บทที่ 30 การโจรกรรมบนท้องถนน 1
“เอาล่ะ! วันนี้พอแค่นี้ก่อน!” ถงเล่ยวางปากกาในมือลงบนโต๊ะ และเสียงที่ทำให้จี้เฟิงเคลิบเคลิ้มก็หยุดลง
จี้เฟิงที่กำลังเหม่อลอยด้วยน้ำเสียงอันไพเราะของถงเล่ยก็ได้สติขึ้นมาทันทีและรีบพูด “โอเค ขอบคุณมาก ลำบากเธอแล้ว!”
ถงเล่ยเหลือบมองเขาและยิ้ม “ฉันไม่ได้ทำอะไรมากเลย นายสิลำบาก ฉันอธิบายเร็วไปหรือเปล่า นายตามทันไหม?”
จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อยและพูดว่า “เอาจริงๆ ไม่ว่าเธอจะอธิบายเร็วแค่ไหนฉันก็สามารถตามทัน เพราะฉันจำเนื้อหาพวกนี้ได้ทั้งหมดแล้ว เพียงแต่ว่าฉันไม่รู้จะใช้มันยังไง พอฟังที่เธออธิบายมันทำให้ฉันเข้าใจขึ้นมาก!”
ถงเล่ยมองไปที่จี้เฟิงด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ เธอรู้สึกประหลาดใจ มือเล็กๆของถงเล่ยค่อยๆ เอื้อมไปแตะที่หน้าผากของจี้เฟิง “นายแน่ใจนะว่านายปกติดี ไม่ได้เป็นไข้ หรือนายพูดเพื่อเอาใจฉัน?”
เมื่อมือเล็กๆ สีขาวอ่อนโยนมาสัมผัสที่หน้าผาก หัวใจของจี้เฟิงก็เต้นรัวอย่างรุนแรง เขาจับมือเธอออกไปด้านข้างอย่างไม่เต็มใจและยิ้มบางๆ “ฉันเหมือนคนไม่สนใจเรียนและต้องโกหกเธอเพื่อเอาหน้าเหรอ? ฉันท่องจำมาทั้งหมดแล้วจริงๆ เพียงแต่ฉันไม่รู้วิธีใช้สูตรพวกนี้เท่านั้น!”
“จริงเหรอ?” ถงเล่ยยังคงถามด้วยความไม่เชื่อ
“แน่นอน!” จี้เฟิงพยักหน้าและกล่าวว่า “ถ้าเธอไม่เชื่อ งั้นลองเอาหนังสือมาทดสอบฉันดู!”
ถงเล่ยมองเขาด้วยความลังเลสักครู่และทันใดนั้นเธอก็หยิบหนังสือพีชคณิตขึ้นมาแล้วหันไปด้านหลัง เธอเลือกเนื้อหาที่ยังไม่ได้เรียนรู้ แล้วถามไปสองสามข้อ
ใครจะรู้ว่าจี้เฟิงตอบได้ทันทีโดยที่ไม่ต้องคิดเลย
“นายเรียนรู้ด้วยตัวเองทั้งหมดแล้วจริงๆเหรอเนี่ย?!” ถงเล่ยรู้สึกตกใจยิ่งกว่าเดิม ดวงตาที่สวยงามของเธอเบิกกว้างแววตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
จี้เฟิงส่ายหัวเล็กน้อยและกล่าวว่า “ฉันไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่าฉันเรียนรู้ทั้งหมดแล้ว ฉันทำได้แค่จำเนื้อหาเหล่านี้ แต่ยังไม่รู้วิธีนำไปใช้อย่างถูกต้อง ฉันถึงได้ขอร้องให้เธอช่วยสอนถึงวิธีใช้สูตรพวกนี้ และเธอก็ทำได้ดี เธออธิบายเก่งมากเลย มันทำให้ฉันเข้าใจได้ง่าย!”
ถงเล่ยยิ้มแปลกๆ เธอส่ายหัวและพูดว่า “ในที่สุดฉันก็รู้ความจริงว่านาย..เป็นสัตว์ประหลาด!!”
จี้เฟิง “….”
เขาไม่รู้ว่า ภายในใจของถงเล่ยนั้นตกตะลึงเพียงใด
ถงเล่ยเกิดในครอบครัวที่ดี การศึกษาในวัยเด็กของถงเล่ยก็เหนือกว่าคนทั่วไป เริ่มตั้งแต่ชั้นประถม พ่อของเธอจะจ้างครูส่วนตัวมาสอนพิเศษให้กับเธอล่วงหน้าก่อนที่โรงเรียนจะเปิดสอน ดังนั้นเธอจึงสามารถเรียนรู้ในโรงเรียนได้อย่างรวดเร็วและตามการสอนของคุณครูทันเสมอ และตัวถงเล่ยเองก็เป็นเด็กที่ฉลาดมาก ผลการเรียนของเธอจึงอยู่ในอันดับต้นๆ เสมอ
แต่ถึงอย่างนั้นถงเล่ยก็ไม่สามารถจำสูตรทั้งหมดที่เธอเรียนมาได้ เธอจำได้เพียงบางส่วนเท่านั้น ตราบใดที่รู้บทเรียนล่วงหน้าไม่กี่บทก็เพียงพอแล้ว
จากสิ่งที่ถงเล่ยเข้าใจของสิ่งที่เรียกว่าอัจฉริยะ เกิดจากความพยายามอย่างขยันขันแข็งเพียง 1% และสภาพแวดล้อมรอบตัวอีก 99% เมื่อถึงตรงนี้ความเข้าใจของถงเล่ยก็เปลี่ยนไป
จี้เฟิงเปรียบเหมือนสัตว์ประหลาดในร่างมนุษย์เขาได้เรียนรู้ทุกสิ่งด้วยตัวเขาเองและสามารถจำมันได้อย่างแม่นยำ!
“แล้วนายจำวิชาอื่นๆได้ด้วยหรือเปล่า?” ถงเล่ยถามอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก
จี้เฟิงพยักหน้าอย่างตรงไปตรงมาและพูดว่า “พอจำได้ แต่ก็เหมือนกับวิชาพีชคณิตนี่แหละ ฉันจำได้แค่เนื้อหาของมัน แต่ไม่เข้าใจวิธีการใช้ต่างๆ เลยทำให้มีข้อบกพร่องอย่างมาก!”
“แค่กแค่ก!”
ถงเล่ยแทบสำลักน้ำลายตัวเอง สีหน้าของเธอในเวลานี้เต็มไปด้วยการแสดงออกถึงสิ่งที่เหลือเชื่อ เธออดไม่ได้ที่จะถาม “เป็นไปได้ไหมว่าที่ผ่านมาที่ผลการเรียนของนายไม่ดี เพราะนายทำแค่ท่องจำเนื้อหา แต่ไม่ได้ลองทำความเข้าใจในเนื้อหาจริงๆ?”
จี้เฟิงพูดอย่างตะขิดตะขวงใจ “ไม่ใช่แบบนั้น ฉันเคยตั้งใจเรียนอย่างจริงจัง ทั้งท่องจำและพยายามทำความเข้าใจแต่มันก็ไม่ได้ผล แต่หลังจากขึ้นมัธยมปลายปีสามฉันก็ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ฉันก็รู้สึกว่าความจำของฉันมันดีขึ้นมาก ฉันสามารถจำเนื้อหาได้มากขึ้นหลังจากที่ฉันพยายามอ่านมันอยู่หลายรอบ พอฉันทำแบบนั้นซ้ำๆ ฉันเลยจำมันได้แม่น!”
ถงเล่ยขมวดคิ้วจ้องหน้าจี้เฟิงอย่างดุร้าย และในที่สุดเธอก็ตัดสินใจได้ว่า จี้เฟิงคงไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาจริงๆ เธออดไม่ได้ที่จะพูดออกไปว่า “สรุป นายเป็นสัตว์ประหลาดที่อยู่ในร่างมนุษย์สินะ!”
จี้เฟิงเหงื่อตก…
“โอเค!” ถงเล่ยแตะหน้าผากของเธออย่างช่วยไม่ได้และพูดด้วยรอยยิ้ม “วันนี้พอแค่นี้ก่อนแล้วกัน เย็นมากแล้วด้วย ฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว ฉันต้องกลับบ้านแล้วล่ะ!”
เธอได้รับผลกระทบอย่างหนักจากเรื่องที่คาดไม่ถึง เธอไม่คิดว่าจี้เฟิงจะเรียนรู้บทเรียนด้วยตัวเองมาบ้างแล้ว แต่เธอก็ต้องตกใจมากกว่านั้น เมื่อเธอพบว่าจี้เฟิงฉลาดมากเขาสามารถเข้าใจในสิ่งที่เธออธิบายอย่างรวดเร็วได้ตั้งแต่ครั้งแรก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการที่จะทำความเข้าใจให้ได้ในครั้งเดียวก็ต้องใช้ความพยายามมากเช่นกัน
อย่างไรก็ตามเธอรู้สึกเจ็บปวดเล็กๆ เธอเชื่อว่าไม่ว่าใครก็ตามที่ได้เผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดอย่างจี้เฟิง ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเหมือนโดนทำร้ายจิตใจ และตัวจี้เฟิงเองก็คิดว่าตัวเขาไม่ใช่อัจฉริยะ แต่อย่างน้อยไอคิวของเขาคงไม่ใช่ธรรมดาๆ
ถงเล่ยมองว่าหากจี้เฟิงไม่ได้คิดว่าตัวเขาเป็นอัจฉริยะ แต่ด้วย IQ ระดับนี้ เธอก็สามารถพูดได้ว่าเขาคงไม่ใช่คนธรรมดา จี้เฟิงต้องเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแน่นอน!
“โอเค ฉันจะไปส่งเธอ!” จี้เฟิงลุกขึ้นยืนและทันใดนั้นก็รู้สึกว่าอาจมีความคลุมเครือในสิ่งที่เขาพูด เขารีบพูดใหม่อีกครั้ง “ฉันหมายความว่า มันเย็นมากแล้วฉันอยู่กับเธอสองคนดีกว่า จะได้ไม่ต้องห่วง!”
“เอ้ยย!..”
จี้เฟิงลุกลี้ลุกลนและรีบอธิบายว่า “ไม่ใช่ว่าฉันอยากอยู่กับเธอสองต่อสอง ฉันหมายถึงฉันไม่อยากให้เธออยู่คนเดียว… แล้วที่บอกว่าเป็นห่วงไม่ใช่ว่าฉันเป็นห่วงเธอ… ฉันหมายถึงเป็นความห่วงใยของเพื่อนร่วมชั้นไม่ได้มีความหมายอย่างอื่น!!”
“อุ๊บส์..คิกๆ~”
เมื่อเห็นคำอธิบายที่ดูลนลานน่าเขินอายของจี้เฟิง ถงเล่ยก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะและเธอก็พบว่า จี้เฟิงไม่ใช่สัตว์ประหลาดหรือมนุษย์ที่มีไอคิวพิเศษแต่อย่างใด ความเป็นจริงเขาก็ยังคงเป็นเจ้าเด็กโง่ใสซื่อที่น่ารัก…และน่าสนใจ!
“โอเคๆ ฉันไม่ได้เข้าใจผิดอะไร ฉันรู้ที่เธอเป็นห่วงเพราะอะไร!” ถงเล่ยพูดด้วยรอยยิ้ม จู่ๆ ลักยิ้มที่สวยงามน่ารักสองข้างก็ปรากฏขึ้นบนแก้มอันอ่อนโยนของเธอ
“เฮ้อออ~~”
จี้เฟิงไม่มีโอกาสได้ชื่นชมเสน่ห์ของเธอ เขามัวแต่ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก “ดีแล้วๆคุณหัวหน้าชั้น กระผมจะไปส่งคุณกลับบ้านเดี๋ยวนี้แหละ!”
ถงเล่ยยิ้มอย่างสดใส “โอเค~!”
……จบบทที่ 30~