บทที่ 612 ดาวนำโชคและยันต์กันภัยของบริษัท
ทันทีที่เวินเที๋ยนเที๋ยนเห็นขอบตาของคุณนายหล่อนแดง ตัวเธอเองก็เริ่มแสบจมูกขึ้นมาบ้างแล้ว
แต่พอกระพริบตา ก็มีน้ำตาซึมออกมา
คุณนายหล่อนกลับยิ้มขึ้นมาก่อน
“เธอดูฉันสิ น่าเบื่อจริงๆ เลย”
“ไม่เลยค่ะ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนส่ายหน้าแล้วรีบไล่ความรู้สึกผิดและตำหนิตนเองในใจให้หมดไป จากนั้นตั้งใจป้อนน้ำซุปให้คุณนายหล่อนจนเสร็จ
“ถ้าคุณชอบล่ะก็ พรุ่งนี้ฉันจะเอามาให้ใหม่”
คุณนายหล่อนกำลังจะพยักหน้า แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเวินเที๋ยนเที๋ยนทำงานอยู่ในทีมชี้แนะ จึงเริ่มลังเลขึ้นมา
“งานของเธอสำคัญ ไม่ต้องลำบากหรอก เรื่องนี้ให้แม่ครัวเป็นคนทำก็พอ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนส่ายหน้า
“ไม่ลำบากเลยค่ะ อีกสักพักก็ดีขึ้นแล้ว”
พอได้ยินแบบนี้ คุณนายหล่อนก็มีสีหน้าแววตาที่คิดหนัก
หลังจากผ่านไปนาน ในที่สุดก็พยักหน้า แววตาของเธอเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข
“แต่ฝีมือการทำอาหารของเธอดีกว่าฉันมากเลยนะ”
พอพูดถึงเรื่องนี้ทั้งสองก็นึกถึงตอนที่เวินเที๋ยนเที๋ยนนอนโรงพยาบาลเมื่อครั้งก่อน คุณนายหล่อนก็เคยเคี่ยวน้ำซุปให้เธอ
เรื่องราวในอดีตค่อยๆ ปรากฏขึ้นในหัวของเธอ มันทำให้เธออดหัวเราะออกมาไม่ได้
เมื่อพูดถึงเรื่องในอดีต คุณนายหล่อนก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาไม่น้อย
ในช่วงเวลาสั้นๆ แค่ครึ่งชั่วโมง กลับทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ใกล้ชิดกันมากขึ้น
จนกระทั่งเวลาได้ล่วงเลยผ่านไป ในที่สุดเวินเที๋ยนเที๋ยนก็ขอตัวกลับไปก่อนและกลับไปที่สตูดิโอเอเชียแปซิฟิก
พอไปถึงก็พบว่าอาจารย์ฟ่านได้ลาออกไปก่อนล่วงหน้าแล้ว
เวินเที๋ยนเที๋ยนอดแปลกใจขึ้นมาอีกครั้งไม่ได้ เมื่อนึกถึงคำพูดพวกนั้นที่เธอพูดในโรงพยาบาลเมื่อวาน สรุปแล้วอาจารย์ฟ่านมีหลักฐานอะไรกันแน่?
ต่อด้วยโครงการสุดท้ายที่ถูกจี้จิ่งเชินในนามบริษัทเอ็มไอกรุ้ปได้ไป ดังนั้นสมาชิกทุกคนภายในทีมชี้แนะต่างก็ต้องเข้าร่วมกลุ่มและทำงานด้วยกัน
พอตกบ่าย เวินเที๋ยนเที๋ยนก็พาหลายๆ คนไปที่บริษัทพร้อมกัน
ทันทีที่เธอเข้าไปในบริษัท พนักงานแผนกต้อนรับหลายคนก็จำเธอได้และมีสีหน้าที่ทั้งแปลกใจและดีใจ
“คุณเวิน คุณมาได้อย่างไรคะ?”
หลายคนออกมาต้อนรับด้วยความยินดีและดีใจยิ่งกว่าแจกโบนัสเสียอีก
เวินเที๋ยนเที๋ยนสนิทกับหลายๆ คน เลยพูดอย่างยิ้มๆ ว่า: “สองสามวันนี้ทีมชี้แนะของพวกเราจะมาทำงานที่บริษัท”
“จริงเหรอคะ?”
ทั่วทั้งใบหน้าดูเปล่งประกายขึ้นมา คิดไม่ถึงเลยว่าฝ่ายตรงข้ามจะดีใจยิ่งกว่าเธอเสียอีก
“ดีจริงๆ เลย!”
ในขณะที่พูดอยู่คนๆ นั้นก็ได้เข้าไปช่วยเวินเที๋ยนเที๋ยนถือของอย่างกระตือรือร้น แล้วเดินเข้าไปข้างในด้วยรอยยิ้มที่เต็มเปี่ยมไปทั่วหน้า
สมาชิกคนอื่นๆ ในกลุ่มที่เดินตามหลังต่างก็รู้สึกมึนงง ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
ระหว่างทางพนักงานคนอื่นๆ ที่ได้พบเวินเที๋ยนเที๋ยนต่างก็อุทานขึ้นมาอย่างตกใจ
พอได้ยินเธอบอกว่าจะมาทำงานที่บริษัท ทุกคนก็ดีใจและกระตือรือร้นมาก แล้วทยอยวิ่งไปบอกกันและกัน ใช้เวลาไม่นานข่าวนี้ก็ลือกันไปทั่วทั้งบริษัท
ก็ไม่แปลกที่ทุกคนจะดีใจขนาดนี้
เพราะจี้จิ่งเชินมีนิสัยที่เข้มงวดมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถ้าหากทำงานพลาดแม้แต่นิดเดียว ต่อให้คุณเป็นพนักงานเก่าแก่อาวุโสก็จะถูกเขาลงโทษจนต้องยอมศิโรราบ
แต่ขอเพียงเวินเที๋ยนเที๋ยนปรากฎตัวขึ้น อารมณ์ของจี้จิ่งเชินก็จะพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ
หรือจะพูดได้ว่าเวินเที๋ยนเที๋ยนได้กลายเป็นดาวนำโชคและยันต์กันภัยของบริษัทไปแล้ว
ทางด้านของเวินเที๋ยนเที๋ยนที่เพิ่งจะนำทีมเข้ามาในบริษัท ก็มีพนักงานทั้งหลายที่ทราบข่าวต่างก็รีบมาตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข่าว
พอได้เห็นเวินเที๋ยนเที๋ยนตัวจริงเสียงจริง พวกเขาก็รู้แล้วว่าอย่างน้อยก็คงได้อยู่ในบริษัทนี้ต่อไปอีกหนึ่งเดือน จากนั้นก็ทยอยออกไปอย่างพอใจ
บริษัททำห้องทำงานขนาดใหญ่ขึ้นมาโดยเฉพาะ ก็เพื่อให้ทีมชี้แนะมาทำงานที่นี่
สมาชิกในทีมเทคนิคหลายคนเพิ่งเคยมาบริษัทเอ็มไอกรุ้ปเป็นครั้งแรกและก็เป็นครั้งแรกเช่นกันที่ได้เจอการต้อนรับอย่างสมศักดิ์ศรีแบบนี้
เพียงไม่กี่ชั่วโมงที่ได้พอเจอกัน ก็มีพนักงานวนเวียนมาส่งของขวัญให้ไม่หยุด
มีทั้งซื้อขนมมาให้และคุกกี้ที่ทำเอง รวมถึงของที่จำเป็นต้องใช้ในการทำงาน
ภายในช่วงเวลาสั้นๆ ก็มีของวางกองเต็มโต๊ะมากมาย
ไม่เพียงแต่เวินเที๋ยนเที๋ยน แม้แต่สมาชิกคนอื่นๆ ก็พลอยได้ประโยชน์ไปด้วย
การปฏิบัติตรงหน้านี้เมื่อเทียบกับงานทำงานร่วมกับบริษัทอื่นๆ แล้ว มันช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
สมาชิกหลายคนต่างก็รู้สึกพอใจแล้วมองสิ่งของที่อยู่ในมือตลอดเวลาและอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
“บริษัทใหญ่นี่ช่างแตกต่างจริงๆ แม้แต่พนักงานชั่วคราวยังได้รับการปฏิบัติดีขนาดนี้ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ฉันคงจะอาลัยอาวรณ์จากไปไม่ลง”
“หยุดโวยวายได้แล้ว เธอคิดว่าพวกเขาส่งของมาให้เธอจริงๆ เหรอ? ของพวกนี้ส่งให้เที๋ยนเที๋ยนต่างหากเล่า จริงไหม?”
“ถูกต้อง”
หลายๆ คนพูดหยอกล้อไปด้วยพร้อมมองไปที่เวินเที๋ยนเที๋ยน
หลังจากที่ผ่านไปสองสามวัน สมาชิกในกลุ่มหลายๆ คนก็เริ่มคุ้นเคยกันบ้างแล้ว และเริ่มหยอกล้อกันบางครั้งคราว ดูสนิทสนมกันมากทีเดียว
“ไม่มีอะไรหรอก ฉันคิดว่าบริษัทตระกูลจี้ก่อนหน้านี้ก็ไม่เลวนะ” เวินเที๋ยนเที๋ยนรีบอธิบาย
“จริงเหรอ?”
หลายคนกลับไม่ยอมเชื่อ จากนั้นหัวเราะแล้วเอ่ยว่า: “แต่ว่าที่บริษัทอื่นไม่มีคนสำคัญที่สุดนี่นา~”
คำพูดที่แฝงด้วยความหมายบางอย่างนี้ เธอพูดไปด้วยพร้อมหันไปมองที่ประตูไปด้วย
พอเห็นว่าใบหน้าของเวินเที๋ยนเที๋ยนเริ่มแดงก็จงใจพูดอีกว่า: “น่าแปลกจัง คนมาเยอะขนาดนี้ แต่ทำไมไม่เห็นบุคคลสำคัญเลยนะ?”
ทุกคนต่างรู้กันดีว่าคนที่เธอหมายถึงก็คือจี้จิ่งเชิน
เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเวินเที๋ยนเที๋ยนกับจี้จิ่งเชิน ใครจะไม่รู้บ้าง?
แต่นี่พวกเขาเข้ามาบริษัทเกือบจะสามชั่วโมงแล้ว ก็ยังไม่เห็นจี้จิ่งเชินมาหาเลย
“จากข่าวลือว่ากันว่า ประธานจี้แทบจะอยู่กับเวินเที๋ยนเที๋ยนตลอดเวลาเลยไม่ใช่เหรอ? ทำไมตอนนี้ถึงยังไม่มาล่ะ?”
หลายๆ คนพูดแล้วหัวเราะไปด้วยและมองประตูไปด้วย
พอได้ยินเสียงหัวเราะของทุกคน เวินเที๋ยนเที๋ยนก็รู้สึกเขินจนหน้าแดงแล้ว
ในขณะที่กำลังจะบอกให้ทุกคนหยุดพูด ทันใดนั้นเองเสียงเคาะประตูห้องทำงานก็ดังขึ้น
พอหันไปดูก็พบว่าคนที่พวกเขากำลังพูดถึงได้มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าแล้ว
จี้จิ่งเชินยืนอยู่ที่หน้าประตู ในขณะเดียวกันทุกคนก็เงียบกันหมดแล้ว
ทันทีที่เวินเที๋ยนเที๋ยนเห็นจี้จิ่งเชินปรากฏตัวขึ้นจริงๆ ก็ยิ่งทำให้ใบหน้าของเธอเห่อร้อนไปกันใหญ่
แต่จี้จิ่งเชินกลับไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นในห้อง เขาจึงกวาดสายตามองไปที่ทุกคน ก่อนจะหยุดลงที่เวินเที๋ยนเที๋ยน
“เป็นอะไรไป? พวกคุณคุยอะไรกัน?”
เวินเที๋ยนเที๋ยนรีบส่ายหน้า แต่แก้มที่แดงระเรื่องของเธอกลับไม่ได้พูดแบบนั้น
“นายมาได้อย่างไร?” เธอกระซิบถามเบาๆ แล้วใช้มือปิดแก้มเอาไว้หวังจะให้อุณหภูมิลดลงมาหน่อย
สายตาของจี้จิ่งเชินกวาดมองไปยังแก้มที่ร้องผ่าวของเธอ แล้วเลิกคิ้วก่อนจะดึงมือเธอออกและใช้มือของตัวเองแนบลงไปแทน
“ทำไมร้อนขนาดนี้?”
พอเวินเที๋ยนเที๋ยนได้ยินคำพูดนี้ ใบหน้าของเธอก็ยิ่งเห่อร้อนขึ้นอีกแล้ว
และยิ่งได้ยินเสียงคนอื่นที่แอบหัวเราะเบาๆ ก็ยิ่งขวยเขิน
“ฉันไม่เป็นไรจริงๆ” ก่อนจะหันหนีฝ่ามือของจี้จิ่งเชินและก้มหน้าลง
จี้จิ่งเชินเห็นว่าเธอไม่ได้ถูกรังแกก็เอ่ยว่า: “เธอบอกว่าจะไปโรงพยาบาลไม่ใช่เหรอ?”
พอได้ยินที่เขาพูด เวินเที๋ยนเที๋ยนก็นึกขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว ไม่รู้สึกตัวเลยสักนิดว่าสายป่านนี้แล้ว
“ฉันเกือบจะลืมไปแล้วเชียว”
เธอบ่นเบาๆ
เหล่าสมาชิกในทีมก็เริ่มเอ่ยแซว: “หรือดีใจที่ได้กลับบริษัทของตัวเองจนลืมไปแล้ว?”
“อยู่บริษัทอื่นหนึ่งวันนานเหมือนหนึ่งปี แต่พอกลับมาบริษัทของตัวเอง ก็ต้องรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วอยู่แล้ว”
พอพูดจบ พวกเขาก็หัวเราะออกมาเบาๆ