บทที่ 360 รอจี้จิ่งเชินกลับมา
พอเวินเที๋ยนเที๋ยนเดินออกไปแล้ว เวินฉี่ก็มองประตูที่ปิดสนิทลง ในใจรู้สึกกังวลขึ้นมา
เวินหงไห่ที่อยู่ข้างๆเอ่ยถามขึ้น : “พ่อครับ จะขัดขวางเธอไหมครับ?”
เวินฉี่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“ไม่ต้อง แกก็ระวังเอาไว้ให้ดีแล้วกัน เด็กคนนี้ ข้ามคลื่นลูกนี้ไปไม่ได้หรอก”
ว่าแล้วนั้นเขาถึงได้วางแก้วชาลง แล้วเปิดพลิกดูเอกสารบนโต๊ะ แล้วโบกมือให้กับเวินหงไห่
เวินหงไห่พยักหน้าเล็กน้อยเป็นการตอบรับ แล้วหันกลับออกไปจากห้องหนังสือ
เพิ่งจะเดินออกมานั้น เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย แววตาปรากฏความดุดันออกมา
ผ่านไปสักพักหนึ่ง เขาถึงได้โบกมือขึ้น เรียกผู้ช่วยมาหนึ่งคน
“ไปตามติดเวินเที๋ยนเที๋ยนเอาไว้ ทุกการเคลื่อนไหวของเธอต้องรายงานฉันทั้งหมด”
เวินเที๋ยนเที๋ยนเดินออกมาจากห้องหนังสือ แต่ไม่ได้กลับไปที่ห้อง และหลังจากที่ชำระร่างกายเสร็จแล้วนั้น จึงขับรถมายังบริษัทเอ็มไอกรุ้ป
แสงแห่งความรุ่งเรืองของบริษัทเอ็มไอกรุ้ปได้หายไปตั้งแต่แรกแล้ว
อาคารสูงที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงถนนสายที่รุ่งเรืองที่สุดท่ามกลางใจกลางเมือง ยิ่งดูเงียบเหงาอย่างเห็นได้ชัด
ลานกว้างด้านนอกอาคารใหญ่นั้นเป็นพื้นที่รกร้าง บนพื้นยังคงมีเศษกระดาษทิ้งกระจัดกระจายอยู่อีกด้วย ดูแล้วไม่มีคนทำความสะอาดมาเป็นเวลานานแล้ว
เวินเที๋ยนเที๋ยนเดินทะลุทางลานกว้างนั้นเข้ามายังประตูใหญ่ แม้แต่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตรงด้านนอกประตูก็หายไปด้วยเช่นกัน
สองคนตรงเคาน์เตอร์ด้านหน้ากำลังเก็บของกันอย่างเกียจคร้าน นอกจากนี้แล้ว ก็ไม่เห็นมีใครอีกเลย
พอเวินเที๋ยนเที๋ยนเดินเข้ามานั้น คนหนึ่งตรงเคาน์เตอร์เห็นเธอแล้ว จึงหยุดการเคลื่อนไหวของตัวเองลง แล้วดึงเสื้อของคนที่อยู่ข้างๆ
ทั้งสองคนเงยหน้าขึ้นมามอง แต่กลับไม่ได้เดินเข้ามา จึงมองเวินเที๋ยนเที๋ยนอยู่อย่างไกลๆเช่นนั้น
ตั้งแต่อสังหาริมทรัพย์ของจี้จิ่งเชินถูกอายัด คนในบริษัทก็ดูล่องลอย มีแนวโน้มดูเสื่อมโทรมลงไปมาก
แต่เวลานั้น ยังไม่มีใครจากไปไหน
จนกระทั่งที่จี้จิ่งเชินเกิดเรื่อง แล้วตามมาด้วยบ้านตระกูลจี้ถูกเพลิงไหม้ ทำให้ทุกคนต่างก็รู้สึกวุ่นวายใจ จนในวันถัดมานั้นก็พากันหนีหายไปหมดแล้ว
ตอนนี้คนที่ยังเหลืออยู่ นอกจากคนที่ยังหาทางกลับบ้านไม่ได้นั้น ก็เหลือแต่คนที่ทุ่มเทและสู้มาด้วยกันกับจี้จิ่งเชินเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
เวินเที๋ยนเที๋ยนคาดเดาได้ว่าสถานการณ์ของบริษัทจะไม่ดี แต่ไม่คิดว่าจะแย่ขนาดนี้
เธอขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย แล้วขึ้นลิฟต์ไปด้วยสีหน้าที่จริงจังและหนักแน่น
ลิฟต์ค่อยๆขึ้นไปด้านบนทีละชั้นๆ ความเงียบเหงาวังเวงในแต่ละชั้นปรากฏเข้าสู่สายตาของเธอ ทำให้ในใจของเวินเที๋ยนเที๋ยนนั้นยิ่งจมดิ่งลงไปมากขึ้น แทบไม่มีจุดสิ้นสุด
ออฟฟิศประธานบนชั้นดาดฟ้าไม่มีใครอยู่เลยแม้แต่คนเดียว ความว่างเปล่านี้ เหลือเพียงแค่เสียงฝีเท้าของเวินเที๋ยนเที๋ยนเพียงเท่านั้น
เธอมองทุกห้องรอบหนึ่ง จนสุดท้ายแล้วถึงได้ยินเสียงมาจากด้านนอกห้องประชุม
“ตอนนี้ประธานจี้ไม่อยู่ บริษัทก็กำลังวุ่นวาย เป็นแบบนี้ต่อไป ต่อให้ถูกยกเลิกการโดนอายัด แต่บริษัทก็ไม่สามารถที่จะดำเนินกิจการได้ต่ออยู่แล้ว”
“บรรดาคณะกรรมการบริษัทก็พากันหายเข้ากลีบเมฆไปแล้ว หาตัวพวกเขาไม่เจอเลย ดูท่าทางแล้วบริษัทจะต้อง….”
“ได้ยินว่าหลังจากนี้หนึ่งสัปดาห์ ถ้าหากไม่มีผู้ถือหุ้นออกมาปรากฏตัวอีก บริษัทก็จะถูกขายแล้วนะ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนยืนอยู่ด้านนอกประตู ได้ยินเสียงถอดถอนใจด้วยความกลัดกลุ้มนี้
เธอเงียบอยู่พักหนึ่ง แล้วถึงได้ผลักประตูเข้าไปในที่สุด
ประตูเปิดออกพร้อมเสียงดังเอี๊ยด คนที่อยู่ด้านในต่างก็พากันหันมามอง
เวินเที๋ยนเที๋ยนกวาดสายตาไปแวบหนึ่ง เวลานี้คนที่นั่งอยู่ด้านในนั้น เธอเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยอยู่ไม่กี่คน และผู้จัดการหยางก็เป็นหนึ่งในนั้น
พวกเขาล้วนแต่เป็นพนักงานคนเก่าแก่ที่เติบโตมากับบริษัท สามารถพูดได้เลยว่าเป็นบุคคลที่ต่อสู้ดิ้นรนมาด้วยกันกับจี้จิ่งเชินนั่นเอง
ภายในห้องนั้นมีคนอยู่เพียงสิบกว่าคน แต่กลับเป็นคนส่วนมากที่เหลืออยู่ของบริษัทในตอนนี้แล้วสินะ?
หลายๆคนกำลังรวมตัวกัน เพื่อปรึกษากันถึงมาตรการรับมือในวันข้างหน้า เมื่อจู่ๆก็เห็นเวินเที๋ยนเที๋ยนที่ยืนอยู่ตรงประตูแล้วนั้น จึงพากันเบิกตาโตขึ้นมาทันที
“เวิน….คุณเวิน?”
ทุกคนต่างก็รู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับจี้จิ่งเชิน แต่ไม่คิดว่า เวินเที๋ยนเที๋ยนจะมาปรากฏตัวที่นี่ในเวลานี้….
เวินเที๋ยนเที๋ยนพยักหน้าลงเล็กน้อย แล้วเดินเข้าไป
“บอกสถานการณ์ตอนนี้ของบริษัทกับฉันหน่อยค่ะ”
ไม่กี่คนที่อึ้งไปกับคำถามนี้ แล้วผ่านไปสักพักหนึ่งถึงได้มีปฏิกิริยาตอบกลับมา
แล้วจึงรีบเอ่ยขึ้น : “80%ของคนในบริษัทที่ขาดงานไปโดยไม่มีสาเหตุ พวกเขา…..”
“ทำตามในสัญญาตอนแรก ให้พวกเขาลาออกกันไปเลยนะคะ”
ผู้จัดการหยางเบิกตาโตขึ้น พลางเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย : “คุณเวินครับ ถ้าหากลาออกแล้ว บริษัทเราก็ไม่สามารถที่จะยื้อเอาไว้ต่อได้แล้วนะครับ”
เดิมทีพวกเขาเตรียมจะเรียกคนให้กลับมาเสียด้วยซ้ำ ถึงแม้ว่าจี้จิ่งเชินจะไม่อยู่แล้ว บริษัทก็จะล้มไม่ได้ อย่างน้อยก็ยังมีรากฐานอยู่ เพียงแค่ดำเนินกิจการต่อไปให้ดี ก็คงจะไม่ได้แย่อะไร
แต่คิดไม่ถึงว่า เวินเที๋ยนเที๋ยนเข้ามา ก็จะให้พวกเขาปลดพนักงานออกแบบนี้
เวินเที๋ยนเที๋ยเอ่ยพูดขึ้นอย่างเด็ดเดี่ยว : “คนแบบนี้อยู่บริษัทต่อก็ไม่มีประโยชน์ เพียงช่วงเวลาแค่วันเดียว ก็เลือกที่จะไม่มาทำงานกันอย่างไม่มีเหตุผล ไม่จำเป็นที่จะต้องรั้งพวกเขาไว้หรอกค่ะ”
เธอหันกลับมา แล้วเอ่ยถามต่อ : “นอกจากพนักงานแล้ว สถานการณ์อื่นๆล่ะคะ? ยังมีการร่วมงานกันกับบริษัทอื่นๆอยู่หรือเปล่า?”
ผู้จัดการคนหนึ่งยื่นส่งเอกสารข้อมูลมาให้ คิ้วขมวด รู้สึกทุกข์ใจเป็นอย่างมาก
“ความร่วมมือหลายๆอย่างล่าช้าออกไปครับ แล้วทางผู้ร่วมงานกับเราเกินกว่าครึ่งที่ติดต่อมาทางเราเพื่อขอยกเลิกที่จะร่วมงานกับพวกเรา”
เวินเที๋ยนเที๋ยนเปิดพลิกเอกสารที่อยู่บนโต๊ะดู พบว่าเรื่องราวนั้นไม่ได้ง่ายอย่างที่เขาพูดเลย
ผู้ร่วมมือเกินกว่าครึ่งที่อยากจะถอดถอนการลงทุน ส่วนที่เหลือก็ยังคงคอยเฝ้าสังเกตการเปลี่ยนแปลง จึงเลือกที่จะหยุดงานเอาไว้ก่อน
หากนับดูแล้ว รายการเกือบจะทั้งหมดที่จะต้องหยุดลง
ผู้จัดการหยางที่ยืนอยู่ข้างๆนั้นเอ่ยขึ้น : “ถ้าหากการร่วมมือพวกนี้ยกเลิกออกไปจริงๆ จะสร้างความเสียหายที่ไม่อาจจะกู้กลับคืนมาได้เลยนะครับ”
ก่อนหน้านี้ บริษัทได้ลงทุนไปเป็นจำนวนเงินไม่น้อย หากตอนนี้ต้องหยุดงานล่ะก็ ไม่เพียงแต่จะไม่ได้ค่าตอบแทนกลับมาด้วยเพียงเท่านั้น ความเสียหายของอีกฝ่ายที่ร่วมมือกันทางบริษัทเอ็มไอกรุ้ปก็จะต้องเป็นฝ่ายรับผิดชอบด้วยเช่นกัน
เงินชดเชยนี้ ช่างน่าตกใจเสียเหลือเกิน
เวินเที๋ยนเที๋ยนขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย สีหน้าของเธอจริงจังเป็นอย่างมาก
เธอเงยหน้าขึ้นมาแล้วมองไปรอบๆ แต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของจงหลีเลย
“จงหลีล่ะคะ?”
เธอเอ่ยถามขึ้น
ทั้งสองสามคนนั้นมองหน้ากัน แล้วผู้จัดการหยางจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ต่ำลง
เอ่ยขึ้นมาอย่างลำบากใจ : “ตั้งแต่เมื่อวานนี้ผู้ช่วยจงไม่ได้มาที่บริษัทเลยครับ อาจจะ…..”
เขาเอ่ยขึ้นมาเพียงแค่ครึ่งเดียว แล้วก็ไม่ได้เอ่ยพูดต่อ
แต่เวินเที๋ยนเที๋ยนเดาได้ถึงประโยคต่อไปของเขา
ที่ผู้จัดการหยางอยากจะพูดออกมาก็คือ จงหลีอาจจะเป็นเหมือนกับพนักงานคนอื่นๆ ที่ไปจากบริษัทนี้แล้ว
แต่ในความคิดของเธอนั้น เธอรู้สึกว่าจงหลีไม่ใช่คนแบบนี้
เธอขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย บ่นพึมพำออกมาอยู่พักหนึ่ง
แล้วจึงเอ่ยขึ้น : “เอาช่องทางการติดต่อของจงหลีให้ฉันหน่อยค่ะ”
ผู้จัดการหยางอึ้งไป พลางเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ : “คุณเวิน คุณจะไปหาเขาหรือครับ?”
เวินเที๋ยนเที๋ยนพยักหน้า
“บางทีอาจจะเกิดอะไรขึ้น…..”
เธอเอาข้อมูลของจงหลีมา ยืนอยู่แล้วหันไปกวาดตามองคนที่อยู่ภายในห้องนี้ ด้วยแววตาที่มุ่งมั่นมากขึ้นกว่าเดิม
“ถึงแม้ว่าตอนนี้จี้จิ่งเชินจะยังกลับมาไม่ได้เป็นการชั่วคราว แต่บริษัทเอ็มไอกรุ้ปจะล้มลงไม่ได้ บริษัทของเขา ฉันจะเป็นคนมาดูแลเอง”
เวินเที๋ยนเที๋ยนยืดตัวตรง น้ำเสียงดูหมองลง
“จนกว่าจี้จิ่งเชินจะกลับมา”
ได้ยินประโยคนี้แล้ว ผู้จัดการหยางอ้าปากด้วยความตกใจ แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ตอนนี้ทางด้านนอกก็แทบจะมั่นใจกันหมดแล้วว่าจี้จิ่งเชินตายไปแล้ว
แต่เวินเที๋ยนเที๋ยนมั่นใจขนาดนี้ ในใจของผู้จัดการหยางเองก็เริ่มถูกจุดประกายความหวังนี้ขึ้นมา!
พลางเอ่ยขึ้น : “คุณเวิน ถ้าหากมีอะไรที่พวกเราช่วยได้ บอกได้เลยนะครับ ถึงแม้ผมจะทำไม่ได้ แต่ให้วิ่งไปทำอย่างอื่นผมทำได้อยู่ครับ”
พอเขาเอ่ยขึ้นมานั้น คนอื่นๆก็พากันเอ่ยพูดตามขึ้นมา : “ใช่ครับ คุณเวิน พวกเราเดินมากับบริษัทจนถึงตอนนี้ ไม่มีทางที่จะเห็นบริษัทล้มไปต่อหน้าต่อตาได้หรอกครับ”
“ขอเพียงแค่สามารถรักษาบริษัทเอาไว้ได้ พวกเราฟังคุณหมดเลยครับ”