บทที่1367 เธอมีชีวิตใหม่
ถึงแม้ทั้งสองจะหมายหมั้นกัน แต่หานชิงก็ไม่เคยแสดงออกว่าชอบเธอเลยสักครั้ง ทำราวกับว่าเธอเป็นเพียงอากาศอยู่เสมอ มากสุดก็ดีกว่าคนอื่นอยู่หน่อยๆ
แต่ก็เพียงนิดเดียวเท่านั้น อย่าพูดถึงความรู้สึกแปลกๆเลย แม้แต่ความใกล้ชิดใดๆก็ไม่มี
ถ้าหาก….พวกเขาเลิกกันขึ้นมาจริงๆ แบบนั้น….เธอเองก็มีความหวังใช่ไหม?
วันนี้หานมู่จื่อแทบจะไม่ว่างเลย เธอจึงทิ้งเย่โม่เซินแล้วตัวเองก็ไปที่บริษัทตระกูลหานกับเสี่ยวโต้วหยา
ในตอนที่เตรียมจะไปหาหานชิง ก็กลับเจอเข้ากับร่างที่คุ้นเคย
เธอลังเลเล็กน้อย แต่ก็เดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว
ท้ายสุดเมื่อถึงแผนก ก็เห็นสวี่เย็นหวั่นนั่งอยู่ที่ที่นั่งของเธอ
เมื่อเห็นสวี่เย็นหวั่น หานมู่จื่อก็หรี่ตาลงเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ
นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
ในขณะที่หานมู่จื่อมองเธออยู่นั้น เสี่ยวโต้วหยาในอ้อมกอดจู่ๆก็งอแงขึ้นมา หานมู่จื่อจึงก้มหน้าไปกอดและปลอบเธออยู่พักหนึ่ง
เมื่อเงยหน้าขึ้นมา สวี่เย็นหวั่นก็มองเห็นเธอแล้ว
เมื่อเห็นเธอ สวี่เย็นหวั่นเองก็แปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ปรับอารมณ์ตัวเองอย่างรวดเร็ว ยิ้มน้อยๆก่อนจะยืนขึ้นและเดินเข้าไปหา
“มู่จื่อ。”สวี่เย็นหวั่นทักทายเธอด้วยชื่อก่อน
และด้วยมารยาท
หานมู่จื่อเองก็จึงยิ้มขึ้นด้วยเหมือนกัน แต่ก็เป็นเพียงยิ้มทื่อๆ แล้วก็ไม่เรียกชื่อเธอกลับอีกด้วย
สวี่เย็นหวั่นเห็นแววตาของเธอก็พอจะมองออก จึงยิ้มบางๆ ก่อนจะพูดขึ้น: “เธอมาหาหานชิงใช่ไหม? น่าเสียดาย สองวันนี้เขาไม่เข้าบริษัทหน่ะ”
ไม่เข้าบริษัทอย่างนั้นเหรอ?
พี่ชายของเธอไม่ใช่คนบ้างานอยากนั้นเหรอ? ทำไมจู่ๆไม่เข้าบริษัทหล่ะ?
หรือว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น?
“ฉันรู้ว่าเธอมีเรื่องหลายเรื่องเลยที่อยากจะถาม ที่นี่เองก็ไม่ใช่ที่ที่ควรจะมาคุยกัน ถ้าอย่างนั้นเราไปหาที่คุยกันไหม?”สวี่เย็นหวั่นเป็นฝ่ายเสนอ
หานมู่จื่อจึงพยักหน้า: “ก็ได้”
ก็จริงที่เธอมีเรื่องอยากจะถามมากมาย ไม่คิดว่าสวี่เย็นหวั่นจะมองเธอออกเป็นอย่างดี
ทั้งสองจึงเปลี่ยนสถานที่ หานชิงพาเข้าไปที่ห้องรับรอง
ซูจิ่วเห็นทั้งสอง ก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่เอากาแฟไปให้ทั้งสองแล้วก็เดินออกมา
ดังนั้นในห้องรับรองก็เหลือเพียงแต่สวี่เย็นหวั่นกับหานมู่จื่อเพียงสองคน อ้อ แล้วก็มีเสี่ยวโต้วหยาด้วย
แต่เสี่ยวโต้วหยาก็ชอบทำตัวดีเสียเกินไป เหมือนกันกับตอนนี้ เธอนอนหลับได้ลึกดีอยู่ในอ้อมกอดของหานมู่จื่อ กำปั้นน้อยกำเป็นหมัดน้อยๆสองข้าง ในขณะที่กำลังหลับพริ้ม
สวี่เย็นหวั่นมองไปที่เสี่ยวโต้วหยา ก่อนจะพูดขึ้นด้วยรู้สึกอิจฉา: “ลูกสาวของเธอเหรอ? น่ารักน่าชังเชียว”
“อื้อ” หานมู่จื่อพยักหน้า “ลูกสาวฉันเอง เสี่ยวโต้วหยา”
“ตอนนี้เธอก็มีลูกแล้ว มีทุกสิ่งทุกอย่าง ชีวิตช่างสมบูรณ์แบบจริงๆ”
เมื่อได้ยินประโยคนั้น หานมู่จื่อก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายมีจุดหมายอะไรบางอย่าง เธอจึงไม่ได้ตอบอะไร รอฟังเธอพูดต่อเงียบๆ
แน่นอนหล่ะว่าสวี่เย็นหวั่นก็ไม่ได้ทำให้เธอผิดหวัง ใบหน้าที่ยิ้มแย้มในตอนเริ่มนั้นค่อยๆมลายหายไป
“ฉันรู้ เธอคงแปลกใจที่เห็นฉันที่นี่ใช่ไหม?”
หานมู่จื่อยังคงไม่พูดอะไร ทำเพียงมองหน้าอีกฝ่ายเงียบๆ
“เธอคงคิดว่าฉันยังไม่ละความตั้งใจก็เลยมาที่บริษัทตระกูลหานเพื่อสานสัมพันธ์กับพี่ชายเธอต่อ เพื่อทำลายความรักของเขากับแฟนเขาใช่ไหม?”
หานมู่จื่อไม่คิดว่าเธอจะพูดในสิ่งที่เธอคิดออกมาได้ทั้งหมดแบบนี้ เธอจึงชะงักไปเล็กน้อย เมื่อจะพูดอะไรตอบ สวี่เย็นหวั่นก็ชิงพูดต่อ: “ถ้าเธอเป็นฉัน เธอจะปล่อยไปได้อย่างเต็มใจไหม? คนที่เธอซ่อนเอาไว้ในใจ และรักมาตั้งแต่เด็กจนโตหน่ะ เธอจะปล่อยเขาไปได้จริงๆเหรอ? ฉันรู้ว่าเธอไม่ได้ผ่านเรื่องราวมาแบบฉัน เธอไม่มีทางที่จะมาเข้าใจฉันได้หรอก แต่ที่ฉันมาที่บริษัทตระกูลหานนี่ มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ฉันเองก็อยากที่จะไปให้ไกลๆเขา เพียงแต่…..”
พูดถึงตรงนี้ สวี่เย็นหวั่นก็หยุดกึกไป เธอหลับตาลงอีกครั้งก่อนจะลืมขึ้นอย่างไร้ชีวิตชีวา “ฉันจำต้องเข้าหาเขาอย่างช่วยไม่ได้ ในตอนที่ฉันไม่มีอะไรเหลือแล้ว ฉันก็คิดว่ายังเหลือเขาอยู่ แต่ตอนนี้ความจริงกลับบอกกับฉันว่า แม้แต่เขา ฉันก็ไม่เหลือแล้ว แล้วแบบนี้ฉันจะรับมันได้อย่างไร?”
ตอนนี้เหมือนเธอพรรณนากับตัวเอง ซึ่งหานมู่จื่อก็ไม่ได้ขัดเธอ
“ฉันเองก็ไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้ อีกอย่างเขาก็มีแฟนแล้วด้วย ถ้าฉันยังหลงมัวเมาอยู่ นั่นฉันก็ผิดศีลธรรมสุดๆเลยนะ
แต่ว่ามู่จื่อ ก็เห็นๆอยู่ว่าฉันเป็นคู่หมั้นกับเขาอยู่แล้ว อีกทั้งพอฉันมาถึงบริษัทตระกูลหานแล้ว ฉันก็ยังไม่ทันทำอะไร ทำได้แค่มองเขาอยู่กับแฟนของเขาอย่างขมขื่นใจก็เท่านั้น”
ท้ายสุดหานมู่จื่อก็เริ่มพูดขึ้นบ้าง
“ฉันรู้ว่าเธอเองก็คงยังรับไม่ได้ในตอนนี้ แต่ไม่มีอะไรบนโลกหรอกนะที่จะเหมือนเดิม ถ้าเรื่องหมั้นของเธอเป็นเรื่องจริง แต่ถ้าระหว่างพวกเธอมันไม่เคยมีอะไรระหว่างกัน ถ้าแบบนั้นฉันก็ขอแนะนำให้เธอไปเสียตั้งแต่แรก ถ้าเธอมีปัญหาอะไร ฉันสามารถช่วยเธอได้ เพราะถ้าเธออยู่ที่นี่ มันจะยิ่งถลำลึก ไม่อาจจะถอนออกมาได้”
พอพูดจนจบ หานมู่จื่อก็จับจ้องอยู่ที่เธอ ดูเหมือนให้กำลังใจไปในที: “ตอนนี้เธออาจจะคิดว่าเธอไม่เหลืออะไรแล้ว แต่ถ้าหากเธอยอมรับมันได้ ต่อไปเธอก็จะได้มีชีวิตใหม่ อนาคตของเธอถ้าจะหวังเอาไว้กับผู้ชายเพียงแค่คนเดียวแบบนี้ เธอดูถูกตัวเองเกินไปหรือเปล่า?”
คำพูดของเธอ เหมือนได้เตือนสติของสวี่เย็นหวั่น
สวี่เย็นหวั่นค่อยๆเงยหน้าขึ้น มองไปที่ดวงหน้าของหานมู่จื่อ ก่อนจะพูดพลางยิ้มบางๆ: “เธอเป็นคนฉลาดมาก แล้วก็ยังรู้จักพูด ทั้งยังพูดได้อย่างนุ่มนวลอีกต่างหาก เหมือนกับคุณนายหานคนก่อนไม่มีผิดเลย ที่เธอพูดมาเมื่อกี้มันเข้าไปลึกถึงก้นบึ้งหัวใจของฉันเลยหล่ะ ว่าถ้าฉันยอมรับมัน ฉันก็จะมีชีวิตใหม่ได้ แต่มู่จื่อเธอรู้ไหม ว่าการเริ่มต้นชีวิตใหม่หน่ะมันต้องใช้ความกล้าหาญมากมายถึงเพียงไหน? ตอนนี้ฉันกลัวมากเลยจริงๆ ถ้าหากฉันไม่ได้เห็นเขาอีก อย่างฉันในตอนนี้ ได้มองเขาอยู่ข้างๆ รู้ข่าวคราวของเขา ถึงจะเป็นข่าวของเขากับผู้หญิงคนอื่น แต่มันก็ทำให้ทุกวันนี้ดูไม่น่าเบื่อจนเกินไป”
“แล้วถ้าหลังจากนี้จะเป็นข่าว แต่งงานหรือมีลูกของเขาหล่ะ มันก็ไม่สำคัญใช่ไหม?”
ประโยคนี้ มีเอฟเฟคมากพอที่จะทำให้สีหน้าของสวี่เย็นหวั่นเปลี่ยนไป เธอจับชายเสื้อตัวเองโดยไม่รู้ตัว และกัดริมฝีปากแน่นในเวลาเดียวกัน
หานมู่จื่อยิ้มน้อยๆ: “ดูสิ ตอนนี้ฉันแค่เพียงพูดถึงเท่านั้นเอง เธอยังรับไม่ได้เลย ถ้าหากยังอยู่ต่อไปจะเป็นยังไง? ถ้าหากเธอจำเป็นที่จะเริ่มต้นใหม่ เธอถึงจะลืมเรื่องเหล่านี้ได้”
แล้วก็ไม่รู้ว่าสวี่เย็นหวั่นคิดอย่างไร จู่ๆเธอก็เงยหน้า หัวใจเต็มไปด้วยความคั่งแค้น
“ก่อนหน้านี้เธอกับเย่โม่เซินก็เคยเลิกกันนี่? ถ้าเขาสูญเสียความทรงจำไป แล้วไปรักผู้หญิงคนอื่น เธอจะยอมแพ้ไปอย่างนั้นเหรอ?”
เมื่อได้ยินแบบนั้น หานมู่จื่อก็ชะงักไป ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะหันไปพูดถึงเย่โม่เซิน
“เธอก็ทำไม่ได้ เพราะเขาเป็นชายคนเดียวที่เธอรัก ดังนั้นเธอจึงไม่ยอมแพ้ แล้วตอนนี้หล่ะ? เธอกลับมาโน้มน้าวใจฉันให้ทำแบบนั้น แล้วทำไมตอนแรกเธอถึงไม่ทำหล่ะ?”
โยงไปอีกเรื่องหนึ่งเฉย?
หานมู่จื่อนิ่งมองสวี่เย็นหวั่นอยู่นาน และจู่ๆก็ยกยิ้มขึ้นมา
“เธอผิดแล้วหล่ะ?”
“ว่ายังไงนะ?”
“ที่ฉันไม่ยอมในเรื่องที่เธอว่ามานั้นหน่ะ เพราะฉันรู้ว่าเย่โม่เซินเขารักฉันเหมือนที่ฉันรัก เราทั้งคู่รักกัน แต่เขาเพียงแค่จำฉันไม่ได้ นั่นไม่ใช่ว่าไม่รักฉันนี่ ดังนั้นฉันจึงไม่ยอมแพ้ แต่ถ้าพอวันหนึ่งเขาจำได้แล้วเขาไปรักผู้หญิงคนอื่น ถ้าเป็นแบบนั้นฉันจะไม่อาลัยอาวรณ์เลย”