ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1271 ผิดปกติ

บทที่ 1271 ผิดปกติ

เพียงแต่ทุกอย่างมีสองด้านเสมอ พอรู้ว่าฟาร์มปลาต้าฉินเริ่มขยายฟาร์มและชนิดของสัตว์น้ำ บิลก็ดีใจ

ปีที่ผ่านมานี้ ฟาร์มปลาต้าฉินไม่ได้ซื้ออะไรจากเขาเลย ฟาร์มปลาสามารถอยู่ได้ด้วยตัวเองแบบนี้บิลก็ไม่สามารถได้เงินจากฉินสือโอว

เขาเคยถามฉินสือโอวว่าจะขยายฟาร์มปลาไหม คำตอบที่ได้ก็คือฟาร์มปลาก็ใหญ่พอแล้ว ตอนนี้ที่ต้องทำคือรอให้ลูกปลาเติบโต ไม่ใช่ขยายไปแบบมั่วๆ

ดีล่ะ ตอนนี้พอฟาร์มปลาเข้าสู่สภาวะขยายกิจการอีก ทรัพยากรในมือเขาก็มีประโยชน์อีกครั้ง

ครั้งนี้ที่บิลมาเขาเตรียมทรัพยากรประมงมากมายมาแนะนำฉินสือโอว แต่ใช่ว่าจะทำได้ในคราวเดียว ต้องค่อยๆ ทำ แผนเบื้องต้นของเขาคือก่อนสิ้นเดือนนี้ต้องส่งทรัพยากรหนึ่งอย่างมาให้ฟาร์มปลาต้าฉิน

เรื่องอะไรก็ยากตอนเริ่ม และตอนเริ่มสำคัญมาก บิลเตรียมทรัพยากรสำคัญมาโดยเฉพาะเพื่อที่จะให้ฉินสือโอวเห็นความสำคัญของเขาอีกครั้ง นั่นก็คือหอยเม่นเอ็กไคโนคอคคัส

เขาเอาคู่มือการเลี้ยงกับของตัวอย่างมาด้วย ฉินสือโอวเอาขึ้นมาดูแล้วเอ่ยถาม “นี่ก็คือหอยเม่นเอ็กไคโนคอคคัสเหรอ? เป็นอะไรที่น่ารักมากเลย”

หอยเม่นพวกนี้ถูกบรรจุในขวดเหมือนเม่นแคระ ทั้งตัวมีหนามสีม่วงดำขึ้นอยู่อย่างหนาแน่น ขนาดใหญ่เพียงแค่ลูกปิงปอง เปลือกนอกเป็นทรงครึ่งวงกลม ความสูงของเปลือกมากกว่าเส้นผ่าศูนย์กลางราวครึ่งหนึ่ง

บิลพยักหน้าอย่างอารมณ์ดี “ใช่แล้ว หอยเม่นเอ็กไคโนคอคคัส นี่เป็นหนึ่งในโครงการทางการประมงสำคัญที่แคนาดากับประเทศของคุณร่วมกันเพาะเลี้ยง หอยเม่นตัวเมียนำเข้ามาจากเมืองไห่เฉิงทั้งนั้น คุณภาพดีที่สุดอย่างแน่นอน”

พูดไป เขาก็ขยิบตาให้ฉินสือโอวแล้วกล่าวว่า “คุณรู้เกี่ยวกับโครงการร่วมนั่นใช่ไหมครับ? ฟาร์มปลาพันเจียเข้าร่วมการเพาะเลี้ยง โครงการในนั้นมีแต่ของลึกลับสำคัญๆ ทั้งนั้น ไม่ใช่ว่าใครจะได้มาก็ได้”

ฉินสือโอวมองดูหอยเม่นนั้นแล้วพูดยิ้มๆ “ทำได้ดีมากบิล ผมคิดไม่ผิดจริงๆ ว่าคุณมันเก่งกว่าคนอื่น”

ที่จริงเขาไม่รู้เรื่องหอยเม่นเอ็กไคโนคอคคัสเลย รู้สึกว่าที่แคนาดาจะไม่มีหอยเม่นประเภทนี้ เพียงแต่ดูจากท่าทีจริงจังของบิลแล้ว เขาเดาว่าสิ่งนี้คงจะล้ำค่ามาก

พอฉินสือโอวชม บิลก็ยิ้มออกมาอย่างพอใจ เขาถามว่า “งั้นคุณมีแผนอะไรไหมครับ? กะว่าจะเลี้ยงหอยเม่นสักเท่าไรดี?”

ฉินสือโอวไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับสิ่งนี้ เขาจะตอบมั่วๆ ไม่ได้จึงตอบไปว่า “เรื่องนี้อีกสองสามวันผมค่อยติดต่อคุณไปโอเคไหม? ตอนนี้ผมต้องไปส่งลูกปลาพวกนี้ก่อน”

บิลยักไหล่ แต่ในใจกลับผิดหวังขึ้นมา ตามที่เขารู้จักฉินสือโอว หมอนี้เป็นเศรษฐี ใช้เงินทีไม่เคยเสียดาย ซื้อแต่ของที่ดีที่สุดไม่ใช่ถูกที่สุด

ตามการคาดเดาของเขา ฉินสือโอวเห็นหอยเม่นเอ็กไคโนคอคคัสก็น่าจะดีอกดีใจสิ การแสดงออกของเขาตอนนี้ดูนิ่งเกินไปแล้ว

พอเป็นแบบนี้บิลก็อดคิดเยอะไม่ได้ หรือว่าจะมีบริษัทผลิตภัณฑ์ทางทะเลอื่นมาทำงานกับฉินสือโอวแล้ว?

นี่ทำให้เขาเสียวสันหลัง สุดท้ายจึงกัดฟัน ตัดสินใจว่าจะกลับไปเอาของดีในกรุออกมาให้หมด ลูกค้ารายใหญ่อย่างฉินสือโอว เขาต้องคว้าเอาไว้ให้มั่น!

พอลูกปลาถูกส่งขึ้นเรือ ฉินสือโอวก็ลาวินนี่ ออกเรือแล่นไปทางแถบทะเลรัฐโนวาสโกเชีย เอาลูกปลาไปส่งคาร์เตอร์

ฟาร์มปลาของคาร์เตอร์ตั้งอยู่ในทำเลที่ดีมาก อยู่ที่ชายทะเลเคจิมกูจิกของรัฐโนวาสโกเชีย ติดทางใต้มากกว่าฟาร์มของนิโค ตู้อีก ในหมู่ฟาร์มปลาแคนาดา อุณหภูมินี้ถือว่าเหมาะสมที่สุด

ปลาทะเลของมหาสมุทรแอตแลนติกประกอบไปด้วยปลาเขตขั้วโลกกับเขตอบอุ่นเป็นหลัก ชนิดของสัตว์ทะเลบนโลกมีหลากหลาย ส่วนมากจะใช้ชีวิตในเขตร้อน ดูจากพวกปลา ชนิดปลาทะเลเขตอบอุ่นและขั้วโลกมีสัดส่วนไม่ถึง 18%!

ฉะนั้นในมหาสมุทรแอตแลนติก โดยปกติแล้วยิ่งค่อนไปทางใต้ปลาทะเลในฟาร์มก็จะยิ่งเยอะ

นอกจากนี้อีกสาเหตุที่บอกว่าฟาร์มปลาคาร์เตอร์ดีก็เพราะทางแถบใต้ของฟาร์มมีแม่น้ำเซนต์แคเทอรีนส์ แม่น้ำสายนี้ยาวไปถึงทะเลสาบออนแทรีโอ ต่างกับห้วยจากเขาสูงเล็กๆ ของฟาร์มปลาต้าฉิน นี่คือแม่น้ำลำธารของจริง!

สำหรับฟาร์มปลาแล้ว การมีแม่น้ำสายใหญ่ล้อมรอบถือว่าได้เปรียบ ก่อนอื่นจุดเชื่อมต่อระหว่างน้ำจืดกับน้ำทะเลมักจะมีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ สามารถดึงดูดปลากุ้งให้มาอาศัยได้มากมาย อีกอย่าง ถ้าเกิดรอบๆ มีแม่น้ำสายใหญ่ ฟาร์มปลาก็จะสามารถรองรับทรัพยากรปลาจำนวนมากที่จำเป็นต้องอพยพไปยังแหล่งน้ำจืด

ใช้เวลาไปสิบสี่ชั่วโมง ตอนฟ้าสาง เรือขนส่งถึงเดินทางมาถึงฟาร์มปลาคาร์เตอร์

หลังจากที่เข้าสู่แถบทะเลฟาร์มปลา เรือขนส่งกลับไม่สามารถจอดเทียบได้ เพราะฟาร์มปลาของคาร์เตอร์มีแค่ท่าเรือเล็ก ระดับน้ำตื้นเกินไป เรือขนส่งขนาดใหญ่ไม่สามารถจอดเทียบท่าได้ จำเป็นต้องมีเรือขนส่งขนาดกลางมารับช่วงต่อ

ฉินสือโอวยืนอยู่ที่หัวเรือ ลมยามค่ำคืนโหมพัด เขาสัมผัสกับมันแล้วส่ายหน้า

ชาร์คที่อยู่ข้างๆ ก็ส่ายหน้าเช่นกัน เขาพูดว่า “บอส บอสคิดว่าฟาร์มนี้เล็กไปใช่ไหม?”

ฟาร์มปลาคาร์เตอร์ขึ้นชื่อว่าเป็นฟาร์มปลาส่วนตัวอันดับสองของนิวฟันด์แลนด์ ที่วัดก็คือปริมาณการผลิต เพราะทำเลดี ฟาร์มปลาของเขาอุดมสมบูรณ์มาก บวกกับแต่ก่อนยังมีตระกูลมอร์รี่ช่วยค้ำจุน ปริมาณผลผลิตจึงเยอะมาก

แต่ถ้าพูดถึงขนาด ฟาร์มนี้ไม่ถือว่าใหญ่ ฉินสือโอวอ่านข้อมูลเบื้องต้นมา ชายฝั่งทะเลของฟาร์มปลาคาร์เตอร์มีเพียงยี่สิบห้ากิโลเมตร ที่แคนาดาซึ่งมีประชากรน้อยบนอาณาเขตกว้างขวาง เนื้อที่ฟาร์มปลาเท่านี้ถือว่าธรรมดา

เนื้อที่ของฟาร์มปลาต้าฉินก่อนรวมฟาร์มปลาใหญ่ทั้งห้าของเกาะแฟร์เวลนั้นชายฝั่งทะเลก็ถึงยี่สิบกิโลเมตรแล้ว พอรวมกันก็ยิ่งใหญ่โต ทั้งสองเทียบกันไม่ได้เลย

ชาร์คเพิ่งพูดออกไป ฉินสือโอวก็กลอกตาแล้วพูดว่า “ที่ฉันส่ายหน้าเพราะลมทะเลที่นี่ก็ไม่ได้อบอุ่นไปกว่าฟาร์มเรา ใครมันมาโม้กับฉัน บอกว่าห่างกันแค่รัฐเดียว รัฐโนวาสโกเชียเทียบกับนิวฟันด์แลนด์ก็เหมือนเส้นศูนย์สูตร?”

ชาวประมงรอบข้างหัวเราะออกมา ชาร์คหัวเราะพลางส่ายหน้า “จะเป็นไปได้อย่างไร ถึงจะห่างกันหนึ่งรัฐ แต่มันจะไกลสักแค่ไหนกันเชียว?”

ตอนที่พวกเขาคุยกันอยู่ ตรงท่าเรือของฟาร์มปลาคาร์เตอร์ก็มีเรือขนส่งขนาดเล็กสองสามลำแล่นมา จากนั้นไฟของฟาร์มปลาก็สว่างขึ้น ดูท่าคาร์เตอร์จะคอยพวกเขาอยู่นานแล้ว

ตอนนั้นในงานประมูล ฉินสือโอวโกงคาร์เตอร์ไปทีหนึ่ง ครั้งนี้เขามาคนเดียว คาร์เตอร์ต้องหาเรื่องเขาแน่ๆ เหมือนกับที่นิโค ตู้เจอมา โดนเขาตัดรายได้ลูกปลาไปสองส่วนอย่างเจ้าเล่ห์

ปรากฏว่าพอคาร์เตอร์ขึ้นเรือมาก็จับมือกับเขาอย่างสนิทสนมแล้วถามขึ้น “โอ้ เพื่อน เดินทางมาลำบากมากใช่ไหม? ไปฟาร์มผมเถอะ ผมเตรียมของว่างไว้ ทุกคนผ่อนคลายกันหน่อย เรื่องบนเรือนี่เดี๋ยวผมจัดการเอง”

ถ้าบางอย่างผิดปกติจะต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ ฉินสือโอวมองดูคาร์เตอร์ที่ยิ้มตาหยีแล้วเอ่ยถาม “จะตรวจเช็กตอนนี้เหรอ? แสงไม่ค่อยพอ ไม่เหมาะเท่าไรมั้ง?”

เทียบกับตอนงานประมูล คาร์เตอร์ในตอนนี้ราวกับกลายเป็นคนล่ะคน ใจกว้างเปิดเผย เขาตบบ่าฉินสือโอวแล้วพูดยิ้มๆ “โอ้ ฉิน พูดแบบนี้ก็เป็นการหัวเราะเยาะผมสิ? จะไม่เหมาะได้อย่างไร? ที่จริงผมคิดว่าไม่ต้องตรวจหรอก ใครจะไม่เชื่อฉินล่ะ ใช่ไหมเพื่อนยากทั้งหลาย?”

ตอนท้ายเขาหันไปถามชาวประมงที่มากับฉินสือโอว

พวกชาวประมงยิ้มแบบไม่เป็นธรรมชาติ บูลกดฉมวกปลาสั้นที่เหน็บบนเข็มขัดลงไปอีก อีวิลสันยิ่งทำหน้าสับสนแล้วพูดถามบูลพึมพำ “บูล ไม่ได้มาตีกันเหรอ?”

ฉินสือโอวพูดย้ำแล้วย้ำอีกถึงความแค้นระหว่างเขากับคาร์เตอร์ แล้วยังบอกพวกเขาด้วยว่า มาถึงฟาร์มปลาคาร์เตอร์ ขอแค่ไม่สบอารมณ์ก็ไม่ต้องพูดมาก เล่นมันเลย!

ดูท่าตอนนี้เหมือนจะไม่ใช่แบบนั้นนะ

……………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท