เวลาเจ็ดวันชั่วพริบตาก็ผ่านไป
ใต้ฝ่าเท้าหลัวอวี้เฉิงปรากฏเป็นเมฆสีเขียว พามั่วชิงเฉินมุ่งไปสู่ทิศตะวันออก
มั่วชิงเฉินมองอะไรล้วนไม่เห็น แต่ข้างหูได้ยินเสียงหวีดของสายลมร้องกระหึ่มเตือนนางอยู่ตลอดเวลา บ่งบอกว่าความเร็วของทั้งสองคนในเวลานี้รวดเร็วเพียงใด
นั่นเกือบเรียกได้ว่าถึงที่สุด แม้ว่านางจะครอบครองไหมเกล็ดน้ำแข็งซึ่งเป็นของวิเศษธรรมชาติและหมาป่าน้อยผู้มีปีกหนึ่งคู่มาแต่กำเนิดซึ่งมีจุดเด่นเรื่องความเร็ว แต่ก็ไม่เคยได้สัมผัสความเร็วถึงเพียงนี้จากพวกมันมาก่อน
นี่ก็คือข้อได้เปรียบอันหาที่เทียบไม่ได้ของผู้บำเพ็ญเพียรรากวิญญาณลมหรือ
ความเร็วเช่นนี้ เมื่อเทียบกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดยังแทบกินกันไม่ลง
และเวลา ก็ไหลผ่านไปด้วยสภาพอันรวดเร็วอย่างถึงที่สุดเช่นนี้
ข้างหูของมั่วชิงเฉินนอกจากเสียงของลมอันรุนแรงแล้ว ยังได้ยินเสียงหอบเบาๆ
นางหัวใจเต้นตุบ แล้วพูดว่า “สหายหลัว พวกเราหยุดพักกันสักหน่อยเถิด”
หลัวอวี้เฉิงสะกดลมหายใจอันไม่เป็นจังหวะลงเล็กน้อย เสียงพูดท่ามกลางเสียงลมไม่ได้ฟังดูกังวานสง่าเหมือนตอนแรก แต่กลับเจือด้วยความอ่อนโยนไร้เรี่ยวแรงชนิดหนึ่งขึ้นมา “ทำไมหรือ ทนไม่ไหวแล้วหรือ”
พูดพลางยื่นมือไปจับมือมั่วชิงเฉิน แสงสีเขียวสว่างขึ้นวูบหนึ่ง ม่านกำบังที่ครอบทั้งสองคนเอาไว้หนาแน่นขึ้นอีกเล็กน้อย
มั่วชิงเฉินแม้กำลังเร่งเดินทางให้ทัน แต่นางยืนอยู่บนของวิเศษเหาะเหินของหลัวอวี้เฉิง ซ้ำยังอยู่ภายใต้การคุ้มครองของเขา พลังวิญญาณรอบตัวไม่ได้สูญสลายไปแม้เพียงสักนิด หากไม่ใช่เพราะร่างกายได้รับบาดเจ็บ คงไม่มีใครจะเป็นอิสระเท่านางอีกแล้ว ได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะ เอ่ยว่า “ข้าไม่เป็นไร เจ้าเร่งเดินทางเช่นนี้มาหลายวันแล้ว พักเสียหน่อยเถิด”
หลัวอวี้เฉิงมองลึกลงไปในดวงตาของมั่วชิงเฉินทีหนึ่ง ทันใดนั้นมุมปากก็เผยให้เห็นรอยยิ้มเยาะหนึ่งที “อะไรกัน ไม่กลัวไปไม่ทันหรือ”
น้ำเสียงอันคุ้นเคยนั้นแทรกซึมไปกับเสียงลมหวีดหวิวแล้วหวนกลับมาอีกครั้ง
มั่วชิงเฉินแอบกลอกตาเย้ย คนผู้นี้ หากไม่ได้ปากเสียคงจะตายเสียให้ได้สินะ ทั้งๆ ที่จิตใจก็ดี แต่กลับพูดจายอกย้อน ทว่านางก็ไม่ได้ถือสา เอ่ย “พักสักครู่ก็ไม่เป็นไรกระมัง หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เจ้าจะทนไม่ไหวเอาได้”
หลัวอวี้เฉิงโค้งมุมปากเล็กน้อย “หากได้หยุดพัก อย่างน้อยก็ต้องเสียเวลาไปหนึ่งวันถึงจะเต็มที่ เป็นเช่นนั้น ไม่สู้ตามไปให้ทันเหยากวงเสียในทีเดียวเลยยังดีกว่า สหายมั่ว พลังวิญญาณในกายเจ้าไม่ใช่ล้นเปี่ยมอยู่หรอกหรือ เช่นนั้นก็ช่วยส่งพลังวิญญาณถ่ายทอดให้อวี้เฉิงหน่อยเป็นอย่างไร ส่วนเรื่องพักผ่อนนั้นก็ไม่จำเป็นแล้ว”
มั่วชิงเฉินเป็นเขายืนกรานเช่นนั้น ก็ไม่ได้ทัดทานต่อ นางพลิกมือกุมมือเขาไว้แน่น แล้วค่อยๆ ถ่ายทอดพลังวิญญาณเข้าไป
เทือกเขาฟางจู จู่ๆ ก็ครึกครื้นขึ้นมาขึ้นมา
เยี่ยเทียนหยวนลูกศิษย์อัจฉริยะรุ่นเยาว์พรรคเหยากวงเลื่อนขั้นสู่ระดับก่อกำเนิด ทั้งยังจัดพิธีเข้าคู่บำเพ็ญเพียรพร้อมกันกับการจัดพิธีฉลองก่อกำเนิด ในโลกแห่งการบำเพ็ญราวกับเกิดพายุอันคลุ้มคลั่งลูกใหญ่ขึ้น ผู้คนนับไม่ถ้วนต่างรู้สึกแตกตื่น
ผู้ที่ได้รับเทียบเชิญ ไม่ว่าจะสำนักพรรคต่างๆ ที่เป็นมิตรกับพรรคเหยากวง หรือสำนักพรรคต่างๆ ที่ไม่ค่อยจะลงรอยด้วย ต่างรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง
พรรคเหยากวงเดิมทีมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดอยู่แล้วห้าคน จำนวนเพียงแค่นี้ก็เพียงพอจะทำให้ยืนตระหง่านเป็นอันดับสามท่ามกลางเหล่าบรรดาสำนักพรรคต่างๆ มากมายแล้ว
แต่ผู้บำเพ็ญเพียรแต่ละสำนักต่างเข้าใจดีว่า ประมุขของเหยากวงผู้เฒ่าไท่ซ่างโส่วเต๋อเจินจวินคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน ไม่อาจบอกได้ว่าจะลาโลกนี้ไปเมื่อไร
ถึงจะบอกว่าต่อมาหลิวซางเจินจวินจะเลื่อนสู่ระดับก็กำเนิดขั้นปลายแล้ว พอจะกอบกู้สถานการณ์ที่ย่ำแย่คืนมาได้บ้าง แต่หากหรูอวี้เจินจวินเกิดตายจากไป ยังส่งผลกระทบต่อเหยากวงไม่น้อยเลยทีเดียว อำนาจโดยรวมถึงตอนนั้นคงเทียบไม่ได้กับสำนักลั่วสยาซึ่งครองอันดับสี่
แต่น่าเสียดาย สิ่งที่ทำให้ใครๆ ต่างอิจฉาก็คือ ลูกศิษย์อัจฉริยะของเหยากวงมีมากมาย ตังกู้และกวงอี่อายุยังไม่ครบสองร้อยปีก็บรรลุระดับก่อกำเนิด อำนาจผงาดขึ้น จนกอบกู้ชื่อเสียงบารมีของเหยากวงกับมาได้อย่างมาก คิดไม่ถึงว่าเพียงเวลาไม่กี่สิบปี พรรคเหยากวงก็มีผู้บรรลุระดับก่อกำเนิดที่อายุไม่ถึงสองร้อยปีปรากฏตัวขึ้นอีกหนึ่งคน
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเกาะกำเนิดทั้งหก ถึงแม้ว่าเมื่อเทียบกับสำนักไท่ซวีซึ่งครองอันดับที่หนึ่งแล้วยังมีจำนวนน้อยกว่าหนึ่งคน แต่อิทธิพลของเหยากวงกลับค่อยๆ แผ่ขยายจนครอบคลุมอิทธิพลของสำนักไท่ซวี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้รับเทียบเชิญ ทั่วทั้งดินแดนเทียนหยวนต่างลือกันสะพัดถึงการปรากฏตัวของอัจฉริยะของพรรคเหยากวง คนจำนวนมากที่แสวงหาอาจารย์ ล้วนแอบอาศัยเส้นสาย หมายจะแย่งชิงกันเข้าสู่พรรคเหยากวง
อีกสองวันก็จะสิบห้าค่ำเดือนแปด แต่ก็มีผู้บำเพ็ญเพียรจากทั่วสารทิศทยอยกันเข้ามา รวมตัวชุมนุมกันอยู่บนเทือกเขาฟางจู
แหงนมองขึ้นไปเห็นผู้บําเพ็ญเพียรกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าขี่ลำแสงสีต่างๆ บินผ่านไป เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักที่อยู่ตีนเขาต่างจ้องกันตาโต
ชายกำยำหน้าตาเต็มไปด้วยหนวดเคราผู้หนึ่งพูดขึ้น “จิ๊ๆ วันนี้ได้เปิดโลกทัศน์เสียจริง มีผู้บำเพ็ญเพียรบินผ่านไปมากขนาดนี้ ทั้งยังเป็นระดับก่อแก่นปราณขึ้นไปอีก ไม่เห็นมีผู้บำเพ็ญเพียรและระดับสร้างรากฐานสักคน”
ผู้บำเพ็ญเพียรใบหน้าซูบผอมคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้างก็พูดขึ้น “ก็ใช่นะสิ เจ้าก็ไม่แหกตาดูบ้างเลยว่าผู้คนเหล่านี้มาเพื่ออะไร นี่เป็นถึงพิธีฉลองก่อกำเนิดและพิธีเข้าคู่บำเพ็ญของนักพรตลั่วหยางเชียวนะ ผู้ที่มาล้วนแต่เป็นประมุขอาวุโสของแต่ละพรรคเชียวนะ ถ้าระดับการบำเพ็ญต่ำ เจ้าจะมีหน้ามาหรือ!”
เมื่อเกี่ยวข้องกับเรื่องผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูง แต่ไหนแต่ไรผู้คนเหล่านี้ล้วนแต่ชอบเถียงกันมาโดยตลอด และตอนนี้ก็มีอีกคนพูดแทรกเข้ามา “หึๆ พูดถึงว่าจัดพิธีฉลองก่อกำเนิดคู่กับพิธีเข้าคู่บำเพ็ญพร้อมกัน นี่เป็นครั้งแรกที่เคยได้ยินเชียวนะ ไม่รู้ว่าเจ้าสาวคือผู้ใด ช่างมีวาสนาเหลือเกิน”
ผู้บำเพ็ญเพียงอีกคนหนึ่งทำสีหน้าลึกลับ พูดพลางหัวเราะว่า “น้องชาย ดูถ้าเจ้าจะมาจากที่อื่นสินะ”
ผู้บำเพ็ญเพียรที่พูดก่อนหน้านี้รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ประสานมือแล้วพูดขึ้น “ใช่แล้ว น้องได้ยินว่าเทือกเขาฟางจูมีงานใหญ่ครั้งนี้ จึงได้รีบตามมา ดูว่าจะมีอะไรที่พอจะทำได้บ้างหรือไม่ เผื่อจะหาศิลาวิญญาณได้บ้าง”
ผู้บำเพ็ญเพียรอีกคนแสดงสีหน้าเข้าใจ หัวเราะพลางพูดขึ้น “มิน่าเล่า ข้าบอกพวกเจ้า ได้ยินมาว่านะ ลั่วหยางเจินจวินตอนที่จะจัดพิธีเข้าคู่บำเพ็ญ ผู้คนร่ำไห้โอดครวญใหญ่เชียว”
“อย่างไรกัน” ผู้คนมุงล้อมเข้ามา สีหน้าใคร่รู้ใคร่เห็น
ผู้บำเพ็ญเพียรคนนั้นพูดซึ่งอย่างพึงใจ “ข้ามีสหายสนิทคนหนึ่งก็คือลูกศิษย์สายนอกของสำนักเหยากวง ได้ยินเขาว่านะ ลั่วหยางเจินจวินคือร่างหยางบริสุทธิ์ที่พันปีจะพบสักครั้ง ความสามารถโดดเด่นเหนือผู้คนมาตั้งแต่เยาว์วัย หนำซ้ำหน้าตาอย่างหล่อเหลาคมขำ แต่กลับรักนวลสงวนตัว บรรดาผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่ถวิลปองลั่วหยางเจินจวินทั้งหลายเหล่านั้นนะ แทบจะขี่คอปีนป่ายกันเข้าหา จนกระทั่งเขาเข้าสู่ระดับก่อแก่นปราณจึงได้เพลาลงบ้าง ตอนนี้เข้าสู่ระดับก่อกำเนิดแล้วผู้บำเพ็ญเพียรหญิงเหล่านั้นแทบจะหมดอาลัยแล้ว แต่เมื่อได้ยินว่าเขาจะแต่งงาน ก็ใจสลายกันเสียให้ทั่ว แต่ว่านะ ผู้ชายที่ร้องไห้ค่ำครวญนั้นกลับมีมากกว่า”
“โอ้ หรือว่าคู่บำเพ็ญของลั่วหยางเจินจวินเองก็เหมือนลั่วหยางเจินจวิน เป็นเซียนในฝันของเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรชายหรือ” บางคนถามขึ้นอย่างสงสัย
คนผู้นั้นเผยรอยยิ้มประหลาด
บางคนจึงพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ “สหาย อย่าลีลาอีกเลย รีบบอกมาเถิด”
คนผู้นั้นจึงได้หัวเราะแล้วพูดขึ้น “คู่บําเพ็ญของลั่วหยางเจินจวินมีฉายาว่าชิงเฉิง ไม่ว่าจะความสามารถ ไม่ว่าจะหน้าตา ช่างเหมาะสมกับลั่วหยางเจินจวินยิ่งนัก เพียงแต่…ที่บรรดาลูกศิษย์ชายเหล่านั้นกลัดกลุ้ม ไม่ใช่เพราะเหตุนี้”
“แล้วนั่นเพราะเหตุใดเล่า” ความสนใจใคร่รู้ของผู้คนถูกชักจูงหนักยิ่งขึ้น