ตอนที่ 2,899 : ไม่เกิน 1 เดือน
“อาจารย์ลุง หากมันมีภูมิหลังความเป็นมายิ่งใหญ่จนอาจมีคนลอบคุ้มครองจริงๆ ตอนที่อาวุโสของนิกายอมตะสือหังเกือบจะลงมือฆ่ามัน ไฉนมันต้องหนีหัวซุกหัวซุน แล้วอาวุโสของนิกายอมตะสือหังที่ลงมือกับมันผู้นั้น ยังจะยังรอดชีวิตมาได้อีกหรือไฉนไม่โดนยอดฝีมือที่ว่าเข่นฆ่าเล่า?”
ประมุขนิกายอมตะสราญรมย์ หลิวเสวียนคง มองไปยังอาจารย์ลุงของมัน หลี่ผิง 1 ใน 2 บรรพบุรุษของนิกายอมตะสราญรมย์ พลางกล่าวตอบออกไปด้วยรอยยิ้มเหยเก
หลังจากนั้นหลิวเสวียนคงยังเริ่มกล่าวถึงเหตุผลที่ทำให้พวกมันตัดสินใจว่าต้วนหลิงเทียนไร้ภูมิหลังใดๆ เท่าที่พวกมันสืบเจอออกมาจนหมด
“…”
“…จากทุกอย่าง ชี้ให้เห็นชัดว่าต้วนหลิงเทียนนั่นไม่ควรมีภูมิหลังใดๆ ด้วยเหตุนี้พวกเราจึงเห็นพ้องต้องกันเรื่องกำจัดมันทิ้ง!”
“หลังจากที่พวกเราเห็นพ้องต้องกันแล้ว ท่านอาจารย์ก็เอ่ยออกมาว่าท่านจะไปฆ่าต้วนหลิงเทียนด้วยมือตัวเอง จากนั้นก็ออกเดินทางไปนิกายอมตะไท่อีของพื้นที่รกร้างพร้อมจี้ฟ่าน”
หลิวเสวียนคงกล่าวออกจนจบ
และพอกล่าวประโยคสุดท้ายจบคำ หลิวเสวียนคงคล้ายจำอะไรได้ มันยกมือขึ้นเบาๆคราหนึ่ง ก็ปรากฏลูกแก้ววิญญาณสภาพดีลูกหนึ่งผุดโผล่ออกมาจากความว่างเปล่า
“จี้ฟ่าน…ยังมีชีวิตอยู่!”
หลังจากนั้นหลิเสวียนคงก็ทำหน้าตาประหลาดใจราวค้นพบทวีปใหม่ออกมา เมื่อเห็นว่าลูกแก้ววิญญาณของจี้ฟ่านยังคงอยู่ดี ไร้เรื่องราว
“นั่นคือ…ลูกแก้ววิญญาณของตถาคตหรือ?”
“ลูกแก้ววิญญาณของตถาคตยังอยู่ดี บ่งบอกว่าคนยังมีชีวิตอยู่…ข้าคิดไม่ถึงจริงๆว่าบรรพบุรุษหลี่อันตายตกไปแล้ว หากแต่ตถาคตยังปลอดภัยอยู่ได้ มิใช่ว่าทั้งสองคนเดินทางไปนิกายอมตะไท่อีด้วยกันหรือไร? แล้วไฉนตถาคตยังไม่ถูกฆ่าตายเล่า?”
“ที่แท้มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ไฉนบรรพบุรุษหลี่อันที่เข้มแข็งกว่ากลับตาย หากแต่ตถาคตที่อ่อนด้อยกว่ายังมีชีวิตอยู่?”
…
หลังได้เห็นว่าลูกแก้ววิญญาณของจี้ฟ่านที่หลิวเสวียนคงนำออกมายังเป็นปกติ เหล่าอาวุโสของนิกายอมตะสราญรมย์ก็อดไม่ได้ที่จะสับสนงุนงง
“ฟ่านเอ๋อยังไม่ตายหรือ?”
ด้านหลี่ผิงเองก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาด้วยคววามแปลกใจ ลูกตายังหดหยีลงเล็กน้อย หันไปมองถามหลิวเสวียนคงด้วยความแปลกใจว่า “คงเอ๋อ…เจ้าแน่ใจหรือว่าลูกแก้ววิญญาณลูกนี้ เป็นลูกแก้ววิญญาณของฟ่านเอ๋อไม่ผิด?”
จี้ฟ่านนั้นเป็นศิษย์คนเล็กของลูกพี่ลูกน้องมัน อีกทั้งยังเป็นศิษย์ที่หลี่อันให้ความสนใจมากที่สุด ดั่งคำกล่าวที่ว่ารักบ้านยังรักไปถึงอีกาที่เกาะหลังคาบ้าน หลี่ผิงเองก็เอ็นดูจี้ฟ่านไม่น้อย
อีกทั้งด้วยความที่ศักยภาพพรสวรรค์ไม่ใช่ชั่ว จี้ฟ่านจึงถูกแต่งตั้งให้เป็นตถาคต และจะเป็นประมุขนิกายอมตะสราญรมย์คนต่อไปในภายภาคหน้า
ทว่าตอนนี้พอพบว่าจี้ฟ่านที่เดินทางไปพื้นที่รกร้างพร้อมกันกับหลี่อันยังมีชีวิตอยู่ หลี่ผิงก็อดไม่ได้ที่จะบังเกิดความสงสัยขึ้นมา
เพราะเรื่องนี้กล่าวกันตามหลักแล้ว มันไม่น่าจะเป็นไปได้เลย!
“อาจารย์ลุง ฟ่านเอ๋อเป็นศิษย์ปิดสำนักของท่านอาจารย์ และเป็นศิษย์น้องคนเล็กของข้า ไหนเลยข้าจะจดจำลูกแก้ววิญญาณผิดได้…และต่อให้ข้าจะจดจำผิดจริง ทว่าในบรรดาลูกแก้ววิญญาณที่ข้ามีอยู่ยังไม่มีลูกใดแตกลงเลย บ่งบอกว่าจี้ฟ่านยังสมควรมีชีวิตอยู่จริงๆ!”
หลิวเสวียนคงกล่าว
หลี่ผิงพยักหน้ารับ จากนั้นค่อยพูดออกมาด้วยสงสัยว่า “ข้าคิดว่าเรื่องนี้ไม่พ้นต้องเกี่ยวข้องกับต้วนหลิงเทียนคนนั้นเป็นแน่…”
“ถึงแม้ว่าจากการสืบเสาะของพวกเจ้าก่อนหน้า 9 ใน 10 ส่วนต้วนหลิงเทียนผู้นั้นสมควรเป็นผู้ที่พึ่งขึ้นสวรรค์มาและไร้ภูมิหลังอันใด แต่ก็ไม่อาจปักใจเชื่อเรื่องนี้ได้ทั้งหมด…”
หลังเอ่ยจบคำ สีหน้าของหลี่ผิงก็ฉายให้เห็นถึงความวิตกกังวลประการหนึ่ง
“ท่านอาจารย์ลุง แล้วตอนนี้พวกเราสมควรทำอย่างไรกันดี ในเมื่อท่านอาจารย์ตกตายอย่างไม่ทราบสาเหตุเช่นนี้…หรือพวกเราจะส่งคนไปสืบหาความจริงที่พื้นรกร้าง?”
หลิวเสวียนนคงเอ่ยถามหลี่ผิง
“เรื่องนั้นไม่จำเป็น”
ได้ยินคำถามดังกล่าวของหลิวเสวียนตง หลี่ผิงส่ายหน้าไปมา สองตายังทอประกายเรืองขึ้นวูบหนึ่ง เอ่ยออกด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ในเมื่อฟ่านเอ๋อยังไม่ตาย เช่นนั้นอีกไม่นานฟ่านเอ๋อต้องส่งยันต์อมตะสื่อสารแจ้งสาเหตุการตายของน้องอันกลับมาเอง”
“ตอนนี้พวกเราก็รอรับยันต์อมตะสื่อสารของมันกันเถอะ!”
“หากเป็นดั่งที่ท่านอาจารย์ลุงว่า…ในเมื่อท่านอาจารย์ตายตกไปได้สักพักแล้ว หากฟ่านเอ๋อส่งยันต์อมตะสื่อสารกลับมา มิใช่ว่าป่านนี้ยันต์อมตะสื่อสารต้องกลับมาถึงที่นี่แล้วหรือ?”
หลิวเสวียนคงเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าสับสนเป็นกังวล “หรือว่า…ฟ่านเอ๋อได้ใช้ยันต์อมตะสื่อสารแล้ว หากแต่กลับถูกใครบางคนสกัดเอาไว้?”
“นั่นก็อาจเป็นได้”
หลี่ผิงเอ่ยออกเสียงหนัก “อาศัยพลังฝีมือของน้องอัน ให้มองไปทั่ว 6 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น หากผู้ลงมือมิใช่ตัวตนกึ่งราชาอมตะหรือเป็นราชาอมตะ นับว่ามีผู้คนเพียงหยิบมือเท่านั้นที่สามารถเอาชีวิตน้องอันได้”
“เช่นนั้นข้าคิดว่าหากจะมีผู้ใดเข่นฆ่าน้องอันได้จริง ก็สมควรเป็นตัวตนขอบเขตราชาอมตะ หรือไม่ก็เป็นตัวตนกึ่งราชาอมตะ ที่ลงมือด้วยตัวเอง! หาไม่แล้วน้องอันไม่มีทางพลาดท่าตายตกเป็นแน่!!”
หลี่ผิงกล่าว
“เป็นไปได้หรือไม่ ที่ท่านอาจารย์เกิดบันดาลโทสะ คิดลงมือทำลายนิกายอมตะไท่อี สุดท้ายจึงไปกระตุ้นให้ยอดฝีมือขอบเขตกึ่งราชาอมตะที่ลอบให้ความคุ้มครองนิกายอมตะไท่อีอยู่ออกหน้าลงมือ?”
หลังฉุกคิดถึงความเป็นไปได้ข้อนี้ขึ้นมา สีหน้าหลิวเสวียนคงก็อดเปลี่ยนไปไม่ได้
“เรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้!”
หลี่ผิงส่ายหัว มันไม่คิดว่าเรื่องจะเป็นไปในทิศทางดังกล่าว “น้องอันจะอย่างไรก็เป็นคนรอบคอบยิ่งนัก ไม่มีทางลงมือเกินเลยเป็นแน่…อีกทั้งยังรู้เรื่องที่นิกายอมตะไท่อีสมควรมียอดฝีมือกึ่งราชาอมตะอยู่ดี”
“กล่าวได้ว่าเมื่อไปถึงนิกายอมตะไท่อีแล้ว อย่างดีน้องอันก็เพ่งเล็งจัดการแค่ต้วนหลิงเทียนผู้นั้นคนเดียว คงไม่คิดเข่นฆ่าผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องอันจะเป็นการกระตุ้นยอดฝีมือเร้นกายแน่นอน ยิ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเพ่งเป้าไปที่การล้างผลาญนิกายอมตะไท่อี”
เรื่องหลี่อันเป็นคนเช่นไรในที่นี้ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าหลี่ผิงอีกแล้ว มันจึงเชื่อว่าหลี่อันไม่มีทางลงมือทำอะไรที่ไม่อาจย้อนคืนได้แน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้นหากจะพูดถึงในเรื่องรอบคอบระแวดระวังแล้ว หลี่อันยังมีเหนือกว่ามันเสียอีก
ในเมื่อมันยังรู้เรื่องเหล่านี้ดี และไม่มีทางแตะต้องนิกายอมตะไท่อีเด็ดขาด เช่นนั้นจะนับประสาอะไรกับหลี่อัน
ตอนนี้เองสติหลิวเสวียนคงก็กลับมาแจ่มใสอีกครั้ง วิจารณญาณได้ฟื้นคืนมาทั้งหมด จึงรู้สึกว่า หลี่อัน อาจารย์ของมันไม่มีวันลงมือทำอะไรเกินเลยแน่นอน สาเหตุที่ไฉนมันคิดไปแบบนั้นในตอนแรก เป็นเพราะสติมันไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไหร่
“เช่นนั้น ตอนนี้ข้าว่ามีความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียว…”
หลี่ผิงกล่าวคามคาดเดาออกมา “ผู้ที่ลงมือเข่นฆ่าน้องอันสมควรมีพลังฝีมือร้ายกาจนัก ถึงขั้นที่น้องอันไม่อาจต่อกรด้วยได้…ฟ่านเอ๋อที่เห็นดังนั้นจึงรู้สึกว่าเปล่าประโยชน์ที่จะใช้ยันต์อมตะสื่อสาร เพราะไม่พ้นสุดท้ายก็ต้องถูกอีกฝ่ายสกัดได้…”
“อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าฟ่านเอ๋อจะยังไม่ได้ใช้ยันต์อมตะสื่อสารก็ดี หรือใช้แล้วหากแต่ถูกสกัดเอาไว้ก็ดี แต่สุดท้ายคนก็ต้องย้อนกลับมาที่นิกายอมตะสราญรมย์ และแจ้งเรื่องราวการตายของน้องอันด้วยตัวเอง…ตอนนี้พวกเราทำได้แค่รอเท่านั้น!”
“หลังจากนี้พวกเราก็ไม่ต้องลงมือทำอะไรให้วุ่นวาย เพราะสุดท้ายหากอีกฝ่ายเป็นตัวตนที่ร้ายกาจถึงขั้นนั้นจริง พวกเราก็คงทำอะไรไม่ได้อยู่ดี…เช่นนั้นพวกเราก็รอไปเถอะ”
“สุดท้ายฟ่านเอ๋อที่รอดชีวิตมาได้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม ต้องหาทางย้อนกลับมาบอกตื้นลึกหนาบางแก่พวกเราแน่นอน”
สุดท้ายแล้วหลี่ผิงก็นับว่ามีอายุไม่น้อย กระทั่งยังมีลำดับอาวุโสมากที่สุดในนิกายอมตะสราญรมย์ แม้มันจะโศกเศร้าทั้งคับแค้นกับการตายของหลี่อันมากแค่ไหน แต่มันก็ยังไม่สูญเสียเหตุผล และยังสามารถมองพินิจเรื่องราวได้อย่างสงบ
จากนั้นหลิวเสวียนคงรวมไปถึงผู้อาวุโสระดับสูงของนิกายอมตะสราญรมย์ที่ฟังอยู่ ก็รู้สึกว่าคำพูดของหลี่ผิงมีเหตุผลไม่น้อย จึงเห็นด้วยกับหลี่ผิง
เป็นธรรมดาว่าต่อให้พวกมันจะไม่เห็นด้วยกับหลี่ผิง ก็คงไม่มีใครกล้าโพล่งค้านออกมาตอนนี้แน่นอน หากคิดจะทำอะไรจริงๆ ก็มีแต่ต้องลอบกระทำลับหลังเท่านั้น
เพราะสุดท้ายแล้วหลี่ผิงก็ไม่ได้เป็นแค่บรรพบุรุษของนิกายอมตะสราญรมย์เท่านั้น แต่ยังเป็นยอดฝีมืออันดับ 1 ของนิกายอมตะสราญรมย์ ขุนนางอมตะ 10 ทิศอันทรงพลัง!
และนั่นคือทั้งหมด!
เช่นนั้นต่อให้คนของนิกายอมตะสราญรมย์จะล่วงรู้กันแล้วว่าหลี่อันได้ตกตายไป แต่ก็ไม่มีใครเคลื่อนไหวทำอะไรทั้งสิ้น
ทั้งหมดพากันเฝ้ารอคอยอยู่ในนิกายอมตะสราญรมย์อย่างสงบ เฝ้ารอการกลับมาของจี้ฟ่าน รวมทั้งรอรับยันต์อมตะสื่อสารเท่านั้น
เรียกว่าหลังจากนั้น นิกายอมตะสราญรมย์ก็เข้าสู่ความสงบเงียบอีกครา กระทั่งยังสงบเงียบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน!
อย่างไรก็ตามคนของนิกายอมตะสราญรมย์ทุกคนรู้อยูแก่ใจดี…
ว่าความสงบในตอนนี้นั้น มันเป็นเพียงความสงบก่อนพายุจะเข้า!!
…
วันเวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างเงียบงัน
พริบตาไม่กี่เดือนก็ได้ล่วงเลยผ่านพ้นไป
ถึงแม้ว่าสถานที่ตั้งของนิกายอมตะสราญรมย์จะอยู่ห่างไกลจากพื้นที่รกร้างมาก กระทั่งยังมากกว่าระยะทางระหว่างพื้นที่รกร้างกับพื้นที่แห้งแล้งหลายเท่า แต่หลังจากผ่านการเดินทางอันยาวนาน ในที่สุดพวกต้วนหลิงเทียนที่ถูกหอบหิ้วเดินทางโดยเถี่ยไท่เหอ ก็มาถึงพื้นที่ก้าวข้ามเรียบร้อยแล้ว
หลังเข้าสู่พื้นที่ก้าวข้ามได้ราวๆหนึ่งเดือน
วู้มมม!!
เสียงสั่นพ้องของพลังดังกังวาลขึ้น เป็นต้วนหลิงเทียนที่นั่งขัดสมาธิกลางอากาศโดยมีเถี่ยไท่เหอหอบหิ้วเดินทางนั้น อยู่ดีๆทั่วร่างก็ปรากฏแสงสีทองสว่างเรืองรองออกมา!
ครู่ต่อมา ในขณะที่เถี่ยไท่เหอกับจี้ฟ่านตระหนักได้ถึงความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว จนต้องหันมามอง พวกมันก็พบว่าทั่วร่างต้วนหลิงเทียนปรากฏสนามพลังสีทองหนึ่งห่อหุ้มคลุมกายเอาไว้!
อีกทั้งสนามพลังสีทองสว่างไสวดังกล่าว ยังเริ่มก่อตัวเป็นรูปลักษณ์พุทธองค์สีทอง ห่อหุ้มปกคลุมร่างต้วนหลิงเทียนเอาไว้อย่างมิดชิด!!
พุทธองค์สีทองดังกล่าว ยังมีขนาดมหึมานัก มองไปประหนึ่งเนินเขาย่อมๆก็ไม่ปาน อีกทั้งแม้จะเป็นร่างโปร่งแสง แต่กลับมีรูปลักษณ์ที่ชัดเจนเหลือเกิน องคาพยพทั้ง 5 เรียกว่ามีรายละเอียดแจ่มชัดดุจมีชีวิตจริงๆ!
“นี่มัน…”
เห็นฉากดังกล่าวเถี่ยไท่เหอก็ยังดีอยู่ และไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบสนองอะไรมากมาย หากทว่าลูกตาของจี้ฟ่านอดไม่ได้ที่จะหดเล็กลงแทบปิด!
“มัน…มันเข้าใจราชันไม่เคลื่อนไหวจนถึงเคล็ดความสุดท้ายแล้วหรือ ในเวลาสั้นๆเช่นนี้เนี่ยนะ!?”
ในขณะที่พึมพำออกมา จี้ฟ่านก็อดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บ สีหน้าทาทับไปด้วยความประหลาดใจอย่างถึงที่สุด
ในฐานะที่ตัวมันเป็นตถาคตของนิกายอมตะสราญรมย์ มันเองก็ฝึกปรือวรยุทธ์อมตะทั้งเวทย์พลังของนิกายอมตะสราญรมย์ระดับสูงๆ กระทั่งยังเริ่มฝึกฝนตั้งแต่เล็กแต่น้อยจนแตกฉานทุกสรรพวิชาแล้ว
เช่นนั้นมันแค่มองปราดเดียว ก็บอกได้ทันทีว่าพุทธองค์ทองคำที่ก่อลักษณ์คลุมกายขอต้วนหลิงเทียนได้อย่างชัดเจนดุจมีชีวิตนั้นนั้น เป็นลักษณะพลังที่จะปรากฏออกมาก็ต่อเมื่อบรรลุววรยุทธ์อมตะ ราชันไม่เคลื่อนไหว จนแตกฉานแล้วเท่านั้น!!
“ปรมาจารย์โอสถต้วน…แตกฉานวรยุทธ์อมตะของนิกายอมตะสราญรมย์แล้วหรือ?”
ถึงแม้เสียงพึมพำของจี้ฟ่านจะไม่ได้ดังมากมายอะไร แต่ก็ดังเข้าหูเถี่ยไท่เหอให้ได้ยินชัดเจน คิ้วของเถี่ยไท่เหอจึงอดไม่ได้ที่จะเลิกขึ้นด้วยความประหลาดใจ
แต่ถึงมันจะประหลาดใจ ก็ไม่ถึงขั้นแปลกใจเหมือนจี้ฟ่าน
เพราะก่อนหน้านี้หลังได้ฟังคำพูดของไป๋ผิง เถี่ยไท่เหอก็ตระหนักได้ว่าต้วนหลิงเทียนนั้นหากไม่แตกฉานเวทย์พลังระดับขุนนาง 3 สายของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับอย่าง ปราณม่วงบูรพา ก็คงขาดอีกแค่นิดเดียว…
มาตอนนี้พอได้รู้ว่าต้วนหลิงเทียนฝึกฝนวรยุทธ์อมตะ ราชันไม่เคลื่อนไหว ของนิกายอมะตสราญรมย์สำเร็จ แม้จะตกใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้มากมายเท่าตอนได้รับทราบจากไป๋ผิง…ว่าต้วนหลิงเทียนสมควรบรรลุปราณม่วงบูรพาก่อนหน้านี้…
‘ตอนนี้ปรมจารย์โอสถต้วนก็แตกฉานทั้ง ปราณม่วงบูรพา และราชันไม่เคลื่อนไหวเรียบร้อย…ดูเหมือนหลังจากจัดการเรื่องราวที่นิกายอมตะสราญรมย์เสร็จ ก็คงถึงเวลาที่ปรมาจารย์โอสถต้วนต้องจากไป…’
พอนึกถึงจุดนี้ มุมปากของเถี่ยไท่เหออดไม่ได้ที่จะยกยิ้มขื่นขมออกมา
ได้เห็นว่าต้วนหลิงเทียนยสามารถฝึกปรือวรยุทธือมตะและเวทย์พลังจนแตกฉานได้ในเวลาสั้นๆ เถี่ยไท่เหอแม้จะรู้สึกยินดีกับอีกฝ่าย อย่างไรก็ตามส่วนหนึ่งในใจ ก็ไม่ค่อยเต็มใจจะเห็นต้วนหลิงเทียนจากไปเร็วนัก
“อาวุโสเถี่ย ตอนนี้พวกเราเดินทางถึงไหนแล้ว?”
ต้วนหลิงเทียนที่นั่งหลับตาขัดสมาธิอยู่ ในที่สุดก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน จากนั้นก็หันไปถามเถี่ยไท่เหอก่อนใดอื่น
“ปรมาจารย์โอสถต้วน พวกเราเข้าสู่พื้นที่ก้าวข้ามได้สักพักแล้ว…และจากที่ตถาคตบอก ด้วยความเร็วของข้า อีกไม่เกิน 1 เดือน พวกเราก็สมควรเดินทางไปถึงนิกายอมตะสราญรมย์”
ได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน เถี่ยไท่เหอก็ตอบกลับไปอย่างไม่รอช้า
“ไม่เกิน 1 เดือนงั้นเหรอ?”
ต้วนหลิงเทียนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ค่อยพยักหน้ารับ