป

“สมควรตายจริงๆ” สายตาของตงป๋อเสวี่ยอิงกวาดมองวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนรอบด้าน เดิมทีวิญญาณเหล่านั้นมีความเคียดแค้นสูงเทียมฟ้า หลังจากชายชราอาภรณ์สีแดงสิ้นใจไปแล้ว ความอาฆาตแค้นของวิญญาณเหล่านั้นก็พากันทะลักออกไป

“ข้าจะส่งพวกเจ้ากลับไปเอง”

ตงป๋อเสวี่ยอิงกำหนดจิตคราหนึ่ง

วิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนถูกเคลื่อนย้ายออกไปจนหมด! ภายในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์เหล่านี้มีค่ายกลจำกัดเอาไว้ ส่งผลให้พวกเขาทำได้เพียงคงสภาพร่างวิญญาณเอาไว้เท่านั้น

ส่วนผู้ที่อ่อนแอที่สุดในหมู่พวกเขาก็คือเทพแท้ วิญญาณดูดซับพลังฟ้าดินแล้วสามารถทำให้กายกยาบฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว

……

ประมาณเก้าล้านกว่าปีหลังจากคนวิถีจิตฟ้าประมือกับประมุขเกาะจันปา

“เจียอวี้ สำนึกเสียใจแล้วล่ะสิ วันนี้ ทั้งตระกูล ทั้งเมืองของเจ้า สิ่งมีชีวิตทั้งหมดจะต้องตายเรียบ!” มารเฒ่าซึ่งแผ่ไอชั่วร้ายสูงเทียมฟ้ายืนอยู่กลางอากาศด้วยท่าทางเหิมเกริมหาใดเปรียบ

สตรีอาภรณ์ม่วงคนหนึ่งมองดูฉากนี้อย่างสิ้นหวัง

การช่วยเหลือคนในตอนนั้นได้ล่วงเกินมารเฒ่าเข้า บัดนี้พลังของมารเฒ่าก้าวหน้าเป็นอย่างมาก และมาแก้แค้นแล้วอย่างนั้นหรือ

“เอ๊ะ”

สตรีอาภรณ์ม่วง ‘เจ้าเมืองเจียอวี้’ มองดูมือขาวผ่องที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศด้วยความตกตะลึง เมื่อกดดันลงไปคราหนึ่ง มารร้ายซึ่งหนีไม่ทันในตอนแรกก็กลายเป็นเถ้าธุลีไป

……

เมื่อเวลาล่วงเลยไป ก็พิสูจน์ชัดแล้วว่าสิ่งที่คนวิถีจิตฟ้าพูดนั้นมิใช่คำลวงเลย

ผู้ที่บังอาจสร้างหายนะตามอำเภอใจ ขอเพียงถูกพบเข้า ก็ต้องถูกฆ่าไม่เว้น

เรื่องนี้ก็ทำให้มารร้ายระดับเทพจักรวาลอย่างแท้จริงหวั่นกลัวอยู่ในใจ ภายในเวลาสั้นๆ ก็มิกล้าทำอะไรมั่วซั่ว

“ต้องอดทนเอาไว้”

“คนวิถีจิตฟ้าผู้นี้เหิมเกริมถึงเพียงนี้ จะต้องมีจุดจบไม่สวยอย่างแน่นอน! รอให้ตัวตนของเขาเปิดเผยออกมาเสียก่อนเถอะ เขาก็จะรู้จักคำว่าสำนึกเสียใจแล้ว”

“ข้าและคนอื่นๆ อดทนกันมานานแล้ว อดทนไม่สู้สุดชีวิตกับเขา ดินแดนจิตโลกาแห่งนี้ ไม่มีทางมีผู้ใดกดดันข้าและคนอื่นๆ ไปตลอดกาลได้หรอก” บรรดามารร้ายเหล่านี้ก็มีความอดทนทีเดียว พวกเขาเชื่อว่า คนวิถีจิตฟ้าผู้นี้เหิมเกริมถึงเพียงนี้ ไม่มีทางยั่งยืนอย่างแน่นอน

……

สำหรับตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว เพียงแค่ได้ข่าวระหว่างเส้นทางการบำเพ็ญก็จะออกไป ‘ลงมือ’ ครั้งหนึ่ง หลังลงมือแล้วก็จะกลับมาตั้งใจบำเพ็ญต่อไป

หลังประมือกับประมุขเกาะจันปาได้ห้าสิบกว่าล้านปี

“ฮ่าฮ่าฮ่า ฮ่าฮ่าฮ่า…” ภายในศาลาข้างทะเลสาบภายในจวนจ้าว ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับหัวเราะเสียงดัง เสียงหัวเราะนั้นดังกึกก้อง เบิกบานสำราญใจนัก

ผู้แกร่งกล้าในประวัติศาสตร์ที่ต่อกรกับเหล่ามารก็มีอยู่!

แต่ผู้ที่กล้าเป็นอริกับขุมอำนาจมารทั้งหมดที่มีอยู่ในดินแดนจิตโลกา อีกทั้งยังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้เป็นระยะเวลายาวนานนั้นยังไม่มีเลยจริงๆ! ถึงอย่างไรยิ่งพลังยุทธ์แข็งแกร่ง สถานะยิ่งสูงส่ง ก็ยิ่งมีเรื่องให้กังวลมากขึ้นเรื่อยๆ บุคคลกลุ่มที่อยู่ในระดับยอดสุดของดินแดนจิตโลกากลุ่มนั้น…บุคคลผู้ไร้เทียมทาน เหล่าขั้นสุดยอด และเหล่ามหาเคารพที่เมื่ออยู่ต่อหน้าบุคคลผู้ไร้เทียมทานแล้วสามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้จำนวนน้อยนิดเหล่านั้น

ในหมู่พวกเขาก็มีผู้ที่อยู่อย่างสันโดษ มองดูความเป็นความตายของสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนอย่างเงียบๆ อยู่บ้าง

เช่นในบรรดาบุคคลผู้ไร้เทียมทาน แม้กระทั่งผู้ที่ใส่ใจผู้อ่อนแอมากที่สุดอย่าง ‘เจ้าเมืองอนันต์’ สิ่งที่ใส่ใจมากที่สุดก็เพียงแค่ความเป็นระบบระเบียบเท่านั้น! ขอเพียงแค่ความเป็นระเบียบไม่ได้รับผลกระทบ เขาก็เพียงแค่พินิจดูทุกสิ่งทุกอย่างอย่างเย็นชาเท่านั้น บำเพ็ญมาจนถึงระดับนี้ ก็ยังคงปฏิบัติต่อสิ่งมีชีวิตที่สามัญธรรมดาที่สุดเหมือนเป็นระดับเดียวกันจริงๆ ผู้ที่ปรารถนาจะปกป้องพวกเขาก็มีน้อยจนสามารถนับนิ้วได้

และในบรรดาที่น้อยจนสามารถนับนิ้วได้นี้ต่างก็ยังมีความกังวลของตระกูลและขุมอำนาจอยู่ด้วย

ส่งผลให้ไม่มีผู้แกร่งกล้าระดับสุดยอดกล้าเผชิญหน้าต่อต้านกับขุมอำนาจมารทั้งหมดที่มีอยู่มาโดยตลอด!

วันนี้…ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนขึ้นมาแล้ว!

มิใช่ว่าเขาไม่หวั่นกลัว

เพราะในบรรดาบุคคลผู้ไร้เทียมทาน ก็มีบางคนที่มีจิตมารกล้าแกร่ง เขาก็กลัวว่าจะเปิดเผยตัวตนเช่นกัน!

แต่ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงก็วางแผนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว

พลังยุทธ์ของร่างแยกที่ตนปลอมแปลงเอาไว้ก็คือร่างแยกร่วมกับ ‘ดอกบัวเพลิงห้วงอากาศ’ ที่พกเอาไว้อย่างลับๆ พลังยุทธ์เช่นนี้เพียงพอที่จะทำให้ขุมอำนาจมารมากมายทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาตื่นตระหนกแล้ว

สำหรับการเคลื่อนไหวโดยใช้ตัวตนจริงของ ‘จ้าวหิมะเหิน’ ในภายภาคหน้า ก็สามารถใช้อาวุธคละถิ่นที่จะหลอมสำเร็จในอนาคตได้! อาศัยอาวุธคละถิ่น สามารถสำแดงเคล็ดวิชาที่สูงส่งล้ำลึกขึ้นของเจ็ดกระบวนคละถิ่นได้ แตกต่างกับเคล็ดวิชาที่ตัวตนปลอมสำแดงอย่างสิ้นเชิง!

“นี่ก็เป็นการชั่วคราวเท่านั้น”

“บนดินแดนจิตโลกา ผู้ที่วิถีวิญญาณไปถึงขั้นสุดยอดนั้นไม่มีเลยแม้แต่คนเดียว ถ้าหาก ถ้าหากวิถีเขตลวงโลกเทียมของข้าก็ไปถึงขั้นสุดยอดด้วย บางทีก็อาจจะมีหนทางจัดการกับมารเหล่านี้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดเหตุใดขุมอำนาจมารหลายแห่งจึงได้กำเริบเช่นนี้ ก็มิใช่เพราะว่าฆ่าไม่ตายหรืออย่างไร ถ้าหากตนสามารถสังหารพวกเขาได้ ก็ย่อมสามารถเปลี่ยนแปลงระเบียบของดินแดนจิตโลกาได้อยู่แล้ว

ถ้าหากตนสามารถหนีออกจากกรงขัง ไปถึงอีกระดับขั้นหนึ่งได้ บางทีอาจจะสามารถส่งผลกระทบไปถึงพวกหยวนและเจ้าเมืองหลัวได้

ตงป๋อเสวี่ยอิงเคยสัมผัสกับเจ้าเมืองหลัวมาก่อนแล้ว รู้สึกได้ว่าเจ้าเมืองหลัวก็มีจิตใจเมตตากรุณาต่อผู้อ่อนแอเช่นกัน

“คิดไกลเกินไปแล้ว”

“ก้าวแรกของข้าในตอนนี้ก็คือทำให้วิถีอากาศไปถึงขั้นสุดยอด! จะต้องทำให้ได้ก่อนที่บ้านเกิดจะแหลกสลาย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ

……

ที่ส่วนลึกของทะเลสาบมารทมิฬ

เจ้าสำนักเหยียนโม๋และเจ้าสำนักทั้งสามชมดูเหตุการณ์การต่อสู้ผ่านกระจกยลฟ้า

“เฮอะ”

พวกเขาทั้งสามต่างก็มีสีหน้าไม่น่าดู

“น้องรอง น้องสาม ยอดฝีมือวิถีอากาศผู้ลึกลับผู้นี้ช่างโอหังเสียจริง” เจ้าสำนักเหยียนโม๋มิได้มีความเรียบเฉยดังเช่นปกติอีกต่อไป เขาขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ความแข็งแกร่งของพลังยุทธ์ของเขากลับยังเหนือกว่าพวกข้าเสียอีก! ถ้าหากเขาไม่ต้องการรักษาหน้าตา สังหารหมู่พลพรรคใดๆ ที่พวกเราส่งออกไปจริงๆ แล้วล่ะก็ เกรงว่าพวกเราคงไม่มีหนทางเลยแม้แต่นิดเดียว”

ถึงแม้ว่าทะเลสาบมารทมิฬจะจัดได้ว่าเป็นระดับที่ค่อนข้างสูงในบรรดาขุมอำนาจมารแห่งดินแดนจิตโลกา แต่เจ้าสำนักทั้งสามต่างก็เป็นบุคคลระดับจอมเคารพทั้งสิ้น ไม่มีขั้นสุดยอดเลยแม้แต่คนเดียว

“แม้กระทั่งประมุขเกาะจันปายังต้องทนเลย แล้วพวกเราจะทำอย่างไรได้เล่า ทั้งยังต้องก้มหัวรอดูว่าเมืองอัคคีทิพย์จะตอบสนองอย่างไร” บุรุษอาภรณ์เขียวผู้มีสีหน้าซีดขาวพูด

“อืม”

“ก็คอยดูความเคลื่อนไหวในภายหน้าก็แล้วกัน”

พูดถึงขุมอำนาจมาร เมืองอัคคีทิพย์จึงจะแข็งแกร่งที่สุด

……

“ยอดฝีมือวิถีอากาศผู้นี้ช่างโอหังเกินไปแล้ว”

“นี่ก็เท่ากับเป็นอริกับพวกเรา สมควรตาย ถ้าหากเขากล้าเปิดเผยตัวตน ข้าจะต้องทำให้เขาได้รู้ถึงผลที่ตามมาของการยั่วยุพวกเราอย่างแน่นอน”

******

ถึงแม้ว่ามารที่ยิ่งใหญ่ไร้เทียมทานแต่ละฝ่ายจะเดือดดาลหาใดเปรียบ แต่มาถึงระดับขั้นอย่างพวกเขานี้แล้ว สายตาก็มีความร้ายกาจเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาต่างก็สามารถคาดการณ์ได้ว่าชายชุดขาวผู้ลึกลับผู้นี้มีพลังยุทธ์น่าหวาดหวั่นเพียงใด! บวกกับที่พวกเขาไม่ทราบตัวตนของชายชุดขาวผู้นี้ อยากจะคุกคามชายชุดขาว ก็มีแต่ลงมือกับตัวจริงของชายชุดขาวเท่านั้น ใครจะไปมั่นใจได้เล่า ดังนั้นผลที่เกิดขึ้นก็คือหลังจากที่ตงป๋อเสวี่ยอิงประกาศวาจาอย่างเปิดเผยแล้ว แต่กลับไม่มีพญามารริเริ่มลงมือกับเขาเลยแม้แต่คนเดียว

“ฮ่าฮ่า ฮ่าฮ่าฮ่า…” ประมุขเกาะจันปาที่ยืนประจันหน้าอยู่กับตงป๋อเสวี่ยอิงกลับหัวเราะเสียงดังลั่นขึ้นมา “นับถือ นับถือ ข้านับถือจริงๆ เป็นอริกับขุมอำนาจมารทั้งหมดที่มีอยู่ ข้านับถือเจ้าจริงๆ เลย! ตอนนี้เจ้ามิได้เปิดเผยตัวตน บรรดามารแต่ละฝ่ายก็ทำอะไรเจ้ามิได้เป็นการชั่วคราว แต่เมื่อใดที่เจ้าเปิดเผยตัวตน หึๆๆ เช่นนั้นผลลัพธ์ก็เป็นฝันร้ายสำหรับเจ้าแล้ว!”

“ฝันร้ายหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มเย็น

ต่อให้เปิดเผยแล้วอย่างไรเล่า

เมืองหิมะเหินถูกตนควบคุมจนน้ำสักหยดก็มิอาจเล็ดรอดได้ บุคคลผู้ไร้เทียมทานก็ยังมิกล้าวาดฝันที่จะจัดการกับตนเลย

แต่ขณะนี้ ในห้วงสมองของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ปรากฏชื่อของบุคคลสองคนขึ้นมา…จักรพรรดิเซี่ยและราชันย์อนธการอมตะ!

สองคนนี้มีความพิเศษบางอย่างอยู่

จักรพรรดิเซี่ยมีชื่อเสียงยิ่งใหญ่ ถูกคิดว่าเป็นผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งของดินแดนจิตโลกามาเป็นระยะเวลาอันยาวนาน แต่ละฝ่ายต่างก็รู้กันดีว่าวิถีสองสายจักรพรรดิเซี่ยนั้น ทั้ง ‘วิถีอากาศ’ และ ‘วิถีเปลวเพลิง’ ต่างก็ไปถึงขั้นสุดยอดแล้วทั้งสิ้น! ในมือมีสุดยอดสมบัติลับล้ำค่าอยู่ พลังยุทธ์ที่เขาสำแดงออกมาก็แข็งแกร่งกว่าเหล่าบุคคลผู้ไร้เทียมทานคนอื่นๆ อยู่ช่วงตัวหนึ่งเลยทีเดียว ‘บรรพชนราตรีนิรันดร์’ รับมือในระยะเวลาสั้นๆ ก็ยังถูกโจมตีเสียจนได้รับบาดเจ็บแล้วหลบหนีไป

ราชันย์อนธการอมตะก็คือผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งในดินแดนจิตโลกามาเป็นระยะเวลายาวนาน ลึกลับหาใดเปรียบ นอกจากนี้เขายังขึ้นชื่อในด้านความโหดเหี้ยมน่าหวั่นเกรง พลังยุทธ์ก็ยากจะคาดเดาได้

“ถ่อมตัวสักหน่อยดีกว่า”

“รอให้ข้าหลอมอาวุธเทพอลวนได้สำเร็จก่อนเถิด ก็จะยิ่งขวัญกล้ามากขึ้น ถ้าหากสามารถไปถึงขั้นสุดยอดได้ ใครจะเป็นผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งแห่งดินแดนจิตโลกาก็ยังยากที่จะพูดได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ ผู้ที่มีสุดยอดสมบัติลับล้ำค่าบนดินแดนจิตโลกาก็มีอยู่มากมายเช่นนั้น แต่ผู้ที่มีเคล็ดสืบทอดลับระดับสูงก็มีน้อยนิดยิ่งกว่า!สำหรับอาวุธคละถิ่นที่เหมาะสมในการผสานรวมกับเคล็ดสืบทอดลับระดับสูงนั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไม่รู้แน่ชัดว่าตนเองเป็นเพียงหนึ่งเดียวหรือไม่!

ต่อให้มิใช่หนึ่งเดียว เคล็ดสืบทอดลับระดับสูงก็หายากถึงเพียงนั้น ผู้ที่มีอาวุธที่เหมาะสมก็จะต้องยิ่งมีน้อยอย่างแน่นอน!

ส่วน ‘วิถีอากาศ’ ก็มีข้อได้เปรียบอันยิ่งใหญ่ที่เหนือกว่าวิถีอื่นๆ นั่นก็คือ…ร่างแยก!

ในบรรดาวิถีทั้งหมดที่มีอยู่ วิถีอากาศมีความสัมพันธ์อันแนบแน่นที่สุดกับโลกระดับที่สูงขึ้น ดังนั้นภายใต้สถานการณ์ที่ยังมิได้หนีออกจากกรงขังจึงมีเพียงแค่วิถีสายนี้เพียงสายเดียวเท่านั้น ที่สามารถมุ่งหน้าไปยังโลกกำเนิดอื่นๆ ได้! และสามารถดูดซับพลังคละวิถีปรับปรุงวิญญาณ บำเพ็ญร่างแยกได้!

ระดับขั้นเดียวกัน

วิถีอากาศ ร่างแยกมากมายร่วมมือกัน พลังยุทธ์ก็ย่อมเหนือกว่าวิถีอื่นๆ

แน่นอนว่าสิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงตระหนักรู้ ต่างก็มีผู้แกร่งกล้าไปถึงระดับสุดยอดของวิถีต่างๆ แล้วทั้งสิ้น แต่ทางด้านวิญญาณ เช่น ‘โลกเทียม’ ‘ภาพจิต’ และ ‘เพลิงวิญญาณ’ วิถีต่างๆ ล้วนไม่มีเลยแม้แต่คนเดียวที่ไปถึงขั้นสุดยอด! ถ้าหากทางด้านวิญญาณไปถึงขั้นสุดยอดแล้วจะมีพลังยุทธ์ระดับใด นี่ก็เป็นปริศนาอย่างหนึ่ง!

……

“สวบ”

หลังจากที่ประมุขเกาะจันปายิ้มหยันแล้วร่างกายก็แปรเปลี่ยนเป็นภาพลวง ห้วงอากาศบิดเบี้ยวจนมีรอยแยกปรากฏออกมา แล้วเขาก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

นี่ก็คือเคล็ดการหลบหลีกของเขา

อยากจะสังหารผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอดนั้นยากเย็นเหลือเกิน!

“คราวนี้ข้าได้ประกาศวาจาอย่างเปิดเผย คงจะเหนี่ยวนำให้ขุมอำนาจมารเกิดความระแวดระวังแล้วกระมัง ขอเพียงแค่ทำการสังหารน้อยลงสักหน่อยก็นับว่าประสบความสำเร็จแล้วล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงจะจากไปในทันที

พรึ่บ

กลางอากาศมีเงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้นมาในทันใด

เขามีรูปโฉมหล่อเหลางดงาม บนผ้าคลุมสีดำปักลวดลายดอกไม้สีทอง ในมือถือคทาอันหนึ่งเอาไว้ คทาแผ่รัศมีสีทองสลัวๆ แรงกดดันอันไร้รูปร่างปกคลุมทั่วฟ้าดิน ห่อหุ้มตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้

“บรรพชนราตรีนิรันดร์”

“เป็นบรรพชนราตรีนิรันดร์”

“บรรพชนราตรีนิรันดร์ปรากฏตัวขึ้นได้อย่างไรกันนี่”

ขุมอำนาจแต่ละฝ่ายบนดินแดนจิตโลกาที่ชมดูการต่อสู้อยู่ต่างก็พากันตื่นตะลึง

บรรพชนราตรีนิรันดร์ในมือถือคทา มองตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง “เจ้าเป็นผู้สังหารจวินอ๋องดำกระมัง”

“จวินอ๋องดำหรือ บรรพชนราตรีนิรันดร์ผิดพลาดเสียแล้วกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับมิได้ตื่นตระหนก เขาพูดพลางยิ้มน้อยๆ ว่า “ต่อให้พลังยุทธ์อย่างข้าอยากจะสังหารจวินอ๋องดำ ก็คงไม่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม แล้วอยากจะให้ท่านบรรพชนมาช่วยเหลือไม่ทัน ความมั่นใจก็ยิ่งต่ำลงไปอีก”

“บนดินแดนจิตโลกา ยอดฝีมือวิถีอากาศที่สามารถสังหารจวินอ๋องดำได้มีน้อยจนสามารถนับนิ้วได้” บรรพชนราตรีนิรันดร์เอ่ยอย่างเย็นชา

“แล้วสิ่งนี้สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นฝีมือข้าหรืออย่างไร” ตงป๋อเสวี่ยอิงถามอย่างมีชั้นเชิง

“เจ้าใส่ใจมดปลวกพวกนั้นมากเกินไปแล้ว คราวก่อนเจ้าก็ถูกข้าสกัดเอาไว้ครั้งหนึ่งเพื่อช่วยเหลือมดปลวกพวกนั้น เสียดายก็แต่ทำให้ร่างแยกของเจ้าฆ่าตัวตายกระจัดพลัดพรายไปเสียแล้ว” บรรพชนราตรีนิรันดร์เอ่ยเสียงเย็น “ยอดฝีมือวิถีอากาศที่มีพลังยุทธ์เช่นนี้ก็มีอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้นแหละ ผู้ที่ใส่ใจผู้อ่อนแอเหล่านั้นถึงเพียงนี้ก็ยิ่งมีแต่เจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้น มีความเป็นไปได้ถึงเก้าส่วนว่าเจ้าคือฆาตกร บอกนามของเจ้ากับข้ามาเสีย”

ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้วมุ่น

ไม่อยากยอมรับ

ถึงอย่างไรก็ยากยิ่งที่จะรับมือกับบรรพชนราตรีนิรันดร์

“ข้าชื่อจิตฟ้า คนวิถีจิตฟ้า” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพลางยิ้มน้อยๆ

“คนวิถีจิตฟ้าหรือ” บรรพชนราตรีนิรันดร์ขมวดคิ้ว ในบรรดาผู้แกร่งกล้าระดับขั้นสุดยอดไม่มีชื่อนี้ เป็นเพราะว่าบุคคลลึกลับผู้นี้เป็นผู้ที่กำเนิดขึ้นมาใหม่จริงๆ หรือว่าจงใจเอ่ยนามปลอมขึ้นมากันแน่

“จิตข้าคือจิตฟ้า คนวิถีจิตฟ้า” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด

“หึ ต่อให้เจ้าพูดชื่อออกมามั่วๆ มากยิ่งกว่านี้ เจ้าก็คือฆาตกรที่สังหารจวินอ๋องดำอยู่ดีนั่นแหละ” คทาในมือบรรพชนราตรีนิรันดร์แผ่รัศมีแรงกล้าออกมาในทันใด รัศมีอันไร้ที่สิ้นสุดเปล่งประกายบนร่างตงป๋อเสวี่ยอิงในพริบตา พลังสกัดกั้นอันไร้ที่สิ้นสุดทำการพันธนาการเอาไว้

“บรรพชนราตรีนิรันดร์ ท่านสกัดข้าเอาไว้มิได้หรอก”

น้ำเสียงกึกก้องดังสนั่นทั่วฟ้าดิน

พรึ่บ

รอยแยกสีดำกะพริบวาบ แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับฝืนพุ่งเข้าไปเรียบร้อยแล้ว ด้วยพละกำลังที่ฝึกกายคละถิ่นชั้นที่สองมีอยู่ อีกทั้งยังมีพลังของโลกดอกบัวเพลิงห้วงอากาศผนวกรวมอยู่ในตัว การพันธนาการของเขตพลังที่กินบริเวณกว้างใหญ่ของบรรพชนราตรีนิรันดร์ก็ยังสกัดเอาไว้ไม่อยู่

“หนีแล้วหรือ” บรรพชนราตรีนิรันดร์มองรอยแยกสีดำหายลับไปแล้วก็อดที่จะขมวดคิ้วมิได้

ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา

ย่อมไม่สามารถไล่ตามได้อยู่แล้ว!

เห็นได้ชัดว่าพลังยุทธ์ไปถึงระดับนี้ บุคคลผู้ไร้เทียมทานคิดอยากจะสังหารก็ยังยากเย็นอย่างที่สุด

……

ชื่อของคนวิถีจิตฟ้าก็แพร่สะพัดไปทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาด้วยเหตุนี้

ขุมอำนาจมากมายต่างก็พากันวิพากษ์วิจารณ์ ‘คนวิถีจิตฟ้า’ ผู้อาจหาญคุกคามขุมอำนาจมารทั้งหมดที่มีอยู่ ยามอยู่ต่อหน้า ‘บรรพชนราตรีนิรันดร์’ บุคคลผู้ไร้เทียมทานก็จากไปได้อย่างง่ายดาย พลังยุทธ์ของคนวิถีจิตฟ้าก็เป็นที่รู้กันทั่ว เป็นรองเพียงแค่ยอดฝีมือของบุคคลผู้ไร้เทียมทานเท่านั้น ขั้นสุดยอดธรรมดาทั่วไปล้วนมิใช่คู่ต่อสู้ของเขาทั้งสิ้น

ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงกลับมิได้สนใจสิ่งรบกวนของโลกภายนอก ทุ่มเทจิตใจบำเพ็ญอยู่ในเมืองหิมะเหิน ไตร่ตรองใคร่ครวญกระบวนสังหารที่สี่ของยุทธวิธีหิมะเหินที่เขาค่อยๆ ก่อให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา

ในขณะนี้ ขุมอำนาจใหญ่แต่ละแห่งบนดินแดนจิตโลกาต่างก็เคร่งขรึมกันเป็นอย่างยิ่ง แม้กระทั่ง ‘จักรพรรดิเซี่ย’ ‘จักรพรรดิชาง’ ‘บรรพชนฝาน ’‘มหาเคารพซือเทียน’ และ ‘ประมุขรัฐเมฆทักษิณา’ ที่ล่วงรู้ตัวตนของตงป๋อเสวี่ยอิงต่างก็อกสั่นขวัญแขวน ทุกคนล้วนพินิจดูการต่อสู้ครั้งนี้ผ่านเคล็ดวิชาลับต่างๆ มากมาย

พลังยุทธ์ที่ร่างแยกเพียงร่างเดียวของตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงก็สามารถกดดัน ‘ประมุขเกาะจันปา’ ผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอดได้แล้ว เมื่อร่างแยกเก้าร่างร่วมมือกันแล้วจะไปถึงระดับใดกันหนอ

คิดๆ ดูแล้วก็ทำให้เหล่าบุคคลผู้ไร้เทียมทานต่างก็พากันรู้สึกถึงความตื่นตระหนก!

“พลังยุทธ์ของบุคคลลึกลับผู้นี้…” มหาเคารพฝูอี่ผู้สวมอาภรณ์สีฟ้าตลอดร่างก็อาศัยศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาสอดแนมดูการต่อสู้นั้นอยู่ห่างๆ “ร่างแยกร่างเดียวก็แข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้แล้ว ถ้าหากร่างแยกเก้าร่างร่วมมือกันได้สมบูรณ์แบบพอ เกรงว่าพลังยุทธ์ของเขาก็คงพอจะสูสีกับข้าได้เลยทีเดียวกระมัง”

มหาเคารพฝูอี่มีระดับขั้นจิตใจเช่นนี้ก็ยังเกิดระลอกคลื่นกระเพื่อมไหว

ไม่มีสุดยอดสมบัติลับล้ำค่าขั้นสุดยอด บางทีเคล็ดลับวิชาจำนวนมากก็อาจจะลึกลับกว่ามหาเคารพฝูอี่อยู่พอสมควร แต่พลังการต่อสู้ซึ่งหน้าก็ยังมิอาจสู้มหาเคารพฝูอี่ได้อยู่ดี

มหาเคารพฝูอี่เคยกดดันรัฐโบราณแห่งหนึ่งได้ด้วยตัวคนเดียวมาแล้ว! แม้กระทั่งสุดท้ายที่ประมุขรัฐเสียดฟ้าลงมือ ก็ยังทำได้เพียงแค่กดดันเขาเท่านั้นเอง

แต่ขณะนี้มหาเคารพฝูอี่คาดการณ์ว่าพลังยุทธ์ของบุคคลลึกลับผู้นี้อาจจะใกล้เคียงกับเขาก็เป็นได้!

……

แต่ละฝ่ายชมดูการต่อสู้อย่างตื่นเต้น ต่างก็คาดการณ์กันว่าบนดินแดนจิตโลกาจะมีบุคคลผู้น่าหวาดหวั่นกำเนิดขึ้นมาอีกคนแล้วนับจากนี้เป็นต้นไป

“ประมุขเกาะจันปา เจ้ากลัวหรือ มิใช่ว่าเจ้าอยากเห็นพลังยุทธ์ที่แท้จริงของข้าหรืออย่างไร ข้าสำแดงอย่างสุดกำลัง แต่เจ้ากลับหวาดกลัวเสียแล้วหรือ” บุรุษอาภรณ์ขาวเก้าคนชี้นิ้วมือของตนนิ้วหนึ่งออกมาเบาๆ พร้อมกันแล้วขยับไปทางด้านหน้าน้อยๆ

พรึ่บ

ห้วงอากาศอันกว้างใหญ่ไพศาลเบื้องหน้าถูกการขยับน้อยๆ นี้ทำให้เดือดพล่านขึ้นมาในทันใด ห้วงมิติที่กินพื้นที่ล้านล้านลี้ แบ่งตัวกลายเป็นห้วงมิติขนาดเล็กจำนวนนับไม่ถ้วนออกมา ภายในห้วงมิติขนาดเล็กทุกแห่งต่างก็มีฟองอากาศอยู่ฟองหนึ่ง ฟองอากาศเริ่มพังทลายจากริมขอบอย่างต่อเนื่องกันราวกับปฏิกริยาลูกโซ่ พังทลายมุ่งสู่ศูนย์กลางเข้าไปอย่างรวดเร็ว ด้วยวิสัยทัศน์ของเทพจักรวาลก็สามารถมองเห็นเหตุการณ์โดยละเอียดของกระบวนท่านี้ได้

แต่การพังทลายรวดเร็วเกินไป พลานุภาพจากการพังทลายของฟองอากาศจำนวนนับไม่ถ้วนราวกับแม่น้ำหลากมารวมตัวกัน รวมตัวกันเข้ามายังจุดศูนย์กลางจนหมดสิ้น ซึ่งก็คือบริเวณที่ประมุขเกาะจันปาอยู่นั่นเอง

ประมุขเกาะจันปาอยากจะหนี แต่ฟองอากาศที่มีอยู่ก็เคลื่อนตามไป เขาติดอยู่ท่ามกลางฟองอากาศจำนวนนับไม่ถ้วนไปตลอดกาล

กระบวนท่านี้ก็คือหนึ่งในสามกระบวนสังหารของตงป๋อเสวี่ยอิง ‘ฟองอนันต์มลายสูญ’ นั่นเอง

ตอนนั้นที่สังหารประมุขรัฐเฉินฟ่านก็ใช้กระบวนท่านี้เช่นกัน เพียงแต่ว่าตอนนั้นมิได้ใช้ ‘ดอกบัวเพลิงห้วงอากาศ’ ตอนนี้ถึงแม้ว่าคราวนี้ดอกบัวเพลิงห้วงอากาศจะมิได้ปรากฏออกมาภายนอก แต่ก็เป็นสิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงพกติดตัวเอาไว้ พลังของเขาก็กระตุ้นดอกบัวเพลิงห้วงอากาศก่อนแล้ว เช่นนี้อาณาบริเวณของกระบวนท่านี้จึงกว้างใหญ่เช่นนี้ได้ พลังคุกคามจึงได้น่าหวาดหวั่นเช่นนี้

“สมควรตาย” ดวงตาเล็กทั้งคู่ของประมุขเกาะจันปามองไปยังบริเวณรอบๆ อย่างเย็นชา

ด้วยความทระนงของการเป็นขั้นสุดยอด ทำให้เขารังเกียจที่จะหนี

ถ้าหากเขาอยากจะหนี แม้กระทั่งบุคคลผู้ไร้เทียมทานก็ยังต้านไม่อยู่! ทางสายพละกำลังไปถึงขั้นสุดยอดแล้ว ฟ้าดินทุกกระเบียดนิ้วทั่วทั้งโลกกำเนิดเมื่ออยู่ต่อหน้าเขาก็ราวกับของเล่นอย่างไรอย่างนั้น

แต่คราวนี้เขามิได้ต้านทานอย่างแข็งขัน หากแต่สำแดงเคล็ดวิชาอย่างสุดกำลัง ถ้าหากทำอย่างสุดกำลังแล้วจะยังมีผู้ใดที่ร้ายกาจกว่าผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอดทางสายพละกำลังได้อีกเล่า

ฝ่ามือทั้งสองของประมุขเกาะจันปาประสานกันอยู่ตรงหน้าอก

ภายในอาณาบริเวณสิบจั้งโดยรอบตัวเขาเปลี่ยนกลายเป็นขมุกขมัว นอกบริเวณสิบจั้งจึงจะสามารถมองเห็นพละกำลังอันหม่นมัวโคจรโอบล้อมอย่างต่อเนื่องได้ด้วยตาเปล่า

“ปัง…”

ฟองอนันต์มลายสูญ!

ในที่สุดฟองอากาศขนาดใหญ่ที่ห่อหุ้มรอบตัวประมุขเกาะจันปาก็แตกสลาย! ตอนที่แตกสลาย มีระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างแทรกผ่านตรงไปยังประมุขเกาะจันปา แต่กลับถูกขัดขวางเอาไว้อย่างหนักหน่วง สีหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงก็แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย พลังคุกคามของกระบวนท่าที่ตนสำแดงนี้ดูเหมือนว่าจะถูกเคลื่อนย้ายโคจรอย่างต่อเนื่อง โคจรมาต้านทานเคล็ดวิชาของตนเอง แต่โชคดีที่เคล็ดวิชาที่ร่างแยกทั้งเก้าอาศัยดอกบัวเพลิงห้วงอากาศสำแดงออกมานั้น พลังคละวิถีที่ควบคุมมีอยู่มากพอ ดุดันพอ ถึงแม้ว่าจะถูกเคลื่อนย้ายจนลดทอนลงไปเป็นอันมาก แต่ก็มีส่วนน้อยที่ยังคงปะทะลงไปบนร่างของประมุขเกาะจันปาอยู่ดี

ประมุขเกาะจันปาสีหน้าเปลี่ยนแปรเล็กน้อย เขารู้สึกได้ว่าการปะทะนี้ทะลุผ่านเข้าไปในส่วนลึกของร่างกายโดยตรง

“พรวด” ผิวหนังภายนอกล้วนมีสายโลหิตแทรกซึม ปากก็กระอักโลหิตออกมา

ประมุขเกาะจันปกจ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ห่างออกไป

“ช่างเป็นเคล็ดวิชาป้องกันตัวที่ร้ายกาจน่าดูเลยทีเดียว ในด้านการถ่ายพลังก็เหนือกว่าหมื่นเคล็ดมิกล้ำกรายของข้าอยู่มากมายนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงยกย่องชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง

“ภายใต้กฎเกณฑ์สูงสุด การโจมตีทั้งหมดที่สำแดงออกมาต่างก็อาศัย ‘พลัง’ มาสะท้อนทั้งสิ้น” ประมุขเกาะจันปามองตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วเอ่ยเสียงต่ำว่า “ข้าป้องกันอย่างสุดกำลัง ตามปกติแล้วย่อมมิอาจทำให้ข้าบาดเจ็บได้ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าพลังคละวิถีที่เจ้าใช้จะมากมายและโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้!”

“ข้ามิได้มีเจตนาจะเป็นศัตรูกับเจ้าหรอก เพียงแต่หวังว่าผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้าจะทำการสังหารให้น้อยลงหน่อยเท่านั้นเอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปากพูด

เขาย่อมไม่อยากให้ประมุขเกาะจันปาบ้าคลั่งขึ้นมาจริงๆ อยู่แล้ว

เมื่อใดที่บ้าคลั่งขึ้นมา…

ถ้าหากประมุขเกาะจันปาไม่แยแสความเป็นความตายของผู้ใต้บังคับบัญชา ลำพังแค่คนเดียวก็สามารถสร้างค่ายสังหารใหญ่แห่งแล้วแห่งเล่าขึ้นมาได้อยู่แล้ว! นี่เป็นสิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่อยากเห็นเลย

แน่นอนว่าประมุขเกาะจันปาเองก็ไม่อยากกระทำให้เกินกว่าเหตุสักเท่าใดนัก ข้อแรก หากค่ายสังหารเกินกว่าขีดจำกัดโดยทั่วไป เหล่าบุคคลผู้ไร้เทียมทานจำนวนมากก็ย่อมมิอาจทนได้อยู่แล้ว ข้อสอง ‘หยวน’ ผู้ลึกลับแห่งดินแดนจิตโลกาผู้นั้น ถึงแม้ว่าจะยินดีที่ได้เห็นผู้อ่อนแอเป็นเหยื่อของผู้ที่เข้มแข็งกว่า ได้เห็นการต่อสู้ แต่ค่ายสังหารที่เกินกว่าขีดจำกัดก็อาจยั่วยุ ‘หยวน’ ให้โมโหได้ เช่นนั้นผลที่ตามมาก็คงน่าเศร้าเป็นอย่างยิ่ง

นี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมการบูชาโลหิตแต่ละครั้ง บรรดาพญามารจึงได้ส่งผู้ใต้บังคับบัญชาไปจัดการกันทั้งสิ้น ไม่ลงมือทำด้วยตัวเอง

‘หยวน’ ยืนอยู่ที่ชั้นที่สูงกว่า มองลงมายังดินแดนจิตโลกา ผู้ที่กล้ายั่วยุหยวน ก็คงไม่ต้องพูดถึงผลลัพธ์ให้มากความเลย

เพียงแต่ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงกับ ‘หยวน’ นั้นแตกต่างกัน

หยวนอาจจะรู้สึกว่าค่ายสังหารบางครั้งนั้นเป็นการกำจัดตามปกติ ขอเพียงแค่ไม่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมของระบบระเบียบทั้งหมดของทั้งดินแดนจิตโลกา เขาก็ไม่อยากจะสอดมือยุ่งเกี่ยวกับการต่อสู้ของเหล่าผู้บำเพ็ญ

แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าสำหรับร่างกายที่อ่อนแอทุกร่าง การพูดถึง ‘ระบบระเบียบของภาพรวมดินแดนจิตโลกา’ นั้นไม่มีความหมายเอาเสียเลย! ผู้อ่อนแอแต่ละคนตายไปแล้ว ภาพรวมดินแดนจิตโลกาพัฒนาไปมากกว่านี้ก็ไร้ประโยชน์! คนจำนวนน้อยแต่ละคนตายไป นั่นก็เป็นอันตรายธรรมดาๆ บนเส้นทางการบำเพ็ญ แต่มารระดับสุดยอดกลุ่มหนึ่งทำการสังหารหมู่ตามอำเภอใจ นั่นก็มิใช่การขัดเกลาแล้ว

นี่ก็คือความแตกต่างระหว่างความคิดของตงป๋อเสวี่ยอิงกับหยวน

หยวน สูงส่งเหนือผู้ใด เห็นผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำ เขาเพียงแค่ต้องการทวีคูณบุคคลที่สามารถ ‘หนีออกจากกรงขัง’ ได้เท่านั้นเอง! ความคิดของเขาก็มิใช่เรื่องผิด ไปถึงระดับขั้นเช่นเขา สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนภายในโลกกำเนิดเปรียบเทียบกับเขาแล้วก็เป็นความแตกต่างระหว่างสองระดับขั้นใหญ่อย่างแท้จริงเลยทีเดียว

บุคคลดังเช่นหยวนก็ยังดี

ดังเช่นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่โหดเหี้ยมอำมหิตกว่าจำนวนหนึ่ง รู้สึกว่าสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนภายในโลกกำเนิดสิบแห่งร้อยแห่งสูญพันธุ์ไป ขอเพียงแค่มีผู้แกร่งกล้าระดับสุดยอดสักคนหนึ่งหนีออกจากกรงขังไปได้ เช่นนั้นก็คุ้มค่าแล้ว!

ตอนนี้พลังยุทธ์ของตงป๋อเสวี่ยอิงอ่อนแออย่างยิ่ง เขามิอาจมีอิทธิพลต่อพวกหยวนได้เลย ได้แต่เหยียบย่างบำเพ็ญไปตามวิถีของตนเท่านั้น

“เพียงแค่หวังว่าค่ายสังหารจะน้อยลงสักหน่อยอย่างนั้นหรือ” ประมุขเกาะจันปามองดูบุรุษอาภรณ์ขาวตรงหน้า “เจ้าใส่ใจมดปลวกพวกนี้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ มดปลวกนับล้านล้านตายไปแล้วจะเป็นอย่างไรเล่า”

“พวกเขาก็มีบิดามารดา มีภรรยาและบุตรชายบุตรสาวเช่นเดียวกัน อีกทั้งยังมีการดิ้นรนบำเพ็ญอีกด้วย… จะเห็นเป็นมดปลวกจริงๆ แล้วสังหารหมู่นับล้านล้านชีวิตได้อย่างไรกันเล่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะ

“แล้วถ้าหากผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าสังหารต่อไปเล่า” ประมุขเกาะจันปาพูด

“เช่นนั้นข้าก็ได้แต่…สังหารต่อไป!” ตงป๋อเสวี่ยอิงจ้องมองประมุขเกาะจันปา “สังหารผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้าทุกคนที่ลงมือให้หมด! นอกเสียจากว่าเจ้า ประมุขเกาะจันปาลงมือด้วยตัวเอง ข้าก็ต้านไม่อยู่ แต่ค่ายสังหารครั้งแล้วครั้งเล่าของเจ้า รอให้ ‘หยวน’ มาถึงก่อนเถิด ใครหน้าไหนก็ช่วยเจ้าไว้มิได้หรอก”

เนื้ออวบอูมบนใบหน้าประมุขเกาะจันปาบูดเบี้ยว

หยวนหรือ

สิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอด และเหล่าบุคคลผู้ไร้เทียมทาน แต่ละคนดูเหมือนจะไม่เกรงกลัวสิ่งใด แต่กลับหวาดกลัว ‘หยวน’ ด้วยกันทั้งสิ้น

ยิ่งมาถึงระดับขั้นอย่างพวกเขานี้ก็ยิ่งเสียดายชีวิต

พวกเขาต่างก็มุ่งมาดปรารถนาถึงก้าวที่สำคัญที่สุดในชีวิตก็คือการหนีออกจากกรงขังแห่งนี้

“ขุมอำนาจแห่งอื่นเล่า ทะเลสาบมารทมิฬ รัฐเหินประจิม ภูผาเมฆามาร และเมืองอัคคีทิพย์เล่า” ประมุขเกาะจันปาเอ่ยต่อไป “เจ้าก็จะสังหารอย่างนั้นหรือ”

“สังหารให้หมดนั่นแหละ!” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า “ผู้ที่กล้าทำการสังหารหมู่ ก็ต้องฆ่ามันให้หมด!”

ในขณะนี้…

ขุมอำนาจที่สังเกตการณ์ดูการต่อสู้ครั้งนี้อยู่ทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาก็มีอยู่มากมายเหลือเกินแล้ว ถึงแม้ว่าสิ่งของอย่าง ‘กระจกยลฟ้า’ จะเห็นเพียงแค่สถานการณ์การต่อสู้เท่านั้น ไม่ได้ยินเสียงพูด แต่ผู้ใดที่ชมดูการต่อสู้อยู่มิใช่สุดยอดผู้แกร่งกล้าบ้างเล่า ดูจากการขยับปากของตงป๋อเสวี่ยอิงและประมุขเกาะจันปา ดูจากความเปลี่ยนแปลงของกระแสอากาศที่พวกเขาสังเกตดูอยู่ ต่างก็สามารถทราบถึงเนื้อความที่พวกตงป๋อเสวี่ยอิงพูดคุยกันแล้ว

วาจาเมื่อครู่ของตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นการตักเตือนไปยังขุมอำนาจมารทั้งหมดทั่วดินแดนจิตโลกาอย่างเห็นได้ชัดว่า จะสังหารผู้ที่กล้าสังหารหมู่ตามอำเภอใจให้หมด!

การบูชาโลหิตเมืองสักแห่งหนึ่งนั้นเป็นเรื่องใหญ่นัก

ก็เหมือนกับตอนที่ ‘บูชาโลหิตเมืองอัคคีโชติ’ ในตอนนั้น เจ้าลัทธิทั้งสามแห่งทะเลสาบมารทมิฬก็พินิจดูผ่านกระจกยลฟ้าอยู่ห่างๆ ประมุขรัฐเมฆทักษิณา ฝานเทียนฉ่ง และผู้แกร่งกล้าของขุมอำนาจฝ่ายต่างๆ ที่ได้รับข่าว ต่างก็สามารถตรวจดูสถานการณ์ผ่านกระจกยลฟ้ากันได้ทั้งสิ้น

และการบูชาโลหิตเมืองฟู่จวินในคราวนี้ก็ดึงดูดความสนใจของขุมอำนาจใหญ่จำนวนหนึ่งเช่นกัน

อย่างเช่นหกรัฐโบราณต่างก็มีผู้แกร่งกล้าที่รับผิดชอบสังเกตดูความเคลื่อนไหวใหญ่ๆ ทั้งหมดทั่วทั้งดินแดนโดยเฉพาะ ยังมีขุมอำนาจใหญ่จำนวนหนึ่งที่มีผู้แกร่งกล้าสอดแนมอยู่เช่นกัน

“เป็นบุคคลลึกลับผู้นั้น”

“เขาปรากฏตัวขึ้นอีกแล้ว แล้วยังผลาญพลพรรคหนึ่งของเกาะจันปาอีกด้วย เขามีความแค้นกับประมุขเกาะจันปาใช่หรือไม่ เหตุใดจึงจ้องจะเป็นปฏิปักษ์กับเกาะจันปาอยู่ตลอดเลยเล่า”

“อืม สองฝ่ายต้องมีความแค้นต่อกันอย่างแน่นอน! ไม่มีทางบังเอิญเช่นนั้นหรอก เขาบังเอิญอยู่ภายในเมืองที่ถูกบูชาโลหิตต่อเนื่องกันถึงสองครั้ง ต่อให้บังเอิญอยู่ทั้งสองครั้ง จะโหดร้ายเช่นนี้ สังหารทุกชีวิตของเกาะจันปาจนเกลี้ยงเกลาทั้งสองครั้งเลยหรือ”

ทุกฝ่ายพินิจดูอยู่ห่างๆ

พินิจดูไปพลาง อีกด้านหนึ่งก็วิพากษ์วิจารณ์ไปพลาง ในขณะนี้ทุกคนยังสงบและผ่อนคลายกันเป็นอย่างยิ่ง

เพราะพวกเขาต่างก็รู้ดีว่ายอดฝีมือ ‘วิถีอากาศ’ นั้นขึ้นชื่อในด้านการหลบหนี! พวกเขาเชื่อว่าบุคคลลึกลับผู้นี้สังหารพลพรรคมารของเกาะจันปาจนสิ้นแล้วก็สามารถหนีไปได้ในทันทีอยู่แล้ว

“ประมุขเกาะจันปามาแล้ว ดูท่าทางจะโกรธจนคลั่งแล้วด้วย”

“อะไรกัน เขาไม่หนีหรือ”

“สู้กันแล้ว สู้กันแล้ว!”

ผู้สังเกตการณ์ของแต่ละขุมอำนาจล้วนเต็มไปด้วยความโกลาหล!

ผู้มีพลังรบระดับสุดยอดสองคนประมือกันอย่างนั้นหรือ นี่เป็นสิ่งที่ยากจะพบเห็นยิ่งกว่าการบูชาโลหิตมากมายนัก!

“ไปรายงานท่านประมุขรัฐเร็วเข้า”

“ไปรายงานฝ่าบาทจักรพรรดิเทพเร็วเข้า”

ทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาต่างพากันตื่นตระหนกเพราะเหตุนี้ เช่นจักรพรรดิเทพผลาญโลกา อ๋องสัตว์โลกา ประมุขรัฐจันทร์โรจน์ และเหล่าบุคคลผู้ไร้เทียมทานแต่ละคนต่างก็พากันชมดูการต่อสู้ผ่านกระจกยลฟ้าด้วยตาตนเองเพราะเหตุนี้!

“น่าสนใจจริงๆ” อ๋องสัตว์โลกานั่งอยู่บนบัลลังก์ ตรงหน้ามีอาหารเลิศรสนานาชนิดวางอยู่ เขากินอาหารคำโตพลางจ้องมองสถานการณ์การต่อสู้ที่ปรากฏบนกระจกยลฟ้าที่แขวนลอยอยู่ตรงหน้า “หรือว่ายอดฝีมือวิถีอากาศผู้ลึกลับผู้นี้จะไม่กลัวการห้ำหั่น จึงได้เปิดเผยเคล็ดวิชามากมายเหลือเกิน ไม่กลัวจะถูกคาดเดาตัวตนที่แท้จริงออกเลยหรือไร ต่อให้เป็นผู้แกร่งกล้าของหกรัฐโบราณ ด้วยนิสัยมารพรรค์นี้ของประมุขเกาะจันปา เกรงว่าคงจะไปถึงในรัฐโบราณแล้วสังหารหมู่ตามอำเภอใจเพื่อล้างแค้นสักรอบหนึ่งกระมัง!”

“ห้ำหั่นกันขึ้นมาแล้วจริงๆ หรือ”

“ไม่กลัวจะเปิดเผยเลยหรือ”

แต่ละฝ่ายพากันประหลาดใจ

เหมือนก่อนหน้านี้ที่สังหารหมู่มารที่อ่อนแอเหล่านั้น การโจมตีหมู่ที่กินอาณาบริเวณกว้างครั้งหนึ่ง เพียงแค่กระบวนท่าเดียวเท่านั้น ระมัดระวังสักเล็กน้อย ก็ไม่ต้องเปิดเผยตัวตนเลย

แต่เมื่อห้ำหั่นกับสุดยอดผู้แกร่งกล้าระดับเดียวกันขึ้นมา เช่นนั้นเคล็ดวิชาที่ต้องเปิดเผยก็คงมากมายเสียแล้ว

“จ้าวหิมะเหินผู้นี้มีความแค้นกับประมุขเกาะจันปาหรือไร” จักรพรรดิเซี่ยก็มองดูอย่างสงสัยอยู่บ้าง “เขาห้ำหั่นเช่นนี้ลงไปก็จะต้องเปิดเผยเคล็ดวิชามากมายอย่างแน่นอน ถึงแม้เขาจะขอให้พวกข้าไม่แพร่ข่าวของ ‘ดอกบัวเพลิงห้วงอากาศ’ ออกไป เขาเป็นผู้ที่บรรลุใหม่ ผู้อื่นก็จะไม่สามารถเดาออกได้ว่าบุคคลลึกลับก็คือเขา จ้าวหิมะเหิน เป็นการชั่วคราว แต่ในอนาคต… เขา จ้าวหิมะเหินก็คงมิอาจไม่ลงมือไปได้ตลอดหรอกกระมัง เขาก็อาจจะเข้าไปผจญภัยในวังเทพจิตโลกา แล้วอาจไปยังหุบเขาเขี้ยวหัก ในที่สุดก็ต้องลงมืออยู่ดี! เมื่อใดที่ลงมือก็จะถูกค้นพบตัวตนได้อย่างง่ายดายยิ่งนัก”

จักรพรรดิเซี่ยก็สงสัยไม่เข้าใจเช่นกัน

ผู้มีคุณสมบัติพอที่จะเรียกได้ว่าเป็นมารที่ยิ่งใหญ่ไร้เทียมทานฝ่ายหนึ่งในใต้หล้านั้นมีน้อยจนสามารถนับนิ้วได้

ทุกคนต่างก็มีเคล็ดลับวิชาที่ทำให้บุคคลผู้ไร้เทียมทานก็ไม่สามารถฆ่าให้ตายได้! ดังนั้นถึงแม้ว่าเหล่าบุคคลผู้ไร้เทียมทานจะกล้าแกร่ง แต่ก็ยังต้องปวดหัวกับพญามารหลายตนนั้นเป็นอย่างมาก จะฆ่าก็ฆ่าไม่ตาย! ช่างทำให้เสียหน้ายิ่งนัก ถึงแม้ว่าขุมอำนาจใต้บังคับบัญชาของพญามารจะสูญเสียไปจนหมดสิ้น เกรงว่าพญามารก็คงยังไม่สนใจอยู่ดี

มาร โดยทั่วไปแล้วต่างก็เห็นแก่ตัวกันเป็นอย่างยิ่ง!

“นี่น้องเฟยเสวี่ยคิดจะทำอะไรกัน ต่อให้ช่วยเหลือมดปลวกจำนวนนับไม่ถ้วนเหล่านั้น ก็ไม่จำเป็นต้องห้ำหั่นกับประมุขเกาะจันปาหรอกกระมัง เช่นนี้พอนานไป ในที่สุดก็ต้องเปิดเผยตัวตนน่ะสิ” มหาเคารพซือเทียนก็มองกระจกยลฟ้าแล้วขมวดคิ้ว

ตอนนี้ทางด้านรัฐโบราณคิมหันตวายุ ผู้ที่ล่วงรู้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงก็คือบุคคลลึกลับผู้นั้นก็มีอยู่เพียงแค่บุคคลผู้ไร้เทียมทานสามคนกับมหาเคารพซือเทียนเท่านั้น

เพราะว่าตงป๋อเสวี่ยอิงเคยขอความมั่นใจมาก่อนแล้ว รวมถึงข้อตกลงที่ทำกันเอาไว้ก่อนหน้านี้ บุคคลผู้ไร้เทียมทานทั้งสามและมหาเคารพซือเทียนก็ย่อมมิอาจเผยแพร่ออกไปได้อยู่แล้ว

แต่ยอดฝีมือวิถีอากาศที่ไปถึงพลังรบระดับ‘บุคคลลึกลับ’ นี้ในดินแดนจิตโลกาก็มีน้อยจนสามารถนับนิ้วได้เลยทีเดียว

เมื่อใดที่ภายหน้าตงป๋อเสวี่ยอิงใช้ตัวตนที่แท้จริงในการต่อสู้ เปิดเผยออกมา ก็สามารถคาดเดาออกได้อย่างง่ายดายแล้ว!

“โง่เง่าใช้ได้เลยทีเดียว หรือจะบอกว่าเขาไม่สนใจความเป็นความตายของตระกูลแล้วอย่างนั้นหรือ ก็ใช่ เขาเป็นผู้ที่กลับชาติมาเกิด คาดว่าคงมิได้มีความรู้สึกอันลึกซึ้งอะไรกับตระกูลอิงซานหรอก” มหาเคารพซือเทียนพินิจดู

……

แต่ละฝ่ายพินิจดูความเคลื่อนไหวของการต่อสู้ผ่าน ‘กระจกยลฟ้า’ ของฝ่ายตน

เพียงแต่ว่าสิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือ บุคคลลึกลับมิได้หลบเลี่ยงและริเริ่มที่จะต่อสู้ใดๆ เลย แต่กลับตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบโดยตลอด

บนพื้นที่รกร้างที่ห่างจากเมืองฟู่จวินล้านล้านลี้แห่งหนึ่ง เงาร่างสองสายประมือกันอย่างรวดเร็วยิ่ง

“ระเบิด!”

ประมุขเกาะจันปาผู้อวบอ้วนเป็นที่สุดยื่นมือทั้งสองคราหนึ่ง มือข้างหนึ่งก่อให้เกิดม่านอากาศคลี่ปกคลุมท้องฟ้า ส่วนมืออีกข้างก็โผล่ออกมาจากส่วนลึกของดินราวกับพื้นพิภพแห่งหนึ่ง

ข้างหนึ่งอยู่บน ข้างหนึ่งอยู่ล่าง

ระหว่างฝ่ามืออันใหญ่โตมหึมาทั้งสองก็ก่อรูปเป็นห้วงน้ำวนสีดำสนิทที่พังทลาย

พละกำลังอันน่าหวาดหวั่นไร้ที่สิ้นสุดเกิดปฏิกิริยาบนร่าง

“หมื่นเคล็ดมิกล้ำกราย”

ห้วงมิติชั้นแล้วชั้นเล่าบริเวณรอบๆ ผิวกายของตงป๋อเสวี่ยอิงพยายามต้านทานพละกำลังที่ผลาญทำลายฉีกทึ้งนี้เอาไว้ ปึงๆๆ ห้วงมิติชั้นแล้วชั้นเล่าระเบิดทลายเปิดกรงขัง ทำให้พลังนี้เคลื่อนย้ายไปถึงยังห้วงมิติชั้นสูงกว่า

“เคล็ดลับนี้ยังมีข้อบกพร่องอยู่ ทำอย่างไรจึงจะสมบูรณ์แบบอย่างแท้จริงได้เล่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงต่อสู้สำแดงยุทธวิธีหิมะเหินไปพลาง ตรวจสอบข้อบกพร่องของเคล็ดวิชามากมายไปพลาง พร้อมกันนั้นก็ใคร่ครวญไปด้วยว่าควรปรับปรุงแก้ไขอย่างไรดี

ที่ผ่านมาก็จมดิ่งอยู่กับการหยั่งรู้มาตลอด

และในการห้ำหั่นระหว่างความเป็นความตาย โดยเฉพาะตนเองก็ย่อมไม่เข้าใจว่าภายใต้เคล็ดวิชาของผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอดของวิถีอื่นๆ ข้อบกพร่องจำนวนหนึ่งของเคล็ดวิชาของตนจะยิ่งเห็นได้อย่างชัดเจนขึ้น ทำให้ตนเองเข้าใจถึงทิศทางในการแก้ไข สิ่งนี้ประโยชน์ต่อการบำเพ็ญเป็นอย่างมาก

“พลั่ก” พลังที่หลงเหลืออยู่ของห้วงน้ำวนสีดำสนิทเกิดปฏิกริยาบนร่างของตงป๋อเสวี่ยอิง ตงป๋อเสวี่ยอิงก็กะพริบร่างคราหนึ่ง ตลอดร่างราวกับม้วนภาพวาดที่บางเฉียบอย่างยิ่งแผ่นหนึ่ง ร่นถอยไปยังบริเวณไกลๆ อย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียง

“เจ้าก็รู้จักหลบด้วยหรือ เจ้ามีพลังยุทธ์เล็กน้อยเช่นนี้เองหรือ”

ประมุขเกาะจันปาเป็นต่อในทุกๆ ด้าน กดดันตงป๋อเสวี่ยอิง

ตงป๋อเสวี่ยอิงตกเป็นรองอย่างเห็นได้ชัด แต่กลับมิได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย!

“ฮ่าฮ่าฮ่า…” ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวเราะเสียงดัง เขาก็เข้าใจว่าหากสำแดงเคล็ดวิชาของยุทธวิธีหิมะเหินโดยตลอดก็จะทำให้อีกฝ่ายสงสัยว่าตนเองมิใช่ ‘ขั้นสุดยอด’! เพราะว่าจนถึงตอนนี้ตนก็มิได้สำแดงเคล็ดวิชาความเร้นลับที่แฝง ‘วิถีอากาศขั้นสุดยอด’ ออกมาเลย ช่วยไม่ได้ ภายใต้สถานการณ์ที่มิได้อาศัยพลังงานภายนอก เขาก็มิอาจสำแดงออกมาได้

มิได้ตระหนักรู้แล้วจะสำแดงอย่างไรได้เล่า

ต้องอาศัยวัตถุภายนอก!

สุดยอดสมบัติลับล้ำค่า ‘ดอกบัวเพลิงห้วงอากาศ’

“หลังจากที่วิถีอากาศไปถึงระดับสุดยอดแล้วก็จะใช้พลังคละวิถี ข้าก็แค่ใช้เคล็ดวิชาพลังคละวิถีอย่างหยาบๆ จำนวนหนึ่งแสดงออกมารอบหนึ่งเท่านั้นเอง เจ้าก็ถึงกับมิอาจทำให้ข้าบาดเจ็บได้ ก็ดี ในเมื่อเจ้าทำให้ข้าต้องสำแดงพลังยุทธ์ที่แท้จริง เช่นนั้นข้าก็จะสนองความต้องการของเจ้าเอง!” เสียงหัวเราะของตงป๋อเสวี่ยอิงก้องสะท้อนฟ้าดิน หมัดหนึ่งของเขาพลันระเบิดออกสู่เบื้องหน้าในทันใด

ดอกบัวเพลิงห้วงอากาศที่พกติดตัวเอาไว้ถูกกระตุ้นขึ้นมา

กระบวนท่านี้ก็เป็นเคล็ดวิชาที่ผสานรวมยุทธวิธีหิมะเหินกับดอกบัวเพลิงห้วงอากาศเอาไว้แล้ว ตอนนั้นก่อนหน้าที่เขาจะจัดการกับจวินอ๋องดำ เขาก็หยั่งรู้ดอกบัวเพลิงห้วงอากาศอย่างละเอียดแล้ว สามารถผสานดอกบัวเพลิงห้วงอากาศที่มีพลานุภาพขั้นสุดยอดเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับยุทธวิธีหิมะเหินของตนได้อย่างสมบูรณ์แบบ แม้กระทั่งพลังยุทธ์ก็ยังสามารถพลิกกลับขึ้นมาได้หลายเท่า!

“ปัง ปัง ปัง…”

กำปั้นของตงป๋อเสวี่ยอิงระเบิดออกมาหมัดหนึ่งแต่กลับปรากฏเป็นเงามายาของกำปั้นขนาดใหญ่ขึ้น เงามายาของกำปั้นนี้ปกคลุมฟ้าดินส่วนใหญ่เอาไว้ ภายในแฝงเงามายาของกำปั้นจำนวนนับชั้นไม่ถ้วนเอาไว้ พลังคละวิถีอันปั่นป่วนเอ่อท่วมภายใน

ประมุขเกาะจันปาได้เห็นเหตุการณ์แล้วก็สีหน้าแปรเปลี่ยน คำรามเสียงต่ำเสียงหนึ่งแล้วก็ปล่อยหมัดออกมาเช่นกัน

สุดยอดผู้แกร่งกล้าทางสายพละกำลังย่อมไม่สนใจจะหลบซ่อนตัวอยู่แล้ว

“ปัง…”

กำปั้นทั้งสอง

กำปั้นของประมุขเกาะจันแฝงเอาไว้ด้วยพละกำลังไร้ที่สิ้นสุดอันลึกล้ำ ส่วนกำปั้นของตงป๋อเสวี่ยอิงกลับประหนึ่งว่าแบกโลกจำนวนนับไม่ถ้วนเอาไว้ พลังคละวิถีปั่นป่วนพรั่งพรู

ยามที่ปะทะกัน ทั่วทั้งฟ้าดินก็สั่นสะท้าน บริเวณที่ปะทะกันปรากฏปากถ้ำสีดำสนิทขึ้นมา ต่างก็สามารถมองเห็นโลกระดับที่สูงขึ้นได้

พละกำลังอันพรั่งพรูแผ่กระจายออกไปทุกทิศทุกทาง

ระลอกคลื่นอันน่าหวาดหวั่นนี้ทำให้เหล่าเทพจักรวาลทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาต่างก็สามารถรับรู้ได้ทั้งสิ้น

“พลั่ก”

ประมุขเกาะจันปาถูกทำให้ตระหนกเสียจนบินลอยถอยออกไป ในปากก็กระอักโลหิตออกมา ห้วงมิติจำนวนนับชั้นไม่ถ้วนก็ปะทะบนร่างอันอวบอ้วนของเขาอย่างไม่หยุดหย่อน ทำให้ร่างกายของเขาเกิดบาดแผลขึ้นจำนวนหนึ่ง

จากนั้นเขาก็หยุดลงที่กลางอากาศไกลออกไป มองบุรุษอาภรณ์ขาวที่อยู่ห่างออกไปอย่างตื่นตระหนก

พลังยุทธ์นี้แข็งแกร่งเกินไปเสียแล้ว

“เจ้าอยากจะเห็นพลังยุทธ์ที่แท้จริงของข้ามิใช่หรือไร ฮ่าฮ่า ข้าเป็นวิถีอากาศ สิ่งที่เชี่ยวชาญที่สุดก็คือร่างแยกอย่างไรเล่า นี่แหละจึงจะเป็นพลังของร่างแยกร่างหนึ่งของข้า!” เสียงของตงป๋อเสวี่ยอิงสะท้อนก้องฟ้าดิน เห็นเพียงว่าบุรุษอาภรณ์ขาวอยู่ไกลออกไป แต่บริเวณโดยรอบกลับพรึ่บๆๆ… บุรุษอาภรณ์ขาวคนแล้วคนเล่าต่างพากันปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ มีบุรุษอาภรณ์ขาวถึงเก้าคนที่ต่างก็แผ่พลังคุกคามอันน่าหวาดหวั่นจ้องมองประมุขเกาะจันปา

ประมุขเกาะจันปาสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวง คนเดียวก็ต้านไม่อยู่แล้ว นี่มากถึงเก้าคนเชียวหรือ

เหล่าประชากรจำนวนนับไม่ถ้วนของเมืองฟู่จวินเงยหน้าขึ้นมองรอยแยกของห้วงอากาศอันบิดเบี้ยวขนาดมหึมาสายแล้วสายเล่าที่แผ่ไปทั่วเวหาเบื้องบนของเมือง มองดูเหล่ามารแหลกสลายกลายเป็นเถ้าธุลี

มีบางคนที่หลั่งน้ำตาด้วยความยินดี

มีพลเมืองบางคนที่คุกเข่าลงร้องไห้คร่ำครวญอย่างใหญ่โต

แสดงอากัปกิริยาต่างๆ นานากันทั่วทุกหนแห่งภายในเมือง

ถึงอย่างไรยิ่งเป็นผู้บำเพ็ญ ตลอดระยะเวลาอันยาวนานต่างก็สามารถขัดเกลาจิตแห่งวิถีของตนออกมาได้ เพียงแต่ว่าระดับขั้นการฝึกจิตใจสูงต่ำต่างกันเท่านั้นเอง แต่เพียงแค่มีชีวิตอยู่ได้นานถถึงระดับหนึ่ง ต่างก็มีความคิดที่ฝังแน่นพอด้วยกันทั้งสิ้น ความกังวลก็ยิ่งมาก ก็ยิ่งเพิ่มความไม่ยอมจำนนแล้วก็ตายไปเช่นนี้ พวกเขายังมีเรื่องที่อยากทำมากมายเหลือเกิน

การบูชาโลหิตมาถึง พวกเขาก็ไม่ยอมจำนนใจจริงๆ แต่ก็ไร้ซึ่งกำลัง! ดังนั้นการช่วยเหลือของตงป๋อเสวี่ยอิงก็เป็นการช่วยเหลือพวกเขาออกมาจากหุบเหวลึกแห่งฝันร้าย ก็ย่อมมีอากัปกิริยาแตกต่างกันไปอยู่แล้ว

“ก็เป็นผู้แกร่งกล้าน่าหวาดหวั่นผู้นั้นอีกแล้วหรือ” เทพจักรวาลแห่งเกาะจันปาที่ควบคุมผนึกสมบัติลับล้ำค่าอยู่ด้านนอกเมืองมองดูรอยแยกของห้วงอากาศสายแล้วสายเล่ากลางอากาศอย่างหวาดหวั่น เขาคิดอยากหนีขึ้นมาในทันใด!

“หนีหรือ”

เสียงเยียบเย็นดุจน้ำแข็งสายหนึ่งดังขึ้นในห้วงสมองของเทพจักรวาลผู้นี้

ปึง

จากนั้นระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างก็โจมตีบนร่างของเขา ร่างของมารระดับเทพจักรวาลผู้นี้ถูกแยกสลายไปในทันที พลพรรคมารที่เคลื่อนไหวในครั้งนี้ถูกผลาญสังหารจนสิ้นอีกครั้ง

……

และที่เกาะจันปา

ประมุขเกาะจันปานั่งอยู่ในตำแหน่งสูง บรรดาลูกน้องของเขาก็กระจายตัวกันอยู่ภายแต่ละแห่งในโถงตำหนัก แต่ละคนมองดูทุกสิ่งทุกอย่างในเมืองฟู่จวินอยู่ห่างๆ ผ่านกระจกยลฟ้า

ตอนที่ตงป๋อเสวี่ยอิงตะโกนอย่างโกรธเคืองแล้วสำแดงกระบวนท่าผลาญสังหารที่กินอาณาบริเวณใหญ่โตนั้นเอง

“เป็นเขาอีกแล้วหรือ” ร่างกายอวบอ้วนหาใดเปรียบของประมุขเกาะจันปาสั่นสะท้านขึ้นมาด้วยความโมโห ดวงตาเล็กทั้งคู่จ้องมองภาพเหตุการณ์ที่ปรากฏอยู่บนกระจกยลฟ้า

ประมุขเกาะจันปาก็คือผู้แกร่งกล้าระดับเทพจักรวาลขั้นสุดยอด เป็นถึงมารที่ยิ่งใหญ่ไร้เทียมทาน เขาปกครองกุมอำนาจอย่างโอหังมาเป็นระยะเวลายาวนานไร้ที่สิ้นสุด ต่อให้เป็นบุคคลผู้ไร้เทียมทานก็ฆ่าไม่ตาย! ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดกล้ามาทำการยุแหย่เขามาเนิ่นนานเหลือเกินแล้ว คราวก่อนเขาก็แค่ทำเป็นว่าเป็นเรื่องบังเอิญ แต่เรื่องเช่นเดิมเกิดขึ้นอีกครั้ง ประมุขเกาะจันปาเข้าใจว่านี่ย่อมมิอาจเป็นเรื่องบังเอิญได้อย่างแน่นอน!

ดินแดนจิตโลกากว้างใหญ่ไพศาลเพียงใด

จะบังเอิญเผชิญกับผู้แกร่งกล้าคนนี้อย่างต่อเนื่องกันถึงสองครั้งได้อย่างไรกัน นอกจากนี้ที่ต่อเนื่องกันทั้งสองครั้ง การบูชาโลหิตล้วนดำเนินไปเป็นระยะเวลาสั้นนิดเดียวเท่านั้น ผู้แกร่งกล้าผู้ลึกลับผู้นั้นจึงลงมือ!

มาดูตอนนี้ ผู้แกร่งกล้าผู้ลึกลับผู้นี้คงจะได้รับข่าวแล้วรีบมา

“นี่มันตบหน้าข้า จันปา เลยทีเดียวนะ!” ประมุขเกาะจันปายืนขึ้นมา

โถงตำหนักก็เงียบงันลงไปเสียแล้ว

ทุกคนมองไปทางประมุขเกาะบ้านตน

“พรึ่บ”

ประมุขเกาะจันปาพลันยื่นมือออกมา สองมือราวกับมีพลังอันน่าหวาดหวั่นเสียดฟ้า คว้าจับกลางห้วงอากาศ แคว่ก… ฉีกเปิดประตูห้วงมิติแห่งหนึ่งออกมา สามารถเห็นเมืองฟู่จวินที่อีกด้านหนึ่งของประตูได้! ร่างอวบอ้วนหาใดเปรียบของประมุขเกาะจันปาก้าวยาวๆ ก้าวหนึ่งก็ก้าวผ่านประตูห้วงมิติแห่งนี้ ไปถึงด้านนอกเมืองฟู่จวินแล้ว

“ท่านประมุขเกาะจะห้ำหั่นกับผู้แกร่งกล้าผู้ลึกลับผู้นั้นขึ้นมาแล้ว” เหล่ามารระดับเทพจักรวาลของเกาะจันปาภายในโถงตำหนักกลุ่มหนึ่งกลับมีความชุลมุนกันขึ้นมา ถึงขนาดที่มีจำนวนไม่น้อยเผยสีหน้ากระวนกระวายออกมา

“คราวก่อนผู้แกร่งกล้าผู้ลึกลับผู้นั้นก็จัดการพลพรรคของเกาะจันปาเรา คราวนี้ก็ลงมืออีก มีความแค้นกับเกาะจันปาของพวกเราใช่หรือไม่”

“พวกเราล้วนไม่รู้จักเขากันทั้งสิ้น บางทีอาจมีความแค้นกับท่านประมุขเกาะก็เป็นได้”

“ท่านประมุขเกาะห้ำหั่นกับผู้แกร่งกล้าผู้ลึกลับ ท่านประมุขเกาะมีพลังยุทธ์กล้าแกร่งก็ย่อมไม่หวั่นกลัวอยู่แล้ว แต่ถ้าหากผู้แกร่งกล้าผู้ลึกลับผู้นั้นลงมือกับพวกเราขึ้นมาเล่า ก็คงจะวุ่นวายใหญ่โตเสียแล้ว”

บรรดามารระดับเทพจักรวาลเหล่านี้ต่างก็มีความกระวนกระวายลุกลี้ลุกลนอยู่บ้าง

“วางใจเถิด ท่านประมุขเกาะได้จัดวางค่ายกลเอาไว้บนเกาะอย่างหนาแน่นมาเป็นระยะเวลาอันยาวนานแล้ว ต่อให้บุคคลผู้ไร้เทียมทานมาถึง ท่านประมุขเกาะก็ยังสามารถต้านรับซึ่งๆ หน้าได้ ขอเพียงแค่พวกเราอยู่ภายในเกาะก็คงจะไม่มีอันตรายแล้วล่ะ”

“หรือว่าพวกเราจะซ่อนตัวอยู่กันภายในเกาะตลอดไปเลยดีเล่า”

พวกเขาวิพากษ์วิจารณ์ไปพลาง พินิจดูเหตุการณ์ด้านนอกเมืองฟู่จวินผ่านกระจกยลฟ้าไปพลาง

******

ด้านนอกเมืองฟู่จวิน

ตงป๋อเสวี่ยอิงผลาญสังหารมารระดับเทพจักรวาลผู้นั้น แล้วเก็บเอาสมบัติลับล้ำค่าที่มารตนนั้นทิ้งเอาไว้ขึ้นมา รวมถึงสมบัติลับล้ำค่าต้องห้ามชิ้นนั้นด้วย แล้วก็รู้สึกได้ว่าห้วงมิติด้านข้างถูกฉีกทึ้งเปิดออกมา เงาร่างอวบอ้วนสายหนึ่งก้าวยาวๆ ก้าวหนึ่งก็ข้ามผ่านระยะทางอันไกลโพ้น เดินเข้ามาผ่านประตูห้วงมิติที่ฉีกขาดนี้

“เป็นเขา ประมุขเกาะจันปาหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกระจ่างแจ้งในใจ

ทุกคนที่ไปถึงระดับสุดยอด เคล็ดลับวิชาก็ยิ่งทวีความลึกลับมิอาจคาดคะเนได้

เหมือนกับตน เพราะฝึกกายคละถิ่นชั้นที่สอง หลังผ่านการทำให้สมบูรณ์แบบของตนแล้ว ลำพังแค่ระดับความแข็งแกร่งของร่างกาย เกรงว่าคงจะเทียบเคียงได้กับยอดฝีมือระดับสุดยอดทางด้านการหลอมกายแล้ว แต่เคล็ดลับวิชาควบคุมร่างกายนานาชนิดกลับมิอาจเทียบเคียงได้เลย อย่างเช่นพวกเจ้าศิลา การรวมและกระจายร่างไม่ธรรมดา สามารถปรากฏตัวที่แห่งหนใดในโลกกำเนิดได้ในพริบตา อาศัยร่างกายรับสัมผัสโลกกำเนิด ก็สามารถตรวจตราทุกหนแห่งของโลกกำเนิดได้ในพริบตา…

วิธีการต่างๆ นานาเหล่านี้เป็นสิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่มี!

แต่ทางด้านวิถีอากาศ ผสานรวมกับเคล็ดสืบทอดลับ เจ็ดกระบวนคละถิ่น เคล็ดวิชาที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงนั้นเป็นสิ่งที่ยอดฝีมือวิถีอากาศขั้นสุดยอดจำนวนมากพอสมควรต่างก็ไม่เข้าใจกันสักเท่าใดนัก พวกเขาใช้พลังคละวิถีได้ห่างชั้นกับตงป๋อเสวี่ยอิง ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจกระจ่างว่าความเร้นลับของวิถีอากาศยังอ่อนแออยู่พอสมควร ยังคงแสดงพลังรบขั้นสุดยอดออกมาเช่นเดิม

“ประมุขเกาะจันปาเป็น ‘สายพละกำลัง’ ขึ้นชื่อลือชาในด้านความโอหังในทางสายพละกำลัง เพียงแต่ว่าไปถึงขั้นสุดยอดแล้วก็มีสิ่งที่เกินกว่าจินตนาการต่างๆ นานา เป็นศัตรูตัวฉกาจคนหนึ่ง!” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ

ดูที่ดินแดนจิตโลกา ผู้ที่ไปถึงระดับสุดยอดทางสายพละกำลังมีเพียงแค่สองท่านเท่านั้น คนหนึ่งคือประมุขเกาะจันปา อีกคนหนึ่งคือจักรพรรดิเทพผลาญโลกา! จักรพรรดิเทพผลาญโลกามีสุดยอดสมบัติลับล้ำค่าอยู่ พลังยุทธ์ก็ย่อมต้องยิ่งน่าหวั่นเกรงอยู่แล้ว

“สมควรตาย”

ประมุขเกาะจันปามาอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วก็ยังช้าไปก้าวหนึ่ง ไม่สามารถช่วยเหลือเทพจักรวาลใต้บังคับบัญชาผู้นั้นได้ เขาก็เดือดดาลจนตาแทบถลน

ถึงแม้ว่าใต้บังคับบัญชาของเขาจะมีเทพจักรวาลอยู่ถึงสิบกว่าคน แต่ภายในระยะเวลาอันสั้นก็ตายอย่างต่อเนื่องไปถึงสองคน แล้วเขาจะไม่โมโหได้อย่างไรกันเล่า

“เจ้าจงใจเป็นปฏิปักษ์ต่อข้าอย่างนั้นหรือ” ประมุขเกาะจันปาถลึงตามองตงป๋อเสวี่ยอิง ห้วงอากาศโดยรอบกำลังบิดเบี้ยว พรึ่บๆๆ ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างแผ่กระจายออกไปโดยมีประมุขเกาะจันปาเป็นศูนย์กลาง ปกคลุมทั่วบริเวณโดยรอบ อีกทั้งยังกดดันพันธนาการตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ด้วย เห็นได้ชัดว่าเขาเดือดดาลหาใดเปรียบ

และด้วยห้วงมิติชั้นแล้วชั้นเล่าโดยรอบร่างของตงป๋อเสวี่ยอิง เคล็ดวิชาของประมุขเกาะจันปาย่อมไม่สามารถสัมผัสถูกร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงได้อย่างแท้จริงอยู่แล้ว

“ไม่รู้ว่าข้า จันปา ไปเป็นศัตรูกับเจ้าตั้งแต่เมื่อใดกัน ได้โปรดพูดมาดีกว่า ดีร้ายอย่างไรก็ให้ข้าได้เข้าใจสักหน่อยเถิด” ประมุขเกาะจันปาเอ่ยเสียงต่ำ ดวงตาเล็กทั้งคู่จ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างเต็มไปด้วยความร้ายกาจ

“เป็นศัตรูหรือ ระหว่างเจ้ากับข้า นี่เป็นครั้งแรกที่พบหน้ากัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด

“ครั้งแรกหรือ” ประมุขเกาะจันปาขมวดคิ้ว “หรือว่าการสังหารของผู้ใต้บังคับบัญชาของข้า ไปสังหารญาติสนิทมิตรสหายของเจ้าเข้าอย่างนั้นหรือ”

“ไม่เคยเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะ

“เช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงได้คอยเป็นปรปักษ์กับข้า สังหารผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นนี้ล่ะ” ประมุขเกาะจันปาถามอย่างโมโห

ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยอย่างเย็นชา “ทำไมเล่า ผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้ากล้าสังหารหมู่บูชาโลหิตเมืองแห่งหนึ่ง แล้วข้ายังไม่สามารถสังหารพวกเขาได้อีกหรือไร”

“เจ้าสังหารพวกเขาเพราะการบูชาโลหิตอย่างนั้นหรือ” ประมุขเกาะจันปายากที่จะเชื่อได้

“ใช่แล้ว ก็เป็นเพราะการบูชาโลหิตนั่นแหละ! มารเหล่านี้ย่อมสมควรตายอยู่แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยอย่างเรียบเฉย

ประมุขเกาะจันปาไม่กล้าเชื่ออยู่บ้าง

บนดินแดนจิตโลกา…

ยังมีคนบ้าเช่นนี้อยู่จริงๆ หรือ

“จนถึงบัดนี้ ดินแดนจิตโลกามีการบูชาโลหิตมาไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง เหตุใดก่อนหน้านี้ไม่เห็นเจ้าจะลงมือเลย แต่ในการบูชาโลหิตสองครั้งหลังสุดของเกาะจันปาของข้า เจ้ากลับลงมือเล่า” ประมุขเกาะจันปาเอ่ยเสียงต่ำ

“เพราะว่าก่อนหน้านี้ข้ายังไม่เคยบรรลุ พลังยุทธ์ไม่เพียงพอ ก็ย่อมไม่มีความจำเป็นต้องลงมืออยู่แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด

“หึๆ ดูท่าทางเกาะจันปาของข้าช่างโชคดีเสียจริง” ประมุขเกาะจันปาถลึงตามองตงป๋อเสวี่ยอิง “เจ้ามีพลังยุทธ์เช่นนี้ ก่อนหน้านี้จะต้องมิใช่ผู้ที่เงียบเชียบไร้ชื่ออย่างแน่นอน ที่แท้แล้วเจ้าเป็นใครกันแน่”

“พลังยุทธ์แข็งแกร่ง ก็ต้องมีชื่อเสียงอย่างแน่นอนเช่นนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยอย่างเรียบเฉย

ประมุขเกาะจันปาเข้าใจ

บางทีอาจมีความเป็นไปได้อยู่อย่างหนึ่งว่านี่คือผู้สันโดษคนหนึ่งจริงๆ เช่นนั้นหรือ แน่นอนว่าความเป็นไปได้มากที่สุดก็คือผู้แกร่งกล้าผู้นี้คงจะซ่อนเร้นตัวตน ถึงอย่างไรกล้าทำเช่นนี้ได้ ก็เท่ากับฉีกหน้าเกาะจันปาของพวกเขา ถ้าหากเปิดเผยตัวตน มารที่ยิ่งใหญ่ไร้เทียมทานอย่างประมุขเกาะจันปาผู้นี้… ก็ย่อมต้องแก้แค้นอย่างหนักหน่วงอยู่แล้ว!

“ผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าเป็นมาร ส่วนข้าก็คือหัวหน้าของพวกเขา เหตุใดเจ้าจึงไม่สังหารข้าเสียเล่า” ประมุขเกาะจันปายิ้มเย็น

“บุคคลผู้ไร้เทียมทานต่างก็ฆ่าเจ้าไม่ตายกันทั้งสิ้น ข้าก็ยังมิอาจสังหารเจ้าได้ชั่วคราว จำเป็นจะต้องเปลืองแรงเปล่าด้วยหรือไร” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด

“อ้อหรือ ความหมายของเจ้าก็คือ ถ้าหากเจ้าสามารถสังหารข้าได้ ก็จะสังหารข้าอย่างนั้นน่ะหรือ”

“ใช่แล้ว”

“น่าเสียดาย… บนดินแดนจิตโลกา ผู้ใดก็มิอาจสังหารข้าได้หรอก!” สองตาของประมุขเกาะจันปามีแววอาฆาตอันน่าหวาดหวั่นปรากฏขึ้นมาในทันที “อยู่ต่อหน้าข้า เจ้าปกปิดตัวตนมิได้หรอก”

ประมุขเกาะจันปาปล่อยหมัดออกมาอย่างฉับพลัน

กำปั้นอันอวบอ้วนระเบิดออกมาในทันที

ห้วงมิติโดยรอบแหลกสลายเป็นผุยผงจนสิ้น แรงปะทะอันไร้ที่สิ้นสุดพลันเข้าใกล้ร่างกาย

ผู้แกร่งกล้าระดับยอดสุดบนดินแดนจิตโลกาก็มีอยู่เพียงเท่านั้น ที่เป็นด้านวิถีอากาศก็ยิ่งน้อยจนสามารถนับนิ้วได้ จะต้องสามารถคาดเดาตัวตนของคนผู้ลึกลับผู้นี้จากเคล็ดวิชาการต่อสู้ได้อย่างแน่นอน! ประมุขเกาะจันปาต้องการจะต่อสู้เพื่อคาดเดาตัวตนของบุคคลตรงหน้า หลังจากนั้นก็จะทำให้บุคคลลึกลับผู้นี้ได้เข้าใจว่า…อะไรที่เรียกว่ามาร!

“ทำได้ดีนี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับมีจิตต่อสู้เดือดพล่าน

เขาอยากจะบรรลุถึงขั้นสุดยอด ก็จำเป็นต้องต่อสู้เพื่อขัดเกลา!

เขาอยากจะทำให้มารทั่วทั้งใต้หล้าต้องหวั่นเกรง ก็ยิ่งต้องต่อสู้เพื่อพิสูจน์ตนเอง!

และผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอด ‘ประมุขเกาะจันปา’ ก็คือเป้าหมายที่เหมาะสมที่สุดแล้ว!

เมืองฟู่จวินก็เป็นเมืองที่ค่อนข้างเจริญรุ่งเรืองแห่งหนึ่ง ประชากรนับล้านล้านคน เจ้าเมืองฟู่จวินก็เป็นยอดฝีมือขั้นอลวนคนหนึ่ง อยู่ภายในเมือง พูดคำไหนก็เป็นคำนั้น

เสียงเครื่องดนตรีสะท้อนก้องอยู่ภายในโถงตำหนัก เหล่าสาวงามโลดเต้นฟ้อนรำ

เจ้าเมืองฟู่จวินกำลังรับรองแขกเหรื่อจำนวนหนึ่งอยู่ พูดคุยหัวเราะอย่างติดลมบน

“ปัง”

ทันใดนั้นระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างพลันแผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งเมืองฟู่จวิน

“แย่แล้ว” เจ้าเมืองฟู่จวินสีหน้าแปรเปลี่ยน แล้วเคลื่อนที่ในพริบตาหายลับไปจากบนที่นั่งประธาน มาถึงยังกลางท้องฟ้าเบื้องบน

ฟิ้วๆๆ…

ด้านข้างมีเงาร่างสายแล้วสายเล่าปรากฏตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องกัน มียอดฝีมือใต้บังคับบัญชา แล้วก็มีแขกเหรื่อที่รับเชิญมางานเลี้ยงในครั้งนี้จำนวนหนึ่ง

พวกเขามองท้องฟ้าเบื้องบนที่ตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง นอกจากนี้กลางอากาศไกลออกไปมีมารกำลังควบคุมขวดสีดำใบหนึ่งอยู่ ขวดสีดำแผ่ระลอกคลื่นจางๆ ปกคลุมไปทั่วทุกหนทุกแห่งในปราการเมือง มีพลพรรคมารกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าเคลื่อนที่ในพริบตามาปรากฏตัวขึ้นที่ทุกหนแห่งในเมืองฟู่จวินแล้วเริ่มต้นทำการสังหารหมู่ตามอำเภอใจ ขณะที่วิญญาณถูกสังหารหมู่ มีพลังวิเศษแผ่กระจาย ถูกระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างดึงดูดให้เข้าไปภายในขวดสีดำนั้นจนหมดสิ้น

“ขวดมารบูชาโลหิต!”

“เป็นการบูชาโลหิต!”

ทุกคนสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวงรวมทั้งตัวเจ้าเมืองฟู่จวินด้วย

กล้าบูชาโลหิตเมืองแห่งหนึ่ง ขุมอำนาจที่ทำเรื่องชั่วร้ายพรรค์นี้ได้ ไม่มีแม้แต่หนึ่งเดียวที่มิใช่ผู้บัญชาการมารที่ยิ่งใหญ่ไร้เทียมทาน! มารที่ยิ่งใหญ่ไร้เทียมทานพรรค์นั้นก็เป็นผู้ที่เหล่าบุคคลผู้ไร้เทียมทานก็ยังฆ่าไม่ตาย

ผู้ที่อยากขจัดความชั่วร้ายทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาก็มีอยู่มากมายนัก แต่ผู้ที่มีพลังยุทธ์พอจะทำเช่นนี้ได้ก็มีน้อยเสียจนน่าสงสาร ในบรรดาผู้แกร่งกล้าที่มีความสามารถ ผู้ที่เต็มใจจะริเริ่มทำการขจัดมารก็เกรงว่าจะมีเพียงน้อยนิดแค่สองสามคนเท่านั้น ที่น่าอนาถที่สุดก็คือ… แม้ว่าจะเป็นเหล่าบุคคลผู้ไร้เทียมทานที่สูงส่งเหนือผู้ใดก็ยังมีความกระดากใจ มารที่ยิ่งใหญ่ไร้เทียมทานบางคนที่พวกเขาฆ่าไม่ตาย แต่บรรดาพญามารเหล่านั้นกลับมิใคร่จะสนใจความเป็นความตายของผู้ใต้บังคับบัญชาสักเท่าใดนัก ในทางกลับกันก็สามารถเข้าไปในรัฐโบราณ ก่อให้เกิดภัยตามอำเภอใจ

ดังนั้นผู้ที่เต็มใจจะทำการขจัดมาร เมื่อคำนึงถึงสิ่งมีชีวิตใต้บังคับบัญชาของตนก็ยอมแพ้เสียแล้ว ขอเพียงแค่ไม่ส่งผลกระทบต่อความเป็นระเบียบทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา พวกเขาก็ยินยอมแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดมาจัดการกับมารที่ยิ่งใหญ่ไร้เทียมทานเหล่านี้เป็นการเฉพาะแล้ว

“หมดกัน”

“การบูชาโลหิต การบูชาโลหิตมาเยือนแล้ว”

ในใจของพวกเจ้าเมืองฟู่จวินแต่ละคนสิ้นไร้ความหวัง บรรดาแขกเหรื่อจำนวนหนึ่งที่อยู่ข้างๆ ในบรรดาพวกเขามีผู้แกร่งกล้าขั้นอลวนอยู่หลายคน แต่ก็เพียงแค่ส่งร่างแปรมา ส่วนร่างจริงก็ยังต้องนั่งประจำการยังที่มั่นอยู่

“เจ้าเมืองฟู่จวิน โปรดอภัยที่พวกข้าไร้ความสามารถ”

“โอ๊ย นี่คือมารแห่งเกาะจันปา ต้านไม่ไหวหรอก” ทันใดนั้นมีแขกที่ร่างแปรสลายไปในทันที

“ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ ช่วยข้าด้วย”

“ท่านเจ้าเมือง ท่านเจ้าเมือง”

ด้านข้างก็มีบางคนที่ติดตามมายังเมืองฟู่จวินพร้อมกับแขกเหรื่อ แต่ร่างจริงมาที่นี่ก็ขอความช่วยเหลือ เพียงแต่อาจารย์ของพวกเขาและเหล่าเจ้าเมืองกลับส่ายศีรษะ บ้างก็เงียบงัน บ้างก็มองดูศิษย์ใต้บังคับบัญชาของตน “ท่านอาจารย์ช่วยเหลือพวกเจ้าไม่ไหว เผชิญหน้ากับเกาะจันปา ท่านอาจารย์ก็เป็นเพียงแค่มดปลวกเท่านั้น ก็ขึ้นกับโชคชะตาแล้วล่ะ!”

พวกเขาถึงขนาดที่ทิ้งร่างแปรเอาไว้ ความกล้าในการห้ำหั่นกับมารสักนิดก็ไม่มี กลัวเพียงแต่ว่าจะไปยั่วยุเกาะจันปาเข้า! พวกเขาเพียงแค่ต้องการอยู่ให้ห่างได้เท่าไหร่ก็ยิ่งดี

“ไม่…”

“ท่านอาจารย์…”

ผู้บำเพ็ญจำนวนมากมายล้วนสิ้นหวังหาใดเปรียบ

ล้านล้านชีวิตทั่วทั้งปราการเมืองต่างก็จมอยู่กับความสิ้นหวังในชั่วพริบตา แม้กระทั่งเจ้าเมืองฟู่จวินก็ยังทุกข์ทนกระวนกระวาย

“เจ้าเมืองฟู่จวินหรือ” พร้อมกับเสียงหัวเราะเยียบเย็น กองกำลังย่อยสามคนของมารขั้นอลวนกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น พวกเขาแตรละคนต่างก็แข็งแกร่งยิ่งกว่าเจ้าเมืองฟู่จวินเสียอีก สามคนร่วมมือกัน เจ้าเมืองฟู่จวินก็ไม่มีเรี่ยวแรงต้านทานเลยแม้แต่น้อย

“ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วยเถิด” เจ้าเมืองฟู่จวินกลับค้อมกายลงขอร้องในทันที

บรรดาลูกน้องและชนเผ่าที่อยู่ข้างๆ เขาเห็นท่านเจ้าเมืองของตนไม่มีความกระหายในการต่อสู้เลยแม้แต่น้อย แต่กลับขอร้องเสียแล้ว ก็รู้สึกเจ็บปวดเศร้าโศกยิ่งนัก

“ไว้ชีวิตหรือ ก็มิใช่ว่าไม่ได้หรอกนะ ตอนนี้เจ้าก็ฟังบัญชาของพวกข้า ควบคุมค่ายกลทั่วทั้งเมืองฟู่จวินให้ช่วยเหลือพวกข้าสิ” มารขั้นอลวนทั้งสามต่างก็เผยรอยยิ้มออกมา ถึงอย่างไรทั้งปราการเมืองก็ใหญ่โตเกินไป สิ่งมีชีวิตมากมายเกินไป อ่อนแอเกินไป ถึงแม้ว่าจะทำการสังหาร ก็ต้องรักษาการสังหารให้ดีเป็นครู่ใหญ่! ถ้าหากมีเจ้าเมืองฟู่จวินใช้ค่ายกลช่วยเหลือ เช่นนั้นก็จะรวดเร็วขึ้นมาเลยทีเดียว

“ได้สิ” เจ้าเมืองฟู่จวินขบกราม เขาเองก็เศร้าโศกเสียใจมิใช่น้อยที่ต้องหักหลังประชากรในเมืองทั้งหมด เพียงแต่บำเพ็ญมาจนกระทั่งถึงบัดนี้ จิตแห่งวิถึของเขาทั้งหมดก็เพื่อตนเองเท่านั้น! ขอเพียงแค่ตนเองมีชีวิตรอด ทั้งตระกูลล่มสลายแล้วอย่างไรเล่า ตระกูลยังมีสาขาอยู่ข้างนอก ผ่านระยะเวลาอันยาวนานก็จะแกร่งกล้าเช่นเดิม

หากแต่ตนจบเห่แล้ว เช่นนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็จะสูญเปล่า

“ข้าสามารถช่วยเหลือลูกๆ ของข้าได้หรือไม่” เจ้าเมืองฟู่จวินเอ่ยถาม

“เจ้าอยากตายหรือ” มารขั้นอลวนที่เป็นผู้นำคนหนึ่งสีหน้าเข้มขึ้น

“ไม่ๆ” ทันใดนั้นเจ้าเมืองฟู่จวินก็มิกล้าพูดมากอีก

……

ทั้งปราการเมืองฟู่จวินต่างก็ตกอยู่ท่ามกลางความตื่นตระหนกและสิ้นหวังขนานใหญ่ ภายในเมืองก็มีตำหนักย่อยของสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์อยู่ รับศิษย์ที่นี่ เป็นถึงสิบสำนักใหญ่แห่งดินแดนจิตโลกา สำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ก็แทรกซึมไปทั่วทุกหนแห่ง ปราการเมืองที่นับได้ว่าค่อนข้างใหญ่โตอย่างเมืองฟู่จวิน ก็ต้องมีฐานที่มั่นอยู่แล้ว

“การบูชาโลหิต เหล่ามารแห่งเกาะจันปามาบูชาโลหิตแล้ว” เหล่าศิษย์ของสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ที่ตำหนักย่อยแห่งนี้สิ้นหวังหาใดเปรียบ แล้วรายงานข่าวขึ้นไปในทันที

พวกเขานับได้ว่าเป็นระดับรากหญ้าที่สุดของสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์แล้ว

ย่อมไม่เคยคิดมาก่อนอยู่แล้วว่าประมุขรัฐเมฆทักษิณาจะมาช่วยพวกเขา เพราะว่าแม้กระทั่งตัวประมุขรัฐเมฆทักษิณาเองก็มีบางเรื่องที่ไม่กล้าทำ พวกมารต่างก็ไม่มีศีลธรรมจรรยา แต่สำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์นั้นกลับมีศีลธรรมจรรยาเป็นอย่างยิ่ง

ข่าวคราวถูกรายงานขึ้นไป

เพียงไม่นานข่าวคราวก็ขึ้นไปถึงตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว

*****

ณ เมืองหิมะเหิน

ธูปหอมดอกหนึ่งลุกไหม้อยู่ภายในห้องเงียบ กลิ่นหอมแผ่กำจาย ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีขาวตลอดร่างนั่งสมาธิอยู่ที่นั่น หลับตาบำเพ็ญด้วยใบหน้าสงบนิ่ง

ตอนนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงที่กำลังพยายามสั่งสมหมายจะให้เก้าสายผสานรวมกันได้สำเร็จไปถึงระดับสุดยอด ผสานรวมจากสิ่งที่ตระหนักรู้ในเจ็ดกระบวนคละถิ่นและเคล็ดวิชาบางส่วนของวิถีอากาศ แล้วคิดค้นยุทธวิธีหิมะเหินออกมาด้วยตนเอง สามกระบวนสังหารในนั้นยังเป็นวานที่ตงป๋อเสวี่ยอิงภาคภูมิใจ ตอนนี้เพราะว่าเขาหยั่งรู้แสงทิพย์วิญญาณ์ ก็กำลังทดลองคิดค้นกระบวนสังหารที่สี่ออกมา

กระบวนการคิดค้นกระบวนสังหารออกมา ก็คือการสั่งสมการตระหนักรู้ การบำเพ็ญก็เป็นเช่นนี้ น้ำหยดลงหินทุกวันจนหินกร่อน

“หืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงลืมตาขึ้นในทันใด นัยน์ตามีแววโกรธแค้นสายหนึ่ง “บูชาโลหิตเมืองฟู่จวินหรือ แล้วยังเป็นเกาะจันปาด้วยอย่างนั้นหรือ”

เห็นเพียงว่ารูปลักษณ์ของตงป๋อเสวี่ยอิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่เปลี่ยนแปลงไปในทันใด เปลี่ยนแปรกลายเป็นรูปลักษณ์ของบุรุษที่ดูแปลกตาคนหนึ่ง รูปแบบของอาภรณ์ขาวก็มีความเปลี่ยนแปลงเช่นกัน เดิมทีซ่อนเร้นกลิ่นอาย กลิ่นอายที่ปลอมแปลงออกมาก็เยียบเย็นเต็มไปด้วยไอชั่วร้าย

พรึ่บ

รอยแตกสีดำที่อยู่ด้านข้างกะพริบวาบ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็หายลับไปไม่เห็นอีก

เพราะว่าห้วงมิติเมืองฟู่จวินถูกปิดผนึก คิดอยากช่วยเหลืออย่างนั้นหรือ วิธีการธรรมดาทั่วไปย่อมไม่สามารถเข้าไปได้อยู่แล้ว แต่ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกานั้นกลับสามารถเข้าไปได้!

……

ณ เมืองฟู่จวิน

ภายในเรือนพักธรรมดาๆ แห่งหนึ่ง รอยแยกสีดำกะพริบวาบขึ้นกลางอากาศ ก็คือบุรุษอาภรณ์ขาวใบหน้าแปลกตาคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น

เสียงตะโกนร้องไห้ เสียงคำรามอย่างโมโห และเสียงของการห้ำหั่น…เสียงต่างๆ นานาแผ่ปกคลุมไปทั่วทุกหนแห่งของเมืองฟู่จวิน ตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นถึงยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่ทางด้านวิถีอากาศ ก็รับสัมผัสถึงเหตุการณ์ทั่วทุกหนแห่งของเมืองฟู่จวินได้โดยตรง ถึงแม้ว่าตั้งแต่เริ่มทำการบูชาโลหิต ถึงข่าวสารจะแพร่ไปว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะมา เพิ่งจะผ่านไปเพียงแค่ระยะเวลาอันแสนสั้นเท่านั้นแต่กลับมีสิ่งมีชีวิตจำนวนมากที่ถูกสังหารหมู่

‘พินิจดู’ เหตุการณ์อันน่าเศร้าสลดในแต่ละแห่ง แววสังหารในดวงตาของตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นก็มิอาจปิดบังได้

“เกาะจันปา! คราวก่อนผลาญพลพรรคของพวกเจ้า คราวนี้พวกเจ้ายังกล้าบูชาโลหิตอีก!” ตงป๋อเสวี่ยอิงแค่นเสียงอย่างโมโห เสียงตะโกนอย่างโมโหนี้ดังก้องไปทั่วทุกหนแห่งในเมืองฟู่จวินอย่างน่าประหลาด ตงป๋อเสวี่ยอิงยื่นมือตรงขึ้นไปด้านบนอย่างเยียบเย็น…

ตูม!

กลางเวหาด้านบนพลันระเบิดในทันใด

รอยแยกของห้วงอากาศหลายร้อยสายแผ่ไปทั่วในทันที รอยแยกของห้วงอากาศสายแล้วสายเล่าจำนวนมากมายกระจายปกคลุมส่วนใหญ่ของเมืองฟู่จวิน กวาดผ่านพลพรรคมารกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า แล้วเหล่ามารขั้นอลวนที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของรอยแยกของห้วงอากาศก็ถูกผลาญสังหารไปในทันที ไม่มีผู้ที่มีแรงต้านทานเลยแม้แต่น้อยสักคนเดียว

“ไม่”

“เป็นเขาอีกแล้ว!”

ได้ยินเสียงตะโกนอันโกรธเคืองที่ดังก้องสะท้อนไปทั่วทุกหนแห่งในเมืองฟู่จวิน เหล่ามารที่เคลื่อนไหวที่เกาะจันปาในครั้งนี้ต่างก็หวาดหวั่นเสียแล้ว

พวกเขาเข้าใจกระจ่างดียิ่งว่าภายใต้การกดดันของกฎเกณฑ์ของดินแดนจิตโลกา

อยากจะตะโกนอย่างโกรธเคืองให้ดังก้องไปทั่วทั้งปราการเมืองอันใหญ่โตมโหฬาร เทพจักรวาลธรรมดาทั่วไปย่อมไม่สามารถทำได้อยู่แล้ว! แต่มารขั้นอลวนหลายคนในบรรดานั้นที่ควบคุมขวดมารบูชาโลหิตและค่ายกลก็ ‘พบตัว’ บุรุษอาภรณ์ขาวที่ตะโกนอย่างโกรธเคืองผู้นั้นแล้วก็อดที่จะตกใจเสียจนสั่นสะท้านไปถึงดวงวิญญาณมิได้

เป็นเขา! ผู้แกร่งกล้าน่าหวาดหวั่นที่คราวก่อนล้างผลาญพลพรรคมารแห่งเกาะจันปากลุ่มหนึ่งของพวกเขาที่เมืองอันหยากู่ โชคร้ายอะไรเช่นนี้ คราวนี้เขาก็อยู่ที่เมืองฟู่จวินด้วยหรือ

ไม่ปล่อยให้พวกเขาได้คิดอะไรมาก

รอยแยกของห้วงอากาศที่บิดเบี้ยวก็ทะลุผ่านปราการเมืองผ่านห้วงอากาศอันน่าหวาดหวั่น กวาดผ่านพวกเขา

พวกเขาแต่ละคนล้วนพินาศย่อยยับ

และภายในปราการเมือง

เหล่าประชากรจำนวนนับไม่ถ้วนที่เดิมทีสิ้นหวังต่างก็วิปลาสกันไปเป็นจำนวนมากแล้ว พวกเขารู้ว่า ‘การบูชาโลหิต’ มีความหมายเช่นไร! แม้กระทั่งท่านประมุขรัฐผู้สูงส่งของพวกเขาเมื่ออยู่ต่อหน้าพญามารที่น่าหวาดหวั่นที่อาจหาญทำการบูชาโลหิตก็ยังต้องตัวสั่นงันงก ไม่มีผู้ใดสามารถช่วยเหลือพวกเขาได้! ‘การบูชาโลหิต’ คือฝันร้ายของทั้งดินแดนจิตโลกา

“คราวก่อนเกาะจันปาผลาญทำลายพลพรรคกลุ่มหนึ่งของพวกเจ้า! คราวนี้พวกเจ้ายังกล้าทำการบูชาโลหิตอีก!” เสียงตะโกนดังลั่นสะท้อนก้องไปทั่วทุกหนแห่งของปราการเมือง

เสียงตะโกนดังลั่นนี้แฝงไว้ด้วยความเดือดดาลน่าหวั่นเกรง

แล้วยังทำให้เหล่าประชากรในเมืองที่สิ้นหวังจำนวนนับไม่ถ้วนเมื่อได้ยินแล้วต่างก็พากันตกใจจนร่างกายสั่นสะท้าน แต่พร้อมกันนั้นก็พากันยินดีจนแทบคลั่ง! ผู้ที่อาจหาญเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมาได้ อาจหาญท้าทาย ‘เกาะจันปา’ ได้ จะต้องเป็นผู้แกร่งกล้าน่าหวาดหวั่นระดับสุดยอดของดินแดนจิตโลกาอย่างแน่นอน ต่อให้เป็นท่านประมุขรัฐของพวกเขาก็ยังไม่กล้าเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมาเลย

ภายในใจของเหล่าประชากรจำนวนนับไม่ถ้วนต่างก็มีความหวังพุ่งพรวด

จากนั้นพวกเขาก็ได้เห็นทัศนียภาพอันงดงามล้ำเลิศที่สุดที่พวกเขาเคยได้เห็นตลอดชั่วชีวิตนี้…

รอยแยกของห้วงอากาศขนาดมหึมาสายแล้วสายเล่าแผ่ไปทั่วทั้งผืนฟ้าราวกับงูใหญ่ที่บิดร่างตัวแล้วตัวเล่า

สำหรับประชาชนธรรมดาทั่วไปแล้ว พลังวิสัยของพวกเขาก็มิอาจมองเห็นทั่วทั้งปราการเมืองได้ พวกเขาเห็นเพียงแค่ว่ามีรอยแยกของห้วงอากาศแผ่เข้ามาจากริมขอบฟ้า บิดเบี้ยวแพร่ผ่าน มารทั้งหมดในทัศนวิสัยของพวกเขา มารที่ดูน่าหวาดหวั่นมิอาจต่อกรได้ เมื่ออยู่ต่อหน้ารอยแยกอันน่าหวั่นกลัวเช่นนี้ ต่างก็พินาศย่อยยับไปในทันที

“งดงามเกินไปแล้ว”

ประชากรมากมายต่างก็จดจำภาพเหตุการณ์นี้เอาไว้ เหตุการณ์ที่พวกเขามิอาจลืมเลือนได้ชั่วชีวิต

“เมื่อไหร่ข้าจะโชคดีมีพลังยุทธ์เช่นนี้ได้บ้างหนอ” เด็กและเหล่าผู้เยาว์จำนวนมากต่างก็เกิดความหวังพรั่งพรูขึ้นในใจ ขณะนี้ในใจของพวกเขาต่างก็มีผู้แกร่งกล้าที่ยกย่องนับถือและปลาบปลื้มที่สุดแล้ว ก็คือผู้แกร่งกล้าที่กล้าเป็นอริกับเกาะจันปา ช่วยเหลือเมืองของพวกเขา และสำแดงเคล็ดวิชาที่น่าหวั่นเกรงเช่นนี้ออกมาผู้นั้นนั่นเอง!

……………………………………….

เขาส่งร่างแยกออกไปกว่าร้อยร่างแล้วเริ่มกระทำการค่ายกลด้วยความยากลำบาก วัสดุมูลค่ากว่าแสนล้านแก้วผลึกจักรวาลก็คือวัสดุสำหรับวางค่ายกลนั่นเอง!

เมื่อผู้บำเพ็ญสำแดงท่าไม้ตายอันแข็งแกร่งต่างๆ ออกมา ก็ต้องใช้พลังจิตเป็นอย่างมาก แต่หากวางค่ายกลตามความเร้นลับของท่าไม้ตายให้ดี เช่นนั้นแค่ใช้พลังจิตเล็กน้อยอย่างยิ่งก็สามารถกระตุ้นขึ้นมาได้แล้ว! อย่าง ‘ห้วงอากาศทวีคูณล่มสลาย’ หนึ่งในท่าไม้ตายทั้งสามของยุทธวิธีหิมะเหินของตงป๋อเสวี่ยอิง ก็ต้องเสียพลังจิตของร่างแยกทั้งเก้าไปกว่าครึ่งจึงสามารถสำแดงออกมาได้สำเร็จ

แต่หากวางค่ายกลสำเร็จ ค่ายกลหนึ่งแห่ง ค่ายกลสองแห่ง…ค่ายกลสิบแห่ง! ค่ายกลร้อยแห่ง!

ขอเพียงผสานกันให้ดี เพียงชั่วความคิดเดียว ก็สามารถทำให้ค่ายกลนับร้อยระเบิดออกมาพร้อมกัน เท่ากับสำแดง ‘ห้วงอากาศทวีคูณล่มสลาย’ นับร้อยกระบวนท่าออกมาพร้อมกัน

แม้แต่ละกระบวนท่าจะไม่มีดอกบัวเพลิงห้วงอากาศคอยส่งเสริม แต่การเปลี่ยนแปลงด้านจำนวนก็เพียงพอจะเหนี่ยวนำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านคุณภาพได้แล้ว!

แน่นอนว่า…

จะลงมือกับสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูทั้งที ค่ายกลที่วางเอาไว้ก็ไม่สามารถเป็นกระบวนท่าเดียวกันทั้งหมดได้ มิเช่นนั้นแล้วก็จะมีข้อบกพร่องชัดเจนเกินไป ต้องวางกระบวนท่าที่แตกต่างกันเอาไว้ให้หมด

ตงป๋อเสวี่ยอิงมีข้อได้เปรียบประมุขรัฐเมฆทักษิณา อย่างใหญ่หลวงอยู่ข้อหนึ่ง! ก็คือถึงไม่อาศัยค่ายกล ร่างแยกของเขาก็สามารถปะทุพลังรบขั้นสุดยอดออกมาได้ กระบวนท่าต่างๆ ของยุทธวิธีหิมะเหินที่เขาวางเอาไว้ เดิมทีก็มีอานุภาพใหญ่หลวงอย่างยิ่งอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อค่ายกลค่อนข้างน้อยทับซ้อนกัน…ก็สามารถเทียบกับผู้ไร้ศัตรูได้แล้ว! อย่างประมุขรัฐเมฆทักษิณา ในสถานการณ์ที่ไม่อาศัยแรงภายนอก ก็อ่อนแอกว่าตงป๋อเสวี่ยอิงไม่น้อยเลยทีเดียว ดังนั้นเขาจึงได้สิ้นเปลืองวัสดุในการซ่อมแซมและเสริมความแข็งแกร่งให้นครหลวงรัฐเมฆทักษิณามากกว่านับสิบเท่า เมื่ออยู่ในนครหลวงจึงสามารถเทียบกับ ‘สิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรู’ ได้

ตงป๋อเสวี่ยอิงมีพื้นฐานแน่นหนา กระบวนท่าแข็งแกร่ง ตงป๋อเสวี่ยอิงเชื่อว่าเสียหนึ่งแสนล้านแก้วผลึกจักรวาลไปเพื่อซื้อวัสดุก็คงเพียงพอแล้ว!

แข็งแกร่งกว่านี้น่ะหรือ

ภายในเมือง ต่อให้แข็งแกร่งกว่าสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูอยู่ขุมหนึ่งแล้วจะมีความหมายอันใดกันเล่า อย่างมากก็แค่กดดันสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูเท่านั้น สิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูก็จากไปได้อย่างง่ายดายแล้ว เมื่อตนออกจากเมืองไป พลังก็สามารถคืนสภาพเดิมได้ทันที!

******

ค่ายกลแผ่คลุมไปทั่วทั้งตัวเมือง

เนื่องจากมีขนาดใหญ่พอจึงสามารถวางค่ายกลได้ค่อนข้างง่าย หากจะวางค่ายกลจำนวนนับไม่ถ้วนนี้ ลงบนอาวุธซึ่งสามารถพกติดตัวได้น่ะหรือ ความยากก็จะพุ่งทะยานขึ้นไปเป็นร้อยเป็นพันเท่าแล้ว

เคราะห์ดีที่มีขอบเขตใหญ่พอทั้งยังเป็นค่ายกลคงที่ มูลค่าหนึ่งแสนล้านแก้วผลึกจักรวาลจึงเพียงพอ

“วิ้ง”

ร่างแยกนับร้อยร่างลำบากยากเย็นเป็นเวลากว่าหมื่นปี

ทั้งเมืองหิมะเหินค่ายกลแผ่คลุมอยู่มากมาย ‘จวนจ้าว’ ก็มีค่ายกลหลักอยู่ด้วยเช่นกัน ตงป๋อเสวี่ยอิงยังพกจานค่ายกลหลักที่สำคัญที่สุดติดตัวเอาไว้อีกด้วย ซึ่งจานค่ายกลหลักนี้เป็นทั้ง ‘จุดเริ่มต้น’ และ ‘ศูนย์กลางการควบคุม’ มีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถควบคุมค่ายกลที่ยิ่งใหญ่อันน่าหวาดหวั่นทั่วทั้งเมืองหิมะเหินได้

“เอาล่ะ ค่ายกลจำนวนมากสามารถประสานกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่กลางฟากฟ้าเหนือเมืองหิมะเหินพลางเหลือบมองลงไปทั่วทั้งตัวเมือง การรับรู้สายหนึ่งกลับแทรกซึมผ่านค่ายกลจำนวนนับไม่ถ้วนที่หลอมแปรและควบคุมทั้งตัวเมืองก่อนแล้ว และแทรกซึมไปทั่วทุกหนแห่งอย่างรวดเร็ว

ค่ายกลเก็บสะสมอยู้ในตัวเมือง มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า

แต่กลับแทรกซึมอยู่ทุกที่ ราวกับเส้นชีพจรอย่างไรอย่างนั้น

ในเมืองหิมะเหิน…

เขาคือผู้ไร้ศัตรู! ทุกการกระทำล้วนสามารถเหนี่ยวนำพละกำลังอันไร้ที่สิ้นสุดได้

“คิดไม่ถึงว่าข้าจะสำเร็จได้ในเวลาหมื่นปี” ตงป๋อเสวี่ยอิงดีใจมาก ค่ายกลนี้จะผสานกันได้อย่างสมบูรณ์แบบโดยไม่ขัดแย้งกันก็มีเงื่อนไขของระดับขั้นที่สูงมาก ขั้นตอนการวางค่ายกลก็เป็นการทบทวนวิถีอากาศอีกครั้ง

“วิ้ง”

ตงป๋อเสวี่ยอิงกำหนดจิตคราหนึ่ง

ภายในเมืองหิมะเหินมีค่ายกลถึงสามสิบแห่งที่ถูกกระตุ้นขึ้นมาพร้อมกัน ค่ายกลบ้างก็เหมือนกัน บ้างก็ส่งเสริมซึ่งกันและกัน สอดคล้องกัน ทำให้ค่ายกลเหล่านี้เหมือนกับฟันเฟืองที่ทำงานร่วมกันอย่างสมบูรณ์แบบ และขณะเดียวกับที่ค่ายกลถูกกระตุ้นขึ้นมานั้น ณ ส่วนลึกของชั้นเมฆกลางท้องฟ้าเหนือเมืองหิมะเหินก็มีน้ำวนดำทะมึนปรากฏขึ้น น้ำวนฉีกทึ้งทุกสิ่งจนกลายเป็นผุยผง ทำให้ผนังของโลกกำเนิดแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ได้อย่างง่ายดายและเชื่อมเข้ากับมิติในระดับชั้นที่สูงยิ่งขึ้น พลังคละถิ่นแผ่กำจายเข้ามา

ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าน้ำวนอันดำมืดนี้ เกรงว่าหากปกคลุมคนระดับอย่าง ‘จวินอ๋องดำ’ เกรงว่าเพียงพริบตาเดียว จวินอ๋องดำก็คงต้องบิดเบี้ยวและแหลกเป็นผุยผงไป

หากพูดถึงอานุภาพแล้ว ก็ยังแข็งแกร่งกว่า ‘ห้วงอากาศทวีคูณล่มสลาย’ ที่ตนอาศัยดอกบัวเพลิงห้วงอากาศสำแดงออกมาอยู่ขุมใหญ่

ล้วนแต่สามารถข่มขวัญสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูซึ่งหน้าได้

“เพียงชั่วความคิดเดียวก็มีอานุภาพถึงเพียงนี้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าน้อยๆ

“บรรพชนดั้งเดิม” ตงป๋อเสวี่ยอิงสาวเท้าออกไปก้าวหนึ่งก็มาถึงยังยอดเขาซึ่งสูงที่สุดในเมืองหิมะเหิน แม่เฒ่าอิงซานกำลังนั่งขัดสมาธิบำเพ็ญอยู่บนยอดเขา นิ่งราวกับหินก็มิปาน นางใฝ่ฝันที่จะได้ก้าวเข้าสู่ขั้นเทพจักรวาลมาโดยตลอด แต่ก็จนใจที่ก้าวนี้มิได้ก้าวออกไปได้ง่ายๆ

หากกล่าวว่า…

การบรรลุถึงเทพจักรวาลขั้นสุดยอด คือการที่วิถีทั้งสายบรรลุถึงขั้นครบสมบูรณ์ในที่สุด ถือเป็นขีดสุดของวิถีสายหนึ่ง

ส่วนการสำเร็จเป็นเทพจักรวาลนั้น ก็คือกาทำให้แขนงหนึ่งในวิถีสายหนึ่งบรรลุถึงขีดสุด! ก้าวนี้ก็ยากลำบากอย่างยิ่งเช่นเดียวกัน

“อ้อ เสวี่ยอิง มีเรื่องอันใดรึ” แม่เฒ่าอิงซานเปิดเปลือกตาขึ้น มองดูตงป๋อเสวี่ยอิงพลางหัวเราะคิกคัก สำหรับลูกหลานรุ่นหลังของตระกูลอิงซานคนนี้แล้ว นางพึงพอใจมาก ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ได้ให้ความช่วยเหลือด้านการบำเพ็ญแก่นางมากมาย คัมภีร์และทรัพยากรภายนอก…หากสามารถช่วยได้เขาก็ช่วยไปตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว เพียงแต่การก้าวเข้าสู่ขั้นเทพจักรวาลนี้นั้น จะต้องพึ่งพาตนเองเป็นหลัก!

“บรรพชนดั้งเดิม ขอท่านได้โปรดเรียกรวมตัวลูกหลานตระกูลอิงซาน ผู้ที่สามารถมายังเมืองหิมะเหินได้ ให้พวกเขามายังเมืองหิมะเหินจะดีที่สุดขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว

“ตอนนี้ลูกหลานกว่าครึ่งก็อยู่ในเมืองหิมะเหินแล้ว เหตุใดจึงต้องเรียกรวมตัวอีกเล่า” แม่เฒ่าอิงซานสงสัย

บัดนี้เมืองหิมะเหินเป็นเมืองใหญ่อันดับสองของรัฐเมฆทักษิณาแล้ว มีสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วน ตระกูลอิงซานก็ได้ตั้งรกรากอยู่ที่นี่ ลูกหลานกว่าครึ่งจึงรวมตัวกันอยู่ที่นี่! แม้แต่แม่เฒ่าอิงซานก็ยังอยู่ที่นี่แล้ว ทว่าตัวเมืองทั้งหลายในอดีตก็ยังคงรักษาเอาไว้ อย่างบรรดาอ๋องโหวขั้นอลวนบางคนก็ชมชอบที่จะผู้บัญชาการเมืองแห่งหนึ่งเพียงลำพังมากกว่า ดังนั้นจึงยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่ยังคงอยู่ด้านนอก

“เกรงว่าในภายหน้าข้าคงจะมีศัตรูตัวฉกาจ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “หากอยู่ที่อื่น ข้าไม่แน่ใจว่าจะสามารถปกป้องพวกเขาได้ หากอยู่ในเมืองหิมะเหิน ข้ามั่นใจว่าจะสามารถปกป้องพวกเขาได้”

“ศัตรูตัวฉกาจหรือ” แม่เฒ่าอิงซานตกใจ แต่กลับมิได้ตระหนักเลยว่าวาจาของตงป๋อเสวี่ยอิงเมื่อครู่หมายความว่าอย่างไร

แม่เฒ่าอิงซานแค่มองว่าที่เมืองหิมะเหินนี้ มีร่างแยกของตงป๋อเสวี่ยอิงที่สามารถป้องกันได้ทันท่วงที

“ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าพลางพูดยิ้มๆ “เพื่อป้องกันสิ่งที่ไม่คาดคิดก็แล้วกัน ให้ลูกหลานตระกูลอิงซานอยู่ในเมืองหิมะเหินให้หมด อย่างน้อยสักสิบล้านล้านปีเถิดขอรับ”

“ได้ ข้าจะเตรียมการให้เอง แต่แล้ถึงอย่างไรหากตัวเมืองเตรียมคนเอง แล้วไม่ยอมมาจริงๆ ก็คงไม่ต้องฝืนใจอะไรกันมากเกินไปหรอกนะ” แม่เฒ่าอิงซานถาม

“เรื่องนั้นก็ตามใจเถิดขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

ที่กล่าวว่าสิบล้านล้านปี

เพราะตงป๋อเสวี่ยอิงคิดว่า สิบล้านล้านปี…ให้อย่างไรตนก็ควรจะสำเร็จเป็นขั้นสุดยอดแล้ว! อากาศอันสับสนอลหม่านบ้านเกิดในโลกกำเนิดกำลังขยายตัวออกไปอย่างไม่หยุดหย่อน จวนจะถึงการแตกสลายครั้งใหญ่เข้าไปทุกทีๆ เวลาที่เหลือให้ตนก็ไม่นานนักแล้ว! ทว่าตนก็แปดสายหลอมรวมกัน สายที่เก้าซึ่งเป็นสายสุดท้ายก็กำลังอยู่ระหว่างการบำเพ็ญ ตนสั่งสมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง และตนยังมีบุปผาโลกาสองดอกที่ยังมิได้รับรู้ ให้อย่างไร สิบล้านล้านปีก็ควรจะบรรลุได้แล้ว

ทั้งยังต้องบรรลุให้ได้ด้วย! หากไม่บรรลุ แล้วภรรยาจะทำเช่นไรเล่า

******

เมื่อแม่เฒ่าอิงซานออกปาก ขั้นอลวนตระกูลอิงซานแต่ละคนที่ทราบเข้าก็พากันตกอกตกใจ เมื่อถูกเชื่อมโยง ระดับอย่างพวกเขาจะต้องถูก ‘ร่างแห’ เข้า ถึงอย่างไรก็แค่สิบล้านล้านปีเท่านั้น แต่ละคนรีบส่งร่างจริงมายังเมืองหิมะเหิน เหลือเพียงร่างแปรที่ทิ้งเอาไว้เพื่อรักษาตัวเมืองเดิมเท่านั้น ตัวเมืองแต่ละแห่งที่ตระกูลอิงซานเป็นผู้ควบคุม ลูกหลานกลุ่มใหญ่มาถึงเมืองหิมะเหิน ที่เหลืออยู่เพื่อรักษาเมืองก็เจียมเนื้อเจียมตัวเป็นอันมาก

หลังจากตงป๋อเสวี่ยอิงเตรียมการทุกสิ่งพร้อมสรรพแล้ว ก็สงบจิตบำเพ็ญต่อไป

ในยามนี้เอง

ภายในดินแดนจิตโลกายังเกิดอุปสรรคใหญ่ขึ้นมา

สัตว์ประหลาดเฒ่าตนหนึ่งซึ่งมีนามว่า ‘บรรพชนแมลง’ รุ่งโรจน์ขึ้นมา เหมือนเขาจะมีความแค้นกับรัฐโบราณคิมหันตวายุ จึงได้สังหารขั้นอลวนของ ‘สกุลฝาน’ และ ‘สกุลเซี่ย’ ไปหลายคน ท้ายที่สุดแม้แต่สกุลเซี่ยและสกุลฝานก็ยังสูญเสียเทพจักรวาลไปตระกูลละคน ต่อมา ‘บรรพชนฝาน’ ก็ออกหน้าด้วยตนเอง บรรพชนแมลงสู้ไม่ได้แต่กลับหลบหนีไปทันที นี่คือผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอดที่รับมือได้ยากยิ่งคนหนึ่ง

สิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูจะสังหารขั้นสุดยอดก็ยากมาก

หลังจากบรรพชนแมลงรุดหนีไป ก็กลับหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย เพียงแต่ว่ารัฐโบราณคิมหันตวายุก็ตรวจสอบ…ว่าที่แท้แล้วพวกเขาไปผูกความแค้นกับบรรพชนแมลงตั้งแต่เมื่อใดกันแน่ แต่กลับตรวจสอบไม่พบ สัตว์ประหลาดเฒ่าบรรพชนแมลงตนนี้เร้นลับและเก็บเนื่อเก็บตัวเกินไป ครั้งก่อนที่เขาก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวใหญ่ขึ้นมา นั่นยังเป็นสมัย ‘จักรพรรดิกลืนโลกา’ ตอนนั้นเขาเป็นแม่ทัพใหญ่คนหนึ่งใต้บังคับบัญชาของจักรพรรดิกลืนโลกา

……

ณ เกาะจันปา

“ฮ่าฮ่า บรรพชนแมลงสัตว์ประหลาดเฒ่าตนนี้บรรลุถึงขั้นสุดยอดแล้ว จะออกไปแก้แค้นก็เป็นเรื่องปกตินัก เพียงแต่ว่าเจ้าสัตว์ประหลาดเฒ่านี่…ไปผูกความแค้นกับขั้นอลวนระดับรากฐานของสกุลเซี่ยสกุลฝานตั้งแต่เมื่อใดกัน” ประมุขเกาะจันปานั่งอยู่บนบัลลังก์พลางหรี่ตาลงอย่างครุ่นคิด “ถึงอย่างไรเขาก็มีชื่อเสียงมานมนานยิ่งนัก ต่อให้ผูกความแค้น ก็ควรจะผูกความแค้นกับพวกเทพจักรวาลของรัฐโบราณคิมหันตวายุมากกว่ากระมัง ผูกความแค้นกับขั้นอลวนหรือ น่าแปลกๆ”

ประมุขเกาะจันปาพลันกำหนดจิตคราหนึ่ง “น้องรอง”

ทันใดนั้นก็มีบุรุษร่างผอมสูงผู้หนึ่งเร่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว

“พี่ใหญ่” บุรุษร่างผอมสูงเรียก

“ครั้งก่อนที่พวกเราเกาะจันปาบูชาโลหิตในเมืองอันหยากู่นั้น โชคไม่ดีพบกับยอดฝีมือที่น่าสงสัยว่าจะเป็นขั้นสุดยอดซึ่งซ่อนตัวอยู่ที่นั่นคนหนึ่ง” ประมุขเกาะจันปาพูดยิ้มๆ จนถึงตอนนี้เขาก็ยังคิดว่าโชคไม่ดี เนื่องจาก ‘กระจกยลฟ้า’ ทำได้เพียงส่องดูพื้นที่บางส่วนอยู่ห่างๆ เท่านั้นตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาเข้ามายังเมืองอันหยากู่ พวกเขากลับมิทันได้สังเกต ยังคิดว่าตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ในเมืองอันหยากู่มาตั้งนานแล้ว

“ข้าจะหลอมแปรแก่นวิญญาณโลหิต จัดเตรียมการบูชาโลหิตอีกครั้งเถอะ” ประมุขเกาะจันปาพูดพลางยิ้มตาหยี “ดินแดนจิตโลกากว้างใหญ่ไพศาล บังเอิญครั้งหนึ่งก็แล้วไปเถิด ไม่มีทางบังเอิญอีกเป็นครั้งที่สองได้”

ทั้งดินแดนจิตโลกามีขั้นสุดยอดทั้งหมดสักกี่คนกันเชียว

ไหนเลยจะมีเรื่องบังเอิญถึงเพียงนั้น

“พี่ใหญ่วางใจเถิด ข้าจะต้องเตรียมการให้ดีแน่นอน” บุรุษร่างผอมสูงเอ่ยขึ้น

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

Status: Ongoing
ในแคว้นอันหยางสิงแห่งชนเผ่าเซี่ย
มีดินแดนใต้อาณัติแห่งหนึ่งที่แสนจะเล็กและไม่สะดุดตา นามว่า ‘แดนอินทรีหิมะ’ เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นจากที่แห่งนี้ เมื่ออายุได้แปดปี บุพการีทั้งสองถูกพรากไปต่อหน้าต่อตา เขายอมทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยบุคคลอันเป็นที่รักกลับมา ไม่ว่าจะเป็นการฝึกฝนอย่างหนักวันแล้ววันเล่า หรือการผจญกับเหล่าสัตว์มารแสนอันตราย ล้วนมิอาจทำลายปณิธานอันแรงกล้านี้

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท