ยอดสตรีฉางอิ๋ง – ตอนที่ 175-1 แผนการเพื่อชีวิต (2)

ตอนที่ 175-1 แผนการเพื่อชีวิต (2)

นางโจวรีบเอ่ยถาม “ทำอย่างไร?”

“วันนี้ มิใช่ว่าน้องสาวร่วมตระกูลข้ามาเยี่ยมนังเด็กนั่นหรอกรึ?” นางหมิ่นหรี่ตาลงพลางว่า “หาไม่แล้วข้าก็จะไม่ส่งของดีๆ ไปให้นังเด็กนั่นทำลายหรอก! หรือว่าเมื่อก่อนนี้นางยังทำลายของไม่พออีก?”

นางโจวกล่าวอย่างสงสัยว่า “แต่มิใช่พี่สะใภ้ใหญ่ท่านบอกว่าท่านไม่สนิทสนมกับ หมิ่นอีนั่วผู้นี้หรอกหรือเจ้าคะ? แล้วจะเกลี่ยกล่อมให้นางมาช่วยพวกเราได้อย่างไรเจ้าคะ?”

“ก่อนหน้านี้หมิ่นจือเสียบิดาของนางเป็นเพียงบุตรหลานในสายที่ห่างออกไป ดีชั่วอย่างไรบ้านข้าก็เป็นสายหลัก ย่อมมีฐานะที่ดีกว่าเขามากนัก ครั้งหมิ่นจือเสียยากจนเจ็บป่วยบ้านข้าก็มิได้ไปสนใจเขามาก่อน หลังจากคนผู้นี้เข้าไปพึ่งพา ตระกูลตวนมู่เขาก็ยิ่งตีตัวออกห่างคนในตระกูล คงเพราะมีความแค้นในใจกระมัง? ทว่าก่อนออกเรือนข้าก็ล้วนอยู่ในจวนฉวีอิน ข้าได้พบกับหมิ่นอีนั่วคราแรกก็คือในจวนแห่งนี้ ตอนนังเด็กนั่นพานางกลับมาเป็นแขกที่เรือน ยามข้านั่งเป็นเพื่อนจึงเพิ่งรู้ว่าเป็นคนในตระกูลเดียวกัน …ที่ข้าพูดนั้นมิใช่นางหรอกนะ” นางหมิ่นพูดอย่างเร่งร้อนไปรอบหนึ่ง หลังจากหยุดหอบไปสองสามหน จึงบอกว่า “เป็นดังนี้ ที่ข้าพูดถึงก็คือคนที่ตอนแรกมากับหมิ่นอีนั่วแต่กลับถูกให้กลับไปผู้นั้น!”

นางโจวตะลึง กล่าวว่า “ผู้ใด?”

“หลิวรั่วเหยีย!” นางหมิ่นเอ่ยพลางยิ้มเย็นเฉียบ “ที่ก่อนหน้านี้นังเด็กนั่นก่อเรื่องก่อราวสามครั้งสามครา ส่วนมากล้วนเพราะฟังความคิดของคนผู้นี้! ทำให้ก่อนเว่ยฉางหว่านจะกลับมาไว้ทุกข์ที่บ้านแม่ก็ยังไม่ลืมสั่งบ่าวเฝ้าประตูว่าไม่ให้ปล่อยนางมาพบกับนังเด็กนั่น!”

“แต่บ่าวเฝ้าประตูมิใช่คนของพวกเรา” นางเจ้าโพล่งเอ่ยไป

นางหมิ่นเอ็ดไปว่า “ก่อนหน้านี้มิใช่ว่า หมิ่นอีนั่วก็ถูกไล่ให้กลับไปพร้อมกับ หลิวรั่วเหยียแล้วรึ? ปรากฏว่าภายหลังก็ยังเข้ามาพบกับนังเด็กนั่นได้…นางเข้ามาทางประตูมุมกำแพง ก่อนหน้านี้หลิวรั่วเหยียมาบ้านเราล้วนเข้ามาทางประตูหลัง เว่ยฉางหว่านจึงสั่งแต่บ่าวเฝ้าประตูหลังเอาไว้ ส่วนประตูมุมกำแพงทางนั้นก็มิใช่ที่ที่อยู่ห่างไกลเหมือนภูเขาน้ำแข็งสูงอันใด ก็เพียงแค่เดินอ้อมลานจวนเราไปอีกเพียงน้อยเท่านั้น หลิวรั่วเหยียนั่นก็มิใช่ว่าไม่เคยมาไม่รู้จักเมื่อใด เพียงแค่จับทิศทางโดยคร่าวๆ แล้วยังกลัวว่านางจะหาเรือนไม่พบรึ? ส่วนคนที่ประตูมุมกำแพงนั้น… พวกเราก็ไม่ต้องเปลี่ยนเป็นคนของเราหรอก เพียงไปเลือกหาจากในพวกบ่าว เปลี่ยนคนที่เห็นแก่เงินและใจกล้าสักหน่อย แล้วยังต้องเป็นห่วงว่าพวกนางจะไม่ได้พบกันรึ?”

ดวงตาของนางโจวพลันเป็นประกายขึ้นมา กล่าวว่า “วิธีนี้ดีนัก! แม้อาจตรวจสอบได้ภายหลัง แต่ก็มิใช่เราเป็นคนไปยุยง เป็นนังเด็กนั่นรนหาที่ตายเอง!” แต่จากนั้นก็พูดอย่างสงสัยขึ้นมาอีกว่า “แต่ว่า…พอพวกนางได้พบกันแล้ว หลิวรั่วเหยียจะขุดหลุมฝังนั่งเด็กนั่นต่อไปแน่หรือ? หากไม่ใช่ ก็จะเสียแรงเปล่านะเจ้าคะ!”

“อย่างไรก็ตามเรื่องที่นั่งเด็กนั่นก่อไว้ตั้งแต่ปีก่อนล้วนเกี่ยวกับหลิวรั่วเหยียผู้นี้ไม่มากก็น้อย” นางหมิ่นพิจารณาคราหนึ่งแล้วกล่าวว่า “อีกประการหนึ่ง หากหลิวรั่วเหยียผู้นี้ไม่มีความคิดใดอีก แล้วไยต้องมาหาเป็นพิเศษเช่นนี้เล่า! เพราะนับไปแล้วมารดาของหมิ่นอีนั่วเป็นญาติกับจวนของเรา นั่นก็ยังแล้วไป แต่หลิวรั่วเหยียนั่น

ต่อให้นับไปอีกหลายเลี้ยวหลายโค้งก็ยังนับญาติกับเราไม่ได้เลย นางเป็นคุณหนูมีตระกูลอายุน้อยๆ แต่กลับไม่ถือสาเรื่องเหล่านี้ ต้องเป็นเพราะคิดหาทางขุดหลุมพรางนั่งเด็กนั่นอีกเป็นแน่!”

นางโจวถอนหายใจแล้วว่า “ไม่รู้เช่นกันว่าหลิวรั่วเหยียไปเอาแผนการมาแต่ที่ใด ถึงกับหลอกนังเด็กนี่จนหัวหมุนไปหมด แม้แต เว่ยฉางหว่านพูดนางก็ยังไม่ฟัง เหตุใดคนเราจึงแตกต่างกันถึงเพียงนี้นะ? ก่อนนี้พวกเราเค้นสมองหาหนทางเอาใจนังเด็กนี่ แต่ไม่ว่าจะทำเช่นใดก็ไม่เข้าตานางสักหน …คนโง่เรื่องจึงยาก เป็นดังหลักการนี้จริงใช่หรือไม่?”

“นังเด็กนี่หวังสูงแต่ไร้ฝีมือนัก อย่าว่าแต่บุตรสาวตระกูลใหญ่เช่นพวกเราจะไปเข้าตานางเลย ต่อให้เป็นพี่สะใภ้นางก็เถิด สองวันก่อนข้าได้ยินคนข้างกายนางบอกข้าว่าในวันที่พระธิดาเฉิงเสียนออกเรือน…”

ใบหน้าของ นางหมิ่นมีแววความเคียดแค้นฉายวาบขึ้นมา กล่าวว่า “เว่ยฉางอิ๋งพาบุตรสาวสองคนของคนที่พวกเราควรจะเรียกว่าท่านอาหญิงใหญ่ไปทักทายนาง เว่ยฉางอิ๋งเองก็ยังให้ความสนิทสนมและเกรงอกเกรงใจกับพี่น้องซ่งทั้งสองคนนี้ ปรากฏว่านั่งเด็กนี่กลับทักทายไปเพียงส่งๆ ด้วยสีหน้าอดรนทนไม่ได้ ทิ้งลูกพี่ลูกน้องสองคนนี้ไว้ข้างๆ ไม่สนใจตั้งหลายครั้งหลายครา แต่กลับหันไปสนทนาครื้นเครงกับคุณหนูบ้านเติ้ง หลานสาวของสนมเอกเติ้งที่ก่อนหน้านี้เป็นคนเข้าไปชวนสองพี่น้องนั่นคุยก่อน ภายหลังคุณหนูซ่งสองคนนั่นมองออก จึงบอกกับเว่ยฉางอิ๋งว่าอยากจะออกไป …ปรากฏว่าคุณหนูเติ้งก็จะไปกับพวกนางด้วย เห็นชัดว่าไม่สบอารมณ์กับท่าทีของนังเด็กนั่นเช่นกัน”

นางมองน้องสะใภ้คราวหนึ่ง กล่าวว่า “หลิวรั่วเหยียเป็นบุตรสาวภรรยาเอกแห่ง ตระกูลสูงศักดิ์ บิดานางก็เป็นบุตรจากภรรยาเอก แม้มิใช่ทางสายของเวยหย่วนโหว แต่ฐานะสมุหกลาโหมก็สูงส่งมากแล้ว ส่วนหมิ่นอีนั่วน่ะหรือ ประการแรกมารดาของพวกนางเป็นพี่น้องในตระกูลสูงศักดิ์เช่นเดียว ประการที่สอง โดยส่วนตัวแล้วหมิ่นอีนั่วสนิทสนมกับองค์หญิงหลินชวนยิ่งนัก ไม่เหมือนองค์หญิงกับสามัญชน แต่กลับเหมือนสหายสนิทในตระกูลสูงศักดิ์ทั่วไปเช่นนั้น …หาไม่แล้ว ต่อให้พวกนางอ่อนโยนเพียงใด มีความสามารถอีกเท่าใด เจ้าว่านังเด็กนั่นจะเห็นพวกนางอยู่ในสายตารึ?”

นางโจวนิ่งเงียบไปพักใหญ่ แล้วทอดถอนใจพลางว่า “พี่สะใภ้กล่าวถูกต้องเจ้าค่ะ หากเราสองคนเป็นบุตรสาวตระกูลสูงศักดิ์ ชีวิตนี้ก็จะไม่ต้องเสียเปรียบหนักหนาเพียงนี้ ไม่ต้องมีชีวิตลำบากเช่นนี้แล้ว!”

“แม้พวกเรามีชาติกำเนิดไม่สูงส่งและไม่ได้ฉลาดเฉลียว แต่มดปลวกก็ยังอยากมีชีวิตนี่!” นางหมิ่นพึมพำว่า “มิใช่พวกเราไม่คำนึงถึงสามีของตน แต่สามีของพวกเราเคยมองเราเป็นภรรยาเอกยามใด? หากพ่อสามีได้อำนาจแล้ว บ้านตระกูลเว่ยแห่งนี้ยังจะมีที่ให้พวกเราสะใภ้ซุกหัวนอนหรือ? ฉะนั้น มิสู้ให้หลิวรั่วเหยียหลอกล่อให้ นังเด็กนั่นไปก่อเรื่องต่อไป ให้ท่านย่ายิ่งจับผิดได้มากเท่าใดยิ่งดี …ถึงยามนั้น ต่อให้พ่อสามีกับสามีของพวกเราล้วน… อย่างไรเสียพวกเราสองคนก็เป็นคนที่ฮูหยินผู้เฒ่าเลือกมาด้วยตนเอง ทั้งไม่มีบุตรชายบุตรสาว แล้วจะควรค่าให้ฮูหยินผู้เฒ่ามาลงไม้ลงมือหรือ? ไม่แน่ว่าอาจยังสามารถเอาบุตรชายบุตรสาวสักคนจากพี่น้องในตระกูลสายห่างๆ มาเลี้ยงดู และมีโอกาสมีชีวิตสุขสงบสักสองสามวัน! ไม่แน่ว่าพวกเรายังอาจได้มีชีวิตบั้นปลายที่ดีด้วย? เวลานี้นอกจากฝากความหวังไว้ที่หนทางนี้แล้ว พวกเรายังมีสิ่งใดให้หวังได้อีก?”

“ข้าเองก็คิดดังนี้” นางหมิ่นพยักหน้าพลางว่า “เอาตามที่พี่สะใภ้ว่าเถิดเจ้าค่ะ…ข้าจะไปจัดการเรื่องที่ประตูมุมกำแพง หาสาวใช้ที่เชื่อถือได้ไปบอกให้นังเด็กนั่นรู้ เพื่อมิให้กลายเป็นว่านางโง่เกินไปจนไม่ติดกับ!”

นางหมิ่นรีบเตือนว่า “อย่าไปหาสาวใช้ที่เชื่อถือได้อันใดเลย เวลานี้คนที่รีบเข้ามาประจบพวกเราก็ถูกปิดหูปิดตาไปหมดแล้ว พวกนั้นนึกว่าวันหน้าในเรือนหลังนี่จะเป็นพวกเราสองคนปกครองจริงๆ และนังเด็กนั่นก็หมดหวังโดยสิ้นเชิงแล้ว จึงได้รุมเข้ามาประจบเอาใจ! รอให้ภายหลังพวกของพ่อสามีกลับไปหลงนังเด็กนั่นใหม่ ต่อให้พวกนั้นเอาเราไปขาย แล้วมันจะยังชักช้าอยู่รึ?”

นางโจวสะท้าน กล่าวว่า “เช่นนั้น …รอให้นางไปพบเอง?”

“สาวใช้ใกล้ตัวนางสองสามคนนั้นล้วนเป็นคนที่เกิดในบ้านนี้ ญาติพี่น้องของพวกนางล้วนอยู่เต็มจวนแห่งนี้ แล้วยังกลัวจะหาพวกใจกล้าเห็นแก่เงินสักสองสามคนไม่ได้รึ?” นางหมิ่นเอ่ยเสียงหนัก “แม้จะบอกว่าสองวันนี้ ในจำนวนสาวใช้ใกล้ตัวนางสองสามนั้น มีคนที่หันมาทำดีกับพวกเรา แต่นังเด็กนั่นก็ไม่ใช่คนที่รับมือได้ง่ายๆ แม้เรื่องข้างนอกนางจะจัดการไม่ได้ แต่นางจะไม่มาทุบตีด่าว่าคนรับใช้ข้างกายรึ? กอปรกับ หลิวรั่วเหยียผู้นั้นฉลาดเป็นกรด พอได้เข้าใกล้สักสองหนไม่แน่ว่าก็จะติดกับแล้ว …อย่างไรเสีย เวลานี้ท่านย่าอยู่ที่เฟิ่งโจวยังคงแข็งแรงนัก นังเด็กนั่นไม่มีทางลุกขึ้นมากระโดดโลดเต้นได้ในเร็ววันนี้หรอก พวกเราก็…ถือเอาความแน่นอนเป็นสำคัญ!”

———————————

ยอดสตรีฉางอิ๋ง

ยอดสตรีฉางอิ๋ง

Status: Ongoing
“ตอนนั้นท่านปู่จัดการหมั้นข้ากับสามีฝ่ายบู๊เพราะชะตาต้องกันเพียงคราเดียว!
ข้าไม่ร้องไห้โฮออกมาก็ถือว่าไม่เลวแล้ว ยังจะให้มีความสุขทั้งสองฝ่าย?
ตั้งแต่เล็กจนถึงตอนนี้ วันเวลาแสนหวานชื่นในอนาคตที่ข้าคิดว่าจะมีได้
ก็คือตีจนกว่าเขาจะต้องเชื่อฟังข้าไปทั้งชีวิต และไม่ทำให้ข้าต้องโมโห!
มีความสุขทั้งสองฝ่าย…ข้าจะไปชอบสามีเยี่ยมยุทธ์อย่างนั้นได้อย่างไร!
ข้ายังไม่ชอบเขา แล้วการที่เขาจะชอบข้าหรือไม่ ยังจะสำคัญหรือ?
ที่สำคัญก็คือ เขาต้องเชื่อฟังข้า!”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท