WSSTH ตอนที่ 3,283 : ไปวิหารเฟิงฮ่าว
“ร่างอวตารกฏ?”
ต้วนหลิงเทียน่คิ้วเบาๆ “มันคืออะไรหรือพี่สาวสุ่ย?”
“เรื่องนี้ข้าอธิบายไปเจ้าก็คงไม่กระจ่างชัด พอเจ้าหลอมสารัตถะของต้นไมเทพสนหลิวที่พฤกษาเทพกำเนิดชีพดูดกลืนมาแล้วเสร็จ ไว้เจ้าสามารถควบแน่นร่างอวตารกฏที่ว่าได้ เจ้าก็จะเข้าใจทั้งหมดเอง”
วารีเทพชำระโลกากล่าว
“แล้วการหลอมสารัตถะต้นไม้เทพสนหลิวที่พฤกษาเทพกำเนิดชีพดูดซับมามันใช้เวลานานหรือไม่?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามอีกครั้ง
“กล่าวไปการหลอมมันตามปกติ ต่อให้ทุ่มพลังขัดเกลามันทั้งวันทั้งคืนไม่กินไม่นอนก็คงต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 10 ปี…แต่แน่นอนว่าข้ามีสถานที่ๆจะช่วยให้เจ้าหลอมมันได้สำเร็จภายในเวลาราวๆ 1 ปี”
ววารีเทพชำระโลกาตอบ
“ที่ไหนหรือ?”
สองตาต้วนหลิงเทียนเปล่งแสงวาบหนึ่ง ตอนนี้เหลือเวลาแค่ 3 ปีเท่านั้นก่อนที่เขาจะเข่นฆ่ากับหานอวิ๋นจิ่น ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะหลอมสร้างร่างอวตารกฏของต้นไม้เทพสนหลิวได้ทันหากใช้วิธีปกติ
“วิหารเฟิงฮ่าว”
วารีเทพชำระโลกาตอบ
ทันทีที่นางกล่าวจบคำ ต้วนหลิงเทียนก็อดแปลกใจไม่ได้
และตอนนี้ความคิดเขาคล้ายจะนึกย้อนไปยังช่วงแรกๆที่ขึ้นมายังระนาบเทวโลก สมัยยังอยู่ในนิกายอมตะไท่อีที่ 6 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้ในชายแดนรอบนอกของแดนสวรรค์ใต้ หลิงหลัวเทียน
ที่นั่นเป็นที่ๆเขาได้รับทราบข้อมูลเรื่องวิหารเฟิงฮ่าวเป็นครั้งแรกจากซือถูหมิง และรู้ว่าหากจอมราชันอมตะกับจักรพรรดิอมตะต้องการสมญานามอย่างเป็นทางการ ก็จำต้องไปยังวิหารเฟิงฮ่าว เพื่อทำการทดสอบรับสมญานาม
ยกตัวอย่างนิกายกระบี่หมื่นหายนะ แม้พลังฝีมือของจักรพรรดิอมตะบางคนที่นั่นจะพอๆกับจักรพรรดิอมตะสมญานามแล้ว แต่ในเมื่อไม่ได้ไปรับสมญานามที่วิหารเฟิงฮ่าว เช่นนั้นจึงไม่ได้เป็นจักรพรรดิอมตะสมญานามอย่างเป็นทางการ
“จอมราชันอมตะที่มีสมญานามนั้น มิใช่อะไรที่จอมราชันอมตะไร้สมญานามจะเทียบได้…”
“นั่นเพราะหากจอมราชันอมตะคนใด ต้องการที่จะกลายเป็นจอมราชันอมตะที่มีสมญานาม จักต้องไปยังวิหารเฟิงฮ่าวอันเป็นขุมกำลังที่ลึกลับและน่าพรั่นพรึงที่สุดในระนาบเทวโลกทั้งมวล และผ่านบททดสอบเป็นตายกับจอมราชันอมตะอีก 9 คนที่ต้องการสมญานามเช่นกันเสียก่อน…กว่าจะได้เป็นจอมราชันอมตะที่มีสมญานาม”
“กล่าวได้ว่าในบรรดาจอมราชันอมตะ 10 คน จักต้องเข่นฆ่ากันจนเหลือรอดเป็นคนสุดท้าย! จากนั้นวิหารเฟิงฮ่าวจึงจักมอบสมญานามให้แก่จอมราชันอมตะผู้ที่เหลือรอด!!”
“อีกทั้งนามของจอมราชันอมตะผู้นั้นจักถูกวิหารเฟิงฮ่าวบันทึกไว้ในรายนาม ‘สมญานามจอมราชันอมตะ’ และจะประกาศให้รู้กันไปทั่วระนาบเทวโลก”
“การที่จะโดดเด่นกว่าใครในบรรดาจอมราชันอมตะ 10 คนนั้นมิใช่เรื่องง่าย สิ่งนี้มิใช่อะไรที่จอมราชันอมตะทั่วๆไปจักสามารถกระทำได้…เช่นนั้นแล้วจึงกล่าวได้เลยว่า มิว่าจักเป็นจอมราชันอมตะที่มีสมญานามคนใด ล้วนแล้วแต่เป็นจอมราชันอมตะชนชั้นยอดฝีมืออันร้ายกาจทั้งสิ้น!!”
…
ข้างต้นเป็นคำพูดที่ซือถูหมิงกล่าวอธิบายเรื่องวิหารเฟิงฮ่าวให้เขาฟัง
(จากตอน 2823)
ในวันนั้นเขาจึงได้รู้ว่าในระนาบเทวโลกทั้งมวล ยังมีขุมกำลังหนึ่งที่ทรงพลังเหนือกว่าพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ใดๆ…
วิหารเฟิงฮ่าว!
“วิหารเฟิงฮ่าว เป็นดั่งขุมกำลังศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลังอำนาจและน่าหวาดกลัวที่สุดในระนาบเทวโลกทั้งมวล หากแต่เป็นขุมกำลังที่ไม่เคยเข้าร่วมข้อพิพาทใดๆ ทว่าความแข็งแกร่งของขุมกำลังนี้…คือสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในบรรดาขุมกำลังระดับแนวหน้า!”
“ในประวัติศาสตร์ของระนาบเทวโลก เคยมีขุมกำลังที่ยืนอยู่ ณ จุดสูงสุดของระนาบเทวโลกคิดท้าทายพลังอำนาจของวิหารเฟิงฮ่าวอยู่บ้าง พวกมันคิดจะทำลายตำนานที่เล่าขานกันมาอย่างยาวนานของวิหารเฟิงฮ่าวเพื่อสร้างชื่อลือชา…แต่สุดท้าย ไร้ซึ่งข้อยกเว้นใดๆ ขุมกำลังที่คิดลองดีเหล่านั้นล้วนพินาศสิ้น! ถูกกำจัดให้หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์อันยาวนานของระนาบเทวโลก…”
“วิหารเฟิงฮ่าวนั้น เป็นขุมกำลังที่ทั้งเก้าเก้า 81 ระนาบเทวโลกรู้จักกันดี แถมแต่ละระนาบเทวโลกก็จักมีสาขาของวิหารเฟิงฮ่าวประจำการอยู่…ไม่ว่าต้องการเป็นจอมราชันอมตะที่มีสมญานาม หรือกระทั่งจักรพรรดิอมตะที่มีสมญานาม ก็สามารถไปเข้าร่วมบททดสอบความเป็นตายของวิหารเฟิงฮ่าว จวบจนได้รับการยอมรับจากวิหารเฟิงฮ่าวได้ทุกแห่ง…”
…
นอกจากนั้น ตอนที่อยู่ใน 6 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้ในอดีต ต้วนหลิงเทียนยังได้รับทราบอีกว่า…
เคยมีจักรพรรดิสวรรค์ไม่น้อยกว่า 10 คนที่เคยลองดีด้วยการท้าทายอำนาจของวิหารเฟิงฮ่าว…แต่ท้ายที่สุดแล้ว ไม่มีข้อยกเว้น…ทั้งหมดถูกฆ่าทิ้งไม่มีใครรอด!
ที่สำคัญ วิหารเฟิงฮ่าวดำรงอยู่มาเนิ่นนานตั้งแต่สมัยสถาปนาระนาบเทวโลกเลยก็ว่าได้
เช่นนั้นทุกคนจึงรู้กันดีเรื่องหนึ่ง…วิหารเฟิงฮ่าวเป็นขุมกำลังที่สืบทอดมรดกต่อกันมายาวนานที่สุดของระนาบเทวโลก! ยอดฝีมือในวิหารเฟิงฮ่าวมีมากมายดั่งหมู่เมฆ และยังมียอดฝีมือที่ทรงพลังเหนือกว่าจักรพรรดิสวรรค์เสียอีก!!
“พี่สาวสุ่ย…เท่าที่ข้าเคยได้ยินมา หรือว่าวิหารเฟิงฮ่าวนั้นจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้แข็งแกร่งที่สุด?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามด้วยความสงสัย
เขาเองก็จำได้ว่าเพลิงเทพโกลาหลกับทองเทพสุดลี้ลับ รวมถึงปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินก็เคยพูดถึงเรื่องนี้กับเขา และบอกว่าวิหารเฟิงฮ่าวนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้แข็งแกร่งที่สุด
“มีส่วนเกี่ยวข้องกันจริงๆ”
วารีเทพชำระโลกากล่าว “ยิ่งไปกว่านั้นไม่ใช่การเกี่ยวข้องกันธรรมดา แต่วิหารเฟิงฮ่าวคือขุมกำลังที่ผู้แข็งแกร่งที่สุดเป็นผู้สร้างขึ้น”
“ว่าแล้วเชียว…”
ต้วนหลิงเทียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ค่อยถามต่อว่า “พี่สาวสุ่ย แล้ววิหารเฟิงฮ่าวจะช่วยให้ข้าหลอมสารัตถะต้นไม้เทพสนหลิวและควบสร้างร่างอวตารกฏภายใน 1 ปีได้อย่างไร?
“เรื่องนี้ เจ้าเพียงไปเข้าร่วมการทดสอบรับสมญานามของจอมราชันอมตะ ก็พอ”
วารีเทพชำระโลกากล่าว “ในวิหารเฟิงฮ่าว กว่าเจ้าจะกลายเป็นจอมราชันอมตะสมญานาม เจ้าต้องแข่งขันกับจอมราชันอมตะอีก 9 คนในแดนลับ…ในแดนลับที่ว่ามีบททดสอบมากมาย และบททดสอบบางจุด จะมีแรงกดดันพลังที่แฝงเจตจำนงของผู้แข็งแกร่งที่สุดอยู่”
“ในสถานที่ดังกล่าว ความเร็วในการหลอมต้นไม้เทพสนหลิวเพื่อเป็นร่างอวตารกฏจะรวดเร็วขึ้นอย่างมาก”
ฟังจากคำพูดของวารีเทพชำระโลกาแล้ว เห็นชัดว่าอีกฝ่ายมีความคุ้นเคยกับวิหารเฟิงฮ่าวไม่น้อย
สำหรับเรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนก็ไม่แปลกใจอะไร เพราะความเป็นมาของวารีเทพชำระโลกาในร่างเขานั้น น่ากลัวว่าจะดำรงอยู่มาเนิ่นนานอย่างยิ่งยวด อีกทั้งยังอยู่กับตัวตนที่กำลังจะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดโดยอาศัยพฤกษาเทพกำเนิดชีพเป็นคนแรกท่ามกลางสวรรค์และโลก! เช่นนั้นไม่ทราบผ่านอะไรมากี่มากน้อย และรู้เรื่องราวเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่!!
“ด้วยพลังของเจ้าตอนนี้คิดจะผ่านการทดสอบได้รับสมญานามจากวิหารเฟิงฮ่าว มันเป็นเรื่องง่ายดายนัก…อย่างไรก็ตามการไปวิหารเฟิงฮ่าวนั้น เรื่องรับสมญานามเป็นเรื่องรอง ที่สำคัญที่สุดคือการหลอมสร้างร่างอวตารกฏของต้นไม้เทพสนหลิวให้แล้วเสร็จในเวลา 1 ปี…”
วารีเทพชำระโลกากล่าว
“เข้าใจแล้วพี่สาวสุ่ย”
ต้วนหลิงเทียนขานรับ
ขณะที่คุยกับวารีเทพชำระโลกาภายในร่างไปได้สักพัก ฮ่วนเอ๋อก็ตื่นจากสมาธิ จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็ชักชวนฮ่วนเอ๋อไปหาจักรพรรดิอมตะทุ่งขจีฉือหล่าง ที่เป็นครูคนใหม่ของเขา
“ครู ข้าอยากไปวิหารเฟิงฮ่าว”
ต้วนหลิงเทียนมองกล่าวกับฉือหล่างอย่างตรงไปตรงมา
“หืม? เจ้าอยากได้สมญานามรึ?”
ฉือหล่างเอ่ยถาม
“ใช่”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า ถึงแม้เขาจะไม่ได้ตั้งเป้าไว้ที่การรับสมญานาม แต่ไปหลอมอวตารกฏต้ไม้เทพสนหลิวก็ตามที ทว่าเรื่องรู้พูดออกมาได้ง่ายๆหรือ?
แค่บอกว่าไปรับสมญานามก็จบ ไม่มีใครสงสัย
“อันที่จริงด้วยระดับพลังของเจ้าตอนนี้ การไปรับสมญานามก็เหมือนไปรังแกผู้อื่นเขา..อีกทั้งเป็นจอมราชันอมตะสมญานามไป อย่างดีก็มีหน้ามีตาในดินแดนยิบย่อยเท่านั้น สำหรับที่นี่ไม่ได้มีความหมายอันใดเลย…”
ฟังจากคำพูดของฉือหล่างแล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่ได้เห็นดีเห็นงามสักเท่าไหร่ ที่ต้วนหลิงเทียนจะไปรับสมญานามที่วิหารเฟิงฮ่าวในช่วงเวลาแบบนี้ “ที่สำคัญการทดสอบรับสมญานามของวิหารเฟิงฮ่าวอย่างเร็วก็ต้องใช้เวลาครึ่งปี หากนานหน่อยไม่ทั้งปีก็อาจลากยาวไปถึง 2 ปี…นั่นยังมิใช่เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์หรือไร”
“จะดีเสียกว่าหากเจ้าทุ่มเทเวลาไปกับการบ่มเพาะเพิ่มพูนพลัง เพื่อเตรียมการรับมือหานอวิ๋นจิ่นในอีก 3 ปีหลังจากนี้”
ฉือหล่างกล่าว
“ครู ขอบอกท่านตามตรง ข้าไม่ได้กลัวอะไรเจ้าหานอวิ๋นจิ่นนั่นเลย กระทั่งต่อให้ต้องสู้กับมันตอนนี้ ข้าก็มั่นใจว่าจะฆ่ามันได้…”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวด้วยน้ำเสียงสีหน้าสบายๆพลางยักไหล่อย่างไม่อีนังขังขอบ เพราะเขารู้ดีแก่ใจ ว่าตอนนี้มีเพียงแต่ต้องทำตัวสบายๆ แลดูมั่นใจในฝีมือตัวเองออกไปให้มาก เพื่อให้ฉือหล่างมั่นใจว่าเขาไม่ได้กังวลเรื่องหานอวิ๋นจิ่นเลยจริงๆ ถึงขั้นคิดจะไปเล่นที่วิหารเฟิงฮ่าวได้…
หาไม่แล้วฉือหล่างอาจสงสัยเอาได้ ว่าเขาไปวิหารเฟิงฮ่าวโดยมีวัตถุประสงค์อื่นแอบแฝง!
“โอ!?”
แน่นอนว่าฉือหล่างย่อมรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย เมื่อได้ยินวาจามั่นอกมั่นใจถึงขนาดนี้ของต้วนหลิงเทียน
“ครู หรือไม่ท่านบอกข้าก็ได้ ว่าวิหารเฟิงฮ่าวอยู่ที่ใด ข้าอยากไปเที่ยวดู”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
“เอาล่ะๆ ในเมื่อเจ้าอยากไป ข้าจะพาเจ้าไปเอง”
เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนตัดสินใจแล้ว ฉือหล่างก็ไม่คิดจะเซ้าซี้อะไรให้มากความ จึงกล่าวว่าจะพาต้วนหลิงเทียนไปวิหารเฟิงฮ่าวออกมาตรงๆ
“ไหนๆก็จะไปแล้ว ข้าจะลองถามพวกศิษย์พี่ของเจ้าดูหน่อยว่ามีใครสนใจไปเล่นด้วยไหม…หากมีใครสนใจจะได้ไปพร้อมๆกัน”
ขณะกล่าวฉือหล่างก็สะบัดมือส่งข้อความออกไปทันที
แน่นอนว่ายันต์อมตะสื่อสารทางวิญญาณที่บดขยี้นั้น ไม่มีแผ่นใดใช้ลูกแก้ววิญญาณของ หลู่จี้ ศิษย์พี่รองต้วนหลิงเทียนเป็นสื่อเลย มีแค่หูเหมย เวิ่นหว่านเอ๋อ โอวหยางฉีเฟย และหงเฟยเท่านั้น
เนื่องเพราะในบรรดาศิษย์ทั้ง 7 ของฉือหล่าง มีแค่ 4 คนนี้กับต้วนหลิงเทียนเท่านั้นที่ยังเป็นจอมราชันอมตะ
“เล่น?”
ได้ยินคำพูดของฉื่อหลาง มุมปากต้วนหลิงเทียนอดกระตุกไปไม่ได้ ฐานะจอมราชันอมตะสมญานามเป็นเพียงการละเล่นสำหรับฉือหลาง?
แต่เขาก็รู้ดีว่าฉือหล่างจะกล่าวเช่นนี้ก็ไม่แปลก เพราไม่ว่าจะศิษย์พี่คนไหนของเขา ก็แข็งแกร่งพอจะได้รับสมญานามทั้งสิ้น…
“หงเฟย ศิษย์พี่ 6 ของเจ้าไม่ตอบ เจ้าอ้วนนั่นมิแคล้วกำลังตั้งหน้าตั้งตาบ่มเพาะพลังอยู่แน่นอน! ดูเหมือนเจ้าจะสร้างแรงกดดันให้เจ้าอ้วนนั่นไม่เบาทีเดียว”
ฉือหล่าส่ายหัวไปมาพร้อมหัวเราะขบขัน
“เจ้า 5 เองก็เงียบไม่ตอบ…”
ฉือหล่างกลาวสืบต่อ “ทว่าเจ้า 3 กับเจ้า 4 แจ้งข้ามาแล้วว่าพวกนางจะไปกับพวกเราด้วย”
เสียงของฉือหล่างดังไม่ทัจบคำดี เงาร่างบางหน้าตาหมดจด 2 ร่างก็เหินมาถึงเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียนพอดี เป็นสตรีในชุดสีแดงสดรูปร่างกริยายมากเสน่ห์ กับสตรีที่แลดูอ่อนโยนสง่างามปานหยกประหนึ่งลูกคุณหนูจ๋า…
เป็นศิษย์พี่หญิง 3 หูเหมย กับศิษย์พี่หญิง 4 เวิ่นหว่านเอ๋อ
“ศิษย์น้องเล็ก ได้ยินอาจารย์บอกว่าเจ้าคิดไปเที่ยวเล่นที่วิหารเฟิงฮ่าวหรือ? พอดีศิษย์พี่หญิง 3 กับศิษย์พี่หญิง 4 ของเจ้าก็ไม่เคยไปรับตำแหน่งจอมราชันอมตะสมญานามเช่นกัน เช่นนั้นพวกเราจะไปเล่นกับเจ้าด้วย”
หูเหมยมองต้วนหลิงเทียนอย่างเล่นหูเล่นตา กล่าวออกด้วยน้ำเสียงสนุกสนาน
“ศิษย์น้องเล็ก ศิษย์น้องฮ่วนเอ๋อ”
เวิ่นหว่านเอ่อทักทายต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก่อนใดอื่น
“มีศิษย์พี่หญิง 3 กับศิษย์พี่หญิง 4 ไปด้วย การเดินทางครั้งนี้ก็ไม่น่าเบื่อแล้ว”
ต้วนหลิงเทียนหัวเราะเบาๆ
“น้องสาวฮ่วนเอ๋อ ด้วยพลังของเจ้า คิดจะรับสมญานามก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย…เจ้าก็เล่นเอาฉายาด้วยสิ”
หูเหมยกล่าวแนะนำฮ่วนเอ๋อด้วยรอยยิ้มสนุกสนาน
“อือ”
ฮ่วนเอ๋อกล่าวตอบเสียงเบา กับหูเหมยนั้นนางรู้สึกระแวงอยู่ตลอดเวลา
“วิหารเฟิงฮ่าวอยู่ห่างจากวังเทียนฉือเราไม่เบา…อย่างไรเสียมีข้าพาพวกเจ้าไป อย่างดีก็เสียเวลาแค่ 2 วันเท่านั้น”
พอเสียงฉือหล่างกล่าวจบคำ แสงกระบี่พลันอุบัติขึ้นจากความว่างเปล่า จากนั้นไร้สภาพสู่มีสภาพ ให้ต้วนหลิงเทียนกับทุกคนขึ้นไปยืนได้ไม่แออัด เมื่อทุกคนยืนกันดีแล้วกระบี่เล่มเขื่องก็พุ่งทะยานออกไปทันที
ฟั่ฟฟฟฟ!!!
กระบี่พลังมีสภาพเล่มเขื่องทะลวงแหวกฟ้าฉับไว พริบตาก็อยู่ห่างจากวิหารเฟิงฮ่าวนับร้อยพันลี้
ด้านต้วนหลิงเทียนเองก็มองที่ทางรอบๆดู จึงพบว่าไม่อาจแลเห็นทิวทัศน์อันใด ทุกสิ่งอย่างมันพร่าเลือนไปหมด นับว่ากระบี่บินเล่มเขื่องนี้กำลังเดินทางด้วยความเร็วสูง จนเขาเองก็ไม่อาจมองเห็นได้ชัด
‘เร็วจริงๆ’
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ
อย่างไรก็ตามแม้กระบี่จะเหินบินด้วยความเร็วสูงล้ำ แต่ร่างต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆที่ยืนอยู่บนกระบี่เล่มนี้ ก็ไม่โดนลมตีปะทะอะไร เนื่องเพราะถูกพลังไร้สภาพของฉือหล่างปิดกั้นได้อย่างหมดจด ไม่ส่งผลกระทบใดๆต่อพวกต้วนหลิงเทียนทั้งสิ้น