ตอนที่ 2,998 : ความหมายลึกซึ้ง ลมกรด!
แต่ต้นจนจบ ชายหนุ่มชุดเขียวจับจ้องมองการตายของชาหนุ่มชุดฟ้าอย่างสงบ
แม้กระทั่งในวินาทีที่ชาหนุ่มชุดฟ้าล้มลงสิ้นใจ สีหน้าของมันก็ไม่แม้แต่จะเปลี่ยนไปสักนิด ราวกับคนที่ตกตายลงไปต่อหน้าต่อตาหาใช่เพื่อนหรือคนรู้จัก แต่ไม่อาจนับเป็นตัวอะไรได้
“ธาตุดินงั้นรึ…น่าสนใจดีนี่”
นอกจากนั้นเพียงฟังจากหนึ่งวาจาที่ชายหนุ่มชุดเอ่ยออก ก็บอกให้รู้ว่ามันมองออกว่าสิ่งที่ต้วนหลิงเทียนใช้เมื่อครู่เป็นพลังจากการเข้าใจความหมายแห่งดิน อันเป็นความลึ้กซึ้งของกฏแห่งดิน
แต่กระนั้น แม้มันจะล่วงรู้ว่าต้วนหลิงเทียน เข้าถึงพลังกฏแห่งดิน แต่มันก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะตื่นตระหนกตกใจอะไร ราวกับมันยังเปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจว่าเอาอยู่
เห็นกริยาดังกล่าวของอีกฝ่าย สีหน้าต้วนหลิงเทียนก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นจริงจัง
ชายหนุ่มเบื้องหน้าเขาตอนนี้ ในเมื่ออีกฝ่ายสามารถคงความสงบอยู่ได้ ก็ด้วยมีเหตุผลเพียงสองประการเท่านั้น หนึ่งอีกฝ่ายเสแสร้งทำเป็นนิ่ง ส่วนประการที่สองคืออีกฝ่ายได้เข้าใจกฏบางอย่างเช่นกัน
และต้วนหลิงเทียนรู้สึกว่าประการที่สองนั้นมีความเป็นไปได้สูงกว่า
ทันใดนั้นเอง
อยู่ๆชายหนุ่มชุดเขียวที่ม้องจ้องต้วนหลิงเทียนอย่างสงบ ทั่วร่างของมันก็ปะทุพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดออกมาอย่างดุร้าย!
และทันทีที่พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของมันปะทุลุกโชนขึ้นมาปานเพลิงไฟ ก็กลับกลายเป็นสายลมสีเขียวครามที่ม้วนพัดเวียนวนห้อมล้อมไปทั่วร่างของมัน!
เวลานี้ ร่างของชายหนุ่มชุดเขียวยังค่อยๆลอยล่องขึ้นจากพื้น หากแต่มันไม่ได้ใช้พลังเหินบิน แต่เป็นพลังอำนาจของสายลมสีเขียวครามที่พยุงร่างมันขึ้นมา!
“ธาตุลม!”
เมื่อเห็นสายลมสีเขียวครามที่ม้วนวนไปทั่ววร่างงของชายหนุ่มชุดเขียว ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ทันทีว่าที่แท้อีกฝ่ายก็เข้าใจความหมายลึกซึ้งของกฏเช่นกัน!
นอกจากนั้นยังเป็นความหมายลึกซึ้งของกฏแห่งลม!!
ซ้ำร้ายความเข้าใจในความหมายแห่งลมของชายหนุ่มชุดเขียวนั้น…แตกต่างจากความเข้าใจความหมายแห่งลมของหวงเจียหลงคนละโลก!
หวงเจียหลงนั้นยังพึ่งเข้าใจแค่บางส่วนของความหมายแห่งลมเท่านั้น
ทว่าชายหนุ่มชุดเขียวเบื้องหน้า สมควรเข้าใจความหมายยแห่งลมจนปรุโปร่งแล้ว มองจากความเร็วที่พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของอีกฝ่ายผสานเข้ากับพลังธาตุลม เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่ได้แตกฉานความหมายแห่งลมในวันสองวันเป็นแน่!
“ตระกูลสุมา สุมาฉุน!”
ชายหนุ่มชุดเขียวที่ถูกสายลมเขียวครามโอบอุ้มพยุงร่าง มองต้วนหลิงเทียนพลางกล่าวออกมาเสียงเบา
“ตระกูลสุมา? ตระกูลสุมาที่เป็นขุมกำลังระดับ 7 ที่ร่ำลือกันว่าแข็งแกร่งที่สุดในเขตปกครองคฤหาสน์เฉวียนโยวรองจาก 3 นิกาย 2 ตระกูลน่ะรึ?”
ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกทึ่งอยู่ในใจเล็กน้อย เมื่อได้ยินชายหนุ่มในชุดเขียวครามกล่าวเผยพื้นเพความเป็นมา
เรื่องราวของตระกูลสุมานั้น เขาได้ยินมาจากฮ่องเต้ฝูชิว หูหลินอี้ ในขณะเดินทางมายังทะเลสาบอวิ๋นเยียน ดังนั้นเขาจึงพอรับทราบคร่าวๆว่าตระกูลสุมาเป็นเช่นไร
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เขาคาดไม่ถึงจริงๆ ก็คือชายหนุ่มชุดเขียวเบื้องหน้ากลับเป็นคนของตระกูลสุมาที่ว่า!
เขาเองก็ยังจดจำคำพูดของหวงเจียหลงได้ดี “น้องต้วนแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำเปิดออกครานี้ ไม่ได้มีแต่คนของดินแดนพันประเทศที่เป็นขุมกำลังระดับ 8 และขุมกำลังระดับ 8 อื่นๆเข้าร่วมเท่านั้น แต่ยังมีขุมกำลังระดับ 7 บางส่วนส่งคนมาด้วย”
“ในบรรดาขุมกำลังระดับ 7 เหล่านั้น ยอดฝีมือขอบเขตยอดเซียนอมตะของพวกมัน บางคนก็ได้ฝึกปรือวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับราชามานาน ย่อมไม่ขาดผู้ที่เข้าใจความหมายลึกซึ้งของกฏต่างๆ กระทั่งอัจฉริยะบางคน อาจจะเข้าใจความหมายลึกซึ้งถึง 2 ประการแล้ว”
นั่นคือสิ่งที่หวงเจียหลงกล่าวบอกกับเขา
“ไม่น่าแปลกใจเลย ที่ไฉนเจ้าถึงแลดูมั่นใจนัก…ที่แท้เจ้าก็เป็นคนของขุมกำลังระดับ 7 นี่เอง”
ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดหยีลงเล็กน้อย ค่อยกล่าวแนะนำตัวเองตามมารยาท “ประเทศฝูชิว ต้วนหลิงเทียน”
“อายุไม่ถึงร้อยปี บรรลุขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด แถมยังเข้าใจความหมายลึกซึ้งอย่างความหมายแห่งดินจนแตกฉาน…พรสวรรค์ทั้งไหวพริบปฏิภาณเจ้า กล่าวได้ว่าท้าทายสวรรค์แล้วจริงๆ”
สุมาฉุนมองต้วนหลิงเทียนพลางกล่าวออกด้วยวาจาไม่ขาดคำชมเชย “นี่นับเป็นครั้งแรกในชีวิตของข้าเลย ที่ได้พบเจอผู้ที่มีพรสวรรค์ทั้งไหวพริบปฎิภาณสูงล้ำเท่าเจ้า!”
“เจ้าเองก็ไม่เลว”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
“แต่ถึงอย่างนั้น…วันนี้เจ้าก็ถูกลิขิตให้ต้องตายตกลงที่นี่! การที่ข้า สุมาฉุน ได้เข่นฆ่าอัจฉริยะมากพรสวรรค์เช่นเจ้าได้ นับว่ามากพอให้ข้าอวดโอ่ได้ชั่วชีวิต!”
พอสุมาฉุนเอ่ยคำออกมาอีกครั้ง สองตามันก็ฉายชัดถึงเจตนาฆ่าฟันอันน่ากลัว เห็นได้ชัดว่ามันคิดฆ่าต้วนหลิงเทียนให้ตาย!
ในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ เพื่อสะสมแต้มแล้ว ปกติก็คงเป็นไปไม่ได้ที่จะไว้ชีวิตคนที่พบเจอ เว้นเสียแต่อีกฝ่ายจะเป็นคนรู้จักมักคุ้น
จะอย่างไรก็ตามแต่ สุมาฉุนผู้นี้ทั้งๆที่ได้เห็นการลงมือของต้วนหลิงเทียนไปแล้ว แต่ยังประกาศออกมาชัดเจนว่าจะฆ่าต้วนหลิงเทียนให้ตาย ก็เผยให้รู้ว่าตัวมันนั้นมีความมั่นใจอันสูงส่ง!
‘ให้ตายเถอะ ดูเหมือนเจ้าสุมาฉุนผู้นี้สมควรเข้าใจความหมายลึกซึ้ง 2 ประการแล้วไม่ผิดแน่…นี่ดวงของข้ามันดีขนาดนี้จริงๆ?’
เผชิญหน้ากับความมั่นใจของสุมาฉุน ต้วนหลิงเทียนได้แต่คิดในใจอย่างประชด เขาวิ่งโร่อยู่เป็นเดือนไม่เจอใคร พอมาเจอเข้าจริงๆกลับเจอตัวเป้งเข้าให้!
ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดที่สามารถเข้าใจความหมายลึกซึ้ง 2 ประการนั้น นับว่าเป็นตัวตนระดับแนวหน้าของผู้ที่เข้าร่วมแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำครั้งนี้เลยก็ว่าได้!
เรียกว่าตัวตนเช่นมัน สามารถเดินทอดน่องไปทั่วแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำได้อย่างสบายใจดั่งเดินชมสวนหลังบ้าน!
เพราะในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำนั้น ไม่ว่าจะเป็นยันต์เต๋าอมตะอันใดที่มีพลังอานุภาพเหนือกว่าขอบเขตยอดเซียนอมตะ ก็จะไม่อาจสามารถใช้งานได้เลย เพราะมันจะถูกพลังของค่ายกลที่ปกคลุมไปทั่วแดนทำลายลงในพริบตา!
ด้วยวิธีนี้ ต่อให้ท่านพกยันต์เต๋าอมตะล้ำเลิศมามากเพียงไหน ก็กลับกลายเป็นแค่ของไร้ประโยชน์!
และยันต์เต๋าอมตะที่เป็นประเภทจู่โจมหรือสนับสนุนที่ยอดเซียนอมตะมักพกไว้ ก็สมควรเป็นยันต์เต๋าอมตะที่มีพลังอำนาจของขุนนางอมตะ เรียกว่ายามเปิดใช้ ไอพลังที่เริ่มก่อตัวอย่างไรก็เหนือกว่าพลังของยอดเซียนอมตะ
เมื่อแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำสัมผัสได้ถึงไอพลังที่เหนือกว่ายอดเซียนอมตะ มันก็จะทำการขจัดทิ้งทันที ทำให้ยันต์เต๋าอมตะใดๆที่มีพลังเหนือกว่าขอบเขตยอดเซียนอมตะกลับกลายเป็นแผ่นหยกโง่ๆแผ่นหนึ่ง!
ในที่นี้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับพลังฝีมือส่วนตัวเท่านั้น!
“ก็มีคนเคยพูดกับข้าแบบนี้หลายคนแล้วเหมือนกัน…แต่ตอนนี้หญ้าที่หลุมศพพวกมันคงสูงสามฉื่อแล้ว”
เมื่อสัมผัสได้ถึงเจตนฆ่าฟันอำมหิตที่แผ่ซ่านออกมาทั่วร่างชายหนุ่มชุดเขียว ต้วนหลิงเทียนก็เอ่ยคำตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเฉยเมย
“นั่นมันพวกสวะ…ไม่อาจนับรวมข้า!”
ก่อนที่สุมาฉุนจะกล่าวคำเสียงเย็น มือมันก็สะบัดเบาๆปรากฏกระบี่เล่มหนึ่งที่แลดูไม่ธรรมดาผุดจากความว่างเปล่าเข้ามือ ตัวกระบี่ที่ว่ายังเปล่งแสงพลังลี้ลับจางๆ เห็นได้ชัดว่าสมควรเป็นกระบี่อมตะระดับราชา!
“ก็เข้ามาลองดู!”
ในมือต้วนหลิงเทียนเอง ก็ปรากฏพลองอมตะระดับราชาที่ผุดโผล่จากความว่างมากระชับถือไว้เช่นกัน ตัวเขานั้นในโลกเก่านอกจัดเป็นผู้เชี่ยวชาญสรรพวุธอย่างหาตัวจับได้ยาก! เรียกว่าอาวุธใดๆก็ตามนอกจากปืนแล้ว เขาล้วนใช้ได้คล่องไม่ต่างมือเท้า ทำให้วันนี้ไม่ว่าจะหยิบจับอาวุธอะไร เขาก็นำมาประยุกต์ใช้กับวรยุทธ์อมตะทั้งเวทย์พลังที่มีได้อย่างง่ายดาย
และในบรรดาอุปกรณ์อมตะระดับราชาที่เขาครอบครองอยู่ พลองอมตะระดับราชาเล่มนี้นับเป็นศาสตราที่มีอานุภาพสูงสุด เช่นนั้นเขาจึงมักจะใช้มันต่อกรกับศัตรู
“หึ!”
เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนไม่ได้ยำเกรงอะไรมันเลย สีหน้าสุมาฉุนก็คล้ายฉาบไว้ด้วยชั้นน้ำแข็ง หลังแค่นคำสบถขัดใจคราหนึ่ง สายลมเขียวคราวที่ห้อมล้อมพยุงกายเพียงสั่นไหวเบาบาง จากนั้นคนก็คล้ายกลับกลายเป็นลมพายุหอบหนึ่ง กรรโชกกวาดไปทางต้วนหลิงเทียนอย่างเกรี้ยวกราด!
ในระหว่างที่ร่างมันกรรโชกมาเร็วไว ยังปรากฏเงาร่างรางเลือนสีน้ำเงินอ่อนปกคลุมฝ่าเท้า ทำให้ความเร็วในการโจนทะยานของมันบรรลุสู่อีกขั้น!
บัดนีสุมาฉุน ไม่คล้ายผู้คนแต่เป็นเสือชีตาร์ปราดเปรียว ที่กระโจนเข้ามาด้วยความเร็วอัศจรรย์!
เพียงความเร็วที่มันโจนทะยานร่างเปิดฉากเข่นฆ่าเข้ามา ก็แทบจะทัดเทียมกับความเร็วสูงสุดของต้วนหลิงเทียนแล้ว!
“หืม?”
และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังคิดว่านี่สมควรเป็นความเร็วสูงสุดของสุมาฉุนนั้นเอง อยู่ๆร่างฉับไวของสุมาฉุนเบื้องหน้าก็เริ่มพร่ามัวไปดั่งเงาเลือน ในสายตาเขาคงเหลือแต่ภาพติดตาที่กำลังจางหายเท่านั้น!
จังหวะนี้ ต้วนหลิงเทียนไม่อาจมองท่าร่างของสุมาฉุนได้ชัดเจนอีกต่อไป
‘นี่มัน…ความลึกซึ้งประการที่สองของกฏแห่งลมที่มันเข้าใจงั้นรึ?’
ในห้วงเวลาพริบตาดุจฟ้าแลบ หน้าต้วนหลิงเทียนก็เปลี่ยนสีไปไม่น้อย!
เพราะนอกจากกความเป็นไปได้ข้อนี้ เขาไม่อาจหาคำใดอื่นมาอธิบายได้อีก ว่าสุมาฉุนอาศัยอะไรถึงสามารถยกระดับความเร็วได้น่ากลัวขึ้นถึงขนาดนี้ ‘อยู่ๆความเร็วของมันก็ปะทุสูงขึ้นในชั่วพริบตา…ความหมายลึกซึ้งประการที่สองของกฏแห่งลมที่มันเข้าใจ สมควรจะเป็นความลึกซึ้งที่เน้นสนับสนุนในแง่ของความเร็วเป็นหลักสินะ!’
ต้วนหลิงเทียนลอบคาดเดาในใจ
“ไอ้หนู หากเจ้าไม่อยากตายรีบเร่งเร้าพลังเซียนยอมตะผสานธาตุดินแล้วถ่ายทอดมันลงเกราะอ่อนที่เจ้าสวมอยู่เสีย! เร็วเข้า!!”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทีนกำลังคาดเดาเรื่องราวในใจ เสียงแฝงความกังวลเล็กน้อยของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินพลันโพล่งดังขึ้นอย่างประจวบเหมาะ!
ได้ยินคำของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน ต้วนหลิงเทียนก็ไม่รอช้า เร่งระดมพลังเซียนยอมตะต้นกำเนิดที่ผสานไว้ด้วยพลังแห่งธาตุดิน พลางถ่ายทอดลงสู่เกราะอ่อนอมตะระดับราชาที่เขาสวมไว้ เพื่อเปิดใช้พลังอำนาจของมันทันที
ทันใดนั้นเมื่อเกราะอ่อนสำแดงพลังอานุภาพ ทั่วร่างต้วนหลิงเทียนก็ปรากฏเงาร่างเกราอ่อนเกล็ดแดงหนึ่งขึ้นมาห่อหุ้มปกคลุมเอาไว้
และในขณะที่เงาร่างเกราะอ่อนเกล็ดแดงปรากฏขึ้นคลุมกายต้วนหลิงเทียน พลังลี้ลับสีเหลืองแก่ขุมหนึ่งก็หลั่งไหลไปผสานรวมเข้ากับเงาร่างเกราะอ่อนเกล็ดแดงที่ว่าอย่างฉับไว!
ทันใดนั้นเงาร่างเกราะอ่อนเกล็ดแดงก็คล้ายจะทวีความแข็งแกร่งมากขึ้นหลายส่วน!
เห็นฉากดังกล่าว ต้วนหลิงเทียน่อมทราบได้ทันทีว่าเป็นปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินได้ใชความสามารถของเพื่อเพิ่มพูนพลังอำนาจในการป่องกันของเกราะอ่อนเกล็ดแดง ซึ่งเป็นชุดเกราะอมตะระดับราชาให้สูงขึ้น!
และแทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินเสริมพลังให้กับเกราะอ่อนเกล็ดแดงแล้วเสร็จ
ฟั่บ! ฟั่บ! ฟั่บ! ฟั่บ! ฟั่บ! ฟั่บ!
…
เสียงกระบี่กรีดฟ้าแว่วดังขึ้นในหูต้วนหลิงเทียนระงม!
ในขณะเดียวกัน ด้านต้วนหลิงเทียนก็ไม่ทันมีเวลาได้ตอบสนองสิ่งใด บรรยากาศรอบกลายก็เต็มไปด้วยพลังกระบี่คมกริบเขียวคราม สาดโถมเข้ามาทั่วร่างเขาปานห่าพิรุณกระหน่ำ ซัดสะบั้นฟันเข้าใส่เงาร่างเกราะอ่อนเกล็ดแดงของเขาอย่างเกรี้ยวกราด!
ทันใดนั้นเงาร่างเกราะออนเกล็ดแดงของเขาก็สะเทือนสะท้าน คล้ายจะพังทลายลงได้ทุกเมื่อ หากแต่ยังแข็งขืนต้านทานเอาไว้ได้!
‘ความเร็วบัดซบอะไร…ไฉนพลังกระบี่ของมันถึงได้ไวขนาดนี้!’
ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะตื่นตกใจ หากไม่ใช่เพราะปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินจ่ายพลังไปหนุนเสริมพลังป้องกันของเกราะอ่อนอมตะระดับราชาแล้วล่ะก็ อาศัยพลังป้องกันดั้งเดิมของมันคงยากจะหยุดยั้งห่าคมกระบี่สะบั้นของสุมาฉุนได้!
“นี่มันจะไม่เร็วเกินไปหน่อยรึไง…ความลึกซึ้งประการที่สองของกฏแห่งลมที่สุมาฉุนเข้าใจมันคืออะไรกันแน่?!”
ใจต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะสะท้านเต้นไปไม่เป็นจังหวะ ขณะเดียวกันก็เร่งกล่าวถามปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินเสียงเครียดทันที
“ความลึกซึ้งประการที่สองของกฏแห่งลมที่เจ้าหนูนี่มันเข้าใจคือ ‘ลมกรด’ เป็นความลึกซึ้งที่เน้นเสริมความเร็วเป็นหลักของกฏแห่งลม…อีกทั้งความลึกซึ้งประการนี้ของกฏแห่งลม ยังเป็นความลึกซึ้งที่ถือว่าร้ายกาจอย่างน่ากลัว เพราะมันสามารถเพิ่มพูนทั้งความเร็วให้กับผู้ใช้ทุกด้าน ไม่เว้นความเร็วในการจู่โจม…”
ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินกล่าว “เจ้าหนู หากไม่ใช่เพราะข้า…ตอนนี้เจ้าคงตายเป็นผีใต้คมกระบี่เมื่อครู่ของมันแล้ว!”
“พลังฝีมือของเจ้าหนูนั่น ในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำแห่งนี้ น่ากลัวว่ามันจะไม่เป็นสองรองใคร!”
กล่าวถึงจุดนี้น้ำเสียงของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินก็จริงจังไม่น้อย
“อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ด้วยเจ้ามีข้าหนุนเสริม…ต่อให้มันจะเร็วบัดซบกว่านี้ก็ช่างหัวมันปะไร วันนี้ให้มันตีเจ้าทั้งวันมันก็ไม่มีทางฝ่าการป้องกันของเจ้าได้แน่นนอน!!”
กล่าวถึงท้ายประโยคน้ำเสียงของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินก็คล้ายจะฉายชัดถึงความภาคภูมิใจออกมา “เดี๋ยวมันโจมตีเจ้าจนหมดแรงเมื่อไหร่ มันก็ล้มเลิกไปเอง…”
และราวกับจะตอกย้ำคำพูดของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน
หลังห่าคมกระบี่กระหน่ำฟันเข้ามารอบกายต้วนหลิงเทียนต่ออีกสักพัก ในที่สุดสุมาฉุนก็หยุดจู่โจม จากนั้นร่างที่กลับกลายเป็นดั่งเงาเลือนวูบไปวูบมาของมัน ก็เริ่มปรากฏตัวให้เห็นชัดอีกครั้ง
“ข้าล่ะแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองจริงๆ ที่แท้เจ้ากลับเข้าใจความลึกซึ้งประการที่สองของกฏแห่งดินเช่นกัน…แถมความลึกซึ้งประการที่สองของกฏแห่งดินที่เจ้าเข้าใจ ดันเอกอุเรื่องป้องกันสินะ? หาไม่แล้วเจ้าคงมิอาจต้านทานรับกระบี่ของข้าได้ง่ายดายเช่นนี้!”
สุมาฉุนมองจ้องต้วนหลิงเทียนตาเขม็ง กล่าววออกเสียงหนัก “เป็นข้าดูเบาเจ้าไป!”