บทที่1366 คู่แท้ยังไงก็เป็นคู่แท้
ดังนั้นเมื่อนั่งรถมาที่โรงแรมในตอนกลางคืนแล้วนั้น วันต่อมาทั้งสองก็เตรียมตัวออกกันต่อเลย
แต่ครั้งนี้ไม่ได้นั่งรถไฟไป หานชิงเลือกที่จะจองเครื่องบินไปโดยตรง
ในตอนที่เขาจองตั๋วอยู่นั้นสาวน้อยก็นั่งอยู่ข้างๆเขา เธอพิงแขนเขาพลางมอง และจู่ๆก็พูดขึ้น: “ทำไมคุณถึงจองตั๋วเครื่องบินหล่ะ? นั่งรถไฟไปกับฉันมันทุกข์ใจมากนักเหรอ?”
ได้ยินเธอพูดแบบนั้น นิ้วมือของหานชิงก็ชะงัก จากนั้นก็หันไปถามเธอ: “เธออยากนั่งรถไปเหรอ? งั้นก็ได้ เดี๋ยวฉันไปเป็นเพื่อน”
“ไม่ๆ ไม่ใช่”เสี่ยวเหยียนส่ายหน้าอย่างแรง: “งั้นก็นั่งเครื่องนั่นแหล่ะ รถไฟเสียงดังจะตายไป”
อีกอย่างถ้าหากว่าไปเจอคนแบบยัยป้าเหมือนครั้งที่แล้วหล่ะก็ แบบนั้นคงน่าเบื่อแย่
“แน่ใจนะ?”
“อื้มๆ!”
ดังนั้นหานชิงจึงจองตั๋วกลับตอนกลางคืนไปสองใบ
พอถึงตอนขึ้นเครื่อง เสี่ยวเหยียนก็พูดขึ้นอย่างเก้อเขินเล็กน้อย “เอ่อคือ ฉันบอกกับพ่อแม่เอาไว้ว่าจะไปเที่ยวพักผ่อนให้สบายใจหน่อยแล้วค่อยกลับ นี่ก็ไปไม่กี่วันเอง แบบนี้มันจะ…..”
หานชิงที่กำลังคาดเข็มขัดให้เธอได้ยินก็จิ๊ปากพูดมุบมิบ: “ก็บอกความจริงไปสิ”
“บอกความจริง? นั่นมัน…..ไม่ได้สิ มันน่าอายจะตาย
“น่าอาย? มันน่าอายเรื่องอะไร? เดี๋ยวฉันไปเป็นเพื่อน ให้ฉันช่วยอธิบายให้”
“ไม่ได้สิ ไม่ได้!”
ยิ่งให้เขากลับไปอธิบายให้นั่นก็ยิ่งอายหนักเข้าไปอีกสิ เสี่ยวเหยียนรีบส่ายหน้าปฏิเสธข้อเสนอเขาทันที พูดเสียงอู้อี้: “ฉันกลับไปเองคนเดียวดีกว่า”
จากนั้นเธอก็ถามขึ้นมาอีก: “เครื่องเราลงกี่โมงนะ?”
“เที่ยงคืน”
เครี่องลงเที่ยงคืน นั่นดึกจะตายชัก ถ้าเธอกลับบ้านไปก็ต้องไปรบกวนพ่อกับแม่อีก
“ลงเครื่องแล้วก็ไปกับฉันก่อน แล้วค่อยไปอธิบายให้ที่บ้านฟังพรุ่งนี้”
“อื้อ อย่างนั้นก็ได้”
ถึงแม้ทั้งสองจะคืนดีกันแล้ว แต่ด้วยเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ มันทำให้เสี่ยวเหยียนออกจะอึดอัดใจเล็กน้อย อย่างไรก็ตามบรรยากาศก็ไม่ได้ทะเลาะกันเหมือนก่อนก็ดีแล้ว
ดังนั้นเมื่อทั้งสองไม่มีเรื่องจะพูดคุยกัน ก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีกเลย
เมื่อเครื่องขึ้นแล้ว ไฟก็ดับลง
หานชิงก็เอื้อมมือไปจับมือของเธอ ส่งความอบอุ่นไปผ่านฝ่ามือ “ไม่ต้องกังวลนะ”
ประโยคนี้เพียงประโยคเดียวก็ทำให้ใจของเสี่ยวเหยียนอบอุ่นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก จากนั้นเมื่อเธอไม่ได้ย้อนคิดถึงเรื่องที่เกิดก่อนหน้านี้ สมองของเธอก็โล่งสบาย
เมื่อเครื่องลงแล้วลุงหนานก็มารับหานชิงที่สนามบิน เมื่อส่งทั้งสองที่วิลล่าส่วนตัวเรียบร้อยก็กลับไป
หานชิงเป็นคนลากสัมภาระของเสี่ยวเหยียน โดยเธอนั้นเดินตามมาข้างๆ เดินอยู่ดีๆจู่ๆก็จามขึ้น
“ฮัดเช้ย!”
“ฮัดเช้ย!”
จามไปแล้วครั้งหนึ่ง แปปๆก็จะขึ้นอีกสองสามครั้ง เสี่ยวเหยียนแปลกใจขึ้นมา “เกิดอะไรขึ้นเนี่ย?”
เธอขยี้จมูกตัวเอง “หรือว่าฉันจะเป็นหวัดซะแล้ว?”
เมื่อได้ยินแบบนั้น หานชิงก็หยุดกึก หันมามองเธอ “ติดฉันเหรอ?”
เสี่ยวเหยียน: “…..คุณเป็นหวัดเหรอ?”
“หลายวันก่อนฉันตากฝนมาหน่ะ เป็นหวัดนิดหน่อย”
แต่เขาร่างกายแข็ง ฟื้นฟูไว แต่ก็ยังไม่หายดี อีกอย่างหลายวันมานี้ทั้งสองก็อยู่ด้วยกันตลอด แถมยังนัวเนียใกล้ชิดอีกต่างหาก
เป็นไปได้เลยว่าเธอจะติดหวัดจากเขาเข้าแล้ว
เมื่อได้ยินว่าเขาป่วยนิดหน่อย เสี่ยวเหยียนก็เป็นห่วง เดินเข้าไปกอดแขน: “แล้วตอนนี้หายดีแล้วหรือยัง?”
“ยังไม่หายแล้วจะเที่ยวกับเธอไกลขาดนี้ได้เหรอ?” หานชิงบีบจมูกเธออย่างรักใคร่เอ็นดู
“นี่ฉันติดมาจากคุณจริงๆเหรอเนี่ย?”
“กันไว้ก่อน กินยาดักไว้เถอะ”
เสี่ยวเหยียนไม่ได้ขัดอะไร พยักหน้ารับ จนกระทั่งหานชิงไปหายาและน้ำอุ่นมาให้ต่อหน้าเธอ เธอจึงมองไปที่ยาบนฝ่ามือของเขา แล้วก็พลันนึกได้ว่าตัวเธอนั้นท้องอยู่
เธอท้องอยู่แบบนี้จะกินยาซี้ซั้วะไม่ได้
เมื่อคิดได้แบบนั้น เสี่ยวเหยียนจึงพูดขึ้นทันที: “ฉะ ฉันไม่กินแล้วดีกว่า”
“หืม?” หานชิงคิดว่าเธอไม่ชอบกินยา จึงพูดกระซิบปลอบเธอ: “เม็ดเดียวเอง ไม่ขมหรอก ดื่มน้ำนิดเดียวก็ลงแล้ว”
“ไม่เอา ไม่ได้ ฉันไม่กินแล้ว” เสี่ยวเหยียนปีนขึ้นไปนอนบนเตียงก่อนจะห่มผ้า “แค่จากไม่กี่ทีเอง ไม่แน่อาจจะไม่ป่วยก็ได้ ฉันไม่อยากกิน”
หานชิง:“……”
เมื่อกี้ยังรับปากดิบดีอยู่เลย ทำไมตอนนี้ไม่กินซะแล้วหล่ะ?
เสี่ยวเหยียนใช้ผ้าห่มคลุมตัวเอง ด้วยหัวใจที่หดหู่
ก่อนหน้านี้เธอคิดอยากจะบอกเรื่องที่เธอท้องในวันเกิดของเขา แต่ภายหลังกลับเกิดเรื่องขึ้นมากมาย ตอนนี้ถึงแม้ว่าจะคืนดีกันแล้ว แต่จะให้พูดเสียตอนนี้ก็กะทันหันไปหน่อย
รอไว้บอกทีหลังจะดีกว่า
แต่หานชิงไม่รู้ว่าเธอเป็นอะไร จึงพยายามโน้มน้าวให้เธอกินยาต่อไป เสี่ยวเหยียนนั้นให้ตายยังไงเธอก็ไม่กิน หานชิงจึงไม่คิดจะบังคับเธอแล้ว จึงให้เธอจิบน้ำอุ่นไปหน่อย จากนั้นจึงห่มผ้าให้เธอนอน
หลังจากที่เสี่ยวเหยียนบอกฝันดีเขาแล้ว เธอเข้าสู่ห้วงนิทราไปอย่างรวดเร็ว
หานชิงได้ยินเสียงหายใจสม่ำเสมอ เขาก็พูดไม่ออกบอกไม่ถูก เพราะมันเห็นได้ชัดว่าเธอนอนหลับได้ดีกว่าเดิม
หลายวันมานี้ เธอนั้นเอาแต่นอนเลยจริงๆ
*
สวี่เย็นหวั่นแน่นอนหล่ะว่าเห็นพนักงานหน้าห้องออกไปพร้อมกับเสี่ยวเหยียน ดังนั้นเธอจึงอดไม่ได้ที่จะตามหลังไป จากนั้นเมื่อเห็นใบหน้ามีลับลมคมในของพนักงาน ใบหน้าของเสี่ยวเหยียนก็เปลี่ยนไป
เธอพอจะเดาออกว่าพนักงานหน้าห้องน่าจะบอกเรื่องที่หานชิงเป็นคู่หมั้นของเธอให้เสี่ยวเหยียนรู้
เธอไม่คิดจะบอกเสี่ยวเหยียน ตัวเธอกับหานชิงหมั้นหมายกันมาตั้งแต่เด็กๆ แต่ถ้ามีใครเกิดอยากบอกเสี่ยวเหยียนขึ้นมา นั่นก็ไม่ใช่ธุระอะไรของเธอแล้วหล่ะ
หลังข้อความนั่น มันก็แอบหวังน้อยๆ หวังว่าอีกฝ่ายจะถูกกระตุ้นหน่อย
หลังจากส่งไปแล้วสวี่เย็นหวั่นก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อย ข้อความนั่นหมายความว่ายังไง เธอรู้ดีแก่ใจ ถ้าตัวเธอได้รับเอง ก็คงต้องเก็บไปคิดมากเป็นแน่
แต่สวี่เย็นหวั่นก็ไม่คิดที่จะอธิบาย
เธออยากจะเห็นแก่ตัวสักหน่อย
เธอไม่มีอะไรเหลือแล้ว ก่อนหน้านี้เธอเสียงบริษัทไป และหลังจากพ่อกับแม่เธอเสีย เธอจึงกลับมาหาหานชิง เธอรู้สึกเพียงตอนนี้เธอเหลือแต่หานชิงคนเดียวเท่านั้น
แต่แล้วท้ายสุด….เธอก็ไม่เหลือใครเลยแม้แต่หานชิง
ตอนนี้เธอไม่เหลืออะไรสักอย่างแล้ว แล้วทำไมจะต้องไปเมตตาคนอื่นด้วย?
วันต่อมาสวี่เย็นหวั่นก็ไปที่บริษัท จึงรู้ว่าหานชิงไม่ได้มาที่บริษัท ในบริษัทนั้นก็กำลังซุบซิบกันในหัวข้อที่ว่าท่านประธานหานเลิกกับแฟนแล้ว
ต้นตอแหล่งข่าว นอกจากพนักงานหน้าห้องแล้ว ก็ดูเหมือนไม่มีทางจะหลุดมาจากไหนได้อีก
ดังนั้นเมื่อมีใครถามเธอ ก็ทำราวไม่สนใจ พูดเสียงเยือกเย็น: “ฉันจะไปรู้ได้ยังไงว่าเขาเลิกกันหรือเปล่า? เวลาทำงาน ยังจะเอาเรื่องนี้มาถกพูดกันหรือยังไง”
จากนั้นเมื่อเธอจะเดินจากไป ก็ได้ยินเสียงพนักงานพูดขึ้น
“เหอะ ยังจะมาแสร้งทำหน้าอยู่ทำไม? เขาเลิกกันเธอก็คงมีความสุขหล่ะสิท่า เข้ามาบริษัทตระกูลหานไม่ใช่ว่าจะมาเพื่อเข้าหาประธานหานอย่างนั้นเหรอ?”
“นั่นสิ ถ้าไม่ได้ชอบประธานหาน บริษัทก็ตั้งมากมาย ทำไมเธอถึงได้ปักหลักจะเข้าบริษัทตระกูลหานให้ได้ด้วย?”
“พวกเธอไม่ต้องพูดไป อย่างไรเสียเธอก็เป็นคู่หมั้นของประธานหาน อีกคนนั่นประธานหานคงเพียงแค่เล่นๆ คู่แท้ยังไงเสียก็คือคู่แท้”
สวี่เย็นหวั่นหัวเราะกับตัวเอง ฟังพวกหล่อนพูดอยู่เนิ่นนาน เธอเกือบจะคิดว่าตัวเธอเองนั้นคือคู่แท้และเสี่ยวเหยียนเป็นเพียงแค่คนอื่น
แต่ในความจริงแล้ว เรื่องมันไม่ใช่แบบนั้นเลย