WSSTH ตอนที่ 3,295 : จอมราชันอมตะหมอกพิรุณ
วิหารเฟิงฮ่าว
ณ สถานที่ทดสอบจามราชันอมตะสมญานาม
‘ขาดอีกแค่ 2 ส่วนเท่านั้น…’
ตอนนี้วันเวลาก็ได้ล่วงเลยไปหนึ่งปีแล้ว นับตั้งแต่วันแรกที่ต้วนหลิงเทียนเข้ามาในสถานที่ทดสอบจอมราชันอมตะสมญานาม…
ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมานั้น นอกจากแดนลับย่อยที่เมิ่งห่าวซวนพบเจอ ต้วนหลิงเทียนยังพบแดนลับย่อยอันเป็นสถานที่ทดสอบอีก 2-3 แห่ง
และด้วยอาศัยแรงกดดันจากสถานที่ทดสอบทั้งหมด ต้วนหลิงเทียนก็สามารถหลอมสารัตถะของต้นไม้เทพสนหลิวได้ถึง 8 ส่วน ขาดอีกแค่ 2 ส่วนเท่านั้น ก็จะหลอมสารัตถะของต้นไม้เทพสนหลิวได้สมบูรณ์
พอถึงตอนนั้น เขาก็สามารถเริ่มต้นกระบวนการควบรวมพลังชีวิตของต้นไม้เทพสนหลิว เพื่อสร้างร่างอวตารกฏของมันได้ทันที เมื่อทำสำเร็จพลังต่อสู้ของเขาก็จะเพิ่มขึ้นไปอีกหลายระดับ
“พี่สาวสุ่ย ตลอดปีที่ผ่านมา…ท่านสั่งสอนอะไรเจ้ามังกรชั่วร้ายทั้ง 2 ไปบ้างกันแน่ ไฉนข้ารู้สึกว่าพวกมันเริ่มมีลักษณะท่าทางเหมือนกันมากขึ้นเรื่อยๆเลยเล่า”
ต้วนหลิงเทียนอดถามวารีเทพชำระโลกาในโลกใบเล็กด้วยความสงสัยไม่ได้ ตลอดปีที่ผ่านมาเขาก็มักให้ความสนใจเรื่อราวในโลกใบเล็กบ่อยครั้ง และชมดูทีไรก็เห็นวารีเทพชำระโลกากำลังอบรมสั่งสอนมังกรชั่วร้ายทั้ง 2 นั่น
มังกรชั่วร้ายทั้ง 2 ตัวนั้น เดิมทีพวกมันก็มีแค่รูปร่างหน้าตาที่เหมือนกันเท่านั้น แต่ลักษณะท่าทาง รวมถึงความรู้สึกที่ส่งออกมาของพวกมันแต่ละตัว ไม่ได้เหมือนกันเลย…แต่ตอนนี้กระทั่งกลิ่นอายยังคล้ายกันมากๆแล้ว!
“ข้ากำลังสอนให้พวกมันรู้จักการผสานพลังจู่โจม..โดยใช้ค่ายกลสัมพันธ์จิตใจผ่านสายโลหิตของพวกมัน ตอนนี้พวกมันไม่เพียงแต่จะรู้ว่าการผสานพลังคืออะไร กระทังเริ่มสำเร็จเคล็ดวิชาจู่โจมร่วมกันแล้วด้วย”
วารีเทพชำระโลกากล่าว “โชคดีนักที่สติปัญญาทั้งความเข้าใจของพวกมันไม่อ่อนด้อย…ตอนนี้หลังจากพวกมันโจมตีผสานกันได้แล้ว…พลังทำลายของพวกมันได้ถีบตัวสูงขึ้นกว่าก่อนหน้าอีกขั้น”
“แบบนี้นี่เอง”
ต้วนหลิงเทียนอดอึ้งไปไม่ได้ แต่ขณะเดียวกันเขาก็เข้าใจเรื่องราว หากคนสองคนสามารถร่วมมือกันได้อย่างลงตัว พลังต่อสู้จะไม่ใช่เพิ่มขึ้นอย่างหนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสอง ทว่าพลังอานุภาพจะเหนือกว่านั้นมาก!
ไม่ต้องพูดถึงคนอื่นคนไกล ยกตัวอย่างเช่น สองผู้นำสายก้านเจี้ยงและม่อเหยียของนิกายกระบี่หมื่นหายนะแห่งอวี้หวงเทียนที่เป็นฝาแฝดกันนั้น ยามผสานพลังกัน กระทั่งจักรพรรดิอมตะสมญานามทั่วๆไปก็มีแต่จะถูกฆ่าตายเอาได้ง่ายๆ!
‘นี่มันก็ผ่านไป 1 ปีแล้ว ไม่รู้ทางด้านฮ่วนเอ๋อกับคนอื่นๆเป็นยังไงกันบ้าง…ป่านนี้คงกลับออกไปกันหมดแล้วกระมัง?’
ต้วนหลิงเทียนพึมพำในใจ
ในสายตาเขา ด้วยพลังของฮ่วนเอ๋อเรื่องฆ่าจอมราชันอมตะ 9 คนในสถานที่ทดสอบ สมควรง่ายดายไร้ปัญหาอะไร
และก็เป็นอย่างที่ต้วนหลิงเทียนคิด ตอนนี้ในบรรดาคนที่มากับเขาและเข้าสู่สถานที่ทดสอบจอมราชันอมตะพร้อมๆกัน ก็มีแต่เขาเท่านั้นที่ยังไม่กลับออกไป…และไม่เพียงแค่ฮ่วนเอ๋อ หูเหมย เวิ่นหว่านเอ๋อเท่านั้น กระทั่ง หนานหลิวเฟิงศิษย์ของจักรพรรดิอมตะขุนเขาทองแดงเจิ้งอวี้อี้ ก็กลับออกมาเรียบร้อยแล้ว
ทั้ง 4 คนล้วนผ่านการทดสอบของวิหารเฟิงฮ่าว กลายเป็นจอมราชันอมตะสมญานามเรียบร้อย
ฮ่วนเอ๋อตั้งสมญานามให้ตัวเองว่า ‘มายาสวรรค์’ (天幻)
(天幻 อ่านว่า เทียนฮ่วน)
คำว่าสวรรค์ (天) มาชื่อของเขา ส่วน มายา (幻) ก็มาจากชื่อของฮ่วนเอ๋อ
จอมราชันอมตะมายาสวรรค์ ฮ่วนเอ๋อ!
“ไฉนศิษย์น้องเล็กยังไม่ออกมาอีกเล่า…”
ด้านนอกวิหารเฟิงฮ่าว หลังจากคู่ศิษย์อาจารย์อย่างจักรพรรดิอมตะขุนเขาทองแดงจากไป หูเหมยก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัยและไม่เข้าใจ
ในสายตาของนาง ด้วยพลังฝีมือของศิษย์น้องเล็ก น่าจะออกมาได้ตั้งนานแล้ว…แต่ตอนนี้กลับยังไม่ออกมาแม้จะผ่านไปเนิ่นนาน ใช่มีปัญหาอะไรรึเปล่า?
แน่นอนว่าหูเหมยก็มีลูกแก้ววิญญาณของต้วนหลิงเทียนอยู่ ซึ่งยืนยันได้ว่าต้วนหลิงเทียนยังมีชีวิตไม่ได้พลาดท่าตายตก เช่นนั้นนางจึงไม่กังวลเรื่องต้วนหลิงเทียนจะพลาดท่าตายตก เพียงแค่กังวลว่าต้วนหลิงเทียนจะเจอปัญหาพัวพันยากถอนตัว ทำให้เกิดความล่าช้าออกไป…
“ศิษย์น้องเล็กยังมีชีวิตอยู่ดี…จริงสิ!”
เวิ่นหว่านเอ๋อที่แลดูสงบกว่ามาก กล่าวออก “ไม่แน่ศิษย์น้องเล็กจะพบโอกาสโดยบังเอิญด้านใน…เพราะอาศัยพลังฝีมือของศิษย์น้องเล็ก หากตั้งใจจะผ่านการทดสอบของวิหารเฟิงฮ่าวจริงๆคงทำได้ง่ายๆ…”
ด้านฉือหล่างเพียงหลับตาพักผ่อน ไม่ได้แสดงความเห็นอะไร
อย่างไรก็ตามนานๆครั้งฉือหล่างที่ลืมตาขึ้นมาเหลือบมองฮ่วนเอ๋อที่อยู่ข้างๆ พอได้เห็นแววตาสงบไร้กังวลของฮ่วนเอ๋อ มันก็อดคิดไปไม่ได้ ‘ดูเหมือนยาโถวน้อยนางนี้จะไม่ได้กังวลเรื่องเจ้าหนูนั่นเลย…ไม่ทราบว่ามั่นใจในตัวเจ้าหนูนั่น หรือทราบสาเหตุที่เจ้าหนูนั่นไม่รีบร้อนออกมา…’
ทั้ง 4 คนได้แต่เฝ้ารอต่อไป และหลังจากผ่านไปอีก 4 เดือน ในที่สุดทุกคนก็ได้รับข้อความติดต่อมาจากต้วนหลิงเทียน “ข้าออกมาแล้ว…ตอนนี้กำลังจะไปจัดการเรื่องบันทึกสมญานามกับผู้อาวุโสวิหารเฟิงฮ่าว”
หูเหมยกับเวิ่นหว่านเอ๋ออดไม่ได้ที่จะระบายยลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก หลังได้รับข้อความดังกล่าวจากต้วนหลิงเทียน
ในสถานที่ทดสอบของวิหารเฟิงฮ่าว สามารถใช้อุปกรณ์อมตะอย่างอาวุธหรือชุดเกราะได้ แต่ไม่อาจใช้ยันต์อมตะใดๆได้เลย ไม่เว้นยันต์อมตะสื่อสารทุกชนิด
ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องติดต่อกับโลกภายนอก กระทั่งผู้คนในสถานที่ทดสอบของวิหารเฟิงฮ่าว ก็ไม่อาจส่งข้อความติดต่อกันได้!
ภายในวิหารเฟิงฮ่าว
หลังจากต้วนหลิงเทียนกลับออกมาจากสถานที่ทดสอบแล้ว เขาก็เดินตามอาวุโสของวิหารเฟิงฮ่าวที่รออยู่คนหนึ่ง ไปยังสถานที่ๆเรียกว่าโถงจอมราชันอมตะของวิหารเฟิงฮ่าว
อาวุโสของวิหารเฟิงฮ่าวที่กำลังพาเขาไปยังโถงจอมราชันอมตะนั้น สวมใส่ชุดคลุมลมดำแถมมีหน้ากากปกปิดใบหน้ามิดชิด ทำให้เขาไม่อาจแลเห็นหน้าค่าตาอีกฝ่ายได้เลย
“เจ้าสมควรคิดสมญานามของเจ้าไว้ก่อน พอไปถึงโถงจอมราชันอมตะ ข้าจักได้บันทึกสมญานามของเจ้าได้เลย”
เสียงของอาวุโสวิหารเฟิงฮ่าวดังเข้าหูต้วนหลิงเทียน ฟังแล้วช่างแหบแห้งและมีอายุไม่น้อย ทว่ากลับเต็มไปด้วยพลังกล้าแข็ง
“ข้าได้คิดเอาไว้แล้ว”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
หลังจากอาวุโสวิหารเฟิงฮ่าวพาต้วนหลิงเทียนมาถึงโถงจอมราชันอมตะ เขาก็ได้เอ่ยบอกสมญานามที่คิดเอาไว้นานแล้วออกไปทันที “หมอกพิรุณ”
จากนี้ไปต้วนหลิงเทียนก็จะกลายเป็นจอมราชันอมตะสมญานาม และมีชื่อเรียกว่า จอมราชันอมตะหมอกพิรุณ
และหลังจากเข้ามาในโถงจอมราชันอมตะ ต้วนหลิงเทียนก็พบได้ทันที ไม่ว่าจะเสา ผนัง กำแพง หรือเพดาน ล้วนมีสมญานามสลักเอาไว้เต็มไปหมด!
และหากแผ่สำนึกเทวะไปตรวจสอบสมญานามเหล่านั้น ก็จะพบบันทึกประวัติโดยสังเขปอีกด้วย
ต้วนหลิงเทียนที่ตรวจสอบสมญานามต่างๆ และอ่านประวัติคร่าวๆของจอมราชันอมตะสมญานามทั้งหลายได้ไม่กี่คน ก็นึกสงสัยขึ้นมา จึงหันไปเอ่ยถามอาวุโสวิหารเฟิงฮ่าวว่า “อาวุโส สมญานามที่สลักไว้ทั้งหมในโถงแห่งนี้…ล้วนเป็นสมญานามของจอมราชันอมตะสมญานามทั้งหมดที่ผ่านการทดสอบของวิหารเฟิงฮ่าวหรือ?”
เห็นสมญานามมากมายประหนึ่งดาราเกลื่อนฟ้า ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะสงสัย
และขณะที่เขาถาม อาวุโสของวิหารเฟิงฮ่าวดังกล่าว ก็จี้ดัชนีไปวาดเขียนกลางอากาศเร็วไว จากนั้นบนเพดานที่ว่างหนึ่ง ก็ปรากฏชื่อสมญานามของเขาสลักเอาไว้!
และใกล้ๆกับชื่อของเขา ยังมีสมญานามมายาสวรรค์ ของฮ่วนเอ๋ออยู่ด้วย
“ยาโถวนี่…”
เมื่อเห็นสมญานามของฮ่วนเอ๋อ ต้วนหลิงเทียนก็รู้ที่มาสมญานามของนางเป็นธรรมดา
“มิผิด”
อาวุโสวิหารเฟิงฮ่าวกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงเฉยเมย จากนั้นมันพาต้วนหลิงเทียนมาทางไหนก็พาต้วนหลิงเทียนกลับทางนั้น และสุดท้ายก็เลยไปส่งต้วนหลิงเทียนยังเส้นทางที่จะนำไปสู่ทางออกจากวิหารเฟิงฮ่าว
ระหว่างเดินไปยังทางออก ต้วนหลิงเทียนก็ครุ่นคิดถึงเรื่องราวหลังจากนี้ ‘กลับไปวังเทียนฉือรอบนี้ ต้องพยามหาที่ตั้งของคุกหมื่นพันธนาการให้ได้…เมิ่งห่าวซวนมั่นใจมาก ว่าบิดาของฮ่วนเอ๋อถูกขังอยู่ที่นั่น’
‘หากมารดาของฮ่วนเอ๋อ หากถูกวังเทียนฉือจับขังไว้ด้วย ไม่พ้นต้องอยู่ในคุกหมื่นพันธนาการดุจเดียวกัน’
ต้วนหลิงเทียนไม่เคยลืมจุดประสงค์ในการเข้าร่วมวังเทียนฉือของเขากับฮ่วนเอ๋อเลย…หาเบาะแสบิดามารดาฮ่วนเอ๋อ!
วิ้งง!
ไม่นานนักต้วนหลิเทียนก็ออกจากวิหารเฟิงฮ่าวและเดินมาหยุดเบื้องหน้าฮ่วนเอ๋อกับคนอื่นๆ
“ศิษย์น้องเล็กในที่สุดเจ้าก็ออกมาได้เสียที…ว่าแต่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ไฉนเจ้าอยู่ด้านในนานนักเล่า”
พอเห็นต้วนหลิงเทียนก้าวออกจากวิหารเฟิงงฮ่าวมาด้วยท่าทางสบายๆไร้รอยขีดข่วน หูเหมยก็อดระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกไม่ได้ จากนั้นนางก็ยิงคำถามออกมาทันที
“พอดีข้าเจอแดนลับย่อย 2-3 แดนในนั้นน่ะ และมันเป็นด่านทดสอบที่ต้องใช้คนหลายคน…ขณะที่รอไปยังด่านต่อไป หากคนอื่นที่อยู่ในด่านทดสอบด้วยยังไม่ตาย ก็จำต้องรอให้มันออกมา…ข้าเจอแบบนี้ถึง 2 แดนลับย่อยเลย ทำให้เสียเวลารอไม่น้อย พอรวมกับเรื่องที่ต้องตามหาจอมราชันอมตะคนอื่นๆให้ครบ 9 คนเพื่อฆ่า…ก็นะ”
ต้วนหลิงเทียนผายมือยักไหล่ด้วยสีหน้าท่าทางช่วยไม่ได้ แน่นอนว่านี่เป็นคำตอบที่เขาเตรียมเอาไว้แต่แรก
เป็นธรรมดาว่าข้ออ้างที่เขาเตรียมไว้แม้มันจะไม่ใช่เรื่องเท็จทั้งหมด…แต่สำหรับคนอื่นที่เข้าด่านทดสอบย่อยกับเขาแล้ว มันเป็นเรื่องจริง 9 ถึง 10 ส่วนเลยทีเดียว…
ส่วนเหตุผลที่แท้จริงที่ทำให้เขากระเหี้ยนกระหือรืออยากมาทดสอบที่วิหารเฟิงฮ่าวนัก เขาไม่ได้บอกออกไป
“อะไร? นี่เจ้าเจอแดนลับย่อยทดสอบถึง 2-3 แดนเชียวรึ? อั้ยหยาศิษย์นองเล็ก! ไฉนเจ้าโชคดีขนาดนั้นเล่า!?”
หูเหมยอึ้งกับคำตอบของต้วนหลิงเทียนไม่น้อย “ทีข้าระหว่างเดินทางตามล่าจอมราชันอมตะ 9 คน ไม่เห็นจะเจอแดนลับย่อยทดสอบสักแดนเลย…”
“ศิษย้องเล็กอ่า…เจ้าทำอย่างไรหรือ? บอกศิษย์พี่หญิงมาเร็วๆ ว่าทำไมเจ้าหาแดนลับเก่งกว่าผู้อื่น!”
หูเหมยกล่าวถามด้วยสีหน้าโอดครวญ
“เอ่อ…ก็แค่ไม่ต้องรีบร้อนฆ่าคนมาก ค่อยๆไปมันก็เจอเองแหล่ะ…”
ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มแห้งๆพลางตอบ
หูเหมยอึ้ง แต่คิดๆแล้วมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ เพราะตอนนางพบเจอผู้คนก็ฆ่าไม่ถามทั้งนั้น…ไม่ทราบที่ตายคามือนางโดยไม่ทันได้พูดสักคำ จะมีคนที่คิดมาชวนนางไปแดนลับย่อยกี่คน…
“ว่าแต่แล้วผลการเก็บเกี่ยวเป็นอย่างไรบ้างเล่า…ดีงามเลยสิ”
หูเหมยถาม
“ได้เรื่องอยู่”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
“เอาล่ะ ในเมื่อเจ้า 7 ก็ออกมาแล้ว เช่นนั้นพวกเรากลับกันเถอะ”
เสียงฉือหล่างดังขึ้นพอดี จากนั้นมันก็นำพาต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆเดินทางกลับทันที
“ฮ่วนเอ๋อ เจ้าพบเจออะไรดีๆในสถานที่ทดสอบบ้างหรือไม่?”
ระหว่างเดินทางกลับ ต้วนหลิงเทียนก็หันไปส่งเสียงผ่านพลังถามไถ่ฮ่วนเอ๋อ
และในขณะที่ฮ่วนเอ๋อกำลังจะส่งเสียงผ่านพลังตอบคำถามของต้วนหลิงเทียน ไม่ทันที่นางจะได้พูดอะไร…ต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆพลันตระหนักว่า เบื้องหน้าห่างออกไปไม่ไกล มีร่าง 2 ร่างลอยค้างกลางหาวขวางทางเอาไว้!
1 ใน 2 ร่างที่ว่า แลแล้วเป็นเด็กชายอายุราวๆ 13-14 ปี ส่วนอีกคนมีรูปลักษณ์เป็นชายชรา
“จักรพรรดิอมตะทุ่งขจี…”
เป็นเด็กชายที่ก้าวเหยียบอากาศเข้ามาอย่างไม่รีบไม่ร้อน มองทักฉือหล่างด้วยน้ำเสียงเฉยเมยก่อน จากนั้นค่อยหันไปมองถามต้วนหลิงเทียน “ส่วนเจ้าคือต้วนหลิงเทียนกระมัง?”
พอกล่าวถามจบคำ สองตาของเด็กชายก็ฉายให้เห็นรังสีฆ่าฟันอันเยียบเย็นหนึ่ง!
‘หืม?’
เมื่อสัมผัสได้ถึงจิตสังหารของเด็กชาย สองตาต้วนหลิงเทียนก็หดหยีลงเร็วไว ชักสีหน้าจริงจังขรึมเคร่ง
เขาบอกได้ทันทีว่า 2 คนที่มาเบื้องหน้า ไม่ได้มาดีแน่…
ยิ่งไปกว่านั้นเด็กชายผู้นี่ ยังรู้อีกด้วยว่าครูเขาเป็นจักรพรรดิอมตะทุ่งขจีฉือหล่าง
รู้ว่ามีจักรพรรดิอมตะสมญานาม แต่กล้ามาถึงหน้าประตูบ้านแบบนี้หมายความว่าอะไร? เห็นได้ชัดว่าพวกมันไม่ได้กลัวจักรพรรดิอมตะสมญานาม! หรืออย่างน้อยๆก็ไม่กลัวจักรพรรดิอมตะทุ่ขจี ฉือหล่าง!!
“ไม่ทราบท่านคือ?”
ฉือหล่างขมวดคิ้วมองจ้องเด็กชายเขม็ง ถึงแม้เด็กชายเบื้องหน้าเสมือนมีอายุ 13-14 ปี แต่อีกฝ่ายไร้ซึ่งกลิ่นอายเลือดเนื้อเยาว์วัยอย่างที่คนมีอายุไม่ถึงร้อยปีจะมีกัน…
“ตู๋กูเหวิน”
เด็กชายตอบพลางยิ้ม
ตู๋กูเหวิน?
และแทบจะเป็นเวลาเดียวกับที่เสียงของเด็กชายดังจบคำ สีหน้าฉือหล่างก็เปลี่ยนไปใหญ่หลวง สองตาที่มองเด็กชายเผยให้เห็นถึงความกลัว จากนั้นมันก็หันขวับไปจับจ้องชายชราหลังเด็กชายอย่างอดไม่ได้ ใจสะท้านเต้นรัวไปไม่เป็นจังหวะ ‘ในเมื่อเด็กนี่คือตู๋กูเหวิน…มิใช่ว่าเจ้านั่นก็คือตู๋กูหวู่หรือไร?’
ตอนนี้ไม่ใช่แค่สีหน้าของฉือหล่างเท่านั้นที่เปลี่ยนไปไม่สู้ดี กระทั่งหูเหมยกับเวิ่นหว่านเอ๋อก็ชักสีหน้าอัปลักษณ์ปั้นยากนัก!
ทั้งคู่ย่อมเคยได้ยินเรื่องราวของตู๋กูเหวินกับตู๋กูหวู่มาก่อน
ตู๋กูเหวินนั้น ก็คือจักรพรรดิอมตะร้อยเปลี่ยน เป็นดอกร้อยสีที่บำเพ็ญตบะจนจำแลงกายเป็นมนุษย์ได้สำเร็จ มีความเชี่ยวชาญเรื่องการแปลงโฉมเปลี่ยนลักษณ์อันร้ายกาจหาตัวจับยาก!
“ตู๋กูหวู่!?”
และครู่ต่อมาหูเหมยกับเวิ่นหว่านเอ๋อก็หันไปมองชายชราเบื้องหลังเด็กชาย ปากพึมพำนามหนึ่งออกมาโดยไม่รู้ตัว…