พันธกานต์ปราณอัคคี – ตอนที่ 492-4 หัวใจบริสุทธิ์ที่ไม่เคยเสียใจ

ตอนที่ 492-4 หัวใจบริสุทธิ์ที่ไม่เคยเสียใจ

นักพรตจื่อซีเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ และพวกนางก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณเช่นเดียวกัน อีกทั้งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนม เมื่อมีเรื่องหรือพิธีรีตองต่างๆ ล้วนต้องเข้าไปร่วมกับบรรยากาศที่ครึกครื้นนี้เพื่ออวยพรให้แก่เจ้าสาว

ความจริงแล้วมั่วชิงเฉินมีเรื่องน่ายินดีมากมายอยากจะถาม รวมถึงเรื่องของหู่โถวและถังมู่เฉินด้วยว่าพวกเขาได้มาที่นี่เพื่อตามหานางหรือไม่ แต่เมื่อได้ยินต้วนชิงเกอพูดเช่นนั้น ก็ต้องเก็บเรื่องนี้เอาไว้แล้วเดินตามนางไปก่อน

แม้งานแต่งงานของผู้บำเพ็ญเพียรและคนธรรมดาจะแตกต่างกัน แต่พิธีรีตองต่างๆ ยังเหมือนกันอยู่บ้าง หลังจากคู่แต่งงานใหม่ดื่มเหล้าแสดงความเคารพแล้ว เจ้าสาวจะถูกส่งเข้าห้องหอ ส่วนเจ้าบ่าวยังคงดื่มเหล้ากับแขกในงาน

มั่วชิงเฉินทั้งสองคนจูงมือไปหานักพรตหมิงจ้าวที่เขาหมิงซิน บรรยากาศที่นี่ถูกตกแต่งอย่างรื่นเริงมากกว่าเดิม ไกลออกไปนั้นมีเสียงของเหล่าสตรีที่อยู่ในห้องของเจ้าสาวหัวเราะดังออกมาด้วยความสนุกสนาน

“พอแล้ว พวกเจ้าเลิกรบกวนได้แล้ว อยากดื่มก็ไปดื่มกับเจ้าบ่าวที่อยู่อีกห้องนู่น มารวมตัวรินเหล้าให้เจ้าสาวดื่มเช่นนี้ คิดอยากจะทำอันใด” นักพรตรั่วซีพูดอย่างโกรธเกรี้ยว

“ได้อย่างไรเล่า ศิษย์ของพรรคเหยากวงอย่างพวกเรา มีเหล่าพี่น้องอีกจำนวนไม่น้อยที่มิอาจข้ามผ่านทะเลอันขื่นขม พวกเราก็แค่มาดื่มสุราดับทุกข์เท่านั้นเอง” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงท่านหนึ่งตอบ

มั่งชิงเฉินได้ยินน้ำเสียงนั้นก็รู้สึกคุ้นเคย เมื่อเดินเข้าไปในห้องจึงพบว่าที่แท้เป็นนักพรตเหลียนเย่ว์แห่งเขารั่วสุย

ปีนั้นนางเข้าไปอาศัยอยู่ที่เขาลั่วเถา ได้เจอกับนักพรตเหลียนเย่ว์ที่มีนิสัยเป็นมิตรและชอบยุ่งเรื่องคนอื่น ครั้งหนึ่งเคยมาแสดงความยินดีกับนาง

“พูดได้ดี!” นักพรตจื่อซีหัวเราะออกมาตบไหล่นักพรตเหลียนเย่ว์เบาๆ แล้วยกจอกสุราขึ้นมาดื่มอึกใหญ่ ราวกับเป็นผู้กล้าแห่งสรวงสวรร์อย่างไรอย่างนั้น ปล่อยให้มั่วชิงเฉินที่ยืนมองเหงื่อตก อดไม่ได้ที่จะเห็นใจนางขึ้นมา

“อาจารย์” ต้วนชิงเกอเข้าไปย่อตัวคารวะนักพรตรั่วซีช้าๆ หลังจากนั้นหันมาพูดกับนักพรตจื่อซี “ศิษย์พี่จื่อซี ขอให้ท่านกับศิษย์พี่หมิงจ้าวอยู่ด้วยกันตราบชั่วฟ้าดินสลาย เข้ากันได้ดั่งเสียงเพลงบรรเลงพิณ” นางพูดพลางส่งของขวัญชิ้นหนึ่งที่เตรียมเอาไว้ดีแล้วไปให้

นักพรตจื่อซียื่นมือรับ “ขอบใจเจ้ามากศิษย์น้องซู่เหยียน” พูดจบ ดวงตาพร่ามัวด้วยความเมามายคู่นั้นก็ชำเลืองเห็นมั่วชิงเฉินที่ยืนอยู่

มั่วชิงเฉินรีบย่อตัวคาราวะตามมารยาท “ชิงเฉิงคารวะศิษย์พี่จื่อซี”

นักพรตจื่อซีมองมั่วชิงเฉินอย่างไม่ละสายตาสักพัก ก่อนจะลุกซวนเซไปมา ท่ามกลางสายตาแปลกประหลาดใจของผู้คน ก็เข้าไปหยิกแก้มของมั่วชิงเฉิน ก่อนพูดว่า “นางหนูน่าตีผู้นี้ ในที่สุดก็กลับมาเสียที!”

คำพูดตำหนิและโกรธเคืองเป็นฟืนเป็นไฟโพล่งออกมา มั่วชิงเฉินกลับฟังแล้วรู้สึกอบอุ่นใจ ตอบเสียงเบาไปว่า “เจ้าค่ะ ชิงเฉินกลับมาแล้ว โชคดีที่กลับมาทันเวลา พอดีได้ดื่มเหล้ามงคลของศิษย์พี่จื่อซีเลย”

ดวงตาแวววาวเปล่งประกายของนักพรตจื่อซีเอียงมองนาง แล้วยิ้มพูดออกมาว่า “นางหนูหัวใจไร้เมตตา หากเจ้ายังไม่กลับมาอีก ผมของอาจารย์เจ้าคงย้อมเป็นสีขาวหมดแล้วกระมัง”

พูดจบก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อย ปีนั้นนางมองออกว่าระหว่างอาจารย์กับศิษย์เป็นเรื่องไม่เหมาะสม พอจะสังเกตความคิดของนางหนูนี่ออก ทั้งยังพูดจาให้นางหนูนี่ยอมแพ้ แต่ตอนนี้เห็นนางกลับมาดีเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะพูดแทงใจดำสักครา

เรื่องราวทั้งหมดในปีนั้นผู้อื่นต่างคิดว่าเหอกวงรักศิษย์ของเขาอย่างแรงกล้า แต่นางกลับมองเห็นอย่างชัดเจนว่าเป็นหัวใจที่ตัดสินใจจะไม่ยอมแพ้ของบุรุษ ไหนเลยจะพูดออกไปได้ ทำได้เพียงออกไปตามหานางทั่วทุกสารทิศอย่างเงียบๆ คนเดียวเท่านั้น

เห็นนางหนูนี่เป็นเช่นนี้ อีกทั้งตอนนี้นางมีผู้อื่นแล้ว น่าผิดหวังแทนหัวใจอันบริสุทธิ์ดั่งน้ำแข็งค้างของเหอกวงเสียจริง ด้วยนิสัยของเขา เกรงว่าคงปิดปากเงียบตลอดชีวิต

เช่นนี้ น่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุดแล้ว

ในใจของนักพรตจื่อซีแอบถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนปล่อยมือที่หยิกแก้มของมั่วชิงเฉินลง แล้วยิ้มถามว่า “ของขวัญเล่า”

ตอนนี้มั่วชิงเฉินกระจ่างแล้วว่าท่านอาจารย์และจิ้งจองขาวมีใจตรงกัน ปีนั้นที่นางตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวออกไปจากที่นี่ แม้จะไม่พูดออกมาหมด แต่อย่างน้อยก็มิอาจให้เขากลัดกลุ้มใจได้

สำหรับเทียนหยวน ในเมื่อเดินมาด้วยกันแล้ว นางเต็มใจ เขาก็เต็มใจ ไม่มีวันหันหลังให้อีกฝ่ายอย่างแน่นอน

แต่อาจารย์ เพื่อรับความเจ็บปวดของนาง นางมิอาจไม่สนใจ ในตอนเด็กเขาไม่เพียงเป็นพี่ชายกู้ของนาง แต่ยังเป็นอาจารย์ที่อบรมสั่งสอนนางมาจนโต การที่อยู่ด้วยกันตลอดเวลา วันเวลาที่นั่งมองใบไผ่ฟังเสียงลม มิใช่ว่าปล่อยวางความรักเหล่านั้นแล้วสามารถลบล้างทุกสิ่งทุกอย่างได้

ในวันข้างหน้ามีเพียงนางต้องทำให้ดียิ่งกว่าเดิม เข้มแข็งยิ่งกว่าเดิม ไม่ทำให้ท่านอาจารย์ต้องกังวลใจ

มั่วชิงเฉินยื่นมืออกไป ส่งข้อกำไลข้อมือไข่มุกคู่หนึ่งให้

นักพรตจื่อซีรับของชิ้นนั้นมา มองไข่มุกสีครามชิ้นหนึ่งสีแดงชิ้นหนึ่งขนาดเท่าๆ กัน แล้วถามว่า “สิ่งนี้คืออะไร”

“นี่เรียกว่ามุกผูกมัดใจเดียว มาจากหอยไข่มุกตัวเดียวกัน ไม่มีความสามารถแข็งแกร่งอะไรมากมาย หากชายหญิงผู้สวมใส่ต้องแยกจากกัน ไข่มุกจะกระตุ้นเรียกให้ผู้ที่อยู่อีกฝั่งมาหาได้” มั่วชิงเฉินอธิบาย

“เอ๋ น่าสนใจเพียงนั้นเชียว” นักพรตจื่อซีพิจารณาไข่มุขที่อยู่ในมืออย่างสนใจ มองมั่วชิงเฉินแล้วพูดว่า “ได้ ถือว่าเจ้าผ่านแล้ว มา พวกเรามาดื่มเหล้ากัน ทุกท่านรีบเข้ามา บนตัวของเด็กน้อยผู้นี้มีสุราล้ำเลิศอยู่เป็นจำนวนมาก แม้แต่หลิวซางเจินจวินก็คิดถึงเจ้ามาโดยตลอด”

ในห้องของเจ้าสาว มีเสียงหัวเราะอย่างเป็นธรรมชาติของแม่นางทั้งหลายและเสียงแก้วสุราชนกันอย่างพร้อมเพียงดังออกมา

อีกด้านหนึ่ง ผู้บำเพ็ญเพียรชุดขาวและกู้หลีนั่งสนทนากันอยู่ น้ำเต้าสุราที่วางอยู่ข้างทั้งสองเหลือเพียงไม่กี่ขวดแล้ว

ผู้บำเพ็ญเพียรชุดขาวชูขวดเหล้าขึ้นมายิ้มพูดว่า “พี่กู้ ลูกศิษย์ของท่านช่างน่าสนใจจริงๆ มักจะชอบนำเหล้ามาใส่ในน้ำเต้าอยู่เรื่อย”

“นางบอกว่าทำเช่นนี้จะได้ไม่ถือขวด ดื่มได้อย่างเต็มที่ ทั้งไม่ต้องถือขวดเหล้าน่าเกลียดเช่นนั้นด้วย” กู้หลียิ้มตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“สตรีก็คือสตรี ดื่มเหล้าทั้งทียังต้องพิถีพิถันอะไรมากมายอีก” ผู้บำเพ็ญเพียรชุดขาวยิ้มส่ายหน้า

“อืม” กูหลีแม้ไม่เห็นด้วย แต่ไม่ได้โต้ตอบอันใด เพียงแค่ใช้ปลายนิ้วลูบท้องขวดของน้ำเต้า

ผู้บำเพ็ญเพียรชุดขาวถอนหายใจ “พี่กู้ ท่าน…”

กู้หลีเลิกคิ้วราบเรียบที่สวยงามดั่งภาพวาด ก่อนชูน้ำเต้าสุราขึ้น “พี่ไป๋ เรามาดื่มกันเถอะ”

ผู้บำเพ็ญเพียรชุดขาวเงยหน้ากระดกขึ้นไปอึกใหญ่ พลางมองกู้หลีที่ยิ้มอย่างสงบ มีความรู้สึกคิดอยากจะเอาน้ำเต้าสุราทุบไปที่ร่างกายที่ไม่รู้สึกรู้สาของเขา

จิตใจของคนผู้นี้จะหลบซ่อนเรื่องในอดีตได้สักแค่ไหนกัน เขาคิดมาโดยตลอดว่าปีนั้นกู้หลีปล่อยวางเรื่องเจ้าจิ้งจอกขาวนั่นไม่ได้ แต่กลับพบว่าจิ้งจอกขาวตัวนั้นต่างหากที่เป็นกับดัก ทั้งไม่เข้าใจ ได้แต่ปลอบโยนความเจ็บปวดในความรักระหว่างมนุษย์และปีศาจเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า กลัวว่าสหายที่ดีคนหนึ่งเผลอใจหลงผิดเขาสู่เส้นทางอธรรม

ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว ลูกศิษย์ที่รักยิ่งของเขากลับมา แต่ก็กลายเป็นอีกคนไปแล้ว

ปีนั้นที่เห็นโคมไฟดวงจิตเจ้าชะตามืดสลัวลงต่อหน้า เขาก็มิอาจควบคุมตัวเองจนกระอักเลือดออกมาทีหนึ่ง เวลานี้กลับเงียบสงบเช่นนี้ ได้ ข้าจะรอดูว่าเจ้าจะทนได้ถึงเมื่อใด!

ตอนนั้นเองศิษย์ที่เป็นผู้ดูแลก็เดินมาหา “เจินจวิน หัวหน้าผู้เฒ่าไท่ซางเรียกพบขอรับ”

“เรื่องอันใด” กู้หลีถาม

ศิษย์ผู้ดูแลผู้นั้นตอบเสียงเบา “เชิญให้ท่านไปหารือเรื่องงานแต่งของลั่วหยางเจินจวิน และนักพรตชิงเฉิงขอรับ”

กู้หลีหยุดนิ่งไปขณะหนึ่ง ก่อนยิ้มออกมาอย่างง่ายสบายๆ “ได้ ข้าทราบแล้ว พูดจบก็วางน้ำเต้าสุราลง พูดกับผู้บำเพ็ญเพียรชุดขาวว่า “พี่ไป๋ ข้ามีธุระต้องไปจัดการก่อน พวกเราวันหน้าค่อยมาดื่มกันใหม่”

มองดูแผ่นหลังของกู้หลีที่เดินจากไป ผู้บำเพ็ญเพียรชุดชาวมิอาจยั้งใจถามออกไปว่า “เจ้าตัดสินใจแล้วไม่เสียใจภายหลังใช่หรือไม่”

“ไม่เลย” เป็นเวลานานที่สองพยางค์นั้นอยู่ในหูของผู้บำเพ็ญเพียรชุดขาว แล้วหลังของชายในอาภรณ์สีเทาก็เลือนหายไปรวมอยู่ท่ามกลางฝูงชนตั้งนานแล้ว

พันธกานต์ปราณอัคคี

พันธกานต์ปราณอัคคี

Status: Ongoing

สาวชนบทชีวิตอาภัพคนหนึ่งเท่านั้น เมื่อมีจอมยุทธ์ผู้หนึ่งมารับตัวนางกลับไปยังตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรของบิดา ตั้งแต่นั้นชีวิตของนางจึงพลิกผันไปโดยพลัน ถึงกระนั้นพรสวรรค์ของนางกลับมิได้ล้ำเลิศเฉกเช่นบิดา ยังดีที่มี ‘สุราทิพย์’ คอยช่วยเหลือ และนำพานางไปสู่เส้นทางที่คนธรรมดาได้แต่วาดฝันถึง ในเส้นทางสายนี้ยังมีเรื่องราวอีกไม่น้อยที่นางนั้นคาดไม่ถึง ทั้งออกผจญภัยปราบปีศาจสยบอสูร ปลูกสมุนไพรหลอมโอสถ โดนข่มเหงกีดกันเพราะความอ่อนด้อยจนไม่ต่างกับเป็นคนรับใช้ผู้หนึ่ง และไม่ทันได้เตรียมใจว่าจะพานพบกับรสรักที่ล้ำลึกเสียจนมิอาจถอน แรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานผูกนางกับเขาอย่างไร้หนทางแยกจากกันได้… หนทางแห่งการบำเพ็ญเพียร ช่างเปลี่ยนไปมาจนมิอาจคาดเดาได้ เขาจะเป็นคนรับใช้ที่โดดเด่นในโลก (อดีต) แห่งนี้ให้ดู!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท